กบฏหัวใจ 26 ความลังเลของจิ่งซือ

ตอนที่ 26 ความลังเลของจิ่งซือ

ตานอวี๋เวยฟังเสียงเคาะประตูอย่างรีบเร่ง ราวกับเสียงเรียกไปสู่ความตาย เธอถือแฟลชไดรฟ์เอาไว้ ทว่าก็มีคนที่เร็วกว่าเธอ โอบเธอมาอยู่ในอ้อมอกของเขา ลมหายใจอุ่นๆกระจายอยู่ที่ข้างหู ของเธอ “ผมยอมให้คุณทำแบบนี้แล้วหรอ?”

ตานอวี๋เวยชะงักลง ใบหน้าแดงก่ำ ไม่ใช่ความอายหรือความโกรธฃ แต่ตอนนี้เธอมีสิ่งที่จะขอร้องเขา จึงทำได้เพียงลดน้ำเสียงลง “ลู่เจ๋อเฉิง ขอร้องล่ะ อย่าให้จิ่งซือรู้เลยนะ”

ทุกครั้งที่หน้าประตูห้องถูกเคาะลง ใจของเธอก็สั่นเครือไปตามกัน ราวกับว่าจิ่งซือแทบจะพังประตูเข้ามาอย่างไงอย่างงั้น ความประหม่า ความกลัว ความกังวลใจ แล้วก็ยังมีอารมณ์ของความสำนึกผิดที่กลัดกลืนความใจเย็นของเธอไปเล็กน้อย

ลู่เจ๋อเฉิงมองลงมาที่หญิงสาวตัวเล็กและบอบบางภายในอ้อมอกเขา ความฝ้ามัวของชั้นดวงตาที่เปียกชื้น ในสายตาที่เต็มไปด้วยการร้องขอ ริมฝีปากสีแดงก่ำกัดกันเนือง ราวกับว่าหากใช้แรงอีกเพียงนิด เลือดก็จะออกมาได้

ลู่เจ๋อเฉิงหลับตาลง ไม่รู้ว่ากำลังนึกคิดอะไรอยู่ และทันใดก็ปล่อยอ้อมกอดออกเบาๆ

ยืนขึ้นจากเก้าอี้ เงาหลังสูงใหญ่หันเข้าหาตานอวี๋เวย เสียงอันหมองหม่นเอ่ยขึ้นอย่างไร้อารมณ์ “เช็คเงินสดวางอยู่ใต้โน๊ตบุ๊ค หยิบมันไปแล้วไปที่ห้องรับรอง รออีกแป๊บนึงแล้วคุณก็ออกไปทางลิฟท์ส่วนตัว”

เอ่ยจบไม่รอให้ตานอวี๋เวยได้โต้ตอบก็ตรงออกไปที่หน้าประตูทันที

ตานอวี๋เวยงุนงงอยู่สักพัก ทำไมลู่เจ๋อเฉิงจู่ๆถึงเปลี่ยนความตั้งใจไปได้เธอก็ไม่รู้ เห็นเขากำลังจะถึงหน้าประตู ไม่เหลือเวลาต้องคิดอีก เพียงลังเลอยู่อีกไม่นาน ก็กัดฟันหยิบเช็คเงินสดใต้โน๊ตบุ๊คและแอบเข้าไปอยู่ในห้องรับรองของลู่เจ๋อเฉิงในท้ายที่สุด

ปิดประตูลงเบาๆ ตัวชิดเข้ากับกำแพงอย่างระมัดระวัง แต่ใจกลับไปอยู่ที่ข้างนอกนั่น เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ แต่ไม่ทำมันก็ไม่ได้

ประตูถูกเปิดออก เสียงของจิ่งซือและลู่เจ๋อเฉิงก็ดังเข้ามาเป็นระยะ

“อาเฉิง ทำไมนานจังกว่าคุณจะเปิดประตู” จิ่งซือแกล้งทำเป็นไม่สนใจกวาดสายตาไปมองในห้องทำงาน ข้างในนั้นไม่มีใครสักคน หางตาก็เหลือบมองประตูห้องรับรองที่ปิดอยู่หลายครั้ง

ห้องทำงานไม่มีใคร หรือว่าจะหลบอยู่ในห้องรับรอง?

“เตรียมตัวจะพักกลางวัน” ลู่เจ๋อเฉิงอธิบายอย่างง่ายๆไปหนึ่งประโยค

ลูกตาของจิ่งซือกวาดมองโดยรอบ พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “อาเฉิงคุณเหนื่อยล่ะสิ? งั้นเราพักกันก่อนดีกว่า”

“คุณหิวแล้วไม่ใช่หรอ ไปกันเถอะ” ลู่เจ๋อเฉิงไม่ได้ตบปากรับคำ เพียงเอ่ยอย่างแน่นิ่ง

จิ่งซือไม่รู้ว่าจะทำยังไง ใจนึงเธอก็อยากที่จะไปกินข้าวกับเขา อีกใจนึงก็อยากจะรู้ว่าห้องรับรองมีผู้หญิงซ่อนอยู่หรือไม่

ลู่เจ๋อเฉิงราวกับว่าอ่านความคิดของจิ่งซือออก เอียงตัวหลบเปิดทางออกและพูดขึ้นมาเอง “ถ้าคุณไม่ไว้ใจ ก็เชิญไปดู ผมจะรอคุณอยู่ตรงนี้แหละ”

ตานอวี๋เวยที่อยู่ในห้องรับรองก็ได้ยินคำพูดของลู่เจ๋อเฉิงนี้เช่นกัน ใจทั้งดวงตื่นตระหนก นอกจากความร้อนรนแล้วยังมีความรู้สึกที่บรรยายออกมาไม่ได้อยู่อีก ลู่เจ๋อเฉิงคบกับเธอมาตั้งหลายปี ไม่เคยจะอธิบายความอย่างอดทนและอ่อนโยนแบบนี้เลย

หากรักคนที่ใช่ อากาศก็คือรสชาติแห่งความสุข หากรักคนที่ไม่รักตัวเองเพียงสูดหายใจยังเจ็บปวดจนสุดลึก

แต่ก็ยังดี จิ่งซือไม่ได้เข้ามา

“อาเฉิง ขอโทษนะ ฉันไม่สงสัยคุณแล้ว พวกเรารีบไปกินข้าวกันเถอะ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว”

จิ่งซือเห็นว่าลู่เจ๋อเฉิงยอมให้ตัวเองเข้าไปดูโดยไม่ต้องขอ ทำให้เธอรู้สึกผิดขึ้นมาแทนที่ ในเวลาพักกลางวันอาเฉิงไม่ได้ยินเสียงแบบนี้มันก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เธอมัวใจร้อนไปแบบนี้ ก็แสดงว่าเธอนั้นไม่ได้เชื่อใจเขา

ลู่เจ๋อเฉิงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงพาจิ่งซือออกไป และประตูของห้องทำงานก็ถูกปิดลงเหมือนกับกำลังหัวเราะเยาะให้กับความไร้สาระของความคิดที่คิดไปเองว่าใช่ของเธอ

ความไร้สาระนั้นไม่เคยเป็นความอ่อนโยนของเธอ

ตานอวี๋เวยรู้สึกว่าความพร่ามัวในตาของเธอยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย พยายามลืมตาขึ้นอย่างสุดกำลัง รอให้ความพร่าในตานั่นหายไป เพื่อที่จะปรับอารมณ์ จึงเริ่มสำรวจโดยรอบห้องรับรอง

เตียงคู่หนึ่งเตียง ทีวีติดบนผนังกำแพง เดินเข้าไปลึกอีกเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วยังมีห้องน้ำส่วนตัว นอกจากนั้นยังมีโต๊ะบาร์ เรียบง่ายไม่มีการตกแต่งอะไรให้มากเกินไป

เธอมองเตียงอันใหญ่โตที่สะอาดสะอ้านราวกับภาพฝัน นึกคิดถึงภาพลู่เจ๋อเฉิงที่น่าจะพาจิ่งซือนอนอยู่บนนั้น ในใจลึกๆก็เจ็บปวดร้าวขึ้นมาตามกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นความเจ็บปวดจริงๆหรือไม่

จึงไหลตามกันลงมาที่หางตา

ตานอวี๋เวยกำเช็คที่อยู่ในมือแน่น ราวกับที่จับนั้นไม่ใช่เช็คมูลค่าห้าล้าน แต่เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ยังไงเสียก็ไม่อาจทิ้งได้

เธอบอกกับตัวเอง แม้ว่าจะต้องทำให้ลู่เจ๋อเฉิงเข้าใจผิดหรือจะต้องเสียเกียรติก็ไม่เป็นไร เพียงแค่ เพียงแค่ ได้เงินมาก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ

ตานอวี๋เวยรออยู่ภายในห้องอีกสิบนาที มั่นใจว่าทั้งสองได้ไปไกลพอควร ยกแขนเสื้อเช็ดหยดน้ำตาที่หลงเหลือบนใบหน้า แล้วลุกขึ้นมาจากพื้น

เดินอย่างค่อยๆออกจากห้องทำงานของลู่เจ๋อเฉิง จากไปอีกด้วยทางออกอีกทางหนึ่ง

เธอไม่ได้ทำตามลู่เจ๋อเฉิงที่บอกไว้ว่าให้ใช้ลิฟท์ส่วนตัวของเขา แต่กลับเดินไปอีกชั้น เมื่อถึงชั้นที่สิบแปดก็รอลิฟท์พร้อมกับคนอื่นออกไป

ลงมาจากข้างบนตึก ตานอวี๋เวยยังคงมึนงงไร้สติโดยตลอด ประตูลิฟท์เปิดขึ้น ในตอนที่เธอกำลังจะเดินออกไป ก็บังเอิญชนเข้ากับคนๆหนึ่งที่กำลังจะเดินเข้ามาตรงไปเต็มเปา

ในตอนนี้ความมึนงงของตานอวี๋เวยถึงได้ถูกปลุกขึ้น เอ่ยขอโทษไม่หยุดโดยไม่แม้แต่เงยหน้ามอง “ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจชนคุณจริงๆ”

“ไม่เป็นไร” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาไร้อารมณ์

ตานอวี๋เวยพยักหน้า ก้าวขาเตรียมจะจากไป ชายด้านข้างก็เอ่ยพูดขึ้นมา “คุณผู้หญิง ของคุณหล่นน่ะ”

สิ่งที่ตกนั้นก็คือเช็คเงินก้อนโต หากเป็นคนอื่นที่เก็บไป ไม่น่าจะเป็นคนดีแบบเขาเช่นนี้ได้

ตานอวี๋เวยงงๆอยู่ชั่วครู่ ก็หวนคืนสติได้ ก้มหน้าลงมองไปที่เช็คเงินสดที่อยู่บนพื้นเงียบๆ และหยิบมันขึ้นด้วยความลนลานในทันที ครั้งนี้ไม่ได้ถือไว้ในมือ แต่นำมันไปใส่ไว้ในกระเป๋าแทน ถ้าหากเงินหายไป ผลลัพธ์หลังจากนั้นคงไม่ต้องคิดแล้วล่ะ

“คุณค่ะ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ” คำขอบคุณครั้งนี้ มันจริงใจอย่างเห็นได้ชัด

และในที่สุดตานอวี๋เวยก็เงยหน้าขึ้นมองชาย “ใจดี” คนนั้น และก็ต้องพบว่าชายใจดีคนนั้นมองตัวเองมาโดยตลอด เธอถอยหลังออกมาครึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ เพราะดวงตาของชายคนนั้นจดจ้องเกินไปจนทำให้เธอกลัว

“ไม่เป็นไร” ชายคนนั้นตอบกลับเพียงสั้นๆ เตรียมที่จะจากไป

ตานอวี๋เวยลังเลอยู่สักพัก และก็พูดเพิ่มอีกประโยค “คุณคะ ถ้า ถ้าโอกาสหน้าพอมีเวลา ขอให้ฉันได้เลี้ยงข้าวคุณเพื่อเป็นการขอบคุณนะคะ”

หากเป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดา เธอคงจะไม่จำเป็นต้องมาข้องเกี่ยว แต่เงินห้าล้านมันสำคัญกับเธอมาก ถึงขนาดที่ว่ามันสำคัญกว่าชีวิตตัวเธอเองเสียด้วยซ้ำ

แน่ล่ะ เธอไม่อาจพูดขอโทษออกมาเป็นล้านคำ จึงทำได้เพียงขอเลี้ยงข้าว

“อืม”

ตานอวี๋เวยได้ยินคำตอบไร้อารมณ์ของชายคนนั้น ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอ เธอคิดว่าชายคนที่ดูหยิ่งไม่สนใครจะไม่ตบปากรับคำ แต่เขากลับตกลง เธอจึงรู้สึกกลัว

“ทำไมล่ะ จะกลับคำหรอ” ริมฝีปากของชายคนนั้นแสยะยิ้มเล็กๆยากที่จะสังเกตได้ ในตอนที่ความตระหนกของตานอวี๋เวยได้หายไป รอยยิ้มเล็กๆนั้นก็เหมือนกับไม่ได้อยู่แล้ว

ถ้าหากลูกน้องของเขาเห็นฉากนี้ จะต้องสงสัยว่ามันเกิดอะไรกันขึ้นแน่ๆ

ตานอวี๋เวยรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รีบพูดอธิบาย “เปล่าค่ะ เปล่าค่ะ คุณอย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น”

พูดไปพลันหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าไปให้ “ถ้าคุณสะดวก ติดต่อฉันเบอร์นี้ได้เลยนะคะ”

ข้าวมื้อเดียว เธอพอเลี้ยงได้อยู่

“อืม” ชายคนนั้นหยิบนามบัตรมามองผ่าน แล้วก็เก็บเข้าไปในเอกสารที่อยู่ในมืออย่างไม่คิดอะไร จริงๆแล้วที่เขาพึ่งจะตอบตกลงไปนั้น ก็เพียงแค่จะแกล้งหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าก็เท่านั้น

ใครไปบอกให้เธอทำตัวเหมือนแมวตัวน้อยที่อ่อนแอขี้กลัวเองล่ะ มันทำให้ใครก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากแกล้ง

ตานอวี๋เวยมองผู้คนที่อยู่รอบข้างที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก และทันใดก็นึกขึ้นได้ว่าเวลาพักมันหมดไปแล้ว รีบร้อนขอโทษแล้วจากไปทันที

ดวงตาเรียวยาวของเสิ่นเย่ามองเงาหลังของตานอวี๋เวยที่ดูลุกลี้ลุนลน แล้วก็หยิบนามบัตรที่อยู่เอกสารออกมา มองตัวอักษรสีดำสามคำที่อยู่ตรงกลาง และอ่านมันขึ้นมาเอง “ตานอวี๋เวย”

น่าสนใจ เสิ่นเย่าเก็บนามบัตรไว้ในกระเป๋าเสื้อ ไม่ได้เก็บมันไว้ในเอกสารแบบไม่สนใจดังเดิม

กบฏหัวใจ

กบฏหัวใจ

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset