[นิยายแปล] Reincarnated into an Otome Game? Who Cares! I’m Too Busy Mastering Magic!บทที่2 25 เพื่อน และ ผู้ช่วย

บทที่2 ตอนที่ 25 เพื่อน และ ผู้ช่วย

บทที่ 2 ตอนที่ 25: เพื่อน และ ผู้ช่วย

 

“คนที่เหมาะสมจะเป็นเพื่อนหรอคะ…?”

 

ขณะที่ชั้นหายจากอาการอายหลังจากถูกเห็นตอนเล่นเกมชี้นิ้วนั่นกับคอนนี่ ชั้นก็ได้เอ่ยปากถามกับท่านแม่

 

“ใช่แล้วล่ะจ่ะ พวกเราจะได้พบเหล่าเด็กๆที่อายุพอๆกับลูกจากตระกูลใกล้เคียงด้วย จากนั้นลูกจะต้องเลือกคนที่หนูคิดว่าจะสนิทกันได้น่ะจ่ะ”

 

“พ่อหวังว่าลูกจะพบคนที่ลูกสามารถอยู่ด้วยได้อย่างสบายใจจนมีสนิทสนมกันในระยะยาวนะ”

 

โฮะโฮ่ อย่างที่คิด ถ้าเป็นตระกูลมาร์ควิสละก็จะสามารถเป็นฝ่ายเลือกได้สินะ

 

อย่างแรกเลย ชั้นควรจะตั้งกลุ่มดีๆขึ้นมาแล้วเลือกคนที่ไว้ใจได้จากในกลุ่มนั้นเอา

 

ถ้าชั้นเลือกเด็กสาวขี้อายมาเป็นเพื่อนละก็ งั้นมันก็จะเหมือนกับ ‘ลูกน้องของนางร้าย’ ตามแบบฉบับทั่วๆไปเลยหน่ะสิ

 

อนึ่ง เพราะชั้นสลบไปหลังจากงานเลี้ยงน้ำชาเปิดตัวของชั้นในทันที ชั้นก็เลยยังคงไม่มีเพื่อนเหมือนเดิม

 

ชั้นมีความรู้สึกว่าชั้นต้องทำความรู้จักกับเด็กคนนึงให้ได้ แต่ว่าเธอยังอายุแค่ 3 ขวบอยู่เลยตอนนี้

 

แล้วชั้นก็มีเพียงแค่ความทรงจำอันเลือนรางเกี่ยวกับผู้คนอื่นๆนอกจากครอบครัวของชั้นและครอบครัวเวอร์จิลด้วย

 

“เอาละถ้างั้น เรามาเริ่มจากการพบกับลูกของชั้นก่อนดีไหม?”

 

“ของพี่สาว… อืม พี่ชาย โอนิกซ์ (Onyx) กับพี่สาว อาเธน่า (Athena) ใช่ไหมคะ?”

 

เมื่อขั้นเอ่ยชื่อที่ชั้นจำได้ออกไป พี่สาวก็ได้พยักหน้าตอบรับ

 

“ใช่ โอนิกซ์หน่ะเจ้ากี้เจ้าการไปหน่อยแต่ก็ใจดีนะ อาเธน่าเองก็ขึ้อายแต่เป็นคนเรียนรู้เร็วด้วย”

 

“งั้นหรอคะ แล้วพวกเขาอายุเท่าไหร่กันแล้วหรอคะ?”

 

“โอนิกซ์อายุ 10 ปีแล้วตอนนี้ ส่วนเอเธน่านั้น 7 ขวบ เธอแก่กว่าอลิซแค่ 1 ปีเอง”

 

งั้นหรอ ถ้าเราอายุใกล้ๆกันละก็ งั้นชั้นก็อาจจะเข้ากับพวกเขาได้ก็ได้

 

“โอนิกซ์ถูกสั่งสอนมาในฐานะผู้นำตระกูลคนต่อไปด้วยสินะ?”

 

“ใช่ แต่ว่าชั้นเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะเลือกทางไหนเหมือนกัน ด้วยความเจ้ากี้เจ้าการของเขาแล้วด้วย”

 

……ชั้นคิดว่าในตอนนี้คงมีเห็นเป็นทางเดียวกันว่าโอนิกซ์นั้นจะต้องเลือกเดินตามทางของพี่สาวทูไลท์แน่นอนเลย

 

“ชั้นคิดว่าอาเธน่าจังนั้นค่อนข้างขี้อายเลย ที่โรงเรียนเธอจะสบายดีไหมนะ?”

 

เมื่อท่านแม่พูดออกมาด้วยความเป็นห่วง พี่สาวทูไลท์ก็ยักไหล่ของเธอ

 

“ชั้นฝึกเธอมาเป็นอย่างดีแล้วละ ดังนั้นก็คงไม่น่าจะเป็นอะไร อย่างไรก็ตาม อารมณ์ของเธอยังคงอ่อนแออยู่ ชั้นก็เลยบอกเธอให้ฝึกฝนร่างกายของเธอเอาไว้”

 

“งั้นหรอ…”

 

ท่านแม่ถอนหายเข้าราวกับรู้สึกโล่งใจ

 

มาคิดๆดูแล้ว เธอเป็นลูกสาวของคุณลุงออดีพัสซึ่งก็หมายความว่าเธอเป็นหลานสาวของท่านแม่ด้วย มันเกี่ยวอะไรกับชั้นงั้นหรอ?

 

“หนูเองก็ต้องตัดสินใจเลือกผู้ช่วยด้วยสินะคะ”

 

“จ่ะ ลูกจะต้องตัดสินใจก่อนจะถึงงานวันเกิดของลูกด้วยนะ”

 

มาคิดดูแล้ว พวกเขาก็เอาแต่พูดถึงเรื่องที่ชั้นจะต้องตัดสินใจเลือกผู้ช่วยนี้มาสักพักแล้วด้วย

 

ชั้นไม่ค่อยแน่ใจว่าคนพวกนั้นเป็นแบบไหน ดังนั้นเมื่อชั้นถามออกไป ชั้นก็ได้รู้ว่า “ผู้ช่วย” ในโลกใบนี้นั้นเป็นเหมือนกับทั้งคนรับใช้และคนคุ้มกันไปในตัว

 

สำหรับท่านพ่อนั้น ผู้ช่วยของเขาก็คือออฟรานซ์ซังรวมถึงคนอีกไม่กี่คนที่กำลังทำงานอย่างหนักอยู่ในดินแดนอันห่างไกล

 

สำหรับท่านแม่นั้น ผู้ช่วยของเธอก็คือมาเรียซังที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเมด และผู้คนจำนวนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในดินแดนแบบเดียวกับท่านพ่อ

 

อนึ่ง ดูเหมือนว่าผู้ช่วยของผู้หญิงที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่จะแยกย้ายกันไปในทันทีที่เธอแต่งงานแล้ว

 

อืม นั่นก็หมายความว่าผู้ช่วยของชั้นอาจจะเป็นอัศวินก็ได้

 

และดูเหมือนว่าคนที่จะมาเป็นผู้ช่วยได้นั้นมักจะมาจากเด็กๆของตระกูลขุนนางชั้นล่างหรือชั้นกลาง โดยยกเว้นลูกคนโตเอาไว้

 

ในฐานะผู้ช่วยนั้น พวกเขาจะต้องมีฝีมือและเส้นสายมากพอที่จะหางานอื่น, ทำงานในคฤหาสน์ในฐานะคนรับใช้, หรือทำงานที่เจ้านายสั่งเพื่อหาเลี้ยงตัวเองให้ได้

 

ขนาดในขุนนางระดับเดียวกัน การใช้ชีวิตของพวกเขาก็ค่อนข้างแตกต่างกันไปตามลำดับชั้นในครอบครัวหรือจำนวนทายาทของพวกเขาเลย (เช่นลูกคนโตสุดหรือลูกคนเล็กสุดอะไรแบบนั้น)

 

ชั้นคิดถึงเรื่องนั้นอย่างคลุมเครือ

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 24: แผนการเรียน ส่วนที่ 2

 

สำหรับตอนนี้ ชั้นกำลังกระตือรือร้นที่จะถามถึงวิชาทั้งหมดนั่น

 

“อย่างที่ชั้นบอกไปเมื่อกี้ วิชาพิ้นฐานทั้ง 5 ที่จะได้เรียนในปีนี้นั้น ได้แก่ศิลปศาสตร์, ประวัติศาสตร์, คณิตศาสตร์, ดนตรี, และเวทมนตร์ จริงๆชั้นจะต้องใช้เวลาบางส่วนสอนสมุนไพรศาสตร์ด้วย แต่ชั้นก็ได้ติดต่อกับเวอร์จิลไปแล้ว ตัวเขาเองก็กระตือรือร้นที่จะสอนเหมือนกัน ดังนั้นชั้นก็ปล่อยทั้งหมดนั้นให้เป็นหน้าที่ของเขา เรียนกับผู้เชี่ยวชาญโดยตรงจะดีกว่า ทว่าอย่าลืมรายงานความคืบหน้าให้ชั้นด้วยละ”

 

“ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว”

 

แน่นอนว่าท่านพี่วิลล์ ในครั้งสุดท้ายที่เขาพูดว่า “เพิ่มเติมให้น้องอีกนิดหน่อย” นั้น เขาก็ได้เอาหนังสือเรียนสำหรับ 1 ปีเต็มมาให้ชั้น! บทเรียนสำหรับ 1 ปีมันไม่ใช่ ‘นิดหน่อย’ ไม่ใช่หรอ!?

 

“นอกจากการฝึกซ้อมร่างกายกับเรียนมารยาทแล้ว ชั้นจะสอนเน้นไปทาง 5 วิชาหลักตั้งแต่นี้ไป ตัวชั้นจะต้องคอยช่วยเหลือสามีกับตระกูลของชั้นด้วยเหมือนกัน ดังนั้นชั้นคงจะสอนหนูไม่ได้ทุกวัน ทว่าชั้นจะอยู่ที่นี่ครึ่งสัปดาห์ เรามาพยายามด้วยกันนะ”

 

“ค่ะ มาพยายามด้วยกันนะคะ!”

 

ชั้นมองไปทางครอบครัวของชั้นด้วยสายตา พวกเขาเองก็พยักหน้าอย่างมีความสุขมาทางนี้

 

พี่สาวทูไลท์เองก็มีลูก ให้เธอสละเวลามาสอนชั้นแบบนี้จะดีหรอ? ชั้นถามเธอถึงเรื่องนี้ ทว่าเธอตอบกลับมาว่าไม่มีปัญญาหา เพราะลูกชายคนเล็กของเธอพึ่งเข้าโรงเรียนไปไม่นานมานี้ เขาจึงไม่ต้องการความช่วยเหลือแล้ว

 

บางทีมันก็มีบรรยากาศเหมือนกับการเข้าค่ายฝึกซ้อมเลย ทั้งๆที่เป็นบ้านของชั้นเองแท้ๆ

 

ดูเหมือนว่าสัมภาระทั้งหมดซึ่งรวมของส่วนตัวของท่านพี่ทูไลท์จะมีจำนวนมากเลยละ

 

และด้วยการที่ใน 1 สัปดาห์นั้นมีทั้งหมด 7 วัน ประมาณ 3 หรือ 4 วันจะเป็นคาบเรียนของท่านพี่ทูไลท์

 

หลังจากนั้นก็จะเป็นคาบเรียนของท่านพี่วิลล์ ดังนั้นนับรวมทั้งหมดแล้ว ชั้นก็จะเรียนประมาณ 5 วันต่อสัปดาห์

 

หืมม งั้นก็มีเวลาว่าง 2 วันนอกจากการเตรียมตัวกับทบทวนบทเรียนสินะ… ฟังดูดีนี่นา

 

ครอบครัวของชั้นกับท่านพี่ทูไลท์เองก็กำลังหารือกันเรื่องที่จัดตารางเวลาใหม่กันยังไงดีอยู่

 

หนึ่งในนั้นมีเรื่องงานเลี้ยงวันเกิดของชั้นที่กำลังใกล้เข้ามาอยู่ด้วย

 

ก็สมเหตุสมผลดีนะ ดังนั้นชั้นก็เลยไปพูดคุยกับท่านแม่

 

“ท่านแม่คะ งานวันเกิดของหนูจะจัดขึ้นในเดือนหน้าแล้ว ดังนั้นหนูขอเข้าร่วมการเตรียมงานด้วยจะได้ไหมคะ?”

 

“โอ๊ะ ได้แน่นอนอยู่แล้วจ่ะ มีอะไรหรืออยู่ๆก็?”

 

อุฟุฟุฟุ ชั้นหัวเราะออกมา

 

“หนูสัญญากับท่านแม่แล้วนี่ค่ะ ว่าหนูจะทำขนมใหม่กับท่านแม่ และมันเป็นงานเลี้ยงที่จะมีคนมาเยอะแยะเลยด้วย หนูอยากจะทำให้พวกเขาแปลกใจน่ะค่ะ!”

 

“แหม! วิเศษไปเลยล่ะจ่ะ งั้นเรามาทำให้แขกของเราแปลกใจกันเถอะจ่ะ”

 

ท่านแม่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับแก้มที่แดงระเรื่อ

 

ใช่แล้วละ มันเป็นหน้าที่ของชั้นที่จะทำให้งานเลี้ยงวันเกิดของชั้นน่าตื่นเต้นมากกว่านี้

 

“ถ้าจะจัดเดือนหน้าละก็ พวกเราก็ต้องรีบแล้ว พวกเธอได้ส่งจดหมายเชิญออกไปหรือยัง?”

 

ครอบครัวของชั้นพยักหน้า ชั้นแนะนำให้เมดนำรายชื่อของแขกรับเชิญออกมา พี่สาวทูไลท์กับครอบครัวของชั้นก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการจัดที่นั่งให้แขก

 

ตารางที่นั่งนั้นไม่ใช่อะไรที่ชั้นจะเข้าใจได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะช่วยพวกเขาเลยด้วยซ้ำ… ชั้นตกอยู่ในอาการงุนงงเช่นเดียวกับคอนนี่ที่กำลังยืนงุนงงอยู่ตรงกำแพง

 

อยู่ๆชั้นก็นึกอะไรออกแล้วตัดสินใจหันไปเล่นเกทกับคอนนี่แทน

 

เมื่อชั้นมองไปที่คอนนี่ เธอก็รีบปรับเปลี่ยนสีหน้าทันที ชั้นตั้งท่าทีเคยสอนเธอเมื่อก่อนหน้านี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

คอนนี่เองก็ตั้งท่าด้วยสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้า

 

อนึ่ง ชั้นไม่อยากรบกวนการพูดคุยกันของพวกท่านพ่อท่านแม่ ดังนั้น แน่นอนว่าชั้นได้หันไปทางคอนนี่โดยที่ไม่เกิดเสียง

 

ชั้นโบกมือเล็กน้อยแล้วกะจังหวะเวลา… จากนั้นชั้นก็ชี้นิ้วออกไป!

 

นิ้วนั้นชี้ไปทางซ้าย และคอนนี่ก็หันไปทางขวา ชั้นชนะ

 

เงียบกริบ… แล้วชี้! เมื่อชั้นชี้ไปทางขวา คอนนี่ก็ได้เงยหน้าขึ้นในทันที

 

จากนั้นเธอก็คอยๆก้มลงมาพร้อมกับสีหน้าเยาะเย้ย

 

ชั้นระงับความหงุดหงิดของชั้นแล้วตั้งท่าขึ้นมาอีกครั้ง

 

จากนั้นก็ ชี้! ชี้! ชี้ ชี้ ชี้! การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น แล้วเมื่อใช้ท่าไม้ตายเปลี่ยนทิศทางกับกะจังหวะในเวลาที่อีกฝ่ายเผลอ… อยู่ๆชั้นก็รับรู้ถึงสายตาที่มองมาจากรอบๆในทันที

 

ก่อนที่ชั้นจะรู้ตัว ขนาดออฟรานซ์ซังที่มาเข้าร่วมบทสนทนาโดยที่ชั้นไม่รู้ตัวก็มองมาที่ชั้นด้วยสายตาอบอุ่นไปพร้อมๆกับครอบครัวและท่านพี่ทูไลท์

 

น่าอายจัง… คอนนี่เองก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอายเช่นกัน

 

ท่านพ่อที่เห็นสถานการณ์แบบนั้น อยู่ๆก็เปิดปากพูดขึ้นว่า

 

“จริงด้วยสินะ พวกเราจะต้องเตรียมคนที่เหมาะจะเป็นเพื่อนก่อนงานวันเกิดด้วยนี่นา ต่อให้เธอจะร่าเริงแค่ไหน เธอก็อยู่ในวัยที่ต้องการเพื่อนเล่นด้วยนี่นะ”

 

“อืม ต่อให้เธอเป็นผู้ใหญ๋ยังไง อลิซก็ยังอยู่ในวัยที่ต้องการเพื่อนเล่นจริงๆด้วย”

 

อูวว… ชั้นไม่สามารถพูดว่าชั้นมีอายุจิตใจของหญิงสาวอายุ 30 ปีอะไรแบบนั้นออกไปได้หรอก…

 

ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมที่นี่ถึงกลายเป็นการประชุมหารือเกี่ยวกับคนที่จะมาเป็นเพื่อนของชั้นไปซะงั้น

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 23: แผนการเรียน ส่วนที่ 1

 

“ว้าว สวยจัง…!”

 

หลังจากที่เก็บสัมภาระอันมหาศาลของพี่สาวทูไลท์เอาไว้ที่ห่องว่างๆเสร็จแล้ว พวกเราก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ระเบียงเพื่อพักดื่มชา

 

ที่ตรงนี้ท่านแม่กับท่านพ่อก็ได้เอาอาเธมของพวกเขาให้ชั้นดู

 

“ใช่ มันสวยมากๆเลย ลูกไม่คิดหรอว่าที่ตกแต่งตรงนี้มันสะท้อนภาพลักษณ์อันแสนน่ารักของเอเลนอร์ออกมาด้วยหน่ะ?”

 

“โอ๊ะ จริงด้วยค่ะ”

 

ว่ากันว่าอาเธมนั้นบ่งบอกถึงบุคคลนั้นๆ ท่านพ่อก็เลยรักอาเธมเล่มนี้มากๆจนราวกับเป็นตัวท่านแม่เองเลยละ

 

“แม่มักจะเก็บอาเธมเอาไว้ใกล้ๆกับเตียงของแม่เพื่อทำให้แน่ใจว่ามันปลอดภัยน่ะจ่ะ แม่ดูแลรักษามันอย่างดีและยังส่งพลังเวทย์เข้าไปบ่อยๆด้วยนะ”

 

“พ่อเองก็จะพกมันไปด้วยตามงานสำคัญๆต่างๆด้วย เอาเถอะ ไม่ได้มีแค่ท่านพี่ที่ใช้มันภายในชีวิตประจำวันหรอกนะ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นพวกมันรอบๆเมืองเลย”

 

ดังนั้นชั้นจึงเข้าใจแล้วว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่งที่ยังโสดอยู่หรืออยากจะอวดคู่ของตัวเองอยู่ด้วย

 

อนึ่ง อาเธมของท่านแม่ที่ถูกมอบให้กับท่านพ่อนั้นมีฝักเป็นโลหะสีขาวที่ทำให้ชั้นนึกถึงผมสีขาวเงินของท่านแม่ ลวดลายที่ตกแต่งเองก็สวยงามมากๆเลยละ

 

ส่วนอาเธมของท่านพ่อที่ให้ท่านแม่ไปนั้นเป็นมีดสั้นสุดเท่ที่มีด้ามจับทำจากหนังสีน้ำตาลฝังด้วยอัญมณีสีฟ้า มันไม่ได้ดูแข็งกระด้างเกินไปด้วย บางทีคงเพราะทำมาเพื่อมอบให้กับท่านแม่อยู่แล้ว ทว่ามันก็ยังคงดูแข็งแกร่งกว่าอาเธมของท่านแม่เล็กน้อย

 

“ดูแบบนี้แล้วก็เห็นได้ถึงความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงได้เลยค่ะ… ส่วนมีดสั้นประจำตระกูลอาเชอร์เลซ… เจ้าของที่แท้จริงของมีดเล่มนี้เป็นผู้ชายใช่ไหมคะ?”

 

บนโต๊ะที่ชั้นหันไปมองนั้นมีมีดเล่มหนึ่งวางอยู่

 

มันเป็นการออกแบบด้วยหนังสีดำอย่างง่ายๆ และตรงด้ามจับนั้นมีโครงรูปเพชรอยู่ด้วย มันดูแข็งแกร่งมากๆเลยละ

 

มันยาวกว่าอาเธมทุกเล่มที่อยู่ที่นี่เล็กน้อย แถมยังทนทานกว่าด้วย

 

“โอ้ พ่อได้ยินมาว่ามันอาจจะเป็นของหนึ่งในบรรพบุรุษของเราหน่ะ น่าจะเป็นผู้ชายนั่นแหล่ะ”

 

“มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีอาเธมเล่มอื่นหรอกนะ แต่เล่มนี้เป็นเล่มที่มีคุณภาพสูงที่สุดแล้ว ดังนั้นถ้าจะใช้มันละก็ คิดว่ามีดสั้นไฮเมอร์ที่มีคุณภาพเท่ากันแต่มีขนาดเล็กกว่าจะดีกว่านะ”

 

จากนั้นพวกเขาก็เอามีดสั้นไฮเมอร์ที่มีขนาดพอดีกับมือของชั้นให้ชั้นดู

 

ชั้นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

 

อุฟุฟุฟุ ชั้นชอบมันจนถึงขนาดที่รู้สึกว่าตัวชั้นจะตัดสินใจเลือกมันเป็นคู่หูไปจนกว่าจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันเลยละ

 

“เอาละ จากนี้ไปจะเป็นการพูดถึงแผนการเรียนละนะ”

 

เมื่อบทสนทนาจบลง พี่สาวทูไลท์ก็ได้พูดขึ้น

 

โอ๊ะ จริงด้วย ถึงชั้นจะล่องลอยจากที่ชั้นได้รับไอเทมเวทมนตร์มาก็ตาม แต่จริงๆแล้ววันนี้เป็นวันเรียนหนังสือนี่นา

 

“ค่ะ พี่สาว เริ่มได้เลยค่ะ!”

 

ชั้นหันหน้าไปทางเธอ พี่สาวทูไลท์พยักหน้าพร้อมกับผมสีดำที่ปลิวไสว

 

“ก่อนอื่นเลย จนกว่าที่หนูจะถึงปี 3 ในสถาบันโลเวน หนูจะต้องเรียนศิลปศาสตร์, ประวัติศาสตร์, ดนตรี, และสิ่งที่อลิซจังโปรดปรานนั่นก็คือเวทมนตร์ มันยังมีบทเรียนเจาะลึกเกี่ยวกับยาและสมุนไพรวิญญาณศาสตร์ รวมไปถึงโบราณสถานกับอักษรโบราณด้วย ถึงจะยังมีบทเรียนแยกย่อยอยู่ก็จริง แต่ถ้าหนูไม่ผ่าน 5 บทเรียนหลักได้ก่อนละก็จะไม่สามารถไปต่อได้ ถ้ามาถึงจุดนี้หนูจะไม่อาจนับว่าเป็นขุนนาง ได้อีกต่อไป เตรียมใจเอาไว้ด้วยนะ!”

 

“โอ๊ะ ไม่นะ!”

 

ชั้นเกือบจะไม่ได้กลายเป็นขุนนางแล้ว หรืออย่างน้อยๆชั้นก็จะถูกทดสอบตอนอยู่ปี 1 สินะ…!

 

อืม ถ้าชั้นคิดว่ามันเป็นโรงเรียนที่มีระบบซ้ำชั้นละก็ มันก็คงจะเหมือนกับการตายไปจากสังคมเลยสินะ…

 

“แล้วก็อีกอย่าง หนูเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลอาเชอร์เลซด้วย แถมยังถูกสอนโดยชั้นด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่หนูจะต้องได้คะแนนเต็มนะ ถ้าทำไม่ได้ละก็ งั้นชั้นจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับหนูทันทีเลยนะ”

 

“หา?!”

 

เลิกยุ่งเกี่ยว… หรือก็คือ ตัดหางปล่อยวัด…? …การคว่ำบาตร?!

 

“หน่าๆ ท่านพี่ หย่าทำให้เธอกลัวนักเลย”

 

“ใช่แล้วละท่านพี่ อลิซยังอ่อนแออยู่เลย และเธอเองก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเรียนอัดแน่นมันทุกวิชาตั้งแต่ปีแรกอย่างนี้เลย…”

 

“ชั้นคิดว่าพวกเธอยังไม่เข้าใจนะ”

 

ครอบครัวของชั้นพยายามยื่นมือเข้ามาช่วยกับสถานการณ์ที่ไม่ทำก็ตายแบบนี้ ทว่าพี่สาวทูไลท์ก็ตอบกลับไปพร้อมกับสีหน้ากระปรี้กระเปร่า

 

“ในสังคมขุนนาง การถูกก่นด่าดูถูกนั้นหมายถึงความตาย… พวกเธอก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุดนี่?”

 

“อูว”

 

ครอบครัวของชั้นดูกระอักกระอ่วน

 

อืม ก็จริงละนะ

 

หลังจากที่ชั้นนึกถึงท่าทีของมาดามเวอร์รันเดลเมื่อวันก่อน ชั้นก็เข้าใจถึงสิ่งที่พี่สาวหมายถึง

 

ถ้าคุณแสดงด้านที่อ่อนแอของตัวเองให้กับอีกฝ่าย อย่างอาการป่วย, พูดไม่ได้, หรือคุ้มดีคุ้มร้ายละก็ ต่อให้เป็นถึงตระกูลมาร์ควิสก็ตาม สถานการณ์ก็จะแย่อยู่ดี

 

มันง่ายที่จะจินตนาการถึงมัน เพราะชั้นเองก็เคยสัมผัสอะไรแบบนี้มาแล้วจากความสัมพันธ์อันย่ำแย่ภายในบริษัทมืดในชาติก่อนของชั้น

 

ไม่สนใจใยดีสุขภาพจิตหรืออาการป่วยของลูกน้องเลย เด็กใหม่ที่เข้ามา… ก็กลายเป็นเครื่องสังเวยละมั้ง? หัวหน้าที่หาคนมาแทนที่และทิ้งขว้างคนที่โชคไม่ดีแบบนั้นหน่ะ

 

คนที่พลักงานยากๆมาให้โดยที่ไม่ช่วยรุ่นน้องที่ไม่มีประสบการณ์แล้วจากไปอย่างรวดเร็วแบบนั้นหน่ะ

 

พันธมิตรทางธุรกิจที่ทันทีที่รู้สึกว่าตนเสียเปรียบก็จะใช้จุดอ่อนของอีกฝ่ายมาบังคับให้ทำงานที่เป็นไปไม่ได้แบบนั้นหน่ะ

 

ในโลกแห่งการเอาชีวิตรอดแบบนั้นหน่ะ ถ้าไม่ยกตนให้สูงละก็ จะถูกคนอื่นกลืนกินในทันทีเลยละ

 

ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกใบนี้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันดันไม่มีทั้งกฎหมายคุ้มครองและศีลธรรมเลยหน่ะสิ ชั้นไม่รู้ว่ามันอย่างนี้เป็นเพราะอะไรอย่างธาตุและเวทมนตร์ หรือว่าอารยธรรมของโลกนี้มันด้อยกว่าญี่ปุ่นยุคปัจจุบันกันแน่ แต่ว่า…

 

ถ้าชั้นไม่ระวังตัวเองดีๆละก็ ชั้นก็ไม่รู้ว่าชั้นจะถูกเตะออกไปด้วยวิธีไหนกัน

 

นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่พี่สาวทูไลท์พยายามจะบอก

 

ถ้ายังนั้น ชั้นก็ไม่มีเวลามามัวหลบเลี่ยงจากมันแล้ว

 

“ให้เป็นหน้าที่ของหนูเองค่ะ พี่สาว! หนูจะแสดงให้พี่สาวเห็นเองว่าหนูสามารถได้คะแนนเต็มจากทั้ง 5 วิชาในปีแรกได้ค่ะ!”

 

ชั้นกำหมัดของตัวเองแน่นพร้อมทั้งยืนขึ้นแล้วประกาศออกไปแบบนั้น

 

จากนั้นพี่สามทูไลท์ก็ได้ยิ้มอย่างสดใสให้กับชั้นจนเหมือนกับมีดอกกุหลาบบานเลยละ

 

“ยอดเยี่ยมมาก! ต้องยังงี้สิ อลิซจัง! สมกับเป็นถึงคนที่คู่ควรให้ชั้นสอนเลยจริงๆ!”

 

“ขอบคุณค่ะ!!”

 

ชั้นรู้สึกเหมือนกับอยู่ในชมรมกีฬาอะไรประมาณนั้นเลย ทว่าครอบครัวของชั้นก็ดูจะโล่งใจที่มันเป็นไปได้ด้วยดีสินะ ดังนั้นก็คงจะไม่เป็นอะไรมั้ง

 

“จริงๆแล้วชั้นทดสอบอลิซในตอนที่ชั้นพูดว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวถ้าหนูไม่ได้คะแนนเต็ม ชั้นต้องขอโทษด้วยนะ… แต่ถ้าหนูไม่ได้คะแนนเต็มขึ้นมาจริงๆละก็…… หนูอาจจะคิดว่าถูกตัดหางปล่อยวัดน่าจะยังดีซะกว่าก็ได้นะ…”

 

“ฮี้!!!!!”

 

ชั้นรู้สึกกลัวรอยยิ้มร่าเริงของพี่สาวมากๆเลย ทว่า ตัวชั้นก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะทำให้ดีที่สุด

 

==========================================================

TL: ทำไมโลกนี้มันโหดร้ายจังฟะ

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 22: อาเธม

 

“ชั้นกลับมาแล้ว อลิซจัง!”

 

“ยินดีต้อนรับกลับนะคะ พี่สาวทูไลท์!”

 

หนึ่งวันหลังจากคาบเรียนของชั้นกับท่านพี่วิลล์ พี่สาวทูไลท์ก็กลับมาจากการเลือกสื่อการสอนภายในดินแดนของเธอ

 

…เธอกลับมาพร้อมกับกองหนังสือและวัตถุดิบจำนวนมากเลยด้วย

 

“พี่ พี่เตรียมมาเยอะแยะเลยเนี้ย…”

 

“อุฟุฟุ นี่คัดมาแล้วนะ รู้ไหม?”

 

ท่านพ่อมาต้อนรับพี่สาวด้วยสีหน้าตกตะลึงอันหาได้ยากบนใบหน้าของเขา

 

ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นละนะ ก็เธอกลับมาพร้อมกับรถม้าที่เต็มไปด้วยสัมภาระทั้งคันเลยนี่นา

 

อนึ่ง ตัวรถม้านั้นไม่ได้สวยงามเหมือนกับที่ขุนนางคนอื่นๆนั่งกัน แต่เป็นรถม้าสำหรับขนส่งสิ้นค้าแทน

 

เหล่าคนรับใช้ต่างพากันขนย้ายสัมภาระพวกนั้นไปไว้ในห้องรับแขกอันต่ออัน ท่านแม่ที่กำลังมองดูพวกเขาอยู่นั้นก็ได้ตะโกนขึ้นมา

 

“น่าคิดถึงจัง! ดูนี่สิ อาเธม(Athame)เล่มนี้ที่ชั้นเคยใช้ฝึกละ”

 

ท่านแม่หยิบมีดสั้นเล่มนึงขึ้นมาพร้อมกับพูดแบบนั้น

 

“โอ๊ะ เล่มที่เธอพกตอนเข้าโรงเรียนนี่นา น่าคิดถึงจริงๆ”

 

ดวงตาของท่านพ่อแคบลงด้วยความคิดถึง

 

“อาเธมคืออะไรหรอคะ ท่านแม่?”

 

เรดาห์จับเรื่องแฟนตาซีของชั้นร้องเตือนออกมา เหมือนชั้นจะเคยได้ยินชื่อนั้นที่ไหนมาก่อนเลย… ท่านแม่ถือมีสั้นเล่มเล็กๆนั้นด้วยสองมือราวกับว่ามันเป็นของสำคัญมากๆ ก่อนที่เธอจะอธิบายพร้อมกับยื่นมันมาให้

 

“อาเธมก็คือสิ่งที่พวกเราใช้เป็นสื่อกลางในการใช้เวทมนตร์หน่ะจ่ะ มันยังถูกใช้เป็นมีดในตอนที่ทำการสร้างเครื่องรางหรืออุปกรณ์ต่างๆด้วยนะ”

 

งั้นพูดอีกอย่างก็คือ… เป็นทั้งคทาเวทย์กับมีดสำหรับใช้จัดการวัตถุดิบสินะ! โว้ว! เหมือนกับจอมเวทย์เลย!

 

จากนั้นชั้นก็จำได้แล้วว่าเจ้าอาเธมนี้ถูกใช้โดยแม่มดในชาติก่อนของชั้นด้วย ตามที่หนังสือ ‘ไสยศาสตร์แดงเดือด’ เขียนไว้อะนะ

 

“ถึงพ่อจะวางมันเอาไว้เฉยๆในตอนที่ไม่ได้ต่อสู้แล้วใช้อย่างอื่นเป็นสื่อกลางแทนก็เถอะ เอเลนอร์นั้นใช้เป็นไม้เท้า ส่วนของพ่อเป็นแหวนหน่ะ”

 

“แต่เมื่อถึงเวลา ขุนนางทุกคนก็จะต้องสร้างอาเธมพวกนี้ที่โรงเรียนอยู่แล้วละจ่ะ มันเป็นหลักฐานว่าพวกเขานั้นเป็นชนชั้นสูงน่ะจ่ะ”

 

“งั้นหรอคะ…!”

 

ว้าวๆ! ชั้นเองก็อยากจะสร้างอาเธมของตัวเองเร็วๆแล้ว!

 

“ที่โลเวนตอนชั้นปีที่ 5 หนูจะได้ใช้เวลาส่วนมากไปกับการสร้างอาเธมเลยละ หนูจะต้องคิดเรื่องดีไซน์ของมันก่อนจะถึงตอนนั้นด้วยนะ”

 

พี่สาวทูไลท์ที่กำลังหัวเราะคิกคักในตอนที่เห็นชั้นตื่นเต้นพูดขึ้นมาแบบนั้น โอ๊ะ ใช่แล้ว ชั้นปีที่ 5 งั้นสินะ!

 

“จนกว่าจะถึงตอนนั้น พวกเราจะใช้มีดสั้นที่สืบทอดกันมาในตระกูลสำหรับฝึกซ้อมหน่ะ… ซิกมุนด์ ชั้นคิดว่ามีดสั้นของตระกูลอาเชอร์เลซมันใหญ่เกินไปซักหน่อย ดังนั้นให้เธอใช้ของตระกูลไฮเมอร์จะดีกว่านะ”

 

เมื่อพี่สาวแนะนำอย่างนั้น ท่านพ่อก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ก็จริงนะที่มีดสั้นของอาเชอร์เลซนั้นใหญ่เกินไปเล็กน้อยสำหรับอลิซ ถ้าเป็นมีดสั้นของไฮเมอร์ละก็ งั้นมันก็คือเล่มที่เอเลนอร์ใช้สินะ เอาสิข้าเห็นด้วย”

 

“ชั้นเองก็เห็นด้วยน อลิซ ลูกคิดว่าไงจ๊ะที่จะได้ใช้อันเดียวกับแม่?”

 

“ค่ะ หนูเห็นด้วย!”

 

ชั้นยิ้มและเห็นด้วย อันเดียวกันกับท่านแม่ละ!

 

หลังจากที่ตกลงกันได้ พี่สาวทูไลท์กับครอบครัวของชั้นก็เริ่มปรึกษากันเรื่องแผนการในอนาคต ชั้นจ้องมองไปยังมีดสั้นที่อยู่ในมือของชั้น

 

มันมีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร เป็นมีดสั้นที่ให้ความรู้สึกที่เก่าแก่เล็กน้อย

 

ตัวด้ามจับนั้นทำจากไม้สีน้ำตาลเข้มที่จางลงไป ตัวฝักนั้นเองก็ทำจากไม้สีเดียวกันด้วยพร้อมทั้งตกแต่งด้วยลวดลายสีทองกับสีเงินบางๆที่พันกันไปมา

 

มันมีอัญมณีสีแดงฝังอยู่ที่หัวของด้ามจับกับฝักมีด ตัวด้ามและฝักนั้นถูกมัดเข้าด้วยกันอย่างหลวมๆโดยเชือกสีเดียวกับอัญมณี บางทีคงเพื่อเอาไว้สำหรับพกพาด้วยซินะ

 

เมื่อชั้นคายปมออกแล้วชักมีดออกมา ใบมีดสองคมก็ได้ปรากฏขึ้น มีใบหน้าของชั้นสะท้อนอยู่บนใบมีดอันสวยงามนั้น

 

“มันคมมากๆเลยนะจ๊ะ ดังนั้นลูกจะต้องระมัดระวังให้ดีด้วยนะ”

 

“ค่ะ ท่านแม่”

 

ชั้นพยักหน้าอย่างเขินอายก่อนจะเก็บมีดเข้าไปในฝัก

 

“ท่านพ่อคะ ท่านแม่คะ หนูเองก็อยากจะเห็นอาเธมของท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยเหมือนกันค่ะ… จะได้หรือเปล่าคะ?”

 

“ได้แน่นอนอยู่แล้วละจ๊ะ เดี่ยวแม่จะเอาให้ดูตอนที่พวกเราเก็บสัมภาระกันเรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ”

 

“ฟุฟุ พวกเธอทั้งคู่เป็นประเภทที่เก็บพวกมันเอาไว้ใกล้ตัวสุดๆไปเลยนี่นะ”

 

พี่สาวทูไลท์หัวเราะออกมา และแก้มของท่านแม่ก็แดงขึ้น

 

“โธ่ท่านพี่นี่ละก็…”

 

หืมม? เมื่อชั้นทำสีหน้าสงสัยออกมา พี่สาวทูไลท์ก็ได้หัวเราคิกคักแล้วบอกชั้นว่า

 

“เมื่อผู้คนหมั้นหมายหรือแต่งงานกันแล้ว เกือบทั้งหมดนั้นจะแลกเปลี่ยนอาเธมกันด้วยนะ พวกเขาจะฝากฝังดาบเพียงหนึ่งเดียวที่เก็บพลังวิญญาณของพวกเขาเอาไว้ให้กับอีกฝ่าย จากนั้นพวกเขาก็จะดูแลมันเป็นอย่างดีราวกับเป็นตัวแทนของอีกฝ่ายด้วย พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครได้เห็นมันหรือมอบมันให้กับใครเด็ดขาดเลยละ”

 

ท่านแม่กับท่านพ่อทั้งคู่ดูเขินอายเล็กน้อยจากคำอธิบายของท่านพี่ทูไลท์ น่ารักจริงๆ

 

“ของพี่สาวต่างออกไปงั้นหรอคะ?”

 

อนึ่ง ชั้นถามเธอก็เพราะว่าเธอมักจะพกมีดสั้นไปไหนมาไหนตลอด เธอยกมันขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง

 

“ชั้นเป็นประเภทที่ชอบอวดสมบัติของตัวเองให้คนอื่นดูหน่ะ! นอกจากนี้ ชั้นอยากจะทำให้แน่ใจว่าใครเป็นเจ้าที่แท้จริงของมันด้วย”

 

อา โอ้ งั้นหรอ เข้าใจละ

 

คือ เธอพยายามจะโชว์ให้ทุกคนเห็นว่าคุณลุงออดิพัสเป็นของๆเธอสินะ ชั้นเข้าใจแล้ว ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆเลยใช่ไหมคะ พี่สาวทูไลท์?

 

“ชั้นหวังว่าสักวันอลิซเองก็จะหาใครสักคนที่จะแลกอาเธมด้วยได้นะจ๊ะ”

 

ท่านแม่หัวเราะออกมาเบาๆ ในทางกลับกัน ท่านพ่อนั้นทำหน้าเหมือนกับเขากำลังจะตายออกมาในทันทีเลยละ

 

“อลิซ ถ้ามีคนแบบนั้นโพล่มาละก็ ลูกสามารถมาบอกพ่อได้เลยนะ… คือแบบ… อืม ใช่แล้ว… พ่อจะไม่ปล่อยให้เขาไปรบกวนลูกเลยนะ”

 

……ชั้นสัญญากับตัวเองเลยว่าถ้ามีคนแบบนั้นปรากฏตัวขึ้นมาละก็ ท่านพ่อจะเป็นคนสุดท้ายที่ชั้นจะบอกเลย

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 21: สมุนไพรยาและสมุนไพรวิญญาณ

 

สถาบันเวทมนตร์โลเวนแห่งจักรวรรดิ์นั้นคือสถานที่ที่เหล่านักเรียนจะได้เข้าเรียนในเดือนตุลาคม

 

ดังนั้น ในตอนนี้ที่เป็นเดือนพฤศจิกายนแล้ว ชั้นจึงเหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งปีแล้วสำหรับการเตรียมตัวเข้าเรียนที่โรงเรียน

 

เพราะแบบนั้น ชั้นจึงตัดสินใจเร่งความเร็วในการเรียนให้ทันขึ้นอีกหน่อย

 

อย่างแรกเลย ชั้นกำลังจะไปขอให้มัดรวมบทเรียนสำหรับหนึ่งอาทิตย์เข้าด้วยกัน

 

จากนั้น ในทุกๆวันชั้นจะพยายามจำเนื้อหาให้ได้เป็นอันๆไป, เตรียมตัวสำหรับพืชอันต่อไป, จำมันให้ได้ในวันถัดไป, ดูพืชอันถัดไปอีกครั้งวนไปเลื่อยๆ… ก็ประมาณว่าจำพืชวันละ 1.5 ชนิดต่อวันนั่นแหล่ะ

 

หลังจากนั้น ในทุกสัปดาห์ ชั้นจะอธิบายสิ่งที่ชั้นได้เรียนรู้มาในคาบเรียนของท่านพี่วิลล์เพื่อทบทวนด้วย

 

นั่นแหล่ะว่าทำไมท่านพี่วิลล์ถึงให้ยืมหนังสือภาพเล่มนั้นมาได้

 

แน่นอนว่า การปลูกพืชสไตล์เวอร์จิลนั้น — วิธีที่ถือเผด็จการในโลกของพฤกษศาสตร์ — ไม่ได้จบลงแค่นั้นแน่นอน

 

“พี่จะเตรียมบทเรียนของโลเวนทั้งปีมาให้เลย และถ้าทำได้ เราจะเร่งให้เข้าเนื้อหาของปีสองได้เลยด้วยนะ” ท่านพี่วิลล์พูดขึ้น

 

โอ๊ะ ขอบคุณนะคะ หนูดีใจจริงๆค่ะ แต่… หวังว่าสมองน้อยๆของหนูจะไม่ระเบิดไปซะก่อนนะคะ

 

และเมื่อพี่สาวทูไลท์กลับมาจากการเลือกสื่อการสอนแล้ว ชั้นจะต้องเรียนวิชาอื่นๆหนักขึ้นไปอีกเช่นกัน

 

นอกจากสุดยอดคอร์สเรียนเวทมนตร์แล้ว ยังมีวิชาศิลปศาสตร์เบื้องต้นอย่างประวัติศาสตร์และวรรณกรรมด้วย

 

อาาา ชั้นอาจจะเอาหัวมุดทรายจังเลย ทว่าท่านพี่วิลล์ก็กำลังอารมณ์ดีอยู่ด้วย

 

“พี่มีความสุขมากเลยที่ได้ทำอะไรร่วมกับอลิซแบบนี้… พวกเรามาพยายามด้วยกันเถอะ”

 

คุ๊ อ่อนโยนจัง ชั้นชอบมากเลยละ

 

***

 

หลังจากนั้น

 

หลังจากที่จัดตารางเวลาอันแน่นเอี้ยดเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มเรียนสักที

 

“นี่คือ เซ็นทรี่ (Sentry) ดาวประจำตัวก็คือดวงอาทิตย์ ธาตุก็คือธาตุไฟ คุณสมบัติของความร้อนกับความแห้งกร้าน ภาษาโบราณอ่านว่า ‘เฟล เทอเร’ ความสามารถก็คือการฟื้นฟูสายตาที่แย่ลง, ส่งเสริมการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด, เสริมความกล้า, และ—”

 

ชั้นเอาหนังสือภาพขึ้นมาอ่านมันดังๆ

 

หลังจากที่ชั้นอ่านจบ ท่านพี่วิลล์ก็ได้อธิบายเพิ่มเติมให้กับชั้น ชั้นจดเนื้อหาพวกนั้นลงไปบนแผ่นหนังของชั้นเท่าที่จะทำได้

 

จากนั้นชั้นก็ได้คือหนังสือให้กับท่านพี่วิลล์แล้วท่องเนื้อหาพวกนั้นขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่มองหนังสือ

 

“น้องรู้ไหมว่าทำไมพวกเราถึงเรียกมันว่าสมุนไพรยากับสมุนไพรวิญญาณหน่ะ?”

 

“หืมม… หนูไม่รู้ค่ะ”

 

ชั้นให้เขาอธิบายให้กับชั้นต่อหน้าหนังสือเรียนที่ถูกใช้มาบ่อยครั้ง

 

“สมุนไพรวิญญาณกับสมุนไพรยานั้นถูกนับว่าเป็นสมุนไพรเหมือนกัน นั่นแหล่ะว่าทำไมผู้คนถึงเรียกมันว่าสมุนไพรเฉยๆแทนที่จะเรียกมันตามประเภท อย่างไรก็ตาม สมุนไพรวิญญาณนั้นมักจะใช้ในทางเวทมนตร์ ส่วนสมุนไพรยานั้นจะใช้สำหรับยาธรรมดาสามัญหน่ะ”

 

“งั้นหรอคะ…”

 

ชั้นเองก็กำลังสงสัยเลยว่าทำไมผู้คนถึงเรียกมันต่างกัน แต่ดูเหมือนนั่นจะเป็นเหตุผลละ

 

“แต่น้องจะคิดว่าบางอันเป็นสมุนไพรยาที่ยังไม่ค้นพบวิธีใช้ในทางเวทมนตร์ก็ได้นะ ตระกูลเวอร์จิลเชี่ยวชาญในด้านการค้นหาและเผยแพร่อะไรแบบนี้แหล่ะ”

 

“โอ้…!”

 

งั้นพูดอีกอย่างก็คือ ถ้าเก่งในการตรวจสอบสมุนไพรที่ขึ้นอยู่ทั่วไปตามเมืองละก็ อาจจะเกิดการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เลยก็ได้สินะ!

 

ชั้นจดเรื่องพวกนั้นลงไปขณะที่พยายามเขียนให้ตัวชั้นจำได้ง่ายที่สุด

 

“ยังไงก็ตาม สมุนไพรยาศาสตร์นั้นก็คือการเรียนวิธีการปรุงยาโดยที่มีการใช้เวทมนตร์เล็กน้อยและจะเน้นใช้เพียงวัตถุดิบเป็นส่วนผสม ในทางกลับกันนั้น สมุนไพรวิญญาณศาสตร์จะเรียนเกี่ยวกับการทำเครื่องราง, วงเวทย์, และเครื่องหอมเวทมนตร์”

 

“ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว!”

 

อุฟุฟุ เป็นการอธิบายที่น่าตื่นเต้นอะไรอย่างนี้

 

อยากจะลองดูใจจะขาดแล้ว…!

 

ด้วยเหตุนี้ คาบเรียนในวันแรกก็จบลงด้วยข้อมูลภาพรวมโดยละเอียดนี้

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 20: การศึกษาของตระกูลเวอร์จิล

 

— หลังจากวันที่ค้นพบความสามารถของถุงบุหงาริบบิ้นสีเขียวหนึ่งวัน —

 

“เอาละ เรามาเริ่มคาบเรียนแรกกันเลยดีไหม?”

 

“ค่ะ! ขอบคุณค่ะ!”

 

ท่านพี่วิลล์กับชั้นนั่งตรงข้ามกันแล้วหันหน้าเข้าหากันภายในห้องสมุดของตระกูลเวอร์จิล

 

อนึ่ง ถุงบุหงานั้นได้มอบให้เขาไปแล้ว ชั้นบอกเขาไปว่า “หนูทำเอง มันเป็นเครื่องราง ดังนั้นพกมักติดตัวไปด้วยนะคะ!” เขามองมาที่ชั้นอย่างสงสัยซักพัก แต่ท่านพี่วิลล์ก็รับมันไปอย่างยินดี

 

“พี่ได้ยินว่าน้องขอให้คุณไฮเมอร์สอนพื้นฐานให้งั้นหรอ?”

 

“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ ดังนั้นหนูจึงได้เรียนพื้นฐานของสมุนไพรวิญญาณเพื่อใช้เป็นเทคนิคทางเวทมนตร์จากพี่สาวทูไลท์มาแล้วค่ะ”

 

“งั้นพี่จะสอนเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัตถุดิบที่ต้องใช้กับวิธีใช้งานมัน รวมถึงคำแนะนำต่างๆในฐานะรุ่นพี่ที่โรงเรียน… กับข้อมูลเชิงลึกบางอย่างด้วยแล้วกัน โชคดีที่มีวัตถุดิบให้เลือกใช้ได้อยู่เยอะแยะเลยละ”

 

“ค่ะ!… โอ้ว หนูจะตั้งตารอเลยค่ะ”

 

ชั้นเอามือจับแก้มของตัวเองอย่างหน้ามืดตามัว แล้วท่านพี่วิลล์ก็หัวเราะคิกคักออกมา

 

“หายากที่จะเห็นน้องเตรียมตัวเรียนนะเนี้ย ตอนที่พี่ยังอายุประมาณอลิซหน่ะนะ พี่ยังสนใจการเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าอีก”

 

พร้อมกันนั้น เขาก็ได้ลุกขึ้นไปหยิบหนังสือออกมาจากชั้น

 

เขากลับมานั่งที่เดิมก่อนจะวางมันลงตรงหน้าของชั้น

 

“นี้เป็นหนังสือภาพที่ดีที่สุดในบ้านพี่เลย เรามาดูไปพร้อมๆกันนะ”

 

หลังจากที่เขาพูดแบบนั้น ท่านพี่วิลล์ก็ได้เปิดหนังสือภาพ พื้นฐานยาและสมุนไพรวิญญาณ ขึ้น

 

“ว้าว…!”

 

ชั้นประหลาดใจกับหนังสือที่ถูกเปิดขึ้นนี้

 

ข้างในนั้นมีภาพวาดสีสดใสของพืชและดอกไม้อยู่เต็มไปหมดเลย ข้างๆภาพพวกนั้นได้มีคำอธิบาย 4 บรรทัดเขียนกำกับเอาไว้ด้วย — ทั้งหมดสองภาพต่อหนึ่งหน้า

 

“ฮ่าๆ เป็นภาพที่สวยงามและน่าสนุกดีใช่ไหมละ เอาละ เรามาเรียนพวกมันให้หมดเล่มนี่กัน”

 

“ค่ะ! เดี๋ยวนะคะ……”

 

หืมมม? ชั้นมองไปยังท่านพี่วิลล์

 

“หืมม?”

 

ท่านพี่วิลล์ก็มองตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม

 

“ทั้งหมดหรอคะ…?”

 

“ใช่แล้ว”

 

“เอ๊ะ?!”

 

“เออ คือท่านพี่คะ… หนังสือภาพนี้มีทั้งหมดกี่หน้าหรอคะ?”

 

“อืมมมม ประมาณ 200 หน้าละมั้ง?”

 

“200…”

 

หรือก็คือ 200 หน้าคูณหน้าละ 2 ชนิด

 

“400… ท่านพี่หมายความว่ามันมี 400 ชนิดรวมถึงลักษณะของมัน… ให้จำหรอคะ?”

 

“ใช่แล้วละ พวกเราจะเริ่มไม่ได้ถ้าหนูจำพวกมันไม่ได้ทั้งหมดนะ ใช่ไหมละ?”

 

“หา”

 

มีเสียงโง่ๆออกมาจากปากของชั้น

 

ชั้นก็คิดมาซักพักตั้งแต่ตอนพี่สาวทูไลท์แล้วก็จริง แต่หรือว่าบางทีการศึกษาบนโลกใบนี้จะสูงมากๆกันนะ…?

 

ลูกขุนนางจะต้องเจอแบบนี้เหมือนกันหมดเลยหรอ…?

 

หรือว่าบางที นอกจากจะห่างไกลจากความโกงแล้ว ตัวชั้นยังห่างชั้นกับคนอื่นๆอีกหรอ…?

 

“ไม่ต้องกังวลไปนะ อลิซ ประมาณนี้ถือเป็นเรื่องปกติของตระกูลเวอร์จิลเลยนะ! ขนาดพี่ยังทำได้ คนที่ฉลาดๆอย่างอลิซก็ต้องจำมันได้หมดภายใน 1 ปีแน่นอน!”

 

ถ้าเขายังยิ้มแล้วพูดแบบนั้นกับชั้น งั้นชั้นก็จะปฏิเสธว่าทำไม่ได้ไม่ได้แล้วสิ

 

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าแค่นี้ชั้นยังทำไมได้ละก็ ชั้นก็จะไม่มีทางเรียนรู้วิธีทำสมุนไพนวิญญาณกับโพชั่นได้หน่ะสิ ความมุ่งมั่นนี้ได้กลายเป็นแรงพลักดันให้กับชั้น

 

ชั้นจะต้องเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ให้ได้! ชั้นตะโกนออกไปว่า “เข้าใจแล้วค่ะ!!” ด้วยความฮึกเหิม เมื่อเห็นถึงความกระตือรือร้นของชั้น ท่านพี่วิลล์ก็ได้พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสยิ่งกว่าเดิม

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 19: สมุนไพรวิญญาณ

 

“ในกรณีนี้ที่มันเป็นของขวัญแล้วละก็ งั้นก็คิดว่ามันทำงานเหมือนกับพวกเครื่องรางแล้วกัน”

 

ขณะที่ท่านพ่อพูดแบบนั้น เขาก็ได้ชี้ไปยังแผ่นหนังที่ชั้นได้เขียนเอาไว้

 

“มาลองทอดรหัสตามธาตุของไฟของดอกดาวเรือง, ธาตุลมของดอกสะระแหน่, และธาตุน้ำของดอกโคลท์ฟุตกันเถอะ ก่อนอื่นเลย ลูกคิดว่าพวกเราจะใช้ธาตุไฟยังไง?”

 

ท่านพ่อเงียบเสียงลงเพื่อให้ชั้นได้ครุ่นคิด

 

“ไฟมัน… แกว่งไปมา, สร้างแสงสว่างและเงามืด… มันทั้งร้อนและยังสร้างถ่านกับขี้เถ้าด้วย… มันทรงพลังละมั้งคะ?”

 

ขณะที่ชั้นตอบออกไปอย่างช้าๆ ท่านพ่อก็ได้พยักหน้า

 

“ใช่แล้ว เก่งมากเลย แล้วธาตุลมของดอกสะระแหน่ละ?”

 

ลม ลมงั้นหรอ?

 

“พัดผ่านไปมา, ทั้งร้อนและเย็น, พัดพาบางสิ่งได้…? รวดเร็วและหยุดนิ่งละมั้งคะ…”

 

ดูเหมือนจะตอบได้ดีนะ

 

“ถ้างั้นอย่างสุดท้ายแล้ว ลูกคิดยังไงกับธาตุน้ำละ?”

 

“น้ำนั้น… สำคัญกับชีวิต, มันทั้งอ่อนนุ่มและใสราวกับกระจก… มันสะท้อนถึงบางสิ่งใช่ไหมคะ…?”

 

ชั้นต้องเรียนคำศัพธ์กับการจินตนาการให้มากกว่านี้โดยเร็วที่สุดซะแล้วสิ…

 

ทว่าท่านพ่อดูจะพอใจกับคำตอบพวกนั้น

 

“ใช่แล้วละ การจินตนาการของลูกนั้นเยี่ยมไปเลยนะ”

 

จากนั้นเขาก็ได้เปิดหนังสือ “สมุนไพรวิญญาณและเวทมนตร์แห่งการเปลี่ยนแปลง”

 

หนังสือนั้นหนามากจนถึงขนาดเกิดเสียงหนักๆในตอนที่เขาวางมันลงเลย และทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนหน้า มันก็จะปล่อยฝุ่นเล็กน้อยออกมาพร้อมกับกลิ่นน้ำหมึกด้วย

 

หน้าที่ถูกเปิดขึ้นมานั้นมีหัวข้อชื่อ “ทั้งหมดเกี่ยวกับการผสมและผลลัพธ์ทั้งสาม”

 

“พวกเขามักจะแบ่งเป็นหนังสือที่ค้นหาตามชื่อวัสดุและหนังสือที่ค้นหาตามธาตุ ในกรณีนี้ มันมีอยู่สามประเภทซึ่งเป็นอะไรที่พิเศษมากๆด้วย ดังนั้นลองดูตรงนี้สิ”

 

“3 ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันยังงั้นหรอคะ?”

 

“แน่นอน ลองจินตนาการดูนะ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกเอาไฟกับลมใส่ลงไปในหม้อเดียวกันละ?”

 

“ไฟกับลม… หืมมมม มันจะไหม้แรงเกินไปจนหม้อไหม้หรือคะ? หรือลมจะแรงเกินไปจนไฟดับกันนะ?”

 

ท่านพ่อพยักหน้า

 

“ใช่แล้วละ มันยากมากๆเลยที่จะควบคุมทั้งสองอย่างแบบนั้น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกใส่น้ำเข้าไปด้วยละ?”

 

“อืม…”

 

ชั้นพยามจินตนาการถึงมัน

 

ถ้าเทน้ำใส่ไฟที่กำลังลุกไหม้ด้วยลมละก็ ไฟก็จะหายไป

 

ถ้าเป่าลมใส่น้ำที่กำลังเดือดด้วยไฟละก็ มันก็จะเย็นลง

 

เป็นไปได้หรือเปล่าที่จะเป่าลมใส่ไฟให้มันแรงขึ้นแล้วต้มน้ำได้รวดเร็วขึ้น?

 

แต่แบบนั้นสุดท้ายมันก็เหมือนกับการใช้ไฟอย่างเดียวเลยนี่

 

“อืมมมม หนูไม่คิดว่าผสมทั้งสามอย่างเข้าด้วยกันจะเป็นการดีนะคะ…?”

 

“ถูกต้อง มันไม่ง่ายดายอย่างที่เห็นครั้งแรกหรอก แต่ถ้าผสมโดยใช้จินตนาการหลายๆอย่างที่พ่อได้พูดเอาไว้ มันก็จะแตกต่างออกไปนะ”

 

เขาได้ชี้ไปยังสิ่งของที่ถูกเขียนอยู่บนหน้ากระดาษเพื่อเป็นตัวอย่าง

 

“ลองดูไปที่ธาตุทั้งสามนี้ ถ้าเราจินตนาการมันอย่างง่ายๆละก็ มันก็จะประมาณว่าเปลวไฟลุกไหม้จากกังหันลมแล้วเผาหญ้าไป”

 

อย่างไรก็ตาม สื่งที่ท่านพ่อชี้อยู่นั้นก็คือ “เครื่องรางสายลมปีศาจ”

 

“โดยการจินตนาการธาตุทั้งสามให้ล้ำลึกขึ้นอย่างระมัดระวัง จินตนาการว่าพืชได้เติบโตขึ้นไปทางพระอาทิตย์, สายลมได้พัดผ่านมันไป, แล้วก็ไฟที่เป็นดั่งขุมพลังและการชำระล้างแล้วละก็ — ด้วยพลังเวทย์ มันก็สามารถกลายเป็นยันต์ขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้”

 

“ค่ะ…”

 

มันเริ่มรู้สึกเหมือนกับเกมจับคู่ซะแล้วสิ

 

ชั้นเข้าใจแล้วว่าสายลมปีศาจนั้นเป็นเทคนิคที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนทั้งๆที่มีชื่อน่ากลัวแบบนั้นด้วย

 

ยังไรก็เถอะ อะไรอย่างเกมจับคู่นั้นเป็นเทคนิคทางสมุนไพรวิญญาณจริงๆหรอ?

 

ชั้นมีคำถามพวกนั้นเต็มหัวไปหมด ทว่าท่านพ่อก็ได้ทำการอธิบายต่อไป

 

“แน่นอนว่าลูกไม่สามารถใส่ธาตุพวกนั้นเข้าด้วยกันเฉยๆได้อยู่แล้ว ลูกจะต้องชี้นำและแก้ไขลักษณะที่จะดึงออกมาจากธาตุพวกนั้นด้วย นั่นก็คือส่วนที่พลังเวทย์ของผู้คนกับอุปกรณ์ต่างๆเข้ามามีส่วนร่วมยังไงละ”

 

“โอ้…”

 

“ยิ่งลูกพยายามดึงเอาลักษณะที่ใกล้เคียงกับสัญลักษณ์และจินตนาการมากเท่าไหร่ ลูกก็จะต้องใช้อุปกรณ์เวทมนตร์และตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีค่าเท่านั้น เพราะมันเป็นการบิดเบือนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติยังไงละ”

 

เป็นการอธิบายเพิ่มเติมที่ดีมากเลย ชั้นเข้าใจแล้ว

 

“ทว่าในกรณีนี้ พ่อคิดว่าอุปกรณ์พวกนั้นคงไม่จำเป็นหรอก ยังไงซะมันก็ถูกทำขึ้นโดยออลูริสนี่นะ สายเลือดของตระกูลเวอร์จิลนั้นเชี่ยวชาญด้านเวทย์พืชอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาสามารถดึงผลลัพธ์ที่ต้องการออกมาจากธาตุต่างๆได้เลย”

 

“โอ้ จริงหรอคะ?!”

 

เมื่อชั้นตกใจกับความสามารถโกงๆนั้น ท่านพ่อก็ได้พองแก้มขึ้น

 

“ถึงจะพูดอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นเคานต์เวอร์จิลหรือวิลล์ก็ไม่ได้มีพลังขนาดนั้นหรอกนะ ออลูริสคุงนั้นพิเศษออกไป”

 

“งั้นหรอคะ เป็นอย่างนี้นี่เอง…”

 

สมกับเป็นเป้าหมายการจีบของเกมจีบหนุ่ม ดูเหมือนจะมีความสามารถที่โกงหน้าดูเลยนะ

 

“สมมติว่าเป็นอย่างนั้นแล้วกัน ลองมาดูธาตุทั้งสามนี้กันเถอะ ทั้งไฟ,ลม,และน้ำเลย”

 

“ค่ะ!”

 

ชั้นพลิกกลับมาดูที่หน้าสารบัญก่อนจะเปิดไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผสมธาตุทั้งสาวนั้น

 

มีหลากหลายเทคนิคถูกเขียนเอาไว้เลยละ

 

“เนื่องจากครั้งนี้มันเป็นดอกสะระแหน่กับดอกโคลท์ฟุต พ่อคิดว่ามันน่าจะเป็นอันนี้นะ”

 

ท่านพ่อพูดแบบนั้นก่อนระชี้ไปยังเทคนิคอันหนึ่ง

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 18: ด้วยกันกับท่านพ่อ

 

หลังจากที่หยอกล้อกับคอนนี่เล็กน้อย ชั้นก็ได้ตรงไปยังห้องทำงานของท่านพ่อ

 

“ท่านพ่อคะ หนูรู้วัตถุดิบที่ใช้ในการทำถุงบุหงาแล้วค่ะ!”

 

“ไหนขอพ่อดูหน่อย”

 

ชั้นมอบแผ่นหนังที่มีรายชื่อของสมุนไพรที่ชั้นได้ค้นคว้ามา — ซึ่งก็คือดอกดาวเรือง, ดอกสะระแหน่,และดอกโคลท์ฟุต ให้ตามที่เขาขอ

 

จากนั้นดวงตาของท่านพ่อก็เบิกกว้างขึ้น

 

“…นี่ลูกหามาได้จริงๆหรอเนี้ย?”

 

“ค่ะ! หนูทำการค้นคว้าอย่างหนักเลยค่ะ!”

 

การค้นคว้านั้นสนุกมากแถมยังได้เขียนรายละเอียดมากมายเลยด้วย… มันคงจะสุดยอดเกินไปสำหรับเด็กถึงยังไม่ถึงวัยเรียนละมั้งเนี้ย

 

อย่างไรก็ตาม มันเป็นการบ้านที่พี่สาวทูไลท์ให้ชั้นเอาไว้ในฐานะบทเรียนของเด็กนี่นา อืม… คงจะเป็นระดับที่ลูกขุนนางในโลกใบนี้ทำได้… ละมั้ง? บางทีอะนะ

 

“หืมมมม อลิซอาจจะเหมาะกับเป็นนักวิจัยจริงๆก็ได้นะเนี้ย เป็นการค้นคว้าที่ละเอียดมากเลยละ”

 

“อุฟุฟุ”

 

ชั้นยิ้มให้กับคำชมนั้น

 

จากนั้นท่านพ่อก็ได้พูดต่อว่า

 

“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ก็เหลือแค่หาว่ามันเป็นเวทมนตร์อะไรเท่านั้นสินะ”

 

“ค่ะ หนูอยากจะหาตัวอย่างเวทมนตร์ที่ใช้วัตถุดิบพวกนี้น่ะค่ะ ท่านพ่อพอจะมีแหล่งอ้างอิงให้กับหนูหรือปล่าวคะ?”

 

‘หึมม’ ท่านพ่อยืนขึ้นหลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นแล้ว

 

“พ่อไม่อาจปล่อยให้ลูกอ่านหนังสือเวทมนตร์คนเดียวได้ เพราะมันอันตรายเกินไป พ่อเองทำงานของพ่อเสร็จแล้ว ดังนั้นพ่อจะช่วยลูกด้วยแล้วกัน”

 

“ว้าว! จริงหรอคะ?!”

 

เรียนกับท่านพ่อ!

 

ท่านพ่อดูจะยุ่งมากในทุกๆวันจากกองงานที่ไม่ได้แตะต้องตลอด 2 ปีมานี้ ดังนั้นชั้นจึงดีใจที่สามารถทำอะไรร่วมกับเขาได้

 

ชั้นนำแผ่นหนังติดตัวไปกับชั้นด้วย และจากนั้นท่านพ่อก็อุ้มชั้นขึ้นแล้วออกไปจากห้อง

 

เอาจริงๆนะ… ตอนแรกชั้นก็มีความสุขเพราะความปรารถนาที่อยากจะถูกเอาใจอยู่หรอก แต่ตอนนี้ที่ชั้นใจเย็นลงมาแล้ว ด้วยจิตใจของหญิงสาวอายุ 30 ปีมันทำให้ชั้นรู้สึกอายมากๆ… รวมกับที่ท่านพ่อนั้นเป็นคนหล่อมากๆอีกด้วย

 

“ท่านพ่อคะ หนูหนักหรือเปล่า?”

 

“หืมม? ลูกหมายความถึงอะไรงั้นรึ? ลูกตัวเบายังกับขนนกเลยนะ ฮ่าๆๆ ไม่ต้องกังวลไปหรอก!”

 

ท่านพ่ออุ้มตัวชั้นอย่างมีความสุข

 

“เออ… หนูเองก็เกือบจะ 6 ขวบแล้ว หนูอายนิดหน่อยน่ะค่ะ…”

 

“เป็นอายุเหมาะที่จะทำตัวเอาแต่ใจเลยไม่ใช่รึ? …แต่ 6 ขวบงั้นหรอ? เดือนหน้าแล้วสินะ”

 

ท่านพ่อพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกที่ลึกล้ำ

 

“งานเลี้ยงวันเกิดเดือนหน้าจะต้องจัดให้ยิ่งใหญ่เลย พวกเราจะเชิญผู้คนมากมายมาฉลองให้กับอลิซและเอเลนอร์ที่หายดีแล้ว แถมยังเป็นการเปิดตัวตนสู่สังคมอีกด้วย”

 

เป็นน้ำเสียงที่ล่องลอยมากเลยละ แน่นอนว่าพวกเราจะต้องแสดงให้สังคมเห็นว่าท่านแม่กับตัวชั้นหายเป็นปกติแล้ว หรือควรจะบอกว่าเวทมนตร์ดำได้หายไปแล้วดี

 

“ถึงเวลาต้องเลือกผู้ช่วยของอลิซแล้วเหมือนกัน ลูกจะต้องเตรียมตัวเข้าเรียนที่สถาบันในปีหน้า และลูกเองก็ต้องหาเพื่อนดีๆด้วยนะ เข้าใจไหม?”

 

“ค่ะ ท่านพ่อ”

 

ชั้นพยักหน้าให้กับท่านพ่ออย่างเชื่อฟัง

 

อนึ่ง มันก็เกือบจะเหมือนกับการเปิดตัวทางสังคมเล็กๆสำหรับชั้นเลยละ ชั้นจะต้องกระตือรือร้นเข้าไว้

 

ขณะที่พวกเราคุยกันนั้น พวกเราก็ได้เดินทางมาถึงห้องสมุดแล้ว

 

“เอาละ คิดว่าชั้นนี้น่าจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณนะ”

 

หลังจากวางชั้นลง ท่านพ่อก็ได้ตรงไปยังชั้นวางด้านหลังที่ถูกล็อคเอาไว้

 

“สมุนไพรวิญญาณศาสตร์?”

 

ด้วยเสียงอยากรู้อยากเห็นของชั้น ท่านพ่อก็ได้หันกลับมาพร้อมกับอธิบายให้ฟังอย่างง่ายๆ

 

“สมุนไพรวิญญาณศาสตร์นั้น อืม ตรงๆเลยก็คือเวทมนตร์ที่ใช้พืชเป็นหลักหน่ะ ลูกจะได้เรียนเรื่องนี้เป็นบทเรียนแรกในสถาบันโลเวน ดังนั้นพ่อก็เลยขอให้พี่สะใภ้ไฮเมอร์เตรียมมันให้กับลูกด้วย”

 

“โออออ้…!”

 

ขณะที่เขาส่งสายตาเป็นประกายให้กับชั้น ท่านพ่อก็ได้เลือกกุญแจดอกนึงจากพวกกุญแจเล็กๆที่แขวนอยู่ตรงเอวของเขาขึ้นมาปลดล็อคชั้นวาง

 

โดยที่แตกต่างออกไปจากชั้นหนังสือทั่วไป หนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์นั้นจะถูกเก็บเอาไว้ในกล่องกระจกและชั้นวางที่มีประตูทำจากไม้

 

พวกมันถูกล็อคเอาไว้เพื่อกันการถูกขโมยรวมถึงกันให้ห่างจากเด็กๆอย่างตัวชั้นด้วย เพื่อไม่ให้เกิดเกิดอุบัติเหตุจากการใช้งานเวทมนตร์ก่อนเวลาอันควร ชิส์

 

“สมุนไพรวิญญาณ… สมุนไพรวิญญาณ… เจอแล้ว น่าจะเล่มนี้แหล่ะ”

 

หลังจากพูดแบบนั้น ท่านพ่อก็ได้นำหนังสือปกหนังหนักๆออกมา

 

ชื่อหนังสือก็คือ “สมุนไพรวิญญาณและเวทมนตร์แห่งการเปลี่ยนแปลง” ใช่แล้ว ชั้นกำลังน้ำลายไหลเลยละ…

 

ท่านพ่อที่เดิยไปยังโต๊ะอ่านหนังสือพร้อมกับหนังสือที่แสนวิเศษและน่าดึงดูดมากกว่าหนังสือที่ชั้นเคยอ่านนั่น เขานั่งลงที่เก้าอี้แล้วทำการตบตักของเขา

 

“มานี่สิ อลิซ มาตรงนี้ ให้พ่อถือแล้วอ่านมันให้ลูกนะ!”

 

เป็นร้อยยิ้มที่ร่าเริงอย่างมากเลยละ

 

โอออ้ เพราะชั้นได้ปฏิเสธไปเมื่อครั้งก่อน สวิตซ์อยากเอาใจชั้นก็ดันติดขึ้นมาซะงั้น…!

 

“ฮา…ฮาฮา…”

 

ชั้นมีความสุข มีความสุขมากๆเลยละ ทว่าด้วยจิตใจอายุ 30 ปีของชั้น ชั้นจึงรู้สึกอายโคตรๆในเวลาเดียวกันเลย

 

ไม่ แต่ว่า… ชั้นก็ยังมีความสุขอยู่ดี!!

 

ชั้นปีนขึ้นไปบนตักของเขาอย่างลังเล ท่านพ่อกอดชั้นจากด้านหลังก่อนจะเริ่มเปิดหนังสือเล่มนั้น

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 17: การเรียนครั้งแรก

 

ชั้นลงตัวลงบนเตียงของชั้นที่เต็มไปด้วยกองพจนานุกรมและหนังสือเรียนเกี่ยวกับสมุนไพร

 

“อุฟุฟุ… อุฟุฟุฟุฟุ — สำเร็จแล้ว! ในที่สุดชั้นก็รู้ว่ามันทำจากวัตถุดิบอะไร!!”

 

ขณะที่ชั้นนอนอยู่นั้น ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดขึ้นไปบนฟ้า คอนนี่ที่จัดเรียงหนังสืออยู่ใกล้ๆนั้นชินกับอาการแบบนี้ของชั้นแล้ว ดังนั้นเธอจึงทำเพียงแค่ยิ้มออกมาพร้อมกับทำงานของเธอต่อไป

 

“ยินดีด้วยนะคะ คุณหนู! ดูเหมือนว่าคุณหนูจะพร้อมกับการเรียนในวันพรุ่งนี้แล้วสินะคะ!”

 

“อื้ม อาจจะนะ…! หนูเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน…”

 

***

 

สองสามวันมานี้หลังจากที่พี่สาวทูไลท์ให้การบ้านกับชั้น ชั้นก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในคฤหาสน์และห้องทำงานของท่านพ่อเพื่อค้นคว้าหาข้อมูล

 

อนึ่ง เพื่อการค้นคว้าของชั้น พี่สาวทูไลท์ก็ได้ออกไปเอาวัตถุดิบที่จำเป็นจากที่ของเธอมาให้กับชั้น ในช่วงที่เธอไม่อยู่ ชั้นก็เลยได้ฝึกร่างกายด้วยความเต็มใจซักที

 

มันค่อนข้างลำบากในการระบุสิ่งที่อยู่ในถุงบุหงาริบบิ้นสีเขียวอันนี้

 

ยังไงซะมันก็เป็นถุงที่รวมสมุนไพรหลากหลายชนิดเอาไว้แถมยังต้องวิเคราะมันจากกลิ่นด้วย ต่างคนก็ต่างมีประสาทรับกลิ่นที่แตกต่างกันออกไปอีก ดังนั้นชั้นก็เลยไปไล่ถามเรื่องกลิ่นกับสมาชิกในครอบครัวและเหล่าคนรับใช้ทุกคนเลย ก่อนจะจดบันทึกลักษณะกลิ่นของมันอันต่ออันแล้วเทียบกับลักษณะในหนังสือด้วย

 

ดูเหมือนท่านพ่อกับท่านแม่จะรู้ว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในจากการใช้เวทย์ตรวจจับในทันทีอยู่หรอก ทว่าชั้นก็ขอให้พวกเขาไม่พูดอะไรออกมาเพื่อการศีกษาของตัวชั้นเอง

 

อนึ่ง ครอบครัวของชั้นรู้ว่าท่านพี่ออลูริสนั้นเก็บตัวอยู่ในบ้านของเขา แต่พวกเขาไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงมีสีหน้าแปลกๆเมื่อเห็นชั้นพูดถึงเรื่องของถุงบุหงา

 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาภายในตระกูลขุนนางนั้นปกติแล้วจะต้องถูกเก็บเป็นความลับเอาไว้ ดังนั้นตัวชั้นกับคอนนี่ที่อยู่กับชั้นในตอนนั้นจึงถูกขอให้เก็บเป็นความลับ

 

คุณป้าเฟลิเซียกับท่านพี่วิลล์อาจจะหลุดปากพูดออกมาเพราะพวกเขาต้องโน้มน้าวเด็กอย่างชั้นก็จริง แต่ว่า… พวกเขาก็ยังคงกังวลถึงเรื่องนั้นในฐานะขุนนางอยู่ดี

 

สำหรับตอนนี้ ยากับสมุนไพรวิญญาณที่ใส่ในถุงบุหงาอันนี้ก็คือ:

 

– ดอกดาวเรือง (Calendula)

 

– ดอกสะระแหน่ (Sage)

 

– ดอกโคลท์ฟุต (Coltsfoot)

 

วัตถุดิบหลักๆที่ใช้ทำถุงบุหงาอันนี้ก็คือ โคลท์ฟุต

 

ดอกโคลท์ฟุตหรือที่เรียกกันว่าดอกแดนดิไลอันในชาติก่อนของชั้น อันนี่แหล่ะที่พี่สาวทูไลท์พูดถึง

 

มันก็ยากที่จะเชื่อว่าในโลกใบนี้นั้น ดอกแดนดิไลอันถูกนับเป็นสมุนไพรวิญญาณที่มีค่ามาก มันจะบานในถิ่นทุรกันดารเพียงเท่านั้นด้วย ตอนแรกชั้นก็ต้องค้นหาข้อมูลมากมายเพื่อจะหาว่าอะไรคือข้อผิดพลาดเลย

 

เรื่องลึกลับของโลกใบนี้ก็คือ มันมีทั้งสิ่งที่เป็นแบบเดียวกับโลกก่อนเด๊ะๆกับสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย

 

ยังไงก็เถอะ ตอนนี้ชั้นรู้แล้วว่ามันคืออะไร ขั้นต่อไปก็คือการหาว่าผลของพวกมันคืออะไร

 

“สัญลักษณ์ส่วนที่เป็นชื่อทางวิชาการของดอกโคลท์ฟุตนั้นเป็นภาษาโลอินโบราณแปลว่า ‘ชั้นจะนำพามันไป’, ดาวเด่นก็คือดาวศุกร์, และสัญลักษณ์ก็คือสายน้ำ”

 

ตามที่ท่านพ่ออธิบาย ภาษาโลอินโบราณนั้นเป็นภาษาของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

 

จากความรู้สึกแล้วมันก็คือรากฐานของภาษาในปัจจุบันนั่นเอง ชั้นคิดว่ามันคงเป็นอะไรที่เหมือนๆกับภาษากรีกโบราณในชาติก่อนนั่นแหล่ะ

 

“ของดอกสะระแหน่นั้น ดาวเด่นคือดาวพฤหัสบดี สัญลักษณ์คือสายลม มีความหมายคือการช่วยให้พ้นบาป และการแคล้วคลาดปลอดภัย… หืมมมม”

 

ชั้นมั่นใจว่าในชาติก่อนของชั้น ดอกสะระแหน่เองก็มีความหมายทางภาษาละตินด้วยเหมือนกัน แบบสิ่งปกป้องจากความตายอะไรประมาณนั้น

 

หนังสือโปรดของชั้นในตอนนั้นก็คือ “การโต้วาทีสุดเดือด! ไสยเวท – ความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมระหว่างเวทมนตร์กับสมุนไพร”… เรียกย่อๆว่า “ไสยเวทเดือด”

 

ตอนที่ชั้นยังเป็นทาสบริษัทอยู่นั้น ชั้นอยากจะรู้สึกเหมือนเป็นจอมเวทย์ ดังนั้นชั้นก็เลยอ่านหนังสือพวกนั้นระหว่างเดินทางไปทำงานด้วย ชั้นจำได้เลยว่าคนที่นั่งข้างๆชั้นในตอนนั้นถึงกับขยับไปนั่งเก้าอี้ถัดไปอย่างเงียบๆเลย

 

อืม มันก็คงจะน่ากลัวจริงๆละนะ ถ้าอยู่ๆก็เห็นทาสบริษัทที่มีรอยคล้ำใต้ตากำลังอ่านของแบบนั้นอย่างบ้าคลั่งอยู่หน่ะ ชั้นเองก็รู้ว่ามันเป็นงานอดิเรกที่น่าสงสัยมากๆ มันทำให้ใครๆก็ต่างสงสัยว่าชั้นกำลังพยายามสาปใครให้ตายอยู่เลยด้วย

 

โอ๊ะ เอาเถอะ มันไม่เป็นไร เพราะมันใช้ประโยชน์ได้แล้วนี่นา!

 

“ดอกดาวเรืองนั้นเป็นภาษาโลอินอยู่แล้ว มันหมายถึงวันแรกของฤดูร้อน เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงหน้าร้อน… เหล่าผู้ใช่เวทมนตร์ทางตะวันตกจะพกมันไปมาในฐานะเครื่องราง โดยการร้อยดอกไม้เข้ากับฟันของหมาป่าเป็นพวงมาลัย หืมมม ดาวเด่นก็คือดวงอาทิตย์ ส่วนสัญลักษณ์ก็คือเปลวไฟ”

 

ชั้นรวบรวบความหมายทั้งหมดจากแห่งอ้างอิงต่างๆเอาไว้ด้วยกันในกระดาษหนังแผ่นเดียว

 

ชั้นสามารถใช้มันเป็นพื้นฐานในการหาประเภทของเวทมนตร์ที่ร่ายเอาไว้ได้

 

ไว้ชั้นจะขอหนังสือเวทมนตร์จากท่านพ่อทีหลังแล้วกัน

 

อนึ่ง ชั้นได้ไปหาท่านแม่กับออฟรานซ์ซังเพื่อเรียนรู้คำศัพท์กับประโยคยากๆบ่อยๆด้วย ดังนั้นชั้นก็เลยรู้สึกว่าสกิลภาษาของชั้นเริ่มพัฒนาขึ้นแล้ว

 

มันทำให้ชั้นรู้ว่ามันยังมีคำมากมายที่ชั้นอ่านไม่ออก… ทว่าตัวชั้นเองก็ยังมีอายุเกือบจะ 6 ขวบอยู่นะ ถ้าเป็นในชาติก่อนละก็ ชั้นยังฝึกอ่านฮิรางานะอะไรแบบนั้นอยู่เลย

 

เหล่าขุนนางคงจะลำบากกับเรื่องพวกนี้ก่อนจะเข้าโรงเรียนแน่ๆ ลูกขุนนางคนอื่นๆจะทำอะไรแบบนี้เป็นปกติเลยหรือปล่าวนะ?

 

—อืม แน่นอนว่ามันไม่ปกติละนะ ทว่าตัวชั้นไม่มีทางรู้ถึงเรื่องนั้นได้เลย ดังนั้นชั้นจึงยังคงรวบรวมความรู้ต่อไปเรื่อยๆ

 

“เห็นยังนี้ก็ดูจะเป็นเครื่องรางที่สุดยอดมากๆเลย เป็นพี่ชายที่ค่อนข้างห่วงน้องของตัวเองมากเกินไปจริงๆนะ ท่านพี่ออลูริส…”

 

ขณะที่ชั้นพึมพำกับตัวเองแบบนั้น คอนนี่ก็ได้พยักหน้าเห็นด้วย

 

“ถ้าเป็นชั้นละก็ ชั้นคงจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจถ้าครอบครัวของชั้นให้เครื่องรางดีๆแบบนี้กับชั้นเลยละค่ะ! ชั้นมั่นใจว่านายท่านวิลเฮล์มจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอนเลยค่ะ!”

 

“อื้ม นั่นสินะ!”

 

ความกระตือรือร้นของคอนนี่ทำให้ชั้นรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้น

 

“แล้วก็นะคอนนี่ เธอมีสีที่ชอบหรือปล่าว?”

 

“คะ? อืม สีเหลืองละมั้งคะ…? ทำไมหรอคะ?”

 

ชั้นยิ้มให้กับค่อนนี่ที่กำลังมองมาที่ชั้นอย่างงุนงง ก่อนจะบอกเธอไปว่า

 

“สักวันนึง หนูจะทำเครื่องรางดีๆแบบนี้แล้วประดับด้วยริบบี้นสีเหลืองให้กับเธอด้วยนะ”

 

“…!!!”

 

น่ารัก! คอนนี่ยิ้มออกมาราวกับมีดอกไม้บานสะพรั่งที่รอบๆตัวของเธอก่อนจะเข้ามากอดชั้นทั้งน้ำตา มันน่ารักเกินจะต้านทานจริงๆ

 

ขณะที่ตัวชั้นถูกกอดอยู่นั้น ชั้นก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า ชั้นจะเรียนเยอะๆแล้วจะทำเครื่องรางที่ดีที่สุดในโลกให้กับเธอเลย

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 16: ถุงบุหงาริบบิ้นสีเขียว

 

เอาละ ถึงชั้นจะดีใจที่ตัดสินใจเป็นเด็กฝึกงานของพี่สาวทูไลท์ก็จริง แต่ชั้นเองก็จะลืมเรื่องท่านพี่ออลูริสไปไม่ได้

 

ชั้นตัดสินใจที่จะถามพี่สาวถึงเรื่องถุงบุหงาที่มีริบบิ้นสีเขียวอันนี้ เพราะครั้งก่อนชั้นเองก็ยังไม่ทันได้ถามถึงผลลัพธ์ของมันเลย

 

“อืม พี่สาวคะ ถ้าพี่สาวคุ้นเคยกับเวทมนตร์แล้วละก็ หนูเองก็มีอะไรอยากจะถามพี่ซักหน่อยน่ะค่ะ…”

 

“หืม? อะไรละ?”

 

เมื่อชั้นถามออกไป พี่สาวก็ยินดีช่วยอย่างอารมณ์ดี

 

ชั้นนำถุงบุหงาที่มีริบบิ้นสีเขียวออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะยื่นมันให้กับพี่สาว

 

“นี่เป็นของขวัญที่ใครบางคนฝากหนูเอาให้เพื่อนของเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง จังหวะมันไม่ได้ หนูก็เลยไม่ได้ถามผลของมันมาน่ะค่ะ… พี่สาวรู้ผลของมันหรือปล่าวคะ?”

 

เมื่อชั้นพูดแบบนั้น พี่สาวก็พึมพำบางอย่างออกมาแล้วทดสอบกลิ่นของมัน

 

เธอหลับตาไปซักแปป ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

 

“มันเป็นของของเจ้าหนุ่มตระกูลเวอร์จิลนั่นซินะ”

 

“ค่ะใช่แล้ว ไม่สิ ไม่ใช่ คือหนูหมายถึง…”

 

ชั้นเผลอทำเสียงที่น่าอับอายออกมาเมื่อชั้นตอบเธอกลับไปแบบนั้นในเสี้ยววินาที

 

พี่สาวหัวเราะคิกคักออกมาพร้อมกับพูดต่อว่า

 

“กลิ่นหอมนี้… เท่าที่ชั้นรู้ก็คือมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอาเชอร์เลซ เป็นคนเดียวที่จะใช้สมุนไพรวิญญาณที่มีค่าเป็นวัตถุดิบหลักกับของขวัญแบบนี้ได้… หืมมม ด้วยเวทย์คุ้มครองแบบนี้… ชั้นเองก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงถอนตัวไป แต่สิ่งนี่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยนะเนี้ย”

 

เธอมองดูถุงบุหงานั้นด้วยความดีใจ

 

“พี่สาวทูไลท์กับท่านพี่ออลูริสเป็นคนรู้จักงั้นหรอคะ?”

 

เมื่อชั้นถามออกไปแบบนั้น พี่สาวก็เริ่มมีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมา

 

“ไม่มีทางที่ชั้นจะปล่อยคนที่พรสวรรค์ขนาดนั้นไปอยู่แล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น ตัวชั้นเองต้องการซื้อยาและสมุนไพรวิญญาณหลากหลายรูปแบบอยู่แล้ว เขามาที่สถาบันวิจัยบ่อยมากเลยละ”

 

“โอ๊ะ งั้นหรอคะ…”

 

พูดตามตรงเลยนะ ชั้นมันจะรู้สึกไม่สบายใจกับมาด ‘เย็นชาและวิชาการ’ ของท่านพี่ออลูริสจากเกมกุหลาบสีทองอยู่เสมอเลยละ

 

นอกจากมาด ‘เย็นชาและวิชาการ’ แล้ว เขายังไม่เข้าสังคมด้วย ชั้นละสงสัยจริงๆว่าเขาอยู่อย่างสันโดษในสภาพอย่างนั้นได้ยังไงกัน

 

คำตอบก็ง่ายๆ คงเป็นเพราะเขามีพรสวรรค์เพียงพอที่จะอยู่ตัวคนเดียวได้ บางทีคงเพราะเขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลด้วยแหล่ะ ทว่าตัวเขาเองก็ปฏิเสธมันไม่ได้ จึงจบลงที่การมีคาแรคเตอร์แบบในเกมไป

 

“อืม… งั้นผลของมันคืออะไรหรอคะ?”

 

เมื่อชั้นถามออกไปแบบนั้น พี่สาวทูไลท์ก็ยิ้มออกมา

 

“อืม… ไหนดูสิ… ถ้าหนูไม่หาคำตอบด้วยตัวเองละก็ ชั้นก็จะต้องบอกว่าหนูคงเป็นลูกศิษย์จริงๆของชั้นไม่ได้ในเร็วนี้หรอกมั้ง?”

 

“ห๊ะ?!”

 

เธอตอบกลับชั้นพร้อมกับรอยยิ้มที่งดงามสุดๆ

 

เดี๋ยวสิ ชั้นยังเป็นแค่เด็ก 6 ขวบเองนะ ใช่ไหม?

 

“ฟุฟุ ชั้นมั่นใจว่ามีหนังสืออยู่มากมายในบ้านของหนูนะ พนันได้เลยว่ามันต้องมีพจนานุกรมยาและสมุนไพรวิญญาณอยู่ด้วยแน่นอน”

 

“ฮา…ฮาฮา…”

 

เธอบอกให้ชั้นไปหาผลของมันเอาจากพจนานุกรมยังงั้นหรอ? …ใช่สินะ

 

“ถ้าชั้นจะให้คำใบ้ซักสองคำใบ้ละก็ ชั้นจะต้องบอกว่า… ใช่แล้ว… ก่อนอื่นเลย อย่าเปิดถุงบุหงานี้เด็ดขาด มีความเป็นไปได้ที่มันจะไปทำลายเวทมนตร์ที่ลงเอาไว้ อย่างที่สอง กลิ่นของมัน มันอาจจะมี 3 รูปแบบที่แตกต่างกันอยู่ ดังนั้นหนูจะต้องแยกมันให้ออกด้วยความพยายามทั้งหมดของหนู ถ้าหนูศึกษามันอย่างละเอียดแล้วละก็ หนูจะได้คำตอบที่ถูกต้องอย่างแน่นอนเลยละ”

 

“อุ๊ก… เข้าใจแล้วค่ะ หนูจะลองดู!”

 

ในตอนนี้ ชั้นก็ได้พยักหน้าตกลงไป

 

พี่สาวบอกว่ามันอาจจะเป็นอะไรที่ชั้นไม่อาจทำได้ก็ได้

 

พร้อมกับที่บทสนทนานี้จบลง คาบเรียนของวันนี้ก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 15: ปรับเปลี่ยนบทเรียน

 

แน่นอนว่าค่ายฝึกนรกแห่งนี่ไม่ได้มีแค่เฉพาะการฝึกกล้ามเนื้อเท่านั้น

 

“ข้อศอก!”

 

เพี้ย!

 

“ฟริว!”

 

ชั้นกระโดดขึ้นกระโดดลงตามเสียงตะโกนของพี่สาวทูไลท์ ผู้ที่กำลังทำสีหน้าสลับไปมาระหว่างรอยยิ้มอันงดงามกับสีหน้าของจ่าปีศาจตามสถานการณ์

 

…แสงสว่างจากแว่นตาของเธอที่สว่างขึ้นเป็นครั้งคราวนั้นไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ

 

หลังจากที่ชั้นเสร็จจากการเสริมสร้างร่างกายด้วยการฝึกกล้ามเนื้อในตอนเช้าแล้วนั้น มันก็ได้ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี

 

ทว่าช่วงเวลาอาหารกลางวันนี้ก็เท่ากับชั่วโมงเรียนมารยาทของชั้นด้วย

 

ต่อให้ชั้นปฏิเสธไป มันก็ไม่ได้มีการลงโทษใดๆ ไม่มีแม้แต่คำตำหนิเลยด้วยซ้ำ

 

ทว่า พวกเขาจะพูดชมชั้นค่อนข้างมากและสอนต่อด้วยการบังคับมือของชั้น

 

อย่างไรก็ตาม ถ้าชั้นทำพลาดเรื่องเดิมหลายต่อหลายครั้ง หรือถ้าเธอรู้สึกว่าชั้นไม่ตั้งใจละก็ เธอก็จะส่งเสียงออกมาพร้อมกับฟาดแส้ลงบนพื้น

 

นี่ชั้นตัวเด้งจากเสียงนั่นมากี่ครั้งแล้วนะ?

 

อะไรแบบนี้ควรได้รับอนุญาตด้วยหรอ? เมื่อชั้นมองไปที่ครอบครัวของชั้น พวกเขาก็กำลังมองมาที่ชั้นอย่างอบอุ่นพร้อมกับพูดประมาณว่า “อลิซทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆแล้วสินะ” และ “ค่ะ เธอเป็นลูกสาวสุดพิเศษของเราจริงๆ” (ถึงท่านพ่อมักจะไม่อยู่เพราะไปทำงานก็เถอะ)

 

ทำไมละ?! ตอนแรกชั้นก็ตื่นตระหนกอยู่ภายในหัว แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

 

ทุกคนเคยผ่านอะไรแบบนี้มากันหมดแล้ว…

 

เมื่อชั้นได้ยินเรื่องนั้น ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะช็อกไปเลยละ

 

“เอาจริงดิ…?”

 

ทว่าเสียงพูดเบาๆของชั้นก็ไม่อาจรอดไปจากหูของพี่สาวทูไลท์ได้

 

“อลิซจัง? ชั้นก็ไม่รู้หรอกนะว่าคำนั้นมันหมายความว่าอะไร แต่ชั้นรู้สึกว่ามันเป็นคำพูดที่ต้องได้รับการปรับปรุงนะ ทำไมกันนะ?”

 

“ฮะ-ฮี้!!!!”

 

และนั่นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้น

 

นั่นก็คือเหตุผลที่ตัวชั้นถูกสอนมารยาทบนโต๊ะอาหารแบบต่างๆ ทั้งการวางตัว, ท่าทาง, คำพูด, การเลือกหัวข้อสนทนา, และการมีสมาธิเพื่อไม่ให้มำอะไรผิดพลาด

 

อนึ่ง ชั้นได้ยินมาว่าการแสดงแส้ให้ลูกขุนนางเห็นแบบนี้นั้นไม่ใช่เรื่องปกติ

 

มันเป็น “สไตล์ของไฮเมอร์” เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ปราณีแม้จะอยู่ต่อหน้าราชวงศ์ด้วยซ้ำ! มันเรียกว่า ‘หลักสูตรมารยาท☆ที่สมบูรณืแบบ (ฉบับหลักสูตรเร่งรัด)’

 

เหตุผลที่มันเป็น ‘ฉบับหลักสูตรเร่งรัด’ นั่นก็เพราะเหตุการณ์ของรูจทั้งหมดนั่นเอง ดังนั้นชั้นหวังว่าตัวรูจจะหมกไหม้ในนรกไปจนกว่าชั้นจะเรียนจบเลยนะ

 

……เอาละ เข้าสู่รอบที่ 2 โดยที่ไม่เต็มใจแล้วสินะ คิดว่า

 

“หนูไม่อยากจะอยู่ต่อหน้าราชวงศ์มากนักน่ะค่ะ… แต่ตราบใดที่หนูสามารถเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ได้ หนูก็จะทำหน้าที่ขุนนางอย่างเต็มที่เลยค่ะ หนูขอแค่นั้นจริงๆค่ะ…”

 

ชั้นหลุดปากออกไปอย่างไม่ตั้งใจ ทว่านั่นก็ทำให้บทเรียนสปาร์ตันฉบับเร่งรัดสไตล์ไฮเมอร์นั้นเข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีกซะงั้น

 

ตามที่เธอได้พูดเอาไว้ “เส้นทางแห่งเวทมนตร์นั้นไม่อาจบรรลุได้ถ้าขาดการฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงหนูเองก็ไม่สามารถอ่านหนังสือเวทมนตร์ที่มีค่าได้ นอกจากจะสนิทสนมกับคนใหญ่คนโตหน่ะนะ”

 

แม่งเอ้ย มันไม่มีหนังสือเวทมนตร์ขั้นสูงหรืออะไรประมาณนั้นขายอยู่ในเมืองเลย…! โลกนี้เป็นโลกแฟนตาซีไม่ใช่หรือไงกัน?!

 

ชั้นเสร็จสิ้นการทานมื้อเที่ยง (อันตราย) ไปพร้อมกับอดทนอดกลั้นที่จะไม่เอามือของชั้นทุบพื้น

 

อะไรแบบนี้ได้ดำเนินมาหลายวันแล้ว ทว่าในวันนี้…

 

ในที่สุดชั้นก็ได้เริ่มเรียนจริงๆจังๆหลังจากที่ชั้นถูกบอกว่า ‘จะสอนก็ต่อเมื่อชั้นสามารถนั่งโต๊ะอาหารเป็นเวลานานๆโดยที่ยังสำรวมท่าทางได้แล้ว!’

 

***

 

“…โลกได้เกือบจะติดอยู่ในความมืดมิดเป็นเวลานาน ทว่าความมืดก็ได้เกิดความปราถนาขึ้น ความปราถนาที่ไม่อยากจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวและความปราถนาที่จะเปลี่ยนแปลง… และแล้วการเปลี่ยนแปลงก็ได้เกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือแสงสว่าง…”

 

ชั้นอ่านตำนานที่ถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือเรียนสำหรับมือใหม่โคตรๆอย่างระมัดระวัง หนังสือนั้นมีชื่อว่า “ตำนานแห่งเวทมนตร์” ที่ชั้นได้รับมาจากพี่สาวทูไลท์

 

อนึ่ง ตอนนั้นพี่สาวทูไลท์ได้พูดพึมพำออกมาว่า “เราจะเริ่มเรียนจากอะไรก่อนดีนะ?” ตัวชั้นก็เลยรีบตอบกลับไปว่า “เวทมนตร์ค่ะ ได้โปรดเถอะนะคะ!” ชั้นได้ขอร้องอ้อนวอนเธอและมันก็สำเร็จ

 

ชั้นอ่านออกเสียงมันอย่างซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้มั่นใจว่าตัวชั้นจะร่ายมันออกมาได้ต่อให้หลับตาอยู่ก็ตาม

 

“ตามที่หนูบอกว่าหนูชอบมันเลยนะ ความตั้งใจต่างกันจริงๆ… มันยอดเยี่ยมไปเลยละ อลิซ เอาละ ตอนนี้ลองอ่านบรรทัดแรกของหน้าถัดไปดูสิ”

 

ชั้นทำตามเสียงที่พี่สาวบอกแล้วเปิดหน้าถัดไป

 

“เวทมนตร์นั้นถูกแบ่งออกเป็นออริจิ้นสล็อตที่เป็นการดึงพลังจากสปิริตและเทพเจ้า กับ อนิม่าสล็อตที่เป็นการดึงพลังออกมาจากวิญญาณ”

 

โว้ว โว้ว โว้ว!

 

นี่แหล่ะ นี่แหล่ะ! มันต้องอย่างนี้สิ!

 

ชั้นใช้กล้ามเนื้อใบหน้าที่ไม่ค่อยมีของชั้นเพื่อหยุดไม่ให้ชั้นยิ้มออกมา เมื่อไม่กี่วันมานี้ชั้นเริ่มจะกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ซะแล้ว

 

“หนูรู้หรือปล่าวว่าออริจิ้นสล็อตกับอนิม่าสล็อตนั้นต่างกันยังไงหน่ะ อลิซ?”

 

“อืม……”

 

ชั้นเอามือจับแก้มของตัวเองแล้วก็ครุ่นคิด หืมมม

 

“ตอนที่ท่านพ่อกับท่านแม่ใช้เวทมนตร์ หนูคิดว่ามันมีบางครั้งที่พวกท่านร่ายเวทย์ออกมากับบางครั้งที่ไม่ได้ร่ายด้วยน่ะค่ะ…”

 

ขณะที่ชั้นพูดออกไปแบบนั้น แว่นตาของพี่สาวก็สว่างวาบขึ้น

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้วละ อลิซ! อนิม่าสล็อตนั้นจะสามารถเกิดขึ้นได้เอง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องร่ายหรือใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือใดๆเลย กลับกันออริจิ้นสล็อตนั้นจำเป็นจะต้องได้รับการชี้นำหรือสวดภาวนาเพื่อที่จะยืมพลังของผู้ที่จะมาช่วยเหลือ ถึงมันจะมีประสิทธิภาพมากก็จริง แต่มันไม่ได้เหมาะกับการต่อสู้ส่วนตัวเสมอไปหรอกนะ”

 

สถานการณ์ไหนกันที่ขุนนางหญิงจะต้องเพชิญหน้ากับการต่อสู้ความเร็วสูงกัน…? ชั้นคิดแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดออกอะไรไปแล้วรีบจดโน๊ตทันที

 

“จะต้องใช้คำร่ายเฉพาะเจาะจงด้วยหรือปล่าวคะ?”

 

ชั้นถามเธอถึงสิ่งที่ชั้นสงสัยหลังจากได้เห็นท่านพ่อกับท่านแม่ใช้เวทมนตร์ แว่นตาของเธอสว่างจ้าขึ้นกว่าเดิมอีก มันแสบตานึดหน่อย

 

“หนูนี้ตาถึงจริงๆเลยนะ… ไม่หรอก มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น! ทว่าผู้คนนั้นต่างได้เรียนคำร่ายที่แนะนำมาจากโรงเรียนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยใช้คำร่ายอื่นๆกันหรอก มีเพียงผู้คนที่เป็นจอมเวทย์ระดับเชี่ยวชาญและนักวิจัยเวทมนตร์เท่านั้นที่ใช้… เหมือนกับชั้นยังไงละ”

 

“อะไรนะคะ? พี่สาวทูไลท์เป็นนักวิจัยยังงั้นหรอคะ?!”

 

โอ้ แหม่ ฟังดูเป็นอาชีพสุดแสนวิเศษที่ชั้นอาจจะทำเลย!!

 

“โอ๊ะ เอเลนอร์ไม่ได้บอกหนูงั้นหรอ? นอกจากชั้นจะทำหน้าที่ตรวจสอบดินแดนแล้ว ชั้นยังทำอะไรหลายๆอย่างด้วย เช่นเรียนเกี่ยวกับเวทมนตร์ หรือเรียนเกี่ยวกับโบราณสถาน… อืม ชั้นได้ทำอะไรหลายๆอย่างเป็นงานอดิเรกและเรื่องที่สนใจจะทำด้วยนะ รู้ไหม?”

 

“อะไรนะคะ… เอ๋?”

 

ชั้นตัวสั่น

 

“วิจัยเวทมนตร์กับโบราณสถานงั้นหรอคะ…?! มันเท่ทากเลยค่ะพีสาว! หนูเองก็อยากจะทำยังงั้นมั้ง!!”

 

ชั้นประทับใจจนถึงขนาดที่ลุกขึ้นแล้วกำมือของตัวเอง จากนั้นคุณทูไลท์เองก็ลุกขึ้นเช่นกัน ก่อนที่เธอจะรีบกำมือของชั้นเอาไว้

 

“หนูเองก็สนใจมันเหมือนกันงั้นหรอ! เด็กสาวแบบนี้หายากมากเลย— สุดยอดจริงๆ!… เอาละ มาเปลี่ยนบทเรียนเป็นสุดยอดบทเรียนเวทมนตร์แล้วมาศึกษามันให้ละเอียดยิบไปเลย!”

 

“ค่ะ หนูจะทำมัน! หนูจะตามคุณไปตลอดชีวิตเลยค่ะ!!!!”

 

ในท้ายที่สุด แว่นตาของพี่สาวก็สว่างจ้าซะจนมองตรงๆไม่ได้ ทว่า ตัวชั้นเองก็ตื่นเต้นเหมือนกันที่จะได้เปิดประตูสู่โลกแฟนตาซีอย่างเต็มตัวแล้ว ชั้นตื่นเต้นซะจนไม่รับรู้ถึงสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้นเลย…

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 14: ทูไลท์

 

[นางเอกได้กลายเป็นนางร้ายไปเพราะเหตุการณ์บางอย่าง ทว่าเรื่องราวความรักของเธอนั้นยังคงดำเนินต่อไปพร้อมกับเป้าหมายในการจีบมากมาย มีทั้งเจ้าชาย,อาจารย์,อัศวิน,สายลับ,พ่อมด,และคนอื่นๆอีกมากมายหลายคน เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวความรักโรแมนติคที่สุดแสนจะแฟนตาซีได้ภายในสถาบันเวทมนตร์แห่งนี้!]

 

–นั่นเป็นสิ่งที่เขียนอยู่ด้านหลังกล่องเกม มันได้แล่นผ่านเข้ามาในหัวของชั้น

 

เหตุผลที่อยู่ๆทำไมชั้นถึงมาคิดเรื่องนั้น นั่นก็เพราะว่าตอนนี้ตัวชั้นกำลังอยู่ในค่ายฝึกจากนรกยังไงละ

 

ในตอนนี้ ชั้นกำลังวิ่งรอบสนามหลังบ้านของตระกูลอาเชอร์เลซที่มีขนาดใหญ่มากๆเป็นจำนวน 5 รอบตามที่ได้สั่งเอาไว้ล่วงหน้าอยู่

 

หลังจากที่วิ่งเสร็จ ชั้นก็จะต้องวิดพื้น 3 เซต, สควอชอีก 3 เซต, และรวมถึงการฝึกความแข็งแกร่งแบบอื่นๆอีกมากมายมหาศาลที่กำลังชั้นอยู่

 

ไม่ ไม่ ไม่ นั่นก็ปกติใช่ไหมละ? อย่าพึ่งคิดถึงมันนะ

 

ตัวชั้นที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงจนถึงเมื่อไม่นานมานี้

 

บัดนี้นั้น ชั้นสามารถทานอาหารมือใหญ่ๆได้ แถมยังเคลื่อนไหวร่างกายได้ทั้งวันเลยด้วย ทว่า ตัวชั้นก็ยังแทบไม่มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใดๆเลยอยู่ดี

 

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ชั้นกล้าใช้ร่างกายหนักขนาดนี้

 

“ฮาห์ ฮาห์ ฮาา~”

 

ชั้นวิ่งไปอย่างช้าเพื่อที่จะไม่ให้เสียการทรงตัวในขณะที่ทำเสียงน่าสงสารแบบนั้นออกมา

 

“อุฟุ อุฟุฟุ อุฟุฟุฟุฟุ! ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความแฟนตาซี และเพื่อที่จะได้เป็นผู้ใช้เวทมนตร์… อุฟุฟุฟุ”

 

ชั้นคงจะไม่ทำอะไรอย่างนี้หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตัวชั้นได้มาเกิดในโลกที่มีคำว่า “แฟนตาซี” กับ “สถาบันเวทมนตร์” ล่อลวงอยู่ละนะ เกมจีบหนุ่มกุหลาบสีทองนั้นกลายมาเป็นความจริงแล้ว และชั้นก็หนีความจริงข้อนี้ไม่ได้อีก!

 

ไม่สิ บางทีมันอาจจะเป็นสถานการณ์ที่ตัวชั้นได้หวังเอาไว้ก็ได้…

 

“เกร็งแขนเข้าไว้! ฟอร์มของเธอเสียแล้วนะ!”

 

คนที่แกว่งดาบไปมาในขณะที่หัวเราะอย่างน่าสงสัยให้กับตัวชั้นที่กำลังรีบวิ่งอยู่นั่นก็คือ พี่สาว ทูไลท์

 

พี่สาวทูไลท์นั้นเป็นภรรยาของพี่ชายของท่านแม่ หรือก็คือ เธอเป็นป้าของชั้นเอง

 

เธอมีดวงตาสีชมพูเข้มพร้อมกับผมทรงบ็อบสีดำเงายาว และสวมแว่นตาขอบสีเงินเอาไว้

 

อายุจริงๆของผู้หญิงคนนี้นั้นย่างเข้า 30 ไปแล้ว ทว่าในตอนที่มองเธอครั้งแรกนั้น เธอดูเป็นหญิงสาวที่งดงามอายุประมาณ 20 กลางๆ… ปรากฏว่าชั้นถูกห้ามไม่ให้เรียกเธอว่าท่านป้า และต้องเรียกเธอว่าพี่สาวแทน

 

แทนที่เธอจะไว้ผมยาวแล้วมัดเอาไว้พร้อมกับสวมชุดเดรสตามแบบฉบับหญิงสาวทั่วๆไปในประเทศนี้ เธอกลับไว้ผมสั้นและสวมกางเกงขี่ม้าสีน้ำตาลแบบผู้ชาย, เสื้อกั๊ก, และเสื้อท่อนบนของผู้หญิง ถึงอย่างนั้น มันก็ยังดูเข้ากับเธอมากเลย

 

“ก้าวต่อไป!”

 

“ค่ะ!”

 

เสียงแส้ฟาดไปที่ระเบียงนั้นทำให้ชั้นตกใจ จนชั้นรีบแก้ไขท่าทางของตัวเองใหม่ทันที

 

เหตุผลที่ชั้นต้องมาทำอะไรอย่างนี้นั้นก็ต้องย้อนกลับไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว…

 

***

 

“อลิซ พ่อได้รับการตอบกลับจากพี่สาวของไฮเมอร์แล้วนะ เธอบอกว่าเธออยากจะขอเจอกับลูกก่อน และถ้ามันดูโอเค เธอก็จะตอบตกลงละ!”

 

“แม่แน่ใจว่าพวกเราจะต้องหวังพึ่งท่านพี่ได้อยู่แล้ว! ดีใจด้วยนะจ๊ะ อลิซ!”

 

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ส่งสปริตสื่อสารออกไป ครอบครัวของชั้นก็ดีใจที่ได้รับการตอบกลับจากคนที่ถูกเรียกว่า ‘พี่สาวของตระกูลไฮเมอร์’

 

“หมายความว่ายังไงหรอคะเรื่องที่ว่ามันเป็นการดีที่จะได้พบเธอน่ะค่ะ…?”

 

2 วันหลังจากที่ชั้นได้สัญญาไป ชั้นก็ได้เข้าใจเงี่อนไขปริศนานั้น

 

ชั้นรู้ตัวดีเลยละว่ามันหมายความว่ายังไง

 

“โอ้ อลิซ หนูเปลี่ยนไปมากเลยนะ…”

 

ที่คฤหาสน์ชั้นบนของตระกูลไฮเมอร์ ชั้นกำลังรู้สึกหวาดกลัวเมื่อต้องมาเจอกันตัวต่อตัวกับพี่สาวทูไลท์ หญิงสาวที่ยังดูมีเสน่ห์แม้จะแต่งกายเหมือนผู้ชายก็ตาม

 

“ทา—ทาคา… *ทาคาระซึกะ!!!”

 

นั่นคือความประทับใจแรกที่ชั้นมีต่อพี่สาวทูไลท์

 

ถึงเธอจะไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่เธอก็สวมกางเกงสไตล์ที่ใช้งานได้จริงๆ

 

อย่างไรก็ตาม เธอเองก็ยังมีความเย้ายวนที่รู้สึกได้จากขนตาที่ยาวและริวฝีปากสีแดงที่งดงามอยู่

 

เธอมีรสนิยมที่ดีเยี่ยมซึ่งสามารถสังเกตได้จากแว่นตาขอบสีเงินและดวงตาอันคมกริบของเธอ

 

ชั้นลืมที่จะทำรอยยิ้มธุรกิจไปเลยเมื่อได้พบกับดาราทาคาระซึกะคนนี้

 

อนึ่ง ท่านลุงอาดิพัสที่เป็นพี่ชายของท่านแม่เองก็ยืนอยู่ข้างๆพี่สาวทูไลท์ด้วย เขาเอามือก่ายหน้าผากของเขาเองราวกับว่ากำลังเหนื่อยยังไงยังงั้น

 

…ทำไมเขาถึงดูเหนื่อยขนาดนั้นละ? ขณะที่ชั้นกำลังสงสัยแบบนั้น พี่สาวทูไลท์ก็ได้พูดกับชั้นว่า

 

“หนูจำพี่ได้ไหม? อลิซจัง”

 

“อา อืม… ความทรงจำของหนูในตอนที่หนูป่วยอยู่มันเลือนลางน่ะค่ะ หนูต้องขอโทษจริงๆค่ะ”

 

“อืม เอาเถอะ ชั้นเคยไปหาหนูเพียงแค่ครั้งเดียวตอนที่หนูยังเด็กมากๆเลยนี่นะ ก็คงจะช่วยไม่ได้หรอก”

 

ท่านลุงอาดิพัสนั้นทำงานอยู่ในปราสาทเป็นหลัก ดังนั้นตราบใดที่ยังอยู่ในเมืองหลวง ชั้นก็สามารถเจอเขาได้เป็นปกติ ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าตัวภรรยาของเขาทูไลท์นั้นมักจะเดินทางทั่วทั้งดินแดนอย่างเต็มใจบ่อยๆ

 

ดังนั้น ตอนที่ตัวชั้นได้เจอเธอก็มีเพียงแค่ตอนที่ชั้นอายุ 1 ขวบ และตอนที่ชั้นอายุได้ 3 ขวบเท่านั้น ตอนนั้นเธอมาหาชั้นในขณะที่ชั้นยังมีอาการมึนๆอย่

 

สำหรับชั้น ชั้นจำไม่ได้เลยว่าเคยเจอกับเธอตัวต่อตัวแบบนี้

 

ชั้นเลยตัดสินใจที่จะแนะนำตัวเองอีกครั้ง เพื่อเอาไว้ก่อน

 

“ขอแนะนำตัวอีกครั้งนะคะ… หนูชื่อ อลิซ รีเบคก้า อาเชอร์เลซ หนูหวังว่าพวกเราจะเข้ากันได้ตั้งแต่นี้ต่อไปนะคะ ท่านพี่”

 

เมื่อชั้นยิ้มพร้อมกับพูดแบบนั้นออกไป พี่สาวทูไลท์ก็ได้ยิ้มตอบกลับมา

 

“เป็นเด็กดีมีมารยาทดีนี่ มาสนิทกันเข้าไว้เถอะนะ… พี่คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะสอนหนูแล้ว มันจะต้องเป็นความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมแน่นอน… ฟุฟุฟุ”

 

……มีคำที่กวนใจชั้นอยู่ในคำพูดนั่นด้วย ทว่า คำพูดที่เหลือก็ดูจะเป็นไปได้ด้วยดีนะ

 

“ทูล่า… ออมมือหน่อยนะ โอเค? อลิซพึ่งจะหายป่วยเมื่อเร็วๆนี้เอง แถมเธอยังบอบบางราวกับดอกไม้ด้วยนะ!“

 

ขณะที่เขามีท่าทางราวกับปวดหัวอยู่นั้น ท่านลุงอาดิพัสก็ได้อุ้มชั้นขึ้นไปอย่างอ่อนโยน ชั้นอยากจะบ่นเรื่องที่เขาอธิบายตัวชั้นแบบนั้นอยู่หรอก ทว่าในตอนนีชั้นจะอยู่เงียบๆไปก่อนละกัน

 

“อลิซ ถ้าทูล่ารังแกหนูละก็ ให้รีบมาบอกข้าเลยนะ ข้าจะรีบไปหาแล้วหยุดมันเอง”

 

“หา? อืม…”

 

“โอ๊ะ นั่นไม่ดีเลยนะ เคยเห็นชั้นรังแกเด็กสาวรึไงกัน?”

 

ท่านลุงออดิพัสทำสีหน้าปั้นยากด้วยเหตุผลบางอย่าง นี่เธอมีประวัติอาชญากรรมจริงๆงั้นหรอ…?

 

“เธอไม่รักแกก็จริง แต่เธอทำลายจิตใจของคนที่เธอฝึกให้มากเกินไปจนพวกเขากลายเป็นคนละคนไปเลย… หรือทำลายแม้กระทั่งจิตใจของคนที่ตามการฝึกของเธอไม่ทันด้วย นอกจากนั้น ดูเธอก็จะชอบอลิซอยู่พอตัวนะ ดังนั้น… ช่วยออมมือให้เธอด้วย”

 

“ได้แน่นอนอยู่แล้ว สบายใจได้เลยนะที่รัก ชั้นจะดูแลอย่างดีเลย”

 

ทำลายจิตใจ…?

 

ฝึกหนักเกินไป?? กลายเป็นคนละคน…???

 

มีคำที่กวนใจชั้นออกมามากมายเลย

 

อย่างไรก็ตาม ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองครอบครัวของชั้นที่กำลังมองมาทางนี้ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นหัวใจบนใบหน้าของพวกเขา

 

เอาเถอะ ก้าวแรกของการเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ก็ต้องเริ่มจากการฝึกพื้นฐานนี่นะ

 

ตัวชั้นจะไปได้ไกลก่อนที่จะได้เข้าเรียนที่สถาบันกันนะ?

 

=======================================================

*ทาคาระซึกะ หรือคณะละครทาคาระซึกะ เป็นคณะละครหญิงล้วนที่ไม่ว่าจะเล่นบทไหนก็จะใช้ผู้หญิงแสดง แม้จะเป็นบทพระเอกหรือบทที่ผู้ชายแสดงก็ตาม

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 13: สัญญาและสปิริต

 

ชั้นมืดแปดด้านไปเลยหลังจากที่ได้ยินเรื่องของท่านพี่ออลูริส

 

ชั้นพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะพูดว่า “อืม หนูหมายถึง มันก็เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุไม่ใช่หรอคะ?” ทว่า ที่พูดออกไปจริงๆนั้นมันดันกลายเป็น “ไม่ใช่ว่ามีเถาวัลย์พันคออยู่ก็ดีไปเลยไม่ใช่หรอคะ” ซะงั้น ทำเอาเงียบไปทั้งโต๊ะเลย

 

ชั้นยังบอกพวกเขาไปว่าท่านพี่ออลูริสนั้นยังคงวางตัวและพูดคุยกับชั้นเหมือนกับเมื่อก่อนอยู่ ทว่าเขาก็ไม่ยอมเชื่อชั้นเลย

 

พวกเขาบอกชั้นว่า “มันมีโอกาสที่อยู่ๆเขาจะเสียการควบคุมเพราะความโกรธ ดังนั้นอลิซไม่ควรอยู่ใกล้ตัวเขาจะดีกว่า” ดังนั้นชั้นก็เลยพูดแก้ต่างอะไรอีกไม่ได้เลยหลังจากนั้น

 

ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไปละก็… ไม่ มันจะต้องลำบากหรืออึดอัดที่จะมาเยี่ยมตระกูลเวอร์จิลทั้งๆที่ยังมีความอึดอัดใจแบบนี้อยู่แน่ ดังนั้นชั้นก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุย

 

“โอ๊ะ อืม ท่านพี่วิลล์คะ มาคิดๆดูแล้ว ท่านพี่ไปโรงเรียนเมื่อไหร่หรอคะ?”

 

ทั้งการปิกนิกก่อนหน้านี้ รวมถึงปาร์ตี้น้ำชาวันนี้ด้วย เขานั้นทำตัวสบายๆตั้งแต่เช้าเลย ดังนั้นชั้นจึงสงสัยว่าเขาเอาเวลาไปเรียนตอนไหน

 

“โอ้ จริงๆแล้วพี่เรียนจบจากโลเวนแล้วหน่ะ ตอนนี้พี่กำลังเรียนอยู่ที่สถาบันแอดวานเซีย แต่เพราะว่ามันมีคาบเรียนบังคับอยู่ไม่กี่คาบ ดังนั้นตารางเรียนของพี่ก็เลยปรับเปลี่ยนได้ง่ายหน่ะนะ”

 

เออ… โว้ว เรื่องดีๆในโลกแฟนตาซีออกมาแล้ว

 

ชั้นทำสีหน้าตื่นเต้นออกไปให้กับเนื้อหาแฟนตาซีๆที่ออกมาอย่างไม่คาดคิดโดยที่ไม่รู้ตัว ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าด้วย

 

“ที่นั่นเป็นสถานที่แบบไหนหรอคะ?”

 

คุณป้าเฟลิเซียที่กำลังจะพูดกับชั้นก็ได้โยนอารมณ์หม่นหมองของเธอทิ้งไปแล้วเริ่มพูด

 

“อลิซจังเองก็อยู่ในวัยที่ต้องคิดถึงเรื่องโรงเรียนแล้วสินะจ๊ะ? ป้าคิดว่าที่แอดวานเซียนั้นนับเป็นสถานที่สำหรับฝึกการเป็นขุนนางเต็มตัวน่ะจ่ะ หนูสามารถเรียนวิชาบางวิชาได้ หรือจะจริงจังไปกับธุรกิจของครอบครัวก็ได้ ไม่ว่าจะทางไหนก็จะทำคะแนนให้หนูได้… ถ้าโลเวนเป็นสถานที่สำหรับเรียนพื้นฐาน แอดวานเซียก็เป็นเหมือนเหมือนสถานที่สำหรับเรียนเรื่องต่างๆในเวลาว่างนั่นแหล่ะจ่ะ”

 

“งั้นหรอคะ…! ว้าวๆๆ!!”

 

ความหม่นหมองในใจของชั้นนั้นยังไม่หายไปก็จริง ทว่าตัวชั้นกำลังอยากรู้อยากเห็นเรื่องสถาบันของขุนนางที่ชื่อว่าสถาบันแห่งแอดวานเซียนี่จริงๆ

 

“อลิซก็กำลังจะเข้าเรียนที่สถาบันเวทมนตร์โลเวนแห่งจักรวรรดิในปีหน้าแล้วนี่นา — น้องจะทำยังไงกับเรื่องเรียนหรอ?”

 

“อา อืม คิดดูก่อนนะคะ… หนูได้ยินมาว่าหนูกำลังจะมีครูสอยพิเศษ… แต่ว่าหนูก็ยังไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมันมากมายเลยคะ”

 

ชั้นตอบกลับไปอย่างอึมครึม ถ้ายังเป็นอย่างนี้ละก็ ชั้นจะต้องทำอะไรหลายๆอย่างเลย แถมชั้นยังคงลังเลที่จะพบกับคนที่ไม่ใช่คนรู้จักอยู่เล็กน้อยด้วย

 

ชั้นหมายถึง ขนาดชีวิตของคนรู้จักของชั้นยังมืดมนกันขนาดนี้ แสดงว่ามันจะต่องมีอะไรหลายๆอย่างในสังคมขุนนางแน่ๆละ

 

“งั้นหรอ… แต่ในกรณีของอลิซ น้องเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นๆ ดังนั้นน้องจะต้องรีบแล้วละนะ”

 

“เอาเถอะจ่ะ ถ้าหนูเป็นคนเรียนรู้เร็วแล้วละก็ หนูจะสามารถเตรียมตัวได้ก่อน 1 ปีเลยนะจ๊ะ”

 

“โอ๊ะ ยังงั้นหรอคะ?!”

 

ยุ่งยากจริงๆ ไม่เพียงแค่ห่างไกลจากการเกิดใหม่แบบโกงๆแล้ว แต่ตัวชั้นยังตามหลังคนอื่นๆอีก!

 

ท่านพี่ที่มองลงมาที่ชั้นอย่างเป็นห่วงนั้นได้แนะนำอะไรบางอย่างออกมา

 

“พี่สามารถสอนเกี่ยวกับยาสมุนไพรให้ได้นะ แต่ว่าน้องอยากจะทำอะไรละ? พี่คิดว่าพี่สามารถแบ่งเวลามาสอนให้สัปดาห์ละครั้งในตอนเช้าได้นะก่อนที่น้องจะได้เข้าเรียน”

 

“รบกวนด้วยคะ!”

 

ชั้นตอบกลับไปทันที ท่านพี่วิลล์ก็เลยพยักหน้าตกลง เย้!!

 

“อืม วิลล์เองก็มีความรู้ด้านสมุนไพรจริงๆ แถมยังเป็นการทบทวนพื้นฐานไปในตัวด้วย หนูควรได้เรียนรู้จากเขานะ”

 

คุณป้าเฟลิเซียเองก็เห็นด้วย ดังนั้นจึงเป็นอันตกลงทันทีว่าชั้นจะได้เริ่มเรียนรู้หลักสูตรของโรงเรียนในอาทิตย์หน้านี้

 

ตัวชั้นกำลังล่องลอยไปมาด้วยความตื่นเต้น แต่แน่นอนว่าชั้นยังไม่ลืมปัญหาของท่านพี่ออลูริสไปแล้วหรอกนะ

 

“เนื่องจากหนูจะเป็นคนที่ถูกสอน การจะให้ท่านพี่มาที่คฤหาสน์อาเชอร์เลซมันก็กระไรๆอยู่ หนูเลยอยากที่จะเรียนที่คฤหาสน์เวอร์จิลน่ะค่ะ แถมที่นี่ยังมีเรือนกระจกอีกด้วย!”

 

เมื่อชั้นขอไปแบบนั้น ท่านพี่วิลล์ก็ยังคงอึกอักอยู่ คงเป็นเพราะตัวตนของท่านพี่ออลูริสละมั้ง แต่ว่าท้ายที่สุดชั้นก็ทำให้เขาตอบตกลงจนได้

 

มันก็เป็นการยากอยู่แล้วที่ท่านพี่ออลูริสจะออกมาจากห้อง แถมยังแทบจะไม่มีโอกาสเจอกับชั้นด้วย

 

ถ้าชั้นมาที่นี่บ่อยๆละก็ ชั้นก็น่าจะหาเบาะแสสำหรับแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ได้

 

หลังจากที่ทุกอย่างลงตัวแล้ว ชั้นก็ได้เดินทางกลับบ้านของตัวเอง

 

***

 

“หนูกลับมาแล้วค่ะ ท่านแม่!”

 

เมื่อชั้นกลับมาถึงคฤหาสน์อาเชอร์เลซ ท่านแม่ก็กำลังนั่งอยู่ที่ระเบียงพร้อมทั้งดื่มชาอยู่

 

“ยินดีต้อนรับกลับนะ อลิซ อาหารของลูกเป็นยังบ้างจ๊ะ”

 

“ค่ะ! สำเร็จไปได้ด้วยดีค่ะ!”

 

ชั้นพูดแบบนั้นในขณะที่พุ่งเข้าใส่อ้อมกอดของท่านแม่ที่กำลังกางแขนของเธอออก จากนั้นเธอก็ได้ลูบหัวของชั้น

 

“อาหารที่ลูกทำให้แม่ทานก็เยี่ยมไปเลยนะจ๊ะ อร่อยมากๆจริงๆ”

 

ใช่แล้ว แน่นอนว่าครอบครัวของชั้นก็ด้วย ตอนที่พวกเขาได้ลองทานมัน พวกเขาก็เอาแต่พร่ำเพ้อถึงมัน ดังนั้นหลังจากนี้พวกเราก็จะได้ดื่มด่ำกับเนื้อภายในบ้านของตัวเองแล้ว เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ

 

“แล้วก็นะท่านแม่ ท่านพี่วิลล์ตกลงจะช่วยสอนหนังสือให้กับหนูด้วยละคะ! มันไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”

 

เมื่อชั้นพูดแบบนั้นออกไป ท่านแม่ก็พูดว่า “แหม่ นั่นมันเยี่ยมไปเลยนะจ๊ะ!” มันทำให้ชั้นดีใจมากๆเลยละ

 

“แม่จะต้องคุยกับพ่อของลูกเรื่องการเรียนของลูกน่ะจ่ะ พวกเราไปที่ห้องทำงานด้วยกันเลยไหมจ๊ะ?”

 

“ค่ะ!”

 

ชั้นตอบกลับไปอย่างร่าเริง ก่อนจะเริ่มเดินออกไป

 

อนึ่ง ชั้นก็ได้ถามเรื่องความสัมพันธ์กับท่านพี่ออลูริสออกไปด้วย และเมื่อชั้นบอกพวกเขาถึงเรื่องความอ่อนโยนและท่าทางหวาดกลัวของเขาที่ชั้นสัมผัสได้ออกไป ท่านแม่ก็ยังคงยิ้มออกมาตามปกติ

 

ตระกูลอาเชอร์เลซกับตระกูลเวอร์จิลนั้นเป็นญาติๆกัน ดังนั้นชั้นก็เลยสงสัยว่าเธอจะรู้เรื่องเหตุการณ์นั้นแล้วหรือยัง… ในฐานะที่เป็นเรื่องภายในครอบครัว มันจะถูกเก็บเงียบเอาไว้เป็นความลับภายในตระกูลเวอร์จิลหรือปล่าวนะ?

 

ชั้นได้มาถึงห้องทำงานพร้อมกับความคิดแบบนั้น

 

ดูเหมือนท่านพ่อจะเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งแล้วหลังจากช่วงเวลาพักฟื้น — ซึ่งเหมือนกับการแบ่งเวลาให้ครอบครัวมากกว่า

 

ชั้นเคาะไปที่ประตู ก่อนที่จะมีเสียงอนุญาตตอบกลับมาทันที

 

เมื่อชั้นเดินเข้าไปในห้อง ชั้นก็ได้เห็นออฟรานซ์ซังกับท่านพ่อกำลังจัดการกับกองเอกสารอย่างเมามันอยู่

 

ทว่า เมื่อพวกเขาเห็นท่านแม่กับชั้น พวกเขาก็ยิ้มพร้อมกับรีบกวาดกองเอกสารพวกนั้นออกไปข้างๆ… มันจะดีหรอนั่น?

 

“………—นั่นแหล่ะค่ะว่าทำไมหนูถึงตัดสินใจที่จะเรียนกับท่านพี่วิลล์น่ะค่ะ ท่านพ่อคะ ได้ใช่ไหมคะ!?”

 

เมื่อชั้นบอกเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ ท่านพ่อก็พยักหน้าตกลงและพึงพอใจเป็นอย่างมาก

 

“แน่นอนอยู่แล้วว่ามันไม่เป็นไร พ่อเองก็ต้องขอบคุณคุณวิลเฮล์มเหมือนกัน ถึงยังงั้น การที่ลูกสาวสุดที่รักนั้นกระตือรือร้นที่จะเรียนขนาดนี้… มันช่างวิเศษไปเลย!”

 

ท่านพ่อที่กลับมาทำหน้าพ่อขี้โอ๋ลูกอีกครั้งนึงนั้นกำลังพึมพำออกมาแบบนั้น ท่านแม่เองก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ชั้นจะต้องบอกพวกเขาถึงเรื่องที่ตัวชั้นอาจจะตามหลังคนอื่นอยู่ด้วย

 

“ท่านพ่อคะ ท่านแม่คะ คุณป้าเฟลิเซียบอกหนูมาว่าหนูอาจจะตามหลังคนอื่นๆด้านการเรียนอยู่เล็กน้อยน่ะค่ะ ตัวหนูเองก็อยากจะเรียนเยอะๆด้วย หนูควรจะทำยังไงดีคะ?”

 

ขณะที่ชั้นบอกเขาไปแบบนั้น ท่านพ่อก็ได้คร่ำครวญอยู่ภายในลำคอ

 

“อืม พ่อคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะต้องหาครูสอบพิเศษให้… จะทำยังไงดีนะ?”

 

ท่านพ่อดูจะเป็นกังวลเรื่องที่จะหาใครสักคนที่สามารถไว้วางใจและสอนชั้นได้อยู่

 

จากนั้นท่านแม่ก็ทุบมือของตัวเองเหมือนกับคิดอะไรออก ก่อนที่เธอจะให้คำแนะนำออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม

 

“ใช่แล้ว ไปขอให้พี่สาวไฮเมอร์ช่วยกันเถอะจ่ะ!”

 

พี่สาวไฮเมอร์?

 

ขณะที่ชั้นกำลังมีเครื่องหมายคำถามลอยอยู่บนหัวนั้น ท่านพ่อก็พูดว่า “อะฮ้า!” ก่อนที่จะทำหน้าพึงพอใจออกมา

 

“เอาสิ ตอนนี้เธอก็น่าจะอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิใช่ไหม? รีบติดต่อกับเธอให้เร็วที่สุดเลย!”

 

จากนั้นท่านพ่อก็ได้นำเครื่องเขียนออกมาจากลิ้นชักโต๊ะ

 

เขาเขียนอะไรบางอย่างสั้นๆ ก่อนจะไปยืนที่หน้าต่างแล้วยื่นแขนออกไปในอากาศ จากนั้นเขาก็ได้พึมพำอะไรบางอย่างออกมา

 

หลังจากนั้นก็ปรากฏปีกใสๆคู่หนึ่งขึ้นมาราวกับว่ามันได้ละลายออกมาจากอากาศ

 

“ว้าว! ท่านแม่คะ ท่านแม่! นั่นคืออะไรหรอคะ?!”

 

เธอหัวเราะเล็กน้อยให้กับตัวชั้นที่กำลังตื่นเต้น

 

“นั่นคือสปิริตที่อยู่ภายใต้พันธสัญญากับพ่อของลูกน่ะจ่ะ มันถูกเรียกว่าสปิริตส่งสาร และมันเป็นสปิริตที่ดีที่จะคอยช่วยเหลือลูกเมื่อลูกได้รู้จักพวกมันแล้วน่ะจ่ะ”

 

“สปิริตส่งสารหรอคะ…! หนูจะเข้ากับพวกเขาได้เหมือนกันไหมคะ?”

 

เมื่อชั้นพูดแบบนั้นพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกาย ท่านแม่ก็วางมือลงบนแก้มของเธอเอง

 

“อืม จริงๆแม่ก็อยากให้ลูกรอจนกว่าจะได้รับรองคุณสมบัติที่โลเวน แต่ว่า… มันก็ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามนี่นะ? งั้นแม่จะสอนลูกถึงวิธีการอัญเชิญมันในครั้งหน้าแล้วกันนะจ๊ะ”

 

ขณะที่มีดอกไม้บานสะพรั่งเป็นพื้นหลังให้กับคำพูดของท่านแม่อยู่นั้น ท่านพ่อก็ได้ติดจดหมายไปที่ปีกของสปิริตส่งสาร ก่อนจะปล่อยมันบินออกไป

 

“เรียบร้อยแล้ว พ่อหวังว่าลูกจะได้รับการตอบตกลงนะ”

 

“ค่ะ!”

 

……ทว่า ในตอนนั้นตัวชั้นยังไม่รู้

 

……ว่าระดับการสอนของ ‘พี่สาวไฮเมอร์’ นั้นอยู่ระดับไหนในโลกใบนี้

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 12: การทะเลาะกันของพี่น้อง

 

ชั้นอยากจะจัดปาร์ตี้น้ำชา! ดังนั้นชั้นก็เลยไปยังคฤหาสน์เวอร์จิลพร้อมกับสูตรอาหารที่ได้สัญญาเอาไว้อย่างกระตือรือร้น เพราะแบบนั้น ในตอนนี้ชั้นกำลังถูกต้อนรับด้วยชาสูตรพิเศษของตระกูลเวอร์จิลอยู่

 

“ป้าได้ยินจากวิลล์มาก่อนแล้วก็จริง แต่อลิซนี้เปลี่ยนไปจริงๆนะ หนูคงจะเป็นที่รักของสปิริตจริงๆ… ป้าโล่งใจจริงเลย”

 

คุณป้าเฟลิเซียจิบชาของเธอพร้อมกับพูดแบบนั้น

 

“จริงด้วย นอกจากนี้ หลังจากที่อลิซฟื้นตัวขึ้นแล้ว พี่ก็สนุกกับทุกๆวันมากๆเลยนะ”

 

ชั้นยิ้มให้กับเขาที่พูดแบบนั้นกับชั้น ชั้นเองก็มีความสุขมากจริงๆที่ถูกรายล้อมไปด้วยญาติๆที่ใจดีแบบนี้

 

พวกเราพูดคุยกันไปพร้อมๆกับดื่มด่ำกับชาทั้งๆอย่างนั้น ทว่า ชั้นก็ยังไม่ได้พยายามยกท่านพี่ออลูริสขึ้นมาในบทสนทนาเลย

 

“โอ๊ะ ถ้างั้น คุณป้า, ท่านพี่… หนูก็อยากจะดื่มชากับท่านพี่ออลูริสเหมือนกันนะคะ เมื่อไหร่หนูจะได้พบเขาหรอคะ?”

 

จังหวะที่ชั้นพูดออกไปแบบนั้น บรรยากาศรอบๆก็เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์

 

สีหน้าของท่านพี่วิลล์กลายเป็นหม่นหมองลง และสีหน้าของคุณป้าเฟลิเซียเองก็โศกเศร้าขึ้น

 

“…อลิซ ลืมเรื่องของท่านพี่ไปเถอะ ชายคนนั้นไม่ใช่คนที่อลิซเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว”

 

“เอ๊ะ… หมายความว่ายังไงหรอคะ?”

 

ชั้นสงสัยจังว่าพวกเขาเข้าใจชั้นผิดได้ยังไง

 

“หนูก็รู้นะ อลิซจัง… ป้าเองก็ไม่อยากจะพูดอย่างนี้กับลูกของตัวเองหรอก แต่ว่า… ออลูริสนั้นเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หนูไม่ควรจะเข้าใกล้เขานะจ๊ะ”

 

ขนาดแม่ของเขาเองอย่างคุณป้าเฟลิเซียก็ยังคิดว่าท่านพี่ออลูริสเป็นอันตรายต่อตัวชั้นเลย

 

“…มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรอคะ?”

 

เมื่อชั้นถามออกไปแบบนั้น ท่านพี่วิลล์ก็ก้มหน้าลงพร้อมกับมีสีหน้าหม่นหมองและโศกเศร้าไปพร้อมๆกัน จากนั้นเขาก็พูดออกมาเพียงไม่กี่คำว่า

 

“…พี่เกือบถูกเขาฆ่าตาย”

 

“อะไรนะคะ?”

 

เมื่อชั้นถามเขากลับด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ ท่านพี่วิลล์ก็ได้เงยหน้าขึ้นราวกับมีอะไรบางอย่างขาดสะบั้น และร้องออกมาด้วยความปวดร้าว

 

“พี่เกือบโดนเขาฆ่าตายเมื่อกลางปีของปีก่อน! ท่านพี่… และพี่… พี่…”

 

ท่านพี่วิลล์กำมือที่สั่นเทาของเขาเอาไว้แน่นในขณะที่เขาพูดแบบนั้น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดออกมาอย่างช้าๆ

 

“ท่านพี่ออลูริสหน่ะกลายเป็นคนเก็บตัวเมื่อตอนประมาณเดียวกับที่อลิซป่วย ทว่าในฐานะลูกชายของตระกูลขุนนาง เขาไม่อาจจะทำอย่างนั้นได้ใช่ไหมละ? ครอบครัวของพี่กับตัวพี่เองก็พยายามหาสาเหตุแล้ว พวกเราพยายามถามเขา พยายามเกลี้ยกล่อมเขาแล้ว — ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว ทว่าตัวท่านพี่ก็ยิ่งมืดมนขึ้นไปเรื่อยๆ”

 

หืมมมม ดูเหมือนจะยิ่งแย่ลงนะ คิดว่ามันคงจะเหมือนกับการพยายามปลอบคนที่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วมันกลายเป็นว่ามันทำให้เรื่องมันแย่ลงสินะ ถึงชั้นเองก็ไม่รู้ว่านั่นมันจะเป็นกรณีเดียวกับของท่านพี่ออลูริสหรือปล่าวก็เถอะ…

 

“ในตอนนั้นออลูริสก็ยังออกมาข้างนอกบ้าง… ทว่าหลังจากเหตุการณ์ในเรือนกระจกครั้งนั้น พวกเราก็ไม่อาจจัดปาร์ตี้น้ำชาได้อีกเลย…”

 

“เหตุการณ์ในเรือนกระจกงั้นหรอคะ?”

 

เมื่อชั้นพึมพำแบบนั้น ในที่สุดท่านพี่ก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับมีสีหน้าเจ็บปวด

 

“อ่าห์ เท่าที่พี่จำได้ ในวันนั้น พี่เข้าไปเรียกตัวของท่านพี่ภายในเรือนกระจก เพราะว่ามันมีงานปาร์ตี้น้ำชาจัดขึ้นที่คฤหาสน์ใกล้เคียง แต่ว่าตัวของท่านพี่ไม่อยากไปแล้วบอกให้ปล่อยเขาอยู่ตัวคนเดียว… พี่หงุดหงิดจนทนไม่ได้แล้วตะโกนใส่เขาไป บอกเขาไปว่าตัวเขาไม่ได้เข้าใจความคิดของครอบครัวเลยซักนิด และจากนั้น…”

 

ท่านพี่พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงต่ำๆพร้อมกับตัวที่สั่นเทา

 

“เขานั่งลงไปพร้อมกับเอามือกุมหัว และต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ได้งอกขึ้นมารัดคอของพี่ จากนั้นเกสรพิษจากดอกไม้ที่อยู่ใกล้ๆก็กระจายออกมาล้อมตัวพี่เอาไว้”

 

“…!”

 

แน่นอนว่าแบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ถ้าเขาจะคิดว่าเขากำลังจะถูกฆ่าด้วยเวทมนตร์พืชหน่ะ

 

“สามีของป้าไหวตัวทันแล้วรีบทำการประถมพยาบาลทันที วิลล์จึงรอดจากผลข้างเคียงต่างๆมาได้ ทว่า… มันเกินไปสำหรับการทะเลาะกันของพี่น้องแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ออลูริสก็กลายเป็นคนที่เก็บตัวมากกว่าเดิม มันก็น่าเศร้าที่ตัวเขาไม่แม้แต่จะคุยกับป้าเลยด้วยซ้ำ”

 

มีน้ำตาเอ่อนองอยู่ในดวงตาของคุณป้าเฟลิเซียในขณะที่เธอพูดขึ้นมาแบบนั้น

 

“โชคยังดี ขอแค่พวกเราไม่ไปกระตุ้นตัวเขา เขาก็จะไม่ทำอะไร เขาจะอยู่แค่ในพื้นที่ส่วนตัวของเขาหรือห้องเก็บของเพื่ออ่านอะไรบางอย่างเท่านั้น ถึงแม้บางครั้งเขาก็จะลงมาที่เรือนกระจกก็เถอะจ่ะ… การสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลนั้นมีผลต่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลด้วย ดังนั้นพวกเราก็เลยปล่อยเอาไว้ก่อนเพื่อรอดูท่าที แต่ป้าก็ไม่คิดว่าพ่อของเขาจะอนุญาตในเร็วๆนี้หรอกนะจ๊ะ”

 

“นั่น…”

 

สถานการณ์ดูจะตึงเครียดมากกว่าที่ชั้นคิดเอาไว้ซะอีก ตัวชั้นพูดอะไรไม่ออกเลย

 

================================================================

TL: ตอนที่แล้วมันสั้นเกินไปหน่อย ผมก็เลยแถมให้ 1 ตอนนะครับ

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 11: เครื่องรางหอมที่ถูกเก็บเอาไว้

 

ชั้นหันหลังกลับไปมองยังต้นเสียงนั้น และก็ได้เห็นท่านพี่วิลล์ที่วิ่งเข้ามาทางพวกเราแล้วอุ้มชั้นขึ้นไป

 

“นี่แกทำอะไรกับอลิซกัน?!”

 

จังหวะที่ท่านพี่วิลล์ตะโกนออกไปแบบนั้น ท่านพี่ออลูริสก็ได้หายเข้าไปยังส่วนลึกของเรือนกระจกและหนีไปซะแล้ว

 

ชั้นงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และท่านพี่มองมาที่ใบหน้าของชั้นแล้วพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงว่า

 

“น้องเป็นอะไรไหม? เขาไม่ได้ทำอะไรให้กับน้องใช่ไหม? เจ็บตรงไหนหรือปล่าว?”

 

“อะไรนะคะ?! ไม่ค่ะ ไม่… คือหนูไม่ได้…”

 

ชั้นไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามชั้นอย่างนั้น แต่ชั้นก็ได้ตอบเขากลับไปอยู่ดี ท่านพี่วิลล์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

“กลับเข้าไปข้างในกันเถอะ พี่ขอโทษ— พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้น้องตกใจนะ… ตามปกติคนๆนั้นไม่ค่อยจะออกมาจากห้องของเขาหน่ะ…”

 

ชั้นถูกอุ้มเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยอ้อมแขนของท่านพี่วิลล์ผู้ที่มีท่าทีหม่นหมอง

 

…หืมมมม เหมือนกับที่อดีตรุ่นน้องของชั้นในชาติก่อนพูดเอาไว้เลย ความสัมพันธ์ของพวกเขาดูจะตึงเครียดมากเลย

 

…หรือจะต้องบอกว่ามันเลวร้ายโดยสมบูรณ์เลยมากกว่า

 

ชั้นยังเอาเครื่องหอมนี้ให้กับเขาไม่ได้ถ้ายังสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้อยู่ ดังนั้นชั้นจึงเก็บเครื่องหอมอันนั้นเข้าไปในกระเป๋าอย่างเงียบๆ

 

***

 

สุดท้าย ในวันนั้นชั้นก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะชั้นกลัวท่าทางตึงเคลียดของท่านพี่วิลล์มากๆ

 

ปัญหาของครอบครัวอื่นนั้นยากที่จะเข้าไปยุ่งด้วยได้ การที่ตัวชั้นคิดว่าถ้าสร้างการการพูดคุยกันในครอบครัวได้มันอาจจะดีก็ได้ ทว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีกับพวกเขาจริงๆ พวกเขาอาจจะระเบิดไปเลยก็ได้

 

ชั้นกล่าวลาคุณป้าเฟลิเซียที่ดูจะรับรู้ถึงสถานการณ์ได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง ก่อนที่ชั้นจะรีบกลับบ้าน

 

ไม่กี่วันต่อมา วันนี้ ชั้นก็ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง

 

ชั้นได้กลับมาเยี่ยมเยือนคฤหาสน์ตระกูลเวอร์จิลอีกครั้งก็เพื่อทำภารกิจสานความสัมพันธ์ของพวกเขา

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 10: ออลูริส

 

ที่ปลายสายตาที่กำลังตกตะลึงของชั้นนั้น มีชายท่าทางสง่างามพร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาอยู่ เขามีผมสีเขียวอ่อนสวยงามที่ยาวจนไปถึงเอวอยู่รอบๆตัวเขา เขามีอายุครบ 18 ปีในปีนี้ ถ้าชั้นจำไม่ผืดหน่ะนะ

 

เขาสวมชุดที่เหมือนกับผู้ใช้เวทมนตร์ มันเป็นชุดคลุมสีเงินเข้มที่มี่ลวดลายสีทองอยู่

 

เขากำลังตรวจดูสมุนไพรอย่างตั้งใจ และตัวตนของเขานั้นเป็นที่แน่ชัดสำหรับชั้นมาก

 

ถ้าชั้นจำไม่ผิด เขาคือตัวละครจากเกมจีบหนุ่มที่มีชื่อว่า ‘กุหลาบสีทอง: นางร้ายที่บานสะพรั่ง’ (Golden Rose: The Villainous Lady Blooms Beautifully)

 

เรียกย่อๆว่า ‘กุหลาบสีทอง’ มันเป็นเกมที่ชั้นยืมมาจากเพื่อนร่วมในบริษัทที่ตัวชั้นเคยทำงานอยู่ในชาติก่อน

 

ใบหน้าและชื่อของเธอนั้นจำไม่ได้แล้ว ทว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องที่ชอบเกมมาก เธอบอกชั้นว่า “มันสนุกมากๆเลยนะคะ! รุ่นพี่ก็น่าจะลองเล่นดูนะคะ!” ชั้นจำได้ว่านั่นเป็นวิธีที่เธอเอาเกมมาให้ชั้นยืม

 

ทว่าในตอนนั้นชั้นเป็นทาสของบริษัทมืดอยู่ ชั้นจึงไม่มีเวลาเล่นเกมเหมือนกับตอนยังเป็นนักเรียน ดังนั้นชั้นก็เลยทิ้งมันเอาไว้ที่โต๊ะแล้วไม่ได้แตะมันอีกเลย

 

เหตุผลที่ชั้นยังไม่มั่นใจมาจนได้เห็นเขาในตอนนี้ นั่นก็เพราะตัวเขาเมื่อ 2 ปีก่อนนั้นแตกต่างจากตัวเขาในตอนนี้มากๆเลยยังไงละ

 

ออลูริสเมื่อ 2 ปีก่อนตามความทรงจำของเด็กอายุ 3 ขวบนั้น เขามีผมทรงบ๊อบ และมักจะสวมเสื้อคลุมสีสดใสพร้อมกับเสื้อสีขาวรวมถึงกางเกงขายาวสีน้ำตาลด้วย

 

สิ่งเดียวที่ชั้นเห็นจากชาติที่แล้วก็คือรูปของตัวละครที่จีบได้ด้านหลังปกเกมเท่านั้น และชื่อแรกที่เขียนอยู่ก็คือ ‘ออลูริส’

 

ใครจะคิดละว่าเด็กชายที่ชื่อออลูริสที่ตอนเด็กแตกต่างกันซะขนาดนั้นจะกลายเป็นชายคนเดียวกับตัวละครในเกมนั้นได้… นี่มันอะไรกันละนั่น? มีหลายอย่างที่ชั้นจะต้องคิดแล้ว…

 

“จริงๆเลยนะ… เขาคือคนนั้นจริงๆ…”

 

จังหวะที่ชั้นพึมพำแบบนั้นออกไป ท่านพี่ออลูริสก็หันมาทางชั้นพร้อมกับตกใจ

 

“…?! โอ๊ะ—อลิซ?!”

 

เสียงทุ้มต่ำได้เรียกหาชั้น

 

ตอนที่ชั้นได้ยินเสียงนั้น ชั้นก็เข้าใจในทันทีเลยว่าเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับที่เกมเซตเอาไว้

 

รุ่นน้องที่เป็นคนให้ชั้นยืมเกมนั้นติดมันถึงขั้นที่ว่าขอบตาดำไปเลย เธอขอให้ชั้นเล่นเกมทายคำถามกับเธอเพื่อให้กำลังใจเธอด้วย

 

ตอนนั้นชั้นก็เลยได้รู้ข้อมูลตัวละครเบื้องต้นของบางตัวละครมา ดังนั้นชั้นจึงรู้จักตัวตนของท่านพี่ออลูริสในตอนนี้ด้วย คำอธิบายจากรุ่นน้องคนนั้นก็ได้หลั่งไหลกลับมาที่ตัวชั้นอีกครั้ง

 

“ออลูริสนั้นเป็นหนุ่มหล่อรูปร่างผอมบางละค่ะ! เขาเป็นตัวละครที่เกลียดผู้คนและมักจะดูเท่อยู่ตลอดเวลา แต่หนูก็บอกอะไรมากไม่ได้เพราะมันจะเป็นสปอย… ทว่าตัวเขานั้นมีความสัมพันธ์กับครอบครัวที่แย่มากแถมยังแทบจะไม่คุยกับใครเลยจนกระทั่งได้มาเจอกับนางเอกค่ะ นางเอกสามารถเปิดใจของหนุ่มหล่อคนนี้ได้ มันเจ๋งไปเลยใช่ไหมละคะ?!”

 

ท่านพี่ออลูริสที่เอ๋ยชื่อของชั้นนั้นมีน้ำเสียงที่แหบพร่าราวกับไม่ได้พูดออกมาเป็นเวลานาน ดูเหมือนความสัมพันธ์ภายในครอบครัวตอนนี้จะแย่ลงไปแล้วสินะ

 

เรื่องท่าทีของท่านพี่วิลล์ก็กระจ่างชัดแล้ว

 

“สวัสดีค่ะ ท่านพี่ออลูริส ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ”

 

เมื่อชั้นเข้าไปใกล้กับเขาอย่างช้าเพื่อไม่ให้เขาตื่นตัวนั้น ท่านพี่ออลูริสก็ดูท้อแท้อย่างมาก

 

“…อาา มันก็นานมาแล้ว ใช่ไหมนะ?”

 

ชั้นเห็นดวงตาสีหยกของเขากลอกไปมาภายใต้หน้าม้ายาวๆของเขาแวบหนึ่ง

 

ท่านพี่ออลูริส—เขาค่อนข้างสูงขึ้นมาก

 

ตอนนี้เขาน่าจะสูงอย่างน้อย 170 เซนติเมตรแล้ว และด้วยส่วนสูงระดับเด็กผู้หญิงของชั้น มันจึงทำให้ชั้นเห็นดวงตาอันงดงามที่ซ่อนอยู่ด้านหลังหน้าม้าของเขาจากด้านล่างได้เล็กน้อย

 

เขาก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยจนเกิดเสียงราวกับว่ากำลังกลัวอยู่

 

“น้องอาการดีขึ้นแล้วหรอ? พี่ได้ยินมาว่าน้องกำลังป่วยหนัก แต่ว่า…”

 

“ค่ะ หนูอาการดีขึ้นแล้ว! หนูมาในวันนี้ก็เพื่อพบท่านพี่ออลูริสเหมือนกันนะคะ ดังนั้นหนูดีใจจริงๆที่ได้พบท่านพี่ซักที!”

 

เมื่อชั้นยิ้มให้กับเขาเพื่อให้เขาสบายใจ ท่านพี่ออลูริสก็หัวเราะออกมา

 

อืม เขาก็ยังคงเป็นพี่ชายคนเดิมที่ชั้นรู้จักอยู่ละนะ

 

บางทีเขาอาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนประเภทเย็นชาและเกลียดชังผู้คนก็ได้ ท่านพี่ที่ชั้นรู้จักนั้นเป็นคนขี้อายและนุ่มนิ่ม ทั้งยังเป็นคนที่อ่อนโยนกับครอบครัวและเพื่อนฝูงด้วย

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ชั้นไม่เชื่อมโยงตัวเขากับตัวละครในเกมตั้งแต่แรก

 

…อนึ่ง เกมจะเริ่มขึ้นเมื่อนางเอกอายุประมาณ 10 ปี ดังนั้นในทางเทคนิคแล้ว เขายังมีเวลาอยู่อีก 4 หรือ 5 ปีในการ ‘แช่แข็งตัวเอง’ เพื่อปกป้องจิตใจของเขา

 

หลังจากนั้น ชั้นจะต้องคิดอะไรหลายๆอย่างมากกว่านี้แล้ว

 

“ท่านพี่ออลูริสกำลังทำอะไรอยู่หรอคะ?”

 

“อืม… พี่มาที่นี่เพื่อเก็บสมุนไพรบางอย่างหน่ะ”

 

ท่านพี่พึมพำกับตัวเองว่าเขามาเก็บสมุนไพรก็เพื่อที่จะช่วยชั้น

 

“ตัวน้องรู้สึกหดหู่โดยไม่มีเหตุผลมาประมาณ 2 ปีแล้ว… พี่เองก็มีหลายๆอย่างที่ต้องทำที่บ้านเหมือนกัน ดังนั้นพี่ก็เลยคิดว่าอลิซกำลังน่าจะลำบากอยู่ พี่ก็เลยมาหาอะไรที่พอจะช่วยน้องได้บ้าง…”

 

“งั้นหรอคะ หนูดีใจนะคะที่ท่านพี่เป็นห่วงหนูมากขนากนี้… แต่ว่าทำไมท่านพี่ถึงได้ดูหดหู่ขนาดนั้นละคะ ท่านพี่ออลูริส?”

 

เขาซึมเศร้าโดยไม่มีสาเหตุงั้นหรอ? ท่านพี่ออลูริสเองก็เป็นคนที่อ่อนไหวง่ายมาตั้งแต่แรกแล้วละนะ ดังนั้นเขาจึงเป็นคนประเภทที่จิตใจไขว้เขวได้ง่ายสินะ…

 

“มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก… แต่ดูเหมือนว่าพี่จะไปทำให้วิลล์รู้สึกไม่สบายใจ พวกเราก็เลย… สู้กัน…”

 

ขณะที่เขาพูดแบบนั้น ท่านพี่ออลูริสก็ได้หลับตาลง

 

“ท่านพี่ออลูริส…”

 

ดูเหมือนต้นเหตุของการทะเลาะกันจะเกี่ยวข้องกับนิสัยของท่านพี่ออลูริสสินะ มันดูจะหยั่งรากลึกลงไปแล้วด้วย

 

“โอ๊ะ ใช่ สิ่งนี้…”

 

ท่านพี่ออลูริสนำถุงเครื่องหอม*บุหงาออกมาสองถุงจากกระเป๋าของเขา

 

“พี่อยากจะมอบพวกมันให้กับน้องมาโดยตลอดเมื่อพวกเราได้พบกันอีกครั้ง… นี่สำหรับน้องนะ อลิซ”

 

ท่านพี่ออลูริสยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่ดูดีนั่น

 

“ว้าว น่ารักจัง! เป็นบุหงาอะไรหรอคะ? …กลิ่นของกุหลาบ?”

 

ถุงเครื่องหอมเล็กๆที่ถูกมัดเอาไว้ด้วยริบบิ้นสีชมพู มันปล่อยกลิ่มหอมของกุหลาบออกมา

 

“หลักๆมันทำมาจากกุหลาบที่ตัดแต่งพันธ์ุมาแล้วหน่ะ… มันมีผลของของยากล่อมประสาทและการป้องกัน… มันเป็นของที่ยังต้องปรับปรุงอีกมาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าน้องคงจะไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้วละ”

 

“ไม่ค่ะ หนูดีใจมากเลย! หนูจะดูแลมันอย่างดีเลยค่ะ!”

 

ชั้นดีใจจนยิ้มแก้มปริเลย ท่านพี่ที่เห็นท่าทางของชั้นก็หน้าแดงแล้วเหล่ตาออกไปอย่างมีความสุข

 

โอ้ ว้าว งดงาม…

 

ชั้นเลื่อนสายตาไปยังถุงเครื่องหอมบุหงาอีกอันในมือของชั้น

 

“แล้วอันนี้ละคะ?”

 

“หืมม… พี่อยากจะมอบมันให้กับวิลล์หน่ะ… แต่ดูเขาจะไม่รับอะไรจากพี่เลย ดังนั้นพี่ก็เลยเอาให้น้องแทน…”

 

“งั้นหรอคะ… อันนี้มีผลอะไรหรอคะ?”

 

“นั่น…” ตอนที่เขากำลังจะเปิดปากพูดนั้น

 

“—นี่แกกำลังจะทำอะไรหน่ะ?! …ออกไปให้ห่างจากอลิซนะ!”

 

ก็ได้มีน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวดังขึ้นมาที่ด้านหลังของชั้น

 

================================================================

*บุหงา เป็นดอกไม้ชนิดต่างๆ เช่น จำปา มะลิ กระดังงา กุหลาบ ปีบ ที่นำมาปรุงกับเครื่องหอมจนกลายเป็นถุงเครื่องหอม ย่อมาจาก บุหงารำไป

 

บทที่ 2 ตอนที่ 9: เรือนกระจก

 

ไม่กี่วันหลังจากที่ชั้นได้ไปที่สวนแห่งนั้น ชั้นก็ได้ไปเยี่ยมเยือนบ้านของตระกูลเคานต์เวอร์จิลที่อยู่ใกล้ๆ โดยให้ท่านพี่วิลล์มารับแล้วอุ้มชั้นไป

 

“สวัสดีค่ะ คุณป้าเฟลิเซีย!”

 

“อืม…! โอ้!! อลิซจังนี่นา!”

 

คนที่วิ่งมาหาชั้นพร้อมกับเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกนี้ก็คือ เฟลิเซีย ไอริส เวอร์จิล แม่ของท่านพี่วิลล์นั่นเอง

 

เธอเองก็เป็นญาติๆของตระกูลอาเชอร์เลซเหมือนกัน เป็นคนมีรูปร่างอวบอ้วน และเป็นคนประเภท ‘แม่ที่ใจดี’ ด้วย

 

“ป้าได้ยินมาจากวิลล์แล้วก็จริง แต่หนูดูดึขึ้นมากเลยจริงๆนะ… ! โอ้ว ช่างเป็นข่าวที่ดีจริงๆ!!”

 

คุณป้าเฟลิเซียกอดชั้นแน่นมาก

 

“หนูขอโทษที่ทำให้คุณป้าต้องเป็นห่วงนะคะ ได้โปรดดูแลหนูต่อไปในอนาคตนะคะ”

 

ขณะที่ชั้นลดคิ้วลงแล้วพูดแบบนั้น คุณป้าก็พยักหน้าให้พร้อมกับเช็ดน้ำตาของตัวเอง เธอตอบรับอย่างมีความสุขเลยละ

 

“ท่านแม่ครับ ผมสัญญากับอลิซว่าจะพาเธอไปดูเรือนกระจกหน่ะครับ ดังนั้นผมจะพาเธอไปที่นั่นนะครับ”

 

“จ่ะ ตามสบายเลยนะ”

 

คุณป้าบอกกับพวกเราว่าเธอจะเตรียมชาสุดพิเศษเอาไว้ให้ ก่อนจะจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม

 

“พวกเราไปกันเถอะ”

 

ท่านพี่วิลล์พูดแบบนั้นก่อนจะจับมือของชั้นแล้วเริ่มเดินผ่านเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเวอร์จิล

 

เมื่อพวกเราออกมาที่สวนด้านหลังบ้าน ชั้นก็ได้เห็นเรือนกระจกขนาดใหญ่อยู่ตรงนั้น

 

ตระกูลเคานต์เวอร์จิลนั้นเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมเกี่ยวกับพืช รวมถึงด้านเกษตรกรรมและการเก็บเกี่ยวสมุนไพรภายในอาณาเขตของเขาด้วย

 

นั่นแหล่ะว่าทำไมถึงมีเรือนกระจกขนาดใหญ่อยู่ภายในคฤหาสน์ที่เมืองหลวงของจักรวรรดิแบบนี้ด้วย

 

“ว้าว…!! นานแล้วที่หนูไม่ได้มาที่นี่ มันใหญ่มากจริงๆเลยนะคะ”

 

เรือนกระจกนั้นถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน มีตั้งแต่ส่วนที่มีอุณหภูมิต่ำไปจนถึงส่วนที่มีอุณหภูมิค่อนข้างสูงแตกต่างกันไป แถมยังมีอะไรหลายๆอย่างที่ ‘แฟนตาซี’ อยู่ในบริเวณนี้ด้วย

 

“จะว่าไปแล้ว คุณลุงอาพิคชิโอ้(Appicchio)กับท่านพี่ออลูริสละคะ?”

 

อนึ่ง คุณลุงอาพิคชิโอ้ก็คือพ่อของท่านะี่วิลล์นั่นเอง

 

เมื่อชั้นถามเขาไปแบบนั้น ท่านพี่วิลล์ก็มองชั้นมาอย่างกะอักกะอ่วน

 

“ท่านพ่อกลับไปยังอาณาเขตของเขาแล้วเมื่อไม่นานมานี่ ส่วนท่านพี่ก็…… อืม พี่คิดว่าเขาน่าจะอยู่ในห้องของเขานะ”

 

โอ๊ะ แล้วก็อีกอย่างนึง ชั้นก็ยังไม่รู้สถานการณ์ของท่านพี่ออลูริสอย่างแน่ชัดเลย

 

ชั้นอยากจะไปเจอเขาเพื่อให้แน่ใจจัง…

 

อ่าห์ ความสงสัยก่อตัวขึ้นซะแล้วสิ

 

“อลิซ มีดอกไม้ใหม่ๆมากมายจากต่างแดนด้วยนะ พวกเราไปดูกันไหม?”

 

ชั้นถูกหลอกล่อ ดังนั้นตอนนี้ ชั้นจึงตามท่านพี่วิลล์เข้าไปในเรือนกระจก

 

พื้นที่ที่ 2 หลังจากทางเข้านั้นจะอุ่นเล็กน้อย เป็นพื้นที่ที่มีการปลูกดอกไม้สดใสอยู่มากมายเลย

 

“สวยจังเลยค่ะ!”

 

มีทั้งดอกไม้ที่ชั้นเคยเห็นในชาติที่แล้ว และดอกไม้ที่ชั้นไม่เคยเห็นเองก็มี ชั้นตื่นเต้นมากๆเลยละ

 

“น้องไม่ควรแตะต้องพวกมันนะ อลิซ ดอกไม้บางดอกมันมีพิษ และบางดอกก็จะปล่อยละอองเกสรออกมาเมื่อมันถูกสัมผัสด้วย”

 

“ค่ะ ท่านพี่”

 

ขณะที่พวกเรากำลังเดินไปรอบๆพร้อมกับพูดคุยกันอยู่นั้น ก็ได้มีเมดคนนึงเข้ามาเรียกหาท่านพี่วิลล์

 

“อะไรหรอ…? โอ๊ะ เรื่องนั้นสินะ หืมมมม… ได้ ผมจะไปดูให้”

 

ท่านพี่วิลล์มองมาที่ชั้นพร้อมกับทำสีหน้าปั้นยากหลังจากที่ได้ยินเมดคนนั้นพูดบางอย่าง

 

“พี่ขอโทษนะอลิซ พี่คิดว่ามีกระถางต้นไม้อันนึงที่พี่จะต้องรีบไปตรวจดูหน่อยหน่ะ เดี๋ยวพี่จะรีบกลับมานะ—น้องอยู่ที่นี่พลางดูพวกดอกไม้รอไปก่อนได้ไหม?”

 

“ค่ะ หนูเข้าใจแล้วค่ะ! ไม่ต้องเป็นห่วงหนู ตามสะบายเลยนะคะ!”

 

ชั้นยิ้มพร่อมกับตอบกลับไปแบบนั้น ท่านพี่วิลล์ก็ได้จากไปอย่างรวดเร็ว ถึงเขาจะยังดูเป็นกังวลอยู่ก็เถอะ

 

ชั้นได้ยินมาว่าตระกูลเวอร์จิลที่เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์พืชนั้น ใช้พลังเวทย์ของพวกเขาในการดูแลสมุนไพรและดอกไม้ที่ละเอียดอ่อนบางประเภทด้วย ชั้นมั่นใจว่าต้องเป็นเรื่องนั้นแน่นอนเลย

 

โชคดีที่ยังมีอะไรให้ชั้นดูอีกมาก ดังนั้นชั้นก็เริ่มเดินผ่านเข้าไปในเรือนกระจก

 

“โอ้ ว้าว… มีสมุนไพรอยู่เยอะแยะเลย!”

 

มีหญ้าที่มีสีดูเป็นพิษและดอกไม้รูปร่างประหลาดๆกระจายอยู่เต็มไปหมดเลย

 

ดอกไม้พวกนั้นสวยงาม ทว่าหนามของก็มันดูจะอันตรายมากๆเลย และตรงพุ่มไม้เองก็มีผลเบอร์รี่อะไรซักอย่างที่ชั้นไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ด้วย

 

ทุกๆอย่างที่ชั้นเห็นมันน่าสนใจมากเลยละ ชั้นจึงเดินต่อไปเรื่อยๆ

 

“หืมม สังสัยจังว่าพวกเราจะได้เรียนอะไรอย่างผสมสมุนไพรเพื่อทำโพชั่นเวทมนตร์ภายในโรงเรียนหรือปล่าวนะ? ชั้นอยากจะเรียนมันจัง อุฟุฟุฟุฟุ”

 

ขณะที่ชั้นกำลังหัวเราะอย่างน่าสงสัยแบบนั้น ชั้นก็เห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวที่หางตาของชั้น

 

หืมม? ชั้นมองไปที่ตรงนั้น แต่ก็ไม่มีอะไรเลย มีเพียงแค่ประตูสำหรับไปยังพื้นที่ถัดไปเท่านั้น

 

ชั้นเดินเข้าไปหามันแล้วแอบมองเข้าไปข้างใน

 

……ชั้นตะลึงงันไปเลย

 

ชั้นรู้…

 

ชั้นรู้มาโดยตลอด

 

คำพูดแบบนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของชั้น

 

ที่ปลายสายตาของชั้นนั้นมีคนที่สง่างามอยู่

 

เขาก็คือ ออลูริส ฟอนเซ่ เวอร์จิล (Oluris Phronse Virgil)

 

ชั้นเคยเห็นชายที่สง่างามคนนี้ในชาติก่อนของชั้น… ชายหนุ่มที่สง่างามคนนี้นั้นช่างเหมือนกับตัวละครจากเกมๆนั้น

 

================================================================

TL: กว่าจะรู้ตัวนะหนูอลิซ นานโคตร

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 8: ในที่สุด

 

ถึงพวกเราจะพบกับคนพวกนั้นภายในสวน แต่พวกเราก็ยังกลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย

 

ภายในรถม้า ท่านพ่อกับท่านแม่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างกันอยู่ ท่านพี่วิลล์เองก็กำลังกังวลอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน เขาพูดกับชั้นซักพัก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของเด็กสาวผมบอร์นทรงสว่านคนนั้นกับมาดามเวอร์รันเดลนะ

 

หลังจากกลับมาถึงคฤหาสน์ ชั้นก็ลาท่านพี่วิลล์และกลับไปยังห้องนอนของตัวเองเพื่อพักผ่อน

 

ท่านพ่อ,ท่านแม่,และก็ชั้นมักจะทานอาหารเย็นด้วยกันในฐานะครอบครัวบ่อยๆ ดังนั้นเมื่อพวกเราทานเสร็จ ชั้นก็ถามท่านพ่อกับท่านแม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นออกไปตรงๆ

 

“เออ ท่านพ่อคะ ท่านแม่คะ… คนที่เราเจอวันนี้เป็นใครหรอคะ?”

 

“มาดามเวอร์รันเดลกับลูกสาวของเธอ… พวกเขาคือ… เอออ…”

 

ท่านพ่อพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย ท่านแม่ก็พูดขึ้นมาอย่างใจเย็นเพื่อตอบกลับชั้น

 

“อลิซ ลูกเป็นเด็กที่ร่าเริงและเนื่องจากลูกเองก็ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาทางสังคมต่างๆด้วย แม่คิดว่าลูกก็ควรจะรู้เอาไวเด้วยละนะจ้ะ”

 

“อืม ก็คงจะอย่างนั้นละนะ” ท่านพ่อพูดขึ้นพร้อมกับพยักหน้า เขาได้เริ่มพูดต่ออย่างช้าๆ

 

“ลูกก็น่าจะรู้แล้วว่าตระกูลของเอเลนอร์นั้นก็คือตระกูลเจมี่ที่พ่อไปเยี่ยมเยือนเมื่อวันก่อนหน่ะ ตระกูลดยุคเจมี่นั้นเป็นตระกูลที่เก่าแก่มากๆ และพวกเขาเองก็ยังมีสายเลือดของราชวงศ์ด้วย พวกเราตระกูลมาร์ควิสอาเชอร์เลซเองก็เก่าแก่อยู่ แล้วก็อย่างที่ลูกได้เห็น ทั้งสองตระกูลนี้ใกล้ชิดกันมาก”

 

“ค่ะ” ชั้นพยักหน้า

 

ท่านพ่อกำลังอธิบายสิ่งต่างๆให้กับชั้นโดยพยายามให้ตัวชั้นเข้าใจด้วยการใช้คำฟุ่มเฟือย

 

ชั้นนำข้อมูลพวกนั้นใส่หัวขณะที่จัดการกับข้อมูลพวกนั้นไปด้วย

 

“แต่ตัวตระกูลมาร์ควิสเวอร์รันเดลนั้นต่างออกไป พวกเขาเป็นตระกูลที่ใหม่มากๆ ถึงจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 100 ปีก็เถอะ ตระกูลดยุคเอ็ดมันด์เองก็มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเวอร์รันเดลด้วย”

 

มีชื่อใหม่โพล่ขึ้นมาแล้ว ตระกูลดยุคเอ็ดมันด์…

 

“ตระกูลดยุคเอ็ดมันด์เองก็เป็นตระกูลใหม่เหมือนกัน ทว่าในอดีต พวกเขาได้ทำผลงานใหญ่แล้วได้รับองค์หญิงเข้ามาในตระกูลจนได้ไต่เต้าขึ้นมาเป็นดยุค พวกเขาเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในหมู่ตระกูลที่เกิดจากการเลื่อนตำแหน่งจนกลายเป็นขุนนางเลยละ และ… ตระกูลดยุคเจมี่กับตระกูลดยุคเอ็ดมันด์นั้นไม่ถูกกันอย่างมาก”

 

“โอ๊ะ งั้นหรอคะ…”

 

ชั้นพูดออกไปอย่างหม่นหมองโดยที่ไม่เข้ากับลักษณะของเด็กอายุ 5 ขวบเลย

 

“ขุนนางรุ่นใหม่นั้นสนับสนุนตระกูลเอ็ดมันด์ และขุนนางเก่าแก่ก็สนับสนุนตระกูลเจมี่ ถึงจะมีฝ่ายที่เป็นกลางอยู่ก็จริง แต่นี้ก็คือ 2 ฝ่ายหลักๆของประเทศนี้แล้ว”

 

หรือก็คือ ตระกูลอาเชอร์เลซกับตระกูลเวอร์รันเดลนั้นอาจจะเป็นอันดับ 2 ของแต่ละฝ่ายสินะ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านแม่เองก็เป็นถึงลูกสาวของหัวหน้าตระกูลของฝ่ายนี้ด้วย

 

“แล้วฝ่ายไหนละคะที่ผู้ปกครองประเทศนี้มีแนวโน้มจะเข้าร่วมด้วยน่ะค่ะ?”

 

อยู่ๆชั้นก็สงสัยในสถานการณ์ทางการเมืองขึ้นมาแล้วถามออกไป ครั้งนี้ท่านแม่เป็นคนตอบคำถามของชั้นเอง

 

“ท่านราชาเกรแฮม(Grihelms)นั้นกำลังตกที่นั่งลำบากอยู่ในตอนนี้น่ะจ่ะ เหล่ารัฐมนตรีทั้งซ้ายและขวาต่างก็แบ่งออกไปเข้าร่วมกับฝ่ายเจมี่กับเอ็ดมันด์กันทั้งนั้นเลย ดังนั้นท่านก็เลยเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ง่ายๆจ่ะ ถ้าทำให้เหล่าขุนนางเก่าแก่อารมณ์เสียละก็ อาจจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นได้ รวมถึงการป้องกันชายแดนก็จะยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก แต่กลับกัน ถ้าทำให้เหล่าขุนนางรุ่นใหม่อารมณ์เสีย ประเทศก็อาจจะล้มละลายได้เลยน่ะจ่ะ…”

 

ว้าว ซับซ้อนขนาดนั้นเลย ถ้าชั้นเป็นเขาละก็ สถานการณ์แบบนี้อาจจะทำให้กระเพาะของชั้นทะลุได้เลยนะ ชั้นดีใจจริงๆที่ไม่ได้เกิดมาเป็นจักรพรรดิ

 

“อลิซ ตอนนี้ลูกเองก็จำเป็นจะต้องปรากฏตัวสู่สาธารณะเหมือนกัน ลูกจะต้องเปิดตัวทางสังคม ดังนั้นลูกจะต้องคิดถึงเรื่องฝักฝ่ายและขั่วอำนาจด้วยนะก่อนจะตัดสินใจทำอะไร ตั้งแต่แรกแล้ว พวกเรา,เหล่าคนรับใช่,และคนคุ้มกันนั้นจะอยู่เคียงข้างลูกเสมอเพื่อสอนลูกให้ทำยังไง”

 

“ค่ะ หนูจะทำให้ดีที่สุด!”

 

ชั้นดีใจมาก ตัวชั้นจำหน้าคนไม่ค่อยเก่ง ดังนั้นมันจึงดีที่มีคนคอยสอนชั้นอยู่

 

“นอกจากนี้นะจ๊ะ ลูกสาวของมาร์ควิสเวอร์รันเดลนั้นค่อนข้างอารมณ์รุนแรงด้วย”

 

“โอ๊ะ เด็กคนนั้นอยู่รุ่นเดียวกับอลิซด้วย ข้าเป็นกังวลว่าพวกเขาจะต้องเจอกันบ่อยมากแน่ๆเลย”

 

ท่านพ่อถอนหายใจออกมา รุ่นเดียวกันงั้นหรอ?

 

“ที่ท่านพ่อพูดว่ารุ่นเดียวกันนี้หมายถึงโรงเรียนยังงั้นหรอคะ? พอพูดแบบนั้นแล้ว หนูจะได้เข้าโรงเรียนไหนหรอคะ?”

 

ชั้นไม่เคยได้ยินเรื่องโรงเรียนมาก่อนเลย ชั้นไม่อยากเข้าโรงเรียนประถมเลยอะ เพราะมันจะต้องยุ่งยากกับการจัดการกับเด็กหัดเดินพวกนั้นแน่ๆอะ

 

“หืม? โอ๊ะ อลิซจะได้ไปยังสถานที่ที่ถูกเรียกว่าสถาบันเวทมนตร์แห่งจักรวรรดิโลเวนหน่ะ”

 

“………ห่ะ?”

 

จะ-จะ…จักร…วรรดิ…เว-เว เว-เว…?

 

“ลูกจะได้เข้าเรียนชั้นปีแรกในปีหน้า!”

 

เวทมนตร์…

 

…สถาบันเวทมนตร์?!?!?

 

ชั้นรู้สึกตกใจมากจนถึงขนาดที่เอาบทสนทนาสบายๆของท่านพ่อกับท่านแม่ออกไปจากหัวไม่ได้เลย จากนั้นชั้นก็ตะโกนดังๆในใจ

 

อะ-อะไร-อะไรกัน ฉากแฟนตาซีสุดแสนจะอัศจรรย์และน่าตื่นเต้นแบบนี้มันอะไรกัน?!?!

 

ขนาดชื่อของมันยังติดอยู่ในหัวของชั้นอยู่เลย เป็นชื่อที่ดีจริงๆ

 

ยอดเยี่ยมไปเลย!!!!

 

“นึกถึงความหลังขึ้นมาเลยละ พวกเราได้หมั้นหมายกันในตอนที่พวกเรายังอยู่ในโรงเรียนด้วยสินะคะ”

 

“อือ-อืม ตอนนั้นมีผู้คนมากมายที่อยากจะได้ตัวเอเลนอร์ ดังนั้นข้าก็เลยใช้เวลาของข้าไปทั้งหมดเพื่อหยุดพวกนั้นหน่ะ”

 

“โอ๊ะ ตายจริง…”

 

ท่านพ่อกับท่านแม่กำลังจู๋จี๋กันพร้อมกับรำลึกความหลังไปด้วย ทว่าต้องขอบคุณสิ่งนั้นที่ทำให้ชั้นไม่ได้ฟังพวกเขาเลยและกำลังอยู่ในโลกของตัวเอง พวกเขาเองก็ไม่ได้สังเกตุเห็นถึงพฤติกรรมที่ไม่ปกติของชั้นด้วย ดังนั้นมันจึงไม่เป็นไร

 

ถ้าตัวชั้นไม่ได้อยู่ในที่สาธารณะละก็ ชั้นคงจะร้องให้ออกมาพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นฟ้าแล้วทำการกรีดร้องออกมาราวกับแบนชีจากก้นบึ้งของจิตใจไปแล้ว

 

ชั้นสงสัยจังว่าพวกเขาจะมีห้องเรียนเหมือนกับในโรงเรียนพ่อมดแห่งหนึ่งหรือปล่าวนะ ทั้งเหล่าอาจารย์ลึกลับและห้องแปลกๆ รวมถึงอุปกรณ์เวทมนตร์ต่างๆด้วย!!

 

ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณ ขอบคุณ—การเกิดใหม่! ขอบคุณโลกใบนี้!! เย้ๆๆๆ!!!!

 

…ความตื่นเต้นทั้งหมดนี้มันเกินไปหน่อยสำหรับร่างกายที่อ่อนแอของชั้น

 

รวมกับความเหนื่อยล้าของวันนี้ด้วย ตัวชั้นที่รับไม่ไหวจึงสลบลงไปบนโต๊ะและทำให้ท่านแม่ถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นตกใจเลย

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 7: การเผชิญหน้าโดยบังเอิญ

 

อาการช็อกจากอาหารแห่งพระเจ้าอย่างมายองเนสและไก่หมักนั้นยากที่จะสงบลง

 

เพื่อที่จะทำให้ท่านพี่วิลล์ใจเย็นลง ชั้นสัญญาว่าจะไปหาเขาที่บ้านในเร็ววันนี้ และมอบสูตรอาหารให้กับคนรับใช้ของเขา

 

ถัดมา ชั้นสัญญากับท่านพ่อท่านแม่ว่าถ้าชั้นได้สูตรหรือคำแนะนำใหม่ๆจากสปิริตตนอื่นๆละก็ จะต้องมั่นใจว่าชั้นจะทำตามคำแนะนำนั้น

 

และจากนั้นในท้ายที่สุดพวกเราทำการพักผ่อนกัน คอนนี่ที่รีบทานอาหารของเธอให้เสร็จก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มขนาดใหญ่บนใบหน้า เธอกำลังเตรียมชาหลังอาหารกลางวันอยู่

 

“มันก็ 2 ปีมาแล้วนะที่อลิซไม่ได้มาที่บ้านของพี่หน่ะ ใช่ไหม?”

 

ท่านพี่วิลล์พูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม แน่นอน มันผ่านมา 2 ปีแล้วตั้งแต่ที่ชั้นหลบหน้าเขาเนื่องจากเหตุการณ์ของรูจ

 

มันนานมากเลยละ ชั้นเองก็ทนไม่ไหวแล้วที่จะได้พบกับกับพี่ชายของท่านพี่วิลล์ ท่านพี่ ออลูริส (Oluris)

 

ท่านพี่ออลูริสนั้นเป็นคนเงียบๆและสุภาพบุรุษมากๆ เขานั้นเชี่ยวชาญเวทมนตร์พืชมาก มันเป็นความสามารถพิเศษของตระกูลเวอร์จิลเลยละ เหตุผลที่ชั้นยังจำเขาได้ทั้งๆที่มีความทรงจำของเด็ก 3 ขวบในตอนนั้นก็เพราะความสามารถของเขานี่ละ

 

ชั้นยังคงจำตอนนั้นได้ดีเลยละ… ถึงแม้ตัวชั้นจะค่อนข้างขี้อาย แต่เขาก็ยังใจดีแสดงเวทมนตร์ของเขาให้ชั้นดู เขานำดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวเฉามาชุบชีวิตมันขึ้นมาใหม่ในทันที มันกลับมาบานสะพรั่งอย่างสวยงามอีกครั้ง เขายังแสดงความสามารถในการควบคุมพืชของเขาให้ชั้นดูอีกด้วย เขาทำให้เถาวัลย์เล็กๆที่ข้างกำแพงโตขึ้นต่อหน้าต่อต่าชั้นเลยละ

 

…ถึงจริงๆแล้วนั่นเป็นสิ่งเดียวเกี่ยวกับท่านพี่ออลูริสที่กวนใจชั้นอยู่ก็เถอะ…

 

มันไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก ดังนั้นชั้นจะคิดทบทวนดูอีกทีเมื่อเจอกับเขาอีกครั้งนึงละกัน

 

เมื่อชั้นนึกขึ้นได้แบบนั้น ชั้นก็เรียกหาท่านพี่วิลล์ว่า

 

“ท่านพี่วิลล์คะ ท่านพี่ออลูริสสบายดีหรือปล่าวคะ?”

 

เมื่อชั้นถามออกไปแบบนั้น ด้วยเหตุผลบางอย่าง สีหน้าของท่านพี่วิลล์ก็แข็งไปเล็กน้อย

 

“ท่านพี่คะ?”

 

“โอ๊ะ—อืม… พี่คิดว่าเขาก็น่าจะสบายดีนะ”

 

‘คิดว่า’ งั้นหรอ พวกเขาอาศัยอยู่คนละที่กันแล้วหรอ?

 

ชั้นไม่อยากซักไซ้ท่านพี่วิลล์ที่เอาแต่จิบชาแล้วเงียบไป ไปมากกว่านี้ ดังนั้นชั้นจึงทำการเปลี่ยนเรื่อง

 

“ท่านพี่วิลล์คะ ของฝากที่หนูจะนำไปให้ จะเอาเป็นเนื้อหรือว่าปลาดีคะ?”

 

“เนื้อ”

 

เขาตอบกลับมาทันทีเลย เขายิ้มออกมาอย่างสดใสพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกาย… บรรยากาศตึงเครียดเมื่อกี้มันหายไปไหนหมดแล้ว?

 

ปรากฏว่าชั้นกุมท้องของท่านพี่เอาไว้ได้อย่างอยู่หมัดซะแล้วละ

 

“พ่ออยากจะลองเมนูปลาตามไอเดียของอลิซนะ”

 

ท่านพ่อเข้าร่วมบทสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติ

 

ขณะที่ชั้นตอบเขาไปว่าชั้นจะลองคิดดู ท่านแม่ก็เปิดปากของเธอขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันสง่างาม

 

“โอ๊ะ ถ้างั้น แม่เองก็อยากจะคิดสูตรขนมหวานใหม่ๆกับลูกเหมือนกันนะ อลิซ”

 

ชั้นไม่คาดคิดเลยว่าท่านแม่ก็จะเอากับเขาด้วย แต่ มันก็ดีนะที่จะได้คิดค้นขนมใหม่ๆด้วยกันหน่ะ มันเหมือนกับช่วงเวลาระหว่างแม่กับลูกเลยละ!

 

“เอะเฮะเฮะ หนูเองก็อยากจะทำแบบนั้นกับท่านแม่คะ!”

 

“งั้นตกลงกันแล้วนะ”

 

ดังนั้นสรุปแล้วชั้นจะต้องคิดค้นเมนูเนื้อ,ปลา,และของหวานใหม่ๆออกมา ชั้นจะต้องดึงความรู้ด้านห้องครัวออกมาให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้

 

พวกเราได้พูดคุยกันอย่างสนิทสนม จากนั้นเมื่อท่านพ่อเห็นว่าชั้นตัวสั่นจากการตากลมของฤดูใบไม้ร่วงโดยที่ไม่หยุดพัก เขาก็เลยบอกให้พวกเรารีบเตรียมตัวกลับกัน

 

ตอนนี้ตัวชั้นอยู่ในอ้อมแขนของท่านพ่อและกำลังเดินทางลงจากสวน

 

“อลิซ ลูกยังหนาวอยู่ไหม?”

 

เพื่อทำให้ท่านพ่อของชั้นที่เหลือบมองมาที่ชั้นสบายใจ ชั้นเลยกอดเขาแน่นๆพร้อมกับพูดตอบเขาอย่างร่าเริงว่า

 

“ท่านพ่อตัวอุ่นมากเลยค่ะ ดังนั้นหนูเลยรู้สึกอุ่นขึ้นแล้ว!”

 

“งั้นหรอ อบอุ่นและสบายๆ สินะ?” เขาทำหน้าราวกับว่าหัวใจของเขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน

 

ชั้นกลับไปนั่งท่าสบายๆตามเดิมขณะที่ท่านพ่อโล่งใจแล้วทำหน้ามีความสุขออกมา

 

สำหรับคนอื่นๆแล้ว ท่านพ่ออาจจะดูเป็นคนเย็นชา ทว่าท่าทางที่เขาพูดว่า “อบอุ่นและสบายๆ” นั้นดูน่ารักนิดหน่อยนะ

 

ยามเมื่อเขาไม่ได้พูดคุยกับครอบครัวของเขานั้น เขาดูจะทำท่าทางเย็นชาและไร้สีหน้าออกมา ดังนั้นมันเลยต่างออกไปจากตอนนี้มากๆ ถึงเขาจะเป็นพ่อของชั้น แต่ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชอบแก๊ปโมเอะแบบนี้

 

ชั้นกำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุขในขณะที่ชั้นเฝ้าดูท่านพ่อแบบนี้ไปด้วย ตอนนั้นอยู่ๆชั้นก็ได้ยินน้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นมาจากที่ใกล้ๆนี้

 

คนที่มาเที่ยวชมสวนนี้จนถึงตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแขกที่มาเงียบๆเช่นคู่รัก,และคู่ของผู้สูงอายุที่มาเดินเล่นเพียงเท่านั้น ดังนั้นเสียงนั่นจึงสะท้อนดังมากกว่าเดิมซะอีก

 

“—อะไร?! กล้าดียังไงถึงมองชั้นแบบนั้น มีปัญหาอะไรกับที่ชั้นพูดรึไง?!”

 

“ดิชั้น… ดิชั้นขอโทษค่ะ—”

 

เสียงหวาดกลัวพูดขึ้นหลังจากที่เสียงตวาดนั้นเงียบลง ทว่ามันก็ถูกขัดด้วยเสียงตบที่ดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศไม่ได้สงบสุขอีกต่อไปแล้ว

 

ชั้นมองไปทางนั้นแล้วก็เห็นกลุ่มคน 6 คนที่หยุดยืนอยู่กลางถนน

 

คนที่ตะโกนเสียงดังก็คือคุณหนูที่มีผมบอร์นทรงสว่านเป็นลอนๆและสวมชุดเดรสสีแดง มองจากไกลๆเธอก็น่ารักอยู่หรอก แต่ออร่าโกรธเกรี้ยวของเธอนั้นทำให้เธอดูไม่น่าคบหาอย่างมากเลย ชั้นสงสัยจังว่าเธอจะอายุพอๆกับชั้นหรือปล่าวนะ

 

มีเมดที่ดูท่าทางเคร่งขรึมกับคนรับใช้ชายที่ดูอ่อนแอยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขากำลังพยายามห้ามปรามคุณหนูคนนั้นอยู่

 

ถัดออกไปเล็กน้อย มีหญิงสาวมีอายุที่งดงามกำลังเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยท่าทางเย็นชา ใบหน้าของเธอนั้นคล้ายกับคุณหนูคนนั้น ดังนั้นชั้นคิดว่าเธออาจจะเป็นแม่ของคุณหนูคนนั้น…

 

มองแวปแรก เธอก็ดูจะยิ้มอยู่เล็กน้อย ทว่ามันกลับไม่มีความอบอุ่นอบู่เลยแม้แต่น้อย มันเหมือนกับว่าชั้นไม่สามารถมองเห็นอะไรภายใต้ใบหน้าที่ไร้สีหน้าแบบนั้นได้เลย

 

ด้านหลังของคนแม่นั้นมีคนรับใช้อยู่ 2 คน พวกเขานั้นทั้งไร้สีหน้าและอารมณ์ความรู้สึกใดๆ

 

ขณะที่ชั้นกำลังมองไปพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยและผ่านไปนั้น ท่านแม่ก็เรียกชั้นอย่างใจเย็นว่า

 

“อลิซ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร ให้ยิ้มเข้าไว้นะ”

 

“?!”

 

อะไรนะ ท่านแม่แน่ใจแล้วหรอที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยนะ? ชั้นรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา ทว่า ชั้นก็ปั้นสิหน้ายิ้มแย้มทางธุรกิจด้วยประสบการณ์ของหญิงสาวอายุ 30 ปีขึ้นมาในทันที

 

ถ้าชั้นมองไปที่ใบหน้าของท่านพ่อ เขาก็คงจะอยู่ในโหมดธุรกิจเหมือนกัน ถ้าจะให้ชั้นอธิบายละก็ ชั้นจะบอกว่ามันเป็นสีหน้าหล่อเหลาแต่เย็นชา แถมยังห่างเหินกับยิ้มเล็กน้อยอีกด้วย ดูเหมือนคนพวกนั้นจะเป็นคนรู้จักของท่านพ่อกับท่านแม่นะ

 

ท่านพ่อกอดชั้นแน่นขึ้นกว่าเดิมจนชั้นรู้สึกเจ็บ แต่ชั้นรับรู้ได้ว่าเขากำลังปกป้องชั้นอยู่ ดังนั้นชั้นก็เลยไมได้พูดอะไรออกไป

 

คอนนี่ที่ดูจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นนั้นก็ดูจะอารมณ์เสียอยู่ เธอใส่แรงลงไปในมือที่ถือตระกร้าอยู่มากขึ้น ท่านพี่วิลล์นั้นควบคุมสีหน้าของเขาเอาไว้ได้ ทว่าความรังเกียจของเขาก็ยังถูกส่งผ่านออกมาอยู่ดี

 

“คุณหนูครับ ได้โปรดใจเย็นลงด้วยครับ มีคนมากมายกำลังมองมาทางนี้นะครับ”

 

“หาา?! ใครสนกัน!?”

 

คุณหนูเสียงแหลมคนนั้นรู้ตัวถึงพวกเราจากคำพูดของคนรับใช้ที่ดูอ่อนแอคนนั้น

 

“………”

 

คุณหนูมองมาทางชั้นแล้วก็มีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นหลังจากที่เห็นชั้นอยู่ในอ้อมแขนของท่านพ่อ

 

ห๊ะ ทำไมกันละ?

 

“……สวัสดีค่ะ มาร์ควิสอาเชอร์เลซ และก็ลูกชายของเคานต์เวอร์จิล คุณชายเวอร์จิลด้วย”

 

“……สวัสดีครับ มาร์เชอเนส เวอร์รันเดล”

 

“……สวัสดีครับ”

 

หญิงสาวตรงนั้นกล่าวทักทายพวกเรา ดังนั้นท่านพ่อกับท่านพี่วิลล์เลยตอบกลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก

 

“ขออภัยที่ต้องให้เห็นภาพไม่น่าดูนะคะ เธอค่อนข้างเป็นเด็กหัวแข็งนะคะ”

 

ผู้หญิงคนนั้นไม่แม้แต่จะชายตามองไปที่ลูกสาวของเธอเลยในตอนที่เธอกล่าวขอโทษพวกเราพร้อมกับรอยยิ้มตึงเครียด

 

ที่เธอพูดมันก็เหมือนกับสิ่งที่คนเป็นแม่ตามปกติจะพูดเลย ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ชั้นกลับรู้สึกเย็นวาบจากเสียงของเธอ

 

“ไม่หรอก ไม่ต้องกังวลไป ลูกสาวของท่านอายุเพียง 5 ขวบเท่านั้นเอง มันเป็นเรื่องที่พอจะคาดเดาได้อยู่แล้วครับ”

 

เมื่อท่านพ่อตอบกลับไปตามกิริยามารยาท ผู้หญิงคนนั้นก็ลดตาลงแล้วยิ้มออกมา

 

อย่างไรก็ตาม…

 

ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ท่านแม่ถูกเมินเฉยจากบนสนทนาแบบสุดๆไปเลย

 

คำทักทายนั้นก็ทักทายแต่กลับท่านพ่อกับท่านพี่วิลล์เท่านั้น

 

เธอยังคงพูดคุยกับท่านพ่อตามปกติ แต่เธอไม่แม้แต่จะชายตามองท่านแม่เลย

 

ตัวท่านแม่เองก็ยืนอยู่ข้างๆท่านพ่อพร้อมกับรอยยิ้มตามปกติของเธอ

 

ชั้นคิดว่ามันค่อนข้างจะรู้สึกแย่ ชั้นก็เลยหันความสนใจไปที่เด็กสาวผมบอร์นทรงสว่านที่อยู่ๆก็เงียบไป และชั้นก็เห็นว่าใบหน้าของเธอที่ตอนแรกนั้นแดงแปร๊ดจนถึงเมื่อกี้นั้นได้ซีดเซียวไปแล้ว

 

ชั้นสงสัยว่ามันเป็นเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ หรือเธอหน้าซีดไปเพราะใจเย็นลงแล้วกันแน่ ขณะที่มองไปที่เธอ เธอก็จ้องมองชั้นกลับมาหลังจากที่รับรู้ถึงสายตาของชั้น น่ากลัวจัง

 

ขณะที่ชั้นรีบหลบสายตากลับมาที่ครอบครัวของชั้น ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็เรียกชื่อของท่านแม่ซักที

 

อย่างไรก็ตาม เธอเรียกหาท่านแม่ก็จริง ทว่าไม่ได้ส่งสายตาไปทางเธอเลย เธอทำเพียงแค่บิดตัวเล็กน้อยเท่านั้น ชั้นรับรู้ได้ถึงอคติที่ชัดเจนเลยละ

 

“…โอ๊ะ? เอเลนอร์ที่รัก สุขภาพจิตของคุณวันนี้ดูจะดีขึ้นนะคะวันนี้ คุณหายจากอาการป่วยแล้วหรอคะ?”

 

ว้าว เธอทำอย่างกับว่าเธอพึ่งสังเกตเห็นเธอเลย หยาบคายจริงๆ!

 

ขณะที่ชั้นกำลังเดือดจากภายในอยู่นั้น ดวงตาของท่านพ่อก็กระตุกจากความหยาบคายนี้ ความรู้สึกเมื่อกี้ของเขาคงมาถึงจุดพีคแล้วแน่ๆ

 

ชั้นคิดว่าชั้นยังฝืนยิ้มตามที่ท่านแม่บอกได้อยู่ ทว่าปากของชั้นในตอนนี้อาจจะกลายเป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวได้อยู่ตลอดเวลาแล้ว

 

“ค่ะ ดิชั้นอาการดีขึ้นแล้ว ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะคะ ทั้งตัวดิชั้นและลูกสาวต่างก็ฟื้นตัวเต็มที่แล้วค่ะ กราเซียนาซามะ”

 

ท่านแม่ตอบกลับผู้หญิงคนนั้นด้วยรอยยิ้มสง่างาม

 

ปรากฏว่าคนๆนี้มีชื่อเต็มว่า มาดาม กราเซียนา เวอร์รันเดล เธอให้ความประทับใจที่แรงอย่างมากจริงๆ

 

บางทีเธอคงจะสัมผัสได้ถึงวิธีการพูดที่เปลี่ยนไปของท่านแม่ ในที่สุดมาดามกราเซียนาก็หันมาทางท่านแม่ซักที เธอแสดงร่องรอยของความประหลาดใจออกมาจากรอยยิ้มตึงเครียดของเธอ

 

อืม ก็สมเหตุสมผลอยู่นะ ในตอนที่ท่านแม่ป่วย… หรือต้องบอกว่า… ในตอนที่ท่านแม่อยู่ภายใต้คำสาปนั้น ท่านแม่มีปัญหาสุขภาพจิตจริงๆ ความสง่างามของเธอไม่ได้ลดลงก็จริง แต่ตัวเธอนั้นทั้งขาวซีดและอ่อนแอ

 

แต่ว่าในตอนนี้ที่เธอหายจากคำสาปแล้วนั้น ได้กระซิบคำบอกรักให้กับสามีของเธอที่ได้เพชิญกับเรื่องที่ยากลำบากเพราะเธอเป็นเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเลย เธอเองก็ได้คืนความสัมพันธ์กับลูกสาวของเธอ และกลับมามีความมั่นใจพร้อมทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอีกครั้งนึงแล้ว ตอนนี้ตัวเธอสง่างามมากกว่าเมื่อก่อนซะอีก

 

สายตาของมาดามกราเซียนาได้เปลี่ยนมาที่ตัวชั้น แล้วก็เบิกกว้างออกด้วยความแปลกใจ

 

ชั้นจำไม่ได้ว่าเคยเจอกับผู้หญิงคนนี้ แต่ถ้าเธอรู้จักตัวชั้นหลังจากที่ชั้นป่วยละก็ เธอก็คงจะแปลกใจแน่ๆละ ยังไงซะตอนนั้นตัวชั้นก็ยังกับผีที่มีออร่าแห่งความตายกรีดร้องออกมานี่นา

 

ตอนนี้ตัวชั้นมีความแข็งแกร่งทางจิตใจของหญิงสาวอายุ 30 ปี และยังมีรอยยิ้มทางธุรกิจสุดสมบูรณ์แบบอยู่บนใบหน้าด้วย ถึงจะมีสายตาที่รู้สึกไม่ดีจากผู้หญิงคนนั้นก็ตาม… อย่างน้อยๆชั้นก็ควรจะยิ้มอยู่ ทว่าใบหน้าของชั้นรู้สึกเหมือนกับจะเป็นตะคริวเลย

 

“โอ๊ะ… ลูกสาวของคุณเปลี่ยนไปมากเลยนะคะ”

 

มาดามกราเซียนาทนไม่ได้จนต้องพูดออกมา น้ำเสียงของเธอบ่งบอกชัดเจนเลยว่าเธอหวังให้ตัวชั้นยังป่วยอยู่! ชั้นเห็นนะ!

 

ชั้นรู้สึกอยากจะทำให้เธอพูดไม่ออกยังไงไม่รู้ ดังนั้นชั้นก็เลยทักทายเธอออกไปอย่างเหมาะสม

 

“สวัสดีค่ะ กราเซียนาซามะ หนูต้องขออภัยที่ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงมาเป็นเวลานาน หนูมั่นใจว่าในอนาคตพวกเราจะต้องได้พบกันอีกในงานเลี้ยงน้ำชาหรืองานอื่นๆแน่นอนค่ะ ดังนั้นหนูขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความช่วยเหลือต่างๆจากท่านนะคะ”

 

ชั้นประกาศออกไปอย่างใจเย็นและขอให้เธอ*กล่าวตอบรับด้วยการเอียงหัวราวกับเด็กๆ  

 

มาดามกราเซียนาแข็งข้างไปซักพักนึง ประหลาดใจจากการตอบสนองเกินเด็กวัย 5 ขวบของชั้น แต่จากนั้นเธอก็รู้ตัวว่าเธอถูกขอให้พูดตอบรับ เธอก็ตอบรับกลับมาด้วยวิธีปกติ

 

จากนั้นเธอก็มองไปทางลูกสาวของเธอเองเป็นครั้งแรกตั้งแต่พวกเราปรากฏตัวขึ้น แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้แนะนำตัวเด็กคนนั้นให้กับพวกเราเลย

 

================================================================

*เพื่อใครงง น่าจะเป็นการขอให้มาดามพูดตอบรับคำขอถึงความช่วยเหลือในอนาคตนะครับ

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 6: สกิลพระเจ้า

 

วันก่อนที่ชั้นจะมาที่นี่ สิ่งหนึ่งที่ชั้นนึกขึ้นได้เมื่อได้ยินคำว่าปิกนิกก็คือแซนวิช

 

อย่างไรก็ตาม ขนมปังในโลกใบนี้มันแข็งมาก — แข็งเกินกว่าจะเป็นแซนวิชได้ ที่บอกว่าขนมปังในต่างโลกมักจะไม่มีคุณภาพก็ดูจะใช้กับโลกใบนี้ได้เหมือนกันแห่ะ

 

ถึงขนมปังในชาติก่อนของชั้นมันจะแข็งเหมือนกันก็เถอะ ดังนั้นมันเลยยังอยู่ในขอบเขตที่ชั้นจินตนาการเอาไว้อยู่

 

นั่นแหล่ะมันเลยถึงเวลาแล้วที่จะปฏิวัติวงการอาหารด้วยความรู้จากญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน!

 

แต่หลังจากนั้นชั้นก็ได้เข้าใจว่ายีสต์นั้นไม่ได้ทำกันง่ายๆ แถมสกิลการทำอาหารของชั้นเองก็ยังทั่วๆไปด้วย

 

และเนื่องจากการปิกนิกนั้นจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ชั้นจึงตัดสินใจที่จะเตรียมแค่วัตถุดิบเท่านั้น

 

***

 

“คุณหนู ต้องเก็บเป็นความลับนะคะ โอเคไหม?”

 

หลังจากที่ตัดสินใจจะไปปิกนิกกัน ชั้นก็ขอให้คอนนี่แอบพาชั้นเข้าไปในห้องครัวหน่อย

 

ดูเหมือนว่าขุนนางจะไม่ถูกแนะนำให้เข้าไปยังที่ทำงานของคนรับใช้นะ ดังนั้นชั้นก็เลยแอบในเงาของคอนนี่แล้วเข้าไป

 

“คือ ชั้นเตรียมทุกอย่างมาแล้วค่ะ แต่ว่า… พวกมันถูกต้องใช่ไหมคะ?”

 

คอนนี่กำลังถือไก่,หัวหอม,ไวน์ขาว,และน้ำมันมะกอกอยู่ในมือพร้อมกับมีสีหน้ากังวล

 

“สมบูรณ์แบบเลย ขอบคุณนะ”

 

ชั้นยิ้มให้กับคอนนี่เพื่อให้เธอสบายใจ เธอเองก็หัวเราะคิกคักกลับมา

 

“อย่างที่คิด คุณหนูไม่ควรทำอาหารเองค่ะ ดังนั้นคอนนี่จะเป็นคนทำให้เองนะคะ เข้าใจนะคะ?”

 

“อืม ฝากด้วยนะ”

 

เอาละ ช่วงทำอาหาร 3 นาที เริ่มได้!

 

“ก่อนอื่นก็หั่นเนื้อให้พอดีคำแล้ววางมันลงในถ้วย จากนั้นก็หั่นหัวหอมใส่เข้าไปผสมพร้อมกับน้ำมันมะกอกและไวน์นิดหน่อย เอาแค่ให้ตัวเนื้อจมอยู่ใต้น้ำก็พอนะ”

 

คอนนี่ตอบกลับมาว่า ‘ค่ะ’ แล้วจากนั้นก็เริ่มทำอย่างรวดเร็ว พวกเราทั้งคู่ร้องไห้ออกมาในตอนที่หั่นหัวหอมด้วย แต่ขั้นแรกของการหมักไก่ก็เสร็จเรียบร้อยดีโดยที่ไม่มีสะดุด

 

“สมบูรณ์แบบ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วละ พวกเราจะหมักมันเอาไว้หนึ่งคืน และพรุ่งนี้ชั้นอยากจะหั่นมันเพิ่มก่อนจะทำซอสจากมัน จากนั้นเราจะกินมันกับแซนวิชด้วย โอ๊ะ แล้วต้องตัดขนมปังให้เป็นแผ่นบางๆด้วยนะ!”

 

“เข้าใจแล้วคะ! แต่ว่า… ส่วนผสมนี้มันดูน่าอร่อยจริงๆค่ะ!”

 

ไก่ที่หมักเอาไว้นั้นทั้งสีและกลิ่นดีมากจนแม้แต่ตอนนั้นท้องของคอนนี่เองก็ร้องออกมาด้วย

 

จากนั้นในวันถัดมา

 

หลังจากที่ทานอาหาเช้าเสร็จ พวกเราก็ตัดสินใจทำอาหารกลางวันสำหรับปิกนิกให้เสร็จ

 

ท่านพี่วิลล์เองก็มากับชั้นด้วย

 

“พี่รู้ว่าน้องบอกให้พี่มาเช้าๆ แต่ว่าพวกเรากำลังจะทำอะไรงั้นหรอ?”

 

สถานที่ก็คือห้องเตรียมอาหารที่อยู่ติดกับห้องครัว

 

ชั้นบอกให้ท่านพี่วิลล์ที่กำลังสงสัยอยู่ว่าอยากจะให้เขาชิมอาหารที่พวกเราทำ ชั้นขอให้เขาตรวจดูว่ามันโอเคกับระดับมาตรฐานของขุนนางไหม แต่เขากลับดูค่อนข้างตกใจเลยละ

 

“ทำอาหารงั้นหรอ?! โอ๊ะ อยากบอกนะว่าพวกนี้อลิซเป็นคนทำเองหน่ะ? ท่านพ่อท่านแม่ของน้องรู้เรื่องนี้ด้วยหรือปล่าว?”

 

อุ๊บ ท่านพี่วิลล์อยู่ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการที่ขุนนางจะมาทำอาหารเองด้วยงั้นหรอ? ชั้นรีบปฎิเสธทันทีขณะที่เขามองมาที่ชั้นอย่างสงสัย

 

“ไม่ค่ะ ท่านพี่วิลล์ หนูแค่บอกให้คอนนี่เป็นคนเตรียมทุกอย่างให้ค่ะ”

 

“โอ๊ะ งั้นหรอ น้องอาจจะบาดเจ็บได้ ดังนั้นห้ามถือมีดหรืออะไรร้อนๆเด็ดขาดเลยนะ เข้าใจไหม?”

 

ท่านพี่ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าโล่งใจ ดูเหมือนเขาจะแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของชั้นเท่านั้นเอง

 

สมกับเป็นท่านพี่วิลล์! ดีจังที่เขาเป็นห่วงชั้น

 

ชั้นตอบกลับไปว่า ‘ค่ะ!’ อย่างร่าเริง และท่านพี่วิลล์เองก็ดูจะพอใจมาก จากนั้นเขาก็พากลับมาเข้าเรื่องหลัก

 

“นี่ค่ะ!”

 

ชั้นพูดพร้อมกับเอาฝาครอบสีเงินออกและยื่นแซนวิชขนาดพอดีคำให้กับเขา

 

มันดูเหมือนกับแซนวิชทั่วไปที่ทำจากไก่และผักสลัดรวมถึงวัตถุดิบต่างๆที่อยู่บนขนมปัง ขนมปังเองก็ทำการอบบางๆที่ผิวของมันด้วย มันดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษเลย มันเป็นเพียงแค่แซนวิชธรรมดาๆเท่านั้น

 

“โอ้ มันดูน่าอร่อยมากเลย ขอบคุณสำหรับอาหาร!”

 

ชั้นดีใจที่มันดูปกติมากกว่าที่ชั้นคิดเอาไว้ มันอาจจะ… อย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้ดูแปลกละนะ!

 

ท่านพี่วิลล์มองชั้นอย่างเอ็นดูตั้งแต่ที่ชั้นตื่นเต้นที่จะให้เขาดูอาหารสำหรับปิกนิกแล้ว จากนั้นเขาก็ไม่รอช้า กินแซนวิชนั้นเข้าไปในคำเดียว

 

ตอนแรกเขาก็เคี้ยวไปตามปกติ แต่หลังจากนั้นสักพัก สีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลง

 

“หืมม…? ……อื้มมมมม?!”

 

หลังจากที่เคี้ยวอย่างรวดเร็วแล้วกลืนมันลงไปจนหมด ท่านพี่วิลล์ก็มองมาที่ชั้นอย่างแรงกล้า

 

“อะไร…? มัน… มันมีอะไรบางอย่าง… มันอร่อย อร่อยมากๆ… นี้มันอะไรกัน…?”

 

ท่านพี่วิลล์ตกตะลึงจนพูดไม่ได้ศัพท์ และชั้นก็ตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มภาคภูมิใจว่า

 

“หนูเรียกมันว่า แซนวิชมายองเนสไก่หมักพร้อมผักฤดูใบไม้ร่วงค่ะ!”

 

***

 

ตอนนี้ชั้นกำลังเสิร์ฟแซนวิชที่ทำให้ท่านพี่วิลล์ตกตะลึงไปเมื่อก่อนหน้านี้ให้กับครอบครัวของชั้น

 

ชั้นได้เห็นปฏิกิริยาที่น่าสนใจมาบ้างแล้ว

 

คนแรกก็คือท่านพ่อ

 

ตั้งแต่แรกแล้ว เขาถูกกระตุ้นโดยอาหารของลูกสาว “ที่เต็มไปด้วยความรัก” มันทำให้เข้าใช้เวลาสักพักในการจะกินมัน

 

หลังจากชมรูปลักษณ์ของมันไปซักพัก เขาบอกว่ามันมี “ความสวยงามของสมดุลระหว่างการปรุงอย่างปราณีตกับกลิ่นอันหอมหวาน” ด้วย และหลังจากนั้นเขาก็เริ่มกินมันเข้าไป เมื่อเขากัดเข้าไปคำแรก สีหน้าของเขาก็แข็งค้างแล้วเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาวางศอกเอาไว้บนโต๊ะและประสานมือเอาไว้ข้างหน้าของเขาแบบ*ท่าเก็นโด เขาไม่ขยับเลยหลังจากทำท่านั้น เขาคงจะชอบท่าเก็นโดนั่นจริงๆสินะ…

 

คนถัดมาก็คือท่านแม่ เธอไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ดังนั้นเธอก็เลยทานมันทีละเล็กทีละน้อยอย่างสง่างาม ทว่า เมื่อเธอกินส่วนที่มีมายองเนสกับไก่หมักเข้าไป เธอเหมือนกับโดนฟ้าผ่าแล้วแข็งข้างไป เธอแข็งค้างไปทั้งๆที่ยังคงยิ้มอยู่ไปประมาณ 10 วินาที

 

หลังจากนั้นเธอก็ทานมันจนหมดอย่างสวยงามด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม 3 เท่า

 

ท่านพี่วิลล์นั้นเคยกินมันมาก่อนแล้วในตอนเช้านี้ ดังนั้นเขาจึงกินมันอย่ามีความสุขหลายต่อหลายชิ้น แก้มของเขานั้นถูกแต่งแต้มไปด้วยความอร่อย

 

คอนนี่จังนั่นจะทานหลังพวกเราเพราะเธอนั้นเป็นคนรับใช้ ชั้นรู้สึกสงสารเธอนิดหน่อยนะ

 

งั้นทำไมแซนวิชไก่ธรรมดาๆแบบนี้ถึงมีพลังที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงขนาดนี้ละ? ชั้นคิดว่าเหตุผลคงเป็นเพราะว่าในโลกใบนี้ไม่มีวัฒนธรรมในการใช้แอลกอฮอล์และเอนไซม์ในการทำให้เนื้อนุ่ม

 

อีกเหตุผลนึงก็คือ มายองเนส

 

อาหารในโลกใบนี้นั้นขาดแคลนอยู่หลายอย่างเลย มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่แทบจะไม่มีพริกไทยและพริกอยู่เลย เกลือกับน้ำตาลเองก็เป็นสินค้าที่มีราคาสูง รวมถึงไม่มีแม้แต่มิโซะหรือโชยุเลยด้วย

 

ส่วนวัตถุดิบต่างๆนั้น ส่วนใหญ่เป็นอันที่สามารถเก็บเอาไว้ได้นาน หรือก็คือ มันทั้งแข็งและหยาบกระด้างมาก

 

ถึงแม้ขุนนางจะมีการทำอาหารในคฤหาสน์ก็จริง แต่ดูเหมือนว่าแค่รสชาติหรูหราและอึ่มท้องมันก็เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้วหน่ะสิ

 

บางทีสิ่งที่แตกต่างระหว่างขุนนางกับสามัญชนนั้นก็คือปริมาณอาหารที่ได้กินต่อวัน

 

มีเพียงแค่คนที่ฐานะค่อนข้างมีสูงเท่านั้นที่จะกินของที่หลากหลายเช่นผัก.ผลไม้,เนื้อ,และ ผลิตภัณฑ์ประเภทนมได้

 

ยิ่งไปกว่านั้น มันขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำอาหารของคนที่พวกเขาจ้างด้วย พวกเขาสามารถดื่มด่ำกับรสชาติที่หลากหลายจากคนที่ทำด้วย

 

ทว่า มีเพียงคนจำนวนน้อยนิดบนโลกเท่านั้นที่จะเป็นคนมีฐานะสูง เพราะแบบนั้น มันจึงไม่มีการพัฒนาด้านรสชาติอาหารและรูปลักษณ์จากวัตถุดิบที่หมดอายุได้ง่ายเลย

 

ดังนั้นเพื่อที่จะทำลายความคิดนั้น ชั้นจึงหมักไก่เอาไว้หนึ่งคืนด้วยเอนไซม์จากหัวหอมและดับกลิ่นด้วยไวน์ขาว จากนั้นชั้นก็ทาขนมปังแข็งๆด้วยมายองเนสเพื่อให้มันน่ากินมากยิ่งขึ้น

 

ในฐานะหญิงสาวชาวญี่ปุ่น ชั้นยอมไม่ได้กับความแข็งและกลิ่นเหม็นแบบนั้นหรอก

 

ยื่งไปกว่านั้น มันมีไม่กี่คนหรอกที่ไม่ชอบมายองเนส มันถูกทำขึ้นมาอย่างง่ายๆโดยการผสมไข่แดง,น้ำส้มสายชู,น้ำมัน,และเกลือให้เข้ากันเท่านั้น แต่มันไม่ได้มีมายองเนสอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ที่มันยังไม่มีตัวตนก็อาจจะเพราะไข่นั้นมีราคาสูงมาก หรืออาจจะเพราะผู้คนยังไม่รู้ถึงวิธีการฆ่าเชื้อโรคของมันด้วยน้ำส้มสายชูก็ได้ ดังนั้นชั้นจึงทำมันขึ้นมาตั้งแต่ต้น

 

ปรากฏว่าไก่หมักกับมายองเนสที่ชั้นทำขึ้นมาจากการคำนวณนั้นจะได้ผลดีเกินคาดนะ

 

ท่านพ่อตัวสั่นไปมาและพึมพำอะไรบางอย่าง

 

“มายอง…เนส… นี่ต้องเป็นอาหารจากพระเจ้าแน่ๆเลย…”

 

–อาหารจากพระเจ้า… อุ๊ฟฟฟฟ!

 

ชั้นเกือบหลุดหัวเราะออกไปหลังจากที่ได้ยินเขาพึมพำแบบนั้น แต่ชั้นก็กลั้นมันเอาไว้เพื่อที่ชั้นจะได้ฟังเขาพูดต่อ

 

“และเนื้อนุ่มๆนี้มันอะไรกัน ครั้งแรกเลยที่ข้าได้กินเนื้อที่นุ่มราวกับจะละลายในปากแบบนี้… ข้าเคยล่ากระต่ายสดๆมาได้ก็จริง ทว่านั่นก็เทียบกับสิ่งนี้ไม่ได้เลย ถึงมันจะนุ่มเหมือนกัน แต่มันมีกลิ่นที่ค่อนข้างเหม็นด้วย…”

 

นั่นก็เพราะว่าชั้นหมักมันเอาไว้ข้ามคืนยังไงละ!

 

อนึ่ง ในโลกใบนี้นั้นไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับยีสต์และเอนไซม์อยู่เลย มันจึงยากที่จะโน้มน้าวคอนนี่ว่ามันมีอาหารหลายอย่างที่ปล่อยเอาไว้ข้ามคืนได้นอกจากการโรยเกลือ

 

เธอเอาแต่ยืนกรานว่าถ้าพวกเราปล่อยอาหารเอาไว้ในอุณหภูมิห้องเป็นเวลานานมันก็จะเน่าเสีย ทว่าตัวชั้นก็ยังเอาแต่พูดว่า ‘มันไม่เป็นไร’ จนกระทั่งเธอยอมแพ้ไป

 

“ค่ะ ทั้งสองอย่างนั้นมันมหัศจรรย์มากจริงๆ แต่ความกลมกล่อมของมันโดยรวมนั้นสุดยอดมากจริงๆ…! รสชาติของผักที่ผสมเข้ากับเนื้อ ความกรุบกรอบของผักทำให้ซึมซับน้ำมันเอาไว้ ขนมปังที่ห่อหุ้มทุกอย่างเอาไว้ด้วยกัน รวมถึงมายองเนสนี้ด้วย ซอสนี้… ที่ทำให้ขนมปังนั้นทั้งหวานและนุ่ม ชั้นไม่เคยรู้สึกถึงความกลมกล่อมแบบนี้ในมื้ออาหารมาก่อนเลยค่ะ”

 

ท่านแม่พูดออกมาอย่างกับหญิงสาวในรายการอาหารบนทีวีเลย

 

ขณะที่ทั้งคู่กำลังถอนหายใจออกมาด้วยความปิติยินดี ท่านพ่อที่ยังไม่หายตื่นเต้นก็โพล่งออกมาว่า

 

“อลิซ ลูกไปเรียนรู้วิธีทำอาหารแบบนี้มาจากไหนกัน…?”

 

อั๊ก

 

ว่าแล้วว่ามันต้องมา… คำถามแบบนี้

 

ทว่าชั้นได้เตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว ดังนั้นชั้นก็เลยตอบออกไปอย่างงงๆว่า

 

“หนูก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าตอนไหน แต่หนูสังเกตว่าเนื้อที่หนูกินพร้อมกับหัวหอมนั้นมันจะนุ่มกว่าปกติค่ะ หนูก็เลยตัดสินใจลองใช้ทฤษฎีนี้ดู!”

 

ตอนที่ชั้นไม่รู้ว่าจะพูดอะไร การใช้แผน ‘ชั้นเองก็ไม่รู้อะไรมากเหมือนกัน ดังนั้นไม่ต้องถามเยอะ’ มักจะได้ผลเสมอ

 

ทว่าท่านพ่อกับท่านแม่ก็พูดออกมาว่า “มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรอ?” ดังนั้นชั้นก็เลยพยักหน้า

 

จากนั้น ชั้นก็เข้าสู่แผนที่ 2

 

“แล้วก็เรื่องมายองเนส อยู่ๆหนูรู้จักมันในตอนที่หนูป่วยอยู่ หนูสงสัยว่าหนูจะสามารถปรับปรุงไข่ให้เป็นแบบที่หนูอยากให้เป็นได้ไหมน่ะค่ะ… บางทีมันอาจจะมาจากปัญญาหรือกำลังใจที่บรรพบุรุษหรือสปิริตส่งมาให้หนูก็ได้นะคะ เพื่อให้หนูได้ทานมันแล้วแข็งแรงขึ้น…”

 

ถึงจะพูดยืดยาวไปหน่อย แต่การยกประเด็นที่ว่าเป็น “ประสงค์ของพระเจ้า” ออกมานั้นดูจะใช้ได้ผลดีมากเลยละ

 

“โอ้ห์…! งั้นรึ! เข้าใจแล้ว มันก็สมเหตุสมผลอยู่…!”

 

ท่านพ่อได้มองขึ้นไปบนสวรรค์ ท่านแม่เองก็ทำตามด้วย

 

“ค่ะ รสชาติแบบนี้จะต้องเป็นงานของพระเจ้าแน่นอน…!! ทั้งการหายดีอย่างปาฏิหาริย์ของอลิซกับมายองเนสนี้จะต้องเป็นการดลบันดาลจากสวรรค์แน่ๆเลยค่ะ…!”

 

รู้สึกเหมือนกับการรอดชีวิตของชั้นจะอยู่ระดับเดียวกับมายองเนสเลย แต่อย่างน้อยๆก็ดูจะหลอกพวกเขาในตอนนี้ได้ งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก

 

……ไม่ ชั้นไม่ได้เสียใจนะ!  ไม่ได้เสียใจเลยจริงๆนะ!!

 

================================================================

*ท่าเก็นโด ท่าโพสต์ประจำตัวของอิคาริ เก็นโด จากเรื่อง EVANGELION

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 5: สวน

 

ที่นี่สินะสวนจักรวรรดิ!

 

ชั้นลงมาจากรถม้าและยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าของสวน

 

พวกเรามากันทั้งหมด 5 คน มีชั้น, ท่านพ่อ, ท่านแม่, ท่านพี่วิลล์, และคอนนี่ที่ชั้นพามาด้วย

 

ท่านพ่อเอาใจชั้นมากจนตัวชั้นรู้สึกทั้งดีใจและเขินอายในเวลาเดียวกันเลย พึ่งตกลงกันว่าจะมาที่นี่เมื่อวานแท้ๆ แต่แล้ววันนี่ก็มากันซะแล้ว

 

นอกจากนี้ ที่ท่านพ่อหวานแหววกับท่านแม่และเอาใจตัวชั้นมาสักพักแล้วนั้น เขาบอกว่ามันคือช่วง “ระยะพักฟื้น” หลังจากที่ได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งเขาทำการหยุดพักร้อนจากงานของเขา — หรือต้องบอกว่าเขาได้โยนงานแทบทั้งหมดไปให้ออฟรานซ์ซัง

 

…มันทำให้ชั้นนึกขึ้นได้ว่าชั้นเห็นรอยคล้ำใต้ตาของออฟรานซ์ซังเพราะเรื่องนี้ด้วย ชั้นสงสัยจังว่าเขาจะยังโอเคดีไหมนะ

 

ขณะที่ชั้นกำลังกังวลถึงออฟรานซ์ซัง ชั้นก็พยายามฟังท่านพ่อที่กำลังพูดถึงสวนจักรวรรดิแห่งนี้อยู่

 

“มันถูกรู้จักกันในชื่อสวนจักรวรรดิก็จริง แต่ชื่ออย่างเป็นทางการของที่นี่ก็คือ เขตสงวนซากปรักหักพังทางโบราณคดีแห่งจักรวรรดิ มันมีทั้งสวนสมุนไพร, สวนกุหลาบ, และทะเลสาบอยู่ภายในเขตสงวนแห่งนี้ด้วย”

 

อะไรนะ? ไม่ใช่ว่ามันเหมือนกับสวนแฟนตาซีสำหรับพวกจูนิเบียวงั้นหรอ?! สุดยอดไปเลย!

 

ชั้นเข้าสู่โหมดไล่ล่าเรื่องสุดยอดพร้อมกับตาเป็นประกายและจ้องมองไปที่ท่านพ่ออย่างมุ่งมั่น เขาทำการอธิบานต่อไปด้วยสีหน้าเพลิดเพลินราวกับว่าเขาดีใจที่มีคนฟังเขาอย่างตั้งใจ

 

“ประวัติของที่นี่นั้นเก่าแก่มาก มันถูกกล่าวขานกันว่าพระราชวังแห่งแรกของประเทศนี้เคยอยู่ที่นี่ และยังคงมีบางส่วนของพระราชวังนั่นหลงเหลืออยู่ เมื่อเมืองหลวงถูกย้ายไปมาจนสุดท้ายก็กลับมายังที่นี่อีกครั้ง ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นเขตสงวนทางธรรมชาติและได้สร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่ที่เห็นได้ในปัจจุบัน”

 

“งั้นก็มีสิ่งของทางประวัติศาสตร์อยู่ด้วยสินะคะ!” ชั้นอุทานออกมาอย่างเงียบๆ และท่านพี่วิลล์ก็ได้ลูบหัวของชั้นเพราะประทับใจที่ชั้นรู้จักคำยากๆด้วย

 

“พ่อได้ยินมาว่าเพราะมันถูกทิ้งร้างเอาไว้ บางส่วนจึงเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้แล้วว่ามันใช้ทำอะไร บางส่วนก็แทบจะคงสภาพเดิมเอาไว้ไม่ได้ พ่อยังได้ยินมาอีกว่าอาคารบางหลังใช้การไม่ได้แล้วด้วย ดังนั้นลูกห้ามเข้าไปข้างในอาคารพวกนั้นเด็ดขาดเลยนะ”

 

หืมมมมมม ชั้นพยักหน้าอยากระมัดระวังโดยที่พยายามจดจำข้อมูลพวกนี้ใส่หัวของตัวเอง ชั้นตัดสินใจแล้วว่าสักวันชั้นจะต้องกลับมาที่นี่เพื่อสำรวจสวนนี้ทุกซอกทุกมุมให้ได้เลย ไม่ใช่ว่าสวนจักรวรรดิแห่งนี้มันสุดยอดไปเลยงั้นหรอ?

 

“โอ๊ะ คุณหนูชอบเรื่องแบบนี้มากเลยใช่ไหมละค่า~?”

 

คอนนี่หันมาทางชั้น มันทำให้ชั้นยิ้มออกมาและรู้สึกเขินเล็กน้อย นี่ชั้นดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?

 

ชั้นใจเย็นลงเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบๆ

 

ตอนนี่พวกเราอยู่ที่ลานกว้างแห่งแรกจากประตูที่มียามเฝ้าอยู่

 

พื้นถูกปูด้วยหินเป็นลวดลายและมีน้ำพุขนาดใหญ๋พร้อมกับรูปปั้นอยู่ตรงกลาง มันถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มและทางเดินขนาดใหญ่แยกออกไป

 

ขนาดของต้นไม้นั้นสุดยอดมาก ขนาดของมันนั้นเรียบง่าย มันเหมือนกับต้นไม้ที่อยู่ในศาลเจ้าเก่าแก่อะไรแบบนั้นเลย พวกมันใหญ่มากๆจนถึงขนาดที่ชั้นต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะดูมัน

 

ข้างหน้าของชั้นก็คือท่านพ่อกับท่านแม่ มีคอนนี่ที่ถือล่มกันแดดให้กับท่านแม่อยู่ด้วย ท่านพี่วิลล์จับมือของชั้นไว้ข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็กำลังถือตะกร้าอาหารกลางวันอยู่ พวกเราเดินมายังเส้นทางที่อยู่ทางขวาจากลานกว้าง

 

ทางเดินนั้นปูด้วยหินกรวดและใหญ่พอจะให้คนสิบคนเดินไปพร้อมๆกันได้ เส้นทางตรงกลางและเส้นทางด้านซ้ายจากลานกว้างนั้นไม่รู้ว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้า แต่ทางที่พวกเรามานั้นเผยให้เห็นถึงปลายทางของมันแล้ว

 

“ว้าว…!”

 

ขณะที่พวกเราเดินผ่านเส้นทางที่รายล้อมไปด้วยต้มไม้ขนาดใหญ่นั้น สวนดอกทอเรเนียสีฟ้าและสีม่วงก็ได้เข้ามาอยู่ในสายตาของพวกเรา

 

ดอกไม้พวกนั้นเติบโตได้ดีแม้จะอยู่ในร่มเงา ดังนั้นจึงมีต้นอ่อนและใบไม้ปกคลุมไปทั่วบริเวณจนถึงตรงที่มีต้นไม้บดบังแสงแดดบ่อยๆด้วย

 

“สวยจัง…”

 

ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มาตั้งแต่ที่ชั้นเคยไปเที่ยวเมืองมินามิโบโซในชาติที่แล้วเลย มันสวยงามมากจริงๆ…

 

“…พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ชั้นรู้ว่าชั้นบอกว่ามาเกิดใหม่ก็จริง แต่ว่าตัวชั้นตายไปแล้วจริงๆหรอ? ชั้นไม่แน่ใจว่าชั้นตายไปขณะที่นอนหลับอนู่ หรือตายไปเพราะความอ่อนเพลียกันแน่นะ…?”

 

ชั้นไม่แน่ใจชั้นเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนหรือปล่าว แต่ตัวชั้นก็ทำงานหนักมากเกินไปจริงๆ…

 

ตอนที่ท่านพี่วิลล์เอามือของพวกเราออกจากกัน ชั้นก็คิดแบบนั้นในขณะที่มองไปยังดอกไม้พวกนั้นอย่างเหม่อลอย  

 

“พี่รู้ว่าตรงนี้มันสวย แต่ถ้าน้องไปข้างหน้าอีกหน่อย น้องจะพบกับจุดที่เปิดกว้างและสวยงามกว่านี้นะ พวกเราจะไปกันเลยไหม?”

 

ชั้นตอบกลับไปว่า “คะ!” ก่อนจะเดินต่อไป

 

มีทางเดินตัดผ่านไปบนทุ่งดอกไม้บนเนิน พวกเราเดินไปตามเส้นทางนั้น

 

จากนั้นพวกเราก็ออกมาจากบริเวณที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และดอกทอเรเนียที่มีหญ้าและไม้พุ่มอยู่เยอะมาก

 

ชั้นมองไปรอบๆและถอนหายใจออกมาอย่างลับๆ

 

“…อลิซ แม่สงสัยว่าขาของลูกจะไหวหรือปล่าวหน่ะจ่ะ?”

 

อ่าห์ ถูกจับได้ซะแล้ว

 

พวกเราเดินขึ้นมาบนเนินแม้มันจะไม่สูงมาก แต่ร่างกายของชั้นก็เริ่มเหนื่อยอย่างที่ท่านแม่พูดเลย ชั้นเหนื่อยเร็วมากเกินไป แต่ถึงยังนั้น… ชั้นก็อายุ 5 ขวบแล้ว ดังนั้นชั้นจึงรู้สึกไม่ดีที่จะให้ใครสักคนอุ้มชั้นขึ้นไปบนเนิน ชั้นเลยตัดสินใจซ่อนความอ่อนแอของตัวเองเอาไว้

 

“หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ทันรู้ตัว…”

 

ขณะที่ชั้นไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงอยู่นั้น ชั้นก็ถูกอุ้มขึ้นโดยอ้อมกอดของท่านพี่วิลล์ที่ส่งตะกร้าอาหารกลางวันให้กับคอนนี่ไปแล้ว

 

“อ้า! ทะ-ท่านพี่วิลล์ แน่ใจหรอคะ?”

 

“พี่ฝึกมาดีแล้วหน่าไม่ทำน้องตกหรอก ไม่ต้องห่วง พี่จะดูแลน้องเอง”

 

ท่านพี่วิลล์ยืดอกอย่างภูมิใจออกมา มันก็จริงที่ตัวเขากำยำกว่าที่ชั้นคิดเอาไว้ เพราะเขามีอายุเพียงแค่ 13 ปีเองและบางทียังอยู่ในช่วงเจริญเติบโตอยู่ด้วย เขาไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าผอมเพรียวในแบบที่ชั้นคิดเอาไว้เลย และอีกอย่างตัวเขาเองก็มีกลิ่นที่ดีด้วย พลังแห่งหนุ่มหล่อนี้มันสุดยอดจริงๆ

 

ดูเหมือนชั้นจะลืมเหตุผลที่ชั้นลังเลก่อนหน้านี้ไปแล้วพร้อมกับคิดว่ามันอาจจะสนุกดีก็ได้ ขณะที่ชั้นหัวเราะคิกคักพร้อมกับลูบหน้าอกของท่านพี่วิลล์ไปด้วยนั้น ชั้นก็ได้ยินเสียงผิดหวังออกมาจากท่านพ่อที่อยู่ข้างหลังของชั้นว่า “ข้าเองก็อยากทำแบบนั้นมั้งจัง…”

 

ท่านพ่อเองก็ค่อนข้างแข็งแรง ดังนั้นชั้นคิดว่าชั้นจะให้เขาอุ้มในครั้งหน้าละกัน

 

***

 

หลังจากถูกอุ้มขึ้นมาบนเนิน พวกเราก็พบกับพื้นที่ว่างพร้อมกับวิวของท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

 

มันเกือบจะเหมือนกับสวนในประเทศอังกฤษเลย ดูเหมือนจะมีดอกไม้หลากหลายชนิดถูกปลูกเอาไว้ภายในสวนแห่งนี้

 

“นั่นไงคะ ท่านแม่!”

 

ที่ปลายสายตา ซุ้มดอกกุหลาบที่นำไปสู่ลานกว้างทรงกลมและมีเรือนกล้วยไม้อยู่ด้านหลังของมันเหมือนกับที่บ้าน

 

พื้นที่ถูกตกแต่งด้วยสีแดง,สีลูกพีชและสีขาวของดอกไม้ เถาวัลย์ที่ห้อยลงมาจากเรือนกล้วยไม้ขนาดใหญ่นั้นงดงามมากๆ

 

“ใช่แล้ว ที่นี่แหล่ะจ่ะ และมันยังเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของแม่กับพ่อของลูกอีกด้วยนะ”

 

ท่านแม่พูดแบบนั้นพร้อมกับรอยยิ้มเขินอาย ท่านพ่อเองก็ยิ้มออกมาเหมือนกัน

 

“ข้าสารภาพรักกับเธอที่นี่ใช่ไหม? ข้าไม่เคยลืมเลือนใบหน้ามีความสุขของเธอในตอนนั้นเลยนะ”

 

โอ้! ชั้นไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีเรื่องลับๆแบบนั้นอยู่ด้วย การสารภาพรักใต้เรือนเถาวัลย์กุหลาบนี้ฟังดูราวกับเรื่องเล่าในนิทานเลย ใช่ไหมละ?

 

แต่ว่ามันดีไปเลยนะที่พวกเขาสร้างเลียนสถานที่แห่งความทรงจำแบบนี้เอาไว้ที่บ้านด้วย ชั้นคิดว่าพวกเขาคงจะมีเอาไว้เพื่อรำลึกความหลังได้ตลอดเวลานะ ช่างหวานแหววอะไรกันขนาดนี้! พวกเขารักกันจริงๆ!

 

ขณะที่ชั้นเริ่มรู้สึกเป็นเบาหวานจากการรับรู้ถึงความใกล้ชิดกันของท่านพ่อกับท่านแม่ ชั้นก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญบางอย่างดังออกมา

 

หืมมมม? เมื่อทุกคนมองหน้ากันและกัน พวกเราก็พบว่าคอนนี่กำลังหน้าแดงอยู่

 

“คอนนี่ รู้สึกหิวแล้วงั้นหรอ?”

 

ชั้นถามออกไป และคอนนี่ก็พยักหน้าด้วยความเขินอาย

 

“ข้าเองก็หิวแล้วเหมือนกัน มาทานอาหารกลางวันกันแถวๆนี้ดีไหม?”

 

ท่านพ่อพูดตามออกมาว่าเขาเองก็หิวแล้ว ดังนั้นพวกเราก็เลยไปทานอาหารกลางวันกันที่โต๊ะในสวนใกล้ๆกับเรือนกล้วยไม้

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 4 ท่านพี่วิล

 

“อลิซ…?!”

 

เมื่อชั้นหันไปหาเจ้าของเสียงเรียกที่ชั้นได้ยินมาจากประตูหลัก ชั้นก็พบกับร่างๆหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหาจากประตูหลัก มียามรักษาวิ่งไล่ตามมาพร้อมกับตะโกนไล่หลัง

 

“เอ๊ะ หรือว่าจะเป็น…?”

 

เขาสูงขึ้นนิดหน่อย แต่ถ้าชั้นจำไม่ผิด…

 

“ท่านพี่วิล!”

 

ชั้นรีบออกตัวกระโดดเข้าหาตัวเขาทันที

 

“โว้ว! รอเดี๋ยวก่อนสิ นี่?!”

 

เขาคงจะไม่คาดคิดว่าชั้นจะกระโดดเข้าใส่ตัวเขาแบบนี้ ทว่าท่านพี่วิลก็รีบรับตัวชั้นเข้ามากอดเอาไว้ได้

 

คนๆนี้ก็คือ วิลเฮล์ม อารอน เวอร์จิล ความสัมพันธ์ในมุมมองของชั้นก็คือว่าเขาเป็นประเภทชายข้างบ้านที่อลิซหลงไหลในฐานะพี่ชายละนะ

 

เขาเป็นคนที่ค่อนข้างหน้าตาดีอยู่ เขามีผมสีเขียวสว่างและดวงตาสีอำพันอันอ่อนโยน ชั้นคิดว่าเขาน่าจะอายุประมาณ 14 ปีนะ

 

“อลิซ! ออกมาข้างนอกแบบนี้จะไม่เป็นอะไรหรอ? พี่ดีใจมากเลยนะที่ได้เจอเธออีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน แต่ถ้าเธอเหนื่อยหรืออะไรแบบนั้นจนสลบไปอีกครั้งละก็…?”

 

ท่านพี่วิลพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงสุขภาพของชั้น ทว่าอยู่ๆเขาก็หยุดนิ่งไปราวกับว่านึกอะไรบางอย่างออก

 

“…อลิซ เมื่อกี้น้องพูดชื่อของพี่หรือปล่าว?”

 

“???… ค่ะ หนูเรียกพี่เอง”

 

“…เธอ…นะ-น้อง… กำลังพูดดดดดดดดด?!?!?”

 

ท่านพี่วิลตะโกนเสียงดังออกมาราวกับเขาเห็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ

 

“น้องพูดได้แล้ววววววววว?!?!”

 

ชั้นคิดถึงการตอบสนองแบบนี้จังแห่ะ

 

ถึงมันจะไม่ใช่เวลามามัวคิดถึงเรื่องนี้อยู่อย่างใจเย็นก็เถอะ แต่ตัวชั้นไม่ได้เจอกับพี่ชายมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์ของรูจนู่นเลย ดังนั้นมันจึงน่าตกใจใช่ไหมละ?

 

ถึงยังงั้น มันก็ยังมากเกินไปสำหรับชั้นอยู่ดี ตัวชั้นที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนขี้กลัว ชั้นหลบหน้าเขาอย่างสุดขีดนานถึง 2 ปี มันแย่ขนาดที่ว่าชั้นไม่สามารถเข้าไปใกล้เขาได้เลยในตอนนั้น

 

ชั้นรู้สึกผิดจากใจจริงเลย

 

“โอ้ อลิซ! เมื่อไหร่กันที่น้องอาการดีขึ้นแบบนี้? น้องพูดไม่ได้และอยู่ติดเตียงจนถึงเมื่อไม่กี่วันก่อนเองนะ… น้องที่ร่างกายอ่อนแอแต่ว่าตอนนี้กลับ…! ผิวพรรณผ่องใสขึ้น… แก้มเองก็อมชมพู — น้องน่ารักมากกว่าขึ้นเดิมหรือปล่าวเนี้ย??!!”

 

ท่อนสุดท้ายเมื่อกี้มีอะไรแปลกๆหรือปล่าวนะ?

 

ชั้นตอบกลับไปพร้อมกับคิดแบบนั้น

 

“คือหนูอาการดีขึ้นตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วค่ะ มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นแต่เรื่องมันยาววววววมากเลยละค่ะ ดังนั้นบางทีไว้ท่านพี่ไปถามรายละเอียดกับทุกคนจะดีไหมคะ?”

 

ชั้นมั่นใจเลยว่าคนอื่นๆโดยเฉพาะท่านพ่อจะต้องเล่ารายละเอียดให้ท่านพี่ด้วยหัวใจและจิตวิญญาณของท่านพ่อได้แน่ๆ

 

“โอ๊ะ-โอ้ อืม… ยังไงก็ตาม พี่ดีใจนะที่น้องอาการดีขึ้น พี่ดีใจจริงๆ อลิซ—!”

 

ท่านพี่วิลดีใจมากจนถึงกับน้ำตาไหลแล้วกอดชั้น ถ้าตัวชั้นไม่ได้อยู่ข้างนอกละก็ ชั้นก็คงจะร้องไห้ออกมาโดยไม่สนใจรอบๆตัวแน่ๆเลย

 

“ขออภัยที่ต้องขัดท่านนะคะ วิลเฮล์มซามะ แต่ในเมื่อพวกท่านได้พบกันอีกครั้งนึงแล้ว ทำไมท่านไม่ติดต่อนายท่านกับนายหญิงแล้วเข้าร่วมปาร์ตี้น้ำชาในวันนี้กับพวกเราด้วยละคะ?”

 

ถึงเธอจะพูดเหมือนกับใจเย็นแบบนั้น แต่สีหน้าของเธอกำลังบอกความรู้สึกจริงๆอยู่ เธอมองไปที่ท่านพี่วิลราวกับว่าเธอเจอกับพวกเดียวกัน ในทางกลับกัน สีหน้าของท่านพี่วิลนั้นดูมีความสุขสุดๆ ชั้นสามารถมองเห็นดอกไม้บานที่พื้นหลังของเขาได้เลยละ… เขาคงจะดีใจมากจริงๆ

 

“ยินดีอย่างยิ่งเลยละ ชั้นจะเข้าร่วมด้วย!”

 

“อืมม ไม่ใช่ว่าท่านพี่กำลังจะไปที่ไหนสักที่อยู่ไม่ใช่หรอคะ?”

 

เมื่อชั้นถามแบบนั้นออกไป เขาก็ตอบกลับมาพร้อมกับยืดอกภูมิใจว่า

 

“จะบอกว่าพี่ไม่เคยมีแผนอะไรเลยก็ได้ ถ้าอลิซจะเข้าร่วมปาร์ตี้ด้วย งั้นในสายตาของพี่ นี้ก็คือปาร์ตี้น้ำชาเพียงแห่งเดียวที่พี่จะต้องเข้าร่วมให้ได้”

 

อย่างกับ*โฆษณาเครื่องดูดฝุ่นเลยไม่ใช่รึไงนั่น? ชั้นคิดแบบนั้นแต่ก็ได้เงียบปากเอาไว้ ชั้นสงสัยจังว่าท่านพี่วิลจะเป็นคนญี่ปุ่นเกิดใหม่ด้วยเหมือนกันหรือแล่าวนะ… (*โฆษณาเครื่องดูดฝุ่น Dyson ของญี่ปุ่นละมั้ง)

 

***

 

อืม นั่นก็คือเหตุผลที่ทำไมพวกเราถึงมาจัดงานปาร์ตี้น้ำชากับท่านพี่วิลได้

 

เขานั้นเป็นเครือญาติใกล้เคียงกับพวกเรา ตามกำหนดการแล้วเขาต้องไปยังปาร์ตี้น้ำชายามบ่ายแห่งหนึ่ง ดังนั้นชั้นก็เลยส่งเมดไปบอกอีกฝ่ายในนาทีสุดท้าย เพื่อตัวเขาจะเข้าร่วมปาร์ตี้น้ำชากับพวกเราได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา

 

***

 

“ขอบคุณครับที่ให้ผมได้เข้าร่วมกับพวกท่านด้วยทั้งที่ผมไม่ได้บอกก่อน”

 

ท่านพ่อกับท่านแม่ยิ้มออกมาอย่างร่าเริงให้กับคำพูดของท่านพี่วิล ก่อนจะตอบกลับไปว่า “เจ้ามาเยี่ยมพวกเราได้ตลอดเวลาตามที่เจ้าต้องการได้เลยนะ พวกเรายินดีต้อนรับ” และแล้วงานปาร์ตี้น้ำชาเล็กๆนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

 

กุหลาบฤดูใบไม้ร่วงในสวนนั้นบานอย่างเต็มที่ ชุดน้ำชายามบ่ายสามชั้นถูกวางเอาไว้บนโต็ะสีขาวในฐานะของว่างยามบ่ายจริงๆ สายลมได้พัดผ่านแก้มของชั้นเป็นครั้งคราว มันเป็นยามบ่ายที่สงบสุขเสียจริงๆ

 

ในขณะที่พวกเราพูดคุยกัน ท่านพ่อก็ได้อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ให้กับท่านพี่วิลฟัง ในขณะที่เขาฟังไปเรื่อยๆ บางทีเขาก็ตะโกนออกมาด้วยความตกใจและความเจ็บปวดอีกด้วย

 

ท่านแม่กับชั้นนั่งฟังอยู่เงียบๆ ตอนนั้นอยู่ๆชั้นก็ตัดสินใจจะถามท่านแม่ถึงเรื่องที่รบกวนใจชั้นอยู่

 

“ท่านแม่คะ มีบางอย่างที่หนูสงสัยมานานแล้ว”

 

เมื่อชั้นพูดแบบนั้น ท่านแม่ก็ตอบกลับมาด้วยเสียงอันไพเราะว่า “เรื่องอะไรหรอจ๊ะ~?”

 

“ในตอนนั้นที่ท่านแม่ใช้เวทมนตร์ออกมานะคะ ที่ท่านแม่พูดว่าด้วยพลังของเบอร์รี่สีแดงอันเก่าแก่ หรือ ยามเมื่อถึงพระจันทร์เสี้ยวค่ะ… ท่านแม่หมายความว่ายังไงหรอคะ?”

 

ใช้แล้ว เรื่องแฟนตาซียังไงละ!

 

ชั้นมาเกิดใหม่ในโลกนี้ที่มีเวทมนตร์ยังไงละ! ความแฟนตาซี! และตั้งแต่ที่รำลึดชาติได้ ชั้นก็ยังไม่ได้สัมผัสมันเลยสักนิดเพราะตัวชั้นต้องแก้ปัญหาเรื่องรูจก่อน

 

แต่ว่าตอนนี้ปัญหาพวกนั้นมันคลี่คลายลงไปแล้ว และพวกเรากำลังมีปาร์ตี้น้ำชาอันสงบสุขพร้อมกันทั้งครอบครัวอยู่ ตัวชั้นก็เลยอดที่จะถามออกไปไม่ได้

 

“โอ้ อลิซสนใจในเวทมนตร์ยังงั้นหรอจ๊ะ?”

 

ท่านแม่หัวเราะคิกคักก่อนจะเริ่มอธิบาย

 

“มันมีเครื่องหอมดอกเอลเดอร์ที่ใช้สำหรับสร้างบรรยากาศอยู่ภายในห้องนะจ่ะ อันที่พ่อของลูกใช้ในห้องของเขาในตอนนั้นนั่นแหล่ะจ๊ะ”

 

หืมมมม มันมีกลิ่นไม้อยู่ในห้องจริงๆด้วย เหมือนกลิ่นของมัสกัตเลย ต้องเป็นนั่นแน่ๆเลย

 

“มันไม่ใช่เครื่องหอมที่เขาใช้ประจำหน่ะ ดังนั้นแม่ก็เลยรู้ในทันทีว่ามันมีความหมายอะไรบางอย่าง ตอนแรกแม่ก็มองโลกในแง่ร้ายเพราะดอกเอลเดอร์บางครั้งจะถูกใช้ในงานแต่งงาน… แต่หลังจากที่แม่เข้าใจสถานการณ์ แม่ก็เข้าถึงเจตนาที่แท้จริงของมันในทันที แล้วก็อีกอย่าง พระจันทร์เสี้ยวก็คือคำเรียกของระยะการขยายพลังเวทย์โดยเอาไปเทียบกับดวงจันทร์นะจ๊ะ”

 

เข้าใจแล้ว ถ้ามันคือผลของเวทมนตร์จากดอกเอลเดอร์แล้วละก็ ชั้นจำได้ว่าเคยอ่านเจออยู่ในหนังสือลึกลับเมื่อชาติก่อนนะ ชั้นสงสัยจังว่ามันจะเหมือนกับในโลกนี้หรือปล่าว?

 

“งั้นด้วยการร้องขอถึงทั้งสองสิ่งนี้ ท่านแม่กำลังเรียกหาเวทย์ป้องกันและหวังที่จะขยายพลังของตัวเองอยู่ใช่ไหมละคะ?”

 

ท่านแม่กระพริบตาด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะกล่าวชมชั้น

 

“ใช่แล้วละจ๊ะ อลิซเชี่ยวชาญในเรื่องแบบนี้สินะจ้ะ”

 

ชั้นคิดว่าบางทีทั้งสองโลกอาจจะเกี่ยวข้องกันด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก็เป็นได้!

 

ท่านแม่หัวเราะคิกคักก่อนจะพูดต่อว่า

 

“ตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ดอกเอลเดอร์จะถูกแขวนเอาไว้ที่ประตูและเพิงบ้านเพื่อขับไล่โจรผู้ร้ายจ๊ะ ตัวลำต้นจะถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการร่ายเวทมนตร์อีกด้วย… พวกเราเองก็ใช้มันในการจัดการกับอะไรที่เหมือนกับโจรในคืนนั้นด้วย ดังนั้นมันเป็นตัวเลือกที่เหมาะมากเลยละจ๊ะ”

 

เข้าใจแล้ว! ชั้นฟังอย่างตั้งใจพร้อมกับคิดว่าแย่จังที่ตัวชั้นตอนนี้ไม่มีอะไรเอาไว้จดบันทึกเลย

 

และในตอนที่ชั้นฟังการอธิบายอยู่นั้น อยู่ๆท่านแม่ก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมา

 

“…และเหนือสิ่งอื่นใด มันก็คือต้นไม้ที่ปกป้องหลุมศพของเด็กคนนั้นด้วย ดังนั้นเขาคงอยากจะใช้มันเพราะแบบนี้แน่ๆ”

 

“…พี่สาว…”

 

ชั้นพยักหน้าเห็นด้วย

 

พี่สาวนั้นชั้นหมายถึง “อลิซ” ที่ได้จากไปหลังจากเกิดมาได้ไม่นาน

 

ครอบครัวของชั้นเห็นด้วยกับชั้นและตัดสินใจที่จะเรียกเธอแบบนี้

 

สำหรับชั้น เธอควรจะต้องถูกเรียกว่า “อลิซคนก่อน” อยู่หรอก แต่ว่าด้วยความที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของชั้นในโลกใบนี้ได้อุ้มตัวเธอก่อนตัวชั้น ดังนั้นชั้นจึงรู้สึกว่าเธอเป็นพี่สาวของชั้น

 

เหนือสิ่งอื่นใด ชั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูเธอตั้งแต่เหตุการณ์ตอนที่ไปเยี่ยมหลุมศพ — ที่ตัวชั้นยังคงไม่แน่ใจอยู่ ชั้นอยากจะเชื่อว่าเธอยอมรับตัวตนของชั้นในฐานะครอบครัวแล้ว ถึงแม้ตัวชั้นจะเป็นคนที่ขโมยสถานที่ที่ควรจะเป็นของเธอไปก็ตาม

 

หลังจากที่คุยกันเสร็จ ชั้นก็ได้ยืนขึ้นในขณะที่ท่านแม่ยังคงเป็นห่วงตัวชั้นเพราะเธอพึ่งจะพูดถึงเรื่องที่แสนจะเจ็บปวดออกมา

 

ชั้นวางหัวของชั้นลงบนตักของท่านแม่ที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะคตตัวลงเหมือนกับแมว

 

มันเป็นการแสดงออกว่าตัวชั้นไม่เป็นไรเพราะตัวชั้นยังออดอ้อนเธอได้อยู่แบบนี้ และชั้นหวังที่จะปัดเป่าความโศกเศร้าของท่านแม่อีกด้วย

 

ท่านแม่ลูบหัวของชั้นอย่างอ่อนโยน

 

ระหว่างที่ชั้นกำลังดื่มด่ำกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกอยู่นั้น อยู่ๆชั้นก็รู้สึกตัวว่ารอบๆมันเงียบลงไปแล้ว

 

หืมม? ชั้นเงยหน้ามองไปทางท่านพ่อกับท่านพี่วิล… แล้วก็ต้องเสียใจที่ทำแบบนั้น

 

ใช่ มีชายหน้าตาดีเสียของสองคนกำลังจ้องมองชั้นด้วยสายตาที่เบิกกว้างและหวานเยิ้ม แถมพวกเขายังทำสีหน้าโคตรเด๋อด๋าออกมาจนทำลายความหล่อเหลาของตัวเองอีกด้วย

 

ชั้นทำเป็นไม่เห็นพวกเขาก่อนจะวางหัวลงบนตักของท่านแม่อีกครั้ง พวกเขาทั้งคู่หน่ะเป็นคนที่หน้าตาดีมาก ทว่าในตอนที่พวกเขาทำสีหน้าแบบนั้นออกมา บอกได้คำเดียวเลยว่าเสียของชะมัด

 

ชั้นคิดว่าท่านแม่คงไม่ได้สังเกตเห็นมันหรือบางทีเธออาจจะชินแล้วก็ได้ เพราะตัวเธอกำลังผ่อนคลายแล้วไม่ได้สนใจมันเลย จากนั้น เธอก็นำดอกกุหลาบดอกหนึ่งจากบนโต๊ะมาวางเอาไว้บนผมของชั้น

 

“แม่ว่าแล้วว่าดอกกุหลาบจะต้องเข้ากันกับอลิซจริงๆด้วย”

 

ชั้นมองขึ้นไปที่ท่านแม่ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ

 

“จริงหรอคะ?”

 

ชั้นมองไม่เห็นตัวเอง ดังนั้นชั้นก็เลยเอียงคอเพื่อโชว์มันให้พวกเขาดู ท่านแม่พูดออกมาว่ามันเข้ากันกับชั้น และตรงหางตาของชั้นก็เหลือบไปเห็นท่านพ่อกับท่านพี่วิลกำลังพยักหน้าเห็นด้วยอย่างจริงจังราวกับว่าหัวของพวกเขาจะหลุดออกมาเลย

 

อืม สีบนตัวของชั้นล้วนเป็นสีโทนสว่างดเช่นสีขาว,สีเงิน,สีทอง บางทีสีแดงของกุหลาบอาจจะเข้ากันกับชั้นด้วยก็ได้

 

เมื่อคิดแบบนั้น อยู่ๆชั้นก็มองไปยังกุหลาบที่อยู่ในสวน ตอนนี้มันเป็นช่วงฤดูกาลของกุหลาบฤดูใบไม้ร่วง ดังนั้นพวกมันเลยบานกันอย่างเต็มที่

 

“ท่านแม่คะ กุหลาบในสวนงดงามมากเลยละคะ”

 

“ใช่แล้วละจ๊ะ พวกมันเป็นดอกไม้ที่แม่เองโปรดปรานเหมือนกัน”

 

ท่านแม่พูดออกมาอย่างมีความสุข

 

“มันมีสถานที่ที่เรียกว่าสวนจักรวรรดิอยู่ด้วยหน่ะจ๊ะ เป็นที่ที่กุหลาบสวยงานมาก จนแม่ต้องบอกคนสวนให้ลอกแบบมาจากที่นั่นเลยละจ๊ะ”

 

“สวนจักรวรรดิหรอคะ?”

 

เมื่อชั้นถามคำถามถึงคำที่ไม่รู้จักออกไป ท่านแม่ก็ได้อธิบายให้กับชั้นอย่างใจเย็น

 

“อลิซเองก็เคยไปมาเหมือนกันตอนที่ลูกยังเล็กกว่านี้ ดังนั้นลูกอาจจะจำไม่ได้ ตัวคฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ใกล้กับศุนย์กลางของจักรวรรดิ ส่วนสวนนั้นจะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกจากที่นี่ไปอีกนิดนึงจ๊ะ มันเป็นสวนที่กว้างมากแถมยังเปิดให้ผู้คนเข้าไปเยี่ยมชมได้อีกด้วยนะจ้ะ”

 

ในญี่ปุ่นมันก็น่าจะเหมือนกับเขตอนุรักษ์ธรรมชาติหรือไม่ก็อุทยานแห่งชาตินะ

 

ไม่มีทางที่ชั้นจะไม่สนใจธรรมชาติของโลกแฟนตาซีแบบนี้อยู่แล้ว!

 

“โอ้ว้าว! หนูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะดีถึงขนาดที่ท่านแม่ต้องการเลียนแบบมันเลยละคะ หนูอยากจะไปเห็นมันจังเลย!”

 

ชั้นพูดแบบนั้นพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับ พยายามทำตัวให้ดูคาดหวังให้มากที่สุด ท่านพ่อที่ดูราวกับว่ามีความคิดดีๆอยู่ในหัวของเขาก็แนะนำออกมาอย่างง่ายๆ

 

“งั้นพวกเราหาเวลาไปกันไหม?”

 

“ว่าไงนะคะ?! พูดจริงหรอคะ?!”

 

เมื่อชั้นหันไปหาเขาอย่างกระแทกกระทั้นพร้อมกับถามเพื่อความแน่ใจ ท่านพ่อก็ดูจะคงสภาพหน้าจริงจังเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็พูดออกมาพร้อมกับยิ้มอย่างเบิกบานบนใบหน้าว่า

 

“ทันทีที่อลิซร่างกายแข็งแรงคงที่แล้ว พวกเราเองก็กำลังปรึกษากันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันซักที่เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้กับลูกอยู่แล้ว สวนจักรวรรดิเองก็อยู่ไม่ไกลมาก ดังนั้นมันก็น่าจะไม่เป็นอะไรหรอก”

 

“จริงด้วยสิจ๊ะ มันใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงโดยรถม้าเอง ดังนั้นมันก็น่าจะดีนะ” ท่านแม่พูดขึ้น

 

“แล้วเจ้าละ? เจ้าอยากจะไปเล่นด้วยกันกับอลิซไหม?” ท่านพ่อถามกับท่านพี่วิล

 

“แน่นอนครับ! ผมไปแน่นอน!”

 

ด้วยแผนของท่านพ่อ,ท่านแม่,และก็ท่านพี่วิล ชั้นก็จะได้ไปยังสวนแฟนตาซีกับพวกเขาด้วย! ในที่สุดชั้นก็จะได้ไปเห็นโลกภายนอกแล้ว! ชั้นเริ่มรู้สึกไฟลุกโชนไปด้วยความตื่นเต้นในขณะที่คิดแบบนั้น

 

ชั้นไม่ได้เห็นอะไรมากในตอนที่ชั้นไปเยือนปราสาทตระกูลเจมี่เป็นครั้งแรกเพราะชั้นป่วยติดเตียงบนรถม้า จากนั้นชั้นก็ต้องกลับมาทันทีที่ชั้นไปถึง นี้จึงเป็นครั้งแรกที่ชั้นจะได้ออกไปข้างนอก!

 

มันจะมีสิ่งมีชีวิตเวทมนตร์อะไรแบบนั้นอยู่ข้างนอกหรือปล่าวนะ? จะมีสมุนไพรลึกลับหรือปล่าว? ผู้คนข้างนอกนั่นจะเป็นยังไงกันนะ? อุฟุฟุฟุ

 

“ดวงตาของลูกมีประกายระยิบระยับอยู่ด้วย… ลูกสาวของพ่อน่ารักจริงๆเลย!!”

 

ท่านพ่อพูดขึ้นในขณะที่เห็นชั้นกำลังจินตนาการถึงสิ่งต่างๆอย่างแรงกล้าอยู่

 

ขณะที่ชั้นมองไปที่ใบหน้าเอ็นดูของท่านพ่อ ชั้นก็อดคิดไม่ได้ว่า คำว่าเปล่งประกายอาจจะดูเหมาะสมในการบรรยายภาพมากกว่าคำว่าระยิบระยับนะ

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 3 ตำนาน

 

ครั้งหนึ่ง โลกใบนี้เคยตกอยู่ในความมืดมิด

 

ความมืดได้ทำตามใจของตนเองมาอย่างยาวนาน

 

ความเปล่าเปลี่ยวก่อให้เกิดความหวังถึงการเปลี่ยนแปลง

 

การเปลี่ยนแปลงก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

 

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงก็คือแสงสว่าง

 

แสงสว่างเริ่มเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง บรรเทาความเหงาเปล่าเปลี่ยวของความมืดมิด

 

ด้วยความหวังที่แสงสว่างจะกระจายไปทั่วทุกพิ้นที่ บุตรแห่งพระอาทิตย์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

 

น้ำแข็งที่มีอยู่มาตั้งแต่จุดเริ่มต้นก็ได้ละลายหายไปด้วยแสงแห่งดวงอาทิตย์

 

ในตอนนั้น เมื่อความมืดปรารถนาถึงช่วงเวลาที่แสงสว่างและดวงอาทิตย์ได้พักผ่อน เขาก็ได้สร้างเทพแห่งจันทราขึ้นมาจากการสะท้อนของแสงสว่างโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

 

ถึงยังงั้น แสงสว่างเองก็ได้สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาเช่นกัน

 

มันได้สร้างเทพแห่งน้ำ เป็นระลอกคลื่นที่ทำให้แสงสว่างเป็นประกายงดงาม

 

พลังที่ส่งไปในความว่างเปล่าก่อเกิดเป็นเทพแห่งสายลมและอากาศ

 

สถานที่กักเก็บพลังนั้นก่อกำเนิดเทพแห่งผืนดิน

 

เพียงแค่แสงสว่างมีตัวตนอยู่ มันก็จะนำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกใบนี้เรื่อยๆ

 

สถานที่รวบรวมพลังก่อกำเนิดเป็นเทพแห่งไฟ

 

สถานที่ที่แสงสว่างนั้นจากมาก่อกำเกิดเป็นเทพแห่งน้ำแข็งและพายุหิมะ

 

เทพแห่งสายฟ้าถือกำเนิดขึ้นในเส้นทางที่แสงสว่างเดินทางผ่านไป

 

ความมืดได้ร้องไห้ออกมาด้วยความปิติยินดีต่อโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์

 

น้ำตาเหล่านั้นก่อกำเนิดต้นหญ้าและดอกไม้ขึ้นมาจากผืนดิน และสิ่งมีชีวิตก็ได้เริ่มมีตัวตนขึ้นมา

 

หลังจากได้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองนั้น ความมืดก็ได้มอบของขวัญแทนคำขอบคุณแก่แสงสว่าง

 

เหล่าเด็กที่ก้าวเดินผ่านโลกแห่งแสงสว่างและความมืด เหล่าเด็กที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองและให้กำเนิดชีวิตใหม่ เหล่าเด็กที่จะมีอิสระในโลกใบนี้

 

มันได้สร้าง ‘มนุษย์’ ขึ้นมา

 

เพื่อที่จะให้มนุษย์ได้เติบโต ความมืดก็ได้สร้างสองสิ่งขึ้นมา สิ่งที่จะทำร้ายมนุษย์และสิ่งที่จะช่วยเหลือพวกเขา

 

ดังนั้น โลกแห่งความว่างเปล่าที่ความมืดหวาดกลัวนั้นก็ได้หายไป

 

และโลกของพวกเราก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา

 

***

 

คอนนี่ได้เล่าตำนานนี้ออกมาด้วยน้ำแสงอ่อนนุ่ม

 

“ทางสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามักจะให้พวกเราท่องสิ่งนี้ทุกอาทิตย์เลยค่ะ ชั้นเองก็ได้ท่องมันมาเหมือนกัน”

 

“เข้าใจแล้ว มันท่าทึ่งมากเลยที่เธอจำมันได้ขึ้นใจเลยหน่ะ”

 

คอนนี่หัวเราะให้กับคำชมนั้น

 

“ตำนานนี้สุดยอดไปเลยใช่ไหมละคะ? ชั้นมักจะคิดอยู่เสมอเลยละค่ะว่าความมืดกับแสงสว่างนั้นเป็นคนรักกัน”

 

“คนรัก?”

 

เมื่อชั้นถามกลับไป คอนนี่ก็แก้มแดงและพูดต่อว่า

 

“ความมืดนั้นทรงพลัง แต่กลับทำอะไรตัวคนเดียวไม่ได้เลยค่ะ จากนั้นแสงสว่างก็ได้ปรากฏตัวขึ้นและแสดงสิ่งใหม่ๆให้เขาได้เห็น ความมืดรู้สึกปิติยินดีและก่อกำเนิดเหล่าเด็กๆหรือก็คือมนุษย์ขึ้นมา เรื่องราวก็จบลงอย่างมีความสุข มันเหมือนกับเรื่องราวความรักของมนุษย์เลยละคะ”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลดีนะ

 

แต่ถึงยังงั้น จากมุมมองที่หยาบกร้านของหญิงสาวอายุ 30 ปีแล้ว ชั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าความมืดนี่ดูจะเป็นโคตรยันเดเระเลย… มันเหมือนกับว่าความมืดเอาแต่พึ่งพาแสงสว่างราวกับว่ามันเป็นโลกทั้งใบของเขาเลย แถมเขายังไปไกลถึงขั้นสร้างสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเด็กๆของเขาเองด้วยซ้ำ!

 

“อื้ม มันโรแมนติกมากเลยละ” ชั้นพูดออกไปแบบนั้นเพื่อความปลอดภัย

 

พวกเรากลับมาเข้าเรื่องต่อได้โดยที่ไม่เกิดอะไรขึ้น

 

หลังจากนั้น ชั้นมองไปรอบๆแท่นบูชาและรูปสลัก ก่อนจะถามคอนนี่ให้อธิบายเนื้อหาที่ถูกพรรณาเอาไว้บนกระจกหน้าต่างหลากสี

 

อนึ่ง ในช่วงยุคกลาง กระจกหลากสีที่อยู่ภายในโบสถ์นั้นมีไว้เพื่อเผยแพร่ศาสนาให้กับชาวเมืองที่ไม่มีการศึกษา

 

ตัวคอนนี่เองก็แทบจะไม่มีการศึกษาเลย ทว่า เธอมีความรู้ถึงเรื่องราวที่ถูกสืบทอดต่อกันมาภายในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ เธอได้อธิบายสิ่งพวกนั้นกับชั้น

 

“ภาพทางนั้นก็คือเรื่องราวของวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ซิกฟรีด ค่ะ…”

 

ซิกฟรีดงั้นหรอ?… ดูเหมือนว่าตำนานในชาติก่อนของชั้นและตำนานในโลกใบนี้จะมีชื่อและเนื้อเรื่องที่เชื่อมโยงกันนะ ถึงแม้ภูมิภาคและช่วงเวลาจะปนกันมั่วซั่วก็เถอะ

 

ชั้นนั่งฟังเรื่องราวต่างๆอยู่บนม้านั่งของวิหาร และขณะที่ฟังเสียงอันอ่อนนุ่มราวกับแสงอาทิตย์ของเธอไปได้ซักพัก ตัวชั้นก็เริ่มรู้สึกง่วงนอนขึ้นมา

 

คอนนี่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะน้อยๆออกมา ก่อนจะอุ้มชั้นกลับไปที่ห้องส่วนตัวของชั้น

 

ชั้นงีบหลับไปซักพัก จากนั้นก็ตื่นมาทานอาหารเที่ยงเบาๆแล้วหลับไปอีกครั้ง จนเมื่อชั้นตื่นขึ้นมามันก็เกือบจะถึงเวลาน้ำชาแล้ว

 

ชั้นได้ยินมาว่าวันนี้พวกเราจะจัดโต๊ะน้ำชาเล็กๆขึ้นที่สวนหลังบ้าน

 

ชั้นมีความสุขกับแผนการเวลาน้ำชาของครอบครัวนี้มาก ชั้นมีความสุขจนถึงขนาดแกว่งแขนไปมาในตอนที่ออกมาจากห้อง คอนนี่เองก็เดินตามหลังชั้นมาด้วย

 

***

 

มีเส้นทางไปยังสวนหลังบ้านอยู่มากมาย

 

ทางแรกก็คือผ่านทางเดินที่อยู่ตรงประตูด้านหลังของส่วนพื้นที่ส่วนตัว

 

ทางที่สองก็คือไปทางประตูด้านหลังของส่วนพื้นที่สาธารณะ แล้วผ่านลานบ้านไป

 

สุดท้ายก็คือไปตามเส้นทางจากประตูหน้าทางเข้าส่วนพื้นที่สาธารณะผ่านด้านข้างของอาคารไป

 

เพราะเป้าหมายของชั้นในวันนี้คือการเดินไปมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นชั้นจึงเลือกเส้นทางตรงประตูหน้าที่มันต้องเดินอ้อมมากที่สุด

 

ชั้นเดินจากส่วนพื้นที่ส่วนตัวไปยังส่วนพื้นที่สาธารณะที่เชื่อมต่อกันโดยทางเดินหลัก ในระหว่างทาง ชั้นก็ได้เดินผ่านเหล่าเมดที่กำลังทำความสะอาด รวมถึงออฟรานซ์ซังที่กำลังเตรียมปาร์ตี้น้ำชาอยู่ ตอนเดินผ่านชั้นก็โบกมือให้กับพวกเขา (นอกจากนี้ ออฟรานซ์ซังนั้นโบกมือตอบกลับชั้นมาพร้อมกับเอามือป้องปากตัวสั่นระริกๆ ดูเหมือนว่าเขาจะยังอดตื่นเต้นที่เห็นชั้นแข็งแรงขึ้นไม่ได้ละนะ)

 

ชั้นเข้ามาภายในส่วนพื้นที่สาธารณะก่อนจะตรงไปที่ประตูทางเข้า ชั้นก้าวออกมาจากประตูแล้วหยุดลงที่พื้นที่เล็กๆหน้าประตูด้วยความช่วยเหลือของคอนนี่

 

ท้องฟ้าปลอดโปร่งของฤดูใบไม้ร่วงนั้นเต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ ชั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

ฟุฮ่าาาาาห์~~~ ชั้นเองก็คิดมาซักพักแล้วตั้งแต่ที่ตัวชั้นตื่นขึ้นมา แต่นี่มันช่างแตกต่างจากญี่ปุ่นจริงๆ

 

ชั้นนึกถึงตอนที่ทำงานอยู่ในโตเกียว อากาศที่นั่นแย่มากเลยละ

 

“คุณหนูคะ กำลังทำอะไรอนู่หรอคะ?”

 

คอนนี่มองมาที่ชั้นอย่างสงสัยเมื่อเธอเห็นชั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

เอาเถอะ อากาศบริสุทธิ์ปราศจากควันของโรงงานนั้นถือเป็นเรื่องปกติของคอนนี่ละนะ

 

“คือ อากาศบริสุทธิ์มากซะจนชั้นอยากจะสูดหายใจเข้าลึกๆหน่ะ ชั้นรู้สึกขอบคุณโลกที่สะอาดสดใสแบบนี้มากเลยละ”

 

“อูวววว…!”

 

ดวงตาของคอนนี่เปล่งประกายออกมา

 

“ช่างน่ารักเสียจริงๆเลยคะ การขอบคุณแม้กระทั่งธรรมชาติที่ปกติจะไม่รู้สึกตัวมันแบบนี้…! คุณหนูต้องมีหัวใจที่งดงามแน่ๆเลยคะ!” ด้วยเหตุผลบางอย่าง คอนนี่ก็ตัวสั่นเล็กน้อย… ไม่สิ นอกจากนั้น ไม่ใช่ว่าเธอพูดโอเวอร์เกินไปหน่อยหรอ…?

 

หลังจากเหตุการณ์ของรูจ ชั้นรู้สึกว่าเธอมักจะเทอดทูนตัวชั้นในเรื่องเล็กๆน้อยๆทุกครั้งเลย

 

“ดูนั่นสิ คอนนี่ พวกเราไปกันเลยไหม?”

 

ก่อนที่ชั้นกำลังจะเดินออกไปพร้อมกับดึงตัวคอนนี่ไปด้วย ได้มีเสียงๆหนึ่งเรียกชื่อของชั้นดังขึ้นมาจากทางประตูหลัก

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 2 คอนนี่

 

“คอนนี่มี… คอนนี่มีความสุขสุดๆไปเลยค่า!!”

 

หลังจากที่ชั้นบอกลาท่านพ่อกับท่านแม่มา ชั้นก็กำลังเดินไปด้วยกันกับคอนนี่ที่กำลังสูดน้ำมูกฟึดฟัดอยู่โดยที่จับมือชั้นเอาไว้ ชั้นหยุดที่จะปลอบเธอไปแล้วเพราะว่ายิ่งบอกให้หยุดร้อง เธอก็จะยื่งร้องหนักกว่าเดิมซะอย่างนั้น

 

“คุณหนูอาการดีขึ้นแล้ว… และนายท่านกับนายหญิงเองก็กลับมาคืนดีกัน… ภายในคฤหาสน์ก็สว่างสดใสมากขึ้น… ฮึก—ยอดเยี่ยมที่สุดเลยค่า!”

 

“อืมม… ขอบคุณนะ คอนนี่”

 

ใช่แล้ว สำหรับคอนนี่ผู้ซื่อตรงและไร้เดียงสาสุดๆนั้น เธอต้องจิตใจแหลกสลายกับสถานการณ์ในตอนนั้นแน่ๆ

 

คู่สามีภรรยาที่แทบจะไม่คุยกันเลย ไม่เจอหน้ากันซะด้วยซ้ำ

 

ลูกสาวไม่สมประกอบที่ดูเหมือนเธอกำลังจะตาย

 

แน่นอนว่ามันคงจะเป็นเรื่องน่าใจหายสำหรับทุกคนที่ทำงานอยู่ที่นี่อยู่แล้วละนะ

 

“นี่ คอนนี่ คือ… ถึงจะมีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้น… แต่ก็ขอบคุณนะที่ไม่ได้ลาออกไปหน่ะ”

 

ชั้นอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันเก่าๆ

 

ตอนที่ชั้นยังเป็น “อลิซ” ชั้นสร้างความลำบากให้กับคอนนี่เยอะมากเลยละ

 

ก่อนที่ตัวชั้นจะค้นพบว่าตัวเองเป็นโรคกลัวหนังสือ ชั้นถึงกับตบหนังสือที่คอนนี่หวังดีซื้อมาให้ชั้นเลย

 

บางครั้งชั้นก็กรีดร้องออกมาในตอนที่คอนนี่ยืนหน้าของเธอเข้ามาในห้องของชั้นพร้อมกับพูดว่า “เช้าแล้วนะคะ!” ด้วย

 

ชั้นเป็นแหล่งรวมจุดชนวนความชอกช้ำทางจิตใจและความวิตกกังวลเลย ชั้นทำเรื่องโหดร้ายกับคอนนี่ไปมากมายจนถึงขั้นที่ชั้นรู้สึกว่าชั้นทำให้เธอชอกช้ำทางจิตใจไปแล้วเลย

 

ชั้นตอบสนองไปเองโดยที่ปฏิเสธตัวตนของเธอที่พยายามเข้าหาตัวชั้นอย่างเป็นมิตร เพื่อที่จะปกป้องหัวใจของตัวชั้นเอง

 

เมื่อชั้นแสดงสีหน้าเจ็บปวดและขอโทษออกไป คอนนี่ก็ได้ย่อตัวลงหลังจากหยุดนิ่งไป เธอสบตาของชั้นด้วยดวงตาที่อ่อนโยน

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณหนู… ชั้นไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อนก็จริง แต่ตัวชั้นจริงๆแล้วมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าค่ะ”

 

คอนนี่พูดบางอย่างที่ทั้งกระทันหันและไม่ได้คาดคิดเอาไว้ออกมาด้วยน้ำเสียงตามปกติของเธอ

 

นั่นหมายความว่าตัวของเธอนั้นไม่มีครอบครัว ถึงอย่างงั้น เธอกลับพูดว่าเธออยากให้ครอบครัวในบ้านหลังนี้มีความสุขโดยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆเลย

 

“ตอนที่ชั้นได้ยินว่าคุณหนูกำลังจะคลอด ตัวชั้นก็ถูกจ้างมาในฐานะเมดเพื่อเตรียมพร้อมเรื่องนั้นค่ะ แล้วหลังจากที่คุณหนูเกิดมา ทั่วทั้งคฤหาสน์ก็เต็มไปด้วยความปิติยินดีค่ะ”

 

คอนนี่พูดออกมาแบบนั้นพร้อมกับรำลึกความหลัง

 

“ตอนแรกตัวชั้นอิจฉามากเลยค่ะ การได้เห็นใครบางคนที่เกิดมาพร้อมกับความรักมากมายขนาดนี้… ทว่าเมื่อตัวชั้นได้เห็นคุณหนู ชั้นก็เข้าใจทันทีว่าทำไมทุกคนถึงรู้สึกแบบนั้น… คุณหนูหน่ะน่ารักมากเลย มือน้อยๆของคุณหนูจับมาที่นิ้วของชั้นอย่างหลวมๆด้วยละค่ะ นอกจากนี้ นายหญิงกับนายท่านเองก็ใส่ใจในตัวของพวกเราคนรับใช้ค่ะ ถึงจะเพราะด้วยสถานะที่แตกต่างกันจึงเรียกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ได้ แต่พวกท่านก็ดูแลพวกเราอย่างดี พูดว่าพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของคฤหาสน์หลังนี้แล้ว ขนาดตอนที่เรื่องราวในครั้งนั้นยังไม่จบลง การดูแลพวกเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยค่ะ”

 

“คอนนี่…”

 

ดวงตาของคอนนี่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาขณะที่ย้อนนึงถึงเรื่องเมื่อก่อน

 

“นะ-นั่นแหล่ะค่ะว่าทำไม คะ-คอนนี่ถึงรู้สึกมีความสุข มะ-มากๆเลยค่ะ—และ” คอนนี่เริ่มร้องให้ออกมา

 

ชั้นรีบปลอบเธอทันที

 

“ไม่เอาสิ คอนนี่! อย่าร้องไห้เลยนะ โอเคไหม?”

 

แต่เธอก็ร้องออกมาหนักกว่าเดิมซะอีก

 

ชั้นลืมไปเลยว่าถ้าปลอบเธอแล้วมันจะยิ่งหนักกว่าเดิมหน่ะ

 

ชั้นลนลานไปมาตรงหน้าของคอนนี่ที่ตอนนี้ดูน่าเป็นห่วงว่าร่างกายจะขาดน้ำ ชั้นพาเธอไปนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆ มันอยู่ตรงบริเวณหน้าต่างบนระเบียง

 

“โอ๊ะ-โอ้ ชั้นต้องขออภัยที่ต้องให้คุณหนูมาเห็นภาพไม่น่าดูของชั้นนะคะ…”

 

เพื่อที่จะเช็ดน้ำตาของคอนนี่ ชั้นจึงขอให้เมดที่อยู่ใกล้ๆนำผ้าขนหนูมาให้

 

“ไม่เป็นไรหรอก คอนนี่ร้องไห้ออกมาเพราะทุกคนในคฤหาสน์แห่งนี้กำลังมีความสุขกันใช่ไหมละ?”

 

เมื่อชั้นพูดแบบนั้น คอนนี่ก็น้ำตานองหน้าอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เธอคุมตัวเองเอาไว้ได้

 

“ฮึก… คุณหนู… ช่างเลอค่าจริงๆ…”

 

“อะไรหรอ?”

 

คอนนี่พึมพำบางอย่างออกมาแต่ตัวชั้นไม่ได้ยินก็เลยถามออกไป ทว่าคอนนี่ก็รีบบอกชั้นว่าไม่มีอะไรก่อนจะทำเป็นเก่งโดยการยืนขั้นจากเก้าอี้

 

“…เอาละ ขออภัยที่ทำให้รอนะคะ ไปกันเถอะค่ะ คุณหนู!”

 

ชั้นรู้สึกโล่งใจทันทีที่คอนนี่พูดออกมาแบบนั้นด้วยรอยยิ้มมีความสุข จากนั้นพวกเราก็เดินมุ่งหน้าไปยังวิหารโดยที่จับมือกันไว้อีกครั้ง

 

***

 

พวกเราเข้าไปในวิหารเป็นที่สุดท้ายของส่วนสาธารณะที่อยู่ที่ชั้นล่าง

 

อย่างที่คอนนี่เคยบอกเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ ทางเดินที่นำไปยังวิหารนั้นสร้างจากหินเพียงแค่ครึ่งทาง แถมมันก็เก่ามากๆเลยด้วย

 

ทางเดินหินถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิศวงด้วยการหักเหสองอัน ไม่รู้ทำไมชั้นถึงนึกขึ้นได้ว่าบริเวณที่คฤหาสน์ตั้งอยู่นั้นแต่เดิมแล้วเป็นของวิหาร ชั้นคิดว่าพวกเขาคงจะเหลือวิหารเอาไว้แล้วสร้างคฤหาสน์ขึ้นมาเชื่อมต่อเข้ากับวิหาร

 

“ที่นี่มักจะงดงามเสมอในทุกครั้งที่ชั้นมาเลยค่ะ”

 

เหมือนกับที่คอนนี่พูดเอาไว้ ตัววิหารเล็กๆนั้นพูดได้คำเดียวเลยว่า “งดงาม”

 

มันไม่ใช่อะไรอย่างวิหารต่างชาติที่เห็นได้ตามรายการท่องเที่ยวหรอกนะ — มันเล็กกว่านั้นมาก มันอาจจะใหญ่ไม่เกิน 2 เท่าของโบสถ์ในญี่ปุ่นที่มักจะใช้สำหรับงานแต่งงานหรอก

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยเพดานที่สูงและกระจกหลากสีจำนวนมากบวกกับงานหินสไตล์เก่าแก่ มันจึงให้บรรยากาศความขลังอย่างมากออกมา

 

“คุณหนูคะ คุณหนูทราบไหมคะว่าเรื่องราวที่ถูกวาดอยู่บนเพดานนั่นคือเรื่องอะไร~?”

 

ชั้นมองขึ้นไปบนเพดานตามที่คอนนี่บอก และเห็นภาพวาดปูนเปียกอยู่บนนั้น

 

มองแวบแรกก็จะเห็นว่าภาพถูกแบ่งออกเป็นมืดกับสว่าง มันมีภาพของกลุ่มคนที่รายล้อมไปด้วยพืช, สายฟ้า, น้ำ, และก็เปลวไฟ

 

หมายความว่าอาจจะเป็นสิ่งนั้น

 

“เรื่องของตำนานผู้สร้างใช่ไหม?”

 

“สมแล้วที่เป็นคุณหนูของชั้น!”

 

คอนนี่ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ

 

จากนั้น เธอก็เริ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ราวกับกำลังเล่านิทานให้ฟัง

 

 

 

บทที่ 2 ลูกพี่ลูกน้อง และ การเตรียมการ

 

ตอนที่ 1 ฤดูใบไม้ร่วงและการอธิบาย

 

สภาพอากาศตอนนี้นั้นอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม่ร่วง

 

ต้นไม้ที่ตกแต่งตามเมืองนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง และบริเวณสวนของคฤหาสน์อาเชอร์เลซที่ตั้งอยู่บริเวณตรงการของเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิเองก็ล้วนเต็มไปด้วยสีเหลือง,สีส้ม,และสีแดงเหมือนกัน

 

ทว่า ชั้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น เพราะตอนนี้ชั้นกำลังเพชิญหน้ากับตัวเองในกระจกเต็มตัวหรูหราบานนี้อีกครั้งนึง

 

“ให้ตายสิ… ตัวชั้นนี้มันน่ารักสุดๆไปเลย”

 

ใช่แล้ว ชั้นกำลังตรวจสอบรูปลักษณ์ของตัวเองหลังจากมาเกิดใหม่ครั้งนี้

 

ตั้งแต่มาเกิดใหม่ ครอบครัวของชั้นก็กำลังแตกแยกจนทำเอาชั้นไม่มีเวลามาสนใจรูปลักษณ์ใหม่ของตัวเองเลย

 

หลังจากเหตุการณ์ของรูจที่เกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูหนาวจบลง ครอบครัวของชั้นก็กลับมาเป็นปกติ

 

ที่บอกว่ากลับมาเป็นปกตินั้นชั้นหมายถึงพวกเขาหวานแหววกันมาก หวานมากจนขนาดที่แค่ทั้งสองคนยืนอยู่ใกล้กันชั้นก็เกือบจะเป็นเบาหวานแล้ว

 

ดูเหมือนว่าทั้งคู่มักจะอยู่ด้วยกัน คงอยากจะลดระยะห่างระหว่างหัวใจของทั้งสองคนที่เคยเหินห่างกันไปถึง 2 ปีสินะ ดี ดีมาก ดีมาก

 

ในตอนนี้ที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติสุขแล้ว มันก็เป็นธรรมดาที่ชั้นจะรู้สึกกังวลกับตัวเอง

 

ถึงยังไง ชั้นที่เป็นหญิงสาวอายุ 29 ปีและโหมงานหนักเกินไป พอรู้ตัวอีกทีก็มาเกิดใหม่เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักซะแล้ว มันผ่านมาหลายวันแล้วจนชั้นมั่นใจว่านี้ไม่ใช่ความฝันแน่นอน ดังนั้นชั้นก็เลยอยากจะตรวจสอบเรื่องนี้ซะหน่อย

 

สิ่งเดียวที่ชั้นสามารถอธิบายได้จากรูปลักษณ์ของชั้นได้ก็คือ… คุณหนูแสนเย็นชาไร้ความรู้สึกละมั้ง?… จะพูดเองก็ยังไงๆอยู่ แต่ว่าตัวชั้นดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด

 

ดังนั้น หลังจากนั่งลงและมองมันอีกครั้ง ชั้นเห็นถึงกล้ามเนื้อใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกเลยพยายามที่จะแก้ไขมัน

 

ถ้าชั้นไม่ยิ้มบ่อยๆละก็ ใบหน้าของชั้นก็คงจะแข็งทื่ออยู่แบบเดิมแน่

 

นอกจากใบหน้าแข็งทื่อของชั้นแล้ว ชั้นยังมีผมสีเงินและตาสีทองด้วย ทั้งคู่นั้นไม่ใช่สีที่เหมาะกับการเชื้อเชิญใครเลย ว่าง่ายๆก็สีโทนเย็น หรือจะพูดว่าสีที่เหมือนกับโลหะก็ได้ ทั่วทั้งร่างของชั้นปล่อยออร่าชนชั้นสูงออกมาพร้อมๆกับบรรยากาศที่บอกว่า ‘อย่ามายุ่งกับชั้น’

 

“หืมม… ตัวชั้นดูเข้าหายากจัง”

 

นั่นคือความเห็นของชั้นที่มาจากความรู้สึกของชั้นจริงๆ

 

นอกจากนี้ ร่างกายของชั้นก็ผอมแห้งและอ่อนแอ คงเพราะชั้นมักจะนอนอยู่บนเตียงเสมอ จนชั้นพบว่าร่างกายนี้ยากที่จะเดินไปมาเป็นเวลานาน

 

ทว่าที่อยู่ภายในก็คือตัวชั้นที่เป็นพนักงานบริษัทและถูกทรมานจากคลื่นของสังคม

 

ชั้นผ่านประสบการณ์ที่มีทั้งเปรี้ยวทั้งหวานมาหมดแล้ว และมีความมั่นใจที่จะผ่านมันไปได้ด้วย ดังนั้นอย่างน้อยๆ ชั้นก็ยังมีแรงผลักดันจากภายใจและรวมถึงกำลังใจอยู่ ชั้นมั่นใจได้เลยว่ากล้ามเนื้อใบหน้าของชั้นจะต้องกลับมาทำงานตามปกติได้ในไม่ช้าก็เร็วนี้อย่างแน่นอน

 

ในระหว่างนั้น ชั้นก็ตัดสินใจที่จะฝึกออกเสียงเพื่อออกกำลังใบหน้าเป็นประจำทุกๆเช้า นี้ก็เพื่อสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าของชั้นเอง

 

“อีกอย่าง สุขภาพจิตของชั้นไม่ได้รับดาเมจอะไรเลยหรอเนี้ย… นี่ชั้นเป็นคนไร้หัวใจอย่างงั้นหรอ…?”

 

หลังจากที่ตรวจสอบสภาพภายนอกเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปก็คือตรวจสอบภายในจิตใจ

 

ชั้นถูกเลี้ยงดูมาโดยครอบครัวธรรมดาๆในญี่ปุ่น ชั้นมีทั้งเพื่อนและความรัก ชั้นมีรุ่นพี่ที่ปลื้มอยู่รวมถึงมีรุ่นน้องที่ชั้นรักด้วย

 

แต่ถึงยังงั้น ตัวชั้นที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มั่นใจได้เลยว่าคงจะไม่มีวันได้เจอหน้าพวกเขาอีกครั้งแล้ว กลับไม่หวั่นไหวใดๆเลย

 

ไม่สิ ต้องพูดว่า ชั้นปิดกั้นตัวเองไม่ให้รู้สึกต่างหาก

 

มันแปลกมาก

 

ชั้นนึกชื่อกับใบหน้าของตัวเองรวมถึงผู้คนรอบตัวในชาติที่แล้วไม่ออกเลย ทว่าดูเหมือนนอกจากเรื่องนั้น ยังมีอะไรบางอย่างในตัวชั้นที่ถูกปิดกั้นด้วยเช่นกัน…

 

เพราะตัวชั้นเป็นคนรักครอบครัวและเพื่อนพ้อง ชั้นจึงเป็นคนที่มักจะยุ่งอยู่ตลอดเวลา จนชั้นรู้สึกเหมือนกำลังจะตายจากการโหมงาน แต่ตัวชั้นก็ยังมีความสุขตราบใดที่ผู้คนที่ชั้นรักยังคงมีชีวิตอยู่และสุขภาพแข็งแรงดี

 

และในตอนนี้ ความทรงจำเหล่านั้นกลับคลุมเคลือราวกลับความทรงจำจากความฝันหลังตื่นนอน… มันราวว่ามันอยู่ด้านหลังของกระจกหนาๆ

 

“…ไม่เอาแล้ว! มองไปข้างหน้าดีกว่า!”

 

ชั้นเปลี่ยนใจและพูดออกมาแบบนั้น

 

มามัวกังวลพร่ำเพ้อถึงเรื่องที่ตัวชั้นทำอะไรไม่ได้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ลืมๆมันไปซะจะดีกว่า

 

ถ้าจะให้พูดตามตรง เมื่อชั้นตรวจดูทั้งภายในและภายนอกของตัวเอง ชั้นก็พบกับอะไรบางอย่างที่ทำให้ชั้นเป็นกังวล… แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่ชั้นจะหาคำตอบได้

 

ถึงแม้ชั้นจะคิดเกี่ยวกับมัน มันก็ไม่มีอะไรที่ตัวชั้นจะทำได้อยู่ดี

 

เพราะแบบนั้น ชั้นควรที่จะจัดการกับเรื่องที่ชั้นทำได้และทำให้มันดีขึ้นซะก่อนดีกว่า ยิ่งชั้นทำได้มากเท่าไหร่ ชั้นก็จะยิ่งคิดอะไรออกมากขึ้นเท่านั้น

 

เรื่อมที่ปัญหาแรก มันก็ผ่านมาสักพักแล้วตั้งแต่เหตุการณ์ของรูจ แต่ว่าตัวชั้นก็ยังไม่เคยออกจากคฤหาสน์หลังนี้เลย และตัวชั้นเองก็ไม่มีแรงกายพอที่จะทำแบบนั้นซะด้วยสิ

 

แค่พยายามตื่นอยู่ตลอดทั้งวันก็ทำให้ชั้นเหนื่อยแล้ว ชั้นถึงขนาดหลับไปทั้งวันหลังจากที่กลับมาจากการเยี่ยมหลุมศพแล้วเลย

 

ดังนั้น ชั้นจึงต้องสร้างพลังกายของตัวเองเพื่อเตรียมตัวสำหรับออกไปข้างนอกคฤหาสน์ สำหรับตอนนี้ การเดินไปมาดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

 

ขณะที่ชั้นจับไปที่กรประตูและกำลังผลักประตูบานใหญ่นี้ คอนนี่ เมดที่รออยู่ข้างนอกก็เปิดมันให้กับชั้น

 

“โอ๊ะ คุณหนูกำลังจะออกไปข้างนอกงั้นหรอคะ? งั้นชั้นขออนุญาตติดตามคุณหนูไปด้วยนะคะ”

 

คอนนี่ขออนุญาตที่จะตามชั้นมาด้วยอย่างยินดี

 

คอนนี่คนนี้นั้นเป็นเมดที่ดี เธอเป็นคนที่วิ่งออกไปบอกกับท่านพ่อหลังจากที่ชั้นฟื้นขึ้นมาในตอนนั้น

 

เธอเก็บเรื่องสุขภาพของชั้นเอาไว้ จึงทำให้รูจไม่สงสัยและจับตัวรูจได้ในคืนนั้น

 

เธอมีผมหยิกสีบลอนด์อ่อนๆและดวงตาสีน้ำตาล — เป็นสีพื้นฐานของผู้คนในประเทศนี้ เธอให้บรรยากาศนุ่มนิ่มน่ารักๆมากๆ

 

ชั้นรู้สึกได้รับการเยียวยาทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มอันอ่อนนุ่มราวกับดอกไม้ของเธอ

 

“ได้สิ งั้นเราจะไปที่ไหนกันดีละ?”

 

“อืมมมม ใช่แล้ว ทำไมคุณหนูไม่ลองไปอาบแดดที่ห้องพระอาทิตย์ดูสักหน่อยละคะ?”

 

“นั่นก็ฟังดูดีนะ…”

 

มันเป็นข้อเสนอที่ยั่วยวนมากเลยละ ทว่า บางทีคงเพราะเธอเป็นห่วงพลังกายที่ไม่ค่อยมีของชั้น ชั้นไม่คิดว่าการทำแบบนั้นจะทำให้ชั้นแข็งแรงขึ้นหรอกนะ

 

“มีอะไรอย่างอื่นที่ได้เคลื่อนไหวมากกว่านั้นไหม?”

 

“อืมมมม…”

 

คอนนี่กับชั้นเอียงหัวของพวกเราพร้อมๆกัน แต่พวกเราก็คิดอย่างอื่นไม่ออกอยู่ดี

 

“อืม คุณหนูคะ เรามาเดินดูรอบๆคฤหาสน์เพื่อหาอะไรที่น่าสนใจทำกันเถอะคะ!”

 

คอนนี่แนะนำออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนิ่ม

 

“ฟังดูดีนะ! งั้นก็ไปกันเถอะ คอนนี่!”

 

เมื่อชั้นยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง คอนนี่ก็ยิ้มให้กับชั้นก่อนจะจับมือของชั้นด้วยความยินดี

 

“เอาละ ไปกันเลย!”

 

“ช่ายยแล้วว~! ไปกันเถอะ!”

 

***

 

เพราะแบบนั้นพวกเราก็เลยจัดตั้งหน่วยสำรวจคฤหาสน์อาเชอร์เลซขึ้นมา และกำลังเข้าไปดูตามห้องที่เหมาะสมอยู่ในตอนนี้

 

เพราะห้องส่วนตัวนั้นจะอยู่ที่ชั้น 3 (ชั้น 3 เป็นชั้นที่อยู่บนสุดของอาคารที่พัก) พวกเราก็เลยลงมาที่ชั้นล่างแล้วเริ่มเข้าห้องไปตามลำดับ

 

ตอนที่อลิซมีอายุ 3 ขวบ เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าคฤหาสน์หลักเพียงคนเดียวนอกจากบริเวณที่ถูกกำหนดเอาไว้ให้ เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่อยากให้อลิซไปทำอะไรพังตาม มันเป็นสไตล์การเลี้ยงดูแบบคนยุโรปละนะ

 

เพราะแบบนั้น ชั้นก็เลยไม่รู้จักด้านในของบ้านหลังนี้ดีนัก หลังจากเหตุการณ์ของรูจ ชั้นก็แทบจะหมกตัวอยู่คนเดียวดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย

 

แต่ว่าตอนนี้ ในฐานะหญิงสาวชาวญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะสนใจในคฤหาสน์ขุนนางสไตล์ยุโรปแบบนี้ ถึงมันจะไม่ได้แตกต่างไปจากหลังอื่นๆเลยก็เถอะนะ

 

***

 

ชั้นจำรายระเอียดของการจัดห้องไม่ได้ ทว่าแผนผังของบ้านก็ยังพอจำได้รางๆตามนี้

 

ก่อนอื่นเลยก็คือส่วนของห้องส่วนตัว: ห้องนอน, ห้องนั่งเล่น, ห้องน้ำชา, และอื่นๆที่ถูกใช้โดยครอบครัวของชั้น

 

จากนั้นก็จะมีส่วนของห้องสาธารณะ: วิหารขนาดเล็ก, ห้องทำงาน, ห้องสมุด, ห้องทานอาหาร, พื้นที่สำหรับคนรับใช้, และอื่นๆที่ถูกใช้โดยสาธารณะ

 

บริเวณสวนหลังบ้านที่อยู่ด้านหลังของคฤหาสน์นั้นมีเรือนกระจก, สวนสมุนไพร, และสวนสไตล์อังกฤษอยู่ แถมด้วยคอกม้ากับห้องเก็บของที่อยู่ใกล้ๆด้วย

 

จบท้ายด้วยลานกว้างเล็กๆที่อยู่ด้านหน้าของประตูทางเข้าหลัก

 

มันรู้สึกว่ามันมีใหญ่มาก ทว่าบ้านทุกหลังที่อยู่ใกล้ๆกับเมืองหลวงต่างก็ใหญ่ประมาณนี้หรือเล็กกว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปราสาทที่อยู่ในดินแดนนี้แล้วละนะ แต่ถึงอย่างงั้น มันก็ยังใหญ่เกินกว่าสามัญสำนึกของผู้คนในยุคปัจจุบันของชาติก่อนอยู่ดี มันเทียบได้กับโรงเรียนประถมขนาดย่อมๆเลย ใช่ไหมนะ?

 

นอกจากนี้ ชั้นเองก็เคยไปที่ปราสาทหลังนั้นแล้ว แต่ว่าตอนนั้นชั้นยังเด็กกว่านี้ก็เลยจำอะไรไม่ได้

 

“ชั้นได้ยินมาว่าคฤหาสน์อาเชอร์เลซนั้นค่อนข้างน่าสนใจเลยนะคะ”

 

คอนนี่บอกชั้นแบบนั้นพร้อมกับหัวเราะอย่างร่าเริง

 

“คุณหนูจำวิหารเล็กๆที่เรามีได้ใช่ไหมคะ? ทำไมมันถึงมีหอคอยติดอยู่ด้วยละคะ? ไม่มีใครรู้เลยว่าหอคอนอันนั้นสร้างขึ้นมาตอนไหนหรือว่าทำไมเลยนะคะ ไม่ใช่ว่านั่นมันน่าสนใจอย่างงั้นหรอคะ?”

 

“โอ๊ะ น่าสนใจจริงๆด้วย! ทำไมถึงไม่มีใครรู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาตอนไหนเลยละ? มันเก่ามากเลยหรอ?”

 

“ชั้นเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไม? เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเราไปกันก่อนเถอะค่ะ~”

 

คอนนี่เอียงหัวพร้อมกับตอบกลับมาอย่างคลุมขณะที่เธอเดินไปพร้อมกับชั้น

 

ขณะที่ชั้นกำลังเดินไปตามพรมสีแดงบนพื้นระเบียง ชั้นก็เห็นเหล่าเมดกำลังเข็นรถเข็นที่มีน้ำชาไปทางห้องพระอาทิตย์

 

“โอ๊ะ? นายท่านกับนายหญิงคงกำลังทานอาหารกันอยู่ค่ะ”

 

คอนนี่พูดขึ้นมาอย่างดีใจ

 

ขนาดในโลกนี้ ขุนนางเองก็มีวัฒนธรรมที่จะทานอาหารเช้าในห้องส่วนตัวของตัวเอง ทว่าดูเหมือนเช้านี้ท่านพ่อกับท่านแม่จะอยู่ในอารมณ์ที่อยากจะจู๋จี๋กันสินะ

 

เมื่อชั้นลองชะโงกหน้าเข้าไปก็เห็นท่านพ่อที่กำลังป้อนอาหารแบบขอให้ท่านแม่อ้าปาก อ้ามม~ ออกมา

 

หยึย

 

ชั้นแข็งค้างไปจากภาพที่พวกเขากำลังพลอดรักกันอย่างกับคู่รักวัยรุ่นนั่น เมื่อท่านพ่อเห็นชั้นก็พูดขึ้นมาว่า “อลิซ!” เขาหน้าแดงมากเลยละ

 

ชั้นเห็นเอฟเฟกต์วิบวับๆที่ฉากหลังด้วย

 

ท่านแม่ที่รู้สึกตัวถึงชั้นก็พูดขึ้นว่า “แหม ลูกรู้สึกสบายดีขึ้นหรอจ๊ะวันนี้? มาทางนี้สิจ๊ะ~!” ท่านแม่กวักมือเรียกชั้นด้วยท่าทางอารมณ์ดีราวกับว่ามีดอกไม้บานขึ้นที่ฉากหลัง

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่”

 

“อืม อรุณสวัสดิ์ อลิซ ลูกรักของพ่อ”

 

เมื่อชั้นเข้าไปใกล้พวกเขา ท่านพ่อก็ได้ดึงชั้นเข้าไปกอดแล้วลูบหัวของชั้นในขณะที่ชั้นนั่งอยู่บนตักของเขา โฮ๊ะโฮ๊ะโฮ๊ะ มันค่อนข้างน่าอายเลยนะเนี้ย

 

เขาเป็นคนที่หล่อมากๆถึงเขาเป็นพ่อคนแล้วก็เถอะ (ชั้นคิดว่าเขาน่าจะอายุประมาณ 28 ปีละมั้ง?) ชั้นรู้สึกเขินอายทุกครั้งที่เขาอุ้มชั้นขึ้นและกระซิบบอกรักชั้นอย่างโจ่งแจ้ง ถึงมันจะเป็นความสัมพันธ์แบบครอบครัวก็เถอะ ชั้นก็ยังเขินอายอยู่ดี ทว่าชั้นมีแต่ต้องทนมันเอาไว้เพราะครอบครัวของชั้นดูจะชอบมันมาก

 

“อลิซ เมื่อวานลูกมีไข้นิดหน่อย วันนี้รู้สึกดีขึ้นแล้วหรอจ๊ะ?”

 

ท่านแม่ถามชั้นด้วยน้ำเสียงใสราวกับน้ำผึ้งด้วยความรักและความเป็นห่วง ดังนั้นชั้นก็เลยบอกเรื่องวันนี้ให้กับเธอเพื่อให้เธอสบายใจ

 

“เช้านี้หนูตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นมากๆโดยที่ไม่มีไข้เลยคะ! หนูอยากจะเดินเล่นสักหน่อย ดังนั้นหนูก็เลยท่านอาหารเช้าแล้วออกมาสำรวจคฤหาสน์กับคอนนี่ค่ะ”

 

…ใช่ ฟังดูเหมือนกับการตอบกลับของเด็กน้อยแสนร่าเริงเลยใช่ไหมละ? ได้ฟังดังนั้น ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ

 

“โอ้ งั้นก็ดีแล้วละ ลูกกำลังสำรวจอยู่ใช่ไหม? อลิซเป็นเด็กฉลาดอยู่แล้ว ดังนั้นพ่อไม่ว่าอะไรหรอกถ้าลูกจะเข้าไปสำรวจในห้องต่างๆพร้อมกับเมดหน่ะ”

 

ท่านพ่ออนุญาตชั้นด้วยสีหน้าภูมิใจ

 

หลังจากวันที่สู้กับรูจไปจนถึงวันที่เยี่ยมหลุ่มศพ ชั้นก็ค่อยๆเผยด้านที่โตแล้วของชั้นให้การพวกเขา ชั้นหยุดที่จะใช้เสียงแบบเด็กๆ หรือ ระมัดระวังที่ใช้คำยากๆออกไป

 

มันไม่ใช่ว่าชั้นกดเสียงของตัวเองให้ต่ำหรืออะไรแบบนั้นหรอก แต่ชั้นใช้เป็นโทนเสียงสุภาพสมกับเป็นกุลสตรีเพื่อให้เข้ากับฐานะลูกสาวของขุนนางมากกว่า

 

อย่างไรก็ตาม ชั้นก็ไม่ได้รู้คำพูดของพวกขุนนางมากนัก ดังนั้นชั้นจึงใช้เป็นน้ำเสียงสุภาพพร้อมกับการให้เกียรติเท่านั้น

 

ชั้นกังวลไปซักพักเลยว่าครอบครัวของชั้นจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ที่อยู่ๆลูกสาวของพวกเขาอก็พูดแบบผู้ใหญ่ขึ้นมา ทว่าชั้นตกใจกับการตอบสนองของพวกเขามากกว่า พวกเขาตอบสนองเหมือนกับพวกพ่อแม่งี่เง่าที่ตาบอดเพราะความรักระดับจักรวารเลย

 

ถึงแม้เขาจะพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจเรื่องที่ชั้นเป็นเด็กฉลาดและเชื่อใจชั้นก็จริง แต่ชั้นก็รู้ว่าภายใต้สีหน้าเอ็นดูของเขานั้นกำลังคิดถึงทฤษฎีอื่นๆเกี่ยวกับการเปลี่ยแปลงของชั้นอยู่ ชั้นแอบไปได้ยินเขาคุยกับท่านแม่เมื่อไม่กี่วันก่อน

 

“ตอนที่อลิซรู้ความจริงและติดกับนังงูพิษนั่นเธอก็ได้ทุกข์ทรมานมาถึง 2 ปี แต่มันก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอฝึกฝนก็ได้ เธออาจจะต้องเฝ้ามองดูรอบตัวของเธออย่างระเอียด, สะสมความรู้, และได้รับพลังในการใช้เหตุผลอย่างลึกซึ้งมาโดยที่ไม่รู้ตัวแน่ๆ จากนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมาตอนที่เกือบจะตายด้วยความช่วยเหลือของวิญญาณบรรพบุรุษหรือพระเจ้า ต่อจากนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเรารู้กันอยู่แล้ว… มันต้องเป็นปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์แน่ๆที่เธอได้รับมาในตอนที่เธอกำลังทุกข์ทรมาน…”

 

นั่นคือเรื่องที่ชั้นแอบได้ยินมา

 

ชั้นกังวลว่าท่านพ่อจะหลงไปเข้าร่วมศาสนาใหม่อะไรแบบนั้น ท่านแม่ที่พยักหน้าไปพร้อมกับน้ำตานองขณะที่รับฟังเรื่องของชั้นก็ยังกังวลถึงเรื่องนี้เลย แน่ใจนะว่าเวทย์ควบคุมจิตใจคลายไปแล้วจริงๆหน่ะ??

 

แต่ชั้นตัดสินใจแล้วว่ามันไม่เป็นไร ต้องขอบคุณความรักที่ท่านพ่อกับท่านแม่มีให้กับชั้น ต้องขอบคุณมันที่ทำให้ชั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในฐานะอลิซ

 

เมื่อชั้นมองกลับไปที่พวกเขา ชั้นก็ทำสีหน้าไม่แน่ใจออกมาในขณะที่ท่านแม่กำลังป้อนท่านพ่อกลับแบบให้เขาอ้าปาก อ้ามม~ อยู่

 

ชั้นรู้สึกเหมือนกับจะอ๊วกออกมาเป็นสายรุ้งเลย ทว่าด้านเด็กน้อยของชั้นก็ได้ยกมือขึ้นอย่างจริงจัง

 

ใช่ ชั้นเองก็อยากร่วมด้วย!

 

ชั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแบบนั้น ดังนั้น ชั้นก็เลยอ้าปากไปทางท่านแม่ที่กำลังจะป้อนองุ่นให้กับท่านพ่อ

 

“อ้าาาาม~”

 

ท่านพ่อกับท่านแม่แข็งค้างไปเลยหลังจากที่เห็นชั้นทำแบบนั้น

 

ทำแบบนี้มันไม่ดีงั้นหรอ? ชั้นคิดแบบนั้น

 

ทว่าจากนั้นใบหน้าของพวกเขาก็ละลาย

 

พวกเขาละลายกลายเป็นแอ่งน้ำ ราวกับว่าพวกเขาพบเข้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่ารักน่าชังที่สุดในโลกยังไงยังงั้นเลย

 

และจากนั้น พวกเขาก็ค่อยๆป้อนชั้นเพื่อให้แน่ใจว่าชั้นจะไม่สำลักมัน ท่านแม่วางองุ่นลงในปากของชั้น ต่อจากนั้น ท่านพ่อก็นำแซนวิชชิ้นน้อยๆมาทำแบบเดียวกับท่านแม่

 

ถึงแม้ชั้นจะไม่หิวเพราะกินอาหารเช้ามาแล้วก็จริง แต่ชั้นรู้สึกมีความสุขกับช่วงเวลานี้มากจนถึงขนาดปล่อยให้พวกเขาป้อนชั้นจนแซนวิชหายไปครึ่งชิ้น

 

ขณะที่ชั้นพองแก้มเพื่อเคี้ยวแซนวิชนั้น ท่านแม่ก็ได้พูดขึ้นว่า “มานี้สิจ๊ะอลิซ ลูกคงอยากจะดื่มชาด้วย ใช่ไหมละจ๊ะ?” เธอยกแก้วชามาที่ริมฝีปากของชั้น ชั้นรู้สึกหิวน้ำเพราะแซนวิช ดังนั้นจึงดื่มมันไปเล็กน้อยอย่างมีความสุข

 

ขณะที่ชั้นดื่มมัน ชั้นก็รู้ตัวถึงใบหน้าแปลกๆของท่านพ่อกับท่านแม่ ราวกับสวิตซ์ปริศนาในตัวของพวกเขาได้ติดขึ้นมา

 

…สวิตซ์ประเภทนั่นสินะ…

 

ดูเหมือนทั้งคู่จะเป็นประเภทที่จะตื่นเต้นเมื่อได้ดูแลใครสักคนหรือมีคนมาอ้อน ดังนั้นพวกเขาก็เลยมองมาที่ชั้นอย่างเอ็นดูแบบสุดๆ พวกเขาทั้งคู่หายใจฮึกฮักออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับจ้องเขม็งมาที่ชั้น หยึย

 

ชั้นทานอาหารมาแล้ว ดังนั้นชั้นจึงหลบออกมาจากอ้อมแขนของท่านพ่อก่อนจะประกาศออกไปว่า

 

“หนูจะไปสำรวจกับคอนนี่นะคะ! ขอบคุณสำหรับอาหารคะ!”

 

เมื่อชั้นคำนับแก่พวกเขาแล้วจับไปที่มือของคอนนี่ ท่านพ่อกับท่านแม่ก็บอกลาชั้นราวกับรู้สึกเสียใจที่ชั้นต้องไป

 

นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังส่งสายตาไปที่คอนนี่ด้วยสายตาอิจฉาอีกด้วย…

 

 

 

[นิยายแปล] Reincarnated into an Otome Game? Who Cares! I’m Too Busy Mastering Magic!

[นิยายแปล] Reincarnated into an Otome Game? Who Cares! I’m Too Busy Mastering Magic!

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset