ยูริ 100 วันเล่มที่ 1 – บทที่2 Part 2

เล่มที่ 1 - บทที่2 Part 2

 

ฉันพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลงด้วยการดื่มค็อกเทลที่อยู่ตรงหน้า อืม รสสัมผัสจากของเหลวที่ได้ไหลผ่านลงลำคอที่แห้งผากนั้นรู้สึกไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายจริงๆที่ฉันอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เลยทำให้ฉันไม่อาจรับรสชาติอื่นได้นอกจากความหวานละมุนที่อยู่ในค็อกเทล การที่ค็อกเทลไหลผ่านจากปากลงไปยังท้องของฉันแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกเสียดายของจริงๆ

 

“ขอโทษที่ให้รอนะ”

 

“หวาา!”

 

ฉันเผลอร้องตกใจออกมาเมื่ออยู่ดีๆก็มีคนโผล่มาข้างหลังฉัน แน่นอนว่าคนที่ว่านั้นก็คือฟุวะนั่นเอง เธอได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชุดเสื้อขาวที่ถูกคลุมด้วยเสื้อโค้ทอีกชั้น กางเกงขายาวสีดำและมีเนคไทผูกอยู่ ผมที่นวลยาวของเธอก็ถูกมัดเรียบร้อยเป็นทรงหางม้า ถ้าฉันไม่เคยรู้จักเธอมาก่อนล่ะก็ บางทีฉันอาจจะเผลอตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบก็เป็นได้ เพราะว่าในตอนนี้เธอดูมีเสน่ห์เหลือล้นเลยล่ะ

 

“ฟะ-ฟุวะ”

 

“อะไรเหรอ รู้ไหมว่าตอนนี้เธอกำลังทำสีหน้าแปลกๆอยู่นะ”

 

“ไม่ใช่ซักหน่อย ก็แค่…เอ่อ…ชุดนั่นดูเหมาะกับเธอดีนะ…ถึงฉันเองจะไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่ก็เถอะ”

 

เธอยิ้มเยาะออกมาอย่างขี้เล่นพลางมองตรงมาที่ฉัน รอยยิ้มนี้ทำให้ฉันหวนนึกถึงบาร์เทนเดอร์สาวคนก่อนหน้านี้ขึ้นมา

 

“ขอบใจมากนะ”

 

“เอ่ออ…จะว่าไปแล้ว ร้านนี้นี่มันยังไงกันแน่เนี่ย ทำไมถึงมีคนในหนังโป๊มาอยู่ที่นี่กัน…”

 

ฉันถามเธอด้วยเสียงเบาๆ

 

“จริงๆแล้วร้านนี้น่ะเป็นของคาเรนซัง ซึ่งเธอเองก็เคยทำงานเป็นหนังแสดงหนังโป๊มาก่อน เพื่อที่จะเก็บสะสมเงินมาเปิดบาร์เป็นของตัวเองน่ะสิ อีกทั้งยังได้ไปสร้างคอนเนคชั่นกับหลายๆคนในตอนนั้นอีกด้วย เลยทำให้ลูกค้าหลายคนที่อยู่ที่นี่เองเป็นแฟนตัวยงของคาเรนซังละนะ”

 

“แล้วทำไมเธอถึงเอาหนังโป๊ที่หัวหน้าเธอแสดงมาให้ฉันดูกัน นี่เธอเป็นโรคจิตรึยังไง”

 

“อืม นั่นก็เพราะคาเรนซังมักจะพูดว่าเธอจะตื่นเต้นขึ้นมาซะทุกครั้งเมื่อเธอคิดว่าลูกค้าของเธอเคยเห็นตัวเธอในสภาพที่หมดรูปน่ะสิ”

 

“งั้นคาเรนซังเองก็เป็นโรคจิตเหมือนกันเรอะ!?”

 

ฟุวะได้สลับไปในโหมดบาร์เทนเดอร์และเข้าไปในเคาน์เตอร์ เธอเดินตรงมาทางฉันด้วยท่าทีสุขุมและหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน ผู้ที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่กับการประมวลข้อมูลทั้งหมดนี้

 

“งั้นคุณลูกค้าที่รักขา ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีคะ”

 

“อา…ขอน้ำเปล่าแก้วหนึ่งแล้วกัน”

 

“เอาเป็นค็อกเทลสูตรพิเศษของฉันสินะคะ”

 

ฟุวะได้หยิบเชคเกอร์ออกมาแล้วเขย่าอย่างชำนาญ โอ้ ถ้าอิงจากการเคลื่อนไหวของเธอแล้วเหมือนว่าเธอน่าจะทำงานนี้มานานพอควรเลยนะเนี่ย การที่เธอทำงานอย่างกระตือรือร้นซึ่งผิดกับนิสัยในตอนปกติของเธอทำให้หัวใจฉันเต้นระรัวขึ้นมา แปลกชะมัด

 

“อ๊ะ คืนนี้อายะจังอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้วยล่ะ!”

 

“แหม สวยเหมือนเคยเลยนะ อายะจังเนี่ย”

 

ลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะที่ใกล้กับเคาน์เตอร์ที่สุดได้กล่าวคำทักทายกับฟุวะด้วยเสียงที่โทนสูงกว่าปกติ หา ไม่ใช่ว่าโดยทั่วไปแล้วนี่เป็นน้ำเสียงที่เขาเอาไว้ใช้จีบใครซักคนหรอกเหรอ

 

ฉันมองกลับไปยังฟุวะที่หันไปทักทายกลับด้วยรอยยิ้มแบบผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นรอยยิ้มตามธรรมชาติของเธอ เอ๋ สรุปแล้วเธอก็สามารถยิ้มทักทายลูกค้าได้จริงๆเหรอเนี่ย

 

“…ฉันว่าเธอน่าจะดังพอควรเลยสินะเนี่ย”

 

“งั้นเหรอ ไม่ใช่ว่าก็เป็นเรื่องปกติหรอกเหรอ”

 

เมื่อกี้เธอเพิ่งพูดว่าความเป็นที่นิยมของเธอก็เป็นแค่เรื่องปกติงั้นเรอะ ฟุวะที่ถูกตามใจโดยพวกหญิงสาวอายุมากกว่า กับฉันที่พยายามเต็มที่เพื่อจะเป็นชนชั้นสูงในชั้นเรียน ถึงฉันจะตัดสินใจไม่ได้ว่าอันไหนดีกว่า แต่ฉันกลับรู้สึกได้ถึงรสขมขื่นจากความพ่ายแพ้ขึ้นมา ฮึ่ม…

 

ยิ่งไปกว่านั้น…

 

“แล้วปกติตอนที่อยู่ที่นี่เธอใช้ชื่อ อายะ แทน ฟุวะ งั้นเหรอ”

 

“ใช่แล้ว”

 

พอลองมองดูดีๆแล้ว ป้ายชื่อที่ติดอยู่บนหน้าอกของเธอก็เขียนไว้ว่า ‘AYA’ อีกด้วย ฉันมองไปยังฟุวะผู้ซึ่งถือดีและถูกเรียกจากทั้งตรงนั้นตรงนี้ไปทั่วโดยเหล่าผู้หญิงคนอื่น และด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ฉันไม่ชอบใจเอาเสียเลย

 

ถ้าเป็นแบบนั้น มาทำอะไรที่มันน่าสนใจกันหน่อยดีกว่า

 

ฉันท้าวคางลงบนมือของฉัน และพืมพำอะไรบางอย่างที่ดังพอที่จะให้เธอได้ยิน

 

“ถ้างั้น จากนี้ไปฉันเองก็จะเรียกเธอว่าอายะเหมือนกันนะ”

 

“…”

 

อายะได้เผลอปล่อยเชคเกอร์หลุดออกจากมืออย่างงุ่มง่ามจนตกลงกระแทกกับพื้น เสียงนั้นดังสนั่นเพียงพอที่จะทำให้ลูกค้าคนอื่นๆรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และจากโต๊ะที่อยู่ข้างหลังฉัน ก็ได้ยินเสียงพูดของใครบางคน

 

“สำหรับคนอย่างอายะจังแล้ว การที่จะทำพลาดเนี่ย…”

 

“อื้ม หายากเลยนะเนี่ย”

 

“เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ อายะจัง”

 

ฉันปลอบประโลมเธอโดยเน้นที่คำว่า ‘อายะจัง’ เล็กน้อย ส่วนเธอเองก็มองตรงมาที่ฉันด้วยสีหน้าประหลาดใจ

 

“จะเรียกฉันว่าอะไรก็เรียกเถอะ”

 

“โอเค งั้นเอาเป็นอายะนะ”

 

อืมม หลังจากที่ลองพูดออกไปแล้ว ฉันก็รู้สึกว่าชอบที่จะเรียกว่า ‘อายะ’ มากกว่า อีกทั้งยังดูเป็นธรรมชาติมากกว่าด้วย จะว่าไปแล้วเธอเองก็เรียกฉันว่ามาริกะตั้งแต่ต้นไม่ใช่รึไง งั้นนี่ก็น่าจะไม่เป็นไรล่ะมั้ง พวกเราจะได้ดูเท่าเทียมกันยังไงล่ะ

 

“…จ้า จ้า”

 

พอเห็นเธอดูกระสับกระส่ายแบบนี้เพียงเพราะแค่ฉันเรียกเธอด้วยชื่อจริงแล้วทำรู้สึกดีจริงๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เล็กน้อย แต่ความรู้สึกหงุดหงิดที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวฉันก็ได้จางหายไปแล้ว เอ ยังไงสิ่งที่ฉันต้องการก็คือชัยชนะที่สมบูณ์แบบอยู่แล้ว งั้นนี่ก็น่าจะนับเป็นชนะหนึ่งแพ้หนึ่ง ถือว่ากลับไปเริ่มนับใหม่สินะเนี่ย

 

จากนั้นพักหนึ่ง ฟุวะก็ได้นำค็อกเทลสีโกเมนมาไว้ตรงหน้าฉัน ฉันสามารถได้กลิ่นที่น่าหลงใหลของเปลือกส้ม ในตอนนี้ถ้าฉันลืมเรื่องที่เกี่ยวกับอายะไปละก็ ค็อกเทลที่เธอทำนี้ก็ดูไม่มีมลทินอะไร ฉันจึงเริ่มหยิบหลอดขึ้นมาและสนุกไปกับการลิ้มรสชาติของค็อกเทล

 

ลำคอของฉันถูกห่อหุ้มไปด้วยความรสสัมผัสที่สดชื่น รสชาติหลังดื่มที่ยังคงเอื้องอึงอยู่บนลิ้นของฉันเองก็ให้ความรู้สึกที่ไม่เคยพบมาก่อน ค็อกเทลนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับอายะในบางความหมาย

 

“เหมือนว่าค็อกเทลนี้จะทำให้นึกถึงเธอขึ้นมาเลย”

 

“…จริงเหรอ”

 

“อื้ม”

 

“งั้นเหรอ”

 

เธอหัวเราะออกมาอย่างใสซื่อ ถึงแม้ว่าจะเป็นอายะแต่เธอก็คงอดที่จะดีใจไม่ได้เมื่อค็อกเทลสูตรพิเศษของเธอถูกชมสินะเนี่ย พอได้เห็นด้านนี้ของอายะแล้ว ฉันเองก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเธอนั้นน่ารักขึ้นมา ก็แค่เล็กน้อยละนะ

 

…ถ้าเกิดว่าเธอสามารถซื่อตรงแบบนี้ในชีวิตประจำวันได้บ้างล่ะก็

 

“นี่ ทำไมเราไม่ลองทำเป็นบาร์คาเฟ่ในช่วงงานเทศกาลโรงเรียนดูล่ะ นั่นจะต้องดังเป็นพลุแตกแน่ ด้วยรูปลักษณ์ของเธอแล้วพวกเราคงจะสามารถที่จะตกทั้งลูกค้าทั้งชายและหญิงจากโรงเรียนอื่นได้แน่”

 

“ไม่เอาด้วยหรอก อีกอย่างฉันเองก็พอใจกับตอนนี้อยู่แล้วด้วย”

 

“…มันไม่ได้เกี่ยวกับฉันใช่ไหม”

 

“ก็ไม่รู้สินะ”

 

อายะยักไหล่และในที่สุดคาเรนซังก็ได้กลับไปยังเคาน์เตอร์

 

“เหมือนว่าวันนี้อายะจังจะดูมีความสุขจังเลยนะเนี่ย หืม”

 

คาเรนซังยิ้มอย่างซุกซนไปยังอายะ ส่วนอายะเองก็ตอบกลับอย่างใจเย็นและเรียบง่าย

 

“ไม่จริงซักหน่อยค่ะ”

 

หืมม เหมือนว่าเธอจะใช้คำสุภาพ(keigo)ซะด้วยสิ

 

หลังจากนั้นฉันก็ได้ใช้เวลาไปกับการเฝ้ามองฟุวะที่กำลังพยายามอย่างเต็มที่ในฐานะบาร์เทนเดอร์ ฉันเองก็ไม่มีอะไรทำด้วย งั้นลองเช็คโทรศัพท์ดูซักหน่อยก็แล้วกัน

 

อายะเองก็ดูเหมือนจะสนุกกับไปงานของเธอ โดยดูจากรอยยิ้มสบายๆของเธอและตอนเดินไปทั่วเพื่อที่จะรับออเดอร์จากลูกค้า ปกติแล้วเธอมักจะเป็นคนที่เจ้ากี้เจ้าการและชอบสั่งให้ฉันทำอะไรหลายๆอย่าง แต่พอลองมาเป็นลูกค้าแล้วก็ดีอีกแบบเหมือนกันนะเนี่ย

 

พอฉันขอที่จะถ่ายรูปอายะเก็บเอาไว้ เธอก็ตอบปฏิเสธอย่างทันท่วงที แต่ฉันก็แอบถ่ายรูปเธอลับๆทีหลังอยู่ดีนั่นแหละ ไม่ว่ายังไงนี่ก็เป็นด้านที่เธอไม่เคยแสดงให้เห็นถึงในตอนอยู่ที่โรงเรียนหรือตอนอยู่กับฉัน ฉันยังคงมองไปยังอายะที่อยู่ภายในหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งราวกับเป็นคนที่อยู่ในโลกที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง โลกของผู้ใหญ่

 

ภายในร้านที่มืดสลัวนี้ ไม่มีใครอื่นที่รู้จักฉันนอกจากอายะ ที่ฉันชอบไปโรงเรียนก็เพราะโรงเรียนนั้นทำให้ฉันเป็นคนที่พร้อมเหมาะสมและสนุกไปกับเพื่อนฝูง แต่เพราะที่นี่คือบาร์เลยทำให้ฉันคิดว่าจำเป็นต้องแต่งตัวให้ดูแนวกว่านี้หน่อย แต่กลับเป็นว่าบรรยากาศของที่นี่มันผ่อนคลายมากซะจนทำให้ฉันรู้สึกอยากจะเปลี่ยนเป็นชุดนอนขึ้นมา

 

“ฉันคิดว่าสถานที่ทำงานของฉันจะต้องเป็นที่ที่เธอชอบอย่างแน่นอน”

 

ฉันนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเธอพลางมองไปยังใบหน้าจริงจังของเธอจากที่ห่างไกล ฉันยกแก้วขึ้นมาและดื่มของเหลวที่เหลือจนหมด ฉันวางแก้วกลับไปบนเคาน์เตอร์และจ้องมองไปยังแก้วที่ว่างเปล่านั้น

 

“…นี่ทำฉันประหม่าเหมือนกันนะเนี่ย”

 

การที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงด้วยกันเองแล้วเนี่ย ทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าติดอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกพิลึกพิลั่น ฉันพยายามที่จะทำให้ตัวเองใจเย็นลงด้วยการหลับตาลงและปล่อยให้เสียงเพลงดนตรีแจ๊สปลอบโยนตัวฉัน จนทำให้ฉันต้องการที่จะหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับท่วงทำนองเพลง

 

“นี่”

 

มีใครบางคนกำลังเรียกฉันอยู่ ฉันจึงลืมตาขึ้นและพบกับหญิงสาวผมบลอนที่เหมือนจะเป็นลูกครึ่งคนหนึ่งซึ่งกำลังมองตรงมายังที่ฉัน ความงามที่เธอเผยออกมานั้นแตกต่างไปจากคนญี่ปุ่นทั่วไป และเธอคนนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆฉัน

 

ผู้หญิงคนนี้นี่มันยังไงกันเนี่ย รู้ไหมว่าวันนี้ฉันได้ทั้งเจอหนังแสดงหนังโป๊ อายะในโหมดบาร์เทนเดอร์ และยังจะมีหญิงสาวผมบลอนหายากคนนี้เข้ามาทักอีก ก็คงพูดได้ว่าสมกับเป็นชินจุกุจริงๆละนะ ฉันได้รีบร้อนสรรหาคำจากคลังคำศัพท์ภาษาอังกฤษของฉันเพื่อที่จะใช้ในการทักทายหญิงสาว ผมบลอนคนนี้ แต่กลับกลายว่าเธอคนนี้สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้

 

“หนูชื่อแอสทาล็อต เธอล่ะ”

 

“เอ…ซากากิบาระ มาริกะค่ะ”

 

“โอ้ เป็นชื่อที่ดีนะ”

 

เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่สว่างไสวดั่งดวงอาทิตย์ รอยยิ้มสดใสที่ทำให้คุณนึกถึงทุ่งดอกไม้ขึ้นมา ว่าแต่ทำไมเธอถึงมาคุยกับฉันกันนะ…

 

“เอ่อ…”

 

“ก็นี่เป็นครั้งแรกที่หนูเห็นเธอที่นี่ก็เลยลองทักดูน่ะ ที่นี่เองก็ไม่ค่อยมีลูกค้าที่อายุพอๆกับหนูซักเท่าไหร่ด้วย ดังนั้นก็เลยดีใจที่เจอเธอที่นี่น่ะ”

 

“อืม…พอดีวันนี้ฉันถูกเพื่อนพามาน่ะสิ…”

 

ฉันมองไปรอบตัวเพื่อตามหาตัวอายะ โดยดูจากการหายตัวไปของเธอแล้ว บางทีเธออาจกำลังอยู่ในช่วงพักเบรคหรือไม่ก็ไปห้องน้ำ ความคิดที่ว่าในตอนนี้ฉันอยู่ตัวคนเดียวทำให้ฉันรู้สึกท้อแท้ขึ้นมา เดี๋ยวสิ ไม่ใช่นี่แปลว่าฉันมันทำอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่มีอายะหรอกเหรอ ก็ได้ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่นี่รึเปล่าก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาซักนิด

 

แอสทาล็อตหัวเราะออกมาอย่างไร้เดียงสา รอยยิ้มนี่มันอะไรกัน นี่เธอกำลังคิดวางแผนให้ฉันตกหลุมรักเธอรึไงกัน ไม่เลวเลย แต่เสียใจด้วยนะที่จริงๆแล้วฉันชอบเพศตรงข้ามน่ะ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยอมรับเลยว่าเธอน่ารักสุดๆ

 

“เธอมาที่นี่บ่อยงั้นเหรอ”

 

“ไม่ล่ะ เพิ่งมาวันนี้วันแรกนี่แหละ”

 

“โอ้ ถ้างั้นมาเป็นเพื่อนกันเถอะ ซากากิบาระ มาริกะ…มารี… อื้ม เอาเป็นมารีแล้วกัน!”

 

เธอจับและห่อมือฉันไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเธอพลางสะบัดขึ้นลงไปมา เธอดูเป็นคนที่เป็นมิตรและรุนแรงเล็กน้อย พอฉันได้ลองกุมมือของเธอก็พบว่ามือของเธอนั้นเล็กกว่าของฉันเล็กน้อย แสดงว่าเธอน่าจะอายุน้อยกว่าฉันสินะ

 

อ๊ะ แต่ว่านี่คือสิ่งที่เขาเรียกกันว่า ‘จีบ’ รึเปล่านะ หรือจะเป็นว่าเธอกำลังแอบชอบฉันอยู่กัน ถ้าเป็นแบบนั้นฉันบอกได้เลยว่าถ้าเป็นตัวฉันคนก่อนคงจะรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่เธอทำเป็นแน่ แต่ในตอนนี้ฉันกลับรู้สึกเหมือนกับสามารถทนต่อเรื่องอะไรแบบนี้ได้ เพราะไม่ว่ายังไงบนโลกนี้ก็มีคนอยู่หลายประเภทละนะ

 

อีกอย่างแอสทาล็อตเนี่ยก็น่ารักสุดๆไปเลยด้วย ฉันรู้สึกภูมิใจจริงๆที่สามารถทำให้เธอสนใจฉันได้ ถึงมันจะน่าหงุดหงิดเล็กน้อยที่เมื่อรู้ว่าตัวฉันเวอร์ชั่นนี้นั้นเป็นผลมาจากอายะก็เถอะ

 

“หนูมาที่นี่บ่อยเลยแหละ ดังนั้นถ้าครั้งหน้ามาแล้วเจอหนูก็ทักได้เลยนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะมารี!”

 

“อื้ม ฉันเองก็ดีใจที่ได้เจอเธอเหมือนกันนะ แอสทาล็อต”

 

หลังจากนั้นเธอก็ยืนขึ้นบนเก้าอี้ของเธอ ด้วยการเคลื่อนไหวที่ปราดเปรียวเพียงชั่วครู่เดียว โดยไม่แม้แต่เหลือเวลาให้ฉันได้ทันตั้งตัว เธอก็ได้ยื่นใบหน้าของเธอเข้ามาใกล้และประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากของฉัน

 

เอ๊ะ เดี๋ยวสิ เอ๋!? ปากต่อปากเลยหรอ! จะกะทันหันเกินไปแล้ว!?

 

“หวา หวา หวา…”

 

เด็กสาวคนนี้ทำราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่ก็เป็นแค่เรื่องแสนธรรมดาทั่วไป แล้วเดินจากไปพลางโบกมืออำลา

 

“งั้นไว้เจอกันใหม่นะ!”

 

เธอมาและจากไปรวดเร็วดั่งพายุ มันเป็นเรื่องตกตะลึงและกะทันหันมากซะจนฉันไม่แม้แต่รู้สึกโกรธด้วยซ้ำ

 

Options

not work with dark mode
Reset