ข้อห้าม 22 บาดแผลประหลาด!

ตอนที่ 22 บาดแผลประหลาด!

“จางเสี่ยวฮุย พวกเราไปห้องน้ำกันเถอะ?” ฉันไม่ยอมรับ หลี่หมิง ตอนเที่ยงพวกเราไปกินร้านจิ่นเจียงกันดีมั้ย? ฉันไม่ยอมรับ เฉินชง ช่วยซื้อขนมมาให้ฉันหน่อยได้มั้ย……ขอโทษด้วย ฉันไม่ยอมรับ สิ่งที่น่าตลกมากกว่านั้นก็คือ หวังผิงที่เรียนห้องเดียวกับฉันนอนหลับในห้อง คุณครูก็เลยเรียกให้เขาลุกขึ้นมาตอบคำถาม เขาฟุบบนโต๊ะและพูดว่าเขาไม่ยอมรับ ทำเอาคุณครูโกรธมาก คุณครูเลยไปดึงหูเขาแล้วลากตัวเขาออกไป……..ฮ่าๆๆๆ พี่ พี่รู้มั้ยว่าพี่มีอิทธิพลต่อโรงเรียนมากขนาดไหน? น่าเสียดายที่ตอนนี้พี่ไม่ไปโรงเรียนแล้ว ไม่งั้นล่ะก็ ต้องมีหลายๆคนที่เห็นพี่เป็นไอดอล”

หลี่มู่หยางคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวในวันนั้นจะมีอิทธิพลมากมายขนาดนี้ เขาส่ายหน้าและพูดว่า ” ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ตอนที่พี่หลับในห้องเรียน คุณครูสั่งให้พี่ออกจากห้อง พี่ก็ไม่เคยพูดต่อต้านหรือคัดค้านอะไร เพราะพี่รู้ว่าพี่ทำผิด เพราะการกระทำของพี่มันส่งผลกระทบต่อการเรียนของคนอื่น และเป็นการกระทำที่ไม่เคาระคุณครู…………..”

“เพียงแค่ครั้งนั้นพี่ถูกกล่าวหาว่าทุจริต มันทำให้พี่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ยังไงเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้มาให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่าทำยังไงถึงจะได้คะแนนสอบเยอะๆดีกว่า ถึงแม้ตอนนี้พี่พอจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง แต่ความรู้พื้นฐานอ่อนมาก ชุยเสี่ยวซินพยายามช่วยติวหนังสือตั้งแต่เริ่มต้นให้พี่ สำหรับเธอแล้วก็เป็นเรื่องที่ลำบากมาก และยังกลัวว่าจะไม่ทันเวลาอีก…….”

“พี่ ฉันยังมีเรื่องอยากจะถามพี่อีกหน่ะ ” หลี่ซือเหนียนดึงแขนของหลี่มู่หยาง และพูดว่า ” พี่เสี่ยวซินบอกว่ามีหลายๆอย่างที่พี่เขาไม่เคยสอน แต่พี่กลับทำข้อสอบเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้…ไม่เรียนแต่รู้ นี่มันเป็นยังไงกันแน่? หรือว่าแต่ก่อนพี่แอบเรียนหนังสือ?”

หลี่มู่หยางส่ายหน้าและพูดว่า ” พี่เองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มักจะรู้สึกว่าในสมองมันมีอะไรเพิ่มมากขึ้น บางครั้งมันก็เหมือนพี่เคยมีชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง หลายๆอย่างที่เห็นเป็นครั้งแรกแต่กลับรู้ประวัติรู้ที่มาที่ไปซะงั้น เหมือนกับแบบฝึกหัดที่อยู่ในหนังสือ บางส่วนชุยเสี่ยวซินก็เคยอธิบายให้ฟัง แต่บางส่วนมันกลับมีอยู่ในสมองของพี่แล้ว ……….บางครั้งกระบวนการคิดอาจจะยากลำบากซักหน่อย มันซ่อนอยู่ค่อนข้างลึก แต่สุดท้ายก็นึกออกขึ้นมาได้”

“หรือว่าพี่ถูกเทพครอบงำอยู่?” หลี่ซือเหนียนหัวเราะและพูดว่า “ทำไมเทพถึงได้โง่แบบนี้? ทำไมมาแฝงอยู่ในร่างกายที่ดำเหมือนถ่าน?”

“………………..”

” โอเค โอเค พี่ชายของฉันเป็นคนผิวดำที่หบ่อที่สุดแล้ว……..”หลี่ซือเหนียนมองหน้าของหลี่มู่หยางและพูดว่า “ที่จริงรูปใบหน้าของพี่ดีมากเลย ได้รับยีนส์เด่นจากพ่อและแม่ ดูความสวยของฉันก็รู้แล้ว ถ้าพี่ผิวขาวนะ พี่ก็เป็นคนหล่อคนหนึ่ง ไม่ก็ ครั้งหน้าถ้าพี่จะออกจากบ้านเดี๋ยวฉันช่วยทาแป้งให้พี่?”

“อย่างนั้นก็คงต้องทาทั้งตัวถึงจะได้มั้ง?” หลี่มู่หยางยิ้มเจื่อน “ถ้าจะทาทั้งตัวขนาดนั้น เธอต้องเปลืองแป้งไปตั้งเท่าไหร่ แล้วกว่าจะทาหมดทั้งตัวคงต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงสินะ?”

“ทาแค่หน้าก็พอแล้ว ใครบอกจะทาให้พี่ทั้งตัว?” หลี่ซือเหนียนพูด ” พี่ อย่าเพิ่งขัดจังหวะ พวกเรากำลังคุยเรื่องจริงจังกันอยู่………”

“……………..” หลี่มู่หยางทำหน้ากลัดกลุ้มใจ เขาไปขัดจังหวะตอนไหน?

“พี่ เดิมทีคำพูดพวกนี้ฉันไม่ได้อยากพูดกับพี่ อย่างน้อยก็ไม่ควรพูดตอนนี้ แต่ฉันรู้สึกว่าพูดเร็วหน่อยก็ดี เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น …….ผลการเรียนของพี่เสี่ยวซินเป็นอย่างไรพี่ก็รู้ดี เป้าหมายของเธอคือมหาวิทยาลัยซีเฟิง จากที่ฉันรู้จักเธอ เป้าหมายนี้ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรเลย แต่สำหรับพี่หล่ะ? พี่จะเข้ามหาวิทยาลัยซีเฟิงได้มั้ย? พี่จะได้ปเมืองเทียนตูกับเธอมั้ย? ถึงแม้พี่ได้ไปเทียนตู พี่สอบติดมหาวิทลัยซีเฟิง…………ตระกูลยิ่งใหญ่ของพวกเขา และคนอย่างพวกเรา จะมีความหวังอะไรอีก?”

“พี่รู้” หลี่มู่หยางพูดเบาๆ

“อะไร?” หลี่ซือเหนียนหันมาทำตาโตใส่

“ที่เธอพูด พี่รู้ทั้งหมด ” หลี่มู่หยางฉีกยิ้มและพูดว่า “เมื่อกี้ตอนออกไปส่งเธอ พี่เห็นว่ามีคนมารับเธอ…รถที่เธอนั่ง เกรงว่าราคาคงเท่ากับรายรับของร้านขนมปังของแม่สิบปีรวมกันน่าจะได้มั้ง?”

“พี่…………”

“พี่ไม่เป็นอะไร” หลี่มู่อยางยื่นมือไปโอบไหล่ของน้องสาวและพูดว่า ” เธอคิดดูนะ แต่ก่อนพี่มีโอกาสได้เป็นเพื่อนกับชุยเสี่ยวซินมั้ย?”

หลี่ซือเหนียนส่ายหน้า

“ใช่ไง แต่ก่อนแม้แต่โอกาสที่จะได้คุยกับเธอ ได้เป็นเพื่อนกับเธอยังไม่มีเลย แต่ตอนนี้ทำได้แล้ว แถมทุกวันนี้เธอยังมาติวหนังสือให้พี่อีก………..ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน นี่ก็ดีมากๆแล้ว ใช่มั้ย?”

“อืม” หลี่ซือเหนียนพยักหน้าและพูดว่า ” พี่ พี่จะยิ่งฉลาดขึ้นเรื่อยๆ และจะหล่อขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นไม่แน่พี่ชุยเสี่ยวซินก็อาจจะรักพี่เข้าก็ได้นะ”

หลี่มู่หยางพยักหน้าและพูดว่า ” แน่นอนอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นพี่จะเป็นคนที่หล่อที่สุดในโลก”

สองพี่น้องสบตากันแล้วหัวเราะเสียงดัง หลี่ซือเหนียนหัวเราะด้วยความปวดใจ หลี่มู่หยางหัวเราะด้วยความเศร้าโศก

ที่จริงคำพดนั้นไม่น่าขำเลยซักนิด

หลี่ซือเหนียนลงจากเตียง มองพี่ชายและพูดว่า ” พี่ ดึกมากแล้ว ฉันกลับห้องตัวเองก่อน พี่รีบนอนนะ พรุ่งนี้พี่เสี่ยวซินยังมาติวหนังสือให้พี่อีก ถึงตอนนั้นพี่ห้ามนอนกรนเด็ดขาด”

“โอเค ฝันดีนะ” หลี่มู่หยางพูด

หลี่ซือเหนียนโบกมือ หลังจากนันเธอก็เดินออกจากห้องของหลี่มู่หยางไป

หลี่มู่หยางนอนมุดอยู่ใต้ผ้าห่มตั้งนานแต่นอนไม่หลับ อารมณ์ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น

เขาลุกขึ้นและเอาน้ำใส่กะละมังใหญ่ หลังจากนั้นก็แช่ร่างกายตัวเองในน้ำอุ่นๆ ถึงตอนนี้ จิตใจของเขาก็ค่อยๆสบายขึ้น  นี่เป็นสองสิ่งที่หลี่มู่หยางทำมากที่สุด

มือขวาของเขาเนื่องจากยังคงเป็นรูอยู่ก็เลยยังคงพันผ้าก๊อซไว้ ดังนั้นเขาก็เลยไม่ได้เอาแขนข้างขวามาแช่น้ำด้วย นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่

หลี่มู่หยางมองแขนของตัวเอง นี่มันเป็นแขนที่ไม่มีแรงที่ต่อยจางเฉินลอย และต่อนักฆ่าหวูยาลอย ตอนนั้นในมือของหวูยามีดาบที่เปล่งแสงสีเงินเหมือนดาบแสงขนาดใหญ่………

เขาปล่อยหมัดไปที่ดาบแสงอันนั้น ไม่ใช่ว่าแขนของเขาควรจะโดนความแหลมคมของดาบตัดจนขาดแล้วหรอ? แล้วทำไมถึงยังต่อยจนหวูยาลอยได้?

หลี่มู่หยางเหม่อมองหมัดของตัวเอง เขามีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและแปลกใจมาก เขาต้องการที่จะแกะผ้าก๊อซออกเพื่อดูว่าบาดแผลเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

ผ้าก๊อซถูกเปิดออกทีละชั้นๆ รอยเลือดที่ติดอยู่ก็ยิ่งมากขึ้น

เขาเอามือมาล้างในน้ำอุ่นให้สะอาด หลังจากนั้นก็ยกขึ้นมาดูที่แสงไฟ

หายดีไม่มีเสียหาย!

เขาจำได้ดีว่า ฝ่ามือของเขาถูกดาบของนักฆ่าแทงจนทะลุ

แต่ทำไมตอนนี้กลับไม่มีรอยแผลเป็นเลยหล่ะ?

ไม่มีบาดแผล ไม่มีรอยแผลเป็น แม้แต่รอยแดงก็ไม่มีเลยซักนิด

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลี่มู่หยางตกใจจนส่งเสียงพูดออกมา

เขาลุกออกจากกะละมัง รีบไปหยิบกระจกมาดูอย่างละเอียด

ตอนนั้นนักฆ่าใช้ถาดผลไม้ฟาดมาที่หัวของเขา หัวของหลี่มู่หยางแตกจนเลือดไหลออกมา ตอนนี้บนหัวหาร่องรอยของแผลไม่เจอแล้ว

ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

จนกระทั่งตอนนี้ หลี่มู่หยางถึงได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่แปลกประหลาดบนร่างกายของเขา

“ฉันจะเปลี่ยนร่างแล้ว” หลี่มู่หยางพูดกับตัวเอง

………………..

……………….

ตีห้ากว่าๆหลี่มู่หยางก็ตื่นนอนแล้ว หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บเมื่อครั้งก่อน เขาก็สลัดความเคยชินในการตื่นนอนสายๆของเขาออกไป

อาจจะเพราะเมื่อก่อนเขานอนมากเกินไป ตอนนี้เขาแค่นอนไม่กี่ชั่วโมงเขาก็รู้สึกมีชีวิตชีวาแล้ว

เขาล้างหน้าแปรงฟัน และเรียนรู้กังฟูวิชาระเบิดร่างกายที่น้องสาวของเขาเคยเรียน หลังจากนั้นก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านข้างๆหน้าต่าง

เจ็ดโมงเช้า พ่อแม่ตื่นนอน พ่อจะออกกำลังกาย แม่ก็จะเข้าไปทำอาหารเช้าในครัว

เจ็ดโมงครึ่ง ก็จะได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้องนอนของหลี่ซือเหนียน

หลี่มู่หยางยิ้ม การใช้ชีวิตของคนในครอบครัวคือการเริ่มต้นที่แท้จริง

มันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่กลับทำให้หลี่มู่หยางรู้สึกมีความสุข

ในตอนที่เขาป่วยและนอนพักผ่อน น้อยมากที่เขาจะมีอารมณ์ความรู้สึกได้สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัว

ในตอนนี้ เขาพบว่าตัวเขาเองมีอะไรมากมายขนาดไหน

ชุยเสี่ยวซินยังคงมาติวหนังสือให้หลี่มู่หยางทุกวัน และหลังจากเลิกเรียนหลี่ซือเหนียนก็ยังคงมานั่งกินผลไม้และพูดคุยหัวเราะสนุกสนาน ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

การได้พูดคุยกับหลี่ซือเหนียนและสิ่งที่เขาเห็นในคืนวันนั้น ทำให้หลี่มู่หยางรู้ว่าเขาและชุยเสี่ยวซินห่างไกลกันมากขนาดไหน

ตอนนี้เขาเอาเวลาและจิตวิญญาณทั้งหมดทุ่มให้กับการติวหนังสือ เขาต้องการรับความรู้ให้ได้มากที่สุดในช่วงระยะเวลาสั้นๆที่มีอย่างจำกัด

ในระหว่างที่ติวหนังสืออยู่ มีบ้างบางครั้งที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับชุยเสี่ยวซิน ยิ้มและสัมผัสกับร้อยยิ้มเล็กๆของเธอ ในหัวของเขาตอนนั้นมีความคิดแบบนี้ปรากฏขึ้น : หนุ่มสาวเดินไปที่ริมทะเลสาบเว่ยหมิงในมหาวิทยาลัยซีเฟิง ในตอนที่แสงพระอาทิตย์เหมือนสีเลือด ตอนที่แสงอาทิตย์สาดส่องจนเงาของพวกเขายืดเป็นแนวยาว ราวกับว่าเงานั้นยาวไปถึงจุดสิ้นสุดของโลก

เพียงแค่เขาซ่อนมันไว้ถึงมากเท่านั้นเอง

วันนี้ชุยเสี่ยวซินไม่ได้มา ซึ่งเธอบอกไว้ก่อนล่วงหน้าหนึ่งวันแล้ว เธอบอกว่าผู้อาวุโสในบ้านอยากจะไปไหว้พระที่วัดหย่งชิ่ง เธอก็เลยต้องไปเป็นเพื่อน

หลี่มู่หยางฝึกทำข้อสอบอยู่ที่บ้าน จู่ๆเขาก็นึกขึ้นได้ว่าชุยเสี่ยวซินเคยพูดว่ามีหนังสือแนวข้อสอบเล่มหนึ่งที่สำคัญมาก บอกให้เขาต้องไปหามาอ่านให้ได้

หลี่มู่หยางรีบออกจากบ้านไปข้างนอก ตรงไปยังร้านหนังสือที่อยู่ปากซอย

ร้านหนังสือเก่าๆธรรมดาๆ ดูเหมือนจะอยู่มานานหลายปีแล้ว มีชายแก่สวมเสื้อจีนๆนั่งสูบบุหรี่อาบแดดอยู่หน้าประตูร้าน

” เจ้าของร้าน ไม่ทราบว่ามีหนังสือจื่อหยู่มั้ยครับ?”

“ลองเข้าไปหาดูเอง” ชายแก่ตอบกลับมาโดยไม่เงยหน้าขึ้น

หลี่มู่หยางเดินเข้าไปในร้านหนังสือ หลังจากนั้นเขาก็หาตามชั้นหนังสือ

“นายคิดว่าอ่านหนังสือมีประโยชน์มั้ย?” จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา

หลี่มู่หยางหันกลับไป เห็นผู้ชายที่สง่างามยืนอยู่ด้านหลังของเขา

“คุณกำลังพูดกับผมหรอครับ?” หลี่มู่หยางกวาดสายตาไปรอบๆ และถามขึ้นด้วยความไม่มั่นใจ

“แน่นอนสิ” ผู้ชายที่สง่างามยิ้มและพูดว่า “นายว่า การอ่านหนังสือมีประโยชน์มั้ย?”

“มีประโยชน์ครับ” หลี่มู่หยางพูดตอบ ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายแปลกๆคนนี้ถึงต้องถามคำถามแปลกๆกับเขาด้วย

“การอ่านหนังสือทำให้มีความรู้ได้ทำงานดีดี มีเงิน มีผู้หญิงสวย มีหน้ามีตา มียศมีตำแหน่ง การอ่านหนังสือมีประโยชน์มากๆ” ผู้ชายสง่างามยิ้มอย่างลึกซึ้งและพูดว่า ” แต่ บางครั้งการอ่านหนังสือก็พาภัยพิบัติมาสู่คน นายคิดว่าไง?”

Options

not work with dark mode
Reset