ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 628 พบความโชคดีในความโชคร้าย

ตอนที่ 628 พบความโชคดีในความโชคร้าย

ตอนที่ 628 พบความโชคดีในความโชคร้าย

การให้ท้ายลูกตัวเองคือประวัติศาสตร์และตำนานอันยาวนานของเกาะดอกท้อ

ต่อให้ลูกศิษย์ตนเองทำผิดร้ายแรงขนาดไหน แต่ก็เพียงแค่ตำหนิกันเองเท่านั้น ไม่ปล่อยให้คนอื่นมารังแกเด็ดขาด!

กับลูกศิษย์ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน นับประสาอะไรกับ ‘ส่ากู’ เดิมทีก็เป็นบุตรสาวของชวีหลิงเฟิงอยู่แล้ว ต่อให้นางเป็นคนลอบโจมตีก่อน แต่ชวีหลิงเฟิงจะต้องกู้สถานการณ์ก่อนแล้วค่อยพูดคุยกันด้วยเหตุผลแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ตัวเขาเองก็เคยเสียเปรียบให้เยี่ยเว่ยหมิงมาแล้ว การกระทำของ ‘ส่ากู’ เมื่อครู่นี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าได้รับอนุญาตจากเขาแล้ว

เมื่อเห็นฝ่ามือของชวีหลิงเฟิงโจมตีเข้ามา เยี่ยเว่ยหมิงก็พลิกฝ่ามืออย่างไม่เกรงใจเช่นกัน ใช้ท่า ‘มังกรผยองได้สำนึก’ รับมือ

พรึ่บ!

พลังฝ่ามืออันเข็มแข็งชนปะทะกัน ควันหลงทำให้ฝุ่นดินรอบๆ ลอยตลบอบอวล ‘ส่ากู’ ที่เพิ่งถูกจี้จุดโดนพัดจนตัวโอนเอนแทบจะล้มลงตรงนั้น

ซึ่งตอนนี้เอง เยี่ยเว่ยหมิงกับชวีหลิงเฟิงกลับต่อสู้กันอยู่อีกที่หนึ่งแล้ว

ทั้งสองรู้ตื้นลึกหนาบางของกันและกัน จะใช้อุบายเล่นงานก็ไม่ค่อยสะดวกแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงจึงใช้ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ทั้งหกกระบวนท่าที่เรียนมาแล้วรับมือกับอีกฝ่ายเสียเลย

ทั้งสองโจมตีกันด้วยทักษะและความเร็ว ตอนนี้ประมือกันไปสิบกว่ากระบวนท่าแล้ว

แต่สิบกว่ากระบวนท่านี้ เยี่ยเว่ยหมิงกลับรู้สึกว่าชวีหลิงเฟิงดุดันเกินไปหน่อย

ด้วยศักยภาพของเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ ใช้ฝ่ามือพิชิตมังกรสู้กับ BOSS เลเวลประมาณหนึ่งร้อยสิบก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่มาก แต่พลังโจมตีของชวีหลิงเฟิงกลับเหนือกว่ามาก หากพูดถึงพลังฝ่ามืออย่างเดียว ไม่น่าเชื่อว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว!

ต้องทราบไว้ว่าเป็นเพราะชวีหลิงเฟิงมีจุดอ่อนชัดเจน

อย่างไรเสีย แม้ภายนอกดูเหมือนขาที่บาดเจ็บของชวีหลิงเฟิงรักษาหายแล้ว แต่หากเทียบกับสองฝ่ามือที่ดุดันของเขา การใช้เท้ากลับค่อนข้างประมาท

ว่ากันว่าพลังล้วนเกิดมาจากพื้นดิน หากท่อนล่างทรงตัวได้ไม่มั่นคง เช่นนั้นพลังหมัดฝ่ามือก็จะต้องถูกลดทอนไปด้วยเช่นกัน

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยากที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบเมื่อใช้พลังฝ่ามือสู้กัน ถึงขั้นว่าเป็นเพราะ ‘แหวนหยกเย็น’ คืออาวุธมือเดียว ทำให้พลังฝ่ามือสองข้างของเขาที่โจมตีออกมาไม่สมดุลกัน

ตอนที่เขาโจมตีด้วยฝ่ามือซ้ายทำให้เขาได้เปรียบเล็กน้อย แต่พลังฝ่ามือของมือขวากลับถูกอีกฝ่ายข่มแล้ว

ความรู้สึกเดี๋ยวแข็งแกร่งเดี๋ยวอ่อนแอเช่นนี้ ทำให้ตอนโจมตีเยี่ยเว่ยหมิงตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ เขายังต้องอาศัยความเข้าใจที่ตนเองมีต่อ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ซึ่งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่เหมือนใคร ถึงได้พอถูไถให้ตนเองไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

แต่เมื่อเวลานานไป เมื่ออีกฝ่ายรู้แนวทางของเขาหมดแล้ว เกรงว่าสถานการณ์คงเปลี่ยนเป็นเลวร้ายยิ่งขึ้น

เพื่อพลิกสถานการณ์ เยี่ยเว่ยหมิงอาศัยแรงสะท้อนที่เกิดจากฝ่ามือของอีกฝ่ายถอยหลังอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งใช้มือขวาคว้าอากาศ กระบี่แสงทองปรากฏอยู่ในฝ่ามือเขาแล้ว ดูแล้วเหมือนชักกระบี่ออกมากลางอากาศ

ท่วงท่าสง่างามเป็นพิเศษ!

เมื่อกระบี่อยู่ในมือ เยี่ยเว่ยหมิงก็เผยรอยยิ้มมั่นใจในตนเองออกมาทันที

กระบี่ยาวที่มือขวาชี้เฉียงลงข้างล่าง ส่วนมือซ้ายมีเสียงมังกรคำรามดังแว่วมา

กระทั่งตอนนี้ ถึงได้นับว่าเยี่ยเว่ยหมิงสู้สุดพลังอย่างแท้จริง!

“นึกไม่ถึงว่าแม้แต่หลิงเฟิงก็ยังทำให้เจ้าแพ้โดยสิ้นเชิงไม่ได้ เจ้าหนู ฝีมือเจ้าใช้ได้เลย” ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงเตรียมใช้ฝ่ามือซ้ายและกระบี่ที่มือขวาโจมตีชวีหลิงเฟิง จู่ๆ กลับเห็นเงาร่างสีเขียวแวบมาตรงหน้า หวงเย่าซือในชุดสีเขียวมาโผล่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน หยุดยั้งการต่อสู้ที่ดุเดือดเหมือนไฟของพวกเขา

จากนั้นก็เห็นประมุขเกาะดอกท้อท่านนี้ดีดนิ้วหนึ่งที ลมดรรชนียิงผ่านอากาศออกมา คลายจุดลมปราณของส่ากูที่เคยถูกจี้ไว้ทันที

ไม่อย่างนั้นจะพูดกันได้อย่างไรว่าการถือหางเข้าข้างคนฝ่ายตัวเองคือธรรมเนียมอันดีงามของเกาะดอกท้อ

ก่อนหน้านี้ตอนเยี่ยเว่ยหมิงตั้งใจจะใช้ศักยภาพของตนเองปะทะฝ่ามือกับชวีหลิงเฟิง เขาไม่ปรากฏตัว ตอนนี้พอเยี่ยเว่ยหมิงชักกระบี่ออกมา เตรียมจะใช้การกระทำจริงบอกคนพิการอย่างชวีหลิงเฟิงว่าอย่าเหิมเกริมเกินไป เขากลับกระโดดออกมาแล้ว อีกทั้งฟังความหมายในคำพูดของเขาแล้ว ก็เหมือนจะบอกว่าเยี่ยเว่ยหมิงสู้ไม่ชนะชวีหลิงเฟิง ทำได้เพียงปกป้องชีวิตตัวเองเท่านั้น

แล้วจะทนได้อย่างไร

เยี่ยเว่ยหมิงไม่รู้ว่าคนอื่นที่พบเจอสถานการณ์เช่นนี้จะจัดการอย่างไร อย่างไรเสียเขาก็ทนไม่ไหว ดังนั้นเมื่อเห็นหวงเย่าซืออวดเก่งคลายจุดให้ ‘ส่ากู’ เขาก็ไม่รอให้อีกฝ่ายเปิดปากพูด ชิงพูดก่อนว่า “ท่านประมุขหวง ท่านมองออกได้อย่างไรว่าข้ากับชวีหลิงเฟิงสู้กันแล้วจะไม่มีทางแพ้ให้เขาโดยสิ้นเชิงได้”

หวงเย่าซือมองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างเยียบเย็นปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยถาม “เจ้ามาหาข้ามีธุระอะไร”

“ท่านเดาสิ!”

“เฮอะ!” หวงเย่าซือทำเสียงฮึดฮัดแล้วพูดต่อ “ก่อนหน้านี้เจ้าเอ่ยถึงประกาศิตกระบี่บุปผาโรย เกรงว่าคงไม่ใช่เพื่อให้ข้าปล่อยเจ้าเข้ามาเพียงอย่างเดียว หากเจ้ามีเรื่องจะขอร้องจริงๆ คงไม่มาถึงเกาะดอกท้อด้วยตนเองอย่างมีมารยาทเช่นนี้แน่ เจ้าคงบีบประกาศิตกระบี่ให้แตกละเอียดเพื่อเรียกข้ามาคุยโดยตรง…

…เพราะเมื่อมีประกาศิตกระบี่บุปผาโรยอยู่ในมือ เจ้าจึงไม่กลัวอะไรเลย!”

เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ นับว่ายอมรับแล้ว

จากนั้นหวงเย่าซือก็บอกว่า “ในเมื่อไม่ได้มีเรื่องจะขอร้องข้า เช่นนั้นการที่เจ้ามาโผล่บนเกาะดอกท้อในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ แสดงว่าจะเข้าร่วมประลองยุทธ์เลือกคู่แน่นอน”

เขาชะงักไปครู่เดียว ใช้สายตามองประเมินบนตัวเยี่ยเว่ยหมิงเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ “ตอนอยู่หมู่บ้านหนิวเจียก่อนหน้านี้ ที่เจ้ากับหลิงเฟิงสู้กัน เจ้าก็เคยใช้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ มาแล้ว เมื่อครู่ตอนสู้กับหลิงเฟิงและหลิงเอ๋อร์ เจ้าก็ใช้ ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ ของข้า ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ของต้วนจื้อซิง ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ของหงชีกงรวมทั้งท่าร่าง’ชั่วอึดใจหมื่นลี้’ ของโอวหยางเฟิง…

…เจ้าเด็กนี่ เคล็ดวิชาเฉพาะของห้ายอดฝีมือใต้หล้า เจ้าเรียนมาทั่วแล้ว!…

แต่ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ กับ ‘ชั่วอึดใจหมื่นลี้’ ของเจ้าไม่ได้รับถ่ายทอดโดยตรงจากหวังฉงหยางกับโอวหยางเฟิง ตอนนี้ผู้สืบทอดวิชาของหงชีกงกำลังแหกปากอยู่นอกค่ายกลใหญ่ดอกท้อ พอมองเช่นนี้แล้ว เจ้าคงจะเป็นตัวแทนของราชันย์ทักษิณต้วนจื้อซิงมาเข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ครั้งนี้สินะ”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย “ดังนั้น ประมุขเกาะหวงปล่อยสหายของข้าออกมาจากค่ายกลดอกท้อก่อนได้หรือไม่”

หวงเย่าซือเผยรอยยิ้มครุ่นคิด “หากเจ้านำประกาศิตกระบี่มาขอร้องข้า ข้าก็จะปล่อยสหายของเจ้า”

“ฝันไปเถอะ!”

“เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้ว” หวงเย่าซือกล่าวอย่างโดดเดี่ยวมาก “ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ครอบครองประกาศิตกระบี่ดอกท้อ จะมาจะไปข้าก็ไม่ขัดขวาง แต่สหายของเจ้าไม่เกี่ยว”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วพยักหน้า จากนั้นพลันชี้กระบี่แสงทองไปข้างหน้า “เช่นนั้นท่านก็รีบไป ข้ากับชวีหลิงเฟิงยังสู้กันไม่เสร็จ!”

“หลิงเฟิงกับหลิงเอ๋อร์คือคนที่ได้รับคำสั่งจากข้าให้มาหยั่งเชิงทักษะยุทธ์ของผู้เข้าร่วมประลอง เจ้าแสดงฝีมือได้ไม่เลว มีสิทธิ์เข้าร่วมท้าสู้แล้ว ดังนั้นพวกเจ้าถือว่าสู้กันเสร็จแล้ว”

หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวเสริมว่า “ถ้าเจ้ายังอยากสู้ต่อ ข้าก็จะสู้เป็นเพื่อน”

ขอร้องล่ะ! ท่านคือมารบูรพา ไม่ใช่พิษประจิมนะ ช่วยมียางอายสักหน่อยได้ไหม

หากไม่ใช่เพราะเยี่ยเว่ยหมิงสู้ไม่ชนะเขา อาศัยแค่ที่เขาทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้ ตนคงใช้ ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ เล่นงานไปแล้ว

หวงเย่าซือไม่แยแสความกลัดกลุ้มของเยี่ยเว่ยหมิงเลยสักนิด หันตัวมาพูดอย่างสง่างามมากว่า “หลิงเอ๋อร์ เจ้าพาจอมยุทธ์น้อยเยี่ยไปพักผ่อนก่อน หลิงเฟิง เจ้าตามข้ามา”

หลังจากหวงเย่าซืออวดเก่งเสร็จแล้วก็พาชวีหลิงเฟิงจากไป ตอนนี้ ‘ส่ากู’ กลับเก็บกระบี่กลับมาแล้ว หลังจากเก็บกระบี่เข้าฝัก ก็แลบลิ้นใส่เยี่ยเว่ยหมิง “ไปเถอะ เจ้าคนชั่ว อีกห้าวันการประลองถึงจะเริ่มขึ้น ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่พักผ่อน”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า จากนั้นถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “เมื่อครู่ประมุขเกาะหวงเรียกเจ้าว่าหลิงเอ๋อร์เหรือ”

“ใช่แล้ว!” ส่ากูกล่าวอย่างภาคภูมิใจมาก “ชื่อของข้าคือหลิงเอ๋อร์ ชวีหลิงเอ๋อร์ เพราะมากใช่ไหมล่ะ”

“เพราะมากจริงๆ” เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า

ชวีหลิงเอ๋อร์ได้ยินแล้วภูมิใจยิ่งกว่าเดิม ขณะที่เดินนำทางอยู่ข้างหน้า ก็อธิบายต่อว่า “นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว ชื่อของข้าไม่ใช่แค่เพราะนะ ทั้งยังมีศิลปะมากด้วย”

เยี่ยเว่ยหมิงไม่ตอบ แต่กลับได้ยินนางพูดต่อว่า “เพราะข้าคือลูกสาวของชวีหลิงเฟิง ข้าก็เลยชื่อหลิงเอ๋อร์ ฟังดูมีศิลปะใช่ไหมล่ะ”

เยี่ยเว่ยหมิง “…”

มีศิลปะเกินไปแล้ว!

ขณะที่พูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะ ชวีหลิงเอ๋อร์ก็พาเยี่ยเว่ยหมิงมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง แต่ด้านข้างประตูบ้านกลับแขวนป้ายไม้ที่ใหม่เอี่ยมเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งทำ บนป้ายไม้เขียนตัวอักษรงดงามไว้ว่า ‘ทักษิณ’

“ที่บ้านหลังนี้แหละ ก่อนการประลองเริ่ม เจ้าพักที่นี่ก็ได้…

…ถ้าเจ้าเบื่อก็เดินเล่นบนเกาะดอกท้อได้เหมือนกัน จะไปตีมอนสเตอร์ที่ยอดเขาดรรชนี ถ้ำชิงอิน ป่าไผ่เขียวก็ได้ ทั้งเกาะดอกท้อนอกจากเขตต้องข้ามสุสานดอกไม้ที่ห้ามเหยียบเข้าไป ที่อื่นก็ไปได้หมด”

“ใช่แล้ว!” เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ชวีหลิงเอ๋อร์กล่าวเสริมว่า “ยังมีค่ายกลดอกท้อข้างนอกอีก ถ้าเจ้าไม่เข้าใจวิธีใช้งาน ทางที่ดีก็อย่าไปแตะต้องซี้ซั้ว เดี๋ยวจะหลงทาง”

ความร้ายกาจของค่ายกลดอกท้อ เยี่ยเว่ยหมิงย่อมเข้าใจดี จึงพยักหน้าทันที สื่อว่าตัวเองจะจำไว้ เสร็จแล้วชวีหลิงเอ๋อร์ถึงได้กล่าวอำลาแล้วเดินออกไป

ดูท่าแล้ว ที่ชวีหลิงเอ๋อร์เรียกเยี่ยเว่ยหมิงว่าคนชั่วตอนที่สู้กันก่อนหน้านี้ เหมือนนางจะไม่ได้เกลียดเขาจริงๆ

ตอนนี้ จู่ๆ ก็เห็นเงาร่างสีดำเดินอ้อมจากหลังบ้านตรงข้ามออกมา พอจ้องมองก็พบว่าเป็นคนหน้าคุ้น

เมฆเคลื่อนเดียวดาย?

เจ้าหมอนี่เป็นผู้สืบทอดวิชาจากเขาอูฐขาว ท่าทางเหมือนฝึกวิชาคางคกได้ไม่เลว โผล่มาตอนนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล

หลังจากอีกฝ่ายเห็นเยี่ยเว่ยหมิงก็ตะลึงเช่นกัน แต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาทักทาย เดินตรงเข้าบ้านที่แขวนป้ายว่า ‘ประจิม’ แล้วก็ปิดประตูทันที

เยี่ยเว่ยหมิงแม้จะแปลกใจว่าเจ้าหมอนี่ผ่านค่ายกลใหญ่ดอกท้อมาได้อย่างไร แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีว่าจะพูดคุยกัน เขาจึงทำได้เพียงข่มความสงสัยเอาไว้

หลังจากผลักประตูเข้าบ้านแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งจดหมายออกไปทันที

[สะพานสวรรค์น้อย เจ้าอยู่ในค่ายกลดอกท้อเป็นอย่างไรบ้าง กลัวหรือเปล่า]…เยี่ยเว่ยหมิง

[ข้าสบายดีมาก! ไม่ใช่แค่ไม่เป็นอะไรนะ ทั้งยังได้รับภารกิจลับด้วย!…

ดังนั้น พี่ใหญ่เยี่ยไม่ต้องรีบร้อนช่วยข้าหรอก…

…คิคิ เจ้าเดาสิว่าข้าเจอใครในค่ายกลดอกท้อ]…สะพานสวรรค์คริสตัล

[เดาไม่ออก]…เยี่ยเว่ยหมิง

[ข้าเจอโจวปั๋วทงแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังปะเหลาะเล่นกับเขาอยู่!…

…เจ้าเด็กนี่แม้จะสติปัญญาเท่าเด็กน้อย แต่กลับเลเวลสูงมาก เลเวลตั้งร้อยแปดสิบ ระดับเดียวกับห้ายอดฝีมือแห่งใต้หล้า!…

…มีเขาอยู่ด้วย ตอนนี้ข้าปลอดภัยมาก พี่ใหญ่เยี่ยไม่ต้องเป็นห่วงเลย]…สะพานสวรรค์คริสตัล

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ

Score 10
Status: Completed
ไหนๆ ก็โดน NPC หลอกมาเข้าสำนักมือปราบที่ไม่มีวิทยายุทธ์ให้ฝึกแล้ว อย่างน้อยก็ขอสกิลดีๆ หน่อยแล้วกัน!

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset