ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 640 ตระกูลจ้าว (2)

บทที่ 640 ตระกูลจ้าว (2)

บทที่ 640 ตระกูลจ้าว (2)

ลู่เซิ่งรับมาดู

‘ตระกูลจ้าวแห่งสัจดารารับสมัครยอดฝีมือสายแพทย์ ค่าจ้างคือเงินน้ำแข็งสองหมื่นต่อเดือน เงื่อนไขคือสามารถจัดการสารมลพิษดวงดาวได้ ไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดพลังฝึกปรือ ไม่จำกัดประสบการณ์ ค่าจ้างคิดคำนวณแยกตามที่จัดการได้’

ไม่จำกัดถึงสามอย่าง แสดงให้เห็นว่าตระกูลจ้าวแห่งสัจดารานี้มีความต้องการตัวยอดฝีมือสายแพทย์อย่างใหญ่หลวง

‘สารมลพิษดวงดาว…’ ลู่เซิ่งเคยศึกษาของสิ่งนี้ตอนที่กำลังเรียนวิชารักษาที่มีแบบแผน

ถ้าหากถามว่าในนครตราชั่งที่ระบบการฝึกฝนทุกประเภทพัฒนาถึงขีดสุดยังมีโรคใดในทางการแพทย์ที่ยังรักษาไม่หายบ้าง อย่างนั้นโรคสารมลพิษดวงดาวก็เป็นหนึ่งในนี้

โรคที่รักษาไม่หายชนิดนี้ได้แต่สกัดสารคัดหลั่งอันเป็นสารมลพิษจำนวนมากในตัวคนไข้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้

และถ้าเกิดขจัดไม่หมด คนไข้จะเข้าสู่ระยะสุดท้าย ไม่ได้สติและจิตวิญญาณแห้งเหือดในเวลาเพียงสามวัน ต่อจากนั้นจะไม่มียาตัวใดช่วยได้อีก กายตายวิญญาณสลาย แม้แต่โอกาสกลับชาติไปเกิดใหม่ก็ไม่มีเช่นกัน

‘ตระกูลจ้าวหรือ…’ เงินน้ำแข็งสองหมื่นต่อเดือน ค่าจ้างนี้สูงมากจริงๆ แต่ประเด็นคือหากจัดการได้เยอะ ค่าจ้างก็จะคิดต่างหาก

ปริมาณที่น้อยที่สุดของสารมลพิษดวงดาวซึ่งลู่เซิ่งได้ศึกษามา หากมียอดฝีมือสายแพทย์ไม่ถึงสิบกว่าคนจัดการร่วมกัน ก็จะไม่สามารถสกัดแยกส่วนได้

ถ้าหากจัดการสารมลพิษได้เพิ่มขึ้น ค่าจ้างก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วย

ต่อให้เป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เขารักษาในตอนนั้น ก็ยังไม่มีรายรับที่มั่นคงขนาดนี้ หนำซ้ำยังไม่ต้องเตรียมวัตถุดิบเองอีกต่างหาก

“นับข้าคนหนึ่งก็แล้วกัน ไปสมัครที่ไหนหรือ” ลู่เซิ่งพับใบโฆษณาแล้วเงยหน้าถามผู้รับใช้

“ถ้าแน่ใจแล้ว อีกประเดี๋ยวจะมีคนของตระกูลจ้าวที่เป็นกรรมการมาขอรับ นายท่านนำรายการนี้ไปรับการทดสอบได้เลย” ผู้รับใช้ตอบอย่างจริงจังและนอบน้อม

ถึงอย่างไรผู้ที่รับรายการนี้ได้ต่างก็เป็นผู้อยู่อาศัยอย่างเป็นทางการ และผู้อยู่อาศัยอย่างเป็นทางการในนครตราชั่งก็ไม่มีใครเป็นสวะ แต่ละคนมีความสามารถเฉพาะตัว พลังฝึกปรือเองก็ไม่เลว สุดที่ผู้รับใช้ธรรมดาอย่างเขาจะเทียบเคียงได้

ลู่เซิ่งพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะรออีกสักเดี๋ยว”

“ท่านนั่งรอก่อนก็ได้ขอรับ ประเดี๋ยวถ้ามีคนมา ข้าน้อยจะมาเรียกท่านเอง” ผู้รับใช้เอ่ยพลางพยักหน้าก้มเอว

ลู่เซิ่งโยนเงินน้ำแข็งออกไปสองสามก้อนเพื่อเป็นเงินรางวัล ในนครตราชั่ง ทุกอย่างต่างก็แพงหูฉี่ สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล ค่าครองชีพเองก็สูงกว่าสี่เขตรอบนอก เงินน้ำแข็งจึงไม่ได้มีกำลังซื้อมากเท่าสี่เขตใหญ่

ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับใช้หาเงินและเป็นลานทองคำสำหรับใช้จ่ายเงินเช่นกัน

ผู้รับใช้รับเงินแล้วถอยออกไปอย่างหน้าชื่นตาบาน ส่วนลู่เซิ่งกลับไปนั่งลงเหมือนเดิม

ครั้งนี้ถ้ายังไม่เจองานที่เหมาะสมสำหรับใช้หาเงินอีก เขาก็ได้แต่ต้องเตรียมตัวไป ‘ตายเอาดาบหน้า’ ที่สี่เขตใหญ่แล้ว

ที่นี่มีการตรวจตราเข้มงวดเกินไป ทำให้ลงมือได้ยาก ไม่เหมือนกับสี่เขตใหญ่

แต่วิธีการนี้ทำเป็นบางครั้งบางคราวยังพอไหว เกิดว่าทำบ่อยๆ เข้า อาจจะทำให้เบื้องบนไม่พอใจจนส่งยอดฝีมือมาก็ได้

เขานั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่ตามลำพัง จนกระทั่งผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามกว่าๆ

ในที่สุด บุรุษวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดทะมัดทะแมงสีม่วงและคลุมเสื้อคลุมสีขาวไว้ด้านนอก ก็พาชายฉกรรจ์สวมเสื้อคลุมสีดำสองคนเดินเข้ามาในศาลากระจายข่าว

พอบุรุษวัยกลางคนผู้นี้เข้ามา ก็พูดคุยกับคนรับผิดชอบของศาลากระจ่ายข่าวเบาๆ สองสามประโยค ไม่นานก็มีผู้รับใช้ลุกขึ้น แล้วแยกย้ายไปแจ้งยอดฝีมือสายแพทย์ที่เตรียมเข้าร่วมการสมัคร

ผู้รับใช้คนก่อนหน้านี้รีบวิ่งมาแจ้งลู่เซิ่งทันที

หลังได้รับข่าว ลู่เซิ่งกับผู้สมัครอีกสองคนก็มาอยู่ด้านหน้าบุรุษวัยกลางคนพร้อมกัน

“ทั้งสามท่าน ข้าคือจ้าวเฉวียนม่อ ในเมื่อพวกท่านกล้าสมัคร ก็น่าจะทราบถึงความยุ่งยากของสารมลพิษดวงดาวดี เกิดว่าตัวพวกท่านติดเชื้อไปในตอนที่จัดการ ก็จะเป็นเพทภัยซ่อนเร้นที่รุนแรงเช่นกัน เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าตัวเองอาจจะติดโรคที่รักษาไม่หายเข้าไปด้วย…” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยช้าๆ ขณะที่พิจารณาพวกลู่เซิ่งทั้งสามคน

ลู่เซิ่งแสดงบุคลิกเป็นมิตร ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ดวงตาเปล่งประกายบริสุทธิ์แห่งความเมตตากรุณา กอปรกับชุดคลุมสีขาวบนร่าง จึงทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความรู้สึกที่ดีได้ง่ายถึงขีดสุด

คนอีกสองคน คนหนึ่งเป็นชายชราหลังค่อมผมหงอกขาว ใบหน้าอมทุกข์

อีกคนเป็นสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตสีเทา คลื่นพลังฝึกปรือบนร่างไม่ต้อยต่ำ แสดงให้เห็นว่าเป็นยอดฝีมือสายวรยุทธ์ที่มีพลังเหี้ยมหาญ

“ในเมื่อเลือกรับภารกิจ ก็ย่อมมั่นใจว่าจะจัดการสารมลพิษดวงดาวได้” ชายชราหลังค่อมขานรับเสียงแผ่วต่ำ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยจัดการโรคคล้ายๆ กันมาก่อน จึงมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง”

บุรุษวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าทันที คนที่พวกเขาต้องการก็คือยอดฝีมือสายแพทย์ที่มีประสบการณ์แบบนี้นี่เอง

สตรีวัยกลางคนที่แต่งตัวแบบนักพรตหญิงคนนั้นก็เอ่ยเสียงกระจ่างชัดเช่นกันว่า

“วิชาที่ข้าฝึกมีพลังกดข่มในระดับหนึ่งต่อสารมลพิษดวงดาว สามารถลองดูได้”

ลู่เซิ่งเอ่ยตาม “ข้าน้อยก็เหมือนกัน แต่ว่าประสิทธิผลการจัดการอย่างเป็นรูปธรรม ต้องดูก่อนว่าตระกูลของท่านต้องการจัดการปริมาณมากขนาดไหน”

จ้าวเฉวียนม่อได้ยินดังนั้นก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง

“ผู้มีความสามารถอย่างพวกท่านสามคน พวกเราหวังว่ายิ่งมากยิ่งดี ทว่าก่อนหน้านั้น ขอให้ทั้งสามท่านลงนามในสัญญารักษาความลับเด็ดขาดฉบับหนึ่งด้วย”

เขาให้บริวารที่อยู่ด้านหลังนำสัญญาออกมาแจกให้ทั้งสามคน

ลู่เซิ่งรับมาดู สัญญาเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า งานจะเริ่มในทันทีที่ลงนาม และจะต้องทำไปอย่างน้อยสามเดือน ไม่อย่างนั้นจะถือเป็นการละเมิดสัญญา ไม่จ่ายค่าจ้างให้

ยังมีการรักษาความลับเด็ดขาดอะไรสักอย่าง ผู้ที่ทำความลับรั่วไหล ตระกูลจ้าวมีสิทธิประหารทันที

ทว่าเป็นเพราะค่าจ้างที่สูงขนาดนี้ สัญญาฉบับนี้จึงไม่นับว่าโหดเหี้ยมแต่อย่างใด

พวกลู่เซิ่งอ่านดูสักพักแล้วค่อยลงนาม

จ้าวเฉวียนม่อเห็นดังนั้นก็พาคนทั้งสามออกจากศาลากระจายข่าว แล้วขึ้นไปนั่งบนรถเทียมวัวขนาดใหญ่คันหนึ่งที่จอดรออยู่ด้านนอก

วัวขาวขนาดยักษ์ที่มีหัวสามข้างร้องเบาๆ ครั้งหนึ่งพร้อมกับลากรถขึ้นท้องฟ้า แล้วบินต่ำอยู่ในนครหลวง

ลู่เซิ่งนั่งอยู่ในตัวรถ เขากับสองคนที่เหลือไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ

เดิมทั้งสามคนเป็นคู่แข่งกันอยู่แล้ว กระนั้นตอนนี้ทุกคนต่างมองออกว่า ตระกูลจ้าวต้องการตัวยอดฝีมือสายแพทย์อย่างเร่งด่วน เหมือนกับต้องการจ้างทั้งสามคน

เมื่อไม่ต้องแข่งกันอีก ระหว่างทั้งสามเลยไม่เกิดบรรยากาศตึงเครียด

“จะว่าไปคุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวก็มีชะตาลำเค็ญทีเดียว ถูกความสามารพิเศษของจักรพรรดิรัตติกาลปนเปื้อนกัดกร่อน อายุยังน้อยก็ต้องรับความทรมานขนาดนี้แล้ว” ชายชราหลังค่อมมองไปด้านนอกหน้าต่างรถพร้อมกับถอนใจช้าๆ

“ไอ้พวกวิญญาณร้ายบัดซบเหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันที่มีผู้ยิ่งใหญ่กำจัดจักรพรรดิรัตติกาลและคืนความโชติช่วงชัชวาลให้แก่เขตดวงดาวทั้งหมดแน่!” นักพรตสตรีวัยกลางคนผู้นั้นแค่นเสียงอย่างเย็นชา

“ไม่ทราบว่าท่านเซียนมีความมั่นใจหรือไม่” ชายชราทำตัวเป็นพิธีรีตรอง เริ่มหยั่งเชิง “ก่อนหน้านี้ข้าเคยจัดการสารมลพิษดวงดาวนี้มาก่อน หลายปีที่ผ่านมาได้ลองทดสอบพลังงานสารกายที่แตกต่างกันเจ็ดพันหกร้อยกว่าชนิด มีแต่พลังธาตุชีวิตที่บริสุทธิ์ที่สุดเท่านั้นที่พอจะหักล้างได้ ส่วนพลังงานทั้งหมดที่เหลือต่างถูกมันกัดกร่อน”

“เหมือนกัน ข้าเคยทดลองมาแล้วหลายครั้ง พลังของจักรพรรดิรัตติกาลนี้สมคำเล่าลือจริงๆ”

ทั้งสองถือโอกาสสนทนากัน

ลู่เซิ่งนั่งอยู่บนที่นั่งเงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้สัมผัสขุมกำลังในนครหลวงอย่างเป็นทางการ

แม้จะเป็นแค่สถานะของหมอคนหนึ่งก็ตาม แต่การเริ่มต้นนี้ก็ยังถือว่าดีมาก

รถเทียมวัวเดินทางต่อไปสักพัก ไม่นานลู่เซิ่งก็ได้รู้สถานการณ์คร่าวๆ ของตระกูลจ้าวแห่งสัจดาราจากปากชายชราและนักพรตสตรี

ตระกูลจ้าวตระกูลนี้เป็นมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงในนครหลวง ตระกูลมีดาวเคราะห์ทรัพยากรหลายสิบดวง ปกครองดาวด้านนอกมากกว่าร้อยดวง มีคนในตระกูลหลายหมื่นล้านคน ประกอบด้วยยอดฝีมือมากมายดุจหมู่เมฆ ผู้เข้มแข็งคับคั่งดุจห่าฝน

พูดถึงอำนาจและขุมกำลัง หากสำนักนทีครามจะสู้ด้วยก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน

ทั้งยังเป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ยี่สิบอันดับแรกในนครตราชั่งด้วย

ทว่าแม้ตระกูลจ้าวจะเป็นเหมือนอาทิตย์กลางหาว วีรบุรุษจ้าวเจิงฮุ่ยผู้เป็นประมุขตระกูลกลับมีบุตรยาก ปัจจุบันอายุสามพันกว่าปีแล้ว เพิ่งจะได้บุตรีตอนแก่ ให้กำเนิดดรุณีนางหนึ่ง หรือก็คือคุณหนูใหญ่จ้าวลั่วอิงในปัจจุบัน

แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ คุณหนูใหญ่ผู้นี้มีร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เกิด ปีที่อายุได้สิบสามปี นางออกไปเที่ยวเล่นด้านนอก กลับถูกพลังพิเศษของจักรพรรดิรัติกาลผู้หนึ่งที่ผ่านทางมาโจมตีจนติดโรคร้ายที่รักษาไม่ได้และใกล้ตายเต็มที

แม้ตระกูลจ้าวจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนน่ากลัวที่ไม่มีเหตุผลอย่างจักรพรรดิรัตติกาล นอกจากผู้สูงส่งในตระกูลระดับสุดยอดที่สุดลงมือ ก็ทำอะไรไม่ได้โดยสิ้นเชิง

ว่ากันว่าจักรพรรดิรัตติกาลที่ลงมือ เหมือนจะเคยมีความแค้นเป็นตายกับจ้าวเจิงฮุ่ยประมุขตระกูลจ้าวมาก่อน คราครั้งนี้จึงมาเพื่อแก้แค้นโดยเฉพาะ

น่าเสียดายที่เขาไม่เจอโอกาสลอบโจมตี เลยลงมือกับบุตรีของจ้าวเจิงฮุ่ยแทนด้วยความโมโห

ถึงตอนนี้ผ่านไปมากกว่าร้อยปี โรคร้ายของคุณหนูใหญ่ผู้นี้จะกำเริบทุกช่วงเวลาหนึ่ง จึงจำเป็นต้องหายอดฝีมือสายแพทย์จำนวนมากมาจัดการสารมลพิษพร้อมกัน

พอลู่เซิ่งฟังจบก็เกิดความเข้าใจในระดับหนึ่ง

รถเทียมวัวไปถึงคฤหาสน์แห่งหนึ่งของตระกูลจ้าวอย่างรวดเร็ว

คฤหาสน์ไม่ใหญ่มากนัก แต่ป้องกันแน่นหนาสุดขีด สามชั้นในและสามชั้นนอกมียอดฝีมือซึ่งสวมอาภรณ์สีน้ำเงินคอยจับตามองรอบๆ อยู่

ทั้งสามคนลงจากรถเทียมวัว จากนั้นจ้าวเฉวียนม่อก็แจ้งข่าวเข้าไปเป็นชั้นๆ ไม่นานก็มีคนปล่อยให้ผ่านเข้าไป

ประตูที่ผนึกด้วยค่ายกลมากมายทยอยเปิดออก

พวกลู่เซิ่งรีบติดตามจ้าวเฉวียนม่อมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน

เมี่อครู่รอบๆ คนทั้งสี่ยังมีข้ารับใช้และบริวารคอยคุ้มกัน หลังจากไปถึงประตูบานที่ห้าในเขตต้องห้าม รอบๆ ก็ไม่เห็นเงาใครสักคนเดียว

ตอนแรกพื้นยังเป็นอิฐสีขาว ตอนนี้กลับกลายเป็นสีดำอมเทาอ่อนๆ ไปแล้ว

“จะว่าไป ประมุขตระกูล ผู้อาวุโส จอมอาวุโส ตลอดไปจนคนทั้งตระกูลต่างก็รักใคร่เอ็นดูคณหนูใหญ่ทั้งนั้น ตั้งแต่ถือกำเนิดจนกระทั่งเกิดเรื่อง คุณหนูใหญ่ไม่เคยลำบากแม้แต่นิดเดียว นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวทางโลกจะไม่แน่นอน ภายหลังกลับถูกจักรพรรดิรัตติกาล…” จ้าวเฉวียนม่อถอนใจเฮือกหนึ่ง เดินไปด้วยคุยไปด้วย

“คุณหนูใหญ่หมดสติอยู่ พวกท่านรักษาได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ คุณหนูลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ด้วยมีความสนใจต่อศาสตร์แพทย์มาก อาจจะถามอะไรพวกท่านก็ได้ พวกท่านตอบอย่างปกติก็พอ”

จ้าวเฉวียนม่อแนะนำอย่างละเอียด

“คุณหนูลูกพี่ลูกน้องคือจ้าวเซิ่งอิง…จะว่าไป ต้องการหาอาจารย์ด้านการแพทย์สักคนชี้แนะอยู่พอดี ถ้าหากพวกท่านทำผลงานได้ไม่เลว…”

พอกล่าวคำพูดนี้ออกไป นักพรตสตรีกับชายชราต่างก็ส่ายหน้าและยิ้มอย่างหนักใจ

คนในนครหลวงที่รู้เรื่องราวของจ้าวเซิ่งอิงมีอยู่ไม่น้อย

ในสถานการณ์ที่คุณหนูใหญ่มักหมดสติ นางก็ได้กลายเป็นคุณหนูเล็กที่ทั่วทั้งตระกูลจ้าวรักใคร่ที่สุดแทนลูกผู้พี่

เพราะสาเหตุนี้เอง สตรีนางนี้จึงฟุ้งเฟ้อและเอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก และมักจะสนใจสิ่งนู้นสิ่งนี้อยู่ตลอด แต่กลับทำอะไรไม่จริงจัง เรียนอะไรก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

จ้าวเซิ่งอิงผู้นี้มีชื่อเสียงในนครหลวงไม่น้อย นับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในเหล่าคุณหนู

ตระกูลจ้าวทดลองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยหวังว่านางจะตั้งใจฝึกฝนเพื่อเพิ่มพลังฝึกปรือ แต่ก็ล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง

หลังจากใช้โอสถทิพย์ยาวิเศษนับไม่ถ้วนและฝึกฝนเป็นเวลาสิบกว่าปี จ้าวเซิ่งอิงผู้นี้จึงค่อยแข็งแกร่งถึงระดับที่คล้ายขั้นทวิลักษณ์ในขอบเขตเยื่อดำ

ถือได้ว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์พันลึก

แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ มิพักเอ่ยถึงตำแหน่งและสถานะของนางในตระกูลจ้าว บิดามารดาของนางต่างก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับมายาพิศวงตัวจริงเสียงจริง ทั้งยังเป็นสุดยอดผู้เข้มแข็งห้าอันดับแรกในตระกูลอีกต่างหาก

และเพราะสาเหตุนี้เอง จึงค่อยมีบุตรีตอนแก่ และรักอย่างหัวปักหัวปำ

ลู่เซิ่งฟังไปฟังมา ใจในกลับเกิดความคิดหนึ่ง

หากต้องการรับครอบครัวและบริวารในสำนักของตนมาในระยะเวลาสั้นๆ ถ้าสามารถยืมอำนาจของตระกูลจ้าวได้ อย่างนั้นจ้าวเซิ่งอิงผู้นี้…อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่เอาไว้ใช้ยืมกำลังของตระกูลจ้าวก็ได้

ส่วนที่ว่าเป็นเด็กเปรตหรืออะไร ครั้งนี้เขาจะใช้วิชาจิตโน้มนำอย่างเต็มที่ แม้ที่นี่จะไม่อาจใช้ความสามารถพิเศษใดๆ ได้ แต่ว่าทักษะด้านจิตและการบอกใบ้ธรรมดาๆ มากมาย ยังเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาใดๆ ล้วนใช้อยู่ดี

……………………………………….

Options

not work with dark mode
Reset