กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess 59 จดหมายนัดพบ?

ตอนที่ 59 จดหมายนัดพบ?

กําเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

 

ตอนที่ 59 จดหมายนัดพบ?

 

หลินเฉินยูถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “เจ้าช่างใจร้ายจริงๆลูกพี่ลูกน้องสี่ จะเกิดอะไรขึ้นหากซ้ําเจ้าโกรธ?”

 

“เจ้าจะตาย” หลินเสี่ยวเฟยบอกเขาอย่างตรงไปตรงมา

 

เขากอดอกและส่ายหัวไปที่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาไม่เชื่อคําเรียกร้องของเธอและเพียงแค่ยักไหล่

 

หลินเสี่ยวเฟยหันหลังให้กับเขาและตัดสินใจที่จะเดินจากไป มันเป็นความผิดของเธอที่พยายามเกลี้ยกล่อมให้ชายหนุ่มทิ้งเธอไว้ตามลําพัง แต่เธอมีเพียงเขาเท่านั้นที่ติดตามเธออย่างต่อเนื่องขณะที่เธอเริ่มเดินกลับไปที่ลานบ้าน

 

“ลูกพี่ลูกน้อง เจ้าชอบขี่ม้าหรือไม่” หลินเฉินยูกล่าวถาม เมื่อเห็นคอกม้าจากเส้นทางที่พวกเขาไป

 

ขี่ม้าหรือ? หลินเสี่ยวเฟยครุ่นคิด ขณะที่เธอนึกถึงช่วงเวลาที่เธอสนุกกับการขี่ม้าในปา

 

เนื่องจากเธอยังเด็กและยังคงเป็นอิสระจากข้อจํากัดในการแต่งงานกับคนที่มีชื่อเสียง เธอจึงสามารถทําทุกอย่างที่อยากทํา เช่น ขี่ม้า ว่ายน้ําในทะเลสาบ และยิงธนู

 

แต่หลังจากแต่งงานกับหยูเฟิงซูแล้ว ทุกสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตปกติก็ถูกพรากไปจากเธอเพื่อให้เธอได้ภาพลักษณ์ของนางสนมผู้สูงศักดิ์ของเจ้าชายที่สมบูรณ์แบบ

 

เมื่อสังเกตว่าคอกม้าอยู่ที่ใด หลินเสี่ยวเฟยคิดว่ามันคงจะดี ถ้าได้ออกไปขี่ม้าข้างนอกบ้างเป็นครั้งคราว

 

 

หลินเสี่ยวเฟยเข้าไปในลานบ้านของเธอและเห็นสาวใช้ของเธอยืนอยู่หน้าประตูตั้งแต่ที่เธอเริ่มดําเนินตามแผนการของเธอ เธอห้ามไม่ให้ใครตามเข้าไปในห้องของเธอ

 

ไม่ว่าไป่ลู่และสาวใช้คนอื่นๆ จะสนิทสนมหรือเชื่อใจได้ เพียงใดก็ตาม มันคงไม่ดีหากเธอทําผิดพลาดและจบลงด้วยการทําลายแผนการของเธอ

 

นอกจากนี้ หากพวกเขารู้แผนของเธอ พวกเขาจะมาเข้าพบหลินเซียวเหมิงเพื่อรายงานและหยุดเธอทันที

 

“คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว!” ไป่ลู่ทักทายเธออย่างมีความสุขและเดินไปที่ฝังหญิงสาวของเธอ ตั้งแต่เธอออกไปพบแขก เธออดไม่ได้ที่จะกลัวว่าหญิงสาวของเธอจะถูกคนอื่นรังแก

 

“อื้ม ข้ากลับมาแล้ว” หลินเสี่ยวเฟยตอบและเหลือบ มองไปยังประตูที่ปิดอยู่ของห้องของเธอ “มีอะไรเกิดขึ้นตอนที่ข้าไม่อยู่หรือไม่?”

 

ไป่ลู่ส่ายหัวบอกกับเธอว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ คุณหนู นอกจากคนใช้และสาวใช้ที่เดินกันไปมาอย่างมีความสุขหลังจากได้รับรางวัลของท่านแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก”

 

“อืม งั้นเจ้าออกไปได้แล้ว” หลินเสี่ยวเฟยพยักหน้าและเข้าไปในห้องของเธอ ขณะที่คําพูดของเธอบอกเป็นนัยว่าสาวใช้จะออกไปสาวใช้ที่อยู่นอกลานบ้านเพียงไม่กี่เมตรก็ยืนรอ เพื่อฟังคําสั่งของหญิงสาว

 

เมื่อหลินเสี่ยวเฟยบิดประตูข้างหลังเธอ เธอมองไปข้างหน้า และสังเกตว่าเด็กชายไม่อยู่ในสายตา เธอขมวดคิ้วและเดินไปตรงกลาง และคิดว่าเด็กผู้นั้นอาจหนีไป

 

แต่เมื่อเธอมองไปข้างหน้าในห้องของเธอต่อไป เธอเห็นร่างเล็กๆ อยู่บนเตียงของเธอ และหน้าอกของเขาขยับขึ้นลง ขณะที่เด็กกําลังหลับและหายใจอย่างผ่อนคลาย

 

หลินเสี่ยวเฟยถามตัวเองว่าเธอออกไปข้างนอกนานเกินไป สําหรับให้เด็กนอนหรือไม่หลังจากที่รอมานาน

 

โดยไม่ทราบสาเหตุที่ตึงเครียดและเย็นยะเยือกของเธอเล็ดลอดออกจากร่างกาย และแสงอันอ่อนโยนให้ความรู้สึกอบอุ่นเข้ามาแทนที่ เธอจึงเครื่องห่มนอนให้กับร่างของเด็กชายที่กําลังนอนหลับอยู่

 

เด็กชายผู้นี้คงจะเหนื่อยมาก หลังจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา และด้วยที่เธอบังคับเขาให้เผาบ้านประมูล มันอาจทําให้ร่างเล็กๆของเขารู้สึกอ่อนเพลีย

 

หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้ปลุกเด็กและนั่งลงบนขอบเตียง มือที่เล็กและซีดของเธอลูบไปที่หัวเด็กเบาๆ

 

ถ้าใครเข้ามาในห้องของเธอและเห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตา พวกเขาคงคิดว่าแม่กําลังพยายามทําให้ลูกของเธอนอนหลับหลังจากฝันร้ายมาทั้งคืน

 

หลังจากนั้นไม่นาน หลินเสี่ยวเฟยก็ลุกขึ้นจากเตียงและ เดินไปหลังฉากกั้นเพื่อดูสิ่งของในกล่องที่เธอได้รับจากผู้จัดการหลิว

 

เนื่องจากเธอไม่มีเวลาดูสิ่งที่อยู่ภายใน และจะมีอันตรายแค่ไหนถ้าหากมีคนพบเห็นหรือชนกับเธอขณะที่เธอมองดู หลินเสี่ยวเฟยจึงไม่กล้าเปิดมันและหยิบมันออกมา

 

กล่องไม้หกเหลี่ยมขนาดเล็กที่เธอได้รับจากผู้จัดการหลิวทําจากไม้กฤษณา และจากนั้นเธอสามารถบอกได้ว่าเจ้าของกล่องไม้และสิ่งที่อยู่ภายในนั้นดูเลอค่ามาก

 

มีแม้กระทั่งอัญมณีด้านบนและรอบๆกล่องไม้ ถ้าเธอไม่รู้ว่ามีสิ่งอันตรายอยู่ภายในกล่อง รอให้มันระเบิดและฆ่าทุกอย่างที่อยู่รอบๆ หลินเสี่ยวเฟยคงคิดว่าผู้จัดการหลิวได้มอบกล่องขนมหรือกล่องที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับให้เธอ

 

เธอค่อยๆยกฝาขึ้นโดยใช้นิ้วเกร็งเล็กน้อย หากเกิดความผิดพลาดอย่างหนึ่งของเธอกับระเบิดข้างใน มันอาจจะดับและคร่าชีวิตเธอ

 

เมื่อเปิดฝาขึ้นและสิ่งแรกที่เห็นอยู่ด้านในมันไม่ใช่อาวุธที่ร้ายแรง แต่กลับเป็นจดหมาย

 

เธอตกใจกับจดหมายที่อยู่เหนือระเบิดและลังเลที่จะเปิดมัน

 

อย่างไรก็ตาม ความอยากรู้ของเธอเกี่ยวกับสิ่งที่เขียนอยู่ข้างในและใครเป็นคนเขียน ทําให้เธอคว้ามันมาจากเหนือระเบิด และเปิดอ่าน

 

[ “ ในวันแรกของเทศกาลไหว้พระจันทร์ ให้เราพบกันหลัง เจดีย์สวรรค์” ]

 

นี่คือคําที่เขียนอยู่ภายในจดหมาย ไม่มีชื่อของผู้ส่งเขียนไว้ แต่หลินเสี่ยวเฟยก็สามารถบอกได้ว่าใครเป็นใคร หลังจากที่ได้เห็นคําว่า “เจดีย์สวรรค์”

 

ในวันแรกของเทศกาล มีการเชิญขุนนางระดับสูงและเจ้าหน้าที่จากระดับสูงไปต่ําให้เข้าร่วมพิธีภายในวังเพื่อส่งสัญญาณการเริ่มต้นของเทศกาล

 

แม้ว่าหลินเสี่ยวเฟยจะเป็นคนที่มีเชื้อสายสูงส่งและมีตระกูลหลินอยู่ข้างหลังเธอ เธอก็ต้องการทราบสาเหตุที่คนผู้นี้ต้องการพบเธอที่เจดีย์ขนาดเล็กภายในวัง

ตอนที่ 58 ลองดูแล้วข้าจะหักมือเจ้า

 

สายตาที่เย็นชาของเธอ กวาดผ่านสมาชิกตระกูลซึ่งทุกคนทําให้พวกเขาลังเลที่จะตอบและภายในใจของพวกเขาเกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้

 

หลินเสี่ยวเฟยยกถ้วยน้ําชาขึ้น ที่ริมฝีปากที่อ่อนนุ่มและแดงของเธอเพื่อดื่มมัน

 

และเมื่อเธอวางถ้วยลงบนโต๊ะอีกครั้งด้วยเสียงดังเล็กน้อยทุกคนในห้องโถงก็สะดุ้งราวกับว่าพวกเขากลัวว่าความโกรธของเธอจะมุ่งเป้าไปยังพวกเขา

 

ราวกับว่าพวกเขาเป็นทหารตัวเล็กๆยืนอยู่ต่อหน้าแม่ทัพฝั่งศัตรูที่กําลังชี้ดาบไปที่คอของพวกเขา ความหวาดกลัวกําลังหยั่งรากลึกภายในใจของพวกเขา

 

แม้แต่หลินเซียวเหมิงที่ไม่เคยเห็นด้านนี้ของหลานสาวเขาเขารู้สึกว่าได้ว่าความกระหายเลือดอย่างท่วมท้นออกมาจากเธอราวกับเป็นน้ําหอมที่ส่งกลินออกมาจากในร่างกายของเธอ

 

โดยที่เธอไม่ได้ปิดบังและปล่อยให้ผู้อื่นสังเกตเห็น

 

ในฐานะแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ หลินเซียวเหมิงได้เคยผ่านการต่อสู้มากมายนับไม่ถ้วนที่เกือบคร่าชีวิตของเขาเองมาหลายปีแล้วเขาอยู่ที่ชายแดนเพื่อปะทะกับศัตรูที่พยายามโจมตีอาณาจักรเชิง

 

ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญกับเจตนาฆ่าอย่างดิบๆหลินเซียวเหมิงจึงเป็นคนแรกที่เข้าไปในห้องโถงและได้กลิ่นที่รู้สึกกระหายเลือดและการฆ่าของเธอ

 

แต่เมื่อไหร่กัน ที่หลินเสี่ยวเฟยสามารถสร้างออร่าที่เป็นอันตรายเช่นนี้ได้?

 

หลินเซียวเหมงคมองไปที่หลานสาวของเขาอย่างครุ่นคิดและถอนหายใจ

 

เขาคงละสายตาไปจากเธอนานเกินไป จนเขาไม่ทันได้ตระหนักถึงด้านนี้ของเธอ

 

เมื่อคิดเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจดูแลหลานสาวของเขาให้มากขึ้นและปกป้องเธอจากอันตราย

 

เพื่อที่เธอจะได้ไม่พัฒนากลิ่นอายที่อันตรายเช่นนี้ต่อไปเพราะมันอาจก่อให้เกิดอันตรายมากขึ้นกับตัวเธอเอง

 

หลินเสี่ยวเฟยไม่รู้ความคิดของหลินเซียวเหมิง และไม่สนใจแม้ว่าเธอจะรู้ว่าเขาต้องการปกป้องเธอมากเพียงใดเนื่องจากการที่เขาชอบปกป้องเธอ มันเป็นประโยชน์อย่างมากสาหรับ

 

แผนการแก้แค้นของเธอ

 

แน่นอน ความคิดของเธออาจเปลี่ยนไปในอนาคตแต่มีเพียงโชคชะตาเท่านั้นที่จะรู้ว่าเธอจะพัฒนาอารมณ์และความปรารถนาที่แตกต่างออกไปนอกเหนือจากความเกลีย ดชังและการแก้แค้น

 

หลินเสี่ยวเฟยกัดฟัน และการยับยั้งอาการเบื่อหน่ายมันยากกว่าที่เธอคิด

 

ตอนแรกที่เธอตกลงจะมาพบแขกที่มายังคฤหาสน์หลินเพื่อจะได้รู้ว่าตระกูลซึ่งจะแสดงละครแบบไหนให้เธอดู

 

แต่เมื่ออยู่ได้เพียงไม่กี่นาที เธอก็เหนื่อยและเบื่อกับความโง่เขลาของคนเหล่านี้

 

เธอยังเสียเวลาอันมีค่ากับพวกเขา เมื่อเธอมีแผนมากมายที่จะทําให้หยูเฟิงซูและราชวงศ์ประสพกับปัญหา

 

เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีเจตนาจะที่พูดอะไรมากไปกว่านี้หลินเสี่ยวเฟยจึงขอตัว

 

เธอยืนขึ้นและโค้งคํานับไปทางหลินเซียวเหมิงเล็กน้อย “ท่านตาเนื่องจากไม่มีความสนุกมากนักที่จะทําให้ข้าอยู่ที่นี่ข้าจึงอยากขอตัวก่อน”

 

“อืม..ก็ได้” หลินเซียวเหมิงกล่าว หลังจากฟื้นจากความ ตกใจเมื่อเห็นความกล้าหาญของหลานสาวของเขาและโบกมืออนุญาตให้เธอจากไป “เจ้าไปเถอะและพักผ่อนให้เต็ม

 

หลินเซียวเหมิง ไม่ลืมที่จะให้ความสําคัญกับเธอ

 

“ข้าจะไปด้วยครับท่านปู”

 

ขณะที่เธอกําลังจะหันหลังและจากไป หลินเฉินยูก็ลุกขึ้นยืนและหันศีรษะไปที่เขา

 

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะขอตัวไปกับลูกพี่ลูกน้องสี่ด้วยท่านปู”หลินเฉินยูประกาศให้ทุกคนตกใจ

 

หวี่จิงหยาน เงยหน้าขึ้นมองลูกชายของเธอทันทีลูกชายของเธอกําลังคิดอะไรอยู่? ทําไมเขาถึงอยากไปกับหญิงสาวเหลือขอผู้หยิ่งผยองผู้นั้นด้วย?

 

หลินเฟิงและหลินเซียวเหมิงก็ตกใจเช่นกันแต่อดีตก็ไม่ได้ทําให้พวกเขาพูดอะไรได้ในขณะที่คนหลังพยักหน้า

 

“ในเมื่อเจ้าต้องการไปกับลูกพี่ลูกน้องของเจ้างั้นไปกันเลย” หลินเซียวเหมิงกล่าว โดยบอกให้พวกเขาออกจากห้องโถง

 

หลินเฉินยูก้าวเดินตามหลินเสี่ยวเฟยที่เดินนําหน้าอย่างไม่รอเขา

 

“ลูกพี่ลูกน้องที่รัก บอกข้าที่ เจ้าแอบไปพบปรมาจารย์ที่สั่งสอนให้เจ้าพูดจาได้เฉียบคมเช่นนี้”

 

หลินเฉินยู กล่าวถามทันทีเมื่อในที่สุดเขาก็ตามเธอทัน

 

หลินเสี่ยวเฟยหยุดเล็กน้อยก่อนที่จะเดินต่อไปเธอกลอกตามองเขาและไม่ตอบ ขณะที่เธอหันไปทางโถงทางเดินมีคนใช้สองสามคนเดินผ่านพวกเขาไปพร้อมกับถาดขนม

 

เมื่อคนใช้ที่ผ่านไปมาไม่อยู่ในสายตาของเธอและหลังจากที่เธอเลี้ยวตามทางเดิน

 

หลินเสี่ยวเฟยก็ดึงแขนของหลินเฉินยูและผลักเขาไปที่ผนัง

 

“โอ๊ย!” หลินเฉินยูร้องออกมาหลังจากที่เขาถูกจับโดยการกระทํากะทันหันของเธอ ” เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า!” เขาจ้องมองที่เธอ

 

“นั่นแหละที่ข้าอยากจะถาม” หลินเสี่ยวเฟยบอกเขาอย่างเย็นชาชี้หน้าเขาและกล่าวว่า “พวกเจ้าทุกคนในตระกู ลหลินเกลียดข้าและมักจะมองหาวิธีกําจัดข้าโดยเฉพาะแม่ ของเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าการกระทําที่เป็นมิตรของเจ้าเป็นเรื่องจริงข้าขอร้องหยุดเถอะ มันน่าขยะแขยง”

 

เนื่องจากหลินเสี่ยวเฟยไม่มีความทรงจําของเจ้าของร่างคนก่อนเธอจึงรู้สึกลําบากใจที่จะเชื่อว่า หลินเฉินยูเป็นคนที่ไม่มีความขุ่นเคืองใดๆกับเจ้าของร่างคนก่อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแม่ของเขาเกลียดเธอ

 

หลินเฉินยูกระพริบตาช้าๆและเกือบจะสาปแช่งเขาไม่เชื่อในคําพูดของเธอและไม่นานนัก เสียงหัวเราะ ในคอหอยของเขาก็ดังออกมา

 

เมื่อหลินเสี่ยวเฟยกําลังจะพูดอะไรบางอย่างเขาได้บีบไปที่แก้มของเธออย่างรวดเร็ว

 

หลินเสี่ยวเฟยช้าเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงมือของเขาและรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่มาจากแก้มของเธอ

 

ใบหน้าของเธอยนขึ้นและเธอจ้องมองที่เขา

 

“เจ้าเด็กน้อย!” หลินเสี่ยวเฟยกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจในขณะที่เธอเช็ดแก้มของเธอราวกับว่ามีสิ่งสกปรกมาสัมผัส

 

หลินเฉินยูไม่พอใจกับการกระทําและคําพูดของเธอ

 

เขาจับศีรษะของเธอและกดลงไป “เด็ก? ข้าแก่กว่าเจ้าสองสามปีและเจ้าเรียกข้าว่าเด็ก?

 

หลินเสี่ยวเฟยหยุดและหรี่ตามองเขา “ลองดูแล้วข้าจะหักมือเจ้า!”

 

ตอนที่ 57 ถ้าหากข้าเลว

 

หลินเสี่ยวเฟยเอียงศีรษะเล็กน้อยขณะที่เธอวางคางไว้ที่หลังมือและยิ้มเล็กน้อย เธอกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจกับรายชื่อที่พวกท่านนํามาให้ข้าถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิน”

 

คนรับใช้ข้างหลินเซียวเหมิง ออกจากด้านข้างของเขาทันที่หลังจากที่หลินเซียวเหมิงส่งรายชื่อไปที่มือของเขา และเดินไปหาหลินเสี่ยวเฟยเพื่อส่งกระดาษรายชื่อให้กับเธอ เธอรับมาและเปิดดูรายชื่อเหล่านั้น

 

ขนตาที่หนาและยาวทําให้เกิดเงาบนแก้มของเธอ ขณะที่เธอมองดูชื่อที่เขียนอยู่บนนั้น

 

หลังจากเหลือบไปเห็นชื่อแรกในรายการ หลินเสี่ยวเฟยก็ฉีกกระดาษในมือของเธอโดยไม่คาดคิด

 

‘หืม’

 

เสียงอุทานดังออกมาพร้อมกัน ในขณะที่เธอได้ฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กๆ

 

“คุณหนูสี่!” คุณหญิงซ่งดุว่า “แม่ทัพหลิน ดูหลานสาวของท่านสิ! ฉีกรายชื่อที่เรารวบรวมมาด้วยความยากลําบากเพื่อให้ความช่วยเหลือและแก้ปัญหาของท่าน!”

 

เธอไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าหญิงสาวที่มีชื่อเสียงเน่าเฟะจะเป็นคนอวดดีและหยิ่งผยอง แม้แต่ต่อหน้าผู้อาวุโสของเธอก็ไม่ละเว้น

 

หลินเซียวเหมิง ก็ตกใจกับการกระทําของหลินเสี่ยวเฟย และเมื่อคําเตือนของคุณหญิงซ่งราวกับว่าเขาต้องการพูดอะไรกับหลินเสี่ยวเฟย

 

“เฟยเอ๋อร์ เจ้ากําลังทําเช่นไร?” หลินเซียวเหมิงกล่าวถามครั้งแรก แม้ว่าเขาจะดูเคร่งขรึมราวกับว่าเขากําลังดูเธอ แต่ความหมายของคําพูดเขาคือเพื่อถามเธอว่ากําลังวางแผนจะทําอะไร

 

หลินเสี่ยวเฟย ปัดฝุ่นที่มือราวกับว่าเธอเพิ่งสัมผัสสิ่งที่สกปรก หลินเสี่ยวเฟยถอนหายใจ “ข้าไม่ชอบกระดาษ ที่พวกเขาใช้เขียนรายชื่อ มันทําให้มือของข้าระคายเคือง” เธอรวบรวมชิ้นส่วนเล็กๆบนโต๊ะใส่ในมือ แล้วหันไปหาคนใช้ที่ยืนอยู่ข้างเธอ

 

“คืนสิ่งนี้ให้ตระกูลซ่ง เพื่อที่พวกเขาจะได้สิ่งที่ทดแทน” เธอพูดอย่างเรียบง่ายและสง่างามราวกับให้หีบสมบัติสองสามที่บแทนขยะ

 

ใบหน้าของตระกูลซึ่งเป็นสีแดงคล้ํา และพวกเขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะจับหลินเสี่ยวเฟยมาทุบตีมีอะไรผิดปกติกับ กระดาษที่พวกเขาใช้เขียนรายชื่อคู่แต่งงานของเธอ? กระดาษที่พวกเขาใช้มีคุณภาพสูงสุดอย่างหนึ่ง

 

เป็นไปไม่ได้ ที่เธอต้องการให้พวกเขาใส่ชื่อลงบนแผ่นทองคําหรือกระดาษที่มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถใช้ได้?

 

เกรงใจเธอแค่ไหน!

 

ไม่ว่าเธอจะเย่อหยิ่งและสูงส่งเพียงใด หลินเสี่ยวเฟยไม่ควรทําเช่นนี้กับผู้ใด โดยเฉพาะกับตระกูลที่เชื่อมต่อกับตระกูลหลินด้วยการแต่งงาน

 

เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้อย่างยิ่งจากตระกูลซ่งที่ต้องถูกดูหมิ่นเช่นนี้ ในขณะที่พวกเขาแสดงความปรารถนาดีต่อผู้อื่น

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาแสดงความปรารถนาดีต่อตระกูลหลินจริงๆหรือไม่?

 

เมื่อตระกูลซ่งได้ยินเรื่องความบาดหมางระหว่างองค์ชายตระกูลซูและหลินเสียวเฟย มาจากคนรับใช้ที่มากับซงหยานยี่ ตระกูลซ่งก็พบโอกาสที่จะกลืนตระกูลหลิน

 

พวกเขารีบค้นหาสาขาของตระกูลเพื่อหาชายหนุ่มที่มีสิทธิ์ ซึ่งมีภูมิหลังและอนาคตที่โดดเด่นเพื่อที่พวกเขาจะได้ตั้งให้เป็นสามีที่มีศักยภาพให้กับคุณหนูสี่แห่งตระกูลหลิน

 

ท้ายที่สุดแล้ว หากหนึ่งในชายหนุ่มเหล่านี้ให้ความสนใจกับคุณหนูสี่ที่โง่เขลา ใครจะรู้ว่าในที่สุดพวกเขาจะสามารถขี่เสือขาวและสัมผัสกับชีวิตที่หรูหรากว่าที่ใครหลายคนอิจฉา

 

น่าเสียดาย ที่ผลลัพธ์นี้เป็นความเข้าใจของพวกเขา เมื่อทราบข่าวลือเกี่ยวกับหลินเสี่ยวเฟยนั้นอยู่ไม่ไกลจากความจริงและจะใช้ประโยชน์จากมัน และต้องการให้ดูเห มือนเป็นประโยชน์และเมตตาต่อสายตาของหลินเซียวเหมิง และหลินเสี่ยวเฟยที่โง่เขลา

 

แต่ใครจะรู้ว่าหลินเสี่ยวเฟยไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่ใครจะสามารถเอนเอียงไปทางที่พวกเขาต้องการหลังจากถูกยั่วยุ หรือหลังจากที่ผู้อื่นแสดงความปรารถนาดีและความรักของเธอ

 

และแม้ว่าพวกเขาต้องการจะตีหัวเธอและทุบตีเธอด้วยไม้เท้าของตระกูล แต่ตระกูลซ่งก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถทําอะไรได้เพราะพวกเขายังต้องแสดงความเคารพ และปฏิบัติตามต่อหน้าหลินเซียวเหมิง แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่แม้แต่ราชวงศ์ ก็ยังให้ความเคารพ

 

อย่างไรก็ตาม มีผู้หนึ่งที่ไม่สามารถกลืนความเย่อหยิ่งและ มารยาทที่หยาบคายของหลินเสียวเฟยได้

 

ซ่งหลิน หญิงผู้นี้เป็นคนแรกที่คิดจะโจมตีหลินเสี่ยวเฟย

 

“หญิงสาวที่หยิ่งยโส!” เธอกรีดร้องในขณะที่คนอื่นๆกําลังเงียบ “ถ้าเจ้าไม่ชอบพวกเราก็แค่บอกเรามา! เจ้าไม่จําเป็นต้องทําให้เราอับอายเช่นนี้ และหากเจ้าไม่ชอบกระดาษก็ไม่ต้องรับไป มาดูกันว่าใครจะอยากแต่งงานกับหญิงสาวที่มีนิสัยเลวทรามเช่นเจ้า”

 

“หลินเอ๋อ!” อาจารย์ซ่งตําหนิ ดูเคร่งขรึมแต่ข้างใน เขาปรบมือให้กับบุตรสาวของเขา ที่กล้าหาญและต้องการให้เธอพูดมากกว่านี้ เพื่อสอนหญิงสาวที่ฉีกกระดาษต่อหน้าพวกเขาเพื่อเป็นบทเรียน

 

เขาแอบมองหญิงสาวสวยที่นั่งตรงข้ามบุตรสาวของเขา และคาดว่าจะเห็นซุ้มของเธอพังทลาย

 

แต่เขาไม่รู้ว่าทําไมรอยยิ้มอันเย็นชาบนใบหน้าที่ไม่มีใครเทียบได้นั้น ดูเย็นยะเยือกและเต็มไปด้วยพิษ

 

แม้แต่หลินเฉินยูที่กําลังเพลิดเพลินกับการแสดงของพวกเขาและลูกพี่ลูกน้องของเขาอย่างเงียบๆ ก็ยังรู้สึกโกรธและเกลียดชังซ่งหลินหญิงผู้นี้

 

ในขณะเดียวกัน ซงหยานยี่ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในความมืดมิด จากแผนการของตระกูลซ่ง ก็ตกใจเมื่อเหตุการณ์พลิกผัน เธอมองไปที่หลินเสี่ยวเฟยและเห็นรอยยิ้มอันเย็นชาที่เล่นอยู่บนริมฝีปากของเธอและจําฉากที่ร่างของเค่อซ่งถูกแขวนคอ

 

เธอจับขอบโต๊ะและพยายามส่งสัญญาณบางอย่างไปยังตระกูลของเธอ เพื่อให้พวกเขาหยุดแผน แต่พวกเขาก็มองไม่เห็นความเย่อหยิ่งและการกระทําที่แย่ของพวกเขาเอง

 

“โอ้ ข้าได้ยินเสียงสุนัขเห่า” หลินเสี่ยวเฟยเลิกคิ้ว “ข้ามิได้”

 

เธอโน้มตัวไปข้างหน้า และกล่าวต่อ “แล้วถ้าข้าเลว พวกท่านจะทําเช่นไรกับมัน”

 

กําเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

 

ตอนที่ 56 ความต้องการสูง

 

เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาว ทุกคนจึงหันมาสนใจหลินเสี่ยวเฟย

 

คนบางคนกําลังรอและคาดหวังให้เธอแก้ไขการกระทําของเธอ และทักทายคนอื่นๆในห้องโถง

 

แต่หลินเสี่ยวเฟยกลับไม่รีบตอบหรือลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อทักทาย เธอยังคงแตะขอบถ้วยน้ําชาของเธอขณะที่ควันเล็กๆสีขาวอยู่เหนือถ้วยชา

 

เธอมองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามกับเธอและส่งยิ้มให้ ก่อนจะหันไปมองท่านตาของเธอทันที “นี่เป็นเหตุการณ์ที่แปลกมาก ท่านตา ข้าไม่รู้ว่าคําทักทายของข้ามีความต้องการสูงขนาดนี้ ครั้งล่าสุดที่ตระกูลซูเห็นว่าตนสมควรได้รับมันแล้ว และบัดนี้มันควรเป็นเช่นนี้อีกแล้วหรือ”

 

หลินเสี่ยวเฟยใช้ดวงตาของเธอมองดูใบหน้าของผู้คนที่กําลังตกตะลึงและไม่พอใจ ในขณะที่เธอกล่าวต่อ “ถ้าข้ารู้ว่ามีคนกระตือรือร้นที่จะทักทายข้ามากขนาดนั้น ข้าคงจะพลาดอะไรในตลาดไปแน่ๆ”

 

“ท่าน ” หญิงสาวเกือบจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เมื่อเธอได้ยินคําตอบที่ไม่คาดคิดของหลินเสี่ยวเฟยและต้องการจะพูดอะไรกับเธอ

 

อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยเร็วกว่าและไม่ปล่อยให้เธอพู ดต่อ

 

“แล้วท่านยินดีจ่ายเท่าไหร่ สําหรับการทักทายของข้า” หลินเสี่ยวเฟยย่นดวงตาของเธอขณะที่เธอยิ้มให้กับพวกเขาอย่างแท้จริง

 

มารยาทที่หยาบคายของเธอเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วในเมืองหลวงและเป็นที่รู้กันดีสําหรับทุกคนแต่ อย่างไรก็ตาม คําพูดและมารยาทของเธอในวันนี้แย่กว่าข่าวลือมาก

 

ทุกคนที่พยายามช่วยหญิงสาวผู้นั้นที่พยายามจะสร้างปัญหาให้แก่หลินเสี่ยวเฟย

 

พวกเขาแทบจะกระอักเลือดออกจากปาก เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอจะพูดจาฉะฉานและโลภมากถึงเพียงนี้

 

แม้แต่ฮูหยิน ทั้งสองของตระกูลหลินค ก็ไม่สามารถใช้โอกาสนี้ทําอะไรเธอได้ เพราะก่อนหน้านี้ แผนการของพวกเธอล้มเหลวทําให้พวกเธอไม่กล้าจะสร้างปัญหาให้แก่หลินเสี่ยวเฟย

ที่ด้านข้าง หลินเฉินยูปิดปากของเขาขณะที่เขาพยายามสงบสติอารมณ์ เขาอยากจะหัวเราะและปรบมือให้กับลูกพี่ลูกน้องเขา เขาตกใจมากกับความกล้าหาญของสตรีผู้นี้

 

ตระกูลซ่งครอบครัวของฮูหยินสอง ซงหยานยี่เต็มไปด้วยนักวิชาการที่รับใช้ในพระราชวังและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับข้าราชการชั้นสูงคนอื่นๆ ดังนั้นอํานาจของพวกเขาจึงกว้างใหญ่ไพศาล

 

ไม่เพียงเท่านั้น แต่พวกเขายังประสบความสําเร็จใน การให้กําเนิดนางสนม ซ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในสตรีผู้เป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิ และด้วยเหตุนี้ ตระกูลซ่งจึงมักจะถือว่าตนเองมีค่าสูงและทําตัวเย่อหยิ่งต่อหน้าผู้อื่น

 

เมื่อมองไปที่ลูกพี่ลูกน้อง ที่มีใบหน้างดงามและส่วนชุดสีแดงในขนาดนี้ หลินเฉินยูรู้สึกภาคภูมิใจในการกระทําของเธอและอยากจะมานั่งข้างเธอ ถ้าหากว่าเขาไม่จําเป็นต้องรักษาภาพพจและมารยาทต่อหน้าผู้อื่น

 

น่าเสียดายที่คนอื่นไม่เห็นด้วยกับความคิดของหลินเฉินยู

 

ใบหน้าของคนตระกูลข่งที่มาเยี่ยมเยียน ในวันนี้กลายเป็นสีดําคล้ํา เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถกลืนความอับอายที่หลินเสี่ยวเฟยได้ปฏิบัติต่อพวกเขาได้

 

“คุณหนูสี่มีจิตใจที่น่าหวาดหวั่น” คุณหญิงซ่ง น้าของซงหยานยี่กระแอมในลําคอ ท่ามกลางความอึดอัดใจ “ถ้าข้าไม่ได้เห็นฉากนี้ต่อหน้าข้า ข้าจะไม่มีวันเชื่อข่าวลือเช่นนั้นเลย”

 

เมื่อหลินเซียวเหมิงได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขาก็เย็นชาเล็กน้อย เนื่องจากเขาไม่ได้คาดหวังว่า คุณหญิงซ่งจะพูดถึงข่าวลือของหลานสาวของเขาต่อหน้าเขาแบบนี้

 

แม้ว่าหลินเสี่ยวเฟยจะแสดงความเย่อหยิ่งและมารยาทที่หยาบคายต่อหน้าพวกเขา เขาก็อ่อนไหวต่อเรื่องที่หลินเสียวเฟยเป็นอย่างมากเขาไม่ชอบข่าวลือที่ทําลายชื่อเสียงของหลานสาวของเขาเลยถูกทําลาย

 

“ท่านป้าพูดอะไร” ซงหยานยี่เริ่มกล่าวและหัวเราะ หลังจากเห็นสีหน้าที่มืดมิดของหลินเซี่ยวเหมิง เราสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านจึงมาที่นี่”

 

เธอเปลี่ยนหัวข้อไปที่เหตุผลที่ตระกูลซ่งมาที่คฤหาสน์หลิน เพื่อหลีกเลี่ยงอารมณ์ของหลินเซียวเหมิง

 

ตระกูลซ่งไม่ใช่คนโง่และเข้าใจความหมายของเธอ พวกเขาขจัดความไม่สบายใจและความละอายออกจากใบหน้าของพวกเขา พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะเบาะแว้งกับหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน และไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกนี้

 

“อืม แน่นอน ขอบคุณหลานสาวที่มีสติและเตือนเรา” ปรมาจารย์ซ่ง ลุงของซงหยานยีตอบ

 

ปรมาจารย์ซ่ง จึงหันไปหาหลินเซียวเหมิง

 

“ท่านแม่ทัพหลิน เรามาที่นี่หลังจากได้ยินว่าท่านกําลังประสบปัญหาเล็กน้อย เช่นเดียวกับในกฎหมาย เราต้องการช่วยเรื่องนี้และพบทางแก้ไข ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพหลินต้องการฟังหรือไม่ “ ปรมาจารย์ซ่งกล่าวถาม

 

“ปรมาจารย์ซ่ง หมายความว่าอย่างไร” หลินเซียวเหมิงขมวดคิ้ว เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับปัญหาเล็กๆนี้ที่เขาพูดถึง เพราะเขาไม่ได้ระบุ

 

“เราได้ยินมาว่าการหมั้นของคุณหนูสี่ถูกทําลาย และตอนนี้ก็มีปัญหาในการหาคู่แต่งงานที่เหมาะสม” คุณหญิงซ่งแสดงความคิดเห็น

 

“แล้ว?” ถามหลินเซียวเหมิง การแสดงออกของเขาปราศจากอารมณ์ใดๆ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้

 

น้ําเสียงของเขา มันดูไม่เย็นชาเกินไปและเต็มใจที่จะรับฟัง จากนั้นปรมาจารย์ซ่งก็กล่าวต่อ

 

“เนื่องจากคนของเราเป็นสะใภ้ ของตระกูลหลิน การแบ่งปันปัญหาและการแก้ปัญหาร่วมกันจึงเป็นเรื่องธรรมดา นั่นคือเหตุผลที่เรานํารายชื่อชายหนุ่มที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมและมีภูมิหลังที่ดีมาจากครอบครัวของเรา” ปรมาจารย์ซ่งกล่าวด้วยความกระฉับกระเฉงและภูมิใจในบุตรชายของตระกูลชาย

 

คนรับใช้เดินมาหยิบรายชื่อจากเขา และก้าวไปหาหลินเซียวเหมิงเพื่อมอบให้เขา

 

หลังจากที่หลินเซียวเหมิงเหลือบมองชื่อเหล่านั้น เขาเรียกหลินเสี่ยวเฟย “เฟยเอ๋อ มาตรงนี่และดูรายชื่อเหล่านี้”

 

อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้ลุกขึ้นทําตามที่เขาบอก และยังคงนั่งบนเก้าอี้ของเธอ

 

“ท่านตา ข้าเหนื่อยเกินไป หลังจากที่เดินมา ข้าไม่คิดว่าข้าจะอยากดู” หลินเสี่ยวเฟยหัวเราะเบาๆ และกล่าวยังไม่มีความเคารพ

กําเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

 

ตอนที่ 55 แค่ตัดหัวทิ้ง

 

ขณะที่เธอกําลังจะออกจากลานบ้าน หลินเสี่ยวเฟยหยุดเดินและแหงนมองขึ้นไปข้างบน

 

เธอไม่รู้ว่าทําไม แต่ความรู้สึกของเธอบอกว่ามีใครบางคนกําลังตามเธอมา ตั้งแต่เธอ

 

ออกมาจากพื้นที่ของหงเปยโหลว

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเธอไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ หรือบางทีคนที่ติดตามเธอคงจะมีทักษะ ที่สูงอย่างมากในการซ่อนตัวตนเธอจึงไม่สามารถยืนยันความสงสัยของเธอได้

 

ขณะที่เธอมองขึ้นไปข้างบน ฉ่เซียวซูกําลังนอนตะแคงข้างใน ขณะที่เขามองลงมาที่ร่างของเธอจากหลังเคาของลานบ้านอื่น ถัดจากลานบ้านของเธอ

 

หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอเดินออกจากลานบ้านเขาก็ตัดสินใจรีบย้ายไปที่หลังคาของลานอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ดู

กพบ

 

เขาจําได้ว่า เธอเคยพูดว่าเขาส่งคนมาคอยติดตามเธอ อย่างไรก็ตาม ฉ่เซียวซูรู้ว่าเขาไม่สามารถดูถูกเธอและไม่ทําให้ใครตามเธอโดยประมาทได้อีกครั้ง

 

ด้วยชุดสีแดงเพลิงของเธอที่พลิ้วไหวไปตามลมฤดูหนาวหญิงสาวที่เขาสนใจดูไม่เหมือนมนุษย์แต่ดูเหมือนเทพธิดาที่ออกมาจากรูปวาด

 

ในตอนแรก เขารู้สึกทึ่งกับการกระทําที่กล้าหาญของเธอซึ่งเกินกว่าที่หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ทั่วไปจะทําได้ ตัวอย่างเช่นเธอไปเยี่ยมหอนางโลมที่พวกเขาพบกันครั้งแรก ในเวลานั้นเธอได้เป็นที่สนใจของเขา เมื่อได้สบตากัน

 

และความอยากรู้อยากเห็นของเขาก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อพวกเขาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันภายในโรงเตี้ยมที่เขาเป็นเจ้าของ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยพิษและความเกลียดชังต่อโลกทําให้เขาต้องการรู้จักเธอมากขึ้น เขาสงสัยว่าความมคิดเล็กๆน้อยๆของเธอว่ามีอะไรบ้างและยังพยายามคาดเดาการกระทําของเธอต่อไป

 

แต่อนิจจา เธอคาดเดาไม่ได้และน่าเกรงขามยิ่ง

 

ไม่มีใครรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ และเขาไม่เคยรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงประมูล หญิงสาวผู้นี้ช่างกล้าหาญและน่าสะพวิ่งกลัวแค่ไหนกัน เธอสั่งให้เด็กคนนั้นเผาบ้านประมูล

 

ด้วยผ้าที่ปิดปาก ดวงตาสีดําของฉ่เซียวซูเปรียบเสมือนดวงตาของจิ้งจอก ขณะที่รอยยิ้มของเขากว้างขึ้น ในขณะที่เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้เห็นความบันเทิงที่เธอจะแสดงให้เขาเห็นมากขึ้น

 

เธอเหมือนของเล่นที่น่าสนุกสําหรับเขา เขาต้องการให้เธออยู่ต่อหน้าเขาทุกวัน แค่คิดถึงคนอื่นที่เห็นด้านนี้ของเธอก็ทําให้เขาอยากควักลูกตาพวกมันออกมาแล้วป้อนให้สุนัขกิน

 

ข้างหลังเขา มีชายผู้หนึ่งสวมชุดดําตั้งแต่หัวจรดเท้าและสั่นสะท้านไปด้วยความกลัวในขณะที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญและเขาสามารถลิ้มรสเจตนาการฆ่าอันปาเถื่อน ที่ไหลออกมาจากเจ้านายของเขาราวกับมีดที่แหลมคมกําลังเล็งไปที่คอของ

เขาอยู่

 

เขากลืนน้ําลายอย่างแรง และรวบรวมความกล้าที่เหลืออยู่เพื่อพูดกับเจ้านายของเขาว่า “นายท่าน”

 

นอกจากนี้เขายังไม่กล้าที่จะเอ่ยปากออกไป และรอให้ฉ่เซียวซูรับทราบการมีอยู่ของเขา และเมื่อเขาพูด ชายในชุดดําจึงกล่าวว่า “มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นในที่พัก และข้าต้องการคําแนะนําจากนายท่าน อย่างเร่งด่วน

 

“ข้ากําลังยุ่งกับบางสิ่งที่สําคัญกว่า ไปแก้ปัญหาด้วยตัวของเจ้าเอง ทําทุกอย่างที่เจ้าเห็นสมควร.” ฉ่เซียวซู ที่ชําเลืองมองเขาแล้วขมวดคิ้ว “หรือปัญหามันใหญ่เกินไปสําหรับ

เจ้า”

 

ชายชุดดําส่ายหัวอย่างประหม่า เขากลัวว่าลิ้นของเขาจะหลุดออกจากปากและคําพูดที่ผิดอาจจะเป็นจุดจบของเขา

 

“มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ครับนายท่าน อย่างไรก็ตาม เราต้องการให้ท่านกลับมายังที่พัก

 

เพราะเราไม่รู้ว่าจะทําเช่นไรกับปัญหานี้” ชายชุดดําพูดพร้อมกับก้มหน้าลง

 

“งั้นก็ตัดหัวพวกมันซะ วิธีนี้ ปัญหาจะไม่สามารถรบกวนข้าจากเรื่องของข้าได้ แค่กําจัดความรําคาญไปซะ” ฉ่เซียวซูหันไปมองที่หญิงสาวในชุดสีแดง เขาพบว่าร่างของเธอไม่อยู่ที่นั่นแล้วและที่ที่เธอยืนอยู่นั้นว่างเปล่า

 

เมื่อหลินเสี่ยวเฟยเข้าไปในลานหลัก เธอเห็นผู้คนนั่งอยู่ที่ด้านของห้องโถงแล้ว

 

ที่นั่งที่สงวนไว้สําหรับสมาชิกในครอบครัวของตระกูลหลินนั้น ถูกครอบครองทั้งหมด

 

นอกเหนือจากที่นั่งด้านล่างและทางด้านขวาของหลินเซียวเหมิง

 

ผู้ที่นั่งอยู่บนที่นั่ง ในขณะที่พวกเขากําลังยุ่งอยู่กับการสนทนาอย่างสนุกสนานกับคนที่อยู่ใกล้ๆพวกเขาก็หยุดในทันทีและจับจ้องไปที่เธอและชุดสีแดงที่เธอสวมใส่ไป

 

เหมือนกับสายลมในฤดูหนาว พวกเขาทั้งหมดเงียบกริบเพราะไม่สามารถละสายตาจากการจ้องมองไปยังผู้ที่เป็นอมตะที่ปรากฏตัวในลานบ้านหลักได้

 

อย่างไรก็ตาม ตระกูลหลินที่เห็นหลินเสี่ยวเฟยก็ตื่นตัวกันอย่างรวดเร็ว และปกปิดท่าทางแปลกๆของพวกเขาด้วยการยกถ้วยชาขึ้นมาจิบและหลีกเลี่ยงการมองไปที่เธอ

 

น่าเสียดาย ที่แขกที่มาพักที่คฤหาสน์หลินกลับทําอย่างอื่นและเมื่ออ้าปากค้าง ดวงตาของพวกเขาก็มองตามร่างที่ผอมเพรียวของเธอ ขณะที่เธอเดินไปยังใจกลางห้องโถง

หลินเสี่ยวเฟย โค้งคํานับท่านตาของเธอเล็กน้อย “คาราวะท่านตา”

 

หลังจากกล่าวเช่นนั้น หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้ทําในสิ่งที่เธอควรทําเมื่ออายุน้อยกว่าและไม่คํานับคนอื่นๆเพื่อทักทายพวกเขา

 

เธอนั่งลงอย่างช้าๆและสง่างามบนเก้าอี้ที่เธอนั่งและด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาของเธอก็ค่อยๆกวาดสายตาไปที่ใบหน้าของผู้คนในห้องโถง

 

ในขณะที่ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบสงัดเมื่อเธอมาถึงเสียงเย้ยหยันจากใครบางคนทําให้ทุกคนหันศีรษะจากนั้นพวกเขาก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งจากอีกฟากหนึ่งของหลินเสี่ยวเฟย กล่าวขึ้นว่า

 

“ท่านเสียมารยาทเกินไปหรือไม่คุณหนูสี่ ท่านเห็นพ่อและแม่ของข้าที่อยู่ต่อหน้าท่าน และท่านไม่แม้แต่ที่จะทักทายพวกเขาข้าสงสัยว่าท่านเรียนรู้มารยาทของท่านมาจากที่ใด” หญิงสาวปล่อยการโจมตีออกมาในทันที

 

กําเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

 

ตอนที่ 54 ผู้เข้าชมใหม่

 

“คุณหนู? ท่านอยู่ในนั้นหรือไม่?” เสียงจากภายนอกเรียกเธอ ทําให้หลินเสียวเฟยหลุดจากความคิดของเธอ

 

โดยไม่ได้หันศีรษะ หลินเสี่ยวเฟยถามสาวใช้ “มีอะไรหรือ?”

 

ไปสู่กลืนน้ําลายอย่างแรง และก้มศีรษะลง หลังจากได้ยินเสียงที่เย็นชาของหญิงสาวภายในห้อง “คุณชายใหญ่ส่งกล่องเครื่องประดับมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”

 

เนื่องจากคุณหนูน้อยบอกให้พวกเขาอยู่ห่างจากที่พักไปลู่และคนอื่นๆจึงพักอยู่ในลานคนใช้ใกล้กับที่พักของหญิง

สาว

 

และเมื่อเธอกําลังจะออกจากที่พักของคุณหนู คุณชายใหญ่ได้เดินผ่านไปและมอบกล่องให้สาวใช้เพื่อนําไปมอบให้แก่คุณหนูของเธอ

 

หลินเสี่ยวเฟยหยุดนิ้วของเธอ ที่กําลังตามรอยสักบนแผ่นหลังของเด็กชายผู้นั้น

 

หลินเสี่ยวเฟยพยายามจะจําให้ได้ว่าผู้ใดคือคุณชายใหญ่แต่น่าเสียดายที่เธอไม่มีความทรงจําของเจ้าของร่างคนก่อน ดังนั้น เธอจึงทําการคาดเดาระหว่างบุตรชายคนอื่นๆในคฤหาสน์ตระกูลหลิน

 

“คุณชายใหญ่ หลินเฉินยู” ไปสู่กล่าว หลังจากได้ยินเสียงของหญิงสาวที่เปล่งออกมาราวกับว่าเธอไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับคุณชายผู้นี้

 

หลินเสี่ยวเฟยถอนหายใจ เธอไม่รู้ว่าอะไรทําให้ลูก พี่ลูกน้องของเธอไปส่งกล่องเครื่องประดับถึงที่พักเธอ

 

แม้ว่าเธอจะพบเขาก่อนหน้านี้ หลินเสี่ยวเฟยก็ยังไม่รู้จักว่าใครเป็นใครในสมาชิกในตระกูลหลินดังนั้นหากเธอต้องพบหนึ่งในพวกเขาเธอจําเป็นต้องได้รับการเตือน

 

เช่นเดียวกับที่เธอได้พบกับหลินเฉินยู เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นคุณชายใหญ่ในตระกูล

 

และเรียกเขาว่า ลูกพี่ลูกน้องที่รัก” เพื่อปกปิดคําโกหกของเธอ และแสร้งทําเป็นว่าเธอยังจําเขาได้

 

“ข้าควรเอาสิ่งนี้ ไปใส่ไว้ในคลังสะสมของคุณหนูหรือไม่”ไปสู่กล่าวถาม เพราะรู้สึกว่าแขนของเธอกําลังจะร่วงจากการถือกล่องในมือของเธอ

 

เมื่อรู้ว่าคุณหนูของเธอชอบเก็บเครื่องประดับและของแวววาวที่เธอเห็นว่าสวยงามในสายตาของเธอมากแค่ไหนไปสู่ก็พร้อมที่จะไปยังคลังสะสมของหลินเสี่ยวเฟยและนําไปเก็บไว้ในที่พักของเธอ

 

ทันใดนั้น หลินเสี่ยวเฟยก็กล่าวขึ้น อย่างไม่คาดคิดว่า “ไม่จําเป็น เจ้ารับไปและแบ่งสิ่งที่อยู่ภายในกล่องระหว่างเจ้ากับคนรับใช้คนอื่นๆ”

 

แม้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาร่วมกันในวันนี้ แต่หลินเสี่ยวก็ไม่มีท่าทางที่เร่งรีบและเชื่อใจคนที่เธอเพิ่งพบในวันนี้และรับของขวัญจากเขา

 

ไปสู่ตกตะลึงกับคําสั่งของหญิงสาว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณชายใหญ่ที่ให้บางสิ่งแก่เธอ และนี่ก็เป็นครั้งแรก ที่คุณหนูของเธอตัดสินใจปล่อยของสิ่งนั้นให้กับพวกเธอ แทนที่จะนําไปไว้ไปยังคลังสะสมของเธอ

 

ไปสู่ รู้สึกเหงื่อออกจนไหลลงคอ ขณะที่เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณหนูของเธอจะพูดเช่นนั้น

และออกคําสั่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่จะยกสิ่งของมีค่าให้แก่พวกเขา

 

เธอรอสองสามวินาที แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังไม่ได้ยินว่าคุณหนูของเธอ สั่งให้พวกเขาทําอะไรบางอย่าง

 

เมื่อไม่ได้รับคําสั่งเพิ่มเติมจากคุณหนู ไปสู่จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ทันใดนั้น เธอนึกอะไรบางอย่างได้และกล่าวอย่างประหม่าว่า “คุณหนูข้าลืมบอกคุณหนูว่าครอบครัวของคุณหญิงสองมาถึงแล้ว และนายท่านก็ขอให้คุณหนูไปพบในลานหลักของคฤหาสน์ด้วย”

 

“โอ้ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามีจุดประสงค์อะไรในการมาเยี่ยมครั้งนี้” หลินเสี่ยวเฟยเลิกคิ้ว และยกนิ้วออกจากด้านหลังของเด็กชาย เธอไม่รู้ว่าใครคือครอบครัวของคุณหญิงสอง ที่มาเยือนคฤหาสน์ตระกูลหลิน

 

และเหตุใดจึงต้องการให้เธออยู่ที่นั่นด้วย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเธอจะได้เห็นใบหน้าและพอจะคาดเดาจุดประสงค์ของพวกเขาได้

 

“แต่ก็ไม่เป็นไร.” หลินเสี่ยวเฟยยิ้มและลุกขึ้นจากที่นั่งที่เธอนั่ง “บอกพวกเขาว่าข้ากําลังเปลี่ยนเสื้อผ้าและกําลังจะไปที่นั่น”

 

หลังจากที่สาวใช้จากไป หลินเสี่ยวเฟยก็หันไปทางต้เตี้อผ้าของเธอ ทิ้งเด็กที่เปลือยเปล่าซึ่งยังคงยืนอยู่หน้าโต๊ะ

 

หลินเสี่ยวเฟยกําลังหาชุดที่เหมาะเพื่อที่จะสวมใส่ เธอจึงพูดกับเด็กชายที่ยังคงยืนเปลือยกายอยู่หน้าโต๊ะว่า “ถ้าหากเจ้าไม่อยากปวย เจ้าสวมเสื้อผ้าที่ข้าวางไว้ให้บนโต๊ะนั่นซะ”

 

คาเอลไม่ได้พูดอะไร ในขณะที่เขาเอื้อมมือไปจับเสื้อผ้าที่เธอมอบให้เขา เสื้อผ้าที่มีคุณภาพสูงนั้นมันดูนุ่มและน่าสัมผัส เขารู้ว่ามันมีราคาแพงมิใช่น้อย

 

ในขณะเดียวกัน หลินเสี่ยวเฟยไปที่หลังฉากกั้นห้องและเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดสีดําของเธอเป็นชุดสีแดง

 

ชุดที่เธอเลือกดูสดใส และทําให้ผิวขาวซีดของเธอดูเหมือนหยกขาว เธอยังเปลี่ยนทรงผมและปล่อยให้ผมครึ่งหนึ่งพริ้วไสวไปข้างหลังของเธอ ขณะที่ผ้าคลุมที่เธอสวมมาตลอดถูกทิ้งไปด้านข้างแล้ว และเมื่อเธอเดินไปรอบๆ สีหน้าของคาเอลเหมือนคนหายใจไม่ออก เพราะสายตาของเขาจับจ้องมาที่เธอ

 

แม้ว่าเขาจะเป็นแค่เด็ก แต่คาเอลก็รู้ดี ว่าหญิงสาวที่สวยจะต้องมีลักษณะแบบไหน และหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ดูเป็นมากกว่านั้น และเนื่องจากเธอสวมผ้าคลุมหน้าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ คาเอลไม่เคยเห็นใบหน้าของเธอ ถ้าเธอไม่ถอดมันออก

 

เมื่อสบตากัน หลินเสี่ยวเฟยยิ้มให้เขา และเดินเข้าไปใกล้เพื่อรัดเข็มขัดให้แน่นขึ้น และกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าดูเหมือนมนุษย์ปกติแล้ว”

 

คาเอลจ้องที่เธอและกัดลิ้นของเขา ขณะที่เขากลั้นในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด

 

เธอพอใจกับการแสดงออกของคาเอล หลินเสี่ยวเฟยเดินไปที่ประตูและหยุดเพื่อหันมามองที่เด็กชาย และกล่าวว่า “ข้าต้องไปพบคนบางคน อย่าออกไปไหนและอยู่ที่นี้ หากทําไม่ได้ข้ามิอยากจะเสียเงินเพื่อไปเผาที่อื่นอีก”

 

“เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

 

คาเอลพยักหน้าช้าๆ ภายใต้ดวงตาที่ดูแวววาว

 

เด็กชายพยักหน้าเพื่อตอบเธอ หลินเสี่ยวเฟยยิ้มกว้างขึ้นในขณะที่เธอคาดหวังว่าการแสดงกําลังจะเริ่มขึ้น ในที่ที่เธอกําลังมุ่งหน้าไป

ตอนที่ 53 การก่อวินาศกรรม

 

หลินเสี่ยวเฟย ไม่รู้ว่ามีคนอยู่บนหลังคาของที่พักและกําลังแอบดูเธออยู่

 

เธอจ้องไปที่คาเอล ที่กําลังเริ่มถอดเสื้อผ้าของเขา

 

คาเอล รู้สึกว่าใบหน้าของเขาเริ่มมีสีแดงที่แก้มเล็กน้อย เมื่อเขาต้องถอดเสื้อผ้าออกต่อหน้าคนอื่น ก่อนหน้านี้เขาคอย บอกตัวเองอยู่เสมอว่าสิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น และหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาคือหนึ่งในสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ต้องการเก็บของเล่นไว้ข้างกาย

 

โชคดีที่โรงประมูลได้รักษาความสะอาดของผลิตภัณฑ์ก่อ นนําเสนอให้กับลูกค้า และด้วยเหตุนี้ คาเอลจึงไม่ต้องอาบน้ํา ดังนั้นเธอจึงไม่บอกเขาให้ไปอาบน้ําแต่ให้เขาถอดเสื้อผ้าของเขาออกแทน

 

แต่เธอตั้งใจจะทําอะไรกันแน่? คาเอลคิดในใจ ในขณะที่เขารู้สึกตัวสั่นเพราะเขาได้ยินเรื่องทาสบางคนถูกเจ้านายคนใหม่ ของพวกเขาทําให้กลายเป็นของเล่น

 

หลินเสี่ยวเฟย เงียบตลอดเวลาขณะที่เธอจ้องไปที่คาเอล ที่กําลังถอดเสื้อผ้าของเขา

 

ออกอย่างช้าๆ

 

เมื่อเขาถอดมันออกหมดแล้ว หลินเสี่ยวเฟยก็สํารวจร่างกายเขาไปรอบๆ ดูเหมือนกําลังมองหาอะไรบางอย่าง

 

ด้วยดวงตาที่สวยงามของเธอที่จ้องมองมาที่เขา คาเอลได้ปิดอวัยวะของเขาที่สามารถมองเห็นได้เฉพาะร่างกายผู้ชายโดยที่เธอไม่รู้ตัว

 

อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยไม่ยอมให้เขาปิด และกล่าวว่า “เอามือออก ข้าเห็นว่าเจ้ากําลังปกปิดมันอยู่”

 

คาเอล รู้สึกอยากจะกระอักเลือดออกมา เธอต้องการเห็นอะไรกันแน่?

 

“ท่านแน่ใจนะ?” คาเอลมองเธออย่างกังวลใจ

 

เมื่อมาถึงจุดนี้ คาเอลก็เชื่อฟังและปฏิบัติตามคําพูดของเธอเขาเอามือที่ปิดออกจากอวัยวะของเขาออกและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยน้ําตาคลอ เขาภาวนาให้มีคนเห็นและช่วยเขาให้พ้นจากการถูกดูหมิ่นเช่นนี้

 

แต่เขาไม่รู้เลยสักนิด ว่าคนที่อยู่บนหลังคาก็ตกใจเช่นเดียวกัน

 

ฉู่เเซียวซูพูดไม่ออก เมื่อเขาได้เห็นฉากที่เปิดเผยที่ด้านล่าง เขาคิดว่าเขาไม่จําเป็นต้องเห็นตัวเองแต่รู้ได้ว่าพวกเขากําลังพูดถึงอะไร และอีกครั้งที่เขาแปลกใจที่หญิงสาวที่ทําให้เขาได้รับความบันเทิงตลอดเวลานั้นช่างดูไร้ยางอาย

 

เขาอยากจะลงมาหยุดเธอในตอนแรก เพื่อปิดดวงตาของ เธอที่กําลังคุกคามคามผู้อื่น

 

แต่ลึกๆข้างใน ฉู่เซียวซูรู้สึกเหมือนเขากําลังกินน้ําส้มสายชูและมองดูวิธีที่ผู้หญิงที่เขาสนใจกําลังมองดูร่างกายของผู้อื่นยู่

 

แน่นอน ฉู่เซียวซูไม่คิดว่าความคิดของเขาแปลก เพราะเขาหยิ่งและเป็นเจ้าของกับสิ่งที่เขาชอบ

 

แต่ถ้าหญิงสาวได้ยินความคิดของเขา เขามั่นใจว่าเธอจะมองมาที่เขาด้วยสีหน้ารังเกียจ

 

พูดตามตรงแล้ว หลินเสี่ยวเฟยไม่มีความคิดอื่นใดเหมือนกับที่พวกเขาคิด และมุ่งไปที่การมองหารอยตําหนิบนร่างกายของเด็กชาย

 

นอกจากนี้ เธอไม่ใช่หญิงสาวที่ไร้เดียงสา เธอเคยแต่งงาน แล้วครั้งหนึ่ง และการที่ได้อยู่กับใครสักคนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 

และการที่เธอได้เห็นร่างกายของเด็กนั้น ก็ไม่ได้มีความหมายสําหรับเธอ

 

หลังจากมองดูเด็กชาย หลินเสี่ยวเฟยกล่าวสั่ง “หันหลังกลับ”

 

คาเอล ไม่ลังเลที่จะหันกลับมาและร้องไห้ในใจอย่างเงียบๆ

 

ตอนนี้ไม่มีทางหนีพ้นแล้วจริงๆหรือ? ในที่สุดเขาก็กลายเป็นของเล่นของใครบางคน?

 

ขณะที่ความคิดของเขากําลังดําเนินไปอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่รู้ว่าหญิงสาวที่นั่งข้างหลังเขากําลังตะลึงกับสิ่งที่เธอพบในร่างกายของเด็กชาย

 

นอกจากรอยแผลเป็นมากมายบนหลังและขาของคาเอลแล้ว หลินเสี่ยวเฟยก็พบสิ่งที่เธอกําลังมองหาในที่สุด

 

เธอเอื้อมมือออกไปแตะหลังเล็กๆของเด็กชาย

 

หลินเสี่ยวเฟยกระพริบตาอย่างไม่เชื่อ

 

ที่ด้านหลังของเด็กชายมีรอยสักเป็นวงกลม รอยสักสีดําเป็นความแตกต่างชัดเจนอย่างมากเมื่อเทียบกับสีผิวจริงของเด็กชาย

 

เธอแกะรอยด้วยปลายนิ้วบนรอยสัก มันมีลักษณะเป็นรูปลูกลืนหาง

 

ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตและถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน หยูเฟิงซูได้ บอกกับคนของเขาว่า พวกเขากําลังมองหาทาสที่มีสัญลักษณ์คล้ายคลึงกันบนหลังของเขาเมื่อเขาไปเยี่ยมเธอในดันเจี้ยน

 

ในเวลานั้น หยูเฟิงซูอาจพูดถึงเรื่องนี้ได้ เพราะเขารู้ว่าหลินเสี่ยวเฟยจะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อดูแสงอีกครั้งและพูดต่อหน้าเธออย่างไม่ระมัดระวัง

 

อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเฟยที่ทนทุกข์ทรมานอย่างมากจากการถูกทรมาน เธอมักจะใช้หูของของเธอในการฟังเรื่องราวต่างๆ เสมอ

 

หยูเฟิงซูเคยกล่าวว่า ทูตที่ประเทศตะวันตกกําลังมองหาเด็กที่ดูเหมือนจะถูกลักพาตัวไป

 

แต่ถึงแม้ หลังจากไปตามหาทุกหนทุกแห่งแล้ว พวกเขาก็ไม่พบเด็ก ดังนั้น หยูเฟิงซูจึงต้องไปตรวจดูสถานที่โรงประมูลทุกแห่ง

 

เขาคงเคยได้ยินเกี่ยวกับเด็กในโรงประมูล ที่หลินเสี่ยวเฟยไปมาแล้ว แต่เนื่องจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่กําลังจะมาถึง เขาจึงไม่มีเวลามาที่โรงประมูลแห่งนั้นและไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในดินแดนของเขาเอง เขาจึงมั่นใจว่าจะไม่มีใครก่อวินาศกรรมขึ้น

 

น่าเสียดาย ที่หลินเสี่ยวเฟยรู้แผนการและความคิดของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงกล้าหาญและดําเนินแผนการอย่างตรงไปตรงมาเมื่อต้องรับมือกับหยูเฟิงซู

 

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่หยูเฟิงซูพบว่าโรงประมูล ถูกไฟไหม้และพวกทาสได้หนีไป เขาจะไม่คิดด้วยซ้ําว่าหญิงสาวจากตระกูลหลิน เป็นผู้ที่ทําลายแผนการของเขาและได้พาเด็กชายไปก่อนหน้าเขาแล้ว

 

ในห้วงความคิดของเธอ หลินเสี่ยวเฟยไม่รู้ว่าในขณะที่เธอยังคงมองดูเด็กชายจากด้านหลังเป็นเวลานาน ยังมีอีกสองคนที่รู้สึกท้อแท้เพราะพวกเขาผิดหวังกับการกระทําของเธอ

 

ไม่ว่าพวกเขาจะมองเธออย่างไร หลินเสียวเฟยดูเหมือนว่า เธอกําลังไตร่ตรองมองไปที่ข้างหลังของเด็กชาย และเป็นอีกครั้งที่คาเอลตัวสั่นไปด้วยความกลัว

 

และในทางกลับกันฉู่เซียวซูพยายามระงับแรงกระตุ้นที่จะทําลายหลังคา นี้ทิ้ง และลงมาเพื่อปิดดวงตาของเธอและฆ่า เด็กคนนั้นซะ

 

กําเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

ตอนที่ 52 ดักฟัง

 

หลินเสี่ยวเฟยลูบหัวเด็กชายผู้นี้เบาๆ ขณะที่พวกเขานั่งอยู่บนเตียง

 

เมื่อถอดเสื้อคลุมออก ผมสีทองของเด็กชายผู้นี้ก็เผยออกมา ใต้แสงนั้น เส้นผมของเขาเปรียบเสมือนใยแมงมุมที่ส่องประกายเมื่อตอนที่แสงตกกระทบกับมัน

 

เมื่อรู้สึกถึงความกลัวและความประหม่าของเด็กชาย ตรงหน้าเธอ หลินเสี่ยวเฟยจริงเปล่าให้ความมั่นใจกับเขาว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทําร้ายเจ้า”

 

หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกว่าคําพูดที่เธอได้กล่าวไปนั้น มันช่างดูแปลกสําหรับเธอ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้กล่าวออกมาจากข้างในหัวใจของเธอ อาจเป็นเพราะในช่วงหลายเดือนที่เธอถูกทิ้งให้อยู่ในคุกใต้ดินและถูกทรมาน จึงให้เธอรู้สึกสงสารเด็กคนนี้ หรือบางที ความปรารถนาในอดีตของเธอที่อยากจะมีลูกจึงทําให้เธอพูดเช่นนี้

 

ในอดีต เธออยากมีลูก แต่เพราะแม่ของหยูเฟิงซูห้ามเธอ ซึ่งเธอเป็นนางสนมเพียงผู้เดียว

 

ที่จะให้กําเนิดบุตรชายของเธอได้ แต่เธอกลับถูกบังคับให้ดื่มยาและไม่สามารถมีลูกได้ตลอดไป

 

อย่างไรก็ตาม เด็กชายผู้นี้ไม่เชื่อคําพูดของเธอ เขาได้ยินคําพูดเหล่านั้นทุกครั้งจากผู้อื่น

 

และในท้ายที่สุดเขาก็ถูกทรยศและถูกจับเพื่อซื้อขายเป็นทาส

 

หลินเสี่ยวเฟยเลิกคิ้วอย่างขบขัน เธอเดาถูก เด็กชายผู้นี้สามารถเข้าใจภาษาของเธอ

และอาจรู้ไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด

 

เธอยืนขึ้นและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เพื่อเอาเสื้อผ้าให้เด็กชายสวมใส่ เธอเดินมาพร้อมกับเสื้อคลุมสีขาวในมือของเธอ และวางไว้บนโต๊ะกลางห้อง

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อเธอมาถึงลานบ้านในตอนแรก เธอให้สาวใช้ของเธอออกจากลานบ้านของเธอไป เพื่อทําให้เด็กชายรู้สึกสบายใจและหวาดกลัวน้อยลง แน่นอนว่าสาวใช้ส่วนตัวของเธอไม่ได้หยุดตั้งคําถามเกี่ยวกับตัวตนของเด็กชายคนนี้ และสถานที่ที่เธอได้ไปนำตัวเขามา

 

หลินเสี่ยวเฟย ไม่ได้ตอบคําถามใดๆของพวกเขา และทําให้พวกเขาออกไปทันที

 

“เจ้าถอดเสื้อผ้า แล้วเปลี่ยนเป็นสวมตัวนี้แทน” หลินเสี่ยวเฟยบอกกับเด็กชายที่ยังนั่งอยู่บนเตียง

 

เด็กชายไม่ทําตามที่เธอพูด แต่กลับถามเธอ น้ําเสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อยและวิตกกังวล ” ทําไมท่านถึงบังคับให้ข้าทําเช่นนั้น”

 

” ทําอะไรหรือ?” หลินเสี่ยวเฟยแสร้งทําเป็นไม่รู้ ซึ่งเด็กชายกัดปากของเขาและจ้องมองมาที่เธอ

 

เด็กชายผู้นี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอพยายามแสร้งทําเป็นไม่รู้ว่าคําพูดของเขาหมายถึงอะไร

 

“หลังจากที่ท่านซื้อข้ามา ทําไมท่านถึงบอกให้ข้าเผากระท่อมกับกระโจมนั่น” เขากล่าว

 

คาเอล จําคําพูดที่หลินเสี่ยวเฟยบอกกับเขาหลังจากซื้อเขาว่า “ถ้าเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ก็จงพิสูจน์ว่าเจ้ามีประโยชน์ต่อข้า ไปจัดการเผาสถานที่แห่งนี้ ให้เป็นผุยผง

 

ตอนนั้นเขาไม่มีสติและทําตามที่เธอบอกโดยไม่ลังเล เขาคงคิดว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้รับอิสรภาพ และเธออาจจะกําลังทดสอบเขา ดังนั้นเขาจึงทําในสิ่งที่เธอบอกให้ทํา

 

ทันทีที่เขาถูกปล่อยออกจากกรง เขาก็คว้าคบไฟที่ผนังและเริ่มเผาทั้งกระท่อม และรีบออกจากกระท่อมไปทางกระโจมที่อยู่ด้านหน้า ราวกับว่าเขารู้ว่าลมอยู่เคียงข้าง และไฟที่เริ่มก่อตัว เสมือนว่ามันกําลังโกรธและได้กลืนกินทุกอย่าง

 

หลังจากทิ้งคบเพลิงแล้ว เขายังจําได้ดีว่าหญิงสาวที่ซื้อเขามายืนอยู่ที่นั่นราวกับกําลังดูการแสดงที่ยอดเยี่ยม ซึ่งคุ้มค่าเงินจํานวนมหาศาล ในขณะที่ไฟอยู่รอบๆพวกเขา และหากมิใช่เพราะเขาเห็นไฟเริ่มลามเข้าหาเธอและดึงเธอออกไป ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา

 

ผู้คนในกระท่อมไม่มีเวลาตั้งตัว ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกะทันหันจนพวกเขาไม่สามารถมองหาทิศทางได้ สิ่งเดียวที่พวกเขาทําได้คือพากันวิ่งหนีออกไป

 

แต่ใครจะรู้ว่ามีคานไม้ขนาดใหญ่ตกลงบนตัวพวกเขา และหยุดชีวิตของพวกเขาในทันที

 

ส่วนทาสที่ถูกทิ้งไว้ในกรงนั้น คาเอลไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พวกเขาอาจถูกไฟไหม้พร้อมกับกระท่อมหรือหลบหนีออกไปได้ ในขณะที่ความวุ่นวายทําให้ผู้คนหนี้ต่างพากันหนีออกจากโรงประมูลจาก

 

หลินเสี่ยวเฟยยิ้ม “เพราะข้าแค่ต้องการ..” พอกล่าวจบ เธอก็เห็นสีหน้าหนักใจของเด็กชาย

 

เธอวางคางไว้ที่หลังมือแล้วกล่าวเสริมว่า “เจ้าอย่ามองเหมือนว่าข้ากําลังฆ่าคนเก้าชั่วอายุคน

 

ในตระกูลของเจ้า เจ้ากําลังทําให้ข้าต้องการทําซ้ําในสิ่งเดียวกัน และเผาสิ่งที่ใหญ่กว่านี้”

 

คาเอลเห็นแววตาของเธอ และรู้ว่าเธอจริงจังกับสิ่งที่เธอพูด แต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ เนื่องจากมันเป็นการกระทําของเขาเอง ที่ทําให้กระท่อมถูกไฟไหม้และผู้คนอีกจํานวนมากต้องเสียชีวิต

 

เขายืนขึ้นและเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมสีขาวบนโต๊ะ แต่หลินเสี่ยวเฟยหยุดเขา

“อะไร?” คาเอลมองเธออย่างสับสน

 

“ถอดเสื้อผ้าออกก่อน”

 

บนหลังคา มีชายในชุดคลุมสีดํานอนอยู่บนหลังคากระเบื้อง ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปถึงที่นั่นเมื่อไหร่และเข้ามาได้อย่างไรโดยไม่มียาม ทหารในคฤหาสน์ตระกูลหลินพบเห็น

 

เนื่องจากเมฆปกคลุมท้องฟ้า ชายผู้นี้จึงไม่มีปัญหาใดๆในการพยายามต่อสู้กับความร้อนแต่กลับรู้สึกผ่อนคลาย

 

อย่างไรก็ตาม เขาอยากให้มีดาวอยู่ข้างบนนี้ เพื่อที่เขาจะได้ดูมันในขณะที่แอบฟังเธอและเด็กชายที่อยู่ในห้อง

 

ด้วยมือของเขาที่ด้านหลังออกจากศีรษะ ชายคนนั้นเลิกคิ้วและยิ้มด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา

 

หูของเขาเงยขึ้น เมื่อได้ยินเสียงด้านล่างชัดเจนราวกับคริสตัล

 

เขาพูดไม่ออก หลังจากที่ได้ยินคําพูดของหญิงสาว เขายังคงสงสัยในความสามารถที่จะได้ยินสิ่งต่างๆ แต่หลังจากที่ได้ยิน เธอบอกให้เด็กชายถอดเสื้อผ้าอีกครั้ง เขารู้ว่าเขาไม่ได้ได้ยินผิด

 

“หญิงผู้นี้ เธอคิดจะทําอะไรกับเด็กชายในครั้งนี้?” ฉู่เซียวซูกล่าวด้วยความสนใจอย่างมาก ด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้ายบนใบหน้าของเขา

 

กําเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

ตอนที่ 51 ความลับ

 

“ลูกพี่ลูกน้อง” หลินเฉินยูพูดเบาๆ ในขณะที่ศีรษะของเขาก้มต่ําลง หลินเสี่ยวเฟยจึงไม่เห็นสีหน้าของเขา

 

หลินเสี่ยวเฟยเลิกคิ้วขึ้น และสงสัยว่าหลินเฉินยูจะแสดงสีหน้าที่แท้จริงของเขาหรือไม่

 

เธอจงใจทําให้เขาคิดว่าเธอเป็นคนทําให้เรื่องนี้เกิดขึ้นและจบวันที่สงบสุขด้วยความโกลาหล

 

เพราะเธอไม่รู้จักหลินเฉินยูเป็นการส่วนตัว และเธอก็ไม่มีความทรงจําเกี่ยวกับเจ้าของร่างคนก่อน เธอจึงไม่สามารถบอกได้ว่า หลินเฉินยูเป็นมิตรหรือศัตรูเหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆในตระกูลหลิน

 

เมื่อเธอยอมให้เขาตามเธอไปที่โรงประมูล เธอไม่ลืมที่จะสังเกตเขาและดูว่าเขาได้แสร้งทําเป็นผู้ที่น่าเอ็นดูเพื่อที่จะใกล้ชิดกับเธอหรือไม่

 

แม้ว่าเธอจะมีแผนอื่น แต่การมีหลินเฉินยูติดตามมาด้วยก็ไม่เลวนัก เพราะเธอต้องการรู้ข้อมูลของสมาชิกตระกูลหลินคนอื่นๆให้เร็วกว่านี้ เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

และการที่ได้รู้จักพวกเขา อาจทําให้แผนการในอนาคตของเธอเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน

 

หลินเสี่ยวเฟยนิ่งเงียบและรอให้เขาพูดต่อ

 

เธอคาดว่าเขาจะสงสัยในตัวเธอ และแสดงความรู้จักที่แท้จริงของเขาออกมา

 

แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆเขาก็ชี้นิ้วมาที่เธอ และแสดงท่าทางไม่เชื่อจากนั้นเขาก็พูดเสียงดังว่า

 

“ลูกพี่ลูกน้อง! บอกข้าที่ เจ้าไม่ได้มาแค่เผาโรงประมูลเพียงเพราะเจ้าไม่ชอบของที่ขายที่นั่นใช่หรือไม่!”

 

ด้วยใบหน้าที่หยิ่งผยอง หลินเฉินยูไม่สนใจว่าคําพูดของเขาจะมีคนมาได้ยินหรือไม่ แต่คําพูดเหล่านั้นก็สร้างความประหลาดใจให้แก่หลินเสี่ยวเฟย

 

คําพูดและการกระทําของเขาดูขัดแย้ง จนไม่มีใครรู้ว่าเขากล่าวหาเธอหรือภูมิใจในตัวลูกพี่ลูกน้องของเขา กับการกระทําความชั่วในครั้งนี้กันแน่

หลินเสี่ยวเฟยกลอกตา และสงสัยว่าหลินเฉินยูอาจจะโดนอะไรกระแทกศีรษะของเขาก่อนที่เขาจะพบกับเธอ

 

แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเจ้าของร่างคนก่อนนั้นหยิ่งผยองและเห็นแก่ตัว และเธอก็ไม่รังเกียจที่จะเผาโรงประมูลที่มีผู้คนอยู่หลายคนอยู่ในนั้น ซึ่งแตกต่างจากเสียวเฟย

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหลินเฉินยูเข้าใจว่าไม่ว่าโศกนาฏกรรมหรือความโกลาหลจะเกิดขึ้นที่ไหน หลินเสียวเฟยเหมือนไม่สนใจและยังจะทําทุกอย่างที่เธอต้องการเพราะเธอคิดว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะทําเช่นนั้น

 

เจ้าของร่างคนก่อนทําเรื่องเลวร้ายประเภทใด ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้หลินเฉินยูก็ทําตัวเหมือนว่าการกระทําเช่นนี้จะเป็นเรื่องปกติ?

 

เมื่อถอนหายใจ หลินเสี่ยวเฟยไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับลูกพี่ลูกน้องพรุ่งนี้อีกต่อไป และหันหลังให้กับเขาขณะที่เธอเดินจับมือเด็กชายผู้นั้น

 

มือที่หยาบและสกปรกของเด็กชายที่เธอกําลังจับอยู่นั้นตรงกันข้ามกับมือที่เนียนนุ่มของเธอซึ่งเปรียบเสมือนผิวของเด็กทารก

 

ในชีวิตก่อนหน้านี้ เสี่ยวเฟยก็เคยมีมือที่หยาบกระด้างเช่นเดียวกันตั้งแต่ที่เธอเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน หลังจากได้แต่งงานกับหยูเฟิงซู เธอก็มีชีวิตที่สมบรูณ์แบบ

 

แน่นอน ว่าชีวิตเช่นนั้นมีอายุสั้นนัก และท้ายที่สุดเธอก็ถูกขังอยู่ในดันเจี้ยนใต้ดิน ซึ่งชีวิตของเธอก็กลายเป็นเรื่องที่น่าสังเวช

 

เมื่อมองลงไปที่เด็กที่สวมเสื้อคลุมอยู่นั้น หลินเสี่ยวเฟยก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เธออยากจะเห็นโชคลาภอันยิ่งใหญ่และอนาคตที่เด็กผู้นี้จะมอบให้กับเธอ

 

หลินเฉินยู ไม่ชอบที่ถูกลูกพี่ลูกน้องของเขาเมินเฉย เขาทําหน้าบึงแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาเธอ “ลูกพี่ลูกน้อง เจ้าเผาโรงประมูลจริงหรือไม่?” หลินเฉินยู กล่าวถามอย่างระมัดระวัง

 

เขาอยากจะรู้และได้ยินจากปากของเธอ

 

“ว่าอย่างไร?” เขาพูดเสริมในขณะที่เขาแอบมองเธอ

 

ตกลงมันเป็นอย่างไร? นิ้วก้อยของหลินเสี่ยวเฟยกระตุก 

 

เจ้าเผามันทิ้งไปได้อย่างไร?

และที่สําคัญไปกว่านั้น เจ้าทําเพราะเหตุใด?

 

หลินเสี่ยวเฟยไม่เคยทําอะไรโดยไม่มีเหตุผล และถ้ามันไม่ให้ผลกําไรใดๆแก่เธอ

 

เธอก็จะไม่ทําอะไรเช่นนี้

 

แล้วทําไมเธอถึงตัดสินใจเผาโรงประมูล?

 

ก่อนออกจากคฤหาสน์หลิน หลินเสี่ยวเฟยมีจุดประสงค์สองประการแล้ว ในการออกมาข้างนอกหนึ่งคือการพูดคุยกับผู้จัดการหลี่และรับระเบิด และอีกสิ่งหนึ่งคือมาที่โรงประมูลแห่งนี้และทําลายมัน

 

ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา หลินเสี่ยวเฟยเคยเดินผ่านโรงประมูลเมื่อเธอติดตามคนของหยูเฟิงซูในเวลานั้น เธอไม่รู้อะไรเลยและแค่สงสัยว่าทําไมหยูเฟิงซูถึงส่งลูกน้องของเขามาที่โรงประมูลแห่งนี้บ่อยๆเมื่อพวกเขาผ่านเมืองหลวง แต่หลังจากติดตามอย่างใกล้ชิดและเห็นว่าเจตนาของหยูเฟิงซูคืออะไรหลินเสี่ยวเฟยจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที

 

เธอกลัวว่าไม่เพียงแค่หยูเฟิงซู แต่ยังมีราชวงศ์ทั้งหมดปกปิดถ้ําอัญมณีจากอาสาสมัคร

 

และอาณาจักรอื่นๆอีกสามอาณาจักร ที่พวกเขายังแอบเกี่ยวข้องกับการค้าทาสอีกด้วย

 

แนวคิดเรื่องทาส ไม่เคยถูกลบล้างและเป็นเนื้อร้ายในทุกๆ อาณาจักร

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจักรพรรดิองค์แรกของอาณาจักรเชิงทรงห้ามไม่ให้ผู้ใดเป็นทาส ทุกคนจึงคิดว่ากฏนี้ถูกปฏิบัติตามและถึงแม้จะไม่เป็นเช่นนั้น แม้ราชวงศ์ไม่ใช่ที่แรกแต่พวกมันยังคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าทาสเหล่านั้น

 

นอกจากนี้ สิ่งของที่ขายในโรงประมูลนั้นเป็นเพียงของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นโดยราชวงศ์ก่อนจะถูกขาย

 

จะเกิดอะไรขึ้น หากผู้คนรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาซื้อด้วยเงินและทองจํานวนนับไม่ถ้วนนั้นเป็นเพียงของปลอมหลินเสี่ยวเฟยอยากรู้จริงๆว่าจะเป็นเช่นไร

 

สิ่งที่หลินเสี่ยวเฟยทําในครั้งนี้ เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อยที่เขาจะมอบให้สําหรับหยูเฟิงซูและราชวงศ์

 

โดยที่เธอไม่ต้องสืบข่าว เธอรู้อยู่แล้วว่าเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาทราบข่าวของโรงประมูลที่ถูกไฟลุกโชน คนชั่วช้าเหล่านั้นจะโผล่หัวออกมาจากถ้ําของพวกเขา และพยายามปกปิดความลับที่สกปรกของพวกเขาเอง

กําเนิดนางร้าย The Birth of a Vilainess

ตอนที่ 50 ทิ้งความวุ่นวายไว้เบื้องหลัง

 

หญิงสาวหยุดไปชั่วขณะและตกใจกับสิ่งที่หลินเสี่ยวเฟยเลือกระหว่างทาสในกรง ” ท่านต้องการซื้อมันใช่หรือไม่”

 

หลินเสี่ยวเฟยพยักหน้า “ใช่”

 

หญิงสาวมีสีหน้าที่ดูลําบากใจขณะที่เกาจมูก “ท่านหญิงนั้นคือสิ่งสงวนไว้สําหรับการประมูลในรอบต่อไปของเรา เราไม่สามารถขายมันให้กับท่านได้”

 

หลินเสี่ยวเฟยขมวดคิ้ว กับวิธีที่หญิงสาวพูดถึงเด็กชายผมสีทอง ราวกับว่าเขาเป็นสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ และสิ่งที่เธอกล่าวออกมามันเต็มไปด้วยความดูถูก การต้องพูดออกมาเพื่อดูถูกและหยาบคาย อย่างไรก็ตาม หลินเสียวเฟยไม่ต้องการเสียเวลาโต้เถียงกับหญิงสาวผู้นั้น

 

ผู้ที่มีลักษณะทางกายภาพที่หายาก มักจะถูกมองและถูกปฏิบัติแตกต่างไปจากผู้อื่น การเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นทุกที่ทุกเวลา นั่นเป็นเหตุผล ที่หลินเสี่ยวเฟยเข้าใจว่าทําไมหญิงสาวผู้นี้ถึงกล่าวคําพูดเช่นนั้นออกมา

 

ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด เมื่อพวกเขาถูกขังอยู่ในกรงเหล่านี้

 

หลินเสี่ยวเฟยไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เพราะเธอไม่มีความสามารถพอที่จะทําเช่นนั้นได้และแม้ว่าเธอจะทํา มันก็ไม่ใช่การต่อสู้ของเธอ

 

เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ของเธอ ที่เธอตัดสินใจมาที่นี่ หลินเสี่ยวเฟยจึงหยิบเหรียญเงินออกมาหนึ่งหมื่นเหรียญ

 

ด้วยจํานวนเงินที่อยู่ข้างหน้าเธอ หญิงสาวจึงคิดโลภมากแต่เนื่องจากเธอได้รับคําสั่งไม่ให้ขายเด็กชายในตอนนี้ เธอจึงส่ายหัวและกําลังจะปฏิเสธ

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่หญิงสาวจะปฏิเสธและนําทางเธอไปยังกรงอื่นๆ หลินเสี่ยวเฟยได้หยิบเหรียญอีกกองหนึ่งออกจากแขนเสื้อของเธอ

 

คราวนี้ไม่ใช่เหรียญเงิน แต่เป็นเหรียญทอง

 

“นี่” หญิงสาวสูดลมหายใจ ขณะที่เธอมองหลินเสี่ยวเฟยด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว

 

หญิงสาวผู้นั้นตกใจมากที่เธอมีเงินจํานวนมหาศาลถึงเพียงนี้ เหรียญเงินหนึ่งหมื่นถือว่าเป็นเงินจํานวนมากมายแล้วแต่ตอนนี้เป็นเหรียญทองหนึ่งกองที่หาได้ยากยิ่ง

 

“ข้าสงสัยว่าเจ้าสามารถเพิ่มราคาให้กับเด็กหนุ่มผู้นี้ในการประมูลครั้งต่อไปได้หรือไม่ เขาทั้งผอมและมีรูปร่างที่เล็กมากไม่มีใครที่พยายามทุ่มอย่างหนักเพื่อจะซื้อของเล่นที่อ่อนแอเช่นนี้” หลินเสี่ยวเฟย ยิ้มใต้ผ้าที่คลุมใบหน้าของเธอ

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จุดหมายต่อไปของโรงประมูลคือเมืองเล็กๆทิศตะวันตกของเทียนฉาง

 

ที่นั้นไม่มีลูกค้าที่ร่ํารวยพอที่เต็มใจซื้อทาสด้วยจํานวนที่เท่ากับหญิงสาวคนนี้แน่นอน

 

เธอค่อยๆ เอื้อมมือไปทางกองเงินในมือของหลินเสี่ยวเฟยด้วยรอยยิ้ม

 

แต่หลินเสี่ยวถอยหลังหนึ่งก้าวและดึงมือกลับ หลีกเลี่ยงมือเล็กๆของหญิงสาวผู้นั้น

 

“ข้าจะให้สิ่งนี้กับเจ้าก็ต่อเมื่อข้าได้รับเด็กคนนั้นได้”

 

หญิงสาวกัดริมฝีปากและมองไปรอบๆ “ท่านหญิง ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าท่านต้องการจะซื้อมัน จากที่ข้าเห็น ท่านต้องเป็นหญิงสาวที่โดดเด่น เกินกว่าที่จะมีมันอยู่ข้างๆ”

 

หญิงสาวพยายามเกลี้ยกล่อมเธอแม้จะเห็นเงินจํานวนมหาศาลแล้วก็ตาม

 

หลินเสี่ยวเฟยเลิกคิ้วและเอนตัวไปข้างหน้า พร้อมกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเจ้า ที่จะพูดว่าข้าจะรับมือกับมันได้หรือไม่ ตรงกันข้าม ผู้ที่จะรู้สึกเสียดายกับการสูญเสียโอกาสนี้คือเจ้า ไม่ใช่ข้า”

 

“ข้าจะเพิ่มอีกหมื่นเหรียญทอง” หลินเสี่ยวเฟยหันกลับมาและกล่าวว่า ”คว้าไว้ มิฉะนั้นเจ้าจะเสียใจกับโอกาสเช่นนี้”

 

หลินเสี่ยวเฟยเดินออกจากกระท่อม

 

เธอเห็นหลินเฉินยูกําลังเดินไปมาที่ด้านหน้าของกระโจมและดูเป็นกังวลอย่างมาก

 

“ลูกพี่ลูกน้อง.” เธอกล่าวออกไปเมื่อพบเขา

 

เมื่อได้ยินเสียงของเธอ หลินเฉินยูหันมองไปยังหลินเสี่ยวเฟยและชี้ไปที่เธอ

 

“เจ้า! หายไปไหน ทําไมไม่บอกข้า! ข้าจะทําอย่างไรหากรมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า!”

 

หลินเฉินยู ต้องการที่จะดุเธอต่อไป แต่เขาเห็นว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวและกําลังจับมือใครบางคนเขาก็หยุดชั่วคราว

 

คนที่จับมือลูกพี่ลูกน้องของเขา สวมเสื้อคลุมสีดํา และมีผ้าคลุมใบหน้าของเขา

 

หลินเฉินยูไม่ได้เห็นว่าคนผู้นี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เขาสรุปได้ว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นเด็กเนื่องจากรูปร่างของเขา มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องของเขา

 

เขาชี้ไปที่เด็กที่จับมือลูกพี่ลูกน้องของเขา และกล่าวว่า “นั่นใครหรือ?”

 

ตามที่คาดไว้ หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้ตอบเขา ขณะที่เธอเดินจากไปพร้อมกับเด็กที่ยังคงจับมือเธออยู่

 

และแทนที่จะกลับเข้าไปในกระโจม หลินเสี่ยวเฟยจึงตัดสินใจเดินกลับไปตามทางที่พวกเข้ามา

“เจ้ากําลังจะไปที่ใด?” หลินเฉินยู ถามเธอขณะที่เขาเดินตามเธอไป

 

ที่หลินเฉินยูติดตามหลินเสี่ยวเฟยไป เนื่องจากเขาเบื่อแต่ เขาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะมาที่โรงประมูล

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เข้ามาและเห็นสิ่งของสองชุดที่ถูกนําออกมาประมูลบนเวที

 

หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้มองดูพวกมันและไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยเธอยังกล้าที่จะหายตัวไปต่อหน้าเขาและกลับมาพร้อมกับเด็ก!

 

ท้ายที่สุด เธอมีแผนจะซื้ออะไรกันแน่?

 

เส้นเลือดของหลินเฉินยูเริ่มปรากฏขึ้น ในขณะที่เขาต้องการคําอธิบายดีๆจากหลินเสี่ยวเฟย

 

น่าเสียดาย ที่หลินเสี่ยวเฟยไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อยในขณะที่เธอยังคงเดินไปตามถนนก่อนหน้านี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นหลินเฉินยูจึงยอมจํานนต่อชะตากรรมของเขาและเดินตามลูกพี่ลูกน้องของเขาต่อไป

 

หลังจากเดินไม่กี่นาที หลินเฉินยก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอยู่ด้านหลังของเขาและรู้สึกว่ากําลังมีบางอย่างผิดปกติ

 

เขาชะงักฝีเท้า แล้วค่อยๆหันกลับมา ดวงตาของเขาขยาย

ควันดําลอยขึ้นเหนือหัว ผู้คนกรีดร้องและพยายามหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง และเปลวไฟสีเหลืองเริ่มเข้าปกคลุมกระโจมทุกอย่างก็ตกอยู่ในความโกลาหล

 

เขาหันไปทางที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ยืนอยู่ หลังจากเขา เห็นแววตาที่สนุกสนานของเธอ เขามั่นใจทันทีว่าเธอกําลังยิ้มอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้น

“บัดซบ! มันกลับตายไปก่อนที่ข้าจะได้ข้อมูลมาเสียอีก!” หยูเฟิงซูโกรธมากเเละใช้มือทุบโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างคับเเค้นใจ จนหนังสือหล่นกระจัดกระจายลงบนพื้น

 

ลูกน้องของเขาต่างรีบก้มหน้าลงทันที พวกเขายังคงสับสนและสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของผู้หญิงที่หยูเฟิงซูเอ่ยถึง พวกเขายังคงอยากจะรู้สาเหตุ แต่เวลานี้คงไม่สามารถถามได้ เพราะกลัวว่าความโกรธของหยูเฟิงซูจะพาลไปถึงพวกเขา

 

หยูเฟิงซู องค์ชายสี่แห่งอาณาจักรเซิง นับว่ามีชื่อเสียงที่ดีที่สุดในบรรดาเหล่าองค์ชายคนอื่นๆ เขาไม่เพียงแต่มีจิตใจที่เฉียบแหลมเท่านั้น แต่เขายังมีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนติดตามเขาด้วยความเต็มใจ

 

อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา จนทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจนถึงกระดูก  ซึ่งพวกเขาไม่ก็กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

 

หยูเฟิงซูรู้สึกเจ็บใจอย่างมาก ผู้หญิงที่ทำให้เขาโกรธก็ถูกโยนไปที่หลุมศพไร้ชื่อ เเต่อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะโยนศพของเธอออกไป เขาสั่งให้คนของเขาทุบตีศพเพื่อที่จะทำให้เธอได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้จะอยู่ในโลกหลังความตายก็ตาม เขาหวังว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว เธอจะได้เห็นว่าร่างกายของเธอยังคงถูกทรมานอยู่

 

หลังจากทุบตีไปหลายกี่ชั่วโมง ในที่สุดเขาก็บอกให้คนของเขาโยนเธอทิ้งไป โดยไม่จำเป็นที่จะต้องห่อเธอด้วยผ้า ในเมื่อเธอไม่ยอมปริปากบอกที่ซ่อนกล่องนั้น หยูเฟิงซูก็จะโยนศพของเธอออกไปโดยที่ไม่ใช้ผ้าหรือสิ่งใดห่อหุ้มตัวเธอ

 

วิธีการทำของเขาช่างโหดเหี้ยม จนไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นองค์ชายสี่ที่ทุกต่างพากันชื่นชมและเคารพนับถือ เเท้จริงเเล้วจะกลายเป็นคนที่มีจิตใจอำมหิตเช่นนี้ และหากผู้คนได้รับรู้การกระทำเหล่านี้ของเขา พวกเขาจะต้องรู้สึกหวาดกลัวเเละไม่อยากเเม้เเต่จะเอ่ยชื่อของเขาแน่นอน

 

เขากำหมัดแน่นและควันแห่งความโกรธก็พุ่งออกจากจมูกของเขา เพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อดี

 

เขามองลงมาและเห็นกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะจากนั้นจึงหยิบพู่กันขึ้นมา และได้เขียนคำสองสามคำลงในกระดาษม้วนนั้น เเละมอบกระดาษม้วนนั้นให้กับลูกน้องที่อยู่ข้างๆเขา และกล่าวว่า “เอาไปให้ปู่ของข้าแล้วบอกท่านว่า ข้าต้องการคำตอบโดยเร็วที่สุด”

 

ทหารก้มศีรษะและรีบเก็บจดหมายแล้วออกไปทันที

 

หยูเฟิงจู กัดฟันแน่นดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ

 

 

ในตอนนี้ไป่ลู่ สาวใช้ที่กำลังวางถ่านหินในเตาอั้งโล่ได้ยินคุณหนูของเธอเหมือนกำลังพูดพึมพำอะไรบางอย่างในขณะที่เธอมองออกไปข้างนอก สาวใช้จึงกล่าวขึ้นทันที “คุณหนูพูดอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”

 

เสี่ยวเฟยซึ่งตอนนี้กลายเป็นหลินเสี่ยวเฟยส่ายหัวปฏิเสธและยืนขึ้นก่อนจะพูดว่า “ข้าต้องไปยังที่แห่งหนึ่ง เเละข้าต้องการชุดสำหรับใส่ออกไปข้างนอก”

 

ไป่ลู่สาวใช้ที่อยู่ข้างๆเธอ ดูตกตะลึงและถามว่า “คุณหนูจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ”

 

“ใช่.”

 

“แต่ท่านผู้อาวุโสสั่งไว้ ว่าห้ามให้คุณหนูออกไปไหนในสภาพอากาศเช่นนี้” ซู่ถังที่อยู่ในห้องก็รีบวางผ้าที่กำลังใช้เช็ดโต๊ะลงแล้วรีบกล่าว

 

หลินเซี่ยวเหมิงสั่งพวกเขาอย่างเคร่งครัด ว่าไม่ให้หลินเสี่ยวเฟยออกไปไหนเด็ดขาดจนกว่าอาการของเธอจะดีขึ้น พวกเขายังสงสัยว่าทำไมหลินเซี่ยวเฟยถึงอยากจะออกไปข้างนอก ในเมื่อเเต่ก่อนเธอไม่เคยมีความคิดเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้เธอก็เอาเเต่ขังตัวเองไว้ในคฤหาสน์ตระกลูหลิน

 

นี่คือสิ่งที่ทำให้ทุกคนในตระกูลหลินรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก

 

เมื่อสามปีที่แล้วหลินเสี่ยวเฟย เธอกลับมาหลังจากสวดมนต์ในวัดวู่หลง เธอก็ไม่ยอมออกไปไหนอีกเลยแม้ว่าแม่ทัพหลินจะพยายามเกลี้ยกล่อมเธอหรือบังคับให้เธอออกไปงานเลี้ยงหรืองานรื่นเริงต่างๆ เธอก็เอาเเต่บ่นและขู่ว่าเธอจะฆ่าตัวตาย หากเขาบังคับให้เธอก้าวออกนอกประตูคฤหาสน์อีก

 

แต่กลับกัน ตอนนี้เธอต้องการที่จะออกไปข้างนอก?

 

หลินเสี่ยวเฟยกะพริบตาจากนั้นเธอก็กล่าวว่า “ บอกท่านตาว่าข้าจะออกไปข้างนอก ข้าถูกขังอยู่ในสถานที่นี้มา 3 ปีแล้ว และถ้าข้าต้องออกไปข้างนอกเเค่วันเดียว ก็คงไม่ทำให้อาการของข้าแย่ลง”

 

เธอก้าวเข้าไปในห้องนอนและหยุด “เดี๋ยว ข้าจะไปหาท่านตาเอง พวกเจ้าไปเตรียมชุดมาให้ข้า”

 

ไป่ลู่และซู่ถังมองหน้ากัน สาวใช้ทั้งสองก็ยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่เธอสั่ง เเต่พวกนางก็มีความสุขที่ได้เห็นว่าคุณหนูของพวกนางต้องการที่จะออกไปข้างนอก ทันใดนั้น พวกนางจึงรีบไปหยิบชุดฮันฟูสีชมพูสดใส (ชุดจีนดั้งเดิม) ที่เย็บด้วยดอกไม้บีโกเนียที่สวยงาม เเละยังมีเสื้อคลุมตัวนอกที่บางเล็กน้อยแต่ให้ความรู้สึกที่สง่างามเเต่เปรียบเสมือนดอกไม้ที่ดูมีชีวิตชีวา

 

หลินเสี่ยวเฟยเพียงชำเลืองมองและกล่าวว่า “ไม่ใช่ชุดนี้ ข้าต้องการชุดที่ธรรมดา”

 

“แต่ชุดนี้เป็นชุดที่คุณหนูโปรดปราณมากที่สุด เสื้อผ้าเหล่านี้เพิ่งถูกส่งมาจากเรือนหลัก คุณหนูยังเคยบ่นกับท่านผู้อาวุโสเพื่อจะซื้อชุดนี้ในร้านตัดเสื้อไป๋ชาง”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเสี่ยวเฟยก็หยุดชะงัก ก่อนจะพูดว่า “เเต่ตอนนี้ข้าไม่ชอบมันแล้ว”

 

ถ้าในชีวิตก่อนหน้านี้ของหลินเสี่ยวเฟย คงจะมีความสุขมากที่ได้เห็นชุดที่สวยงามเช่นนี้ ในฐานะนางสนมที่องค์ชายสี่โปรดปราน หลินเสี่ยวเฟยเป็นเจ้าของหีบสองชุด ที่มีทั้งชุดทั้งสีและการออกแบบที่แตกต่างกัน เเละยังเป็นของขวัญที่เธอได้จากหยูเฟิงซู แต่ละชุดถูกซื้อด้วยเงินจำนวนที่มหาศาล

 

แต่เมื่อเปรียบเทียบเสื้อผ้าของเธอในชาติที่แล้วกับชุดปัจจุบันนี้ หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกเหมือนถูกหยูเฟิงซู หลอกลวงมาโดยตลอด

 

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เธอไม่ชอบมัน

 

ในชีวิตก่อนหน้านี้ เธอชอบแต่งตัวให้สวยงามต่อหน้าหยูเฟิงซู ตั้งแต่สิ่งที่เธอสวมใส่ภายนอกและภายใน รวมไปถึงทรงผมและเครื่องประดับที่เธอสวม ทุกอย่างทำด้วยความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถัน

 

แต่ ณ ตอนนี้ เธอไม่มีเหตุผลที่จะต้องแต่งตัวให้หรูหรา เพราะเธอไม่ใช่นางสนมของใครอีกต่อไปและเธอก็ไม่ใช่หญิงสาววัยแรกรุ่นที่ยังคงใส่ใจกับรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ

 

เธออยู่ในคุกใต้ดินเป็นเวลา 7 เดือนมีอาหารให้กินเพียงเล็กน้อยพร้อมน้ำสกปรกให้ดื่มเท่านั้น แขนขาของเธอถูกตัดขาดและร่างกายของเธอถูกทุบตี แล้วพอจะมีใครบอกเธอได้ไหม ว่าทำไมเธอถึงต้องใส่เสื้อผ้าที่สวยงามอยู่อีก?

 

ไป่หลู่พยักหน้าเห็นด้วย แม้ว่าชุดจะสวย แต่สีสันของมันนั้นมากเกินไป ก่อนหน้านี้คุณหนูของเธอชอบสีสันสดใสและชอบที่จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด จนอาจทำให้ใครที่ได้พบเห็นเธอสามารถตาบอดชั่วคราวได้เลยทีเดียว

 

คุณหนูของเธอนางช่างสวยงามจริงๆ แต่เพราะว่าเธอมีนิสัยหยาบคาย เมื่อเธอสวมเสื้อผ้าเหล่านี้ เธอจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่น และได้รับการดูหมิ่นจากพวกเขาเท่านั้น

 

“แล้วคุณหนูอยากใส่ชุดไหนเจ้าคะ” ไป่ลู่ถามด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ

 

“งั้นก็หาชุดดำให้ข้า”

กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

Score 10
Status: Completed

กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

 

“เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว เราเป็นหุ้นส่วนในอาชญากรรม หากเจ้าเป็นแม่มด ข้าก็จะเป็นพ่อมดของเจ้า”

หลังจากการตายอย่างโหดร้ายของเธอ เสี่ยวเฟยพบว่าตัวเองกลับมามีชีวิตอีกครั้งในร่างของคุณหนูที่งดงามจากตระกูลหลินผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเดียวกันกับเธอ

เธอเกิดมาพร้อมกับใบหน้าอันงดงามที่ไม่มีใครเทียบได้ เอาชนะใจชายทุกคนและแม้แต่ผู้หญิงก็ต่างอิจฉาในชีวิตที่แล้วของเธอ

แต่เธอกลับตกหลุมรักองค์ชายอย่างโง่เขลา และถูกลิขิตให้ตายอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของคนที่เธอรัก

ในชีวิตและร่างกายใหม่นี้ กลอุบายอันชั่วร้ายและเรื่องอื้อฉาวก็ยังวนเวียนอยู่รอบตัวเธอ แม้จะเกิดใหม่แล้วก็ตาม

เธอก็เริ่มทำแบบเดียวกันกับคนเหล่านั้นและจะโหดเหี้ยมต่อผู้ที่คิดต่อต้านเธอ

ชายหนุ่มและและหญิงสาวต้องโค้งคำนับ

บัลลังก์ทองคำต้องถูกส่งต่อ

อาณาจักรจะต้องถูกพิชิตและเผาทำลาย

หัวใจต้องถูกแย่งชิง

ด้วยยุคอันโหดร้ายเช่นนี้ ผู้คนทำได้เพียงพยายามบังคับและป้องกันตนเองจากอันตราย

อย่างไรก็ตาม ใครจะคิดว่าชายที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและเย่อหยิ่งจะเข้ามาในชีวิตของเสี่ยวเฟยอย่างกะทันหัน? และเขายังกระซิบข้างหูของเธออย่างไร้ยางอายว่า “ศัตรูของภรรยาข้าก็คือศัตรูของข้า และความปรารถนาของภรรยาข้าก็คือความปรารถนาของข้าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้ายังมีความปรารถนาอีกอย่างหนึ่งที่มีแต่ภรรยาข้าเท่านั้นที่จะมอบให้แก่ข้าได้”

“นั่นคือภรรยาข้าต้องกลายเป็นอาหารเช้า กลางวัน เย็น ให้แก่ข้า”

เสี่ยวเฟย: “……”

Options

not work with dark mode
Reset