ดั่งรักบันดาล 51

ตอนที่ 51

ศาสตราจารย์หร่วนลดเสียงลง “ซือซือ ฉันกับแม่ของเธอปรึกษารือกันแล้ว คิดว่ามีบางเรื่องต้องคุยกับเธอ”

“แม่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?”

เมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสองท่าทางจริงจังจนดูน่ากลัว

คุณนายหลิวยื่นตะเกียบให้เธอ “กินข้าวก่อน ไม่ต้องรีบร้อน”

หร่วนซือซือหยิบตะเกียบอย่างลังเล และรู้สึกไม่สบายใจ

ในที่สุดคุณนายหลิวก็พูดอีกครั้ง “หลายวันมานี้เธอกับเสี่ยวอวี้เป็นยังไงบ้าง?”

หร่วนซือซือกลืนน้ำลาย “ก็ดีค่ะ……”

คุณนายหลิวเงยหน้าขึ้นมองเธอ “งั้นพวกเธอได้คุยกันไหมว่าจะจัดงานแต่งงานเมื่อไหร่?”

หร่วนซือซือตกใจหนักมาก “จัดงานแต่งงาน?”

ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคยคุยเรื่องนี้กับอวี้อี่มั่วเลย ตั้งแต่ย้ายออกไป พวกเขาก็เหมือนคนเฒ่าคนแก่ที่ใช้ชีวิตตามปกติ

“ใช่นะสิ ฉันมีเธอเป็นลูกสาวคนเดียว ไม่มีคนอื่น ฉันอยากให้เธอมีครอบครัวที่ดี และมีลูกชายหรือลูกสาว!เธออย่าบอกนะว่าเธอไม่คิดเรื่องนี้เลย!”

เป็นเช่นนั้นจริงๆ คุณนายหลิวพูดตรงเป้า หร่วนซือซือไม่รู้ว่าจะตอบยังไง “หนู……”

ศาสตราจารย์หร่วนจิบไวน์อย่างไม่ตื่นตระหนก แล้วเงยหน้าขึ้นมองหร่วนซือซือ “ซือซือ ที่แม่เธอพูดนั้นถูกแล้ว เราก็ไม่ได้ขอมากไป แต่ในเมื่อเธอกับอวี้อี่มั่วจดทะเบียนกันแล้ว พิธีการที่ควรจะทำก็ต้องทำ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดและสิ่งที่ฉันพูด ในใจของหร่วนซือซือก็สับสน อวี้อี่มั่วไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน และแน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน

เมื่อเห็นว่าหร่วนซือซือไม่ได้พูดอะไร ศาสตราจารย์หร่วนก็พูดต่อว่า “พ่อแม่อยากให้เธอมีชีวิตที่ดี จัดพิธีแล้วก็ถือว่าเธอได้เข้าตระกูลอวี้แล้ว พิธีง่ายๆให้ญาติของทั้งสองฝ่ายได้รับรู้ และทุกคนได้สนุกครึกครื้นไปด้วยกัน”

หร่วนซือซือสูดหายจเข้าลึกๆ “พ่อ หนูเข้าใจแล้ว หนูจะไปคุยเรื่องนี้กับอวี้อี่มั่ว”

เธอเคยไม่เข้าใจเจตนาของพ่อแม่ที่ไหนกัน พูดมากมายขนาดนั้นก็เพราะว่ากลัวเธอเข้าไปในตระกูลอวี้แล้วจะถูกรังแก

ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังหวังว่าจะจัดงานแต่งงานที่เป็นของตัวเองจริงๆ เพราะมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต

หลังจากทานอาหารเย็นและออกมาจากบ้าน หร่วนซือซือก็เดินเลียบออกมา และคิดทบทวนในสิ่งที่พ่อแม่พูดเมื่อตะกี้ และแอบตัดสินใจ

รอให้เธอกลับไปถึงคฤหาสน์แล้วเจอกับอวี่อี่มั่ว เธอก็จะคุยกับเขาเรื่องนี้!

เมื่อกลับไปถึงที่คฤหาสน์ หร่วนซือซือเห็นรถจอดอยู่ที่ลานบ้านก็รู้ว่าอวี้อี่มั่วกลับมาแล้ว เธอเดินเข้าไปในบ้านแล้วถามป้าหรงว่า “ป้าหรง อวี้อี่่มั่วล่ะ?”

“คุณชายน่าจะอยู่ในห้องหนังสือ คุณลองไปดู”

“ค่ะ”

หร่วนซือซือเดินขึ้นไปที่หน้าประตูห้องหนังสือชั้นสอง และเคาะประตูเบาๆ “อวี้อี่มั่ว?”

ในห้องไม่มีอสียงใดๆ และไม่คนตอบรับ

หร่วนซือซือค่อยๆผลักประตู และเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง เธอมองไปรอบๆก็ไม่เห็นเขา

โน้ตบุ๊คบนโต๊ะยังเปิดอยู่ เขาไปไหน?

หร่วนซือซือหันหลังและกำลังจะจากไป ทันทีที่เดินไปทีหน้าประตู เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นข้างหลังเธอ

เธอลังเลอยู่สักพัก แล้วเดินไปที่โต๊ะหนังสือ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

ตัวอักษรสองตัวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ——หว่านเอ๋อ

ชื่อนี้อีกแล้ว!

หร่วนซือซือใจเต้นแรง เธอลังเลว่าจะรับสายดีไหม จู่ๆก็มีเสียงผู้ชายดังขึ้นข้างหลังเธอ “เธอทำอะไร!”

เธอหันกลับไปด้วยความตื่นตระหนก และไม่ได้ตอบกลับในทันที อวี้อี่มั่วก็เดินเข้ามาแล้วไปหยิบโทรศัพท์จากมือของเธอไป

อวี้อี่มั่วมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ เขาขมวดคิ้วแน่นจนเส้นเลือดที่หน้าผากของเขาปูดขึ้น “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า!”

หร่วนซือซือถูกเขาดุเสียงดัง เธอสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว “ฉัน……”

“ออกไป!”

คำอธิบายจากปากของเธอถูกหยุดด้วยคำสองคำนี้ หร่วนซือซือมองไปที่เขาด้วยความโกรธ เธอขุ่นเคืองใจและรีบออกไปจากห้องหนังสือ

ที่ครั้งนี้เขาโกรธมากขนาดนี้ เป็นเพราะเธอเข้าไปในห้องหนังสือแล้วจับต้องของของเขา และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สองที่เกี่ยวข้องกับ “หว่านเอ๋อ” จริงๆแล้วหว่านเอ๋อคนนี้เป็นใคร?เธอกับอวี่อี่มั่วเกี่ยวข้องกันยังไง!

“ปัง”

หร่วนซือซือหันกลับไปเห็นประตูที่ปิดแน่น ความเสียใจก็เกิดขึ้นในใจของเธอ

เธอเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ในหัวคิดวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องนี้ เธอพลิกตัวไปมา และไม่รู้ว่าผ่านไปานแค่ไหนแล้วกว่าที่เธอจะหลับไป

วันต่อมา หร่วนซือซือไปทำงานพร้อมกับรอยคล้ำใต้ตา จิตใจของเธอห่อเหี่ยว หมดอาลัยตายอยาก

หลังจากนั้นไม่นาน เมิ่งจื่อหันก็เดินเข้ามาแล้วโยนแฟ้มเอกสารให้เธอ “รวบรวมการเข้าทำงานของทุกคนในแผนกในเดือนที่แล้วด้วย ส่งให้ฉันพรุ่งนี้”

หร่วนซือซือพลิกดุเอกสาร และเรียกให้เมิ่งจื่อหันหยุด “ทั้งหมดนี้เป็นงานของพนักงานแผนกไม่ใช่หรอ?”

เมื่อก่อนตอนที่เธอเป็นพนักงานเล็กๆ เธอก็ต้องทำงานอย่างนี้ แต่ตอนนี้เธอเป็นผู้ช่วยฝ่ายบริหาร ทำไมยังต้องทำงานของพนักงานเล็กๆ?

เมิ่งจื่อหันหรี่ตาและพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “หรือว่าเธอไม่ใช่พนักงานในแผนก?คนมีไม่พอ เธอทำไปก่อน มีงานอื่นแล้วค่อยแบ่งให้เธอ”

หลังจากพูดจบแล้วเธอก็เดินออกไป

หร่วนซือซือมองข้อมูลที่อยู่ตรงหน้า เธอถอนหายใจและเริ่มรวบรวม

หลังจากช่วงเช้าผ่านไป หร่วนซือซือก็นั่งอยู่ที่โต๊ะและไม่มีเวลาแม้แต่จะดื่มน้ำลาย จนถึงตอนบ่าย เธอต้องการปริ้นเอกสารที่ทำเสร็จแล้วออกมา เมื่อไปที่เครื่องปริ้น เสี่ยวหานก็เดินเข้ามา “ซือซือ พี่จื่อหันให้เธอไปพบ”

หร่วนซือซือตอบกลับ และหลังจากเสร็จงานในมือ เธอก็เดินไปที่ห้องทำงานของเมิ่งจื่อหัน

“อีกเดี๋ยวประธานเสี่ยวเฉิงของเฟิงสิงกรุ๊ปจะมา เธอไปต้อนรับหน่อย”

หร่วนซือซือลังเล “ฉันจะไปต้อนรับ?”

เมิ่งจื่อหันพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “ประธานอวี้มีประชุมสำคัญ ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บริษัท เธอไปทำหน้าที่ต้อนรับประธานเสี่ยวเฉิง จากนั้นก็รอให้ประธานอวี้กลับมา”

หร่วนซือซือนึกถึงท่าทีของอวี้อี่มั่วเมื่อวาน เธอก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาอัดแน่นในใจ ทำให้เธอไม่ค่อยสบายใจ

“เรื่องแบบนี้ควรจะเป็นงานของเลขาไม่ใช่หรอ?กลายมาเป็นเรื่องของแผนกบริหารตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เมิ่งจื่อหันพูดอย่างเย็นชา “เธอก็คิดดูสิว่าตอนนี้ยังมีเลขากี่คน?ตอนนี้เฉิงลู่อยู่ที่โรงพยาบาล อันหร่านก็มีงานอื่น เลขาที่ไม่มีประสบการณ์เหล่านั้นก็ยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะไปต้อนรับประธานเสี่ยวเฉิง แน่นอนว่าต้องให้แผนกบริหารของเราจัดการ”

เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนั้น หร่วนซือซือก็ไม่มีอะไรจะพูด จึงทำได้เพียงตอบรับ

หลังจากเตรียมตัวอย่างเร่งรีบ เธอก็ลงไปรอที่ชั้นล่าง ไม่นานเธอก็เห็นรถยนต์ลินคอร์นขับเข้ามา เมื่อประตูรถเปิดออกก็มีชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวลงมาจากรถ

หางตางอนยาว จมูกโด่ง มุมริมฝนปากยกขึ้น และผิวที่ละเอียดเกลี้ยงเกลาไม่มีตำหนิ เหมือนกับผู้หญิงที่สวยงาม

หร่วนซือซือตกตะลึง และไม่มีการตอบสนองใดๆ ชายคนนั้นมองมาที่เธอ

สายตาของเขาหยุดมองเธออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้มและเดินเข้าไปหาเธอ “คุณคือผู้ช่วยหร่วนที่มาต้อนรับผมรึเปล่า?”

หร่วนซือซือได้สติกลับมา และรีบตอบว่า “ใช่ค่ะ”

ไม่ต้องคิดเยอะเลย นี่น่าจะเป็นเฉิงจื่อเซียว ประธานเสี่ยวเฉิงของเฟิงสิงกรุ๊ป

“ประธานเสี่ยวเฉิง เชิญตามฉันไปที่ห้องรับแขกค่ะ ประธานอวี้ของเรามีเรื่องล่าช้านิดหน่อย อาจจะต้องรอสักพัก”

“อ้อ งั้นหรอ?” เฉิงจื่อเซียวยิ้ม “ฉันไม่กลัวที่จะรอ แต่กลัวว่าจะเบื่อ ถ้าผู้ช่วยหร่วนจะอยู่เป็นเพื่อนผม ผมก็ไม่มีอะไรขัดข้อง”

เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนั้น หร่วนซือซือก็รู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก คำพูดนี้ฟังยังไงก็รู้สึกคลุมเครือ

Options

not work with dark mode
Reset