ลำนำสตรียอดเซียน 167 นักเดินทางจื่อเวย

ตอนที่ 167 นักเดินทางจื่อเวย

มีรูปปั้นหินสลักทั้งหมดห้าตัวและระดับการฝึกตนของพวกมันล้วนอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งหมด  

 

 

โม่เทียนเกอมองพวกมันอย่างเร็วๆ ทีหนึ่งและทำการคำนวณอยู่ในใจ ในเมื่อประตูปิดแล้ว ตอนนี้ห้องก็ถูกปิดตาย พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอาชนะรูปปั้นหินสลักพวกนี้ให้ได้  

 

 

พวกเขารู้จุดอ่อนของรูปปั้นหินสลักพวกนี้อยู่แล้ว แต่ปัญหาตอนนี้คือการรับมือกับพลังกระบี่ของพวกมัน รูปปั้นหินสลักทั้งห้าแต่ละตัวมีพละกำลังที่แข็งแกร่งเกินธรรมดา เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกมันเหวี่ยงกระบี่ พลังกระบี่ที่ครอบงำอยู่ของมันจะถักทอรวมกันขึ้นเป็นตาข่ายกระบี่ ถึงแม้พวกมันจะเชื่องช้าแต่กระสวยอัปสราของนางก็ยังไม่สามารถโค่นพวกมันลงได้ ยิ่งไปกว่านั้น เพราะรูปปั้นหินสลักพวกนี้ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง สิ่งของที่ส่งผลทางจิตอย่างตะเกียงเสน่ห์จึงไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก  

 

 

พวกเขาจะสามารถแยกกันทำลายแต่ละตัวได้ด้วยตัวเองไหม ความคิดนั้นผุดขึ้นในจิตใจโม่เทียนเกอกะทันหันและนางก็มองนักพรตฟางเจิ้งทันที “สหายนักพรต ข้าจะล่อพวกมันสี่ตัวให้ไขว้เขว เจ้าจัดการตัวสุดท้ายนะ”   

 

 

นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้าทันที “ตกลง!” ถ้านี่เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวคงไม่ยากนักในการทำลายพวกมันต่อให้ระดับการฝึกตนของเขาจะด้อยกว่าเล็กน้อยแต่เพราะเขารู้จุดอ่อนของพวกมันอยู่แล้ว”   

 

 

หลังจากเห็นพ้องต้องกันกับนักพรตฟางเจิ้ง โม่เทียนเกอบินขึ้นและลอยอยู่กลางอากาศ นางหยิบเอาเครื่องรางหลากหลายอันออกมาจากในกระเป๋าเอกภพพร้อมถอนหายใจ  

 

 

ในฐานะศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ นางจะขาดแคลนสมบัติไปได้อย่างไร ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ประมุขเต๋าจิงเหอจะไม่ได้สั่งสอนนางในเรื่องการฝึกตน แต่เขาไม่เคยงกกับนางในเรื่องอื่นๆ เนื่องจากนางต้องออกจากเขารอบนี้ เขาก็ได้ให้สิ่งของที่ช่วยชีวิตไว้มากมาย แต่ก็แค่ก่อนหน้าช่วงเวลานี้นางมักจะคิดว่ามันคงจะดีที่สุดถ้านางจะรับมือกับสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วการพึ่งพาสิ่งของที่เขามอบให้มากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาตนของนาง  

 

 

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้นางกำลังปกป้องชีวิตตัวเองอย่างยากลำบาก ดังนั้นนางจึงต้องใช้วิธีการอะไรก็ได้ที่นางมีอยู่เป็นธรรมดา มิเช่นนั้นหากนางตายไป คงไม่ได้รับของตอบแทนอะไรอีกเป็นแน่!   

 

 

โม่เทียนเกอถือเครื่องรางอยู่ในมือ หลับตา จากนั้นพูดร่ายคาถาพึมพำ  

 

 

พร้อมกับการร่ายคาถา ทั้งร่างของนางเริ่มจะเปล่งแสงวิญญาณสีขาวราวหมอก แสงวิญญาณนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงการรวบรวมพลังงานทางจิตวิญญาณ ยิ่งพลังงานทางจิตวิญญาณเข้มข้นมากเท่าไหร่ แสงวิญญาณก็จะยิ่งสว่างขึ้นเท่านั้น เมื่อการร่ายคาถาของนางจบลง นางลืมตาทันทีและตะโกนว่า “ไปได้!”   

 

 

เครื่องรางระเบิดออกเป็นเปลวไฟจากนั้นเปลี่ยนรูปร่างเป็นไฟสี่แถวซึ่งกวาดไปทั่วรูปปั้นหินสลักทั้งสี่ตัวในทันที  

 

 

รูปปั้นหินสลักเหวี่ยงกระบี่ราวกับพวกมันต้องการจะฟันแถวของไฟ อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้การกระทำของมันไร้ผล ไฟสี่แถวไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด มันทะลวงผ่านพลังกระบี่ของรูปปั้นหินสลักในชั่วพริบตาและโอบล้อมตัวของรูปปั้นหินสลักเอาไว้  

 

 

รูปปั้นหินสลักทั้งสี่ไร้การเคลื่อนไหว ยังคงประจำที่เหมือนเมื่อตอนพวกมันเงื้อกระบี่ขึ้น  

 

 

โม่เทียนเกอตะโกน “สหายนักพรตฟางเจิ้ง เร็วเข้า! ข้าทำแบบนี้ได้แค่ระยะเวลาหนึ่งก้านธูปเท่านั้น!”   

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอใช้กลเม็ดนี้ ทั้งห้องหินปกคลุมไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณทันที นักพรตฟางเจิ้งถึงกับตกตะลึงที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงนางตะโกนเรียก ราวกับคนที่ตื่นจากฝัน เขารีบจู่โจมเข้าใส่รูปปั้นหินสลักตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่  

 

 

นักพรตฟางเจิ้งโบกมือ ขว้างเครื่องรางไปข้างหน้าซึ่งที่จริงแล้วคือเครื่องรางธาตุไม้ ปฐพีหนาทึบถมธรณี  

 

 

ทันใดนั้นพื้นข้างใต้รูปปั้นหินสลักเปลี่ยนเป็นโคลนซึ่งพวยพุ่งขึ้นมาและกักขังมันไว้  

 

 

รูปปั้นหินสลักแกว่งกระบี่ของมันอย่างมืดบอด อย่างไรก็ตาม มันจะฟันโคลนที่อยู่ใต้เขาได้อย่างไร นักพรตฟางเจิ้งฉวยโอกาสนี้ เขายกแส้หางม้าขึ้นทำให้ขนของแส้จำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นไปเหนือตัวรูปปั้นหินสลักและกักขังมันไว้อยู่ข้างใต้  

 

 

ครั้งนี้รูปปั้นหินสลักแกว่งกระบี่ของมันเพื่อปัดขนออกและมันก็ทำสำเร็จ  

 

 

นักพรตฟางเจิ้งเรียกคืนขนแส้ทันที ไม่นานหลังจากนั้น เขาขว้างเครื่องรางมากมายออกไป  

 

 

เครื่องรางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแตกต่างจากของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ ต่อให้คนคนนั้นจะร่ำรวยแต่พวกเขาก็ยังหาซื้อได้อย่างยากลำบาก แค่ท่านี้ท่าเดียวทำให้นักพรตฟางเจิ้งแทบจะหมดตัวแล้ว  

 

 

จากการโจมตีของเครื่อรางระดับสูงหลายอัน รูปปั้นหินสลักค่อยๆ เริ่มไม่สามารถยกกระบี่ของมันได้ ขนของแส้จำนวนมหาศาลพุ่งออกไปอีกครั้ง ขนสองเส้นทะลุเข้าไปในหูของรูปปั้นหินสลักโดยตรง หลังจากเสียงแตกกะเทาะไม่กี่ครั้ง รูปปั้นหินสลักก็หยุดนิ่งไม่ขยับในที่สุด  

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางขว้างเครื่องรางไปอีกอันและร่ายคาถากักขังรูปปั้นหินสลักทั้งสี่ตัวอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาไม่จำเป็นต้องปรึกษากันมากแล้วรอบนี้ นักพรตฟางเจิ้งเหวี่ยงแส้หางม้าของเขาเพื่อแทงเข้าที่หูของรูปปั้นหินสลัก  

 

 

รูปปั้นหินสลักทั้งสี่ตัวล้มลงไปตามๆ กัน  

 

 

โม่เทียนเกอถอนหายใจยาว นางไม่สามารถทนต่อได้อีกและล้มลงที่พื้น ขาไม่เหลือเรี่ยวแรงดังนั้นนางจึงทำได้เพียงแค่นั่งลง  

 

 

เครื่องรางสองอันนี้โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั่วไปจะไม่ใช้กันเนื่องจากมันเป็นเครื่องรางชั้นดีที่สุด ที่จริงแล้วเครื่องรางชั้นดีที่สุดที่ว่านี้ก็เหมือนกับอาวุธเวท มันไม่ได้ถูกแบ่งประเภทเป็นระดับชั้น เครื่องรางประเภทนี้วาดขึ้นมาได้ด้วยผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงกว่าเท่านั้น เศษเสี้ยวของพละกำลังอาวุธเวทถูกผนึกไว้อยู่ภายในเครื่องรางและมีพลังรุนแรงเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นมันจึงเหมือนกับอาวุธเวทของจริงไม่มีผิด  

 

 

เป็นสิ่งที่รู้กันทั่วไปว่าผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณและระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานสามารถใช้อาวุธเวทได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม อาวุธเวทจะแสดงพละกำลังจริงๆ ของมันได้เพียงหนึ่งในร้อยส่วนหรือหนึ่งในพันส่วน เมื่ออยู่ในมือพวกนั้น มันไม่อาจเทียบได้กับอาวุธเวทที่ถือครองโดยผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับจิตวิญญาณใหม่ แต่เครื่องรางเวทพวกนี้ไม่เหมือนกัน พละกำลังของอาวุธเวทที่แท้จริงถูกผนึกอยู่ภายในเครื่องราง ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นประโยชน์เมื่อใช้กับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ แต่มันก็สามารถใช้เพื่อสู้กับผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้! เพียงแค่เครื่องรางเวทพวกนี้สามารถใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น  

 

 

ถึงอย่างนั้น การใช้เครื่องรางนี้ก็ทำให้โม่เทียนเกอต้องเสียพลังงานทางจิตวิญญาณไปมหาศาล โม่เทียนเกอรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่สุด  

 

 

แต่ตอนนี้นางมีใครคนอื่นอยู่กับนางดังนั้นนางจึงไม่กล้าจะพักนานเกิน นางกลืนยาครอบจักรวาลมากมายและปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ในไม่ช้านางก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง  

 

 

“สหายนักพรตฟางเจิ้ง เจออะไรไหม”   

 

 

หลังจากพักไปชั่วครู่ นักพรตฟางเจิ้งยืนขึ้นแล้วจึงสำรวจรอบๆ ตัว ตอนนี้เขากำลังตรวจดูสิ่งที่อยู่ด้านหลังรูปปั้นหินสลักอย่างระมัดระวัง  

 

 

เมื่อได้ยินคำถามของนาง นักพรตฟางเจิ้งไม่ได้หยุดมองไปรอบๆ และแค่หันตัวไปด้านข้าง “สหายนักพรตเยี่ย มาดูนี่เร็ว!”   

 

 

จากน้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนเขาเจออะไรบางอย่าง โม่เทียนเกอจึงเดินเข้าไปหาเขา  

 

 

นักพรตฟางเจิ้งชี้ไปที่กำแพงหิน “สหายนักพรตเยี่ย ดูดีๆ สิ”   

 

 

ทันทีหลังจากที่โม่เทียนเกอก้าวไปข้างหน้า นางก็ตะลึงอย่างที่สุด บนกำแพงหินคือจิตรกรรม ที่อัดแน่น รูปวาดพวกนี้ถูกแกะสลักไว้อย่างประณีตแต่เนื้อหากลับยุ่งเหยิงอย่างน่าประหลาด เหมือนกับว่าใครบางคนวาดอะไรก็ตามที่ผุดขึ้นมาในจิตใจไปตามสัญชาตญาณ บางรูปเป็นรูปคน บางรูปเป็นพืชพันธุ์และสัตว์แปลกๆ และบ้างเป็นงานเขียนเกี่ยวกับวิชาหรือกฎต่างๆ ขณะที่โม่เทียนเกอสำรวจดูรูปต่างๆ ทีละนิด ความประหลาดใจและความยินดีก็เอ่อล้นอยู่ภายใน  

 

 

เจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นอัจฉริยะโดยแท้ วิชาลับที่เขาเขียนไว้เป็นวิชาที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน!   

 

 

ตัวอย่างเช่น มีวิชาการเดินทางทันทีประเภทหนึ่งที่รู้จักกันในนามพายุชั่วอึดใจ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้เดินทางไปได้หลายจั้งแค่ในชั่วอึดใจเดียว ถ้าฝึกอย่างเต็มกำลัง การเดินทางหลายร้อยจั้งก็ไม่เป็นปัญหา วิชาการเดินทางทันทีส่วนใหญ่ที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ไม่สมกับกิตติศัพท์ของมัน มันแค่ทำให้ผู้ใช้เคลื่อนไหวเร็วมากจึงดูเหมือนพวกเขาเดินทางได้ในชั่วพริบตา วิชาการเดินทางทันทีที่แท้จริงไม่ได้พบเจอได้บ่อยๆ โดยปกติมันจะถูกถ่ายทอดต่อกันแค่ภายในกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ เท่านั้น โรงเรียนเสวียนชิงก็มีวิชาหนึ่งเหมือนกัน แต่มีเพียงผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนสูงกว่าที่สามารถฝึกได้  

 

 

นอกจากนี้ยังมีบางวิชาและกฎที่ไม่สมบูรณ์เขียนหวัดๆ ไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ โม่เทียนเกอค่อนข้างผิดหวัง นางหวังว่านางจะสามารถหาบันทึกเกี่ยวกับเครื่องจักรกลท่ามกลางรูปวาดเหล่านี้ได้แต่ก็ไม่มีอย่างน่าเสียดาย  

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอไปถึงรูปวาดสุดท้าย จู่ๆ นางก็พบอีกวรรคหนึ่งตรงมุม  

 

 

“ชื่อของข้าคือสวีจื้อเวย ศิษย์ภายใต้หลวงพ่อนักกระบี่เสวียนซู่แห่งสำนักกู่เจี้ยน ตอนอายุร้อยปี ข้าได้เข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ตอนอายุสามร้อยปี ข้าได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ ตอนอายุสี่ร้อยปี ข้าต่อต้านสำนักกู่เจี้ยนและซ่อนตัวอยู่ในหุบเขามรสุมในภูเขาเก้าวิญญาณ ณ แคว้นจิ้นแห่งโลกมนุษย์ จากนั้นเป็นต้นมาข้าได้กลายเป็นนักเดินทางจื่อเวย”   

 

 

“ข้าใช้ชีวิตปลีกวิเวกอยู่ที่นี่มาพันปีและไม่มีสักครั้งเดียวที่ข้าจะกลับเข้าสู่คุนอู๋อีกครั้ง ข้าคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงครึ่งแรกในช่วงชีวิตข้า ความทุกข์ทรมาน… ความเสียดาย… หากข้าไม่ได้เจอจื่อหลานก่อนข้าตายจากไป ความเสียดายของข้าก็จะ…”   

 

 

ส่วนสุดท้ายถูกสลักไว้อย่างยุ่งเหยิง หลังจากพยายามจะแยกแยะคำอย่างระมัดระวัง โม่เทียนเกอก็พบว่าคำว่า “จื่อหลาน” ถูกเขียนไว้ซ้ำๆ   

 

 

“จื่อหลาน” คำนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นชื่อคน ฟังดูเหมือนเป็นชื่อผู้หญิง นักเดินทางจื่อเวยไม่เคยเอ่ยถึงชื่อนี้ในส่วนอื่นของรูปวาดแต่เขากลับพูดถึงมันซ้ำๆ ในวรรคนี้ ดูจากน้ำเสียงของผู้ชายในวรรคนี้ เขาดูเหมือนจะคิดถึงคนผู้นี้อย่างมากแต่เขาไม่กล้าจะเอ่ยถึง จนเมื่อเขาใกล้จะตายเท่านั้นเขาจึงไม่สามารถยั้งไว้ได้อีกและถ่ายทอดความรู้สึกออกมาอย่างพรั่งพรู  

 

 

ขณะที่โม่เทียนเกอดูวรรคนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงง  

 

 

ในเมื่อนักเดินทางจื่อเวยเป็นสมาชิกของสำนักกู่เจี้ยนและถึงขนาดสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้เมื่ออายุยังน้อย ทำไมเขาถึงต้องการต่อต้านสำนัก ในกลุ่มการฝึกตนใหญ่เช่นสำนักกู่เจี้ยน การต่อต้านกลุ่มเป็นเรื่องที่จริงจังมาก ต่อให้มีความขัดแย้งบางอย่างระหว่างเขาและสำนัก แต่เขาก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แล้ว เขาสามารถใช้ตำแหน่ง “ผู้อาวุโส” และออกไปอยู่ห่างไกลจากอารามก็ได้ ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องต่อต้านสำนัก  

 

 

อีกอย่าง หลังจากเขาทรยศสำนักของเขา เขาใช้ชีวิตปลีกวิเวกอยู่ในโลกมนุษย์ มันเหมือนกับว่าเขาไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรเลยแม้แต่น้อย ถ้าเป็นเช่นนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ระหว่างตัวเขากับสำนัก แต่ถ้ามันไม่ใช่เช่นนั้นล่ะ ทำไมเขาจะต้องต่อต้านสำนักของเขาด้วย  

 

 

เขายังบอกอีกว่าเขามักจะคิดถึงความทุกข์ทรมานและความเสียดายอยู่บ่อยๆ ในครึ่งแรกของช่วงชีวิต สำหรับผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ผู้ที่สร้างจิตวิญญาณใหม่สำเร็จตอนอายุยังน้อยขนาดนั้น มีส่วนไหนที่ต้องทุกข์ทรมานหรือ มีส่วนไหนที่จะทำให้เขารู้สึกเสียดายจนวันตายหรือ ถ้าประเด็นพวกนี้เชื่อมโยงกัน… เพราะความเสียดายเขาจึงต่อต้านท่านอาจารย์ของเขาและใช้ชีวิตปลีกวิเวก… เรื่องนั้นมันจะร้ายแรงสักแค่ไหนกัน  

 

 

ยังมี “จื่อหลาน” ในตอนท้ายอีก สำหรับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ มีเหตุผลอะไรด้วยหรือว่าทำไมเขาจึงไม่สามารถพบคนที่อยากพบได้ คนผู้นั้นต้องหายตัวไปหรือไม่ก็เป็นตัวเขาเองที่ไม่กล้าไปเจอนาง มันคงไม่สำคัญนักหากคนผู้นั้นหายไป แต่ถ้านางไม่ได้หายไปล่ะ มีเรื่องอะไรที่ร้ายแรงมากเสียจนทำให้เขาไม่กล้าเจอนาง หรือว่าบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขารู้สึกเสียดาย  

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกว่ามันช่างน่าสับสนและอธิบายยาก  

 

 

นักพรตฟางเจิ้งก็มาอ่านวรรคนี้เช่นกัน เขาพูดด้วยความประหลาดใจ “สำนักกู่เจี้ยนหรือ” เจ้าของสถานที่นี้แท้จริงแล้วเป็นผู้อาวุโสจากสำนักกู่เจี้ยน! ถ้างั้นเขาจะเชี่ยวชาญในม่านพลังมายาและศาสตร์แห่งการช่างมากขนาดนี้ได้อย่างไร นั่นมันไม่ใช่แบบฉบับของผู้ฝึกตนสายกระบี่ทั่วไป!”   

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกอึ้ง จริงด้วย นั่นควรจะเป็นประเด็นที่น่าสงสัยที่สุด สำนักกู่เจี้ยนเป็นสำนักแห่งผู้ฝึกตนสายกระบี่ ดังนั้นว่ากันตามเหตุผล นักเดินทางจื่อเวยก็ควรจะเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่ด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น จากรูปแบบของเขาในการทำสิ่งต่างๆ พวกเขายังไม่เห็นความคล้ายคลึงกับผู้ฝึกตนสายกระบี่เลยตั้งแต่แรกเริ่ม เมื่อพวกเขาลงมาในหุบเขา ลมพายุและอากาศพิษถูกทำให้เกิดขึ้นด้วยม่านพลัง ในตอนหลังพวกเขาเข้าสู่ม่านพลังมายา ใครจะวางม่านพลังได้นอกไปจากผู้ที่เชี่ยวชาญมากๆ และยังมีแท่นแห่งธาตุทั้งห้าที่ลอยได้พวกนั้นอีกที่เกือบทำให้พวกเขาเดาว่าเจ้าของสถานที่นี้ต้องเป็นผู้อาวุโสจากโรงเรียนเทียนเหลียง สุดท้ายก็มีห้องหินห้องนี้ หุ่นเชิดขั้นสูงสุดของระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน ศาสตร์แห่งการช่าง!   

 

 

ประเภทผู้ฝึกตนที่เป็นประเพณีนิยมที่สุดรวมถึงประเภทที่มีจำนวนมากที่สุดคือผู้ฝึกตนสายธรรม ผู้ฝึกตนประเภทนี้จะก้าวหน้าบนเส้นทางแห่งการฝึกตนไปทีละขั้นตอนและมักพึ่งพาคาถาอาคม อาวุธเวท และเครื่องรางเป็นหลัก ประเภทอื่นๆ อย่างผู้ฝึกตนสายกระบี่ ผู้ฝึกตนสายเครื่องราง ผู้ฝึกตนสายแพทย์ และอื่นๆ ล้วนแล้วแต่หาได้ยากกว่า ในหมู่พวกนั้น เพราะผู้ฝึกตนสายกระบี่โดยปกติมักจะแข็งแกร่งกว่าในการต่อสู้ด้วยพลังเวท พวกเขาจึงมีจำนวนมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ฝึกตนสายธรรม จำนวนผู้ฝึกตนสายกระบี่ก็มีแค่ในหนึ่งร้อยส่วนเท่านั้น  

 

 

เหตุผลว่าทำไมผู้ฝึกตนสายธรรมจึงมีจำนวนมากที่สุดก็เพราะพวกเขาฝึกฝนในวิธีตามประเพณีและสามารถลองใช้วิธีการอื่นอย่างไม่ต้องจริงจังมากได้ ดังนั้นโอกาสในการบรรลุผ่านดินแดนของพวกเขาจึงสูง ผู้ฝึกตนสายกระบี่แกร่งในการต่อสู้ด้วยพลังเวท แต่ท้ายที่สุดพวกเขาฝึกกระบี่โดยใช้ร่างกายมาตลอดชีวิต ดังนั้นโอกาสในการบรรลุผ่านดินแดนจึงค่อนข้างต่ำ เพราะเหตุนั้น ผู้ฝึกตนสายกระบี่โดยทั่วไปจึงมุ่งความสนใจอยู่กับการฝึกกระบี่และแทบจะไม่เคยเรียนรู้ด้านอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นทุกสิ่งในสถานที่นี้ก็ล้มล้างแนวคิดนี้ไปจนหมด!   

 

 

ผู้ฝึกตนสายกระบี่ผู้ที่เชี่ยวชาญในม่านพลังและศาสตร์แห่งการช่างและยังมีความรู้มากเหลือเชื่อ… น่ากลัวเกินไปแล้ว!   

 

 

โม่เทียนเกอแน่ใจอย่างยิ่งว่าเจ้าของสถานที่นี้ต้องเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งอย่างแน่นอน  

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย ตอนนี้เราควรจะลืมทุกอย่างไปเสียก่อน เราเก็บหินสุริยันกันก่อนดีกว่า” หลังจากเขาสำรวจดูรูปวาดเสร็จ นักพรตฟางเจิ้งกังวลกับหินพวกนั้น แต่ก็ไม่แปลก ท้ายที่สุดแล้วของพวกนั้นก็เป็นของที่มีค่ามากที่สุดที่นี่  

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้คัดค้าน “ตกลง ข้าสัญญากับสหายนักพรตไว้แล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้สหายนักพรตเลือกได้ก่อนเลยและสหายนักพรตจะเอาไปเพิ่มก็ได้ถ้าต้องการ”   

 

 

นักพรตฟางเจิ้งตื่นเต้นดีใจและเหาะขึ้นไปทันที อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังจะเก็บเอาหินสุริยันที่อยู่สูงที่สุด ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงกึกก้อง เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณจากที่ไหนไม่รู้จู่ๆ ก็พวยพุ่งออกมาทันทีและจู่โจมเข้าใส่นักพรตฟางเจิ้งจนร่วงลงที่พื้น  

ลำนำสตรียอดเซียน

ลำนำสตรียอดเซียน

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


โม่เทียนเกอ สาวน้อยผู้อาภัพ มารดาตายจากไปแต่ยังเยาว์ บิดาหายตัวไปแต่ก่อนที่นางจะลืมตาดูโลก วันหนึ่งพบว่าตนได้รับสืบทอดพลังปราณหยินจากบรรพบุรุษอันจะช่วยให้ฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียนได้ ด้วยความกำพร้าแต่ยังเยาว์สอนให้นางมีจิตใจมุ่งมั่นหาญกล้า ทุกเมื่อเชื่อวันนางจึงไม่เคยปล่อยผ่านไปเปล่า เพียรฝึกตนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทว่าอุปสรรคที่ผู้ฝึกตนหญิงต้องฝ่าฟันข้ามไปนั้นมีมากมายเหลือคณานับ ต้องมิขาดซึ่งพรสวรรค์วิชาฝึกตน ต้องมียาและศาสตราวิเศษ หาไม่แล้วก็จะฝึกตนให้สำเร็จได้อย่างล่าช้า อนึ่ง ต้องปราศจากซึ่งอารมณ์อ่อนไหว ใจเมตตา ความโลภโมโทสัน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่มากแล้วก็จะพบกับความตาย เหนืออื่นใดคือห้ามงามเกินไป ห้ามอัปลักษณ์เกินไป อย่าโง่งมเกินไป อย่าฉลาดเกินไป

โม่เทียนเกอเป็นหญิง ไหนเลยจะไม่ประสบปัญหาเหล่านี้ แม้หนทางจะโหดเหี้ยมไร้ปรานี แต่นางเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าความเพียรพยายาม

Options

not work with dark mode
Reset