บ่วงมาร 38

ตอนที่ 38

เช้าวันต่อมาซึ่งเป็นวันหยุด นาริกาก็ถูกมาร์คอสเรียกเข้ามาหาพบที่ห้องทำงานบนชั้นสองของตึกใหญ่ หญิงสาวอดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นข้างกายของชายหนุ่มมีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งอยู่ด้วย

“นี่เอเดนลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง… และต่อไปเขาก็จะเป็นสามีในอนาคตของเธอ เมื่อเธอหย่าขาดจากไอ้เดนนิส โอซิล…”

หญิงสาวตกใจจนพูดไม่ออก ได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก มาร์คอสเห็นท่าทางของน้องสาวบุญธรรมแล้วก็อดลอบยิ้มไม่ได้

“และนี่คือตั๋วเครื่องบินไปกรุงเทพฯ”

ชายหนุ่มชูกระดาษใบเล็กๆ ในมือขึ้นกลางอากาศ นาริกาก็ยังได้แค่มอง แต่พูดไม่ออกอีกเช่นเคย สมองพังพินาศตั้งแต่ได้ยินว่าผู้ชายหล่อสะอาดตรงหน้าจะเป็นสามีในอนาคตของตัวเองนั่นแหละ

“เอเดนอยากไปเที่ยวเมืองไทยมาก… และฉันก็มองไม่เห็นใครแล้วนอกจากเธอริก้า…”

“แต่ว่า…”

“หวังว่าเธอคงไม่ปฏิเสธคำขอร้องของพี่ชายบุญธรรมใช่ไหม…”

ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว… หญิงสาวยังคงยืนนิ่งเช่นเคย ทุกส่วนในร่างกายตายดับไปทั้งหมด เหลือเพียงแค่หัวใจเท่านั้นที่ยังคงเต้นด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน

ทำไมชีวิตของหล่อนถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ หล่อนจะต้องแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง ในเมื่อหล่อนยังรักเดนนิส โอซิลไม่เปลี่ยนแปลง รักเขา… รักมากกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก

“คือว่า… เอ่อ หมายถึงไปที่อื่นไม่ได้เหรอคะ”

“ผมอยากไปเมืองไทยครับ เพื่อนผมบอกว่าเมืองไทยสวย…”

คราวนี้เป็นผู้ชายที่ชื่อเอเดนตอบออกมา นาริกาได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก นอกจากก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง

หล่อนไม่อยากกลับไปเมืองไทย ไม่อยากได้กลิ่นของเดนนิสอีก แต่ทำไมหล่อนถึงได้หนีไม่พ้นสักทีนะ ทำไมมาร์คอสที่รู้ว่าหล่อนเจ็บปวดเพราะผู้ชายคนนั้น ยังพยายามยัดเยียดให้หล่อนกลับไปที่นั่นอีก ที่ที่หล่อนอยากจะลบเลือนให้มันออกไปจากสมองตลอดเวลา

“แต่ว่าโรมก็สวยนะคะ… แล้วริก้าก็อยากไปที่นั่น…”

“ขอผมไปเมืองไทยก่อนได้ไหมครับ แล้วครั้งหน้าเราจะไปฮันนีมูนที่โรมกัน…” คำพูดของผู้ชายแปลกหน้าทำเอาหญิงสาวหน้าซีดสลับแดง หล่อนปลายตาไปมองมาร์คอสอย่างขอความเห็นใจแต่ไม่มีใครมอบมันให้กับหล่อนเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนยังคงทำตามใจตัวเองกันเช่นเดิม

“ทำตามที่เอเดนบอกนั่นแหละริก้า… ไปเมืองไทย เย็นนี้…”

“เย็นนี้เลยหรือคะ? ทำไมมันเร็วแบบนี้…”

สาวน้อยอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่มาร์คอสกลับไหวไหล่กว้างทรงพลังของตัวเองอย่างไม่แยแสสิ่งใดเลย โดยเฉพาะความรู้สึกของหล่อน

“มันไม่เร็วไปหรอก… ไปเตรียมตัวเถอะ เย็นนี้ตอนห้าโมงตรงที่ลานจอดรถหน้าตึก…”

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่ริก้า ออกไปได้แล้ว…”

หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก นอกจากเดินคอตกออกมาจากห้องทำงานของมาร์คอส ระหว่างทางก็สวนเข้ากับพเยียพอดี สาวน้อยเลยถือโอกาสเล่าความทุกข์ใจให้กับคู่สนทนาฟัง หวังว่าพเยียจะเห็นใจและช่วยเหลือ แต่ตรงกันข้าม พเยียก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นดีเห็นงามกับมาร์คอส

“ฉันคงช่วยอะไรริก้าไม่ได้หรอกจ่ะ แต่ฉันคิดว่าริก้าจะมีความสุขหากได้ไปเมืองไทย…”

“แต่ริก้าไม่อยากไปนี่คะ คุณพเยียก็รู้ว่าริก้าไม่อยากอยู่ใกล้กับผู้ชายคนนั้น…” เจ็บปวดใจทุกครั้งที่ต้องเอ่ยถึงเดนนิส โอซิล

“ทุกอย่างมันคือพรหมลิขิต ต่อให้พยายามฝืนแค่ไหน แต่สุดท้ายเราก็ไม่สามารถต้านทานอำนาจของเบื้องบนได้หรอก ไปเถอะ… รับรองว่าเอเดนจะดูแลเธอเป็นอย่างดี…”

“แต่ริก้าไม่ต้องการใคร… คุณพเยียช่วยพูดกับคุณมาร์คอสให้หน่อยได้ไหมคะ”

พเยียส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะระบายยิ้มหวานออกมา “ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอก และทางที่ดีเธอควรจะรีบไปเตรียมตัวเดินทางดีกว่า ฉันบอกได้แค่นี้แหละ…”

และพเยียก็ก้าวยาวๆ หายเข้าไปในห้องทำงานของมาร์คอส ขณะที่หล่อนได้แต่ยืนน้ำตาไหลพรากด้วยความปวดร้าวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ขณะที่นาริกาเดินร่ำไห้กลับห้องไป พเยียก็กำลังเล่าถึงเรื่องที่ตัวเองโทรไปหาเดนนิสให้กับสามีและญาติสนิทของสามีฟังด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวัง

“เท่าที่คุยกันเมื่อครู่นี้ เจ้านายแคร์ริก้ามากค่ะ แต่ก็ยังสามารถรักษามาตรฐานความปากแข็งเอาไว้เช่นเดิม”

“หยิ่งนักมันน่าปล่อยให้อกหักเสียให้เข็ด…” มาร์คอสพึมพำอย่างหมั่นไส้

“คุณก็เคยเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือคะมาร์คอส…”

พอถูกภรรยาตอกกลับเข้าบ้างมาร์คอสก็รีบเปลี่ยนเรื่อง โดยหันไปพูดกับเอเดนลูกพี่ลูกน้องที่หล่อระเบิดไม่แพ้ตัวเองอย่างรวดเร็ว

“นายจะต้องทำให้เจ้าหมอนั่นมันหึงจนควันท่วมหูเข้าใจไหมเอเดน…”

เจ้าของชื่อหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแกล้งถามออกมา “แล้วถ้าผมถูกต่อยล่ะ จะทำยังไง…”

“ถ้านายโง่จนปล่อยให้ตัวเองถูกต่อย ฉันก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วล่ะ” มาร์คอสเหน็บเสียงกระด้าง เอเดนหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เดี๋ยวนี้มีผู้ชายที่ปากแข็งยิ่งกว่าก้อนหินอยู่อีก นึกว่าหมดไปกลับมนุษย์ยุคหินซะแล้ว”

“ญาติของคุณก็ปากแข็งใช่ย่อยที่ไหนกันล่ะคะเอเดน กว่าจะบอกว่ารักพเยียนะ แทบจะต้องก้มลงกราบกันเลยทีเดียว” พเยียได้ทีก็อดเหน็บสามีไม่ได้

“คุณก็พูดไปพเยีย… ผมน่ะปากแข็งได้ครึ่งเจ้านายสุดหล่อของคุณซะที่ไหนกันล่ะ”

“แต่พเยียว่าพอๆ กันเลยค่ะ กินกันไม่ลงทีเดียว…”

“เอาล่ะอย่าพึ่งเถียงกันเลยครับว่าใครปากแข็งไม่ปากแข็ง เอาเป็นว่าเย็นนี้ให้ผมเดินทางไปเมืองไทยพร้อมกับนาริก้าใช่ไหมครับ จากนั้นก็ให้ไปในสถานที่ที่เดนนิส โอซิลจะปรากฏตัว และทำให้นายนั่นหึงนาริกาจนควันท่วมหู ก่อนจะรีบชิงหนีเมื่อทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ที่ผมพูดออกมานี่ถูกต้องใช่ไหมครับ…” เอเดนทวนแผนการที่มาร์คอสสั่งให้ตนเองทำอีกครั้งอย่างแม่นยำ

เจ้าของแผนการยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ “ถูกต้อง… นายหัวดีไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ เอเดน”

“มันก็แน่นอนอยู่แล้วล่ะมาร์คอส ในเมื่อสมัยเรียนฉันได้ที่หนึ่งทุกเทอม ขณะที่นายได้แค่ที่สอง…” เอเดนหัวเราะขบขัน ขณะที่มาร์คอสหน้าแดงก่ำด้วยความขุ่นเคือง

“อย่าเอาเรื่องสมัยเด็กมาพูดได้ไหม ฉันไม่อยากฟัง…”

“จริงหรือคะเอเดน แล้วทำไมมาร์คอสไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย… บอกแต่ว่าตัวเองเรียนเก่งที่สุดในห้องอย่างเดียว โกหกนี่น่ามาร์คอส…”

พเยียผสมโรงแกล้งสามีตัวโตด้วยอีกคน และนั่นก็ทำให้มาร์คอสงอนหนัก ลุกขึ้นและเดินหนีออกไปจากห้องทำงานทันที

“มาร์คอสโกรธแล้ว… คุณพเยียต้องลำบากแน่เลย เพราะมาร์คอสหายโกรธยากมาก” เอเดนพูดขึ้นด้วยความวิตกกังวล แต่พเยียกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย เพราะหล่อนรู้ว่าสามีน่ะมีจุดอ่อนอยู่ที่ไหน และต้องง้อด้วยอะไรเขาถึงจะหายโกรธ

“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ มาร์คอสไม่เคยโกรธพเยียนานเกินครึ่งชั่วโมงหรอก”

“จริงเหรอครับ… งั้นแสดงว่าคุณมีอิทธิพลกับเขามากจริงๆ เพราะเท่าที่ผมจำได้เมื่อสมัยเด็กๆ แค่ผมทำรถแข่งของเขาพัง เขาโกรธผมไปเกือบปีทีเดียว”

“เรารักกันมากค่ะ… รักกันด้วยหัวใจจริงๆ เอาไว้คุณเอเดนเจอผู้หญิงของตัวเอง คุณก็จะรู้สึกไม่แตกต่างจากมาร์คอสและก็พเยียหรอกค่ะ”

เอเดนยิ้มบางๆ ก่อนจะส่ายหน้าหล่อระเบิดน้อยๆ “ผมไม่เคยคิดถึงการแต่งงาน… ผมไม่ชอบการผูกติดกับคนอื่น ผมชอบอยู่คนเดียว…”

“เมื่อก่อนมาร์คอสก็คิดแบบนี้แหละค่ะ แต่เมื่อถึงเวลาคุณจะไม่พูดแบบนี้…”

“เกรงว่าผมจะพูดอย่างนี้ไปตลอดชีวิตแหละครับ… เพราะผู้หญิงในสายตาของผมไม่ต่างจากขยะ พวกหล่อนก็แค่อยากได้เงินที่ไม่ใช่ของตัวเอง…”

“คุณอคติกับผู้หญิงมากเกินไปหรือเปล่าคะเอเดน… ผู้หญิงในโลกมีเป็นล้านๆ คน และไม่มีทางที่จะมีนิสัยเหมือนกันทุกคนหรอกค่ะ อย่าเหมารวมแบบนี้สิคะ” พเยียพยายามให้แง่คิด แต่คู่สนทนาหาได้ยอมคล้อยตามไม่ เพราะเขายังคงอคติเช่นเดิม

“ผมไม่ได้เหมารวมทุกคนหรอกครับ เพราะอย่างน้อยๆ คุณพเยียก็ไม่ใช่อย่างนั้น…”

“ขอบคุณค่ะที่มองพเยียในแง่ดี แต่พเยียขอพูดสักนิดหนึ่งนะคะ…”

เอเดนแม้จะไม่อยากฟังอะไรมากนัก แต่ด้วยมารยาทจึงต้องพยักหน้าอนุญาตอย่างไม่มีทางเลือก พเยียเห็นสัญญาณนั้นจึงรีบพูดสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้ขึ้นมาทันที

“ผู้หญิงก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งค่ะไม่ใช่ขยะ อาจจะมีบางคน หรือหลายคนที่ทำให้คุณคิดว่าพวกหล่อนนิสัยไม่ดี แต่ยังไงซะก็ยังมีผู้หญิงอีกจำนวนมากที่เป็นคนดี และพวกหล่อนก็ขยันทำงานหาเลี้ยงชีวิตด้วยลำแข้งของตัวเอง พเยียไม่ทราบหรอกนะคะว่าคุณเอเดนเคยพบเจออะไรมาบ้าง แต่พเยียพอจะรู้ว่าเรื่องที่คุณเอเดนเจอมานั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ คุณเอเดนถึงได้ฝังใจเกี่ยวกับผู้หญิงแบบนี้ แต่พเยียอยากขอร้องให้คุณเอเดนลองมองผู้หญิงซะใหม่ จะเลือกปฏิบัติก็ได้ แต่อย่าเหมารวมเลยค่ะ เพราะนั่นมันจะทำให้คุณทำร้ายใครหลายๆ คนที่ไม่มีความผิด… และก็จะเป็นคุณเอเดนเองนั่นแหละที่จะต้องมานั่งเจ็บปวด เพราะความร้ายกาจของตัวเอง”

“ผมยอมรับว่าสิ่งที่คุณพเยียพูดมานั้นมันคือความจริง แต่ผม… คงใจไม่กว้างพอที่จะทำอย่างที่คุณพเยียพูดได้ ผมฝังใจไปแล้วครับ…”

พเยียถอนใจออกมาด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ อดแปลกใจไม่ได้เลยจริงๆ ว่าทำไมผู้ชายหล่อๆ ชาติตระกูลเลิศๆ ทุกคนจะต้องเกลียดผู้หญิงเข้าไส้แบบนี้ด้วย

“พเยียไม่คิดจะบังคับคุณหรอกค่ะ เอเดน แต่พเยียอยากให้คุณลองพยายามทำเท่านั้นเอง…”

“ถ้ามันจะทำให้คุณพเยียสบายใจ ผมจะพยายามครับ…”

“ขอบคุณค่ะ งั้นพเยียขอตัวก่อนนะคะ ขอไปง้อมาร์คอสก่อน ป่านนี้หนีเข้าห้องนอนไปแล้วมั้ง” แม้ว่าเอเดนจะยังไม่ได้รับปาก แต่หญิงสาวพอใจแล้วที่เขาจะพยายามทำมัน

“ตามสบายเถอะครับ…”

พเยียยิ้มให้กับญาติสนิทของสามีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องทำงานของมาร์คอส มุ่งหน้าสู่ห้องนอนอย่างรวดเร็ว เพราะแทบไม่ต้องเดาเลยก็รู้ว่าตอนนี้มาร์คอสอยู่ที่ไหน

Options

not work with dark mode
Reset