ลำนำสตรียอดเซียน 166 ศาสตร์แห่งการช่าง

ตอนที่ 166 ศาสตร์แห่งการช่าง

ทั้งสองคนไม่มีใครกล้าที่จะสู้กับกระบี่หินเล่มนั้นซึ่งๆ หน้า จังหวะที่รูปปั้นหินสลักแกว่งมันมาทางพวกเขา ทั้งโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งต่างหลบออกข้างทาง ก่อให้เกิดเสียงดังกึกก้องและแผ่นหินบนพื้นบริเวณนั้นแตกกระจาย  

 

 

ท่าทางของโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งเปลี่ยนไป พวกเขารู้ว่าวัสดุในถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่นั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่รูปปั้นหินสลักนี้สามารถเจาะทะลุได้อย่างง่ายดายด้วยการโจมตีที่ดูเหมือนจะไม่มีพลังอะไรมากนักในครั้งเดียว พวกเขาสงสัยว่าเขาจะสามารถทำได้ด้วยเช่นกันหรือไม่ แต่คำตอบก็ชัดเจนว่าพวกเขาไม่สามารถทำได้  

 

 

กระนั้นพวกเขาไม่มีเวลาคิดใคร่ครวญมากนักเพราะรูปปั้นหินสลักกวัดแกว่งกระบี่ของมันอีกครั้ง เหมือนกับครั้งแรก พลังในการโจมตีนั้นสูงมากทีเดียว  

 

 

แต่ก็อย่างที่พวกนางคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ถึงแม้ว่ามันจะมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง แต่การเคลื่อนไหวของรูปปั้นหินสลักนี้ก็ช้ามากเนื่องมาจากรูปร่างที่หนัก ในขณะที่ความเร็วนั้นเป็นจุดแข็งของโม่เทียนเกอ!   

 

 

โม่เทียนเกอก้าวขึ้นไปบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและเหาะขึ้น หลบเลี่ยงรูปปั้นหินสลักได้อย่างสิ้นเชิง  

 

 

ในเสี้ยววินาที นักพรตฟางเจิ้งตัดสินสถานการณ์ของพวกเขาในปัจจุบันอย่างเร็ว หลังจากที่เขาหลบการโจมตีครั้งที่สองของรูปปั้นหินสลัก เขากวัดแกว่งแส้หางม้าในมือของเขา เส้นขนในแส้เปลี่ยนเป็นเส้นไหมยาวจำนวนมากทิ่มแทงเข้าสู่รูปปั้นหินสลักนั้น  

 

 

จากสิ่งที่โม่เทียนเกอเห็น แส้หางม้าของนักพรตฟางเจิ้งไม่ได้เป็นเครื่องมือเวทที่อยู่ในระดับสูงนัก นางไม่รู้ว่านักพรตฟางเจิ้งทำให้มันศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร แต่ถือว่าทรงพลังมาก เส้นไหมที่แปรเปลี่ยนจากขนหางม้านั้นคล้ายกับเข็มบินได้ของโม่เทียนเกอที่ใช้ในการซุ่มโจมตีอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม เข็มบินได้ของนางคือวัตถุที่เป็นรูปธรรมในขณะที่เส้นขนของแส้นั้นเป็นนามธรรม ความจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่การระเบิดออกของพลังงานทางจิตวิญญาณ  

 

 

เส้นไหมจากแส้จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว มันช้าเกินไปสำหรับรูปปั้นหินสลักที่จะหลบหรือบางทีก็ไม่ได้คิดที่จะหลบอยู่แล้วแม้แต่น้อย ดังนั้นทั้งร่างของมันจึงล้มลงอยู่ในระยะเส้นไหมนั้น  

 

 

พลังงานทางจิตวิญญาณกระเพื่อมขึ้นลง ฝุ่นหนาทึบฟุ้งกระจาย โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งตกใจแต่ทั้งสองคนก็ล่าถอยไปด้านหลัง พวกเขากลั้นใจพร้อมสะบัดแขนเสื้อพวกเขาไปมา ถ้ำเซียนนี้ถูกปิดมาเป็นระยะเวลานานหลายปี ดังนั้นรูปปั้นหินสลักจึงถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นมาช่วงเวลาหนึ่ง การโจมตีของนักพรตฟางเจิ้งส่งผลให้ฝุ่นเหล่านั้นฟุ้งกระจายในอากาศไปทั่ว!   

 

 

ทั้งสองคนรู้สึกทั้งอยากจะหัวเราะและร้องไห้ไปในเวลาเดียวกัน พวกเขาพลาดในการโจมตีครั้งแรก อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามองที่รูปปั้นหินสลัก ท่าทางของพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นจริงจังอีกครั้ง มันไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย!   

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย!” สีหน้านักพรตฟางเจิ้งดูขรึมลง “การป้องกันของเจ้าสิ่งนี้นับว่าเยี่ยมยอด การโจมตีของพวกเราคงไร้ประโยชน์” ในขณะที่โม่เทียนเกอไม่รู้ นักพรตฟางเจิ้งได้อุตสาหะฝึกวิชาแส้หางม้าของเขาจนเชี่ยวชาญมามากกว่าร้อยปี ถ้ามันปะทะเข้ากับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้าย มันน่าจะทำลายเกราะป้องกันออกไปได้ แต่น่าแปลกใจที่รูปปั้นหินสลักกลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย!   

 

 

หลังจากที่นักพรตฟางเจิ้งพูดจบ รูปปั้นหินสลักก็หยุดไปครู่หนึ่งเสมือนว่ามันกำลังฟังพวกเขา วินาทีถัดมา มันก็เปลี่ยนเส้นทาง แกว่งกระบี่ไปที่นักพรตฟางเจิ้งทันที  

 

 

การโจมตีของกระบี่นี้ทรงพลังอย่างมาก นักพรตฟางเจิ้งหลบการโจมตีแต่เขาก็ยังคงบาดเจ็บจากพลังของกระบี่ซึ่งส่งผลให้เขาส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด  

 

 

โม่เทียนเกอลงมืออย่างไม่รอช้า กระสวยอัปสราเปลี่ยนเป็นรังสีสีทองมากมายซึ่งเคลื่อนไปยังรูปปั้นหินสลักเพื่อมัดมันจากข้างใต้  

 

 

มีเสียงดังฉ่าออกมาเล็กน้อย สีหน้าโม่เทียนเกอหม่นหมอง รังสีสีทองของกระสวยอัปสราไม่ได้ทิ้งร่องรอยบนรูปปั้นหินสลักแม้แต่น้อย!   

 

 

ตั้งแต่ที่นางได้รับกระสวยอัปสรามา นางพึ่งพาเครื่องมือเวทนี้อย่างเต็มที่ ภายหลัง นางได้ยินจากประมุขเต๋าจิ้งเหอว่าส่วนประกอบหลักของเครื่องมือนั้นคือทองคำเข้มข้นอายุกว่าพันปีซึ่งแทรกซึมอยู่ในศิลาสวรรค์ เพื่อที่มันจะได้ใช้ในการต่อสู้กับอาวุธเวท มันคือเครื่องมือเวทที่เขาตั้งใจสร้างขึ้นสำหรับฉินโส่วจิ้งในตอนที่เขาเพิ่งสร้างฐานแห่งพลังงานได้ โดยปกติแล้วเมื่อทองคำเข้มข้นพันปีถูกใช้ในการสร้างกระบี่บินได้ มันจะช่วยทำให้กระบี่นั้นคมมากขึ้น และเพราะสิ่งนั้น ถึงแม้ว่ากระสวยอัปสราจะไม่ได้มีคมดาบ แต่ก็ยังคงแหลมคม จนถึงตอนนี้โม่เทียนเกอยังไม่เคยเผชิญกับสิ่งที่รังสีสีทองไม่สามารถตัดออกได้เลย  

 

 

แต่การเผชิญกับรูปปั้นหินสลักนี้ กระสวยอัปสรากลับไร้ประโยชน์อย่างไม่คาดคิด!   

 

 

ท่าทางของโม่เทียนเกอดูมืดมน ชั่วขณะหนึ่งนางไร้ซึ่งหนทางว่าจะต้องทำอะไร อย่างไรก็ตามนักพรตฟางเจิ้งผู้ซึ่งกำลังดิ้นรนจากการโจมตีของรูปปั้นหินสลักตะโกนออกมา “ใช้คาถา! ใช้คาถาโจมตีมัน!”   

 

 

โม่เทียนเกอตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาตะโกนบอก แต่ในเสี้ยววินาทีถัดมา นางก็ตอบสนอง นางเรียกกระสวยอัปสรากลับหลังจากนั้นจึงประกบมือเพื่อเสกคาถาวายุเยือกแข็ง  

 

 

ก้อนหินมาจากดิน ไม้เป็นส่วนหนึ่งของดิน ลมมาจากไม้ น้ำให้ความชุ่มชื่นแก่ไม้  

 

 

คาถาวายุเยือกแข็งนี้เป็นคาถาที่ซับซ้อนของธาตุทั้งห้า มันรวมธาตุน้ำและธาตุไม้เข้าด้วยกัน น้ำช่วยกักเก็บและไม้เป็นส่วนหนึ่งของดิน ความเร็วของรูปปั้นหินสลักนี้ค่อนข้างช้าและคาถาวายุเยือกแข็งนี้ได้แทงทะลุเข้าตรงจุดอ่อนของมัน  

 

 

เมื่อคาถาวายุเยือกแข็งกระทบเข้า รูปปั้นหินสลักก็กลายเป็นเฉื่อยชา ความเร็วช้าลงกว่าเก่าเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งและพลังของกระบี่นั้นจะน่าประหลาดใจแค่ไหน ความเร็วของมันก็ยังช้าเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่สามารถโจมตีพวกนางได้อีกต่อไป อย่างน้อยนักพรตฟางเจิ้งก็สามารถหลบมันพ้น  

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย” นักพรตฟางเจิ้งหายใจอย่างหนักหน่วง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นสาหัส “ดินข่มน้ำ พวกเราจะต้องใช้คาถาเลื้อยมัดแห่งธาตุไม้โดยตรงและรัดมันไว้! ข้าลองมาก่อนแล้ว พลังของกระบี่จะพุ่งมาในทางตรงเท่านั้น พวกเราจะไม่เป็นไรตราบใดที่หลบพ้น”   

 

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่นักพรตฟางเจิ้งพูด โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบและพยักหน้า นางหยุดใช้คาถาวายุเยือกแข็ง นางประกบมือลดพลังงานทางจิตวิญญาณลงและเริ่มใช้คาถาแห่งธาตุไม้ระดับสูง–เสียงแห่งไม้ร่วงหล่น  

 

 

ใบไม้แห้งนับไม่ถ้วนลอยขึ้นพร้อมกับลมหวีดหวิวที่พัดเข้ามา เถาวัลย์มากมายงอกออกมาจากพื้นเกี่ยวพันที่รูปปั้นหินสลัก พลังงานทางจิตวิญญาณแห่งธาตุไม้ถูกปล่อยใส่มันอย่างโหดเ**้ยม  

 

 

ภายใต้ลำแสงสีเขียวที่ท่วมท้นอยู่ รูปปั้นหินสลักถูกมัดจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ มันอยากจะกวัดแกว่งกระบี่ของตัวเอง แต่เถาวัลย์ขดม้วนไปที่มือข้างที่ใช้สำหรับกวัดแกว่งกระบี่และหยุดการเคลื่อนไหวของมันโดยตรง รูปปั้นหินสลักซึ่งไม่ว่าจะเป็นแส้หางม้าหรือกระสวยอัปสราก็ไม่สามารถแตะต้องมันได้ ในที่สุดก็ถูกทำให้อ่อนกำลังลงด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณแห่งธาตุไม้  

 

 

แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ ถึงแม้ว่ารูปปั้นหินสลักจะถูกทำให้อ่อนกำลังลงจากการใช้พลังงานทางจิตวิญญาณแห่งธาตุไม้ แต่ระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอก็ยังไม่ได้สูงมากพอ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถทำให้มันล้มลงได้ในทันที รูปปั้นหินสลักนี้ครอบครองพละกำลังที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะถูกมัดอยู่ โม่เทียนเกอก็ยังจะต้องใช้พลังมากมายทีเดียว  

 

 

“สหายนักพรตฟางเจิ้ง!” โม่เทียนเกอผู้ซึ่งสัมผัสได้ว่าพลังงานทางจิตวิญญาณของนางลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถทำอะไรได้นอกเหนือไปจากขมวดคิ้วแน่น “คาถานี้ใช้พลังงานทางจิตวิญญาณมากมายเหลือเกิน ข้าไม่สามารถที่จะทำให้มันคงอยู่ได้นานนัก!”   

 

 

นักพรตฟางเจิ้งทำตามโดยประกบมือของเขาและร่ายคาถาแห่งธาตุไม้  

 

 

ตอนนี้นางได้ความช่วยเหลือจากนักพรตฟางเจิ้ง โม่เทียนเกอรู้สึกว่าทุกอย่างง่ายขึ้นเล็กน้อย นางไม่เคยเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่พึ่งพาพละกำลังที่ยากจะจัดการได้เช่นนี้มาก่อน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่รูปปั้นหินสลักซึ่งไม่ได้มีความฉลาดเฉลียวอะไร มันก็ยังคงยากอย่างที่สุดที่จะต่อกรด้วย ตอนที่นางต้องเผชิญเข้ากับอินทรีสองหัวระดับห้าในช่วงเวลาของการจลาจลสัตว์ปีศาจ ระดับการฝึกตนของนางต่ำกว่านี้แต่นางก็ยังไม่ได้รู้สึกไร้ทางสู้เช่นในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยที่คนจากอดีตกาลมักจะพูดว่า “ทุกทักษะล้วนไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งไร้ขอบเขต วิชายากที่สุดที่จะจัดการได้คือการไร้ซึ่งวิชา”   

 

 

ฉาบไปด้วยแสงสีเขียว รูปปั้นหินสลักหันกลับอีกครั้งและหยุดฟัง ดูเหมือนกับว่ามันกำลังพิจารณาว่าพลังงานทางจิตวิญญาณนั้นมาจากที่ไหน  

 

 

บางสิ่งบางอย่างแวบเข้ามาที่จิตใจของโม่เทียนเกอ นางยกมือขึ้นแล้วเขวี้ยงกระสวยอัปสราออกไปอีกครั้ง มันเปลี่ยนเป็นเส้นไหมยาวสีทองอีกครั้งและพุ่งแทงเข้าไปที่หูของรูปปั้นหินสลักอย่างไม่คาดคิด!   

 

 

ครั้งนี้ เส้นไหมทองไร้ซึ่งการขัดขวาง มันแทงเข้าไปที่หูของรูปปั้นหินสลักจากฝั่งหนึ่งทะลุออกไปยังอีกด้านหนึ่ง เกิดเป็นเสียงดัง แก๊ก!  เบาๆ รูปปั้นหินสลักดูเหมือนจะลำบากมากกว่าเก่า และการเคลื่อนไหวของมันก็หยุดลง โม่เทียนเกอหยุดท่องคาถาและมุ่งไปที่การควบคุมกระสวยอัปสรา  

 

 

เสียง  ปัง!  สะท้อนก้องอยู่ในหูของพวกเขา ไม่นานนักแรงเคลื่อนไหวของรูปปั้นหินสลักก็หายไปและในที่สุดมันก็หยุดเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตาม มันปล่อยเส้นใยของพลังงานทางจิตวิญญาณที่แปลกประหลาดออกมา  

 

 

นักพรตฟางเจิ้งถอนใจอย่างโล่งอก “สหายนักพรตเยี่ย ท่านรู้ได้อย่างไรว่าจุดอ่อนของมันอยู่ที่หู”   

 

 

ในขณะที่เช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าออก โม่เทียนเกอตอบ “สหายนักพรตไม่รู้หรือ… ทุกครั้งที่มันเคลื่อนไหว มันจะต้องคอยฟังเสียงของพวกเราก่อนเสมอ”   

 

 

“… เข้าใจแล้ว…” นักพรตฟางเจิ้งนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม เขาคิด “แน่นอนอยู่แล้ว ผู้หญิงย่อมพิถีพิถันกว่า” ถึงแม้ว่าเขาจะคิดว่ามีบางสิ่งบางผิดปกติ แต่เขาเองก็ไม่นึกว่าหูจะเป็นจุดอ่อนของมันเช่นกัน  

 

 

หลังจากที่เก็บกระสวยอัปสราและผ้าเช็ดหน้าไหมขาว โม่เทียนเกอมองที่นักพรตฟางเจิ้ง “สหายนักพรตฟางเจิ้ง อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”   

 

 

นักพรตฟางเจิ้งรีบกลืนยาวิเศษพร้อมส่ายหัว “อย่าได้สนใจข้า มันไม่ได้สาหัสนัก”   

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้ถามต่อ นางเดินไปทางรูปปั้นหินสลักหลังจากนั้นจึงก้มลงเพื่อพิจารณามัน  

 

 

ตอนที่นางใช้กระสวยอัปสรา นางสัมผัสได้ว่าภายในรูปปั้นหินสลักนี้ไม่ใช่หิน อย่างไรก็ตาม… เห็นได้อย่างชัดเจนว่าภายนอกของมันเป็นหินชิ้นเดียว มันไม่มีรอยเปิดแม้แต่น้อย  

 

 

นักพรตฟางเจิ้งเดินมาอยู่ด้วยเช่นกันเมื่อเขากินยาวิเศษของเขาเสร็จ เขาพูด “แปลก… รูปปั้นหินสลักนี้แข็งเป็นอย่างมาก เราจะเปิดมันออกได้อย่างไร”   

 

 

โม่เทียนเกอเอียงหัวในขณะที่นางครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากนั้นนางจึงเริ่มคลำไปรอบๆ หัวของรูปปั้นหินสลัก  

 

 

ไม่มีรอยต่อที่แสดงให้เห็นถึงข้อต่อแม้แต่น้อย แต่มันมีร่องรอยของการหล่อ ในทางกลับกัน รูปปั้นหินสลักนี้อาจจะถูกหลอมมา นางสงสัยว่าไฟอันแท้จริงประเภทไหนที่จะใช้ในการหลอมหินที่แข็งเช่นนี้  

 

 

“นี่สามารถเป็นศาสตร์แห่งการช่างได้หรือไม่” โม่เทียนเกอบ่นพึมพำ  

 

 

ในโลกแห่งการฝึกตนปัจจุบันนี้ ศาสตร์แห่งการช่างหายไปนานมากแล้ว มีเพียงแค่เสียงกระซิบที่บอกว่าบางคนสามารถสร้างหุ่นเชิดในระดับการหลอมรวมพลังงานทางจิตวิญญาณได้ หุ่นเชิดเหล่านั้นใช้เพื่อให้คอยดูแลที่พักอาศัยหรือยกน้ำชาให้กับแขก แต่ความสามารถในการต่อสู้นั้นค่อนข้างอ่อนแอ  

 

 

เห็นได้อย่างชัดเจนว่ารูปปั้นหินด้านหน้าของพวกเขาไม่ได้คงอยู่ด้วยพลังงานทางจิตววิญญาณจากภายนอก แต่ระดับการฝึกตนของมันอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ถ้ามันคือศาสตร์แห่งการช่างมันน่าจะสูญหายไปนานแล้วไม่ใช่หรือ  

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย ท่านรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งการช่างด้วยหรือ” นักพรตฟางเจิ้งผู้ซึ่งได้ยินนางรำพึงถามด้วยความสงสัย  

 

 

โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นมองที่เขา “ข้าอ่านพบในหนังสือ บางทีท่านสหายนักพรตฟางเจิ้งน่าจะเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์นี้”   

 

 

นักพรตฟางเจิ้งยิ้มอย่างบูดเบี้ยว “ข้าจะไปทราบได้อย่างไร ศาสตร์แห่งการช่างหายสาบสูญไปนานมากแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนเดี่ยว จะไปเรียนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ข้าก็เป็นเพียงคนแก่คนหนึ่ง ที่มีชีวิตอยู่มานานแล้วดังนั้นข้าจึงได้ยินอะไรมามากมาย ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้างเล็กน้อยเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการช่างนี่”   

 

 

“โอ้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านสหายนักพรตคิดอย่างไรเกี่ยวกับรูปปั้นหินสลักนี้ มันทำจากศาสตร์แห่งการช่างหรือไม่”   

 

 

“เป็นไปได้มาก” นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้า “ผู้ฝึกตนสามารถใชัพลังงานทางจิตวิญญาณของตัวเองควบคุมหุ่นเชิดได้เช่นกัน นั่นไม่ใช่ศาสตร์แห่งการช่าง อย่างไรก็ตามเจ้าสิ่งนี้สามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลแม้กระทั่งไม่มีคนควบคุม นี่จะต้องเป็นศาสตร์แห่งการช่างแน่นอน”   

 

 

โม่เทียนเกอคิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นก็หมายความว่า… เจ้าของสถานที่แห่งนี้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในศาสตร์แห่งการช่างงั้นหรือ  

 

 

หลังจากจ้องมองอยู่ที่รูปปั้นหินสลักเป็นเวลานาน โม่เทียนเกอจึงพูดขึ้น “สหายนักพรตฟางเจิ้ง ข้าอยากจะเก็บสิ่งนี้ไว้ ถ้ามีสิ่งของใดต่อไป ท่านสามารถเลือกได้ก่อน จะได้หรือไม่”   

 

 

“ก็…” นักพรตฟางเจิ้งลังเล เขาก็อยากจะได้รูปปั้นหินสลักนี้เช่นกัน ถ้ามันถูกนำออกไปข้างนอก เขาก็จะสามารถขายมันให้กับกลุ่มหรือตระกูลผู้ฝึกตน สำหรับคนที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการช่าง หุ่นเชิดระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสูงสุดน่าจะมีมูลค่าอย่างน้อยหลายพันศิลาวิญญาณจริงไหม อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอดูตั้งใจจริงเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้ต้องการทำให้นางขุ่นเคืองและอีกอย่าง นางก็ได้ให้สัญญากับเขาถึงผลประโยชน์บางอย่าง ในเมื่อเขาจะสูญเสียเพียงแค่ศิลาวิญญาณเท่านั้น เขาจึงพยักหน้า “ตกลง นี่ก็คงจะไม่ได้มีค่าอะไรนักสำหรับข้า ดังนั้นหากสหายนักพรตต้องการมัน สหายนักพรตจงเก็บไว้เถิด”   

 

 

รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ นางเก็บรูปปั้นหินสลักใส่ในกระเป๋าเอกภพและพูด “ขอบคุณท่านมาก ข้าจะรักษาสัญญา หากข้างหน้ามีสมบัติอันใด สหายนักพรตเอาไปได้เลย”   

 

 

นักพรตฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ เขากำลังคิดว่าจะพูดบางสิ่งบางอย่างที่สุภาพกลับไป แต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่บางสิ่งบางอย่างเบื้องหลังนาง “สหายนักพรตเยี่ย ดูนั่น!”   

 

 

หลังจากที่ได้ยินนักพรตฟางเจิ้งร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก โม่เทียนเกอรีบหันกลับไปมอง ทันทีที่นางทำเช่นนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป!   

 

 

รูปปั้นหินสลักหลายตัวเริ่มเคลื่อนไหว!   

 

 

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า รูปปั้นหินสลักห้าตัว!   

 

 

ทั้งสองคนหน้าซีดเผือด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ถึงจุดอ่อนของพวกมัน แต่พวกมันมีมากกว่าพวกเขาในตอนนี้!   

 

 

พวกเขาไม่มีเวลาที่จะคิดมากนัก โม่เทียนเกอบินขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศ กระสวยอัปสราเปลี่ยนเป็นรังสีสีทองซึ่งพุ่งเข้าสู่หูของหนึ่งในรูปปั้นหินสลักทันที  

 

 

รูปปั้นหินสลักตัวนั้นหยุดและยกกระบี่ของมันขึ้น พลังงานของกระบี่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ป้องกันรังสีสีทองของนางได้อย่างเต็มรูปแบบ  

 

 

โม่เทียนเกอกัดฟันแน่น ตอนที่รูปปั้นหินสลักตัวแรกติดกับจากคาถาแห่งธาตุไม้ของนางในขณะที่นางใช้กระสวยอัปสรา มันไม่สามารถตอบโต้ได้ทันที แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน! รูปปั้นหินสลักเหล่านี้อาจจะเคลื่อนไหวตอบสนองช้า แต่พลังงานของกระบี่พวกมันนั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก มันสามารถป้องกันการโจมตีของนางได้ด้วยการแกว่งเพียงครั้งเดียว  

 

 

นางควรทำอย่างไร ความคิดนางหมุนอย่างรวดเร็ว กระนั้นนางก็ยังไม่สามารถคิดหาทางออกได้  

ลำนำสตรียอดเซียน

ลำนำสตรียอดเซียน

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 59 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


โม่เทียนเกอ สาวน้อยผู้อาภัพ มารดาตายจากไปแต่ยังเยาว์ บิดาหายตัวไปแต่ก่อนที่นางจะลืมตาดูโลก วันหนึ่งพบว่าตนได้รับสืบทอดพลังปราณหยินจากบรรพบุรุษอันจะช่วยให้ฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียนได้ ด้วยความกำพร้าแต่ยังเยาว์สอนให้นางมีจิตใจมุ่งมั่นหาญกล้า ทุกเมื่อเชื่อวันนางจึงไม่เคยปล่อยผ่านไปเปล่า เพียรฝึกตนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทว่าอุปสรรคที่ผู้ฝึกตนหญิงต้องฝ่าฟันข้ามไปนั้นมีมากมายเหลือคณานับ ต้องมิขาดซึ่งพรสวรรค์วิชาฝึกตน ต้องมียาและศาสตราวิเศษ หาไม่แล้วก็จะฝึกตนให้สำเร็จได้อย่างล่าช้า อนึ่ง ต้องปราศจากซึ่งอารมณ์อ่อนไหว ใจเมตตา ความโลภโมโทสัน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่มากแล้วก็จะพบกับความตาย เหนืออื่นใดคือห้ามงามเกินไป ห้ามอัปลักษณ์เกินไป อย่าโง่งมเกินไป อย่าฉลาดเกินไป

โม่เทียนเกอเป็นหญิง ไหนเลยจะไม่ประสบปัญหาเหล่านี้ แม้หนทางจะโหดเหี้ยมไร้ปรานี แต่นางเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าความเพียรพยายาม

Options

not work with dark mode
Reset