ตำนานเทพยุทธ์ 67

ตอนที่ 67

การเดินทางของรถม้าประจำจวนเจ้าเมืองตระกูลหงนั้นได้เคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองออกมา ท่ามกลางสายตาของเหล่าชาวเมืองที่รักและเคารพในตัวหงซวนคนนี้ บุตรบุญธรรมคนนี้ก็ไม่ต่างกัน

คุณชายเป่าฮู่คนนี้ทั้งเก่งกล้าสามารถและหน้าตาคมคายสร้างความชื่นชอบแก่ชาวเมืองมากนัก

“นั่นอย่างไรดูสินั่นรถม้าของจวนท่านเจ้าเมือง ครานี้คงเดินทางไปที่ใดสักแห่ง วาสนาช่างล้นฟ้ายิ่งนัก”

ชาวบ้านที่ได้ฟังเรื่องของคุณชายเป่าฮู่คนนี้ จากทหารในจวนของเจ้าเมืองที่มาดื่มกิน ทั้งบอกกันว่าเก่งกาจและหน้าตาหล่อเหลา ดั่งเทพบุตรมาจุติสาวๆในเมืองต่างมารอดูขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนตัวผ่านไป

“นั่นอย่างไรนายน้อยของจวนเจ้าเมือง ดูสิหน้าตาหล่อเหลามากนัก ข้าหละอิจฉาคุณหนูหงหลี่แล้วสิที่ได้ใกล้ชิดนายน้อยเป่าคนนี้”

หลังจากรถม้าแล่นผ่านไป ทุกคนกลับเข้าใจผิด ด้วยชายที่นั่งในรถม้ากลับเป็นซิวหยูที่ปลอมเป็นชาย ส่วนเป่าฮู่นั้นสวมใส่ชุดคลุมและหมวกไม้ไผ่ปิดบังกายนั่งบนหลังเจ้าอาชาหยาดโลหิตที่ได้รับคืนมาจากบิดา

“นายน้อย ท่านดูสิขอรับ ชาวเมืองมาดูท่านกันเต็มไปหมด แต่ลึกๆก็สงสารพวกนางทั้งหลายที่เห็น แม่นางซิวหยูเป็นท่าน ฮ่าๆๆๆ ข้าหละชอบแผนการของนายน้อยมากนัก

สลับหัวมังกร แผนนี้ได้ผลดีนัก”

เมื่อเป่าฮู่ได้มองตามที่ทหารนายนั้นกล่าว ตนก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจและควบม้าเข้าไปใกล้รถม้า พร้อมกล่าวต่อซิวหยูอย่างสบายอารมณ์

“คุณชายรูปงาม ท่านก็นั่งตรงนั้นแทนข้าไปแล้วกัน แสดงให้สมบทบาทหละ”

เสียงที่กล่าวออกมาปนรอยยิ้มทำเอาใบหน้าของหย่วนซิวหยูแดงขึ้นมาเล็กน้อย

ด้วยซิวหยูเองก็เขินอายที่ต้องมาสวมใส่ชุดบุรุษเพศเช่นนี้

“ข้า…ข้าจะทำให้นายท่านพอใจ เชิญนายท่านตามสบาย ข้านั่งบนเบาะนุ่มๆก็สบายดี เจ้าคะ”

หลังจากนั้นรถม้าที่ค่อยๆเคลื่อนผ่านประตูเมืองไปอย่างไร้ปัญหาใดๆ เพราะทุกคนรู้ถึงความสามารถของกองกำลังองครักษ์เงาของเจ้าเมืองดี โจรภูเขาจึงมีน้อยที่หาญกล้าที่จะออกมาปล้น

เมื่อไร้สิ่งกวนใจ กลุ่มเดินทางก็ใช้เวลาเคลื่อนตัวไปอย่างอิสระ แต่ก็ไม่ได้ลดการป้องกันแม้แต่น้อย องครักษ์ทั้ง 5 คนที่ติดตามมาครั้งนี้ทำเอาเป่าฮู่สบายใจมากกว่าทุกครั้ง เพราะครั้งนี้บิดาจัดคนที่มีระดับสูงมาคุ้มกันตนเอง ดั่งรู้ได้ว่าแผนการครั้งนี้ล้อเล่นไม่ได้

จากการกระทำเหล่านี้ เป่าฮู่ก็ต้องการรู้ถึงตัวตนลึกๆของบิดาหงซวนเช่นกัน ช่างเป็นคนลึกลับมากพอตัว ด้วยการตระเตรียมทุกอย่างได้อย่างเรบร้อยเหล่านี้นั้นนับว่าหายากที่จะมีคนที่รอบคอบแบบนี้

“เรียนนายน้อย เช่นนี้จะพักที่ใดกันดี จะพักค้างอ้างแรมกันที่กลางป่าหรือตั้งหน้าตั้งตาเดินทางเพื่อไปให้ถึงเมืองต่อไปในยามค่ำคืนกันดีขอรับ?”

เป่าฮู่ก็กล่าวออกไปว่า

“ไม่ต้องรีบ หากต้องพักก็พัก อย่างไรเสียในยามดึกข้าจะใช้โอกาสนั้นฝึกลมปราณส่วนเจ้า ซิวหยูในยามค่ำคืนเจ้าต้องรักษาความปลอดภัยแทนข้า เพราะเจ้านั้นคือผู้ฝึกปราณร้อน ใช้ห้วงเวลาตอนกลางวันจะเหมาะสม ส่วนข้าฝึกปราณหยิน กลางคืนดูจะเหมาะสมมากกว่า”

เหล่าทหารองครักษ์ได้ฟัง การสั่งการของนายน้อยก็คิดว่านายน้อยเติบโตมากกว่าครั้งแรกๆที่เจอ รอบครอบดั่งท่านเจ้าเมืองมิมีผิด ด้านเป่าฮู่ไม่ได้สนใจมากนักเพียงหันหน้ากลับไปก่อนที่จะใช้มือลูบไปที่ม้าหยาดโลหิตของตนเบาๆก่อนที่จะควบม้าหยาดโลหิตตัวนั้นให้ออกวิ่งต่อไป

“เอาหละเดินทางกันต่อ ….ไป!…..ย๊ะ!…ย๊ะ!”

กลุ่มฝุ่นควันที่คละคลุ้งด้านหลัง ก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย เป็ฯครั้งแรกที่การเดินทางดำเนินไปด้วยดีเช่นนี้

ณ ขุนเขาร้อยบรรพต

ว่าด้วยขุนเขาร้อยบรรพตแห่งนี้เป็นเขาที่ตัดผ่านเขตโดนเมืองซื่อเหล่ย อันเป็นเมืองลำดับที่ 4 ของเขตปกครองเสือขาว เส้นทางที่จะไปเมืองเซี่ยหยูต้องผ่านเส้นทางนี้

โดยปกติการเดินทางก็มักมีเหล่าชาวยุทธ์เดินทางมามากมายเช่นกันจึงมีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามรายทาง ซึ่งขณะที่เป่าฮู่กำลังจะตั้งเพิงพักนั้น ที่ลำธารเล็กๆข้างที่พักเป่าฮู่ได้นำม้าของตนมากินน้ำที่ลำธาร โดยเจ้าม้าตัวเก่งกำลังก้มลงกินน้ำอยู่นั้น

ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น โดยที่เป่าฮู่ไม่รู้ตัว เพราะแม่น้ำลำธารที่พัดพาเอามวลน้ำไหลลงมานั้นไม่ได้มาแต่น้ำปกติแต่กลับเจือปนพิษร้ายมาด้วย เพราะมีบางสิ่งที่ต้นน้ำเกิดขึ้น

เพียงม้าตัวเก่งได้กินน้ำเข้าไปมันก็ทรุดขู่หลังลงกับพื้น ทำให้เป่าฮู่เกิดตกใจและขณะที่กำลังสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ก็หันไปมองที่แม่น้ำและเริ่มทำความเข้าใจว่าสาเหตุต้องมาจากแม่น้ำนั้นเป็นแน่

“บัดซบ!ทุกคนในน้ำมีพิษร้าย”

ด้วยตัวของเป่าฮู่แม้มีแก่นแท้ของพิษของอสรพิษฟ้าคราม แต่กลับพิษชนิดอื่นหากอ่อนกว่าก็ไม่เป็นไร หากเกิดขึ้นกับตัว แต่นี่กับเกิดกับม้าตัวเก่งที่พึ่งได้คืนมาจากบิดาและพึ่งได้ใช้มันเดินทางมาได้ไม่ถึง 50 ลี้ได้ดีนัก

เหล่าองครักษ์ที่ได้รีบหน้าเข้ามายังจุดที่เป่าฮู่อยู่ ก็ทำให้ทุกคนมองดูรอบๆและมองว่ามีใครได้ไปดื่มน้ำในลำธารอีกหรือไม่ พอทุกคนสำรวจในกลุ่มเดินทางก็พบว่า ซิวหยู ได้หายตัวไป จากกลุ่มเดินทาง

เมื่อเป่าฮู่ถามก็พบว่ามีองครักษ์คนหนึ่งบอกว่านางขอตัวไปอาบน้ำที่ต้นน้ำ นั่นจึงทำให้เป่าฮู่ฉุดคิดขึ้นมาได้

“แย่แล้วนางไม่รู้ว่าในน้ำมีพิษ”

การเร่งส่งคนไปตามหา เป่าฮู่เองก็ต้องรีบหาคนมารักษาม้าตัวเก่งของตน อีกใจก็ห่วงผู้ติดตามสาวของตนเช่นกัน

“เอาหละเจ้าสองคนรีบเข้าไปในเมืองที่ใกล้ที่สุด หาหมอรักษาสัตว์มา เจ้าหยาดโลหิตกำลังแย่ ส่วนพวกเจ้ารีบออกไปหาตัวซิวหยูหากพบรีบแจ้งนาง หากนางโดนพิษรีบพามาที่ข้าหยู่ให้เร็วที่สุด”

เป่าฮู่ไม่รู้ว่าจะรักษาม้าของตนเองอย่างไร จึงได้รีบอัญเชิญ เต่าอักขระออกมา เพื่อถามหาหนทางรักษาพิษร้ายนี้

เมื่อเต่าอักขระออกมาก็ได้มองไปยังเจ้าสัตว์ชั้นต่ำเช่นม้าหยาดโลหิตที่กำลังนอนลงด้วยอาการที่ย่ำแย่

“เจ้าหนู เจ้าบอกว่าต้องการรักษาเจ้ามานั่น แต่ดูมันแล้วน่าจะถูกพิษของดอกถุงมือจิ้งจอก ข้าว่าไม่น่าจะรอดแล้วหละ ข้าเองก็ไม่ใช่หมอเสียด้วย”

เมื่อฟ้าไม่เป็นใจ ถึงแม้รู้ว่าเจ้าหยาดโลหิตถูกพิษชนิดใด เป่าฮู่จึงถามออกไปว่าหากใช้แก่นพิษดูดซับพิษนั่นเข้ามาที่ร่างกายตน จะสามารถช่วยเหลือม้าตัวนี้ได้หรือไม่ และคำตอบก็คือ พิษในตัวของเป่าฮู่รุนแรงเกินกว่าจะส่งปราณพิษเข้าไปกลืนกินในร่างเจ้าม้าตัวนี้ได้ หากทำได้พิษที่ตกข้างในร่างของมันก็จะเป็นพิษของอสูรลมปราณแทนซึ่งหนักกว่าเดิมอีกหลายเท่า

Options

not work with dark mode
Reset