ตำนานเทพยุทธ์ 82

ตอนที่ 82

เพียงชายหนุ่มได้เห็นสรรพวิชาที่ตนเองได้เห็นและเรียนรู้มาในอดีต ทั้งที่มีคุณค่าและด้อยคุณค่าที่ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เคยอยู่ในหอตำราของนิกายเสวียนอู่ อันควรค่าแก่การเก็บไว้ และเมื่ออนาคตจำต้องฟื้นฟูนิกายเสวียนอู่อีกครั้ง ย่อมจำเป็นต้องนำวิชาเหล่านี้กลับมาใช้ดั่งเดิม เพื่อให้เหล่าศิษย์ร่วมนิกายได้ศึกษา

แต่ในวิชามากมายเหล่านั้นมีหนึ่งในวิชาระดับราชันอยู่ด้วยหนึ่งวิชา เหตุใดจี้เออร์จึงไม่สนใจมัน เมื่อได้หยิบมันขึ้นมาอ่านดู ด้วยควมสามารถทางอักขระที่เต่าอักขรถ่ายทอดมาให้ ทำให้เป่าฮู่สามารถทำความเข้าใจกับวิชาที่น่าทึ่งวิชานี้ได้

เพียงเวลาที่ผ่านเลยไปจี้เออร์ทำความเข้าใจกับท่าร่างแปลกประหลาดได้สำเร็จในขั้นแรกก็ทำให้นางหันกลับมามองหาศิษย์พี่ของนาง อีกครั้ง

แต่ภาพที่จี้เออร์ได้เห็นกลับเป็นชายหนุ่มนั่งจ้องมองตำราเล่มหนึ่ง ด้วยสมาธิขั้นสูงไม่รับรู้สิ่งรอบข้างทำให้นางที่ก้าวเดินมายังเบื้องหน้า ชายหนุ่มต้องประหลาดใจและวิชาที่ชายหนุ่มถืออยู่ในมือก็คือตำราที่จี้เออร์ไม่คิดจะนำมาศึกษา

ด้วยวิชาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นการฝึกฝนร่างกายที่หนักหน่วงของนิกายเสวียนอู่แต่โบราณ วิชาที่เป็นหนึ่งในด้านป้องกันนั่นคือ เกราะเหล็กพันชั่ง วิชาที่ใช้ลมปราณในร่างหนุนนำให้กายเนื้อและกระดูกรวมถึงผิวหนังของผู้ใช้ปราณธาตุน้ำแกร่งกล้าดั่งเหล็ก

ด้วยวิชานี้เป็นวิชาที่ไม่สมบูรณ์ด้วยมันมีเนื้อหาที่เกี่ยวพันกับเคล็ดโคจรเก้าหยินที่สืบทอดแต่ผู้ครอบครองตำแหน่งเจ้านิกายเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกขั้นสุดท้ายได้

สำหรับเป่าฮู่แล้วนั้นกับต่างออกไป ด้วยเป่าฮู่ครอบครองเคล็ดวิชา เก้าหยินโคจรและลมปราณเทพเต่าดำอยู่ นั่นทำให้เคล็ดวิชาทางกาย เกราะเหล็กพันชั่งนี้ มีค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

“ฮ่าๆๆๆๆ สวรรค์ส่งเสริมเราแล้ว”

เพียงเป่าอู่ระบายเสียงหัวเราะออกมา ภายใต้การมองมาจากสาวน้อยจี้เออร์ด้วยความประหลาดใจ

“ศิษย์พี่! ท่านดีใจอะไรกับตำราที่ไม่สมบูรณ์นั้น ท่านปู่บอกว่าหากจะฝึกต้องตามหาสุดยอดเคล็ดวิชาในตำนานของนิกายเสวียนอู่โบราณ เคล็ดที่เรียกว่าเก้าหยินโคจร ท่านเลิกฝันเถอะขนาดข้ายังเลิกคิดตัดใจจากมันตั้งแต่ได้ฟังมาครั้งแรก”

 

เมื่อได้ฟังจากจี้เออร์เหมือนยิ่งย้ำเตือนกับตนเองว่านี่คือความจริง ดังนั้นเป่าฮู่จึงกล่าวออกไปต่อศิษย์น้องของตนว่า

“จี้เออร์ พี่ชายฝากดูแลซิวหยูแทนพี่ด้วย บอกอาจารย์ว่าพี่จะเก็บตัวหลังเขาเทวะจากนี้จนถึงเวลางานชุมนุมชาวยุทธ์ ฝากบอกอาจารย์อย่าเป็นห่วงพี่”

เพียงกล่าวจบเป่าฮู่ก็ทะยานล่างลงไปที่ขอบเหวของเขาเทวะใช้กระบี่น้ำแข็งเจาะทะลุหน้าผาของเหวเทวะ เพื่อสร้างถ้ำฝึกตนปิดกั้นตนเอง ด้วยกลัวว่าเหล่าศิษย์ของหอยอดยุทธ์และศิษย์น้องจะได้รับผลกระทบจากพลังเย็นของลมปราณของตนเองจึงเลือกที่จะลงมาฝึกที่เหวเทวะแห่งนี้

ด้านเหล่าตระกูลใหญ่จากเขตปกครองต่างๆก็ได้เริ่มตื่นตัวเมื่อ วันเวลาที่จะช่วงชิงสุดยอดจอมยุทธ์ที่จะขึ้นเป็นเจ้ายุทธภพได้ใกล้เข้ามาแล้ว การประลองจะแบ่งเป็นสองระดับ อันดับหนึ่งคือ จ้าวสำนักหรือพรรคนิกาย ช่วงชิงตำแหน่งเจ้ายุทธภพ

อันดับสองคือ เหล่าผู้มีอายุเยาว์วัยเป็นต้นไป ไม่เกิน 30 ปี สามารถแลกเปลี่ยนฝีมือและชั้นเชิงยุทธ์กันได้ เพื่อที่จะได้รับตำแหน่งยอดยุทธ์รุ่นเยาว์ไปครอง

เพียงเท่านี้ก็ทำให้เหล่านิกายและพรรคสำนักต่างๆเร่งฝึกปรือวิชากันอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยเขตปกครองทั้ง 5 แห่ง ล้วนต้องช่วงชิงขึ้นเป็นใหญ่

 

ณ ตระกูลมู่ แห่งเขตปกครองมังกรฟ้า

หลังจากที่การตามล่าหาอสูรงูยักษ์ล้มเหลว ทำให้ศัตรูที่น่าจับตามองหายสาบสูญ เฒ่าชรามู่เจิ่นหลงต้องผิดหวังกับลูกหลานของตนเองมากนัก หากมีอสูรงูยักษ์ตนนั้นอาจทำให้มุกข์พิษของทายาทสายตรงเช่น มู่เจี้ยนหนิง ธิดาของผ้นำตระกูลมู่ได้หลอมรวมจนกลายเป็นเทพธิดาพิษได้

หลังจากกำเนิดมาตามคำทำนายของดวงดาวมังกรฟ้า เหล่าอาวุโสของตระกูลมู่จึงอารักขาคุณหนูเล็กเป็นอย่างดี แม้แต่มู่หยงที่ว่าเป็นความหวังและเป็นว่าที่ผู้นำยังไม่อาจเทียบได้กับน้องสาวคนเล็กของตน ด้วยอายุเพียง 16 ปี กลับสามารถทะลวงระดับของตนเองไปถึงราชันขั้นกลางได้ด้วยมุกพิษในกาย

 

ด้านเขตปกครองหงส์เพลิงที่ตอนนี้ เร่อเว่ยซูได้เดินทางกลับไปยังตระกูลเพื่อเก็บตัวหลังจากที่เข้าพิธีแต่งงานกับมู่หยง บุตรชายของตระกูลมู่สำเร็จ ด้วยกฎของตระกูลเร่อเทพธิดาของแดนใต้มีเวลาอยู่กับครอบครัวของนางเพียง 3 เดือน หลังจากนั้นต้องเดินทางไปเพื่อล่าอสูรของตนเองในป่าหงส์เพลิงที่ดินแดนทางใต้ พร้อมเหล่าดาวบริวารทั้ง จากการฝึกฝนอย่างหนักทำให้มู่หยงทะลวงระดับลมปราณของตนเองขึ้นมาสู่ราชาขั้นกลางได้แล้ว

เหล่ารุ่นเยาว์ในแผ่นดินผืนนี้ต่างพากันพลักดันตนเองออกมาสู่โลกของจอมยุทธ์กันทั่วหน้า มากไปกว่านั้นหาได้มีเพียงเขตแดนใต้และตะวันออกเท่านั้น ไม่ว่าแดนเหนือของพรรคใต้หล้า หรือตะวันตกของนิกายเสือขาวตอนนี้เหล่าผู้มีความสามารถก็ทะลวงระดับกันอย่างบ้าคลั่ง

ณ กระท่อมหลังเล็กของหลางจง มารฟ้าโอสถ

หลังจากที่เฝ้าเพียรรักษาอาการของหย่วนซิวหยูตามคำขอร้องของ ศิษย์ในนามของตน หลางจงก็ได้หันไปมองหญิงสาวที่เป่าฮู่ให้ความเอ็นดูคนนี้

“แม่นางหย่วน บัดนี้พิษจิ้งจอกฟ้าในตัวเจ้าหายไปแล้ว ข้าช่วยเจ้ามากว่าครึ่งปีนี้ก็นับว่าหนักหนานัก ดีที่เจ้าคอยอยู่เป็นเพื่อนหลานสาวข้า จากนี้สบายใจได้แล้ว เวลาที่เจ้าหนุ่มแซ่เป่านั่นออกมาจากการฝึกฝนตนเอง เขาคงใจ เอาหละเจ้าเองก็ควรฝึกฝนตนเองด้วยจะได้ไม่เป็นภาระของเจ้าหมอนั่น”

หลางจงแม้คิดว่าการที่ตนเองช่วยเหลือหญิงสาวคนนี้จนหายดี อาจทำให้นางกลายมาเป็นขวากหนามสำคัญของหลานสาวของตนเองได้

ดังนั้นหลางจงจึงใช้ใบยาที่เป็นภัยสองด้าน หากนางผู้นี้เป็นภัยกับหลานสาวของตน เศษเสี้ยวของแผนการในอนาคตย่อมบังเกิด กับตัวนางได้และพร้อมพรากชีวิตของนางได้ทุกเมื่อ

เพียงหย่วนซิวหยูผู้ที่ไม่รู้ความหลังจากเห็นอาวุโสผู้นี้ช่วยรักษาจนตนเองหายนางก็ซาบซึ้งในบุญคุณมากที่ทำให้นางมีชีวิตต่ไปและสามารถตามรับใช้นายท่านขางนางไปชั่วชีวิต โดยไม่รู้ว่าตนเองได้ฝากชีวิตครึ่งหนึ่งกับมัจจุราชที่ซ่อนอยู่ในกายของนางไว้แล้ว

 

ณ หุบเหวลึก

หลังจากผ่านเวลากว่าครึ่งปี เป่าฮู่ทุ่มเทเวลาฝึกฝนทักษะทางกายอย่างหนักหน่วง จนตอนนี้เป่าฮู่แทบไม่ต้องใช้เกราะลมปราณเต่าดำออกมาคุ้มกันร่างกายเวลาที่ต้องออกต่อสู้ และช่วงเวลาที่ผ่านมาการทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชาต่างๆที่ได้กลับคืนมาจากหอยอดยุทธ์ของแดนศักดิ์ศิษย์ทำให้เป่าฮู่พัฒนาตนเองไปอย่างมาก

“ฮ่าๆๆๆ เวลาที่ผ่านไปช่างคุ้มค่านัก กับเวลาที่ทุ่มเทไปกับเคล็ดเกราะเหล็กพันชั่ง นี่ข้าเหลือเวลาอีกไม่มาก คงถึงเวลาที่ต้องยกระดับลมปราณแล้ว”

เป่าฮู่เสียเวลาไปกับเคล็ดวิชาทางกาย เพื่อทำให้ร่างกายพร้อมที่จะทะลวงระดับราชันขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิลมปราณนั่นเอง ตามที่กล่าวมาการทะลวงระดับลมปราณขั้นสูงจำต้องใช้ความสามารถทางกายที่สูงและความอดทนที่มากกว่าที่ผ่านมามากนัก และที่ขาดไปไม่ได้นั่นคือ โอสถระดับสูงที่เข้ามาช่วยทะลวงม่านกำแพงที่แข็งแกร่งของช่วงชั้น

จากครึ่งปีที่ผ่านมา เต่าอักขระได้กล่าวไว้ว่า การที่มนุษย์จะทะลวงระดับลมปราณได้ดีกว่าที่ทั่วไปทำจากการดูดซับโอสถโอสถระดับราชันลงไปก็ง่ายดายนัก

แต่ว่าโอสถระดับราชันนั้นก็หายากดังนั้นหลายสิบปีมานี้การทะลวงไประดับจักรพรรดิจึงมีน้อยคนที่ทำได้ ยิ่งทุกวันนี้ยังนับจำนวนได้ว่ามีกันเพียงกี่คน แต่หากไม่มีโอสถระดับราชันก็ใช้สมุนไพรทิพย์ที่ยังพอหาได้ในป่าลึกที่อสูรระดับสูงขวางกั้นไว้ นั่นคืออสูรระดับราชันทั้งหลายนั่นเอง

เต่าอักขระ ราชาอสรพิษฟ้าครามทั้งสองคือ อสูรระดับราชันที่พัฒนาตามผู้เป็นเจ้าของ แต่พื้นฐานของทั้งสอง ยังไม่อาจถูกเติมเต็มได้ในเร็ววัน มีเพียงราชาอสรพิษฟ้าครามที่บัดนี้จัดได้ว่ามีอายุได้ 1000 กว่าปี แต่ก็ไม่มากเท่าเหล่าสัตว์ร้ายที่เฝ้าสมุนไพรทิพย์เหล่านั้น

เป่าฮู่ที่อาศัยในถ้ำใต้หน้าผามาครึ่งปี แต่ละวันก็มุ่งเน้นฝึกวิชายุทธ์เป็นหลักจนหน้าผาที่ถูกเจาะเพิ่ม เจาะเพิ่มทุกครั้งในการฝึกยุทธ์ได้ลึกลงไปในดินจนไม่มีเวลามาฉุดคิดว่าขุดมานานเท่าใดและไกลเท่าใด

ใต้ความบังเอิญที่เป่าฮู่ขุดอุโมงค์เข้ามานั้นกลับการฝึกครั้งสุดท้าย ก็ได้พบเจอกับสิ่งที่น่าอัศจรรย์เขาเทวะ ทำไมถึงเรียกเช่นนั้น นั่นเพราะตำนานกล่าวว่า ดินแดนพื้นที่ส่วนกลางนี้

แต่เดิมคือพื้นที่อันสัตว์เทพมากมายมาฝากกายไว้ในฝืนดินแห่งนี้ก่อนที่จะดับสังขารไปกำเนิดใหม่ในดินแดนที่เรียกว่าแดนเทพ เช่นสัตว์เทพทั้งสี่ผู้ปกป้องเขตแดนหรือทวารทั้งสี่ทิศ

วันนี้เป่าฮู่ชายหนุ่มที่ใช้หมัดดุ่นๆที่ผนึกเคล็ดวิชาเกราะเหล็กพันชั่งต่อยหินและดินที่ผนังถ้ำจนพบเจอโพรงที่กว้างให่ด้านในนั้น แสงที่เปล่งประกายออกมาจากโพรงลึกนั้น เปล่งประกายสีเหลืองทองอร่ามสลับเขียวเป็นครั้งคราวไป

กลิ่นอายของโอสถโอสถที่หอมหวน พลังแห่งฟ้าดินที่ลอยครุกรุ่นกระกระจายออกมาจากโพรงนั้นดึงดูดให้สัตว์นพันธะสัญญาของเป่าฮู่ปรากฏกายและก็เป็นเต่าบ้ายอที่กล่วออกมาถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

“เจ้าหนู เจ้านับว่าโชคดีมากนัก ที่นี่มันคือสุสานบรรพกาลของเหล่าสัตว์เทพที่ละสังขารไปแล้ว กลิ่นอายแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ กรี๊กๆ เจ้ายิ่งกว่ามีบุญหล่นทับเสียอีก”

ด้วยเวลาและสิ่งเย้ายวนใจไม่ใช่แต่เต่าบ้ายอ ราชาอสรพิษฟ้าครามก็ด้วยที่พุ่งลงไปอย่างรวดเร็ว เป่าฮู่เห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้าเช่นกัน

“นี่พวกเจ้าคิดฉกฉวยสิ่งเหล่านั้นจนไม่เหลือให้ข้าหรืออย่างไร?”

Options

not work with dark mode
Reset