ตำนานเทพยุทธ์ 68

ตอนที่ 68

ด้วยความอึดอัดที่ทำอะไรไม่ได้นั้น ในป่าที่ไม่น่ามีคนอยู่ กลับมีคนหนุ่มที่เดินแบกกระเป๋าที่ทำด้วยไม้ ดั่งกับหมอที่ออกเดินทางรักษาคน เป่าฮู่เห็นจากที่ไกลๆรีบพุ่งเข้าไปเพื่อถามและที่ต้องทำให้เป่าฮู่ตกใจกลับเป็นชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่ที่ดูไม่เหมือนชุดของสามัญชนทั่วไป

 

“น้องชาย น้องชาย เจ้าใช่หมอหรือไม่?”

ด้วยสีหน้าที่ตื่นตะหนกเป่าฮู่ไม่เคยได้ศึกษาวิชาแพทย์มาจึงไม่รู้ว่าม้าตัวนั้นจะอยู่อีกนานเพียงใด

 

ชายหนุ่มที่ได้ฟังคำถามจากชายแปลกหน้า ก็เงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า

“ใช่แล้วทำไม ไม่ใช่แล้วทำไม”

 

เมื่อเป่าฮู่ได้ฟังแม้รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ คงจะเหนื่อยที่พึ่งมาถึงน้ำท่ายังไม่ได้ดื่มกิน จึงเกิดอารมณ์ที่ฉุนเฉียวไปบ้าง

“เฮ้ย!….รอข้าแป๊บ ข้าขอกินน้ำกินท่าก่อน”

เป่าฮู่ได้ฟังแม้จะไม่ได้คิดอะไร แต่พอได้เห็นทิศทางที่ชายหนุ่มกำลังไปนั่นคือลำธาร ซึ่งก็คือลำธารที่มีพิษอยู่

“ช้าก่อนน้องชาย!”

ยังไม่ทันได้พูดดี ชายหนุ่มแปลกหน้าก็หันมาด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวมากกว่าเก่า

“เอ๊ะ! พี่ชาย ข้าก็บอกว่าให้รอก่อนข้าขอกินน้ำก่อน ท่านยังจะมาขัดขวางข้าหรือไม่อยากให้ข้ารักษาท่านให้”

เป่าฮู่ได้ยินดังนั้นก็ดีใจที่ชายหนุ่มตรงหน้าคือหมอจริง แต่ขณะที่ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปยังลำธาร เป่าฮู่ก็รีบกล่าวออกมาทันที

“อย่านะน้องชาย ในน้ำมีพิษ ม้าของข้าพึ่งโดนพิษในลำธารนั้นมา นั่นจึงเป็นสิ่งที่ข้าพยายามห้ามเจ้า”

 

เมื่อหมอหนุ่มได้ยินก็หยุดการกระทำของมันก่อนที่ จะหันไปกล่าวขอบคุณ ชายแปลกหน้าด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง แล้วพี่ชายพอมีน้ำให้ข้าดื่มสักเล็กน้อยหรือไม่?”

 

หลังจากนั้นทั้งสองก็พากันเดินมายังเจ้าหยาดโลหิตนอนอยู่ เพียงชายหนุ่มผู้เป็นหมอได้เห็น ก็รู้สึกได้ทันทีว่าพิษนั้นแล่นเข้าไปในร่างของม้าได้เร็วมาก และที่เห็นตรงพื้นดิน ก็มีดอกถุงมือจิ้งจอกหล่นอยู่ ทำให้หมอหนุ่มกล่าวออกมาว่า

“เรียนพี่ชาย ข้าว่า ไม่ใช่ในแม่น้ำลำธารมีพิษ แต่เป็นจุดที่ม้าของท่านพักอยู่รอบข้างมีดอกไม้มีพิษ เช่นดอกถุงมือจิ้งจอกนี้มากกว่า”

 

เมื่อเป่าฮู่ได้ฟังก็เข้าใจทันที และสายตาที่มองไปที่ม้าหยาดโลหิต ด้วยความเสียใจและโทษตนเองที่ไม่รู้ว่าพื้นที่ตรงนี้มีสมุนไพรพิษอยู่

 

“แล้ว แล้ว น้องชายสามารถรักษาม้าของข้าได้หรือไม่?”

หมอหนุ่มมองไปที่ม้าหยาดโลหิต ก็กล่าวออกมา ถึงอาหารขั้นต้นตอนนี้ม้าตัวนี้รับภาระมาหนักมากในหลายปีก่อนหน้า สภาพร่างกายนั้นอ่อนแรงลง และยิ่งอายุของมันในตอนนี้ก็น่าจะมากพอตัวทำให้ชายหนุ่มผู้เป็นหมอกล่าวออกมาว่า

 

“ทางที่จะรักษามันนะมี แต่มันคงวิ่งสมบุกสมบันดั่งเก่าก่อนไม่ได้แล้ว ท่านยังจะรักษามันอยู่หรือไม่ และที่สำคัญต้องใช้ผู้มีลมปราณหยินช่วยข้าในการทะลวงจุดของมันเพื่อขับพิษ และต้องใช่เวลาอีกกว่า 10 วันในการฟื้นพลังกายของมันขึ้นมาใหม่”

เมื่อเป่าฮู่ได้ฟังก็คิดว่า การขี่มันในวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้ว มีวาสนาพบพาแต่ก็แค่ผ่านไปและผ่านมา เช่นนั้นเพื่อให้มันเป็นม้าที่มีลมหายใจต่อ เป่าฮู่ก็พร้อมยกมันให้แก่ชายหนุ่มผู้เป็นหมอ เพราะหมอคงไม่ขี่หรือใช้งานมันสมบุกสมบันกว่าตนเป็นแน่

“รักษามันซะ  แววตาของชายหนุ่มคนนี้ ดูจะรักม้าตัวนี้มาก และเขาเพื่อให้ม้าของตนเองมีชีวิตต่อไป ยอมยกมันให้แก่คนอื่นที่จะไม่ใช้งานมันอย่างทารุนเช่นที่ผ่านมา

 

“ก็ได้ แล้วใครหละที่จะเป็นคนช่วยข้า หรือว่าเป็นท่าน?”

จากนั้นทั้งสองกันได้ช่วยกันรักษา เจ้าหยาดโลหิตและให้มันได้พักฟื้น ส่วนเป่าฮู่ได้มองเห็นฝีมือของหมอหนุ่มคนนี้ จึงได้กล่าวถามออกไปถึงสำนักที่ร่ำเรียนมา

 

เมื่อมีคนถามหมอหนุ่มมีหรือจะไม่บอกไปถึงสำนักที่ปรมาจารย์เพียรสร้างมาช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยในแผ่นดินแห่งนี้

 

“ฮ่าๆๆๆ พี่ชาย ท่านถามข้าถึงสำนักของข้า ก็ได้ ข้าเป็นศิษย์ของสำนักร้อยบรรพต ข้าเป็นศิษย์ชั้นในจึงออกรักษาคนได้ มิทราบพี่ชายมีนามว่าอะไร ข้ามีนามว่า หลั่วจื่อ”

เมื่อเป่าฮู่ได้ยินชื่อหลั่วจื่อก็ตกใจเพราะตนเองก็เคยใช้ชื่อปลอมชื่อนี้ ไม่คิดว่าสวรรค์จะส่งมาเจอคนที่มีชื่อนี้จริงๆ หมอหนุ่มจึงกล่าวออกไปอีกครั้งหลังจากได้เห็นท่าทางของเป่าฮู่ที่แสดงออกมาขณะบอกชื่อตน

 

“พี่ชายท่านเป็นอะไร ชื่อข้ามันไมเพราะหรือไม่ดีตรงไหน?”

เป่าฮู่ได้ฟังจึงได้สติกลับมา พร้อมกล่าวว่า

“น่าอายนัก ข้าท่องยุทธภพได้ใช้ชื่อปลอมชื่อหนึ่งไป ไม่คิดว่าวันนี้จะได้พบคนที่ใช้ชื่อนี้จริงๆ ฮ่าๆๆๆ วาสนา วาสนา เอาหละน้องชาย ข้าแซ่เป่า นามฮู่ เรียกข้าพี่ชายฮู่ก็ได้”

 

เมื่อทั้งสองนั่งมองเจ้าหยาดโลหิตที่กำลังฟื้นพลัง ไม่นานกองไฟที่ทั้งสองร่วมกันก่อขึ้น ก็มีร่างเงาของคนสามคนวิ่งเข้ามา

“นายน้อย นายน้อย แย่แล้ว แม่นางซิวหยู แม่นางซิวหยูถูกพิษ”

 

เพียงเป่าฮู่ได้ฟังยิ่งทำให้สับสน เพราะหมอหนุ่มหลั่วจื่อได้กล่าวว่า พิษไม่ได้มาจากลำธารแล้วนางโดนพิษได้เช่นไร

 

“รีบพานางเข้ามา รบกวนเจ้าแล้วน้องหลั่วจื่อ”

เพียงหลั่วจื่อได้เห็นใบหน้าของซิวหยูหลังจากนำหน้ากากหนังมนุษย์ออก ดวงตาที่ลุ่มหลงของตังหมอหนุ่มก็เกิดขึ้นอย่างไม่อาจจะบอกปัดได้

“นางช่างงดงามนัก”

เมื่อเป่าฮู่เห็นท่าทางนี้จึงคิดว่า ตนเองอาจได้คนมีฝีมือมาร่วมกลุ่มอีกคน เพราะตอนนี้เท่าที่ดูหมอหนุ่มคนนี้มองนางไม่วางตา

“น้องหลั่วจื่อ นางคือคนติดตามข้า รักษานางด้วย”

 

เพียงคำกล่าวนั้นดังออกไป ทำให้หัวใจของหมอหนุ่มผลิบาน สาวงามนางนี้ไม่ใช่ผู้หญิงของพี่ชายฮู่คนนี้ แต่เป็นเพียงสาวใช้ติดตาม

“ได้เลยพี่ชาย ต่อให้ตายข้าจะรักษานางให้ได้ ท่านจงวางใจ”

 

เหล่าองครักษ์ได้เห็นท่าทีของหมอหนุ่มก็เริ่มรู้สึกว่านี่ไม่เข้าท่าแล้ว อาจมีคู่แข่งก็ย่อมเป็นไปได้ เพราะนายน้อยดูไม่ได้ชอบแม่นางซิวหยูคนนี้ แต่เจ้าหมอหนุ่มคนนี้กลับแสดงมันออกมาอย่างไม่ปิดบัง

หมอหนุ่มเริ่มการรักษาทันทีเพราะเท่าที่เห็นนางคนนี้โดนพิษดอกถุงมือจิ้งจอกจริงแสดงว่าในป่าแห่งนี้มีพิษร้ายซ่อนอยู่

 

“พี่ชายข้าว่าป่าแห่งนี้ไม่อาจอยู่ได้นาน ห่างจากนี้ไม่ไกลมีเนินเขาที่อากาศปลอดโปร่งถ่ายเทดี ที่นั่นอาจเหมาะสมกว่าที่นี่มากนัก”

 

เพียงเท่านั้นเป่าฮู่ก็หันไปทางเหล่าองครักษ์และมองดูว่าอีกสองคนยังไม่กลับมาจากตัวเมืองจึงกล่าวสั่งการออกไป ให้ย้ายที่พักไปที่ยอดเนินใกล้ๆ และตัวเป่าฮู่ก็ให้คนไปนำรถม้ากลับมา ก็พบว่าม้าที่ผูกไว้ล้วนมีอาการเหมือนกันหมด จนไม่อาจวางใจได้ตัวเป่าฮู่ไม่เป็นไรแต่คนที่ติดตามมาอาจไม่รอดก็เป็นไปได้

 

เมื่อไร้พาหนะ เป่าฮู่จึงไม่อาจที่จะนำพาคนของมันไปพร้อมๆกันด้วยได้ ยิ่งหมอหนุ่มคนนี้ด้วยต้องรีบนำพาไป

“ออกมาสหายข้า”

ราชาอสรพิษฟ้าครามถูกเรียกออกมา ด้วยลำตัวที่ใหญ่โต สร้างความเสียหายแก่ป่าพิษนี้จนไม่เหลือสภาพเดิม เมื่อเจ้าหยาดโลหิตได้ฟื้นกำลังก็รีบเดินตามมาติดๆ โดยมีองครักษ์อาสานำทางแต่เป่าฮู่ก็หันไปกล่าวต่อ เจ้าราชาอสรพิษฟ้าครามของมัน

“ใช้หางของเจ้าดึงร่างของม้าตัวนั้นขึ้นมาด้วย”

 

คำสั่งที่ทำให้ราชาอสรพิษต้องสะดุด เพราะม้าชั้นต่ำต้องมาเหยียบย่ำร่างของอสูรลมปราณชั้นราชา ทำให้เป่าฮู่เองก็ต้องกลับไปคิด สัตว์ก็มีชนชั้นเช่นกัน

“เฮ้ย! เจ้ารีบนำเจ้าม้าตัวนี้ตามพวกข้าไป แต่อย่าได้ขี่มัน คุ้มกันมันดีๆ เพราะนั่นจะเป็นม้าของน้องชายผู้นี้”

Options

not work with dark mode
Reset