รักสุดหัวใจ 22 เธอนอบน้อมต่อเขา

ตอนที่ 22 เธอนอบน้อมต่อเขา

“คุณมาทำอะไร?” เธอถามอย่างรู้เท่าทัน ดวงตานั้นมืดลง และสีหน้าของเธอบอกเขาว่าเธอไม่อยากเอาใจเขาในตอนนี้

ร่างกายที่ยาวเหยียดของเย่จิ่นถังค่อยๆก้มตัวลงและใบหน้าของเขาก็เย็นชาเหมือนเช่นเคย เขามีใบหน้าที่เป็นอัมพาตเช่นนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่มีการแสดงออกใดๆ

อาจเป็นเพราะเขาอยู่ในกองทัพมาเป็นเวลานาน จึงไม่สามารถเปลี่ยนสีหน้าที่เคร่งขรึมได้

ปลายนิ้วบีบคางของเธอเบาๆ: “ฉันจะมานี่จะทำอะไรได้อีกล่ะ?ในเมื่อเธอก็ยังไม่นอน ทำไมเหรอ?คิดนั่งมองอยู่ที่นี่ไปทั้งคืนเหรอ”

เสียงของเขานั้นไม่อบอุ่นนัก แต่เป็นการปลอบประโลม ซึ่งมันไม่จริงจังหรือไม่แยแส เย่เฉียวใช้มือดึงมือของเขาออก และยกมือขึ้นเพื่อยืดผมยาวยุ่งเล็กน้อยของตัวเองให้ตรง

เย่จิ่นถังชอบผมสีเกาลัดยาวๆของเธอ เธอมีผมลอนใหญ่แบบนี้ เมื่อมองจากด้านหลังมันดูสวยจนทำให้คนหวั่นไหว

เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้และดมผมของเธอเบาๆ

สำหรับการเข้าใกล้ของเขา ในใจของเย่เฉียวนั้นขัดขืนอน่างมาก และร่างกายก็ตอบโต้อย่างตรงไปตรงมา และจะเอื้อมมือออกไปเพื่อผลักเขาออก

“เฉียวเฉียว ตอนนี้เธออารมณ์ไหนถึงได้ผลักฉันออกไป? หือ?” เสียงของเย่จิ่นถังลอยลงมาจากบนหัว ซึ่งน้ำเสียงนั้นก็เย็นขึ้นมาก

มือของเย่เฉียวค่อยๆแข็งทื่อขึ้นและหยุดนิ่ง แล้วคงท่าเดิมไว้อย่างว่างเปล่า โดยปล่อยให้เย่จิ่นถังเข้าใกล้และปล่อยให้จูบของเขากดทับลงมา

จนกระทั่งเขาล้วงเสื้อผ้าของเธอ: “วันนี้พอแค่นี้ได้ไหม ฉันเหนื่อยนิดหน่อย พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงาน ฉันไม่ได้ไปบริษัทนานแล้ว”

เย่เฉียวลดเสียงตัวเองต่ำลง ซึ่งแนวโน้มเสียงนั้นก็ค่อนข้างต่ำ

เย่จิ่นถังชะงักชั่วครู่แล้วหยุดไปในที่สุด ฝ่ามือนั้นลูบผมของเธอแล้วพูดเบาๆ “ไปนอนเถอะ”

เย่เฉียวเอียงหัวและพิงไปที่ตัวเขาจริงๆ เย่จิ่นถังถือโอกาสโอบเธอไว้ในอ้อมแขน ท่าทางที่อ่อนน้อมน่าเอ็นดู แต่มันเป็นการจงใจ ซึ่งในใจของเย่จิ่นถังก็คงจะรู้สึกอึดอัดไม่มากก็น้อย

แต่จะทำยังไงได้? ก็เคยชินที่เคลิ้มตามเธอไป และคุ้นเคยกับการเสแสร้งทำหน้าซื่อใจคดของเธอแบบนี้ไปแล้ว และดูเหมือนว่าไม่มีอะไรอื่นนอกจากทำให้ตัวเองดูสดใสขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

เย่จิ่นถังนั่งบนเก้าอี้โซฟาข้างเตียงและไขว้ขาอย่างสง่างาม โดยก้มหน้าอ่านหนังสือ การหายใจของคนบนเตียงนั้นก็ค่อยๆสงบลง

ในระหว่างพวกเขาดีร้ายยังไงก็ยังมีความอบอุ่นอยู่บ้าง อย่างเช่นแต่ก่อน เย่เฉียวไม่เคยนอนต่อหน้าเขาหรือแสดงความอ่อนแอของตัวเองต่อหน้าเขา

แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เมื่ออ่านหนังสือไปครึ่งทาง เย่จิ่นถังจับระหว่างคิ้วของตัวเอง และดวงตาก็จ้องไปทาคนที่นอนอยู่บนเตียง เขามองราวกับว่าเธอเป็นของตัวเอง มองไปมองมา เขาก็ยิ้มโดยไม่ตั้งใจ

ไม่จำเป็นต้องพูด เขารู้ว่า เย่เฉียวรำคาญเขาและเกลียดเขามากแค่ไหน

เมื่อหลับไปนาน เย่เฉียวก็ถูกปลุกด้วยนาฬิกาปลุก เป็นเวลา7 โมงเช้าตามเวลาของสหรัฐฯพอดี เธอลุกขึ้นจากเตียง เธอจำได้ว่าเธอไม่ได้เปลี่ยนชุดนอนก่อนจะหลับไป เพราะว่าไม่ได้อาบน้ำ

แต่ตอนนี้ตัวเองนั้นได้ใส่ชุดนอนผ้าไหมที่เธอสวมนี้บอกกับเธอเองว่าเสื้อผ้าเมื่อคืนของเธอนั้นถูกคนเปลี่ยนแล้ว เขาถอดเสื้อผ้าทิ้งแล้วโยนทิ้งลงถังขยะอย่างหงุดหงิด และไปเลือกชุดใหม่มาเปลี่ยนในห้องแต่งตัว

เธอคิดได้อย่างไรว่าคนที่อารมณ์แปรปรวนคนนั้นอย่างเย่จิ่นถังอย่างน้อยก็ไม่เลว สมองต้องมีปัญหาจริงๆถึงได้มีความคิดที่ไร้สาระแบบนี้

เป็นเวลานานสักระยะแล้วที่ไม่ได้มาที่บริษัท ถึงจะเป็นหุ้นส่วนของตัวเองก็ไม่สมควร

ดังนั้นทันทีที่เธอเข้ามาในสำนักงาน ก็พบกับงานมากมายท่วมหัวตัวเอง การทำงานที่มีความเข้มข้นสูงเช่นนี้ อย่างน้อยก็อาจทำให้ความรู้สึกเศร้าโศกในใจของเธอนั้นลืมมันไปได้ชั่วคราว

“จอนน่า ไม่ได้มาที่บริษัทนานขนาดนี้ คนด้านบนคงมีคนโกรธเล็กหน่อย งานเยอะขนาดนี้ยังหยุดอีก” แอนนา ลขาสาวที่มีใบหน้าลึกซึ้งและตาเป็นประกายมองมาที่เธอด้วยกังวลที่คิ้วและดวงตาของเธอ

เย่เฉียวเหลือบมองเลขาสาวคนสวยตรงหน้าเธออย่างแผ่วเบา: “ขอโทษนะ ช่วงก่อนที่บ้านมีปัญหานิดหน่อย เรื่องด้านบนฉันจะอธิบายให้ชัดเจนเอง คุณไม่ต้องกังวลไป”

แอนนายิ้ม: “คุณรู้ก็ดี”

“แอนนา ถ้าพี่ชายของฉันมาหาฉัน ก็บอกไปว่าฉันไม่ได้อยู่ที่บริษัท บอกว่าออกไปทำงานแล้วนะ” เย่เฉียวมักรู้สึกแบบนี้เสมอว่าเย่เจิ้งอาจจะตามมาที่บริษัท

“โอเค ฉันรู้แล้ว”

เย่เฉียวก้มหน้าทำงานต่อไป งานของบริษัทร่วมทุนนั้นยุ่งยากและหนักหน่วงมาก แม้หลังจากทำงานมาสองปีแล้วก็ยังรู้สึกว่าทำมานานขนาดนี้แล้วสมองคงรับไม่ไหว

“จอนน่า วันนี้เธอสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ถ้ารู้สึกเหนื่อยก็กลับไปพักผ่อนก่อน” บาร์ดเพื่อนอีกคนกระซิบ หลังจากการประชุมเสร็จ

บาร์ดเป็นคนอังกฤษ หน้าตาเขานั้นหล่อและสุภาพ โดยปกติแล้ว เขาไม่เคยว่าอะไรเกี่ยวกับเธอเลย อาจเป็นเพราะคราวนี้เธอทำเกินไปหน่อย

“ขออภัย จะไม่มีครั้งต่อไปแล้ว” เย่เฉียวยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นดูไม่เต็มใจ

บาร์ดเปิดปากและไม่พูดอะไร เขาแค่พูดความจริง แต่ดูเหมือนเธออาจจะเข้าใจผิด

มีในบริษัททั้งหมดนั้นหุ้นส่วนทั้งหมดสามราย หุ้นส่วนรายแรก เย่เฉียวนั้นไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงแค่รู้จักบ้างคนจากบาร์ด แต่ก็ไม่มากนัก

เย่เฉียวทำงานล่วงเวลาตอนดึก ในตอนที่ออกจากบริษัท ข้างนอกนั้นไม่มีคนแล้ว เธอเม้มปากเล็กน้อย หันหลังกลับเตรียมตัวไปขึ้นรถชั้นใต้ดิน แต่มีคนมาคว้าแขนของเธอจากข้างหลังอย่างเปล่าประโยชน์

เมื่อเห็นไม่ชัดว่าคนที่มานั้นเป็นใคร และไม่รู้จุดประสงค์ของบุคคลนั้น เย่เฉียวมักจะตอบสนองในครั้งแรกเสมอ โดยพลิกหันข้างมาจับมือของบุคคลนั้นไว้อย่างรวดเร็ว มือเล็กๆที่กระชับกระเฉงนั้นเคลื่อนไหวในกล้ามแขนของเขา

นี่คือแก่นแท้ของจับกุมล็อกมือไว้ เร็วและโหดเหี้ยม และควบคุมบุคคลให้อยู่ภายใต้ทันที

“ใคร?” เสียงเย็นชาของเธอลอยลงมา เย่เจิ้งอยากจะดิ้นรน ทันทีที่ดิ้แขนของเขาก็เจ็บเหมือนกำลังจะหัก

“เฉียวเฉียว เป็นพี่เอง เธอเป็นอะไร?” เย่เจิ้งไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งเขาโดนจับล็อคนอนติดอยู่กับพื้นแบบนี้โดยน้องสาวตัวเอง

เย่เฉียวตกใจรีบปล่อยมือและช่วยเย่เจิ้งขึ้นจากพื้น: “พี่?ทำไมพี่ไม่ส่งเสียงล่ะ? นี่คือการป้องกันตัว ทำพี่เจ็บเลย”

เธออยากจะเอื้อมมือออกไปช่วยเขาปัด แต่เธอกำลังพูดคำที่เป็นห่วงอยู่ แต่ก็กลับไม่กล้าเอื้อมมือออกไป เพียงขมวดคิ้วและมองที่เย่เจิ้ง

“มันดึกมากแล้ว ทำไมพี่ถึงมาที่บริษัทล่ะ?”

“ตอนกลางวันเลขาของเธอบอกว่าคุณไปทำงานแล้ว ดังนั้นฉันเลยต้องมาตอนกลางคืน” เขารู้จักเธอดีขึ้นขนาดไหน เธอแค่ไม่อยากเจอเขาเท่านั้น ดังนั้นเลยบอกกำชับแอนนาไว้

“เธอไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันแล้ว ฉันจะพาเธอไปกินอะไรหน่อย” เย่เจิ้งจับมือเธอและกำลังจะเดินไป เย่เฉียวดิ้นหลุดออกมาอย่างไร้ร่องรอย

“พี่ พี่ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะอยู่คนเดียวอย่างลำบาก ถ้าฉันอยากกิน ฉันก็จะกินเอง พี่ไม่ต้องมาเพื่อจะพาฉันไปกินโดยเฉพาะ” เย่เฉียวก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าท่าทางของเย่เจิ้งที่มีต่อตัวเองนั้นมีบางอย่างผิดปกติ

แต่เย่เจิ้งก็เป็นแบบนี้ และเธอไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมถึงมา ดังนั้นจึงทำได้เพียงต่อต้านโดยจิตใต้สำนึก เธอออกจาก ตระกูลเย่เพื่อให้ตัวเองมีพื้นที่และเวลามากพอที่จะลืมคนๆนี้

ซึ่งไม่ใช่ยังจะต้องมาเจอเขาบ่อยๆ

Options

not work with dark mode
Reset