[นิยายแปล] Reincarnated into an Otome Game? Who Cares! I’m Too Busy Mastering Magic!บทที่1 12 ใต้ต้นแอช

บทที่1 ตอนที่ 12 ใต้ต้นแอช

บทที่ 1 ตอนที่ 12 ใต้ต้นแอช

 

ภายในสวนประจำตระกูลของท่านแม่

 

ที่นั่นมีหลุมศพของ “อลิซ” คนก่อน คนที่เกิดมาก่อนที่ “ตัวชั้น” จะเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้นั้นหลับไหลอยู่

 

***

 

หลังจากทำการสอบสวนและจัดการเรื่องของรูจรวมถึงเรื่องอื่นๆเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวของชั้นก็ได้มาเยี่ยมเยือนปราสาทของตระกูลเจมี่ — ตระกูลของท่านแม่

 

ที่สวนอันกว้างใหญ่ของปราสาทแห่งนี้ มีลูกแท้ๆของท่านพ่อกับท่านแม่หลับไหลอยู่

 

“งั้นที่นี่ก็คือ… สถานที่ที่เด็กคนนั้นหลับไหลอยู่สินะ”

 

ท่านแม่คุกเข่าลงเบาๆที่ด้านหน้าของหลุมศพและพึมพำออกมา

 

จากปราสาท พวกเราได้เดินผ่านสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้และพุ่มของต้นเบิร์ชที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจากฤดูใบไม้ล่วง พวกเราเดินผ่านไปจนถึงเนินเขาที่สามารถมองเห็นทะเลสาบได้ ภายใต้ต้นแอชที่อยู่ตรงนั้นก็มีหลุมศพของ “อลิซ” อยู่

 

เป็นชั้นเองที่ขอให้มาที่หลุมศพนี้

 

แทนที่จะบอกว่าตัวชั้นเป็นคนคิดริเริ่มที่จะมาเอง แต่ต้องบอกว่าเป็นเพราะท่านพ่อกับท่านแม่พยายามผัดวันไปเรื่อยๆเพื่อที่จะไม่มาต่างหาก พวกเขาคงเป็นห่วงความรู้สึกของชั้นสินะ

 

‘หนูอยากจะไปดูค่ะ’ ชั้นพูดแบบนั้นออกไป

 

เมื่อชั้นนึกถึงสีหน้าของท่านพ่อกับท่านแม่ในตอนนั้นและมองดูใบหน้าของพวกเขาในตอนนี้ที่มีน้ำตานองหน้าพวกเขาอยู่ ชั้นก็เกือบจะหัวเราะไปร้องไห้ไปแล้ว

 

“พ่อขอโทษที่ไม่ได้มาหาลูกให้เร็วกว่านี้”

 

ท่านพ่อตามท่านแม่เข้าไป แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งด้วยท่าทางราวกับอัศวิน ก่อนจะพูดแบบนั้นออกมา

 

ชั้นยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาและมองดูภาพแบบนั้นอยู่อย่างเงียบๆ

 

ท่านพ่อก็ได้พูดต่อ

 

“พ่อกลัวว่าจิตใจของเอเลนอร์จะพังทลายหากรู้ว่าลูกได้ตายไปแล้ว ดังนั้นพ่อเลยทำเรื่องที่ไม่ดีลงไปอย่างการหาคนมาแทนที่”

 

ท่านพ่อพึมพำกับ “อลิซ” ด้วยความรู้สึกผิดภายในใจอย่างล้นเหลือ

 

“ในคืนนั้นที่ลูกสิ้นลมหายใจ พ่อได้มอบร่างของลูกให้กับคนที่พ่อไว้ใจก่อนจะขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่พ่อพยายามดึงดันที่จะเข้าไปในทันที หลังจากนั้นพ่อก็โกหกภรรยาของพ่อพร้อมกับต้อนรับลูกสาวคนใหม่เข้ามาในบ้าน ดังนั้นพ่อก็เข้าใจว่าลูกคงจะเกลียดพ่อ เพราะพ่อทรยศลูกไปรักเด็กคนอื่นที่พ่อพามาแทนที่ของลูก… แต่ได้โปรดเถอะนะ… อลิซ…”

 

ชั้นยืนฟังคำพูดพวกนั้นอยู่อย่างเงียบๆ เพราะรู้ว่าคำสำนึกผิดเหล่านี้มีไว้เพื่อ “อลิซ” เพียงเท่านั้น

 

ท่านแม่ก็เริ่มพูดสารภาพความในใจออกมาต่อจากท่านพ่อ

 

“อลิซ แม่ยังจำความรู้สึกปิติยินดีในตอนที่ลูกเกิดมาได้ รวมถึงความรู้สึกเจ็บปวดในตอนที่แม่ได้อุ้มลูกขึ้นมาและรับรู้ว่าลูกกำลังจะตาย”

 

ท่านแม่สวดภาวนาราวกับว่าเธอเป็นแม่ชีที่กำลังสวดภาวนาต่อพระเจ้า

 

“ได้โปรดอภัยให้แม่ผู้อ่อนแอคนนี้ด้วย แม่คนนี้ที่หมดสติไปและไม่อาจดูแลลูกในวาระสุดท้ายได้… โปรดอภัยเรื่องที่แม่ไม่ถามคำถามกับพ่อของลูกเรื่องที่ลูกตายไปและให้ความรักกับลูกสาวคนใหม่ที่แทนที่ลูก ลูกจะโกรธจะเกลียดแม่ยังไงก็ได้ สาปแช่งแม่จนกว่าลูกจะพอใจได้เลย”

 

หลังจากที่เฝ้ามองท่านพ่อกับท่านแม่ที่กำลังสวดภาวนาอยู่อย่างเงียบๆด้านหลังนั้น ชั้นเองก็ทนยืนอยู่เฉยๆไม่ได้จนต้องสวดภาวนาตามพวกเขา

 

“อลิซ รีเบคก้า อาเชอร์เลซ หนูขอสาบานว่าจะแบกรับชื่อนี้เอาไว้และปกป้องครอบครัวของคุณค่ะ”

 

ชั้นรู้สึกได้ถึงสายตาอึ้งๆปนเป็นห่วงของท่านพ่อกับท่านแม่ที่หันมามองชั้น ทว่าชั้นยังคงหลับตาและสวดภาวนาถึง “อลิซ”

 

“ไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงกับชั้นก็ตาม หนูก็ยินดีที่จะรับมันเอาไว้ ดังนั้นได้โปรดอนุญาตให้หนูได้ปกป้องครอบครังของคุณ และยกโทษให้กับพวกเขาเรื่องที่พวกเขามาอยู่ข้างกายหนูด้วยเถอะนะคะ”

 

ถึงแม้สภาพอากาศในตอนนี้จะนิ่งสงบโดยที่ไม่มีแม้แต่ลมพัดไปมา ทว่าหลังจากที่ชั้นพูดจบ ก็ได้มีใบไม้ใบนึงล่วงหล่นลงมาจากต้นแอช มันตกลงมาบนหัวของชั้นอย่างอ่อนโยน

 

‘ก็แค่เรื่องบังเอิญหน่า!’ ชั้นบอกกับตัวเองแบบนั้น ก่อนจะส่ายหัวเพื่อให้ใบไม้อันนั้นหลุดออกไป

 

ชั้นรู้สึกโกรธตัวเองไปสักพักนึง

 

ชั้นโกรธที่ตัวเองที่ได้เข้าไปแทนที่ตัวของเธอ ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้ก็เถอะ

 

ทว่าใบไม้เมื่อกี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเธอส่งมันมาเพื่อปลอบใจชั้นนะสิ!

 

ขณะที่ชั้นส่ายหัวไปมาและหลับตาแน่น ชั้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อบอุ่นโอบกอดมาที่ตัวของชั้น

 

ทั่วทั้งร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมกันนั้นก็ยังรู้สึกสบายใจกับความรู้สึกอันแสนวิเศษที่โอบกอดชั้นเอาไว้นี้ ทว่าก็เหมือนในตอนที่มันปรากฏ มันก็ได้จากชั้นไปอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อชั้นลืมตาขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่เออนอง ชั้นก็ได้เห็นท่านพ่อกับท่านแม่พุ่งตัวเข้ามากอดชั้นพร้อมกับร้องไห้ออกมา

 

                                                                   —จบบทที่ 1—

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 11 ทีมสอบสวน

 

“เด็กกำพร้า…?”

 

ส่วนหนึ่งของชั้นที่เป็นอลิซต่างกรีดร้องออกมาหลังจากที่ได้ยินท่านแม่พึมพำแบบนั้น

 

ท่านแม่รู้ความจริงแล้ว

 

ท่านพ่อตัวแข็งทื่อไปเพราะสถานการณ์ที่เขากลัวที่สุด

 

ออฟรานซ์ซังเองก็เหมือนกัน เขาทำใบหน้าบูดบึ้งพร้อมกับกอดชั้นเอาไว้แน่นๆ

 

“ฮ่าๆ! ใช่แล้ว! นังเด็กนั่นไม่ใช่ลูกแท้ๆของแกกับนายท่านซะด้วยซ้ำ! คืนนั้นชั้นเห็นมันกับตา! ทั้งตอนที่นายท่านพาร่างของลูกสาวที่ตายไปแล้วออกไป และตอนที่เขาเอานังเด็กนั่นกลับมา!”

 

“แกคิดว่ายังไงละ?” รูจถามกับท่านแม่ด้วยน้ำเสียงราวกับปีศาจจากใต้พิภพ บางทีเธอคงคิดที่จะไม่แก้ตัวใดๆแล้ว แต่อยากจะทำร้ายท่านแม่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเสียงกรีดร้องออกมาจากปากของท่านแม่เลย

 

“……แล้วยังไงละ?”

 

“ห่ะ?!”

 

ชั้นเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้ ท่านพ่อกับออฟรานซ์ซังเองก็ตกใจเหมือนกัน

 

ท่านแม่สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงสง่าผ่าเผย

 

“เธอคิดว่าชั้นไม่รู้ถึงเรื่องนั้นรึไง?”

 

ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบหลังจากได้ยินเธอพูดแบบนั้น

 

ท่านแม่ยังคงพูดต่อไป เธอสูดหายใจและพยายามยืดตัวเต็มที่เพื่อจะให้เธอดูภาคภูมิใจ

 

“……ชั้นรู้อยู่แล้วละ พลังเวทย์ของเด็กที่ชั้นให้กำเนิดหน่ะ ระส่ำระสายตั้งแต่ชั้นคลอดเธอออกมา ชั้นรู้ว่าไม่นานเธอก็จะหมดพลังลง แถมไฝน้อยๆที่อยู่ตรงคอของเธอตั้งแต่เกิดนั้นก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นหลังจากที่ชั้นตื่นขึ้นในวันถัดมา ชั้นยังรู้อีกว่าสามีของชั้นที่เป็นคนไม่พูดอะไรยังคอยถามชั้นอย่างระมัดระวังว่าตัวชั้นเป็นไงบ้าง คงคิดว่าตัวชั้นจะรับข่าวร้ายนี้ไม่ได้…”

 

“ท่านแม่…?”

 

ชั้นส่งเสียงเรียกเธอออกไป

 

ท่านแม่หันมาทางชั้นด้วยความประหลาดใจ

 

“อลิซ… เสียงของลูก…?”

 

เธอมองมาที่ชั้นด้วยสายตาปลื้มปิติ ทว่าจากนั้นเธอก็สายหัวแล้วกลับไปทำใบหน้าจริงจังอีกครั้ง จากสถานการณ์วุ่นวายในตอนนี้ เธอคงจะรู้ว่าเธอควรจัดการกับเรื่องนี้ก่อนที่จะมาดึใจกับตัวชั้นที่หายดีแล้ว

 

“ถึงอลิซจะไม่ใช่ลูกแท้ของชั้น แต่ชั้นนั้นมีความรู้สึกอันล้นหลามที่จะเลี้ยงดูและปกป้องอลิซดั่งลูกแท้ๆอยู่ ดังนั้นชั้นยังคงรักอลิซถึงแม้จะรู้ว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆของชั้น และเชื่อมั่นว่าในสักวันนึง สามีกับพี่ชายที่น่าจะคอยช่วยเหลืออยู่อย่างลับๆ จะพาชั้นไปเยี่ยมเยือนหลุมศพลูกแท้ๆของชั้นด้วยกัน”

 

“เอเลนอร์…”

 

ท่านพ่อกลืนคำพูดของเขาลงไปเพราะความรู้สึกที่ถาโถม

 

ชั้นเองก็เหมือนกัน ชั้นรู้สึกทึ่งในความรู้สึกแท้จริงที่ซ่อนอยู่ของท่านแม่ ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น หัวใจของชั้นก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า

 

เธอรู้เรื่องนั้นมาตลอด

 

เธอรู้ว่าชั้นไม่ใช่ลูกแท้ๆของเธอ และยังเข้าใจในความรู้สึกของท่านพ่อที่พยายามซ่อนเรื่องนี้เอาไว้อย่างสิ้นหวัง รวมถึงเรื่องที่เธอรู้ตัวว่าเธอจะต้องปกป้องเลี้ยงดูชั้นที่ยังคงเป็นเด็กทารกอยู่ในตอนนั้น

 

เธอมองดูสถานการณ์ระหว่างท่านพ่อกับชั้นแล้วตัดสินใจที่จะปกป้องพวกเราทั้งคู่ด้วยตัวของเธอเอง นั่นแหล่ะท่านแม่ของชั้น

 

รูจผงะหลังจากที่เธอเห็นถึงความเข้มแข็งของท่านแม่ ทว่าเธอก็ยังคงตะโกนออกมาราวกับพยายามสู้กับจุดจบอันแสนโหดร้ายอยู่

 

“โกหก! นายท่านคะ! เธอพูดแบบนี้เพราะเธอไม่อยากหย่าร้างคะ! เธอทำเป็นยอมรับ…มัน…?!”

 

ท่านพ่อบังคับให้รูจเงียบลงด้วยเวทมนตร์ของเขา

 

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมาตัดสินหรอกนะ”

 

ตอนที่ท่านพ่อพูดแบบนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ท่านแม่ก็ได้พูดต่อว่า

 

“ใช่แล้ว และเรื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะมาตัดสินเองเหมือนกัน”

 

“ห๊ะ—?!”

 

ท่านพ่อก้มหน้าลงด้วยความเจ็บปวด

 

ท่านแม่ยังคงพูดต่อไป

 

“ถ้าเด็กคนนั้นจะตายไป ชั้นก็อยากจะให้คุณบอกเรื่องนั้นกับชั้นก่อน อยากจะให้คุณมาปรึกษาชั้นก่อนที่จะรับเด็กมาเลี้ยง… และถ้ามันถึงเวลาที่คุณจะต้องมีภรรยาคนที่ 2 หรือนางสนมละก็ อย่างน้อยๆชั้นก็จะเป็นคนแนะนำเพื่อหาคนที่ไว้ใจได้ให้เอง”

 

“ข้าจะไม่มีทาง…! เอเลนอร์…”

 

แรงกดดันจากความตั้งใจของท่านแม่ที่หลบซ่อนอยู่ภายในใจของเธอนั้นทำให้ท่านพ่อคอตกด้วยความละอายใจ เขาเริ่มที่จะขอโทษออกมาแต่ก็โดนขัดซะก่อน

 

“ไม่ค่ะ ไม่ต้องขอโทษหรอก… เรื่องมันผ่านไปแล้ว ในตอนนี้ที่ชั้นได้สติกลับมา ชั้นสามารถพูดได้ว่า ต่อให้คุณจะพูดยังไงก็แก้อดีตไม่ได้ ทั้งเรื่องที่คุณไม่บอกอะไรชั้นหรือเรื่องที่ไม่เคยถามความเห็นของชั้น รวมถึงเรื่องที่คุณรู้สึกผิดกับการตัดสินใจของคุณหรือไม่นั้น มาถึงตรงนี้ ทั้งหมดนั้นมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับชั้นแล้วละคะ”

 

ด้วยคำพูดนั้น ท่านแม่ก็ได้ก้าวไปข้างหน้า เธอตรงเข้าไปหารูจแล้วยกคทาของเธอขึ้น

 

“ชั้นมันอ่อนแอเองที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังถูกควบคุมโดยพิษร้าย มันเป็นเพราะจิตใจที่อ่อนแอของชั้นเองที่ทำให้ครอบครัวของชั้นต้องมาทนทุกข์ทรมานนานถึงเพียงนี้… ดังนั้นชั้นจะจบมันลงตรงนี้แหล่ะ”

 

ท่านแม่สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเอ่ยคำพูดที่เหมือนกับคาถาออกมา

 

“ด้วยแสงสว่างแห่งดวงจันทร์อันไร้ลักษณ์ ข้าขอใช้คทาอันเก่าแก่นี้ส่งมอบพลังให้แก่ท่าน โปรดมอบพลังที่ไม่สั่นคลอนและแสดงแสงแห่งความจริงแกข้าผู้นี้ด้วย”

 

จังหวะที่ท่านแม่ร่ายคาถาจบ รูจก็กรีดร้องออกมา

 

“อ้าา—! ชั้น อ้าาา—! อ๊ากกกกก!!!”

 

เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้นราวกับสัตว์ป่าและสายฟ้าก็ได้ผ่าลงบนร่างของรูจ พลังเวทย์อันมหาศาลกำลังทรมาณเธออยู่

 

ออฟรานซ์ซังพยายามกอดชั้นเพื่อไม่ให้ชั้นเห็นฉากที่โหดร้าย ทว่านี้เองก็เป็นเรื่องของชั้นเช่นกัน ดังนั้นชั้นต้องดูมันให้ได้

 

ชั้นดึงตัวเองออกจากแขนที่แข็งแกร่งแต่อ่อนโยนของเขาโดยที่ไม่สนใจเสียงทักท้วงที่พยายามจะหยุดชั้น ดวงตาที่มีน้ำตาของชั้นกำลังจดจำภาพเบื้องหน้าลงไปในความทรงจำอย่างเต็มที่

 

“ตอนนี้ก็บอกชั้นมาได้แล้วว่าเธอมีเป้าหมายอะไร?”

 

ตอนที่ท่านแม่ลดคทาลงแล้วพูดขึ้นมาแบบนั้น รูจก็ตอบกลับมาโดยที่ร่างกายยังชักกระตุกจากไฟฟ้าอยู่เลย

 

รูจตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าด้วยความเจ็บปวด “ยะ-หย่า-ระ-ร้าง… ตะ-ต้อง-ต้องการ นะ-นาย-ท่านนนน…”

 

รูจตัวสั่น หลังจากนั้นก็อ่อนแรงลง

 

“ดี ดีมากที่ตอบมาอย่างซื่อสัตย์นะ”

 

ท่านแม่พูดแบบนั้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า และจากนั้นเธอก็ถามคำถามถัดไป

 

“เธอทำอะไรพวกเรา?”

 

ร่างของรูจที่กำลังผ่อนคลายลงก็ถูกช็อตด้วยไฟฟ้าอีกครั้ง เธอไม่ทันได้ร้องออกมาซะด้วยซ้ำ

 

“อ้าา—! อ๊ากกกกก—!!!! มะ-ไม่มีวัน! บออออออออ—ก กะ-กะ-กะ-แก หรอกกกกกก!! ชั้นจะ-จะ ฆะ-ฆ่าา แกกกกกกกกก!”

 

เป็นภาพที่สยดสยองมากขนาดที่ทำเอาร่างกายของชั้นสั่นไปด้วยเลย

 

ทว่า พลังของท่านแม่ก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

 

“เธออยากจะทุกข์ทรมานไป 2 ปีเหมือนกับชั้นงั้นหรอ? หรืออยากจะชิมไฟฟ้านี้ให้มากกว่านี้ดีละ? เอาละ พูดออกมาซะ”

 

จากนั้นท่านแม่ก็ใส่พลังเข้าไปอีกจนรูจร้องออกมาราวกับคนบ้า

 

เมื่อท่านแม่คลายพลังลงเล็กน้อย รูจก็เริ่มพูดออกมาทั้งน้ำตา

 

“ชั้น-ชะ-ชั้นข่มขู่… ลูกสาวของคุณด้วย… เอกสารปลอม… ร่ายคำสาป… เวทมนตร์ดำ… เพื่อต้อนให้เธอจนมุม… อะ…อาาาา… โกหก—ชั้นโกหก!… หลอกลวงนายท่าน… นายหญิง…อาาา”

 

ท่านแม่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเธอก็ใส่พลังลงไปในไฟฟ้ามากกว่าเดิม

 

“อ๊ากกกกกกกก!!!!!”

 

“เรื่องคำสาป บอกชั้นมาทุกอย่าง—รวมถึงการคลายมันลงด้วย!”

 

รูจกรีดร้องและร้องไห้ออกมา เสื้อผ้ากับผมของเธอนั้นไหม้ไปแล้ว ถึงยังงั้นเธอก็ยังคงอธิบายทุกอย่างออกมาได้แม้จะติดอยู่ในวงเวทย์นั่น

 

ร่างที่หมดแรงนั้นทิ้งตัวลงห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศราวกับถูกคนดึงคอเสื้อเอาไว้

 

ขนาดท่านแม่เองที่จ้องมองไปยังรูจอย่างเข้มแข็งก็ยังรีบเอามือปิดปากหลังจากที่เห็นฉากอันสยดสยองที่ตัวเธอเป็นคนทำเองเลย แต่ถึงยังงั้นเธอก็ยังพยายามที่จะสอบสวนต่อไป

 

จากนั้นท่านพ่อก็ได้วางมือลงบนไหล่ของท่านแม่

 

“ที่เหลือข้าจัดการเอง… ข้าไม่อาจทำอะไรเพื่อครอบครัวได้เลย… ดังนั้นให้ข้าได้จบเรื่องนี้เองเถอะนะ”

 

ท่านพ่อดึงท่านแม่ให้ถอยออกมาด้วยการกอดเธอ ท่านแม่พยายามเดินไปข้างหน้าเพื่อปฏิเสธ แต่แรงแขนของท่านพ่อมีเยอะกว่าจึงทำให้เธอยอมถอยออกมาจนได้

 

ท่านพ่อทำการสอบสวนต่อจากท่านแม่ที่ตอนนี้ไม่ได้ออกไปจากห้องและกำลังยืนตัวสั่นอยู่

 

***

 

หลังจากนั้น การกระทำผิดของรูจก็ถูกเปิดเผย และคำสาปก็ถูกคลายลง

 

หลังจากยื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อสาธารณะโดยมีขุนนางอยู่ในเหตุการณ์อย่างน้อย 3 คน ด้วยคำให้การและคำสารภาพของเจ้าตัว การตัดสินคดีความของรูจก็ได้ถูกจัดตั้งขึ้น

 

ผลลัพธ์ก็คือโทษประหารชีวิต

 

เนื้อหาหลักๆถูกเปลี่ยนเป็น ‘ใช้เวทมนตร์ดำใส่ขุนนางที่มียศสูงกว่าโดยตั้งใจและเป็นเวลานาน’ มีอีกหลายอย่างที่ถูกเปลี่ยนเช่นกัน ตัวอย่างเช่นปลอมแปลงเอกสาร, เปิดเผยความลับของตระกูล, และไร้ความเคารพ ทว่าถึงแม้จะสาธยายความผิดของเธอไม่หมด เวลาของเธอก็ได้หมดลงซะแล้ว

 

อนึ่ง เวทมนตร์ที่ท่านพ่อใช้กับรูจนั้นมันไม่ได้ถูกกฎหมายแถมยังเป็นเวทย์ที่ถูกห้ามใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย ทว่า ‘เพราะมีเด็กอายุ 3 ขวบตกเป็นเป้าหมายของคำสาปถึง 2 ปีจนเกือบจะตายในตอนที่คำสาปทำงานสำเร็จ’ และ ‘ขุนนางตำแหน่งสูงกว่าที่เป็นเป้าหมายของการควบคุมจิตใจก็เกือบจะหย่าร้างโดยที่ไม่เต็มใจ’ มันเลยถูกนับเป็นการป้องกันตัวอย่างถูกต้อง

 

รูจร่ายคำสาปโดยใช้ดวงตาของเธอเป็นสื่อกลาง

 

เงื่อนไขของคำสาปที่รูจใช้นั้นมีดังนี้:

 

1. เป้าหมายหลักที่จะใช้คำสาปและควบคุมจิตใจก็คือ “อลิซ”

 

การจะทำแบบนั้นได้ก็คือเธอต้องไม่สบตากับคนอื่นๆนอกจากเป้าหมายหลักไปจนตาย ถ้าไม่อย่างนั้นคาถาก็จะคลายลง

 

2. ในส่วนของเป้าหมายรอง รูจจะสามารถใช้คำสาปเพื่อบงการความคิดของ “ซิกมุนด์”, “เอเลนอร์”,และ “ออฟรานซ์” ได้ เพื่อให้คนเหล่านี้ไม่รู้สึกตัวถึงแผนการของเธอ

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเป้าหมายกับผลลัพธ์ของมันจะถูกทำให้แคบลงจนเหลือแค่นี้ก็ตาม ปกติแล้วคำสาปมันก็ไม่สามารถทำงานได้ด้วยพลังเวทย์ที่รูจมีหรอก ไม่ใช่แค่นั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ได้ผลกับขุนนางชั้นสูงอย่างตระกูลอาเชอร์เลซที่มีพลังเวทย์แข็งแกร่ง

 

เพราะแบบนั้น รูจก็เลยวางเงื่อนไขเพิ่มอีกหนึ่งข้อ

 

3. ถ้าเป้าหมายของเธอสำเร็จ เธอจะเสียการมองเห็นที่ตาข้างนึงไปพร้อมกับการได้ยินเสียงของหูหนึ่งข้างของเธอ

 

เธอเพิ่มเงื่อนไขข้อนี้ลงไปและจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนด้วยร่างกายของเธอเอง

 

มันเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูงแต่รางวัลต่ำขนาดที่คนสติดีๆไม่คิดจะทำ ถึงผลลัพธ์ที่ออกมาจะดีมากเลยก็เถอะ รูจเสียสติไปแล้วอย่างเห็นได้ชัดเลย

 

เหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงเล็งเป้ามาที่ชั้นแทนที่จะเป็นท่านแม่ที่ตัวเธอเกลียดมากๆนั้น ก็เพราะว่าตัวชั้นยังเป็นแค่เด็กและมีการต้านทานเวทมนตร์ที่ต่ำ แถมมันยังช่วยลดความเป็นไปได้ที่แผนการจะถูกเปิดโปงได้มากที่สุดอีกด้วย

 

นอกจากนี้ เธอคิดว่าหลังจากที่กำจัดชั้นออกไปได้แล้ว เธอคงจะบังคับท่านแม่ที่กำลังหดหู่ให้ออกห่างจากท่านพ่อที่กำลังอ่อนแอได้ง่ายยึ่งขึ้น

 

ด้วยผลกระทบของการทำลายคำสาป รูจจึงสูญเสียการมองเห็นและการได้ยินจากทั้งดวงตากับหูทั้งสองข้างของเธอไปแทบทั้งหมด

 

มิหนำซ้ำ บันทึกเกี่ยวกับตระกูลบารอนของเธอนั้นก็ได้ถูกลบหายไปจนหมด และกว่าที่พวกเราจะรู้ตัว ในวันที่เธอกำลังจะถูกประหาร เธอก็ได้ตายด้วยโรคฮิสทีเรียภายในคุกไปซะแล้ว

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 10 ค่ำคืนและน้ำแข็ง

 

มุมมองของรูจ

 

ชั้นเดินผ่านทางเดินยามค่ำคืน

 

สวมใส่ชุดนอนที่ดีที่สุดก่อนจะออกมาจากห้อง

 

คืนนี้จะเป็นคืนที่ชั้นจะได้สมหวัง เป็นคืนที่นายท่านนายท่านจะเลือกตัวชั้นซักที

 

ชั้นใช้เวลาสักพักในการแต่งหน้าและทำผมให้ออกมาดูไม่แย่แม้จะไม่ได้มัดผม

 

ถึงจะเกิดมาในตระกูลบารอน แต่ที่ชั้นต้องมาเป็นเมดก็เพราะว่าตระกูลล่มสลายไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ชั้นก็ยังคงมีสายเลือดของขุนนางอยู่ ชั้นไม่อยากให้มันจบลงในฐานะเมดหรอกนะ

 

ชั้นจะต้องทำให้มั่นใจว่าชั้นจะชนะใจของนายท่านในคืนนี้ ไม่สิ บางทีชั้นอาจจะทำมันสำเร็จไปแล้วก็ได้

 

เมื่อชั้นคิดแบบนั้น มันก็ทนไม่ได้จนต้องยิ้มมุมปากขึ้น

 

หลังจากที่ชั้นได้รับคำเชิญของนายท่าน ชั้นก็ได้ไปที่ห้องของนังนั่นแล้วทำการเผด็จศึกเธอด้วยคำพูดขณะที่เสิร์ฟชาให้

 

ขณะที่เธอยังนั่งมึนงงอยู่นั้น ชั้นก็ได้ทำให้เธอเสียความมั่นใจในฐานะผู้หญิงของเธอไปทั้งหมด เธอไม่มีทางฟื้นคืนกลับมาได้อีกแล้วแน่นอน

 

ดังนั้น ในขณะที่หัวเราะคิกคักอยู่นั้น ชั้นก็ได้เดินมาถึงหน้าห้องของนายท่านแล้ว ไม่มีใครอยู่รอบๆบริเวณนี้

 

ชั้นเคาะประตูห้องแล้วเรียกหาเขา

 

“นายท่านคะ ดิชั้นเองค่ะ รูจ”

 

ชั้นเรียกหาเขาด้วยการกระซิบ และเขาก็ตอยกลับมาว่า “ข้ากำลังรออยู่เลย เข้ามาสิ”

 

อ่าาห์ นี้มันไม่ได้ฝันไปสินะ ที่ชั้นถูกเรียกและปราถนาให้เข้าไปในห้องโดยนายท่านแบบนี้

 

ขณะที่ชั้นเข้าไปในห้อง ชั้นก็ได้กลิ่นเครื่องหอมบางๆ

 

ถ้าชั้นจำไม่ผิด มันน่าจะเป็นกลิ่นของดอกเอลเดอฟลาวเวอร์กับแอชวูดสินะ มันเป็นกลิ่นที่ลึกซึ้งราวกับเป็นการผสมผสานระหว่างไวน์กับมัสค์ และชั้นดิใจที่มันเข้ากับอารมณ์ของชั้นในตอนนี้เลยละ

 

ชั้นยังได้ยินมาว่าดอกเอลเดอฟลาวเวอร์นั้นมักจะใช้ในงานแต่งงานในบางพื้นที่ ชั้นรู้สึกร่างกายเริ่มร้อนผ่าวขึ้นทีละน้อย

 

“ขอบใจที่มานะ”

 

นายท่านกำลังพิงที่หน้าต่างแล้วมองมาที่ชั้น

 

ผมสั้นสีฟ้าอ่อนของเขาส่องประการจากแสงจันทร์ ดวงตาสีฟ้าของเขานั้นยังคงงดงามแม้จะอยู่ในความมืด

 

“ค่ะ… ดิชั้นยินดีจะมาเสมอตราบใดที่นายท่านต้องการดิชั้นค่ะ”

 

ชั้นหัวเราะคิกคักก่อนจะถอนสายบัวให้กับเขา

 

“อืม… งั้นนั่งลงตรงนั้นก่อนสิ”

 

เก้าอี้ที่เขาชี้นั้นอยู่ห่างจากเตียงเล็กน้อย สงสัยเขาคงอยากจะพูดคุยกันก่อนละมั้ง?

 

‘ดูเหมือนว่าเขาอยากจะทะนุถนอมชั้นจริงๆสินะ’ ชั้นคิดแบบนั้นก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น

 

นายท่านเดินไปที่เตียงก่อนจะนั่งลงอย่างสบายๆ เขานั่งไขว่ขาของเขาก่อนจะมองตรงมาที่ชั้น

 

“นี่ รูจ เธอบอกว่าเธอจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับข้าสินะ ใช่ไหม?”

 

“ค่ะ ถ้านั่นเป็นความต้องการของนายท่านละก็”

 

ท่านคงหมายถึงสัญญานั่นสินะ แน่นอน ชั้นยินดีจะเปิดเผยทุกตารางนิ้วบนร่างกายนี้ให้กับท่านเลย

 

“ยังงั้นหรอ? งั้นก็สัญญาแล้วนะ ในเธอจะต้องสัญญากับข้าเพิ่มอีก 1 ข้อ…”

 

สัญญาอื่นยังงั้นหรอ? ชั้นเอียงคอก่อนจะกลืนน้ำลาย

 

ไม่สิ ไม่มีทางหน่า หรือว่าเขาจะถามถึงคำมั่นสัญญาสาหรับอนาคตข้างหน้าในตอนนี้งั้นหรอ?

 

ชั้นมองไปที่นายท่านพร้อมกับแก้มแดงไปด้วย เขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนกลับมา

 

“เธอจะต้องเผยทุกอย่างให้กับข้า ข้ามั่นใจว่ามันเป็นอะไรที่เธอจินตนาการเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน เธอจะสาบานกับข้าได้ไหม?”

 

อ้า! การแต่งงาน!

 

“นะ-แน่นอนคะ! ดิชั้นสาบาน! ทั้งจากนี้และตลอด—”

 

“—ดี! เธอสาบานกับข้าแล้วนะ!!”

 

ก่อนที่ชั้นจะพูดจบ นายท่านก็ยืนขึ้นในทันที

 

จากนั้นเขาก็พูดเสียงดังขัดชั้น

 

“เธอจะต้องสารภาพทุกอย่างกับข้า! เธอจะต้องเปิดเผยเวทมนตร์ดำที่เธอร่ายใส่ครอบครัวของข้าแล้วคลายมันซะ และจะต้องสาบานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับตระกูลอาเชอร์เลซอีก!”

 

“?!”

 

จังหวะที่นายท่านประกาศกร้าวออกมาแบบนั้น ก็ปรากฏวงกลมแสงขึ้นที่ใต้เท้าของชั้น จากนั้นมันก็ปรากฏกลายเป็นวงเวทย์ล้อมรอบตัวชั้น

 

ชั้นตกใจจนยืนขึ้นแล้วพยายามจะหนี แต่ในตอนนั้นวงเวทย์ก็ได้ทำงานทันที

 

***

 

มุมมองของอลิซ

 

“ว้าว วุ่นวายกันสุดๆ”

 

ออฟรานซ์ซังกับชั้นรับรู้ได้ถึงสัญญาณของการใช้เวทมนตร์ จึงเข้าไปในห้องนอนของท่านพ่อ

 

นั่นเป็นความประทับใจแรกของชั้นเลย

 

นอกจากนี้ ภาพที่เห็นมันราวกับหลุดออกมาจากหนังสือเลยด้วย

 

อย่างแรกเลย ท่านพ่อของชั้นหัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมาในตอนที่กับดักได้ผล ทว่าเขาก็หยุดทันทีที่เขาเห็นพวกเรา

 

ถัดมาก็คือรูจ เธอกำลังเจ็บปวดจากการที่เธอติดอยู่ในวงเวทย์ 3 มิติที่ท่านพ่อเตรียมเอาไว้ ดูเหมือนมันจะมีกลไกที่จะปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่ทันทีที่พยายามจะหนี ช่างน่าสะพรึงกลัวจริงๆ

 

แล้วก็นะ ตอนนี้ชั้นถูกอุ้มมาโดยออฟรานซ์ซัง ตัวชั้นยังคงเป็นเด็กสาวตัวน้อยๆแสนอ่อนแออยู่ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบุกเข้ามาที่นี่โดยที่ไม่มีใครช่วยหรอก

 

และอย่างสุดท้าย ท่านแม่ของชั้นที่พึ่งเข้ามาในห้องเมื่อกี้นี้โดยการเปิดประตูเข้ามาอย่างรุณแรง ตอนนี้เธอกำลังยืนงุนงงกับสถานการณ์ในห้องอยู่ แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอพกดาบเอาไว้ที่เอวและถือคทาอะไรบางอย่างมาด้วย มันเหมือนกับว่าเธอกำลังเตรียมตัวจะไปรบเลยละ

 

วุ่นวายกันสุดๆไปเลย

 

ตอนที่ออฟรานซ์ซังกับชั้นยังคงยื่นอยู่เฉยๆโดยที่ไม่รู้จะทำอะไรยังไงต่อ ท่านแม่ก็พึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเองราวกับว่าเธออยากจะบิดคอของใครบางคนอยู่

 

“งั้นเขาก็ชอบอะไรแบบนี้งั้นหรอ… BDSM…?”

 

“มะ-ไม่ๆๆๆ ไม่ใช่อย่างที่คิดนะ?!?!?!”

 

ท่านพ่อรีบปฏิเสธในทันที การพูดคุยกันของคู่รักคู่นี้เหมือนกับรายการตลก คนโง่กับคนตรงๆ เลย (TL: ENGบอกว่ามันคือรายการ Boke and Tsukkomi)

 

“ที่รัก… ถ้ายังงั้น นี้คือ…”

 

“โอ๊ะ เออ อืม ที่ชั้นบอกเธอแล้วใช่ไหมละ? ว่าชั้นจะจบเรื่องทั้งหมดในคืนนี้ อืม… นี้คือสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่… อย่างที่คุณเห็นนะครับ…”

 

ทำไมเขาถึงสุภาพในตอนท้ายละ?

 

ท่านแม่ดูจะไม่รู้เรื่องที่เขาพูดออกมา ใช่แล้ว ชั้นเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

 

“………”

 

“………”

 

ออฟรานซ์ซังกับชั้นทำหน้าเหมือนกับ*จิ้งจอกทิเบตออกมาพร้อมกัน ดูเหมือนว่าท่านพ่อที่ปกติจะสุขุมและอ่อนโยน จะย่ำแย่เรื่องการอธิบายนะ (*TL: มันก็คือการทำหน้าแบบเอือมระอานั่นแหล่ะครับ หน้าแบบหรี่ตาลงแบบในมังงะหรืออนิเมะครับ)

 

“อะแฮ่ม~ ยังไงก็ตาม” เขาพูดขึ้น “สิ่งที่ข้ากำลังจะทำต่อไปก็คือการสอบปากคำ มันไม่ใช่อะไรที่เธอต้องดูหรอก กลับไปที่ห้องของเธอเถอะ”

 

ท่านพ่อพูดออกมาพร้อมกับพยายามที่จะรักษามาดไว้ แต่ท่านแม่ไม่สนใจเรื่องนั้นแล้วโกรธขึ้นมา

 

“ขอโทษนะคะ!? คุณอยากจะให้ชั้นออกไปจากบทสนทนาสำคัญๆแบบนี้เนี้ยนะ?!”

 

น้ำตาได้ไหลออกมาจากดวงตาสีดอกวิสทีเรียของท่านแม่ (TL:น่าจะประมาณสีม่วงนะครับ)

 

ท่านพ่อก็สิ้นหวังหลังจากเห็นน้ำตานั้น ทว่าเขายังคงไม่เปลี่ยนใจแล้วตอบกลับไปว่า

 

“หะ-หัวใจที่ละเอียดอ่อนของเธออาจจะรับมันไม่ไหวนะสิ… ดังนั้นได้โปรดทำตัวว่าง่ายแล้วฟังชั้นเถอะนะ!”

 

“ชั้นไม่เป็นไร! แล้วเหนือสิ่งอื่นได้ ชั้นอยากจะสั่งสอนยัยเมดนั่นให้รู้สำนึก! เดี๋ยวชั้นเริ่มก่อนเอง! ถอยไปนะ!!”

 

นอกจากคู่รักทะเลาะกัน รูจที่ติดอยู่ในวงเวทย์ก็ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

“นายท่าน ได้โปรดช่วยดิชั้นด้วย! ทำไมท่านถึงทำแบบนี้ละคะ?!”

 

“ทำไมงั้นหรอ?”

 

ท่านพ่อจ้องมองกลับไปที่รูจ

 

ที่ใบหน้าชุ่มเหงื่อจากการเป็นห่วงภรรยาของเขาเมื่อสักครู่ ดวงตาของเขากลับเย็นยะเยือกพร้อมกับสีหน้าของเขาที่ทั้งหนาวเย็นและว่างเปล่า

 

“เธอก็น่าจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่รึไง? นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องอธิบายกับข้าในตอนนี้ไม่ใช่รึ?”

 

ขณะที่ท่านพ่อกวาดนิ้วของเขา ลมเย็นยะเยือกก็ก่อตัวขึ้นที่วงเวทย์

 

เมื่อชั้นมองไปที่เท้าของรูจ มันก็เกิดเสียงกึกๆแล้วก็กลายเป็นก้อนน้ำแข็งจับไปที่ขาของเธอ

 

“อั๊ก!”

 

รูจร้องออกมาด้วยอุณหภูมิที่ลดต่ำลงในทันทีและน้ำแข็งที่กำลังกัดกินขาของเธออยู่ จากนั้นเธอก็ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

“ทำไม? ทำไมกัน?! ท่านพาเด็กกำพร้าน่ารังเกียจนั่นมาแทนที่ลูกของท่านแท้ๆ! ท่านจะมาทำแบบนี้กับดิชั้นไม่ได้! ทำไมถึงต้องเป็นนังนั่น?!?!”

 

ทั่วทั้งห้องต่างหยุดนิ่งในทันที

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 9 ภรรยาที่ถูกตามกฎหมาย

 

ชั้นมีนามว่า เอเลนอร์ เซซิเลีย อาเชอร์เลซ เป็นภรรยาที่ถูกตามกฎหมายมาร์ควิสอาเชอร์เลซ

 

แต่ก็สงสัยว่ามันคง… จะจบลงในคืนนี้แล้วสินะ… ชั้นได้แต่ถอนหายใจออกมา

 

***

 

ชั้นถูกเชิญไปยังฤหาสน์ของท่านพี่ในตอนกลางวัน แล้วก็ต้องมาปวดหัวกับการโน้มน้าวเขา มันเริ่มที่จะบ่อยขึ้นในทุกๆวันแล้ว

 

“เห็นไหม เพราะใบหน้าท้อแท้แบบนั้นแหล่ะ… ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่คิดที่จะทำอะไรแบบนี้หรอก”

 

พี่ชายของชั้น ออดีพัส รู้สึกสงสารสภาพครอบครัวของชั้นที่เป็นแบบนี้มา 2 ปีแล้ว เขาพยายามจะพาชั้นกับลูกสาวของชั้น อลิซ กลับไปยังบ้านเกิดของชั้นในทุกครั้งที่มีโอกาส ชั้นก็ดีใจในความปราถนาดีของเขา แต่ว่าตัวชั้นยังอยากแก้ไขความสัมพันธ์กับเขาคนนั้นและยังคงไม่ยอมแพ้

 

และเหนือสิ่งอื่นใด ชั้นอยากจะให้ลูกสาวสุดที่รักของชั้นกลับมาหายดีอีกครั้ง

 

“ท่านพี่ ถึงยังงั้น หนูก็ยังรักครอบครัวของหนูอยู่ หนูไม่อยากทิ้งพวกเขาไป”

 

“ทำไมละ? เจ้าผู้ชายคนนั้นมักจะออกไปข้างนอกและมำให้น้องรู้สึกไม่ปลอดภัยไม่ใช่รึไงกัน?!”

 

อ่าห์ ชั้นหมดคำพูดลงจากที่ดวงตาสีทองของท่านพี่สว่างวาบขึ้นมา แต่ชั้นเองก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นเป็นต้นเหตุที่กำลังทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด

 

“ถึงยังงั้น มันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะหนูยังคงเป็นภรรยาตามกฎหมายแม้จะหมดหวังในเรื่องทายาทแล้วก็ตาม… หนูไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทนต่อไป…”

 

จากนั้นท่านพี่ก็ทุบโต๊ะอย่างรุณแรงแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้

 

“เอเลนอร์! ในฐานะพี่ชายของเธอ ข้าจะไม่มีทางยอมให้เธอต้องมาอยู่ในครอบครัวแบบนั้น! ถึงมันจะเป็นทางที่ดีที่สุดที่ให้เธอจากตระกูลดยุคแต่งงานเข้าตระกูลมาร์ควิสก็เถอะ แต่ข้าไม่อาจยอมให้พวกนั้นมาทำกับเธอแบบนี้ได้หรอก… ข้าไม่มีวันยอมรับมันเด็ดขาด”

 

ชั้นพูดอะไรไม่ออกจากคำพูดของท่านพี่ที่กำลังตัวสั่นไปด้วยความกังวล ตัวชั้นเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องสถานะของครอบครัวของชั้นเองหรอก ทว่าหัวใจของท่านพี่กับสายตาของทั้งโลกนั้นสนใจมันหน่ะสิ

 

จากนั้นชั้นก็ได้กลับมายังคฤหาสน์อาเชอร์เลซ ชั้นหนีมาจากท่านพี่ที่บอกให้ชั้นตัดสินใจให้แล้วเสร็จในเร็ววันนี้

 

***

 

คำพูดของท่านพี่นั้นราวกับคำพูดประหารชีวิตที่มันกำลังวนเวียนอยู่ในหัวของชั้น มันทำให้ชั้นตะลึงงันจนไม่ได้ยินสิ่งที่เมดที่นำอาหารเย็นมาให้ที่ห้องส่วนตัวของชั้นพูดเลยแม้แต่น้อย

 

จากนั้น ขณะที่ชั้นกำลังสิ้นหวังอยู่ภายในห้องของตัวเองไปซักพัก บางอย่างที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

 

สามีของชั้น ซิกมุนด์ ผู้ที่ไม่เคยมาที่ห้องของชั้นและบางครั้งก็ไม่ได้พูดคุยกับชั้นเลยทั้งวัน ได้แวะมาหาชั้นที่ห้อง

 

ชั้นรู้สึกไม่สบายตัว หัวใจอันอ่อนแอของชั้นกำลังสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัวถึงเหตุการณ์ที่ไม่ปกตินี้

 

“เอเลนอร์”

 

ซิกมุนด์เดินเข้ามาภายในห้องก่อนจะมองมาที่ชั้น จู่ๆเขาก็ยิ้มให้กับชั้นด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

 

ชั้นตกใจมากเพราะไม่ได้เห็นใบหน้าแบบนั้นของเขามานานแสนนานแล้ว

 

“มาทางนี้สิ”

 

สามีของชั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจในขณะที่ชั้นเข้าไปใกล้เขา

 

“มันก็นานแล้วนะที่พวกเราไม่ได้พูดคุยกันใกล้ขนาดนี้ ใช่ไหม?”

 

“……”

 

ชั้นไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เพราะจิตใจที่หวาดกลัว ชั้นจึงทำได้แค่พยักหน้าเล็กน้อยออกไป

 

จากนั้นเขาก็ลูบผมสีเงินของชั้นอย่างอ่อนโยนด้วยสีหน้าเศร้าหมองบนใบหน้า

 

ไหล่ของชั้นกระตุกและสั่นเทา

 

ทำไมเขาถึงใจดีกับชั้น?

 

ทำไมอยู่ๆเขาก็ทำตัวแปลกไปกัน?

 

คำถามพวกนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของชั้นอย่างไม่สบายใจ

 

จากนั้นเขาก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้หูของชั้นก่อนจะกระซิบออกมา

 

“ข้าจะจบมันในคืนนี้”

 

!!!

 

หัวของชั้นขาวโพลน

 

อะไรที่กำลังจะจบ?

 

เกี่ยวกับชั้นงั้นหรอ? ความสัมพันธ์ของพวกเรางั้นหรอ?

 

หรือว่าเขามีภรรยาคนใหม่งั้นหรอ? หรือว่าเธอเป็นนางสนมกัน?

 

หัวของชั้นเต็มไปด้วยความคิดแย่ๆ แต่สามีของชั้นก็ก็ลูบหัวของชั้นอีกครั้งหนึ่งก่อนจะออกไปจากห้อง

 

ชั้นนั่งอยู่บนเตียง มันก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว ทว่าชั้นยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดนอนเพื่อเข้านอนเลย ดังนั้นชั้นจึงทำเพียงแค่นั่งอยู่ยังนั้นอย่างเหม่อลอย

 

ชั้นไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ารูจกำลังชงชาอุ่นๆให้กับชั้นอยู่

 

“นายหญิง… ช่างน่าสงสาร…”

 

รูจมองมาที่ชั้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด

 

คิดย้อนกลับไป เมดคนนี้นี่แหล่ะที่คอยบอกสิ่งที่ซิกมุนด์ทำให้กับชั้นมาตลอด

 

ชั้นถามเธอไปว่า “ซิกมุนด์… วันนี้มีอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปกัน?”

 

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไหล่ของรูจก็กระตุกหลังจากที่ได้ยินชั้นถามแบบนั้น มีอะไรผิดปกติอย่างงั้นหรอ?

 

“รูจ?”

 

จากนั้นรูจก็มีสีหน้าเจ็บปวดอย่างมากก่อนจะเอามือป้องปากของตัวเอง

 

“ค่ะนายหญิง เปลี่ยนไปเล็กน้อยจริงๆค่ะ”

 

“เกิดอะไรขึ้น…?”

 

ไม่จริง ชั้นต้องหย่ากับเขาจริงๆงั้นหรอ?

 

รูจถอนหายใจแล้วเอามือปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ โดยที่ตัวชั้นที่กำลังสั่นเทา

 

“ค่ะนายหญิง… สามีของท่านเขาข้อร้องชั้น”

 

“……?”

 

ข้อร้อง… ในแบบของความปราถนางั้นหรอ?

 

หัวของชั้นดูจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูดออกมา

 

“อ่าาห์! เขาปราถนาตัวของดิชั้นค่ะ ดิชั้นคอยอยู่ดูแลเขามาตลอด ตัวดิชั้นที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอด 2 ปีที่ผ่านมานี้… นั่นแหล่ะทำไมเขาถึงเลือกดิชั้นเป็นคนที่เขาต้องการไงละคะ”

 

“โอ๊ะ—… อ๊ะ—!”

 

รูจเลิกปิดใบหน้าของเธอก่อนที่จะมองมาที่ใบหน้าของชั้นอย่างมีความสุข ชั้นคิดในหัวที่คลุมเครือของชั้นว่ามันแปลกที่ใบหน้าของเรามันใกล้กันขนาดนี้แท้ๆ แต่กลับไม่ได้สบตากันเลย

 

“นายหญิง… ดิชั้นจะไปหาเขาแล้วให้นายหญิงช่วยแบ่งปันความสุขกับนายท่านด้วย แบบนั้นดีไหมคะ?”

 

ท้ายที่สุด รูจก็พูดออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ก่อนจะรีบหันกลับไปแล้วออกไปจากห้อง

 

“………”

 

ชั้นจ้องมองไปยังความว่างเปล่าอย่างหมดคำพูดอยู่ซักพัก และจากนั้นชั้นก็—

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 8 เวทมนตร์ดำ

 

ด้วยอารมณ์ความรู้สึกก่อนการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ชั้น อลิซ ได้ยินเสียงราวกับแตรรบดังก้องอยู่ในหัว เข้ามาสิ รูจ! มาจบเรื่องนี้กัน!

 

ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันที่จะได้กำจัดนังงูพิษนั่นออกไป

 

ยิ่งนานวันเข้า สถานการณ์ก็จะยิ่งอันตรายขึ้น เพราะงั้นชั้นเลยตัดสินใจที่จะใช่แผนระยะสั้น

 

หืม? ถามว่าทำไมเราไม่ไล่เธอออกไปทั้งๆอย่างนั้นเลยละยังงั้นหรอ?

 

ไม่ ทำแบบนั้นมันยังไม่พอหรอก

 

เพราะท่านพ่อคิดว่ารูจใช้เวทมนตร์ดำหน่ะสิ

 

เวทมนตร์ดำก็คือเวทมนตร์ประเภทคำสาป พวกเขาบอกว่ามันเป็นอะไรบางอย่างที่เก่าแก่ยิ่งกว่าเวทมนตร์ด้วยกฎและรูปแบบที่แตกต่างไปตามบุคคล

 

ทำไมท่านพ่อกับพ่อบ้านถึงไม่เคยสังเกตเห็นถึงการกระทำผิดที่ทั้งดุร้ายและโหดเหี้ยมของรูจเลยจนถึงตอนนี้ละ?

 

แล้วก็อีกอย่าง ทำไมตัวชั้นถึงไม่วิ่งไปหาท่านพ่อกับท่านแม่ หรือพยายามค้นหาความจริงเลยละ? ท่านพ่อกับท่านแม่เองก็ไม่ใช่คนที่ขี้อายกันตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นทำไมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองถึงซับซ้อนแบบนี้ละ?

 

ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้สูงที่เวทมนตร์ดำประเภทควบคุมจิตใจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

 

มันเป็นสิ่งที่โลกแฟนตาซีแบบนี้มี ซึ่งชั้นก็ไม่ได้ดีใจกับเรื่องแบบนี้เลยสักนิด

 

ตากคำบอกเล่าของออฟรานซ์ซังที่ตอนนี้มาคอยดูแลชั้น เมื่อมีการใช้งานเวทมนตร์ประเภทนี้ มันจะมีสัญลักษณ์บางอย่างเหมือนกับคำสาบานปรากฎขึ้นในดวงตาของผู้ร่าย (TL: กีอัสงั้นเรอะ?!)

 

จากความจริงที่ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อ,ออฟรานซ์ซัง,หรือแม้แต่ชั้นเองก็จำไม่ได้ว่าเคยมองเข้าไปในดวงตาของเธอนั้นเป็นหลักฐานที่มากพอจะสนับสนุนทฤษฎี (นอกจากกรณีของชั้นในตอนที่โดนข่มขู่)

 

ปกติมันก็คงไม่แปลกถ้ามีความแตกต่างกันทางด้านสถานะ เช่นระหว่างขุนนางกับสามัญชน ทว่ารูจนั้นเป็นลูกสาวของตระกูลบารอน ถึงจะเป็นตระกูลที่ล่มสลายไปแล้วก็เถอะ

 

เป็นที่เห็นพ้องกันว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติที่พวกเราไม่เคยเห็นดวงตาของเธอเลยสักครั้งตลอด 5 ปีที่เธอทำงานมานี้

 

“แต่สิ่งที่เป็นตัวตัดสินก็คือในตอนที่คุณหนูโดนข่มขู่ขอรับ ที่คุณหนูบอกว่าตอนที่สบตากับเธอแล้วเห็นถึงดวงตาที่เบิกกว้าง รวมถึงรู้สึกถึงหมอกสีดำที่อยู่ภายในหน่ะขอรับ นั่นคงเป็นสัญญาณของการใช้เวทมนตร์ดำขอรับ”

 

ออฟรานซ์ซังพูดออกมาด้วยความรู้สึกผิดที่ตัวเขาไม่อาจรู้สึกถึงมันได้มาก่อนหน้านี้

 

ชั้นเห็นด้วยกับทฤษฎีนั้น

 

แต่ถึงจะมีการใช้เวทมนตร์ดำ แล้วทำไมเราถึงไม่ขับไล่เธอออกไปละ? เราก็แค่ขับไล่เธอออกนอกประเทศหรือที่ที่ห่างไกลจากเราก็ได้นี้?

 

ถึงจะตัดสินใจไปแล้ว ชั้นก็ยังคงกังวลถึงความร้ายแรงของมันอยู่ ดังนั้นเมื่อท่านพ่อออกจากห้องไปพร้อมกับพูดว่าฝากทุกอย่างให้เขาจัดการเอง ชั้นก็ได้ถามออฟรานซ์ซังเกี่ยวกับมัน

 

“เวทมนตร์ดำนั้นเกี่ยวพันถึงชีวิตขอรับ ถ้าพวกเราขับไล่รูจออกไป คำสาปที่เธอร่ายไว้กับคุณหนูมันอาจจะแย่ลงยิ่งกว่าเดิม หรือกรณีเลวร้ายที่สุดก็อาจถึงแก่ชีวิตเลยขอรับ”

 

ชั้นกลืนน้ำลาย นั่นมันอะไรกัน—เหมือนกับโดนสาปโดยวิญญาณร้ายเลย!

 

ออฟรานซ์ซังยิ้มออกมา คิ้วของเขาลดต่ำลงราวกับว่ากำลังปลอบโยนตัวชั้นที่กำลังหวาดกลัว

 

“อย่าห่วงไปเลยขอรับคุณหนู กระผมจะปกป้องคุณหนูเองเมื่อเวลานั้นมาถึงขอรับ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของกระผมก็ตาม”

 

“โอ๊ะ อือ…”

 

ชั้นสะดุ้งจากความคิดเห็นหล่อๆของพ่อบ้านของออฟรานซ์ซัง การที่มีพ่อบ้านแบบนี้มันสุดยอดจริงๆ

 

“แต่ก็โชคไม่ดี ถึงความตั้งใจของคุณหนูจะเอาชนะผลของคำสาปได้ก็จริง แต่ร่างกายกับจิตใจของคุณหนูก็ยังไม่ฟื้นตัวดีขอรับ ดังนั้นเราจึงไม่รู้ว่าผลของคำสาปจะกลับมาเมื่อไหร่ ขณะที่ตัวกระผมกับนายท่านที่ได้สติขึ้นมานั้นต้องขอบคุณพลังใจของคุณหนูจริงๆขอรับ ทว่าพวกเราเองก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเราจะกลับมาโดนปิดบังความคิดอีกครั้งนึงขอรับ มันเป็นการดีที่จะลงมือทันทีในตอนที่รู้สึกตัวขอรับ”

 

อืม มันก็จริงละนะ

 

ถึงตัวชั้นจะเริ่มลืมเลือนมันไปแล้วในตอนที่ชั้นใจเย็นลง แต่เมื่อลองค้นดูในหัวก็จะพบเข้ากับร่องรอยของควันสีดำที่ชั้นเคยรู้สึกเมื่อตอนนั้น คงเป็นมันนี้ละ

 

ตอนนี้ แผนที่วางไว้ก็จะเป็นไปตามนี้

 

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ท่านพ่อก็มักจะไปยังห้องทำงานของเขาเสมอ และตรงนั้นแหล่ะที่พวกเราจะวางกับดักอันแรก เขาบอกว่าเวลานั้นรูจมักจะเข้ามาชงชาให้เขาบ่อยๆ

 

จากนั้นเมื่อทั้งคู่อยู่กันสองต่อสอง ท่านพ่อก็จะหลอกล่อเธอให้เธอมาที่ห้องของเขาในตอนกลางคืน

 

แล้วก็อีกอย่างนึง ท่านพ่อบอกว่าเขาจะแวะไปที่ห้องของท่านแม่ก่อน… ชั้นกังวลเล็กน้อยถึงเรื่องนั้น เขาจะพูดอะไรกับท่านแม่กันนะ?

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลา ชั้นก็จะซ่อนอยู่ข้างหลังของออฟรานซ์ซังแล้วตามเขาไปยังห้องนอนของท่านพ่อ จากนั้นชั้นก็จะไปซ่อนก่อนจะปรากฏตัวออกมาในตอนที่รูจติดกับดักของท่านพ่อแล้ว

 

เหตุผลที่ว่าทำไมท่านพ่อถึงไม่จัดการเธอในห้องทำงานไปเลยก็เพราะว่าเขาอยากจะหาหลักฐานและจัดการกับเธอโดยที่เธอไม่ทันระวังตัว เธอจะได้ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆทั้งนั้น

 

และอีกเหตุผลก็คือการติดตั้งกับดักเวทมนตร์นั้นเหมาะสมกับห้องนอนของเขามากกว่า ท่านพ่อบอกว่ามันเป็นกับดักที่จะเผยเวทมนตร์ดำ ดังนั้นมันคงเป็นอะไรอย่างที่มีเรื่องราวแฟนตาซีแน่เลย

 

ชั้นได้พูดคุยกับออฟรานซ์ซังถึงสถานการณ์มาซักพักนึงแล้ว และก่อนที่ชั้นจะรู้ตัว ชั้นก็หลับไปซะแล้ว ดูเหมือนจะเป็นเพราะว่าชั้นทำอะไรหลายๆอย่างในทันทีด้วยแรงของเด็กสาวตัวน้อยๆละนะ

 

ดังนั้นชั้นเลยหลับไปซักพักโดยมีออฟรานซ์ซังคอยเฝ้าให้ และเมื่อชั้นตื่นขึ้นมา ชั้นก็ได้ทานอาหารประเภททานง่ายๆเป็นมื้อเย็นไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูห้องของชั้นดังขึ้น

 

“อลิซ พ่อขอเข้าไปนะ”

 

“ท่านพ่อ! เชิญเลยค่ะ”

 

ท่านพ่อยิ้มออกมาขณะที่เขาเห็นชั้นในตอนที่เปิดประตูเข้ามาอย่างเงียบๆ

 

“อาา อยู่ใกล้ๆลูกนี้มันรู้สึกปลอดโปร่งดีจริงๆ… ที่พ่อเจอมามันแย่มากเลยละ”

 

ตอนที่เขาพูดแบบนั้นออกมา ท่านพ่อก็ได้นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน ดูเหมือนกับดักขั้นแรกจะสำเร็จไปได้ด้วยดี

 

“พ่อรู้สึกถึงเวทมนตร์ดำแล้วก็พยายามต่อต้านมันโดยที่ไม่ทำให้เธอรู้ตัว มันเป็นความรู้สึกแปลกๆที่พยายามชักนำความคิดของพ่อ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อไม่รู้สึกถึงมันมาก่อนหน้านี้เลย”

 

โอ้ มันคงจะสาหัสน่าดูเลยนะ

 

“ทั้งนายท่านแล้วก็กระผมนั้นมีการต้านทานเวทมนตร์ที่สูงมากขอรับ ทว่าเวทมนตร์ดำนั่นก็ยังมีพลังมากพอที่จะทำให้พวกเราไม่รับรู้ถึงมันได้เลยขอรับ กระผมมั่นใจว่าเจตนาร้ายของเธอต้องแข็งแกร่งมากๆเลยละครับ”

 

ออฟรานซ์ซังขมวดคิ้วพร้อมกับออกความเห็น

 

“อย่างไรก็ตาม ข้าก็จะจบเรื่องนี้ให้ได้ มาที่ห้องของข้าในอีก 1 ชั่วโมงให้หลังนะ”

 

ออฟรานซ์ซังกับชั้นก็พยักหน้าให้กับเขาด้วยสีหน้าที่ได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 7 การยั่วยวน

 

ชั้นมีชื่อว่า รูจ สมิธ เป็นเมดของตระกูลอาเชอร์เลช

 

ตอนนี้ ชั้นกำลังดันรถเข็นไปตามทางเดินเพื่อมุ่งสู้ห้องทำงาน

 

ชั้นได้ชงชาด้วยบรั่นดีก่อนนอนสำหรับนายท่านสุดที่รักในเดือนที่มีอากาศเย็นๆแบบนี้ เพื่อให้เขาได้นอนหลับอย่างสบาย

 

ถึงมันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ชั้นจะได้อยู่สองต่อสองกับน่ายท่านที่รักยิ่งของชั้น หลังจากแต่งตัวตามปกติ ชั้นก็ได้เคาะประตูห้องเพื่อขออนุญาตก่อนจะเข้าไปในห้อง

 

“ดิชั้นนำชามาให้ท่านค่ะ”

 

ชั้นเข้าไปใกล้กับนายท่านก่อนจะรินชาใส่แก้วที่ชั้นอุ่นมาก่อนหน้านี้แล้ว หยดละอองบรั่นดีเล็กน้อยก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

 

“อา ขอบใจนะ”

 

นายท่านหันมาขอบคุณชั้นทั้งๆที่ชั้นเป็นคนรับใช้แท้ๆ ชั้นตอบเขากลับโดบการก้มหัวเล็กน้อย นี่เป็นหนึ่งในความวิเศษของสุภาพบุรุษคนนี้

 

ชั้นชอบช่วงเวลานี้มากเลยละ

 

เพราะชั้นสามารถจินตนาการถึงความสำพันธ์อันลึกซึ้งกับนายท่านของชั้นได้ยังไงละ การเสิร์ฟชาให้เขาด้วยตัวเองในช่วงเวลาส่วนตัวก่อนเข้านอนแบบนี้หน่ะ

 

มันเหมือนกับภรรยาที่กำลังดูแลสามีเลยนี่นา!

 

เรือนผมสีฟ้าอ่อนที่ทำให้ชั้นนึกถึงดวงตาสีฟ้าคริสตัลบริสุทธิ์อันสดใสของนายท่าน

 

คนๆนี้ขนาดสีก็ยังงดงามเลย… และชั้นในฐานะภรรยาของเขาก็กำลังชงชาให้อย่างเงียบๆ โอ้ว ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ!

 

ชั้นผลักเรื่องราวแฟนตาซีนั้น — ไม่สิ อีกไม่นานชั้นก็จะทำให้มันกลายเป็นจริงแล้ว — ออกไปจากหัวก่อนที่จะตัดสินใจพูดคุยแรกเปลี่ยนกับเขาตามปกติ

 

“ท่านอยากจะทราบถึงสุขภาพของนายหญิงหรือปล่าวคะ?”

 

“…ได้สิ เล่ามาได้เลย”

 

ใช่แล้ว ระหว่างดื่มชา ชั้นมักจะรายงานนายท่านถึงสภาพของนังนั่น แน่นอนว่า ในเชิงลบหน่ะนะ

 

ชั้นไม่ได้ยึดหน้าที่ชงชาให้กับเขาเพียงคนเดียวหรอกนะ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ทุกวัน แต่ชั้นก็รู้ว่าแบบนั้นจะทำให้ชั้นไม่ถูกสงสัยและมีความน่าเชื่อถือมากกว่า

 

“ภรรยาของท่านออกไปพบกับท่านออดีพัชในตอนที่มีการกันคนออกจากห้องของคุณหนูในตอนเช้าค่ะ จากนั้นเมื่อนายหญิงกลับมา เมดก็ได้บอกเธอถึงเรื่องของคุณหนู ทว่า นายหญิงกลับใจลอยและดูจะไม่สนใจเลยค่ะ… เมดคนนั้นได้พูดคุยกับเธอ แต่เธอกลับเอาแต่เงียบและจ้องมองไปยังความว่างเปล่าค่ะ…”

 

ชั้นทำให้มั่นใจมากขึ้นโดยการแสดงสีหน้าสุดเศร้าหมองขณะที่รายงานกับเขา

 

“……งั้นรึ เอเลนอร์ไปถึงขั้นนั้นแล้ว…”

 

นายท่านเปลี่ยนใบหน้าที่สวยงานของเขาเป็นสีหน้าเจ็บปวดและพึมพำออกมา

 

“นายท่านคะ… ถึงอย่างงั้น หลังจากที่มีการกันคนออกไปแล้ว ห้องของคุณหนูก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปจนทำให้ทุกคนเป็นห่วงว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นหรือปล่าวหนะค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูงั้นหรือคะ?”

 

ใช่ มันมีคำสั่งให้ทุกคนอยู่ห่างจากห้องของอดีตเด็กกำพร้าสกปรกนั่น

 

หลังจากนั้น ห้องนั้นก็ถูกหวงห้าม และเมดที่ประจำอยู่ในห้องก็ถูกถอนออกทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้เรื่องอะไรข้างในเลย ที่ชั้นเห็นเพียงอย่างเดียวก็คือ ออฟรานซ์ได้เข้าไปทำหน้าที่แทนพวกเมดนั่นเอง

 

นายท่านกับออฟรานซ์ที่ออกมาจากห้องหลังจากกันคนออกไปแล้วนั้น ทั้งคู่มีสีหน้าที่แข็งทื่อและไม่พูดอะไรออกมาเลย

 

จากนั้น นังนั่นที่มักจะไม่ออกจากบ้านก็ยิ่งดูไม่มั่นคงมากกว่าปกติ แล้วก็ขังตัวเองเอาไว้ในห้อง

 

มันเป็นโอกาสเหมาะที่จะทำให้แม่ลูกนั่นจนมุมแล้ว แต่ว่า มันมีข้อมูลรอบๆไม่เพียงพอหน่ะสิ

 

สุขภาพของนังเด็กนั่นแย่ลงรึปล่าว? เธอตายไปแล้วงั้นหรอ? หรือว่าเป็นไปได้ที่เธอจะหายดีแล้วกัน?

 

ชั้นอยากจะรู้เรื่องนั้นให้เร็วที่สุด

 

“ขอโทษนะ แต่ว่าข้าบอกอะไรเจ้าไม่ได้จริงๆ ไปบอกคนอื่นๆเถอะว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมากหรอก”

 

“งั้นหรือคะ… ไม่สิ ดิชั้นต้องขออภัยที่ล่วงเกินไปหน่อย ดิชั้นจะไปบอกให้ทุกคนทราบตามที่ท่านบอกเองค่ะ”

 

ชั้นถอยออกมาไม่ถามอะไรต่อ แต่หัวใจของชั้นยังไม่สงบลงเลย

 

ความปิติยินดีที่อยากจะได้ยินว่าเธอตายไปแล้ว ความคิดอันดำมืดที่กำลังคิดหาทางเก็บงานหากเธอหายป่วย และอาการใจร้อนที่อยากจะได้ข้อมูลเพิ่ม

 

ความรู้สึกเหล่านั้นกำลังวนเวียนอยู่ในหน้าอกของชั้น แต่ชั้นก็ไม่ได้ปล่อยพวกมันออกมา

 

“…ข้ารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน…”

 

“!!”

 

ชั้นรีบพยายามมองเข้าไปในดวงตาของนายท่าน แต่ก็รีบหันหลบออกมาทันที

 

ชั้นไม่เคยได้ยินเขาบ่นออกมาแบบนี้มาก่อน

 

นายท่านดูเหนื่อยอ่อนก่อนจะเอามือข้างนึงปิดตาแล้วเอนหลังลงบนเก้าอี้ของเขา

 

“นะ-นายท่านคะ…?”

 

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาจึงดูต่างไปจากปกติ มันเหมือนกับว่าเขากำลังคุยกับชั้นมากกว่าการพูดคนเดียวตามปกติ

 

หัวใจของชั้นกำลังเต็นระบำจากโอกาสในครั้งนี้

 

“…อุ๊ก ลูกสาวของข้าก็เป็นแบบนั้น และภรรยาของข้าก็ถึงขีดจำกันของเธอแล้ว ข้าเหนื่อยกับมันเหลือเกิน… รูจ”

 

!!!

 

เมื่อกี้… ชื่อของชั้นมัน…?

 

นายท่านเรียกชื่อของชั้นอย่างงั้นหรอ…?

 

ชั้นรู้สึกถึงใบหน้าของชั้นที่กลายเป็นสีแดง เสียงเข้มๆอันสง่างามของนายท่านกำลังเรียกชื่อชั้นอย่างงั้นหรอ…?

 

นายท่านเป็นคนที่จำชื่อของคนรับใช้ของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่แน่นอนว่ามันเป็นโอกาสหายากที่เขาจะเรียกเหล่าคนรับใช้ด้วยชื่อ เขามักจะเรียกชั้นว่า “เธอ” เท่านั้น

 

ชั้นตัวสั่นเพราะเสียงหวานๆที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากของนายท่าน

 

“อ่าห์… ดิชั้นมั่นใจว่าท่านคงจะมีช่วงเวลาที่ลำบากกับมันแน่เลยค่ะ… ดิชั้นเสียใจที่ได้ยินว่าภรรยาและลูกสาวของท่านต้องมาทนทุกข์ทรมานจากโรคที่โหดร้ายนั่น ดิชั้นต้องขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งค่ะ”

 

โอ้ พระเจ้า ชั้นคิดอะไรดีๆกว่านี้ไม่ได้แล้ว!

 

ชั้นตกใจกับบทสนทนาส่วนตัวที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นนี้

 

“โอ้ พี่ชายของภรรยาข้าได้บอกให้ข้าปล่อยนางไป บางทีคงถึงเวลาที่ข้าต้องสะสางเรื่องนี้ซะแล้วสิ… ข้าคงจะทิ้งทุกสิ่งเพื่อที่จะได้สบายใจสักที เพียงแค่ระหว่างเธอกับข้าละนะ”

 

“โอ้! ได้แน่นอนค่ะ นายท่าน…!”

 

การพัฒนาที่ตัวชั้นเฝ้าใฝ่ฝันถึงตลอดมาอยู่ๆก็ปรากฏขึ้นจากไหนไม่รู้ ชั้นรีบขว้ามันและกลืนกินมันทันที

 

ทว่าสิ่งที่ทำให้ชั้นตกใจมากกว่าก็คือ

 

นายท่านได้หันมาทางชั้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย้ายวนราวกับว่ากำลังกระซิบ

 

“…มาคิดดูดีๆแล้ว เธอมักจะคอยชงชาให้ชั้นในเวลาที่ข้าเหนื่อยอ่อนแบบนี้ประจำเลยสินะ ข้าคงต้องขอขอบคุณเธอในเรื่องนี้”

 

“โอ๊ะ ไม่ค่ะ มันเป็นหน้าที่ของดิชั้น…”

 

นายท่านยิ้มออกมาและตามด้วยเสียงหัวเราะ

 

“ไม่หรอก ชาที่ชงด้วยความใส่ใจเพื่อข้าหน่ะรสชาติมันแตกต่างมากเลยละ ข้ามั่นใจว่าเธอต้องมีสายเลือดของขุนนางไหลเวียนอยู่ตั้งแต่แรกแน่นอน ตัวเธอมีเสน่ห์แบบนั้นนะ”

 

“ขอบคุณค่ะ” ชั้นตอบกลับด้วยความเขินอาย ชั้นตกอยู่ในห้วงแห่งความสุขจนไม่อาจคิดอะไรอื่นได้

 

มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าชั้นมีสายเลือดของขุนนาง ทว่า นายท่านกับรับรู้ถึงมัน!

 

“เธอมักจะทำอะไรเพื่อข้าเสมอมาเลย… พูดตามตรง พักหลังมานี้ข้ามักจะเฝ้าคอยช่วงเวลาก่อนนอนแบบนี้เสมอเลย”

 

โอ้ แหม นี้มัน… นี้มันเกิดขึ้นจริงๆอย่างนั้นหรอ?

 

ก่อนที่ชั้นจะรู้ตัว นายท่านก็เคลื่อนตัวมาข้างเพื่อเท้าศอกลงบนโต๊ะก่อนจะมองมาที่ใบหน้าของชั้น จากนั้นเขาก็ขยับริมฝีปากอันงดงามนั้น

 

“ชั้นหวังว่าชั้นจะมีช่วงเวลาแบบนี้มากกว่านี้… นี่ รูจ”

 

“อา…นายท่านคะ…?”

 

ชั้นกอดร่างของตัวเองที่เกือบจะล้มลงไปด้วยความปิติยินดี และเฝ้ารอคำพูดถัดไปของนายท่าน

 

โอ้ ดวงตาแบบไหนกันนะที่ตอนนี้นายท่านใช้มันมองมาที่ชั้น? ชั้นเสียดายจริงๆที่ไม่อาจสบตากลับไปได้

 

“ขอแค่เธอยินดี… เธอจะเป็นคนปลอบประโลมข้าได้ไหม?… เธอมาที่ห้องนอนของข้าหลังจากนี้ได้หรือปล่าว?”

 

ชั้นแสร้งทำเป็นเขินอายโดยการเอามือมาปิดปากของตัวเอง

 

“อ่าห์… เรื่องแบบนั้น… มัน…”

 

นายท่านจ้องมองมาที่ชั้นทั้งๆแบบนั้น ก่อนจะกระซิบออกมาอย่างช้าๆด้วยน้ำเสียงเย้ายวน

 

“มอบทุกสิ่งทุกอย่างของเธอให้แก่ข้าเถอะนะ”

 

โอ้ วันนี้มันวันอะไรกันนะ

 

ชั้นกระซิบตอบกลับไปคำน้อยๆว่า ‘ค่ะ’

 

================================================================

TL: อืม งูพิษจริงๆ

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 6 พันธมิตร

 

อย่างแรกเลย ชั้นได้บอกความจริงกับท่านพ่อโดยที่ไม่มีการปิดบังใดๆเลย

 

เรื่องที่ถูกล่อลวง เรื่องที่แอบเข้าไปในห้องสมุด เรื่องเอกสารฉบับนั้น และรวมถึงเรื่องที่ถูกบังคับเกี่ยวก้อยสัญญา

 

ยิ่งไปกว่านั้น ชั้นได้บอกเขาถึงแผนการของรูจเท่าที่ชั้นจะจำได้ แผนที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่โดยการยุยงแต่ละฝั่ง ชั้นบอกเขาไปทั้งหมดที่จำได้เลย

 

“หนูจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังเอง ดังนั้นรบกวนฟังให้จบ และพยายามตามให้ทันด้วยนะคะ”

 

ชั้นบอกให้เขาทำอย่างนั้น ทว่า ตั้งแต่กลางเรื่องจนถึงจบเรื่อง ท่านพ่อก็เอาแต่นิ่งเงียบแล้วนั่งด้วยท่าท้าวศอกและกุมมือที่ข้างหน้าริมฝีปาก

 

ยิ่งไปกว่านั้น อุณหภูมิของห้องก็ลดลงเรื่อยๆราวกับว่ามีเวทมนตร์บางอย่างที่ตอบสนองต่ออารมณ์ของท่านพ่อเลย

 

มีบรรยากาศหนาวเย็นยะเยือกก่อตัวที่บริเวณท้าวของท่านพ่อ — นี่มันจะไม่เป็นไรใช่ไหมเนี้ย? มันไม่ใช่การระเบิดของพลังเวทย์อะไรแบบนั้นใช่ไหม…?

 

เรื่องที่อยู่ๆชั้นก็หายดีนั้น ชั้นได้อ้างว่าตัวชั้นได้ยินเสียงในความฝัน ชั้นบอกเขาไม่ได้หรอกว่ามันเป็นเพราะชั้นมีความทรงจำจากชาติก่อน โดยเฉพาะในตอนนี้ที่สติของชั้นพึ่งค่อยๆพื้นตัวดีขึ้นแบบนี้…

 

“หนูนั้นหมดทั้งเรี่ยวแรงและกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อ และก็รู้ตัวด้วยว่าหนูกำลังจะตายค่ะ หนูคิดว่ามันคงจะดีถ้าหนูไม่สามารถสร้างปัญหาให้ใครได้อีก จากนั้น หนูก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งในฝัน มันบอกว่าในตอนนี้หนูนั้นยังไม่ถึงเวลาจากโลกนี้ไปค่ะ”

 

มันดูเป็นข้ออ้างที่อ่อนแอ แต่ด้วยการที่ท่านพ่อร้องไห้สะอื้นออกมาในท่านั่งเดิมนั้น บางทีเขาคงจะเชื่อละนะ

 

ก็แบบว่าจากความรู้ของอลิซ เวทมนตร์กับสปิริตมันมีตัวตนอยู่จริงภายในโลกนี้นี่นา ดังนั้น มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะอ้างว่าได้ยินเสียงของพระเจ้าหรือสปิริต แม้กระทั่งอ้างว่าได้ยินเสียงจากบรรพบุรุษก็ยังได้เลย

 

ชั้นละอยากจะเรียนรู้ของแฟนตาซีพวกนั้นอย่างถี่ถ้วนจริงๆ แต่ต้องหลังจากจัดการกับยัยปิศาจนั่นได้ซะก่อนละนะ

 

ตอนนี้ ท่านพ่อที่อยุ่ในท่าเดิมมาเป็นเวลานานก็ได้เงยหน้าขึ้น

 

บรรยากาศหนักขึ้นราวกับว่ามีเข็มทิ่มแทง

 

ดวงตาของเขาเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา ทว่าสีหน้าของเขานั้นแสดงออกถึงการเป็นหัวหน้าของตระกูลอาเชอร์เลช

 

“นี่ลูกเชื่อในสิ่งที่เมดนั่นพูดรึปล่าว?”

 

จากที่ได้มองหน้าของท่านพ่อ ชั้นก็รู้ได้เลยว่าเขานั้นได้เตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว ดังนั้น ชั้นจึงมั่นใจว่ามันคงเป็นเรื่องนั้นแน่ๆ

 

ถ้าเป็นยังงั้น ชั้นก็จะพูดในสิ่งที่ชั้นรู้สึกจริงๆออกไป

 

“หนูรักทั้งท่านพ่อกับท่านแม่ และหนูก็เชื่อว่าพวกท่านรักหนู ดังนั้น หนูจึงไม่สนใจความจริงที่รูจพูดเอาไว้หรอกค่ะ… ในสักทางละนะคะ”

 

ท่อนสุดท้ายนั้นโกหก

 

ส่วนหนึ่งในจิตใจของชั้นที่ได้ใช้ชีวิตเป็นอลิซมานั้นกำลังร่ำไห้ อีกส่วนหนึ่งในหัวใจที่ยังคงอ่อนแอและยังคงไม่พัฒนานั้นได้ร้องไห้ออกมา

 

เพราะแบบนั้น น้ำตาของชั้นก็ได้ไหลออกมาจากดวงตาเร็วมาก ทั้งๆที่ตัวชั้นเองก็ยังคงใจเย็นอยู่

 

ทันใดนั้น ในตอนที่ชั้นเริ่มรู้สึกถึงความสิ้นหวัง ท่านพ่อก็ได้กอดชั้นแน่นๆในอ้อมกอดของเขา

 

เขาขึ้นมาบนเตียงแล้วมอบโอบกอดที่หนักแน่นให้กับชั้น

 

“อลิซ ในฐานะที่พ่อเป็นพ่อของลูก พ่อรักลูกมากๆ แม้จุดเริ่มต้นมันจะแตกต่างจากครอบครัวอื่นๆก็ตาม แต่นั่นก็คือความจริงอยู่ดี”

 

ท่านพ่อพูดกับชั้นอย่างช้าๆและหนักแน่นในทุกคำพูด

 

ชั้นตอบสนองโดยการสวมกอดเขากลับไปอย่างอ่อนโยน

 

***

 

พวกเรากอดกันเป็นเวลานาน นานจนรับรู้ได้ถึงความรักระหว่างพ่อกับลูก ทว่า เสียงเคาะประตูก็ได้นำสติของพวกเราทั้งคู่กลับมา

 

ท่านพ่อปล่อยชั้นอย่างเสียดายก่อนจะกลับไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียงเหมือนเดิม

 

บรรยากาศเย็นยะเยือกก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้วในตอนที่พวกเราได้สวมกอดกัน

 

เมื่อท่านพ่อลูบหัวของชั้นในตอนที่พวกเราแยกกัน มันได้นำความสุขมากมายมาให้กับชั้น

 

“ออฟรานซ์งั้นรึ?”

 

ได้ยินเสียง ‘ขอรับ’ ตอบกลับมา และออฟรานซ์ซังที่ได้คำรับอนุญาติก็ได้เข้ามาในห้อง

 

“เจ้าได้กันคนออกไปและทำให้พวกเขาเงียบเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

 

“ขอรับ เรียบร้อยแล้วขอรับ กระผมได้ขอให้พวกเขาไม่ส่งใครมาในบริเวณนี้แล้วขอรับ แล้วท่านอยากจะให้กระผมทำสิ่งใดต่อไปหรือขอรับ?”

 

ชั้นพยักหน้าให้กับท่านพ่อเมื่อเขาส่งสายตามาถามชั้นถึงเรื่องที่ชั้นอยากจะทำต่อไป ชั้นได้พยักหน้าตกลงให้กับเขา

 

“ใช่…แล้ว ออฟรานซ์ เจ้ารู้เรื่องสถานที่เกิดที่แท้จริงของเด็กคนนี้ด้วยสินะ ถ้ายังงั้นนายก็สามารถเข้าร่วมการสนทนาครั้งนี้ได้”

 

โอ๊ะ งั้นออฟรานซ์ซังก็รู้ต้นกำเนิดของชั้นด้วยหรอเนี้ย

 

ขณะที่ชั้นกระพริบตาปริบๆด้วยความแปลกใจ ออฟรานซ์ซังก็ได้ตื่นตระหนกออกมา

 

“นะ-นายท่านขอรับ!! ทำไมท่านถึงมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคุณหนูกันละขอรับ…?!”

 

“อลิซหน่ะได้รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเธอเองตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อนแล้ว นั่นแหล่ะเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงขอให้กันคนออกไปยังไงละ”

 

“!! แต่ว่าได้ยังไงกัน… เรื่องแบบนี้… ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้…!”

 

ออฟรานซ์ซังพูดติดๆขัดๆออกมาแล้วเอาเมือกุมหัวของเขา เขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เขาสับสนมากจนเริ่มตัวสั่นไปหมด ก็คงแบบนั้นละนะ ชั้นคิดว่าสำหรับเด็ก 5 ขวบ… จริงๆแล้วตอนนั้นชั้นอายุ 3 ขวบนี้นา เอาเถอะ การเปิดเผยเรื่องแบบนี้ให้กับเด็กอายุเท่านี้นั้นก็โหดร้ายเกินไปจริงๆละนะ

 

อย่างไรก็ตาม ชั้นก็ได้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้กับออฟรานซ์ซัง

 

ตามปกติ ออฟรานซ์ซังจะเป็นคนสุขุมและใจเย็น เขาทำงานได้อย่างสง่างามและรวดเร็ว ทว่า ขณะที่กำลังเล่าเรื่องราวอยู่นั้น เขาก็กำลังวุ่นวายอยู่กับทั้งการร้องไห้,โกรธ,และโศกเศร้าออกมา

 

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อออฟรานซ์ซังโกรธ อุณหภูมิของห้องก็สูงขึ้นและบริเวณด้านหลังของเขาก็เบลอๆราวกับภาพลวงตา ทว่าเมื่อท่านพ่อรับรู้ได้ถึงมัน เขาก็พึมพำบางอย่างก่อนจะโบกนิ้วของเขาออกไป ลมเย็นๆก็ได้พัดเข้ามาพร้อมกันนั้นอุณหภูมิของห้องก็ได้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

 

อะฮ่าห์! ความแฟนตาซีละ~! ชั้นอดทนรอที่จะได้จดจ่อกับสิ่งแฟนตาซีเหล่านี้ไม่ไหวแล้ว แต่ทว่าตอนนี้ชั้นต้องสนใจเรื่องที่อยู่ตรงหน้าก่อน!

 

ขณะที่ชั้นกำลังคิดอะไรในหัวของตัวเองอยู่นั้น ออฟรานซ์ซังก็ได้ทำท่าทางท้าวศอกและกุมมือที่ข้างหน้าริมฝีปากแบบเดียวกับท่านพ่อเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ชั้นหัวเราะออกมาข้างในเล็กน้อยโดยที่ไม่ให้ใครได้ยิน

 

ขณะที่ชั้นยังคงอธิบายเรื่องราวให้กับออฟรานซ์ซังฟังนั้น ชั้นก็ได้เหลือบมองไปที่ท่านพ่อและก็สะดุ้ง ชั้นทำอะไรไม่ได้นอกจากหันหน้าหนี เมื่อได้เห็นเขาแสดงสีหน้าดิบเถื่อนกระหายเลือดออกมา ก่อนหน้านี้เขาก็อาจจะได้ทำสีหน้าแบบนี้ออกมาแล้วก็ได้ ทว่าชั้นก็บอกอะไรไม่ได้เนื่องจากตอนนั้นหน้าของเขาแทบทั้งหมดถูกซ่อนไว้ด้านหลังท่ากุมมือนั่น

 

ในตอนที่ถึงท่อนที่ชั้นนั้นถูกข่มขู่ ใบหน้าของเขาก็ดูเย็นชาขึ้นและจ้องมองไปยังความว่างเปล่าด้วยรอยยิ้มอันสง่างามราวกับว่าเขามาถึงขีดสุดแล้ว รูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้บ่งบอกได้เลยว่าเขาจะต้องฆ่ารูจให้ได้อย่างแน่นอน ความตั้งใจของเขานั้นแข็งแกร่งเหมือนกับจอมมารมาเองเลยทีเดียว

 

ตลอดเวลามานี้ ชั้นเห็นเพียงแค่เขาที่พยายามอดทนอดกลั้นเอาไว้ ทว่าตอนนี้ จิตวิญญาณของเขาได้ลุกโชนและดูเขาจะสดชื่นมากๆเลย ในตอนนั้นเองที่ชั้นสาบานกับตนเองเลยว่าจะไม่ทำให้เขาโกรธเด็ดขาด… น่ากลัวชะมัด!

 

เมื่อชั้นได้เล่าเรื่องจบ ออฟรานซ์ซังก็ได้ยืนขึ้น ก่อนจะโค้งตัวให้กับชั้น เป็นการโค้ง 90 องศาที่สมบูรณ์แบบจริงๆ

 

“คุณหนู กระผมต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งจากการกระทำของคนงานของกระผมจนถึงบัดนี้ขอรับ หนึ่งในคนงานภายใต้สังกัดของกระผมได้ทำบางสิ่งที่สมควรได้รับโทษตาย และกระผมเองก็ได้พลาดที่จะสังเกตถึงความเจ็บปวดของคุณหนูขอรับ รวมถึงการที่คุณหนูที่ติดอยู่ในความเจ็บมาอย่างยาวนานนั้น กระผมไม่อาจช่วยอะไรได้เลย กระผมขอกล่าวอีกครั้งนะขอรับ กระผมต้องขออภัยคุณหนูอย่างสุดซึ้งจริงๆขอรับ”

 

จากนั้นเขาก็หันไปทางท่านพ่อ ออฟรานซ์ซังก็ได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น

 

“นายท่านขอรับ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆในฐานะพ่อบ้านเรื่องที่กระผมไม่อาจควบคุมผู้คนในคฤหาสน์ได้อย่างสมบูรณ์ขอรับ กระผมขอน้อมรับบทลงโทษอย่างสาสมภายหลังจากที่จบเรื่องราวครั้งนี้ขอรับ กระผมทำให้ท่านผิดหวังในฐานะพ่อบ้านขอรับ”

 

“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะลงโทษเจ้า”

 

“!!”

 

ชั้นจ้องมองกลับไปที่ท่านพ่อด้วยสายตาจริงจัง ท่านพ่อที่กำลังจ้องมองไปที่ออฟรานซ์ซังด้วยดวงตาที่ไม่แสดงถึงอารมณ์ใดๆเลย

 

“รับทราบขอรับ ถ้าเรื่องนี้จบลง กระผมจะสละตำแหน่งของตัวเองขอรับ และถ้าท่านจะโยนกระผมออกไปราวกับคนหลอกลวงละก็…”

 

ออฟรานซ์ซังก้มหัวของเขาลงอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ

 

“อา ใช่ เท่าที่ข้าเห็น เรื่องนี้คงยังไม่จบบริบูรณ์ง่ายๆไปอีก 70 ปีเลย ดังนั้นจนกว่าจะถึงตอนนั้น ข้าก็ยังคงตกอยู่ในความดูแลของเจ้าละนะ”

 

“!!”

 

ออฟรานซ์ซังเงยหน้าขึ้นทันที

 

ท่านพ่อมองหน้าของเขาก่อนจะพูดออกมาว่า ‘ให้ตายสิ’ และหลังจากนั้นเขาก็บ่นพึมพำออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

 

“ไม่มีพ่อบ้านคนไหนเหมาะสมกับตระกูลอาเชอร์เลชไปมากกว่าเจ้าแล้ว เพราะอย่างนั้น เจ้าไม่อาจสละตำแหน่งได้ ดังนั้น ด้วยความสามารถทั้งหมดที่ข้ามี ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเกรียณตัวเองจนกว่าเจ้าจะแต่งงานอย่างมีความสุขและเลี้ยงดูทายาทพ่อบ้านที่แข็งแกร่งออกมาเด็ดขาด”

 

“ซิกมุนด์ซามะ…”

 

ออฟรานซ์ซังนั้นสั่นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก มีหยดน้ำตาล่วงลงมาขณะที่เขาก้มหัวลง

 

“แทนที่ข้าจะบังคับปลดเจ้าออก ข้าเองต่างหากที่ควรจะลงจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูล รวมถึงในฐานะสามีและในฐานะพ่อคนด้วย ตัวข้าไม่แม้แต่จะทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกสาวของข้า หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ภรรยาของข้านั้นป่วยมากขึ้นอีกด้วยเช่นกัน”

 

“แบบนั้นหนูไม่เอานะ!”

 

ชั้นตะโกนออกไปในทันที

 

“ท่านพ่ออดทนมาตั้งหลายปี และยังคงรักหนูกับท่านแม่เสมอมา! หนูชอบที่ท่านพ่อเป็นท่านพ่อของหนูนะ!”

 

ทั้งหมดนั้นคือความจริง ความรักและความอดทนของท่านพ่อนั้นเป็นของจริง โดยเฉพาะตัวชั้นที่เคยผ่านการอาศัยในญี่ปุ่นที่การหย่าร้างนั้นถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

 

“และหนูเองก็ได้เห็นมาแล้วว่าออฟรานซ์ซังนั้นคอยช่วยเหลือท่านพ่อกับท่านแม่มากแค่ไหน เป็นเพราะออฟรานซ์ซังหนูเลยมาถึงจุดนี้ได้! หนูเองก็ชอบออฟรานซ์ซังที่เป็นพ่อบ้านของหนูเหมือนกัน!”

 

ชั้นเป็นคนที่ตะโกนความในใจพวกนั้นออกมา ทว่า คนที่ได้รับผลมากที่สุดคงเป็นท่านพ่อกับออฟรานซ์ซัง พวกเขากลืนความรู้สึกของพวกเขาเองแล้วถูกบังคับให้มองมาที่ชั้น

 

บทสนทนามันไปได้ไม่ถึงไหน ดังนั้น ชั้นจึงตัดบทแล้วประกาศมันออกมา

 

“เอาเถอะค่ะ ยังไงก็ตาม… หนูก็รักทั้งท่านพ่อและออฟรานซ์ซัง หนูเสียใจที่หนูไม่ยืนหยัดให้ได้เร็วกว่านี้ แต่ หนูไม่ได้เกลียดครอบครัวของหนูหรอกนะคะ ดังนั้น เรามาร่วมมือกันจัดการกับคนไม่ดีกันเถอะค่ะ!”

 

ไปฆ่ารูจกันเถอะ! ทำลายเธอเลย!… นั่นเป็นสิ่งที่ชั้นไม่อาจพูดออกไปได้ ดังนั้นชั้นจึงลดระดับลงมาเล็กน้อย ถึงแบบนั้น บรรยากาศรอบๆตัวของท่านพ่อกับออฟรานซ์ซังก็ได้เปลี่ยนไป

 

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระผมเองขอรับ คุณหนู ครั้งนี้ในฐานะพ่อบ้านของคุณหนู กระผมจะกำจัดบุคคลที่แสนจะน่ารังเกียจออกไปจากคฤหาสน์ของคุณหนูเองขอรับ ถึงแม้จะแลกด้วยชีวิตของกระผมก็ตาม”

 

ขณะที่ออฟรานซ์ซังประกาศกร้าวออกมาแบบนั้น อุณหภูมิรอบๆตัวเขาก็ได้สูงขึ้นตามอารมณ์ตื่นเต้นของเขา เหมือนกับตอนก่อนหน้านี้ เรือนผมสีแดงเข้มของเขานั้นปลิวไสวไปมาอย่างนิ่มนวล

 

ดวงตาสีน้ำตาลแดงของเขาลุกโชนไปด้วยไฟแห่งปณิธานอันแรงกล้า

 

ท่านพ่อก็พูดขึ้นต่อจากออร์ฟรานซ์ซังด้วยออร่าที่ไม่ย่อท้อ

 

“ในฐานะ ซิกมุนด์ สเตฟาน อาเชอร์เลช หัวหน้าตระกูลอาเชอร์เลช พ่อขอสัญญาว่าในครั้งนี้ พ่อจะไม่ทำผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง พ่อขอสัญญาต่อลูกถึงฉากจบที่ลูกปราถนา เพื่อลูกสุดที่รักของพ่อ”

 

ทางนี้เองก็เหมือนกัน อุณหภูมิรอบๆเปลี่ยนไปตามอารมณ์ความรู้สึก และผมของเขาที่เป็นสีฟ้าอ่อนราวกับน้ำแข็งนั้นก็ได้ปลิวไสวไปมาภายใต้สายลมเย็นๆที่พัดมาจากไหนก็ไม่รู้

 

ดวงตาสีฟ้าของเขานั้นสวยงามและสว่างไสวจนไม่อาจหยั่งรู้ได้

 

และเพราะแบบนั้น ชั้นเลยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดมา นั่นก็คือท่านพ่อและก็พ่อบ้านของพวกเรานั่นเอง

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 5 หายดีดั่งปาฏิหาริย์

 

ข้ามีนามว่า ซิกมุนด์ สเตฟาน อาเชอร์เลช

 

เป็นมาร์ควิสและเป็นลอร์ดของตระกูลอาเชอร์เลชร่วมกับภรรยาและลูกสาว ข้ามักจะทำงานเพื่อผู้คนและประเทศอยู่เสมอ กลับกัน ข้าก็ยังคอยตั้งใจปกป้องภรรยาและลูกสาวของข้าอีกด้วย

 

ทว่า ‘ตั้งใจ’ นั้น… กลายเป็นอดีตไปแล้ว

 

ข้าพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดการกับบรรยากาศหนาวเย็นภายในครอบครัว ข้าหาหนทางทำอะไรกับมันทุกวิถีทาง ทว่า ไม่ว่าข้าจะทำอะไร ภาวะซึมเศร้าของพวกเธอก็ยิ่งแยาลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งข้าจนปัญญาในการแก้ปัญหากับภรรยาของข้า เอเลนอร์ คนที่ข้ารักมากๆ ดังนั้นข้าจึงเสีย 2 ปีไปอย่างไร้ค่า

 

สุดท้าย เมื่อไม่กี่วันก่อน พี่ชายของ เอเลนอร์ อาดีพัส ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่าจะพาเอเลนอร์กับอลิซกลับบ้านไปกับเขา แต่ ข้าก็ยังรักพวกเธอทั้งคู่มากไม่ว่าพวกนางจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ดังนั้น ข้าจึงขอให้เขารอก่อนและให้ของขอโทษเล็กๆน้อยๆไป

 

ข้าขอร้องอ้อนวอนเขาไปว่าตอนนี้อลิซนั้นป่วยติดเตียงมานานแล้ว แล้วถ้าเขาพาเธอไปในตอนนี้ อาจจะทำให้เธอตายจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปก็ได้

 

เมื่อ ออร์ดีพัส ได้ยินแบบนั้นก็แสดงสีหน้าปั้นยากและเจ็บปวดออกมา

 

เพราะแบบนั้น ข้าจึงทำได้แต่นั่งอยู่ในห้องทำงานพร้อมกับเอามือกุมหัวอยู่แบบนี้ข้าได้แต่นั่งกังวลถึงวันที่ข้ากลัวที่สุดที่กำลังใกล้เข้ามา อยู่ๆเมด คอนนี่ ก็ได้พุ่งเข้ามาในห้องโดยที่ลืมเคาะประตู

 

“นายท่านคะ! คุณหนูเขา!”

 

“กะ-เกิดอะไรขึ้นกับอลิซงั้นเรอะ?!”

 

ไม่มีทาง ไม่มีทางหน่า ต้องไม่เป็นแบบนี้สิ

 

มันปุ๊บปั๊บเกินไปจนทำให้ข้าคิดถึงแต่เรื่องเลวร้าย แต่ คอนนี่ได้ร้องออกมาด้วยสีหน้าปิติยินดีบนใบหน้า

 

“คุณหนูฟื้นแล้วค่ะ! คุณหนูถึงกับลุกออกมาจากเตียงเลย…!”

 

จังหวะที่ข้าได้ยินแบบนั้น ข้าก็วิ่งออกจากห้องทำงานทันที ออฟรานซ์ที่เป็นพ่อบ้านก็ตามข้ามาด้วย

 

ถ้าข้าจะทำตามที่ข้าสัญญาเอาไว้กับ ออร์ดีพัส ละก็ ตอนนี้แหล่ะอาจจะถึงเวลาที่ข้าจะต้องบอกลาภรรยาและลูกสาวของข้าแล้วเมื่ออลิซมีอาการดีขึ้น ถึงยังงั้น ข้าก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้วิ่งไปหาเธอได้หลังจากได้ยินว่าเธอสามารถลุกออกจากเตียงได้แล้ว

 

ดังนั้นเมื่อข้ามาถึงห้องของลูกสาวของข้า ข้าก็ได้ประหลาดใจกับรูปลักษณ์ของเธอ เพราะว่าจนถึงตอนนี้ ตัวเธอมักจะมีสีหน้าขาวซีด,มืดมน,และหวาดกลัวอยู่บนใบหน้าเสมอ

 

ทว่า เมื่อข้าเข้าไปในห้อง ใบหน้าของลูกสาวข้านั้นยังคงสงบนิ่งและอ่อนโยน แถมยังมีแก้มที่มีสีสันเหมือนเด็กทั่วไปอยู่บนใบหน้าของเธออีกด้วย

 

“อลิซ…!”

 

ข้าวิ่งเข้าไปกุมมือลูกสาวของข้าที่กำลังนอนอยู่บนเตียง มือของเธอนั้นมันทั้งบอบบางและอบอุ่นมาก

 

“พ่อคิดว่าลูกจะไม่ตื่นขี้นมาอีกแล้วซะอีก!!”

 

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้อาการของเธอเลวร้ายมาก เธอนอนติดเตียงมาหลายวันและบางครั้งที่เธอตื่นขี้นมา เธอก็ไม่ตอบสนองอะไรแล้วเอาแต่จ้องมองไปยังความว่างเปล่า สัมผัสการคงอยู่ของเธอนั้นอ่อนแอมากราวกับว่าเธอจะตายได้ทุกเมื่อเลย

 

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงตกใจ

 

ลูกสาวของข้าหันหัวของเธอมาทางข้าเล็กน้อยก่อนจะสบตากับข้าตรงๆ

 

“!!”

 

ข้าได้ลืมเลือนสีของดวงตาของลูกสาวข้าไปตังแต่เมื่อไหร่กันนะ? ตอนนี้เธอนั้นมีดวงตาที่แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก

 

ดวงตาของเธอตามปกติแล้วจะเป็นสีทองบริสุทธิ์ที่สวยงามมาก ทว่า บัดนี้พวกมันได้มีทั้งความอ่อนโยนและความรอบรู้อยู่ภายในอีกด้วย มันได้กลายเป็นสีที่แวววาววิบวับและหรูหราราวกับน้ำผึ้ง

 

ข้าตัวสั่นไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย

 

จากนั้นบางอย่างที่ยิ่งกว่ามหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น

 

เธอกำลังส่งยิ้มให้กับข้าดั่งนางฟ้า!

 

มันเหมือนกับว่าเธอกำลังให้กำลังใจข้าด้วยความรู้สึกที่เปราะบางแต่อบอุ่นจากใบหน้าของเธอ

 

ข้าร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่อาจทำเป็นอย่างอื่นได้ ด้านหลังของข้า ออฟรานซ์เองก็สะอื้นออกมาเช่นกัน

 

ทว่า พรจากพระเจ้าก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น

 

“……ท่าน…พ่อ”

 

เสียงโซปราโนอ่อนๆได้ลอยเข้าไปในหูของข้าและข้าก็ได้หันไปทางลูกสาวของข้าอย่างรวดเร็ว เมื่อกี้เธอเป็นคนพูดออกมางั้นหรอ?

 

“อลิซ…? เมื่อกี้… เสียงนั่น…?”

 

เธอพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

 

“ได้โปรด หนูมีเรื่องจะขอ… ต้องการกันคนอื่นๆออกไป… และบอกกับเมดของหนู คอนนี่ ไม่ให้พูดเรื่องอาการของหนู…”

 

ข้าไม่อาจเก็บซ่อนความตกใจได้อีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเรื่องที่เธอหายป่วย ขั้าสงสัยถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญในการพูดคุยกันครั้งนี้

 

“ดะ-ได้สิ… ออฟรานซ์ รบกวนด้วย!”

 

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระผมเองครับ!”

 

ออฟรานซ์เองก็หวั่นไหวเช่นกันเพราะเขาเองก็รักอลิซมาก พี่เขยของข้าเองก็รักเธอเหมือนกัน แต่เสียงของข้าก็ได้นำเขากลับมาจากภวังค์และเขาก็ได้เคลื่อนไหวทันที

 

“อลิซ… โอ้ อลิซลูกรัก ในที่สุดลูกก็หายดีแล้วสินะ ใช่ไหม?”

 

ข้าดูให้มั่นใจแล้วว่าประตูนั้นปิดสนิทก่อนจะหันมาทางลูกสาวของข้าแล้วกล่าวแบบนั้นออกมา ข้าได้ลูบไปที่แก้มของเธอ เธอไม่ได้กลัวหรือปฏิเสธที่ข้าทำแบบนั้นเลย เธอยังคงยิ้มและยอมรับมัน มันก็เป็นเวลา 2 ปีแล้วที่ข้าไม่ได้ทำแบบนี้

 

ข้าสัมผัสได้ถึงความรักที่ไม่รู้จบ

 

“ท่านพ่อ หนูขอโทษค่ะ… หนูขอโทษที่ท่านแม่กับท่านพ่อต้องมาลำบากเพราะหนู…”

 

น่าตกใจมากที่เธอดูจะรับรู้ถึงสภาพภายในคฤหาสน์หลังนี้ด้วย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของลูกหรอกนะ เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่อาจรักษาลูกหรือดูแลอะไรได้เลย

 

“ไม่— ไม่เลย ไม่เป็นไรหรอกนะ อลิซ…! ขอแค่ลูกหายดี ขอแค่ลูกยังมีชีวิตอยู่ พ่อก็ยินดีมากแล้ว!”

 

ข้าไม่อาจหยุดร้องไห้ได้เพราะเธอกลับมาหายดีดั่งปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้ ข้าไม่เคยร้องไห้ในที่สาธารณะมากก่อน แต่ข้าได้หลงลืมวิธีหยุดน้ำตาไปแล้ว และแล้วแก้มของข้าก็ได้เปียกชื้น

 

“ขอบคุณค่ะ ท่านพ่อ… แต่ได้โปรดอย่าพึ่งบอกเรื่องนี้กับท่านแม่เลยนะคะ”

 

ข้ามั่นใจว่าเรื่องนี้มันต้องเกี่ยวกับเรื่องที่ให้กันคนออกไปสินะ แต่ว่าทำไมถึงบอกเอเลนอร์ไม่ได้กันละ?

 

“แต่ว่าทำไมละลูก? เธออาจจะเป็นคนที่เป็นทุกข์ที่สุดจากอาการป่วยของลูกเลยนะ พวกเราต้องบอกเธอให้เร็วที่สุดสิ”

 

ข้าถามออกไป

 

จากนั้นลูกสาวของข้าก็ได้เล่าเรื่องราวความจริงอันน่าขนลุกของสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับข้าฟัง

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 4 ความทรงจำ

 

หลังจากที่ชั้นหมดสติไป รูจก็วางร่างของชั้นไว้บนเตียงแล้วกลับไปทำงานตามปกติเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอรายงานกับหัวหน้าเมดไปว่า “อลิซซามะเหนื่อยจากการเรียนเป็นเวลานานค่ะ เธอเลยผล็อยหลับไป คุณควรไปเตรียมไนท์แคปให้กับคุณหนูแล้วปล่อยให้เธอได้พักผ่อนนะคะ”

 

หัวหน้าเมดเชื่อรายงานของเธออย่างปิติยินดีแล้วปล่อยให้ชั้นได้พักผ่อน เช้าวันถัดมาพวกเขาถึงได้รู้ว่าชั้นมีบางอย่างแปลกไป

 

อย่างแรกเลย ชั้นพูดไม่ได้ และอย่างที่สองก็คือ ชั้นอ่านหรือเขียนไม่ได้

 

ยิ่งไปกว่านั้น ชั้นจะเริ่มมีอาการหวาดกลัวทันที ถ้าชั้นได้ลองอ่านหรือเขียนอะไรซักอย่าง

 

ชั้นสามารถเรียนได้ดีกว่าเด็กที่วไปที่อายุพอๆกับชั้น ทว่า ครั้งล่าสุดที่อาจารย์ของชั้นพยายามจะอ่านหนังสือให้ชั้นฟัง มันทำให้ชั้นตกอยู่ในอาการหวาดกลัว

 

ชั้นหวาดกลัวหังสือ หวาดกลัวคำที่เขียนอยู่ในนั้น ชั้นตัวสั่นเมื่อคิดไปว่าครั้งนี้มันจะมีอะไรเลวร้ายเขียนเอาไว้อยู่ข้างในอีก

 

ชั้นสบตากับผู้คนไม่ได้อีกเลย มันเป็นเพราะชั้นได้เห็นดวงตาที่แสนบ้าคลั่งของรูจเข้า

 

ถึงจะเป็นข้างในคฤหาสน์ ชั้นก็ไม่สามารถพูดหรือทำอะไรได้เลย ชั้นไม่อาจจะแสดงออกถึงความเศร้าหรือความหวาดกลัวภายในหัวของชั้นได้เลยแม้แต่นิดเดียว และมันเป็นทั้งหมดที่ตัวชั้นทำได้เพื่อซ่อนความลับที่ชั้นเกือบจะระเบิดมันออกมา

 

ครอบครัวของชั้นต่างตกอยู่ความสับสนจากการที่ลูกสาวของพวกเขาอยู่ๆก็มีอาการ “ภาวะซึมเศร้ารุนแรง” อาการผิดหวังเห็นได้ชัดเจนจากท่านแม่ที่มีร่างกายอ่อนแอและเธอถูกบอกว่ามันยากที่จะมีลูกคนที่ 2

 

เมื่อเธอถามชั้นว่าชั้นเป็นอะไรไป ชั้นก็ทำได้แค่สายหัว เธอพยายามปลอบชั้นและพยายามอ่านนิทานให้ชั้นฟัง ชั้นชอบฟังนิทานจากท่านแม่นะ แต่ตัวชั้นหวาดกลัวเกินกว่าที่จะฟังมัน ถึงขั้นที่ว่ากลัวที่จะเข้าใกล้มันเลยละ ท่านแม่พยายามทุกวิถีทาง ทว่าการพูดคุยกับเธอในตอนนั้นมันทำให้ชั้นเจ็บปวด ชั้นกังวลว่าความจริงจะถูกเปิดเผยและกลัวที่จะถูกโยนออกไปเหมือนกับที่รูจพูดเอาไว้…

 

มีผู้คนที่ตัวชั้นสนิทด้วยภายนอกครอบครัวอยู่เหมือนกัน แต่ว่ายิ่งสนิทกันเท่าไหร่ ตัวชั้นก็จะยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น

 

ชั้นตัวสั่นเมื่อถูกกอด และก้มหน้ามองพื้นเมื่อมีใครบางคนเรียกชั้น

 

พวกเขาได้พูดคุยกับคุณหมอมากมายหลายต่อหลายครั้ง แต่เหล่าคุณหมอก็ได้ยอมแพ้และรักษาชั้นไปอย่างหมดหวัง

 

ในสายตาของสังคมโดยรอบ เห็นเป็นแค่เด็กสาวที่เกลียดการเรียนและมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมไม่ได้ก็เท่านั้น

 

มันเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับสังคมขุนนางเลย

 

เนื่องจากท่านแม่ไม่อาจพาลูกสาวไปยังงานเลี้ยงน้ำชาและงานทางสังคมได้อีกแล้ว ท่านแม่ก็เริ่มอับอายขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งกลายเป็นคนเก็บตัวไป

 

เธอโทษตัวเองว่าล้มเหลวในการสืบทอดทายาทซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของภรรยาในสังคมขุนนาง เธอถูกบอกว่าเธอสามารถมีลูกได้เพียงแค่คนเดียวในชีวิต ดังนั้นเธอจึงเริ่มประณามตนเองจากการล้มเหลวในการเป็นภรรยา

 

ท่านพ่อเองก็เพชิญหน้ากับปัญหาเช่นกัน

 

ถ้าหัวหน้าครอบครัวไม่คาดหวังถึงทายาทละก็ จะมีเสียงอึกทึกมาจากญาติๆของเขา ดังนั้น มีผู้คนมากมายบอกให้เขารีบหย่าร้างและแต่งงานใหม่ทันที หรือ อย่างน้อยๆก็หานางสนมแล้วมีลูกด้วยกัน บางคนที่ขั้นบังคับให้ท่านพ่อไปร่วมงานทางสังคมเพื่อพบกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา ท่านพ่อก็ไม่อาจปฏิเสธได้เนื่องจากตำแหน่งทางสังคมของเขา

 

เขาไม่ได้หานางสนมมาเลยแม้แต่น้อย ทว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับท่านแม่ก็ยังคงตึงเครียดอยู่ดี

 

ดังนั้น ไม่ว่าฝั่งไหนก็เจ็บปวดทั้งนั้น ไม่อาจยืนยันความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ เหลือเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของครอบครัวเท่านั้น

 

***

 

ไม่อาจจะอภัยให้ได้ผู้หญิงคนนั้นได้

 

ชั้นรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วลุกโชนไปด้วยความโกรธ

 

อีกอย่าง นังเมดนั้นยังกล้าชักใยอยู่เบื่องหลังอีกจนกระทั่งตอนนี้เลย เธอโจมตีความสัมพันธ์ของครอบครัวชั้นจากทั้งสองฝั่งเลย!

 

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นฝั่งท่านพ่อเธอจะพูดว่า “นายหญิงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์น่าสงสาร… ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ต่อไปละก็…” หรือ “ทำไมท่านไม่ลองเว้นระยะห่างดูละคะ? ทำไมท่านไม่ลองออกไปข้างนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศดูละคะ?”

 

ถ้าเป็นฝั่งท่านแม่ เธอจะพูดว่า “นายหญิงที่น่าสงสาร ทำไมท่านไม่ลองไปพักฟื้นตัวที่บ้านเกิดของท่านซักพักละคะ?” หรือ “นายท่านออกไปข้างนอกอีกแล้ววันนี้… โอ๋นายหญิง ได้โปรดอย่าร้องให้เลยนะคะ” อะไรแบบนั้นออกมา เป็นคำพูดที่ทำเอาชั้นอยากจะเข้าไปชกนังนั่นให้ตายไปเลย

 

มันเป็นอย่างนี้มา 2 ปีแล้ว

 

การพูดแบบนั้นตามปกติในฐานะเมดแล้วถือเป็นการอวดดีอย่างมาก แต่เพราะเธอมักจะพูดแบบอ้อมๆแถมยังพูดแบบนานๆครั้ง จึงไม่มีใครคิดว่าเธอผิด และค่อยๆชักนำครอบครัวของชั้นให้ไม่มีความสุขอย่างช้าๆ

 

เพื่อป้องกันตัวเอง เธอไม่เคยพูดแบบนั้นขณะที่มีคนอื่นๆอยู่รอบๆเลยสักครั้ง ถึงตัวชั้นจะเป็นข้อยกเว้นก็เถอะ แต่เพราะว่าตอนนี้เธอคิดว่าชั้นเป็นแค่ตุ๊กตาพังๆก็เท่านั้นแถมไม่สนใจชั้นซะด้วยซ้ำว่าจะอยู่ตรงนั้นหรือไม่ นั่นแหล่ะว่าทำไมชั้นถึงรู้เรื่องทุกๆอย่าง แต่ว่าแบบนี้มันน่ารำคาญชะมัดเลย

 

เพราะแบบนั้น ทุกๆอย่างก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

 

ชั้นใช้เวลาชีวิต 2 ปีอันมีค่าไปแบบนั้นจนกระทั่งชั้นอายุได้ 5 ขวบ บรรยากาศภายในบ้านนั้นทั้งมืดมนและหนาวเย็น

 

และด้วยร่างกายน้อยๆของชั้นก็ทนความเครียดนี้ไม่ไหวจนล้มป่วยลงอยู่บ่อยๆ ชั้นมักจะนอนหลับอยู่บนเตียงไปเป็นเวลาหลายวันเลย

 

ตอนที่ชั้นตื่นขึ้นมาเมื่อสักครู่แล้วทำให้เมดตกใจนั้น เพราะว่าชั้นล้มป่วยติดเตียงมามากกว่า 10 วันแล้วโดยที่พวกเขาไม่รู้ถึงสาเหตุเลย

 

“เธอหมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว” ชั้นจำสิ่งที่คุณหมอพูดเอาไว้ได้อย่างเลือนลาง “เมื่อมาถึงจุดนี้ มันอาจจะสายเกินไปที่จะช่วยเธอแล้ว”

 

…ยังไงก็เถอะ ชั้นต้องรีบคิดหาทางทำอะไรซักอย่างแล้ว

 

อย่างแรกเลย ชั้นต้องเลิกกังวลถึงคำถามที่ว่าชั้นเป็นลูกแท้ๆของพวกเขาจริงๆหรือไม่ไปซะ

 

ถึงคิดไปก็ไม่ได้รู้อะไรขึ้นมาหรอก

 

ยิ่งไปกว่านั้น เอกสารฉบับนั้นมันไม่มีอะไรอย่างตราประทับหรือลายนิ้วมือเลย เท่าที่จำได้จาดชาติก่อน เอกสารสัญญาแบบนั้นต้องมีอะไรประมาณนั้นอยู่สิ

 

ชั้นคิดว่ามันจงใจถูกเขียนขึ้นด้วยคำง่ายๆเพื่อให้ชั้นอ่านเนื่อหาข้างในได้

 

แล้วถ้าเรื่องที่ตัวชั้นเป็นเด็กกำพร้าและรวมถึงว่ามีสัญญาแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ชั้นก็ไม่คิดหรอกนะว่าเมดธรรมดาๆอย่างรูจจะสามารถรู้ถึงเรื่องนั้นได้

 

อย่างที่สอง ชั้นเองก็ยังไม่แน่ใจว่าชั้นควรจะเปิดเผยเรื่องที่ตัวชั้นพูดได้แล้วออกไป มันคงไม่ดีแน่ถ้าอยู่ๆชั้นก็แสดงมันให้ทุกคนในคฤหาสน์ได้รับรู้ในสถานการณ์ที่ยังคงเป็นตายร้ายดีอยู่แบบนี้

 

ถ้ารูจรู้ว่าชั้นอยู่ในจุดที่สามารถพูดถึงเรื่องในวันนั้นได้แล้วละก็ เธอต้องพยายามฆ่าชั้นทุกวิถีทางแน่นอน ชั้นไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรใส่อยู่ในอาหารหรือชาของชั้นหรือไม่

 

แถมยิ่งไปกว่านั้น ยัยเมดนั่นมักจะเข้ามาในห้องของชั้นตอนที่ชั้นหลับอยู่บ่อยๆซะด้วย

 

เธอทำเป็นว่าเธอเป็นห่วงชั้นต่อคนรอบข้าง แต่เธอมักจะมาพูดจากลั่นแกล้งชั้นที่ข้างเตียง เธอสนุกสนานที่ได้ทำให้ชั้นกลัวโดยการจ้องมองชั้นด้วยดวงตาบ้าคลั่งนั่น

 

ด้วยสถานการณ์แบบนั้น ชั้นอาจจะถูกทำร้ายตอนหลับก็ได้

 

อย่างสุดท้ายคือการจัดการกับครอบครัวของชั้น ในส่วนนี้ชั้นควรจะปรองดองกับท่านพ่อก่อนจะเป็นท่านแม่

 

เพราะท่านแม่กำลังป่วยหนัก ถ้าท่านแม่ที่ไม่เคยตามการเปลี่ยนแปลงภายในครอบครัวทันอาจจะเป็นบ้าได้ถ้าได้เห็นลูกสาวของตัวเองเปลี่ยนไปอีกครั้ง

 

ชั้นจะต้องเลือกฝั่งท่านพ่อที่เป็นคนค่อนข้างมีเหตุผลก่อน ขั้นแรก ชั้นต้องพูดคุยกับท่านพ่อโดยที่ไม่ให้ถูกจับได้และคิดหาทางกำจัดยัยเมดชั่วนั่น

 

นั่นก็เพื่อรับประกันความปลอดภัยของท่านแม่

 

ขณะที่ชั้นกลับไปที่เตียงและคิดเรื่องแบบนั้น ชั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังใกล้เข้ามา

 

***

 

“อลิซ…!”

 

คนที่พุ่งเข้ามาในห้องเป็นคนแรกก็คือท่านพ่อ ซิกมุนด์ ตามหลังมาด้วย ออฟรานซ์ซัง พ่อบ้านที่น่าจะอยู่กับเขาในเวลานั้น ไม่มีสัญญาณของท่านแม่เลย

 

“พ่อคิดว่าครั้งนี้ลูกจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วซะอีก!!”

 

ท่านพ่อมองมาที่ใบหน้าของชั้นที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ท่านกุมมือของชั้นแล้วมองเข้ามาในดวงตาของชั้น

 

โอกาสมาแล้ว

 

ไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกจากท่านพ่อกับพ่อบ้านคนนั้น

 

ชั้นสบตากับท่านพ่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“!!”

 

ท่านพ่อดูประหลาดใจมากจากการที่ลูกสาวของเขามองตาของเขาหลังจากที่เธอไม่ได้ทำได้ทำมันมานานมากๆแล้ว หัวใจของเขากำลังเต้นระรัว

 

จากนั้น ชั้นก็ต่อด้วยการขยับกล้ามเนื้อใบหน้าที่แทบจะตายไปแล้ว เพื่อให้ออกมาเป็นรอยยิ้ม

 

“……!!!”

 

“อ้า—!! นั่นมัน—!!!!”

 

พ่อบ้านเอามือข้างหนึ่งป้องปากของตัวเอง ส่วนท่านพ่อร้องไห้ออกมา

 

……ว้าว ชั้นทำเพียงแค่ยิ้มกับสบตากับเขาเท่านั้นเองนะ ถ้าชั้นพูดออกไป ท่านพ่อจะรับไม่ไหวเลยรึปล่าวเนี้ย?

 

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะตึเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนๆ สิ่งดีๆต้องมาก่อนแล้วอะไรจะเกิดก็ปล่อยมันเกิดไป

 

“……ท่าน…พ่อ”

 

“!!!!!”

 

ท่านพ่อกับพ่อบ้านต่างจ้องมองมาที่ชั้นทันทีด้วยดวงตาเบิกกว้างราวกลับจะหลุดออกมา อืม ก็คิดไว้แล้วละว่าจะต้องตกใจกัน มันก็ 2 ปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของชั้น

 

“อลิซ…? เมื่อกี้… เสียงของลูก…?”

 

ชั้นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

 

มันก็รู้สึกเจ็บเมื่อชั้นต้องพูดออกมา เนื่องจากลำคอของชั้นยังไม่พร้อมที่จะทำงานเต็มที่ แต่ว่าตอนนี้ชั้นต้องรีบอธิบายสถานการณ์ให้กับเขาได้รับรู้

 

“ได้โปรด หนูมีเรื่องจะขอ… ต้องการกันคนอื่นๆออกไป… และบอกกับเมดของหนู คอนนี่ ไม่ให้ พูดเรื่องอาการของหนู…”

 

“ดะ-ได้สิ… ออฟรานซ์ รบกวนด้วย!”

 

ถึงจะเป็นคำขอที่ไม่คาดคิด แต่ท่านพ่อก็เคลื่อนไหวในทันที

 

“กระผมจะไปจัดการให้เดี่ยวนี้เลยครับ!”

 

ออฟรานซ์ซังรีบดำเนินการทันที ปรับสีหน้าของเขาแล้วออกจากห้องไป

 

หลังจากที่เห็นเขาออกไป ท่านพ่อก็หันมามองที่ชั้นอีกครั้ง

 

“อลิซ… โอ้ อลิซลูกพ่อ งั้นหรอ ในที่สุดลูกก็หายดีแล้วสินะ”

 

หัวใจของชั้นรู้สึกอบอุ่นจากการที่ท่านพ่อลูบแก้มของชั้นทั้งน้ำตาราวกับจะบอกว่าเขารักชั้นมากแค่ไหน ถึงชั้นจะมีความทรงจำผู้้ใหญ่จากชาติก่อน แต่ชายคนนี้ก็ยังคงเป็นพ่อของชั้นอยู่ดี ชั้นดีใจจริงๆที่ได้เรียกขวัญกำลังใจของเขาคืนหลังจากที่ทำให้เขาเป็นห่วงขนาดนั้น

 

“ท่านพ่อ หนูขอโทษค่ะ… หนูขอโทษที่ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องลำบากอย่างมากเพราะหนู…”

 

“ไม่— ไม่เลย ไม่เป็นไรหรอกนะ อลิซ…! ขอแค่ลูกหายดี ขอแค่ลูกยังมีชีวิตอยู่ พ่อก็ยินดีมากแล้ว!”

 

ใบหน้าหล่อๆของท่านพ่อเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

 

จากมุมมองของท่านพ่อที่ไม่ได้รู้เรื่องของรูจ เขาก็ยังอภัยให้กับชั้น ถึงขนาดที่เขาอยู่ในจุดที่เกือบจะหย้าร้างเพราะชั้นแล้วก็ตามที

 

และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเรื่องที่รูจพูดเป็นความจริงละก็ ชั้นอาจจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขาเลยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นแบบนั้น ชายคนนี้ก็ยังรักชั้นทั้งๆที่ชั้นเป็นแค่ลูกเลี้ยง

 

ชั้นรักท่านพ่อของชั้นมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว

 

ทว่า ชั้นรู้สึกผิดมากๆกับสิ่งที่กำลังจะบอกเขาต่อจากนี้

 

“ขอบคุณค่ะ ท่านพ่อ… แต่ได้โปรดอย่าพึ่งบอกเรื่องนี้กับท่านแม่เลยนะคะ”

 

ท่านพ่ออึ้งไปเลย

 

“แต่ว่าทำไมละลูก? เธออาจจะเป็นคนที่เป็นทุกข์ที่สุดจากอาการป่วยของลูกเลยนะ พวกเราต้องบอกเธอให้เร็วที่สุดสิ”

 

เนื่องจากชั้นรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ก็เลยพูดต่อ

 

“หนูเองก็อยากจะบอกท่านให้เร็วที่สุดเหมือนกันค่ะ… แต่หนูไม่อยากให้คนๆนึงรู้เรื่องนี้นะคะ”

 

“?! ลูกอย่าบอกนะว่า…”

 

มีใครบางคนที่ไม่อยากให้รู้ถึงการหายดีของชั้น พูดอีกอย่างก็คือ มีใครบางคนในครอบครัวที่มีความคิดชั่วร้ายและไม่อยากให้ชั้นหายดีอยู่

 

ขณะที่เขาเริ่มสงสัยถึงเรื่องนั้น ใบหน้าของท่านพ่อก็แข็งขึ้นแล้วร้องออกมา

 

“พวกนั้นทำอะไรกับลูก… อย่าบอกนะว่าลูกโดนวางยา?!”

 

“วางยา… อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะคะ…”

 

ชั้นตัดสินใจบอกความจริงกับท่านพ่อทั้งหมดโดยไม่มีการปิดบังใดๆเลย

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 3 แสงที่ย้อนกลับจากดวงตะวันยามเย็น

 

บุคคล 2 คนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวของชั้นไม่มีความสุข…

 

เอาตรงๆนะ ชั้นเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

หลังจากที่ชั้นอายุได้ 3 ขวบ ท่านแม่ของชั้นก็เป็นห่วงชั้นจนเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน ซึ่งมันก็ส่งผลต่อสถานะทางสังคมและสุขภาพของเธอ มันได้กลายเป็นข่าวลือต่างๆนาๆของคนอื่นไป เมื่อกลายเป็นแบบนั้นเธอก็ยิ่งเก็บตัวหนักขึ้นไปอีก

 

สุขภาพของเธอยิ่งแย่ลงและป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ จากผลของความสัมพันธ์กับพ่อ

 

คนที่เป็นต้นเหตุอีกคนนึงก็คือเมดที่ทำงานอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้

 

เธอเป็นคนร้ายหลักๆที่ทำให้ความสัมพันธ์ของครอบครัวชั้นต้องแย่ลง เอาพูดเรื่องไร้สาระกับชั้นแถมยังกีดกันความเห็นของชั้นด้วย

 

เรื่องทุกอย่างมันเริ่มขึ้นในในวันนั้นที่ชั้นมีอายุได้ 3 ขวบ เมดคนนั้นก็ได้กระซิบอะไรบางอย่างกับชั้น

 

***

 

วันนั้น ชั้นกำลังอ่านหนังสือธรรมดาๆเพื่อฝึกการออกเสียงภาษาของโลกนี้ มันคล้ายกับภาษาอังกฤษเลย

 

สถานที่คือเรือนกระจกขนาดใหญ๋ที่สว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์และเย็นสบาย ดังนั้นชั้นเลยไปนั่งเรียนอยู่ที่โต๊ะสีขาวในสวนของเรือนกระจกเพื่อรับความอบอุ่นเบาๆ

 

ใครจะคิดกันละว่าเด็กสาวอายุ 3 ขวบที่ยังไม่ได้ความทรงจำชาติก่อนกลับมา จะนั่งเรียนหนังสือด้วยท่าทางเป็นผู้ใหญ่แบบนั้น

 

มันเป็นเพราะว่าชั้นอยากจะอ่านหนังสือนิทานให้ท่านแม่ได้ฟัง นิทานที่เธอมักจะเล่าให้ชั้นฟังอยู่เป็นประจำ

 

มันรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่เธอเล่าให้ชั้นฟัง และมันก็ทำให้ชั้นดีใจที่ได้มีเวลาครอบครัวกับเธอ

 

ดังนั้น ชั้นจึงอยากจะทำแบบเดียวกันนี้ให้กับท่านแม่ที่ชั้นรักมากๆ

 

ชั้นเอาแต่เพ่งสมาธิกับมัน จนเมื่อได้ยินเสียงเรียก เมื่อเงยหน้าขึ้นชั้นก็พบว่า รูจ เมดที่มีผมสีแดงกับดวงตาคมกริบ กำลังนำชามาเสิร์ฟให้กับชั้น

 

“อลิซซามะ ดิชั้นนำชามาให้ท่านค่ะ”

 

“ขอบคุณค่ะ รูจ”

 

เมื่อชั้นขอบคุณเธอ รูจก็ยิ้มพร้อมกับมองไปที่หนังสือเล่มนั้น

 

“คุณหนูนี่ฝักใฝ่ที่จะเรียนรู้จริงๆสินะคะ? สมแล้วที่เป็นคุณหนูสุดพิเศษของนายท่านและนายหญิง”

 

ชั้นแก้มแดงและหัวเราะคิกคักออกมาหลังจากที่ถูกชม

 

ถึงชั้นมักจะเป็นเด็กเงียบๆและขี้อาย แต่รูจก็คอยดูแลชั้นมาได้สักพักนึง เพราะเธอทำงานที่นี่มาตั้งแต่ชั้นเกิดแล้ว

 

อีกอย่าง รูจมักจะชมชั้นด้วยคำพูดที่ว่า “เด็กสุดพิเศษของท่านพ่อกับท่านแม่” เหมือนกับที่ทำอยู่ตอนนี้ มันทำให้ชั้นมีความสุขมากเลย

 

“คุณคิดว่าหนูจะอ่านได้เก่งเหมือนกับท่านแม่ไหมคะ?”

 

“ค่ะ คุณหนูต้องอ่านมันได้แน่นอนอยู่แล้วค่ะ เพราะคุณหนูอยากจะอ่านมันให้กับนายหญิงฟังก่อนนอนใช่ไหมละคะ?”

 

ชั้นพองแก้มออกเพื่อคัดค้านสิ่งที่รูจพูดด้วยรอยยิ้มซุกซน

 

“แกล้งหนูอีกแล้วนะ! ท่านแม่ต้องดีใจที่ได้เจอกับหนูแน่!”

 

“อุฟุฟุ ดิชั้นมั่นใจว่านายหญิงต้องดีใจที่ได้เจอกับคุณหนูแน่นอนเลยค่ะ”

 

ดวงตาของรูจแคบลงและยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนเป็นการเห็นด้วย

 

อนึ่ง เป็นนิสัยส่วนตัวของรูจที่จะชำเลืองมองมาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเธอจะมีลักษณะเป็นพระจันทร์เสี้ยวและมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน ชั้นชอบรอยยิ้มนี้มากเลยละ

 

“คุณหนูก็ใช้หนังสิอเล่มนี้มาสักพักแล้ว ไม่ใช่หรือคะ?… ใช่แล้ว ทำไมเราไม่มาลองบางอย่างที่ยากขึ้นอีกสักนิดกันละคะ?”

 

ยากขึ้นอีกสักนิดงั้นหรอ? เมื่อเห็นชั้นมีสีหน้างงงวย รูจก็อธิบายว่าเธอเจอกับหนังสือที่น่าสนใจเข้าตอนที่เธอทำความสะอาดห้องสมุดของท่านพ่อ

 

“ดิชั้นคืดว่านายท่านคงจะเอามันให้กับคุณหนู ตอนที่คุณหนูอ่านหนังสือได้คล่องกว่านี้ ไม่คิดยังงั้นหรือคะ? มีหนังสือภาพหลากหลายเล่มอยู่ที่นั่นเลยค่ะ”

 

“ว้าว เยี่ยมไปเลย! หนูอ่านมันได้ใช่ไหมคะ?”

 

เมื่อชั้นตอบกลับไป รูจก็ยิ้มออกมาอย่างซุกซนก่อนจะพูดว่า

 

“คุณหนู การจัดการกับปัญหาล่วงหน้าจากอายุของคุณหนูนิดหน่อยนั้นเป็นกุญแจสู่การพัฒนาคะ! อีกอย่าง คุณหนูไม่อยากจะเก็บไว้เซอร์ไพรส์นายท่านและนายหญิงโดยการพัฒนาตนเองอย่างลับๆสักหน่อยหรือคะ?”

 

“โอ้วว… ชั้นชอบที่จะเซอร์ไพรส์พวกท่านมากๆเลย แต่ว่า อืมม…”

 

รูจรู้สึกได้ว่าชั้นกำลังเห็นด้วยกับแผนของเธอ ดังนั้น เธอจึงลดเสียงของเธอลงแล้วกระซิบที่ข้างหูของชั้น

 

“ที่ชั้นหนังสือขวาสุดหลังจากที่คุณหนูเข้าไป มันมีชุดสะสมของหนังสือนิทานอยู่ที่ชั้นล่างค่ะ มันเป็นหนังสือนิทานที่มีรูปเจ้าหญิงอยู่บนปกด้วยนะคะ”

 

เมื่อชั้นได้ยินว่ามีปกเป็นรูปเจ้าหญิง ชั้นก็รู้สึกตื่นเต้นทันที

 

“เจ้าหญิงงั้นหรอคะ?! ว้าว! นี่ๆ มีแบบพวกสัตว์ด้วยไหมคะ?”

 

“มันมีค่ะ คุณหนูนี่ชอบเจ้าหญิงกับสัตว์จริงๆเลยสินะคะเนี้ย?”

 

ชั้นรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ถ้าท่านพ่อจะเอาให้ชั้นอยู่แล้ว งั้นแอบดูก่อนสักนิดก็คงไม่เป็นไรใช่ไหมละ!?

 

อีกอย่าง ชั้นมั่นใจว่าเขาคงจะต้องตกใจมากๆและชื่มชมชั้น ถ้าชั้นพัฒนาขึ้นกว่านี้

 

ด้วยความคิดแบบนั้น ชั้นจึงตัดสินใจที่จะแอบเข้าไปในห้องสมุดตอนบ่ายนี้

 

***

 

ท่านพ่อมักจะไม่อยู่ในห้องสมุดก่อนทานอาหารเย็น

 

พ่อบ้านก็ไม่อยู่เช่นกัน เพราะเขาต้องไปจัดเตรียมอาหารเย็น ช่วงเวลาสั้นๆนี้แหล่ะเป็นโอกาศสำคัญ

 

ด้วยเหตุผลบางอย่างชั้นถึงรู้สึกว่าเขาจะลงโทษชั้นถ้าชั้นเข้าไปแล้วอ่านมันโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น ชั้นจึงเข้าไปโดยที่ไม่ได้บอกใครเลย ชั้นพบเข้ากับกำแพงชั้นหนังสือสีน้ำตาลที่ทำจากไม้โอ๊ก และตัดสินใจที่จะเริ่มมองหาจากชั้นหนังสือด้านขวาตามที่รูจได้บอกเอาไว้

 

“อืมม… ด้านขวาสุด… ชั้นล่าง…”

 

ชั้นชะโงกมองชั้นหนังสือโดยการเขย่งเท้าแล้วก็เห็นว่ามีหนังสือหลากหลายที่มีสีปกสดใสกว่าเล่มอื่นๆ

 

หลังจากที่มองพวกมันไปเรื่อยๆ ชั้นก็เจอเข้ากับหนังสือที่รูจน่าจะหมายถึง

 

“ว้าว! สวยจังเลย!”

 

ชั้นล้มตัวลงบนพื้นพร้อมกับเปิดหนังสือเล่มใหญ่นี้ กลิ่นของกระดาษและน้ำหมึกเติมเต็มความขาดหวังให้กับชั้น

 

ทว่า เมื่อชั้นลองอ่านมัน ชั้นก็รับรู้ได้เลยว่ามันอ่านยากมาก ชั้นอ่านได้แค่ 1-2 อย่างเอง มันมีคำศัพท์ที่ชั้นไม่รู้จักอยู่มากมายเลย

 

ชั้นอ่านมันไป 1 หน้า แต่แทบจะอ่านมันไม่ออกเลย

 

“สงสัยท่านพ่อคงจะคิดว่ามันยากเกินไปสำหรับชั้นละนะ”

 

เมื่อชั้นกำลังจะเอาหนังสือกลับเข้าชั้นวาง มีกระดาษแผ่นนึงหลุดออกมาจากหนังสือ ตอกย้ำถึงเหตุผลที่เขาไม่ให่หนังสือเล่มนี้กับชั้น

 

“อะ! ชั้นทำมันขาดหรอ?”

 

ชั้นหยิบมันขึ้นอย่างรีบร้อน มันเป็นแค่กระดาษที่เต็มไปด้วยข้อมูลแผ่นเดียวเท่านั้น ชั้นรู้สึกโล่งใจที่เห็นว่ามันไม่ใช้กระดาษที่ขาดออกมาจากหนังสือ

 

อย่างไรก็ตาม ชั้นก็รู้สึกตกใจทันที

 

“ตรงนี้… มันเขียนว่า…”

 

ในกระดาษแผ่นนั้นมีคำๆแรกที่ชั้นได้เรียนรู้มันเพื่อจะอ่านและเขียนมันได้ “อลิซ รีเบคก้า อาเชอร์เลช”

 

“ทำไมถึงได้มีชื่อชั้นอยู่ตรงนี้ละหล่ะ?”

 

ชั้นอ่านคำถัดไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น มีชื่อของท่านพ่ออยู่ด้วย

 

“คำนี้หมายถึงอะไรกัน?… อืม…”

 

คำๆรี้ปรากฏในกระดาษแผ่นนี้บ่อยมาก

 

“คำนี้คือ… ความลับ… คำนี้ละ?… โอ๊ะ สัญญานี้เอง… และที่เหลือก็คือ…?”

 

ชั้นทบทวนคำศัพท์ไปเรื่อยๆ

 

“เด็กที่… ถูกทิ้ง…?”

 

เสียงระฆังแจ้งเตือนเริ่มดังขึ้นมาในหัว

 

มือและเท้าของชั้นเย็นยะเยือก มือที่ถือกระดาษอยู่นั้นไม่ได้สั่นเทาใดๆ — มันแข็งค้างอยู่กับที่

 

ถ้าหาความหมายเพื่ออ่านมันมากไปกว่านี้ละก็ มันจะอันตรายแล้ว

 

ชั้นรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ถ้าชั้นยังปะติดปะต่อคำที่ปรากฏไปเรื่อยๆแบบนี้ละก็ ชั้นจะต้องเพชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ชั้นไม่อยากรับรู้แน่นอน

 

ทว่า ชั้นอยากจะทำให้มั่นใจว่าตัวเองอ่านผิด มากกว่าการยอมแพ้กลางทาง ดังนั้นชั้นจึงอ่านมันต่อไป

 

“ความลับ, สัญญา, อลิซ รีเบคก้า อาเชอร์เลช, ทอดทิ้ง, เด็ก, ขาย, ไฮม์นิส… ถึงซิกมุนด์ สเตฟาน อาเชอร์เลช”

 

ชั้นอ่านข้อมูลพวกนั้นอย่างไม่ปะติดปะต่อกัน ชั้นอ่านข้อมูลในนั้นได้ไม่ถึงครึ่งนึงเลย ทว่าคำพื้นฐานที่อ่านได้ไม่ได้สร้างความมั่นใจใดๆให้กับชั้นเลย ไม่ว่าจะเอามาต่อกันแบบไหน

 

ชั้นหยิบกระดาษขึ้นมาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จนเกือบจะตกจากชั้นหนังสือ ทว่าด้วยมือที่สั่นไม่หยุด จึงทำกระดาษหล่นหลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องสมุดด้วยขาที่สั่นเทา

 

หลังจากนั้นชั้นก็ไปตามหารูจก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเธอเป็นคนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

 

ในท่ามกลางคฤหาสน์ที่กำลังวุ่นวายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเวลากลางคือที่กำลังจะมาถึง ชั้นเจอรูจได้อย่างง่ายดาย เธอกำลังยืนรออยู่ที่หน้าห้องของชั้นเอง

 

“อ้า! คุณหนู ได้เจอหนังสือหรือปล่าวคะ?”

 

ดวงอาทิตย์ยามเย็นได้ส่องผ่านคฤหาสน์หลังนี้ สะท้อนผมสีแดงของรูจให้ดูร้อนแรงขึ้น

 

“ฮึก อึก… อ่าห์ รู…จ…”

 

หลังจากที่เห็นชั้นสั่นเทาด้วยใบหน้าที่ขาวซีด รูจก็หยุดเคลื่อนไหวไปสักพัก ก่อนจะพาชั้นเข้าไปในห้องด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว

 

“โอ๋ โอ๋ เป็นอะไรไปหรือคะ คุณหนู ทำไมถึงได้หน้าซีดแบบนั้น?… ช่างหน้าสงสาร”

 

…ในตอนนี้ชั้นมีความทรงจำของชาติก่อนแล้ว ชั้นถึงได้รู้สึกตัวว่า การที่เธอพาชั้นเข้าห้องทันทีโดยไม่เรียกใครมาเลยหลังจากที่เห็นชั้นเป็นแบบนั้นมันเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ

 

“หนูเจอ… อะไรแปลกๆ”

 

“โอ้ อะไรงั้นหรือคะ?”

 

รูจยิ้มออกมาอย่างเงียบๆตามปกติ

 

“นี้…”

 

เพราะว่ารูจเป็นผู้ใหญ่ เธอจึงน่าจะสามารถอ่านมันได้ ชั้นอยากจะให้เธอปฎิเสธความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

ชั้นพยายามเปิดกระดาษแผ่นนั้นเพื่อที่จะยืนให้ด้วยมือที่สั่นเทา ทว่านิ้วมือของชั้นเป็นอัมพาตจากอาการตื่นตกใจจนเปิดมันไม่ออก

 

รูจจับมือของชั้นแล้วกางนิ้วของชั้นออกทีละนิ้ว

 

“โอ๊ะ นี้มันกระดาษงานของนายท่านนี่คะ? ถ้าเขารู้ต้องโกรธมากแน่ๆเลยใช่ไหมละคะ? เราจะมีปัญหานะคะถ้ามันเป็นเอกสารสำคัญ”

 

เธอเปิดมันออกด้วยใบหน้าบูดบึ้งก่อนที่จะอ่านเนื้อหาข้างใน

 

“ข้อตกลงการซื้อเด็กกำพร้า, ทั้งสองฝ่ายจะต้องเก็บความลับของเอกสารฉบับนี้ อิมฟิโดส ผู้อำนวยการของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งจักรวรรดิไฮม์นิส ยินดีที่จะขายทารกหญิงหนึ่งคนให้กับ ลอร์ด ซิกมุนด์ สเตฟาน อาเชอร์เลช ในราคา 100 เหรียญทอง”

 

รูจอ่านมันออกมาดังๆ ด้วยรอยยิ้มสงบเสงี่ยม

 

หลังจากนั้นเธอก็จ้องมองมาที่ชั้นทันที

 

เมื่อชั้นสบตาเข้ากับดวงตาของรูจ ร่างกายของชั้นก็แข็งค้างไปทันที

 

และหลังจากนั้น ชั้นก็รู้สึกเย็นวาบ รู้สึกราวกับว่ามันได้ชอนไชเข้าไปในร่างกายของชั้น ชั้นรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะสลบไปเลย

 

ไม่ เป็นไปไม่ได้ ต้องไม่เป็นแบบนี้สิ!

 

“……คุณหนู? ดิชั้นไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรผิดปกติเลยนะคะ?”

 

เป็นครั้งแรกที่ดวงตาของรูจที่มักจะปิดอยู่เสมอยามที่เธอยิ้มได้เปิดกว้างออกมา

 

ชั้นได้มองตรงเขาไปในดวงตาคู่นั้นเป็นครั้งแรก

 

มีความบ้าคลั่งลองลอยอยู่ในส่วนลึกของดวงตาคู่นั้น

 

ราวกับว่ามันพยายามบอกชั้นว่าเธอชอบที่จะทำร้ายและข่มขู่คนอื่น แถมยังมีอะไรที่เหมือนกับความเกลียดชังอย่างสุดหัวใจลองลอยอยู่ภายในด้วยเหมือนกัน

 

“อา—!”

 

ระฆังเตือนดังขึ้นในหัวราวกับว่ามันดังที่แก้วหูของชั้นในความเป็นจริงเลย

 

ชั้นไม่สามารถรับรู้ความเป็นจริงตรงหน้าชั้นได้เลย ชั้นรู้สึกถึงบางสิ่งที่ แปลกประหลาด,หนาวเย็น,และมืดมิด กำลังกัดกินร่างกายของชั้น

 

เนื้อหาในเอกสารใบนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับอันตรายที่อยู่ตรงหน้าของชั้นเลย

 

“อา—… อา—…?”

 

ชั้นพยายามจะหนี แต่ขยับขาได้ไม่ดีจนล้มลงไปด้านหลัง จากนั้น รูจก็คุกเข่าลงแล้วเข้ามาใกล้ๆชั้น

 

“คุณหนูเป็นเด็กพิเศษสำหรับนายท่านและนายหญิงจริงๆนะคะ ทั้งโง่เง่าและไม่ได้รับรู้อะไรเลยสินะคะ?”

 

“ฮาา!…!!”

 

ชั้นพยายามตะโกนขัดคำพูดของรูจ ทว่าคอของชั้นแน่นไปหมดจนพูดอะไรออกมาไม่ได้ ชั้นพยายามพลักเธอออก แต่ก็ถูกขว้ามือทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว เธอบีบมือของชั้นแน่มากซะจนเกือบเป็นรอยแดง

 

“ไม่เอาหน่า อลิซซามะ เรามาเลยคำศัพท์มากกว่านี้กันเถอะคะ? คำนี้คือ ‘เด็กกำพร้า’ ส่วนคำนี้ก็คือ ‘ขาย’ เด็กกำพร้าที่ถูกขายก็คือคุณหนูยังไงละคะ อลิซซามะ”

 

ดวงตาอันดำมืดของรูจเบิกกว้างและแสดงกระดาษแผ่นนั้นให้ชั้นดู

 

ดวงตาของเธอพร่ามัวและแพรวพราวไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่จับจ้องมองมาที่ชั้นด้วยสายตาดูถูก

 

ชั้นไม่อาจเชื่อได้เลยว่าภายใต้รอยยิ้มที่ชั้นคิดอยู่เสมอว่าชอบมันจะเก็บซ่อนดวงตาอันแสนน่ากลัวแบบนี้ไว้!

 

นี่เธอมักจะแอบเยาะเย้ยอยู่เงียบๆในใจเวลาที่เธอหัวเราะงั้นหรอ? เธอมักแสดงออกโดยเก็บซ่อนดวงตาที่เกลียดชังคู่นั้นเอาไว้ข้างในงั้นหรอ?

 

สายสัมพันธ์ที่ชั้นคิดว่ามันทั้งอบอุ่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำนั้นพังทลายลง

 

“โอ๊ะ ใช่แล้วละคะ! ทำไมคุณหนูไม่อ่านมันให้กับนายหญิงในคืนนี้ละคะ? ถ้าคุณหนูอ่านอะไรยากๆแบบนี้ได้ ดิชั้นมั่นใจเลยละค่ะว่าเธอจะต้องภูมิใจในตัวคุณหนูแน่นอนเลยคะ!”

 

รูจพูดออกมาอย่างสดใสพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนเช่นเดียวกับที่เธอทำเมื่อตอนกลางวัน

 

ชั่นตัวสั่นเทา ไม่สามารถกรีดร้องอะไรออกมาได้อีก

 

“นายหญิงนะไม่ทราบอะไรเลย ท่านไม่รู้ว่าลูกของเธอตายไปตั้งแต่คลอดออกมาแล้วนะค่ะ หรือแม้แต่เรื่องที่คุณหนูถูกเก็บมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในคืนนั้นและคุณหนูก็เป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าที่มีสีผมเหมือนกันเท่านั้น ท่านก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ช่างน่าสงสารที่คุณหนูเองก็ไม่ทราบเหมือนกันใช่ไหมละคะ? คุณหนูอยากจะสอนเรื่องนี้แก่นายหญิงไหมละคะ?”

 

รูจพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงอิ่มเอมใจ

 

“ไม่มีลูกที่เกิดมาระหว่างนายท่านที่รักกับนังนั่น ไม่มีความรักเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา!… นายท่าน อาาา… นายท่านควรจะทิ้งนังนั่นซะเดี่ยวนี้เลย… ดิชั้นต่างหากที่จะทำให้ท่านมีความสุข ฮ่าๆๆๆๆ!”

 

รูจมองไปยังความว่างเปล่าขณะที่พร่ำเพ้อถึงนายท่านสุดที่รักของเธอ จากนั้นเธอก็หันกลับมาและจับตัวชั้นอีกครั้ง

 

“คุณหนู ท่านทราบหรือไม่คะว่าพวกขุนนางมักจะคิดยังไงกับเด็กกำพร้า… ของสามัญชนที่แสนจะน่ารังเกียจหน่ะคะ?”

 

“อา—” เป็นสิ่งเดียวที่ชั้นพูดออกไปได้ รูจพูดว่าชั้นนั้นเป็นเด็กกำพร้า ดังนั้นที่เธอพูดจึงหมายถึงชั้นแน่นอน

 

“ขุนนางทั่วไปหน่ะไม่อยากจะเสวนาตรงๆกับสามัญชนเลยละค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่อยากจะเห็นใครที่เกิดมาด้วยสถานะคลุมเครือแบบนี้แม้แต่น้อย… นายหญิงเป็นคนใจบุญมากๆ ทว่าดิชั้นเองก็ยังคงสงสัยว่า เธอจะยังเป็นเหมือนเดิมรึปล่าวหลังจากได้รู้ความจริงเข้าหน่ะค่ะ”

 

ชั้นได้ยินแบบนั้น ในหัวก็รู้สึกมืดมัวและไม่อยากยอมรับความจริง ชั้นไม่รู้สึกถึงร่างกายของตัวเองอีกต่อไปแล้ว

 

“ถ้านายหญิงทราบว่าลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอนั้นตายไปนานแล้ว และเด็กที่นอนหลับอยู่ข้างๆเธอเป็นเพียงแค่สามัญชนแปลกหน้าที่น่ารังเกียจ ถ้าเธอทราบว่านายท่านได้หลอกลวงเธอ!… นายหญิงจะต้องเป็นบ้าแน่นอนเลยใช่ไหมละคะ? นี่ คุณหนูอลิซ! พวกเราจะต้องเก็บเรื่องนี้ให้เป็นความลับจากนายหญิงใช่ไหมละคะ? คุณหนูต้องระมัดระวังเรื่องนี้เอาไว้นะคะ…”

 

ขณะที่เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่รุณแรง รูจก็ปล่อยแขนของชั้นที่เธอจับมันไว้ออก จากนั้นเธอก็ยกนิ้วก้อยของเธอขึ้นมาแล้วบังคับให้ชั้นทำการเกี่ยวก้อยสัญญา

 

“คุณหนูเป็นเพียงหุ่นเชิดที่สร้างจากความใจดีของนายท่านค่ะ ห้ามพูดอะไรไม่เข้าเรื่องเด็ดขาดเลยนะคะ อลิซซามะต้องไม่พูดอะไรทั้งนั้นค่ะ พวกเราทั้งคู่มาปกป้องนายหญิงด้วยกันเถอนะคะ? คุณหนูสัญญากับดิชั้นได้ไหมคะ?”

 

ชั้นขยับปากที่สั่นเทาเป็นคำว่า “ค่ะ”

 

ชั้นตอบกลับไป ในเสี้ยววินาทีนั้น ชั้นก็จินตนาการถึงตัวชั้นเองได้บอกความจริงนี้กับท่านแม่แล้วทำให้เธอตกอยู่ในความสิ้นหวัง… ภาพของตัวเธอที่เกลียดชั้น และภาพของท่านพ่อที่โยนตัวชั้นออกไปจากชีวิตของท่านแม่เนื่องจากชั้นทำตัวไร้ประโยชน์

 

ทว่าไม่มีเสียงใดๆออกมาจากลำคอที่แน่นขนัดของชั้นอีกต่อไปแล้ว

 

และนั่นก็คือตอนที่สติของชั้นได้ดับวูบไป

 

สิ่งสุดท้ายที่ชั้นได้เห็นก็คือรูจ ชั้นมองไม่เห็นใบหน้าของเธอเนื่องจากแสงที่ย้อนกลับจากดวงตะวันยามเย็น เห็นเป็นเพียงใบหน้าสีดำเท่านั้นเอง

 

================================================================

TL: ตอนที่ 3 ก็ใส่กันตูมๆขนาดนี้แล้วเรอะ!

บทที่ 1 ตอนที่ 2 เด็กสาวผมเงินปรากฎตัว!

 

ผมสีเงินเป็นประกายราวกับดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า

 

ดวงตาสีทองสดใสราวกับน้ำผึ้ง

 

ผิวขาวดุจมาร์ชเมลโล่ แก้มและริมฝีปากสีกุหลาบ

 

กระจกได้สะท้อนรูปลักษณ์ที่ไม่คุ้นตา อย่างน้อยก็สำหรับชั้นละนะ ตัวชั้นที่เป็นคนญี่ปุ่นธรรมดาสามัญด้วยผมสีดำและตาสีดำ

 

เห็นได้ชัดว่า ชั้นคือ อลิซ รีเบคก้า อาเชอร์เลช เด็กสาวอายุ 5 ขวบหน้าตาน่ารัก

 

ที่ชั้นใช้คำว่า “เห็นได้ชัด” เพราะถ้าชั้นจำไม่ผิด ชั้นควรจะเป็นชาวญี่ปุ่น และเท่าที่จำได้ ชั้นเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่นอายุ 29 ปีที่เป็นทาสของบริษัทสิ

 

แต่ตอนนี้ ที่สะท้อนภายในกระจกเต็มตัวหรูหราก็คือเด็กสาวผมสีเงินที่มีผิวสีขาวและหน้าตาน่ารัก

 

ขณะที่ชั้นเอามือนวดคิ้วด้วยท่าทางขัดกับรูปลักษณ์หน้าตาของเด็กสาว ชั้นก็ตัดสินใจจะประติดประต่อเรื่องราวที่ทำให้ชั้นกลายมาเป็นแบบนี้

 

***

 

ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ ชั้นก็จำอะไรพิเศษๆเกี่ยวกับชาติก่อนไม่ได้เลย ชั้นไม่มีความทรงจำและจำไม่ได้ว่าชั้นตายได้ยังไง ชั้นเข้านอนหลังจากที่ดูเหมือนจะเป็นวันธรรมดาทั่วไปสำหรับชั้น แล้วเมื่อตื่นขึ้นมาก็อยู่ในร่างนี้ซะแล้ว

 

ถ้าจะให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือ ชั้นจำเรื่องที่ใช้ชีวิตเป็นอลิซจนถึง 5 ขวบได้ แล้วทันใดนั้นอยู่ๆชั้นก็จำเรื่องราวในชาติก่อนขึ้นมาได้ซะงั้น

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะข้อมูลจำนวณมากที่ชั้นมีก็ได้ แต่ชั้นมีความรู้สึกถึงการเป็นตัวชั้นเองในชาติก่อนค่อนข้างรุณแรงมาก หรือจะบอกว่าความรู้สึกของการเป็นอลิซนั้นถูกบดบังด้วยเหตุผลบางอย่างดี ดังนั้นชั้นจึงเกือบจะเหมือนตัวเองในชาติก่อนทั้งหมดเลย

 

ห้องที่ชั้นอยู่เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 30 เสื่อทาทามิวัดด้วยสายตา มันเป็นห้องส่วนตัวของชั้นเอง

 

แสงส่องเข้ามาจากกระจกบานใหญ่ที่กำแพงและสะท้อนกับกำแพงสีขาว เพดานสีอำพันบริสุทธิ์จากงานไม้ฝีมือยอดเยี่ยม

 

และมีเตียงขนาดใหญ่ที่มีหลังคาสีชมพูอ่อน มีผ้าม่านหนากับพรมสีเดียวกันเข้าคู่กับเตียงนั้น

 

เครื่องเรือนหรูหราคลุมไว้ด้วยผ้าลูกไม้สีขาว มีดอกไม้จัดวางประดับด้วยดอกไม้จำนวณมาก

 

นั่นเป็นบรรยากาศโดยรอบที่ชั้นในตอนนี้ตื่นขึ้นมา

 

อนึ่ง เมดของชั้น คอนนี่ ที่ยืนรออยู่ตรงกำแพงเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เธอรู้สึกตกใจจนกระโดดขึ้นลงเมื่อเห็นชั้นตื่นขึ้นมาจากเตียง แล้วเธอวิ่งออกไปพร้อมกับตะโกนอะไรบางอย่าง

 

“ไม่ใช่ว่านี่มันสมจริงเกินไปสำหรับความฝันงั้นหรอ…?”

 

ชั้นถามกับตัวเองพร้อมกับหยิกแก้มนุ่มๆของตัวเอง ชั้นไม่ได้พูดอะไรนานมาก ขนาดที่ทำให้มันยากที่จะพูดอะไรออกสักคำมาเลย เสียงของชั้นแหบเล็กน้อยจากการที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน

 

ใช่แล้ว สิ่งที่ชั้นใฝ่ฝันมานาน ผิวอันขาวใส, สีผมกับสีตาที่แปลกใหม่ และนอกจากนั้น การที่โอตาคุอายุเกือบ 30 ปีได้กลับชาติมาเกิดใหม่นี้มันเหมือกับความฝันเลยละ มันเกือบจะเหมือนกับปุ่มเริ่มเกมใหม่สำหรับชีวิตเลย

 

อย่างไรก็ตาม ถ้านี่เป็นแค่ความฝันละก็ ชั้นจะยินดีกับมันมากเลย แต่ถ้ามันเป็นความจริงละก็ มันจะไม่ง่ายดายขนาดนั้นหน่ะสิ

 

ชั้นหยิกแก้มตัวเองให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมันเจ็บมากๆเลย ชั้นเริ่มเหนื่อยกับการเดินไปมาด้วยเท้าของเด็กตัวเล็กๆแล้วเริ่มที่จะเคลื่อนไหวน้อยลง มันไม่มีความรู้สึกนุ่มนิ่มเหมือนกับความฝันเลย มันเป็นเพัยงแค่ตัว ‘ชั้น’ ที่อยู่ตรงนี้พร้อมกับความทรงจำของอลิซและความทรงจำเกือบ 30 ปีของชั้นเอง

 

และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น: ชั้นจำชื่อของตัวเองในชาติก่อน ก่อนที่จะมาเป็นอลิซไม่ได้เลย

 

ชั้นมีความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัว, ญาติพี่น้อง, และเพื่อนขอนชั้นในญี่ปุ่นได้ ความทรงจำที่ได้รับความรัก, การทะเลาะกันในครอบครัว,และตัวชั้นที่ถูกเลี้ยงดูมา ทว่ามีเพียงแค่ใบหน้ากับชื่อของชั้นที่เลือนราง นี่มันอะไรกัน… อัลไซเมอร์งั้นหรอ?

 

ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องปลอบใจก็จริง แต่ว่าอย่างน้อยๆ ความทรงจำของร่างกายนี้ก็ดูจะทำงานปกติดี

 

จากที่ได้พูดไปเมื่อกี้ ชื่อของชั้นคือ อลิซ ชั้นอายุ 5 ขวบ เกือบจะ 6 ขวบแล้วด้วย

 

ชั้นเติบโตขึ้นมากับครอบครัวของชั้นที่คอยดูแลชั้นอยู่ แต่อยู่มาวันนึง เมื่อชั้นอายุได้ 3 ขวบ ชั้นก็ประสบอุบัติเหตุจนทำให้ชั้นมีปัญหาทางจิตจนไม่สามารถพูดได้ ขนาดที่ชั้นแทบจะไม่ส่งเสียงกระซิบออกมาเลย

 

หลังจากนั้นครอบครัวของชั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พวกเขาดูจะหัวเราะหรือร้องไห้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ราวกับมีก้อนเนื้องอกเริ่มเติบโตขึ้นในความสัมพันธ์ของพวกเขา พวกเขาอยู่ตรงปลายสุดขอบของหน้าผาเหมือนกับสายธนูที่พร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อ

 

ในตอนนี้ชั้นได้ความทรงจำมาแล้ว ชั้นสามารถคุยกับพวกเขาเหมือนกับปกติได้อีกครั้ง อลิซคนก่อนแทบจะไม่มีความสามารถด้านการสื่อสารเลย แต่ด้วยประสบการณ์เป็นทาสของบริษัทเกือบ 30 ปี ชั้นจึงไม่มีปัญหาในเรื่องนั้นเลย

 

ดูเหมือนการที่ความทรงจำชาติก่อนกลับมาจะทำให้ชั้นรู้สึกมีความมั่นใจขึ้นมา ทำให้ชั้นสามารถพูดได้เหมือนปกติอีกครั้ง ชั้นเริ่มพูดส่งเสียงออกมาเพื่อทดสอบดู

 

“หืมมม… ดูถ้ากฏของโลกนี้จะแตกต่างออกไปนะ เรื่องที่นิสัยของชั้นเปลี่ยนไปก็น่าจะไม่เป็นอะไรตราบใดที่ชั้นระมัดระวังตัวเองเอาไว้ ตัวชั้นยิ่งมีนิสัยบ้าๆอยู่ด้วยสิ…”

 

ใกล้ถึงเวลาที่เมดคนนั้นจะกลับมาแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้น ต้องรีบวางแผนอะไรบางอย่างซะแล้วสิ

 

“บางทีเธออาจจะไปพาพ่อกับแม่มาหาชั้นแน่ๆ ถึงจะทำให้เรื่องมันกระอักกระอวนยิ่งขึ้นไปอีกก็เถอะ…”

 

ใช่ พ่อกับแม่ของชั้น

 

ชั้นไม่สงสัยเลยว่าพวกเขาต้องรักชั้นมากแน่ๆ แต่พวกเขาดูจะเข้ากันไม่ได้นี่สิ

 

หรือบางทีจะต้องบอกว่าพวกเขาใช่คนที่แย่อะไร แต่ผิดที่พวกเขาทำตัวแย่ๆใส่กันต่างหาก

 

มันมีบางเวลาที่พวกเขาทำตัวไม่สนใจฝ่ายตรงข้ามเลย และผลที่ได้จากการบังคับตัวพวกเขาเองให้คุยกันแบบผิวเผินก็คือ ทำบางอย่างที่ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยออกมา แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนเป็นคู่รักจอมปลอมกันหรอกนะ

 

“เหมือนกับคู่รักที่มีเรื่องอยากจะพูดกับอีกฝ่าย แต่กลับอดทนไว้เพราะไม่อยากทะเลาะกันมากกว่า ก็ไม่ได้แย่นะ แต่เพราะขาดการพูดคุยกันจึงทำให้พวกเขาไม่คืนดีกัน แล้วตีตัวออกห่างจากกันเรื่อยๆเลย…”

 

เอาตรงๆนะ นั่นเป็นความเห็นจากมุมมองของผู้ใหญ่ที่ชั้นรู้สึกได้อะนะ ทว่า จากมุมมองของชั้นที่เป็นเด็กสาวตัวน้อยที่มีปัญหาด้านการสื่อสาร ครอบครัวของชั้นดูจะไม่ถูกกัน

 

เหตุผลที่ชั้นต้องหาทางทำอะไรซักอย่างกับเรื่องนี้ก็เพราะว่า ถ้าไม่ทำอะไร มันมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะหย่าร้างกันในอีกไม่กี่วันนี้แล้วนะสิ

 

พี่ชายของแม่ของชั้น (ลุงของชั้นเอง) ได้มาที่บ้านหลังนี้ไม่กี่วันก่อนแล้วต่อว่าพ่อของชั้นอย่างฉุนเฉียวไปหน่ะสิ เขาพูดว่าเขาจะบังคับหย่าร้างทันทีถ้ายังขืนเป็นแบบนี้ต่อไป

 

นี่ถือเป็นสถานการ์ที่เลวร้ายแล้ว แม่เลี้ยงเดี่ยวมักจะพบกับความยากลำบาก ชั้นไม่อยากให้คนที่ให้กำเนิดชั้นต้องเจอกับเรื่องแบบนั้นหรอกนะ

 

พ่อของชั้น จากความทรงจำที่เลือนรางจนถึงอายุ 3 ขวบ ดูเหมือนเขาจะรักชั้นมากๆเลย ชั้นไม่อยากจากไปเลย การแยกจากกันไปของครอบครัวของชั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตของพ่อไปตลอดกาลแน่นอนเลย

 

และก็อีกอย่าง ชั้นรู้มาจากความทรงจำของอลิซว่าโลกนี้เต็มไปด้วยเวทมนตร์แฟนตาซีทั้งนั้นเลยด้วย

 

ชั้นเป็นพวกคลั่งเรื่องแฟนตาซีมาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว ชั้นชอบอ่านเรื่องประมาณว่าตัวเอกไปโรงเรียนเพื่อเรียนเวทมนตร์มากๆ ดูเหมือนชั้นจะเป็นอะไรอย่างที่เขาเรียกกันว่าโอตาคุจากการที่ชั้นหมดเงินเป็นหมื่นๆกับนิยายและของจุกจิกแนวแฟนตาซีตลอดทั้งปีเลย มันก็น่าอายนิดหน่อยนะ แต่ชั้นถึงขั้นชอบเก็บพวกหนังสือลึกลับเอาไว้เลย

 

ชั้นอยากจะรู้เกี่ยวกับชีวิตในฐานะนักเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์อะ ก็เลยเรียนพวกเกี่ยวกับพวกสมุนไพรกับการทำนายดวงเอาไว้ด้วยนี่สิ

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การได้เกิดใหม่ในโลกที่แสนมหัศจรรย์นี้เป็นเหมือนกับโบนัสสำหรับชั้นเลยละ…

 

…แต่ชั้นจะไปสนุกได้ยังไงถ้าครอบครัวของชั้นไม่มีความสุขหน่ะ!

 

นั่นแหล่ะว่าทำไมชั้นถึงอยากจะปกป้องครอบครัวนี้ ทั้งจากเหตุผลที่บริสุทธิ์กับไม่บริสุทธิ์เลย

 

เอาเถอะ แล้วใครกันละ คนที่คิดจะอธิบายเรื่องที่ครอบครัวของเด็กอายุ 5 ขวบกำลังหย่าร้างกัน?

 

คนร้ายสำหรับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น กับอีกคนๆนึง

 

ชั้นเห็นได้ชัดเจนเลยละว่าทั้ง 2 คนคือต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวของชั้นไม่มีความสุข

 

 

 

บทที่ 1 จุดเริ่มต้น และ ครอบครัว 

ตอนที่ 1 ค่ำคืนก่อนเริ่มเรื่องราว

 

ในคืนมืดมิดที่ฝนปรอยปลายไร้ซึ่งแสงจันทร์ ชายคนหนึ่งกำลังขวบม้าวิ่งอยู่ท่ามกลางความมืด

 

เขาไม่ได้สนใจเม็ดฝนที่กระทบลงบนแก้มของเขาเลยแม้แต่น้อย เขายังคงมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของเขาต่อไป

 

ชายคนนี้กำลังรีบ ในเวลา 1 ถึง 2 ชั่วโมงข้างหน้า บางสิ่งที่เขาหวาดกลัวอาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้ เขาต้องหยุดมหันตภัยนั้นเอาไว้ให้ได้

 

เกือกม้ากระทบลงบนถนนที่ปูด้วยหิน เขาต้องไปให้ถึงที่นั่นก่อนที่ม้าของเขาจะหมดแรงลง

 

หลังจากช่วงเวลาที่ราวกับจะเป็นนิรันดร์นั้น แสงสว่างก็เริ่มปรากฏขึ้นตามเส้นทางของเขา การผสมผสานระหว่างไฟข้างถนนกับเวทมนตร์ที่กำลังนำทางเขาไปยังจุดหมาย

 

เขายังคงตกอยู่ในความสิ้นหวังแม้เขาจะมาถึงจุดหมายแล้ว และจากความรู้สึกทั้งหมด ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งเดียวที่แย่ลงไปเรื่อยๆ ทว่าเขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อไล่ตามความหวังสีเงิน

 

================================================================

TL: ตอนนี้เป็นตอนสั้นๆครับ หลังจากนี้จะเริ่มยาวแล้ว

[นิยายแปล] Reincarnated into an Otome Game? Who Cares! I’m Too Busy Mastering Magic!

[นิยายแปล] Reincarnated into an Otome Game? Who Cares! I’m Too Busy Mastering Magic!

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset