บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 763: พัศดี!

ตอนที่ 763: พัศดี!

ตอนที่ 763: พัศดี!

ตอนที่ 763: พัศดี!

ปัง! ปัง! ปัง!

ร่างของผู้ฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณเหล่านั้นแตกกระจุยราวกับพลุไฟสีแดงยี่สิบกว่าดอกกำลังแตกระเบิด

น่าสะพรึงนัก

ดาบนี้ ซูอี้ไม่ได้ใช้พลังของดาบเก้าคุมขังแต่อย่างใด

สาเหตุที่สามารถฆ่าคู่ต่อสู้ที่หลบหนีทั้งหมดได้ เหตุผลนั้นง่ายมาก

ภาวะจิตกับใจที่ฮึกเหิมของฝ่ายตรงข้ามสูญสลายไปแล้ว!

คู่ต่อสู้เช่นนี้ไม่มีอานุภาพอันใดให้กล่าวถึงอีก

ฟ้าดินที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ยังคงมีพลังแห่งการทำลายล้างปกคลุม

มีเพียงซูอี้คนเดียวเท่านั้นที่ยืนมองดูสรรพสิ่งอย่างสงบ

ราวกับเทพเซียนผู้ไร้พ่าย!

ผู้ที่มองดูการต่อสู้อยู่ห่าง ๆ ต่างพากันนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น สองตาอับแสง

ศึกครั้งนี้ ผู้แข็งแกร่งสุดยอดทั้งหมดของเจ็ดขุมกำลังใหญ่ ร่วมมือกัน สร้างค่ายกลกับดักหลายด่าน และยังใช้สมบัติล้ำค่าที่สืบทอดมานานหลายประเภท

ทว่าสุดท้ายก็ยังคงพ่ายแพ้อยู่ดี

พ่ายแพ้แก่ซูอี้เพียงคนเดียว!

ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณหกสิบสามคน ขอบเขตสยายวิญญาณร้อยกว่าคน ตายกันหมด ไม่รอดสักคนเดียว!

น่ากลัวมาก!

ฟ้าดินสงบเงียบ บรรยากาศอึมครึม

“หนึ่งคนหนึ่งดาบ ทลายการร่วมมือกันของเจ็ดขุมกำลังใหญ่ ความยิ่งใหญ่เช่นนี้ หากว่าเป็นเมื่อสามหมื่นปีก่อน ก็ไม่มีใครสามารถเทียบได้เช่นกัน…”

ผู้อาวุโสบางคนลอบครุ่นคิด

ศึกใหญ่หลังแสงสว่างแห่งโลกกว้างที่สร้างความสนใจแก่ทุกคนในใต้หล้านี้… จะตัดสินทิศทางความเป็นไปของโลกกว้าง

และตอนนี้ เมื่อเจ็ดขุมกำลังใหญ่พ่ายแพ้อย่างยับเยิบ สามารถคาดการณ์ได้ว่าวันข้างหน้ามหาทวีปคังชิงแห่งนี้จะมีซูอี้คนเดียวเท่านั้นที่เป็นใหญ่!

หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่า เขาคนเดียวก็สามารถสยบใต้หล้าได้!

“ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดอยู่ว่า ต่อให้ผู้เป็นจักรพรรดิมาเจอกับการต่อสู้ด่านแล้วด่านเล่าเช่นนี้ ก็ยังต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ใครเลยจะคิดว่า ซูอี้กลับสามารถทะลวงผ่านมาได้ ทั้งยังฆ่าศัตรูทั้งหมดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้?”

ผู้แข็งแกร่งจากขุมกำลังใหญ่คนอื่น ๆ ต่างก็เนื้อกระตุกใจเต้น กลัวจนปอดแหก

สำหรับพวกเขาแล้ว ความพ่ายแพ้ของเจ็ดขุมกำลังใหญ่เป็นการแสดงให้เห็นว่า วันข้างหน้าต่อให้เป็นขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ก็ยังต้องก้มหัวให้ซูอี้อยู่ดี!โนเวลพีดีเอฟ

“จบกัน เจ็ดขุมกำลังใหม่จบสิ้นแล้ว…”

มีคนร่ำร้องในใจ

ศึกครั้งนี้ ผู้แข็งแกร่งของเจ็ดขุมกำลังถูกซูอี้คนเดียวฆ่าตายจนแทบไม่เหลือ ไม่ต้องคิดก็สามารถรู้ได้ว่า ต่อให้ซูอี้ยอมรามือเพียงเท่านี้ เจ็ดขุมกำลังใหญ่จะตกเป็นเนื้อบนเขียงให้ขุมกำลังอื่น ๆ มาแบ่งแย่งกัน!

“อานุภาพของคน ๆ เดียวสามารถแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ บนแสงสว่างแห่งโลกกว้างขณะนี้ ผู้ใดจะยังสามารถเทียบเคียงกับเขาได้?”

“คนทั้งโลกเรียกเขาว่าเป็นเซียน สมแล้วที่ถูกขนานนามเช่นนั้น!”

“หนึ่งคนหนึ่งดาบกดทับโลกกว้าง นับแต่บรรพกาลจนถึงตอนนี้ เคยมีมาก่อนที่ไหนกัน?”

เวลานี้คนเก่งรุ่นใหม่อย่างกู่ชางหนิง หลวงจีนเฉินลวี่ เฉิงผู กับฉือเจี่ยนซู่ รู้สึกตื่นตะลึงและเจือด้วยความรู้สึกหลากหลาย

ท่ามกลางฝูงคนที่ห่างไกลออกไป ฟู่ชิงอวิ๋นผู้นำแห่งหอเมฆาเขียวก็เห็นเหตุการณ์การต่อสู้ครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เขารู้สึกตื่นตะลึงไม่หาย

เขาหยิบยันต์หยกแผ่นหนึ่งออกมา ขณะที่กำลังจะเขียนบันทึกการต่อสู้ในวันนี้

ฉับพลันนั้นเอง…

ท่ามกลางผืนปฐพีอันเงียบสงบแห่งนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น จึงแลดูเสียงดังชัดเจนกว่าปกติ จนถึงขั้นรู้สึกบาดหู

“ยอดเยี่ยม! บนหนทางแห่งวิถีวิญญาณ การต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้สามารถกล่าวได้ว่าหาได้ยากมาก!”

เสียงหนักทุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากขอบฟ้าที่แสนไกล

เสียงนั้นราวกับเสียงระฆังในยามเช้า ราวกับเสียงมหาวิถี ดังกึกก้องไปทั่ว แฝงด้วยอานุภาพแห่งความยิ่งใหญ่

คนทั้งหลายแหงนหน้ามองขึ้นไปโดยสัญชาตญาณ

ขอบฟ้าที่ไกลโพ้น มีร่างของคน ๆ หนึ่งเดินมา

ร่างของคน ๆ นั้นผอมสูง สวมชุดยาวสีดำทั้งตัว ทั่วทั้งตัวรายล้อมอยู่ภายในแสงสลัวอันน่าสะพรึงกลัว ขณะที่ก้าวเดินกลางอากาศ ใต้ฝ่าเท้ามีภาพดอกบัววิถีสีดำผุดขึ้นตามฝีก้าว

ราวกับมหาวิถีกำลังประคองฝีเท้าของเขา

เป็นเพราะอยู่ห่างจนเกินไป และประกอบกับรอบตัวของคนผู้นี้มีแสงสลัวล้อมรอบ จึงไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน

แต่เพียงแค่มองดูไกล ๆ ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้สึกหวาดกลัวและไม่เป็นสุขอย่างช่วยไม่ได้ ขนตั้งชันไปทั้งตัว หนาวถึงสันหลัง!

ร่าง ๆ นั้นราวกับเทพอสูรที่เดินออกมาจากด้านล่างของเก้ามืดมิด ยิ่งใหญ่ประดุจแผ่นฟ้า!

“นั่นคือ… เทพเซียนเช่นนั้นหรือ?”

ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าใดที่ตื่นตกใจ บนใบหน้ามีแต่ความหวาดกลัว

แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งจากขุมกำลังใหญ่ก็ยังทำหน้าฉงนสงสัย ตัวแข็งทื่อ

ห่างกันไกลถึงเพียงนั้น เพียงแค่มองดูเฉย ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความน่าหวาดกลัว คนผู้นั้นควรจะเป็นตัวตนที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงใดกัน?

ฟู่ชิงอวิ๋นผู้นำหอเมฆาเขียวหรี่ตาเล็กลง สีหน้าเปลี่ยนในทันใด ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ!?

ไม่ใช่ หากว่าเป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ… กฎฟ้าดินของมหาทวีปคังชิงคงเสียหายไปนานแล้ว และไม่อาจรองรับอานุภาพของเขาได้

ฟู่ชิงอวิ๋นตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด

ถึงแม้จะมองประวัติความเป็นมาของฝ่ายตรงข้ามไม่ออก แต่เขามั่นใจได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามมาหาซูอี้เป็นการเฉพาะอย่างแน่นอน อีกทั้งยังคอยดูเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ มาตั้งนานแล้วด้วย!!

ครุ่นคิดสักครู่ ฟู่ชิงอวิ๋นก็เก็บยันต์ลับในมือ

ศึกครั้งใหญ่ที่สร้างความสนใจแก่คนทั่วทั้งโลกหล้า บางทีอาจจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่โอกาสฆ่าซูอี้ยังคงไม่เคยปิดฉากลง

เขาตัดสินใจดูต่อไป

บนท้องฟ้าเหนือภูเขาเด็ดดาว เมื่อเห็นร่างผอมบางสูงโปร่งร่างนั้นแล้ว ซูอี้จึงเผยยิ้มออกมาที่มุมปาก

เขาหยิบน้ำเต้าสุราออกมา เงยหน้าดื่มอย่างเต็มที่อึกหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวขึ้นมาด้วยความพอใจ “ยังดีที่เจ้าปรากฏตัวขึ้น ไม่เช่นนั้น ศึกในวันนี้ คงจะแลดูน่าเบื่อไร้รสชาติไปสักหน่อย”

คนทั้งหลายต่างก็ตะลึง จากนั้นจึงเข้าใจแล้วว่า ซูอี้รู้จักกับฝ่ายตรงข้าม อีกทั้งยังคาดเดาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าอีกฝ่ายจะมา!

“กล่าวเช่นนี้ เจ้ารู้ก่อนแล้วว่าข้าจะมาล่ะสิ?”

ณ จุดที่ไกลโพ้น ผู้ชายชุดสีดำคนนั้นเอ่ยขึ้น

แสงสลัวบนตัวกับลายดอกบัวสีดำใต้ฝ่าเท้าของเขาแลดูลึกลับและน่ากลัว

และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือ ทุกคนต่างก็พบว่าเมื่อผู้ชายชุดดำคนนี้ก้าวเดินมา ภูเขาลำธารและฟ้าดินที่อยู่เบื้องหลังเขาถูกความมืดบดบังราวกับอยู่ในความมืดมิดตลอดกาล

ความมืดมนเช่นนั้นดูดกลืนแสงสว่าง บดบังดวงตะวัน ย้อมภูเขาลำธารให้มืดครึ้ม!

มองดูไกล ๆ ผู้ชายชุดดำดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่มาพร้อมกับความมืดมนแห่งบรรพกาล เมื่อมาถึง ทุกสรรพสิ่งล้วนตกอยู่ในความมืดมน

ภาพประหลาดน่ากลัวเช่นนี้ทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปพากันขนหัวลุกไปทั้งตัว

เป็นตัวตนระดับไหนกันจึงได้มีอานุภาพที่สามารถบดบังดวงตะวันได้เช่นนี้?

ซูอี้ก็สังเกตเห็นในจุดนี้เช่นกัน แต่ไม่ได้ให้ความสนใจ

เขายังคงดื่มสุราของตัวเองต่อไป พลางกล่าวขึ้นมา “ตอนที่ออกจากถ้ำอุกกาบาตในครั้งนั้น ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีสักวันที่เจ้าจะมาหาข้า”

พูดถึงตรงนี้ ซูอี้ก็หัวเราะ “แต่ว่าครั้งนี้ข้ากลับเดาผิดไป”

ผู้ชายในชุดดำร้องอ้อ จากนั้นถาม “เดาอะไรผิด?”

เขาก้าวเดินตามสบาย แลดูเชื่องช้า ทว่าแท้จริงแล้วในช่วงหนึ่งก้าวมีระยะห่างถึงสิบจั้ง จนถึงตอนนี้ เขาอยู่ห่างจากซูอี้เพียงแค่ประมาณสามร้อยจั้งเท่านั้น

และเวลานี้เอง ทุกคนจึงมองเห็นโฉมหน้าของผู้ชายชุดสีดำอย่างชัดเจน

ผิวของเขาขาวเนียนราวหยกงาม ใบหน้าผอม เวลาที่ลืมตาขึ้น แสงสลัวประหลาดและลึกลับจะผุดขึ้นมาราวกับประตูนรก น่ากลัวเสียเหลือเกิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่เด่นสะดุดตา กลางหน้าผากของเขามีรูปสีเลือดประทับ สีแดงประดุจไฟเผาผลาญ!

“เดิมทีข้าคิดว่า ขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าก่อนหน้า และเห็นว่ามีเจ้าคอยหนุนหลังจึงกล้าท้ารบกับข้าโดยไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย”

ซูอี้โพล่งออกมา “แต่ตอนนี้ดูท่าแล้ว ข้าคงคิดมากไปเอง”

ผู้ชายชุดดำแสดงสีหน้าดูแคลนออกมาอย่างเปิดเผย “ขุมกำลังใหญ่ในโลกเหล่านั้น ในสายตาของคนในโลกใบนี้อาจจะเป็นตัวตนที่สูงส่งจนไม่อาจเอื้อม แต่ในสายตาของข้า เป็นเพียงแค่นกกากลุ่มหนึ่งเท่านั้น ยังไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้ข้า ข้าจะไปสมรู้ร่วมคิดกับพวกเขาได้อย่างไรกัน?”

คำพูดที่กล่าวมาเต็มไปด้วยความดูแคลน

นั่นเป็นการสบประมาทที่แสดงออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ

คนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไปต่างก็ตื่นตะลึงและไม่สบายใจ นิ่งเงียบไม่กล้าพูด ไม่มีใครกล้าส่งเสียง

เพราะว่าผู้ชายชุดดำเดินมาทางนี้ไม่หยุด อานุภาพอันน่ากลัวไร้ตัวตนก็พลอยแผ่ขยายออกไปด้วยเช่นกัน กดดันจนพวกเขารู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งใจและกาย

มีผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยถึงกับตกใจจนเหงื่อไหลไคลย้อย แทบจะเป็นลมไปกองกับพื้น

ความรู้สึกเช่นนั้น ราวกับมดตะนอยบนพื้นมองเห็นเทพบนสวรรค์ก้าวเดินลงมาทีละก้าว!

“ยิ่งไปกว่านั้น สู้กับตัวประหลาดน้อยอย่างเจ้า ข้าคนเดียว… ก็พอแล้ว”

ขณะที่พูด ผู้ชายชุดดำอยู่ห่างจากซูอี้เพียงร้อยจั้งเท่านั้น

เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ท้องฟ้าสว่างสดใส สภาพตอนกลางวันปรากฏขึ้นให้เห็น

ทว่าด้านหลังของเขากลับมืดมิดราวกับกลางคืน ไร้ดวงตะวัน มีแต่ความมืดมน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมองไม่เห็น

ภาพเหตุการณ์เช่นนั้น บอกได้แค่ว่ามหัศจรรย์

บรรยากาศที่น่ากลัวไร้ตัวตนแผ่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ราวกับร่วงหล่นไปอยู่ในห้องน้ำแข็ง มีแต่ความหวาดกลัวไม่เป็นสุข

“อย่าร้อนใจไป ข้ารู้ว่าเจ้ามาเพราะเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง แต่ก่อนหน้านี้ คุยกันก่อนให้รู้เรื่องได้หรือไม่?”

เวลานี้ซูอี้แลดูใจเย็นนัก

ผู้ชายชุดดำนิ่งไป สายตาเป็นประกาย และกล่าวว่า “มองออกว่าเจ้า… ดูเหมือนอยากจะรู้ความเป็นมาของข้า?”

“แน่นอน”

ซูอี้ตอบตามตรง “ก่อนหน้านี้ข้าเดามาตลอดว่าเจ้าจะใช้พัศดีหรือไม่ แต่ตอนนี้ ข้าต้องการพิสูจน์การคาดเดานี้”

พัศดี!

ได้ยินคำ ๆ นี้แล้ว คนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปต่างก็รู้สึกงงงัน มีแต่เพียงฟู่ชิงอวิ๋นเท่านั้นที่ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด

“ชักสนุกแล้ว”

ผู้ชายชุดดำลูบคาง ขณะพินิจดูซูอี้ใหม่อีกครั้ง จากนั้นจึงยิ้มพลางกล่าว “หากว่าเจ้ามอบเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงออกมาตอนนี้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะไขข้อสงสัยของเจ้า”

ซูอี้ขมวดคิ้ว พลางกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากไม่กดเจ้าลงบ้าง เจ้าก็คงไม่พูดใช่หรือไม่?”

ผู้ชายชุดดำราวกับได้ยินเรื่องตลกขบขัน จึงหัวเราะเสียงหลง “เจ้า… ไหวหรือ?”

ในสายตาของเขาผุดประกายมืดมิด เต็มไปด้วยเลศนัย

จากนั้นเขาก็กล่าวช้า ๆ “คนหนุ่ม อย่าหาว่าข้าใช้ความอาวุโสดูแคลนเจ้า ด้วยคุณสมบัติและระดับวิถีของเจ้า กล่าวได้ว่าหาพบได้ยาก ต่อให้อยู่ในโลกภูมิอื่น ก็ยังถือได้ว่าหายาก”

“แต่ในสายตาของข้า นอกจากขอบเขตจักรพรรดิแล้ว คนขอบเขตอื่น ๆ ก็เป็นเพียงแค่ดินทรายที่ไม่ได้เรื่องเท่านั้น”

ผู้ชายชุดดำชายตามองไปที่ซูอี้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้า… ก็เช่นเดียวกัน และข้ามักจะใจกว้างต่อตัวตนอย่างเจ้าเช่นนี้ ขอเพียงมอบเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมา ข้ารับรองว่า จะให้เจ้ามีชีวิตรอด หากว่าเจ้าคิดว่าคำพูดของข้าไม่น่าฟัง ถ้าเช่นนั้น… ก็มีแต่หนทางแห่งความตายเท่านั้น”

เสียงของเขาราบเรียบและสบายอารมณ์ ราวกับกำลังสั่งสอนคนรุ่นหลังให้รู้สึกสำนึก ทว่าทุกคำที่พูดนั้นคล้ายกับตนเองสูงส่งเสียเหลือเกิน มองเห็นใคร ๆ ต่ำต้อยไปหมด

ท่าทีเช่นนี้ทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ซูอี้ทลายการร่วมมือของเจ็ดขุมกำลังใหญ่ไปอย่างง่ายดาย เห็นได้ว่ามีระดับวิถีน่ากลัวและยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหน

ทว่าผู้ชายชุดดำเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้วกลับไม่สนใจแม้แต่น้อยนิด และยังคงมองซูอี้เหมือนกับคนอื่น ๆ เป็นเพียงแค่ดินทรายที่ไม่ได้เรื่องเท่านั้น!

กล่าวอีกอย่างได้ว่า มีแต่ขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าสู่สายตาของผู้ชายชุดดำ!

เห็นเช่นนี้แล้ว ซูอี้ได้แต่ถอนใจเบา ๆ เงยหน้ากรอกสุราเข้าปากจนหมด

ความอดทนที่เขามีเหลืออยู่เพียงน้อยนิดถูกคำพูดของผู้ชายชุดดำพังทลายไปจนสิ้นแล้ว!!

——————————–

บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]

บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset