บ่วงมาร 50

ตอนที่ 50

เดนนิสก้าวเท้าผ่านประตูห้องเข้ามาเงียบๆ เขาปล่อยให้ประตูมันปิดสนิทลงด้วยตัวของมันเองจากนั้นจึงก้าวตามพรมสีแดงสลับน้ำตาลเข้ามาภายในห้องรับแขกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจเมื่อไม่พบเห็นพเยียอย่างที่เจ้าหล่อนได้บอกเอาไว้

หรือว่าหล่อนจะกลับไปแล้ว… แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อเขามาช้าไปแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง แต่จะโทษเขาก็ไม่ได้ในเมื่อการจราจรบนท้องถนนมันติดขัดกะทันหันเนื่องมาจากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

“หายไปไหนกันเนี่ยพเยีย…”

ชายหนุ่มพึมพำแผ่วเบาก่อนจะเดินไปรอบๆ ห้อง และแม้จะก้าวออกไปยังเทอร์เรซที่กว้างขวางก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของคนที่เขากำลังตามหาเลยแม้แต่น้อย

พเยียหายไปไหนกัน? หรือจะอยู่ในห้องนอน…?

คิดได้เช่นนี้ชายหนุ่มจึงรีบก้าวยาวๆ ตรงไปยังห้องนอนทันที ห้องนอนมีด้วยกันสามห้อง และเขาก็เปิดหาไปจนครบสองห้องแล้วก็ไม่พบ ดังนั้นจึงเหลืออีกแค่ห้องเดียวเท่านั้น คือห้องที่อยู่ตรงหน้าเขานั่นเอง มือหนายื่นออกไปจับลูกบิดทองเหลือง ก่อนจะหมุนมันเบาๆ และกระชากให้มันเปิดออก

“บ้าชิบ!” ความมืดเข้ามากระแทกใส่หน้า จนเขาต้องควานหาสวิตซ์ไฟทันที

ไม่นานห้องทั้งห้องก็สว่างขึ้นในพริบตา และนั่นก็ทำให้เขาเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนตะแคงคดคู้หลับสนิทอยู่บนเตียงขนาดซุปเปอร์คิงไซส์ตรงหน้า เขาพยายามเพ่งมองและก็ทำให้ได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่พเยีย… ไม่มีทางเป็นพเยียไปได้…

เพราะหล่อนคือนาริกา… ผู้หญิงที่เขาไม่เคยลืมจากหัวใจเลยแม้แต่วินาทีเดียว

หัวใจคล้ายกับหยุดเต้นไปชั่วขณะ ความตื่นเต้นและรอคอยกระหน่ำซัดอยู่ภายในอก เดนนิสพูดไม่ออกและไม่สามารถบังคับให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้อีก การได้พบนาริกาอีกครั้งทำให้เลือดในกายหนุ่มของเขาแข็งเป็นหิน อยากจะเดินออกไปจากห้องนี้ซะ อยากจะไปให้พ้นๆ จากผู้หญิงใจร้ายคนนี้

แต่เขาทำไม่ได้… หัวใจมันไม่ยอมให้เขาทำแบบนั้นอีกแล้ว การที่ต้องอยู่เพียงลำพังโดยไร้เงาของนาริกาข้างกายมันคือสิ่งที่แสนทรมานเหลือเกิน เขาเจ็บปวด และไม่คิดว่าตัวเองจะกลับไปจมปลักกับขุมนรกนั้นได้อีก เขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกักขังหล่อนเอาไว้ข้างกายตลอดชีวิต

ไม่ว่าหล่อนจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม…

ในที่สุดเดนนิสก็เลือกที่จะก้าวยาวๆ ออกจากห้องนอนไปยื่นเด่นตระหง่านอยู่ภายในห้องรับแขกกว้างขวางแทน มือใหญ่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาพเยียทันที

“ทุกอย่างคือแผนการของคุณใช่ไหมพเยีย…”

ชายหนุ่มถามทันทีเมื่ออีกฝ่ายรับโทรศัพท์ และนั่นก็ทำให้พเยียหน้าซีดด้วยความตกใจก่อนจะหันไปมองมาร์คอสที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างขอความช่วยเหลือ

“มาร์คอสคะ เจ้านายรู้แผนของเราแล้ว…”

หญิงสาวกระซิบเบาๆ กับสามีขณะที่มือบางกำโทรศัพท์มือถือเอาไว้แน่นเพราะไม่ต้องการให้คู่สนทนาปลายสายได้ยินในสิ่งที่หล่อนกับสามีกำลังคุยกันอยู่

“เอามานี่ ผมจัดการเอง…”

“แต่ว่า…” พเยียยังลังเล เพราะรู้ดีว่าสองหนุ่มไม่กินเส้นกันมากแค่ไหน

“ผมไม่คิดจะทำให้เจ้าหมอนั่นมันเดือดร้อนอีกหรอกน่า คุณก็รู้นี่พเยียว่าผมขี้เกียจที่จะต้องมาตามแก้ปัญหาหัวใจให้มันเต็มที่แล้ว…”

เมื่อได้ยินสามีพูดแบบนี้ พเยียจึงยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้กับสามี เขารับไปและยกขึ้นแนบหูทันที “ใช่… เดนนิส โอซิล ทุกอย่างคือแผนของฉันกับพเยีย…”

เดนนิสอึ้งไปนานเลยทีเดียว ก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟันออกไป “นายยังต้องการอะไรจากฉันอีก มาร์คอส…”

“ไม่นี่… ฉันไม่ได้ต้องการจากนายอีกสักหน่อย”

“แล้วนายทำอย่างนี้ทำไม? สนุกใช่ไหมที่เห็นฉันหัวปั่นเพราะผู้หญิงที่นายส่งมานะ” แม้น้ำเสียงของเดนนิสจะราบเรียบแต่มาร์คอสรู้ดีว่าผู้ชายเลือดเย็นคนนี้กำลังเต็มไปด้วยโทสะแรงกล้าแค่ไหน

“ตอนแรกน่ะใช่ แต่ตอนนี้… ฉันอยากจะช่วยให้นายกับริก้าเข้าใจกันเสียที แต่ไม่ใช่เพราะฉันจะยอมญาติดีกับนายหรอกนะเดนนิส…”

“แล้วมันเพราะอะไรล่ะ?” เดนนิสถามเสียงหยัน

“ก็เพราะว่าฉันสงสารริก้ายังไงล่ะ ฉันไม่อยากให้เธอต้องมานั่งร้องไห้เสียใจให้กับผู้ชายไม่มีหัวใจแบบนายอีก… เธอรักนายมากเข้าใจเอาไว้ซะด้วย”

แม้ว่าเขาจะตัดสินใจแล้วว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีนาริกาข้างกาย โดยไม่สนใจว่าหล่อนจะรักใคร หรือกำลังจะเป็นของใคร แต่จะให้เขาเชื่อได้จริงๆ หรือว่านาริการักเขา ในเมื่อหล่อนบอกว่าเกลียดเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และแน่นอนว่าหล่อนกำลังจะแต่งงานกับผู้ชายที่หล่อรวยสมบูรณ์แบบอย่างเอเดน จิลาดิโน

“เอานิทานเรื่องนี้ไปหลอกเด็กเถอะ… และก็ฝากบอกพเยียด้วยนะว่าขอบใจมากที่หลอกให้ฉันเดินทางมาเซาเปาโลได้สำเร็จ…” เดนนิสประชดเสียงต่ำลึก

“แต่สิ่งที่ฉันพูดมันคือเรื่องจริง และทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาก็เป็นเพราะฉันคนเดียว เดนนิส…”

มาร์คอสถอนใจออกมายาวเหยียด เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่เข้าใจอะไรยากแล้วนะ แต่พอมาเจอเจ้าหมอนี่เขาตกขอบเวทีไปเลย

“ฉันเป็นคนบังคับให้ริก้าปลอมตัวเป็นแองจี้เพื่อหลอกลวงนาย และหากนายรู้จักริก้ามากพอนายจะรู้ว่าริก้าเป็นคนใจดีแค่ไหน หล่อนจะไม่ปฏิเสธเลยหากมันจะทำให้คนที่ขอร้องเธอผิดหวัง ส่วนเรื่องวันนั้น… ที่ฉันบอกนายว่าริก้าโทรตามให้ฉันมารับกลับบ้านนั้นมันก็แค่เรื่องที่ฉันแต่งขึ้นมาหลอกนายเท่านั้นเอง ความจริงฉันไม่อยากจะรู้สึกผิดกับนายหรอกนะเดนิส… แต่ฉันขอโทษจริงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น…”

ความเงียบสงัดกลืนกินบรรยากาศรอบตัวไปจนหมดสิ้น นิ้วแกร่งกำรอบโทรศัพท์มือถือเอาไว้แน่นจนมันแทบแตกละเอียด วันนั้น… สิ่งที่นาริกาพยายามจะบอกเขามันคือเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ? เดนนิสอึ้งไปพักใหญ่กว่าจะสามารถกลับมาพูดได้อีกครั้ง

“แล้วฉันหวังว่าเรื่องของเอเดนคงไม่ใช่ฝีมือนายใช่ไหม มาร์คอส…”

เสียงหัวเราะเบาๆ จากปลายสายทำให้เดนนิสซาบซึ้งแก่ใจทันทีว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่นั้นคือเรื่องจริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแผนการของมาร์คอส โรเจอริโอ คู่ปรับตัวฉกาจของเขานั่นเอง

และนาริกาก็คือหมาก… ซึ่งถูกเขาทำร้ายจนไม่เหลือชิ้นดี เขาใจร้ายกับหล่อน โหดเหี้ยมกับหล่อนจนไม่น่าให้อภัย ความละอายลูกใหญ่ซัดเข้าใส่หัวใจอย่างรุนแรง

“ฉันก็แค่อยากให้นายหึงริก้าเท่านั้นเอง…”

เดนนิสหัวเราะหึหึในลำคอด้วยความเดือดดาล “ถ้านายอยากให้ฉันหึง… นายก็ทำสำเร็จแล้วล่ะมาร์คอส เพราะฉันหึงริก้าแทบบ้า และก็แทบจะฆ่าเจ้าเอเดนได้เลยทีเดียว”

“แต่นายปากแข็งเกินไปเดนนิส ริก้าคิดว่านายไม่รักเธอ เกลียดเธอ และแน่นอนว่าเธออาจจะไม่มีวันให้อภัยนาย หากนายไม่ยอมพูดคำนั้นออกไป…”

“นายไม่ต้องมาสอนฉันมาร์คอส ฉันรู้ดีว่าฉันควรจะทำยังไง และตอนนี้ฉันก็ไม่มีเวลาเหลือที่จะคุยกับนายอีกแล้ว ฝากบอกพเยียด้วยนะว่าฉันจะไม่โกรธที่เธอหลอกให้ฉันมาเซาเปาโล หากเธอยอมเป็นแม่งานในงานแต่งของฉันกับนาริกาที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ให้กับฉัน…”

แล้วเดนนิสก็วางสายไป ทิ้งให้มาร์คอสตะโกนกับโทรศัพท์อยู่คนเดียว “เฮ้ย! อย่าพึ่งวางสิ นี่นายกล้าดียังไงวางหูใส่ฉันนะ ไอ้เดนนิส…!”

“มาร์คอสคะ อย่าพูดคำหยาบสิคะ…” เสียงของพเยียทำให้มาร์คอสที่กำลังอารมณ์เสียอยู่ต้องรีบยิ้มบางๆ ออกมา เขาหันมามองภรรยาก่อนจะบ่นอุบ

“มันก็นิสัยเดิมนั่นแหละ ปากแข็ง อวดดี… เดี๋ยวเถอะ มันจะต้องอกแตกตายแน่ที่รู้ว่าผมกลายเป็นพี่เมียของมัน”

“ไหนว่าจะเลิกเจ้าคิดเจ้าแค้นแล้วไงคะ บอกมาซะดีๆ ว่าเจ้านายพูดอะไรบ้าง และยอมคืนดีกับริก้าหรือเปล่า” พเยียทำเสียงดุคาดคั้นสามี

“คืนดีหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่เจ้าหมอนั่นมันฝากมาบอกพเยียว่า… มันจะไม่โกรธพเยีย หากพเยียยอมเป็นแม่งานจัดงานแต่งงานของมันกับริก้าให้…”

“งั้นก็แสดงว่า…”

พเยียยิ้มกว้าง ดวงตาหวานฉ่ำเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจ มาร์คอสยิ้มกว้างพอๆ กับภรรยาขณะดึงร่างอรชรเข้ามากอดแนบอก

“ก็สำเร็จไปแล้วอีกคู่หนึ่งไงครับ… คราวนี้ก็เหลือแต่แองจี้ ไม่รู้ว่าจะเลิกพยศกับฟาเดล… เอ่อ ผมหมายถึงองค์ชายบาร์ซาร์เมื่อไหร่”

พเยียแนบหน้ากับอกกว้างของสามีด้วยความรักใคร่ “ถ้าเขาเป็นคู่กัน… เขาก็จะต้องรักกันค่ะ ว่าแต่… แองจี้จะเดินทางไปการ์ซานเมื่อไหร่กันคะ”

“อาทิตย์หน้าแองจี้ก็จะต้องออกเดินทางแล้ว…”

“หวังว่าแองจี้จะโชคดีนะคะ” พเยียอวยพร มาร์คอสยิ้มกว้างด้วยความเชื่อมั่น

“องค์ชายบาร์ซาร์เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งโลกใฝ่ฝัน ผมมั่นใจว่าเพื่อนของผมคนนี้จะทำให้น้องสาวของผมมีความสุข และแน่นอนว่าแองจี้จะต้องเป็นผู้หญิงที่สาวๆ ทั่วทั้งโลกอิจฉา”

“แต่พเยียไม่อิจฉาค่ะ… เพราะพเยียมีคุณ พเยียรักคุณ…”

มาร์คอสยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ “ผมเองก็รักคุณไม่ต่างกันทูนหัว วันแรกที่สบตารักยังไงวันนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังคงรักอย่างงั้น และมั่นใจว่าความรักที่ผมมีให้คุณมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ในวันพรุ่งนี้”

“ขอบคุณค่ะที่รัก…” หญิงสาวเงยหน้าจากแผงอกกำยำแน่นหนั่นของสามี ยิ้มหวานฉ่ำให้กับเขาด้วยความสุขที่อาบไล้หัวใจ

“ถ้ารักผม… อย่าขัดใจผมนะทูนหัว…”

พเยียอมยิ้มอย่างเอียงอายเพราะรู้ดีว่าสามีหมายถึงอะไร “พเยียเคยขัดใจคุณได้ที่ไหนกันล่ะคะ คุณเอาแต่ใจจะตายไป… แต่ยังไงซะพเยียก็รักคุณ…”

มาร์คอสยิ้มกว้างและไม่พูดอะไรออกมาอีกนอกจากก้มลงดูดดื่มกลีบปากสาวที่เผยอรอคอยด้วยความหิวกระหาย ความโหยหาแทรกซึมไปทั่วทุกอณูเนื้อ พเยียครางออกมาด้วยความสุขหวานฉ่ำเมื่อสามีตัวโตดันร่างของหล่อนให้นานหงายลงกับที่นอนอีกครั้ง ก่อนที่อ้อมแขนกำลังจะกอดรัดลงมา อ้อมแขนที่หล่อนมั่นใจเหลือเกินว่ามันจะโอบรัดให้ความสุขกับหล่อนไปชั่วนิจนิรันดร์

Options

not work with dark mode
Reset