(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ 610 ต้องชอบเป็นธรรมดาอยู่แล้ว / 611 ฟู่เหยี่ยนกับซังจิ่ง (ตอนพิเศษ)

ตอนที่ 610 ต้องชอบเป็นธรรมดาอยู่แล้ว / ตอนที่ 611 ฟู่เหยี่ยนกับซังจิ่ง (ตอนพิเศษ)

ตอนที่ 610 ต้องชอบเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

 

 

           เมื่อตอนกลางวันมั่วไป๋ดื่มนมไปแล้วแก้วหนึ่ง นี่ยังหิวอยู่ไม่เบาจริงๆ ไป๋จิ่งวิ่งไปต้มมะกะโรนีให้เขาชามหนึ่ง

 

 

           มั่วไป๋กินมะกะโรนีนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ ไป๋จิ่งมองเขาอยู่ข้างๆ

 

 

           มั่วไป๋ถูกเขามองจนไม่รู้ว่าจะถือตะเกียบอย่างไรแล้ว เสียงต่ำอดจะเอ่ยขึ้นไม่ได้ “ฉันกินข้าวอยู่นายก็อยากดูด้วยเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้าทันที “ขอเพียงแต่เป็นคุณ ผมก็อยากดูทั้งนั้น”

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจด้วยความจนใจ ปล่อยให้เขามอง

 

 

           หลังจากกินมะกะโรนีเสร็จ ทั้งสองคนก็ไม่อยากขยับตัว ไป๋จิ่งลากตัวคนขึ้นไปชั้นบนห้องเรือนกระจก เวลาแสงแดดอุ่นกำลังดีๆ

 

 

           ทั้งสองคนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ แอบแสงแดดไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง

 

 

           แน่นอนว่าเวลาส่วนใหญ่จะเป็นไป๋จิ่งที่พูดเองเออเองอยู่คนเดียว มั่วไป๋หรี่ตาลงอยู่ตรงนั้นตลอด

 

 

           ถึงแม้ว่าจะนอนกันมาค่อนวัน แต่ก็ยังรู้สึกว่าพละกำลังของตัวเองยังไม่ชดเชยกลับมา รอเวลาผ่านไปสักพักต้องออกกำลังกายดีๆ แล้วจริงๆ

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นแบบนี้จะดูอ่อนแอเกินไป

 

 

           เมื่อก่อนเพราะว่าป่วย เขาก็ยังครุ่นคิดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้อาการป่วยเขาดีแล้ว ไม่มีอะไรต้องให้คำนึงถึงแล้ว

 

 

           “มั่วไป๋”

 

 

           “อืม” เขาหรี่ตาลง เอ่ยขานรับ

 

 

           “ผมโทรหาแม่ผมแล้ว ท่านถามว่าพวกเราจะไปเมื่อไหร่”

 

 

           มั่วไป๋ลืมตาขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ไป๋จิ่งเห็นเขาเงียบงัน จึงตื่นตระหนกไปชั่วขณะ

 

 

           มั่วไป๋คิดถึงลี่เจิน ตอนนี้ตัวเองกับไป๋จิ่งคบกันแล้ว ที่จริงก็ควรจะไปพบหน้าลี่เจินแล้ว

 

 

           “ได้ นายกำหนดเวลาได้ก็บอกฉันแล้วกัน”

 

 

           เขารับปากไปตรงๆ

 

 

           ในใจไป๋จิ่งดีใจเบิกบาน “แม่ผมท่านชอบคุณ ชอบมากกว่าผมเยอะมาก ผมยังสงสัยเลยว่าผมใช่ลูกแท้ๆ ของท่านหรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะเบาๆ “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นายไม่น่าดึงดูดคนให้ชอบล่ะ”

 

 

           ไป๋จิ่งคลอเคลียไปกับใบหน้าเขา “งั้นคุณชอบไหม”

 

 

           มั่วไป๋คร้านจะสนใจเขา

 

 

           เจ้าหมอนี้รู้อยู่แล้วยังจงใจถาม เขาไม่อยากจะตอบคำถามเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้

 

 

           มั่วไป๋ไม่พูดจา ไป๋จิ่งก็เอาแต่คลอเคลีย “คุณยังไม่พูดเลย คุณชอบหรือไม่ชอบ”

 

 

           โดนถามจนใจเย็นไม่อยู่แล้ว มั่วไป๋ถลึงตาใส่เขา “ไป๋จิ่ง นายไม่เบื่อบ้างหรือไง”

 

 

           “คุณพูดมาก่อนสิ คุณชอบหรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋เอียงหน้า ‘ผู้ชายโตๆ แล้วคนหนึ่งจะมาเอาคำว่า ‘ชอบ’ คำว่า ‘รัก’ แขนไว้ที่ปากจนรวมเป็นเนื้อเดียวกันทุกวันเพื่ออะไร’

 

 

           เขาเบนหน้าหนีไม่คิดจะพูดจา

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่ถอดใจ เขาเอื้อมมือไปกอดมั่วไป๋พลางเอ่ยเสียงต่ำ “คุณไม่พูด งั้นผมพูดเอง”

 

 

           เขาจูบใบหูของมั่วไป๋ เอ่ยย้ำๆ ซ้ำๆ “ผมไป๋จิ่งชอบคุณมาก…

 

 

           …ชอบมากๆๆๆ…

 

 

           …ชอบเป็นพิเศษ”

 

 

           เขาพูดเสียงเล็กมาก แต่อยู่ข้างใบหูของมั่วไป๋พอดี ฟังดูแล้วชัดเจนเป็นพิเศษ

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกว่าใบหูของตัวเองเหมือนถูกไฟร้อนแผดเผาอย่างไรอย่างนั้น ร้อนผ่าวไม่หยุด

 

 

           ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือไปปิดปากไป๋จิ่งไว้

 

 

           “นายเก็บอาการสักหน่อยจะได้ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งหัวเราะแหะๆ ขบกัดฝ่ามือมั่วไป๋เบาๆ

 

 

           มือมั่วไป๋สั่นสะท้าน รีบหดมือกลับทันที ไป๋จิ่งมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “สำหรับคุณแล้วผมจะเก็บอาการขนาดนั้นไปเพื่ออะไร”

 

 

           นี่คือคนที่เขาไป๋จิ่งชอบ คนที่อยากอยู่เคียงข้างไปตลอดชีวิต เขามีอะไรให้น่าเก็บอาการกัน

 

 

           เห็นมั่วไป๋ทำอะไรเขาไม่ได้ ไป๋จิ่งก็โน้มตัวเข้าไปใกล้อีก “ผมชอบคุณขนาดนี้ แล้วคุณล่ะ คุณชอบผมไหม”

 

 

           ซ้ายว่าชอบ ขวาว่าชอบ ดังวนไปเวียนมาอยู่ข้างหูเขาไม่หยุด ไป๋จิ่งทำเสียงจนเขาเวียนหัว จึงเอ่ยขานรับไปอย่างไม่เต็มใจนัก “อืม”

 

 

           ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอย่างเป็นทางการว่าชอบ แต่กลับเป็นการตอบคำถามสุดท้ายของไป๋จิ่งแล้ว

 

 

           ‘อืม’ แปลว่า ‘ชอบ’

 

 

           ไป๋จิ่งดีใจจนไม่ไหว กอดรับกดจูบอย่างหนักหน่วงไปทีหนึ่ง

 

 

           ทำเอาใบหน้ามั่วไป๋แดงจัด

 

 

           มั่วไป๋มองไปข้างนอก ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน เขาชอบคนคนนี้มาหลายปีแล้ว

 

 

           ความชอบนี้ไม่เคยหยุดมาแต่ไหนแต่ไร

 

 

           มีหรือจะพูดว่าไม่ชอบ

 

 

           ต้องชอบเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

 

 

            

 

 

    ตอนที่ 611 ฟู่เหยี่ยนกับซังจิ่ง (ตอนพิเศษ)

 

 

           วันนั้นที่เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนแต่งงานกัน ซังจิ่งกับฟู่เหยี่ยนยืนอยู่นอกประตู

 

 

           เพียงแต่ว่าทั้งสองคนไม่มีใครเข้าไป นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามาที่นี่

 

 

           ตอนที่เจียงมู่เฉินหนีไปกับซือเหยี่ยน ซังจิ่งสร้างภาพลวงตา ฟู่เหยี่ยนเชื่อจริงๆ ว่าเจียงมู่เฉินตายแล้ว

 

 

           ครั้งที่สองที่ได้ยินว่าคนคนนั้นตายแล้ว ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแบบนั้นไม่มีใครเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งเท่าฟู่เหยี่ยนอีกแล้ว

 

 

           เขาเริ่มจากเกลียดชังไปจนถึงชอบ แล้วสุดท้ายก็ไปจนถึงสิ้นหวังกับเจียงมู่เฉิน

 

 

           ตั้งแต่ออกจากเกาะเล็กครั้งนั้น ฟู่เหยี่ยนคิดว่าเจียงมู่เฉินตายไปแล้วจริงๆ

 

 

           แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินคนที่เขาคิดว่าตายแล้วจะขอซือเหยี่ยนแต่งงานต่อหน้าผู้คนมากมายได้

 

 

           เวลานั้นฟู่เหยี่ยนถึงได้รู้ว่าว่าวที่เขาอยากจะกำไว้ในมือมาตลอด ล่องลอยไปหาคนอื่นไปตั้งนานแล้ว

 

 

           ต่อให้เขาทุ่มเทกำสุดกำลัง สายว่าวก็ยังขาดอยู่ดี

 

 

           วันนั้นเจียงมู่เฉินในงานแถลงข่าวดูองอาจสง่าผ่าเผย แววตาที่มองซือเหยี่ยนลึกซึ้งจนทำให้เขาไม่กล้ามองไปตรงๆ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนไม่เคยเห็นเจียงมู่เฉินในมาดแบบนั้นมาก่อน ช่างแตกต่างกับมาดเย่อหยิ่งที่เคยเป็นมาราวฟ้ากับดิน

 

 

           แล้วก็เป็นนาทีนั้นเอง ฟู่เหยี่ยนถึงได้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้

 

 

           ‘เจียงมู่เฉินไม่ใช่ของเขา ไม่มีวันจะเป็นของเขาได้!’

 

 

           เขาแพ้แล้ว แต่กลับไม่ได้แพ้ให้ซือเหยี่ยน เขาแพ้ให้เจียงมู่เฉินแล้วต่างหาก

 

 

           ตอนนั้นเขาแพ้ให้เจียงมู่เฉินตั้งหลายครั้งขนาดนั้น ไม่มีครั้งไหนที่ยอมหมดใจ แต่มีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาแพ้อย่างหมดรูป ไม่อยากจะสู้รบเอาชนะกับเจียงมู่เฉินอีกแล้ว

 

 

           เขาเป็นผู้สืบทอดของตระกูลฟู่ เป็นคุณชายใหญ่ผู้นำของตระกูลฟู่เพียงผู้เดียว

 

 

           ขอเพียงแต่เขาต้องการ มีคนมากมายแก่งแย่งชิงดีมุ่งหน้ามาหาเขา เขาอยากได้คนแบบไหนก็มีได้ทั้งนั้น

 

 

           เพียงแต่…

 

 

           คนพวกนั้นต่างก็ไม่ใช่เจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินในชุดสูทสีดำยืนอยู่ในโบสถ์ ชุดสูททำให้ร่างกายสูงเพรียวของเขาเผยความมีชีวิตวาออกมา

 

 

           เจียงมู่เฉินในวันนี้ดูหล่อเหลากว่าแต่ก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย ดึงดูดสายตาจนใจละลาย

 

 

           เขายืนอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน ริมฝีปากทั้งสองคนแต่งแต้มรอยยิ้ม ในมือสวมแหวนแบบเดียวกัน แหวนวงนั้นส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงไฟ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหลับตาลง หันหลังกลับเดินออกไปทันทีหลังจากนั้น

 

 

           ฟู่เหยี่ยนมองเห็นเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนแต่งงานกันกับตาของตัวเอง ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว เขาก็ควรจะตัดใจให้ถึงที่สุดได้แล้ว

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้น ถึงแม้ว่าไม่อยากจะเห็นฉากนี้จริงๆ แต่ว่า…

 

 

           ‘นายแม่งถ้าไม่มีความสุขนะ’ เขาต้องเปิดขวดไวน์แดงฉลองแล้ว

 

 

           ‘ใครใช้ให้เจียงมู่เฉินเจ้าหมอนี่มีตาหามีแววไม่ เลือกซือเหยี่ยน ไม่เลือกเขา…

 

 

           …ช่างเถอะ ช่างเถอะ คนเก่งยอดเยี่ยมขนาดนี้อย่างเขา เจียงมู่เฉินไม่ได้เลือกคือความสูญเสียของเขา’

 

 

           ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าซือเหยี่ยนกล้าจะทำไม่ดีกับเจียงมู่เฉิน เขารับประกันว่าจะลงมือทำลายซือเหยี่ยนให้ตายเอง

 

 

           ……

 

 

           ซังจิ่งมองดูฟู่เหยี่ยนค่อยๆ เดินจากไปอย่างช้าๆ สายตาของเขาก็จดจ่อที่ใบหน้างามละเอียดได้รูปของเจียงมู่เฉิน

 

 

           เดิมทีเขาอยากหลอกใช้เจียงมู่เฉิน

 

 

           แต่กลับคิดไม่ถึง…

 

 

           ตัวเขาเองสูญเสียหัวใจไปก่อนแล้ว ตกหลุมรักเป้าหมายในภารกิจ

 

 

           เจียงมู่เฉินเป็นภารกิจแรกที่เขาทำล้มเหลว เป็นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

 

 

           แต่สำหรับซังจิ่งแล้ว เขาไม่เคยเสียใจทีหลังเลยที่ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว

 

 

           ในโบสถ์เจียงมู่เฉินจับเอวซือเหยี่ยนไว้ แล้วโน้มเข้าไปจูบซือเหยี่ยน ซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินทำหน้ายิ้มชั่วร้าย

 

 

           จู่ๆ เขาก็นึกถึงก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ครั้งแรกที่เจอเจียงมู่เฉินที่หลานเยี่ย

 

 

           ที่จริงบางทีแวบแรกที่เจอเจียงมู่เฉิน หัวใจของเขาอาจจะหายไปหาเจียงมู่เฉินไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

           เสียงหัวเราะดังขึ้นมาในโบสถ์เลือนราง ซังจิ่งไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

 

 

           เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า ท้องฟ้าวันนี้มีสีฟ้าเป็นพิเศษ เขายกมือปิดตายิ้มหัวเราะ

 

 

           ยื้อไว้มานานขนาดนี้ เขาอาจจะต้องปล่อยวางแล้ว เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ สายลมพัดผ่านมา พัดโชยเส้นผมที่ปกแก้มของเขา นกพิราบในลานจัตุรัสก็บินขึ้นมารับสายลม

 

 

           เขาคิดว่าวันนี้อากาศดีเสียจริง

Related

ตอนที่ 608 ถีบตกเตียงแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่กิน เอาแต่ให้มั่วไป๋กิน มั่วไป๋กินไปสองคำก็ส่ายหัวไม่อยากกินแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูองุ่นในมือ ยัดเข้าปากของตัวเอง ทันใดนั้นก็ล็อคหัวมั่วไป๋แล้วโน้มเข้าไปใกล้

 

 

           รสขององุ่นตลบอบอวล ใบหน้ามั่วไป๋แดงระเรื่อ เหมือนจะเขินอายอยู่ในที

 

 

           เขาถลึงตาใส่ไป๋จิ่ง แล้วไล่อีกคนออกจากห้องครัวไป

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าหมดอาลัยตายอยากมองมั่วไป๋

 

 

           ‘ครั้งหน้าเขาจะไม่ป้อนแบบนี้แล้วยังไม่โอเคเหรอ เขาไม่อยากออกห่างจากห้องครัว อยู่ข้างนอกกอดไม่ได้แล้ว’

 

 

           ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ รู้สึกว่าตัวเองป้อนองุ่นแล้วขาดทุนมาก

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้วได้แต่มองตาปริบๆ อยู่ข้างๆ ในที่สุดมั่วไป๋ก็ทำอาหารค่ำเสร็จ พอไป๋จิ่งเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปเอาอกเอาใจ

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง เห็นแค่เพียงเขายื่นมือไปรับจานจากมือมั่วไป๋ “จะทำอะไรแบบนี้ ให้ผมทำก็โอเคแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋มองบนใส่เขาเงียบๆ

 

 

           เขาออกมาก็เห็นไป๋จิ่งวางจานลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ไป๋จิ่งให้เขารอสักครู่

 

 

           มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่งรีบร้อนออกไป ไม่รู้ว่าเขาเตรียมอะไรมาอีก

 

 

           เพียงไม่นานไป๋จิ่งก็หิ้วถุงเดินออกมา

 

 

           มั่วไป๋หรี่ตาลงเล็กน้อย  ทำไมถึงรู้สึกว่าถุงใบนี้เหมือนไป๋จิ่งจะหยิบมาเมื่อกี้เลยใช่ไหม

 

 

           เขาเงยหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง ไป๋จิ่งหยิบไวน์แดงออกมา

 

 

           มั่วไป๋เห็นไวน์แดงขวดนั้น เขาก็กุมหัวแล้ว ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ก็รีบเอ่ยขึ้นทันที “ร่างกายของคุณไม่ดี ดื่มนิดหน่อยก็โอเคแล้ว”

 

 

           ร่างกายเขาไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ดื่มเหล้าสักหน่อยจะเป็นอะไรไป เขาก็เพียงแค่รู้สึกว่าไป๋จิ่งหยิบไวน์ออกมาแบบนี้ เหมือนว่าจะมีอะไรไม่ค่อยปกติเท่าไหร่แล้ว

 

 

           ‘เจ้าหมอนี่กำลังวางแผนอะไรอีกใช่ไหม’

 

 

           ไป๋จิ่งหยิบแก้วไวน์คอสูงจากด้านข้างมา แล้วเทรินไวน์ลงไป วางลงต่อหน้ามั่วไป๋

 

 

           ทำทุกอย่างนี้เสร็จแล้ว ไป๋จิ่งถึงได้นั่งลงอยู่ตรงข้ามกับมั่วไป๋

 

 

           ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ภายใต้แสงไฟสลัวยังเกิดกลิ่นอายแห่งความห่วงหาอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ไป๋จิ่งได้ปรับแสงไฟเป็นสีเหลืองอบอุ่นแล้ว

 

 

           แสงสีนั้นตกกระทบใบหน้าขาวผ่องของมั่วไป๋ ไป๋จิ่งมองอย่างไม่อาจจะละสายตาไปได้

 

 

           ทั้งสองคนจิบไวน์ไปด้วย กินอาหารไปด้วย แต่ไม่รู้ว่าอะไร จู่ๆ ไป๋จิ่งก็เข้ามาคลอเคลียกอดมั่วไป๋ไว้ในอ้อมอกแล้วก้มหน้าลงประกบจูบ

 

 

           รสแอลกอฮอล์ทำให้ประสาทการรับรู้ของมั่วไป๋ชา บวกกับบรรยากาศนี้ที่กำลังพอเหมาะพอดี มั่วไป๋ตัดใจปฏิเสธไม่ลง

 

 

           ความอบอุ่นจางๆ ค่อยๆ โอบล้อมไปถึงกลางใจ

 

 

           อุณหภูมิในห้องเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เค้กที่ไป๋จิ่งตั้งใจซื้อกลับมาก็ถูกลืมเลือนไปเสียแล้ว

 

 

           จนกระทั่งถึงเช้าวันต่อมา จู่ๆ ไป๋จิ่งก็ตกใจตื่น เด้งตัวขึ้นมาจากเตียงโดยทันใด

 

 

           ความเล่นใหญ่ของเขาทำเอามั่วไป๋ตกใจตื่น เขามองไป๋จิ่งที่ลุกขึ้นมานั่งพลางเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็นอะไรไป”

 

 

           ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ด้วยสีหน้าน่าสงสาร “จบเห่แล้ว จบเห่แล้ว”

 

 

           “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” มั่วไป๋กุมขมับ เมื่อคืนกว่าทั้งคู่จะนอนได้ก็กลางดึกแล้ว ตอนนี้ตาลืมไม่ขึ้นแล้ว

 

 

           แต่ไป๋จิ่งกลับยังคลุ้มคลั่งอยู่ข้างๆ ทำเหมือนกับว่ามีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ด้วยสีหน้าน่าสงสาร “เมื่อวานผมซื้อเค้กให้คุณ แต่สุดท้ายก็ลืมเอาให้คุณ”

 

 

           มั่วไป๋ขมวดคิ้วมองไป๋จิ่งสามวินาที แล้วยกเท้าถีบไป๋จิ่งลงจากเตียงไปโดยไม่ลังเลเลยสักนิดทันทีหลังจากนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้ทันระวัง ร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น เขาทำหน้างุนงงมองมั่วไป๋ที่กลับไปนอนหลับต่อ แล้วมองตัวเองที่ร่วงลงพื้น

 

 

           หยุดชะงักไปไม่กี่วินาที เขาก็ปีนขึ้นเตียงอย่างน่าเวทนา

 

 

           ครั้งนี้ไป๋จิ่งไม่กล้าจะปากมากแล้ว แทรกตัวเองเข้าใต้ผ้าห่ม กอดมั่วไป๋แล้วนอนหลับต่อทันที

 

 

 

 

           ตอนที่ 609 จัดการเรื่องลูกสะใภ้ได้แล้ว

 

 

           ขณะที่ไป๋จิ่งกอดมั่วไป๋อยู่ เขาก็ถอนหายใจไปพลาง รู้อย่างนี้เมื่อวานควรจะหยิบเค้กก่อนถึงจะถูก…

 

 

           ……

 

 

           ลี่เจินโทรหาไป๋จิ่งอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งก็เป็นคำถามเดียวคำถามเดิม

 

 

           ‘เมื่อไหร่เธอถึงจะได้มีลูกสะใภ้สักที’

 

 

           เพิ่งจะเริ่มแรกไป๋จิ่งพยายามจะหลบหลีกบ่ายเบี่ยง กลัวลี่เจินจะถามคำถามนี้

 

 

           แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ตอนนี้เขามีลูกสะใภ้แม่อยู่ในอ้อมกอด ความมั่นใจมาเต็มขั้น

 

 

           พอตื่นขึ้นมา ไป๋จิ่งก็โทรหาลี่เจินด้วยความร้อนรนทนไม่ไหว ตอนนี้เขาเป็นคนมีคู่อย่างเปิดเผยได้แล้ว

 

 

           ลี่เจินรับสายแล้วก็เอ่ยถามทันที “เจ้าเด็กแสบ บอกว่าจะพาลูกสะใภ้มาให้แม่ภายในหนึ่งสัปดาห์ไม่ใช่เหรอ นี่ก็สองสัปดาห์กว่าๆ แล้ว ลูกทำตัวพึ่งได้สักหน่อยจะได้ไหม”

 

 

           ถ้าเป็นตามปกติเท่าที่เคยเป็นมา ไป๋จิ่งจะโดนลี่เจินต่อว่าจนพูดไม่ออกสักประโยคแล้ว

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้วันนี้เขาไม่เหมือนเดิมแล้ว

 

 

           รอจนลี่เจินพูดจบแล้ว ไป๋จิ่งก็หัวเราะแหะๆ สองเสียง เก็บอาการไว้ไม่ได้จริงๆ

 

 

           ลี่เจินได้ยินเสียงของไป๋จิ่งก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ต่อให้ลูกชายจอมซื่อบื้อของเธอต่อให้หน้าหนาขนาดไหน ก็ไม่มีทางจะหัวเราะออกมาในเวลาแบบนี้ได้

 

 

           จะมีเพียงความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นก็คือ…

 

 

           ‘จัดการเรื่องลูกสะใภ้ได้แล้วเหรอ’

 

 

           ลี่เจินรีบถามไถ่ในทันใด “ตามจีบติดได้แล้วใช่ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งถือมือถือไว้ เขาหุบยิ้มไว้ไม่อยู่หยุดหัวเราะไม่ได้ แค่พยักหน้าไม่พูดจา

 

 

           ลี่เจินในปลายสายร้อนใจจนไม่ไหว แทบอยากจะวิ่งเข้าไปตอนนี้เลย

 

 

           “ลูกอย่าหัวเราะอีกได้ไหม ตกลงว่าจีบติดหรือว่าจีบไม่ติด ลูกคิดจะทำให้แม่ร้อนใจตายหรือไง”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นว่าถ้าตัวเองยังไม่พูดอีก คาดว่าแม่เขาต้องบินมาเฆี่ยนเขาแน่ เพราะแบบนี้จึงรีบเอ่ยขึ้นทันที “ครับ สองวันนี้ผมจะพามั่วไป๋ไปหาแม่นะครับ”

 

 

           พอลี่เจินได้ยินเธอก็หุบยิ้มไว้ไม่อยู่ทันที “ใช้ได้ๆ ลูกนี่ยังมีประโยชน์อยู่จริงๆ ถือว่าง้อลูกสะใภ้แม่กลับมาได้แล้ว”

 

 

           “พวกลูกจะมาเมื่อไหร่ เอางี้มาตอนนี้เลยไหม อยากกินอะไรแม่จะทำให้พวกลูกกินหมดเลย”

 

 

           มุมปากไป๋จิ่งกระตุกแล้วกระตุกอีก “แม่ แม่ใจร้อนเกินไปหน่อยแล้วมั้งครับ”

 

 

           ลี่เจินมองบนใส่ไป๋จิ่ง “ลูกก็รู้ว่าแม่รอวันนี้มานานแค่ไหนไม่ใช่เหรอ”

 

 

           เธอคิดมาตลอดว่าไป๋จิ่งลูกชายจอมซื่อบื่อคนนี้จะโสดหาเมียไม่ได้ไปทั้งชีวิตนี้

 

 

           “มั่วไป๋กำลังนอนหลับอยู่ รอเขาตื่นก่อน ผมกับเขาจะหารือกันครับ”

 

 

           “ลูกก็รู้จักลิมิตบ้างนะ อย่าให้ลูกสะใภ้แม่ต้องเหนื่อย ระวังกลับมาจะโดนแม่เอาแส้ฟาด”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรอยู่ เขาอดจะยิ้มหัวเราะออกมาไม่ได้ เขากลัวแม่เขาจะได้ยินเข้า จึงรีบพูดสองประโยคแล้ววางสายลง

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งวางสายแล้ว ลี่เจินดีใจจนหุบยิ้มไว้ไม่อยู่  ดีสุดๆ ไปเลย ในที่สุดเธอก็มีลูกสะใภ้แล้ว

 

 

           เมื่อลี่เจินคิดถึงเรื่องนี้ เอารอยยิ้มบนใบหน้าไม่ลงเลยสักนิด

 

 

           ……

 

 

           มั่วไป๋นอนหลับยาวไปถึงช่วงบ่าย ระหว่างนี้ไป๋จิ่งกลัวว่าเขาจะหิว จึงตั้งใจอุ่นนมส่งเข้ามาให้

 

 

           เสียแรงเรียกปลุกคนให้ตื่นอยู่ตั้งนาน ดื่มนมแล้วก็นอนหลับต่อไป

 

 

           เรื่องเมื่อคืนวาน ไป๋จิ่งเองรู้สึกผิดในใจ ยิ่งไม่กล้ารบกวนมั่วไป๋เข้าไปอีก

 

 

           มั่วไป๋ไม่ตื่น เขาก็ไม่มีอะไรอยากกิน

 

 

           ต้มบะหมี่ไปกินไปสองคำ ก็เผ่นแน่บกลับขึ้นเตียงไปนอนกอดมั่วไป๋ต่อ

 

 

           จนกระทั่งเวลาร่วงเลยมาถึงบ่ายสี่โมงเย็น มั่วไป๋รู้สึกตื่นขึ้นมาได้เสียที พอลืมตามาก็อยู่ในอ้อมกอดของไป๋จิ่งแล้ว

 

 

           เขาดึงมือของไป๋จิ่งออก จึงได้พบว่าอีกฝ่ายกอดเขาแน่นมากทีเดียว

 

 

           เสียแรงอยู่ตั้งนานสองนาน กว่าจะดึงมือของไป๋จิ่งออกได้ มั่วไป๋ดึงผ้าห่มเปิดออก เดินเท้าเปล่าลงไป

 

 

           เขายืนอยู่ในห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา

 

 

           ช่วงเอวเกร็งโดยฉับพลัน ไป๋จิ่งเอื้อมมือมาโอบเอวมั่วไป๋จากด้านหลัง คางเกยอยู่ที่ไหล่ของมั่วไป๋

 

 

           “ตื่นแล้ว?”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า ไหล่มั่วไป๋สั่นตามไปด้วย

 

 

           เขาเองก็ไม่ได้ให้ไป๋จิ่งปล่อย เขาเช็ดน้ำบนใบหน้าจนสะอาดเกลี้ยงเกลาอยู่ในท่านี้

Related

ตอนที่ 606 อยากจะใกล้ชิดกันอีกนิด

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นหัวใจไป๋จิ่งก็หยุดไปเสียดื้อๆ เขาชะงักงันอยู่ที่เดิม กว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาได้ก็หลายนาที

 

 

           เขามองมั่วไป๋อย่างที่ไม่กล้าจะเชื่อได้ ราวกับอยากจะยืนยันให้แน่นอนอีกครั้ง

 

 

           มั่วไป๋เห็นท่าทีตอบสนองของเขา ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน

 

 

           ฉวยโอกาสตอนที่ข้างๆ นี้ไม่มีคน มั่วไป๋โน้มเข้าไปจูบที่มุมปากของไป๋จิ่ง ทำอย่างรวดเร็วเสร็จสรรพก็เตรียมจะออกห่าง

 

 

           ถึงอย่างไรในสถานที่ที่มีผู้คนคับคั่ง มั่วไป๋ยังไม่ได้เปิดเผยถึงขั้นที่เป็นแบบนี้

 

 

           ใครจะคิดขณะที่เขาเพิ่งจะเตรียมถอยออก ไป๋จิ่งก็กักเอวเขาไว้

 

 

           ไป๋จิ่งกดเอวเขาพลางโอบรัดเขา ก่อนจะกดจูบอย่างแนบแน่น เวลาผ่านไปนาน กว่าจะปล่อยได้

 

 

           พอไป๋จิ่งปล่อยมือ มั่วไป๋ก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที เขามองไป๋จิ่งด้วยความเขินอายไม่เบา เดินก้าวใหญ่ไปข้างหน้าหลังจากนั้นอย่างรวดเร็ว

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋เขินอาย ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมา รีบยกเท้าเดินตามไปเสียเดี๋ยวนั้น

 

 

           เขาเดินตามมั่วไป๋ไปสองสามก้าว เอื้อมมือไปคว้ามือมั่วไป๋ไว้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

           “บอกแล้วว่าจะเดินไปด้วยกันไม่ใช่เหรอ”

 

 

           มั่วไป๋มองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดจา แต่มือที่ไป๋จิ่งรั้งไว้กลับกระชับแน่นขึ้น

 

 

           ทั้งสองคนหิ้วของออกมาจากห้างสรรพสินค้า หลังจากนั้นก็ไปตลาดต่อ ถึงอย่างไรลงจากเขามาแล้ว จะได้ซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปสักหน่อยพอดี

 

 

           ไป๋จิ่งจอดรถหน้าทางเข้าตลาด มั่วไป๋เพิ่งจะเตรียมปลดเข็มขัดนิรภัย ไป๋จิ่งก็ยื่นมือมากดไว้

 

 

            เขาเงยหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง เขาก็เห็นเพียงแค่คนตรงหน้าหัวเราะเบาๆ โน้มตัวมาช่วยเขาปลดเข็ดขัดนิรภัยออก

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ทำตัวเป็นเด็กน้อยเกินพอทีเดียว

 

 

           ไป๋จิ่งปลดเข็มขัดนิรภัยออกเรียบร้อย เขายังไม่ได้ออกไปไหน แต่เข้าไปจูบมั่วไป๋ เวลานี้ถึงได้เปิดประตูลงจากรถไปด้วยอิ่มอกอิ่มใจ

 

 

           กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าไม่ติดว่ายังอยู่ข้างนอก มีหรือจะได้แค่จูบสักหน่อย แน่นอนว่าต้องกอดมั่วไป๋ไว้แล้วจูบอย่างช้าๆ

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มไปด้วย เดินจูงมือมั่วไป๋ไปด้วย

 

 

           เมื่อเทียบกับตอนนี้ การจูบการกอดก่อนหน้านี้ควบคุมอารมณ์ได้มากๆ จริงๆ

 

 

           ก่อนหน้านี้ไป๋จิ่งยังรู้จักเก็บกด ตอนนี้เป็นอย่างไร นัยน์ตาไฟลุกโชน แทบอยากจะตัวติดแนบชิดกับมั่วไป๋อยู่ทุกเวลานาที

 

 

           ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นได้หรือเปล่า แม้แต่ตัวเขาเองถูกไป๋จิ่งมองขนาดนี้ ในใจก็รู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย

 

 

           ทั้งสองคนจูงมือเข้าตลาดไปด้วยกัน มั่วไป๋เข็นรถ ไป๋จิ่งเดินอยู่ข้างๆ เขา พอมือวางแล้วสักพักก็อยากจะโน้มตัวเข้าโอบกอดมั่วไป๋

 

 

           เขามองอยู่ตั้งนานสองนาน ก่อนจะเอื้อมมือไปจับเอวมั่วไป๋ไว้

 

 

           มั่วไป๋มองเขาอย่างจนใจ “มาเดินตลาดซื้อของก็ต้องใกล้กันขนาดนี้เชียว”

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าตาน่าสงสารมองเขา “ผมอยากจะใกล้ชิดคุณอีกนิด”

 

 

           เมื่อสบสายตาซื่อๆ ของไป๋จิ่ง เพียงชั่วพริบตาเดียวมั่วไป๋ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว

 

 

           ขีดจำกัดของพวกนี้ เมื่อทะลุขีดจำกัดไปแล้ว ก็ดึงกลับมาไม่ได้อีกแล้ว

 

 

           ตั้งแต่ยอมปล่อยให้ไป๋จิ่งกุมมือ ให้เขากอดได้อีกตามอำเภอใจ ขีดจำกัดของมั่วไป๋ก็ค่อยๆ พังทลายลงทีละนิดๆ จนกระทั่งถึงนาทีนี้ก็ยอมปล่อยให้ทำตามอำเภอใจโดยไร้เงื่อนไขแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งโอบเอวมั่วไป๋ไว้ แอบหัวเราะไม่หยุด เขาคิดไปเองว่าตัวเองหัวเราะได้เป็นงานมาก ไหนเลยจะรู้ว่ามั่วไป๋ได้ยินอย่างชัดเจน

 

 

           คนข้างๆ เขาคนนี้ดูเหมือนสติจะไม่ค่อยเต็ม

 

 

           แต่ว่าจะทำอย่างไร…คิดไม่ถึงว่าจะรู้สึก…ชอบยิ่งขึ้นไปอีก

 

 

           ไป๋จิ่งเอาใจใส่อาหารการกินของมั่วไป๋เป็นพิเศษ ล้วนยึดตามโภชนาการทั้งสิ้น อีกทั้งยังใช้วัตถุดิบอาหารที่ดีที่สุดอีกด้วย

 

 

           เขาอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋ซื้อผลไม้ ขณะเดินผ่านที่ที่ขายไวน์แดง นัยน์ตาประกายเล็กน้อย เขาฉวยโอกาสตอนที่มั่วไป๋ดูของอยู่ไม่ได้สนใจเขา หยิบมือถือออกมาพิมพ์ข้อความส่ง

 

 

           หลังจากนั้นถึงค่อยเก็บมือถือลงอย่างเงียบๆ แล้วเข้าไปเกาะติดอีกครั้ง

 

 

           ทั้งสองคนเดินตลาดกันเกือบจะหนึ่งชั่วโมง ถึงได้หอบหิ้วถุงสองใบเดินออกมา

 

 

           มั่วไป๋คิดว่าไป๋จิ่งจะขับรถกลับไปแล้ว ใครจะคิดว่าไป๋จิ่งไม่ได้กลับขึ้นเขา แต่ขับรถไปถนนคนเดินที่อยู่ข้างๆ นี้แทน

 

 

                                  

 

 

ตอนที่ 607 กวนประสาท

 

 

         เขาเอารถมาจอดอยู่ข้างๆ เสียงต่ำเอ่ยกับมั่วไป๋ “คุณรอผมอยู่ตรงนี้แป๊บเดียวนะ เดี๋ยวผมมา”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับ นั่งรอเขาอยู่ที่เดิม

 

 

           ไป๋จิ่งเดินเข้าร้านๆ หนึ่ง เพียงไม่นานก็มีคนคนหนึ่งเดินออกมา ในมือเขาถือไวน์แดงขวดหนึ่งกับเค้กกล่องหนึ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งให้เขาหาถุงอื่นมาใส่ของลงไปแทน

 

 

           หยิบของมาแล้วถึงได้ออกไปจากร้าน

 

 

           เมื่อครู่นี้ตอนที่อยู่ในตลาด ไป๋จิ่งตั้งใจให้เพื่อนไปเอาไวน์ชั้นดีมาให้ ยังถือโอกาสให้เขาเตรียมเค้กชิ้นหนึ่งให้ด้วย

 

 

           เค้กคือของที่มั่วไป๋ชอบ

 

 

           ส่วนไวน์แดง…ไป๋จิ่งหัวเราะแหะๆ รีบถือของออกไป

 

 

           ไป๋จิ่งเอาของไว้หลังรถ เวลานี้ถึงได้ขึ้นรถไป

 

 

           มั่วไป๋เองก็ไม่ได้ถามว่าเขาไปหยิบอะไรมา ผู้ชายโตๆ กันแล้วสองคนกับเรื่องพรรค์นี้ต้องไม่ถามเซ้าซี้มากขนาดนั้นเป็นธรรมดา

 

 

           ถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในความสัมพันธ์เป็นคู่รักกัน แต่ว่าอิสระส่วนตัวก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องการอยู่

 

 

           หลังจากได้ของครบเรียบร้อย เวลานี้ถึงเพิ่งจะได้ขับรถกลับไปยังคฤหาสน์ที่อยู่บนเขา

 

 

           ระหว่างทางมั่วไป๋เอ่ยถามเสียงต่ำ “นายคิดจะอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ”

 

 

           ตอนแรกเริ่มไป๋จิ่งทำเพื่อจะกักตัวเขากับตัวเอง ถึงได้อาศัยอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้อากาศหนาวเกินไป อาศัยอยู่ข้างบนไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สะดวกเท่าที่ควร

 

 

           ไป๋จิ่งเงยหน้ามองข้างนอกพลางเอ่ยเสียงต่ำ “รออีกสักหน่อย อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะลงเขากัน”

 

 

           มั่วไป๋อดจะเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “ยังไงกัน ครั้งนี้พูดจาดีๆ ขนาดนี้เชียว” เขายังคิดว่าไป๋จิ่งจะไม่ยอมลงเขาเสียอีก

 

 

           “เดิมทีก็เพื่อจะตามจีบคุณกลับมา ตอนนี้จีบคุณติดแล้ว ไม่พักอยู่ที่นี่ คุณก็หนีไม่ไหวหรอก”

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ รู้สึกว่าตอนนี้ทำไมไป๋จิ่งพูดจาได้กวนประสาทขนาดนี้

 

 

           “เดี๋ยวถึงฤดูใบไม้ผลิ อากาศอบอุ่นขึ้นแล้ว พวกเราค่อยขึ้นไปใหม่ ไปแบบเที่ยวพักผ่อนกันไหม”

 

 

           ก่อนหน้านี้มั่วไป๋ก็คิดอย่างนี้ ฤดูใบไม้ผลิที่นี่คงจะสวยมาก อีกอย่างเขาเองก็ชอบที่นี่ ถ้าต่อไปไม่ได้มาอีก จะมากจะน้อยก็น่าเสียดายทีเดียว

 

 

           “อืม ได้”

 

 

           ขับรถเป็นเวลาสองชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็ถึงหน้าเข้าคฤหาสน์สักที ไป๋จิ่งจอดรถเรียบร้อยแล้ว เขาให้มั่วไป๋เข้าไปก่อน ข้างนอกหนาวเกินไป

 

 

           มั่วไป๋เอื้อมมือไปเบาะหลังหยิบเสื้อผ้าทั้งหมดที่ซื้อมา ส่วนที่เหลือก็ให้ไป๋จิ่งหยิบเอาเองแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นว่ามั่วไป๋เข้าไปจนได้ เขาก็แอบโล่งใจไปที

 

 

           ตอนนี้ถูกจับเซอร์ไพรส์ได้ก็ไม่เรียกว่าว่าเซอร์ไพรส์แล้ว

 

 

           ข้างในคฤหาสน์ยังอบอุ่นเหมือนเดิมกับตอนที่ออกไป ทั้งสองคนเข้าบ้านมาก็ถอดเสื้อคลุมบนตัวออกทั้งหมด เหลือแค่เพียงเสื้อไหมพรมข้างใน

 

 

           พวกเขาทรมานกันอยู่ข้างนอกขนาดนี้ กลับมาท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว

 

 

           หลังจากมั่วไป๋เปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะ วางเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ถึงค่อยเอ่ยถามขึ้น “เมื่อคืนกินอะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ มองมั่วไป๋ แสดงท่าทีอยากกิน

 

 

           มั่วไป๋มองบนใส่ มองข้ามไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

           เขาเดินเข้าห้องครัวหยิบวัตถุดิบทำอาหารที่เพิ่งจะซื้อออกมา ไป๋จิ่งถือโอกาสนี้วางเค้กกับไวน์แดง

 

 

           “ทำสเต็กเนื้อไหม” เมนูที่เรียบง่ายที่สุด

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ยินว่ามั่วไป๋จะทำอาหาร แน่นอนว่ากินอะไรก็ยินดีมากอยู่แล้ว

 

 

           มั่วไป๋ไม่ทำอาหารให้เขานานมากแล้ว ได้ยินคำพูดนี้ อยากจะร้องไห้เสียจริงๆ

 

 

ในที่สุดเขาก็ฟื้นคืนตำแหน่งเมื่อก่อนนี้ในใจของมั่วไป๋เสียที

 

 

ไป๋จิ่งเดินเข้าครัวตามเข้าไป ล้างผลไม้ที่เพิ่งซื้อมาวางใส่จาน

 

 

มั่วไป๋ผูกผ้ากันเปื้อนสีดำ ยิ่งดูขัดผิวขาวเป็นพิเศษ ไป๋จิ่งหัวใจเกร็งแน่น เดินเข้าไปพร้อมเอื้อมมือไปกอดเอวมั่วไป๋เอาไว้

 

 

มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ รู้ว่าเจ้าหมอนี่มามุขนี้อีกแล้ว

 

 

ยังดีที่ช่วงนี้ถูกเขากอดจนชิน ไม่มีไม่เคยชินแล้ว

 

 

ไป๋จิ่งหยิบองุ่นที่อยู่ด้างข้างมาวางต่อหน้ามั่วไป๋

 

 

มั่วไป๋อ้าปากกัดเข้าไปทันที

Related

ตอนที่ 604 ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับ เขาไปห้องทำงานของเหยียนอวี้ เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่ไป๋จิ่งไม่ได้เข้าไปด้วย

 

 

           ไป๋จิ่งยืนรอมั่วไป๋อยู่นอกประตู เขาคิดว่ามั่วไป๋คงไม่อยากจะบอกเขาเกี่ยวกับอาการที่แท้จริงของตัวเอง

 

 

           ข้างในห้อง เหยียนอวี้เอามือตบมั่วไป๋เบาๆ “คิดไม่ถึงว่านายจะฟื้นตัวได้ดีกว่าที่ฉันคิดไว้มาก” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะดูแลนายได้ไม่เลวเลย”

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินเขาเอ่ยถึงไป๋จิ่ง เขาก็หลุบตาลงเล็กน้อย ค่อนข้างเคอะเขินอยู่ในที

 

 

           “เห็นนายเป็นแบบนี้ ฉันก็มีความสุขมากแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้ามองเหยียนอวี้พร้อมรอยยิ้ม “ลำบากนายมานานขนาดนี้แล้ว”

 

 

           “พูดคำนี้กับฉันทำไม ถึงยังไงต่อไปนายก็มาลำบากไม่ถึงฉันหรอก” มีไป๋จิ่งแฟนหนุ่มยี่สิบสี่ยอดกตัญญู[1]แบบนั้น ต่อให้เขาอยากจะลำบากด้วยก็ลำบากไม่ถึงเขาแล้ว

 

 

           เหยียนอวี้กำชับเรื่องที่ต้องระวัง ก่อนที่มั่วไป๋จะออกไปพร้อมกับไป๋จิ่ง

 

 

           ออกจากโรงพยาบาลมา ไป๋จิ่งเงียบไม่ค่อยจะพูดจามาตลอดทาง มั่วไป๋รู้สึกว่าท่าทีตอบสนองของเขาดูแปลกไป ตัวเองอดไม่ได้ที่จะเอียงหน้ามามองเขาอยู่หลายครั้ง

 

 

           หลังจากขึ้นรถมาแล้ว ในที่สุดมั่วไป๋ก็ทนไม่ไหว เสียงต่ำเอ่ยถามขึ้น “ไป๋จิ่ง นายไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งเก็บอารมณ์ที่แสดงบนใบหน้าเข้าไป “ไม่เป็นไร ผมจะมีเรื่องอะไรได้”

 

 

           มั่วไป๋หรี่ตามองเขาอย่างไม่เชื่อ รู้สึกมาตลอดว่าหลังจากที่เขาไปตรวจอาการมาเสร็จ ไป๋จิ่งก็ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่

 

 

           เพียงแต่ว่าไป๋จิ่งไม่ยอมพูด มั่วไป๋เองก็ไม่ได้ถามอะไรมาก

 

 

           เขาเก็บความคิดในหัวเข้าไป มีสมาธิกับการขับรถ ทั้งสองคนไปกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารข้างๆ หลังจากนั้นถึงได้ขับรถไปยังห้างสรรพสินค้า

 

 

           เขารู้สึกว่าเสื้อผ้าที่เขาเตรียมให้มั่วไป๋ตอนที่มั่วไป๋มาตอนแรกๆ ดูจะบางไป

 

 

           ช่วงนี้อุณหภูมิลดต่ำ วันต่อๆ มายิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ อีกอย่างอยู่ในเขา ถึงแม้ว่าจะมีฮีทเตอร์ แต่ไป๋จิ่งก็ยังกลัวมั่วไป๋จะเป็นหวัดเอาได้

 

 

           อีกอย่างตอนนี้เหยียนอวี้ยังบอกอีกว่ามั่วไป๋ฟื้นตัวได้ไม่ดี ดังนั้นยิ่งควรที่จะระมัดระวังมากขึ้น

 

 

           เดิมทีมั่วไป๋คิดว่าไป๋จิ่งจะซื้อเสื้อผ้าที่เข้ากันไม่กี่ตัว แต่พอเข้าห้างสรรพสินค้าไป ไป๋จิ่งก็เอาแต่หยิบเสื้อผ้ามาทาบตัววัดกับเขาตลอด

 

 

           มุมปากมั่วไป๋กระตุก “นายจะซื้อให้ฉันเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า “แน่นอน”

 

 

           “ฉันไม่ต้องการ” เสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้านั้นของเขาใส่หนึ่งปีก็ยังใส่ไม่หมด

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้พูดอะไร ยื่นมือไปหยิบเสื้อกันหนาวไหมพรม เนื้อผ้าชั้นดี ยังเก็บความอุ่นได้ดีที่สุดอีกด้วย

 

 

           หลังจากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมสีครีมมาหนึ่งตัว

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่ข้างๆ มองการกระทำของเขาด้วยความขบขัน  เมื่อก่อนทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเลยว่าไป๋จิ่งจะเป็นพวกชอบซื้อของแบบนี้โดยไม่คาดคิดได้

 

 

           ร้านนี้เป็นร้านที่ไป๋จิ่งชอบที่สุด ราคาสูงลิ่ว แต่เนื้อผ้าดีมาก ทั้งหมดเป็นผ้าทอมือ

 

 

           ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปที่อื่น พามั่วไป๋เข้ามาที่นี่โดยตรง

 

 

           มั่วไป๋เห็นท่าทีจะซื้อๆๆ ของเขา ตัวเองจึงนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ข้างๆ รอไป๋จิ่งเลือกให้เสร็จสรรพ

 

 

           ไป๋จิ่งเลือกชุดให้มั่วไป๋อยู่หลายตัว ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจ

 

 

           เขาหยิบเสื้อผ้ามาแล้วยืนอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋ “เป็นยังไงบ้าง คงจะเข้ากับคุณมากอยู่ใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋มองดูทีสองที ไม่พูดไม่ได้ว่าสายตาไป๋จิ่งดีมากจริงๆ

 

 

           ทุกตัวเข้ากับเขามาก

 

 

           มั่วไป๋ขานรับ “ได้”

 

 

           ใบหน้าไป๋จิ่งแต่งแต้มรอยยิ้ม มั่วไป๋ลุกขึ้นจากโซฟา หยิบบัตรของตัวเองยื่นส่งไปให้

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงัน หันมามองมั่วไป๋ แววตาฉายสะท้อนความไม่แน่ใจ

 

 

           มั่วไป๋โน้มตัวเข้าไปใกล้ เอ่ยเสียงต่ำด้วยความขบขัน “ครั้งนี้ฉันเอง”

 

 

           เขาเองก็เป็นผู้ชาย ทั้งยังเป็นผู้ชายที่มีรายได้ ตอนนี้อาศัยอยู่บ้านไป๋จิ่งทั้งวัน ใช้เงินของไป๋จิ่งด้วย ถ้าแม้แต่เสื้อผ้ายังต้องให้ไป๋จิ่งใช้เงินซื้อให้

 

 

           ต่อหน้าไป๋จิ่ง เขาก็โงหัวไม่ขึ้นแล้ว               

 

 

           

 

 

[1]  ยี่สิบสี่ยอดกตัญญู  เป็นนิทานพื้นบ้านที่นำเสนอถึงความกตัญญูตามปรัชญาขงจื้อ 7 ประการ ได้แก่ การเลี้ยงดูบุพการี การปรนนิบัติรับใช้บุพการีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย การให้ความสุขแก่บุพการี การให้อภัยต่อความผิดพลาดของบุพการี การปกป้องบุพการี การรำลึกถึงบุพการี จัดงานศพและเซ่นไหว้บุพการี

 

 

 

 

ตอนที่ 605 เดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว

 

 

           ถูกไป๋จิ่งเลี้ยงโดยสมบูรณ์แบบนั้น มั่วไป๋ไม่ชอบ

 

 

           ดังนั้นต่อให้ตอนนี้เขากับไป๋จิ่งมีความสัมพันธ์เป็นคู่รักกัน แต่มีบางมีหลักการ เขาก็ยังต้องการอยู่

 

 

           ไป๋จิ่งเอียงหน้า สายตาจดจ่อที่ใบหน้ามั่วไป๋ เหมือนจู่ๆ เขาจะเข้าใจความหมายของมั่วไป๋จริงแล้ว

 

 

           ทันใดนั้นเขาก็ล็อคเอวมั่วไป๋ไว้ “จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ ผมเองก็ขาดเสื้อผ้าอีกเหมือนกัน ไม่งั้นคุณก็มาช่วยผมซื้อด้วยกันเลยไหม”

 

 

           มั่วไป๋เพ่งสายตาไปยังเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำที่เมื่อครู่เขาดูอยู่ตั้งนานสองนาน เขาหัวเราะเบาๆ ให้คนหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มาให้

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเสื้อคลุมตัวใหญ่แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “วันนี้ตอนเช้าคุณทำชุดนอนผมเปื้อน”

 

 

           มั่วไป๋ยื่นบัตรให้ แต่ปากกลับเอ่ย “เดี๋ยวซื้อคืนนายแล้ว”

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งได้ยิน เขาก็ยิ้มหัวเราะด้วยความพอใจ

 

 

           ได้ใส่ชุดนอนที่มั่วไป๋ซื้อให้ตัวเอง นอนกอดมั่วไป๋ คิดดูแล้วช่างเป็นภาพที่สวยงามมากทีเดียว

 

 

           ชุดที่ซื้อบรรจุลงถุงได้อย่างรวดเร็วมาก เสื้อผ้าทั้งหมดอยู่ในมือของไป๋จิ่ง มีเพียงแค่เสื้อคลุมตัวใหญ่ตัวเดียวเท่านั้นที่อยู่ในมือมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋บีบถุงในมือ เขายิ้มอย่างไม่อดกลั้นแล้ว

 

 

           ดูท่าว่าครั้งนี้ เขาก็ลองก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวได้แล้ว

 

 

           ……

 

 

           มั่วไป๋ไปซื้อชุดนอนสองชุดเป็นเพื่อนไป๋จิ่งเรียบร้อย เวลานี้ถึงได้ออกจากห้างสรรพสินค้าไป

 

 

           เขารู้ว่าเมื่อครู่นี้ในร้านเสื้อผ้า ไป๋จิ่งเข้าใจในจุดยืนของเขาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ยืนกรานจะช่วยเขาออกเงิน

 

 

           เขาใช้เงินของตัวเองช่วยไป๋จิ่งซื้อเสื้อผ้า

 

 

           ไป๋จิ่งใช้เงินของไป๋จิ่งซื้อของให้เขา

 

 

           ปฏิบัติต่อกันไปมาเช่นนี้ ถึงจะมีความรู้สึกเหมือนคบกันในฐานะคนรัก

 

 

           ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นเช่นไร ท่ามกลางความรักความผูกพัน เดิมทีต่างฝ่ายต่างก็ควรจะทุ่มเทให้กันและกัน จะมีหรือหลักการที่ให้ทุ่มเทอยู่ฝ่ายเดียว

 

 

           ตอนแรกเริ่มเขาเป็นฝ่ายทุ่มเท สุดท้ายถึงได้ตกต่ำจนมีจุดจบแบบนั้น

 

 

           ต่อมาไป๋จิ่งเป็นฝ่ายทุ่มเท ดังนั้นจึงตกต่ำจนมีผลสุดท้ายคือเลิกกัน

 

 

           ครั้งนี้ในที่สุดมั่วไป๋ก็เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว

 

 

           ถึงแม้ว่าปากเขาจะพูดไปว่าครั้งนี้เขาไม่สามารถจะเดินไปข้างหน้าอีกได้แล้ว แต่เขาเดินไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ตั้งแต่ตกลงปลงใจกับไป๋จิ่ง

 

 

           ตั้งแต่ยอมปล่อยให้ไป๋จิ่งกอดเขา จูบเขา ทำอะไรที่ดูสนิทชิดเชื้อกันตามอำเภอใจ

 

 

           เขาก็ควบคุมไม่ให้ตัวเองเดินต่อไปไม่อยู่แล้ว

 

 

           จู่ๆ มั่วไป๋ก็เงยหน้าขึ้นมองมาที่ไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งกำลังคิดทบทวนว่าจะซื้ออะไรกลับบ้านเพิ่มเติมให้มั่วไป๋ดี

 

 

           ทันใดนั้นมือที่ว่างอยู่ก็ถูกคนจับเอาไว้

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้า เขาหันหน้ามามองมั่วไป๋ คิดว่าเขามีเรื่องอะไร

 

 

           ก็เพียงแค่เห็นว่ามั่วไป๋ยืนอยู่ที่เดิมมองเขาอยู่ ไป๋จิ่งมองดูสายตามั่วไป๋ที่มองมา รู้สึกว่าไม่ค่อยจะปกติจากที่เคยเป็นมาเท่าไหร่

 

 

           ความรู้สึกแบบนั้น…

 

 

           เหมือนมั่วไป๋ แต่กลับไม่ค่อยเหมือน กลับมีกลิ่นอายของหลินฝานเกิดขึ้นทีละนิดๆ

 

 

           เพราะความคิดนี้ หัวใจไป๋จิ่งจึงเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขาจับมือมั่วไป๋ไว้แน่น เสียงต่ำเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะแล้วส่ายหัวทันที

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขายิ้มหัวเราะเบาๆ แต่กลับไม่พูดจา เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่

 

 

           “ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ” ไป๋จิ่งไม่วางใจ เอ่ยถามต่ออีกประโยค

 

 

           มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่งเป็นแบบนี้ เขาก็อดจะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นจูบไป๋จิ่ง

 

 

           เพียงชั่วขณะไป๋จิ่งตะลึงงันอยู่ที่เดิม ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ กว่าจะมองมั่วไป๋อย่างที่ไม่กล้าจะเชื่อได้

 

 

           “คุณ ผม…” ไป๋จิ่งอยากถามอะไรสักอย่าง แต่กลับพูดไม่ออกอีก

 

 

           ครั้งนี้มั่วไป๋เป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง เขามองไป๋จิ่งเอ่ยเน้นคำต่อคำ “ไป๋จิ่ง ฉันคิดดูแล้ว ทางเดินที่เหลืออยู่ ฉันจะเดินเคียงข้างไปด้วยกันกับนาย”

 

 

           ไป๋จิ่งยังคงตกอยู่ในอาการเมื่อครู่นี้ ยื่นงงๆ มึนๆ อยู่กับที่ เขาคิดทบทวนคำพูดของมั่วไป๋ซ้ำอีกครั้งอย่างถี่ถ้วน

 

 

           แต่ครุ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก มั่วไป๋พูดว่า  จะเดินเคียงข้างไปด้วยกันกับเขา หมายความว่าอะไร

 

 

           มั่วไป๋ดึงมือเขาขึ้นมาอยู่ต่อหน้าไป๋จิ่ง ปล่อยมือแล้วสอดประสานเข้าหากันอีกครั้งทันทีหลังจากนั้น

 

 

           เขาชูมือที่สอดประสานกันอย่างแนบแน่น “ตอนนี้นายเข้าใจหรือยัง”

 

 

           นิ้วมือไป๋จิ่งที่ถูกมั่วไป๋ล็อคไว้อยู่ที่ฝ่ามือ สั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ถ้าไม่ใช่ว่าถูกมั่วไป๋จับไว้อย่างแน่นสนิท เขาอาจจะปล่อยมือออกจนขายหน้าได้  

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มเบาๆ เอ่ยถามอีกครั้ง “นายอยากจะเดินไปด้วยกันกับฉันไหม”

Related

ตอนที่ 602 นายปล่อยฉันสิ

 

 

           มั่วไป๋ยังจดจำได้ วันนั้นเขามองดูดวงตาสีดำขลับของไป๋จิ่ง พลันคิดขึ้นมาว่าถึงอย่างไรเขาก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตนี้แล้ว

 

 

           เป็นศพเดินได้ หัวใจดั่งน้ำตาย ตลอดชีวิตนี้คงจะไม่สามารถไปชอบคนอื่นได้อีกแล้วเช่นกัน

 

 

           เขาใจกล้ามาเสมอ แต่นาทีนี้เมื่อได้เผชิญหน้ากับไป๋จิ่ง เขากลับขี้ขลาดขึ้นมาในทันใด

 

 

           เขามองดูใบหน้าไป๋จิ่ง คนที่เขาเคยคิดถึงทั้งวันทั้งคืน ทั้งเช้าทั้งเย็น สู้หัวชนฝาอย่างไรก็อยู่ในใจของเขา

 

 

           นอกจากไป๋จิ่งแล้ว เขาก็ชอบคนอื่นไม่ลงอีกแล้ว

 

 

           ‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมจะใจกล้าอีกครั้งไม่ได้…

 

 

           …ถึงยังไงก็จะไม่แย่ไปกว่าตอนนี้ไม่ใช่เหรอ’

 

 

           ดังนั้นเขาจึงเงียบงันเป็นเวลานานมาก กว่าจะพยักหน้าให้ไป๋จิ่ง

 

 

           เขาพูดว่า “ได้ แต่ไป๋จิ่งครั้งนี้ ฉันไม่สามารถจะเดินไปข้างหน้าอีกก้าวเดียวได้แล้วนะ”

 

 

           ……

 

 

           มั่วไป๋หลุดออกจากห้วงความทรงจำ เขายังคงอยู่ในท่าเดิมเอียงหน้ามองไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งรับรู้ได้ถึงสายตาของมั่วไป๋ เขากะพริบตาปริบๆ แกมหยอกล้อกับมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋รีบเก็บสายตากลับทันที ตีสีหน้าเย็นชา แต่ใบหูกลับแดงระเรื่อ

 

 

           ไป๋จิ่งทำแป้งเกี๊ยวเสร็จ มั่วไป๋ยังทำไม่เสร็จ เขาเองก็ไม่รีบร้อน ล้างมือทั้งสองข้างจนสะอาดแล้วเดินไปอยู่ข้างๆ มั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋เห็นแบบนี้ เขาก็ปล่อยมือออก เตรียมจะให้ไป๋จิ่งมาทำต่อ

 

 

           แต่ไป๋จิ่งไม่ได้มารับช่วงทำต่อ แต่เดินไปหามั่วไป๋แล้วยื่นมือไปล็อคเอวเขาไว้ คนทั้งคนสวมกอดเข้าจากข้างหลัง

 

 

           มั่วไป๋ตกใจ มือที่ถือมีดอยู่สั่นเทา เกือบจะจับไว้ไม่อยู่แล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ เขาก็ปล่อยมือข้างหนึ่งช่วยมั่วไป๋ถือมีด เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “มีดต้องจับไว้แน่นๆ ถึงบาดมือขึ้นมาจะทำยังไง”

 

 

           เขาพูดคำแสดงความเป็นห่วงเป็นใย แต่ในน้ำเสียงกลับมีความติดตลกอยู่

 

 

           มั่วไป๋ขบกรามแน่น เอ่ยเสียงต่ำ “นายปล่อยฉันสิ”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ปล่อยมือ ยังกระชับมือแน่นขึ้นอีก “ไม่ปล่อย”

 

 

           มือเขาข้างหนึ่งกุมมือมั่วไป๋ไว้ มืออีกข้างหนึ่งโอบเอวมั่วไป๋ไว้เหมือนพลาสเตอร์หนังหมาไม่มีผิด

 

 

           มั่วไป๋ทำอะไรเขาไม่ได้ ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ทำไส้ต่อไป

 

 

           ไป๋จิ่งกอดมั่วไป๋ไว้ อดจะแอบยิ้มในใจไม่ได้

 

 

           เขาหัวเราะคิกคักตัวสั่น มั่วไป๋ถูกเขาหัวเราะที่แม้แต่มีดก็ถือไม่ดี เขาหยุดการกระทำในมือลงเสียดื้อๆ แล้วหันหน้ามาถลึงตาใส่ไป๋จิ่ง “นายหัวเราะอีก ก็ออกไปเลย”

 

 

           ไป๋จิ่งโดนต่อว่า เขาก็รีบเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าทันที แต่มุมปากกลับหยุดเผยอขึ้นไม่อยู่

 

 

           ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นมา ไป๋จิ่งกับมั่วไป๋ก็อยู่กันในสภาพนี้อย่างเช่นตอนนี้มาตลอด

 

 

           ก็เหมือนกับที่มั่วไป๋พูดในวันนั้น เขาไม่สามารถจะเดินไปข้างหน้าอีกก้าวเดียวได้แล้ว ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่จะเป็นไป๋จิ่งที่เป็นฝ่ายมาวนเวียนอยู่กับมั่วไป๋ อยากจูบ อยากกอด

 

 

           แต่มั่วไป๋กลับไม่ได้เคยปฏิเสธไป๋จิ่งแม้สักครั้ง

 

 

           เขาอยากจะลองดูเหมือนกันว่าจะเดินกับไป๋จิ่งไปได้ถึงขั้นไหน

 

 

           กว่าจะทำไส้เสร็จไม่ใช่ง่ายๆ ไป๋จิ่งและมั่วไป๋ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ทั้งสองคนอยู่ห่อเกี๊ยวอยู่ข้างๆ

 

 

           บางครั้งบางคราวไป๋จิ่งเงยหน้ามองมั่วไป๋ ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

           ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้คืบหน้าไปมากเท่าไหร่นัก แต่มั่วไป๋ก็ไม่ขับไล่เขาแล้ว สำหรับไป๋จิ่งแล้วถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก

 

 

           ขอเพียงแต่มั่วไป๋ไม่ถอยหลังกลับไป ไม่ช้าก็เร็วสักเขาจะพามั่วไป๋เดินไปข้างหน้าได้

 

 

           ……

 

 

           “วันนี้อากาศใช้ได้ทีเดียว อยากออกไปซื้อของกับผมสักหน่อยไหม จะได้พาคุณไปตรวจด้วยพอดี”

 

 

           หลังจากกินอาหารเช้ากันแล้ว ไป๋จิ่งเอ่ยถามเสียงต่ำ

 

 

           มั่วไป๋คิดดูแล้ว ตัวเองก็ไม่มีธุระอะไร ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยได้ลงไปสักครั้ง ลงไปดูบ้างก็น่าจะได้

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยักหน้ารับ “ได้”

 

 

           หล้งจากกินอาหารเสร็จแล้ว ไป๋จิ่งขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า มั่วไป๋เก็บกวาดของบนโต๊ะ

 

 

           กว่ามั่วไป๋จะจัดการเสร็จ ไป๋จิ่งก็เปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาเรียบร้อยแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งถือเสื้อคลุมยาวมา “มา ใส่เสื้อคลุมไว้ ข้างนอกหนาว”

 

 

 

 

   ตอนที่ 603 อาการไม่ดี

 

 

           มั่วไป๋เอื้อมมือไปเตรียมจะรับเสื้อคลุมจากมือของไป๋จิ่ง แต่ไป๋จิ่งไม่ได้ส่งต่อให้เขา ตรงกันข้ามกลับกดมือเขาไว้ ช่วยเขาใส่เสื้อคลุมกับมือตัวเอง

 

 

           ยังเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะหนาว ยื่นมือไปติดกระดุมเสื้อคลุมให้เขาอีก

 

 

           มั่วไป๋มองเขาด้วยท่าทางระมัดระวัง อดจะพูดขึ้นไม่ได้ “ข้างนอกก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้น”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว เอื้อมมือไปหยิบผ้าพันคอแคชเมียร์สีดำจากด้านข้างมาพันคอให้มั่วไป๋โดยไม่ยอมให้มั่วไป๋เอ่ยแย้งใดๆ ทั้งสิ้น เห็นเขาห่อตัวอย่างแน่นหนาแล้ว ถึงได้ปล่อยมือลงด้วยความพอใจ

 

 

           มั่วไป๋มองดูตัวเองอย่างทำอะไรไม่ได้ เขาเป็นผู้ใหญ่มีมือมีเท้าคนหนึ่ง

 

 

           ทำไมต่อหน้าไป๋จิ่งถึงเหมือนกับคนซื่อบื้อไม่มีผิด ทำอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋พันตัวดีแล้ว ถึงได้จูงมือเขาออกประตูไป

 

 

           เวลานี้ได้เคลื่อนเข้าสู่เดือนธันวาคมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใบไม้ข้างนอกร่วงหล่นไปหมดแล้ว ดูโล่งตา

 

 

           พอพ้นประตูมาก็รู้สึกถึงสายลมหนาวระลอกหนึ่งได้

 

 

           ไป๋จิ่งมองมาทางมั่วไป๋ทันที “เป็นยังไงบ้าง หนาวหรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัวด้วยความขบขัน “นายห่อตัวฉันจนเหลือแค่ตาที่อยู่ข้างนอกแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งเอียงหน้ามองมั่วไป๋ ยิ้มหัวเราะด้วยความเคอะเขิน

 

 

           รถจอดอยู่ด้านข้าง ไป๋จิ่งเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาไปเปิดฮีทเตอร์ข้างในก่อน

 

 

           มั่วไป๋ยื่นมือไปดึงประตูรถเปิดออกแล้วเข้าไปนั่ง ไป๋จิ่งส่งแก้วเก็บอุณหภูมิจากด้านข้างมาให้ “ถือไว้อุ่นมือก่อนนะ”

 

 

           ตั้งแต่ส่งตัวมั่วไป๋จากโรงพยาบาลมาอยู่ที่นี่ ไป๋จิ่งก็ดูแลมั่วไป๋อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ

 

 

           ราวกับอยากเติมเต็มความเอาใจใส่ที่ขาดหายไปคืนให้มั่วไป๋ทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           มั่วไป๋ก้มหน้าลง รับแก้วจากในมือไป๋จิ่งมา อุณหภูมิกำลังดี ร้อนลวกบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนถือไม่ไหว

 

 

           มั่วไป๋กุมแก้วเอาไว้ อุณหภูมิความร้อนค่อยๆ แผ่ขยายจากฝ่ามือไปถึงข้างในหัวใจ ละลายหัวใจที่ปิดผนึกของมั่วไป๋ทีละนิดๆ

 

 

           รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ เส้นทางบนเขาไม่ค่อยดี ไป๋จิ่งขับรถค่อนข้างช้า ลงจากเขาไปทีละนิดๆ

 

 

           การเดินทางโดยใช้รถเป็นเวลาสองชั่วโมง เขาใช้เวลาสามชั่วโมงเต็มๆ กว่าจะลงเขามาได้

 

 

           หลังจากลงเขามาแล้ว ไป๋จิ่งขับรถพามั่วไป๋ไปยังโรงพยาบาลก่อน เขานัดเวลากับเหยียนอวี้แล้ว

 

 

           นี่เป็นการตรวจร่างกายครั้งแรกหลังจากการผ่าตัด เมื่อไป๋จิ่งถึงโรงพยาบาล เขาก็ตื่นตระหนกโดยอัตโนมัติ กว่าจะส่งตัวคนถึงมือเหยียนอวี้ไม่ใช่ง่ายๆ

 

 

           เหยียนอวี้พามั่วไป๋ไปทำการตรวจด้วยตัวเอง ไป๋จิ่งเข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงยืนรออยู่นอกประตู

 

 

           เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เหยียนอวี้ถึงได้เดินออกมาจากข้างใน

 

 

           พอไป๋จิ่งเห็นเหยียนอวี้ก็เอ่ยถามขึ้นทันที “เป็นยังไงบ้างครับ”

 

 

           เหยียนอวี้เห็นท่าทีร้อนรนของไป๋จิ่ง เขาก็อดจะยกยิ้มมุมปากขึ้นไม่ได้ สายตาประกายแผนการบางอย่าง

 

 

           เขาฉวยโอกาสก่อนที่มั่วไป๋ยังไม่ออกมา ทำหน้าตึงเครียดมองไป๋จิ่ง

 

 

           สีหน้าเหยียนอวี้ดูจริงจังมาก เขามองไป๋จิ่งพลางอ้าปากจะพูด หลังจากนั้นก็พูดไม่ออก

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเหยียนอวี้เป็นแบบนี้ เขาก็ร้อนใจขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น

 

 

           “เป็นยังไงบ้างครับ”

 

 

           เหยียนอวี้กังวลว่าเดี๋ยวสักครู่มั่วไป๋จะออกมา เสียงต่ำจึงเอ่ยขึ้น “ฟื้นตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ”

 

 

           เขาถอนหายใจเงียบๆ หลังจากนั้นก็ส่ายหัวเดินไป

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ออกเดินไปไกล สีหน้าก็หนักอึ้งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ‘ไม่ค่อยดีหมายความว่ายังไง’

 

 

           เขายังไม่ทันได้ถามต่อ มั่วไป๋ก็เดินออกมาจากข้างใน

 

 

           พอไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ เขาก็เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เอื้อมมือไปคว้าตัวคนเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลักไป๋จิ่งออก ปล่อยให้เขากอดตัวเองไว้ในอ้อมอก

 

 

           เพียงชั่วขณะหนึ่ง เขายกมือตบไป๋จิ่งเบาๆ “เป็นอะไรไป”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว ไม่ได้ถามมั่วไป๋ ถึงอย่างไรต่อให้ถามมั่วไป๋ มั่วไป๋ก็จะไม่บอกความจริงเขาอยู่ดี  

 

 

           ไป๋จิ่งคลายมือออกอย่างช้าๆ ส่งมือไปกุมมือมั่วไป๋ไว้ “ไปกันเถอะ พวกเรายังมีธุระอย่างอื่นที่ต้องทำ”

Related

ตอนที่ 600 นายอย่าทำอะไรวุ่นวายเลย

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินน้ำเสียงของมั่วไป๋ที่ค่อนข้างจะไม่นิ่งเท่าไหร่ เขาก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย มีใจชั่วร้ายอยากนึกแกล้งมั่วไป๋อย่างบอกไม่ถูก

 

 

           เขาจงใจกดเสียงต่ำ เอ่ยอย่างลึกลับ “คุณลองทายดูสิว่าผมกำลังทำอะไร”

 

 

           คนถูกปิดตาอยู่ ทำได้เพียงอาศัยการได้ยินมาคาดเดา แบบนี้ความกังวลที่พูดออกมาไม่ได้ก็ปรากฏขึ้นมาในใจมั่วไป๋

 

 

           โดยเฉพาะสาเหตุที่เกิดจากการมองเห็นถูกบดบัง เขาจึงรู้สึกว่าเหมือนเสียงพูดของไป๋จิ่งอยู่ข้างหูเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ในใจมั่วไป๋เริ่มจะตื่นตระหนกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขากำจานไว้แน่น เอ่ยอย่างหวาดหวั่น “ไป๋จิ่ง นายอย่าทำอะไรวุ่นวายเลย”

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมือไปจับไหล่เขาไว้ “ไม่ต้องกลัว ผมจะพาคุณไป”

 

 

           ด้วยเหตุนี้มือข้างหนึ่งเขาจึงปิดตามั่วไป๋ไว้ อีกมือหนึ่งก็โอบยึดตัวมั่วไป๋ไว้ ค่อยๆ เดินเข้าไปข้างในทีละนิดๆ

 

 

           มั่วไป๋มองไม่เห็นเข้าเดินอย่างช้าๆ ทุกๆ ก้าวระมัดระวังเป็นพิเศษทั้งหมด

 

 

           เวลาในนาทีนี้ค่อยๆ ถูกขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ

 

 

           ไม่รู้ว่าถูกไป๋จิ่งพาเดินมานานเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งข้างหูมีเสียงไป๋จิ่งดังขึ้นมา

 

 

           “โอเค ถึงแล้ว”

 

 

           ขณะที่ไป๋จิ่งพูดคำนี้ เขาก็ไม่เอามือที่ปิดมือมั่วไป๋ลง

 

 

           ทันใดนั้นจานในมือก็ถูกดึงออกไป ทันทีหลังจากนั้นในมือก็มีของมาเพิ่มอีกชิ้นต่อชิ้น ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งยัดอะไรเข้ามา เนื้อวัสดุเป็นแก้วเหมือนจะเป็นขวดโหล

 

 

           “เดี๋ยวคุณกอดของในมือไว้แน่นๆ ได้นะ”

 

 

           จู่ๆ เขาก็แนบชิดข้างหูพร้อมเอ่ยเสียงต่ำ ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากข้างหูมาทำให้มั่วไป๋หดคอเขาโดยอัตโนมัติ

 

 

           เขากระชับมือแน่น กอดขวดโหลในมือแน่นโดยอัตโนมัติ

 

 

           ทันทีหลังจากนั้นไป๋จิ่งถึงได้เอ่ยขึ้น “ลืมตาได้แล้ว”

 

 

           ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งปล่อยมือลงตั้งแต่เมื่อไหร่ แพรขนตายาวของมั่วไป๋สั่นเทา เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เห็นภาพที่ปรากฏตรงหน้าชัดเจนแล้ว รูม่านตาสีอ่อนหดตัวอย่างรุนแรง

 

 

           เรือนกระจกที่เดิมทีใช้พักผ่อน เวลานี้ได้ประดับไปด้วยดวงไฟเล็กๆ ที่ประกายแสงระยิบระยับอยู่เต็มไปหมด ตรงกลางมีโต๊ะตัวใหญ่วางอยู่ ข้างบนมีหม้อไฟที่ยังไม่ได้ตั้งเตาจุดไฟ

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน ไม่ค่อยจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่

 

 

           จิตใต้สำนึกสั่งให้เขามองไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งยักคิ้วให้เขา บอกใบ้ให้เขาก้มหน้าลง

 

 

           ขวดโหลแก้วที่เขาประคองอยู่ในมือ ข้างในมีลูกกวาดหลากสี ทุกรูปร่างหลากรูปแบบเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           มั่วไป๋ใช้เวลาอยู่นานมาก กว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ

 

 

           เขาอยากกำมือแน่นโดยจิตใต้สำนึกของเขา แต่มือยังหอบโหลลูกกวาดอยู่ หมดหนทางจะกำมือ

 

 

           “นาย…” มั่วไป๋คอเกร็งทันที แล้วเอ่ยต่อทันทีหลังจากนั้น “ทำไมต้องทำแบบนี้”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะทั้งรักทั้งสงสาร

 

 

           “ผมจำได้ คริสต์มาสคืนวันนั้น คุณเตรียมของมาทั้งบ่าย อยากจะกินหม้อไฟกับผม”

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างกายมั่วไป๋ เขายื่นมือไปหยิบขวดโหลแก้วในมือมั่วไป๋ลงมา แล้วจูงมือมั่วไป๋ทันทีหลังจากนั้น

 

 

           เขาจูงมือเขาเดินมาข้างหน้า เอ่ยปากอย่างช้าๆ “ขอโทษด้วย ครั้งนั้นผมไม่ได้กินดีๆ ดังนั้นครั้งนี้ คุณกินเป็นเพื่อนผมครั้งหนึ่งได้ไหม”

 

 

           เขาพูดไปก็พามั่วไป๋มาถึงที่หน้าเก้าอี้ มั่วไป๋ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ไม่ได้พูดว่าได้ แล้วก็ไม่ได้พูดว่าไม่ได้

 

 

           ในใจไป๋จิ่งตื่นตระหนก เขารู้ว่าตอนนี้ชดเชยส่วนที่ขาดจะช้าไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะช้าหรือไม่ เขาก็อยากจะลองดู

 

 

           ใบหน้าขาวผ่องของมั่วไป๋ภายใต้แสงไฟดูเหมือนจะซีดเซียวลงไปบ้าง

 

 

           ไป๋จิ่งหัวใจรัดตัวตัวแน่น เขาเอื้อมมือไปกระชับมือมั่วไป๋ไว้แน่น “กินเป็นเพื่อนผมครั้งหนึ่งนะ”

 

 

           ปลายนิ้วมั่วไป๋สั่นเทา จิตใต้สำนึกต้องการจะหนีห่างจากความอบอุ่นนี้ แต่ไป๋จิ่งตั้งใจแน่วแน่แล้ว ด้านได้อายอดก็จะไม่ปล่อยมือทั้งนั้น

 

 

           ดังนั้นเขาจึงกุมมือมั่วไป๋อย่างแน่นสนิท ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย

 

 

           มั่วไป๋ลองดูอยู่หลายครั้ง เขาก็ชักมือออกจากไป๋จิ่งไม่ได้สีกที จนสุดท้ายเขาก็ปล่อยให้อีกฝ่ายรั้งไว้แบบนี้

 

 

           

 

 

ตอนที่ 601 แสงแดดอุ่นในฤดูหนาว

 

 

           เขามองไป๋จิ่งด้วยความจนใจ “หม้อไฟที่พลาดไปก็ไม่จำเป็นต้องกินแล้ว เรื่องบางเรื่องต่อให้ชดเชยยังไง มันก็ชดเชยไม่ไหวแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งรั้งเขาไว้อย่างดื้อรั้น “ชดเชยไม่ไหว พวกเราก็เริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งสิ…

 

 

           …ตอนนี้คุณคือมั่วไป๋ พวกเราก็เริ่มต้นใหม่จากมั่วไป๋กัน”

 

 

           มั่วไป๋มองไป๋จิ่ง เอ่ยอย่างมีหลักการกับเขาอย่างจริงจัง “ถ้ายึดตามสิ่งที่นายมี สิ่งที่นายเป็น คนตั้งมากมายรอนายมาชอบ นอกจากฉันแล้ว นายเลือกคนได้อีกมากมาย พวกเขาน่าจะชอบนายได้มากๆ เลย”

 

 

           “นอกจากคุณ ผมก็ไม่ต้องการใครทั้งนั้น”

 

 

           เห็นได้ชัดว่ามั่วไป๋ไม่เคยเห็นไป๋จิ่งเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขนาดนี้ เพียงชั่วขณะไม่รู้จะแสดงท่าทีตอบสนองไปอย่างไรดี

 

 

           เขาถอนหายใจลึกๆ ยกนิ้วมือขึ้นมาชี้ที่หัวใจของตัวเอง “ตรงนี้ของฉันให้สิ่งที่นายต้องการไม่ไหว”

 

 

           ไป๋จิ่งเอื้อมมือไปกอดเขาไว้ เอ่ยเสียงเบาๆ “ไม่เป็นไร ผมให้สิ่งที่คุณต้องการได้”

 

 

           ขอเพียงแต่มั่วไป๋ยอมรับเขาใหม่อีกครั้ง เขามั่นใจว่าจะทำให้มั่วไป๋กลับไปเป็นหลินฝานที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาได้

 

 

           ถูกไป๋จิ่งกอดไว้ในอ้อมอกขนาดนี้ นิ้วมือมั่วไป๋แข็งทื่อไม่รู้ว่าจะวางตรงไหนดี

 

 

           เขากลัว กลัวว่าถึงแม้จะกลับมาคบกับไป๋จิ่งอีกครั้ง ระหว่างพวกเขาก็ยังต้องจบกันอยู่ดี

 

 

           แต่…อ้อมกอดของไป๋จิ่งอบอุ่นเกินไปแล้ว

 

 

           ดั่งแสงแดดอุ่นในฤดูหนาว มั่วไป๋ตัดใจออกห่างอ้อมกอดนี้ไม่ลง

 

 

           “มั่วไป๋ คุณเชื่อผมอีกเป็นครั้งสุดท้ายนะ คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ครั้งนี้ให้ผมทำเอง…

 

 

           …มั่วไป๋ ผมรักคุณ รักยิ่งกว่าที่คุณจะจินตนาการได้”

 

 

           ……

 

 

           หลังจากสองสัปดาห์ผ่านไป

 

 

           มั่วไป๋กำลังวาดรูปอยู่ในห้องสตูดิโอ เขาเพิ่งจะวาดรูปชุดสุดท้ายเสร็จ กำลังจะเตรียมวางพู่กันในมือลง

 

 

           กลอนประตูด้านข้างขยับ ไป๋จิ่งที่หัวยุ่งเพิ่งตื่นนอนเดินผ่านประตูเข้ามา เขาเห็นมั่วไป๋บนม้านั่งก็เดินเข้าไปหาด้วยความเคยชิน

 

 

           บนตัวมั่วไป๋ยังเลอะสีวาดรูปอยู่ ไป๋จิ่งเองก็ไม่สนใจ โน้มเข้าไปจูบมั่วไป๋ แล้วกอดมั่วไป๋ทันทีหลังจากนั้น พลางเอ่ยเสียงต่ำ “อรุณสวัสดิ์”

 

 

           มั่วไป๋เอามือสะกิดไป๋จิ่ง “ปล่อยก่อน บนตัวฉันมีสีติดอยู่”

 

 

           ไป๋จิ่งทำตัวกะล่อน มีสีติดแล้วยังไง กอดมั่วไป๋ได้ จะเลอะสีก็ไม่เป็นไร

 

 

           กอดอยู่พักหนึ่ง ไป๋จิ่งถึงเพิ่งปล่อยมือ “ตอนเช้าอยากกินอะไร”

 

 

           เขายังไม่ทันรอมั่วไป๋ตอบกลับ เขาก็ถามต่ออีกประโยค “เกี๊ยวน้ำเป็นไง”

 

 

           มั่วไป๋เงียบงันสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับ “ได้”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือจะถอดเสื้อคลุมเขาออก มั่วไป๋สะดุ้งตกใจ “นาย…”

 

 

           “คุณไม่คิดจะช่วยผมเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ชะงักงัน กว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ฉันทำเอง”

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าเสียดาย เหมือนว่าเสียดายมากที่ไม่ได้ช่วยมั่วไป๋ถอดเสื้อคลุมออก

 

 

           มั่วไป๋ถอดเสื้อคลุมออกอย่างรวดเร็ว ข้างในเป็นเสื้อไหมพรมสีขาวสะอาดตา

 

 

           มั่วไป๋เห็นสีที่เลอะอยู่หน้าอกเขา คิดดูแล้วน่าจะเกิดจากตอนที่กอดตัวเองเมื่อครู่นี้

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นสายตาคนตรงหน้าจดจ้องที่หน้าอกเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้ามองดู สายตาตกกระทบอยู่ที่สีดำนั้น เขายิ้มอย่างไม่สนใจ “อย่าว่านะ ยังดูดีทีเดียวเลย”

 

 

           มุมปากมั่วไป๋กระตุกแล้วกระตุกอีก ไม่อยากตอบกลับเขา

 

 

           โดนไป๋จิ่งลากลงมาถึงชั้นล่าง ไป๋จิ่งทำแป้งเกี๊ยว ส่วนมั่วไป๋ทำไส้อยู่ข้างๆ

 

 

           แสงแดดยามเช้าฉายสะท้อนกระจกในห้องครัวเข้ามา สาดส่องตกกระทบร่างของคนสองคนพอดี

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างๆ เชิดมุมปากขึ้น ทำแป้งเกี๊ยวอย่างจริงจัง

 

 

           มั่วไป๋มองดูใบหน้าที่ดูดีของเขา พลางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงวันนั้น

 

 

           อาจจะเพราะคืนนั้น ท้องฟ้ายามราตรีสวยเกินไป หลังจากไป๋จิ่งพวกคำนั้นออกมา คิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยคำรับปากไป๋จิ่งแล้ว

Related

ตอนที่ 598 เหยียนอวี้ให้คำแนะนำ

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่ามั่วไป๋ดื้อดึง ชอบไป๋จิ่งมาตลอด เขาจะช่วยไป๋จิ่งส่งตัวมั่วไป๋ไปให้ได้อย่างไร

 

 

           มั่วไป๋คนนี้คิดเยอะเกินไป กังวลมากเกินไป ใส่ใจไป๋จิ่งมากกว่าใคร เพราะว่ายิ่งเป็นคนที่ใส่ใจ ก็ยิ่งจะไม่กล้าตัดสินใจ

 

 

           เขาไม่อยากเห็นมั่วไป๋ทรมานตัวเองอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กักตัวเองอยู่ในโลกของตัวเองออกมาไม่ได้ ดังนั้นถึงได้รับปากยอมตกลงจะช่วย

 

 

           เขาเหยียนอวี้คือเพื่อนของมั่วไปตลอดไป

 

 

           เพราะเชื่อว่าไป๋จิ่งจะทำให้มั่วไป๋เปลี่ยนไปดียิ่งขึ้นกว่าเดิมได้ ดังนั้นถึงได้อนุญาตให้ไป๋จิ่งเข้าใกล้มั่วไป๋ได้

 

 

           ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่เขาจะช่วยเลย แม้แต่หน้าของมั่วไป๋ เขาก็จะไม่ให้ไป๋จิ่งได้เห็น

 

 

           คนเราทั้งชีวิตจะมีช่วงวัยเยาว์ได้มากแค่ไหน

 

 

           มั่วไป๋กับไป๋จิ่งพลาดมันมาหลายปีแล้ว

 

 

           เขาไม่อยากเบิกตาค้างมองดูมั่วไป๋มัดมือชกตัวเองไปแบบนี้

 

 

           “คุณคิดจะทำให้มั่วไป๋คืนดีกับคุณยังไงเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งขมวดคิว สองวันมานี้ลี่เจินก็ถามแบบนี้ เหยียนอวี้ก็ถามแบบนี้

 

 

           เดิมทีเขาคิดจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปกับมั่วไป๋ หนึ่งวันไม่ได้ก็สองวัน หนึ่งปีไม่ได้ก็สองปี

 

 

           ต้องมีสักวันที่เขาจะทำให้มั่วไป๋ประทับใจได้

 

 

           เหยียนอวี้ได้ยินแผนพิชิตใจอันยาวเหยียดของเขา พลางถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะพูดจาในแบบที่ไม่เป็นหมอเหยียนผู้เย็นชาออกมา “คุณเป็นหมูเหรอ”

 

 

           หลังจากมั่วไป๋คนนี้ออกมาในตอนนั้น เขาก็กักตัวเอง อยากจะทำให้เขาประทับใจอย่างเต็มที่ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ว่าครั้งก่อนใช้เวลานานขนาดนั้น

 

 

           ครั้งนี้ไป๋จิ่งคิดจะใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ เติมเต็มความรู้สึกเขา

 

 

           เหยียนอวี้ถอนหายใจ ไป๋จิ่งมีใจอดทนเสียจริงๆ

 

 

           ‘อย่างที่เขาว่า จับกดไปเลย จูบไปเลย กอดไปเลย หลับนอนกันไปเลย ก็สิ้นเรื่องไปแล้วไม่ใช่เหรอ’

 

 

           ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างชอบกันอยู่ทนโท่ แต่กลับยังทำเป็นบริสุทธิ์ใจอยู่ที่นี่

 

 

           เมื่อก่อนสองคนนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยทำ ผูกพันกันมาหลายปีขนาดนี้ ยังจะเก็บอาการได้อีก

 

 

           เหยียนอวี้เอามือกุมหัว พลางเอ่ยเสียงต่ำ “คุณยังจำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมั่วไป๋จีบคุณยังไง”

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักงัน  มั่วไป๋จีบเขาเหรอ

 

 

           เขามีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเร็วมาก มั่วไป๋ที่เหยียนอวี้เอ่ยถึง ควรจะเป็นหลินฝาน

 

 

           “ตอนนั้นเขาจีบคุณยังไง คุณก็จีบเขากลับไปยังงั้น”

 

 

           พูดจบเหยียนอวี้ก็กระแทกเสียงแล้ววางสายไป

 

 

           ไม่ใช่ว่าเขาไม่อดทน แต่พวกเขาสองคนช้าเกินไปแล้วจริงๆ ถ้ายึดตามความก้าวหน้าของพวกเขา ไม่แน่ว่าต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีถึงจะจับมือกันได้

 

 

           หลังจากเหยียนอวี้วางสายไป ไป๋จิ่งบีบมือถือไว้ จู่ๆ ก็ตอบสนองกลับมา

 

 

           ‘ใช่สิ ทำไมเขาถึงคิดไม่ถึงวิธีนี้’

 

 

           ไป๋จิ่งตาลุกวาว มีปฏิกิริยาตอบกลับในทันใด

 

 

           ในใจเขาเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ซัดมา ราวกับว่าแค่มองก็อยากกอดได้ อยากจูบได้อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           อดทนรอมาสองชั่วโมง กว่าลี่เจินจะลุกขึ้นมา

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งยองๆ อยู่หน้าประตูห้องลี่เจิน เธอเปิดประตูมา ไป๋จิ่งก็ยืนขึ้นทันที

 

 

           ลี่เจินสะดุ้งตกใจ เอามือตบอกเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ลูกอยากทำให้แม่ตกใจตายเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมือไปดึงประตูมา ตัวเองเดินเข้าไปแล้วปิดประตูทันทีหลังจากนั้น

 

 

           เขามองลี่เจินพลางเอ่ยเสียงต่ำ “แม่ เดี๋ยวผมจะให้คนไปส่งแม่กลับไปก่อนนะครับ”

 

 

           ลี่เจินเลิกคิ้ว เอ่ยออกมาโดยไม่ได้คิดก่อน “ลูกยังตามจีบเขาไม่ติด แม่ไม่ไป”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยต่อ “แม่กลับไปก่อน ผมรับรองจะรีบพาลูกสะใภ้ของแม่ไปหาแม่ให้เร็วที่สุดครับ”

 

 

           ลี่เจินทำหน้าไม่เชื่อ เธอคิดว่าตามไอคิวของไป๋จิ่งแล้ว ยากมากที่จะทำได้

 

 

           ด้วยเหตุนี้เธอจึงมองเขาด้วยความสงสัย “ลูกแน่ใจนะว่าลูกทำเองได้”

 

 

           อีกนิดไป๋จิ่งเหลือแค่สาบานแล้ว “แม่ครับ แม่เชื่อผม ผมรับประกันไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ ผมจะพาลูกสะใภ้แม่กลับไปครับ”

 

 

           ลี่เจินได้ยินเขาพูดแบบนี้ ถึงได้ลังเลอยู่สักพัก

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยเพิ่มอีกประโยค “แม่อยู่ที่นี่ มั่วไป๋ขี้อายขนาดนั้น ผมตามจีบเขาไม่สะดวกครับ”  

 

 

           

 

 

        ตอนที่ 599 เริ่มลงมือปฏิบัติการ

 

 

           ลี่เจินตาลุกวาว รู้สึกว่าในที่สุดแล้วลูกชายของเธอก็พูดประโยคที่มีหลักการได้เสียที

 

 

           ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยักหน้ารับ “โอเคก็ได้ งั้นแม่กลับไปก่อน ใจสู้ให้แม่หน่อยนะเรา อย่าทำให้ลูกสะใภ้แม่ตกใจจนวิ่งหนีไปล่ะ หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ถ้าลูกพาลูกสะใภ้แม่กลับมาไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกแม่ว่าแม่”

 

 

           ไป๋จิ่งรีบรับปากทันที กว่าจะสส่งคนกลับไปไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

 

 

           ก่อนจะไป ลี่เจินยังไม่ลืมที่จะพูดกับไป๋จิ่งว่า “เป็นฝ่ายเข้าหามั่วไป๋หน่อย ไม่มีอะไรเอะอะมาจูบมากอด แก้ปัญหาไม่ได้นะ”

 

 

           แน่นอนว่านี่คือการมีเงื่อนไขแรก

 

 

           เงื่อนไขแรกจำเป็นว่าคนคนนั้นชอบคุณ ถ้าไม่อย่างนั้นพุ่งเข้าไปกอดจูบก็คือพวกฉวยโอกาส

 

 

           แต่ว่าตามที่เธอสังเกตมาตอนเช้า มั่วไป๋ยังคงชอบลูกชายจอมซื่อบื้อคนนี้ของเธอมากอยู่

 

 

           ด้วยเหตุนี้ลี่เจินจึงออกจากคฤหาสน์ไป ในใจยังกำลังคิด ลูกชายเธอใจสู้ขึ้นมาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วจะพาคนมา เธอก็จะเปลี่ยนจากพี่สาวเป็นแม่ได้

 

 

           ……

 

 

           พอลี่เจินออกไปแล้ว ไป๋จิ่งเหมือนไปฉีดเลือดไก่[1]มาไม่มีผิด แรงสู้อยู่เต็มกาย

 

 

           เขาฮึกเหิมเต็มกำลัง ถือโอกาสจัดการตกแต่งคฤหาสน์ใหม่อีกครั้งไปด้วย

 

 

           ท้องฟ้ามืดแล้ว มั่วไป๋เอามือไปบีบนวดต้นคอที่ค่อนข้างจะเคล็ดอยู่ เขายืดเอวแล้วยืนขึ้นมา

 

 

           ดูเวลาแล้วก็เข้าสู่เวลาหนึ่งทุ่มกว่าๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

 

           มั่วไป๋วางสีในมือลง แล้วไปล้างมือทันทีหลังจากนั้น เวลานี้ถึงได้ถอดชุดคลุมกันเปื้อนที่ตั้งใจใส่กันสีเลอะออก

 

 

           ดึงประตูเปิดแล้วเดินออกไป คฤหาสน์ทั้งหลังเงียบเชียบมาก

 

 

           มั่วไป๋เลิกคิ้ว  ข้างในไม่มีคนแล้วเหรอ

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกแปลกใจไม่เบา อดจะคิดไม่ได้ว่าลี่เจินไม่อยู่ แม้แต่ไป๋จิ่งเองก็ไม่อยู่

 

 

           เขาเพิ่งจะเตรียมเดินออกไปข้างนอก ก็เห็นไป๋จิ่งเดินลงมาจากชั้นบน เขาเห็นมั่วไป๋แววตาก็ประกายรอยยิ้ม

 

 

           “วาดเสร็จแล้วเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้ารับ “พี่ลี่เจินล่ะ”

 

 

           ไป๋จิ่งซับเหงื่อบนหน้าปาก “มีธุระด่วนเลยกลับไปก่อนแล้ว”

 

 

           ‘ดังนั้นตอนนี้ในคฤหาสนี้ก็เหลือแค่ไป๋จิ่งกับตัวเองงั้นเหรอ’

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ยืนเซ่ออยู่ที่เดิม เขาก็เดินไปอยู่ข้างๆ มั่วไป๋ ก่อนจะเอื้อมมือไปจูงมือเขามาพาไปช่วยในห้องครัว

 

 

           มั่วไป๋โดนเขาดึงตัวไปแบบนี้ก็ตกใจอยู่ในที จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาอยากจะปลดมือไป๋จิ่งออก

 

 

           แต่ครั้งนี้ไป๋จิ่งไม่ได้ปล่อยมือ เขารั้งมือมั่วไป๋อย่างแน่นสนิท

 

 

           เขาลากคนมาจนถึงห้องครัว แล้วเอื้อมมือไปหยิบจานที่อยู่ข้างวางใส่มือมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋ชะงักงัน สงสัยนิดหน่อย “ถืออันนี้ไว้ทำไม”

 

 

           “ช่วยผมถือหน่อย ของผมเยอะ ถือไปไม่หมด”

 

 

           ในมือไป๋จิ่งกอดกล่องใบใหญ่ใบหนึ่งไว้ มั่วไป๋เองก็ไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร เห็นไป๋จิ่งไม่มีมือถือแล้วจริงๆ เขาก็หยิบจานทั้งหมดวางไว้ในมือ แล้วเดินตามไป๋จิ่งไป

 

 

           ไป๋จิ่งพาเขาขึ้นมาชั้นสาม มั่วไป๋เลิกคิ้วเล็กน้อย เขามาอยู่ตั้งนาน ยังไม่เคยขึ้นมาชั้นสามมาก่อน ไม่รู้ว่าบนชั้นสามจะมีอะไรได้

 

 

           หลังจากถึงทางขึ้นบันได ทันใดนั้นไป๋จิ่งก็เอ่ยขึ้น “คุณรอผมตรงนี้แป๊บเดียว”

 

 

           พูดจบ ไป๋จิ่งก็รีบวิ่งไป จากนั้นก็วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว

 

 

           เมื่อกลับมาอีกครั้ง ในมือก็ไม่มีกล่องใบใหญ่ใบนั้นแล้ว

 

 

           เขาเองก็ไม่ได้หยิบจานในมือมั่วไป๋ แต่เอามือขึ้นปิดตามั่วไป๋เสียดื้อๆ มั่วไป๋ตกใจในทันใด เกือบจะทำจานในมือร่วงแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำข้างหู “ระวังหน่อยนะ ในมือคุณยังมีจานอยู่”

 

 

           ด้วยเหตุนี้มั่วไป๋จึงจับจานไว้แน่น พลางเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนกไม่น้อย “นายปล่อยมือออกก่อนสิ ฉันมองไม่เห็นทาง”

 

 

           ไป๋จิ่งคิดว่าเขาไม่กล้าขยับมือ ดังนั้นถึงได้ปิดตาของเขาไว้

 

 

           ‘ถึงยังไงในมือของมั่วไป๋ก็ยังมีจานอยู่ จะไม่ขยับมือไปหรอก’

 

 

           “นี่คือจานทั้งหมดที่มีในบ้าน ถ้าทำตกพวกเราจะไม่มีของไว้ใช้กินข้าว” เขาหัวเราะเบาๆ ที่ข้างหูของมั่วไป๋ “คุณต้องจับไว้ให้แน่นแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋กลืนน้ำลายโดยไม่ตั้งใจ “ไป๋จิ่ง นายกำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่ ปล่อยมือก่อนสิ”

 

 

 

 

[1]  ฉีดเลือดไก่  มาจากความเชื่อทางการแพทย์จีนเมื่อยุคปี 60 ว่าการฉีดเลือดไก่เข้าตัวเป็นยารักษาสารพัดโรค (Chicken-blood therapy)

Related

ตอนที่ 596 มั่วไป๋เขินอายแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเอาของวางลงบนโต๊ะ เขารู้สึกว่ามั่วไป๋เหมือนจะดูแปลกๆ ไป ใบหน้าแดงระเรื่อ  เมื่อคืนคงจะไม่ได้เป็นหวัดหรอกใช่ไหม

 

 

           พอคิดถึงตรงนี้ ไป๋จิ่งก็ตื่นตระหนกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ตอนที่เขาพามั่วไป๋มาที่นี่ เหยียนอวี้กำชับมอบหมายเขาเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าการผ่าตัดจะสำเร็จมาก แต่ว่าก็ยังต้องระมัดระวังให้มากเช่นกัน

 

 

           ไป๋จิ่งเดิมดุ่มๆ ไปอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋ เขายื่นมือไปแตะหน้าผากมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋สะดุ้งตกใจ ถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ “นาย นายจะทำอะไร”

 

 

           เขาทำหน้าเตรียมป้องกัน มือไป๋จิ่งตกกลางอากาศ เอ่ยอธิบายด้วยความไม่สบายใจ “ผมเห็นหน้าคุณแดง เมื่อคืนเป็นหวัดหรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋โดนเขาเตือนขนาดนี้ ก็รีบเอามือลูบใบหน้าทันที ก็รู้แค่ใบหน้าที่ร้อนลวก ในใจมั่วไป๋ค่อนข้างอึดอัด

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเขาจะหน้าแดงเพราะไป๋จิ่ง

 

 

           เพราะการจดจ้องของไป๋จิ่ง มั่วไป๋จึงยิ่งรู้สึกว่าอุณหภูมิบนใบหน้ายิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เขาลนลานรีบมุ่งหน้าเดินออกไป เขายังไม่ลืมเอ่ยชี้แจง “ฉันไม่เป็นไร”

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของมั่วไป๋ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่นัก เขาเอื้อมคว้ามั่วไป๋ไว้

 

 

           ผลปรากฏว่ามั่วไป๋มีท่าทีตอบสนองที่ใหญ่เกินไป เท้าสองข้างพันเกี่ยวกัน สายตามองข้างหน้าพลางเซจะล้มลงไป

 

 

           ไป๋จิ่งสะดุ้งตกใจ เขารีบเอื้อมมือไปกอดมั่วไป๋

 

 

           ผลสุดท้ายทั้งสองคนล้มลงไปด้วยกัน ไป๋จิ่งนอนอยู่บนพื้น มั่วไป๋หลับตานอนคว่ำอยู่บนหน้าอกเขา

 

 

           หัวไป๋จิ่งกระแทกเข้ากับพื้นอย่างจัง เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น

 

 

           มั่วไป๋ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ กลับเป็นไป๋จิ่งที่ยังลุกขึ้นไม่ไหวสักที

 

 

           เมื่อมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาก็รีบยันตัวขึ้นมาจากบนตัวไป๋จิ่ง มองไป๋จิ่งด้วยความร้อนใจ “เป็นยังไงบ้าง ยังโอเคไหม”

 

 

           นาทีนั้นที่ล้มลงไป ยังมึนหัวอยู่หลายนาที แต่เพียงไม่นานก็ฟื้นคืนกลับมา

 

 

           หลังจากเห็นมั่วไป๋ยันตัวขึ้นมาแล้ว เขาเองก็เตรียมจะลุกขึ้น แต่ใครจะคิดว่ามั่วไป๋จะเอ่ยถามเขาด้วยความร้อนใจขนาดนี้

 

 

           เพียงชั่วครู่เดียวไป๋จิ่งก็ไม่อยากลุกขึ้นมากะทันหัน เขานอนอยู่บนพื้นเอามือกุมหัว ทำท่าเหมือนทรมานมาก

 

 

           มั่วไป๋ยื่นมือไปอยากจะดึงไป๋จิ่ง แต่ก็ไม่กล้าจะดึงไป๋จิ่งอยู่ดี

 

 

           ทำได้เพียงมองเขาด้วยความตื่นตระหนก “จะให้ฉันตามหมอมาให้นายไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นว่ามั่วไป๋ร้อนใจจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงรีบส่งมือไปรั้งมือมั่วไป๋ไว้ เอ่ยอย่างเชื่องช้า “ไม่…ไม่เป็นไร”

 

 

           ในที่สุดก็ได้ยินไป๋จิ่งเอ่ยปากพูดจา มั่วไป๋โล่งใจไปที

 

 

           “ต้องการให้ฉันพยุงนายขึ้นมานั่งบนโซฟาสักหน่อยไหม”

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขานอนบนพื้นอย่างน่าสงสาร เสียงต่ำจึงเอ่ยออกมา

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ยินว่ามั่วไป๋จะพยุงเขา เขาก็อยากจะพยักหน้ารับทันที แต่พอคิดว่าตอนนี้ตัวเองเป็นคนบาดเจ็บ พยักหน้าทันทีจะได้ไม่ขัดแย้งกัน

 

 

           ดังนั้นไป๋จิ่งจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ ทั้งยังทำหน้าตาอ่อนแอมองมั่วไป๋อีก

 

 

           มั่วไป๋เองก็ไม่ได้สงสัยอะไร ส่งมือไปดึงไป๋จิ่งขึ้นมา แล้วพยุงเขาอย่างระมัดระวังไปถึงหน้าโซฟาทันทีหลังจากนั้น

 

 

           ที่มุมหนึ่งในห้องชั้นล่าง ลี่เจินแอบดูอยู่ข้างๆ อยู่ตลอด เห็นไป๋จิ่งทำตัวอ่อนแอเหมือนลมพัดมาตัวก็ปลิวได้ เธออดจะขบกรามแน่นไม่ได้

 

 

           ถึงแม้ว่าแผนเจ็บตัวเพื่อให้อีกฝ่ายวางใจ จะน่าขายหน้าไปสักหน่อย

 

 

           แต่ว่าช่างเถอะๆ เพื่อจะได้มีลูกสะใภ้ เธอทนไปก่อนชั่วคราวก็ได้

 

 

           มั่วไป๋ประคองไป๋จิ่งมาถึงที่โซฟา พลางมองเขาด้วยความตื่นตระหนก “ตอนนี้ดีขึ้นบ้างไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าทำให้มั่วไป๋มาประคองเขาได้ เขาก็ดีใจไม่ไหวแล้ว ยังจะแสร้งทำเป็นอ่อนแอต่อไปก็ออกจะเกินไปสักหน่อย

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาเอามือกุมหัว ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แค่เวียนหัวนิดหน่อย อย่างอื่นโอเคมาก”

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาบอกว่าเวียนหัว คิดดูแล้วก็พูดขึ้น “งั้นนายพักอีกสักหน่อยไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัวเบาๆ “ไม่ต้องหรอก อาหารเช้าผมยังทำไม่เสร็จ”

 

 

           มั่วไป๋กัดฟันเอ่ยเสียงต่ำ “นายเอนหลังนอนเถอะ ฉันทำเอง”

 

 

           ไป๋จิ่งตาลุกวาว มั่วไป๋ทำอาหารเหรอ ดีใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทำยังไงดี

 

 

           เขาแกล้งทำสีหน้าลำบากใจมองมั่วไป๋ “ผมไม่เป็นไรจริงๆ ให้ผมทำเองเถอะ”

 

 

             

 

 

ตอนที่ 597 รักปักดวงใจ

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาพูดขัดอยู่ตรงนี้ตลอด จึงยื่นมือไปกดคนตรงหน้าไว้ “พอแล้ว นอนซะ ฉันไปเอง”

 

 

           พูดจบ มั่วไป๋ยืนขึ้นมุ่งหน้าเดินไปยังห้องครัว

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งอยู่บนโซฟา อยากจะย่องเข้าไปดูมั่วไป๋  ไม่พูดอย่างอื่น อยู่ข้างๆ ส่งของให้ก็ได้

 

 

           แต่พอคิดว่าถ้าเวลานี้ตัวเองเข้าไป จะเป็นการขัดกับที่แสดงมาแล้ว

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงจำใจต้องนั่งรอบนโซฟาอย่างว่าง่าย

 

 

           ยังดีที่ห้องครัวทั้งหมดโปร่งใส ตอนที่เขาตกแต่งในตอนแรก เขาใช้กระจกกั้นไว้ทุกส่วน

 

 

           ตอนนี้นั่งบนโซฟาก็เห็นเงาร่างของมั่วไป๋ได้พอดี

 

 

           ไป๋จิ่งพิงโซฟา สายตาจดจ่อที่มั่วไป๋ ไม่ละสายตาไปไหน

 

 

           มั่วไป๋ทำอาหารเช้านานเท่าไหร่ เขาก็อยู่ที่หน้าประตูมองดูนานเท่านั้น

 

 

           ลี่เจินเห็นสายตานั้นของลูกชายตัวเอง เธอถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้  แค่มองจะมีประโยชน์อะไร ชิงตัวคนมาถึงมือแล้ว จะมองยังไงก็ได้ไม่ใช่เหรอ

 

 

           ในฐานะที่เธอเป็นแม่ แต่เพื่อชีวิตที่มีความสุขของไป๋จิ่ง เธอต้องรักปักดวงใจ

 

 

           ……

 

 

           หลังจากกินอาหารกันเสร็จ เดิมทีไป๋จิ่งคิดอยากจะซ่อมแซมเตียงหลังนั้น แต่จะทำอย่างไรได้ลี่เจินพังเตียงเสียไม่เป็นชิ้นดี จึงซ่อมแซมได้ไม่ดีอยู่แล้ว

 

 

           ดังนั้นสุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงยอมแพ้แล้ว

 

 

           ‘แน่นอน ที่จริงไป๋จิ่งก็แค่ทำท่าทางไปเท่านั้น เขาจะอยากซ่อมแซมจริงๆ ซะที่ไหน’

 

 

           พอได้ยินว่าเตียงพัง เขาก็อดจะดีใจไม่ได้

 

 

           ถึงอย่างไรแบบนี้ เขาก็จะนอนเบียดอยู่เตียงเดียวกันกับมั่วไป๋อย่างเปิดเผยได้

 

 

           ถึงแม้ว่าเตียงจะซ่อมไม่ได้ แต่ว่าฮีทเตอร์ กลางดึกเมื่อคืนลี่เจินก็ให้คนมาเดินเครื่องใหม่แล้ว

 

 

           ถึงอย่างไรวันที่หนาวขนาดนี้ ไม่มีฮีทเตอร์ มันหนาวเดินไปแล้วจริงๆ มั่วไป๋เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล ถ้าให้เครื่องเสียต่อไป น่าสงสารน่าดู

 

 

           ในยามปกติมั่วไป๋เองก็ไม่มีเรื่องอย่างอื่นทำ งานอดิเรกเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการขลุกตัวอยู่ในบ้านวาดรูป

 

 

           หลังจากกินอาหารกันเสร็จ มั่วไป๋อยู่กับลี่เจินสักพัก ก่อนจะขึ้นไปวาดรูปอยู่ชั้นบนแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งกับลี่เจินไม่ได้ไปรบกวนเขา

 

 

           สำหรับจุดนี้ ทัศนคติของทั้งสองคนเหมือนกัน คือสนับสนุนงานอดิเรกความชอบและการทำงานของมั่วไป๋เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

 

 

           มั่วไป๋ขึ้นชั้นบนไปแล้ว ลี่เจินก็ลากไป๋จิ่งมาที่สวนดอกไม้ข้างหลัง

 

 

           ทั้งสองคนอยู่ในสวนดอกไม้ ไป๋จิ่งเอ่ยถามลี่เจิน “แม่ แม่จะกลับไปเมื่อไหร่ครับ”

 

 

           ลี่เจินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ลูกยังจัดการเรื่องเขาไม่ได้เลย แม่จะไปได้ยังไง”

 

 

           ไป๋จิ่งเอามือกุมหน้าผาก  ปัญหาคือแม่เขาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรสิ

 

 

           แน่นอนว่าประโยคนี้ ไป๋จิ่งไม่กล้าพูด ถ้าเขาพูดไป คาดว่าแม่เขาต้องเล่นงานเขาตายแน่

 

 

           “งั้นแม่เตรียมจะทำอะไรครับ” ไป๋จิ่งชักจะสงสัยแล้วจริงๆ  ว่าตกลงแล้วแม่เขาจะก่อการอะไรอีก

 

 

           ลี่เจินมองบนใส่เขา “ลูกจะมากังวลอะไรขนาดนั้นไปทำไม เจตจำนงของฟ้ามิอาจแพร่งพราย รอต่อไปเดี๋ยวลูกก็รู้แล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ เขาก็ทำได้เพียงแค่นั่งรอ

 

 

           ลี่เจินนั่งไปสักพัก เธอรู้สึกง่วงประมาณหนึ่งแล้ว เธอนอนตอนบ่ายจนชิน ดังนั้นจึงขึ้นไปงีบข้างบนคฤหาสน์แล้ว

 

 

           ตอนนี้ไป๋จิ่งอยู่ชั้นล่าง เพียงไม่นานก็ได้รับสายโทรเข้ามาจากเหยียนอวี้

 

 

           พอเหยียนอวี้โทรติด เขาก็เอ่ยถามไป๋จิ่งไปตรงๆ ทันที “คุณตามจีบเขากลับมาได้หรือยัง”

 

 

           ไป๋จิ่งขัดใจจนไม่อยากพูดจากับเหยียนอวี้แล้ว เขาเป็นพวกไม่รู้เรื่องไหนมักถามถึงเรื่องนั้นอย่างชัดเจน

 

 

           ถ้าเขาตามจีบมั่วไป๋กลับมาได้ จะไม่ป่าวประกาศโม้ไปทั่วว่าเขาสละโสดแล้วเหรอ

 

 

           “ดูท่าว่าจะยังโดดเดี่ยวเดียวดาย”

 

 

           เหยียนอวี้ถอนหายใจเงียบๆ ไม่ค่อยสบายใจอย่างไรชอบกล

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินประโยคนี้ก็อยากจะวางสายแล้ว

 

 

           “นี่ตกลงคุณยืนอยู่ฝั่งผมหรือเปล่า”

 

 

           “หึ” เหยียนอวี้ทำเสียงพ่นลมหายใจ “ผมไม่เคยยืนอยู่ฝั่งคุณมาแต่ไหนแต่ไร ผมกับคุณก็ไม่ใช่เพื่อนกัน ยืนอยู่ฝั่งคุณเพื่ออะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งโกรธจนแทบจะกระอักเลือด

 

 

           “งั้นคุณจะช่วยผมทำไม”

 

 

           “คุณเข้าใจผิดแล้ว ที่ผมช่วยไม่ใช่คุณ เป็นมั่วไป๋ต่างหาก”

Related

ตอนที่ 594 อย่าแทรกแซงเลยจะดีกว่า

 

 

           ในห้องเงียบสงบมาก แม้แต่เสียงลมหายใจยังได้ยินได้ชัดเจนเป็นพิเศษ

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แพรขนตาของมั่วไป๋สั่นเทา เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ภาพแรกที่เข้าตาคือใบหน้าหล่อเหลาของไป๋จิ่ง

 

 

           เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวตื่น ยังสะลึมสะลือไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาอดไม่ได้ที่จะกะพริบตาปริบๆ

 

 

           จนกระทั่งนาทีนั้นที่แน่ใจแล้วว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดไป๋จิ่ง นัยน์ตามั่วไป๋ฉายสะท้อนความกระวนกระวายขึ้นมาแวบหนึ่ง

 

 

           จิตใต้สำนึกสั่งให้เขามองตัวเองกับไป๋จิ่ง เขาถูกไป๋จิ่งกอด มือก็ยังวางอยู่บนเอวของไป๋จิ่ง

 

 

           เงยหน้าขึ้นมาก็ชนเข้ากับคางไป๋จิ่งได้

 

 

           นั่นเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบที่สนิทชิดเชื้อกันมาก

 

 

           มั่วไป๋ทำอะไรไม่ค่อยได้ อยากเอามือผลักไป๋จิ่งออก แต่ชักช้าไม่กล้ายื่นมือออกไป ยื้ออยู่อย่างนี้ ยังไม่ทันรอมั่วไป๋พูดจา จู่ๆ ไป๋จิ่งที่อยู่ข้างกายก็ขยับตัวขึ้นมา

 

 

           มั่วไป๋ตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น ไม่คิดอะไรก่อนทั้งนั้น เขาหลับตาลงทันที

 

 

           หลังจากรอเขาหลับตาลงไปแล้ว มั่วไป๋ถึงค่อยก่นด่าตัวเองอย่างไร้เสียง เขาจะหลับตาลงไปเพื่ออะไร เขามีอะไรต้องกลัว

 

 

           ด้านข้างขยับตัวแล้ว มั่วไป๋เองก็ไม่อยากจะลืมตาขึ้นมาในเวลานี้ ถ้าหากว่าเจอเข้ากับไป๋จิ่งพอดี กลับจะยิ่งวางตัวไม่ถูกไปมากกว่าเดิม

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นใบหน้าที่อยู่ในระยะใกล้มาก เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

 

           เขายกมุมปากขึ้น แทบอยากจะกอดเขาไว้อย่างนี้ วันแล้ววันเล่าจนกระทั่งแก่เฒ่าไปด้วยกัน

 

 

           แต่ไหนแต่ไรไป๋จิ่งเมื่อตื่นก็จะลุกทันที แต่นาทีนี้เขากลับไม่อยากลุกขึ้นมา อยากแค่เพียงนอนอยู่บนเตียงมองเขาไม่ขยับไปไหน

 

 

           มั่วไป๋ถูกสายตาแบบนั้นของเขาจับจ้อง อารมณ์ในใจก็สับสนซับซ้อน เป็นครั้งแรกที่พบว่าการแกล้งหลับนั้นทรมานเกินไปแล้วจริงๆ แล้วไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่ยังไม่ลุกขึ้นอีก เอาแต่มองเขาอยู่อย่างนี้

 

 

           รออยู่ตั้งนานสองนาน สายตาที่พุ่งตรงมายังใบหน้าก็ไม่เคลื่อนย้ายไปเสียที

 

 

           ขณะที่มั่วไป๋รู้สึกว่าตัวเองใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว ไป๋จิ่งก็ขยับได้สักที

 

 

           มั่วไป๋ผ่อนลมหายใจโดยไม่รู้ตัว ในใจคิดว่าในที่สุดเขาก็ลุกแล้ว

 

 

           แต่สายตาตรงหน้ากลับมืดลงกะทันหัน ต่อด้วยความอุ่นร้อนบนริมฝีปาก

 

 

           มั่วไป๋กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะฉวยโอกาสตอนที่เขานอนหลับลอบจูบเขา

 

 

           สัมผัสจางๆ บนริมฝีปาก ไป๋จิ่งแตะริมฝีปากอย่างแผ่วเบา ก่อนจะถอยห่างเพิ่มระยะระหว่างคนสองคน

 

 

           ทันทีหลังจากนั้นไป๋จิ่งก็ลงจากเตียงไปอย่างเบาเสียง

 

 

           รออีกไม่กี่นาที ไป๋จิ่งล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ถึงเพิ่งจะออกจากห้องไป

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งไป ในที่สุดหัวใจมั่วไป๋ที่เกร็งแน่นมาตลอดก็ผ่อนคลายลงได้ เขาลืมตาขึ้น มองดูห้องที่ว่างเปล่า ในใจมีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก

 

 

           เขายกมือขึ้นสัมผัสที่ริมฝีปากของเขา

 

 

           เหมือนบนนั้นจะยังคงเหลืออุณหภูมิของไป๋จิ่งที่ร้อนแผดเผาจนหน้าตกใจ

 

 

           มั่วไป๋ปลายนิ้วสั่นเทา อดไม่ได้ที่จะเอาหัวแดงๆ ของตัวเองมุดหมอนเข้าไป

 

 

           ‘ทำยังไงดี’ …มั่วไป๋รู้สึกว่าตัวเองย่ำอยู่กับที่เกินไปแล้วจริงๆ หัวใจสั่นไหวอีกครั้ง เพียงเพราะไป๋จิ่งจูบเขาอย่างฉาบฉวยเหมือนแมลงปอบินระน้ำ

 

 

           ……

 

 

           ไป๋จิ่งลงไปชั้นล่าง พบว่าลี่เจินตื่นลงมาตั้งแต่เช้าแล้ว เวลานี้ถึงได้ฟังเพลงอ่านหนังสืออยู่ชั้นล่างได้

 

 

           ลี่เจินเห็นไป๋จิ่ง เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าลูกชายตัวเองที่เมื่อคืนจะนอนโซฟา ทำไมถึงไม่อยู่บนโซฟา แต่ลงมาจากชั้นบนแทน

 

 

           เธอมองดูไป๋จิ่ง จงใจกะพริบตาปริบๆ

 

 

           ไป๋จิ่งยกมือขึ้นกดที่หัว ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้

 

 

           ลี่เจินถาม “มั่วไป๋ล่ะ ยังนอนอยู่เหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งขานรับ “ครับ ยังไม่ตื่น”

 

 

           ลี่เจินตาลุกวาว กวักมือเรียกเขามา “มาๆ บอกกับแม่สิ มีความคืบหน้าอะไรไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งกุมหัว รู้สึกว่าแม่ตัวเองไม่ไปเป็นนักข่าวเสียดายแย่แล้ว

 

 

           “แม่ ในฐานะเป็นผู้ใหญ่ของบ้าน เก็บอาการสักนิดนึงจะได้ไหมครับ”

 

 

           ลี่เจินตบเขาเบาๆ “ไม่ต้องมาแขวะแม่เลย แม่อยากดูว่าเราสองคนไปถึงไหนกันแล้ว จะได้เริ่มแผนการต่อไป”

 

 

           “แม่ แม่อย่าแทรกแซงเลยจะดีกว่าครับ”     

 

 

                   

 

 

ตอนที่ 595 ไป๋จิ่งผู้ถูกโจมตีอยู่เป็นนิจ

 

 

           ลี่เจินถลึงตาใส่เขา “แม่แทรกแซงเหรอ เจ้าลูกตัวแสบ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ เมื่อคืนลูกจะได้นอนกอดเขาทั้งคืนเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่อยากจะยอมรับโดยสิ้นเชิง แต่จะทำอย่างไรได้ แม่เขาพูดมาไม่ผิดเลยสักนิด ถ้าไม่ใช่เพราะแม่เขาพังเตียง ทำฮีทเตอร์ให้หยุดทำงาน เขาก็กอดมั่วไป๋นอนแบบนี้ไม่ได้จริงๆ

 

 

           แต่ว่าเขาเป็นผู้ชายตัวโตคนหนึ่งที่ยังต้องให้แม่ออกมาช่วยเรื่องจีบคน คำพูดนี้ฟังดูแล้ว ตรงไหนก็ไม่ปกติ

 

 

           ‘ดูเหมือนว่าเขาจะใช้ไม่ได้เกินไปใช่ไหม’

 

 

           “อย่าบอกแม่นะ ว่าเมื่อคืนลูกไม่ได้ฉวยโอกาสกอดมั่วไป๋ไว้” ลี่เจินทำหน้าตาสงสัยใคร่รู้ ทั้งยังรู้สึกเสียดายไม่เบาราวกับว่าเสียใจทีหลังที่เมื่อคืนไม่ได้ย่องไปแอบดู

 

 

           มุมปากไป๋จิ่งกระตุกแล้วกระตุกอีก รู้สึกมาตลอดว่าสีหน้าแบบนี้ของแม่เขาไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่  ดูพิลึกๆ ยังไงชอบกล นี่มันเกิดอะไรขึ้น

 

 

           “เจ้าตัวแสบ แม่ชอบมั่วไป๋มากๆ รีบตามจีบเขากลับมามให้ได้เร็วๆ หน่อยจะดีที่สุด แม่ยังรอให้เขาเรียกแม่ว่าแม่อยู่นะ”

 

 

           ลี่เจินตบไป๋จิ่งเบาๆ “ได้ยินไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งรีบพยักหน้าทันที “ได้ยินแล้วครับๆ”

 

 

           เขาเองก็อยากตามจีบมั่วไป๋กลับมาให้ได้ แบบนี้ต่อไปอ้อมกอดก็จะไม่ต้องว่างแล้ว

 

 

           พอนึกถึงภาพที่กอดมั่วไป๋จนตื่นมาตอนเช้า ไป๋จิ่งก็อดจะให้กำลังใจตัวเองไม่ได้

 

 

           ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าการจีบมั่วไป๋กลับมาแล้ว

 

 

           ลี่เจินเห็นเขายืนเซ่ออยู่ที่เดิม เธอก็ยกเท้าถีบใส่เขาไปที “ยืนอยู่ทำไม ไปทำอาหารเช้าสิ”

 

 

           ไป๋จิ่งมึนงง

 

 

           ลี่เจินกวาดสายตามองเขาปราดเดียว “อะไรกัน ลูกจะง้อเมีย ยังต้องให้แม่ทำเหรอ”

 

 

           เธอรู้สึกว่าลูกชายจอมซื่อบื้อของตัวเองเกินเยียวยาแล้วจริงๆ

 

 

           ‘เอาอกเอาใจเข้าใจไหม’ คิดถึงภาพมั่วไป๋ตื่นมาแล้วเดินตามกลิ่นหอมจนมาเจอไป๋จิ่งผู้หล่อเหลาอยู่ข้างใน

 

 

           หลังจากนั้นแสงแดดก็ตกกระทบรับกับร่างกายของลูกชายเธอเองพอดี

 

 

           ไป๋จิ่งรับความรู้สึกจากสายตาของมั่วไป๋ได้ เขาหันหน้ามาเล็กน้อย มองมั่วไป๋แล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ

 

 

           ลี่เจินแค่จินตนาการแบบนี้ เธอก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองจะละลายแล้ว

 

 

           ภาพนี้ใครก็ต้านทานไม่ไหว

 

 

           ลี่เจินจินตนาการอยู่ตั้งนานสองนาน กำลังอยากจะยิ้มหวาน ผลปรากฏว่าเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างๆ

 

 

           ลี่เจินเดือดดาลขึ้นในพริบตาแล้ว เธอถลึงตาใส่ไป๋จิ่ง “ยังไม่รีบไปอีก ยืนอยู่ตรงนี้ทำอะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งถูกลี่เจินไล่เข้าห้องครัวไปตั้งแต่เช้าตรู่ เตรียมจะทำอาหารเช้าให้ได้ความชอบจากมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋นอนอืดอาดอยู่ข้างบนพักใหญ่ๆ เสียเวลาอยู่ตั้งนานกว่าจะลากตัวเองออกมาจากผ้าห่ม

 

 

           เมื่อยืนอยู่หน้ากระจก มั่วไป๋เห็นตัวเองที่มีทรงผมยุ่งเหยิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเงียบๆ

 

 

           ตัวเองในสภาพแบบนี้ ไป๋จิ่งก็จูบลงไปได้

 

 

           เขาล้างหน้าแปรงฟันแล้วค่อยลงไปชั้นล่าง

 

 

           ที่ชั้นล่างมีกลิ่นหอมโชยมา มั่วไป๋คิดว่าลี่เจินอยู่ข้างใน จึงรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป

 

 

           ใครจะคิดว่าเดินเข้าไปแล้ว จะพบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างในไม่ใช่ลี่เจิน แต่เป็นไป๋จิ่ง

 

 

           ถ้าเป็นในยามปกติ มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่ง ในใจก็สงบนิ่งโดยธรรมชาติ

 

 

           แต่นาทีนี้เมื่อมั่วไป๋พบเงาร่างของไป๋จิ่ง จิตใต้สำนึกก็สั่งให้เขาเบนสายตาหนี

 

 

           เขาไม่กล้ามองไป๋จิ่ง ยามเห็นไป๋จิ่งก็จะนึกถึงภาพตอนตื่นเมื่อเช้าทันที

 

 

           เรื่องที่ดูสนิทชิดเชื้อกว่านี้ก็เคยทำกับไป๋จิ่งมาหมดแล้ว

 

 

           แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อคืนพวกเขาไม่ได้ทำอะไรกัน เพียงแค่นอนหลับ โอบกอดกัน ตอนเช้าแอบจูบก็เท่านั้นเอง

 

 

           แต่เรื่องง่ายดายขนาดนี้กลับทำให้หัวใจมั่วไป๋เต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           มีสิ่งของอะไรบางอย่างค่อยๆ หลุดออกมาจากใจเขาทีละนิดๆ หลังจากแตกตัวแล้วก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปอย่างช้าๆ

 

 

           “ตื่นแล้วเหรอ”

 

 

เสียงไป๋จิ่งดังขึ้นมากะทันหัน มั่วไป๋เงยหน้ามอง ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งเดินออกมาจากข้างในตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือยังถือจานอีกด้วย

 

 

           มั่วไป๋ว้าวุ่นใจ ไม่กล้าจะสบตากับไป๋จิ่ง เขาขานรับแบบขอไปที แล้วรีบเอ่ยถามทันทีหลังจากนั้น “แม่นายล่ะ”

Related

ตอนที่ 592 ฮีทเตอร์เสียแล้ว

 

 

           เขาก็นั่งไปแบบนี้อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง จู่ๆ มั่วไป๋รู้สึกว่าอุณหภูมิค่อยๆ ต่ำลงอย่างช้าๆ

 

 

           มั่วไป๋คิดว่าตัวเองเข้าใจผิด

 

 

           รออีกสิบกว่านาที อุณหภูมิในห้องลดลงไปทั้งอย่างนี้ มั่วไป๋ยืนขึ้นเดินไปยังช่องระบายอากาศ บริเวณที่เป่าลมอุ่นแต่เดิมได้หยุดลงแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย อุณหภูมิในห้องลดต่ำลงไปมากแล้ว เสื้อผ้าที่เขาใส่อย่างเรียบๆ รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นบ้างแล้ว

 

 

           คิดได้เช่นนี้ มั่วไป๋นั่งไม่ค่อยติดแล้ว

 

 

           ถ้าให้ไป๋จิ่งนอนแบบนี้ทั้งคืน พรุ่งนี้ตื่นมาต้องเป็นหวัดอย่างแน่นอน

 

 

           ด้วยเหตุนี้กลางดึกมั่วไป๋ดึงประตูเปิดออก เดินลงไปอย่างเงียบๆ ความมืดมนปกคลุมห้องรับแขก เขาไม่ได้เปิดไฟ เดินตามแสงจันทร์มุ่งหน้าเข้าไปข้างใน

 

 

           แม้จะสลัวแต่ก็ยังเห็นไป๋จิ่งบนโซฟาได้ ใส่เสื้อผ้าบางชั้นเดียวนอนอยู่บนนั้น

 

 

           มั่วไป๋เดินไปหยุดอยู่ต่อหน้าไป๋จิ่ง ยื่นมือไปตบไป๋จิ่งเบาๆ

 

 

           เดิมทีไป๋จิ่งยังไม่ได้นอน เพียงแต่ว่าเขาได้ยินเสียง ดังนั้นจึงไม่ได้ขยับก็เท่านั้นเอง เดิมทีเขาคิดว่าเป็นแม่เขา กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งเบิกตามองดูมั่วไป๋ท่ามกลางความมืด เขากะพริบตาปริบๆ เหมือนจะยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา

 

 

           ‘ทำไมจู่ๆ มั่วไป๋ถึงลงมาได้’

 

 

           ไม่ได้รอเขาถาม มั่วไป๋ก็เอ่ยขึ้น “ฮีทเตอร์เสียแล้ว อยากจะขึ้นไปไหม”

 

 

           เดิมทีมั่วไป๋อยากจะพูดว่านอนด้วยกันกับเขา แต่ว่าก็รู้สึกว่าพูดแบบนี้ค่อนข้างจะดูสนิทกันเกินไปแล้ว กลัวไป๋จิ่งจะคิดฟุ้งซ่าน ด้วยเหตุนี้ถึงได้เปลี่ยนคำพูด

 

 

           ไป๋จิ่งตาลุกวาว มองมั่วไป๋อย่างไม่อาจจะช่วยได้ เขากลัวว่าตัวเองจะได้ยินผิดไป อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามประโยคหนึ่ง “ไปไหน”

 

 

           มั่วไป๋ “…”

 

 

           ชัดเจนว่าเขารู้อยู่แล้วแต่จงใจถาม ก็มีอยู่สองห้อง  เขาควรจะไปไหน

 

 

           เขามองบนใส่ไป๋จิ่ง แล้วหันหลังเดินไป “นายอยากจะไปไหนก็ไป”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ไม่ชอบใจแล้ว เขาก็รีบล็อคข้อมือมั่วไป๋ทันที “ไปๆๆ ผมจะไปตอนนี้เลย”

 

 

           นอนห้องเดียวกันกับมั่วไป๋ได้  เขาจะไม่ไปได้ยังไง

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งตะกายขึ้นมาจากโซฟา ยืนอยู่ข้างกายมั่วไป๋ด้วยความดีใจ

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาลุกขึ้น เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เดินขึ้นชั้นบนไปทั้งอย่างนี้

 

 

           เขาเดินไป ไป๋จิ่งก็เดินตามเขาขึ้นไปด้วยกัน

 

 

           ไป๋จิ่งเดินตามอยู่ข้างกายมั่วไป๋ ในใจลิงโลด ทันทีที่คิดถึงว่าได้นอนด้วยกันกับมั่วไป๋ เซลล์ทั่วร่างกายก็เริ่มจะทนไม่ไหวกระโดดโลดเต้นขึ้นมา

 

 

           อุณหภูมิในห้องลดต่ำลงไม่น้อยจริงๆ ยืนอยู่ข้างในแบบนี้ก็รู้สึกหนาวอยู่ไม่น้อย

 

 

           มั่วไป๋เปิดผ้าห่มแทรกตัวเข้าไปแล้วนอนลงไปทันที แบบนี้ถึงได้รู้สึกอุ่นขึ้นมาสักหน่อย

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างเตียงไม่ขยับไปไหน มั่วไป๋มองเขาแวบหนึ่ง “นายไม่นอน เตรียมจะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานเท่าไหร่”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยอย่างซื่อๆ “ผมยังไม่อาบน้ำ ผมอยากอาบน้ำก่อนแล้วค่อยนอน”

 

 

           มั่วไป๋มองบนใส่ไป๋จิ่ง “แล้วนายยังไม่รีบไปอีกเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งยังไม่ไป เอ่ยเสียงต่ำ “เสื้อผ้าอยู่ข้างห้อง…”

 

 

           มั่วไป๋ขบกราม เอ่ยเน้นคำต่อคำ “ใส่ของฉัน”

 

 

           ในใจไป๋จิ่งดีใจขึ้นทันใด แม้แต่ไฟก็ไม่เปิดแล้ว เขาเปิดตู้ออกหาเสื้อผ้าจากข้างใน

 

 

           เขาหาไปเรื่อยๆ แล้วก็หยุดลงกะทันหัน

 

 

           มั่วไป๋ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ถามต่ออีก “นายเป็นอะไรไปอีก”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้พูด แต่ชี้ไปที่ต้นขาของตัวเอง

 

 

           เดิมทีมั่วไป๋ยังสงสัยนิดหน่อย จู่ๆ ในสมองก็มีคำสองคำวาบเข้ามา แล้วแก้มก็แดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           เหมือนเขาจะเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาพร้อมความคับแค้นใจ “หยิบ! เอง! สิ!”

 

 

           นัยน์ตาไป๋จิ่งฉายสะท้อนรอยยิ้มชั่วร้าย เขาหยิบเสื้อทีเชิ้ตและชุดซับข้างในเดินเข้าห้องน้ำด้วยความเบิกบานใจ

 

 

           ไป๋จิ่งอาบน้ำไปพลางลอบยิ้ม เขาจงใจหยิบเสื้อผ้าที่มั่วไป๋เคยใส่…

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินเสียงน้ำข้างในนั้น เขาก็รู้สึกแค่เพียงจิตใจที่ยิ่งว้าวุ่นไปกว่าเดิม

 

 

           ในใจเขาหงุดหงิด ยกมือดึงผ้าห่มคลุมหัวฝังตัวเองเข้าไป  

 

 

 

 

ตอนที่ 593 นอนไม่หลับไง

 

 

           ผ่านไปอีกประมาณสิบนาที ไป๋จิ่งก็เดินออกมา เขาเห็นคนที่ฝังตัวอยู่ข้างใน ในใจเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิมอยู่ไม่เบา

 

 

           เขานอนลงข้างๆ มั่วไป๋ไปทั้งอย่างนี้ เพราะว่าเพิ่งจะอาบน้ำมา ร่างกายยังมีไอร้อนติดตัวอยู่

 

 

           เดิมทีมั่วไป๋ตัวเย็นอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีฮีทเตอร์ จนถึงตอนนี้ทั้งร่างก็เย็นจนเป็นน้ำแข็งแล้ว

 

 

           เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของไป๋จิ่ง อยากจะเข้าใกล้ไป๋จิ่งอีกสักหน่อยโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           แต่ว่าพอนึกถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนในตอนนี้ มั่วไป๋ก็กัดฟันแล้วทำให้ตัวเองยังคงสภาพได้ อย่าใกล้ไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่เกินไปเด็ดขาด

 

 

           วันนี้ก็แค่กลัวไป๋จิ่งจะหนาวตายเท่านั้นเอง ดังนั้นถึงแบ่งเตียงครึ่งหนึ่งให้ไป๋จิ่ง

 

 

           ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นเลยสักนิด

 

 

           ไป๋จิ่งนอนอยู่ข้างๆ ก็ไม่สบายใจ อารมณ์เขาฮึกเหิม ระงับไว้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง เมื่อคิดถึงยามมั่วไป๋อยู่ข้างกาย

 

 

           เหมือนมีคนเอาขนนกไปสะกิดหัวใจอวัยวะภายในของเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           อยากจะปีนขึ้นเตียง อยากจะใกล้มั่วไป๋ขึ้นมาอีกนิด

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ ไป๋จิ่งหวาดกลัว ไป๋จิ่งไม่กล้า ไป๋จิ่งกลัวว่าถ้าปีนขึ้นไป ไม่แน่ว่าจะถูกมั่วไป๋ยกเท้าถีบลงไปทันที

 

 

           ถึงตอนนั้นแม้แต่ตำแหน่งในตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเกร็งไปทั้งตัว แม้แต่การหายใจยังไม่กล้าจะออกแรงมากเกินไป กลัวจะทำให้มั่วไป๋ตกใจตื่นได้

 

 

           มั่วไป๋หายใจเบาและเงียบมาก แทบจะไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวอะไร ไป๋จิ่งคิดอยู่นานมาก ถึงค่อยเอียงหัวมามองมั่วไป๋แวบหนึ่ง

 

 

           เห็นเพียงแค่มั่วไป๋หลับตา ไม่รู้ว่านอนหลับอยู่หรือเปล่า

 

 

           สายตาไป๋จิ่งจดจ่ออยู่บนใบหน้ามั่วไป๋อย่างไม่อาจหักใจจากไปได้ ตัดใจเบนสายตาไม่ลง

 

 

           มั่วไป๋ไม่ได้นอนหลับ เขาตาสว่างอยู่ตลอด เพียงแต่รู้สึกว่าจะลืมตาตลอดจะดูโง่ไปสักหน่อย ดังนั้นถึงได้หลับตาลง

 

 

           สายตาที่มองข้ามไม่ได้เลยสักนิดส่งมาจากด้านข้าง หัวใจมั่วไป๋ไปตามสายตานั้นโดยไม่รู้ตัว ตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

 

           สายตาไป๋จิ่งกลับไม่เบนหนีไปไหนสักที เอาแต่จ้องมองเขาตลอด

 

 

           หัวใจที่สงบนิ่งของมั่วไป๋เต้นถี่รัวขึ้นมา เขากำมือข้างตัวไว้ทำให้ตัวเองสงบนิ่งขึ้นมาเล็กน้อย อย่าเผยอารมณ์ความรู้สึกมากเกินไป

 

 

           ผ่านไปอยู่หลายนาที มั่วไป๋ถึงได้เอ่ยออกมา “นายยังไม่นอนเหรอ”

 

 

           คำพูดของมั่วไป๋ที่พูดขึ้นมากะทันหัน ไป๋จิ่งสะดุ้งตกใจทันที เขายังคิดว่ามั่วไป๋นอนหลับไปตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นถึงได้กล้ามองเขาอย่างเร่าร้อน

 

 

           ไป๋จิ่งรีบเก็บสายตากลับมา มองดูฝ้าเพดาน “นี่จะนอนแล้ว”

 

 

           หลังจากพูดจบ เขาก็รีบร้อนเอ่ยประโยคเสริมทันที “คุณล่ะ ยังไม่นอนเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยเสียงเรียบๆ “นอนแล้ว”

 

 

           ทั้งสองคนฟื้นคืนกลับมาเงียบงันอีกครั้ง ในห้องค่อยๆ เงียบสงบลงมาเรื่อยๆ แต่คนสองคนที่บอกว่าจะนอนกลับไม่มีสักคนนอนหลับลงจริงๆ

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในห้องมีเสียงลมหายใจที่สงบและมั่นคงดังขึ้นมา

 

 

           ไป๋จิ่งเข้าใจว่ามั่วไป๋นอนหลับแล้ว เขาโล่งใจไปทีโดยอัตโนมัติ แม้แต่ร่างกายก็ผ่อนคลายลงไปไม่น้อย

 

 

           เขาเพิ่งจะเตรียมขยับแขนก็มีคนคนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในอ้อมอก

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักงันไปทันที แบบนี้ไม่กล้าขยับแล้วจริงๆ

 

 

           ที่แท้มั่วไป๋กลัวหนาว หลังจากนั้นนอนแล้ว จิตใต้สำนึกสั่งให้กลิ้งมาตามหาความอบอุ่นจากร่างกายของไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งเกร็งลมหายใจ เห็นท่าทางมั่วไป๋นอนหลับไม่รู้สติแล้ว เวลานี้ถึงได้ผ่อนลมหายใจลง

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมือออกไปเล็กน้อย กกกอดคนไว้ในอ้อมอก มั่วไป๋รับความรู้สึกของความอบอุ่นแล้ว เขาคลอเคลียโดยไม่รู้ตัว หาตำแหน่งที่นอนได้สบายแล้วหลับไป

 

 

           มั่วไป๋นอนสบายแล้ว ไป๋จิ่งนอนไม่หลับแล้ว

 

 

           โอบกอดมั่วไป๋ไว้ในอ้อมอก เขาหลับลงได้ก็แปลกแล้ว

 

 

           ตลอดทั้งคืน เขาสนใจแค่เพียงก้มหน้ามองมั่วไป๋ไล้ตามแสงจันทร์ อีกนิดแม้แต่แพรขนตาของมั่วไป๋ก็นับได้แล้ว

 

 

           จนกระทั่งเวลาถึงประมาณตีสามตีสี่ ไป๋จิ่งถึงได้รู้สึกง่วงบ้างแล้ว กอดมั่วไป๋แล้วผล็อยหลับไป

 

 

           ณ อีกห้องหนึ่ง ลี่เจินฝันว่ากำลังคิดถึงลูกชายจอมซื่อบื้อของตัวเองมีความคืบหน้าบ้างหรือเปล่า

 

 

           คลอดลูกชายจอมซื่อบื้อมา ทุกข์ใจเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

           ……

 

 

           เช้าวันต่อมา แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างตกกระทบในห้อง

 

 

           ทั้งสองคนโอบกอดกันและกัน มั่วไป๋อยู่ในอ้อมกอดของไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งนอนตะแคงเอื้อมมือโอบกอดมั่วไป๋ไว้

 

 

           ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมากถึงมากที่สุด ใบหน้าแนบชิดกันนอนหลับตาพริ้ม 

Related

ตอนที่ 590 ปกป้องไป๋จิ่ง

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินประโยคเหล่านี้ เขาก็ตะลึงงัน แม่ไป๋จิ่งควรจะโน้มน้าวตัวเองถึงจะถูกไม่ใช่เหรอ

 

 

           ลี่เจินยิ้มหัวเราะ “เราคิดใช่ไหมว่าพี่สาวจะมาโน้มน้าวให้เราคืนดีกับไป๋จิ่ง”

 

 

           มั่วไป๋ไม่ได้พยักหน้า แต่ว่าสีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนมากทีเดียว

 

 

           “เดิมทีพี่ก็คิดจะมาโน้มน้าวเราสองคน แต่ว่าพอเห็นเราก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปแล้ว” ลี่เจินถอนหายใจ “เจ้าทึ่มนั่นทำเรื่องพลาดเองก็ให้เขาไปชดใช้เอง เราก็อย่าให้อภัยเขาง่ายๆ”

 

 

           พูดถึงต่อมา ลี่เจินเอ่ยด้วยสีหน้ารังเกียจ “เจ้าทึ่มนี่เป็นลูกชายแท้ๆ ของพี่จริงๆ เหรอ”

 

 

           มั่วไป๋เห็นลี่เจินทำหน้ารังเกียจไป๋จิ่งแบบนี้ ในใจก็มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก

 

 

           เขาครุ่นคิดแล้วเอ่ย “ที่จริง…ไป๋จิ่งเขา…ดีมากครับ”

 

 

           แววตาลี่เจินลุกวาว แต่ปากยังพูดต่อ “ดีอะไรกัน พี่เห็นว่าตรงไหนก็ไม่ได้เรื่องเลย”

 

 

           “ตอนเขาทำงานเก่งมาก แล้วก็…บุคลิกก็ดีมากครับ”

 

 

           มั่วไป๋ว้าวุ่นอยู่ตั้งนาน ไม่รู้ว่าจะเอ่ยชมไป๋จิ่งอย่างไรดี รู้สึกว่าถ้ายึดตามความคิดของตัวเองไปเอ่ยชมไป๋จิ่ง ต้องทำให้ลี่เจินเข้าใจผิดอย่างแน่นอน

 

 

           ดังนั้นมั่วไป๋จึงคิดอยู่ตั้งนาน เขาก็หาคำที่ถูกจุดได้

 

 

           ลี่เจินเห็นท่าทางของมั่วไป๋ ในใจก็ฉายสะท้อนรอยยิ้ม เด็กคนนี้เป็นคนจิตใจดีจริงๆ เลิกกับไป๋จิ่งไปแล้วชัดๆ ยังไม่ลืมที่จะปกป้องเขาอีก

 

 

           ‘เห้อ…เป็นลูกชายของเธอที่ใจไม่สู้เองทั้งนั้น’

 

 

           ลูกสะใภ้ดีขนาดนี้ แต่เรียกเธอว่าแม่ไม่ได้เลย

 

 

           คิดเช่นนี้ ลี่เจินรู้สึกว่าไป๋จิ่งยิ่งใช้ไม่ได้ ลูกสะใภ้ก็จัดการไม่ได้

 

 

           “เราอย่ามาพูดแก้ต่างแทนเขา เขาเป็นลูกของพี่ พี่รู้”

 

 

           มั่วไป๋ค่อนข้างตื่นตระหนก “ที่ผมพูดมาเป็นจริงทั้งหมด ไม่ได้จงใจจะพูดแก้ต่างเลยนะครับ”

 

 

           ลี่เจินเห็นเด็กน้อยร้อนใจจนเป็นแบบนี้ เธอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่ว่าในใจก็พอรู้พอเข้าใจได้

 

 

           ‘ปกป้องลูกชายเธอได้ขนาดนี้ ยังจะพูดว่าไม่มีความรู้สึกให้เลยสักนิดเหรอ’

 

 

           ในใจลี่เจินแอบตัดสินใจแล้ว เธอจะต้องรีบทำเวลา ทำให้ไป๋จิ่งกับมั่วไป๋คืนดีกันโดยเร็ว

 

 

           ……

 

 

           หลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จ ลี่เจินก็ให้มั่วไป๋ยกชามเกี๊ยวเข้ามา

 

 

           หลังจากมั่วไป๋กินเสร็จ คนทั้งคนก็นั่งเป็นอัมพาตอยู่บนเก้าขยับไปไหนไม่ได้ ลี่เจินมองเขาแวบหนึ่งพลางเอ่ยถาม “กินเยอะแล้วสินะ อยากออกไปเดินเล่นไหม”

 

 

           มั่วไป๋เอามือลูบท้อง อิ่มจุกจนอึดอัดไม่สบายตัว เขาพยักหน้ารับ “ครับ งั้นผมจะออกไปเดินเล่น”

 

 

           “เดี๋ยวก่อน ให้ไป๋จิ่งไปเป็นเพื่อนเราเถอะ ข้างนอกฟ้ามืด เราไปเดินคนเดียวพี่ไม่วางใจ”

 

 

           มั่วไป๋ลังเลครู่หนึ่ง คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองปฏิเสธตอนนี้ เหมือนจะดูตั้งใจเกินไป จึงพยักหน้ารับ “อืม”

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจะออกจากคฤหาสน์ไปเป็นเพื่อนมั่วไป๋

 

 

           ลี่เจินมองตามแผ่นหลังของทั้งสองคนออกไป ถอนหายใจเงียบๆ หวังว่าลูกชายจอมซื่อบื้อของเธอจะเข้าใจในความทุ่มเทพยายามของเธอได้

 

 

           ……

 

 

           ไป๋จิ่งเดินวนอยู่ข้างนอกเป็นเพื่อนมั่วไป๋อยู่หลายรอบ มั่วไป๋ไม่พูด ไป๋จิ่งเองก็ไม่พูด

 

 

           ทั้งสองคนเงียบงันกันขนาดนี้ หลังจากเดินวนอยู่ข้างนอกหลายรอบ มั่วไป๋ก็เดินกลับเข้ามา

 

 

           ไม่ว่าอย่างไรลี่เจินก็คิดไม่ถึงว่าลูกชายจอมซื่อบื้อของตัวเองออกไปข้างนอกแล้ว เขาจะแค่เดินวนไปรอบๆ เป็นเพื่อนมั่วไป๋จริงๆ

 

 

           ยังดีที่แผนนี้ถึงจะไม่สำเร็จ ยังมีแผนต่อไปอยู่

 

 

           เธอนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก หลังจากมั่วไป๋กับไป๋จิ่งกลับมาแล้ว เธอก็เอื้อมมือไปปิดทีวี

 

 

           ลี่เจินหาวไปด้วยพลางเดินมุ่งหน้าเข้าไปด้านในด้วย

 

 

           “ไป๋จิ่ง แม่ชักจะง่วงแล้ว”

 

 

           เมื่อไป๋จิ่งได้ยิน เขาก็รีบพาลี่เจินขึ้นไปชั้นบนทันที มั่วไป๋อยู่ข้างล่างคนเดียวก็ไม่มีอะไรทำ จึงตามขึ้นไปด้วยกัน เตรียมจะกลับห้องไปทั้งอย่างนี้

 

 

           ไป๋จิ่งพาคนมาส่งถึงหน้าประตูห้องรับแขก เขาเปิดประตูเข้าไป เห็นเตียงที่พังอยู่ข้างใน เขาก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

 

 

           ลี่เจินเองก็มองไป๋จิ่งด้วยความตกใจและประหลาดใจ “เตียงหลังนี้ของลูกพังลงไปกองกับพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”  

 

 

      

 

 

ตอนที่ 591 นอนโซฟา

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็สับสนงุนงงเช่นกัน เขาพูดพึมพำกับตัวเอง “ตอนเช้ายังดีๆ อยู่เลยนะ”

 

 

           มั่วไป๋เดินมาถึงข้างๆ พวกเขาพอดี จิตใต้สำนึกสั่งให้เขามองเข้าไปข้างในแวบหนึ่ง เตียงที่อยู่ข้างในหักครึ่งลงมากองกับพื้น

 

 

           ลี่เจินเห็นว่าคนก็มากันหมดแล้ว เธอเอ่ยถามอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “ลูกคิดจะให้แม่นอนที่นี่เหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งทำอย่างนั้นไม่ได้แน่นอน แต่ว่าที่นี่นอกจากห้องนี้ก็ไม่มีห้องอื่นแล้ว

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงคิดดูแล้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แม่ งั้นแม่ไปนอนห้องผมแล้วกันครับ”

 

 

           “แล้วลูกจะนอนที่ไหน”

 

 

           เขามองมั่วไป๋แวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นทันทีหลังจากนั้น “ผมนอนโซฟาข้างล่างได้ครับ”

 

 

           ลี่เจินคิดดูแล้วก็ไม่ได้คัดค้านอะไร “งั้นก็ได้แค่แบบนี้แล้ว”

 

 

           ด้วยเหตุนี้ลี่เจินจึงถูกจัดให้มานอนห้องไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งให้แม่เขาเข้าไปห้องเขา ตัวเองไปหาผ้าห่มมา เตรียมจะลงไปชั้นล่างนอนที่โซฟา

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ห้องว่างเปล่า ผ้าห่มสักผืนก็ไม่มี

 

 

           เพราะอย่างนี้ไป๋จิ่งจึงทำอะไรไม่ได้ต้องไปเคาะประตูห้องของลี่เจิน เตรียมจะไปถามลี่เจิน ลี่เจินเปิดประตูมาก็เอ่ยถามทันที “ไป๋จิ่ง ที่นี่ยังมีผ้าห่มอีกไหม ผ้าห่มนี้ของลูกบางเกินไปแล้ว ตอนกลางคืนแม่หนาว”

 

 

           ไป๋จิ่งไปต่อไม่ถูกแล้ว ห้องเขามีผ้าห่มอยู่ผืนเดียว ตอนนี้ห้องรับแขกก็ไม่มีผ้าห่มเหมือนกัน

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงจำใจต้องเดินไปถึงที่หน้าประตูห้องมั่วไป๋ ยกมือขึ้นเคาะประตู

 

 

           มั่วไป๋นั่งขัดสมาธิบนเตียง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ได้ยินเสียงเคาะประตูก็ลุกขึ้นยืนเดินไปเปิดประตู

 

 

           “มั่วไป๋…ขอยืมผ้าห่มคุณได้ไหม ในเขาอุณหภูมิต่ำ แม่ผมกลัวหนาว”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้าทันที ถึงอย่างไรเขาใช้แค่ผืนเดียวก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เกิน

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงหยิบผ้าห่มอีกผืนจากตู้ลงมาแล้วส่งต่อให้ไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งเปลี่ยนมือส่งต่อให้ลี่เจิน ลี่เจินรับมาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เธอเดินมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน เมื่อเดินถึงหน้าประตู เธอก็ยังไม่ลืมที่จะพูดกับพวกเขาทั้งสองคน “ตอนกลางคืนอุณหภูมิต่ำ พักผ่อนแต่หัวค่ำล่ะ”

 

 

           พูดจบก็ปิดประตูทันที

 

 

           มั่วไป๋มองดูไป๋จิ่ง คิดแล้วก็เอ่ยถามขึ้น “นายยังไม่พักผ่อนเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งรีบตอบ “เดี๋ยวจะไปแล้ว คุณรีบพักผ่อนเถอะ ผมไปก่อนนะ”

 

 

           พูดจบเขาก็เดินโดดเดี่ยวคนเดียวมุ่งหน้าลงชั้นล่างไป มั่วไป๋มองตามแผ่นหลังของเขา เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดประตู

 

 

           ไป๋จิ่งลงมาชั้นล่าง ในห้องรับแขกที่ว่างเปล่า เขานอนอยู่บนโซฟา เงยหน้ามองเพดาน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           อีกฝั่งหนึ่ง มั่วไป๋กลับห้องมาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เขายืนอยู่บนระเบียง มองไปยังข้างนอก มีความรู้สึกซึมเศร้าในใจอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           ข้างนอกค่อนข้างหนาวเล็กน้อย อุณหภูมิกลางเขาค่อนข้างต่ำ อีกทั้งตอนนี้ใกล้จะถึงเดือนธันวาคมแล้ว หนาวมากทีเดียวจริงๆ

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่ข้างนอกสักพัก ก่อนจะเดินเข้ามา

 

 

           ในห้องเปิดแอร์ไว้ ดังนั้นอุณหภูมิจึงกำลังเหมาะสมพอดี มั่วไป๋นอนบนเตียง เตรียมจะหลับตานอนลง

 

 

           จู่ๆ ในหัวก็ฉายสะท้อนภาพหนึ่งขึ้นมาเป็นภาพที่ไป๋จิ่งมาหาเขาแล้วหยิบยืมผ้าห่มไป

 

 

           ผ้าห่มในห้องเขานี้ให้ลี่เจินไปแล้ว  แล้วไป๋จิ่งจะห่มอะไร

 

 

           พอคิดถึงแผ่นหลังของไป๋จิ่งที่ลงไปชั้นล่างเมื่อครู่นี้ มั่วไป๋นิ่งเฉยไม่ค่อยจะได้แล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าตอนนี้ไป๋จิ่งต้องนอนอยู่บนโซฟาอย่างแน่นอน แล้วก็ไม่มีผ้าห่มด้วย ไม่รู้ว่าจะเป็นหวัดได้หรือเปล่า

 

 

           คิดได้เช่นนี้ มั่วไป๋ก็นอนไม่ค่อยจะหลับแล้ว

 

 

           เขาลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที อยากจะลงไปดูไป๋จิ่งสักหน่อย แต่ก็ค่อนข้างสับสน สองความคิดตีกันไปมาในหัวไม่หยุด หัวใจมั่วไป๋ถูกบีบรัดตัวแน่น ราวกับมีคนตัวจิ๋วสองคนดึงกันไปกันมาอยู่

 

 

           ฝั่งหนึ่งจะให้เขาลงไปดู

 

 

           อีกฝั่งหนึ่งก็ให้เขานอนหลับไป ไม่ต้องสนใจให้มากเรื่อง

 

 

           มั่วไป๋เอามือกดเข้าที่ขมับ พลางเอนพิงเตียง เขาไม่ได้ลงจากเตียงไปทันที แต่ก็ไม่มีความง่วงแล้ว  

Related

ตอนที่ 588 อย่าทำให้เขาตกใจ

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน ไม่ค่อยรู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะเอาภาพก่อนหน้านี้ทั้งหมดมาวางไว้ที่นี่ อีกอย่างยังทำห้องสตูดิโอใหม่ให้อีกด้วย

 

 

           มั่วไป๋เดินจากทางประตูเข้ามา มองดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่รู้ว่าสิ่งของพวกนี้ไปทำมาตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังแม้แต่น้อย

 

 

           ……

 

 

           ไป๋จิ่งลงไปชั้นล่างอีกครั้ง ไม่ได้หยุดอยู่ที่เดิม เขารู้ว่าเวลานี้มั่วไป๋คงจะไม่อยากให้เขาอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย

 

 

           เขาเป็นคนออกแบบสตูดิโอห้องนั้นด้วยตัวเอง มั่วไป๋ชอบวาดรูป เช่นนั้นเขาจึงสร้างห้องสตูดิโอที่มั่วไป๋ชอบให้มั่วไป๋ด้วยตัวเอง

 

 

           ภาพที่อยู่ข้างในทั้งหมดเป็นภาพที่เขาไปหยิบมาจากคอนโดมิเนียมของมั่วไป๋

 

 

           ช่วงเวลานั้นที่มั่วไป๋อยู่ในโรงพยาบาล เขาไปหยิบกุญแจห้องจากเหยียนอวี้มา แล้วไปหยิบออกมาจากคอนโดมิเนียมของมั่วไป๋อย่างระมัดระวัง

 

 

           มั่วไป๋ยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล ก็ถูกไป๋จิ่งพาตัวมาถึงที่นี่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าคอนโดมิเนียมของตัวเองได้ถูกไป๋จิ่งย้ายของทั้งหมดออกมาจนโล่งแล้ว

 

 

           ลี่เจินเห็นไป๋จิ่งลงมาจากชั้นบน เธอก็กวักมือเรียกเขา ทั้งสองคนไปข้างนอก

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแม่เขาก็ปวดหัวบ้างแล้ว

 

 

           ไม่รู้ว่าแม่เขาจะมาช่วยหรือว่ามาป่วนกันแน่

 

 

           ลี่เจินไม่ได้พูดอะไรมากความ แต่เอ่ยไปตรงๆ “คนที่มาส่งแม่ยังไม่ไปไหน ลูกลงไปกับพวกเขา ช่วยแม่ซื้อของกลับมาหน่อย”

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ยินว่าจะต้องออกไป เขาขมวดคิ้วทันที

 

 

           “จะไปหรือไม่ไป อะไรกัน ตอนนี้แม่เรียกให้ลูกทำอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ “ได้ครับ ผมจะไปตอนนี้เลย” ก่อนที่เขาจะไปก็ยังไม่ลืมที่จะพูดกับลี่เจินว่า “มั่วไป๋ชอบความเงียบสงบ แม่อย่าทำให้เขาตกใจ”

 

 

           มุมปากลี่เจินกระตุกแล้วกระตุกอีก เธอมองบนใส่  นี่เธอมาช่วยนะโอเคไหม

 

 

           เธอยกเท้าถีบใส่ขาไป๋จิ่ง “รีบไปสิเร็วเข้า แม่รู้ลิมิตตัวเองอยู่”

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงถูกลี่เจินถีบออกไปทั้งอย่างนี้

 

 

           การคมนาคมบนเขาไม่สะดวก ลงเขาไปทีหนึ่งต้องขับรถอย่างน้อยสองชั่วโมง ไปกลับต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ชั่วโมง

 

 

           ลี่เจินตาลุกวาว สี่ชั่วโมง เธอจะได้ทำเรื่องอะไรได้มากมายพอดี

 

 

           ฉวยโอกาสตอนที่ไป๋จิ่งไม่อยู่ มั่วไป๋อยู่ในห้องสตูดิโอ ลี่เจินเดินไปเดินมาอยู่ชั้นล่าง ไปสำรวจดูโดยรอบ ดูว่าจะกระตุ้นพวกเขาอย่างไร

 

 

           ก่อนหน้านี้ได้เห็นเพียงแค่รูปถ่าย เธอชอบมั่วไป๋ชอบจนไม่ไหวแล้ว

 

 

           ตอนนี้ได้เจอตัวจริง ยิ่งรู้สึกว่าต้องเป็นมั่วไป๋ให้ได้

 

 

           อีกอย่างเธอยังได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นที่ไป๋จิ่งเล่า ในใจยิ่งรู้สึกทั้งรักทั้งสงสารมั่วไป๋ ตอนนั้นขณะที่เธอฟังไปพลาง เธอก็อดไม่ได้ที่จะด่าลูกชายตัวเอง

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่าเขาโง่ เธอก็มีลูกสะใภ้ไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ลี่เจินตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ครั้งนี้ที่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรจะต้องช่วยไป๋จิ่งตามมั่วไป๋กลับมาใหม่อีกครั้งให้ได้

 

 

           ทำให้ทั้งสองคนคืนดีกัน

 

 

           ลี่เจินมองดูโถงใหญ่เห็นว่าไม่มีอะไรจำเป็นต้องทำ เธอจึงขึ้นไปชั้นสองทันที

 

 

           คฤหาสน์หลังนี้ไม่ถือว่าใหญ่เกินไป มีทั้งหมดสามชั้น เพียงแต่ว่าชั้นที่สามไป๋จิ่งทำเป็นเรือนกระจก ครึ่งหนึ่งอาบแดดได้ ครึ่งหนึ่งบังแดดได้

 

 

           ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ วาดรูปอาบแดด ต่างก็ทำได้ทั้งหมด

 

 

           ชั้นสองมีหกห้อง ข้างหนึ่งเป็นห้องของไป๋จิ่งกับมั่วไป๋ และยังมีห้องสตูดิโอของมั่วไป๋อีก

 

 

           ตรงข้ามเป็นห้องรับแขกกับห้องออกกำลังกายพ่วงมากับห้องหนังสือ

 

 

           ดังนั้นลี่เจินมาครั้งนี้ เธอจึงมีแค่เพียงห้องรับแขกที่พักอยู่ได้เท่านั้น

 

 

           ห้องที่พักอยู่ได้มีสามห้อง ห้องที่เหลือต่างเป็นห้องที่คนพักอยู่ไม่ได้

 

 

           เพราะแบบนี้ลี่เจินถึงตาลุกวาว เธอเข้าไปยังห้องรับแขกทันที เธอยื่นมือไปปิดประตูห้องรับแขกเบาๆ คฤหาสน์หลังนี้ ขณะที่เริ่มตกแต่งปรับปรุงอยู่ ตั้งใจทำระบบกันเสียงเป็นพิเศษ ดังนั้นประสิทธิผลของระบบกันเสียงจึงเป็นพิเศษ

 

 

           พอปิดประตูแล้ว ต่อให้ข้างในทะเลาะกัน ข้างนอกก็ไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

           ลี่เจินมองดูเตียงหลังนั้น เธอก็วิ่งลงไปหยิบเครื่องมือมา

 

 

           ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ลี่เจินก็พังและรื้อเตียงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

            

 

 

ตอนที่ 589 ไม่ต้องให้อภัยเขา

 

 

           เธอมองผลงานชั้นเยี่ยมที่สุดของตัวเองด้วยความพอใจ พลางพยักหน้ารับ ทันทีหลังจากนั้นก็เอาผ้าห่มข้างใน ทั้งหมดไปหาที่เก็บ มั่นใจว่าไป๋จิ่งพวกเขาจะหาไม่เจอ

 

 

           ทำทุกอย่างนี้เสร็จแล้ว ลี่เจินฉวยโอกาสตอนที่มั่วไป๋อยู่ในห้องสตูดิโอ แอบย่องเข้าไปห้องของมั่วไป๋เงียบๆ

 

 

           เธอหาไปรอบๆ นอกจากบนเตียง เธอก็หาผ้าห่มบางๆ ได้อีกผืน

 

 

           ลี่เจินเอาผ้าห่มวางตำแหน่งเดิม หลังจากนั้นก็แอบย่องเข้าไปห้องของไป๋จิ่ง ห้องของไป๋จิ่งยิ่งหาได้ดี โดยพื้นฐานแล้วไม่มีอะไร

 

 

           แม้กระทั่งผ้าห่มสำรองสักผืนก็ไม่มี

 

 

           ลี่เจินมีแผนการในใจเรียบร้อยแล้ว เธอพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะลงไปชั้นล่างทำของอร่อยให้มั่วไป๋กิน

 

 

           ไป๋จิ่งวนไปวนมาทรมานถึงสี่ชั่วโมงกว่าจะได้กลับมายังคฤหาสน์ ทันทีที่รถจอดเขาก็รีบเข้าไปอย่างรวดเร็ว

 

 

           ไป๋จิ่งกลัวว่าตัวเองไม่อยู่ ลี่เจินจะใช้กรงเล็บมารตะกรุบเขา

 

 

           เขาร้อนรนรีบวิ่งเข้าไป แต่กลับได้ยินเสียงพูดคุยกันดังมาจากห้องครัว เขาชะงักงันไป

 

 

           ไม่ค่อยจะเหมือนกับที่เขาจินตนาการไว้เท่าไหร่นัก

 

 

           ในห้องครัว มั่วไป๋ยืนอยู่ข้างลี่เจิน แสงแดดจางๆ ตกกระทบร่างของมั่วไป๋ จากในเสื้อผ้าที่ตัวหลวมโคร่ง แม้เลือนรางแต่ก็เห็นเค้าโครงรอบเอวของเขาได้

 

 

           ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับลี่เจินอยู่ มุมปากมั่วไป๋แต่งแต้มรอยยิ้มจางๆ คนทั้งคนลดความเย็นชาในยามปกติลงบ้างแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ที่เป็นแบบนี้ ไป๋จิ่งเองก็ไม่ได้เห็นมานานแล้ว

 

 

           “มั่วไป๋เก่งมาก เก่งกว่าเจ้าทึ่มไป๋จิ่งนั่นเยอะเลย”

 

 

           มั่วไป๋มองดูเกี๊ยวในมือที่ห่อเสร็จแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มหัวเราะออกมา

 

 

           “ผมห่อครั้งแรก ยังห่างชั้นจากพี่เยอะครับ”

 

 

           ลี่เจินห่อไปด้วยยิ้มไปด้วย ไม่ละสายตาจากมั่วไป๋แม้เพียงครึ่งนาที  จบแล้วๆ หน้าตาหล่อเหลาแล้วยังรู้จักพูดจาอีก  เรียกพี่มาที ใจของเธอใกล้จะเด้งออกมาแล้ว

 

 

           ‘ถ้าเธออ่อนกว่านี้สักยี่สิบกว่าปีนะ ตอนนี้ยังมีไป๋จิ่งอยู่ก็เท่านั้น เธอจัดเองไปนานแล้ว’

 

 

           ไป๋จิ่งยืนมองอยู่ข้างนอกอยู่พักใหญ่ ถึงค่อยเดินเข้ามา “แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว”

 

 

           ลี่เจินกวาดสายตามองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย “อ่อ”

 

 

           ไป๋จิ่ง “…”

 

 

           ‘ทีมองมั่วไป๋ ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลัง พอมาถึงเขาทำไมถึงพูดแค่ว่าอ่อนะ…

 

 

           …นี่จะปฏิบัติแตกต่างเกินไปหรือเปล่า’

 

 

           มือมั่วไป๋ที่ห่อเกี๊ยวแข็งทื่อขึ้นมาเพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นที่ไป๋จิ่งปรากฏตัว ไป๋จิ่งอยู่ใกล้มั่วไป๋มาก ยืนอยู่ข้างหลังเขา

 

 

           มั่วไป๋หันหลังให้ไป๋จิ่ง เขายังรู้สึกว่าดมได้กลิ่นน้ำหอมบนตัวของไป๋จิ่งด้วย

 

 

           ไป๋จิ่งเบนสายตามายังมั่วไป๋ เขาก็เห็นลำคอระหงขาวผ่องของคนตรงหน้าพอดี ไป๋จิ่งหัวใจเกร็งแน่น เสียงต่ำเอ่ยถาม “มีอะไรที่ผมช่วยพอจะช่วยได้ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ได้ยิน หัวใจก็บีบรัดตัวแน่นโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ลี่เจินเห็นมั่วไป๋ค่อนข้างมีท่าทีต่อต้าน เธอจึงกวาดสายตามองไป๋จิ่งอย่างไม่แยแส “ไม่มีเรื่องอะไรให้ลูกทำหรอก ออกไปเถอะ”

 

 

           เครื่องหมายคำถามเต็มหัวไป๋จิ่งไปหมด มาช่วยเขาไม่ใช่เหรอ เวลานี้ควรจะให้เขามาช่วยมั่วไป๋ไม่ใช่เหรอ

 

 

           ลี่เจินเห็นเขามีเครื่องหมายคำถามเต็มหัวไปหมด เธอก็ส่ายหัวอย่างเสียไม่ได้

 

 

           ‘ลูกชายจอมซื่อบื้อของฉัน ไม่เห็นว่ามั่วไป๋เขาต่อต้านลูกโดยไม่รู้ตัวเหรอ’

 

 

           เธอเพิ่งจะมา ถ้าตามใจไป๋จิ่ง ถึงเวลานั้นมั่วไป๋จะไม่ต่อต้านแม้แต่เธอไปด้วยหรือไง ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงไล่ลูกชายจอมซื่อบื้อของเธอออกไป

 

 

           ไป๋จิ่งเดินออกจากห้องครัวไป เวลานี้เองมั่วไป๋ถึงได้โล่งใจไปที ในห้องเล็กขนาดนี้ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะวางตัวกับไป๋จิ่งอย่างไร

 

 

           ลี่เจินเห็นใบหน้าของเขาผ่อนคลายลงแล้ว เสียงต่ำเริ่มพูดโน้มน้าว “เรื่องระหว่างเรากับไป๋จิ่ง พี่ได้ฟังไป๋จิ่งพูดแล้ว เจ้าทึ่มนี่ทำเรื่องอะไรก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมาด้วย…

 

 

           …ถ้าเราไม่อยากจะให้อภัยเขา ก็ไม่ต้องให้อภัยเขาหรอก เราดีขนาดนี้ หาใครก็ได้ ทำไมจะต้องมาแขวนอยู่แต่กับเจ้าทึ่มนั่นด้วย”

Related

ตอนที่ 586 เจ้าโง่

 

 

           ลี่เจินมองไป๋จิ่งด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ ทำให้เขาพูดสรุปแผนการของตัวเองมาทีเดียวอีกครั้ง

 

 

           สุดท้ายเธอก็มองไป๋จิ่งด้วยสายตาที่เหมือนกับว่ามองคนโง่อยู่ “โอเค แม่รู้แล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งมีเครื่องหมายคำถามเต็มใบหน้า  โอเค แม่รู้แล้ว คือคำตอบอะไร

 

 

           เขาเพิ่งจะเตรียมถาม โดนแม่เขาอุดปากเข้าไปอีกครั้ง “เจ้าโง่อย่างลูกอย่าพูดอะไรมั่วซั่วเลย”

 

 

           ไป๋จิ่งคิดอย่างจริงจัง เขาออกจะฉลาดขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะโดนแม่เขาหยามกันแบบนี้

 

 

           เขายังเชื่อมาตลอดว่าตัวเองประสบความสำเร็จมากทีเดียว ตอนนี้เหลือแค่ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองเพียงน้อยนิดที่ในที่สุดแล้วถูกแม่เขาโจมตีไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

           ……

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นลี่เจินจูงมือเล็กๆ ของมั่วไป๋ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขบกรามแน่น

 

 

           ตั้งนานแล้วที่เขาไม่ได้จับมือเล็กๆ ของมั่วไป๋ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะถูกแม่เขาชิงตัดหน้า ไป๋จิ่งมองดูทั้งสองคนนั่งอยู่บนโซฟา ลำไส้ก็ปั่นป่วนไปหมด

 

 

           มั่วไป๋วางตัวไม่ถูก รู้สึกตัวเองมองอะไรไม่ทะลุปรุโปร่งเริ่มมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

 

 

           คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ตื่นขึ้นมากจะถูกไป๋จิ่งมาตัวมาถึงที่นี่ กว่าจะมองความคิดนี้เป็นเรื่องตลกได้ไม่ใช่ง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าวันนี้แม่ไป๋จิ่งจะโผล่มาทำให้เขาตกใจแทบตาย

 

 

           อีกอย่าง…

 

 

           แววตาที่เธอมองตัวเขาเอง…แปลกมาก…

 

 

           มั่วไป๋คิดเชื่อมโยงไปตอนที่เธอเข้ามาพร้อมประโยคว่าลูกสะใภ้โดยไม่ได้ตั้งใจ…มั่วไป๋ปวดหัว เขาชักจะกระวนกระวายใจ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

 

 

           ตอนนี้เขากับไป๋จิ่งไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันทั้งนั้น แม่ไป๋จิ่งยังทำท่าเหมือนว่าตัวเองกับไป๋จิ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           มั่วไป๋ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร ถึงจะทำให้แม่ไป๋จิ่งไม่เข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาเองกับไป๋จิ่ง

 

 

           “ไป๋จิ่งรังแกเราบ่อยๆ เลยใช่ไหม ครั้งหน้าถ้าเจ้าตัวแสบรังแกเราอีก เราบอกพี่ได้เลยนะ พี่รับรองจะช่วยเราสั่งสอนเขา”

 

 

           มั่วไป๋อยากจะชักมือกลับมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เขาเพิ่งอยากจะดึงมือออก ลี่เจินก็คว้าเอาไว้ทันที

 

 

           แรงเยอะมากถึงขีดสุด มั่วไป๋เกรงใจที่จะเหวี่ยงกับผู้อาวุโส เขาจึงจำใจต้องปล่อยให้ลี่เจินดึงมือไปอย่างว่าง่าย

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างๆ ต้องเห็นความวางตัวไม่ถูกบนใบหน้าของมั่วไป๋อยู่แล้ว

 

 

           ‘ก็ใช่ มั่วไป๋เป็นคนเงียบๆ ขนาดนั้น จู่ๆ มาถูกแม่เขาออกแรงดึงไปแบบนั้น จะไม่สบอารมณ์ก็ไม่แปลก’

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิดแล้วเอ่ยปากขึ้น “แม่ แม่มามีธุระอะไรเหรอครับ”

 

 

           ขณะที่เขาพูดอยู่นั้นก็ยักคิ้วเล็กน้อยให้ลี่เจิน บอกเป็นนัยว่าให้เธอรีบปล่อยมือออก

 

 

           ลี่เจินก้มหน้าลงมองมือมั่วไป๋ ในใจคิดว่าเธอจับมือเขาออกจะนานไปสักหน่อยแล้ว

 

 

           ถึงแม้ว่าจะเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ยังปล่อยมือมั่วไป๋ไปอยู่ดี

 

 

           มือมั่วไป๋ได้รับอิสระคืนมา เขาโล่งใจทันที เขารู้สึกว่าบรรยากาศข้างล่างนี้แปลกเกินไปแล้วจริงๆ จึงรีบเอ่ยกับลี่เจินสักประโยคสองประโยค หาข้ออ้างแล้วก็อยากจะไปทันที

 

 

           “พี่ พี่ครับ…ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ”

 

 

           พอลี่เจินเห็น รีบเอ่ยถามอย่างร้อนใจทันที “ไม่เป็นไรใช่ไหม อยากให้พี่ไปตามหมอมาดูเราไหม” พูดไปก็ถลึงตาใส่ไป๋จิ่ง “ลูกก็ด้วย ไม่รู้เหรอว่ามั่วไป๋ฉันไม่สบาย ไม่รู้จักสนใจระวังอีก”

 

 

           ไป๋จิ่งอยู่ต่อหน้าลี่เจิน โดนต่อว่าจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว มีหรือจะกล้าโต้แย้ง เขาพยักหน้าทันที “ตอนนี้ผมจะรีบไปตามหมอมาครับ”

 

 

           “ไม่เป็นไรครับ หมอไม่ต้อง กลับไปพักผ่อนก็ดีแล้วครับ”

 

 

           ลี่เจินเห็นแบบนี้ก็กวาดสายตามองไป๋จิ่ง “งั้นมั่วไป๋ก็ขึ้นไปพักผ่อนดีๆ พี่จะทำของอร่อยๆ ให้เรากินนะ”

 

 

           สายตาลี่เจินบอกใบ้ให้ไป๋จิ่งรีบตามขึ้นไปด้วย

 

 

           ลี่เจินมองตามเจ้าลูกชายจอมซื่อบื้อของเธอไป จีบคนก็จีบไม่ติด ตามระดับไอคิวของลูกชายเธอเกรงว่าชาติหน้าก็พาลูกสะใภ้กลับบ้านมาไม่ได้

 

 

           ลูกชายเธอคนเดียวคนนี้ของเธอ ถึงแม้ว่าจะซื่อบื้อไปสักหน่อย แต่อย่างอื่นเขาก็ยังดีมากทีเดียว

 

 

           ‘ช่างเถอะๆ ในฐานะแม่มาช่วยลูกชายก็แล้วกัน’

 

 

           

 

 

       ตอนที่ 587 เชื่อนายกับผีสิ

 

 

           ไป๋จิ่งตามมั่วไป๋ขึ้นชั้นบนไปจนกระทั่งเข้าห้อง

 

 

           มั่วไป๋ถึงได้ออกแรงดึงไป๋จิ่งเข้าไป “ตกลงแล้วนายพูดอะไรกับแม่นายกันแน่”

 

 

           เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ มั่วไป๋วางตัวไม่ถูกอับอายจนจะแทรกแผ่นดินหนีไม่ทันแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าไม่มีที่ให้เจาะลงไป เขาก็เจาะลงไปเองตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ผมไม่ได้พูดอะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งหัวเราะเยาะ “ฉันเชื่อนายกับผีสิ นายไม่ได้พูดอะไร แต่แม่นายจ้องฉันด้วยสายตาแบบนั้นได้นี่นะ”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยถามอย่างไม่กลัวตาย “สายตาอะไร”

 

 

           “นายว่าสายตาอะไร แบบลูก…สะใภ้…อะไรแบบนั้นไง…”

 

 

           มั่วไป๋พูดไปก็หยุดชะงักกะทันหัน หลังจากนั้นก็ถลึงตาใส่ไป๋จิ่ง “นายทำอะไรพิเรนทร์อีกใช่ไหม ไป๋จิ่ง นายทำแบบนี้ไม่สนุกเลยนะ นายรู้ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋ รอเขาพูดจบถึงค่อยได้เอ่ยออกมา “ผมแค่บอกกับแม่ผมว่าผมรักคุณก็เท่านั้นเอง ไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นทั้งนั้น ท่านรู้ว่าพวกเราไม่ได้คบกัน…

 

 

           …ท่านใจดีกับคุณขนาดนี้ เพราะท่านชอบคุณ”

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าไป๋จิ่งจงใจพูดกับลี่เจิน บอกว่าพวกเขาเป็นคนรักกัน ดังนั้นลี่เจินถึงได้เข้าใจผิด

 

 

           แต่ตอนนี้ลี่เจินเองก็รู้ว่าเขากับไป๋จิ่งเลิกกันแล้ว  ทำไมยังใจดีกับเขาได้ขนาดนี้

 

 

           “มั่วไป๋ คุณอย่าคิดมากเลย ท่านก็แค่ชอบคุณ ดังนั้นจึงอยากคุยกับคุณเยอะๆ หลายปีมานี้แม่ผมใช้ชีวิตคนเดียวมาโดยตลอด แล้วก็ไม่ได้มีคนที่ชอบด้วย ปีนึงผมเจอหน้าแม่ผมไม่กี่ครั้งเอง…

 

 

           …ท่านอายุมากแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกเหงาได้บ้าง”

 

 

           มือมั่วไป๋ที่กำหมัดเพราะโมโหเมื่อครู่นี้ผ่อนคลายลง แต่ก็ยังรู้สึกว่าแปลกประหลาดอยู่ไม่เบา

 

 

           ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไป๋จิ่งเดินทีก็วุ่นวายมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีลี่เจินเพิ่มขึ้นมาอีก

 

 

           มั่วไป๋ปวดหัวจนเอามือกุมหัว

 

 

           ยิ่งไม่รู้ว่าจะจัดวางตัวเองได้อย่างไร

 

 

           ไป๋จิ่งคิดว่ามั่วไป๋เพิ่งจะผ่าตัดมายังอยู่ในช่วงพักฟื้น ไม่อยากให้เขาหนักใจจนเกินไป ไป๋จิ่งเอื้อมมือไปจับมือเขาที่กุมหัวอยู่ลง เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “แม่ผมดีกับคุณ นายก็รับไว้ ไม่ต้องคิดอะไรมากขนาดนั้น มองว่าเธอเป็นผู้ใหญ่ธรรมดาคนหนึ่งก็ได้แล้ว”

 

 

           มั่วไป๋คอตกเหมือนแมวอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งอยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวเขา แต่ก็ไม่กล้าเอื้อมมือออกไป กลัวว่าลูบแล้วจะไม่สงบ กลับทำให้มั่วไป๋โมโหขึ้นมาแทน

 

 

           “ผมจะลงไปก่อน คุณพักผ่อนให้ดี ตอนเย็นกินข้าว ผมจะมาเรียกคุณ”

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งพูดจบ ถึงค่อยเดินออกไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

 

 

           มั่วไป๋มองดูประตูที่ถูกปิดลง ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ว่าต้องการจะพูดอะไร เดิมทีเขาตัดสินใจ ไม่ว่าไป๋จิ่งจะทำอะไร พูดอะไร เขาก็จะดึงดันดื้อรั้น

 

 

           ทำให้ไป๋จิ่งตีอกชกลมไปเอง ไม่ตอบสนองอะไรทั้งนั้น

 

 

           แต่ตอนนี้แม่ไป๋จิ่งปรากฏตัว เขาจะใช้ท่าทีที่มีต่อไป๋จิ่งกับแม่ไป๋จิ่งไม่ได้

 

 

           มั่วไป๋ครุ่นคิดอยู่ตั้งนานสองนาน คิดวิธีการใดๆ ไม่ออกจริงๆ

 

 

           ขณะที่มั่วไป๋กำลังจะเตรียมหาอะไรทำ ไป๋จิ่งก็วนกลับมาอีก เดินกลับมาเคาะประตูอีกครั้ง

 

 

           มั่วไป๋เอื้อมมือไปเปิดประตู มองไป๋จิ่ง “เป็นอะไรไปอีก”

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะสักพัก “ถ้าคุณร้อนใจ ไปดูที่ห้องข้างๆ ได้นะ”

 

 

           พูดจบก็เดินออกไปอีกครั้ง

 

 

           ไป๋จิ่งทิ้งทวนประโยคนี้แล้วก็ไปทันที มั่วไป๋ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ว่าถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำ เขาจึงตัดสินใจเข้าไปดูเสียเลยว่าตกลงแล้วมีอะไร

 

 

           มั่วไป๋ดึงประตูเปิดออก ไป๋จิ่งลงไปชั้นล่างแล้ว เขาออกจากห้องมุ่งหน้าเดินไปทางซ้ายมือของตัวเอง

 

 

           ไป๋จิ่งบอกว่าเป็นห้องข้างๆ นอกจากห้องนี้แล้วก็ไม่มีห้องอื่นอีกแล้ว

 

 

           ห้องทางขวาของเขาคือห้องของไป๋จิ่ง

 

 

           มั่วไป๋ยืนหน้าประตู ยื่นมือไปเปิดประตู มั่วไปเบลอเพียงชั่วพริบตา รอจนเขามองเห็นของข้างในชัดเจน เขาก็เงียบงันอยู่เป็นเวลานาน

 

 

           ข้างในเป็นห้องสตูดิโอวาดรูปเหมือนกับห้องสตูดิโอห้องนั้นในคอนโดมิเนียมของมั่วไป๋

 

 

           ไม่ใช่เพียงเท่านี้ แม้กระทั่งภาพที่อยู่ข้างในทั้งหมดก็วางอยู่ที่นี่

 

 

           อีกอย่างไป๋จิ่งยังเพิ่มชั้นวางภาพ รวมถึงอุปกรณ์เครื่องมือและสีในการวาดรูปอีกด้วย

 

 

            กลายเป็นห้องสตูดิโอใหม่ทั้งหมดห้องหนึ่งไปแล้ว

Related

ตอนที่ 584 แม่ผมอยากจะมา

 

 

           ตอนนั้นเขาหยิ่งทะนงตัวหัวสูง มีแต่ใจที่ต้องการจะหลุดพ้นออกจากครอบครัวนี้

 

 

           สุดท้ายเขาก็ยากจนถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ข้าวก็ไม่มีให้กิน แต่ว่าก็คุ้มค่าที่จะโอ้อวดได้บ้าง อย่างน้อยเขาได้แบกมันไปจนถึงที่สุด แล้วก็ไม่ได้ไปแบมือขอเงินที่บ้านด้วยเช่นกัน

 

 

           การลงทุนของเขาเริ่มมีทิศทางดีขึ้น มีผลตอบแทนกลับมาบางส่วนแล้ว

 

 

           มั่วไป๋จินตนาการภาพแบบนั้นของไป๋จิ่งว่าจะเป็นอย่างไรได้ยากมาก ในความทรงจำของเขา ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเจอไป๋จิ่ง เขาก็รู้สึกเหมือนว่าไป๋จิ่งพกความมั่นใจมาโดยธรรมชาติของตัวเองอยู่แล้ว

 

 

           ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดสำหรับไป๋จิ่งแล้ว ไม่มีสิ่งไหนที่ทำได้ไม่ได้

 

 

           แล้วก็เป็นแวบแรกนั้นเอง เขาหมดหนทางจะควบคุมตัวเอง เขาชอบไป๋จิ่งเข้าจนได้

 

 

           ตอนนั้นสำหรับเขาแล้วไป๋จิ่งนับว่าเป็นรักแรกพบ

 

 

           “แล้วพ่อแม่นายล่ะ”

 

 

           มั่วไป๋รู้ว่าตัวเองไม่ควรจะเอ่ยปากถามคำถามนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไม นาทีนั้นมั่วไป๋กลับเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วถามออกมา

 

 

           “พ่อกับแม่ผมเลิกกันไปตั้งนานแล้ว ต่อมาพ่อผมเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ก็เลยเหลือแค่ผมกับแม่…

 

 

           …พ่อผมทิ้งเงินไว้ให้ก้อนหนึ่ง…” ไป๋จิ่งหยุดสักพัก “คงจะเป็นเงินก้อนใหญ่มาก…

 

 

           …แต่ว่าผมไม่อยากได้เงินของเขา ดังนั้นจึงเอาเงินทั้งหมดให้แม่ผม แล้วผมก็เรียนไปด้วย ลงทุนหาเงินไปด้วย”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่ว่ามั่วไป๋ก็เข้าใจได้ประมาณหนึ่งจากคำพูดไม่กี่คำของเขา

 

 

           มั่วไป๋หยุดสักพัก ไม่ได้พูดอะไร แต่ยื่นมือไปหยิบนมขึ้นมาดื่ม

 

 

           ไป๋จิ่งคิดแล้วก็พูดขึ้น “ใช่แล้ว ลืมบอกคุณไปเลย วันนี้แม่ผมอยากจะมาเยี่ยมดูพวกเราที่นี่”

 

 

           มั่วไป๋กำลังดื่มนมอยู่ ผลปรากฏว่าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของไป๋จิ่ง เขาก็พ่นนมออกมา

 

 

           เขาเองก็ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องสะอิดเอียนหรือว่าไม่ เขารีบดึงกระดาษทิชชูออกมาปิดปากสำลักไออย่างรุนแรง

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเหตุการณ์แล้วก็รีบพุ่งตัวเข้าไปอยู่ข้างๆ มั่วไป๋ เอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

           เพราะว่าไอ ใบหน้ามั่วไป๋จึงแดงจัดไปทั่วทั้งหมด เขาไอจนพูดไม่ออกแม้สำคำ คนทั้งคนเอามือปิดปาก ไอจนรู้สึกแย่ไปหมด

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างๆ ยื่นมือไปตบหลังมั่วไป๋เบาๆ ให้เขาหายใจได้สะดวกขึ้น

 

 

           ผ่านไปสักพัก มั่วไป๋ถึงค่อยๆ หยุดลงอย่างช้าๆ เขาเห็นของที่เรี่ยราดอยู่เต็มบนโต๊ะ พลางมองไป๋จิ่งที่อยู่ข้างตัว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

 

 

           เขาเอื้อมมือไปดึงกระดาษทิชชูมาหลายแผ่น เก็บกวาดของที่เรี่ยราดสักพัก

 

 

           ไป๋จิ่งกดมือเขาไว้ “ไม่เป็นไร คุณปล่อยเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

 

 

           ตอนนี้ที่เขาอยู่ต่อหน้าไป๋จิ่งก็วางตัวไม่ถูกแล้ว จะให้ไป๋จิ่งมาทำความสะอาดให้อีก มั่วไป๋รู้สึกว่าตัวเองจะวางตัวไม่ถูกถึงขั้นโงหัวไม่ขึ้นได้

 

 

           เขาเอื้อมมือไปดึงมือไป๋จิ่งออก ค่อยๆ ทำความสะอาดจนเสร็จไปอย่างช้าๆ หลังจากที่ทิ้งกระดาษทิชชูลงถังขยะด้านข้างทันทีแล้ว ถึงค่อยได้เอ่ยถามขึ้น “นาย…เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”

 

 

           “แม่ผมรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่ เลยอยากเข้ามาสักหน่อย”

 

 

           มั่วไป๋แน่ใจอีกครั้งหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดไปแล้วจริงๆ

 

 

           สมองเขาชักจะว้าวุ่นแล้ว เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับไป๋จิ่งทั้งสิ้น  แม่ไป๋จิ่งอยากจะมา…

 

 

           ‘ไป๋จิ่งจะแนะนำตัวเขายังไง…

 

 

           …บอกว่าเขาคือเพื่อน…ที่ไป๋จิ่งแอบพาตัวมาเหรอ’

 

 

           สีหน้ามั่วไป๋สงบนิ่ง แต่ที่จริงในใจเขากำลังคลุ้มคลั่ง ความคิดหลากหลายกำลังวกไปวนมาอยู่ในหัวเขา

 

 

           มั่วไป๋กดเอาไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ เขาหมดหนทางจะทำให้ตัวเองทำเป็นนิ่งเฉยต่อไปได้แล้ว

 

 

           เขาแทบจะตะโกนออกมาแล้ว “นายเป็นบ้าหรือไง อะไรคือการเรียกแม่นายมาหาฉัน”

 

 

           ‘ระหว่างพวกเรามีความสัมพันธ์กันเหรอ’

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเข้าใจวงจรสมองของไป๋จิ่งได้แล้วจริงๆ

 

 

           ไป๋จิ่งทำไขสือมองเขาอยู่ในที “สองวันก่อนผมไปหาแม่อยู่ทางนั้น ก็เลยถือโอกาสบอกเรื่องคุณกับท่านด้วย”

 

 

           “ถือโอกาส…นาย ท่าน นายถือโอกาสพูดยังไงเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งลูบปลายจมูกปอยๆ ไม่พูดจา

 

 

 

 

ตอนที่ 585 ลี่เจินมาถึง

 

 

           มั่วไป๋อดไม่ได้ที่จะมองบนใส่ไป๋จิ่ง เขาหันหลังมุ่งหน้าจะเดินไปข้างนอก

 

 

           ‘เวลานี้ยังไม่ไป จะรอเจอแม่ไป๋จิ่งหรือไง’

 

 

           “มั่วไป๋…”

 

 

           พอไป๋จิ่งเห็นเขาต้องการจะเดินหนีไป จึงรีบเอื้อมมือไปจะดึงตัวมั่วไป๋ไว้ เวลานี้ที่ประตูทางเข้ามีเงาร่างของคนคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา

 

 

           ขณะที่เดินเข้ามาก็เอ่ยตะโกนดังลั่น “ไป๋จิ่ง ไป๋จิ่ง ลูกสะใภ้แม่อยู่ไหนแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่ง “…”

 

 

           มั่วไป๋ “…”

 

 

           ……

 

 

           มั่วไป๋อยากจะวิ่ง แต่ยังไม่ทันได้ออกพ้นประตูไป แม่ไป๋จิ่งก็มากั้นทางให้เขากลับมา

 

 

           เธอดูแลตัวเองดีมาก ดูไปแล้วเหมือนจะอายุไม่เกินสี่สิบกว่าปี ใบหน้ากลมมน ดูไปแล้วเหมือนเด็กสาวคนหนึ่ง ดึงดูดคนให้มาชอบได้เป็นพิเศษทีเดียว

 

 

           เดิมทีมั่วไป๋ยังอยากจะพูดอะไร แต่พอเห็นแม่ไป๋จิ่ง คำพูดอะไรเขาก็พูดไม่ออก

 

 

           แม่ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ เธอก็ทิ้งของในมือลงแล้ววิ่งเข้าไปทันที

 

 

           “นี่ก็คือมั่วไป๋ใช่ไหมล่ะ” เธอรั้งมือมั่วไป๋ไว้ด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง “หน้าตาดูดีมากจริงๆ ดูดีกว่าไป๋จิ่งเจ้าคนระยำนั่นตั้งเยอะ”

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างๆ มุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก  ใช่แม่แท้ๆ ของเขาจริงๆ ไหม

 

 

           ‘เรียกลูกชายตัวเองว่าเจ้าคนระยำแบบนี้มีด้วยเหรอ’

 

 

           มั่วไป๋ถูกเธอกุมมือไว้ ร่างกายแข็งทื่อโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรกับแม่ไป๋จิ่งดี ชะงักงันไปพักใหญ่ ได้เพียงแค่เอ่ยเรียกเสียงต่ำ “สวัสดีครับคุณน้า”

 

 

           แม่ไป๋จิ่งจูงมั่วไป๋ด้วยความดีใจ “เรียกคุณน้าอะไรกัน เรียกว่าพี่สิ”

 

 

           มั่วไป๋ “…”

 

 

           ‘จะไม่เป็นการนับรุ่นที่มั่วกันหรอกเหรอ’

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาแบบนั้น เสียงต่ำอดไม่ได้ที่เอ่ยขึ้นอยู่ข้างๆ “ท่านกลัวแก่ ดังนั้นไม่ว่าเป็นใครก็จะให้เรียกเป็นพี่เหมือนกันหมด”

 

 

           มุมปากมั่วไป๋กระตุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายก็ยังเอ่ยขึ้นมาอย่างว่าง่าย “พี่”

 

 

           ลี่เจินเห็นมั่วไป๋ ตรงไหนๆ ก็พอใจไปหมด ดูว่านอนสอนง่าย ทั้งยังดูดี ลูกชายของเธอชาติก่อนต้องไปทำบุญครั้งใหญ่มาแน่ ถึงได้หาเด็กที่น่าเอ็นดูขนาดนี้มาได้

 

 

           สองวันก่อนไป๋จิ่งไปหาเธอ พอมาถึงก็คุกเข่าลงต่อหน้าเธอทันที

 

 

           ทำเอาเธอตกอกตกใจ คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไร

 

 

           ผลปรากฏว่าไป๋จิ่งเอ่ยปากก็พูดว่า “แม่ครับ ผมชอบคนคนหนึ่งเข้าแล้ว”

 

 

           “มีคนที่ชอบก็เป็นเรื่องที่ดีนี่ ทำไมต้องคุกเข่าด้วย เป็นทางการขนาดนั้นเชียว”

 

 

           ไป๋จิ่งพูดอีก “เขาเป็นผู้ชายครับ”

 

 

           ลี่เจินหยุดชะงักไป “ผู้ชายเหรอ…” เขาลากหางเสียงยาว “หล่อไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งหยิบมือถือออกมาวางอยู่ต่อหน้าลี่เจิน เป็นรูปถ่ายวันนั้นที่พวกเขาอยู่โรงหนังด้วยกัน

 

 

           เมื่อลี่เจินเห็น ดวงตาก็ลุกวาวในพริบตา “ได้ๆๆ”

 

 

           มุมปากไป๋จิ่งกระตุกแล้วกระตุกอีก ไม่ค่อยกล้าจะพูดต่อ  ได้ๆๆๆ นี่หมายความว่าอะไรกัน

 

 

           ลี่เจินมองดูรูปถ่ายด้วยความชอบจนวางไม่ลง ในใจคิด  สายตาของลูกชายคนนี้ของเธอใช้ได้เลย

 

 

           กว่าจะชอบคนคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ชาย แต่ก็หน้าตาดีจริงๆ

 

 

           หน้าตาดีก็ช่างเถอะ ยังเป็นเด็กที่น่าเอ็นดูขนาดนี้อีก เหมาะสมกับลูกชายเธอจะแย่แล้วจริงๆ

 

 

           “เจ้าลูกชาย แล้วเมื่อไหร่จะพาเขามาหาแม่ล่ะ”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นสีหน้าแบบนั้นของเธอ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอีกประโยค “พามาไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมยังไม่ได้จัดการให้เสร็จดีครับ”

 

 

           ลี่เจินนั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าบึ้งตึง เธอคว้าหมอนที่อยู่ใกล้ทุบใส่ไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่กล้าหลบ ปล่อยให้เธอทุบตีอยู่อย่างนี้

 

 

           “ลูกนี้ไม่ได้เรื่องเลย แม้แต่ภรรยาก็ยังจัดการไม่ได้ ยังมีหน้ามาบอกแม่ว่ามีคนที่ชอบอีกเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก  นี่ใช่แม่แท้ๆ ของเขาจริงๆ ไหม

 

 

           ‘ด่าทอคนได้ตามใจชอบขนาดนี้เลยเหรอ’

 

 

           “ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว เมื่อไหร่ถึงจะพาลูกสะใภ้มาหาแม่ได้”

 

 

           ไป๋จิ่งลูบจมูกด้วยความเลิ่กลั่ก “ผมตัดสินใจว่าวันมะรืนจะไปโรงพยาบาลแอบพาตัวเขาออกมาครับ”

Related

 ตอนที่ 582 ช่วงนี้คุณสบายดีไหม

 

 

           ตอนนี้กลับสลับมาเป็นไป๋จิ่งทำอาหารให้เขาแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอะไรสักคำ เขาอดจะเอ่ยปากถามไม่ได้ “เป็นยังไงบ้าง ไม่ถูกปากเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว หยิบตะเกียบขึ้นมา

 

 

           “คุณลองชิมดูนะ ของชอบคุณทั้งนั้นเลย” เหมือนไป๋จิ่งจะกระอักกระอ่วนใจอยู่นิดหน่อย “ผมไม่ได้ทำอาหารนานแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือจะถอถอยบ้างหรือเปล่า”

 

 

           ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของเขา มือมั่วไป๋ที่จับตะเกียบอยู่กระชับแน่นขึ้น เขาไม่พูดสักประโยค เริ่มลงมือกินข้าว

 

 

           ไป๋จิ่งทำอาหาร ที่จริงอร่อยมาก

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดาย มั่วไป๋ในเวลานี้ เรื่องที่ติดอยู่ในใจหนักหน่วงเกินไป ต่อให้เป็นของที่อร่อยกว่านี้ เขาก็กินแล้วไม่รับรู้รสชาติใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

           เขากินอาหารมื้อนี้อย่างไร้รสชาติ

 

 

           แต่กลับเป็นไป๋จิ่งที่อารมณ์ชื่นมื่นมาก พูดคุยกับมั่วไป๋อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้มั่วไป๋จะพูดน้อยมากก็ไม่เป็นไร

 

 

           มั่วไป๋ตอบรับไปบ้างคำสองคำเป็นบางครั้งบางคราว เวลาส่วนใหญ่กลับยังคงไม่พูดจาแม้สักคำ

 

 

           เขากินแบบลวกๆ เพียงไม่กี่คำแล้วก็เดินออกไป

 

 

           เวลานี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญกับใบหน้านั้นของไป๋จิ่งได้อย่างไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ไม่เผชิญหน้ากันตอนนี้ยังจะดีกว่า

 

 

           มั่วไป๋ขึ้นชั้นบนไป ไป๋จิ่งไม่ได้กระทำการใดๆ มองตาปริบๆ ปล่อยให้เขาขึ้นชั้นบนไป

 

 

           เขากำมือแน่นเป็นเวลานานกว่าจะผ่อนคลายลง

 

 

           มั่วไป๋กลับห้องไปแล้ว เขาก็นอนไม่ค่อยจะหลับเท่าไหร่ เขายืนอยู่ตรงระเบียงมองไปยังข้างนอก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ไป๋จิ่งจะเล่นจนพอที่จะปล่อยเขาไปได้

 

 

           เดิมทีกลางภูเขาท้องฟ้าจะค่ำลงเร็วอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งมืดสนิทยิ่งขึ้นไปอีก

 

 

           สีดำขลับรายล้อมไปหมด มีเพียงแค่คฤหาสน์หลังนี้เท่านั้นที่สว่างโชติช่วง ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งสร้างคฤหาสน์แบบนี้ในภูเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านข้าง จิตใต้สำนึกมั่วไป๋สั่งให้เขาหันหน้าไปมอง เขาก็เห็นไป๋จิ่งออกมาจากด้านข้างพอดี

 

 

           ‘ที่แท้เขาพักอยู่ข้างๆ ไป๋จิ่งนี่เอง’

 

 

           เห็นเงาร่างของมั่วไป๋ ไป๋จิ่งเองก็ชะงักงันไปพักหนึ่ง เดิมเขาอยากออกมาสูบบุหรี่ คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋เองก็อยู่ที่นี่ด้วย

 

 

           มือเขาที่ดึงประตูไว้หยุดชะงักไป แต่ยังคงเดินออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

 

 

           นาทีนั้นที่เห็นไป๋จิ่งเดินออกมา อีกนิดมั่วไป๋เกือบจะหมุนตัวหันกลับเข้าห้องไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาค่อนข้างจะหวาดกลัวที่จะเจอไป๋จิ่ง

 

 

           แต่ว่าถ้าออกไปเวลานี้ จะดูเหมือนตัวเองพยายามมากเกินไป มั่วไป๋ลังเลใจอยู่สักพัก เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปไหน

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเงาร่างที่อยู่ข้างตัว เขาก็โล่งใจไปที ดีใจขึ้นมาทันทียังดีที่มั่วไป๋ไม่ได้ออกไปตอนนี้

 

 

           ไป๋จิ่งเดินมาถึงหน้าระเบียงทีละก้าวๆ มายืนข้างๆ มั่วไป๋พอดี ทั้งสองคนห่างกันนิดเดียว แค่เพียงเอื้อมมือก็แตะกันได้

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่บนระเบียง ลูบกล่องบุหรี่ที่อยู่ในมือ คิดดูแล้วก็ยัดเก็บเข้าไป

 

 

           มั่วไป๋เพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วยหนักมา ดมกลิ่นบุหรี่ไม่ดี

 

 

           “ถ้านายอยากสูบก็สูบได้”

 

 

           มั่วไป๋เห็นการกระทำของไป๋จิ่ง เห็นเขาเอาบุหรี่ยัดกลับเข้าไป เสียงต่ำก็อดจะเอ่ยขึ้นไม่ได้

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่หรอก ไม่ได้อยากสูบขนาดนั้น”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับ ไม่ได้พูดอะไรอีก

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูใบหน้าด้านข้างของมั่วไป๋ ใบหน้างามละเอียดได้รูปของมั่วไป๋ภายใต้แสงจันทร์มีแสงแห่งความอ่อนโยนจางๆ

 

 

           ไป๋จิ่งกะพริบตา “ช่วงนี้คุณสบายดีไหม”

 

 

           เขาเองก็รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ดูเชยมาก แต่ว่าในใจกลับเป็นประโยคที่เขาอยากถามมากที่สุด

 

 

           การผ่าตัดในวันนั้น เขารออยู่ที่หน้าประตูเป็นเวลาสามชั่วโมงเต็มๆ กว่ามั่วไป๋จะถูกเข็นออกมา

 

 

           เขาเดินตามอยู่ช้างหลัง ถือโอกาสที่ยาชายังไม่หมดฤทธิ์ อยู่เป็นเพื่อนเขาอีกไม่กี่ชั่วโมง

 

 

           เขาออกไปก่อนที่มั่วไป๋จะฟื้นขึ้นมา เพื่อไม่ทำให้มั่วไป๋ไม่สบายใจ ไป๋จิ่งไม่ได้มาเจอหน้ามั่วไป๋เป็นเวลาเกือบยี่สิบวัน แม้แต่โรงพยาบาลก็ไม่ได้เขาไปแม้สักครั้ง

 

 

           เขาใช้เวลากว่ายี่สิบวันในการตกแต่งคฤหาสน์หลังนี้ใหม่โดยยึดตามความชอบของมั่วไป๋

 

 

           ในเวลายี่สิบวันนี้ เขาคิดถึงมั่วไป๋ทุกวัน แต่นอกจากเหยียนอวี้จะส่งรูปมั่วไป๋ให้เขาดูในบางครั้ง เขาก็ไม่มีหนทางอื่นที่จะติดต่อกับมั่วไป๋ได้

 

 

 

 

ตอนที่ 583 แต่ก่อนผมค่อนข้างจน

 

 

           การตกแต่งคฤหาสน์เสร็จไปเมื่อสองวันก่อน เขารีบติดต่อกับเหยียนอวี้ทันที เหยียนอวี้ให้เขารออีกสองวัน

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงกดเก็บความปรารถนาในใจไว้ รอต่ออีกสองวัน สองวันนี้เขาถือโอกาสจัดการธุระอย่างอื่นไปด้วย

 

 

           จนกระทั่งถึงวันนี้ ภายใต้การประสานงานทั้งนอกและในของเหยียนอวี้ ก็ได้พาตัวมั่วไป๋ส่งมาถึงที่คฤหาสน์

 

 

           สถานที่นี้เงียบสงบ บรรยากาศก็ดี เหมาะกับการพักฟื้นของมั่วไป๋ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือที่นี่นอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ก็ติดต่อถึงโลกภายนอกไม่ได้โดยสิ้นเชิง

 

 

           เขาควบคุมทุกอย่างทั้งหมดนี้ เพราะว่าการพลัดพรากจากกันมานานขนาดนี้ใกล้ถึงขีดอันตรายแล้ว เขาไม่อยากยืนอยู่เพียงแค่ข้างๆ เป็นผู้เฝ้ามองดูมั่วไป๋ตลอดไป

 

 

           นับวันเขายิ่งถูกผลักให้ห่างออกไปไกลเรื่อยๆ สุดท้ายแม้แต่ความเป็นไปได้ของการมีตัวตนก็จะไม่มีทั้งนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งรู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนดีอะไร ยิ่งไม่อาจจะเสียสละตัวเองไปช่วยให้คนอื่นได้ในสิ่งที่ต้องการได้

 

 

           ในใจของเขา เขาขอบมั่วไป๋ มั่วไป๋เองก็ชอบเขา ในเมื่อต่างฝ่ายต่างชอบกัน แล้วทำไมจะต้องแยกจากกันไปด้วย

 

 

           ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ต่อให้ตอนนี้มั่วไป๋จะขับไล่เขาไป เขาก็จะพยายามทำให้มั่วไป๋ตกหลุมรักตัวเองให้ได้อีกครั้ง

 

 

           ถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะดูเลวทรามไปบ้าง แต่เขาก็ยอมแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เอียงหน้ามองเขา “ก็ดี”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า “งั้นก็ดี”

 

 

           มั่วไป๋มองไป๋จิ่ง ในที่สุดก็ทนไม่ได้ “นายอยากจะพูดแค่นี้กับฉันเหรอ”

 

 

           ความว้าวุ่นใจฉายสะท้อนในแววตาของไป๋จิ่ง เขามีอะไรมากมายอยากจะพูดกับมั่วไป๋ แต่พอคำพูดมาถึงปาก กลับไม่กล้าจะพูดอะไรสักอย่าง

 

 

           เพราะเอาใจใส่เกินไป จึงปรากฏความระมัดระวังให้เห็น

 

 

           มั่วไป๋เชิดมุมปากล่างขึ้น เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ไป๋จิ่ง นายคิดใช่ไหมว่านายกักตัวฉันที่นี่ แล้วฉันจะคบกับนายได้ใหม่อีกครั้ง”

 

 

           “ผมก็แค่อยากจะอยู่ใกล้คุณขึ้นอีกนิด”

 

 

           “แล้วถ้าฉันไม่อยากจะใกล้นายมากเกินไปล่ะ” จู่ๆ มั่วไป๋ก็เชิดตาขึ้นมองเขา “ที่จริงจนถึงตอนนี้แล้วนายก็ไม่รู้เลย ว่าทำไมฉันถึงเลิกกับนายไปสักที เพราะเรื่องของเซียวเย่ว์”

 

 

           บางทีไป๋จิ่งอาจจะคิดมาเสมอ ว่าเป็นเพราะเขาไม่อยากจะเห็นหน้าเซียวเย่ว์ ดังนั้นเมื่อไป๋จิ่งติดต่อเซียวเย่ว์ลับหลัง ถึงได้โกรธจนเลิกกับไป๋จิ่งได้

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุอะไร ในเมื่อเลิกกันแล้ว มันก็ไม่มีอะไรให้น่าพูดแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งหมุนตัวมุ่งหน้าเดินไปทางมั่วไป๋ ระหว่างทั้งสองคนกั้นกลางแค่เพียงกระจกสูงหนึ่งเมตรเท่านั้น

 

 

           “เรื่องบางเรื่อง ผมก็ไม่อยากจะเอ่ยอีก แล้วก็ไม่อยากแก้ต่างให้ตัวเองด้วย”

 

 

           ไป๋จิ่งหยุดสักพัก “คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ยืนอยู่ที่เดิม ครั้งนี้สลับมาเป็นผมเดินเอง โอเคไหม”

 

 

           ……

 

 

           เช้าวันต่อมา มั่วไป๋ได้ยินเสียงจอแจลางๆ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้สนใจอะไร หลับตาแล้วนอนต่อไปทั้งอย่างนี้

 

 

           หลับไปอีกรอบ กว่ามั่วไป๋จะตื่นเวลาก็ใกล้จะถึงเก้าโมงครึ่งแล้ว

 

 

           เขาล้างหน้าแปรงฟันแล้วกำลังคิดจะออกจากห้องไป เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูขึ้นมา

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างนอก เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “ตื่นหรือยัง”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับ

 

 

           “ลงมากินอาหารเช้ากัน”

 

 

           มั่วไป๋เดินเข้าไปดึงประตูเปิด ไป๋จิ่งยังไม่เดินออกไป เขาอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋พอดี

 

 

           มั่วไป๋กะพริบตาปริบๆ เบนสายตาหนีอย่างเงียบๆ กระแอมไอเบาๆ “ไปกันเถอะ”

 

 

           ทั้งสองคนเดินลงมาชั้นล่าง ไป๋จิ่งทำอาหารเรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้ว วางบนโต๊ะเสร็จสรรพ ถึงค่อยไปเรียกมั่วไป๋

 

 

           ฝีมือของไป๋จิ่งไม่ต้องพูดถึงจริงๆ แม้แต่อาหารเช้าก็ยังทำอร่อยมาก

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยถามอย่างไม่ได้ระวังอะไร “นายไปเรียนกับใครมาโดยเฉพาะหรือเปล่า”

 

 

           ไป๋จิ่งยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความติดตลก “เมื่อก่อนตอนที่ผมเรียนอยู่ข้างนอกคนเดียว ฐานะค่อนข้างยากจน ค่าใช้จ่ายในการกินข้างนอกสูงเกินไป ดังนั้นผมเลยซื้อกลับมาทำกินเอง”

 

 

           มั่วไป๋แปลกใจอยู่ไม่น้อย ไป๋จิ่งยังมีช่วงเวลาที่ยากจนถึงขั้นไม่มีข้าวจะกินด้วยเหรอ

 

 

           “คุณอย่ามองผมแบบนี้สิ แต่ก่อนเมื่อตอนที่ผมยากจนถึงขั้นไม่มีข้าวจะกิน สองวันกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ซองเดียว เวลาอื่นหิวก็ดื่มน้ำอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง” 

Related

ตอนที่ 580 นายอธิบายได้แล้ว

 

 

           พูดจบก็เดินออกจากห้องอาหารไปขึ้นชั้นบนทันที

 

 

           มั่วไป๋มองตามแผ่นหลังของไป๋จิ่ง เขากำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว เสียงต่ำเอ่ยถาม “นายคิดจะทำอะไรกันแน่”

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้าเล็กน้อย “กินเสร็จค่อยคุยกัน”

 

 

           พูดจบก็เดินจากไปทันที

 

 

           มั่วไป๋ขบกราม ไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอะไร สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จำใจต้องเดินกลับไปยังโต๊ะอาหาร มองดูชามเกี๊ยวชามนั้น

 

 

           เกี๊ยวน้ำที่ไป๋จิ่งทำ เขาต้องรู้เป็นธรรมดา

 

 

           รสชาตินั้นที่ยังสลักอยู่ในใจ ฝังอยู่ในกระดูก

 

 

           มั่วไป๋ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งลง เขาหยิบช้อนที่อยู่ในชามขึ้นมา มั่วไป๋มองดูเกี๊ยวน้ำนั้น ในใจก็มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก

 

 

           เขาคิดว่าตัวเขาเองกับไป๋จิ่งควรจะไม่มาข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว ใครจะรู้ว่าจะมาอีกครั้ง

 

 

           อีกอย่างไป๋จิ่งยังทำเกี๊ยวน้ำมาอีกด้วย

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างจนใจ เขาไม่รู้ว่าครั้งนี้ไป๋จิ่งคิดจะทำอะไรอีก เพียงแต่ว่าไป๋จิ่งคิดจะทำอะไร เขาก็ไม่กลัวทั้งนั้น

 

 

           เขาค่อยๆ กินเกี๊ยวน้ำในชามทั้งหมดทีละนิดๆ รสชาติที่คุ้นเคยอบอวลอยู่ในลำคอ มั่วไป๋คิดไม่ถึงว่าจะกินไม่ค่อยลง รู้สึกว่าสะอึกกลืนลงคอยาก

 

 

           มั่วไป๋กำช้อนไว้แน่น ค่อยๆ กินเกี๊ยวน้ำให้เสร็จทีละนิดๆ

 

 

           ทันทีหลังจากนั้นเขาก็เอากระดาษทิชชูเช็ดริมฝีปากแล้วนั่งรออยู่ที่เดิม

 

 

           เขารู้ว่าไป๋จิ่งจะเป็นฝ่ายลงมาเอง

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้เพียงไม่นาน ไป๋จิ่งก็เดินลงมา ในมือยังถือกล่องกล่องหนึ่งลงมาด้วย

 

 

           มั่วไป๋เห็นกล่องใบนั้น รูม่านตาก็หดลงเล็กน้อย

 

 

           ‘นี่ไม่ใช่…’

 

 

           ไป๋จิ่งวางกล่องลงบนโต๊ะ เขามองมั่วไป๋ “นี่คือสิ่งที่คุณส่งให้ผมเมื่อครั้งก่อน”

 

 

           มั่วไป๋ต้องรู้อยู่แล้ว เขามองไป๋จิ่ง “ให้นายไปแล้ว ก็ต้องเป็นของนายเป็นธรรมดา”

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะ “ของที่ผมส่งไป ไม่มีหลักการที่ให้รับกลับเข้ามา”

 

 

           ในใจมั่วไป๋เกิดความรู้สึกหงุดหงิดใจที่ระงับไว้ไม่อยู่ ตั้งแต่ที่เจอหน้าไป๋จิ่งอีกครั้ง ในใจเขาก็สงบไม่ลงอีกต่อไป

 

 

           การปรากฏตัวของไป๋จิ่งปั่นป่วนหัวใจที่ใกล้ขีดอันตรายของเขาทีละนิดๆ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

 

 

           “ฉันไม่ต้องการของพวกนี้” มั่วไป๋พูดอีกครั้ง

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะ “งั้นคุณก็ทิ้งไปเลย ผมให้คุณแล้ว มันเป็นของคุณ ผมจะต้องการอีกไม่ได้”

 

 

           “นายจะเอาแบบนี้ให้ได้เลยใช่ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ทันที “คนที่จะเอาแบบนี้ให้ได้คือคุณนะ”

 

 

           มั่วไป๋ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับไป๋จิ่งอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขากดเก็บความโมโหในใจไว้ “ได้ ฉันจะเก็บไว้เอง”

 

 

           “นายอธิบายได้แล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นท่าทางเย็นชาของเขาแล้วยิ้มหัวเราะ เขาพยักหน้ารับ “คุณอยากรู้อะไร”

 

 

           มั่วไป๋ถามไปตรงๆ “ทำไมนายต้องพาตัวฉันมาที่นี่ด้วย”

 

 

           ไป๋จิ่งเชิดตาขึ้นมองมั่วไป๋ “คุณเดาไม่ได้เหรอ”

 

 

           รูม่านตามั่วไป๋หดตัวลงเล็กน้อย รีบเบนสายตาหนี เขาไม่กล้าสบตากับไป๋จิ่ง บางอย่างที่อยู่ในแววตาของไป๋จิ่ง เขาไม่กล้ามอง

 

 

           ท่าทางหลบหลีกที่ชัดเจนของเขาทำให้ไป๋จิ่งยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ที่จริงมั่วไป๋ลืมเขาไม่ลงมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เขาก็ลืมไม่ลง

 

 

           “ทำไมฉันต้องเดา เมื่อกี้นายพูดว่าขอเพียงแต่ฉันกินเสร็จ นายก็จะบอกความจริงกับฉัน”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า “ที่นี่เป็นบ้านของพวกเราสองคน คุณต้องมาอยู่แล้ว”

 

 

           มั่วไป๋สมองโตแล้ว  ทำไมเขาถึงพูดกับไป๋จิ่งไม่รู้เรื่องนะ

 

 

           “ฉันกับนายไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน บ้านของนายก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน” มั่วไป๋เอ่ยซ้ำอีกครั้ง

 

 

           แต่ไป๋จิ่งกลับยิ้มอย่างไม่สนใจอะไร “ไม่เป็นไร ถึงยังไงไม่ว่าจะเป็นผมหรือว่าบ้าน ไม่ช้าก็เร็วล้วนเกี่ยวข้องกับคุณทั้งหมด”

 

 

           มั่วไป๋เลือดขึ้นหน้า เห็นท่าทางของไป๋จิ่ง เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จู่ๆ เขาก็ยื่นมือไปกดไหล่ไป๋จิ่งไว้ คนทั้งคนถูกกดไว้บนตู้ที่อยู่ด้านข้าง “นายแม่งเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม”

 

 

           

 

 

     ตอนที่ 581 อยากให้เขาปล่อยมือ

 

 

           เหมือนไป๋จิ่งจะเทหมดหน้าตักแล้ว เขามองมั่วไป๋ “ถ้าคุณคือความบ้า ผมก็มีความบ้า”

 

 

           เส้นเลือดบนขมับกระตุกแล้วกระตุกอีก มั่วไป๋สะบัดเสื้อของไป๋จิ่งออก เขาคงจะบ้าไปแล้วถึงได้พูดจาไร้สาระแบบนี้กับไป๋จิ่งได้

 

 

           เขายิ้มประชดประชัน หันหลังเตรียมจะเดินออกไป

 

 

           เขาจะเปลืองน้ำลายกับไป๋จิ่งมากมายขนาดนั้นไปเพื่ออะไร เดินออกไปเสียเลยยังจะดีกว่า

 

 

           เขามุ่งหน้าไปทางประตูบานใหญ่ เอื้อมมือไปเปิดประตูออก

 

 

           ข้างนอกเป็นภูเขาสูงใหญ่ มือมั่วไป๋ที่ผลักเปิดประตูออกไปชะงักงัน ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก เขาเดินออกไปอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ คิดไม่ถึงว่าจะพบว่าตัวเองอยู่กลางภูเขา ทั้งสี่ด้านรายล้อมไปด้วยภูเขา เขาออกไปจากที่นี่ไม่ได้มาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็เดินตามเข้ามา มั่วไป๋หันหน้ากลับไปมองไป๋จิ่ง  มิน่าล่ะไป๋จิ่งถึงไม่กังวลใจเลยสักนิดว่าตัวเองจะออกไป

 

 

           ที่นี่มีภูเขาราบล้อมไปหมด ต่อให้เขาใช้เวลาเดินหลายวันก็ออกไปไม่ได้

 

 

           ดังนั้นไป๋จิ่งจึงจงใจพาตัวเข้ามาที่นี่ ก็เพื่อที่จะกักตัวเขาไว้ให้ถึงที่สุด

 

 

           ความเดือดดาลในใจของมั่วไป๋ลุกโชนขึ้นมาในทันใด

 

 

           เขาหันไปถลึงตาใส่ไป๋จิ่งด้วยท่าทีดุดัน “โรคจิต”

 

 

           พูดจบเขาก็ผลักไป๋จิ่งให้พ้นทาง หันหลังเดินขึ้นชั้นบนไป กลับไปยังห้องเดิมที่ตัวเองรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้ว่าการกระทำของเขาไม่ดี

 

 

           แต่ว่าเขาไม่มีวิธีอื่นแล้ว เขาก็เพียงแค่อยากจะเริ่มต้นใหม่กับมั่วไป๋

 

 

           ถ้าไม่กักตัวมั่วไป๋ไว้ เขาก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ

 

 

           ไป๋จิ่งพิงประตู นึกถึงประโยคหนึ่งที่ไม่รู้ว่าไปเห็นที่ไหนมาเมื่อนานมาแล้ว

 

 

           “ระหว่างพวกเราไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นฉันที่ไม่ยอมตายใจ”

 

 

           ระหว่างเขากับมั่วไป๋ เมื่อก่อนมั่วไป๋ไม่ยอมตายใจ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเขาที่ไม่ยอมตายใจเองก็ได้แล้ว

 

 

           ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่ปล่อยมือมั่วไป๋ไป

 

 

           ….

 

 

           มั่วไป๋กลับมาอยู่ในห้อง เขาถึงค่อยๆ ได้ใจเย็นลง

 

 

           เขาเดินไปยังหน้าหน้าต่าง มองดูทิวทัศน์ที่อยู่ข้างนอก พลางถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะทำเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้

 

 

           พาตัวเข้ามาถึงที่นี่ ยังทำเกี๊ยวน้ำให้เขากินอีก

 

 

           ความรู้สึกในใจของไป๋จิ่ง มั่วไป๋เข้าใจชัดเจนมาก

 

 

           เพียงแต่ว่าระหว่างพวกเขา  จะฝืนใจกันก็ฝืนใจไม่ไหวหรอก

 

 

           เขากุมขมับแล้วกุมขมับอีก ขอเพียงแต่หวังว่าไป๋จิ่งจะคิดให้ตกได้ในเร็ววัน ปล่อยให้ต่างคนต่างหลุดพ้น

 

 

           ……

 

 

           ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างช้าๆ โดยไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว อยู่กลางภูเขาที่นี่ ไม่มีอะไรสักอย่าง เหลือเพียงแต่เวลาที่ยาวไกล

 

 

           มั่วไป๋นั่งอยู่บนเตียง ครุ่นคิดอย่างเงียบงัน สุดท้ายต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้ไป๋จิ่งปล่อยมือไปได้

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดาย จนกระทั่งฟ้ามืดแล้ว เขาก็คิดหาวิธีอะไรดีๆ ไม่ออกทั้งสิ้น

 

 

           เขาถอนหายใจช้าๆ ดูท่าว่าจะทำได้เพียงปล่อยให้ไปตามธรรมชาติแล้ว

 

 

           เขาไม่มีมือถือ ไม่มีคอมพิวเตอร์ แม้แต่เครื่องมือติดต่อกับโลกภายนอกเพียงสักชิ้นก็ไม่มีทั้งนั้น

 

 

           ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่ไม่มี ไป๋จิ่งเองก็ไม่มีเช่นกัน

 

 

           ในคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้ นอกจากในห้องรับแขกชั้นล่างมีทีวีเครื่องหนึ่ง อะไรอย่างอื่นก็ไม่มีสักอย่าง

 

 

           ช่วงเวลานั้นที่มั่วไป๋อยู่ในห้อง ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งกำลังทำอะไรอยู่

 

 

           มีคนเคาะประตูจากด้านนอก คนที่เคาะประตูอยู่ที่นี่ได้ นอกจากไป๋จิ่งแล้วก็ไม่มีใครคนอื่นแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ไม่ได้เอ่ยปาก ถึงอย่างไรเขาไม่พูด ไป๋จิ่งเองเข้ามาได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะพูดไปทำไม

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้ เคาะประตูไปไม่กี่ครั้ง ไป๋จิ่งบิดลูกบิดประตู

 

 

           “มั่วไป๋ ลงมากินข้าวเถอะ”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยเรียกเสียงต่ำยืนอยู่นอกประตู

 

 

           มั่วไป๋ไม่ได้ปฏิเสธ เขาลุกยืนขึ้น เดินตามไป๋จิ่งลงมา ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด มาสู้รบปรบมือกับไป๋จิ่งก็ไม่มีความหมายอะไร

 

 

           อีกอย่างเขาจะไม่กินไม่ดื่มไปตลอดไม่ได้

 

 

           ในเมื่อเช้าเย็นก็ต้องกินต้องดื่ม ทำไมเขาจะต้องมาเริ่มดื้อดึงเอาป่านนี้ด้วย

 

 

           จุดนี้มั่วไป๋มองได้อย่างทะลุปรุโปร่งเป็นพิเศษ

 

 

           ทั้งสองคนยืนอยู่หน้าห้องอาหาร ที่นี่ไม่มีคนอื่น อาหารพวกนี้เป็นฝีมือไป๋จิ่งทำเองทั้งหมด

 

 

           มั่วไป๋เห็นอาหารพวกนั้นก็รู้สึกน่าขบขันไม่เบา พูดมาแล้วก็เป็นการเสียดสีเหมือนกัน

 

 

           ตอนนั้นตอนที่เขาชื่นชอบในตัวไป๋จิ่ง เขาก็เป็นเช่นนี้ ทำอาหารให้ไป๋จิ่งทุกวัน เพียงแต่น่าเสียดายไป๋จิ่งน้อยมากที่จะชายตามองมัน

 

 

           ปัจจุบันทั้งสองคนกลับสลับตำแหน่งกันแล้ว  

Related

ตอนที่ 578 สมควรได้รับกรรม

 

 

           เหยียนอวี้รีบเข้าไปผ่าตัด เขาไม่ได้พูดอะไรต่อมากมาย เดินมุ่งหน้าเข้าไปทันที

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูประตูที่ปิดสนิท หัวใจก็บีบคั้นรัดตัวแน่นโดยอัตโนมัติ

 

 

           ……

 

 

           ขณะที่มั่วไป๋นอนอยู่บนเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นเข้ามาห้องผ่าตัด เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองกลับไปแวบหนึ่ง

 

 

           นาทีนั้นเขากำลังคิดว่าไป๋จิ่งจะมาปรากฏตัวได้หรือเปล่า

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดายตอนที่เขาหันมองกลับไป เขาก็มองไม่เห็นไป๋จิ่ง

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะโดยไร้เสียง  ก็ใช่สิ ตอนนี้ระหว่างพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน ไป๋จิ่งไม่จำเป็นต้องมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่

 

 

           เขาค่อยหันหน้ากลับไปอย่างช้าๆ ปล่อยให้ตัวเองถูกเข็นเข้าไปในห้อง

 

 

           ที่จริงต่อจากนี้ ขอเพียงแต่มั่วไป๋หันกลับมาอีกครั้ง เขาก็จะเห็นได้ว่าข้างหลังเขามีคนคนหนึ่งเดินตามมาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดาย ขณะที่มั่วไป๋ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดมา เขาก็ไม่ได้หันมามองอีกครั้ง

 

 

           ไป๋จิ่งคนนั้นที่เดินตามหลังมาตลอด มั่วไป๋ไม่ได้มองเห็นเขาเลยด้วยซ้ำ

 

 

           นาทีนั้นที่กำลังจะหมดสติไป จู่ๆ ใบหน้าไป๋จิ่งก็ฉายสะท้อนขึ้นมาอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋

 

 

           ที่จริง…ถ้าไป๋จิ่งปรากฏตัว บางทีเขาอาจจะให้อภัยไป๋จิ่งได้โดยข้อแม้ใดๆ

 

 

           ……

 

 

           ครึ่งเดือนหลังจากนั้น ตำรวจก็ได้รับจดหมายรายงานการกระทำผิดต่อทางการ เนื้อความในจดหมายร้ายแรงอย่างยิ่ง จึงลงมือปฏิบัติการจับกุมตัวคนกลับมาโดยฉับพลัน

 

 

           ไมเคิลนั่งอยู่ในร้านกาแฟที่อยู่ไม่ห่างไกลนัก เขาเห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง หลังจากนั้นก็โทรหาไป๋จิ่งทันที

 

 

           “ส่งต่อให้ทางตำรวจจัดการแล้วเรียบร้อย”

 

 

           “อืม” ไป๋จิ่งขานรับ “ก็ถือว่าเซียวเย่ว์สมควรได้รับกรรมแล้ว”

 

 

           ไมเคิลเอ่ยถามไป๋จิ่งด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ทำไมถึงล้มเลิกความคิดก่อนหน้านี้ แล้วเลือกวิธีส่งให้ตำรวจจัดการแทน”

 

 

           ทางปลายสายเงียบงันอยู่นาน เขาเอ่ยเสียงเรียบๆ “คงจะเพราะวันข้างหน้าจะรู้สึกว่าสบายได้เมื่อยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์มั้ง”

 

 

           จะสักเท่าไหร่ ไมเคิลก็เข้าได้แล้ว สำหรับการตัดสินใจของไป๋จิ่ง ไมเคิลไม่ได้มีข้อสงสัยอะไรอยากจะซักถามแล้ว

 

 

           ที่จริงส่งให้ตำรวจจัดการตามกฎหมายเป็นผลลัพธ์การจัดการที่ดีที่สุดแล้ว

 

 

           “ฉันอาจจะอยากทำเรื่องนึงที่บ้าๆ บอๆ ก็ได้”

 

 

           ไมเคิลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เรื่องอะไร”

 

 

           จู่ๆ ไป๋จิ่งก็ยิ้มหัวเราะขึ้นมา “ชิงตัวคน”

 

 

           ……

 

 

           สามวันต่อมา ณ คฤหาสน์ที่เงียบสงบ

 

 

           มั่วไป๋นอนอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ เขาเอามือกดขมับที่ค่อนข้างรู้สึกปวดไว้ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

 

           เขามองดูไปรอบๆ ไม่ค่อยจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก  ที่นี่ที่ไหนกัน ก่อนหน้านี้เขามีชีวิตอยู่ แล้วยังอยู่ในคอนโดมิเนียมของตัวเองไม่ใช่เหรอ

 

 

           แม้แต่รองเท้า มั่วไป๋ก็ไม่ทันใส่ เดินเท้าเปล่าออกไปทั้งอย่างนี้

 

 

           ข้างนอกว่างเปล่าและเงียบมาก มั่วไป๋รู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ เขาเดินตามบันไดลงมา

 

 

           ชั้นล่างมีกลิ่นหอมจางๆ โชยมา มั่วไป๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เดินเข้าไปดูทันที

 

 

           ในห้องครัวมีเสียงดังสะท้อนขึ้นมา ข้างในมีเงาร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ หลังจากมั่วไป๋เดินเข้าไปได้เห็นเงาร่างคนชัดๆ แล้ว เขาก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหวใดๆ

 

 

           คนที่อยู่ข้างในก็เห็นมั่วไป๋แล้ว เขาหันมายิ้มเบาๆ ให้มั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋บีบที่ปลายนิ้วตัวเอง ความเจ็บแปลบที่ปลายนิ้วเตือนมั่วไป๋ให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน

 

 

           เขามองดูประตูห้องครัวที่ถูกดึงเปิดไว้ เอ่ยถามด้วยความตกตะลึงมากทีเดียว “นายอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาด้วยความขบขัน “ที่นี่บ้านผม ผมต้องอยู่ที่นี่อยู่แล้ว”

 

 

           มั่วไป๋ชะงักงัน ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “งั้นแล้วทำไมฉันอยู่ที่นี่”

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “ที่นี่ก็เป็นบ้านคุณเหมือนกัน”

 

 

           คำพูดที่ไป๋จิ่งพูดออกมา เขารู้จักทุกคน แต่ทำไมพอเอามาวางอยู่ด้วยกัน เขาถึงฟังไม่เข้าใจเลยสักคำ  ที่นี่ก็เป็นบ้านของเขาคืออะไร

 

 

           เห็นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไป๋จิ่งก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “ที่นี่เป็นบ้านของพวกเรา”

 

 

           พูดจบยังกะพริบตาปริบๆ ให้เขาอีก

 

 

           มั่วไป๋ใช้เวลาสามนาทีในการปรับความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้เรียบร้อย เขามองไป๋จิ่งอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ทันทีหลังจากนั้น “นาย…นายทำเหรอ”

 

 

          

 

 

ตอนที่ 579 นายข่มขู่ฉัน

 

 

           ไป๋จิ่งยอมรับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำเอามั่วไป๋โมโหจนสีหน้าเปลี่ยนไปหมดแล้ว

 

 

           “นายเป็นโรคจิตเหรอ” มั่วไป๋รู้สึกว่าคนคนนี้เพี้ยนแล้วจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะฉวยโอกาสกล้าลงมือทำเรื่องแบบนี้ตอนที่เขาไม่รู้ตัว

 

 

           “ยังมีเหยียนอวี้ด้วยใช่ไหม เขาช่วยนายด้วยใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ใกล้จะระเบิดลงแล้วจริงๆ ตื่นมาในสถานที่แปลกตาไม่พอ ยังได้ยินคำพูดแบบนี้อีก ใครเห็นใครก็ใจเย็นไม่ลงแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ที่เดิมปล่อยให้มั่วไป๋ด่าทอต่อว่า ไม่ว่ามั่วไป๋จะพูดอะไร เขาก็ไม่โต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

           มั่วไป๋พูดมาตั้งนาน ไป๋จิ่งไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนต่อยกับปุยฝ้าย ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรสักอย่าง

 

 

           มั่วไป๋ไม่รู้จริงๆ ไป๋จิ่งหมายความว่ายังไงกันแน่  พวกเขาสองคนจบกันไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ทำเรื่องแบบนี้ จะมีความหมายอะไรอีก

 

 

           ผ่านไปสักพัก เขาค่อยๆ สงบจิตสงบใจลงอย่างช้าๆ

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับอย่างจนใจ ทำให้ตัวเองใจเย็นลง อย่าเดือดดาลเกินไป

 

 

           หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที มั่วไป๋ถึงได้เอ่ยด้วยใจที่สงบลง “ไป๋จิ่ง นายจะก่อเรื่องไปถึงเมื่อไหร่กัน”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว “ผมไม่ได้ก่อเรื่อง”

 

 

           “ระหว่างฉันกับนายไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว ตอนนี้นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรอีก”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัวอีกครั้ง “เกี่ยวข้องสิ ไม่มีวันจะไม่เกี่ยวข้องกัน”

 

 

           มั่วไป๋ปวดหัวจนต้องกุมขมับ “นายไม่ได้โผล่หน้าไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่รบกวนกันเหมือนเมื่อก่อนไม่ดีเหรอ”

 

 

           เวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ไป๋จิ่งไม่ได้ปรากฏตัวแม้สักครั้ง

 

 

           เขาเองก็คุ้นชินกับชีวิตที่ไม่มีไป๋จิ่งแล้ว เดิมเขาคิดว่าระหว่างพวกเขาจะไม่รบกวนซึ่งกันและกันต่อไป

 

 

           ‘แต่ตอนนี้หมายความว่าอะไร…

 

 

           …นี่ไป๋จิ่งกำลังจะทำอะไรอีก’

 

 

           “คุณจะโทษผมว่าช่วงนี้ผมไม่ได้โผล่หน้าไปเลยใช่ไหม” ไป๋จิ่งไม่ได้พูดอย่างอื่น แต่เอ่ยปากขึ้นมากะทันหัน

 

 

           มั่วไป๋ชะงักงันไปครู่หนึ่ง แววตาฉายสะท้อนความจนใจ “ฉันไปโทษนายว่าไม่ได้โผล่หน้าไปเมื่อไหร่กัน”

 

 

           “ผมไม่ได้โผล่หน้าไป ผมมีเหตุผล มั่วไป๋ ผมไม่ได้ตั้งใจจะไม่ไปหาคุณ”

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ “นายโผล่หน้าไปหรือไม่ ปรากฏตัวเมื่อไหร่ สำหรับฉันแล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับมั่วไป๋อีกต่อไป แต่เดินกลับมายังตำแหน่งเดิมเมื่อครู่นี้

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาจู่ๆ ก็ไม่พูด จึงเดินเข้าไปหาทันที เขาจำเป็นต้องพูดกับไป๋จิ่งให้ชัดเจน ถ้าไม่อย่างนั้นต่อให้ครั้งนี้เขาออกไปได้ วันหลังไป๋จิ่งก็จะอ้างเหตุผลอื่นมาหาเรื่องเขาอีก

 

 

           “ไป๋จิ่ง นายฟังฉันชัดไหมว่าเมื่อกี้ฉันพูดอะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ตอบคำถามของมั่วไป๋ แต่หยิบชามด้านข้างมา แล้วตักของบางอย่างที่อยู่ในหม้อใส่ชามนี้ หลังจากนั้นก็ยกออกมาเสิร์ฟ

 

 

           เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ มั่วไป๋ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “หิวแล้วใช่ไหม มากินเกี๊ยวน้ำกัน”

 

 

           มั่วไป๋ตัวแข็งทื่อ ความไม่น่าเชื่อประกายในแววตา

 

 

           “ฉันไม่กิน” จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาปฏิเสธแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่รีบร้อน เขาเดินมาถึงที่หน้าโต๊ะอาหาร วางชามเกี๊ยวลงบนโต๊ะ หลังจากนั้นก็ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วหันกลับมามองมั่วไป๋ “กินเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหม”

 

 

           มั่วไป๋หัวใจเกร็งแน่น เขาแอบด่าตัวเองในใจว่าไม่คืบหน้าไปไหนสักที เขาหันหลังไม่มองไป๋จิ่ง

 

 

           อย่าคิดว่าทำเป็นน่าสงสาร แล้วเขาจะใจอ่อนได้

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาไม่สบอารมณ์แบบนั้น ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “คุณมากิน ผมจะอธิบายให้คุณฟัง เป็นไง”

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่ที่เดิม หัวใจบีบคั้น คิดดูแล้วก็ปฏิเสธดีกว่า “ไม่ต้อง นายอธิบายมาเลย พวกเราพูดกันชัดเจนแล้ว ฉันจะไป”

 

 

           นัยน์ตาไป๋จิ่งประกายความหดหู่ แต่เพียงชั่วขณะเขายิ้มออกมา “กินเสร็จ ผมค่อยพูด”

 

 

           มั่วไป๋หันมาถลึงตาใส่ไป๋จิ่งทันที “นายขู่ฉันเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งฝืนยิ้ม ถึงอย่างไรตอนนี้ในใจของมั่วไป๋ เขาก็ไม่ได้มีภาพลักษณ์อะไรอยู่แล้ว เขาไม่ถือสาที่จะเพิ่มการข่มขู่เข้าไปอีก

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองมั่วไป๋แล้วเอ่ยขึ้นว่า “จะกินหรือไม่กิน คุณตัดสินใจเองนะ”

Related

ตอนที่ 576 ต้องไปจากที่นี่แล้ว

 

 

           หลังจากเหยียนอวี้วางสาย เขาก็มองกล่องที่อยู่บนโต๊ะแล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

 

 

           เดิมทีคิดว่าพวกเขาคืนดีกันแล้ว ใครจะคิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นกะทันหันในเวลานี้ได้

 

 

           เขากุมขมับ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

 

 

           ‘ช่างเถอะ ช่างเถอะ มันเป็นสิ่งที่พวกเขาก่อขึ้นทั้งนั้น’

 

 

           มั่วไป๋กลับมายังห้องพักผู้ป่วย มองดูห้องที่ว่างเปล่า ในใจก็มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออกเอ่อขึ้นมา เหมือนข้างในทะลุเป็นรูกลวงขนาดใหญ่ว่างเปล่า

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว มั่วไป๋หลับตาลง ปกปิดความเศร้าเสียใจสู่ก้นบึ้งของหัวใจลงไปอย่างช้าๆ

 

 

           ……

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งมาถึงที่ร้านกาแฟใต้ตึก เขาก็โทรหาเหยียนอวี้ เพียงไม่นานเหยียนอวี้ก็ยกกล่องเดินเข้ามา

 

 

           ไม่เจอกันไม่กี่วัน ไป๋จิ่งผอมลงเท่าตัว เหยียนอวี้อดไม่ได้ที่จะอยากถอนหายใจ

 

 

           สองคนนี้ต่างฝ่ายต่างใช้วิธีของตัวเองทรมานตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

 

           เขาเดินไปอยู่ต่อหน้าไป๋จิ่งอย่างช้าๆ แล้วนั่งลงไป

 

 

           “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ” เหยียนอวี้เอ่ยถามเสียงต่ำ

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้ารับ “ดีมากครับ”

 

 

           เหยียนอวี้ได้ยินก็เอ่ยต่อ “เขาสบายดีมาก คุณวางใจได้ครับ”

 

 

           มือไป๋จิ่งที่วางอยู่บนแก้วกำแน่นขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าแบบนี้จะทำให้ตัวเองสงบจิตใจลงขึ้นมาได้บ้างยามได้ยินเรื่องของมั่วไป๋

 

 

           เวลาผ่านไปสักพัก ไป๋จิ่งขานรับ “อืม รบกวนคุณดูแลเขาเยอะๆ ด้วยนะครับ”

 

 

           “วางใจเถอะครับ ผมเป็นเพื่อนของเขา ต้องดูแลเขาได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว” เหยียนอวี้มองเขาแวบหนึ่ง “แล้วคุณล่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอครับ”

 

 

           เหยียนอวี้มองเขาอีกแวบหนึ่ง แล้วค่อยเก็บสายตากลับเข้ามา

 

 

           “ผมต้องไปจากที่นี่สองวัน” จู่ๆ ไป๋จิ่งก็เอ่ยขึ้นกะทันหัน

 

 

           เหยียนอวี้เลิกคิ้ว “วันผ่าตัดวันนั้นคุณจะกลับมาได้หรือเปล่าครับ”

 

 

           “ได้ครับ ผมจะอยู่กับเขาตอนผ่าตัด” ไม่ว่ามั่วไป๋อยากจะเจอเขาหรือไม่ก็ตาม เขาก็จะอยู่เคียงข้างมั่วไป๋

 

 

           เมื่อก่อนเขาผิดพลาดไปแล้ว ครั้งนี้เขาจะผิดพลาดอีกไม่ได้แล้ว

 

 

           เหยียนอวี้เห็นแบบนี้แล้วก็พยักหน้ารับ “การผ่าตัดของเขาอยู่ช่วงบ่าย ผมจะพยายามเลทให้นิดหน่อย”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้ารับ “ขอบคุณนะครับ”

 

 

           เหยียนอวี้หยุดสักพัก “ทำไมต้องไปเวลานี้ด้วยเหรอครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะ “เจียงมู่เฉินจะแต่งงานแล้วครับ”

 

 

           เหยียนอวี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ไม่หรอกมั้งครับ เร็วขนาดนี้เชียว”

 

 

           “ซือเหยี่ยนต้องการจะขอแต่งงาน อยากจะให้พวกเรามาทำเซอร์ไพรส์ให้เจียงมู่เฉินครับ” พูดถึงตรงนี้ไป๋จิ่งก็หยุดสักพัก ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะจดทะเบียนสมรสกับมั่วไป๋อย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเหมือนกัน

 

 

           ไป๋จิ่งถอนหายใจ ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วสักวัน เขาจะต้องคว้ามั่วไป๋มาอยู่ข้างกายเขาให้ได้

 

 

           ตอนนี้ทำไม่ได้ เขาก็จะพยายามต่อไป

 

 

           พูดคุยกับเหยียนอวี้อีกไม่กี่ประโยค ไป๋จิ่งก็เตรียมจะออกไป

 

 

           หลังจากเหยียนอวี้ออกไป ไป๋จิ่งถึงเพิ่งหอบเอากล่องที่มั่วไป๋ส่งให้เขาเดินออกมา

 

 

           ออกจากร้านกาแฟมาแล้ว ไป๋จิ่งไม่ได้รีบออกไปทันที เขาเอากล่องวางในรถ แล้วกลับเข้ามาในโรงพยาบาลอีกครั้งหลังจากนั้น

 

 

           เขาไปยังห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋อีกครั้ง ประตูปิดแน่นสนิท ไป๋จิ่งยืนอยู่หน้าประตูแอบมองเข้าไปดูแวบหนึ่ง

 

 

           มั่วไป๋กำลังขลุกตัวอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา ไป๋จิ่งมองอย่างลึกซึ้ง อาลัยอาวรณ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายก็ไม่กล้าจะอยู่ต่อ เดินจากไปอย่างเงียบงันไร้เสียงใด

 

 

           จิตใต้สำนึกสั่งให้มั่วไป๋มองไปทางประตู เพียงแต่ว่าหน้าประตูก็ว่างเปล่า ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กลับเบนสายตากลับมาอีกครั้ง

 

 

           ……

 

 

           ใกล้จะถึงสัปดาห์ของการผ่าตัด มั่วไป๋อยู่ที่โรงพยาบาลตลอดเวลา ไม่ได้ออกไปไหน เหยียนอวี้มักจะมาอยู่เป็นเพื่อนเขาเสมอ

 

 

           เขาเป็นคนเงียบๆ แต่ก็ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างสบาย

 

 

           ราวกับไป๋จิ่งสลายหายไปไม่เหลืออย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นมั่วไป๋หรือว่าเหยียนอวี้ ไม่มีใครเอ่ยถึงเขาแม้สักคน

 

 

           วันนั้นเจียงมู่เฉินขอแต่งงานกันเอิกเกริกใหญ่โต เช้าวันต่อมาเขาถึงเพิ่งเห็นข่าว

 

 

           มั่วไป๋ถือแท็บเล็ตไว้ เขาอดจะยิ้มหัวเราะไม่ได้

 

 

           ขอแต่งงานได้เปิดเผยสะเทือนวงการขนาดนี้ คาดว่าคงจะมีเพียงแค่เจียงมู่เฉินคนเดียวแล้ว

 

 

 

 

ตอนที่ 577 ผ่าตัด

 

 

           เจียงมู่เฉินในจอยังเย่อหยิ่งทะนงตัวไม่ต่างจากเมื่อก่อน

 

 

           แต่คิดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่งจะใช้วิธีประกาศให้โลกรู้แบบนี้ขอซือเหยี่ยนแต่งงาน

 

 

           ‘คงจะเพราะรักมาก รักมากๆ ถึงได้ทำมาถึงขั้นนี้ได้มั้ง’

 

 

           มั่วไป๋อวยพรให้โดยไร้เสียง ขณะเดียวกันก็อิจฉาอย่างเงียบๆ ไปด้วย

 

 

           เขาก็เคยคิดเหมือนกัน ว่าตัวเองใกล้จะหาความสุขเจอแล้ว

 

 

           แต่อีกแค่ก้าวเดียว ก้าวเดียวเท่านั้น…

 

 

           ครั้งนี้ในที่สุดเขาก็ตื่นแล้วจริงๆ ฝันที่ไม่ควรจะฝัน ต่อไปเขาก็คงจะไม่ฝันแบบนี้ไปอีกชั่วนิรันดร์แล้ว

 

 

           ข่าวในแท็บเล็ต มั่วไป๋เอาแต่กดเปิดดูซ้ำๆ เปิดเล่นซ้ำๆ นึกถึงประโยคนั้นซ้ำๆ อยู่ในห้องพักผู้ป่วย “ในเมื่อเป็นของหมั้น นายอยากจะถือโอกาสนี้แต่งงานกันเลยไหม”

 

 

           แล้วก็ประโยคนั้นของซือเหยี่ยน “ได้”

 

 

           แพรขนตายาวของมั่วไป๋สั่นสะเทือน

 

 

           ที่จริงตอนนั้น…เขาเองก็มีของหมั้น

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดาย…ไม่มีคนตอบรับเขาว่า ‘ได้’ สักคำ

 

 

           ……

 

 

           วันนั้นตอนค่ำ ซือเหยี่ยนขอแต่งงาน ไป๋จิ่งยืนอยู่ในมุมมืดมองเห็นทุกกระบวนการกับตาของตัวเอง เขามองดูซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉินภายใต้แสงไฟ

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นซือเหยี่ยนก็อดจะยิ้มหัวเราะไม่ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนคนที่เย็นชาเรียบเฉยมาตลอด แต่ตอนขอแต่งงาน สีหน้าท่าทางกลับดูตื่นตระหนกเป็นพิเศษ

 

 

           ส่วนคุณชายน้อยผู้เย่อหยิ่งคนนั้นยังคงเย่อหยิ่งเหมือนเดิม แต่กลับเย่อหยิ่งเกินเบอร์ไปมาก

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นซือเหยี่ยนในชุดสีขาวราวหิมะ เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าถ้าวันหลัง เขาทำแบบนี้กับมั่วไป๋บ้าง  จะดีกว่าซือเหยี่ยนไปได้หรือเปล่า

 

 

           จนกระทั่งหลังจากซือเหยี่ยนสวมแหวนให้เจียงมู่เฉินแล้ว สายตาไป๋จิ่งก็มาจดจ่ออยู่ที่แหวนวงนั้น

 

 

           นัยน์ตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ มีความสับสนอยู่ในนั้นโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ทันใดนั้นเจียงมู่เฉินก็ควักเอามือถือออกมา เดิมไป๋จิ่งยังกำลังสงสัยอยู่ ต่อมาก็ได้ยินเสียงของมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งแข็งทื่อไปทั้งตัวโดยอัตโนมัติ เขาได้ยินเสียงมั่วไป๋ในมือถือ หัวใจก็ค่อยๆ บีบรัดตัวแน่นอย่างช้าๆ

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงมั่วไป๋ถึงได้หยุดลง

 

 

           เวลานี้ไป๋จิ่งแทบอยากจะพุ่งตัวไปโรงพยาบาล แล้วคว้ามั่วไป๋มากอดไว้จมอกอย่างแน่นสนิท

 

 

           เขายิ้มหัวเราะ ภายใต้แสงไฟช่างดูขมขื่นเหลือเกิน

 

 

           ……

 

 

           หลังจากร่วมงานแต่งงานของเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนเสร็จแล้ว ไป๋จิ่งไม่ได้อยู่ต่อนาน เขามุ่งหน้าออกจากโบสถ์ไป

 

 

           ตอนที่จะไป เจียงมู่เฉินเชิดตามองเขา “นายอย่าคิดจะรังแกไป๋ไป๋ของฉันนะ ถ้านายกล้ารังแกเขา ฉันจะเล่นงานนายตายแน่”

 

 

           “อืม” ไป๋จิ่งขานรับ ต่อให้ส่งตัวไปให้รังแก เขาก็รังแกมั่วไป๋ไม่ลงหรอก

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูเขาพลางถอนหายใจเงียบๆ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมฉันถึงมีความรู้สึกเหมือนแต่งลูกชายออกเรือนนะ”

 

 

           ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนจดจ่ออยู่ที่เจียงมู่เฉินในชุดสูทสวมรองเท้าหนังซึ่งยืนอยู่ข้างกาย เอ่ยอย่างไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว “สู้ๆ นะ”

 

 

           ไป๋จิ่งมุมปากกระตุกแล้ว รู้สึกว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่พอแต่งงานแล้ว ท่าทีที่มีต่อเขาทำแบบขอไปทีเกินไปจริงๆ

 

 

           หลังจากออกจากพิธีแต่งงานไป ไป๋จิ่งก็มุ่งหน้าไปสนามบิน ขึ้นบินกลับไป

 

 

           เมื่อเขามาถึง เวลาก็ใกล้จะถึงช่วงผ่าตัดแล้ว ระหว่างทางหลังจากไป๋จิ่งทราบเวลาผ่าตัดที่แน่ชัดกับเหยียนอวี้แล้ว เขาก็รีบตามเข้าไปทันที

 

 

           เขาพุ่งเข้าไปถึงห้องพักผู้ป่วย เขาก็เห็นมั่วไป๋นอนบนเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นออกมา

 

 

           ไป๋จิ่งหัวใจบีบคั้น รีบเร่งฝีเท้าตามอยู่ข้างหลัง ระมัดระวังกลัวมั่วไป๋จะเห็นเขา

 

 

           จนกระทั่งมั่วไป๋ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดแล้ว ไป๋จิ่งได้ยืนอย่างเปิดเผยอยู่หน้าประตู

 

 

           เหยียนอวี้ตามมาอยู่ด้านหลัง มั่วไป๋ถูกผลักเข้าไปแล้ว เหยียนอวี้ถึงเพิ่งจะเตรียมเข้าไป เขาเห็นไป๋จิ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็เอื้อมมือไปตบบ่าอีกฝ่าย

 

 

           “วางใจได้ครับ ไม่มีความเสี่ยงอะไรที่ใหญ่เกินไป”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้ารับ แต่สีหน้ากลับไม่ผ่อนคลายลงอยู่ตลอดเวลา 

Related

ตอนที่ 574 เป็นไข้แล้ว

 

 

           ในคืนเดียวกันนั้น จู่ๆ มั่วไป๋ก็เริ่มไข้ขึ้น เหยียนอวี้คิดว่าวันนี้มั่วไป๋ออกไปข้างนอก เขาก็ค่อนข้างจะเป็นห่วง ดังนั้นจึงตั้งใจเข้ามาดูเป็นพิเศษ

 

 

           ตอนที่เขาเข้ามา เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว ไป๋จิ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูไม่ได้เข้าไป

 

 

           เหยียนอวี้เห็นไป๋จิ่งเป็นแบบนั้น เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกแปลกๆ อยู่ในที

 

 

           ‘คืนดีกันแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงวิ่งมายืนรับโทษอยู่ข้างนอกอีก’

 

 

           เหยียนอวี้เอ่ยเสียงต่ำถามไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งส่ายหัวไปมา ไม่พูดจาสักคำ

 

 

           เห็นสภาพการณ์แล้ว เหยียนอวี้ไม่ได้อะไรต่อมากมาย เขายื่นมือผลักเปิดประตูเข้าไป เห็นเพียงแค่ผ้าห่มที่คลุมไปถึงหัว นอนแน่นิ่งอยู่ข้างในผ้าห่ม

 

 

           เหยียนอวี้เห็นท่านอนแบบนั้นของมั่วไป๋ เขาก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้  นอนหลับแบบนี้ไม่กลัวจะคลุมตัวเองตายเลย

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงเดินเข้าไปดึงผ้าห่มที่คลุมหัวมั่วไป๋ลง

 

 

           ใบหน้ามั่วไป๋แดงจัดอย่างผิดธรรมชาติ เหยียนอวี้ตะลึงงัน รีบยื่นมือไปแตะหน้าผากของมั่วไป๋ทันที ก็เห็นเพียงแค่ความร้อนลวก

 

 

           เหยียนอวี้สีหน้าเคร่งขรึม รีบเดินออกไป เพียงไม่นานก็นำพยาบาลเดินเข้ามาอีกครั้ง พร้อมรถเข็นในมือของพยาบาล

 

 

           ทันทีที่ไป๋จิ่งเห็น เขาก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะปกติแล้ว เขาไม่มีเวลาจะสนใจเรื่องมั่วไป๋จะโกรธแล้ว รีบเดินตามเข้าไป

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่เหยียนอวี้วัดไข้ให้มั่วไป๋ รออีกไม่กี่นาที มั่วไป๋ไข้ขึ้นไปถึงอุณหภูมิสามสิบเก้าองศา

 

 

           เหยียนอวี้ขมวดคิ้ว เขาฉีดยาลดไข้ให้มั่วไป๋อย่างรวดเร็ว

 

 

           ไป๋จิ่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก “เขาเป็นอะไรไปเหรอ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

 

 

           เหยียนอวี้ไม่ได้สนใจเขา จนกระทั่งหลังจากตรวจอาการของมั่วไป๋เสร็จ เขาถึงได้หันมามองไป๋จิ่งอย่างจริงจัง “ผมกลับอยากถามมากกว่า คุณกับมั่วไป๋เป็นอะไรไป”

 

 

           ไป๋จิ่งยืนรับโทษอยู่ข้างนอก มั่วไป๋ไข้ขึ้นกะทันหัน

 

 

           ถ้าแบบนี้เขายังดูไม่ออก เขาก็โง่แล้วจริงๆ

 

 

           ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ที่หลับสนิทบนเตียง แล้วกัดฟันพูด “ไปพูดที่ห้องทำงานคุณ”

 

 

           เหยียนอวี้พยักหน้า เอ่ยกับพยาบาลที่อยู่ข้างๆ “นายเฝ้าดูอยู่ที่นี่นะ”

 

 

           หลังจากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็นกับไป๋จิ่ง “คุณตามผมไปห้องทำงาน”

 

 

           ……

 

 

           ทั้งสองคนเข้าห้องทำงานไป บรรยากาศตึงเครียดมากอย่างยิ่ง เหยียนอวี้มองเขาแวบหนึ่งพร้อมเอ่ยขึ้น “โอเค คุณพูดเถอะ”

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าเคร่งขรึม สารภาพเรื่องวันนี้รวมถึงแผนก่อนหน้านี้ทั้งหมดให้เหยียนอวี้ฟัง

 

 

           หลังจากพูดจบ เหยียนอวี้ก็เอามือกดศีรษะ ไม่พูดจาอยู่ตั้งนานสองนาน

 

 

           ตั้งแต่ไป๋จิ่งเริ่มพูด สีหน้าของเหยียนอวี้ไม่น่าดูเอามากๆ จนกระทั่งไป๋จิ่งพูดจบ เหยียนอวี้แทบอยากจะซัดหมัดใส่ไป๋จิ่งสักสองหมัด

 

 

           “ตอนคุณทำเรื่องพวกนี้ ทำไมบอกผมสักคำไม่ได้”

 

 

           เหยียนอวี้ใกล้จะอกแตกตายแล้วจริงๆ “คุณคิดใช่ไหมว่าช่วยมั่วไป๋เรื่องนี้แล้วมั่วไป๋จะลืมอดีตไปจนหมดสิ้นได้”

 

 

           ไป๋จิ่งเงียบไม่พูดจายืนอยู่ตรงนั้น

 

 

           เหยียนอวี้พยายามทำให้อารมณ์ของตัวเองสงบลง ในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้ ถอนหายใจออกมา “คุณคิดว่าหลายปีมานี้มั่วไป๋ไม่ได้ทำอะไรเซียวเย่ว์ เพราะเขาทำไม่ไหวเหรอ”

 

 

           แววตาไป๋จิ่งสั่นสะท้าน “หมายความว่าไงครับ”

 

 

           “ถ้ามั่วไป๋อยากจะทำ เขาก็ทำไปตั้งนานแล้ว ทำไมจะต้องรอจนถึงวันที่คุณมาออกตัวทำให้”

 

 

           เหยียนอวี้ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ตอนนั้นเซียวเย่ว์ทำร้ายมั่วไป๋อย่างที่ไม่อาจจะเรียกกลับคืนมาได้เพื่อคุณ ถ้าวันนี้มั่วไป๋ทำเรื่องแบบเดียวกันกับเซียวเย่ว์เพื่อแก้แค้น แล้วเขาจะแตกต่างอะไรกับเซียวเย่ว์เหรอครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งช็อก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

 

 

           เขามองเหยียนอวี้ เหมือนว่าจะเข้าใจอะไรได้ขึ้นมากะทันหัน

 

 

           “มั่วไป๋ไม่ทำอะไรเซียวเย่ว์ไม่ใช่เพราะทำไม่ไหว และก็ไม่ใช่เพราะใจดีไม่อยากจะทำ แต่เพราะเขาไม่อยากจะเป็นคนที่เหมือนกันกับเซียวเย่ว์ เพื่อความต้องการส่วนตัวของตัวเอง ก็ทำร้ายคนอื่นโดยไม่ลังเลเลยสักนิด…ตามนิสัยของมั่วไป๋ ต่อให้แก้แค้นเซียวเย่ว์แล้ว เขาพอจะนอนข่มตาหลับลงได้อยู่เหรอครับ”

 

 

           

 

 

            ตอนที่ 575 กระทบกระเทือนซ้ำซ้อน

 

 

           “ที่จริงเขาเคยจะลงมือทำ เมื่อหนึ่งปีก่อน” เหยียนอวี้หลับตา “หนึ่งปีก่อนเขาใช้เวลาสองเดือน รวบรวมหาหลักฐานการทุจริตในบริษัทของพ่อเซียวเย่ว์…

 

 

           …ขอเพียงแต่ส่งหลักฐานพวกนั้นให้ตำรวจ ยังไงก็เพียงพอให้รับโทษที่สมควรจะได้รับได้อยู่แล้ว…

 

 

           …แต่ตอนที่มั่วไป๋จะส่งเมลไป เขาก็ล้มเลิกมัน…

 

 

           …ที่จริงสำหรับมั่วไป๋แล้ว คนที่ยอมลงมือเป็นเขา ไม่ได้คิดให้เป็นคุณ”

 

 

           ถ้าอยากจะแก้แค้นจริงๆ เป็นเขาเองก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากไป๋จิ่งเลยด้วยซ้ำ

 

 

           กระทบกระเทือนซ้ำซ้อน มิน่ามั่วไป๋ถึงกลายสภาพเป็นป่วยแบบนี้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงได้

 

 

           ไป๋จิ่งอ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูกอย่างคาดไม่ถึง

 

 

           เหยียนอวี้ถอนหายใจเล็กน้อย “ก็เหมือนอย่างที่คุณไม่อยากให้มั่วไป๋มาแปดเปื้อนกับเรื่องนี้ มั่วไป๋เองไม่หวังจะให้คุณมาแปดเปื้อนมันเช่นเดียวกัน”

 

 

           ……

 

 

           มั่วไป๋ยังไม่ตื่น ไป๋จิ่งยืนอยู่หน้าเตียงของเขา ดวงตาปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดงสดเต็มไปหมด

 

 

           ผ่านไปครึ่งชั่วโมง มั่วไป๋ขยับแล้ว เหมือนจะตื่นขึ้นมา ไป๋จิ่งหัวใจเกร็งแน่น ย่องออกไปจากห้องพักผู้ป่วยอย่างเงียบๆ

 

 

           เขารู้ว่าเวลานี้มั่วไป๋ไม่อยากเจอหน้าเขา

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้มั่วไป๋ค่อยๆ ตื่นมาอย่างช้าๆ เห็นถุงน้ำเกลือข้างๆ ก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

 

 

           ดูท่าว่าจะลำบากเหยียนอวี้อีกแล้ว

 

 

           เขายื่นไปกดกริ่งที่อยู่ด้านข้าง เพียงไม่นานเหยียนอวี้ก็เดินเข้ามา

 

 

           เหยียนอวี้มองเขา “เป็นไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “เปล่าหรอก ไม่มีอะไรไม่สบาย” เขาเอียงหน้ามองเตียงที่อยู่ด้านข้าง “นายให้คนมาย้ายเตียงนี้ออกไปเถอะ”

 

 

           เหยียนอวี้ชะงักงันไปครู่หนึ่ง แต่แป๊บเดียวก็มีท่าทีตอบสนองกลับมา เขาพยักหน้าเอ่ย “ได้ ฉันจะให้คนมาจัดการทันที”

 

 

           “งั้นรบกวนนายด้วย”

 

 

           เหยียนอวี้ยิ้มหัวเราะ “นายกับฉันจะมาพูดรบกวนอะไร”

 

 

           เพียงไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสองคนเข้ามาเคลื่อนย้ายเตียงคนไข้เตียงนั้นออกจากห้องพักผู้ป่วยไป

 

 

           ห้องพักผู้ป่วยที่จากเดิมเคยแออัด เพียงชั่วครู่เดียวก็ว่างเปล่าลงไปมากทีเดียว

 

 

           มั่วไป๋เห็นพื้นที่ว่างเปล่านั้น เขาก็ยิ้มหัวเราะ

 

 

           เคลื่อนย้ายเตียงในห้องออกไปนั้นง่ายมาก

 

 

           อยากจะเคลื่อนย้ายคนคนนั้นออกไปจากห้องหัวใจ เกรงว่าจะต้องเปลืองเวลาไปอีกช่วงหนึ่งแล้ว

 

 

           แต่ว่าก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรก ทำเรื่องพวกนี้ เจ็บปวดก็เจ็บจนชินแล้ว

 

 

           เขากับไป๋จิ่งไม่เหมาะสมกัน ฝืนใจคบกันไปแบบนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องแยกจากกันอยู่ดี

 

 

           ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียยังจะดีกว่า จะได้ไม่ให้เวลานานไปแล้วเพิ่งมาตัด มันจะยิ่งเจ็บจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ที่นอกประตู เห็นเตียงผู้ป่วยถูกผลักออกมาจากข้างในห้อง

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น หัวใจไป๋จิ่งก็ค่อยๆ ชาอย่างช้าๆ

 

 

           มีสิ่งของอะไรบางอย่าง ค่อยๆ ห่างออกไปจาก…ห้องนี้

 

 

           ……

 

 

           ไม่กี่วันต่อมา ไป๋จิ่งไม่ได้มาปรากฏตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่เห็นหน้าไป๋จิ่งทำให้มั่วไป๋โล่งใจไปที

 

 

           อย่างน้อยในเวลานี้เขาก็ไม่อยากเจอไป๋จิ่ง

 

 

           หลังจากรอร่างกายเขาฟื้นตัวหายดี เขาก็หาเวลาว่างเก็บกวาดห้อง เอาของทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับไป๋จิ่งเก็บลงกล่อง

 

 

           จนกระทั่งเขาเห็นลูกกวาดที่ตอนนั้นไป๋จิ่งซื้อบุหรี่มาแล้วส่งให้เขาจากลิ้นชักที่อยู่ด้านข้าง

 

 

           หัวใจมั่วไป๋บีบคั้น เขาหยิบลูกกวาดนั้นขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือแล้วกำแน่นเล็กน้อย

 

 

           เขายังจำได้ตอนนั้นที่ไป๋จิ่งให้ลูกกวาดเขา ในใจเขารู้สึกตื่นเต้นดีใจ

 

 

           มั่วไป๋ลืมตาขึ้น เอาลูกกวาดวางใส่ในกล่อง แล้วปิดฝากล่องทันที ปิดผนึกลูกกวาดนั้นอยู่ในความมืดตลอดไป

 

 

           ไป๋จิ่งไม่มาปรากฏตัวที่โรงพยาบาล เขาเองก็ไม่อยากจะติดต่อไป๋จิ่งอีก

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงหอบเอากล่องไปยังห้องทำงานของเหยียนอวี้ วางกล่องลงบนโต๊ะของเหยียนอวี้ “รบกวนนายเอานี่ให้เขาที”

 

 

           เหยียนอวี้มองดูกล่องใบนั้นพลางเอ่ยถาม “ทำไมไม่ให้เอง”

 

 

           มั่วไป๋เบนสายตาหนีด้วยสายตาเรียบเฉย “ไม่มีอะไรต้องเจอแล้ว”

 

 

           เขาพูดจบก็เดินออกไป เหยียนอวี้มองดูกล่องใบนั้นแล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้

 

 

           เขาหยิบมือถือออกมาโทรหาไป๋จิ่ง “มีเวลามาเจอกันที่ร้านกาแฟใต้ตึกโรงพยาบาลสักหน่อยไหมครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ลังเล เอ่ยไปตรงๆ “ได้ครับ วันนี้ผมจะเข้าไปตอนบ่าย”

Related

ตอนที่ 572 โดนจับได้แล้ว

 

 

           “เซียวเย่ว์ ได้ยินคุณพูดขนาดนี้ ผมก็สบายใจมาก แต่ว่าถึงยังไงเขาก็เป็นเพื่อนของคุณ คุณพูดอย่างนี้ เขาจะเสียใจได้นะ”

 

 

           “หึ” เซียวเย่ว์ทำเสียงพ่นลมหายใจ มีความเหยียดหยามอย่างบอกไม่ถูกอยู่ในนั้น “เขาต่างหากที่ไม่คู่ควรจะเป็นเพื่อนของฉัน ฉันไม่มีเพื่อนแบบนี้หรอกค่ะ”

 

 

           เหมือนว่าด้านหลังจะมีสิ่งของถูกพลิกคว่ำ เสียงดังสนั่นขึ้นมา

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าความเดือดดาลของเปาเหวินซิงคงจะได้ที่แล้ว

 

 

           เขาไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยกับเซียวเย่ว์ วางตัวกลางๆ พูดคุยสักประโยคสองประโยค

 

 

           ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ไป๋จิ่งก็หาข้ออ้างจบอาหารมื้อนี้ล่วงหน้า

 

 

           ทั้งสองคนเดินไปถึงที่หน้าประตู ไป๋จิ่งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษดึงประตูเปิดให้เซียวเย่ว์เดินออกไปก่อน ทั้งสองคนยืนอยู่หน้าประตู ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ “ขอโทษนะ ไปส่งคุณกลับไปไม่ได้”

 

 

           เพราะอาหารมื้อนี้ เซียวเย่ว์จึงอารมณ์ดีมาก เธอรีบส่ายหัวทันที “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้”

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะเล็กน้อย

 

 

           “ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อเที่ยงนี้นะคะ ฉันชอบมาก”

 

 

           “คุณชอบก็ดีแล้ว”

 

 

           เซียวเย่ว์โบกไม้โบกมือ “งั้นฉันไปก่อนนะคะ”

 

 

           ไป๋จิ่งยืนส่งเธออยู่ที่เดิม “เดินทางระวังด้วย”

 

 

           หลังจากเซียวเย่ว์เดินออกไป ไป๋จิ่งเตรียมจะไปข้างๆ หาที่รอไมเคิล ดูสถานการณ์ทางนั้นของเปาเหวินซิง

 

 

           เขาเพิ่งจะหันหน้ากลับไป คนทั้งคนก็แข็งทื่อไปหมด

 

 

           ไป๋จิ่งมองเห็นคนที่ยืนข้างหลังอย่างชัดเจนแล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียวราวกับพลัดตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง คนทั้งคนเย็นยะเยือกตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเย็นชา แม้จะเลือนรางบนใบหน้าก็ยังเห็นท่าทางเคร่งขรึมได้

 

 

           เขากำมือแน่น ราวกับกดเก็บความเดือดดาลของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เวลาผ่านไปนานแล้ว เขามองไป๋จิ่งเอ่ยเน้นทีละคำ “เพื่อนที่นายต้องการเจอ…

 

 

           …ก็คือเธอ!”

 

 

           ประโยคสั้นๆ เขาพูดออกมาถึงสองครั้ง พูดประโยคนี้จบ มั่วไป๋รู้สึกว่าแรงทั้งหมดที่มีในร่างกายของตัวเองถูกดึงออกมาใช้จนหมดแล้ว

 

 

           โดนมั่วไป๋ซัดด้วยคำพูดจังๆ แบบนี้ นี่เป็นภาพที่ไป๋จิ่งไม่เคยคิดมาก่อน

 

 

           เดิมทีเขาอยากจะทำเรื่องนี้อย่างลับๆ ให้จบไป ไม่ให้มั่วไป๋รู้

 

 

           แต่ตอนนี้มั่วไป๋ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแบบนี้ ไป๋จิ่งก็ไม่อยากหลอกเขา พยักหน้ารับตอบกลับด้วยความจริงใจ “อืม”

 

 

           มั่วไป๋หัวใจเกร็งแน่น รูม่านตาหดตัวลงเล็กน้อย “เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยตอบ “ไม่กี่วันก่อนหน้านี้”

 

 

           ทันใดนั้นมั่วไป๋ก็หัวเราะเยาะ ไม่พูดสักคำแล้วหันหลังเดินจากไป

 

 

           ไป๋จิ่งสะดุ้งตกใจ รีบคว้ามือมั่วไป๋ทันที “เดี๋ยวก่อน ผมอธิบายได้”

 

 

           มั่วไป๋มองไป๋จิ่งด้วยท่าทีเย็นชา แววตาแฝงความเย้ยหยัน “ไม่ต้องอธิบาย ฉันไม่อยากฟัง”

 

 

           เขาพูดจบก็ดึงมือไป๋จิ่งออก ในการกระทำมีความรังเกียจอยู่ในนั้น

 

 

           ซึมผ่านปลายนิ้วออกมาส่งต่อให้ไป๋จิ่งอย่างไม่ปกปิดแม้แต่น้อย

 

 

           ไป๋จิ่งโดนสะบัดมือออก เคว้งคว้างกลางอากาศสองรอบ มือแข็งทื่อแล้วตกลงข้างตัวทันทีหลังจากนั้น

 

 

           มั่วไป๋ตัดสินใจหันหลังให้ไป๋จิ่ง ยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลับสายตาไป

 

 

           ……

 

 

           มั่วไป๋ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมานานเท่าไหร่แล้ว เขาโบกเรียกรถสักคันแล้วนั่งรถออกไปจากตรงนั้น

 

 

           เขามองไปยังนอกหน้าต่าง นัยน์ตาไม่ได้โฟกัสจุดไหนใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

           ถ้าเขาไม่จับได้ ไป๋จิ่งคิดจะปิดบังเขาไปอีกนานเท่าไหร่

 

 

           เขารู้อยู่ทนโท่ว่าตัวเองเกลียดเซียวเย่ว์มากแค่ไหน  ทำไมเขารู้ชัดเจนแล้วยังไปยุ่งเกี่ยวกับเซียวเย่ว์อีก

 

 

           อุณหภูมิที่มือไป๋จิ่งยังคงเหลืออยู่ที่แขนมั่วไป๋ เขาถูออกโดยอัตโนมัติ รู้สึกน่าสะอิดสะเอียนไม่เบา

 

 

           ดังนั้นช่วงเวลานี้ไป๋จิ่งมาวนเวียนอยู่กับเขาไปด้วย ติดต่อเซียวเย่ว์ไปด้วย

 

 

           ‘สายที่โทรเข้ามาครั้งก่อนก็เป็นของเซียวเย่ว์สินะ จากนั้นที่ออกไปก็คือออกไปเจอเซียวเย่ว์สินะ’

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกว่ามันช่างน่าตลกไม่เบา พอนึกถึงตอนที่ไป๋จิ่งพูดคำพูดพวกนั้นอยู่ต่อหน้าตัวเอง หัวใจเขาก็บีบคั้นรัดตัวแน่นโดยไม่รู้ตัว เขายังหลงระเริงใจทำทุกอย่าง เพราะคำพูดของไป๋จิ่งอีกจนได้

 

 

           ‘เขาที่เป็นแบบนั้นดูเป็นตัวตลกที่สุดในสายตาไป๋จิ่งมากเลยใช่ไหม’

 

 

           

 

 

  ตอนที่ 573 ช่างเถอะ ออกไป!

 

 

           “เมื่อก่อนผมไม่เคยชอบคนอื่น ถ้า…ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือคุณ…

 

 

           …ผมไม่ชอบเขา ผมชอบคุณ”

 

 

           มั่วไป๋หลับตาลงด้วยความรู้สึกเย้ยหยัน แท้จริงแล้วเมื่อเทียบกับไป๋จิ่งแล้ว เขายังอ่อนกว่า

 

 

           จู่ๆ มือถือที่วางอยู่ในมือก็สั่นขึ้นมากะทันหัน

 

 

           มั่วไป๋ยกมือถือขึ้นมาดู คือเหยียนอวี้

 

 

           “ยังไม่กลับมาเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋เก็บกดอารมณ์ในใจพลางเอ่ยเสียงต่ำ “จะกลับมาแล้ว”

 

 

           “โอเค เดินทางระวังด้วย”

 

 

           มั่วไป๋วางสาย เขามองดูมือถือ สุดท้ายก็เอื้อมมือไปเปิดกล่องข้อความ ข้างในทั้งหมดเป็นข้อความของไป๋จิ่ง

 

 

           [คิดถึงคุณแล้ว]

 

 

           [ไสหัวไป]

 

 

           [อยากกอด]

 

 

           [ไสหัวไป]

 

 

           [อยากจูบ]

 

 

           [ไสหัวไป]

 

 

           ……

 

 

           มั่วไป๋ปวดที่ขมับขึ้นมา ปวดจนทำให้มั่วไป๋ถือมือถือไม่ค่อยอยู่ มือข้างหนึ่งเขากดที่หัวของตัวเอง มืออีกข้างกดลบข้อความทั้งหมด

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาลบอดีตระหว่างเขากับไป๋จิ่งจนเกลี้ยง

 

 

           ไป๋จิ่งตามกลับมาที่โรงพยาบาล มั่วไป๋กลับยังไม่กลับมา

 

 

           เขายืนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย เดินไปรอบห้อง ร้อนใจอยู่ในที เขาอดจะคาดเดาไม่ได้ว่าเพราะอะไรถึงยังไม่กลับมา  คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกใช่ไหม

 

 

           ยิ่งคิด หัวใจยิ่งกระวนกระวาย

 

 

           ไป๋จิ่งหยิบมือถือออกมาโทรหามั่วไป๋ แต่ปลายสายกลับติดต่อไม่ได้ ไป๋จิ่งโทรออกไปหลายครั้ง แต่ก็ติดต่อไม่ได้ทั้งสิ้น

 

 

           เขาคาดเดาว่าตัวเองควรจะโดนมั่วไป๋แบนแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งติดต่อมั่วไป๋ไม่ได้ จึงทำได้เพียงรออยู่ในห้อง ถึงอย่างไรมั่วไป๋ก็ไม่มีทางจะไม่กลับห้องพักผู้ป่วยได้

 

 

           หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง มั่วไป๋เดินเข้ามาจากข้างนอก สีหน้าค่อนข้างซีดขาวทีเดียว เมื่อเห็นไป๋จิ่ง สีหน้าก็เย็นชาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

 

 

           เขากวาดสายตามองไป๋จิ่งแล้วเบนสายตาหนีทันที “ถ้าไม่มีเรื่องอะไร นายออกไปก่อนเถอะ”

 

 

           ไป๋จิ่งกำมือแน่น อยากจะอธิบาย “มั่วไป๋ ผมกับเซียวเย่ว์ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”

 

 

           ได้ยิน ‘เซียวเย่ว์’ ชื่อนี้ มั่วไป๋สั่นเทาขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ สั่นเทาเพียงน้อยนิด คนอื่นดูไม่ออกโดยสิ้นเชิง

 

 

           แต่มั่วไป๋รู้ เขาได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง ปฏิกิริยาตอบสนองภายใจ้จิตสำนึกของร่างกายยังคงกำจัดทิ้งไม่ไหว

 

 

           เหมือนบาดแผลที่สลักอยู่ในใจตอนนั้น ถึงแม้ว่าจะหายดีไปตั้งนานแล้ว แต่พอเอ่ยถึงขึ้นมาก็แอบเจ็บปวดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           เขากำมือแน่น ไม่อยากให้ไป๋จิ่งรับรู้ถึงปฏิกิริยาตอบสนองของเขา

 

 

           มั่วไป๋สูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยเสียงต่ำ “ช่างเถอะ ออกไป!”

 

 

           “ผมก็แค่เอาสิ่งที่เซียวเย่ว์ทำกับคุณในตอนนั้นคืนกลับไปให้เธอก็เท่านั้นเอง” ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ด้วยความร้อนรน “ทำผิดก็ควรได้รับการลงโทษไม่ใช่เหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา เขาเงยหน้ามองไป๋จิ่ง ใบหน้าแฝงความประชดประชัน “แล้วนายล่ะ นายไม่จำเป็นต้องรับโทษเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งแข็งทื่ออยู่ที่เดิมเพียงชั่วพริบตาเดียว

 

 

           ‘ใช่สิ เขาไม่จำเป็นต้องรับโทษเหรอ’

 

 

           ในใจของมั่วไป๋ เขากับเสี่ยวเย่ว์ไม่ต่างกัน พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ทำร้ายเขาทั้งคู่

 

 

           ‘ในใจเขาคิดแต่จะให้เซียวเย่ว์ชดใช้ แต่เขาล่ะ เขาก็เป็นหนึ่งในเพชฌฆาต เขาไม่จำเป็นต้องชดใช้เหรอ’

 

 

           ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว มั่วไป๋รู้ว่าเขาไม่ควรจะต่อล้อต่อเถียงกับไป๋จิ่งต่อไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงยื่นมือไปดึงประตูเปิด “ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย ออกไปเถอะ”

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็โต้แย้งกลับไม่ไหวต่อไปไม่ไหวแล้ว อ้าปากแต่พูดไม่ออกสักคำ

 

 

           ภายใต้สายตาเย็นชาของมั่วไป๋ เขาได้ทำเพียงเดินทีละก้าวออกไปจากห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋

 

 

           เขาเพิ่งจะเดินออกไป มั่วไป๋ก็ยื่นมือไปปิดประตูลงทันที

 

 

           มั่วไป๋พิงประตูหลับตาหอบหายใจเล็กน้อย เขายกมือขึ้นมากดที่ขมับ เหมือนมีตรงไหนจะแตกแยกออกจากกัน เหมือนสมองทั้งก้อนจะระเบิดแตกตัวออกมา

 

 

           เขาไม่มีเวลาจะคิดถึงเรื่องข้างนอกแล้ว ร่างกายไร้เรี่ยวแรงไถลลงมาตามประตูอย่างช้าๆ เขากอดเข่าเอาไว้ หลับตาอย่างไร้ที่พึ่งพา

Related

ตอนที่ 570 นายกังวลอะไร

 

 

           มั่วไป๋เห็นใบหน้าที่จมดิ่งในอารมณ์ของไป๋จิ่ง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

 

 

           สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจด้วยความจนใจ  ดังนั้นพูดมาจนถึงสุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะไป๋จิ่งตั้งแง่ในใจ ถึงได้ประสบกับเรื่องทั้งหมดนี้ใช่ไหม

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ไม่พูดจา เขาก็เริ่มตื่นตระหนกบ้างแล้ว ถ้าวันนี้สลับเปลี่ยนกลับมา ถ้าเป็นมั่วไป๋พูดกับตัวเอง เพราะว่าตัวเองขี้ขลาดเกินไป ดังนั้นถึงทำให้เขาเผชิญชะตากรรมที่บังเอิญผิดพลาดมากมายขนาดนี้

 

 

           เขาก็ไม่รู้ว่าจะแสดงท่าทีตอบสนองอย่างไรได้เช่นกัน

 

 

           เพราะตัวเองรู้ ดังนั้นเขาจึงยิ่งไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับมั่วไป๋อย่างไร

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมือไปคว้ามือมั่วไป๋ไว้ มั่วไป๋ไม่ได้ชักมือออก แต่ปล่อยให้เขาจับ เวลานี้ถึงได้ทำให้ไป๋จิ่งโล่งใจไปทีโดยอัตโนมัติ

 

 

           ไม่ว่าจะว่าอย่างไร มั่วไป๋ไม่ได้เมินเขา เขาก็พอใจมากแล้ว

 

 

           ที่เหลือเขาไม่กล้าคิดมากไปกว่านี้แล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งกำมือมั่วไป๋แน่น ทำอะไรไม่ค่อยถูก

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว เสียงต่ำของมั่วไป๋เอ่ยขึ้น “ช่างเถอะ ถึงยังไงก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ฉันไม่อยากจะไปคิดเล็กคิดน้อยอีก”

 

 

           เขาทุกข์ทรมานตัวเองมาตั้งนานขนาดนี้ กว่าจะปล่อยวางลงได้อย่างช้าๆ ไม่ใช่ง่ายๆ วันนี้ต้องไม่อยากจะกลับไปจำใหม่อีกครั้งเป็นธรรมดา

 

 

           ไป๋จิ่งอ้าปากพูด แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ เขาอยากอธิบาย แต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะอธิบายอย่างไร

 

 

           มือที่ถูกไป๋จิ่งกุมไว้พลิกกลับมากุมมือไป๋จิ่งแทน การเปลี่ยนแปลงเพียงน้อยนิดทำให้หัวใจของไป๋จิ่งเงียบสงบลงแล้ว

 

 

           การกระทำนี้ของมั่วไป๋ทำให้ไป๋จิ่งใจเย็นขึ้นมาก

 

 

           “เมื่อก่อนผมขี้ขลาดเกินไป”

 

 

           ไป๋จิ่งเงยหน้ามองมั่วไป๋ นัยน์ตาจริงใจหาใดเปรียบ

 

 

           “แต่ต่อไปจะไม่เป็นแบบนี้แล้ว”

 

 

           ทันใดนั้นมั่วไป๋ก็ยิ้มหัวเราะขึ้นมา “ฉันไม่ได้คิดจะเสียใจทีหลังสักหน่อย นายกังวลอะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งกลืนน้ำลาย

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยถามอีกครั้ง “อะไรกัน นายไม่เชื่อฉันเหรอ”

 

 

           “ไม่ใช่ไม่เชื่อคุณ ผมไม่เชื่อตัวผมเอง”

 

 

           มั่วไป๋บีบมือไป๋จิ่งไว้ “พอเถอะ เลิกคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว”

 

 

           เรื่องนี้ถือเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว แต่ไป๋จิ่งยังรู้สึกละอายใจทรมานใจอยู่ วนเวียนอยู่กับมั่วไป๋ตั้งนานสองนาน ถึงเพิ่งถูกมั่วไป๋ไล่ออกไป

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งออกไปได้ไม่นาน มั่วไป๋ก็หยิบภาพออกจากห้องไป

 

 

           ……

 

 

           ตามเวลากำหนดที่นัดกันไว้ ไป๋จิ่งก็ขับรถไปยังร้านอาหาร

 

 

           ตอนที่เขาไปถึง ไมเคิลก็ถึงที่นี่แล้ว ไป๋จิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินเข้าไปนั่งลงอยู่ที่ข้างหน้าไมเคิล

 

 

           เขาอยู่ตรงข้ามกับไมเคิล ตำแหน่งของทั้งสองคนที่เหลือไว้อยู่ตรงข้ามกันคือด้านหลังทั้งสองของโซฟา ซึ่งเก็บความเป็นส่วนตัวได้ดีมาก ไม่เห็นคนที่อยู่ด้านหลัง

 

 

           เพียงไม่นานเซียวเย่ว์ก็ตามเข้ามา

 

 

           เธอใส่ชุดคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดของซีซั่นนี้ ถ้ามองจากแค่ด้านนอก เซียวเย่ว์รูปร่างหน้าการแต่งตัวดูจากทุกมุมไม่เลวจริงๆ

 

 

           แต่น่าเสียดาย จิตใจเธอไม่ได้ดีมาก

 

 

           “ไป๋จิ่ง รอนานไหมคะ” เซียวเย่ว์เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม นั่งลงตรงข้ามกับไป๋จิ่ง

 

 

           “ผมก็เพิ่งมาถึง”

 

 

           “ทำไมวันนี้ถึงนัดฉันมากินข้าวล่ะคะ” เซียวเย่ว์จงใจถามหยั่งเชิง

 

 

           ไป๋จิ่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ยังไงกัน ไม่อยากกินข้าวกับผมเหรอ”

 

 

           พอเซียวเย่ว์ได้ยิน เธอก็รีบส่ายหัวทันที “ไม่ใช่แน่นอนค่ะ คุณยอมติดต่อฉันมาได้ ฉันมีความสุขแทบไม่ทัน แล้วจะไม่ดีใจได้ยังไงคะ”

 

 

           เซียวเย่ว์ค่อนข้างมองไป๋จิ่งด้วยความเขินอาย ส่งใบรายการอาหารให้ไป๋จิ่ง “คุณสั่งเถอะค่ะ ฉันไม่เลือกกิน อะไรก็ชอบหมด”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ก็ยื่นมือไปรับใบรายการอาหารมา แล้วสั่งอาหารมาจำนวนหนึ่งอย่างรวดเร็ว

 

 

           หลังจากสั่งอาหารแล้ว ไป๋จิ่งก็สังเกตที่หน้าประตูทางเข้าตลอด ดูว่าเมื่อไหร่เปาเหวินซิงจะมาได้เมื่อไหร่

 

 

           เขารับมือกับเซียวเย่ว์ไปพลาง ดูข้างหลังไปพลาง

 

 

           รออยู่ตั้งนานสองนาน ในที่สุดก็มีคนเดินผ่านประตูเข้ามา

 

 

           รูปร่างหน้าตาถือว่าใช้ได้ ดูไปแล้วห่ามๆ ห้าวๆ ไม่เบาทีเดียว

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเปาเหวินซิงเดินมุ่งหน้าไปหาไมเคิล ไม่ได้มองมาทางเขาเลยด้วยซ้ำ

 

 

           

 

 

ตอนที่ 571 จะสายเกินไปไหม

 

 

           เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สมกับเป็นเพื่อนของซือเหยี่ยน ไมเคิลลงมือปฏิบัติการแล้ว คล่องตัวอย่างที่คิดไว้จริงๆ

 

 

           คนที่ควรจะมาก็มาครบแล้ว สีหน้าของไป๋จิ่งเปลี่ยนไปจริงจังขึ้นมาอีกเล็กน้อย

 

 

           เวลานี้คนที่อยู่ด้านข้างส่งอาหารเข้ามาพอดี พอเซียวเย่ว์เห็นอาหารบนโต๊ะ ตาเธอก็อดจะลุกวาวไม่ได้

 

 

           มองไป๋จิ่งด้วยความรู้สึกที่ตื่นตะลึงเพราะได้รับการเอาใจใส่อย่างคาดไม่ถึง “คิด คิดไม่ถึงว่าคุณจะยังจำได้ว่าฉันชอบกินอะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “ต้องจำได้อยู่แล้ว”

 

 

           การกระทำแบบนี้ของเขาคือการเอาอกเอาใจเซียวเย่ว์ ถ้าพูดถึงเมื่อก่อนเซียวเย่ว์เอาแต่กังวลเรื่องการได้มาและการสูญเสียไป แต่ในนาทีนี้เซียวเย่ว์มั่นใจขึ้นมาทันที ไป๋จิ่งต้องชอบตัวเธอเองแน่ๆ

 

 

           ถ้าไม่ชอบเธอ ทำไมจะต้องเป็นฝ่ายนัดเธอด้วย ทั้งยังสั่งอาหารที่เธอชอบกินมาทั้งหมดอีก

 

 

           เธอและเขาไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว

 

 

           เธอไม่เชื่อหรอกว่าคนเย่อหยิ่งอย่างไป๋จิ่งจะมาจำสิ่งที่คนอื่นชอบได้แบบขอไปที

 

 

           ความคิดนี้อยู่เต็มในหัวของเซียวเย่ว์ไปหมด หัวใจทั้งดวงของเธอเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ มีความดีใจและประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           เธอไม่ปกปิดอารมณ์ที่แสดงออกผ่านใบหน้าเลยสักนิด ดวงตาเปล่งประกายมองมาที่ไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งสบตากับเธอ มองท่าทีตอบสนองของเธออย่างชัดเจน

 

 

           เขายิ้มหัวเราะเล็กน้อย เอ่ยเสียงอ่อนโยน “กินก่อนเถอะ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อยเอา”

 

 

           เซียวเย่ว์พยักหน้ารับ “ค่ะๆ”

 

 

           “รู้ว่าคุณชอบมากินร้านนี้ ผมเลยจองไว้ล่วงหน้าให้เป็นพิเศษ หวังว่าคุณจะชอบ”

 

 

           เซียวเย่ว์อายหน้าแดง เธอมองไป๋จิ่งด้วยความดีใจ “คิดไม่ถึงว่าคุณจะจองร้านอาหารให้ฉันเป็นพิเศษ”

 

 

           “ให้คุณ ไม่ใช่ตั้งใจ”

 

 

           เขาป้อนคำที่ดูสนิทสนมกัน เดิมเซียวเย่ว์คิดอะไรกับไป๋จิ่งอยู่แล้ว ตอนนี้มาได้ยินคำพูดแฝงความหมายพวกนี้ สมองก็รวนไปหมดทันที

 

 

           เธอใช้ความคิดแบบปกติไม่ได้แล้ว

 

 

           ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องที่ว่า  คำพูดไป๋จิ่งที่ดีอย่างนี้หมายความว่าอะไร เธอคิดไปแบบนั้น ที่จริงแล้วไป๋จิ่งก็ชอบเธอเหมือนกันใช่หรือเปล่า

 

 

           เธอเบิกตากว้างมองไป๋จิ่ง อ้าปากพูดด้วยความตื่นเต้น “ไป๋จิ่ง คุณพูดกับฉันแบบนี้หมายความว่าอะไรคะ”

 

 

           ไป๋จิ่งถือแก้วยกขึ้นมาดื่มน้ำคำหนึ่ง ไม่ได้ตอบกลับไปตรงๆ แต่พูดว่า “สองปีมานี้ผมเคยสืบข่าวคราวของคุณ”

 

 

           เซียวเย่ว์หัวใจกระตุกวูบ “สืบข่าว”

 

 

           ไป๋จิ่งสีหน้าเหงาหงอย “เดิมทีผมอยากจะตามหาคุณ แต่กลับเห็นคุณอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง”

 

 

           เขาถอนหายใจเล็กน้อย “ผมรู้ว่าสายเกินไปใช่ไหมล่ะ”

 

 

           หัวใจเซียวเย่ว์เต้นเร็วจนจะหลุดออกมาข้างนอกแล้ว

 

 

           เธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะได้ยินเรื่องอะไรร้ายแรงมา คำพูดที่ออกมาจากปากเหมือนจะมีเค้าความจริงอะไรบางอย่างอยู่

 

 

           เธอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว เอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก “ผู้ชายอะไรคะ”

 

 

           เมื่อครู่ไป๋จิ่งบอกใบ้ลักษณะบรรยายถึงเปาเหวินซิง แต่ไม่ถึงขนาดหลุดพิรุธออกมา แต่ก็ทำให้เซียวเย่ว์รู้ว่าเป็นใครได้พอดี

 

 

           “เขากับคุณ…ดูเหมือนสนิทกันมาก”

 

 

           เมื่อเซียวเย่ว์ได้ยินว่าไป๋จิ่งเห็นเธอกับเปาเหวินซิงอยู่ด้วยกัน เธอก็รีบโต้แย้งทันที “ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะคะ เป็นเขาที่ตามมาวอแวฉันอยู่ตลอด ฉันทำอะไรไม่ได้”

 

 

           ไป๋จิ่งมองเธออย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ “คุณพูดจริงเหรอ”

 

 

           “จริงๆ ค่ะ เพื่อนฉันรู้กันหมด เขาเอาแต่ไม่รู้จักความอาย ตอแยฉันมาหลายปีแล้ว ฉันไล่ยังไงก็ไม่ไปสักที”

 

 

           เซียวเย่ว์กลัวไป๋จิ่งไม่เชื่อ เธอยังจงใจเสริมอีกประโยค “ฉันรำคาญเขามากเลยนะคะ จริงๆ !”

 

 

           รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าไป๋จิ่งทีละนิดๆ “ผมยังคิดว่าคุณ…”

 

 

           “ฉันชอบคุณมาตลอดค่ะ ชอบมากชอบมากๆ ฉันไม่มีวันจะชอบเขา ตรงไหนเขาก็เทียบคุณไม่ได้ ในสายตาฉันแม้เส้นผมเส้นเดียวของคุณ เขาก็เทียบไม่ติด”

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าเซียวเย่ว์คนนี้ใช้ชีวิตโดยสวัสดิภาพมาจนถึงวันนี้ได้ไม่ใช่ง่ายๆ จริงๆ

Related

ตอนที่ 568 ไม่มีหน้าจะมองจริงๆ

 

 

           ฝั่งไมเคิลปฏิบัติการเร็วมาก เร็วมากจนกระทั่งจัดการเรื่องที่ไป๋จิ่งต้องการเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งคำนวณดูเวลา แล้วส่งข้อความหาเซียวเย่ว์

 

 

           เซียวเย่ว์รู้สึกมาเสมอว่าไป๋จิ่งวางตัวกลางๆ กับเธอ ในใจกระวนกระวายอย่างมาก

 

 

           อยากจะติดต่อไป๋จิ่ง กลับรู้สึกไม่เหมาะสม แต่ก็ร้อนใจไม่เป็นสุขเช่นกัน

 

 

           ว้าวุ่นใจกันไปกันมา กำลังจะเตรียมเป็นฝ่ายติดต่อไป๋จิ่งไปเอง ใครจะคิดว่าเวลานี้ไป๋จิ่งจะเป็นฝ่ายส่งมาหาเธอ นัดเธอไปเจอพรุ่งนี้

 

 

           เซียวเย่ว์ยิ้มจนหุบไม่อยู่ คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะเป็นฝ่ายนัดเธอเอง

 

 

           ‘ดีใจเกินไปแล้วจริงๆ’

 

 

           เซียวเย่ว์ถือมือถือไว้รีบพิมพ์ข้อความตอบกลับว่าโอเคทันที

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นข้อความตอบกลับของเซียวเย่ว์แล้ว แววตาก็จมดิ่ง เขาลบข้อความของเซียวเย่ว์ทันทีหลังจากนั้น ไม่เหลือร่องรอยใดๆ แม้เพียงสักนิด

 

 

           ถ้าไม่เกิดเหตุสุดวิสัยอะไร เจอกันกับเซียวเย่ว์ครั้งนี้เสร็จ คงจะไม่ต้องออกไปเจอหน้าเธออีกแล้ว

 

 

           สำหรับไป๋จิ่งแล้ว การเจอหน้าเซียวเย่ว์ไม่น่าดึงดูดใจเท่ากับผมเส้นหนึ่งของมั่วไป๋เลยด้วยซ้ำ

 

 

           มั่วไป๋ลงไปเดินเล่นข้างล่าง ไม่ให้ไป๋จิ่งตามมา

 

 

           ภาพวาดในมือเสร็จแล้ว ติดต่อทางนั้นได้พอดี พรุ่งนี้จะส่งภาพให้อีกฝ่ายไป

 

 

           เขาเอ้อระเหยอยู่ข้างล่างสักพัก แล้วไปห้องทำงานของเหยียนอวี้ บอกกับเขาถึงเรื่องที่จะออกไปข้างนอกพรุ่งนี้

 

 

           เหยียนอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่ “ให้ไป๋จิ่งไปไม่ได้เหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “ให้ฉันไปเองเถอะ อยู่ใกล้ๆ แถวนี้เอง ไม่ได้ไกลเท่าไหร่เลย”

 

 

           เหยียนอวี้เห็นเขายืนกราน ถึงได้พยักหน้าตอบรับ “ได้ งั้นนายก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน ส่งเสร็จก็กลับมาเลยนะ”

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกว่าเหยียนอวี้มองเขาเป็นเด็กสามขวบอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           กลับมาจากห้องทำงานของเหยียนอวี้ มั่วไป๋ผลักเปิดประตูเข้าไปก็เห็นไป๋จิ่งนั่งบนเก้าอี้มองมาที่ประตูตาปริบๆ

 

 

           ‘เฮ้อ…ตอนนี้เปลี่ยนมามองเขาตาปริบๆ แล้ว’

 

 

           เขามองมั่วไป๋จนมั่วไป๋อดไม่ได้ที่จะลูบจมูกปอยๆ “นายมองฉันแบบนี้ทำไม”

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาด้วยความน้อยใจ “คุณไม่ให้ผมไปไหนกับคุณแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋ “…”

 

 

           ‘เขาเป็นผู้ชายโตๆ คนหนึ่ง ออกไปเดินเล่นแล้วไง ทำไมยังต้องมีคนไปเป็นเพื่อนด้วย’

 

 

           “ฉันก็แค่ออกไปเดินเล่นเท่านั้นเอง” มั่วไป๋เอามือกดที่หัวตัวเองพลางอธิบาย

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าน้อยใจ “ก่อนหน้านี้คุณให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณตลอด”

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกว่าสติปัญญาของไป๋จิ่งนับวันยิ่งถดถอย ทำไมยิ่งซื่อบื้อลงเรื่อยๆ เกิดอะไรขึ้น

 

 

           “คุณยังไม่เชื่อใช่ไหมว่าผมกับเหยียนอวี้เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

 

 

           มั่วไป๋เลิกคิ้ว  ทำไมต้องโยงถึงเหยียนอวี้อีกแล้ว

 

 

           “เมื่อคืนคุณก็ไม่ให้ผมนอนเตียงเดียวกับคุณ ตอนเช้าก็ไม่พูดกับผม ลงไปเดินเล่นก็ไม่ให้ผมไปด้วย” ไป๋จิ่งเอ่ยฟ้องเน้นคำต่อคำ “ก็คือคุณไม่เชื่อว่าผมกับเหยียนอวี้ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย”

 

 

           มั่วไป๋ทำหน้างุนงง รู้สึกว่า  วงจรสมองของไป๋จิ่งไม่ค่อยเหมือนคนปกติใช่ไหม

 

 

           เขาครุ่นคิดแล้ว เลิกปั่นไป๋จิ่งแล้วจะดีกว่า ถ้าไม่อย่างนั้นตามวงจรสมองของเขา ทั้งวันคงจะไม่เข้าใจได้สักที

 

 

           ด้วยเหตุนี้ เสียงต่ำของมั่วไป๋จึงเอ่ยอธิบายขึ้น “ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่านายกับเหยียนอวี้เป็นอะไรกัน”

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ยังค้างอยู่เช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน

 

 

           “ฉันรู้ว่านายชอบฉัน ไม่ชอบเหยียนอวี้ โอเคแล้วใช่ไหม” มั่วไป๋ยอมเทหมดหน้าตัก หลับตาเอ่ยตะโกนเสียงดัง

 

 

           มั่วไป๋ตะโกนเสร็จ เขาก็รู้สึกไม่มีหน้าจะมองแล้วจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าห้องพักผู้ป่วยนี้ไม่มีที่ให้วิ่ง ป่านนี้เขาวิ่งหนีหายไม่เห็นเงาไปแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งที่เพิ่งจะน้อยใจไป เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ยิ้มแก้มปลิออกมา

 

 

           เขาหรี่ตาลงมองมั่วไป๋ “แล้วคุณล่ะ คุณยังชอบคนอื่นอยู่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ “…” พวกเขาถกกันจนถึงประเด็นเมื่อวานได้อย่างไร

 

 

           “ฉันไปชอบคนอื่นเมื่อไหร่กัน”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยฟ้องอีกครั้ง “เมื่อวานคุณบอกเอง ว่าถ้าหากต่อไปคุณชอบคนอื่นเข้า”

 

 

           

 

 

     ตอนที่ 569 ไม่เคยชอบคนอื่น

 

 

           มั่วไป๋ฝืนใจอดกลั้นแรงกระตุ้นการอยากจะมองบนใส่ “เรื่องต่อจากนี้ ใครจะรู้ได้”

 

 

           “งั้นต่อไปก็มีความเป็นไปได้ที่คุณจะชอบคนอื่นใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ไม่ทนแล้ว มองบนใส่ไป๋จิ่ง “นายรับประกันได้เหรอว่าต่อไปนายจะไม่ชอบใครอีกไปตลอดชีวิต”

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าจริงจัง “แน่นอน ต่อไปผมจะไม่ชอบคนอื่นอีกแน่นอน”

 

 

           มั่วไป๋มองเขา ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก “เรื่องต่อจากนี้ยังอีกไกล ใครจะพูดได้ตรง”

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ยินคำพูดนี้ เขาก็เอ่ยโดยไม่คิดมาก่อนทันที “ไม่มีคนอื่นได้หรอก หลายปีมานี้นอกจากคุณแล้ว ผมก็ไม่เคยชอบคนอื่น”

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน “นายหมายความว่าไง”

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ตะลึงงัน  เขาพูดคำนี้ออกมาได้ยังไงกัน

 

 

           เขาอยากจะหลบหนีไปในทันใด

 

 

           มั่วไป๋คว้าไป๋จิ่งไว้แน่น “เมื่อกี้นายหมายความว่าอะไร บอกฉันมาให้ชัดเจนเลยนะ”

 

 

           ไป๋จิ่งหลบหลีกสายตา ไม่กล้ามองมั่วไป๋ “ไม่มีอะไร”

 

 

           “ไม่มีอะไรเหรอ จริงๆ เหรอ” เมื่อครู่นี้เขาได้ยินชัดเจนมาก

 

 

           “ผมก็แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง”

 

 

           มั่วไป๋โมโหแล้ว หัวเราะเยาะเสียงเย็น “อ๋อ แค่พูดไปเรื่อยเองใช่ไหม งั้นนายอยากจะเก็บของแล้วจะไปไหนก็ไปเลยไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋หัวเราะเยาะเสียงเย็น เขาก็ชักจะลุกลี้ลุกลนแล้ว เขาครุ่นคิด  ถ้าอย่างนั้นก็สารภาพไปเลย ถึงแม้ว่าพูดออกมาแล้วจะดูเลิ่กลั่กไปสักหน่อย

 

 

           ‘แต่ก็ดีกว่าทำให้มั่วไป๋โกรธ’

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่ที่เดิม มองเขาด้วยสายตาที่เย็นเฉียบ “จะไปหรือจะพูด”

 

 

           ไป๋จิ่งต้องไม่อยากไปอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเลือกได้เพียงแค่พูดออกมา

 

 

           เขามองมั่วไป๋ แววตาประกายคำขอโทษ “พูดสิ พูดตอนนี้เลย”

 

 

           มั่วไป๋พิงตู้ที่อยู่ข้างๆ มองเขา “พูดสิ ที่ว่าชอบฉันเพียงแค่คนเดียวคืออะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งอ้าปากพูดแต่พูดไม่ค่อยจะออกเท่าไหร่นัก

 

 

           เมื่อก่อนเขาตั้งแง่มาตั้งนาน มั่วไป๋มารู้เข้า เสียหน้ามากแค่ไหน

 

 

           แต่ถ้าไม่พูด มั่วไป๋ต้องไล่เข้าออกไปแน่

 

 

           เพื่อจะไม่ให้ถูกไล่ ไป๋จิ่งจำใจต้องพูดออกมาอย่างว่าง่าย

 

 

           “เมื่อก่อนผมไม่เคยชอบคนอื่น ถ้า…ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือคุณ”

 

 

           “งั้นเมื่อก่อนที่ฉันคอยตามตื้อนาย ทำไมนายถึงไม่รับรักฉัน”

 

 

           ความลำบากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋จิ่ง แตกต่างกับไป๋จิ่งในยามปกติโดยสิ้นเชิง

 

 

           มั่วไป๋หรี่ตาลงเล็กน้อย รู้สึกว่าสีหน้าไป๋จิ่งไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “จะพูดไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งว้าวุ่นใจอยู่สักพักถึงได้เอ่ยปากขึ้น “เพราะว่าผมไม่กล้าจะชอบคุณ”

 

 

           มั่วไป๋ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ทำไม”

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มอย่างขมขื่น “คงเพราะผมไม่คู่ควรกับคุณมั้ง”

 

 

           เขาไม่เหมือนกับซือเหยี่ยนหรือว่าเจียงมู่เฉินที่จะมีความหวังกับความรัก พ่อแม่ของเขาไม่ได้รักกัน ดังนั้นตั้งแต่เล็กเขาจึงเติบโตมาในโลกที่ไม่มีความรัก

 

 

           ดังนั้นตั้งแต่เล็กเขาก็ไม่กล้าจะเชื่อในความรัก

 

 

           ตอนที่หลินฝานเด็กที่ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ขนาดนั้นมาปรากฏตัวอยู่ในโลกของเขา ไป๋จิ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

 

 

           เขากลัวตัวเองตกหลุมรักหลินฝาน แต่กลับไม่เข้าใจอะไรคือความรัก แล้วทำร้ายหลินฝาน

 

 

           มีเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำได้คือการผลักไสหลินฝานออกไปทีละนิดๆ ปิดประตูห้องหัวใจให้แน่นสนิท

 

 

           ขอเพียงแต่ไม่เปิดประตูห้องหัวใจ ไม่ให้คนเข้ามา ไป๋จิ่งก็ยังจะเป็นเขาไป๋จิ่งคนเดิมอยู่

 

 

           เพียงแต่ว่าน่าเสียดาย ไป๋จิ่งไม่รู้ว่าประตูห้องหัวใจนั้นปิดไม่อยู่

 

 

           ต่อให้เขาใช้แรงทั้งกายก็ควบคุมไว้ไม่ได้

 

 

           ถึงแม้ว่าตัวเองไม่ยอมรับ แต่กลับชอบหลินฝานเข้าจนได้ เพียงแต่ว่ากว่าเขาจะรู้สึกตัว มันก็ได้สายไปเสียแล้ว

 

 

           เอ่ยถึงเรื่องในอดีตอีกครั้ง ไป๋จิ่งก็รู้สึกว่าตัวเองในตอนนั้นไม่ต่างจากคนโง่เขลาจริงๆ

 

 

           ‘ชอบก็ชอบสิ จะปกปิดไปทำไม’

 

 

           ถ้าเขาในตอนนั้น เข้าใจในหลักการนี้ได้ เขาก็จะไม่ต้องมาพลัดพรากจากมั่วไป๋ไปนานถึงขนาดนี้ ผ่านชะตากรรมกันมามากมาย

 

 

           เขาเอามือปิดหน้า เปิดโลกในใจของตัวเองออก ให้ทั่วไป๋เดินเข้าไป ให้มั่วไป๋ได้เห็นว่าที่จริงแล้วไป๋จิ่งคนคนนี้คือคนขี้ขลาดตาขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า

Related

ตอนที่ 566 ผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน

 

 

เหยียนอวี้ได้คำว่า ‘รบกวน’ ก็รู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในที

 

 

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเห็นไป๋จิ่งจะสุภาพได้ขนาดนี้เลย ด้วยนิสัยของเหยียนอวี้เขาจึงอดจะแกล้งป่วนไป๋จิ่งไม่ได้ เป็นจังหวะเอาคืนเรื่องที่วันนั้นไป๋จิ่งสะอิดสะเอียนตัวเองพอดี

 

 

ด้วยเหตุนี้เหยียนอวี้จึงยิ้มหัวเราะเบาๆ “ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ผมชอบคุณชอบจนไม่ไหวแล้ว ในเมื่อผมชอบคุณแล้ว คุณยังต้องมีอะไรขอบคุณผมอยู่อีกเหรอครับ”

 

 

ไป๋จิ่งชะงักงันไปครู่หนึ่ง ถลึงตาโตมองเหยียนอวี้ เหยียนอวี้บอกว่าชอบเขาเมื่อไหร่กัน

 

 

“อะไรกัน ลืมกันเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ” เหยียนอวี้เอ่ยอย่างอ้อยอิ่ง “ผมยังจำได้ สองวันก่อนมีคนมาส่งอาหารเช้าให้ผมด้วย ผมยังถามว่าคุณจะลองพิจารณาผมดูไหม”

 

 

ไป๋จิ่งหน้าถอดสีทันที ถ้าเหยียนอวี้ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาเองก็ใกล้จะลืมไปหมดแล้ว

 

 

คิดไม่ถึงว่าเหยียนอวี้จะพูดออกมาตอนอยู่กันตรงนี้ได้

 

 

เขารีบหันมองมั่วไป๋ทันที สีหน้ายังคงความตื่นตระหนกนิดหน่อย มั่วไป๋คงจะไม่เข้าใจเขาผิดหรอกใช่ไหม

 

 

เหยียนอวี้เห็นว่าไฟจุดติด เขาก็รีบเติมฟืนใส่เข้าไปทันที “มั่วไป๋ ไป๋จิ่งเอาอาหารเช้ามาให้ฉัน นายคงจะไม่ถือสาหรอกใช่ไหม”

 

 

มั่วไป๋เห็นท่าทางแบบนั้นของเหยียนอวี้แวบแรกก็รู้ได้ในทันใดว่าเขาจงใจแกล้งไป๋จิ่งอยู่

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ มั่วไป๋ก็ชักจะอยากแกล้งไป๋จิ่งสักหน่อยแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำหน้าบึ้งมองใส่ไป๋จิ่ง “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

 

 

ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋พูดแบบนี้ เพียงชั่วขณะหนึ่ง เขาก็ลนลานแล้ว รีบเอื้อมมือไปคว้ามือมั่วไป๋อย่างทันควัน “ผมก็ไปแค่ซื้ออาหารเช้า แล้วติดมือมาให้เขาเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นจริงๆ”

 

 

มั่วไป๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แล้วทำไมนายจะต้องซื้ออาหารเช้าให้เขาด้วยล่ะ”

 

 

ไป๋จิ่งงงเป็นไก่ตาแตกแล้ว เอ่อใช่ ทำไมเขาจะต้องซื้ออาหารเช้าให้เหยียนอวี้ด้วย

 

 

เหยียนอวี้เห็นไป๋จิ่งซื่อบื้ออย่างนั้นได้ เขาใกล้จะขำจะตายแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้ทำไมไม่รู้สึกเลยนะว่าไป๋จิ่งหลอกง่ายได้ขนาดนี้

 

 

‘ทำไมวันนี้ถึงรู้สึกว่าคนคนนี้ซื่อบื้อเป็นพิเศษเลย’

 

 

เหยียนอวี้เองก็เลิกคิ้วมองเขาเช่นกัน “นั่นสิ ทำไมคุณถึงต้องซื้ออาหารให้ผมด้วยล่ะ หรือว่าจะไม่ได้ประสงค์ดีกับผม”

 

 

ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ ตัวเองกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ชำระได้ไม่สะอาด แล้วจริงๆ

 

 

เขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่างจริงๆ ก็แค่ส่งอาหารเช้าให้เฉยๆ แค่นั้นเอง

 

 

ไป๋จิ่งกระอักกระอ่วนใจอยู่ตั้งนานสองนาน เขาเอ่ยขึ้ยอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ก็เป็นเพื่อนกัน จะส่งอาหารเช้าให้ก็เป็นเรื่องธรรมดามากไม่ใช่เหรอ”

 

 

เหยียนอวี้ได้ยินคำพูดนี้ เขาก็กวาดสายตามองไป๋จิ่งด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “ผมเป็นเพื่อนกับคุณตอนไหนไม่ทราบครับ”

 

 

ไป๋จิ่ง “…”

 

 

“ผมเป็นเพื่อนแค่กับมั่วไป๋ โอเคไหมครับ”

 

 

ไป๋จิ่ง “…”

 

 

‘นี่…เป็นเขาคิดไปเองคนเดียวแล้วเหรอ’

 

 

……

 

 

เหยียนอวี้พูดประโยคนี้จบก็เดินออกไป เหลือไป๋จิ่งกับมั่วไป๋ไว้อยู่ด้วยกันสองคน

 

 

ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ด้วยความตื่นตระหนกอยากจะอธิบาย เขากลัวมั่วไป๋เข้าใจผิดจริงๆ ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็เพิ่งจะคืนดีกัน ถ้าเกิดเข้าใจผิดอะไรขึ้นมา มั่วไป๋โกรธแล้วไม่สนใจเขาแล้วจะทำยังไง

 

 

มั่วไป๋วาดรูปด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่สนใจไป๋จิ่ง

 

 

ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างๆ ร้อนใจจนไม่ไหว เกือบจะมืดแปดด้านแล้ว

 

 

มั่วไป๋เก็บทุกปฏิกิริยาตอบสนองของไป๋จิ่งเอาไว้ในสายตา รู้สึกตลกอย่างไรชอบกล

 

 

เดิมทีแค่อยากจะแกล้งเขาเฉยๆ คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาตอบสนองของไป๋จิ่งจะใหญ่ขนาดนี้ ดูท่าว่าจะยังน่าขบขันได้มากทีเดียว  

 

 

คิดได้เช่นนี้ มั่วไป๋ก็ใจร้ายไม่ฟังคำอธิบายของไป๋จิ่ง

 

 

ไป๋จิ่งมองใบหน้ามั่วไป๋ อดไม่ได้ที่จะอ้าปากจะพูด “มั่วไป๋ คุณฟังผม…”

 

 

มั่วไป๋กวาดสายตามองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย เพียงชั่วพริบตาไป๋จิ่งก็พูดไม่ออกแล้ว

 

 

เห็นเขาไม่พูด มั่วไป๋ถึงได้ดึงสายตากลับมา

 

 

ไป๋จิ่งจะอกแตกตายอยู่ข้างๆ เดิมทีคิดไว้แล้วว่าจะพูดอะไร ผลปรากฏว่ามั่วไป๋มองเขาแบบนั้นจนเขาลืมไปหมดแล้ว

 

 

ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ แล้วอยากข่วนผนังด้วย

 

 

ผ่านไปอีกหลายนาที ไป๋จิ่งปลุกใจตัวเองเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ผมกับเหยียนอวี้ไม่ได้เป็นอะไรกัน”

 

 

 

 

ตอนที่ 567 น้ำผึ้งอาบยาพิษ

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับเสียงเรียบๆ

 

 

           ไป๋จิ่งพูดต่ออีก “ผมกับเขาเป็นแค่เพื่อนธรรมดา”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับอีกครั้ง

 

 

           ไป๋จิ่งกลืนน้ำลายด้วยความตื่นตระหนก “ผมไม่ชอบเขา ผมชอบคุณ”

 

 

           มือมั่วไป๋ที่ถือดินสอวาดรูปอยู่หยุดชะงักไป นิ้วมือเกร็งแน่นพลางเอ่ยเสียงเรียบๆ “น้ำผึ้งอาบยาพิษ?”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยด้วยความตื่นตระหนก “ไม่ใช่น้ำผึ้งอาบยาพิษ แต่เป็นคำพูดจากใจ”

 

 

           มั่วไป๋ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขันไม่เบา ไม่เจอหน้ากันไม่กี่วัน สำบัดสำนวนของไป๋จิ่งยังดีมากทีเดียว ยังรู้จักคำพูดจากใจด้วย

 

 

           “เหยียนอวี้ทั้งหล่อมาก ทั้งเก่งมาก ทั้งยังเป็นแพทย์ฝีมือดีมาก ไม่ว่าจะมองด้านไหน เขาก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก”

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยต่อ “แล้วดูฉันสิ นิสัยไม่ดี ยังเป็นคนป่วยอีก เลือกเหยียนอวี้ยังไงก็ดีกว่าฉันไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินคำพูดพวกนี้ หัวใจใกล้จะต่อต้านจนแหลก

 

 

           เขาคว้ามือมั่วไป๋ไว้ทันที “ในใจผมใครก็ไม่ดีเท่าคุณ”

 

 

           ต่อให้เหยียนอวี้ดีก็เป็นแค่เหยียนอวี้ ต่อให้มั่วไป๋ไม่ได้เป็นอะไร เขาก็ชอบมั่วไป๋อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นมั่วไป๋ก็ดีมาก ดีมากเป็นพิเศษ

 

 

           ดีกว่าเหยียนอวี้อีกด้วยซ้ำ

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินประโยคนี้ รู้สึกว่าในใจโล่งสบายไม่เบา แต่เขาก็กดเก็บความดีใจในใจนี้ไว้ พลางเอ่ยถามอีก “งั้นถ้าวันหนึ่งฉันเจอคนที่ดีกว่านาย แล้วฉันอยากจะคบกับเขา จะทำยังไง”

 

 

           ร่างกายไป๋จิ่งตะลึงค้าง ราวกับไม่เคยคิดทบทวนปัญหานี้มาก่อน

 

 

           เมื่อก่อนเขาไม่คิดว่ามั่วไป๋จะชอบคนอื่นได้

 

 

           ในจิตใต้สำนึกของเขา มั่วไป๋ต้องชอบได้แค่เพียงเขาคนเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะชอบคนอื่นได้

 

 

           ดังนั้นตอนที่มั่วไป๋เอ่ยถึงปัญหานี้ขึ้นมา เขาถึงได้ตะลึงค้างไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไร

 

 

           มั่วไป๋มองดูใบหน้าที่เงียบงันของไป๋จิ่ง เสียงต่ำเอ่ยถามอีกครั้ง “ถ้าฉันเจอคนที่ชอบ นายจะทำยังไง…

 

 

           …ปล่อยมือ หรือว่าจะไม่ปล่อยมือ”

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ยินคำว่า ‘ปล่อยมือ’ สองคำนี้ หัวใจก็บีบคั้นกระตุกวูบทันที

 

 

           เขาเอ่ยโดยไม่คิดอะไรก่อนทั้งสิ้น “ไม่ปล่อยมือ ต่อคุณชอบเขา ผมก็จะปล่อยมือ”

 

 

           ‘นั่นคือมั่วไป๋นะ จะปล่อยมือหลีกทางให้คนอื่นได้ยังไง’

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินคำตอบของเขา ก็โล่งใจไปโดยอัตโนมัติ ยังดีที่เขาไม่ได้เลือกปล่อยมือ

 

 

           “ฉันไม่ชอบนาย นายกลับบังคับให้ฉันอยู่ต่อ แบบนี้จะไม่เป็นการบอบช้ำกันทั้งสองฝ่ายหรอกเหรอ”

 

 

           “เมื่อก่อนคุณก็ไม่ชอบผม แต่ตอนนี้คุณชอบ ถ้าต่อไปคุณเปลี่ยนใจแล้ว อย่างมากผมก็แค่ทำให้คุณชอบผมใหม่อีกครั้ง”

 

 

           ไป๋จิ่งพูดไปพลางกุมมือมั่วไป๋ไว้แน่น “ถึงยังไงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็คบกับผมได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

 

 

           ความเผด็จของเขาทำให้มั่วไป๋ตลกแล้ว

 

 

           คำพูดนี้ถ้าเป็นคนอื่นมาพูด มั่วไป๋คงจะรู้สึกว่าคนคนนั้นต้องเพี้ยนไปแล้ว คำพูดที่หน้าไม่อายแบบนี้ก็พูดออกมาได้

 

 

           แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอไป๋จิ่งเป็นคนมาพูด มั่วไป๋ก็รู้สึกว่ามีความน่ารักอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           แท้จริงแล้วการชอบคนคนหนึ่ง ในแววตาจะมีฟิลเตอร์มาเองด้วย

 

 

           ชอบไป๋จิ่งแล้ว รู้สึกว่าคำพูดจะดูเด็กน้อยแค่ไหน เขาก็ฟังได้อย่างมีความสุขมาก

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ยิ้มก็รีบถามต่อทันที “เป็นยังไงบ้าง คุณเชื่อผมแล้วใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย “เชื่ออะไรของนาย”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ย “เชื่อว่าผมกับเหยียนอวี้ไม่ได้เป็นอะไรกันไง”

 

 

           มั่วไป๋เอามือกดที่หัวของตัวเอง รู้สึกว่าสมองของไป๋จิ่งมีฟองสบู่อยู่ใช่ไหม ตัวเองไม่ได้พูดแล้ว เขายังจะแกล้งโง่ต่อไปอีก

 

 

           ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มั่วไป๋ก็จะทำให้ไป๋จิ่งผิดหวังไม่ได้

 

 

           ด้วยเหตุนี้มั่วไป๋จึงมองเขาแวบเดียวด้วยสายตาเย็นชา ไม่พูดสักคำ

 

 

           ‘ดีเลย’ เดิมทีบรรยากาศก็ปรองดองกันดีแล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ตกต่ำถึงขั้นสุดจนได้

 

 

           ไป๋จิ่งจะอกแตกตายอยู่ข้างหลัง แต่ก็ไม่กล้าพูดต่อ ทำได้เพียงนั่งเฉยๆ อยู่บนเก้าอี้นั่ง จ้องมองมั่วไป๋ตาปริบๆ

Related

ตอนที่ 564 ทางกลับบ้าน

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน กว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ไป๋จิ่งก็เข้ามาจูบเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

           เขาชะงักค้าง รสชาติของเนยและครีมจางๆ ตลบอบอวล มั่วไป๋เห็นใบหน้าขนาดขยายใหญ่ของไป๋จิ่ง เขาตกใจค้างอยู่เป็นสองนาที

 

 

           ไป๋จิ่งจูบเสร็จก็ปล่อยมือออกทันที

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกเขินอายอย่างไรชอบกล เขาหันข้างไม่มองไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งยื่นมือไปพลางมองใบหน้าที่เลิ่กลั่กของเขา ก่อนจะใช้นิ้วเช็ดคราบเนยและครีมที่มุมปากพร้อมรอยยิ้ม

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกแค่เพียงความร้อนที่ริมฝีปาก เขาถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ

 

 

           ไป๋จิ่งอารมณ์ดีมาก เพราะแบบนี้เขาจึงหรี่ตาลงมองมั่วไป๋พลางพยักหน้าด้วยท่าทีสงบนิ่ง “อร่อยมากจริงๆ”

 

 

           มั่วไป๋มองเขาแวบหนึ่ง เขาไม่ได้อยากจะฟังคำประเมินของไป๋จิ่งสักหน่อย

 

 

           เขาไม่สนใจไป๋จิ่งอีก แต่ก้มหน้ากินเค้กต่อ หลังจากกินเสร็จแล้ว เขาก็ให้ไป๋จิ่งเก็บของที่วางบนโต๊ะให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเขาจึงวาดรูปต่อ

 

 

           ช่วงนี้เจียงมู่เฉินกำลังยุ่งเรื่องบริษัท เขาได้พูดคุยกับมั่วไป๋น้อยมาก ส่วนมั่วไป๋เองก็ติดต่อกับเจียงมู่เฉินน้อยมาก เพราะไป๋จิ่งวนเวียนอยู่ข้างกายเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

 

 

           ตั้งแต่ที่เซียวเย่ว์ติดต่อกับไป๋จิ่งได้ เธอก็ส่งข้อความหาไป๋จิ่งอยู่บ่อยครั้ง

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งเห็น ปกติเขาจะทำเป็นมองข้ามไปเสมอ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นข้อความที่สำคัญ ถึงค่อยจะได้ตอบ ‘อืม…อ่า…อ่อ’ ตอบกลับสองสามคำไป

 

 

           รับมือกับเซียวเย่ว์ไปพลาง รอข้อมูลจากไมเคิลไปพลาง

 

 

           ผ่านไปสองวันด้วยความสงบสุข เหยียนอวี้จัดการตรวจร่างกายมั่วไป๋อีกครั้ง ครั้งนี้ไป๋จิ่งอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋ตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ปล่อยผ่ายแม้สักนาที

 

 

           เมื่อมั่วไป๋เดินออกมาจากห้องตรวจร่างกาย เห็นไป๋จิ่งยืนตัวตรงอยู่นอกประตู ในใจก็มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้

 

 

           ราวกับนักเดินทางพเนจรที่ในที่สุดก็ตามหาทางกลับบ้านเจอแล้ว

 

 

           เขาวนเวียนอยู่ในเขาวงกตมาหลายปีขนาดนั้น สุดท้ายก็ยังตามหาไป๋จิ่งเจอได้

 

 

           มั่วไป๋มองดูเงาร่างไป๋จิ่งที่ทอดยาว เขาก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ไป๋จิ่งยืนรออยู่ข้างนอกตั้งนานสองนาน ไม่เห็นมั่วไป๋เดินออกมาสักที รู้สึกกังวลอยู่ในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยู่เป็นเพื่อนตอนมั่วไป๋ตรวจร่างกาย

 

 

           นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ไป๋จิ่งอยู่กับมั่วไป๋อย่างเปิดเผยแบบนี้ ความรู้สึกในใจไม่เหมือนกับการแอบดูเท่าไหร่นัก

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินเสียงจากด้านหลัง เขารีบหันกลับไปมองทันที ก็เห็นมั่วไป๋เดินออกมาจากข้างในพอดี

 

 

           เขารีบสาวเท้าเดินเข้าไป “เป็นยังไงบ้าง มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาทำหน้าตื่นตระหนก รู้สึกน่าขำขันอย่างช่วยไม่ได้ทีเดียว

 

 

           ใบหน้าไป๋จิ่งปกปิดความห่วงใยได้ยากมาก เขายืนอยู่ข้างๆ อยากจะกอดมั่วไป๋ แต่กลับเกรงใจ สุดท้ายทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ เท่านั้น

 

 

           “การตรวจเล็กๆ ก็เป็นการตรวจเหมือนกัน ต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งใช้ชีวิตมาหลายปีขนาดนี้ พูดคำนี้ออกมาได้ก็แปลกแล้วจริงๆ นี่ถ้าเป็นคนอื่น คิ้วไป๋จิ่งจะไม่ขมวดเข้าหากันเลยด้วยซ้ำ

 

 

           แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อเป็นมั่วไป๋ก็ไม่ใช่ความหมายแบบนั้นแล้ว

 

 

           เขามองมั่วไป๋พลางเอ่ยถามขึ้น “ยังมีอะไรต้องทำอีกไหม”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่มีแล้ว กลับไปก่อนเถอะ”

 

 

           ที่จริงการตรวจเล็กๆ ก็เป็นการตรวจเหมือนกัน เวียนวนมารอบหนึ่ง มั่วไป๋ก็เหนื่อยล้าไม่มากก็น้อยอยู่ดี

 

 

           หลังจากสองคนกลับไป มั่วไป๋ก็ถอดเสื้อคลุมข้างนอกออกแล้วนอนหลับบนเตียง

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นใบหน้ามั่วไป๋ดูมีความเหนื่อยล้าไม่เบา เขาก็ไม่กล้าจะรบกวนอีกฝ่าย ทั้งยังไม่ตามวอแวอยู่ข้างหลังเหมือนยามปกติด้วย

 

 

           ปล่อยให้เขานอนหลับไปทั้งอย่างนี้

 

 

           หลังจากมั่วไป๋นอนหลับ ไป๋จิ่งก็โทรหาไมเคิลถามถึงความคืบหน้า ไมเคิลเพิ่งจะสืบหาข้อมูลเสร็จพอดี เขาพูดตอบ “ฉันกำลังจัดข้อมูลเสร็จพอดี จะส่งให้นายเดี๋ยวนี้เลย”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า พอวางสายมือถือก็เห็นเมลเข้ามาพอดี

 

 

           เขาวางมือถือลงแล้วเปิดดูเมล ข้างในเป็นข้อมูลของเปาเหวินซิง

 

 

           ไป๋จิ่งอ่านดูผ่านๆ แวบหนึ่ง สุดท้ายก็กุมขมับจนได้   

 

 

 

 

ตอนที่ 565 ใช้ชีวิตได้อย่างดีๆ

 

 

           ดูท่าว่าเรื่องราวจะง่ายดายกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ไป๋จิ่งครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะส่งข้อความหาไมเคิล

 

 

           ให้ไมเคิลทำตามแผนของเขาไปวางกับดักไว้ก่อน

 

 

           รอหน้างานขั้นต้นนี้ให้เสร็จก่อน ส่วนที่เหลือรอเก็บกวาดทีเดียวก็เรียบร้อยแล้ว

 

 

           ไมเคิลทางนั้นตอบกลับมาเร็วมาก ไป๋จิ่งอ่านแวบหนึ่ง เวลานี้ถึงได้ปิดโน้ตบุ๊กลง

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งทำเรื่องพวกนี้เสร็จ ถึงคลำขึ้นเตียงอย่างเงียบๆ นอนเป็นเพื่อนมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋ไม่ชัดเจนกับสิ่งเหล่านี้ที่ไป๋จิ่งทำ ไป๋จิ่งเองก็ต้องไม่ได้บอกเขาเป็นธรรมดา

 

 

           สาเหตุหลักที่ไม่บอกมั่วไป๋ก็เพราะเขาไม่อยากให้เซียวเย่ว์มากระทบกระเทือนจิตใจของมั่วไป๋อีกครั้ง ในเมื่อเรื่องราวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว มั่วไป๋เองก็ไม่ได้เอ่ยถึงมาตลอด

 

 

           แสดงให้เห็นว่ามั่วไป๋ไม่อยากจะย้อนนึกถึงเรื่องนั้นจากในใจขึ้นมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขายิ่งไม่อยากจะเอาเรื่องของเซียวเย่ว์มาทำให้มั่วไป๋ย้อนนึกถึงอดีต

 

 

           เขารักมั่วไป๋ เขาก็อยากให้มั่วไป๋ใช้ชีวิตได้อย่างดีๆ

 

 

           สุขภาพแข็งแรง อยู่เย็นเป็นสุขใจ

 

 

           เรื่องที่เหลือให้เขามาจัดการเองก็เรียบร้อยแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ของเขา มือไม่จำเป็นต้องมาแปดเปื้อนของอะไรก็ตามที่ไม่ดีไม่งาม

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูใบหน้าของมั่วไป๋ยามหลับใหล เขาโน้มเข้าไปจูบครู่หนึ่ง ก่อนจะโอบกอดมั่วไป๋แล้วนอนหลับไป

 

 

           ……

 

 

           รายงานผลตรวจร่างกายออกมาในวันต่อมา เหยียนอวี้ถือผลตรวจอ่านดูสักพัก ถึงได้เข้าไปยังห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋ยังคงขลุกตัวอยู่บนโซฟา ไป๋จิ่งโทรศัพท์อยู่ข้างๆ

 

 

           หลังจากเห็นเหยียนอวี้มาแล้ว ไป๋จิ่งตอบแบบลวกๆ แล้ววางสายไปทันที

 

 

           เหยียนอวี้ส่งรายงานผลตรวจร่างกายให้มั่วไป๋ “ตอนนี้อาการผิดปกติในร่างกายทุกรายการของนายไม่มีปัญหาอะไร ฉันจะจัดวันผ่าตัดให้นาย วันที่ห้าเดือนหน้า ยังมีเวลาอีกสิบกว่าวัน”

 

 

           ไป๋จิ่งชะโงกหน้าไปดูด้วยความตื่นตระหนก มั่วไป๋เห็นแบบนี้ก็ถือโอกาสส่งผลตรวจให้ไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งหยิบมาอ่านโดยละเอียดสักพัก ถึงแม้ว่าจะอ่านศัพท์เทคนิคไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็พอเข้าใจไปได้เกินครึ่ง

 

 

           ทั้งยังมาได้ยินคำพูดของเหยียนอวี้อีก เวลานี้ถึงได้โล่งใจไปที

 

 

           ไป๋จิ่งมองเหยียนอวี้ “หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว เขาจะยังมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

 

 

           เหยียนอวี้ส่ายหัว “ต้องดูสภาพการผ่าตัดจริงก่อน ถ้าหลังจากผ่าตัดฟื้นฟูได้ดี ต่อไปก็จะไม่มีปัญหาอะไรครับ”

 

 

           เมื่อไป๋จิ่งได้ยิน ใจก็จุกอกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

 

 

           “งั้นก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่จะผ่าตัดไม่ดีเหรอครับ”

 

 

           เหยียนอวี้ส่ายหัว “นี่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติครับ ทุกการผ่าตัดย่อมมีความเสี่ยงอยู่แล้ว”

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ยินคำว่า ‘ความเสี่ยง’ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับครอบครัวคนไข้ ค่อนข้างกระวนกระวายใจทีเดียว

 

 

           มั่วไป๋รู้ว่าเพราะเขาเป็นห่วงมากเกินไป ดังนั้นถึงได้เป็นแบบนี้ได้

 

 

           เขาเอื้อมมือไปกุมมือไป๋จิ่งไว้ “วางใจเถอะ ฉันไม่เป็นไร เหยียนอวี้พูดแล้ว ความเสี่ยงในการผ่าตัดน้อยมาก”

 

 

           “การผ่าตัดต่อให้เล็ก ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี” อีกอย่างบริเวณที่ผ่าตัดคือสมอง ไม่ใช่บริเวณอื่นที่ไหน

 

 

           คิดได้เช่นนี้ ไป๋จิ่งยิ่งตื่นตระหนกขึ้นไปอีก

 

 

           เหยียนอวี้เห็นไป๋จิ่งเป็นแบบนั้น เขาก็รู้สึกว่าน่าขบขันไม่เบา ไม่ว่าเหยียนอวี้จะทำอย่างไรก็ตาม ปกติจะรู้สึกว่าอะไรๆ ก็เข้าทางไป๋จิ่งไปหมดเสียทุกอย่าง คิดไม่ถึงว่าจะมีอีกด้านที่ตื่นตระหนกขนาดนี้ด้วย

 

 

           คิดๆ แล้วน่าตลกสิ้นดี

 

 

           เป็นห่วงจึงกระวนกระวายใจ จะว่าไปคือไป๋จิ่งในตอนนี้ เพราะมั่วไป๋สำคัญกับเขาเกินไป ดังนั้นแค่ความเสี่ยงเพียงน้อยนิด เขาก็ไม่อยากให้มั่วไป๋ประสบพบเจอใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

           เขาไม่มีทางจะผ่านเรื่องราวการสูญเสียมั่วไป๋ไปอีกครั้งได้แล้ว

 

 

           เหยียนอวี้ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ยังมีอีกสิบวันกว่าจะผ่าตัด ตอนนี้คุณกังวลไปจะไม่ดูว่าเร็วไปสักหน่อยเหรอครับ…

 

 

           …อีกอย่าง มีผมอยู่ทั้งคน ผมกับอาจารย์ของผมจะพยายามลดความเสี่ยงให้ถึงที่สุดให้ได้ครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองดูจะตื่นตระหนกไปสักหน่อย เขาพยายามทำให้ตัวเองสงบจิตสงบใจลง จากนั้นก็พยักหน้ารับทันที “งั้นก็รบกวนคุณด้วยนะครับ”  

ตอนที่ 562 เตรียมลงมือบุก

 

 

           ความคิดนี้อยู่เต็มหัวเซียวเย่ว์ไปหมด คนทั้งคนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ความดีใจแทบบ้าเอ่อล้นอยู่ในใจ แต่กลับกลัวว่าตัวเองเดาผิด แล้วแสดงความเขินอายออกหน้าออกตาเกินไปตอนอยู่ต่อหน้าไป๋จิ่ง

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงเก็บกดอารมณ์อย่างเต็มที่ พยายามทำให้ตัวเองดูใจเย็นขึ้นมาสักหน่อย

 

 

           เซียวเย่ว์ยิ้มหัวเราะ “คิดไม่ถึงว่า…คุณจะยังจำได้ ฉันยังคิดว่า…คิดว่าคุณลืมไปตั้งนานแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งรู้ว่าเซียวเย่ว์อยากทดสอบหยั่งเชิงอะไรสักอย่าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเงยหน้ามองเซียวเย่ว์กะทันหัน

 

 

           เขามองเซียวเย่ว์จนหัวใจเธอสั่นสะท้าน นิ้วมือล็อคขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

 

 

           ไป๋จิ่งมองเธอพร้อมเอ่ยเน้นคำต่อคำ “ลืมไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว”

 

 

           หัวใจของเซียวเย่ว์ดั่งกวางน้อยที่วิ่งโลดแล่น สงบใจไม่ลงเลยสักนิด

 

 

           “ไป๋จิ่ง ที่จริงสองปีมานี้ฉันอยากจะติดต่อคุณมาตลอดเลยนะคะ แต่ก็กลัวว่าคุณจะไม่อยากติดต่อฉัน ดังนั้น…ฉันถึงไม่กล้าจะโทรหาคุณสักที”

 

 

           เมื่อสองปีครึ่ง ไป๋จิ่งเปลี่ยนไปคนละคน ยากที่จะเข้าใกล้ได้ เพราะหลินฝานหายตัวไปกะทันหัน

 

 

           เซียวเย่ว์ต้องรู้อย่างแน่นอนว่าทำไมหลินฝานถึงหายตัวไปได้ เพราะว่าเธอเป็นคนให้คนไปสั่งสอนเขาอย่างโหดร้ายทารุณ เขากลายเป็นสภาพแบบนั้นไปแล้ว จะยังมีหน้ามาปรากฏตัวต่อหน้าไป๋จิ่งได้อย่างไร ดังนั้นไม่ว่าไป๋จิ่งจะตามหาหลินฝานอย่างไร เขาก็ไม่มีทางที่จะหาเจอได้ ต่อให้หาเจอ แต่เสียโฉมไปขนาดนั้นแล้ว จะดูออกได้อย่างไรอีก

 

 

           เนื่องจากจุดนี้ เซียวเย่ว์จึงแน่ใจมากเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้เธอจึงมาปรากฏตัวต่อหน้าไป๋จิ่งอยู่บ่อยครั้ง คิดจะใช้โอกาสนี้สร้างให้เธอมีตัวตน ทำให้ไป๋จิ่งหลงรักเธอ

 

 

           เพียงแต่ว่าเซียวเย่ว์ไม่รู้จักหนักเบา เดิมคิดจะทำให้ไป๋จิ่งชอบเธอ ใครจะรู้ว่าเธอจะไม่ระวังจนทำให้ไป๋จิ่งโมโห

 

 

           ต่อมาสองปีเต็มๆ เซียวเย่ว์ไม่กล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าไป๋จิ่งเลยสักครั้ง

 

 

           สองปีนี้เซียวเย่ว์เองก็ยอมแพ้แล้ว

 

 

           เธออยากจะคบกับไป๋จิ่งอีก แต่ตามท่าทีของไป๋จิ่งแล้ว ไม่มีหนทางแม้เพียงสักนิด

 

 

           ใครจะคิดว่าเวลานี้ ไป๋จิ่งปรากฏตัว แล้วยังมีท่าทีต่อเธอที่เปลี่ยนไปจากเดิมด้วย

 

 

           ถึงแม้ว่าจะยังดูเย็นชามาก แต่ว่าก็แตกต่างกับความเย็นชาในอดีตโดยสิ้นเชิง

 

 

           เซียวเย่ว์มองไป๋จิ่งอย่างนี้ เธอรู้สึกว่ามองเห็นความหวังแล้ว

 

 

           อยากได้หัวใจไป๋จิ่งมาครอบครอง ยิ่งอยากจะเตรียมลงมือบุกขึ้นไปอีก

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งได้ยิน เขาก็เอ่ยด้วยท่าทีเรียบเฉยไปประโยคหนึ่ง “เรื่องในอดีตผ่านไปหมดแล้ว”

 

 

           เซียวเย่ว์ตาลุกวาว  ดังนั้นตอนนี้ไป๋จิ่งอยากจะพูดกับเธอว่า…เรื่องในอดีตถือว่าสะสางกันแล้วเหรอ

 

 

           “เมื่อก่อนฉันไม่ดีเอง ฉันเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป แต่ว่าสองปีมานี้ฉันก็เปลี่ยนแปลงมากแล้ว เป็นแบบนี้ต่อไปอย่างแน่นอนค่ะ”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้าด้วยท่าทีนิ่งๆ “อยากกินอะไร เลยเวลามามากแล้ว หาอะไรกินก่อนเถอะ”

 

 

           เซียวเย่ว์รีบร้อนเอาใจไป๋จิ่งทันที จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้างๆ นี้มีร้านอาหารร้านหนึ่งไม่เลวเลย งั้นพวกเราไปที่นั่นกันไหมคะ”

 

 

           ไป๋จิ่งต้องไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เดิมเขาก็ไม่อยากจะสิ้นเปลืองความคิดให้เซียวเย่ว์อยู่แล้ว ตอนนี้เซียวเย่ว์พูดแบบนี้พอดี

 

 

           ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนไปกินข้าวที่ร้านอาหารร้านนั้น ขณะที่กินข้าวอยู่ เซียวเย่ว์เงยหน้ามองไป๋จิ่งอยู่ตลอดเวลา ดวงตาทอประกาย

 

 

           มีคำพูดที่พูดไม่จบอยากพูดกับไป๋จิ่ง

 

 

           ท่าทีตอบสนองของไป๋จิ่งเรียบเฉยมากมาตลอดเวลา บางครั้งก็พยักหน้า ตอบกลับคำสองคำ

 

 

           จะไม่ทำให้เซียวเย่ว์สงสัย แต่ก็ทำให้เซียวเย่ว์รู้สึกว่ามีความหวังได้

 

 

           อาหารมื้อนี้กินด้วยกันมาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว ไป๋จิ่งรู้สึกว่าเวลาควรจะพอประมาณแล้ว จึงหาเหตุผลแบบขอไปทีเพื่อจบการกินอาหารร่วมกันในมื้อนี้    

 

 

           เซียวเย่ว์เองก็ไม่ได้สงสัย ในทางกลับกันเธอยังตกอยู่ในโลกของตัวเอง จิตใจเบิกบาน

 

 

           ในที่สุดไป๋จิ่งก็เชื่อมมิตรกับเซียวเย่ว์เสร็จสักที เขาถอนหายใจเล็กน้อย หันกลับหลังขึ้นรถไป

 

 

           เขาขับรถเตร็ดเตร่ไปรอบๆ คิดจะซื้อของกลับไปให้มั่วไป๋สักหน่อย ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา เขาก็เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด

 

 

           เขาขับรถวนไปดูรอบๆ ยังไม่เห็นของที่เหมาะสมสักที

 

 

           เวลาต่อมาเขาเอารถมาจอดอยู่หน้าห้างสรรพสินค้า ไป๋จิ่งเข้าไปเดินดูรอบหนึ่ง ซื้อเสื้อผ้าให้มั่วไป๋ชุดหนึ่ง

 

 

           

 

 

ตอนที่ 563 อืม ชอบ

 

 

ไป๋จิ่งเองก็พูดไม่ออกว่าทำไมอยากจะส่งเสื้อผ้าให้มั่วไป๋

 

 

คงจะอยากส่งให้เขากับมือ

 

 

หลังจากนั้นก็ถอดให้เขาเองกับมือ…

 

 

เพียงแค่คิดเช่นนี้ ไป๋จิ่งก็รู้สึกว่าคืนนี้หัวใจไม่สงบแล้ว เตรียมลงมือปฏิบัติการ

 

 

เขารีบกลับมาสีหน้าเดิมทันที ทำให้ตัวเองไม่คิดมากไปกว่านี้

 

 

เขาซื้อเสื้อผ้ากลับมาสองชุด จากนั้นก็ลงไปชั้นล่างซื้อของหวานมากองหนึ่ง

 

 

ถึงแม้ว่าไป๋จิ่งจะไม่ชอบกินของหวานเลยสักนิด แต่ว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไร มั่วไป๋ถึงชอบกินมากเป็นพิเศษ

 

 

ในเมื่อมั่วไป๋ชอบกิน เขาก็ต้องซื้ออยู่แล้ว

 

 

ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเป็นแฟนหนุ่มยี่สิบสี่ยอดกตัญญู แล้ว ขอเพียงแต่มั่วไป๋ต้องการ คิ้วเขาก็จะไม่ขมวดเข้าหากันแล้ว

 

 

แต่จะทำอย่างไรได้ตอนนี้มั่วไป๋ไม่ต้องการอะไรสักอย่าง เขาแทบอยากจะเอาของทั้งหมดทุกอย่างที่ต้องการมากองอยู่ตรงหน้ามั่วไป๋เลยทีเดียว

 

 

ไป๋จิ่งซื้อของกินมากองหนึ่ง ทั้งหมดล้วนเป็นขนมรสหวานเจี๊ยบด้วยกันทั้งสิ้น เขามองดูเหล่าขนมหวานนั้นก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองใกล้จะละลายแล้ว

 

 

ใช้เวลามาสักพัก หลังจากที่ซื้อจนเสร็จได้สักที ไป๋จิ่งถึงค่อยได้ขับรถกลับไปอยู่เป็นเพื่อนของมั่วไป๋

 

 

มั่วไป๋กำลังอ่านหนังสือ เพิ่งจะอ่านไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ไป๋จิ่งหอบข้าวหอบของถุงใหญ่ถุงเล็กเดินเข้ามา มั่วไป๋เห็นเขาแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองเขาแวบหนึ่ง

 

 

พอไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ เขาก็ทำตัวเหมือนคนเวลามอบของล้ำค่าให้อีกฝ่าย เขาเอาของทั้งหมดส่งตรงถึงต่อหน้าของมั่วไป๋

 

 

มั่วไป๋กวาดสายตามองเขา “นายคิดจะทำอะไร”

 

 

“แหะๆ” ไป๋จิ่งหัวเราะสองเสียง เขาหยิบถุงที่ใส่เสื้อผ้ายื่นให้มั่วไป๋ “ลองเปิดดูสิ”

 

 

มั่วไป๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าสีหน้าของไป๋จิ่งชักจะดูแปลกๆ 

 

 

เขายื่นมือไปเปิดถุงดูออก เห็นเสื้อผ้าอยู่ข้างใน มุมปากเขาก็อดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้ “นายให้เสื้อผ้าฉันทำไม”

 

 

ไป๋จิ่งต้องละอายใจที่จะบอกเหตุผลที่แท้จริงกับมั่วไป๋

 

 

ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองมั่วไป๋อย่างเก้ๆ กังๆ “อยากให้คุณไม่ได้เหรอ”

 

 

มั่วไป๋รู้สึกว่าเหตุผลของเขาไม่ได้ง่ายดายขนาดนี้เด็ดขาด แต่ว่ามั่วไป๋ก็ไม่ได้ตามถามต่อไป ยื่นมือปิดกลับไป

 

 

ไป๋จิ่งจ้องมองเขาพลางเอ่ยถามขึ้น “เป็นไงบ้าง ชอบไหม”

 

 

มั่วไป๋นึกย้อนไปถึงก้อนสีขาวที่อยู่ข้างในเมื่อครู่นี้ เขาฝืนใจพยักหน้า “อืม ชอบ”

 

 

เดิมไป๋จิ่งยังกลัวว่ามั่วไป๋ไม่ชอบ แต่ตอนนี้จู่ๆ มาได้ยินมั่วไป๋พูดเช่นนี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวหัวใจดวงน้อยที่ตื่นเต้นของไป๋จิ่งก็สงบลงได้

 

 

ไป๋จิ่งเอากองของกินที่ซื้อมาทั้งหมดที่วางอยู่ข้างมาวางไว้บนโต๊ะ กะพริบตาปริบๆ มองมั่วไป๋เหมือนคนเวลามอบของล้ำค่าให้อีกฝ่าย “ผมไม่รู้ว่าคุณอยากกินอะไร ดังนั้นก็เลยซื้อมานิดหน่อย”

 

 

ดวงตาที่ดูดีของเขากำลังมองมั่วไป๋อย่างรอคอย

 

 

มั่วไป๋เห็นของหวานที่กองอยู่เต็มโต๊ะ เขาก็ชักจะปวดหัว ต่อให้เขาชอบก็ไม่ได้ถึงขนาดซื้อมาเยอะขนาดนี้ เขาไม่ใช่เด็กน้อยด้วย

 

 

มีหรือจะต้องมาให้กินของหวานมากมายขนาดนี้ 

 

 

แต่พอสบเข้ากับแววตาที่รอคอยของไป๋จิ่งแล้ว คำพูดที่มาจ่อปากมั่วไป๋แล้วถูกกลืนกลับเข้าไปอย่างเงียบๆ อีกจนได้

 

 

“ไม่รู้ว่าคุณจะชอบหรือเปล่า” ขณะที่ไป๋จิ่งพูดประโยคนี้ ความตื่นเต้นพลันปรากฏในแววตาของเขา

 

 

เขามองดวงตาของไป๋จิ่งพลางพยักหน้าอย่างจริงจัง เขาเชิดมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ชอบ”

 

 

ไป๋จิ่งได้ยินคำนี้ เพียงชั่วขณะหนึ่งเขาทำอะไรไม่ถูกทีเดียว

 

 

เขาหยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากข้างในถุงนั้นแล้ววางลงต่อหน้ามั่วไป๋ “งั้น งั้นคุณลองดูไหม”

 

 

มั่วไป๋ยื่นมือไปเปิด ข้างในเป็นตุ๊กตางานละเอียดตัวหนึ่ง น่ารักไม่ธรรมดา

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ มั่วไป๋ก็รู้สึกว่าตุ๊กตาตัวนี้เหมือนกับไป๋จิ่งเป็นพิเศษ

 

 

เขาหยิบอมยิ้มรูปตุ๊กตานั้นขึ้นมา พินิจมองโดยละเอียด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนกับไป๋จิ่งมาก

 

 

เขาเอื้อมมือไปปิดกล่องแล้ววางอยู่ด้านข้าง หยิบสลับสับเปลี่ยนกับเครปเค้กมา

 

 

ไป๋จิ่งลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับมั่วไป๋

 

 

มั่วไป๋มองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง ใช้ช้อนตักเค้กส่งให้ไป๋จิ่ง

 

 

ไป๋จิ่งมองดูใบหน้าของมั่วไป๋ แล้วก้มหน้าโน้มเข้าไปใกล้ทันทีหลังจากนั้น เขากัดเค้กเข้าไป มั่วไป๋เพิ่งจะเตรียมดึงมือกลับเข้ามา แต่ไม่ทันไรก็ถูกไป๋จิ่งกดที่หัวเขาไว้เสียก่อน

ตอนที่ 560 หมาเอ๋อส่ายหาง

 

 

           มั่วไป๋สีหน้ามืดบอดขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เขาเอามือกดที่ขมับ ผ่านไปตั้งนานด่าแค่ประโยคเดียว “…ไสหัวไป”

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงไสหัวลงมาอย่างว่าง่าย

 

 

           ยามมั่วไป๋ตื่นขึ้นมา ต้องฟื้นตัวอยู่อีกหลายนาที พอฟื้นตัวเต็มที่แล้ว เขาก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา

 

 

           เมื่อออกมาอีกที ไป๋จิ่งก็นั่งหน้าโต๊ะกินข้าวกวักมือเรียกเขาแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เบือนหน้านี้ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีตาจะดูแล้วจริงๆ

 

 

           ทำไมมองไป๋จิ่งแล้ว ถึงรู้สึกว่าเขาเหมือนกับหมาเอ๋อ นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วยังส่ายหางอีก

 

 

           ขณะที่กินข้าวกันอยู่ ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำกับมั่วไป๋ว่าวันนี้เขาจะออกไปข้างนอกสักหน่อย มั่วไป๋ชะงักงัน ทันทีหลังจากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่เขาเคยพูดเมื่อสองวันก่อน

 

 

           จึงพยักหน้ารับ “อืม โอเค”

 

 

           ไป๋จิ่งมองใบหน้าขาวผ่องของมั่วไป๋พลางเอ่ยถาม “มีอะไรอยากกินหรือเปล่า ผมจะถือโอกาสซื้อมาให้คุณ”

 

 

           มั่วไป๋คิดแล้ว ไม่มีอะไรที่อยากกินจึงส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก”

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่ได้ถามต่อ แต่ในใจกลับใคร่ครวญจะไปซื้อของหวานกลับมาให้มั่วไป๋

 

 

           หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ไป๋จิ่งเก็บกวาดโต๊ะเรียบร้อย เขาก็ออกไปทันทีหลังจากนั้น

 

 

           หลังจากเขาไปเหยียนอวี้ก็มา เขาเห็นในห้องมีแค่เพียงมั่วไป๋คนเดียว พลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าหมอนั่นล่ะ ไม่วอแวนายแล้วเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้ามองเหยียนอวี้ “ออกไปทำธุระแล้ว”

 

 

           เหยียนอวี้ทำหน้าตาแปลกประหลาด “แปลกแล้วๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้ไป๋จิ่งพลาสเตอร์หนังหมานี้ไม่เกาะติดนาย แต่วิ่งออกไปได้”

 

 

           ในความคิดของเหยียนอวี้ ไป๋จิ่งก็คือพลาสเตอร์หนังหมาที่เกาะติดอยู่ตลอดเวลา

 

 

           ทุกครั้งที่มาหามั่วไป๋ เขาจะเห็นไป๋จิ่งอยู่ข้างๆ ด้วยตลอด แต่เจ้าหมอนั่นกลับไม่รู้สึกขายหน้าเลยสักนิด กลับทำใบหน้าภูมิใจ

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินคำว่า ‘พลาสเตอร์หนังหมา’ สี่พยางค์นี้ เขาเลิกคิ้วขึ้นเงียบๆ รู้สึกว่าเหยียนอวี้ใช้คำบรรยายลักษณะไป๋จิ่งได้อย่างถูกต้องเหมาะสมอย่างน่าเหลือเชื่อ

 

 

           เขาเอาใบหน้าไป๋จิ่งมาวางไว้ด้วยกันกับคำสี่พยางค์นี้ เขาก็เชิดมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

 

           เหยียนอวี้มองมั่วไป๋ อดจะพูดจากใจไม่ได้ “ตั้งแต่เขาปรากฏตัวมา นายก็มีความสุขขึ้นเยอะเลยนะ”

 

 

           รอยยิ้มที่มุมปากมั่วไป๋หยุดชะงักไป แต่ไม่ถึงสองนาที ก็กลับฟื้นคืนสภาพเดิมยิ้มเล็กน้อย

 

 

           แม้แต่รอยยิ้มเล็กๆ ก็ลึกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

 

           เหยียวอวี้พูดถูกต้องแล้ว หลังจากที่ไป๋จิ่งปรากฏตัว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากจะยอมรับ แต่ความเป็นจริงก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

 

 

           เมื่อก่อนปกติเขาจะนอนไม่หลับทั้งคืน แต่ตอนนี้หลังจากที่ไป๋จิ่งปรากฏตัว เขาก็ไม่เคยนอนไม่หลับอีกเลย

 

 

           แม้กระทั่งอาการของเขาก็ไม่เหมือนเดิม

 

 

           เหยียนอวี้เห็นใบหน้ามั่วไป๋แต่งแต้มรอยยิ้ม เขาพินิจมองเล็กน้อย รู้สึกว่ากลิ่นอายความเย็นชาบนตัวมั่วไป๋นับวันยิ่งอ่อนลง คนทั้งคนดูอ่อนโยนขึ้นมาก

 

 

           ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ชอบไป๋จิ่ง แต่เห็นมั่วไป๋มีความเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะหมอหรือว่าเพื่อนก็มีความสุขมาก

 

 

           “ถึงแม้ว่านายจะมีคู่แล้ว สำหรับฉันไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร แต่ในฐานะหมอก็ยังปลื้มใจด้วย”

 

 

           มั่วไป๋มองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยเปิดโปงอย่างไม่ลังแม้แต่น้อย “นายก็แค่รู้สึกว่าฉันมีคู่แล้ว ต่อไปจะไม่มีใครโสดเป็นเพื่อนนายก็เท่านั้นเอง”

 

 

           เหยียนอวี้ “…”

 

 

           ‘ทำไมเขาไม่อยากฟังมั่วไป๋พูดขนาดนี้เลย’

 

 

           เมื่อก่อนพูดจาไม่ได้คมกริบขนาดนี้ ทำไมตอนนี้ถึงได้พูดจาไม่เข้าหูคน ต้องเรียนนิสัยไม่ดีจากไป๋จิ่งมาอย่างแน่นอน

 

 

           เขาต้องการจะคิดบัญชีกับไป๋จิ่ง ทวงคืนมั่วไป๋ผู้ไร้เดียงสากลับมาให้เขา

 

 

           มั่วไป๋กวาดสายตามองเหยียนอวี้แวบหนึ่ง ทำเป็นมองไม่เห็นเขาทำท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนขู่อยู่

 

 

           เหยียนอวี้อยู่ในห้องพักผู้ป่วยอีกสักพัก แล้วค่อยออกไปด้วยสีหน้าป่วยๆ

 

 

           เดิมทีอยากจะอวดโน่นอวดนี่สักหน่อย ผลปรากฏว่าใครจะคิดว่าจะโดนมั่วไป๋ไม่สนใจแล้วยังอวดกลับใส่อีก

 

 

           หมอเหยียนเป็นทุกข์อยู่ไม่น้อย โลกใบนี้ไม่เป็นมิตรกับคนโสดเอาเสียเลย

 

 

                       

 

 

         ตอนที่ 561 ไสหัวไป

 

 

           ‘โสดแล้วมันยังไง ไม่ห่วงใยกันก็ช่างเถอะ ยังจะมาโดนกระทำอีก’

 

 

           หมอเหยียนถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ อยากจะเอามือมากอดตัวเองแทน

 

 

           ‘ชีวิตที่ช่างทรมานใจนี้ เมื่อไหร่จะสิ้นสุดสักทีนะ’

 

 

           ……

 

 

           ตั้งแต่ไป๋จิ่งออกมาจากห้องของมั่วไป๋อย่างไม่เต็มใจนัก เขาก็เดินทีหันมาสามทีอยู่อย่างนี้ เดินลำบากยิ่งกว่าใคร

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะมีธุระ เขาก็ไม่อยากจะแยกจากมั่วไป๋เลยด้วยซ้ำ

 

 

           เขาแทบอยากจะเกาะติดเกี่ยวพันอยู่บนตัวมั่วไป๋อยู่ทุกวัน เหมือนหมึกสายที่คอยติดสอยห้อยตาม มั่วไป๋ไหนเขาก็ไปด้วย

 

 

           กว่าจะออกพ้นประตูมาได้เหมือนใช้แรงในการควบคุมจิตใจตัวเองไปทั้งตัวแล้ว

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งออกมาจากโรงพยาบาล เขาไม่ได้ไปยังร้านอาหารที่นัดกับเซียวเย่ว์ทันที แต่ไปหาไมเคิลก่อน

 

 

           ไมเคิลเห็นไป๋จิ่งมาแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลก คิดดูแล้วคงจะเป็นเพราะเรื่องของเซียวเย่ว์

 

 

           พอไป๋จิ่งเห็นไมเคิลก็ไม่ได้อ้อมค้อมอะไร เขาบอกไปตรงๆ “ไมเคิล ผมยังมีอีกเรื่องให้คุณช่วย”

 

 

           ไมเคิลพยักหน้ารับ “เรื่องอะไรเหรอ”

 

 

           “ช่วยฉันตามหาเปาเหวินซิงที ฉันมีเรื่องอยากพบเขา”

 

 

           ไมเคิลคิดแล้วพยักหน้ารับ “ได้”

 

 

           เขาพูดจบก็มองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง “นี่นาย ทำเพื่อเซียวเย่ว์เหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว “เปล่า เพื่อคนอีกคนหนึ่ง”

 

 

           ไมเคิลขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่เริ่มให้เขาสืบเรื่องของเซียวเย่ว์ เขายังคิดว่าที่ทำก็เพื่อเซียวเย่ว์

 

 

           เห็นไมเคิลสงสัย ไป๋จิ่งก็ยิ้มหัวเราะ “เพื่อคนคนหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับฉัน”

 

 

           คนคนหนึ่งที่ดีมาก

 

 

           คนคนหนึ่งที่ฉันรักมาก

 

 

           ……

 

 

           เมื่อมาถึงยังร้านอาหารแล้ว เซียวเย่ว์ยังไม่มาถึง ไป๋จิ่งเองก็ไม่รีบร้อนอะไร เขาสั่งกาแฟมาสองแก้ว พร้อมทั้งของว่างอีกจำนวนหนึ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งรูปร่างหน้าตาโดดเด่น เพียงแค่นั่งอยู่ที่นี่ก็ดึงดูดสายตาผู้คนอย่างถึงที่สุดแล้ว

 

 

           ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถือมือถือ มุมปากแต้มรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว สีหน้าอ่อนโยนแวววับจับตาจนไม่อาจละสายตาไปได้

 

 

           ไป๋จิ่งถือมือถือพิมพ์ข้อความหามั่วไป๋

 

 

           [คิดถึงคุณแล้ว]

 

 

           [ไสหัวไป]

 

 

           [อยากกอด]

 

 

           [ไสหัวไป]

 

 

           [อยากจูบ]

 

 

           [ไสหัวไป]

 

 

           ไป๋จิ่งอ่านดูข้อความในมือถือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ้มจนหุบยิ้มไม่ได้

 

 

           เขาจ้องมองข้อความว่า ‘ไสหัวไป’ ก็รู้สึกว่าน่ารักจนอ่อนระทวยแล้ว

 

 

           เซียวเย่ว์ผลักประตูเปิดพร้อมเดินเข้ามา มองแวบแรกก็เห็นไป๋จิ่งทันที เซียวเย่ว์ตาลุกวาว เธอปล่อยไป๋จิ่งไปไม่ลงมาตลอดจนถึงตอนนี้ ที่สำคัญที่สุดคือยังเป็นใบหน้านี้

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งอยู่ตรงนั้น แข้งขาเธอก็อ่อนไปหมด หัวใจก็ตามไปอยู่กับไป๋จิ่งกแค่เพียงชั่วพริบตาเดียว ดึงกลับมาก็ดึงกลับมาไม่ได้

 

 

           เซียวเย่ว์รักษาท่าทีอยู่ในอาการสงบทำให้ตัวเองดูสง่างามขึ้นมาสักหน่อย ค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไปหาไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งยังคงตกอยู่ในห้วงข้อความของมั่วไป๋ กว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าข้างๆ มีสายตาหนึ่งมองมา เซียวเย่ว์ก็เดินใกล้จะมาถึงข้างกายของไป๋จิ่งแล้ว

 

 

           มือเขาที่ถือมืออยู่หยุดชะงักไป เก็บรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย แม้แต่ความอบอุ่นในแววตาก็ค่อยๆ ลดต่ำลงมา

 

 

           การเปลี่ยนแปลงนี้ของเขาเบาบางมาก ถ้าไม่ดูโดยละเอียด คนรอบข้างก็มองความแปลกอะไรนี้ไม่ออก

 

 

           เซียวเย่ว์เดินเข้าไปด้วยอารมณ์ดั่งคลื่นซัดสาด ไป๋จิ่งเอียงหน้ามองแล้วยิ้มให้เธอเล็กน้อย

 

 

           เขายิ้มมาแบบนี้ หัวใจเซียวเย่ว์ก็เกร็งขึ้นมาในทันใด คนทั้งคนลนลานโดยอัติโนมัติ

 

 

           “ขอโทษนะคะ รอนานเลยใช่ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว แสดงเจตจำนงบางอย่างกับเซียวเย่ว์ “ผมสั่งมอคค่าให้คุณ ที่คุณชอบดื่มที่สุด”

 

 

           เขาพูดเพียงแผ่วเบา แต่กลับสร้างระลอกคลื่นอันยิ่งใหญ่ในใจของเซียวเย่ว์

 

 

           เธออ้าปากค้าง มองเขาอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ “คะ…คุณ คิดไม่ถึงว่าคุณจะยังจำได้ว่าฉันชอบดื่มอะไรด้วย”

 

 

           “อืม” ไป๋จิ่งขานรับเสียงเรียบๆ ทั้งไม่ได้ยอมรับทั้งไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

           กลับให้ช่วงเวลาเซียวเย่ว์ได้จินตนาการได้พอดี

 

 

           ‘เพราะอะไรไป๋จิ่งถึงยังจำได้ว่าตัวเองชอบดื่มอะไร หรือว่าไป๋จิ่งเองก็มีความคิดอย่างอื่น…กับเธอ’

ตอนที่ 558 ผมหนาว

 

 

           ไป๋จิ่งทำอะไรไม่ได้ นอกจากลูบปลายจมูกปอยๆ เดินเข้าห้องน้ำด้วยสีหน้าโศกเศร้า ตัวเองต้องลงมือเองแล้ว

 

 

           ดวงไฟในห้องน้ำสาดส่องแสงสลัว ไม่รู้ว่ามั่วไป๋ดึงผ้าห่มลงตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           ใบหน้าขาวผ่องของเขาแดงระเรื่อ มั่วไป๋เงยหน้ามองไฟบนเพดาน แล้วยกมือขึ้นมาปิดดวงตาที่เขินอายอยู่ในที

 

 

           ……

 

 

           เมื่อไป๋จิ่งออกมา มีไอน้ำและไอความเย็นกระจายรอบตัว

 

 

           แต่ในใจร้อนรุ่มไม่ไหว ไป๋จิ่งถือโอกาสอาบน้ำเย็น เวลานี้ถึงฤดูใบไม่ร่วงแล้ว ไป๋จิ่งที่อาบน้ำเย็นออกมาจึงเย็นเยือกไปทั้งตัว

 

 

           ความหนาวเพียงนิดนี้สำหรับไป๋จิ่งแล้วไม่ได้มีผลกระทบอะไร

 

 

           แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอเห็นมั่วไป๋ ไป๋จิ่งก็ตาลุกวาว เข้าไปใกล้แสร้งทำตัวน่าสงสารทันที

 

 

           เขาวิ่งแจ้นไปข้างเตียงมั่วไป๋อย่างหน้าไม่อาย เขารู้ว่ามั่วไป๋ยังไม่ได้หลับจริงๆ

 

 

           “มั่วไป๋ ผมหนาว…”  

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าทำตาน่าสงสารมองมั่วไป๋อยู่ข้างๆ น้ำเสียงฟังดูแล้วทำให้คนทั้งรักทั้งสงสารเป็นพิเศษ

 

 

           ถึงแม้ว่ามั่วไป๋เอามือปิดตาไว้ แต่ไม่ได้นอนหลับตลอดจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่ไป๋จิ่งเปิดประตูห้องน้ำ หัวใจเขาก็กุมแน่นขึ้นมา

 

 

           เดิมคิดว่าไป๋จิ่งจะสงบอาการได้บ้าง ไปนอนหลับดีๆ ไม่ต้องมาหาเรื่องเขาอีก

 

 

           ใครจะคิดว่าพอไป๋จิ่งออกมาก็วิ่งแจ้นมาอยู่ข้างเตียงเขา ส่ายหางดุ๊กดิ๊กทำตัวน่าสงสาร

 

 

           มั่วไป๋ยังคงอยู่ในท่าเอามือปิดตาอยู่ แสร้งทำเป็นว่านอนหลับลงไปแล้ว คิดว่าต่อให้ไป๋จิ่งจะทำโรคจิตอีก  ก็ควรจะไม่ก่อหวอดให้เขาตื่นหรอกมั้ง

 

 

           ถึงอย่างไรแกล้งไม่สนใจเขา ก็ควรจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ประเมินค่าไป๋จิ่งต่ำไปอย่างชัดเจน

 

 

           มีหรือที่เขาจะรู้ เวลาไป๋จิ่งเป็นตัวร้าย จะร้ายยิ่งกว่าใครใดๆ เสียอีก

 

 

           ไป๋จิ่งอยู่ข้างๆ รอมาสองนาที เห็นว่ามั่วไป๋ไม่สนใจเขา ด้วยเหตุนี้จึงกัดฟันยื่นมือที่เย็นเฉียบกุมแขนที่วางพาดบนใบหน้ามั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำแบบนี้ได้ แขนเขาสั่นสะท้านโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็รู้ว่ามั่วไป๋ยังไม่ได้นอนหลับ ดังนั้นเขาจึงอาจหาญปีนขึ้นเตียงมั่วไป๋

 

 

           ค่อยๆ เบียดมั่วไป๋ทีละนิดๆ

 

 

           ทั้งตัวเขาเย็นยะเยือกเหมือนกับน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น เดิมมั่วไป๋อยากจะถีบให้เขาลงไป ผลปรากฏว่าพอเห็นเขาเย็นยะเยือกไปทั้งตัวจึงไม่ได้ทำอะไร

 

 

           มั่วไป๋สูญเสียพื้นที่เตียงไป ถูกไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่ยึดครองอย่างหน้าไม่อาย

 

 

           เขาถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ รู้สึกว่าระดับความอดทนอดกลั้นของตัวเองที่มีต่อไป๋จิ่ง ต่อให้เปลี่ยนไปใหญ่แค่ไหน คาดว่าใช้เวลาอีกไม่นานก็เปลี่ยนไปเป็นศูนย์ได้แล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งลอบยิ้ม แทรกตัวเข้าใต้ผ้าห่มของมั่วไป๋ เขาไม่ได้กล้าจะกอดคนข้างๆ ทันที

 

 

           แต่รอให้ร่างกายอบอุ่นแล้วถึงค่อยเอื้อมมือไปกอดมั่วไป๋ไว้

 

 

           มั่วไป๋ถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “กลับไปนอนเตียงของตัวเองสิ”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาแค่ไล่ทางวาจา เขาจึงเริ่มจะทำตัวกะล่อนทันที เขาส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ไป จะอยู่ตรงนี้”

 

 

           มั่วไป๋หลับตาลงทำอะไรไม่ได้ “ไป๋จิ่ง ฉันรู้สึกว่าตอนนี้นายไม่มีหนังหน้าแล้ว”

 

 

           ‘คนอยู่ในอ้อมกอดแล้ว ไม่มีหนังหน้าแล้วยังไง’

 

 

           ไม่ว่ามั่วไป๋พูดอะไร ไป๋จิ่งก็กอดคนอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ปล่อยมือทั้งนั้น แสดงให้รู้ว่า ‘ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ผมจะไม่ปล่อยมือทั้งนั้น’

 

 

           มั่วไป๋ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจ แล้วปล่อยเขาไปเลยตามเลย

 

 

           ถึงอย่างไรต่อให้ทำแล้วทำเล่า ก็ไม่มีความหมายอะไร ต่อให้เขาพูดจนปากแห้ง ไป๋จิ่งก็ไม่ลงไปอยู่ดี

 

 

           ในเมื่อผลสุดท้ายก็เหมือนเดิม แล้วทำไมเขาจะต้องเสียแรงเปล่าด้วย

 

 

           มั่วไป๋ยอมรับเงียบๆ เขาหลับตาลง อยู่ในท่าที่โดนไป๋จิ่งกอดไว้แล้วหลับตาลงไปทั้งอย่างนี้

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูคนในอ้อมกอด เขาหัวเราะแหะๆ เป็นอย่างที่คิดไว้เตียงตัวเองมีอะไรน่านอน กอดมั่วไป๋ถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

 

 

           เขายิ่งคิดยิ่งมีความสุข แสยะยิ้มขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

 

 

           ไป๋จิ่งก้มหน้ามองดูใบหน้าของมั่วไป๋ ทันใดนั้นโน้มเข้าใกล้แล้วกดจูบอย่างหนักหน่วงไปทีหนึ่ง เวลานี้ถึงได้นอนกอดมั่วไป๋ด้วยความพอใจแล้วผล็อยหลับไป

 

 

           

 

 

ตอนที่ 559 หาจุดเจาะเจอ

 

 

           เช้าวันต่อมา ไป๋จิ่งกลับมาสู่โหมดปกติแล้ว ไม่ได้มาวอแวมั่วไป๋แล้ว

 

 

           แล้วตื่นขึ้นมาตอนเช้า เขานั่งอยู่ข้างๆ ยื่นมือไปเปิดโน้ตบุ๊ก ไมเคิลส่งข้อความมาหาเขาเมื่อคืนนี้ บอกว่าของที่เขาต้องการสืบได้ทั้งหมดแล้ว

 

 

           เมื่อคืนเขาสนใจแค่วนเวียนอยู่กับมั่วไป๋ เขาเองก็ไม่รีบร้อนจะดู แต่วันนี้ต้องออกไปเจอเซียวเย่ว์ ดังนั้นไป๋จิ่งถึงได้ลุกขึ้นมาดู

 

 

           ถึงอย่างไรเขาก็แค่เรียนรู้ในสิ่งที่ควรเรียนรู้ ถึงจะดูได้ว่าต่อไปจะต้องเดินทางไหน

 

 

           เขาถือโน้ตบุ๊กไว้ลงชื่อเข้าใช้เข้าอีเมล เปิดดูเมลที่ไมเคิลส่งมาให้เขา

 

 

           ไป๋จิ่งใช้เวลาสิบนาทีดูคร่าวๆ อย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง สุดท้ายก็หยุดค้างอที่ชื่อนี้ ‘เปาเหวินซิง’ ไว้อยู่ไม่กี่วินาที

 

 

           ตามข้อมูลที่ไมเคิลให้มาแสดงชัดเจนว่า เปาเหวินซิงคนคนนี้เป็นลูกชายของเจ้าของเหมืองถ่านหิน ถือว่าเป็นทายาทเศรษฐีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

 

 

           หลังจากเจอเซียวเย่ว์ เขาก็ตกหลุมรักเซียวเย่ว์ทันที ตามจีบมาแล้วหลายปี แต่จีบไม่เคยติดสักที

 

 

           เซียวเย่ว์คนคนนี้หลงคิดว่าตนเองดีงามสูงส่ง คิดว่าเปาเหวินซิงไม่ดีพอ รูปร่างหน้าตาธรรมดา ชาติตระกูลก็ธรรมดา

 

 

           ดังนั้นจึงดูแคลนเปาเหวินซิงมาโดยตลอด

 

 

           ถ้าเอาแต่ดูแคลนเปาเหวินซิงก็ช่างเถอะ เซียวเย่ว์ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบเปาเหวินซิง แต่กลับชอบความรู้สึกที่เปาเหวินซิงตามจีบ ดังนั้นจึงไม่ได้ปฏิเสธเปาเหวินซิงชัดเจน เธอมักจะให้ความหวังเปาเหวินซิงนิดหน่อยเสมอ

 

 

           เปาเหวินซิงตามจีบเซียวเย่ว์อย่างหน้าไม่อายแบบนี้ เปาเหวินซิงคิดว่าเซียวเย่ว์ยังพอมีใจให้ตัวเอง ไม่ช้าก็เร็วสักวันจะสำเร็จผลได้ในที่สุด

 

 

           แต่ใครจะรู้ว่าตัวเองเป็นแค่ตัวสำรองของเซียวเย่ว์ ยังเป็นตัวสำรองที่ไม่ได้ให้ความสัมพันธ์เลยสักนิด

 

 

           หลังจากรู้เรื่องนี้ เปาเหวินซิงโมโห ก็สารภาพกับเซียวเย่ว์ไปตรงๆ ครั้งหนึ่ง

 

 

           ใครจะรู้ว่าเซียวเย่ว์เห็นว่าสองคนไม่ไว้หน้ากันแล้ว จึงพูดฉีกหน้าเปาเหวินซิงอย่างรุนแรง พูดไม่น่าฟังมากเหลือเกิน

 

 

           ต่อมาทั้งสองคนตัดเป็นตัดตายไม่ข้องเกี่ยวกันอีก

 

 

           ถ้าเป็นแค่แบบนี้ก็แล้วกันไป แต่ต่อมาเซียวเย่ว์ก็รนหาที่ตาย คิดไม่ถึงว่าตอนที่คุยกับเพื่อนจะพูดถึงเปาเหวินซิงขึ้นมา

 

 

           เธอทำหน้าดูถูก พูดถึงเปาเหวินซิงถึงขนาดเป็นขยะก็ไม่ปาน

 

 

           เพื่อนกลุ่มนั้นของเซียวเย่ว์ เดิมก็เป็นเพื่อนกินอยู่แล้ว จึงเอาคำพูดวันนั้นไปบอกเปาเหวินซิง

 

 

           หลังจากเปาเหวินซิงได้ยิน เขาก็คิดว่าตัวเองผ่านประสบการณ์ตาบอดมาแล้วหลายปี ทุกอย่างทั้งหมดกลายเป็นความอาฆาตพยาบาท คิดวิธีแก้แค้นเซียวเย่ว์มาเสมอ

 

 

           ไป๋จิ่งหรี่ตาลง

 

 

           ‘เปาเหวินซิง…’

 

 

           สำหรับจุดที่เขาจะเจาะเข้าไปอาจจะเป็นเรื่องที่ดีมาก

 

 

           เพียงแต่ว่าไฟแค้นของเปาเหวินซิงที่มีต่อเซียวเย่ว์ในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเติมเชื้อไฟก็เรียบร้อย

 

 

           ‘หนามยอกเอาหนามบ่งไม่เกินไปหรอกมั้ง’

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูเวลายังเช้าอยู่ เขาก็ลงมาซื้อข้าวเช้าอยู่ข้างล่าง

 

 

           ตอนที่เขากลับมา มั่วไป๋ยังไม่ตื่น เขาเห็นใบหน้าที่สงบนิ่งยามหลับใหลของมั่วไป๋ ทันใดนั้นหัวใจก็เกร็งแน่น เขาก้มหน้าลงจูบมั่วไป๋

 

 

           ยามที่ริมฝีปากประกบกัน จู่ๆ ไป๋จิ่งก็ควบคุมการกระทำของตัวเองไม่อยู่ จูบจนคนตรงหน้ารู้สึกตัวขึ้นมา

 

 

           มั่วไป๋นอนสลึมสลืออยู่ เขาก็รู้สึกหายใจติดขัด เขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นไป๋จิ่งกำลังคร่อมตัวเองและจูบเขาอยู่

 

 

           จิตใต้สำนึกสั่งให้มั่วไป๋คิดยกเถ้าถีบเขา แต่จะทำอย่างไรได้ไป๋จิ่งทับขาเขาพอดี ยกเตะไม่ได้ทันที

 

 

           จนกระทั่งไป๋จิ่งปล่อย มั่วไป๋ถึงได้ถลึงตาใส่ไป๋จิ่งอย่างดุดัน

 

 

           ไป๋จิ่งรู้ว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองออกจะทำเกินไปสักหน่อย ด้วยเหตุนี้จึงปล่อยให้มั่วไป๋ถลึงตาใส่อย่างว่าง่าย ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้มองเขา

 

 

           ท่าทางแบบนี้ของเขาทำเอามั่วไป๋ด่าไม่ออกปากแล้ว สุดท้ายก็กุมขมับอย่างจนใจ “เช้าขนาดนี้นายมาจูบฉันทำไม”

 

 

           ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ ทำไขสือ “อดไม่ได้แป๊บนึงไง” เขาหยุดสักพักแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ต้องโทษที่คุณยั่วเสน่ห์เกินไป ผมควบคุมไม่อยู่”

ตอนที่ 556 ขบก็ขบ!

 

 

           มั่วไป๋มองดูท่าของตัวเองกับไป๋จิ่ง ถ้าไป๋จิ่งเอาแต่ไม่ปล่อยมืออยู่แบบนี้ มีคนมาเห็นเข้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แล้ว

 

 

           ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็โรงพยาบาล เหยียนอวี้และพยาบาลก็จะเข้ามาได้บางครั้งบางคราว

 

 

           มั่วไป๋คิดหน้าคิดหลังดูแล้ว ตัดสินใจเทหมดหน้าตักไปเลย

 

 

           ‘ก็แค่ขบเองไม่ใช่เหรอ…

 

 

           ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยขบมาก่อน…ขบก็ขบ! ใครกลัวใคร!’

 

 

           คิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นมั่วไป๋ก็เงยหน้าเข้าไปจูบ เดิมทีไป๋จิ่งคิดว่าเขายังต้องรออีกสักพัก ใครจะคิดว่าจะกอดเขาแล้วจูบเขากะทันหันได้

 

 

           คนทั้งคนยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา

 

 

           มั่วไป๋จูบเสร็จก็ผละออกทันที ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ด้วยสีหน้างุนงง  อยากทำอะไรก็ทำขนาดนี้เชียวเหรอ

 

 

           ‘ไม่จำเป็นต้องแจ้งเขาให้รู้สักคำก่อนเหรอ…

 

 

           …ไม่ว่ายังไงเขาก็จะได้เตรียมอะไรไว้บ้าง’

 

 

           มั่วไป๋เห็นสีหน้าหมอไม่รับเย็บของไป๋จิ่ง เขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน

 

 

           รู้สึกว่าไป๋จิ่งแบบนี้ดูแล้วตลกขบขันอย่างน่าทึ้ง

 

 

           เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองดูไป๋จิ่งที่ยังคงงงงัน พลางเอ่ยขึ้น “ยังไม่ปล่อยอีกเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งอยากกะล่อน เขาไม่อยากปล่อยมือ แต่มั่วไป๋มองเขาขนาดนี้ จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาปล่อยมือ

 

 

           พอเขาปล่อยมือ มั่วไป๋ก็ดึงเปิดผ้าห่มออกลงจากเตียงทันที ไป๋จิ่งมองตามแผ่นหลังเขาไป ถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก

 

 

           ‘อยากจะพุ่งเข้าไปจับกดเขาทำยังไงดี’

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งอยู่บนเตียง ข่วนเตียงอย่างเงียบๆ

 

 

           ……

 

 

           ผ่านสองวันติดต่อกันไปด้วยความเงียบสงบ ไป๋จิ่งวนเวียนอยู่กับมั่วไป๋ทุกวันอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนว่าเรื่องที่เขาคืนดีกับมั่วไป๋อย่างเป็นทางการจะทำให้หนังหนาเขายิ่งหนา ยิ่งหน้าไม่อายไปกันใหญ่

 

 

           ใช้คำของเหยียนอวี้มาพูด ระดับความหนาของหนังหน้าเจ้าหมอนี่ถึงขั้นสุดยอดแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เอียงหน้ามองเขาบ้างบางครั้งบางคราว เวลาส่วนใหญ่ก็ชินหมดแล้ว

 

 

           เขานิสัยเย็นชา ถ้าไม่ใช่เพราะไป๋จิ่งวนเวียนอยู่กับเขาทุกวันขนาดนี้ เกรงระหว่างเขากับไป๋จิ่งจะคืบหน้าช้ากว่าเต่าคลานเสียอีก

 

 

           ที่จริงก็ดีที่ไป๋จิ่งหน้าไม่อาย ความสัมพันธ์ของพวกเขาถึงได้คืบหน้าไปเร็วอย่างน่าทึ้งได้

 

 

           ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้มีอะไรคืบหน้าเป็นหลัก แต่ไม่มีอะไรทำก็จูบบ้าง ไม่มีอะไรทำก็กอดบ้างก็ยังได้

 

 

           ไป๋จิ่งกลายเป็นร่างสุนัข ส่ายห่างอยู่ตามหลังเขาทุกวัน

 

 

           แม้แต่พยาบาลที่รู้จักกันคุ้นเคยกัน ยังคุยซุบซิบกันเรื่องไป๋จิ่งและมั่วไป๋กันอยู่ข้างๆ บ่อย

 

 

           รู้สึกว่าพวกเขาดูเหมาะสมกันมากเป็นพิเศษ บางครั้งที่เข้าไปส่งยาให้มั่วไป๋ ยังขยิบตาให้มั่วไป๋ได้

 

 

           ทุกครั้งมั่วไป๋จะถูกพวกเขาทำจนจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ใช่ที่

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ค่อยรู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง ช่วยไม่ได้ ในสายตาเข้าเห็นแค่เพียงมั่วไป๋ อย่างอื่นกลายเป็นฉากกำบังโดยอัตโนมัติแล้ว

 

 

           สองวันมานี้เขานอนกินบ้านกินเมือง แต่เซียวเย่ว์อีกฝั่งหนึ่งก็ไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนั้น

 

 

           เธอเอาแต่คิดถึงเรื่องพรุ่งนี้ที่จะได้เจอหน้าไป๋จิ่ง เขาวางแผนจะแต่งตัวดีๆ ทำให้ไป๋จิ่งตาลุกวาว

 

 

           ผู้ชายส่วนใหญ่ต่างก็มองแค่เปลือกนอก ชอบผู้หญิงที่สวยดูดีกันทั้งนั้น

 

 

           เซียวเย่ว์คิดว่าไป๋จิ่งก็ควรจะไม่ใช่ข้อยกเว้น

 

 

           ด้วยเหตุนี้เธอจึงตั้งใจไปทำผมเป็นพิเศษเพื่อการพบกันพรุ่งนี้

 

 

           เธอจำเป็นต้องรีบคว้าไป๋จิ่งไว้ให้ได้เร็วที่สุด

 

 

           ……

 

 

           ยามราตรีไป๋จิ่งนั่งอยู่ข้างเตียง ทำหน้าทำตาน่าสงสารมองมั่วไป๋

 

 

           ‘เขาอยากจะนอนเตียงเดียวกันกับมั่วไป๋ ทำยังไงดี’

 

 

           สำหรับสายตาของเขา มั่วไป๋มองข้ามไปเสียเลย ค่ำนี้ไป๋จิ่งปีนขึ้นเตียงมาสองครั้งแล้ว ทุกครั้งต่างก็ถูกมั่วไป๋สกัดไว้ตลอด

 

 

           ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ ทรมานในใจ  มั่วไป๋เป็นแฟนของเขา เขานอนกับแฟนตัวเองมีอะไรไม่ถูกต้องกัน

 

 

           ไป๋จิ่งกะพริบตาอย่างน่าสงสาร ดูไปแล้วเหมือนไซบีเรียนฮัสกีตัวหนึ่งโดยเฉพาะ

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัวด้วยท่าทีเรียบเฉย “ไม่ได้”

 

 

           ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเป็นชายชาตินักรบผู้กล้าหาญ นี่คาดว่าจะกำหมัดเล็กๆ ร้องไห้ออกมาได้แล้ว

 

 

           มั่วไป๋เห็นสีหน้าของเขาก็รู้สึกขำขันอยู่ไม่เบา แต่ว่ายังกดเก็บรอยยิ้มทำหน้าบึ้งส่ายหัวให้อยู่

 

 

           “เพราะอะไร เพราะอะไรถึงไม่ได้” ทั้งเนื้อทั้งตัวไป๋จิ่งแม้กระทั่งรูขุมขนต่างก็กำลังถามว่า ‘เพราะอะไร’ อยู่สามคำนี้

 

 

           มั่วไป๋โต้แย้งอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ไม่มีเพราะอะไร ก็คือไม่ได้”

 

 

           

 

 

ตอนที่ 557 กุมมือนอน

 

 

           สองคนนอนด้วยกันจะเหมือนอะไรได้ มีคนมาเห็น  เขายังต้องเป็นคนที่รู้จักวางตัวอยู่ไหมล่ะ

 

 

           ถึงแม้ว่าประเทศอเมริกาจะเปิดมาก อีกอย่างเขาก็ไม่ได้สนใจปัญหาเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวเอง แต่ว่าจะมานอนกับไป๋จิ่งที่นี่ก็ยังรู้สึกเขินอายอยู่ไม่เบา

 

 

           “ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด”

 

 

           ไป๋จิ่งเป็นหมาหงอยในพริบตา ถึงจะเลือนราง มั่วไป๋ก็เห็นหางที่อยู่ด้านหลังเขาตกลงไปได้

 

 

           คิดดูแล้ว มั่วไป๋ก็เอ่ยปากอีกครั้ง “เอางี้ไหม กุมมือกันนอน”

 

 

           เตียงของพวกเขาสองคนดันมาติดกันแล้ว นอนสองเตียงกับนอนเตียงเดียวไม่มีความต่างอะไรโดยสิ้นเชิง

 

 

           แต่ไป๋จิ่งกลับไม่ชอบใจระยะห่างหนึ่งกำมือนั่น

 

 

           แบบนั้นเขาก็จะกอดมั่วไป๋อย่างตามใจตัวเองไม่ได้แล้ว

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาไม่พูดจาอยู่ตั้งนานสองนาน เสียงต่ำจึงเอ่ยถามอีก “ได้ไหม ไม่ได้ฉันจะนอนแล้ว”

 

 

           เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง ไป๋จิ่งก็นอนลงแล้วยื่นมือออกมาทันที แสดงท่าทางต้องการจูงมือ

 

 

           มั่วไป๋ปวดหัว รู้สึกว่าตอนนี้ไป๋จิ่งไม่ต้องการหนังหน้าแม้สักนิดแล้ว

 

 

           ‘เมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็นแบบนี้เลยนะ’

 

 

           มั่วไป๋ยังจำได้ไป๋จิ่งเมื่อก่อนมีสีหน้าเย็นชา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าใกล้ยากเท่าซือเหยี่ยน  แต่ไม่ว่ายังไงก็ไปกันกับกับมาดพลาสเตอร์หนังหมาตอนนี้ไม่ได้       

 

 

           เขาพยายามทำความเข้าใจไปด้วย ยื่นมือไปจับมือไป๋จิ่งไปด้วย

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ยื่นมือมาดึงมือเขาไว้ อารมณ์ก็เบิกบานขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

           เหมือนว่ามุมปากอดจะเชิดขึ้นไม่ได้ ไป๋จิ่งตะแคงตัว จ้องมองมั่วไป๋ตาไม่กะพริบ

 

 

           เห็นมั่วไป๋นอนหงายอยู่บนเตียง เขาก็ยื่นมือไปดึงมือมั่วไป๋ไว้

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ จำใจต้องหันหน้ามามองไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งเห็นเขาทำแบบนี้ อารมณ์ถึงดีขึ้นมาได้

 

 

           ไป๋จิ่งกับมั่วไป๋ทั้งสองคนกำลังทำตาใหญ่จ้องตาเล็ก จ้องมองกันไปกันมาอยู่

 

 

           จู่ๆ มั่วไป๋ก็ถอนหายใจ เอ่ยถามอย่างจริงจัง “นายคือไป๋จิ่งจริงๆ ใช่ไหม”  ไม่ได้ถูกผีเข้าสิงใช่ไหม

 

 

           แน่นอนว่าประโยคหลัง เขาไม่ได้เอ่ยถามออกมา

 

 

           ไป๋จิ่งกัดฟัน คิดอย่างจริงจัง นี่มั่วไป๋หมายความว่าอะไรกัน

 

 

           ทันใดนั้นเขาก็ขยับตัว ลุกขึ้นจากเตียง ขณะที่มั่วไป๋ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา วาบมาอยู่เตียงมั่วไป๋ทันที

 

 

           เขาเหมือนกับปลาหมูไม่มีผิด ลื่นไถลเข้าไป ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก

 

 

           มั่วไป๋จนใจ เขาไม่รู้สึกแปลกกับการที่ไป๋จิ่งจะทำอะไรโดยไม่คาดคิดแบบนี้ได้เลยสักนิด

 

 

           เขาถอนหายใจ ยอมรับการกระทำอันหน้าไม่อายของไป๋จิ่งแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งหัวเราะไร้เสียง รู้สึกว่าน่าตื่นเต้นกว่าว่าความคดีใหญ่กว่าสิบล้านคดีเสียอีก

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้เตียงของตัวเองทั้งเย็นทั้งแข็ง เตียงของมั่วไป๋นุ่มกว่า นอนสบายกว่ามาก

 

 

           เขายื่นมือไปกอดไว้ ผอมไปสักหน่อย ถ้าอ้วนขึ้นมาอีกนิด น่าจะยิ่งสบายกว่านี้

 

 

           มั่วไป๋เห็นใบหน้าดูหื่นๆ ของเขา ก็อดจะคิดอย่างเงียบๆ ไม่ได้ว่า  ตกลงเจ้าหมอนี่จะมานอนเตียงเขา หรือจะมาหลับนอนกับเขากันแน่

 

 

           ‘ก็แค่มานอนกันเฉยๆ เท่านั้น ทำไมต้องทำเหมือนวางแผนทำมิดีมิร้ายอย่างนั้นด้วย’

 

 

           มั่วไป๋ปวดหัว ตั้งแต่เจอกับไป๋จิ่ง คนทั้งคนก็ไม่ดีแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งกระชับอ้อมแขน กกกอดเขาอย่างแน่นสนิทไว้ในอ้อมอก แสดงท่าทีว่ามั่วไป๋อยากหนีก็หนีไม่ได้

 

 

           เขาก้มหน้ามาก็เห็นใบหน้าของมั่วไป๋ อุณหภูมิที่เรือนผิวมาจากเรือนกายของมั่วไป๋ทั้งสิ้น

 

 

           ลมหายใจเบาๆ เป็นกลิ่นหอมจางๆ เฉพาะตัวของมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งก้มหน้าดมกลิ่นอยู่ตั้งนานสองนาน ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็เกร็งขึ้นมากะทันหัน

 

 

           มั่วไป๋ตัวแข็งทื่อขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เขามองไป๋จิ่งแวบหนึ่งทันที แต่มีหรือที่ไป๋จิ่งจะกล้าสบตามั่วไป๋ เจ้าตัวรีบเบนสายตาหนีแทบจะเดี๋ยวนั้น

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกถึงอุณหภูมิที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่างชัดเจน

 

 

           เขายิ้มเยาะ ยกเท้าถีบใส่ไป๋จิ่ง

 

 

           ถีบจนคนตกจากเตียง มั่วไป๋ถลึงตาใส่เขา “เข้าไปจัดการเองเลย”

 

 

           ไป๋จิ่งถูกมั่วไป๋ถีบตกเตียง เขาตะลึงงันเงยหน้ามอง ร้องโอยอุบอิบ

 

 

           ‘ทำไมเขาถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองในเวลานี้ได้’

 

 

           เขามองมั่วไป๋ตาปริบๆ ก็เห็นเพียงแค่อีกฝ่ายดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง

ตอนที่ 554 แอบปีนขึ้นเตียง

 

 

           ดวงตาแต้มรอยยิ้มของเขาสบตากับไมเคิลพอดี ไมเคิลยิ้มหัวเราะ “ไป๋จิ่ง?”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า “อืม ใช่”

 

 

           “ฉันไมเคิลนะ”

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะ สายตาวางไว้ที่รองเท้าแตะของเขา “เดาได้แล้ว”

 

 

           ไมเคิลเองก็ไม่ได้รู้สึกอายอะไร เขาเองก็ก้มหน้ามองเท้าของตัวเองแวบหนึ่ง “ซือเหยี่ยนบอกนายเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งลูบจมูกปอยๆ เขานึกถึงคำพูดของซือเหยี่ยน

 

 

           “ไม่ดูรองเท้าแตะที่ใส่อยู่ที่เท้า ที่จริงคนแต่งกายดูดีไร้ศีลธรรมมีถมไป”

 

 

           ไป๋จิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าซือเหยี่ยนพูดได้ถูกต้องมากถึงที่สุด

 

 

           เขาเอาแต่ลูบจมูกไม่พูดจา แต่ไมเคิลรู้ความหมายของเขาแล้ว ไมเคิลถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “พลาดเป็นเพื่อนกัน”

 

 

           “เอ่อใช่ ซือเหยี่ยนบอกฉันว่า นายมีอะไรอยากให้ฉันช่วยสืบ”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า “ฉันอยากให้นายช่วยฉันสืบเรื่องในห้าปีมานี้ทั้งหมดของเซียวเย่ว์”

 

 

           ไมเคิลพยักหน้า “โอเค เดี๋ยวหลังจากนี้นายเอาข้อมูลขั้นต้นของเธอให้ฉัน ฉันจะช่วยนายสืบให้เร็วที่สุด”

 

 

           “ได้ยินซือเหยี่ยนบอกว่า นายดำเนินการได้เร็วมาก”

 

 

           ไมเคิลกะพริบตาปริบๆ “นายวางใจได้ เร็วกว่าที่นายจะจินตนาการไว้ ถึงยังไงฉันก็เป็นมืออาชีพ”

 

 

           ไมเคิลเป็นคนติดตลกมีอารมณ์ขัน ทั้งยังไม่มีมาดอะไร พูดคุยกันแล้วกลับใช้ได้มากทีเดียว

 

 

           อาจจะเป็นเพราะว่าตรงกลางยังมีซือเหยี่ยนอีกคน บรรยากาศระหว่างคนสองคนจึงกลมกลืนกันเป็นพิเศษ

 

 

           พูดคุยกันมาได้หนึ่งชั่วโมงกว่า ทั้งสองคนถึงได้แยกกัน        

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งลากันกับไมเคิลแล้ว เขากลับมาที่โรงพยาบาลทันที ยื่นมือผลักเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นมั่วไป๋นอนสงบเงียบอยู่บนเตียง เอียงตัวเล็กน้อย หลับได้สงบนิ่งมาก

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น หัวใจของไป๋จิ่งก็อ่อนยวบลงโดยอัตโนมัติ ราวกับว่าไม่ว่าจะทำอะไร ขอเพียงแต่ได้เห็นมั่วไป๋ เขาก็นึกถึงอะไรไม่ออกแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งพลิกมือปิดประตูเบาๆ

 

 

           เขาเบาฝีเท้าเดินมาถึงหน้าเตียงของมั่วไป๋ ในห้องค่อนข้างมืดสลัว แต่มองดูมั่วไป๋แบบนี้กลับมีความเงียบสงบอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           ไป๋จิ่งอยากยื่นมือไปลูบใบหน้าของมั่วไป๋ แต่มือยังไม่ทันได้วางบนใบหน้าของมั่วไป๋ก็เก็บมือกลับเข้าไปแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งลงข้างๆ สักพักหนึ่ง มองดูเวลาแล้ว คิดว่าตอนนี้มั่วไป๋น่าจะยังไม่ตื่นขึ้นมาได้

 

 

           เขายืนขึ้นมา ถอดเสื้อคลุมออกวางลงที่ข้างๆ หลังจากนั้นก็ปีนขึ้นมาอยู่ข้างๆ มั่วไป๋อย่างเบามือเบาเท้า นอนลงไปอย่างระมัดระวัง

 

 

           เตียงคนไข้ไม่ถือว่าใหญ่เท่าไหร่นัก ไป๋จิ่งแทบจะนอนชิดขอบเตียงแล้ว นอนได้ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่

 

 

           แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนี้ ไป๋จิ่งก็ยังคงนอนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน

 

 

           เขาเอื้อมมือไปวางบนมือมั่วไป๋ที่ตกอยู่ข้างตัวอย่างแผ่วเบา ทำให้อยู่ในท่าที่กำลังโอบกันอยู่

 

 

           พอลืมตาก็เห็นใบหน้ามั่วไป๋ ไป๋จิ่งเบิกตากว้างมองดูเขาไปอย่างนี้ตลอด

 

 

           เพียงไม่นานไป๋จิ่งยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ เขารู้สึกว่าโลกใบนี้มีเรื่องบางเรื่องที่มหัศจรรย์อยู่จริงๆ

 

 

           ถ้าเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน บางทีตัวเขาเองอาจจะคิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่ตัวเองชอบคนคนหนึ่งจนในกระดูกก็ยังเป็นคนคนนั้นอยู่ทั้งหมดได้

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ทำอะไรสักอย่าง ทำแค่เพียงมองดูเขาอยู่อย่างนี้ รู้สึกว่าชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความสุข

 

 

           เขาดีใจที่บังเอิญโชคดีมากที่เจอมั่วไป๋อีกครั้งหนึ่งได้ ดีใจมากที่ความผิดพลาดของตัวเองยังไม่ถือว่าไกลเกินไป ยังมีโอกาสเปลี่ยนกลับมาใหม่ได้อีกครั้ง

 

 

           โชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของเขาคือการได้พบมั่วไป๋ และยังได้มีเขาซ้ำใหม่อีกครั้งด้วย

 

 

           ไป๋จิ่งเชิดมุมปากขึ้นเบาๆ ครั้งนี้เขาจับไว้แน่นแล้ว ไม่มีวันจะปล่อยไปได้ตลอดชีวิต

 

 

           ……

 

 

           ยามที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ในห้องก็ยังคงมืดสลัวอยู่เช่นเดิม มั่วไป๋หลับไปจนแยกเวลาได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว

 

 

           เขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็เห็นใบหน้าขนาดขยายใหญ่อยู่ตรงข้าม มั่วไป๋ชะงักงันไปครู่หนึ่ง ไป๋จิ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาถึงไม่รู้เลยสักนิด

 

 

           ไป๋จิ่งอยู่ในท่าโอบเขาเอาไว้ หลับสนิทมาก

 

 

           

 

 

ตอนที่ 555 คุณจูบผมสิ

 

 

           มั่วไป๋กะพริบตาปริบๆ สงบนิ่งลงได้เร็วมาก พอคิดถึงว่าไป๋จิ่งยังไม่ตื่น ตอนนี้ตัวเองลุกขึ้นต้องทำให้ไป๋จิ่งตกใจตื่นขึ้นมามีเสียงอย่างแน่นอน

 

 

           มั่วไป๋คิดดูแล้วก็ล้มเลิกความคิดที่จะลุกจากเตียงไป นอนต่อเป็นเพื่อนไป๋จิ่ง

 

 

           เขานอนอยู่ตรงนั้น ไม่มีความง่วงอะไร เบิกตาพินิจมองไป๋จิ่งโดยละเอียด เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เขาได้มองไป๋จิ่งใกล้ขนาดนี้

 

 

           บอกตามจริง ไป๋จิ่งคนนี้มีเครื่องหน้าตรงเป็นสัดส่วนชัดเจน ให้ความรู้สึกไปทางยุโรปอเมริกา โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น มั่วไป๋ต้านทานไม่ได้แม้แต่น้อย

 

 

           เหมือนกับฟองน้ำก้อนหนึ่งที่ค่อยดึงดูดมั่วไป๋เข้าไปทีละนิด

 

 

           ยามบ่ายที่เงียบสงบ บางครั้งบางคราวก็มีสายลมผัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำผ้าม่านปลิวไสว นำพาแสงแดดสาดส่อง

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มแล้วยิ้มอีก รู้สึกว่าอยู่กับไป๋จิ่งแบบนี้ไปตลอดชีวิตก็ดีมากๆ เหมือนกัน

 

 

           กินข้าวด้วยกัน พูดคุยอยู่ด้วยกัน ตกกลางคืนก็นอนกอดกันแบบนี้

 

 

           นั่นเป็นชีวิตที่เขาเคยวอนขอมากที่สุด

 

 

           ปัจจุบันนี้ทำได้ทั้งหมดทุกอย่างแล้ว

 

 

           มั่วไป๋คิด ถ้าสมมติตอนนี้เขาตายไป บางทีเขาอาจจะไม่มีอะไรที่ไม่ยินดีแล้ว

 

 

           ……

 

 

           ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ไป๋จิ่งก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

 

 

           พอลืมตาก็เห็นใบหน้าของมั่วไป๋ได้ ไป๋จิ่งยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ

 

 

           อยากจะห่อมั่วไป๋กลับบ้านจริงๆ ปิดประตูลงกลอน ไม่ไปที่ไหน นอนกกกอดเขาไว้สามวันสามคืน

 

 

           หนึ่งชั่วโมงต่อมา มั่วไป๋นอนไม่หลับ เพียงแต่ว่าเบิกตาก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงหลับตาพักผ่อนสักพัก

 

 

           สายตาที่ไป๋จิ่งใช้จ้องเขาชัดเจนเกินไปแล้วจริงๆ เขาหลับตาก็ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงในแววตานั้น

 

 

           มั่วไป๋แกล้งนอนต่ออีกไม่กี่นาที รู้สึกว่าแสร้งทำต่อไปไม่ลงแล้ว

 

 

           ด้วยเหตุนี้แพรขนตายาวจึงสั่นสะเทือน ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

 

           ไป๋จิ่งเพิ่งจะเตรียมโน้มเข้าไปใกล้จะจูบเขาสักหน่อย ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้จูบก็โดนมั่วไป๋จับได้คาหนังคาเขาเสียก่อน

 

 

           เขาไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าอาย ยกมือขึ้นมาลูบปลายจมูกปอยๆ หัวเราะแหะๆ

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกว่า  เจ้าหมอนี่หนังหนาจนเกินเยียวยาแล้ว

 

 

           เขากะพริบตาปริบๆ มองดูไป๋จิ่งที่ไม่คิดจะปล่อยตัวเองสักทีอยู่นานสองนานแล้ว เสียงต่ำเอ่ยถามขึ้น “นายเตรียมจะกอดฉันไปถึงเมื่อไหร่กัน”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินมั่วไป๋ถามขนาดนี้ก็ยิ่งกอดรัดคนแน่นขึ้นไปอีก เขาส่ายหัวทำตัวกะล่อน “ไม่ปล่อย ตีให้ตายยังไงก็ไม่ปล่อย”

 

 

           ทั้งชีวิตเขาจะไม่ปล่อยมืออีกแล้ว ปล่อยมืออีกเขาก็เป็นควายแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ “นายไม่ปล่อยแล้ว ฉันจะลุกได้ยังไง”

 

 

           ‘นอนกันมาหลายชั่วโมงแล้ว หรือว่ายังอยากจะนอนแบบนี้ต่อไปอีก’

 

 

           ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ จู่ๆ ก็เอ่ยอย่างหน้าไม่อายขึ้นมา “ไม่งั้นคุณจูบผมสิ จูบผมแล้ว ผมก็จะปล่อย”

 

 

           มั่วไป๋ลำบากใจ รู้สึกว่า  เจ้าหมอนี่ช่างหน้าไม่อายจริงๆ

 

 

           มองเขาด้วยสีหน้าที่ทำอะไรไม่ได้ “นายอย่าทำตัวกะล่อนจะได้ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว ครั้งนี้เขายังอยากจะเอาคำว่า ‘กะล่อน’ แสดงออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจอยู่ ไป๋จิ่งเชิดตามองเขา “จูบไม่จูบ ไม่จูบไม่ปล่อยมือแล้วนะ”

 

 

           ขณะที่พูดอยู่ มือก็ยังโอบเอวมั่วไป๋ไว้แน่น

 

 

           มั่วไป๋ชักจะว้าวุ่นใจ ไม่ปล่อยมือไม่ได้ ถ้าปล่อยมือก็ต้องจูบเขา…

 

 

           เขาปวดหัวนิดหน่อยแล้ว

 

 

           ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจูบกันมาหลายครั้ง แต่ว่าทุกครั้งไป๋จิ่งเป็นฝ่ายจูบเขาเอง เขายังไม่เคยเป็นฝ่ายจูบไป๋จิ่งเองมาก่อน

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เพียงชั่วขณะก็รู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้

 

 

           ‘ตัวเองไปจูบไป๋จิ่ง’

 

 

           มั่วไป๋เขินอายอยู่ในที

 

 

           ไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่มองมั่วไป๋ด้วยสีหน้ารอคอยเหมือนสุนัขตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เหมือนกับมั่วไป๋จะยังเห็นหางส่ายดุ๊กดิ๊กอยู่ข้างหลังเขาได้

 

 

           ‘ก็แค่เรื่องที่ต้องพุ่งเข้าไปกอดเขาแล้วขบสักคำไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงเขินอายขนาดนี้ นี่มันอะไรกัน’

 

 

           มั่วไป๋เอาแต่แน่นิ่ง ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ ด้วยความขบขัน “ไม่จูบผมก็ไม่ปล่อยมือแล้วนะ”

ตอนที่ 552 นัดเจอไป๋จิ่ง

 

 

           มั่วไป๋กำลูกกวาดที่วางอยู่บนฝ่ามือตัวเองไว้ สุดท้ายก็ไม่ได้แกะออกมากิน

 

 

           กระดาษห่อลูกกวาดตั้งอยู่บนฝ่ามือที่อ่อนนุ่ม ความรู้สึกสัมผัสเล็กน้อยราวกับว่าแล่นจากฝ่ามือเข้าไปสู่ก้นบึ้งของหัวใจ มั่วไป๋คิด ยังดีที่ไป๋จิ่งเป็นคนแรกที่ส่งลูกกวาดให้เขากิน

 

 

           “กินสิ” ไป๋จิ่งตามอยู่ข้างๆ ก็ชักจะร้อนใจ ไม่เห็นมั่วไป๋แกะลูกกวาดออกมากิน

 

 

           มั้วไป๋กำมือด้วยความขบขัน “จะไปกินข้าวกันไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ประโยคสบายๆ ของเขาปิดจุดใจที่ร้อนรนของไป๋จิ่งกลับไป

 

 

           ไป๋จิ่งลูบหัวปอยๆ เพิ่งจะมาเข้าใจ

 

 

           ‘พวกเขาต้องการจะลงมากินข้าวเที่ยงกัน ให้มั่วไป๋กินลูกกวาดเวลานี้ได้ยังไงกัน’

 

 

           ไป๋จิ่งถอนหายใจในใจ ตัวเองยิ่งใช้ชีวิตไปข้างหน้ายิ่งถอยหลังกลับไปจริงๆ  ต่อหน้ามั่วไป๋ สมงสมองไปหมอแล้ว

 

 

           ทั้งสองคนเข้าไปยังร้านอาหารจานด่วนที่อยู่ข้างๆ สั่งอาหารมาสองชุด ตอนที่มั่วไป๋เดินเข้าร้านไป ก็เอาลูกกวาดในมือใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ วางแนบชิดร่างกาย

 

 

           ขณะที่กำลังกินข้าวอยู่นั้น มือถือของไป๋จิ่งก็ดังขึ้นมา เขาเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกโทรมา จึงตัดสายทันทีโดยไม่คิดอะไรก่อนสักนิด

 

 

           มั่วไป๋กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ทำไมไม่รับสายล่ะ”

 

 

           ไป๋จิ่งบอกไปตามตรง “ไม่รู้จัก ไม่ต้องรับ”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับ แล้วกินข้าวต่อ

 

 

           ตามหาในโถงใหญ่ไปรอบหนึ่งก็ยังไม่เจอไป๋จิ่ง เซียวเย่ว์ไม่มีความมั่นใจจะตามหาต่อไปแล้วจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงไม่เก็บอาการโทรหาไป๋จิ่งแล้ว

 

 

           เธอแสร้งทำเป็นปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น เตรียมรอไป๋จิ่งรับสาย

 

 

           ใครจะคิดว่าเตรียมใจอยู่ตั้งนาน  คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะตัดสายใส่โดยไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

           เซียวเย่ว์มองมือถืออย่างไม่กล้าจะเชื่อได้  คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะวางสายใส่ตัวเอง

 

 

           เซียวเย่ว์ผู้เย่อหยิ่งทะนงตัวรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง

 

 

           เธอรูปร่างหน้าตาสวย ฐานะการเงินทางบ้านมั่งคั่ง คนชอบเธอมีตั้งมากมายต่างคอยมาเอาอกเอาใจเธอตามหลังเธอเป็นพรวนเสียขนาดนั้น

 

 

           แต่มีเพียงแค่คนเดียว!

 

 

           มีเพียงไป๋จิ่งคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเหมือนกัน แม้แต่จะหันกลับมาชายตามองเธอก็ยังไม่ยินยอมทั้งนั้น

 

 

           ทั้งที่ไป๋จิ่งไม่ยอมจะมองเธอด้วยซ้ำ แต่เธอกลับอยากได้ไป๋จิ่งมาครอบครอง

 

 

           ทำดีกับเธอ เธอไม่ชอบใจ ไม่มีค่าพอที่เธอจะชายตามอง

 

 

           ไม่สนใจเธอ เธอกลับชอบกลับติดใจ

 

 

           นิสัยชั่วร้ายที่ฝังรากลึกของคนแสดงออกจากตัวของเซียวเย่ว์ได้อย่างถึงอกถึงใจ

 

 

           เธอกำมือถือไว้ ในใจไม่ยินยอม เดิมเธอคิดจะแต่งงานไปอย่างว่าง่ายแล้ว แต่ในเวลานี้ไป๋จิ่งกลับปรากฏตัวขึ้น

 

 

           ดังนั้นเซียวเย่ว์จึงเชื่อว่าการปรากฏตัวในเวลานี้ของไป๋จิ่งคือการที่ฟ้าเบื้องบนชี้ทางให้เธอ

 

 

           สามีในอนาคตของเธอ มีเพียงแค่ไป๋จิ่งได้คนเดียวเท่านั้น

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เซียวเย่ว์ก็ยิ่งไม่ยอมแพ้ เธอจ้องมองมือถืออย่างเอาเป็นเอาตาย ตัดสินใจโทรหาไป๋จิ่งอีกครั้ง

 

 

           เพื่อจะได้ไป๋จิ่งมาครอบครอง เธอยอมเทหมดหน้าตักด้วยความเด็ดขาด

 

 

           มือถือไป๋จิ่งดังขึ้นมาอีกครั้ง ไป๋จิ่งหยิบมือถือออกมาดูแวบหนึ่ง ก็ยังคงเป็นเบอร์เดิมเมื่อครู่นี้

 

 

           เป็นเบอร์แปลกแล้วโทรติดต่อกันสองครั้ง ไป๋จิ่งครุ่นคิดแล้วกดรับสายไป

 

 

           เดิมทีเซียวเย่ว์คิดว่าครั้งนี้ไป๋จิ่งก็จะไม่รับอีกเหมือนเคย แต่คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะรับสายแล้ว

 

 

           เซียวเย่ว์หวาดกลัวอยู่ไม่น้อย เพียงชั่วขณะก็รู้สึกตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

 

 

           เสียงเย็นชาของไป๋จิ่งดังขึ้นมาจากปลายสาย

 

 

           เซียวเย่ว์กลัวว่าเขาจะตัดสายกะทันหัน เธออยู่ข้างๆ รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “ฉัน ฉันเอง เซียวเย่ว์”

 

 

           มือไป๋จิ่งที่ถือมือถืออยู่หยุดชะงักไป ช่วงเวลานี้หัวใจเขาอยู่แต่กับมั่วไป๋ ลืมคนคนนี้ไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           จิตสำนึกสั่งให้เขามองมั่วไป๋แวบหนึ่ง เห็นเขากำลังก้มหน้าซดซุปพอดี ไป๋จิ่งครุ่นคิดแล้วเอ่ย “อืม” ขานรับ

 

 

           “คุณมีเวลาไหมคะ ออกมาเจอกันสักหน่อยได้ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิดสักพัก คิดดูแล้ว “วันมะรืนแล้วกัน”

 

 

           เซียวเย่ว์ได้ยินไป๋จิ่งรับปากเรื่องเจอกันแล้ว ตื่นเต้นจนจะถือมือถือไว้ไม่อยู่แล้ว เธอรีบเอ่ยทันที “ได้ค่ะๆ งั้นก็วันมะรืนนะคะ”

 

 

           

 

 

ตอนที่ 553 มาสาย ‘คนที่ช่างรู้ใจ’

 

 

           ตรงกันข้ามกับความตื่นเต้นของเซียวเย่ว์ ไป๋จิ่งปรากฏความเย็นชาให้เห็นเป็นพิเศษ

 

 

           “อืม” เขาตอบรับเสร็จก็ตัดสายทันที

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งโดยไม่ได้ระแวงอะไร หัวใจไป๋จิ่งบีบคั้นโดยไม่ตั้งใจ กระวนกระวายใจอย่างไรชอบกล

 

 

           มั่วไป๋มองเขา “ไง มีเรื่องอะไรเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งเก็บกดความลนลานในใจเอาไว้ ยิ้มให้มั่วไป๋ “ไม่มีอะไร มีเพื่อนอยากจะเจอผม”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้าให้ “อ่อ งั้นนายไปเถอะ”

 

 

           ไป๋จิ่งวางมือถือลง อารมณ์สงบนิ่งลงแล้ว “นัดกันวันมะรืนแล้ว”

 

 

           น้อยมากที่มั่วไป๋จะซักไซ้ถามเรื่องส่วนตัวของไป๋จิ่ง เดิมทีก็แค่เพียงพูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้อยากจะถามต่อไปจริงๆ

 

 

           ดังนั้นหลังจากไป๋จิ่งตอบกลับ มั่วไป๋ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อไปอีก

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร ในใจก็ค่อนข้างจะวิตกกังวล ถ้ามั่วไป๋รู้ว่าตัวเองติดต่อกับเซียวเย่ว์แล้ว ไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรได้

 

 

           แต่บัญชีระหว่างเขากับเซียวเย่ว์นั้นไม่คิดบัญชีไม่ได้

 

 

           สองปีมานี้มั่วไป๋ไม่ได้ไปคิดบัญชีกับเซียวเย่ว์ แต่เขาไม่ได้ เรื่องที่เซียวเย่ว์ทำลงไปกับบาดแผลที่มั่วไป๋ได้รับ ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้

 

 

           แต่ตอนนี้รู้แล้ว จะเสแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้เป็นธรรมดา

 

 

           สำหรับไป๋จิ่งแล้ว นั่นคือความรู้สึกผิดบาปอย่างน่าละอายใจที่สุดที่เขามีต่อมั่วไป๋ในใจ

 

 

           ถ้าเอาความรู้สึกผิดบาปนี้ออกไปไม่ได้ ทั้งชีวิตนี้เขาก็เผชิญหน้ากับมั่วไป๋อย่างไร้กังวลไม่ได้เช่นกัน

 

 

           ‘อีกอย่างตอนนี้มั่วไป๋เป็นคนรักของเขาไม่ใช่เหรอ’

 

 

           เขาก็ควรจะช่วยมั่วไป๋ทวงคืนความยุติธรรม

 

 

           หลังจากกินข้าวด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาก็มาเดินเล่นที่สวนดอกไม้ที่ชั้นหนึ่งเป็นเพื่อนมั่วไป๋ เดินอยู่หลายรอบถือโอกาสย่อยอาหารไปด้วย

 

 

           บางครั้งบางคราวมั่วไป๋เงยหน้ามองดูไป๋จิ่งสองครั้ง เขารู้สึกมาเสมอว่าหลังจากที่รับสายนั้นไป ไป๋จิ่งก็ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่นัก

 

 

           เหมือนในใจมีเรื่องบางอย่าง ใจไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว

 

 

           เพียงแต่ว่ามั่วไป๋ไม่ได้ถามออกไปในทันที

 

 

           ทั้งสองคนเดินอยู่ข้างล่างสักพักถึงค่อยขึ้นตึกไป

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยแล้ว เสียงต่ำเอ่ยกับมั่วไป๋ “อยากจะนอนก่อนไหม”

 

 

           มั่วไป๋ค่อนข้างจะง่วงแล้วจริงๆ เขาพยักหน้า “ดี”

 

 

           เขาเข้าไปห้องน้ำล้างหน้า เมื่อออกมา ไป่จิ่งก้ดึงผ้าม่านลงแล้ว ทั้งห้องมืดสลัว

 

 

           มั่วไป๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย  ตอนนี้จะมาสาย ‘คนที่ช่างรู้ใจ’ ขนาดนี้แล้วเหรอ

 

 

           แต่ว่าเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ปล่อยจิตใจสบายๆ เสพสุขกับความอ่อนโยนที่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของไป๋จิ่ง

 

 

           มั่วไป๋นอนอยู่บนเตียง ไป๋จิ่งบอกว่า “งั้นคุณนอนก่อนนะ ผมจะออกไปทำธุระสักหน่อย”

 

 

           เขาพูดจบก็ก้มหน้าลงจูบหน้าผากของมั่วไป๋ แล้วออกจากห้องไป

 

 

           มั่วไป๋มึนงงไปพักหนึ่ง ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้ วันนี้ไป๋จิ่งไม่ค่อยจะปกติจริงๆ ตามความเคยชินของไป๋จิ่งแล้ว ควรจะมานั่งข้างๆ จ้องมองเขาแบบนี้ถึงจะถูกต้อง

 

 

           ‘ทำไมจู่ๆ ถึงทำแค่นี้แล้วก็ไปเลย’

 

 

           มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติอยู่

 

 

           ……

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งออกมาจากห้องพักผู้ป่วย เขาก้ดทรหาไมเคิล

 

 

           เขานัดเจอกับไมเคิลที่ข้างโรงพยาบาล ไมเคิลเป็นคนที่ซือเหยี่ยนแนะนำเขามา บอกว่าสามารถสืบหาสิ่งที่เขาต้องการได้มากมาย

 

 

           เขาอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเซียวเย่ว์พอดี ดังนั้นถึงได้หาซือเหยี่ยนแล้วติดต่อไมเคิลมาให้เขา

 

 

           เพียงแต่ว่าเดิมทีจะรออีกสองวัน แต่จะทำอย่างไรได้วันนี้เซียวเย่ว์เป็นฝ่ายมาหาถึงที่เอง

 

 

           ไป๋จิ่งถึงร้านกาแฟที่อยู่ข้างโรงพยาบาลแล้ว ไมเคิลยังไม่มา เขาก็นั่งรอที่ข้างหน้าต่าง

 

 

           เพียงไม่นาน มีชาวชายอเมริกันสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามา

 

 

           ไป๋จิ่งพินิจมองสักพัก แต่งตัวธรรมดามาก ทั้งยังใส่รองเท้าแตะคีบมาด้วยอย่างไม่เหมือนใคร ทำให้ไป๋จิ่งสนุกแล้ว

ตอนที่ 550 เข้าพบผู้ใหญ่

 

 

           ไป๋จิ่งกลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้น “ถ้าคุณยินดี ผมอยากจะหาเวลา พาคุณไปเจอแม่ผม”

 

 

           เวลานี้มั่วไป๋เพิ่งจะได้เข้าใจความหมายของไป๋จิ่ง  ทำมาตั้งนาน เขากำลังทำตามพิธีรีตองอยู่นี่เอง

 

 

           ไป๋จิ่งพูดประโยคนี้จบ เขามองมั่วไป๋ด้วยความกังวล เสียงต่ำเอ่ยถามอีกครั้ง “คุณยินดีจะไปเจอแม่ผมกับผมไหม”

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกว่าวันนี้เขาพูดจาดูเปิดเผยอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาเพิ่งจะกลับมาคบกันใหม่อีกครั้ง ก็ต้องไปเจอแม่เขาแล้ว

 

 

           ระดับความเร็วนี้เร็วกว่านั่งจรวดเสียอีก

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็รู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างจะบุ่มบ่ามไปหน่อย เขาจึงรีบชี้แจงทันที “แน่นอนว่าไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น คุณค่อยๆ คิดก็ได้ รอโอกาสเหมาะสมแล้ว พวกเราค่อยไปด้วยกัน”

 

 

           “แม่ผมเห็นคุณต้องดีใจมากแน่ๆ”

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่นักว่าจะตอบไป๋จิ่งอย่างไร เขาเงียบงันอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “รอฉันผ่าตัดเสร็จก่อนแล้วกัน”

 

 

           ไป๋จิ่งดีใจจนแทบบ้า ไม่กล้าจะเชื่อได้

 

 

           “คุณ คุณยอมตกลงแล้ว?”

 

 

           มั่วไป๋ลำบากใจนิดหน่อย แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้ว เวลานี้จะมาเสแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้พูดอะไรก็ไม่ได้

 

 

           เขาทำหน้าเคร่งขรึม ทำให้ตัวเองสงบนิ่งขึ้นมาหน่อย แล้วพยักหน้าเล็กน้อย

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้าเสร็จ ไป๋จิ่งก็มองเขาด้วยสีหน้าดีใจ มั่วไป๋ค่อนข้างอึดอัดใจ เขากระแอมไอเบาๆ “รีบกินข้าวเถอะ”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้แล้ว เขาก็หยิบช้อนไว้ ยิ้มไปด้วย กินโจ๊กไปด้วย

 

 

           ‘สุขใจจัง อยากยิ้ม ทำไงดี’

 

 

           ……

 

 

           กินข้าวเสร็จแล้ว ไป๋จิ่งเป็นฝ่ายเก็บกวาดข้าวของให้เรียบร้อย มั่วไป๋ก็กลับมานั่งวาดรูปที่โซฟาต่อ

 

 

           ขณะที่มั่วไป๋วาดรูปอยู่นั้น ไป๋จิ่งก็นั่งข้างๆ มองมั่วไป๋

 

 

           ราวกับมองไม่พอสักทีอย่างไรอย่างนั้น ไม่อยากปล่อยผ่านแม้วินาทีต่อนาที

 

 

           มั่วไป๋ถูกเขาจ้องมองจนมือสั่นถือดินสอวาดไว้ไม่ค่อยอยู่ เขาครุ่นคิดแล้วเงยหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง “นายอย่าเอาแต่จ้องมองฉันตลอดจะได้ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งเบนสายตาไปเล็กน้อย แต่ไม่ถึงสองนาทีก็หันกลับไปมองอีก

 

 

           ‘ช่วยไม่ได้ อยากมองมั่วไป๋ เขาเองก็คุมสายตาตัวเองไว้ไม่อยู่ไง’

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างจนปัญญา เพิ่งจะเริ่มพูดกับไป๋จิ่งได้สองประโยค แต่ต่อมาเขาก็คร้านจะพูดอีกแล้ว

 

 

           ปล่อยไป๋จิ่งเลยตามเลย ปล่อยไป๋จิ่งมองตามใจ

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่ได้รบกวนเขา ตัวเองลากเก้ามานั่งอยู่ข้างๆ มั่วไป๋

 

 

           ขณะที่เขามองดู เขาก็พูดในใจเงียบๆ ไปด้วย  มั่วไป๋ของเขานี่เก่งจริงๆ แม้ท่าทางวาดรูปยังดูดีขนาดนี้

 

 

           ในห้องเงียบสงบเป็นพิเศษ ทั้งสองคนนั่งกันอยู่เงียบๆ ไม่พูดกันแม้สักประโยค แต่กลับยังมีความอบอุ่นหอมละมุนที่พูดไม่ออกตลบอบอวลอยู่ในห้อง

 

 

           ถ้าเวลานี้มีคนเดินผ่านหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยแล้วมองเข้ามา ต้องได้พบแน่นอนว่าคนคนนั้นที่นั่งเก้าอี้อยู่กำลังจ้องมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างเงียบๆ ด้วยสายตาที่แฝงความอ่อนโยน

 

 

           ……

 

 

           ตั้งแต่วันที่ได้พบกับไป๋จิ่งวันนั้น เซียวเย่ว์ก็รอสายจากไป๋จิ่งมาตลอด

 

 

           แต่รอมาแล้วหลายวัน ไป๋จิ่งก็ไม่ติดต่อเธอมาเสียที

 

 

           ความอดทนของเซียวเย่ว์จนถึงตอนนี้โดยภาพรวมใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้ว เธอกลัวว่าตัวเองจะรีบร้อนติดต่อไป๋จิ่งจะดูเหมือนเธอไม่เก็บอาการได้

 

 

           แต่รอมานานขนาดนี้ เธอก็รอต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว

 

 

           เป็นอย่างนี้ต่อไป ถ้าไป๋จิ่งไม่ติดต่อเธอมาเสียที  จะไม่เป็นการพลาดโอกาสที่ครั้งนี้ได้เจอกันไปเสียเปล่าเหรอ

 

 

           ด้วยเหตุนี้เซียวเย่ว์จึงครุ่นคิดแล้วตัดสินใจไปเสี่ยงโชคที่โรงพยาบาล

 

 

           บางทีอาจจะเจอไป๋จิ่งได้ ถึงตอนนั้นทำเป็นบังเอิญเจอไป๋จิ่งได้พอดี

 

 

           จะได้ไม่ดูเหมือนว่าเธอใจร้อนเกินไป ไม่เก็บอาการ

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เซียวเย่ว์เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แต่งหน้าใหม่อีกครั้ง เวลานี้ถึงเพิ่งจะได้ขับรถออกจากคอนโดมิเนียมมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล

 

 

           เซียวเย่ว์เอารถมาจอดในลานจอดรถหน้าทางเขาโรงพยาบาล แล้วเดินอย่างสง่างามเข้าไป

 

 

           เธอเดินไปพลางมองหาไปรอบๆ อย่างไม่สนใจอย่างอื่น เหมือนกำลังตามหาไป๋จิ่งไม่มีผิด  

 

 

           

 

 

ตอนที่ 551 ส่งลูกกวาด

 

 

           หลังจากเซียวเย่ว์มาแล้ว เธอจงใจเดินวนรอบชั้นหนึ่งไปสองรอบ แต่ก็ไม่เห็นไป๋จิ่งสักที ในใจเธอไม่ยินดีเท่าไหร่นัก จึงไปตามหาที่ห้องพักผู้ป่วยทีละชั้นๆ แล้ว

 

 

           ……

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูเวลาเป็นเวลาเที่ยงแล้ว จวนจะถึงเวลาที่ต้องกินข้าวแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ยังคงตกอยู่ในโลกของตัวเอง คิดดูแล้วถ้าไป๋จิ่งไม่อยู่ที่นี่ เกรงว่าเขาจะลืมเรื่องกินข้าวไปเสียสนิท

 

 

           เมื่อก่อนเขาไม่ได้อยู่ข้างกายมั่วไป๋ ดังนั้นจึงช่วยกำชับมั่วไป๋ไม่ได้

 

 

           แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาอยู่เคียงข้างมั่วไป๋ได้ตลอดเวลา

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมือไปปิดสมุดวาดรูปในมือของมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง แววตาต้องการถาม

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นนาฬิกาออกมา “เที่ยงครึ่งแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋มองดูเวลา “เร็วขนาดนี้เชียว” เขายังคิดว่าเพิ่งจะกินข้าวเช้าได้ไม่นานเอง

 

 

           ไป๋จิ่งถอนหายใจ ในใจก็คิดว่า  คุณมีสมาธิจดจ่อขนาดนี้ จะรู้เวลาได้ก็แปลกแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เก็บของสักพักแล้วค่อยลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ ลงไปกินข้าวกัน”

 

 

           เวลานี้ไป๋จิ่งและมั่วไป๋ถึงได้ลงไปกินข้าวด้วยกันที่ชั้นหนึ่ง

 

 

           ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันออกจากห้องพักผู้ป่วย เข้าไปในลิฟต์ลงไปชั้นหนึ่งด้วยกัน

 

 

           เซียวเย่ว์เพิ่งออกมาจากลิฟต์อีกตัวที่อยู่ข้างๆ พอดี ตอนที่เธอเอียงหน้ามา จิตใต้สำนึกสั่งให้เธอมองไปข้างในแวบหนึ่ง เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างในเหมือนจะเป็นไป๋จิ่ง

 

 

           เซียวเย่ว์แสดงปฏิกิริยาตอบสนอง เธอมองลิฟต์ทันที ก็เห็นเพียงแค่ลิฟต์หยุดลงที่ชั้นหนึ่ง

 

 

           เธอรีบกดลิฟต์ นิ้วกดปุ่มไม่หยุด รู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ในที

 

 

           ‘ถ้าคนข้างในเป็นไป๋จิ่งจริงๆ ถ้าช้าเพียงแค่ก้าวเดียว เธอจะไม่ขาดทุนแย่เหรอ’

 

 

           ยังดีที่ลิฟต์มาเร็วมาก เซียวเย่ว์รีบเดินเข้าไป กดปิดประตูอย่างรวดเร็ว

 

 

           มั่วไป๋กับไป๋จิ่งออกมาจากลิฟต์ ไป๋จิ่งเอียงหน้าเอ่ยถามมั่วไป๋ “อยากกินอะไรหรือเปล่า”

 

 

           เรื่องกินเขาไม่มีอะไรต้องการเป็นพิเศษ ขอเพียงแต่กินได้ก็ได้หมด

 

 

           “ฉันได้หมด นายล่ะ”

 

 

           มีมั่วไป๋อยู่ ไป๋จิ่งก็กินอะไรได้หมดอยู่แล้ว

 

 

           ทั้งสองคนตัดสินใจเดินไปดูข้างหน้าก่อน มีอะไรที่อยากกินก็กิน

 

 

           เมื่อเดินผ่านร้านสะดวกซื้อ ไป๋จิ่งบอกว่าต้องการจะไปซื้อบุหรี่ซองหนึ่ง มั่วไป๋พยักหน้ารับ “ได้ ฉันจะเข้าไปกับนายด้วยนะ”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยไปตามเรื่อง “ไม่ต้องหรอก คุณรอผมอยู่ที่หน้าประตูเถอะ ข้างในคนเยอะ”

 

 

           มั่วไป๋ไม่ชอบสถานที่ที่มีผู้คนจอแจ คนที่อยู่ข้างในร้านสะดวกซื้อมีจำนวนไม่น้อยจริงๆ มั่วไป๋เห็นคนเยอะขนาดนั้นจึงพยักหน้ารับ “ได้ ฉันจะรอนาย”

 

 

           ไป๋จิ่งรีบวิ่งเข้าไป สุ่มหยิบบุหรี่มาซองหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปแถวชั้นวางลูกกวาด ซื้อลูกกวาดมาจำนวนหนึ่ง จ่ายเงินแล้วเอาใส่กระเป๋าเสื้อ

 

 

           ใช้เวลาเพียงไม่นาน ไป๋จิ่งก็วิ่งออกมา

 

 

           เขายิ้มมองมาทางมั่วไป๋พลางเอ่ยเสียงต่ำ “รอนานเลยใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “ก็ยังโอเค”

 

 

           ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้ากันต่อ ไป๋จิ่งคลำลูกกวาดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คิดแล้วก็หยิบออกมาวางใส่ฝ่ามือ

 

 

           เขาทำหน้านิ่ง เอ่ยเสียงต่ำ “ซื้อบุหรี่แล้วแถมมาพอดี ให้คุณแล้วกัน”

 

 

           มั่วไป๋เห็นลูกกวาดในมือเขา ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขันทันที เสียงต่ำเอ่ยถามกลับ “ฉันไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าที่นี่ซื้อบุหรี่แล้วแถมลูกกวาดด้วย”

 

 

           เดิมทีไป๋จิ่งรู้สึกเขินอายเอง ดังนั้นจึงหาข้อแก้ตัวไปพลาง

 

 

           ผลปรากฏว่าถูกมั่วไป๋เปิดโปงขนาดนี้ ยังรู้สึกเขินอายอยู่ในที

 

 

           ยามตามจีบคน ไป๋จิ่งไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าหนังหน้ามาแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้ว่าความเขินอายคืออะไรด้วยซ้ำ

 

 

           แต่ตอนนี้…

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บางครั้งเพียงแค่เห็นมั่วไป๋ เขาก็รู้สึกเขินอายได้

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใช้ชีวิตไปข้างหน้ายิ่งถอยหลังกลับไป ในขณะเดียวกันก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

 

 

           เผชิญหน้ากับแววตาหยอกล้อของมั่วไป๋ ไป๋จิ่งค่อนข้างลำบากใจ เห็นมั่วไป๋ไม่รับลูกไปเสียที เขาร้อนรนในใจทันที

 

 

           เอาลูกกวาดยัดใส่มือของมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋มองดูลูกกวาดที่ไป๋จิ่งเป็นคนยัดใส่มือมา รู้สึกขำทั้งน้ำตาไม่ไหวแล้ว

 

 

           เขาเชิดมุมปากขึ้นยิ้มหัวเราะ ยังรู้ว่าไป๋จิ่งเป็นแบบนี้ก็น่ารักพิกล

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขายิ้มแล้ว ในใจก็โล่งอกไปที

 

 

           ‘ขอเพียงแต่ยิ้มแล้วก็ งั้นก็แสดงว่ามั่วไป๋ไม่ได้เกลียดมัน’

 

 

           ตลอดทั้งชีวิตครั้งแรกที่ส่งของขวัญคือการส่งลูกกวาด ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใช้ชีวิตไปข้างหน้ายิ่งถอยหลังกลับไปแล้ว

ตอนที่ 548 สะอิดสะเอียนจะตาย  

 

 

           “เหอะๆ” เหยียนอวี้หัวเราะ “ยังไงกัน ตอนนี้รู้จักติดสินบนผมแล้วเหรอ สายไปแล้ว”  

 

 

           มั่วไป๋มองเหยียนอวี้อย่างจริงจัง พินิจมองเล็กน้อย  

 

 

           เหยียนอวี้กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คุณมองผมทำอะไร”  

 

 

           ไป๋จิ่งเอียงหน้าถาม “คุณทำหน้าเหมือนหึงแบบนี้ หรือว่าคุณชอบมั่วไป๋ของผม”  

 

 

           เหยียนอวี้แทบจะกระอักเลือดเป็นครั้งที่สองของวันนี้โดยฝีมือของไป๋จิ่งทำให้หัวร้อนอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็พบแล้วว่า ไป๋จิ่งตัดสินใจว่าถ้าไม่ทำให้เขาอกแตกตายก็จะไม่หยุด  

 

 

           “เหอะๆ ผมไม่ชอบมั่วไป๋ ผมชอบคุณ” เหยียนอวี้แสดงท่าทีสะอิดสะเอียดเขาจนถึงขั้นจะตายให้ได้ พร้อมเอ่ยเสริมอีกประโยค “ชอบคุณชอบคุณจะตายเลยทีเดียว”  

 

 

           ไป๋จิ่งสั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ขนลุกซู่ไปทั้งตัวแล้ว  

 

 

           เขาอดจะคิดไม่ได้ว่า ถ้าสลับมาเป็นมั่วไป๋พูดประโยคนี้ คาดว่าเขาจะได้ดีใจจนหาทางกลับไม่ถูกแล้ว  

 

 

           ที่สำคัญคือสลับมาเป็นเหยียนอวี้พูดประโยคนี้ เขาสะอิดสะเอียนถึงขนาดว่าอยากจะอาเจียนเอาของที่กินเมื่อคืนนี้ออกมา  

 

 

           เหยียนอวี้เห็นเขาทำหน้าสะอิดสะเอียน ตาก็ลุกวาวขึ้นมาแล้ว  

 

 

           ‘มุขนี้ใช้ได้ผลแหะ’  

 

 

           ด้วยเหตุนี้เหยียนอวี้จึงกะพริบตาใส่เขา เอ่ยด้วยท่าทีหว่านเสน่ห์ “เป็นยังไงบ้าง อยากจะลองกับผมหน่อยไหม”  

 

 

           ไป๋จิ่งอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ  

 

 

           ไม่อยากพูดสักคำ หันหน้าหนีแล้วก็เผ่นออกไปทันที  

 

 

           อยู่ที่นี่ต่อไป ตัวเองต้องอาเจียนออกมาแน่  

 

 

           เหยียนอวี้เห็นไป๋จิ่งทำหน้าหมาหงอยเผ่นออกไป อารมณ์ก็โล่งสบายในพริบตา  เห็นเขาหมอเหยียนเป็นลูกพลับอ่อนจริงๆ หรือไง ถูกมั่วไป๋บีบก็ช่างเถอะ  

 

 

           ‘ไป๋จิ่งอยากบีบ แม้แต่ประตูก็ไม่มีให้หรอก!’  

 

 

           เขาก้มหน้ามองอาหารเช้าบนโต๊ะ จู่ๆ ก็มีความอยากอาหารขึ้นมา  

 

 

           อีกฝั่งหนึ่ง ไป๋จิ่งทำหน้าตาขยะแขยงกลับห้องพักผู้ป่วยมา มั่วไป๋มองเขาด้วยความแปลกใจ “เป็นไรไป”  

 

 

           ไป๋จิ่งไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ คิดๆ แล้วยังรู้สึกชาไปทั้งหัวอยู่ดี  

 

 

           เขาส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”  

 

 

           เขาเอาอาหารเช้าในมือที่ซื้อห่อกลับมาวางลงบนโต๊ะข้างหน้า แล้วกวักมือเรียกมั่วไป๋ “กินข้าวเช้ากัน”  

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับ แต่การกระทำในมือกลับไม่หยุดลง  

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งวางอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็หมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำไป รีบล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็ว แล้วถึงค่อยเดินออกมา  

 

 

           มั่วไป๋ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟา ยังคงก้มหน้าวาดรูปอยู่  

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง แล้วเดินมุ่งหน้าไปหามั่วไป๋ เขาใช้มือเช็ดน้ำบนใบหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงมองมั่วไป๋แวบหนึ่ง  

 

 

           ก็เห็นแค่เพียงภาพวาดในมือเขาใกล้จะเสร็จแล้ว  

 

 

           คิดดูแล้วมั่วไป๋คงอยากจะทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกินข้าว  

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิด กลัวว่ารอนานเกินไป อาหารจะเย็นได้ เสียงต่ำจึงเอ่ยขึ้น “กินก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยทำต่อไหม”  

 

 

           มั่วไป๋มองดูแล้ว โดยพื้นฐานเค้าวาดโครงเสร็จแล้ว มีเพียงแค่ต้องเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น  

 

 

           ถึงแม้จะไม่ได้ยุ่งยากมาก แต่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่จริงๆ  

 

 

           คิดได้เช่นนี้ มั่วไป๋ก็วางดินสอในมือลง ลุกขึ้นมาจากโซฟา ไปกินอาหารเช้า  

 

 

           ไป๋จิ่งเดินมานั่งตรงข้ามกับมั่วไป๋ ทั้งสองคนกินอาหารเช้าด้วยกัน  

 

 

           ขณะที่มั่วไป๋กินอาหารอยู่ เขาเงียบมาก แทบจะไม่พูดอะไรออกมาได้  

 

 

           ไป๋จิ่งชายตามองมั่วไป๋อยู่สองสามครั้ง ดูเหมือนมีอะไรอยากจะพูด  

 

 

           มั่วไป๋นั่งอยู่ตรงข้ามเขา แวบแรกก็มองความผิดแผกจากเดิมของไป๋จิ่งออกทันที ถึงแม้เขาไม่พูด แต่ก็ไม่ได้แปลว่าตัวเองจะมองไม่เห็น  

 

 

           ตอนที่ไป๋จิ่งมองเขาเป็นรอบที่สี่ ช้อนในมือมั่วไป๋ก็หยุดลง เอ่ยอย่างปล่อยอารมณ์ “มีอะไรอยากถามฉันหรือเปล่า”  

 

 

           นัยน์ตาไป๋จิ่งฉายแวว  เมื่อกี้เขาแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเชียวเหรอ  

 

 

           “ไม่เป็นไร นายถามมาเถอะ” มั่วไป๋เอ่ยเสริมต่ออีกประโยค  

 

 

           ไป๋จิ่งกำช้อนในมือแน่น เสียงต่ำเอ่ยถาม “หลังจากที่คุณมาอเมริกา ใช้ชีวิตยังไงเหรอ”  

 

 

           ที่จริงเขาอยากจะถาม ค่าใช้จ่ายในการรักษาตอนนั้น ยังมีเงินทุนของเขาตอนนี้อีก…มาได้อย่างไรกัน  

 

 

              

 

 

ตอนที่ 549 ฉันควรจะไม่ได้จนไปกว่านาย  

 

 

           ไป๋จิ่งสามารถถามขนาดนี้ได้ เพราะว่าเขาพบว่า ไม่ว่าจะเป็นหลินฝานในอดีตหรือว่ามั่วไป๋ในตอนนี้ เขาก็ไม่เคยชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของเขาหรือว่าชีวิตของเขา  

 

 

           บางทีไป๋จิ่งในอดีตอาจจะยังไม่คิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ  

 

 

           แต่ไป๋จิ่งในตอนนี้กลับอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดของมั่วไป๋มากๆ เพราะว่าใส่ใจพอ ดังนั้นถึงได้อยากเข้าใจมากขึ้นไปอีก  

 

 

           ทันใดนั้นมั่วไป๋ก็ยิ้มออกมา เขาวางช้อนในมือลงแล้วมองไป๋จิ่ง “จะว่าไป นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นายถามคำถามนี้กับฉัน”  

 

 

           ไป๋จิ่งคอหดเกร็งในทันใด  

 

 

           “ก่อนพ่อฉันจะเสีย ท่านทิ้งบริษัทไว้ให้ฉัน ฉันไม่ชอบเลยขายทิ้ง” มั่วไป๋หยุดสักพัก “ฉันเรียนสาขาศิลปะมาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ต่อมาฉันว่างเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เลยถือโอกาสไปเรียนสาขาคอมพิวเตอร์ต่อ ยังดีที่ทั้งสองสาขานี้เรียนได้ดีมาก ต่างก็เอามาใช้เป็นช่องทางทำมาหากินได้ แล้วรายได้ก็สูงด้วย”  

 

 

           ตอนแรกเริ่มเดิมทีเขาก็แค่ว่างๆ เบื่อ จึงมาวาดรูปฆ่าเวลา  

 

 

           ไม่มีอะไรทำก็แบกรูปไปขายตามข้างถนนถูกๆ ไม่ได้สนใจเรื่องราคา เขาก็แค่อยากหาอะไรทำให้ตัวเองสักหน่อยเท่านั้น  

 

 

           ใครจะคิดว่าต่อมาจะยังพอมีชื่อเสียงขึ้นมา ราคาภาพก็สูงขึ้นมาก  

 

 

           เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ช่วยใครวาดรูปง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่าเป็นลูกค้าเก่าและลูกค้าที่ถูกชะตากันเท่านั้น  

 

 

           “ที่จริงคำนวณดูแล้ว ฉันควรจะไม่ได้จนไปกว่านาย”  

 

 

           มั่วไป๋ใช้ประโยคนี้ปิดท้ายประโยค  

 

 

           ไป๋จิ่งอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้ แม้กระทั่งเรื่องวาดรูป เขาเองก็เพิ่งจะมารู้เอาตอนที่มาโรงพยาบาลเป็นครั้งแรก  

 

 

           เริ่มแรกเขาคิดเพียงแค่ว่ามั่วไป๋หาเรื่องอะไรทำแก้เบื่อที่โรงพยาบาล ดังนั้นถึงได้วาดรูป  

 

 

           ใครจะคิดว่าที่จริงแล้วเขาจะเป็นจิตรกร แล้วยังมีชื่อเสียงมากๆ แบบนั้นอีก   

 

 

           “ผม ผมไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย”  

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยเสียงเรียบๆ “นายไม่เคยถามฉันมาก่อน”  

 

 

           ตอนนั้นตอนที่เขายังเป็นหลินฝาน เขาก็ไม่ได้อยากจะเอ่ยถึงเหมือนกัน ต่อมาระหว่างทั้งสองคนกลายเป็นแบบนั้น ยิ่งจะไม่สามารถเอ่ยถึงได้อีก  

 

 

           ถ้าครั้งนี้ไป๋จิ่งไม่ได้ถามขึ้นมา เกรงว่ามั่วไป๋เองก็ไม่คิดจะพูดขึ้นมาเหมือนกัน  

 

 

           สำหรับเขาแล้ว เรื่องเงินทองอะไรพวกนี้ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น  

 

 

           อาจจะเป็นเพราะว่าตั้งแต่เล็กก็ไม่ได้ขัดสนเงินทอง ชีวิตสุขสบายเอื้ออำนวยทุกอย่าง ดังนั้นจึงไม่ได้มีแนวคิดเรื่องเงินอะไร  

 

 

           เงินที่ขายบริษัทไป นอกจากเอาออกมาส่วนหนึ่งเพื่อคืนให้เจียงมู่เฉินแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำธุรกรรมอะไรกับเงินในนั้นอีก  

 

 

           ชีวิตเขาสงบเงียบ ไม่มีของอะไรที่จำเป็นอยากได้ เวลาปกติก็ไม่ได้ออกไปไหน อยู่บ้านวาดรูปไม่ก็อ่านหนังสือทั้งวัน  

 

 

           ใช้เงินน้อยมาก  

 

 

           เจียงมู่เฉินเคยพูดว่า เขาเป็นคนที่ไม่อยากได้ไม่อยากมีที่สุดในทั้งชีวิตนี้ของเขาที่เคยเจอมา  

 

 

           มั่วไป๋คิดถึงตรงนี้ เขาเงยหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง  

 

 

           ที่จริงเขาก็เคยเป็นคนที่อยากได้อยากมีมาก่อน  

 

 

           คนที่อยู่ต่อหน้าเขาตรงนี้ เคยเป็นคนที่เขาอยากได้มาแต่ไม่ได้  

 

 

           เพียงแต่ว่าต่อมาก็เข้าใจแล้วว่า  ของบางอย่าง ต่อให้นายวอนขอแค่ไหนก็คว้ามาครองไม่ได้  

 

 

           มั่วไป๋ครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อ “ที่จริง ต่อให้นายรู้ก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก”  

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินประโยคนี้ ท่าทีก็เปลี่ยนมาจริงจังทันที “มีความหมายสิ มีความหมายมากด้วย”  

 

 

           เขาชอบมั่วไป๋ ดังนั้นก็ต้องอยากรู้เรื่องของมั่วไป๋เป็นธรรมดา  

 

 

           ไม่ใช่แค่เพียงเข้าใกล้มั่วไป๋คนคนนี้เท่านั้น ยังอยากเข้าใกล้เรื่องราวของมั่วไป๋ในอดีต ทั้งหมดทุกอย่างของเขา  

 

 

           มีเพียงแค่เขาเดินเข้ามาในชีวิตของมั่วไป๋เท่านั้น เขาถึงจะมีมั่วไป๋จริงๆ ได้  

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับ “แล้วนายยังมีอะไรอยากจะถามอีกไหม”  

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกมาตรงๆ “ผมมีคอนโดในครอบครองเป็นชื่อผมอยู่สามหลัง ค่าจ้างรายปีประมาณสองล้านหยวน หุ้นและส่วนปันผลกำไรสามล้านหยวน ผมเองยังลงทุนในธุรกิจอาหารเครื่องดื่มและบันเทิง ได้กำไรทุกปีประมาณสี่ล้านหยวน…  

 

 

…พ่อผมเสียเร็ว คนในครอบครัวก็เหลือแค่แม่ผมคนเดียว เพียงแต่ว่าเธออยู่ฝรั่งเศสเป็นการถาวร เจอหน้าผมสองครั้งต่อปี”  

 

 

            ไป๋จิ่งพูดไปทำเสียงจิ๊จ๊ะ มั่วไป๋มองเขา ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร จู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน  

ตอนที่ 546 จะบีบเขาให้ได้เลยใช่ไหม  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเหยียนอวี้ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ไปไหนสักที เขาอดจะขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้  

 

 

           ‘มั่วไป๋ยังหลับอยู่นะ เหยียนอวี้ไม่คิดจะเฟดตัวออกไปอีกเหรอ’  

 

 

           มีหรือที่เหยียนอวี้จะคิดถึงเรื่องนี้ได้ ตอนนี้ในหัวเขาเต็มไปด้วยเรื่องที่มั่วไป๋คืนดีกับไป๋จิ่งแล้วโดยไม่คาดคิด  

 

 

           นี่ทำให้เหยียนอวี้ไม่กล้าจะยอมรับได้  

 

 

           รออยู่หลายนาที เหยียนอวี้ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาเบนสายตาจากมั่วไป๋ไปมองไป๋จิ่ง  

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่ไป๋จิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อยใส่เขา แสดงท่าทีไม่ชอบใจ  

 

 

           เหยียนอวี้ทำเสียงพ่นลมหายใจในใจ  เพิ่งจะคืนดีกันก็มองเขาขัดตาแล้วเหรอ  

 

 

           เกิดความฮึกเหิมอยากจะแอบยุให้มั่วไป๋สะบัดไป๋จิ่งทิ้ง  

 

 

           ทั้งสองคนจ้องกันไปกันมา ไม่มีใครยอมใคร  

 

 

           มั่วไป๋ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาท่ามกลางแรงอาฆาตที่อยู่เต็มเปี่ยมในแววตา มือที่ถูกไป๋จิ่งกุมไว้ขยับเล็กน้อย  

 

 

           ไป๋จิ่งรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว เขารีบหันไปมองทันที  

 

 

           ก็เห็นแค่เพียงมั่วไป๋ที่เบิกตาเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่  

 

 

           เขายกมือขึ้นมากดบริเวณขมับที่ปูดขึ้นมา เอียงหน้ามองไปด้านข้าง “เหยียนอวี้ นายอยู่ที่ได้ยังไง”  

 

 

           เหยียนอวี้หมดอาลัยตายอยาก  ตอนนี้จะก่อหวอดแบบไหนกัน  

 

 

           ‘สองคนนี้จะบีบเขาให้ได้เลยใช่ไหม’  

 

 

           “หึ” เหยียนอวี้ทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ  ตอนนี้รังเกียจฉันที่ขวางหูขวางตาใช่ไหม ครั้งหน้ามีเรื่องอะไรแล้วมาหาฉันอีก ฉันรับประกันจะเย็นชาในใส่จนนายไม่อาจเอื้อมเลยคอยดู  

 

 

           ด้วยเหตุนี้เหยียนอวี้จึงไม่ได้พูดอะไร เดินสะบัดผมออกไป  

 

 

           ‘เขาเป็นผู้ชายที่โกรธเป็นนะ จะมาให้อภัยกันสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง’  

 

 

           ด้วยเหตุนี้มั่วไป๋กับไป๋จิ่งสองคนจึงมองดูเหยียนอวี้ที่เดินหน้าเชิดออกไปทั้งอย่างนี้  

 

 

           มั่วไป๋มองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง เสียงต่ำเอ่ยถามขึ้น “เมื่อกี้เขามาดูอะไรเหรอ”  

 

 

           ไป๋จิ่งคิดแล้วตอบกลับไป “แอบดูคุณหลับ”  

 

 

           เหยียนอวี้ที่ยังเดินไม่พ้นประตูไปไกลนัก “…”  

 

 

           อีกนิดเขาเกือบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว  เขาเป็นคนประเภทว่างเบื่อไม่มีอะไรทำแล้วมาแอบดูมั่วไป๋นอนหลับเหรอ  

 

 

           ‘อยากจะพุ่งเข้าไปตีคนทำทำยังไงดี’  

 

 

           เหยียนอวี้พร่ำบอกตัวเองไม่หยุด เขาเป็นหมอที่มีจรรยาบรรณวิชาชีพ จะมาคิดเล็กคิดน้อยกับคนไข้ไม่ได้  

 

 

           ……  

 

 

           หลังจากเหยียนอวี้เดินออกไปแล้ว มั่วไป๋ดูเวลาแล้วเตรียมจะลุกจากเตียง เขาเพิ่งจะเตรียมดึงผ้าห่มออก ถึงได้พบว่ามือตัวเองยังถูกไป๋จิ่งกุมไว้แน่นอยู่  

 

 

           เขาชะงักงันไป จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาปล่อยมือไป๋จิ่ง  

 

 

           มั่วไป๋ยังไม่ทันได้ดึงมือออก ไป๋จิ่งก็รีบคว้าไว้แน่นทันที กลัวมั่วไป๋จะปล่อยมือออกกะทันหัน  

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง เขาก็เห็นเพียงแค่แววตาที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เหมือนมีอะไรค่อยๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาอย่างช้าๆ  

 

 

           แค่เพียงมองแวบเดียวเท่านั้น มั่วไป๋ก็ไม่ค่อยจะกล้ามองเท่าไหร่แล้ว  

 

 

           เขารู้สึกมาตลอดว่าดูเหมือนไป๋จิ่งอยากจะพูดอะไรบางอย่าง  

 

 

           มั่วไป๋หันหน้าอยากจะหลีกหนี แต่มือยังถูกไป๋จิ่งกุมไว้อยู่ อยากหลบก็หลบไม่ไหว  

 

 

           เขาทำได้เพียงแค่เอียงหน้าเล็กน้อย หลบหลีกสายตาของไป๋จิ่ง  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นลำคอระหงของมั่วไป๋ เป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ มั่วไป๋จะหลบหนีความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนทีละนิดๆ ได้  

 

 

           ไป๋จิ่งไม่อยากให้มั่วไป๋หลบหนีเขาต่อไปแบบนี้แล้ว  

 

 

           ดังนั้นเขาจึงจับมือมั่วไป๋ไว้แน่นสนิท ไม่ให้เขาหลบหนีไปได้  

 

 

           มั่วไป๋รับรู้ถึงแรงที่เพิ่มขึ้นมาในฝ่ามือ เขาถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ดูท่าว่าวันนี้ถ้าเขาไม่แสดงออกตามเจตนาของไป๋จิ่งให้ชัดเจน ไป๋จิ่งก็จะไม่ปล่อยมือแล้ว  

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงเงยหน้ามองไป๋จิ่ง  

 

 

           “บอกมาเถอะ มีอะไรอยากจะพูด”  

 

 

           เดิมไป๋จิ่งเตรียมพร้อมอยู่ในใจมาแล้ว แต่พอถูกมั่วไป๋มองขนาดนี้ เขาก็กระวนกระวายนิดหน่อยเสียเดี๋ยวนั้น  

 

 

           ไป๋จิ่งกดเก็บความกระวนกระวายในใจลงไป แล้วเอ่ยเสียงต่ำทันทีหลังจากนั้น “ผมรู้ว่าเมื่อคืนควรจะไม่ได้ทำให้เข้าใจผิด แล้วก็เข้าใจความหมายของคุณ”  

 

 

           เขาตื่นตระหนกนิดหน่อย หยุดลงสักพัก แล้วเอ่ยต่อ “แต่ว่าผมยังอยากจะพูดกับคุณให้ชัดเจน”  

 

 

              

 

 

         ตอนที่ 547 ต้องการคำตอบ  

 

 

คนสองคนนั่งอยู่บนเตียงใครเตียงมัน ผ้าห่มต่างก็ยังไม่ได้เปิดออก กลับพูดปัญหาที่จริงจังขนาดนี้  

 

 

ถ้าไม่ใช่ว่าจะไม่ถูกกาลเทศะ มั่วไป๋รู้สึกว่าตัวเองไม่แน่ว่าจะยิ้มหัวเราะออกมาได้  

 

 

คงจะมีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่เพิ่งตื่นขึ้นมาอยู่นั่งบนเตียงแล้วพูดคุยเรื่องแบบนี้ได้  

 

 

“ผมจริงจังนะ ไม่ได้จะมาเล่นๆ หลอกๆ เลยสักนิด” เขาพูดไปพลางมองมั่วไป๋ “แล้วคุณล่ะ”  

 

 

เขาแค่อยากได้คำตอบเดียวที่ยืนยันได้แน่นอน  

 

 

เขาแค่อยากได้คำตอบเดียวที่ชอบด้วยเหตุผล หลังจากนั้นก็จะเก็บรักษามั่วไป๋ไว้อย่างดี  

 

 

มั่วไป๋รู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามกันตรงๆ ขนาดนี้ เพียงชั่วขณะยังไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรดี  

 

 

ผ่านเรื่องราวในตอนนั้นมา ลักษณะนิสัยของมั่วไป๋เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่เหมือนตอนนั้นที่ไม่เก็บอารณ์แม้แต่น้อยเผยความรู้สึกตัวเองหมดเปลือก  

 

 

ดังนั้นเมื่อไป๋จิ่งต้องการคำตอบจากเขา เขาอ้าปากจะพูด แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา  

 

 

เขาควรจะเลือก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อเห็นสายตาไป๋จิ่งที่รอคอยแต่กลับซ่อนความกังวลไว้ เขาก็ตอบ “อืม” โดยไม่คิดอะไรก่อนทั้งนั้น  

 

 

ถึงแม้ว่ามั่วไป๋จะตอบเพียงแค่ ‘อืม’ คำเดียว แต่กลับได้ตอบคำถามของไป๋จิ่งเรียบร้อยแล้ว  

 

 

ไป๋จิ่งดีใจแทบบ้าอยู่ในใจ เขากุมมือกระชับมือมั่วไป๋แน่นขึ้นเล็กน้อย คนทั้งคนทำอะไรไม่ค่อยถูกแล้ว  

 

 

ราวกับว่าอยากพุ่งเข้าไปกอดมั่วไป๋ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้มั่วไป๋ตกใจ แล้วพยายามยับยั้งอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง  

 

 

มั่วไป๋เก็บอารมณ์ความรู้สึกของไป๋จิ่งไว้ในสายตาทั้งหมด ในใจก็ขำขันอยู่ไม่น้อย  

 

 

จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า ‘อืม’ คำนั้นของเขา พูดได้คุ้มค่ามาก  

 

 

ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหวานละมุน มั่วไป๋สูดหายใจเข้าไป รู้สึกว่ากลิ่นหวานนั้นไล้ไปตามปลายจมูกค่อยๆ อบอวลแผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ  

 

 

เวลาผ่านไปนาน มั่วไป๋กระแอมไอด้วยความรู้สึกไปไม่ถูก เอ่ยอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก “คือว่า…ฉันจะไปล้างหน้า”  

 

 

ไป๋จิ่งยังกำลังดีใจอยู่ ได้ยินคำพูดของมั่วไป๋ ก็รีบพยักหน้าทันที “ได้สิ คุณไปเถอะ”  

 

 

‘มือเขายังดึงไว้อยู่ แล้วเข้าจะไปได้ยังไงกัน’  

 

 

มั่วไป๋ก้มหน้ามองมือไป๋จิ่ง บอกใบ้เบาๆ  

 

 

เวลานี้ไป๋จิ่งเพิ่งรู้ตัว เขาหัวเราะแห้งๆ ดูเหมือนจะเกรงใจไม่เบา รีบปล่อยมือทันที  

 

 

“คุณ คุณไปเถอะ”  

 

 

มั่วไป๋ได้รับอิสระใหม่อีกครั้ง เวลานี้ถึงได้ยื่นมือไปดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียงแล้วเข้าห้องน้ำไป  

 

 

สายตาไป๋จิ่งเหมือนกับกาวห้าศูนย์สอง เกาะติดอยู่บนตัวมั่วไป๋ ติดตัวมั่วไป๋เข้าห้องน้ำไป  

 

 

ถ้าไม่ใช่ว่าเขายังพอมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง คาดว่าจะตามเข้าไปในห้องน้ำแล้ว  

 

 

ไป๋จิ่งลูบหัวปอยๆ ยิ้มหัวเราะกับคำว่า ‘อืม’ ของมั่วไป๋  

 

 

คิดถึงเพียงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋จิ่งก็ยิ่งลึกลงอีก มองจากมุมไกลเหมือนเจ้าโง่ไม่มีผิด  

 

 

  มั่วไป๋เข้ามาในห้องน้ำ ยืนอยู่หน้ากระจก ยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของตัวเอง ก็เห็นเพียงแค่ว่าไม่ได้ผิดแผกจากเดิมไปมากจนเกินไป  

 

 

ทันทีหลังจากนั้นมั่วไป๋ก็เอามือมาวางที่หัวใจของตัวเอง ก็เห็นเพียงแค่ตรงนั้นเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เสียความสงบเงียบไป  

 

 

เร็วแรงราวกับอยากจะเต้นออกมาอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

มั่วไป๋กอบน้ำไว้ในมือ แล้ววักน้ำใส่หน้า เหมือนอยากจะวักน้ำดับหัวใจที่ไม่สงบเงียบของเขา  

 

 

……  

 

 

ไป๋จิ่งลงไปซื้ออาหารเช้ามาสองชุด คิดดูแล้วก็ซื้อให้เหยียนอวี้อีกชุดด้วย ถึงอย่างไรตอนเช้าก็ล่วงเกินเหยียนอวี้ไป ยังต้องตามไปง้อสักหน่อย  

 

 

ถึงอย่างไรก็เป็นหมอเจ้าของไข้ ต้องติดสินบน  

 

 

ไป๋จิ่งเดินๆปถึงห้องทำงานของเหยียนอวี้อย่างอารมณ์ดี เขาเชิดมุมปากผลักประตูเข้าไป อีกนิดขาดแค่เขียนบนใบหน้าว่า ‘อารมณ์ดีมาก’  

 

 

เหยียนอวี้กวาดสายตามองรอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋จิ่งพลางยิ้มเยาะ  

 

 

‘รู้สึกว่าคนคนนี้ไม่เข้าตา หมายความว่ายังไง’  

 

 

ไป๋จิ่งทำเป็นมองการยิ้มเยาะของเหยียนอวี้ไม่เห็น เดินเข้าไปถึงหน้าโต๊ะของเหยียนอวี้ วางอาหารเช้าลงต่อหน้าเหยียนอวี้ “ยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหมล่ะ ผมเลยเอามาให้คุณด้วย”

ตอนที่ 544 เริ่มย้ายเตียง  

 

 

           ถึงอย่างไรไป๋จิ่งจูบก็จูบแล้ว กอดก็กอดแล้ว ครั้งนี้มั่วไป๋ผลักเขาออก เขาก็ไม่ลังเลที่จะปล่อยมือแม้แต่น้อย  

 

 

           ภายใต้แสงไฟ มั่วไป๋ไม่ค่อยจะกล้ามองไป๋จิ่งเท่าไหร่นัก เขากระแอมไอเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบๆ “ฉันจะไปอาบน้ำก่อน”  

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งอยู่บนโซฟา มองดูมั่วไป๋เดินเข้าห้องน้ำไป  

 

 

           เขานั่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกคึกคักอย่างไรชอบกล คิดแล้วคิดอีก ยิ่งคิดยิ่งคึกคัด เป็นเช่นนี้มาก็นั่งไม่ค่อยติดแล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งกรอกตาไปมา สุดท้ายสายตาก็ลอยไปทางฝั่งห้องน้ำ  

 

 

           แต่ตอนนี้มั่วไป๋ให้เขากอดจูบได้ เขาก็พอใจมากแล้ว ตอนนี้เขาไม่กล้าจะคิดอย่างอื่นแล้ว  

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงรีบเบนสายตาหนี หันหน้าไปมองรอบห้อง สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่เตียงของตัวเอง  

 

 

           เขายืนขึ้นมา ครุ่นคิดอย่างจริงจัง ตอนแรกที่เหยียนอวี้ส่งเตียงเขาเข้ามาในห้อง รู้ว่ามั่วไป๋รังเกียจเขา จึงตั้งใจวางเตียงเขาให้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพง  

 

 

           เตียงสองเตียงห่างกันหลายช่วงคน  

 

 

           ไป๋จิ่งขัดหูขัดตาเตียงเตียงนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ยิ่งขัดหูขัดตาไปกันใหญ่  

 

 

           ตอนนี้เขาว่างไม่มีอะไรทำพอดี ด้วยเหตุนี้เมื่อไป๋จิ่งจึงทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด วิ่งเข้าไป…ย้ายเตียง  

 

 

           ย้ายไปทางซ้าย เคลื่อนไปทางขวา  

 

 

           ไป๋จิ่งยุ่งจนเป็นเอามาก  

 

 

           กว่ามั่วไป๋จะเดินออกมาจากห้องน้ำ คนทั้งคนก็ตะลึงงันแล้ว  

 

 

           เขาก็แค่เข้าไปอาบน้ำเอง  ห้องโดนทิ้งระเบิดแล้วเหรอ  

 

 

           มั่วไป๋มองดูเตียงสองเตียงที่ใกล้ชิดกันมากถึงมากที่สุดอย่างเงียบๆ ตรงกลางเหลือเพียงแค่หนึ่งกำหมัดเท่านั้น  

 

 

           มุมปากเขากระตุกขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ คิดอย่างจริงจัง  เขาต้องขอบคุณไป๋จิ่งใช่ไหมที่ยังรู้จักเหลือที่ว่างให้เขาบ้างนิดหน่อย  

 

 

           ไป๋จิ่งอยากจะเอาสองเตียงมาอยู่ชิดกันก็จริง แต่ก็กลัวมั่วไป๋จะไม่สบายใจ ด้วยเหตุนี้หลังจากคิดแล้วคิดอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็ทิ้งระยะห่างไว้หนึ่งกำหมัด  

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูระยะห่างนั้น เขาก็ยังทุกข์ใจอยู่บ้างนิดหน่อย ที่จริงเขาไม่อยากจะเหลือที่ไว้ด้วยซ้ำ อยากจะแนบชิดติดกับเตียงของมั่วไป๋มากกว่า  

 

 

           แบบนี้เวลานอนตอนกลางคืน ก็จะกลิ้งไปกลิ้งมาได้ กลิ้งไปอยู่ข้างมั่วไป๋ได้ หลังจากนั้นก็กอดเขาไว้ในอ้อมอกของตัวเอง  

 

 

           ไป๋จิ่งยิ่งคิดยิ่งรู้สึกขาดทุน ใจก็เตรียมพร้อมที่จะลงมือบุกโดยอัติโนมัติ แทบอยากจะผลักมาอยู่ด้วยกันทันที  

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างจนใจ เดินมาถึงข้างเตียง มองไม่เห็นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้านี้  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ออกมา ตาก็ลุกวาวในทันใด แสดงท่าทีขอคำชมเชย  

 

 

           เขาเห็นมั่วไป๋ไม่ปริปากพูด จึงจ้องมองมั่วไป๋ตาไม่กะพริบ บอกเป็นนัยว่า ‘คุณต้องอวยผม ไม่อวย ผมจะไม่ไหวแล้ว’  

 

 

           มั่วไป๋อดกลั้นความอยากจะปิดตาตัวเองไว้ เขาทำหน้าตึง พยักหน้ารับเล็กน้อย “เก่งจริง!”  

 

 

           ไป๋จิ่ง “…”  

 

 

           ‘เก่งจริง…คือ…ความหมายอะไร’  

 

 

           ไป๋จิ่งลนลานนิดหน่อยแล้ว  

 

 

           หลังจากมั่วไป๋พูดจบประโยคนี้ เขาก็หยิบหนังสือที่เมื่อคืนนี้ยังอ่านไม่จบมาอ่านต่อ  

 

 

           สายตาของไป๋จิ่งจดจ่ออยู่ที่มั่วไป๋วับไปวับมาตั้งนานสองนาน  

 

 

           สุดท้ายก็พุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำ ไป๋จิ่งยืนอยู่ในห้องน้ำที่ไม่ใหญ่นัก เดินวกไปวนมารอบทิศทาง เดี๋ยวข่วนกำแพง เดี๋ยวกุมหน้าผาก เดี๋ยวถอนหายใจเห้อ  

 

 

           เขาเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ข้างในเป็นสิบนาทีกว่า ไป๋จิ่งถึงได้ถอดเสื้อผ้าออกแล้วไปอาบน้ำ  

 

 

           เขาไม่กล้าเปิดน้ำร้อน จึงเปิดน้ำเย็นลงมาตรงๆ  

 

 

           ช่วยไม่ได้ พอเขาเห็นมั่วไป๋ เขาก็อยากกอดมั่วไป๋ ไม่ใช่เพียงเท่านี้ยังอยากจูบมั่วไป๋อีกด้วย  

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ภายใต้น้ำเย็นเป็นครึ่งชั่วโมง สาดใจที่ตื่นเต้นหวั่นไหวไม่หยุดของเขา  

 

 

           อาบน้ำตั้งแต่ต้นจนจบก็ใกล้จะครบหนึ่งชั่วโมง รอจนกว่าไป๋จิ่งจะจัดการปัญหาได้ รู้สึกว่าใจสงบนิ่งลงแล้ว เขาถึงค่อยเดินออกมา  

 

 

           แสงไฟในห้องพักผู้ป่วยดับแล้ว เหลือเพียงแค่แสงไฟจากโคมไฟเล็กๆ เห็นทางเดินชัด แต่กลับดูมืดสลัวอยู่ในที  

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้รีบไปเข้านอนทันที แต่นั่งลงอยู่ข้างมั่วไป๋ ดูเขาสักพัก  

 

 

           หลังจากนั้นก็ก้มหน้าลงจูบมั่วไป๋ เวลานี้ถึงได้ปีนขึ้นเตียงตัวเองอย่างว่าง่าย    

 

 

             

 

 

ตอนที่ 545 กุมมือกันนอน  

 

 

           เตียงของทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ไป๋จิ่งเงยหน้ามาก็เห็นใบหน้าอ่อนนุ่มของมั่วไป๋ได้ในทันใด ไป๋จิ่งมองดูมั่วไป๋ หัวใจก็เกร็งแน่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  

 

 

           เขานอนมองมั่วไป๋อยู่ข้างๆ เป็นความรู้สึกที่มีมั่วไป๋นอนอยู่ข้างเขา  

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมือออกไปด้วยความตื่นเต้น เขาถือโอกาสยามมั่วไป๋หลับใหล เอื้อมมือไปกุมมือมั่วไป๋ที่วางอยู่บนหน้าอกของมั่วไป๋  

 

 

           กลัวมั่วไป๋จะตกใจตื่น ดังนั้นไป๋จิ่งจึงไม่กล้าออกแรง เพียงแค่เอามือวางไว้บนมือมั่วไป๋ เขาก็สุขใจจนควบคุมใจตัวเองไม่ได้แล้ว  

 

 

           ท่ามกลางความมืด เขาเชิดมุมปากขึ้น ยิ้มราวกับเป็นเด็กไม่มีผิด  

 

 

           ‘นี่คือมั่วไป๋ของเขาไง ในที่สุดก็มั่วไป๋ก็กลับมาอยู่ข้างกายเขาเสียที’  

 

 

           มั่วไป๋นอนหงายอยู่บนเตียง ไป๋จิ่งนอนตะแคงอยู่บนเตียง ทั้งๆ ที่มีระยะห่างกั้นไว้อยู่ทนโท่ แต่มือไป๋จิ่งกลับไม่เคยห่างจากมือมั่วไป๋ไปไหน  

 

 

           มั่วไป๋ขยับตัวกะทันหัน ร่างกายที่เดินนอนหงายตะแคงข้างมาเล็กน้อย คะแคงมาฝั่งไป๋จิ่งพอดี  

 

 

           ไป๋จิ่งหัวใจบีบคั้น รีบเงยหน้ามองมั่วไป๋ทันที เห็นเขายังคงหลับตาอยู่ เหมือนละเมอนอนไม่ได้สติพลิกตัวมา  

 

 

           เขาโล่งใจไปที ได้เห็นใบหน้ามั่วไป๋ในระยะที่ใกล้มาก เขายิ้มหัวเราะโดยไร้เสียง  

 

 

           มือที่กุมมือมั่วไป๋ไว้กระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย เพียงไม่นานก็หลับตาลงแล้วผล็อยหลับไป  

 

 

           ภายใต้ลมหายใจที่เข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มั่วไป๋ลืมตาขึ้นเล็กน้อย ในแววตาเขาไม่มีความง่วงเลยสักนิด  

 

 

           ที่ตะแคงข้างเมื่อครู่นี้ เขาจงใจทำอย่างชัดเจน  

 

 

           มั่วไป๋มองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรสักคำ หลับตาลงเบาๆ เพียงแค่มือที่ถูกไป๋จิ่งกุมไว้ ขยับเล็กน้อยประสานมือเข้าหากัน  

 

 

           ตลอดทั้งคืน มั่วไป๋รักษาอริยาบถแบบนี้ไว้ ไม่เคลื่อนไหวแม้เพียงนิดเดียว  

 

 

           มือที่ประสานกันไว้ไม่คลายออกจากกันแม้สักนาที  

 

 

           ……  

 

 

           เช้าวันต่อมา แสงแดดทะลุลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา ตกกระทบใบหน้าของไป๋จิ่ง เขาลืมตาเล็กน้อยกลับเห็นใบหน้าด้านข้างยามหลับใหลของมั่วไป๋พอดี  

 

 

           เขายังคงอยู่ในท่าตะแคงเดิมเหมือนเมื่อคืนนี้ พอไป๋จิ่งเห็นใบหน้าของเขา ใจก็ละลายในพริบตา  

 

 

           เขามองมั่วไป๋อย่างซื่อๆ ไม่อยากขยับเลยสักนิด  

 

 

           มือของทั้งสองคนยังคงกุมกันไว้ เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่ามาประสานมือเข้าหากันตั้งแต่เมื่อไหร่  

 

 

           คงสภาพอยู่ในท่านี้ทั้งคืน ปวดเมื่อยล้าไปทั้งตัว  

 

 

           แต่ไป๋จิ่งกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ความปิติยินดีในใจทำให้ความเจ็บของไป๋จิ่งเจือจางลง ในใจ รู้สึกแค่เพียงความดีอกดีใจ   

 

 

           ความรู้สึกของความสุขได้เต็มเปี่ยมจนจะทะลักออกมาแล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งเชิดมุมปากขึ้น ยิ้มแล้วยิ้มอีก จะทำอย่างไรได้ เหมือนว่าเขาจะยิ่งชอบมั่วไป๋มากกว่าเมื่อวานขึ้นอีกแล้ว  

 

 

           เมื่อคืนมั่วไป๋นอนดึก ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่ตื่น เขาหลับได้สงบนิ่งมาก  

 

 

           ไป๋จิ่งยิ่งจะไม่รบกวนมั่วไป๋ ในห้องที่เงียบสงบ คนสองคนนอนอยู่บนเตียงสองเตียงอย่างเงียบสงัด  

 

 

           เหยียนอวี้เดินถึงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วย เขาพบว่าประตูยังปิดสนิทอยู่ ไม่รู้ว่าตื่นกันหรือยัง  

 

 

           เขายื่นมือไปเปิดประตูอย่างช้าๆ ทันทีหลังจากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งพบว่าเหยียนอวี้มา ก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก  

 

 

           สำหรับเขาแล้ว มีเพียงแค่มั่วไป๋เท่านั้นที่ทำให้ใจเขาสั่นไหวดั่งคลื่นที่ผันแปรได้  

 

 

           ส่วนการเผชิญหน้ากับใครที่นอกเหนือจากมั่วไป๋แล้ว จะปรากฏท่าทีที่สงบนิ่งมากถึงมากที่สุด  

 

 

           เช่นว่าในนาทีนี้ เขามองเหยียนอวี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง สงบนิ่งจนกระทั่งแม้แต่มือที่กุมมั่วไป๋ไว้ก็ไม่ขยับเขยื้อน  

 

 

           เขาเงยหน้ามองเหยียนอวี้แวบหนึ่ง ท่าท่างนั้นราวกับว่า ถ้าจะพูดอีก เสียงเล็กหน่อย มั่วไป๋กำลังนอนหลับอยู่  

 

 

           เหยียนอวี้เห็นคนแสดงความรักต่อกันแต่เช้า สายตาเขาไล่มาตั้งแต่เตียงสองเตียงที่อยู่ใกล้ชิดกันมาก แล้วมาหยุดอยู่ที่มือของสองคนที่ประสานเข้าหากัน  

 

 

           ครุ่นคิดพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกมาเสมอว่ามีตรงไหนสักตรงที่ไม่ค่อยจะปกติ  

 

 

           ‘อะไรกัน ตอนเช้านี้วิธีเปิดประตูของเขาไม่ถูกต้องเหรอ’  

 

 

           ‘ทำไมเขาสองคนถึงนอนด้วยกันแล้ว’  

 

 

           เมื่อวานยังดูไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันชัดๆ  ตอนนี้มากุมมืออยู่ด้วยกันแล้ว  

 

 

           เหยียนอวี้เอามือกดที่หัวตัวเองอย่างเงียบๆ รู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ทันแล้วจริงๆ  

 

 

           หลับไปคืนหนึ่งตื่นมา โลกก็เปลี่ยนไปแล้ว  

 

 

           มั่วไป๋กุมมือกับไป๋จิ่งแบบนี้แล้ว  

ตอนที่ 542 โอบกอดแสงอาทิตย์  

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ปกปิดเลยสักนิด ดุจดั่งอาบสายลมในฤดูใบไม้ผลิ [1]  

 

 

           “บางทีฉันก็อยากจะเดินออกมาจากค่ำคืนอันมืดมิดพร้อมโอบกอดแสงอาทิตย์แล้ว”  

 

 

           เขาอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิดมานานเกินไปแล้ว  

 

 

           นานจนเขาเองใกล้จะลืมแล้วว่าพระอาทิตย์คืออะไร  

 

 

           เขาเคยกระวนกระวายใจทั้งยังหวาดกลัวพระอาทิตย์ แต่ตอนนี้เขาลองดู ลองยืนภายใต้พระอาทิตย์ รับรู้ถึงความความอบอุ่นของแสงอาทิตย์  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูมั่วไป๋ ถ้าเวลานี้เขาอยู่เคียงข้างมั่วไป๋ เขาจะอดไม่ได้ที่จะอยากกอดมั่วไป๋ไว้แน่ๆ  

 

 

           ไม่มีความต้องการอะไรทั้งนั้น แค่เพียงกอดเขาแบบเรียบง่าย  

 

 

           ได้ยินมั่วไป๋พูดอย่างนี้ เจียงมู่เฉินมีความสุขมาก เขาเชิดหางตาเล็กน้อย นัยน์ตาดอกท้อปรากฏรอยยิ้ม “แสงอาทิตย์ก็อยากกอดนายเหมือนกัน”  

 

 

           ……  

 

 

           เมื่อไป๋จิ่งกลับมา มั่วไป๋กำลังนั่งอยู่บนโซฟา นั่งกอดเข่าไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่  

 

 

           เขาเดินเข้าไปอยู่ต่อหน้าด้วยความใส่ใจ นั่งลงข้างๆ มั่วไป๋  

 

 

           ที่จริงเทียบกับการนั่งข้างๆ แล้ว เขายิ่งอยากจะเดินเข้าไปโอบกอดมั่วไป๋ไว้  

 

 

           เพียงแต่ว่าไป๋จิ่งกังวลหวาดกลัวมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม กลัวตัวเองจะทำให้มั่วไป๋ไม่สบายใจ  

 

 

           “กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ” ไป๋จิ่งใช้เสียงแห่งความห่วงใยเอ่ยอยู่ข้างหูมั่วไป๋  

 

 

           หลังจากมั่วไป๋ได้ยินเสียงนี้ แพรขนตาก็สั่นสะท้าน เขาเงยหน้ามองไม่รู้ว่าไป๋จิ่งกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เสียงต่ำเอ่ยถามขึ้น “กลับมาแล้วเหรอ”  

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า  

 

 

           หลังจากตามมาจนถึงอเมริกา ระหว่างไป๋จิ่งกับมั่วไป๋เวลาส่วนใหญ่จะอยู่กันในสภาวะความเงียบ  

 

 

           ที่จริงไป๋จิ่งอยากจะเข้าใกล้มั่วไป๋มาก อยากจะใกล้ชิดเขาอีกนิด  

 

 

           แต่พอนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นขึ้นมา เขาก็ไม่รู้ว่าจะใกล้ชิดมั่วไป๋ได้อย่างไร  

 

 

           ไป๋จิ่งวางมั่วไป๋ไว้ลึกสุดใจ ดังนั้นถึงได้คำนึงถึงความรู้สึกของมั่วไป๋เป็นพิเศษ คำนึงจนถึงกระทั่งว่าระวังทุกคำพูด ทุกการกระทำ  

 

 

           เขาหวังว่าจะไม่ทำให้มั่วไป๋รู้สึกไม่พอใจ  

 

 

           ยิ่งให้ความสำคัญ ยิ่งระมัดระวัง  

 

 

           ยิ่งระมัดระวัง ยิ่งไม่รู้จะเข้าหาได้อย่างไร  

 

 

           ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทั้งสองคนกลายเป็นสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้ แล้วสภาพเช่นนี้กลับไม่รู้ว่าจะทำลายมันออกมาได้อย่างไรจนถึงตอนนี้  

 

 

           ไป๋จิ่งว้าวุ่นไปทั้งใจ อยากจะพูดอะไรสักอย่างที่ค่อนข้างจะเหมาะสมกับมั่วไป๋   

 

 

           เขายังไม่ทันได้คิดดีๆ มั่วไป๋กลับเอ่ยปากออกมา “เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะได้รับเงินสองแสนหยวนมา”  

 

 

           ไป๋จิ่งเงิบ ประโยคต่อไปของมั่วไป๋คงจะไม่ใช่ว่าต้องการจะคืนเขาหรอกใช่ไหม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรไป๋จิ่งไม่อยากให้มั่วไป๋คืนเงินจำนวนนี้ให้เขา  

 

 

            เขารู้ว่ามั่วไป๋ไม่ขาดเงิน แต่เขาก็ยังอยากให้มั่วไป๋รับเอาไว้  

 

 

           “ในนั้นมีหมายเหตุเขียนว่าเป็นค่าปรับของนาย”  

 

 

           ไป๋จิ่ง “…”  

 

 

           ‘ค่าปรับ ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรถึงต้องโดนปรับเงินด้วย’  

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยต่อ “ฉันคิดดูแล้ว ในเมื่อเป็นค่าปรับ…”  

 

 

           ไป๋จิ่งตื่นตระหนก แม้แต่หายใจดังก็ยังไม่กล้า  

 

 

           “ในเมื่อเป็นค่าปรับ งั้นก็ฝากไว้ที่ฉันก่อนแล้ว” มั่วไป๋เอ่ยประโยคนี้จบอย่างเรียบเฉย สีหน้าดูเยือกเย็นมาก  

 

 

           แต่ในความเป็นจริง ฝ่ามือเริ่มเหงื่อออกแล้ว  

 

 

           เขาใช้วิธีนี้เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ของตัวเองกับไป๋จิ่งโดยสมบูรณ์ในฐานะของคนรัก  

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ถูกทำให้ตกใจเช่นกัน เพียงแต่ว่าไม่ใช่ตกใจกลัว แต่เป็นความดีใจและแปลกใจ  

 

 

           เขาดีใจมาก เป็นความดีใจที่เหมือนใกล้จะเอ่อล้นออกมาแล้วแบบนั้น  

 

 

           ไป๋จิ่งพยายามกำมือไว้ อยากทำให้ตัวเองสงบจิตสงบใจสักหน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรรอยยิ้มที่มุมปากก็กดเก็บไว้ไม่อยู่ ค่อยๆ เชิดขึ้นทีละนิดๆ  

 

 

           จู่ๆ ไป๋จิ่งก็คว้ามือมั่วไป๋ที่วางข้างๆ  

 

 

           เวลานี้เขาถึงได้รู้สึกตื่นตัวเล็กน้อย ที่แท้มั่วไป๋เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน  

 

 

           ความคิดที่ว่ามั่วไป๋เองก็ตื่นเต้นเหมือนกันกระจายอยู่เต็มในหัวของไป๋จิ่ง เพียงชั่วครู่เดียวก็ควบคุมไม่อยู่แล้ว  

 

 

           แม้แต่มือที่จับมั่วไป๋อยู่ก็สั่นเทาเล็กน้อย  

 

 

           ทันใดนั้นหน้าผากของไป๋จิ่งก็มีเลือดอุ่นร้อนสูบฉีดขึ้นมา ควบคุมไม่อยู่เลยสักนิด จู่ๆ เขาก็ยื่นมือไปโอบไหล่ของมั่วไป๋ไว้  

 

 

           ดวงตาสีดำขลับจ้องมองมั่วไป๋ตาไม่กะพริบ  

 

 

       

 

 

[1]   ดุจดั่งอาบสายลมในฤดูใบไม้ผลิ  ให้พูดเมื่อต้องการบอกว่ารู้สึกสดชื่นรื่นอารมณ์สราญใจ เพลิดเพลินจำเริญใจ เหมือนกำลังล่องแล่นกลางสายลมโชยอ่อนๆ เย็นๆ สดชื่นของฤดูใบไม้ผลิ  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 543 เป็นฝ่ายกอดเอง  

 

 

            หน้าอกเกิดการแปรปรวนอย่างรุนแรง ราวกับกำลังสะกดความรู้สึกอย่างยากลำบาก  

 

 

           มั่วไป๋ไม่เคยเห็นไป๋จิ่งเป็นแบบนี้มาก่อน เพียงชั่วขณะหนึ่งหัวใจก็เต้นและบีบตัวแน่นโดยไม่รู้ตัว  

 

 

           แม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ เร็วขึ้น เตือนสติมั่วไป๋ทีละนิดๆ ว่าเขาใจเต้นเพราะไป๋จิ่ง  

 

 

           “มั่วไป๋ ขอบคุณนะ…”  

 

 

           เขามองอยู่ตั้งนาน แต่พูดแค่เพียงคำว่า ‘ขอบคุณ’  

 

 

           นาทีนั้นที่ได้สบตากับมั่วไป๋ ในใจของไป๋จิ่งก็คิดถึงอะไรไม่ได้แล้ว  

 

 

           ‘เขาจะพูดอะไรได้ ขอโทษเหรอ’  

 

 

           พูดว่าเขาเสียใจทีหลัง พูดว่าเขารู้สึกผิดบาปในใจ พูดว่าอยากจะย้อนกลับไปอดีตเหลือเกิน  

 

 

           แต่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว เขาจะมารู้สึกผิดบาปเสียใจอีกอย่างไรก็ย้อนกลับไปอดีตไม่ได้ เขาไม่มีวันจะได้กลับไปถึงอดีต ไปดูหลินฝานที่ไร้เดียงสาคนนั้นได้  

 

 

           เขาไม่มีวันจะได้กอดหลินฝานในตอนนั้นไว้แน่นๆ แล้วทำตามหัวใจตัวเองบอกหลินฝานอย่างซื่อสัตย์ได้  

 

 

           ที่จริงเขาหมดหนทางจะดึงหลินฝานออกจากใจของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว  

 

 

           เขาไม่มีวันจะได้ย้อนกลับไปในวันเกิดของเขาวันนั้น เขาจะไม่อยู่ทำโอทีที่บริษัท แต่จะรีบกลับไปอยู่เป็นเพื่อนหลินฝาน ยับยั้งเหตุการณ์ทำร้ายในครั้งนั้นได้  

 

 

           ยิ่งไม่มีวันจะได้กลับไปยังช่วงเวลาที่หลินฝานได้รับความเจ็บปวด เขาอยู่ข้างกายหลินฝานได้ สงสารเขาไปด้วย รักเขาไปด้วย เดินเคียงข้างเขาออกมาได้  

 

 

           เขาเข้าใจว่าตัวเองผิดพลาดมามากเกินไปมากๆ แล้วบางความผิดพลาดทั้งชีวิตนี้ก็เอากลับคืนไม่ไหว  

 

 

           ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงเอ่ยคำว่า ‘ขอบคุณ’  

 

 

           เขาอยากขอบคุณ หลังจากมั่วไป๋ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมา ยังให้อภัยเขาได้อีก  

 

 

           แรงที่ไป๋จิ่งที่โอบเขาไว้เบามากๆ แต่ทั้งตัวไป๋จิ่งกลับเกร็งแน่นสนิทอยู่อย่างนั้น  

 

 

           ที่จริงไป๋จิ่งอยากจะกอดเขาไว้แน่นๆ แต่ก็กังวล ไม่กล้าใช้แรงมากเกินไป  

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจเงียบๆ ในเมื่อไป๋จิ่งไม่กล้า เช่นนั้นเขาก็จะเป็นฝ่ายทำเองก็ได้แล้ว  

 

 

           ในเมื่อตัวเองตัดสินใจจะให้อภัยไป๋จิ่งแล้ว  

 

 

          เป็นผู้ชายโตๆ แล้วทั้งคู่ ไม่มีอะไรต้องมาตั้งแง่ใส่กันตลอดแล้ว  

 

 

           มั่วไป๋เอื้อมมือไปกอดไป๋จิ่งไว้เบาๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น ไป๋จิ่งก็ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้  

 

 

           เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที จู่ๆ ไป๋จิ่งก็กอดมั่วไป๋ไว้อย่างแนบแน่น ฝังคนไว้ในอ้อมอกตัวเอง  

 

 

           ลมหายใจของไป๋จิ่งรดรินต้นคอ มั่วไป๋ปล่อยให้เขากอด ไม่เคลื่อนไหวแม้เพียงสักนิด  

 

 

           ทันใดนั้นไป๋จิ่งก็คลายมือเล็กน้อย มองมายังมั่วไป๋ โน้มตัวเข้าใกล้แล้วประกบจูบเขาทันที  

 

 

           มั่วไป๋เองก็ไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าด้อยกว่า ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างใช้แรงกันเต็มที่   

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ทั้งสองคนถึงค่อยๆ หยุดลงได้  

 

 

           ทำราวกับว่าไปตีกันมารอบหนึ่ง หมดเรี่ยวหมดแรงกันไปข้าง  

 

 

           ไป๋จิ่งกอดมั่วไป๋ไว้อย่างแน่นสนิท ทั้งสองคนอิงแอบแนบชิดกัน ไม่พูดอะไรสักคำ พวกเขากอดกันอยู่เช่นนี้  

 

 

           ใช้เวลาอยู่นานลมหายใจเพิ่งจะกลับมาสงบนิ่งได้อย่างช้าๆ ไป๋จิ่งถึงค่อยเอียงหน้ามาจุมพิตมั่วไป๋อย่างแผ่วเบา  

 

 

           ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก เหมือนว่าเรื่องบางเรื่องไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ก็ชัดเจนในใจของกันและกันแล้ว  

 

 

           มั่วไป๋โดนไป๋จิ่งกอดจูบแบบนี้ สิ่งที่อยากจะแสดงออกไปไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้แล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งดีใจจนแทบบ้าเหมือนหัวใจจะออกมาเต้น  

 

 

           ชาติก่อนเขาอาจจะสั่งสมบุญมามากจริงๆ ดังนั้นถึงได้พบเจอมั่วไป๋คนที่ดีขนาดนี้  

 

 

           มั่วไป๋ซบไหล่ไป๋จิ่งอยู่อย่างนี้ ไม่อยากพูดอะไร ไม่อยากทำอะไร รู้สึกว่าอยู่สงบเงียบแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว  

 

 

           ทั้งชีวิตนี้ของเขา มองอะไรเปิดกว้างและปล่อยวาง ไม่มียึดติดอะไร  

 

 

           สิ่งที่ยึดติดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นก็คือไป๋จิ่ง  

 

 

           ผ่านเรื่องราวมาตั้งมากมายจนถึงตอนนี้ กอดกับไป๋จิ่งเช่นนี้ได้ เขาก็พอใจมากแล้ว  

 

 

           มากกว่านี้ เขาก็ไม่คิดอยากจะได้แล้ว  

 

 

           ไม่รู้ว่านึกถึงอะไรขึ้นมาได้ มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย  

 

 

           ……  

 

 

           ทั้งสองคนกอดกันได้ไม่นาน มั่วไป๋รู้สึกจะเขินอายบ้างแล้ว ถึงแม้ว่าประตูจะปิด ไม่มีใครเดินผ่านเข้ามา  

 

 

           แต่มั่วไป๋ก็ยังยื่นมือไปผลักไป๋จิ่งออก

ตอนที่ 540 ปรับเงินแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ก็ไม่ได้อนุมัติ แต่นั่งตรงนั้นแล้วเอ่ยทันที “หักตอนนี้ทันที”  

 

 

           ประธานฝ่ายการเงินเหงื่อออกท่วมหัว ในใจก็อดจะคิดไม่ได้ว่าประธานไป๋ไปหาเรื่องอะไรประธานซืออีกแล้ว  

 

 

           ‘กำลังประชุมอยู่ ก็ต้องการจะหักเงินเดือนเขา’  

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ ซือเหยี่ยนเอาแต่จ้องเขา บอกเป็นนัยว่า  ถ้าเขาไม่หักเงิน ฉันก็จะไม่ประชุมต่อไปแล้ว  

 

 

           ประธานฝ่ายการเงินเกร็งหัวทันที รีบหักเงินเดือนไป๋จิ่งหนึ่งเดือนทันที  

 

 

           เขาชี้ที่โน้ตบุ๊ก “ประธานซือ หักเงินเรียบร้อยแล้วครับ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบๆ “แคปหน้าจอส่งให้ฉันด้วย”  

 

 

           ประธานฝ่ายการเงิน “???”  

 

 

           ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็ยังแคปหน้าจอแล้วส่งให้ซือเหยี่ยนอย่างว่าง่าย ซือเหยี่ยนเห็นภาพนั้นก็ส่งต่อให้เจียงมู่เฉินทันที  

 

 

           เจียงมู่เฉินเปิดดูข้อความของซือเหยี่ยน แล้วเชิดมุมปากขึ้นอย่างได้ใจ  

 

 

           หลังจากนั้นเขาก็ส่งข้อความตอบกลับซือเหยี่ยน   

 

 

           [เอาเงินที่หักโอนใส่บัตรของมั่วไป๋]  

 

 

           หลังจากที่ซือเหยี่ยนอ่านแล้วก็กวาดสายตามองประธานฝ่ายการเงินอีกครั้ง ประธานฝ่ายการเงินรู้สึกแค่เพียงเหงื่อท่วมหัว  หรือว่าเกิดอะไรขึ้นอีก    

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยอีกครั้ง “โอนเงินใส่เลขบัตรนี้”  

 

 

           เขาหยุดสักพัก “หมายเหตุว่าค่าปรับไป๋จิ่ง”  

 

 

           ประธานฝ่ายการเงิน “…”  

 

 

           ……  

 

 

           ด้วยเหตุนี้หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที เจียงมู่เฉินก็ได้รับภาพแคปหน้าจออีกภาพหนึ่ง เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้ววางมือถือลง  

 

 

           ‘นี่ยังแค่พอประมาณเอง บังอาจมาทำมิดีมิร้ายไป๋ไป๋ของเขา คิดว่าแค่ปรับเงินเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้แล้วเหรอ’  

 

 

           ‘เขายังไม่ได้สืบสาวเอาความกับไป๋จิ่งเลยนะ’  

 

 

           อีกฝั่งหนึ่ง ไป๋จิ่งยืนอยู่ชั้นหนึ่ง สูบบุหรี่เสร็จแล้วเตรียมจะกลับไป ผลปรากฎว่ายังไม่ทันได้ไปไหน มือถือก็มีข้อความมาว่า   

 

 

[เงินหักออกจากบัญชีสองแสนหยวน]        

 

 

ไป๋จิ่งมุมปากกระตุก  

 

 

‘ทำถึงขนาดนี้เชียวเหรอ  

 

 

…ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไม่รับสายเขาก็ช่างเถอะ ยังจะกล้าหักเงินเขาอีก’  

 

 

ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงรีบโทรหาซือเหยี่ยนเตรียมเหวี่ยงทันที  

 

 

           ครั้งนี้ซือเหยี่ยนไม่ได้ตัดสาย แต่รอสายจากไป๋จิ่ง เขาเห็นชื่อเด้งขึ้นมาบนจอมือถือ แล้วยื่นมือไปกดรับสาย  

 

 

           “ซือเหยี่ยน นายหมายความว่าไง หักเงินเดือนฉันทำไม”  

 

 

           สายติดไป๋จิ่งก็เริ่มร้องโวยวายทันที  

 

 

           ซือเหยี่ยนถือมือถือไว้ ทำหน้าเมินเฉย “หักเงินนายให้มั่วไป๋ นายไม่เห็นด้วย?”  

 

 

           ไป๋จิ่ง “…”  

 

 

           ประโยคเดียวก็ถูกซือเหยี่ยนน็อกเอ้าท์แล้ว  

 

 

           ‘เขาจะกล้าไม่เห็นด้วยกับผีสิ’ อย่าว่าแต่สองแสนหยวนเลย ต่อให้ทั้งตัวเขาและครอบครัว เขาก็เห็นด้วยทั้งนั้น  

 

 

           ปัญหาก็คือเขาเอาเงินให้มั่วไป๋แบบนี้ มั่วไป๋จะมองเขาด้วยความรังเกียจเขา และสะบัดหน้าเดินหนีไปได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่รอให้ไป๋จิ่งตอบกลับ เขาตัดสายไปเสียดื้อๆ  

 

 

           เขาเงยหน้ามองคนที่อยู่เต็มห้องประชุม เอ่ยเสียงต่ำด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง “ประชุมต่อ”  

 

 

           คนทั้งห้อง “…”  

 

 

           ……  

 

 

           มั่วไป๋ขลุกตัววาดรูปอยู่ที่โซฟา มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ สั่นขึ้นกะทันหัน  

 

 

           เขาเอื้อมมือไปหยิบมือถือมาเปิดดู เป็นข้อความจากธนาคาร   

 

 

           [เงินเข้าบัญชีสองแสนหยวน]  

 

 

           มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย  เงินมัดจำรูปวาดก็ให้มาตั้งนานแล้ว ทำไมยังมีคนโอนเงินมาให้เขาอีก  

 

 

           เขารู้สึกว่าแปลกๆ จึงเปิดดูแอปพลิเคชันของธนาคารในมือถือ  

 

 

           ตอนที่เห็นหมายเหตุว่าค่าปรับไป๋จิ่ง มุมปากของมั่วไป๋ก็กระตุกแล้วกระตุกอีก วิธีเปิดเขาไม่ปกติเหรอ  

 

 

           ไป๋จิ่งเรียกปรับเงินอะไร อีกอย่างต่อให้อยากส่ง ก็ไม่ถึงขนาดต้องส่งให้เขานี่  

 

 

           มั่วไป๋คิดดูแล้ว เตรียมจะโทรหาไป๋จิ่งเพื่อถามไถ่ แต่ยังไม่ทันได้กดออกไป สายเรียกข้าวของเจียงมู่เฉินก็มาเสียก่อน  

 

 

           วิดีโอคอลทางปลายสาย ใบหน้าเจียงมู่เฉินยังคงงามละเอียดได้รูปเหมือนเมื่อก่อนเช่นเคย  

 

 

           มองอย่างละเอียด ดูเต็มอิ่มกว่าเมื่อก่อน   

 

 

           มั่วไป๋ปลงใจ  ที่แท้การมีความรักชโลมใจทำให้เปลี่ยนจากเดิมได้ หน้าตาดูอิ่มเอิบมีเสน่ห์แบบนี้นี่เอง  

 

 

           “ไป๋ไป๋ นายได้รับเงินหรือยัง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยปากก็ถามเสียเดี๋ยวนั้น  

 

 

           มั่วไป๋เอามือกดที่หัวตัวเองแล้ว เข้าใจได้ในพริบตา เงินสองแสนหยวนที่เขาได้รับเป็นฝีมือของเจียงมู่เฉิน  

 

 

           “นายให้ไป๋จิ่งโอนมาเหรอ”  

 

 

             

 

 

ตอนที่ 541 ไม่เก็บอาการ  

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว ทำหน้าไม่แยแส “ฉันให้เขาโอนเหรอ ถ้าฉันให้เขาโอนให้นาย จะไม่ใช่แค่สองแสนหยวนหรอก”  

 

 

           มั่วไป๋หรี่ตาลง “นายให้ซือเหยี่ยนจัดการเหรอ”  

 

 

           ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนก็เป็นเจ้านายของไป๋จิ่ง โอนเงินเขามาก็เป็นเรื่องปกติมาก  

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดหน้า “ซือเหยี่ยนของฉันฉลาดขนาดนั้น ฉันยังไม่ได้บอกอะไรสักอย่าง เขาก็เข้าใจทันที”  

 

 

           มั่วไป๋โดนเจียงมู่เฉินทำหน้าแบบนี้ใส่ เขาหมดหนทางจะดูได้แล้วจริงๆ ดูต่อไปไม่ลงโดยสมบูรณ์  

 

 

           ในที่สุดเขาก็พบแล้วว่ายิ่งอยู่กับซือเหยี่ยนนานวันเขา เจียงมู่เฉินยิ่งหน้าหนาขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

           เมื่อก่อนก็ว่าหนาแล้ว ตอนนี้คาดว่าใช้ปืนยิงก็ไม่ทะลุแล้ว  

 

 

           เขากุมขมับ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร  

 

 

           “ช่วงนี้นายเป็นยังไงบ้าง เหยียนอวี้ตรวจอาการให้นายดีหรือเปล่า”  

 

 

           “ดีมาก วางใจเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “งั้นก็ดี” เขาพูดอยู่ดีๆ ก็หยุดชะงักไป ใบหน้าปรากฏความเขินอายเล็กๆ ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ  

 

 

           “ไป๋ไป๋ ฉันมีเรื่องอยากจะบอกนาย”  

 

 

           มั่วไป๋มองเขาอย่างจริงจัง “เรื่องอะไรเหรอ”  

 

 

           “ฉัน ฉันตัดสินใจจะขอซือเหยี่ยนแต่งงานแล้ว” นอกจากเจียงมู่เฉินเอง นี่คือคนแรกที่รู้  

 

 

           นาทีนั้นคุณชายน้อยเจียงผู้เย่อหยิ่ง นัยน์ตาเผยความเขินอายที่พูดไม่ออก  

 

 

           ราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งมีความรักเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           ใบหน้าแสนเย็นชาของมั่วไป๋ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มีรอยยิ้มเล็กๆ แต่งแต้มขึ้นมา เพียงชั่วขณะหนึ่งดอกไม้ก็ผลิบานในแววตานี้ด้วยเช่นกัน  

 

 

           “เฉินเฉิน ยินดีกับนายด้วยนะ”  

 

 

           เขาดีใจมากจริงๆ เจียงมู่เฉินได้คบกันกับซือเหยี่ยน  

 

 

           ใบหูเจียงมู่เฉินแดงเล็กน้อย เขาเอ่ยด้วยความเขินอาย “ช่วงไม่กี่เดือนนี้ฉันยุ่งเรื่องการเปิดบริษัท แล้วฉันก็เลยอยากจะใช้บริษัทเป็นของหมั้นขอซือเหยี่ยนแต่งงาน”  

 

 

           “แบบนี้ฉันจะดูไม่เก็บอาการไปหน่อยใช่ไหม” เจียงมู่เฉินพูดเองตอบเอง “ไม่เก็บอาการก็ไม่เก็บอาการแล้วกัน ถึงอย่างไรภาพลักษณ์ของฉันในใจของซือเหยี่ยนเดิมทีก็ไม่ได้เก็บอาการอะไรอยู่แล้ว”  

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาพูดเองเออเอง ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน  

 

 

           “เฉินเฉิน นายตื่นเต้นขนาดนี้เชียว”  

 

 

           เมื่อก่อนเขาไม่เคยเห็นเจียงมู่เฉินจะคิดถึงสิ่งที่ได้รับหรือสูญเสียไปขนาดนี้  

 

 

           ‘เขาคือเจียงมู่เฉินไงล่ะ’ เจียงมู่เฉินคุณชายน้อยผู้เย่อหยิ่งแห่งตระกูลเจียงคนนั้นที่คาบช้อนทองมาตั้งแต่เกิด อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน  

 

 

           เมื่อไหร่กันที่จะคิดไม่ถึงว่าเพราะเรื่องขอแต่งงาน จะตัวสั่นงันงกขนาดได้  

 

 

           เห็นเจียงมู่เฉิน มั่วไป๋ถึงได้เข้าใจในหลักการหนึ่ง  

 

 

           คนที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ ขอเพียงแต่ในใจมีจุดอ่อน ก็ไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดจะทลายลงไม่ได้  

 

 

           ต่อให้เจียงมู่เฉินจะแข็งแกร่งอีก ในใจของเขาก็มีจุดที่อ่อนนุ่มที่สุด ตรงนั้นมีซือเหยี่ยนอยู่  

 

 

           และก็เป็นเพราะเช่นนี้ เพราะเอาใจใส่เกินไป ดังนั้นถึงได้คิดถึงสิ่งที่ได้รับหรือสูญเสียไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของมั่วไป๋ จึงมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ฉันค้นพบว่านายชอบยิ้มมากกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ”  

 

 

           ถึงแม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่ว่าการปรากฏตัวของผู้ชายกากเดนอย่างไป๋จิ่งก็ทำให้มั่วไป๋มีการเปลี่ยนแปลงทีละนิดๆ จริงๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดถึงตรงนี้ ในใจจะมากจะน้อยก็โล่งอกไปได้สักที  

 

 

           ตอนนั้นตอนที่เขาไปหาไป๋จิ่ง เขากังวลอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าที่ตัวเองทำแบบนั้นไป ถูกต้องหรือเปล่า  

 

 

           เขากลัวไป๋จิ่งจะทำให้มั่วไป๋ได้รับความเจ็บปวดอีก  

 

 

           แต่ขณะเดียวกันเขาก็กำลังเดิมพัน เดิมพันความรู้สึกที่ไป๋จิ่งมีต่อมั่วไป๋ และก็กำลังเดิมพันว่ามั่วไป๋ลืมไป๋จิ่งไม่ลงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  

 

 

           ระหว่างมั่วไป๋กับไป๋จิ่ง เขาชนะเดิมพันนี้จนได้  

 

 

           มั่วไป๋โดนเขาพูดมาขนาดนี้ อารมณ์ที่แสดงออกบนใบหน้าเกร็งขึ้นมา คนทั้งคนชะงักค้างอยู่ตรงนั้น  

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่าเจียงมู่เฉินพูดขึ้นมา ตัวเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ   

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยคำพูดเมื่อครู่นี้จบแล้วเอ่ยต่อ “ฉันยังรู้สึกว่านายยิ้มขึ้นมาทีนี่สวยที่สุดเลย”  

ตอนที่ 538 ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งถือแบตเตอรี่สำรองออกไปจากห้อง เมื่อครู่นี้เขาวิ่งออกไป อยากโทรขอคำปรึกษากับซือเหยี่ยน แต่พอหยิบมือถือออกมา ถึงได้พบว่ามือถือเขาปิดตัวเองไปตั้งแต่แรกแล้ว  

 

 

           เขาเอามือถือเสียบชาร์จกับแบตเตอรี่สำรอง ผ่านไปห้านาที ในที่สุดก็เปิดเครื่องแล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ชั้นหนึ่ง หาที่ที่คนน้อย กดโทรหาซือเหยี่ยน  

 

 

           เขายืนอยู่ตรงมุม ไม่สนว่าซือเหยี่ยนทางนั้นเวลากี่โมงแล้ว ถึงอย่างไรก็โทรออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที  

 

 

           ……  

 

 

           ซือเหยี่ยนกำลังประชุมอยู่ที่บริษัท เห็นหน้าจอมือถือแสดงสายเรียกเข้าของไป๋จิ่ง เขาก็ยื่นมือไปกดตัดสายทันที  

 

 

           ไป๋จิ่งมองมือถือตัวเองด้วยสีหน้างุนงงและตะลึงงัน  

 

 

           ‘อะไรกัน หรือว่าช่วงนี้ตัวเองไม่ได้ไปปรากฏตัวต่อหน้าซือเหยี่ยน เขาก็เลยไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วเหรอ’  

 

 

           อีกอย่างไม่เป็นที่โปรดปรานถึงขนาดที่แม้แต่สายของเขาก็ไม่รับแล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งไม่เชื่อ กดโทรออกอีกครั้ง  

 

 

           ครั้งนี้ไม่ทันได้ยินเสียง ก็ตัดสายไปอย่างไร้เยื่อใยทันที  

 

 

           ไป๋จิ่งหมดอาลัยตายอยาก โดนมั่วไป๋ปฏิเสธว่าน่าอนาถใจพอแล้ว ตอนนี้ยังถูกซือเหยี่ยนเหยียดหยามอีก  นี่จะไม่เหลือทางรอดให้เขาเลยสินะ  

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิด ตัดสินใจไปก่อกวนเจียงมู่เฉิน  

 

 

           ถึงอย่างไรเจียงมู่เฉินเทียบกับซือเหยี่ยนแล้ว เป็นคนที่มีความคิดเป็นผู้เป็นคนมากกว่าโดยพื้นฐาน  

 

 

           เพราะแบบนี้ ไป๋จิ่งเมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็กดสายโทรหาเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เจียงมู่เฉินกลับมีมโนธรรมมากกว่าซือเหยี่ยน  

 

 

           ถึงแม้เขาจะรับสายช้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังรับสายอยู่  

 

 

           เหมือนเขาจะพึ่งตื่นนอนเอ้อระเหยอยู่ ไป๋จิ่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อดจะคิดไม่ได้ว่า  เมื่อกี้ซือเหยี่ยนไม่รับสาย เจียงมู่เฉินก็เอื่อยเฉื่อย  

 

 

           ‘หรือว่าเมื่อกี้ทั้งสองคนกำลังทำการบ้านกันอยู่’  

 

 

           ‘ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง ตอนนี้ที่ถานโจวยังไม่ถึงตอนเที่ยงด้วยซ้ำ เช้าขนาดนี้ทำการบ้านกัน จะรีบร้อนเกินไปหน่อยไหม’  

 

 

           คิดได้เช่นนี้ ใจที่อยากเผือกของไป๋จิ่งก็เด้งขึ้นมาในพริบตา  

 

 

           เขาทำสีหน้าชั่วร้าย “ฉันคงจะไม่ได้รบกวนตอนที่พวกนายยุ่งอยู่หรอกใช่ไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขดตัวอยู่บนโซฟา ได้ยินคำพูดนี้ของไป๋จิ่ง เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยในทันใด อ้าปากก่นด่าอย่างไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด “ฉันว่าในสมองคนอย่างนายมีแต่อะไรวุ่นวายมั่วซั่วไปหมดเลยสินะ…  

 

 

           …นายอย่าไปกวนใจมั่วไป๋อีกเลย ไสหัวกลับมาเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยปากมาที ไม่อ่อนโยนแม้สักประโยค  

 

 

           ไป๋จิ่งเลิกคิ้วเงียบๆ “ต้องหัวร้อนขนาดนี้เชียว”  

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงพ่นลมหายใจ “พูดกับเดนคนอย่างนาย ไม่หัวร้อนได้หรือไง”  

 

 

           ไป๋จิ่งผู้ที่โดนด่าว่า ‘เดนคน’ อีกครั้ง ทำไขสือลูบจมูกปอยๆ  

 

 

           ต่อให้เมื่อก่อนเขาจะเป็นเดนคนบ้าง แต่ว่าตอนนี้เขาก็เปลี่ยนตัวเองแล้ว ไม่เป็นเดนคนเลยสักนิด  

 

 

           เมื่อก่อนโดนเจียงมู่เฉินต่อว่าก็ช่างเถอะ ตอนนี้ยังโดนเจียงมู่เฉินดุด่าอีก ไป๋จิ่งแสดงตัวเป็นผู้บริสุทธิ์  

 

 

           “ตอนนี้ฉันเป็นเดนคนที่ไหนกัน” ไป๋จิ่งตัดสินใจโต้แย้งเงียบๆ  

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินนั่งพิงโซฟาทำเสียงพ่นลมหายใจ “ความเป็นเดนคนของนายทะลุออกมาจากในกระดูก ไม่เกี่ยวกับตอนนี้หรือเมื่อก่อน”  

 

 

           พอนึกถึงมั่วไป๋ในตอนนั้น เขาแทบอยากจะจับไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่แก้ผ้า แขวนบนเสาไฟ ตากแดดสักสามวัน  

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นแก่มั่วไป๋ที่ชอบไป๋จิ่ง เขาจะให้คนกากเดนแบบนี้ไปตามหามั่วไป๋ได้อย่างไรกัน  

 

 

           “มั่วไป๋ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”  

 

 

           ช่วงเวลานี้เขาเอาแต่ยุ่งเรื่องบริษัท ไม่มีเวลาจะคุยกับมั่วไป๋เลย  

 

 

           ไม่รู้ว่าผู้ชายกากเดนอยู่ที่นั่นแล้วจะทำให้มั่วไป๋เศร้าใจหรือเปล่า  

 

 

           ได้ยินเจียงมู่เฉินถามถึงมั่วไป๋ ความมั่นใจของไป๋จิ่งเมื่อครู่นี้ก็หายไปในพริบตา เพราะเขาเองก็ไม่รู้ถึงสถานการณ์ของตัวเองกับมั่วไป๋ตอนนี้ว่าเป็นอะไรกัน  

 

 

           มั่วไป๋บอกว่าเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่ท่าทีที่มีต่อเขาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย  

 

 

           ด้วยเหตุนี้พอคิดได้เช่นนี้ ไป๋จิ่งจึงบอกเจียงมู่เฉินไปตามตรง  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ฟังคำพูดของเขาจบ พร้อมทำเสียงพ่นลมหายใจประชด “สมน้ำหน้า ทุกอย่างนายเป็นคนก่อเองรับเอง นี่เพราะมั่วไป๋เป็นคนจิตใจดีงาม นิสัยดี ถึงให้อภัยผู้ชายกากเดนอย่างนายได้ ถ้าสลับมาเป็นฉันนะ เล่นงานนายตายไปแล้ว”   

 

 

             

 

 

ตอนที่ 539 หักเงินเขา  

 

 

           ไป๋จิ่งกุมขมับ โดนเจียงมู่เฉินดุด่าอย่างถึงพริกถึงขิง เขาก็ไม่กล้าจะยอกย้อนกลับ  

 

 

           ภาพนั้นเหมือนภาพที่เหยียนอวี้ดุด่าไป๋จิ่งไม่มีผิด ต่อหน้าพวกเขาสองคนจะว่าง่ายจนผิดแผกจากเดิม  

 

 

           ถึงอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้ เจียงมู่เฉินกับเหยียนอวี้ต่างก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตมั่วไป๋เอาไว้ อย่าว่าแต่ดุด่าเลย ต่อให้บุกมาตีเขา เขาก็จะไม่ตอบโต้เด็ดขาด  

 

 

           เมื่อก่อนเขาแค่เพียงรู้สึกว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงเย่อหยิ่งเป็นที่สุด โมโหง่าย ทำอะไรก็หัวร้อน  

 

 

           แต่พอได้ยินสิ่งที่เจียงมู่เฉินทำให้มั่วไป๋ ไป๋จิ่งซาบซึ้งในน้ำใจของเจียงมู่เฉินจากก้นบึ้งหัวใจของเขา ถ้าไม่ได้เจียงมู่เฉินคอยอยู่เคียงข้างมั่วไป๋เรื่อยๆ บางทีตลอดชีวิตนี้ของเขาก็คงจะไม่มีโอกาสให้ตัวเองได้ชดเชยความผิดพลาดในตอนนั้น  

 

 

           คิดถึงตรงนี้ ไป๋จิ่งก็เอ่ยเสียงต่ำขอบคุณ  

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน ในใจคิด  เจ้าหมอนี่คงจะไม่เป็นพวกชอบโดนกระทำหรอกใช่ไหม ตัวเองดุด่าเขาอยู่ตั้งนาน เชายังพูดขอบคุณตัวเองอีก  

 

 

           “นายเพี้ยนแล้วใช่ไหม คุณชายกำลังดุด่านายอยู่ นายยังจะมาขอบคุณคุณชายอีก”  

 

 

           “ฉันอยากขอบคุณนายที่นายเอาใจใส่มั่วไป๋ในตอนนั้น”  

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงันอยู่ตั้งนานกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาได้ “คุณ คุณชายเป็นเพื่อนของมั่วไป๋แบบสนิทที่สุด คุณชายก็ต้องดีกับเขาอยู่แล้ว ต้องให้นายมาขอบคุณหรือไง”  

 

 

           “อืม” ไป๋จิ่งเอ่ยรับ “ฉันรู้ แต่ฉันก็ยังอยากจะขอบคุณนายอยู่ดี”  

 

 

           อาจจะเป็นครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินได้ยินไป๋จิ่งพูดขอบคุณกับตัวเอง ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะหนึ่ง   

 

 

           ลังเลใจอยู่หลายนาที ถึงค่อยเอ่ยเสียงแข็งอย่างดุดัน “ต่อไปถ้านายรังแกมั่วไป๋อีก คุณชายรับประกันจะตีนายตายแน่”  

 

 

           เขาคุณชายน้อยตระกูลเจียงพูดคำไหนคำนั้นมาโดยตลอด  

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะเบาๆ เอ่ยรับปากทันที “ได้”  

 

 

           หลังจากวางสายไป เจียงมู่เฉินนั่งครุ่นคิดอยู่บนโซฟา สุดท้ายก็โทรหาซือเหยี่ยน  

 

 

           ซือเหยี่ยนยังประชุมอยู่ที่บริษัท เดิมคิดว่ายังเป็นสายของไป๋จิ่ง กำลังจะกดตัดสาย  

 

 

           ผลปรากฏว่าพอเห็นว่าเป็นเฉินเฉินของเขา เขาก็กดรับสายทันทีโดยไม่คิดเลยสักนิด  

 

 

           เขาลุกขึ้นยืนถือมือถือเดินไปยังหน้าต่างที่อยู่ข้างๆ “อืม มีอะไรหรือเปล่า”  

 

 

           เสียงซือเหยี่ยนทุ้มต่ำ เพราะประชุมเป็นสาเหตุ จึงพยายามกดเสียงต่ำ เสียงเขามีความเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก  

 

 

           คนทั้งห้องประชุมได้ยินเสียงอ่อนโยนผิดปกติของซือเหยี่ยนต่างก็สบตากัน ทั้งยังมีชื่อคนคนหนึ่งลอยขึ้นมาในหัวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายอีกด้วย  

 

 

           ‘เจียงมู่เฉิน’  

 

 

           ถึงอย่างไรความรักของพวกเขาก็เปิดเผยกันใหญ่โตมีชื่อเสียงรู้กันทั่วถานโจวแล้ว  

 

 

           มีหรือเจียงมู่เฉินจะรู้ว่าเขากำลังประชุมอยู่ จึงเอ่ยปากออกไปตรงๆ “ไป๋จิ่งโทรมาก่อกวนฉัน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วเล็กน้อย “เขาก็โทรหาคุณด้วยเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘ก็’ จึงถามกลับ “ก็โทรหานายด้วย”  

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับแล้วเอ่ยต่อ “แต่ว่าผมไม่ไดรับสาย”  

 

 

           เดิมทีเจียงมู่เฉินยังอยากจะถามไถ่ว่าไป๋จิ่งพูดอะไรกับซือเหยี่ยน ผลสุดท้ายได้ยินซือเหยี่ยนพูดว่าไม่ได้รับสายทางนั้น เขาก็รู้สึกชื่นใจอย่างไรชอบกล  

 

 

           “อืม ถือว่านายรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ห้ามรับสายเขานะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “ได้”  

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินพูดจบ คิดดูแล้วก็เอ่ยเสริมต่ออีกประโยค “นายจำว่าต้องหักเงินเดือนเขาด้วยนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้ถามเจียงมู่เฉินด้วยซ้ำว่าทำไมต้องหักเงินเดือนไป๋จิ่ง เขาตบปากรับคำทันที  

 

 

           ถึงอย่างไรสำหรับซือเหยี่ยนแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเจียงมู่เฉิน  

 

 

           “โอเค งั้นนายทำงานเถอะ ฉันจะทำธุระฉันต่อแล้ว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินเขาจะวางสาย ก็รีบเอ่ยต่อทันที “คืนนี้กินข้าวด้วยกันนะ”  

 

 

           “อืม” เจียงมู่เฉินขานรับ ก่อนจะวางสายไป  

 

 

           ซือเหยี่ยนเก็บมือถือ สีหน้าฟื้นคืนกลับมาเย็นชาเหมือนเมื่อครู่นี้ เขาเงยหน้ามองแวบหนึ่ง สุดท้ายสายตามาตกอยู่ที่ฝ่ายการเงิน  

 

 

           ฝ่ายการเงินคนนั้นตัวสั่น คิดว่าตัวเองทำอะไรให้ซือเหยี่ยนไม่พอใจแล้ว  

 

 

           หัวใจกำลังบีบคั้น ก็ได้ยินซือเหยี่ยนพูดว่า “เดี๋ยวหักเงินเดือนไป๋จิ่งเดือนหนึ่ง”  

 

 

           ฝ่ายการเงิน “…” ทำหน้างุนงง  

 

 

           แต่ว่าซือเหยี่ยนพูดแบบนี้แล้ว เขาต้องรับคำทันทีอยู่แล้ว “ได้ครับ ประธานซือ เดี๋ยวผมจะกลับไปหักให้ครับ”       

ตอนที่ 536 ไม่ใช่คุณไม่ได้

 

 

           แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ทิฐิที่เขามีต่อไป๋จิ่งนับวันยิ่งน้อยลง นับวันยิ่งน้อยลง แม้แต่เรื่องราวในตอนนั้น เขานึกถึงขึ้นมาอีก ก็ไม่ได้เหมือนก่อนหน้านี้ เจ็บจนทะลุถึงหัวใจ

 

 

           เหมือนว่าการปรากฏตัวอีกครั้งของไป๋จิ่ง มีอะไรบางอย่างค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ แล้ว

 

 

           แม้กระทั่งบาดแผลที่แตกร้าวเป็นทางอยู่ในใจของเขาก็สมานแผลทีละนิดๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นแล้ว

 

 

           เรื่องทำนองนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน มั่วไป๋จะหวาดกลัวมาก

 

 

           เพราะถ้าวันหนึ่งบาดแผลในตอนนั้นหายสนิทแล้ว เขาก็จะกลัว กลัวว่าตัวเองพอแผลหายดีแล้วจะลืมความเจ็บปวด

 

 

           แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเขาอยากจะเชื่อไป๋จิ่งอีกครั้ง อยากจะปล่อยให้บาดแผลในใจตามไป๋จิ่งไป ค่อยๆ สมานแผลทีละนิดๆ

 

 

           เขารู้สึกมาเสมอว่าไป๋จิ่งในปัจจุบันไม่เหมือนกับไป๋จิ่งในอดีต

 

 

           ไป๋จิ่งในตอนนี้บางทีอาจจะคุ้มค่าที่จะเชื่อได้

 

 

           ขณะที่มั่วไป๋กำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น ไป๋จิ่งก็ยังจ้องมองเขาอยู่ ใจเขากระตุกวูบ เบนสายตาหนีโดยอัตโนมัติ “นายมองฉันแบบนี้ทำไม”

 

 

           นัยน์ตาไป๋จิ่งฉายสะท้อนความกระวนกระวายใจ เขาหลุบตาลงไม่กล้ามองมั่วไป๋

 

 

           “ผม ผมก็แค่มองไปเรื่อยเท่านั้นเอง”

 

 

           มั่วไป๋มุมปากกระตุกทันที  ยังมองไปเรื่อยอีก เห็นเขาเป็นสิ่งของเหรอ จะมาใช้มองไปเรื่อยได้

 

 

           มั่วไป๋เห็นความตื่นตระหนกและความหวาดหวั่นบนใบหน้าของเขา เสียงต่ำก็เอ่ยถามอีก “ถ้าทั้งชีวิตนี้ ฉันไม่ให้อภัยนายเลยล่ะ”

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงัน สีหน้าอารมณ์ที่แสดงออกแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยไม่ตั้งใจ ดูอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

           มั่วไป๋เห็นความอ่อนแอในสายตาเขา ความสำนึกปรากฏในสายตา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บอกตามจริง คนที่ชอบฉันก็มีมาก แล้วแต่ละคนก็ดีกว่านายทั้งนั้น…

 

 

           …สำหรับฉันแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นนายเสมอไป”

 

 

           ไป๋จิ่งกำหมัด เขาต้องรู้อยู่แล้วเป็นธรรมดา

 

 

           มั่วไป๋ดีขนาดนี้ ต้องมีคนชอบเขามากมายอยู่แล้ว

 

 

           อีกอย่างคนอื่นก็ไม่มีทางเหมือนเขาที่ท้าร้ายมั่วไป๋อย่างนี้

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ได้ยินมั่วไป๋พูดอย่างนี้ ในใจไป๋จิ่งจู่ๆ ก็รู้สึกไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก

 

 

           เหมือนว่าเขาจะหาเหตุผลที่ทำให้มั่วไป๋ชอบไม่เจอจริงๆ

 

 

           คนที่เคยทำร้ายเขา ทำร้ายจนเจ็บลึก มีคุณสมบัติอะไรทำให้มั่วไป๋เปลี่ยนใจกลับมา

 

 

           ความลังเลใจฉายสะท้อนในแววตาเขา มั่วไป๋ที่สังเกตอาการเขาตลอดเก็บสิ่งนี้ไว้ในแววตา

 

 

           มั่วไป๋เองก็ไม่ได้ร้อนใจ มองไป๋จิ่งทีละนิดๆ ราวกับกำลังรอเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           สุดท้ายรูม่านตาไป๋จิ่งก็หดลงเล็กน้อยกะทันหัน เหมือนใบหน้าอยากจะแสดงอารมณ์ออกมา

 

 

           เขาคิดดีแล้ว ต่อให้ตัวเองจะไม่ได้ดีกว่าคนอื่นเสมอไป แต่ต่อไปไม่ว่าใครก็ดีกับมั่วไป๋ได้ไม่เหมือนเท่าเขาแบบนี้

 

 

           คนเราก็เดินผิดทางกันได้

 

 

           เมื่อเดินผิดทางแล้ว อย่างมากก็แค่หันกลับมา เปลี่ยนตัวเองใหม่ก็ได้แล้ว

 

 

           เดินทางผิดไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวก็คือไม่ก้าวเดินต่อไป หลบอยู่ในเกราะกำบังตัวเองโศกเศร้าเสียใจไปตลอดชีวิต ไม่ก้าวเดินออกมา

 

 

           คิดได้เช่นนี้ ในใจไป๋จิ่งก็เติมเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้

 

 

           ถึงอย่างไรเขาแสดงออกไปแล้ว หน้าด้านหน้าทนอย่างไรก็ต้องตามตื้อมั่วไป๋ให้ได้

 

 

           ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

 

 

           “สำหรับคุณแล้ว ก็จริงอยู่ที่ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นผมเสมอไป แต่สำหรับผมแล้ว ไม่ใช่คุณไม่ได้”

 

 

           มั่วไป๋เงียบงันอยู่หลายนาที ไม่ได้พูดจา

 

 

           ไป๋จิ่งตื่นเต้นนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพูดแบบนี้แล้ว จะทำให้มั่วไป๋มองภาพจำตัวเขาเองแย่ได้หรือเปล่า

 

 

           แต่ว่า…

 

 

           เหมือนว่าเขาอยู่กับมั่วไป๋ที่นี่ ก็ไม่มีคะแนนภาพจำที่ดีมาแต่เดิมแล้ว

 

 

           คิดอย่างนี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวไป๋จิ่งก็ไม่มีอะไรจะกลัวแล้ว

 

 

           ความรู้สึกแบบนี้ก็เหมือนกับคนที่ไม่มีอะไรจะเสีย ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรให้น่าแพ้อีกแล้ว

 

 

           “งั้นฉันไม่คิดจะให้นาย ‘ไม่ใช่ฉันไม่ได้’ ล่ะ” มั่วไป๋เอ่ยถามอีก

 

 

           ไป๋จิ่งเพิ่งจะฉีดเลือดไก่[1]มาเต็มทั้งใจ เอ่ยออกมาอย่างจริงจังโดยไม่คิดอะไรก่อนทั้งนั้น “คุณไม่ให้ผม นั่นเป็นเรื่องของคุณ ผมต้องการไม่ต้องการ นี่เป็นเรื่องของผม”

 

 

           เขาทำหน้าทะนงตัว “ดังนั้นเรื่องของผม คุณพูด ผมไม่นับ”

 

 

           

 

 

[1]  ฉีดเลือดไก่  มาจากความเชื่อทางการแพทย์จีนเมื่อยุคปี 60 ว่าการฉีดเลือดไก่เข้าตัวเป็นยารักษาสารพัดโรค (Chicken-blood therapy)

 

 

 

 

ตอนที่ 537 สลัดผมไม่หลุด

 

 

           มั่วไป๋มุมปากกระตุกขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ รู้สึกว่า  ตามวงจรสมองของเขาแล้ว เจ้าหมอนี่ใช้ชีวิตมาถึงวันนี้ได้ ถือว่าเบื้องบนเอาใจใส่ดูแลแล้วจริงๆ

 

 

           ‘และก็เป็นเขาที่อารมณ์ดีไม่โกรธง่าย ไม่ได้คิดจะเอาอะไรมากมายกับเจ้าบื้อนี่…

 

 

           …ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คาดว่าจะฆ่าเจ้าหมอนี่หมกตู้ไปตั้งนานแล้ว”

 

 

           “ดังนั้น…”

 

 

           มั่วไป๋เพิ่งจะพูดได้สองคำ ไป๋จิ่งก็แย่งพูดเสียก่อน “ดังนั้นคุณสลัดผมไม่หลุดหรอก”

 

 

           มั่วไป๋คิดในใจ เดิมทีก็ไม่ได้อยากจะสลัดเขาหลุด

 

 

           ถ้าสลัดไป๋จิ่งหลุด แล้วเหตุใดจะต้องปล่อยให้เขามาตามติดอยู่ข้างกายตัวเองจนถึงวันนี้ได้

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่าในใจมั่วไป๋มีความคิดอย่างอื่นกับไป๋จิ่ง ป่านนี้คงจะมองข้ามไป๋จิ่งไปนานแล้ว

 

 

           แล้วยังจะมาปล่อยให้ไป๋จิ่งมาลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อหน้าตัวเอง แล้วทำให้ทะเลสาบแห่งหัวใจที่สงบนิ่งปั่นป่วนทีละนิดๆ ได้อย่างไรกัน

 

 

            ทำให้หัวใจตัวเองบีบคั้นและรัดตัวแน่นตามไป๋จิ่งอยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว

 

 

           เรื่องที่ชอบไป๋จิ่งเรื่องนี้ ไม่ว่ามั่วไป๋เองจะหลบหนีอย่างไร จะไม่อยากยอมรับอย่างไร ต่างก็เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ไม่ได้

 

 

           เพียงแต่ว่าตอนนี้มั่วไป๋ยังไม่อยากบอกเรื่องนี้กับไป๋จิ่ง

 

 

           เขาก็แค่อยากให้ไป๋จิ่งลิ้มรสความเจ็บปวดทรมานมากขึ้นอีก ถ้าไม่อย่างนั้นจะทำให้เขาไม่ตะขิดตะขวงใจแล้วเริ่มต้นใหม่กับไป๋จิ่งได้อย่างไรกัน

 

 

           มั่วไป๋คร้านจะตอบกลับไป๋จิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเอื้อมมือไปหยิบกระดานวาดรูปขึ้นมาแล้วจัดการงานของตัวเองต่อ

 

 

           ไป๋จิ่งชักจะร้อนใจ มั่วไป๋ไม่พูดจา เขาไม่รู้ว่ามั่วไป๋หมายความว่ายังไง ทำได้เพียงมองตาค้าง

 

 

           แต่มั่วไป๋กลับยังทำท่าทีไม่สนใจแบบนี้อยู่

 

 

           ไป๋จิ่งคิดว่ามั่วไป๋ไม่อยากฟังคำพูดเมื่อครู่นี้ของตัวเอง ดังนั้นจึงได้ใช้วิธีเย็นชาไร้เสียงคัดค้านเขา

 

 

           เขานั่งอยู่ข้างๆ ตั้งนานสองนาน มั่วไป๋ก็ไม่สนใจเขา

 

 

           คนทั้งคนกลายเป็นเหมือนอากาศไปแล้ว

 

 

           ลมพัดมาทีก็ลอยหายไป

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในใจร้อนรนไม่เบา เขาเงยหน้ามองใบหน้าด้านข้างของมั่วไป๋

 

 

           เห็นความสงบนิ่งบนใบหน้าเขา ราวกับว่าไม่ได้เก็บเอาคำพูดเมื่อครู่นี้มาใส่ใจจริงๆ

 

 

           ไป๋จิ่งคิดในใจ  มั่วไป๋คงจะไม่คิดว่าที่เขาพูดไปเมื่อกี้เป็นแค่การพูดไปงั้นๆ หรอกใช่ไหม รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าเชื่อถือ ดังนั้นถึงได้ไม่เชื่อกัน

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมือออกมาอย่างเงียบๆ ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางขาของมั่วไป๋

 

 

           ตาเห็นนิ้วมือใกล้จะเคลื่อนตัวไปถึงขาของมั่วไป๋ เขาตื่นเต้นจึงงอนิ้วกลับเข้ามา

 

 

           ไป๋จิ่งแอบก่นด่าตัวเองในใจว่าไม่มีความคืบหน้าสักที

 

 

           ‘ไป๋จิ่งผู้ที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินในตอนนั้นโดนหมากินไปแล้วเหรอ’

 

 

           ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกต่ำถึงขั้นหวาดกลัวได้ขนาดนี้

 

 

           ไป๋จิ่งคิดดูแล้ว รู้สึกว่าตัวเองควรจะเข็มแข็งขึ้นอีก จะถูกความขี้ขลาดในใจตีให้ล้มไม่ได้

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงยื่นมือออกไปอีกครั้ง แอบมุ่งหน้าไปยังข้างกายมั่วไป๋

 

 

           จู่ๆ มั่วไป๋ก็หยุดกะทันหัน แล้วเอียงหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง เอ่ยถามเสียงเย็น “นายจะทำอะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งสะดุ้งโหยงยืนขึ้นทันที เขาลูบหัวปอยๆ พลางเอ่ยขึ้น “เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก ผมไม่ได้จะทำอะไรเลย”

 

 

           ท่าทางส่อพิรุธสุดๆ

 

 

           ขาดแค่เขียน ‘ใจฝ่อ’ ติดบนใบหน้าให้เห็นกันจะๆ แล้ว

 

 

           มั่วไป๋มองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก “ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งใกล้จะประคองตัวเองไม่ไหวแล้ว ยืนตัวตรงเดินมุ่งหน้าออกไปทันที “จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมมีธุระนิดหน่อย”

 

 

           ในสายตาของมั่วไป๋ เขาผลุนผลันวิ่งออกไปท่าทางเหมือนมีหมาวิ่งไล้ตามอยู่ข้างหลังไม่มีผิด

 

 

           มั่วไป๋ทำเป็นมองไม่เห็นอาการหวาดหวั่นของไป๋จิ่ง

 

 

           มุมปากเขาเชิดขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าตลกไม่เบา

 

 

           ขณะที่มั่วไป๋ยิ้มอยู่นั้น ไป๋จิ่งก็พุ่งตัวเข้ามา มั่วไป๋ชะงักงัน รีบเก็บร้อยยิ้มไว้ ใบหน้าค่อนข้างมีความหวั่นใจอยู่ในที

 

 

           ไป๋จิ่งกระสับกระส่ายจึงไม่ได้เห็นความผิดแผกจากเดิมเมื่อครู่นี้ของมั่วไป๋

 

 

           เขาวิ่งถึงข้างเตียงของตัวเอง หยิบคลำของชิ้นหนึ่งได้ ก็วิ่งออกไปทันทีหลังจากนั้น

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาวิ่งไปไม่เห็นฝุ่นแล้ว ถึงได้โล่งใจไปที

 

 

           อีกเพียงนิดเดียวจะถูกไป๋จิ่งจับได้แล้ว

ตอนที่ 534 โดนอบรมแล้ว

 

 

           หนังรอบนี้ดูจบแล้ว ไป๋จิ่งก็ยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วตัวเองดูอะไรไปกันแน่

 

 

           ถึงอย่างไรตั้งแต่เข้าโรงฉายมาจนกระทั่งหนังฉายจบ เป็นเวลาราวๆ สองชั่วโมง ความรู้สึกนึกคิดของเขาจดจ่ออยู่ที่มั่วไป๋ตลอดเวลา

 

 

           ในสายตาเขา นอกจากมั่วไป๋แล้ว อะไรก็มองไม่เห็นทั้งนั้น

 

 

           ส่วนมั่วไป๋กินป๊อบคอร์นตลอดการรับชมหนังแล้ว อะไรอย่างอื่นก็มองไม่เข้าหัวเหมือนกัน

 

 

           จนกระทั่งถึงตอนที่จะออกจากโรงฉาย มั่วไป๋ถึงได้พบว่าเขากินป๊อบคอร์นถังใหญ่จนถึงก้นถังแล้วโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ยามที่ไป๋จิ่งเดินออกมา เขาบังเอิญมองมั่วไป๋แวบหนึ่ง บันทึก เรื่องที่มั่วไป๋ชอบกินป๊อบคอร์นลงในใจอย่างเงียบๆ

 

 

           ค่อยๆ เดินออกมาพร้อมฝูงชนอย่างช้าๆ

 

 

           ระหว่างคนสองคนกลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างไม่พูดจา

 

 

           ที่จริงไป๋จิ่งมีอะไรอยากจะพูดอยู่เต็มไปหมด แต่พอเผชิญหน้ากับมั่วไป๋แล้วจะรู้สึกตื่นเต้นได้ พอตื่นเต้นก็จะพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง

 

 

           ส่วนมั่วไป๋เองก็ไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไรกับไป๋จิ่ง

 

 

           ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะพัวพันวนเวียนกันมาตลอดหลายปีนี้ แต่นาทีนี้ยังห่างเหินกว่าเพื่อนธรรมดาทั่วไปเสียอีก

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าระหว่างพวกเขาสองคนห่างเหินกันเกินไปแล้วจริงๆ จึงหาข้ออ้างมาสักหน่อย

 

 

           เขาคิดแล้วเอ่ยถาม “หนังน่าดูมากเลย”

 

 

           ประโยคนี้เป็นสิ่งที่ไป๋จิ่งอุปโลกน์ขึ้นมาโดยสมบูรณ์ เพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังแสดงอะไร

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินแล้วก็พยักหน้าพลางเอ่ยรับ “อืม”

 

 

           พูดประโยคนี้จบ ก็เงียบงันลงอีกครั้ง

 

 

           ไป๋จิ่งจับหัวตัวเองด้วยความลำบากใจ คิดถึงตอนแรกเริ่ม ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนที่หล่อฉลาดดูดีและมีภูมิฐาน

 

 

           แต่ตอนนี้กลับพูดแม้แต่คำพูดพอเป็นพิธีก็พูดได้ไม่ดี

 

 

           ไป๋จิ่งแอบดูถูกตัวเองอยู่ในใจ รู้สึกว่าตัวเองหวาดกลัวเกินไปแล้ว

 

 

           เขาบีบนิ้วมือตัวเอง อยากจะเติมพลังให้ตัวเองสักหน่อย กว่าจะเติมพลังจนเต็มไม่ใช่ง่ายๆ ผลปรากฏว่าเวลานี้มั่วไป๋เอ่ยทิ้งทวนประโยคหนึ่งมา “กลับโรงพยาบาลไหม”

 

 

           ปัง…ได้ยินเสียงลูกโป่งแตกแล้ว

 

 

           พลังที่ไป๋จิ่งเพิ่งจะเติมเต็ม ทั้งหมดสลายหายไปในพริบตา แม้แต่ส่วนน้อยนิดก็ไม่มีเหลือให้เขา

 

 

           “อ่า…อ่อ…ได้สิ”

 

 

           ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงกลับไปยังห้องพักผู้ป่วยกันอย่างเงียบๆ

 

 

           ทันทีที่เดินเข้าห้องพักผู้ป่วยไป พวกเขาก็เห็นเหยียนอวี้รออยู่ข้างใน สีหน้าดูไม่ได้จนไม่ไหว

 

 

           พอเขาเห็นพวกเขาสองคนกลับมาสักที เขาก็โล่งใจทันที ขณะเดียวกันก็ทำหน้าขรึมด่าทอต่อว่าใส่หน้าเต็มๆ

 

 

           “มั่วไป๋ นายเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม นายไม่รู้เหรอว่าตอนนี้นายออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ นายรู้ไหมว่าโทรหานายไปกี่ครั้งแล้ว…

 

 

           …ทั้งสองคนไม่มีใครรับสายสักคน…

 

 

           …ยังไงกัน นี่เตรียมจะให้ฉันอกแตกตาย จะได้เปลี่ยนหมอประจำตัวใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินคำพูดนี้ แล้วหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก็เห็นเพียงแค่หน้าจอที่แจ้งเตือนสายโทรเข้ามาไม่น้อยอยู่จริงๆ

 

 

           คิดดูแล้วคงจะเป็นช่วงเวลาที่เพิ่งจะดูหนัง เขาจึงกดปิดเสียงมือถือเอาไว้

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็หยิบมือถือออกมา ก็เห็นเพียงแค่หน้าจอดำ มือถือแบตหมดไปตั้งนานแล้ว

 

 

           สองชั่วโมงก่อน เหยียนอวี้มาห้องพักผู้ป่วยก็พบว่าสองคนนี้ไม่อยู่ในห้องแล้ว

 

 

           เขาคิดว่าพวกเขาสองคนลงมาเดินเล่น เขาลงไปหารอบหนึ่งก็ไม่เจอทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้จึงโทรหาพวกเขาสองคน คนหนึ่งโทรไม่ติด คนหนึ่งไม่รับสาย

 

 

           เขารอพวกเขาในห้องพักผู้ป่วยหนึ่งชั่วครึ่งเต็มๆ

 

 

           ไป๋จิ่งได้รู้จักเหยียนอวี้แค่เพียงไม่นาน ก่อนหน้านี้คิดเสมอว่าเหยียนอวี้ยังถือว่าเป็นคนพูดจาดีมากๆ     คนหนึ่ง

 

 

           วันนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นเหยียนอวี้เหวี่ยง ดูดุดูโหดไม่เบาจริงๆ

 

 

           เขาไม่อยากให้มั่วไป๋โดนดุ เขาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที “ขอโทษครับ เป็นผมเองที่ต้องการจะพาเขาออกไปให้ได้”

 

 

           สายตาเหยียนอวี้เหวี่ยงใส่ไป๋จิ่งพร้อมเอ่ยขึ้น “คุณอย่าเพิ่งพูด ผมพูดจบแล้วผมจะมาหาคุณต่อ”    

 

 

           

 

 

      ตอนที่ 535 เมื่อกี้คุณยิ้มแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งจะเคยโดนคนพูดแบบนี้ใส่เมื่อไหร่กัน แต่พอคิดว่าเหยียนอวี้คือเพื่อนของมั่วไป๋ อีกอย่างก็เป็นห่วงมั่วไป๋ไม่ต่างจากเขาเช่นกัน

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เขาลูบจมูกปอยๆ ถอยหลังกลับไปอย่างว่าง่าย

 

 

           เหยียนอวี้จ้องมองมั่วไป๋ “นายยังทำแบบนี้อีก ไม่ต้องให้ฉันอกแตกตาย ฉันก็จะเปลี่ยนตัวนายแล้ว ฉันเป็นหมอ กับคนไข้ที่ไม่ฟังหมอ ก็ควรจะเปลี่ยนตัวได้ตามคุณสมบัติ”

 

 

           มั่วไป๋ทำหน้าคุ้นชินกับสิ่งนี้แล้ว

 

 

           เขามองเหยียนอวี้ด้วยสีหน้าใสซื่อ คิดจะใช้สายตาทำให้เหยียนอวี้ใจอ่อน

 

 

           เขาใช้มุขนี้มา เหยียนอวี้ก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่กุมขมับอย่างเสียไม่ได้ “เจอนาย ฉันนี่ซวยซ้ำซวยซ้อนซวยที่สุดแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินเสียงเขาอ่อนลงแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยอย่างช้า “ที่จีนมีคำโบราณกล่าวไว้ดีมากทีเดียวว่า ‘ผู้ที่เป็นศัตรูกันมักจะโคจรมาเจอกัน’ ”

 

 

           เหยียนอวี้ “…”

 

 

           ‘เขาอยากจะเปลี่ยนคนไข้!’

 

 

           ‘แบบที่ต้องเปลี่ยนทันที!’

 

 

           ทำใจอบรมมั่วไป๋ไม่ลง แต่ทำใจอบรมไป๋จิ่งได้

 

 

           เหยียนอวี้คว้าตัวไป๋จิ่งออกไปนอกประตู อบรมอยู่นานสองนาน เสียงนั้นดังจนแม้แต่มั่วไป๋ที่อยู่ข้างในยังได้ยินด้วย

 

 

           มั่วไป๋ยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน เขากล้ารับประกัน เหยียนอวี้กำลังใช้หน้าที่มาบังหน้าเพื่อแก้แค้นส่วนตัวอยู่

 

 

           เอาส่วนที่อยากจะอบรมเขาส่วนนั้นมาลงทับถมใส่ไป๋จิ่งทั้งหมด

 

 

           ดังนั้นเหยียนอวี้จึงยำรวมแค้นใหม่เก่าในคราเดียว ถึงได้ดุด่าไป๋จิ่งอย่างถึงพริกถึงขิง

 

 

           วันนี้กลับแปลกไป ไป๋จิ่งคนทะนงตัวคิดไม่ถึงว่าจะไม่เอ่ยโต้แย้งแม้สักประโยค

 

 

           ปล่อยให้เหยียนอวี้ดุด่าอยู่ครึ่งชั่วโมงอย่างว่าง่ายผิดแผกจากเดิม

 

 

           เหยียนอวี้ด่าคนเสร็จ ก็สะบัดผมเดินออกไปด้วยความสดชื่นสบายใจ เหลือเพียงไป๋จิ่งคนเดียวที่มองตามแผ่นหลังของเหยียนอวี้ด้วยสีหน้างุนงง

 

 

           เขารู้สึกว่าประเด็นในการดุด่าเขาวันนี้ของเหยียนอวี้  เหมือนจะออกทะเลไปหน่อยมั้ง

 

 

           เช่นว่า…ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาของหมอ

 

 

           เช่นว่า…พูดจาทำให้หมอไม่พอใจ

 

 

           เช่นว่า…ทำอารมณ์หมอแย่

 

 

           ไป๋จิ่งอยากถาม  ปัญหาข้างต้นพวกนี้ มีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่เขาพามั่วไป๋ออกไปดูหนังสักนิดเหรอ

 

 

           ……

 

 

           ในที่สุดหน้าประตูก็เงียบสงบลง มั่วไป๋นั่งพิงโซฟา เห็นไป๋จิ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก

 

 

           ไม่รู้ว่ามองผิดไปเองหรือเปล่า ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสีหน้าไป๋จิ่งดูป่วยๆ

 

 

           พอเข้ามาก็สบตากับมั่วไป๋ ไป๋จิ่งก็เลิ่กลั่กนิดหน่อยแล้ว

 

 

           ถึงอย่างไรก็เป็นครั้งแรกที่เขายืนเฉยๆ ให้คนดุด่าอยู่ตรงนั้นเป็นครึ่งชั่วโมง

 

 

           นี่ถ้าซือเหยี่ยนรู้เข้า คาดว่าซือเหยี่ยนคงจะซื้อโทรโข่งป่าวประกาศไปทั่ว

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้เข้า เจียงมู่เฉินก็จะรู้ได้

 

 

           ถ้าเจียงมู่เฉินรู้แล้ว ต้องโรคจิตกว่าที่ซือเหยี่ยนซื้อโทรโข่งอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าคงจะซื้อพาดหัวข่าว ส่งเขาขึ้นไปอยู่ในอันดับค้นหายอดนิยมแล้ว

 

 

           แต่…ไม่ว่าจะเป็นโทรโข่ง หรืออยู่ในอันดับค้นหายอดนิยม ก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิ่กลั่กเท่ากับการเผชิญหน้ามั่วไป๋ในตอนนี้

 

 

           ไม่รู้ว่ามองผิดหรือเปล่า ไป๋จิ่งยังรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มเพียงนิดที่ซ่อนอยู่ในมุมปากของมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้า ไม่มีเวลามาสนใจความเลิ่กลั่กนี้แล้ว

 

 

           เดินอีกสามก้าวถึงหน้ามั่วไป๋ จ้องมองดูมุมปากของเขา

 

 

           มั่วไป๋โดนเขาจ้องแบบนี้ มุมปากก็อดจะกระตุกไม่ได้  ทำหน้าเป็นไซบีเรียนฮัสกีแบบนี้ นี่เตรียมจะทำอะไร

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูมั่วไป๋ด้วยความตื่นเต้น อารมณ์ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           เขาไม่ได้เห็นมั่วไป๋ยิ้มมานานแล้ว

 

 

           จู่ๆ มาเห็นมั่วไป๋ยิ้มแบบนี้ ใจเขาใกล้จะอ่อนยวบแล้ว

 

 

           เขามองมั่วไป๋อย่างเซ่อๆ พลางเอ่ยถามออกมา “เมื่อกี้คุณยิ้มแล้ว”

 

 

           ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ มั่วไป๋ตะลึงค้าง กดเก็บรอยยิ้มที่มุมปากลงโดยอัตโนมัติ

 

 

           ในใจมั่วไป๋รู้สึกแปลกอยู่ในที เขายิ้มแล้ว ตัวเองก็ไม่รู้เลย

 

 

           ไม่รู้เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ความเคียดแค้นในใจที่มีต่อไป๋จิ่งนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ คิดดูแล้วเหมือนว่าใกล้จะลืมเรื่องในตอนนั้นไปแล้วจริงๆ

 

 

           เขาพูดกับไป๋จิ่งว่า เริ่มทุกอย่างใหม่ทั้งหมด

 

 

           แต่มั่วไป๋รู้แก่ใจชัดเจน การต่อสู้ดิ้นรนเหล่านั้นในใจยังคงปล่อยวางไม่ลงเสียทีเดียว

ตอนที่ 532 โดนถ่ายรูปแล้ว

 

 

            แชะ…

 

 

           จู่ๆ ก็มีเสียงแฟลชถ่ายรูปดังขึ้นจากด้านข้าง

 

 

           มั่วไป๋กับไป๋จิ่งหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นแค่เพียงเด็กวัยรุ่นผมดำคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าแต้มรอยยิ้มเล็กน้อย พร้อมลูบหัวปอยๆ ด้วยความละอายใจ “ขอโทษพี่ ขอโทษ เมื่อกี้ผมรู้สึกว่าท่าทางของพวกพี่ดูดีเกินไปแล้ว ผมอดใจไม่ไหวเลยกดถ่ายรูปไป”

 

 

           ดูเหมือนเขาจะกลัวว่าไป๋จิ่งพวกเขาจะไม่สบายใจ จึงเอ่ยต่ออีก “ถ้าพวกพี่ไม่ชอบ ผมจะลบแล้ว แต่ว่า…”

 

 

           เด็กวัยรุ่นคนนั้นยื่นมือถือมาอยู่ต่อหน้าไป๋จิ่งและมั่วไป๋ “แต่ว่าถ่ายออกมาดีมากจริงๆ ถ้าลบไปแบบนี้น่าเสียดายออก งั้น…อย่าลบเลยนะพี่”

 

 

           ไป๋จิ่งดูภาพในมือถือ ตัวเองยื่นมือไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น แม้จะไม่ชัดแต่ก็เห็นถึงการรอคอยอันน้อยนิดนี้ได้

 

 

           ส่วนมั่วไป๋ถึงแม้ว่าสีหน้าจะเรียบเฉย แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นที่โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดความอ่อนโยนขึ้นแม้เพียงนิดก็ตาม

 

 

           เหมือนกับเด็กวัยรุ่นผมดำพูดไว้ รูปภาพรูปนี้ถ่ายออกมาได้ดีจริงๆ

 

 

           ไป๋จิ่งใจเต้น เขาตัดใจลบรูปไม่ลงอยู่แล้ว

 

 

           เขาเงยหน้ามองมั่วไป๋ เด็กวัยรุ่นผมดำคนนั้นก็มองมั่วไป๋เช่นกัน ทั้งสองคนมองมั่วไป๋ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยการรอคอย

 

 

           ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าในดวงตานั้นกลับเขียนตัวหนังสือขึ้นมาอย่างชัดเจน

 

 

           “ลบไปน่าเสียดาย อย่าลบเลย”

 

 

           ทั้งคู่มองมั่วไป๋อย่างนี้ มั่วไป๋ถูกมองขนรู้สึกอึดอัดใจ

 

 

           เขากระแอมไอเบาๆ “อืม”

 

 

           เด็กวัยรุ่นผมดำไม่เข้าใจคำว่า ‘อืม’ หมายความว่าอะไร แต่ไป๋จิ่งกลับเข้าใจได้ในพริบตา คำว่า ‘อืม’ ของมั่วไป๋คือการตอบกลับประโยคเมื่อครู่นี้ที่ว่า ‘อย่าลบเลยนะพี่’ ของเด็กวัยรุ่น

 

 

           นัยน์ตาเขาทอประกายความดีใจแทบบ้า รีบฉวยโอกาสที่มั่วไป๋ไม่สนใจ ให้เด็กวัยรุ่นคนนั้นแอบส่งรูปให้เขา

 

 

           ดูเหมือนเด็กวัยรุ่นจะชอบพวกเขาสองคนมาก ลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ สองคนนี้

 

 

           เขามองพวกเขาแล้วเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พวกพี่คบกันมานานเท่าไหร่แล้วเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักไป ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร

 

 

           แต่มั่วไป๋กลับเอ่ยปากว่า “วันนี้วันแรก”

 

 

           เด็กวัยรุ่นรู้สึกแปลกใจ อีกนิดเกือบจะตกเก้าอี้แล้ว “เป็นไปไม่ได้มั้ง พวกพี่เอาจริงเหรอ ผมรู้สึกว่าพวกพี่เหมาะสมคู่ควรกันสุดๆ เลย”

 

 

           เมื่อครู่นี้เพราะว่าเห็นสองคนนี้ดูมีความรักให้กันดี ดังนั้นถึงได้รู้สึกว่าภาพของพวกเขาดูสวยงามเป็นพิเศษ เขาจึงแอบกดถ่ายรูปเอาไว้

 

 

           แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองคนเพิ่งจะคบกัน  นี่ฟังดูแล้วมหัศจรรย์เกินไปแล้วมั้ง

 

 

           “อืม”  มั่วไป๋เอ่ยรับเสียงหนึ่ง ไม่ได้ชี้แจงอะไรมากมาย เรื่องที่เกี่ยวกับเขาและไป๋จิ่งในอดีต เขาไม่อยากอธิบายอะไรมากไปกว่านั้น

 

 

           อีกอย่างก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มต้นใหม่กับไป๋จิ่งอีกครั้ง

 

 

           จะมามัวแต่ยึดติดกับอดีตไม่ปล่อยไปสักทีก็ไม่มีประโยชน์อะไร

 

 

           เด็กวัยรุ่นผมดำหัวเราะ “แหะๆ” สองเสียง แล้วยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเอง “แต่ว่าผมก็ยังรู้สึกว่าพวกพี่เหมาะสมคู่ควรกันสุดๆ อยู่ดี”

 

 

           ไป๋จิ่งพึงพอใจกับคำประเมินของเขาอย่างยิ่ง

 

 

           เขาเห็นด้วยอยู่ในใจเงียบๆ

 

 

           เขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองกับมั่วไป๋เหมาะสมคู่ควรกันมาก

 

 

           แต่ละคนนั่งรอกันเพียงไม่นานก็ได้เวลาเข้าโรงฉายแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งถือแก้วโคล่าขึ้นมา แล้วส่งสายตาบอกให้มั่วไป๋ถือป๊อบคอร์น

 

 

           มั่วไป๋มองเขาแวบหนึ่ง “ทำไมนายไม่ถือ”

 

 

           ไป๋จิ่งเริ่มแกล้งทำไขสือ เขายกมือที่ถือแก้วโคล่าขึ้นมา พร้อมเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่มีมือแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋อดกลั้นความอยากจะกุมขมับเหลือเกินไว้ เมื่อครู่นี้ก็ไม่รู้ว่าใครกันที่ถือป๊อบคอร์นมาตลอด ตอนนี้ยังมาเอะอะว่าไม่มีมืออีก

 

 

           แต่พอสบสายตาซื่อๆ ของไป๋จิ่ง มั่วไป๋ก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ยอมรับชะตากรรมยื่นมือไปถือป๊อบคอร์นขึ้นมา

 

 

           มั่วไป๋เตี้ยกว่าไป๋จิ่งนิดหน่อย แต่รูปร่างในสายตาชาวอเมริกันก็ยังถือว่าผอมสูง

 

 

           บวกกับรูปโฉมภายนอกที่เห็นเด่นชัด เพียงชั่วครู่ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากมาย

 

 

 

 

ตอนที่ 533 ทำให้ใจสั่นนิดหน่อย

 

 

           มั่วไป๋กับไป๋จิ่งไม่ได้สนใจสายตารอบข้าง จึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรอยู่แล้ว

 

 

           สาเหตุที่ไป๋จิ่งไม่ได้รับผลกระทบก็เพราะหัวใจทั้งดวงของเขาอยู่ที่มั่วไป๋คนที่อยู่ข้างกายเขาแล้ว ส่วนมั่วไป๋เองก็ไม่มองใครอยู่ในสายตาอยู่แล้ว

 

 

           เมื่อเข้ามาในโรงฉาย แสงไฟได้มืดลงทันที มั่วไป๋เดินอยู่ข้างไป๋จิ่ง เขากอดถังป๊อบคอร์นไว้ สายตามาหยุดลงตรงป๊อบคอร์นโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ไป๋จิ่งป้อนป๊อบคอร์นให้ตัวเองกินเมื่อครู่นี้ขึ้นมาในหัว

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ ความรู้สึกที่พูดไม่ออกปรากฏขึ้นมาในใจ หัวใจของมั่วไป๋เต้นเร็วหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ถัดจากเท้าลงไปคือขั้นบันได มั่วไป๋ยังคิดถึงเรื่องราวนี้อยู่ไม่ได้ทันระวังไปโดยปริยาย จึงเห็นแค่เพียงคนทั้งคนก้าวเท้าเหยียบพลาดเซจะล้มไป

 

 

           ไป๋จิ่งใจกระตุกวูบ รีบใช้มือขวาถือแก้วโคล่าสองแก้วไว้ แล้วใช้มือซ้ายคว้ามั่วไป๋ไว้ทันที

 

 

           เห็นมั่วไป๋ไม่เป็นไร เขาถึงได้โล่งใจไปที

 

 

           “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่เป็นไร”

 

 

           เขาพูดจบก็เบนสายตามายังเท้าของตัวเอง แสร้งทำเป็นเดินก้าวเท้าอย่างจริงจัง

 

 

           แต่หัวใจที่อยู่ในอาการสงบเงียบกลับสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่นี้

 

 

           หลังจากหาที่นั่งเจอแล้ว มั่วไป๋เดินเข้าไปก่อน ไป๋จิ่งตามเขาอยู่ด้านหลัง นั่งลงข้างมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งส่งแก้วโคล่าต่อให้มั่วไป๋ มั่วไป๋ชะงักงันไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยยื่นมือไปรับมา

 

 

สิ่งที่ทำนี้เป็นเรื่องเรียบง่ายอยู่ทนโท่ แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อไป๋จิ่งทำมันขึ้นมา มั่วไป๋ก็จะรู้สึกเหมือนมีคนมาบีบคอได้

 

 

แม้แต่หายใจก็ทำได้ยากลำบากไม่เบา

 

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะพื้นที่ปิดมิดชิดเกินไป บวกกับแสงไฟที่มืดมาก ดังนั้นจึงเกิดบรรยากาศที่ทำให้คนตื่นตระหนกได้

 

 

ในความทรงจำของเขานี่คือครั้งแรกที่ได้ออกมาดูหนังด้วยกันกับไป๋จิ่ง  

 

 

ยามที่เขาเป็นหลินฝานในอดีตนั้น ไป๋จิ่งไม่มีทางจะพาเขาออกไปดูหนังได้

 

 

ต่อมาเมื่อกลายเป็นมั่วไป๋ เขาก็ไม่มีทางจะทำเรื่องแบบนี้กับไป๋จิ่งได้เป็นธรรมดา

 

 

คิดไม่ถึงว่าผ่านเรื่องราวมามากมายขนาดนี้ จะยังทำเรื่องทั่วไปที่คู่รักเขาทำด้วยกันได้อย่างเงียบสงบครั้งหนึ่งได้

 

 

คิดถึงตรงนี้ มั่วไป๋ก็ยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

รู้สึกว่าของบางอย่าง เวลาต้องการก็ไม่ได้มา เวลาไม่ต้องการกลับได้มาอีกเสียอย่างนั้น

 

 

ไป๋จิ่งเองก็ค่อนข้างตื่นเต้น แม้จะไม่ชัดเจน แต่เขาก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นตึกตักได้

 

 

อยากใกล้มั่วไป๋อีกนิด แต่กลับกลัวว่าจะใกล้มั่วไป๋เกินไป แล้วจะปกปิดความตื่นเต้นที่มีในใจตัวเองไว้ไม่อยู่

 

 

ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล้าทำเพียงแค่นั่งบื้อๆ อยู่ข้างๆ ใช้หางตาแอบชำเลืองมองมั่วไป๋

 

 

เพียงไม่นานทั้งโรงฉายก็มืดดับลงในพริบตา มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง

 

 

เพียงไม่ถึงสามวินาที จอฉายภาพขนาดใหญ่ก็สว่างขึ้น

 

 

พวกเขาเลือกดูหนังไซไฟเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่เพิ่งเข้าฉาย มีเนื้อหาเกี่ยวกับมหาสงครามของหุ่นยนต์

 

 

ว่ากันว่าคำวิจารณ์ดีมาก คะแนนก็สูงมากเช่นกัน

 

 

แต่ไป๋จิ่งกลับดูอะไรก็ไม่เข้าหัว ในโรงฉายที่มืดสลัว เขายิ่งควบคุมหัวใจไว้ไม่อยู่

 

 

เขาเอียงหน้ามองมั่วไป๋ กลับเห็นเขาจ้องมองจอฉาย ดูหนังอย่างเอาจริงเอาจังมาก

 

 

ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋มีอารมณ์ร่วมไปกับหนัง เขาก็ไม่ปกปิดสายตาที่มองเบนมาหามั่วไป๋เลยสักนิด จอจ้องมองใบหน้าขาวผ่องของมั่วไป๋ด้วยความโลภ

 

 

ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ตาไม่กะพริบ ราวกับมั่วไป๋น่าดูกว่าหนังเป็นหมื่นเท่าอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ใบหน้ามั่วไป๋ที่กำลังชมหนังอยู่ขยับขึ้นมากะทันหัน ไป๋จิ่งหัวใจบีบคั้น มีความรู้สึกเหมือนจะถูกจับได้แล้ว รีบก้มหน้าแกล้งทำเป็นหยิบป๊อบคอร์น

 

 

มั่วไป๋ก็ยื่นมือมาพอดี

 

 

มือทั้งสองคนแตะกัน ต่างฝ่ายต่างชะงักงันไปพักหนึ่ง

 

 

มั่วไป๋ก้มหน้าลง เขาเห็นนิ้วมือตัวเองที่ถูกไป๋จิ่งจับไว้อยู่พอดี

 

 

ไป๋จิ่งหัวใจสั่นไหว รีบชักนิ้วกลับมาทันที รู้สึกว่าตรงที่สัมผัสโดนมั่วไป๋โดยไม่ระวังเมื่อครู่นี้มีความร้อนปรากฏขึ้นมา

 

 

ความร้อนนั้นวนเวียนอยู่ที่ปลายนิ้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กระจายออกไป

 

 

ในที่ที่มั่วไป๋มองไม่เห็น เขาอดจะงอนิ้วเข้ามาไม่ได้ กำแน่นเล็กน้อย

 

 

ราวกับอยากจะเก็บรักษาความอบอุ่นที่ปลายนิ้วของมั่วไป๋ไว้อย่างเงียบๆ

 

 

ในใจมั่วไป๋เองก็มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ยื่นมือไปหยิบป๊อบคอร์นมาใส่เข้าปาก

 

 

รสชาติหวานๆ อบอวลอยู่ในปาก

 

 

เมื่อก่อนเขาไม่กินของพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่นาทีนี้…

 

 

มั่วไป๋กลับรู้สึกว่าป๊อบคอร์นก็อร่อยมากเหมือนกัน

 

 

อร่อยมากเป็นพิเศษ

ตอนที่ 530 ออกไปเดินเล่นกัน

 

 

           เหยียนอวี้มองไป๋จิ่งด้วยท่าทีเคร่งขรึม สีหน้าค่อนข้างดูหนักอึ้งทีเดียว เขาอ้าปากจะพูด แต่กลับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีก

 

 

           ท่าทางแบบนั้นทำเอาไป๋จิ่งรู้สึกกลัวนิดหน่อยแล้ว เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมั่วไป๋ แล้วยังเป็นสีหน้าแบบนี้อีก

 

 

           ‘หรือว่าอาการป่วยของมั่วไป๋…’

 

 

           เขามองเหยียนอวี้อย่างร้อนใจ “มั่วไป๋เป็นไรไปครับ”

 

 

           “อาการป่วยของมั่วไป๋…เกิดปัญหานิดหน่อยครับ” ขณะที่เหยียนอวี้พูดอยู่ ในใจก็ภาวนาไปด้วย เขาพูดอย่างนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาเช่นกัน

 

 

           โรคทางใจยังจำเป็นต้องใช้ยาใจรักษา รอพวกเขาคืนดีกันแล้ว จะเป็นการลงแรงน้อยที่ได้ผลสูงได้ไปโดยปริยาย

 

 

           ด้วยเหตุนี้คิดได้เช่นนี้แล้ว เหยี่ยนอวี้ก็มีเหตุผลที่จะอ้างได้เต็มปากเต็มคำแล้ว

 

 

           “อาการป่วยของเขาทรุดลงครับ” เหยียนอวี้ถอนหายใจ “ดังนั้นที่ผมให้คุณออกมา ก็อยากจะพูดกับคุณว่า ช่วงนี้คุณดูแลมั่วไป๋ดีๆ คุยกับเขาเยอะๆ อยู่ใกล้ชิดเขา”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินเหยียนอวี้พูดแบบนี้ เขาก็ค่อนข้างจะกระวนกระวายใจทีเดียว “ขอเพียงแต่อยู่ใกล้ชิดก็ดีขึ้นแล้วเหรอครับ”

 

 

           เหยียนอวี้ส่ายหัว ไป๋จิ่งหัวใจบีบคั้น

 

 

           แล้วเหยียนอวี้ก็เอ่ยด้วยท่าทีไม่ล้อเล่น “แค่อยู่ใกล้ชิดกันต้องไม่มีประสิทธิผลอะไรเป็นธรรมดาครับ”

 

 

           “งั้นผมต้องทำยังไงบ้างครับ”

 

 

           “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณอยู่กับเขาหนึ่งวันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงใช่ไหมล่ะครับ คุณก็พูดคุยกับเขาเยอะๆ ให้กำลังใจเขา อยู่เป็นเพื่อนทำเรื่องที่เขาชอบ ให้เขาดีใจประหลาดใจสักหน่อย”

 

 

           ไป๋จิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

           “คุณก็รู้ว่าสภาพจิตใจเป็นลบไม่ใช่เรื่องดีอะไรต่อร่างกายผู้ป่วย แต่ถ้าสภาพจิตใจดีแล้ว ร่างกายก็จะดีขึ้นได้โดยธรรมชาติ”

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิดแล้ว รู้สึกว่าสิ่งที่เหยียนอวี้พูดมาก็มีเหตุผล

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงตกลงรับปาก “ผมทราบแล้วครับ ผมจะพยายามทำให้เขามีความสุขให้ได้”

 

 

           เหยียนอวี้ได้เขารับประกันแบบนี้ ก็พยักหน้ารับเงียบๆ ความปลื้มอกปลื้มใจราวกับเป็นพ่อคนปรากฏในแววตา

 

 

           ‘เขาเป็นหมอก็ยากเกินไปแล้วไหม ตอนนี้ยังต้องมาทำหน้าที่เป็นกาวประสานใจอีก’

 

 

           “ยังมีอย่างอื่นอีกไหมครับ” ไป๋จิ่งเห็นเหยียนไม่พูด เสียงต่ำเอ่ยถามขึ้น

 

 

           เหยียนอวี้ส่ายหัว “ไม่มีแล้วครับ เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน”

 

 

           “งั้นผมเข้าไปแล้วนะครับ”

 

 

           เหยียนอวี้พยักหน้า “ครับ เข้าไปเถอะ”

 

 

           เขาเห็นไป๋จิ่งเดินไปแล้ว ก็ยิ้มอย่างปลื้มอกปลื้มใจ  ครั้งนี้คงจะเพียงพอให้กลับมาคืนดีกันได้อยู่ใช่ไหม

 

 

           พอคิดถึงภาพที่วันข้างหน้าทั้งสองคนรักกันชื่นมื่น เหยียนอวี้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากถึงมากที่สุด รู้สึกตัวเป็นหมอที่พยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่จนถึงขั้นที่ต้องประดับดอกไม้แดงติดอกเป็นรางวัลชมเชย

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งเดินเข้ามาข้างใน เขาก็เห็นมั่วไป๋นั่งเอียงตัวบนโซฟา

 

 

           ตอนที่เขาเดินเข้ามา มั่วไป๋เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วก้มหน้าลงไปอีก

 

 

           ที่มั่วไป๋คิดคือ เหยียนอวี้ต้องเปิดเผยอะไรบางอย่างแบบง่ายๆ กับไป๋จิ่งอย่างแน่นอน ถ้าตอนนี้เขาทำเป็นสนใจไป๋จิ่งกะทันหัน จะกระทบกระเทือนจิตใจที่เชื่อมั่นในตัวเองของไป๋จิ่งได้อย่างแน่นอน

 

 

           ดังนั้นมั่วไป๋จึงตัดสินใจทำเป็นเย็นชาก่อน รอจนกระทั่งไป๋จิ่งปรับตัวได้ แล้วค่อยมาสนใจเขาเล็กๆ น้อยๆ ไป

 

 

           ใครจะคิดว่าความตั้งใจดีของเขาในสายตาไป๋จิ่งจะกลายเป็นเพราะว่าอาการป่วยหนักขึ้น ดังนั้นถึงได้ยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ได้ ไม่เกิดความสนใจอะไรสักอย่าง

 

 

           ไป๋จิ่งย้อนนึกถึงท่าทีตอบสนองของมั่วไป๋เมื่อเช้านี้ รู้สึกว่าสิ่งที่เหยียนอวี้พูดมานั้นถูกต้อง อาการป่วยของมั่วไป๋หนักขึ้นจริงๆ

 

 

           คิดได้เช่นนี้ ไป๋จิ่งก็ทนไม่ไหวแล้ว เดินเข้าไปหามั่วไป๋ “ผมพาคุณออกไปเดินเล่นไหม”

 

 

           มั่วไป๋ประหลาดใจเล็กน้อย “ไปไหน”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้พูดอะไรมากมาย เขาแค่บอกไปตรงๆ “ออกไปเดินเล่นกัน”

 

 

           เดิมทีมั่วไป๋เตรียมจะโต้แย้ง แต่พอคิดถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของเหยียนอวี้ จึงจำใจต้องวางพู่กันในมือลง ก่อนจะพยักหน้ารับ “ก็ได้ ออกไปเดินเล่นกัน”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินมั่วไป๋ตอบรับ เขาโล่งใจทันที

 

 

           เขารีบลุกขึ้นมาจากโซฟา สวมเสื้อคลุมให้มั่วไป๋ เวลานี้ถึงได้พาคนออกไปข้างนอก   

 

 

           

 

 

        ตอนที่ 531 ดูหนัง

 

 

           หลังจากเข้ามาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล มั่วไป๋ก็ไม่เคยได้ออกมาข้างนอกอีก อยู่ในโรงพยาบาลทั้งวัน

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเวลาครึ่งเดือน ข้างนอกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่ามตาไปทั่วทุกบริเวณ

 

 

           เข้าสู่ฤดูใบไม่ร่วงแล้ว ข้าวนอกอากาศค่อนข้างเย็น บนพื้นยังมีไอน้ำเกาะอยู่พอประมาณ คิดดูแล้วคงเพราะเมื่อคืนมีฝนตก

 

 

           ทั้งคนเดินเคียงกันอยู่ข้างนอก ไป๋จิ่งเอียงหน้ามองมั่วไป๋อยู่บ่อยครั้ง เห็นใบหน้าเขาไม่อมทุกข์ ถึงได้โล่งใจไปที

 

 

           เดินไปได้สักช่วงเวลาหนึ่ง มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่งไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร เขาก็อดจะเอ่ยถามเสียงต่ำขึ้นมาไม่ได้ “นายพาฉันออกมาก็แค่เดินเล่นเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งโดนเขาถาม เพียงชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไร

 

 

           เขาก็แค่จู่ๆ เกิดอยากพามั่วไป๋ออกมาข้างนอกเฉยๆ เขาคิดว่ามั่วไป๋เก็บตัวอยู่แต่ในโรงพยาบาลคงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก

 

 

           ตอนที่เขาเสนอเรื่องนี้มา ไม่ได้คิดให้ดีจริงๆ ว่าจะพามั่วไป๋ออกมาทำอะไร

 

 

           พอโดนเขาถามแบบนี้ ก็ยังตื่นตระหนกนิดหน่อย

 

 

           ข้างๆ เห็นมีคนกำลังแจกใบปลิวอยู่พอดี ขณะที่ไป๋จิ่งกำลังลำบากใจอยู่นั้น เขาก็รีบยื่นมือไปรับมาทันที

 

 

           เขาก้มหน้าอ่านคร่าวๆ ก็เห็นว่าเป็นใบปลิวของโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งพอดี

 

 

           ไป๋จิ่งตาลุกวาว ได้ไอเดียขึ้นมาทันที

 

 

           เขายิ้มหัวเราะ ถือใบปลิวแล้วพูดกับมั่วไป๋ “อยากไปดูหนังกันไหม”

 

 

           มั่วไป๋เห็นใบปลิวเขียวๆ ลายๆ ขมับก็กระตุกแล้วกระตุกอีก  หาข้ออ้างได้เรื่อยเปื่อยขนาดนี้เลยเหรอ

 

 

           แต่ว่ามั่วไป๋คิดถึงเรื่องสมองของไป๋จิ่งแล้ว ไม่ได้หักหน้าเขา แต่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “ได้”

 

 

           นัยน์ตาไป๋จิ่งเปล่งประกายความดีใจ รีบก้มหน้าอ่านดูตำแหน่งของโรงภาพยนตร์ ซึ่งอยู่ข้างๆ นี้พอดี

 

 

           ในใจเขาดีใจในทันใด รีบจูงมั่วไป๋เดินเข้าไป

 

 

           ขณะที่มั่วไป๋โดนลากตัวไป คนทั้งคนตะลึงงัน ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ไป๋จิ่งจูงเขาเดินมุ่งไปข้างหน้าแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เดินตามอยู่ข้างหลัง ก้มหน้ามองดูมือที่ประสานกันกับไป๋จิ่งอยู่บ่อยครั้ง

 

 

           เขาคิดแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยเตือนไป๋จิ่ง ปล่อยให้เขาจูงมือเดินไปข้างหน้า

 

 

           โรงภาพยนตร์ไม่ถือว่าอยู่ไกลเกินไป ซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ข้างๆลานจัตุรัสนี้

 

 

           ทั้งสองคนเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแล้วตรงขึ้นไปชั้นห้าทันที เลี้ยวไปมุมหนึ่งก็เห็นโรงภาพยนตร์แล้ว

 

 

           รอจนกระทั่งมายืนอยู่ข้างในโรงภาพยนตร์ ไป๋จิ่งถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองจูงมือมั่วไป๋มาตลอดจนถึงตอนนี้ หัวใจเขาบีบคั้น ไม่ค่อยอยากจะปล่อยมือออกเท่าไหร่นัก

 

 

           แต่ก็กลัวว่ามั่วไป๋จะไม่สบายใจ คิดดูแล้ว เขาถึงได้ปล่อยมือออก เสียงต่ำเอ่ยมาประโยคหนึ่ง “ขอโทษนะ เมื่อกี้ผมไม่ทันระวัง”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับ ดูสีหน้าเขาไม่ออก

 

 

           แต่นิ้วที่ตกลงมาด้านข้างกลับงอขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ทั้งสองคนเลือกหนังไซไฟมาหนึ่งเรื่อง  ถึงยังไงผู้ชายสองคนจะมาเลือกดูหนังรักโรแมนติกไม่ค่อยได้หรอกใช่ไหม

 

 

           หลังจากพวกเขาซื้อตั๋วหนังแล้ว ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะเข้าไปในโรงฉายได้ ทั้งสองคนนั่งรออยู่บนโซฟาข้างๆ

 

 

           ข้างๆ มีคู่รักจำนวนไม่น้อยที่ส่วนใหญ่ในมือจะถือถังป๊อบคอร์นและแก้วเครื่องดื่มกัน

 

 

           ไป๋จิ่งนัยน์ตาประกายวาบ เสียงต่ำเอ่ยกับมั่วไป๋ “คุณรอผมอยู่ที่นี่สักครู่นะ”

 

 

           เขาพูดจบก็เดินออกไป เพียงไม่นานก็หอบป๊อบคอร์นถังใหญ่เดินกลับมา เขาหลุบสายตาลงต่ำไม่กล้ามองมั่วไป๋อย่างอายๆ

 

 

           เขาเกร็งหน้าเอาถังป๊อบคอร์นยัดใส่เข้าไปในมือมั่วไป๋ แล้วหยิบโคล่าสองแก้วออกมาด้วย

 

 

           “ให้…ให้คุณ”

 

 

           มั่วไป๋ก้มหน้ามองป๊อบคอร์นที่กำลังแผ่กระจายกลิ่นหอมหวานขึ้นมาเรื่อยๆ

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาเอาแต่จ้องมองป๊อบคอร์น แต่กลับไม่ทำอะไร ในใจเขาร้อนรนอยู่ไม่เบา คิดว่ามั่วไป๋ไม่ชอบ จึงยื่นมือไปหยิบป๊อบคอร์นขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วส่งเข้าไป

 

 

           “คุณ…ลองชิมไหม”

 

 

           น้ำเสียงของเขาเจือความตื่นเต้นที่พูดไม่ออก นิ้วมือที่ถือป๊อบคอร์นอยู่อ่อนแรงเพราะความตื่นเต้น

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้าขึ้นก็เห็นแววตารอคอยของไป๋จิ่ง

 

 

           เขาคิดดูแล้ว สุดท้ายก็ก้มหน้าลงเข้าไปใกล้ กินป๊อบคอร์นชิ้นนั้นเข้าไปในปาก

ตอนที่ 528 สมองมีปัญหา

 

 

           คิดไม่ถึงว่าฝีมือการนวดของไป๋จิ่งถึงแม้ว่าจะไม่ถือว่าดีเยี่ยม แต่จะมากจะน้อยก็ยังยกให้ผ่านได้

 

 

           ไป๋จิ่งนวดให้มั่วไป๋สักพัก มั่วไป๋ก็รู้สึกดีมากขึ้นแล้ว ยื่นมือไปตบมือไป๋จิ่งเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “โอเคแล้ว”

 

 

           ได้ยินมั่วไป๋พูดอย่างนี้ ไป๋จิ่งถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาแล้วปล่อยมือออก

 

 

           “นายไม่นอนแล้วมานั่งยองๆ อะไรตรงนี้”

 

 

           เวลานี้มั่วไป๋เพิ่งจะนึกภาพที่เพิ่งตื่นแล้วเห็นไป๋จิ่งนั่งอยู่ตรงนี้ขึ้นมาได้

 

 

           โดนมั่วไป๋พูดมาขนาดนี้ จู่ๆ ไป๋จิ่งก็รู้สึกละอายใจอยู่ในที

 

 

           เขาบอกไม่ได้ว่าทั้งสมองของตัวเองมีแต่มั่วไป๋เต็มไปหมด หลับตาไม่ลงเลยสักนิด สุดท้ายรู้สึกว่านอนดูมั่วไป๋บนเตียงไกลเกินไป ดังนั้นจึงไม่นอนต่อแล้วมานั่งอยู่ข้างมั่วไป๋ค่อยๆ มองอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ

 

 

           ไป๋จิ่งลูบจมูกด้วยความเลิ่กลั่กนิดหน่อย “ผมตื่นแล้วเพิ่งจะมาเอง”

 

 

           มั่วไป๋ไม่ได้พูดอะไร เอามือดึงผ้าห่มออกพร้อมลงจากเตียง

 

 

           เห็นเขาลงจากเตียง ไป๋จิ่งก็พรวดพราดยืนขึ้นมาเช่นกัน ท่าทางนั้นเหมือนกับว่าถ้าไม่รีบจะเกาะติดมั่วไป๋อยู่ข้างหลังไม่ทัน

 

 

           “นายไม่มีอะไรทำเหรอ จะตามฉันมาทำไม”

 

 

           มั่วไป๋เพิ่งจะเดินไปสองก้าว หันกลับมามองไป๋จิ่งที่ยืนอยู่ข้างหลัง พลางเอ่ยถามด้วยความรู้สึกแปลกๆ

 

 

           ไป๋จิ่งร้องไห้อุบอิบ เขาอยากตามอยู่ข้างหลังมั่วไป๋ แต่ก็กลัวมั่วไป๋จะรำคาญเขา สุดท้ายก็ทำได้เพียงเก็บกดควบคุมหัวใจของตัวเองเอาไว้ ยืนอย่างว่าง่ายอยู่ที่เดิม

 

 

           มั่วไป๋ล้างหน้าแปรงฟันออกมา เห็นไป๋จิ่งยังคงยืนตัวตรงอยู่ตรงเดิมเมื่อครู่นี้

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าวันนี้ไป๋จิ่งค่อนข้างจะแปลกพิกล ตั้งแต่ตื่นมาตอนเช้าก็รู้สึกว่าเขาดูแปลกไปมาก

 

 

           ตอนนี้ยิ่งแปลกไปกันใหญ่

 

 

           เขาอดจะคิดไม่ได่ว่า  หรือว่าตอนไข้ขึ้นก่อนหน้านี้จะลามขึ้นสมองจนทำให้เขาสมองเสียไปแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ครุ่นคิดแล้วไม่ได้พูดอะไร โทรหาเหยียนอวี้ให้เขาเข้ามาที

 

 

           เหยียนอวี้ได้รับสายจากมั่วไป๋ จึงตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาเข้าห้องมาก็เอ่ยถามทันที “เป็นไรไป ไม่สบายตรงไหนเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งเหมือนเสาไม้ที่อยู่ด้านข้าง พอได้ยินเหยียนอวี้ถามมั่วไป๋ว่าไม่สบายตรงไหน ก็รีบพุ่งเข้ามาทันที “คุณไม่สบายเหรอ ทำไมไม่บอกผม”

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้

 

 

           เขาไม่ได้ตอบกลับคำถามของไป๋จิ่ง แต่ตอบกลับคำถามของเหยียนอวี้ก่อน

 

 

           “ฉันไม่เป็นไร”

 

 

           เหยียนอวี้แปลกใจ “นายไม่เป็นไรแล้วให้ฉันมาทำอะไร”

 

 

           มั่วไป๋มองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง รู้สึกอึดอัดใจอยู่ในที ถึงอย่างไรก็จะพูดเรื่องที่เขารู้สึกว่าสมองของไป๋จิ่งมีปัญหาต่อหน้าไป๋จิ่งกับเหยียนอวี้ไม่ได้หรอกใช่ไหม

 

 

           ตอนนี้ขณะที่ไป๋จิ่งกำลังเป็นทุกข์ร้อนใจว่าจะได้หรือเสียอยู่นั้น เมื่อเห็นแววตาที่มั่วไป๋มองตัวเองดูเหมือนจะสับสนอยู่ไม่น้อย เขาก็อดจะคาดเดาไม่ได้ว่า  คงจะไม่ใช่ว่ามั่วไป๋เสียใจทีหลังแล้วใช่ไหม

 

 

           เสียใจทีหลังที่เมื่อวานพูดว่าอยากเริ่มต้นใหม่กับเขา

 

 

           คิดถึงตรงนี้ ไป๋จิ่งก็ตื่นตระหนกในพริบตา

 

 

           “ออกไปคุยข้างนอกได้ไหม” มั่วไป๋เอ่ยถามเสียงต่ำ

 

 

           เหยียนอวี้พยักหน้ารับ “ได้อยู่แล้ว” ขณะพูด เขาก็เดินออกจากห้องไปยืนรอมั่วไป๋อยู่นอกประตู

 

 

           มั่วไป๋ลุกขึ้นยืนแล้วตามออกไปเช่นกัน

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นพวกเขาสองคนเดินออกไปแล้ว เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างไรชอบกล

 

 

           เขาเดินวกไปวนมาอยู่ที่เดิม ร้อนใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไป๋จิ่งคิด  มั่วไป๋คงจะไม่เสียใจทีหลังจริงๆ หรอกใช่ไหม

 

 

           เหยียนอวี้ยืนรอมั่วไป๋อยู่ข้างๆ แถวนอกประตู

 

 

           มั่วไป๋เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เหยียนอวี้ อ้าปากพูดแต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

 

 

           เหยียนอวี้เห็นท่าทางเขาดูว้าวุ่นใจถึงขนาดนี้ เจ้าตัวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เป็นไรไป นี่นายอยากพูดแต่พูดไม่ออกใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ครุ่นคิดพลางเอ่ยเสียงต่ำ “ไป๋จิ่งเขา…”

 

 

           เหยียนอวี้เลิกคิ้ว “ไป๋จิ่งเป็นอะไรไปเหรอ” เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับฟุ้งซ่านไปไกล  หรือว่าเมื่อวานไป๋จิ่งได้ยินเรื่องพวกนั้น แล้วเกิดอารมณ์ฮึกเหิม แล้วพุ่งเข้าไปขึ้นคร่อมมั่วไป๋

 

 

           ‘มิน่าล่ะบรรยากาศเมื่อกี้นี้ถึงได้แปลกๆ ขนาดนั้น’

 

 

           มั่วไป๋กลืนน้ำลายก่อนจะพูดขึ้นว่า “สมองเขามีปัญหาหรือเปล่า”

 

 

       

 

 

ตอนที่ 529 กลอุบายของเหยียนอวี้

 

 

           เหยียนอวี้ “…”

 

 

           หัวใจเหยียนอวี้ที่เดิมทีเตรียมจะมาเผือก ผลสุดท้ายคืออีกนิดจะจมน้ำลายตัวเองตายแล้ว

 

 

           “เขา ทำไมสมองถึงมีปัญหาได้” เครื่องหมายคำถามขึ้นเต็มหัวของเหยียนอวี้

 

 

           ชักจะสงสัยแล้ว มั่วไป๋ไปดูมาจากไหนถึงมองว่าสมองไป๋จิ่งมีปัญหาได้…

 

 

           “ฉัน ฉันรู้สึกว่าวันนี้เขาดูแปลก…”

 

 

           มั่วไป๋เองก็พูดได้ไม่ค่อยดี ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเขาก็ไม่ได้ถนัดจะพูดอะไรแบบนี้ เพียงชั่วขณะก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องพูดอย่างไร

 

 

           เหยียนอวี้ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ยกมือขึ้นมากุมขมับด้วยความจนใจ สองคนนี้จะทำให้เขาพ่ายแพ้แล้วจริงๆ

 

 

           คนหนึ่งไม่ปกติยิ่งกว่าอีกคน

 

 

           ที่ไป๋จิ่งดูแปลกๆ ต้องเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานนี้อย่างแน่นอน ถึงเป็นแบบนี้ได้

 

 

           ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมสองคนนี้ยังพัวพันกันมานานขนาดนี้

 

 

           ตามที่เขาสังเกตการณ์ดูในช่วงเวลานี้ ไป๋จิ่งและมั่วไป๋ต่างฝ่ายต่างชอบกันและกันมาตลอด

 

 

           แต่มั่วไป๋ดันมีความยึดติดอยู่ในใจ ส่วนไป๋จิ่งก็ดันไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกอย่างไร

 

 

           ถึงได้ยุ่งเหยิงวกไปวนมาอยู่ตลอดจนถึงตอนนี้ นี่ก็หลายปีมาขนาดนี้แล้ว ทั้งสองคืบหน้าไปช้ามากจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ป่านนี้คงจะแสดงความรักโอบกอดกันไปแล้ว

 

 

           แต่ทั้งสองคนนี้ดันยื้อกันไปกันมาอยู่ตรงนี้

 

 

           ด้วยเหตุนี้เหยียนอวี้จึงครุ่นคิด เขาตัดสินใจจะยื่นมือมาช่วยพวกเขาสักหน่อย

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้น คาดว่าอีกสองปี พวกเขาสองคนคงจะยังไม่ได้คบกันอยู่ดี

 

 

           ดังนั้นเหยียนอวี้จึงทำหน้าเคร่งขรึมจริงจังมองมั่วไป๋ เหมือนกำลังคิดทบทวนอย่างไรอย่างนั้น แล้วพยักหน้าต่อจากนั้น “นายพูดมาก็ไม่ผิดนะ ดูจะมีปัญหาอยู่บ้างจริงๆ”

 

 

           เดิมทีมั่วไป๋ก็เพียงแค่คาดเดา แต่ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าเหยียนอวี้จะพูดว่าสมองของไป๋จิ่งมีปัญหาอยู่บ้างจริงๆ

 

 

           เขาตะลึงงันไปพักหนึ่ง เอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก “แล้วต้องส่งเขาไปรักษาไหม”

 

 

           เหยียนอวี้ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องพูดว่าเขาเซ่อหรือเขาซื่อดี

 

 

           แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้ว ก็ทำได้เพียงเล่นละครต่อไป

 

 

           เพราะแบบนี้เหยียนอวี้จึงครุ่นคิดอย่างจริงจังสักพัก “ตอนนี้อย่าเพิ่งบอกไป๋จิ่ง ฉันกลัวว่าเขารู้แล้วจะรับไม่ไหว”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้า ไป๋จิ่งคนที่ทะนงตัวขนาดนั้นรู้เรื่องเข้าต้องรับไม่ไหวอย่างจริงแท้แน่นอน

 

 

           “แต่ว่ายังดี ไม่ถือว่าหนักมาก ช่วงนี้นายก็ลำบากหน่อยแล้วกัน ไม่มีอะไรก็ตามดูเขาหน่อย สนใจใส่ใจมากขึ้นอีก อาการจะไม่ได้ทรุดลง”

 

 

           มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาอยู่ในท่าทีสงสัยในคำพูดของเหยียนอวี้

 

 

           เหยียนอวี้เห็นความสงสัยในแววตาของเขา ก็รีบเสริมต่ออีกประโยคทันที “อะไรกัน คำพูดของหมออย่างฉัน นายก็ไม่เชื่อเหรอ”

 

 

           “เชื่ออยู่แล้วล่ะ”

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกว่ามีสักจุดที่ไม่ค่อยปกติ แต่ก็หาไม่เจอว่าผิดปกติจุดไหนกันแน่

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงพยักหน้ารับไป แล้วเอ่ยว่า “ได้ ฉันทราบแล้ว”

 

 

           นัยน์ตาเหยียนอวี้ฉายสะท้อนแผนการบางอย่าง ตามไป๋จิ่งออกมาอีกคน

 

 

           เดิมทีไป๋จิ่งเห็นพวกเขาสองคนพูดพึมพำกันอยู่ข้างนอกตั้งนานสองนาน เขาก็ร้อนใจจนไม่ไหว ถ้าไม่ใช่ว่ามั่วไป๋กลับเข้ามาพอดี

 

 

           เขาคิดว่าตัวเองคงจะทนไม่ไหวต้องไปแอบฟังแล้ว

 

 

           เหยียนอวี้เห็นไป๋จิ่งอยู่ที่มุมพนังด้านหลัง ก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายมา “ไป๋จิ่ง คุณมานี่หน่อย”

 

 

           มั่วไป๋มองดูไป๋จิ่งที่อยู่ข้างหลังพลางถอนหายใจเงียบๆ

 

 

           ‘ดูปกติมาก จะทำยังไงได้สมองเสียไปแล้ว’

 

 

           ไป๋จิ่งถูกสายตาแบบนั้นมอง หัวใจก็สั่นสะท้านทันที สายตาเมื่อกี้นี้ของมั่วไป๋หมายความว่าอะไร หรือว่ามั่วไป๋อยากจะเปลี่ยนใจแล้วจริงๆ

 

 

           ไป๋จิ่งค่อนข้างตื่นตระหนก เห็นมั่วไป๋เดินผ่านตัวเองไป เขาอดจะเดินตามเข้าไปไม่ได้

 

 

           ยังดีที่เหยียนอวี้เห็นเขาจะทำแบบนั้น ก็รีบคว้าตัวเขาออกมาก่อน

 

 

           “คุณเรียกผมมามีเรื่องอะไรครับ” ไป๋จิ่งเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

           หัวใจทั้งดวงเขามีแต่มั่วไป๋ มีหรือจะมีอารมณ์อยากคุยกับเหยียนอวี้

 

 

           เหยียนอวี้ถอนหายใจ “เรื่องเกี่ยวกับมั่วไป๋ จะฟังไหมครับ”

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับมั่วไป๋ เขาก็รีบพยักหน้าทันที “ฟังๆๆ ฟังอยู่แล้วครับ”

ตอนที่ 526 อับจนหนทางอยู่ในที

 

 

           เหยียนอวี้มองตามแผ่นหลังของไป๋จิ่งไป เขาถอนหายใจเล็กน้อย แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

 

 

           ไป๋จิ่งไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากห้องทำงานของเหยียนอวี้ได้อย่างไร เขารู้แค่เพียงว่าหลังจากที่เขาออกมาจากห้องทำงานของเหยียนอวี้แล้ว เขาก็มุ่งตรงลงไปชั้นหนึ่งนั่งเก้าอี้ที่อยู่นอกอาคาร

 

 

           เขานั่งอยู่เป็นเวลานาน กว่าเขาจะได้สติกลับคืนมา ใบหน้าก็เย็นขึ้นเล็กน้อย

 

 

           ไป๋จิ่งยกมือขึ้นมาลูบถึงได้รู้ตัวว่า ขณะที่เขาไม่รู้อะไรอยู่นั้น น้ำตาได้ไหลอาบหน้าแล้ว

 

 

           ถ้าเป็นไป๋จิ่งก่อนหน้านี้ ในใจเขาปฏิญาณอย่างหนักแน่นและจริงใจ อยากจะดีกับมั่วไป๋ อยากจะชดเชยทุกอย่างในตอนนั้น

 

 

           แต่ตอนนี้ได้ฟังสิ่งที่เหยียนอวี้พูดมา ไป๋จิ่งกลับหวาดกลัวแล้ว

 

 

           เขาติดค้างมั่วไป๋มากเกินไป ต่อให้เขามอบทั้งตัวชดใช้คืนให้มั่วไป๋ เกรงว่าจะเติมเต็มอุโมงค์ใหญ่นี้ไม่ไหว

 

 

           ไป๋จิ่งกำมือแน่น รู้สึกอับจนหนทางอยู่ในที

 

 

           ตอนนี้แม้แต่จะเผชิญหน้ากับมั่วไป๋ได้อย่างไร เขาก็ไม่รู้แล้ว

 

 

           หลังจากที่รู้เรื่องราวทั้งหมด เขาควรจะแสดงสีหน้าแบบไหนเผชิญหน้ากับมั่วไป๋

 

 

           จู่ๆ ไป๋จิ่งก็รู้สึกว่าการที่เขาพูดต่อหน้ามั่วไป๋ว่า ‘ขอเพียงแต่เป็นสิ่งที่คุณต้องการ ผมก็ให้คุณได้ทั้งหมด’ เป็นสิ่งที่โง่เขลาถึงขีดสุด

 

 

           เขาติดค้างมั่วไป๋ ตลอดชีวิตนี้ก็ไม่มีทางจะให้ไหว

 

 

           ข้างๆ มีคนเดินผ่านมาอยู่ตลอดเวลา ไป๋จิ่งมองดูคนที่เดินผ่านไปผ่านมา นัยน์ตาก็ลุกวาว

 

 

           เขาลุกขึ้นยืนกะทันหันแล้วไปยังร้านสะดวกซื้อที่ซื้ออมยิ้มวันนั้น เข้าไปซื้อลูกกวาดมาจำนวนหนึ่ง

 

 

           เขานั่งลงข้างๆ แกะเอาลูกกวาดออกมาใส่ไว้ในปาก

 

 

           ทั้งที่เป็นรสสตรอว์เบอร์รีหอมลิ้นชัดๆ แต่พอวางในปากแล้ว กลับขมฝาดไม่เหมือนเดิม กินได้ไม่ถึงรสหวานเลยสักนิด

 

 

           เขาก้มหน้ามองลูกกวาดในมือแล้วกำแน่นทันทีหลังจากนั้น

 

 

           หลังจากมั่วไป๋จรดพู่กันวาดเส้นสุดท้ายเสร็จ กำลังจะเตรียมพักผ่อนสักหน่อย เขาก็เงยหน้ามองดูภายในห้องโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           เวลานี้เองเขาถึงได้พบว่าไป๋จิ่งจะออกไปนานแล้ว ยังไม่ได้กลับมาสักที

 

 

           เขาครุ่นคิดพลางลุกขึ้น​มาจากโซฟา ยืดแขนยืดขาคลายอาการเหน็บชา ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมมาสวมใส่แล้วลงไปใต้อาคาร

 

 

           สถานที่ที่ไป๋จิ่งจะไปได้คงจะมีแค่ที่นี่แล้ว

 

 

           มั่วไป๋ลงมาจนถึงชั้นหนึ่ง ออกจากลิฟต์มาเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ได้เห็นไป๋จิ่งนั่งเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก นั่งขดตัวเล็กน้อยเหมือนเจ็บปวดทรมานมากจนขดตัวเข้าหากัน

 

 

           หัวใจมั่วไป๋กระตุกวูบ คิดว่าร่างกายเขาไม่สบาย จึงรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา

 

 

           เขาเพิ่งจะเดินไม่ถึงสองก้าว ก็เห็นไป๋จิ่งลุกขึ้นยืน เขาเห็นไป๋จิ่งเดินเข้าไปร้านสะดวกซื้อข้างๆ

 

 

           เห็นเขาถือลูกกวาดเดินออกมา

 

 

           เห็นเขาแกะเอาลูกกวาดออกมาชิ้นหนึ่งวางไว้ในปาก เขายกมุมปากขึ้นเหมือนกำลังยิ้มอยู่

 

 

           แต่จากมุมที่มั่วไป๋มองเข้าไป รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋จิ่งไม่น่าดูเอาเสียเลย

 

 

           เขาคิดว่าความยึดติดที่ตัวเองมีต่อไป๋จิ่ง ต่อให้ทำใจปล่อยวางลงไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายก็จะเมินเฉยได้เอง

 

 

           แต่นาทีนี้มั่วไป๋ถึงได้ค้นพบ ว่าตลอดชีวิตนี้แท้ที่จริงแล้วตัวเองก็ไม่มีทางที่จะเมินเฉยได้ไหว

 

 

           ดั่งเช่นเวลานี้ เขาเห็นไป๋จิ่งขดตัวเข้าหากัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากเดินเข้าไปสวมกอดไป๋จิ่งไว้

 

 

           ……

 

 

           ไป๋จิ่งเอาลูกกวาดที่เหลือทั้งหมดใส่เข้าในกระเป๋าเสื้อ เขาจัดแจงมุมเสื้อแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้

 

 

           เขาออกมานานพอสมควรแล้ว ควรจะกลับไปได้แล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งยืนขึ้นแล้วหมุนตัวหันกลับไป เขาก็เห็นมั่วไป๋ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก

 

 

           ทั้งสองคนยืนหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางคือทางเดินที่ผู้คนเดินสวนไปมา เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นปลายจมูกของไป๋จิ่งก็รู้สึกเจ็บทันที

 

 

           เขากำมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ้มหัวเราะเบาๆ

 

 

           จู่ๆ มั่วไป๋ก็ขยับตัว ไป๋จิ่งคิดว่าเขาจะเดินออกไป มั่วไป๋ก็จะเดินออกไปจริงๆ ไม่ได้กลับไปห้องพักผู้ป่วย แต่เดินมุ่งหน้ามาหาเขาแทน

 

 

           แสงไฟสาดส่องกระทบใบหน้าที่เย็นชาของมั่วไป๋ แต่ไป๋จิ่งกลับรู้สึกว่าขอบตาของเขาแดงขึ้นเล็กน้อยแล้ว     

 

 

 

 

ตอนที่ 527 เริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะ

 

 

           มั่วไป๋เดินทะลุผ่านกระแสผู้คน เดินเข้ามาหาไป๋จิ่งทีละนิดๆ

 

 

           ระยะห่างสั้นๆ เพียงไม่ถึงสิบก้าว ราวกับใช้เรี่ยวแรงที่มีของมั่วไป๋ไปทั้งหมดแล้ว

 

 

           เขายืนอยู่ต่อหน้าไป๋จิ่ง เชิดริมฝีปากล่างขึ้นเบาๆ “ลูกกวาดของฉันล่ะ”

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงันอยู่ที่เดิม เวลาผ่านไปตั้งนานแล้วก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาสักที

 

 

           ใช้เวลาอยู่หลายนาที เขาถึงได้มีท่าทีตอบสนองกลับมา รีบร้อนหยิบลูกกวาดที่เพิ่งจะยัดใส่กระเป๋าเสื้อออกมายัดใส่มือมั่วไป๋อย่างลนลาน “พอไหม ไม่พอผมจะไปซื้อมาอีก”

 

 

           มั่วไป๋มองดูลูกกวาดในมือพลางหยิบขึ้นมาเม็ดหนึ่ง เขาแกะซองออกอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว พร้อมเอาลูกกวาดใส่เข้าไปในปาก

 

 

           ได้ลูกกวาดแล้ว เวลานี้เองมั่วไป๋ถึงได้หมุนตัวหันกลับเดินออกไป

 

 

           เดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมา แต่กลับเห็นไป๋จิ่งยังยืนบื้ออยู่ที่เดิม

 

 

           มั่วไป๋เอียงหน้ามอง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบๆ “ไม่เดินไปด้วยกันเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ต่างจากเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น รีบเอ่ยขานรับทันที “มา มาแล้ว”

 

 

           เสียงฝีเท้าเขาปะปนไปกับเสียงพูด อีกนิดจะสะดุดเท้าตัวเองล้มแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเดินตามมั่วไป๋อยู่ด้านหลัง ทั้งสองคนกลับห้องพักผู้ป่วยไปด้วยกัน

 

 

           มั่วไป๋กลับห้องมาก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขานั่งลงบนโซฟากินลูกกวาด ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างๆ มองดูเงาร่างของมั่วไป๋ หัวใจก็ปรวนแปร

 

 

           ‘เขา…อยากจะกอดเขา

 

 

           อยากมาก อยากมากๆ…’

 

 

           ผ่านไปหลายนาที มั่วไป๋ลุกขึ้นมาหยิบเสื้อผ้าไปอาบน้ำ

 

 

           ไป๋จิ่งมองตามแผ่นหลังของเขา ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็เดินก้าวใหญ่เข้าไป เอื้อมมือโอบกอดมั่วไป๋ไว้ในอ้อมอก

 

 

           นี่คือกอดครั้งที่สองหลังจากที่พวกเขาเจอหน้ากันอยู่โรงพยาบาล

 

 

           ถ้าบอกว่าการกอดครั้งแรกคือการควบคุมอารมณ์และเก็บเอาไว้ในใจ

 

 

           แล้วครั้งนี้คือการใช้เรี่ยวแรงที่อยากจะสลักมั่วไป๋เข้าสู่เลือดเนื้อของตัวเอง กอดเขาไว้ในอ้อมอกอย่างแน่นหนัก

 

 

           มั่วไป๋เองก็ไม่ได้ถามไป๋จิ่งว่า ทำไมต้องกอดตัวเองด้วย

 

 

           เขาไม่พูดจา ไป๋จิ่งไม่ปล่อยมือ

 

 

           ไม่รู้ว่ากอดนี้อยู่นานเท่าไหร่แล้ว ไป๋จิ่งเสียงแหบพร่าเจือความเจ็บปวดที่ไม่มีที่สิ้นสุด “ผมถามเหยียนอวี้มาแล้ว…”

 

 

           เขาเปิดประเด็นมา แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินประโยคเปิดมา เขาก็เข้าใจได้ในพริบตา

 

 

           ทั้งสองคนตกอยู่ในห้วงความเงียบงันอีกครั้ง เวลาผ่านไปนานแล้ว มั่วไป๋เอ่ยเสียงต่ำขึ้น “ไป๋จิ่ง พวกเราเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะ”

 

 

           ……

 

 

           ไป๋จิ่งนอนอยู่เตียง ดวงตาอดที่จะจดจ้องมาที่มั่วไป๋ไม่ได้

 

 

           ถึงแม้ว่าจะดึกมากแล้ว แต่ไป๋จิ่งกลับไม่ได้มีความง่วงใดๆ ทั้งสิ้น เขาแทบอยากจะแอบปีนขึ้นเตียงของมั่วไป๋แล้วรั้งคนเข้ามากอดไว้ในอก

 

 

           ไม่ทำอะไร แค่เพียงกอดอย่างเรียบง่าย

 

 

           แต่ไป๋จิ่งไม่กล้าทำ ไม่กล้าปีนขึ้นเตียงของมั่วไป๋ ยิ่งไม่กล้ากอดเขา

 

 

           อย่างเดียวที่กล้าทำคือเคลื่อนไหวดวงตาของตัวเอง มองมั่วไป๋ด้วยใจถวิลหาให้ดีที่สุด ไล่สายตาทีละนิดๆ แม้แต่เส้นผมก็ไม่ปล่อยผ่าน

 

 

           ไม่นานก่อนหน้านี้ มั่วไป๋พูดว่า “ไป๋จิ่ง พวกเราเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะ”  

 

 

           ประโยคสั้นๆ ไม่กี่คน กลับทำให้หัวใจไป๋จิ่งที่ตายแล้วไปครึ่งหนึ่งกลับมามีชีวิตได้เพียงชั่วพริบตา

 

 

           แม้กระทั่งมือที่กอดมั่วไป๋ไว้ก็ห้ามอาการสั่นสะท้านไม่อยู่ อีกนิดเกือบจะเสียหน้าเพราะกอดไว้ไม่อยู่แล้ว

 

 

           คืนนี้ไป๋จิ่งไม่ได้หลับไม่ได้นอนอยู่ทั้งคืน

 

 

           แต่มั่วไป๋กลับนอนหลับได้อย่างสนิท

 

 

           ……

 

 

           เช้าวันต่อมา มั่วไป๋ตื่นขึ้นมาจากนิทรา เขานอนยืดแขนยืดขาอยู่บนเตียง แต่กลับไม่ระวังไปแตะโดนของอุ่นร้อน

 

 

           ในใจเขารู้สึกแปลกๆ รีบลืมตาขึ้นทันที ก็เห็นไป๋จิ่งนั่งอยู่เก้าอี้ข้างๆ จ้องมาเขาอย่างไม่ละสายตาไปไหน

 

 

           มั่วไป๋ตอบสนองกลับมา “นายนั่งตรงนี้ทำอะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยอย่างอายๆ “ไม่มีอะไร ก็แค่ดูไปเรื่อยๆ”

 

 

           ได้ยินคำตอบนี้ มั่วไป๋อดจะมองบนใส่ไม่ได้  เขาไม่ใช่วัตถุอะไรสักหน่อย มีอะไรน่าดูกัน

 

 

           เพียงแต่ว่าเพิ่งจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ มั่วไป๋ไม่ได้พูดอะไร แต่หลับตาลงเอามือมากดที่ขมับ

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นใบหน้าซีดขาวของเขา ทั้งยังเห็นเขากดขมับ เจ้าตัวก็เข้าใจได้ในทันที

 

 

           เขาส่งมือไปทำหน้าที่แทนมั่วไป๋โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

           มั่วไป๋เห็นมีคนอาสามาทำหน้าที่แทนตัวเอง เขาก็ปล่อยให้ไป๋จิ่งทำ

ตอนที่ 524 ยังจะให้เล่าต่อไหมครับ

 

 

           ร่างกายสูงใหญ่ของเขาเกร็งตัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ สั่นเทาเล็กน้อย

 

 

           เหยียนอวี้มองเขาด้วยความเป็นห่วง “ยังจะให้เล่าต่อไหมครับ”

 

 

           ราวกับเสียงนี้เล็ดลอดไรฟันออกมา ไป๋จิ่งยังคงเอ่ยด้วยความยากลำบาก “ต่อเลยครับ”

 

 

           เหยียนอวี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ใบหน้ารักษาหายดีแล้ว แต่สำหรับมั่วไป๋แล้ว บาดแผลบนใบหน้าเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ที่ยิ่งสาหัสกว่านั้นคือระบบของประสาท”

 

 

           เหยียนอวี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยเสริมต่อ “จะว่าง่ายๆ ก็คือสมองของเขามีปัญหา เริ่มจากการเกิดภาวะประสาทเปลี้ย[1] หลังจากนั้นก็เริ่มเกิดภาวะของโรคจิตเภท[2] เหมือนคนสติไม่สมประกอบ”

 

 

           เขาหลับตาลง พูดสิ่งเหล่านี้ออกมาอย่างยากลำบาก “วันที่สองของการส่งตัวมา มั่วไป๋ก็ฟื้นแล้ว เขาลืมตา แต่กลับเหมือนมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเขาก็แค่รับบาดแผลบนใบหน้าเขาไม่ได้ จึงมีสภาพแบบนี้ได้…

 

 

           …แต่ต่อมาผมก็พบว่ามันไม่ใช่แบบนี้เลยครับ เมื่อถึงการผ่าตัดครั้งที่สิบกว่าๆ ใบหน้าของเขาก็ดีขึ้นมาบางส่วนแล้ว ไม่ได้ดูน่าตกใจเหมือนตอนแรก เจียงมู่เฉินคอยอยู่ข้างกายมั่วไป๋ พูดคุยกับเขาทุกวัน…

 

 

           …แต่มั่วไป๋ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไรสักอย่าง จนผ่านการผ่าตัดมาถึงครึ่งทางแล้ว ผมถึงได้ค้นพบกะทันหันว่าเพราะเขาได้การกระทบกระเทือนทางจิตใจที่ใหญ่มากเกินไป ทำให้เกิดการปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมจะเผชิญหน้ากับใครทั้งนั้น เพิ่งจะเริ่มก็แค่ไม่พูดจา ไม่มีท่าทีตอบสนอง ไม่หลับไม่นอนทั้งคืน นั่งขดตัวอยู่ที่มุมๆ หนึ่งคนเดียว…

 

 

           …เวลานั้นนอกจากเจียงมู่เฉินคนเดียวที่เข้าใกล้เขาได้ คนอื่นก็ไม่มีทางจะเข้าใกล้มั่วไป๋ได้เลย แม้แต่ผมที่เป็นหมอรักษาเขาก็ยังต้องใช้เวลานานมากๆ กว่าจะทำให้เขายอมรับผมได้”

 

 

           เหยียนอวี้เงยหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง “คุณคงจะไม่มีทางคิดฝันถึงชีวิตแบบนั้นได้หรอกครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งคิดว่าตัวเองมีความกล้าพอจะประคองตัวเองฟังเหยียนอวี้จนจบได้

 

 

           แต่เหยียนอวี้เพิ่งจะเอ่ยเกริ่นนำเท่านั้น เขาก็ใช้แรงที่มีทั้งกายไปจนหมดสิ้นแล้ว

 

 

           น้ำเสียงเย็นชาของเหยียนอวี้ทิ้งดิ่งกลางอากาศ “แน่นอนนี่ก็แค่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น…

 

 

           …ต่อมาอาการของเขายิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ถึงขึ้นเกิดสภาวะเสียสติ…

 

 

           …ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งเขาปีนขึ้นหน้าต่าง อีกนิดเดียวจะกระโดดลงไปแล้ว…ถ้าไม่ใช่เจียงมู่เฉิน ถ้าไม่ใช่เขา มั่วไป๋ก็คงจะตายไปนานแล้ว” เหยียนอวี้กะพริบตา นัยน์ตาเจือรอยยิ้ม “คุณสงสัยแปลกใจมากใช่หรือเปล่าครับ ว่าทำไมความสัมพันธ์ของเจียงมู่เฉินกับมั่วไป๋ถึงดีได้ขนาดนี้”

 

 

           เจียงมู่เฉินคือคุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้ที่คาบช้อนทองมาตั้งแต่เกิด

 

 

           เย่อหยิ่งยิ่งกว่าใคร

 

 

           แต่กลับเป็นเพื่อนกับมั่วไป๋ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงได้ จนกลายมาเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุด

 

 

           ก่อนหน้านี้ตอนที่ไป๋จิ่งเห็นเจียงมู่เฉินอยู่กับมั่วไป๋ เขาก็รู้สึกแปลกมาก รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีจนใครก็เข้าไปแทรกไม่ได้

 

 

           แต่ตอนนี้เขาเข้าใจได้ในทันทีแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินช่วยชีวิตมั่วไป๋ไว้สองครั้ง ทั้งยังคอยอยู่เคียงข้างมั่วไป๋เป็นเวลากว่าครึ่งปี

 

 

           เขาเห็นมั่วไป๋ค่อยๆ ยืนขึ้นมาใหม่ทีละนิดๆ

 

 

           คนที่เคยผ่านความตายมา ความสัมพันธ์จะไม่ดีได้อย่างไรกัน

 

 

           ก็เหมือนกับที่เหยียนอวี้พูดมาอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เจียงมู่เฉิน มั่วไป๋คงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ได้แล้ว

 

 

           เวลาผ่านไปนานพอสมควร ไป๋จิ่งกดเก็บความเจ็บปวดที่บาดลึกลงในใจ เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ”

 

 

           “หลังจากนั้นเหรอครับ…หลังจากนั้นก็บำบัดรักษาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งแล้วครั้งเล่า”

 

 

           การบำบัดรักษาแบบนั้น แม้แต่เขาที่เป็นหมอก็รู้สึกหมดหวังแล้ว

 

 

           เหยียนอวี้จำได้ เวลามากมายส่วนใหญ่ในความทรงจำของเขา มั่วไป๋คือคนที่นั่งใจลอยขดตัวอยู่ที่มุมผนังห้อง แรกเริ่มไม่พูดจา ต่อมาเริ่มทำร้ายตัวเอง

 

 

           ครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินพบว่าเขาทำร้ายตัวเองคือตอนเที่ยงคืน

 

 

           กว่าเขาจะค้นพบ มั่วไป๋นั่งขดตัวอยู่ที่มุมผนัง ถือมีดกรีดไปตามแขนทีละนิดๆ

 

 

 

 

[1]  ภาวะประสาทเปลี้ย  (neurasthenia) เป็นโรคประสาทอย่างหนึ่งที่มีอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย ปวดศีรษะ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ และขาดความสามารถที่จะสนุกสนานรื่นเริง อาจเกิดภายหลังหรือร่วมกับการติดเชื้อ การหมดกำลัง หรือจากมีความกดดันทางอารมณ์เป็นเวลานานๆ

 

 

[2]  โรคจิตเภท (Schizophrenia)  เป็นโรคความผิดปกติทางจิตที่รุนแรงและเรื้อรัง ส่งผลต่อการพูด การคิด การรับรู้ ความรู้สึก และการแสดงออกของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการต่าง ๆ อย่างประสาทหลอน หลงผิด ปลีกตัวจากสังคม หรือไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ จึงยังไม่มีวิธีรักษาที่เฉพาะเจาะจง แต่ผู้ป่วยอาจบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ โดยต้องเข้ารับการรักษาเพื่อควบคุมอาการไปตลอดชีวิต

 

 

 

 

ตอนที่ 525 ไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อย

 

 

           เจียงมู่เฉินตกใจจนไม่ไหว ต้องมาดูมั่วไป๋ทุกวัน ช่วงเวลานั้นเจียงมู่เฉินไม่กล้านอนหลับแม้สักคืน

 

 

           ไม่กล้าห่างมั่วไป๋แม้เพียงก้าวเดียว

 

 

           กลัวว่าถ้าตัวเองห่างจากมั่วไป๋ มั่วไป๋จะทำร้ายตัวเองได้

 

 

           เหยียนอวี้ยังจำได้ คุณชายน้อยผู้เย่อหยิ่งคนนั้นตอนที่พบว่ามั่วไป๋กำลังเตรียมจะฆ่าตัวตาย ก็พุ่งเข้าไปดึงมั่วไป๋เข้ามากอดอย่างบ้าคลั่ง

 

 

           ร้องโวยวายโดยไม่สนใจภาพลักษณ์เลยสักนิด “นายแม่งเป็นคนของคุณชายนะ ใครแม่งจะให้นายตาย…

 

 

           …นายแม่งวันหลังอย่าทำอะไรอย่างนี้อีกนะ ได้ยินไหม!”

 

 

           เขาร้องตะโกนไปด้วย พลางร้องไห้ไปด้วย

 

 

           เหมือนว่าในความทรงจำของเหยียนอวี้ เจียงมู่เฉินเสียอาการที่สุดแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เห็นใบหน้าอาบน้ำตาของเจียงมู่เฉิน แววตาที่เดิมทีเลื่อนลอยไม่ได้สติก็เปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

           ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือไปซับน้ำตาบนใบหน้าของเจียงมู่เฉิน เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “โอเค”

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงันอยู่ที่เดิม ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก

 

 

           ไม่ใช่แค่เจียงมู่เฉินที่ตอบสนองกลับมาไม่ได้ แม้แต่เหยียนอวี้หมอที่เป็นคนรักษาเขาเองก็ตอบสนองกลับมาไม่ได้

 

 

           ต่อมามั่วไป๋ก็เอ่ยปากพูดประโยคที่สองตั้งแต่ที่เขามาอยู่ในโรงพยาบาลนี้ “อย่าร้องไห้สิ ไม่น่าดูเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินประโยคนี้ เขากะพริบตาปริบๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาแล้ว

 

 

           ทันใดนั้นเขาก็กอดมั่วไป๋ไว้ “นายพูดก็ดีแล้ว คุณชายเอาจริงนะ ถ้านายหลอกกัน คุณชายจะไม่ปล่อยนายไปแน่”

 

 

           มือมั่วไป๋ที่วางอยู่ข้างๆ โอบกอดเจียงมู่เฉินไว้หลวมๆ เขาพยักหน้าเบาๆ ท่าทางเบามากเบาจนเกือบจะไม่ให้

 

 

           แต่แรงเพียงน้อยนิดนี้กลับทำให้เจียงมู่เฉินโล่งใจไปที

 

 

           หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา อาการของมั่วไป๋ฟื้นฟูนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านจิตใจ หรือว่าบาดแผลบนใบหน้า

 

 

           ใจที่เจียงมู่เฉินยกไว้มานานแสนนาน ในที่สุดก็ปล่อยลงได้เสียที

 

 

           ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินไปคุยกับพ่อแม่เขาอย่างไร เขาได้อยู่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนมั่วไป๋จากนั้นเป็นต้นมา

 

 

           ไม่ห่างแม้สักก้าวกว่าครึ่งปีเต็มๆ

 

 

           ในการผ่าตัดทุกครั้ง เขายืนหยัดอยู่เคียงข้างมั่วไป๋เสมอ ไม่เคยจะจากไปไหนแม้สักครั้ง

 

 

           เพื่อนที่จะทำได้แบบเจียงมู่เฉินก็คงจะมีไม่กี่คนแล้ว

 

 

           แต่ว่ายังโชคดีที่มีเจียงมู่เฉินคอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดครึ่งปีนี้ ในที่สุดมั่วไป๋ก็ออกจากโรงพยาบาลได้

 

 

           เพียงแต่ว่ามั่วไป๋กลับขออยู่ที่นี่ต่อ ไม่กลับถานโจวแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินกับเหยียนอวี้ต่างก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เหยียนอวี้คิดว่าอยู่ที่นี่ต่อก็ดี เขาอยู่ใกล้ ถ้ามั่วไป๋มีเรื่องอะไร ยังจะช่วยดูแลกันได้

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงยอมตกลงให้

 

 

           ทีแรกเจียงมู่เฉินไม่เห็นด้วยทั้งนั้น

 

 

           เพราะว่าเขาอยู่ที่นี่นานพอแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้สืบทอดกิจการของเจียงเฉินกรุ๊ป เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ข้างนอกนี้ไปตลอดชีวิต

 

 

           แต่ให้มั่วไป๋อยู่ที่นี่คนเดียว เขาก็ไม่ค่อยจะวางใจเท่าไหร่นัก ดังนั้นพอมั่วไป๋เริ่มพูดเรื่องนี้มา เจียงมู่เฉินจึงไม่เห็นด้วยทั้งนั้น

 

 

           สุดท้ายไม่รู้ว่ามั่วไป๋ไปพูดอะไรกับเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินถึงได้ยอม

 

 

           แต่ก่อนที่จะไป เจียงมู่เฉินไปหาคอนโดมิเนียมกับมั่วไป๋ด้วยตัวเอง อยู่เป็นเพื่อนเขาสักสี่ห้าวัน รู้สึกว่าเขาไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ถึงได้เดินทางกลับถานโจวไป

 

 

           เดิมทีมั่วไป๋ก็เป็นคนพูดน้อยมากอยู่แล้ว หลังจากเจียงมู่เฉินไป เขาก็ยิ่งพูดน้อยลงไปอีก

 

 

           ข้างกายเขาไม่มีเพื่อนคนไหน เพื่อนคนเดียวก็มีเพียงแค่เหยียนอวี้

 

 

           เหยียนอวี้เป็นห่วงอาการป่วยของเขา ดังนั้นจึงเข้ามาแวะดูอาการมั่วไป๋สัปดาห์ละครั้งเสมอ

 

 

           เพียงแต่ว่ายังดีที่หนึ่งปีต่อมา อาการป่วยของมั่วไป๋โดยพื้นฐานคงที่แล้ว การใช้ยาก็ควบคุมได้แล้วเช่นกัน

 

 

           จนกระทั่งกลับมาครั้งนี้ ถึงได้เกิดปัญหาอีกครั้ง

 

 

           ……

 

 

           “นี่คือสิ่งที่คุณอยากรู้ทั้งหมด” เหยียนอวี้ถอนหายใจ “ผมเล่าให้คุณฟังตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อยครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้ารับ เวลาผ่านไปนานแล้ว แต่เขาก็พูดอะไรไม่ออก

 

 

           ผ่านไปหลายนาที เขายันตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เงาร่างสูงใหญ่โคลงเคลงเล็กน้อยเหมือนจะยืนทรงตัวไม่ค่อยอยู่

 

 

           เขาหันหน้ามุ่งเดินไปข้างนอก ก่อนจะออกไปก็เอ่ยขอบคุณกับเหยียนอวี้ครั้งหนึ่ง 

ตอนที่ 522 อยากกอดเขา

 

 

           พอมั่วไป๋พูดมา ไป๋จิ่งก็หายใจลอยกลับมาทันที

 

 

           เขาก้มหน้ามองโจ๊กในมือ รีบหยิบช้อนขึ้นมา พร้อมรีบเอ่ย “จะกินแล้ว กินแล้ว นี่จะกินแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งก้มหน้าลงกินโจ๊ก ถอนหายใจในใจเล็กน้อย เขาจะบอกมั่วไป๋ไม่ได้ว่าตัวเองทำใจกินไม่ลง

 

 

           พูดอย่างนี้ออกไป มั่วไป๋รู้เข้า จะดูเหมือนตัวเองไม่มีความคืบหน้าเท่าไหร่

 

 

           ทั้งสองคนกินโจ๊กเสร็จ ก็เดินเล่นอยู่ข้างล่าง ถึงค่อยกลับมายังห้องพักผู้ป่วย

 

 

           ชีวิตในโรงพยาบาลเรียบง่ายมาก จนกระทั่งใช้คำว่า ‘น่าเบื่อ’ มาพูดได้ ไม่มีรายการบันเทิงใดๆ ทั้งสิ้น อยู่ข้างในทั้งวัน

 

 

           ตรวจอาการ กินข้าว นอนหลับ…

 

 

           นอกจากสามอย่างนี้ ก็หาเรื่องอื่นที่ทำได้ไม่เจอเลย

 

 

           ไป๋จิ่งไม่เคยมีประสบการณ์การใช้ชีวิตมาก่อน ตอนนี้หลังจากผ่านประสบการณ์มาแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้น่าเบื่อเกินไปแล้ว

 

 

           แต่มั่วไป๋กลับคุ้นชินมากถึงมากที่สุด เขากลับมาห้องพักผู้ป่วยก็หยิบกระดานวาดรูปขึ้นมาวาดรูปต่อทันที

 

 

           ไป๋จิ่งไข้ลดลงแล้ว จึงไม่ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา

 

 

           เขาค่อยๆ เดินไปอยู่ข้างหลังมั่วไป๋ เขามองมั่วไป๋พลางเอ่ยเสียงต่ำ “คุณทำอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ”

 

 

           พู่กันในมือมั่วไป๋หยุดชะงักเล็กน้อย เอ่ยขานรับไปตามที “อืม”

 

 

           เขา ‘อืม’ อย่างไม่ใส่ใจ แต่ในใจไป๋จิ่งกลับเมินไม่ลงมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งยังจำยามที่พวกเขาเพิ่งจะเจอหน้ากันได้ หลินฝานสดใสร่าเริงมาก เพียงแต่ว่าไม่รู้เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หลินฝานเงียบลงในทุกๆ วัน

 

 

ทีแรกไป๋จิ่งไม่ได้สนใจอะไร แต่กว่าที่เขาจะมีท่าทีตอบสนองกลับมา หลินฝานก็พูดน้อยลงมากแล้ว

 

 

ในความทรงจำของไป๋จิ่ง หลินฝานเป็นคนที่มองเขาด้วยความหวาดกลัวอยากพูดก็พูดไม่ออกแบบนี้เสมอ

 

 

แต่ตอนนี้มั่วไป๋ไม่ได้เหมือนหลินฝานในตอนนั้น มั่วไป๋ในตอนนี้มีความเย็นชาซึมซาบอยู่ทั่วร่าง ความเย็นชาแบบนั้นซึมซาบออกมาจากกระดูก

 

 

หนาวเหน็บเข้าถึงกระดูก

 

 

ตอนแรกที่เขาเจอกับมั่วไป๋ เขารู้สึกแค่เพียงว่าคนคนนี้เย็นชากว่าคนอื่นสักหน่อย

 

 

แต่ต่อมานับวันยิ่งอยู่ร่วมกัน เขาถึงได้เข้าใจ มั่วไป๋ไม่ได้เย็นชากว่าคนอื่นแค่นั้น แต่หนาวเหน็บลึกในกระดูก ยากจะเข้าใกล้ได้

 

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจูบจะกอดกัน ไป๋จิ่งก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองเดินเข้าไปไม่ถึงในใจของมั่วไป๋

 

 

ราวกับว่าข้างหลังมั่วไป๋มีกำแพงสูงกันไว้อย่างหนักแน่น ไม่มีทางที่จะเข้าใกล้ได้

 

 

ไป๋จิ่งไม่สนใจ เขารู้สึกว่าไม่ช้าก็เร็วสักวันตัวเองจะทลายกำแพงนี้ลงได้

 

 

แต่หลังจากที่เรื่องราวได้เปิดเผย ไป๋จิ่งถึงได้พบว่าที่แท้กำแพงสูงที่ตั้งอยู่ในใจของมั่วไป๋เป็นเขาที่สร้างมันขึ้นมาด้วยมือของเขาเอง

 

 

ผสมกับเลือดแดงฉานของหลินฝานทีละนิดๆ จนตั้งตระหง่านอย่างไม่อาจล้มได้

 

 

ความเจ็บหน่วงฉายสะท้อนในแววตาของไป๋จิ่ง เขามองดูใบหน้าที่เย็นชาของมั่วไป๋ จู่ๆ ในใจก็พรั่งพรูความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้

 

 

เขาอยากโอบกอดคนคนนี้ไว้อย่างแนบแน่น

 

 

ออกแรงสลักเขาสู่ร่างกายของตัวเอง

 

 

ไป๋จิ่งคิดอย่างนี้ เขาก็จะทำอย่างนี้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าท่าทางที่เขากอดมั่วไป๋ไว้นั้นกลับคุมความรู้สึกไว้

 

 

เขากอดมั่วไป๋จากทางด้านหลัง เกยคางไว้บนไหล่ของมั่วไป๋

 

 

มั่วไป๋คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะกอดตัวเองแบบนี้ได้ เพียงชั่วขณะหนึ่งคนทั้งคนตะลึงงันอยู่บนโซฟา ใบหน้าเย็นชาของเขาปรากฏความไม่แน่ใจขึ้น

 

 

ราวกับว่าเวลานี้ไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าอารมณ์อะไรออกมา

 

 

มือไป๋จิ่งที่กอดมั่วไป๋ไว้สั่นเทาขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

ตัวเขาเองรู้ตัวแล้ว มั่วไป๋เองก็รู้สึกได้ ค่อยๆ กดเก็บความลังเลในใจอย่างช้าๆ มั่วไป๋อยากจะเอามือไป๋จิ่งออก

 

 

แต่ไป๋จิ่งไม่ปล่อยมืออยู่แล้ว เขากอดมั่วไป๋ไว้อย่างแนบแน่น เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “ให้ผมกอดสักพัก แค่สักพักก็โอเคแล้ว”

 

 

ในน้ำเสียงเขาเจือความร้องขอ

 

 

มั่วไป๋รู้ว่าตัวเองควรจะเด็ดขาดดึงมือไป๋จิ่งออกไปทั้งอย่างนี้

 

 

แต่ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆ หัวใจที่สงบนิ่งดั่งน้ำก็เกิดระลอกคลื่นซัดสาดเข้ามาทีละนิด…ทีละหน่อย

 

 

 

 

 

ตอนที่ 523 ความจริงทั้งหมด

 

 

           สุดท้ายมั่วไป๋ก็ยังไม่ได้ดึงมือไป๋จิ่งออก ปล่อยให้เขากอดตามอำเภอใจ

 

 

           เวลาผ่านไปประมาณห้านาที ไป๋จิ่งถึงเพิ่งคลายมือลง ความรู้สึกของเขาจัดการเข้าที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ย “ผมจะออกไปสักหน่อย เดี๋ยวจะรีบกลับมา”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋เอ่ยขานรับ แล้วก้มหน้าถือพู่กันวาดรูปต่อไป

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่ได้พูดอะไร เดินอย่างเบามือเบาเท้าออกจากห้องพักผู้ป่วยไป แล้วปิดประตูให้เสร็จสรรพ

 

 

           มั่วไป๋ก้มหน้าลงเหมือนจะกำลังวาดรูป

 

 

           แต่ดูโดยละเอียดแล้ว แววตาไม่ได้จดจ่ออะไรมาตั้งแต่แรก มือที่ถือพู่กันอยู่นั้นก็ไม่ได้ทำอะไร

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว มั่วไป๋คลายพู่กันออก วางลงบนโต๊ะข้างๆ

 

 

           เขาสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ ปิดหน้าตัวเองไว้อย่างไร้ที่พึ่งพิง เวลาผ่านไปนานแล้วยังไม่เคยจะเงยหน้าขึ้นสักที

 

 

           ……

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งออกจากห้องพักผู้ป่วยมา เขาก็ลงไปซื้อบุหรี่ข้างใต้อาคาร ยืนสูบบุหรี่ในบริเวณที่ให้สูบบุหรี่ได้

 

 

           ท่ามกลางควันบุหรี่ สติปัญญาที่สั่นคลอนถึงค่อยสงบลงได้อย่างช้าๆ

 

 

           สูบบุหรี่จนหมดมวนเสร็จ ไป๋จิ่งถึงได้เอาบุหรี่ในมือโยนทิ้งลงทั้งขยะ เขาดูเวลา ตอนนี้เหยียนอวี้ควรจะยังไม่เลิกงาน

 

 

           เขาหันกลับไป พากลิ่นบุหรี่จางๆ ไปยังห้องทำงานของเหยียนอวี้

 

 

           เหยียนอวี้กำลังจัดการรายงานกรณีศึกษาของผู้ป่วยในมือ เพิ่งจะจัดการไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็มีคนมาเคาะประตูห้องทำงานแล้ว

 

 

           เหยียนอวี้หยุดชะงัก เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “เข้ามาได้ครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งผลักเปิดประตูเดินเข้ามา เหยียนอวี้เงยหน้าเห็นเขา ยังรู้สึกแปลกใจไม่เบา คิดว่ามั่วไป๋ไม่สบาย

 

 

           “คุณมาได้ยังไงครับ มั่วไป๋เป็นอะไรไปหรือเปล่า”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว “ไม่ใช่ครับ เขาไม่เป็นอะไร”

 

 

           ได้ยินไป๋จิ่งพูดแบบนี้ เหยียนอวี้ถึงได้วางใจ เขามองไป๋จิ่งด้วยความสงสัย “มั่วไป๋ไม่เป็นอะไร แล้วคุณมาหาผมทำไมกันครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้ตอบกลับไปทันที แต่เดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหยียนอวี้ เขาบีบแขนเก้าอี้ไว้ เตรียมตัวเตรียมใจให้ตัวเอง

 

 

           หลังจากผ่านไม่กี่นาที ไป๋จิ่งถึงได้สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยถาม “ผมเคยสืบมาว่าคุณเป็นหมอของมั่วไป๋ หมอเพียงคนเดียวเท่านั้น”

 

 

           เหยียนอวี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

 

 

           “ผม…ผมอยากรู้เรื่องราวในอดีตของมั่วไป๋” เขากลืนน้ำลายพลางพูดออกมาด้วยความยากลำบากเหลือเกิน “เรื่องราวในช่วงเวลาที่เขาได้รับบาดเจ็บครับ”

 

 

           มือเหยียนที่ถือรายงานกรณีศึกษาของผู้ป่วยหยุดชะงักไป เงยหน้ามองไป๋จิ่งเหมือนจะรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ไม่น้อย

 

 

           “มันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น คุณแน่ใจเหรอครับว่าจะอยากฟัง”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่เคยจะเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เช่นนี้มาก่อน เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง ไม่ว่าเหยียนอวี้จะพูดอะไรออกมา เขาก็ต้องฟังต่อไป

 

 

           เหยียนอวี้เห็นท่าทีเขาแล้วก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ในเมื่อคุณต้องการจะรู้ให้ได้ งั้นผมก็จำเป็นต้องช่วยคุณเต็มที่แล้ว…

 

 

           …คุณอยากรู้เรื่องไหนครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ “ทั้งหมดครับ”

 

 

           เหยียนอวี้ครุ่นคิดแล้ว ตัดสินใจเริ่มต้นเล่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอมั่วไป๋

 

 

           “ครั้งแรกที่ผมเจอเขา ใบหน้าพันผ้าพันแผลมา คนทั้งคนสลบไสลไม่ได้สติ เจียงมู่เฉินเป็นติดต่อส่งคนมาที่โรงพยาบาลผม…

 

 

           …คุณอาจจะไม่เคยเห็นว่าบาดแผลของเขาสาหัสแค่ไหน มีรอยมีดกรีดอยู่บนใบหน้าเต็มๆ สิบแผล ผิวหนังฉีกขาด ถึงแม้ว่าจะเคยผ่านการทำแผลมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังดูรุนแรงมากอยู่ดี…

 

 

           …ตอนนั้นเขาอยู่ในสภาพหมดสติอยู่ตลอด” เหยียนอวี้เล่ามาถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรขึ้น จู่ๆ กินยิ้มหัวเราะออกมา “คุณก็รู้จักเจียงมู่เฉิน เขาเป็นคนที่ไม่แคร์ใคร ไม่เก็บอะไรมาใส่ใจทั้งนั้นมาเสมอ แต่วันนั้นวันที่ส่งตัวมั่วไป๋มา คุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้เย่อหยิ่งมาตลอดแอบตาแดง…

 

 

           …ผมหาคนที่มีอำนาจตัดสินใจที่สุดในโรงพยาบาลผ่านอาจารย์ของผม กำหนดแบบแผนการรักษาให้มั่วไป๋ ตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาครึ่งปี ทำการผ่าตัดเล็กใหญ่มาสามสิบกว่าครั้ง ค่อยๆ ซ่อมแซมใบหน้าของเขาทีละนิดๆ ให้หายดี”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินถึงตรงนี้ หัวใจก็เจ็บปวดจนรวดร้าวราวกับเลือดใกล้จะไหลซึมออกมา

ตอนที่ 520 ช่างเหมาะสมคู่ควรกันจริงๆ  

 

 

           ด้วยเหตุนี้หมอจึงยื่นมือไปหยิบปรอทวัดไข้จากไป๋จิ่งมาเงียบๆ หลังจากดูเสร็จก็พบว่าไข้ของไป๋จิ่งลดลงแล้ว เสียงต่ำถึงได้เอ่ยขึ้น “พักผ่อนดีๆ อย่าไปไหนโดยพลการอีกนะคะ”  

 

 

            แน่นอนว่าประโยคข้างหลังนี้มีการเน้นหนักในน้ำเสียงเพิ่มขึ้น  

 

 

           ถึงอย่างไรไป๋จิ่งก็เป็นคนมีประวัติ ไม่มีความน่าเชื่ออะไร  

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งได้ยินก็ไม่คิดจะละอายในการกระทำของตัวเอง ถึงอย่างไรก็มีความสุข  มั่วไป๋อยู่ที่นี่ เขาจะไปไหนได้ล่ะ  

 

 

           หลังจากหมอออกไปแล้ว ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋อยู่ไม่ไกลนัก เขาก็เตรียมจะลงจากเตียงไป  

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินความเคลื่อนไหว  ก็รู้ว่าเจ้าหมอนี่คิดไม่ซื่อ  

 

 

           หมอเพิ่งจะออกไป เขาก็เตรียมจะลงไปเดินเล่นแล้ว  

 

 

           มั่วไป๋กระแอมไอขึ้นมาเฉพาะหน้า มือไป๋จิ่งที่ดึงผ้าห่มออกหยุดชะงักไปในทันใด  

 

 

           คนทั้งคนตะลึงค้าง นั่งอยู่ที่เดิมด้วยอาการเลิ่กลั่กประมาณหนึ่ง  

 

 

           เขาแอบมองมั่วไป๋แวบหนึ่ง เห็นเขาก้มหน้า ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร  

 

 

           ไป๋จิ่งคิดเงียบๆ ว่าเขาคงจะยังไม่รู้ตัว  

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงบังอาจลงจากเตียงมา มั่วไป๋เห็นเค้าลางก็ไอเตือน  

 

 

           เป็นอย่างนี้ไปๆ มาๆ อยู่หลายครั้ง มั่วไป๋ชักจะรำคาญ ไป๋จิ่งทำเสียงรบกวนเขาจนทำให้เขาใกล้จะสงบจิตใจวาดรูปต่อไม่ลงแล้ว  

 

 

           เพราะแบบนี้จึงเอ่ยปากขึ้นมาเสียเลย “นายทำเสียงรบกวนขนาดนี้ ฉันจะให้หมอย้ายนายไปห้องอื่น”  

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ว่าจะเปลี่ยนห้อง ก็หยุดการกระทำนี้ลงทันที  

 

 

           ‘อะไรก็ได้ แต่ย้ายห้องไม่ได้ เขาจะย้ายห้องได้ยังไง…  

 

 

           …เปลี่ยนห้อง เขาก็อยู่ไกลจากมั่วไป๋สิ ไม่ไป ไม่ไป ตีให้ตายยังไงก็ไม่ไป’  

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงทำตัวไม่ดื้อทันที นอนบนเตียงอย่างว่าง่าย เหมือนทั้งร่างพันผ้าพันแผลแบบปิดตาย  

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาสงบลงได้เสียที เวลานี้ถึงได้เบนสายตากลับมายังภาพที่ตัวเองวาด  

 

 

           เขามีลูกค้าที่สั่งจองรูปวาดกับเขาสามรูป ราคาที่ให้สูงมาก  

 

 

           ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ค่อยขาดเงินใช้ แต่ว่าเงินที่ควรจะแลกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงก็ยังต้องแลกมาอยู่  

 

 

           ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นคนที่ใช้เงินทุกวัน  

 

 

           ในห้องเงียบลงอีกครั้ง ไป๋จิ่งนอนอยู่บนเตียงไม่กล้าขยับ กลัวมั่วไป๋ต้องการจะให้เขาออกไป  

 

 

           แต่ว่านอนเฉยๆ ไม่ขยับแบบนี้ น่าเบื่อไม่เบาจริงๆ  

 

 

           ด้วยเหตุนี้ดวงตาของไป๋จิ่งจึงเปลี่ยนมาจดจ้องมั่วไป๋แทน  

 

 

           มั่วไป๋นั่งเอียงตัววาดรูปอยู่บนเตียง เขาถือพู่กันตวัดวาดไปมา มีสมาธิจดจ่อมากๆ  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแล้ว หัวใจก็หลุดลอยไป รู้สึกว่ามั่วไป๋ในมาดแบบนี้ สวยเกินไปแล้วจริงๆ  

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงจ้องมองมั่วไป๋อย่างซื่อๆ เห็นเขาบางทีจิ้มคิ้ว บางทีครุ่นคิด   

 

 

           คนทั้งคนตกอยู่ในโลกของตัวเอง  

 

 

           ไป๋จิ่งจ้องมองมั่วไป๋ เขาเทียบกับเมื่อสองปีก่อน ไม่ค่อยจะเหมือนกันจริงๆ  

 

 

           หลินฝานในความทรงจำเมื่อก่อน น่าเอ็นดูมาก วนเวียนอยู่รอบตัวเขาทั้งวัน  

 

 

           ตอนนี้ไป๋จิ่งมาคิดดู ถึงได้พบว่าเขาไม่เข้าใจในตัวหลินฝานเลยสักนิด ไม่รู้ว่าหลินฝานทำอะไร ไม่รู้ว่าหลินฝานชอบอะไร  

 

 

           นอกจากมาอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว ไป๋จิ่งก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง  

 

 

           เวลาที่มั่วไป๋วาดรูปนั้นดูจริงจังเป็นพิเศษ ไม่ได้สนใจถึงสภาพรอบข้างอยู่แล้ว  

 

 

           จึงไม่รู้ว่าไป๋จิ่งกำลังมองเขาอยู่ตลอดเวลาไปโดยปริยาย  

 

 

           กว่ามั่วไป๋จะหยุดวาด ท้องฟ้าก็มืดลงพอประมาณแล้ว  

 

 

           มั่วไป๋ยืดเหยียดเอว วางของลงด้านข้าง ประจวบเหมาะพอดีกับที่เหยียนอวี้เปิดประตูห้องเข้ามา  

 

 

           ทันทีที่เขาเห็นกระดานวาดรูปที่มั่วไป๋วางลง เขาก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้  

 

 

           “นายเป็นผู้ป่วย ช่วงที่ไม่สบายอยู่ช่วยพักรักษาอาการดีๆ หน่อยจะได้ไหม อย่าเพิ่งคิดหาเงินเลย”  

 

 

           มั่วไป๋มองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สนใจ “ฉันก็ไม่ได้ทำอะไร มันเบื่อไม่มีอะไรทำไม่ใช่เหรอ ก็ถือโอกาสหาเงินพอดี”  

 

 

           เหยียนอวี้ย่นจมูกหัวเราะใส่ หลังจากนั้นก็หันหน้าไปมองไป๋จิ่งที่แกล้งตายอยู่ข้างๆ  

 

 

           เขาถอนหายใจเงียบๆ รู้สึกว่าสองคนนี้ช่างเหมาะสมคู่ควรกันจริงๆ ขาดคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้ทั้งนั้น  

 

 

              

 

 

       ตอนที่ 521 เล่นละครต้องเล่นให้จบ  

 

 

           ช่างเถอะ เขาหมอเหยียนคนนี้ก็รู้จักวางตัวอยู่บ้าง ไม่รบกวนพวกเขาแล้ว  

 

 

           ด้วยเหตุนี้หมอเหยียนจึงหันหน้าเดินออกไปด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง  

 

 

           มั่วไป๋มองอีกฝ่ายแวบหนึ่งด้วยความเห็นแปลกจนไม่แปลกแล้ว เขาหันหน้ามามองไป๋จิ่งที่แกล้งนอนอยู่บนเตียง  

 

 

           “นอนพอหรือยัง”  

 

 

           ทันทีที่ไป๋จิ่งได้ยินมั่วไป๋เอ่ยเรียกตัวเอง ในใจก็มีคลื่นซัดมา แทบอยากจะทิ้งผ้าห่มพุ่งไปอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋แล้วขานรับทันที  

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ ตอนนี้เขาคือคนที่เพิ่งจะตื่นนอน  

 

 

           ถึงแม้ว่าบางทีมั่วไป๋อาจจะรู้แต่แรกว่าเขากำลังแกล้งหลับ  

 

 

           แต่ว่าเล่นละครต้องเล่นให้จบ จะเปิดโปงแบบนี้ได้อย่างไรกัน  

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงแกล้งทำหน้าง่วงดึงผ้าห่มออกมา หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาที่หรี่ลงอยู่ขึ้นอย่างช้าๆ เอ่ยขานรับด้วยอาการง่วงนอน “เพิ่งจะตื่นเอง”  

 

 

            มั่วไป๋เห็นฝีมือการแสดงของเขา แค่พื้นฐานก็ขึ้นไปรับรางวัลออสการ์ได้แล้ว  

 

 

           เขาลุกขึ้น​มาจากโซฟา ยกมุมปากขึ้นเงียบๆ “งั้นนายก็นอนต่ออีกหน่อยสิ”  

 

 

           พูดจบก็เดินออกจากห้องไปทันที  

 

 

           พอไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋เดินออกจากห้อง มีหรือจะยังมาสนเล่นละครอะไรอีก เขารีบดึงผ้าห่มออก ใส่รองเท้าลวกๆ แล้วพุ่งตัวออกไป  

 

 

           ขณะที่เขาพุ่งตัวออกไป มั่วไป๋ยืนอยู่นอกประตูพอดี  

 

 

           เขาเอียงหน้าเลิกคิ้วมองไป๋จิ่ง “พึ่งจะตื่นเองไม่ใช่เหรอ”  

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าเวลานี้ตัวเองควรจะต้องเลิ่กลั่ก แต่ยังไม่ทันได้รอเขาเลิ่กลั่ก ก็ยิ้มหัวเราะอย่างหน้าไม่อายออกมาแล้ว “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ตื่นตั้งนานแล้ว”  

 

 

           “หึ” มั่วไป๋ทำเสียงพ่นลมหายใจออกมา เวลานี้ถึงได้เดินออกไป  

 

 

           ไป๋จิ่งเดินตามเขาไป ทั้งสองคนออกจากห้องพักผู้ป่วย ลงไปชั้นหนึ่ง  

 

 

           “มั่ว…มั่วไป๋…คุณจะไปไหน”  

 

 

           “ไปกินข้าว”  

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงัน ฝีเท้าที่เดินตามหลังมั่วไป๋ชะงักไปในทันใด  

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกได้ในพริบตา เขาหันกลับมามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง “ถ้านายไม่ยินดี ก็กลับไปได้นะ”  

 

 

           “ยินดี ยินดี ต้องยินดีอยู่แล้ว”  

 

 

           เขาดีใจและแปลกใจมากล้น ไป๋จิ่งรู้สึกว่าสองวันนี้ก้าวหน้าไปเร็วมากเกินไปแล้ว  

 

 

           เมื่อคืนได้นอนบนโซฟาในห้องของมั่วไป๋ วันนี้เปลี่ยนจากโซฟามาเป็นเตียง  

 

 

           ‘เฮ้อ…ถึงแม้ว่าจะเป็นคนละเตียงกันก็ตาม’ แต่ว่าเขามีความเชื่อมั่นว่าไม่ช้าก็เร็วจะพอทำให้มั่วไป๋ยอมให้เขานอนร่วมเตียงได้  

 

 

            ตอนนี้มั่วไป๋ยังพาเขาไปกินข้าวด้วยกันอีก  

 

 

           โบนัสที่ได้รับนี้ดีกว่านั่งยองๆ อย่างน่าเวทนาอยู่หน้าประตูห้องมากเกินไปแล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งก้มหน้าเห็นมือมั่วไป๋ที่ตกลงอยู่ข้างตัว เขากัดฟัน ชักอยากจะจูงมือ  

 

 

           แต่ไป๋จิ่งก็ได้แค่คิด ไม่ได้ยื่นมือออกไป  

 

 

           รอต่อไปก่อน รอมีสักวันที่มั่วไป๋ให้อภัยเขาได้แล้วจริงๆ เขาจะต้องจูงมือที่ช่วงเวลานี้ไม่ได้จูงไว้กลับมาให้ได้  

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงปลอบใจตัวเองอยู่นานสองนาน ในที่สุดไป๋จิ่งเก็บกดหัวใจที่อยากจะใกล้ชิดมั่วไป๋ไว้ เดินอยู่ข้างมั่วไป๋ รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยตลอด  

 

 

           ทั้งสองคนหาเป็นร้านโจ๊กร้านหนึ่ง ทั้งคู่ยังเป็นคนป่วย ต้องกินอาหารอ่อนๆ เป็นธรรมดา  

 

 

           หาตำแหน่งที่นั่งตรงมุมหนึ่งได้แล้ว มั่วไป๋นั่งตรงข้ามกับไป๋จิ่ง คนสองคนนั่งประจันหน้ากัน ไป๋จิ่งรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยอย่างน่าประหลาดใจ  

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยถามเสียงต่ำ “อยากกินอะไร”  

 

 

           “ผมได้หมด”  

 

 

           มั่วไป๋มองดูเมนูแวบหนึ่ง “กินโจ๊กสักหน่อยแล้วกัน เบาท้องดี”  

 

 

           ไป๋จิ่งได้รับการใส่ใจจนน่าตกใจ ตื่นเต้นทั้งเนื้อทั้งตัว แม้แต่จะพูดก็พูดไม่ออก  

 

 

           ‘นี่มั่วไป๋กำลังห่วงใยเขาอยู่ใช่ไหม’  

 

 

           ดังนั้นจึงตั้งใจพาเขามาที่นี่ แล้วยังสั่งโจ๊กให้เขาด้วย  

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าหัวใจตัวเองใกล้จะร้อนจนละลายแล้ว ขอเพียงแต่มั่วไป๋เติมความหวานให้เขานิดๆ หน่อยๆ เขาก็ดีใจไปทั้งวันแล้ว  

 

 

           ท่ามกลางความไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัวนั้น มั่วไป๋ได้ครอบครองพื้นที่หัวใจทั้งดวงของเขาไปเรียบร้อยแล้ว  

 

 

           แต่ไป๋จิ่งกลับไม่อยากยับยั้ง  

 

 

           จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าต่อให้ยกหัวใจให้มั่วไป๋เอาไปบดขยี้ เขาก็ยอมได้ทั้งนั้น  

 

 

           มั่วไป๋ก็สั่งโจ๊กที่หนึ่งมาด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าเทียบกับไป๋จิ่งแล้ว ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่าเล็กน้อย  

 

 

           เพียงไม่นานโจ๊กสองที่ก็ส่งมาถึง  

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูชามโจ๊กตรงหน้าตัวเอง ไม่กล้าลงมือ นี่คือโจ๊กที่มั่วไป๋สั่งมาให้เขา กินเสร็จก็ไม่มีแล้ว  

 

 

           คิดได้เช่นนี้ รู้สึกตัดใจไม่ลงเท่าไหร่จริงๆ  

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาเป็นแบบนี้ เจ้าตัวก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม “ทำไมไม่กิน”  

ตอนที่ 518 กินอมยิ้ม  

 

 

           จู่ๆ ด้านหลังก็มีเงาคนคนหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ เขายืนอยู่ไม่ไกลนัก จ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน  

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่  

 

 

           คนคนนั้นค่อยๆ เดินมุ่งหน้าเข้าสู่จุดศูนย์ไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น  

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกได้ว่าข้างๆ เขามีคนอยู่ เมื่อได้สติกลับคืนมาก็มองตามเข้าไป ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาเล็กน้อย  

 

 

           “นายตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”  

 

 

            ใบหน้าไป๋จิ่งยังคงอยู่ในอาการป่วย แต่นัยน์ตากลับประกายรอยยิ้ม “เมื่อกี้”  

 

 

           เขาตื่นมาพบว่ามั่วไป๋ไม่อยู่ในห้อง เขาก็ลงมาตามหามั่วไป๋อย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น  

 

 

           ผลสุดท้ายดันมาเจอเขาอยู่ที่นี่  

 

 

           มั่วไป๋นั่งอยู่บนเก้าอี้แขวนโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ทำให้หัวใจของเขาบีบคั้น  

 

 

           ราวกับมีคนยื่นมือเข้ามาบีบหัวใจไว้อย่างหนักหน่วงและรุนแรง มันค่อยๆ รัดตัวแน่นขึ้นทีละนิดๆ จากนั้นก็ปล่อยออกทันที  

 

 

           วนเวียนครั้งแล้วครั้งเล่า เจ็บจนฝังลึกในหัวใจ  

 

 

           “ป่วยแล้วก็นอนพักดีๆ อย่ามาเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก” มั่วไป๋เอ่ยเสียงต่ำ  

 

 

           นัยน์ตาไป๋จิ่งทอประกายความดีใจ  นี่มั่วไป๋กำลังเป็นห่วงเขาอยู่ใช่ไหม  

 

 

           เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกอย่างไรชอบกล ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตอนนี้ทุกครั้งที่เห็นมั่วไป๋ ตัวเองก็จะเหมือนกับเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

            ขอเพียงแต่มั่วไป๋ดีกับเขานิดหน่อย หัวใจเขาก็ไม่ต่างกับกวางน้อยที่วิ่งโลดแล่นแล้ว  

 

 

           “แล้วคุณล่ะ คุณก็ไม่สบายไม่ใช่เหรอ”  

 

 

           มั่วไป๋ถูกเขาถามอย่างนี้ ตัวเองก็พูดไม่ออกทันที  

 

 

           จู่ๆ ก็รู้สึกว่าที่ไป๋จิ่งพูดมานั้นถูกต้องมากทีเดียว เขาเองก็เป็นผู้ป่วย มีเหตุผลอะไรไปบอกคนอื่น  

 

 

           “ผมนั่งเป็นเพื่อนคุณตรงนี้ได้หรือเปล่า” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ  

 

 

           ถ้ามั่วไป๋นั่งอยู่คนเดียวดูโดดเดี่ยวเกินไป ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋ตรงนี้  

 

 

           พวกเขาอยู่ด้วยกันสองคน แบบนี้ก็จะไม่โดดเดี่ยวแล้ว  

 

 

           มั่วไป๋ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้พยักหน้ารับ ท่าทีแบบนี้ในสายตาของไป๋จิ่งบอกเป็นนัยว่าเขานั่งอยู่ข้างๆ ด้วยได้  

 

 

           ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงตัดสินใจทำตัวเป็นคนหน้าหนาหน้าทน อยากอยู่เคียงข้างมั่วไป๋  

 

 

           ขอเพียงแต่มั่วไป๋ไม่ออกเสียงไล่เขาไป เขาก็จะไม่ไป  

 

 

           แน่นอนว่าต่อให้ไล่เขาไป เขาก็จะไม่ไปเหมือนเดิม  

 

 

           ถึงอย่างไรเมื่อตัดสินใจจะด้านได้อายอดแล้ว ยังมีอะไรให้ต้องกลัวอีก  

 

 

           สถานที่แห่งนี้ที่พวกเขาสองคนอยู่ไม่ใช่ที่โล่งแจ้ง เพดานมุงด้วยกระจกใส ลมจากข้างนอกไม่เข้ามา ดังนั้นอากาศข้างในจึงไม่หนาว  

 

 

           ตรงกันข้ามมันสบายมาก  

 

 

           และก็เพราะเหตุผลนี้ด้วย ไป๋จิ่งถึงได้เห็นด้วยที่จะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมั่วไป๋  

 

 

           ทั้งสองคนอยู่กันอย่างนี้ นั่งเคียงกันไม่อะไรพูดสักคำ  

 

 

           จู่ๆ ไป๋จิ่งก็ลุกยืนขึ้นมากะทันหัน มั่วไป๋เอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง   

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่ไป๋จิ่งพูดมาประโยคเดียว “รอผมก่อนนะ” แล้วก็วิ่งออกไป  

 

 

           มั่วไป๋มองดูเขา แค่เพียงไป๋จิ่งเพิ่งจะไปเองเท่านั้น เขาก็รู้สึกว่าความอบอุ่นที่ข้างกายนี้ติดตามไป๋จิ่งออกไปด้วย    

 

 

           เขากระชับมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ราวกับอยากจะคว้าความอบอุ่นที่เหลืออยู่เมื่อครู่นี้เอาไว้  

 

 

           ไป๋จิ่งพุ่งตัวเข้าร้านสะดวกซื้อข้างๆ ซื้ออมยิ้มสองแท่ง แล้ววิ่งออกมาอีก  

 

 

           เขาวิ่งมาด้วยความเร็วมาหยุดอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋ เหมือนกลัวว่าถ้าตัวเองช้าแค่เพียงนิดเดียว มั่วไป๋จะสลายหายไปได้  

 

 

           ไป๋จิ่งกลับมานั่งเก้าอี้ เขายื่นมือส่งอมยิ้มไปอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋  

 

 

           มั่วไป๋เห็นอมยิ้มแท่งนั้น เขายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก เหมือนไม่เข้าใจความหมายของไป๋จิ่งเลย  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาไม่รับเอาไปสักที ก็ยื่นมือไปแกะซองที่ห่ออมยิ้มไว้ออก แล้ววางอมยิ้มไว้ต่อหน้ามั่วไป๋  

 

 

           มั่วไป๋จ้องมองอมยิ้มในมือมองดูอยู่นานสองนาน  

 

 

           ไป๋จิ่งถืออมยิ้มอยู่ตรงนั้นไม่ปล่อย ราวกับกำลังรอมั่วไป๋อ้าปากมาตลอด  

 

 

           มั่วไป๋เห็นอมยิ้มสีชมพูชิ้นเล็กนั้น ในที่สุดนัยน์ตาก็ลุกวาว เขาอ้าปากก้มหน้าลงกัดเข้าไป  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นว่ามั่วไป๋กินอมยิ้มนั้นเสียที รอยยิ้มก็ทอประกายในแววตา  

 

 

           เขาเก็บมือกลับมา แกะอมยิ้มอีกแท่งออกมาวางไว้ในปากตัวเอง  

 

 

           คนสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ กินอมยิ้มด้วยกัน ทั้งคู่ยังเป็นผู้ชายสองคนที่อายุใกล้จะสามสิบแล้วด้วย  

 

 

           เป็นภาพที่ดูแปลกเหลือเชื่อ   

 

 

             

 

 

ตอนที่ 519 ก้าวหน้าไปก้าวหนึ่งเล็กๆ  

 

 

           มั่วไป๋บีบก้านของอมยิ้มเอาไว้ ในปากเต็มไปด้วยรสหวานหอม  

 

 

           จู่ๆ มั่วไป๋ก็เอียงหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง รอยยิ้มทอประกายในแววตา  

 

 

           ไป๋จิ่งตัวใหญ่ขนาดนั้นมาอมอมยิ้มไว้ในปากอย่างนี้ดูน่าขำจริงๆ  

 

 

           เขารีบเก็บสายตากลับมา เขายกมุมปากขึ้นเบาๆ ในที่ที่ไป๋จิ่งมองไม่เห็น  

 

 

           ……  

 

 

           บางทีอาจจะไม่มีคนรู้ ว่าที่จริงแล้วเขาชอบกินอมยิ้มมาก  

 

 

           แบบชอบมากเป็นพิเศษแบบนั้น  

 

 

           เพราะรู้สึกว่ารสหวานๆ จะทำให้คนมีความสุขได้  

 

 

           เพียงแต่ว่าผู้ชายที่โตๆ แล้วอย่างเขามากินอมยิ้มแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ดูจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย  

 

 

           แต่ไป๋จิ่งกลับไม่สนสายตาคนรอบข้าง ปล่อยตัวนั่งกินอมยิ้มเป็นเพื่อนเขาอยู่ตรงนี้  

 

 

           ในยามที่มั่วไป๋ยังไม่ค้นพบถึงกระแสไออุ่นนี้ มันก็ไหลเข้ามาสู่หัวใจของเขาโดยไม่รู้ตัวแล้ว  

 

 

           เรื่องบางเรื่องถึงปลายทางก็ไม่เหมือนกันแล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งกินอมยิ้มเป็นครั้งแรก รสชาตินี้ให้ความรู้สึกที่บอกออกมาไม่ได้  

 

 

           เขารู้ว่ามั่วไป๋ชอบกินเค้ก จึงเดาได้ว่าเขาชอบกินของหวาน  

 

 

           เมื่อครู่นี้เขาเดินผ่านเด็กน้อยสองคนที่กำลังกินอมยิ้มอยู่ข้างทาง  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแววตามั่วไป๋จดจ่ออยู่ที่อมยิ้มในมือของเด็กสองคนนั้น จึงรีบไปซื้อจากร้านใกล้ๆ นี้มาให้เขา  

 

 

           เขาเคยพูดแล้ว ขอเพียงแต่เป็นสิ่งที่มั่วไป๋อยากได้ เขาก็ให้มั่วไป๋ได้ทั้งนั้น  

 

 

           กลัวมั่วไป๋กินคนเดียวแล้วจะรู้สึกเขินอาย  

 

 

           เขาเลยจงใจซื้ออมยิ้มมาสองแท่ง ในเมื่อมั่วไป๋กินคนเดียวแล้วจะรู้สึกเขินอาย  

 

 

           ถ้าอย่างนั้นเขาก็กินเป็นเพื่อนมั่วไป๋ก็ได้แล้ว  

 

 

           ถึงอย่างไรเขาไป๋จิ่งก็หน้าหนาพอ ไม่กลัวจะเสียหน้าเลยสักนิด  

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เขาจึงวิ่งเข้าไปซื้ออมยิ้มมาสองแท่ง  

 

 

           ถึงแม้ว่ารสชาติในปากออกจะแปลกไปสักหน่อย แต่พอเอียงหน้ามองเห็นใบหน้าที่ผ่อนคลายเล็กน้อยของมั่วไป๋แล้ว  

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวไป๋จิ่งรู้สึกได้เลย ว่าคราวหลังจะให้เขากินอมยิ้มทุกวัน ต่อให้กินจนเป็นเบาหวานเขาก็คุ้มค่า  

 

 

           แลกกับความดีใจแม้เพียงน้อยนิดของมั่วไป๋ เขาก็ยินดีทั้งนั้น  

 

 

           ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ ค่อยๆ แกว่งเก้าอี้ไปช้าๆ  

 

 

           ในมือถืออมยิ้มที่เหมือนกันทุกอย่าง  

 

 

           ราวกับว่าความหวานชื่นได้แผ่ปกคลุมอยู่ในบรรยากาศไม่มีผิด คนรอบข้างมองเข้าไป ต่างก็คิดไม่ถึงที่รู้สึกว่าพวกเขาอยู่กันอย่างนี้จะเป็นภาพที่งดงามอย่างไม่ธรรมดาได้  

 

 

           อยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋จนกินอมยิ้มเสร็จ ไป๋จิ่งถึงได้ขึ้นตึกมาด้วยกันกับมั่วไป๋  

 

 

           ถึงแม้ว่าสองคนจะยังพูดคุยกันน้อยมาก แต่บรรยากาศไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งดีใจอยู่ในใจ เขาพยายามทุ่มเทมาตั้งนานขนาดนี้ ในที่สุดก็ก้าวหน้าไปก้าวหนึ่งเล็กๆ แล้ว  

 

 

           เวลายังอีกยาวไกล ไม่ช้าก็เร็วสักวันจะเพียงพอทำให้มั่วไป๋ตกหลุมรักเขาใหม่อีกครั้งได้  

 

 

           ถึงเวลานั้นเขาจะต้องทำให้มั่วไป๋มีความสุขให้ได้  

 

 

           ……  

 

 

           ไป๋จิ่งแอบหนีออกไปโดยพลการ จึงโดนหมอเจ้าของไข้เขาต่อว่าจนโงหัวไม่ขึ้น  

 

 

           มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่งโดนดุจนคอตก เขาก็อยากจะขำอย่างไรไม่รู้ เขาอดจะมองไปแวบหนึ่งไม่ได้ มุมปากเชิดขึ้นมาทันที  

 

 

           จะทำอย่างไรได้ มันเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นไป๋จิ่งโดนอบรมจนโงหัวไม่ขึ้น  

 

 

           รู้สึกตลกอย่างเหลือเชื่อจริงๆ  

 

 

           โดนอบรมไปเต็มๆ ห้านาที กว่าจะหยุดลงได้  

 

 

           หมอคนนั้นส่งปรอทวัดไข้ให้ไป๋จิ่ง ให้เขาวัดอุณหภูมิร่างกายดีๆ ก่อน อย่าขยับตัวไปมา  

 

 

           ไป๋จิ่งถือปรอทวัดไข้วัดอุณหภูมิร่างกายอย่างว่าง่ายเป็นพิเศษ เห็นหมอออกไปแล้ว เขาก็หันหน้ามามองมั่วไป๋  

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่รู้ว่ากำลังวาดอะไรอยู่  

 

 

           เขาดูอยู่ตั้งนาน รู้สึกว่าดูดีจนละสายตาไปไม่ได้ แถมยังยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางบื้อๆ อีก  

 

 

           จังหวะนี้หมอคนนั้นเดินเข้ามาพอดี พอเห็นไป๋จิ่งทำหน้ายิ้มนิดๆ หน่อยๆ ก็อดจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยไม่ได้  

 

 

           ‘อะไรกัน หรือว่าคนไข้คนนี้เป็นพวกชอบโดนกระทำ โดนดุแล้วยังยิ้มออกมาได้อีก’  

 

 

           แน่นอนว่าเธอในฐานะหมอ หมอก็มีจรรยาบรรณของหมอ จะถามคำถามแบบนี้ออกมาต่อหน้าจริงๆ ได้อย่างไร  

 

 

           ถึงอย่างไรนิสัยชอบโดนกระทำของอย่างนี้ มีติดตัวมาเอง คนอื่นก็ทำไม่ได้  

ตอนที่ 516 เลิ่กลั่กนิดหน่อย

 

 

           เขารีบทำใจให้หนักแน่น เขาเป็นหมอมาดูอาการคนไข้มีอะไรให้ต้องละอายใจ ต้องหวั่นใจด้วย

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เหยียนอวี้ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรให้ต้องกระวนกระวายใจเลยสักนิด

 

 

           เขามองมั่วไป๋ด้วยความมีเหตุผลเต็มที่ที่จะพูดได้เต็มปาก “นายมองฉันแบบนี้ทำไมกัน”

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ เมื่อคืนกว่าจะหลับลงได้ก็ใช้เวลาตั้งนาน ตอนเช้าก็ยังตื่นเช้ามาก นี่ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายจริงๆ

 

 

           พอเหยียนอวี้เห็นเขาขมวดคิ้ว ก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาทันที “เป็นไปไร ไม่สบายเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว เอ่ยถามกลับ “นายเป็นไรไป ทำไมเช้าขนาดนี้”

 

 

           เหยียนอวี้ชักจะไปต่อไม่เป็นแล้ว  นี่จะให้ว่ายังไง หรือว่าจะพูดตัวเองมาเช้ามาเดินเล่นที่ห้องนายเหรอ

 

 

           คำพูดน่าอ่ายเช่นนั้น เหยียนอวี้ไม่มีทางพูดออกมาหรอก

 

 

           ดังนั้น เขาจึงวางมาดเคร่งขรึมจริงจัง เต็มเปี่ยมไปด้วยคำว่า ‘จรรยาบรรณวิชาชีพหมอ’ “ฉันเป็นหมอมาดูคนไข้ของฉัน มีอะไรไม่ถูกต้องเหรอ”

 

 

           “ถ้านายไม่ทำหน้าเหมือนกำลังดูละครอยู่ อะไรก็ถูกต้องหมด”

 

 

           เหยียนอวี้รีบลูบใบหน้าของตัวเอง  อะไรกัน สีหน้าของเขาเมื่อกี้นี้ดูชัดเจนเกินแล้วเหรอ

 

 

           ในเมื่อมั่วไป๋ดูออกว่าเขาทำหน้าเหมือนกำลังดูละครอยู่ เช่นนั้นเขาก็คร้านจะปิดบังแล้ว เขาทำหน้าสงสัยพลางชี้ไปที่ไป๋จิ่งที่อยู่บนโซฟา “เมื่อคืนเจ้าหมอนี่ต้องเข้ามาเองให้ได้เลยใช่ไหม”

 

 

           แน่นอน หมอเหยียนค่อนข้างจะเป็นคนจิตใจดี ไม่ได้แถมคำว่า ‘หน้าด้านหน้าทน’ สี่คำนี้เพิ่มเข้าไปด้วย

 

 

           ยังไว้หน้าไป๋จิ่งบ้างนิดหนึ่ง

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินคำพูดนี้ ก็เลิ่กลั่กอยู่ในที ไม่ได้ตอบกลับเขาไป

 

 

           ‘จะให้เขาพูดยังไงได้ ไม่ใช่ไป๋จิ่งอยากเข้ามาเอง แต่เป็นเขาที่ไม่รู้ว่าใจดีมาจากไหนถึงได้เป็นฝ่ายเรียกไป๋จิ่งเข้ามาเอง’

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกวว่าถ้าตัวเองพูดแบบนี้กับเหยียนอวี้ไป เหยียนอวี้ต้องมีคำพูดจะพูดกับเขาต่ออย่างแน่นอน

 

 

           ดังนั้นคิดดูแล้ว รักษาความเงียบไม่พูดยังจะดีกว่า

 

 

           เหยียนอวี้เห็นเขาทำหน้ากระอักกระอ่วนใจ  ช่างเถอะ ช่างเถอะ ใครใช้ให้เจ้าหมอนั่นเป็นคนไข้ของเขาล่ะ เขาไม่ซักไซ้ต่อแล้ว

 

 

           ‘แต่ว่า…’

 

 

           “นี่ไป๋จิ่งเขาหลับลึกขนาดนี้เลยเหรอ”

 

 

           พวกเขาสองคนพูดคุยกันนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ทันใดนั้นก็รู้ว่าไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่แล้ว

 

 

           เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนไป๋จิ่งไม่ได้หลับลึกขนาดนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีความทรงจำในช่วงเวลาหนึ่งที่เขากับไป๋จิ่งเคยร่วมเตียงเคียงหมอนกันมาอยู่

 

 

            ‘ไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่ถือว่าตื่นตัวเร็วมาก’

 

 

           แต่ครั้งนี้ที่เหยียนอวี้เข้ามา คนที่สังเกตเห็นก่อนคือเขา ไม่ใช่ไป๋จิ่ง

 

 

           อีกอย่างเขากับเหยียนอวี้คุยกันมาจนถึงตอนนี้แล้ว ไป๋จิ่งก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด ไม่ค่อยจะปกติแล้วจริงๆ

 

 

           ด้วยเหตุนี้มั่วไป๋จึงดึงผ้าห่มบางๆ ออก พร้อมลงจากเตียงใส่รองเท้าแตะเดินเข้าไปหา

 

 

           ไป๋จิ่งนอนหันหลังให้พวกเขา ดังนั้นเขาจึงเห็นสภาพการณ์ของไป๋จิ่งไม่ชัดเจน

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่ข้างๆ เสียงต่ำเอ่ยเรียกสองครั้ง ไป๋จิ่งก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด

 

 

           เหยียนอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือไปผลักไป๋จิ่งเบาๆ ก็เห็นแค่เพียงเขาร้อนลวกไปทั้งตัว

 

 

           เขาตะลึงงันทันที รีบพลิกตัวไป๋จิ่งกลับมา ก็เห็นเพียงแค่ร่างที่ร้อนลวก แก้มแดง แม้แต่ลมหายใจก็มีความร้อนออกมาด้วย

 

 

           เหยียนอวี้ส่งมือไปพร้อมเอ่ยทันที “ไข้เขาขึ้นค่อนข้างสูง เดี๋ยวฉันจะตามคนมา พาเขาไปรักษา”

 

 

           มั่วไป๋เองก็ยื่นมือไปลูบใบหน้าของไป๋จิ่งสักพัก อุณหภูมินั้นกลับสูงมาก

 

 

           ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งเริ่มไข้ขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้

 

 

           มิน่าล่ะตอนเช้าถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด

 

 

           ไข้ขึ้นจนกลายเป็นสภาพนี้ ลุกขึ้นมาตอบโต้ได้ก็แปลกแล้ว

 

 

           เหยียนอวี้โทรศัพท์แล้ว เพียงไม่นานก็มีหมอสองคนเดินเข้ามา ยกไป๋จิ่งขึ้นเตียงรถเข็นแล้วเข็นออกไป

 

 

           เดิมทีมั่วไป๋เตรียมจะเดินออกไปด้วย แต่กลับถูกเหยียนอวี้ห้ามไว้เสียก่อน

 

 

           “นายอย่าเพิ่งออกไปเลย ข้างนอกอุณหภูมิต่ำ ถ้านายเป็นหวัด จะยิ่งยุ่งยากกว่าเขาอีกนะ”

 

 

            

 

 

ตอนที่ 517 ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

 

 

           มั่วไป๋เห็นสถานการณ์แล้วต้องจำใจพยักหน้ารับรออยู่ที่ห้อง

 

 

           ขณะที่เหยียนอวี้เตรียมจะออกไปจากห้อง จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า “เอ่อใช่ เดี๋ยวฉันจะให้คนมาฆ่าเชื้อที่ห้องนี้”

 

 

           มั่วไป๋รู้ว่าที่เขาอยากพูดก็คือเมื่อคืนไป๋จิ่งนอนอยู่ในห้องแบบนี้ดีกับเขามากกว่า

 

 

           เหยียนอี้เป็นหมอ เขาต้องไม่ปฏิเสธเป็นธรรมดา

 

 

           แต่ว่า…มั่วไป๋ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามขึ้น “แล้วเขาพักอยู่ห้องพักผู้ป่วยกับฉันได้หรือเปล่า”

 

 

           เหยียนอวี้เงียบงันสักพัก “รอทำการรักษาเสร็จ ฉันดูอาการแล้วค่อยว่ากัน”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้า “โอเค รบกวนแล้ว”

 

 

           เหยียนอวี้ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้อีก แค่เพียงบอกว่าเดี๋ยวจะมีคนกลับมาส่งอาหารเช้าให้เขา ให้เขากินอาหารเช้าตามเวลา พูดจบก็ออกไปจากห้องแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้มีอะไรสาหัส ก็เพียงแค่เอาแต่เฝ้าอยู่โรงพยาบาล ไม่ได้พักผ่อนดีๆ เป็นหวัดแล้วมีไข้ต่ำสะสมมาตลอด ดังนั้นเมื่อวานถึงได้ไข้ขึ้นกะทันหันจนเป็นสภาพเช่นนี้ได้

 

 

           เหยียนอวี้เห็นเขาไม่ได้เป็นอะไรมากมาย จึงให้คนเอาเตียงไปเพิ่มในห้องของมั่วไป๋อีกหนึ่งเตียง ส่งตัวไป๋จิ่งเข้าไป

 

 

           ขณะที่ไป๋จิ่งถูกส่งตัวมา มั่วไป๋ยืนอยู่หน้าหน้าต่าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           เหยียนอวี้พาคนมาส่ง แล้วบอกกับมั่วไป๋ทันทีว่า “เขาไม่เป็นไร นอนสักพักก็โอเคแล้ว”

 

 

           เวลานี้เองมั่วไป๋ถึงได้โล่งใจไปโดยไม่รู้ตัว

 

 

           เขาพยักหน้ารับ เหยียนอวี้ถึงค่อยเดินออกไปจากห้อง

 

 

           หลังจากเหยียนอวี้ออกไปแล้ว มั่วไป๋เดินมาหยุดอยู่หน้าเตียงของไป๋จิ่ง ก้มหน้าลงมองไป๋จิ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไข้ลดลงไปบ้างแล้วหรือเปล่า

 

 

           รู้สึกว่าใบหน้าไม่ได้แดงขนาดนั้นเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่ข้างเขา พินิจมองอย่างจริงจัง

 

 

           ไป๋จิ่งผอมลงกว่าก่อนหน้านี้เท่าตัว ดูเหมือนว่าจะซูบเซียวลงไปมากทีเดียว

 

 

           อยู่โรงพยาบาลมาตั้งหลายวัน กลางคืนก็หลับไม่สนิท ยังมาป่วยอีก แล้วจะไม่ซูบเซียวได้อย่างไรกัน

 

 

           มั่วไป๋มองดูริมฝีปากซีดขาวของเขา ในใจก็มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก

 

 

           บอกตามตรง เขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองคิดอะไรอยู่กันแน่

 

 

           ให้อภัยไป๋จิ่งแบบนี้ ในใจเขาก็ไม่ยินดีเสมอ

 

 

           แต่พอเห็นเขามาวนเวียนไปมาอยู่ต่อหน้าตัวเอง หัวใจก็โดนไป๋จิ่งทำให้สั่นไหวอีกครั้ง

 

 

           เขากำหมัดเล็กน้อย มองดูใบหน้าไป๋จิ่งพลางถอนหายใจอย่างเงียบๆ

 

 

           ‘สรุปแล้วเขาต้องทำยังไงกับไป๋จิ่งดี…’

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดายคำตอบนี้ แม้แต่มั่วไป๋เองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

 

 

           เขาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยอีกสักพัก ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมมาสวมใส่ให้เรียบร้อย ถึงเพิ่งจะออกจากห้องพักผู้ป่วยไป

 

 

           ถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไป เขาคาดว่าตัวเองจะเป็นบ้าแล้ว

 

 

           ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ลงไปสูดอากาศดีกว่า

 

 

           มั่วไป๋ค่อยๆ เดินลงตึกไปอย่างช้าๆ ก็เห็นเก้าอี้แขวนในลานของโรงพยาบาลไม่มีคนอยู่พอดี

 

 

           ปกติตรงนั้นมักจะมีเด็กๆ อยู่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่าไม่มีใคร

 

 

           มั่วไป๋หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไป คนทั้งคนนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้แขวน ขณะที่แกว่งอยู่ก็ใจลอยไปด้วย

 

 

           สมองบอกมั่วไป๋ว่าตัวเองควรจะจบสิ้นกับไป๋จิ่งได้สักที

 

 

           แต่หัวใจกลับมีเสียงวนเวียนอยู่อย่างไม่ขาดสาย

 

 

           โดยเฉพาะคำพูดเหล่านั้นที่ไป๋จิ่งพูดเมื่อวาน มั่วไป๋ไม่ยอมรับไม่ได้ คำพูดเพียงไม่กี่คำนั้นของไป๋จิ่งกลับปลุกระลอกคลื่นในทะเลสาบแห่งหัวใจที่เดิมทีเป็นดั่งเช่นเถ้าถ่านที่ดับมอดไป

 

 

           ไม่มีใครชอบความโดดเดี่ยว

 

 

           โดยธรรมชาติเขาเองก็ใช่

 

 

           มั่วไป๋เคยวาดฝันอยู่ทุกวัน ถ้ามีคนที่ชอบตัวเองด้วยความจริงใจได้ เขาคนนั้นจะดีกับตัวเอง แล้วตัวเองก็จะดีกับเขาคนนั้นเช่นกัน

 

 

           พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน พึ่งพาซึ่งกันและกัน ตลอดชีวิตไม่อาจแยกจาก

 

 

           แต่ขณะเดียวกันเขาเองก็กลัวความผิดหวัง

 

 

           ‘ถ้าพนันอีกครั้ง แต่กลับยังแพ้พนันอีกล่ะ’

 

 

           มั่วไป๋บีบนิ้วมือ ก็เห็นแค่เพียงนิ้วมือเรียวเล็กที่ขาวซีดเล็กน้อย

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ มั่วไป๋ใจลอยนั่งพิงเก้าอี้อยู่ตรงนั้น คนที่เดินผ่านไปมาตลอดต่างก็รู้สึกว่าแปลกมาก อดจะมองแล้วมองอีกไม่ได้

 

 

           เห็นเพียงแค่หนุ่มน้อยชาวจีนคนนั้นรูปร่างหน้าตาดีมาก แต่จากมุมที่มองเข้าไปกลับดูเปราะบางเหลือเกิน

 

 

           เขาเบิกตาดู แต่กลับไม่รู้ว่ากำลังมองอะไรอยู่ เวลาผ่านไปนานก็ไม่มีท่าทีตอบสนอง

ตอนที่ 514 เชื่อเขาอีกสักครั้ง

 

 

           เขาพูดไปก็เป็นฝ่ายเปิดกล่องเค้กให้เขา แล้วหยิบเค้กออกมา ทั้งยังหยิบส้อมให้เขาด้วย

 

 

           สายตามั่วไป๋จดจ่ออยู่ที่เค้กชิ้นนั้น สีหน้าเย็นชา ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           ไป๋จิ่งค่อนข้างตื่นตระหนก กลัวมั่วไป๋ไม่ยอมกิน

 

 

           แต่มั่วไป๋ไม่พูดอะไรสักอย่าง ยื่นมือไปหยิบส้อมในมือของไป๋จิ่ง ตักเค้กคำหนึ่งเข้าปาก

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวกลิ่นหอมหวานก็อบอวลอยู่ในปาก

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาด้วยความเป็นกังวล ทั้งยังกลัวว่าเขาไม่ชอบ

 

 

           ยังดีที่มั่วไป๋ไม่ได้พูดอะไร ก้มหน้ากินเค้กต่อไป

 

 

           การกระทำนี้ทำให้ไป๋จิ่งโล่งใจไปโดยไม่รู้ตัว เขายื่นมือไปเปิดของหวานบนโต๊ะอีกด้วยเช่นกัน

 

 

           “ยังมีอันนี้ด้วย อร่อยมากเลย”

 

 

           มั่วไป๋เห็นของหวานและเค้กชิ้นใหญ่ชิ้นเล็กวางเรียงรายอยู่ต่อหน้าตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

 

 

           ‘นี่ถือเป็นของชดเชยที่ไป๋จิ่งทำให้เขาเหรอ’

 

 

           พอคิดถึงตรงนี้ รสชาติที่ยังหวานแต่เดิมในปากไม่รู้ว่าทำไมถึงเริ่มขมฝาดๆ เล็กน้อยแล้ว

 

 

           เขาชะงักส้อมในมือลง เอ่ยเสียงต่ำ “ที่จริงนายไม่ต้องเอาใจฉันแบบนี้ก็ได้”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินก็รีบโต้แย้ง “นี่ไม่ใช่การเอาใจนะ”

 

 

           “ถ้าฉันจำไม่ผิด เมื่อก่อนนายไม่เคยจะทำอะไรพวกนี้มาก่อนเลย”

 

 

           น้ำเสียงเย็นชาของเขาทำให้ไป๋จิ่งไปแทบไม่เป็น

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว “เคยคิด เพียงแต่ว่าไม่กล้าทำ”

 

 

           เพราะกลัวว่ายิ่งตัวเองดีกับหลินฝานอีกนิด ก็ยิ่งจะอยากจะดีกับเขาขึ้นอีกนิด

 

 

           มั่วไป๋ไม่รู้ว่าที่ไป๋จิ่งพูดอะไรพวกนี้มาหมายความว่ายังไงกัน เขานั่งรอฟังคำพูดต่อจากนั้นของไป๋จิ่ง แต่ไป๋จิ่งพูดประโยคนี้แล้ว กลับไม่อธิบายอะไรต่อ

 

 

           “ไป๋จิ่ง ที่นายอยากได้ ฉันให้นายไม่ไหวแล้ว”

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นความรัก หรือความไม่รักตัวกลัวตายในตอนนั้น เขาก็ให้ไม่ไหวแล้ว

 

 

           “ฉันในวันนี้เหลือแค่เพียงร่างกายที่ข้างในว่างเปล่า ไม่มีอะไรแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ครั้งนี้ไม่ต้องให้คุณเดิน ครั้งนี้ผมจะเดินเอง ขอเพียงแต่คุณไม่หนีผม อย่าหลบผมก็พอ…

 

 

           …ผมจะให้ทุกอย่างที่คุณต้องการได้…

 

 

           …ขอเพียงแต่คุณต้องการ ผมก็ให้คุณได้หมด”

 

 

           คำพูดเหล่านี้ของไป๋จิ่งสำหรับมั่วไป๋แล้วล่อใจคนเกินไปแล้ว

 

 

            แต่ว่าของที่ล่อใจคนเกินไป ส่วนมากจะอาบด้วยยาพิษ  ถ้าเชื่อไป๋จิ่งอีกครั้ง จะลงเอยด้วยดีจริงๆ ได้เหรอ

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว มือมั่วไป๋ที่จับส้อมไว้กระชับแน่นขึ้น เขาหลุบตาลงไม่กล้ามองไป๋จิ่ง “นายให้ฉันคิดหน่อยได้ไหม”

 

 

           เขากำลังลังเลใจอยู่ อดที่จะอยากเชื่อไป๋จิ่งไม่ได้

 

 

           แต่ความเจ็บปวดทรมานในตอนนั้นมันฝังอยู่ลึกเกินไปในหัวใจของเขา

 

 

           เขากลัวว่าเชื่อไป๋จิ่งครั้งนี้แล้ว วันหน้าจะเหมือนกับตอนแรกเริ่มนั้น เจ็บทะลุถึงหัวใจ

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแววตาเย็นชาของอีกฝ่ายเผยความรู้สึกที่หมดหนทาง เขาก็ทำใจแข็งไม่พอจะบีบบังคับมั่วไป๋อีกต่อไป

 

 

           “คุณค่อยๆ คิดก็ได้ ผมรอคุณได้เสมอ ขอเพียงแต่คุณคิดดีแล้ว จะบอกผมเมื่อไหร่ก็ได้”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ก็ไม่ได้อยู่ในข้างในห้องต่อ เป็นฝ่ายเดินออกไปคนเดียวเอง

 

 

           หลังจากเขาออกไปแล้ว สายตามั่วไป๋จดจ่ออยู่ที่เค้กของหวานบนโต๊ะ

 

 

           ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มั่วไป๋ก็นึกถึงจูบของไป๋จิ่งเมื่อครู่นี้ นิ้วมือลูบเบาๆ โดยไม่รู้ตัว

 

 

           ‘บางที…การเชื่อเขาอีกสักครั้ง…ก็ไม่เป็นไร….ใช่ไหม…’

 

 

ค่ำคืนวันเดียวกัน เซียวเย่ว์ทนไม่ไหวติดต่อหาไป๋จิ่ง เพียงแต่ว่าไป๋จิ่งไม่มีกะจิตกะใจมาสนใจเธอ ดังนั้นจึงหาข้ออ้างแบบขอไปทีให้พ้นๆ ไป

 

 

เขากำลังกลุ้มใจต้องการไปตามหาเซียวเย่ว์ เซียวเย่ว์ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาได้

 

 

ถ้าไม่ใช่เพื่อมั่วไป๋แล้ว คนคนนี้ไม่มีทางที่เขาจะเจอได้อีกตลอดชีวิตนี้

 

 

เมื่อเข้าสู่ราตรีกาล อุณหภูมิก็ลดลงอีกหลายองศา

 

 

           ถึงแม้ว่าไป๋จิ่งจะกินยาลดไข้แล้ว แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะกดอาการไว้แล้ว แต่เสียงไอก็ยังเล็ดลอดออกมาอย่างต่อเนื่อง  

 

 

       

 

 

ตอนที่ 515 ให้เขาเข้าห้องพักผู้ป่วย

 

 

           มั่วไป๋ในห้องพักผู้ป่วยได้ยินเสียงนั้นของเขา พลางคิดถึงว่าเขากำลังเป็นไข้

 

 

           ใจก็อ่อนยวบทันที อดจะดึงผ้าห่มออกมาไม่ได้ เขาไม่เปิดไฟ แต่เดินตามแสงไฟข้างนอกเปิดประตูออกไป

 

 

           เพราะไป๋จิ่งไอ เขาจึงขดตัวเล็กน้อย ดูๆ ไปแล้วก็น่าสงสารอยู่ไม่เบา

 

 

           หัวใจมั่วไป๋อดจะบีบคั้นไม่ได้ มือที่จับลูกบิดประตูประชับแน่นขึ้น

 

 

           ผ่านไปไม่กี่นาที เยาปล่อยมือออกจากลูกประตู เดินมุ่งหน้าไปหาไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา หันหน้าไปมอง เขาเก็บกดอาการคันคอเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เป็นไรไป ทำเสียงรบกวนจนคุณตื่นเหรอ”

 

 

           เขาพูดไปพลางลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ “งั้นผมจะไปที่ข้างๆ ตรงนั้น แบบนี้จะได้ไม่รบกวนคุณ”

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาพูดแล้วจะเดินออกไป เสียงต่ำก็เอ่ยอย่างไม่ค่อยจะยินยอม “ไม่ต้องไปแล้ว เข้ามาเถอะ”

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงัน คิดว่าตัวเองฟังไม่ชัด

 

 

           “คุณว่าอะไรนะ”

 

 

           มั่วไป๋ค่อนข้างจะอึดอัดใจ พูดประโยคนี้ออกมากับไป๋จิ่งได้ก็เป็นความพยายามอย่างมากที่สุดของเขาแล้ว

 

 

           แต่ไป๋จิ่งดันงุนงงถามเขากลับอีก

 

 

           มั่วไป๋ถลึงตาใส่เขา “ถ้าไม่อยากเข้าไป ก็อยู่ข้างนอกเถอะ”

 

 

           เวลานี้เองในที่สุดไป๋จิ่งก็ได้ยินชัดเต็มหู รีบเดินตามมั่วไป๋เข้าไป ราวกับช้าอีกก้าวหนึ่ง มั่วไป๋จะเปลี่ยนใจได้จริงๆ

 

 

           มั่วไป๋ปิดประตู หลังจากนั้นก็มองโซฟาที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง “นายไปนอนตรงนั้นแล้วกัน ในตู้มีผ้าห่ม ไปหยิบเองนะ”

 

 

           พูดจบ ตัวเองก็กลับไปขึ้นเตียง แสดงท่าทีไม่อยากสนใจไป๋จิ่งอีก

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ในห้องที่มืดสลัว หัวใจเต้นตึกตัก ควบคุมไม่อยู่ รุนแรงราวกับจะเต้นออกมาให้ได้

 

 

           ชะงักค้างอยู่หลายนาที ไป๋จิ่งถึงค่อยนึกได้เดินไปหยิบผ้าห่ม

 

 

           เขาคลำหาจนเดินไปถึงหน้าตู้ ยื่นมือไปเปิดตู้หยิบผ้าห่มออกมา หลังจากนั้นก็เดินอย่างเบาฝีเท้ามากๆ มุ่งตรงไปยังโซฟาทันที

 

 

           ไป๋จิ่งนอนบนโซฟาอย่างระมัดระวัง ความยาวของโซฟานี้ถือว่าสั้นไปหน่อย แต่สบายกว่าข้างนอกมากกว่าเป็นธรรมดา

 

 

           ไป๋จิ่งห่มผ้าห่ม ทั้งเนื้อทั้งตัวอบอุ่นขึ้นมาก

 

 

           ในห้องเงียบสงัด ถึงขนาดที่สามารถได้ยินเสียงหายใจจางๆ ของมั่วไป๋ได้

 

 

           ไป๋จิ่งรู้ว่าเวลานี้เขาต้องยังไม่ได้หลับอย่างแน่นอน ทั้งสองคนลืมตากันทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างเงียบงันไม่พูดจา

 

 

           ไป๋จิ่งไม่รู้ว่าทำไมมั่วไป๋ถึงได้เปลี่ยนความคิดให้ตัวเองเข้ามาได้

 

 

           แต่ว่าในเมื่อมั่วไป๋เอ่ยปากแล้ว เขาต้องยินดีแน่นอนอยู่แล้ว

 

 

           มีเพียงแค่คนโง่เท่านั้นถึงจะปฏิเสธไม่เข้ามาได้

 

 

           เขาเฝ้าอยู่ประตูข้างนอกมาตั้งสิบวัน กว่าจะได้เข้ามาในห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งตัดสินใจแล้ว ถ้าพรุ่งนี้มั่วไป๋ตื่นมาแล้วให้เข้าออกไป เขาก็จะ…ตีให้ตายอย่างไรเขาก็จะไม่ออกไป

 

 

           อย่างมากเขาก็แค่แถไปก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรต่อหน้ามั่วไป๋ เขาก็หน้าไม่อายอยู่ดี

 

 

           ขอเพียงแต่อยู่ข้างกายมั่วไป๋ได้ จะอายไปเพื่ออะไร

 

 

           ไป๋จิ่งลืมตา สายตาอ้อยอิ่งจดจ้องมั่วไป๋ที่อยู่บนเตียงคนไข้ตลอดเวลา อาศัยแสงไฟสลัวๆ เขาก็เห็นได้เพียงเงาร่างของมั่วไป๋อย่างเลือนราง

 

 

           แต่แบบนี้ทำให้ไป๋จิ่งนอนไม่หลับด้วยความดีใจไปแล้ว

 

 

           ทั้งสองคนเงียบงันไม่พูดจากันนานมาก จนกระทั่งถึงเที่ยงคืนถึงได้นอนหลับไป

 

 

           เช้าวันต่อมา เหยียนอวี้มาเร็ว เตรียมจะไปดูในห้องมั่วไป๋สักรอบหนึ่ง

 

 

           ใครจะคิดว่าพอเปิดประตูมา จะมีคนนอนอยู่บนโซฟา

 

 

           ‘ยังไงกัน เมื่อวานยังทำหน้ารังเกียจไม่สบอารมณ์อยู่เลย ทำไมกลางคืนถึงให้คนมานอนในห้องตัวเองได้’

 

 

           เหยียนอวี้มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเหมือนได้ดูละครฉากเด็ด  อยากจะดูสิว่าจะพบรายละเอียดอื่นๆ ตรงไหนที่ตัวเองมองข้ามไปได้หรือเปล่า

 

 

           เขาชายตามองไปมา ก็เห็นมั่วไป๋มองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก

 

 

           หัวใจเหยียนอวี้สั่นสะท้าน กระสับกระส่ายนิดหน่อยแล้ว

 

 

           ความรู้สึกแบบนั้นคือความรู้สึกที่ตัวเองกำลังทำลับๆ ล่อๆ แล้วสุดท้ายโดนคนจับได้ในที่สุด    

ตอนที่ 512 เซียวเย่ว์ปรากฏตัว

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้า รีบเลี้ยวออกจากโรงพยาบาล ขับรถไปหาร้านเค้กให้มั่วไป๋

 

 

           วนดูมาหลายรอบ ในที่สุดไป๋จิ่งก็เห็นร้านเค้กที่ประดับประดาอย่างสวยงามร้านหนึ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งเดินเข้าไปซื้อเค้กชิ้นเล็กหนึ่งชิ้น แล้วซื้อของหวานอีกสองอย่าง เอากลับไปให้มั่วไป๋

 

 

           ยังจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งลูกค้าเขาส่งเค้กชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งมาให้ เดิมทีเขาเตรียมจะทิ้ง  ผลสุดท้ายไม่รู้ว่าคิดถึงหลินฝานขึ้นมาได้ยังไง เพราะอย่างนี้เขาจึงเอากลับไปให้หลินฝานด้วย

 

 

           หลังจากหลินฝานเห็นเค้กนั้นแล้วก็ดีใจสุดขีด เขากินอย่างมีความสุขไม่น้อย

 

 

           ตอนนี้ไป๋จิ่งยังจำความสุขแบบนั้นของหลินฝานได้ หลินฝานคนเดิมมีความสุขแบบนั้นได้เสมอ

 

 

            แต่กลับเป็นเพราะเขา เพราะเขาขี้ขลาด ถึงได้พรากโอกาสที่หลินฝานจะมีความสุขไปจากหลินฝาน

 

 

           ไป๋จิ่งถือเค้กที่บรรจุใส่กล่องเรียบร้อยแล้ว ขับรถกลับไปยังโรงพยาบาล

 

 

           เขาจอดรถที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็ถือเค้กลงจากรถ เตรียมจะเอาไปให้มั่วไป๋

 

 

           เดินเข้ามาในโถงใหญ่ได้ไม่ทันไหร่ ไป๋จิ่งก็ถูกเสียงแห่งความตื่นเต้นดีใจเรียกเอาไว้กะทันหัน

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางหันกลับไปมอง ยามที่ได้เห็นคนที่อยู่ข้างหลัง เพียงชั่วพริบตาเดียวอุณหภูมิในแววตากลับลดฮวบลงเป็นศูนย์

 

 

           ‘เซียวเย่ว์!’

 

 

           ‘คิดไม่ถึงว่าเธอจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้’

 

 

           เซียวเย่ว์ยังไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของไป๋จิ่ง ดูเหมือนเธอจะดีใจมากได้เจอไป๋จิ่งที่นี่ เธอรีบเดินเข้าไปหาไป๋จิ่ง ไปอยู่ต่อหน้าเขา “เป็นคุณจริงๆ ด้วย ฉันคิดว่าฉันมองผิดไปแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งเก็บกดความโกรธแค้นลงไป เขามองเซียวเย่ว์ด้วยท่าทีเรียบเฉย แล้วเอ่ยขานรับ “อืม คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

 

 

           เซียวเย่ว์ยิ้มพร้อมเอ่ย “พ่อฉันไม่ค่อยสบาย ท่านพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ค่ะ”

 

 

           ไป๋จิ่งหรี่ตาลง แต่กลับไม่ได้พูดอะไรมากมาย

 

 

           “คุณล่ะคะ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” สายตาเซียวเย่ว์จดจ่ออยู่ที่เค้กในมือของไป๋จิ่ง

 

 

           “มีเพื่อนอยู่ที่นี่ เลยแวะเข้ามาเยี่ยมสักหน่อย” เขาถือโอกาสยกเค้กในมือขึ้นมา “มีเด็กอยู่เลยซื้อเค้กมาด้วย”

 

 

           “อย่างงี้นี่เอง ฉันยังคิดว่า…”

 

 

           ไป๋จิ่งรู้ว่าเธออยากถามอะไร จึงบอกออกไปอย่างไม่ปิดบัง “โสด”

 

 

           นัยน์ตาเซียวเย่ว์เปล่งประกายความดีใจแทบคลั่ง เธอชอบไป๋จิ่งมานานหลายปีแล้ว เพียงแต่ว่าไป๋จิ่งวางตัวกลางๆ กับเธอมาตลอด

 

 

           คิดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้เขาจะยังโสดอยู่  ถ้าอย่างนั้นจะพูดได้หรือเปล่า ว่าเธอยังมีโอกาสกับไป๋จิ่งอยู่

 

 

           “คุณพอมีเวลาบ้างไหมคะ พวกเราออกไปนั่งเล่นด้วยกัน” เซียวเย่ว์ลองเอ่ยเสนอ

 

 

           ไป๋จิ่งยกมือชูเค้กขึ้นมา เอ่ยเสียงเรียบ “ตอนนี้ไม่สะดวก”

 

 

           เซียวเย่ว์ครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อ “เบอร์มือถือคุณยังเป็นเบอร์เดิมหรือเปล่าคะ”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้ารับ “อืม”

 

 

           “งั้นคุณรีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะติดต่อคุณมาใหม่ โอเคไหมคะ”

 

 

           “อืม” ไป๋จิ่งขานรับแล้วเอ่ยต่อ “งั้นผมขอตัวไปก่อน ให้คนรอนานเกินไปไม่ดี”

 

 

           ครั้งนี้เซียวเย่ว์ไม่ได้ขว้างเขา ปล่อยให้ไป๋จิ่งเดินออกไปเอง

 

 

           เธอยืนอยู่ที่เดิม ตอนนั้นเธอพยายามตั้งมากมาย ก็ไม่ได้ทำให้ไป๋จิ่งยอมรับในตัวเธอ เธอคิดมาเสมอว่าตัวเองกับไป๋จิ่งไม่มีวาสนาต่อกัน

 

 

           แต่คิดไม่ถึงว่าเวลาผ่านมานานขนาดนี้ พวกเขาจะยังมาเจอกันที่นี่ได้

 

 

           ในใจเซียวเย่ว์คิด ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ต้องคว้าไป๋จิ่งมาครองให้ได้

 

 

           เธอรู้จักไป๋จิ่งมาตั้งหลายปีขนาดนี้ ไป๋จิ่งไม่เคยตกหลุมรักใครที่ไหนมาก่อน มีคนเดียวเท่านั้นที่เกือบพลาดไป ซึ่งก็คือหลินฝาน

 

 

           แต่ตอนนี้หลินฝานตายไปแล้ว อีกอย่างเธอเคยจับตาดูเขามาตลอด สองปีมานี้ข้างกายไป๋จิ่งไม่เคยมีใครอื่น

 

 

           ดังนั้นขอเพียงแต่เธอพยายามขึ้นอีก บางทีไป๋จิ่งก็จะเป็นของเธอได้

 

 

           คิดได้เช่นนี้ ความอยากจะเอาชนะเปล่งประกายในแววตาของเธอ

 

 

           เดิมทีเธอใกล้จะตัดใจแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะได้พบไป๋จิ่งอีก

 

 

           ฟ้าเบื้องบนกำลังช่วยเธอทั้งนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งกลับมาห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋ มั่วไป๋นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ เหมือนจะผล็อยหลับไปแล้ว

 

 

           เขาลงฝีเท้าย่างเก้าอย่างช้าๆ ค่อยๆ เดินไปทีละนิดๆ แล้วมาหยุดอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋

 

 

           

 

 

ตอนที่ 513 แอบจูบเขาแล้ว

 

 

           มั่วไป๋หลับสนิทอย่างเงียบๆ สีหน้าสงบนิ่ง ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งเป็นอะไรไป เขายืนต่อหน้ามั่วไป๋ อดที่จะก้มตัวลงมองคนตรงหน้าไม่ได้

 

 

           เรือนผมสีดำขลับบดบังคิ้วและตาของมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมือไปเกลี่ยผมที่ปกหน้าผากเขาเบาๆ ออกไป

 

 

           เขามองดูมั่วไป๋ที่หลับตาแน่นสนิท อดจะก้มตัวโน้มเข้าไปใกล้ไม่ได้ เขาอยากจะจูบคนตรงหน้า

 

 

           ไป๋จิ่งคิดอย่างนี้ เขาก็จะทำอย่างนี้เช่นกัน

 

 

           เขาก้มตัวลงเล็กน้อย ประทับรอยจูบบนเปลือกตามั่วไป๋อย่างแผ่วเบา

 

 

           หัวใจไป๋จิ่งอดจะบีบคั้นไม่ได้ ริมฝีปากของเขาสั่นสะท้าน ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่างทีละนิดๆ

 

 

           มั่วไป๋ยังคงหลับสนิท ราวกับไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เขาทำเลยสักนิด

 

 

           แอบจูบครั้งแรกไปแล้ว ไป๋จิ่งอดใจอยากจะแอบจูบเป็นครั้งที่สองไม่ไหว ครั้งนี้สายตาของเขามาจดจ่อที่ริมฝีปากสีจางๆ ของมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งตื่นเต้นอย่างไรชอบกล กลืนน้ำลายโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           เขามองดูริมฝีปากของมั่วไป๋ นิ้วมือก็ชาเล็กน้อย เวลาผ่านไปนานแล้ว เขากำมือแน่น ก้มหน้าโน้มเข้าใกล้ริมฝีปากของมั่วไป๋

 

 

           เขาก้มหน้าลงสัมผัสเพียงเล็กน้อย รู้สึกว่าข้างหลังมีความรู้สึกเต็มอิ่มที่พูดไม่ออกขึ้นมา

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าขำขันเสียจริง ท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งมีความรักเป็นครั้งแรกไม่มีผิด

 

 

           คิดถึงตรงนี้ เชิดมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

 

           แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มไม่ออกแล้ว

 

 

           ไม่รู้ว่าดวงตามั่วไป๋ที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นัยน์ตาสีจางของเขาจ้องไป๋จิ่งเขม็ง

 

 

           หัวใจไป๋จิ่งกระตุกวูบ รีบยืดตัวตรง ยืนถอยหลังไปอย่างระมัดระวัง แววตาหลบหนีโดยไม่ตั้งใจ มองมั่วไป๋ด้วยความรู้สึกที่ละอายใจอยู่ไม่น้อย

 

 

           แต่ตรงข้าม สีหน้ามั่วไป๋กลับดูสงบนิ่งอย่างยิ่ง

 

 

           เขามองไป๋จิ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่พูดแม้สักคำ

 

 

           ความอึดอัดที่ทำให้คนแทบหายใจไม่ออกคุกรุ่นอยู่ระหว่างคนสองคน ไป๋จิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำให้ตัวเองสงบลงได้โดยเร็ว

 

 

           ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนเขาไม่เคยจูบมั่วไป๋ แต่ครั้งนี้กลับทั้งนานทั้งตื่นตระหนกได้ถึงขนาดนี้

 

 

           เขาบีบมือแล้วเอ่ยปากขึ้น “ขอโทษ ผม…”

 

 

           มั่วไป๋ก็เอ่ยปากขึ้นพอดีเช่นกัน “ทำไมนายแอบจูบฉัน”

 

 

           ไป๋จิ่งเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด ทั้งเนื้อทั้งตัวหาความรู้สึกนึกคิดออกมาไม่ได้แล้ว

 

 

           เขาอ้าปากจะพูด แต่พอได้สบตามั่วไป๋ คำพูดอะไรเขาก็พูดไม่ออกแล้ว

 

 

           “ฉันต้องการคำตอบ” มั่วไป๋เอ่ยถามอีกครั้ง

 

 

           เขากดดันทุกทาง ไป๋จิ่งกัดฟัน เทหมดหน้าตักแล้วพร้อมเอ่ยเสียงดัง “เพราะว่าชอบคุณ ชอบคุณก็ต้องอยากจูบคุณเป็นธรรมดา”

 

 

           เขาร้องตะโกนจบ ทั้งห้องก็เงียบลง รู้สึกอับอายอย่างไรชอบกล

 

 

           ไป๋จิ่งพูดจบ ถึงได้ค้นพบว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองพูดอะไรออกไป  เขาแอบจูบมั่วไป๋ก็ช่างเถอะ คิดไม่ถึงว่าจะยังกล้าพูดคำพูดน่าขายหน้าแบบนั้นได้

 

 

           ‘น่าขายหน้าจนไปถึงบ้านยายแล้วจริงๆ’

 

 

           คำพูดดันพูดออกไปแล้ว อย่างไรก็เก็บกลับคืนมาไม่ได้อยู่ดี

 

 

           ถ้าอย่างนั้นก็ถือโอกาสมองดูมั่วไป๋เสียเลย อยากจะเห็นว่าเขาคิดจะพูดอะไร

 

 

           ถ้าเมื่อครู่ไป๋จิ่งไม่รู้สึกอายจนก้มหน้าลง ต้องความฉงนใจที่ปรากฏในแววตาสีอ่อนของมั่วไป๋อย่างแน่นอน

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินคำพูดของไป๋จิ่ง ก็รู้สึกเพียงแค่หัวใจที่บีบคั้น ไม่ค่อยจะรู้ว่าจะแสดงท่าทีตอบสนองอย่างไร

 

 

           “ถ้าคุณรู้สึกว่าผมแอบจูบคุณ มันไม่ดี ถ้างั้น…” ไป๋จิ่งเอ่ยอย่างตื่นตระหนกลุกลี้ลุกลน “ถ้างั้นคุณจูบผมกลับก็ได้นะ”

 

 

           พูดประโยคนี้จบ ไป๋จิ่งแทบจะอดกลั้นไม่อยู่ตบหน้าตัวเองสักฉาดหนึ่งแล้ว

 

 

           ‘นี่เขากำลังพูดอะไรเรื่อยเปื่อยไปมั่วซั่วอยู่เหรอ’

 

 

           มั่วไป๋คงจะโดนความไร้สาระของไป๋จิ่งทำให้ตกใจแล้ว ตะลึงงันจนวิญญาณหลุดออกจากร่าง สุดท้ายจึงพูดออกมาคำพูดหนึ่ง “ไร้สาระ”

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองเมื่อครู่นี้ เส้นประสาทในสมองต้องไม่ได้เชื่อมกันดีอย่างแน่นอน

 

 

           เขามองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นเค้กที่ตัวเองวางอยู่ด้านข้าง

 

 

           ไป๋จิ่งกลืนน้ำลาย เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เมื่อกี้ผมไปซื้อเค้กมาให้คุณ นายอยากจะกินหน่อยไหม”    

ตอนที่ 510 ชอบเขาขนาดนี้

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างจนใจ เพียงหวังว่าไป๋จิ่งจะคิดได้ในเร็ววัน อย่ามายุ่งเกี่ยวกันต่อไปอีก แบบนี้จะดีกับพวกเขาทั้งคู่

 

 

           เขาพยายามกดเก็บอารมณ์ที่ไม่เป็นสุขนี้ลงไปอย่างสุดความสามารถ ผ่านค่ำคืนอันยาวนานไปเช่นนี้

 

 

           ……

 

 

           ตอนเช้าเหยียนอวีมาเยี่ยมดูมั่วไป๋ ขณะที่เดินผ่านห้องพักผู้ป่วย ก็ได้ยินเสียงไอที่พยายามกดอาการเอาไว้พอดี

 

 

           เดิมทีเขาไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหูอยู่ไม่เบา เหมือนตัวเองเคยได้ยินที่ไหนมาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เขาชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง แล้วเดินไปตามเสียง

 

 

           ก็เห็นตรงทางขึ้นลงบันไดด้านข้าง ไป๋จิ่งเอามือปิดปากไออย่างหนักหน่วง

 

 

           คิดดูแล้วคือไป๋จิ่งกลัวเสียงไอตัวเองจะไปกระทบมั่วไป๋ ดังนั้นถึงได้มาหลบตรงนี้

 

 

           เหยียนอวี้ไม่ได้ไปไหน แต่ยืนพิงรออยู่ด้างข้าง

 

 

           ไป๋จิ่งไออยู่ตั้งนานสองนาน ในที่สุดก็มีอาการดีขึ้นบ้างแล้ว เขาเห็นว่าพอประมาณหนึ่งแล้ว ถึงได้หมุนตัวหันมาเตรียมเดินกลับไป

 

 

           พอหันมาก็เห็นเหยียนอวี้ยืนอยู่ข้างๆ

 

 

           เหยียนอวี้กอดอก พินิจมองเขา “เป็นหวัดจนเป็นแบบนี้แล้ว ยังจะมาทนอยู่ที่นี่อีกเหรอครับ”

 

 

           “ผมไม่เป็นไร แค่หวัดนิดหน่อยเองครับ”

 

 

           เสียงไป๋จิ่งเจือความแหบแห้ง ดูแวบแรกก็รู้ว่าปวัดเป็นเหตุ

 

 

           “คุณกลับไปพักผ่อนก่อนสักสองวันดีไหมครับ รอสองวันหายดีแล้ว ค่อยมาใหม่”        

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัวโดยไม่คิดสักนิด “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่เป็นอะไร ไม่จำเป็นต้องพัก”

 

 

           เหยียนอวี้เห็นนิสัยหัวแข็งแบบนั้นของเขาเหมือนมั่วไป๋ไม่มีผิด

 

 

           ทั้งสองคนหัวแข็งดื้อรั้นเหมือนวัวไม่มีผิด คนหนึ่งหนักข้อยิ่งกว่าอีกคน ดูท่าว่าถ้าพวกเขาสองคนคิดคืนดีกัน คาดว่าจะหัวแข็งใส่กันจนตายกันไปข้าง

 

 

           เขาถอนหายใจเงียบๆ “คุณชอบมั่วไป๋ขนาดนี้เชียว”

 

 

           “ครับ” ไป๋จิ่งเอ่ยขานรับ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

 

 

           เหยียนอวี้หรี่ตาลง เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาไม่พูดอะไร ก็อยากเดินผ่านเขาออกไป จู่ๆ เหยียนอวี้ก็เอ่ยปากขึ้นมา “คุณช่วยไปหยิบรายงานที่ชั้นสามหน่อยได้ไหมครับ ของมั่วไป๋”

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้าพลางพยักหน้ารับ “ได้ครับ”

 

 

           เหยียนอวี้บอกตำแหน่งที่ตั้งกับเขา เขาก็เดินไปจากตรงนั้นทันที

 

 

           เขายืนอยู่ที่เดิม มองตามแผ่นหลังของไป๋จิ่งที่เดินจากไป พร้อมจะยกมุมปากขึ้นเงียบๆ

 

 

           ‘ในฐานะหมอและเพื่อนของมั่วไป๋นี่ยากจัง ไม่ใช่แค่ต้องรักษาอาการป่วย ยังต้องช่วยแก้ปัญหาเรื่องความรักอีก’

 

 

           เหยียนอวี้ส่ายหัวพลางถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเดินตามเดินออกไป

 

 

           เขากลับไปยังห้องพักผู้ป่วย มั่วไป๋กำลังวาดรูปอยู่ เขาเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ มั่วไป๋ เห็นเขาวาดรูปด้วยท่าทางจริงจัง สีหน้าสงบนิ่งราวกับเด็กคนหนึ่ง

 

 

           เหยียนอวี้รู้ว่ามั่วไป๋ชอบไป๋จิ่ง

 

 

           ถ้าตั้งแต่เริ่มต้น เขาไม่รู้ว่าไป๋จิ่งเป็นใคร ในช่วงเวลานี้ต่อให้เขาคาดเดา เขาก็คาดเดาได้

 

 

           ไป๋จิ่งคนนี้คงจะเป็นคนคนนั้นที่มั่วไป๋กลับมาบอกเล่ากับเขา

 

 

           คนที่เดิมทีมั่วไป๋อยากแก้แค้น แต่กลับควบคุมหัวใจไม่อยู่เป็นครั้งที่สอง แล้วตกหลุมรักอีกครั้ง

 

 

           ในช่วงเวลานี้เหยียนอวี้ก็แอบสังเกตพฤติกรรมของทั้งสองคนไปด้วย

 

 

           ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขามีความคิดไม่เห็นด้วยกับไป๋จิ่ง แต่ตอนนี้เขากลับมีความคิดต่อไป๋จิ่งที่เปลี่ยนไปนิดหน่อยแล้ว

 

 

           ถึงอย่างไรถ้าไม่ได้ชอบจริงๆ แล้วจะมาหน้าด้านหน้าทนอยู่เคียงข้างมั่วไป๋แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน

 

 

           แต่มั่วไป๋ถึงแม้ว่าปากจะบอกว่าเกลียดไป๋จิ่ง แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นที่ไป๋จิ่งปรากฏตัวขึ้น หัวใจของเขาก็ไม่เชื่อฟังกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

 

 

           ไม่กี่วันมานี้เขายิ่งเห็นได้ชัดเจน มั่วไป๋กำลังดิ้นรนอยู่ในห้วงความรู้สึกที่มีต่อไป๋จิ่งด้วยตัวเขาเอง

 

 

           ใจหนึ่งต่อต้าน แต่อีกใจกลับฝืนการดึงดูดของไป๋จิ่งไม่ได้ สะกิดใจเขาจนสั่นสะท้าน

 

 

           เหยียนอวี้ไม่พูดไม่จายืนอยู่ข้างๆ มั่วไป๋ตั้งนานสองนาน มั่วไป๋เงยหน้ามองเขาด้วยความรู้สึกแปลกๆ “เป็นไรไป หน้าฉันมีอะไรติดเหรอ”

 

 

           เหยียนอวี้พยักหน้า “มีอะไรติดนิดหน่อย”

 

 

           มั่วไป๋ลังเลแต่กลับยังยกมือขึ้นมาลูบไปมา ใบหน้าเรียบเนียนสิวสักเม็ดก็ลูบไม่เจอ

 

 

           “หน้าฉันมีอะไรติดเหรอ”

 

 

 

 

ตอนที่ 511 ไม่ได้พูดจูงใจนาย

 

 

           เหยียนอวี้นั่งลงข้างมั่วไป๋ เอ่ยอย่างจริงจัง “มีคำว่า ‘ดิ้นรน’ ติดอยู่นิดหน่อย”

 

 

         มั่วไป๋ตะลึงงัน เขาเข้าใจว่าที่เหยียนอวี้พูดคืออะไรในทันที

 

 

           “นาย นายอยากจะพูดอะไร…”

 

 

           เหยียนอวี้ถอนหายใจ “นายชอบเขาไม่ใช่เหรอ”

 

 

           มั่วไป๋กำพู่กันในมือแน่น อีกนิดจะบีบพู่กันหักคามือแล้ว

 

 

           “ไม่ใช่” มั่วไป๋เอ่ยแย้งทันควัน

 

 

           เหยียนอวี้เองก็ไม่ได้รีบร้อนจะเปิดโปงเขา แต่เอ่ยเสียงเรียบๆ แทน “เมื่อกี้ฉันผ่านทางขึ้นลงบันไดมา เจอเข้ากับไป๋จิ่งด้วย”

 

 

           มือมั่วไป๋เกร็งตัวขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           “อาการหวัดของเขาสาหัสมาก ถ้าฉันดูไม่ผิด คงจะไข้ขึ้นแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋กำพู่กันอย่างหนักหน่วง ไม่พูดสักประโยค

 

 

           “ฉันให้เขากลับไปพักผ่อน เขาก็ไม่ยอมไป”

 

 

           มั่วไป๋บีบมือพยายามทำให้ตัวเองยังคงรักษาท่าทีเรียบเฉยได้ “นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”

 

 

           เหยียนอวี้จ้องมองดู ก็ได้เห็นดวงตาที่เขาหลุบต่ำลง เจือความอยากหลบหนีอยู่ในนั้น

 

 

           “มั่วไป๋ บางครั้งการยอมรับและเข้าใจตัวเองก็ไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้น…

 

 

           …จะไม่ยอมเดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง เพราะก้าวพลาดครั้งหนึ่งไม่ได้”

 

 

           “นี่ ตอนนี้นายกำลังพูดจูงใจฉันอยู่เหรอ” จู่ๆ มั่วไป๋ก็เงยหน้ามองเหยียนอวี้ เสียงต่ำเอ่ยถามขึ้น

 

 

           เหยียนส่ายหัว “ฉันไม่ได้พูดจูงใจนาย ฉันก็แค่อยากให้นายปลดล็อคตัวเอง มั่วไป๋ คนเราเวลาชีวิตตกอยู่ในความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ก็มักจะไม่เชื่อว่าบนโลกใบนี้ยังมีความสวยงามอยู่”

 

 

           ที่ประตูมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา ไป๋จิ่งยืนอยู่หน้าประตู ในมือเขาถือรายงานผลการตรวจที่เหยียนอวี้ต้องการมาด้วย

 

 

           เหยียนอวี้เห็นแบบนี้ก็ลุกขึ้นยืน เดินออกจากมั่วไป๋ ไปรับเอารายงานผลการตรวจจากไป๋จิ่ง

 

 

           ตอนที่หยิบรายงานมา เขาได้สัมผัสโดนแขนของไป๋จิ่งโดยไม่ทันระวัง ก่อนจะเดินต่อ

 

 

           เดินไปสองก้าวก็หยุดอีกครั้ง กลับไปพูดกับไป๋จิ่ง “ตอนนี้คุณไข้ขึ้นแล้ว ถ้ายังยืนยันจะไม่กลับไปพักผ่อน ก็ลงไปสั่งยาที่ชั้นหนึ่งนะครับ”

 

 

           พูดจบ เขาถึงค่อยเดินจากไป

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่หน้าประตู คิดไม่ถึงว่าจะลนลานขนาดนี้เป็นครั้งแรก เขามองมั่วไป๋แวบหนึ่ง แล้วยิ้มหัวเราะสักพัก ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมไปก่อนนะ”

 

 

           มั่วไป๋จ้องมองใบหน้าเขาที่ค่อนข้างจะแดงพอสมควร คิดดูแล้วไข้ขึ้นจริงๆ

 

 

           เขาครุ่นคิด แต่กลับถูกตัวเองกดเก็บอารมณ์ ไม่ได้พูดออกไป

 

 

           “อืม” สุดท้ายเขาทำแค่เพียงเอ่ยขานรับเสียงเรียบๆ แล้วก้มหน้าวาดรูปต่อ ไม่ได้มองไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นท่าทีเย็นชาของเขา จิตใจก็หดหู่ลงอยู่ไม่น้อย แต่ไม่ถึงหนึ่งนาที ไป๋จิ่งก็จัดการปรับอารมณ์ตัวเองได้

 

 

           เขามองมั่วไป๋อีกหลายครั้ง กว่าจะออกจากห้องพักผู้ป่วยไป

 

 

           ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินไปไกล มั่วไป๋จึงหยุดการกระทำที่แสร้งทำในมือลง

 

 

           คำพูดเมื่อครู่นี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ที่จริงเขาเข้าใจทุกอย่างที่เหยียนอวี้พูดมา

 

 

           แต่ว่าบางเรื่องก็ฝังลงในใจลึกเกินไป เขาลืมได้ไม่ลงเลยสักนิด

 

 

           ต่อให้รู้ว่าตอนนี้ไป๋จิ่งชอบเขาจริงๆ เขาก็ทำเหมือนว่าเรื่องในตอนนั้นไม่เคยเกิดขึ้นแล้วมาคืนดีกับไป๋จิ่งไม่ได้

 

 

           มั่วไป๋หลับตาลง ขับไล่เงาของไป๋จิ่งที่สับสนวุ่นวายในหัวออกไปอย่างเงียบๆ

 

 

           ไป๋จิ่งรออยู่ข้างนอกสักพักหนึ่ง รู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายค่อนข้างจะผิดปกติแล้วจริงๆ เขาครุ่นคิดแล้วหันหลังเดินลงไปยังชั้นหนึ่ง

 

 

           เตรียมจะไปสั่งยาตามที่เหยียนอวี้บอก

 

 

           ไป๋จิ่งลงหลักปักฐานอยู่ที่โรงพยาบาลมานานขนาดนี้ ทั้งวันนอกจากอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋ ก็ไปอยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลังโรงพยาบาลกับเขา

 

 

           เขาเดินเตร็ดเตร่วนไปทั่วชั้นหนึ่งอยู่ตั้งนาน ก็จะหาห้องจ่ายยาพบ เขาได้ยาลดไช้กับยาแก้หวัดมา

 

 

           ไป๋จิ่งซื้อน้ำขวดหนึ่ง เอายาเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามเข้าไป

 

 

           ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ขณะที่ไป๋จิ่งเก็บยาใส่กระเป๋ากางเกง เขาก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังกินเค้กอยู่ข้างๆ

 

 

           จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ เหมือนเมื่อก่อนมั่วไป๋จะชอบกินเค้กมาก 

ตอนที่ 508 พูดแล้วไม่คืนคำ

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว ไป๋จิ่งถึงค่อยคลายขากรรไกรที่ขบกันแน่นสนิท

 

 

           เขาเอ่ยให้คำมั่นสัญญาอย่างตั้งใจจริงทุกคำทุกประโยค “ผมไม่มีวันจะทำร้ายเขา แล้วก็จะไม่มีวันให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเขา”

 

 

           เหยียนอวี้มองเขาแวบหนึ่ง “คำพูดนี้ใครๆ ก็พูดได้ ส่วนเวลาทำก็เป็นหนังคนละม้วนไปแล้ว”

 

 

           “ครั้งนี้ผมพูดแล้วไม่คืนคำ”

 

 

           หลังจากเหยียนอวี้ได้ยิน เขาไม่ได้แสดงความความเห็นใดใด สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขายักไหล่เดินจากไป

 

 

           เหลือเพียงแค่ไป๋จิ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว มองมั่วไป๋ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ราวกับอยากจะมองวันเวลามากมายในตอนนั้นกลับมาทีละนิดๆ จากวันนี้เป็นต้นไป

 

 

           จู่ๆ มั่วไป๋ก็หันกลับมามอง เหมือนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

 

 

           เขาหันหน้ามา แต่กลับไม่เห็นอะไรสักอย่าง

 

 

           มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดว่าตัวเองคงจะมองผิดไป จึงเบนสายตากลับมา

 

 

           ข้างนอกสายลมพัดโชยมาแล้ว เหมือนฝนจะตกอย่างไรอย่างนั้น ค่อนข้างจะหนาวขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเดินเข้าไปหา พลางเอ่ยเสียงต่ำ “ฝนใกล้จะตกแล้ว กลับเข้ามาก่อนเถอะ”

 

 

           มั่วไป๋ไม่รู้ว่าที่ไป๋จิ่งมาพัวพันกับเขาตอนนี้  ตกลงแล้วหมายความว่ายังไงกันแน่

 

 

           ‘เพราะรู้สึกผิดบาปในใจ เลยอยากจะชดเชยให้เขาเหรอ’

 

 

           แต่บนโลกนี้ สิ่งที่ไม่ต้องการที่สุดก็คือการชดเชยหลังจากที่เรื่องราวทุกอย่างจบไปแล้ว

 

 

           เรื่องราวในตอนนั้น เขาทนทุกข์ทรมานผ่านมันมาคนเดียวไปแล้ว ตอนนี้มาห่วงใยกันหลังจากที่ทุกอย่างจบสิ้น  แล้วมันจะมีความหมายอะไร

 

 

           เขานั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ไป๋จิ่งเห็นเขาใส่ชุดตัวบาง ก็อดไม่ได้ที่จะถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก แล้วคลุมตัวมั่วไป๋ไว้

 

 

           อุณหภูมิอุ่นร้อนทำให้มั่วไป๋อึดอัดไม่น้อย รีบเบี่ยงตัวหลบ ไม่อยากสวมชุดของไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมือไปกดมั่วไป๋ไว้ ช่วยมั่วไป๋สวมเสื้อคลุมอย่างไม่ยอมแพ้ พร้อมติดกระดุมให้เขาเสร็จสรรพ

 

 

           “คุณสุขภาพไม่ดี เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”

 

 

           มั่วไป๋ก้มหน้าลงมองเสื้อคลุมที่อยู่บนตัว คิดไปคิดมาแล้ว ก็อดทนไว้ไม่ได้ลงมือทำอะไร

 

 

           ถึงอย่างไรตอนนี้ต่อให้เขาถอดออกมา ไป๋จิ่งก็ยังจะช่วยสวมให้เขา  ทำไมเขาต้องทำเรื่องที่เกินความจำเป็นกับไป๋จิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย

 

 

           ด้วยเหตุนี้มั่วไป๋จึงยังคงแสดงท่าทีเย็นชากับเรื่องนี้ ไม่ทำอะไรโต้ตอบ

 

 

           เห็นเขาสวมเสื้อคลุมแล้ว ไป๋จิ่งถึงได้โล่งใจไปที

 

 

           ในเมื่อมั่วไป๋ไม่กลับไป เขาก็จะอยู่ข้างนอกเป็นเพื่อนมั่วไป๋ ถึงอย่างไรขอเพียงแต่เป็นสิ่งที่มั่วไป๋อยากทำ เขาก็จะอยู่ด้วยตลอด

 

 

           ท่าทีของไป๋จิ่งเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว

 

 

           มั่วไป๋เองไม่เข้าใจว่าไป๋จิ่งกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าเป็นเพียงเพราะว่าละอายใจ เขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องละอายใจแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งทำเขาเจ็บครั้งหนึ่ง เขาแก้แค้นไป๋จิ่งครั้งหนึ่ง

 

 

           นี่ก็ควรจะจบสิ้นกันไปแล้ว

 

 

           เพียงแต่ว่าเขาพูดมาหลายครั้งขนาดนี้แล้ว ไป๋จิ่งก็ยังคง ‘ทำตามใจฉัน’ เหมือนเดิม

 

 

           พูดกันกับไป๋จิ่งไม่รู้เรื่องอย่างเห็นได้ชัด

 

 

           คิดถึงตรงนี้ มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างเงียบๆ ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขายืนขึ้นมา ตัวเองก็ยืนขึ้นมาด้วย เดินตามมั่วไป๋อยู่ข้างหลัง เดินกลับไปด้วยกัน

 

 

           เงาของคนสองคนทอดยาวมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้ดวงไฟข้างถนน

 

 

           เงาร่างทับซ้อนกันเล็กน้อย แต่กลับยังมีความรู้สึกราวสนิทชิดเชื้อกันซึมซับออกมาด้วย

 

 

           กลับมาห้องพักผู้ป่วยไม่ถึงห้านาที เป็นอย่างที่คิดฝนได้ตกลงมาจริงๆ

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่หน้าหน้าต่าง มองดูสายฝนนอกหน้าต่างโดยไม่ส่งเสียงใด จนกระทั่งยืนจนเหนื่อยแล้ว ถึงได้กลับขึ้นเตียงปิดไฟนอน

 

 

           โถงทางเดินเงียบมาก นอกจากบางครั้งจะมีเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก

 

 

           มั่วไป๋นอนอยู่บนเตียง มองเพดานด้วยสายตาเลื่อนลอย ห้วงความรู้สึกอดจะโผบินไปดั่งใจนึกไม่ได้

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนสมองจะไม่เชื่อฟังเขาอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าไป๋จิ่งฉายสะท้อนผ่านมา ค่ำคืนที่ฝนตก อุณหภูมิลดลงมากทีเดียว

 

 

           อุณหภูมิในโถงทางเดินยิ่งลดต่ำลงไปกว่านั้น

 

 

           เสื้อคลุมของไป๋จิ่งยังคงวางบนโซฟา มั่วไป๋ครุ่นคิดแล้วเปิดไฟมองดูเสื้อคลุมที่เขาโยนใส่โซฟา ในใจก็เริ่มตีกันยุ่ง

 

 

           ราวกับในหัวมีคนตัวจิ๋วสองคนกำลังดึงกันไปดึงกันมาอยู่

 

 

           คนหนึ่งให้เขาโยนเสื้อคลุมไปให้ไป๋จิ่ง ส่วนอีกคนให้เขาไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของไป๋จิ่ง

 

 

           

 

 

          ตอนที่ 509 เขารังเกียจเขา

 

 

           มั่วไป๋มองเสื้อคลุมตัวนั้นด้วยสายตาเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี

 

 

           จู่ๆ ข้างนอกก็มีเสียงเคาะประตูเข้ามา มั่วไป๋มองตามเข้าไปดู ก็เห็นไป๋จิ่งเปิดประตูมาครึ่งบาน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ “มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”

 

 

           ที่แท้ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋เปิดไฟกะทันหัน ก็คิดว่าเขามีตรงไหนไม่สบาย จึงตั้งใจมาดูด้วยความเป็นห่วง

 

 

           มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่ง ความไม่ยินดีในหัวใจก็เพิ่มขึ้นในพริบตา

 

 

           เขามองไป๋จิ่งด้วยความรำคาญ “เปล่า”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ก็ทำได้เพียงเอ่ยว่า “งั้นคุณก็พักผ่อนดีๆ นะ ผมจะอยู่ข้างนอกเป็นเพื่อนคุณ”

 

 

           เขาพูดจบก็จะออกไปทันที มั่วไป๋มองตามแผ่นหลังของเขาไป จู่ๆ ก็เอ่ยร้องเรียกเสียงดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน”

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้าทันที หันกลับอย่างรวดเร็ว

 

 

           “เป็นไรไป มีเรื่องอะไรเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋มองเขาด้วยท่าทีรังเกียจ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “หยิบเสื้อคลุมของนายออกไปด้วย วางอยู่ที่นี่ มันขวางหูขวางตาฉัน”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเสื้อคลุมบนโซฟา หัวใจก็บีบคั้นในทันใด

 

 

           แต่ก็ยังขานรับ หยิบออกไปอย่างว่าง่าย

 

 

           “งั้นผมออกไปก่อนแล้ว คุณนอนเถอะ”

 

 

           เขาปิดประตูลงอย่างเบามือ ไป๋จิ่งยืนบีบเสื้อคลุมตัวนั้นอยู่หน้าประตู ในหัวใจมีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก

 

 

           ที่แท้ตอนนี้มั่วไป๋รังเกียจเขาจนถึงขั้นนี้ แม้แต่เสื้อผ้าของเขาก็ไม่อยากเห็น

 

 

           ดังนั้นเมื่อครู่นี้ที่ตัวเองเอาเสื้อคลุมไหล่ให้เขา เขาคงจะรู้สึกขยะแขยงมากใช่ไหม

 

 

           เพราะว่านั่นคือไป๋จิ่งคนระยำที่เอาเสื้อคลุมไหล่ให้เขา จึงยิ่งเพิ่มความน่ารังเกียจขึ้นอีก

 

 

           คิดถึงตรงนี้ หัวใจของไป๋จิ่งบีบรัดตัวแน่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ‘ต้องทำยังไงกันแน่ เขาถึงตามมั่วไป๋กลับมาใหม่ได้อีกครั้ง’

 

 

           นี่เป็นครั้งแรก ไป๋จิ่งไม่มีทิศทาง ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไร ถึงจะตามมั่วไป๋ในวันวานนั้นกลับคืนมาได้สักที

 

 

           ถึงจะทำให้พวกเขากลับไปยังตอนแรกเริ่มนั้นได้

 

 

           ไฟข้างในห้องดับลงอีกครั้ง

 

 

           ครั้งนี้ไม่สว่างเป็นเวลานานมาก ไป๋จิ่งยืนอยู่หน้าประตู ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้

 

 

           สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร กลับไปนั่งบนเก้าอี้ข้างนอกทั้งคืน

 

 

           ช่วงสองสามวันนี้จู่ๆ อุณหภูมิก็ลดลงอย่างกะทันหัน ทั้งฝนยังตกติดต่อกันอีกหลายรอบ

 

 

           มั่วไป๋โดนเหยียนอวี้สั่งห้ามไม่ให้ออกข้างนอก ดังนั้นก่อนที่อุณหภูมิจะกลับมาเพิ่มขึ้น จะออกไปนอกเขตอาคารพักฟื้นผู้ป่วยของโรงพยาบาลไม่ได้ อยู่ในห้องพักผู้ป่วยจะดีที่สุด

 

 

           ด้วยคำสั่งกักบริเวณนี้ มั่วไป๋จึงทำได้เพียงอยู่ในห้องพักผู้ป่วยอย่างว่าง่าย

 

 

           ยังดีที่มั่วไป๋คนนี้เดิมก็เป็นคนนิ่งๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าอยู่คนเดียวกี่วันเลย ต่อให้อยู่เป็นสิบวันเป็นครึ่งเดือน เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร

 

 

           เขาว่างๆ รู้สึกเบื่อๆ ก็นั่งวาดรูปหน้าโต๊ะ

 

 

           มั่วไป๋ขลุกตัวอยู่ในโซฟา หยิบสมุดพกวาดรูปขึ้นมา เพิ่งจะเปิดดู มั่วไป๋ก็ตะลึงค้างไปโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ในนั้นเป็นรูปที่เขาวาดลวกๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ใบหน้าด้านข้าง แต่มั่วไป๋มองแวบเดียวก็ดูออก

 

 

           นั่นเป็นรูปใบหน้าด้านข้างของไป๋จิ่ง

 

 

           วันนั้นไม่รู้เขาเป็นอะไรไป หยิบดินสอขึ้นมาก็วาดออกมาเลย เป็นจังหวะที่เหยียนอวี้ทำให้เขาสะดุ้งตกใจพอดี

 

 

           ถึงแม้ว่าเหยียนอวี้จะดูไม่ออกอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังหวั่นใจ กลัวเหยียนอวี้จะมองอะไรออก

 

 

           มั่วไป๋จ้องมองภาพนั้น จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นมาฉีกกระดาษหน้านั้นออกมากะทันหัน

 

 

           ราวกับว่าไม่กล้าจะยอมรับมัน รีบเอามือฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทันที

 

 

           ข้างนอกมีเสียงไอดังขึ้นมาตลอด สะเทือนความรู้สึกของมั่วไป๋

 

 

           พวกเขาไม่ไปข้างนอกมาค่อนวันแล้ว นอกจากไป๋จิ่ง ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย อดจะคาดเดาไม่ได้

 

 

           แต่กลับกดกลั้นการคาดเดาของตัวเองไว้ทันที

 

 

           ไป๋จิ่งจะเป็นหวัดหรือไม่เป็น ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลยสักนิด

 

 

           คิดอย่างนี้ มั่วไป๋ก็รีบปาเศษกระดาษในมือทิ้ง ทำให้สมองตัวเองว่างเปล่า ไม่ต้องคิดเรื่องข้างนอกอีก

 

 

           ข้างนอกยังคงมีเสียงไอต่อเนื่องที่พยายามจะกดเอาไว้ ราวกับกลัวว่าจะรบกวนคนอื่น กดเสียงต่ำลงอย่างชัดเจน

 

 

           หัวใจมั่วไป๋อยู่ไม่เป็นสุข ถูกเสียงไอเสียงนั้นทำให้อารมณ์สงบไม่ลงเลยสักนิด

 

 

           เขายกมือขึ้นมากุมหัว ทำอะไรไม่ถูก

 

 

           มั่วไป๋ไม่ยอมรับไม่ได้ ว่าตัวเองดูเหมือนไม่มีทางที่จะทำเป็นมองข้ามไป๋จิ่งไปได้จริงๆ

 

 

           อย่างเช่นตอนนี้ แค่เพียงเสียงไอเสียงเดียว ก็สะกิดใจเขาจนเตลิดไปแล้ว      

ตอนที่ 506 ทำเรื่องที่เกินความจำเป็น

 

 

           เขาครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ “ตกลงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับมั่วไป๋คืออะไรกันแน่ ทำไมคุณถึงเอาแต่อยู่ที่นี่ครับ”

 

 

           “คือความสัมพันธ์แบบเพื่อน ผมอยากอยู่ครับ”

 

 

           พูดจบในสองประโยค ตอบได้อย่างตรงไปตรงมาชัดเจน

 

 

           เหยียนอวี้กุมขมับ ที่แท้เป็นเพื่อนของมั่วไป๋ไม่ค่อยจะเหมือนคนปกติจริงๆ  

 

 

           เห็นท่าทีเย็นชาของไป๋จิ่งแบบนี้ คิดๆ ดูแล้วก็ไม่มีแววที่เขาจะตอบคำถามเรื่องส่วนตัวได้อีกแล้ว

 

 

           เวลานี้เองเหยียนอวี้ถึงได้ล้มเลิก แล้วเดินจากไป

 

 

           หลังจากที่เขาออกไปแล้ว ไป๋จิ่งก็เฝ้าอยู่หน้าประตูต่อ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ไป๋จิ่งถึงได้ลุกขึ้นยืน

 

 

           ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ไป๋จิ่งก็กลับมาจากข้างนอก ในมือหิ้วอาหารบำรุงที่ตั้งใจให้ร้านอาหารทำให้มั่วไป๋เป็นพิเศษ

 

 

           เขายกมือขึ้นเคาะประตู แล้วเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นเพียงแค่มั่วไป๋นั่งพับขาอยู่บนโซฟา เคาะแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กอยู่

 

 

           สำหรับการกระทำของไป๋จิ่ง เหมือนจะเห็นจนไม่แปลกมาตั้งนานแล้ว

 

 

           เขาไม่ชายตามองไป๋จิ่งเลยสักนิด สายตาจดจ่อแต่โน้ตบุ๊กในมือ

 

 

           ไป๋จิ่งวางของลงบนโต๊ะที่อยู่ต่อหน้ามั่วไป๋ มองมั่วไป๋อย่างจดจ่อสักพัก ถึงค่อยได้เตรียมตัวจะออกไป

 

 

           มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่งหันหลังเตรียมจะเดินออกไป ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมา เอ่ยด้วยท่าทีเย็นชา “ต่อไปไม่ต้องมาส่งให้ฉัน ฉันไม่กิน”

 

 

           ไป๋จิ่งกำมือแน่น เขาหันหลังให้มั่วไป๋อยู่ เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “คุณจะกินหรือไม่กิน ผมก็มาจะส่ง”

 

 

           มั่วไป๋ทำอะไรไม่ได้ รู้สึกรำคาญใจทีเดียว “ถ้าฉันเป็นนาย จะไม่มาทำเรื่องที่เกินความจำเป็นพวกนี้เลย”

 

 

           “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกินความจำเป็น”

 

 

           “ไป๋จิ่ง ตอนนี้นายทำแบบนี้ ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ฉันไม่ได้อยากเปลี่ยนความสัมพันธ์กับนายในตอนนี้ซ้ำใหม่อีกครั้งจริงๆ”

 

 

           “ผมไม่ได้อยากให้คุณเปลี่ยน ผมก็แค่อยากอยู่เคียงข้างคุณ”

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกปวดหัวไม่เบา “ฉันเคยพูดไปแล้ว ฉันไม่ต้องการนายแล้ว…

 

 

           …ตอนนั้นฉันก็ผ่านมันมาคนเดียว แรกๆ ไม่ชิน หลังๆ ก็ชินแล้ว นายอยู่ที่นี่ช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอก”

 

 

           เขาหยุดสักพัก ก่อนจะเอ่ยต่อ “อีกอย่าง ฉันก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดใดจากนายด้วย”

 

 

           ไป๋จิ่งหันหลังให้มั่วไป๋อยู่ ดังนั้นมั่วไป๋จึงไม่ได้เห็นว่าใบหน้าของเขาปรากฏความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างหนักหน่วงขึ้นมาแล้ว

 

 

           เขาไม่พูดอะไรสักคำ ยืนอยู่ตรงนั้นแบบนี้

 

 

           ทั้งสองคนเงียบงันกันนานมาก มั่วไป๋เอ่ยต่อ “ไป๋จิ่ง หลินฝานในตอนนั้นได้ตายไปแล้ว ไม่มีอะไรให้น่าถือทิฐิแล้ว”

 

 

           เขาอยากปล่อยวางแล้ว ไม่อยากจะพัวพันกับไป๋จิ่งไปเรื่อยๆ แบบนี้อีกต่อไปแล้ว

 

 

           ผ่านมาตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่มีความหมายอะไรมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ตอนนั้นเพื่อไป๋จิ่ง เขาเกือบจะตายไป

 

 

           คนที่เคยผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่งก็จะเห็นค่าชีวิตมากกว่าเดิม ระหว่างเขากับไป๋จิ่ง ในเมื่อลงเอยกันด้วยดีไม่ได้ เช่นนั้นก็แยกกันตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่าดี

 

 

           จะได้ไม่ตกลงไปในจุดจบที่บอบช้ำกันทั้งสองฝ่าย

 

 

           ไป๋จิ่งไม่พูดจาอยู่นานมาก ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำขึ้น “หลินฝานตายแล้ว งั้นผมต้องการมั่วไป๋”

 

 

           สำหรับเขาแล้ว หนี้ที่ติดค้างหลินฝานไม่มีทางจะเอากลับคืนมาได้แล้ว เช่นนั้นเขาก็ต้องการมั่วไป๋ เอาหนี้ที่ติดค้างทุกอย่างในตอนนั้นส่งกลับคืนมั่วไป๋ทั้งหมด

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงันไปพักหนึ่ง แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ

 

 

           เวลาผ่านไปนาน เขาหลับตาลงแล้ว เอ่ยอย่างจนใจ “แล้วแต่นาย”

 

 

           ไม่ว่าไป๋จิ่งจะคิดอย่างนี้ก็ตาม เขาไม่มีทางจะเปลี่ยนได้

 

 

           ถ้าไป๋จิ่งยังยืนกรานจะทำแบบนี้ให้ได้ เขาก็ไม่มีวิธีใดใดแล้ว ทำได้เพียงรอไป๋จิ่งพบเจอกับอุปสรรคไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปนานเดี๋ยวก็รู้ว่ายากแล้วถอนตัวไปเอง

 

 

           ส่วนเขาเพียงแค่จำเป็นต้องควบคุมดูแลลหัวใจตัวเองให้ดีๆ อย่าถูกไป๋จิ่งจูงจมูกอีก

 

 

           อาหารที่ไป๋จิ่งมาส่งยังคงวางอยู่ด้านข้าง มั่วไป๋มองดูแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เบือนหน้าหนีอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

 

           ทำเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

           ช่วงบ่ายไป๋จิ่งกลับไปที่พักรอบหนึ่ง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปซื้อของให้มั่วไป๋ทันทีหลังจากนั้น พร้อมไปส่งถึงที่โรงพยาบาลด้วยกัน

 

 

           ถึงแม้มั่วไป๋จะไม่ยอมรับ แต่ไป๋จิ่งก็จะยังซื้อให้ไม่มีขาดมือ

 

 

            

 

 

ตอนที่ 507 คุณชอบเขาใช่ไหมครับ

 

 

           กว่าเขาจะกลับมาถึงที่โรงพยาบาลอีกที ท้องฟ้าก็มืดลงพอสมควรแล้ว

 

 

           เขาไม่รอช้า มุ่งตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋ทันที หลังจากผลักประตูเปิดเข้าไป ถึงได้พบว่าข้างในไม่มีใครสักคน

 

 

           ไป๋จิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย วางข้าวของอยู่ตรงนั้น แล้วลงไปตามหามั่วไป๋

 

 

           เขาไปตามหาอยู่หลายที่ตลอดทาง จนในที่สุดก็หามั่วไป๋เจอที่สวนดอกไม้เล็กๆ ข้างหลังโรงพยาบาล

 

 

           เขานั่งใต้ต้นไม้อยู่คนเดียว ข้างๆ มีเด็กๆ อยู่ด้วย เล่นลูกบอลกันอยู่ตรงนั้น

 

 

           มั่วไป๋นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง มองเด็กๆ เหล่านั้นอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

           ใบหน้าแสนเย็นชาแต่งแต้มรอยยิ้มทีละนิดๆ ดวงไฟข้างทางสาดส่องตกกระทบใบหน้าแสนดูดีของเขาเจือความอ่อนโยนเบาๆ

 

 

           มั่วไป๋ในมาดเช่นนี้ทำให้ไป๋จิ่งมองจนลุ่มหลง ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเลยสักนิด

 

 

           เขาไม่เคยเห็นมั่วไป๋ยิ้มแบบนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นลังเลสองจิตสองใจอยู่ไม่เบา ไม่กล้าเดินเข้าไป ทำได้เพียงมองมั่วไป๋จากที่ไกลๆ กลัวว่าการปรากฏตัวของเขาจะรบกวนมั่วไป๋

 

 

           เขายืนอยู่จากที่ไม่ไกลนัก มองดูมั่วไป๋อย่างเงียบสงัด แต่มั่วไป๋กลับมองเด็กๆ ที่อยู่รอบข้างอย่างเงียบสงบ

 

 

           มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ไม่รู้ว่าเหยียนอวี้เดินมาอยู่ข้างๆ ไป๋จิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           สายตาของเขาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มของมั่วไป๋ “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขายิ้มได้มีความสุขขนาดนี้”

 

 

           ไป๋จิ่งหันหน้ามอง เห็นเหยียนอวี้ยืนอยู่ข้างๆ พอดี

 

 

           เหยียนอวี้ยิ้มหัวเราะแล้วเอ่ยต่อ “คุณชอบเขาใช่ไหมครับ”

 

 

           “ครับ” เขายอมรับอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังซ่อนเร้น

 

 

           “สองปีก่อน ตอนที่เขาถูกส่งมา อยู่คนเดียวทั้งวัน ไม่พูดจาสักคำ…

 

 

           …ผมใช้เวลาหนึ่งเดือน ทำให้เขาไม่ขับไล่ผม ไม่เห็นผมแล้วปฏิเสธ…

 

 

           …ใช้เวลาสองเดือน ทำให้เขายอมเปิดปากพูดคุยกับผม…

 

 

           ..ผมใช้เวลาครึ่งปีเต็มๆ เขาถึงได้เหมือนคนปกติทั่วไปโดยพื้นฐานได้”

 

 

           เหยียนอวี้หยุดสักพัก ก่อนที่เสียงต่ำจะเอ่ยถามกลับ “คุณรู้จักความรู้สึกทำนองนั้นบ้างไหมครับ รู้สึกว่าโลกทั้งใบเป็นสีดำ แม้แต่ตัวคุณเองก็เป็นสีดำ”

 

 

           ตอนนั้นที่มั่วไป๋ถูกส่งตัวมา เขาปิดกั้นตัวเองจากทุกคน เขารู้สึกว่าทุกคนมีเจตนามุ่งร้ายกับเขา จะทำร้ายเขาได้

 

 

           เขามักจะนั่งขดตัวทำตัวเล็กๆ อยู่ที่มุมๆ หนึ่งอยู่บ่อยครั้ง

 

 

           ราวกับว่าแบบนี้จะทำให้เขารู้สึกอุ่นใจปลอดภัยได้

 

 

           “ในปีครึ่งนั้น ยังดีที่เขาไม่ได้อยู่คนเดียว…

 

 

           …เจียงมู่เฉินใช้เวลาครึ่งปีเต็มๆ มาอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอด ถ้าไม่มีเจียงมู่เฉิน มั่วไป๋อาจจะเดินออกมาไม่ได้ทั้งชีวิตของเขา”

 

 

           เหยียนอวี้หยุดลงกะทันหัน เขามองมาที่ไป๋จิ่ง “คุณไม่เคยเห็นว่าเมื่อก่อนเขามีสภาพเป็นยังไง ดังนั้นคุณไม่รู้หรอกว่าเขาเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน…

 

 

           …ผมเองก็ไม่ได้อยากให้คุณเข้าไปสะกิดแผลของเขา แต่มั่วไป๋เป็นคนไข้ของผม ผมเป็นหมอและเพื่อน…ของเขา…

 

 

            …ดังนั้นขอเพียงแต่เป็นคนที่สร้างบาดแผลให้เขาได้ ผมก็ไม่มีวันจะปล่อยให้คนคนนั้นเข้าใกล้มั่วไป๋ได้ง่ายๆ”

 

 

           คำพูดลอยๆ ไม่กี่ประโยคนั้นของเหยียนอวี้กลับฝังใจคนที่ผ่านอะไรมาอย่างโชกโชนได้

 

 

           ประโยคไม่กี่ประโยคนี้ก็เพียงพอจะทำให้ไป๋จิ่งรู้สึกผิดบาปในใจจนไม่ไหว

 

 

           ไป๋จิ่งยืนกำมือแน่นอยู่ข้างๆ เพราะออกแรงมากเกินไป ข้อต่อกระดูกจึงขาวซีดขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

           นาทีนั้นเขาแทบอยากจะย้อนอดีตกลับไป ตบหน้าตัวเองสองฉาดใหญ่ให้หนักๆ แรงๆ

 

 

           ต้องโทษตัวเองทั้งนั้นที่ตอนนั้นไม่รู้จักทำตามความรู้สึกของตัวเอง ถึงได้ทำตัวเองห่างเหินกับมั่วไป๋มาเสมอ

 

 

           ทั้งหมดเป็นเพราะเขา ถึงได้ก่อเรื่องราวในวันนี้ขึ้นมา

 

 

           แล้วก็เซียวเย่ว์ เรื่องที่เธอหลอกหลินฝานในตอนนั้น เขาจะต้องทำให้เซียวเย่ว์ชดใช้ในสิ่งที่เธอควรจะจ่ายคืนอย่างสาสมแน่นอน

 

 

           ความทุกข์ทรมานที่หลินฝานได้รับในตอนนั้น เขาก็จะทำให้เซียวเย่ว์ได้ลิ้มรสทีละนิดๆ จนถึงที่สุด

 

 

           และแน่นอนคนที่ควรจะโดนตีมากที่สุดคือตัวเขาเอง

 

 

           ‘เขานี่แหละคนระยำที่ทำผิดจนไม่มีทางจะให้อภัยได้’

ตอนที่ 504 นายไปเถอะ

 

 

           เหยียนอวี้คิดถึงตรงนี้ ก็เตรียมจะเดินเข้าไปดู แต่เวลานี้ จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก มั่วไป๋เดินออกมาจากข้างในห้องตรวจ

 

 

           เหยียนอวี้ชะงักฝีเท้าหันกลับมามองมั่วไป๋ “ตรวจเสร็จแล้ว?”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้ารับ “อืม”

 

 

           “นายกลับไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันรอรายงานผลการตรวจก่อน”

 

 

           มั่วไป๋เห็นแบบนี้ก็เดินกลับไปก่อน

 

 

           พอเหยียนอวี้เห็นมั่วไป๋เดินออกไปแล้ว เขาก็อดจะกลับไปมองทางเดิมทางนั้นเมื่อครู่นี้ไม่ได้ ตรงนั้นไม่เห็นเงาคนอะไรที่ผิดปกติ เวลานี้ถึงได้เก็บสายตาแล้วเดินเข้าไป

 

 

            ไป๋จิ่งยืนอยู่หน้าแผนกจ่ายเงิน แกล้งทำเป็นว่าจะจ่ายเงิน เวลานี้เองถึงไม่ได้ถูกเหยียนอวี้จับได้

 

 

           เห็นเหยียนอวี้เดินเข้าไปแล้ว ไป๋จิ่งก็รีบกลับไปห้องพักผู้ป่วยหามั่วไป๋ทันที

 

 

           เขารีบเดินไปถึงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋ แอบชะโงกเข้าไปดูสักพัก คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋จะยังไม่กลับมา

 

 

           ไป๋จิ่งงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง  มั่วไป๋ไม่กลับห้องแล้วจะไปไหน หรือว่าลงไปเดินเล่น

 

 

           คิดได้เช่นนี้ ไป๋จิ่งหันกลับไปเตรียมจะลงไปดูใต้ตึก

 

 

           แต่พอหันกลับไป ไป๋จิ่งตะลึงค้างในพริบตา

 

 

           ไม่รู้ว่ามั่วไป๋ยืนอยู่ข้างหลังไป๋จิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาตีสีหน้าเย็นชา ไม่มีอารมณ์อะไรแสดงออกมาทั้งนั้น

 

 

           “คุณ คุณอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”

 

 

           ไป๋จิ่งเจอมั่วไป๋ที หัวใจก็กระวนกระวายอยู่ไม่น้อย เพียงชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร

 

 

           มั่วไป๋เมื่อเทียบกับไป๋จิ่งแล้ว ดูสงบนิ่งมากกว่าอย่างชัดเจน

 

 

           เขามองไป๋จิ่งด้วยสายตาเย็นชา ราวกับมองคนแปลกหน้าไม่มีผิด

 

 

           “นายมาทำอะไรที่นี่”

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยถามเสียงเย็น ความเย็นชาแฝงในน้ำเสียง ไม่มีเจตนาอยากจะต้อนรับอะไร

 

 

           ไป๋จิ่งรู้ว่ามั่วไป๋ไม่มีทางอยากจะเจอหน้าเขา แต่ถูกมั่วไป๋มองแบบนี้จริงๆ หัวใจไป๋จิ่งก็ทุกข์ทรมานเหลือเกิน

 

 

           “ผมอยากมาเยี่ยมดูคุณ” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           “อืม” มั่วไป๋เอ่ยรับเสียงเย็น “ดูเสร็จแล้ว ไปเถอะ”

 

 

           ไป๋จิ่งกระวนกระวายใจ “ผมอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ”

 

 

           มั่วไป๋มองเขาอย่างเย้ยหยัน “ตอนนี้เพิ่งจะอยากมาอยู่กับฉันเหรอ สายไปแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋เห็นใบหน้าของไป๋จิ่ง หน้าตาดูเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน เขากุมขมับไม่อยากจะลงไปยุ่งเกี่ยวกับไป๋จิ่งต่อไปอีกแล้ว

 

 

           “นายไปเถอะ ที่นี่ไม่ต้องการนาย”

 

 

           ตีให้ตายไป๋จิ่งก็ไม่มีทางจะไปไหนทั้งนั้น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋ ก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋ให้ได้

 

 

           ไม่ว่ามั่วไป๋จะให้เขาไปอย่างไร เขาก็ไม่มีทางจะไปไหนทั้งนั้น

 

 

           ตอนนั้นเขาไม่รู้ ถึงได้ปล่อยให้มั่วไป๋ประสบกับความทุกข์ทรมานมามากมายอยู่คนเดียว ครั้งนี้เขารู้อยู่เต็มอก  แล้วจะปล่อยให้มั่วไป๋อยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง

 

 

           มั่วไป๋เองก็คร้านจะมากความกับเขา มองเขาด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วเบี่ยงตัวเดินเข้าห้องพักผู้ป่วยไป

 

 

           ยื่นมือไปปิดประตูทันทีหลังจากนั้น กั้นกลางการติดต่อระหว่างคนสองคน

 

 

           หัวใจไป๋จิ่งโศกเศร้าเสียใจ แต่เพียงไม่นานก็ทำใจพร้อมแล้ว เขาฟื้นคืนความกล้าแต่เดิมกลับมาอีกครั้ง เฝ้าอยู่นอกประตูต่อไป

 

 

           เหยียนอวี้ถือใบรายงานผลตรวจกลับมา ก็เห็นเสาต้นหนึ่งหน้าประตูห้องมั่วไป๋

 

 

           เขาเดินเข้าไปดูด้วยความสงสัย ก็พบว่าคนคนนั้นที่ยืนอยู่หน้าประตูคือคนที่เขาเจออยู่หน้าประตูบ้านของมั่วไป๋

 

 

           “คุณนี่เอง” เหยียนอวี้มองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยถามด้วยความรู้สึกแปลกๆ “ทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งอยากเข้าไป แต่จะทำอย่างไรได้ เขาจะกล้าเข้าไปที่ไหนกัน

 

 

           มั่วไป๋ไม่ได้ไล่เขาออกไปจากโรงพยาบาลก็ดีแค่ไหนแล้ว มีหรือจะกล้าได้คืบจะเอาศอก

 

 

           ไป๋จิ่งไม่พูด เหยียนอวี้ส่ายหัว ในใจคิดว่าคนคนนี้ช่างแปลกเสียจริงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เขาเปิดประตูเดินเข้าห้องไป

 

 

           ณ ห้องพักผู้ป่วย มั่วไป๋นั่งถือดินสอวาดรูปไปมาอยู่บนโซฟา ไม่รู้ว่ากำลังวาดรูปอะไรอยู่

 

 

           เหยียนอวี้เดินเข้าไปดูด้วยความอยากรู้ “กำลังทำอะไรอยู่”

 

 

           เขาเพิ่งจะชะโงกหัวดู มั่วไป๋ก็รีบปิดสมุดวาดรูปลงทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ไม่มีอะไร”  

 

 

             

 

 

     ตอนที่ 505 รสชาติแห่งการเผือก

 

 

           หัวใจขี้สงสัยของเหยียนอวี้ไม่ได้หนักขนาดนี้ จึงไม่ได้ดูอะไรมากมาย

 

 

           เขานั่งลงข้างๆ มั่วไป๋ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “คนนั้นที่อยู่ข้างนอก นายรู้จักไหม”

 

 

           มั่วไป๋รู้ว่าเขาหมายถึงใคร ก็เอ่ยออกไปตรงๆ “ไม่รู้จัก”

 

 

           เหยียนอวี้มองเขาด้วยความรู้สึกแปลกๆ “ไม่รู้จักจริงๆ เหรอ ก่อนหน้านี้ที่ฉันไปบ้านนายก็เจอเขา บอกว่าเป็นเพื่อนนายด้วย”

 

 

           มือมั่วไป๋ที่จับดินสออยู่แข็งทื่อขึ้นมา เอ่ยอย่างระงับอารมณ์ “อาจจะใครเคยพูดขึ้นมามั้ง ถึงยังไงฉันก็ไม่รู้จัก”

 

 

           ได้ยินมั่วไป๋พูดอย่างนี้ เหยียนอวี้ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คงจะไม่ใช่พวกดรคจิตอะไรหรอกใช่ไหม ยังดีที่ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล ถ้าอยู่บ้านก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้”

 

 

           เหยียนอวี้คิดว่าท่าทางของไป๋จิ่งดูค่อนข้างจะแปลกประหลาดจริงๆ

 

 

           ก่อนหน้านี้ก็รู้ว่ามั่วไป๋อยู่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้ถึงค่อยมาปรากฏตัว แล้วก็แค่ปรากฏตัวเท่านั้นเอง ยังยืนบื้ออยู่หน้าประตูอีก  ไม่รู้ว่าตกลงแล้วเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

 

 

           ‘คงจะไม่ใช่พวกโรคจิตขั้นวิปริตที่สุดหรอกใช่ไหม’

 

 

           เห็นมั่วไป๋หน้าตาดี ดังนั้นจึงสืบถามติดตามเข้ามา

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เหยียนอวี้ขมวดคิ้วอย่างจริงจัง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เดี๋ยวฉันจะให้รปภ.มาไล่เขาออกไป จะได้ไม่ให้เขาก่อเรื่อง”

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินเรื่องที่จะหารปภ.มาไล่ไป๋จิ่งไป เขาครุ่นคิดพลางเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่ต้องสนใจ ปล่อยไป แล้วแต่เขาเอง”

 

 

           “ไม่ต้องสนใจจริงๆ เหรอ” เหยียนอวี้ยังไม่ค่อยวางใจ ในโรงพยาบาลมีแต่ผู้ป่วย ถ้าทำอันตรายคนขึ้นมาจะยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่

 

 

           “อืม” มั่วไป๋เอ่ยขานรับด้วยเสียงเรียบๆ “วางใจ เขาจะไม่โรคจิตถึงระดับนั้นหรอก”

 

 

           เหยียนอวี้เห็นมั่วไป๋พูดอย่างนี้ ถึงได้ยกเลิก ไม่ได้ตามคนมาไล่ไป๋จิ่งไป

 

 

           แต่ยังคงไม่วางใจเหมือนเดิม พอออกจากห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋มา ยังตั้งใจมองไป๋จิ่งเป็นพิเศษ

 

 

           ก็ยังรู้สึกว่าไป๋จิ่งคนนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาดอยู่ดี สุดท้ายคิดไปคิดมาก็ให้รปภ.มาโดยเฉพาะ ให้พวกเขาเฝ้าสังเกตการณ์ไป๋จิ่ง ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้รีบแจ้งเขาทันที

 

 

           จัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ เหยียนอวี้ก็กลับไปห้องทำงานของตัวเอง

 

 

           เทพอารักษ์ประตูที่อยู่นอกประตูของมั่วไป๋ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าถูกเหยียนอวี้มองเป็นคนโรคจิตโดยไม่คาดคิดไปแล้ว เตรียมการป้องกันเป็นพิเศษด้วย

 

 

           ถูกมั่วไป๋พบตัวแล้ว ไป๋จิ่งเองก็ไม่ปิดบังตัวเองอีกต่อไป เฝ้ามั่วไป๋อยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยทั้งวัน พร้อมทั้งส่งอาหารสามมื้อต่อวันอย่างตรงเวลาจากข้างนอกเข้ามาด้วย

 

 

           ถึงแม้ว่ามั่วไป๋จะแสร้งทำเป็นไม่เห็นมาตลอดก็ตาม

 

 

           ก็เป็นแบบนี้ ต่างฝ่ายต่างแข็งข้อต่อกันมาหนึ่งสัปดาห์ ระดับความอันตรายของไป๋จิ่งในใจของเหยียนอวี้ก็ลดลงไปแล้ว

 

 

           ตามที่สังเกตการณ์มาหนึ่งสัปดาห์ ไป๋จิ่งอยู่กับมั่วไป๋ทั้งวัน นอกจากเฝ้าอยู่หน้าประตู ส่งอาหาร ก็ไม่ได้กระทำการอื่นใด

 

 

           ดูเหมือนจะแปลกประหลาดไม่เบา แต่ก็ไม่ถือว่าโรคจิตอะไรมากมาย

 

 

           เห็นเขาไม่มีอัตราความอันตรายอะไร ในที่สุดเหยียนอวี้ก็ผ่อนปรนระดับการสังเกตการณ์ไป๋จิ่งลง ปล่อยให้เขาเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องมั่วไป๋

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไร ทำอย่างเดิมคงเส้นคงวาทุกๆ วัน เหยียนอวี้ก็ไม่รู้ว่าเขานอนหรือไม่นอนอะไรอย่างไร

 

 

           ถึงอย่างไรทุกวันเขาก็เห็นไป๋จิ่งเฝ้าอยู่ตรงนั้น

 

 

           เหยียนอวี้อดทนมาหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ตอนที่เขาเดินผ่านแถวนั้นก็เดินมุ่งหน้ามาหาไป๋จิ่งจนได้

 

 

           “พี่ชาย ถามคุณสักคำถามหนึ่งได้ไหมครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า “ได้ครับ”

 

 

           “คุณเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งวัน ไม่อาบน้ำกินข้าวอะไรเลยเหรอครับ”

 

 

           ไป๋จิ่ง “…”

 

 

           เขาคิดในใจ  หมอคนนี้ชอบเผือกขนาดนี้เชียวเหรอ คำถามส่วนตัวแบบนี้ก็ถามมาได้

 

 

           พอเหยียนอวี้เห็นสีหน้าของเขาแบบนั้น ก็เข้าใจได้ในทันใดว่าคำถามนี้ที่ถามไปเกรงว่าจะไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อ

 

 

           “คุณเป็นเพื่อนกับมั่วไป๋จริงๆ เหรอครับ”

 

 

           คำถามนี้ ไป๋จิ่งตอบดีขึ้นเยอะ เขาพยักหน้ารับ “ใช่ครับ”

 

 

           “แต่มั่วไป๋บอกผมแล้วว่าเขาไม่รู้จักคุณ”

 

 

           นัยน์ตาไป๋จิ่งมืดบอดลงเล็กน้อย ดูเจ็บปวดขมขื่นไม่เบา

 

 

           “ไม่เป็นไรครับ ผมรู้จักเขาก็ดีแล้ว”

 

 

           เหยียนอวี้เห็นท่าทีเขาเป็นแบบนั้น ก็รู้สึกดมได้กลิ่นที่ต้องเผือกทะแม่งๆ

ตอนที่ 502 ตายไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ทุกที่ที่มั่วไป๋ชี้ สีหน้าของไป๋จิ่งก็ยิ่งซีดเผือดลงเรื่อยๆ

 

 

         เขายังจำความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแบบนั้นได้ ลุกลามจากใบหน้าไปก่อน เพิ่งจะเริ่มก็เจ็บถึงขีดสุด ไม่ใช่เพียงแค่เจ็บเท่านั้น แต่ยังหวาดกลัวไม่แพ้กัน

 

 

           เขาเจ็บจนเหงื่อท่วมตัว หัวเริ่มชา…

 

 

           แต่พอถึงจุดสุดท้าย กลับด้านชาเหมือนไร้ความรู้สึก มั่วไป๋ยังจำได้ครั้งสุดท้ายนั้นเขาสงบนิ่งลงแล้ว สายตาทอดมองหน้าจอที่อยู่ตรงหน้าเขา

 

 

           ไป๋จิ่งยกยิ้มมุมปากเบาๆ รูปหล่อดูดี

 

 

           เขาใส่ชุดสูท ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้ม องอาจสง่าผ่าเผย

 

 

           มีหรือจะเหมือนเขา นอนเจ็บปวดทรมานอยู่บนพื้น เนื้อตัวสกปรกเกินจะทน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเลือดที่แปดเปื้อนเต็มไปทั้งใบหน้าของเขา

 

 

            มีดกรีดไปเต็มๆ สิบแผล ราวกับว่าสิบรอยกรีดนี้แกะสลักอยู่ในสมองของเขาอย่างไรอย่างนั้น ทั้งชีวิตนี้เขาก็ลืมไม่ลง

 

 

           หลินฝานคิดว่าตัวเองจะต้องตายที่นี่แล้ส

 

 

           แต่พอคนพวกนั้นทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ กลับไม่ได้ฆ่าเขา แต่ทิ้งเขาไว้อยู่คนเดียวที่นี่

 

 

           หลินฝานมองไป๋จิ่งและเซียวเย่ว์ที่อยู่ในจอด้วยความสิ้นหวัง

 

 

           ไม่รู้เรี่ยวแรงมาจากไหนกะทันหัน เขาตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้นด้วยความยากลำบาก คว้าเก้าอี้มาฟาดหน้าจออย่างรุนแรงจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

           เขามองดูเศษของที่กระจัดกระจายระเกะระกะอยู่บนพื้น แต่กลับพยุงตัวเองอีกต่อไปไม่ไหว เป็นลมล้มพับไป

 

 

           เขานอนอยู่บนพื้น ภาพตรงหน้าทุกอย่างทั้งหมดกลายเป็นสีเลือด แม้แต่ใบหน้าที่ดูดีของไป๋จิ่งก็กลายเป็นสีแดงไปแล้ว

 

 

           สีแดงนั้นก็เหมือนกับสีของกุหลาบแดงนี้ที่แดงจนทิ่มแทงสายตา

 

 

           มือมั่วไป๋ที่ถือกุหลาบแดงไว้สั่นสะท้านขึ้นมาในทันใด

 

 

           เขาพยายามปกปิดอารมณ์ความรู้สึกที่จะแหลกสลายของตัวเองไว้ มองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของไป๋จิ่งด้วยท่าทีสงบนิ่ง

 

 

           “นี่คือความจริงที่นายต้องการ หวังว่าจะทำให้นายพึงพอใจ”

 

 

           พูดจบ มั่วไป๋ก็โยนกุหลาบแดงในมือลงพื้น ไม่หยิบอะไรสักอย่าง พุ่งตรงออกจากคอนโดมิเนียมของไป๋จิ่งไปทันที

 

 

           ไป๋จิ่งเบิกตาค้างมองมั่วไป๋เดินจากไป แต่กลับไม่กล้าจะพุ่งเข้าไปคว้ามั่วไป๋เอาไว้

 

 

           ‘เขาไม่กล้า เขาไม่มีคุณสมบัตินี้…’

 

 

           เมื่อครู่นี้ที่มั่วไป๋พูดเรื่องพวกนี้ออกมา เขาใช้คำว่า ‘หลินฝาน’ สองพยางค์นี้ ไม่ใช่คำว่า ‘ฉัน’

 

 

           เหมือนกับว่าที่มั่วไป๋พูดแบบนั้น หลินฝานได้ตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเป็นตะคริวเกร็งไปทั้งตัว นั่งยองๆ ลงกับพื้นๆ โดยไม่รู้ตัวแล้วขดตัวเข้าไป           

 

 

           ‘เขาดูไม่ออกว่ามั่วไป๋ก็คือหลินฝานได้ยังไง’

 

 

           ‘ทำไมจนถึงตอนนี้แล้วถึงดูไม่ออกเลย’

 

 

           ไป๋จิ่งอ้าปากค้าง มองไปทางประตูบานใหญ่ ราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

 

 

           แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร กลับพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง

 

 

           เขาอยากจะบอกมั่วไป๋ว่าวันเกิดวันนั้นเขาอยู่ที่บริษัทจริงๆ ไม่ได้อยู่กับเซียวเย่ว์ที่โรงแรม

 

 

           เขายังอยากจะบอกอีกว่าเซียวเย่ว์ไม่ใช่แฟนสาวของเขา…

 

 

           แต่มั่วไป๋ไปแล้ว…

 

 

           ต่อให้มั่วไป๋ไม่ไป เขาก็พูดไม่ออกสักคำเหมือนเดิม

 

 

           ……

 

 

           ตกกลางดึก ที่มุมเตียงคนไข้จู่ๆ ก็มีเสียงหายใจหอบด้วยความเจ็บปวดทรมานขึ้นมา เสียงนั้นเล็กมาก แต่ไป๋จิ่งที่นั่งอยู่ข้างนอกกลับได้ยินทันที

 

 

           เขาสะดุ้งตกใจ ยืนพรวดพราดขึ้นมา เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าเดินไปยังห้องพักผู้ป่วย

 

 

           ไป๋จิ่งเปิดประตูพุ่งตัวเข้าไปโดยไม่คิดก่อนสักนิด

 

 

           ในห้องพักผู้ป่วย เหมือนมั่วไป๋กำลังฝันร้าย อยู่ไม่เป็นสุข ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ ก็รีบยื่นมือไปจับมือมั่วไป๋เอาไว้

 

 

           แรงเขามีมาก กำมือไป๋จิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ปล่อยออก

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่กลัวเจ็บ โดนกำมือแน่นหนักแบบนี้

 

 

           ถึงอย่างไรที่เขาเจ็บ ก็ไม่เท่ากับความเจ็บปวดทั้งหมดที่มั่วไป๋ได้รับในตอนนั้น

 

 

           เขาเอื้อมมือไปลูบหลังของมั่วไป๋เบาๆ เหมือนอยากจะใช้วิธีนี้ปลอบโยนมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋กำมือเขาแน่นสนิท เสียงต่ำร้องเรียกอย่างเจ็บปวดทรมาน “อย่านะ…อย่านะ…”

 

 

           เหมือนเขาเจ็บปวดถึงขีดสุด ทั้งร่างกระตุกเกร็งเล็กน้อย สั่นระริกขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           หัวใจไป๋จิ่งเจ็บปวดจนไม่ไหว แต่กลับไม่รู้ว่าจะทำให้อาการมั่วไป๋สงบได้อย่างไร

 

 

           เห็นอาการสั่นของมั่วไป๋ยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ไป๋จิ่งกัดฟัน เอนตัวลงนอนอยู่ข้างๆ มั่วไป๋ รั้งเขาเข้ามากอดเอาไว้

 

 

           

 

 

ตอนที่ 503 ไม่ต้องกลัว

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่อยู่ข้างกาย เขาคลอเคลียโดยไม่รู้ตัว อยากจะใกล้ชิดความอบอุ่น

 

 

           การกระทำเล็กๆ น้อยๆ แสนแผ่วเบาของเขาทำให้ขอบตาไป๋จิ่งชื้นน้ำขึ้นมา

 

 

           เขาเอื้อมมือไปกอดมั่วไป๋ เสียงต่ำเอ่ยที่ข้างหูเขา “ไม่ต้องกลัว…ผมจะอยู่เคียงข้างคุณได้เสมอ…”

 

 

           เหมือนว่าสิ่งที่เขาทำจะพอได้ผลอยู่บ้าง

 

 

           มั่วไป๋ในอ้อมกอดค่อยๆ สงบเงียบลงแล้ว ลมหายใจก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง

 

 

           เพียงไม่นานก็หลับสนิทลงได้

 

 

           ไป่จิ่งเห็นมั่วไป๋นอนหลับได้ใหม่อีกครั้ง ในที่สุดก็โล่งใจไปที

 

 

           เขาก้มหน้าลงมองปลายจมูกของคนตรงหน้าที่มีเหงื่อชั้นบางๆ ซึมอยู่ ดูไปแล้วทำให้คนรักคนทะนุถนอมได้ไม่น้อย

 

 

           ไป๋จิ่งโน้มเข้าใกล้เข้าไปประทับรอยจูบบนหน้าผากของมั่วไป๋ การกระทำแสดงออกทั้งความรู้สึกทั้งรักทั้งสงสาร รอยจูบที่อยู่บนหน้าผากช่างอ่อนโยนเป็นพิเศษ ซึมซับความรักละมุนเหลือล้น

 

 

           ภายใต้แสงจันทร์ ทั้งสองคนโอบกอดกันแนบแน่น

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้หลับทั้งคืน สายตาจดจ้องมาที่ใบหน้าของมั่วไป๋อยู่ตลอด ทุกครั้งที่เห็นมั่วไป๋ หัวใจของเขาก็ยิ่งเจ็บเหมือนโดนทิ่มแทง

 

 

            ราวกับมีคนมาฝังเศษเข็มที่กลางหัวใจของเขา แค่สัมผัสโดนก็รู้สึกเจ็บได้อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           จู่ๆ ไป๋จิ่งก็เชิดมุมปากล่างขึ้น

 

 

           กอดเขาอย่างนี้อีกครั้งได้ ก็เป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดของเขาแล้ว

 

 

           มากกว่านั้น เขาก็ไม่ร้องขอแล้ว

 

 

           ……

 

 

           คืนนี้ยังถือว่าหลับสบายอยู่ เช้าวันรุ่งขึ้นมั่วไป๋ตื่นขึ้นมา รู้สึกมีชีวิตชีวาดีขึ้นมาก

 

 

           เขานอนฟุบบนเตียงไม่อยากขยับตัว คนทั้งคนนอนเอ้อระเหยอยู่บนเตียง

 

 

           ผ่านไปหลายนาที มั่วไป๋ถึงได้ลืมตาขึ้น

 

 

           เขายกมือขึ้นมากดที่ขมับ กลับรู้สึกว่าฝ่ามือไม่ค่อยปกติเท่าไหร่

 

 

           มั่วไป๋อดจะยกมือขึ้นมาดูอย่างละเอียดไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกมาตลอดว่าเหมือนฝ่ามือไปจับอะไรสักอย่างมา

 

 

           แต่คิดไม่ออกเลยว่าไปจับอะไรมา

 

 

           มั่วไป๋จ้องมองมือตัวเองอยู่ตั้งนานสองนาน แต่กลับไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

 

 

           เหยียนอวี้เข้ามาก็เห็นมั่วไป๋กำลังจ้องมองมือตัวเองอย่างเอาจริงเอาจัง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย มองมือมั่วไป๋ด้วยความสงสัย “เป็นไรไป มือดูไม่เหมือนคนอื่นเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินเสียงของเหยียนอวี้ ก็รีบเก็บมือเข้าไปทันที

 

 

           เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีอะไร ก็แค่ดูไปงั้นๆ”

 

 

           เหยียนอวี้เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็ถอนหายใจเงียบๆ ใบหน้าเย็นชาแบบนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีคนมาปรากฏตัวข้างกายได้

 

 

           เมื่อวานกว่าจะมีคนมาปรากฏตัวไม่ใช่ง่ายๆ แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่เห็นสักคน

 

 

           คิดถึงตรงนี้ เหยียนอวี้อดจะถอนหายใจไม่ได้

 

 

           ‘ตัวอย่างของการเจอคนที่ไม่ดีไง’

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขายืนอยู่ต่อหน้าตัวเอง ถอนหายใจอยู่หลายครั้ง ทำยังกับว่าไม่มีทางจะรักษาเขาได้แล้ว อีกสักพักใกล้จะตายแล้วอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           “นายมาหาฉันมีธุระอะไร”

 

 

           เหยียนอวี้เลิกคิ้ว “ฉันเป็นหมอมาหานายจะมีธุระอะไรได้ล่ะ”

 

 

           “ลุกขึ้นมาเถอะ จะพานายไปตรวจอาการ”

 

 

            มั่วไป๋ลงจากเตียงอย่างว่าง่าย ล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกไปข้างนอกพร้อมเหยียนอวี้

 

 

           เดิมทีเหยียนอวี้เป็นคนพูดน้อย ออกจะเย็นชาด้วยซ้ำ แต่พอได้พบกับมั่วไป๋ เพียงชั่วครู่เดียวก็ตบะแตกแล้ว

 

 

           เพราะว่ามั่วไป๋เย็นชากว่าเขา ไม่พูดยิ่งกว่าเขาอีก

 

 

           ถ้าเขาไม่พูดอีก คาดว่าจะอยู่กับมั่วไป๋ทั้งวันโดยไม่พูดสักประโยคได้

 

 

           ดังนั้นหมอเหยียนผู้เย็นชาถูกรักษาอย่างนี้โดยมั่วไป๋ให้หายดีแล้ว

 

 

           ผลของการรักษาจนหายดีคือ ทุกครั้งที่หมอเหยียนเจอหน้ามั่วไป๋ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับเขาเยอะหน่อย

 

 

           บางครั้งมั่วไป๋เห็นเขาเป็นอย่างนี้ เจ้าตัวอดจะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “เมื่อก่อนนายออกจะเย็นชามากไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้พูดเยอะจัง”

 

 

           หมอเหยียนผู้เคยเย็นชาอีกนิดแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว

 

 

           ‘นายคิดว่าเขา…ไม่อยากจะเย็นชามากเหรอ’

 

 

           ‘อยู่กับมั่วไป๋ เขาจะเย็นชาได้ยังไงกัน…’

 

 

           หมอเหยียนกวาดสายตามองมั่วไป๋เงียบๆ ตัดสินใจไม่พูด

 

 

           ทั้งสองคนเดินถึงหน้าประตูห้องตรวจเร็วมาก เหยียนอวี้รออยู่นอกประตู มั่วไป๋เข้าไปเองคนเดียว

 

 

           เหยียนอวี้รู้สึกเบื่อ จึงมองไปรอบๆ ตอนมองซ้ายมองขวา เงาของคนคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาวาบผ่านมาพอดี

 

 

           เหยียนอวี้เก็บสีหน้าลงในทันใด เงาของคนคนนั้นเมื่อครู่นี้…

ตอนที่ 500 ฉันคือหลินฝาน

 

 

           เขาย่างสเต๊กเนื้อสองชิ้น ทั้งทำเครื่องเคียง และยังทำซุปข้นอีกด้วย

 

 

           รอจนทำทุกอย่างนี้เสร็จ มั่วไป๋ถึงได้ยกของออกมาวางบนโต๊ะ

 

 

           ไป๋จิ่งเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จออกมา บนตัวมีละอองน้ำจางๆ และยังอบอวลไปด้วยกลิ่นสบู่

 

 

           กลิ่นนั้นถ้าดมโดยละเอียดก็จะเหมือนกลิ่นกายของมั่วไป๋ไม่มีผิด

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะ หัวใจก็ปลื้มปิติยินดี รีบเดินก้าวใหญ่ๆ เข้าไปสวมกอดเขาไว้

 

 

           กลิ่นที่มาแตะจมูกล้วนเป็นหอมจางๆ บนตัวตัวไป๋จิ่งทั้งสิ้น น่าดมมากอย่างยิ่ง

 

 

           มั่วไป๋คุ้นเคยกับกลิ่นแบบนี้มาก เพราะไม่ว่าจะเป็นหลายปีก่อนหรือตอนนี้ เขาก็จดจำได้เหมือนใหม่เสมอ

 

 

           ตอนนั้นที่ไป๋จิ่งใช้ก็คือกลิ่นนี้

 

 

           คิดไม่ถึงว่าผ่านมาหลายปีขนาดนี้ไม่เคยจะเปลี่ยน

 

 

           คิดถึงตรงนี้ ร่างกายมั่วไป๋ก็แข็งทื่อเล็กน้อย

 

 

           เขาดึงไป๋จิ่งออกอย่างเงียบๆ ไป๋จิ่งไม่อยากจะปล่อยมือ แต่มั่วไป๋กลับเอ่ยว่า “รีบกิน เดี๋ยวจะเย็นหมด”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินคำพูดนี้ เวลานี้ถึงได้ปล่อยอย่างไม่สมัครใจ นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นที่ไป๋จิ่งดึงตัวออกมา มั่วไป๋รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่างกาย เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งอุณหภูมิอุ่นร้อนแต่เดิมทั้งหมดนั้นได้ออกไปพร้อมกับไป๋จิ่ง

 

 

           เขาบีบมือแล้วสงบท่าทีมานั่งตรงข้ามกับไป๋จิ่ง

 

 

           มั่วไป๋ถือมีดกับส้อมไว้ เสียงต่ำพลางเอ่ยถามขึ้น “ดูสิว่าเป็นยังไงบ้าง ฉันไม่ได้ทำมานานมากแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งรีบหยิบมีดกับส้อมมาหั่นเนื้อชิ้นเล็ก

 

 

           “อร่อยมาก”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ เขาบีบมีดกับส้อมไว้ตลอด แต่กลับไม่ได้กินสักคำ

 

 

           เขาเงียบงันอยู่หลายนาที จู่ๆ เสียงต่ำก็เอ่ยขึ้น “ไป๋จิ่ง พวกเราเลิกกันเถอะ”

 

 

           ส้อมที่ไป๋จิ่งถืออยู่ในมือร่วงหล่นลงไปในเสี้ยวนาที กระแทกใส่จานพอดี เกิดเสียงแสบแก้วหูขึ้น

 

 

           “คุณพูดว่าอะไรนะ”

 

 

           หลังจากพูดออกมา กลับไม่ได้ตื่นตระหนกขนาดนั้นแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ผ่อนลมหายใจออก เขายิ้มหัวเราะมองไป๋จิ่ง “ฉันพูดว่าพวกเราเลิกกัน”

 

 

           ครั้งนี้สงบเยือกเย็นขึ้นมาก

 

 

           ใบหน้าไป๋จิ่งฉายสะท้อนความสับสนกระวนกรัวาย เขามองมั่วไป๋อย่างร้อนใจ “ทำ…ทำไมดีกันอยู่ จะอยากเลิกกัน?”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะเบาๆ “นายยังรู้จักหลินฝานอยู่ไหม”

 

 

           ได้ยินชื่อนี้ ไป๋จิ่งก็แข็งทื่อไปทั้งตัว ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา

 

 

           “เมื่อก่อนเขาชอบนายมาก แต่น่าเสียดายนายไม่ชอบเขา”

 

 

           นัยน์ตามั่วไป๋ประกายความเสียใจ

 

 

           ตอนนั้นยามที่เขารักไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งไม่รักเขา ตอนนี้ไป๋จิ่งรักเขาเข้าแล้ว เขากลับไม่อยากจะรักไป๋จิ่งอีกแล้ว

 

 

           ได้ยินประโยคนี้ ความตะลึงงันฉายสะท้อนในแววตาไป๋จิ่ง

 

 

           ‘มั่วไป๋รู้จักหลินฝานได้ยังไง เขารู้เรื่องหลินฝานได้ยังไง’

 

 

            ในสมองของไป๋จิ่งตีกันวุ่นวายไปหมด เขาไม่มีทางยอมรับได้เลย ‘หลินฝาน’ ชื่อนี้เป็นคำต้องห้ามของเขา

 

 

           “นายอยากรู้มากใช่ไหม ว่าทำไมฉันถึงรู้เรื่องหลินฝานได้”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มเยาะเข้าใจความสงสัยของไป๋จิ่ง “ตอนนั้นไม่ว่าจะดีจะเลว ฉันก็อยู่กับนายมาตั้งนานขนาดนั้นแล้ว หรือว่านายมองฉันไม่ออกเลยสักนิดจริงๆ เชียวเหรอ”

 

 

           ประโยคนี้ระเบิดแตกตัวในหัวของไป๋จิ่งแล้ว

 

 

           ‘มั่วไป๋ มั่วไป๋จะบอกว่า เขาก็คือหลินฝานเหรอ’

 

 

           “คุณ…คุณคือ…คุณคือหลินฝาน” ไป๋จิ่งไม่กล้าจะเชื่อได้

 

 

           ‘มั่วไป๋จะเป็นหลินฝานได้ยังไง พวกเขาหน้าตาไม่เหมือนกันเลยนะ จะเป็นหลินฝานไปได้ยังไง’

 

 

           จู่ๆ ก็มีภาพมากมายฉายสะท้อนขึ้นมาในสมอง ใบหน้าตื่นตกใจของไป๋จิ่งตะลึงงันไปเล็กน้อย

 

 

           ‘เขาเคย…ก็มีหลายครั้งที่รู้สึกมั่วไป๋ดูคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะแววตาแล้วก็เสี้ยวของสีหน้ามีความคล้ายคลึงกัน…

 

 

           …ที่จริงไม่ใช่คล้ายคลึงกันมาตั้งแต่แรก เดิมทีพวกเขาสองคนก็คือคนคนเดียวกัน…’

 

 

           “คุณ…หลินฝาน…”

 

 

           การควบคุมอารมณ์ตนเองที่ไป๋จิ่งภูมิใจมาโดยตลอด ณ นาทีนี้ได้พังทำลายลงอย่างไม่มีเหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวในทันใด

 

 

           มั่วไป๋มองเขา ราวกับให้เวลาไป๋จิ่งสงบสติสงบอารมณ์

 

 

           ไป๋จิ่งใช้เวลาอยู่สามนาที ถึงเพิ่งจะยอมรับความจริงเรื่องที่มั่วไป๋คือหลินฝานได้

 

 

           

 

 

       ตอนที่ 501 เสียโฉมแล้ว

 

 

           เขาก็รู้ว่าท่าทีตอบสนองเมื่อครู่นี้ออกจะดูเกินไป เขารีบกดเก็บความตื่นตระหนกในใจ พอจะสงบสติอารมณ์ได้นิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยถาม “หน้าของคุณ…”

 

 

           ได้ยินคำถามนี้ มั่วไป๋ก็ยิ้มหัวเราะ “เสียโฉมแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินสามคำนี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวหัวใจก็จมดิ่งลงก้นเหว แต่มั่วไป๋กลับยิ้มหัวเราะอย่างไม่สนใจ “ดังนั้นก็เลยได้เปลี่ยนใบหน้าใหม่ แต่ว่าก็ยังโชคดีมาก ใบหน้านี้ดูดีกว่าของฉันเมื่อก่อนซะอีก”

 

 

           เขาพูดได้อย่างสบายๆ มาก ราวกับว่าเรื่องการเปลี่ยนใบหน้านั้นง่ายเหมือนกินข้าว

 

 

           แต่มีเพียงแค่มั่วไป๋ที่รู้ ตอนนั้นเขาผ่านการผ่าตัดทั้งเล็กทั้งใหญ่มามากน้อยเท่าไหร่ ครึ่งปีเต็มๆ เขาไม่เคยได้ห่างจากโรงพยาบาลเลยสักครั้ง

 

 

           หลังจากรอจนในที่สุดเขาก็ซ่อมแซมฟื้นคืนใบหน้านี้ได้เรียบร้อย เขาจ้องมองตัวเองในกระจกอย่างโง่ๆ เหมือนคนแปลกหน้า ใช้เวลาอยู่นานถึงทำให้ตัวเองยอมรับในใบหน้านี้ได้

 

 

           ผ่านความเศร้าเสียใจพวกนั้นในตอนแรกเริ่มมาได้นานขนาดนี้ จะเอ่ยถึงอีกครั้ง ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานขนาดนั้นแล้ว

 

 

           อาจจะเพราะเวลาผ่านไปนานมาก ความทุกข์ทรมานโชกเลือดพวกนั้นจึงไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งกำมือแน่นหนักด้วยความรุนแรง เอ่ยถามเสียงต่ำ “ทำไม…ถึงเสียโฉมได้…”

 

 

           เสียงเขาเก็บกดอารมณ์แฝงความเจ็บปวดที่หนักอึ้ง

 

 

           ตอนนั้นจู่ๆ หลินฝานก็จากเขาไป ไม่พูดแม้สักประโยค เขาคิดมาตลอดว่าหลินฝานไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว

 

 

           ‘แต่เพราะอะไร เขากลับมาแล้ว กลับเสียโฉมแล้ว…’

 

 

           ไป๋จิ่งมองมั่วไป๋ด้วยความตื่นตระหนก “ตอนนั้นตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

           มั่วไป๋ยืนขึ้น ถือโอกาสดึงกุหลาบจากช่อดอกไม้ติดมือมาหนึ่งดอก

 

 

           แดงจนดึงดูดสายตา แดงจนทิ่มแทงสายตา

 

 

           มั่วไป๋มองดูกุหลาบแดง เอื้อมมือไปลูบเบาๆ แต่มุมปากกลับเจือความเสียดสี

 

 

           “ไป๋จิ่ง นายจะไม่อยากรู้ความจริงหรอก”

 

 

           “ผมอยากรู้ความจริง!”

 

 

           มั่วไป๋เบนสายตามาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของไป๋จิ่ง เห็นความเจ็บปวดทรมานและความดื้อรั้นที่เขาไม่ปกปิดเลยสักนิด

 

 

           เขายิ้มหัวเราะเบาๆ “ได้ ในเมื่อนายอยากรู้ขนาดนี้ ฉันก็จะบอกนายก็ได้”

 

 

           ‘เพียงแต่หวังว่านายอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน’

 

 

           ประโยคครึ่งหลัง มั่วไป๋เก็บซ่อนไว้ในใจ ไม่ได้พูดออกมา

 

 

           “นายยังจำเซียวเย่ว์ได้หรือเปล่า” เสียงต่ำเอ่ยขึ้นมากะทันหัน “ผู้หญิงคนที่นายเรียกว่าแฟนคนนั้น”

 

 

           พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ มั่วไป๋ก็ยิ้มหัวเราะครู่หนึ่ง

 

 

           “ไป๋จิ่ง นายรู้ไหมว่าทำไมฉันอยากเลือกมาสารภาพกับนายวันนี้”

 

 

           มั่วไป๋ก้มหน้าลง ปลายนิ้วลูบกุหลาบแดงเบาๆ ไม่ให้โอกาสไป๋จิ่งได้พูด

 

 

           “เพราะว่า วันนั้นวันที่หลินฝานตายก็คือวันเกิดของนาย!…

 

 

           …นายยังจำได้ไหม วันนั้นหลินฝานโทรหานาย ถามนายว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”

 

 

           มั่วไป๋หลับตาลงเล็กน้อย เหมือนกำลังทวนความทรงจำกลับไป

 

 

           “นายบอกว่านายทำโอทีอยู่บริษัท จะกลับมาช้ามาก…

 

 

           …ตอนนั้นทั้งใจหลินฝานมีแต่นายทั้งนั้น เพราะแบบนี้ถึงได้อยากจะไปหานายที่บริษัท แต่เพิ่งจะออกมาจากคอนโด ก็โดนคนตีจนสลบไป…

 

 

           …คนที่ตีเขาจนสลบก็คือเซียวเย่ว์แฟนสาวของนาย…

 

 

           …เธอลักพาตัวหลินฝานไปทิ้งไว้ที่โรงแรม แล้วทันทีหลังจากนั้นนายกับเซียวเย่ห์ก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องข้างๆ เขา…

 

 

           …ไป๋จิ่ง นายคงจะไม่รู้ว่าตอนที่นายกับเธอกินข้าวกัน หลินฝานก็อยู่ห้องข้างๆ เห็นนายคนนั้นที่บอกว่าทำโอทีอยู่บริษัทกับตาตัวเอง”

 

 

           ไป๋จิ่งถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว สีหน้าถอดสีถึงที่สุด

 

 

           “เพิ่งจะเริ่มเอง นี่กลัวแล้วเหรอ” จู่ๆ มั่วไป๋ก็ยิ้มหัวเราะออกมา ใบหน้าขาวนวลผ่องของเขาแฝงความแปลกประหลาดพิกล

 

 

           “ฉันยังจำเสียงพูดติดตลกที่นายพูดกับเซียวเย่ว์ได้”

 

 

           ตีคู่กันกับ…เสียงร้องขอความช่วยเหลือด้วยความเจ็บปวดทรมานของเขาอย่างเด่นชัด

 

 

           มั่วไป๋ยกมือขึ้นมาประคองใบหน้าของตัวเอง ภายใต้ผิวหน้าที่งามละเอียดเช่นนี้กลับไม่รู้ว่าเคยได้ผ่านการเย็บแผลไปกี่ครั้งแล้ว

 

 

           “ใบหน้าของหลินฝานถูกมีดกรีดไปเต็มๆ สิบแผล”

 

 

           เขาทำมือขีดเขียนบนใบหน้า “ตรงนี้…แล้วก็ตรงนี้…”

ตอนที่ 498 คำโกหกห่วยๆ

 

 

           “มือถือมาส่งแล้ว?” จู่ๆ เสียงต่ำของมั่วไป๋ก็เอ่ยขึ้น

 

 

           เหยียนอวี้ที่เตรียมจะแอบย่องออกไปสะดุ้งตกใจ เขากุมหัวใจพร้อมสีหน้าตื่นตกใจ “นายทำฉันตกใจเกือบตาย นายนอนหลับอยู่ไม่ใช่เหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ยันกายขึ้นมานั่งนิ่งๆ ดวงตาคู่นี้จ้องมองมาที่เหยียนอวี้ “ฉันก็แค่พูดไปงั้นๆ เอง นี่ทำให้นายตกใจแล้ว?…

 

 

           …นายทำเรื่องอะไรน่าละอายใจลับหลังฉันใช่หรือเปล่า”

 

 

           อีกนิดเหยียนอวี้จะกระอักเลือดออกมาแล้ว นี่มันหลักการอะไร เขาเป็นหมอคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ต้องวิ่งไปหยิบมือถือให้คนไข้ ตอนนี้ยังมาถามเขาอีกว่าไปทำเรื่องน่าละอายใจมาหรือเปล่า

 

 

           คาดว่าบนโลกใบนี้ คงจะไม่มีใครจะเป็นหมอได้น่าเวทนาเท่าหมออย่างเขาอีกแล้ว

 

 

           เหยียนอวี้มองบนใส่ ตัดสินใจไม่ถามตอบปัญหานี้กับคนไข้แล้ว จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องไป๋จิ่งขึ้นมาได้ เสียงต่ำเอ่ยถาม “เมื่อกี้นี้มีคนมาหานายไหม”

 

 

           มั่วไป๋มองเขาอย่างตรงไปตรงมา “ไม่มี”

 

 

           เหยียนอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย  ไม่ได้สิ เมื่อกี้คนคนนั้นดูรีบร้อนจนทนไม่ไหว ควรจะเข้ามาตั้งนานแล้วถึงจะถูก

 

 

           ‘ทำไมจนถึงตอนนี้ยังมาไม่ถึง’

 

 

           “อะไรกัน นายเจอใครมาเหรอ” มั่วไป๋เห็นสีหน้าเขาดูแปลกๆ ก็อดจะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้

 

 

           เหยียนอวี้คิด คนคนนั้นยังไม่มา ก็อย่าเพิ่งบอกมั่วไป๋แล้วกัน จะได้ไม่ให้เขาต้องตั้งหน้าตั้งตารอเก้อ ถ้าสุดท้ายคนคนนั้นไม่ปรากฏตัว ถึงเวลานั้นจะทำให้มั่วไป๋จิตใจหดหู่ได้

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เหยียนอวี้จึงส่ายหัว “เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะให้คนเข้ามาวัดอุณหภูมิร่างกายให้นาย”

 

 

           เขาหาข้ออ้างสุ่มๆ ไปแบบที่ไม่มีชั้นเชิงอะไรเลยสักนิด

 

 

           มั่วไป๋มองเขาด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ “วัดอุณหภูมิร่างกายไปทำอะไร”

 

 

           ความไม่สบอารมณ์ฉายสะท้อนขึ้นมาในใบหน้าของเหยียนอวี้ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฉันเป็นหมอ นายเป็นหมอหรือไง ฉันจะทำบันทึกการวัดอุณหภูมิร่างกายของนาย ไม่ได้เหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “รู้แล้ว นายเป็นคุณหมอ”

 

 

           “เอาล่ะ ฉันต้องไปก่อนแล้ว นายพักผ่อนก่อนเถอะ”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้า “อืม นายไปเถอะ”

 

 

           

 

 

           หลังจากเหยียนอวี้ออกไป มั่วไป๋ก็ลงมาจากเตียง นอนอยู่บนเตียงน่าเบื่อไม่เบาจริงๆ เขายืนหน้าหน้าต่าง มองไปยังข้างนอก

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งรอเหยียนอวี้ออกไปแล้ว ก็กลับมาที่ประตูอีกครั้ง เขายืนอยู่หน้าประตู สายตาจดจ้องมั่วไป๋ที่ยืนอยู่ข้างเตียง

 

 

           เขามองตามเงาร่างของมั่วไป๋ที่โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่คนเดียว เขาก็กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ชุดผู้ป่วยตัวใหญ่โคร่งสวมอยู่บนตัวมั่วไป๋ ยิ่งทำให้เขาดูผอมโซ

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋สักพัก เพียงไม่นานมั่วไป๋ขยับเคลื่อนตัวหันหลังกลับมากะทันหัน

 

 

           ไป๋จิ่งตื่นตกใจ รีบหลบเข้าข้างทาง ไม่ถึงหนึ่งนาที มั่วไป๋ก็เปิดประตูเดินออกมา

 

 

           เขาออกพ้นประตูมาเดินไปตามโถงทางเดิน ไป๋จิ่งหลบอยู่ข้างหลังมองเขา หลังจากเห็นเขาเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทาง ถึงค่อยเดินตามไปอย่างเงียบๆ

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่สักพัก รู้สึกว่าน่าเบื่อ จึงคิดจะลงไปกินข้าว

 

 

           เดินไปช้าๆ จนถึงชั้นหนึ่ง มั่วไป๋หาร้านอาหาร เข้าไปสั่งสปาเกตตีมาจานหนึ่ง

 

 

           เขาไม่หิว ไม่ได้มีความอยากอาหารอะไร

 

 

           เพียงแค่อยากจะหาอะไรทำฆ่าเวลาก็เท่านั้นเอง

 

 

           ถึงอย่างไรเขาก็คนที่ยังมีชีวิต อยู่โรงพยาบาลทั้งวัน นอกจากเหยียนอวี้แล้ว แม้แต่คนพูดด้วยสักคนยังไม่มีเลย

 

 

           มั่วไป๋นั่งอยู่ตรงมุม กินสปาเกตตีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ดูเงียบเหงาวังเวงไม่เบา

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาเป็นแบบนั้น หัวใจก็เจ็บแปลบทันที

 

 

           เขาอยากจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้วพุ่งไปอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋ ต่อให้เขาจะเกลียดตัวเองอีกครั้ง ก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนข้างกายเขา

 

 

           ต่อให้มั่วไป๋ไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ เขาก็อยากจะนั่งอยู่ข้างๆ อยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋

 

 

           เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ หลังจากตามมั่วไป๋อยู่ข้างหลังจากที่ไกลๆ ได้เห็นเขากินข้าวจนเสร็จ ได้เห็นเขาเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะเล็กๆ ใต้ตึก

 

 

           จนกระทั่งหลังจากที่มั่วไป๋เหนื่อยแล้ว ถึงเพิ่งจะกลับห้องผู้ป่วยไป

 

 

           หลังจากที่มั่วไป๋กลับไป เวลายังไม่ถึงสองทุ่ม ข้างนอกก็เต็มไปด้วยประกายดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด 

 

 

             

 

 

ตอนที่ 499 วันเกิด

 

 

           ตอนค่ำเวลาห้าทุ่ม ดวงไฟในห้องของมั่วไป๋ถึงได้ดับลง

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่ไปไหน นั่งเก้าอี้อยู่ข้างนอกอย่างนี้ ใช้วิธีของตัวเองอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋

 

 

           พอนึกถึงตอนนั้นมั่วไป๋ก็เป็นอย่างนี้ อยู่โรงพยาบาลคนเดียวมาครึ่งปี หัวใจก็เจ็บจนใกล้จะฉีกออกจากกัน

 

 

           เวลานั้นเขาก็กินข้าวคนเดียว ดูแลตัวเองคนเดียว แม้แต่คนคุยด้วยสักคนก็ไม่มี

 

 

           ทุกครั้งที่ไป๋จิ่งคิดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดความรู้สึกที่เสียใจทีหลังไว้ไม่อยู่

 

 

           ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าผลจะเป็นแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่เก็บซ่อนหัวใจของตัวเองไว้

 

 

           เขาใจเต้นกับหลินฝานตั้งแต่แรกชัดๆ แต่เขากลับเก็บกดความรู้สึกในใจของตัวเองมาตลอด ตีให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ

 

 

           ดังนั้นถึงได้ตกต่ำถึงจุดจบสุดท้ายแบบนี้ได้

 

 

           ไป่จิ่งหลับตาลงอย่างจนใจ วันนั้นมั่วไป๋ยืนอยู่ต่อหน้าเขา มองเขาด้วยสายตาเย็นชา ราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า

 

 

           เขายังจำได้ วันนั้นเป็นวันเกิดของเขา มั่วไป๋บอกเขาให้กลับมาเร็วหน่อย

 

 

           หัวใจทั้งดวงของเขาอยู่ที่มั่วไป๋ทั้งหมด ได้ยินมั่วไป๋พูดคำนี้ ยิ่งทำให้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานแล้ว

 

 

            กว่าจะอดทนอดกลั้นถึงห้าโมงเย็นได้ไม่ใช่ง่ายๆ ไป๋จิ่งรีบร้อนออกจากบริษัทกลับไปยังคอนโดมิเนียม

 

 

           ระหว่างทางเขาตั้งใจอ้อมไปร้านดอกไม้ เลือกดอกไม้ช่อหนึ่งให้มั่วไป๋เป็นพิเศษ

 

 

           ถึงแม้ว่าผู้ชายสองคนมอบดอกไม้กันจะดูแปลกไปบ้าง แต่ไป๋จิ่งไม่สนใจ ถึงอย่างไรในใจของเขาก็ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่ามั่วไป๋

 

 

           คิดได้เช่นนี้ มุมปากของไป๋จิ่งก็อดจะเชิดขึ้นไม่ได้ เขาหอบดอกไม้ด้วยความชอบทั้งใจ

 

 

           เขายื่นมือไปเปิดประตู ได้กลิ่นหอมอบอวลอยู่ข้างใน นัยน์ตาก็เปล่งประกายความดีอกดีใจ

 

 

           คบกับมั่วไป๋มานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มั่วไป๋ทำอาหารให้เขา

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เขารีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่ในห้องครัว กำลังมองดูหม้ออย่างจริงจัง ไป๋จิ่งเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็เอื้อมมือไปกอดมั่วไป๋ไว้

 

 

           มั่วไป๋สะดุ้งตกใจ เขารีบหันกลับไป พอเห็นใบหน้าไป๋จิ่ง ก็อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมืออีกข้างส่งดอกไม้ให้ “ผมให้คุณนะ”

 

 

           ขณะที่เขาพูด ยังรู้สึกเขินอายนิดหน่อย

 

 

           ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาให้ดอกไม้ ตอนซื้อไม่รู้สึก ตอนส่งออกไปรู้สึกเขินอายอย่างไรชอบกล

 

 

           มั่วไป๋นัยน์ตาฉายสะท้อนความสับสนเส้นบางๆ ขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ก็ยังส่งมือออกไปรับมา

 

 

           “ขอบคุณ”

 

 

           เสียงต่ำเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค

 

 

           ไป๋จิ่งมือว่างทั้งสองข้างแล้ว ก็เอามือคู่นี้มาโอบกอดเอวของมั่วไป๋ไว้อย่างหน้าไม่อายราวกับแฝดสยาม ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ปล่อยสักที

 

 

           มั่วไป๋หอบช่อดอกไม้ แล้วยังโดนเขากอดไว้แบบนี้ จึงหมดหนทางจะทำอาหารได้ไปโดยปริยาย

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบๆ ว่า “นายปล่อยมือออกก่อน ฉันจะเอาดอกไม้ไปวางข้างหน้า”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ยินดีจะปล่อยมือ ส่ายหัวอย่างดื้อรั้น

 

 

           “นายทำแบบนี้ ฉันทำอาหารไม่ได้นะ”

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิด ‘งั้นคุณก็จูบผมสิ จูบผม ผมก็ปล่อยมือ’

 

 

           แค่วันเกิดเท่านั้นเอง เพียงชั่วขณะเหมือนไป๋จิ่งกลับไปเป็นเด็กไม่มีผิด เริ่มเปลี่ยนไปไม่ฟังเหตุผลกันแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เห็นเขาเป็นแบบนี้ มีท่าทีว่าถ้าไม่จูบ เขาก็จะไม่ปล่อยมือจริงๆ

 

 

           สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จำใจต้องเอียงหน้าหันกลับไปจูบไป๋จิ่ง

 

 

           เขาจูบเสร็จก็จะผละออก แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัวหนี ก็ถูกไป๋จิ่งกดเอาไว้ แล้วประกบจูบแบบฝรั่งเศสอย่างเร่าร้อน

 

 

           กว่าจูบครั้งนี้จะจบ ในที่สุดไป๋จิ่งปล่อยมือด้วยความรู้สึกที่ยังโหยหารสจูบนี้

 

 

           ใบหน้ามั่วไป๋แดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเพราะขาดอากาศหายใจ หรือว่าเพราะอย่างอื่น

 

 

           เขาเดินอ้อมไป๋จิ่งไปยังห้องรับแขก วางดอกไม้ลงบนโต๊ะในห้องรับแขก เขามองดูดอกกุหลาบสีแดงนั้น ความคิดตีกันไปมาอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ยื่นมือไปลูบกลีบกุหลาบสีแดงนั้นอยู่พักหนึ่ง

 

 

           นิ้วมือของเขาสั่นเทาโดยไม่ตั้งใจ รีบผละมือออกทันที

 

 

           ปรับอารมณ์ความรู้สึกอย่างรวดเร็วเรียบร้อย มั่วไป๋ถึงได้เข้าห้องครัวไปอีกครั้ง

ตอนที่ 496 เจอเหยียนอวี้  

 

 

           สองวันติดต่อกัน ไป๋จิ่งรอมั่วไป๋ที่หน้าประตู รอมาสองวันเต็มๆ ก็ไม่เห็นตัวคนสักที  

 

 

           ใบหน้าที่หล่อเหลาของไป๋จิ่งนั้นซีดเซียวเป็นอย่างมาก เพราะตรากตรำมาสองวันนี้  

 

 

           อีกฝั่งหนึ่ง ณ โรงพยาบาล มั่วไป๋จำใจนอนบนเตียงคนไข้ รับการตรวจอาการชุดใหญ่ที่เหยียนอวี้จัดให้  

 

 

           เขาถอนหายใจเงียบๆ “สรุปว่านายจะตรวจฉันอีกนานเท่าไหร่กัน”  

 

 

           เหยียนอวี้มองเขาแวบหนึ่ง “จนกว่ารีดเงินจากกระเป๋านายจนหมด”  

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ “พูดจริงๆ ฉันจะเอาเงินให้นาย นายก็อย่าตรวจฉันอีกเลยนะ”    

 

 

           “นายไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ชุบมือเปิบ’ เหรอ” เหยียนอวี้ตรวจเขาไปด้วยพลางเอ่ยไปด้วย “ต่อให้ฉันต้องการจะรีดเงินนายจนหมด ก็ต้องแสดงความเป็นมืออาชีพบ้าง…  

 

 

           …เงินพวกนี้ใช้แล้ว ไม่มีความรู้สึกผิดด้วย”  

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินเขาพูดเล่นลิ้นไป ก็ไม่ได้ขัดจังหวะเขา  

 

 

           เหยียนอวี้พูดอยู่ตั้งนานสองนาน มีการหยิบสมุดพกเล็กๆ ขึ้นมาจดสถิติอย่างต่อเนื่อง  

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยดูแล้วดูอีก ความหนักอึ้งบนใบหน้าก็ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว  

 

 

           “ตอนนี้อาการของนายดีขึ้นเรื่อยๆ เลย คาดว่าน่าจะใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน ก็จะทำการผ่าตัดได้แล้ว”  

 

 

           มั่วไป๋กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับไปให้เท่าไหร่ เขาพยักหน้ารับด้วยท่าทีเรียบเฉย  

 

 

           เหยียนอวี้เห็นเขามีท่าทีจะเป็นตายร้ายดีตามแต่โชคชะตา ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ฉันว่านายเป็นผู้ป่วย ก็ช่วยทำตัวเหมือนเป็นผู้ป่วยสักเล็กน้อยจะได้ไหม”  

 

 

           มั่วไป๋ก้มหน้าลงมองดูตัวเอง ในมือยังมีสายน้ำเกลือ บนตัวก็ใส่ชุดผู้ป่วยอย่างเรียบร้อย  ไม่เหมือนผู้ป่วยตรงไหนเหรอ  

 

 

           “ที่ฉันพูดคือสภาพจิตใจของนาย นายดูนายสิ มีความต้องการอยากจะมีชีวิตสักหน่อยจะได้ไหม”  

 

 

           มั่วไป๋มองเขาอย่างติดตลก “นายมีก็โอเคแล้ว ถ้าฉันมีอีกก็จะระเบิดตู้มแล้วล่ะ”  

 

 

           เหยียนอวี้กุมขมับ รู้สึกว่าตัวเองซวยซ้ำซวยซ้อนมาแปดชาติถึงได้มาเจอคนไข้อย่างมั่วไป๋  

 

 

           “ยังดีที่นายเป็นหมอของฉัน ไม่อย่างนั้น ฉันกลัวว่านายจะโดนด่าปางตายได้…  

 

 

           …เอ่อใช่ รบกวนนายเรื่องหนึ่งสิ ไปคอนโดฉันที ช่วยฉันหยิบมือถือออกมาจากลิ้นชักหน่อย”  

 

 

           หลังจากที่เขากลับมา มือถือก็วางอยู่ตรงนั้นตลอด ตอนออกมาดันลืมหยิบมาด้วย  

 

 

           มือถือเครื่องนั้นเป็นเครื่องที่เขาใช้อยู่ถานโจว เขากลัวเจียงมู่เฉินจะติดต่อเขา  

 

 

           เหยียนอวี้พยักหน้ารับ “ทราบแล้ว เดี๋ยวเลิกงานแล้วฉันจะไป”  

 

 

           ……  

 

 

           ตอนเย็นเวลาห้าโมงครึ่ง เหยียนอวี้ออกไปจากโรงพยาบาล ขับรถมุ่งหน้าไปยังคอนโดมิเนียมของมั่วไป๋ ไปหยิบเอามือถือให้เขา  

 

 

           เขาจอดรถที่ใต้ตึก แล้วเดินขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสิบสอง  

 

 

           พอออกมาจากลิฟต์ เหยียนอวี้พบเห็นว่ามีคนคนหนึ่งพิงอยู่ข้างประตูห้องมั่วไป๋อยู่ เขาชะงักงันเล็กน้อย  มาหามั่วไป๋เหรอ  

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็เห็นเหยียนอวี้แล้ว เห็นเขาเดินมุ่งหน้ามาทางห้องของมั่วไป๋ สีหน้าก็อดจะเคร่งขรึมขึ้นมาไม่ได้  

 

 

           เขายืนตัวตรงเล็กน้อย มองดูเหยียนอวี้เดินมาถึงหน้าประตู  

 

 

           “คุณเป็นเพื่อนของมั่วไป๋เหรอครับ”  

 

 

           เหยียนอวี้รู้สึกว่าแววตาของเขาไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่นัก เสียงต่ำจึงเอ่ยถามขึ้น  

 

 

           สองวันมาแล้ว ในที่สุดก็ได้ยินคำว่า ‘มั่วไป๋’ สองพยางค์นี้ เหยียนอวี้ที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวราวกับฟางข้าวช่วยชีวิตที่โผล่ขึ้นมาต่อหน้าไป๋จิ่งกะทันหัน   

 

 

           “ผมเป็นเพื่อนของเขาครับ” ไป๋จิ่งรีบเอ่ย “คุณรู้ไหมครับว่าเขาอยู่ที่ไหน ผมมาหาเขาสองวันแล้ว ไม่เจอเขาสักที โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้”  

 

 

           เหยียนอวี้ครุ่นคิด  สองวัน…นั่นเป็นช่วงที่มั่วไป๋เข้าโรงพยาบาลไปไม่ใช่เหรอ  

 

 

           แล้วยังมานึกถึงเรื่องที่มั่วไป๋ให้เขามาหยิบมือถือ  

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เหยียนอวี้ก็เข้าใจได้ในพริบตา อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่มั่วไป๋ไปลืมมือถือ แล้วเพื่อนคนนี้เพิ่งจะมาพอดี ดังนั้นจึงติดต่อเขาไม่ได้  

 

 

           “สองวันก่อนเขาเข้าโรงพยาบาลแล้วครับ ไม่อยู่ที่คอนโด”  

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ยินว่าเข้าโรงพยาบาล เขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาในทันใด “เขาเป็นอะไรไปเหรอครับ ทำไมถึงต้องเข้าโรงพยาบาล”  

 

 

           นี่โยงไปถึงข้อมูลส่วนตัวของคนไข้แล้ว เหยียนอวี้คิดแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรมากเกินไป  

 

 

           “ไม่มีอะไรหรอกครับ โรคเดิมๆ”   

 

 

             

 

 

ตอนที่ 497 ไม่กล้าเจอหน้า  

 

 

           “คุณบอกผมได้ไหมครับ เขาอยู่โรงพยาบาลไหน ผมอยากไปเยี่ยมเขา”  

 

 

           เหยียนอวี้เอียงหน้ามองเขา “คุณกับเขามีความสัมพันธ์เป็นอะไรกันเหรอครับ”  

 

 

           คำถามนี้ทำเอาไป๋จิ่งชะงักงันไป เขาลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบ “เพื่อนกันครับ”  

 

 

           เหยียนอวี้ครุ่นคิด เขารู้จักกับมั่วไป๋มานานขนาดนี้ นอกจากเจียงมู่เฉินแล้ว ก็ไม่เห็นมั่วไป๋จะมีเพื่อนคนไหนอีก  

 

 

           “เพื่อนที่ถานโจว?”  

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้ารับ “ใช่ครับ”  

 

 

           เหยียนอวี้ค่อนข้างลังเลว่าจะบอกไป๋จิ่งดีไหม แต่ในหัวก็คิดถึงภาพมั่วไป๋นอนโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่บนเตียงผู้ป่วย  

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงใจอ่อน บอกที่อยู่ของโรงพยาบาลไป  

 

 

           ไป๋จิ่งได้รับที่อยู่ของโรงพยาบาลจากปากของเหยียนอวี้ เขาวิ่งออกไปโดยไม่มีความลังเลใดใดทั้งสิ้น  

 

 

           เหยียนอวี้มองแผ่นหลังที่ตื่นตระหนกของเขาไป พลางถอนหายใจเงียบๆ  

 

 

           การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานใจอยู่แล้ว ถ้าข้างกายไม่มีใครสักคนเคียงข้าง  คงจะยิ่งเศร้าเสียใจมากกว่าเดิมได้ใช่ไหมล่ะ  

 

 

           คนคนนี้ดูตื่นตระหนกได้ถึงขนาดนี้ คงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับมั่วไป๋จริงๆ  

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เขาก็วางใจแล้ว  

 

 

           เขาหันหลังกลับมายื่นมือไปเปิดประตูบานใหญ่ของห้องมั่วไป๋ ทำตามที่มั่วไป๋บอกจนหามือถือเครื่องนั้นเจอ  

 

 

           เขาก้มหน้าลงมองดูมือถือในมือ ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาว่าตรงไหนผิดปกติแล้ว  

 

 

           เหยียนอวี้กุมขมับ ถึงอย่างไรคนคนนั้นก็ต้องไปโรงพยาบาล รู้แต่แรกจะได้เอามือถือให้คนคนนั้น ให้เขาเอาติดมือเข้าไปด้วย  

 

 

           เหยียนอวี้ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้  คงจะไม่ใช่ว่าเพราะอายุเยอะแล้ว สมองถึงตอบสนองไม่ทันหรอกใช่ไหม  

 

 

           ไป๋จิ่งรู้ที่อยู่ของมั่วไป๋แล้ว ก็รีบมุ่งหน้าออกไปไกลแล้ว  

 

 

           เวลานี้ยิ่งไม่เห็นแม้แต่เงาคน  

 

 

           เหยียนอวี้จำใจต้องถือมือถือนำกลับไปส่งให้มั่วไป๋อีกครั้ง  

 

 

           ไป๋จิ่งขับรถด้วยความเร็วมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล เหยียบคันเร่งอย่างหนักหน่วง ทดสอบความเร็วชิดขอบความเร็วจำกัด  

 

 

           ในที่สุดก็เห็นโรงพยาบาลแล้ว หัวใจไป๋จิ่งบีบรัดตัวแน่น จอดรถข้างๆ อย่างลวกๆ เปิดประตูรถลงมาก็พุ่งตัวออกไปทันที แม้แต่ประตูรถก็ไม่ล็อค  

 

 

           เขามุ่งหน้าเดินมาจนถึงหน้าห้องพักผู้ป่วยของมั่วไป๋ ก็เห็นเพียงประตูที่ปิดสนิท ใจที่แต่เดิมพุ่งทะยานของไป๋จิ่งกลับไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีความกล้าหาญนั้นอีกแล้ว เมื่อมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่  

 

 

           ขอเพียงแต่เขาเปิดประตูบานนี้ออกไป ก็จะเห็นมั่วไป๋ได้  

 

 

           แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นความกล้าหาญทั้งหมดที่เขามีก็ได้มลายหายไปไม่มีเหลือเลยสักนิด  

 

 

           ทำได้เพียงยืนอย่างโง่ๆ อยู่นอกประตูห้องพักผู้ป่วย ไม่กล้าก้าวเข้าไปสักก้าว  

 

 

           เขายืนอยู่นอกประตู มองผ่านกระจกใสทะลุเข้าไปข้างใน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆ อีกสองสามก้าว มั่วไป๋กำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียง เหมือนจะหลับไปแล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งหัวใจบีบคั้น อดจะกำมือแน่นไม่ได้  

 

 

           เขาบีบนิ้วมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ปลายนิ้วถูกบีบจนขึ้นสีขาว เส้นเลือดใหญ่บนแขนปูดขึ้นจะระเบิดออกมาแล้ว ดูดุดันไม่ธรรมดา  

 

 

           แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นขนาดนี้แล้ว ไป๋จิ่งก็ไม่ปล่อยมือ  

 

 

           เขายืนอย่างโง่ๆ อยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยทั้งอย่างนั้น จ้องมองมั่วไป๋อย่างโง่ๆ สายตาทุกองศามารวมจุดศูนย์กลางอยู่ที่ใบหน้าของมั่วไป๋  

 

 

           ราวกับใช้สายตาบรรจงวาดทุกอย่างของมั่วไป๋ลงในสมองอย่างชัดเจน  

 

 

           เวลาผ่านไปนาน เหมือนมั่วไป๋จะนอนหลับไม่ค่อยสนิท เขาขยับตัวเล็กน้อย  

 

 

           หัวใจไป๋จิ่งสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรงกับท่าทางของเขา แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปรั้งเขาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด  

 

 

           แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมั่วไป๋ในตอนนี้ ไม่มีสิทธิ์จะกอดมั่วไป๋ไว้แน่นมาตั้งแต่แรกแล้ว  

 

 

           กรรมในตอนนั้นตัวเขาเองที่เป็นคนก่อ ตอนนี้ตัวเขาเองจึงทำได้เพียงลิ้มรส ‘กรรมตามสนอง’ อย่างช้าๆ แล้ว  

 

 

           ไม่รู้ว่ายืนอยู่หน้าประตูไปนานเท่าไหร่ ที่โถงทางเดินมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา ไป๋จิ่งเก็บอารมณ์ แล้วรีบเดินไปยังเสาที่อยู่ด้านหลัง ซ่อนตัวเองได้พอดี  

 

 

           คนที่เดินมาก็คือคนคนนั้นที่เพิ่งจะมาปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องของมั่วไป๋  

 

 

           เหยียนอวี้ถือมือถือของมั่วไป๋มาผลักเปิดประตูเดินเข้าไปทันที  

 

 

           เห็นมั่วไป๋กำลังนอนหลับอยู่ เดิมเขาคิดจะวางมือไว้บนโต๊ะข้างๆ แล้วตัวเองจะเดินออกไป  

 

 

           ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้ไปไหน มั่วไป๋ก้ลืมตาขึ้นมา  

ตอนที่ 494 สั่นระริก  

 

 

           หลินฝานมองดูมือถือที่ถูกตัดสายไป ในใจก็ดีใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าไป๋จิ่งมีท่าทีเป็นอย่างไร ได้กินข้าวด้วยกัน เขาก็มีความสุขมากแล้ว  

 

 

           เขารีบออกจากโรงพยาบาล ระหว่างที่เดินไป แม้แต่เสียงฝีเท้าก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาก  

 

 

           อีกฝั่งหนึ่ง ไป๋จิ่งที่กดตัดสายไปมองมือถืออย่างไม่สบอารมณ์ สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้  

 

 

           ‘ช่างเถอะ รับปากไปแล้ว เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว…  

 

 

           …อีกอย่าง ก็แค่กินข้าวกันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก’  

 

 

           หลังจากเตรียมตัวทำใจเรียบร้อยเสร็จสรรพ ไป๋จิ่งถึงได้กลับมาสู่โหมดทำงานต่อ  

 

 

           ……  

 

 

           เป็นเวลาช่วงเที่ยงพอดี หลินฝานออกมาจากโรงพยาบาล หาร้านอาหารจานด่วนกินสักหน่อย  

 

 

           หลินฝานมองดูเวลา ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกเยอะ จึงเรียกรถกลับคอนโดมิเนียมของไป๋จิ่งไป  

 

 

           หลังจากถึงเขตที่พักอาศัยแล้ว หลินฝานไม่ได้รีบเข้าไปทันที แต่หันกลับไปตลาดที่อยู่ข้างๆ แทน  

 

 

           ในใจคิดถึงเรื่องที่คืนนี้ไป๋จิ่งจะกลับมากินข้าว จึงอยากทำอาหารที่เขาชอบกิน หลินฝานเดินเข้าตลาดไป ก็มุ่งหน้าตรงไปยังส่วนที่ขายผักสด  

 

 

           เขาเข็นรถมองไปรอบๆ ซื้อผักที่ไป๋จิ่งชอบมาจำนวนไม่น้อย ทั้งยังซื้อซี่โครงหมูและปลาไนมาด้วย  

 

 

           เขาคิดจะทำซี่โครงหมูตุ๋นน้ำแดงกับซุปปลาไนให้ไป๋จิ่ง  

 

 

           เขาจำได้ว่าตอนที่เขาเพิ่งจะย้ายมาอยู่กับไป๋จิ่ง มีครั้งหนึ่งเขาเคยทำเมนูนี้ให้ไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งยังเคยบอกว่าอร่อยอีกด้วย  

 

 

           เพียงแต่ว่าหลังจากครั้งนั้น ไป๋จิ่งก็ไม่เคยกินข้าวด้วยกันกับเขาอีกเลย  

 

 

           ดังนั้นพอคิดถึงว่าคืนนี้ไป๋จิ่งอยากจะกินข้าวด้วยกันกับเขา ในใจหลินฝานก็ฉายสะท้อนความดีอกดีใจ  

 

 

           เขาคนเดียวเข็นรถอย่างไม่เร็วไม่ช้า ซื้อทั้งผักสดและเนื้อสัตว์มาจำนวนมาก พร้อมทั้งซื้อผลไม้มาด้วย ถึงเพิ่งได้กลับไปยังคอนโดมิเนียม  

 

 

           ในคอนโดมิเนียมเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด แม้แต่ของที่จัดวางอยู่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักชิ้น  

 

 

           คิดดูแล้วมีความเป็นไปได้สูงมากที่เมื่อคืนนี้ไป๋จิ่งจะไม่ได้กลับมา  

 

 

           นี่ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าไป๋จิ่งไม่ได้เป็นคนพาตัวเขาไปส่งโรงพยาบาล  

 

 

           หลินฝานรู้ความจริงข้อนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เมื่อนึกขึ้นมาอีก ก็ยังรู้สึกเศร้าใจอยู่ไม่น้อย  

 

 

           ยามที่เขาป่วยเป็นไข้ กลับไม่รู้ว่าไป๋จิ่งอยู่ที่ไหน  

 

 

           หลินฝานอดจะคิดไม่ได้ ว่าเวลานั้นไป๋จิ่งอยู่ที่ไหน แล้วอยู่ข้างกายใคร…  

 

 

           เขาหลับตาลง ทำให้ตัวเองไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านแล้ว  

 

 

           หลินฝานกวาดสายตามองห้องที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ถือของมาวางไว้ในห้องครัว  

 

 

           จากนั้นก็จัดเข้าตู้เย็น พอทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เวลายังห่างจากเวลาที่ไป๋จิ่งกลับมาบ้านอีกนาน เขาเดินไปถึงหน้าโซฟา ทิ้งตัวลงนอนหลับไปพักหนึ่ง  

 

 

           ตามประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ปกติไป๋จิ่งมักจะกลับมาเวลาประมาณสองสามทุ่ม  

 

 

           ดังนั้นเขาจึงเริ่มทำอาหารเวลาหนึ่งทุ่มตลอด  

 

 

           ตอนนี้เวลาอยู่แค่บ่ายสองโมงครึ่ง ห่างจากเวลาหนึ่งทุ่มอีกประมาณสี่ชั่วโมงครึ่ง  

 

 

           หลินฝานเอนพิงโซฟา เพียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป  

 

 

           ……  

 

 

           เวลาหกโมงเย็น ไป๋จิ่งเปิดประตูห้องคอนโดมิเนียมเข้ามา ข้างในเงียบสงบ ไม่มีกลิ่นที่คุ้นเคยเลยสักนิด  

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักงันไป ในหัวปรากฏภาพเหตุการณ์เมื่อวานลอยขึ้นมา  

 

 

           เขารีบปิดประตู เตรียมจะเร่งฝีเท้าเดินไปยังห้องของหลินฝาน แต่กลับเห็นหลินฝานนอนบนโซฟาพอดี   

 

 

           อุณหภูมิร่างกายเขาลดลงแล้ว สีหน้าฟื้นกลับคืนมาขาวนวลผ่องดังเช่นในวันปกติอีกครั้ง  

 

 

           ไป๋จิ่งจ้องมองเขา คิดแล้วก็เตรียมจะเดินเข้าไปเอาเสื้อสูทในมือห่มเขา  

 

 

           เขาเดินทีละก้าวๆ เข้าไปหยุดอยู่ต่อหน้าหลินฝาน เพิ่งจะก้มตัวลงเตรียมจะลงมือเอาเสื้อสูทมาห่มให้เขา จู่ๆ หลินฝานก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นมา  

 

 

           แพรขนตายาวของเขาสั่นระริก เหมือนจะอยากลืมตาขึ้นมา  

 

 

           ไป๋จิ่งที่เดิมจะห่มให้ก็พลิกมือในทันใด เก็บมือเข้ามา แล้วกลับคืนไปอยู่ในท่าทีเย็นชาเหมือนเดิม  

 

 

           หลินฝานกะพริบตาปริบๆ ตื่นขึ้นมาจากความง่วงนอนแล้ว  

 

 

           เขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าของไป๋จิ่งพอดี หลินฝานตะลึงงัน เหมือนจะยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาอดจะหลับตาลงสักพัก แล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นท่าทีตอบสนองของเขา เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น “จะกินข้าวกันไม่ใช่เหรอ”    

 

 

              

 

 

ตอนที่ 495 คนเช่าบ้านธรรมดา  

 

 

           เวลานี้เองหลินฝานถึงเพิ่งได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ไป๋จิ่งที่อยู่ต่อหน้าต่อตาเขาคือไป๋จิ่งตัวจริง  

 

 

           เขารีบลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา เอ่ยอย่างร้อนรน “ขอ ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่านายจะกลับมาเร็วขนาดนี้”  

 

 

           เขารีบร้อนเข้าห้องครัวไป ขณะที่เดิน ก็ไม่ยังไม่ลืมที่จะเอ่ยไปด้วยว่า “นายรอฉันแป๊บหนึ่ง ฉันจะรีบทำ”  

 

 

           ไป๋จิ่งมองตามแผ่นหลังของเขาที่อยู่ในสภาวะกระวนกระวาย แล้วถอนหายใจเงียบๆ  

 

 

           เขาหันหลังเดินเข้าห้องนอนไป  

 

 

           หลินฝานยุ่งอยู่ในห้องครัว ส่วนไป๋จิ่งกลับมาห้อง เขาก็เข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสบายๆ อยู่บ้าน  

 

 

           เขาอาบน้ำเสร็จ ท้องฟ้านอกหน้าต่างก็มืดลงแล้ว ไป๋จิ่งยื่นมือไปเปิดประตูห้องนอนออกมา ก็ได้ยินเสียงดังจากในห้องครัว  

 

 

           ยังได้กลิ่นหอมจางๆ อีกด้วย  

 

 

           มือไป๋จิ่งที่เปิดประตูหยุดชะงักไป เขารู้สึกขึ้นมากะทันหัน ว่าการมีคนอยู่ที่บ้านด้วยก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น  

 

 

           เขาคิดว่าหลินฝานคงจะยังต้องการเวลาอีกพอสมควร จึงเข้าห้องหนังสือไป วันนี้เขากลับมาเร็ว แต่ยังต้องสะสางงานบางส่วนอยู่  

 

 

           เวลานี้ก็ทำได้พอดี  

 

 

           เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ หลินฝานหยิบกระบวยตักซุปปลาไนขึ้นมาหนึ่งคำ รสชาติสดใหม่หอมกรุ่นมาก เวลานี้ถึงได้วางกระบวยลง  

 

 

           เขายกอาหารจากในห้องครัวมาวางบนโต๊ะ แล้วก็ตักซุปปลาไนใส่ชามเสร็จสรรพ  

 

 

           ทำทุกอย่างนี้เสร็จเรียบร้อย หลินฝานถึงได้เดินเข้าไปเคาะประตูห้องหนังสือ  

 

 

           “ไป๋จิ่ง…กิน กินข้าวได้แล้ว”  

 

 

           “อืม” ข้างในมีเสียงขานรับ ทันทีหลังจากนั้นประตูห้องหนังสือก็ถูกเปิดออก  

 

 

           หลินฝานคิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะเร็วขนาดนี้ เขายังไม่ทันได้เดินออกไปจากตรงนั้น ก็เผชิญหน้ากับไป๋จิ่งพอดี  

 

 

           เขาเห็นใบหน้าไป๋จิ่งก็ไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างน่าประหลาดใจ หลินฝานบีบนิ้วมือ รีบถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที  

 

 

           “ฉัน ฉันไปก่อนนะ”  

 

 

           ขณะพูด เขาก็ก้มหน้าแล้วเดินนำออกไป  

 

 

           ไป๋จิ่งเดินตามหลังเขาไป แววตาที่มองหลินฝานสับสนอยู่ในที  

 

 

           ทั้งสองคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร ต่างฝ่ายต่างกินข้าว ไม่พูดอะไรสักคำ  

 

 

           กินข้าวเสร็จอย่างเงียบๆ ไป๋จิ่งก็เข้าไปห้องหนังสืออีกครั้ง  

 

 

           หลินฝานคิด  เขากับไป๋จิ่งเป็นแบบนี้ ควรจะถือว่ามีความคืบหน้าแล้วสินะ อย่างน้อยที่สุดได้มีปฏิสัมพันธ์กันยังถือว่าเข้ากันได้อยู่  

 

 

           หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ไป๋จิ่งก็มักจะได้กินอาหารมื้อเย็นกับหลินฝานอยู่บ่อยๆ ถ้ามีธุระอย่างอื่น ก็จะบอกหลินฝานล่วงหน้าสักคำสองคำ  

 

 

           ราวกับว่าพวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไป๋จิ่งมากินข้าวด้วยกันกับเขาได้ พูดจาก็ไม่ได้เย็นชาขนาดนั้นแล้ว  

 

 

           แต่ไป๋จิ่งไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ากับเขาเลย  

 

 

           ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่การสัมผัสร่างกายสักนิดก็ยังไม่มี  

 

 

           หลินฝานรู้สึกว่า พวกเขาเป็นแบบนี้ นับวันยิ่งเหมือนเขาเป็นคนเช่าบ้านของไป๋จิ่ง มาเช่าบ้านไป๋จิ่งอยู่  

 

 

           แล้วทำอาหารแลกค่าเช่าบ้านอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           ใช้ชีวิตเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มานานมากๆ เป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้ว  

 

 

           ยามที่หลินฝานคิดว่าเขากับไป๋จิ่งจะมีชีวิตเป็นแบบนี้กันไปตลอด ทุกอย่างก็พังทลายลงแล้ว  

 

 

           ……  

 

 

           จู่ๆ ก็มีเสียงลิฟต์ดังขึ้นมา ไป๋จิ่งตกใจตื่นขึ้นมาจากความฝันทันที  

 

 

           เขาได้ยินเสียงลิฟต์ก็รีบมองตามไป ซึ่งก็คือชาวอเมริกันหนวดขาวคนหนึ่ง  

 

 

           เหมือนจะรู้สึกว่าไป๋จิ่งดูแปลกประหลาดมาก ชาวอเมริกันคนนี้อดจะมองแล้วมองอีกไม่ได้  

 

 

           ในใจไป๋จิ่งฉายสะท้อนความหดหู่ เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น เขายังคิดว่ามั่วไป๋กลับมาแล้ว  

 

 

           เขากุมขมับ ดูเวลาในมือถือ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว  

 

 

           เขารออยู่ที่นี่เกือบจะถึงหนึ่งวันแล้ว มั่วไป๋ก็ไม่มาปรากฏตัวสักที  

 

 

           ข้างในหลังประตูห้องก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ไป๋จิ่งอดจะคิดไม่ได้  หรือว่ามั่วไป๋จะไม่ได้อยู่ที่นี่  

 

 

           ‘เขายังมีที่พักอื่นอีกเหรอ’  

 

 

           พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา ไป๋จิ่งก็ว้าวุ่นใจแล้ว ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ตัวเองคุ้นเคย  

 

 

           กว่าเขาจะตามหาที่นี่เจอไม่ใช่ง่ายๆ ถ้ามั่วไป๋ไม่พักอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่รู้จริงๆ แล้วว่าจะไปตามหามั่วไป๋ต่อได้อย่างไร  

 

 

           ไป๋จิ่งที่เฝ้าอยู่นอกประตู ไม่รู้เลยสักนิดว่าตอนที่เขามา มั่วไป๋เพิ่งจะออกไป  

ตอนที่ 492 เฝ้าไข้อยู่โรงพยาบาล  

 

 

           พอหลินฝานได้จับมือไป๋จิ่งไว้ ก็เหมือนกับตามหาของรักของล้ำค่าที่เสียไปแล้วได้กลับคืนมาอีกครั้งจนเจอ  

 

 

            เขารีบกุมมือไป๋จิ่งไว้แน่น จับไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ปล่อยไปไหนทั้งนั้น  

 

 

           นิ้วมือที่กำพวงมาลัยอยู่กระชับแน่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ เขาเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล  

 

 

           ไป๋จิ่งขับรถมาตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล ถึงได้หยุดรถลง  

 

 

           เขามองดูหลินฝานที่ไข้ขึ้นจนสติเลอะเลือน แล้วชักมือตัวเองออกจากฝ่ามืออันร้อนจี๋ของเขา  

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ไป๋จิ่งชักมือออกไป หลินฝานก็กระวนกระวายใจอยู่ในที  

 

 

           มือเขาขยับขึ้นลงไปอยู่หลายครั้งมาโดยอัตโนมัติ เหมือนจะคว้าอะไรไว้สักอย่าง  

 

 

           ไป๋จิ่งรีบปลดเข็มขัดนิรภัยบนตัวเขาออก แล้วเปิดประตูรถอุ้มคนออกไปทันทีหลังจากนั้น  

 

 

           หลินฝานเอนซบร่างของไป๋จิ่ง ยื่นมือไปกำคอเสื้อไป๋จิ่งอย่างแน่นสนิทโดยไม่รู้ตัว  

 

 

           เสียงต่ำเอ่ยพึมพำอะไรขึ้นมา แต่กลับฟังไม่ได้ศัพท์  

 

 

           ไป๋จิ่งไม่มีเวลามาคิดมาก รีบอุ้มคนไปยังห้องฉุกเฉินทันที  

 

 

           ผ่านการรักษากว่าครึ่งชั่วโมง หลังจากฉีดยาให้ไข้ลดแล้ว ถึงได้ส่งตัวคนไปยังห้องพักผู้ป่วยเพื่อติดตามดูอาการ  

 

 

           ไป๋จิ่งจำใจต้องเดินตามคนเข้าไปยังห้องพักผู้ป่วยด้วย  

 

 

           หลินฝานนอนอยู่บนเตียงคนไข้ เพราะว่าขยับไปมาตลอดทาง เสื้อผ้าบนตัว ปกเสื้อจึงแยกออกจากกัน  

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูคนที่นอนอยู่บนเตียง แววตาแฉลบผ่านหน้าอกของเขา  

 

 

           เขารู้ว่าหลินฝานไม่ถือว่าอ้วน แต่ก็ยังถือว่าหุ่นดีสมส่วน อย่างน้อยที่สุดเมื่อก่อนเวลาอุ้มขึ้นมาจากเตียงไม่ถือว่าหนักมือ  

 

 

           ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งเดือน คิดไม่ถึงว่าหลินฝานจะผอมลงเกือบเท่าตัว แม้แต่กระดูกซี่โครงตรงหน้าอกก็เห็นออกมาได้อย่างชัดเจน  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเรือนผิวที่เผยให้เห็นอยู่ข้างนอก ในใจก็รู้สึกอึดอัดใจไม่เบา  

 

 

           เขาครุ่นคิด สุดท้ายก็เดินเข้าไปดึงเสื้อหลินฝานขึ้นมาติดกระดุมให้ใหม่  

 

 

           บางทีอาจจะได้กลิ่นที่คุ้นเคย หลินฝานที่แต่เดิมนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง จู่ๆ ก็ขยับตัวขึ้นมากะทันหัน  

 

 

           นิ้วมือเขาสั่นเล็กน้อย ลูบมือไป๋จิ่งไปมา  

 

 

           มือไป๋จิ่งสำหรับหลินฝานแล้ว ดูเหมือนจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจประเภทหนึ่ง ป่วยจนเป็นขนาดนี้แล้วยังอยากจะจับไว้แน่นอีก  

 

 

           ไป๋จิ่งอยากดึงมือออก แต่พอนึกถึงการกระทำเมื่อครู่นี้ เขาก็อดจะถอนหายใจไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้ชักมือออกมา  

 

 

           มือหลินฝานที่จับมือไป๋จิ่งอยู่ ในที่สุดก็สงบนิ่งเสียที เห็นเขาไม่มีทีท่าว่าอยากจะจากตัวเองไปแล้ว เวลานี้เส้นประสาทที่เอาแต่เกร็งตัวแน่นถึงค่อยได้ผ่อนคลายลง  

 

 

           เพียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป  

 

 

           ไป๋จิ่งทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้หลินฝานเป็นไข้ ต่อให้เขาไม่ชอบเด็กคนนี้ แต่จะออกไปเวลานี้ก็ไม่ได้  

 

 

           อีกอย่าง ตอนนี้หลินฝานจับมือเขาไว้อยู่ อยากจะหนีก็หนีไม่ไหวแล้ว  

 

 

           คิดไปคิดมา เขาก็ทำได้เพียงนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ  

 

 

           ภายใต้แสงไฟ หลินฝานนอนอย่างสงบนิ่ง ใบหน้าขาวนวลผ่อง เมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟ ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน   

 

 

           เขานอนอยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายแบบนี้ ดูๆ ไปแล้วน่าทะนุถนอมเป็นพิเศษทีเดียว  

 

 

           ไป๋จิ่งนึกขึ้นมาได้โดยอัตโนมัติว่าเด็กคนนี้เหมือนจะดูว่าง่ายแบบนี้มาโดยตลอด  

 

 

           จะดื้อใส่ก็มีแต่ตอนแรกที่มาสารภาพรักกับเขาเท่านั้นเอง  

 

 

           ไป๋จิ่งคิด เด็กคนนี้เหมือนกับเจ้ากระต่ายน้อยชัดๆ แต่กลับกล้ามาบอกชอบเขาได้อย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน  

 

 

           คิดถึงตรงนี้ ไป๋จิ่งก็อดจะยิ้มหัวเราะออกมา  

 

 

           บอกตามตรง ตั้งแต่แรกเริ่มเขายังชอบหลินฝานมากทีเดียว  

 

 

           เพียงแต่ว่าหลังจากหลินฝานปียขึ้นเตียงเขาแล้ว ภาพจำของไป๋จิ่งที่มีต่อเขายิ่งตกต่ำถึงขั้นสุด  

 

 

           เดิมเขาคิดว่าเด็กคนนี้เป็นกระต่ายน้อยสีขาวที่ไร้เดียงสา แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีแผนการ ยังกล้ามาเล่นงานเขา  

 

 

           หลายปีมานี้ข้างกายไป๋จิ่งก็ไม่มีใครสักคน  

 

 

           ไม่ใช่ว่าเขามีนิสัยเย็นชามาตั้งแต่เกิด เขาแค่เดินเล่นผ่านพุ่มดอกไม้ แต่ไม่สัมผัสดอกไม้ใดใดเท่านั้นเอง  

 

 

           แต่หลินฝานมาทำลายสิ่งที่เขาเป็นนี้ของเขา  

 

 

           ‘เขาเป็นคนแรกที่วางแผนปีนขึ้นเตียงตัวเอง!’  

 

 

           ไป๋จิ่งจ้องมองใบหน้าของหลินฝาน อดจะคิดไม่ได้ว่า  ถ้าคุณไร้เดียงสาได้แบบนี้ต่อไปก็คงจะดีมากเลย  

 

 

           ‘เขาเองก็ไม่ถึงกับจะเกลียดคนคนนี้ขนาดนี้หรอก’  

 

 

              

 

 

 ตอนที่ 493 อยากจะกินข้าวด้วยกันไหม  

 

 

           เช้าวันต่อมา หลินฝานค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาเห็นห้องพักผู้ป่วยแสนว่างเปล่า ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก  

 

 

           ‘เขาอยู่ที่คอนโดของไป๋จิ่งไม่ใช่เหรอ’  

 

 

           ‘มาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไงกัน’  

 

 

           หลินฝานค่อนข้างจะงุนงงอยู่ในที  ความคิดหนึ่งก็ประกายวาบขึ้นมาในหัว หรือว่าไป๋จิ่งส่งเขามาโรงพยาบาลกัน  

 

 

           เขามองดูฝ่ามือของตัวเอง มีความรู้สึกรางๆ ว่าเมื่อคืนมีอะไรสักอย่างที่เขากุมไว้ในมือตลอด  

 

 

           รออีกหลายนาที เขาก็ไม่เห็นใคร  

 

 

           หลังจากผ่านเหตุการณ์ไข้ขึ้นสูง ร่างกายหลินฝานก็ยังอ่อนแอมาก เขายื่นมือไปดึงผ้าห่มออก เตรียมจะลงจากเตียง  

 

 

           จังหวะนี้มีคนเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยพอดี จิตใต้สำนึกสั่งให้หลินฝานมองตามไป ก็เห็นเพียงแค่พยาบาลเดินเข้ามา  

 

 

           เธอเห็นหลินฝานจะลงจากเตียง จึงรีบวิ่งเข้าไปทันที “ทำไมถึงลุกขึ้นมาล่ะคะ”  

 

 

           หลินฝานถูกเธอกดไว้อีก แล้วยัดตัวกลับขึ้นเตียงไป  

 

 

           เขานอนอยู่ใต้ผ้าห่ม เผยให้เห็นใบหน้าเรียวเล็ก ดูๆ ไปแล้วยังทำให้คนรู้สึกอยากทะนุถนอมได้อย่างเหลือเชื่อ  

 

 

           พยาบาลคนนั้นส่งยามาให้เขา พอเห็นท่าทางน่าสงสารของเขา ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยดุจดั่งความรักของแม่ก็อดจะท่วมท้นออกมาไม่ได้  

 

 

           “ตอนนี้ไข้คุณเพิ่งจะลดลง ระวังตัวหน่อยนะคะ อย่าเดินไปทั่ว”  

 

 

           หลินฝานครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ “ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไงเหรอครับ”  

 

 

           “ก็ต้องมีคนมาส่งคุณอยู่แล้วล่ะค่ะ” พยาบาลไม่ได้คิดอะไรมาก เอ่ยตอบไปตรงๆ  

 

 

           “คุณรู้ไหมครับว่าใครมาส่งผม”  

 

 

           “เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้นะคะ” เธอยื่นมือออกไปพลางมองหลินฝาน “มาค่ะ เอาปรอทวัดไข้มาให้ฉัน”   

 

 

           หลินฝานหยิบให้เธอไปอย่างซื่อๆ  

 

 

           พยาบาลคนนั้นดูแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ตอนนี้ไข้ลดแล้ว เดี๋ยวสักพักกินยาแล้ว ก็พักผ่อนดีๆ นะคะ”  

 

 

           หลินฝานมองพยาบาลคนนั้นเดินจากไปอย่างตาละห้อย  

 

 

           เขาอ้าปากเอ่ยเสียงต่ำ “ตกลงแล้วใครจะส่งเขามาโรงพยาบาลได้…”  

 

 

           ‘คือไป๋จิ่งเหรอ’  

 

 

           ‘ไม่หรอกมั้ง’ ไป๋จิ่งเกลียดเขาขนาดนั้น ไม่มีทางจะส่งเขาไปโรงพยาบาลได้  

 

 

           อีกอย่าง เป็นไม่ได้ที่ไป๋จิ่งจะรู้ว่าเขาไข้ขึ้น  

 

 

           หลินฝานเอามือกดที่หัวของตัวเอง เขาคิดไม่ตก ในเมื่อคิดไม่ตก ก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว  

 

 

           เขากินยาอย่างว่าง่าย แล้วนอนต่ออีกครั้ง เวลาใกล้จะเที่ยง ถึงมีคนมาเรียกปลุกให้ตื่น  

 

 

           “หายดีแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะคะคุณ”  

 

 

           หลินฝานพยักหน้า ค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกอย่างช้าๆ แล้วลงจากเตียง  

 

 

           “แล้วค่ารักษาพยาบาลล่ะครับ…”  

 

 

           ตอนนี้เขาไม่ได้เอาอะไรมาเลย ดูท่าว่าจะยังจ่ายเงินไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะให้กลับไปก่อน แล้วค่อยเอาเงินมาจ่ายที่โรงพยาบาลได้หรือเปล่า  

 

 

           “มีคนออกค่ารักษาให้คุณแล้ว คุณออกจากโรงพยาบาลได้เลยค่ะ”  

 

 

           หลินฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กลับยังไม่เข้าใจว่าสุดท้ายแล้วใครเป็นคนพาเขามาส่งโรงพยาบาลกันแน่  

 

 

           จนกระทั่งออกพ้นประตูใหญ่ของโรงพยาบาล หลินฝานก็ยังคงสับสน  

 

 

           เขาครุ่นคิด ลองทดสอบหยั่งเชิงโทรหาไป๋จิ่ง ถึงอย่างไรนอกจากไป๋จิ่งแล้ว ก็ไม่มีใครจะส่งเขาไปโรงพยาบาลได้แล้ว  

 

 

           มือถือของไป๋จิ่งดังอยู่สักพัก เขาถึงได้รับสาย  

 

 

           “มีธุระอะไร” เสียงของไป๋จิ่งเย็นชามากถึงมากที่สุด ราวกับว่าแม้แต่รับโทรศัพท์เขาก็ยังไม่ยินดีเลยแม้แต่น้อย  

 

 

           มือหลินฝานที่ถือมือถืออยู่สั่นเทา เพียงชั่วครู่เดียวไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร  

 

 

           ‘เขารู้อยู่แล้ว ไป๋จิ่งเกลียดเขาออกขนาดนี้ จะส่งเขาไปโรงพยาบาลได้ยังไงกัน’  

 

 

           ในเมื่อไป๋จิ่งไม่รู้เรื่องที่เขาอยู่โรงพยาบาล เขาเองก็จะไม่เอ่ยถึงแล้ว  

 

 

           จะได้ไม่ให้ไป๋จิ่งคิดว่าเขากำลังเรียกร้องขอความเห็นใจ  

 

 

           “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากจะถามนายว่าคืนนี้อยากจะกินข้าวด้วยกันไหม”  

 

 

           หลินฝานหาข้ออ้างไปเรื่อยเปื่อย  

 

 

           เดิมไป๋จิ่งอยากจะปฏิเสธ แต่คิดดูแล้ว ก็เอ่ยอีกครั้ง “อืม”  

 

 

           หลินฝานตะลึงงัน คิดว่าตัวเองฟังผิด เขารีบกุมมือถือไว้ แล้วเอ่ยซ้ำอีกประโยค “นาย นายคืนนี้นายจะกลับมากินข้าวด้วยกันเหรอ”  

 

 

           เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าเสียงของตัวเองเจือความดีใจอย่างชัดเจน  

 

 

           ในใจไป๋จิ่งกำลังคิดอย่างอื่นอยู่ ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ได้ยินคำถามของหลินฝานแล้วเอ่ยขานรับ “อืม” จากนั้นก็วางสายไป   

ตอนที่ 490 เขาไปแล้ว  

 

 

           ในห้อง ไป๋จิ่งเพิ่งจะออกมาจากห้องน้ำ  

 

 

           เขาเห็นหลินฝานผลักเปิดประตูเข้ามาพอดี ชะงักฝีเท้าสักพัก ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบๆ ว่า “วันนี้ผมไม่สนใจ คุณไปนอนห้องข้างๆ แล้วกัน”  

 

 

           นิ้วมือหลินฝานแข็งทื่อ แต่กลับทำได้เพียงแค่เอ่ยรับ “ได้”  

 

 

           เขาลากฝีเท้าอันหนักอึ้ง ออกจากห้องนอนของไป๋จิ่งไป  

 

 

           หลินฝานผลักเปิดประตูห้องข้างๆ ข้างในแสนเรียบง่าย เหมือนไม่มีใครอยู่มาก่อนอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           เขามองดูแล้วยื่นมือไปปิดประตู ตั้งแต่เขาเข้ามาพัวพันกับไป๋จิ่ง หลังจากเข้ามาอยู่ในบ้านของไป๋จิ่ง เหมือนนับวันเขาจะยิ่งเกลียดตัวเอง  

 

 

           หลินฝานสับสนวุ่นวายใจ  สิ่งที่เขาทำไม่ดีพอเหรอ  

 

 

           ‘ทำไมไป๋จิ่งถึงไม่ชอบเขาเลยสักนิด’  

 

 

           ตอนนั้นเขาเข้ามาตื้อไป๋จิ่งอย่างด้านได้อายอด ถึงขนาดไม่เสียดายที่อาศัยตอนที่ไป๋จิ่งเมาปีนขึ้นเตียงอีกฝ่าย  

 

 

           คืนนั้น เขาเจ็บจนร้องไห้ แต่กลับยังรู้สึกว่าคุ้มค่า  

 

 

           ขอเพียงแต่ได้อยู่ด้วยกันกับไป๋จิ่ง ไม่ว่าจะเจ็บมากแค่ไหน เขาก็ยินดีทั้งนั้น  

 

 

           ไป๋จิ่งคงจะรู้สึกว่าหลับนอนกับเขาแล้ว เสียเปรียบอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากพาเขากลับมาที่นี่  

 

 

           ในวันปกติพวกเขานอนกันคนละห้อง มีเพียงแค่บางครั้งเท่านั้นถึงจะมานอนด้วยกันได้  

 

 

           ที่จริงจะพูดว่านอนด้วยกันก็ไม่ได้ เวลาส่วนใหญ่จะเป็นไป๋จิ่งที่ทำโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พอทำเสร็จก็พลิกตัวนอนหลับไปทันที  

 

 

           แต่เขากลับต้องลงจากเตียงไป๋จิ่ง แล้วกลับไปห้องของตัวเอง  

 

 

           เพราะว่าไป๋จิ่งไม่ชอบให้เขานอนบนเตียงของตัวเอง  

 

 

           นอกจากทำเรื่องอย่างว่า เขาก็ไม่เคยได้ขึ้นเตียงของไป๋จิ่งเลย  

 

 

           แต่…ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ไป๋จิ่งไม่ทำแม้แต่เรื่องอย่างว่านั้นกับเขาแล้ว  

 

 

           หลินฝานจนใจยิ้มอย่างขมขื่น อาจจะเป็นเพราะไป๋จิ่งรังเกียจเขา รู้สึกว่าเขาน่าสะอิดสะเอียน แม้แต่จะมองสักนิดก็ไม่ยินดีแล้ว  

 

 

           เขานั่งอยู่กับพื้น ไม่รู้ว่าเพราะนั่งยองๆ นานเกินไปหรือเปล่า ขาเป็นเหน็บชา ยืนขึ้นไม่ค่อยจะไหวแล้ว  

 

 

           หลินฝานพยุงตัวเองด้วยตู้ที่อยู่ด้านข้าง ใช้เวลาอยู่ตั้งนานสองนานถึงเพิ่งได้ยืนขึ้นมา ร่างกายไร้เรี่ยวแรง แม้แต่แรงจะเคลื่อนตัวไปห้องน้ำก็ไม่มีแล้ว  

 

 

           เขานอนฟุบอยู่บนเตียง แม้กระทั่งผ้าห่มก็ไม่เปิดออก นอนหลับเป็นตาย  

 

 

           ……  

 

 

           ครั้งนี้เขานอนหลับไปนานมาก หลินฝานรู้สึกแค่เพียงเปลือกตาที่หนักอึ้ง ทำอย่างไรก็ลืมไม่ขึ้น  

 

 

           ทั้งตัวเขาเหมือนกับไฟไม่มีผิด ร้องโอดครวญด้วยความทรมาน  

 

 

           “ร้อน…ร้อนเหลือเกิน…”  

 

 

           เขาถูไถไปกับผ้าปูที่นอนด้วยความทรมาน เหมือนคิดว่าทำแบบนั้นจะรู้สึกสบายขึ้นมาหน่อย  

 

 

           “ทรมาน…ทรมานเหลือเกิน…”  

 

 

           แต่ไม่ว่าเขาจะเอ่ยเสียงต่ำพึมพำอย่างไร ความรู้สึกทรมานนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลย สติเริ่มเลือนราง เพียงไม่นานเขาก็หมดสติไป  

 

 

           เวลาสี่ทุ่มกว่าๆ ไป๋จิ่งถึงเพิ่งจะได้กลับมาที่คอนโดมิเนียม ช่วงนี้งานเขายุ่งมาก ประเด็นสำคัญคือเพราะว่าในห้องยังมีหลินฝานอยู่ด้วย จิตใต้สำนึกเขาสั่งให้เขาหลบหน้าอีกฝ่าย  

 

 

           เขาเปิดประตูเข้ามา แต่กลับไม่ได้มีไฟสว่างเหมือนวันที่ผ่านมา ข้างในมืดสนิท  

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักงันไปครู่หนึ่ง ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา  

 

 

           เขายื่นมือไปกดเปิดไฟ ข้างในห้องเย็นเฉียบ เหมือนกับตอนที่เขาพักอยู่คนเดียวไม่มีผิด  

 

 

           นานแล้วที่ไป๋จิ่งไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้ หลังจากที่หลินฝานเข้ามาอยู่ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเปิดประตูเข้ามา ข้างในก็มักจะมีกลิ่นหอมจางๆ โชยมาเสมอ แล้วไฟก็สว่างอีกด้วย  

 

 

           ในห้องเงียบมาก ไม่มีเสียงอื่นใดดังขึ้นมา  

 

 

           ไป๋จิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูท่าว่าเด็กคนนั้นจะออกไปจากที่นี่แล้ว  

 

 

           ก็ใช่ ช่วงนี้เขาจงใจเย็นชาใส่อีกฝ่าย ถ้าเปลี่ยนคนอื่น คงรับไม่ไหวจนออกจากที่นี่ไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว  

 

 

           พอคิดว่าหลินฝานออกจากที่นี่ไปแล้ว ไป๋จิ่งรู้สึกโล่งใจไปที   

 

 

แต่ในขณะเดียวกันกลับมีความรู้สึกจิตตกที่มีเหมือนไม่มีเพียงเศษเสี้ยวแฝงรวมอยู่ด้วย  

 

 

เขากดเก็บอารมณ์ความรู้สึกในใจ เดินมุ่งหน้าเข้าห้องนอนไป เตรียมอาบน้ำนอน  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 491 ไข้ขึ้นแล้ว  

 

 

           ขณะที่เดินผ่านห้องของหลินฝานที่ปิดสนิท เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลง ไป๋จิ่งยืนอยู่หน้าประตู เห็นข้างในก็ตกใจเล็กน้อย ลังเลใจอยู่ไม่เบา  

 

 

           มือเขาวางอยู่บนที่เปิดประตู แต่กลับไม่กดลงไปสักที  

 

 

           จู่ๆ ไป๋จิ่งก็หัวเราะเยาะตัวเองอยู่พักหนึ่ง เขาปล่อยมือลง เตรียมจะเดินไปต่อ  

 

 

           เขาเพิ่งจะหันหลังไป ข้างในก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นมา เขาหยุดชะงักไป สมองยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา แต่มือก็เปิดประตูอย่างรวดเร็วแล้ว  

 

 

           ทั้งห้องเต็มไปด้วยความมืดมิด ชวนให้ความรู้สึกอึดอัดใจ  

 

 

           อาศัยแสงจันทร์ เขาถึงได้เห็นความระเกะระกะบนเตียง ดูไม่เหมือนว่าหลินฝานจะออกไปจากที่นี่แล้ว  

 

 

           เขารีบยื่นมือไปกดเปิดไฟ ก็เห็นเพียงแค่ผ้าปูที่นอนที่ยับยู่ยี่กระจัดกระจายอยู่ตรงนั้น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินมุ่งหน้าเข้าไปอีกไม่กี่ก้าว  

 

 

           เห็นหลินฝานนอนฟุบอยู่บนพื้นพอดี  

 

 

           ไป๋จิ่งหัวใจกระตุกวูบ เขาเดินเข้าไปสองก้าว นั่งยองๆ ลงต่อหน้าหลินฝาน  

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่ใบหน้าของเขาแดงจัด ร้อนลวกไปทั้งตัว แม้แต่ลมหายใจก็ร้อนแผดเผาเช่นกัน  

 

 

           “หลินฝาน…ตื่นสิ…”  

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำร้องเรียกเขา หลินฝานนอนฟุบอยู่บนพื้น ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับเลยสักนิด  

 

 

           เขารีบสอดแขนช้อนอุ้มร่างคนตรงหน้าขึ้นมาจากพื้น ตอนที่ไป๋จิ่งอุ้มเขา ถึงได้พบว่าตัวเขาร้อนลวกจนไม่ไหว  

 

 

           ไป๋จิ่งรีบวางตัวคนลงบนเตียง ยื่นมือไปตบที่ใบหน้าแดงจัดของเขาเบาๆ “หลินฝาน คุณตื่นก่อน คุณไข้ขึ้นแล้ว ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”  

 

 

           มือไป๋จิ่งที่เย็นเล็กน้อยวางอยู่บนใบหน้าของหลินฝาน รู้สึกสบายมาก หลินฝานเริ่มมีสติขึ้นมาบ้างแล้ว จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาคว้ามือไป๋จิ่งเอาไว้  

 

 

           เขากอดมือไป๋จิ่ง แล้วเอาใบหน้าแนบไปกับฝ่ามือไป๋จิ่ง เขาคลอเคลียไปมาพลางเอ่ยพึมพำ “สบายจัง…”  

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักงันทันที ตัวหลินฝานร้อนจี๋ ทั้งยังมากอดมือตัวเองขนาดนี้ เหมือนอุณหภูมิความร้อนจะแล่นขึ้นไปตามฝ่ามือลุกลามไปถึงหัวใจ  

 

 

           นิ้วมือเขาหดเกร็ง รีบชักมือออกทันที  

 

 

           เมื่อหลินฝานขาดฝ่ามือของไป๋จิ่งไป ก็ขยับอย่างไม่เป็นสุข ราวกับว่ากำลังหาอะไรบางอย่าง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยร้องเรียกอย่างร้อนใจ “อย่า…อย่าไปนะ…”  

 

 

           สีหน้าของเขาดูไม่เป็นสุขเอามากๆ นิ้วมือคลำหาไม่หยุด อยากจะคว้าสิ่งนั้นมา  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาไร้ที่พึ่งพา ในใจก็ตีกันโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปอีกจนได้  

 

 

           พอหลินฝานได้สัมผัสกับมือไป๋จิ่ง เจ้าตัวก็กอดเอาไว้ทันที  

 

 

           ทำท่าทางราวกับว่าได้กอดของรักของล้ำค่าอะไรสักอย่าง หน้าเขาแดงไปหมด แต่กลับยังเชิดมุมปากขึ้น ดูดีใจมากเสียเหลือเกิน  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นรอยยิ้มนั้นที่มุมปากของเขา เหมือนมีสิ่งของอะไรสักอย่างโยนลงมาตกในทะเลสาบแห่งหัวใจที่สงบนิ่งของเขา สร้างความปั่นป่วนทีละนิดๆ  

 

 

           เขาถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ เสียงต่ำเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ผมจะส่งคุณไปโรงพยาบาล โอเคไหม”  

 

 

           หลินฝานไข้ขึ้น ฟังไม่เข้าหูอยู่แล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนบ้าไม่มีผิด คิดไม่ถึงว่าจะมาหารือกับคนที่ไข้ขึ้นจนสติเลอะเลือนได้  

 

 

           หลินฝานไข้ขึ้นจนเป็นสภาพแบบนี้ ถ้าไข้ไม่ลดจะยุ่งยากมากทีเดียว  

 

 

           เขาครุ่นคิด ก่อนจะก้มตัวลงช้อนอุ้มร่างหลินฝานขึ้นมา เตรียมจะส่งเขาไปโรงพยาบาล  

 

 

           เมื่อออกจากห้องมา อุณหภูมิข้างนอกหนาวกว่าในห้อง หลินฝานหนาวสั่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้า แล้วหยิบเสื้อมาห่อคลุมร่างเขาไว้อย่างรวดเร็ว  

 

 

           เวลานี้ถึงได้อุ้มเขาเดินเข้าลิฟต์ไป  

 

 

           ไป๋จิ่งอุ้มเขามาจนถึงลานจอดรถ เขายื่นมือไปเปิดประตูรถด้วยความทุลักทุเล ก่อนจะเอาร่างหลินฝานเข้าไปในรถทันที  

 

 

           เขาอยากจะดึงมือออก แต่หลินฝานรั้งไว้แน่นมาก เสียเวลาไปพักหนึ่ง ถึงเพิ่งจะดึงมือออกมาได้  

 

 

           รัดเข็มขัดนิรภัยให้เขาเรียบร้อยแล้ว ไป๋จิ่งถึงได้เดินอ้อมมาเปิดประตูขึ้นรถอีกฝั่ง  

 

 

           รถเคลื่อนตัวออกจากเขตที่อยู่อาศัย หลินฝานขยับอย่างไม่สบายตัว เหมือนกำลังคลำหามือไป๋จิ่งอยู่  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา ใบหน้าก็ฉายสะท้อนความจนใจในความรู้สึกขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังยื่นมือขวาออกไปส่งถึงมือหลินฝานจนได้    

ตอนที่ 488 กลับประเทศฉบับซือเฉิน

 

 

           วันนั้นที่กลับประเทศไป ไม่รู้ว่าข่าวลือมาจากไหน รู้ว่าซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินจบการฮันนีมูนกลับมาแล้ว

 

 

           ณ สนามบิน มีคนกลุ่มหนึ่งเป็นนักข่าวและเหล่าแฟนคลับสาวๆ ของพวกเขาทั้งสองคนที่มากันอีกมากมาย

 

 

           รายล้อมสนามบินจนการทัศนาจรติดขัด

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนลงจากเครื่องบินมา พอเห็นภาพตรงหน้าก็ตะลึงงันไปขณะหนึ่ง

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง

 

 

           เจียงมู่เฉินตอบกลับเขาด้วยสีหน้างุนงง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น คงจะไม่ใช่ว่าอยากจะต่อต้านพวกเราสองคน เลยตั้งใจมาดักพวกเราหรอกใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูกลุ่มคนที่แน่นขนัดไปหมด เขาจูงมือเจียงมู่เฉินเดินออกไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง

 

 

           ที่ที่พวกเขาโดนปิดทางเป็นทางออกเดียวเท่านั้นของพวกเขาพอดี ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินออกมา ก็ถูกกลุ่มคนรายล้อมอยู่ข้างใน

 

 

           กลุ่มนักข่าวถือกล้องถ่ายวิดีโอพุ่งตรงเข้ามา “ได้ยินว่าคุณสองคนจดทะเบียนสมรสกันแล้วใช่ไหมครับ”

 

 

           “สำหรับเรื่องนี้ พวกคุณมีอะไรอยากจะพูดไหมครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นกลุ่มกล้องถ่ายวิดีโอพวกนั้น เขาก็ปวดหัวแล้ว

 

 

           ‘ถึงแม้ว่าปกติเขาจะเปิดเผยไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ชอบโอ้อวดขนาดนี้นะ’

 

 

           แต่ว่าคนเขาบุกมาถึงต่อหน้าของเขาแล้ว  คุณชายน้อยเจียงไม่ได้มีนิสัยวิ่งหนีด้วยสิ

 

 

           เขายกมือซือเหยี่ยนขึ้นมา แหวนของทั้งสองคนเผยออกมาให้เห็นต่อหน้ากล้อง เจียงมู่เฉินมองพวกเขาอย่างเปิดเผย “นี่ควรจะชัดมากแล้วสินะ”

 

 

           เขาชี้ที่ตัวเอง “แต่งงานแล้ว”

 

 

           แล้วชี้ไปที่ซือเหยี่ยน “แต่งงานแล้วเหมือนกัน”

 

 

           หลังจากนั้นก็ยิ้มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “พวกคุณว่าไงล่ะ”

 

 

           คนกลุ่มนั้นเบนสายตามามองซือเหยี่ยนทันทีหลังจากนั้น ก็เห็นเพียงซือเหยี่ยนเอียงหน้ามองใบหน้าอันห้าวหาญของเจียงมู่เฉิน

 

 

           “ที่เฉินเฉินพูดก็คือสิ่งที่ผมต้องการจะพูด”

 

 

           ……

 

 

           “ฉันว่าพวกคุณอย่าทรมานคนโสดอยู่เรื่อยจะได้ไหม ตั้งแต่เปิดตัวจนขอแต่งงาน ยันตอนนี้แต่งงานแล้ว ฉันจะโดนพวกคุณสองคนทรมานปางตายอยู่แล้ว”

 

 

           จี้ฉิงขับรถไปด้วย อยากจะร้องไห้ไปด้วยจริงๆ

 

 

           วันๆ อยู่กับสองคนนี้ โดนทรมานใจจนสงสัยในชีวิตตัวเองแล้วจริงๆ

 

 

           เธอครุ่นคิดอย่างจริงจัง ตัวเองจิตใจงามเกินไปหรือเปล่า ตอนนั้นที่เจียงมู่เฉินบอกเลิกกัน เธอควรจะเล่นละครเป็นนางเอกเจ้าน้ำตาสักหน่อย

 

 

           ขอความเห็นใจด้วยท่าทีอ่อนแอ จากนั้นก็ป้ายสีสาดโคลนให้เจียงมู่เฉินเจ้าหมอนี่นิดหน่อย

 

 

           เห็นเขายังทำหน้าชื่นตาบานแบบนี้

 

 

           จี้ฉิงถอนหายใจ อยู่กับพวกเขาสองคนแบบนี้มานานแล้ว เธอก็อยากจะมีความรักกับใครสักคนเหมือนกัน

 

 

           มาเติมเต็มหัวใจที่บอบช้ำของตัวเองให้หายดี

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเธอแวบหนึ่ง “เธอก็มาทรมานใจฉันได้นะ มีความสามารถก็ไปหาคนมาทรมานใจฉันสิ”

 

 

           จี้ฉิงกุมพวงมาลัยไว้ อยากจะหักมันออกมาทุบใส่หน้าเจียงมู่เฉิน

 

 

           ตัวเองหนีออกไปฮันนีมูน แล้วกลับทิ้งให้เธอทำงานหนักที่บริษัททั้งวัน เธอเงยหน้ามองเจียงมู่เฉินจากกระจกหลัง  รู้สึกว่าตัวเองโดนเจียงมู่เฉินเจ้าหมอนี่ขุดหลุมฝังให้แล้วใช่ไหม

 

 

           ……

 

 

           เธอพาคนมาส่งยังคอนโดมิเนียมที่พวกเขาสองคนพักอยู่ จี้ฉิงไม่อยากจะพูดคุยกับพวกเขาต่อ เธอขับรถออกไปทันที

 

 

           ณ ลานจอดรถ เหลือเพียงแค่เจียงมู่เฉินและซือเหยี่ยนกันสองคน

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “ไปกันเถอะ พี่ชาย พานายกลับบ้านแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยความขบขัน มองเขาอย่างเอาจริงเอาจัง “งั้นก็รบกวนเฉินเฉินแล้ว”

 

 

           ใบหน้าเรียวเล็กของเจียงมู่เฉินขึ้นสีแดงระเรื่อ ชักจะรู้สึกเขินอายนิดหน่อยแล้ว

 

 

           เขาปกปิดซ่อนความรู้สึกในหัวใจไม่ไหว จูงมือซือเหยี่ยน เดินกลับบ้านไปด้วยกัน

 

 

           ……

 

 

           หลังจากกินอาหารกันเสร็จ เจียงมู่เฉินยืนอยู่ที่ระเบียง ซือเหยี่ยนเดินเข้ามาจากห้องรับแขก

 

 

           ในมือเขาคีบบุหรี่มวนหนึ่งอยู่ ซือเหยี่ยนเดินเข้าไปหยิบบุหรี่ในมือเขาขึ้นมา แล้วสูบเข้าไปเต็มๆ คำ

 

 

           ซือเหยี่ยนเอาบุหรี่มวนนั้นวางลงในที่เขี่ยบุหรี่

 

 

           ทันทีหลังจากนั้นเขาก็โน้มเข้าใกล้เข้าไปประกบจูบริมฝีปากเจียงมู่เฉินที่ยังคุกรุ่นไปด้วยกลิ่นบุหรี่จางๆ

 

 

           กลิ่นบุหรี่อบอวลอยู่ในลมหายใจของคนสองคน จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ยิ้มหัวเราะขึ้นมา เอียงหน้าไปกัดคอซือเหยี่ยนคำหนึ่ง

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง ยกมือขึ้นลูบรอยฟันที่เขาทิ้งไว้

 

 

           เขาเงยหน้าขึ้นประสานมือเจียงมู่เฉินไว้ในทันใด

 

 

           ในยามราตรีอันเงียบสงัด หัวใจทั้งสองดวงที่ฝ่าฟันอุปสรรคกันมาในที่สุดก็ได้อยู่เคียงคู่กันเสียที

 

 

            

 

 

        ตอนที่ 489 สั่นเทาอยู่เล็กน้อย

 

 

           หลังจากที่ไป๋จิ่งย้ายมาอยู่ข้างห้องมั่วไป๋ ในใจก็ค่อนข้างจะกระวนกระวายอยู่ในที เขาอดจะคิดไม่ได้ว่าหลังจากที่มั่วไป๋เจอหน้าเขาแล้วจะมีท่าทีตอบสนองแบบไหน

 

 

           จะโกรธหรือว่าจะเมินเฉยโดยไม่สนใจอะไร

 

 

           เขารอมาหนึ่งวัน ก็ไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดใดจากห้องข้างๆ ทั้งสิ้น

 

 

           รอจนมาถึงตอนค่ำ กว่าเขาจะเตรียมใจตัวเองให้พร้อมได้ไม่ใช่ง่ายๆ ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองควรจะเป็นฝ่ายเริ่มบ้าง เป็นฝ่ายไปหามั่วไป๋ที่ห้องเอง

 

 

           หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาเป็นฝ่ายถูกตามตื้อมาตลอด ตั้งแต่ตอนนั้นที่หลินฝานเริ่มมาพัวพันกับเขา คนที่พยายามมาตลอดไม่ใช่เขาทั้งนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งหลับตาลง ปลุกความกล้าให้เต็มที่ แล้วเดินไปถึงหน้าประตูห้องมั่วไป๋

 

 

           เขายกมือขึ้น แต่กลับงกๆ เงิ่นๆ ไม่กล้าลงมือสักที

 

 

           ผ่านไปนานสองนาน ในที่สุดเขาก็เคาะประตูห้องมั่วไป๋ สีหน้าท่าทางเขาดูตื่นตระหนก ตัวแข็งทื่อ รอมั่วไป๋มาเปิดประตู

 

 

           แต่รออยู่หลายนาที ประตูห้องมั่วไป๋ก็ไม่ได้ถูกเปิดออกเสียที

 

 

           ไป๋จิ่งงุนงง รีบเคาะประตูอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตูเลย

 

 

           ‘ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้สิ มั่วไป๋พักอยู่ที่นี่ชัดๆ จะไม่อยู่ที่นี่ได้ยังไง’

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิดแล้วหยิบมือถือขึ้นมาโทรหามั่วไป๋

 

 

           ตั้งแต่มั่วไป๋จากไปไม่อยู่ข้างกายเขา มั่วไป๋ก็ไม่ได้รับสายเขามาตลอด

 

 

           ไป๋จิ่งหอบใจที่อยากลองดูสักตั้ง กดโทรออกหามั่วไป๋

 

 

           เขาตะลึงงัน…

 

 

           เดิมคิดว่ามั่วไป๋แค่ไม่อยากจะรับสายเขา แต่คิดไม่ถึงว่าเบอร์มือถือของเขาจะกลายเป็นเบอร์ว่างไปแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งหวาดหวั่นใจอยู่ไม่น้อย ไม่เจอมั่วไป๋ที่คอนโดมิเนียม เบอร์มือถือก็เป็นเบอร์ที่ไม่มีคนใช้

 

 

           เวลานี้เองเขาถึงได้เข้าใจ ว่าต่อให้ตัวเองจะตามเขากลับมาอย่างด้านได้อายอดแค่ไหน แต่ถ้ามั่วไป๋ไม่ยินยอม เขาก็ไม่มีทางจะติดต่อมั่วไป๋ได้อยู่แล้ว

 

 

           ที่ผ่านมาเป็นมั่วไป๋เองที่เป็นฝ่ายปรากฏตัว ขอเพียงแต่เขาอยากเจอมั่วไป๋ มั่วไป๋ก็จะออกมาปรากฏตัวอยู่เคียงข้างตัวเองได้เสมอ

 

 

           ไป๋จิ่งพิงซบประตู หลับตาลง

 

 

           ในเมื่อตอนนี้เขาไม่อยู่ที่บ้าน เช่นนั้นเขาก็จะรออยู่ที่นี่ก็ได้

 

 

           ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ เขาก็ยินดีที่จะรอ

 

 

           ไป๋จิ่งพิงซบอยู่ตรงนั้น เงาร่างสูงใหญ่ไม่ขยับไปไหน ต่อให้แม้แต่ขาก็เริ่มจะชาเล็กน้อย เพราะยืนเป็นเวลานาน

 

 

           ไป๋จิ่งก็ยังคงอยู่ในท่าเดิมเมื่อครู่ ยังคงไม่ขยับไปไหน

 

 

           เวลาผ่านไปวินาทีต่อนาที ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงอย่างช้าๆ เพียงไม่นานเวลาก็เคลื่อนผ่านไปถึงช่วงค่ำแล้ว

 

 

           ลิฟต์ชั้นนี้ไม่ได้ถูกเปิดใช้เลย แม้แต่คนที่ขึ้นมาผิดชั้นสักคนยังไม่มี

 

 

           ไป๋จิ่งสิ้นหวังในใจ แต่กลับยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นตลอด

 

 

           ราวกับว่าเฝ้าอยู่ตรงนี้แล้ว เฝ้าจนนาทีสุดท้ายก็จะได้เจอมั่วไป๋อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เขายกมือขึ้นมากุมขมับ หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า

 

 

           ……

 

 

           “ไป๋จิ่ง…ฉันทำอาหารมา นายอยากจะกินสักหน่อยไหม” หลินฝานยืนอยู่หน้าทางเข้าห้องรับแขก มองไป๋จิ่งอย่างตื่นตระหนกอยู่ในที

 

 

           เขาเบิกตากว้าง แววตารอคอยอยู่ไม่น้อย ราวกับหวังว่าไป๋จิ่งจะยอมตกลงได้

 

 

           ไป๋จิ่งเดินเข้าประตูด้วยความเหนื่อยล้า มองก็ไม่ได้มอง แต่ปฏิเสธไปเสียดื้อๆ

 

 

           “ไม่กิน”

 

 

           เขาพูดจบก็เดินมุ่งหน้าเข้าห้องนอนไปในทันที

 

 

           หลินฝานมองตามแผ่นหลังของไป๋จิ่งที่เดินจากไป มือที่ถือตะเกียบอยู่แข็งทื่อ แทบจะถือไว้ไม่อยู่ตะเกียบเกือบจะร่วงหล่นลงมา

 

 

           เขากำตะเกียบในมือแน่น ผ่านไปนานสองนานถึงได้ขยับขาด้วยความลังเล

 

 

           หลินฝานหันกลับมามองอาหารที่มีกลิ่นหอมโชยอยู่บนโต๊ะ ความเจ็บปวดปรากฏในดวงตา

 

 

           เขานั่งลงต่อหน้าโต๊ะอาหารโดดเดี่ยวดายอยู่คนเดียว ในมือกอดชามกระเบื้องชามหนึ่งไว้ หลินฝานถือตะเกียบคีบข้าวขาวเข้าปากด้วยความยากลำบาก นัยน์ตามืดหม่น

 

 

           อาหารครบเครื่องสีสวยกลิ่นหอมแต่เดิมนั้น เมื่ออยู่ในปากหลินฝาน กลับรับรสอะไรออกมาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

           ความรู้สึกเดียวที่เขารับรู้ได้คือรสขมฝาดจางๆ

 

 

           แสงไฟสลัวตกกระทบบนตัวหลินฝาน รู้สึกได้แค่เพียงว่าเด็กหนุ่มผอมโซคนนี้ เหมือนนิ้วมือเขาที่ใช้คีบกินข้าวกำลังสั่นเทาอยู่เล็กน้อย

ตอนที่ 486 ฮันนีมูนฉบับซือเฉิน

 

 

           ทั้งสองคนอยู่ในโรงแรมมาสองวัน ซือเหยี่ยนถึงได้ปล่อยคนออกมาได้ เจียงมู่เฉินรอจนราขึ้นมาตั้งนานแล้ว

 

 

           พอออกข้างนอกได้ราวกับเพิ่งปล่อยออกมาจากกรงไม่มีผิด

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินตามอยู่ข้างหลังเห็นเจียงมู่เฉินเดินพล่านไปทั่ว มือก็อดจะยกขึ้นมากุมหัวตัวเองไม่ได้

 

 

           กักตัวอยู่สองวันเพิ่งถูกปล่อยตัวออกมา เจียงมู่เฉินเห็นอะไรก็ดูสดใหม่ไปหมด

 

 

           มีศิลปินข้างถนนอยู่ไม่น้อย เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เดี๋ยวไปดูโน่นที เดี๋ยวไปดูนั่นที

 

 

           เขาวิ่งไปสักพักหนึ่ง ถึงเพิ่งมานึกถึงซือเหยี่ยนขึ้นมาได้ เมื่อหันกลับไปก็ไม่เห็นเงาของซือเหยี่ยนแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ เดินกลับไปทางเดิมตามหาซือเหยี่ยน ก็เห็นแค่เพียงซือเหยี่ยนถูกสาวน้อยคนหนึ่งดึงไว้ ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง  อยู่ในช่วงฮันนีมูนแท้ๆ ยังไปอ่อยคนอื่นอีกเหรอ

 

 

           ด้วยเหตุนี้ในฐานะสามีตัวจริงเสียงจริงของคุณชายซือ เจียงมู่เฉินเตรียมจะไปดูอะไรสนุกๆ แล้วก็ถือโอกาสช่วยซือเหยี่ยนออกมาด้วย

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินไปอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนก็ยังถูกตื้อไม่เลิก เจียงมู่เฉินถอนหายใจ นิสัยเย็นชา รังสีที่แค่เอ่ยปากคนก็แข็งตายได้แล้วเมื่อก่อนหน้านี้ ทำไมถึงไม่ใช้กับสาวน้อยที่นี่

 

 

           ‘หรือว่าซือเหยี่ยนรู้สึกว่าสาวน้อยคนนี้ดูน่าสงสารชัดเจน ตัดใจไม่ลงเหรอ’

 

 

           คิดได้เช่นนี้ คุณชายเจียงก็รู้สึกถึงวิกฤตที่กำลังจะตามมาแล้ว

 

 

           ‘ฮันนีมูนกันอยู่ ซือเหยี่ยนก็เริ่มเป็นคนโลเลสองจิตสองใจแล้วใช่ไหม’

 

 

            เจียงมู่เฉินเดินเข้าไป ยื่นมือไปจูงมือซือเหยี่ยนมา ยังเป็นแบบสอดประสานมือกับแน่นสนิทอีกด้วย

 

 

           เขาพิงซบไหล่ซือเหยี่ยนอย่างตามใจ ทำทีสนิทสนมมองสาวน้อยคนนั้น “หาแฟนฉันมีธุระอะไรหรือเปล่า”

 

 

           ใบหน้าของสาวน้อยค่อนข้างแดง เหมือนจะเขินอายอะไรอย่างนั้น

 

 

           เธอมองดูเจียงมู่เฉินแล้วพูดไม่ออกสักคำ

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทำหน้าเขินอายแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน หรือว่าเมื่อกี้เขาไม่อยู่ ซือเหยี่ยนกับสาวน้อยคนนี้มีเรื่องเกิดขึ้นแล้ว

 

 

           เขาหันมามองซือเหยี่ยน เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ให้เขาอธิบายมาดีๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉิน แล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้

 

 

           เขาทำหน้าหึงแบบนี้ สิ้นเปลืองไปพอควรแล้วจริงๆ

 

 

           ไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนั้นคิดถึงอะไรได้ เหมือนจะตัดสินใจเงยหน้ามองมาที่เจียงมู่เฉินกะทันหัน

 

 

           เสียงเล็กของเธอเอ่ยขึ้น “ฉัน…ฉันชอบคุณมากเลยค่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”  อะไรกัน

 

 

           ‘มาตื้อซือเหยี่ยนคุยนู่นนี่กันอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมมาพูดว่าชอบเขาอีกล่ะ’

 

 

           “ฉัน…ฉันพักอยู่โรงแรมเดียวกันกับพวกคุณ ฉันชอบคุณมาก คิดไม่ถึงว่าเมื่อกี้จะบังเอิญเจอกันที่ถนน ก็อยากจะ…กับคุณ”

 

 

           เธอกะพริบตาปริบๆ ด้วยความเขินอาย “แต่ว่าคุณคนนี้บอกว่าคุณแต่งงานกับเขาแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง รู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างเข้าใจยากและเหลือเชื่อจริง เขารู้ว่าตัวเองหล่อพอประมาณ  แต่ว่าก็ไม่ถึงขั้นที่คนเห็นแล้วจะรักได้เลยนะ

 

 

           เขาชี้ไปที่ซือเหยี่ยนอย่างคนที่เพิ่งเข้าใจอะไรทีหลัง “งั้นเธอไม่ได้มาวอแวแฟนฉันเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเมินหน้านี้อย่างเงียบๆ ไม่มีหน้ามาดูต่อแล้ว

 

 

           สาวน้อยคนนั้นใบหน้าแดงไปหมด เหมือนจะรู้สึกเลิ่กลั่กมากอย่างไรอย่างนั้น “ไม่ใช่อยู่แล้วค่ะ”

 

 

           ได้ยินคำตอบนี้ อารมณ์เจียงมู่เฉินก็เปลี่ยนไปดีขึ้นในพริบตา

 

 

           จะชอบใครก็ได้ทั้งนั้น แต่จะชอบซือเหยี่ยนไม่ได้ แบบนี้ก็ดี

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นใบหน้าเขาออกอาการ ก็รีบเอื้อมมือไปดึงเจียงมู่เฉินมา ก่อนจะเอ่ยกับสาวน้อยคนนั้นอย่างมีมารยาท “ขออภัย พวกเรายังมีธุระ ขอตัวก่อน”

 

 

           เจียงมู่เฉินยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็โดนซือเหยี่ยนลากออกไปแล้ว

 

 

           ระหว่างทาง เจียงมู่เฉินก้มหน้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง พลางเอ่ยถาม “ดีใจขนาดนี้เชียว”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “แน่นอนสิ”

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนมืดมัวลงไปบางส่วนแล้ว “ในเมื่อคุณดีใจขนาดนี้ อยากให้ผมไปตามคนกลับมาไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงันไปครู่หนึ่ง “ตามกลับมา? ตามอะไรกลับมา?”

 

 

           

 

 

      ตอนที่ 487 ฮันนีมูนฉบับซือเฉินภาคสอง

 

 

           เขาดีใจที่ซือเหยี่ยนไม่มีคนมาวอแว  แล้วซือเหยี่ยนอยากจะหาอะไร

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้างุนงง ก็ขบกรามเงียบๆ “มีคนมาสารภาพรักกับคุณ คุณเลยดีใจไม่ใช่หรือไง ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็จะช่วยไปตามคนกลับมาไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองเห็นใบหน้าบูดบึ้งของเขา มุมปากก็อดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้

 

 

           ‘งั้นแปลว่าท่าทีแบบนี้ของซือเหยี่ยนคือหึงเขาแล้วเหรอ’

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกแปลกใจ เมื่อก่อนเขายังไม่เคยเห็นซือเหยี่ยนหึงแบบนี้ ที่ผ่านมามีแต่เขาที่เป็นฝ่ายหึงซือเหยี่ยน

 

 

           คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ซือเหยี่ยนจะเป็นฝ่ายมาหึงเขาบ้าง คิดๆ ดูแล้ว รู้สึกชื่นใจอย่างเหลือเชื่อทีเดียว

 

 

           คิดได้อย่างนี้ เจียงมู่เฉินอดจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้อยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยนไม่ได้ “นายหึงฉันแล้วใช่ไหมล่ะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง “น่าเบื่อ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกำมือเขาแน่น “พี่ชาย นายบอกมาตามตรงเถอะ เมื่อกี้นายหึงฉันแล้วใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนทำหน้าบึ้งตึง ไม่อยากพูดกับเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ละความพยายาม เขารั้งซือเหยี่ยนไว้ ออดอ้อนเขาอยู่ข้างหลัง “พี่ชาย นายอย่าเขินสิ เมื่อกี้นายหึงจริงๆ ใช่ไหมล่ะ”

 

 

           “ซือเหยี่ยน…”

 

 

           “พี่ชาย…”

 

 

           “พี่เหยี่ยน…”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงอู้อี้อยู่ข้างหลัง ซือเหยี่ยนได้ยินจนใบหูขึ้นสีแดงแล้ว

 

 

           โชคดีที่พวกเขาสองคนอยู่ต่างประเทศกัน ไม่อย่างนั้นถ้าคนรอบข้างมาได้ยินคำพูดเสี่ยวๆ หยอดๆ ที่หน้าไม่อายของเจียงมู่เฉินเข้า ซือเหยี่ยนเกรงว่าจะไม่ใช่แค่หูแดงแล้ว

 

 

           แต่จะแดงไปทั้งตัวมากกว่า

 

 

           “พี่เหยี่ยน…นายพูดกับฉันหน่อยสิ หึงแล้วใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนถูกเขาเอ่ยรียกจนในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว

 

 

           เขาหยุดฝีเท้าลง ยื่นมือไปดึงเจียงมู่เฉินไว้ ตีหน้าขรึมเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “คุณเก็บอาการสักหน่อยจะได้ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “เก็บอาการ?”

 

 

           ‘เขาเจียงมู่เฉินอะไรก็ทำเป็น แต่เก็บอาการไม่เป็นไง’

 

 

           “นายไม่ได้เพิ่งมารู้จักฉันวันแรกสักหน่อย นายเห็นฉันเหมือนคนเก็บอาการเป็นหรือไง”

 

 

           เขาพูดไปก็ทำเสียงอู้อี้ไปด้วย “พี่เหยี่ยน นายบอกฉัน บอกฉันมาเถอะ ตกลงแล้วนายหึงแล้วใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ บังคับข่มอารมณ์ที่อยากจะอุ้มเจียงมู่เฉินพาดบ่าเดินออกไป

 

 

           “อืม”

 

 

           เขาเอ่ยคำนี้ด้วยเสียงจางๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงัน เขาไม่ได้ยิน

 

 

           เขารีบคว้าซือเหยี่ยนไว้ “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างขึงขัง “เมื่อกี้ผมพูดไปแล้ว”

 

 

           “แต่ฉันไม่ได้ยินไง” เจียงมู่เฉินโอดครวญ กว่าจะทำให้ซือเหยี่ยนพูดได้ไม่ใช่ง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังไม่ได้ยินอีก

 

 

           ซือเหยี่ยนหันหน้ากลับไป เอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ถึงยังไงผมก็พูดไปแล้ว คุณไม่ได้ยิน ก็ไม่เกี่ยวกับผมแล้ว”

 

 

           เขาพูดจบก็เดินไปข้างหน้า เจียงมู่เฉินสีหน้าอมทุกข์โดนซือเหยี่ยนลากเดินไป คนรอบข้างเห็นท่าทางของทั้งสองคน ก็รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ อดจะมองตามไปอีกไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นคนรอบข้างมองมา ตาก็ลุกวาวในทันใด จู่ๆ เขาก็เอื้อมมือไปกอดเอวซือเหยี่ยนไว้ ใช้ภาษาอังกฤษตะโกนออกมาเสียงดัง “ที่รัก อย่าไปนะ เมื่อก่อนนายพูดแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะอยู่กับฉันไปตลอดชีวิต…

 

 

           …ทำไมนายถึงเปลี่ยนใจไปคบกับผู้หญิงคนอื่นได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยอารมณ์โศกเศร้า แสดงท่าทีว่าเจ็บจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว  เฉินเฉินของเขาเล่นอะไรแผลงๆ อีกแล้วเหรอ

 

 

           “นายบอกว่าฉันเป็นผู้ชาย ครอบครัวนายไม่ยอมรับ แต่เมื่อก่อนนายก็ไม่ได้พูดแบบนี้ นายบอกว่าฉันดี บอกว่านายชอบฉัน ต่อให้ฉันเป็นผู้ชายก็ไม่เป็นไร…

 

 

           …ฉันรักนายขนาดนี้ นายจะทิ้งฉันแล้วเดินหนีไปได้ยังไง”

 

 

           เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมาจากรอบข้าง ต่างก็พากันตำหนิติเตียนซือเหยี่ยนอย่างไม่ขาดสาย

 

 

           นัยน์ตาเจียงมู่เฉินประกายรอยยิ้ม อดจะคิดไม่ได้ว่า  ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่จะทำยังไง

 

 

           ผลปรากฏว่าจู่ๆ ซือเหยี่ยนก็อุ้มเขาขึ้นบ่า “ภรรยาผมบอกแล้ว ว่าถ้าคุณต้องการจะมายุ่งกับผมให้ได้ ก็มีแค่เพียงผมหย่าแล้วเท่านั้น”

 

 

           ขณะพูดก็อุ้มคนขึ้นบ่าแล้วเดินไปทันที เจียงมู่เฉินโดนอุ้มพาดบ่า ใบหน้าเขาแดงไปหมดแล้ว

 

 

           “ซือเหยี่ยน นายรีบปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้”

 

 

           “คุณไม่อยากให้ผมทิ้งคุณไปไม่ใช่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่ “งั้นนายก็ไม่ต้องแบกฉันขึ้นบ่าแล้ว ฉันใกล้จะอาเจียนใส่นายแล้วนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยักคิ้วด้วยท่าทีเรียบเฉย “ไม่เป็นไร ผมชอบให้คุณฟุบบนไหล่ผมแล้วอาเจียน”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”           

ตอนที่ 484 คืนเข้าหอ  

 

 

           พิธีแต่งงานจัดกันตอนค่ำ เจียงมู่เฉินเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน เมื่อยล้าไปทั้งตัว เตรียมจะอาบน้ำแล้วก็จะนอนทันที  

 

 

           เมื่อก่อนเจียงมู่เฉินไม่เคยคิดว่างานแต่งงานจะยุ่งยากได้ขนาดนี้ วันนี้ได้มีประสบการณ์แล้ว เหนื่อยจนจะกระอักแล้วจริงๆ  

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียง เจียงมู่เฉินก็ไม่ได้เรียกเขา แต่ตรงเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำทั้งอย่างนั้น  

 

 

           เพิ่งจะอาบน้ำไปได้ครึ่งหนึ่ง ซือเหยี่ยนก็เปิดประตูเดินเข้ามา  

 

 

           เจียงมู่เฉินชินชากับการที่ซือเหยี่ยนเอะอะก็ซุ่มโจมตี เขาไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว  

 

 

           ถึงอย่างไรช่วงเวลานี้ซือเหยี่ยนก็หักห้ามความต้องการจนชินแล้ว ต่อให้อาบน้ำด้วยกัน ก็ปลอดภัยมาก  

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เจียงมู่เฉินจึงผ่อนคลายร่างกายแล้วอาบน้ำต่อไป  

 

 

           อาบน้ำได้เพียงครู่เดียว ซือเหยี่ยนก็แทรกตัวเข้ามา เขาเอื้อมมือไปอุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นมา เจียงมู่เฉินถือโอกาสนอนฟุบไปกับร่างของซือเหยี่ยน  

 

 

           ทั้งสองคนอาบน้ำกันอย่างรวดเร็วไป เจียงมู่เฉินค่อนข้างง่วงจนจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เสียงต่ำเอ่ยกับซือเหยี่ยน “นายค่อยๆ อาบน้ำไปนะ ฉันง่วงแล้ว จะกลับไปนอน”  

 

 

           ขณะที่เขาพูดก็เตรียมจะลุกขึ้น ผลปรากฏว่าถูกซือเหยี่ยนกดร่างลงไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงันในทันใด ต่อมาก็โดนประกบปากเข้าอย่างจัง  

 

 

           เขาเบิกตาโตมองซือเหยี่ยน  บอกว่าจะหักห้ามความต้องการแล้วไม่ใช่เหรอ จู่ๆ มาจูบเขาตอนนี้หมายความว่ายังไง  

 

 

            เพียงแต่ว่าซือเหยี่ยนไม่เพียงแค่อยากจูบ เขายังอยาก ‘ทำ’ ด้วย  

 

 

           เขาเอื้อมมือไปกดซือเหยี่ยนไว้ กว่าจะทำให้ซือเหยี่ยนปล่อยได้ไม่ใช่ง่ายๆ “นายแม่งจู่ๆ มาจูบฉันทำไม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไขสือมองเขา “คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของพวกเราไม่ใช่เหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…” มุมปากอดจะกระตุกแล้วกระตุกอีกไม่ได้  

 

 

           ‘เข้าหอ’ ได้ยินสองคำนี้แล้ว ทำไมรู้สึกแปลกๆ ขนาดนี้ เขาไม่อยากเข้าหอกับซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่เลยสักนิด  

 

 

           แต่ประธานซืออดกลั้นมาได้หลายเดือนแล้ว แม้กระทั่งยามที่เจียงมู่เฉินยั่วยวนเขาก็ยังสงบนิ่ง ไม่ได้โผตัวเข้าใส่ทำเลยด้วยซ้ำ  

 

 

           ก็เพื่อรอให้ได้เข้าพิธีแต่งงานกับเจียงมู่เฉินอย่างเป็นจริงเป็นจังเสร็จสรรพ แล้วค่อยมาเข้าหอกัน  

 

 

           เจียงมู่เฉินขัดขืนได้นิดหน่อย เพียงไม่นานถูกซือเหยี่ยนเอาใจจนแขนขาอ่อนระทวย  

 

 

           ทั้งคืนซือเหยี่ยนไม่ได้ปล่อยเจียงมู่เฉินไปง่ายดายทั้งนั้น  

 

 

           “ผมอดทนมาสามเดือนแล้ว คุณแข็งใจให้ผมอดกลั้นต่อไปอีกได้ลงคอเหรอ”  

 

 

           “วันนี้พวกเราแต่งงานกัน”  

 

 

           “เฉินเฉิน ผมยังอยากกอดคุณอีก”  

 

 

           เพิ่งจะเริ่ม ประธานซือยังข้ออ้างได้อีกเป็นกอง จนสุดท้ายก็เป็นแบบนี้จนได้ “ขออีกครั้งได้ไหม”  

 

 

           “เฉินเฉิน ผมยังต้องการอีก”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางแสนซื่อแบบนั้นของเขา ก็ยอมปล่อยเลยตามเลยทีละนิดๆ จากนั้นก็ปล่อยอีกทีละนิดๆ สุดท้ายก็โดนซือเหยี่ยนกินปางตาย  

 

 

           จากบนลงล่าง ไม่ปล่อยผ่านเลยสักที่  

 

 

           สุดท้ายเจียงมู่เฉินเงยหน้ามองเพดานห้องด้วยความหมดอาลัยตายอยาก  

 

 

           ที่แท้เรื่องแบบนี้ยังต้องแบ่งเฉลี่ยทำการบ้านเป็นทุกวันจะดีกว่า  

 

 

           สะสมคั่งค้างนานเกินไป  รับไม่ไหวจริงๆ นะ  

 

 

           เอะอะก็มาทำอย่างนี้ เขารู้สึกว่าจะรับประกันการใช้ชีวิตอย่างแข็งแรงไปจนแก่ได้ยากแล้ว  

 

 

           แต่พอเห็นซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินก็ใจอ่อนยวบในบัดดล เหลือเพียงแค่การปล่อยให้เขาทำตามใจ  

 

 

           ดังนั้นเจียงมู่เฉินจึงถูกซือเหยี่ยนกินจนเกลี้ยงไม่มีเหลือ สุดท้ายแขนขาอ่อนแรง เขาตัดใจผลักซือเหยี่ยนออกไปไม่ลง  

 

 

           แต่ว่าซือเหยี่ยนไม่ว่าอย่างไรก็ยังถือว่าพอรู้จักลิมิตอยู่บ้าง ไม่ได้ทำเต็มๆ ทั้งคืนอย่างที่เขาว่าจริงๆ  

 

 

           เวลาตีสองครึ่ง ในที่สุดซือเหยี่ยนก็หยุดลงได้เสียที  

 

 

           เจียงมู่เฉินเหนื่อยล้าจนไม่ไหว นอนฟุบอยู่บนตัวซือเหยี่ยน แล้วผล็อยหลับไป  

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่ได้ไปขยับตัวเขา กอดเขาไว้อย่างนี้ เขาก้มหน้ามองดูคิ้วตาของเจียงมู่เฉิน รอยยิ้มก็ทอประกายในแววตา  

 

 

           หลายปีมานี้ เขาจูงมือเจียงมู่เฉินให้เข้ามาหาอยู่ข้างกายตัวเองทีละนิดๆ ในที่สุดคนคนนี้ก็ตกเป็นของตัวเองโดยสมบูรณ์แล้ว  

 

 

           เขากุมมือเจียงมู่เฉินไว้  

 

 

           แหวนสองวงสัมผัสกัน เกิดเสียงใสก้องกังวาน ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ นอนหลับตาพริ้มไปทั้งคืน  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 485 เปลี่ยนใจกันง่ายดาย  

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้ที่แต่งงานแล้วค่อนข้างจะรำคาญใจทีเดียว เขารู้สึกมาเสมอว่าซือเหยี่ยนหลังแต่งงานกับซือเหยี่ยนก่อนแต่งงานไม่ค่อยจะเหมือนเท่าไหร่นัก  

 

 

           เมื่อก่อนทำอะไรก็บอกว่า ‘ได้’ โดยไม่มีเงื่อนไข  

 

 

           ตอนนี้หลังแต่งงานกัน ท่าทีก็เปลี่ยนไป  

 

 

           เมื่อก่อนเวลาเขาดูละครน้ำเน่าหลังข่าว ยังคิดอยู่เลยว่าก่อนและหลังแต่งงานจะมีการเปลี่ยนแปลงเยอะขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน  

 

 

           แต่ตอนนี้…  

 

 

           เจียงมู่เฉินรับรู้แล้วว่าซือเหยี่ยนเปลี่ยนไปจริงๆ  

 

 

           ตัวอย่างเช่น ในช่วงฮันนีมูน วิ่งพล่านไปทั่ว ค่อนวันก็ไม่เห็นเจ้าตัวเลย  

 

 

           ประธานซือเมื่อก่อนไม่ต่างจากทากดูดเลือด แทบอยากจะเกาะติดเขาทั้งวัน ตอนนี้แม้แต่กอดก็ยังไม่ให้กอดแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดอย่างจริงจัง คงจะไม่ใช่ว่าตัวเองแต่งงานเสร็จก็ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วหรอกใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ชักจะน่าอนาจใจแล้ว  

 

 

           เพียงไม่นานซือเหยี่ยนก็เดินเข้ามาจากข้างนอก เจียงมู่เฉินจ้องซือเหยี่ยนตาปริบๆ  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นแววตาแบบนั้นของเขาก็รู้สึกขำขันไม่น้อย อดจะเดินเข้าไปลูบหัวเขาไม่ได้ “มองอะไรเหรอ”  

 

 

           ทำยังกับเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยความน้อยใจ เอื้อมมือไปอยากจะโผตัวเข้าหาซือเหยี่ยน ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้โผเข้าหา ซือเหยี่ยนก็ยื่นมือมาดึงเขาออกแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้าน้อยใจมองซือเหยี่ยน  จบเห่ จบเห่ เจ้าหมอนี่ไม่ให้ตัวเองกอดแล้ว  

 

 

           เขารีบกระโจนใส่ ผลปรากฏก็ถูกดึงลงมาอีกแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินร้องไห้อู้อี้  แฟนคนปัจจุบัน…ไม่ใช่สิ ตอนนี้ต้องเปลี่ยนคำเรียกแล้ว สามีคนปัจจุบันไม่ให้เขาโผเข้าหา นี่มันหมายความว่ายังไงกัน  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าอารมณ์ที่แสดงออกของเจียงมู่เฉิน รู้สึกว่าไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ในสมองเขาเล่นละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่งไปแล้ว  

 

 

           เขายื่นมือไปจับเขานั่งลงโซฟา ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำพลางขบกรามไปด้วย “ยังไงกัน ตอนนี้ไม่ปวดเอวแล้วใช่ไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงันในทันใด  แม่งเอ๊ย เขาลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน  

 

 

           วันก่อนโดนซือเหยี่ยนจับกดไปค่อนคืน วันต่อมาลุกไม่ขึ้น ทั้งวันไม่ลงจากเตียง จะเดินเหินไปไหนต้องพึ่งซือเหยี่ยนทั้งนั้น  

 

 

           วันนี้กว่าจะเดินเหินเองได้ไม่ใช่ง่ายๆ โดนเขาเอ่ยตักเตือนขนาดนี้ เพียงชั่วครู่เดียวก็รู้สึกปวดเอว ปวดขา ปวดก้นขึ้นมาอีก  

 

 

           เขาคิดได้เช่นนี้ น้ำตาก็ปริ่มขอบตามองมาที่ซือเหยี่ยน “เจ็บ โคตรเจ็บเลย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนช่วยเขานวดคลึงด้วยน้ำหนักมือที่ไม่เบาไม่หนักจนเกินไป ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ เจ็บขนาดนี้ยังมีอารมณ์มาขึ้นคร่อมเขาอีก  

 

 

           ‘เห็นว่าเขาเป็นท่อนไม้ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองหรือไง’  

 

 

           ซือเหยี่ยนจนใจ จะทำอย่างไรได้คนก็เป็นของตัวเอง จะรนหาที่ตายก็เป็นคนของตัวเองอยู่ดี สุดท้ายจึงทำได้เพียงค่อยๆ ปลอบโยนเขา  

 

 

           ฝีมือการนวดของซือเหยี่ยนดีกว่าฝีมือทำอะไรนั่นของเขาเยอะ  

 

 

           การนวดนี้ทำให้เขาสบายขึ้นมาก ที่สำคัญที่สุดคือนวดเสร็จคือสบายไปทั้งตัว  

 

 

           มีหรือจะเหมือนหลังจากที่ป๊าบกันแล้ว ฟินแค่ชั่วครู่ชั่วยาม ที่เหลือปวดระบมยาว  

 

 

           นอนฟุบอยู่บนขาของเขาสักพัก เพียงไม่นานก็รู้สึกสบายขึ้นเยอะแล้ว  

 

 

           พอตัวสบาย เจียงมู่เฉินก็เริ่มซุกซนอีกแล้ว อยากจะไต่ขึ้นไปบนตัวซือเหยี่ยน  

 

 

           ซือเหยี่ยนกดขาแสนซุกซนของเจียงมู่เฉินไว้ “คุณอย่าซนจะดีที่สุดนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะปวดเอว ปวดขาได้ อย่ามาร้องไห้กับผมล่ะ”  

 

 

            เจียงมู่เฉินโดนเขาข่มขู่ขนาดนี้ ก็ชักจะรู้สึกหวาดกลัวอย่างไรชอบกล  

 

 

           เขาทำตาปริบๆ มองซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนรีบเอามือปิดดวงตาของเจียงมู่เฉินไว้ ถ้าเขาดูต่อไปอีก เขาจะอดทนไม่ไหวจริงๆ  

 

 

           ซือเหยี่ยนร่างกายหดเกร็ง รีบยืนขึ้นมาทันที  

 

 

           ทิ้งเจียงมู่เฉินอยู่บนโซฟาคนเดียว คุณชายเจียงนอนฟุบข่วนโซฟาไปพลาง  ดูสิ ดูสิ ประธานซือแต่งงานแล้วเปลี่ยนไปเลย  

 

 

           ไม่เป็นฝ่ายกอดเขาก็ช่างเถอะ ตอนนี้แม้แต่เขาจะกอด ซือเหยี่ยนก็ไม่ให้กอดแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ ผู้ชายที่แต่งงานแล้วเปลี่ยนใจกันง่ายดายโดยแท้  

 

 

           ด้วยเหตุนี้คุณชายเจียงจึงนอนฟุบโศกเศร้าเสียใจอยู่บนโซฟาคนเดียว ราวกับแมวตัวหนึ่งที่ถูกทิ้ง  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองจากมุมไกลๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  

 

 

           ให้ตัวเองไม่คิดจะเข้าไปตะครุบร่างเจียงมู่เฉิน  

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นเกิดอดใจไม่ไหวขึ้นมา ถึงเวลาเจียงมู่เฉินจะร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ รู้สึกว่าคู่ครองของตัวเองช่างเอาใจยากเสียจริง  

 

 

           แต่เขากลับยังรู้สึกยินดีเป็นพิเศษ อยากจะเอาใจอีกฝ่าย   

 

 

         

ตอนที่ 482 แม่งประทับใจฉิบหาย  

 

 

           ซือเหยี่ยนชะงักงันทันที เวลานี้ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา  

 

 

           เมื่อหลายปีก่อน พวกเขาเพิ่งจะมาอยู่โรงเรียนฝึกตำรวจได้ราวๆ ครึ่งปี ทั้งสองคนออกไปเดินเล่นข้างนอก ก็เห็นมีคนกำลังขอแต่งงานกันพอดี  

 

 

           ตอนนั้นเจียงมู่เฉินพูดว่า “รอวันหน้าฉันมีคนที่ชอบแล้ว ฉันจะใส่ชุดสีขาวหิมะเหมือนเขาคนนั้น หอบช่อดอกกุหลาบสีแดงสดใส มีทั้งขาวทั้งแดง ต้องทำให้เธอประหลาดใจแน่ๆ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดครั้งนี้ของเขา มุมปากก็อดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้  

 

 

           ‘เจ้าหมอนี่แน่ใจนะว่าจะขอคนรักแต่งงาน ไม่ใช่ขอคู่อริแต่งงาน’  

 

 

           แต่คิดไม่ถึงว่า หลังจากหลายปีผ่านไป ซือเหยี่ยนกลับใส่ชุดสีขาวหิมะที่เจียงมู่เฉินเคยพูดไว้ทั้งยังหอบช่อดอกกุหลาบสีแดงสดใสแบบนั้นมาด้วย…  

 

 

           ‘อืม…’ ซือเหยี่ยนแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้คิดจะทำให้เจียงมู่เฉินตกใจจนอกสั่นขวัญแขวนขนาดนี้  

 

 

           ‘ถึงยังไงเจ้าหมอนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อเมื่อไหร่ก็ได้’  

 

 

           “เราสองคนจะแต่งงานกันแล้ว ของคุณก็เหมือนของผมไม่ใช่เหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม ‘แม่งเอ๊ย ซือเหยี่ยนพูดมาขนาดนี้ เขายังหาจุดผิดอะไรไม่เจอเลย’  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ดังนั้นคุณอยากจะรับคำขอแต่งงานของผมไหม”  

 

 

           มุมปากเจียงมู่เฉินกระตุกแล้วกระตุกอีก รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ขอแต่งงานได้เหมือนเล่นละครมากพอแล้ว ไม่มีใจจะไปด้วยเลยสักนิด  

 

 

           ‘คงจะไม่ใช่ว่าเห็นเขาพูดว่าอยากขออีกครั้ง ก็เลยทำแบบขอไปทีให้เขาหรอกใช่ไหม’  

 

 

           เจียงมู่เฉินยื่นมือไปหยิบดอกไม้จากในมือซือเหยี่ยนมา แล้วโยนลงข้างตัวซือเหยี่ยน “รับคำกับน้องสาวนายสิ”  

 

 

           โยนทิ้งเสร็จก็เดินหนีไปทันที  

 

 

           ข้อมือเขาถูกรั้งไว้กะทันหัน ซือเหยี่ยนกำมือเจียงมู่เฉินแน่น “เฉินเฉิน ผมรอวันนี้มานานแล้วนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินถูกซือเหยี่ยนร้องเรียกขนาดนี้ เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดในดวงตา  แม่งรู้สึกประทับใจฉิบหายยังไงชอบกล  

 

 

           เขาอดจะด่าตัวเองไม่ได้ ไม่รู้จักโตสักที เขาทนไม่ไหวอยากหันกลับไปมองซือเหยี่ยน  

 

 

           เจียงมู่เฉินหันหน้ากลับไปช้าๆ ก็เห็นผู้คนที่รายรอบเมื่อครู่นี้หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เขากับซือเหยี่ยนสองคน  

 

 

           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้น ยืดหลังตรงจดจ้องมองมาที่เจียงมู่เฉิน  

 

 

           “ทั้งโลกรู้ ผมซือเหยี่ยนเป็นแฟนของเจียงมู่เฉิน ถ้าเวลานี้ คุณเทผม ผมต้องเสียหน้ามากเป็นพิเศษแน่ๆ”  

 

 

           เขาทำหน้าทำตาน่าสงสารมองเจียงมู่เฉิน “เขาทำใจเห็นผมเสียหน้าไม่ลงแน่ๆ ใช่ไหมล่ะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแล้วขบกรามอีก สุดท้ายก็ยังไม่ได้พูดอะไร  

 

 

           เวลานี้เองซือเหยี่ยนถึงได้เข้าเรื่องหลักเสียที “เจ็ดปีก่อนผมก็อยากลักพาตัวคุณมาแต่งงานกับผมที่นี่ คิดไม่ถึงว่าต้องใช้เวลาหลายปีขนาดนี้ถึงลักพาตัวมาสำเร็จได้…  

 

 

           …เจียงมู่เฉิน ผมซือเหยี่ยนทั้งชีวิตนี้ชอบคุณแค่คนเดียว อดีต ปัจจุบัน อนาคต ต้องเป็นคุณเท่านั้น”  

 

 

           เขายิ้มหัวเราะเบาๆ ดวงตาสีดำขลับเปล่งประกาย ราวกับว่าจะดึงดูดเจียงมู่เฉินเข้าทีละนิดๆ อย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           เขายื่นมือไปหยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ข้างในเป็นแหวนคู่ที่เรียบง่ายมาก  

 

 

           “ดังนั้นคุณอยากจะแต่งงานกับผมไหม”  

 

 

           ……  

 

 

           ทันใดนั้นแสงไฟด้านหลังทั้งหมดก็สว่างขึ้นมา พ่อแม่ของเขา ยังมีพ่อแม่ของซือเหยี่ยน แล้วก็ไป่จิ่งทุกคนยืนอยู่ข้างๆ   

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา  

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยถาม “นายเรียกพวกเขามาเมื่อไหร่กัน”  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาถามแบบนี้ ขมับก็กระตุกขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ “เจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนยังคุกเข่าอยู่นะ คำถามที่นายถามหลุดประเด็นไปหน่อยไหม”  

 

 

           เวลานี้เองเจียงมู่เฉินถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ในใจเขาประทับใจจนไม่ไหวแล้ว แต่กลับยังมองซือเหยี่ยนด้วยใบหน้าเย่อหยิ่ง  

 

 

           “ในเมื่อนายพูดมาขนาดนี้แล้ว ฉันคิดดูแล้ว ยอมตกลงกับนายครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ ลุกยืนขึ้นมาสวมแหวนให้เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินมองดูแหวนอีกวงหนึ่งที่เหลือ ไม่รู้ว่าทำไมนิ้วมือถึงได้สั่นเทาขึ้นมา  

 

 

           ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชาย แต่ก็ไม่เคยคิดวางแผนจะแลกของเป็นพิธีอะไรแบบนี้มาก่อน    

 

 

 

 

 

ตอนที่ 483 เพื่อนเจ้าบ่าวเก็บไว้ให้นาย  

 

 

           แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนาทีนี้ ในใจเขาเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกตราตรึงใจจนไร้หนทางจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้  

 

 

           เขากำมือแน่นอย่างอดไม่ได้ สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแหวนที่อยู่ข้างๆ มาสวมให้ซือเหยี่ยนอย่างช้าๆ  

 

 

           มือของคนสองคนที่สวมแหวนแบบเดียวกันประสานเข้าด้วยกันอย่างแนบสนิท  

 

 

           สว่างเป็นประกายจางๆ อยู่ภายใต้แสงไฟ  

 

 

           คุณแม่เจียงกับเหวินฮุ่ยยืนอยู่ข้างหลังของทั้งสองคน เมื่อได้เห็นฉากนี้ ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

           คุณพ่อเจียงและคุณพ่อซือเห็นภรรยาของตัวเองอยู่ในอาการแบบนี้ ต่างก็พากันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นี่ขนาดเป็นเพียงแค่การขอแต่งงานเท่านั้นเอง รอพรุ่งนี้แต่งงานกันจริงๆ เกรงว่าจะร้องไห้เป็นสายน้ำไปแล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งอิจฉาอยู่ในใจ พอนึกถึงเรื่องของตัวเองกับมั่วไป๋ ก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  

 

 

           มือถือที่เจียงมู่เฉินใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้นมากะทันหัน เขาหยิบออกมาดู ก็เห็นเป็นวิดีโอที่มั่วไป๋ส่งมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินกดเปิดดูก็เห็นเพียงมั่วไป๋นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล เขาไม่ได้ใส่ชุดคนไข้ เหมือนกับว่าตั้งใจเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเพื่อถ่ายวิดีโอนี้  

 

 

           เพียงแต่ว่าสีหน้ายังค่อนข้างซีดเซียว  

 

 

           “เจียงมู่เฉิน เรื่องที่นายจะแต่งงานกับซือเหยี่ยน ฉันรู้เรื่องแล้วนะ ยินดีกับพวกนายด้วย ในที่สุดสมดั่งใจปรารถนาได้สักที…  

 

 

           …อีกสองวันฉันมีผ่าตัดเคสเล็กๆ เหยียนอวี้ไม่ให้ฉันออกไป ฉันเลยทำได้แค่ถ่ายวิดีโอส่งให้นาย…  

 

 

           …ที่จริงฉันแอบหนีออกไปสองครั้ง ก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าหมอนั่นถึงได้ตามจับฉันกลับมาได้ตลอดเลย”  

 

 

           เขายิ้มหัวเราะกระซิบประโยคหนึ่ง แต่กลับเอ่ยต่ออีก “แต่ว่าต่อให้ฉันไม่ไปดู ตำแหน่งเพื่อนเจ้าบ่าวของนายเก็บไว้ให้ฉันได้แค่คนเดียวเท่านั้นนะ ถ้านายให้คนอื่นมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของนาย ฉันกับนายเราขาดกัน”      

 

 

           “มั่วไป๋ ได้เวลาพอสมควรแล้วนะ” จู่ๆ ก็มีเสียงจากด้านข้างดังขึ้นมา  

 

 

           “รู้แล้ว รู้แล้ว ฉันเพิ่งจะพูดไปได้แค่สามประโยคเอง นายอย่าเอาแต่จ้องฉันไม่วางตาขนาดนี้จะได้ไหม”  

 

 

           ในวิดีโอมั่วไปเอียงหน้า เหมือนจะมองไปทางประตูอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           เขาพูดจบอย่างรวดเร็วมาก แล้วก็หันหน้ากลับมาอีก “เหยียนอวี้ไม่ให้ฉันพูดแล้ว พวกนายแต่งงานกันดีๆ ล่ะ รอฉันออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ฉันจะกลับไปหานายนะ”  

 

 

           วิดีโอเล่นมาถึงตรงนี้ก็จบพอดี เจียงมู่เฉินมองดูมั่วไป๋ในวิดีโอ พลางยกยิ้มมุมปากขึ้น แสดงสีหน้ายอมจำนนให้อีกฝ่าย  

 

 

           เขารีบพิมพ์ข้อความตอบกลับมั่วไป๋   

 

 

           [รู้แล้ว เพื่อนเจ้าบ่าวเก็บไว้ให้นาย]  

 

 

           ……  

 

 

           ตอนค่ำพวกเขากลับมาที่โรงแรม เจียงมู่เฉินเอนตัวนอนอยู่บนขาของซือเหยี่ยน เขายังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป “นี่ตกลงว่านายเรียกตัวพวกเขามาเมื่อไหร่กัน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่พูด  

 

 

           เจียงมู่เฉินตะเกียกตะกายขึ้นมาจากขาของเขาในทันใด “นายอย่าบอกฉันนะว่าตอนที่นายลักพาตัวฉันมา ก็บอกพวกเขาแล้ว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนโดนพูดความในใจออกมา เขาก็ลูบปลายจมูกด้วยความเคอะเขิน  

 

 

           พอเจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนเป็นแบบนั้น เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองทายใจเจ้าหมอนี่ถูกจนได้ จึงถอนหายใจเงียบๆ “นายแม่งเมื่อไหร่จะเลิกเล่นแง่กับฉันสักที”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตอบกลับด้วยความจริงใจเป็นพิเศษ “ไม่รู้สิ”  

 

 

           ‘ถึงยังไงเล่นแง่กับเจียงมู่เฉินสนุกออกขนาดนี้ ถ้าไม่เล่นแง่ใส่สักหน่อย ไม่ค่อยดีเท่าไหร่’  

 

 

           เจียงมู่เฉินถูกเขาทำให้โกรธจนหัวหมุน ตัวเองกลับลงไปนอนบนขาของซือเหยี่ยนอีกครั้ง มองดูแหวนในมืออย่างจริงจัง  เวลานี้ถอนหมั้นจะทันไหม  

 

 

           หาแฟนโรคจิตขนาดนี้ ตอนนั้นที่เขาสารภาพรักกับซือเหยี่ยน ดวงตาต้องพร่ามัวอยู่แน่ๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก ถ้ารู้แต่แรกจะส่งสินค้าคืนไปนานแล้ว มีหรือจะเหมือนตอนนี้ ลงเรือโจรมานานขนาดนี้ อยากหนีก็หนีไม่ไหวแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ข้างๆ อ่านหนังสือด้วยสีหน้าเรียบเฉย  ถึงยังไงเฉินเฉินของเขาก็ถูกเขาจับขังไว้มาตั้งแต่แรกแล้ว หนีก็หนีไม่ไหวหรอก  

 

 

           ‘อีกอย่างเจียงมู่เฉินวางของหมั้นไว้แล้ว ยังคิดจะหนีอีกเหรอ’  

 

 

           ถึงอย่างไรคนทั้งประเทศก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน อยากจะกลับลำก็กลับไม่ไหวแล้ว  

 

 

           มีหรือที่เจียงมู่เฉินจะรู้ว่าซือเหยี่ยนเพิ่งจะมาเล่นแง่กับเขาเสียที่ไหนกัน นับตั้งแต่ซือเหยี่ยนเริ่มตกหลุมรักเจียงมู่เฉิน เขาก็ค่อยๆ วางหมากล่อดึงดูดให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดเขาทีละนิดๆ  

 

 

           ‘ถึงยังไงผู้ชายที่ประธานซือหมายตา อยากหนีก็หนีไม่ไหวหรอก’  

ตอนที่ 480 ละทางโลก

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนหลับทียาวไปจนถึงช่วงหัวค่ำ ถึงได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

 

           เขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นห้องในโรงแรมที่แปลกตาไป ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะหนึ่ง เขายังมึนงงอยู่หลายนาที

 

 

           ซือเหยี่ยนผลักประตูเข้ามาพอดี เขาเห็นเจียงมู่เฉินงงงัน ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน

 

 

           เห็นได้ยากนักที่คุณชายเจียงจะตกอยู่ในอาการงงงันแบบนี้ แค่เพียงชั่วครู่ยังรู้สึกดีใจชอบกล

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเสียง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู

 

 

           ซือเหยี่ยนที่ใส่แค่เพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวยืนอยู่หน้าทางเข้า เจียงมู่เฉินเห็นใบหน้าของเขา เพียงไม่นานก็นึกขึ้นมาได้

 

 

           เขาเพิ่งจะขอแต่งงานเสร็จ ซือเหยี่ยนก็ลักพาตัวเขามาแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินยังคงง่วงนอนอยู่ นึกต่อไม่ค่อยจะออกเท่าไหร่นัก เขานอนเอื่อยเฉื่อยฟุบอยู่บนเตียงปรือตามองซือเหยี่ยน

 

 

           “นายว่านายลักพาตัวฉันมาแบบนี้ พ่อแม่ฉันจะไปคิดบัญชีกับหรือเปล่า”

 

 

           เรื่องที่เขาขอแต่งงาน พ่อแม่เขาเองก็ไม่รู้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ก็ผ่านไปสิบกว่าชั่วโมงแล้ว เรื่องที่เกี่ยวกับเขาและซือเหยี่ยนคงจะพูดไปกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วเช่นกัน

 

 

           พ่อแม่เขาก็คงจะทราบข่าวเป็นที่เรียบร้อย

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือกดที่หัวของตัวเอง ไม่รู้ว่าตอนที่แม่เขาเห็นเขาออกหน้าออกตาขอซือเหยี่ยนแต่งงานขนาดนี้  จะโกรธจนถือมีดมาไล่ฆ่าเขาหรือเปล่า

 

 

           แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีสมองจะไปคิดเรื่องที่พ่อแม่เขาจะอยากไล่ฆ่าเขาหรือเปล่า ตอนนี้มีแต่ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่อยู่เต็มในหัวไปหมด

 

 

           เขาเห็นเพียงแค่เสื้อเชิ้ตของซือเหยี่ยนที่ไม่รู้ว่าปลดกระดุมออกสองเม็ดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เผยผิวกายจริงที่กระชับแน่น

 

 

           ที่ข้อมือพับขึ้นมาสองสามทบ ได้เห็นนาฬิกาข้อมือที่เจียงมู่เฉินให้ไว้พอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจเงียบๆ แฟนของเขาดูดีขนาดนี้  ตัดใจให้คนอื่นเห็นแฟนเขาไม่ลงเลยทำยังไงดี

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็พิงประตูอยู่ไม่เดินเข้าไป เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ถึงยังไงผมลักพาตัวคนมา ต้องคิดบัญชีก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

 

 

เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายยังรู้ดีแก่ใจมากเลยนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเชิดมุมปากขึ้นเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขายืนพิงอยู่ตรงนั้นอย่างตามใจ ดวงตาก็เป็นประกายลุกวาวอย่างห้ามไม่อยู่ เขากระดิกนิ้วทำท่าเรียกซือเหยี่ยนให้เข้ามาหา

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัวด้วยท่าทีเรียบเฉย

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง ลุกขึ้นมาจากตื่น เดินทีเดียวสองก้าวมุ่งหน้าไปหาซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนเห็นแบบนี้ก็ยืดตัวขึ้นมา

 

 

           เพิ่งจะยืนตัวตรงได้ไม่ทันไร เจียงมู่เฉินก็กระโดดขึ้นมา

 

 

           เขากอดคอซือเหยี่ยนแน่น ขาเรียวยาวเกี่ยวเอวซือเหยี่ยนไว้ “อะไรกัน ยังต้องให้คุณชายเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเองอีกเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ ยื่นมือไปรองเขาไว้ “อย่าเพิ่งซน ผมจองร้านอาหารไว้แล้ว ออกไปกินด้วยกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “อยากกินนาย ไม่อยากกินข้าว”

 

 

           ซือเหยี่ยนแววตามืดดำ รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่เริ่มจะแปลงร่างเป็นปีศาจจอมยั่วเสน่ห์อีกแล้ว

 

 

           “แต่ผมอยากกินข้าว”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้าทำตาเสียดาย สามเดือนที่ผ่านมานี้ยุ่งจนเกินไป ไม่มีเวลามา ‘ทำ’ กับซือเหยี่ยนดีๆ เลย เดิมทีคิดว่าคืนนี้ยกเลิกข้อห้ามอะไรได้บ้าง ใครจะคิดว่าซือเหยี่ยนจะปฏิเสธเขาได้จริงจังขนาดนี้

 

 

           คุณชายน้อยเจียงได้รับการโจมตีอันใหญ่หลวง

 

 

           เขาถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “เอาเถอะ เอาเถอะ ไปกินข้าวกับนายก็ได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินลงมาจากตัวซือเหยี่ยน แต่กลับอดจะเอ่ยถามเสียงอ่อนอีกประโยคไม่ได้ “เอางี้ไหมกินข้าวเสร็จ แล้วค่อยกินนาย”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ไม่ได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินสองคำนี้ อยากจะข่วนกำแพงเสียจริงๆ  หรือว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่หักห้ามความต้องการมาสามเดือนแล้ว ผลสุดท้ายคือชินกับการละทางโลกไปเลยใช่ไหม

 

 

           ‘ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วต่อไปความสุขในชีวิตคู่ของเขาล่ะจะทำยังไง’

 

 

           ถึงแม้ว่าเขาจะชอบซือเหยี่ยน แต่ต่อให้ชอบแค่ไหน ก็ยังต้องการการออกกำลังกายบ้าง

 

 

           คิดไปคิดมา เจียงมู่เฉินพยายามจะมองซือเหยี่ยนด้วยท่าทีนิ่มนวล “ถ้านายไม่อยาก เอางี้ไหมนายนอนแล้วฉันจัดการเอง”

 

 

           พอคิดถึงภาพที่ซือเหยี่ยนถูกเขาจับกดไว้ใต้ร่าง เจียงมู่เฉินก็เกิดอารมณ์คึกคักพิลึกๆ ขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

 

 

           

 

 

ตอนที่ 481 ก็อปไอเดีย

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงมองเขาด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม ปฏิเสธอย่างจริงจังหนักแน่น

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้พละกำลังพวกเขาไม่เท่ากัน เจียงมู่เฉินอยากจะกระโจนเข้าไปทุบซือเหยี่ยนแล้วขึ้นคร่อมให้มันรู้แล้วรู้รอด แล้วค่อยมาว่ากันอีกที

 

 

           ‘ถึงยังไงพวกเขาสองคนใกล้จะจดทะเบียนสมรสกันแล้ว จะขึ้นคร่อมกันก็เป็นเรื่องธรรมดามากไม่ใช่หรือไง’

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขากรอกตาไปมา ก็รู้ว่าในหัวเขากำลังคิดฟุ้งซ่านไม่รู้อะไรเป็นอะไรไปบ้างแล้ว

 

 

           เขากุมหน้าผากด้วยความจนใจ “จะไปไม่ไป”

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบเอ่ย “ไปๆๆ ไม่ว่ายังไง ทำให้ซือเหยี่ยนอิ่มท้องก่อน ค่อยว่ากัน”

 

 

           ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงออกไปร้านอาหารด้วยกัน ร้านอาหารที่ซือเหยี่ยนจองไว้เป็นร้านอาหารสำหรับคู่รัก ทุกๆ โต๊ะข้างในทุกคนจะนั่งกันอยู่สองคน มากันเป็นคู่ๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินคนสมองช้า ในหัวมีแต่ความคิดว่าจะจับกดซือเหยี่ยนอย่างไรดีอยู่เต็มไปหมด ไม่ได้สังเกตรับรู้อะไรอย่างอื่นโดยสิ้นเชิง

 

 

           รอจนกระทั่งบริกรเอาแจกันกระเบื้องเคลือบที่มีดอกกุหลาบหนึ่งดอกประดับอยู่มาวางไว้ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง เจียงมู่เฉินถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างเงียบๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นแววตานั้นของเขาตอบกลับด้วยท่าทางที่ตัวเองไร้เดียงสามากทีเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้าก็เห็นเพียงแค่โต๊ะรอบข้างต่างก็มีดอกกุหลาบหนึ่งดอกวางอยู่ในแจกัน

 

 

           เขามาเห็นแบบนี้ถึงได้พบว่าในร้านเป็นคู่รักกันทั้งหมด แม้แต่เจียงมู่เฉินคนหน้าไม่บางยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก

 

 

           คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่จะยังพาเขามาร้านอาหารคู่รักได้

 

 

           มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเขาจะมีดีเอ็นเอโรแมนติกแบบนี้ด้วย

 

 

           เพียงไม่นานเนื้อสเต็กก็ถูกยกมาเสิร์ฟ

 

 

           เจียงมู่เฉินหั่นเนื้อสเต็กไปด้วย พลางครุ่นคิดไปด้วย ซือเหยี่ยนเพิ่งจะมา  ทำไมถึงยังรู้จักร้านอาหารคู่รักอะไรทำนองนี้ได้

 

 

           ‘นี่เป็นเรียนจากที่ไหนมา’

 

 

           เจียงมู่เฉินมองมาที่ซือเหยี่ยนอยู่ตลอดเวลาพร้อมสายตาที่พินิจมองอย่างถี่ถ้วน

 

 

           ซือเหยี่ยนตีสีหน้าเรียบเฉย ปล่อยให้เจียงมู่เฉินสังเกตอาการ ดูสงบนิ่งเหลือเกิน

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูอยู่นานสองนาน ก็ไม่เห็นพิรุธอะไรออกมา จึงเก็บสายตากลับเข้ามา

 

 

           ทั้งสองคนกินข้าวกันอยู่สักพัก จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็ยืนขึ้นมากะทันหัน เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”

 

 

           เจียงมู่เฉินโบกมือให้เขารีบไป

 

 

           ซือเหยี่ยนออกไปได้เพียงไม่กี่นาที จู่ๆ ดวงไฟในร้านอาหารก็ดับลง เจียงมู่เฉินรู้สึกประหลาดใจอยู่ในที รีบเงยหน้ามามองในทันใด

 

 

           นาทีต่อมา แสงไฟก็สว่างขึ้นมาบ้างแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นไฟเอลอีดีแบบเส้นที่อยู่ข้างๆ แสงไฟริบหรี่เหลือเกิน

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเพียงแค่มีเงาคนคนหนึ่งเดินมาหาเขา เขาคิดว่าคงจะเป็นซือเหยี่ยนเดินกลับมาแล้ว จึงไม่ได้เกิดความสงสัย

 

 

           จนกระทั่งคนคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าเขา ในมือยังดอกไม้ดอกหนึ่งอีกด้วย เจียงมู่เฉินตะลึงงันไปพักหนึ่ง

 

 

           ‘ไม่หรอกมั้ง มืดขนาดนี้ เขายังมีเสน่ห์ขนาดนี้เชียว แม้แต่ดอกไม้ก็มาส่งถึงต่อหน้า’

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดสักพัก อย่าทำให้ซือเหยี่ยนหึงจะดีกว่า เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “ผมไม่ใช่คนโสด”

 

 

           ใครจะไปคิดว่าคนคนนั้นจะไม่ฟังกัน เห็นเขาพูดจบ ก็ยัดดอกไม้ใส่มือเขาทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง  เพื่อนชาวต่างชาติต้อนรับกันอบอุ่นกันขนาดนี้เชียวเหรอ

 

 

           หลังจากคนคนนั้นเดินออกไป ข้างหลังก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งเดินตามเข้ามา

 

 

           แต่ละคนที่เข้ามาต่างก็เอาดอกไม้ยัดใส่มือเจียงมู่เฉิน เวลานี้เองเจียงมู่เฉินถึงได้รู้สึกว่ามันชักจะผิดปกติแล้ว

 

 

           แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆ แสงไฟก็สว่างขึ้นมา ซือเหยี่ยนใส่ชุดสูทสีขาว ในมือยังหอบช่อดอกกุหลาบเดินมุ่งหน้ามาหาเจียงมู่เฉินอย่างช้าๆ

 

 

           แวบแรกที่เจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนในมาดแบบนั้น เส้นประสาทในสมองก็ขาดผึงทันที

 

 

           ‘อ้าวเฮ้ย!’

 

 

           ‘เจ้าหมอนี่ขอแต่งงานทียังก็อปไอเดียของคุณชายอีก’

 

 

           เจียงมู่เฉินรอซือเหยี่ยนเดินเข้ามาใกล้ แล้วเอาดอกไม้ยัดใส่มือซือเหยี่ยน หันหน้าเดินหนีไปทั้งอย่างนี้

 

 

           ซือเหยี่ยนตะลึงงัน แม้แต่สีหน้าที่เต็มไปด้วยความรักยังชะงักงันไปด้วย

 

 

           เขาหยุดฝีเท้าสักพัก เตรียมจะเดินตามไป ผลปรากฏว่ายังเดินไม่ถึงสองก้าว เจียงมู่เฉินก็เดินกลับมา

 

 

           เขายืนอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน ตีสีหน้าซักถามด้วยความอยากตำหนิ “ซือเหยี่ยน โคตรพ่องสิ นายมาก็อปไอเดียฉันทำไม”

ตอนที่ 478 ของหมั้น

 

 

           คนรอบข้างที่แอบมองลนลานกันนิดหน่อยแล้ว

 

 

           ความโกลาหลเล็กๆ ที่รอบข้าง สำหรับพวกเจียงมู่เฉินแล้วไม่ได้มีผลกระทบอะไร พวกเขาลงนามในสัญญาและจ่ายเงินมัดจำกันอย่างรวดเร็วมาก

 

 

           ……

 

 

           กำหนดตำแหน่งของบริษัทแล้ว ก็เริ่มเตรียมลงมือดำเนินการได้

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ จะยุ่งขึ้นมาบ้างแล้ว ซือเหยี่ยนเองก็กลับบริษัทไป

 

 

           งานในวงการบันเทิงของจี้ฉิงก็ลดน้อยลงไปมากแล้ว เธอตั้งใจมุ่งมั่นมาเตรียมการเรื่องบริษัท

 

 

           สามเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ในถานโจวจากฤดูร้อนก็เดินมาถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว

 

 

           วันที่สิบห้าพฤศจิกายนวันนั้น บริษัทที่เจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงร่วมลงมือกันสร้างในที่สุดก็ได้ฤกษ์เปิดกิจการแล้ว

 

 

           ในวันเปิดกิจการวันนั้น ผู้คนพากันมามากมาย และในจำนวนนั้นก็มีนักข่าวมาจำนวนไม่น้อยเช่นกัน

 

 

           ถึงอย่างไรเมื่อขึ้นชื่อเป็นเจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงสองคนนี้ ก็ดึงดูดคนให้มาได้มากเกินพอแล้ว

 

 

           มีคนอยู่จำนวนไม่น้อยต่างก็รอคอย ว่าซือเหยี่ยนในฐานะแฟนของเจียงมู่เฉินจะเข้าร่วมงานนี้ได้หรือเปล่า

 

 

           อีกอย่างเห็นแฟนของตัวเองร่วมกันเปิดบริษัทกับแฟนเก่าแบบนี้ จะมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นอย่างไรบ้าง

 

 

           สำหรับการคาดเดาเหล่านี้ของสื่อมวลชน เจียงมู่เฉินไม่มีเวลามาสนใจด้วยซ้ำ

 

 

           ไม่เหมือนกับในวันก่อนๆ เจียงมู่เฉินในวันนี้ใบหน้างามละเอียดได้รูปของเขาค่อนข้างมีความตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

           จี้ฉิงเห็นท่าทางเขาแบบนั้นก็ยิ้มหัวเราะด้วยความขบขัน เธอเอ่ยวิจารณ์อย่างไม่สบอารมณ์ “กล้าๆ หน่อย”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่มีเวลาจะมาสนใจโต้ตอบ ทำเพียงแค่หายใจเข้าลึกๆ

 

 

           จะได้ทำให้จิตใจตัวเองสงบลงอย่างช้าๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่หน้าเวที มองไปรอบๆ ไม่หยุดอยู่ตลอดเวลา ซือเหยี่ยนที่ควรจะมาถึงได้ตั้งนานแล้วกลับยังไม่มาปรากฏตัวเลยจนถึงตอนนี้

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งไม่ค่อยติดเท่าไหร่ อยากจะออกไปโทรหาซือเหยี่ยน

 

 

           จี้ฉิงเห็นท่าทีของเขา เธอก็รีบยื่นมือไปกดเขาไว้ ให้เขาอย่าใจร้อน

 

 

           เมื่อถึงเวลาสิบโมงครึ่งในที่สุดซือเหยี่ยนก็เดินเข้ามา ทุกคนต่างก็หันไปมองทางประตูที่ซือเหยี่ยนเดินเข้ามา

 

 

           ไม่รู้ว่านาทีนั้นเจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนอย่างไร รู้สึกหายใจไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ รู้สึกว่าหายใจได้อืดอาด มือที่วางไว้ใต้โต๊ะกระชับแน่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินผ่านผู้คนเข้ามา มุ่งหน้าไปทางพวกเขาอย่างช้าๆ ในมือยังหอบช่อดอกกุหลาบสีแดงดุจเปลวเพลิงช่อหนึ่งมาด้วย เสริมให้ใบหน้าอันหล่อเหลาดูเด่นเป็นสง่าทั้งยังแวววับจับสายตามากยิ่งขึ้นไปอีก  

 

 

           จนกระทั่งเขาเดินมาหยุดต่อหน้าเจียงมู่เฉิน มอบช่อดอกไม้ส่งออกไปให้อย่างเบามือ “ขออภัยที่มาสายนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยื่นมือออกไปรับช่อดอกไม้มา ยามที่ได้สัมผัสช่อดอกไม้นั้น เขาก็สั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           เขากดเก็บอารมณ์นั้นลงไป แล้วยิ้มหัวเราะออกมา “ไม่สาย”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่งดอกไม้ให้เขาเสร็จ ก็เตรียมจะหันหลังนั่งลงไป เจียงมู่เฉินรีบเอ่ยเรียกเขาไว้ก่อน “เดี๋ยวก่อน”

 

 

           เขามองจี้ฉิงแวบหนึ่ง

 

 

           จี้ฉิงเข้าใจ เธอถือไมโครโฟน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “วันนี้เป็นวันเปิดกิจการของบริษัท พวกเราอยากให้ประธานซือช่วยเปิดม่านเปิดชื่อของบริษัทด้วยค่ะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง คิดแล้วคิดอีกจนคิดได้ “ได้”

 

 

           เขาเดินขึ้นบันไดจนเดินถึงบนเวที อยู่ต่อหน้าแผ่นป้ายที่ถูกม่านแดงปิดบังไว้อยู่

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปดึงออกเบาๆ

 

 

           เห็นแค่เพียงม่านแดงนั้นร่วงลงมา เผยให้เห็นตัวอักษรอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

 

 

           ‘บริษัท ซือเฉิน เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด’

 

 

           ซือเหยี่ยนอ่านชื่อนั้น นัยน์ตาก็เปล่งประกายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           “ซือเฉิน ซือเฉิน…” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจียงมู่เฉินเดินไปอยู่ข้างหลังของซือเหยี่ยน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำออกมา “ซือเหยี่ยน นี่เป็นของหมั้นที่ฉันมอบให้นาย”

 

 

           ราวกับว่าเขาจะตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย กำมือแน่นโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           เขาเงยหน้าขึ้นทันทีหลังจากนั้น ทำเป็นเหมือนไม่เป็นไร เขายิ้มหัวเราะเบาๆ “ในเมื่อเป็นของหมั้น นายอยากจะถือโอกาสนี้แต่งงานกันเลยไหม”

 

 

           บรรยากาศหยุดนิ่งในพริบตา ทุกคนเกร็งตัวหายใจ ราวกับว่าถ้าเสียงหายใจดังขึ้นอีกนิด จะทำให้คนสองคนบนเวทีตกใจได้

 

 

           จี้ฉิงรวมทั้งทีมงานที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าออกไปจากตรงนั้นกันตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           บนเวทีเหลือเพียงซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินสองคน

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่ใช้รอยยิ้มปกปิดความตื่นเต้นที่ฉายแววในดวงตา เขาเชิดมุมปากล่างขึ้นเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ได้”

 

 

           

 

 

ตอนที่ 479 ขออีกครั้งหนึ่ง

 

 

           เขามักจะเป็นอย่างนี้เสมอ ครั้งก่อนที่เปิดตัวกัน เจียงมู่เฉินเอ่ยถามเขาอยากจะเปิดตัวไหม เขาไม่พูดอย่างอื่น นอกจากคำว่า ‘ได้’ คำเดียว

 

 

           ครั้งนี้ขอแต่งงานต่อหน้าผู้คน ซือเหยี่ยนก็ยังคงใช้คำว่า ‘ได้’ คำนี้

 

 

           แต่ไม่มีใครรู้ ตอนนั้นที่เจียงมู่เฉินยืนอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยนด้วยท่าทางองอาจห้าวหาญว่าอยากจะคบเป็นคนรักกันไหม ซือเหยี่ยนก็ตอบกลับด้วยคำว่า ‘ได้’ คำนี้เช่นกัน

 

 

           แม้กระทั่งห้าปีให้หลัง เจียงมู่เฉินแอบย่องเข้าไปห้องของเขา ถามคำถามเดียวกันอีกครั้ง

 

 

           คำตอบของซือเหยี่ยนก็ยังคงเป็นคำว่า ‘ได้’ คำนี้คำเดิม

 

 

           หลายปีที่ผ่านมานี้ วนเวียนกันไปมา ขอเพียงแต่เป็นคำถามของเจียงมู่เฉินเท่านั้น ซือเหยี่ยนก็จะมีเพียงแค่คำตอบเดียวให้เจียงมู่เฉิน

 

 

           คำตอบที่เขามีให้เจียงมู่เฉินจะเป็นคำว่า ‘ได้’ ตลอดไป

 

 

           เป็นเช่นนี้เรื่อยมา ไม่เคยแปรเปลี่ยน

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มให้ซือเหยี่ยนอย่างไม่ปกปิดความรู้สึก เขาเปิดบริษัทด้วยตัวเอง ใช้ชื่อของทั้งสองคนตั้งเป็นชื่อบริษัท ทั้งยังให้เป็นของหมั้น แล้วขอซือเหยี่ยนแต่งงานต่อหน้าผู้คนมากมาย

 

 

           ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ถูกขนานนามชื่นชมไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

 

 

           มีผู้คนตั้งเท่าไหร่ที่รู้สึกได้ถึงความโชคดีของซือเหยี่ยน รับคุณชายน้อยจอมเย่อหยิ่งขนาดนั้นมาอยู่ในอ้อมกอดได้ ยอมจำนนให้กันแบบนี้

 

 

           ยิ่งไปกว่านั้นมีผู้คนอีกมากมายที่หลงใหลในคำพูดและการกระทำของเจียงมู่เฉิน

 

 

           บอกว่าจะเปิดตัวก็เปิดตัว บอกว่าจะขอแต่งงานก็ขอแต่งงาน

 

 

           แม้กระทั่งขอแต่งงานยังจัดชุดใหญ่ขนาดนี้ได้

 

 

           เพียงเวลาไม่นานผู้คนในถานโจวไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่างพากันอิจฉาในเรื่องราวความรักของซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉิน

 

 

           ในเวลาเดียวกันนั้น ซือเหยี่ยนก็พาเจียงมู่เฉินนั่งเครื่องบินเดินทางไปฝรั่งเศสแล้ว

 

 

           ทั้งสองคนจูงมือกันนั่งซบกันอยู่บนเครื่องบิน

 

 

           เจียงมู่เฉินซบไหล่ซือเหยี่ยน เอ่ยถามติดตลก “วันนี้ที่นายมาสาย เพราะนายไปหยิบหนังสือเดินทางมาให้ฉันใช่ไหม”

 

 

           ‘ถึงยังไงซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไม่ควรจะสายในเวลาสำคัญแบบนี้ได้’

 

 

           เมื่อช่วงสายๆ เพราะเขาตื่นเต้น จึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย

 

 

           แต่พอถึงสนามบิน เจียงมู่เฉินถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองหลงกลซือเหยี่ยนแล้ว  หรือว่าเขาจะรู้มาก่อนว่าวันนี้ตัวเองจะขอแต่งงาน

 

 

           ‘แต่ว่าไม่ควรจะใช่นะ’

 

 

           ‘หรือว่า…’

 

 

           เจียงมู่เฉินเบิกตาโตมองซือเหยี่ยนกะทันหัน “นี่นายเตรียมจะขอฉันแต่งงานมาแต่แรกใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ พลางจะเอ่ยเสียงต่ำ “เปล่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม  ต้องใช่แน่นอน!

 

 

           มิน่าล่ะ เขารู้สึกว่าวันนี้ซือเหยี่ยนแต่งตัวดูเป็นทางการมาก แล้วยังหอบช่อกุหลาบแดงช่อใหญ่ระดับพรีเมียมขนาดนั้นมาอีก

 

 

           ขาดทุนใหญ่แล้ว ถ้ารู้แต่แรก เขาก็จะไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน ให้ซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายเอ่ยปากแทน

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นการสารภาพรัก การเปิดตัว การให้ของหมั้น สุดท้ายแม้แต่การขอแต่งงาน ทุกอย่างก็จะเป็นเขาฝ่ายเดียวที่ทำทั้งหมดนี้

 

 

           ‘นี่เขาแสดงออกมากเกินไปแล้วใช่ไหม’

 

 

           “ไม่ได้ นายต้องขอฉันอีกครั้ง จะเป็นฉันเองทุกครั้งไม่ได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “ได้ ผมจะขอคุณอีกครั้ง”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้คำพูดนี้ คิ้วที่ขมวดเป็นปมของเขาคลายตัวลงเล็กน้อยแล้ว รอถึงเวลาซือเหยี่ยนขอเขาแต่งงาน เขาจะต้องเล่นตัวเยอะๆ ให้ซือเหยี่ยนลำบากบ้าง

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะดูเหมือนว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงอย่างเขาโดนเอาตัวไปได้ง่ายขนาดนี้เชียว

 

 

           การเดินทางเที่ยวบินสิบกว่าชั่วโมง เจียงมู่เฉินแทบอยากจะแขวนตัวเองไว้บนตัวซือเหยี่ยนออกมา

 

 

           ช่วงนี้เขายุ่งเรื่องเปิดบริษัทมาก ไม่มีเวลาได้นอนพักผ่อนดีๆ เท่าไหร่นัก

 

 

           ถ้าหากว่าเจียงมู่เฉินเอ่ยปากให้ซือเหยี่ยนอุ้ม ประธานซือก็จะอุ้มเขาออกมาโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนได้

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้หลังจากคุณชายน้อยเจียงขอแต่งงานไปแล้ว หนังหน้าก็มีความบางเป็นพิเศษ ซือเหยี่ยนวางตัวถูก  แต่เขายังรู้สึกวางตัวไม่ถูกไง

 

 

           ด้วยเหตุนี้สุดท้ายจึงพบกันครึ่งทาง ซือเหยี่ยนจูงมือลากเขาไป…เอ่อ…เดินออกมา

 

 

           ออกจากสนามบินแล้ว ซือเหยี่ยนพาเขาไปยังโรงแรม เจียงมู่เฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง หัวถึงหมอนก็นอนทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเขาด้วยความขบขัน ยื่นมือไปปรับท่านอนให้เขาสักพัก ก่อนจะออกไปโทรศัพท์

 

 

           หลังจากตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซือเหยี่ยนถึงได้กลับเข้ามาจากข้างนอก เจียงมู่เฉินยังคงนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ดูหลับฝันหวานทีเดียว

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมือของเขาขึ้น แล้วแทรกตัวเองเข้าไป หลังจากนั้นมือใหญ่ที่รวบคนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับตัวปรับท่าทางที่สบายให้ตัวเองโดยอัตโนมัติ นอนทับซือเหยี่ยนไปครึ่งตัวแล้วหลับสนิทไปเลย

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูหัวทุยๆ แสนปุกปุยตรงหน้าอกเขา เจ้าตัวก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน

 

 

           ถ้าหากวันนี้เจียงมู่เฉินไม่เป็นฝ่ายขอเขาแต่งงาน

 

 

           เขาเองก็จะขอเหมือนกัน

 

 

           เพียงแต่ว่าโดนเจียงมู่เฉินชิงขอตัดหน้าไปอย่างไม่ทันระวังไปเสียก่อน

 

 

           แต่ว่าประธานซือคิดถึงท่าทางที่เขามอบของหมั้นให้ตัวเอง เขาก็อดจะยิ้มไปทั้งหน้าไม่ได้

ตอนที่ 478 ของหมั้น

 

 

           คนรอบข้างที่แอบมองลนลานกันนิดหน่อยแล้ว

 

 

           ความโกลาหลเล็กๆ ที่รอบข้าง สำหรับพวกเจียงมู่เฉินแล้วไม่ได้มีผลกระทบอะไร พวกเขาลงนามในสัญญาและจ่ายเงินมัดจำกันอย่างรวดเร็วมาก

 

 

           ……

 

 

           กำหนดตำแหน่งของบริษัทแล้ว ก็เริ่มเตรียมลงมือดำเนินการได้

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ จะยุ่งขึ้นมาบ้างแล้ว ซือเหยี่ยนเองก็กลับบริษัทไป

 

 

           งานในวงการบันเทิงของจี้ฉิงก็ลดน้อยลงไปมากแล้ว เธอตั้งใจมุ่งมั่นมาเตรียมการเรื่องบริษัท

 

 

           สามเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ในถานโจวจากฤดูร้อนก็เดินมาถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว

 

 

           วันที่สิบห้าพฤศจิกายนวันนั้น บริษัทที่เจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงร่วมลงมือกันสร้างในที่สุดก็ได้ฤกษ์เปิดกิจการแล้ว

 

 

           ในวันเปิดกิจการวันนั้น ผู้คนพากันมามากมาย และในจำนวนนั้นก็มีนักข่าวมาจำนวนไม่น้อยเช่นกัน

 

 

           ถึงอย่างไรเมื่อขึ้นชื่อเป็นเจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงสองคนนี้ ก็ดึงดูดคนให้มาได้มากเกินพอแล้ว

 

 

           มีคนอยู่จำนวนไม่น้อยต่างก็รอคอย ว่าซือเหยี่ยนในฐานะแฟนของเจียงมู่เฉินจะเข้าร่วมงานนี้ได้หรือเปล่า

 

 

           อีกอย่างเห็นแฟนของตัวเองร่วมกันเปิดบริษัทกับแฟนเก่าแบบนี้ จะมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นอย่างไรบ้าง

 

 

           สำหรับการคาดเดาเหล่านี้ของสื่อมวลชน เจียงมู่เฉินไม่มีเวลามาสนใจด้วยซ้ำ

 

 

           ไม่เหมือนกับในวันก่อนๆ เจียงมู่เฉินในวันนี้ใบหน้างามละเอียดได้รูปของเขาค่อนข้างมีความตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

           จี้ฉิงเห็นท่าทางเขาแบบนั้นก็ยิ้มหัวเราะด้วยความขบขัน เธอเอ่ยวิจารณ์อย่างไม่สบอารมณ์ “กล้าๆ หน่อย”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่มีเวลาจะมาสนใจโต้ตอบ ทำเพียงแค่หายใจเข้าลึกๆ

 

 

           จะได้ทำให้จิตใจตัวเองสงบลงอย่างช้าๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่หน้าเวที มองไปรอบๆ ไม่หยุดอยู่ตลอดเวลา ซือเหยี่ยนที่ควรจะมาถึงได้ตั้งนานแล้วกลับยังไม่มาปรากฏตัวเลยจนถึงตอนนี้

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งไม่ค่อยติดเท่าไหร่ อยากจะออกไปโทรหาซือเหยี่ยน

 

 

           จี้ฉิงเห็นท่าทีของเขา เธอก็รีบยื่นมือไปกดเขาไว้ ให้เขาอย่าใจร้อน

 

 

           เมื่อถึงเวลาสิบโมงครึ่งในที่สุดซือเหยี่ยนก็เดินเข้ามา ทุกคนต่างก็หันไปมองทางประตูที่ซือเหยี่ยนเดินเข้ามา

 

 

           ไม่รู้ว่านาทีนั้นเจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนอย่างไร รู้สึกหายใจไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ รู้สึกว่าหายใจได้อืดอาด มือที่วางไว้ใต้โต๊ะกระชับแน่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินผ่านผู้คนเข้ามา มุ่งหน้าไปทางพวกเขาอย่างช้าๆ ในมือยังหอบช่อดอกกุหลาบสีแดงดุจเปลวเพลิงช่อหนึ่งมาด้วย เสริมให้ใบหน้าอันหล่อเหลาดูเด่นเป็นสง่าทั้งยังแวววับจับสายตามากยิ่งขึ้นไปอีก  

 

 

           จนกระทั่งเขาเดินมาหยุดต่อหน้าเจียงมู่เฉิน มอบช่อดอกไม้ส่งออกไปให้อย่างเบามือ “ขออภัยที่มาสายนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยื่นมือออกไปรับช่อดอกไม้มา ยามที่ได้สัมผัสช่อดอกไม้นั้น เขาก็สั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           เขากดเก็บอารมณ์นั้นลงไป แล้วยิ้มหัวเราะออกมา “ไม่สาย”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่งดอกไม้ให้เขาเสร็จ ก็เตรียมจะหันหลังนั่งลงไป เจียงมู่เฉินรีบเอ่ยเรียกเขาไว้ก่อน “เดี๋ยวก่อน”

 

 

           เขามองจี้ฉิงแวบหนึ่ง

 

 

           จี้ฉิงเข้าใจ เธอถือไมโครโฟน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “วันนี้เป็นวันเปิดกิจการของบริษัท พวกเราอยากให้ประธานซือช่วยเปิดม่านเปิดชื่อของบริษัทด้วยค่ะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง คิดแล้วคิดอีกจนคิดได้ “ได้”

 

 

           เขาเดินขึ้นบันไดจนเดินถึงบนเวที อยู่ต่อหน้าแผ่นป้ายที่ถูกม่านแดงปิดบังไว้อยู่

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปดึงออกเบาๆ

 

 

           เห็นแค่เพียงม่านแดงนั้นร่วงลงมา เผยให้เห็นตัวอักษรอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

 

 

           ‘บริษัท ซือเฉิน เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด’

 

 

           ซือเหยี่ยนอ่านชื่อนั้น นัยน์ตาก็เปล่งประกายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           “ซือเฉิน ซือเฉิน…” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจียงมู่เฉินเดินไปอยู่ข้างหลังของซือเหยี่ยน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำออกมา “ซือเหยี่ยน นี่เป็นของหมั้นที่ฉันมอบให้นาย”

 

 

           ราวกับว่าเขาจะตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย กำมือแน่นโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           เขาเงยหน้าขึ้นทันทีหลังจากนั้น ทำเป็นเหมือนไม่เป็นไร เขายิ้มหัวเราะเบาๆ “ในเมื่อเป็นของหมั้น นายอยากจะถือโอกาสนี้แต่งงานกันเลยไหม”

 

 

           บรรยากาศหยุดนิ่งในพริบตา ทุกคนเกร็งตัวหายใจ ราวกับว่าถ้าเสียงหายใจดังขึ้นอีกนิด จะทำให้คนสองคนบนเวทีตกใจได้

 

 

           จี้ฉิงรวมทั้งทีมงานที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าออกไปจากตรงนั้นกันตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           บนเวทีเหลือเพียงซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินสองคน

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่ใช้รอยยิ้มปกปิดความตื่นเต้นที่ฉายแววในดวงตา เขาเชิดมุมปากล่างขึ้นเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ได้”

 

 

           

 

 

ตอนที่ 479 ขออีกครั้งหนึ่ง

 

 

           เขามักจะเป็นอย่างนี้เสมอ ครั้งก่อนที่เปิดตัวกัน เจียงมู่เฉินเอ่ยถามเขาอยากจะเปิดตัวไหม เขาไม่พูดอย่างอื่น นอกจากคำว่า ‘ได้’ คำเดียว

 

 

           ครั้งนี้ขอแต่งงานต่อหน้าผู้คน ซือเหยี่ยนก็ยังคงใช้คำว่า ‘ได้’ คำนี้

 

 

           แต่ไม่มีใครรู้ ตอนนั้นที่เจียงมู่เฉินยืนอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยนด้วยท่าทางองอาจห้าวหาญว่าอยากจะคบเป็นคนรักกันไหม ซือเหยี่ยนก็ตอบกลับด้วยคำว่า ‘ได้’ คำนี้เช่นกัน

 

 

           แม้กระทั่งห้าปีให้หลัง เจียงมู่เฉินแอบย่องเข้าไปห้องของเขา ถามคำถามเดียวกันอีกครั้ง

 

 

           คำตอบของซือเหยี่ยนก็ยังคงเป็นคำว่า ‘ได้’ คำนี้คำเดิม

 

 

           หลายปีที่ผ่านมานี้ วนเวียนกันไปมา ขอเพียงแต่เป็นคำถามของเจียงมู่เฉินเท่านั้น ซือเหยี่ยนก็จะมีเพียงแค่คำตอบเดียวให้เจียงมู่เฉิน

 

 

           คำตอบที่เขามีให้เจียงมู่เฉินจะเป็นคำว่า ‘ได้’ ตลอดไป

 

 

           เป็นเช่นนี้เรื่อยมา ไม่เคยแปรเปลี่ยน

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มให้ซือเหยี่ยนอย่างไม่ปกปิดความรู้สึก เขาเปิดบริษัทด้วยตัวเอง ใช้ชื่อของทั้งสองคนตั้งเป็นชื่อบริษัท ทั้งยังให้เป็นของหมั้น แล้วขอซือเหยี่ยนแต่งงานต่อหน้าผู้คนมากมาย

 

 

           ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ถูกขนานนามชื่นชมไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

 

 

           มีผู้คนตั้งเท่าไหร่ที่รู้สึกได้ถึงความโชคดีของซือเหยี่ยน รับคุณชายน้อยจอมเย่อหยิ่งขนาดนั้นมาอยู่ในอ้อมกอดได้ ยอมจำนนให้กันแบบนี้

 

 

           ยิ่งไปกว่านั้นมีผู้คนอีกมากมายที่หลงใหลในคำพูดและการกระทำของเจียงมู่เฉิน

 

 

           บอกว่าจะเปิดตัวก็เปิดตัว บอกว่าจะขอแต่งงานก็ขอแต่งงาน

 

 

           แม้กระทั่งขอแต่งงานยังจัดชุดใหญ่ขนาดนี้ได้

 

 

           เพียงเวลาไม่นานผู้คนในถานโจวไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่างพากันอิจฉาในเรื่องราวความรักของซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉิน

 

 

           ในเวลาเดียวกันนั้น ซือเหยี่ยนก็พาเจียงมู่เฉินนั่งเครื่องบินเดินทางไปฝรั่งเศสแล้ว

 

 

           ทั้งสองคนจูงมือกันนั่งซบกันอยู่บนเครื่องบิน

 

 

           เจียงมู่เฉินซบไหล่ซือเหยี่ยน เอ่ยถามติดตลก “วันนี้ที่นายมาสาย เพราะนายไปหยิบหนังสือเดินทางมาให้ฉันใช่ไหม”

 

 

           ‘ถึงยังไงซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไม่ควรจะสายในเวลาสำคัญแบบนี้ได้’

 

 

           เมื่อช่วงสายๆ เพราะเขาตื่นเต้น จึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย

 

 

           แต่พอถึงสนามบิน เจียงมู่เฉินถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองหลงกลซือเหยี่ยนแล้ว  หรือว่าเขาจะรู้มาก่อนว่าวันนี้ตัวเองจะขอแต่งงาน

 

 

           ‘แต่ว่าไม่ควรจะใช่นะ’

 

 

           ‘หรือว่า…’

 

 

           เจียงมู่เฉินเบิกตาโตมองซือเหยี่ยนกะทันหัน “นี่นายเตรียมจะขอฉันแต่งงานมาแต่แรกใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ พลางจะเอ่ยเสียงต่ำ “เปล่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม  ต้องใช่แน่นอน!

 

 

           มิน่าล่ะ เขารู้สึกว่าวันนี้ซือเหยี่ยนแต่งตัวดูเป็นทางการมาก แล้วยังหอบช่อกุหลาบแดงช่อใหญ่ระดับพรีเมียมขนาดนั้นมาอีก

 

 

           ขาดทุนใหญ่แล้ว ถ้ารู้แต่แรก เขาก็จะไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน ให้ซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายเอ่ยปากแทน

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นการสารภาพรัก การเปิดตัว การให้ของหมั้น สุดท้ายแม้แต่การขอแต่งงาน ทุกอย่างก็จะเป็นเขาฝ่ายเดียวที่ทำทั้งหมดนี้

 

 

           ‘นี่เขาแสดงออกมากเกินไปแล้วใช่ไหม’

 

 

           “ไม่ได้ นายต้องขอฉันอีกครั้ง จะเป็นฉันเองทุกครั้งไม่ได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “ได้ ผมจะขอคุณอีกครั้ง”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้คำพูดนี้ คิ้วที่ขมวดเป็นปมของเขาคลายตัวลงเล็กน้อยแล้ว รอถึงเวลาซือเหยี่ยนขอเขาแต่งงาน เขาจะต้องเล่นตัวเยอะๆ ให้ซือเหยี่ยนลำบากบ้าง

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะดูเหมือนว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงอย่างเขาโดนเอาตัวไปได้ง่ายขนาดนี้เชียว

 

 

           การเดินทางเที่ยวบินสิบกว่าชั่วโมง เจียงมู่เฉินแทบอยากจะแขวนตัวเองไว้บนตัวซือเหยี่ยนออกมา

 

 

           ช่วงนี้เขายุ่งเรื่องเปิดบริษัทมาก ไม่มีเวลาได้นอนพักผ่อนดีๆ เท่าไหร่นัก

 

 

           ถ้าหากว่าเจียงมู่เฉินเอ่ยปากให้ซือเหยี่ยนอุ้ม ประธานซือก็จะอุ้มเขาออกมาโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนได้

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้หลังจากคุณชายน้อยเจียงขอแต่งงานไปแล้ว หนังหน้าก็มีความบางเป็นพิเศษ ซือเหยี่ยนวางตัวถูก  แต่เขายังรู้สึกวางตัวไม่ถูกไง

 

 

           ด้วยเหตุนี้สุดท้ายจึงพบกันครึ่งทาง ซือเหยี่ยนจูงมือลากเขาไป…เอ่อ…เดินออกมา

 

 

           ออกจากสนามบินแล้ว ซือเหยี่ยนพาเขาไปยังโรงแรม เจียงมู่เฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง หัวถึงหมอนก็นอนทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเขาด้วยความขบขัน ยื่นมือไปปรับท่านอนให้เขาสักพัก ก่อนจะออกไปโทรศัพท์

 

 

           หลังจากตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซือเหยี่ยนถึงได้กลับเข้ามาจากข้างนอก เจียงมู่เฉินยังคงนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ดูหลับฝันหวานทีเดียว

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมือของเขาขึ้น แล้วแทรกตัวเองเข้าไป หลังจากนั้นมือใหญ่ที่รวบคนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับตัวปรับท่าทางที่สบายให้ตัวเองโดยอัตโนมัติ นอนทับซือเหยี่ยนไปครึ่งตัวแล้วหลับสนิทไปเลย

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูหัวทุยๆ แสนปุกปุยตรงหน้าอกเขา เจ้าตัวก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน

 

 

           ถ้าหากวันนี้เจียงมู่เฉินไม่เป็นฝ่ายขอเขาแต่งงาน

 

 

           เขาเองก็จะขอเหมือนกัน

 

 

           เพียงแต่ว่าโดนเจียงมู่เฉินชิงขอตัดหน้าไปอย่างไม่ทันระวังไปเสียก่อน

 

 

           แต่ว่าประธานซือคิดถึงท่าทางที่เขามอบของหมั้นให้ตัวเอง เขาก็อดจะยิ้มไปทั้งหน้าไม่ได้

ตอนที่ 476 พี่เหยี่ยน

 

 

           เจียงมู่เฉินโบกมือไปมาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน เหมือนซือเหยี่ยนอยากจะคว้ามือเจียงมู่เฉินเอาไว้ แต่ไขว่คว้าเท่าไหร่ก็จับไว้ไม่ได้เสียที

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะหัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้เมาที่ไหนกัน ถ้าเขาเดาไม่ผิด ตั้งแต่ที่ซือเหยี่ยนไม่พูดไม่จา ก็เมาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

           เพียงแต่ว่าเวลาที่ซือเหยี่ยนเมากลับดูไม่ได้แตกต่างอะไรจากตัวเขาในยามปกติเท่านั้นเอง

 

 

           ดังนั้นคนรอบข้างจึงสังเกตเห็นไม่ได้มาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           อย่าพูดถึงคนอื่นเลย ถ้าหากว่าไม่มองอย่างจริงจังขนาดนี้ ตัวเขาเองก็มองไม่ออก

 

 

           “ซือเหยี่ยน…พี่ชาย…พี่เหยี่ยน…” เจียงมู่เฉินจงใจแกล้งแหย่เขา

 

 

           ก็เห็นแค่ดวงตาที่เดิมทีมีความน่ารักอยู่แล้วของซือเหยี่ยนกรอกไปกรอกมา แล้วจ้องมองใบหน้าของเจียงมู่เฉินในทันใด

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดหางตาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เมาหรือยัง”

 

 

           ซือเหยี่ยนกะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “เปล่า”

 

 

           “เหล้าอร่อยไหม”

 

 

           “ไม่อร่อย”

 

 

           “ยังรู้จักฉันไหม”

 

 

           “รู้จัก”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขามีท่าทีที่ ‘ถามมาตอบไป’ ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน รู้สึกว่าเขาเป็นแบบนี้  น่ารักระเบิดระเบ้อจริงๆ เลย

 

 

           แตกต่างซือเหยี่ยนก่อนหน้านี้ราวกับฟ้ากับเหวทีเดียว

 

 

           ใครจะไปคิดว่าดอกไม้บนยอดเขาสูงอย่างซือเหยี่ยนดื่มเหล้าทีจะน่ารักอย่างคาดไม่ถึงได้ขนาดนี้

 

 

           เจียงมู่เฉินบีบแก้มซือเหยี่ยนเป็นการให้รางวัล เสียงต่ำเอ่ยถามอีกครั้ง “ฉันเป็นใคร”

 

 

           ซือเหยี่ยนกรอกตาอีกครั้ง “เจียงมู่เฉิน”

 

 

           “แล้วนายชอบใคร”

 

 

           “เจียงมู่เฉิน”

 

 

           “พูดอีกครั้งสิ นายชอบใคร”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยอีกครั้ง “เจียงมู่เฉิน”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาจริงใจซื่อสัตย์ขนาดนี้ ก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ เขาก้มหน้าโน้มเข้าไปใกล้แล้วประทับรอยจูบที่ริมฝีปากของซือเหยี่ยน

 

 

           “เห็นนายว่าง่ายขนาดนี้ จูบนายเป็นรางวัลนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินจูบเสร็จ เขาก็ถอยหลังไป ซือเหยี่ยนกุมมือเขาไว้แน่น

 

 

           ซือเหยี่ยนดึงมือเจียงมู่เฉินมา ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “อยากได้อีก! รางวัล!”

 

 

           เจียงมู่เฉินถูกความน่ารักของเขาละลายหัวใจแล้ว แต่ว่าเขาไม่ได้รีบจูบเข้าไปทันที แล้วเอ่ยถามขึ้น “นอกจากเจียงมู่เฉิน นายยังเคยชอบคนอื่นไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเงียบไม่พูดจาสักพัก ราวกับว่ากำลังคิดคำถามนี้อย่างจริงจัง

 

 

“เคย”

 

 

เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว  เขาก็แค่ถามไปงั้นๆ เคยชอบคนอื่นอีกจริงๆ เหรอ

 

 

“ใคร”

 

 

“เฉินเฉิน”

 

 

เจียงมู่เฉินตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะคิกคักทันทีหลังจากนั้น

 

 

ซือเหยี่ยนที่ดื่มเหล้าจนเมาดึงมือเจียงมู่เฉินไปมาอีกครั้ง “ขอรางวัลอีก”

 

 

“อืมๆ รางวัล ได้ จะให้รางวัลนายนะ” เจียงมู่เฉินพูดไปพลางก้มหน้าลงจูบซือเหยี่ยนอีกที

 

 

เจียงมู่เฉินเอ่ยถามอีก “งั้นถ้าทั้งเจียงมู่เฉินและเฉินเฉินไม่ชอบนายแล้ว จะทำยังไง”

 

 

ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาที่เดิมทีมีความน่ารักอยู่ในนั้นประกายความอันตรายขึ้นมาวาบหนึ่ง

 

 

มือเขาที่ซือเหยี่ยนกุมเอาไว้แต่เดิมก็กระชับแน่นขึ้นมากะทันหัน ซือเหยี่ยนดึงเขาให้ล้มลงไปกองกับพรมปูพื้น

 

 

เจียงมู่เฉินเสียหลักล้มลงก็เวียนหัวนิดหน่อย เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นคิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะทำอะไรกะทันหันแบบนี้

 

 

เขารอเพียงไม่กี่วินาที ถึงได้มองเห็นชัด พอลืมตาขึ้นก็สบกับดวงตาสีดำขลับคู่นั้นที่ดูไม่เหมือนเดิมของซือเหยี่ยน

 

 

“ไม่ได้”

 

 

เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว ไม่ได้อะไร

 

 

“ของผม! ไม่ได้”

 

 

ซือเหยี่ยนกดเขาไว้อย่างดึงดัน ราวกับว่าถ้าเจียงมู่เฉินกล้าพูดว่า ‘ได้’ เขาก็จะลงมือเดี๋ยวนั้นทันที

 

 

ซือเหยี่ยนผู้ในอาการเมาไม่รู้จักออมแรงมือของตัวเอง เจียงมู่เฉินโดนเขากดจนปวดไหล่

 

 

เขาขยับตัวอย่างไม่เป็นอิสระ เดิมอยากจะหาท่าทางที่สบายขึ้นมาหน่อย ใครจะคิดว่าพอเขาขยับ ซือเหยี่ยนก็ยิ่งออกแรงมากกว่าเดิม ราวกับกลัวเจียงมู่เฉินจะเดินหนี

 

 

เจียงมู่เฉินผ่อนคลายร่างกายนอนอยู่บนพื้นพรม เขาหัวเราะเบาๆ “อืม ของนาย จะชอบคนอื่นไม่ได้”

 

 

เหมือนซือเหยี่ยนจะได้ยินคำตอบนี้ ยังไม่พออย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

ตอนที่ 477 ผมก็เป็นของคุณเหมือนเดิม

 

 

           เขาก้มหน้าลงเลียนแบบการกระทำเมื่อครู่นี้ของเจียงมู่เฉิน แล้วประกบจูบริมฝีปากของเจียงมู่เฉิน “คุณเป็นของผม!”

 

 

           ใบหน้าเจียงมู่เฉินแต่งแต้มรอยยิ้ม โน้มเข้าใกล้ ก่อนจะเอ่ยถามกลับ “แล้วนายล่ะ เป็นของใคร”

 

 

           “ผมเป็นของคุณ!”

 

 

           “ถ้าหากว่านายไม่ชอบฉันแล้วล่ะ”

 

 

           “ผมก็เป็นของคุณเหมือนเดิม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าจริงจังของซือเหยี่ยน เขาก็อดจะอยากเอื้อมมือไปจับซือเหยี่ยนมากดไว้แทน

 

 

           แต่ว่ายังไม่ทันได้รอเขากดซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนก็ลงมือไปแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบยื่นมือไปดึงเขาออกทันที

 

 

           “เดี๋ยวๆๆ นายอย่าพูดคำสองคำแล้วก็ลงมือเลยสิ”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ฟังไม่รับรู้แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยอีก “พี่ชาย พี่เหยี่ยน…”

 

 

           เวลานี้เองซือเหยี่ยนถึงได้เงยหน้าขึ้นมองเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินดึงเสื้อผ้าคนตรงหน้าไว้ “หารือกันหน่อยสิ”

 

 

           เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง ซือเหยี่ยนก็ดึงเขาออกอย่างรวดเร็วทีเดียวด้วยแรงมหาศาล

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสถานการณ์แล้ว ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ จำใจต้องปล่อยเขาทำอย่างนี้ไป

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ เขาก็ร้องเรียกขึ้นมา

 

 

           “ซือเหยี่ยน…”

 

 

           จู่ๆ เจียงมู่เฉินร้องเรียกเขาขึ้นมา ซือเหยี่ยนได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วหยุดการกระทำในมือลง

 

 

           เดิมทีเจียงมู่เฉินแค่ร้องเรียกไปเล่นๆ ใครจะคิดว่าซือเหยี่ยนจะหยุดจริงๆ

 

 

           เขาหัวเราะเบาๆ แล้วโน้มตัวเข้าใกล้ที่ข้างหูซือเหยี่ยน “พี่เหยี่ยน…”

 

 

           ภายใต้แสงไฟสลัว รอยยิ้มของเจียงมู่เฉินช่างดูเชิญชวนเป็นพิเศษ

 

 

           เสียงร่ำร้องว่า ‘พี่เหยี่ยน’ นี้ได้ปลุกเร้าซือเหยี่ยนแล้ว ตอนนี้ได้ยินเพียงแค่เสียงฉีกขาด เสื้อเชิ้ตบนตัวเจียงมู่เฉินก็แยกกันไปคนละทางเพียงชั่วพริบตาเดียว

 

 

           ……

 

 

           ทั้งคืนถูกจับพลิกไปพลิกมา เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าซือเหยี่ยนใกล้จะหักเขาแยกออกเป็นสองท่อนแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนฟุบอยู่บนเตียง ซือเหยี่ยนยังไม่รู้จักเหนื่อย ไม่รู้จักง่วง

 

 

           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็ก้มหน้าลงกัดเขาเข้าไปคำหนึ่ง

 

 

           “ซี๊ด…” เจียงมู่เฉินเอ่ยร้อง ในใจครุ่นคิดอย่างจริงจัง ดูท่าว่าคราวหน้าคราวหลังจะให้ซือเหยี่ยนดื่มจนเมาไม่ได้แล้ว

 

 

           ดื่มจนเมามาที พละกำลังในการต่อสู้มากกว่าเดิมเป็นสองเท่าจริงๆ

 

 

           จนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนสีสว่างขึ้น เจียงมู่เฉินถึงได้นอนฟุบอยู่บนตัวซือเหยี่ยนด้วยความอ่อนเพลีย หรี่ตาลงแล้วผล็อยหลับไปทั้งอย่างนี้

 

 

           พวกเขานอนหลับยาวกันจนถึงเที่ยงวันของวันต่อมา เจียงมู่เฉินตื่นขึ้นมาก็เห็นซือเหยี่ยนที่ยังคงหลับสนิทอยู่ เขาอดจะขบกรามไปมาไม่ได้

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะหมดเรี่ยวแรงไปทั้งร่างแล้ว เขาอยากจะต่อยซือเหยี่ยนสักสองหมัดจริงๆ

 

 

           ‘เขาเป็นผู้ชายอกสามศอก มาโดนจับกดไปกดมาแบบนี้ทั้งวัน จะดีจริงๆ เหรอ’

 

 

           เขาตะเกียกตะกายขึ้นมาจากร่างของซือเหยี่ยนด้วยความยากลำบาก เจียงมู่เฉินคิดอย่างจริงจังว่า  เขาต้องไปหาหมอดูอาการที่เอวดีไหม

 

 

           ‘โดนจับดัดไปงอมาแบบนี้ทุกวัน เอวจะรับไม่ไหวแล้วนะ’

 

 

           ตะเกียกตะกายไปถึงห้องน้ำได้ก็เข้าไปแช่อาบน้ำอยู่สักพัก เพิ่งจะเตรียมลุกขึ้นมา เขาก็เห็นประตูห้องน้ำถูกผลักเปิดเข้ามาจากข้างนอก

 

 

           ซือเหยี่ยนทรงผมยุ่งนิดหน่อย เขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าแล้วเดินตรงเข้ามาเลย

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดหัว “พี่ใหญ่ นายไม่รู้จักใส่เสื้อผ้าแล้วค่อยวิ่งมาหรือไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนแทรกตัวเข้ามาอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน “ถึงยังไงก็ต้องถอดอยู่ดี”

 

 

           ทั้งสองคนนั่งพิงเรียงหน้ากระดานแช่น้ำอาบด้วยกัน ดีที่น้ำในอ่างอาบน้ำรักษาอุณหภูมิได้ ทั้งสองคนแช่น้ำอาบกันสักพักถึงค่อยออกไปจากห้องน้ำ

 

 

           หลังจากกินข้าวเสร็จ เจียงมู่เฉินพาซือเหยี่ยนออกไปข้างนอก

 

 

           ก่อนหน้านี้เขาได้หาสถานที่ที่เหมาะสมไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้มีนัดลงนามในสัญญาร่วมกัน

 

 

           เมื่อออกไปข้างนอก เจียงมู่เฉินก็โทรหาจี้ฉิง บอกกล่าวถึงที่ตั้งของสถานที่ ให้เธอตามเข้าไป

 

 

           ทั้งสองคนรีบไปถึงยังสถานที่ที่นัดกันไว้ เจ้าของอาคารนั้นรออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว

 

 

           พวกเขาทักทายกัน เจียงมู่เฉินหยิบสัญญาขึ้นมาอ่านสักพัก รู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วพยักหน้ารับ “รอสักครู่ ผมยังมีเพื่อนอีกคนหนึ่ง”

 

 

           พวกเขานั่งดื่มกาแฟรอกัน ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นในที่สุดจี้ฉิงก็ตามมาทัน

 

 

           เธอเข้ามาแล้วยิ้มหัวเราะอย่างเคอะเขิน “ขออภัยค่ะ ฉันมาสายนิดหน่อย”

 

 

           ซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉิน และจี้ฉิง ทั้งสามคนอยู่ในฉากเดียวกันอีกครั้ง คนในร้านกาแฟก็ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมกัน

 

 

           นึกถึงข่าวลือระหว่างสามคนเมื่อก่อนหน้านี้กันโดยอัตโนมัติ

 

 

           ตามหลักการแล้วจี้ฉิงกับซือเหยี่ยนอยู่ในฐานะแฟนเก่าและแฟนใหม่  ทำไมเวลาส่วนตัวที่อยู่ด้วยกันดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวทีเดียว

ตอนที่ 474 ได้สมดั่งใจปรารถนา

 

 

           แสงไฟในหลานเยี่ยมืดสลัวมาก จึงมองใบหน้าของซือเหยี่ยนได้ไม่ชัดเท่าไหร่นัก  แต่จะทำยังไงได้เจ้าหมอนี่รูปหล่อ ภายใต้แสงไฟสลัว เห็นแค่เพียงเงาด้างข้างก็รู้สึกใจเต้นนิดหน่อยแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินดื่มเหล้ากับคนกลุ่มนี้ แล้วยังไม่ลืมที่จะเอียงหน้าสังเกตมองซือเหยี่ยนไปด้วย

 

 

           สมกับเป็นแฟนของตัวเองจริงๆ หน้าตาท่าทางไม่มีอะไรผิดปกติให้จับผิดออกมาได้เลยจริงๆ

 

 

           แววตาเล็กๆ นั้นของเขาไม่มีการปกปิดซ่อนเร้น ต่อให้เป็นคนตายก็ต้องฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพราะถูกเขามอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซือเหยี่ยนคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตขนาดนี้เลย

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปบีบมือเจียงมู่เฉินที่ใต้โต๊ะ ให้เขาเก็บอาการบ้างสักหน่อย

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ คนเยอะเกินไปไม่ดีจริงๆ เอาเปรียบอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

 

 

           ยามที่คุณชายเจียงอ่อยคนขึ้น ไม่มีแม้แต่จะนึกถึงขาอ่อนแรงยืนตรงไม่ได้เมื่อตอนบ่ายเลยสักนิด

 

 

           เฉิงฉีเห็นพวกเขาดื่มกันไปประมาณหนึ่งแล้ว ก็ยื่นมือไปสะกิดเจียงมู่เฉิน

 

 

           “ไปสูบบุหรี่กันไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า แล้วบอกกับซือเหยี่ยนสักหน่อย ก่อนจะออกไปกับเฉิงฉี

 

 

           เหล่าคุณชายผู้ดีมีเงิน ณ ที่นี้ ทันทีที่เห็นเจียงมู่เฉินออกไปแล้ว พวกเขาต่างก็พากันมองซือเหยี่ยนด้วยความสงสัยใคร่รู้เตรียมพร้อมจะลุยเต็มที่

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ซือเหยี่ยนเป็นดอกไม้ที่อยู่ยอดเขาสูงชันยากที่จะเข้าใกล้ได้

 

 

           พวกเขาโยนกันไปกันมาอยู่พักใหญ่ ไม่มีใครกล้าจะเอ่ยปากสักคน

 

 

           จนกระทั่งสุดท้าย มีคนคนหนึ่งรวบรวมความกล้าเอ่ยเสียงต่ำถามออกมา “ประธานซือ นายกับเจียงมู่เฉินไปคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”

 

 

           พวกเขาสงสัยใคร่รู้กันมากจริงๆ  ตกลงแล้วสองคนนี้ไปคบกันตอนไหน

 

 

           ทำให้เจียงมู่เฉินยอมเสียค่าตอบแทนที่สูงกับการที่ออกไปเปิดตัวต่อสาธารณะได้ ความรักความผูกพันนั้น พอมาคิดดูแล้วก็รู้ได้ว่าลึกซึ้งกันแค่ไหน

 

 

           เดิมทีคิดว่าซือเหยี่ยนจะไม่ตอบคำถามนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะเอ่ยเสียงต่ำขึ้น “นานมาก”

 

 

           ถึงแม้จะเป็นคำสั้นๆ สองคำ แต่ก็เกี่ยวดึงความกล้าหาญเล็กๆ ขึ้นมาเพียงชั่วครู่เดียว

 

 

           เอ่ยถามต่ออีก “พวกนายเปิดตัวกันแบบนี้ ไม่กลัวเหรอ”

 

 

           “แล้วเรื่องของพวกนาย พ่อแม่นายรู้หมดแล้วเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ย “อืม รู้แล้ว”

 

 

           “พวกนายสองคนนี่เท่ห์เกินไปมั้ง จะรักกันที เล่นซะสะเทือนไปทั้งเมือง”

 

 

           เมื่อนึกถึงงานแถลงข่าววันนั้น เจียงมู่เฉินทั้งเชิดหน้าทั้งลำพองใจ พวกเขาอิจฉากันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ถึงอย่างไรใครจะทำแบบนี้เหมือนที่พวกเขาทำได้ ชอบคนเพศเดียวกัน แล้วทั้งสองคนยังเป็นคนดังมีชื่อเสียง แต่กลับเปิดตัวโดยไม่พะว้าพะวังเลยสักนิด 

 

 

           นี่ถ้าเปลี่ยนไปเป็นคนอื่น ต้องทำไม่ได้อย่างแน่นอน

 

 

           อีกฝั่งหนึ่ง เจียงมู่เฉินกับเฉิงฉียืนอยู่ตรงชั้นสอง ในมือทั้งคู่คีบบุหรี่ไว้อยู่

 

 

           “ยินดีกับนายด้วยนะ ในที่สุดก็ได้สมดั่งใจปรารถนาแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง “นายอยากจะพูดเรื่องนี้กับฉันงั้นเหรอ”

 

 

           เฉิงฉีสูบบุหรี่เข้าไปลึกๆ เต็มๆ คำ “นายตัดสินใจแล้ว ใครก็เปลี่ยนไม่ได้หรอก”

 

 

           ก็เหมือนกับตอนแรกเริ่ม เขาให้เจียงมู่เฉินอย่าไปหาเรื่องซือเหยี่ยนตามอำเภอใจ แต่เจียงมู่เฉินก็ยังคงต้องการจะไปหาเรื่องซือเหยี่ยนโดยไม่รู้ตัวอยู่ดี

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับมือที่คีบบุหรี่อยู่ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “ฉันกับซือเหยี่ยนไม่เหมือนกับคนอื่น”

 

 

           หลายปีมานี้ชะตาชีวิตของพวกเขาพันธนาการเกี่ยวพันกันมาตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งคู่แยกจากกันไม่ได้โดยสิ้นเชิง

 

 

           เฉิงฉีรู้สึกในใจอย่างลึกซึ้ง เขาเอื้อมมือไปตบบ่าของเจียงมู่เฉิน “ขออวยพรให้พวกนายมีความสุขนะ”

 

 

           ท่ามกลางความมืด เจียงมู่เฉินยืนอยู่ชั้นสอง ก้มหน้าลงจ้องมองข้างล่างอย่างไม่ละสายตา มองไล่จากสายตาเขาไป ในสายตาของเขามีเพียงแค่คนคนเดียว

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ชั้นล่าง ก้มหน้าลงเล็กน้อย ในมือถือแก้วเหล้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           จู่ๆ เขาก็ยกมุมปากขึ้น แล้วก็ยิ้มหัวเราะกะทันหัน

 

 

           มือเจียงมู่เฉินที่คีบบุหรี่อยู่กระชับแน่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

           เขาโยนบุหรี่ทิ้งลงในถังขยะ ยื่นมือตอบกลับเฉิงฉี “ขอบคุณนะ”

 

 

           เอ่ยจบประโยคนี้ เจียงมู่เฉินก็หันหลังเดินลงไปชั้นล่าง กลับไปอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน    

 

 

           ……

 

 

           เพื่อนที่กินเล่นเที่ยวด้วยกันในวันธรรมดาๆ ก็ยังเป็นเพื่อนที่ไม่เลวเท่าไหร่ บวกกับความจริงใจที่อยากให้เจียงมู่เฉินมีความสุข พวกเขาจึงเฮฮาดื่มเหล้ากันไปไม่น้อยทีเดียว

 

 

 

 

ตอนที่ 475 ซือเหยี่ยนดื่มจนเมาแล้ว

 

 

           เหล้านั้นมาเทที่เจียงมู่เฉินเสียส่วนใหญ่ ถึงยังไงต่อให้พวกซือเหยี่ยนคิดก็ไม่กล้าหรอก

 

 

           เจียงมู่เฉินกระดกเหล้าไปสองแก้ว แต่ว่าพอเห็นพวกเขาคึกคักกัน เกรงว่าคืนนี้งานเลี้ยงจะไม่ได้มาเดี๋ยวเดียวก็จบแล้ว

 

 

           เขาไม่ได้ดื่มเหล้าแบบนี้มานานมากแล้ว ดื่มไปไม่กี่แก้วท้องไส้เริ่มก็ปั่นป่วน รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก ในมุมที่พวกเขามองไม่เห็น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้มหน้าลงอย่างกล้ำกลืนฝืนทน

 

 

           คนอื่นอาจจะไม่ได้สังเกตเห็น แต่คนที่นั่งข้างเจียงมู่เฉินอย่างซือเหยี่ยน สายตาของเขาจดจ้องมาที่เจียงมู่เฉินตลอด ต้องสังเกตเห็นได้ตั้งแต่นาทีแรกเป็นธรรมดา

 

 

           และเป็นจังหวะเวลานี้พอดี มีคนมาชนแก้วชวนดื่มเหล้าด้วย เจียงมู่เฉินเก็บอาการคิ้วขมวดนี้ลงไป ยกมือถือแก้วเหล้าขึ้นมา เตรียมจะก้มหน้าลงดื่มเหล้า

 

 

           ข้างๆ มีมือใหญ่เอื้อมออกมาคว้าเอาแก้วเหล้าในมือเจียงมู่เฉินไป

 

 

           ทุกคนตกตะลึงกันไปหมด แม้แต่เจียงมู่เฉินคนต้นเรื่องเองก็ตะลึงงันไปด้วย  จู่ๆ ซือเหยี่ยนมาหยิบแก้วเหล้าไปทำไม

 

 

           เห็นเพียงแค่ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำว่า “ฉันจะช่วยเขาดื่มเอง”

 

 

           ผู้ชมพากันส่งเสียงร้องหัวเราะเอ่ยแซว “ที่แท้ประธานซือเห็นใจเพราะรักนี่เอง”

 

 

           เจียงมู่เฉินเตรียมจะเอื้อมมือไปคว้าแก้วเหล้าคืนมา ซือเหยี่ยนไม่ชอบดื่มเหล้า เขารู้จักซือเหยี่ยนมานานขนาดนี้ ไม่เคยเห็นซือเหยี่ยนดื่มเหล้ามาก่อน

 

 

           ผลปรากฏว่าเขาไม่ทันได้ส่งมือออกไป ซือเหยี่ยนก็เงยหน้าขึ้นกระดกเหล้าเข้าไป

 

 

           เขาแหกกฎที่มีมาก่อน คนรอบข้างเห็นสถานการณ์แล้ว ก็ยิ่งฮึกเหิมใจกล้ามากกว่าเดิม ในเมื่อให้เจียงมู่เฉินดื่มไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็มอมเหล้าซือเหยี่ยนแทนแล้วกัน

 

 

           ถึงแม้ว่าซือเหยี่ยนจะไม่พูดอะไร แต่ขอเพียงแต่มีคน เขาก็ดื่มจนหมดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยด้วยซ้ำ

 

 

           รับแก้วต่อแก้วจนสุดท้ายซือเหยี่ยนก็ไม่รู้ว่าดื่มไปเท่าไหร่แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยความตกตะลึง  เมื่อก่อนทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าซือเหยี่ยน…จะดื่มได้ขนาดนี้

 

 

           จนกระทั่งสุดท้ายกลุ่มคนที่โหวกเหวกกันเมื่อครู่นี้ต่างพากันนอนฟุบลงไปทั้งหมด ดื่มจนสลบกันเลยทีเดียว

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนยังคงนั่งตัวตรงอยู่ข้างเจียงมู่เฉินได้ สีหน้าที่แสดงออกไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด ดูเหมือนจะยังคงตาสว่างมากอยู่

 

 

           เจียงมู่เฉินยื่นมือสะกิดซือเหยี่ยน “ยังไหวไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับ

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเฉิงฉีที่ยังคงตาสว่างอยู่เพียงคนเดียวในกลุ่มเพื่อน “ฉันพาเขากลับก่อนแล้ว”

 

 

           เฉิงฉีพยักหน้า เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงต่ำกับซือเหยี่ยน “ไปกันเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้าอีกครั้ง ลุกยืนขึ้นมา เดินออกไปกับเจียงมู่เฉิน

 

 

           ทั้งสองคนขึ้นรถ ซือเหยี่ยนดื่มหนักต้องขับรถไม่ได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่เจียงมู่เฉินเพิ่งจะดื่มไปสองแก้ว ต่อมายังดื่มน้ำมะนาวสร่างเมาอีก

 

 

           “ฉันจะขับรถเอง”

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินไปยังฝั่งที่นั่งคนขับ ส่วนซือเหยี่ยนยื่นมือไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ

 

 

           ระหว่างทางที่กลับไป เจียงมู่เฉินอดจะถามไม่ได้ว่า “นายคอแข็งขนาดนี้เชียวเหรอ” ดื่มมาจนถึงตอนนี้ยังตาสว่างขนาดนี้ได้

 

 

           ดูจากที่ดื่มกันคืนนี้ ต่อให้เป็นเขา ก็คงจะเมาจนไม่ตื่นแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ไม่พูดจา เจียงมู่เฉินคิดว่าเขาไม่อยากพูดเรื่องคอแข็งอะไรพวกนี้ ก็ไม่ได้ถามต่ออีก

 

 

           รถแล่นมาจนถึงคอนโดมิเนียม เจียงมู่เฉินจอดรถแล้ว ทั้งสองคนก็ขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน

 

 

           รอจนถึงหน้าทางเข้าห้อง เจียงมู่เฉินผลักเปิดประตู ซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างหลังก็เดินตามเข้าไป

 

 

           ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

 

 

           ตั้งแต่ซือเหยี่ยนดื่มเหล้าจนถึงตอนนี้ ไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

           ถึงแม้ว่าปกติซือเหยี่ยนจะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ก็ไม่ถึงกับไม่พูดอะไรสักคำแบบนี้

 

 

           เขาเอื้อมมือไปดึงซือเหยี่ยนที่กำลังจะเดินเข้าไปข้างใน ก็เห็นแค่เขาที่ออกแรงฉุดเงาร่างสูงใหญ่ของซือเหยี่ยนแล้วเซล้มไปโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           เห็นเพียงเขาที่ลืมตาแค่ครึ่งหนึ่ง ไม่มีสีหน้าอารมณ์อะไรทั้งนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองดวงตาของซือเหยี่ยนอย่างละเอียด ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นตอนนี้ไม่เปล่งประกายเหมือนในยามปกติแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะอยู่เฉยๆ แล้วดูน่ารักได้

ตอนที่ 472 ออกไปซื้อของข้างนอก  

 

 

           ซือเหยี่ยนทำอาหารมาสี่อย่างเต็มๆ จาน ต่อให้สามสี่คนกินก็กินพอดี  

 

 

           แต่พวกเขาผู้ชายตัวใหญ่สองคนกลับกินหมดไม่มีเหลือแม้แต่น้อย  

 

 

           หลังจากกินอาหารกันเสร็จ เจียงมู่เฉินถอนหายใจ รู้สึกว่าในที่สุดตัวเองก็มีชีวิตกลับมาแล้ว  

 

 

           เขามองซือเหยี่ยนที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “อยากจะดูข่าวในอินเทอร์เน็ตไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนคิดก็ไม่คิดส่ายหัวทันที “ไม่ดู”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วขึ้นเงียบๆ “ไม่ดูจริงๆ เหรอ”  

 

 

           “มีเวลาแบบนั้น สู้ไปเล่นกับแฟนของผมยังจะดีกว่า”  

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”  

 

 

           ‘ร่างเขาใกล้จะพังแล้ว ยังจะเล่นอีกเหรอ’  

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ รู้สึกไม่สบายตัว จึงวางขาลง เตรียมจะลุกยืนขึ้นเดินไปยังโซฟา เดิมทียังไม่รู้สึก แต่พอยืนขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะข้างๆ มีโต๊ะอยู่ อีกนิดเขาก็จะขายหน้าเซล้มลงไปแล้ว  

 

 

           โดยเฉพาะกระดูกสันหลังและเอว รู้สึกจะหักเอาให้ได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนสะดุ้งตกใจ รีบพุ่งตัวเข้าไปประคองเขาโดยพลัน  

 

 

           เจียงมู่เฉินโบกมือไปมา “ไม่ต้อง ฉันเดินเอง”  จะให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขาไปอุ้มเขามาอย่างนี้ตลอดไม่ได้หรอก  

 

 

           ‘ถึงแม้ว่าจะอุ้มไปอุ้มมาจะฟินมากก็เถอะ แต่ถ้าหากว่าเจ้าหมอนี่อุ้มเขาแล้ว จู่ๆ เกิดมีอารมณ์คึกขึ้นมา’  

 

 

           ‘เขาจะมีชีวิตต่อได้อีกเหรอ’  

 

 

           ด้วยเหตุนี้เจียงมู่เฉินจึงยืดเอวขึ้นด้วยความยากลำบาก เดินมาทีละก้าวๆ จากห้องอาหารจนถึงห้องรับแขก เขาเดินช้ามากๆ ในทุกย่างก้าว  

 

 

           ซือเหยี่ยนจ้องมองเขามาตลอดทาง แสดงท่าทีว่าถ้าเกิดเขาล้มขึ้นมา จะพุ่งตัวเข้าไปอุ้มเขาทันที  

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดาย เจียงมู่เฉินไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเขา  

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินไปถึงที่โซฟา เอนพิงอย่างสบายตัว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่รีบร้อนเดินเข้าไป เขาเก็บของบนโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วหั่นผลไม้ จากนั้นถึงได้เดินเข้าไปยังห้องรับแขก  

 

 

           เขายื่นมือไปเปิดทีวี เปิดหนังเรื่องหนึ่ง แล้วไปนั่งบนโซฟาทันทีหลังจากนั้น เจียงมู่เฉินหนุนนอนตักของซือเหยี่ยนโดยอัตโนมัติ  

 

 

           ซือเหยี่ยนขยับตัวปรับท่าทางที่สบายให้เจียงมู่เฉินพิงได้สบายมากขึ้น  

 

 

           เจียงมู่เฉินถือโอกาสหยิบนิตยสารมาเปิดดู เปิดดูไปด้วยพลางมองซือเหยี่ยนไปด้วย “ช่วงนี้นายจะไม่ไปบริษัทจริงๆ เหรอ”  

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ “พ่อผมอยู่ทั้งคน”  

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด “งั้นพรุ่งนี้นายไปที่ที่หนึ่งเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “ได้สิ”  

 

 

           ถึงอย่างไรเรื่องราวก็คลี่คลายไปได้เยอะพอสมควรแล้ว เขาเองก็ต้องเข้าเรื่องหลักได้แล้ว  

 

 

           ทั้งสองคนอยู่ในห้องรับแขกกันอยู่พักหนึ่ง แล้วก็กลับไปนอนกลางวันที่ห้องกันอีกครั้ง  

 

 

           กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็มืดค่ำแล้ว ตื่นมาคราวนี้ ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็มีชีวิตชีวากลับมาอย่างเต็มเปี่ยมได้เสียที  

 

 

           ทั้งสองคนไม่ได้กินมื้อค่ำกันที่บ้านของพวกเขา แต่ออกไปเดินเล่นซื้อของแล้วถือโอกาสกินข้าวข้างนอกด้วยกัน  

 

 

           หลังจากเรื่องเมื่อวันก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาออกไปข้างนอกด้วยกันในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของพวกเขาทั้งคู่ดึงดูดสายตาผู้คนมากมายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาบวกเรื่องเมื่อวันก่อนเข้าไปอีก  

 

 

           เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ทั้งถานโจวไม่มีใครไม่รู้จักพวกเขา  

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเชิดหน้าจูงมือซือเหยี่ยน ทั้งสองคนเดินเล่นกันอย่างเปิดเผยไปตามทาง  

 

 

           ไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างที่มองเข้ามาเลยสักนิด  

 

 

           เดิมทียังรู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนแปลกประหลาด แต่พอเห็นพวกเขาไม่หวั่นเกรงทำตัวสบายๆ กันขนาดนี้ เพียงไม่นานก็รู้สึกว่าพวกเขาเหมือนจะไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดเลย  

 

 

           อีกอย่างเมื่อพวกเขาสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ช่าง…เหมาะสมกันเสียจริงๆ           

 

 

           โดยเฉพาะเหล่าสาวน้อยหัวใจกุ๊กกิ๊ก เห็นพวกเขาสองคนก็พากันตื่นเต้น ดวงตาแวววาววิบวับเป็นประกายดาวเล็กๆ แล้ว  

 

 

           “รีบมาดูเร็ว พวกเขานั่นไง ตัวจริงหล่อชะมัดเลย”  

 

 

           “หัวใจกุ๊กกิ๊กของคู่สามีไง ทั้งสองคนหล่อจัง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงรอบข้าง ก็ยกยิ้มมุมปากอย่างขบขัน เขาเอียงหน้ามองซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างๆ แล้วเอื้อมมือไปคล้องคอเขามา ก้มลงจูบใบหน้าด้านข้างของเขา  

 

 

           การกระทำนี้ยิ่งทำให้เหล่าสาวน้อยตื่นเต้นจนหัวใจจะออกมาเต้นข้างนอกแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินยังไม่ลืมที่จะกะพริบตาให้พวกเธอด้วย  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาหลอกให้คนอื่นดีใจได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ก็เอื้อมมือไปลากคนออกจากตรงนั้น  จะได้ไม่ให้เจ้าหมอนี่ยังโปรยเสน่ห์ไม่เลิกอีก   

 

 

 

 

 

            ตอนที่ 473 แฟนของฉันซือเหยี่ยน  

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนลากตัวไป เขายังถอนหายใจอย่างเสียดาย “จะไปแล้วเหรอ เร็วไปไหม ฉันยังไม่ได้ทักทายพวกเธอเลย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คนทั้งโลกรู้แล้วว่าคุณชอบผู้ชาย ไม่มีอะไรให้ต้องไปทักทายกับคนอื่นเขาหรอก”  

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงออดแอด จากนั้นก็สูดหายใจเข้าไปเต็มๆ  

 

 

           “เหมือนฉันจะได้กลิ่นหึงหึ่งๆ สักหน่อยแล้ว” เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ กะพริบตาปริบๆ “อะไรกัน ออกมาข้างนอกแล้วยังหึงกันด้วยเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงก็เห็นดวงตาแต่งแต้มรอยยิ้มของเจียงมู่เฉินพอดี เขาอดจะเม้มปากแล้วก้มหน้าลงงับคนตรงหน้าไปคำหนึ่งไม่ได้  

 

 

           “ซี๊ด…” เจียงมู่เฉินร้องขึ้น “เป็นหมาหรือไง”  

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนทำเสียงพ่นลมหายใจออกมา “กัดหมาแล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”  

 

 

           ขณะที่กินข้าวกันอยู่นั้น เฉิงฉีโทรหาเจียงมู่เฉิน ถามเขาว่าอยากจะมานั่งเล่นที่หลานเยี่ยหรือเปล่า  

 

 

           เจียงมู่เฉินชัดเจนอยู่ในใจ เขาคงจะอยากจะถามเรื่องของซือเหยี่ยน  

 

 

           แต่ว่าตอนนี้เจ้าตัวอยู่ข้างกายเขาพอดี พาไปด้วยเลยเสียก็สิ้นเรื่อง คิดได้เช่นนี้ จึงรับปากไปตรงๆ กินข้าวเสร็จก็จะไปกันทันที  

 

 

           ณ หลานเยี่ย มีคนกลุ่มหนึ่งจ้องมองเฉิงฉี พร้อมเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เป็นยังไงบ้าง มาไหม”  

 

 

           เฉิงฉีพยักหน้า “เดี๋ยวก็จะมากันแล้ว”  

 

 

           “ดี งั้นพวกเราก็รอเขาที่นี่ น่าแปลกใจจริงๆ เขาเป็นศัตรูคู่แค้นกับซือเหยี่ยนไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงมาคบกันได้”  

 

 

           “รอคุณชายเจียงมา เดี๋ยวก็ชัดเจนเอง”  

 

 

           “แต่ว่าครั้งนี้เล่นใหญ่ซะขนาดนั้น คงจะไม่ใช่เรื่องโกหกหรอก”  

 

 

           เฉิงฉีไม่ได้แสดงท่าทีตอบสนองมากนัก ตั้งแต่ตอนนั้นที่เจียงมู่เฉินไปวนเวียนอยู่รอบตัวซือเหยี่ยนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาก็คาดเดาถึงว่าจะมีวันนี้ได้  

 

 

           เพียงแต่ว่าคิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีแบบนี้เปิดตัวต่อสาธารณะได้  

 

 

           เขาอยากจะถามเจียงมู่เฉินจริงๆ เกี่ยวกับเรื่องของซือเหยี่ยน  

 

 

           ……  

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินวางสายไป เขาก็เงยหน้ามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “เดี๋ยวนายไปหลานเยี่ยเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้ถามอะไร เขาตบปากรับคำทันที     

 

 

           ทั้งสองคนกินข้าวกันเสร็จ ก็พากันมุ่งหน้าไปยังหลานเยี่ย ระหว่างทางเจียงมู่เฉินนั่งคิดอยู่ในรถ ครั้งนั้นตัวเองมีแต่ใจที่อยากจะหาเรื่องซือเหยี่ยน  

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนั้น ก็จะไม่มีเรื่องต่อจากนั้นตามมาแล้ว  

 

 

           ยิ่งจะโยงไปถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อนนี้ไม่ได้เลย พอคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เจียงมู่เฉินก็ยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

           ซือเหยี่ยนขับรถไปเอียงหน้ามามองเขา “ยิ้มอะไร”  

 

 

           “ฉันกำลังคิดว่าหลานเยี่ยถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราสองคนไปแล้ว” ขณะที่เขาพูดก็ยังกะพริบตาปริบๆ ให้ซือเหยี่ยนด้วย  

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ เขารู้ได้ในทันทีว่าที่เจียงมู่เฉินพูดนั้นหมายความว่าอะไร  

 

 

           ทั้งสองคนมาถึงที่หลานเยี่ยก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว  

 

 

           เป็นเวลาที่ผู้คนคึกคักที่สุดในหลานเยี่ย ซือเหยี่ยนจอดรถอยู่ข้างนอก แล้วเดินเข้าไปพร้อมกันกับเจียงมู่เฉินหลังจากนั้นทันที  

 

 

           มีกลุ่มคนที่ได้ยินว่าเจียงมู่เฉินจะมา ก็ตั้งตารอคอยมองมาที่ทางเข้าอยู่ตลอดเวลา  

 

 

           มองหากันอยู่ตั้งนาน ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็เดินเข้ามา เพียงแต่ว่ามันเกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก ยังมีซือเหยี่ยนอยู่ข้างกายมาด้วย  

 

 

           คนกลุ่มนั้นตะลึงงันไปพักหนึ่ง เดิมทียังอยากจะถามเป็นการส่วนตัว ผลปรากฏว่าเจียงมู่เฉินกลับเปิดเผยตรงไปตรงมาพาเจ้าตัวมาเองเสียเลย  

 

 

           เฉิงฉีเองก็แปลกใจอยู่ในที แต่ว่าพอคิดว่าซือเหยี่ยนมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วยก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก จึงเก็บความแปลกใจนี้เข้าไปในสายตา  

 

 

           เจียงมู่เฉินพาซือเหยี่ยนมาหลานเยี่ยด้วยอารมณ์สงบนิ่ง มุ่งหน้าไปยังที่ประจำของพวกเขา เป็นอย่างที่คิดนอกจากเฉิงฉีแล้วยังมีคนอื่นๆ รอเจียงมู่เฉินอยู่ที่นี่  

 

 

           เห็นเจียงมู่เฉินมาแล้ว ทุกคนก็รีบทักทายกันทันที  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูพวกเขาไม่กี่คนนั้น ก่อนจะเอ่ยออกไปตรงๆ “แฟนของฉัน ซือเหยี่ยน”  

 

 

           ถึงแม้ว่าซือเหยี่ยนจะยังมีใบหน้าที่เย็นชา แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ดูมีความอ่อนโยนขึ้น  

 

 

           ถ้าหากอยู่ในยามปกติ คนพวกนี้ไม่มีทางจะเข้าใกล้ซือเหยี่ยนได้  

 

 

           แต่วันนี้สถานะไม่เหมือนเดิม พวกเขาคือเพื่อนของเจียงมู่เฉิน ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นเพื่อนของซือเหยี่ยนเหมือนกัน  

 

 

           คนไม่กี่คนนั้นเห็นท่าทีของซือเหยี่ยนอ่อนโยนมากแล้ว ก็รีบเล่นตามน้ำกันทันที  

ตอนที่ 470 เปิดเผยความรักต่อสาธารณะ  

 

 

           ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้เขาบอกคนกลุ่มนี้ไปตรงๆ เลยจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องให้ตัวเองกับซือเหยี่ยนคบกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ อีก  

 

 

           ถึงอย่างไรเดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจสื่อมวลชนพวกนี้ว่าจะเขียนว่าพวกเขาอย่างไรอยู่แล้ว  

 

 

           ส่วนซือเหยี่ยน…  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ ตัวเองไม่สนใจสื่อ ซือเหยี่ยนก็ยิ่งจะไม่สนใจสื่อแล้วเหมือนกัน  

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงยืนขึ้นมากะทันหัน เดินทะลุผ่านกลุ่มคนที่ออกันอยู่ลงไป สื่อมวลชนเหล่านั้นเห็นการกระทำของเจียงมู่เฉินก็หลีกทางให้สองฝั่งโดยอัตโนมัติ  

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ เดินไปทีละก้าวๆ ไปหยุดอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน เขายกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน มองซือเหยี่ยนแล้วเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “อยากเปิดตัวไหม แฟนของฉัน”  

 

 

           ถึงแม้ว่าคำพูดนี้จะกำลังเอ่ยถามซือเหยี่ยนอยู่ แต่ในความเป็นจริงก็คือการเปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  

 

 

           คนทั้งงานแถลงข่าวโกลาหลแล้ว คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะเป็นแฟนหนุ่มสุดหล่อที่เจียงมู่เฉินเอ่ยถึง  

 

 

           ลำพังคุณชายน้อยตระกูลเจียงคนเดียวว่าจัดการยากพอสมควรแล้ว ยังมีซือเหยี่ยนเพิ่มมาอีกคน  

 

 

           ทั้งสองคนครอบครองพื้นที่เกือบครึ่งค่อนของถานโจว  

 

 

           เดิมทีตระกูลเดียวก็แข็งแกร่งมากพอแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนร่วมมือกัน…  

 

 

           ใบหน้าซือเหยี่ยนที่สงบนิ่งมาตลอดแต่งแต้มรอยยิ้มจางๆ ในดวงตาสีดำขลับก็แต่งแต้มรอยยิ้มจางๆ เช่นกัน  

 

 

           เขาค่อยๆ ลุกยืนขึ้นมาจากเก้าอี้อย่างช้าๆ แผ่รัศมีทรงอำนาจ  

 

 

           เขาเอื้อมมือไปจับมือเจียงมู่เฉินไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “ได้”  

 

 

           คำว่า ‘ได้’ ง่ายๆ คำเดียว แต่กลับสั่นสะเทือนมากกว่าคำที่ได้ยินไปก่อนหน้านี้เป็นไหนๆ  

 

 

           ‘ถึงยังไงพวกเขาก็เปิดตัวเป็นเกย์ต่อหน้าคนทั้งประเทศนะ’  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินก็ยังมีความตื่นเต้นเล็กๆ อยู่บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในแผนของเขา แต่ว่าแบบนี้บางทีก็ไม่เลวเหมือนกัน  

 

 

           ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วสักวันเขากับซือเหยี่ยนก็ต้องการจะคบกันอย่างเปิดเผยอยู่ดี  

 

 

           แสงแฟลชกระหน่ำรัวสาดส่องมายังเจียงมู่เฉินและซือเหยี่ยนทั้งสองคนอย่างไม่ขาดสาย  

 

 

           แล้วเจียงมู่เฉินและซือเหยี่ยนก็ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน ทั้งคู่จับมือกันจ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ  

 

 

           ……  

 

 

           วันต่อมา ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินทั้งสองคนครองพื้นที่บนนิตยสารบันเทิงและในยอดค้นหาอันดับต้นๆ ของโลกออนไลน์ไปทั้งถานโจวแล้ว  

 

 

           ไม่ใช่ ยังมีจี้ฉิงอีกคน  

 

 

           เพียงเพราะจี้ฉิงโพสต์ข้อความสนับสนุนความรักของซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เรื่องนี้มีคนอยู่ไม่น้อยที่ยังยอมรับได้ ถึงอย่างไรตอนนี้คนก็เปิดกว้างยอมรับได้มากขึ้นแล้ว อีกอย่างรูปร่างหน้าตาของเจียงมู่เฉินก็เหมาะสมคู่ควรกับซือเหยี่ยนมาก ทำให้พวกเขาไม่มีความคิดที่จะไม่ยอมรับจริงๆ  

 

 

           แต่ก็ยังมีคนส่วนน้อยที่ยากจะยอมรับเรื่องนี้ได้  

 

 

           ด้วยเหตุนี้ในโลกออนไลน์จึงเกิดกระแสเป็นสองฝั่ง ฝั่งสนับสนุนพวกเขา อีกฝั่งคือกลุ่มที่พูดจาไม่น่าฟังอย่างไม่หยุดหย่อน  

 

 

           เพียงแต่ว่ากระแสในโลกออนไลน์จะตีกันไปมาอย่างไร ทั้งซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉินก็ไม่มีใครสักคนจะสนใจเรื่องนี้  

 

 

           ตั้งแต่กลับมาจากงานแถลงข่าววันนั้น เจียงมู่เฉินก็เกิดอารมณ์คึกลากซือเหยี่ยนขึ้นเตียง  

 

 

           ทั้งสองคนสู้รบปรบมือกันไปสามร้อยกว่าตลบ จนกระทั่งถึงเที่ยงคืน ถึงได้แขนขาอ่อนแรงนอนเป็นอัมพาตอยู่บนตัวซือเหยี่ยน  

 

 

           กว่าจะนอนหลับไปถึงเที่ยงวันไม่ใช่ง่ายๆ ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้กินข้าว เจียงมู่เฉินก็โดนซือเหยี่ยนจับกดกินทั้งตัวไปอีกมื้อหนึ่ง  

 

 

           สุดท้ายกว่าทั้งสองคนจะลงจากเตียงได้ก็ถึงเวลาพลบค่ำในวันต่อมาแล้ว  

 

 

           ทั้งสองคนนอนเปลือยกายคลุกคลีกันอยู่บนเตียง มีหรือจะคิดสนใจเรื่องน่ารำคาญพวกนั้นในอินเทอร์เน็ต  

 

 

           ตั้งแต่กลับมาเมื่อวานจนถึงวันนี้ นอกจากเรื่องบนเตียงแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้ลงจากเตียงสักที เจียงมู่เฉินแขนขาอ่อนแรง เขาอดจะกัดไหล่ของซือเหยี่ยนไปคำหนึ่งไม่ได้  

 

 

           “พี่ใหญ่ ฉันหิวแล้ว นายให้ฉันกินอะไรสักหน่อยจะได้ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนโดนเขากัดเข้าไปขนาดนี้ ก็อดใจไม่ค่อยจะไหวเท่าไหร่นัก  

 

 

           แต่พอคิดว่าวันนี้ยังเร็วไป การเติมท้องเจียงมู่เฉินให้อิ่มก่อนนั้นสำคัญกว่า ถึงอย่างไรก็ต้องรอเจียงมู่เฉินกินอิ่มเสร็จแล้ว เขาถึงจะกินต่อได้  

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับยอมตกลง แต่เขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นสักที  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเขาตอบรับก็ไม่ขยับ ตัวเองก็ไม่ขยับ นอนฟุบเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนตัวซือเหยี่ยน  

 

 

           ร่างกายของทั้งสองคนเกี่ยวพันกัน ในห้องเงียบสงัด  

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว เจียงมู่เฉินหิวจนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาตะเกียกตะกายคิดจะยันตัวขึ้นมาจากตัวซือเหยี่ยน ผลปรากฏว่ามือข้างหนึ่งเกิดอ่อนแรง ลื่นล้มลงกลับไปอีกครั้ง   

 

 

                    

 

 

ตอนที่ 471 แฟนหนุ่มของตัวเอง  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอื้อมมือไปกอดเขาไว้ “จะขยับตัวไปไหน”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “พี่ชาย อุ้มฉันไปอาบน้ำหน่อยสิ ฉันเหนียวเนื้อเหนียวตัวไปหมดแล้ว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางตัวเล็กตัวน้อยของเขา ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาจนได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินถือโอกาสหลบไปด้านข้าง ให้ซือเหยี่ยนได้ลุกขึ้นมา พอเขาลุกขึ้นมาแล้วก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แต่อุ้มเจียงมู่เฉินออกไปยังห้องน้ำทั้งอย่างนี้  

 

 

           ในอ่างอาบน้ำยังไม่ได้เปิดน้ำใส่ ซือเหยี่ยนวางเขาลงในอ่างอาบน้ำ หลังจากนั้นก็ปรับอุณหภูมิน้ำแล้วค่อยเปิดน้ำให้เขา  

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนเอื่อยๆ ไปทั้งตัว ซือเหยี่ยนวางเขาลงในอ่างอาบน้ำท่าไหน เขาก็นอนอยู่ในท่านั้น ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนอยู่นานสองนาน  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูท่าทางของเขาด้วยความขบขัน หัวใจอดจะบีบรัดตัวไม่ได้ โน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วประกบจูบเขาอย่างดุเดือด  

 

 

           กว่าจะผละตัวออกมา ริมฝีปากเจียงมู่เฉินก็โดนเขากัดจนขึ้นสีแดงไปหมดแล้ว  

 

 

           เขาอดจะมองบนใส่ซือเหยี่ยนไม่ได้ ซือเหยี่ยนมองมาแวบหนึ่ง หัวใจก็บีบรัดตัวในทันใด แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าใส่แบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว  

 

 

           แต่สุดท้ายแล้วยังพอมีสติอยู่บ้าง ไม่ได้พุ่งตัวเข้าใส่จริงๆ  

 

 

           เขายืนเปิดฝักบัวอาบน้ำอยู่ด้านข้างด้วยความรวดเร็ว ใส่เสื้อผ้าเสร็จสรรพทันทีหลังจากนั้น  

 

 

           ขณะที่ซือเหยี่ยนกำลังอาบน้ำอยู่นั้น เจียงมู่เฉินก็จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ พินิจมองขาใหญ่ยาวนั้น กล้ามเนื้อหน้าท้องนั้น  ที่แท้ผู้ชายของตัวเอง รูปร่างดีจริงๆ  

 

 

           แน่นอนว่าเจียงมู่เฉินไม่ยอมรับไม่ได้ว่า  เจ้าหมอนี่ไม่เพียงแค่หุ่นดี แต่พละกำลังก็ดีมากเช่นกัน  

 

 

           ……  

 

 

           ซือเหยี่ยนสวมชุดเรียบร้อย ก็เดินไปหาเจียงมู่เฉิน แล้วก้มหน้าโน้มตัวลงไปประทับรอยจูบเขาอย่างอ่อนโยน  

 

 

           “ผมจะไปทำกับข้าว คุณอาบน้ำไปเลยนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่อยากพูด เขาพยักหน้ารับ ไหนเลยจะรู้ว่าแบบนี้จะดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

           กว่าซือเหยี่ยนจะทำให้ตัวเองออกมาจากห้องน้ำได้ไม่ใช่ง่ายๆ  

 

 

           หลังจากเขาออกมาแล้ว เจียงมู่เฉินก็หลับตาลงนอนพิงอยู่ในอ่างอาบน้ำ  

 

 

           แช่อยู่ในน้ำร้อน รู้สึกสบายไปทั้งตัวจนไม่ไหว เจียงมู่เฉินเอนพิงอยู่ตรงนั้นเพียงไม่นานก็ผล็อยหลับลงไป  

 

 

           ซือเหยี่ยนอยู่ข้างนอก รีบทำอาหารสักสองสามอย่าง เมื่อเขาทำไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ยังไม่เห็นเจียงมู่เฉินออกมา  

 

 

           เขาปรับไฟให้เล็กลง เช็ดมือแล้วเดินเข้าไป  

 

 

           เป็นอย่างที่คิดเฉินเฉินของเขานอนหลับอยู่ในอ่างอาบน้ำไปแล้วจริงๆ  

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินเข้าไปก็ไม่ได้ทำเสียงดังปลุกเจียงมู่เฉิน แต่ช้อนอุ้มร่างของเขาขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำ แล้วเช็ดตัวให้แห้ง ก่อนจะอุ้มเขาเดินออกมา  

 

 

           โดนอุ้มขนาดนี้ เจียงมู่เฉินก็ยังไม่รู้สึกตัวตื่น  

 

 

           เขาถือโอกาสใส่เสื้อผ้าให้เจียงมู่เฉิน แล้วอุ้มมายังห้องรับแขก เขาบรรจงวางเจ้าตัวลงบนโซฟา หลังจากนั้นก็เข้าครัวไปทำอาหารต่อทันที  

 

 

           กว่าเขาจะทำอาหารจานสุดท้ายเสร็จ ในห้องก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ แล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนวางอาหารลงเรียบร้อยอย่างไม่รีบร้อน ถึงได้หันไปทางห้องรับแขกเดินไปเรียกแฟนหนุ่มของตัวเอง  

 

 

           เขาคงจะเพราะนอนหลับดีแล้ว ครั้งนี้จึงรู้สึกตัวตื่นได้เร็วมาก เจียงมู่เฉินลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าของซือเหยี่ยน เขาส่งมือไปเกี่ยวคอซือเหยี่ยนมาแล้วเงยหน้าขึ้นประกบจูบเขา  

 

 

           ซือเหยี่ยนโดนเขาจูบก็ตัวแข็งทื่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว  

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง ยังรู้สึกง่วงนอนอยู่บ้าง “ทำอาหารเสร็จแล้วเหรอ”  

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ “ลุกขึ้นมากินข้าวเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไม่อยากจะขยับตัว เขาทำหน้าทำตาน่าสงสารมองซือเหยี่ยน แสดงท่าทางอยากให้เขาอุ้ม  

 

 

           ซือเหยี่ยนถูกเขามองขนาดนั้น ใจก็อ่อนยวบลงในพริบตา  

 

 

           เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง สอดแขนช้อนอุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นมา เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง เอื้อมมือไปคล้องคอซือเหยี่ยนไว้  

 

 

           ทั้งสองคนเดินทะลุผ่านห้องรับแขกไปยังห้องอาหาร  

 

 

           ซือเหยี่ยนกลัวเจียงมู่เฉินจะไม่สบายตัว ยังตั้งใจวางเบาะรองนั่งและพิงหลังบนเก้าอี้ให้เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินนั่งพิงอย่างเอื่อยเฉื่อย  

 

 

           ซือเหยี่ยนแต่งตัวเจียงมู่เฉินด้วยเสื้อแขนสั้นสีขาว ขณะที่กินข้าว พอยกมือขึ้น ก็จะเผยให้เห็นข้อมือเรียวยาวของเขาพอดี  

 

 

            ช่างดูเพลินตาเพลินใจเป็นพิเศษ  

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ได้รับรู้สิ่งเหล่านี้ด้วย เขาเพียงแค่นั่งงอขากินข้าวอยู่บนเก้าอี้  

 

 

           เขาหิวจนอกจะชิดกับหลังแล้วจริงๆ   

ตอนที่ 468 เลิกกันอย่างเป็นทางการ  

 

 

           ณ งานแถลงข่าว มีคนอยู่ไม่น้อยที่มาด้วยอารมณ์ทำนองแบบกำลังกอดอกนั่งดูฉากเด็ด เตรียมจะขุดข่าวใหญ่ออกมาจากปากเจียงมู่เฉินและจี้ฉิง  

 

 

           เดิมทีในใจเจียงมู่เฉินนั้นเหมือนกับกระจกใส แต่เมื่อเห็นท่าทีของซือเหยี่ยนที่สงบเยือกเย็น ในใจก็ยิ่งสงบนิ่งมากกว่าเดิมเป็นพิเศษ  

 

 

           เขากับจี้ฉิงสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าเล็กน้อย  

 

 

           จี้ฉิงยื่นมือไปเปิดไมโครโฟนบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “วันนี้ที่เชิญทุกท่านมา ก็เพราะว่าฉันอยากจะชี้แจงเรื่องระหว่างฉันกับคุณชายเจียงให้ชัดเจนค่ะ”  

 

 

           เมื่อคนที่อยู่ฝั่งด้านล่างได้ยินว่าเธอจะชี้แจงเรื่องระหว่างเธอกับเจียงมู่เฉิน เพียงชั่วครู่ทุกคนต่างก็พากันหูผึ่งกันโดยไม่รู้ตัว ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง  

 

 

           “วันนี้ รายงานข่าวที่เกี่ยวกับฉันและคุณชายเจียงในโลกออนไลน์พวกนั้น วันนี้จะมาแถลงข่าวให้กระจ่างทีเดียวที่นี่ ฉันกับคุณชายเจียงเราไม่ได้พูดคุยเรื่องแต่งงานกันค่ะ…  

 

 

           …แล้วก็ยังมีอีกเรื่องที่ต้องประกาศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันกับคุณชายเจียง พวกเราเลิกกันอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ”  

 

 

           พอจี้ฉิงเอ่ยคำพูดนี้ออกมา คนที่อยู่ฝั่งด้านล่างก็ร้องเซ็งแซ่ขึ้นมาในทันใด ทุกคนมองไปยังบนเวทีอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้  

 

 

           “เลิกกัน? ทำไมจู่ๆ ถึงเลิกกันได้ล่ะคะ”  

 

 

           “เพราะความรักที่มีให้กันเกิดปัญหาหรือเปล่าครับ”  

 

 

           “หรือเพราะว่าเรื่องแต่งงานคุยกันไม่ลงตัว จึงเป็นเหตุให้ต้องเลิกกันคะ”  

 

 

           “ใช่ๆ ทำไมจู่ๆ ถึงเลิกกันได้สายฟ้าแลบขนาดนี้ครับ”  

 

 

           ……  

 

 

           ……  

 

 

           จี้ฉิงคาดเดาสภาพการณ์เช่นนี้ในวันนี้มาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกแปลกประหลาดอะไร  

 

 

           เธอมองดูความโกลาหลที่ข้างล่างเวทีพลางถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ เพียงแต่ว่ามันดูจะดุเดือดกว่าที่เธอคาดการณ์ไว้ก็เท่านั้นเอง  

 

 

           “คุณชายเจียงคะ ก่อนหน้านี้คุณเปิดตัวคบคุณจี้ฉิงชัดเจน อีกอย่างระหว่างที่คุณไปอเมริกา คุณจี้ฉิงก็เทียวเข้าออกบ้านคุณอยู่บ่อยๆ ความสัมพันธ์มั่นคงชัดเจน เหตุใดถึงต้องขอเลิกกะทันหันด้วยคะ”  

 

 

           “ใช่ครับ คุณชายเจียง หรือว่าคุณมีเหตุผลอย่างอื่น ถึงทำให้คุณจี้ฉิงขอเลิกกับคุณได้ครับ”  

 

 

           “แล้วก็พวกคุณเลิกกันด้วยดีใช่ไหมคะ”  

 

 

           “คุณชายเจียง คุณช่วยกรุณาชี้แจงด้วยครับ”  

 

 

           มีคำถามเข้ามาไม่ขาดสาย จี้ฉิงมองเจียงมู่เฉินที่อยู่ด้านข้างด้วยความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ถึงอย่างไรคำถามทำนองนี้ แม้แต่เธอที่มีประสบการณ์ผ่านมาก่อน ก็ยังรู้สึกเหมือนถูกจี้จุดอยู่ในที  

 

 

           ไม่รู้ว่าคุณชายเจียงจะโกรธขึ้นมากะทันหันเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้ม เขามองดูกลุ่มคนที่กำลังแบกกล้องถ่ายวิดีโออยู่ข้างล่างเวที  

 

 

           “ก่อนที่ผมจะออกจากถานโจวไป ผมกับจี้ฉิงพวกเรามีความสัมพันธ์เป็นคนรักกันจริงๆ เพียงแต่ว่าพวกเราคบกันไปได้สักพักหนึ่ง ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ ดังนั้นก่อนที่ผมจะกลับประเทศมา ก็ได้เลิกกันด้วยดีกับเธอแล้ว…  

 

 

           …ส่วนเรื่องที่เธอไปบ้านผมบ่อย ก็เพราะว่าเธอมีความสัมพันธ์อันดีกับคนในครอบครัวของผม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย “อะไรกัน หรือว่าจี้ฉิงเลิกกับผมแล้ว จะไปมาหาสู่กับคนในครอบครัวผมไม่ได้”  

 

 

           เสียงเขาไม่ใหญ่มาก แต่เสียงเอ่ยถามเมื่อครู่นี้ ทำให้ทั้งงานเงียบลงไปโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

           “อีกอย่าง ถึงแม้ว่าผมกับจี้ฉิงจะเลิกกัน แต่ต่อไปพวกเราก็ยังจะเป็นเพื่อนกัน”  

 

 

           ข้างล่างเวทีได้ยินคำพูดนี้ต่างก็ซุบซิบกันโดยอัตโนมัติ เหมือนว่ากำลังถกเถียงกันเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนอยู่  

 

 

           “ถ้าอย่างนั้นในเมื่อพวกคุณเลิกกันด้วยดีมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เหตุใดจนถึงตอนนี้ถึงไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะเลยล่ะครับ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองคนที่พูดคนนั้นเมื่อครู่นี้ สายตาปรากฏความเย็นยะเยือกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ  

 

 

           เพียงชั่วครู่เดียวก็ทำให้เขารู้สึกถึงความหนาวสะท้านโดยไม่รู้ตัว  

 

 

           “บอกตามตรง จะต้องชี้แจงกับพวกคุณหรือเปล่า ในโลกออนไลน์จะรายงานว่ายังไง ผมไม่ได้สนใจเป็นพิเศษจริงๆ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงเย็น “ผมเจียงมู่เฉินใช้ชีวิตมาหลายปี ไม่เคยต้องมาแคร์คำวิจารณ์ของคนอื่นมาก่อน…  

 

 

           …แต่วันนี้มานั่งตรงนี้ ให้พวกคุณมาคอยจับผิด ก็เพียงแค่ไม่อยากให้คนคนหนึ่งเข้าใจผิดก็เท่านั้นเอง”  

 

 

           เขาพูดไป สายตาก็มองมาทางซือเหยี่ยน รอยยิ้มจางๆ ปรากฏในแววตา  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มมาขนาดนี้ ความเย็นยะเยือกในแววตาเมื่อครู่นี้ก็ค่อยๆ สลายหายไปทีละนิดๆ   

 

 

             

 

 

           ตอนที่ 469 แฟนของคุณชายหล่อแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนสบสายตาเจียงมู่เฉิน ดวงตาสีดำขลับมองเจียงมู่เฉินตาไม่กะพริบ ราวกับกำลังบอกเจียงมู่เฉินว่า ‘ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ตัวเองก็จะสนับสนุนเขาเสมอ’  

 

 

           เจียงมู่เฉินต้องเข้าใจความหมายของซือเหยี่ยนเป็นธรรมดา  

 

 

           เขายิ้มหัวเราะ “ดังนั้น พวกคุณยังมีอะไรอยากถามอีกไหม”  

 

 

           คนรอบข้างเห็นท่าทางทะนงตัวของเขา มีหรือจะยังกล้าถามอะไรต่ออีก  

 

 

           เทียบกับจี้ฉิงแล้ว ไม่มีใครกล้าจะทำให้คุณชายน้อยตระกูลเจียงคนนี้ไม่พอใจได้ ถึงอย่างไรเจียงเฉินกรุ๊ปก็ถือว่าเป็นบริษัทธุรกิจชั้นนำแนวหน้าในถานโจว  

 

 

           ถ้าทำให้คุณชายน้อยคนนี้ไม่พอใจ ถ้าหากวันหลังเกิดตามสืบถามขึ้นมา จะยุ่งยากลำบากอยู่ไม่น้อยได้ทีเดียว  

 

 

           ดังนั้นถึงแม้จะมีคนสงสัยใคร่รู้ คนคนนั้นที่เจียงมู่เฉินเอ่ยถึงก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากสักคน  

 

 

           ในขณะที่ทุกคนเงียบสงบกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนยืนขึ้นเอ่ยเสียงดัง “ได้ยินมาว่าคุณชายเจียงมีคนรักเป็นคนเพศเดียวกันจริงไหมครับ”  

 

 

           พอคำพูดนี้ออกมาถือว่าเป็นประเด็นเด็ดในวันนี้ที่นักข่าวจะเล่นข่าวตีให้เป็นกระแสดังได้เลยทีเดียว  

 

 

           เดิมทีเพียงแค่อยากจะตามเรื่องการแต่งงานของเจียงมู่เฉินกับจี้ฉิง ตอนนี้เป็นอย่างไร ยังมีเรื่องคนรักที่เป็นเพศเดียวกันอีก  

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเรื่องส่วนตัวของคุณชายเจียงผู้นี้จะสลับซับซ้อนแบบนี้  

 

 

           มีแฟนสาวก็ช่างเถอะ ยังเป็นพวกรักเพศเดียวกันอีก  

 

 

           เสียงของคนคนนั้นเพิ่งจะหยุดลง จู่ๆ หน้าจอโปรเจคเตอร์ผืนใหญ่ก็ฉายภาพหลายๆ ภาพขึ้นมากะทันหัน ทั้งหมดคือภาพของเจียงมู่เฉินที่ทำท่างดูสนิทสนมกับผู้ชายคนหนึ่ง  

 

 

           ส่วนใหญ่จะเป็นการจับมือถือแขน หรือไม่ก็กอดกัน  

 

 

           ท่าทางไม่มากไป แต่ดูสนิทสนมกันพอสมควร อีกอย่างคือดูเป็นแบบนี้เกือบทุกเหตุการณ์ในรูป ดังนั้นถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนกันธรรมดา ก็พูดไม่ออกแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ด้านล่างพอดี เงยหน้าก็เห็นภาพเหล่านั้นได้เลย ชัดเจนมากว่าคนที่กอดและจับมือถือแขนกับเจียงมู่เฉินทั้งหมดนั้นคือเขา  

 

 

           เพียงแต่ว่าใบหน้าของเขาถูกเซ็นเซอร์ไว้มองได้ไม่ชัด  

 

 

           แต่ใบหน้าของเจียงมู่เฉินกลับชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง  

 

 

           ฝั่งข้างล่างเวทีสะเทือนเลื่อนลั่น มีคนอยู่ไม่น้อยเหมือนไปฉีดเลือดไก่มาไม่มีผิดพุ่งมาหาเจียงมู่เฉิน ถือไมโครโฟนมาอย่างพร้อมเพรียง เหมือนว่าแทบอยากจะยัดไมโครโฟนใส่ปากเจียงมู่เฉินอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นฉากนี้ เขากำมือแน่นอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะออกแรงมากเกินไป เส้นเลือดใหญ่ที่แขนจึงปูดออกมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินหันหน้ากลับไปมองดูภาพข้างหลัง สีหน้าที่แสดงออกดูจะเริงร่าอยู่ไม่น้อย รูปนี้ถ่ายออกมาได้ไม่เลวทีเดียว ถ่ายเขาออกมาได้หล่อเอาเรื่อง  

 

 

           ไม่ทำลายความหล่อเหลาของเขาเลยสักนิด  

 

 

           เพียงแต่ว่าถ่ายซือเหยี่ยนออกมาได้ห่วยไปหน่อย  

 

 

           “คุณชายเจียง คนคนนี้คือคนรักที่เป็นเพศเดียวกันของคุณจริงๆ ใช่ไหมครับ”  

 

 

           “คุณชายเจียง เรื่องความรักของคุณกับจี้ฉิงที่เกิดขึ้นก็เพื่อปกปิดเรื่องที่ตัวเองเป็นคนรักเพศเดียวกันใช่ไหมคะ”  

 

 

           “คุณเป็นพวกรักเพศเดียวกัน ครอบครัวคุณรู้หรือเปล่าครับ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำพวกนี้ก็รู้สึกน่าขำอย่างไรชอบกล  คำก็รักเพศเดียวกัน สองคำก็รักเพศเดียวกัน รักเพศเดียวกันแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเขาเหรอ  

 

 

           เขาเห็นไมโครโฟนที่แทบจะทิ่มปากเขาแล้ว ก็ยื่นมือออกไปคว้าไมโครโฟนมา  

 

 

            นักข่าวคนนั้นตะลึงงัน คิดว่าเขาโมโหจนจะลงไม้ลงมือตีคน จึงรีบปกป้องกล้องถ่ายรูปของตัวเองทันที  

 

 

           เจียงมู่เฉินยื่นมือไปถือไมโครโฟนไว้ เขาเชิดมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขามองคนกลุ่มนั้นต่อหน้าด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะเอ่ยอย่างทะนงตัวออกไป “คุณชายชอบผู้ชายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ…  

 

 

           …อะไรกัน รู้สึกว่าแฟนหนุ่มของคุณชายหล่อเกินไป อิจฉาเหรอ หรือยังไงกัน”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยประโยคสองประโยคนี้ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยและดูเย่อหยิ่งจนถึงขั้นสุด  

 

 

           ถ้าหากเป็นคนอื่นก็คงจะไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา แต่เจียงมู่เฉินเป็นใคร เขาพูดอย่างเย่อหยิ่งได้ไม่มีใครจะเปรียบเทียบได้  

 

 

           ไม่กลัวคนอื่นจะนินทาลับหลังเลยสักนิด  

 

 

           เขามองทะลุผ่านกลุ่มคนเหล่านั้นไปยังซือเหยี่ยน  ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็มีความฮึกเหิมอยากจะเปิดมันซะเลย  

 

 

           ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนทำให้เขาจิตใจสงบได้อย่างน่าประหลาดใจ  

 

 

           เขารู้ว่าวันนี้เปิดเผยเรื่องคนรักเพศเดียวกันแล้ว ต่อให้เขาไม่พูด วันหลังก็จะมีปาปารัสซีมากมายมาสะกดรอยตาม หาข่าวซุบซิบได้อยู่ดี  

ตอนที่ 466 ก่อตั้งธุรกิจของตัวเอง  

 

 

           ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เธอจะยังเลือกอะไรได้อีก อีกอย่างความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล พวกเขาอยู่ตรงนี้ เด็กทั้งสองคนก็จะไม่โดนรังแกด้วยเช่นกัน  

 

 

           คุณแม่เจียงคิดมาได้อย่างนี้ เธอก็เห็นชอบด้วยแล้ว  

 

 

           คุณพ่อเจียงกลับยิ่งนึกถึงเรื่องข่าวในโลกออนไลน์ “เรื่องแกกับจี้ฉิง แกคิดจะจัดการยังไง”  

 

 

           “ผมกับจี้ฉิงเตรียมจะแถลงข่าวเรื่องนี้ด้วยกัน พ่อแม่วางใจเถอะครับ”   

 

 

           คุณพ่อเจียงพยักหน้า รู้สึกว่าเจียงมู่เฉินทำแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว  

 

 

           “ตอนที่แกกับเธอแถลงข่าวเรื่องนี้กัน ต้องผลักความผิดมาที่ตัวแกเองเยอะๆ แกเป็นผู้ชายคนหนึ่งได้รับความไม่เป็นธรรมสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่จี้ฉิงเธอเป็นผู้หญิงที่ใช้ได้คนหนึ่ง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้าอย่างขบขัน “พ่อ พ่อวางใจเถอะ ผมเคยเอาเปรียบคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”  

 

 

           พอคุณพ่อเจียงได้ยินน้ำเสียงหยอกล้อไม่เอาจริงเอาจังของเขา สีหน้าก็ดำคร่ำเคร่งในพริบตา  

 

 

           ลูกชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายของตัวเองยังดีที่หาคนที่ได้เรื่องได้ราวขนาดนี้อย่างซือเหยี่ยนมาได้  

 

 

           “เสี่ยวเหยี่ยน หนักแน่นหน่อยนะ วันข้างหน้าดูแลเจ้าเด็กแสบนี้ด้วย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหลุดยิ้ม รีบพยักหน้าทันที  

 

 

           “ใช่สิ ตอนนี้เราสองคนมีแผนอะไรหรือเปล่า จะคบกันไปอย่างนี้เหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ถ้าเฉินเฉินชอบ…” เขาหยุดไปสักพักหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อ “ฟังเฉินเฉินคนเดียวเลยครับ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้ว่าเดิมทีเขาอยากจะพูดว่าหาสถานที่ที่ชอบไปจดทะเบียนสมรสกัน  

 

 

           แต่ว่าก็กลัวว่าเขาจะไม่เห็นด้วย ดังนั้นจึงเปลี่ยนคำพูด  

 

 

           ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะไปจดทะเบียนกับซือเหยี่ยนที่ต่างประเทศ แต่รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม  

 

 

           เรื่องที่มีความหมายแบบนี้ควรจะทำในเวลาที่เหมาะสมจะดีกว่า  

 

 

           ด้วยเหตุนี้เจียงมู่เฉินจึงเอ่ยปากขึ้นมา “ตอนนี้มีเรื่องค่อนข้างเยอะ รอให้เรื่องต่างๆ คลี่คลาย แล้วค่อยว่ากันครับ”  

 

 

           คุณพ่อเจียงพยักหน้า “ก็ดี ความคิดคนวัยหนุ่มมีมากมาย เราสองคนก็ตัดสินใจกันเองเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดคุยกับพวกเขาต่อสักพัก จากนั้นก็เรียกคุณพ่อเจียงออกไปด้วยกันทันที  

 

 

           สองพ่อลูกยืนอยู่ข้างนอกกัน จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็พูดขึ้นว่า “พ่อครับ พ่อยังหนุ่มยังไม่แก่ บริษัทยังไม่จำเป็นต้องให้ผมรับช่วงต่อในตอนนี้…  

 

 

           …ดังนั้นผมจึงคิดจะก่อตั้งธุรกิจของตัวเองครับ”  

 

 

           คุณพ่อเจียงได้ยินคำพูดนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ก่อตั้งธุรกิจของตัวเองเหรอ”  

 

 

           “ผมเคยหารือกันกับจี้ฉิงมาแล้วครับ วางแผนจะเปิดบริษัทผลิตสื่อบันเทิงภาพยนตร์และโทรทัศน์ เธอทุ่มเทอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปีขนาดนี้ ผมเองก็ค่อนข้างจะสนใจเรื่องนี้เหมือนกัน”  

 

 

           เขามองคุณพ่อเจียงแล้วบอกไปตรงๆ “บริษัทนั้นของพ่อ ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ พ่ออยู่ต่อเองก่อนเถอะครับ”  

 

 

           คุณพ่อเจียงครุ่นคิด หลายปีที่ผ่านมานี้จู่ๆ เจียงมู่เฉินมาบอกว่าตัวเองอยากเปิดบริษัท ก็ค่อนข้างน่าตกใจจริงๆ  

 

 

           ‘แต่จะว่าไปเจียงมู่เฉินอยากจะเปิดบริษัท นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี เขาเองก็จะโจมตีข้อเสนอนี้ของลูกชายไม่ได้’  

 

 

           ครุ่นคิดแล้วถึงได้เอ่ยออกมาว่า “ในเมื่อแกคิดจะก่อตั้งธุรกิจของตัวเอง แกก็สร้างขึ้นมาก่อนแล้วกัน ถึงยังไงฉันก็พูดไว้แล้ว วันข้างหน้าบริษัทนี้ยังไงฉันก็ต้องส่งต่อให้แก หลังจากส่งให้แกแล้ว แกอยากจะทำยังไงก็ทำแบบนั้นไป”  

 

 

           เขาทุ่มเทมาทั้งชีวิต วันข้างหน้าก็อยากจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุข ภาระหน้าที่นี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องโยนให้เจียงมู่เฉินรับอยู่ดี  

 

 

           เจียงมู่เฉินชักจะปวดหัวบ้างแล้ว เขามีเจียงเฉินกรุ๊ป ซือเหยี่ยนก็มีซือกรุ๊ป อนาคตถ้าพวกเขาสองคนต่างมีบริษัทขนาดใหญ่แบบนี้ ถึงตอนนั้นคงจะยุ่งกันเกินไปจนไม่มีเวลามาจู๋จี๋กันแล้วจะทำอย่างไรดี  

 

 

           แต่เขารู้ว่าคุณพ่อเจียงต้องยอมรับปากไม่ให้เขาเข้าคุมกิจการเป็นการชั่วคราวอย่างแน่นอน ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการยอมอ่อนข้อให้ที่ใหญ่มากแล้ว จะพูดอย่างอื่นไปมากกว่านี้ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว  

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ “ครับ ผมทราบแล้ว”  

 

 

           ……  

 

 

           หลังจากที่ออกมาจากบ้านตระกลูเจียงกับเจียงมู่เฉินแล้ว ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าเขาดูเป็นวิตกกังวลอย่างมาก เขาก็อดจะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “เป็นไรไป ทะเลาะกับพ่อคุณมาเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว  ถ้าทะเลาะกัน ก็ดีกันไปแล้ว  

 

 

           ‘ทะเลาะกันผ่านไปสองวันก็คืนดีกันแล้ว แต่บริษัทนี้ไม่ใช่บอกว่าจะโยนก็โยนทิ้งได้เลย’  

 

 

           เขามองซือเหยี่ยนด้วยสีหน้าคับข้องใจ “นายว่าถ้าต่อไปฉันรับช่วงต่อเจียงเฉินกรุ๊ป จะยุ่งมากๆ เลยใช่หรือเปล่า”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 467 งานแถลงข่าว  

 

 

           พอซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดของเขา เจ้าตัวก็เข้าใจได้ในทันใด  

 

 

           “พ่อคุณให้คุณรับช่วงต่อเจียงเฉินกรุ๊ปเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหน้า “ตอนนี้ยังหรอก แต่ในอนาคตยังไงก็ต้องรับช่วงต่ออยู่ดี”  

 

 

           ‘วันนี้พ่อเขาพูดมาให้เข้าใจซะขนาดนั้นแล้ว’  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็อดจะเอ่ยออกมาไม่ได้ “ในอนาคตถ้าคุณไม่อยากจะรับช่วงต่อจริงๆ ผมช่วยคุณได้นะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่คิดก่อนเลยสักนิดก็ปฏิเสธทันควัน  

 

 

           ‘ล้อเล่นอะไรกัน ให้ซือเหยี่ยนรับช่วงต่อสองบริษัท จะยิ่งไม่เป็นการบีบคั้นซือเหยี่ยนหรือไง’  

 

 

           “นายทำงานแค่ของซือกรุ๊ปก็ยุ่งจนหัวหมุนแล้ว จะมารับช่วงต่อเจียงเฉินกรุ๊ปอีก ถึงตอนนั้นต้องไม่มีเวลามาชมนกชมไม้ชมเดือนชมจันทร์กับฉันแล้ว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าอยากร้องไห้ ก็ถอนหายใจด้วยความขบขันออกมา “ทางนั้นผมยังมีไป๋จิ่งอยู่ทั้งคน ไม่ได้ยุ่งอะไรขนาดนั้น”  

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงพ่นลมหายใจออกมา “นายยังมีหน้ามาพูดอีกนะ ห้าปีมานี้นายขลุกตัวอยู่ในบริษัทมาตลอดเลยไม่ใช่หรือไง”  

 

 

           “นั่นเป็นช่วงที่ผมเพิ่งจะกลับมารับช่วงต่อบริษัท ต้องเสียแรงสมองใช้ความคิดมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”  

 

 

           “ช่างเถอะ ช่างเถอะ อย่าเพิ่งคิดต่อเลย ถึงยังไงเรือแล่นถึงสะพาน หัวเรือก็จะหันตรงเอง [1] ” เจียงมู่เฉินครุ่นคิดมาตั้งนานสองนาน คิดจนปวดหัวไปหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจไม่คิดต่อไปก่อนแล้ว  

 

 

           ดำเนินการเรื่องบริษัทผลิตสื่อบันเทิงภาพยนตร์และโทรทัศน์ขึ้นมาก่อนจะดีกว่า รอจนก่อขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว ถึงเวลานั้นก็โยนให้จี้ฉิงรับไม้ต่อ หลังจากนั้นเขาจะมุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นประธาน นั่งหลังม่านรอรับเงิน  

 

 

           ที่จริงเจียงมู่เฉินเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา เหตุผลส่วนใหญ่ก็เพราะจี้ฉิง เรื่องนี้ของเขาทำให้จี้ฉิงขาดทุนอยู่ไม่น้อย  

 

 

           ตอนนี้จี้ฉิงอายุยังน้อย เธอยังโลดแล่นต่อไปในวงการบันเทิงได้  

 

 

           แต่ถ้าหากรอจนอายุมาก เธอก็จะทำงานแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้แล้ว  

 

 

           เขาจึงคิดหาอะไรทำสักอย่าง แล้วก็ได้เสนอเรื่องที่ให้จี้ฉิงมาเปิดบริษัทกับเขาพอดี  

 

 

           เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ยังต้องปิดเป็นความลับกับซือเหยี่ยนไว้ชั่วคราวก่อน เพราะว่าเขาวางแผนจะทำให้ซือเหยี่ยนประหลาดใจในวันที่เปิดตัวกิจการวันนั้น  

 

 

           ทั้งสองคนกลับไปยังคอนโดมิเนียม เดิมทีเจียงมู่เฉินคิดว่าซือเหยี่ยนจะตรงกลับไปบริษัททันที ใครจะไปคิดว่าเขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้าน  ไม่มีท่าทีจะไปบริษัทเลยแม้แต่น้อย  

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองเขาแวบหนึ่ง “นี่นายคิดจะเริ่มไม่สนใจใยดีบริษัทตั้งแต่ตอนนี้เหรอ”  

 

 

           “ช่วงนี้พ่อผมว่างจนเบื่อ ให้ผมรีบกลับมาเลย บอกว่าผ่านไปไม่กี่วันจะเปรี้ยวปากเอาได้”  

 

 

           คำพูดนี้ของซือเหยี่ยน ถ้าคุณพ่อซือมาได้ยินเข้า เกรงว่าจะชักแส้ออกมายืนอยู่ข้างหลังแล้ว  

 

 

           เขาต่างหากที่ไม่มีเจตนาอยากจะไปทำงานที่บริษัท อายุปูนนี้แล้ว ควรจะพักผ่อนอยู่บ้าน คอยอยู่เป็นเพื่อนภรรยาแทน  

 

 

           ซือเหยี่ยนว่างกะทันหัน เจียงมู่เฉินเองจะทำอย่างอื่นก็ยากแล้ว ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงพากันพักผ่อนอยู่ที่บ้านของทั้งคู่กัน  

 

 

           ซือเหยี่ยนอ่านหนังสือ เจียงมู่เฉินเล่นเกม  

 

 

           ซือเหยี่ยนอ่านหนังสือ เจียงมู่เฉินดูทีวี  

 

 

           ซือเหยี่ยนอ่านหนังสือ เจียงมู่เฉินว่างจนเบื่อเอนพิงอยู่บนขาของซือเหยี่ยนแล้วผล็อยหลับไปเลย  

 

 

           ครั้งนี้ซือเหยี่ยนไม่ได้อ่านหนังสือแล้ว แต่เปลี่ยนไปมองเจียงมู่เฉินแทน  

 

 

           ทั้งสองคนดูเพี้ยนๆ แต่กลับดูเข้ากันได้อย่างเหลือเชื่อ  

 

 

           ……  

 

 

           ทั้งคู่เป็นอย่างนี้กันไปสองวัน จี้ฉิงโทรมาหาเจียงมู่เฉิน แจ้งที่อยู่ของสถานที่จัดงานแถลงข่าวให้  

 

 

           เจียงมู่เฉินบอกกับซือเหยี่ยนสักหน่อย ก่อนที่ทั้งสองคนจะไปงานแถลงข่าวด้วยกัน  

 

 

           จี้ฉิงเห็นซือเหยี่ยน ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มเอ่ยทักทายกับซือเหยี่ยน ยังกะพริบตาใส่เจียงมู่เฉินอย่างแฝงความนัยด้วย  

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมหน้าผากอย่างทำอะไรไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะแนะนำซือเหยี่ยนให้จี้ฉิงรู้จักเลย  

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับเอ่ยทักทายจี้ฉิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง แล้วนั่งรอเจียงมู่เฉินอยู่ด้านข้างตลอดเวลา  

 

 

           เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง มีสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยมาถึงที่งานแถลงข่าว ถึงอย่างไรจี้ฉิงก็ประกาศจะจัดงานแถลงข่าวเพื่อชี้แจงปัญหาในครั้งนี้ไปก่อนหน้านี้แล้ว  

 

 

           คนที่มากันในวันนี้จะเป็นนักข่าวเสียส่วนใหญ่ ในจำนวนนั้นมีสาขาอาชีพอื่นผสมปนเปมาบ้างจำนวนหนึ่ง  

 

 

           หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง จี้ฉิงและเจียงมู่เฉินทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างหน้า ส่วนซือเหยี่ยนนั่งอยู่ข้างล่างแถวแรกตรงข้ามกับตำแหน่งของเจียงมู่เฉิน  

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]   เรือแล่นถึงสะพาน หัวเรือก็จะหันตรงเอง  หมายความว่า เมื่อดำเนินการไปถึงขั้นตอนหนึ่งแล้ว วิธีการดีๆ จะเกิดขึ้นมาเอง  

ตอนที่ 464 พาซือเหยี่ยนกลับบ้าน  

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นเขารับคำแล้ว ก็โล่งใจไปที กลับไปบริษัทส่งมอบงานต่อสักพัก แล้วค่อยขับรถกลับไปคอนโดมิเนียม  

 

 

เรื่องของเจียงมู่เฉิน เขาเคยพูดกับพ่อแม่เขาแล้ว เขาต้องไม่เข้าใจผิดเป็นธรรมดา  

 

 

แต่ว่าพ่อแม่ของเจียงมู่เฉินทางนั้นก็จำเป็นต้องใส่ใจด้วยเช่นกัน  

 

 

ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันไปถึงพ่อแม่ของจี้ฉิงแล้ว  

 

 

เมื่อซือเหยี่ยนมาถึงคอนโดมิเนียม ก็เป็นเวลาช่วงเที่ยงแล้ว เขาเปิดประตูเข้าไป ข้างในเงียบสงัด  

 

 

ซือเหยี่ยนครุ่นคิดสักพัก มั่วไป๋ไม่อยู่ถานโจว เจียงมู่เฉินเองไม่ได้กลับไปหาจี้ฉิงเป็นการชั่วคราว  

 

 

คิดดูแล้วเขาควรจะยังคงนอนชดเชยอยู่ที่นี่  

 

 

ถึงอย่างไรเมื่อคืนก็ค่อนข้างจะเหนื่อยล้าเลยทีเดียว จับเขาพลิกไปพลิกมาจนถึงเที่ยงคืน  

 

 

เข้าห้องนอนไป ก็เห็นเจียงมู่เฉินนอนกางแขนกางขาอยู่ตรงนั้น แขนขาเรียวยาวของเขายืดเหยียดอย่างสบายใจ ชุดนอนตรงช่วงเอวยังย่นขึ้นมาบางส่วน เผยให้เห็นเอวคอดของเขา  

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นภาพนี้แล้ว ดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีความหักห้ามใจอยู่บ้าง เกรงว่าป่านนี้เขาคงจะโผตัวเข้าใส่แล้ว  

 

 

เขากดเก็บหัวใจตัวเองที่เต้นรัวเอาไว้ ค่อยๆ เดินไปยังข้างเตียงอย่างช้าๆ  

 

 

ยื่นมือไปจิ้มหน้าเจียงมู่เฉิน  

 

 

เจียงมู่เฉินปัดมือเขาออกด้วยความหงุดหงิด ซือเหยี่ยนกลับไม่รู้สึกว่าเป็นการรบกวน เขายื่นมือเข้าไปอีก  

 

 

เขาทำเอาจนเจียงมู่เฉินชักจะรำคาญแล้วจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงพลิกตัวพร้อมหลบหลีกมือของซือเหยี่ยน แล้วนอนหลับต่อ  

 

 

ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน เอื้อมมือไปจับตัวเขามาพาให้พ้นออกจากเตียงไป  

 

 

เจียงมู่เฉินถูกอุ้มมาถึงในห้องน้ำ เขาขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เพิ่งจะเตรียมลืมตา แปรงสีฟันไฟฟ้าก็ถูกยัดเข้ามาในปาก  

 

 

ทำกันขนาดนี้ ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็รู้สึกตัวตื่นแล้ว เขาขมวดคิ้วไป แปรงฟันไป ทั้งยังถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนด้วย  

 

 

รอจนแปรงฟันเสร็จ ถึงเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “นายไม่อยู่ที่บริษัท เผ่นกลับมาทำอะไร”  

 

 

ซือเหยี่ยนยืนอยู่ด้านข้างกอดอกมองเขา ทั้งยังไม่ตอบคำถามเขาด้วย  

 

 

หลังจากรอเขาล้างหน้าล้างตาจนตาสว่างแล้ว ซือเหยี่ยนถึงได้เอ่ยขึ้น “พวกเราจะกลับไปบ้านคุณด้วยกัน”  

 

 

มือเจียงมู่เฉินที่เช็ดหน้าอยู่หยุดชะงักไป เหมือนยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา  

 

 

“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”  

 

 

ซือเหยี่ยนอดทนเอ่ยซ้ำใหม่อีกครั้ง “เรื่องของคุณกับจี้ฉิง ไม่อยากจะบอกกับพ่อแม่คุณสักหน่อยเหรอ”  

 

 

โดนซือเหยี่ยนเตือนกันขนาดนี้ ในที่สุดเขาก็คิดขึ้นมาได้แล้ว  

 

 

ที่จริงเรื่องของตัวเองกับซือเหยี่ยนเพิ่งจะสารภาพกับพ่อแม่เขาไปเอง ทันทีหลังจากนั้นเรื่องของเขากับจี้ฉิงก็กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา  

 

 

ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจทำอะไรแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ควรจะกลับไปบอกกับพ่อแม่เขาสักหน่อย  

 

 

ถึงอย่างไรตอนนี้ข่าวในอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะถูกต้องแม่นยำเท่าไหร่นัก เขาไปบอกพ่อแม่เขาด้วยตัวเองยังจะดีกว่า จะได้ไม่ทำให้พวกท่านคิดมากเรื่องข่าวพวกนี้  

 

 

เพียงแต่ว่าเจียงมู่เฉินก็คิดขึ้นมาได้กะทันหัน “แล้วพ่อแม่นายล่ะ พวกเขาคงจะไม่เชื่อจริงๆ ว่าฉันมีอะไรกับจี้ฉิงหรอกใช่ไหม”  

 

 

ถ้าพวกท่านเชื่อตามข่าว คิดว่าความสัมพันธ์ตัวเองกับจี้ฉิงเป็นเรื่องจริง ถ้าอย่างนั้นกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ชำระได้ไม่สะอาด แล้ว  

 

 

ถึงตอนนั้น ถ้าหากไม่ให้เขากับซือเหยี่ยนคบกันอีก ก็ยุ่งยากแล้ว  

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าทำตาตื่นตระหนก ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “วางใจเถอะ พ่อแม่ผมทางนั้น ผมพูดไปเรียบร้อยแล้ว”  

 

 

เจียงมู่เฉินได้ยินแบบนี้ เวลานี้ถึงได้วางใจ  

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นเอามือกุมใบหน้าของซือเหยี่ยนไว้แล้วประทับรอยจูบเข้าไป “ประธานซือของเรา ทำไมฉลาดขนาดนี้”  

 

 

ซือเหยี่ยนถูกเขาจูบด้วยใบหน้าที่ยังเปียกน้ำอยู่ เจ้าตัวก็ไม่ได้ถือสาอะไร  

 

 

“ไปกันเถอะ ออกไปกินข้าวกัน แล้วกลับไปบ้านคุณด้วยกัน”  

 

 

ทั้งสองคนออกจากเขตที่อยู่อาศัย หาร้านอาหารกินข้าวกัน หลังจากนั้นก็ถึงได้ขับรถกลับบ้านตระกูลเจียงไปทันที  

 

 

ถึงบ้านตระกูลเจียงแล้ว คุณพ่อเจียงไม่ได้ไปบริษัทเป็นประวัติการณ์ เขาอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่เจียงดูทีวีกัน คนหนึ่งดื่มชา คนหนึ่งนั่งกินผลไม้อยู่บนโซฟา  

 

 

เจียงมู่เฉินพาซือเหยี่ยนเข้าไปข้างใน สีหน้าคุณแม่เจียงไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้เย็นชาเท่าก่อนหน้านี้  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 465 ความสัมพันธ์ปรองดอง  

 

 

           คุณพ่อเจียงยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม ซือเหยี่ยนพกของติดไม้ติดมือมาไม่น้อย ทั้งหมดวางไว้บนตู้ที่ตรงทางเข้าประตู  

 

 

           “พ่อครับ แม่ครับ ผมกับซือเหยี่ยนกลับมาเยี่ยมหาพวกท่านแล้วครับ”  

 

 

           คุณพ่อเจียงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “กลับมาก็ดี ฉันกับแม่แกยังบ่นถึงแกกับเสี่ยวเหยี่ยนอยู่เลย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขาเห็นแววตาที่หลบซ่อนของคุณแม่เจียงพอดี  

 

 

           เธอเป็นแม่แท้ๆ ของเขา คนอื่นอาจจะดูไม่ออก แต่ไม่มีทางที่เขาจะดูไม่ออก  

 

 

           ท่าทีของแม่เขาเมื่อครู่นี้ อยากจะสนใจอยู่ชัดๆ แต่กลับไม่สบอารมณ์รู้สึกละอายใจที่จะทำเป็นสนใจ  

 

 

           คิดๆ ดูแล้วคือเธอนั้นละอายใจที่จะพบหน้าซือเหยี่ยน ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ตีสีหน้าเย็นชา ทำเหมือนไม่ต้อนรับกันแบบนั้น  

 

 

           ตอนนี้มาเห็นซือเหยี่ยน ในใจก็เสียใจอยู่ในที  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยายามมองข้ามอารมณ์ของคุณแม่เจียงที่ปรากฏอยู่นี้ไปทั้งหมด แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายแม้แต่ปลายเล็บเช่นกัน แต่เขาลากตัวซือเหยี่ยนมาเพื่อส่งมอบของที่ตั้งใจจะให้ต่อหน้าคุณแม่เจียง “แม่ครับ ซือเหยี่ยนเอาของขวัญมาให้แม่ด้วยครับ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มแล้วหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ข้างในมีสร้อยคอสั่งทำพิเศษอยู่เส้นหนึ่ง  

 

 

           “น้าเจียงครับ ได้ยินเฉินเฉินบอกว่า เมื่อก่อนน้าเจียงชอบสร้อยคอมากเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าต่อมาไม่ได้ผลิตแล้ว ผมส่งคนไปสืบข่าวที่อิตาลีจนตามหาคนที่ทำสร้อยคนนั้นเจอ แล้วให้เขาทำสร้อยเส้นนี้ซ้ำให้ใหม่ครับ”  

 

 

           เมื่อคุณแม่เจียงเห็นสร้อยคอในมือซือเหยี่ยน เธอก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว  

 

 

           สร้อยคอเส้นนี้ยังคงเป็นสร้อยแบบเดียวกันกับเมื่อตอนที่คบกันกับคุณพ่อเจียงในตอนนั้น คือสร้อยเส้นแรกที่เขาส่งให้เธอ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ของสูงค่าราคาแพงเป็นแสนเป็นล้าน แต่ว่าก็มีความหมายพิเศษแทนใจ  

 

 

           เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าทำหายไปได้อย่างไร หลายปีมานี้หาไม่เคยเจอเลย  

 

 

           เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจของเธอ  

 

 

           คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนเด็กคนนี้จะมีความตั้งใจถึงขนาดนี้ จู่ๆ ก็มาสั่งทำสร้อยคอเส้นใหม่โดยเฉพาะให้  

 

 

           เจียงมู่เฉินเองก็ค่อนข้างจะแปลกใจเช่นกัน เรื่องนี้เขาเองก็ไม่รู้ แล้วซือเหยี่ยนรู้ได้อย่างไร  

 

 

           เขายื่นมือไปสะกิดซือเหยี่ยน “เฉินเฉิน สวมสร้อยให้น้าเจียงสิ”  

 

 

           คุณชายเจียงเป็นคนมีไหวพริบ เพียงชั่วขณะก็เข้าใจความหมายของซือเหยี่ยนได้ เขารีบส่งมือเข้าไปหยิบสร้อยคอในมือซือเหยี่ยนมาสวมให้คุณแม่เจียง  

 

 

           หลังจากสวมสร้อยเสร็จแล้ว เจียงมู่เฉินก็เอ่ยชมคุณแม่เจียงไม่ขาดปากว่าสวยเป็นพิเศษ คุณแม่เจียงเองก็ติดใจจนวางไม่ลง  

 

 

           เธอส่องกระจกดู ใบหน้าไม่สบอารมณ์มีรอยยิ้มแต่งแต้มขึ้นมาแล้ว  

 

 

           เธอมองซือเหยี่ยนพลางเอ่ยเสียงต่ำ “ขอบใจเราจริงๆ นะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “เป็นครอบครัวเดียวกัน สมควรอยู่แล้วครับ”  

 

 

           ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสร้อยคอเส้นนี้สื่อถึงใจคุณแม่เจียงได้ หรือเป็นเพราะความตั้งใจนี้ของซือเหยี่ยน สีหน้าอารมณ์ที่แสดงออกของคุณแม่เจียงถึงได้ดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้ขึ้นมากทีเดียว  

 

 

           เธอมองซือเหยี่ยน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้น้าค่อนข้างจะถือทิฐิ พูดจาล่วงเกินไปก็ไม่น้อย เราอย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลยนะ”  

 

 

           “ไม่เป็นไรหรอกครับ น้าเจียงเป็นผู้ใหญ่ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องว่าผม ต่อให้ลงไม้ลงมือกับผมก็ไม่เป็นไรครับ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งลงอยู่ข้างๆ อดจะเลิกคิ้วขึ้นมาไม่ได้  เมื่อก่อนไม่เห็นจะรู้สึกเลยว่าซือเหยี่ยนจะพูดจาดีได้ขนาดนี้  

 

 

           ‘ยังมีคำพูดคำจาหวานล้ำที่มาเป็นชุดๆ อีกมาจากไหนกัน’  

 

 

           เขาอดจะพินิจมองซือเหยี่ยนไม่ได้ แล้วฉวยโอกาสแอบบีบมือซือเหยี่ยน  

 

 

           เจียงมู่เฉินบีบเสร็จก็อยากจะเผ่นทันที ผลปรากฏว่าโดนซือเหยี่ยนจับมือไว้แล้วกำไว้แน่น สลัดไม่หลุด  

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน  ดึงกันไปกันมาต่อหน้าแม่เขาแบบนี้ เดี๋ยวก็ทำให้แม่เขาโมโหขึ้นมาอีกหรอก ถึงตอนนั้นจะง้อก็ไม่ง่ายแล้วนะ  

 

 

           ยังดีที่ซือเหยี่ยนไม่ได้ดึงรั้งไว้นานเกินไป พูดสองประโยคก็ปล่อยมือออกแล้ว  

 

 

           ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามคุณพ่อเจียงและคุณแม่เจียง คุณแม่เจียงเห็นพวกเขาสองคนเป็นแบบนี้ ความกลัดกลุ้มที่อัดแน่นอยู่ในใจแต่เดิมก็ผ่อนคลายลงไปด้วย  

 

 

           ‘ช่างเถอะ ช่างเถอะ เจ้าลูกชายชอบ จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็เหมือนกัน’  

 

 

           ยังดีที่ซือเหยี่ยนก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ตัวเองก็เห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต นิสัยใจคอเป็นคนดีหรือไม่อย่างไรก็ไม่ต้องคัดสรรแล้ว  

 

 

           จุดสำคัญคือดีกับเฉินเฉินจริงๆ  

ตอนที่ 462 ยืนอยู่ข้างคุณตรงนี้  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูลวกๆ สีหน้าเจือความหนักอึ้ง  

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองซือเหยี่ยน เสียงต่ำเอ่ยถาม “มีอะไรอยากพูดไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดชะงักสักพัก วางโน้ตบุ๊กลงบนโต๊ะด้านข้าง  

 

 

           เขาเงียบงันอยู่ไม่กี่นาที มองมาทางเจียงมู่เฉิน  สุดท้ายเสียงต่ำถึงเอ่ยขึ้น “คุณอยากเลือกทำอะไร ผมยืนอยู่ข้างคุณตรงนี้เสมอ”  

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินเองก็หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย  

 

 

           เดิมทีเขาคิดว่าในที่สุดเขากับซือเหยี่ยนก็ได้ผ่านความทุกข์ มีความสุขเข้ามาแล้ว เมื่อได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย  

 

 

           แต่ตอนนี้…  

 

 

           เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก  

 

 

           ที่จริงจะจัดการเรื่องนี้ก็ค่อนข้างจะง่ายทีเดียว ขอเพียงแต่เจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงทำให้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนี้กระจ่างก็ได้แล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินทางนี้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ส่วนจี้ฉิงทางนั้นก็ควรจะไม่มีปัญหาอะไร  

 

 

           เขาครุ่นคิดพร้อมหยิบมือถือเดินไปยังระเบียง เตรียมจะหารือกับจี้ฉิงสักหน่อย   

 

 

           ส่วนซือเหยี่ยนไม่ได้คิดอย่างนี้เหมือนเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เขาพอจะรู้ได้ถึงแหล่งที่มาของรายงานข่าวนี้แล้ว  

 

 

           วันนี้เขาได้รับรูปถ่ายพวกนั้นมา จากนั้นหลินเหวินฮุ่ยมาปรากฏตัว สุดท้ายออกไปด้วยความรู้สึกไม่ดี แล้วไม่นานหลังจากนั้นก็มีข่าวนี้เป็นประเด็นขึ้นมา   

 

 

           ถ้าเขาเดาไม่ผิด ต้องเกี่ยวข้องกับหลินเหวินฮุ่ยอย่างแน่นอน  

 

 

           ในเมื่อหลินเหวินฮุ่ยพอจะถ่ายรูปพวกนี้มาได้ ก็ยากจะรับประกันว่าจะไม่เหลือรูปอื่นอีก  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่ยืนอยู่ตรงระเบียง คิดดูแล้วก็ส่งข้อความหาหลินเหวินฮุ่ย  

 

 

           [เรื่องของเจียงมู่เฉิน หยุดไว้แค่นี้เถอะ]  

 

 

           เพียงไม่นานหลินเหวินฮุ่ยก็ตอบกลับมา [พี่ซือเหยี่ยน พี่น่าจะลองรอดูนะ]   

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับแล้ว หวังว่าเธอจะพอรู้ว่าอะไรควรไม่ควรบ้าง อย่าทำอะไรเกินกว่านี้เลย  

 

 

           บนระเบียง เจียงมู่เฉินถือมือถือไว้เอ่ยเสียงต่ำหารือกับจี้ฉิง  

 

 

           ทางฝั่งจี้ฉิงตอนนี้เองก็วุ่นวายกันอุตลุด ผู้จัดการและตัวเธอกำลังไตร่ตรองกันว่าจะประกาศอย่างไรดีถึงจะแก้ปัญหาเรื่องในครั้งนี้ได้  

 

 

           จี้ฉิงปวดหัวอยู่ไม่เบา พอสองคนจะเตรียมประกาศว่าเลิกกัน ก็ดันมีเรื่องแต่งงานโผล่ขึ้นมากะทันหันอีก  

 

 

           ถ้าเวลานี้ยกเรื่องเลิกกันขึ้นมา ต้องไม่เหมาะไม่ควรอยู่แล้ว  

 

 

           แต่ถ้าไม่ยกเรื่องเลิกกันขึ้นมา จะไม่เป็นการยอมรับเรื่องการแต่งงานไปโดยปริยายเหรอ…  

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับที่กำลังปวดอยู่ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “งั้นก็เอาตามที่ฉันพูด ประกาศต่อสาธารณะว่าเลิกกัน”  

 

 

           “แล้วรูปถ่ายที่พ่อแม่ฉันกับพ่อแม่คุณกินข้าวด้วยกันล่ะ”  

 

 

           “ไม่ต้องอธิบาย”  

 

 

           จี้ฉิงปวดหัว แต่ใจเจียงมู่เฉินต้องการจะเลิกให้ได้ เธอเองก็ไม่เหลือที่จะดึงสถานการณ์กลับคืนมาแล้ว  

 

 

           “เอาเถอะ งั้นทางนี้ฉันจะเตรียมหาโอกาสที่เหมาะสมให้พวกเราทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง”  

 

 

           “อืม” เจียงมู่เฉินขานรับ แล้วถึงได้กดตัดสายไป  

 

 

           ยืนอยู่ตรงระเบียงต่ออีกสักพัก เจียงมู่เฉินถึงได้ดึงประตูเปิดเดินกลับเข้ามายังห้องรับแขก  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้นั่งอยู่ที่โซฟาแล้ว เจียงมู่เฉินรู้สึกแปลกๆ จึงเดินเข้าหาอยู่รอบสองรอบ ถึงได้พบว่าเขากำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงสะท้อนดังออกมาจากในห้องน้ำ ก็ไม่ได้ออกจากตรงนั้นไปในทันที แต่ยืนพิงผนังแล้วเบิกตาค้างไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่  

 

 

           หลังจากสิบนาทีผ่านไป ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ ซือเหยี่ยนพันผ้าเช็ดตัวเดินออกมาจากข้างใน  

 

 

           ผมเขาเปียกชื้นเล็กน้อย มือข้างหนึ่งถือผ้าขนหนูเช็ดผมอยู่  

 

 

           ซือเหยี่ยนพ้นประตูมาก็เห็นเจียงมู่เฉินยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขามองอีกคนด้วยความขบขัน “ทำไมมายืนตรงนี้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่พูดจา เอื้อมมือดึงเขามาอยู่ต่อหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลง เงยหน้าประกบจูบเขา  

 

 

           ซือเหยี่ยนตะลึงงัน แต่ผ่อนคลายร่างกายเร็วมาก ให้ความร่วมมือเจียงมู่เฉินขณะที่จูบตัวเองอยู่  

 

 

           จูบอยู่นานสองนาน เจียงมู่เฉินถึงได้ถอยออกมา แล้วพูดกับซือเหยี่ยนว่า “หลีกไป ฉันอยากจะเข้าไปอาบน้ำ”  

 

 

           ไม่มีหัวไม่มีท้าย เขาพูดมาทั้งอย่างนี้เลย ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ นอกจากหลบไปด้านข้างสองก้าว  

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปในห้องน้ำ ข้างในยังมีกลิ่มหอมจางๆ อบอวลอยู่ เป็นกลิ่นของซือเหยี่ยนที่ทิ้งไว้จากการอาบน้ำเมื่อครู่นี้  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 463 หมดอาลัยตายอยาก  

 

 

           เขาสูดหายใจลึกๆ อย่างอดไม่ได้ คิ้วขมวดผ่อนคลายลงเล็กน้อย  

 

 

           ยืนตัวเปียกท่ามกลางสายน้ำ หยดน้ำปกคลุมไปทั่วร่างกาย  

 

 

           จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ลืมตาเชิดมุมปากขึ้น รู้สึกว่าตัวเองโลเลไม่หนักแน่นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่  

 

 

           ‘ก็แค่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่เหรอ’  

 

 

           ‘ทำยังกับเป็นเรื่องอะไรใหญ่โต’  

 

 

           เมื่อเขาคิดตกแล้ว ก็ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้จะมีอะไร ด้วยเหตุนี้จึงอาบน้ำให้เสร็จๆ ไป เช็ดตัว แล้วก็เดินออกมาทันที  

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนสูบบุหรี่อยู่ริมระเบียง เจียงมู่เฉินพาร่างที่ยังคงชื้นไอน้ำเดินเข้าไป  

 

 

           “ทำไมมายืนสูบบุหรี่ตรงนี้”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหันกลับไปมองเขา สายตาไล่มองตามแก้มที่ยังคงมีน้ำเกาะประปราย ค่อยๆ ไล่มองลงมาอย่างช้าๆ สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่เอวคอดของเขา  

 

 

           ซือเหยี่ยนดึงบุหรี่ออกมาอีกมวนจากด้านข้าง ส่งต่อให้เจียงมู่เฉิน  

 

 

           เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ลังเล ยื่นมือไปรับบุหรี่มวนนี้มา เขายกมือเกี่ยวคอซือเหยี่ยนให้โน้มลงมาแล้วเอาบุหรี่ของตัวเองไปเชื่อมติดกับปลายมวนบุหรี่ของซือเหยี่ยนค่อยๆ จุดไฟให้ติดอย่างช้าๆ  

 

 

           กลิ่นบุหรี่คละคลุ้งอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคน เจียงมู่เฉินปล่อยควันบุหรี่ออกมาเบาๆ  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นใบหน้าเขาที่ยิ่งดูน่าดึงดูดใจมากกว่าเดิมเมื่ออยู่ในท่ามกลางควันบุหรี่ หัวใจอดจะสั่นสะท้านไม่ได้ เขาทิ้งบุหรี่ในมือลงในที่เขี่ยบุหรี่ที่อยู่ด้านข้าง แล้วโผตัวเข้าหาเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เพียงชั่วครู่เดียวเจียงมู่เฉินถูกเขาโถมตัวเข้าหาจนหลังชิดกระจกที่อยู่ด้านหลัง ทั้งตัวขยับไปไหนไม่ได้  

 

 

           โดนเขาประกบจูบดุเดือดแบบนี้ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าหัวใจใกล้จะกระโดดออกไปแล้ว  

 

 

           เขายื่นมือไปตบที่หลังของซือเหยี่ยนเบาๆ ด้วยความขบขัน พอเหลือช่องว่างตรงกลางระหว่างปากต่อปากที่จูบกัน เขาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความยากลำบาก “พี่ใหญ่…นาย ยังไงนายก็ให้ฉัน ให้ฉันวางบุหรี่ลงก่อนเถอะ”  

 

 

           เขาเอ่ยประโยคนี้อย่างติดๆ ขัดๆ ซือเหยี่ยนยื่นมือไปเอาบุหรี่ในมือเขาทิ้งลงที่เขี่ยบุหรี่ไปเสียเลย  

 

 

           ทันทีหลังจากนั้นก็ประกบปากเขาให้แน่นสนิท  

 

 

           ‘ทำ’ กันมาค่อนคืน ซือเหยี่ยนถึงได้หยุด เจียงมู่เฉินนอนฟุบอยู่บนเตียงมองซือเหยี่ยน ใบหน้าหมดอาลัยตายอยาก  

 

 

           “พี่ใหญ่ นายได้เอาของเมื่อวานมานับรวมกันด้วยใช่ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนอุ้มร่างเขาขึ้นมา พาไปล้างทำความสะอาดในห้องน้ำ เขากัดใบหูเจียงมู่เฉินไปคำหนึ่ง “เปล่า”  

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง  เขายังต้องขอบคุณเจ้าหมอนี่ที่ไม่ได้นับของเมื่อวานนี้รวมเข้าไปด้วย ให้เขาได้หายใจหายคอบ้างตั้งครึ่งหนึ่ง  

 

 

           ทั้งสองคนแช่น้ำกันในอ่างอาบน้ำ อาบน้ำกันอยู่ตั้งนานสองนาน ถึงเพิ่งออกมาจากอ่างอาบน้ำได้  

 

 

           ผมที่แห้งอยู่แต่เดิมของเจียงมู่เฉินก็เปียกชื้นไปครึ่งหนึ่งแล้ว  

 

 

           ทั้งสองคนนั่งพิงกันอยู่บนเตียง เจียงมู่เฉินเอนซบซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนถือผ้าขนหนูค่อยๆ เช็ดผมที่เปียกชื้นให้เจียงมู่เฉินให้แห้งทีละนิดๆ   

 

 

           ท่าทางเขาอ่อนโยนและเบามือ ต่างกับมือหนักๆ แรงเยอะในยามปกติ  

 

 

           เช็ดผมแบบนี้ก็สบายอยู่ไม่น้อยทีเดียว  

 

 

           เจียงมู่เฉินพิงไปพิงมา ไม่รู้เพราะเหนื่อยมากถึงขีดสุดหรือเปล่า คิดไม่ถึงว่าเพียงไม่นานก็ผล็อยหลับลงไปแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นว่าเช็ดผมของเขาจนเห็นว่าแห้งพอประมาณแล้ว ถึงค่อยได้วางขนหนูในมือลง  

 

 

           หลังจากนั้นก็วางคนลงบนเตียงด้วยความระมัดระวัง แล้วปิดไฟนอน  

 

 

           เช้าวันต่อมา จี้ฉิงโทรศัพท์หาเจียงมู่เฉิน บอกว่าวันมะรืนจะจัดการสะสางเรื่องราวให้กระจ่าง  

 

 

           เจียงมู่เฉินก็ไม่ได้เห็นต่างจึงตบปากรับคำไป  

 

 

           หลังจากวางสายเสร็จ เจียงมู่เฉินถึงได้พบว่าซือเหยี่ยนไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว  

 

 

           เขาชะงักงันไปพักหนึ่ง ทันทีหลังจากนั้นก็คิดได้ ว่าเวลานี้ซือเหยี่ยนควรจะไปบริษัทแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกประหลาดแล้ว  

 

 

           เขาเอวเคล็ดหลังยอก เมื่อคืนเที่ยงคืนกว่าถึงนอนได้ ตอนนี้ซือเหยี่ยนไม่อยู่ ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร จึงนอนฟุบหลับต่อไป  

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินทางไปบริษัทจริงๆ เพียงแต่ว่าขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าไปบริษัทอยู่นั้น เขาก็โทรไปหาคุณพ่อซือ  

 

 

           อยากถามคุณพ่อซือ ว่ากลับบริษัทมาคุมงานที่บริษัทสักช่วงเวลาหนึ่งได้หรือเปล่า  

 

 

           คุณพ่อซือเองก็เห็นรายงานข่าวในอินเทอร์เน็ตแล้ว รู้ถึงความหมายของเขา ก็ไม่ได้พูดอะไรรีบรับคำทันที  

ตอนที่ 460 ไม่รู้สึกน่ารังเกียจเหรอ  

 

 

           “ใช่แล้ว พี่ซือเหยี่ยนคะ พี่กับคุณชายเจียงเป็นเพื่อนสนิทกัน รู้ไหมคะว่าเขามีแฟนสาวอยู่คนหนึ่งแล้ว”  

 

 

           ได้ยินหลินเหวินฮุ่ยเอ่ยถึงจี้ฉิง ซือเหยี่ยนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย  

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยเห็นซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว ในใจเธอคิดว่าที่แท้เขาก็ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของเจียงมู่เฉินกับจี้ฉิง  

 

 

           ตอนนั้นซือเหยี่ยนไปอเมริกาโดยไม่บอกกล่าว ต่อมาเจียงมู่เฉินก็คบกับจี้ฉิงแล้ว  

 

 

           ตอนนั้นเธอคาดเดาว่าสองคนนี้ควรจะเลิกกันแล้ว ดังนั้นเจียงมู่เฉินถึงได้หาแฟนใหม่ได้ปัจจุบันทันด่วนแบบนี้  

 

 

           เธอรอมาพักใหญ่ๆ แล้วก็ไม่เห็นซือเหยี่ยนกลับมาสักที  

 

 

           ข่าวนี้กดเก็บอยู่ในใจเธอมาโดยตลอด พูดออกไปไม่ได้  

 

 

           กว่าจะรู้ว่าซือเหยี่ยนกลับมาแล้วไม่ใช่ง่ายๆ เธอรีบร้อนเข้ามาหาซือเหยี่ยน ใครจะคิดว่าจะไปเห็นซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินอยู่ด้วยกัน ท่าทางดูสนิทสนมกลมเกลียวไม่ธรรมดา  

 

 

           ตอนนั้นเธอโมโหจนหน้ามืดตามัว ผ่านไปสักพักถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา  

 

 

           ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา เธอก็สะกดรอยตามเจียงมู่เฉินทั้งวี่ทั้งวัน เห็นเขาไปมาหาสู่ทั้งกับซือเหยี่ยนและจี้ฉิงทั้งสองฝั่ง  

 

 

           ในใจจึงคิดว่าพี่ซือเหยี่ยนต้องโดนเจียงมู่เฉินหลอกแล้วแน่ๆ เธอต้องเปิดโปงเล่ห์เพทุบายของเจียงมู่เฉิน  

 

 

           รอให้พี่ซือเหยี่ยนได้เห็นธาตุแท้ของเจียงมู่เฉิน และเดี๋ยวเขาก็จะหนีจากเจียงมู่เฉินไปได้เองแล้ว  

 

 

           หลินเหวินคิดถึงตรงนี้ ในใจก็อดจะปลื้มใจไม่ได้ พอคิดถึงว่าถ้าซือเหยี่ยนตัดความสัมพันธ์กับเจียงมู่เฉินไม่เหลือเยื่อใย ตัวเองก็ฉวยโอกาสนี้ปลอบใจซือเหยี่ยนได้  

 

 

           ถึงเวลานั้นทำให้ซือเหยี่ยนตกหลุมรักตัวเอง พวกเขาก็จะได้คบกันแล้ว  

 

 

           “รู้” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบๆ  

 

 

           เรื่องของเจียงมู่เฉินกับจี้ฉิง เขาเชื่อว่าเจียงมู่เฉินจะจัดการแก้ปัญหาเองได้ ดังนั้นซือเหยี่ยนจะไม่เข้าไปแทรกแซงมากจนเกินไป  

 

 

           แต่ก่อนที่พวกเขาจะยังไม่ประกาศเรื่องเลิกกัน ซือเหยี่ยนจะต้องไม่ปล่อยให้ความลับรั่วไหลเป็นธรรมดา  

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยมองซือเหยี่ยนด้วยตกตะลึง “พี่…รู้เหรอคะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูหลินเหวินฮุ่ย พินิจพิเคราะห์อยู่ในแววตา ตอนแรกเขาได้รับรูปถ่ายที่จี้ฉิงกับเจียงมู่เฉินเจอกัน  

 

 

           ต่อมาหลินเหวินฮุ่ยเดินเข้ามา แล้วยังเอ่ยถึงเจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงขึ้นมา  

 

 

           ‘จะบังเอิญขนาดนี้เชียวเหรอ’  

 

 

           “ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปิดเผยต่อสาธารณะ เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไม่รู้”  

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยถอยหลังด้วยความตกใจ “แล้วพี่ยัง…”  

 

 

           ซือเหยี่ยนทำหน้าเคร่งขรึม เอ่ยเสียงต่ำ “เหวินฮุ่ย นั่นเป็นเรื่องระหว่างพี่กับเจียงมู่เฉิน ไม่เกี่ยวกับคนอื่น…  

 

 

           …เธอยังเด็ก ยังมีหนทางอีกยาวไกลให้ต้องเดินไป อย่าสับสนเดินทางผิดเด็ดขาด”  

 

 

           คำเตือนแฝงในคำพูดของเขา แต่มีหรือที่หลินเหวินฮุ่ยจะฟังเข้าหู  

 

 

           ‘ซือเหยี่ยนรู้ถึงความสัมพันธ์ของเจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงชัดๆ ยังอยากจะคบกับเจียงมู่เฉิน หรือว่าเขาจะไม่รู้สึกว่าน่ารังเกียจงั้นเหรอ’  

 

 

           “พี่ซือเหยี่ยน คุณชายเจียงมีแฟนสาวอยู่ทนโท่ ทำไมพี่ถึงยังอยากจะคบกับเขาอยู่คะ”  

 

 

           เธอคิดแล้วไม่เข้าใจ คิดแล้วไม่เข้าใจจริงๆ   

 

 

           ตัวเองแย่กว่าเจียงมู่เฉินตรงไหน ซือเหยี่ยนถึงยอมจะคบกับคนที่เหยียบเรือสองแคมแบบนั้น ดีกว่าจะยอมมาคบกับเธอ  

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจเล็กน้อย “เรื่องระหว่างฉันกับเขา ฉันเองรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”  

 

 

           “แต่เขามีแฟนสาวอยู่ทั้งคนแล้ว ถ้าเขาชอบพี่จริงๆ แล้วทำไมเขายังจะไปหาแฟนใหม่มาอีกล่ะคะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ ไม่อยากจะพูดกับหลินเหวินฮุ่ยต่อไปแล้ว  

 

 

           “เขาจะรักหรือไม่รักฉันก็ไม่เป็นไร แต่ฉันรักเขาก็โอเคแล้ว” ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย  

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยได้ยินคำพูดนี้ คนทั้งคนก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

           ไม่กล้าจะเชื่อในสิ่งที่หูเพิ่งจะได้ยินมาเมื่อครู่นี้จริงๆ  

 

 

           ‘ซือเหยี่ยน…ซือเหยี่ยนเขา…’  

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยรับการปะทะนี้ไม่ไหว ทุกคำพูดทุกประโยค เธอวิ่งบุ่มบ่ามออกไปแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองตามแผ่นหลังของเธอไป ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้  

 

 

           หวังว่าครั้งนี้จะทำให้หลินเหวินฮุ่ยตัดใจจากเขาได้สักที  

 

 

           ……  

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยมุ่งหน้าออกมาจากตึกใหญ่ของซือกรุ๊ป เธอยังรับไม่ได้ เจียงมู่เฉินเป็นอย่างนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะยังชอบเจียงมู่เฉินอยู่อีก  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 461 น่ารังเกียจเกินไปแล้ว  

 

 

           ‘น่ารังเกียจ!’  

 

 

           ‘น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!’  

 

 

           ‘เขาชอบคนแบบนี้ไปได้ยังไง’  

 

 

           ตกลงแล้วเจียงมู่เฉินมีดีตรงไหน ซือเหยี่ยนถึงต้องไม่หนีไม่เลิกแบบนี้ให้ได้ ทั้งที่รู้ว่าเขาเหยียบเรือสองแคมก็ไม่สนใจ  

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ ไฟเดือดดาลในใจยิ่งลุกโชน ในเมื่อซือเหยี่ยนไม่ยอมจะกลับตัวกลับใจ ถ้าอย่างนั้นเธอจะช่วยซือเหยี่ยนกลับตัวกลับใจเอง  

 

 

           เธอรีบขับรถกลับไปที่พักอย่างรวดเร็ว แล้วเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา  

 

 

           ข้างในนั้นมีไฟล์รูปถ่ายของเจียงมู่เฉินและจี้ฉิงทั้งหมด  

 

 

           เธอจงใจเลือกภาพที่ดูใกล้ชิดสนิทสนมเป็นพิเศษ รวมกันส่งออกไป  

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยกำมือแน่น เธออยากจะเห็นเสียเหลือเกิน รอข่าวพวกนี้หลุดออกไปเมื่อไหร่ สุดท้ายเจียงมู่เฉินจะเลิกใคร  

 

 

           เธอจะรอดูเจียงมู่เฉินสลัดซือเหยี่ยนทิ้ง  

 

 

           ถึงอย่างไรใครจะกล้าบอกทุกคนว่ารสนิยมทางเพศของตัวเองไม่ปกติต่อหน้าประชาชีกัน   

 

 

           การเลือกครั้งนี้ เจียงมู่เฉินต้องเลือกจี้ฉิงแน่นอน  

 

 

           ไม่มีทางจะเป็นซือเหยี่ยนไปได้  

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยจ้องมองคอมพิวเตอร์ ต้องการอยากจะเอาชนะให้ได้  

 

 

           ……  

 

 

           ตอนค่ำเวลาหนึ่งทุ่ม จู่ๆ ทั้งโลกออนไลน์ก็ฮือฮาข่าวดีเรื่องการแต่งงานระหว่างคุณชายน้อยตระกูลเจียงกับจี้ฉิงดาราสาวคนดัง  

 

 

           หลังจากมีรายงานข่าวนี้ออกมา เป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นอันดับการค้นหายอดนิยมอันดับต้นๆ ทันที  

 

 

           ถึงอย่างไรชื่อเสียงของคุณชายน้อยตระกูลเจียงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนในวงการบันเทิง อีกอย่างหลังจากทั้งสองเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ คนมากมายต่างก็รอคอยรายงานข่าวของพวกเขาสองคน  

 

 

           ใครจะคิดว่าเจียงมู่เฉินจะออกจากถานโจวไปกะทันหัน ออกไปดูงานต่างเมือง ประมาณหนึ่งเดือนถึงเพิ่งจะกลับมา  

 

 

           ระหว่างที่รออยู่นั้น จี้ฉิงก็แวะเวียนไปเยี่ยมเยือนพ่อแม่ของเจียงมู่เฉินอยู่หลายครั้ง  

 

 

           ท่าทีเหมือนเตรียมตัวจะเป็นลูกสะใภ้  

 

 

           มีผู้คนอยู่ไม่น้อยได้ยินข่าวนี้ต่างก็เป็นมนุษย์สายเผือก  อยากจะรอดูว่าจะมีข่าวที่ใหญ่กว่านี้ระเบิดออกมาอีกหรือเปล่า  

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้ เวลาสามทุ่มในคืนเดียวกันนั้น ทั้งโลกออนไลน์ก็ได้ฮือฮากันอีกครั้งกับเนื้อข่าวพร้อมรูปภาพประกอบนี้  

 

 

           ในรูปภาพนั้นมีเจียงมู่เฉินกับคุณแม่เจียงไปรับพ่อแม่ของจี้ฉิงด้วยกันที่สนามบิน ยังมีฉากที่พวกเขาพากันไปที่โรงแรมอีกด้วย  

 

 

           พ่อแม่ทั้งสองตระกูลเจอหน้ากัน ยิ่งกว่านั้นคุณแม่เจียงยังไปรับที่สนามบินด้วยตัวเอง ถ้าไม่ใช่ว่าจะมีข่าวดีเกิดขึ้น ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว  

 

 

           ด้วยเหตุนี้ แค่ชั่วขณะเดียวข่าวคราวที่เจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงใกล้จะแต่งงานนี้กลายเป็นเรื่องที่ถกกันอย่างคึกคักสนุกปากไม่หยุด  

 

 

           แม้กระทั่งเว็บเบราว์เซอร์ต่างก็เป็นอัมพาตกันอยู่หลายครั้ง  

 

 

           ขณะที่เรื่องราวเป็นประเด็นร้อนอยู่นั้น เจียงมู่เฉินกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับซือเหยี่ยนอยู่ที่บ้านกัน  

 

 

           ทั้งสองคนไม่เพียงแต่จะไม่ดูทีวี เวลาปกติก็สนใจมองแค่กันและกัน ไหนเลยจะมีเวลาเล่นมือถือ  

 

 

           จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ว่าข้างนอกนั้นได้เลือดสาดน้ำกระเซ็นไปเรียบร้อยแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังขึ้นคร่อมทับซือเหยี่ยนอยู่ ขณะที่เตรียมจะบังคับจูบเขา เสียงเรียกเข้ามือถือก็ดังขึ้นมาถี่กระชั้นไม่ขาดสาย  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูมือถือที่ทำให้คนรำคาญ แล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้  

 

 

           กว่าจะมาถึงตาเขาจับกดซือเหยี่ยนได้ไม่ใช่ง่ายๆ  ทำไมสุดท้ายยังมาโดนคนขัดจังหวะอีกจนได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดหัว อยากจะทำเป็นมองไม่เห็น โน้มตัวขึ้นคร่อมซือเหยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับถูกซือเหยี่ยนเอื้อมมือมาห้ามเอาไว้  

 

 

           “รับโทรศัพท์ก่อน”  

 

 

           “นายคิดจะฉวยโอกาสตอนที่ฉันรับสายวิ่งหนีไปใช่ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากอย่างขำขัน “คุณเป็นฝ่ายมาขึ้นคร่อมผมเอง ผมจะหนีอะไร”  

 

 

           เขาแทบอยากจะนอนแล้วปล่อยให้เขาค่อยๆ ขึ้นคร่อม  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาเชิดมุมปากขึ้นเล็กน้อยในแบบหน้าตาดูไม่ได้ ก็ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ เอื้อมมือไปหยิบมือถือที่อยู่ด้านข้าง  

 

 

           เพิ่งจะกดรับมือถือ ก็ได้ยินเสียงจี้ฉิงดังออกมา  

 

 

           ในขณะเดียวกัน มือถือของซือเหยี่ยนก็ดังขึ้นมา  

 

 

           จี้ฉิงไม่ได้พูดอะไรมาก แค่เพียงให้เขารีบเปิดโน้ตบุ๊ก ดูข่าวพาดหัวล่าสุด  

 

 

           ทางฝั่งซือเหยี่ยนก็บอกตรงๆ ว่าเป็นเรื่องของเจียงมู่เฉินกับจี้ฉิง  

 

 

           หลังจากทั้งสองคนวางสายแล้ว เจียงมู่เฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงเข้าไปเปิดโน้ตบุ๊กทันที  

 

 

           เปิดโน้ตบุ๊กมาก็ถึงพบว่าข่าวพาดหัวทั้งหมดเป็นชื่อตัวเองกับจี้ฉิง  

 

 

           เจียงมู่เฉินเปิดอ่านดูลวกๆ ในหน้าเว็บสักพัก สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย  

 

 

           เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยน ส่งต่อโน้ตบุ๊กให้เขาดูด้วยตัวเอง   

ตอนที่ 458 โดนตีแล้ว  

 

 

           “นายอย่าหาเรื่องสิ นี่อยู่บ้านนายนะ ถ้ามีคนมาได้ยินจะทำยังไง”  

 

 

           “ระบบกันเสียงของบ้านผมดีเป็นพิเศษ”  

 

 

           “นายรู้ได้ยังไง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “เพราะว่าผมไม่เคยได้ยินเสียงเวลาพ่อแม่ผมทำกันเลย”  

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”  

 

 

           ‘ถ้าพ่อแม่ซือเหยี่ยนมาได้ยินประโยคนี้เข้า จะคว้าตะบองมาไล่ซือเหยี่ยนออกไปได้หรือเปล่า’  

 

 

           ซือเหยี่ยนจะโดนไล่ออกไปได้หรือเปล่า เจียงมู่เฉินไม่รู้  

 

 

           เขารู้แค่เพียงตัวเองโดนซือเหยี่ยนจับกดจนเอวจะหักแล้ว  

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับเหมือนไปฉีดเลือดไก่ [1] มาไม่มีผิด ท่าทางป่าเถื่อน ราวกับอยากจะหักเขาออกเป็นสองท่อน  

 

 

           เจียงมู่เฉินไร้หนทางให้หลบหนี จำใจต้องปล่อยให้ซือเหยี่ยนวาดลวดลายตามอำเภอใจ  

 

 

           ……  

 

 

           เช้าวันต่อมา เจียงมู่เฉินพยุงเอวนอนอยู่บนเตียง รอซือเหยี่ยนอย่างโกรธเคือง   

 

 

           แต่คนคนนั้นกลับหน้าชื่นตาบาน  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นดวงตาแดงก่ำของเขา ก็ยื่นมือไปตบก้นของเจียงมู่เฉินเบาๆ “ลุกได้แล้ว พวกเราต้องกลับกันแล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาตบตรงนั้น ความตะลึงงันประกายวาบในแววตา  

 

 

           ‘เมื่อวานจูบดวงตาเขาก็ช่างเถอะ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะยังตบ…ตบเขา…’  

 

 

           เขาโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยโดนใครตีอย่างนี้มาก่อน  

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะเขินอายเกินไปหรือเพราะอะไร ดวงตาดอกท้อคู่นั้นของเจียงมู่เฉินแดงไปหมดแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นอาการ แล้วก็รีบช้อนร่างอุ้มเขาขึ้นมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “ต่อไปถ้านายกล้าตีฉันแบบนี้อีก ฉัน…  

 

 

           …ฉันก็จะ…ฉันก็จะหนีออกจากบ้าน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน เขาก็แค่เอามือตบไปอย่างนั้นเฉยๆ มีหรือจะรู้ว่าเจียงมู่เฉินจะรับไม่ได้อย่างนี้  

 

 

           “ได้ ต่อไปไม่ตีแล้ว”  

 

 

           เบ้าตาเจียงมู่เฉินยังคงแดงอยู่ ดูแล้วช่างน่าสงสารเหลือเกิน  

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงจูบเขาอย่างอ่อนโยน “รีบลุกเถอะ”  

 

 

           ……  

 

 

           หลังจากตื่นนอนมา กินอาหารเช้าด้วยกัน ซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉินก็เดินทางออกจากบ้านตระกูลซือไป  

 

 

           เขาส่งเจียงมู่เฉินไปยังเจียงเฉินกรุ๊ป หลังจากนั้นตัวเองถึงได้ไปที่บริษัท  

 

 

           เจียงมู่เฉินถึงเจียงเฉินกรุ๊ปแล้ว เขายังไม่ได้ขึ้นไปชั้นบน แต่ไปยังร้านกาแฟใต้ตึกแทน  

 

 

           เขากับจี้ฉิงแล้วว่าจะเจอกันที่นี่  

 

 

           ถึงอย่างไรเรื่องวันนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสะสางกับจี้ฉิงให้ชัดเจน เพราะเรื่องของพ่อแม่ทั้งสองตระกูล หลายวันมานี้จึงยังหาเวลาปลีกตัวออกมาไม่ได้เลย  

 

 

           วันนี้ได้จังหวะเวลาว่างกันพอดี จึงนัดออกมาพูดคุยกันให้ชัดเจน  

 

 

           เพียงไม่นานจี้ฉิงก็เดินเข้ามา เธอใส่หน้ากากปิดปากและแว่นตา คนทั้งคนแต่งตัวมิดชิด  

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้ว่าเธอไม่อยากถูกจับได้ ดังนั้นจึงหามุมที่หลบซ่อนได้  

 

 

           จี้ฉิงนั่งลงอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจียงมู่เฉิน บนโต๊ะมีกาแฟที่สั่งไว้วางอยู่เรียบร้อย  

 

 

           เธอยกมือขึ้นถอดแว่นตาและหน้ากากปิดปากออก เผยให้เห็นใบหน้าของตัวเอง  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางระมัดระวังอยู่ได้ทั้งวันของเธอ ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความติดตลก “ออกมาข้างนอกทีเหมือนโจรไม่มีผิด”  

 

 

           จี้ฉิงถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “คุณคิดว่าฉันไม่อยากออกมาข้างนอกอย่างเปิดเผยเหรอ ที่สำคัญคือถ้าถูกคนจับตามองแล้ว ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าข่าวฉาวอะไรก็คงจะออกมาแล้ว”   

 

 

           “พ่อแม่เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”  

 

 

           เอ่ยถึงเรื่องนี้ จี้ฉิงก็ถอนหายใจอย่างปลงๆ “ยังพอโอเคมั้ง โกรธจนออกไปตั้งแต่วันนั้นเลย”  

 

 

           เดิมทีมาหารือเรื่องแต่งงานด้วยความตื่นเต้นดีใจ ผลสุดท้ายมาพบว่าเป็นเรื่องโกหก ความดันโลหิตก็ขึ้นสูงกันในพริบตา  

 

 

           บวกกับคุณแม่เจียงที่เป็นลมไปตรงนั้นอีก  

 

 

           สถานการณ์วุ่นวายจนเธอเองก็เอาไม่อยู่ หลังจากรอส่งตัวคุณแม่เจียงถึงโรงพยาบาลเสร็จ พ่อแม่เธอก็ซื้อตั๋วเครื่องบินหายตัวไปแล้ว  

 

 

           ตอนนี้ทำได้เพียงแค่รอวันนั้นวันที่เธอมีเวลา แล้วค่อยไปยอมรับผิดขอรับโทษต่อหน้าพ่อแม่เธอ  

 

 

           “ขอโทษด้วย เพราะฉันเป็นต้นเหตุ”  

 

 

           จี้ฉิงส่ายหัว “ฉันก็เป็นต้นเหตุเหมือนกัน ถ้าฉันไม่ยื่นเสนอให้คุณ คุณก็ไม่ต้องยอมตกลงรับปากฉัน”  

 

 

           เจียงมู่เฉินหยุดลงสักพัก “ฉันกับซือเหยี่ยนได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลแล้ว ดังนั้นฉันจึงอยากจะหารือกับเธอ ประกาศกับสาธารณะเรื่องที่พวกเราเลิกกัน”  

 

 

 

 

 

[1]   ฉีดเลือดไก่  มาจากความเชื่อทางการแพทย์จีนเมื่อยุคปี 60 ว่าการฉีดเลือดไก่เข้าตัวเป็นยารักษาสารพัดโรค (Chicken-blood therapy)  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 459 สะกดรอยตามคุณชายเจียง  

 

 

           จี้ฉิงคิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองคนจะจัดการเรื่องพ่อแม่ทั้งสองตระกูลได้เร็วขนาดนี้ ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ในที  

 

 

           “จริงเหรอ พวกคุณทำยังไงกันถึงได้รับความเห็นชอบ ก่อนหน้านี้คุณน้าค้านหัวชนฝาเลยไม่ใช่เหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ เอ่ยแค่เพียงว่า “พ่อแม่ซือเหยี่ยนกับพ่อแม่ฉันเป็นเพื่อนสนิทกัน พวกท่านก็แค่พบปะพูดคุยกัน”  

 

 

           จี้ฉิงมองเขาด้วยสีหน้าอิจฉา “ไม่นึกเลย แต่ก็ยังต้องยินดีกับคุณด้วยนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะเบาๆ หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย “ถ้าเธอไม่อยากทำงานเบื้องหน้าวงการบันเทิงอีก ลองมาร่วมงานกันกับฉันดูก็ได้นะ”  

 

 

           จี้ฉิงตะลึงตาค้าง “ร่วมงานอะไรเหรอ”  

 

 

           “ฉันวางแพลนจะเปิดบริษัทผลิตสื่อบันเทิงภาพยนตร์และโทรทัศน์ของฉันเอง”  

 

 

           “เจียงเฉินกรุ๊ปเป็นของพ่อฉัน ไม่เกี่ยวกับฉัน”  

 

 

           ในเมื่อตัดสินใจจะคบกับซือเหยี่ยนแล้ว เขาจะมามัวขี้เกียจเล่นไปวันๆ แบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป  

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรอย่างน้อยที่สุดเวลาที่ครอบครัวเขาพูดคุยถึงเขาขึ้นมา คนที่เอ่ยออกมาจากปากก็คือเจียงมู่เฉิน ไม่ใช่คุณชายน้อยตระกูลเจียง  

 

 

           “คุณให้ฉันคิดทบทวนดูก่อนนะ” เจียงมู่เฉินพูดถึงเรื่องนี้ ที่จริงน่าดึงดูดใจทีเดียว อีกอย่างเธอกับเจียงมู่เฉินก็รู้จักกันมานานพอสมควร เขาคนนี้ยังถือว่าน่าเชื่อถือได้มากอยู่  

 

 

           อีกอย่างเธออยู่วงการบันเทิงมาตั้งหลายปีขนาดนี้ ถ้าถอยมาเป็นเบื้องหลัง ก็ไม่เลวเหมือนกัน  

 

 

           เจียงมู่เฉินเองก็ไม่รีบร้อน พยักหน้ารับ “เธอคิดทบทวนดีแล้วมาก็บอกฉัน”  

 

 

           ทั้งสองคนคุยต่อกันอีกสักพัก จี้ฉิงต้องรีบไปถ่ายโฆษณา ดื่มกาแฟเสร็จก็รีบออกจากที่นี่ทันที  

 

 

           ขณะที่เดินออกมาจากร้านกาแฟ จี้ฉิงรู้สึกว่ารอบข้างมีคนแอบถ่ายเธออยู่ตลอดเวลา  

 

 

           เธอมองไปยังด้านข้างด้วยความหวาดระแวง กลับไม่เห็นอะไรสักอย่าง  

 

 

           จี้ฉิงส่ายหัวไปมา รู้สึกว่าตัวเองอาจจะทำสายงานนี้นานเกินไป จึงค่อนข้างจะมีปฏิกิริยาไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัว  

 

 

           เธอจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แล้วขับรถออกจากเจียงเฉินกรุ๊ปไป  

 

 

           จี้ฉิงเดินออกไปได้ไม่นานเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินก็เดินจากด้านในออกมา  

 

 

           ที่มุมด้านข้าง มีคนถ่ายรูปด้านหลังของเจียงมู่เฉินขณะที่เดินออกไป เธอมองดูกล้องถ่ายรูปในมือแล้วอดจะยิ้มออกมาไม่ได้  

 

 

           ‘ถ้าพี่ซือเหยี่ยนรู้ว่าเจียงมู่เฉินแอบมากุ๊กกิ๊กกับจี้ฉิงลับหลังเขา จะเป็นยังไงนะ’  

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยก็ตามหลังออกไปเช่นกัน  

 

 

           ……  

 

 

           ตอนบ่ายในวันเดียวกัน ซือเหยี่ยนก็ได้รับพัสดุชิ้นหนึ่งมา  

 

 

           ผู้ช่วยเห็นว่าเป็นของซือเหยี่ยน จึงรับมาแล้วส่งขึ้นไปให้ ซือเหยี่ยนแกะออกดูทันที เมื่อเห็นรูปถ่ายที่อยู่ข้างใน กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย  

 

 

           คนที่อยู่ข้างในภาพคือเจียงมู่เฉิน อีกคนก็คือจี้ฉิงคนที่เคยพบหน้ากันโดยบังเอิญ  

 

 

           ‘ใครจะส่งรูปถ่ายแบบนี้มาให้เขาได้’  

 

 

           หลังจากหลินเหวินฮุ่ยล้างรูปออกมาส่งให้ซือเหยี่ยนแล้ว ก็ไปบริษัทของซือเหยี่ยนทันที  

 

 

           เธอร้อนใจอยากจะไปดูให้เห็นกับตา ยามที่ซือเหยี่ยนเห็นรูปถ่ายของเจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงจะแสดงสีหน้าอารมณ์อะไรออกมาได้  

 

 

           เธอเดินทางไปยังบริษัทของซือเหยี่ยน จนตอนนี้มายืนเคาะประตูอยู่ที่หน้าประตูแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนกำลังดูรูปถ่ายนั้นอยู่ ได้ยินเสียงเคาะประตู ก็วางรูปถ่ายลงข้างตัว เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “เข้ามา”  

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยผลักเปิดประตูเข้ามา ก็เห็นซือเหยี่ยนนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน  

 

 

           เธอดีใจรีบเดินเข้าไปหา “พี่ซือเหยี่ยน พี่กลับมาแล้วทำไมไม่บอกฉันสักคำคะ ฉันคิดว่าพี่อยู่ที่อเมริกาตลอดเลย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นหลินเหวินฮุ่ยก็ยังตะลึงงันไปชั่วขณะ ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ อีกนิดเขาเกือบจะลืมหลินเหวินฮุ่ยไปแล้ว  

 

 

           “ฉันเองก็เพิ่งจะกลับมาได้ไม่กี่วัน งานที่บริษัทแย่งมาก”  

 

 

           แน่นอนว่าหลินเหวินฮุ่ยไม่ได้จะมาตำหนิอะไรซือเหยี่ยนจริงๆ เธอทำเป็นมองโต๊ะของซือเหยี่ยนผ่านๆ ก็เห็นกล่องใส่ที่ตัวเองส่งรูปถ่ายมาพอดี  

 

 

           เธอดีใจในบัดดล ดูท่าว่าซือเหยี่ยนได้เห็นรูปถ่ายนั้นแล้ว  

 

 

           “ไม่เป็นไรค่ะ คราวก่อนพ่อฉันยังบอกว่ารอพี่กลับมา แล้วให้พี่ไปกินข้าวกันสักมื้อที่บ้านด้วย”  

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ “มีเวลาเดี๋ยวจะแวะไปเยี่ยม”  

 

 

           เขาพูดจาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว หลินเหวินฮุ่ยฟังอารมณ์ของเขาไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาจะดีใจหรือว่าทุกข์ใจ  

 

 

           เธอครุ่นคิดแล้วตัดสินใจจะสุมไฟให้ซือเหยี่ยนอีกสักหน่อย  

ตอนที่ 456 ถูกเมินแล้ว

 

 

           “อยากๆๆ โคตรอยากเลย” เจียงมู่เฉินเอ่ยออกมาด้วยลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ

 

 

           ได้ยินคำพูดนี้ นัยน์ตาซือเหยี่ยนถึงได้ทอประกายรอยยิ้ม ถึงอย่างไรต่อให้เจียงมู่เฉินไม่ยินยอม เขาก็จะมัดอีกฝ่ายไปด้วยอยู่ดี

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือผลักเขาออก “นายปล่อยฉันก่อน ฉันเจ็บเอว”

 

 

           ซือเหยี่ยนกดเอวเขาไว้จนใกล้จะหักแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าซือเหยี่ยนกินอะไรโตมาก พละกำลังเหมือนกระทิงไม่มีผิด

 

 

           คนละชั้นกับเมื่อก่อนโดยสมบูรณ์

 

 

           เมื่อก่อนพวกเขาสองคนถือว่าสูสีพอกัน  ตอนนี้เป็นยังไง โดนซือเหยี่ยนบดขยี้โดยสมบูรณ์

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาร้องว่าเจ็บ ในที่สุดจึงปล่อยมือ เขายังไม่ลืมจะนวดคลึงช่วงเอวให้เจียงมู่เฉินด้วย

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นการกระทำของเขา รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ยังพอมีจิตสำนึก ไม่ใช่ดึงกางเกงขึ้นแล้วก็วิ่งหนี

 

 

           ทั้งสองคนวุ่นวายกันไปมาอยู่ในห้องพักหนึ่ง เจียงมู่เฉินเดิมทีจะเตรียมออกไปเดินเล่น แต่พอคิดว่าถ้าหากบังเอิญเจอพ่อแม่ซือเหยี่ยนขึ้นมา คงจะเลิ่กลั่กกันน่าดู

 

 

           ด้วยเหตุนี้คิดไปคิดมา สุดท้ายก็ยกเท้าถีบใส่ซือเหยี่ยนไปทีหนึ่ง “เปิดทีวี ดูหนังกัน”

 

 

           ทีวีในห้องนอนของซือเหยี่ยน โดยพื้นฐานไม่เคยเปิดมาก่อน

 

 

           เขาเปิดอยู่ตั้งนานก็เปิดไม่ได้สักที เจียงมู่เฉินถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ซือเหยี่ยน นี่ไม่ใช่บ้านของนายเหรอ ทีวีก็เปิดไม่เป็น”

 

 

           ซือเหยี่ยนถูกดูหมิ่น ความลำบากใจปรากฏในใบหน้า รีบเดินเข้าไปหาสวิตช์เปิดปิด ไม่รู้ว่าเพราะเจียงมู่เฉินดูหมิ่นเขาไปเมื่อครู่นี้หรือเปล่า คิดไม่ถึงว่าจะเปิดได้จริงๆ

 

 

           เขาโยนรีโมทด้านข้างส่งให้เจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินรับต่อมา ทันทีหลังจากนั้นก็เปิดทีวี หาหนังบล็อกบัสเตอร์เรื่องหนึ่งดู แล้วเอนหลังนอนเอ้อระเหยอยู่บนโซฟาดูทีวี

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินพอเอนหลังนอน ก็ไม่สนใจตัวเองแล้ว อดจะยื่นมือไปสะกิดเจียงมู่เฉินไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังดูหนังอยู่ เขาผลักมือของซือเหยี่ยนออกด้วยความหงุดหงิด

 

 

           ซือเหยี่ยนมองมือของตัวเองที่ถูกปัดตก แล้วก็มองเจียงมู่เฉินอีก คิดอย่างจริงจัง  ตัวเองตอนนี้ถูกเฉินเฉินเมินแล้วเหรอ

 

 

           เขาหรี่ตาลงมองคนที่ตีกันอุตลุดในทีวี…

 

 

           ‘หรือว่าหนังเรื่องนี้จะยังน่าดูกว่าเขาอีก’

 

 

           เพราะว่ากำลังดูหนังอยู่ เจียงมู่เฉินปิดไฟในห้องนอนทั้งหมด ข้างในมืดสลัว เหลือเพียงแสงสว่างจากในทีวีเท่านั้น

 

 

           แสงสว่างนั้นกำลังสาดส่องอยู่บนใบหน้างามละเอียดได้รูปของเจียงมู่เฉิน ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ยั่วยวนในยามนี้

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว รู้สึกอยากจะหาความรู้สึกมีตัวตนทีละนิดๆ ให้ตัวเอง เขาอดจะยื่นมือไปดึงเจียงมู่เฉินมาไม่ได้ เสียงต่ำเอ่ยเรียก “เฉินเฉิน…”

 

 

           เจียงมู่เฉินเดี๋ยวโดนเขาสะกิด เดี๋ยวโดนเขาเรียก รำคาญจนไม่ไหว จึงผลักเขาไปข้างหน้าเสียเลย

 

 

           ซือเหยี่ยนตะลึงงัน เขาขบกรามทันทีหลังจากนั้น เมื่อทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด เขาจึงพลิกตัวมาขึ้นคร่อมกดร่างเจียงมู่เฉินไว้

 

 

           เวลานี้เองเจียงมู่เฉินถึงรู้สึกถึงจุดวิกฤต เขาเห็นใบหน้าของซือเหยี่ยนในระยะที่ใกล้มาก แล้วก็อดจะกลืนน้ำลายไม่ได้ “พี่ พี่ใหญ่ นี่นายจะทำอะไร”

 

 

           ‘ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วเหรอ’

 

 

           ‘สายไปแล้ว ประธานซือตัดสินใจจะลุกฮือขึ้นแล้ว’

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงต่ำ “หนังน่าดูมาก?”

 

 

           เจียงมู่เฉินยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาพยักหน้ารับโดยตรง “น่าดู…ไม่น่าดู ไม่น่าดู นายน่าดูกว่า”

 

 

           เขาเพิ่งจะพูดคำว่า ‘น่าดู’ สองคำนี้ออกมา แววตาซือเหยี่ยนก็เปลี่ยนโดยฉับพลัน เจียงมู่เฉินรีบแก้คำพูดใหม่ทันที

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ไม่น่าดู แล้วคุณยังดูใจจดใจจ่อขนาดนี้เชียว”

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้  เขาดูใจจดใจจ่อหน่อยแล้วมันยังไง เปิดทีวีมาก็เพื่อให้ใจจดใจจ่อดูไม่ใช่หรือไง

 

 

           ถ้าไม่ติดว่าซือเหยี่ยนกดมือเขาไว้อยู่ เจียงมู่เฉินอยากจะยกมือขึ้นมากดที่หัวตัวเองจริงๆ

 

 

           รู้สึกว่าเขาตามจังหวะของสมองที่โลดแล่นของซือเหยี่ยนไม่ทันเลยสักนิด

 

 

           “งั้นไม่ได้ นายก็ปิดทิ้ง ฉันไม่ดูแล้ว?” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสนอเสียงอ่อน

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัว

 

 

           “ดูก็ไม่ได้ ไม่ดูก็ไม่ได้ นายว่ามาทำไมนายถึงเอาใจยากขนาดนี้”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นแววตายามโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของเขา แล้วก้มหน้าลงกดจูบเข้าไป

 

 

           

 

 

ตอนที่ 457 กระชากใจไปแล้ว

 

 

เจียงมู่เฉินตะลึงงัน เขาเข้าสู่สภาวะสู้รบแล้ว เตรียมด่าซือเหยี่ยนว่า ‘นายไปตายซะ’ ผลสุดท้ายคาดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะก้มหน้าลงจูบเขา

 

 

‘นี่ถือว่าผิดกติกาแล้วมั้ง ผิดกติกากันชัดเจนมากเลยนะ’

 

 

เจียงมู่เฉินโดนเขาจูบกะทันหัน ไฟเดือดดาลที่มีทั้งใจได้ระบายออกมาทั้งหมดแล้ว เพียงชั่วขณะก็พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง

 

 

นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ของเขาจ้องมองซือเหยี่ยนอย่างแทบไม่เชื่อสายตา ซือเหยี่ยนกลับโน้มเข้ามาจูบที่ดวงตาของเขา

 

 

จิตใต้สำนึกสั่งให้เจียงมู่เฉินหลับตาลง กลับยังรู้สึกว่าการกระทำเมื่อครู่นี้ของซือเหยี่ยนกระชากใจไปแล้ว

 

 

เขาคุณชายเจียงจะเคยถูกคนทำแบบนี้ด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน 

 

 

‘นายอยากขึ้นก็ขึ้นสิ จูบดวงตาเขาหมายความว่ายังไงกัน’

 

 

ใบหน้าเจียงมู่เฉินฉายแววความอึดอัดใจอย่างช่วยไม่ได้ เขารีบเอามือผลักมือซือเหยี่ยนออก “ถ้านายจูบฉันอีก ฉันจะโกรธนายแล้ว”

 

 

ซือเหยี่ยนถือโอกาสถอยออก เจียงมู่เฉินรีบวิ่งออกมาจากโซฟา

 

 

ในห้องนั้นมืดมิดเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นว่าใบหูของเจียงมู่เฉินปรากฏสีแดงขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ สีแดงนั้นยังลุกลามขึ้นไปยังต้นคอของเจียงมู่เฉินอย่างไม่ขาดสาย

 

 

เล่นจ้ำจี้บนเตียงกับซือเหยี่ยนมาตั้งหลายครั้งขนาดนั้น เจียงมู่เฉินผู้ที่หน้าด้านไร้ยางอายมาแต่ไหนแต่ไร คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะเขินอายขึ้นมาได้เป็นครั้งแรก

 

 

ในห้องนอนใหญ่ขนาดนี้ ออกจากโซฟาไป ก็เหลือเพียงแค่เตียงแล้ว

 

 

เจียงมู่เฉินมองดูเตียงหลังใหญ่นั้น รู้สึกถึงอันตรายมากทีเดียว

 

 

เดินวนไปรอบหนึ่ง ก็พบว่าไม่มีบริเวณไหนไม่อันตราย ถึงอย่างไรคบกับซือเหยี่ยน ตรงไหนก็กลายเป็นสถานที่ที่โดนซือเหยี่ยนจับกดได้ทั้งนั้น

 

 

เจียงมู่เฉินหาที่หลบไม่ได้ ก็เอ่ยเสียงหยาบๆ “ฉันง่วงแล้ว อยากนอน”

 

 

ซือเหยี่ยนพยักหน้า คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เดินตามเข้ามา แต่นั่งอยู่บนโซฟา

 

 

เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเงียบๆ รู้สึกว่าท่าทีตอบสนองของซือเหยี่ยนแบบนี้ไม่ปกติ

 

 

เขาแอบสังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ ก็พบว่าซือเหยี่ยนไม่มีความเคลื่อนไหวมาตลอด เวลานี้ถึงได้รู้สึกพ้นความอันตราย

 

 

เจียงมู่เฉินดึงเปิดผ้าห่มออก เอนตัวนอนลงไป พอหลังแตะเตียงก็หลับตาแกล้งหลับ

 

 

‘ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ถึงแม้ว่าจะโรคจิตไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดจะลงมือกับคนที่นอนหลับหรอกใช่ไหม’ คิดได้อย่างนี้ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าซือเหยี่ยนควรจะยังมีขอบเขตอยู่บ้าง

 

 

แต่พอนอนอยู่บนเตียง เจียงมู่เฉินหลับตาอยู่ตั้งนาน ก็ไม่มีความง่วงอะไร

 

 

‘ตอนบ่ายเพิ่งจะตื่นนอนมา นี่เพิ่งจะหนึ่งชั่วโมงกว่าเอง จะนอนหลับลงได้ที่ไหนกัน’

 

 

เขาลืมตามาก็เห็นซือเหยี่ยนยังฝังตัวอยู่ในโซฟาดูทีวี ในใจคันยุกยิก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง “นายปิดทีวีจะได้ไหม ไม่ได้ยินที่ฉันบอกว่าอยากจะนอนแล้วเหรอ”

 

 

ซือเหยี่ยนขบขัน แต่กลับยังเอื้อมมือไปปิดทีวีให้

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นเขาปิดทีวี ถึงได้กลับนอนลงไปด้วยความพึงพอใจ

 

 

ซือเหยี่ยนยืนขึ้นมาจากโซฟา เดินมุ่งหน้ามาทางเตียง เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงก็รีบตามองเขาทันที “นายมาตรงนี้ทำไม”

 

 

ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความผิด “ผมไม่มาตรงนี้ แล้วจะไปไหน”

 

 

เจียงมู่เฉินเอ่ยถามออกมาก็รู้สึกเลิ่กลั่ก ที่นี่คือห้องนอนของซือเหยี่ยน เขาไม่มาที่นี่ แล้วจะไปไหน

 

 

คิดมาอย่างนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไร หลับตาลงไม่มองซือเหยี่ยน

 

 

ซือเหยี่ยนเองก็ไม่รีบร้อน ค่อยๆ ใช้น้ำอุ่นตุ๋นเจียงมู่เฉิน นอนอยู่ข้างกายไม่ไหวติงอยู่อย่างนี้ เหมือนจะนอนแล้วจริงๆ

 

 

เจียงมู่เฉินนอนอยู่ข้างๆ เดิมทีคิดว่าซือเหยี่ยนจะทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ใส่เขา ผลปรากฏว่าป้องกันมาตั้งนานก็ไม่เห็นว่าจะลงมือทำอะไร

 

 

เจียงมู่เฉินนอนอยู่นานสองนาน ก็รู้สึกง่วงพอควรแล้ว ตาลืมไม่ค่อยจะขึ้นแล้ว

 

 

ระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น จู่ๆ ก็โดนคนขึ้นคร่อมทับเขาไว้

 

 

เจียงมู่เฉินตกใจกลัวจนลืมตาขึ้นมา ก็เห็นซือเหยี่ยนคร่อมทับตัวเองอยู่

 

 

“นาย นายนอนแล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

ซือเหยี่ยนยิ้วหัวเราะเบาๆ “เฉินเฉิน เนื้อมาส่งถึงปากแล้ว จะมีเหตุผลให้ไม่กินที่ไหนกัน”

 

 

ด้วยเหตุนี้ ซือเหยี่ยนร่างกายผนึกกำลัง เริ่มการกินเนื้ออย่างจริงจัง

ตอนที่ 454 เปลี่ยนไปรักคนอื่น

 

 

           ‘เมื่อกี้นี้เขายังคิดว่าตัวเองอยู่ในคอนโดกับซือเหยี่ยนอยู่เลย’

 

 

           เจียงมู่เฉินเด้งตัวขึ้นมาเห็นว่าบนตัวไม่มีเสื้อใส่อยู่ ทั้งยังเห็นท้องฟ้าข้างนอกเป็นสีดำมืดอีกด้วย เขาร้อนใจทันที “ทำไมนายไม่เรียกฉันล่ะ ฉันนอนไปนานเท่าไหร่แล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางร้อนรนแบบนั้นของอีกฝ่ายก็รู้สึกตลก เขาหาเสื้อของตัวเองจากตู้เสื้อผ้าด้านข้างส่งให้เจียงมู่เฉิน

 

 

           “เอาไปใส่ก่อน แล้วลงไปกินข้าวกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบใส่เสื้อของซือเหยี่ยนทันที ซือเหยี่ยนสูงกว่าเขานิดหน่อย ทั้งยังล่ำกว่าเขานิดหน่อยด้วย

 

 

           เสื้อเชิ้ตอยู่บนตัวเขาดูหลวมทีเดียว แต่ว่าก็ยังดี เขาหมุนข้อมือได้ตามใจถือว่าพอดีตัว

 

 

           เจียงมู่เฉินใส่เสื้อรีบร้อยแล้ว ก็รีบกระโดดลงจากเตียง ส่องกระจกจัดการเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองสักพัก

 

 

           จนกระทั่งตัวเองรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วถึงได้วางมือ

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนอยู่ข้างหลังเขา ท่าทางตื่นตระหนกนี้ช่างน่าขำไม่เบา

 

 

           รู้จักกับเจียงมู่เฉินมานานขนาดนี้ จะเคยเห็นเขาตื่นตระหนกขนาดนี้เมื่อไหร่กัน

 

 

           ซือเหยี่ยนเอื้อมมือไปคว้าเขาไว้ “โอเคแล้ว หล่อมากแล้ว”

 

 

           เวลานี้เองเจียงมู่เฉินถึงได้ออกไปกับซือเหยี่ยน

 

 

           ลงมาชั้นล่าง ก็เห็นเหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซืออยู่ชั้นล่างกันพร้อมหน้าแล้ว เจียงมู่เฉินลำบากใจนิดหน่อย ตัวเองมาบ้านพ่อแม่ซือเหยี่ยนครั้งแรก ก็ยังต้องให้พวกเขารอ รู้สึกเกรงใจจริงๆ

 

 

           เหวินฮุ่ยกลับไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่รู้สึกเสื้อเชิ้ตของซือเหยี่ยนใส่อยู่บนตัวเฉินเฉินก็เหมาะสมมากเหมือนกัน

 

 

           เธอยิ้มตาหยีด้วยความรู้สึกที่ยิ่งรักใคร่เอ็นดู เจียงมู่เฉินเห็นแล้วหัวใจดวงน้อยๆ ก็สั่นระรัวไปหมด

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ค้นพบสายตารักใคร่เอ็นดูที่ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่ของเธอ ก็กระแอมไอเบาๆ ด้วยความไม่สบายใจ

 

 

           เวลานี้เองเหวินฮุ่ยถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เก็บสายตาเข้าไปทันที

 

 

           อาหารทุกอย่างบนโต๊ะเป็นฝีมือของซือเหยี่ยนเองทั้งหมด เจียงมู่เฉินมองแวบแรก ก็รู้สึกแปลกไม่เบา อาหารทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของที่เขาชอบกินทั้งนั้น

 

 

           ยังไม่ได้ทันมองซือเหยี่ยน ก็ได้ยินเหวินฮุ่ยเอ่ยขึ้น “เฉินเฉิน นี่เป็นอาหารที่เสี่ยวเหยี่ยนตั้งใจทำเพื่อเราเป็นพิเศษเลยนะ”

 

 

           ถึงแม้เจียงมู่เฉินจะเดาถูก แต่ว่าได้ยินเหวินฮุ่ยพูดขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกเขินนิดหน่อยอยู่ดี

 

 

           ถึงอย่างไรต่อหน้าพ่อแม่คนเขา พูดอย่างนี้ ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก เขายื่นมือไปหยิบตะเกียบด้วยความอึดอัดใจ

 

 

           เจียงมู่เฉินกินอาหารมื้อนี้อย่างอ่อนแรงทั้งกายใจ ไม่ใช่เพราะพ่อแม่ซือเหยี่ยนกลั่นแกล้งเขา แต่ตรงกันข้ามดีกับเขาเกินไปแล้ว ดีจนเขารู้สึกใจแป่ว

 

 

           กว่าจะกินอาหารเสร็จไม่ใช่ง่ายๆ เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือออกไปเดินเล่นกันแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินก็กินจนอิ่มนิดหน่อย เขานั่งบนเก้าอี้มองดูซือเหยี่ยนกำลังล้างจานอยู่ตรงนั้น อดจะเอ่ยถามเสียงต่ำไม่ได้ “นายอยู่บ้านล้างจานมาตั้งแต่เล็กๆ เลยเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขา “ทำไมเหรอ จู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือเท้าคาง “ฉันก็แค่รู้สึกว่านายทำอาหารเป็น ล้างจานได้ หาเงินเก่ง ผู้ชายที่ดีขนาดนี้จะไปหาได้จากที่ไหน…

 

 

           …แต่ดันมาโดนแมวตาบอดที่เจอหนูตาย[1]อย่างฉันหาเจอจนได้”

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่ล้างจานอยู่หยุดชะงักไป เขายกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “รู้ว่าผมค่าตัวสูง ยังไม่รู้จักจับตาดูอีก ระวังจะโดนคนข้างตัวมาโฉบเอาไป คุณจะร้องไห้ก็ไม่ทันแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินยืดเหยียดร่างกาย “นายอยากปีนกำแพงเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลง แสงไฟตกกระทบที่ใบหน้าด้านข้างของเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยต่อ “อย่างอื่นก็ไม่ได้มั่นใจอะไร แต่มาชอบคุณชายแล้ว อยากจะเปลี่ยนไปรักคนอื่น ไม่มีทางจะเป็นไปได้หรอก”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คุณไปเอาความมั่นใจมาจากไหน”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คุณชายคนหน้าตาดี หุ่นดี ปรับตัวเก่ง อยู่บนเตียงก็ปล่อยให้นายจับพลิกกลับไปกลับมาได้ตามใจ ยังไม่ขัดขืนนายอีก คนแบบนี้นายจะไปหาจากที่ไหน”

 

 

           ซือเหยี่ยนล้างจานเสร็จพอดี เช็ดมือแล้ว เขาก็พยักหน้าเล็กน้อยราวกับเห็นด้วยกับคำพูดของเจียงมู่เฉิน

 

 

           “อืม พูดได้ไม่เลวนี่”

 

 

 

 

[1]  แมวตาบอดที่เจอหนูตาย  เป็นการเปรียบเปรยว่ามีโชคเข้าข้าง 

 

 

 

 

ตอนที่ 455 ตกลงอยากหรือไม่อยาก

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาพยักหน้า ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของก็ออกโรงทันที “นายว่านายมีคนอย่างคุณชายอยู่ด้วยแล้ว ยังมีเวลาคิดจะไปหาคนอื่น อยากจะปีนกำแพงเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินไปอยู่ต่อหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงอุ้มเขาขึ้นมา

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดในใจ ไม่ว่าอย่างไรตัวเองก็เป็นหนุ่มบึกบึนคนหนึ่ง ไม่มีอะไรก็โดนซือเหยี่ยนอุ้มเหมือนเป็นของเล่น อุ้มขึ้นมาแบบนี้เหมาะสมแล้วจริงๆ เหรอ

 

 

           เขายังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ซือเหยี่ยนก็ผลักเปิดประตู อุ้มเขาเข้าห้องไป

 

 

           เสียงเตือนในใจของเจียงมู่เฉินดังขึ้น “ไม่นะ ไม่กลับบ้านเหรอ นายขึ้นมาทำอะไร”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ แววตาแฝงเจตนาไม่บริสุทธิ์ “ลืมบอกคุณไป ตอนที่คุณนอนอยู่ ผมตกลงว่าคืนนี้จะค้างที่นี่แล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “???”

 

 

           ‘ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องนี้’

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้ให้โอกาสเขาได้ถามต่อ วางเขาลงบนเตียง แล้วตามมาขึ้นคร่อมทันที

 

 

           ขาของเจียงมู่เฉินถูกกดทับเอาไว้ จะหนีก็หนีไม่พ้น เขาทำได้เพียงใช้มือดันซือเหยี่ยนออก “อย่าสิ พี่ชาย…นี่อยู่บ้านนาย มีคนมาได้ยินไม่เหมาะมากเลยนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องกลัว พ่อแม่ผมเข้าใจพวกเราได้”

 

 

           ถ้ายึดตามสมองที่คิดภาพแปลกๆ นั้นของเหวินฮุ่ย คงจะคิดว่าตอนบ่ายพวกเขาสองคนป๊าบๆๆ กันไปแล้ว

 

 

           ตอนนี้มากังวล อาจจะสายเกินไปสักหน่อยแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะอวยซือเหยี่ยนว่าหน้าไม่อาย หรือจะอวยว่าพ่อแม่ซือเหยี่ยนเปิดกว้างดี

 

 

           เขาอยากจะร้องไห้จริงๆ  มีการเจอผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายแบบนี้ด้วยเหรอ

 

 

           ตอนบ่ายมอมเหล้าเขาจนเมาก็ช่างเถอะ กินข้าวเสร็จแล้วยังอยากจะจับกดเขาอีก

 

 

           ‘อะไรกัน อยากจะสร้างให้เขาเป็นคนแรกของโลกที่เข้าพบผู้ใหญ่วันเดียวก็ส่งขึ้นเตียงแล้วเหรอ’

 

 

           “พี่ชาย พวกเราหารือกันสักหน่อย อย่าทำแบบนี้ได้ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัว แสดงท่าทีไม่สมัครใจด้วย

 

 

           เจียงมู่เฉินได้กลิ่นความอันตราย รีบเอามือยันซือเหยี่ยนไว้ “นายฟังฉันก่อน ฉันเพิ่งจะกินข้าวมา ออกกำลังกายหนักๆ ไม่ได้ แบบนั้นจะไม่ดีกับร่างกาย…

 

 

           …นายตัดใจจากฉันไม่ลง เพราะความต้องการของนายไม่ได้ปลดปล่อยใช่ไหมล่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำตาโตอยากจะปลุกจิตสำนึกเพียงนิดที่ซือเหยี่ยนยังพอมีเก็บไว้

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ เวลานี้ซือเหยี่ยนไม่ต้องการจิตสำนึกแล้ว

 

 

           เขาฉวยโอกาสขณะที่เจียงมู่เฉินกำลังดีดลูกคิดในหัว พูดพร่ำไม่หยุดอยู่นั้น คร่อมตัวเขาทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก กำลังจะเตรียมพูด ก็ถูกซือเหยี่ยนประกบปิดทางเอาไว้ ผลสุดท้ายพูดออกมาไม่ได้สักคำ ถูกซือเหยี่ยนจูบจนนึกอะไรขึ้นมาไม่ได้แล้ว

 

 

           จูบกันอยู่ตั้งนาน ในที่สุดซือเหยี่ยนก็ปล่อยมือ เขายังไม่ถอยออกห่าง แต่แนบชิดไปกับริมฝีปากแดงระเรื่อของเจียงมู่เฉิน ก่อนจะเอ่ย “รอพ่อแม่คุณเห็นด้วยแล้ว พวกเราไปหาที่จดทะเบียนกันเป็นยังไงบ้าง”

 

 

           เจียงมู่เฉินตกตะลึง ไม่กล้าจะเชื่อ ซือเหยี่ยนถามเขาเรื่องนี้อีกครั้ง

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาอึ้งไป ก็อดจะกัดเขาสักหน่อยไม่ได้ เป็นยังไงบ้าง ดีไหม“

 

 

           เจียงมู่เฉินดึงซือเหยี่ยนออก จ้องมองดวงตาสีดำขลับของเขา “ยังไงกัน อยากจะจดทะเบียนกับฉันขนาดนี้เชียว”

 

 

           ดวงตาสีดำขลับฉายสะท้อนความจริงจัง เขาก้มหน้าลงจูบเจียงมู่เฉิน ก่อนจะเอ่ย “อยากสิ”

 

 

           เห็นเขามีท่าทีจริงจัง เจียงมู่เฉินก็อดกลั้นความอยากหัวเราะของตัวเองไว้ มองซือเหยี่ยนด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง “ถ้าฉันไม่อยากล่ะ”

 

 

           สีหน้าซือเหยี่ยนเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังพิจารณาคำพูดเมื่อครู่นี้ของเจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแบบนี้แล้วก็เอ่ยถามต่ออีก “ถ้าฉันไม่อยากไปหาประเทศที่เหมาะสมประเทศหนึ่งจดทะเบียนกับนายล่ะ”

 

 

           ครั้งนี้ซือเหยี่ยนเงียบงันไม่ถึงสองนาที ก็มองเขาด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ถ้าคุณไม่อยาก ผมก็ไม่อยาก”

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากล่างขึ้นอีก นัยน์ตาดอกท้อทอประกายแสงดาว “แล้วถ้าหากว่าฉันอยากอีกแล้วล่ะ”

 

 

           เมื่อซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเขาแบบนั้น ก็เข้าใจได้ในบัดดล เจ้าหมอนี่จงใจ

 

 

           เขาก้มหน้ากดจูบเจียงมู่เฉินอย่างหนักหน่วง เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม “ตกลงอยากหรือไม่อยาก”

ตอนที่ 452 ผมก็ชอบมากเหมือนกัน

 

 

           คำพูดของเจียงมู่เฉินขาดช่วงไม่ต่อกัน แต่ซือเหยี่ยนกลับรู้ถึงความหมายของเขาได้ในเวลาอันสั้น

 

 

           เขาเงียบงันไม่พูดอยู่นานมาก ราวกับต้องการกดเก็บอารมณ์ที่แปรปรวนในใจนี้ลงไป

 

 

           “หาเจอหรือยัง” ซือเหยี่ยนเอ่ยถามอีก

 

 

           ในคำสั้นๆ สี่คำนี้ กลับฟังหางเสียงออกได้ว่ากำลังสั่นเครือเล็กน้อยอยู่

 

 

           เพียงแต่ว่าเจียงมู่เฉินในขณะนี้เมาแล้ว จึงฟังไม่ออกเป็นธรรมดา เขาหรี่ตาลง “เมื่อก่อนหาไม่เจอ แต่ว่า…”

 

 

           เขาเอื้อมมือคว้าซือเหยี่ยนไว้ “ตอนนี้เหมือนจะหาเจอแล้ว”

 

 

           พูดจบ เจียงมู่เฉินก็โผตัวซบร่างซือเหยี่ยนแล้วหลับลงไป

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินในอ้อมอกของเขา ในใจเจ็บแปลบ เขาไม่เคยคิดมาก่อน ถึงแม้ว่าเจียงมู่เฉินจะลืมเขา แต่ในจิตใต้สำนึกกลับยังตามหาเขาอยู่

 

 

           เจียงมู่เฉินสูญเสียความทรงจำ จดเขาไม่ได้ แต่กลับยังจดจำกลิ่นของเขาได้

 

 

           ถ้าหากว่ายังมีสติตื่น เจียงมู่เฉินไม่มีทางจะโผเข้าหาซือเหยี่ยนแบบนี้ได้ ถึงอย่างไรตอนนั้นพวกเขาก็เหมือนน้ำกับไฟที่ไม่คู่ตรงข้ามกัน

 

 

           จะมีเพียงแค่ครั้งนั้นที่เจียงมู่เฉินดื่มจนเมา แล้วกลับมาเป็นฝ่ายจูบเขาแทน

 

 

           ตอนนี้มาคิดดู เจียงมู่เฉินคงจะรู้สึกว่าเขาดูคุ้นเคยกัน ดังนั้นถึงได้ทำการกระทำแบบนั้นออกมาได้

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าของเจียงมู่เฉิน หางตาเขาแดงก่ำ ดูเหมือนจะมีความเปราะบางในแบบที่พบเห็นได้ยาก

 

 

           ความรู้สึกในใจตอบสนอง เขาถอนหายใจเบาๆ ช้อนอุ้มร่างคนตรงหน้าขึ้นมา เดินอย่างมั่นคงทีละก้าวขึ้นชั้นบนไป

 

 

           ผลักเปิดประตูห้องของตัวเอง แล้ววางร่างลงบนเตียง

 

 

           เจียงมู่เฉินอยู่ในอาการเมาแล้ว ไม่ดื้อ ไม่เสียงดัง ไม่โวยวาย ว่าง่ายมาก เขานอนฟุบหลับลงไป

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งลงบนเตียง เอื้อมมือไปเช็ดมุมปากที่ยังเลอะน้ำเหล้าอยู่ ถูไปถูมาก็อดจะโน้มตัวลงไปจูบเขาสักหน่อยไม่ได้

 

 

           ริมฝีปากที่น่ารักน่าเอ็นดูของเจียงมู่เฉินปล่อยให้เขาจูบตัวเองไป

 

 

           จนกระทั่งเริ่มหายใจติดขัด ถึงได้เอามือดันเจียงมู่เฉินออก

 

 

           ซือเหยี่ยนจ้องมองเจียงมู่เฉินที่อยู่ใต้ร่างเขา หัวใจก็อ่อนยวบ

 

 

           เขาอดจะยื่นนิ้วไปจิ้มใบหน้าของเจียงมู่เฉินไม่ได้ เดิมทีเจียงมู่เฉินอยากจะนอนหลับ แต่กลับมีคนมาจิ้มหน้าเขาอยู่ตลอด

 

 

           เขาค่อนข้างจะหงุดหงิดอยากจะจับคนคนนั้น แต่ซือเหยี่ยนดันหลบหลีกด้วยใจที่อยากแกล้ง ไม่ให้เจียงมู่เฉินจับได้

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบร้อนลืมตาขึ้น ก็เห็นใบหน้าของซือเหยี่ยนพอดี เขาปรือตาเอื้อมมือไปกอด แล้วพึมพำอยู่ข้างหูซือเหยี่ยน “ชอบ…”

 

 

           ซือเหยี่ยนตื่นเต้นอยู่ในใจ ฝืนทนใช้น้ำเสียงที่พยายามจะสงบนิ่งเอ่ยถามขึ้น “ชอบอะไร”

 

 

           เจียงมู่เฉินกอดคอเขาเอาไว้ เงยหน้าขึ้นจูบซือเหยี่ยน “นาย…ชอบ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ ก้มหน้าลงจูบเจียงมู่เฉิน “ผมก็ชอบเหมือนกัน”

 

 

           ราวกับว่าคำว่า ‘ชอบ’ ยังไม่เพียงพอ ซือเหยี่ยนเอ่ยเสริมอีก “ชอบมาก”

 

 

           เหมือนเจียงมู่เฉินจะได้ยินคำว่า ‘ชอบ’ แล้ว เขายกมุมปากขึ้นพร้อมหลับลงไปทั้งอย่างนี้

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูใบหน้ายามหลับใหลของเจียงมู่เฉิน ยื่นมือไปปลดเสื้อเชิ้ตให้เขา จากนั้นก็ดึงผ้าห่มเปิดออกแล้วดันร่างเขาเข้าไป

 

 

           ทำทุกอย่างนี้เสร็จแล้ว ซือเหยี่ยนถึงค่อยลงมาชั้นล่าง เตรียมจะเก็บเหล้าที่เหลืออยู่บนโต๊ะ

 

 

           เพิ่งจะเดินถึงห้องอาหาร เหวินฮุ่ยและคุณพ่อซือก็เดินเข้ามา พวกเขาเห็นขวดเหล้าที่ว่างเปล่าอยู่บนโต๊ะ จิตใต้สำนึกก็บอกให้มองมาทางซือเหยี่ยนทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรน่าอาย มองขวดเหล้าในมือแวบหนึ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย “เฉินเฉินนอนแล้วครับ”

 

 

           เขาพูดปิดบังรายละเอียดที่ว่า  เขามอมเหล้าเจียงมู่เฉินจนหลับไปแล้ว หลับไปเลย…

 

 

           เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือสบตากัน หัวใจเต้นตึกตักกันโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ‘สมกับเป็นวัยรุ่น เข้าใจเล่นกันจริงๆ’

 

 

           ทั้งสองคนไม่มีอะไรทำ รู้สึกเบื่อจึงออกไปซื้อผลไม้กันมา เหวินฮุ่ยล้างผลไม้อยู่ในห้องครัว เธอมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม “ลูกกับเฉินเฉินต้องการจะออกไปจดทะเบียนอะไรข้างนอกหรือเปล่า”

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดลงสักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบ “ต้องการอยู่แล้วครับ”

 

 

           “งั้นอยากให้แม่จัดการให้ลูกไหม”

 

 

 

 

ตอนที่ 453 หุงหาอาหาร

 

 

           “ไม่ต้องหรอกครับ ผมอยากจะรอให้พ่อแม่ของเฉินเฉินทางนั้นยอมรับแล้วจริงๆ ค่อยพาเฉินเฉินไปครับ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง “ส่วนเรื่องที่ว่าจะไปที่ไหน ถึงตอนนั้นให้เฉินเฉินเลือกเองก็ได้แล้วครับ”

 

 

           เหวินฮุ่ยฟังคำพูดสองสามประโยคนี้ของซือเหยี่ยน แล้วถอนหายใจอย่างเงียบๆ

 

 

           ลูกชายของเธอคนนี้ ทั้งใจเต็มไปด้วยเจียงมู่เฉิน จะทำอะไรก็ยกเจียงมู่เฉินไว้อันดับหนึ่งเสมอ

 

 

           ‘ก็ดี ก็ดี แบบนี้ถึงจะเป็นลูกชายของเธอเหวินฮุ่ย’

 

 

           ทำดีกับคนที่ชอบเป็นสัจธรรมของฟ้าดิน เห็นพวกเขาสองคนเป็นแบบนี้ เธอก็วางใจแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเมาเหล้า ท้องฟ้าค่ำลงแล้ว เหวินฮุ่ยเสนอไปตรงๆ ว่าให้พวกเขาค้างอยู่ที่นี่ ซือเหยี่ยนคิดแล้วก็ว่าดีเหมือนกัน จึงพยักหน้ายอมตกลง

 

 

           ได้ยินว่าพวกเขาสองคนคืนนี้จะค้างอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนแล้ว เหวินฮุ่ยดีใจสุดขีด เธอรีบพูดกับคุณพ่อซือ ให้เขาทำอาหารอร่อยๆ ให้เฉินเฉินได้ลิ้มลอง

 

 

           คุณพ่อพยักหน้ารับคำ แต่กลับโดนซือเหยี่ยนปฏิเสธมา

 

 

           “พ่อครับ แม่ครับ พ่อกับแม่พักเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

 

 

           ถึงแม้ว่าตระกูลซือจะมีเงินมีอำนาจ แต่หลายปีมานี้ เรื่องหุงหาอาหาร พวกเขาเป็นคนทำเองทั้งหมด

 

 

           ดังนั้นหลายปีมานี้ เรื่องทำความสะอาดดูแลคฤหาสน์จะให้คนอื่นมาทำ ส่วนเรื่องการกินพวกเขาทำกินกันเองมาโดยตลอด

 

 

           เหวินฮุ่ยคิดว่าครอบครัวก็ควรจะเป็นอย่างนี้ ดังนั้นถึงแม้ตระกูลซือนี้จะรวย แต่เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือก็ยังใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป

 

 

           เมื่อก่อนทั้งสองคนทำงานกันยุ่งๆ กลับมาก็ทำกับข้าวด้วยกัน

 

 

           ต่อมาซือเหยี่ยนรับช่วงต่อบริษัท ทั้งสองคนจึงได้ไปเที่ยวกันทั่วทุกแห่งหน บางครั้งบางคราวก็กลับมาอยู่ไม่กี่วัน มาทำอาหาร ซื้อวัตถุดิบ เดินเล่นตลาด

 

 

           เป็นอย่างนี้มาตลอดหลายปี ซือเหยี่ยนเองก็ค่อยๆ ซึมซับได้รับอิทธิพลไปด้วย เขาจึงชอบกลิ่นอาหารปรุงสุกใหม่ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมากๆ ไปโดยปริยาย

 

 

           ดังนั้น ถ้ามีเวลา เขาก็เข้าครัวเองเช่นกัน

 

 

           เมื่อก่อนไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่หลังจากที่คบกับเจียงมู่เฉินแล้ว ซือเหยี่ยนถึงได้ค้นพบความรู้สึกของการได้ทำอาหารให้คนที่ตัวเองชอบกิน เห็นเขากินจนหมดเกลี้ยง ไม่ต้องถึงขั้นเจรจาธุรกิจพันล้าน ก็รู้สึกประสบความสำเร็จมากแล้ว

 

 

           เหวินฮุ่ยมองดูซือเหยี่ยน “ลูกไม่ขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนเฉินเฉินเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัว “เขาหลับไปแล้ว ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนหรอกครับ”

 

 

           ในเมื่อซือเหยี่ยนพูดขนาดนี้แล้ว เหวินฮุ่ยก็รีบถอยออกมา ยกครัวให้ซือเหยี่ยน ตัวเองกับคุณพ่อซือเดินไปยังสวนดอกไม้ ชมดอกไม้ไปด้วย ป้อนผลไม้กันไปด้วย

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นพวกท่านเป็นแบบนี้กันจนชินตาไม่รู้สึกแปลกมาตั้งนานแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติ

 

 

           เขามองดูวัตถุที่คุณพ่อซือคุณแม่ซือเพิ่งจะซื้อกลับมา แล้วเลือกของที่เจียงมู่เฉินชอบกินออกมา เวลานี้ถึงได้เริ่มลงมือทำอาหาร

 

 

           เจียงมู่เฉินเมาทีหลับไปสามชั่วโมงเต็มๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนทำอาหารเสร็จแล้ว ยังไม่เห็นเจียงมู่เฉินตื่น เขาล้างมือแล้วจึงขึ้นชั้นบนไปดู

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่เจียงมู่เฉินนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ นอนหลับตาพริ้มพร้อมรอยยิ้มอย่างสบายใจเฉิบ

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน อุ้มคนขึ้นมาวางบนขาของตัวเอง

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขากอดอยู่อย่างนี้ก็ยังไม่ตื่น ซือเหยี่ยนยกมือขึ้นบีบจมูกเจียงมู่เฉินไว้ ในที่สุดเขาก็หายใจติดขัด ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

           ซือเหยี่ยนปล่อยมือ เสียงต่ำเอ่ยเรียก “ลุกเถอะ ไปกินข้าวกัน”

 

 

           ครั้งแรกเจียงมู่เฉินแน่นิ่ง

 

 

           ครั้งที่สองเจียงมู่เฉินยังคงแน่นิ่ง

 

 

           จนถึงครั้งที่สาม เขาถึงได้ลืมตาขึ้นมองซือเหยี่ยน “มีอะไรเหรอ”

 

 

           ดวงตาดอกท้อยังยกเปลือกตาไม่ค่อยจะขึ้น เพราะเพิ่งจะตื่นจากการนอนมา เขาหรี่ตาเล็กน้อยอยู่ตรงนั้น ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงจูบเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินปรือตา เงยหน้าขึ้นเอ่ย “ขอต่อ”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ลังเล ก้มหน้าลงจูบเขาอีก หลังจากจูบแล้ว ซือเหยี่ยนก็เอ่ยเสียงต่ำ “คุณอยากนอนต่อ หรือลงไปกินข้าวกับพ่อแม่ผม”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำกล่าวถึงพ่อแม่ซือเหยี่ยน ก็สะดุ้งตกใจเด้งตัวขึ้นมาทันที เขามองไปรอบๆ ถึงได้พบว่าตอนนี้ตัวเองนอนอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลซือโดยไม่คาดคิด

ตอนที่ 450 โดนเปิดบัญชีเก่า

 

 

           “ฉันสารภาพได้ แต่นายอย่าสะบัดมือแล้วเดินหนีไปนะ” เจียงมู่เฉินจ้องมองเขา “ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม นายให้โอกาสฉันสารภาพเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำแล้วมองเขา แสดงท่าทีว่า ‘คุณค่อยๆ พูดออกมา’

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาทำแบบนั้น ก็รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย  เขาคิดอะไรไม่ตกเหรอ ถึงได้อยากจะเปิดบัญชีเก่ากับซือเหยี่ยนได้

 

 

           ‘นี่ถ้าเปิดมาจนสุดท้าย ก็เป็นการจุดไฟเผาตัวเองชัดๆ เลยนะ’

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ปล่อยมือ ดึงซือเหยี่ยนไว้แน่น ครุ่นคิดแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ฉันก็ไม่ได้เคยจูบกับคนอื่น”

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ รู้สึกว่าในคำพูดของเขานี้ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาทำเสียง ‘หึ’ ใส่ ก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที “ก็…ก็จูบไปครั้งหนึ่ง”

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจอีกครั้ง

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างอิดโรย “…คือ…คือสองครั้ง?”

 

 

           เปลวไฟในแววตาของซือเหยี่ยนปะทุจนจะเป็นระเบิดไฟแล้ว แต่เจียงมู่เฉินดันไม่เห็นเสียได้ ตัวเองยังคงรนหาที่ตาย

 

 

           “แค่สองครั้งจริงๆ เหรอ” ในคำพูดเต็มไปด้วยอำนาจข่มขู่

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตา เงยหน้าขึ้น “ห้าครั้ง แค่ห้าครั้ง ไม่มีมากกว่านี้แล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะพร้อมขบกราม “ห้าครั้ง! ห้าครั้ง! เจียงมู่เฉิน คุณยังเล่นได้ไม่เบาเลยนะ ตั้งห้าครั้ง!”

 

 

           พอเจียงมู่เฉินได้ยินเสียงแบบนี้ ก็งุนงงในทันใด  เสียงซือเหยี่ยนแบบนี้ไม่ปกตินี่

 

 

           ซือเหยี่ยนดึงมือเขาออก ทำหน้าเย็นชาจะเดินออกไป

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสภาพการณ์แล้ว ก็กระโดดเกาะซือเหยี่ยนเสียเดี๋ยวนั้น “เมื่อกี้ฉันพูดแล้วไง นายจะโกรธตามอำเภอใจไม่ได้”

 

 

           “คุณปล่อยผมก่อน”

 

 

           เจียงมู่เฉินกอดเขาไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ปล่อย “ไม่ปล่อย ตีให้ตายยังไงก็ไม่ปล่อย”

 

 

           ‘ถ้าปล่อยซือเหยี่ยนต้องวิ่งแน่เลย ถึงตอนนั้นตามจับกลับมาไม่ได้จะทำยังไง’

 

 

           เส้นเลือดปูดที่ขมับของซือเหยี่ยนเต้นตุบตับ “คุณอธิบายมา จูบห้าคนไหนบ้าง”

 

 

           พูดประโยคนี้มา หัวใจดวงน้อยๆ ของเจียงมู่เฉินจะสั่นสะท้านไปหมดแล้ว เขาจะจำได้ที่ไหนว่าในห้าคนนั้นจูบใครไปบ้าง

 

 

           “จะพูดหรือเปล่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินกอดกระชับแขนซือเหยี่ยนไว้ รีบเอ่ยโดยทันที “มั่วไป๋กับนาย”

 

 

           “แต่ว่า กับมั่วไป๋ฉันก็แค่จูบที่หน้าเขา แต่ไม่ได้จูบตรงบริเวณอื่น” ขณะที่เจียงมู่เฉินสารภาพอยู่นั้น ยังไม่ลืมที่จะล้างมลทินให้ตัวเองด้วย

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนทำเสียงเย็นแสดงอารมณ์ไม่พอใจ “แล้วอีกสามคนล่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเหงื่อแตกพลั่กแล้ว “ฉัน…ฉัน…ฉันก็ไม่รู้สิ”

 

 

           ‘ตอนดื่มเหล้าจนเมา ชอบเย้าแหย่คนอื่น เขาจะทำยังไงได้ล่ะ’ เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้

 

 

           “ซือเหยี่ยน…ซือเหยี่ยน…พี่ชาย…ส่วนใหญ่ฉันแค่ผสมโรงล้อเล่นเฮฮาไป มากที่สุดก็แค่จูบที่หน้าเท่านั้นเอง ไม่มีมากกว่านี้แล้วจริงๆ…

 

 

           …ฉันรับรอง เรื่องอะไรที่เกินเลยกว่านั้น ฉันไม่เคยทำจริงๆ อีกอย่างนั่นก็เป็นเรื่องเมื่อก่อน ตอนนั้นฉันยังไม่ได้คบกับนายนะ…

 

 

           …ฉันสูญเสียความทรงจำ ทั้งยังโสด แค่จูบที่หน้าคนอื่นจะเป็นอะไรไป เทียบกับคนรอบข้างฉัน ฉันบริสุทธิ์ที่สุดแล้วโอเคไหม ถ้าไม่ใช่ว่าฉันรักษาความบริสุทธิ์ไว้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น แยกกับนายมาตั้งห้าปี คงจะเล่นจ้ำจี้บนเตียงกับคนอื่นมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ไปตั้งแต่แรกแล้ว…

 

 

           …ฉันน่าเห็นใจมากกว่านะ ตั้งแต่แรกเริ่มจนมาถึงตอนนี้ แม้กระทั่งตอนที่ฉันสูญเสียความทรงจำไป คนที่ฉันเล่นจ้ำจี้บนเตียงด้วยก็คือนายทั้งนั้น”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ่งพูดยิ่งรู้สึกตัวเองน่าเห็นใจ ตั้งแต่เริ่มอายุยี่สิบปีเป็นต้นมา เขาถูกซือเหยี่ยนกัดไว้ สลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด

 

 

           ‘ติดหนึบมากไหม ตึดหนึบยิ่งกว่ากาวอีก’

 

 

           ซือเหยี่ยนมุมปากกระตุก “ยังไงกัน นี่คุณเสียใจทีหลังเป็นพิเศษเลยใช่ไหม รู้สึกว่าตอนนั้นคุณควรจะไปเล่นจ้ำจี้บนเตียงกับคนอื่นเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเดิมทีจะคล้อยตาม แต่พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของซือเหยี่ยน จึงรีบสะท้อนความจริงออกมา เขาเอ่ยคำหวานง้องอนอีกฝ่าย “ไม่เสียใจทีหลังอยู่แล้ว จะเสียใจทีหลังได้ยังไงกัน…นายคือซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนที่ฉันรักที่สุดไง จะเสียใจกับใครทีหลังก็จะเสียใจกับนายทีหลังไม่ได้”           

 

 

 

 

ตอนที่ 451 ให้คุณชายเจียงดื่มเหล้า

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ถามอีก “คุณจูบพวกเขายังไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินลำไส้ปั่นป่วนแล้ว ทำไมเขาถึงรนหาที่ตายให้ตัวเองแบบนี้

 

 

           “ก็เหมือนแมลงปอบินระน้ำ[1]แบบนั้น จริงๆ ฉันสาบาน คาดว่าอาจจะแค่เฉียดไม่ได้แตะโดนเลยด้วยซ้ำ”

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด พลางเอ่ยเสียงต่ำ “อีกอย่างก็เป็นตอนที่ฉันดื่มจนเมาทั้งนั้น ฉันก็ไม่ได้มีสติแบบนี้ด้วย”

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินคำว่า ‘ดื่มจนเมา’ ก็นึกถึงครั้งนั้นเมื่อสองปีก่อนที่เจียงมู่เฉินดื่มจนเมา

 

 

           ‘ครั้งนี้ดื่มจนเมาแล้ว คงจะไม่ได้จูบคนอื่นเขาแบบนั้นหรอกใช่ไหม’

 

 

           ซือเหยี่ยนครุ่นคิด สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเพียงชั่วพริบตาเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาไม่พูดจาอยู่ตั้งนานสองนาน สมองก็เต้นตุบตับแล้ว รู้สึกมาเสมอว่าไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่แล้ว

 

 

           เสียงต่ำเอ่ยเรียก “ซือเหยี่ยน…”

 

 

           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็เดินไปข้างหน้า แม้กระทั่งเจียงมู่เฉินยังเกาะอยู่บนตัวเขาอยู่ก็ไม่สนใจแล้ว แบกคนกลับห้องไป

 

 

           “พี่ชาย…นี่นายเป็นอะไรไป…” เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าสีหน้าที่ซือเหยี่ยนแสดงออกมาไม่ค่อยจะถูกต้องแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนแบกเจียงมู่เฉิน เดินไปหยุดอยู่ตรงตู้เก็บเหล้า หยิบเหล้าออกมาสองขวด แล้วหยิบแก้วเหล้ามาสองใบด้วย

 

 

           ทันทีหลังจากนั้นก็วางคนลงบนเก้าอี้ วางเหล้าลงต่อหน้าของเจียงมู่เฉิน “ดื่ม”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยสีหน้างุนงง “นี่เพิ่งจะตอนบ่ายเอง นายจะให้ฉันดื่มเหล้าแล้วเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง เจียงมู่เฉินรู้สึกได้ถึงกลิ่นความข่มขู่นั้น รีบหยิบแก้วเหล้ามาแล้วรินเหล้าให้ตัวเอง “ได้ๆๆ ฉันดื่มๆ”

 

 

           เจียงมู่เฉินรินเหล้าให้ตัวแก้วหนึ่ง แล้วก็เทให้ซือเหยี่ยนอีกแก้วหนึ่ง เขาก้มหน้าลงกระดกเหล้าจากแก้วในมือดื่มจนหมดแก้วในคราวเดียว แล้วแอบเพ่งซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยต่อ “ดื่มอีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้  ต่อให้เขาดื่มได้ก็จะดื่มคนเดียวเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนี้ไม่ได้หรอก  แต่พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของซือเหยี่ยน ก็หวาดกลัวในทันใด

 

 

           ‘ดื่มก็ดื่มสิ มีอะไรน่ากลัว’

 

 

           ดื่มแก้วต่อแก้ว เพียงไม่นานเหล้าขวดเดียวก็ว่างเปล่า ซือเหยี่ยนยังหยิบแก้วเล็กๆ ใบนั้นที่เจียงมู่เฉินรินเหล้าใส่ให้เขาเมื่อครู่นี้ ค่อยๆ ลิ้มรสเข้าไปอย่างช้าๆ

 

 

           เหล้าที่ซือเหยี่ยนหยิบมาต่างก็เป็นเหล้าดีกรีสูงที่สุดทั้งนั้น ฤทธิ์แอลกอฮอล์รุนแรง แม้ว่าเจียงมู่เฉินจะเป็นราชานักท่องราตรี ก็ยังคุมสติไม่ค่อยอยู่

 

 

           ดื่มเหล้าหมดไปขวดหนึ่ง แก้มเจียงมู่เฉินแดงระเรื่อ สายตาเริ่มพร่ามัวลง

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเริ่มจะเมาแล้ว ก็วางแก้วในมือลง มองเจียงมู่เฉินตาไม่กะพริบ

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่เขาวางแก้วเหล้าในมือลง เหมือนกำลังตามหาคนอยู่

 

 

           ซือเหยี่ยนอยู่นิ่งๆ ก็เห็นสายตาเคลิบเคลิ้มของเจียงมู่เฉินเล็งตัวเองแล้ว หัวใจซือเหยี่ยนบีบคั้น นั่งอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง

 

 

           เจียงมู่เฉินล้มลุกคลุกคลานยืนขึ้นมาจากเก้าอี้ เขามุ่งหน้าเดินมาหาซือเหยี่ยนอย่างช้าๆ ส่งมือออกมาโอบกอดคนตรงหน้าไว้

 

 

           เขาก้มหัวลงราวกับเป็นสุนัขที่ดมกลิ่นอยู่บริเวณต้นคอของซือเหยี่ยน

 

 

           เหมือนกำลังดมหากลิ่นอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาว่าเจียงมู่เฉินกำลังทำอะไรอยู่ จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ยื่นมือกอดเขาไว้ ไม่ปล่อยมืออย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

           ใบหน้าเขาแนบไปกับร่างกายของซือเหยี่ยน หัวเราะเบาๆ พลางพูดออกไป “กลิ่นนี้…กลิ่นนี้ใช่ที่สุดแล้ว”

 

 

           พูดจบ เขาปรือตาเงยหน้าขึ้นจูบซือเหยี่ยน “ฉัน…พี่ชาย…พี่ชายรักนาย…ได้ไหม”

 

 

           สีหน้าสงบนิ่งแต่เดิมของซือเหยี่ยนเริ่มหลุดอาการเล็กน้อยแล้ว เขาดึงเจียงมู่เฉินขึ้นมาวางอยู่ต่อหน้าตัวเอง

 

 

           เขามองดูเจียงมู่เฉินผู้มีดวงตาหยาดเยิ้มคู่นี้ เสียงต่ำเอ่ยถาม “กลิ่นอะไร”

 

 

           เจียงมู่เฉินที่เหล้าเข้าปากแล้วนั้นค่อนข้างจะเชื่องช้า เขายกนิ้วขึ้นมาชี้ที่จมูก แล้วก็ชี้ไปที่ซือเหยี่ยน “นาย…ก็คือ….กลิ่นบนตัวนาย”

 

 

           ซือเหยี่ยนนิ้วมือเกร็งเล็กน้อย “คุณหา หากลิ่นนี้ไปทำอะไร”

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงันไปพักหนึ่ง เหมือนกำลังคิดทบทวนคำถามของซือเหยี่ยน เขาเอามือกุมหัว ไม่มีทางให้ไป

 

 

           “ที่นี่…มีคน…” นัยน์ตาดอกท้อทอประกายความโศกเศร้า “จดจำ…กลิ่น”

 

 

           มือซือเหยี่ยนกำเข้ามาอย่างแน่นหนักด้วยแรงมหาศาล มีอะไรบางอย่างอยากสลัดหลุดออกมาจากสีหน้าที่เย็นชาของเขาทีละนิดๆ

 

 

 

 

[1]  แมลงปอบินระน้ำ  เป็นการเปรียบเปรย การกระทำที่ทำอย่างฉาบฉวย

ตอนที่ 448 ต้มตุ๋นกันเกินไปแล้ว

 

 

           คิดถึงตรงนี้ เจียงมู่เฉินก็คิดขึ้นมาได้ทันทีว่าวันนั้นไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่นัก

 

 

           วันนั้นเขาตื่นขึ้นมาอยู่ในห้องของซือเหยี่ยน ขมวดคิ้วเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันมาอยู่ในห้องนายได้ยังไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนตีหน้าเย็นชาทั้งยังเจือความรังเกียจ “เมื่อคืนคุณมากอดผมไม่ปล่อยเอง ถ้าไม่อย่างนั้นคุณคิดว่าผมจะพาคุณมาห้องผมได้เหรอ”

 

 

           พอเจียงมู่เฉินคิดถึงท่าทางที่ตัวเองกอดซือเหยี่ยนไม่ปล่อยมือ ก็อดจะรู้สึกรังเกียจไม่ได้

 

 

           ‘เขากอดซือเหยี่ยน จะเป็นไปได้ยังไง คิดยังไงก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้’

 

 

           เจียงมู่เฉินออกแรงใช้มือกดเข้าที่หัวตัวเอง รีบสะบัดความคิดเหลวไหลนี้ออกไป หมดหนทางจะเชื่อแล้วจริงๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนตีหน้าเย็นชาเดินเข้าห้องน้ำ เหมือนไม่ยินดีมากๆ ที่จะเห็นเจียงมู่เฉิน

 

 

           “ในเมื่อคุณตื่นแล้ว ก็รีบออกไปเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขมับกระตุก เขารู้สึกได้ลางๆ ว่าประโยคต่อไปของซือเหยี่ยนนั้นต้องพูดด้วยความรังเกียจ “ผมไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นว่าคุณเดินออกไปจากห้องผมหรอก”

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย  เขาเองก็ไม่ได้อยากจะสานสัมพันธ์อะไรกับซือเหยี่ยนหรอก โอเคไหม

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงรีบลงจากเตียง แต่ไม่รู้ว่าอย่างไร เขารู้สึกว่าขาไม่ค่อยมีแรง แล้วเอวก็ค่อนข้างจะปวดเมื่อยด้วย

 

 

           เขาอดจะเอ่ยถามเสียงสูงไม่ได้ “ซือเหยี่ยน เมื่อคืนนายตีฉันแล้วใช่ไหม”

 

 

           ‘ไม่อยากให้เขาอยู่ ก็คงจะไม่ถึงขั้นลงมือตีเขาหรอกใช่ไหม’

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงของเขาทั้งคืน เจียงมู่เฉินต้องพุ่งเข้าไปต่อยซือเหยี่ยนหลายหมัดแล้วแน่ๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนอยู่ในห้องน้ำ ได้ยินประโยคนี้ แปรงสีฟันในมือก็ถูกเขางอจนหักคามือในพริบตา

 

 

           นัยน์ตาเขาฉายสะท้อนความกระวนกระวาย แต่น้ำเสียงยังคงเย็นยะเยือกเหมือนเดิม “คุณคิดมากไปแล้ว ผมไม่ได้ติดนิสัยต่อยตีใครสักหน่อย เมื่อคืนเป็นคุณเองที่ตกเตียงอยู่หลายครั้ง”

 

 

           ซือเหยี่ยนบอกว่าไม่ได้ลงมือทำอะไร เจียงมู่เฉินก็เชื่อแล้ว ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนคนนี้ก็ไม่เคยโกหก ถึงแม้ว่าจะขัดหูขัดตากับซือเหยี่ยน แต่จุดนี้ก็ยังเชื่อซือเหยี่ยนได้

 

 

           ในเมื่อซือเหยี่ยนไม่ได้ตีเขา ก็ไม่มีบัญชีอะไรให้ต้องสะสางกับซือเหยี่ยนแล้ว เจียงมู่เฉินพาเอวที่ปวดเมื่อยของตัวเอง เปิดประตูเดินออกไป

 

 

           จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูปิดลง ซือเหยี่ยนถึงได้เดินออกมาจากในห้องน้ำ

 

 

           เขามองดูเตียงหลังใหญ่ในห้อง แววตาประกายแสง ภาพเมื่อคืนนี้ยังคงเปล่งประกายอยู่ในสมองของเขา

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมือขึ้นมากดที่หน้าผากไว้แล้วเขาไปในห้องน้ำอีกครั้ง เขาเอามือปลดเสื้อเชิ้ตออก ก็เห็นเพียงแค่ท่อนบนของร่างกายในกระจกมีรอยแดงอยู่ไม่น้อย

 

 

           ทั้งหมดเป็นรอยที่เจียงมู่เฉินคนเมาข่วนเอาไว้

 

 

           ไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนนึกถึงอะไรขึ้นมา เขาเชิดมุมปากขึ้นเล็กน้อย ตีหน้าเย็นชา ราวกับว่ามีสายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมา

 

 

           ……

 

 

           คิดถึงตรงนี้ ถ้าเจียงมู่เฉินยังคิดแล้วไม่เข้าใจ  งั้นเขาก็โง่เกินไปจริงๆ แล้ว

 

 

           ตอนนั้นที่เขาเจ็บไปทั้งตัวก็ไม่ใช่เพราะตกเตียงลงไปมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ตอนนี้คิดๆ ดู ควรจะเป็นเพราะโดนซือเหยี่ยนจับกด แล้วก็ ‘ทำ’ กันทั้งคืน ดังนั้นถึงได้ปวดเมื่อยไปทั่วร่างได้

 

 

           แต่ตอนนั้นเขายังไม่มีประสบการณ์ลงสนามจริง บวกกับท่าทางรังเกียจเหยียดหยามของซือเหยี่ยนอีก ดังนั้นจึงไม่ได้คิดไปในทางไม่บริสุทธ์แบบนั้นอยู่แล้ว

 

 

           ถึงได้เชื่อมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนตกเตียงเอง

 

 

           เจียงมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะขบกรามแน่น เมื่อก่อนคิดว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่เป็นคนเย็นชา ไม่นึกเลยว่าจะฉวยโอกาสตอนเขาเมาแอบกินเขาแบบนี้ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะทำออกมาได้

 

 

           เมื่อก่อนยังคิดว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่โกหกไม่เป็น

 

 

           ‘เหอะ’ คงจะเพราะไม่มีใครรอบตัวเขาที่โกหกหน้าตายได้เท่าซือเหยี่ยน อดใจไม่อยู่ปล้ำเขาชัดๆ กลับมาทำเป็นเชิดรังเกียจตัวเอง แสดงอารมณ์เหมือนรังเกียจหมาข้างทางไม่มีผิด

 

 

           โชคดีที่หลายปีมานี้เขาไม่ได้ระแคะระคายอะไร ถ้าไม่ใช่ว่าวันนี้ซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายมาสารภาพเอง เจียงมู่เฉินคาดว่าตัวเองคงจะไม่รู้ความจริงในคืนนั้นไปตลอดชีวิต

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้ ความจริงคือความน่ากลัวที่เห็นกันจะๆ ได้ขนาดนี้

 

 

           ตัวเองโดนซือเหยี่ยนปล้ำไม่ว่า ยังเชื่อมาเสมอว่าอย่างไรซือเหยี่ยนก็ยังถือว่าเป็นสุภาพบุรุษอยู่

 

 

           

 

 

        ตอนที่ 449 คำพูดสวนทางกับการกระทำ

 

 

           ในทางกลับกันตอนนั้นเป็นเขาที่ดึงดูดใจซือเหยี่ยนมานานขนาดนั้นแล้ว เสื้อเชิ้ตไม่เรียบร้อยอยู่ต่อหน้าเขาทั้งวัน แต่ก็ไม่เห็นเขาลงมือทำอะไรตัวเองเลย

 

 

           ‘ตอนนี้มาคิดๆ ดู ทั้งหมดล้วนเป็นความเข้าใจผิด ทุกอย่างเป็นกลอุบายของเขาสินะ’

 

 

           แสร้งทำตัวเป็นเหมือนหยกใสบริสุทธิ์ ดูเหมือนหักห้ามใจได้ เป็นคนเย็นชา จับกดไม่เป็น

 

 

           ที่จริงลับหลังก็คงจะโหยหาเรือนร่างอันสมบูรณ์แบบของเขาอยู่ตลอด

 

 

           ข่มใจอยู่ตั้งนาน เจียงมู่เฉินถอนหายใจด้วยสีหน้าอนาถใจ “เดิมคิดว่านายจะเป็นสุภาพบุรุษ ใครจะไปคิดว่านายก็คือคนบ้านป่าเมืองเถื่อน”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย  นี่ตอนนี้เฉินเฉินของเขากำลังดูถูกเขาอยู่ใช่ไหม

 

 

           แต่ว่านาทีต่อมา เจียงมู่เฉินยิ้มจนคิ้วตาเชิดขึ้น เขากะพริบตาปริบๆ อย่างติดตลก “แต่ว่าคนเถื่อนก็คนเถื่อนเถอะ ฉันก็ยังชอบมากอยู่ดี”

 

 

           ‘คิดๆ ดู เมื่อก่อนซือเหยี่ยนเย็นชาต่อหน้าคน ลับหลังคนก็กระวนกระวายใจ รู้สึกว่าหัวใจดวงน้อยๆ สั่นสะท้านขึ้นมาเลย…

 

 

           …คนที่คำพูดสวนทางกับการกระทำแบบนี้ ไปยั่วไปแหย่ขึ้นมา โคตรฟิน’

 

 

           ซือเหยี่ยนทำหน้างอ คนที่เดิมทียังกังวลใจ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ถูกประโยคสองประโยคนี้ของเจียงมู่เฉินทำเอาจนมีความรู้สึกที่พูดไม่ออกเกินจะบรรยายได้

 

 

           เขาก้มหน้ามองดูเจียงมู่เฉิน ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้

 

 

           ‘คนปกติรู้ว่าตัวเองถูกฉวยโอกาสในสภาวะที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ก็ควรจะโมโหจนระเบิดลงไม่ใช่เหรอ…

 

 

           …ทำไมเฉินเฉินของเขาถึงยังทำหน้าตาระรื่นได้อยู่อีก’

 

 

           “ซือเหยี่ยน เอางี้ไหม ครั้งหน้านายดื่มจนเมา ให้ฉันจัดนายสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะยิ่งน่าเร้าใจ!”

 

 

           ‘พอคิดว่าหลังจากซือเหยี่ยนเมาแล้ว ไม่มีแรงจะขัดขืน…หลังจากนั้นก็โดนตัวเอง…อืม…อืม…หึ…หึ…’

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกใจเต้นจนเกินจะพรรณนาได้

 

 

           ยังรู้สึกคันไม้คันมือนิดหน่อยอยากจะกระตือรือร้นอยากทดลองดู

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าตาดูไม่ได้ ก็เข้าใจได้ในทันที  ของที่เจียงมู่เฉินนึกขึ้นมาได้ในสมอง ต้องไม่ใช่อะไรดีๆ แน่ๆ

 

 

           เขายื่นมือไปคุมตัวเจียงมู่เฉินผู้ลิงโลด เสียงต่ำเอ่ยเตือน “คุณกดผมอยู่อย่างนี้ไม่ปล่อย เดี๋ยวพ่อแม่ผมก็มาเห็นหรอก”

 

 

           ทันทีที่เจียงมู่เฉินคิดถึงพ่อแม่ของซือเหยี่ยน แล้วมามองว่าตัวเองกับซือเหยี่ยนอยู่ในท่าอะไรกัน ก็รีบปล่อยทันควัน

 

 

           เขาเอ่ยถามอีก “นอกจากครั้งนี้ ยังมีครั้งอื่นอีกไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัว “ไม่มีแล้ว มีเพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง จ้องมองซือเหยี่ยนอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนว่าต้องการจะดูว่าประโยคนี้ของเขาสรุปแล้วเป็นความจริงหรือเท็จกันแน่

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไม่หวาดหวั่น นอกจากเรื่องนั้นเมื่อครู่นี้ ก็ไม่มีเรื่องไหนจะทำให้ซือเหยี่ยนหวั่นเกรง

 

 

           ดังนั้นไม่ว่าเจียงมู่เฉินจะจ้องมองเขาอย่างไร เขาก็ยังมีมาดเคร่งขรึมจริงจังอยู่

 

 

           เจียงมู่เฉินมองพิรุธในสีหน้าของเขาไม่ออก จึงเก็บสายตากลับเข้าไป

 

 

           รอบนี้มาถึงตาของซือเหยี่ยนกลับมามองเจียงมู่เฉินแล้ว “คุณล่ะ ห้าปีมานี้ชื่อเสียงอยู่ข้างนอกนี้ไม่น้อยเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินนึกถึงความเป็นหนุ่มเพลย์บอยของตัวเอง ก็ยังรู้สึกภาคภูมิใจอยู่พอควรทีเดียว

 

 

           “ช่วยไม่ได้ ใครให้คุณชายเสน่ห์แรงดึงดูดคนเกินไป ต่อให้ไม่พูดสักคำ ก็มีคนอยากจะโผตัวเข้าหาฉัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินประโยคนี้ ไม่รู้ว่านึกถึงอะไรขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะขบกรามแล้วขบกรามอีก

 

 

           “แต่ว่าก็มีแต่พวกเธอที่โผตัวเข้าหา ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าซือเหยี่ยนไม่ถูกต้อง ก็รีบโต้แย้งทันที

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนประชด “จริงเหรอ ไม่ได้ทำอะไร?”

 

 

           “จับมือถือแขน…กอดบ้าง…จูบ…จูบ…” เจียงมู่เฉินคิดทบทวนนึกย้อนไปอย่างจริงจัง สีหน้าซือเหยี่ยนยิ่งจมดิ่งในอารมณ์ลงไปเรื่อยๆ “หึ” เขาทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจแล้วก็หันกลับจะเดินออกไป

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบเอื้อมมือไปฉุดรั้งเข้าไว้ “อย่าสิ พี่ชาย อย่าไปสิ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ”

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจอีกครั้ง “คุณยังอยากพูดอะไรอีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินตีหน้าซื่อ “พี่ชาย นายฟังฉันพูดนะ นอกจากจับมือกัน กอดกัน ก็ไม่มีอย่างอื่นแล้วจริงๆ”

 

 

           “แล้วจูบล่ะ”

 

 

           ได้ยินซือเหยี่ยนเอ่ยถึงหัวข้อนี้มาอีก เจียงมู่เฉินก็รีบกุมมือซือเหยี่ยนไว้ กลัวว่าเขาสะบัดมือแล้วเดินหนีไปอีก

 

 

         

         ซือเหยี่ยนถูกเขาถามจนพูดไม่ออก แพรขนตาเขาตกลงมาเล็กน้อย ไม่พูดจาสักคำ

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกขำขึ้นมา เขาเอียงหน้ากัดซือเหยี่ยนเข้าไป “นายว่า ถ้าฉันไม่ได้เป็นฝ่ายไปพัวพันกับนายเอง แล้วเมื่อไหร่นายถึงจะเป็นฝ่ายมาจีบฉันเหรอ”

 

 

           เอ่ยถามประโยคนี้จบ ซือเหยี่ยนก็ยิ่งเงียบงันกว่าเดิม

 

 

           รออยู่ตั้งนานก็ไม่ได้คำตอบจากซือเหยี่ยนสักที เจียงมู่เฉินทนไม่ไหวถอยหลังไปสักหน่อย เพิ่มระยะห่างกับซือเหยี่ยน ก็เห็นเพียงแค่ระยะห่างที่ติดลบ

 

 

           “นายคงจะไม่แบบว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่เป็นฝ่ายมาจีบฉันหรอกใช่ไหม”

 

 

           ในสมองเจียงมู่เฉินมีความคิดนี้ลอยมา เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่กล้าที่จะเชื่อได้

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนฉายสะท้อนความกังวล ใบหน้าเองก็ค่อนข้างจะมีความลำบากใจ ทันทีที่เจียงมู่เฉินเห็นท่าทีของเขาแบบนี้ ก็เข้าใจได้ในพริบตา

 

 

           ‘ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ ที่แท้ก็เตรียมจะทำแบบนี้จริงๆ’

 

 

           เจียงมู่เฉินทนไม่ไหว มองบนใส่เขา “นายโง่ใช่ไหม หรือว่าตลอดห้าปีนี้แค่มองฉัน แต่กลับทำอะไรฉันไม่ได้ ในใจนายไม่ร้อนใจบ้างเหรอ”

 

 

           ‘ถ้ายึดตามดีกรีความร้อนแรงในการเปลี่ยนเป็นหมาป่าตั้งแต่เช้าจรดค่ำของซือเหยี่ยน ตลอดห้าปีนี้ไม่ได้ป๊าบๆๆ กับตัวเองเลย ก็ไม่รู้ว่าทนได้ยังไง’

 

 

           ไม่รู้ว่าเขาคิดถึงอะไรขึ้นมา จู่ๆ ก็เอื้อมมือไปดึงตัวซือเหยี่ยนไว้ “ห้าปีมานี้ นายเคยได้หาใครมาแก้ปัญหาเรื่องความต้องการทางเพศของนายบ้างหรือเปล่า”

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินคำถามนี้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนกำลังคิดทบทวนอยู่

 

 

           พอเจียงมู่เฉินเห็นเขาเป็นแบบนี้ กลิ่นความหึงก็ตีขึ้นมาโดยฉับพลัน

 

 

           “ยังไงกัน นี่นายยังฉวยโอกาสตอนที่ฉันไม่อยู่ เคยไปทำเรื่องอย่างว่ากับคนอื่นมาเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนละมือจากเอวของเจียงมู่เฉิน มาลูบจมูกอย่างมีพิรุธ

 

 

           เจียงมู่เฉินใจเต้น รู้สึกว่าเบื้องหลังต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ

 

 

           เขารีบพลิกตัวมากดซือเหยี่ยนไว้กับราวจับ “สารภาพโทษสถานเบา ปฏิเสธโทษสถานหนัก ถึงยังไงตอนนั้นฉันก็จำนายไม่ได้ ถ้านายไปกับคนอื่นจริงๆ ล่ะก็…”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น เขาไม่อยากพูดประโยคต่อจากนั้น

 

 

           “ไม่ใช่ว่าห้าปีมานี้ผมจะไม่เคยทำเรื่องอย่างว่าเลย…”

 

 

           ระเบิดลงกลางหัวเจียงมู่เฉิน  ห้าปีมานี้ที่เขาไม่ได้อยู่กับซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนไปทำเรื่องอย่างว่ามาอีก…

 

 

           คนคนนั้นไม่ใช่แล้ว ก็เป็นได้แค่คนอื่นแล้ว

 

 

           มือที่ยึดเอวซือเหยี่ยนไว้กำแน่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ พอคิดว่าถ้าซือเหยี่ยนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบนั้นกับคนอื่น ก็รู้สึกเหมือนโดนพายุหึงโหดกระหน่ำใส่จนทุกข์ทรมานถึงชีวิต

 

 

           ซือเหยี่ยนอ้าปากพูดอย่างยากลำบาก เจียงมู่เฉินไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว จู่ๆ ก็ไม่ค่อยจะกล้ารับฟังต่อไปแล้ว

 

 

           ความจริงบางอย่างน่ากลัวกว่ายิ่งกว่าคำโกหกเสียอีก

 

 

           “ช่างเถอะ นายไม่ต้องบอกกับฉันแล้ว ฉันไม่เชื่อ”

 

 

           สิ้นเสียงเขา ก็ปล่อยมือเตรียมจะเดินออกไป แต่กลับถูกซือเหยี่ยนคว้าตัวเอาไว้กะทันหัน

 

 

           “คุณจำได้ไหม…สองปีก่อน…มีครั้งหนึ่งที่คุณเข้าร่วมงานปาร์ตี้นั่งดริงค์”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยติดๆ ขัดๆ ราวกับว่าประโยคนี้พูดออกมาได้ยากเสียเหลือเกิน

 

 

           สองปีก่อน ในสมองของเจียงมู่เฉินฉายสะท้อนภาพภาพหนึ่งขึ้นมาทันที

 

 

           เหมือนเขาจะจำได้ลางๆ สองปีก่อน เฉิงฉีจัดงานปาร์ตี้นั่งดริงค์ขึ้นมา วันนั้นมีคนมาอยู่ไม่น้อย เหมือนว่าซือเหยี่ยนเองก็อยู่ด้วย

 

 

           ตอนนั้นพวกเขายังรู้สึกแปลก คนดีทุกกระเบียดนิ้วอย่างซือเหยี่ยนไม่เหมาะจะเป็นคนที่มาร่วมงานนั่งดริงค์โดยสิ้นเชิง คิดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วย

 

 

           ตอนนั้นหนึ่งในคนที่เฉิงฉีเชิญมาเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับซือเหยี่ยน แค่ออกปากกับซือเหยี่ยน ไม่นึกเลยว่าซือเหยี่ยนจะยอมตกลง

 

 

           ดังนั้นคืนนั้นถึงได้ปรากฏภาพแปลกๆ นั้นขึ้นมาได้

 

 

           แต่เจียงมู่เฉินไม่ชอบหน้าซือเหยี่ยน ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจเขา พวกเขาสองคนไม่ถูกกันก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

 

 

           คนในงานปาร์ตี้นั่งดริงค์ต่างก็รู้กัน ดังนั้นก็เลยไม่ได้พูดอะไรมากมาย

 

 

           งานปาร์ตี้นั่งดริงค์ครั้งนี้จัดที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในเขตชานเมืองของถานโจว ห่างไกลจากเขตเมืองมาก ดังนั้นตามกำหนดการเดิมตอนกลางคืนจะค้างกันที่รีสอร์ทเป็นเวลาหนึ่งคืน เช้าวันต่อมาถึงค่อยกลับไปเขตเมืองของถานโจว

 

 

 

 

ตอนที่ 447 เมาเหล้าแล้ว

 

 

           เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนจึงปลดปล่อย รินเทเหล้าอย่างไม่คิดชีวิต

 

 

           เดิมทีเจียงมู่เฉินก็ปลดปล่อยอยู่แล้ว บวกกับบรรยากาศที่เข้ากันได้ดีในวันนี้ ก็ยิ่งปลดปล่อยได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

           คนกลุ่มหนึ่งดื่มกันอยู่ไม่น้อย คึกคักสนุกสนานกันอย่างยิ่งทั้งโถงใหญ่

 

 

           จะมีเพียงแค่ซือเหยี่ยนคนเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก สายตาจดจ่อมายังเจียงมู่เฉินที่เด่นสะดุดตาอยู่ท่ามกลางคนในกลุ่ม

 

 

           งานปาร์ตี้นั่งดริงค์ครั้งนี้ดื่มกันจนถึงเที่ยงคืน ทุกคนก็เมากันแล้ว บางคนไม่ไหว โซซัดโซเซประคองกันกลับห้องไป

 

 

           เจียงมู่เฉินเข้าห้องน้ำ กว่าจะออกมาทั้งโถงใหญ่ก็เหลือแค่เขากับเฉิงฉีสองคน

 

 

           แล้วก็ซือเหยี่ยนที่นั่งอยู่ตรงมุมตลอด

 

 

           เจียงมู่เฉินยื่นมือไปผลักเฉิงฉีที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ เฉิงฉีเมาจนไม่ไหวแล้ว ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด

 

 

           ผลักอยู่หลายครั้ง ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดใด

 

 

           แอลกอฮอล์ทำให้สมองชาแล้ว ท่าทางของเจียงมู่เฉินเองก็เชื่องช้า เขาถือโอกาสนี้นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็หลับลงไปทั้งอย่างนี้

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้นอยู่หลายนาที เห็นเจียงมู่เฉินหลับไปแล้ว เวลานี้เองถึงได้ลุกยืนขึ้นเดินมุ่งหน้าไปหาเจียงมู่เฉิน

 

 

           เขายื่นมือเย็นเฉียบไปสะกิดเจียงมู่เฉิน “ตื่นๆ”

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่เจียงมู่เฉินปัดมือเขาออกด้วยความหงุดหงิด “อย่ามาสะกิดฉัน”

 

 

           นิ้วมือของเจียงมู่เฉินชนเข้ากับนิ้วมือของซือเหยี่ยนพอดี ซือเหยี่ยนรู้สึกเพียงแค่หัวใจที่สั่นสะท้าน รออยู่ไม่กี่นาทีก็ส่งมือไปประคองเจียงมู่เฉินขึ้นมา

 

 

           เจียงมู่เฉินเมามายจนไม่เหลือสติเลยสักนิด เห็นว่าข้างๆ อบอุ่น ก็แนบร่างเข้าไปใกล้ เขากอดซือเหยี่ยนแน่นไม่ปล่อยมือไปไหน

 

 

           เขาทำท่าทางราวกับสนิทสนมกับอีกฝ่าย ทำให้ร่างกายซือเหยี่ยนแข็งทื่อขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลง เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม “คุณพักที่ไหน ผมจะไปส่งคุณ”

 

 

           เจียงมู่เฉินที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองชื่ออะไร มีหรือจะยังรู้ได้ว่าตัวเองพักอยู่ห้องไหน

 

 

           เขาส่ายหัวไปมั่วซั่ว

 

 

           ซือเหยี่ยนทำอะไรไม่ได้ จึงจำใจต้องพาเจียงมู่เฉินกลับไปยังห้องของตัวเองแทน

 

 

           เขานิสัยถือตัวอย่างเขา ต้องอยู่ได้เพียงแค่คนเดียวเป็นธรรมดา ในที่นี้ไม่มีใครไม่รู้ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าจัดให้เขาไปพักกับคนอื่น

 

 

           ซือเหยี่ยนกอดประคองพาเขากลับไป การกระทำอ่อนโยนเหมือนกำลังปฏิบัติกับของรักที่แตกง่ายอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ทั้งสองคนเข้าไปในลิฟต์ เจียงมู่เฉินคลอเคลียกับใบหน้าของซือเหยี่ยน

 

 

           คลอเคลียมาที ก็คลอเคลียจนหัวใจของซือเหยี่ยนมีเปลวไฟเล็กๆ ลุกลามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คนที่หักห้ามใจมานานตั้งหลายปีขนาดนี้ถูกเจียงมู่เฉินยั่วเย้านิดๆ หน่อยๆ ก็ปลุกปั่นจนไม่อาจจะยับยั้งได้แล้ว

 

 

           เขาพยายามจะทำหน้าตึง พาคนเข้าไปในห้อง

 

 

           ซือเหยี่ยนบรรจงวางเขาลงบนเตียงอย่างเบามือ เห็นทั้งตัวเขามีแต่กลิ่นเหล้า ก็หันหลังกลับไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นมาเช็ดใบหน้าที่แดงระเรื่อของเจียงมู่เฉิน

 

 

           กลิ่นเหล้าตีขึ้นมา เจียงมู่เฉินดึงปกเสื้อโดยไม่รู้ตัว เหมือนจะไม่ค่อยจะสบายตัวเท่าไหร่นัก

 

 

           ซือเหยี่ยนจนใจทำอะไรไม่ได้ นอกจากปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกให้เขาสองเม็ด

 

 

           เวลานี้เจียงมู่เฉินรู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ได้ขยับตัวอะไรอีก เขานอนหลับอยู่ตรงนั้นอย่างว่าง่าย

 

 

           ใบหน้าเย่อหยิ่งในยามปกตินั้น ขณะนี้เมื่ออยู่ใต้แสงไฟดูท่าว่าจะน่าเอ็นดูเป็นพิเศษ

 

 

           ซือเหยี่ยนจ้องมองใบหน้าของเจียงมู่เฉิน เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปบีบคลึง

 

 

           ได้บีบคลึงครั้งหนึ่ง ก็ตัดใจเอามือออกไม่ลงแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูใบหน้าที่ใกล้สายตาของเขา ในใจสับสนอย่างหนัก แต่เดิมที่เขาอยู่เคียงข้างเจียงมู่เฉินได้อย่างเปิดเผย จูบเขาได้ กอดเขาได้

 

 

           แต่ตอนนี้กลับทำได้เพียงเป็นเหมือนโจร กล้ามองดูเขาได้เพียงแค่ยามที่เขาไม่มีสติเท่านั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับตัวขึ้นมากะทันหัน นิ้วมือสัมผัสโดนข้อมือของซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนกำลังจะเตรียมชักมือออกมา ก็โดนเขากระชากจนล้มลงไป

 

 

           เจียงมู่เฉินที่อยู่ในอาการเมากดทับร่างซือเหยี่ยนไว้ แล้วประกบปากเขาทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนเบิกตาโต ไม่ค่อยกล้าที่จะเชื่อเท่าไหร่นัก แต่ทักษะการจูบของเจียงมู่เฉินธรรมดาเหมือนหมาน้อยไม่มีผิด เลียริมฝีปากไปๆ มาๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกขำๆ ค่อยๆ เปลี่ยนไปกดทับร่างของเจียงมู่เฉินอย่างช้าๆ

 

 

           เขาก้มหน้าลงจูบเจียงมู่เฉินอยู่หลายครั้ง แววตายิ่งปรากฏความอ่อนโยน

ตอนที่ 444 คิดเพ้อเจ้อ  

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดจบก็ยังเอ่ยต่ออีก “ถึงยังไงยีนนี้ของคุณชายต้องหล่อที่สุดในจักรวาลแน่นอน”  

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนสับสน นิ้วมือแข็งทื่อเล็กน้อย กำมือไม่ค่อยอยู่  

 

 

           แต่ดวงตาเจียงมู่เฉินกลับเปล่งประกาย เหมือนคาดหวังอยู่ไม่น้อยว่าจะมีเด็กคนหนึ่ง หัวใจซือเหยี่ยนค่อยๆ จมดิ่งลงไป  

 

 

           ‘ถ้าเจียงมู่เฉินชอบเด็กมาก…’  

 

 

           ‘เขาควรจะช่วงชิงสิทธิที่เจียงมู่เฉินจะชอบเด็กหรือเปล่า’  

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนอยู่ข้างๆ พูดไม่ออกสักคำ บางทีเขาอาจจะเห็นแก่ตัวจนเกินไป ถึงได้ไม่อยากจะให้เจียงมู่เฉินไปมีลูกกับคนอื่น  

 

 

           ต่อให้ทำเด็กหลอดแก้ว เขาก็ไม่ยินยอม  

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ได้สังเกตถึงความรู้สึกไม่ชอบใจของซือเหยี่ยน ยังคงอยู่ในห้วงจินตนาการนั้น “แต่ว่าหน้าตาอย่างนาย ถึงแม้ว่าจะห่างชั้นจากคุณชายนิดหน่อย แต่ว่ายีนนายก็ถือว่าเก่งโดดเด่นมากเหมือนกัน…  

 

 

           …ลูกของนาย คงจะน่ารักมากเลย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือเท้าคาง คิดอยู่เงียบๆ  ลูกของซือเหยี่ยนก็ควรจะเหมือนซือเหยี่ยนมากๆ สินะ บางทีอาจจะถอดแบบจากซือเหยี่ยนมาเป็นซือเหยี่ยนฉบับจิ๋วเลยก็ได้  

 

 

           แค่คิดถึงตรงนี้ว่า  มีเจ้าตัวกะเปี๊ยกเป็น ‘ซือเหยี่ยนน้อย’ ที่ทำหน้าตาเคร่งขรึมได้ทั้งวัน บางทีก็ไม่เลวเหมือนกัน  

 

 

           คิดมาได้ขนาดนี้ เจียงมู่เฉินก็กลั้นขำไม่อยู่หัวเราะออกมาทันที  

 

 

           เสียงหัวเราะนี้ทุบโดนหัวใจของซือเหยี่ยนพอดี  

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวใจสั่นสะท้าน เจ็บปวดขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยไม่ตั้งใจ  

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดมาตั้งนาน รู้สึกว่าตลกอยู่ไม่เบาทีเดียว เขาเอียงหน้ามองมาทางซือเหยี่ยน ก็เห็นเพียงแค่ซือเหยี่ยนทำหน้าบึ้งตึงยืนอยู่ข้างๆ  

 

 

           สีหน้าที่แสดงออกดูหนักอึ้ง เจียงมู่เฉินหัวใจกระตุกวูบ  เจ้าหมอนี่คงจะไม่ได้คิดว่าเขาอยากจะมีลูกจริงๆ หรอกใช่ไหม  

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบยื่นมือไปดึงตัวซือเหยี่ยนไว้ “นี่ ซือเหยี่ยน! ซือเหยี่ยน! นายคิดอะไรเพ้อเจ้ออีกแล้วใช่ไหม”  

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนสั่นไหว เขาส่ายหน้าทำหน้างอ “ไม่ได้คิดอะไร”  

 

 

           เจียงมู่เฉินโน้มเข้าใกล้ใบหน้าของเขา มองดูอย่างจริงจัง ซือเหยี่ยนเห็นดวงตาคู่นั้นของเจียงมู่เฉิน ก็อดจะอยากหลบหลีกไม่ได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นว่าเขาหลบสายตากันอย่างชัดเจน ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “ซือเหยี่ยน นายคงจะไม่ได้คิดว่าฉันเปลี่ยนใจอยากจะมีลูกขึ้นมาหรอกใช่ไหม”  

 

 

           เขาพูดออกมากันโต้งๆ ขนาดนี้ จิตใต้สำนึกของซือเหยี่ยนสั่งให้เขาอยากจะหลบหนีไป  

 

 

           แต่สุดท้ายเขาก็มองเจียงมู่เฉิน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำออกมา “คุณคิดแบบนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดามาก”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “ซือเหยี่ยน ถ้านายมีลูกได้ ฉันรับรองว่าจะอยากได้ลูกไว้แน่ๆ แต่นายมีลูกไม่ได้ ฉันก็มีลูกไม่ได้ แล้วอยากได้ลูกไปจะมีความหมายอะไร”  

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนแปลกใจเล็กน้อย เหมือนจะยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินพิงราวจับที่อยู่ข้างๆ เขาเอามือเชิดใบหน้าของซือเหยี่ยนขึ้น “เมื่อกี้ฉันกำลังคิดว่าถ้าเป็นลูกของพวกเราสองคนต้องน่ารักมากแน่ๆ”  

 

 

           มือที่เขาใช้เชิดใบหน้าของซือเหยี่ยนออกแรงเล็กน้อย เอ่ยย้ำซ้ำอีกรอบ “เป็นลูกของพวกเราสองคน”  

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนสั่นสะท้าน ทันทีหลังจากนั้นรูม่านตาก็หดตัวลงเล็กน้อย  

 

 

           ราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วเพียงชั่วพริบตา ดูเหมือนจะเหลือเชื่ออยู่ไม่เบา  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็อดจะยิ้มไม่ได้ ในใจคิดว่า ในที่สุดเจ้าหมอนี่ก็เข้าใจความคิดของเขาแล้วจริงๆ  

 

 

           เขาปล่อยมือที่เชิดคางอีกคนไว้ลง แล้วยื่นแขนออกมาโอบรอบคอของซือเหยี่ยน แล้วโน้มเข้าไปกัดยังมุมปากของซือเหยี่ยน  

 

 

           “คุณชายไม่ได้อยากจะไปมีลูกกับผู้หญิงคนอื่น” ขณะที่เขาพูดก็ถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนแวบหนึ่งด้วย “นายเองก็ไม่ได้”  

 

 

           ก้อนหินที่หนักอึ้งอยู่ในใจของซือเหยี่ยน เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งนั้นได้สลายหายไปทั้งหมดไม่มีเหลือแล้ว  

 

 

           ราวกับว่ามีกระแสลมเย็นสบายพัดผ่านหัวใจเขาเข้ามา  

 

 

           เขาพยักหน้าอย่างปล่อยตัวปล่อยใจ เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “โอเค”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้น “อีกอย่างคุณชายจะเหมาะกับการมีเด็กอยู่ด้วยที่ไหนกัน คุณชายหล่อ ฉลาด สง่าผ่าเผย รักอิสระ มีนายผูกติดด้วยก็หนักพอแล้ว มีเด็กผูกติดมาอีกคนหนึ่ง แล้วจะเดินยังไงไหว”  

 

 

             

 

 

ตอนที่ 445 ไม่รู้จักเก็บอาการ  

 

 

           ขณะที่เขากำลังแสดงคำพูดเหล่านี้ออกมานั้น ซือเหยี่ยนก็เอาแต่จ้องมองเขาตลอด ดวงตาคู่นี้เหมือนกับหินแม่เหล็กที่แทบอยากจะดึงดูดเจียงมู่เฉินเข้าไปอยู่ในแววตา  

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดไปด้วย พลางโอบรัดซือเหยี่ยนไปด้วย “คุณชายพูดมาตั้งมากมาย นายไม่คิดจะแสดงออกอะไรหน่อยเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะนิดหน่อย ไม่พูดพร่ำทำเพลง กดเจียงมู่เฉินติดกับราวจับ แล้วประกบปากเขาเสียเดี๋ยวนั้น  

 

 

           ระหว่างริมฝีปากสัมผัสกันอยู่นั้น หัวใจซือเหยี่ยนฮึกเหิม เหมือนมีอะไรที่จะต้องผ่านการจูบเท่านั้นถึงจะค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาทีละนิดๆ ได้  

 

 

           เอวเจียงมู่เฉินชนเข้ากับราวจับ รู้สึกเจ็บขึ้นมาบ้างแล้ว แต่แรงกำลังที่ซือเหยี่ยนใช้ในการจูบเขารุนแรงเกินไป  

 

 

           ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่คิดจะต่อสู้ดิ้นรน ต่อให้เอวจะรู้สึกไม่สบายก็ตาม  

 

 

           เขาปล่อยตัวปล่อยใจเงยหน้ารับจูบนี้ของซือเหยี่ยน  

 

 

           ทันใดนั้นเองบริเวณเอวก็มีฝ่ามือหนึ่งสอดเข้ามา แอบเข้ามารองใต้เอวของเจียงมู่เฉินพอดี  

 

 

           ความเจ็บปวดที่เอวบรรเทาลงโดยฉับพลัน ปลายคิ้วเจียงมู่เฉินที่ขมวดกันทีละนิดๆ ก็คลายตัวลงอย่างช้าๆ  

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินรับไม่ค่อยจะไหวแล้ว จึงเอามือผลักซือเหยี่ยนออก  

 

 

           ซือเหยี่ยนถือโอกาสปล่อยมือ เขาซบหน้าลงบนไหล่ของเจียงมู่เฉิน โอบกอดเจียงมู่เฉินไว้  

 

 

           เจียงมู่เฉินหอบหายใจอย่างรุนแรง อดจะคิดไม่ได้ว่ายังดีที่พ่อแม่ซือเหยี่ยนพวกท่านออกไปกันแล้ว  

 

 

           ‘ไม่อย่างนั้นมาเห็นพวกเขาสองคนอย่างนี้ ต่อให้พวกท่านเปิดกว้าง แต่มาเห็นพวกเขาแบบนี้ ก็คงจะนิ่งเฉยไม่ไหวหรอกมั้ง’  

 

 

           เหมือนจะมีการเตือนว่าเขาใจลอยอยู่นิดหน่อยแล้ว มือที่รองเอวอยู่กระชับขึ้นมาเล็กน้อย  

 

 

           “รู้แล้ว รู้แล้ว ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินออกเสียงพูด  

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปคลึงที่ช่วงเอวของเขา “คุณไม่ได้คิดอะไรจริงๆ เหรอ”  

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงประชด “จริงสิ นายอยู่ต่อหน้าฉัน ฉันยังจะคิดอะไรได้ล่ะ พอเห็นซือเหยี่ยนของฉัน หัวใจทั้งดวงก็คิดถึงได้เพียงแค่นายแล้ว ใครใช้ให้นายส่งกระทบกับฉันใหญ่มากขนาดนี้ล่ะ ให้ฉันคิดถึงคนอื่น ฉันก็ทำไม่ได้”  

 

 

           เขาหน้าหนาหน้าทน พูดคำพวกนี้ออกมา ต้องไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสมเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือเท็จ ถึงอย่างไรพูดขึ้นมาแล้วก็จริงครึ่งไม่จริงครึ่งอยู่ดี  

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดนี้ ร่างกายเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าที่ซุกซ่อนไปกับไหล่ของเจียงมู่เฉินแดงระเรื่อ  

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดจบ ก็ไม่เห็นซือเหยี่ยนจะให้การตอบกลับใดใด  

 

 

           จึงยื่นมือไปสะกิดเขา “อะไรกัน ได้ยินฉันแสดงความรู้สึกผ่านคำพูดอยู่ตั้งนาน นายไม่คิดจะตอบกลับฉันสักหน่อยเลยเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกระแอมไอ “คุณอยากให้ผมพูดอะไร”  

 

 

           เจียงมู่เฉินคนหน้าหนาคนนี้ รู้สึกสนุกแล้ว “เช่นว่ารักคุณจะตาย…คุณเป็นที่รักที่สุดของผม…ยังมีอะไรที่ฟังแล้วเก็บความตื่นเต้นดีใจไม่อยู่อีกไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหลับตาลง ทำอะไรไม่ได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดอีก “หรือว่านายจะแสดงความรักกับฉัน อวยฉัน บอกว่าฉันผิวขาวรูปหล่อขายาว”  

 

 

           ในที่สุดซือเหยี่ยนก็ฟังต่อไปไม่ไหว เจียงมู่เฉินพูดคำพูดเหล่านี้โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เขาถอนหายใจด้วยความจนใจแล้ว “เจียงมู่เฉิน คุณเก็บอาการสักหน่อยจะได้ไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดคำว่า ‘เก็บอาการ’ อย่างจริงจัง ไม่ถึงสองนาที ก็ส่ายหัวในทันใด “เก็บอาการแล้วทำเป็นข้าวกินได้ไหมล่ะ ทำเป็นข้าวกินไม่ได้ ฉันจะยังต้องเก็บอาการไปเพื่ออะไร”  

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่ามือนั้นวางอยู่ที่เอวของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนคงจะเอามือนั้นขึ้นมากดที่หน้าผากไว้แล้ว  

 

 

           “อีกอย่าง ถ้าฉันเก็บอาการนะ ป่านนี้นายก็ยังต้องอยู่ห่างฉันไปแปดโยชน์นู่น ไม่มารบกวนกันแล้ว…  

 

 

           …จะมาเหมือนตอนนี้ที่นายยังกอดเอวฉันอยู่ได้ที่ไหนกัน ยังจูบฉัน กอดฉันอีก”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยออกมาด้วยท่าทีจริงจัง ถ้ายึดกันตามความคืบหน้าของซือเหยี่ยน คนคนนี้คอยปกป้องอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ มาได้ห้าปีแล้ว  

 

 

           ก็อยู่คอยเฝ้าดูเขาต่อไปอีกได้เป็นเจ็ดแปดปีแล้ว  

 

 

           ตามความคืบหน้าของซือเหยี่ยน ถ้าตลอดชีวิตของเขาไม่ฟื้นความทรงจำกลับคืนมา เช่นนั้นก็จะไม่ได้คบกันไปตลอดชีวิตนี้ได้  

ตอนที่ 442 เฉินเฉิน ไม่ต้องอายหรอก   

 

 

           นิ้วมือซือเหยี่ยนสะดุ้ง เวลานี้ถึงได้ยื่นมือไปแก้เชือกด้านบน หลังจากนั้นก็แกะกระดองปูออก  

 

 

           หลังจากแกะเนื้อปูเสร็จ ซือเหยี่ยนถึงได้ส่งเนื้อปูต่อให้เจียงมู่เฉิน  

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบร้อนรับต่อมา กวาดของที่อยู่ด้านข้างออกให้หมด หลังจากนั้นก็กัดเนื้อปูเข้าไปคำหนึ่ง  

 

 

           รสชาติความสดใหม่อบอวลอยู่ในปาก คิ้วเจียงมู่เฉินคลายปมด้วยความสบายใจ  

 

 

           เขากินไข่ปูจนเกลี้ยงแล้วส่งจานกลับคืนให้ซือเหยี่ยน “พี่ชาย แกะอีกสิ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไร แกะปูให้เจียงมู่เฉินอีก เจียงมู่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนโต๊ะ กินปูราวกับกินอะไรที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลกนี้  

 

 

           แววตาลึกล้ำของซือเหยี่ยนจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าของเจียงมู่เฉิน นัยน์ตาเจือความสับสน  

 

 

           หลังจากกะพริบตา นัยน์ตาก็กลับมาใสดังเดิม  

 

 

           ขณะที่เจียงมู่เฉินกินไปด้วย ก็ยังไม่ลืมที่จะแบ่งให้ซือเหยี่ยนส่วนหนึ่งด้วย “นี่ให้นายนะ นายก็กินด้วยสิ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูปูตัวนั้นก็ส่ายหัว “ไม่ต้อง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินคิด ซือเหยี่ยนคงจะรังเกียจปูของที่หน้าตาน่าเกลียดแบบนี้ ดังนั้นจึงกินไม่ลง  

 

 

           ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะไม่บีบบังคับ พอดีเขากินแค่ชิ้นเดียวก็ยังไม่จุใจอยู่ดี  

 

 

           ด้วยเหตุนี้เจียงมู่เฉินจึงกินปูตัวใหญ่สองตัวอยู่ตรงนั้นจนหมดเกลี้ยงด้วยความรวดเร็วฉับไว  

 

 

           หลังจากกินเสร็จ เจียงมู่เฉินทำตาปรือนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าอิ่มเอม  

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่ได้พูดอะไร จัดการสะสางขยะที่เจียงมู่เฉินสร้างขึ้นมาทั้งหมดให้เรียบร้อย  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือเท้าคางมองซือเหยี่ยน พลางเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “ซือเหยี่ยน ถ้านายเป็นผู้หญิง คุณชายรับรองจะแต่งนายเข้าบ้านเลย”  

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่ถือจานอยู่หยุดชะงักไป เขากระชับมือแน่น เอ่ยตอบกลับไป “ถ้าคุณเป็นผู้หญิง ผมจะไม่แต่งคุณเข้าบ้านแน่”  

 

 

           พูดจบก็วางจานลงต่อหน้าเจียงมู่เฉิน แล้วเดินออกจากโรงอาหารไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่บนโต๊ะ ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก  

 

 

           ‘ก็แค่พูดสมมติเฉยๆ ว่าซือเหยี่ยนเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ ไม่อยากเป็นผู้หญิง หรือว่าดูถูกคุณชายกันแน่’  

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบจมูกปอยๆ รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่แปลกๆ จริงๆ  

 

 

           ……  

 

 

           “เฉินเฉิน ทำไมไม่กินล่ะ”  

 

 

           เหวินฮุ่ยเห็นเจียงมู่เฉินจ้องมองชาม ไม่มีท่าทีตอบสนองอยู่นานสองนาน จึงอดจะเอ่ยปากถามไม่ได้   

 

 

           เวลานี้เองที่เจียงมู่เฉินมีท่าทีตอบสนองกลับมา เขากะพริบตาปริบๆ ยิ้มหัวเราะ “เมื่อกี้คิดเรื่องบางอย่างอยู่ครับ”  

 

 

           “ตอนกินข้าว อย่าคิดถึงเรื่องอื่นเลย รีบกินเถอะ ดูว่าอาหารฝีมืออาของเราจะถูกปากเราหรือเปล่า”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ ใช้มือหยิบปูในชามขึ้นมากิน ก้มหน้ากัดเข้าไป ยังเป็นรสชาติที่อยู่ในความทรงจำนั้น  

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะกะพริบตาไม่ได้  

 

 

           เหวินฮุ่ยเห็นเขากินข้าวแล้ว ก็เริ่มขยับตะเกียบ เจียงมู่เฉินกัดเนื้อปูเข้าไปคำหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง  

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่ซือเหยี่ยนที่จ้องมองเขาอยู่ตลอด เมื่อตอนที่เงยหน้าขึ้นมานั้น มุมปากยังเลอะอยู่บ้าง  

 

 

           ซือเหยี่ยนดึงกระดาษทิชชูจากด้านข้าง มาเช็ดที่มุมปากของเจียงมู่ฌฉินอย่างเบามือ  

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะยิ้มหัวเราะออกมาไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าวันนี้ซือเหยี่ยนจะทำอะไรให้เขาดีกว่าเมื่อก่อนได้  

 

 

           เมื่อก่อนแกะกระดองปูให้เขา ตอนนี้ยังรู้จักเอากระดาษทิชชูมาเช็ดปากให้เขาอีก  

 

 

           ทั้งสองคนอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของซือเหยี่ยน ท่าทางสนิทสนมชิดเชื้อ ดูแล้วไม่ได้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในเวลาอันสั้น  

 

 

           เหวินฮุ่ยเห็นทั้งสองคนโปรยอาหารสุนัข [1] กันเต็มที่ เธอจึงอดจะหรี่ตามองด้วยความอิจฉาไม่ได้ ส่วนคุณพ่อซือที่อยู่ข้างๆ ก็นั่งกินข้าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง  

 

 

           ราวกับมองไม่เห็นพวกเขาสองคนอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           เจียงมู่เฉินนึกขึ้นได้แล้วว่าข้างๆ ยังมีพ่อแม่ของซือเหยี่ยนอยู่ด้วย จึงรีบหยิบกระดาษทิชชูจากมือซือเหยี่ยนมา ตัวเองเอามาเช็ดเอง  

 

 

           เวลาปกติพวกเขาสองคน อย่าเอ่ยถึงแค่เรื่องเช็ดปาก พวกเขาเปลื้องผ้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไร  

 

 

           แต่ผู้อาวุโสอยู่ต่อหน้าจะทำแบบนี้กันก็ไม่ได้  รู้สึกเขินๆ ยังไงชอบกล  

 

 

           เขารีบทำหน้าขรึมเก็บอาการแล้วกินอาหารต่อทันที เหวินฮุ่ยเห็นอย่างนี้ ก็ยิ้มออกมา “เฉินเฉิน ไม่ต้องอายหรอก”  

 

 

 

 

 

[1]   โปรยอาหารสุนัข  เป็นศัพท์ที่ใช้ในหมู่วัยรุ่น กิริยาการอวดผัวอวดเมีย โชว์ความรักให้คนอื่นเขาอิจฉาหมั่นไส้  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 443 นายจะเสียใจทีหลังไหม  

 

 

           อาหารมื้อหนึ่งใช้เวลากินนานมาก คนที่ปกติกินเพียงแค่ชามเดียวได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะกินไปแล้วสองชาม เจียงมู่เฉินนั่งอิ่มแปล้อยู่บนเก้าอี้ ไม่ขยับตัวไปไหน  

 

 

           เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือรู้งานเป็นพิเศษ หาข้ออ้างออกไปเดินเล่นแล้ว  

 

 

           คฤหาสน์ทั้งหลังเหลือแค่เพียงซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินสองคน  

 

 

           เจียงมู่เฉินเป็นอัมพาตอยู่บนโซฟา เอ่ยคำขอบคุณแฝงอย่างเงียบๆ “พ่อแม่นายยังเปิดกว้างได้อีกนิดไหมนี่”  

 

 

           ‘ธรรมดาการเข้าพบผู้ใหญ่ของอีกฝ่าย ก็ควรจะตื่นตระหนกมาก แล้วพ่อแม่ซือเหยี่ยนต้องกลั่นแกล้งเขาแล้วไม่ใช่เหรอ…  

 

 

           …แต่พ่อแม่ของซือเหยี่ยนแม้กระทั่งกินอาหารเสร็จแล้ว ก็ยังให้เวลาพวกเขาอยู่กันตามลำพัง ทำไมเรื่องแบบนี้ยังนึกได้’  

 

 

           โดยเฉพาะเวลาก่อนที่จะออกไป แม่ของซือเหยี่ยนก็เอ่ยขึ้นพร้อมยิ้มตาหยีให้ “แม่กับพ่อคงจะค่ำๆ ถึงจะกลับมากัน เราสองคนมีอะไรก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”  

 

 

           ‘ทำยังกับว่าตัวเองอยากจะกับซือเหยี่ยนจะป๊าบๆๆ ไปได้’  

 

 

           เขาเอามือกุมหน้าผากอย่างจนใจ  เขาไม่ได้คิดจะอะไรยังไงกับซือเหยี่ยนจริงๆ นะ  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าตาปลงโลก ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “เพราะว่าพวกท่านชอบคุณ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ก็อดจะภูมิใจไม่ได้  

 

 

           “แหงสิ ฉันทั้งเก่ง ฉลาด รูปหล่อขนาดนี้ แล้วยังดึงดูดใจให้คนชอบเป็นพิเศษอีก ใครจะไม่ชอบฉันได้”  

 

 

           รอยยิ้มในแววตาของซือเหยี่ยนหยั่งลึกลงกว่าเดิม เอ่ยเสริมข้างหลังเข้าไป “อืม ใครๆ ก็ชอบคุณ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังจะเตรียมเชิดหางขึ้น ก็ได้ยินซือเหยี่ยนพูดมาอีกประโยค “แต่ว่าผมชอบคุณที่สุด”  

 

 

           …เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าจู่ๆ หัวใจก็มีแรงผลักไปให้เหมือนกับชิงช้าที่แกว่งไปแกว่งมาอยู่ในอากาศ  

 

 

           เขาขบกราม เอื้อมมือไปคว้าซือเหยี่ยนไว้แน่น ไม่ยอมให้ชี้แจ้งแก้ตัวใดใดทั้งสิ้น เขาเงยหน้าประกบปากซือเหยี่ยนไว้  

 

 

           พันธนาการด้วยริมฝีปากกันครู่หนึ่ง เจียงมู่เฉินถึงได้เอามือผลักเขาออก แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณชายอิ่มมาก นายเงียบหน่อยจะได้ไหม”  

 

 

           ‘เขาอิ่มจนไม่ไหว แต่ซือเหยี่ยนดันจงใจยั่วเย้าเขา นี่ไม่ใช่การทำให้เขาเกิดคึกขึ้นมาจะๆ หรือไง’  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูริมฝีปากแดงระเรื่อของเจียงมู่เฉิน เสียงต่ำขานรับ “อืม ได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนหลังบนโซฟาสักพัก ยังรู้สึกอิ่มมากอยู่ เขาครุ่นคิดแล้วจึงเอื้อมมือไปดึงซือเหยี่ยนมา “นายมาดึงฉันขึ้นหน่อย ฉันต้องออกไปเดินสักหน่อย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนส่งมือไปดึงเขาขึ้นมา  

 

 

           ทั้งสองคนออกมาข้างนอก เจียงมู่เฉินเดินโซซัดโซเซด้วยอย่างอ้อยอิ่ง สีหน้าสังเวชตัวเอง  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นอาการของคนตรงหน้าแล้ว ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างขบขัน “อาการหนักขนาดนี้จริงๆ เหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่โอเค นายมาลองไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมือลูบจมูกปอยๆ ตัดสินใจไม่พูดต่อ  

 

 

           เดินเป็นเพื่อนเจียงมู่เฉินวนรอบสวนดอกไม้ไปสองรอบ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าอาหารที่จุกอกอยู่ในที่สุดก็ย่อยไปบางส่วนแล้ว   

 

 

           เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ที่ซือเหยี่ยนเดินเล่นเป็นเพื่อนเขาขึ้นมา แล้วอดจะเอ่ยแซวไม่ได้ “ซือเหยี่ยน นายว่าเมื่อกี้นี้นายเหมือนมาเดินเล่นเป็นเพื่อนคนท้องไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนแววตาลึกล้ำลงอีกนิด “ถ้าคุณเป็นคนท้อง ก็เหมือนอยู่”  

 

 

           ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินคิดถึงอะไรขึ้นมา เขากะพริบตาปริบๆ “นายว่าถ้าคุณชายมีลูกให้นายจะเป็นยังไงบ้าง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนดึงนิ้วเจียงมู่เฉินมากำไว้เล็กน้อย  

 

 

           เจียงมู่เฉินอ่อยเสร็จ ก็เริ่มสาดน้ำเย็นเบรกซือเหยี่ยนไว้ “น่าเสียดาย คุณชายเป็นผู้ชายเอาจริงเอาจัง จะมีลูกก็ไม่ต้องคิดแล้ว”  

 

 

           ‘ไม่อย่างนั้นถ้ายึดตามระดับความสัมพันธ์อันลึกซึ้งแนบแน่นที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ป่านนี้คงจะมีลูกเต็มบ้านวิ่งละลานตาไปหมดแล้ว’  

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงหน้ามองเขา “นายคบกับคุณชาย ต่อไปก็จะไม่มีลูก นายจะเสียใจทีหลังไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินด้วยท่าทีสงบนิ่ง เอ่ยถามย้อนกลับ “แล้วคุณล่ะ จะเสียใจทีหลังไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำถามนี้ สีหน้าก็เคร่งขรึม ราวกับกำลังครุ่นคิด ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็พยักหน้าให้ “ควรจะเสียใจทีหลังมั้ง”  

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนประกายวาบ นิ้วมือกำแน่นโดยไม่ตั้งใจ  

ตอนที่ 440 นายอย่าไปนะ  

 

 

           ขณะพูดก็ยังยื่นนิ้วมือที่บาดเจ็บของตัวเองยื่นมาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน เอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจ “นิ้วฉันบาดเจ็บอยู่ไง เจ็บมากๆ เลย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นอย่างนี้ก็หยุดชะงักไปเพียงไม่กี่วินาที สุดท้ายเอื้อมมือไปหิ้วปูที่กำลังเตรียมจะหนีขึ้นมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินตาลุกวาว รีบตามมาอยู่ข้างหลังของซือเหยี่ยน  

 

 

           “พี่ชาย…นายนี่เป็นคนดีจริงๆ”  

 

 

           ขมับของซือเหยี่ยนกระตุกแล้วกระตุกอีก เขาไม่พูดอะไร แล้วเดินเข้าไปในโรงอาหาร  

 

 

           เวลานี้ในโรงอาหารไม่มีใครสักคน เจียงมู่เฉินคิดอยู่ในใจ  ถ้ามีคนอยู่ก็แปลกแล้ว เขาอุตส่าห์เลือกเวลามาอย่างดี  

 

 

           ‘ถ้าไม่อย่างนั้นจะมาเปิดเตาในโรงอาหารได้ยังไง’  

 

 

           ร่างกายสูงใหญ่ของซือเหยี่ยนโค้งลงเล็กน้อย เขายื่นอยู่ต่อหน้าอ่างล้างจานล้างปูให้เจียงมู่เฉิน  

 

 

           ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินไปหาเมล็ดแตงโมมาจากไหน เขานั่งลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ นั่งขัดสมาธิทำหน้าเอ้อระเหยลอยชายมองดูซือเหยี่ยนขัดกระดองปูด้วยแปรง  

 

 

           “ซือเหยี่ยน ทางขวา ทางขวา…ตรงนั้นก็ต้องขัดให้สะอาดนะ…  

 

 

           …ทางซ้ายด้วย ทางซ้าย…”  

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองปูตัวนั้นไป เอ่ยปากไม่หยุด  

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำในมือลงกะทันหัน หันมามองเจียงมู่เฉิน แสดงท่าทีให้รู้ว่า ‘ถ้ายังพูดอีก เขาจะไม่ทำแล้ว’  

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบปิดปากทันที ไม่กล้าพูดออกมาสักคำ  

 

 

           ‘ถึงยังไงกว่าจะได้มานั้นช่างยากเย็น ถ้าหากทำให้เขาไม่พอใจแล้วเขาล้มเลิกไม่ทำต่อขึ้นมา ก็ขาดทุนหนักแล้วงานนี้’  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาไม่พูดแล้ว เวลานี้ถึงได้หันหน้ากลับไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางที่ไม่เป็นมืออาชีพของเขา ก็ชักจะร้อนใจนิดหน่อยแล้ว ตรงบริเวณที่ควรล้างก็ไม่ล้างเลยสักนิด  

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะหวาดกลัวสายตาซือเหยี่ยนเมื่อครู่นี้ เจียงมู่เฉินเปิดปากรัวๆ ใส่ไปตั้งแต่แรกแล้ว  

 

 

           อดทนได้ไม่กี่นาที ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็อดทนต่อไม่ไหวแล้ว  

 

 

           เขาเอ่ยปากเสียงอ่อน “พี่ชาย ให้ฉันพูดสักประโยคได้ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้พูดอะไร แต่หยุดการกระทำลง เจียงมู่เฉินก็เข้าใจได้ในพริบตา ความหมายคือเขาอนุญาตแล้ว  

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงรีบเอ่ยต่อ “ซือเหยี่ยน นายขัดตรงก้ามปูจะได้ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มลงมือก้ามปูที่ตัวเองมองข้ามตลอด ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาก็ขัดตามที่บอกทันที  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ฝีมือการขัดปูของพี่ชายไม่เลวจริงๆ”  

 

 

           ในที่สุดซือเหยี่ยนก็หาเคล็ดลับเจอ เขารีบลงมือล้างปูตัวใหญ่สองตัวให้สะอาด หลังจากนั้นก็เอาใส่ลงหม้อที่อยู่ข้างๆ  

 

 

           ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ซือเหยี่ยนก็เช็ดมือจะเดินออกไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแบบนี้แล้ว ก็รีบเอื้อมมือไปกอดเอวซือเหยี่ยนไว้  

 

 

           ซือเหยี่ยนชะงักงันไปชั่วขณะ ร่างกายแข็งทื่อไปทั้งตัว สายตาที่มองเจียงมู่เฉินเจือความตะลึงงันอยู่ในนั้น  

 

 

           แต่มีหรือที่เจียงมู่เฉินจะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของซือเหยี่ยน เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยน พร้อมทำหน้าทำตาหน้าสงสาร “ซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยน นายอย่าไปนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนฉีกมุมปากขึ้น “ไม่ไป แล้วจะอยู่ที่นี่ทำอะไร”  

 

 

           “พี่ชาย ช่วยส่งพระทั้งที ก็ต้องส่งให้ถึงเมืองทางตะวันตก [1]  เดี๋ยวอีกสักพักนายแกะปูให้ฉันสักหน่อยสิ”  

 

 

           มุมปากซือเหยี่ยนกระตุกแล้วกระตุกอีก ที่แท้เมื่อยอมตกลงรับปากเจียงมู่เฉินเรื่องหนึ่งแล้ว ต่อจากนั้นจะมีเรื่องอีกมากมายตามมาเป็นพรวนจริงๆ  

 

 

           “ไม่ทำ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยื่นมือมากอดเอวซือเหยี่ยนไว้อย่างเอาเป็นเอาตายไม่ยอมปล่อย “ฉันยังเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจนพิการคนหนึ่ง นายใจแข็งเห็นฉันได้แต่มองปูนึ่งแต่กลับกินไม่ได้ได้ลงคอเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนอยากดึงมือเจียงมู่เฉินออก แต่เจียงมู่เฉินกอดแน่นมากถึงขั้นสุด ไม่ปล่อยมืออยู่แล้ว  

 

 

           ยิ่งซือเหยี่ยนดึงออก เจียงมู่เฉินยิ่งกอดรัดตัวซือเหยี่ยนมากขึ้น  

 

 

           เพียงไม่นานคนทั้งคนก็ติดสอยอยู่บนร่างของซือเหยี่ยน  

 

 

           เจียงมู่เฉินโอบกอดคอของซือเหยี่ยนไว้ด้วยท่าทีไม่ยอม ทั้งตัวเกี่ยวรั้งอยู่ข้างบน “พี่ชาย นายช่วยฉันหน่อยนะ”  

 

 

           ทั้งใจเจียงมู่เฉินคิดถึงแต่เรื่องอยากให้ซือเหยี่ยนช่วยเขาแกะปู ดังนั้นจึงไม่ได้คิดถึงตอนนี้ที่พวกเขาเป็นแบบนี้ คนข้างๆ เห็นก็ดูเหมือนพวกเขาสนิทสนมกันมาก  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมือขึ้นมาดึงมือเขาที่เกี่ยวคอตัวเองอยู่ “ปล่อย”  

 

 

 

 

 

[1]   ช่วยส่งพระทั้งที ก็ต้องส่งให้ถึงเมืองทางตะวันตก  สำนวนนี้มีความหมายว่า คิดจะช่วยใคร ก็ควรช่วยให้ถึงที่สุด อุปมาเหมือนช่วยส่งพระ ก็ส่งให้ถึงเมืองทางตะวันตก ซึ่งหมายถึง ชมพูทวีป (อินเดีย) ดินแดนแห่งพุทธศาสนา ที่พระถังซำจั๋งเดินทางไปนำพระไตรปิฎกกลับมาเผยแพร่ในประเทศจีน  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 441 พี่ชาย ช่วยฉันแกะสิ  

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัวสุดชีวิต “ไม่ปล่อย ตีให้ยังไงคุณชายก็ไม่ปล่อย”  

 

 

           อาจเพราะเจียงมู่เฉินไร้เหตุผลจนเกินไป ซือเหยี่ยนหาวิธีจัดการเขาไม่ได้เลยสักนิด สุดท้ายต้องจำใจออกปาก “คุณปล่อย แล้วผมจะแกะให้คุณ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินตาลุกวาว “พูดจริงนะ ไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม”  

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ “ไม่หลอก”  

 

 

           เวลานี้เองเจียงมู่เฉินถึงได้ปล่อยขา กระโดดลงไปจากตัวซือเหยี่ยน เขาเพิ่งจะยืนทรงตัวได้ก็ยื่นมือที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวสีม่วงจากการฟกช้ำยื่นมาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน “นายดูสิ เป็นแบบนี้ไปแล้ว”  

 

 

           บวมขึ้นกว่าปกติขึ้นเท่าตัว เห็นแบบนี้แล้ว ดูน่าสงสารอยู่บ้างจริงๆ  

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนหยุดลงที่นิ้วมือของเจียงมู่เฉิน รีบมองดูแวบหนึ่ง แล้วหลบสายตาหนีอย่างรวดเร็ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยถามด้วยความตัดพ้อ “เป็นยังไงบ้าง น่าเวทนามากใช่ไหม ฉันไม่ได้หลอกนายเลยนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนจัดแจงเสื้อผ้าที่ถูกเจียงมู่เฉินทำยับสักพัก ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “อืม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูใบหน้าแสนเย็นชาของซือเหยี่ยน แล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ บุคลิกเช่นนี้ของซือเหยี่ยน เกรงว่าจะไม่มีใครคิดไม่ตกแล้วมาชอบเขาเข้าได้  

 

 

           ยังดีที่ตัวเองใครเห็นใครก็รัก วันข้างหน้าไม่ต้องทุกข์ใจเรื่องนี้เหมือนซือเหยี่ยน  

 

 

           บรรยากาศเงียบงัน เจียงมู่เฉินไม่เอ่ยปาก ซือเหยี่ยนก็จะไม่เป็นฝ่ายพูดเอง  

 

 

           ทั้งสองคนเงียบกันไปกันมาเช่นนี้  

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้เจียงมู่เฉินเจ้าหมอนี่ชอบความคึกคัก เงียบงันแค่แป๊บเดียวก็รู้สึกไม่สบายแล้ว  

 

 

           ด้วยเหตุนี้เงียบปากได้ไม่ถึงห้านาที เจียงมู่เฉินก็ทนไม่ไหวเอ่ยปากถามขึ้นมา “ซือเหยี่ยน ตั้งแต่เล็กนายก็เป็นแบบนี้เหรอ วันนึงพูดไม่ถึงห้าประโยคงี้?”  

 

 

           ถึงแม้ว่าพ่อแม่พวกเขาจะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่พวกเขาสองคนไม่ได้คลุกคลีกัน ไม่ชอบหน้ากันมาตลอด ดังนั้นสำหรับความทรงจำก่อนหน้านี้ของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินค้นหารีดข้อมูลจากในสมองออกมาไม่ได้เยอะเท่าไหร่จริงๆ  

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “แล้วคุณล่ะ พูดมากขนาดนี้ตลอดเลย?”  

 

 

           ประโยคที่ว่า ‘พูดมาก’ ตบเข้าสมองเจียงมู่เฉินจะๆ เขาอดไม่ได้ที่จะลูบจมูกปอยๆ ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้  

 

 

           ‘เขา…พูดมากเหรอ’  

 

 

           คุณชายน้อยเจียงใช้ชีวิตจนโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครบอกว่าเขาพูดมากมากก่อน เพิ่งจะมีสดๆ ร้อนๆ ก็ตอนนี้เอง  

 

 

           เขาเคลื่อนตัวจากโต๊ะ เข้าใกล้ซือเหยี่ยนอีกนิด ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ฉันพูดมากจริงๆ เหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง แสดงท่าที ‘รู้แล้วยังแกล้งถาม’  

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง ยิ้มหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม “ซือเหยี่ยน นายไม่ชอบคนอื่นพูดมากใช่ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนก็ยังคงแสดงท่าที ‘รู้แล้วยังแกล้งถาม’ อีก  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเบาๆ อดจะคิดในใจไม่ได้ ในเมื่อซือเหยี่ยนไม่ชอบคนพูดมาก ยังหวังจริงๆ ว่าวันข้างหน้าซือเหยี่ยนจะหาภรรยาเป็นคนพูดมากคนหนึ่งได้  

 

 

           แล้วพูดทั้งวันทำให้ซือเหยี่ยนหงุดหงิดตาย  

 

 

           เพียงแค่คิดได้อย่างนี้ เจียงมู่เฉินอดจะยิ้มหัวเราะออกมาไม่ได้ คนทั้งคนนั่งบนโต๊ะหัวเราะคิกคัก  

 

 

           ซือเหยี่ยนเชิดตามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง เหมือนท่าทีตอบสนองแบบนี้ของเขาเห็นว่าแปลกจนไม่แปลกแล้ว  

 

 

           ไม่พูดจาสักคำ พิงอยู่บนโต๊ะข้างๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะไปพักหนึ่ง ถึงค่อยๆ หยุดลง พอคิดถึงว่าหลังจากนี้ซือเหยี่ยนจะโกรธจนระเบิดลง แต่กลับทำให้อีกฝ่ายตายไม่ได้ ในใจก็รู้สึกสบายๆ ขึ้นมา  

 

 

           ขณะที่เจียงมู่เฉินกำลังวาดภาพในจินตนาการครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่นั้น ซือเหยี่ยนก็ยืนขึ้นมากะทันหัน เขาเดินไปอยู่ต่อหน้าหม้อนึ่งปู ยื่นมือไปเปิดฝาออก  

 

 

           ทันทีหลังจากนั้นก็คีบปูออกมาวางใส่จาน แล้วยกมาวางต่อหน้าเจียงมู่เฉิน  

 

 

           “อะนี่”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นปูขนตัวใหญ่สีแดงสด น้ำลายแทบจะไหลลงมาแล้ว  

 

 

           เขามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่งทันที  

 

 

           ซือเหยี่ยนทำหน้าเย็นชามองเจียงมู่เฉินกลับมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินรออยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นซือเหยี่ยนทำอะไรสักที จึงรีบพูดขึ้น “พี่ชาย ช่วยฉันแกะสิ”  

ตอนที่ 438 ความชอบส่วนตัว  

 

 

           แต่เจียงมู่เฉินกลับไม่ได้สังเกตเห็นเลยสักนิด ยังตกอยู่ในห้วงความคิดที่ประมวลผลว่าซือเหยี่ยนเป็นคนดีอยู่  

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดไปพูดมาก็รู้สึกว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่เป็นมีน้ำใจจริงๆ เขาอดจะเดินเข้าไปหาแล้วโอบไหล่ซือเหยี่ยนไม่ได้ “ต่อไปพี่ชาย ฉันมีเนื้อแล้วรับรองเลยว่าจะพานายไปดื่มซุป”   

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง ดึงมือเจียงมู่เฉินที่โอบไหล่ตัวเองลง   

 

 

           แววตามืดลงเล็กน้อยแฝงความนัย “ผมกลัวว่าวันหลังคุณจะไม่อยากให้ดื่มซุปเนื้อแล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดในใจว่าต่อไปอยากจะพาซือเหยี่ยนเจริญก้าวหน้า  เพียงแค่เรื่องดื่มซุปเนื้อเอง เขาจะใจแคบขนาดนั้นที่ไหนกัน  

 

 

           ด้วยเหตุนี้มือใหญ่จึงโบกสะบัดมาเต็มแรง “วางใจเถอะ พี่ชาย ฉันพูดคำไหนคำนั้น”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน แววตาทอประกายรอยยิ้ม  

 

 

           รอวันหน้าเจียงมู่เฉินโดนเขาจับกดจับกินแล้ว ถึงตอนนั้นยังหวังว่าเขาจะสบายๆ แบบนี้ได้  

 

 

           ……  

 

 

           ซือเหยี่ยนเก็บความรู้สึกกลับมา เห็นเจียงมู่เฉินที่จ้องมองตัวเองด้วยใบหน้าสงสัยใคร่รู้ เขาก็กุมขมับเงียบๆ  

 

 

           “ความชอบส่วนตัว”  

 

 

           คำสี่คำนี้พูดออกมาอย่างเรียบๆ ไม่ช้าและไม่เร็ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูใบหน้าซือเหยี่ยนที่แสนเย็นชา ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง นอกจากหน้าตาหล่อแล้ว ก็ไม่ได้มีตรงไหนพิเศษ  

 

 

           ‘ตัวเองคิดยังไงก็คิดไม่ตกว่าทำไมถึงชอบเจ้าก้อนหินแข็งทื่อนี้ได้…  

 

 

           …ชอบเข้าให้แล้วก็ช่างเถอะ ยังมาโดนเขากินไม่เหลืออีก จะพลิกตัวก็พลิกไม่ไหว’  

 

 

           มุมปากเจียงมู่เฉินกระตุกแล้วกระตุกอีก รู้สึกว่าตัวเองอาจจะมีความสามารถทนรับความทรมานแฝงมา ดังนั้นถึงได้ชอบซือเหยี่ยนผู้ชายที่เข้าถึงยากมากขนาดนี้ได้  

 

 

           ที่ชั้นล่างของคฤหาสน์ เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือเตรียมอาหารเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เห็นทั้งสองคนยังไม่ลงมา ก็อดจะเอ่ยตะโกนเรียกไม่ได้ “ซือเหยี่ยน เฉินเฉิน ลงมากินข้าวกันได้แล้วลูก”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเก็บอารมณ์ลงไป เขาเอื้อมมือดึงเจียงมู่เฉินขึ้นมาจากโต๊ะข้างๆ “ไป ลงไปกินข้าวกันเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้าเดินลงไปกับซือเหยี่ยน ที่ชั้นล่างมีกลิ่นหอมหวนโชยมา เดิมทีเจียงมู่เฉินยังไม่รู้สึกหิว แต่พอพ้นประตูมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก็รู้สึกว่าหนอนตะกละที่ถูกเกี่ยวอยู่จะออกมาหมดแล้ว  

 

 

           เขาทนไม่ไหวสูดกลิ่นอาหารเข้าไป ซือเหยี่ยนเก็บการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเขาไว้ในสายตา เอียงหน้ามองแล้วยกมุมปากขึ้นนิดหน่อย  

 

 

           ทั้งสองคนเดินลงมาถึงชั้นล่าง เหวินฮุ่ยและคุณพ่อซือนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เจียงมู่เฉินเห็นดังนั้นก็เร่งฝีเท้ารีบเดินเข้าไป  

 

 

           เดินไปสองสามก้าวก็ถึงแล้ว ถึงแม้ว่าเขาคุณชายน้อยเจียงจะหุนหันพลันแล่น ทั้งยังเย่อหยิ่งทะนงตัว แต่สุดท้ายอย่างไรก็ยังเป็นคนที่รู้จักมารยาทอยู่  

 

 

           ตามความสัมพันธ์ของเขากับซือเหยี่ยนแล้ว พ่อแม่ของซือเหยี่ยนก็ถือว่าเป็นพ่อแม่ของเขาครึ่งหนึ่ง  

 

 

           ในฐานะลูกหลานถือเป็นสิ่งที่ควรพึงกระทำเพื่อให้ความเคารพ  

 

 

           เจียงมู่เฉินและซือเหยี่ยนนั่งลงอยู่ฝั่งตรงข้ามทั้งสองคน เจียงมู่เฉินนั่งอยู่ต่อหน้าเหวินฮุ่ยพอดี  

 

 

           เมื่อเหวินฮุ่ยเห็นเจียงมู่เฉิน นัยน์ตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที ราวกับชอบเจียงมู่เฉินอย่างโดนใจเข้าอย่างจัง  

 

 

           เจียงมู่เฉินหน้าหนาหน้าทน แต่โดนเหวินฮุ่ยมองอย่างนี้ ก็ชักจะเขินอายบ้างแล้ว  

 

 

           เขาเอื้อมมือไปหยิบแก้วชาขึ้นมาดื่มคำหนึ่งเพื่อกลบเกลื่อน  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองความอึดอัดใจของเจียงมู่เฉินออก เขาเงยหน้ามองเหวินฮุ่ยแวบหนึ่ง เหวินฮุ่ยเห็นสายตาห้ามปรามของลูกชายตัวเอง ก็เข้าใจในทันใด  

 

 

           เธอหัวเราะเบาๆ คีบปูให้เจียงมู่เฉิน “เฉินเฉิน น้ารู้ว่าเราชอบกินอันนี้ที่สุด ตั้งใจให้อาเขาหาคนส่งมาให้ ทั้งหมดนี้เป็นปูตามฤดูกาลที่สดใหม่ที่สุดเลยนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับทันที พ่อแม่ซือเหยี่ยนดีกับเขา เขายังไม่ทันตั้งรับนิดหน่อย  

 

 

           มีความรู้สึกได้รับความรักความเมตตามากเกินไปจนประหลาดใจมาเสมอ ถึงอย่างไรในภาพความคิดของเขา พ่อแม่ซือเหยี่ยนควรจะเกลียดเขามากเป็นพิเศษถึงจะถูกต้อง  

 

 

           มีหรือจะจินตนาการได้แบบนี้ เป็นการต้อนรับอย่างคาดไม่ถึง  

 

 

           เขามองดูปูในชาม ชิ้นใหญ่มาก เป็นปูเกรดพรีเมียมอย่างเห็นได้ชัด เขาเพิ่งจะเตรียมยื่นมือไปแกะปู ด้างข้างก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาหยิบปูตัวนี้ไป  

 

 

 

 

 

        ตอนที่ 439 สิบนิ้วเชื่อมใจ  

 

 

เจียงมู่เฉินมองตามเข้าไป ก็เห็นซือเหยี่ยนทำหน้าเรียบเฉย ในมือนั้นถือปูที่เพิ่งหยิบออกมาจากชามของเจียงมู่เฉินอยู่  

 

 

เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อะไรกัน ซือเหยี่ยนคงจะไม่ใช่ว่ารู้สึกว่าแม่เขาดีกับตัวเองเกินไปเลยหึงหรอกใช่ไหม  

 

 

ดังนั้นถึงได้อยากจะหยิบแม้แต่ปูในชามของเขาไป  

 

 

ได้เห็นเพียงแค่ซือเหยี่ยนใช้มือจับปูแยกชิ้นส่วน เอาส่วนที่กินไม่ได้ออกทั้งหมดอย่างคล่องแคล่วเสร็จสรรพ ทันทีหลังจากนั้นถึงค่อยวางกระดวงปูพร้อมตัวปูลงในชามของเจียงมู่เฉิน  

 

 

เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น เหมือนเจียงมู่เฉินโดนฟ้าฝ่าลงมาอย่างไรอย่างนั้น คนทั้งคนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น  

 

 

สมองที่กำลังมึนๆ งงๆ อยู่นั้น จู่ๆ ก็มีภาพภาพหนึ่งประกายวาบขึ้นมา  

 

 

ตอนนั้นพวกเขาเพิ่งจะเข้าโรงเรียนฝึกตำรวจ เจียงมู่เฉินไม่คุ้นชินกับอาหารในโรงเรียนฝึกตำรวจ แล้วก็ไม่รู้ว่าไปเอาปูตัวใหญ่สองตัวนั้นมาจากไหน  

 

 

มือข้างหนึ่งหิ้วปูมา ย่องเบามุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร  

 

 

ใครจะเคยคิดว่าเดินๆ อยู่ก็เจอเข้ากับซือเหยี่ยนพอดี ซือเหยี่ยนเหมือนอัจฉริยะสมองกล มองแวบแรกก็เห็นเจียงมู่เฉินเก็บซ่อนปูไว้ข้างหลัง  

 

 

กำลังอยากจะพูดจา ก็เห็นสีหน้าเจียงมู่เฉินเปลี่ยนกะทันหัน ร้องเรียกเขาอย่างกระวนกระวาย “ซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยน มาเร็ว”  

 

 

ซือเหยี่ยนยังคงอยู่ที่เดิม ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา  

 

 

เจียงมู่เฉินร้องเรียกอีกครั้ง “พี่ชาย พี่ซือเหยี่ยน ช่วยด้วย”  

 

 

ที่แท้ปูตัวนั้นหนีบเข้าที่นิ้วมือของเจียงมู่เฉินพอดี เขาเจ็บปวดดิ้นพล่านไปทั่ว  

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นเหตุการณ์แล้ว ก็รีบเข้าไปคว้าตัวเจียงมู่เฉินที่ดิ้นพล่านเอาไว้ แล้วหยิบปูออกจากมือเจียงมู่เฉินด้วยความระมัดระวัง  

 

 

แต่มือเจียงมู่เฉินถูกหนีบจนเขียวช้ำแล้ว เจ็บจนต้องสูดปากผ่อนลมหายใจ แม้แต่ขอบตาก็แดงก่ำไปหมดแล้ว  

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นสภาพเช่นนั้น เสียงต่ำก็เอ่ยถาม “เจ็บขนาดนี้เชียว”  

 

 

ฝึกกับเจียงมู่เฉินมาตั้งนานขนาดนี้ ไม่เคยเห็นขอบตาเจียงมู่เฉินแดงก่ำมาก่อน แล้วครั้งนั้นก็ไม่ใช่ช่วงที่กัดฟันฝึกกันมาด้วย  

 

 

แต่วันนี้กลับถูกปูตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งทำเอาเกือบจะร้องไห้ออกมาได้  

 

 

ขอบตาเจียงมู่เฉินแดงก่ำ ใบหน้างามละเอียดได้รูปปรากฏความรู้สึกน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

“สิบนิ้วเชื่อมใจ เข้าใจไหม”  

 

 

ซือเหยี่ยนไม่เข้าใจว่า ‘สิบนิ้วเชื่อมใจ’ นี้เจ็บแค่ไหน แต่ว่าเขามองดูใบหน้าของเจียงมู่เฉิน พลางเอ่ยเสียงต่ำ “งั้นให้ผมเอาไปทิ้งให้คุณไหม”  

 

 

พอเจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘ทิ้ง’ ก็ร้อนรนทันที “ไม่ได้ จะทิ้งได้ยังไงกัน”  

 

 

‘กว่าจะได้มาไม่ใช่ง่ายๆ อยากจะเปิดเตาเล็กๆ ให้ตัวเอง จะพูดว่าทิ้งได้ที่ไหนกัน’  

 

 

ซือเหยี่ยนมองปูในมือ แล้วมามองเจียงมู่เฉิน “มือบาดเจ็บแล้วไม่ใช่เหรอ ยังจะกินอยู่อีก?”  

 

 

“กินๆๆ ต้องกินอยู่แล้ว เพื่อมัน ฉันเจ็บตัวแล้ว ไม่กินเสียของแย่”  

 

 

ซือเหยี่ยนกุมขมับแล้ว รู้สึกว่าความคิดนี้ของเจียงมู่เฉิน เขาไม่อ่านไม่ขาดจริงๆ   

 

 

ในเมื่ออ่านไม่ขาด เขาก็ไม่อยากจะอ่านต่อแล้ว เขาเตรียมยื่นมือส่งปูกลับไปให้เจียงมู่เฉิน  

 

 

ใครจะคิดว่าพอเจียงมู่เฉินถูกปูหนีบแล้ว จะกลัวแบบจะเป็นจะตายให้ได้ ไม่กล้าเข้าใกล้โดยสิ้นเชิง  

 

 

เขาหลบไปไกลด้วยท่าทางน่าสงสาร จ้องมองปูที่อยู่ในมือของซือเหยี่ยน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง “พี่ใหญ่ พี่ชาย…พี่ซือเหยี่ยน…ฉันกลัว…”  

 

 

เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำว่า ‘กลัว’ ออกจากปากเจียงมู่เฉิน ข้างหน้านั้นยังมีคำว่า ‘พี่ชาย’ ต่อกันอีก มุมปากซือเหยี่ยนกระตุกแล้วกระตุกอีก  

 

 

เขากวาดสายตามองปูในมือแวบหนึ่ง แล้วมามองเจียงมู่เฉิน เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “งั้นจะให้ทำยังไง”  

 

 

นัยน์ตาดอกท้อของเจียงมู่เฉินลุกวาว เขาจ้องมองซือเหยี่ยน เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ซือเหยี่ยน ช่วยคนทั้งทีก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ถือโอกาสนี้ล้างปูนึ่งปูให้ฉันไปเลยสิ”  

 

 

ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงมองปู จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาปฏิเสธข้อเสนอนี้  

 

 

‘ให้เขานึ่งปูให้เจียงมู่เฉินเหรอ’  

 

 

ซือเหยี่ยนต้องไม่ยอมอยู่แล้ว  

 

 

เขาเอาปูวางลงบนโต๊ะด้านข้าง หันกลับอยากจะเดินออกไป แต่ข้างหลังก็มีแรงแรงหนึ่งรั้งเขาไว้ให้อยู่ที่เดิม เดินไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง  

 

 

ซือเหยี่ยนหันกลับไปมองอีกครั้ง ก็เห็นเจียงมู่เฉินทำหน้าทำตาน่าสงสารจ้องมองเขา “ซือเหยี่ยน นายไม่คิดจะช่วยฉันจริงๆ เหรอ”  

ตอนที่ 436 ความรู้สึกแปลกประหลาด  

 

 

           ‘คนแบบนี้จะไปหาได้ที่ไหน’  

 

 

           ยิ่งไปกว่านั้น ความรักความผูกพันที่เขามีต่อซือเหยี่ยนก็จะไม่ได้น้อยกว่าที่ซือเหยี่ยนมีให้เช่นกัน  

 

 

           เหวินฮุ่ยมองคุณพ่อซือแล้วถอนหายใจเบาๆ “ดูท่าว่าเจ้าลูกชายคบกันกับเฉินเฉิน ต่อจากนี้พวกเราก็วางใจได้แล้วนะคะ”  

 

 

           รอยยิ้มปรากฏในแววตาของคุณพ่อซือ เขาเอื้อมมือไปโอบกอดเหวินฮุ่ยเอาไว้ “ลูกมีความสุขก็ดีแล้วครับ”  

 

 

           เหวินฮุ่ยเก็บกล่องให้สภาพคงเดิมด้วยความระมัดระวังราวกับเป็นของรักของหวง แล้วหยิบกล่องของคุณพ่อเจียงไปเก็บไว้ด้วยกันที่ห้องนอน   

 

 

           เมื่อเธอจะไป ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับกับคุณพ่อซือว่า “รีบทำอาหารเร็วๆ นะคะคุณ เดี๋ยวฉันมา อย่าให้เด็กสองคนต้องหิวรอ”  

 

 

           ดวงตาคู่นั้นที่คุณพ่อซือและซือเหยี่ยนมีความคล้ายกันเอ่อล้นไปด้วยรอยยิ้ม เขาพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมเอ่ยขึ้น “ครับผม”  

 

 

           ในน้ำเสียงนั้นยังเจือความเอ็นดูของเขาด้วย  

 

 

           ……  

 

 

           ซือเหยี่ยนพาเจียงมู่เฉินขึ้นไปยังชั้นบน แล้วพาเข้าห้องของเขาทันที  

 

 

           เมื่อก่อนมีเพียงซือเหยี่ยนที่หน้าไม่อายปีนกำแพงวิ่งมาห้องของเขา ไม่เหมือนเขาที่เดินเข้ามาห้องของซือเหยี่ยนอย่างเปิดเผย  

 

 

           เปรียบเทียบกันขนาดนี้แล้ว เจียงมู่เฉินยังรู้สึกภูมิใจเล็กๆ อย่างบอกไม่ถูก  

 

 

           ยังไม่ทันได้ภูมิใจเสร็จ จู่ๆ ก็ถูกคนดึงตัวไปพร้อมกดร่างแนบไปกับประตู เจียงมู่เฉินตะลึงงันกำลังเตรียมจะพูด ก็เห็นซือเหยี่ยนโน้มตัวเข้ามาใกล้สกัดเขาไว้  

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาประกบจูบแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตัวเองมาเยี่ยมชมดูห้องของเขา ก็ไม่รู้ว่าไปสะกิดโดนจุดไหนของเขา ถึงได้มากดจูบเขาอย่างนี้  

 

 

           ซือเหยี่ยนร้อนแรงจนไม่ไหว ท่าทางดุดันอยู่ไม่น้อยทีเดียว  

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขากดเข้าประตูจนไม่มีแรงจะต้านทาน อีกอย่างต่อให้อยากต่อต้าน ก็ไม่มีแรงจะต้านทานเหมือนเดิม  

 

 

           เขาถอนหายใจเงียบๆ ผ่อนคลายร่างกาย ปล่อยให้ซือเหยี่ยนกดตัวเองเอาไว้  

 

 

           รู้ว่าซือเหยี่ยนจูบเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ปล่อย เจียงมู่เฉินหายใจหอบเล็กน้อย เขาสูดหายใจเอาอากาศสดชื่นเข้าไปเฮือกใหญ่ เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “จู่ๆ นายมาจูบฉันทำไม”  

 

 

           ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนฉายสะท้อนความสับสนในอารมณ์ เขาจ้องมองเจียงมู่เฉิน นัยน์ตานั้นทอประกายความรู้สึกที่เจียงมู่เฉินมองไม่เข้าใจ  

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงจูบเจียงมู่เฉิน เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “ทำยังไงดี อยากห่อคุณวางไว้ข้างกาย ไปไหน ก็เอาไปด้วย”  

 

 

           ขมับของเจียงมู่เฉินกระตุกแล้วกระตุกอีก  เขาปฏิเสธความคิดโรคจิตแบบนี้ของซือเหยี่ยนได้ไหม  

 

 

           แต่พอสบสายตาของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินก็ไร้สิ้นหนทางไปในทันใด พูดคัดค้านไม่ออกสักคำ  

 

 

           ถึงขนาดว่าเขารู้สึกแล้วว่าต่อให้ซือเหยี่ยนอยากจะห่อเขาพาเขาไปจริงๆ ตัวเองก็จะไม่คัดค้านเหมือนเดิม  

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่า  เดี๋ยวนี้ตัวเองชักจะไม่มีเส้นตายแล้ว  

 

 

           ‘แต่พอมาคิดว่ากับซือเหยี่ยนแล้วไม่มีเส้นตายก็ไม่มีเส้นตาย จะเอาเส้นตายไปทำอะไรเยอะแยะ’  

 

 

           “คุณไปซื้อของขวัญมาเมื่อไหร่” ซือเหยี่ยนเอ่ยปากอีกครั้ง  

 

 

           ครั้งนี้เวียนมาถึงเจียงมู่เฉิน เขาไม่กล้าพูดแล้ว คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะซักถามเขาเรื่องนี้ ถึงอย่างไรตอนที่ส่งของขวัญเมื่อครู่นี้ ก็รู้สึกเขินอายนิดหน่อย  

 

 

           ตอนนี้โดนซือเหยี่ยนกดเข้าประตูพร้อมถามละเอียดขนาดนี้ ยิ่งรู้สึกว่าเขินอายถึงขีดสุดแล้ว  

 

 

           เขากะพริบตาปริบๆ อยากจะหลบหนี ไม่อยากจะตอบซือเหยี่ยน  

 

 

           แต่ว่าท่าทีของซือเหยี่ยนแข็งกร้าวไม่ถอยแบบนั้น ราวกับว่าถ้าเขาไม่ตอบ ก็จะกดเขาอยู่อย่างนี้ไม่ปล่อย  

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบงันไม่พูดจาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “เมื่อวานเดินผ่านแล้วซื้อติดมือมาเฉยๆ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง “แค่ติดมือมาจริงๆ เหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาถามจนร้อนรน อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “ตั้งใจ ตั้งใจโอเคหรือยัง”  

 

 

            ต้องการให้เขายอมรับว่าเพื่อจะมาพบพ่อแม่ของซือเหยี่ยนแล้ว ตัวเองตื่นตระหนกจนไม่ไหว ทั้งยังตั้งใจซื้อของขวัญที่เหมาะสมคู่ควร  

 

 

           คำพูดนี้พูดออกมาแล้วรู้สึกเขินอายไปทุกๆ ส่วน  

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดจบ ซือเหยี่ยนก็เงียบงันไม่พูดจากะทันหัน บรรยากาศเงียบสงัดจนไม่ไหว เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่คนตรงหน้าเสร็จ ก็ก้มหน้าลงอย่างหงอยๆ ไม่พูดอะไรสักคำ  

 

 

           ทั้งสองคนต่างไม่พูดจาใดใด ความรู้สึกแปลกประหลาดลอยอบอวลอยู่ในอากาศ  

 

 

                        

 

 

ตอนที่ 437 เขินอายอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

           บรรยากาศอันเงียบสงัดนี้ทำให้แก้มเจียงมู่เฉินร้อนผ่าวขึ้นมา เขาทนไม่ไหวทำเสียงกระดกลิ้นออกมา ตัวเองคงจะไม่ได้เขินอายจนลามขึ้นไปบนใบหน้าหรอกใช่ไหม  

 

 

           พอเจียงมู่เฉินคิดว่าตัวเองหน้าแดงต่อหน้าซือเหยี่ยน มุมปากก็อดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้  

 

 

           ‘เขาคุณชายน้อยเจียงนี่นะ จะมาทำเรื่องหน้าอายแบบนี้ได้ยังไง’  

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่รู้ว่าขณะนี้ที่เขาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน มีหรือจะแค่แก้มแดง เห็นได้ชัดว่า หางตา ใบหูและแก้มกำลังขึ้นสีแดงไปทุกส่วน  

 

 

           โดยเฉพาะใบหูที่แดงระเรื่อ บวกกับที่เขาก้มหน้าลง ใบหูที่แดงนั้นจึงปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาซือเหยี่ยน น่ารักน่าเอ็นดูอย่างเหลือเชื่อ  

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่ายังมีแรงควบคุมตัวเองอยู่บ้างเพียงน้อยนิด คาดว่าเวลานี้ซือเหยี่ยนคงได้จับกดคนแล้วโดนจับตายอยู่ตรงนั้นเลย  

 

 

           เขารออีกสองนาที ซือเหยี่ยนก็ยังไม่เปิดปากพูด  

 

 

           เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว เงยหน้ามองซือเหยี่ยนด้วยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว ก็เห็นแค่เพียงหางตาซือเหยี่ยนแฝงรอยยิ้มจ้องมองเขาอยู่ ความรู้สึกลึกซึ้งที่พูดไม่ออก  

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกเพียงแค่การสะดุ้งตกใจ แม่งเอ๊ย ซือเหยี่ยนยั่วยวนเขาขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ให้อีกก็ไม่ใช่แนวของเขาเจียงมู่เฉินแล้ว  

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงกระชากซือเหยี่ยนเข้ามา แล้วเงยหน้าขึ้นจูบไปทั้งอย่างนี้  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินด้วยความตกตะลึง คงจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะประกบจูบตัวเองกันจะๆ อย่างนี้  

 

 

           เจียงมู่เฉินจูบอย่างควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ หัวใจทั้งดวงราวกับถูกทิ้งเข้าเตาไฟ แผ่ซ่านอุณหภูมิความร้อนที่ทำให้คนร้อนผ่าวได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินอาศัยช่วงที่ตัวเองยังพอคุมสติอยู่ได้ รีบผละตัวออกมา  

 

 

           ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือบ้านของซือเหยี่ยน ถ้าเขาแสดงออกมากเกินไป ก็จะดูเหมือนตัวเองรีบร้อนเกินไปเช่นกัน  

 

 

           เจียงมู่เฉินปล่อยมือ ดันซือเหยี่ยนให้ออกห่าง เขาถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “นายอย่าเข้ามาอีกนะ”  

 

 

           ต่อให้เจียงมู่เฉินไม่พูด ซือเหยี่ยนเองก็จะไม่เข้าไปอีกอยู่แล้ว  

 

 

           ถึงอย่างไรความดึงดูดใจของเจียงมู่เฉินที่มีต่อเขา แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่กล้าจะประเมินค่าต่ำ  

 

 

           ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างเงียบกันอยู่สักพัก เจียงมู่เฉินถึงได้เริ่มสังเกตดูรอบห้องของซือเหยี่ยน  

 

 

           เหมือนกับในคฤหาสน์ของซือเหยี่ยนในตอนนั้นไม่มีผิด เป็นห้องที่ ‘ไม่มีอะไรเลย’ ถึงขั้นสุด นอกจากโต๊ะหนังสือก็ไม่มีของอย่างอื่น  

 

 

           เจียงมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนกลับไปถึงวันวานที่อยู่ในโรงเรียนฝึกตำรวจ ตอนนั้นเหมือนซือเหยี่ยนก็เป็นแบบนี้  

 

 

           ตอนนั้นเขากับซือเหยี่ยนใช้ห้องร่วมกัน ทุกครั้งสิ่งของในห้องจะเป็นของของเขาที่วางกองเต็มไปหมด ตรงกันข้ามเหมือนซือเหยี่ยนจะไม่มีข้าวของอะไรเท่าไหร่นัก  

 

 

           เขาอดไม่ได้ที่จะถามซือเหยี่ยนด้วยความแปลกใจ “ตั้งแต่เล็กๆ นายผ่านชีวิตการเป็นนักบวชที่บำเพ็ญทุกขกิริยาจนชินแล้วใช่ไหม ทำไมในห้องถึงไม่มีข้าวของอะไรเลย”  

 

 

           แต่ว่าตั้งแต่เล็กๆ ซือเหยี่ยนก็เหมือนกันกับเขา  เป็นถูกเลี้ยงดูเอาใจมาจนโต จะมาใช้ชีวิตสมถะขนาดนี้ได้ยังไงกัน  

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินประโยคนี้ แววตาก็สั่นเล็กๆ  

 

 

           “โต๊ะนี้นายไม่ใช้ ให้ฉันยืมใช้หน่อยสิ ข้าวของฉันเยอะ แล้วเดี๋ยวฉันจะเลี้ยงข้าวนายเป็นการชดเชย…  

 

 

           …ซือเหยี่ยน ตู้นี้ของนายก็ว่างตั้งครึ่งหนึ่ง ก็ให้ฉันยืมใช้ด้วยแล้วกันนะ”   

 

 

           สุดท้ายเมื่อเจียงมู่เฉินยึดพื้นที่ของเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว ในที่สุดซ์อเหยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “เจียงมู่เฉิน ทำไมข้าวของคุณถึงเยอะกว่าผู้หญิงอีก”   

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้นด้วยใบหน้าแสนอวดดี “ช่วยไม่ได้ ภาพลักษณ์ดาราหนักเกินไป ถึงยังไงแม่ฉันก็ยังหวังให้ฉันหาลูกสะใภ้กลับไปให้ท่านด้วย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้เอ่ยรับคำพูดของเขาต่อ เขามองดูข้าวของของเจียงมู่เฉินที่วางกองๆ กัน เขากุมขมับอย่างช่วยไม่ได้  

 

 

           วันต่อมา เขาเอาสิ่งของที่ตัวเองไม่ได้ใช้เก็บไปทั้งหมด แล้วแสร้งทำเป็นบังเอิญ พูดกับเจียงมู่เฉิน “ตู้ผมว่างแล้ว คุณอยากใช้ก็ใช้ได้เลยนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินวิ่งเข้าไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ เห็นตู้หลังนั้นที่ว่างแล้ว ก็เอ่ยตะโกนอย่างฮึกเหิม “ซือเหยี่ยน นายนี่เป็นคนดีจริงๆ ต่อไปฉันหาสะใภ้เจอ แล้วจะพาเธอมาขอบคุณนายแน่นอน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหันหลังให้เจียงมู่เฉินอยู่ ได้ยินคำว่า ‘หาสะใภ้เจอ’ แววตาก็ประกายวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง   

ตอนที่ 434 ราวกับไม่ได้กลั่นแกล้ง  

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยออก เอียงหน้ามองก็เห็นเจียงมู่เฉินยังคงทำหน้าทำตาตื่นตระหนกอยู่เหมือนเดิม  

 

 

           เขาเอื้อมมือไปเตรียมจะปลอบขวัญเจียงมู่เฉินสักหน่อย ใครจะคิดว่าจู่ๆ เจียงมู่เฉินจะทำทุกอย่างเสร็จสรรพอย่างรวดเร็ว ปลดล็อคเข็มนิรภัย จากนั้นก็เปิดประตูรถเดินลงไป  

 

 

           ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ไม่มีความลังเลเลยสักนิด  

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วเงียบๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนกัดฟันอยู่นอกรถ  ก็แค่เข้าพบผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอ มีอะไรให้ต้องกลัว  

 

 

           คุณชายน้อยเจียงอย่างเขาอับจนหนทางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  

 

 

           เข้าพบผู้ใหญ่ เขาก็กลัวถึงขนาดนี้  ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปจะไม่ขายหน้าแย่เหรอ  

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองซือเหยี่ยนด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “ไปกันเถอะ”  

 

 

           รัศมีความกล้าหาญไม่ถอยกลับหลังเปล่งประกาย ซือเหยี่ยนเห็นแล้วอยากเปิดเพลง ‘ฉันยังอยากจะมีชีวิตอีกห้าร้อยปีจริงๆ’ ให้เขาเลย  

 

 

           ประตูบานใหญ่ของคฤหาสน์ของครอบครัวซือเหยี่ยนเปิดกว้าง เจียงมู่เฉินเดินและซือเหยี่ยนทั้งสองคนเดินผ่านประตูเหล็กข้างนอก แล้วเดินตามทางเดินเข้ามา  

 

 

           มองแบบผ่านๆ ตอนที่ต้องเดินเข้าไป เจียงมู่เฉินก็ตื่นตระหนกนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

           เขากำมือแน่น กำลังจะเตรียมสูดหายใจเข้าลึกๆ ซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ก็เอื้อมมือมาจูงมือเขาไว้  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงหน้ามอง ก็เห็นดวงตาแต้มรอยยิ้มของซือเหยี่ยนพอดี ไม่รู้ว่าอย่างไร ราวกับสายลมเย็นสบายพัดผ่านมา  

 

 

           ความตื่นตระหนกในหัวใจก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพียงชั่วพริบตาเดียว  

 

 

           นัยน์ตาดอกท้อทอประกายความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เขาไม่มีอะไรต้องกลัว อย่างมากก็แค่ค่อยๆ ฝนไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วสักวันก็จะฝนทั่งให้เป็นเข็มได้  

 

 

           อีกอย่างคุณชายน้อยเจียงอย่างเขาหน้าตาโดดเด่น รูปร่างดีเลิศ ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีตรงไหนไม่เลิศเลอสมบูรณ์แบบ  

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกมั่นใจในตัวเอง ถึงแม้ไรขนบนตัวเขาจะลุกซู่ เขาก็ยังเยี่ยมยอดอยู่  

 

 

           คิดฟุ้งซ่านมาตลอดทาง จนทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องรับแขก  

 

 

           ข้างในไม่มีคน เจียงมู่เฉินชะงักงันไปครู่หนึ่ง  คงจะไม่ใช่ว่ารู้ว่าเขาจะมา ขี้เกียจเจอหน้าเขาเลยหนีกันไปหรอกใช่ไหม  

 

 

           เขาเพิ่งจะคิดเงยหน้ามองซือเหยี่ยน ก็ได้ยินเสียงดังมาจากในห้องครัว  

 

 

           “อันนี้ๆ ปูก็นึ่งแล้ว ปูตามฤดูที่เฉินเฉินชอบกินที่สุด…  

 

 

           …ใช่แล้ว ยังมีกุ้งมังกรนี้อีก คุณมาเลยค่ะ อย่าให้ฉันขายหน้าเด็ดขาด”  

 

 

           เหวินฮุ่ยยืนอยู่ในห้องครัวชี้นิ้วออกคำสั่งคุณพ่อซือให้ทำโน่นทำนี่   

 

 

           คุณพ่อซือผู้สูงส่งขนาดนั้น อยู่ในห้องครัวใส่ผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้เล็กๆ เจียงมู่เฉินเห็นแล้ว หางตาก็กระตุกขึ้นมา  

 

 

           ‘ถ้าเขาเดาไม่ผิดคนที่ใส่ผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้เล็กๆ นี้ควรจะเป็นแม่ของซือเหยี่ยนใช่ไหมล่ะ…  

 

 

           …อีกอย่างที่สำคัญคือพวกเขาควรจะคิดหาวิธีกลั่นแกล้งเขาถึงจะถูกต้องไม่ใช่เหรอ ทำไมยังลงมือเข้าครัวด้วยตัวเองนึ่งปูให้เขากินอีก’  

 

 

           เจียงมู่เฉินงุนงงนิดหน่อย รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา  

 

 

           ทั้งสองคนยืนอยู่หน้าประตูอยู่ตั้งนานสองนาน คนที่อยู่ข้างในก็ยังไม่รู้ตัวว่าพวกเขามาแล้ว ในห้องครัวมีเสียงพวกเขาพูดคุยกันดังออกมาอยู่ตลอดเวลา  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “พ่อครับ แม่ครับ…เฉินเฉินมาแล้วครับ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนอยู่ข้างๆ ยามซือเหยี่ยนเอ่ยปากก็เต็มไปด้วยความติดตลก เขาอดจะเงยหน้ามองซือเหยี่ยนไม่ได้ แต่กลับเห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของเขา ดูเหมือนจะอารมณ์ดีมากทีเดียว  

 

 

           ในที่สุดเสียงของซือเหยี่ยนนี้ก็ทำให้คนสองคนในห้องครัวตกใจ เหวินฮุ่ยมีปฏิกิริยาตอบสนองมาก่อน เธอยิ้มทันทีแล้วเดินออกมา  

 

 

           “ทำไมไม่บอกแม่ก่อนล่ะ แม่จะได้ออกไปรับพวกลูกด้วยตัวเอง”  

 

 

           เหวินฮุ่ยเช็ดมือ แล้วส่งมือมาจับมือเจียงมู่เฉินไว้ “เฉินเฉินมาแล้ว น้ากับอากำลังทำอาหารให้เฉินเฉินอยู่เลย”  

 

 

           คุณพ่อซือเองก็เดินออกมาจากห้องครัว ใบหน้าเขาไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากมาย แต่ในดวงตาเจือรอยยิ้มอย่างเห็นได้ชัด  

 

 

           จุดนี้ซือเหยี่ยนเหมือนพ่อของเขามาก สีหน้าดูเย็นชา ดวงตาคู่นั้นเป็นเอกลักษณ์ที่ข้างในซ่อนรอยยิ้มอยู่  

 

 

           “เฉินเฉินมาแล้ว”  

 

 

           สถานการณ์นี้ไม่เหมือนในจินตนาการโดยสิ้นเชิง เจียงมู่เฉินตื่นตะลึงที่ได้รับอบอุ่นอย่างคาดไม่ถึง  

 

 

           เดิมทียังกังวลว่าพ่อแม่ซือเหยี่ยนจะไม่ต้อนรับ แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่า…จะต้อนรับกันดีอยู่  

 

 

           ‘เดี๋ยวนะ…  

 

 

           …พ่อแม่ซือเหยี่ยนคงจะไม่ใช่ว่ายังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซือเหยี่ยนหรอกใช่ไหม’  

 

 

             

 

 

ตอนที่ 435 ไม่คัดค้านพวกเราเหรอครับ  

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “อาซือ น้าเหวิน สวัสดีครับ”  

 

 

           เหวินฮุ่ยอารมณ์ดีมาก ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มราวกับดอกไม้ที่ใกล้จะบานแย้ม เธอกุมมือเจียงมู่เฉินไว้แน่นสนิท พินิจมองดูตั้งแต่หัวจรดเท้า “เฉินเฉินเด็กคนนี้ดูดีจริงๆ ดูดีกว่าซือเหยี่ยนเยอะเลย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเลิ่กลั่ก เขาเอียงหน้ามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง อยากจะถามซือเหยี่ยนว่าพ่อแม่เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาหรือเปล่า  

 

 

           แต่วันนั้นที่ไปโรงพยาบาลกัน พ่อแม่ซือเหยี่ยนไม่ควรที่จะไม่รู้ได้  

 

 

           ขณะที่เจียงมู่เฉินกำลังคาดเดาอยู่นั้น คุณพ่อซือก็เอื้อมมือมาตบเบาๆ ที่ตัวของเจียงมู่เฉิน “เรื่องของเฉินเฉินกับเสี่ยวเหยี่ยน พวกเราไม่เห็นต่าง วันข้างหน้าถ้าซือเหยี่ยนทำอะไรไม่ถูกต้อง ก็ไม่ต้องเกรงใจเขานะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินตกใจจนขากรรไกรจะหลุดแล้ว  ด่านพ่อแม่ซือเหยี่ยนนี้…ผ่านง่ายขนาดนี้เลยเหรอ  

 

 

           เขาประหลาดใจเล็กน้อย อดจะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “อาซือ น้าเหวิน ไม่ได้คิดที่จะคัดค้านพวกเราเหรอครับ”  

 

 

           ‘คนธรรมดาทั่วไปควรจะต่อต้านแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมพ่อแม่เขาไม่พูดคัดค้านเลย ยังทำหน้าต้อนรับด้วยไมตรีจิตอีก’  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขายามซื่อบื้อ ก็อดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้  

 

 

           ที่แท้สีหน้าอารมณ์ของเฉินเฉินของเขาควรค่าแก่การเอาเก็บไปขบคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนจริงๆ  

 

 

           “ตั้งแต่เราเล็กๆ น้าแทบอยากจะชิงตัวเราจากแม่เรามาเป็นลูกชายของน้าเองด้วยซ้ำ ตอนนี้เฉินเฉินกับซือเหยี่ยนคบกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นลูกชายน้าอีกคนเหมือนกัน น้าดีใจแทบไม่ทัน แล้วจะคัดค้านได้ยังไงกัน”  

 

 

           มุมปากเจียงมู่เฉินอดจะเชิดขึ้นไม่ได้ จิตใต้สำนึกเขาสั่งให้เขากำมือแน่นโดยไม่ตั้งใจ และเวลานี้เองที่เขาค้นพบว่ายังไม่ได้มอบของขวัญที่ตัวเองเตรียมมาตั้งนานให้พวกท่าน  

 

 

           ต่อหน้าซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินดูเหมือนจะเกร็งๆ อยู่บ้างเล็กน้อย เขายื่นกล่องนั้นออกไป “นี่เป็นของขวัญที่ผมตั้งใจซื้อมาเป็นพิเศษ หวังว่าอาซือกับน้าเหวินจะชอบนะครับ”  

 

 

           เหวินฮุ่ยมีความสุขมาก รีบส่งมือไปรับกล่องนั้นมา “เราจะมาก็มาสิ ไม่ต้องเอาของขวัญมาหรอก”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “สมควรเอามาอยู่แล้วครับ”  

 

 

           เหวินฮุ่ยเปิดออกดู ข้างในเป็นกำไลข้อมือหยกเจไดต์สีเขียวมรกต ดูแวบแรกก็รู้ว่าราคาไม่ใช่เบาๆ  

 

 

           คุณพ่อซือเองก็เปิดกล่องออกดู ข้างในเป็นแหวนสวมนิ้วหัวแม่มือที่มีสีเขียวมรกตเช่นเดียวกัน  

 

 

           ทั้งสองคนมองตากันแวบหนึ่ง “นี่คงจะไม่ถูกหรอกใช่ไหม”  

 

 

           ถึงแม้เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือจะลาวงการไปนาน ทั้งยังส่งมอบบริษัทให้ซือเหยี่ยนไปแล้ว แต่รสนิยมและการเห็นแววที่พึงมีก็ยังอยู่ครบ  

 

 

           ของสองชิ้นนี้ ถ้าราคาไม่แตะถึงล้าน ก็ซื้อมาครอบครองไม่ได้อยู่แล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงหน้ามองเข้าไป กำไลข้อมือกับแหวนวงนี้ต่างก็เป็นของชั้นเลิศทั้งนั้น ราคาต้องสูงลิบลิ่วแน่นอน  

 

 

           เขาคิดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินจะแอบไปซื้อของขวัญราคาแพงขนาดนี้มามอบให้พ่อแม่เขา  

 

 

           ในใจก็อ่อนยวบ ถ้าไม่ติดว่าพ่อแม่เขายังอยู่ตรงนี้ เขาคงจะดึงตัวเฉินเฉินมากอดไว้ในอ้อมอกแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกอื่นใด ขอเพียงแต่พ่อแม่ซือเหยี่ยนชอบก็โอเคแล้ว  

 

 

           ถึงอย่างไรพวกท่านก็คือพ่อแม่ของคนที่เขาอยากจะอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิตคนนั้น  

 

 

           เขาส่ายหัว “ไม่กี่ตังหรอกครับ ผมไปเห็นเขาพอดี คิดว่ามอบให้อาซือกับน้าเหวินต้องเข้ากันมากแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าอาซือกับน้าเหวินจะชอบหรือเปล่า”  

 

 

           เหวินฮุ่ยกะพริบดวงตาที่เจ็บปวด พลางรีบเอ่ยออกมา “ชอบสิ ชอบสิ น้าชอบจนไม่ไหวแล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแบบนี้ถึงได้โล่งใจไปที รู้สึกไม่ตื่นตระหนกขนาดนั้นแล้ว  

 

 

           เหวินฮุ่ยถือกล่องใบนั้นด้วยความติดใจจนวางไม่ลง ดูอยู่ตั้งนานสองนานถึงเพิ่งจะมาพูดกับซือเหยี่ยนได้ “ลูกพาเฉินเฉินเดินดูรอบๆ ก่อนนะ แม่กับพ่อลูกจะไปทำอาหารต่อ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “ครับ ผมจะพาเขาไปดูรอบๆ”  

 

 

           เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือกลับไปยังห้องครัว ซือเหยี่ยนก็พาเจียงมู่เฉินขึ้นไปชั้นบน  

 

 

           เหวินฮุ่ยมองไปตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉิน แล้วก็มามองกล่องที่อยู่ในมือ พวกเขาใช้ชีวิตมาหลายปี ได้รับของขวัญราคาแพงตั้งมากมาย  

 

 

           แต่ไม่มีของขวัญชิ้นไหนที่จะทำให้เธอมีความสุขเท่าของขวัญชิ้นนี้ของเจียงมู่เฉิน  

 

 

           ทำให้เจียงมู่เฉินตั้งใจไปเลือกของขวัญด้วยตัวเองมาให้พวกเขาได้ ยังไม่ถามอย่างอื่นด้วย ขอเพียงแค่พวกเขาชอบเท่านั้น   

ตอนที่ 432 ต้องสำรวมแล้ว  

 

 

           ความคิดที่ว่าตัวเองเข้าไปก่อนนี้เพิ่งจะออกมา ก็ถูกเจียงมู่เฉินเก็บเข้ากรุลงไปทันที  

 

 

           เขาไม่อยากเข้าไปเองเลย  

 

 

           ‘ถ้าตัวเองเป็นฝ่ายเข้าไปเอง จะไม่เป็นการแสดงออกถึงความกระวนกระวายของเขาที่ชัดเจนมากเหรอ’  

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดได้อย่างนี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะสำรวมสักหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเป็นการแสดงออกว่าคุณชายเจียงต้องการโหยหาซือเหยี่ยนมากเกินไป  

 

 

           ‘แต่ถ้าไม่ไปหาซือเหยี่ยน เช่นนั้นก็เลือกได้เพียงแค่ไปบ้านของซือเหยี่ยนแล้ว…’  

 

 

           ทางเลือกเช่นนี้ เจียงมู่เฉินรู้สึกได้เพียงแค่หัวที่ชักจะเริ่มชาๆ แล้ว  

 

 

           เขาคนเดียวพรวดพราดเข้าไปเอง  จะโดนพ่อแม่ของซือเหยี่ยนเอาไม้กวาดไล่กวดตัวเองออกไปหรือเปล่า  

 

 

           พอคิดถึงภาพที่สวยงามนั้น สีหน้าเจียงมู่เฉินก็ถอดสีในพริบตา  

 

 

           ภาพนั้นสวยงามเกินไป จนไม่กล้าจะมองจริงๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินไปไม่เป็นแล้ว ไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรดี อย่างหนึ่งก็ชัดเจนว่าตัวเองเก็บอาการสำรวมไม่ค่อยได้ อีกอย่างหนึ่งก็เป็นไปได้ที่อาจจะถูกไล่ตะเพิดออกมา  

 

 

           ไม่กล้าที่จะเลือกแล้วจริงๆ รู้สึกว่าทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสักทาง  

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ ถอนหายใจอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

           ซือเหยี่ยนผลักประตูเปิดมาก็เห็นเจียงมู่เฉินนั่งหันหลังให้เขา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ส่ายหัวไปมาไม่หยุด  

 

 

           เขาปิดประตูลงกลอนอย่างเบามือ  

 

 

           เข้าใกล้เจียงมู่เฉินด้วยความระมัดระวัง ก็เห็นเพียงแค่เขาทำหน้าบึงตึง มีความสับสนในอารมณ์  

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนอยู่ข้างหลังของเขา เห็นเขาแต่งตัวชุดลำลอง ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ก็อดไม่ได้ที่จะมองดูอีกหลายครั้งหลายครา  

 

 

           คุณชายน้อยเจียงผู้เย่อหยิ่งจู่ๆ ก็ลุกมาเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นนักเรียนนักศึกษาแบบนี้ จะว่าไปก็น่าทึ่งอยู่ไม่เบาจริงๆ  

 

 

           แต่ว่าชุดนี้ที่สวมใส่อยู่บนตัวเจียงมู่เฉิน ทำให้คนทั้งคนดูน่าเอ็นดูต่างจากเดิมอย่างเห็นชัด  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาในมาดแบบนั้น ก็อดจะอยากเอื้อมมือไปลูบเรือนผมนุ่มของเจียงมู่เฉินไม่ได้  

 

 

           เขาคิดแบบนี้ แล้วก็ทำแบบนี้จริงๆ  

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปวางบนเรือนผมของเจียงมู่เฉิน กำลังอยากจะยื่นมือไปขยี้สักหน่อย เจียงมู่เฉินก็สะดุ้งตัวขึ้นมา  

 

 

           ‘จู่ๆ มาโดนคนจับหัวไว้เป็นความรู้สึกแบบไหนกัน’  

 

 

           อีกนิดซือเหยี่ยนเกือบทำให้เจียงมู่เฉินตกใจจนฉี่จะราดแล้ว  

 

 

           คนทั้งคนเด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว กระโดดถอยไปไกลมองซือเหยี่ยนด้วยความตกตะลึงอย่างแทบไม่เชื่อสายตา “นาย นายอยู่ที่นี่ได้ยังไง”  

 

 

           ‘แม่งทำให้เขาตกใจจะตายแล้วจริงๆ’  

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจิตแข็งมากพอ ตัวเองคงจะตกใจจนร้องออกมาแล้ว มีหรือจะยังอยู่ในมาดจริงจังอย่างนี้ได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำท่าทางหวาดกลัว ก็อดจะเอามือขึ้นมาลูบจมูกตัวเองไม่ได้ “ผมดูน่าสะพรึงกลัวมากเลยเหรอ”  

 

 

           ‘ประธานซือผู้ดูภูมิฐานอย่างเขา ใครเห็นใครก็รัก แต่ทำไมถึงดูเหมือนเห็นผีไปได้ล่ะ’  

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ลองมาเป็นนายดูบ้างสิ จู่ๆ มีคนมาลูบหัวนายจากข้างหลัง นายจะยังสงบจิตสงบใจได้อยู่อีกเหรอ”  

 

 

           ไม่ต้องพูดถึงแค่ตกใจตาย ซือเหยี่ยนทำเอาเขาเกือบเสียขวัญแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากอย่างขำๆ รู้สึกว่าท่าทางแบบนี้ของเจียงมู่เฉินบวกกับชุดนี้แล้วยิ่งดูดีกว่าเดิม  

 

 

           เขาอดจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยมองเจียงมู่เฉินไม่ได้ “ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาถาม เวลานี้ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาชี้เข้ามาที่ตัวเอง “เป็นยังไงบ้าง ดูๆ ไปแล้วน่าเอ็นดูเป็นพิเศษเลยใช่ไหม แบบเห็นแล้วชอบเลยแบบนั้น”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอามือกดคางต่ำลง พินิจมองอย่างละเอียด  

 

 

           สุดท้ายก็เอ่ยเน้นคำต่อคำออกมา “น่าเอ็นดูมาก”  

 

 

           รอยยิ้มปรากฏขึ้นในแววตาเจียงมู่เฉิน เขาเชิดมุมปากขึ้น กำลังจะเตรียมเอ่ยถามซือเหยี่ยนว่า ‘แบบนี้พ่อแม่ซือเหยี่ยนจะไล่ฆ่าเขาได้ลงคออีกไหม’  

 

 

           ผลสุดท้ายเขายังไม่ทันได้ถามออกมา ก็ถูกประโยคต่อจากนั้นของซือเหยี่ยนทำลายทิ้งไป  

 

 

           ซือเหยี่ยนพูดจบว่า ‘น่าเอ็นดูมาก’ แล้ว หลังจากนั้นก็เสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “อยากจับกด”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก  เขาดูจับกดง่ายขนาดนี้เชียวเหรอ เขาแต่งตัวเป็นนักเรียนแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยั่วให้ซือเหยี่ยนเกิดอารมณ์ได้ด้วย  

 

 

             

 

 

ตอนที่ 433 ลนลานนิดหน่อย  

 

 

           ‘ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มีจุดคึกไม่เหมือนคนอื่นใช่ไหม เอะอะก็ตื่นตัวง่ายเหลือเกิน’  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่เขา “นายแม่งถ้ากล้าลงมือนะ คุณชายจะกำจัดนายทิ้งซะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนอยากจะจับกดเจียงมู่เฉินก็จริงอยู่ แต่…ต่อให้เขากำลังคึกอยู่ ก็ยังมีขอบเขตอยู่โอเคไหม  

 

 

           พ่อแม่เขารอเขาพาเจียงมู่เฉินกลับบ้านไปกินข้าว ถ้าเวลานี้เขาจับกดจับเจียงมู่เฉินกินแล้ว  

 

 

           ต่อจากนั้นไม่ใช่เพียงแค่พ่อแม่เขาจะไล่ฆ่าเขา เจียงมู่เฉินเองก็ต้องกำจัดเขาทิ้งแน่นอน  

 

 

           คิดได้เช่นนี้ ซือเหยี่ยนลูบปลายจมูกปอยๆ ตัดสินใจกดเก็บความคึกในใจลงไป  

 

 

           เขามองเจียงมู่เฉินด้วยสีหน้าไม่หวั่นเกรง “ผมเหมือนพวกเอะอะก็จับกดคุณได้ทุกที่แบบนั้นเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินชักจะอยากพยักหน้าให้บ้างแล้ว  ซือเหยี่ยนไม่ใช่เหมือน แต่ชัดเจนว่าเป็นเลยต่างหาก  

 

 

           ‘เป็นสัตว์มาเองเลยโอเคไหม’  

 

 

           “อย่าพูดเรื่องนี้เลยว่าเป็นหรือไม่เป็น มาคุยกับฉันก่อนว่าฉันแต่งตัวแบบนี้ พ่อแม่นายจะยังลงมือกับฉันได้ลงคออีกหรือเปล่า”  

 

 

           ซือเหยี่ยนครุ่นคิดอย่างจริงจังสักพักหนึ่ง เฉินเฉินของเขาแต่งชุดอะไรไป พ่อแม่เขาก็ไม่ลงมืออยู่แล้ว แทบอยากจะประคองเฉินเฉินไว้ในมือด้วยซ้ำ  

 

 

           แต่ว่าพอเห็นเจียงมู่เฉินตื่นตระหนก ซือเหยี่ยนก็ไม่อยากจะบอกเจียงมู่เฉินอย่างไรชอบกล  

 

 

           รู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเจียงมู่เฉินตื่นตระหนกขนาดนี้ ช่างดูน่ารักอย่างเหลือเชื่อ  

 

 

           ซือเหยี่ยนกดเก็บรอยยิ้มที่มุมปากลงไป มองเจียงมู่เฉินด้วยมาดจริงจังพร้อมเอ่ยขึ้น “พ่อแม่ผมปกติก็ดุนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร ผมช่วยคุณได้”  

 

 

           เดิมทีเจียงมู่เฉินมีอารมณ์กังวลอยู่ ตอนนี้มาได้ยินคำปลอบใจของซือเหยี่ยนยิ่งทำให้รู้สึกหวาดกลัวกันไปใหญ่  

 

 

           รู้สึกว่ายังไม่ทันเข้าประตูบานใหญ่ของบ้านซือเหยี่ยน ก็จะถูกพวกท่านหยิบไม้กวาดไล่ตะเพิดออกไปแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมับกระตุกแล้วกระตุกอีก  ช่างเถอะๆ ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนไปบ้านเขาก็ได้รับของสมนาคุณไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก  

 

 

           ‘ถือว่าชดใช้ให้ซือเหยี่ยนก็แล้วกัน’  

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากเงยหน้ามองฟ้ามาก แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความรันทด แต่คุณชายน้อยเจียงอย่างเขาเป็นคนอยากร้องไห้ก็ร้องไห้ออกมาเหรอ  

 

 

           ‘ต่อให้ฟันหลุดเลือดออก ก็ต้องกลืนลงท้อง’  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าบึ้งตึง ไม่รู้ว่าสมองจินตนาการไปถึงไหนแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ เขาชี้ที่นาฬิกาข้อมือที่เจียงมู่เฉินให้เขาไว้  

 

 

           “ใกล้จะสิบเอ็ดโมงแล้ว”  

 

 

           พอเจียงมู่เฉินได้ยินก็คืนสติกลับมาทันที เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยน เอ่ยเสียงดังฟังชัด “ไปเถอะ ไปเจอพ่อแม่นายกัน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้าเตรียมออกเดินทาง เจียงมู่เฉินนึกถึงของขวัญที่เมื่อวานเขาเตรียมไว้ให้พ่อแม่ซือเหยี่ยนขึ้นมาได้กะทันหัน รีบให้ซือเหยี่ยนรอสักพัก ตัวเองก็ย่องเข้าห้องนอนไป  

 

 

           หยิบกล่องเล็กๆ ที่ประณีตสวยงามทั้งสองใบออกมา กำไว้ในมือแน่น  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาก็ยกมุมปากขึ้น “นี่คืออะไรเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ความลับ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ อดกลั้นความตื่นเต้นที่อยากจะถามต่อ  

 

 

           ตลอดทางเจียงมู่เฉินถือกล่องเล็กๆ สองกล่องนั้นไว้ในมือบีบไปบีบมา ถ้าไม่ใช่ว่ากล่องนี้คุณภาพดี เจียงมู่เฉินคงจะบีบจนพังแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนขับรถไป ก็เหลือบมองเจียงมู่เฉินที่ตื่นตระหนกจนผิดปกติอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา  

 

 

           เดิมทีอยากจะแกล้งเขาให้ถึงที่สุด แต่พอเห็นสีหน้าบึ้งตึงเคร่งเครียดของเจียงมู่เฉิน เพียงชั่วครู่เดียวก็ทำใจแกล้งเขาไม่ลงแล้ว  

 

 

           ประธานซือคิดดูแล้ว ตัดสินใจจะปลอบโยนเฉินเฉินของเขาสักหน่อย  

 

 

           “พ่อแม่ผมที่จริงก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น” คิดอยู่ตั้งนาน ประธานซือเหยี่ยนถึงคิดคำว่า ‘โหดร้าย’ บรรยายออกมาได้  

 

 

           มุมปากเจียงมู่เฉินกระตุกแล้วกระตุกอีก เขาขานรับอย่างใจลอย “อืม”  

 

 

           คำว่า ‘โหดร้าย’ ของซือเหยี่ยนอาจจะเป็นการถือมีดมาไล่ฆ่าเขาแบบนั้น เขารู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่ซือเหยี่ยนไม่มีทางจะไล่ฆ่าเขา  

 

 

           ‘แต่นอกจากไล่ฆ่าล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นได้…’  

 

 

           กังวลใจมาอยู่ตลอดทาง เจียงมู่เฉินจินตนาการสารพัดวิธีตาย ในที่สุดรถก็มาจอดนิ่งสนิทยังหน้าคฤหาสน์ของครอบครัวซือเหยี่ยน  

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่ในรถ กำมือแน่นอย่างอดกลั้นไม่ได้  ลนลานนิดหน่อยแล้วทำยังไงดี  

ตอนที่ 430 จ่ายส่วนที่ต้องเสียไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่เขา “นายคิดเยอะจริงๆ ฉันมีอะไรให้ต้องทำใจเห็นนายหิวไม่ลงเหรอ”  

 

 

           ความปากไม่ตรงกับใจแบบนี้ของเขา ซือเหยี่ยนฟังจนชินมาตั้งนานแล้ว ถึงยังไงเฉินเฉินของเขาเวลาไหนไม่อยู่ในโหมดปากไม่ตรงกับใจ นั่นก็ไม่ถูกต้องแล้ว  

 

 

           “อืม ผมรู้ คุณชอบผมที่สุด”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกกระดากอายอย่างไรชอบกล  ทำไมกลายเป็นเขาชอบซือเหยี่ยนที่สุดไปได้  

 

 

           เขาเงยหน้ากวาดสายตามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “ซือเหยี่ยน ฉันว่าฉันพบแล้ว ว่าตอนนี้นายชักจะมั่นหน้ามากจนน่าเหลือเชื่อจริงๆ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนคิดเองเออเองทั้งหมดว่าเขากำลังอวยตัวเองอยู่ “มา กินอีกหน่อย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับขา ขายาวไขว้กันตามสบาย “โอเคแล้ว นายกินเถอะ ตอนนี้เอาใจฉันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เมื่อกี้ที่ควรจำก็จำหมดแล้ว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาพูดอย่างนี้ เวลานี้ถึงได้วางมือ ตัวเองกินไปสองคำ แล้วค่อยป้อนเจียงมู่เฉิน ครั้งนี้เจียงมู่เฉินไม่ได้บ่ายเบี่ยง  

 

 

           ทั้งสองคนผลัดกันกินแบบนี้ไป เพียงไม่นานก็กินอิ่มแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูอาหารบนโต๊ะ แล้วมามองเจียงมู่เฉินที่อยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง ก็อดจะถามไม่ได้ “กลับไปบ้านตระกูลเจียงแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมมาที่นี่อีกล่ะ”  

 

 

           ความเลิ่กลั่กประกายวาบในแววตาเจียงมู่เฉิน  จะเพราะอะไรได้ ก็รู้สึกว่าทำใจเห็นซือเหยี่ยนอยู่คนเดียวที่นี่ไม่ได้ไม่ใช่หรือไง  

 

 

           ถึงแม้ความจริงจะเป็นเช่นนี้ แต่ด้วยนิสัยความเย่อหยิ่งขนาดนี้ของคุณชายเจียงจะมาสารภาพกันโต้งๆ ไม่ได้เป็นธรรมดา  

 

 

           เขามองซือเหยี่ยน เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่สนใจ “นั่นเพราะพ่อแม่ฉันไม่อยู่ไม่ใช่หรือไง ฉันกลับไปคนเดียวน่าเบื่อจะตาย”  

 

 

           “อ๋อ” ซือเหยี่ยนขานรับ หรี่ตาลงเอ่ยถามออกมา “ใช่แค่อยู่คนเดียวแล้วน่าเบื่อจริงๆ เหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่อย่างนั้นจะอะไรได้ คิดถึงนาย ตัดใจทิ้งนายไม่ลง เลยกลับมางั้นเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “ผมมีเลขทดไว้ในใจแล้ว คุณไม่พูดก็ช่างเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย  ทำไมมีเลขทดไว้ในใจแล้วล่ะ เขาอยากถาม ในใจนายมีเลขอะไรเหรอ  

 

 

           ……  

 

 

           หลังจากกินข้าวเสร็จ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่านั่งบนเก้าไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่แล้ว เขาเอามือสะกิดซือเหยี่ยน “ฉันอยากไปเอนหลังบนโซฟา”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่พูดพร่ำทำเพลง ช้อนตัวอุ้มเขาขึ้นมาไปส่งยังโซฟา  

 

 

           เจียงมู่เฉินเรียกใช้ซือเหยี่ยนโดยไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ ถึงอย่างไรหลายปีมานี้ ซือเหยี่ยนก็ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาโดยตลอด  

 

 

           ถึงอย่างไรคุณชายน้อยเจียงเสียเปรียบแล้ว ยังจะถูกเอาเปรียบได้อีกเหรอ  

 

 

           ในเมื่อกล้ากิน ก็ต้องจ่ายส่วนที่ต้องเสียไปเป็นธรรมดา  

 

 

           เจียงมู่เฉินเหนื่อยล้าอยู่ในห้องน้ำตั้งนาน แล้วยังออกมากินอาหารเย็นอีก ตอนนี้ง่วงจนแม้กระทั่งจะยกเปลือกตาไม่ไหว  

 

 

           เขาขลุกตัวอยู่ในอ้อมอกของซือเหยี่ยน เดิมทีทั้งสองคนกำลังดูหนังกันอยู่ แต่เพียงไม่นานเจียงมู่เฉินก็ลืมตาไม่ค่อยจะขึ้นแล้ว  

 

 

           เดิมทีเขาอยากให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขากลับห้องไปนอน  

 

 

           แต่พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นซือเหยี่ยนกำลังดูหนังพอดี เจียงมู่เฉินครุ่นคิด ตัดสินใจไม่รบกวนเขา ด้วยเหตุนี้จึงไม่พูดว่าอยากกลับห้องไปนอนออกมา แล้วซบอกซือเหยี่ยนพร้อมหลับตาลงเบาๆ  

 

 

           เพียงไม่กี่นาทีก็ผล็อยหลับไป  

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหัวลง ก็เห็นใบหน้ายามหลับใหลของเจียงมู่เฉินพอดี  

 

 

           คิดๆ ดูแล้ว สองวันมานี้เรื่องของเขาทำให้เจียงมู่เฉินไม่ได้นอนหลับพักผ่อนดีๆ ทั้งคุณแม่เจียงยังมาเข้าโรงพยาบาลไปอีก แล้วเขาก็ยังไม่ควบคุมตัวเองเลยแม้แต่น้อยจับกดเจียงมู่เฉินอยู่ในห้องน้ำ ‘ทำ’ กันไปรอบหนึ่ง  

 

 

           เวลานี้ จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็รู้สึกผิดบาปในใจเสียใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว  

 

 

           แต่ขณะลงสนามรักกันเมื่อครู่นี้ คิดไม่ได้เลยสักนิดว่าต้องออมมือบ้าง  

 

 

           เขาเอื้อมมือไปจิ้มๆ บนใบหน้าของเจียงมู่เฉิน เห็นเขาไม่มีท่าทางตอบสนองกลับมา ดูท่าว่าจะนอนหลับสนิทแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปปิดโทรทัศน์ ช้อนตัวอุ้มเจียงมู่เฉินด้วยความระมัดระวัง  

 

 

           รูปร่างของเจียงมู่เฉินเพรียวสูง แต่กลับไม่ได้ดูเปราะบางจนเกินไป โดยเฉพาะขาเรียวยาวคู่นั้นยังตรงและเรียวสวยกว่าผู้หญิงเสียอีก   

 

 

 

 

 

ตอนที่ 431 ตาข่ายที่ถักทอ  

 

 

           ขณะที่อุ้มขึ้นมาจากโซฟา ขยับท่าทางเคลื่อนตัวมากไปนิดหน่อย เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นัก  

 

 

           ซือเหยี่ยนรีบลงมือทรงตัวให้มั่นคง อุ้มเขาไปถึงห้องนอนด้วยความระมัดระวัง  

 

 

           ยังดีที่เจียงมู่เฉินเพียงครู่เดียวก็นอนหลับเข้าไปอีกครั้ง ซือเหยี่ยนวางเขาลงบนเตียง เมื่อเจียงมู่เฉินสัมผัสเตียงก็ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มทันที  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำแบบนั้น ก็มองดูท่าทางของเขาด้วยความขบขัน ยกมุมปากขึ้นเบาๆ  

 

 

           คงจะไม่มีใครสักคนที่เหมือนเจียงมู่เฉินแบบนี้ได้ การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เพียงแผ่วเบาก็ทำให้ทั้งหัวใจของเขาสั่นไหวได้  

 

 

           ราวกับมีคนเอื้อมมือมาเปิดประตูห้องหัวใจของเขา หลังจากนั้นก็จัดแจงเจียงมู่เฉินให้เข้าที่  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูใบหน้ายามหลับใหลของเจียงมู่เฉิน เขานั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยเรียกเสียงต่ำ “เฉินเฉิน…”  

 

 

           เจียงมู่เฉินคลอเคลียอยู่กับหมอนหนุน เนื่องจากผ่านการอาบน้ำมา ทำให้เรือนผมอ่อนนุ่มตกลงมาอยู่ที่ข้างหู ซือเหยี่ยนได้เห็นแบบนี้ หัวใจก็อ่อนยวบไปทั้งดวง   

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงจูบเจียงมู่เฉิน แต่กลับติดใจจนไม่วางไม่ลง โน้มตัวลงไปลูบไล้แก้มนวลของเจียงมู่เฉิน  

 

 

           จากคิ้วไปจรดริมฝีปาก ทีละนิดๆ ไม่ตกหล่นแม้เพียงจุดเดียว สัมผัสอย่างเบามือ  

 

 

           เขาประทับรอยจูบลงที่มุมปากของเจียงมู่เฉิน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “คุณเข้ามาตาข่ายของผมแล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ว่ายังไงก็หนีไปไหนไม่ได้แล้วนะ”  

 

 

           จากเพื่อนเลื่อนมาเป็นคนในครอบครัว ในที่สุดเขาก็พาเจียงมู่เฉินเข้ามาทีละน้อยๆ จนกลมกลืนอยู่ในโลกของตัวเอง   

 

 

           ……  

 

 

           วันต่อมาเมื่อตื่นขึ้นก็สายจนตะวันโด่งแล้ว เจียงมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะบิดขี้เกียจสักหน่อย เมื่อคืนไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตื่นมาอีกทีก็รู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย  

 

 

           ‘อืม…ถ้ามองข้ามช่วงเอวที่ปวดเมื่อยล่ะก็นะ’  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่อยู่ในห้องแล้ว อีกฝั่งหนึ่งของเตียงเย็นเฉียบไปเรียบร้อย คิดดูแล้วซือเหยี่ยนคงจะออกไปได้สักพักใหญ่แล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินยืดเหยียดร่างกายเพรียวยาวของตัวเอง เอนตัวนอนอีกสักพักแล้วค่อยลงจากเตียง ถึงอย่างไรอาหารเที่ยงก็ไปกินที่บ้านซือเหยี่ยนอยู่แล้ว ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ก็ไม่ต้องรีบร้อน    

 

 

           พอคิดถึงเรื่องไปเข้าพบผู้ใหญ่ หัวใจดวงน้อยของเจียงมู่เฉินที่เข้มแข็งมาก็สั่นสะเทือนขึ้นมาในพริบตา  

 

 

           เขาเอนตัวนอนอยู่บนเตียงพลางครุ่นคิด ถ้าไม่อย่างนั้นวันนี้แต่งตัวให้น่าเอ็นดูสักหน่อย ไม่แน่ว่าแบบนี้เมื่อพ่อแม่ซือเหยี่ยนเห็นว่าเขาเป็นคนน่าเอ็นดู ก็จะไม่ใจแข็งพอที่จะใจร้ายกับเขาแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดได้เช่นนี้แล้ว ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองฉลาดมีไหวพริบ  

 

 

           ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินคิดอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆ ก็ปีนลงจากเตียงกะทันหัน ท่าทางรวดเร็วเกินไป เจ็บปวดจนหน้าตาเหยเก  

 

 

           เจียงมู่เฉินลงจากเตียงมาก็ไปหาเสื้อผ้าเด็ดลับสุดยอดชุดหนึ่งของเขา คือชุดลำลองแบบพิเศษของเขา  

 

 

           ตอนนั้นไม่รู้ว่าเฉิงฉีไปกินยาผิดขวดที่ไหนมา ถึงได้ส่งชุดนี้มาให้เขา  

 

 

           เจียงมู่เฉินดูถูกว่าชุดนั้นขี้เหร่สุดๆ ดังนั้นจึงไม่ใส่มาก่อน  

 

 

           แต่คิดดูแล้ว ก็มีเพียงชุดนี้เท่านั้นที่ทำให้เขาดูตัวค่อนข้างเล็กอย่างชัดเจน ค่อนข้างดูไร้เดียงสา  

 

 

           เจียงมู่เฉินเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่องกระจกดู พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ที่แท้หน้าตาหล่อจนช่วยไม่ได้จริงๆ ใส่เสื้อผ้าชุดไหนก็ดูดีไปหมด  

 

 

           ชุดดูธรรมดาๆ ขนาดนี้ชุดหนึ่ง เขาก็ใส่ออกมาได้เหมือนกับนายแบบ เป็นที่ไว้ประดับเสื้อผ้าอย่างที่คิดไว้ รูปร่างดีเกินจนช่วยไม่ได้จริงๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินไปล้างหน้าล้างตา จัดทรงผมที่ดูกระเซอะกระเซิงจากการนอนของตัวเองให้เรียบร้อย ได้เป็นทรงผมของนักเรียนผู้น่ารัก  

 

 

           คุณชายเจียงที่เย่อหยิ่งในยามปกติ เปลี่ยนลุคกะทันหันแบบนี้ อายุดูเด็กลงในทันที  

 

 

           ไม่เพียงเท่านั้น รังสีความเย่อหยิ่งบนร่างกายก็โดนเขากดเก็บลงไปด้วย  

 

 

           คนทั้งคนทั้งมีมาดนักเรียนอยู่ไม่น้อยทีเดียว  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ รู้สึกว่าตัวเองหล่อจนน่าเหลือเชื่อ จับจุดด่างพร้อยออกมาไม่ได้เลยสักนิด  

 

 

           ทำโน่นทำนี่กลับไปกลับมาอยู่ในห้องน้ำเป็นชั่วโมง เจียงมู่เฉินถึงเพิ่งจะออกมาได้  

 

 

           ในห้องครัวก่อนที่ซือเหยี่ยนจะออกไป ก็ยังวางอาหารเช้าที่ตั้งใจทำให้เจียงมู่เฉินโดยเฉพาะ เหมือนเจียงมู่เฉินจะคุ้นชินกับการที่ซือเหยี่ยนทำแบบนี้แล้ว เขาเดินเข้าไปทันที อุ่นอาหารเช้าอีกสักหน่อย แล้วก็นั่งกินที่เคาน์เตอร์ทั้งอย่างนี้  

 

 

           ขณะที่เขากินอาหารเช้าอยู่นั้น เวลายังไม่ถึงสิบโมง เจียงมู่เฉินครุ่นคิดสักพัก ไปหาซือเหยี่ยนก่อน หลังจากนั้นก็ไปหาพ่อแม่ซือเหยี่ยนด้วยกัน หรือว่าเขาจะเข้าไปเองก่อนดี  

ตอนที่ 428 นายแม่งปล่อยมือสิ  

 

 

           ซือเหยี่ยนผลักประตูเปิดเข้าไปด้วยความระมัดระวัง จากห้องรับแขกไปห้องครัวก็ไม่เห็นเงาของเจียงมู่เฉินเลย  

 

 

           เดิมทีหัวใจที่พองโตขึ้นมาก็ห่อเ**่ยวลงไปในพริบตา คิดๆ ดูก็ใช่ ตอนนี้เจียงมู่เฉินควรจะอยู่ที่บ้านตระกูลเจียง  แล้วจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ยังไง  

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีอาการเหมือนผีเข้านิดหน่อยแล้ว จะคิดถึงเจียงมู่เฉินได้อย่างไม่คาดคิด  

 

 

           บนโต๊ะอาหารยังมีอาหารหน้าตาสวยงามวางไว้อยู่ อุณหภูมิอุ่นกำลังพอดี มองดูแวบแรกก็รู้ว่าเพิ่งจะทำเสร็จออกมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินทำอาหารไม่เป็น จุดนี้ซือเหยี่ยนเข้าใจลึกซึ้งกว่าใคร  

 

 

           รู้จักกับเจียงมู่เฉินมาตั้งหลายปีขนาดนี้ จะมีก็แต่ครั้งเดียวเท่านั้นที่อยู่ในคฤหาสน์ของตัวเอง เจียงมู่เฉินเคยทำอาหารให้เขา แต่ครั้งนั้นทำให้ห้องครัวเขาเละไม่เป็นท่า  

 

 

           ดังนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เจียงมู่เฉินจะทำอาหารแบบนี้ออกมาได้  

 

 

           แต่ถ้าไม่ใช่เจียงมู่เฉิน แล้วจะเป็นใครไปได้  

 

 

           หรือว่าจะเป็นพ่อแม่เขา เป็นห่วงที่เขาทำงานล่วงเวลา  ไม่มีเวลากินข้าว เลยให้คนมาทำให้เขาไว้ล่วงหน้าเหรอ  

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนมาหยุดอยู่ที่เทียนไขที่ยังคงติดไฟอยู่  

 

 

           ร่างกายสูงใหญ่ของเขาสั่นสะเทือน นี่เป็นสิ่งที่เขาเห็นตอนที่เขาไปเดินซื้อของกับเจียงมู่เฉินอยู่ครั้งหนึ่ง  

 

 

           ตอนนั้นเจียงมู่เฉินยังพูดล้อเล่นอยู่เลยให้วันนั้นเขาทำอาหารสำหรับดินเนอร์ใต้แสงเทียน  

 

 

           แต่น่าเสียดายพวกเขายังไม่ทันได้ใช้ ก็ถูกคุณแม่เจียงมาพบเข้าเสียก่อน แล้วเลิกกับเจียงมู่เฉิน  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเปลวไฟเล็กๆ นั้น หัวใจก็ค่อยๆ จุดประกายไฟแห่งความดีใจขึ้นมาอย่างช้าๆ รู้ว่าเทียนไขแบบนี้มีเพียงแค่เจียงมู่เฉินเท่านั้น  

 

 

           เขานึกถึงก่อนหน้านี้ไม่นานที่เจียงมู่เฉินโทรมา ในใจก็มีอะไรอยากเอ่อล้นออกมา  

 

 

           ซือเหยี่ยนหันหลังเดินออกจากห้องครัวไป แล้วเดินตามทางเข้าไปข้างใน ก็เห็นแค่ประตูห้องนอนที่เปิดเอาไว้เพียงครึ่งหนึ่ง  

 

 

           ข้างในมีไฟเปิดอยู่ ซือเหยี่ยนยื่นมือผลักประตูเดินเข้าไป ในห้องน้ำมีเสียงน้ำดังออกมา  

 

 

           ‘ถ้าถึงเวลานี้แล้ว ยังไม่เข้าใจอีก งั้นเขาก็เป็นคนโง่จริงๆ แล้ว’  

 

 

           นอกจากเจียงมู่เฉินแล้วใครจะวิ่งเข้าไปอาบน้ำแบบไม่สนใจอะไรขนาดนี้ได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนยับยั้งชั่งใจที่ฮึกเหิม ยื่นมือไปผลักเปิดประตูห้องน้ำ  

 

 

           เจียงมู่เฉินอารมณ์ดีมาก ขณะที่อาบน้ำอยู่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะฮัมเพลง อาบน้ำไปด้วย ฮัมเพลงที่ไม่เป็นทำนองไปด้วย  

 

 

           แต่เขากลับยังทำหน้าพึงพอใจ รู้สึกว่าตัวเองร้องเพลงเพราะกว่านักร้องเสียอีก  

 

 

           เสียงข้างในกลบเสียงเปิดประตูของซือเหยี่ยนแล้ว ซือเหยี่ยนเห็นเงาร่างเพรียวยาวท่ามกลางไอร้อน ดวงตาก็จมดิ่งในอารมณ์เสียเดี๋ยวนั้น  

 

 

           เขามองดูเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างใน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เอามือขึ้นมาจัดการปลดกระดุมบนเสื้อสูทของตัวเอง  

 

 

           ซือเหยี่ยนวางเสื้อผ้าไว้ข้างๆ เสื้อเชิ้ตก็ไม่ถอด เดินเข้าไปทั้งอย่างนี้  

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังอาบน้ำเพลินๆ ก็โดนคนมากอดเอวไว้จากทางด้านหลัง  

 

 

           เพียงชั่วพริบตานั้น เจียงมู่เฉินหัวชาไปหมดแล้ว ขนลุกซู่ไปทั้งตัว  

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงกัดเขาไปคำหนึ่ง “รีบร้อนขนาดนี้เชียว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือผลักเขาออก “คุณชายอาบน้ำอยู่ นายเข้ามาในนี้ทำไม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนจับเขาปรับท่าปรับทาง กดเขาแนบชิดเข้าผนังกระเบื้องด้านหลัง “เพื่อประหยัดเวลา พวกเราทำด้วยกันเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแล้วขบกรามเงียบๆ เขาไม่อยากจะทำอะไรด้วยกันกับซือเหยี่ยน  

 

 

           “นายออกไปสิ คุณชายไม่ได้อยากจะทำอะไรกับนายสักหน่อย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหาได้ฟังกันไม่ กดมือเขาไว้เสียเลย “สายไปแล้ว ตอนนี้ผมเพียงแค่อยากทำอะไรด้วยกันกับคุณ”  

 

 

           เสียงต่ำของเขาพูดจบ ก็ประกบจูบเจียงมู่เฉินไปทีหนึ่ง เสียงริมฝีปากที่สัมผัสกันดังขึ้นมาทำเอาเจียงมู่เฉินคนหน้าหนาหน้าทนค่อนข้างจะรู้สึกกระดากอายเลยทีเดียว  

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับทำหน้าเอาจริงเอาจัง ไม่กระดากอายเลยสักนิด ไม่ได้เห็นสิ่งนี้บนใบหน้าเขาทั้งนั้น  

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดขมับ เขาออกแรงขยับมือ แต่กลับถูกซือเหยี่ยนกดไว้จนขยับเขยื้อนไม่ไหว  

 

 

           “นายแม่งปล่อยมือสิ” เจียงมู่เฉินเริ่มจะระเบิดลงแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสเอามือเขาวางบนเสื้อผ้าของตัวเอง “ช่วยสักหน่อยสิ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม “ไม่อยากช่วย”    

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย แสดงท่าทีน้อยใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด “เฉินเฉิน ผมอยากให้คุณช่วยผม”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 429 เริ่มจัดการหน้าที่ต่อจากนี้  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยน เห็นสีหน้าอารมณ์ที่แสดงออกบนใบหน้าของเขาที่ไม่ยอมถอยเลยสักนิด จึงจำใจต้องส่งมือไปช่วยเขา  

 

 

           ทั้งสองคนอาบน้ำกันอย่าง ‘ลึกซึ้ง’ ตลอดหัวจรดเท้า กว่าจะออกมาอีกครั้ง เทียนไขบนโต๊ะก็ใกล้จะเผาไหม้จนหมดแล้ว เจียงมู่เฉินขาอ่อนปวกเปียกนั่งเป็นอัมพาตอยู่บนเก้าอี้  

 

 

           เขาเห็นเทียนไขเป็นแบบนั้นก็ขบกราม เดิมคิดอยากจะโรแมนติกกับซือเหยี่ยนสักหน่อย มีดินเนอร์ใต้แสงเทียนอะไรอย่างนี้  

 

 

           ‘ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ซือเหยี่ยนกินอิ่มแล้ว ส่วนท้องเขายังหิวอยู่เลย ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ’  

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองซือเหยี่ยนด้วยสีหน้าไม่รับแขก ส่วนซือเหยี่ยนออกกำลังจนอารมณ์ดีสดชื่นไปแล้ว  

 

 

           เขาเห็นท่าทางของซือเหยี่ยนที่ได้สนองความต้องการของตัวเองแล้ว ก็อดจะยกเท้าขึ้นมาถีบใส่ซือเหยี่ยนไปทีหนึ่ง ผลสุดท้ายออกแรงมากเกินไป ไม่ระวังจนร้าวไปถึงบริเวณที่ปวดอยู่  

 

 

           เจ็บแปลบจนอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนกินก็ได้กินแล้ว หน้าที่ต่อจากนี้ก็ต้องทำให้ดีเป็นธรรมดา  

 

 

           แฟนตัวเองตอนนี้รู้สึกไม่สบายตัว เขาเองก็จะทำตัวสบายไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ซือเหยี่ยนจึงเอ่ยถามขึ้น “ของพวกนี้คุณเป็นคนเตรียมเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “หรือว่าจะยังเป็นนายได้ล่ะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเล็กน้อย มองดูเจียงมู่เฉิน “เฉินเฉิน ผมมีความสุขมากนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้าขรึม แต่พอได้ยินคำพูดนี้ของซือเหยี่ยน กลับอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย  

 

 

           เพื่อจะไม่แสดงออกถึงความดีใจจนออกนอกหน้าเกินไป เจียงมู่เฉินจึงถลึงตาใส่ซือเหยี่ยน “อาหารเย็นหมดแล้ว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมจะเอาไปอุ่นให้” ขณะพูดก็จะหยิบขึ้นมาด้วย  

 

 

           เวลานี้ก็ค่ำลงแล้ว เจียงมู่เฉินคร้านจะเรื่องเยอะ เขายื่นมือไปขวางซือเหยี่ยนไว้ “ไม่ต้องหรอก กินมันแบบนี้เถอะ”  

 

 

           มีหรือที่ซือเหยี่ยนจะทำใจให้เจียงมู่เฉินกินอาหารเย็นๆ ได้ลงคอ เขาก้มหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนจะจูบเจียงมู่เฉิน “ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องเห็นใจผมหรอก”  

 

 

           ขณะพูดก็ยื่นมือไปยกอาหารที่อยู่บนโต๊ะเข้าห้องครัวไป อุ่นร้อนใหม่อีกครั้ง  

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นมาเช็ดแก้มที่ถูกเขาจูบ เอ่ยอย่างไม่อย่างสบอารมณ์ “ฉันไม่ได้เห็นใจนายสักหน่อย”  

 

 

           เขาเช็ดๆ ถูๆ ไป กลับอดไม่ได้ที่จะลูบตรงบริเวณที่ถูกซือเหยี่ยนจูบ นัยน์ตาประกายรอยยิ้ม  

 

 

           ‘สกิลความซึนเดเระ [1] ของคุณชายเจียงมาเต็ม’  

 

 

           ซือเหยี่ยนทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว เพียงไม่นานก็อุ่นอาหารทุกอย่างเสร็จ ยกออกมาเสิร์ฟใหม่อีกครั้ง  

 

 

           เจียงมู่เฉินยังคงนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางเฉื่อยชา ราวกับแมวจอมขี้เกียจตัวหนึ่ง  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยความขบขัน เดินเข้าไปวางอาหารลงต่อหน้าเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินขี้เกียจขยับมือ จึงเอาแต่นั่งพิงเก้าอี้อยู่อย่างนั้น  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นแบบนี้แล้ว ก็เอื้อมมือไปดึงเจียงมู่เฉินขึ้นมาวางอยู่บนตัวเขาแล้วกอดเอาไว้  

 

 

           ผู้ชายตัวโตสองคนทำท่าทางแบบนี้ก็ออกจะดูสนิทชิดเชื้อกันชัดเจนจนเกินไป  

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินกลับไม่มีความรู้สึกทำนองนี้เลยสักนิด เจียงมู่เฉินพิงซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนก็นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้  

 

 

           คนหนึ่งหลังแข็ง คนหนึ่งหลังอ่อน สองสไตล์มาผสานกันได้อย่างลงตัว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่รีบร้อนจะกิน เขาหยิบตะเกียบคีบอาหารป้อนเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เจียงมู่เฉินเองก็เอนกายอยู่บนร่างของซือเหยี่ยนโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย นอกจากอ้าป้ากินข้าวก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น  

 

 

           กอดเขาอยู่แบบนี้ เมื่อมองเข้าไปจากมุมของซือเหยี่ยนก็จะเห็นได้เพียงแพรขนตายาวและสันจมูกตรงของเขา รวมไปถึงริมฝีปากได้รูปนั่นอีก  

 

 

           สำหรับซือเหยี่ยนแล้ว ทุกส่วนบนร่างกายของเจียงมู่เฉินช่างยั่วยวนใจอย่างหาใดเปรียบไม่ได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยายามให้ตัวเองเบนสายตาหนีออกจากเจียงมู่เฉิน ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะอดใจไม่ไหวไม่รอให้เจียงมู่เฉินกินอาหารเสร็จก่อน ก็อยากจะแปลงร่างเป็นหมาป่าโผตัวเข้าไปตะครุบจับไว้แล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่มีความรู้สึกระแวงถึงอันตรายเลยแม้แต่น้อย เขาเหมือนแมวตัวหนึ่ง หรี่ตาลงเล็กน้อย ทำหน้าสดชื่นสบายใจ  

 

 

           เขากินไปสองคำก็รู้สึกได้ว่าจนถึงตอนนี้ซือเหยี่ยนยังไม่ได้กินอะไรเลย ซือเหยี่ยนส่งอาหารมาอีกครั้ง เจียงมู่เฉินส่ายหัว “นายกินก่อนเถอะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “ยังไงกัน ทำใจเห็นผมหิวไม่ลงเหรอ”  

 

 

              

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]   ซึนเดเระ  เป็นคำจำกัดความของบุคลิกภาพแบบหนึ่ง ที่มักจะปรากฏในการ์ตูน หมายถึง บุคลิกที่เมื่อแรกเริ่มจะไม่เป็นมิตร ดุ และเย็นชา แต่มาภายหลังกลับเปลี่ยนเป็น อ่อนไหว อ่อนหวาน  

ตอนที่ 426 เลือดหลั่งริน

 

 

           ข้างนอกประตูมีเสียงจ้อกแจ้กจอแจ เหมือนมีคนกำลังย้ายบ้านอยู่

 

 

           มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย  ข้างๆ ห้องเขาไม่ใช่ว่าว่างมาตั้งหลายเดือนแล้วเหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงมีคนย้ายมาอยู่ได้

 

 

           แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมามั่วไป๋ไม่ได้สนใจปัญหาเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

 

 

           เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้ว

 

 

           โดนเจียงมู่เฉินทำเสียงดังจนตื่น ตอนนี้ก็นอนไม่หลับแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถือโอกาสจัดเก็บข้าวของไปเลยแล้วกัน วันนี้รับปากเหยียนอวี้แล้วว่าจะไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล

 

 

           มั่วไป๋ลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า เก็บเสื้อผ้าอยู่ไม่กี่ชิ้นแล้วแต่จะหยิบ

 

 

           เขาไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไปมากมาย ถึงอย่างไรไปโรงพยาบาลก็ต้องใส่ชุดผู้ป่วยอยู่ดี ไม่ถึงสิบนาที มั่วไป๋ก็จัดของใส่ถุงเสร็จ

 

 

           เบาหวิวไม่ต่างจากตัวเขาที่ไร้น้ำหนัก

 

 

           ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ มั่วไป๋เดินเท้าเปล่าอยู่บนพื้นไม้ที่เย็นเฉียบ เขาเดินเข้าไปยังห้องครัว

 

 

           ข้างในสะอาดเหมือนไม่เคยมีใครเข้ามาก่อน

 

 

           เขายืนอยู่หน้าทางเข้าห้องครัว รู้สึกใจลอยอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าเห็นไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างใน เขาเหมือนจะได้ยินเสียงจึงหันกลับมา เห็นมั่วไป๋เดินเข้ามาก็ยิ้มหัวเราะเบาๆ “ตื่นแล้วเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋อ้าปากกำลังจะพูด เงาคนในห้องครัวก็สลายหายไปในพริบตา

 

 

           “อืม” เขาเอ่ยขานรับ แต่เสียงนั้นก็ลอยอยู่ในอากาศ นอกจากเขาแล้วไม่มีใครได้ยิน

 

 

           มั่วไป๋มองห้องครัวที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นก็ยกมุมปากล่างขึ้น เจือความเจ็บปวดแสนขมขื่น

 

 

           เขาเดินถึงหน้าประตูตู้เย็น ยื่นมือดึงเปิดประตูตู้เย็น แล้วหยิบน้ำแร่ข้างในออกมา

 

 

           “อย่าดื่มของเย็นเลย ท้องคุณไม่ดี ผมจะอุ่นนมร้อนให้คุณนะ”

 

 

           นิ้วมือมั่วไป๋ที่ถือขวดน้ำแร่อยู่สั่นสะท้าน เสียงไป๋จิ่งอยู่ใกล้มาก เหมือนยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เขารีบหันกลับไปมอง แต่ข้างหลังไม่มีอะไรสักอย่าง

 

 

           มั่วไป๋กำขวดแก้วในมือแน่นสนิท จับไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย หัวใจเจ็บปวดราวกับโดนทิ่มแทง ไล่จากจากทรวงอกมาทีละนิดๆ อย่างช้าๆ แล้วลุกลามไปตามหัวใจทีละน้อยๆ

 

 

           เขาหลับตาลงพิงประตูตู้เย็น เหมือนอยากจะรอให้ความเจ็บปวดทรมานนั้นค่อยๆ ผ่านพ้นไปทีละนิดๆ

 

 

           เวลาผ่านไปนานจนกระทั่งคนทั้งคนหายใจไม่ติดขัดแล้ว แพรขนตายาวของมั่วไป๋สั่นไหวโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ที่แท้ไป๋จิ่งก็แทรกซึมเข้ามาในร่างกายของตัวเองโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกครั้ง เติมเต็มจนประสานเป็นร่างเดียวกันกับตัวเองมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           แยกจากกันไม่ออกโดยสิ้นเชิง

 

 

           มั่วไป๋จนใจยิ้มอย่างขื่นขม อยากจะดึงคนคนนั้นออกจากร่างกายทีละน้อยๆ

 

 

           ครั้งนั้น เขาเจ็บปวดจนเลือดหลั่งริน

 

 

           ครั้งนี้…ก็คงจะยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน…

 

 

           ……

 

 

           ดื่มน้ำสักหน่อย มั่วไป๋ดูเวลาแล้วหิ้วกระเป๋าเดินทางที่น้อยจนน่าเห็นใจ เดินออกไปทันที

 

 

           เขามองดูห้องในคอนโดมิเนียมของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดล็อคประตูไว้

 

 

           ตอนที่มั่วไป๋ออกไป เดินตัวตรงผึ่งผาย แต่สีหน้ากลับขาวซีดลงเล็กน้อย

 

 

           หลังจากเขาออกจากที่นั่นแล้ว ข้างห้องก็ยังมีคนเข้าๆ ออกๆ อยู่ตลอดเวลา เพียงไม่นานห้องคอนโดมิเนียมข้างห้องที่ว่างมานานก็ค่อยๆ ถูกเติมเต็มอย่างช้าๆ

 

 

           “คุณไป๋ครับ ของย้ายเข้ามาทั้งหมดเรียบร้อยแล้วครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งเดินจากข้างในออกมา เขาพยักหน้าพร้อมเอ่ยขึ้น “โอเค ลำบากนายแล้ว”

 

 

           กลุ่มคนที่มาขนของย้ายบ้านก็ออกจากที่นั่นไปอย่างรวดเร็ว

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้ปิดประตู แต่เดินไปยังประตูห้องของมั่วไป๋ ตรงนั้นประตูบานใหญ่ปิดแน่นสนิท ไป๋จิ่งยื่นมือไปลูบประตูบานนั้นเบาๆ

 

 

           ราวกับว่าใช้วิธีนี้แล้วจะทำให้ตัวเองได้ใกล้ชิดกับมั่วไป๋มากยิ่งขึ้น

 

 

           เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นไล่ตามมาจนถึงที่อเมริกา จนกระทั่งด้านได้อายอดย้ายมาอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามกับมั่วไป๋

 

 

           การกระทำทั้งหมดของเขาในตอนนี้ไม่เหมือนกับไป๋จิ่งในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง แต่ไป๋จิ่งกลับไม่รู้สึกผิดแผกไปสักนิด

 

 

           ตั้งแต่ที่รู้ว่ามั่วไป๋คือหลินฝาน ไป๋จิ่งก็คิดมาเสมอ เขาควรจะทำอย่างนี้มาแต่แรกแล้ว

 

 

           ตอนนั้นหลินฝานก้าวเดินมาตั้งมากมายหลายก้าวเพื่อเขาได้ขนาดนั้น ตอนนี้มั่วไป๋ไม่ยินดีจะก้าวเดินต่อไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นเขาเอง

 

 

                        

 

 

ตอนที่ 427 ดินเนอร์ใต้แสงเทียน

 

 

           ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นมั่วไป๋ หรือหลินฝาน เขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้ทั้งนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของมั่วไป๋ นัยน์ตาเขามีคำสาบานอย่างจริงใจและหนักแน่น ราวกับว่าตัดสินใจแล้วว่าจะรั้งมั่วไป๋ให้ถึงที่สุด

 

 

           ……

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินวางสายจากมั่วไป๋ไปแล้ว ก็นอนอยู่บนโซฟาอยู่นานสองนาน ท้องฟ้าค่ำลงแล้ว

 

 

           คาดว่าคงอีกไม่นานซือเหยี่ยนก็จะกลับมาแล้ว

 

 

           เขากลับมาที่นี่ไม่ได้บอกซือเหยี่ยนไว้ ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนั่นน่าจะคิดว่าเขาอยู่ที่บ้านตระกูลเจียง

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด ตัดสินใจจะทำเซอร์ไพรส์ให้ซือเหยี่ยน

 

 

           เขาคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง ตัดสินใจจะทำอาหารเย็นให้ซือเหยี่ยน ถึงแม้ว่าเขาจะทำ…ไม่ค่อยเป็น แต่ว่าไม่เป็นไรคุณชายน้อยเจียงอย่างเขาคนที่ออกจะฉลาดขนาดนี้ แม้แต่อาหารจะทำไม่ได้เลยเชียวเหรอ

 

 

           เจียงมู่เฉินตัดสินใจจะทำตามความคิด พุ่งตัวไปยังห้องครัวทันที ข้างในไม่มีอะไรสักอย่าง

 

 

           เหลือเพียงแค่ผัดสดที่เหลือจากครั้งที่แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว เขามองดูผักสดนั้น หนังหัวก็ชักจะเจ็บๆ ขึ้นมา คิดแล้วสุดท้ายก็ยอมจำนนต่อความเป็นจริง

 

 

           ครั้งก่อนทำอาหารให้ซือเหยี่ยน อีกนิดเกือบจะทำห้องครัวในคฤหาสน์ของซือเหยี่ยนระเบิดแล้ว

 

 

           ครั้งนี้เป็นบ้านที่พวกเขาเองอย่างเป็นทางการ เขาไม่อยากให้ที่นี่ต้องผ่านเหตุการณ์ภัยพิบัติ

 

 

           ด้วยเหตุนี้เจียงมู่เฉินจึงตัดสินใจออกไปซื้อของข้างนอก

 

 

           ตอนที่เขาออกจากคอนโดมิเนียมไปก็เป็นเวลาหกโมงกว่าๆ แล้ว ขณะที่เดินทางไปก็ยังจงใจสืบข่าวคราวความเคลื่อนไหวของซือเหยี่ยนไปด้วย

 

 

           เห็นว่าเขายังไม่กลับมาอีกสักพัก เจียงมู่เฉินถึงได้วางใจ

 

 

           ถึงอย่างไรก็อยากจะทำเซอร์ไพรส์ให้เขา ถ้าซือเหยี่ยนกลับมาก่อน ก็จะไม่ใช่การเซอร์ไพรส์เลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินหยิบมือถือมุ่งหน้าออกจากเขตที่พักอาศัย ไปซื้ออาหารจากร้านอาหารที่อยู่ระแวกข้างๆ ขณะที่กลับไปก็เดินผ่านร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะพอดี

 

 

           หลังจากที่พวกเขาย้ายมาอยู่ที่คอนโดมิเนียม เขากับซือเหยี่ยนก็เลิกกัน ห้องชุดในคอนโดมิเนียมนี้จึงยังไม่มีความพร้อมและครบครัน

 

 

           ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเครื่องดื่มเหล้าเบียร์หรือไวน์อะไรเลย

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปซื้อไวน์แดงมาสองขวด หลังจากนั้นถึงค่อยกลับบ้านไป

 

 

           เมื่อมายืนอยู่ที่หน้าประตู เจียงมู่เฉินก็รู้สึกใจแป่วอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกอยู่เสมอว่าที่เข้าไปไม่ใช่บ้านตัวเอง

 

 

            เขาผลักประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง ข้างในมืดสนิท ดูท่าว่าซือเหยี่ยนจะยังไม่ได้กลับมาจริงๆ เขาอดจะโล่งใจไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินพลิกมือกลับมาปิดล็อคประตู รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องครัว เอาอาหารที่ตัวเองซื้อมาจัดใส่ภาชนะให้เรียบร้อย

 

 

           จากนั้นก็เอาขวดไวน์แดงวางในแช่เย็นอยู่ในน้ำแข็ง

 

 

           ทำทุกอย่างนี้เสร็จแล้ว เจียงมู่เฉินยังรู้สึกว่ามีบางจุดขาดอะไรไปสักอย่าง

 

 

           คิดดูแล้ว เขาก็หยิบเทียนไขที่ซื้อมาเพื่อความสนุกเมื่อครั้งก่อนออกมา

 

 

           หลังจากนั้นก็เอาอุปกรณ์กินอาหารขึ้นมาจัดแจงบนโต๊ะ แล้วจุดไฟใส่เทียนไข เจียงมู่เฉินจ้องมองผลงานชิ้นเยี่ยมของตัวเองด้วยความเบิกบานใจ รู้สึกว่าสุดยอดจนว่าไม่ได้เลย

 

 

           เจียงมู่เฉินทำทุกอย่างนี้เสร็จ ยังไม่ถึงหนึ่งทุ่ม เขารู้สึกว่าเมื่อครู่นี้เขาตื่นเต้นไปตื่นเต้นมา ตื่นเต้นจนร่างกายมีกลิ่นเหงื่อออกมา

 

 

           ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้จะได้ไปอาบน้ำพอดี

 

 

           ด้วยเหตุนี้เจียงมู่เฉินจึงเข้าไปในห้องนอนใหญ่ รื้อค้นเสื้อผ้าออกมาจากด้านใน แล้วย่องเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำทันที

 

 

           ……

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกงานแล้วก็กลับไปยังคอนโดมิเนียมทันที ขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องจะเปิดประตูอยู่นั้น ก็อดจะอยากย่องไปบ้านตระกูลเจียงแอบลักพาตัวคนมา

 

 

           ถ้าไม่ใช่รู้สึกว่าเพิ่งจะได้ความเห็นชอบจากพ่อแม่ของเจียงมู่เฉิน จะชิงตัวก็โจ่งแจ้งเกินไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นพาคนกลับมาตั้งแต่แรก แล้วจะยังอดทนได้จนถึงพรุ่งนี้ได้อย่างไร

 

 

           ซือเหยี่ยนเอื้อมมือไปเปิดประตู เดิมทีคิดว่าข้างในจะมืดสนิท

 

 

           แต่ใครจะคิดว่าข้างในจะมีแสงไฟลอดออกมา ไม่เท่านั้นยังมีกลิ่นหอมจางๆ โชยมาด้วย ซือเหยี่ยนตกตะลึงเบาๆ นิ้วมือสั่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ‘เวลานี้เกิดสิ่งที่ปรากฏที่นี่…ก็มีเพียงแค่เจียงมู่เฉินเท่านั้นที่เป็นไปได้’

 

 

           ซือเหยี่ยนเริ่มประหม่านิดหน่อยโดยไม่ได้ตั้งใจ หายใจดังก็ยังไม่กล้าหายใจออกมา

ตอนที่ 424 คุณชายชอบนาย

 

 

           เจียงมู่เฉินเพิ่งจะเข้าไปก็ไปเตะตาต้องใจกำไลข้อมือที่มีสีเขียวมรกตทั่วทั้งวงเป็นหยกน้ำงามชั้นดีเยี่ยม

 

 

           เขามองดูกำไลข้อมือวงนั้น แม่ซือเหยี่ยนต้องชอบมากแน่ๆ เจียงมู่เฉินให้พนักงานจัดลงกล่องห่อของขวัญโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

           “คุณผู้ชายคะ ที่นี่ยังมีแหวนหยกที่ใช้สวมหัวแม่มือ[1]ประกอบเป็นของคู่กันด้วยนะคะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงหน้าไปมอง ของสองชิ้นนี้เห็นได้ชัดว่าเจียระไนมาจากหยกเจไดต์[2]ก้อนเดียวกัน เพียงแต่ว่าแหวนวงนั้นมีสีแดงย้อมเจือมาระเรื่อ

 

 

           แต่สีแดงนั้นทิ้งรอยอยู่จุดบนสุดของแหวนพอดี แต่งแต้มขึ้นมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ช่างเหมาะสมเข้ากันพอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “เอาสองชิ้นนี้ห่อด้วยกันเลย”

 

 

           เห็นเลขศูนย์ที่อยู่ต่อกันข้างหลัง เจียงมู่เฉินไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิด รูดบัตรจ่ายเงินเสร็จสรรพ

 

 

           หลังจากซื้อของขวัญเสร็จ เจียงมู่เฉินก็เตรียมจะกลับบ้านตระกูลเจียง แต่พอคิดว่าตอนนี้แม่เขายังอยู่ที่โรงพยาบาล พ่อเขาก็อยู่เป็นเพื่อนแม่ด้วย

 

 

           ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน

 

 

           กลับไปก็มีเขาอยู่คนเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้เขากลับไปคอนโดของตัวเองกับซือเหยี่ยนดีกว่า

 

 

           คิดได้แบบนี้ เจียงมู่เฉินก็ขับรถกลับไปที่คอนโดมิเนียมใจกลางเมืองทันที

 

 

           หลังจากกลับมา พักอยู่ที่นี่ได้สองวัน ก็ถูกซือเหยี่ยนส่งตัวกลับมาบ้านตระกูลเจียงแล้ว  พอวันนี้เข้ามาก็รู้สึกเหมือนคืนสู้เหย้ายังไงชอบกล

 

 

           เจียงมู่เฉินวางของขวัญที่ซื้อมาไว้ข้างๆ หลังจากนั้นตัวเองก็นอนบนโซฟาสักพัก

 

 

           ดูเวลาแล้ว เวลานี้มั่วไป๋น่าจะตื่นได้แล้ว เขาจึงโทรหามั่วไป๋

 

 

           คำนวณเวลาดู เขาถึงที่นั่นก็เป็นเวลาสองวันแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินหยิบมือถือขึ้นมาโทรวิดีโอคอลหาเขา รออยู่สักพักหนึ่ง มั่วไป๋ถึงได้รับสาย เขานอนฟุบอยู่บนเตียง สีหน้าค่อนข้างซีดเซียวทีเดียว

 

 

           “ช่วงนี้นายไปโรงพยาบาลแล้วหรือยัง”

 

 

           เหมือนมั่วไป๋ยังไม่ได้ตื่นดี พยักหน้าอย่างสะลึมสะลือ “อืม”

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากถามว่าไป๋จิ่งได้ไปหาเขาหรือเปล่า แต่กลัวว่าไป๋จิ่งจะไม่ได้ไป ยิ่งจะเพิ่มความยุ่งยากกันไปใหญ่

 

 

           “เหยียนอวี้ทางนั้นว่ายังไงบ้าง ร้ายแรงไหม”

 

 

           “ก็พอค่อยยังชั่ว วันนี้ฉันจะไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล”

 

 

           เจียงมู่เฉินหยุดลงสักพัก “อยากให้ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนนายไหม”

 

 

           มั่วไป๋เงียบงันไม่พูดจาอยู่สองนาที ก็ส่ายหัวไปมา “เฉินเฉิน นายอย่ามาเลย”

 

 

           “แต่นายคนเดียว ฉันไม่ค่อยวางใจ”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ รอยยิ้มบนใบหน้าซีดเซียวดูไร้เรี่ยวแรงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไร มีเหยียนอวี้อยู่ นายจะกลัวอะไร”

 

 

           เขาหยุดลงสักพัก “อีกอย่างฉันจะอยู่ใต้เงาการปกป้องของนายตลอดไม่ได้อยู่แล้ว มีบางเรื่อง ฉันก็ควรจะเผชิญหน้าเอง”

 

 

           ตอนนั้นเจียงมู่เฉินปกป้องเขาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ก็ควรจะเป็นตัวเองที่เผชิญหน้า

 

 

           หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ของมั่วไป๋ เจียงมู่เฉินก็ทุกข์ใจอยู่ไม่น้อย เขาหลับตาลงราวกับกำลังซึมซับอย่างช้าๆ

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “มั่วไป๋ พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะอยู่เคียงข้างนายได้ตลอดไปเลยนะ”

 

 

           มั่วไป๋กะพริบตาปริบๆ เบ้าตารู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย เขาพยักหน้าพร้อมเอ่ย “อืม โอเค”

 

 

           “โอเค นายทำการรักษาดีๆ นะ ฉันจะรอข่าวดีของนาย”

 

 

           “เจียงมู่เฉิน ขอบใจนายนะ”

 

 

           ถ้าไม่ได้เจียงมู่เฉิน เขามั่วไป๋คงจะตายไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “พวกเราเป็นพี่น้องกันไง”

 

 

           ……

 

 

           ครั้งแรกที่เจอเจียงมู่เฉิน…

 

 

           มั่วไป๋หวนย้อนคิดกลับไป ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรขึ้นมา จู่ๆ ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขำขัน

 

 

           นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายไปสารภาพกับไป๋จิ่งเอง ผลสุดท้ายกลับโดนไป๋จิ่งปฏิเสธมาจนได้

 

 

           เขายืนอยู่ในไนท์คลับ อดจะอยากลองดื่มเหล้าไม่ได้

 

 

           นั่นเป็นครั้งแรกที่เขามาไนต์คลับ ขาดแค่บนใบหน้าไม่ได้เขียนว่า ‘น้องใหม่’ เท่านั้นเอง

 

 

           เขาเพิ่งจะนั่งลงที่เคาน์เตอร์บาร์ ก็มีคนส่งเหล้ามาให้เขาแก้วหนึ่ง ตอนนั้นเขาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อรีบบ่ายเบี่ยงทันที

 

 

           ใครจะคิดว่าคนข้างๆ จะยกยิ้มมุมปากมองเขาด้วยความขำขัน นัยน์ตาดอกท้อประกายรอยยิ้ม สว่างพร่างพราวดั่งดวงดาวระยับแสง

 

 

           เขาไม่เคยเจอคนคนนี้มาก่อน ความหวาดระแวงปรากฏขึ้นในแววตา

 

 

           “นายคือ?”

 

 

           จู่ๆ คนคนนั้นก็เอื้อมมือไปจับคางมั่วไป๋เชิดขึ้น เผยอปากเล็กน้อย “คุณชายชอบนาย”

 

 

 

 

 

 

[1]  แหวนหยกที่ใช้สวมหัวแม่มือ  เดิมใช้สวมยิงเกาทัณฑ์ ต่อมาใช้เป็นของประดับ

 

 

[2]  เจไดต์ (Jadeite)  มีองค์ประกอบทางเคมีคือ โซเดียมอะลูมิเนียมซิลิเกต สีเขียวเข้มสดกว่าเนฟไฟรต์ จัดเป็นหยกคุณภาพดี และหาได้ยากในปัจจุบัน โดยธรรมชาติมักพบเป็นก้อนเนื้อแน่น ประกอบด้วยผลึกขนาดเล็กอยู่รวมกัน มีความวาวตั้งแต่แบบแก้วจนถึงแบบน้ำมัน พบในประเทศเมียนมาร์ กัวเตมาลา ญี่ปุ่น และรัสเซีย หยกเจไดต์มีความแข็งอยู่ที่ระดับ 7.0-7.5

 

 

 

 

ตอนที่ 425 ฉันไม่ชอบนาย

 

 

มั่วไป๋หลุดขำออกมา เวลานั้นใบหน้าของเจียงมู่เฉินขาดแค่ไม่ได้เขียนคำว่า ‘โรคจิต’

 

 

เขาเอามือปัดมือเจียงมู่เฉินให้พ้นทาง “ฉันไม่ชอบนาย”

 

 

เจียงมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้กลับรู้สึกบันเทิงใจไปได้ นัยน์ตาดอกท้อหรี่ลงเล็กน้อย เหมือนคลื่นที่เริ่มสั่นสะเทือนและซัดสาดอย่างเอาแต่ใจอยู่ในดวงตาสีดำขลับ

 

 

“ไม่เป็นไร คุณชายชอบนาย ได้ไหม”

 

 

มั่วไป๋ตกใจกลัวจนเด้งตัวจากเก้าอี้เตรียมจะวิ่งหนี

 

 

คนข้างๆ เห็นเจียงมู่เฉินเย้าหยอกแบบนั้นไปเมื่อครู่นี้ ก็เอ่ยขึ้น “คุณชายเจียง นายอย่าแกล้งกระต่ายขาวตัวน้อยแบบนั้น อย่าทำให้คนเขาตกใจจนอกสั่นขวัญแขวนสิ”

 

 

เจียงมู่เฉินบีบคางตัวเองเบาๆ เหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างไรอย่างนั้น ผ่านไปครู่ใหญ่เขายังคิดไม่ตก พลางมองมาทางมั่วไป๋ “ฉันหน้าตาดูน่าสะพรึงกลัวเหรอ”

 

 

โดนเขาถามแบบนี้ จิตใต้สำนึกของมั่วไป๋ถึงได้สั่งให้เขามองมาที่เจียงมู่เฉิน

 

 

เขากับคนที่น่าสะพรึงกลัวดูจะไม่ไปด้วยกันเลยสักนิด เครื่องหน้าได้รูป มุมปากเชิดขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าสนิทใจ ดูๆ ไปเหมือนจะเล่นๆ ไม่จริงจังอะไรอย่างเห็นได้ชัด

 

 

สันจมูกโด่งสูง ทั้งยังมีนัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นที่ทำให้คนติดบ่วงได้อีก มั่วไป๋ไม่เคยพบเจอคนที่มีดวงตางดงามขนาดนี้มาก่อน ดั่งดวงดาวทอแสง เป็นแววตาที่ดึงดูดคนอื่นได้โดยไม่รู้ตัว

 

 

เขาหน้าตาสวยมาก ถึงขนาดพูดได้ว่ามีความเป็นปีศาจยั่วเสน่ห์อยู่ในที

 

 

ดูไม่เข้าทีกับคนที่น่าสะพรึงกลัวเลยสักนิด

 

 

มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่น่าสะพรึงกลัว สวยมากเลย”

 

 

ผู้ชายคนหนึ่งถูกเรียกว่า ‘สวย’ ไม่ว่าใครก็จะไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่นัก แต่เจียงมู่เฉินกลับหัวเราะเสียงต่ำออกมา

 

 

“พูดจริงๆ นะ คุณชายอย่างฉันชอบนายมากเลย อยากเป็นเพื่อนกับฉันไหม”

 

 

ด้านข้างมีเสียงผิวปากขึ้นมาเป็นระลอก ราวกับกำลังดูอะไรน่าตื่นเต้นไม่มีผิด

 

 

มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจ คำว่า ‘คบเป็นเพื่อน’ จากปากคนเหล่านี้หมายความว่ายังไง

 

 

ถ้าหากไม่ใช่เพื่อนธรรมดาตามที่เขาเข้าใจ แบบนั้นก็ค่อนข้างจะวุ่นวายแล้ว มั่วไป๋เอ่ยปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ไม่อยาก”

 

 

คงจะไม่เคยมีใครจะปฏิเสธเจียงมู่เฉินได้ เพียงชั่วครู่เดียวเขาก็ทนไม่ไหวหัวเราะออกมา ไม่มีร่องรอยความโกรธเลยสักนิด

 

 

ภาพจำแรกที่มั่วไป๋มีต่อเจียงมู่เฉินก็คือคุณชายเจียงคนนี้เหมือนจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย

 

 

หลังจากพูดจบ ก็ไม่ได้สนใจเจียงมู่เฉินที่ยังหัวเราะคิกคักอยู่ รีบเร่งออกจากไนต์คลับไป

 

 

เดิมคิดว่าต่อจากนี้จะไม่ได้พบเจอคุณชายเจียงคนแปลกคนนี้อีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าไม่ถึงสิบหน้าก็มาเจอกันอีกจนได้

 

 

เขาออกจากไนต์คลับได้เพียงไม่กี่นาที ก็โดนคนสกัดเอาไว้ คนพวกนั้นมาด้วยเจตนาไม่ดี หน้าตาอากัปกิริยาถ่อยและต่ำทราม

 

 

เมื่อมั่วไป๋เห็นก็หมุนตัวเตรียมจะวิ่งไปด้านหลัง ใครจะคิดว่าพอหันไปก็จะชนเข้ากับเจียงมู่เฉินพอดี

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นคนพวกนั้นอยู่ต่อหน้า หรี่ตาลงเล็กน้อย เขายื่นมือไปดึงมั่วไป๋มาอยู่ข้างหลังตัวเอง เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “รอก่อนนะ คุณชายเป็นพระเอกมาช่วยนางเอกแล้ว”

 

 

มั่วไป๋เพิ่งจะเตรียมบอกให้เขาระวัง เจียงมู่เฉินก็ลงมือไปแล้ว

 

 

ท่าทางเขาคล่องแคล่วว่องไว ไม่ชักช้าอืดอาดเลยแม้แต่น้อย มั่วไป๋เห็นแล้วก็แปลกใจอยู่ไม่เบา เดิมทีเขาคิดว่าคุณชายเจียงคนนี้จะเป็นแค่เติ้งถูจื่อ ที่รวยเงิน คิดไม่ถึงว่าต่อสู้กันขึ้นมาจะสบายหายห่วงได้ขนาดนี้

 

 

เจียงมู่เฉินซัดคนพวกนั้นจนล้มลงอย่างรวดเร็วและง่ายดาย รอจนคนพวกนั้นเผ่นไปไกล เขาถึงได้หันมามองมั่วไป๋ “วันหลังอย่ามาที่แบบนี้สุ่มสี่สุ่มห้า ระวังจะโดนรังแกเอา”

 

 

“ขอบใจนะ”

 

 

เจียงมู่เฉินกลับยักคิ้วให้ “อยากตอบแทนด้วยร่างกายไหม”

 

 

มั่วไป๋ตะลึงงัน เสมือนว่าเจียงมู่เฉินในมาดจริงจังเพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นเมื่อครู่นี้เป็นสิ่งที่ตัวเองเพ้อฝันออกมาเท่านั้น

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าแบบนั้นของเขาก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน “ล้อนายเล่น คนที่อยากเอาร่างกายเข้าแลกให้คุณชายเจียงมีเยอะจนวนรอบถานโจวไปรอบหนึ่งได้แล้ว”

 

 

“เมื่อกี้ทำไมนายถึงอยากมาช่วยฉัน”

 

 

เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คุณชายบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าคุณชายอยากเป็นเพื่อนกับนาย เพื่อนตกอยู่ในอันตราย คุณชายไม่ควรจะออกมาช่วยเหรอ”

 

 

“คำว่าเป็นเพื่อนของนายคือเป็นเพื่อนแบบไหนกัน”

 

 

เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง นาทีต่อมาก็หัวเราะออกมากะทันหัน “วางใจได้ ฉันไม่ได้คิดจะเป็นเพื่อนแบบเซ็กส์เฟรนด์กับนายหรอก”

ตอนที่ 422 อยากจดทะเบียนกับฉันไหม

 

 

“ได้”

 

 

หนึ่งคำแผ่วเบาปลิวตามลม ในตอนแรกเจียงมู่เฉินยังไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา แต่ทันทีหลังจากนั้นความดีใจแทบคลั่งก็ประกายวาบขึ้นมาในแววตา ดวงตาลุกวาวเพียงชั่วพริบตา ดั่งดวงดาวระยับแสงส่องสว่างที่สุดในยามราตรีนี้

 

 

นิ้วมือเขาสั่นเล็กน้อย เจียงมู่เฉินกำมือแน่นทันที พร้อมเอ่ยเสียงต่ำ “แม่ครับ เมื่อกี้แม่ว่าอะไรนะครับ”

 

 

คุณแม่เจียงไม่ได้พูดต่ออีก เมื่อครู่นี้ก็เต็มที่พอกับแรงเฮือกสุดท้ายที่เธอเค้นออกมาแล้ว

 

 

เธอหลับตาลงเอนตัวลงนอนบนเตียง คุณพ่อเจียงก็ถอนหายใจลึกๆ ดึงเจียงมู่เฉินขึ้นมา “ฉันกับแม่แกเห็นด้วยแล้ว”

 

 

เจียงมู่เฉินไม่รู้ว่าเพราะไม่กล้าที่จะเชื่อได้ หรือว่าเพราะดีใจแทบบ้าจนเกินไป ทั้งร่างกายสั่นสะท้านโดยไม่ตั้งใจ

 

 

“เอาล่ะ ออกไปก่อนเถอะ แม่แกต้องการพักผ่อนแล้ว”

 

 

เจียงมู่เฉินขอบตาอุ่นร้อน พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง ทำได้เพียงพยักหน้าไม่หยุด แล้วออกจากห้องไป

 

 

จนกระทั่งตัวคนมายืนอยู่นอกประตู เจียงมู่เฉินถึงค่อยพิงผนัง เอามือปิดที่ดวงตา

 

 

เขายิ้มหัวเราะ  นี่ถือว่าสงครามต่อต้านของตัวเองกับซือเหยี่ยนประสบผลสำเร็จแล้วสินะ

 

 

……

 

 

ในห้องพักผู้ป่วย คุณแม่เจียงยิ่งไปไม่ถึงไหนยิ่งกว่าเจียงมู่เฉิน ดวงตาเธอแดงก่ำ วันนี้รับปากกับเจียงมู่เฉินแล้ว ก็แฝงความนัยว่าลูกชายของเธอทั้งชีวิตนี้อาจจะต้องใช้ชีวิตภายใต้สายตาผู้คนที่คอยจับผิดต่างๆ นานาแล้ว

 

 

พอเธอคิดถึงว่าต่อจากนี้เจียงมู่เฉินทำได้เพียงแค่คบกับซือเหยี่ยนแบบหลบๆ ซ่อนๆ ในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์

 

 

ซือเหยี่ยนเด็กคนนี้ที่จริงก็ไม่เลว แต่พอนึกกลับมาในความเป็นจริงยังไม่เปิดกว้างสำหรับพวกเขาผู้ชายสองคน

 

 

เธอไม่มีความปรารถนาอื่นใด แค่เพียงหวังว่าลูกชายที่ตัวเองทั้งรักและทะนุถนอมไว้ในใจพอจะใช้ชีวิตได้อย่างผ่อนคลายสักหน่อย

 

 

คุณพ่อเจียงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเดินเข้าไปกอดเธอไว้ในอ้อมอก “วางใจเถอะ ลูกชายของผมเจียงเฉิน ใครจะกล้ามาดูถูกได้”

 

 

คุณแม่เจียงตาแดงพยักหน้ารับ ยังดีที่พวกเขาไม่ถือว่าไม่ไร้ประโยชน์จนเกินไป ยังช่วยทั้งสองคนนี้ได้

 

 

คุณพ่อเจียงเห็นเธอร้องไห้จนตาแดง ก็เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งสงสาร “วางใจเถอะ เฉินเฉินนิสัยทะนงตัวแบบนั้น จะไม่ถูกเอาเปรียบหรอก…

 

 

…อีกอย่างยังมีซือเหยี่ยน มีซือเหยี่ยนอยู่ทั้งคน เขาไม่มีทางจะให้เฉินเฉินถูกเอาเปรียบหรอก”

 

 

……

 

 

เจียงมู่เฉินออกไปได้ไม่ทันไร พ่อแม่ซือเหยี่ยนก็เข้ามา

 

 

เข้ามาห้องทำงานแล้ว เหวินฮุ่ยก็พูดกับซือเหยี่ยนทันที “ทางฝั่งแม่ของเฉินเฉินจัดการเรียบร้อยแล้ว ลูกแม่ทั้งหล่อทั้งเก่งขนาดนี้ ใครจะกล้ามาไม่ชอบได้”

 

 

“พ่อครับ แม่ครับ ครั้งนี้ขอบคุณพ่อกับแม่เลยครับ” ถ้าไม่มีพวกเขาให้การช่วยเหลือ เกรงว่าคงจะไม่ได้ราบรื่นถึงขนาดนี้ได้

 

 

“ขอบคุณอะไรกัน ลูกเป็นลูกชายของแม่ ยังหาเฉินเฉินมาเป็นลูก…เอ่อ…ลูกชาย เป็นเรื่องที่ดีนะ”

 

 

เหวินฮุ่ยคิดในใจ อีกนิดเกือบจะพูดตามความเคยชินแล้วว่าเป็น ‘ลูกสะใภ้’

 

 

“เฉินเฉินโดนพ่อแม่เขาเรียกตัวไปแล้วครับ เพิ่งจะไปเมื่อกี้”

 

 

เหวินฮุ่ยพยักหน้า “งั้นก็คงจะบอกกับเฉินเฉินว่าเห็นด้วยกับเรื่องที่พวกลูกสองคนคบกันแล้ว”   

 

 

“ใช่แล้ว พรุ่งนี้ลูกพาเฉินเฉินกลับมาด้วยนะ บอกว่ากลับบ้านมากินข้าวกันสักมื้อ” เหวินฮุ่ยเบิกบานใจ นี่จะเป็นครั้งแรกที่ลูกชายพาลูกสะใภ้หรือแฟนหนุ่มของเขากลับมา

 

 

ซือเหยี่ยนยิ้มพร้อมพยักหน้า “ได้ครับ พรุ่งนี้ผมจะพาเขากลับไปกินข้าว”

 

 

เรื่องสำคัญก็พูดจบแล้ว เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน กลับออกไปก่อน

 

 

ในห้องทำงานเหลือเพียงแค่ซือเหยี่ยนอยู่คนเดียว เขายืนอยู่ต่อหน้าหน้าต่าง จู่ๆ ก็อยากสูบบุหรี่ขึ้นมา

 

 

หาในตู้ที่อยู่ข้างๆ อยู่ตั้งนานถึงหากล่องบุหรี่กล่องหนึ่งเจอ เขาหยิบออกมาจุดไฟหนึ่งมวน ซือเหยี่ยนยืนอยู่ต่อหน้าหน้าต่างสูบบุหรี่ไปพลางมองไปยังนอกหน้าต่าง

 

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้างนอกแสงอาทิตย์นั้นได้ส่องทะลุผ่านใบไม้ลงมาตกกระทบบนใบหน้าของซือเหยี่ยน พาความอบอุ่นมา

 

 

เขาเชิดมุมปาก หลับตาลงเล็กน้อย

 

 

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เจียงมู่เฉินก็โทรมา เสียงเรียกเข้าดังไม่หยุด เหมือนอารมณ์ที่ตื่นเต้นของเจียงมู่เฉิน

 

 

ไม่มีหนทางใดจะสงบจิตสงบใจลงได้เลย

 

 

รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของซือเหยี่ยน ล้วงเอามือถือจากในกระเป๋ากางเกงออกมากดรับสาย

 

 

เจียงมู่เฉินยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน เขามองดูแสงแดดที่นอกหน้าต่าง เชิดมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยเสียงต่ำ “ซือเหยี่ยน นายอยากจะจดทะเบียนกับฉันไหม”

 

 

 

 

ตอนที่ 423 ไปบ้านซือเหยี่ยน

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินประโยคนี้ หัวใจก็แทบจะหยุดเต้นทันทีในชั่วพริบตานั้น

 

 

           เขากำมือถือแน่นสนิท เส้นเลือดใหญ่ปูดขึ้นมาเด่นชัดราวกับจะระเบิดออกมาแล้ว

 

 

           ผ่านไปพักใหญ่ เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “ไม่อยาก”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “?”

 

 

           เขาคิดว่าตัวเองฟังผิด จึงถามออกไปอีกครั้ง “นายว่าอะไรนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนหลับตาลง ปกปิดความดีใจแทบบ้าในแววตาไว้ เอ่ยด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง “ไม่อยาก”

 

 

           อารมณ์ตื่นเต้นอันร้อนแรงดั่งไฟร้อนแต่เดิมของเจียงมู่เฉินถูกสองคำนี้ของซือเหยี่ยนสาดน้ำใส่ดับมอดจนเย็นเฉียบ

 

 

           เขากระแทกเสียงกดตัดสายไปทันที

 

 

           ‘เจ้าหมอนี่ไม่อยากจะจดทะเบียนกับตัวเอง แล้วคุยกับเขาจะมีความหมายอะไร’

 

 

           ซือเหยี่ยนกำลังจะเตรียมพูดต่อ ก็ได้ยินเสียงตู๊ดๆ ในทันใด เขาเอามือถือลงมาดูก็เห็นอีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว

 

 

           เขามองดูมือถือแล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น

 

 

           ‘ที่แท้เจียงมู่เฉินคนดีคนเดิม อารมณ์หัวร้อนระเบิดลงแบบนี้ตลอดชีวิตก็เปลี่ยนไม่ไหวเลยจริงๆ’

 

 

           เขาเพิ่งจะเตรียมวางมือถือลง เจียงมู่เฉินก็โทรมาอีกครั้ง

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปาก กดรับสายอีกครั้ง

 

 

           “นายแม่งทำไมไม่อยากจดทะเบียนกับฉัน” เจียงมู่เฉินโทรติดแล้ว ก็กระแทกประโยคนี้ใส่หูเต็มๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่พูดว่า “พ่อแม่ผมให้พรุ่งนี้คุณไปกินข้าวที่บ้านผม”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินก็งุนงงในทันใด  พ่อแม่ของซือเหยี่ยนให้เขากลับไปกินข้าวด้วยเหรอ

 

 

           ‘คงจะไม่ใช่ว่าคิดวิธีจับเขากับซือเหยี่ยนแยกออกจากกันได้แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงเรียกให้เขาไปพบหรอกใช่ไหม’

 

 

           “กิน กินข้าว?” หัวใจดวงน้อยๆ ของเจียงมู่เฉินเต้นตึกตักขึ้นมาชั่วขณะ

 

 

           ‘น่าสะพรึงนะ เอาจริง’

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “อะไรกัน ไม่กล้าไป?”

 

 

           “เหอะๆ” เจียงมู่เฉินทำเสียงหัวเราะแห้งใส่ “คุณชายอย่างฉันจะมีอะไรไม่กล้าไป”

 

 

           พ่อแม่เขาก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องพ่อแม่ซือเหยี่ยนอีกไม่นานเกินรอก็จะจัดการได้แล้ว  นี่แค่กินข้าวเองไม่ใช่เหรอ

 

 

           ‘มีอะไรน่ากลัวกัน’  

 

 

           “งั้นพรุ่งนี้ตอนเที่ยงผมจะไปรับคุณนะ”

 

 

           พอเจียงมู่เฉินคิดถึงวันพรุ่งนี้ก็ชักจะลนลานนิดหน่อยแล้ว แต่เพื่อรักษาหน้าอย่างไรก็ต้องไป เขาทำเสียงเย็นใส่อย่างตามใจตัวเอง “ได้มั้ง”

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ “คุณก็ไปเตรียมตัวให้ดี ผมขอตัวทำงานต่อก่อน”

 

 

           ‘เตรียมตัว เตรียมตัวกับผีสิ’ หลังจากเจียงมู่เฉินวางสายไป ยืนอยู่ในโรงพยาบาลอยากต่อยผนัง

 

 

           ‘นี่ถือว่าเป็นการเข้าพบผู้ใหญ่ใช่ไหม’

 

 

           ถึงแม้ว่าจะเจอหน้าพ่อแม่ของซือเหยี่ยนไม่รู้ว่าตั้งกี่ครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน

 

 

           ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนพ่อแม่ของซือเหยี่ยนจะมีใบหน้าแต้มรอยยิ้มให้ แต่ครั้งนี้อาจจะถือมีดไล่ฆ่าเขาก็ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือกดที่หัวตัวเอง  เขาพูดเรื่องจดทะเบียนไปไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมันไปถึงขั้นไปกินข้าวที่บ้านซือเหยี่ยนได้

 

 

           ‘นี่มันก้าวกระโดดเกินไปไหม ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองจริงๆ’

 

 

           พ้นประตูโรงพยาบาลมา ในใจเจียงมู่เฉินเหมือนถูกแมวข่วนอย่างไรอย่างนั้น หัวใจคันยุกยิกยากจะทนได้ พอคิดถึงวันพรุ่งนี้ก็นั่งแทบไม่ติดแล้ว

 

 

           ‘พรุ่งนี้ต้องไปบ้านซือเหยี่ยน ซื้ออะไรดีไปฝากพ่อแม่ของซือเหยี่ยน’

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด ขับรถไปห้างสรรพสินค้า คิดจะซื้อของให้พ่อแม่ซือเหยี่ยนสักหน่อย

 

 

           แต่พอเข้าในห้างสรรพสินค้าแล้ว ของละลานตา ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องซื้ออะไร

 

 

           เขาคิดๆ ดูแล้วก็ปวดหัวนิดหน่อย อดจะโทรหาซือเหยี่ยนอีกไม่ได้ “ฮัลโหล พ่อแม่นายชอบอะไรเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “อะไรกัน อยากจะเอาใจพ่อแม่ผมเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ”

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงประชดใส่ “ของฉันนี่เขาเรียกว่ามารยาท ขอบใจ”

 

 

           “อืม เฉินเฉินเข้าใจมารยาทที่สุดเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าประโยคนี้เหมือนหยอกหมาไม่มีผิด ไม่ใส่ใจกันเลยสักนิด

 

 

           “ช่างเถอะๆ ฉันดูเองแล้วกัน” พูดจบก็กระแทกเสียงกดตัดสายทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูมือถือตัวเองที่ถูกตัดสายไป เลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เขาประมาณการเอาไว้ว่าใช้เวลาอีกไม่นาน เฉินเฉินของเขาก็จะโทรมาอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นร้านขายหยกที่อยู่ข้างๆ

 

 

           เขารีบเดินเข้าไป เขาจำได้ว่าพ่อแม่ซือเหยี่ยนชอบหยกเอามากๆ

 

 

           คิดได้แบบนี้ก็เดินเข้าไปทันที       

ตอนที่ 420 รีบไปโรงพยาบาล

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูมือถือเครื่องนั้นของเจียงมู่เฉิน ก่อนจะลบข้อความออกจนเกลี้ยงอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากเห็นข้อความทั้งหมดสลายหายไป ซือเหยี่ยนถึงได้โยนมือถือส่งกลับคืนให้เขา

 

 

           เจียงมู่เฉินมองมือถือตัวเองด้วยสีหน้างงงวย บนจอขาวโพลน ไม่เหลืออะไรสักอย่าง

 

 

           “พี่ใหญ่ ยังไงนายก็เหลือให้ฉันสักนิดสิ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตาเย็นชามองใส่ “เหลือให้คุณสักนิด จะเอาไว้ดูต่างหน้าเหรอ”

 

 

           ทั้งห้องตลบอบอวลเต็มไปด้วยกลิ่นของลมหึงที่หึ่งเป็นพิเศษ

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้าซื่อตาใสลูบจมูกปอยๆ  เขาอยากจะเอาไว้ดูต่างหน้าเมื่อไหร่กัน

 

 

           “นายลบข้อความในมือถือของฉัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามือถือนายจะขาวสะอาดไม่มีอะไรให้จับผิด”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง เจียงมู่เฉินเจ้าหมอนี่เปิดปากมา ตัวเองก็รู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ วิธียั่วอารมณ์ปั่นประสาทอะไรใช้กับเขาไม่ได้ผลเลยสักนิด

 

 

           “เฉินเฉิน คุณรู้จักผมมาตั้งนานขนาดนี้ คุณคิดว่าวิธียั่วอารมณ์ปั่นประสาทใช้กับผมได้ผลเหรอ”

 

 

           “ได้ผล ไม่ได้ผล ก็ต้องลองกันสักตั้ง เผื่อสำเร็จขึ้นมาไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะเยาะ “ช่างเถอะ คุณทำใจจะดีกว่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังอยากจะโต้แย้ง มือถือที่เพิ่งจะถูกซือเหยี่ยนโยนทิ้งกลับคืนมาให้ก็มีเสียงดังขึ้นมา เจียงมู่เฉินคลำหาอยู่ครู่หนึ่ง ถึงเพิ่งจะหยิบมือถือขึ้นมา

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินเห็นที่หน้าจอแสดงว่าใครโทรมา ก็ชะงักไปมือสั่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยน “พ่อฉันโทรมาหาฉัน ทำยังไงดี”

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับทำหน้านิ่ง “รับสิ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม เขาไม่รู้ว่าต้องรับเหรอ ปัญหาคือจู่ๆ พ่อเขาโทรมาหาเวลานี้ได้หมายความว่าไง คงจะไม่ใช่ว่าพวกท่านทะเลาะกันกับพ่อแม่ของซือเหยี่ยนแล้วให้เขาเข้าไปจับแยกหรอกใช่ไหม

 

 

           พอคิดถึงตรงนี้หัวใจก็อดจะรู้สึกหนักอึ้งไม่ได้ เขาแบกหัวใจที่หนักอึ้งรับสายโทรศัพท์

 

 

           “พ่อ เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

 

 

           “เฉินเฉิน มาโรงพยาบาลที” เสียงปลายสายไม่ใช่เสียงของคุณพ่อเจียง แต่เป็นเสียงของคุณแม่เจียง

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงันทันที คนทั้งคนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา  แม่เขาโทรมาให้เขาไปโรงพยาบาลเหรอ

 

 

           “เฉินเฉิน…”

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบเรียกสติกลับมา “ครับ ได้ครับ ผมจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”

 

 

           เขาเพิ่งจะพูดจบสายก็ตัดไปทันที เจียงมู่เฉินเหมือนปลาไนตัวหนึ่งที่เด้งตัวขึ้นมาจากซือเหยี่ยน

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง “เป็นไรไป”

 

 

           เจียงมู่เฉินพรวดพราดลุกขึ้นยืน “แม่ฉันให้ฉันไปโรงพยาบาล”

 

 

           ซือเหยี่ยนวางเอกสารในมือลงก่อนจะเอ่ยถาม “ให้ผมไปด้วยไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “อย่าเพิ่งเลย แม่ฉันแค่บอกให้ฉันไป เดี๋ยวฉันดูสถานการณ์ก่อน ค่อยว่ากันอีกที”

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ แล้วก็ไม่ได้ดึงดันที่จะไป

 

 

           “โอเค งั้นคุณก็ระวังตัวด้วย”

 

 

           เจียงมู่เฉินถือมือถือไว้แล้วรีบพุ่งตัวออกไป ตื่นตระหนกจนไม่ไหวมาตลอดทาง  จู่ๆ เวลานี้แม่เขาให้เขาเข้าไป นี่เตรียมจะทำอะไรหรือเปล่า

 

 

           ‘หรือว่าคุยกับพ่อแม่ซือเหยี่ยนจนแตกหักกันแล้ว ให้ตัวเองหนีจากซือเหยี่ยนทันที’

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ่งคิดยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปได้ที่พอจะเกิดขึ้น เพียงชั่วพริบตาอารมณ์ก็ตื่นตระหนกจนไม่ไหว ตลอดทางที่ขับรถมา มือที่กำพวงมาลัยจนแน่นสนิทต่างก็มีเหงื่อไหลออกมาแล้ว

 

 

           ในที่สุดก็มาถึงที่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วย เจียงมู่เฉินยืนอยู่ตรงนั้น เจียงมู่เฉินจับลูกบิดประตูไว้ ลังเลสองจิตสองใจอยู่ในที

 

 

           เขาหยุดชะงักสักพัก ให้ตัวเองเตรียมอกเตรียมใจ ปลุกความกล้าขึ้นมา ผลักเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้าไป

 

 

           พ่อแม่ซือเหยี่ยนกลับไปแล้ว ข้างในเหลือเพียงคุณพ่อเจียงและคุณแม่เจียงที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้กันสองคน

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นบรรยากาศในห้องมีความกดอากาศต่ำมาก เดินเข้าไปแวบแรกยังไม่กล้าจะเอ่ยปากออกมา

 

 

           คุณแม่เจียงเองก็ไม่ได้รีบร้อน จ้องมองเจียงมู่เฉินอยู่แบบนี้ พินิจมองไม่หยุด

 

 

           โดนเธอมองแบบนั้น ในใจก็กระวนกระวายจริงๆ เจียงมู่เฉินเอ่ยถามไปตรงๆ อย่างเทหมดหน้าตัก

 

 

           “แม่ แม่กับพ่อเรียกผมมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

 

 

           

 

 

         ตอนที่ 421 ผมเชื่อเขา

 

 

           คุณแม่เจียงเงียบงันไม่พูดจาอยู่หลายนาที เธอยังไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไหร่ สุดท้ายเธอมองคุณพ่อเจียง ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “คุณ คุณมาพูดทีค่ะ”

 

 

           คุณพ่อเจียงถูกเรียกตัวกะทันหัน ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาชั่วขณะหนึ่ง จิตสำนึกสั่งให้เขามองคุณแม่เจียงแวบหนึ่ง เห็นแววตาของเธอเหม่อมองมาทางเจียงมู่เฉิน ก็เข้าใจได้ในทันใด

 

 

           “เมื่อกี้พ่อแม่ของซือเหยี่ยนมา”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ผมรู้ครับ”

 

 

           “พวกเขาสองคนมาเพื่อเรื่องของแกกับซือเหยี่ยน…” คุณพ่อเจียงเพิ่งจะเอ่ยปาก เจียงมู่เฉินก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           “พวกเขาเองก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ของแกกับซือเหยี่ยน” คุณพ่อเจียงหยุดสักพัก “พวกเราได้หารือกันกับพวกเขา”

 

 

           ทุกๆ คำที่คุณพ่อเจียงพูดออกมา เจียงมู่เฉินก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นทุกที

 

 

           เขากลืนน้ำลายโดยไม่ตั้งใจ รอคอยคำพูดต่อจากนี้ของคุณพ่อเจียง

 

 

           “แกกับซือเหยี่ยนอายุยังน้อย ยังมีหนทางให้ต้องเดินอีกยาวไกลต่อจากนี้ มันก็เป็นแค่ความรู้สึกรักใคร่หลงใหลเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เวลาในอนาคตยังอีกยาวไกล อาจจะมาเสียใจทีหลังได้…

 

 

           …ดังนั้น พวกเราสี่คนคิดว่าแกกับเขาจะคบกันไม่ได้”

 

 

           คุณพ่อเจียงพูดคำพูดนี้ออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง หัวใจของเจียงมู่เฉินตกลงไปก้นเหวเพียงชั่วพริบตาเดียว ความรู้สึกที่ร่วงหล่นลงมานั้นคือความรู้สึกที่เขาไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนตลอดชีวิตนี้

 

 

           “พ่อ ผมแยกจากซือเหยี่ยนไม่ได้” เจียงมู่เฉินตอบกลับแบบไม่คิดด้วยความดื้อรั้น

 

 

           “พวกเรากับพ่อแม่ซือเหยี่ยนไม่เห็นด้วยกันทั้งนั้น หรือว่าแกจะไม่เอาแม้กระทั่งพ่อแม่แล้ว เพียงเพราะซือเหยี่ยนคนเดียว”

 

 

           ความเจ็บปวดขื่นขมฉายสะท้อนผ่านนัยน์ตาดอกท้อที่เย่อหยิ่งมาแต่ไหนแต่ไร เขามองคุณพ่อเจียงคุณแม่เจียงแล้วยิ้มหัวเราะด้วยความจนใจ “พวกท่านเป็นพ่อแม่ของผม มีความสัมพันธ์ผูกพันกันทางสายเลือด ทั้งชีวิตนี้ก็ตัดไม่ขาดหรอกครับ…

 

 

           …ถ้าพวกท่านไม่เห็นด้วยที่ผมกับซือเหยี่ยนจะคบกันให้ได้ ผมก็ต้องทำได้เพียงแค่เลือกที่จะเลิกกับซือเหยี่ยน…

 

 

           …แต่เจียงมู่เฉินแบบนั้นทั้งชีวิตนี้จะเป็นได้เพียงแค่ลูกชายของพวกท่าน เขาจะไม่มีคนรักคนไหนอีกตลอดชีวิต จะไม่ให้ความรู้สึกรักกับใครคนอื่นอีกตลอดชีวิต”

 

 

           “เฉินเฉิน แกเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ตลอดชีวิตยาวนานขนาดนั้น” คุณพ่อเจียงพูดจากใจอย่างหนักแน่น “แกยังเด็ก บางทีอาจจะใช้เวลาไม่นาน แกก้จะได้เจอคนที่เหมาะสมกับแกจริงๆ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเยาะเย้ยหยัน “จะไม่มีคนที่เหมาะสมอะไรกับผมอีก”

 

 

           ทั้งชีวิตนี้เขาอยากแค่คบกับซือเหยี่ยนเท่านั้น พวกเขาผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย ต่อให้มีคนอื่น ก็ไม่เกี่ยวกับเขาเจียงมู่เฉิน

 

 

           เหมือนคุณพ่อเจียงถูกท่าทีแบบนี้ของเขาทำให้อารมณ์เดือดดาลขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น เขาเอามือกุมขมับทำให้ตัวเองใจเย็นลงอย่างช้าๆ

 

 

           “แล้วซือเหยี่ยนล่ะ แกจะมั่นใจได้ยังไงว่าซือเหยี่ยนจะเหมือนแก อยากจะคบกับแกไปตลอดชีวิต…

 

 

           …หรือบางทีเขาอาจจะใช้เวลาแค่สามสี่ห้าปี ก็ไม่อยากจะคบกับแกแล้ว ถึงตอนนั้นแกจะทำยังไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ไม่หรอกครับ ผมเชื่อเขา”

 

 

           สีหน้าอารมณ์ที่แสดงออกมาบนใบหน้าของเขาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่มากล้น นัยน์ตาดอกท้อทอประกายแสงระยิบระยับ

 

 

           เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยมองมายังคุณพ่อเจียง “ซือเหยี่ยนไม่มีทางหรอกครับ ต่อให้ผมเปลี่ยนไปรักคนอื่น ซือเหยี่ยนก็จะไม่เป็นแบบนั้น”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยคำต่อคำออกมาด้วยความไม่หวั่นไหว

 

 

           เขามองคุณแม่เจียง คุกเข่าลงไปตรงๆ แล้วก้มหัวชิดพื้นต่อหน้าคุณพ่อเจียงคุณแม่เจียง สายตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “พ่อครับ แม่ครับ พวกท่านให้ผมคบกับซือเหยี่ยนได้ไหมครับ”

 

 

           ……

 

 

           ไม่นานก่อนหน้านี้ ซือเหยี่ยนก็เป็นแบบนั้น คุกเข่าลงก้มหัวติดพื้นต่อหน้าพวกเขาอย่างไม่จองหองไม่เจียมตัว เอ่ยคำต่อคำว่า “อาเจียงครับ น้าเจียงครับ ผมอยากจะช่วยพวกท่านรักเฉินเฉินไปด้วยกัน โลกใบนี้นอกจากพวกท่าน ผมก็จะเป็นคนที่รักเขาที่สุด…

 

 

           …ดังนั้น ผมอยากจะขอร้องพวกท่าน ยอมให้ผมคบกับเฉินเฉินได้ครับ”

 

 

           คุณแม่เจียงเห็นภาพเจียงมู่เฉินที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นกับภาพของซือเหยี่ยนเมื่อครู่นี้ ทั้งสองภาพค่อยๆ ทับซ้อนกันอย่างช้าๆ เบ้าตาเธอเจ็บขึ้นมานิดๆ สุดท้ายก็กะพริบตา กดเก็บความเจ็บปวดผ่านดวงตานี้ลงไป

 

 

           เจียงมู่เฉินคุกเข่าอยู่ต่อหน้าคุณแม่เจียงอยู่อย่างนั้นไม่ไหวติง

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว ในที่สุดคุณแม่เจียงก็เอ่ยปากออกมา

ตอนที่ 418 นายตกหลุมรักเขาอีกแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เทียบกับเหยียนอวี้แล้ว สงบนิ่งกว่าอย่างชัดเจนมาก เขามองเหยียนอวี้ด้วยท่าทีเรียบเฉย “ยังรักษาได้ไหม”

 

 

           เหยียนอวี้พยักหน้า “รักษาได้ เพียงแต่ว่า…อาการของนายทรุดลงสาหัสกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะทีเดียว..

 

 

           …ตามหลักการแล้วอาการของนายไม่น่าจะทรุดลงกลายเป็นอย่างนี้ได้” เหยียนอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นายกลับไปเจอเรื่องอะไรสะเทือนใจมาใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ไม่อยากจะพูดมาก เพียงแค่เอ่ยเสียงต่ำ “มีเรื่องนิดหน่อย แต่ไม่สำคัญหรอก นายดูสิว่าจะรักษาได้ยังไงบ้าง”

 

 

           เหยียนอวี้อดจะสังเกตมองมั่วไป๋อย่างละเอียด รู้สึกว่าหลังจากที่เขากลับมาครั้งนี้ คนทั้งคนดูไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่

 

 

           ชัดเจนมากทีเดียวว่าครั้งนี้ที่กลับประเทศไปต้องประสบเหตุการณ์อะไรสักอย่างมาอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่ามั่วไป๋ไม่ยอมจะพูดมันออกมา

 

 

           เขาครุ่นคิด สุดท้ายก็ตัดสินใจจะพูดออกมา “มั่วไป๋ ฉันเป็นหมอของนาย มีบางเรื่องฉันก็ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นฉันจะให้แผนการรักษาแบบครอบคลุมที่สุดกับนายได้ยากมาก”

 

 

           มั่วไป๋เงียบงัน เหยียนอวี้เห็นเขาก็คิดว่าจะรอมั่วไป๋เอ่ยปากเองไม่ได้แล้ว

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเสียงต่ำนั้นจะเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้ฉันเจอคนคนนั้นมา”

 

 

           เหยียนอวี้ขมวดคิ้ว “คนคนนั้น?”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้า “ใช่ ฉันอยากแก้แค้นเขา เลยจงใจล่อลวงเขา”

 

 

           “นายก็รู้อาการของนายดี ว่าทำแบบนี้ไม่ได้” เหยียนอวี้ทำหน้าไม่เห็นด้วยทันที

 

 

           “เหยียนอวี้ นายไม่เข้าใจ ฉันไม่ยินดี” เขาเกือบจะตายเพื่อไป๋จิ่ง แต่ไป๋จิ่งกลับใช้ชีวิตได้อย่างสง่าผ่าเผย

 

 

           แล้วก็ลืมว่ายังมีคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลินฝาน

 

 

           เขาไม่ยินดี ไป๋จิ่งลืมเขาจนหมดสิ้น ดังนั้นเขาจึงอยากจะเตือนไป๋จิ่งอีกครั้ง อยากให้ไป๋จิ่งเป็นเหมือนกับเขา จดจำเขาไปตลอดชีวิต

 

 

           ลืมไม่ได้ไปตลอดชีวิต

 

 

           “แต่ว่านายตกหลุมรักเขาอีกแล้วสินะ”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ “ที่แท้ก็ไม่เคยจะปิดบังอะไรนายได้จริงๆ”

 

 

           “นายก็รู้ว่าฉันเป็นหมอของนาย เรื่องในตอนนั้นของนาย ฉันเข้าใจชัดเจน เรื่องในตอนนี้ก็ยังมองเข้าใจได้อยู่”

 

 

           “เดิมฉันคิดอยากจะแก้แค้นฉัน ให้เขาจดจำฉันไปตลอดชีวิต แต่ฉันไม่นึกเลยว่าฉันจะยังควบคุมหัวใจตัวเองไม่ได้”

 

 

           เหยียนอวี้แสดงสีหน้าหนักอึ้ง ดูสับสนในอารมณ์อยู่ไม่น้อย

 

 

           รออีกไม่กี่นาที จู่ๆ เหยียนอวี้ก็พูดขึ้น “นายกลับไปเก็บของ แล้วพรุ่งนี้เข้ามาพักรักษาโรงพยาบาล…

 

 

           …หลังจากมาแล้วทำแบบทดสอบอีกไม่กี่หน้า ถึงเวลานั้นค่อยมากำหนดแบบแผนการรักษาโดยละเอียด”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้า “โอเค ฉันรู้แล้ว”

 

 

           เหยียนอวี้พูดกับเขาต่ออีกไม่กี่ประโยค แล้วถึงค่อยให้เขาออกไป

 

 

           มั่วไป๋ออกจากโรงพยาบาลมา ก็กลับไปยังคอนโดมิเนียมที่ตัวเองพักอยู่ก่อน พรุ่งนี้ต้องไปโรงพยาบาล ถึงแม้ว่าการไปโรงพยาบาลนั้น เขาจะคุ้นชินมาตั้งนานแล้ว แต่จะคุ้นมากน้อยอย่างไรก็ต้องจัดเตรียมของกันสักหน่อย

 

 

           เรียกรถกลับไปยังคอนโดมิเนียมที่อาศัยอยู่ ตอนที่มั่วไป๋ผ่านตลาดสด ก็เข้าไปซื้อผลไม้ แล้วเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย

 

 

           น้อยครั้งมากที่ตัวเขาเองจะมาตลาดสดได้ รู้สึกมาเสมอว่าสถานที่แบบนี้เหมาะกับคนครึกครื้น เขาอย่างเขาไม่เหมาะมาแต่แรกแล้ว

 

 

           แต่วันนี้ไม่รู้ว่าทำไม คิดไม่ถึงว่าเขาจะเดินเข้ามาจนได้

 

 

           มั่วไป๋ฝืนยิ้มอย่างจนใจ  คงเพราะเขาอยากจะสัมผัสรับรู้ถึง…ความอบอุ่นมั้ง

 

 

           เขาเดินไปเรื่อยเปื่อย เวลาผ่านไปต่อนาทีต่อวินาที มั่วไป๋เองก็ไม่ได้รีบร้อน เดินไปมาดูรอบๆ

 

 

           ไม่รู้ว่าเดินเล่นกันไปนานเท่าไหร่ มั่วไป๋ถึงได้ออกไปจากตลาดสด ตลอดทางมีคนเดินอยู่ไม่น้อย ส่วนใหญ่ก็เป็นคนหัวทองตาฟ้า จะพบเจอคนที่เหมือนเขาก็ยากอยู่พอควร

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองช่างน่าตลกเสียจริง

 

 

           เดินมาจนถึงใต้ตึกคอนโดมิเนียม มั่วไป๋หิ้วผลไม้ในมือขึ้นตึกไป หลังจากออกมาจากลิฟต์ มั่วไป๋ก้มหัวหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง

 

 

           คลำหาอยู่ตั้งนานก็คลำไม่เจอ กว่าจะเจอได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มั่วไป๋เอามือหยิบกุญแจออกมา

 

 

           กำลังจะเตรียมเปิดประตู ก็เห็นเงาร่างหนึ่งอยู่ต่อหน้าตัวเอง

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้าขึ้นมอง ไป๋จิ่งยืนไม่ไหวติงอยู่ข้างกายมั่วไป๋ ในมือรั้งกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งอยู่ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมายาวนาน

 

 

           

 

 

          ตอนที่ 419 มีปีศาจน้อยที่มายั่วยวนอีกเป็นพรวน

 

 

           มั่วไป๋หัวใจกระตุกวูบ มือที่ถือกุญแจกำแน่นสนิทโดยไม่ตั้งใจ เขาเบนสายตาออกจากไป๋จิ่งด้วยท่าทีเย็นชา แกล้งทำเป็นไม่เห็น ไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

           ใบหน้าหล่อเหลาของไป๋จิ่งแม้แต่หนวดเคราก็ขึ้นรุงรัง เขาดูเหมือนไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน ขอบตาดำคล้ำไปหมด

 

 

           มั่วไป๋ยื่นมือไปเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปทันที ราวกับไม่รู้จักไป๋จิ่งอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งหัวใจบีบคั้น รีบเอื้อมมือไปคว้ามือของมั่วไป๋ไว้ “มั่วไป๋…”

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกเพียงเรือนผิวที่ร้อนผ่าวมาระลอกหนึ่ง จากนั้นสะบัดมือของไป๋จิ่งออกโดยไม่ลังเลเลยสักนิด เขาฉวยโอกาสขณะที่ไป๋จิ่งยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา สะบัดประตูใส่

 

 

            ปัง!  เสียงประตูกระแทกดัง ประตูถูกปิดล็อคในทันใด

 

 

           เสียงประตูปิดดังสนั่น ทำให้หัวใจของไป๋จิ่งบีบรัดตัวแน่นโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           นาทีนี้ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าการโดนคนปฏิเสธปิดประตูใส่หน้า ความรู้สึกเป็นอย่างไร

 

 

           มั่วไป๋พิงประตู หัวใจที่เดิมทีสงบนิ่ง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่จู่ๆ เต้นตึกตักขึ้นมา

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเขาจะหาที่นี่เจอได้ มั่วไป๋หลับตาลง หัวใจเจ็บกระตุกเล็กน้อย

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว เขารู้สึกว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นที่เจอหน้าไป๋จิ่ง แรงทั้งหมดที่มีถูกดึงออกไป หลังจากค่อยๆ กลับมาอย่างช้าๆ ถึงได้ออกห่างจากประตูไป

 

 

           นอกประตูเงียบสงัด มั่วไป๋ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งออกไปแล้วหรือยัง หรือว่ายังยืนอยู่ที่นอกประตู

 

 

           เขาไม่พูดไม่จาสักคำ ไม่คิดอะไรสักอย่าง หิ้วผลไม้มาวางในอ่างล้างจาน ยืนตัวตรงล้างผลไม้อยู่ตรงนั้น

 

 

           เขาล้างชิ้นต่อชิ้น เหมือนหุ่นยนต์ไม่มีผิด ตายด้านไร้ความรู้สึกอย่างยิ่ง

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว ในที่สุดมั่วไป๋ก็ล้างผลไม้จนสะอาด เขาหยิบถาดออกมา จัดวางผลไม้เรียบร้อยแล้ว สุดท้ายก็ยกออกมาที่ห้องรับแขก

 

 

           มั่วไป๋ยกผลไม้มาวางบนโต๊ะสำหรับวางชุดน้ำชา คนทั้งคนนั่งอยู่บนโซฟา จ้องผลไม้นั้นตาไม่พริบ

 

 

           แต่สุดท้ายกลับหลับตาลง ขลุกตัวอยู่ในโซฟา เผลอกอดเข่าตัวเองราวกับสัตว์ตัวน้อยๆ ตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บมา

 

 

           ……

 

 

           ห้องพักผู้ป่วยของคุณแม่เจียงในที่สุดก็ถูกเปิดออก ไม่รู้ว่าข้างในพูดอะไรกัน เหวินฮุ่ยโปรยยิ้มเล็กๆ พร้อมเอ่ยทิ้งทวน “พักผ่อนดีๆ นะ มีเวลาแล้วฉันจะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ”

 

 

           หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาลด้วยท่าทีสนิทสนมกลมเกลียวแล้ว เหวินฮุ่ยถึงหยิบมือถือออกมาส่งข้อความให้ลูกชาย

 

 

           [ภารกิจสำเร็จ]

 

 

           สั้นๆ ห้าพยางค์ เมื่อซือเหยี่ยนได้รับข้อความ เขาก็อดจะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังเอนตัวลงอยู่บนขาของซือเหยี่ยน เห็นเขาถือมือถือแล้วจู่ๆ ก็ยิ้มจนหน้าตาไปหมด ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

 

 

           “นายเป็นไรของนาย ทำไมยิ้มแบบนี้”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย เอามือถือวางลงอยู่ด้านข้าง “มีคนมาอ่อยผม ส่งข้อความมาบอกรักผม”

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “แล้วประธานซือตอบกลับไปว่าไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้วหาเราะเบาๆ “ผมบอกว่า ‘โอเค’”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขายิ้มจนหน้าตาดูชั่วร้ายมาก สมองก็ประกายวาบวิธีการที่ดีที่สุดในการจะฆ่าซือเหยี่ยนว่าจะทำอย่างไรขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย

 

 

           สุดท้ายก็รู้สึกว่าไม่มีความหมายอะไร สุดท้ายก็เงียบไม่พูดอะไร มองบนใส่ แล้วเล่นมือถือต่อ

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าท่าทีตอบสนองของเจียงมู่เฉินแบบนี้ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่นัก

 

 

           เขายื่นมือไปสะกิดเจียงมู่เฉิน “อะไรกัน ไม่เชื่อเหรอ”

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นใส่ แสดงท่าทีไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย “เชื่อๆ”

 

 

           “มีคนมาอ่อยผมขนาดนี้ คุณไม่โกรธเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “อ่อยนายแล้วมีอะไรน่าแปลกใจ คุณชายอย่างฉันได้รับข้อความขอความรักทุกวัน จะไม่หมุนรอบโลกไปหนึ่งรอบได้แล้วเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินโยนมือถือให้ซือเหยี่ยนอย่างอ้อยอิ่ง “คุณชายเหนื่อยแล้ว นายดูเองเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่งมือไปรับมือถือมาเปิดดู บนจอมีวงแดงไปทั้งแถบ

 

 

           เขากดเปิดอ่านปราดเดียว ทั้งหมดเป็นแบบประมาณว่า

 

 

           [คุณชายเจียงฉันคิดถึงคุณจังเลย]

 

 

           [เมื่อไหร่คุณชายจะมาหาฉันบ้าง]

 

 

           อะไรทำนองนี้ทั้งนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนขมับกระตุกแล้วกระตุกอีก คนที่รักเฉินเฉินของเขา นอกจากเขาแล้ว ข้างนอกยังมีปีศาจน้อยที่มายั่วยวนอีกเป็นพรวน

ตอนที่ 416 สิบปีของซือเหยี่ยน

 

 

           ในห้องเงียบสงัดลงไปเพียงชั่วพริบตาเดียว เงียบจนเข็มตกก็ได้ยินได้อย่างชัดเจน

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่รีบร้อน คุกเข่าอยู่ที่เดิมรอให้พวกเขาทำความเข้าใจกันอย่างเงียบๆ

 

 

           ทันใดนั้นเหวินฮุ่ยก็ยืนขึ้นมา เธอมองซือเหยี่ยนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น พร้อมเอ่ยเสียงต่ำ “ยังมีอะไรอีก ลูกพูดมาทีเดียวให้หมดเถอะ”

 

 

           “พ่อแม่ของเจียงมู่เฉินรู้เรื่องหมดแล้วครับ แต่ว่าน้าเจียงต่อต้านเรื่องที่พวกเราคบกันมาก…

 

 

           …พ่อครับ แม่ครับ ผมชอบเฉินเฉินมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่เจอกันที่อเมริกาตอนอายุยี่สิบปี อายุยี่สิบสองปีผมกับเขาได้คบกัน อายุยี่สิบสี่ปีผมกับเขาต้องแยกจากกัน อายุยี่สิบเก้าปีถึงได้กลับมาคบกันใหม่อีกครั้ง…

 

 

           …ผมใกล้จะสามสิบแล้ว ยี่สิบปีก่อนผมไม่รู้ว่าต้องการอะไร สิบปีให้หลังผมชอบเฉินเฉินมาโดยตลอด ทั้งชีวิตนี้ผมไม่สามารถจะพบเจอกับเจียงมู่เฉินคนที่สองได้อีก…

 

 

           …ดังนั้น ผมอยากจะขอร้องพ่อกับแม่ด้วยความตั้งใจจริง ให้ผมได้คบกับเขา”

 

 

           ซือเหยี่ยนตั้งแต่เล็กจนโตมา เขาเย่อหยิ่งทะนงตัวยิ่งกว่าใคร เหวินฮุ่ยยังจำได้ตอนยังเด็กๆ มีครั้งหนึ่งซือเหยี่ยนทำสุนัขที่เขารักหายไป

 

 

           เขาตามหาอยู่ข้างนอกทั้งคืน แต่ก็ยังคงหาไม่เจอเหมือนเดิม

 

 

           ตอนนั้นซือเหยี่ยนอายุเพียงไม่กี่ขวบ ไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย เพียงว่าหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยจะเลี้ยงสุนัขตัวไหนอีก

 

 

           เพราะว่าสำหรับซือเหยี่ยนแล้ว ต่อให้มีสุนัขอีกสักกี่ตัว ก็ไม่ใช่ตัวนั้นในใจของเขาทั้งสิ้น

 

 

           ก็เหมือนกับเจียงมู่เฉินในตอนนี้ ถ้าซือเหยี่ยนคบกับเจียงมู่เฉินไม่ได้ ทั้งชีวิตนี้เขาก็จะไม่ตามหาใครคนไหนอีก

 

 

           เหวินฮุ่ยไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ถ้าวันนี้พวกเขาคัดค้าน ต้องการให้ซือเหยี่ยนเลิกกับเฉินเฉิน ซือเหยี่ยนก็จะทำตามที่พูดเมื่อครู่นี้จริงๆ ทั้งชีวิตนี้จะไม่แต่งงาน จะไม่มีคนรัก

 

 

           เหวินฮุ่ยรู้จักนิสัยของซือเหยี่ยนดีเกินไป แวบแรกจึงไม่รู้จริงๆ ว่าจะเอ่ยอย่างไรออกมาดี

 

 

           ยิ่งไปกว่านั้น เป็นครั้งแรกที่ลูกชายของเธอยอมคุกเข่าต่อหน้าพวกเขาเพื่อคนคนเดียว เพื่อจะหวังให้พวกเขายอมรับคนรักของเขาให้ได้

 

 

           หลายปีมานี้ ซือเหยี่ยนก็ขอร้องแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว พวกเขาจะไม่ยอมตกลงรับปากได้อย่างไรกัน

 

 

           ตั้งแต่เล็กจนโตซือเหยี่ยนไม่เคยทำให้พวกเขาเป็นทุกข์ใจเลยสักนิด ตั้งแต่รู้ความตัวเองก็เริ่มดูแลตัวเองได้ ฉลาดมีความสมารถ สมบูรณ์แบบไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป

 

 

           แม้แต่ตอนนั้นที่กลับมารับช่วงต่อบริษัทโดยไม่บอกกล่าวก็เหมือนกัน ตอนนั้นเขาเพิ่งจะเรียนจบได้ไม่นาน แต่กลับกัดฟันรับบริษัทมาต่อจากในมือของพ่อเขา

 

 

           ตอนนั้นเธอยังรู้สึกแปลกๆ  ทำไมจู่ๆ ซือเหยี่ยนถึงเลือกกลับมารับช่วงต่อบริษัทได้

 

 

           ตอนนี้มาคิดดู  คงจะเป็นเพราะเจียงมู่เฉินสินะ  เวลานั้นเจียงมู่เฉินประสบอุบัติเหตุถูกส่งตัวกลับมา

 

 

           ดังนั้น เพราะมีเจียงมู่เฉินอยู่ ซือเหยี่ยนถึงได้กลับมาอยู่ที่ถานโจวต่อโดยไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

           ลูกชายของตัวเองทำอะไรมากมายถึงขั้นนี้เพื่อเจียงมู่เฉินได้ เกรงว่าต่อให้มีสักวันที่ให้ซือเหยี่ยนเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อเฉินเฉิน ซือเหยี่ยนก็จะไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วลงมือทำทันที

 

 

จะพูดให้ถูก เฉินเฉินก็คือชีวิตของซือเหยี่ยน

 

 

           พวกเขาเป็นพ่อแม่จะพรากชีวิตของลูกไปได้อย่างไร

 

 

           เหวินฮุ่ยส่งมือไปดึงตัวซือเหยี่ยนให้ลุกยืนขึ้น “เอาเถอะ เรื่องพ่อแม่ของเฉินเฉินส่งให้แม่โอเคไหม แม่จะช่วยลูกจัดการพวกเขาเอง”

 

 

           ในที่สุดซือเหยี่ยนก็เผยรอยยิ้มแรกในคืนนี้ออกมา ราวกับเด็กที่ตามหาของรักที่ทำหายไปนานแล้วเจอ

 

 

           เหวินฮุ่ยเห็นท่าทีแบบนี้ของซือเหยี่ยน ความหนักอึ้งในใจก็ค่อยๆ สลายหายไป ในเมื่อเป็นคนที่ซือเหยี่ยนชอบ จะเป็นผู้ชายหรือว่าเป็นผู้หญิงก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง

 

 

           จะยังมีอะไรเทียบกับความสุขของลูกชายตัวเองได้

 

 

           ยิ่งไปกว่านั้น เจียงมู่เฉินก็เป็นคนที่พวกเขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะดูไม่จริงจังไม่แคร์โลก แต่หัวใจกลับมีความดีงามกว่าใครคนไหน

 

 

           พวกเขาสองคนคบกัน แล้วจะไม่ยอมรับได้อย่างไร

 

 

           “พ่อครับ แม่ครับ ขอบคุณพ่อกับแม่นะครับ”

 

 

           คุณพ่อซือเอื้อมมือไปตบบ่าของซือเหยี่ยน “พ่อสนับสนุนลูกนะ ไม่ต้องกลัว”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ รู้สึกว่าหนทางข้างหน้าของเขากับเจียงมู่เฉินในที่สุดก็โล่งขึ้นบ้างแล้ว บางทีอาจจะใช้เวลาไม่นาน เขาก็จะจูงมือคุณชายน้อยเจียงเจ้าคนซื่อบื้อที่ทั้งเย่อหยิ่งและอวดดีกลับบ้านไปได้

 

 

           บอกพวกเขาได้อย่างผึ่งผายและเปิดเผยว่า ‘นั่นคือคนรักที่เขาซือเหยี่ยนชอบมาเป็นสิบปีแล้ว’

 

 

           

 

 

ตอนที่ 417 ฉันไม่อยากตาย

 

 

           “ไป๋จิ่ง นี่คือของขวัญที่ฉันจะให้นาย นายชอบไหม” หลินฝานยืนอยู่ต่อหน้าไป๋จิ่ง ในมือประคับประคองของขวัญในมือด้วยความระมัดระวัง

 

 

           ไป๋จิ่งกวาดสายตามองไปส่งๆ เดินแฉลบผ่านหลินฝานออกไป “ไม่ชอบ เอาทิ้งเลย”

 

 

           หลินฝานถูกน้ำเสียงเย็นชาขนาดนี้ของเขาทิ่มแทง รู้สึกแค่เพียงหัวใจที่หดเกร็งบีบคั้น ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดทีละนิด

 

 

           เขาเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย “นายยังไม่ได้ดูเลยนะ ดูสักหน่อยได้ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งทำอะไรไม่ได้ถูกเขาตื้อไม่เลิก เปิดดูแวบหนึ่งแบบขอไปที ข้างในเป็นซานตาคลอสตัวหนึ่ง

 

 

           ความสับสนฉายสะท้อนในแววตาของไป๋จิ่ง ดันมือของหลินฝานกลับไป “ไม่ชอบ เอาทิ้งเลย”

 

 

           หลินฝานยังไม่ตัดใจ ส่งกลับไปให้ไป๋จิ่งอีก

 

 

           ไป๋จิ่งมองหลินฝานด้วยความรำคาญ เอามือปัดกล่องในมือเขาตกลงไป “พอได้แล้ว ผมยังยุ่งมาก ไม่มีเวลามาเล่นเกมเป็นเด็กๆ กับคุณที่นี่หรอก”

 

 

           กล่องของขวัญตกลงพื้น หุ่นซานตาคลอสที่ประณีตงดงามร่วงหล่นมากระแทกพื้นจนแตกกระจาย แต่เหมือนไป๋จิ่งกลับมองไม่เห็น หันหลังเดินออกไป

 

 

           หลินฝานยืนอยู่ที่เดิม ตะลึงงันมองดูซานตาคลอสบนพื้นอย่างโง่ๆ ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาอยู่นานสองนาน

 

 

           เวลาผ่านไปนาน หลังจากไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของไป๋จิ่ง เหมือนหลินฝานเพิ่งจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา

 

 

           เขานั่งยองๆ ลงกับพื้น เก็บหุ่นซานตาคลอสที่ถูกเหวี่ยงลงพื้นแตกกระจายขึ้นมา เขาคุกเข่าอยู่บนพื้น รู้สึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวในดวงตา

 

 

           หลินฝานยกมือข้างที่ยังว่างอยู่ มาเช็ดมาสัมผัสน้ำตาที่เย็นเฉียบอยู่ไม่น้อย

 

 

           เขายิ้มหัวเราะด้วยความรู้สึกไม่เป็นไร เช็ดน้ำตาบนใบหน้าจนเกลี้ยง ในเมื่อไป๋จิ่งไม่ชอบอันนี้ เขาค่อยไปซื้ออย่างอื่นให้ไป๋จิ่งก็ได้

 

 

           ต้องมีสักชิ้นที่เขาจะชอบได้

 

 

           หลินฝานฝืนใจยิ้มหัวเราะ เพียงแต่น่าเสียดาย เขาแอบให้คนสลักตัวอักษรบนหน้าอกของซานตาคลอส

 

 

           เดิมเขาคิดว่าไป๋จิ่งมีวันเกิดในวันคริสต์มาส ดังนั้นเขาจึงสั่งทำหุ่นซานคาคลอสตัวหนึ่ง จะได้อยู่เคียงข้างเขาแทนตัวเอง

 

 

           ถึงอย่างไรไป๋จิ่งก็ไม่ชอบเขา ไม่มีทางจะให้เขาอยู่ข้างกายไป๋จิ่งได้ตลอดไป

 

 

           แต่น่าเสียดาย เขาไม่นึกเลยว่าซานตาคลอสตัวนี้ ไป๋จิ่งเองก็ไม่ต้องการ

 

 

           ……

 

 

           “คุณครับ ตื่นครับ”

 

 

           จู่ๆ เสียงที่ไม่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมาอยู่ข้างหู ดึงมั่วไป๋ออกมาจากการหลับฝัน เขาลืมตาขึ้นมองดู เวลานี้ถึงได้พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนรถ

 

 

           “ถึงแล้วครับ คุณ”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้า จ่ายเงินลงจากรถไป

 

 

           รถมาจอดที่หน้าประตูทางเข้าของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มั่วไป๋ยืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาลแทบจะไม่ลังเลเดินตรงเข้าไป

 

 

           ก่อนที่เขาจะกลับอเมริกามา วันนี้นัดมาตรวจอาการอีกครั้งพอดี

 

 

           ตอนที่อยู่ถานโจว อาการป่วยของเขานับวันยิ่งสาหัสขึ้นเรื่อยๆ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา

 

 

           มั่วไป๋เดินผ่านประตูโรงพยาบาลเข้าไปยังโถงรับรอง แล้วขึ้นไปชั้นสี่ด้วยความคุ้นเคย เดินมุ่งหน้าเข้าใกล้ห้องทำงานของหัวหน้าแผนก

 

 

           เขายืนอยู่หน้าประตูเคาะประตูสักหน่อย

 

 

           เสียงข้างในดังขึ้นมา “เชิญครับ”

 

 

           มั่วไป๋ยื่นมือผลักเปิดประตูเข้าไป คนข้างในเหมือนจะรู้สึกแปลกใจมากๆ อย่างไรอย่างนั้น มองมั่วไป๋อยู่ตั้งนานก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง

 

 

           มั่วไป๋ไม่ได้พูดอะไร เดินเข้าไปพร้อมปิดประตูห้องเสร็จสรรพ

 

 

           “ในที่สุดนายก็กลับมาแล้ว?”

 

 

           เหยียนอวี้ผู้สวมเสื้อกาวน์สีขาวตัวใหญ่นั่งไม่ติดแล้ว ลุกยืนขึ้นต่อหน้ามั่วไป๋ ไม่พูดเสียงดัง เหมือนว่าถ้าไม่ระวังจะทำให้มั่วไป๋ตกใจได้

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ “นายพูดเองไม่ใช่หรือไง ว่าถ้ายังไม่กลับมาอีกจะเกินเยียวยาแล้ว”

 

 

           เหยียนอวี้ยกมือขึ้นมาจับแว่นกรอบสีทองกดต่ำลง “คิดไม่ถึงว่านายจะเชื่อฟังคำพูดของฉันได้”

 

 

           มั่วไป๋เดินเข้าไปหยุดอยู่ต่อหน้าเหยียนอวี้ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ฉันยังไม่อยากตาย ก็ต้องมารักษาตัวเป็นธรรมดา”

 

 

           “นายวางใจ ไม่ว่าต้องทำยังไง ฉันก็จะรักษานายให้ได้”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มนิ่งๆ “งั้นก็ขอบใจนายนะ”

 

 

           เหยียนอวี้พามั่วไป๋ไปทำการตรวจแบบครบวงจร หลังจากได้ผลรายงานรายละเอียดแล้ว เหยียนอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ตอนที่ 414 ใช่ลูกแท้ๆ หรือเปล่า

 

 

           เจียงมู่เฉินกระวนกระวายใจ เขาถูกซือเหยี่ยนลากออกมาจากโรงพยาบาล ผ่านประตูบานใหญ่ของโรงพยาบาล เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยสีหน้าวิตกกังวลทันที “นี่นายจะไม่เป็นห่วงพวกเขาเลยเหรอ”

 

 

           ผู้ใหญ่สี่คน ยังมีคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้  นี่ถ้าอีกสักพักตีกันขึ้นมา ใครจะได้เปรียบกว่าล่ะ

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีท่าทีเป็นห่วงเลยสักนิด เขายกมุมปากล่างขึ้นด้วยอาการสงบนิ่ง “ไม่เป็นห่วง”

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “นายใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อแม่นายหรือเปล่า”

 

 

           เขาชักจะสงสัยแปลกๆ เจ้าหมอนี่ถูกเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กๆ หรือเปล่า ถึงได้ไม่เป็นห่วงพ่อแม่ได้ขนาดนี้

 

 

           แต่ว่าตอนเด็กๆ ก็ไม่เคยจะได้ยินแม่เขาบอกเลยว่าซือเหยี่ยนถูกเก็บมาเลี้ยง

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างจนปัญญา “วางใจเถอะ คลอดมาจากท้องแม่เอง ไม่มีการถูกสลับตัว”

 

 

           “ในเมื่อนายเป็นลูกแท้ๆ นายก็ยังจะไม่เป็นห่วงอีกเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ใจใหญ่จริงๆ ความเป็นความตายของพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเองยังไม่สนใจอีก

 

 

           “มีอะไรให้ต้องน่าเป็นห่วง ต่อให้ตีกันขึ้นมา นี่ก็อยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ มีหมอออกตั้งเยอะแยะ หามาสักคนก็ช่วยได้แล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงันไปหลายวินาที จ้องมองซือเหยี่ยนอย่างเอาเป็นเอาตาย ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา

 

 

           ‘คำพูดของเมื่อครู่นี้เป็นซือเหยี่ยนพูดจริงๆ เหรอ’

 

 

           ‘ซือเหยี่ยนแฟนมาดหัวสูงขี้เก๊กของเขาล่ะ’

 

 

           น้ำเสียง ท่าทางเมื่อครู่นี้ ไม่เหมือนซือเหยี่ยนเลยสักนิด เจียงมู่เฉินยื่นมือไปบีบแก้มของซือเหยี่ยน “เป็นนายจริงๆ ใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าดำคร่ำเคร่ง ยกมือขึ้นมาดึงมือเขาที่บีบแก้มตัวเองลง

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าดำคร่ำเคร่งตามปกติแล้วถึงได้วางใจ เมื่อครู่นี้เพียงชั่วพริบตานั้น เขายังคิดว่าซือเหยี่ยนถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว

 

 

           หรือว่าแบบสลับร่างอะไรพวกนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนขบกรามอย่างเสียไม่ได้ รู้สึกว่าจินตนาการของเจียงมู่เฉินทัดเทียมหลุมดำได้แล้ว

 

 

           “ไปเถอะ กลับบริษัทกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินอยู่ข้างๆ ซือเหยี่ยน ถามประโยคเดียวอยู่ตลอดเวลา “นายว่าพวกท่านจะไม่ตีกันจริงๆ เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ยังไงกัน คุณอยากให้พวกท่านตีกันขึ้นมาเป็นพิเศษเลยใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินกรอกตาไปมา “ได้ยังไงกัน ฉันไม่เหมือนกับนาย ฉันเป็นลูกแท้ๆ จะอยากให้พวกเขาตีกันได้ยังไง”

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ รู้สึกว่าคำพูดของเจียงมู่เฉินเมื่อครู่นี้ ไม่มีอะไรสลักสำคัญเลยแม้แต่น้อย

 

 

           ตามที่เขาเห็น เจียงมู่เฉินแทบอยากจะให้พวกท่านตีกันขึ้นมา ดีที่สุดก็คือแพ้กันทั้งคู่ หลังจากนั้นจะได้ไม่มีเวลามาสนใจพวกเขา

 

 

           ทั้งสองคนเดินกันมาถึงที่ลานจอดรถ ซือเหยี่ยนขับรถพาเจียงมู่เฉินไปที่บริษัท

 

 

           เขาขับรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย สาเหตุก็เพราะเขารู้ว่าในห้องพักผู้ป่วยไม่มีทางจะตีกันได้อยู่แล้ว

 

 

           ……

 

 

           หนึ่งวันก่อน พ่อแม่ของซือเหยี่ยนมาถึงที่ถานโจว ซือเหยี่ยนไปรับพวกท่านกลับมาจากสนามบินด้วยตัวเอง

 

 

           พอกลับมาก็ขับรถมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ของซือเหยี่ยนในถานโจว

 

 

           บรรยากาศเงียบสงัดแปลกๆ อยู่ไม่น้อยทีเดียว คุณพ่อซือ คุณแม่ซือ มองดูลูกชายที่มีอุดมการณ์ของตัวเองนั่งเงียบไม่พูดจาอยู่ต่อหน้าพวกเขา

 

 

           เหวินฮุ่ยเห็นสีหน้าแบบนั้นของซือเหยี่ยน ก็อดจะกลืนน้ำลาย เอ่ยถามเสียงต่ำไม่ได้ “เจ้าลูกชาย นี่ลูกเป็นอะไรไปแล้ว”

 

 

           คุณพ่อซือเองก็เสริมอีก “คงจะไม่ใช่ว่ารู้สึกว่าตอนนี้พ่อทิ้งบริษัทให้ลูก แล้ววันๆ เอาแต่ออกไปเที่ยวกับแม่ลูก แล้วทำให้ลูกโกรธหรอกใช่ไหม”

 

 

           เพิ่งสิ้นเสียงของคุณพ่อเจียง จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็ยืนขึ้นมาเดินเข้าไปหาพวกเขา แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าพวกเขา

 

 

           เหวินฮุ่ยและคุณพ่อซือต่างก็ตะลึงงัน ลูกชายผู้เย่อหยิ่งของพวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะคุกเข่าให้พวกเขากะทันหันอย่างนี้ ทำเอาทั้งสองคนตกอกตกใจเหลือเกินจะทนจริงๆ

 

 

           “เจ้าลูกชาย ลูกอย่าทำแบบนี้สิ ทำเอาตกอกตกใจหมด”

 

 

           ซือเหยี่ยนเงยหน้ามองพวกเขาสองคน สีหน้าเคร่งขรึมและจริงจัง เขาเอ่ยคำต่อคำอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “พ่อครับ แม่ครับ ผมมีคนที่ชอบแล้วครับ”

 

 

           ทันทีที่เหวินฮุ่ยได้ยิน ก็รีบพูดขึ้น “มีคนที่ชอบแล้ว เป็นเรื่องที่ดีเลย แม่กับพ่อก็เฝ้าคอยจะเห็นลูกแต่งงาน”  

 

 

 

 

ตอนที่ 415 คนคนนั้นพ่อกับแม่ก็รู้จักครับ

 

 

           สีหน้าซือเหยี่ยนไม่ได้คลายความตึงเครียด ยังคงเคร่งขรึมจริงจังอยู่อย่างนั้น “เขามีลูกไม่ได้ครับ”

 

 

           เหวินฮุ่ยชะงักงันไป  มีลูกไม่ได้เหรอ งั้นก็ยุ่งยากนิดหน่อยแล้ว แต่ตอนนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าขนาดนี้ ตัวเองมีลูกไม่ได้ก็ยังมีวิธีอื่นนะ

 

 

           “เสี่ยวเหยี่ยน เทคโนโลยีก้าวหน้าขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ พ่อกับแม่คิดหาวิธีให้พวกลูกดีไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัว “ไม่มีวิธีใดทำได้หรอกครับ ถ้าพวกเราคบกัน ทั้งชีวิตนี้ก็มีลูกไม่ได้ครับ”

 

 

           สีหน้าเหวินฮุ่ยเคร่งขรึมขึ้น เหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังอย่างไรอย่างนั้น ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงเล็กของเธอถึงได้เอ่ยขึ้น “นี่ลูกต้องการจะคบกับเขาให้ได้เลยใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “ทั้งชีวิตนี้ ผมต้องการแค่เขาครับ”

 

 

           เหวินฮุ่ยลำบากใจแล้ว ซือเหยี่ยนมีคนที่ชอบแล้วก็ควรจะดีใจ แต่ว่าปัญหาคือคนที่ชอบมีลูกไม่ได้

 

 

           เหวินฮุ่ยรู้สึกว่าในใจตอนนี้มีตาชั่งวางอยู่ ฝั่งหนึ่งคือคนที่ซือเหยี่ยนชอบ อีกฝั่งหนึ่งคือลูก

 

 

           ‘ลูก’ กับ ‘ชอบ’ ทำให้เธอเลือกยากเสียจริง

 

 

           “พ่อครับ แม่ครับ ถ้าพ่อกับแม่ไม่เห็นด้วยที่ผมจะคบกับเขา ทั้งชีวิตนี้ผมก็จะไม่แต่งงาน แล้วก็ไม่มีทางจะมีลูกเหมือนกัน”

 

 

           เหวินฮุ่ยสบตากับคุณพ่อซือแวบหนึ่ง

 

 

           “ผลสุดท้ายก็มีลูกไม่ได้อยู่ดี แต่ถ้าพ่อกับแม่เห็นด้วย ผมก็จะมีคนที่ผมรักคนหนึ่ง”

 

 

           ตาชั่งฝั่ง ‘ลูก’ ในใจของเหวินฮุ่ยค่อยๆ เบาลงอย่างช้าๆ

 

 

           เธอครุ่นคิด แล้วเอ่ยถาม “แล้วเขาชอบลูกไหม”

 

 

           “เขาชอบผมมากกว่าใครๆ” ไม่มีใครจะรักเขาได้เท่าเจียงมู่เฉินแล้ว

 

 

           ได้ยินประโยคนี้ ตาชั่งในใจของเหวินฮุ่ยน้ำหนักเอียงมาอีกนิดแล้ว ถ้าพวกเขาบังคับให้ซือเหยี่ยนเลิกกับเขาให้ได้ ตามนิสัยของซือเหยี่ยนแล้ว ทั้งชีวิตนี้ก็อาจจะพูดคำไหนคำนั้นจริงๆ ว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่มีลูก

 

 

           ก็เหมือนกับที่ซือเหยี่ยนพูดแบบนั้น ถ้ากำหนดไว้แล้วว่าจะไม่มีลูก อย่างน้อยก็ยังมีคนรักคนหนึ่ง

 

 

           ถึงอย่างไรอายุอานามพวกเขาก็ค่อยๆ มากขึ้นแล้ว อีกอย่างพวกเขาก็ไม่อาจจะอยู่กับซือเหยี่ยนไปตลอดชีวิตได้ ตัดความเห็นแก่ตัวออก จะมากจะน้อยเธอก็หวังให้มีใครสักคนหนึ่งร่วมเดินเคียงข้างไปกับซือเหยี่ยนได้ตลอดชีวิต

 

 

           รักลูกชายคนนี้ของเธอไปตลอดชีวิตได้

 

 

           คุณพ่อซือเห็นเหวินฮุ่ยท่าทางลำบากใจ ก็เอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้แน่น “เสี่ยวฮุ่ย พวกเราไม่ใช่ไม้แก่อะไร ถึงจะอายุปูนนี้แล้ว ก็อยากมีหลานบ้างอะไรบ้าง”

 

 

           เขาถอนหายใจลึกๆ “แต่เทียบกับซือเหยี่ยน ก็ยังต้องเลือกลูกชายเราอยู่ดี”

 

 

           เหวินฮุ่ยได้ยินคำพูดนี้ ก็เงียบงันไม่พูดจาอยู่หลายนาที เพียงชั่วขณะเธอมองซือเหยี่ยนด้วยท่าทีจริงจังมาก “ถ้าหากว่าแม่กับพ่อเห็นด้วยแล้ว ต่อจากนี้ลูกจะเสียใจทีหลังหรือเปล่า”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัวอย่างไม่ต้องคิด “ผมไม่มีทางจะเสียใจทีหลัง ทั้งชีวิตนี้ของผมอยากจะอยู่กับเขา พวกเรารอกันมานานเกินไปแล้วครับ”

 

 

           ต่อให้ในใจเหวินฮุ่ยยังมีความกังวลอีกมากแค่ไหน แต่พอเห็นซือเหยี่ยนเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ถึงเพียงนี้ อย่างอื่นก็ไม่สำคัญทั้งนั้นแล้ว

 

 

           พวกเขาเป็นพ่อแม่ ก็ควรจะเคารพทางเลือกของลูก

 

 

           ขอเพียงแต่ต่อจากนี้ซือเหยี่ยนจะไม่มาเสียใจเองทีหลัง เธอก็ต้องเห็นด้วยได้เป็นธรรมดา

 

 

           เธอทำใจไว้แล้ว ก่อนจะเอ่ยกับซือเหยี่ยนต่อ “ในเมื่อลูกคิดดีแล้ว แม่กับพ่อก็ไม่มีอะไรจะพูดได้ วันไหนว่างก็พาเขากลับมากินข้าวกันสักมื้อนะ…

 

 

           …ถึงตอนนั้นก็มานัดเจอพ่อแม่ทางฝ่ายนั้นอย่างจริงจัง พวกเราทั้งสองฝ่ายจะได้มาคุยกันเรื่องแต่งงาน”

 

 

           ได้ยินมาถึงตรงนี้ อารมณ์บนใบหน้าของซือเหยี่ยนก็บึ้งตึงขึ้นมาก ดูไม่ผ่อนคลายเลยสักนิด

 

 

           “พ่อครับ แม่ครับ ยังมีอีกเรื่องครับ คนที่ผมชอบเขาไม่ใช่ผู้หญิง”

 

 

           เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือต่างก็ตะลึงตาค้างกันไปหมดแล้ว ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ เหมือนว่าตัวเองกำลังฟังผิดอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           “เมื่อกี้ลูกว่าอะไรนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “คนที่ผมชอบเขาเป็นผู้ชาย”

 

 

           ไม่ทันรอให้เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ซือเหยี่ยนก็กล่าวต่อ “คนคนนั้นพ่อกับแม่ก็รู้จักครับ เจียงมู่เฉิน”

ตอนที่ 412 คุณออกไปก่อน

 

 

           ถ้าหาผู้หญิงแต่งงานด้วยมันไปเสียตั้งแต่แรก จะมีเรื่องมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน

 

 

           แต่ว่าพอคิดว่าคบกับซือเหยี่ยนได้ เหมือนว่าเรื่องราวจะมากมายขึ้นสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเขากับซือเหยี่ยนก็ตัวสูง แรงเยอะ หนังหนา ทนมือทนเท้าเป็นพิเศษ

 

 

           เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “รอพวกเราจัดการเรื่องพ่อแม่ฉันได้แล้ว ค่อยไปจัดการเรื่องพ่อแม่ของนายก็แล้วกัน”

 

 

           โดนรุมกระหน่ำมาเป็นคู่ เขาก็จะรับไม่ไหวแล้ว ถ้าพ่อแม่ซือเหยี่ยนรู้อีก ถึงตอนนั้นทั้งสองฝ่ายต่างมารุมทึ้ง เขาจะต้องชะตาขาดแล้วจริงๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้น “ได้”

 

 

           เห็นแววตาเป็นกังวลของเจียงมู่เฉินแบบนั้น อีกนิดซือเหยี่ยนเกือบจะทนไม่ไหว บอกเจียงมู่เฉินไปตรงๆ ถึงเรื่องที่เขาจัดการทางฝั่งพ่อแม่เขาไว้แล้ว

 

 

           ‘ช่างเถอะ ให้เจ้าหมอนี่ร้อนใจให้ตัวเองสักหน่อยก็ดี’

 

 

           ทั้งวันจะได้ไม่ให้เขาสบายใจเลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่เวลาปกติจะเล่นแง่ใส่ตัวเองก็ช่างเถอะ แต่ในเวลาแบบนี้ยังเล่นแง่กับตัวเองอีก

 

 

           กว่าทั้งสองคนจะเดินมาถึงห้องพักผู้ป่วย คุณแม่เจียงก็รู้สึกตัวตื่นแล้ว กำลังพูดคุยกับคุณพ่อเจียงอยู่

 

 

           เจียงมู่เฉินเอื้อมมือไปคว้าซือเหยี่ยนไว้ก่อน ซือเหยี่ยนเงยหน้าขึ้นมอง

 

 

           “รอสักหน่อยแล้วค่อยเข้าไปเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินรั้งซือเหยี่ยนไว้ให้ยืนอยู่หน้าประตู ทั้งสองคนเหมือนกับเทพอารักษ์ประตูไม่มีผิด

 

 

           เขารู้ว่าตอนนี้คุณแม่เจียงเพิ่งจะตื่น ต้องอารมณ์เสียอยู่แล้ว ถ้าเวลานี้ตัวเองกับซือเหยี่ยนปรากฏตัว คุณแม่เจียงต้องโกรธมากอย่างแน่นอน

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่อยากให้ซือเหยี่ยนเข้าไป อย่างแรกคือกลัวแม่เขาจะอารมณ์เดือดดาล เตียงคนไข้ยังไม่ทันอุ่น ก็ถูกเข็นกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินอีกรอบ

 

 

           อย่างที่สองคือไม่อยากให้ซือเหยี่ยนเข้าไปรับคำต่อว่า

 

 

           ซือเหยี่ยนเป็นดอกไม้บนยอดเขาสูงในใจเขา จะมาโดนด่อทอไปมาได้อย่างไร  ต่อให้เป็นแม่เขาก็ไม่ได้นะ

 

 

           “คุณคิดจะให้พวกเราสองคนยืนอยู่หน้าประตูตลอดเลยเหรอ” น้ำเสียงของซือเหยี่ยนเจือความติดตลกอยู่ในนั้น

 

 

            เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “นี่มันเวลาอะไรกันแล้ว นายยังจะมามีอารมณ์ขันอีก”

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ เห็นใบหน้าที่ดูตื่นตระหนกของเขา ก็เอื้อมมือไปบีบคลึงใบหน้าเขา “เอางี้ คุณเข้าไปก่อน ผมจะโทรศัพท์อยู่ข้างๆ นี้ ที่บริษัทมีเรื่องด่วนนิดหน่อยพอดี”

 

 

           ทันทีที่ได้ยินว่าบริษัทมีเรื่องด่วน เจียงมู่เฉินก็รีบเอ่ย “มีเรื่องด่วน นายก็กลับไปเถอะ ถึงยังไงแม่ฉันก็ไม่เป็นไรแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร พูดแค่เพียงว่า “ผมไปโทรศัพท์อยู่ข้างๆ นี้ก่อนนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ไปเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินไปยังระเบียงทางเดินด้านข้างห่างจากห้องพักผู้ป่วยอยู่พอสมควร เขามองดูเจียงมู่เฉินที่เตรียมจะเดินเข้าไปข้างในก็ยิ้มหัวเราะออกมา

 

 

           เขาหยิบมือถือขึ้นมา กดสายโทรออกไป

 

 

           “พ่อกับแม่ อยู่ที่ไหนกันแล้วครับ”

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดลงสักพัก ก่อนจะเอ่ยต่อ “น้าเจียงเข้าโรงพยาบาล พ่อกับแม่อยากจะมาเยี่ยมสักหน่อยไหมครับ”

 

 

           ไม่รู้ว่าทางปลายสายนั้นพูดอะไร ซือเหยี่ยนขานรับ “อืม” เสียงเดียวแล้วก็วางสายไป

 

 

           หลังจากวางสายแล้ว ซือเหยี่ยนมองดูมือถือ ตามความเร็วในการเดินทางมาของพ่อแม่เขาคงจะไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึงแล้ว

 

 

           เขาเก็บมือถือเข้าไป เดินมุ่งหน้าไปยังห้องพักผู้ป่วยอย่างไม่หวั่นเกรง

 

 

           เพิ่งจะเดินถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเจียงมู่เฉินกำลังอธิบายให้คุณแม่เจียงฟัง

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวใจบีบคั้นในทันใด เขาผลักประตูเดินเข้าไปโดยไม่ได้ขออนุญาตใดใด คุณแม่เจียงที่อยู่บนเตียงเดิมทีมีสีหน้าเย็นชา ตอนนี้หลังจากเห็นหน้าซือเหยี่ยนแล้ว สีหน้าก็ยิ่งเย็นชาเข้าไปอีก

 

 

           พอเจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนเดินเข้ามาโดยไม่คาดคิด ก็ตกใจเกือบจะฉี่ราดในพริบตาเดียวนั้นทันที

 

 

           เขารีบเข้าไปส่งสายตาสื่อสารกับอีกฝ่าย

 

 

           แทบอยากจะถามเสียงดังเสียเดี๋ยวนี้ว่าตัวเขาเองพรวดพราดเข้ามาทำไม

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้ม โค้งคำนับให้คุณแม่เจียง “ขออภัยด้วยนะครับ เพราะปัญหาของผม จึงทำให้น้าเจียงต้องเข้าโรงพยาบาล”

 

 

           คุณแม่เจียงสีหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จาสักคำ

 

 

           เขาเอียงหน้ามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง “เฉินเฉิน ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับน้าเจียงกับอาเจียงกันตามลำพัง คุณออกไปก่อนนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินต้องไม่ยอมไปอยู่แล้ว ทิ้งซือเหยี่ยนไว้คนเดียวที่นี่  ไม่รู้ว่าจะโดนพ่อแม่เขาเล่นงานจนตายในไม่กี่นาทีนี้หรือเปล่า

 

 

           “ไม่ได้ ฉันจะไม่ออกไป”

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้ามองเจียงมู่เฉินให้ลึกเข้าไปในแววตา ทำให้รู้ว่าถ้าเขายังไม่ออกไป ก็จะจ้องมองดูเขาอยู่อย่างนี้ไปตลอด

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขามองจนหมดหนทาง “รู้แล้วๆ ฉันจะออกไปก่อน”

 

 

 

 

ตอนที่ 413 พ่อแม่ซือเหยี่ยนปรากฏตัว

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ ขณะที่เจียงมู่เฉินเดินออกจากข้างกายเขาไป ก็ฉวยโอกาสตอนที่คุณแม่เจียงคุณพ่อเจียงไม่ทันได้สังเกต รีบส่งมือไปบีบมือเจียงมู่เฉินอย่างรวดเร็ว

 

 

           ราวกับอยากจะบอกเจียงมู่เฉินว่าเขาไม่เป็นไร

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินออกจากห้องพักฟื้นไปด้วยความกระวนกระวายใจ เขายืนอยู่ข้างๆ คิดเตรียมจะฟังว่าพวกเขาจะพูดอะไรกัน

 

 

           ผลปรากฏว่าขาสูงยาวของซือเหยี่ยนแค่ยื่นมา ประตูก็ปิดลงโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูประตูอย่างเหงาหงอย เอาหูแนบประตูแอบฟัง แต่จะทำอย่างไรได้ระบบกันเสียงของห้องพักผู้ป่วยวีไอพีทำมาดีเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

           เขาแทบอยากจะเอาหูยัดใส่ในประตูอยู่แล้ว แต่ก็ยังฟังไม่ออกแม้สักคำเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินมืดแปดด้านอยู่ข้างนอก จะร้อนใจตายแล้วจริงๆ  นี่ก็อยู่ข้างในมายี่สิบนาทีแล้ว ทำไมซือเหยี่ยนยังไม่ออกมาสักที

 

 

           ‘คงจะไม่ใช่ว่าถูกพ่อแม่เขาตีจนพิการหรอกใช่ไหม’

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ่งคิดยิ่งอกสั่นขวัญแขวน ร้อนรนจนทนไม่ไหวถอยหลังไปเพื่อเปิดประตู

 

 

           ขณะที่เขาอดจะเตรียมลงมือจริงๆ อยู่นั้น ประตูจากข้างในก็ถูกเปิดออกมา

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินออกมาจากข้างในเสร็จสรรพ เจียงมู่เฉินเห็นก็รีบดึงตัวคนเข้ามาทันที “เป็นยังไงบ้าง พ่อแม่ฉันตีนายไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้ตอบเขา แต่สายตากลับมองตามมือที่เจียงมู่เฉินยื่นมา

 

 

           เขากระแอมไอเบาๆ เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “พ่อแม่ผมมาแล้ว”

 

 

           ห้าคำสั้นๆ เจียงมู่เฉินก็แข็งทื่อเป็นหินไปในพริบตา  นี่ นี่เวลานี้พ่อแม่ซือเหยี่ยนมาได้ยังไงกัน

 

 

           เงาร่างของคนสองคนจากมุมไกลก็เดินใกล้เข้ามา เจียงมู่เฉินไม่กล้าเงยหน้ามอง กลัวจะเห็นใบหน้าสองใบหน้านั้นของพ่อแม่ซือเหยี่ยน

 

 

           “เฉินเฉิน” พ่อแม่ซือเหยี่ยนกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิดมากขนาดนี้เอาไว้ เสียงต่ำเอ่ยเรียกทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินตาลุกวาว  ดูท่าว่าพวกเขายังไม่ได้รู้เรื่องสินะ

 

 

           เขาเงยหน้าเอ่ยทักทายพ่อแม่ซือเหยี่ยน “อาซือ น้าเหวิน สวัสดีครับ”

 

 

           แม่ของซือเหยี่ยนยังมองเขาด้วยแววตารักใคร่เอ็นดู “เฉินเฉินช่วงนี้ทำไมผอมขนาดนี้ อย่าไปเอาตามคนอื่น กินเยอะๆ หน่อยถึงจะดูดีนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบพยักหน้า “ขอบคุณครับน้าเหวิน”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นแม่เขาแทบอยากจะตะครุบเจียงมู่เฉิน ก็รีบเอื้อมมือไปคว้าตัวเธอมา “แม่ครับ อาเจียงกับน้าเจียงอยู่ข้างใน”

 

 

           เวลานี้เองเหวินฮุ่ยถึงได้นึกถึงเรื่องหลักที่ตัวเองมาในวันนี้ เธอยิ้มพลางปล่อยมือเจียงมู่เฉินที่เธอจับไว้อยู่ “เฉินเฉิน งั้นน้าเข้าไปดูแม่ของเฉินเฉินก่อน วันไหนมีเวลาก็มากับซือเหยี่ยนมากินข้าวที่บ้านน้านะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้าทันที “ได้ครับ น้าเหวิน”

 

 

           หลังจากทั้งสองคนเข้าไป เจียงมู่เฉินกำลังเตรียมตัวจะเดินตามเข้าไป ซือเหยี่ยนก็รั้งเขาไว้เสียก่อน

 

 

           “นายดึงฉันไว้ทำไม”

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างจนใจ “คุณจะเข้าไปทำไม”

 

 

           เจียงมู่เฉินหน้าซื่อตาใส “เข้าไปดูไง ถ้าหากตีกันขึ้นมา ยังมีคนจับแยกได้นะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับแล้ว  หาแฟนแบบนี้ได้   ชาติที่แล้วเขาไม่ได้ทำอะไรดีๆ มาใช่ไหม

 

 

           ไม่พูดจา พร้อมลากตัวคนเดินไปทั้งอย่างนี้

 

 

           เจียงมู่เฉินตามหลังซือเหยี่ยนไป โต้แย้งอย่างทำอะไรไม่ได้ “นายจะลากฉันไปไหน…

 

 

           …เดี๋ยวพ่อแม่นายกับพ่อแม่ฉันตีกันขึ้นมาจะทำยังไง…

 

 

           …ว่ามาสิ ตอนนี้พ่อแม่นายดีกับฉันขนาดนี้ เดี๋ยวออกมาจะใช้สายตาแค้นเคืองมองฉันเป็นศัตรูหรือเปล่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดแล้วก็อดจะบรรยายภาพไม่ได้ “สายตาแบบฉันคือผู้ชายเลวๆ ที่พานายเสียคน”

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “พลังจินตนาการของคุณนี่ไม่เอาไปเขียนบทนี้เสียดายแย่เลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินยังกำลังคิดเรื่องพ่อแม่ซือเหยี่ยนอยู่ เมื่อครู่เห็นเขาเหมือนมาหาลูกชายตัวเองไม่มีผิด เดี๋ยวพอคุยกับแม่เขาแล้ว พบว่าเขาคือผู้ชายเลวๆ ที่พาซือเหยี่ยนเสียคน

 

 

           ‘ถึงเวลานั้นจะโกรธจนอยากจะตวาดด่าไล่ฆ่าเขาหรือเปล่า’

 

 

           พอคิดถึงตรงนี้ เจียงมู่เฉินก็รู้สึกถึงหนังศีรษะที่หดเกร็ง รู้สึกถึงวันที่น่าเวทนาของเขากับซือเหยี่ยนในที่สุดก็มาถึงแล้ว

 

 

           ถึงเวลานั้นพ่อแม่ทั้งสองตระกูลหารือกัน หาแนวทางให้พวกเขาเลิกกันออกมาได้ ถึงเวลานั้นจันทร์พุธศุกร์เป็นพ่อแม่เขา อังคารพฤหัสเสาร์เป็นพ่อแม่ซือเหยี่ยน วันอาทิตย์ทั้งสี่คนเข้ามารุมพร้อมๆ กัน

 

 

           ถึงเวลานั้นชีวิตนี้ของเขากับซือเหยี่ยนยังจะผ่านไปได้หรือเปล่า

 

 

           คิดมาขนาดนี้ เจียงมู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงอนาคตที่มืดบอดแล้ว

ตอนที่ 410 ถูกตบหน้า

 

 

           ยิ่งคิด เจียงมู่เฉินยิ่งกำมือแน่นด้วยความตื่นตระหนก

 

 

           ท่าทีไม่สบายใจและตื่นตระหนกของเจียงมู่เฉินเก็บอยู่ในสายตาซือเหยี่ยนทั้งหมด เสียงต่ำเอ่ยปลอบใจ “อย่ากังวลไปเลย น้าเจียงต้องไม่เป็นไร”

 

 

           เจียงมู่เฉินกำมือแน่น พยักหน้าอย่างจนใจ “อืม”

 

 

           เขาหันข้างมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ไม่รู้จะพูดอะไรดี สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักอย่าง

 

 

           ซือเหยี่ยนขับรถมาอย่างรวดเร็วมาก เพียงไม่นานก็ถึงโรงพยาบาล รถเพิ่งจะหยุด เจียงมู่เฉินก็เปิดประตูวิ่งลงไปทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่มีเวลาจะจอดรถดีๆ เขาจอดรถตรงที่ว่างข้างๆ แล้วรีบตามเข้าไปทันที

 

 

           ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปถึงที่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน ก็เห็นจี้ฉิงกับพ่อเขายืนอยู่ตรงนั้น

 

 

           พ่อแม่ของจี้ฉิงเพิ่งจะกลับไปเมื่อครู่นี้ ถึงอย่างไรสถานะระหว่างพวกเขากับคุณแม่เจียงก็กลืนไม่เขาคลายไม่ออก จะอยู่ที่นั่นต่อก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นทั้งสองคนก็รีบเข้าไปหา “พ่อ แม่ผมเป็นยังไงบ้าง”

 

 

           คุณพ่อเจียงสีหน้าถอดสี หัวใจเอาแต่บีบรัดตัวแน่นอยู่ตลอดเวลา

 

 

           นาทีที่เห็นเจียงมู่เฉิน เพียงชั่วพริบตาเดียวอารมณ์เดือดดาลก็ถึงจุดวิกฤต

 

 

           เขายกมือขึ้น ไม่พูดพร่ำทำเพลง อยากจะตบหน้าเจียงมู่เฉินสักฉาด ซือเหยี่ยนที่ตามเจียงมู่เฉินมาจากข้างหลังเห็นเข้า ก็รีบเอื้อมมือไปดึงเจียงมู่เฉินให้ถอยหลังไป

 

 

           ฝ่ามือนี้ปะทะเข้ากับใบหน้าซือเหยี่ยนอย่างจัง

 

 

           ทุกคนต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ

 

 

           ถึงแม้ว่าคุณพ่อจะอารมณ์เดือดดาลมากแค่ไหน แต่เขาก็คิดว่าเจียงมู่เฉินจะหลบได้ เขาเพียงแค่ยื่นมือทำท่าออกไปเท่านั้น ใครจะรู้ว่าเจียงมู่เฉินจะหลบไป แล้วซือเหยี่ยนจะเข้ามารับแทน

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนถูกพ่อเขาตบหน้า เพียงชั่วพริบตาดวงตาก็แดงก่ำ เขากับซือเหยี่ยนอยู่ด้วยกันมาตั้งนานขนาดนี้ ถึงจะตีกันอยู่บ่อยครั้ง

 

 

           แต่ก็ยังไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

 

 

           “พ่อ พ่อลงไม้ลงมือกับซือเหยี่ยนทำไมครับ” เจียงมู่เฉินทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากออกมา

 

 

           เมื่อมองไปทางซือเหยี่ยน ก็ทนไม่ไหวหัวร้อนขึ้นมานิดหน่อยแล้ว “นายเป็นคนโง่หรือไง ฉันต้องการให้นายมาช่วยบังให้เหรอ”

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย ตบหน้าซือเหยี่ยน เจ็บกว่าตบหน้าเขาอีกเยอะ’

 

 

           เหตุการณ์นนี้ทำเอาจี้ฉิงใจหายใจคว่ำ คิดไม่ถึงว่าจะลงไม้ลงมือกันแล้ว แต่พอเห็นเจียงมู่เฉินปกป้องคนของตัวเองแบบนี้

 

 

           ก็ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแล้ว

 

 

           ถึงอย่างไรคนตรงหน้าสามคนนี้ คู่หนึ่งเป็นพ่อลูก คู่หนึ่งเป็นคนรัก ซึ่งสนิทชิดเชื้อกว่าแฟนสาวกำมะลออย่างเธอเป็นไหนๆ

 

 

           จี้ฉิงคิดๆ ดูแล้วก็เดินเข้าไปเอ่ยเสียงต่ำ “ในเมื่อคุณชายเจียงมาแล้ว งั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะคะ”

 

 

           คุณพ่อเจียงทำหน้าบึ้งตึง อยู่ที่นี่อึดอัดจนวางตัวไม่ถูกแล้วจริงๆ เขาพยักหน้าเอ่ย “วันนี้ลำบากเธอแล้ว”

 

 

           “สมควรอยู่แล้วค่ะคุณอา” จี้ฉิงพูดจบก็มองเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง เวลานี้เองถึงได้ออกจากโรงพยาบาลไป

 

 

           หลังจากเธอออกไปแล้ว คุณพ่อเจียงมองซือเหยี่ยนที มองเจียงมู่เฉินที แล้วก็ส่ายหัวพร้อมถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นอารมณ์เดือดดาลของพ่อเขาสลายหายไปหมดแล้ว ถึงได้เอื้อมมือไปดึงซือเหยี่ยนมาอยู่อีกฝั่งหนึ่ง “เป็นยังไงบ้าง เมื่อกี้พ่อฉันตบหน้านายแรงไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยความขบขัน “อะไรกัน เมื่อกี้ยังอยากจะตีผมอยู่เลยไม่ใช่หรือไง นี่ถูกตีจริงๆ แล้ว จะมาเห็นใจกันอีกเหรอ”

 

 

           “นายแม่งฟังฉันให้ดี มีเพียงคุณชายอย่างฉันเท่านั้นที่ตีนายได้ คนอื่นไม่ได้” คำพูดนี้เขาพูดเสียงเล็กมาก ถ้าไม่อย่างนั้นให้คุณพ่อเจียงได้ยินขึ้นมาจะระเบิดลงอีกฉาดใหญ่แน่

 

 

           ซือเหยี่ยนมองคุณพ่อเจียงที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง เอื้อมมือไปจูงมือเจียงมู่เฉินมา หลังจากนั้นก็พาเจียงมู่เฉินเดินไปอยู่ต่อหน้าคุณพ่อเจียงด้วยกัน

 

 

           “อาเจียง อย่าร้อนใจไปเลยนะครับ น้าเจียงจะต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว”

 

 

           ได้ยินคำพูดนี้ของซือเหยี่ยน คุณพ่อเจียงก็เงียบงันไม่พูดจาไปพักหนึ่ง เมื่อครู่ตัวเองไม่พูดอะไรก็ตบหน้าซือเหยี่ยนไปฉาดหนึ่งแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนเด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กจนโต ทะนงตัวมาแต่ไหนแต่ไร

 

 

           แต่ครั้งนี้ถูกตัวเองตบไปฉาดใหญ่ขนาดนั้น กลับไม่พูดถึงสักคำ ยังเป็นฝ่ายปลอบใจเขาเองด้วย

 

 

           คุณพ่อเจียงมองซือเหยี่ยนด้วยความสับสนในอารมณ์ เห็นใบหน้าที่จริงใจของเขา แล้วเบนไปมองเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง

 

 

           สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้

 

 

           เขารู้ว่าซือเหยี่ยนชอบเฉินเฉินด้วยใจจริง

 

 

           อีกอย่างนอกจากซือเหยี่ยนแล้ว ก็ไม่มีใครคนไหนที่จะรับนิสัยแย่ๆ ของเจ้าลูกชายสุดที่รักของเขาได้

 

 

           คุณพ่อเจียงกุมขมับอย่างจนใจ แต่ว่า พวกเขาสองคน…

 

 

           เห้อ…

 

 

           คุณพ่อเจียงผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้วในตอนนี้

 

 

           

 

 

   ตอนที่ 411 โล่งใจไปที

 

 

           คุณพ่อเจียงไม่ต้องยุ่งวุ่นวายใจนานจนเกินไปแล้ว เมื่อคุณแม่ถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉิน

 

 

           พวกเขารีบกรูกันเข้าไปหา ทั้งหมดรายล้อมอยู่ข้างกายคุณแม่เจียง หมอเห็นคุณพ่อเจียง ก็รีบกล่าวทันที “ประธานเจียงครับ คุณนายไม่มีอาการอะไรร้ายแรง พักผ่อนสักพักใหญ่ๆ ก็โอเคแล้วครับ”

 

 

           ได้ยินหมอพูดแบบนี้ พวกเขาถึงได้โล่งใจกันไปที

 

 

           “เดี๋ยวจะส่งตัวไปยังห้องพักผู้ป่วยก่อนนะครับ ทุกท่านไปดูกันที่ห้องพักผู้ป่วยกันเถอะครับ”

 

 

           คุณพ่อเจียงพยักหน้ารับ รีบเดินตามเตียงผู้ป่วยไปยังห้องพักฟื้น เจียงมู่เฉินเห็นแม่ของตัวเองปลอดภัยออกมาก็โล่งใจไปที

 

 

           ถ้าแม่เขาเป็นอะไรไป เจียงมู่เฉินคิดว่าพ่อเขาจะฆ่าเขาตายคาที่ แล้วฝังศพเขาไปพร้อมกับแม่เขา

 

 

           ถึงอย่างไรพ่อเขาก็รักเอ็นดูแม่มากกว่าลูกชายตัวเองมากโขอยู่แล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่ในที่สุดก็โล่งอกโล่งใจได้สักที ก็เอื้อมมือไปจับมือของเขาโดยไม่สนใจอะไร

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในอุ้งมือก็อดจะเงยหน้ามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่งไม่ได้ ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดูหล่อเหลาไม่เบาอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว

 

 

           ใบหน้าของเขายังคงมีรอยแดงนิดหน่อย ยังมีร่องรอยที่พ่อเขาตบหน้าซือเหยี่ยนไปฉาดหนึ่งอยู่บนนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูก็สงสารจับใจจนไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าจะเจ็บกว่าตบหน้าเขามากเลยทีเดียว

 

 

           คุณพ่อเจียงเดินจากไปพร้อมเตียงคนไข้ไปไกลระยะหนึ่งแล้ว เจียงมู่เฉินเองก็ไม่รีบร้อน รั้งซือเหยี่ยนให้ยืนอยู่ที่เดิม

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ราวกับอยากจะถามเขาว่าต้องการจะทำอะไรอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามของเขา “เมื่อกี้ที่นายพุ่งตัวมาช่วยบังให้ฉัน ฉันเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง โดนพ่อฉันตีก็ไม่มีอะไรหรอก”

 

 

           ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนฉายสะท้อนอารมณ์ที่เจือความสับสนอยู่ในที เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น “คุณเป็นผู้ชาย ผมก็ทนเห็นคุณถูกตีไม่ได้”

 

 

           แค่ประโยคพูดออกมาตามใจประโยคเดียว เจียงมู่เฉินรู้สึกได้แค่เพียงหัวใจที่บีบคั้น ละอายใจอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           เขากะพริบตาปริบๆ “ฉันโดนพ่อฉันตีแล้วยังไง ตอนเด็กก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยโดนตีสักหน่อย”

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดพึมพำจบ จู่ๆ ก็ค้นพบว่าตอนตัวเองเป็นเด็ก เหมือนจะไม่เคยโดนพ่อเขาตีเลย

 

 

           ตั้งแต่เล็กจนโตได้รับความรักความเอ็นดูมาตลอด ไม่เคยโดนตีมาก่อน

 

 

           เหมือนซือเหยี่ยนเองก็ค้นพบจุดนี้เหมือนกัน เขาก้มหน้ามองเจียงมู่เฉิน “เคยโดนตีจริงๆ เหรอ”

 

 

           เมื่อฟังความหยอกล้อในคำพูดของเขาออก เจียงมู่เฉินก็ทำหน้าบึ้งตึงโต้แย้งกลับไป “จะไม่มีได้ยังไง ตอนฉันยังเด็กมีครั้งหนึ่งโดนพ่อฉันตีหนักเลย”

 

 

           ซือเหยี่ยนอดจะเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “ทำไมผมไม่รู้ล่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “นายจะไปรู้อะไร ตอนเด็กพวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันสักหน่อย นายรู้ได้นายก็ไม่ใช่คนแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองหาข้ออ้างเจอแล้ว ถึงอย่างไรตอนตัวเองยังเด็กความสัมพันธ์กับซือเหยี่ยนก็ไม่อยู่แล้ว เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองโดนตีหรือเปล่า

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าบึ้งตึง เหมือนว่าโดนตีมาแล้วจริงๆ ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “โอเคๆ ตอนคุณยังเด็กเคยโดนตีมาแล้ว”

 

 

           เห็นเขายิ้มหัวเราะ เจียงมู่เฉินก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกะทันหัน รู้สึกว่าตัวเองกินยาไม่เขย่าขวดมาใช่ไหม ถึงได้มาถกเถียงเรื่องว่าเคยโดนตีหรือเปล่าที่นี่ได้

 

 

           “ยังไงซะ ครั้งหน้าถ้าพ่อฉันจะตีฉัน นายก็อย่ามาขวางฉันอีก”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับปาก “ได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย “นายจะไม่ขวางกันจริงๆ ใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้าอีกครั้ง “ผมรับประกันว่าจะไม่ขวาง”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกมาตลอดว่าในคำพูดของเจ้าหมอนี่ไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด เชื่อถือไม่ได้ทั้งสิ้น

 

 

           เขารู้สึกมาเสมอถ้าครั้งหน้าเจอเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้อีก เจ้าหมอนี่ก็จะยังคงพุ่งตัวมาบังช่วยเขาอีก

 

 

           แต่ว่าคิดๆ ดูก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นตัวเองที่เจอเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้

 

 

           ถ้าพ่อแม่ของซือเหยี่ยนจะตีซือเหยี่ยน เขาก็จะพุ่งตัวเข้าไปเหมือนกันอย่างแน่นอน

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดถึงตรงนี้ ก็ปวดหัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พ่อแม่เขาทางนี้ยังไม่ได้แก้ปัญหา ยังมีพ่อแม่ซือเหยี่ยนทางนั้นอีก

 

 

           ตอนนั้นเขาคิดอย่างไรกัน คิดไม่ตกตรงไหนกัน ถึงอยากจะเป็นคู่รักกันกับซือเหยี่ยนได้

 

 

 

ตอนที่ 408 อย่าหึงสุ่มสี่สุ่มห้า

 

 

           เจียงมู่เฉินออกมาจากโรงแรม ก็ขับรถมุ่งหน้าไปหาซือเหยี่ยนทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ในห้องทำงาน ได้ยินเสียงกระแทกดัง เจียงมู่เฉินผลักประตูเดินเข้ามาด้วยท่าทางดุดันกระฟัดกระเฟียด

 

 

           เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉินเลิกคิ้วเบาๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินผ่านประตูเข้ามา ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็เอ่ยปากขึ้นทันที “แม่ฉันให้ฉันหมั้นกับจี้ฉิง”

 

 

           รูม่านตาซือเหยี่ยนหดเกร็งในพริบตา แต่พอคิดว่าเวลานี้เขาเผ่นมาหาตัวเองที่นี่ได้ การหมั้นก็คงจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง

 

 

           ด้วยเหตุนี้ซือเหยี่ยนจึงกดเก็บความตื่นตระหนกในใจนี้ลงไป มองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย “อืม”

 

 

           เพียงชั่วครู่เดียวเจียงมู่เฉินก็ระเบิดลงแล้ว

 

 

           ‘ท่าทีแบบนี้ของซือเหยี่ยนนี่มันอะไรกัน เขาเกือบจะต้องหมั้นกับผู้หญิงแล้ว เจ้าหมอนี่ยังนิ่งเฉยอยู่ได้’

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย!’

 

 

           ‘จะรอให้เขาไปแต่งงานกับคนอื่นแล้ว ถึงจะมีปฏิกิริยาตอบสนองใช่ไหม’

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวร้อนจนไม่ไหว เขาพุ่งตัวไปอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน “นายแม่งหมายความว่าไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นั่นมันแฟนสาวของคุณ ผมจะหมายความว่าไงได้ล่ะ”

 

 

           ‘เจียงมู่เฉินแอบสวมเขาให้ตัวเอง เขายังไม่ได้คิดบัญชีนี้กับเจียงมู่เฉินเลยนะ’

 

 

           หาแฟนเป็นผู้หญิงก็ช่างเถอะ ตอนนี้ยังต้องหมั้นกันอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินเดือดแล้วจริงๆ ท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวของซือเหยี่ยนตกลงแล้วหมายความว่าไงกันแน่ เขาทนไม่ไหวเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อของซือเหยี่ยน “นายแม่งบอกฉันมาเคลียร์ๆ เลย ตกลงแล้วนายหมายความว่าไงกันแน่”

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่ดึงมือเขาออก ปล่อยให้เขายื้อตัวเองไว้อยู่อย่างนี้

 

 

           ดวงตาคู่นี้ของเจียงมู่เฉินจ้องมองซือเหยี่ยนด้วยอารมณ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

 

 

           ซือเหยี่ยนตีสีหน้าสงบนิ่งปล่อยให้เขามอง

 

 

           “นายแม่งโกรธแล้วใช่ไหม” เจียงมู่เฉินถามอีก “ตอนนั้นนายจะเลิกกับฉันให้ได้ ฉันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยอมตกลงจะเลิกกับนาย ยังชื่นใจเป็นพิเศษ แม้แต่จะมายุ่มย่ามกับนายก็ไม่มี…

 

 

           …อะไรกัน นายเป็นคนถีบหัวส่งฉันเอง ยังไม่ยอมให้ฉันหาแฟนเป็นผู้หญิงอีกเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาเงียบๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินกำคือเสื้อซือเหยี่ยนไว้แน่น ราวกับจะบีบคอเสื้อเขาให้แหลกคามือภายในไม่กี่นาทีนี้

 

 

           “นายกับซูเตอร์จับมือถือแขนกัน กอดกัน ร่วมความเป็นความตายกันมา ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรนายเลย ฉันกับจี้ฉิงร้อยวันพันปีก็แค่จูงมือกัน เทียบกับนายแล้ว ของฉันแค่นิดเดียวเอง”

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “คุณก็แค่จูงมือกัน อะไรก็ยังไม่ได้ทำจะไปหมั้นหมายกันแล้ว ถ้าเกิดทำอะไรลงไป ไม่ใช่ว่าจะแต่งงานกันเลยเหรอ”

 

 

           แค่คิดว่าเจียงมู่เฉินเจ้าหมอนี่จะกล้าไปหมั้นกับคนอื่นโดยไม่คาดคิด ซือเหยี่ยนก็อยากจะกักขังเจียงมู่เฉินไว้ในบ้านแล้ว

 

 

           จะได้ไม่ทำให้เขาไม่สบายใจ วันๆ ออกไปก่อเรื่องก่อราววุ่นวาย

 

 

           “คุณชายไม่ได้ยอมตกลง โอเคไหม”

 

 

           “หึ” ซือเหยี่ยนทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “นั่นเป็นแฟนสาวที่ถูกทำนองคลองธรรมของคุณ ยอมตกลงหรือไม่จะแตกต่างอะไร”

 

 

           พูดถึงตรงนี้ ซือเหยี่ยนยิ่งรู้สึกหัวร้อน

 

 

           เขาเป็นตัวจริงของเจียงมู่เฉินอยู่ทนโท่ ตอนนี้กลับยิ่งทำเป็นเหมือนต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่มีผิด

 

 

           ไม่เพียงแต่ต้องจ้องมองชื่อ ‘จี้ฉิง’ แฟนสาวที่ออกหน้าออกตา เดินเข้าบ้านเจียงมู่เฉินอย่างเปิดเผยเท่านั้น ตอนนี้ยังหารือเรื่องหมั้นหมายกันอย่างเปิดเผยอีก

 

 

           เปิดเผยขนาดนี้ ประธานซือรู้สึกเหมือนว่ากินแมลงวันเข้าไปอย่างหน้าชื่นอกตรม

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าแสนเย็นชาของซือเหยี่ยน ก็โมโหจนขบกรามแน่น สะบัดมือออกอย่างรุนแรง “คุณชายคร้านจะไร้สาระกับนายแล้ว”

 

 

           พูดจบก็สะบัดมือเดินออกไปข้างนอก

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาโมโหจนกระฟัดกระเฟียดออกไป ก็ไม่ได้ร้อนใจอะไร

 

 

           เขามองมือถือแวบหนึ่งด้วยความเอ้อระเหยลอยชาย ยังดูหน้าจอไม่ถึงห้านาที ประตูห้องทำงานก็โดนผลักเข้ามาอีกครั้ง

 

 

           มีเสียงกระแทกดังอึกทึกโครมครามอีกครั้ง

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วด้วยท่าทีเรียบเฉย ระหว่างนั้นเจียงมู่เฉินเดินเข้ามาถึงทางเข้าอีกครั้ง ราวกับลมพายุพุ่งมาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน ยื่นมือไปกระชากคอเสื้อของซือเหยี่ยนมาอย่างรุนแรง

 

 

           “ฉันบอกกับแม่ฉันชัดเจนแล้ว…

 

 

           …ดังนั้น นายแม่งอย่าหึงสุ่มสี่สุ่มห้าขี้อิจฉาเลย”

 

 

           

 

 

        ตอนที่ 409 รีบไปโรงพยาบาล

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเกินเยียวยาแล้วจริงๆ เขาปฏิเสธเรื่องหมั้นกับจี้ฉิงต่อหน้าผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูล ทั้งยังสารภาพเรื่องความสัมพันธ์ของจี้ฉิงด้วย

 

 

           ถึงขั้นไม่เสียดายที่ทำให้แม่เขาโกรธ

 

 

           เขาทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อซือเหยี่ยนเจ้าคนระยำคนนี้

 

 

           เพื่อเขาแล้ว แม้แต่หน้าตัวเองก็ไม่รักษาไว้แล้ว แต่เขากลับทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว แล้วยังมาพูดจาทำให้เขาโมโหอีก

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดเหล่านั้นของเขา รอยยิ้มก็ประกายในแววตา

 

 

           ถึงแม้สีหน้าเจียงมู่เฉินจะเดือดดาล เขาก็ไม่เร่งรีบมาง้อเจ้าตัว แต่กลับเชิดมุมปากมองเจียงมู่เฉิน แล้วขานรับด้วยท่าทีเรียบเฉย

 

 

           “รับทราบแล้ว”

 

 

           ‘เจียงมู่เฉินตะลึงงัน เขาไม่รักษาหน้า กลับมาที่นี่ ก็ได้ยินเขาพูดแค่สามคำนี้เหรอ’

 

 

           “นายแม่งนอกจากมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ ยังมีแบบอื่นบ้างอยู่อีกไหม”

 

 

           ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนประกายความลึกล้ำ จู่ๆ เขาก็หรี่ตาลง พลิกมือมาจับเจียงมู่เฉินกดลงไป แล้วประกบปากจูบเขาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูบตัวเองกะทันหัน ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาในทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้างงงัน ก็กัดเขาด้วยความติดตลก

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินเห็นเขาแอบยิ้ม ก็เข้าใจได้ในพริบตา  เจ้าหมอนี่วางกับดักเขาแล้ว

 

 

           “นายแม่งเล่นแง่กับฉันอีกแล้วนะ” เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว เมื่อครู่นี้เขาคิดจริงๆ ว่าซือเหยี่ยนโกรธเขาแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “อะไรกัน เล่นแง่กับคุณไม่ได้เหรอ”

 

 

           “ถ้าต่อไปนายเล่นแง่กับฉันอีก เชื่อไหมว่าคุณชายอย่างฉันจะแตกหักกับนายจริงๆ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “อะไรกัน คุณจะแตกหักกับผมได้ลงคอเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินสีหน้าเดือดดาลทันที  เจ้าหมอนี่รู้ว่าตัวเองไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา ดังนั้นถึงได้กำเริบเสิบสานขนาดนี้

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย เขาจะอกแตกตายแล้วจริงๆ’

 

 

           “นายไปให้พ้น ออกห่างจากฉันเลย” เจียงมู่เฉินส่งมือไปผลักเขาออก

 

 

           ซือเหยี่ยนกดเขาไว้เตรียมจะเข้าไปกดจูบซ้ำ ผลปรากฏว่ามือถือที่วางอยู่ข้างๆ ดังขึ้นมากะทันหัน

 

 

           ซือเหยี่ยนหันข้าง ก็เห็นมือถือของตัวเองแสดงเบอร์แปลกขึ้นมา

 

 

           เขาไม่แม้แต่จะคิดดูก่อน ตัดสินใจจะไม่รับสายแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้เจ้าหมอนี่ผละออกไปได้ โทรศัพท์ก็มาได้จังหวะพอดี เขาฉวยโอกาสใช้เท้าถีบอีกฝ่ายออกไป “รับสายสิ”

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ เวลานี้ถึงเพิ่งจะไปรับสาย

 

 

           เขายื่นมือไปกดรับสาย ก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นมา

 

 

           “ซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนใช่ไหม”

 

 

           “คุณเป็นใคร” ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วในทันใด เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองรู้จักคนคนคนนี้

 

 

           “ฉันจี้ฉิงเอง…” เธอพูดประโยคนี้จบก็หยุดไปสักพัก

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิด “หาผมมีธุระอะไร”

 

 

           เขาไม่รู้ว่าตัวเองกับแฟนสาวในนามของเจียงมู่เฉินจะมีความสัมพันธ์อะไรอย่างอื่นได้

 

 

           “เจียงมู่เฉินอยู่กับคุณใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “อืม”

 

 

           จี้ฉิงได้ยินคำนี้ก็โล่งใจในพริบตา “คุณรีบให้เขามาโรงพยาบาลที คุณน้าเป็นลมกะทันหัน”

 

 

           ทันทีที่ได้ยินว่าคุณแม่เจียงเป็นลม สีหน้าซือเหยี่ยนก็เคร่งเครียดบ้างแล้ว เขามองเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “อยู่ที่ไหน”

 

 

           “โรงพยาบาลรัฐแห่งแรกของถานโจว”

 

 

           หลังจากจี้ฉิงพูดประโยคนี้จบ ซือเหยี่ยนขานรับเสียงหนึ่ง ก็ตัดสายลงทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางร้อนรนของเขา ก็อดจะถามไม่ได้ “เป็นไรไป เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนคว้าตัวเขาเดินมุ่งหน้าออกไปข้างนอก เขาเดินไปพลางเอ่ยเสียงต่ำ “แม่คุณเกิดเรื่องเข้าโรงพยาบาล”

 

 

           เจียงมู่เฉินตกตะลึงในทันใด “นายว่าอะไรนะ”

 

 

           “รายละเอียดผมยังไม่ชัดเจน ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล พวกเราเข้าไปกันก่อนเถอะ”

 

 

           ในสายโทรศัพท์ ซือเหยี่ยนไม่ได้ถามอะไรมากมาย ถึงอย่างไรรอไปถึงโรงพยาบาลก็จะรู้ได้เองอยู่แล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนพาเจียงมู่เฉินออกจากบริษัท ทันทีหลังจากนั้นก็รีบขับรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล

 

 

           ตลอดทาง เจียงมู่เฉินค่อนข้างกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด คำพูดที่เขาพูดอยู่ในห้องอาหารเมื่อครู่นี้ดูจะทำเกินไปมากทีเดียว  คงจะไม่ใช่ว่าหลังจากแม่เขาได้ยินก็เป็นลมล้มพับไปเลยหรอกใช่ไหม

ตอนที่ 406 หมั้นหมายกันก่อน  

 

 

           จี้ฉิงครุ่นคิด ถึงแม้ว่าเวลาจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าให้เรื่องมันวุ่นวายไปถึงจุดที่ตามเก็บตามเช็ดยากแล้ว  

 

 

           “พวกเรารอจังหวะเหมาะๆ ลงมือกัน” จี้ฉิงเห็นเจียงมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะกำชับอีก “รับปากฉัน เดี๋ยวฉันจะพูดเอง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ “ถ้าเธอพูดแล้วแก้ปัญหาได้ ก็ได้”  

 

 

           บอกแฝงเป็นนัยว่า ถ้าแก้ปัญหาไม่ไหว เขาจะลงมือเอง  

 

 

           จี้ฉิงเอามือกดที่หัวตัวเอง จำใจต้องยอมตกลงไปก่อน  

 

 

           ทั้งสองคนกลัวว่ายืดเวลาเกินไปจะทำให้คุณแม่เจียงสงสัยได้ ด้วยเหตุนี้พูดจบจึงรีบกลับไปทันที  

 

 

           เพียงไม่นานพ่อแม่ของจี้ฉิงก็ลงเครื่องมา หลังจากรับพวกท่านแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่จองไว้ทันที  

 

 

           ……  

 

 

           อีกด้านหนึ่ง ไป๋จิ่งมาถึงห้องทำงานของซือเหยี่ยนแต่เช้าตรู่  

 

 

           รอซือเหยี่ยนมาโดยไม่บอกไม่กล่าว รออยู่นานสองนาน ในที่สุดซือเหยี่ยนก็มา  

 

 

           เขาเห็นไป๋จิ่งที่ยืนอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง ก็ชะงักงันไป “นายมาหาฉันแต่เช้าขนาดนี้ มีธุระอะไรเหรอ”  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นซือเหยี่ยนมาแล้ว ก็ยืนขึ้นทันที “ฉันต้องการจะไปจากที่นี่พักใหญ่ๆ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ไปไหน”  

 

 

           “มั่วไป๋ไปอเมริกาแล้ว ฉันต้องไปตามหาเขา”  

 

 

           หลังจากวันนั้นที่ออกจากสนามบินมา ไป๋จิ่งก็รีบไปดำเนินการเรื่องวีซ่าอย่างเร่งด่วนทันที เตรียมทุกอย่างพร้อมเสร็จสรรพ  

 

 

           เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องไปตามหามั่วไป๋  

 

 

           ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็จะต้องทำให้มั่วไป๋อภัยเขาให้ได้  

 

 

           คำพูดของไป๋จิ่งทำให้ซือเหยี่ยนค่อนข้างจะประหลาดใจเล็กน้อย “นายต้องการจะไปอเมริกา?”  

 

 

           “อืม วันนี้เที่ยวบินตอนบ่ายนี้เลย”  

 

 

           “กะทันหันขนาดนี้เชียว”  

 

 

           ไป๋จิ๋งฝืนยิ้ม “ฉันควรจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเขา ผ่านไปครู่ใหญ่ก็พยักหน้าเอ่ยขึ้น “ไปเถอะ ทางนี้มีฉันอยู่”  

 

 

           ไป๋จิ่งมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วยกมุมปากขึ้น “ขอบใจนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “เอาเถอะ พวกเราสองคนไม่จำเป็นต้องพูดอะไรพวกนี้อยู่แล้ว”  

 

 

           ไป๋จิ่งพูดจบ ก็ไม่ได้พูดอย่างอื่นอีก เขาออกจากห้องทำงานไปทันที  

 

 

           เขาเดินออกจากตึกอันใหญ่โตของบริษัทมาเพียงคนเดียว ข้างนอกแสงแดดแรงมาก ตกกระทบบนร่างกายของไป๋จิ่ง ความอบอุ่นแสนราบเรียบแผ่ซ่านออกมา  

 

 

           ไป๋จิ่งเงยหน้าขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ มองดูแสงแดดข้างบน เชิดมุมปากเล็กน้อยยิ้มหัวเราะ  

 

 

           ‘ถึงแม้จะช้าไปไม่กี่วัน…  

 

 

           …แต่ว่ารอผมนะ’  

 

 

           ……  

 

 

           พ่อแม่ของจี้ฉิงพอใจในตัวเจียงมู่เฉินเป็นพิเศษ รูปร่างหน้าตาดี ชาติตระกูลดี ไม่มีตรงไหนให้จับผิดอะไรได้อยู่แล้ว  

 

 

           พินิจมองสังเกตดูเจียงมู่เฉินมาตลอดทางไม่มีหยุด  

 

 

           ถึงอย่างไรก็คือผู้อาวุโส อีกอย่างก็เป็นเพราะเขากับจี้ฉิงสร้างเรื่องบ้าบอพวกนี้ขึ้นมาเอง ดังนั้นเขาจึงรักษามารยาทที่ควรพึงมีไว้มาตลอดทาง  

 

 

           พวกเขามาถึงโรงแรมที่จองไว้เรียบร้อย จากนั้นก็เข้าไปนั่งในห้องรับรอง  

 

 

           พ่อแม่ของจี้ฉิงมองเจียงมู่เฉิน รู้สึกดีใจอย่างออกหน้าออกตา คุณแม่เจียงเห็นแบบนี้แล้ว ก็มีแผนในใจ  

 

 

           ดูท่าว่าวันนี้ถ้าจะตกลงให้เป็นเรื่องเป็นราวกัน บรรยากาศก็กำลังเหมาะเจาะพอดี  

 

 

           หลังจากรออาหารเริ่มทยอยกันมาเสิร์ฟถึงที่โต๊ะ คุณแม่เจียงถึงได้เอ่ยปากขึ้น “เฉินเฉินของเรากับเสี่ยวฉิงช่างเหมาะสมกันจริงๆ เลยนะคะ”  

 

 

           คุณแม่จี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มในทันใด “ใช่ค่ะๆ ชายเก่งหญิงงาม กิ่งทองใบหยก”  

 

 

           “ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่เฉินเฉินไม่อยู่ โชคดีที่มีเสี่ยงฉิงคอยอยู่เป็นเพื่อนฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคนเดียวน่าเบื่อแย่เลยค่ะ”  

 

 

           “ฉิงฉิงกตัญญูตั้งแต่เล็กๆ แล้วค่ะ เป็นเด็กดีที่พบได้ยากคนหนึ่ง”  

 

 

           “เฉินเฉินของเราตั้งแต่เล็กจนโต ไม่มีคนที่ชอบมาตลอด ฉันเอาแต่เป็นห่วงเขาที่ยังหาแฟนสาวยังไม่เจอสักที คิดไม่ถึงว่าจะหาผู้หญิงที่ดีพร้อมขนาดนี้อย่างเสี่ยวฉิงเจอได้”  

 

 

           “เฉินเฉินก็ดีนะคะ เป็นฉิงฉิงของเราเองที่โชคดี หาแฟนหนุ่มที่ดีพร้อมขนาดนี้อย่างเฉินเฉินได้”  

 

 

           คุณแม่จี้กับคุณแม่เจียงสองคนรับส่งกันไปกันมา พูดคุยกันอย่างมีความสุขกันเป็นที่สุด  

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ ใจร้อนไม่เป็นสุขแล้ว เขาเอียงหน้ามองจี้ฉิงแวบหนึ่ง  

 

 

           จี้ฉิงเองก็อึดอัดไม่สบายใจเช่นกัน  เธออยากพูดอยู่ แต่บรรยากาศในตอนนี้เป็นแบบนี้ เธอจะพูดได้ยังไงกัน  

 

 

           เธอมองเจียงมู่เฉินด้วยสีหน้าลำบากใจ  

 

 

           ‘พูดไม่ออกจริงๆ นี่’  

 

 

           เวลานี้อาหารก็มาเสิร์ฟจนครบพอดี จี้ฉิงรีบเอ่ยขึ้นทันที “คุณน้า แม่พ่อ กินอาหารกันก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมดนะคะ”  

 

 

           “ดีๆๆ กินข้าวกันก่อน”  

 

 

           พวกเขากินอาหารกันไปไม่กี่คำ จู่ๆ คุณแม่เจียงก็เอ่ยขึ้นมา “ไม่กี่วันมานี้ฉันคิดเรื่องๆ หนึ่งอยู่ตลอด วันนี้คุณสองคนก็อยู่พอดี ฉันเลยอยากจะถามคุณสองคนก่อนค่ะ”  

 

 

           “คุณมีเรื่องอะไรว่ามาเลยค่ะ”  

 

 

           “เฉินเฉินของเราก็โตแล้ว พวกเขาสองคนก็คบกันมาสักพักหนึ่งแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อกันก็ดี”  

 

 

           คุณแม่เจียงหยุดลงสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “ฉันคิดดูแล้ว ตอนนี้เด็กทั้งสองคนนี้ยุ่งกันมากทั้งคู่ ถ้าอย่างนั้นก็หมั้นกันไปก่อนจะดีกว่า แล้วหาวันที่เหมาะสม ตกลงเรื่องแต่งงาน รอเวลาหลังจากนั้นที่เหมาะสมค่อยแต่งงานกัน”  

 

 

             

 

 

        ตอนที่ 407 คุณแม่เจียงเป็นลม  

 

 

           คุณแม่เจียงพูดอย่างนี้ออกมา สีหน้าของเจียงมู่เฉินก็เย็นชาในพริบตา  

 

 

           จี้ฉิงเองก็มีสีหน้าตกอกตกใจเช่นเดียวกัน  

 

 

           ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่าคุณแม่เจียงจะพูดแบบนี้ ต้องการให้เธอกับเจียงมู่เฉินหมั้นกัน  

 

 

           “คือว่า…” จี้ฉิงรีบเอ่ยปาก “คุณน้าคะ นี่ไม่ดีหรอกมั้งคะ”  

 

 

           ทันทีที่คุณแม่จี้ได้ยิน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความดีใจ “แม่กลับรู้สึกว่าไม่เลวเลยนะ ถึงยังไงไม่ช้าก็เร็วพวกลูกก็ต้องแต่งงานกัน สู้ตอนนี้หมั้นกันก่อนจะดีกว่า”  

 

 

           เธอหันมามองจี้ฉิงและเจียงมู่เฉิน “แม่รู้ว่าตอนนี้พวกลูกยังเป็นวัยหนุ่มวัยสาวกันอยู่ ไม่อยากให้การแต่งงานผูกมัดกันเร็วขนาดนั้น แต่การแต่งงานเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องตกลงกันตั้งแต่เนิ่นๆ”  

 

 

           คุณพ่อจี้เองก็พยักหน้าด้วยเช่นเดียวกัน “พ่อว่าตกลงกันก่อนก็ไม่เลว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินฟังพวกเขาพูด ‘ตกลงเรื่องแต่งงาน’ กับปากต่อปากแบบนี้ เขาก็ยืนขึ้นมา “ขออภัยครับ ผมไม่เห็นด้วย”  

 

 

           ทุกคนในที่นี้ทั้งหมดต่างก็มองเจียงมู่เฉินด้วยความตกตะลึง  

 

 

           รวมถึงจี้ฉิงเองก็ทำหน้างุนงง เธอคิดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินจะพูดโพล่งขึ้นมาตรงๆ ปฏิเสธกันซึ่งๆ หน้าได้ขนาดนี้  

 

 

           “เฉินเฉิน หมายความว่าไงกัน”  

 

 

           จี้ฉิงรีบยืนขึ้นมาทันที “คุณน้าคะ หนูกับเจียงมู่เฉินยังคบกันได้ไม่นาน จะมาหมั้นกันเร็วขนาดนี้ไม่ดีหรอกมั้งคะ”  

 

 

           “ถึงพวกลูกจะคบกันไม่นาน แต่ความรู้สึกไปกันได้ดี ความรู้สึกที่ดีต่อกันกับเรื่องเวลาไม่เกี่ยวกันหรอกนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินหันมองจี้ฉิงแวบหนึ่ง บอกเป็นนัยว่า ‘ถ้าเธอไม่พูด ฉันจะพูดเอง’  

 

 

           จี้ฉิงกลัวเจียงมู่เฉินจะพูดเรื่องที่พวกเขาคบกับหลอกๆ ออกมา  

 

 

           เธอรีบพูดขึ้นมาทันที “หนูกับมู่เฉินกำลังช่วงขาขึ้นในหน้าที่การงาน จะประกาศเรื่องหมั้นตอนนี้จะไม่ค่อยดีค่ะ รอกันไปอีกสักพักดีกว่าไหมคะ”  

 

 

           คุณแม่เจียงสีหน้าบึ้งตึงขึ้นเล็กน้อย “เรื่องการหมั้นจะไม่กระทบการงานของพวกลูกหรอก”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกำมือแน่น จู่ๆ เขาก็เอ่ยปากขึ้น “ผมมีเรื่องบางเรื่อง วันนี้ก็อยู่ที่นี่กับพอดี ขอทุกท่านอภัยผมด้วยนะครับ”  

 

 

           เมื่อจี้ฉิงได้ยินคำเปิดทางแบบนี้ เพียงชั่วครู่ก็รู้สึกได้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่เห็นท่าไม่ดีแล้ว  

 

 

           “เจียงมู่เฉิน…”  

 

 

           ครั้งนี้เจียงมู่เฉินไม่คิดจะหยุด เขาพูดต่อไปทั้งอย่างนี้ “การคบกันระหว่างผมกับจี้ฉิงเป็นเรื่องโกหก”  

 

 

           เขาโยนระเบิดลงไปลูกหนึ่งอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  

 

 

           ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจ ก็โยนใส่ไปอีกลูกหนึ่ง “คนที่ผมชอบเป็นอีกคนหนึ่ง”  

 

 

           “เฉินเฉิน! ลูกพูดอะไรซี้ซั้วออกมา” คุณแม่เจียงแผดเสียงตำหนิ  

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้ เขามองทุกคนที่อยู่ในห้องรับรองนี้ด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ขออภัยด้วยนะครับ ที่จริงผมควรจะบอกพวกท่านให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ทำให้พวกท่านยุ่งยากกันมากกว่าเดิม”  

 

 

           พูดจบ เขาก็ออกจากห้องรับรองนี้ไปเลย  

 

 

           เป็นเวลานานที่คุณพ่อจี้และคุณแม่จี้ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา “นี่ นี่มันอะไรกัน”  

 

 

           จี้ฉิงแข็งเป็นหินไปแล้ว ไม่กล้ามองหน้าคุณพ่อจี้ คุณแม่จี้ และคุณแม่เจียงแล้วจริงๆ  

 

 

           เธอยืนค้างอยู่ที่ประโยคนั้น พูดอะไรไม่ออกสักคำ   

 

 

           เวลาผ่านไปนาน เป็นคุณพ่อจี้เองที่มีท่าทีตอบสนองมาก่อน เขากดเสียงต่ำเอ่ยขึ้น “ฉิงฉิง ตกลงแล้วระหว่างลูกกับเขาเกิดอะไรขึ้น”  

 

 

           จี้ฉิงกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก เธอมองคุณแม่เจียงผู้ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วงที่อยู่ข้างๆ “ขออภัยด้วยนะคะ ความสัมพันธ์แบบคนรักกันระหว่างหนูกับเจียงมู่เฉิน เป็นเรื่องโกหกจริงๆ ค่ะ”  

 

 

           พูดประโยคนี้จบ คุณแม่เจียงก็หน้าซีดลงทันที หายใจไม่ทัน เป็นลมล้มพับไปทั้งอย่างนี้  

 

 

           ทันทีที่จี้ฉิงเห็นก็ตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น  

 

 

           “คุณน้าคะ คุณน้า คุณน้าไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” จี้ฉิงรีบพุ่งตัวเข้าไปหา  

 

 

           คุณพ่อจี้ คุณแม่จี้เห็นทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด คุณพ่อเจียงยังถือว่าพอใจเย็นอยู่บ้างจึงรีบเอ่ยออกมา “รีบเรียกรถโรงพยาบาลเร็วเข้า พาตัวคนส่งไปโรงพยาบาล”    

 

 

           เวลานี้เองจี้ฉิงถึงเพิ่งจะได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา รีบโทรเรียกรถพยาบาลมา  

 

 

           ยังดีที่ใช้เวลาไม่นานรถพยาบาลก็มาถึง รีบนำส่งตัวคนไปยังโรงพยาบาล  

 

 

           ระหว่างทางไปโรงพยาบาล จี้ฉิงโทรหาเจียงมู่เฉินอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีคนรับสายทั้งสิ้น  

 

 

           จี้ฉิงกำมือแน่น ร้อนรนจนไม่ไหวแล้ว  

 

 

           ‘ทำไมไม่รับสายสักที รีบรับสายเข้าสิ’  

ตอนที่ 404 ต้องเป็นซือเหยี่ยนให้ได้  

 

 

           เวลาผ่านไปนาน คุณพ่อเจียงกุมขมับแล้วกุมขมับอีก  

 

 

           เขาเอ่ยเสียงต่ำ “แก ต้องเป็นซือเหยี่ยนให้ได้เลยใช่ไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ต้องเป็นเข้าให้ได้ครับ”  

 

 

           พวกเขาผูกพันกันมาตั้งหลายปี ถ้าจะเลิกกันก็เลิกกันไปนานแล้ว  

 

 

           ตอนนั้นที่สูญเสียความทรงจำก็ไม่ได้แยกพวกเขาออกจากกัน ตอนนี้ยิ่งจะแยกจากกันไม่ออกแล้ว  

 

 

           คุณพ่อเจียงหยุดสักพัก ก่อนจะเอ่ย “เฉินเฉิน ถ้าแกคบกับซือเหยี่ยน ระหว่างแกกับซือเหยี่ยนจะไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป มีการแต่งงาน มีลูกเป็นเครื่องผูกมัด…  

 

 

           …ความสัมพันธ์ระหว่างแกกับเขาจะเปราะบางกว่าคนอื่นมากทีเดียว มีเพียงแค่ความรักความผูกพันเป็นเครื่องผูกมัด…  

 

 

           …ถ้าหากว่ามีวันหนึ่ง ระหว่างแกกับเขาหมดความรักความผูกพันกัน ตอนนั้นถึงแม้ว่าแกจะเสียใจก็จะสายเกินไปแล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองคุณพ่อเจียงที่ยากจะยอมรับได้ เขาค่อยๆ คุกเข่าลงไปต่อหน้าคุณพ่อเจียง “จะไม่มีวันนั้นหรอกครับ…  

 

 

           …พ่อ พ่อเชื่อพวกเราสักครั้งนะครับ”  

 

 

           คุณพ่อเจียงทำสีหน้าเคร่งขรึมตลอด เวลาผ่านไปนานเขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจากโซฟา  

 

 

           “ฉันรู้แล้ว แกให้ฉันคิดดูสักหน่อย”  

 

 

           เขาลุกยืนขึ้น เดินออกไปจากห้องหนังสืออย่างช้าๆ เจียงมู่เฉินจ้องมองดูแผ่นหลังของคุณพ่อเจียง จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ว่าที่แท้คุณพ่อเจียงผู้สูงใหญ่ของตัวเอง สันหลังของท่านเริ่มจะโค้งงอนิดหน่อยแล้วไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  

 

 

           ที่แท้พ่อผู้แข็งแกร่งในใจของเขาคนนั้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ท่านแก่ลงทีละนิดๆ แล้ว…  

 

 

           เจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ ในใจเจ็บปวดโศกเศร้าอยู่ไม่เบา  

 

 

           ……  

 

 

           เขากลับมาที่ห้องแล้ว ถึงได้หยิบมือถือออกมาโทรหาซือเหยี่ยน  

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงอยู่ที่ห้องทำงานตลอด ไม่ได้ออกไปไหน เขายืนอยู่ที่หน้าหน้าต่าง ไม่รู้ว่ายืนมานานแค่ไหนแล้ว  

 

 

           เขาถือมือถือไว้ในมือ เหมือนกับรอคอยสายโทรเข้าจากเจียงมู่เฉินมาเสมอ ก้มหน้ามองอยู่บ่อยครั้ง  

 

 

           การที่เจียงมู่เฉินต้องเผชิญหน้ากับคุณพ่อเจียงแบบนี้ คนที่ยิ่งเป็นกังวลมากกว่าก็คือซือเหยี่ยน  

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จู่ๆ มือถือก็ดังขึ้นมา เพิ่งจะสั่น ซือเหยี่ยนก็กดรับสายทันที  

 

 

           เขาเอามือถือวางข้างหู แต่กลับไม่รีบร้อนจะเอ่ยปาก แล้วรอเจียงมู่เฉินอยู่อย่างนี้  

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบไม่พูดจาอยู่หลายนาที ไม่พูดอะไรสักคำ  

 

 

           ซือเหยี่ยนก็ถือมือถืออยู่ในท่าเดิมไม่ไปไหน อดทนรอเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เวลาผ่านไปนาน ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็เอ่ยปากออกมา  

 

 

           “ซือเหยี่ยน…” เขาอ้าปากพูดแต่กลับไม่รู้จะพูดอะไรดี พูดออกมาแค่สองคำนี้ ก็หยุดชะงักลง  

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวใจบีบคั้น สุดท้ายก็เป็นเขาที่เป็นฝ่ายพูดเอง “โดนด่ามาใช่ไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยด้วยความรู้สึกอึดอัด “เปล่า”  

 

 

           “รู้สึกผิดในใจ?”  

 

 

           ครั้งนี้เจียงมู่เฉินไม่ได้ตอบกลับไป  

 

 

           เวลาผ่านไปนาน ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “แล้วคุณอยากจะเลิกกับผมหรือเปล่า”  

 

 

           ครั้งนี้เจียงมู่เฉินตอบสนองกลับไปรวดเร็วมาก “ไม่เลิก”  

 

 

           ก้อนหินก้อนใหญ่ในใจของซือเหยี่ยนร่วงหล่นลงไปในทันใด เพราะคำพูดนี้ของเขา  

 

 

           เขาหวาดกลัวจริงๆ เกิดเจียงมู่เฉินรับไว้ไม่อยู่ต้องเลิกกับเขาขึ้นมากะทันหัน สำหรับซือเหยี่ยนแล้ว ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว  

 

 

           เขากลัวอยู่เพียงแค่สิ่งเดียวคือเจียงมู่เฉินอยากจะเลิกกับเขา  

 

 

           ซือเหยี่ยนโล่งใจไปที เขาเอ่ยเสียงต่ำ “พวกเราค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปดีไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกำมือถือแน่น สับสนในอารมณ์  

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ดี”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยปลอบโยนเขาอย่างไม่หยุดหย่อน “ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะคอยอยู่ข้างหลังคุณเสมอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินอ้าปากพูดอย่างยากลำบากนัก แต่กลับยังคงเอ่ยคำต่อคำด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่  

 

 

           “ซือเหยี่ยน…  

 

 

           …ฉันไม่คิดจะยอมปล่อยมือไปง่ายๆ หรอก…  

 

 

           …ดังนั้น นายเองก็จะปล่อยมือไปง่ายๆ ไม่ได้นะ”  

 

 

           ประโยคสั้นๆ แต่เจียงมู่เฉินกลับแบ่งพูดเป็นสามท่อนเต็มๆ ถึงจะพูดจบได้  

 

 

           ทุกๆ คำที่พูดเหมือนได้ใช้แรงกายที่เขามีทั้งหมดกลั่นออกมาอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           ซือเหยี่ยนที่อยู่ปลายสาย หัวใจบีบคั้น เหมือนมีคนใช้มือมาบีบรัดหัวใจเขาไว้แน่น หายใจติดขัด  

 

 

           เวลาผ่านไปนาน ซือเหยี่ยนกดเก็บความเจ็บปวดที่แล่นแปลบในหัวใจ เอ่ยเน้นคำต่อคำ “ผมตัดใจปล่อยมือไม่ลงหรอก”  

 

 

           ……  

 

 

           หลังจากวางสาย ซือเหยี่ยนเงียบงันไม่พูดจายืนอยู่หน้าหน้าต่าง เวลาผ่านไปนาน เขาหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกไป  

 

 

           “แม่ครับ แม่กับพ่อจะกลับจีนเมื่อไหร่เหรอครับ”  

 

 

           “ผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดกับพ่อแม่”  

 

 

           “โอเคครับ งั้นสัปดาห์หน้าเจอกันครับ”  

 

 

 

 

 

             ตอนที่ 405 ต้องเจอครอบครัวแล้ว  

 

 

           วันต่อมา คุณแม่เจียงตื่นมาตั้งแต่เช้าแล้ว เธอรออยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นเจียงมู่เฉินลงมาสักที  

 

 

           ดูท่าว่าเวลาจะไม่ค่อยพอเท่าไหร่แล้ว ตัดสินใจขึ้นไปหาเขา  

 

 

           เธอยืนอยู่หน้าประตูเคาะประตู ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงมีเสียงเจียงมู่เฉินดังออกมา  

 

 

           “เฉินเฉิน รีบตื่นเร็วเข้า จะไม่ทันแล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนหลับด้วยหนังตาที่หนักอึ้ง สมองยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ทั้งยังไม่ได้ฟังอย่างละเอียดว่าคุณแม่เจียงกำลังพูดอะไรอยู่  

 

 

           เขาตอบกลับไปส่งๆ แล้วก็นอนหลับต่ออีกครั้ง  

 

 

           ผ่านไปนานสองนาน คุณแม่เจียงก็ไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวจากข้างใน ยื่นมือไปเคาะประตูอีกครั้ง “รีบตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ”  

 

 

           ถูกเร่งรัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาจากเตียงจนได้  

 

 

           เขาทำหน้าง่วงๆ เดินไปเปิดประตู ก็เห็นเพียงแค่คุณแม่เจียงที่ยืนอยู่หน้าประตู  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยถามจากจิตใต้สำนึก “มีอะไรหรือเปล้าครับ มาปลุกผมแต่เช้าขนาดนี้”  

 

 

           คุณแม่เจียงถลึงตาใส่เขา “ทำไมลูกไม่เอาเรื่องนี้เก็บมาใส่ใจเลยสักนิดนะ พ่อแม่ของจี้ฉิงมาถึงสนามบินเช้าวันนี้ ต้องรีบไปรับที่สนามบิน”  

 

 

           ประโยคนี้ทำเอาเจียงมู่เฉินที่เดิมทียังไม่ตื่นดีตกใจตื่นไปด้วยแล้ว  

 

 

           เมื่อวานเขาคุยโทรศัพท์กับซือเหยี่ยนเสร็จ คิดไม่ถึงว่าจะลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ เจียงมู่เฉินปวดหัวนิดหน่อยแล้ว  

 

 

           เขากับจี้ฉิงไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ จะไปรับที่สนามบินเพื่ออะไรกัน  

 

 

           “ผมไม่ไป แม่ก็อย่าไปเลย”  

 

 

           ในสายตาของเจียงมู่เฉิน ไม่ได้มีจุดยืนอะไรที่จะไปปรากฏตัวอยู่ที่สนามบิน เพื่อไปรับพ่อแม่ของจี้ฉิง  

 

 

           คุณแม่เจียงถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “ได้ยังไงกัน แม่พูดแล้วไง ต้องไปให้ได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ รู้สึกว่าแม่เขาใจแข็งเหมือนเหล็กเสียจริงๆ ต้องไปให้ได้อยู่ดี  

 

 

           “ถ้าแม่จะต้องไปให้ได้ แม่ก็ไปเองเลยครับ”  

 

 

           คุณแม่เจียงโกรธจนพูดอะไรไม่ออก  

 

 

           “เจียงมู่เฉิน วันนี้ลูกต้องไปกับแม่” เธอเลือดขึ้นหน้าแล้ว  

 

 

           ……  

 

 

           สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ยังถูกจับตัวไปถึงสนามบินอยู่ดี  

 

 

           ระหว่างทางเจียงมู่เฉินส่งข้อความหาจี้ฉิง อยากจะหารือแนวทางกับจี้ฉิงสักหน่อย  

 

 

           แต่ส่งข้อความออกไป ก็ไม่มีใครตอบกลับมาเลย  

 

 

           จนกระทั่งหลังจากถึงสนามบินแล้ว จี้ฉิงถึงได้ตอบข้อความกลับมา  

 

 

           [คุณอยู่ไหน]  

 

 

[ทางออกสนามบิน รอรับพ่อแม่เธอ]  

 

 

จี้ฉิงตอบกลับเร็วมาก [ฉันจะไปถึงเดี๋ยวนี้]  

 

 

รออยู่ไม่ถึงสิบนาที จี้ฉิงก็ตามมาถึง เธอมองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง ก่อนจะถูกคุณแม่เจียงดึงตัวไป  

 

 

เดิมทั้งสองคนคิดจะหารือแนวทางกันสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคุณแม่เจียงอยู่ อย่างไรก็ไม่มีเวลาจะหารือแนวทางกัน  

 

 

เจียงมู่เฉินสีหน้าเย็นชา เอาแต่เงียบงันไม่พูดจา  

 

 

จี้ฉิงที่อยู่ข้างๆ ก็ร้อนใจ เธอคิดไม่ถึงว่าคุณแม่เจียงจะติดต่อพ่อแม่ของเธอ แล้วยังพาเจียงมู่เฉินมารับที่สนามบินอีก  

 

 

เมื่อเช้าเธอได้รับโทรศัพท์จากพ่อแม่ ก็รีบมาสนามบินในทันที  

 

 

จี้ฉิงเห็นสีหน้าของเจียงมู่เฉิน เธออดทนคุยกับคุณแม่เจียงเพียงไม่กี่ประโยค หาข้ออ้างให้เจียงมู่เฉินออกไปทำธุระเป็นเพื่อนเธอ  

 

 

เจียงมู่เฉินไม่ได้คัดค้านอะไร ออกไปด้วยกันกับจี้ฉิง  

 

 

ทั้งสองคนเดินห่างออกมาประมาณหนึ่ง หาที่ที่คุณแม่เจียงจะมองไม่เห็น จี้ฉิงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “นี่มันอะไรกัน”  

 

 

สีหน้าเจียงมู่เฉินเองก็ดูไม่ค่อยได้ “เธอถามฉันเหรอ”  

 

 

“คิดหาสักวิธีสิ ถ้าหากพ่อแม่ฉันเอาจริง แล้วจะทำยังไง”  

 

 

เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “แม่ฉันเอาจริงตั้งแต่แรกแล้ว”  

 

 

จี้ฉิงเอามือกดที่หัวตัวเอง ปวดหัวนิดหน่อยแล้ว  

 

 

“สารภาพกับพ่อแม่เธอ” จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็เอ่ยเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา  

 

 

“อะ อะไรนะ” จี้ฉิงตกใจจนสะดุ้ง  

 

 

“วันนี้พ่อแม่ก็อยู่กันพอดี พวกเราสารภาพกัน พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราให้ชัดเจน”  

 

 

ความคิดทั้งหมดที่เต็มอยู่ในหัวของเจียงมู่เฉินตอนนี้คือ ถ้าเจอพ่อแม่ของเธอเสร็จแล้วจริงๆ ความสัมพันธ์ของเขากับจี้ฉิงก็ยิ่งไม่น่าจะชี้แจงแล้ว  

 

 

ถึงเวลานั้นถึงซือเหยี่ยนรู้เข้า ทุกอย่างจะยิ่งยุ่งยากกันไปใหญ่  

 

 

เขาจำเป็นต้องกำจัดต้นตอของความวุ่นวายนี้ทิ้งไปเสีย  

ตอนที่ 402 จำไว้มาเก็บศพให้ฉันด้วย  

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนทิ้งระเบิดลูกใหญ่ขนาดนั้นลงไป คุณพ่อเจียงก็มีแรงกดดันภายในใจมาตลอด  

 

 

           สำหรับซือเหยี่ยน ในใจเขาก็ต้องชอบเป็นธรรมดา เด็กคนนี้เป็นคนดี เก่งกล้าสามารถ เทียบกับเฉินเฉินแล้ว ซือเหยี่ยนสุขุมหนักแน่นมากกว่าอย่างชัดเจน  

 

 

           แต่ก่อนเขายังเคยอิจฉาเหล่าซืออยู่เลยที่มีลูกชายดีขนาดนี้  

 

 

           แต่ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะพูดว่าเขากับเฉินเฉินมีความสัมพันธ์กันแบบนั้น แล้วจะให้คุณพ่อเจียงยอมรับในเวลาอันสั้นนี้ได้อย่างไรกัน  

 

 

           เขาไม่ได้เหมือนคุณแม่เจียงที่เรียกร้องให้พวกเขาเลิกกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง พยายามจะรักษาสงวนท่าทีที่ควรจะเป็นก็ว่ายากมากแล้ว  

 

 

           ถึงอย่างไรหลังจากที่ได้ฟังประโยคนี้ ก็ไม่มีใครจะยังรักษาอารมณ์ให้สงบได้  

 

 

           คุณพ่อเจียงไม่มีอารมณ์จะทำงานแล้ว เขายืนอยู่หน้าหน้าต่าง เอามือกดที่ศีรษะ ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้  

 

 

           เรื่องนี้จะต้องจัดการอย่างไร ถึงจะพอเหมาะสมได้  

 

 

           คุณพ่อเจียงรออยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงโทรหาเจียงมู่เฉิน ให้เขารีบไสหัวกลับบ้านมา  

 

 

           เขาฟังคำพูดของซือเหยี่ยนด้านหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็อยากจะฟังความคิดของลูกชายตัวเองบ้าง  

 

 

           ถ้าหากว่าเป็นเพียงแค่ความคิดของซือเหยี่ยนคนเดียว อย่างนั้นก็จะจัดการง่ายแล้ว  

 

 

           แต่ถ้าความคิดของเฉินเฉินเหมือนกับซือเหยี่ยน อย่างนั้นก็ยุ่งยากแล้ว ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้ เขากับคุณแม่เจียงจะเอ็นดูเอาใจเจียงมู่เฉินอย่างไม่มีเงื่อนไขมาโดยตลอด  

 

 

           แต่มาคบกับผู้ชายคนหนึ่ง…  

 

 

           ‘นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเอ็นดูลูกแค่ไหนแล้วจะตกลงกันได้เลยนะ’  

 

 

           คิดไปคิดมา คิดจนคุณพ่อเจียงปวดหัวแล้ว  

 

 

           ……  

 

 

           เจียงมู่เฉินเพิ่งจะโดนจับกดเสร็จ ก็ได้ยินเสียงมือถือดังขึ้น เดิมทีซือเหยี่ยนไม่อยากจะให้เขารับ แต่พอเห็นชื่อที่แสดงบนหน้าจอ  

 

 

           ก็เป็นฝ่ายหยิบมือถือที่วางอยู่ด้านข้างมาให้  

 

 

           “พ่อคุณ”  

 

 

           สองคำนี้ทำให้เจียงมู่เฉินสะดุ้งโหยงขึ้นมาในทันใด “พ่อฉัน? ท่านโทรมาหาฉันในเวลานี้ได้ยังไง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนปล่อยมือออก ช่วยเขาใส่เสื้อผ้า  

 

 

           ใส่เสื้อผ้าให้เจียงมู่เฉินเสร็จ ตัวเองก็รีบใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว  

 

 

           หลังจากทำทุกอย่างเสร็จทั้งหมดแล้ว ซือเหยี่ยนถึงได้ลูบจมูกปอยๆ อย่างซื่อๆ “คงจะเป็นเพราะผม”  

 

 

           เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเต็มหัวเจียงมู่เฉินเต็มไปหมด  

 

 

           “เพราะนาย?” สีหน้าเขาเปลี่ยนทันที “คงจะไม่ใช่ว่าแม่ฉันบอกท่านแล้วหรอกใช่ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ไม่ใช่”  

 

 

           เจียงมู่เฉินงงไปหมดแล้ว “งั้นสรุปหมายความว่าไง”  

 

 

           “ผมไปสารภาพกับอาเจียงแล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉิน “!”  

 

 

           ‘สารภาพ?’  

 

 

           เป็นการสารภาพแบบที่เขาคิดหรือเปล่า เขาเบิกตาจ้องมองซือเหยี่ยน ทำหน้าช็อกทันที  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เป็นการสารภาพแบบที่คุณคิดไว้แบบนั้น”  

 

 

           เจียงมู่เฉินสะดุ้งโหยงเสียเดี๋ยวนั้น รีบกดรับสายทันที  

 

 

           คุณพ่อเจียงกล่าวประโยคหนึ่งอย่างเรียบง่าย “ไสกลับมาเดี๋ยวนี้”  

 

 

           พูดจบก็วางสายไปเสียดื้อๆ   

 

 

           เหลือเพียงแค่เจียงมู่เฉินที่ถือมือถือด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ เขาเงียบไม่พูดจน แล้วยืนขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในสองวินาที “ฉันกลับไปก่อนนะ”  

 

 

           เขาเดินถึงประตู ก่อนจะหันหน้ามามองซือเหยี่ยน “ถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่ติดต่อกับนาย ก็แสดงว่าฉันโดนพ่อฉันเชือดแล้ว จำไว้มาเก็บศพให้ฉันด้วย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบร้อนพูดจบประโยคนี้ ก็วิ่งออกไปทันที  

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งพิงโซฟา ยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน มีหรือที่เขาจะทำใจปล่อยให้เจียงมู่เฉินโดนเชือด  

 

 

           ต่อให้คุณพ่อเจียงอยากเชือด ก็ต้องอยากเชือดเขา ไม่ใช่เจียงมู่เฉิน  

 

 

           ……  

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบเดินทางกลับไป จอดรถที่หน้าประตูคฤหาสน์ เนื้อตัวเกร็งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

           เขาอดจะคิดไม่ได้ว่าหลังจากกลับไปแล้วจะรุมตีทั้งคู่  

 

 

           หรือว่ามาจะมาเดี่ยวๆ กัน  

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเข้ามาด้วยความไม่สบายใจ คุณพ่อเจียงยังไม่กลับมา มีเพียงแค่คุณแม่เจียงนั่งอยู่บนโซฟา เธอกวักมือเรียกเจียงมู่เฉินมา  

 

 

           จิตใต้สำนึกสั่งให้เจียงมู่เฉินเดินเข้าไป เขาเอ่ยเรียกด้วยความตื่นตระหนก “แม่ครับ”  

 

 

           “แม่ได้ยินมาว่าพ่อแม่ของจี้ฉิงจะแวะมาหาจี้ฉิง”  

 

 

           คุณแม่เจียงเพิ่งจะเอ่ยเปิดประเด็น เสียงแจ้งเตือนในใจเจียงมู่เฉินก็ดังขึ้นในพริบตา  

 

 

           “แม่จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้แม่จะส่งคนไปรับพวกเขา แล้วตอนเที่ยงก็จะเรียกจี้ฉิงมากินข้าวด้วยกัน”  

 

 

    

 

 

ตอนที่ 403 ไม่ใช่อาการป่วย รักษาไม่หายหรอก  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วในทันใด “พวกเราไปกินข้าวด้วยกันไม่เหมาะสมมั้งครับ”  

 

 

           คุณแม่เจียงเลิกคิ้ว “ลูกกับจี้ฉิงเป็นแฟนกัน จะไม่เหมาะสมได้ยังไงกัน แม่ว่าลูกควรจะไปพบพ่อแม่เธอตั้งแต่แรกแล้ว จี้ฉิงเด็กสาวคนนี้ดีอยู่ไม่น้อย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “แม่ ผมกับจี้ฉิงเพิ่งจะคบกันเอง ตอนนี้ไปเจอพ่อแม่จะเร็วเกินไป ไม่เหมาะสมครับ”  

 

 

           คุณแม่เจียงกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “อะไรจะเหมาะสมไม่เหมาะสม แม่ก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ลูกต้องไปให้แม่ ไม่ไปก็ต้องไป”  

 

 

           เธอเหวี่ยงประโยคนี้ใส่ ก็ฮึดฮัดออกจากห้องรับแขกไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือกดที่หัวตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาไม่มีเรื่องก็หาเรื่องใส่ตัว หาจี้ฉิงเล่นละครอะไรกัน  ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ สลัดก็สลัดไม่หยุด  

 

 

           เป็นตัวอย่างของการย้ายหินมาทุบเท้าตัวเองอย่างเห็นได้ชัด  

 

 

           กำลังจะเตรียมไปหารือแนวทางกับจี้ฉิง คุณพ่อเจียงก็กลับมาพอดี  

 

 

           พอเห็นคุณพ่อเจียง เจียงมู่เฉินรู้สึกเพียงแค่ขมับที่ปวดกระตุกขึ้นมา เมื่อครู่นี้เพิ่งจะรับลูกระเบิดของแม่เขาไม่พอ ตอนนี้ยังต้องมารับของพ่อเขาอีก  

 

 

           คุณพ่อเจียงกวาดสายตาเย็นชามองเจียงมู่เฉิน แล้วทิ้งประโยคหนึ่งให้ว่า “มาห้องหนังสือ” แล้วก็ขึ้นข้างบนไปทันที  

 

 

           เจียงมู่เฉินทำอะไรไม่ได้ จำใจต้องตามคุณพ่อเจียงขึ้นไปยังห้องหนังสือ  

 

 

           ทั้งสองคนเข้าห้องหนังสือไป คุณพ่อเจียงทำสีหน้าเคร่งขรึม นั่งลงบนโซฟาข้างๆ เจียงมู่เฉินก็นั่งลงตรงนั้น  

 

 

           คุณพ่อเจียงเอาแต่ไม่พูดจา เจียงมู่เฉินก็ไม่กล้าจะพูดอะไร  

 

 

           ทั้งสองคนต่างเงียบงันไม่พูดจากัน ผ่านไปไม่กี่นาที คุณพ่อเจียงถึงค่อยได้เอ่ยปากขึ้น “แกกับซือเหยี่ยน…”  

 

 

           เป็นอย่างที่คิดพอเอ่ยปากก็เป็นเรื่องของเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนจริงๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้ปกปิดอะไร ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง เขาพูดออกไปตรงๆ “พวกเราคบกันแล้วครับ”  

 

 

           ก่อนหน้านี้ที่อยู่บนรถคุณพ่อเจียงก็ทำใจอยู่ตั้งนานแล้ว แต่เมื่อได้ยินเจียงมู่เฉินพูดแบบนี้ สุดท้ายก็ยังรับไม่ค่อยไหวอยู่ดี  

 

 

           “แก…เขา…สองคน…” คุณพ่อเจียงอ้อมโลกอยู่นานสองนาน พูดไม่ออกเลยสักคำ  

 

 

           สุดท้ายก็ยังเป็นเจียงมู่เฉินที่เอ่ยปาก “ผมรักเขา คบกับเขาก่อน พวกเราคบกันแบบมีเป้าหมายจะแต่งงานกันแบบนั้นครับ”  

 

 

           คิดไม่ถึงว่าคำพูดของพวกเขาสองคนจะเหมือนกันแบบนี้  

 

 

           คุณพ่อเจียงเงียบงันไม่พูดจา นั่งอยู่ข้างๆ  

 

 

           “พ่อ พ่ออยากจะคัดค้านใช่ไหมครับ”  

 

 

           เมื่อคุณพ่อเจียงรู้ความจริง เหมือนจะไม่ได้ตื่นตระหนกเท่าที่เจียงมู่เฉินคิดเอาไว้  

 

 

           ถึงอย่างไรคนที่คัดค้านเรื่องของเขากับซือเหยี่ยนก็ไม่ได้มีแค่คุณพ่อเจียงคนเดียว  

 

 

           เทียบกับแม่เขาแล้ว ท่าทีตอบสนองแบบนี้ของพ่อเขาเทียบไม่ติดอะไรเลย  

 

 

           “แกกับเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลย แกกับเขาแบบนี้…”  

 

 

           คุณพ่อเจียงพูดถึงตรงนี้ ก็พูดต่อไม่ค่อยจะออกแล้ว  

 

 

           ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะสนับสนุนลูกชายตัวเอง แต่ว่าพวกเขาอยากจะเดินเส้นทางนี้ก็ยากเกินไปแล้ว  

 

 

           ถ้าหากว่าพวกเขาสองคนเป็นคนธรรมดาทั่วไป อย่างนั้นก็ช่างเถอะ  

 

 

           แต่พวกเขาไม่ใช่ ทั้งสองคนเป็นคนใหญ่คนโตในถานโจว อีกทั้งเป็นตระกูลเจียงและตระกูลซือ ถ้าหากว่าเรื่องของพวกเขาแพร่งพรายออกไป นี่จะไม่เรื่องยุ่งยากเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไป  

 

 

           ถึงเวลานั้น สายตาของสื่อมวลชนและคนทั่วไปจะกดพวกเขาให้จมลงไป  

 

 

           ในฐานะที่พวกเขาเป็นพ่อแม่ จะไม่อยากให้ลูกๆ ของตัวเองมีความสุขได้อย่างไร แต่สิ่งที่แลกมากับความสุขของเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนใหญ่เกินไปจริงๆ  

 

 

           พวกเขาแก่แล้ว ไม่ได้มีเวลามากเท่าไหร่แล้ว ต่อให้ถูกคนนินทาด่าลับหลังก็ไม่เป็นไร  

 

 

           แต่เฉินเฉินกับซือเหยี่ยนไม่เหมือนกัน พวกเขายังอายุน้อยขนาดนั้น  

 

 

           พวกเขายังมีหนทางแห่งกาลเวลาให้ต้องเดินอีกยาวไกล ท่ามกลางการประณามที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ พวกเขาจะเดินกันไปได้อีกนานแค่ไหน  

 

 

           คุณพ่อหลับตาลงด้วยยากลำบาก “แกกับเขาต้องคบกันให้ได้ใช่ไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองคุณพ่อเจียงอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เป็นแววตาที่มีความจริงจังอย่างที่คุณพ่อเจียงไม่เคยเห็นมาก่อน  

 

 

           “พ่อครับ ผมรักเขา นี่ไม่ใช่อาการป่วย รักษาไม่หายหรอกครับ…  

 

 

           …อีกอย่าง ซือเหยี่ยนเขาไม่ได้ผิดอะไร พวกเรานอกจากเพศสภาพไม่เหมาะสม อย่างอื่นก็ไม่ได้มีอะไรเหมาะสม…  

 

 

           …แต่เพศภาพแล้วจะยังไง ผมชอบเขา แค่เขามีเพศสภาพเดียวกันกับผมก็เท่านั้นเอง”  

 

 

           คุณพ่อเจียงสับสนในอารมณ์ความรู้สึก ลูกชายที่ตัวเองประคับประคองไว้ในอุ้งมือมาตลอด พูดกับเขาด้วยท่าทีจริงจังแบบนี้ว่า ‘การรักซือเหยี่ยนไม่ใช่อาการป่วย’  

 

 

           เป็นความรัก เพียงแค่ไปรักคนที่มีเพศสภาพเดียวกันกับเขาก็เท่านั้นเอง  

ตอนที่ 400 อย่าขยับมือซี้ซั้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “ที่นี่คือห้องทำงานของผม แล้วคุณมานอนทับอยู่บนตัวผม คุณว่าผมต้องบอกคุณว่ายังไงล่ะ”  

 

 

           รออยู่อีกหลายนาทีสมองใหญ่ที่เบลอๆ ของเจียงมู่เฉินก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา  

 

 

           เขายกมือขึ้นมาขยี้ตา ตะกายขึ้นมาจากตัวของซือเหยี่ยน “อยู่ๆ ดีนายมาจับฉันกอดนายเพื่ออะไร”  

 

 

           ซือเหยี่ยนถูกเขาโบ้ยความผิดกันแบบนี้ ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “คุณเป็นคนมาทับผมเอง ไม่ใช่ผมกอดคุณสักหน่อย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองโซฟาที่อยู่ด้านข้าง พลางมองซือเหยี่ยนอีกแวบหนึ่ง “อ่อ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น  ‘อ่อ’ นี่หมายความว่าไง ขายผ้าเอาหน้ารอดไปหน่อยมั้ง  

 

 

           เจียงมู่เฉินตะกายขึ้นมาจากพื้น อดจะถามไถ่ไม่ได้ “วันนี้นายไปทำอะไรมา ฉันโทรหานาย นายยังปิดเครื่อง รอนายตั้งนานก็ไม่กลับมาเลย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนนอนอยู่บนพื้นมองเขา “คุณไม่คิดจะดึงผมขึ้นมาหน่อยเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายลุกเองไม่เป็นหรือไง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้ามืดหม่นในทันใด นอนอยู่บนตัวเขาตั้งหลายชั่วโมง จนทั้งตัวเขาชาไปหมดแล้ว  

 

 

           ‘ตื่นมายังไม่จูบเขาด้วยความประทับใจไม่พอ ยังทำหน้าทำตามองเขาด้วยความสงสัยอีกเหรอ’  

 

 

           ประธานซือรู้สึกว่าแฟนของตัวเองช่างเอาใจยากเสียทีเดียว  

 

 

           “มือผมชา” ประธานซือเอ่ยเสียงต่ำ  

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาด้วยสีหน้ารังเกียจเหยียดหยาม “นายว่านายเป็นผู้ชายตัวโตคนหนึ่ง แม้แต่ลุกขึ้นเองยังทำไม่ได้ แล้วจะยังทำอะไรได้อีกกัน”  

 

 

           เขาพูดไป แต่ในที่สุดก็ส่งมือออกไปเตรียมจะดึงซือเหยี่ยนขึ้นมา  

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดของเจียงมู่เฉิน แล้วมองมือที่เขายื่นมา ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างเงียบๆ   

 

 

           ‘ยังไงกัน ช่วงนี้เขาอ่อนโยนกับเจียงมู่เฉินเกินไปแล้วใช่ไหม’  

 

 

           คิดไม่ถึงว่าจะสงสัยในความสามารถของเขาได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง ฉวยโอกาสฉุดมือเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินไม่ได้ทันระวังตัว ในทันใดคนทั้งคนก็ถูกซือเหยี่ยนดึงจนเซพุ่งเข้าหาซือเหยี่ยน  

 

 

           ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสจับร่างเขากอดไว้พลิกกลับมาจับเขากดไว้กับพื้น  

 

 

           “เฉินเฉิน ต่อให้ผมมือชา ออกกำลังกายกันสักหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร”   

 

 

           เจียงมู่เฉินชักจะเริ่มได้กลิ่นอันตรายตุๆ “คือว่า ในเมื่อมือนายชาก็ไปพักดีๆ สิ อย่าขยับมือซี้ซั้วสิ”  

 

 

           ‘ให้เขาพักผ่อนดีๆ ตอนนี้เหรอ’  

 

 

           ‘สายไปแล้ว’  

 

 

           ตอนนี้ประธานซือไม่อยากพักผ่อนเลยสักนิด อยากเพียงแค่ลงไม้ลงมือ  

 

 

           ซือเหยี่ยนโน้มตัวลงเข้าใกล้เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินเอียงหน้าเห็นประตูที่ยังไม่ได้ล็อค ก็รีบยันตัวเขาไว้ “อย่า ประตูไม่ได้ล็อค ฉันไม่ได้มาแสดงสร้างความบันเทิงให้บริษัทนายดูนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนขบกราม “แล้วถ้าประตูล็อคแล้วล่ะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบบอก “นายไปล็อคก่อน”  

 

 

           รอซือเหยี่ยนลุกขึ้น เขาจะวิ่งทันที  เขาไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ให้ซือเหยี่ยนมาวาดลีลาด้วยหรอกนะ  

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง พยักหน้าตอบรับ “ได้”  

 

 

           เขาเพิ่งจะยืนขึ้น เจียงมู่เฉินก็ฉวยโอกาสเอามือผลักซือเหยี่ยนออก คิดจะผลักให้พ้นทางแล้วจะวิ่งไปทันที  

 

 

           ใครจะรู้ว่าซือเหยี่ยนจะรู้ทันลูกไม้ของเจียงมู่เฉินมาตั้งแต่แรกแล้ว ขณะที่เจียงมู่เฉินลงมือ ซือเหยี่ยนก็คว้ามือเข้าไว้ได้แบบไม่มีคลาดเคลื่อน ดึงมาทีก็กดทับร่างอีกฝ่ายเอาไว้  

 

 

           เจียงมู่เฉินล้มลงไปบนโซฟา หลับตาลงเวียนหัวโดยฉับพลัน  

 

 

           กว่าจะหายเวียนหัวไม่ใช่ง่ายๆ เจียงมู่เฉินเพิ่งจะลืมตาขึ้นมาก็เห็นซือเหยี่ยนกำลังขบกรามเข้ามาใกล้  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าอารมณ์นั้นของเขา ก็อดจะไว้อาลัยให้ตัวเองไม่ได้  

 

 

           วันนี้เขาคงจะหนีไปไม่พ้นแล้ว  

 

 

           โดนซือเหยี่ยนกดทับร่างอีกครั้ง เจียงมู่เฉินเอ่ยขอเจรจา “คือว่า พี่ใหญ่ พวกเราหารือกันสักหน่อยสิ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “หารืออะไร คิดจะหลอกผมอีกเหรอ”  

 

 

           “แหะแหะ” เจียงมู่เฉินหัวเราะแห้ง “ได้ยังไงกัน ฉันจะหลอกนายได้ยังไงล่ะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ไว้หน้าอยู่แล้ว เขากวาดสายตามองเจียงมู่เฉินปราดเดียว “เมื่อกี้ไม่รู้เลยว่าใครอยากจะลงไม้ลงมือกับผม”  

 

 

           เขาขบกรามเอ่ยเสียงต่ำ “ยังไงกัน เป็นผมที่มองผิดเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้  ถ้ารู้ล่วงหน้าจะนอนแผ่หลาให้เขามาปล้ำซะก็สิ้นเรื่อง ไม่มีอะไรทำแล้วไปขัดขืนอะไร ตอนนี้มาขัดขืนแล้วเป็นยังไง โดนจับกดอีกจนได้  

 

 

           เขาอยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออกแล้วจริงๆ  

 

 

           ‘เมื่อก่อนพลังการต่อสู้ของตัวเองพอๆ กับซือเหยี่ยนเจ้าหมอนั่นชัดๆ’  

 

 

           ‘ทำไมไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี ตัวเองถึงห่างชั้นจากซือเหยี่ยนได้ขนาดนี้ หรือว่าไม่กี่ปีให้หลังมานี้ซือเหยี่ยนแอบฝึกฝนมาตลอด เพราะสักวันอยากจะเอาชนะเขาอย่างนั้นเหรอ’  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 401 ชะตากรรมที่หนีไม่พ้น  

 

 

         “พี่ใหญ่ นายยังไม่ล็อคประตูเลยนะ”  

 

 

         เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้  ต่อให้โดนจับกดก็ไม่อยากทำการแสดงต่อหน้าคนอื่นนะ  

 

 

         ‘เขาหน้าไม่อายหรือไงกัน’  

 

 

         ซือเหยี่ยนหัวเราะเยาะเสียงเย็น “สายไปแล้ว ตอนนี้ผมไม่อยากล็อคแล้ว”  

 

 

         “อย่าสิ นี่ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน พวกเราต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควรบ้างสักหน่อยไม่ใช่หรือไง” เจียงมู่เฉินพยายามสู้ต่อไปอีกสักหน่อย  

 

 

         ‘ไม่ว่ายังไงก็ตาม ต้องต่อสู้ดิ้นรนก่อน ถ้าหากซือเหยี่ยนเกิดใจดีขึ้นมากะทันหัน เก็บไม้เก็บมือขึ้นมาล่ะ’  

 

 

         แต่น่าเสียดายตอนนี้ประธานซือไม่อยากจะใจดีเลยสักนิด  

 

 

         เขาอยากแค่จับกดเจียงมู่เฉินเท่านั้น  

 

 

         มือใหญ่ๆ ของซือเหยี่ยนยื่นออกไป จับเจียงมู่เฉินให้นอนอยู่ใต้ร่าง เจียงมู่เฉินโดนเขากดทับแบบนี้ ก็ขยับไปไหนไม่ได้แล้ว  

 

 

         “ผมไม่ถือสา ถึงยังไงหุ่นผมก็ดี ต่อให้เห็น ก็ไม่กลัว”  

 

 

         ‘แม่งเอ๊ย นายปล้ำฉัน ต้องไม่กลัวอยู่แล้ว’  

 

 

         ‘แน่จริงก็ให้คุณชายปล้ำนายสิ ดูกันว่านายจะกลัวหรือเปล่า’  

 

 

         แน่นอน ว่าคำพูดนี้เจียงมู่เฉินกล้าพูดแค่ภายในใจ มีหรือจะกล้าพูดออกมา  

 

 

         ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ระวังเผลอทำซือเหยี่ยนโมโห ถึงเวลานั้นจะได้ไม่คุ้มเสียแทน  

 

 

         “พี่ใหญ่ นายไม่กลัวคนอื่นเห็นฉันโป๊หรือไง จะเอาเปรียบฉันเหรอ”  

 

 

         เจียงมู่เฉินควรจะใช้ไม้อ่อน จะได้เจรจากับซือเหยี่ยนดีๆ  

 

 

         ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแฟนของซือเหยี่ยน ถ้าคนอื่นไม่ระวังมาเห็นเข้า ซือเหยี่ยยจะขาดทุนเอง  

 

 

         ซือเหยี่ยนเห็นแววตานั้นของเจียงมู่เฉิน ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น ครุ่นคิดอย่างจริงจังสักพัก “คุณพูดก็ถูก”  

 

 

         เจียงมู่เฉินตาลุกวาวในทันใด รีบมองมาที่ซือเหยี่ยน “ใช่ไหมๆ มีเหตุผลมากใช่ไหม”  

 

 

         ซือเหยี่ยนพยักหน้า “มีเหตุผลมาก”  

 

 

         เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเห็นแสงแห่งความหวังรำไรแล้ว เขาเบิกตากว้างมองซือเหยี่ยน “ในเมื่อนายคิดว่าที่ฉันพูดมีเหตุผลมากพอ งั้นก็…”  

 

 

         เขายังไม่ทันพูดจบประโยค ซือเหยี่ยนค่อยๆ เอ่ยทิ้งทวนช้าๆ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราก็ใส่เสื้อผ้า ‘ทำ’ กัน แบบนี้คนอื่นก็จะไม่เห็นแล้ว”  

 

 

         เจียงมู่เฉิน “…”  

 

 

         ‘เขาพุ่งเข้าไปเด็ดหัวซือเหยี่ยนได้ไหม’  

 

 

         ในห้องทำงานยังคิดทำเรื่องอย่างว่าได้ แล้วยังจะมีเรื่องอะไรที่เขาทำไม่ได้อีกกัน  

 

 

         “ถ้านายกล้าทำอะไรคุณชาย คุณชายรับรองจะไม่ปล่อยนายไว้แน่”  

 

 

         เจียงมู่เฉินเห็นว่าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงเตรียมจะเล่นบทโหดขึ้นสักหน่อยแล้ว  

 

 

         ‘เห็นคุณชายน้อยเจียงไม่เหวี่ยงไม่วีน คิดว่ากลัวเขางั้นเหรอ’  

 

 

         ซือเหยี่ยนยักคิ้ว ส่งมือไปแกะกระดุมเสื้อเจียงมู่เฉิน เขาจงใจกดเสียงต่ำ เอ่ยถามขึ้นมา “เฉินเฉิน ผมลงมือแล้ว คุณคิดจะไม่ปล่อยผมไว้ยังไงเหรอ”  

 

 

         ……  

 

 

         เจียงมู่เฉินพ่ายแพ้ให้ซือเหยี่ยนแล้วจริงๆ  

 

 

         ท่าทางหน้าไม่อายไม่ไว้หน้าอย่างนี้ ไปเรียนกลับใครมา  

 

 

         เจียงมู่เฉินขบกราม รู้สึกว่าตัวเองเกินเยียวยาแล้ว  คิดไม่ถึงว่าจะรู้สึกว่าซือเหยี่ยนในมาดแบบนี้…จะยังดูหล่อขึ้นมานิดหน่อยแบบเหลือเชื่อได้  

 

 

         ถ้าไม่ใช่เพราะซือเหยี่ยนกดมือเขาไว้ เจียงมู่เฉินคิดว่าตัวเองคงจะทนไม่ไหว เด้งขึ้นมากดหน้าตัวเองไว้  

 

 

         ไม่มีหน้าให้ดูต่อไปได้แล้วจริงๆ  

 

 

         ทัศนคติต่อคุณค่า ต่อชีวิต และต่อโลกของเขา ถูกซือเหยี่ยนเจ้าคนระยำทำลายจนหมดสิ้นแล้ว  

 

 

         ไม่กล้ามองตรงๆ อีกต่อไป  

 

 

         แต่ประธานซือกลับยังจงใจยั่วยุ เขามองดูเจียงมู่เฉิน ก้มหน้าลงกัดใบหูเขาอีกครั้ง “อะไรกัน จะไม่เกรงใจผมแล้วไม่ใช่หรือไง”  

 

 

         เขาเป่าลมใส่เบาๆ “เฉินเฉิน คุณไม่เกรงใจผมได้นะ”  

 

 

         เจียงมู่เฉินขบกราม เขาถลึงตาใส่ซือเหยี่ยน “ฉันไม่อยากไม่เกรงใจนายเลยสักนิด”  

 

 

         ได้ยินเขาพูดขนาดนี้ ซือเหยี่ยนยกมุมปากที่ดูดีของตัวเองขึ้น “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมก็จะไม่เกรงใจแล้ว”  

 

 

         เหมือนซือเหยี่ยนจะปฏิบัติตามคำพูดของตัวเองให้ถึงที่สุด ไม่เกรงใจให้ถึงที่สุด  

 

 

         เจียงมู่เฉินกังวลถึงประตูที่ยังไม่ล็อคบานนั้นอยู่เสมอ แต่กลับไม่รู้เลยว่าตอนที่ซือเหยี่ยนเข้ามา ก็ล็อคประตูตั้งแต่แรกแล้ว  

 

 

         ‘ไม่งั้นซือเหยี่ยนจะอยู่ข้างในพร้อมเจียงมู่เฉินที่กำลังนอนอยู่ แล้วไม่มีใครสักคนเข้ามาตลอดได้ยังไง’  

 

 

         เพียงแต่ว่าประธานซือใจดำไม่อยากบอกเจียงมู่เฉิน  

 

 

         จงใจให้เขาตื่นตระหนกก็เท่านั้นเอง  

 

 

         คุณชายน้อยเจียงงมโข่ง ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดทางความคิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เอาแต่กังวลเรื่องประตูไม่หยุด  

ตอนที่ 398 ยอมรับไม่ไหวจริงๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงนั่งอยู่ต่อหน้า เขารอคุณพ่อเจียงค่อยๆ ทำความเข้าใจอย่างใจเย็น

 

 

           เวลาผ่านไปอยู่หลายนาที เหมือนคุณพ่อเจียงจะพอเข้าใจบ้างแล้ว เขามองซือเหยี่ยนแล้วเอ่ยถามขึ้น “นาย นายกับเขา…เมื่อกี้ที่นายพูดหมายความว่าไง”

 

 

           คุณพ่อเจียงพยายามสงบสติอารมณ์ ดูๆ ไปเหมือนไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใหญ่โต แต่สุดท้ายแล้วพอเอ่ยปากออกมาก็เผยอารมณ์บางอย่างออกมาด้วย

 

 

“ผมกับเฉินเฉินกำลังคบกันอยู่ครับ พวกเราคบกันแบบมีเป้าหมายจะแต่งงานกันแบบนั้นครับ”

 

 

           ซือเหยี่ยนประจันหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม เขาวางตัวดี ไม่เย่อหยิ่ง บอกเล่าให้คุณพ่อเจียงฟัง

 

 

           ความสงบนิ่งบนใบหน้าของคุณพ่อเจียงเริ่มแตกร้าวทีละนิดๆ ขณะที่ได้ยินประโยคนี้

 

 

           เขาพยายามจะรักษาสงวนท่าที ให้ตัวเองไม่ตอบสนองซือเหยี่ยนใหญ่โตเกินไป

 

 

           คุณพ่อเจียงพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของซือเหยี่ยน จนกระทั่งอารมณ์สงบลงแล้ว ถึงได้เอ่ยปากขึ้น “เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

           ครั้งนี้ที่ซือเหยี่ยนมา เขาเตรียมพร้อมจะสารภาพทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

 

 

           ดังนั้น คุณพ่อเจียงจะถามถึงปัญหาใดใด เขาก็จะตอบไปตามความเป็นจริงทั้งหมด

 

 

           “เมื่อเจ็ดปีก่อน”

 

 

           คุณพ่อเจียงนัยน์ตาประกายวาบ มันเกินความแปลกใจไปมากแล้วจริงๆ ไม่ได้เก็บกดอารมณ์ของตัวเองไว้ เอ่ยซ้ำเสียงสูง “เจ็ดปีก่อน?”

 

 

           “ที่อเมริกา พวกเราก็คบกันแล้วครับ”

 

 

           คุณพ่อเจียงกำแก้วแน่น เขาคิดว่าระหว่างพวกเขาคบกันก็แค่ช่วงเวลาช่วงหนึ่งเท่านั้นเอง ถึงอย่างไรห้าปีมานี้พวกเขาก็เจอหน้ากันน้อยมากอยู่แล้ว

 

 

           ถ้าจะบอกว่าพอจะมีเค้าลางก็คือช่วงเวลาในระยะใกล้ๆ นี้ ตั้งแต่ที่พวกเขาไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกันที่อเมริกา

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับพูดว่าเจ็ดปีก่อน

 

 

           สีหน้าคุณพ่อเจียงเคร่งขรึมขึ้นในพริบตา

 

 

           “ตอนนั้นเฉินเฉินไปอเมริกาเข้าเรียนโรงเรียนฝึกตำรวจ ผมเองก็อยู่ที่นั่นพอดี พวกเราเรียนอยู่ชั้นปีเดียวกัน”  ซือเหยี่ยนไม่ได้พูดลงรายละเอียดมากเกินไป

 

 

           “ผมกับเฉินเฉินเข้าเรียนเป็นคู่หูกันสองปี ถึงคบกันครับ ตอนนั้นเดิมทีพวกเรากะว่าหลังเรียนจบจะเตรียมกลับไปสารภาพกับพวกท่าน…

 

 

           …เพียงแต่ว่าไม่ได้คาดคิดว่าตอนที่เฉินเฉินออกไปปฏิบัติภารกิจจะประสบอุบัติเหตุ”

 

 

           หัวใจคุณพ่อเจียงบีบคั้นในทันใด จู่ๆ เขาก็คิดถึงลูกชายของตัวเองที่ไปเรียนต่อที่อเมริกา นอนหมดสติไม่รู้สึกตัวตื่นอยู่ที่หน้าประตูบ้าน

 

 

           รอจนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็จำอะไรไม่ได้สักอย่าง

 

 

           “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นนายที่เป็นคนส่งเฉินเฉินกลับมาใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ตอนนั้นเขาบาดเจ็บสาหัส ตอนที่ผมหาเขาพบ อาการเขาล่อแล่ ผมกลัวว่าพวกท่านจะเป็นกังวล ผมจึงไม่ได้แจ้งข่าวไปในทันที…

 

 

           …และที่สำคัญไปกว่านั้น เฉินเฉินคือสายลับที่ถูกส่งไปแฝงตัว ฐานะของเขาพิเศษ จะหลุดรั่วออกมาแม้เพียงนิดเดียวไม่ได้ครับ”

 

 

           “ดังนั้นนายจึงทำการรักษาเขาแบบลับๆ แล้วส่งตัวคนกลับมาใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนหลับตาลง ราวกับนึกถึงวันวานที่เหมือนตกนรก

 

 

           แพรขนตายาวของเขาสั่นไหว “เป็นเวลาเจ็ดวันเต็มๆ กว่าเขาจะถูกช่วยชีวิตให้พ้นขีดอันตรายได้ อีกนิดเดียวก็จะถึงความตายได้ ผมเสี่ยงกับเรื่องนี้ไม่ไหว ดังนั้นผมจึงส่งตัวเขากลับมาที่ถานโจวเป็นการลับ แล้วสร้างหลักฐานปลอมว่าเฉินเฉินตายแล้ว จะได้ใช้ชีวิตดีๆ ได้ครับ”

 

 

           “แล้วความทรงจำของเขา…”

 

 

           “เป็นผมทำเองครับ” ซือเหยี่ยนกำมือแน่น “ผมไม่อยากให้เขาจำเรื่องราวทุกอย่างในอดีต ดังนั้นเขาถึงได้จำอะไรขึ้นมาไม่ได้ครับ”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองคุณพ่อเจียงด้วยความรู้สึกผิด เขาลุกยืนขึ้นมา คนที่หยิ่งผยองขนาดนั้น วันนี้กลับยืนกรานจะยอมละทิ้งมัน เขาโค้งคำนับเก้าสิบองศาแสดงเจตจำนง

 

 

           เขาก้มหน้าลง เอ่ยขอโทษด้วยความจริงใจ “ขออภัยด้วยนะครับ ผมรู้ว่าผมทำแบบนี้ มันเห็นแก่ตัวเกินไป วันนี้ถ้าอาเจียงไม่สบายใจอะไร ไม่ว่าจะลงโทษแบบไหน ซือเหยี่ยนจะไม่ขัดขืนใดใดทั้งสิ้นครับ”

 

 

           คุณพ่อเจียงมองดูซือเหยี่ยนที่อยู่ตรงหน้า ในใจก็สับสนอยู่ไม่น้อย

 

 

           ถึงแม้ว่าซือเหยี่ยนปิดปังพวกเขา ทำเรื่องพวกนี้ทั้งหมด ที่จริงก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่

 

 

           ‘แต่…ชีวิตของเฉินเฉินสุดท้ายก็เป็นซือเหยี่ยนที่ช่วยไว้อยู่ดี’

 

 

           ถ้าหากว่าในตอนนั้นซือเหยี่ยนไม่ได้ช่วยชีวิตเฉินเฉินไว้ เฉินเฉินของเขาก็จะตายไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           อีกอย่างไม่ว่าอย่างไรซือเหยี่ยนก็ถือว่าเป็นคนที่เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต คิดได้อย่างนี้ สุดท้ายแล้วก็ใจแข็งตำหนิเขาไม่ค่อยจะลงอยู่ดี

 

 

           แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคน…

 

 

           คุณพ่อเจียงยอมรับไม่ไหวจริงๆ

 

 

           พวกเขาผู้ชายสองคน…

 

 

           คนหนึ่งคือลูกชายคนเดียวของตระกูลเจียงของเขา คนหนึ่งคือลูกชายคนเดียวของตระกูลซือ

 

 

           ถ้าหากพวกเขาสองคนคบกัน…

 

 

           คุณพ่อเจียงปวดหัวจนกุมขมับแล้ว “นายลุกขึ้นก่อนเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เขาเอ่ยเสียงต่ำ “เรื่องนี้เป็นปัญหาของผมคนเดียวทั้งหมด ไม่เกี่ยวข้องกับเฉินเฉิน ถ้าอาเจียงขัดข้องใจอะไร ผมจะรับไว้เองทั้งหมดครับ…

 

 

           …ผมมีเพียงเรื่องเดียวอยากจะขอร้อง เฉินเฉินเขาไม่ผิด ถ้าว่ากันเรื่องความผิดแล้วจริงๆ ก็เป็นผมเองที่ผิด…

 

 

           …เป็นผมเองที่ชอบเขาก่อน ดังนั้นถ้าอาเจียงจะไม่พอใจใคร อาเจียงก็มาตำหนิผมได้เลยครับ อย่าโทษเฉินเฉิน”

 

 

           

 

 

ตอนที่ 399 พลิกตกลงมา

 

 

           คุณพ่อเจียงเอามือกดที่ศีรษะ พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง สิ่งเหล่านี้ที่ซือเหยี่ยนพูดมาสำหรับเขาแล้วมันกระทบกระเทือนเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

           เผชิญเชิญหน้ากับซือเหยี่ยนแล้ว สุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไรสักอย่าง ก็เพียงแค่ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “เอาล่ะ นายกลับไปก่อนเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “งั้นอาเจียงครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

 

 

           ครั้งนี้ซือเหยี่ยนไม่ได้อยู่ต่อนาน ออกจากเจียงเฉินกรุ๊ปไป

 

 

           เขาเดินออกไปจากตึกของบริษัท ซือเหยี่ยนยืนอยู่ข้างนอก เงยหน้ามองท้องฟ้า หายใจแผ่วเบา

 

 

           เรื่องของเขากับเจียงมู่เฉินไม่ช้าก็เร็วต้องสารภาพ  งั้นครั้งนี้ก็ถือว่าเขามาสารภาพเองก็แล้วกัน

 

 

           ซือเหยี่ยนขับรถกลับบริษัทโดยเร็ว เพิ่งจะผลักประตูห้องทำงานเข้าไป ก็เห็นบนโซฟามีเจียงมู่เฉินนอนเอ้อระเหยลอยชายอยู่

 

 

           ซือเหยี่ยนแปลกใจอยู่ไม่เบา คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมาเจอเจียงมู่เฉินแบบนี้ได้

 

 

           เขายังคิดว่าสองวันนี้เจียงมู่เฉินจะมาหาเขาไม่ได้เสียอีก คิดไม่ถึงว่าผลักประตูมาก็ได้เห็นคนที่ตัวเองกำลังคิดถึงอยู่

 

 

           ความดีใจเบ่งบานในหัวใจของซือเหยี่ยน เขาเดินเบาๆ ย่องเข้าไปหา

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังหลับสนิท ดวงตาทั้งสองข้างปิดแน่น คนคนหนึ่งหลับเหมือนได้ฝันหวานอยู่

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งลงบนโต๊ะข้างๆ ก้มหน้ามองดูใบหน้าเจียงมู่เฉินยามหลับใหล เห็นใบหน้าเชิดๆ ที่ขณะนี้กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็นพิเศษ

 

 

           ซือเหยี่ยนใจเต้นขึ้นมาในทันใด อดไม่ได้ที่โน้มเข้าใกล้แล้วประทับรอยจูบให้เขาสักหน่อย   

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะเจียงมู่เฉินนอนไม่พอหรือเปล่า ถึงได้ยังง่วงอยู่ ถูกซือเหยี่ยนจูบขนาดนี้ ยังไม่รู้สึกตัวตื่นอีก

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นแบบนี้แล้ว ก็ใจกล้าเล่นใหญ่กว่าเดิม เขากัดริมฝีปากของเจียงมู่เฉินเบาๆ ทำท่าทางที่ดูสนิทชิดเชื้ออย่างไม่ธรรมดา

 

 

           เฉินเฉินของเขาระดับการป้องกันของหัวใจต่ำขนาดนี้ เสียเปรียบง่ายมากทีเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินที่นอนอยู่บนโซฟา ทรงตัวอยู่นิ่งไม่ค่อยได้ เขาขยับขาในขณะที่ตัวเองนอนอยู่ขอบโซฟา ทันใดนั้นก็ตกลงมา

 

 

           ซือเหยี่ยนรีบพุ่งตัวจากโต๊ะเข้าไปรับ แต่จะทำอย่างไรได้เจียงมู่เฉินพลิกตัวเร็วเกินไป

 

 

           ซือเหยี่ยนมาไม่ทัน จึงทำได้เพียงนอนไปตามพื้น ใช้ร่างกายรับตัวเจียงมู่เฉินไว้

 

 

           ถึงขนาดแล้ว เจียงมู่เฉินก็ยังไม่ตื่น เขานอนฟุบอยู่ร่างของซือเหยี่ยน คลอเคลียไปมาด้วยความเคยชิน แนบชิดไหล่ของเขา แล้วนอนหลับลงไปอีก

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูคนที่อยู่บนตัวเขาด้วยความขำขัน ยกมุมปากขึ้นอย่างทำอะไรไม่ได้

 

 

           ‘ตอนตื่นจับกดเขาไม่ได้ เลยเปลี่ยนมานอนทับแทนเหรอ’

 

 

           ซือเหยี่ยนกลายเป็นเบาะรองพื้นให้เจียงมู่เฉินนอนทับรับน้ำหนักไปทั้งตัว เขาเองก็ไม่รีบร้อนเรียกปลุกเจียงมู่เฉิน แต่ฉวยโอกาสนอนอยู่ตรงนั้น ยืดเหยียดร่างกายให้เจียงมู่เฉินได้นอนสบายกว่าเดิม

 

 

           ซือเหยี่ยนเงยหน้ามาก็เห็นใบหน้างามละเอียดได้รูปของเจียงมู่เฉิน

 

 

           เขายกมุมปากขึ้นเชยชมใบหน้านั้นของเจียงมู่เฉิน ไม่รู้จริงๆ ว่าเฉินเฉินของเขาทำไมถึงมีหน้าตาแบบนี้ มามองดูขนาดนี้ ก็ลงมือทำอะไรรุนแรงไม่ได้อยู่แล้ว

 

 

           ดังนั้นจึงเต็มอกเต็มใจยอมมาเป็นหมอนอิงมนุษย์ให้

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับมือ วางแขนพาดหน้าซือเหยี่ยนพอดี ซือเหยี่ยนเห็นเขานอนทำหน้าสบายๆ ก็อดจะกัดแขนเขาไปคำหนึ่งไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเจ็บขมวดคิ้วเล็กน้อย ซือเหยี่ยนก็เข้าไปใกล้ประกบจูบเขาอีก

 

 

           โดนซือเหยี่ยนปลอบประโลมขนาดนี้ คิ้วเจียงมู่เฉินก็ผ่อนคลายลง

 

 

           แสงแดดสาดส่องสะท้อนจากหน้าต่างเข้ามา กระทบบนร่างของซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินพอดี

 

 

           เงาสะท้อนของทั้งสองคนก็เหมือนกับพวกเขาที่เกี่ยวพันกันแน่นแฟ้น แยกจากกันไม่ได้

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ท้องฟ้าค่อยๆ มืดมัวลง เจียงมู่เฉินถึงเพิ่งได้ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

           เรื่องแรกที่เจอยามเขาตื่นมารู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาลืมตาก็เห็นใบหน้าฉบับขยายใหญ่ของซือเหยี่ยน

 

 

           เหมือนเขาจะไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาอย่างไรอย่างนั้น เขาก้มหัวมองซือเหยี่ยน ไม่พูดอะไรอยู่นานสองนาน

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน “เป็นไรไป กำลังมองอะไรอยู่”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยถามด้วยความซื่อบื้อ “นายอยู่ตรงนี้ได้ไง”

ตอนที่ 396 ยังคงพลาดเหมือนเดิม

 

 

           เขาไม่อยากให้มั่วไป๋รับการรักษาที่ไม่มีที่สิ้นสุดโดดเดี่ยวแบบนี้ อาการเจ็บป่วยทางใจจำเป็นต้องใช้ยาทางใจรักษา

 

 

           เขาบอกเรื่องพวกนี้กับไป๋จิ่ง ก็เป็นเพียงแค่การให้โอกาสหนึ่งกับมั่วไป๋

 

 

           และนี่ก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาทำเพื่อมั่วไป๋ได้แล้ว

 

 

           เขาเป็นเพื่อนคนสนิทที่สุดของมั่วไป๋ เพียงแค่อยากให้มั่วไป๋พอจะมีชิวิตที่ดีๆ ได้บ้าง

 

 

           ถ้าไป๋จิ่งทำให้มั่วไป๋กลับมาเป็นเขาคนเดิมเมื่อแรกเริ่มนั้นได้

 

 

           เช่นนั้นเขาก็จะช่วยดึงเขากลับมา

 

 

           ส่วนไป๋จิ่งจะไปหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับทางเลือกของตัวเขาเองแล้ว

 

 

           ……

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินออกไป ไป๋จิ่งถึงค่อยได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา

 

 

           ประโยคเมื่อครู่นี้ยังคงวิ่งวกไปวนมาในหัวเขาไม่หยุด  มั่วไป๋เขาอยากจะจากไปแล้ว…

 

 

           เขาเพิ่งจะรู้ว่าว่ามั่วไป๋ก็คือหลินฝาน ยังไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่าง เขาก็ต้องการจะไปจากที่นี่แล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งตะกายขึ้นมาจากพื้นกะทันหัน ไม่สนว่าเนื้อตัวจะสกปรกอย่างไรแล้ว มือคว้าหยิบกุญแจรถ แล้วพุ่งตัวออกไปทันที

 

 

           เขาพุ่งตัวเข้าไปยังลานจอดรถ ขับรถด้วยความเร็วปานจรวดมุ่งหน้าไปยังสนามบิน

 

 

           ในใจไป๋จิ่งคิดอะไรไม่ออกแล้ว มีเพียงแค่ความคิดเดียว ก็คือจะต้องคว้ามั่วไป๋ไว้ให้ได้

 

 

           เขาจะปล่อยมั่วไป๋ให้จากไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด

 

 

           ตอนนั้นเขาผิดพลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้จะผิดพลาดอีกไม่ได้เด็ดขาด

 

 

           เหมือนไป๋จิ่งไม่คิดถึงชีวิตตัวเองแล้ว ขับรถเร็วปานลมกรด เลือดขึ้นหน้า ขอบตาบวมแดง มีหรือท่าทีง่ายๆ สบายๆ แบบเมื่อก่อน

 

 

           เดินทางจะมาถึงสนามบินอย่างรวดเร็ว ไป๋จิ่งจอดรถลวกๆ อยู่ด้านข้าง แล้วพุ่งตัววิ่งเข้าไป

 

 

           เนื้อตัวมอมแมมของเขาดึงดูดสายตาผู้คนอยู่ไม่น้อย ถึงอย่างไรเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ ทรงผมกระเซอะกระเซิง มองดูแวบเดียวก็เหมือนกับคนเร่ร่อนอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งไม่สนใจสายตาคนรอบข้างเลยสักนิด ในใจมีเพียงแค่ความคิดเดียว คือต้องตามหามั่วไป๋ให้เจอ หลังจากนั้นไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็จะต้องทำให้มั่วไป๋อยู่กับเขาให้ได้

 

 

           ไป๋จิ่งวิ่งวุ่นราวกับคนบ้าอยู่ในสนามบิน ก่อความแตกตื่นอยู่ไม่น้อย จนแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามเองก็จับตาดูไป๋จิ่งด้วยเช่นกัน

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ได้ชายตามองพวกเขาเลยด้วยซ้ำ เขาพุ่งตรงไปยังเคาน์เตอร์บริการข้อมูลให้พวกเขาช่วยเขาตามหาข้อมูลของมั่วไป๋

 

 

           พนักงานในเคาน์เตอร์เห็นท่าทางของไป๋จิ่งแล้ว ก็รู้สึกกลัวจนไม่อยากจะช่วยเขาหาข้อมูล

 

 

           เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นสถานการณ์ก็กลัวเขาจะก่อความวุ่นวาย จึงแอบเดินเข้าไปหาเงียบๆ เหมือนกับมีอะไรผิดปกติจะเกิดขึ้น แล้วจะลงมือได้ทันที

 

 

           “รบกวนช่วยผมหาข้อมูลด่วน ผมมีเรื่องสำคัญมากครับ”

 

 

           พนักงานในเคาน์เตอร์คนนั้นมองดูไป๋จิ่ง ถึงแม้จะดูน่าตกใจไปบ้าง แต่ท่าทีกลับดูจริงใจอยู่ไม่น้อย

 

 

           จึงรีบทำตามคำพูดของไป๋จิ่งอย่างรวดเร็ว หาข้อมูลสายการบินของมั่วไป๋

 

 

           “ขออภัยด้วยครับ เครื่องบินของคุณมั่วไป๋เพิ่งบินขึ้นเมื่อครู่นี้เองครับ”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินประโยคนี้ เรี่ยวแรงที่มีทั้งร่างกายเหมือนถูกกระชากออกในพริบตา

 

 

           เขามองไปยังนอกหน้าต่างด้วยดวงตาคู่นั้นที่ล่องลอย ราวกับว่ามีเพียงแค่แบบนี้เท่านั้นถึงจะเห็นมั่วไป๋จากไปได้

 

 

           ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งคิดถึงอะไรขึ้นมา จู่ๆ เขาก็พุ่งตัวออกจากสนามบิน เขายืนมองดูท้องฟ้าอยู่นอกสนามบิน

 

 

           เครื่องบินลำหนึ่งได้ทะยานขึ้นสู่ฟ้าไปพอดี เขามองดูเครื่องบินที่ยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ในใจก็เจ็บกระตุกขึ้นมาระลอกหนึ่ง

 

 

           เขายังคงมาสายอยู่ดี

 

 

           เครื่องบินบินขึ้นไปแล้ว

 

 

           ‘ครั้งนี้เขา…ยังคงพลาดเหมือนเดิมใช่ไหม’

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูเครื่องบินลำนั้นที่หายเข้ากลีบเมฆอยู่บนท้องฟ้า หัวใจเขาก็เจ็บปวดรุนแรงหายใจติดขัด

 

 

           เขาค่อยๆ นั่งยองๆ ลงไปอย่างช้าๆ ขดตัวเข้าหากัน ราวกับว่ามีเพียงแค่ทำแบบนั้นถึงจะทำให้เขาค่อยยังชั่วขึ้น

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ไป๋จิ่งถึงได้ขยับร่างกายอันแข็งทื่อของเขาอย่างช้าๆ

 

 

           เขาจับราวจับเอาไว้ ค่อยๆ ลุกยืนขึ้นมา เหมือนคนชราดั่งไม้ใกล้ฝั่ง ไป๋จิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้าผืนนั้นอยู่นานสองนาน จู่ๆ ก็ยิ้มหัวเราะขึ้นมากะทันหัน

 

 

           เหมือนเขาจะคิดถึงอะไรได้ สีหน้าหม่นหมองก็มีรอยยิ้มเล็กๆ แต่งแต้มขึ้นมา

 

 

           ไป๋จิ่งกลับไปที่รถ เขาค่อยๆ ขับรถเคลื่อนตัวออกจากสนามบินไป

 

 

           

 

 

 ตอนที่ 397 สารภาพกับคุณพ่อเจียง

 

 

           เจียงมู่เฉินออกจากที่ที่เจอไป๋จิ่งแล้ว ก็มุ่งหน้าไปห้องทำงานของซือเหยี่ยนทันที

 

 

           เขามีเรื่องอยากจะคุยกับซือเหยี่ยนพอดี แต่พอไปถึงห้องทำงานของซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนกลับไม่อยู่ที่นั่น

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงันไปพักหนึ่ง ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบกลับมาเท่าไหร่

 

 

           เขาเห็นเสี่ยวหลิวพอดี จึงเอื้อมมือไปคว้าตัวคนไว้ “ประธานซือของพวกนายล่ะ”

 

 

           เสี่ยวหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพิ่งออกไปเมื่อกี้เองครับ คงจะมีธุระมั้งครับ ไม่งั้นคุณก็ติดต่อกับประธานซือดูไหมครับ”

 

 

           เห็นสถานการณ์แล้ว เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ “ได้ งั้นฉันติดต่อเองแล้วกัน”

 

 

           เขาหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาซือเหยี่ยน

 

 

           เดิมทีคิดว่าจะรับสายกันเร็วมาก คิดไม่ถึงว่าทางปลายสายจะอยู่ในสถานะปิดเครื่องได้

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงันในทันใด เวลานี้ไม่อยู่ห้องทำงาน มือถือยังปิดเครื่องอีก นี่ตกลงว่าซือเหยี่ยนเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

           อีกด้านหนึ่ง ซือเหยี่ยนที่เจียงมู่เฉินเตรียมจะไปหาก็กำลังขับรถไปยังเจียงเฉินกรุ๊ป

 

 

           ซือเหยี่ยนเอารถมาจอดใต้ตึกเจียงเฉินกรุ๊ป เขามองดูตึกสูงระฟ้า ก็ถอนหายใจเงียบๆ

 

 

           เขาอยากจะได้รับการยอมรับจากตระกูลเจียงโดยเร็ว จึงทำได้เพียงเป็นฝ่ายมาเองอย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

 

 

           ถึงอย่างไรตัวเขาเองไปยอมรับเองก่อน อย่างนี้อารมณ์โกรธจัดของคุณพ่อเจียงคุณแม่เจียงจะได้มาระบายลงที่เขา

 

 

           ไม่ไปลงที่เจียงมู่เฉิน

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ เดินเข้าเจียงเฉินกรุ๊ปทีละก้าวๆ พร้อมหอบเอาความคิดที่อาจจะถูกไล่ออกไปด้วย

 

 

           ก่อนจะมาซือเหยี่ยนคิดว่าเรื่องของตัวเองกับเจียงมู่เฉิน คุณแม่เจียงคงจะยังไม่ได้บอกคุณพ่อเจียง

 

 

           ดังนั้นเขาเข้าไปก็ไม่น่าจะยาก

 

 

           แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานกี่นาที ถึงจะถูกไล่ตะเพิดออกมา

 

 

           ซือเหยี่ยนคิดว่าถ้าเจียงมู่เฉินรู้ว่าเขาถูกไล่ตะเพิดออกมา คงจะทนไม่ไหวเชิดริมฝีปากหัวเราะเยาะ

 

 

           ซือเหยี่ยนเข้าไปเจียงเฉินกรุ๊ปบอกว่าต้องการพบคุณพ่อเจียง เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ ถูกเชิญให้ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

 

 

           คุณพ่อเจียงกำลังประชุมอยู่พอดี ซือเหยี่ยนจึงรออยู่ในห้องทำงานของคุณพ่อเจียง

 

 

           รออยู่ประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง คุณพ่อเจียงถึงได้เข้ามา

 

 

           “ขออภัยเสี่ยวเหยี่ยนด้วยที่ทำให้รอนาน” คุณพ่อเจียงในชุดสูทสั่งตัดพิเศษที่เหมาะเจาะพอดีตัว กาลเวลาไม่ได้ทำให้ใบหน้าเขาทิ้งริ้วรอยมากจนเกินไป

 

 

           มองอย่างละเอียด เจียงมู่เฉินกับคุณพ่อเจียงมีความคล้ายคลึงกันเจ็ดส่วนเป็นอย่างน้อย

 

 

           คิดภาพได้ไม่ยาก ถึงแม้ว่าอีกหลายปีให้หลังเจียงมู่เฉินจะเป็นคุณพ่อเจียงในวันนี้ ถึงกระนั้นก็ยังจะต้องดูดีกว่านี้

 

 

           อวัยวะบนใบหน้าของเจียงมู่เฉินเทียบกับคุณพ่อเจียงแล้ว จะดูสวยกรีดกรายกว่านิดหน่อย

 

 

           แล้วคุณพ่อเจียงก็โลดแล่นในวงการธุรกิจมาหลายปี จึงดูภูมิฐานมากกว่าอย่างชัดเจน

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ไม่เป็นไรครับ”

 

 

           คุณพ่อเจียงได้ให้คนมายกชาเขียวชั้นดีสองแก้วมาให้ เขาดื่มไปสองคำ ถึงค่อยได้เอ่ยปากขึ้น “ทำไมวันนี้ถึงมาหาอาได้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินคุณพ่อเจียงถามแบบนี้ เขาก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยเปิดประเด็นอย่างจริงจัง “อาเจียงครับ วันนี้ผมมารับผิดครับ”

 

 

           คุณพ่อเจียงได้ยินคำว่า ‘รับผิด’ สองคำนี้ ก็ชะงักงันไปทันที เอ่ยถามอย่างงุนงง “นายมารับผิดอะไร นายมีความผิดอะไรให้น่ารับเหรอ”

 

 

           “มีอยู่แล้วครับ”

 

 

           ซือเหยี่ยนทำเอาคุณพ่อเจียงไปไม่เป็น รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยจะเข้าใจความหมายของซือเหยี่ยนเท่าไหร่นัก

 

 

           “เสี่ยวเหยี่ยน จู่ๆ นายมารับผิดแบบนี้หมายความว่าไง นายไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ต้องมาขอโทษอา มีอะไรให้น่ารับผิดเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองคุณพ่อเจียงอย่างจริงจัง เอ่ยเน้นคำต่อคำ “เรื่องนี้เกี่ยวกับเฉินเฉินด้วยครับ”

 

 

           คุณพ่อวางแก้วลง มองเขา “นายกับเฉินเฉินเป็นอะไรไป”

 

 

           เรื่องที่ซือเหยี่ยนกับลูกชายของตัวเองต่างฝ่ายต่างไม่ชอบใจกันมาหลายปี ไม่ว่าอย่างไรเขาก็พอจะได้ยินมาบ้าง

 

 

           เพียงแต่ว่าเรื่องคนวัยหนุ่มทะเลาะกัน มีอะไรให้ต้องมารับผิดกัน

 

 

           “เสี่ยวเหยี่ยน นายทำให้อางงไปหมดแล้ว เรื่องระหว่างนายกับเฉินเฉิน แล้วจะมารับผิดอะไรกับอา”

 

 

           “ผมกับเฉินเฉินคบกันครับ”

 

 

           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็ทิ้งระเบิดลงกะทันหัน

 

 

           คุณพ่อเจียงชะงักไปไม่กี่วินาที ราวกับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาอย่างไรอย่างนั้น ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่

ตอนที่ 394 ไม่เกี่ยวกับเขา

 

 

           เพียงครู่เดียวมั่วไป๋ก็มาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นมั่วไป๋แวบแรก ก็ตะลึงค้างไปพักหนึ่ง มั่วไป๋ผอมลงเกือบเท่าตัว ผอมลงกว่าตอนที่เขาไปเสียอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินคว้าตัวเขาไว้ทันที “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายผอมลงเยอะขนาดนี้ นายคงจะไม่แอบลดน้ำหนักลับหลังฉันหรอกใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น “ฉันจะลดน้ำหนักที ต้องแอบทำลับหลังนายด้วยหรือไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินฝังตัวลงไปกับโซฟา มองมั่วไป๋อย่างละเอียดถี่ถ้วน แสดงท่าทีต้องการให้เขาสารภาพมาให้ชัดเจน

 

 

           มั่วไป๋จนใจ กุมขมับ

 

 

           “ไม่มีอะไรจริงๆ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ฉันไม่เชื่อ”

 

 

           “ไม่มีอะไรต้องสารภาพจริงๆ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยังคงถลึงตาใส่เขา “ก่อนหน้านี้นายบอกว่านายเลิกกับไป๋จิ่งแล้ว เป็นเพราะเขาหรือเปล่า”

 

 

           เอ่ยถึง ‘ไป๋จิ่ง’ สองพยางค์นี้ นัยน์ตามั่วไป๋ก็ประกายวาบ

 

 

           “ไม่เกี่ยวกับเขา”

 

 

           เจียงมู่เฉินเก็บความผิดปกติที่วาบขึ้นมาผ่านใบหน้าของมั่วไป๋ไว้ในสายตา เขามองมั่วไป๋ตรงๆ “นอกจากไป๋จิ่งแล้ว ฉันหาความเป็นไปได้อย่างอื่นไม่เจอ”

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ “นายจะต้องรู้ให้ได้เลยใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “แหงสิ”

 

 

           ดูท่าว่าเขาจะปิดบังเจียงมู่เฉินต่อไปไม่ได้แล้ว จึงเอ่ยขึ้น “ไป๋จิ่งก็คือคนคนนั้นเมื่อตอนนั้น”

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงัน ไม่ได้เข้าใจความหมายของมั่วไป๋ในทันที

 

 

           กว่าห้านาทีเต็มๆ เจียงมู่เฉินก็เด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาในเวลาอันรวดเร็ว

 

 

           “นายจะบอกว่าไป๋จิ่งคือเจ้าคนระยำในตอนนั้น คนที่เกือบจะทำนายตายคนนั้นเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”

 

 

           “นายรู้อยู่เต็มอกว่าไป๋จิ่งคือเขา ทำไมนายไม่บอกฉัน ทำไมถึงยังต้องไปยุ่งเกี่ยวพันกับไป๋จิ่งอีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขา “นายตัดเขาไม่ลง หรือว่า…อยากจะแก้แค้นเขา”

 

 

           มั่วไป๋จนใจยิ้มด้วยความขมขื่น “ปิดบังอะไรนายไม่ได้จริงๆ”

 

 

           “ฉันอยากแก้แค้นเขา เขาก็เป็นฝ่ายมาหาฉันเองพอดี ฉันก็เล่นไปตามน้ำให้เขาตกหลุมพราง”

 

 

           “ดังนั้นนายเลยจงใจชักจูงความสนใจที่เขามีต่อตัวนายมา จงใจให้โอกาสเขา จงใจคบกับเขาเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋หลับตาลง ฝืนยิ้มอย่างเสียไม่ได้

 

 

           “ใช่ นายพูดถูก ฉันค่อยๆ ล่อเขาเข้ามาทีละนิดๆ ค่อยๆ ให้เขาตกหลุมรักฉันทีละนิดๆ…

 

 

           …ตอนนั้นทั้งใจฉันมีแค่เขา แต่เขาเหยียบมันลงพื้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด งั้นแล้วทำไมครั้งนี้ฉันจะเอาคืนเขาไม่ได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองมั่วไป๋อย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ดังนั้นนายถึงไม่ได้บอกฉันเรื่องความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างนายกับไป๋จิ๋ง ก็เพราะไม่อยากให้ฉันขัดขวางนาย”

 

 

           “เฉินเฉิน ถ้านายรู้แผนของฉัน นายไม่มีทางจะเห็นด้วยอยู่แล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินจะระเบิดลงแล้วจริงๆ เขาใช้เท้าเตะอยู่บนโซฟา “ฉันจะเห็นด้วยได้ยังไง นายไม่ควรจะลดตัวลงไปยุ่งกับอีกด้วยซ้ำ”

 

 

           ในเมื่อไป๋จิ่งทำแบบนี้ ถึงมั่วไป๋เอาชนะได้ แต่ก็เจ็บกันทั้งสองฝ่ายอยู่ดี

 

 

           เขาชอบคนคนนั้นมากแค่ไหน ตัวเองไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ ต่อให้มั่วไป๋เกลียดไป๋จิ่งอีก แต่ใครจะรับประกันได้ว่ามั่วไป๋จะไม่ตกหลุมรักไป๋จิ่งอีกครั้ง

 

 

           “แต่ฉันไม่ยินดี” มั่วไป๋ฝืนยิ้ม “ฉันจะยินดีได้ยังไง”

 

 

           ‘เขาตกอยู่ท่ามกลางนรกแล้ว ถ้าเขาไม่ดึงไป๋จิ่งลงมา เขาจะยินดีได้ยังไง’

 

 

           หลายปีมานี้ เขาอับจนหนทาง และไม่เคยจะไม่อาศัยยาทำให้นอนหลับสนิท

 

 

           เขาทุกข์ระทมทรมานกับเรื่องในตอนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

 

           มีหลายครั้งที่เขาตกใจตื่นจากความฝัน หลังจากนั้นก็ทำได้เพียงแค่นั่งลงท่ามกลางความมืด มองดูเมืองที่ค่อยๆ สว่างขึ้นทีละนิดๆ

 

 

           ชีวิตที่อยู่ในส่วนลึกท่ามกลางแสงสว่างแต่กลับรับรู้ถึงความอบอุ่นไม่ได้ช่างเจ็บปวดทรมานเกินไปเสียจริง

 

 

           ดังนั้นเขาจึงอยากดึงไป๋จิ่งลงนรกนี้ไปด้วย

 

 

           อยากให้ไป๋จิ่งได้ลิ้มรสความเจ็บปวดทรมานที่เขาประสบพบเจอมาในหลายปีนี้

 

 

           อยากให้ไป๋จิ่งรู้ว่าความเจ็บปวดในบางเรื่อง บางคนก็ลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต

 

 

           เพียงแต่มั่วไป๋เปล่าเปลี่ยวใจเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

           เขาเตือนตัวเองอย่างไม่ลดละ ว่าสำหรับไป๋จิ่งก็เป็นเพียงการแก้แค้น แต่กลับถลำลึกลงไปในความอบอุ่นที่ไป๋จิ่งมอบให้ทีละนิดๆ

 

 

 

 

ตอนที่ 395 ต้องจากไปแล้ว

 

 

           ขอเพียงแต่ไป๋จิ่งมอบความอบอุ่นให้เขาเพียงน้อยนิด

 

 

           ความเกลียดชังในใจเขาก็ลดลงไปหนึ่งส่วน

 

 

           เขายืนหยัดต้องการจะแก้แค้นมาตลอด แต่ว่าจนกระทั่งหลังจากแก้แค้นเสร็จแล้ว เขาถึงได้พบว่า ที่แท้ไป๋จิ่งได้ฝังรากลึกลงไปในหัวใจเขาโดยไม่รู้ตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           เขาตกหลุมรักไป๋จิ่งอีกครั้ง

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มเจื่อนๆ “เฉินเฉิน นายคงไม่รู้หรอกว่า ตอนที่ได้เห็นว่าไป๋จิ่งรู้ว่าฉันก็คือหลินฝาน ฉันมีความสุขมากแค่ไหน…

 

 

           …ต่อหน้าเขา ในที่สุดฉันก็ไม่ต้องใส่หน้ากาก ไม่ต้องเสแสร้งเป็นคนอื่น

 

 

           ยามที่มั่วไป๋พูดว่ามีความสุข ใบหน้าซูบเซียวของเขากลับไม่มีท่าทีจะมีความสุขเลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้

 

 

           ไม่ว่าจะไม่สนับสนุนแค่ไหนก็ตาม ทุกอย่างในตอนนี้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว

 

 

           “ในเมื่อแก้แค้นแล้ว ต่อจากนี้ไปนายกับไป๋จิ่งก็จะไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว”

 

 

           ‘ผ่านไป…’

 

 

           มั่วไป๋ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะผ่านไปได้จริงๆ

 

 

           เขายิ้มหัวเราะ แค่พูดออกไป “อาจจะมั้ง”

 

 

           ตอนนี้เขาไม่อยากคิดอย่างอื่น คิดแค่เพียงว่าจะปล่อยไป๋จิ่งไปทีละนิดๆ ค่อยๆ ลบคนคนนี้ออกไปจากหัวใจจนหมดไม่มีเหลือ

 

 

           “เฉินเฉิน ฉันคิดว่าจะกลับอเมริกาแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน “นายอยากจะอเมริกาเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ เขาชี้ที่หัวตัวเอง “ตรงนี้ของฉันตอนนี้อาการค่อนข้างสาหัส จำเป็นต้องกลับไปรักษา”

 

 

           อาการทางจิตใจของเขาติดขอบสภาวะเสียสติแล้ว สามารถเสียสติได้ทุกเมื่อ

 

 

           ไม่กี่วันมานี้เขาเคยพูดคุยกับหมอมาหลายครั้งแล้ว หมอของเขาให้เขารีบกลับอเมริกาเพื่อเข้ารับการรักษาโดยด่วน

 

 

           ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้ ใครก็รับประกันไม่ได้

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยิน ใจก็จมดิ่งในพริบตา “นี่ก็เพราะไป๋จิ่งเหรอ”

 

 

           “อาจจะมั้ง เพียงแต่ว่าตอนนี้ถามอีกก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว” มั่วไป๋หยุดสักพัก “ฉันจองตั๋วเครื่องบินของพรุ่งนี้แล้ว นายไม่ต้องมาส่งฉันนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูมั่วไป๋ที่ผอมซูบจนแทบจะเหลือแต่กระดูก แม้กระทั่งหัวใจแตกสลายถึงเพียงนี้แล้ว แต่กลับยังทำเป็นยิ้มเหมือนไม่สนใจอะไรเลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ ในเมื่อมั่วไป๋ไม่อยากจะให้เขาเป็นห่วง เขาแค่ทำตามที่มั่วไป๋ต้องการก็เรียบร้อยแล้ว

 

 

           เขาเอื้อมมือไปประคองกอดมั่วไป๋เอาไว้ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ไป๋ไป๋ นายกลับไปรักษาดีๆ นะ รอวันที่นายหายดี ฉันไปหานายได้ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ได้สิ”

 

 

           ……

 

 

           เช้าวันต่อมา มั่วไป๋ลากกระเป๋าเดินทางใบเดียวที่ตัวเองจัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ไว้เรียบร้อยออกจากถานโจวไป

 

 

           เครื่องบินทะยานขึ้นไป พาดผ่านท้องฟ้าสีขาวโพลน

 

 

           มั่วไป๋นั่งพิงเก้าอี้หลับตาลง

 

 

           จนถึงตอนนี้ ทุกอย่างก็ควรจะจบสิ้นได้แล้ว

 

 

           ถือเสียว่าเขาก็แค่ฝันลมๆ แล้งๆ ตอนนี้ก็ตื่นจากฝันแล้ว ถานโจวแห่งนี้ ต่อจากนี้เขาคงจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว

 

 

           บางทีก็อาจจะมีเพียงวิธีนี้ เขาถึงจะปล่อยวางไป๋จิ่งไปได้สักที

 

 

           ถึงอย่างไรระหว่างเขากับไป๋จิ่ง ก็สะสางกันจบไปแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว  

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินโทรหาซือเหยี่ยน เอ่ยปากก็ถามหาที่อยู่ของไป๋จิ่งทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกแปลกไม่เบา  เจียงมู่เฉินไม่ชอบขี้หน้าไป๋จิ่งไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงโทรมาถามหาไป๋จิ่งได้

 

 

           แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย บอกไปตรงๆ ว่าไป๋จิ่งอยู่ที่โรงพยาบาล

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินทราบว่าไป๋จิ่งอยู่ที่ไหนแล้ว ก็วางสายแล้วไปหาไป๋จิ่งที่โรงพยาบาลทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบรุดมายังโรงพยาบาล เขาทำสีหน้าเย็นชาสาวเท้ายาวๆ เดินมาถึงยังห้องพักผู้ป่วยของไป๋จิ่ง เขาไม่ได้เคาะประตู แต่ผลักประตูเข้าไปทั้งอย่างนี้

 

 

           เมื่อไป๋จิ่งเห็นเจียงมู่เฉินเดินเข้ามา ก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจอะไรๆ ได้อย่างรวดเร็ว

 

 

           เจียงมู่เฉินมาเอาเรื่องกับเขา นอกจากซือเหยี่ยนแล้ว ก็มีเพียงแค่เรื่องของมั่วไป๋

 

 

           ระหว่างเขากับซือเหยี่ยนไม่มีอะไรจำเป็นต้องให้เจียงมู่เฉินออกหน้า ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็มีเพียงแค่มั่วไป๋แล้ว

 

 

            “วันนี้เครื่องบินของมั่วไป๋บินออกจากถานโจวไปแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยปากก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ทันที เขามองไป๋จิ่งที่ซีดเซียวผิดปกติ ก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยเสียงต่ำออกมา “ถ้านายชอบเขาจริงๆ ก็น่าจะลองไปตามเขาดู…

 

 

           …แต่ถ้านายเหมือนกับตอนนั้น แค่เพียงเล่นๆ เท่านั้น…

 

 

           …นายก็ถือซะว่าวันนี้ฉันไม่ได้มา”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาจบไปเพียงไม่กี่ประโยค ก็ออกจากโรงพยาบาลไปโดยไม่เหลียวหลัง

ตอนที่ 392 ต่อต้านผิดปกติ

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่ห้องรับแขกชั้นล่าง ไม่มีใครสักคน เจียงมู่เฉินชะงักไป ก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกไปที่สวนดอกไม้

 

 

           คุณแม่เจียงอยู่ในสวนดอกไม้ นั่งอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           หลังจากคุณแม่เจียงเห็นเจียงมู่เฉินนั่งลง ก็เอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง “บอกว่าอยากนอนไม่ใช่เหรอ ทำไมลงมาแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบงันไม่กี่วินาที ถึงได้เอ่ยปากออกมา “แม่ครับ ผมกับซือเหยี่ยน แม่ยอมรับได้ยากขนาดนี้เชียวเหรอครับ”

 

 

           เอ่ยถึงชื่อ ‘ซือเหยี่ยน’ ใบหน้าของคุณแม่เจียงก็แข็งค้าง

 

 

           “ซือเหยี่ยนก็ถือว่าเป็นคนที่แม่เห็นมาตั้งแต่เล็กๆ ไม่ใช่เหรอครับ เมื่อก่อนแม่ก็ดีกับเขาตั้งขนาดนั้น ทำไมตอนนี้พอรู้เรื่องของพวกเราแล้วถึงยอมรับได้ยากขนาดนี้ครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดไม่ตก ตอนนั้นเขาคิดว่าคุณแม่เจียงก็ดีกับซือเหยี่ยนไม่น้อย ควรจะยอมรับซือเหยี่ยนได้ง่ายๆ

 

 

           ‘ถึงยังไงสิ่งที่ทำให้ดีๆ เหล่านั้นก็ไม่ใช่ของปลอมไม่ใช่เหรอ’

 

 

           แต่ว่าท่าทีของคุณแม่เจียงกลับแข็งกร้าวจนเกินไป

 

 

           แข็งกร้าวจนเกินความคาดหมายของเจียงมู่เฉิน

 

 

           คุณแม่เจียงได้ยินเจียงมู่เฉินพูดขนาดนี้ ปลายนิ้วสั่นระรัว “เจียงมู่เฉิน เรื่องของลูกกับซือเหยี่ยน แม่ไม่มีทางจะเห็นด้วย ลูกไม่ต้องมาพูดเกลี้ยกล่อมแม่อีกเลย”

 

 

           “แม่ครับ ผมไม่เข้าใจ ทำไมถึงไม่ได้” เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว

 

 

           “ลูกไม่ต้องเข้าใจ ลูกแค่ต้องจำไว้ ว่าตราบใดที่แม่ยังอยู่ ลูกกับซือเหยี่ยนไม่มีวันจะได้คบกัน”

 

 

           “ซือเหยี่ยนเขานับถือแม่เหมือนแม่อีกคนหนึ่ง เมื่อก่อนแม่ก็ชอบเขา ชอบมากกว่าผมซะอีก ผมกับซือเหยี่ยนคบกัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักอย่าง ทำไมถึงไม่ได้แล้วล่ะครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าจะสื่อสารกับแม่เขาอย่างไรดี

 

 

           เขารู้สึกว่าตัวเองแทบจะไร้สามารถเรื่องการสื่อสารแล้ว

 

 

           รู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ต่อหน้าแม่เขาดูจะไร้ประโยชน์ไปเสียหมด

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดมาตั้งมากมายอย่างไม่ลดละ อารมณ์คุณแม่เจียงก็ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ “แม่ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของพวกลูกอีก ถึงยังไงแม่ก็ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด”

 

 

           คุณแม่เจียงเอ่ยเหวี่ยงใส่ แล้วเดินออกไปทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ หลับตาด้วยความปวดหัว กว่าจะกลับมาจากอเมริกาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ กว่าจะกลับมาคืนดีกับซือเหยี่ยนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

 

 

           ตอนนี้ยังมีเรื่องแบบนี้ปรากฏขึ้นมาอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าเรื่องกระจุกกระจิกพวกนี้ ทำให้ทุกข์ใจจนน่าปวดหัวเกินไปเสียจริง

 

 

           ถ้าเป็นไปตามปกติ เขาสะบัดมือไม่สนใจไปนานแล้ว

 

 

           การมาสนใจเรื่องกระจุกกระจิก ไม่เคยเป็นความชอบของเขาคุณชายน้อยเจียงมาแต่ไหนแต่ไร

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ  แต่ว่าจะทำยังไงดี เขาอยากคบกับซือเหยี่ยนนะ

 

 

           จะไม่ให้กลุ้มใจได้อย่างไร

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองท้องฟ้า ปรากฏความทุกข์ระรมอย่างเห็นได้ชัด

 

 

           ……

 

 

           อีกด้านหนึ่งหลังจากซือเหยี่ยนออกจากบ้านตระกูลเจียงมา ก็ตรงกลับเข้าไปที่บริษัท

 

 

           เมื่อเดินเข้ามาพนักงานของซือกรุ๊ปทั้งหมดต่างมองมายังซือเหยี่ยนกันเป็นตาเดียว เวลาผ่านมานานขนาดนี้ ในที่สุดประธานซือก็กลับมาจนได้

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินเข้าลิฟต์ มุ่งขึ้นไปยังห้องทำงานทันที

 

 

           ช่วงเวลานี้ที่เขาไม่ได้มาที่บริษัท ไม่รู้ว่าที่บริษัทจะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า

 

 

           ถึงแม้เขาจะวางใจไป๋จิ่งมากก็ตาม

 

 

           หลังจากเข้าห้องทำงานไป ข้างในยังคงเหมือนเดิมกับวันที่เขาออกจากที่นี่ ซือเหยี่ยนนั่งหน้าโต๊ะทำงานก็ต่อสายภายใน “ให้ประธานไป๋เข้ามาที”

 

 

           “ประธานซือครับ ประธานไป๋ไม่อยู่บริษัทครับ”

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย “นายมาห้องทำงานฉันหน่อย”

 

 

           เสี่ยวหลิวเดินเข้ามาในห้องทำงานของซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงต่ำ “เวลานี้ไป๋จิ่งไม่อยู่บริษัทออกไปข้างนอกเหรอ”

 

 

           “ประธานซือครับ ไม่กี่วันมานี้ประธานไป๋ไม่ได้มาที่บริษัทเลยครับ”

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าไง เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”

 

 

           เสี่ยวหลิวส่ายหลิว “รายละเอียดยังไม่ชัดเจนครับ เพียงแต่ว่าทางประธานไป๋ตัดขาดการติดต่อทุกช่องทาง ผมเองก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกันครับ”

 

 

           “ไปบ้านเขาแล้วหรือยัง”

 

 

           “ไปแล้วครับ แต่ไม่มีใครอยู่”

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย  หรือไป๋จิ่งจะเกิดเรื่องอะไรแล้ว

 

 

           เขารีบให้เสี่ยวหลิวเอาตารางงานของช่วงนี้มาโดยด่วน หลังจากจัดการที่เหลือเรียบร้อย ถึงได้ค่อยขับรถไปหาไป๋จิ่ง

 

 

           เขากับไป๋จิ่งรู้จักกันมาตั้งหลายปี ไป๋จิ่งไม่เคยจะผิดปกติถึงขนาดนี้มาก่อน

 

 

           ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน

 

 

           

 

 

         ตอนที่ 393 ส่งไปช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วน

 

 

           ซือเหยี่ยนขับรถไปถึงคอนโดมิเนียมของไป๋จิ่ง เขายืนอยู่หน้าประตูกดออดอยู่นานสองนาน ก็ไม่มีใครมาเปิดเลยสักคน

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวคนไม่อยู่บริษัท เช่นนั้นก็มีเพียงแค่อยู่ที่บ้านแล้ว

 

 

           คิดไม่ออกว่าไป๋จิ่งนอกจากสถานที่สองแห่งนี้แล้ว ยังจะไปที่ไหนได้อีก

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดชะงักไปสักพัก แล้วเคาะประตูต่อ รออยู่ตั้งนานก็ยังไม่มีคนมาเปิดประตูเหมือนเดิม เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปเรียกนิติบุคคลของคอนโดมิเนียมมางัดเปิดประตูให้

 

 

           รออีกสักครู่เดียว นิติบุคคลก็รีบพาคนเข้ามา

 

 

           เสียเวลาไปพอสมควร ถึงจะเปิดประตูออกได้ ทันทีที่ประตูเปิด ก็มีกลิ่นแสบจมูกโชยออกมาจากข้างใน

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วทันที รีบใช้มือปิดจมูก รออีกสักพักหนึ่ง แล้วค่อยเข้าไปในห้อง

 

 

           ข้างในผ้าม่านปิดทึบไปหมด ความมืดมัวแผ่ปกคลุม

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินเข้าไปที่ข้างหน้าต่างดึงเปิดหน้าต่างออกก่อน ในห้องรับแขกเหมือนมีคนมาบุกปล้นอย่างไรอย่างนั้น สกปรกระเกะระกะจนมองไม่ไหว

 

 

           คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น เปลี่ยนสถานที่อีกครั้งไปยังห้องนอน

 

 

           ประตูบานใหญ่ของห้องนอนปิดสนิท ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าประตู คิดว่าการรับแขกจากข้างในนั้นคงจะไม่ได้ดีไปกว่าสภาพข้างนอกนี้เท่าไหร่นัก

 

 

           มีประสบการณ์มาแล้วจากเมื่อครู่นี้ ซือเหยี่ยนจึงเปิดประตูก่อน ทันทีหลังจากนั้นก็ถอยหลังกลับไปสองก้าว

 

 

           รอประมาณสองนาที ถึงค่อยเดินเข้าไปข้างใน

 

 

           เป็นอย่างที่ซือเหยี่ยนคิดไว้ไม่มีผิด ข้างในระเนระนาดยิ่งกว่า ขวดเหล้ากระจายเต็มพื้น ไป๋จิ่งนอนฟุบอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าสลบหรือหลับแล้ว

 

 

           เสื้อผ้าไป๋จิ่งยับยู่ยี่ เหมือนถูกดึงตัวออกมาจากไหผักดองอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้จะมองอย่างไรแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนพลิกร่างไป๋จิ่งกลับมา

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่เขาผอมลงเท่าตัว หนวดเคราขึ้นเฟิ้ม ดูแล้วสภาพเหมือนจะแก่ขึ้นอีกหลายปีทีเดียว

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสภาพการณ์แล้วก็กุมขมับ เขาแค่ไม่ได้กลับมาช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง  ทำไมไป๋จิ่งถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

 

 

           เขายื่นมือไปผลักซังจิ่ง “ตื่นๆ ไป๋จิ่ง”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเลยแม้แต่น้อย ไม่ไหวติงอยู่นานสองนาน นอนอยู่ตรงนั้นไม่มีท่าทีใดใดตอบสนองกลับมา

 

 

           ซือเหยี่ยนใจกระตุกวูบ รีบตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง

 

 

           ยังคงไม่ตอบสนองเหมือนเดิม

 

 

           เขาไม่ลังเลอีกต่อไป กดโทรที่หมายเลข 120[1] นำตัวไป๋จิ่งส่งโรงพยาบาล

 

 

           ณ โรงพยาบาล ไป๋จิ่งถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง จึงถูกเข็นออกมา

 

 

           “คนไข้เกิดภาวะสุราเป็นพิษเฉียบพลัน ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ครับ ขอบคุณครับ”

 

 

           เพียงไม่นานไป๋จิ่งก็ถูกส่งมายังห้องพักผู้ป่วย ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าประตู ไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก

 

 

           ‘นี่ไป๋จิ่งเกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมจู่ๆ ถึงได้ดื่มเหล้าจนถึงขั้นสุราเป็นพิษแบบนี้’

 

 

           ครุ่นคิดว่าเพราะอะไร ก็มีเพียงแค่ไป๋จิ่งเท่านั้นที่อธิบายได้

 

 

           อยู่เฝ้าที่โรงพยาบาลเป็นเวลาสองชั่วโมง ไป๋จิ่งถึงได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เมื่อซือเหยี่ยนเห็นเขาลืมตาขึ้นมา ก็รีบเอ่ยถามทันที “นายนี่มันอะไรกัน ถึงได้ดื่มหนักเอาขนาดนี้ได้”

 

 

           ไป๋จิ่งมองซือเหยี่ยน ฝืนยิ้มอย่างจนใจในความรู้สึก “ทำเรื่องที่ผิดพลาดไป”

 

 

           เขาพูดประโยคนี้ออกมาโดยไม่ผ่านสมองเลยสักนิด ซือเหยี่ยนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก ทำไมจู่ๆ ถึงทำเรื่องที่ผิดพลาดไปได้

 

 

           “หมายความว่าไง นายไปทำผิดอะไรมา”

 

 

           “มั่วไป๋เขาก็คือหลินฝาน…เขาก็คือเขา…” ดวงตาคู่นี้ของไป๋จิ่งล่องลอยมองเพดานห้อง พูดพึมพำกับตัวเอง ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตกลงแล้วไป๋จิ่งพูดอะไรกันอยู่กันแน่

 

 

           เพียงแต่ไป๋จิ่งเองก็ไม่ได้สนใจว่าซือเหยี่ยนจะเข้าใจหรือไม่ สำหรับไป๋จิ่งแล้ว ก็แค่อยากจะระบายอารมณ์ความรู้สึกออกมาเพียงเท่านั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสักพัก เห็นอารมณ์ของไป๋จิ่งสงบนิ่งลงแล้ว ถึงค่อยได้ออกจากโรงพยาบาล แล้วกลับไปยังบริษัทก่อน

 

 

           ……

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินแยกกันกับคุณแม่เจียงด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองใจอีกครั้ง ก็ขับรถไปหามั่วไป๋ทันที

 

 

           เขาไม่ได้กลับมาตั้งนานขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่ามั่วไป๋เป็นอย่างไรบ้างแล้ว

 

 

           ระหว่างทางเจียงมู่เฉินโทรศัพท์หามั่วไป๋ เสียงมั่วไป๋เหมือนจะเหนื่อยล้าเอาเรื่องอยู่ไม่เบา

 

 

           หลังจากพูดคุยกับมั่วไป๋เรื่องที่เขาจะเข้าไปหาเสร็จ เพียงไม่นานก็มาถึงใต้ตึกคอนโดมิเนียมของมั่วไป๋

 

 

           เขายืนอยู่หน้าประตูทางเข้ายื่นมือออกไปเคาะประตู

 

 

 

 

[1]  หมายเลข 120  คือหมายเลขโทรศัพท์ศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินของประเทศจีน   

ตอนที่ 390 ต้องการเลิกกับเธอ

 

 

           ซือเหยี่ยนเอาความคิดของเขาไว้ในสายตามาตั้งแต่แรกแล้ว นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเต็มไปด้วยความดีใจ มีหรือจะเหมือนกับปากที่บอกว่าต้องคิดทบทวนดู

 

 

           แต่ว่าประธานซือก็ยังรักษาหน้าแฟนของตัวเองอยู่

 

 

           ในเมื่อแฟนบอกว่าต้องคิดทบทวนดู ก็ต้องให้คิดทบทวนดูเป็นธรรมดา

 

 

           “เฉินเฉิน คุณคิดจะคิดทบทวนอีกนานเท่าไหร่กัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้าเย่อหยิ่ง “ฉันอยากคิดทบทวนนานเท่าไหร่ เกี่ยวอะไรกับนาย รอฉันคิดดีแล้ว ก็จะบอกนายได้เองอยู่แล้ว”

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนประกายรอยยิ้ม

 

 

           ‘ชอบเฉินเฉินเย่อหยิ่งแบบนี้จังเลยทำไงดี’

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางองอาจและเป็นตัวของตัวเองสูงของเจียงมู่เฉิน ก็อดจะยื่นมือไปกดร่างคนตรงหน้าแนบไปกับผนังไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินยังคงตกอยู่ในห้วงบรรยากาศเมื่อครู่นี้อยู่ พอโดนอัดเข้าผนังกะทันหันแบบนี้ จึงยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบกลับมาในทันที

 

 

           โดนเขากดจูบหนักๆ อีกครั้ง กว่าเจียงมู่เฉินจะสูดหายใจเข้าไปทดแทนจนฟื้นกลับมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ ก่อนจะถลึงตาใส่เขา “นายจูบฉันอีกทำไม เป็นบ้าหรือไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “ก็อยากจูบนี่”

 

 

           เขาพูดจบก็มองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “จะให้จูบไหม”

 

 

           มีหรือเจียงมู่เฉินจะทนไหว รับยอมตกลงทันที “ให้จูบๆ นายค่อยๆ จูบนะ จูบตามสบายเลย”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ ไม่ได้กดเขาอีก แล้วจูบต่อไป เขามองเจียงมู่เฉินอีกแวบหนึ่ง ความรู้สึกติดใจยังปรากฏในแววตา

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขา “มีอะไรหรือเปล่าถึงมองฉันแบบนี้”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “โอเค ผมควรจะไปแล้ว”

 

 

           “อืม” เจียงมู่เฉินขานรับ “ไปเถอะ ระวังอย่าให้แม่ฉันจับได้แล้วกัน”

 

 

           ถ้าแม่เขาเห็นว่าซือเหยี่ยนออกมาจากห้องเขา เกรงว่าจะยิ่งเลิ่กลั่กกันแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนปีนและกระโดดออกมาจากระเบียงอย่างคล่องแคล่วว่องไว เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปดูก็เห็นซือเหยี่ยนอยู่ข้างล่างพอดี

 

 

           เขากุมขมับอย่างเสียไม่ได้  โรงเรียนฝึกตำรวจสอนเขามาหลายปีขนาดนั้น คือสอนให้เขากระโดดกำแพงเป็นใช่ไหม

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนไป เจียงมู่เฉินยืนอยู่หน้าระเบียง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็หยิบมือถือขึ้นมากดสายโทรหาจี้ฉิง

 

 

           จี้ฉิงเพิ่งจะถึงคอนโดมิเนียมของตัวเอง เธอนอนเล่นมือถืออยู่บนโซฟา

 

 

           “คุณชายเจียง มีอะไรจะสั่งเหรอ”

 

 

           “ช่วงนี้เธอมาบ้านฉันบ่อยๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินเอ่ยปากก็ถามทันที

 

 

           จี้ฉิงพยักหน้า “ใช่สิ ตอนนี้พวกเราเป็นคู่รักกันไง ตั้งเดือนนึงฉันไม่ไปบ้านคุณเลย จะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม “งั้นเธอก็ไม่ต้องมาบ่อยๆ แล้ว”

 

 

           “เหอะๆ” จี้ฉิงหัวเราะสองเสียง “คุณชายเจียงไม่อยู่ถาวโจว สื่อมวลชนน้อยใหญ่ต่างก็จับตามองฉัน ก็จำใจต้องเล่นไปตามน้ำให้ยังติดกระแสอยู่ไง”

 

 

           “จี้ฉิง ถ้าตอนนี้ฉันจะขอเลิก จะกระทบเธอไหม”

 

 

           ทันทีที่ได้ยินว่าจะขอเลิก จี้ฉิงก็ระเบิดลงในพริบตา “กระทบอยู่แล้วสิ ตอนนี้ฉันเป็นลูกสะใภ้ที่ถูกต้องของตระกูลคุณนะ จู่ๆ คุณขอเลิก ฉันก็ซวยสิ”

 

 

           “อ๋อ งั้นฉันก็จะขอเลิก”

 

 

           เธอรีบเอ่ยถามทันที “เจียงมู่เฉิน คุณคงจะไม่เลิกกับฉัน เพราะฉันไปบ้านคุณบ่อยๆ หรอกใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “ไม่เกี่ยวกับที่มาบ้านฉัน แต่เลิกก็ยังต้องเลิกอยู่ดี”

 

 

           จี้ฉิงเห็นเขาต้องการจะเลิกให้ได้ ก็รีบเอ่ยถามทันที “นี่มันอะไรกัน เมื่อก่อนยังดีกันอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้อยากจะมาเลิกกัน…

 

 

           …ไม่เลิก ไม่เลิก ตีให้ตายยังไงก็ไม่เลิก”

 

 

           กว่าเธอจะติดอันดับการค้นหายอดนิยมได้ไม่ใช่ง่ายๆ  จะมาเลิกกับเจียงมู่เฉินได้ยังไงกัน

 

 

           “จี้ฉิง ฉันมีเหตุผลของฉัน” เจียงมู่เฉินไม่อยากดึงซือเหยี่ยนเข้ามาเกี่ยว ถึงอย่างไรเดิมทีนี่ก็เป็นทางเลือกที่เขาเลือกเองในตอนนั้น

 

 

           “เจียงมู่เฉิน ฉันหวังว่าคุณจะใจเย็นๆ จัดการเรื่องนี้สักหน่อย คุณคิดดูว่าต่อให้คุณเลิกกับฉันแล้ว คุณจะพูดกับคุณน้าว่ายังไง…

 

 

           …ต่อให้ไม่ใช่ฉัน ก็จะมีคนอื่นอยู่ดีไม่ใช่เหรอ…

 

 

           …อีกอย่าง ระหว่างพวกเราก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ ฉันเองก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับคุณ ถ้าหากคุณเลิกกับฉัน ถึงเวลานั้นคุณน้าหาคนที่หวังผลกับคุณขึ้นมา ถึงเวลานั้นจะไม่ได้ง่ายขนาดนี้เหมือนตอนนี้แล้วนะ”

 

 

           

 

 

ตอนที่ 391 ความรักถูกจับได้

 

 

           ถึงแม้จะไม่อยากจะยอมรับ แต่ความจริงที่จี้ฉิงพูดมาคือสิ่งที่เขาจำเป็นคิดไตร่ตรองทั้งนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดหัวจนต้องออกแรงกดที่ขมับ “ยังไม่ยกเลิกความสัมพันธ์แบบคนรักเป็นการชั่วคราวก็ได้ ระหว่างพวกเราจะขอยกเลิกความสัมพันธ์แบบคนรักเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเวลานั้นจะเห็นด้วยโดยไม่มีเงื่อนไขใดใด”

 

 

           หลบความเสี่ยงผ่านไปได้ครั้งหนึ่ง จี้ฉิงก็โล่งอกไปที

 

 

           ถึงแม้ว่าไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเลิกกับเจียงมู่เฉินอยู่ดี แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีที่สุด

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือเจียงมู่เฉินต่างก็ไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสมที่สุดทั้งนั้น

 

 

           “วางใจเถอะ ฉันรับประกันจะทำให้ไม่ขาดตกบกพร่อง จะไม่ดึงขาหลังคุณเด็ดขาด”

 

 

           “อืม” เจียงมู่เฉินได้ยินแบบนี้ ถึงได้ขานรับเสียงหนึ่ง “ช่วงนี้ไม่มีอะไร ก็อย่าเพิ่งติดต่อกันนะ”

 

 

           จี้ฉิงหรี่ตาลง “คุณชายเจียง นี่คุณทำเพราะประธานซือสินะ”

 

 

           ได้ยินเธอเอ่ยถึงชื่อ ‘ซือเหยี่ยน’ สีหน้าเจียงมู่เฉินก็เคร่งขรึมในทันใด น้ำเสียงเยือกเย็นเล็กน้อย “เธอคิดจะทดสอบหยั่งเชิงอะไรฉัน”

 

 

           “อย่าปิดฉันเลย เมื่อกี้ฉันมองออกหมดแล้ว ระหว่างคุณกับประธานซือไม่ใช่ง่ายๆ หรอก โอเคไหม”

 

 

           ระหว่างทางที่เธอกลับมา ก็ครุ่นคิดอยู่นานมาก รู้สึกว่า ‘ซือเหยี่ยน’ สองพยางค์นี้ คุ้นหูคุ้นตาเหลือเกิน

 

 

           ในสมองเธอประกายวาบขึ้นมาแวบหนึ่ง ในที่สุดก็นึกออกว่าซือเหยี่ยนตกลงแล้วเป็นเทพบุตรมาจากแห่งหนใด

 

 

           ‘ซือเหยี่ยน’

 

 

           ‘หนุ่มโสดระดับพรีเมี่ยมที่สาวน้อยในถานโจวมากมายต่างใฝ่ฝันถึงแม้ยามหลับตา’

 

 

           โลกภายนอกต่างก็ล่ำลือกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินไม่ค่อยดี ไม่ถูกกัน

 

 

           แต่วันนี้ที่เธอเห็น ไม่เห็นจะไม่ถูกกันตรงไหนเลย เธอกลับรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดีจนไม่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

 

 

           ก็ลองถามดู คนอะไรถูกพ่อแม่ตัวเองทางนั้นเย็นชา ยังรักษาอากัปกิริยาเรียบร้อยพร้อมท่าทีที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี

 

 

           ถ้าบอกว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคนไม่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว เธอก็ไม่เชื่อมาอยู่แล้ว

 

 

           “จี้ฉิง ตอนนั้นที่ฉันยอมตกลงร่วมมือกับเธอ ก็แค่รู้สึกว่าเธอคนนี้ยังถือว่าพอจะคบเป็นเพื่อนกันได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงต่ำข่มขู่ “ถ้าให้ฉันได้ยินอะไรที่เป็นข่าวโคมลอยไม่เข้าท่าอีก อย่าโทษที่ฉันจะไม่เห็นเธอเป็นเพื่อนก็แล้วกัน”

 

 

           โดนเจียงมู่เฉินข่มขู่ขนาดนี้ จี้ฉิงไม่กลัวเลยสักนิด กลับยิ่งช่วยยืนยันการคาดเดาของตัวเองมากขึ้นไปอีก

 

 

           “จะว่าไป พวกคุณคงจะไม่ได้กำลังอยู่ในสถานะคนรักกันหรอกใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินสีหน้าบึ้งตึงในทันใด “จี้ฉิง!”

 

 

           “วางใจเถอะ ฉันจะไม่พูดส่งเดชไปหรอก ฉันคนนี้ไม่ใช่คนปากสว่างสักหน่อย โอเคไหม…

 

 

           …ตอนที่พวกคุณสองคนเข้า ฉันก็มองออกแล้ว พิรุธสุดๆ เพียงแต่เดิมทีฉันก็แค่เดา ตอนนี้ถึงได้มั่นใจแล้ว”

 

 

           จี้ฉิงทำหน้าทำตาดีอกดีใจ เหมือนว่าไปพบเรื่องอะไรเด็ดๆ มาไม่มีผิด

 

 

           “จะว่าไป พวกคุณสองคนก็ยังดูเหมาะสมกันจริงๆ นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ฟังเธอพูดไม่หยุดปากอยู่ตั้งนาน กุมขมับอย่างจำใจ “เธอรู้ก็โอเคแล้ว อย่าพูดส่งเดชแล้วกัน”

 

 

           เรื่องของเขากับซือเหยี่ยน พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้เคลียร์ปัญหากัน

 

 

           ถ้ามีข่าวโคมลอยกระพือออกมา ถึงเวลาจะยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่

 

 

           จี้ฉิงทำท่ารูดซิบปาก “วางใจเถอะ ปากฉันปิดแน่นสนิท รับรองจะพูดไม่สักคำ”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเธอพูดแบบนี้ ถึงได้ทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “เอาล่ะ ฉันยังมีธุระอีก ต้องวางสายแล้ว”

 

 

           เขาพูดจบก็วางสายทันที

 

 

           จี้ฉิงกุมมือถือ ทนไม่ไหวกลิ้งไปมาอยู่บนโซฟา  เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยน…อืม เติมเต็มจินตนาการของเธอที่วาดฝันเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแล้ว

 

 

           เธอเอนพิงโซฟาอดจะจินตนาการภาพต่อไม่ได้ ไม่ว่าจะจินตนาการอย่างไร ก็รู้สึกว่าทั้งสองคนช่างเหมาะสมกันเป็นที่สุด

 

 

           ดั่งเกิดมาแล้วต้องคู่กันอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ส่วนเจียงมู่เฉินกลับไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนจี้ฉิง ในใจเขากลัดกลุ้ม จะทำอย่างไรถึงจะทำให้คุณแม่เจียงยอมรับซือเหยี่ยนได้

 

 

           ‘ถึงยังไงการที่พวกเขาสามคนยังยื้อกันอยู่แบบนี้ เอาจริงมันก็ทรมานใจกันอยู่ไม่น้อย’

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับแล้วยื่นมือเปิดประตูเดินออกไป

ตอนที่ 388 เจ้าหมอนี่ปีนกำแพงอีกแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนใกล้จะกระอักเลือดแล้ว เขาเป็นคนมีชีวิตจิตใจ  หรือว่ายังต้องถูกแม่เขาควบคุมจนตายเชียวเหรอ

 

 

           ‘ยังต้องการอุ้มหลาน?’

 

 

           ตัดใจเรื่องนี้ไปเสียเถอะ ทั้งชีวิตนี้เขาไม่มีทางจะมีลูกได้

 

 

           คนอื่นจะมีได้ไหม เขาไม่รู้ ถึงอย่างไรตัวเองกับซือเหยี่ยนก็มีลูกกันไม่ได้อยู่แล้วตลอดชีวิต

 

 

           เขาโกรธจนอีกนิดจะเตรียมสารภาพออกมาตรงๆ แล้ว บอกเรื่องราวทั้งหมดของซือเหยี่ยนกับตัวเองให้คุณแม่เจียงมู่เฉินฟัง จะได้ไม่ต้องมาทำให้ซือเหยี่ยนน้อยใจด้วย

 

 

           “แม่ครับ ความจริงคือผม…” เจียงมู่เฉินหลับตาพร้อมเอ่ยด้วยความใจกล้า

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสถานการณ์แล้ว ก็รีบลุกขึ้นยืนทันที “จู่ๆ ผมนึกขึ้นมาได้ว่าผมยังมีธุระต่อ ขอตัวก่อนไม่รบกวนแล้วครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน  นี่ซือเหยี่ยนคิดอะไรอยู่กันแน่     

 

 

“เฉินเฉิน คุณอยู่บ้านเป็นเพื่อนน้าจีนดีๆ รอพักผ่อนอีกสองวัน แล้วค่อยมาทำงานเถอะ”

 

 

เขาพูดจบประโยค ก็เดินออกจากคฤหาสน์ของตระกูลเจียงไปในทันใด เจียงมู่เฉินมองตามแผ่นหลังของซือเหยี่ยนไป ในใจอึดอัดกลัดกลุ้มไม่เบา

 

 

‘เป็นซือเหยี่ยนที่ยืนกรานจะกลับมากับเขาให้ได้ แล้วตอนนี้ก็เป็นซือเหยี่ยนอีกที่ต้องการให้เขาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน?’

 

 

‘อะไรกัน เขาคิดเหมือนครั้งก่อนอีกใช่ไหม เพราะแม่เขา เลยจะอยากเลิกกับเขาอีกครั้งเหรอ’

 

 

เจียงมู่เฉินยิ่งคิด สีหน้ายิ่งดูไม่ได้ หลังจากซือเหยี่ยนออกไป เจียงมู่เฉินก็ลุกขึ้นยืนทันที “ผมไม่สบาย ขอตัวขึ้นไปพักก่อน”

 

 

จี้ฉิงอยู่วงการบันเทิงมาตั้งนานขนาดนี้ เป็นเหมือนคนเจนโลกมาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ชัดเจนมากว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามคนนี้ไม่ปกติ

 

 

เธอที่ยืนอยู่ตรงกลางกลับไม่ต่างอะไรจากตัวรับกระสุน

 

 

เธอรีบพูดปลอบใจคุณแม่เจียงสักสองสามประโยค แล้วหาข้ออ้างที่เข้าท่า ขอตัวออกจากบ้านตระกูลเจียงไป

 

 

หลังจากจี้ฉิงไป สีหน้าคุณแม่เจียงก็สลดลงมา เธอนั่งถอนหายใจเงียบๆ อยู่ในห้องรับแขก

 

 

‘ระหว่างซือเหยี่ยนกับเฉินเฉิน…’

 

 

สรุปแล้วเธอต้องทำอย่างไรกันแน่

 

 

เดิมทีคิดว่าก่อนไปอเมริกา เฉินเฉินหาจี้ฉิงมาเป็นแฟนได้แล้ว จะเป็นการตัดบัวไม่เหลือใยกับซือเหยี่ยนเด็กคนนั้นไปแล้ว

 

 

ใครจะรู้ว่าไม่เจอกันช่วงเวลาหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะมาอยู่ด้วยกันอีกจนได้

 

 

คุณแม่เจียงเอามือกดที่หัว ‘ไม่ได้’ ต้องให้จี้ฉิงกับเฉินเฉินแต่งงานกันให้เร็วที่สุด พอทั้งสองคนแต่งงานกันแล้ว ระหว่างเฉินเฉินกับซือเหยี่ยนก็จะไม่มีเรื่องอะไรกันอย่างอื่นอีกแล้ว

 

 

‘ใช่ แต่งงาน!’

 

 

เธอจำเป็นพูดเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองคนนี้แต่งงานกันให้เร็วที่สุด

 

 

……

 

 

เจียงมู่เฉินกลับห้องมา ก็ทิ้งตัวเองลงไปกับเตียง เขากุมหัวด้วยความหงุดหงิด  นี่เขาเพิ่งจะกลับมายังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ทำไมถึงไม่ทำให้จิตใจเขาสงบขนาดนี้

 

 

เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าซือเหยี่ยนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

 

 

คิดจะถอยอีกครั้งจริงๆ หรือว่ามีแผนการอย่างอื่น

 

 

เจียงมู่เฉินกุมขมับ รู้สึกว่าเป็นไปได้มากที่ซือเหยี่ยนจะมีแผนการอย่างอื่น

 

 

ตามความเข้าใจของเขาที่มีต่อซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ขนาดนั้น

 

 

อีกอย่าง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เขาไม่มีวิธีจะตัดสินความรักของซือเหยี่ยนที่มีให้ตัวเองได้

 

 

แต่ตอนนี้เขาฟื้นคืนความทรงจำกลับมาแล้ว

 

 

เขารู้ว่าตัวเองกับซือเหยี่ยนกว่าจะเดินเส้นทางนี้มาได้ยากเย็นมากแค่ไหน

 

 

อีกอย่าง ซือเหยี่ยนทำเพื่อเขาตั้งมากมายขนาดนั้น ไม่มีทางจะมาเลิกกับเขาง่ายๆ แบบนี้

 

 

ดังนั้น ซือเหยี่ยนจะต้องมีแผนการอย่างอื่นแน่นอน

 

 

เจียงมู่เฉินตัดสินใจ เตรียมจะโทรหาซือเหยี่ยน ถามไถ่ถึงสถานการณ์

 

 

ผลปรากฏว่ามือถือยังไม่ทันได้กดโทรออก กระจกตรงระเบียงก็มีเสียงเคาะสะท้อนออกมา

 

 

จิตใต้สำนึกสั่งให้เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองตามไป ก็เห็นซือเหยี่ยนยืนอยู่ตรงระเบียง เจียงมู่เฉินตะลึงงัน ความดีใจแทบบ้าพรั่งพรูในทันใด เขารีบเดินเข้าไปเปิดประตู

 

 

“นายออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังอยู่ที่นี่กัน”

 

 

เจียงมู่เฉินทั้งๆ ที่รู้ก็ยังจงใจเอ่ยถาม

 

 

ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างขำขัน “คุณอยู่ที่นี่ ผมจะทำใจไปที่อื่นได้ที่ไหนกัน”

 

 

“นายแม่งวันๆ ปีนกำแพงขึ้นห้องฉัน นายไม่รู้สึกว่าขายหน้าบ้างหรือไง”

 

 

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ปีนกำแพงมา

 

 

ซือเหยี่ยนส่ายหัวด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “ไม่ขายหน้า”

 

 

‘เขามีอะไรให้ให้น่าขายหน้ากัน มาหาแฟน จะขายหน้าตรงไหน’

 

 

 

 

ตอนที่ 389 อยากแต่งงาน

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะมองบนใส่ไม่ได้ แต่ในใจกลับเหมือนได้น้ำผึ้งชะโลมใจ หวานชื่นฉ่ำ

 

 

           เขาออกแรงดึงตัวคนเข้ามา แล้วกดอัดเข้ากับผนังห้อง ไม่ถามสักคำก็กดจูบซือเหยี่ยนไปทั้งอย่างนี้

 

 

           แฟนเป็นฝ่ายมาส่งให้ถึงที่เองทั้งที นี่ถ้าเขายังทำเป็นพระอิฐพระปูน ก็จะเป็นเขาเองที่ผิดแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนส่งมือไปล็อคเอวเขาไว้ เปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรุกกลับบ้าง

 

 

           ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดก็หยุดลง

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูใบหน้าเล็กของเจียงมู่เฉินที่ค่อนข้างจะแดงจัด “ยังไงกัน จู่ๆ คุณมาจูบผมทำอะไร”

 

 

           เวลานี้เองเจียงมู่เฉินถึงรู้สึกว่าเมื่อกี้ตัวเองจะดูคลุ้มคลั่งไปสักหน่อย

 

 

           แต่ว่าต่อให้ดูคลุ้มคลั่งไปสักหน่อย เจียงมู่เฉินก็จะไม่ยอมรับอยู่ดี

 

 

           เขาเชิดหน้ามองซือเหยี่ยนด้วยความเย่อหยิ่ง “อะไรกัน คุณชายอยากจูบนาย ยังต้องถามนายว่าได้ไหมด้วยเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเชิดมุมปากด้วยความตลกขบขัน โน้มเข้าไปกัดเขา “ไม่ต้องอยู่แล้ว ถ้าคุณอยากจูบ ก็จูบได้เสมอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขา “นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่าเมื่อกี้นายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกลับมาอีก”

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “น้าเจียงสุขภาพไม่ดี อย่าให้ท่านโมโห เพราะผมเลย”

 

 

           “งั้นนายคิดจะทำแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”

 

 

           ยอมให้แม่เขาตลอด ทำลับๆ ล่อๆ หลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ตลอด?

 

 

           “ไม่หรอก เพียงแต่ว่าพวกเราค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปกันดีไหม”

 

 

           ถ้ายึดตามนิสัยของเจียงมู่เฉิน คงพูดออกมาอย่างชัดเจนเสร็จสรรพโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ถึงจะไม่สนใจมากขนาดนี้ได้

 

 

           แต่เรื่องนี้ ซือเหยี่ยนคิดไม่เหมือนกัน

 

 

           สำหรับซือเหยี่ยนแล้ว คุณแม่เจียงไม่ใช่แค่เป็นคุณแม่ของคนที่เขารัก ยังเป็นคุณน้าที่เห็นเขามาตั้งแต่เล็กจนโต

 

 

           เขากับเจียงมู่เฉินต้องอยากจะคบกันอยู่แล้ว

 

 

           แต่เขาก็ไม่อยากจะทำให้เจียงมู่เฉินผิดใจกับคุณแม่เจียงเพราะตัวเขาเอง

 

 

           เป็นเขาที่อยากจะได้ตัวเจียงมู่เฉิน ดังนั้นเขาควรจะรับผิดชอบเรื่องทุกอย่างนี้เอง

 

 

           อีกอย่างนิสัยความเลือดร้อนของเจียงมู่เฉิน จุดนี้ก็เหมือนกับคุณแม่เจียง ทั้งสองคนหัวแข็งไม่แพ้กัน

 

 

           ถ้าหากสุดท้ายไม่มีใครยอมใคร ก็จะบอบช้ำกันทั้งสองฝ่าย

 

 

           แล้วเขาจะคบกันกับเจียงมู่เฉินได้อย่างไรอีก

 

 

           ซือเหยี่ยนคนนี้เป็นคนทำอะไรสุขุมรอบคอบ ถ้าไม่มั่นใจถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ก็จะไม่ลงมือเด็ดขาด

 

 

           ดังนั้นเขาจำเป็นต้องรับประกันว่าระหว่างตัวเองกับเจียงมู่เฉินจะต้องคบกันได้อย่างแน่นอน

 

 

           “ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป นายคิดจะยืดไปนานแค่ไหน รอให้แม่ฉันจับฉันแต่งงานกับจี้ฉิง รอให้ลูกของฉันกับเธอคลอดออกมา หรือต้องรอหลังจากที่ลูกฉันโตแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเอ่ยเน้นคำต่อคำ

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนเก็บซ่อนความเจ็บปวดที่บาดลึก

 

 

           “ไม่มีทาง ผมไม่มีทางจะให้คุณไปแต่งงานกับคนอื่น แล้วก็ยิ่งไม่มีทางจะให้คุณไปมีลูกกับคนอื่นด้วย”

 

 

           เขายื่นมือไปกดเจียงมู่เฉินไว้ “คุณเป็นของผม เป็นได้แค่ของผม”

 

 

           “เฉินเฉิน ผมไม่ได้ใจกว้างเหมือนที่คิดไว้ขนาดนั้น ผมคนนี้โคตรจะเห็นแก่ตัว นอกจากผมแล้ว ใครก็คบกับคุณไม่ได้ทั้งนั้น”

 

 

           คำพูดของซือเหยี่ยนทำให้เจียงมู่เฉินโล่งใจ  ถ้าสิ่งที่ซือเหยี่ยนกล้าพูดออกมาคือเรื่องโกหก เขาต้องเด็ดหัวซือเหยี่ยนทันทีแน่

 

 

           “นายลองยอมให้ไปคบคนอื่นดูสิ” เจียงมู่เฉินกระชากคอเสื้อเขา “ถึงยังไงทั้งชีวิตนี้ของนายก็เป็นของคุณชาย และทั้งชีวิตนี้คุณชายก็ไม่มีทางจะให้นายไปแต่งงานมีลูกด้วยเช่นกัน”

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนประกายรอยยิ้ม “แต่งงานก็ไม่ให้แต่งเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “ยังไงกัน นายยังอยากแต่งงานหรือไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้าอย่างจริงใจ “ต้องอยากอยู่แล้ว”

 

 

           “ฉันจะบอกนายนะซือเหยี่ยน นายเอาหัวใจมาให้ฉันวางไว้อยู่ในท้องนี้ตลอดชีวิตแล้ว ทางให้ไปแต่งงานก็ไม่มีทั้งนั้น”

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงจูบเขา “อยากแต่งงานกับคุณ ก็ไม่มีทางเลยเหรอ”

 

 

           เขาถอนหายใจเล็กน้อย “ที่แท้เฉินเฉินไม่อยากแต่งงานกับผมนี่เอง”

 

 

           “เดี๋ยวก่อน…” เจียงมู่เฉินชะงักค้าง เมื่อครู่ซือเหยี่ยนพูดว่าอะไร “นายอยากแต่งงานกับฉันเหรอ”

 

 

           “ใช่สิ หลายประเทศก็แต่งงานกันได้แล้ว ถ้าคุณยอมตกลงแต่งงานกับผม พวกเราเลือกมาสักประเทศที่คุณชอบไปแต่งงานกันเป็นยังไงบ้าง”

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินดีใจแทบบ้า  วอแวกันมาตั้งนาน ซือเหยี่ยนอยากจะแต่งงานกับเขาแล้ว?

 

 

           ในใจเขาเบิกบานในทุ่งดอกไม้แล้ว แต่กลับแกล้งทำเหมือนไม่เป็นอะไร ครุ่นคิดอย่างจริงจัง “แต่งงานกับนาย…งั้นฉันยังต้องคิดทบทวนๆ ดู”

 

ตอนที่ 386 เจอหน้าแฟนสาว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินตามหลังเจียงมู่เฉินมาพอดี “เป็นไรไป ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไปเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินก็ตัวสั่นไปชั่วขณะ ทั้งสองคนนี้เจอหน้ากัน  จะเลิ่กลั่กกันมากเลยนะ  

 

 

           “คือว่า จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าวันนี้ไม่ค่อยเหมาะจะกลับเท่าไหร่ ไม่งั้นพวกเรากลับไปกันก่อน เปลี่ยนวันค่อยมากันใหม่ไหม”  

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ ขณะที่เจียงมู่เฉินพูด ก็สายเกินไปเสียแล้ว  

 

 

           จี้ฉิงเห็นเจียงมู่เฉินแล้ว นัยน์ตาลุกวาว เอ่ยเรียกเสียงดัง “เจียงมู่เฉิน คุณกลับมาจากอเมริกาแล้วเหรอ”  

 

 

           เสียงของเธอนี้ดังกังวานจนไม่ไหว เจียงมู่เฉินหลับตาลงอย่างทำอะไรไม่ได้ ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่รู้สึกว่าตาเธอจะเฉียบคมได้ขนาดนี้  

 

 

           คุณแม่เจียงได้ยินเสียงก็รีบมองตาม พอเห็นเจียงมู่เฉินที่ยืนอยู่หน้าประตูก็พุ่งตัวเข้าไปหาทันที “ลูกแม่ ทำไมกลับมาแล้วไม่บอกแม่เลยสักคำ แม่จะได้ไปรับลูกที่สนามบินไง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนแม่เขากอดแรงๆ ไปทีหนึ่ง รวดร้าวถึงช่วงเอวพอดี เจ็บปวดจนหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้ว  

 

 

           คุณแม่เจียงได้ยินก็ถอยห่างแล้วดูไปกวาดสายตามองเจียงมู่เฉิน “เป็นไปไรลูก แม่ทำลูกเจ็บเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้นอย่างเลิ่กลั่ก “แม่ครับ แม่อย่าทำเหมือนพวกเราจะล้มหายตายจากกันสิครับ”  

 

 

           คุณแม่เจียงยกมือขึ้นเขกหัวเขาไปทีหนึ่ง “ลูกยังกล้าพูดอีกนะ ลูกนั่นแหละ ไปดูงานเมืองนอก ทำไมไปอยู่นานขนาดนี้ แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่โทรมาสักสาย ทำเอาแม่ร้อนใจจะแย่แล้ว”  

 

 

           พูดถึงตรงนี้ คุณแม่เจียงก็รีบดึงตัวจี้ฉิงมา “ลูกคงไม่รู้ว่าหลายวันมานี้ โชคดีที่มีจี้ฉิงมาคอยอยู่เป็นเพื่อนให้แม่สบายใจคลายกังวล”  

 

 

           จี้ฉิงยกมุมปากขึ้น “คุณน้า หนูเป็นแฟนสาวของเขานี่คะ เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วล่ะค่ะ”  

 

 

           คุณแม่เจียงยิ้มหัวเราะด้วยความพอใจ เอื้อมมือไปดึงมือเจียงมู่เฉินมา “ลูกนี่นะ แฟนสาวคนนี้คบไม่เสียเปล่าจริงๆ หลายวันมานี้มาอยู่เป็นเพื่อนแม่ สุขใจอยู่ไม่น้อย”  

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นพวกเธอสองคนพูดคำว่า ‘แฟนสาว’ พูดจนเขาเจ็บผากไปหมด  

 

 

           ‘ข้างหลังเขายังมีแฟนหนุ่มตัวจริงอยู่ทั้งคนนะ’   

 

 

เจียงมู่เฉินรู้สึกเพียงแค่ลำคอที่เย็นเฉียบขึ้นมา  

 

 

เขารีบเบี่ยงตัวให้ซือเหยี่ยนออกมา สายตาของคุณแม่เจียงถึงได้มาหยุดลงที่ซือเหยี่ยน  

 

 

เห็นเพียงแค่นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู ค่อยๆ เย็นชาลงช้าๆ  

 

 

เธอมองซือเหยี่ยนด้วยสายตาเย็นชา “ทำไมเราก็มาที่นี่ด้วยล่ะ”  

 

 

ซือเหยี่ยนวางตัวดี ไม่เย่อหยิ่ง เขาเอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ผมมีเวลาพอดี เลยกลับมาเยี่ยมดูน้าเจียงด้วยกันกับเฉินเฉินครับ”  

 

 

คุณแม่เจียงจ้องมองเขา เอ่ยอย่างเย็นชา “ตอนนี้ก็ดูพอแล้ว เรากลับไปก่อนเถอะ”  

 

 

เธอหันกลับมามองจี้ฉิง “แฟนสาวของเฉินเฉินของน้าอยู่ที่นี่ พวกเรายังมีเรื่องต้องคุยกัน ส่วนเราก็ไม่ต้องอยู่แล้ว”  

 

 

จะไม่แสดงสีหน้าดีๆ กับซือเหยี่ยนก็ช่างเถอะ  ตอนนี้คนเขาอุตส่าห์ตั้งใจมา จะมาพูดประโยคสองประโยคแล้วไล่คนเขาไปเลยหรือไง  

 

 

‘นี่มันเกินไปหน่อยแล้วมั้ง!’  

 

 

“แม่ครับ ซือเหยี่ยนมีเจตนาดีตั้งใจมาหาแม่ แม่ก็จะให้เขาไปทั้งอย่างนี้เหรอ”  

 

 

คุณแม่เจียงกวาดสายตามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง “แล้วไง ลูกคิดว่าแม่ควรจะแสดงสีหน้าอารมณ์แบบไหนมารับหน้าเขาล่ะ ยินดีต้อนรับอย่างอบอุ่นเหรอ”  

 

 

เจียงมู่เฉินหน้าถอดสี มองไปทางซือเหยี่ยนด้วยจิตใต้สำนึก กลัวว่าเขาจะรู้สึกเสียใจ เพราะคำพูดของแม่เขา  

 

 

“คุณน้าคะ เขาคือ?” จี้ฉิงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่ เขามองซือเหยี่ยน แล้วเอ่ยถามออกไป  

 

 

“อ๋อ ลูกชายเพื่อนสนิทของน้า แค่รู้จักกับเฉินเฉินนิดหน่อยเท่านั้นเอง”  

 

 

คุณแม่เจียงใช้กระบวนท่าสี่ตำลึงปาดพันชั่ง [1] จี้จุดอ่อนขีดเส้นแบ่งสถานะของซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินอย่างชัดเจน  

 

 

เจียงมู่เฉินโกรธแล้วจริงๆ ตั้งแต่เขาประตูมาจนถึงตอนนี้ มีแต่แม่เขาทั้งนั้นที่พูดจาเยาะเย้ยถากถาง ซือเหยี่ยนเองก็ไม่พูดอะไรสักคำ  

 

 

“แม่ครับ แบบนี้แม่สนุกเหรอ”  

 

 

คุณแม่เจียงคิดว่ายังมีจี้ฉิงอยู่ จึงอดทนกดกลั้นอารมณ์ที่อยากจะระเบิดเอาไว้ “เจียงมู่เฉิน แม่ว่าตอนนี้แม่ก็แสดงออกดีมากแล้วนะ”  

 

 

‘ยังไงกัน หรือว่าอยากให้เธอยิ้มแย้มต้อนรับซือเหยี่ยน…  

 

 

…คนที่ล่อลวงเฉินเฉินให้เดินทางผิด…  

 

 

…ถึงแม้จะเป็นซือเหยี่ยนคนที่ตัวเองเห็นมาแต่เล็กจนโต ก็ไม่ได้หรอก’  

 

 

“แม่ครับ!”  

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นสภาพการณ์แล้ว ก็รีบดึงเจียงมู่เฉินไว้ กันไม่ให้เขาพูดอะไรที่ไม่ควรออกไป  

 

 

“น้าเจียงครับ ผมกับเฉินเฉินกลับมาจากอเมริกา ไม่ได้ติดของขวัญอะไรมาให้ ก็เลยสุ่มๆ ซื้อของพวกนี้มาวางไว้ให้ที่นี่ น้าเจียงมีเวลาก็ลองดูว่าเหมาะหรือไม่เหมาะได้นะครับ”  

 

 

 

 

 

[1]   กระบวนท่าสี่ตำลึงปาดพันชั่ง  เป็นลักษณะของการใช้เทคนิคที่ใช้กำลังน้อยปะทะกำลังมาก ผ่านจุดอ่อนของสิ่งๆนั้น โดยจ่ายค่าตอบแทนน้อยแต่ได้ผลสะท้อนกลับมาเกินคาด  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 387 แฟนสาวระดับพรีเมี่ยม  

 

 

           คุณแม่เจียงได้ยินก็เอ่ยขึ้นทันที “ไม่ต้องหรอก ซือเหยี่ยนนายเอากลับไปให้แม่นายใช้เถอะ ที่แฟนสาวของเฉินเฉินซื้อให้น้าก็ไม่น้อย ตอนนี้น้าใช้ไม่หมดหรอก”  

 

 

           พอเจียงมู่เฉินได้ยินว่าแม่เขาปฏิเสธโดยไม่ลังเลเลยสักนิด สีหน้าก็เปลี่ยนทันควัน  

 

 

           ‘เกินไปแล้ว ต่อให้ไม่ยอมรับซือเหยี่ยน ก็จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ’  

 

 

           “แม่ ซือเหยี่ยนตั้งใจซื้อมาให้แม่ ทำไมแม่ทำอย่างนี้ได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะเอามือกดที่หัวไม่ได้ ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่รู้สึกเลยว่าแม่เขาจะพูดยากขนาดนี้  

 

 

           จี้ฉิงยืนอยู่ข้างๆ สังเกตเห็นเค้าลางบรรยากาศที่นี่ในตอนนี้ที่ไม่ค่อยจะปกติ  

 

 

           เธอรีบเอ่ยปากในทันใด “ในเมื่อเป็นเพื่อนของมู่เฉิน งั้นเข้ามานั่งด้วยกันดีไหมคะ”  

 

 

           ในเมื่อจี้ฉิงเอ่ยปากมาแล้ว คุณแม่เจียงจะคัดค้านอีกก็ยิ่งชัดเจนไปจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่  

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงจำใจต้องพยักหน้ารับอย่างจนใจ เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ในเมื่อเสี่ยวฉิงออกปากมาแล้ว นายก็เข้ามานั่งแล้วกัน”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยความเป็นห่วง พอเห็นสีหน้าเขายังถือว่าค่อยยังชั่ว เวลานี้เองถึงได้โล่งอกไปที  

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกถึงความห่วงใยในแววตาของเขา ก็ส่ายหัวมองเจียงมู่เฉิน “ผมไม่เป็นไร”  

 

 

           คุณแม่เจียงเดินกลับเข้าไปห้องรับแขกพร้อมจี้ฉิงแล้ว ซือเหยี่ยนวางของลงข้างๆ แล้วเดินเข้าไปข้างในพร้อมกันกับเจียงมู่เฉิน  

 

 

           คุณแม่เจียงนั่งอยู่บนโซฟา จี้ฉิงก็นั่งอยู่ข้างๆ  

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนเดินเข้ามา จิตใต้สำนึกก็สั่งให้พวกเขามุ่งหน้าไปนั่งตรงข้ามกับพวกเธอ  

 

 

           ทันทีที่คุณแม่เจียงเห็นก็กระแอมไอขึ้นมา “เฉินเฉิน ไม่ได้เจอจี้ฉิงตั้งนานขนาดนี้ ก็คงจะคิดถึงเธอแล้วสินะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเพิ่งจะเตรียมนั่งลงก็ต้องหยุดชะงักไปเสียเดี๋ยวนั้น มีหรือจะยังกล้านั่งลงต่อได้  

 

 

           แม่เขาทำหน้าข่มขู่ บอกเป็นนัยว่า  ถ้าตัวเองกล้านั่งลงไป อีกไม่กี่นาทีจะเล่นงานเขาตายแน่  

 

 

           เจียงมู่เฉินทำอะไรไม่ได้ จำใจต้องไปนั่งลงอยู่ข้างจี้ฉิง  

 

 

           คุณแม่เจียงเห็นเจียงมู่เฉินทำตามแบบนี้ สีหน้าบึ้งตึงถึงได้คลายลงบ้างแล้ว  

 

 

           ถึงแม้จะให้ซือเหยี่ยนเข้ามา แต่คุณแม่เจียงไม่พูดอะไรกับซือเหยี่ยนแม้แต่คำเดียว เหมือนซือเหยี่ยนไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           สายตาเอาแต่มองมาทางเจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงสลับกันไปมา  

 

 

           ขณะเจียงมู่เฉินพูดคุยพอเป็นพิธี ก็พลางแอบมองซือเหยี่ยนไปด้วย รู้สึกว่าการควบคุมอารมณ์ของซือเหยี่ยนดีจริง  ถ้าเป็นสลับมาเป็นเขา ต้องลงมือกันจะจะไปตั้งแต่แรกแล้ว  

 

 

           เขามองดูคนตรงหน้าสองสามคนนี้ก็ชักจะปวดหัวนิดหน่อย  ตกลงแล้วตอนนั้นเขาคิดอะไรอยู่ ไม่มีอะไรทำแล้วไปตกลงร่วมมือกับจี้ฉิงทำไม  

 

 

           เดิมทีอยากจะหาโล่กำบังสักอัน  

 

 

           ‘ตอนนี้เป็นไงล่ะ พลิกกลับมา ตัวเขาเองกลายเป็นเป้าแล้ว’  

 

 

           คุณแม่เจียงก็เหวี่ยงใส่ซือเหยี่ยน ไม่พอยังมีแฟนสาวระดับพรีเมี่ยมมาเพิ่มอีก  

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะคิดไม่ได้  ว่ากลับไปนี่จะอธิบายกับซือเหยี่ยนยังไงดี  

 

 

           “เฉินเฉิน ลูกไม่รู้หรอกว่าช่วงเวลานี้ที่ลูกไม่อยู่ เสี่ยวฉิงคอยมาอยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างแม่ตลอดเลย…  

 

 

           …ไหนจะเหมือนลูก ไม่รู้หนีไปไหนได้ทั้งวัน”  

 

 

           จี้ฉิงยิ้มหัวเราะอย่างเกรงใจ “หนูเป็นแฟนของมู่เฉิน คุณน้าเป็นแม่ของเขา ดีกับคุณน้าก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วค่ะ อีกอย่างคุณน้าดีขนาดนี้เหมือนแม่หนูเลยค่ะ”  

 

 

           คำพูดไม่กี่คำของจี้ฉิงปลอบประโลมให้จิตใจของคุณแม่เจียงเบิกบาน เธอเอื้อมมือไปจับมือจี้ฉิงไว้ “ถ้าไม่ใช่เพราะหนูบอกว่าตอนนี้หนูกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาขยับขยายกิจการล่ะก็ น้านี่อยากตามให้หนูมาแต่งงานกับเฉินเฉินของน้าจริงๆ เลย…  

 

 

           …แบบนี้จะได้มีลูกออกมาโตกันเร็วๆ น้าอายุเยอะแล้ว ก็อยากจะเห็นหลาน”  

 

 

           แก้มจี้ฉิงแดงระเรื่อ “คุณน้าคะ หนูกับเจียงมู่เฉินยังอายุน้อย ยังไม่ได้คิดถึงขนาดนี้หรอกค่ะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นพวกเธอสองคน คนหนึ่งพูด คนหนึ่งอวย ใกล้จะฟังต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ  

 

 

           เขาลุกยืนขึ้น “จู่ๆ ผมก็นึกมาได้ว่าผมยังมีธุระนิดหน่อย ผมขอตัวออกไปทำธุระก่อนแล้ว”  

 

 

           พอคุณแม่เจียงเห็นเขาจะไป ก็ถลึงตาใส่ทันที “นี่ลูกเพิ่งจะกลับมาเอง ยังจะมีธุรอะไรอีก”  

 

 

           “แม่ครับ ก็เพราะเพิ่งกลับมาไงครับ ถึงได้มีเรื่องมากมายทับถมกันไปหมด รอผมจัดการธุระเสร็จแล้ว ผมจะรีบกลับมาอยู่กับแม่ทันที”  

 

 

           “จี้ฉิงอยู่ที่นี่ ลูกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” คุณแม่เจียงออกคำสั่งโดยตรง   

ตอนที่ 384 ปล่อยให้คนมาเชือด  

 

 

           ซือเหยี่ยนพูดจบก็ช้อนร่างอุ้มคนเข้าห้องนอนไป เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้  เขายังเป็นคนป่วยอยู่จริงๆ นะ  

 

 

           ไม่เหมาะจะมาออกกำลังกายหนักหน่วงเลย  

 

 

           ซือเหยี่ยนวางคนลงบนเตียงโดยไม่ยอมให้ขัดขืน เจียงมู่เฉินเห็นเขาก็รีบซุกตัวใต้ผ้าห่มทันที ห่อตัวเองปิดตายอย่างแน่นสนิท  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “เฉินเฉิน บางครั้งการหลีกหนีปัญหาก็ไม่ช่วยอะไร”  

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ไม่หลีกหนี ยิ่งจะแก้ปัญหาไม่ได้”  

 

 

           ‘เขาไม่ใช่หมูที่ล้างตัวสะอาดแล้วจะปล่อยให้คนมาเชือดได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างขำขัน “คุณคิดว่าหลบแบบนี้แล้ว จะแก้ปัญหาได้เหรอ”  

 

 

           “ยังไงซะ ฉันก็ไม่มีทางปล่อยให้นายปลุกปล้ำฉันหรอก”  

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนฉายสะท้อนรอยยิ้ม  เฉินเฉินของเขาซื่อบื้อจนน่าสงสารจริงๆ ไม่รู้เหรอว่ายิ่งต่อต้าน ยิ่งทำให้คนอยากจับกด  

 

 

           ดังนั้น จึงไม่มีข้อสงสัยใดใดทั้งสิ้น  

 

 

           สุดท้ายเจียงมู่เฉินก็โดนซือเหยี่ยนจับกดจนได้ พลิกไปพลิกมา ปรนนิบัติให้เป็นอย่างดี  

 

 

           ……  

 

 

           เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงมู่เฉินจับเอวนอนอยู่บนเตียง ขบกรามไม่หยุด  

 

 

           เขาอยากจะพุ่งเข้าไปกัดเจ้าหมอนั่นตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ไม่รู้จักคำว่า ‘ลิมิต’ สองคำนี้เลยสักนิด  

 

 

           ‘เขาเป็นคนป่วยที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บหนักมานะ’  

 

 

           ไม่รู้จักรักสงสารเขาแม้แต่น้อย  

 

 

           เจ็บระบมจนตอนนี้เอวเหยียดตรงไม่ได้แล้ว เจียงมู่เฉินกัดฟัน  ครั้งหน้าเขาเป็นรุกแล้ว จะต้องจับกดหลายๆ ครั้งกลับคืนไปให้หมด คอยดู!  

 

 

           ‘ถึงตอนนั้นจะทำให้ซือเหยี่ยนได้รับรู้ความรู้สึกเอวเคล็ดหลังยอกดีๆ เลย’  

 

 

           ซือเหยี่ยนกำลังทำอาหารเช้าอยู่ในห้องครัว เมื่อคืนเขากินจนอิ่มแล้ว ตอนนี้อารมณ์ดีมีความสุข แม้แต่ขณะทำอาหารก็ยังเชิดมุมปาก สีหน้าดูสบายใจ  

 

 

           ช่างแตกต่างกับเจียงมู่เฉินในห้องนอนอย่างลิบลับ  

 

 

           หลังจากเขาทำอาหารเช้าอย่างคล่องแคล่วจนเสร็จเรียบร้อย ถึงได้เข้าห้องนอนมาเรียกเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนฟุบอยู่บนเตียง ไม่อยากสนใจเขา พอเห็นซือเหยี่ยนก็เบือนหน้าหนี ทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจใส่ทันที  

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่โกรธ เมื่อคืนเขาก็ทำเกินไปอยู่บ้าง ตอนนี้เจียงมู่เฉินจะไม่อยากสนใจเขาก็เป็นเรื่องปกติ  

 

 

           เขาทำหน้าทำตาดีๆ เดินเข้าไปนั่งข้างเตียง ง้อเจียงมู่เฉิน “เฉินเฉิน ออกไปกินข้าวเช้ากัน”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่อย่างเย่อหยิ่ง “กินอะไร ไม่กินหรอก”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมีใจอดทนเป็นที่สุด เขาสอดมือเข้าไปดึงคนออกมาจากผ้าห่ม “เด็กดี ข้าวก็ยังต้องกินนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินด่ากราดชุดใหญ่ “กินกับผีน่ะสิ ฉันโมโหจนจะอกแตกตายแล้ว มีอะไรให้อยากกินอยู่เหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสภาพการณ์แล้ว ก็ตัดสินใจลงมือทันที เขาช้อนร่างอุ้มคนขึ้นมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนหางตามืดบอดแล้ว  ตอนนี้เขาไม่มีแรงอะไรจะสู้ พูดกับซือเหยี่ยนก็ไม่ถือเป็นคำพูดแล้วเหรอ  

 

 

           เขาเตะเท้าใส่ดิ้นรนต่อสู้ กลับไม่ระวังจนร้าวไปถึงเอว เจ็บจนซี๊ดปาก  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยความอารมณ์ดีและขำขัน “ตอนนี้คุณอย่าขยับตัวซี้ซั้วจะดีที่สุด ไม่งั้นเดี๋ยวปวดเมื่อยทรมานขึ้นมา ผมก็ช่วยคุณไม่ได้แล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนขบกราม แต่ทั้งร่างกายกลับเจ็บปวดจนไม่มีแรง ทำได้เพียงปล่อยให้เขาอุ้มตัวเองไป  

 

 

           ซือเหยี่ยนอุ้มเจ้าตัวมายังห้องนั่งเล่น วางลงหน้าโต๊ะอาหาร ยกอาหารเช้าที่ตัวเองทำเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมาวางลงต่อหน้าเจียงมู่เฉิน  

 

 

           “มากินอาหารเช้าก่อนสักหน่อยนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูโจ๊กข้าวฟ่างที่เขาต้มมา หน้าก็ดำคร่ำเครียดขึ้นโดยไม่รู้ตัว  

 

 

           ‘ตอนนี้มารู้จักทำอาหารเช้าเอาใจเขาแล้วเหรอ’  

 

 

           ‘ทำไมเมื่อคืนไม่รู้จักอ่อนโยนกันสักนิดบ้าง’  

 

 

           “ไม่หิวเหรอ” ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงต่ำ  

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา แล้วค่อยหยิบช้อนขึ้นมาเริ่มลงมือกินอาหารเช้า  

 

 

           ขณะที่กินข้าวอยู่ เจียงมู่เฉินไม่พูดอะไรสักคำ แต่กลับเป็นซือเหยี่ยนเองที่อยู่เป็นเพื่อนเจียงมู่เฉินกินข้าว แล้วก็พูดไปด้วย “เดี๋ยวกินอาหารเสร็จ ผมจะกลับไปบ้านตระกูลเจียงเป็นเพื่อนคุณ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินก็ปฏิเสธทันควัน “อย่า นายอย่าไปด้วยกันกับฉันเด็ดขาด”  

 

 

           ‘ถ้าแม่เขาเห็นขึ้นมา จะไม่ต้องอาละวาดกันยกใหญ่เลยเหรอ’  

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่ถือช้อนไว้หยุดชะงักไป “อะไรกัน ไม่อยากให้ผมไปกับคุณเหรอ”             

 

 

 

 

 

ตอนที่ 385 กลับไปบ้านตระกูลเจียงด้วยกัน  

 

 

           “ไม่ใช่ไม่อยากให้นายไปกับฉัน แต่ฉันกลับไปเองจะดีกว่า” เขาหยุดสักพัก “ท่าทีของแม่ฉันที่มีต่อเรื่องของพวกเราสองคน ไม่ใช่ว่านายจะไม่รู้ ถ้านายกลับไปกับฉัน ท่านอาจจะโวยวายอะไรขึ้นมาก็ได้”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเงียบไม่พูดจา เขารู้ได้อยู่แล้วว่าเจียงมู่เฉินกังวลในจุดนี้  

 

 

           แต่ว่าจุดนี้ ไม่ช้าก็เร็วสักวันพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้าอยู่ดี  

 

 

           คิดดูแล้ว ซือเหยี่ยนยังคงเอ่ยยืนกราน “ให้ผมกลับไปด้วยกันกับคุณเถอะ ถึงยังไงไม่ช้าก็เร็วอาเจียงน้าเจียงพวกท่านก็ต้องยอมรับอยู่ดี”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบงันไปพักหนึ่ง เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยน “นายต้องการจะกลับไปกับฉันจริงๆ เหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนยันคำตอบเดิม “แน่นอน”  

 

 

           ที่จริงซือเหยี่ยนก็มีความเห็นแก่ตัว ถ้าเวลานี้ตัวเองไม่ออกหน้า รอเวลาครั้งนี้ผ่านไป คุณแม่เจียงท่านนี้จะยิ่งไม่อยากให้ตัวเองเข้ามาทำลายชีวิตของเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทีอีกฝ่ายแล้ว ก็ทำได้เพียงยอมตกลงกับซือเหยี่ยน  

 

 

           “แต่ว่า ฉันจะบอกนายไว้ล่วงหน้า ถ้าแม่ฉันพูดอะไร นายก็อย่าเก็บมาใส่ใจเด็ดขาดเลยนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างขำขัน “ยังไงกัน เป็นห่วงว่าผมจะโดนแม่คุณรังแกเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันเป็นคนยุ่งไม่เข้าเรื่องเหรอ ฉันกลัวนายจะทำให้แม่ฉันของขึ้นต่างหาก”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาปากไม่ตรงกับใจ ก็เชิดมุมปากขึ้นด้วยความติดตลก “วางใจเถอะ ผมรับประกันไม่สู้กลับหรอก”  

 

 

           ……  

 

 

           หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เจียงมู่เฉินก็นอนเอาแรงอีกรอบ  

 

 

           ซือเหยี่ยนก็โทรหาไป๋จิ่ง  

 

 

           เมื่อไป๋จิ่งได้ยินว่าเป็นซือเหยี่ยน ก็รีบเอ่ยถามทันที “นี่นายกลับมาถานโจวแล้วเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “กลับมาสองวันแล้ว รอฉันจัดการธุระตอนบ่ายเสร็จ ฉันก็จะไปบริษัทพรุ่งนี้เลย”  

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้าเอ่ย “ไม่เป็นไร นายพักอีกสักวันสองวันค่อยมาก็ได้ ที่บริษัทยังมีฉันอยู่”  

 

 

           “วางใจเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะถึงบริษัทตรงเวลา”  

 

 

           พูดเรื่องนี้จบ ก็คุยกับไป๋จิ่งอีกสองประโยค ซือเหยี่ยนถึงค่อยได้วางสายโทรศัพท์  

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนยาวจนเวลาใกล้จะเที่ยง ถึงเพิ่งตื่นขึ้นมา  

 

 

           เขาออกมาจากห้องนอนก็เห็นซือเหยี่ยนเดินเข้ามาจากตรงระเบียงพอดี ซือเหยี่ยนเห็นเขาตื่นแล้ว ก็เชิดมุมปากเอ่ยถามขึ้น “นอนพอแล้วใช่ไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ไปกันเถอะ เตรียมไปโดนประณามที่บ้านฉันกัน”  

 

 

           หลังจากทั้งสองคนออกจากคอนโดมิเนียม ก็ไปกินข้าวกันก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนสนามรบไปยังคฤหาสน์ตระกูลเจียง  

 

 

           ซือเหยี่ยนขับรถมาจอดที่หน้าทางเข้าของคฤหาสน์ เจียงมู่เฉินอดจะกำชับอีกไม่ได้ “เดี๋ยวพอแม่ฉันพูดอะไรมา นายไม่ต้องพูดอะไรเลยนะ ให้ฉันจัดการเอง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง  เหมือนกำลังจะกลับบ้านที่ไหนกัน ทำเหมือนจะออกไปตีใครซะมากกว่า  

 

 

           “วางใจเถอะ ผมรับรองจะฟังคุณทุกอย่าง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเขาพูดแบบนี้ ถึงได้เปิดประตูรถลงไป  

 

 

           ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าทางเข้าคฤหาสน์ รั้วกั้นประตูบานใหญ่ปิดไว้อยู่ เจียงมู่เฉินกดรหัสเปิดประตูบานใหญ่เข้าไป  

 

 

           เดินผ่านสวนดอกไม้ จนมาถึงหน้าประตูบานใหญ่ในตัวคฤหาสน์  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นประตูบานใหญ่ที่เปิดกว้าง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกตื่นตระหนกขนาดนี้ อดจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ไม่ได้  

 

 

           “เป็นไรไป ตื่นเต้นเหรอ” ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงต่ำ  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ก็นิดหน่อย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนขำขัน “ไม่งั้นให้ผมเข้าไปก่อนไหม”  

 

 

           เขาเพิ่งจะพูดออกมาก็โดนเจียงมู่เฉินปฏิเสธทันควัน “ไม่ได้ นายจะเข้าไปก่อนอะไรกัน ฉันกลับมาบ้านฉันเอง ต้องให้นายเข้าไปก่อนทำไม”  

 

 

           ขณะที่พูด เขาก็เดินเข้าไปด้วย  

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเข้ามาถึงโถงทางเข้า ก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาจากด้านใน เจียงมู่เฉินชะงักงัน  หรือว่าวันนี้จะมาบังเอิญมีคนมาที่บ้านด้วย  

 

 

           เขาเดินเข้าไปอีกสองก้าว อยากเห็นว่าข้างในเป็นใคร  

 

 

           ผลปรากฏว่าเมื่อมองเข้าไปข้างใน ก็ตะลึงค้างไปในพริบตา  เขาลืมไปได้ยังไง ว่ายังมีเธออยู่     

ตอนที่ 382 ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน  

 

 

           เจียงมู่เฉินมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก เรื่องที่ตัวเองดุร้ายขนาดนี้ เขากลับทำเหมือนว่าตัวเองกำลังทำเรื่องอะไรโรคจิตอยู่อย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย ซือเหยี่ยนนี่เกินเยียวยาจริงๆ’  

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองดูใบหน้าของเขา ครุ่นคิดอย่างจริงจัง  จะจับเจ้าหมอนี่ขังตำหนักเย็น [1] ดีไหม  

 

 

           ซือเหยี่ยนรออยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นเจียงมู่เฉินเปิดปาก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามขึ้น “ยังไงกัน คุณตัดใจทำไม่ลงเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเลวทรามของเขา ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ซือเหยี่ยน ความเป็นคนดีของนายล่ะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนในอดีตไม่เคยเป็นคนล้ำเส้นขนาดนี้มาก่อน  

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ เขาชอบซือเหยี่ยนแบบเมื่อก่อนมากกว่า  

 

 

           ซือเหยี่ยนในตอนนั้นเท่ห์มาก หล่อมาก มีหรือจะเหมือนตอนนี้ที่ไม่ต่างจากพลาสเตอร์หนังหมาสลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด  

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าจริงจัง  พลาสเตอร์หนังหมาแล้วยังไง  

 

 

           ขอเพียงแต่เฉินเฉินผูกติดอยู่ข้างกายเขาได้ ต่อให้เขาเป็นพลาสเตอร์หนังหมา เขาก็ยอมรับมัน  

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ เจียงมู่เฉินอดกลั้นอารมณ์เดือดดาลที่อยากจะกระหน่ำฟาดซือเหยี่ยนเอาไว้ เสียงต่ำตะโกนออกมา “นายแม่งเอาเสื้อผ้าให้ฉันสิ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่ถูกเขากดทับอยู่ แล้วก็มองดูกระดูกไหปลาร้าอันได้รูปของเขาอยู่อย่างนั้น  

 

 

           กลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง สุดท้ายก็เอาเสื้อผ้าส่งให้เขาไปอย่างว่าง่าย  

 

 

           ถึงแม้ว่าอยากจะจับกดแล้ววาดลวดลาย แต่ว่า…ประธานซือก็ยังเป็นคนที่ดูสีหน้าคนออกได้  

 

 

           ‘ถ้าเขายังไม่ปล่อยมืออีก เกรงว่าเฉินเฉินของเขาต้องเล่นงานเขาตายแน่’  

 

 

           เขาก็รู้ตัวเองดีอยู่  

 

 

           ถึงจุดนี้แล้ว ประธานซือกลับทำได้ดีเป็นพิเศษเสียอย่างนั้น  

 

 

           เขาปล่อยมือแล้วคืนเสื้อผ้าส่งให้เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างหวาดระแวง รู้สึกมาตลอดว่าซือเหยี่ยนไม่ได้ว่าง่ายขนาดนี้  

 

 

           “นายลุกขึ้น ไปอยู่ด้านข้าง อย่าเอาแต่มานั่งอยู่บนเตียงฉัน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนขบกรามแล้วขบกรามอีก เจียงมู่เฉินได้ทีขี่แพะไล่ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่ดี  

 

 

           เขามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง ลุกยืนขึ้น เดินไปข้างหลัง  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแบบนี้แล้ว ถึงได้เอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้า มาสวมใส่อย่างอ้อยอิ่ง  

 

 

           เหมือนเขาจงใจอย่างไรอย่างนั้น แต่ซือเหยี่ยนกลับต้องจำยอม ทำได้เพียงปล่อยให้เขาทำแบบนี้  

 

 

           นัยน์ตาเจียงมู่เฉินประกายความสะใจ ชอบเวลาซือเหยี่ยนจนใจแต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้แบบนี้  

 

 

           เสื้อผ้าสองชิ้นง่ายๆ เจียงมู่เฉินใช้เวลาสวมใส่อยู่สิบนาทีเต็มๆ ซือเหยี่ยนก็ทำได้เพียงยืนรอเขาอยู่ข้างๆ อย่างว่าง่าย  

 

 

           กว่าเจียงมู่เฉินจะแต่งตัวเสร็จไม่ใช่ง่ายๆ เวลานี้ซือเหยี่ยนถึงได้โล่งอกสักที  

 

 

           ‘เจ้าหมอนี่ ถ้ายังใส่ไม่เสร็จอีก เขาจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ’  

 

 

           คนที่ไม่เจอหน้ากันแยกจากกันมาตั้งนานขนาดนี้ มาเปลี่ยนเสื้อผ้าอ่อยเขาต่อหน้าเขาอย่างนี้ อดทนอดกลั้นได้ก็เป็นเทพแล้ว  

 

 

           ประธานซือเห็นว่าตัวเองก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา จะอดรนทนไม่ไหวก็เป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติ  

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินใส่ชุดเรียบร้อย ในที่สุดก็ลงจากเดิน เดินนวยนาดมาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน “ไปกันเถอะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนขบกราม รู้สึกว่า  เจ้าหมอนี่อวดดีจนไม่มีคำจะพูดจริงๆ  

 

 

           ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันออกจากโรงพยาบาล เจียงมู่เฉินเห็นข้างนอกก็ถอนหายใจเงียบๆ “เพียงแค่แป๊บเดียวก็เดือนนึงแล้วที่ไม่ได้กลับมา”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอื้อมมือไปคว้ามือเขาไว้ “ไปกันเถอะ คุณชายน้อยเจียงของผม”  

 

 

           ทั้งสองคนไปยังลานจอดรถ ซือเหยี่ยนขับรถพาเจียงมู่เฉินกลับไป ระหว่างทางเจียงมู่เฉินเอ่ยถามซือเหยี่ยน “นี่นายจะขับรถไปไหน นายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยากจะไปไหน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คุณไม่กลับบ้านกับผม คุณยังอยากไปไหน”  

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบจมูกปอยๆ รู้สึกว่า  คนคนนี้ชักจะมั่นใจตัวเองเกินไปหน่อยแล้ว ถ้าหากว่าเขาไม่อยากกลับไปด้วยจริงๆ ขึ้นมาล่ะ  

 

 

           แต่ว่าซือเหยี่ยนก็เป็นคนขับรถ เขาจะปฏิเสธไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา  

 

 

           ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนจึงขับรถมุ่งหน้าไปคอนโดมิเนียมที่พวกเขาซื้อไว้นานแล้ว แต่ไม่มีคนอยู่  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอารถมาจอดที่ใต้คอนโดมิเนียม เจียงมู่เฉินปลดเข็มขัดนิรภัยออก แล้วลงจากรถไป  

 

 

           เขามองดูพื้นที่จอดรถ ก่อนจะถอนหายใจเงียบๆ  

 

 

           ตั้งแต่หลังจากที่เลิกกันไปครั้งก่อน เขาก็ไม่เคยได้มาที่นี่เลย  

 

 

           ส่วนซือเหยี่ยนก็คงจะไม่เคยได้มาอีกเช่นกัน  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นว่าจู่ๆ เขาก็เงียบไป ในใจก็ชัดเจน เดินเข้าไปจูงมือเขามา “ไปกันเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า เวลานี้เองถึงได้ขึ้นไปบนคอนโดมิเนียมพร้อมกับซือเหยี่ยน  

 

 

             

 

 

[1]   ตำหนักเย็น  นั้นเป็นที่เข้าใจตรงกันว่า หมายถึงที่อยู่สุดท้ายของฮองเฮาหรือสนมที่ตกอับดับวาสนา จักรพรรดิ์ไม่โปรดปราน จะด้วยเหตุกระทำผิดร้ายแรงหรืออย่างไรก็สุดแท้แต่ อีกทั้งฮองเฮาหรือสนมอาจถูกสั่งให้กักบริเวณอยู่ ณ ตำหนักเดิมของตัว หรือย้ายออกไปอยู่ตำหนักไหนที่ไกลผู้ไกลคน ไม่มีใครเหลียวแลสนใจ ที่แห่งนั้นก็จะกลายเป็นตำหนักเย็นไปโดยปริยาย  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 383 ให้คุณเหลืออีกครึ่งชีวิต  

 

 

           ข้างในคอนโดมิเนียมเหมือนกับก่อนหน้านี้ ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด สิ่งของข้างในทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเหมือนกับตอนที่พวกเขาไปจากที่นี่  

 

 

           เพียงแต่ว่าเพราะไม่ได้มีคนเข้ามานานเกินไป ข้างในจึงมีฝุ่นเกาะขึ้นมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “อะไรกัน ในใจเอาแต่คิดถึงซูเตอร์ แม้แต่หาคนมาทำความสะอาดสักหน่อยก็ลืมไปหมดเลยหรือไง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปปิดประตู “ไม่อยากให้คนไม่เกี่ยวข้องมาทำความสะอาดให้”  

 

 

           คำพูดนี้ของเขา เจียงมู่เฉินยังไม่ได้เข้าใจในทันที กำลังอยากจะพูดต่อ ก็เห็นซือเหยี่ยนเดินเข้าห้องครัวไปหยิบผ้าขี้ริ้วออกมา  

 

 

           เขาทำความสะอาดต่อหน้าเจียงมู่เฉินในทันใด เห็นท่าทางเขาแบบนี้ เจียงมู่เฉินถึงเพิ่งได้เข้าใจความหมายของเขา  

 

 

           เขาเองก็เข้าไปในห้องครัว เลียนแบบการกระทำของซือเหยี่ยน หยิบผ้าขี้ริ้วออกมาเช่นกัน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณชายจะพยายามช่วยนายสุดกำลังสักหน่อยก็แล้วกัน”  

 

 

           คนอย่างเจียงมู่เฉินคนนี้พูดจามา หลายครั้งส่วนใหญ่ก็ปากไม่ตรงกับใจทั้งนั้น ซือเหยี่ยนรู้จักเขาเหมือนหลับตาเห็น เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉิน พลางยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “งั้นก็รบกวนเฉินเฉินแล้ว”  

 

 

           ประโยคนี้พูดมาทีทำเอาเจียงมู่เฉินหน้าแดงนิดหน่อย ไม่มีอะไรก็มาพูดว่ารบกวนอะไรกัน ทำเอาเขารู้สึกละอายใจบ้างแล้ว  

 

 

           ทั้งสองคนทำความห้องอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง  

 

 

           ห้องที่แต่เดิมยังมีฝุ่นเกาะอยู่ก็สะอาดขึ้นมาในพริบตา เจียงมู่เฉินเอนกายอยู่บนโซฟา ถอนหายใจเงียบๆ “คุณชายเจอนายแล้วน่าอนาถจริงๆ ไม่เพียงแต่จะมีคนแปลกๆ มาโหยหา ยังต้องมาช่วยนายทำความสะอาดอีก…  

 

 

           …การซื้อขายนี้ขาดทุนเกินไปแล้ว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างขำขัน หันกลับเข้าไปห้องครัวยกน้ำแก้งหนึ่งมาให้เขา “ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ คุณชายน้อยเจียง ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักคำ เดี๋ยวจะยิ่งขาดทุนไปกันใหญ่”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยุ่งทำโน่นทำนี่มาพักหนึ่ง ก็ค่อนข้างจะกระหายน้ำแล้วจริงๆ เขาส่งมือไปรับแก้วน้ำมาดื่มไปสองคำ แล้วค่อยเอ่ยขึ้น “นายไม่คิดจะส่งฉันกลับบ้านเลยเหรอ”  

 

 

           ตอนนี้เขาไม่เป็นไรแล้ว ก็กลับไปได้แล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเงียบไม่พูดจาอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้ยังไม่คิด”  

 

 

           กว่าเขาจะชิงตัวคนมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เวลานี้จะปล่อยอีกฝ่ายกลับบ้านไปได้อย่างไร  

 

 

           อีกอย่าง ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว ถ้าหากเจียงมู่เฉินกลับบ้านตระกูลเจียงไป  

 

 

วันหลังถ้าอยากเจอหน้าเจียงมู่เฉินอีก ก็ยากลำบากแล้ว  

 

 

           ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะพักอยู่ด้วยกันแบบนี้เลย  

 

 

           ประธานซือพาเจ้าตัวมาถึงที่นี่แล้ว ก็ต้องมีความเห็นแก่ตัวเป็นธรรมดา  

 

 

           ไม่ว่าอย่างไรก็อยากให้เจียงมู่เฉินอยู่ในสายตา หล่อเลี้ยงเป็นอาหารตา คลายความทุกข์จากความคิดถึงแสนเนิ่นนานนี้  

 

 

           “ซือเหยี่ยน นายคงจะไม่ฉวยโอกาสวางแผนทำมิดีมิร้ายกับฉันหรอกใช่ไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง รู้สึกว่า  ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ต้องไม่มีอะไรให้วางใจได้เลย  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “เฉินเฉิน ที่แท้คุณก็ยังฉลาดไม่เบาอยู่”  

 

 

           เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง ก็วางแก้วลง แล้วเดินเข้าหาเจียงมู่เฉินทันที  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว รีบเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา เตรียมจะวิ่งหนี แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อว่ากันด้วยเรื่องความเจ้าเล่ห์จอมแผนการแล้ว เจียงมู่เฉินก็ไม่เคยจะคิดทันซือเหยี่ยนมาแต่ไหนแต่ไร  

 

 

           ครั้งนี้ก็เป็นธรรมดาที่จะยังคิดไม่ทันเหมือนเดิม  

 

 

           ทำได้เพียงโดนคนจับเอาไว้ หนีไปไม่รอดอยู่ดี   

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “นายมามุขนี้ตลอด มาเป็นฮีโร่อะไรกัน มีความสามารถ พวกเราก็ทำให้มันยุติธรรมหน่อยสิ มาดวลกันตัวต่อตัวเลย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างขำขัน “เฉินเฉิน ความสัมพันธ์แบบนี้ของพวกเราสองคนก็ชัดเจนมากนะ ว่าไม่มีทางจะยุติธรรมได้ตลอดไป”  

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบโต้แย้งทันที “อะไรคือความสัมพันธ์แบบนี้ของพวกเราสองคน พวกเราสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันเหรอ”  

 

 

           ความอันตรายประกายในแววตาซือเหยี่ยน “อ่อ ที่แท้เฉินเฉินก็ไม่จำว่าพวกเรามีความสัมพันธ์เป็นอะไรกัน ไม่เป็นไร ผมซือเหยี่ยนชอบเตือนคนอื่นอยู่ด้วยสิ”  

 

 

           เขาขบกราม ก้มหน้าลงกัดเขาไปคำหนึ่ง “ตอนนี้ผมจะมาเตือนคุณดีๆ เอง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้แล้ว  เขายังเป็นคนป่วยที่เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมานะ แบบนี้จะดีจริงๆ เหรอ  

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดว่าตัวเองควรจะต่อสู้ดิ้นรนบ้าง  

 

 

           เขาเงยหน้าทำหน้าทำตาน่าสงสารมองซือเหยี่ยน “นายลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา ฉันยังถือว่าเป็นคนป่วยอยู่ครึ่งหนึ่งนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นแววตาน่าสงสารของเขา เสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยขึ้น “วางใจได้ ผมรับประกันว่าจะให้คุณเหลืออีกครึ่งชีวิต”  

ตอนที่ 380 คืนดีสำเร็จ  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “แบบนี้ก็ชัดเจนมากอยู่”  

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนปวดท้อง  เขายังเป็นคนป่วยอยู่นะ ทำกับเขาแบบนี้ ไม่รู้สึกผิดบาปจริงๆ เหรอ  

 

 

           “เฉินเฉิน คุณอยากจะเลิกกับผมจริงๆ เหรอ” ในเสียงทุ้มต่ำของซือเหยี่ยนแฝงความล่อลวงให้ติดกับ  

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะคุมไม่อยู่แล้ว เผชิญหน้ากับซือเหยี่ยนที่หลอกให้ตัวเองติดกับแบบนี้ มีหรือจะยังยืนหยัดอยู่ได้อีก  

 

 

           “ไม่ใช่อยากเลิกกับนาย เลิกกันแล้วต่างหาก”  

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนดับวูบ ก้มหน้าจูบเขา แล้วเอ่ยถามอีก “จะไม่คืนดีกันจริงๆ เหรอ”  

 

 

           “นายเดี๋ยวเลิก เดี๋ยวคืนดี ทำจนฉันเสียหน้าเอามากๆ เลยนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินตอบกลับด้วยความยากลำบาก  

 

 

           ซือเหยี่ยนกะพริบตาปริบๆ ด้วยความเศร้าสร้อย “แต่ผมอยากคืนดีกับคุณนะ”  

 

 

           พอเจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนเป็นแบบนี้ เพียงครู่เดียวคติเดิมที่ถือไว้ก็ไม่มีแล้วแม้เพียงนิด เขาใจอ่อนยวบลงในบัดดล แล้วเอ่ยขึ้น “คืนดีกันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนตาลุกวาว มองดูเขา  

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดอีก “นายให้ฉันจับกดนายครั้งหนึ่ง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว  มาหัวข้อนี้อีกแล้วเหรอ ทำไมจนถึงตอนนี้แล้วเจ้าหมอนี่ยังอยากจะเปลี่ยนเป็นรุกอยู่อีก  

 

 

           “ได้หรือไม่ได้ ไม่ได้ก็ไม่คืนดี”  

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้  เขาพูดมาอย่างนี้ ตัวเองจะไม่เห็นชอบได้ด้วยหรือไง อีกอย่างยอมรับปากไปก่อน ถึงยังไงเฉินเฉินก็ใจอ่อน ทีหลังก็ค่อยแกล้งทำตัวน่าสงสาร บางทีเขาอาจจะลืมไปเลย  

 

 

           “ได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขา ยังไม่ทันจะมาปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา “นายว่าอะไรนะ”  

 

 

           “ได้ ผมยอมตกลง” ซือเหยี่ยนพูดซ้ำอีกรอบ  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะอย่างพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถสักหน่อยแล้วกัน ให้นายได้ฟื้นคืนสถานะเดิมของนาย”  

 

 

           ทันทีที่ซือเหยี่ยนได้ยินว่าเจียงมู่เฉินในที่สุดก็ยอมเปิดปากแล้ว นัยน์ประกายความดีใจแทบบ้าของเขา ขณะที่กดร่างคนตรงอยู่ก็มอบรสจูบอันดูดดื่มให้  

 

 

           มีหรือที่เจียงมู่เฉินจะรู้ว่าเขาจะยังทำแบบนี้ด้วย รู้สึกขัดใจจนมองบนใส่แล้ว  

 

 

           เขายกเท้าถีบใส่เจ้าตัว “นายเป็นบ้าหรือไง ไม่คืนดีนายก็จูบ คืนดีนายก็ยังจูบอีก นายแม่งนอกจากจูบฉัน ทั้งวันไม่มีอะไรอย่างอื่นทำแล้วเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไขสือ ลูบจมูกปอยๆ “ก็ผมตื่นเต้นนี่”  

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”  

 

 

           ……  

 

 

           วอแวกันอยู่ค่อนวัน ในที่สุดซือเหยี่ยนก็รู้จักว่าง่ายสักที  

 

 

           เจียงมู่เฉินบอกว่าอยากกินอะไรสักหน่อย ยกเท้าถีบเขาให้ออกไปซื้อให้ ซือเหยี่ยนอยากอยู่เป็นเพื่อนเจียงมู่เฉินในห้องต่อ  

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ เขาถลึงตาใส่ ข่มขู่ทีก็ออกไปแต่โดยดีแล้ว  

 

 

           ก่อนจะไปยังจะหันมามองเขาอยู่อีกหลายครั้งหลายครา  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นว่ากว่าจะทำให้ซือเหยี่ยนออกไปได้ไม่ใช่ง่ายๆ เขาเอามือกุมหน้าผากอย่างจนใจ  

 

 

           หลับไปแค่ไม่กี่วัน ทำไมมาดหัวสูงขี้เก๊กของซือเหยี่ยนไม่เห็นแล้ว ติดหนึบยิ่งกว่าขนมหนิวผีถัง [1] อีก  

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนออกไป เจียงมู่เฉินเอนพิงอยู่บนเตียง เขาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไม่กี่วันนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน  

 

 

           ยังมีเรื่องที่ความทรงจำเพิ่งจะฟื้นคืนอีก  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือมากดที่หัว คิดไม่ถึงว่าฟู่เหยี่ยนจะพาเขากลับไปที่ปราสาทหลังนั้นอีกครั้ง  

 

 

           ครั้งแรกเขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ครั้งที่สองนี้ยังเกือบจะตายอยู่ที่นั่นอีก  

 

 

           เจียงมู่เฉินกำมือแน่น ถ้าไม่ใช่ว่าเขานึกถึงเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้ บางทีเขาอาจจะยังไม่คิดต่อรองอะไรกับฟู่เหยี่ยน  

 

 

           ถึงอย่างไรครั้งนี้ ถึงแม้ฟู่เหยี่ยนจะพาตัวเขาไป แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรกับเขา  

 

 

           ถึงครั้งนี้ไม่ได้ทำ ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ทำเลย  

 

 

           ตอนนั้นฟู่เหยี่ยนสลักความอัปยศอดสูประทับบนร่างกายเขา ทั้งชีวิตนี้เขาไม่มีทางจะลืมได้  

 

 

           เขาเจียงมู่เฉินคนทะนงตัวในศักดิ์ศรีคนหนึ่งโดนฟู่เหยี่ยนปฏิบัติใส่แบบนั้น เขาก็ทนรับมันไปตลอดชีวิตนี้ไม่ได้แล้ว    

 

 

           เพียงแต่ว่าเขากับซือเหยี่ยนเพิ่งจะกลับมา ยังมีเรื่องอีกมากมายต้องจัดการ ยังไม่สะดวกจะไปคิดบัญชีกับฟู่เหยี่ยนในตอนนี้  

 

 

           รอเขาหายดี ฟู่เหยี่ยนไม่มีทางหนีรอดไปได้เด็ดขาด  

 

 

           ทุกๆ บัญชีในตอนนั้น เขาต้องการจะสะสางกับฟู่เหยี่ยนให้ชัดเจนให้หมดทุกอย่าง  

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นจะแก้แค้นเอาคืนได้อย่างไรไหว ตอนนั้นเขาเสียแรงคิดเหยียดหยามดูถูกตัวเองสารพัด สักวันสิ่งที่เขาใช้กับร่างกายตัวเอง ตัวเองจะเอากลับคืนให้ฟู่เหยี่ยนทั้งหมด  

 

 

           ให้เขาได้ลิ้มลองความอัปยศที่ตัวเองได้ประสบพบเจอในตอนนั้นดีๆ  

 

 

           ……  

 

 

            ณ ที่พำนักของตระกูลเวลล์แกลตเตอร์ ฟู่เหยี่ยนยืนอยู่หน้าหน้าต่าง หลังจากได้ยินคำพูดของพ่อบ้านหลิน ร่างกายสูงใหญ่ก็แข็งทื่อไปในทันใด  

 

 

           “เจ้าตัวกระโดดลงไปเลย?”  

 

 

           ในน้ำเสียงเขามีความเย็นเฉียบซึมซับอยู่  

 

 

           “เป็นหรือตาย”  

 

 

           ไม่รู้ว่าทางพ่อบ้านหลินพูดอะไร จู่ๆ ฟู่เหยี่ยนก็ตัดสายกะทันหัน  

 

 

           เขายืนอยู่หน้าหน้าต่าง เกร็งไปทั้งตัว เพียงไม่นานก็สั่นเทาไปทั่วร่าง  

 

 

           ‘เจียงมู่เฉินเขา…’  

 

 

            

 

 

[1]   ขนมหนิวผีถัง  เป็นขนมท้องถิ่นเมืองหยางโจว เนื้อเหนียวนุ่ม ยืดหยุ่น มีกลิ่นหอม ตัวขนมทำจากน้ำตาลทรายขาว งาขาว แป้ง และถั่วลิสง มีรสชาติหลากหลายด้วยการเติม ถั่วสน สตรอเบอรี่ พุทราจีนหรือแม้แต่สีส้มจากน้ำผลไม้ลงไป  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 381 ยิ้มจนน่าเกลียด  

 

 

           ได้กลับมาในที่ของตัวเอง ชีวิตน้อยๆ ของเจียงมู่เฉินก็สบายใจขึ้นมากทีเดียว อยู่ในที่ของคนอื่น ต่อให้จะสะดวกสบายอย่างไรก็สู้การอยู่บ้านตัวเองไม่ได้จริงๆ  

 

 

           บวกกับข้างกายยังมีซือเหยี่ยนคนหนึ่งที่เรียกใช้ได้ตลอดเวลาด้วย  

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนอยู่โรงพยาบาลวันเดียว ก็ให้ซือเหยี่ยนพาเขากลับไปแล้ว  

 

 

           เขาพบแล้วว่าตัวเองช่างมีดวงกับโรงพยาบาลจริงๆ เอะอะก็มาที่นี่  

 

 

           เห็นทีว่าหลังจากนี้จะพิจารณาเรื่องบัตรวีไอพีของโรงพยาบาลได้แล้วหรือเปล่า  

 

 

           จะได้ลดความยุ่งยากในการมาครั้งต่อไปอีก  

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบคางครุ่นคิดอย่างจริงจัง รู้สึกว่าข้อเสนอนี้ก็ไม่เลวทีเดียว  

 

 

           ซือเหยี่ยนกลับมาจากข้างนอก ก็เห็นเจียงมู่เฉินทำหน้าทำตาแปลกพิลึกอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินเข้าไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของเตียง “ทำอะไรอยู่ ยิ้มน่าเกลียดขนาดนี้เชียว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “คุณชายอย่างฉัน ทำสีหน้าแสดงอารมณ์อะไรก็ไม่น่าเกลียด โอเคไหม”  

 

 

           ‘เขาออกจะหล่อขนาดนี้ จะน่าเกลียดได้ยังไงกัน’  

 

 

           คนคนนี้พูดจา ไม่มีประโยคไหนน่าฟังเลยจริงๆ  

 

 

           “จะไปได้หรือยัง” เจียงมู่เฉินถาม  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ได้แล้ว ผมไปเอาผลรายงานการตรวจมาเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร ออกจากโรงพยาบาลได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินก็ตื่นเต้นดีใจในทันใด  ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ดีจัง  

 

 

           “นายไปหยิบเสื้อผ้ามาให้ฉันที ฉันจะเปลี่ยนชุด”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไปหยิบชุดให้เขาอย่างอารมณ์ดี เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้หลบหลีกไปไหน เขาใส่เสื้อผ้าต่อหน้าซือเหยี่ยน  

 

 

           ถึงอย่างไรระหว่างพวกเขาก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นกัน ถ้าหลบกันก็ชักจะเสแสร้งเกินไปหน่อยจริงๆ  

 

 

           อีกอย่าง รูปร่างเขาออกจะดีขนาดนี้ มีอะไรให้ต้องหลบซ่อนกัน  

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่าเขาไม่ติดนิสัยโชว์เนื้อหนัง ทุกวันเขาก็จะแต่งตัวเซ็กซี่นิดๆ ให้คนมาชื่นชมเรือนร่างอันดูดีของเขาไปแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ นัยน์ตาจมดิ่งในอารมณ์ ถ้าหากว่าเขารู้ถึงความคิดในใจเหล่านี้ของเจียงมู่เฉิน เกรงว่าต้องอบรมสั่งสอนเจียงมู่เฉินสักชุดหนึ่งแล้ว  

 

 

           ‘กล้าใส่น้อยชิ้น จะให้คนอื่นดูหรือไง’  

 

 

           เจียงมู่เฉินคงจะอยากท้าทายฟ้าดินแล้ว  

 

 

           เขาแกะกระดุมชุดของผู้ป่วย แล้วถอดออกมา จากนั้นยื่นมือไปหยิบเสื้อผ้าที่ซือเหยี่ยนวางไว้อยู่ข้างๆ   

 

 

           เขาสวมใส่ชุดอย่างอ้อยอิ่ง ไม่รีบร้อนเลยสักนิด ราวกับมองข้ามไม่สนใจว่ายังมีซือเหยี่ยนอยู่ข้างๆ อย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           ซือเหยี่ยนขบกรามแล้วขบกรามอีก  เฉินเฉินของเขาเป็นฝ่ายให้ท่าเองแบบนี้ ถ้าตัวเองยังไม่ทำอะไรสักอย่าง ต้องขออภัยการให้ท่านี้แล้ว  

 

 

           เขาส่งมือไปกดเจียงมู่เฉินไว้ “ในเมื่อไม่อยากใส่ ก็ไม่ต้องใส่แล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบเอามือยันเขาไว้ทันที “ใครไม่อยากใส่กัน ตอนนี้ฉันกำลังใส่อยู่ไม่ใช่หรือไง จู่ๆ นายมากดฉันทำไม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง “ท่าทางคุณนี่คือกำลังใส่อยู่เหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตากลับไป “ยังไงกัน ตอนฉันใส่เสื้อ ยังต้องให้นายมายุ่งด้วยเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูดวงตาแสนเย่อหยิ่งคู่นี้ แล้วเอ่ยโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ผมเป็นแฟนของคุณ ผมยุ่งได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าการที่เมื่อวานตัวเองยอมตกลงคืนดีกับเขาเป็นการขุดหลุมฝังกลบตัวเองอีกแล้ว  

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะเอามาเป็นข้ออ้าง เจียงมู่เฉินขบกรามอยากจะกัดคน  

 

 

           “นายปล่อยมือเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงกดเขาไว้เหมือนเดิม “ไม่ปล่อย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนดวงตาดอกท้อของตัวเองหรี่ลงมองเขา “นายเป็นบ้าเหรอ จะมากดฉันแบบนี้ทำไม ในโรงพยาบาลนายช่วยสำรวมสักหน่อยจะได้ไหม”  

 

 

           ‘บ้ากาม เอะอะก็คิดเอาเปรียบเขาตลอด’  

 

 

           จ้องเขาอย่างนี้ วันเวลาช่วงนั้นที่อยู่ข้างซูเตอร์ เขาอดทนไหว ไม่เคยคิดจะเป็นอื่นจริงๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะพินิจมองเขาไม่ได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นแบบนี้ก็มองเขาอย่างขำขัน “อะไรกัน รู้สึกว่าผมหล่อเกินไป เลยอยากดูผมเยอะๆ เหรอ”  

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ฉันรู้สึกว่านายโรคจิตเกินพอแล้วจริงๆ อยากจะกัดนายให้ตายซะจริงๆ”  

 

 

           เขาส่งคอให้โดยไม่ลังเลเลยสักนิด “มาสิ ผมรับรองจะไม่ขัดขืน”  

ตอนที่ 378 ฝืนใจเชื่อ

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้ว่าในใจเขาวิตกกังวลและอดทนอยู่ ก็เอ่ยปลอบโยน “วางใจเถอะ ผมจัดการได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนจัดการธุระให้ ตัวเองยังวางใจได้  ถึงแม้เจ้าหมอนี่บางครั้งจะดูโรคจิตไปสักหน่อยก็เถอะ

 

 

           “เอาเถอะ จะฝืนใจเชื่อนายสักครั้งแล้วกัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินคำว่า ‘ฝืนใจ’ สองคำนี้ ก็อดจะหรี่ตาลงไม่ได้ จู่ๆ เขาก็เข้าใกล้และโน้มตัวเข้าหาเจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบเอามือขึ้นมากันไว้ทันที “จู่ๆ นายมาเข้าใกล้ฉันทำไม ไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นผู้ป่วย ต้องรักษาระยะห่างสิ”

 

 

           ซือเหยี่ยนขบกราม “ผมเห็นว่าคุณพูดชัดถ้อยชัดคำแบบนี้ ไม่เปลี่ยนท่าทีเลย ไม่เหมือนผู้ป่วยเลยสักนิด”

 

 

           “จะเป็นผู้ป่วยหรือไม่ หมอพูด ฉันนับ นายพูด ฉันไม่นับ”

 

 

           “เฉินเฉิน ระหว่างพวกเรายังมีบัญชีที่ต้องสะสางอีกนิดหน่อยใช่หรือเปล่า” ซือเหยี่ยนขบกรามเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           เจียงมู่เฉินเบิกตามองเขาอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “นายพูดอะไร ฉันฟังไม่รู้เรื่อง”

 

 

           ‘ล้อเล่นอะไรกัน เวลานี้เขาไม่มีแรงจะสู้ ไม่มีทางจะยอมรับเด็ดขาดหรอก’

 

 

           “ทำไมถึงต้องไปกับฟู่เหยี่ยนด้วย”

 

 

           “มีแต่ผีเท่านั้นแหละถึงจะไปกับเขาได้ ฉันถูกทำให้หมดสติแล้วถูกพาตัวไปชัดๆ โอเคไหม”  เขาตกต่ำถึงขั้นต้องรอให้ฟู่เหยี่ยนมาลักพาตัวเขาไปเลยเหรอ

 

 

           “อีกอย่าง ถ้านายกับแฟนหนุ่มน้อยของนายไม่ส่งความรักผ่านสายตากันไปมา ฉันจะถึงขั้นถูกคนพาตัวไปเหรอ” เจียงมู่เฉินเอ่ยขึ้นมาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที

 

 

           พอคิดถึงว่าเมื่อตอนที่เขาไม่รู้ ซือเหยี่ยนอยู่ด้วยกันกับซูเตอร์ตลอด เขาก็อดจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไม่ได้

 

 

           ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้เลิกกัน ซูเตอร์ก็วางยาจะลักหลับซือเหยี่ยน

 

 

           ใครจะรู้ว่าช่วงเวลานั้นที่เขาไม่อยู่ ว่าเพื่อได้รับความไว้วางใจจากซูเตอร์ ซือเหยี่ยนได้เอาตัวเข้าแลกหรือเปล่า

 

 

           คิดถึงตรงนี้ เจียงมู่เฉินดันไหล่ซือเหยี่ยนเอาไว้ “นายแม่งยังไม่อธิบายฉันให้ชัดเจนเลยนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนทำหน้าซื่อๆ “อธิบายอะไร”

 

 

           “อธิบายเรื่องนายกับซูเตอร์ไง อธิบายอะไรมาเลย”

 

 

           “ผมกับซูเตอร์เหรอ มีอะไรให้น่าอธิบาย”

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะถูกซือเหยี่ยนกดขาไว้ เขาอยากจะยกเท้าถีบซือเหยี่ยนจริงๆ “นายอย่ามาแกล้งโง่กับฉันเลย นายอยู่กับซูเตอร์ทั้งวัน ซูเตอร์เองก็หน้าตาใช้ได้ รูปร่างก็ดี…

 

 

           …เอวบาง ขาเรียว ก้นใหญ่ นายไม่ได้ทำอะไรกับเขาเลยหรือไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ่งคิดยิ่งโมโห “ถึงยังไงเขาก็ต้องอยากเป็นฝ่ายนอนรอนายเองมากอยู่แล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองใบหน้าเจียงมู่เฉินที่เต็มไปด้วยแรงหึงอย่างตลกขบขัน  เจ้าบื้อนี่ป่านนี้แล้วถึงนึกจะมาซักไซ้ไล่เรียงว่าสายเกินไปหรือเปล่า

 

 

           ‘ถ้าเกิดขึ้นจริง ก็เกิดขึ้นไปนานแล้ว’

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นรอยยิ้มลามปามบนใบหน้าของเขา ก็หรี่ตาลง “ไม่ต้องยิ้มเลย รีบสารภาพมา นายทำกับเขาหรือยัง”

 

 

           ซือเหยี่ยนปล่อยมือ สีหน้าครุ่นคิด ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยปาก “ผมคิดก่อน…”

 

 

           เจียงมู่เฉินระเบิดลง

 

 

           “คุณอยากพูดว่าเขาอาบเสร็จก็แอบย่องมาห้องผม หรือว่าเป็นนอนอยู่บนเตียงผม หรือว่าจะอาบน้ำด้วยกันกับผม”

 

 

           ทุกคำทำประโยคของซือเหยี่ยน ความโมโหบนใบหน้าของเจียงมู่เฉินก็ยิ่งเพิ่มพูน เขาเดือดดาลจนเด้งตัวขึ้นมาจากเตียง เอื้อมมือไปกดซือเหยี่ยนไว้

 

 

           “นายแม่งจงใจใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไขสือยิ้มหัวเราะ “เป็นสิ่งที่คุณถามผมไม่ใช่เหรอ”

 

 

           “ฉันถามนาย ให้นายพูดลงลึกแล้วหรือไง”

 

 

           “คนซื่อสัตย์อย่างผมคนนี้ ในเมื่อคุณถามผม ผมก็ต้องพูดเป็นธรรมดา”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม  หมั่นไส้ความซื่อสัตย์ของเขาจะตายชัก ความซื่อสัตย์ในลักษณะนี้ ไม่ได้อยากได้เลยสักนิด โอเคไหม

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างขำๆ เห็นเขาโกรธจริงๆ แล้ว ก็รีบโอ๋เขาเสียเดี๋ยวนั้น “เปล่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “เปล่าอะไร”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำย้ำอีกครั้ง “ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินงุนงง “หมายความว่าไง”

 

 

           “ในใจคุณ ผมเป็นพวกใจง่ายทนเขายั่วไม่ได้แบบนั้นเหรอ”

 

 

           

 

 

ตอนที่ 379 ซือเหยี่ยนขอคืนดี

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากพยักหน้า แต่ก็กลัวว่าหากซือเหยี่ยนโกรธแล้วจะลงไม้ลงมือกับเขา สุดท้ายก็ทำได้เพียงทำหน้าบึ้งตึงไม่พูดจา

 

 

           “ระหว่างผมกับซูเตอร์ไม่มีอะไร นอกจากบางครั้งถูกเขาควงแขน ไม่ก็ดึงเสื้อผ้าอะไรทำนองนั้นเอง”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้น “ผมรับรอง นอกจากมือแล้ว ไม่มีส่วนอื่นสัมผัสโดนซูเตอร์”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเขาพูดขนาดนี้ ในใจก็โล่งอกได้สักที

 

 

           “นายไม่ได้ทำก็ดีแล้ว ถ้ากล้าทำอะไรลงไป ฉันรับรองจะเล่นงานนายตายแน่”

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปดันมือเขาที่กดตัวเองอยู่ “ปล่อยมือก่อนได้ไหม”

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ เวลานี้ถึงได้ปล่อยมือ

 

 

           “ที่ผมควรอธิบายทั้งหมดก็อธิบายเสร็จแล้ว ตอนนี้ถึงตาคุณอธิบายแล้วหรือเปล่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความงงงวยในทันใด “ฉันมีอะไรให้ต้องอธิบาย”

 

 

           “คุณกับฟู่เหยี่ยน”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่รับผิด “ฟู่เหยี่ยนกับฉันก็คือคนลักพาตัวกับคนถูกลักพาตัวก็เท่านั้นเอง ยังมีอะไรให้ต้องสารภาพได้อีกเหรอ”

 

 

           “แต่ผมกลับรู้สึกว่าคุณอยู่ในที่ของฟู่เหยี่ยนแล้วเพลินมากจนลืมบ้านลืมช่องเลยนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “ก็พอได้มั้ง มีให้กินมีให้ดื่ม ยังถือว่าโอเคอยู่”

 

 

           ซือเหยี่ยนขบกรามอยากจะกัดเขาสักคำ รู้สึกมาเสมอว่าท่าทางของเจียงมู่เฉินเมื่อครู่นี้อวดดีเกินเยียวยา

 

 

           ‘ถูกศัตรูลักพาตัวไป ยังไม่สำนึกเลยสักนิด’

 

 

           “นายคิดอะไร อยากทำเรื่องไม่ดีอะไร ก็รีบควบคุมตัวเองไว้ซะ อย่าทำเรื่องที่ตัวเองมาเสียใจทีหลังเด็ดขาด”

 

 

           ซือเหยี่ยนหน้าดำคร่ำเครียดแล้ว “เรื่องที่ผมมาเสียใจทีหลังที่สุด ก็คือควรจะผูกคุณติดกับเอวไว้ จะได้ไม่ให้คุณออกมาอ่อยไปทั่ว เป็นตัวหายนะให้คนอื่น”

 

 

           เจียงมู่เฉินถูกเขาเรียกว่า ‘ตัวหายนะ’ ก็ยังเพลินใจอยู่ไม่น้อย  ตัวหายนะแล้วไง คนธรรมดายังเป็นตัวหายนะกันไม่ไหวเลย

 

 

           ‘จะเป็นตัวหายนะได้ไม่ใช่คนธรรมดาจะเป็นกันได้นะ’

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดนัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นของเขา “ยังไงกัน นายอยากเป็นตัวหายนะก็เป็นไม่ไหวเหรอ ฉันเป็นตัวหายนะได้ อย่างน้อยก็มีคุณสมบัติเป็นตัวหายนะได้นะ”

 

 

           ในที่สุดซือเหยี่ยนก็ทนไม่ไหวแล้ว เขาเห็นท่าทางโอ้อวดของเจียงมู่เฉิน ก็ก้มหน้ากัดเขาไปคำหนึ่งอย่างรวดเร็ว

 

 

           เขาป้องกันมาตั้งนาน คิดไม่ถึง ว่า ซือเหยี่ยนเจ้าโรคจิตจะขยับปากมากัดเขาได้

 

 

           ‘วันนี้จะผ่านไปไม่ได้แล้วจริงๆ’

 

 

           เขารีบเอื้อมมือไปจับซือเหยี่ยนไว้ รังสีอำมหิตแผ่ปกคลุม “นายเป็นหมาหรือไง อ้าปากก็กัดคนอย่างคาดไม่ถึง”

 

 

           ซือเหยี่ยนผู้โดนด่าว่าเป็นหมาก็ก้มหน้ามองเขาด้วยสัญญาณอันตราย “อะไรกัน ไม่เจอกันมาพักหนึ่ง กัดสักคำก็ไม่ได้เหรอ”

 

 

           “ฉันจะพูดอีกครั้งนะ ฉันยังไม่ได้คืนดีกับนาย” เจียงมู่ฌฉินมองเขาอย่างเย่อหยิ่ง “นายจูบฉันก็คือการลวนลามกัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกว่าเวลาช่วงหนึ่งเจียงมู่เฉินไม่ได้รับคำเป็นอำนาจสิทธิ์ขาดของตัวเอง กลัวว่าเจียงมู่เฉินจะลืมแล้วว่าแฟนของเขาเป็นใคร

 

 

           แววตาเขาประกายความอันตราย ฉวยโอกาสยามเจียงมู่เฉินไม่ทันระวังตัว เข้าไปประกบปากเขาไว้

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงัน รู้สึกว่า เจ้าหมอนี่หน้าไม่อายถึงขั้นสุดแล้ว

 

 

           เอะอะก็สัมผัสไปสัมผัสมา จูบไปจูบมา

 

 

           ‘คุณชายยังไม่ได้คืนดีกับนายนะ ก็มาบีบบังคับกันเลย’

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนทุ่มสุดตัวต่อต้าน แต่จะทำอย่างไรได้ซือเหยี่ยนกดทับเขาไว้อย่างแนบสนิท รวมเข้ากับการเกี่ยวพันกันของริมฝีปาก ก็ขยับตัวไม่ไหวมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           จึงทำได้เพียงโดนเขากดไว้กับเตียงอย่างว่าง่าย กระดิกตัวไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น

 

 

           จนกระทั้งซือเหยี่ยนจูบเขาจนเขาหมดเรี่ยวแรง ซือเหยี่ยนถึงได้ปล่อยมือ

 

 

           “เป็นยังไงบ้าง จะคืนดีกันไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างไม่หวั่นไหว “ไม่คืนดี”

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง กดเขาลงไปอีกครั้ง

 

 

           พอเจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเขาแบบนั้นก็หวาดกลัวขึ้นมาในทันใด รีบใช้มือยันเอาไว้ “พี่ชาย นายไม่จบไม่สิ้นสักทีเหรอ ยังจะมาอีกอยู่ได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “คุณเห็นด้วยเมื่อไหร่ ผมก็จะปล่อยมือเมื่อนั้น”

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขาด้วยความเดือดดาล เขาทำให้ตัวเองโกรธจนจะตายจริงๆ แล้ว

 

 

           เขาถลึงตาใส่ซือเหยี่ยน “นายข่มขู่ฉันเหรอ”

ตอนที่ 376 ซือเหยี่ยน ฉันกลับมาแล้ว

 

 

           “ไปกันก่อนเถอะ รอมีเวลาที่เหมาะเจาะแล้วค่อยว่ากันไหม”

 

 

           “ซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินก็ส่งให้นายแล้ว ถึงแม้ว่าเริ่มต้นจะมีเจตนาไม่บริสุทธิ์กับเขา แต่อย่างน้อยผมก็ยังทำเรื่องนี้เพื่อเขาได้”

 

 

           ซังจิ่งถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะมีวันนี้ เขารับประกันว่าจะไม่มีทางรับภารกิจในตอนนั้น

 

 

           อย่างน้อยบางทีเขาอาจจะเป็นเพื่อนกับเจียงมู่เฉินได้

 

 

           แต่ไม่ใช่หลอกใช้แบบนี้

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นภาพการณ์แล้วก็เข้าใจว่าซังจิ่งตัดสินใจแล้ว ว่าไม่สามารถจะไปกับพวกเขาได้ เขากลัวพ่อบ้านหลินจะตามมาทัน จำใจต้องเอ่ย “งั้นคุณก็ระวังความปลอดภัยด้วย ผมกับเขาจะรอคุณที่ถานโจวนะ”

 

 

           ซังจิ่งพยักหน้า “รีบออกไปจากที่นี่เถอะ”

 

 

           เวลานี้เองซือเหยี่ยนถึงได้อุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป

 

 

           เพียงครู่เดียวเฮลิคอปเตอร์ก็หายไปท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ซังจิ่งมองดูเฮลิคอปเตอร์ที่ยิ่งมองยิ่งลับสายตาแล้วยกมุมปากขึ้น

 

 

           ‘ครั้งนี้ถือว่าเขาชดใช้ความผิดแล้วใช่ไหม’

 

 

           ……

 

 

           ‘ปวดหัว…’

 

 

           เหมือนทั้งหัวเขาอยากจะแยกออกจากกันอย่างไรอย่างนั้น เขาเจ็บปวดจนอดจะยกมือขึ้นมากุมหัวไม่ได้

 

 

           เขาพึ่งจะขยับมือ ก็ถูกคนยื่นมือมาจับไว้ มีคนเอ่ยเสียงต่ำที่หูเขา “อย่าเพิ่งขยับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ คืนสติกลับมาทีละนิดๆ เขาลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก็ได้เห็นใบหน้าของซือเหยี่ยนพอดี

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น เจียงมู่เฉินยังตกอยู่ในภวังค์

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น ยามที่ได้เห็นใบหน้าของซือเหยี่ยน ความทรงจำที่มีมากมายเกินไปก็บีบอัดเบียดเสียดกรูกันเข้ามาในหัว

 

 

           พวกเขาเจอกันที่อเมริกา รักกัน จากนั้นก็แยกจากกัน ยังมีเรื่องนั้นที่พวกเขาต่างฝ่ายต่างขัดหูขัดตากันมาห้าปี หลังจากที่เขาสูญเสียความทรงจำไป

 

 

           จนกระทั่งพวกเขาได้มารักกันอีก…

 

 

           เจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ ความทรงจำที่เขาสูญเสียไปที่เอาแต่วกไปวนมา ในที่สุดก็กลับเข้าสมองเขามาแล้ว

 

 

           เขาไม่เคยคิดเลยว่าที่แท้ตัวเองกับซือเหยี่ยนจะคือคนรักกันเมื่อหลายปีก่อน

 

 

           แล้วแฟนเก่าที่เขาคิดเล็กคิดน้อยมาตลอด ที่จริงก็คือตัวเขาเองเท่านั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าน่าตลกจนยกยิ้มมุมปากขึ้น  ที่แท้คนที่เขาหึงมาตลอดก็คือตัวเขาเอง

 

 

           ‘ที่แท้ในใจของซือเหยี่ยน ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีเพียงแค่เขาคนเดียวมาโดยตลอด’

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากของเจียงมู่เฉิน ก็เอ่ยถามเสียงต่ำ “เป็นไรไป ผมดูน่าขำมากเลยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูดวงตาซือเหยี่ยนที่เหนื่อยล้าจนปรากฏเส้นเลือดฝอยขึ้นมา

 

 

           เขาขยับมือพลิกฝ่ามือมาจับมือของซือเหยี่ยนไว้ เอ่ยเน้นคำต่อคำ “ซือเหยี่ยน ฉันกลับมาแล้ว”

 

 

           ‘เจียงมู่เฉินคนเดิมที่เป็นของเขา ในที่สุดก็กลับมาแล้ว’

 

 

           คำสั้นๆ แค่หกคำ เพียงชั่วพริบตาเดียวกลับทำให้ดวงตาของซือเหยี่ยนชุ่มฉ่ำ

 

 

           เขาก้มมองเจียงมู่เฉินตาไม่กะพริบ เวลาผ่านไปนาน จู่ๆ เขาก็ก้มหน้าประทับริมฝีปากที่ขาวซีดของเจียงมู่เฉิน กดจูบลงไปอย่างหนักหน่วง

 

 

           ‘เฉินเฉินของเขา ในที่สุดก็กลับมาอยู่ข้างกายเขาแล้ว’

 

 

           เจียงมู่เฉินยอมรับจูบของเขาแต่โดยดี เกรงว่านาทีนี้จะไม่มีวิธีการใดทำให้เขาใจเต้นเท่าตอนนี้แล้ว

 

 

           เขาเอื้อมมือไปกุมมือซือเหยี่ยนไว้แน่นหนา มือสอดกระสานกันอย่างแนบแน่น

 

 

           หัวใจสองดวงที่พลัดพรากจากกันมานานแสนนาน ในที่สุดนาทีนี้ก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว

 

 

           เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ซือเหยี่ยนถอยห่างเพียงเล็กน้อย เขาแนบชิดที่ข้างหูของเจียงมู่เฉิน เอ่ยเสียงนุ่ม “ยินดีต้อนรับกลับมานะ”

 

 

           ……

 

 

           หลบหนีมาแล้วยังมาขึ้นเครื่องบินอีก เจียงมู่เฉินก็ไข้ขึ้นจนได้ กว่าจะถึงถานโจวไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซือเหยี่ยนรีบส่งตัวเจียงมู่เฉินไปโรงพยาบาลทันที

 

 

           รักษาประคับประคองอาการครั้งแล้วครั้งเล่าติดต่อกันสามวันเต็มๆ เจียงมู่เฉินก็ยังไม่ฟื้นคืนสติกลับมา

 

 

           ในสามวันนี้ ซือเหยี่ยนอยู่เคียงข้างกายเจียงมู่เฉินตลอด ไม่กล้าจะจากไปไหนแม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ กลัวว่าหากเจียงมู่เฉินตื่นขึ้นมา คนแรกที่เห็นหน้าจะไม่ใช่เขา

 

 

           เจียงมู่เฉินทุกข์ทรมานอยู่สามวันถึงหนีรอดจากความตายขึ้นมาได้ ส่วนซือเหยี่ยนก็ผอมลงเกือบเท่าตัว

 

 

           แม้แต่หนวดเคราเขียวขึ้นบนใบหน้า เขาก็ไม่กะจิตกะใจจะมาสนใจด้วยซ้ำ

 

 

           ยังดีที่ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้ว

 

 

           ถึงแม้จะตื่นขึ้นมาเพียงไม่กี่นาที แล้วจะนอนหลับลงไปอีกครั้งก็ตาม

 

 

           ซือเหยี่ยนจับมือเจียงมู่เฉินไว้ หลับตาลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขากำลังนึกถึงอะไรถึงได้ยกมุมปากขึ้นเบาๆ

 

 

           เมื่อครู่เพียงเสี้ยวเวลานั้นเขาเกือบจะร้องไห้ออกมาต่อหน้าเจียงมู่เฉินแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนห้ามใจยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมากดบริเวณดวงตาที่เจ็บปวดไม่ได้

 

 

           ยังดี…ที่เขาไม่ได้ทำอะไรน่าขายหน้าออกมาต่อหน้าเจียงมู่เฉิน

 

 

           

 

 

ตอนที่ 377 นายน่าเกลียดจริงๆ

 

 

           วันต่อมา เจียงมู่เฉินตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หมอได้เข้ามาตรวจดูอาการแล้ว บอกว่าอาการของเขาดีขึ้นมากแล้ว ขอเพียงแต่พักฟื้นอีกไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว

 

 

           ครั้งนี้ที่ตื่นมา สีหน้าเจียงมู่เฉินดีกว่าเมื่อวานเยอะมาก

 

 

           เขาเห็นใบหน้าอันเ**่ยวเฉาของซือเหยี่ยนก็อดจะออกปากไม่ได้ “ซือเหยี่ยน นายไปโกนหนวดล้างหน้าล้างตาสักหน่อยดีไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้ามองเจียงมู่เฉินที่พิงหัวเตียงกินผลไม้อยู่ “แบบนี้ผมน่าเกลียดมากเลยเหรอ”

 

 

           เดิมทีลำบากแค่ไหนก็ไม่ตาย เขาควรจะโจมตีซือเหยี่ยนขนาดนี้ไม่ได้

 

 

           แต่ว่า เขาทนไม่ไหวจริงๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนมอมแมมแบบนี้ ยังจะมีมาดหัวสูงขี้เก๊กของเขาตอนที่เพิ่งรู้จักกันอยู่หรือ

 

 

           ด้วยเหตุนี้ เจียงมู่เฉินคิดแล้ว ตัดสินใจบอกไปตรงๆ จะโกหกซือเหยี่ยนไม่ได้

 

 

           เขาพยักหน้าด้วยท่าทีจริงใจ “บอกตามตรง น่าเกลียดจริงๆ”

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเจ็บปวดในทันใด  ถูกแฟนของตัวเองพูดว่าตัวเองน่าเกลียด…

 

 

           ‘วันนี้ยังอยากจะผ่านไปอยู่ไหม’

 

 

           ซือเหยี่ยนหยิบแอปเปิลจากในมือเขามา กัดเข้าไปเต็มๆ คำ “ผมเป็นแฟนของคุณ ต่อให้น่าเกลียด ก็จะรังเกียจกันไม่ได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “พี่ชาย ฉันยอมตกลงคืนดีกับนายแล้วหรือไง”

 

 

           เขายังไม่ลืมว่าตอนนี้ตัวเองกับซือเหยี่ยนยังอยู่ในสถานะเลิกกัน

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย “อะไรกัน จนถึงตอนนี้แล้ว คุณยังไม่อยากจะคืนดีกับผมอีกเหรอ”

 

 

           สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความข่มขู่ เจียงมู่เฉินชิงแอปเปิลจากในมือเขามาด้วยท่าทีอ่อนแอ กัดเข้าไปคำหนึ่งเสียงดังฟังชัด “ฉันจะบอกนายให้นะ ตอนนี้ฉันเป็นคนไข้ นายจะใช้กำลังกับฉันไม่ได้นะ”

 

 

           ขมับซือเหยี่ยนกระตุกแล้วกระกระตุกอีก รู้สึกว่าเจียงมู่เฉินไม่มีท่าทางเหมือนคนไข้เลยสักนิด

 

 

           เขากุมขมับอย่างทำอะไรไม่ได้ จะทำอย่างไรได้ตอนนี้เจียงมู่เฉินเป็นคนที่กำลังไม่สบายอ แถมยังมีป้ายทองเว้นตายอยู่ จึงจำใจต้องไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่าง่าย

 

 

           ถึงอย่างไรต่อหน้าแฟนที่ยังไม่ได้คืนดีกัน ภาพลักษณ์ก็สำคัญอยู่ไม่น้อย

 

 

           ซือเหยี่ยนไปโกนหนวด เปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีแต่รอยยับ นอกจากจะสูบเซียวไปสักหน่อย เขาก็กลับมาเป็นซือเหยี่ยนในมาดหัวสูงขี้เก๊กใหม่อีกครั้งแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยนในมาดใหม่ที่ดูสะอาดตา ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ  แฟนของเขานี่ช่างหล่อเอาเรื่องจริงๆ

 

 

           ‘แต่งองค์ทรงเครื่องนิดหน่อย ก็ดูดีจนไม่ไหวๆ แล้ว’

 

 

           “โอเคหรือยัง” ซือเหยี่ยนเอ่ยถาม

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้าด้วยความพอใจเต็มเปี่ยม “ก็พอได้นะ ยังไงซะนายก็แต่งองค์ทรงเครื่องดูดีไม่สู้ฉันอยู่แล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ ครุ่นคิดอย่างจริงจัง  นิสัยเย่อหยิ่งทะนงตัวแล้วยังหลงตัวเองของเฉินเฉินนี่ตกลงแล้วไปเรียนกับใครมากันแน่

 

 

           เมื่อก่อนที่อยู่อเมริกากัน ก็ไม่เคยเห็นเขาหลงตัวเองอย่างนี้มาก่อน

 

 

            “เอ่อใช่ เรื่องที่ฉันกลับมา พ่อแม่ฉันรู้เรื่องหรือยัง” เจียงมู่เฉินกังวลเรื่องปัญหานี้มาโดยตลอด

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัว “ตอนนี้ผมยังไม่ได้บอกพวกท่าน”

 

 

           ได้ยินคำตอบนี้ เจียงมู่เฉินก็โล่งอกไปที “อย่าเพิ่งบอกตอนนี้…

 

 

           …ใช่สิ หาคนไปบอกแม่ฉันที ว่าฉันมีเรื่องด่วนที่อเมริกา ยังกลับไม่ได้ชั่วคราว”

 

 

           “วางใจเถอะ เรื่องอาเจียงกับน้าเจียง ก่อนหน้านี้ผมให้คนไปจัดการให้เข้าที่เข้าทางไว้หมดแล้ว”

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นเจียงมู่เฉินไม่กลับมาตั้งหลายวันขนาดนี้ ตระกูลเจียงจะยังสงบเงียบขนาดนี้ได้อย่างไร

 

 

           ทั้งยังไม่ก่อการใหญ่เพื่อเจียงมู่เฉินตั้งแต่แรกด้วย

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเขาพูดแบบนี้ ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ

 

 

           “อืม ก่อนที่ฉันจะหายดี อย่าให้เรื่องใดใดที่เกี่ยวกับฉันรู้ไปถึงหูพ่อแม่ฉันเด็ดขาด”

 

 

           ถ้าแม่เขารู้ว่าเขาบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วซือเหยี่ยนก็อยู่ด้วย ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะวุ่นวายจนเป็นกลายเป็นแบบไหน

 

 

           ตอนนี้กว่าเขากับซือเหยี่ยนจะคลี่คลายความเข้าใจผิดได้ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าให้แม่เขายื่นเท้าเข้ามาเอี่ยวด้วย ถึงตอนนั้นจะยิ่งยุ่งยากกันไปใหญ่

 

 

           และที่สำคัญไปกว่านั้น ก่อนที่เขาจะมาดูงานที่เมืองนอก คุณแม่เจียงตัดขาดกับซือเหยี่ยน

 

 

           ถ้ารู้ว่าตัวเองบาดเจ็บแล้วยังมาอยู่กับซือเหยี่ยนอีก ถึงตอนนั้นเกรงว่าซือเหยี่ยนก็จะลำบากอยู่ไม่น้อยทีเดียว

 

 

           ดังนั้นตอนนี้เขาจะให้คุณแม่เจียงรู้เรื่องที่ตัวเองกลับมาถานโจวแล้วอยู่โรงพยาบาลไม่ได้โดยเด็ดขาด

ตอนที่ 374 คุณชายจะไปเป็นเพื่อนนายด้วย  

 

 

           ซือเหยี่ยนตะลึงงัน มองเขาอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้  

 

 

           “ฉันเคยคำนวณความสูงของที่นี่แล้ว กระโดดลงไปไม่แน่ว่าจะตายเสมอไปหรอก”  

 

 

           เขาหยุดสักพัก ก่อนจะยิ้มหัวเราะ “ถ้าหากว่าไม่ระวังแล้วตายไป คุณชายก็จะไปเป็นเพื่อนนายด้วย”  

 

 

           ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นมาในใจระลอกหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เขาเอียงหน้ามองแววตาอันเด็ดเดี่ยวของเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น อีกนิดเขาเกือบจะเปลี่ยนใจแล้ว  

 

 

           แต่นาทีต่อมาเขากลับผลักเจียงมู่เฉินไปอยู่ข้างหลังเขา “คุณเห็นชอบเรื่องนี้ แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมทำใจเห็นคุณตายไม่ได้”  

 

 

           เพิ่งจะสิ้นเสียงเขา คนไม่กี่คนที่อยู่รอบข้างก็กรูกันเข้ามา ซือเหยี่ยนตะลุมบอนต่อสู้กับคนสามคน  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูแผ่นหลังของซือเหยี่ยน กำหมัดแน่น และก็ไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดของซือเหยี่ยน  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่เห็นด้วย นั่นก็เป็นเรื่องของซือเหยี่ยน  

 

 

           ให้เขาหนีไปคนเดียวโดยลำพัง เขาเจียงมู่เฉินเองก็ทำไม่ลง  

 

 

           เจียงมู่เฉินเข้าร่วมการต่อสู้ที่ชุลมุนนี้โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเงาของเขาก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ “คุณกลับมาทำไม ให้คุณไปไม่ใช่เหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้น “คุณชายบอกแล้ว ต่อให้ตายก็จะตายไปด้วยกันกับนาย”  

 

 

           พ่อบ้านหลินพาบอดี้การ์ดมาเพียงแค่สี่คน เพียงครู่เดียวก็ถูกเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนซัดจนลงไปกองกับพื้น  

 

 

           พ่อบ้านหลินเห็นเหตุการณ์แล้ว ก็ยกปืนในมือขึ้นชี้หน้าซือเหยี่ยน “คุณเจียง ปืนนี้ไม่หลอกตานะครับ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินหยุดการกระทำของเขาทันที มาบังตัวอยู่ข้างหน้าซือเหยี่ยนโดยไม่ลังเลเลยสักนิด “ถ้านายอยากฆ่าเขา ก็ฆ่าฉันก่อนสิ เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่านายฆ่าฉันแล้ว นายจะยังมีวิธีไปรายงานคุณชายของนายอยู่หรือเปล่า”  

 

 

           คำพูดของเขาทำให้พ่อบ้านหลินชะงักไปเล็กน้อย เจียงมู่เฉินเห็นสถานการณ์แล้วก็เอื้อมมือจับซือเหยี่ยนไว้ มุ่งหน้าดิ่งลงด้านข้าง ทั้งสองคนกระโดดลงไปทั้งอย่างนั้น  

 

 

           พ่อบ้านหลินยิ่งปืนออกไปทันทีสองนัด แต่ตัวคนได้จมดิ่งหายไปท่ามกลางความมืดมิด ไม่เห็นร่องรอยแล้ว  

 

 

           ตอนนี้ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินกระโดดลงไปพร้อมกัน จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ เขารีบจัดคนไปตามหาโดยฉับพลัน  

 

 

           ‘ถึงยังไงรอดก็ต้องเจอคน ตายก็ต้องเจอศพ!’  

 

 

           เพียงเสี้ยวเวลาที่เจียงมู่เฉินคว้าซือเหยี่ยนกระโดดลงไป ในหัวก็ฉายสะท้อนภาพภาพหนึ่งขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดอย่างรุนแรง  

 

 

           ราวกับมีความทรงจำอะไรบุกทะลุผ่านสมองไปไม่มีผิด  

 

 

           มือที่รั้งซือเหยี่ยนไว้กำแน่นขึ้นมากะทันหัน จากนั้นเสียงหายใจหอบด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้นมา  

 

 

           ซือเหยี่ยนกำลังจะเตรียมถามเขา เสียงร่างกระทบน้ำดังครั้งหนึ่ง ทั้งสองคนร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำในบัดดล  

 

 

           ซือเหยี่ยนผ่านการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ รู้ว่าทำอย่างไรจะลดแรงกระแทกของร่างกายได้ นาทีนั้นที่ร่วงตกน้ำ ก็วูบไปเพียงไม่กี่วินาที  

 

 

           แต่ยังถือว่ายังฟื้นสติกลับมาได้เร็วมากอยู่ แต่เจียงมู่เฉินที่จับมือกันแน่นสนิทมาตลอดกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย  

 

 

           หัวใจซือเหยี่ยนบีบคั้น ทั้งร่างเหมือนโดนกระแสน้ำเย็นโหมกระหน่ำ หนาวเย็นตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาดำน้ำตามหาเจียงมู่เฉินอย่างบ้าคลั่ง  

 

 

           แต่ผืนทะเลกว้างใหญ่เกินไป ทั้งยังเป็นตอนกลางคืน อย่างไรก็มองไม่เห็นเจียงมู่เฉินอยู่แล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเหมือนคนเสียสติอย่างไรอย่างนั้น ตามหาไปทุกหนแห่ง เขาตามหาด้วยความกระวนกระวายใจอย่างไม่หยุดหย่อน ในหัวก็ฉายสะท้อนภาพใบหน้าของเจียงมู่เฉินอยู่ตลอดเวลา  

 

 

           เขาเพิ่งจะยืนอยู่ต่อหน้า เอ่ยอย่างภูมิใจว่า “ถ้าหากว่าไม่ระวังแล้วตายไป คุณชายก็จะไปเป็นเพื่อนนายด้วย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวใจบีบรัดตัวแน่นจนเจ็บ เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจค้นหาอย่างไม่คิดชีวิต เขายังไม่ตาย เจียงมู่เฉินก็จะตายไม่ได้เหมือนกัน  

 

 

           ‘ปีศาจตัวแสบอย่างเจียงมู่เฉินจะมาตายง่ายๆ ได้ยังไง’  

 

 

           ซือเหยี่ยนดำน้ำลงไปอย่างต่อเนื่อง ค้นหาอย่างไม่หยุดหย่อน หวังว่านาทีต่อไปจะได้เห็นเจียงมู่เฉิน  

 

 

           ครั้งแรกเขาปกป้องเจียงมู่เฉินไว้ไม่ได้  

 

 

           ครั้งที่สองเขาทนเห็นเจียงมู่เฉินตายไปต่อหน้าต่อตาเขาไม่ได้อีกแล้ว  

 

 

           ความอบอุ่นของอุ้งมือเจียงมู่เฉินยังคงหลงเหลืออยู่ในมือเขา ซือเหยี่ยนยังจำนาทีนั้นที่กระโดดลงมาได้ เขาพยายามกำมือของตัวเองอย่างแน่นหนัก  

 

 

           เขากำมือด้วยความหนักแน่น ราวกับอยากจะความอบอุ่นนั้นไว้  

 

 

           ‘เฉินเฉินของเขาออกจะเก่งซะขนาดนั้น จะมาตายง่ายๆ ได้ยังไง’  

 

 

           ไม่ว่าซือเหยี่ยนจะตามหาอย่างไร ในผืนทะเลอันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ไม่เห็นแม้เงาใครเลยสักคนเดียว  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูค่ำคืนอันมืดสนิท หัวใจก็ค่อยๆ เย็นจนชาลงทีละนิดๆ  

 

 

           ‘หรือว่าเฉินเฉินของเขา…จะไม่กลับมาอีกแล้ว’  

 

 

 

 

 

            ตอนที่ 375 หนีไปจากเกาะ  

 

 

           ทันใดนั้นทะเลที่เงียบสงบก็มีเสียงอ่อนแรงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ซือเหยี่ยนตกตะลึงทันที ลอยอยู่กลางทะเลไม่กล้าขยับไปไหน  

 

 

           เขาพยายามจะรักษาความเงียบสงบฟังอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง  

 

 

           “ซือ…ซือเหยี่ยน…”  

 

 

           เสียงขาดตอนดังขึ้นมา แววตาซือเหยี่ยนประกายความดีใจ รีบวิเคราะห์หาตำแหน่งของเสียงทันที  

 

 

           เขาว่ายน้ำตามต้นทางของเสียงไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ว่ายน้ำก็เอ่ยเรียกไปด้วย “เจียงมู่เฉิน…”  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงซือเหยี่ยน ก็รีบเอ่ยเรียกในทันใด “ฉัน…ฉันอยู่ตรงนี้…”  

 

 

           เขาตอบกลับไปอย่างอ่อนแรง เป็นการบอกซือเหยี่ยนอีกครั้งว่าไม่ได้ฟังผิดไป เจียงมู่เฉินยังมีชีวิตอยู่  

 

 

           ยิ่งเข้าใกล้ เสียงของเจียงมู่เฉินยิ่งชัดเจน ท่ามกลางความมืดมิดและพร่ามัว ซือเหยี่ยนก็ได้เห็นเงาดำเงาหนึ่ง  

 

 

           เขาพุ่งเข้าไปหาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น กกกอดตัวคนไว้ในอ้อมอก  

 

 

           นาทีนั้นที่เจียงมู่เฉินร่วงหล่นลงน้ำก็วูบไปแล้ว ถ้าไม่ได้พึ่งพลังใจของตัวเองที่มีเพียงน้อยนิด ก็คงจะจมลงไปในทะเลแล้ว  

 

 

           เขาสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิความอบอุ่นจากร่างกายของซือเหยี่ยน จิตใจที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงในพริบตา  

 

 

           เขาอิงแอบแนบกายซือเหยี่ยน ยกยิ้มมุมปากอย่างขำขัน “คุณชายไม่ได้หลอกนายใช่ไหมล่ะ”  

 

 

           ในใจซือเหยี่ยนว้าวุ่นกันอุตลุดอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ได้มากอดเจียงมู่เฉินที่หายไปและหาเจอแล้วก็พูดไม่ออกเลยสักคำ  

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเค้นคำพูดออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก “อืม”  

 

 

           ซังจิ่งอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากได้ยินความเคลื่อนไหว ก็รีบพาคนเร่งตามมา  

 

 

           “ซือเหยี่ยน เร็วเข้า คนของฟู่เหยี่ยนจะตามมาแล้ว”  

 

 

           ซังจิ่งรีบดึงตัวเจียงมู่เฉินขึ้นมา แล้วก็ดึงซือเหยี่ยนขึ้นมาด้วยเช่นกัน  

 

 

           ทั้งสองคนขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว ซังจิ่งรีบให้คนเดินเครื่องเรือสปีดโบ๊ททันที  

 

 

           “สถานการณ์ข้างหลังเป็นยังไงบ้าง” เมื่อซือเหยี่ยนผ่อนคลายลง ก็รีบเอ่ยถาม  

 

 

           “ยังตามไม่ทันได้แค่ชั่วคราว ผมเพิ่งจะให้ไปถ่วงเวลาไว้ ถ้าพวกเขาจะมาต้องใช้เวลาอีกพอสมควร”  

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว “มุ่งหน้าไปทิศใต้ตลอด หลังจากเทียบท่าก็ทิ้งเรือทันที ที่นั่นผมเตรียมเฮลิคอปเตอร์ไว้แล้ว”  

 

 

           “วางใจได้ ผมจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว”  

 

 

           ตั้งแต่เจียงมู่เฉินขึ้นเรือมา ก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ หลังจากซือเหยี่ยนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว ถึงได้รีบมาดูอาการของเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เขาหมดสติไปเรียบร้อยแล้ว เป็นลมไปทั้งอย่างนี้  

 

 

           หัวใจซือเหยี่ยนบีบคั้น ยื่นมือไปลูบหัวของเจียงมู่เฉิน ยังดีที่ไม่ได้ไข้ขึ้น คงเพราะหมดแรง จึงเป็นลมล้มพับไป  

 

 

           ตอนนี้ทำได้เพียงแค่กลับไปถานโจว ถึงจะพาเจียงมู่เฉินไปส่งโรงพยาบาล  

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วกันเป็นปมแน่น กลัวว่าเจียงมู่เฉินจะไม่สบายขึ้นมากะทันหัน ไม่กล้าจะห่างไปไหนเลยสักนิด  

 

 

           ซังจิ่งมองดูเจียงมู่เฉินในอ้อมกอดของซือเหยี่ยน  

 

 

           ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคุณชายน้อยอ่อนกำลังลงได้ถึงขนาดนี้  

 

 

           หัวใจซังจิ่งกระตุกวูบ ค่อยๆ เบนสายตาออกอย่างช้าๆ ตอนนี้ขอเพียงแต่ช่วยเจียงมู่เฉินออกไปได้ เขาก็พอใจแล้ว อย่างอื่นก็ไม่ต้องไปคิดแล้ว  

 

 

           อีกอย่างเจ้าของตัวจริงก็อยู่ที่นี่ทั้งคน เขาคนที่เคยทำให้เจียงมู่เฉินตกอยู่ในอันตรายคนหนึ่งจะไปมีคุณสมบัติอะไรไปเป็นห่วงเป็นใยเขา  

 

 

           ซังจิ่งกำมือแน่น สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา  

 

 

           เรือสปีดโบ๊ทพุ่งขับทะยานไป แล่นตามผืนทะเลอย่างรวดเร็ว ทำตามแผนการที่ซือเหยี่ยนวางไว้ก่อนหน้านี้  ขับมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีเฮลิคอปเตอร์จอดไว้  

 

 

           ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดก็ถึงสถานที่ที่นัดกันเอาไว้  

 

 

           เฮลิคอปเตอร์จอดรออยู่ตรงนั้นแล้ว ซือเหยี่ยนช้อนร่างอุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นมา “ไปกันเถอะ รีบออกจากที่นี่กัน”  

 

 

           ซังจิ่งหยุดสักพักก่อนเอ่ย “คุณรีบพาเจียงมู่เฉินไปเถอะ ผมยังมีธุระอีกนิดหน่อย บอกเจียงมู่เฉินว่ารอผมจัดการธุระอย่างอื่นเสร็จแล้ว จะไปหาเขาที่ถานโจวอีกที”  

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณไม่ไปกับพวกเราเหรอ”  

 

 

           ถ้าฟู่เหยี่ยนรู้ว่าซังจิ่งแอบช่วยเขาอย่างลับๆ ต้องไม่ปล่อยซังจิ่งไปง่ายๆ อย่างแน่นอน  

 

 

           “ไม่หรอก ขอบคุณ มีบางเรื่องก็หลบไม่พ้น” ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “อีกอย่างผมซังจิ่งก็ไม่ใช่คนที่กล้าทำอะไรแล้วจะไม่กล้ารับในสิ่งที่ทำ”  

ตอนที่ 372 เตรียมแอบหนี  

 

 

           พ่อบ้านหลินมองดูเครื่องบินที่กำลังบินออกจากเกาะไปแล้ว ถึงได้กลับมาในปราสาทอีกครั้ง คุณชายออกจากเกาะครั้งนี้ต้องการเวลาอีกไม่กี่วัน เขาจำเป็นต้องลงมือจัดการซือเหยี่ยนภายในสองวันนี้  

 

 

           คืนนี้คุณชายออกเดินทางไป จะลงมือก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว  

 

 

           ด้วยเหตุนี้ พ่อบ้านหลินจึงลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะกลับไปยังห้องพักของตัวเอง ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาจำเป็นต้องทำแผนเผชิญหน้าที่ครบรอบด้าน ถึงจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีความผิดพลาดประการใดขึ้นอย่างแน่นอน  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอาแต่ยืนอยู่ที่หน้าหน้าต่าง ตั้งแต่ฟู่เหยี่ยนเริ่มออกเดินทางไป เขาก็มองสำรวจมองดูทั้งหมด  

 

 

           ท้องฟ้ามืดมาก นอกหน้าต่างมองแทบจะไม่ชัด เดิมทีเวลานี้ควรจะเป็นเวลานอนหลับสนิท แต่ซือเหยี่ยนกลับไม่ได้พักผ่อนอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา  

 

 

           เขารออีกไม่กี่นาที ถึงได้ออกจากห้องไปหาเจียงมู่เฉิน  

 

 

           ซือเหยี่ยนคลำทางไปเปิดประตูห้องของเจียงมู่เฉินอย่างระมัดระวัง เดิมทีเจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้หลับลึก ได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออก คนทั้งคนก็ตาสว่างแล้ว  

 

 

           นัยน์ตาเปล่งประกาย เส้นประสาทตึงเกร็งขึ้นในทันใด รอสบโอกาสทำการโต้กลับ  

 

 

           ซือเหยี่ยนปิดประตูอย่างเบามือ เดินมุ่งหน้าไปยังข้างเตียง นาทีแรกที่เจียงมู่เฉินได้ยินซือเหยี่ยนกำลังเดินเข้ามา ก็เด้งตัวขึ้นมาจากเตียง บีบคอซือเหยี่ยนทันที  

 

 

           ซือเหยี่ยนคิดไม่ถึงว่าเขาจะนอนไม่หลับ เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “ผมเอง”  

 

 

           ได้ยินเสียงของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินชะงักงันไปครู่หนึ่ง “กลางดึกนายมาทำอะไรที่ห้องฉัน”  

 

 

           “ผมจะพาคุณออกจากเกาะเล็กๆ เกาะนี้ไปก่อน”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง”  

 

 

           “ผมให้ซังจิ่งก่อความวุ่นวายให้ฟู่เหยี่ยน เขายังกลับมาไม่ได้ในเร็วๆ นี้หรอก ซังจิ่งเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว ตอนนี้พวกเราก็ออกจากที่นี่ได้พอดี”    

 

 

           ‘มิน่าล่ะที่ซังจิ่งออกจากที่นี่ไปกะทันหัน ที่แท้ก็เพราะสาเหตุเรื่องนี้เอง’  

 

 

           “นายมีสิทธิ์อะไรมาคิดว่าฉันจะยอมตกลงไปกับนาย” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงเย็น “ฉันอยู่บนเกาะนี้อิสระมากเลย”  

 

 

           “หรือว่าคุณคิดจะอยู่บนเกาะนี้ไปตลอดชีวิต?” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “คุณควรจะรู้อยู่แล้ว ขอเพียงแต่ฟู่เหยี่ยนไม่ปล่อยคุณไป คุณก็จะไปจากที่นี่ไม่ได้ตลอดไป”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเข้าใจชัดเจนแต่โดยดี ตัวเองถูกกักตัวอยู่ที่นี่ ถ้าฟู่เหยี่ยนไม่เป็นฝ่ายปล่อยเขาไป ก็หนีได้ยากมากๆ จริงๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินหยุดอยู่ไม่กี่นาที จากนั้นก็ทำการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว “ได้ แต่หลังจากนี้ ระหว่างพวกเราจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”  

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าตะลึงงัน ดวงตาจ้องมองเจียงมู่เฉินท่ามกลางความมืด เขาเงียบงันเพียงไม่กี่วินาที ก็เอ่ยขึ้น “ได้ ผมตกลง”  

 

 

           ขอเพียงแต่ทำให้เจียงมู่เฉินออกไปจากที่นี่ เงื่อนไขอะไรเขาก็ยอมตกลงรับปาก  

 

 

           เจียงมู่เฉินปล่อยมือ “ไปกันเถอะ”  

 

 

           เขาพูดตอนนี้ก็จะเปิดประตูออกไปกันแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอื้อมมือไปคว้าตัวเขาไว้ “อย่าเดินไปทางโถงใหญ่”  

 

 

           กล้องวงจรปิดในโถงใหญ่เยอะเกินไป ถึงแม้ว่าฟู่เหยี่ยนจะไม่อยู่ในปราสาท แต่ก็รับประกันได้ยากว่าจะไม่ได้กำชับพ่อบ้านหลินไว้  

 

 

           “งั้นไปทางไหน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพาเขาเดินไปยังระเบียง ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่คือชั้นสี่ ปีนลงไปไม่ถือว่ายากเท่าไหร่นัก  

 

 

           เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง “ได้หรือเปล่า”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “แค่ไต่กำแพงเอง อะไรกัน นายคิดว่าคุณชายสู้นายไม่ได้เหรอ”  

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนประกายรอยยิ้ม “ในเมื่อได้ ก็ไปกันเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบพลิกตัวออกจากระเบียง ค่อยๆ ไปตามด้านข้างไต่ลงไปทีละนิดๆ ซือเหยี่ยนเองก็รีบตามลงไป  

 

 

           เพียงครู่เดียวทั้งสองคนก็ไต่ตามผนังลงมาถึงชั้นหนึ่ง ซือเหยี่ยนยื่นมือไปจัดแจงให้เจียงมู่เฉินอยู่ข้างหลังเขา  

 

 

           หลายวันมานี้เขาตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งหมดที่นี่ไปรอบหนึ่งแล้ว รู้ว่าตรงไหนเป็นจุดตาย จุดบอดของมุมกล้อง  

 

 

           “ระวังหน่อยนะ เดินตามผมมา”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินนำเจียงมู่เฉินมุ่งหน้าไปทางด้านหลัง เพราะว่าไม่สามารถจะใช้เฮลิคอปเตอร์ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงใช้ทางน้ำเดินทางไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาดูคุ้นชินเส้นทางขนาดนี้ “ดูท่าว่าเคยเดินมาไม่น้อยครั้งเลยใช่ไหม”  

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่จูงเจียงมู่เฉินไว้กระชับแน่นขึ้น เอ่ยอย่างกังวล “เคยเดินมาสองครั้ง”   

 

 

 

 

 

ตอนที่ 373 พ่อบ้านหลินตามมา  

 

 

           ครั้งที่แล้วเพื่อช่วยชีวิตของเจียงมู่เฉิน เขาได้ทำความเข้าใจทุกซอกทุกมุมของที่นี่จนหมดแล้ว ครั้งนี้ก็ได้ใช้พอดี  

 

 

           ท่ามกลางความมืดเงาร่างของทั้งสองคนรีบวิ่งอย่างรวดเร็ว ซือเหยี่ยนพาเจียงมู่เฉินมาถึงยังจุดที่กำหนดเอาไว้  

 

 

           “ข้างล่างมีเชือกเส้นใหญ่อยู่ คุณลงไปก่อน ซังจิ่งอยู่ข้างล่าง”  

 

 

           “แล้วนายล่ะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยังไม่ทันได้พูดอะไร จู่ๆ เสียงสัญญาณเตือนภัยในปราสาทก็ดังขึ้น สีหน้าเขาเปลี่ยนทันควัน ดูท่าว่าเรื่องที่พวกเขาหนีจะถูกจับได้แล้ว  

 

 

           “ลงไปก่อน เดี๋ยวผมจะตามไป”  

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าของเจียงมู่เฉิน คิดว่าเขาอยากทำตัวโอ้อวดเป็นฮีโร่อีกแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยความจนใจ “เฉินเฉิน ฟังกันหน่อย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดสักพักก็พูดขึ้น “งั้นพวกเราสองคนไปด้วยกัน”  

 

 

           “เชือกรับพวกเราสองคนทีเดียวไม่ไหว คุณลงไปก่อน ผมรับรองเดี๋ยวผมจะตามลงไปทันที”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูใบหน้าอันร้อนรนของซือเหยี่ยน ก็ส่ายหัวอย่างแน่วแน่ “ซือเหยี่ยนครั้งนี้นายหลอกฉันไม่ได้หรอก”  

 

 

           ‘เห็นว่าเขาเป็นคุณชายที่ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ เหรอ’  

 

 

           ‘คิดจริงๆ ว่าพูดอะไรมา ตัวเองก็จะเชื่อทั้งหมดเลยเหรอ’  

 

 

           เวลาหนึ่งนาทีหนึ่งวินาทีผ่านไป หัวใจซือเหยี่ยนร้อนรน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาหนีกันไม่ทันแน่  

 

 

           พ่อบ้านหลินพาพวกบอดี้การ์ดตามมาแล้ว ซือเหยี่ยนมองกลุ่มคนนั้นตรงหน้า ก็รีบผลักเจียงมู่เฉินไป “ฟังผมนะ รีบลงไปเร็ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “จะตายก็ตายด้วยกัน นายอย่าคิดแต่ปกป้องฉันตามอำเภอใจสิ”  

 

 

           “ถือว่าผมขอร้องคุณก็ได้ คุณไปก่อนนะ”  

 

 

           “ซือเหยี่ยน พวกเราเลิกกันแล้ว นายไม่มีสิทธิ์มาให้ฉันไป”  

 

 

           เขาไม่ใช่คนที่ทำเพื่อตัวเองแล้วจะทิ้งซือเหยี่ยนไปแบบนั้น อีกอย่างในเมื่อพ่อบ้านหลินเป็นคนของฟู่เหยี่ยน ก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่แล้ว  

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนไม่เหมือนกัน ไม่แน่นอนว่าฟู่เหยี่ยนจะเป็นแบบนี้กับซือเหยี่ยนได้  

 

 

           ถ้าครั้งนี้เขาไปจริงๆ ซือเหยี่ยนก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย  

 

 

           ถ้าครั้งนี้การหนีล้มเหลว เขายังรออีกครั้งต่อไปได้ แต่ซือเหยี่ยนไม่มีโอกาสให้รอได้อีก  

 

 

           ถ้าให้ฟู่เหยี่ยนรู้ว่าซือเหยี่ยนพาเขาหนี ซือเหยี่ยนก็ไม่อาจจะยังมีชีวิตรอดออกจากเกาะเล็กๆ เกาะนี้ไปได้แน่นอน  

 

 

           พ่อบ้านหลินยืนห่างจากทั้งสองคนไม่ไกลนัก ก่อนเอ่ยเสียงสูง “คุณเจียงครับ ก่อนคุณชายจะไปได้กำชับให้กระผมดูแลคุณเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้คุณหมายความว่าไงครับ”          

 

 

           “พ่อบ้านหลิน ฉันก็แค่นอนไม่หลับตอนกลางคืน เลยออกมาดูวิวทิวทัศน์ยามราตรีก็เท่านั้นเอง นี่ถึงขั้นต้องเล่นใหญ่กันขนาดนี้เลยเหรอ”  

 

 

           “อ่อครับ แล้วคุณซือล่ะครับ”  

 

 

           “เขาเหรอ ฉันเรียกเขามาด้วยกันเอง พูดคุยกัน ไม่งั้นคนเดียวกังวลใจแย่เลย”  

 

 

           ความอำมหิตฉายสะท้อนในแววตาพ่อบ้านหลินขึ้นมาขณะหนึ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ขอเชิญคุณเจียงกับคุณซือกลับไปพักผ่อนด้วยกันเถอะครับ คุณทั้งสองคนต่างก็เป็นแขกวีไอพีของคุณชาย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น กระผมจะรับผิดชอบไม่ไหวนะครับ”  

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินได้ยิน ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย คิดว่าทำอย่างไรถึงจะให้ซือเหยี่ยนหลบหนีไปได้  

 

 

           “ยังไงกันครับ คุณทั้งสองคนไม่ยินดีจะกลับไปกับผมเหรอครับ”  

 

 

           “ฮ่าๆ” เจียงมู่เฉินหัวเราะสองเสียง “ได้ยังไงล่ะ จะกลับไปแล้ว”  

 

 

           เขาพูดจบ เตรียมจะเดินมุ่งไปข้างหน้า จู่ๆ ซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ก็ดึงเจียงมู่เฉินเอาไว้ “ไปไม่ได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินงุนงงในทันใด หันหน้ากลับมามองซือเหยี่ยน  

 

 

           “ผมไม่ยอมให้คุณไป” ซือเหยี่ยนเอ่ยซ้ำย้ำอีกครั้ง  

 

 

           พ่อบ้านหลินเห็นสภาพการณ์แล้วก็เอ่ยเสียงดัง “อะไรกันครับ แขกวีไอพีทั้งสองท่านไม่ยินยอมจะกลับไปกับกระผมเหรอครับ…  

 

 

           …ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นกระผมจำใจต้องเชิญคุณทั้งสองคนไปด้วยตัวเองแล้ว”  

 

 

           เขากวาดสายตามองกลุ่มคนที่อยู่ด้านข้าง “ไปเชิญตัวคุณเจียงกลับไป ส่วนคุณซือมาเป็นแขกแต่กลับไม่มีสำนึกในความเป็นแขก จะโทษกระผมไม่ได้แล้วนะครับ”  

 

 

           พ่อบ้านหลินกำลังกลุ้มใจเรื่องที่หาจังหวะเหมาะๆ สังหารซือเหยี่ยนไม่ได้อยู่ ก็เป็นจังหวะเหมาะพอดีที่จะเตรียมฉวยโอกาสนี้จัดการซือเหยี่ยน  

 

 

           คนกลุ่มนั้นมุ่งหน้าเข้าใกล้เขา ซือเหยี่ยนรีบฉุดเจียงมู่เฉินมาอยู่ข้างหลังตัวเองทันที ปกป้องเจียงมู่เฉินโดยอัตโนมัติ  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูแผ่นหลังของเขา ดวงตาเจือความเจ็บปวด  

 

 

           เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจุดไหนของตัวเองไปทำให้ซือเหยี่ยนทำเพื่อเขาถึงขั้นนี้ได้  

 

 

           ก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะกรูกันเข้ามา เจียงมู่เฉินดึงตัวซือเหยี่ยนไว้ “พวกเรากระโดดลงไปด้วยกัน”  

ตอนที่ 370 ฟู่เหยี่ยนเกิดความคิดที่อยากจะฆ่า

 

 

           ฟู่เหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าคำว่า ‘กักตัว’ คำนี้ฟังแล้วไม่ค่อยปกติเท่าไหร่

 

 

           “คุณชายเจียง สิ่งที่คุณได้เสพสุขอยู่บนเกาะนี้คือการต้อนรับแขกวีไอพีของตระกูลฟู่ของพวกเรา จะกักตัวคุณที่ไหนกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินฉีกมุมปาก “เอาเถอะ งั้นนายเตรียมจะให้ฉันอยู่ที่นี่ในฐานะแขกวีไอพีไปถึงเมื่อไหร่”

 

 

           “อะไรกัน คุณชายเจียงใกล้จะอยู่จนเอียนแล้วเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่เขา “พี่ใหญ่ ที่นี่นายจิตใจผ่องใสใช้ชีวิตอย่างสันโดษ แม้แต่ความบันเทิงเริงใจก็ไม่มีสักอย่าง ฉันอยู่อีกต่อไป วันหลังจะไม่หลุดจากสังคมไปแล้วเหรอ”

 

 

           “คุณอยากออกไปหาความรื่นเริงเหรอ” ฟู่เหยี่ยนหรี่ตาลง

 

 

           เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างขำขัน “ฉันเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าๆ กำลังเป็นช่วงมีคนห้อมล้อม ไม่หาความสนุกให้ชีวิตจะมีความหมายอะไร”

 

 

           ไม่รู้ว่าฟู่เหยี่ยนคิดถึงอะไรขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็ยื่นมือไปจับข้อมือของเจียงมู่เฉินไว้ “คุณมาหาผมได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยน ก็ไม่กลัว เขากวาดสายตามองฟู่เหยี่ยนแวบหนึ่ง “ฟู่เหยี่ยน ฉันเคยพูดกับนายหลายครั้งหลายคราแล้ว ว่าฉันไม่มีทางจะคบกับนายได้”

 

 

           ความอันตรายฉายสะท้อนในแววตาของฟู่เหยี่ยน “ไม่คบกับผม คุณคิดจะคบกับใคร ซือเหยี่ยนเหรอ”

 

 

           เห็นเขาเอ่ยถึงซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินชายตามอง “นั่นเป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนาย”

 

 

           ‘ซือเหยี่ยน…’

 

 

           ตั้งแต่หลังจากที่ซือเหยี่ยนขึ้นเกาะมา หัวใจของเจียงมู่เฉินถูกซือเหยี่ยนตรึงไว้ในกำมือตลอด

 

 

           เจียงมู่เฉินแสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนทำเย็นชา แต่ฟู่เหยี่ยนรู้อย่างชัดเจน ทุกอย่างนี้ที่เจียงมู่เฉินทำก็แค่แสดงออกภายนอกเท่านั้น

 

 

           ที่จริงหัวใจดวงนั้นของเขา โบยบินไปหาซือเหยี่ยนตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           นัยน์ตาฟู่เหยี่ยนฉายสะท้อนความอำมหิต  ในเมื่อในใจเจียงมู่เฉินคิดถึงเพียงแค่ซือเหยี่ยน ถ้าอย่างนั้นเขาฆ่าซือเหยี่ยนไปซะเลยก็สิ้นเรื่อง

 

 

           เขาลุกขึ้นยืนกะทันหัน จ้องมองเจียงมู่เฉิน “คุณชายเจียง คุณเลิกกับซือเหยี่ยนไปตั้งนานแล้ว…

 

 

           …ต่อจากนี้ไป คนที่อยู่ข้างกายคุณจะมีเพียงแค่ผมฟู่เหยี่ยนคนเดียวเท่านั้น”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความเย็นชา “ถ้าหากว่าฉันไม่ยินยอมล่ะ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “เดี๋ยวคุณก็ยินยอม”

 

 

           พูดจบประโยคนี้ ฟู่เหยี่ยนก็หันหลังเดินจากไป หลังจากเขากลับห้องแล้ว ก็รีบเรียกหาพ่อบ้านหลินทันที

 

 

           “คุณชาย เรียกกระผมด่วนมีเรื่องอะไรเหรอครับ”

 

 

           “ฉันต้องการให้นายฉวยโอกาสตอนที่ซือเหยี่ยนไม่ทันระวังตัว จับมัดเขา เขาจะมีชีวิตเหลือรอดไม่ได้”

 

 

           พ่อบ้านหลินนัยน์ตาแคบลงเล็กน้อย ไม่ค่อยกล้าจะเชื่อเท่าไหร่ “ทำไมจู่ๆ ถึงต้องการจะลงมือกับซือเหยี่ยนแล้วล่ะครับ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนมองไปนอกหน้าต่างอย่างเลือดเย็น “มีเพียงแค่ซือเหยี่ยนตายเท่านั้น เจียงมู่เฉินถึงจะเป็นของฉันอย่างแท้จริง”

 

 

           พ่อบ้านหลินเห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของฟู่เหยี่ยน ก็รู้ว่าหลายวันมานี้คุณชายของเขาในที่สุดก็ได้ตัดสินใจชี้ขาดแล้ว

 

 

           เดิมฟู่เหยี่ยนไม่ใช่คนเฉยชาแบบนี้

 

 

           ที่ผ่านมาเขาไม่ลงมือกับเจียงมู่เฉินเลย หนึ่งคืออยากค่อยๆ ทำให้เจียงมู่เฉินประทับใจ สองคือไม่อยากเหยียบซ้ำรอยเดิมที่ผิดพลาดไป

 

 

           แต่หลังจากที่ซือเหยี่ยนปรากฏตัวขึ้น ฟู่เหยี่ยนก็แอบสังเกตท่าทีที่สองคนมีต่อกันโดยละเอียด ถึงไม่ยอมรับไม่ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนในใจของเจียงมู่เฉินคือสิ่งที่ยากจะแทนที่ได้

 

 

           แม้กระทั่งตอนนั้นที่ซูเตอร์เข้ามาแทรกกลางระหว่างพวกเขา เจียงมู่เฉินก็แค่สลดใจเท่านั้น

 

 

           กลับไม่เคยคิดจะลงมือกับซือเหยี่ยน

 

 

           ตามนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว ถ้าคนรอบข้างให้เขาผูกปมขึ้นมาใหญ่ขนาดนั้น ก็คืนทั้งต้นทั้งดอกกลับมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           จะมาเหมือนวันนี้ที่เอาแต่ถอยหลังกลับไปทุกแห่งหนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

 

 

           ขอเพียงแต่จัดการซือเหยี่ยนแล้ว หัวใจเจียงมู่เฉินไม่มีซือเหยี่ยนแล้ว ไม่ช้าก็เร็วสักวันก็จะเห็นเขาได้

 

 

           คิดได้แบบนี้ ซือเหยี่ยนต้องถูกกำจัด

 

 

           พ่อบ้านหลินพยักหน้ารับ “ได้ครับ คุณชาย กระผมทราบแล้ว”

 

 

           ……

 

 

           หลังจากพ่อบ้านหลินออกจากห้องไปแล้ว ฟู่เหยี่ยนก็ไปห้องหนังสือจัดการธุระของตระกูล ตั้งแต่เขามาอยู่บนเกาะเล็กๆ เกาะนี้ ก็เอางานกิจการทั้งหมดมาจัดการอยู่ที่เกาะด้วย

 

 

           นานมากแล้วที่ไม่ได้เข้าไปดูด้วยตัวเอง

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเปิดคอมพิวเตอร์ ก็ได้รับสายวิดีโอคอลมาพอดี

 

 

           หน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏภาพชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งตัวตรงอยู่ หลังจากฟู่เหยี่ยนเห็นแล้วก็เอ่ยเรียก “พ่อครับ”

 

 

           “หึ” ฟู่เฉิงทำเสียงเย็นใส่ ขณะที่มองเขา “พรุ่งนี้แกกลับมาด้วย”

 

 

            

 

 

ตอนที่ 371 ซือเหยี่ยนจะอยู่ต่อไม่ได้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย “พรุ่งนี้เหรอครับ”

 

 

           “พรุ่งนี้แกรีบกลับมาด่วน” ฟู่เฉิงไม่ยอมให้ซักถาม พูดจบประโยคนี้ก็ตัดการสนทนาผ่านวิดีโอทันที

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นสายวิดีโอคอลของตัวเองโดนตัด ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

           ‘จู่ๆ ให้เขากลับไปกะทันหันเวลานี้เหรอ’

 

 

           หรือว่าครอบครัวจะเกิดเรื่องอะไร ฟู่เหยี่ยนย่นคิ้วทันที รีบเรียกตัวพ่อบ้านหลินมาอีกครั้ง

 

 

           “พ่อฉันทางนั้นเกิดเรื่องขึ้นเหรอ”

 

 

           พ่อบ้านหลินเงียบไม่พูดจาอยู่ครู่หนึ่ง “เกิดปัญหานิดหน่อยครับ”

 

 

           “ปัญหาอะไร”

 

 

           พ่อบ้านหลินส่ายหัว “รายละเอียดคืออะไร กระผมเองก็ยังไม่ชัดเจนครับ กระผมเองก็เพิ่งจะได้รับข่าวเมื่อครู่นี้ ให้กระผมเรียนคุณชายว่าคุณชายจำเป็นต้องกลับไปครับ”

 

 

           หลังจากฟู่เหยี่ยนได้ฟัง ก็ลังเลอยู่ไม่กี่วินาที “ช่วยฉันเตรียมตัวที ฉันจะกลับไปคืนนี้เลย”

 

 

           “แล้วซือเหยี่ยนล่ะครับ”

 

 

           “ลงมือตามแผนเดิมของฉัน จับตัวเขาก่อน รอฉันกลับมาค่อยคิดหาวิธี”

 

 

           เขาออกไปจากเกาะรอบนี้ ไม่รู้ว่าอีกกี่วันถึงจะได้กลับมา ให้ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินอยู่ด้วยกันก็ยากจะรับประกันได้ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรหรือเปล่า

 

 

           แต่ว่าถึงอย่างไรเจียงมู่เฉินก็ค่อนข้างจะมีประวัติกับตระกูลของเขา ตอนนี้ก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ถ้าจะพาเจียงมู่เฉินไปที่อื่น

 

 

           พ่อบ้านหลินพยักหน้ารับ “ได้ครับ กระผมทราบแล้วครับ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม “อ่อใช่ อย่าให้เจียงมู่เฉินจับได้ หาเหตุผลที่เหมาะสม คอยทำให้เจียงมู่เฉินสบายใจ”

 

 

           พ่อบ้านหลินพยักหน้ารับ “คุณชายวางใจได้ครับ กระผมจะจัดการให้ไม่ขาดตกบกพร่องเอง”

 

 

           เวลากลางคืนขณะที่กินอาหารกัน บนโต๊ะอาหารฟู่เหยี่ยนบอกกับเจียงมู่เฉินไปตรงๆ “คืนนี้ผมต้องไปจากที่นี่ ประมาณสองวันถึงจะได้กลับมา”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ไปจากที่นี่?”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนพยักหน้ารับ “อะไรกัน ไม่อยากให้ผมไปเหรอ”

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “นายรีบไปเถอะ ไม่เห็นนาย ฉันก็กินอะไรได้เยอะขึ้นแล้ว”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนถอนหายใจอย่างจนใจ “ท่าทีที่คุณชายเจียงมีให้ผม ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนจากก่อนหน้านี้เลย”

 

 

           “ท่าทีที่นายต้องการ ฉันให้ไม่ไหวหรอก ถ้านายอยากได้จริงๆ ก็ให้ได้แค่คนอื่นแล้วล่ะ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “งั้นคุณอยากให้ใคร ซือเหยี่ยนเหรอ”

 

 

           เขาพูดจบก็มองซือเหยี่ยนที่เอาแต่นิ่งเงียบอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองซือเหยี่ยนอย่างเย็นชา ทั้งยังมองฟู่เหยี่ยนอีก ฉีกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย “นายไม่มีอะไรทำก็อย่ามาลองเชิงกันเลย ฉันไม่สนใจพวกนายทั้งสองคนนั่นแหละ…

 

 

           …โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ คนต่อแถวมาหาฉันเจียงมู่เฉินยาวเป็นหางว่าว ทำไมจะต้องไปหาพวกอัปลักษณ์อย่างพวกนายสองคนด้วย”

 

 

           ทั้งสองคนโดนเหยียดว่าเป็นพวกอัปลักษณ์ก็สบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตาออกจากกันอย่างเหยียดๆ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรู้สึกว่า ‘เขาไม่ได้ผิดอะไรเลยนะ เขาหน้าตาออกจะหล่อเหลาร่ำรวยเงินทองขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกเจียงมู่เฉินเรียกว่าพวกอัปลักษณ์ได้’

 

 

           เขาลูบจมูกปอยๆ กำลังจะเตรียมแก้ต่างกับเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาด้วยท่าทีเรียบเฉย “อืม คุณพูดถูก”

 

 

           ฟู่เหยี่ยน “…”

 

 

           เขาเอียงหน้ามองซือเหยี่ยน รู้สึกว่า  เจ้าหมอนั่นหน้าไม่อายถึงขั้นสุดแล้ว        

 

 

           แม้แต่ประโยคแบบนี้ก็ยังพูดออกมาได้

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเจ้าพวกอัปลักษณ์สองคนด้วยความพอใจแล้ว นัยน์ตาดอกท้อก็ลุกวาว ลุกยืนขึ้นมาจากเก้าอี้ “ในเมื่อเป็นเป็นแบบนี้ ฉันก็จะไม่เสียเวลากับพวกอัปลักษณ์อย่างพวกนายแล้ว…

 

 

           …ฉันกินเสร็จแล้ว นัดกับพี่ชายไว้แล้ว จะไปเล่นเกมด้วยกัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “ผมเองก็กินเสร็จแล้ว”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนจ้องมองตามแผ่นหลังที่เดินตามกันไป หัวใจก็เจ็บปวดไปหมด ซือเหยี่ยนคนนี้ต้องถูกกำจัด

 

 

           ไม่อย่างนั้นถ้ายังมีเขาอยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้เรื่องดีๆ ของตัวเองเสียหายไปมากน้อยเท่าไหร่

 

 

           หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินส่วนตัวก็มาประจำที่ พ่อบ้านหลินมาส่งฟู่เหยี่ยนขึ้นเครื่องบิน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนอดจะกำชับไม่ได้ “จำคำของฉันไว้ ซือเหยี่ยนจะอยู่ต่อไม่ได้”

 

 

           พ่อบ้านหลินพยักหน้ารับ “คุณชายวางใจได้ครับ กระผมจะพยายามให้ถึงที่สุด รับประกันจะไม่ทำให้คุณชายเสียการใหญ่ครับ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม แววตาดุดันจริงจัง มีหรือท่าทีอะไรก็ได้ต่อหน้าเจียงมู่เฉินเมื่อครู่นี้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนผู้อยู่ในชุดสูทสั่งตัดพิเศษ รัศมีความเป็นชนชั้นสูงแผ่ซ่าน บวกกับความเย็นชาในแววตา ยิ่งยากจะเข้าใกล้ยิ่งขึ้นไปอีก

 

 

           พ่อบ้านหลินมองดูฟู่เหยี่ยน ก็ปลื้มปิติอยู่ในใจ

 

 

           ‘นี่สิถึงจะเป็นคุณชายน้อยแห่งเวลล์แกลตเตอร์ที่เขาคุ้นเคย’

 

 

           “คุณชายเดินทางปลอดภัยและโดยสวัสดิภาพนะครับ”

 

 

           เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด เครื่องบินก็ค่อยๆ เดินเครื่อง เพียงไม่นานก็บินออกจากเกาะเล็กๆ ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด

ตอนที่ 368 หมาดีไม่ขวางทาง

 

 

           เขาก้มหน้าลงประกบปากเจียงมู่เฉินโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าคนคนนี้หน้าไม่อายถึงขั้นสุดแล้ว พวกเขาเลิกกันแล้ว ยังเอะอะก็มาจูบเขาไปมาอีก

 

 

           เขายื่นมือไปอยากจะผลักซือเหยี่ยน แต่จะทำอย่างไรได้ เขากดมือตัวเองไว้พอดี ออกแรงไม่ได้แต่แรกอยู่แล้ว

 

 

           ถูกเขาจูบอยู่นานสองนาน จูบจนนัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ของเจียงมู่เฉินแดงขึ้นมา ซือเหยี่ยนถึงได้ละออกเล็กน้อย

 

 

           “นายแม่งเป็นบ้าเหรอ เอะอะก็จูบฉัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงต่ำ “คุณเป็นแฟนของผม ผมไม่จูบคุณ แล้วจะจูบใคร”

 

 

           “นายชอบจูบใคร เกี่ยวอะไรกับฉัน” เจียงมู่เฉินคิดถึงอะไรสักอย่าง ก็พูดเสริมขึ้นมาอีก “อีกอย่าง ใครเป็นแฟนของนายกัน ทำไมหน้านายถึงหนาขนาดนี้นะ คุณชายเลิกกับนายไปตั้งนานแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนกดเขาไว้ไม่ปล่อยมือ รอเขาพล่ามจบ เสียงต่ำถึงได้เอ่ยขึ้น “ผมไม่เลิก”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเยาะสองเสียง “เหอะๆ สายไปแล้ว ตอนนี้คุณชายอยากเลิกกับนายแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยสีหน้าสลด “อยากเลิกจริงๆ เหรอ”

 

 

           “เลิกๆๆ ไม่เลิกจะรอข้ามปีหรือไง”

 

 

           ‘ตอนนั้นซือเหยี่ยนอยากเลิกก็เลิก ตอนนี้อยากคืนดีก็คืนดี เห็นเขาเป็นลูกพลับอ่อนที่จะบีบยังไงก็ได้เหรอ’

 

 

           แววตาซือเหยี่ยน์จมดิ่ง ปรากฏความอันตรายให้เห็น เขาจ้องมองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง ก็ก้มหน้าประกบจูบเขาอีกครั้ง

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินอยากด่าทอ ยังไงกัน ถ้าเขาเอาแต่อยากจะเลิก เจ้าหมอนี่ก็จะเอาแต่จูบเขาแบบนี้ใช่ไหม

 

 

           เขาขยับขา ยื่นขาออกไปอยากจะเตะซือเหยี่ยน

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับแอบใช้หัวเข่าดันกันเขาเอาไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนอยากขบกราม สุดท้ายก็ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไป ปล่อยให้เขาจูบตามใจ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยจูบกัน

 

 

           ไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนจูบไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดก็หยุดลง

 

 

           ดวงตาสีดำขลับของเจียงมู่เฉินถลึงใส่เขา “นายมันไม่จบไม่สิ้นกันสักทีนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “ขอเพียงแต่คุณตกลงว่าจะไม่เลิก ผมก็จะไม่จูบคุณ”

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนจะกระอักเลือด “นายแม่งเป็นบ้าใช่ไหม ตอนนั้นคนที่อยากเลิกกับฉันก็คือนาย ตอนนี้คนที่ไม่อยากเลิกกับฉันก็คือนายอีก…

 

 

           …เรื่องความรู้สึกทั้งหมดให้นายพูดคนเดียวเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงยืนกราน “นั่นมันเมื่อก่อน ถึงยังไงตอนนี้ไม่อยากจะเลิกกับคุณก็ถูกแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดหัว ถ้าไม่ใช่ว่าซือเหยี่ยนกดมือของเขาไว้จนขยับไม่ได้ เขาก็อยากเอามือขึ้นมากดที่หัวตัวเองจริงๆ แล้ว

 

 

           “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ฉันเคยพูดไปก่อนหน้านั้นแล้ว เลิกก็คือเลิก สำหรับฉันไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนดวงตาดำดิ่ง เห็นเขายืนกรานแน่วแน่ ก็ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายจำใจต้องปล่อยมือออกก่อน

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาปล่อยมือก็ผลักเขาออก เตรียมจะเดินออกไป “หลบไป หมาดีไม่ขวางทาง”

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปคว้าตัวเขากลับมา เจียงมู่เฉินเดือดแล้ว “นายจะไม่จบกันสักทีใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “หิวไม่ใช่เหรอ ผมจะต้มบะหมี่ให้คุณ”

 

 

           “ฉันไม่หิว ใครบอกว่าฉันหิว”

 

 

           เจียงมู่เฉินเพิ่งจะพูดจบด้วยท่าทีขึงขัง เสียงท้องร้องก็ดังขึ้นมาผิดเวลา ท่ามกลางความเงียบงัน ค่อนข้างจะเลิ่กลั่กกันทีเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบจมูกอย่างเก้ๆ กังๆ เหมือนจะเคอะเขินอยู่ไม่เบา

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนประกายรอยยิ้ม เขาถอนหายใจเล็กน้อย “รอผมไม่กี่นาที ไม่งั้นคุณหิว แล้วกลางคืนจะนอนไม่หลับเอา”

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ มองค้อนซือเหยี่ยนอย่างเงียบๆ

 

 

           ‘เลิกกันแล้ว นายยังมาสนใจว่าฉันหิวแล้วจะนอนได้ไหม…

 

 

           …เกี่ยวอะไรกับนายเหรอ’

 

 

           ถึงแม้ในใจจะคิดอย่างนี้ แต่เจียงมู่เฉินสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เดินหนีไปไหน ยังคงนั่งอย่างว่าง่ายอยู่ข้างๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนเอามะเขือเทศกับแตงกวาในมือไปล้าง ทั้งยังหาไข่ไก่จากตู้เย็นมาได้อีกสองฟอง

 

 

           เงาร่างที่ทอดยาวภายใต้แสงไฟอบอวลไปด้วยความอ่อนโยน

 

 

           เจียงมู่เฉินมองแล้วใจก็สั่นนิดๆ รู้สึกว่าหัวใจดวงนั้นของตัวเองเหมือนจะควบคุมไม่อยู่อย่างไรอย่างนั้น ค่อยๆ ออกนอกลู่นอกทางไปหาซือเหยี่ยน

 

 

           ตั้งแต่ที่เริ่มรู้เรื่องทุกอย่างทั้งหมดนี้มา เขาก็อดไม่ได้ที่อยากจะให้อภัยซือเหยี่ยน

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือกดที่หัว ไม่ค่อยจะรู้แล้วว่าจะจัดการเรื่องความสัมพันธ์กับซือเหยี่ยนอย่างไรดี

 

 

           ถ้าจะถามเขาว่าชอบซือเหยี่ยนหรือเปล่า เจียงมู่เฉินรู้อย่างชัดเจน ว่าตัวเองชอบเขาอยู่แล้ว

 

 

           ต่อให้ถูกทำให้เจ็บปวดแบบนั้น ก็ยังคงชอบซือเหยี่ยนเหมือนเดิม

 

 

           แต่ถ้าคืนดีกับซือเหยี่ยนแบบนี้ ด้วยความเย่อหยิ่งทะนงตัวของเขาทำให้ทำไม่ได้อยู่แล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนทำแบบนี้ได้ครั้งหนึ่ง ก็จะทำเป็นครั้งที่สองได้อีกเช่นกัน

 

 

 

 

ตอนที่ 369 ยังถือว่ารู้ตัวเองดี

 

 

           เจียงมู่เอามือกดที่หัว รู้สึกชักจะปวดหัวนิดหน่อยแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าจะจัดการเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับซือเหยี่ยนอย่างไรดี

 

 

           เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น สับสนวุ่นวายใจอยู่ในที

 

 

           ซือเหยี่ยนต้มบะหมี่เสร็จ ก็เห็นเจียงมู่เฉินนั่งก้มหัวครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           เขาเดินย่ำเท้าเบาๆ เข้าไป วางชามบะหมี่ลงต่อหน้าเจียงมู่เฉิน “คิดอะไรอยู่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามาก็เห็นซือเหยี่ยน นัยน์ตาทอประกาย ปิดบังการต่อสู้ดิ้นรนในแววตาลงไป แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

           “เกี่ยวอะไรกับนาย” เจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่โกรธ ส่งตะเกียบไปให้เขา “อืม กินก่อนเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทีเขาเป็นกบต้มน้ำอุ่น[1] ไม่พูดอะไร ไม่อยู่ด้วยกัน ก็ชักจะโมโหแล้ว

 

 

           เขาโกรธจนกระชากเอาตะเกียบในมือของซือเหยี่ยนมา ถือไว้ในมือ แล้วลงมือกินทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ต่อให้หิวสุดๆ แค่ไหน ก็ความเร็วในการกินบะหมี่ก็ยังข้ามากอยู่ดี

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่ไป นั่งลงอยู่ข้างๆ มองดูเจียงมู่เฉินกินบะหมี่

 

 

           เจียงมู่เฉินกินสองคำ ก็เงยหน้ามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “ฉันกินบะหมี่อยู่ นายอยู่ที่นี่ต่อเพื่ออะไร”

 

 

           “รอเก็บชาม”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง  ข้ออ้างห่วยเกินไปแล้วโอเคไหม

 

 

           แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้แฉข้ออ้างของซือเหยี่ยน ปล่อยให้เขานั่งอยู่ข้างๆ

 

 

           ทั้งห้องครัวเงียบเป็นเป่าสาก ถึงแม้สองคนนี้จะนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร แต่ก็ไม่มีใครพูดสักคน

 

 

           เจียงมู่เฉินก้มหน้ากินบะหมี่ ซือเหยี่ยนก็นั่งมองเขาอยู่ข้างๆ

 

 

           ผ่านไปนานพอสมควร เจียงมู่เฉินหยุดตะเกียบลงสักพัก เอ่ยถามเสียงต่ำ “นายทำแบบนี้กับซูเตอร์ ในใจไม่รู้สึกผิดบาปอะไรเลยเหรอ”

 

 

           ถึงแม้ว่าซูเตอร์คนนี้จะไม่เท่าไหร่ แต่เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าความรักความรู้สึกที่ซูเตอร์มีต่อซือเหยี่ยนกลับดูลุ่มหลงไปสักหน่อย

 

 

           ถูกคนที่ชอบจับส่งตำรวจด้วยตัวเอง คิดๆ ดูแล้วก็โหดร้ายไม่เบาจริงๆ

 

 

           ได้ยิน ‘ซูเตอร์’ ชื่อนี้ มือซือเหยี่ยนชะงักไป ก่อนที่เขาจะกำมือไว้ “เวรกรรมเป็นตัวกำหนดคนที่น่าสงสาร ตอนนั้นซูเตอร์ทำกรรมเอาไว้ ดังนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงรับกรรมเลวที่ตัวเองก่อ”

 

 

           อีกอย่างซูเตอร์และพรรคพวกไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีชะตากรรมเช่นนี้อยู่แล้ว

 

 

           ทำเรื่องเลวทรามก็มาก ถึงแม้ไม่ต้องให้เขาออกหน้า ก็จะมีคนอื่นทำอยู่ดี

 

 

           ดังนั้นเขาไม่มีอะไรให้น่ารู้สึกผิดบาป ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งเหล่านั้นที่ซูเตอร์ทำกับเจียงมู่เฉินยิ่งไม่น่ายกโทษให้เลยด้วยซ้ำ

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ ยกมือขึ้นมากุมขมับ “เฉินเฉิน ผมเคยบอกคุณก่อนหน้านี้แล้ว ว่าผมไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ได้ใจดีมีเมตตาขนาดนั้นอยู่แล้ว”

 

 

           หัวใจเจียงมู่เฉินบีบคั้น มือที่จับตะเกียบสั่นโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           “นายยังถือว่ารู้ตัวเองดี” เขาหัวเราะเยาะไปส่งๆ

 

 

           “ดังนั้นตอนนี้คุณก็มองออกว่าผมเป็นคนยังไงแล้ว อยากจะเกลียดผมแล้วเหรอ” ซือเหยี่ยนจงใจทดสอบหยั่งเชิง

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินก้มหน้าลงกินอีกสองคำ ถึงได้วางตะเกียบลง “ซือเหยี่ยน นายคิดว่านายเป็นคนดีหรือคนเลว ฉันไม่ชัดเจนเหรอ”

 

 

           เขาพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องครัวไป

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูบะหมี่ที่เจียงมู่เฉินกินเหลือไว้ ก็ยิ้มหัวเราะอย่างจนใจ ถือชามบะหมี่เข้าหัวครัวไป

 

 

           ……

 

 

           ซังจิ่งไม่อยู่ ทั้งปราสาทเหลือเพียงซือเหยี่ยนและฟู่เหยี่ยนสองคน

 

 

           เจียงมู่เฉินเซ็ง  โดนพวกเขามองอยู่ที่นี่ทั้งวัน ต่อให้ที่นี่มีวิวทิวทัศน์สวยยังไงก็อยู่ต่อไปไม่ไหวนะ

 

 

           เจียงมู่เฉินอยู่บนเกาะเล็กๆ เกาะนี้จนใกล้จะกระอักเลือดแล้ว

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเองก็กลับไม่มีท่าทีที่อยากจะปล่อยเขาไปเลยสักนิด

 

 

           เขาอยู่บนเกาะตกปลา เล่นเกม ไม่ก็อาบแดด กลับเข้าสู่ชีวิตวัยเกษียณแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินทำอะไรไม่ได้ คุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้สง่าผ่าเผยมีมาดอย่างเขาหรือว่าจะต้องมาอยู่บนเกาะร้างนี้ไปตลอดชีวิต

 

 

           ไม่รู้ว่าฟู่เหยี่ยนโผล่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ตกลงแล้วนายยังจะกักตัวฉันไว้ที่นี่อีกนานเท่าไหร่กันแน่”

 

 

           

 

 

[1]  กบต้มน้ำอุ่น  มาจาก ทฤษฎีกบต้ม (The Boiled Frog Theory) ชาวไอริชชื่อ ทิชยาน เชอแมน (Tichyand Sherman คศ.1993) ทำการทดลองเพื่อเปรียบเทียบปฏิกิริยาตอบสนองของกบ โดยเอากบตัวหนึ่งใส่ลงไปในน้ำร้อน ปรากฏว่ามันรีบกระโดดหนีโดยทันทีจากน้ำร้อนทันที เลยรอดจากการถูกต้มสุก จากนั้นเขาเอากบอีกตัวหนึ่งใส่ลงไปน้ำอุณหภูมิปกติ มันก็จะเล่นอย่างสบายใจ แล้วเขาค่อยๆเพิ่มความร้อนเข้าไปทีละนิด ในตอนแรก มันก็จะปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น เหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อน้ำร้อนได้ที่ แม้มันรู้สึกว่าร้อนเกินไปแล้ว แต่ ณ นาทีนั้นความร้อนที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นมาเป็นะวลานานก็ทำให้มันหมดแรงกระโดดหนีเสียแล้ว มันกลายเป็นกบต้มในที่สุด กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว

 

 

สรุปก็คือกบที่จะรอดได้ต้องไวต่อความเปลี่ยนแปลง ส่วนกบที่ไม่ไวต่อความเปลี่ยนแปลงก็จะไม่รอด การทดลองนี้ให้ข้อคิดว่า เราต้องไวในการสังเกตความเปลี่ยนแปลง ประเมินแนวโน้มของความเปลี่ยนแปลง และตัดสินใจในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นในเวลาและรูปแบบที่เหมาะสม อย่าเฉื่อยชาต่อความเปลี่ยนแปลงใดๆที่เกิดขึ้น ซึ่งมักจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย การอดทนหรือยอมทนไปได้เรื่อยๆ อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะท้ายที่สุดก็อาจถึงจุดที่ทนไม่ไหว แต่ก็สายเกินแก้ไปแล้ว

 

ตอนที่ 366 ใครก็ไปจากที่นี่ไม่ได้ทั้งนั้น

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินออกมาจากห้องแล้ว ก็เป็นเวลากินข้าวเย็นพอดี เจียงมู่เฉินดูตามเวลาแล้วก็ไม่เดินออกไปข้างนอก แต่รออยู่ในห้องรับแขกแทน

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินเข้ามาจากข้างนอก ก็เห็นเจียงมู่เฉินพอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินใจเต้นตึกตัก รีบเบนสายตาหนีไม่มองซือเหยี่ยนทันที

 

 

           เรื่องเมื่อครู่นี้ ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยถึง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง เดินมานั่งตรงข้ามกับเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินเงยหน้ามาก็เป็นใบหน้าของซือเหยี่ยน เขาหลุบตาลง ในใจว้าวุ่น

 

 

           ซือเหยี่ยนคนนี้ช่างตัวหายนะจริงๆ พอเห็นเขา ใจก็ว้าวุ่นไปตามซือเหยี่ยนแล้ว

 

 

           เขาบีบนิ้วมือตัวเอง ระงับอารมณ์ความรู้สึกไว้

 

 

           ทั้งสองคนไม่ได้บึ้งตึงกันนานเกินไป ฟู่เหยี่ยนก็เดินลงมาจากชั้นบน

 

 

           เขาเดินมาอย่างทะนงองอาจนั่งลงข้างเจียงมู่เฉิน ยังไม่ลืมที่จะยั่วยุซือเหยี่ยน

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเขาน่าเบื่ออยู่ทีเดียว

 

 

           ไม่อยากมาต่อล้อต่อเถียงกับเขาให้มากความ

 

 

           “ซังจิ่งล่ะ” ตั้งแต่เช้ามา ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของซังจิ่งมาจนถึงตอนนี้

 

 

           ตามเหตุผลแล้ว เขาไม่ควรจะออกจากที่นี่ไป ถึงจะถูก

 

 

           ฟู่เหยี่ยนพูดปลงๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ใครจะไปรู้ล่ะ คงจะยุ่งอยู่มั้ง”

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา

 

 

           ฟู่เหยี่ยนทำไม่รู้ไม่ชี้ลูบจมูกปอยๆ “คุณมองผมทำไม ผมไม่ได้จับมัดเขาแล้วโยนลงทะเลให้ปลากินสักหน่อย”

 

 

           เจียงมู่เฉินพินิจมองฟู่เหยี่ยนซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็เห็นว่าเขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้ทำอะไรซังจิ่งจริงๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินเบนสายตามายังซือเหยี่ยน

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “เขามีเรื่องจำเป็นต้องไปจัดการ”

 

 

           เขาขานรับหน้าตาเฉย ฟู่เหยี่ยนทำเสียงเย็นใส่ “มีเรื่องจำเป็นต้องไปจัดการ ผมเห็นว่าเขากำลังคิดว่าจะแย่งคนจากในมือผมอย่างไรมากกว่ามั้ง”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาปราดเดียว “ตกลงนายเตรียมจะให้ฉันอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเอ่ยอย่างไม่สนใจอะไร “ดูอารมณ์มั้ง รอผมอยากปล่อยคุณไปเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็ให้คุณไปได้เองแหละ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม รู้ว่าฟู่เหยี่ยนคนนี้ไม่ใช่คนปกติอะไรเลย

 

 

           จู่ๆ เขาก็หัวเราะเบาๆ แล้วกระดิกนิ้วใส่เขา ฟู่เหยี่ยนโน้มเข้ามาด้วยท่าทีปลิ้นปล้อนคิดไม่ซื่อ

 

 

           เจียงมู่เฉินอาศัยโอกาสที่เขาไม่ทันระวังตัว ยกเท้าถีบเข้าไปทีหนึ่ง

 

 

           ฟู่เหยี่ยนถูกถีบจนเซหงายหลังไป อีกนิดคนทั้งคนจะล้มลงไปแล้ว ยังดีที่ฟู่เหยี่ยนมือไวคว้าขาโต๊ะที่อยู่ด้านข้างได้

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นต้องมาล้มหกคะเมนต่อหน้าเจียงมู่เฉิน

 

 

           ขายขี้หน้าตายเลย

 

 

           “ฉันอยู่ที่นี่มาพักใหญ่แล้วนะ ทั้งวันนายไม่มีอะไรทำก็มาเล่นเกมกับฉัน ตกปลากับฉัน ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อบ้างหรือไง”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยักไหล่ “ไม่น่าเบื่อ”

 

 

           ถ้าเจียงมู่เฉินยอมเล่นเกมกับเขาไปทั้งชีวิต ตกปลากับเขาไปทั้งชีวิต เขาก็มีความสุขถึงขีดสุดแล้ว จะน่าเบื่อได้อย่างไร

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือกดที่หัว พูดไม่รู้เรื่องกับฟู่เหยี่ยนคนนี้จริงๆ

 

 

           เขาถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ รู้สึกปวดหัวไปด้วย

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางแบบนั้นของฟู่เหยี่ยน ก็เอ่ยขึ้นในทันที “เขาไม่ใช่ของส่วนตัวของคุณ เขาเลือกจะไปจากที่นี่ได้”

 

 

           นัยน์ตาฟู่เหยี่ยนเย็นยะเยือกในพริบตา “ถ้าผมไม่อนุญาต ใครก็ไปจากที่นี่ไม่ได้ทั้งนั้น”

 

 

           สีหน้าเขาเลือดเย็น รังสีบางอย่างขึ้นมาในทันใด เทียบกลับท่าทีปลิ้นปล้อนคิดไม่ซื่อเมื่อครู่นี้ช่างแตกต่างกันลิบลับ

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทีของฟู่เหยี่ยนแล้ว อดจะทอดถอนใจไม่ได้ สมกับเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเวลล์จริงๆ

 

 

           ยังมีความหลักแหลมจริงๆ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นเขาพินิจมองตัวเอง ก็เงยหน้ามองซือเหยี่ยนตรงๆ แววตาส่งคำเตือน

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับไม่ใช่คนยอมอะไรง่ายๆ เขาจ้องมองฟู่เหยี่ยน โต้ตอบกลับไปทันที

 

 

           ทั้งสองคนกำลังสาดไฟแค้นรุนแรงในแววตา เปลวไฟลุกพึ่บพั่บพุ่งขึ้นมา

 

 

           แต่เจียงมู่เฉินกลับไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินหาวอยู่ข้างๆ ราวกับว่าการประจันหน้าสู้รบกันในทางเปิดเผยและทางลับขนาบคู่กันไปแบบนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแม้เพียงเศษเสี้ยว

 

 

            

 

 

            ตอนที่ 367 ขวางหูขวางตาจะตายชัก

 

 

           พ่อบ้านหลินเข้ามาส่งอาหารพอดี เขาเห็นบรรยากาศแปลกประหลาดบนโต๊ะอาหารนี้ ก็งงเป็นไก่ตาแตกอยู่เลยทีเดียว

 

 

           รู้สึกว่าสามคนนี้มีความรู้สึกแปลกๆ กันหมด

 

 

           โดยเฉพาะระหว่างคุณชายของเขากับซือเหยี่ยน เหมือนกำลังปะทะกันอยู่

 

 

           พ่อบ้านหลินวางจานชามเสร็จแล้ว ก็รีบออกไปจากตรงนั้น หลบหนีจากสนามรบที่คุกรุ่นไปด้วยควันปืนนี้

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นอาหารเต็มโต๊ะ เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “พวกพี่ชาย อย่าจ้องกันเลย กินข้าวกันสิ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเก็บสายตานี้ลงไป ไม่ทำสงครามประสาทกับฟู่เหยี่ยนต่อแล้ว

 

 

           เขาเอื้อมมือไปหยิบตะเกียบคีบอาหารให้เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินเห็นการกระทำของซือเหยี่ยน ก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้

 

 

           ‘เขาอนุญาตให้ซือเหยี่ยนคีบอาหารให้เขาเหรอ’

 

 

           คำพูดปฏิเสธยังไม่ทันได้พูดออกมาจากปาก ฟู่เหยี่ยนเห็นซือเหยี่ยนคีบอาหารให้เจียงมู่ฌฉิน ตัวเองก็ไม่ยอมแพ้ รีบคีบอาหารให้เขาเหมือนกัน

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูพวกเขาสองคน ก็โมโหจนเขวี้ยงตะเกียบ

 

 

           “พวกนายสองคนเป็นบ้ากันหรือไง ต้องคะยั้นคะยอกันขนาดนี้เลยเหรอ”

 

 

           ‘มาทำสงครามสู้กันไปมาต่อหน้าเขาได้ทั้งวันก็ช่างเถอะ แม้แต่ตอนนี้ที่เขาอยากจะกินอะไรยังมาขัดจังหวะอีกเหรอ’

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกยืนขึ้นมา “พวกนายกินกันเองไปเถอะ ฉันไม่กินแล้ว”

 

 

           เขาโมโหจนจะอิ่มแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คงจะโมโหจนระเบิดได้

 

 

           ‘เด็กไม่รู้จักโต!’

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ เดินขึ้นชั้นบนไป นอนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้อยู่บนเตียง  ชีวิตแบบนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่กันนะ

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินวิ่งขึ้นชั้นบนไป ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่นั่งหน้าโต๊ะด้วยท่าทีสงบนิ่งต่อ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นแบบนี้ก็เลิกคิ้ว “อะไรกัน ไม่ขึ้นไปง้อเหรอ นี่เป็นสิ่งที่คุณถนัดที่สุดไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาปราดเดียว “คุณเองก็ถนัดมากเหมือนกัน”

 

 

           เขากินสองคำก็วางตะเกียบลง “ผมกินเสร็จแล้ว”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนขบกรามมองตามแผ่นหลังของซือเหยี่ยนไป เขารู้สึกขัดใจกับซือเหยี่ยนขนาดนี้หมายความว่าไง

 

 

           เจ้าหมอนี่ไม่มีอะไรทำก็มายุ่งวุ่นวาย ขวางหูขวางตาจะตายชัก

 

 

           ……

 

 

           กลางดึกเวลาสิบสองนาฬิกา เจียงมู่เฉินหิวจนไม่ไหว แอบเปิดประตูจะออกไปหาอะไรกินในห้องครัว

 

 

           ตอนหัวค่ำเขาไม่ได้กินอะไร ใกล้จะหิวตายอยู่แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินลงมาชั้นล่างอย่างระมัดระวัง ย่องเบาเข้าห้องครัวไป หาอยู่นานสองนาน ว่างเปล่าไม่มีอะไร แม้แต่อาหารเหลือสักจานก็ไม่เหลือไว้ให้เขา

 

 

           ที่แท้ทั้งสองคนนี้ก็ไม่มีใครเชื่อถือได้เลยสักคน ปากก็บอกว่าชอบเขาอย่างนั้นอย่างนี้

 

 

           ‘หลอกลวงเป็นผีกันทั้งหมด!’

 

 

           ไม่ใส่ใจกันสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินจนใจ ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับตู้เย็นแล้ว เขายื่นมือไปเปิดตู้เย็น ก็เห็นข้างในมีแค่แตงกวากับมะเขือเทศอีกนิดหน่อย

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้  ปราสาทออกจะใหญ่ขนาดนี้ มีตู้เย็นไว้แค่ประดับหรือไง

 

 

           ‘ใส่ของกินสักหน่อย ผลไม้อะไรพวกนี้ไม่ได้เหรอ’

 

 

           พ่อบ้านหลินคนนี้ช่างซื่อบื้อเหลือเกิน ระวังวันหลังจะโดนซือเหยี่ยนไล่ออกเอา

 

 

           พ่อบ้านหลินทำหน้าไม่ยอมรับผิด แสดงออกว่าความผิดนี้เขาไม่หารด้วย อาหารที่คุณชายของเขากินทุกวันคืออาหารที่ขนส่งมาทางอากาศวันต่อวัน

 

 

           อาหารเหลืออะไร คุณชายของเขาไม่เคยกินอยู่แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินมองมะเขือเทศและแตงกวาด้วยท่าทีน่าสงสาร ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ยื่นมือไปเตรียมจะหยิบมากินสดๆ

 

 

           แต่เพิ่งจะยื่นมือออกไป ข้างหลังก็มีอีกมือหนึ่งแย่งไปเสียก่อน

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง  อะไรกัน แค่แตงกวาลูกเดียวก็มาแย่งกับเขาเหรอ

 

 

           เขาหันกลับไปมองด้วยอารมณ์โมโห อยากจะดูว่าใครกันโรคจิตขนาดนี้ พอหันกลับไปก็เห็นใบหน้าเย็นชาใบหน้านั้นของซือเหยี่ยน

 

 

           “โรคจิต” เจียงมู่เฉินด่าไปคำหนึ่ง ก็อยากจะไปทันที

 

 

           แต่กลับถูกซือเหยี่ยนกดร่างแนบไปกับตู้เย็น

 

 

           “นายแม่งมากดฉันไว้ทำไม ปล่อยฉันนะ” เจียงมู่เฉินรีบสะบัดของเขาออก

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเขา “เมื่อกี้คุณด่าว่าผมโรคจิตเหรอ”

 

 

           “แล้วไง นายก็โรคจิตอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” เจียงมู่เฉินเงยหน้าเอ่ยโต้กลับอย่างดื้อรั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นใบหน้าเล็กๆ แสนดื้อรั้นของเขา นัยน์ตาก็ลุกวาว “ในเมื่อคุณด่าก็ด่าไปแล้ว ถ้าผมไม่ทำอะไรแสดงออกมาสักหน่อย จะเป็นการให้คุณด่าฟรีๆ แล้ว”

 

 

           เขาก้มหน้าลงประกบปากเจียงมู่เฉินโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

ตอนที่ 364 เจียงมู่เฉินระเบิดอารมณ์

 

 

           เขาพรวดพราดลุกขึ้นยืน ยกเท้าเตะโต๊ะเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง เขาถลึงตาใส่ซือเหยี่ยน “นายคิดว่านายพูดกับฉันแบบนี้แล้ว ฉันจะซึ้งใจโคตรๆ แล้วอภัยให้นายได้ในทันทีใช่ไหม”

 

 

           “ผมไม่ได้หมายความอย่างนี้”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความเดือดดาล “นายก็หมายความอย่างนี้แหละ!” เขาโมโหจนกระทืบเท้าใส่อยู่หลายครั้ง “นายแม่งก็หมายความอย่างนี้แหละ นายอยากให้ฉันทรมานใจ อยากให้ฉันผูกติดกับนายไปตลอดชีวิต…

 

 

           …ทำไมนายแม่งเจ๋งขนาดนี้นะ ฉันเจียงมู่เฉินจำเป็นต้องให้นายทุ่มเททำทั้งหมดนี้เพื่อช่วยฉันหรือไง”

 

 

           เขาด่าไปไม่กี่ประโยค ก็รู้สึกแค่ยิ่งเดือดดาลกว่าเดิม เขาพุ่งตัวไปอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน ยื่นมือไปกระชากคอเสื้อเขามา “นายแม่งจงใจ ใช่ไหมล่ะ!”

 

 

           ซือเหยี่ยนคาดการณ์อารมณ์โกรธจัดของเขาไว้แล้ว แต่อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเดือดดาลขนาดนี้

 

 

           เขาสงบเสงี่ยม ในขณะที่โดนเจียงมู่เฉินกระชากคอเสื้อ ไม่แก้ต่างใดใดทั้งสิ้น

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นใบหน้าของซือเหยี่ยนในระยะประชิด หลายวันหลายคืน เขาอยู่ไม่เป็นสุขเดือดเนื้อร้อนใจเพราะใบหน้านี้ของซือเหยี่ยน

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนล่ะ ยืนหยัดในความถูกต้อง ถือดีจนจะเป็นจะตาย

 

 

           ทำเพื่อเขาแล้ว ไม่เพียงแต่บาดเจ็บ ตีฝ่าวงในของศัตรูเท่านั้น ยังต้องเลิกกับเขาอีก

 

 

           “นายนี่แม่งจริงๆ เลย” เจียงมู่เฉินโกรธจัดจนสะบัดมือออก ซือเหยี่ยนทรงตัวไม่อยู่ เซถลาไป

 

 

           แต่เขาก็กลับมาทรงตัวนิ่งๆ ได้อย่างรวดเร็ว ยังคงยืนตัวตรงอยู่ข้างๆ ได้   

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยน ยกมุมปากขึ้น เขารู้สึกว่าน่าตลกสิ้นดี คิดไม่ถึงว่าความเป็นความตายของตัวเองจะจำเป็นถึงขั้นต้องเสียสละซือเหยี่ยน เสียสละความรัก

 

 

           ‘เขาเจียงมู่เฉินกลายเป็นคนไม่ได้เรื่องไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’

 

 

           เขาเอามือผลักซือเหยี่ยนออก เช็ดตัวแล้วก็เดินจากไปทันที

 

 

           ที่ตกปลาที่ใช้พักผ่อนหย่อนใจแต่เดิม ราวกับพายุพัดโหมกระหน่ำผ่านมา ถูกเจียงมู่เฉินเตะถีบเหยียบพังยับระเนระนาดไปหมด

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูโต๊ะที่พลิกคว่ำ และชามแกงที่ตกแตกอยู่บนพื้น

 

 

           ก็ยกมุมปากขึ้นอย่างจนใจ

 

 

           สายลมพัดผ่านระลอกหนึ่ง ซือเหยี่ยนกำมือที่ค่อนข้างจะไร้เรี่ยวแรง ยืดเหยียดกายยืนตัวตรง ท่ามกลางสายลมแผ่วเบาปรากฏความเงียบเหงาให้เห็น

 

 

           ……

 

 

           จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านหลัง ฟู่เหยี่ยนค่อยๆ เดินเข้ามา เขายืนอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน “เป็นยังไงบ้าง ต่อให้คุณบอกความจริงกับเขา เขาก็จะไม่อภัยคุณหรอก”

 

 

           ซือเหยี่ยนเก็บอารมณ์ของตัวเองเข้าไป กลับมาสู่สภาพเย็นชาเหมือนเดิม เขามองดูฟู่เหยี่ยน แล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “คุณยิ่งสาหัสกว่าผมนะ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนได้ยินประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนในทันใด ส่งมือไปกระชากคอเสื้อของซือเหยี่ยน

 

 

           ซือเหยี่ยนสะบัดมือเขาออกอย่างสบายๆ ยกมือขึ้นมาจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง

 

 

           “คุณฟู่ มีบางเรื่องที่ผมและคุณรู้ดีอยู่แก่ใจ ถึงแม้ผมจะไม่รู้ถึงสาเหตุที่ครั้งนี้คุณพาเจียงมู่เฉินมา แต่ผมบอกคุณได้ ขอเพียงแต่มีผมอยู่ คุณจะทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ”

 

 

           ซือเหยี่ยนพูดจบก็หยุดลงสักพัก เหมือนจะไม่ค่อยยินดีจะยอมรับเท่าไหร่ “อีกอย่าง คุณเองก็คงจะทำใจทำร้ายเขาไม่ลง”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนม่านตาหดตัวลงในทันใด “คุณไปรู้อะไรมา”

 

 

           “ที่ควรรู้ ที่ไม่ควรรู้ ผมก็ชัดเจนมากทั้งนั้น” เขายิ้มหัวเราะเบาเล็กน้อย “เหยี่ยน เวลล์แกลตเตอร์”

 

 

           ซือเหยี่ยนพูดประโยคนี้จบ ก็ผลักฟู่เหยี่ยนออก แล้วเดินจากไป

 

 

           ฟู่เหยี่ยนมองตามแผ่นหลังของซือเหยี่ยนไป หรี่ตาลง เขารู้ว่าซือเหยี่ยนไม่หมูสำหรับเขา แต่อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้แม้แต่เรื่องของตระกูลของเขาได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดนี้

 

 

           ซือเหยี่ยนคนนี้ ยังมีอะไรที่เขาไม่รู้อีก

 

 

           เจียงมู่เฉินกลับมาที่ห้องแล้ว เขาพุ่งตรงเข้าไปเล่นเกมทันที ในสมองสับสนวุ่นวายไปหมด คิดอะไรไม่ตกสักอย่าง

 

 

           แทนที่จะขมขื่นทรมาน สู้ไม่คิดอะไรเลยจะดีกว่า

 

 

           เจียงมู่เฉินเล่นเกมด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

 

 

           เพียงไม่นานก็มีคนมาเคาะประตูด้านนอก เจียงมู่เฉินตะโกนออกไป “ใคร”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยืนอยู่นอกประตู เอ่ยเสียงต่ำ “ผมเอง”

 

 

           “อ่อ เข้ามาสิ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเดินเข้าไปก็เห็นเจียงมู่เฉินเล่มเกมอย่างใจจดใจจ่อ เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน “อยากให้ผมเล่นกับคุณสักตาไหม”

 

 

 

 

           ตอนที่ 365 ไม่เกี่ยวกับเขา

 

 

           เจียดเวลามากวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ฝีมือของนายแบบนั้น ไหวเหรอ”

 

 

           ‘เขาออกจะขยันซ้อม เจียงมู่เฉินมาดูถูกเขาขนาดนี้เลย?’

 

 

           “คุณลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

           “ได้ นายรอฉันเล่นตานี้เสร็จก่อนนะ” เจียงมู่เฉินจดจ่อกับการกระทำในมือ

 

 

           เพียงครู่เดียวก็จัดการโจมตีฝ่ายตรงข้ามจนล้มลงได้

 

 

           เขาถอนหายใจอย่างผ่อนคลายอารมณ์ พอไม่คิดถึงซือเหยี่ยน ก็สบายใจขึ้นมากจริงๆ

 

 

           “มา ฉันจะพานายเล่น ดูกันว่าฝีมือนายพัฒนาขึ้นบ้างไหม”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนส่งมือไปรับจอยสติ๊กมา เขายั่วยุเจียงมู่เฉินเงียบๆ “ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่แน่หรอก”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “วางใจเถอะ นายไม่มีทางชนะฉันได้หรอก”

 

 

           นอกจากเขาจะแพ้ให้ซือเหยี่ยนแล้ว ก็ไม่เคยแพ้ให้ใครที่ไหน

 

 

           เจียงมู่เฉินและฟู่เหยี่ยนทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างกันเตรียมพร้อมสู้ศึก หลังจากที่เกมเริ่ม เจียงมู่เฉินก็ออกตัวทันที

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรีบไล่ตามไป แต่ก็มักจะช้ากว่าเจียงมู่เฉินเพียงนิดหนึ่งเสมอ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนแทบอยากจะใช้แรงกำลังความสามารถที่มีทั้งหมดออกไป

 

 

           หลังจากไล่ตามไป ก็ยังพ่ายแพ้ให้เจียงมู่เฉินจนได้

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างสะใจ นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้สุกใสเป็นประกาย

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นเขาแบบนั้น ก็ใจลอยไปเสียเดี๋ยวนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นว่าจู่ๆ เขาไม่พูดจา ก็ยื่นไปผลักเขาทีหนึ่ง “เป็นไร กำลังคิดอะไรอยู่”

 

 

           เวลานี้เองฟู่เหยี่ยนถึงได้คืนสติกลับมา แววตาที่มองเจียงมู่เฉินค่อนข้างสับสน

 

 

           เพียงเสี้ยวเวลานั้น เขาก็นึกถึงคำพูดของซือเหยี่ยนขึ้นมาได้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนกำมือ เอ่ยเสียงต่ำ “ไม่มีอะไร”

 

 

           เจียงมู่เฉินชายตามองเขา “ยังจะเล่นอีกไหม”

 

 

           “เล่นสิ ไม่เล่นจะชนะคุณได้ยังไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะด้วยความทะนงตัว เชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง “นายคอยดูเถอะ เล่นร้อยครั้ง นายก็ไม่ชนะฉันหรอก ฉันรับประกันเอานายตายแน่”

 

 

           ทั้งสองคนนั่งเล่นเกมอยู่ในห้องอยู่หลายชั่วโมง เจียงมู่เฉินทรมาทรกรรมฟู่เหยี่ยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

 

           ทรมาทรกรรมจนต่อมา ฟู่เหยี่ยนเริ่มสงสัยในชีวิตคนเราแล้ว

 

 

           สุดท้ายฟู่เหยี่ยนก็ทิ้งจอยสติ๊กลงอย่างเสียไม่ได้ เอนซบอยู่ข้างๆ ด้วยความสิ้นหวัง “ผมว่านะ คุณยอมให้ผมสักหน่อยไม่ได้เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปากอย่างขำขัน “ฉันยอมให้แค่คนรักของฉันเท่านั้น”

 

 

           เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง เจียงมู่เฉินก็ตะลึงค้างไปเอง

 

 

           ‘ประโยคนี้…คือประโยคที่ซือเหยี่ยนพูดกับเขา คิดไม่ถึงว่าจะออกมาจากปากเขาเอง’

 

 

           ชั่วขณะนั้น เจียงมู่เฉินว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

 

 

           ฟู่เหยี่ยนไม่ได้สังเกตเห็นความว้าวุ่นใจของเจียงมู่เฉิน เขาลองถามหยั่งเชิงขึ้นมา “งั้นผมจะเป็นคนรักของคุณ เป็นยังไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินกดเก็บความว้าวุ่นใจลงไป เบนสายตามายังฟู่เหยี่ยน เขาจ้องมองฟู่เหยี่ยนอยู่ครู่ใหญ่ ยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างติดตลก “ยังไงกัน นายอยากจะเป็นคนรักของฉันเหรอ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนพยักหน้าอย่างจริงจัง

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเยาะ “แต่น่าเสียดาย ฉันไม่อยากมีคนรัก”

 

 

           เขาไม่หวังให้วันข้างหน้ามีใครอีกคนมาบอกกับเขา ว่าทุ่มเททุกอย่างได้เพื่อเขา

 

 

           ความรู้สึกแบบนั้น เขาเจียงมู่เฉินยอมรับไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าจะมีใครอีกคนมาทุ่มเทให้เขาโดยไม่มีเงื่อนไข

 

 

           ฟู่เหยี่ยนจ้องมองเขา “คุณเป็นเพราะซือเหยี่ยนเหรอ”

 

 

           เอ่ยถึงซือเหยี่ยน นัยน์ตาเจียงมู่เฉินเบือนหนี

 

 

           “ไม่เกี่ยวกับเขา”

 

 

           “งั้นเกี่ยวกับใครเหรอ” ฟู่เหยี่ยนเอ่ยถามต่อ

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกขึ้นยืนจากพื้น “ฟู่เหยี่ยน เรื่องที่นายไม่ควรถาม นายอย่าถามให้มากจะดีที่สุด”

 

 

           พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป

 

 

           ฟู่เหยี่ยนนั่งลูบจมูกปอยๆ อยู่ที่เดิม เขารู้สึกได้ถึงการเบือนหนีของเจียงมู่เฉิน

 

 

           ‘แต่เบื้องหลังการเบือนหนีนี้คืออะไรล่ะ’

 

 

           ‘คนที่เจียงมู่เฉินตัดขาดเยื่อใยขนาดนั้น เป็นเพราะอะไร ถึงเบือนหนีไปแบบนี้อีก’

 

 

           ฟู่เหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

           คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะมีผลกระทบกับเจียงมู่เฉินได้ใหญ่ขนาดนี้

 

 

           เขาคิดถึงตรงนี้ สีหน้าก็หนักอึ้งเล็กน้อย

ตอนที่ 362 ป้อนน้ำแกงด้วยตัวเอง

 

 

           เวลานี้เองเจียงมู่เฉินถึงนึกถึงฟู่เหยี่ยนที่เอาแต่มาทำเสียงจ้อกแจ้กอยู่ข้างหู

 

 

           ตั้งแต่ออกจากห้องมา ก็ไม่เห็นฟู่เหยี่ยนเลย

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อนข้างแปลกใจ  ไม่ควรจะเป็นแบบนี้นะ ซือเหยี่ยนอยู่ทั้งคน คิดไม่ถึงว่าฟู่เหยี่ยนจะไม่อยู่

 

 

           ตามนิสัยของฟู่เหยี่ยนแล้ว  คงจะไม่ปล่อยให้ซือเหยี่ยนเข้าใกล้เขาหรอกใช่ไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกใช่ไหม

 

 

           เขามองไปรอบๆ เตรียมจะไปหาพ่อบ้านหลินเพื่อถามไถ่ ผลปรากฏว่ามองเข้าไปดูก็ไม่เห็นพ่อบ้านหลิน

 

 

           เมื่อเห็นว่าหาคนให้ถามไม่เจอ เจียงมู่เฉินก็ล้มเลิกความคิด

 

 

           คนตั้งใหญ่โตขนาดนั้น หรือว่าก็ยังถูกคนลักพาตัวไปได้ด้วย

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เจียงมู่เฉินก็ไม่สนใจในพริบตา แล้วแต่พวกเขาแล้วกัน เรื่องของเขาเองตอนนี้วุ่นวายยุ่งเหยิงจนยุ่งไม่ไหวแล้ว หรี่ตาลงเอนกายพักผ่อนอยู่ตรงนั้น

 

 

           ลมเบาๆ พัดโชยเข้ามาเป็นระลอกๆ พัดโบกผมของเจียงมู่เฉินให้ปลิวไสว ใบหน้างามละเอียดได้รูปนั้นท่ามกลางสายลมช่างดูผ่อนคลายเหลือเกิน

 

 

           ซือเหยี่ยนเก็บกวาดของที่เรี่ยราดในห้องครัวเรียบร้อยแล้ว ก็ตักแกงชามหนึ่งแล้วเดินออกไป

 

 

           เขาออกมาจากปราสาทก็เห็นเจียงมู่เฉินเอนกายนอนอยู่ไม่ไกลนัก

 

 

           เห็นเจียงมู่เฉินนอนเอ้อระเหยอยู่ตรงนั้น ซือเหยี่ยนก็อดจะยิ้มหัวเราะไม่ได้ ใบหน้าที่หนักอึ้งในความรู้สึกในที่สุดก็มีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมา

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับสนิท ผมสั้นถูกลมพัดโชยมาสัมผัสใบหน้า และในบางครั้งแสงแดดก็ส่องทะลุผ่านใบไม้กระทบลงบนใบหน้าของเจียงมู่เฉิน

 

 

           ซือเหยี่ยนวางชามแกงที่โต๊ะด้านข้าง เขายื่นมือไปเกลี่ยปัดผมที่ชี้ออกมาอยู่บนใบหน้าเจียงมู่เฉินอย่างเบามือ

 

 

           การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วนิดหน่อย

 

 

           ซือเหยี่ยนเกร็งนิ้วมือ รีบหยุดการกระทำนั้น ชักมือออกอย่างช้าๆ

 

 

           เขาเพิ่งจะชักมือกลับมา เจียงมู่เฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นซือเหยี่ยนนั่งอยู่ข้างๆ

 

 

           สีหน้าบึ้งตึงนิดหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

 

 

           “ทำไมนายมาอีกแล้ว” เขาคิดว่าเมื่อครู่นี้จะทำให้ซือเหยี่ยนรู้ว่ายากแล้วถอนตัว ใครจะรู้ว่าเขาจะตามมาอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินหงุดหงิดในใจ ขณะพูดจาก็ยังเจือความไม่พอใจอย่างเหลืออด

 

 

           ซือเหยี่ยนฟังความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขาออก นิ้วมือแข็งทื่อ กลับเอ่ยอย่างระงับความรู้สึก “เมื่อกี้ยังไม่ได้ดื่มน้ำแกง ผมก็เลยมาส่งให้คุณอีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างประชดประชัน “ยังไงกัน ไม่กลัวฉันจะเทน้ำแกงทิ้งอีกเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนสงบนิ่ง ยื่นมือไปยกชามแกงขึ้น “ผมต้มไว้เยอะ คุณเททิ้ง ผมก็ไปตักให้คุณได้อีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกขัดใจ รู้สึกว่าซือเหยี่ยนนับวันยิ่งหน้าหนา เขาพูดขนาดนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะยังหน้าไม่อายเข้ามาอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินเดือดดาลอยู่ในใจ เบนหน้าหนีไม่มองเขา คร้านจะสนใจเขา

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่ถือชามแกงชะงักไป เขาเห็นเจียงมู่เฉินไม่คิดจะดื่มน้ำแกง นัยน์ตาจมดิ่งเล็กน้อย เขาก้มหน้าดื่มเข้าไปคำหนึ่งทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังจะเตรียมปรับท่าทางจะได้นอนหลับได้ดีๆ ไม่สนใจซือเหยี่ยน ก็รู้สึกถึงมือใหญ่มือหนึ่งที่ล็อคคางตัวเองไว้

 

 

           จากนั้นริมฝีปากก็อุ่นร้อนขึ้นมา น้ำแกงถูกเขากลืนลงไปทั้งอย่างนี้

 

 

           นัยน์ตาเจียงมู่เฉินประกายวาบ ยื่นมือออกไปอยากจะต่อต้าน แต่ซือเหยี่ยนกลับเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ยื่นมือออกไปกดเจียงมู่เฉินไว้

 

 

           เจียงมู่เฉินทำได้เพียงนอนอยู่บนเก้าอี้นอน ขยับเขยื้อนไม่ได้เลยสักนิด

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนเอาน้ำแกงในปากส่งเข้าไปแล้ว ถึงได้เอ่ยเสียงต่ำออกมา “ผมป้อนเอง หรือว่าคุณจะดื่มเอง”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นว่าตัวเองเสียเปรียบอยู่ ถ้าเขาไม่ยอมตกลง ซือเหยี่ยนอาจจะจูบป้อนน้ำแกงให้เขาด้วยตัวเองจริงๆ

 

 

           พอคิดถึงเรื่องป้อนน้ำแกงเมื่อครู่ เจียงมู่เฉินก็อดจะรู้สึกหัวชาไม่ได้

 

 

           เขาหยุดชะงักสักพัก กัดฟันพูด “ฉันเอง”

 

 

           รอยยิ้มประกายในแววตาของซือเหยี่ยน เขาปล่อยมือเจียงมู่เฉิน ส่งชามแกงไป “ดื่มเองเลย”

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินไม่ยินดี แต่ซือเหยี่ยนนั่งจ้องมองเขาอยู่ข้างๆ ราวกับจ้องมองเหยื่อ

 

 

           เจียงมู่เฉินทำอะไรไม่ได้ กำลังต่อสู้ของเขาตอนนี้เทียบกับซือเหยี่ยนแล้ว เป็นการหาเหาใส่หัวตัวเอง

 

 

           ‘แทนที่จะเอาแบบนี้ ไม่สู้ตัวเองดื่มเองก็จบ’

 

 

           ถึงแม้ว่าคนที่เคี่ยวน้ำแกงไม่โอเค แต่น้ำแกงนี้ไม่เลวจริงๆ

 

 

           เขารับชามจากในมือซือเหยี่ยนมาอย่างไม่เต็มใจนัก เหมือนเขาจงใจทำเป็นรังเกียจซือเหยี่ยน กวาดสายตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เคี่ยวน้ำแกงอะไรของนาย ดื่มยากจะตายชัก”  

 

 

           

 

 

            ตอนที่ 363 เป็นแผนของผมทั้งหมด

 

 

           เหมือนซือเหยี่ยนจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แววตาประกายรอยยิ้ม นั่งเก็บอาการอยู่ข้างๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินยอมดื่มได้ เขาก็พอใจแล้ว ที่เหลือเขาก็ไม่ขอมากไปกว่านี้

 

 

           ถึงอย่างไรการซ่อมแซมความสัมพันธ์เรื่องแบบนี้ไม่ใช่วันสองวันจะทำสำเร็จได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนไม่พูดจา ซดน้ำแกงไปสองคำจนหมด ก็โยนชามกลับคืนให้เขาอย่างไม่เกรงใจ

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปรับ “ยังดื่มอีกไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “กลืนไม่ลง ไม่ดื่มแล้ว”

 

 

           เขายิ้มหัวเราะวางชามแกงลงบนโต๊ะข้างๆ

 

 

           “น้ำแกงก็ดื่มหมดแล้ว นายจะยังอยู่ที่นี่ทำไม มาเป็นไม้ประดับเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกมองเจียงมู่เฉินอย่างจริงจัง “เฉินเฉิน คุณไม่อยากมองหน้าปมขนาดนี้เลยเหรอ”

 

 

           “หึ” เจียงมู่ฌฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “หุบปากนายไปซะ ฉันไม่สนิทกับนาย”

 

 

           พอได้ยินเขาเรียกตัวเองว่า ‘เฉินเฉิน’ เปลวไฟก็เกิดขึ้นในใจเจียงมู่เฉิน  ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาไปเอาความหน้าหนาหน้าทนนี้มาจากไหน

 

 

           ‘ยังมากล้าเรียกตัวเองว่าเฉินเฉินต่อหน้าตัวเองอีก’

 

 

           ‘ไม่กลัวว่าจะสะอิดสะเอียนมาถึงตัวเองหรือไง’

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยสายตาเย็นชา “บอกมาเถอะ ครั้งนี้อยากได้อะไรจากตัวฉันอีก หรือว่าซูเตอร์ให้นายมาทำอะไร”

 

 

           เขาไม่อยากพูดอ้อมค้อมกับซือเหยี่ยนแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถือโอกาสพูดเปิดเผยเสียเลย

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขา เอ่ยอธิบายนิ่งๆ “ไม่เกี่ยวกับซูเตอร์”

 

 

           “งั้นฉันไม่รู้แล้วว่าระหว่างฉันกับนายยังมีเรื่องอดีตอะไรกันอีก”

 

 

           ซือเหยี่ยนพิงอยู่เก้าอี้ข้างๆ เขาเงยหน้ามองดูใบหน้าของเจียงมู่เฉิน อารมณ์ความรู้สึกสับสนเจือในแววตา

 

 

           เจียงมู่เฉินถูกเขามองแบบนี้ ในใจก็มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้

 

 

           เขาถลึงตาใส่คนตรงหน้า “นี่นายมองฉันแบบนี้ทำไม”

 

 

           “เฉินเฉิน คุณไม่คิดจะให้อภัยผมจริงๆ แล้วเหรอ”

 

 

           “ให้อภัยนาย? ฉันกินอิ่มอยู่สบายแล้วยังดันทุรังหาเรื่องเหรอ” ซือเหยี่ยนเอาความกล้ามาจากไหนถึงจะให้ตัวเองอภัยให้เขาได้

 

 

           “ระหว่างพวกเราคุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอ” ซือเหยี่ยนกุมขมับ

 

 

           “กับนาย ฉันไม่มีอะไรให้คุยดีๆ หรอก” เจียงมู่เฉินเหวี่ยงวีนไม่อยากจะพูดจากับเขา

 

 

           ซือเหยี่ยนจนใจ หนทางตามแฟนช่างยาวไกล

 

 

           “ซูเตอร์โดนตำรวจจับไปแล้ว” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำอธิบาย เขารู้ว่าตัวเองถ้าไม่อธิบายกับเจียงมู่เฉินชัดเจน เจียงมู่เฉินก็จะไม่ให้อภัยให้เขาไปตลอดชีวิต

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินข่าวนี้ สีหน้าตะลึงงันทันทีจริงๆ “นายหมายความว่าไง”

 

 

           “สองวันก่อน ซูเตอร์โดนตำรวจจับอยู่กลางทะเล ทั้งแก๊งมังกรครามก็พังทลายลงทั้งหมดด้วย”

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง อดจะหัวเราะเยาะไม่ได้ “ฉันว่านะ จู่ๆ นายมาหาฉันได้แบบนี้ ก็เพราะเจ้านายเก่าหมดอำนาจแล้ว ถึงได้เผ่นมาพึ่งใบบุญฉันใช่ไหม”

 

 

           “ผมเองก็เป็นคนของทางกรมตำรวจ” ซือเหยี่ยนเอ่ยต่อ

 

 

           “นายพูดอะไรของนาย”

 

 

           “ทุกอย่างนี้เป็นแผนของผมทั้งหมด”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ “เป็นไปไม่ได้ นายไม่จำเป็นต้องวางแผนทั้งหมดนี้เลยนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดสักพัก มองเจียงมู่เฉินโดยไร้เสียงใดใด

 

 

           บรรยากาศเงียบงันลงในพริบตา จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เขามองซือเหยี่ยนอย่างจริงจัง “นายจะบอกว่า นายวางแผนทั้งหมดนี้เพื่อฉันเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่พูดอะไร แต่ท่าทีนั้นก็ยอมรับเป็นนัยๆ อย่างชัดเจนแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดปะติดปะต่อกัน ซือเหยี่ยนเลิกกับตัวเอง ก็คือหลังจากที่ตัวเองได้พบกับซูเตอร์

 

 

           ดังนั้น ถ้าเป็นจริงเหมือนที่ซือเหยี่ยนว่าอย่างนั้น เขาก็จงใจเลิกกับตัวเองเพื่อจะได้เข้าใกล้ซูเตอร์

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลับไปกับซูเตอร์

 

 

           เขาหรี่ตาลง “งั้นที่นายได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ก็เพื่อจะได้รับความไว้วางใจจากเขาเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ายอมรับ

 

 

           ดังนั้นถึงได้ปล่อยให้ซูเตอร์ก่อเรื่อง ดังนั้นถึงได้เห็นอารมณ์ตื่นตระหนกเป็นห่วงเขาเมื่อตอนที่อยู่โรงพยาบาล

 

 

           จนกระทั่งแม้แต่วันนั้นที่เขาโดนขังอยู่ในห้องสีดำเล็กๆ แล้วซังจิ่งพาคนมาปรากฏตัวช่วยเหลือเขา

 

 

           ซือเหยี่ยนก็พาซูเตอร์มาปรากฏตัวพอดี

 

 

           ตอนนั้นเขาคิดว่าทุกอย่างนี้เป็นความบังเอิญ แต่ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจ เป็นไปได้ว่าไม่ใช่ความบังเอิญมาแต่แรกแล้ว

 

 

           จนกระทั่งเป็นไปได้ว่าซือเหยี่ยนรู้เรื่องของพวกซังจิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงจงใจพาตัวซูเตอร์ไป

 

 

           ถึงจะฉวยโอกาสในช่วงโกลาหล ช่วยเขาออกมาได้

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดเชื่อมโยงทุกอย่างนี้ขึ้นมาได้ ก็รู้สึกช่างน่าขำไม่เบา

ตอนที่ 360 ไม่ยินยอมจะยอมรับ

 

 

           เขายื่นมือไปกอดเจียงมู่เฉินเอาไว้ ค่อยๆ ปลอบโยนเจียงมู่เฉินทีละนิดๆ “ไม่ไปแล้ว วางใจเถอะ ผมจะไม่ไปไหน”

 

 

           ไม่รู้ว่าการปลอบโยนของซือเหยี่ยนได้ผลหรือเปล่า อารมณ์ของเจียงมู่เฉินค่อยๆ สงบลง

 

 

           มือเขาที่โอบกอดซือเหยี่ยนไว้ค่อยๆ คลายลง คนทั้งคนเข้าสู่นิทราอีกครั้ง

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินอาการสงบลง ถึงได้ดึงมือเขาที่พันรอบคอตัวเองออก

 

 

           เจียงมู่เฉินหางตาแดงเล็กน้อย ดูๆ ไปแล้วช่างน่าสงสารไม่เบา ไม่ค่อยเหมือนในยามปกติที่อยู่ต่อหน้าสาธารณะแบบนั้นเลย

 

 

           เขาวางเจียงมู่เฉินให้นอนราบ แล้วดึงผ้าห่มมาปิดให้เขา

 

 

           ทุกกิริยาการกระทำนี้ระมัดระวังสุดๆ กลัวจะรบกวนเจียงมู่เฉิน

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งนิ่งๆ อยู่ข้างๆ ก้มหน้าไม่ละสายตาไปจากเจียงมู่เฉิน ตั้งแต่คิ้วจนถึงริมฝีปาก ไม่มีส่วนไหนที่จะมองแค่ผ่านๆ

 

 

           ราวกับมองได้ไม่พออย่างไรอย่างนั้น เขาจ้องมองเข้าไปลึกๆ

 

 

           เขามองดูริมฝีปากที่แดงฉ่ำเพราะจูบเมื่อครู่นี้ ก็ยิ้มแล้วยิ้มอีก ก่อนจะโน้มตัวลงไปประกบจูบ

 

 

           เสียงถอนหายใจอันเลือนรางปลิวพลิ้วไหวอยู่ในห้อง

 

 

           หาได้ยากนักที่ซือเหยี่ยนจะได้ตักตวงความสุขในช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเจียงมู่เฉินกันตามลำพัง ตอนนี้พวกเขาอยู่ในอาณาเขตของฟู่เหยี่ยน ต้องทำอย่างไรถึงจะพาเจียงมู่เฉินออกไปจากที่นี่ได้

 

 

           จะพาเจียงมู่เฉินไปจากเงื้อมมือของฟู่เหยี่ยน นี่มันยากเกินไปในความเป็นจริงแล้ว อีกอย่างตามนิสัยของฟู่เหยี่ยน ครั้งนี้ที่พาเจียงมู่เฉินมาก็คงจะไม่ยอมปล่อยเจียงมู่เฉินไปอย่างง่ายดายได้

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เขายังต้องคิดหาแผนการอันรอบคอบ ถึงจะพาเจียงมู่เฉินไปได้

 

 

           ถึงอย่างไรคนก็อยู่ต่อหน้าฟู่เหยี่ยน รับประกันความปลอดภัยใดใดไม่ได้

 

 

           ……

 

 

           นอนหลับมาทั้งช่วงบ่าย ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็รู้สึกตัวตื่นสักที เขาค่อยๆ เรียกสติให้ตื่น แล้วลืมตามอง

 

 

           ในห้องไม่มีใคร มีเพียงแค่เขาคนเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะเอามือขึ้นมาลูบสัมผัสริมฝีปากของตัวเองไม่ได้ เขาจำได้ว่าเหมือนตัวเองกำลังฝันไป

 

 

           ฝันเห็นซือเหยี่ยน

 

 

           เขาในความฝันเป็นฝ่ายโผเข้าหาบังคับจูบซือเหยี่ยนเอง

 

 

           เจียงมู่เฉินกดที่ขมับ  น่าจะมีเพียงแค่ในความฝันเท่านั้น เขาถึงกล้าทำเรื่องอย่างนี้ได้มั้ง

 

 

           ‘ถึงกล้าเผชิญหน้ากับหัวใจของตัวเอง’

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะอย่างจนใจ เขาหนีไม่พ้นจากโลกของซือเหยี่ยนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

 

 

           ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยยินยอมจะยอมรับก็ตาม

 

 

           ผ่อนคลายลงไปไม่กี่นาที เจียงมู่เฉินก็ดึงเปิดผ้าห่มออกลงจากเตียงไป แล้วผ่านประตูมุ่งหน้าเดินลงไปชั้นหนึ่ง

 

 

           ในปราสาทเงียบงันเหมือนไม่มีคน เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว  หรือว่าพวกซือเหยี่ยนจะไปกันแล้ว

 

 

           ‘ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่เงียบได้ขนาดนี้หรอก’

 

 

           ถึงแม้ว่าจะไม่อยากเจอหน้าเจ้าหมอนั่นอีก แต่พอคิดว่าเขาทิ้งตัวเองที่ป่วยอยู่แบบนี้ไปแล้ว ในใจก็ยังรู้สึกทุกข์ระทมอยู่ไม่น้อย

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นอย่างขมขื่น พลางหัวเราะเยาะ

 

 

           เขาลงถึงชั้นล่างก็เดินไปยังห้องรับแขก ไม่เห็นใครสักคน เจียงมู่เฉินเตรียมจะคลำถึงโซฟา กะจะเอนหลังสักพัก เท้ายังไม่ขยับก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง

 

 

           “ตื่นแล้วเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงัน เพียงชั่วขณะไม่ได้หันกลับไปมองทันที

 

 

           เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านหลัง ต่อมาซือเหยี่ยนเดินมาหยุดตรงหน้าเขา ยกมือขึ้นมาลูบหัวเขาด้วยท่าทางที่คุ้นเคยเหลือเกิน

 

 

           “ค่อยยังชั่ว ไข้ลดแล้ว” ซือเหยี่ยนโล่งอกไปที

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับไป เพียงครู่เดียวเขาก็กำมือแรงๆ เก็บกดความรู้สึกในก้นบึ้งของหัวใจลงไป

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยสายตาเย็นชา เดินอ้อมเขาไปด้านนอก

 

 

           โดนมองข้ามกันตรงๆ แบบนั้น ซือเหยี่ยนหัวใจบีบคั้น ฉุดรั้งเจียงมู่เฉินเอาไว้

 

 

           เจียงมู่เฉินสะบัดมือซือเหยี่ยนโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ประธานซือ ระหว่างพวกเรายังไม่สนิทกันถึงขั้นที่นายจะมาจูงมือฉันได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนคว้ามือเขาไว้อีกครั้ง “ถึงแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ไม่เจอกันไม่กี่วัน ประธานซือนี่หน้าหนาไม่ธรรมดาจริงๆ เมื่อก่อนทำไมฉันถึงไม่พบว่านายจะหน้าไม่อายได้ขนาดนี้นะ”

 

 

           

 

 

            ตอนที่ 361 บทลงโทษเล็กๆ ครั้งเดียว

 

 

           ไม่ว่าเจียงมู่เฉินจะพูดอะไร ซือเหยี่ยนก็ยังคงทำท่าทีเหมือนเดิม ไม่แก้ต่างอะไรมากมาย แน่วแน่อยู่อย่างนั้น

 

 

           “ฉันอยากออกไป ปล่อยมือจะได้ไหม” เจียงมู่เฉินสะบัดมือออกสองครั้งสองคราก็สะบัดไม่ออก โมโหจนขบกรามพูด

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงรั้งเจียงมู่เฉินไว้ เขามองเจียงมู่เฉินเอ่ยคำต่อคำ “ผมเคี่ยวน้ำแกงไว้ ดื่มสักหน่อยค่อยออกไปเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ของเขา ก็อดจะยกยิ้มมุมปากอย่างน่าขันไม่ได้ “เก็บไว้ให้คุณชายน้อยซูของนายเถอะ ฉันดื่มไม่ไหวหรอก”

 

 

           “น้ำแกงที่ผมเคี่ยวมีไว้ให้แต่คุณดื่มได้เท่านั้น”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทีเป็นห่วงเป็นใยของเขาก็รู้สึกตลกไม่เบา เมื่อก่อนก็ดีกับซูเตอร์อยู่ทางนั้น ตอนนี้มาทำเป็นปรนนิบัติรับใช้เอาใจต่อหน้าเขาอีก

 

 

           “ซือเหยี่ยน นายคิดว่าฉันเจียงมู่เฉินโคตรน่าขำ โคตรโง่เลยใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากหัวเราะเยาะ “คิดว่าฉันรักนาย รักจนทนไม่ไหว แค่นายกระดิกนิ้วเรียก ก็วิ่งเข้าไปเลียหน้าเลยใช่ไหม”

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนฉายสะท้อนความเจ็บใจและเศร้าโศก เขากำมืออีกข้างหนึ่งที่ปล่อยไว้ข้างตัวแน่น “ผมไม่ได้คิดแบบนี้”

 

 

           “งั้นตอนนี้นายกำลังจะทำอะไรอีก ต่อให้ฉันป่วยตาย ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายทั้งนั้น!”

 

 

           พูดจบ เจียงมู่เฉินก็ออกแรงอย่างหนักเพื่อชักมือออก ซือเหยี่ยนที่จับไว้ไม่อยู่ มือก็ไปชนเข้ากับโต๊ะที่อยู่ด้านข้างทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงกระแทกนั้น หัวใจกระตุกวูบ กลับกัดฟันไม่ให้ตัวเองไปสนใจซือเหยี่ยน

 

 

           เขาหมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป

 

 

           “ซดน้ำแกงสักหน่อย ค่อยออกไปเถอะ” ซือเหยี่ยนยังคงยืนยันคำเดิม

 

 

           ความหัวเราะเยาะประกายในแววตาของเจียงมู่เฉิน เขาหัวเราะไร้เสียง หันกลับเดินเข้าไป

 

 

           เขามองซือเหยี่ยน เอ่ยเสียงต่ำ “น้ำแกงล่ะ เอามาเลย”

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินเขาพูดแบบนี้ แววตาก็ประกายความดีใจ “คุณรอผมสักครู่นะ”

 

 

           เขาพูดจบก็เดินเข้าห้องครัวตักแกงมาให้เจียงมู่เฉิน ราวกับว่ากลัวว่าเจียงมู่เฉินจะเปลี่ยนใจ ทำทุกอย่างรวดเร็ว แกงร้อนๆ กระเซ็นโดนหลังมือ ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา

 

 

           ซือเหยี่ยนตักแกง รีบเดินออกไป

 

 

           เขาวางชามแกงบนโต๊ะเบาๆ เขาเห็นเจียงมู่เฉินที่นั่งสบายๆ อยู่หน้าโต๊ะอาหารอยู่ก่อนแล้ว จู่ๆ ก็ตื่นตระหนกขึ้นมา

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นชามแกงที่อยู่บนโต๊ะ ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น เขายกช้อนขึ้นมา ทำท่าทางเตรียมจะซดแกง

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูการกระทำของเขา หัวใจตื่นตระหนกโดยไม่รู้ตัว ดวงตาคู่นี้จ้องมองเจียงมู่เฉิน

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่เจียงมู่เฉินลุกขึ้นมากะทันหัน ยื่นมือไปจับชามแกงแล้วพลิกคว่ำลงโดยไม่ลังเลเลยสักนิด น้ำแกงร้อนๆ หกอยู่บนพื้นทั้งหมด

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากยิ้มเยาะ เพียงเสี้ยวเวลานั้นที่คว่ำชามแกงจนแกงหกลง เมื่อเห็นความเจ็บปวดปรากฏในแววตาของซือเหยี่ยน ก็รู้สึกได้ถึงความสุขที่ได้แก้แค้นเอาคืน

 

 

           ‘เจ็บไหม’

 

 

           เจียงมู่เฉินโยนชามแกงนั้นลงพื้น เขาหันหลังออกไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ไม่มองของที่เรื่ยราดบนพื้นอีก

 

 

           ตอนนั้นเขาเจ็บกว่าวันนี้เป็นร้อยเท่า

 

 

           ‘ที่ตัวเองทำก็เป็นเพียงแค่บทลงโทษเล็กๆ ครั้งเดียวเอง ซือเหยี่ยนมีอะไรมาให้เจ็บอีก!’

 

 

           มองตามแผ่นหลังที่ตัดขาดเยื่อใยของเจียงมู่เฉิน หัวใจซือเหยี่ยนบีบรัดตัวแน่นจนอึดอัด เจ็บปวดจนร่างกายสั่นไปทั้งตัว

 

 

           เขาก้มหัวมองของที่เรี่ยราดบนพื้น รู้สึกว่าหัวใจดวงเดียวของตัวเองเหมือนกลับชามแกงที่หล่นลงพื้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

           หัวใจเจ็บเหมือนโดนทิ่มแทง เลือดไหลทีละหยดๆ อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เขาค่อยๆ นั่งยองๆ ลงอย่างช้าๆ ส่งมือไปเก็บเศษชามที่แตกอยู่บนพื้นขึ้นมาทีละชิ้นๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนเกร็งไปทั้งร่าง ปลายนิ้วที่ถือชามอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย ซือเหยี่ยนคนที่ไม่เคยเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร เป็นครั้งแรกที่เผยเสี้ยวความอ่อนแอนั้นออกมา

 

 

           ถ้าเวลานี้ มีคนอยู่ข้างๆ บางทีอาจจะได้เห็นร่างกายอันแข็งทื่อของซือเหยี่ยนสั่นเทา

 

 

             ราวกับไม่มีทางใดที่จะทนรับความเจ็บปวดนี้ได้ ตัวสั่นเทาอยู่อย่างนั้น…

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินออกมาก็ไปที่ที่ตกปลาเมื่อก่อนหน้านี้ เขาเดินออกไปด้วยอารมณ์ที่แปรปรวน จำเป็นต้องไปสงบสติอารมณ์สักพัก

 

 

           เจียงมู่เฉินวางคันเบ็ดขึ้นบนที่วางคันเบ็ดอย่างทะมัดทะแมง เอนหลังอยู่ข้างๆ รอปลามาติดเบ็ด

 

 

           เขารออย่างเงียบสงบไปได้ไม่กี่นาทีก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ค่อยชอบมาพากล เงียบสงบจนเกินไปแล้ว

ตอนที่ 358 ทำตามสัญญา

 

 

           เทียบกับความตื่นตระหนกของซังจิ่งแล้ว พูดได้เลยว่าซือเหยี่ยนผ่อนคลายสบายอย่างถึงที่สุด

 

 

           ดูไม่ออกว่าเขาจะตื่นตระหนกอะไรมากมายเลยสักนิด ไม่เพียงเท่านี้ เขากดหน้าต่ำลงมองฟู่เหยี่ยน เป็นท่าทีที่ไม่ได้เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา

 

 

           ฟู่เหยี่ยนถูกเหยียดหยามด้วยท่าทางแบบนั้นของเขา อารมณ์เดือดดาลปรากฏในแววตาที่มองมา

 

 

           “ยังไงกัน หวาดกลัวแล้วเหรอ ถ้าหวาดกลัวแล้ว ตอนนี้ขอให้ยกโทษให้ได้นะ ไม่แน่ว่าผมอาจจะเห็นแก่หน้าเจียงมู่เฉินได้ แล้วจะให้คุณอยู่เกาะเล็กๆ เกาะนี้ต่ออีกสองวัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “ขออภัย ในพจนานุกรมของผม ไม่มีคำว่า ‘หวาดกลัว’ สองคำนี้”

 

 

           ยิ่งไปกว่านั้น ชกต่อยกันกับฟู่เหยี่ยน ไม่ได้แปลว่าเขาจะแพ้เสมอไป

 

 

           ถึงเวลานั้น ถ้าหากว่าฟู่เหยี่ยนแพ้แล้ว จะได้ไม่เป็นการตบหน้าตัวเอง

 

 

           “หึ” ฟู่เหยี่ยนทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “คิดไม่ถึงว่าคุณจะอวดดีเอาเรื่องขนาดนี้”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ไม่ต่างกันหรอก”

 

 

           พูดถึงตรงนี้ ก็ไม่มีอะไรน่าพูดอีกต่อไปแล้ว นัยน์ตาฟู่เหยี่ยนเปลี่ยนในพริบตา เขาพุ่งเข้าหาซือเหยี่ยนทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนเบี่ยงข้าง หลบมือของฟู่เหยี่ยนได้พอดี

 

 

           เขาฉวยโอกาสพลิกกลับมาล็อคมือของฟู่เหยี่ยนไว้ ขณะนั้นฟู่เหยี่ยนไม่ทันได้เตรียมระวัง อีกนิดจะถูกเขาล็อคมือไว้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนสีหน้าบึ้งตึง ดูท่าว่าซือเหยี่ยนจะรับมือยากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้

 

 

           เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ดึงเอาพลังจิตวิญญาณทั้งหมดมารับมือซือเหยี่ยน

 

 

           ทุกกระบวนท่าของซือเหยี่ยนคมชัดและคล่องแคล่ว ราวกับเคยได้รับการฝึกฝนบางอย่างเฉพาะทางมา ฝีมือยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

 

 

           ซังจิ่งที่ดูอยู่ข้างๆ นัยน์ตาฉายแววสับสน

 

 

           ซือเหยี่ยนคนนี้ตกลงแล้วมีฐานะเป็นอะไรกันแน่ ไม่ใช่แค่รู้จักซูเตอร์ได้ ยังต่อสู้เป็นขนาดนี้อีก

 

 

           นี่ไม่ใช่ว่าฝึกฝนในเวลาสั้นๆ แล้วจะฝึกฝนออกมาได้

 

 

           หรือว่าซือเหยี่ยนคนนี้จะไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก

 

 

           หรือว่าเขาจะมีฐานะอะไรอย่างอื่นอีก

 

 

           เหมือนตอนนั้นที่เขาใช้ฐานะของนักธุรกิจปกปิดฐานะที่แท้จริง หรือว่าซือเหยี่ยนเองก็จะเป็นเหมือนกัน

 

 

           แต่ตอนที่เขาสืบข้อมูลของเจียงมู่เฉิน ก็ไม่ได้พบว่าซือเหยี่ยนมีความผิดปกติใดใด

 

 

           ถ้าว่าซือเหยี่ยนคนนี้ไม่ได้เป็นเหมือนกับที่แสดงออกภายนอกจริงๆ งานรักษาความลับนี้ทำได้ดีสุดๆ แล้วจริงๆ

 

 

           แม้แต่เขาก็มองพิรุธอะไรไม่ออก

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนค่อนข้างเฉียบคม ทุกกระบวนท่าของฟู่เหยี่ยนทั้งหมดตกสู่ในกำมือของซือเหยี่ยน

 

 

           ฝีมือศิลปะการต่อสู้ประชิดตัวท่วงท่าเหล่านั้นของเขา ต่อหน้าซือเหยี่ยนแล้ว ใช้การไม่ได้เลยสักนิด

 

 

           ไม่เพียงเท่านี้ เวลาซือเหยี่ยนเผชิญหน้ากับเขา ไม่ได้ยากลำบากเลยด้วยซ้ำ

 

 

           ในใจฟู่เหยี่ยนไม่ยินดี หลายปีมานี้ยังไม่เคยมีใครล้มเขาได้

 

 

           เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะมาพ่ายแพ้ให้ซือเหยี่ยนแบบนี้

 

 

           เขาใส่เต็มแรงไม่มียั้ง ออกกระบวนท่าใส่ซือเหยี่ยนโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง ยื่นมือไปล็อคคอเขาไว้ ฟู่เหยี่ยนหยุดลงทันที บรรยากาศเปลี่ยนไปเงียบสงบในพริบตา

 

 

           ซือเหยี่ยนปล่อยมือ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “ผมชนะแล้ว หวังว่าคุณฟู่จะรักษาสัญญา”

 

 

           เขาพูดจบก็เดินเข้าไปข้างในทันที ทิ้งให้ฟู่เหยี่ยนโมโหกระหืดกระหอบ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนมองซือเหยี่ยนอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้  จะเป็นไปได้ยังไง ตัวเองพ่ายแพ้อยู่ในกำมือของซือเหยี่ยนได้ยังไง

 

 

           พ่อบ้านหลินดูสถานการณ์แล้วก็ยืนขึ้นทันที ยืนเคารพนบนอบอยู่ข้างๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ฟู่เหยี่ยน

 

 

           ซังจิ่งเองก็ยืนขึ้นเดินตามซือเหยี่ยนไป

 

 

           เขาเต็มไปด้วยคำถามที่อยากจะถามซือเหยี่ยน เขามองซือเหยี่ยนอย่างลังเลอยู่สักพัก แต่ซือเหยี่ยนกลับเป็นฝ่ายพูดก่อน

 

 

           “คุณอยากถามว่าทำไมผมถึงเอาชนะฟู่เหยี่ยนได้ใช่ไหม”

 

 

           ซังจิ่งพยักหน้า “ตกลงแล้วคุณมีฐานะเป็นอะไรกันแน่”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง “ประธานซังถามคำถามนี้กับคนอื่นได้ ผมคิดว่าคุณเองก็ควรจะพอรู้ดีแก่ใจบ้างใช่ไหมล่ะ”

 

 

           ประโยคนี้ของเขาก็เท่ากับเป็นยอมรับอ้อมๆ ถึงบางสิ่งบางอย่าง

 

 

           ซังจิ่งเป็นคนฉลาด ไม่ต้องตามถามต่อ ก็รู้ถึงความหมายของซือเหยี่ยนได้ นัยน์ตาเจือความสับสนซับซ้อน

 

 

           “คุณคอยปกป้องอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉินแบบนี้ ตกลงแล้วคิดอะไรอยู่กันแน่”

 

 

           

 

 

ตอนที่ 359 ไม่ต้องกลัวนะ

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะสักพัก “คำพูดนี้ควรจะเป็นที่ถามประธานซังถึงจะถูกต้องนะ คุณอยู่ถานโจวด้วยความคิดอะไรที่ไปเข้าใกล้เจียงมู่เฉิน ควรจะไม่ต้องให้ผมเตือนคุณหรอกใช่ไหม…

 

 

           …การเดินทางนี้ คุณจงใจพาเจียงมู่เฉินมาเจอฟู่เหยี่ยน ความหมายแฝงในนั้น ก็ควรจะไม่ต้องให้ผมพูดเหมือนกัน”

 

 

           แววตาซังจิ่งฉายสะท้อน ไม่กล้าจะเชื่อได้เลยทีเดียว

 

 

           ตั้งแต่ที่ซือเหยี่ยนรู้ว่าเขาคือวี ซังจิ่งก็สงสัยอยู่พอควรแล้ว

 

 

           จนกระทั่งต่อมา คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้จักเกาะเล็กๆ ที่ฟู่เหยี่ยนซ่อนไว้ได้

 

 

           ถ้าฟู่เหยี่ยนกระทำการปิดบังอำพรางแล้ว สถานการณ์โดยปกติไม่มีทางที่จะให้คนอื่นหาร่องรอยของเขาเจอได้

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับหาตำแหน่งที่อยู่ของฟู่เหยี่ยนเจอได้เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

 

 

           “คุณกับเจียงมู่เฉินเป็นความสัมพันธ์อะไรกัน” ซังจิ่งเอ่ยเสียงต่ำถามอีกครั้ง

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “เรื่องระหว่างผมกับเจียงมู่เฉิน ไม่ถึงตาคุณได้ถามหรอก”

 

 

           “ระหว่างคุณกับเจียงมู่เฉินคงจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เป็นคู่รักกันธรรมดาเรียบง่ายขนาดนี้หรอกใช่ไหม” ซังจิ่งอดจะคาดเดาไม่ได้

 

 

           “ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเจียงมู่เฉิน คุณจะไม่อยากรู้หรอก แต่ถ้าคุณอยากรู้จริงๆ ก็ไปสืบเองได้ ถึงยังไงนี่ก็เป็นงานถนัดของประธานซังไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ซังจิ่งโดนเขาประชด ก็โต้แย้งกลับไปไม่ได้ในทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาไม่เอ่ยปาก จึงเดินอ้อมเขาขึ้นชั้นบนไป

 

 

           เจียงมู่เฉินยังนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง ซือเหยี่ยนก็ขึ้นไปเฝ้าอยู่ข้างกายของเจียงมู่เฉิน

 

 

           เขาก้มหน้ามองดูใบหน้าอันซูบเซียวของเจียงมู่เฉิน ในใจก็เจ็บปวด

 

 

           หลายวันมานี้ ไม่รู้ว่าเขาผ่านมันไปอย่างไร

 

 

           แต่ก็ยังดี เรื่องราวดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้ อย่างน้อยฟู่เหยี่ยนก็ไม่ได้ลงมือกับเจียงมู่เฉิน

 

 

           อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็ยังมาทัน

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้ามองดูใบหน้าของเจียงมู่เฉิน อดที่จะยื่นมือไปลูบไม่ได้

 

 

           เพียงเสี้ยวเวลานั้นที่ปลายนิ้วสัมผัสโดนผิวกายอุ่นร้อน ซือเหยี่ยนก็สั่นเทา เกือบจะทำให้เจียงมู่เฉินตื่น

 

 

           ซือเหยี่ยนรีบกำมือ เตรียมจะชักมือออก

 

 

           กลัวจะไม่ระวังทำให้เจียงมู่เฉินที่กำลังหลับสนิทตกใจตื่น

 

 

           เขากำลังเป็นไข้อยู่ ซือเหยี่ยนแข็งใจเรียกปลุกเขาไม่ลงคอ

 

 

           จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ยื่นมือไปคว้ามือซือเหยี่ยนเอาไว้อย่างแน่นสนิท เขาขมวดคิ้ว กระสับกระส่ายอย่างยิ่ง

 

 

           “อย่า…อย่านะ…” เจียงมู่เฉินที่กำลังเป็นไข้ดึงมือซือเหยี่ยนไป เอ่ยพึมพำไม่หยุด

 

 

           เสียงเขาเบามาก ฟังได้ไม่ชัดเจน

 

 

           ซือเหยี่ยนห้ามใจโน้มตัวเข้าไปใกล้เจียงมู่เฉินไม่ได้ เขาเอ่ยถามเสียงต่ำ “เฉินเฉิน…คุณเป็นอะไรไป”

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาแน่นสนิท เขายื่นมือไปลูบหน้าผากของเจียงมู่เฉิน ก็เห็นเพียงแค่เหงื่อผุดขึ้นมา

 

 

           ภายใต้ฝ่ามือนั้นคืออุณหภูมิอันร้อนผ่าวบนหน้าผากของเจียงมู่เฉิน

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวใจบีบคั้น เจ็บปวดจนไม่ไหว

 

 

           เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ประทับรอยจูบบนหน้าผากของเจียงมู่เฉิน “ไม่ต้องกลัวนะ”

 

 

           ขณะที่เจียงมู่เฉินกระวนกระวายใจ ก็ยื่นมือไปโอบรอบคอซือเหยี่ยนเอาไว้

 

 

           ซือเหยี่ยนที่ไม่ได้ยืนทรงตัวดีๆ ก็ถลาล้มลงทับเจียงมู่เฉิน เขาเห็นเจียงมู่เฉินในระยะประชิดต่อหน้าต่อตา ก็กลืนน้ำลายโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           เขาก้มหัวลงอีกนิด ก็คือริมฝีปากสีแดงระเรื่อของเจียงมู่เฉิน

 

 

           ซือเหยี่ยนยังไม่ทันทำอะไร แพรขนตายาวของเจียงมู่เฉินก็สั่นระริก เขาลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย สบประสานเข้าไปในดวงตาของซือเหยี่ยน

 

 

           ซือเหยี่ยนตะลึงงัน เตรียมจะยันตัวเองออกห่าง

 

 

           เขากลัวเจียงมู่เฉินโกรธ ดังนั้นก่อนที่คนตรงหน้าจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงอยากจะเป็นฝ่ายถอยห่างเอง

 

 

           จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็เกี่ยวล็อคคอซือเหยี่ยนไว้อย่างแน่นหนา ตั้งใจแน่วแน่ไม่ให้ซือเหยี่ยนถอยออกไป

 

 

           ซือเหยี่ยนเชิดมุมปากอย่างพะเน้าพะนอเอาใจ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “เด็กดี ผมจะรอคุณอยู่ข้างๆ นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ทำอะไร ก็มองซือเหยี่ยนอยู่อย่างนี้ ซือเหยี่ยนคิดว่าเขาเห็นชอบด้วยแล้ว จึงเอามือไปดึงมือเจียงมู่เฉิน

 

 

           มือยังไม่ทันสัมผัสโดนเจียงมู่เฉิน ก็ถูกเจียงมู่เฉินดึงลงมาด้วยแรงมหาศาล

 

 

           ซือเหยี่ยนที่ยังยืนทรงตัวไม่นิ่ง ล้มลงไปเสียเดี๋ยวนั้น เจียงมู่เฉินมองดูใบหน้าของซือเหยี่ยน หลับตาลงแล้วโน้มเขาไปประกบจูบซือเหยี่ยนไว้

 

 

           ซือเหยี่ยนตะลึงงัน ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับ ปล่อยให้เจียงมู่เฉินเป็นฝ่ายบรรเลงจูบ

 

 

           อุณหภูมิอุ่นร้อนบนริมฝีปากทำให้ซือเหยี่ยนล่องลอย คิดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินจะจูบเขาได้

 

 

           มือที่โอบกอดเจียงมู่เฉินไว้ สั่นระรัวขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           เจียงมู่เฉินเหมือนจะไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด โอบกอดซือเหยี่ยนไว้แนบแน่น ขณะที่จูบ ก็เอ่ยพึมพำไปด้วย

 

 

“อย่าไปนะ…คนระยำ…อย่าจากฉันไป…”

 

 

           คำพูดคลุมเครือไม่กี่ประโยคของเขานี้ ทำให้หัวใจซือเหยี่ยนบีบรัดตัวอย่างรุนแรง

 

 

           ขอบตาซือเหยี่ยนร้อนผ่าว แดงขึ้นเล็กน้อย ในที่ที่เขามองไม่เห็น ที่แท้เจียงมู่เฉินก็เปราะบางอ่อนไหวเช่นนี้เอง

ตอนที่ 356 โมโหจนจะคว่ำเตียง

 

 

           หมอทำหน้างุนงง  นี่ตกลงจะให้พูดหรือไม่พูดกันแน่

 

 

           “พูด”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนต้องการเป็นคู่ตรงข้ามกับซือเหยี่ยน “ไม่พูด!”

 

 

           ซือเหยี่ยนขบกราม “คุณอย่าทำตัววุ่นวายจะได้ไหม”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหน้าเปลี่ยนสี  เขาทำตัววุ่นวายเมี่อไหร่กัน เห็นว่าเขาเป็นเด็กเหรอ อย่าทำตัววุ่นวายอีก

 

 

           “คุณมีสิทธิ์มาพูดอะไรที่นี่ด้วยหรือไง” ฟู่เหยี่ยนเสียดสีกลับ

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนจมดิ่งลง กำลังจะเตรียมโต้แย้ง ก็ได้ยินเจียงมู่เฉินที่นอนไข้ขึ้นอยู่บนเตียงต่อว่าด้วยความเดือดดาล “พวกนายแม่งอย่าพูดมากกันขนาดนี้จะได้ไหม”

 

 

           หัวร้อนผ่าวจนใกล้จะระเบิดอยู่แล้ว ทั้งสองคนนี้ยังมีทะเลาะกันเสียงดังอยู่ที่นี่อีก

 

 

           ทันทีที่ฟู่เหยี่ยนได้ยินเสียงของเจียงมู่เฉิน ก็คร้านจะต่อปากต่อคำกับซือเหยี่ยน เขารีบเดินเข้าไปหาในทันใด

 

 

           เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง มองเจียงมู่เฉินด้วยความเป็นห่วง “เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดหัว คร้านจะสนใจเขา มองบนใส่ทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็เดินเข้าไป เขายื่นมือไปจับมือของเจียงมู่เฉินไว้ “เฉินเฉิน…”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนถลึงตาใส่เขา รู้สึกว่า  เจ้าหมอนี่หน้าไม่อายเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังกล้าจับมือเจียงมู่เฉิน ยังเรียกกันอย่างสนิทสนมอีก

 

 

           เขาแย่งมือเจียงมู่เฉินกลับคืนมาจากมือซือเหยี่ยน

 

 

           “คุณพักผ่อนดีๆ นะ อย่าสนใจพวกนี้เลย”

 

 

            ซือเหยี่ยนรู้สึกว่าคนคนนี้ทำตัวเป็นเด็กถึงขั้นสุดแล้ว เขาแย่งมือเจียงมู่เฉินกลับคืนมาจากมือฟู่เหยี่ยน

 

 

           มือเฉินเฉินของเขา นอกจากเขาแล้วใครก็มาจับไปไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินสติกำลังพร่าเลือน ยังโดนทั้งสองคนนี้แย่งมาแย่งไปอีก แย่งกันจนปวดหัวกว่าเดิม

 

 

           เขาสะบัดมือออกแรงๆ อยากชักมือออกมาจากมือซือเหยี่ยน

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง มือไม้อ่อนปวกเปียก สะบัดไม่ออก

 

 

           เจียงมู่เฉินกัดฟัน ออกแรงชักมือออกมาจากมือซือเหยี่ยน ผลปรากฏว่าออกแรงมากเกินไป ไม่ทันระวังฝ่ามือโบกสะบัดกระทบเข้าใบหน้าของซือเหยี่ยนเข้าอย่างจัง

 

 

            เพียะ!  พลันเกิดเสียงกระทบดังฟังชัดอย่างยิ่ง

 

 

            เจียงมู่เฉินตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าจะสะบัดมือใส่ซือเหยี่ยนได้ ชั่วขณะหนึ่งยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา

 

 

           แต่เมื่อฟาดก็ฟาดไปแล้ว เขาเองก็คร้านจะชี้แจงแถลงไข

 

 

           ฟู่เหยี่ยนมองซือเหยี่ยนอย่างเห็นใจ คิดว่ายังดีที่เมื่อครู่ตัวเองไม่ได้ดึงมือเจียงมู่เฉินไว้ ไม่อย่างนั้นคนที่โดนตบต่อหน้าสาธารณชนก็เป็นเขาไปแล้ว

 

 

           เขามองซือเหยี่ยนราวกับดูฉากเด็ดในละคร อยากเห็นว่าคนเย่อหยิ่งหัวสูงขนาดนี้อย่างซือเหยี่ยนโดนตบฉาดหนึ่ง จะอับอายจนพาลโกรธอย่างไรได้

 

 

           พอเขาโกรธ แล้วทะเลาะกันกับเจียงมู่เฉิน ถึงตาเขาก็จะได้เป็นตาอยู่เอาพุงปลาไปกินพอดี

 

 

           คนในห้องต่างมองซือเหยี่ยนกันเป็นตาเดียว

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากมองเจียงมู่เฉิน

 

 

           ความรักใคร่เอ็นดูซึมซับอยู่ในเสียงของเขา “อยากเปลี่ยนอีกข้างให้คุณชักมือออกมาอีกไหม”

 

 

           ผู้ชมงุนงงกันโดยพร้อมเพรียง “…”

 

 

‘ยังทำเรื่องหน้าไม่อายแบบนี้ก็ได้เหรอ’

 

 

‘ช่างเป็นการเปิดโลกกว้างจริงๆ เพิ่งเคยเจอคนที่โดนตบหน้าซ้าย แล้วยังส่งหน้าขวาให้ตบอีก’

 

 

เจียงมู่เฉินเองก็งุนงงไม่แพ้กัน รู้สึกว่าการตอบสนองแบบนี้ของซือเหยี่ยนค่อนข้างจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว

 

 

‘บุคลิกเย็นชาเฉพาะตัวของเขาล่ะ’

 

 

เจียงมู่เฉินหลับตาลงเอนตัวลงนอนไปเสียเลย ไม่อย่างนั้นมาเอาเรื่องกับซือเหยี่ยนอยู่แบบนี้ กลัวว่าเขาจะกระอักเลือดตายได้

 

 

ซังจิ่งยืนอยู่ข้างๆ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเองถึงเอาเจียงมู่เฉินไว้ไม่อยู่

 

 

ทำไมเจียงมู่เฉินถึงคบกับซือเหยี่ยนได้

 

 

ด้วยการกระทำที่หน้าไม่อายของซือเหยี่ยน คนทั่วไปก็เทียบได้ไม่ติด

 

 

ซือเหยี่ยนเองก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เขานั่งลงที่ฝั่งหนึ่งของเตียงข้างเจียงมู่เฉิน จ้องมองใบหน้าที่ค่อนข้างขึ้นสีแดงของเจียงมู่เฉิน

 

 

กว่าฟู่เหยี่ยนจะคืนสติกลับมาจากความตกตะลึงไม่ใช่ง่ายๆ ก็เห็นท่าทางแสดงรักใคร่เอ็นดูของซือเหยี่ยน

 

 

เขาจ้องมองซือเหยี่ยน เอ่ยถามด้วยความไม่สบอารมณ์ “คุณไม่กลับไปดูคุณชายน้อยซูของคุณ มาดูเฉินเฉินที่นี่ทำไม”

 

 

ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองฟู่เหยี่ยนปราดเดียว นัยน์ตาเจือแรงสังหาร

 

 

“ผมจะบอกคุณให้นะ บนเกาะนี้เป็นคนของผมทั้งหมด ถ้าคุณคิดทำอะไรล่วงเกินผม ผมรับประกันจะให้คุณตายโดยไม่มีที่ฝังศพเลย”

 

 

‘ในอาณาบริเวณของตัวเอง ยังมาโดนซือเหยี่ยนเอาเปรียบได้อีกเหรอ…

 

 

…ที่พูดออกไปไม่ใช่มุขตลกสักหน่อย’

 

 

ซือเหยี่ยนมองบนใส่เขาเงียบๆ คร้านจะสนใจเขา “เด็กน้อย”

 

 

ฟู่เหยี่ยนโกรธจนอยากจะโจมตีกลับ  เจียงมู่เฉินฟังต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ เขาเป็นคนไม่สบายที่กำลังเป็นไข้อยู่นะ!

 

 

โมโหจนเจียงมู่เฉินอยากจะคว่ำเตียงแล้วจริงๆ

 

 

“แม่งเอ๊ย พวกนายแม่งอย่าทะเลาะกันไปมาจะได้ไหม ฉันแม่งเป็นคนป่วยนะ!”

 

 

เจียงมู่เฉินคว้าหมอนใกล้มือฟาดใส่เข้าไปทันที

 

 

           

 

 

        ตอนที่ 357 นัดตีกันแล้ว

 

 

           ทั้งสองคนโดนเจียงมู่เฉินด่ากราดขนาดนี้ ก็ทำตัวดีขึ้นทันที ไม่มีใครกล้าพูดสักคน นั่งอยู่ข้างๆ อย่างเจี๋ยมเจี่ยม

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นซือเหยี่ยนไม่ไป เขาก็ไม่ไป

 

 

           เจียงมู่เฉินคร้านจะสนใจเรื่องน่าเบื่อพวกนี้ของพวกเขา เขาหลับตาลงไม่มอง จะได้ไม่เห็นแล้วหงุดหงิดใจ

 

 

           อีกอย่างทั้งสองคนนี้ ไม่มีใครสักคนทำให้เขาสบายใจได้

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลงเพียงไม่นานก็เข้าสู่นิทรา ฟู่เหยี่ยนและซือเหยี่ยนทั้งคู่เหมือนเทพอารักษ์ประตู เฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ไหวติง

 

 

           ฟู่เหยี่ยนมองซือเหยี่ยนอย่างไม่สบอารมณ์ ความยั่วยุอยู่ในแววตา

 

 

           ซือเหยี่ยนมองความหมายของเขาออก กลับไม่พูดอะไร สายตาของเขาเอาแต่จดจ่อจ้องมองเจียงมู่เฉินโดยไม่ละสายตาไปไหน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นท่าทีเป็นห่วงเป็นใยของซือเหยี่ยน ในใจไฟก็ลุกโชน

 

 

           ถ่อมาถึงถิ่นของเขา ยังคิดมาแย่งคนกับเขาอีก

 

 

           เขาโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยเจอคนแบบนี้เลยจริงๆ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนถลึงตาใส่ซือเหยี่ยน เอ่ยปากก็อยากจะโจมตีซือเหยี่ยนด้วยคำพูด ซือเหยี่ยนเห็นเขาอ้าปากพูด ก็เอ่ยเสียงต่ำ “มีอะไรก็ออกไปพูดกัน”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนพยักหน้ารับ “ได้ ออกไปพูดก็ออกไปพูด”

 

 

           เขายังกลัวว่าจะเสียงดังจนทำให้เจียงมู่เฉินตื่น

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ขยับ ฟู่เหยี่ยนก็ไม่ขยับ ทั้งสองคนเหมือนเด็กไม่มีผิด แข่งกันไปแข่งกันมา

 

 

           สุดท้ายยังเป็นซือเหยี่ยนที่รู้สึกว่าเขาทำตัวเป็นเด็กเกินไป คร้านจะแข่งกับเขาต่อไปแล้ว

 

 

           ลุกขึ้นยืนขึ้นมาก่อนแล้วเดินออกไป

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นสถานการณ์แล้ว ก็ก้าวเท้ายาวๆ ตามเข้าไป

 

 

           พอพ้นประตูห้องมา ฟู่เหยี่ยนก็ยื่นมือไปปิดประตู หันกลับหลังมองซือเหยี่ยนที่อยู่ด้านข้าง ในใจเดือดดาล พุ่งเข้าไปจะสู้กับซือเหยี่ยน

 

 

           ถ้าฟู่เหยี่ยนต้องการ เขาต้องคอยเป็นลูกคู่เป็นธรรมดา

 

 

           เขาซือเหยี่ยนยังไม่ได้อ่อนแอถึงขั้นนี้ เพียงแต่ว่าเขามีเงื่อนไข

 

 

           “ต่อยตีกันกับคุณก็ได้ ผมมีเงื่อนไข”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนโกรธจนคิ้วกระตุกไม่หยุด  อยู่ในที่ของเขายังกล้าเสนอเงื่อนไขอีกเหรอ

 

 

           “ใครให้สิทธิ์คุณมาเสนอเงื่อนไขกับผม”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยท่าทีสงบนิ่ง “อะไรกัน กลัวว่าจะสู้ผมไม่ได้ เลยไม่กล้ารับปากงั้นสิ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนโมโหแล้ว สู้เจียงมู่เฉินไม่ชนะ เขายอมจำนนแต่โดยดี แต่สู้ซือเหยี่ยนไม่ชนะ

 

 

           เขายอมรับไม่ได้

 

 

           “ได้ คุณต้องการเสนอเงื่อนไขอะไร”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขา พลางเอ่ยเน้นทีคำต่อคำ “แข่งกันนัดเดียว ถ้าผมชนะ คุณก็ยอมผมอยู่ที่นี่ต่อ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรีบเอ่ยต่อทันที “ถ้าคุณแพ้ รีบพาซังจิ่งไสหัวออกไปด้วย”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองฟู่เหยี่ยนอย่างไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย “ได้ งั้นพนันกัน”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหรี่ตาลงมอง “ผมรับประกันจะทำให้คุณเสียใจที่ตัดสินใจแบบนี้”

 

 

           ซือเหยี่ยนเชิดมุมปากขึ้น แววตาลึกล้ำ “รอคุณลองแพ้ผมดูก่อน ค่อยพูด”

 

 

           ทั้งสองคนออกจากห้องของเจียงมู่เฉิน ก็ลงชั้นล่างออกไปพื้นที่ว่างข้างนอก

 

 

           พ่อบ้านหลินและซังจิ่งย้ายเก้าอี้นั่งมานั่งอยู่ข้างนอก พ่อบ้านหลินมองดูคนสองคนที่กำลังอารมณ์เดือดและดุดัน อดจะเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ “คุณว่า ใครจะชนะครับ”

 

 

           ซังจิ่งคิ้วขมวด เขาเองก็ไม่รู้

 

 

           ฝีมือของซือเหยี่ยน เขาไม่เคยเห็น ยังไม่น่าชี้ขาดได้

 

 

           แต่ฝีมือของฟู่เหยี่ยน เขารู้อยู่พอตัว ผู้สืบทอดตำแหน่งของตระกูลฟู่ จะเป็นคนไร้ความสามารถได้อย่างไร

 

 

           หลายปีมานี้ ให้คนมาฝึกอบรมอยู่เสมอ ส่วนตัวเขาเองก็ไม่แน่ว่าจะสู้ฟู่เหยี่ยนชนะได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซือเหยี่ยนเลย

 

 

           การที่ซือเหยี่ยนท้าพนันต่อสู้กับฟู่เหยี่ยนกะทันหันแบบนี้ เขาเองก็คิดไม่ถึง

 

 

           ถ้าว่าซือเหยี่ยนแพ้ หรือว่าพวกเขาจะต้องออกไปจากเกาะเล็กๆ เกาะนี้จริงๆ

 

 

           กว่าพวกเขาจะหาเจียงมู่เฉินเจอไม่ใช่ง่ายๆ อีกอย่างตามระดับความโรคจิตของฟู่เหยี่ยน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเจียงมู่เฉิน

 

 

           แต่ใครจะรับประกันได้ ว่าจะเป็นแบบนี้กับเจียงมู่เฉินตลอด  

 

 

           ถ้าหากว่าวันนั้นฟู่เหยี่ยนเปลี่ยนความคิด ถึงเวลานั้นลงมือกับเจียงมู่เฉินขึ้นมา พวกเขามาช่วยอีกทีก็ไม่ทันแล้ว

 

 

           ซังจิ่งมองดูการแข่งขันนัดนี้ด้วยตื่นตระหนกเป็นพิเศษ

ตอนที่ 354 จัดการยากสักหน่อย  

 

 

           นอกหน้าต่างสว่างขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เจียงมู่เฉินมองดูท้องฟ้ายามสว่างไสว จู่ๆ เขาก็นั่งลงอยู่กับพื้น มองออกไปยังนอกหน้าต่างด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย  

 

 

           ข้างนอกสงบเงียบมาก ข้างในระบบกันเสียงก็ดี เจียงมู่เฉินไม่ได้ยินเสียงจากข้างนอกเลย  

 

 

           และก็เช่นกันเขาไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนยังอยู่ที่เกาะเล็กๆ เกาะนี้ต่อหรือเปล่าไปโดยปริยาย  

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจเงียบๆ  ถ้าซือเหยี่ยนปรากฏตัวช้าอีกสักนิด เขาก็คงจะปล่อยวางเรื่องซือเหยี่ยนลงได้สักทีใช่ไหม  

 

 

           ……  

 

 

           ตอนเช้าเวลาสิบโมงกว่าๆ ฟู่เหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินยังไม่ลงมา ก็อดจะขึ้นไปเรียกปลุกเจียงมู่เฉินไม่ได้  

 

 

           หลายวันมานี้ เจียงมู่เฉินนอนนานขนาดนี้น้อยมาก  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนขึ้นไปชั้นบนยืนอยู่หน้าประตูห้องของเจียงมู่เฉิน เขาเคาะประตูแล้ว รออยู่ตั้งนานข้างในก็ไม่มีเสียงตอบรับ  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย  ยังหลับอยู่เหรอ  

 

 

           เขาครุ่นคิดแล้วเดินลงไป ในเมื่อยังไม่ตื่น ก็ให้เขานอนต่ออีกสักพักแล้วกัน  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนลงไปชั้นล่างซ้ำอีกรอบ  

 

 

           นอกประตู ซือเหยี่ยนและซังจิ่งยังคงรออยู่ตรงนั้น ฟู่เหยี่ยนออกมาข้างนอกก็เห็นเทพอารักษ์ประตูสององค์ ชักจะรู้สึกปวดหัวหน่อยๆ แล้ว  

 

 

           เขามองพวกเขาทั้งสองคนอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกคุณคิดจะรออยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่กัน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างไม่ลังเล “รอจนกว่าเจียงมู่เฉินจะออกจากที่นี่”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ผมแนะนำว่าคุณตัดใจซะยังจะดีกว่า คุณคิดว่าตอนนี้คุณยังอยู่ตำแหน่งเดิมในใจของเจียงมู่เฉินเหมือนเมื่อก่อนอยู่เหรอ…  

 

 

           …ตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยากเจอหน้าคุณด้วย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวใจบีบคั้น แต่กลับไม่ยอมจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าฟู่เหยี่ยน  

 

 

           เขากำมือระงับอารมณ์ “นั่นเป็นเรื่องของผม คุณฟู่ยุ่งไม่ได้หรอก”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเลิกคิ้ว  ซือเหยี่ยนคนนี้จัดการยากเสียจริง  

 

 

           ‘ยากกว่าจัดการซังจิ่งมากทีเดียว…  

 

 

           …แต่ว่าแบบนี้ก็ดี ไม่อย่างนั้นไร้ประโยชน์เหมือนซังจิ่งเกินไป เขาเล่นด้วยน่าเบื่อตายเลย’  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็ยักไหล่อย่างจนใจ “ในเมื่อประธานซืออยากอยู่ขายหน้าเองที่นี่ ผมจะห้ามปรามก็คงไม่ดี…  

 

 

           …ดีที่เกาะเล็กๆ เกาะนี้ของผมพื้นที่ใหญ่ ทิวทัศน์สวย ผมก็ใจกว้างพอ ถ้าเบื่อก็ไปแก้เซ็งได้”  

 

 

           เขาพูดจบด้วยท่าทางหน้าใหญ่ใจโต เดินจากไปอย่างสบายใจเฉิบ  

 

 

           ซังจิ่งเห็นท่าทางอวดดีอย่างนั้นของเขา ก็ขบกรามอย่างเสียไม่ได้ เขาขัดหูขัดตากับท่าทางอวดดีของฟู่เหยี่ยน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้  

 

 

           ถึงอย่างไร ตอนนี้ตัวคนก็อยู่ในมือเขา  

 

 

           พวกเขาเองก็อยู่ในอาณาเขตของฟู่เหยี่ยน  

 

 

           ซือเหยี่ยนที่อยู่ด้านข้าง ก็เอาแต่เงียบไม่พูดจา ซังจิ่งเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เขาอดทนได้ไม่นานก็ทนไม่ไหวจนได้  

 

 

           เขามองซือเหยี่ยน พลางเอ่ยถาม “คุณไม่คิดหาหนทางอะไรเลยเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คิดหาหนทางอะไร”  

 

 

           ซังจิ่งเห็นเขาอยู่นิ่งเฉยก็รู้สึกไม่ค่อยปกติเท่าไหร่  ตามหลักการแล้วซือเหยี่ยนไม่ควรจะนิ่งเฉยขนาดนี้เลย  

 

 

           แต่ตั้งแต่ออกมาเมื่อคืน ซือเหยี่ยนก็เอาแต่ทำสีหน้าแบบนี้อยู่ตลอด ราวกับวางแผนอะไรอยู่อย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           ซังจิ่งมองเขาไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่  

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงรอที่หน้าประตูเหมือนเดิม ไม่พูดสักประโยค  

 

 

           ถึงเวลากินอาหารเที่ยงแล้ว เจียงมู่เฉินก็ยังไม่ลงมา ครั้งนี้ฟู่เหยี่ยนนั่งไม่ค่อยจะติดแล้ว  

 

 

           เขาไปยังหน้าประตูห้องของเจียงมู่เฉินอีกครั้ง ยื่นมือไปเคาะประตู  

 

 

           ข้างในยังคงเหมือนกับเมื่อตอนเช้า ไม่มีคนมาเปิดประตู  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเงียบลงสักพัก สุดท้ายตัดสินใจดึงประตูเปิดออก ไปเรียกปลุกเจียงมู่เฉิน    

 

 

           ทันทีที่ฟู่เหยี่ยนเปิดประตู ก็ไม่พบเจียงมู่เฉินอยู่บนเตียง เขาตะลึงงัน  หรือว่าเจียงมู่เฉินจะออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว  

 

 

           แต่ว่าถ้าเจียงมู่เฉินออกไป ซือเหยี่ยนกับซังจิ่งก็ไม่ควรจะเป็นแบบนั้น  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนนึกสงสัยในใจ ค่อยๆ เดินเข้าไปข้างในทีละนิดๆ  

 

 

           เขาเดินถึงข้างเตียง มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาของเจียงมู่เฉิน ฟู่เหยี่ยนชะงักฝีเท้าเล็กน้อย เตรียมจะเดินเข้าไปดูในห้องน้ำ  

 

 

           แต่เมื่อเผลอก้มหัวลง ก็เห็นปลายเตียงเหมือนจะมีคนอยู่  

 

 

           เขารีบเดินเข้าไป ก็เห็นเพียงเจียงมู่เฉินนั่งพิงอยู่หน้าต่าง นอนสลบไสลไม่ได้สติ  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหัวใจบีบรัดตัวแน่น รีบพุ่งตัวเข้าไป “เจียงมู่เฉิน…”  

 

 

             

 

 

ตอนที่ 355 เจียงมู่เฉินเป็นไข้  

 

 

           เขาเรียกเจียงมู่เฉินหลายครั้งหลายคราอย่างตื่นตระหนก เขายังคงไม่ตื่นเหมือนเดิม  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรีบร้อนเตรียมจะอุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นมา เมื่อมือสัมผัสโดนผิวกายที่ร้อนลวก ก็ชะงักงันไปครู่หนึ่ง  

 

 

           เขาส่งมือไปแตะหน้าผากของเจียงมู่เฉิน ในฝ่ามือสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนลวก  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรีบอุ้มเขาขึ้นมา แล้วโทรหาพ่อบ้านหลิน “รีบตามหมอประจำตระกูลมาที่ห้องคุณชายเจียงด่วนเดี๋ยวนี้เลย”  

 

 

           พ่อบ้านหลินทราบเรื่อง ก็รีบไปตามหมอทันที  

 

 

           ผ่านไปไม่กี่นาที หมอก็รีบร้อนเข้ามา  

 

 

           ซังจิ่งกับซือเหยี่ยนเห็นหมอพุ่งตัวเข้ามา หัวใจบีบคั้น ก็รีบตามเข้าไป  

 

 

           พ่อบ้านหลินสนใจแค่เร่งรีบพาหมอขึ้นไป ไม่ได้สังเกตซือเหยี่ยนและซังจิ่งที่ตามมาข้างหลัง  

 

 

           มีคนตามกันมาเป็นพรวนขึ้นชั้นบนไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินตัวร้อนจี๋ แก้มแดงเถือก ไข้ขึ้นจนสติเลอะเลือน  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนร้อนใจจนไม่ไหว เดินไปรอบๆ อยู่ข้างๆ กว่าหมอจะตามเข้ามาได้สักทีไม่ใช่ง่ายๆ   

 

 

           “เร็วสิ มาดูเขา”  

 

 

           หมอพยักหน้ารับ รีบวิ่งเข้าไปตรวจอาการของเจียงมู่เฉิน  

 

 

           ซือเหยี่ยนและซังจิ่งเองก็ตามขึ้นมาด้วย เห็นเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งอยู่ล้อมรอบเจียงมู่เฉิน เหมือนกำลังตรวจดูอาการอยู่  

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวใจบีบคั้น เจ็บกระตุกโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

           เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงไม่สบายขึ้นมาได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนกระวนวายใจ เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปข้างใน  

 

 

           เวลานี้เองพ่อบ้านหลินถึงได้รับรู้ถึงเสียงของซือเหยี่ยน เขารีบเข้าไปขวาง “พวกคุณเข้ามาได้ยังไงครับ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่มองเขาเลยสักนิด เอามือผลักเขาออก มุ่งหน้าเดินไป  

 

 

           พ่อบ้านหลินที่ไม่ทันได้ตั้งตัว โดนเขาผลักไปจนเซ จึงพ้นทางไปในทันที  

 

 

           ซือเหยี่ยนก้าวยาวๆ เดินเข้าไปข้างใน  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ทั้งยังได้ยินคำพูดของพ่อบ้านหลิน  

 

 

           เขากำลังหงุดหงิดอยู่พอดี ซือเหยี่ยนเข้ามากะทันหันแบบนี้ จะได้หาที่ลงระบายอารมณ์พอดี  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนลงไม้ลงมือกับซือเหยี่ยนอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ซือเหยี่ยนหลบหลีกด้วยความมีไหวพริบ ทั้งยังไม่ได้ลงมืออะไร  

 

 

           แต่ฟู่เหยี่ยนไม่ได้คิดแบบนี้ เมื่อเขาหาทางออกระบายความโมโหความอัดอั้นตันใจเจอแล้ว ทุกการออกท่าทางรุนแรงไม่ปราณี  

 

 

           ซือเหยี่ยนเดิมที่ไม่คิดจะลงไม้ลงมือ แต่ท่าทางแบบนั้นของฟู่เหยี่ยนกลับจงใจบีบบังคับให้เขาลงไม้ลงมือจนได้  

 

 

           ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่มีอะไรต้องถอยต่อไปอีกแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนออกท่าทางวาดลวดลายอย่างรวดเร็วและดุดันโดยไม่เกรงใจ เพียงครู่เดียวก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับฟู่เหยี่ยนได้  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนน้อยนักที่จะได้เจอคู่ต่อสู้แบบนี้ เพียงครู่เดียวดวงตาก็แดงก่ำ  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาไม่จบไม่สิ้นกันสักที ก็ทนไม่ไหวจับข้อมือเขาจากทางด้านหลัง หยุดการกระทำของเขาไว้  

 

 

           เขาอัดร่างฟู่เหยี่ยนกดเข้าไปกับผนังด้านข้างล็อคตัวไว้อย่างแน่นสนิท  

 

 

           “ถ้าคุณอยากตีกัน วันหลังผมจะค่อยๆ ตีกับคุณเอง”  

 

 

            ฟู่เหยี่ยนดวงตาแดงก่ำ ไม่กล้าจะเชื่อ คิดไม่ถึงว่าจะโดนซือเหยี่ยนกำราบได้  

 

 

           ตอนนั้นที่โดนเจียงมู่เฉินกดอัดติดพื้น เขายอมจำนนแต่โดยดี แต่ไม่นึกเลยว่าตอนนี้จะมาพ่ายแพ้ให้ซือเหยี่ยนอีกครั้ง ไฟโกรธลุกโชนในใจขึ้นในทันใด เพียงชั่วพริบตาก็ปะทุออกมา  

 

 

           “เจ๋งนัก ก็มาตัวต่อตัวอีกสิ” ฟู่เหยี่ยนเอ่ยยั่วยุท้าทายอย่างช้าๆ  

 

 

           ‘เขาไม่เชื่อหรอก ซือเหยี่ยนชนะครั้งหนึ่งได้ก็เพราะโชคช่วย เขายังไม่เชื่อทั้งนั้นว่าซือเหยี่ยนจะชนะได้ตลอด’  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนกำลังคิดอยากจะลงมือต่อ หมอที่อยู่ด้านข้างก็ตรวจอาการเจียงมู่เฉินเสร็จพอดี  

 

 

           เขาเห็นทั้งสองคนต่อสู้กัน ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดใจอะไร  

 

 

           ราวกับว่าคุ้นชินกับฉากอะไรทำนองนี้มากเป็นอย่างยิ่ง เขาเดินไปหยุดต่อหน้าของฟู่เหยี่ยน “เมื่อคืนคุณชายเจียงคงจะเป็นหวัด ถึงได้มีไข้สูงขึ้นครับ”  

 

 

           พอซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดของหมอ ก็ปล่อยมือทันที แล้วรีบเดินเข้าไปหา  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นแบบนี้ก็ไม่ได้หาเรื่องต่อ  

 

 

           เขารีบเอ่ยถาม “แค่เป็นหวัด ไม่มีอาการอย่างอื่นใช่ไหม”  

 

 

           หมอลังเลอยู่สักพัก เขามองซือเหยี่ยน ไม่ได้พูดในทันที  

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตาเย็นยะเยือกมองเขา “พูดต่อ”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนโมโหแล้ว  นี่มันคนของเขานะ ซือเหยี่ยนมีสิทธิ์อะไรไปสั่ง เขาก็เสียหน้าสิ  

 

 

           สายตาเย็นเฉียบของเขามองปราดเดียว “ห้ามพูด”  

ตอนที่ 352 เล่นเกมกันไหม  

 

 

           ตอนนี้สำหรับเขาแล้ว ไม่เพียงแต่ฟู่เหยี่ยนจะพาเจียงมู่เฉินมากักตัวอยู่บนเกาะเล็กๆ เท่านั้น  

 

 

           เขาจะบุกเข้าไปตีเจียงมู่เฉินให้สลบก็ไม่ได้  

 

 

           อีกอย่าง คิดจะแย่งชิงตัวคนจากมือของฟู่เหยี่ยน ก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น  

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ เหนื่อยล้าอยู่ไม่น้อยทีเดียว  

 

 

           ไม่กี่วันมานี้เพราะเรื่องของซูเตอร์ หมดกำลังสมองความคิดไปไม่น้อย เพิ่งจะแก้ปัญหาเรื่องซูเตอร์เสร็จ คืนเดียวกันก็รีบตามมาถึงที่นี่อีก  

 

 

           ยังมาโดนบอกปัดขนาดนี้อีก  

 

 

           เขาถอนหายใจเงียบๆ คิดดูแล้วช่วงนี้จะผ่านไปไม่ได้ง่ายๆ แล้ว  

 

 

           ……  

 

 

           เจียงมู่เฉินขึ้นชั้นบนแล้วก็เดินมุ่งหน้าไปยังห้องของตัวเอง ฟู่เหยี่ยนเดินตามข้างหลังมาอย่างว่าง่าย  

 

 

           เขากำลังจะเตรียมปิดประตู เมื่อเห็นใบหน้านั้นของฟู่เหยี่ยน ก็เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “นายตามหลังฉันมาทำอะไร”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหรี่ตาลง “เล่นเกมกันไหม” กว่าจะหาอุบายมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินสีหน้าดำทะมึนในทันที สะบัดประตูใส่อย่างไม่ลังเลสักนิด  

 

 

           ประตูบานหนาและหนักเกือบฟาดไปโดนใบหน้าของฟู่เหยี่ยน ยังดีที่เขาหลบหลีกได้ว่องไว  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนมองดูประตูบานนั้น แล้วลูบใบหน้าหล่อเหลาของตัวเองปอยๆ  เมื่อกี้ยังไม่สบายใจอยู่ไม่ใช่เหรอ  

 

 

           ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายเชิญชวนเอง ยังสะบัดประตูใส่เขาอีก  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนถอนหายใจเงียบๆ รู้สึกว่าตัวเองอยู่ต่อหน้าเจียงมู่เฉิน นับวันจะยิ่งไม่มีที่ยืนแล้ว  

 

 

           ยังมีอยู่เพียงนิดหรือบุคคลน่าเกรงขามผู้สืบทอดของตระกูลฟู่  

 

 

           เจียงมู่เฉินสะบัดประตูใส่ ก็เอนตัวลงนอนบนเตียงทันที เขานอนหลับตาตัวแข็งทื่อ  

 

 

           แต่ในสมองเอาแต่ฉายสะท้อนภาพของซือเหยี่ยนเมื่อครู่นี้อยู่ตลอด  

 

 

           เจียงมู่เฉินร้อนใจไม่เป็นสุขอยู่ในที เดิมยังถือว่าหัวใจสงบนิ่งเช่นน้ำตาย แต่เพราะการปรากฏตัวของซือเหยี่ยน ทำให้น้ำไหวติงเป็นคลื่นขึ้นมา  

 

 

           เขาถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ เก็บกดซือเหยี่ยนสู่ก้นบึ้งของหัวใจอย่างหนักหน่วง  

 

 

           ตัวเองกับซือเหยี่ยนไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันแล้ว ตอนนี้ต่อให้เขามาตายอยู่ต่อหน้าตัวเอง ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาอารมณ์ลึกซึ้งของซือเหยี่ยนเมื่อครู่นี้ช่างดูน่ารังเกียจ  

 

 

           ทีตอนนั้นเลิกกันดูโล่งใจ พอมาตอนนี้ยังมาทำท่าทีเป็นห่วงเป็นใยกันหมายความว่าอะไรกันอีก  

 

 

           ยังคิดว่าเขาเป็นเจียงมู่เฉินคนนั้นคนเดิมอีกเหรอ  

 

 

           เขาพูดมาประโยคสองประโยคก็ใจอ่อน แล้วก็ให้อภัยเขาได้เลยหรือไง  

 

 

           เขาพลาดท่าเสียทีล้มลงในกำมือของซือเหยี่ยนรุนแรงเกินไป ไม่ใช่บุญคุณเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้เขาลืมเรื่องในตอนนั้นได้   

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลง ให้ตัวเองไม่ต้องคิดมาก เรื่องของซือเหยี่ยนไม่เกี่ยวอะไรกันกับเขา  

 

 

           เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องมาเปลืองใจให้ซือเหยี่ยนแบบนี้ด้วย  

 

 

           เขานอนอยู่บนเตียง หลับตาลง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ถึงได้เข้าสู่นิทรา  

 

 

           ทั้งปราสาทเงียบสงบ นอกจากเสียงลมที่ดังเข้ามาในบ่งครั้ง ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก  

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนหลับจนถึงเที่ยงคืน จู่ๆ ก็หายใจหอบถี่ขึ้นมากะทันหัน  

 

 

           ใบหน้าเขาแดงเถือก เหมือนหายใจติดขัด เขานอนตะแคงอยู่บนเตียง นิ้วมือกำผ้าปูที่นอนแน่นโดยไม่ตั้งใจ ราวกับกำลังฝันร้ายอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           จู่ๆ เขาก็ร้องเสียงดังลั่น นั่งตัวตรงขึ้นมาในทันใด  

 

 

           เหงื่อไหลเปียกโชกชุดนอนตัวบางของเขา ในห้องอันเงียบงันมีเพียงเสียงหายใจหอบอย่างเจ็บปวดทรมานดังสะท้อนออกมาชัดเจน  

 

 

           ไม่กี่นาทีก็กลับสู่สภาพเดิม เจียงมู่เฉินถึงได้สงบจิตใจ เขากำมืออย่างเหนื่อยล้า ลงจากเตียงไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเท้าเปล่าเข้าไปในห้องน้ำ เขาถอดชุดนอนบนตัวออก แล้วเข้าไปเอนกายในอ่างอาบน้ำ  

 

 

           ในอ่างอาบน้ำปล่อยน้ำเย็นลงมาปะทะกับผิวกายที่อุ่นร้อน เพียงพริบตาก็อดจะสั่นเทาขึ้นมาไม่ได้  

 

 

           เหมือนเจียงมู่เฉินไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง คนทั้งคนชะงักค้างนั่งอยู่ข้างใน  

 

 

           เขากอดเข่า งงงันอยู่ในที  

 

 

           เมื่อครู่นี้เขาฝัน เป็นฝันเรื่องเดียวกันเหมือนกับตอนที่ถูกซูเตอร์จับขังในห้องสีดำเล็กๆ   

 

 

           เพียงแต่ว่าฝันในวันนี้ยาวนานขึ้น ชัดเจนขึ้น  

 

 

           เขามองเห็นชัดเจน ว่าเป็นภาพที่โดนคนทรมานทีละนิดๆ  

 

 

           วิธีการโหดร้ายทารุณ ยากจะยอมรับได้  

 

 

             

 

 

        ตอนที่ 353 อยากจะฟื้นความทรงจำ  

 

 

           เจียงมู่เฉินกอดเข่า หายใจเข้าลึกๆ เก็บกดความหวาดกลัวในใจลงไป ถึงแม้ว่าจะเป็นความฝัน เขาก็ยังคงมีความรู้สึกหวาดกลัวเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว  

 

 

           เขาไม่รู้ว่าภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้เป็นสิ่งที่ตัวเองเคยประสบมาใช่หรือเปล่า  

 

 

           แต่ถ้าไม่ใช่ประสบการณ์ของตัวเอง แล้วจะมีความรู้สึกเหมือนเกิดขึ้นกับตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร  

 

 

           เขาลูบข้อมือ ในฝันมีคนถือมีดมากรีดบนผิวกายของเขาทีละนิดๆ  

 

 

           นิ้วมือของเจียงมู่เฉินสัมผัสไปบนผิวกาย คล้ายกับว่ายังรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงนั้นได้อยู่  

 

 

           เขาฝังตัวเองลงในน้ำเย็น ตอนนี้เขาคิดฟุ้งซ่านสับสนปนเป ต้องทำให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ลงได้โดยด่วน  

 

 

           ในสมองของเขาไม่มีความทรงจำส่วนนี้  

 

 

           ถ้ามีความทรงจำเรื่องพวกนี้เก็บไว้อยู่จริงๆ ก็มีเพียงเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้น  

 

 

           ความฝันที่เขาฝันติดต่อกันเป็นระยะ ยังมีภาพเหล่านั้นที่วาบขึ้นมาในหัวตอนที่เกิดอุบัติเหตุอีก  

 

 

           ดูท่าว่าในความทรงจำที่เขาสูญเสียไป คงจะเก็บซ่อนความทรงจำที่เขาจินตนาการไม่ถึงได้   

 

 

           เจียงมู่เฉินกำมือ  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาต้องคิดทบทวนเรื่องฟื้นฟูความทรงจำเมื่อตอนนั้นดูสักหน่อยหรือเปล่า  

 

 

           ถ้าว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริง  

 

 

           แล้วเขาไปทำอะไร ถึงไปเจอเรื่องแบบนี้ได้  

 

 

           ถึงอย่างไร ถ้าเป็นเพียงแค่คุณชายน้อยตระกูลเจียงธรรมดาๆ ไม่มีทางที่จะเรื่องน่าเวทนาขนาดนี้ได้  

 

 

           หลายปีมานี้ ธุรกิจของตระกูลเจียงยิ่งทำยิ่งใหญ่โต แต่คุณพ่อเจียงสุภาพไม่เคยทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับใครมาก่อน  

 

 

           ถึงแม้ว่าท่านจะหยิ่งผยองไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยไปสร้างศัตรูอะไรไว้กับใครคนไหน  

 

 

           ‘แล้วเขาล่ะ เรื่องทั้งหมดนี้ที่ประสบพบเจอในความฝันนั้นมาจากที่ไหนกัน’  

 

 

           เจียงมู่เฉินกดที่หัวเอาไว้ ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อน ก็ยิ่งปวดหัวขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

           มือทั้งสองข้างกุมหัว อยากจะพยายามคิดถึงสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจน  

 

 

           เรื่องเมื่อห้าปีก่อน สำหรับเขามันสำคัญมากเกินไป มีหลายๆ สิ่งมากมายเกินไป มีเพียงแค่ฟื้นความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้น ถึงจะตอบข้อสงสัยได้  

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ปวดหัวจนใกล้จะแยกออกจากกันแล้ว  

 

 

           เขายิ่งอยากคิดย้อนกลับไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งคิดอะไรไม่ออก  

 

 

           ราวกับมีคนมาจับหัวแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน เจ็บปวดจนแม้แต่หายใจก็ยากลำบาก  

 

 

           เจียงมู่เฉินเจ็บปวดจนริมฝีปากซีดเผือด กลับยังไม่หยุดสักที  

 

 

           เขายิ่งอยากนึกย้อนถึงเรื่องในอดีตทั้งหมดจนเกินไป  

 

 

           เขาเหมือนกับคนบ้าคลั่ง ไม่หยุดคิดทบทวน นอกจากเจ็บปวดแล้ว ในสมองก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม เขาคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง  

 

 

           เจียงมู่เฉินเจ็บปวดจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง กุมหัวไว้แน่น หน้ามืดหมดสติลงไป  

 

 

           ……  

 

 

           คนคนเดียวแช่น้ำเย็นอยู่หนึ่งชั่วโมง เจียงมู่เฉินถึงค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ  

 

 

           เขานอนเอนกายอยู่ในอ่างอาบน้ำ ลืมตาอยู่ตั้งนานสองนานถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับตัว ยืนขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ทั้งตัวเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น เจียงมู่เฉินก็ไม่สนใจ  

 

 

           เช็ดน้ำบนร่างกายแบบลวกๆ แล้วกลับไปที่เตียง  

 

 

           เขานอนอยู่บนเตียงไม่ไหวติง เจียงมู่เฉินลังเลอยู่ประมาณหนึ่ง จำเป็นต้องให้คนมาฟื้นความทรงจำของเขาหรือเปล่า  

 

 

           เมื่อก่อนคิดว่าเรื่องความทรงจำไม่ฟื้นกลับคืนไม่มีผลกระทบอะไรกับเขาเลยสักนิด แต่ปัจจุบันกลับไม่ใช่แบบนี้แล้ว  

 

 

           ถ้าอยากจะคลายความสงสัยเรื่องพวกนั้นในใจของเขา ก็ทำได้เพียงแค่ฟื้นความทรงจำกลับคืนมา  

 

 

           อีกอย่าง ฟู่เหยี่ยน ซังจิ่ง…  

 

 

           แต่ละคนต่างก็เกี่ยวข้องกับเขาเมื่อห้าปีก่อน  

 

 

           เมื่อห้าปีก่อนนั้นตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่  

 

 

           เมื่อห้าปีก่อนนั้นเขากับฟู่เหยี่ยนมีอะไรเกี่ยวข้องกัน  

 

 

           แล้วตกลงตัวเองประสบอุบัติเหตุอะไร ทำไมถึงสูญเสียความทรงจำได้  

 

 

            คำถามทั้งหมดถ่าโถมเข้ามาดังก้องอยู่ในหัวของเจียงมู่เฉินอย่างไม่ขาดสายติดต่อกันไปเรื่อยๆ ราวกับจะบุกฝ่าทะลุสมองเข้าไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือกดที่หน้าผาก ในใจตัดสินใจแน่วแน่แล้ว  

 

 

           ไม่ว่าตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ตัวเองจะต้องฟื้นฟูความทรงจำให้ได้ ดูว่าเมื่อห้าปีก่อนตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่   

 

 

           อีกอย่าง หมอท่านนั้นเพียงแค่พูดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอาการเสียสติ แต่ก็ไม่ได้จะเป็นเช่นนั้นเสมอไป  

 

 

คนที่จิตใจเข้มแข็งอย่างเขา ไม่ใช่ว่าจะเกิดอาการเสียสติได้เสมอไป  

 

 

คิดได้เช่นนี้ ในใจเจียงมู่เฉินตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะต้องฟื้นฟูความทรงจำให้เร็วที่สุด  

 

 

บางทีพอความทรงจำฟื้นคืนกลับมาแล้ว เรื่องราวมากมายก็อาจจะพอสะสางแก้ปัญหาไปได้  

 

 

ท้องฟ้าเริ่มจะสว่างแล้ว เจียงมู่เฉินที่มีเรื่องค้างคาในใจก็นอนหลับต่อไม่ได้แล้ว  

 

 

เขาเอนพิงอยู่บนเตียงจ้องมองไปข้างนอกหน้าต่างด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ผ้าม่านผืนหนาและหนักปิดบังหน้าต่างอย่างแนบสนิท  

 

 

เจียงมู่เฉินถอนหายใจ เขาลงจากเตียงไป เปิดผ้าม่านออกประมาณหนึ่ง  

ตอนที่ 350 เชิญเขาออกไป

ฟู่เหยี่ยนเห็นสถานการณ์ ก็ผลักซือเหยี่ยนออกทันที ฉวยโอกาสเดินไปอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน

เขายืนอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน เอ่ยอย่างขบขัน “เฉินเฉิน ไล่ทั้งสองคนนี้ออกไปให้หมดเลยเป็นไง พวกเขาจะได้ไม่มารบกวนชีวิตของพวกเรา”

เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ใครอนุญาตให้นายเรียกฉันว่าเฉินเฉิน”

“โอ้” ฟู่เหยี่ยนขานรับ ไม่ได้รู้สึกขายหน้าด้วยซ้ำ เขาลูบจมูกปอยๆ “ผมอยากเรียกนี่ ไม่ได้เหรอ”

เจียงมู่เฉินกุมหัว คนสองคนสามคนนี้ ไม่มีใครปกติสักคน จนปัญญาแล้ว

“พี่ชาย กลางค่ำกลางคืนพวกนายไม่นอนกันเหรอ” เจียงมู่เฉินห่อเ**่ยว เดิมเขาอยากจะนอนเต็มทนแล้ว เขาเหนื่อยแล้วจริงๆ นะ

ฟู่เหยี่ยนได้ยิน ก็รีบเอ่ย “วันนี้คุณเป็นลมไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่ไปนอนล่ะ” เขายิ้มมองเจียงมู่เฉิน “คุณขึ้นไปนอนเลย เดี๋ยวผมจัดการคนแปลกหน้าสองคนนี้เสร็จ จะขึ้นไป”

เจียงมู่เฉินรู้ว่าเขาจงใจบิดเบือนความจริงที่พวกเขาอยู่ร่วมกันไม่กี่วันมานี้ แล้วก็คร้านจะเปิดโปงเขาด้วยเช่นกัน

ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนกับซังจิ่ง เขาไม่จำเป็นต้องอยากมาอธิบายอะไรอยู่แล้ว

‘ถ้าเข้าใจผิดจริงๆ ก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจไปก็ได้’

“เฉินเฉิน…” ซือเหยี่ยนเรียกเขาอีกครั้ง

เจียงมู่เฉินสีหน้าเปลี่ยน มองซือเหยี่ยนด้วยความท่าทีเย็นชา “นายคนนี้นี่ ฉันไม่รู้จักนายสักหน่อย อย่าเอะอะก็มาตีสนิทกับฉัน พวกเราเป็นอะไรกันเหรอ”

ซือเหยี่ยนรู้ว่าเจียงมู่เฉินไม่มีทางจะให้อภัยเขาง่ายๆ แต่เพียงแค่เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยท่าทีเย็นชาแบบนี้ ก็ทำให้เขารับไม่ได้แล้ว

เวลานี้เองซือเหยี่ยนถึงได้เข้าใจ เวลาที่เจียงมู่เฉินเห็นเขาอยู่ด้วยกันกับซูเตอร์ จะเป็นทุกข์โศกเศร้าเสียใจมากแค่ไหน

“พวกเราเป็นคนรักกัน” ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างดื้อรั้น

เจียงมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ก็อดจะยิ้มเยาะไม่ได้ “พี่ชาย นายทำให้มันเคลียร์ๆ ได้ไหม ฉันกับนายไม่ได้เป็นอะไรกันเลยสักนิด”

“เป็นสิ ผมคือซือเหยี่ยน แฟนของคุณเจียงมู่เฉิน”

เจียงมู่เฉินเดือดดาลแล้ว เขาไม่เคยเห็นคนที่หน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อน

“ซือเหยี่ยน นายเป็นบ้าเหรอ ฉันเลิกกับนายไปนานแล้ว ตอนนี้จะมากยุ่งวุ่นวายอะไร นายรีบไสหัวออกไปเลยนะ พวกเราที่นี่ไม่ต้อนรับนาย”

ซือเหยี่ยนยิ้มทันที “อะไรกัน ในที่สุดก็ไม่แกล้งไม่รู้จักกันแล้ว”

ไฟเดือดของเจียงมู่เฉินถูกเขาเสียดสีจนจุดไฟติด เขาเพิ่งจะอยากปั้นหน้า แต่พอเห็นดวงตาประกายรอยยิ้มของซือเหยี่ยน ก็สติหลุดในทันที

กับคนแบบนี้ ไม่มีอะไรน่าให้โมโหด้วย

เขากุมขมับ ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “ฉันขอถอนตัว ไม่ขัดจังหวะพวกนายแล้ว นายกลับไปอยู่กับซูเตอร์เถอะ ฉันรับรองขอให้พวกนายมีความสุขอายุยืน ชีวิตสวยงามสดใส”

ซือเหยี่ยนเดินเข้าหาเจียงมู่เฉินทีละนิดๆ จนเดินมาถึงที่หน้าบันไดถึงหยุดลง

เขากดสายตาจ้องมองเจียงมู่เฉิน “คุณถอนตัวไม่ได้”

เจียงมู่เฉินรู้สึกช่างน่าขำสิ้นดี ทีตอนนั้นจะเลิกกับเขาไปอยู่กับซูเตอร์ให้ได้

ตอนนี้เขาชนกำแพงจนตรอกแล้ว รับรู้ความเจ็บแล้ว อยากจะถอนตัวแล้ว

เขากลับไม่ยอมให้ไป

‘ยังมีเหตุผลแบบนี้อีกเหรอ’

เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากยิ้มเยาะ “ซือเหยี่ยน คำพูดดีหรือไม่ดีให้นายคนเดียวพูดมาหมดแล้ว ตอนนั้นคนที่ต้องการเลิกกับฉันก็คือนาย เลือกที่จะอยู่กับซูเตอร์ก็คือนาย..

…ตอนนี้ นายก็ยังไม่อยากให้ฉันถอนตัวอีก”

เขาหัวเราะเยาะเสียงเย็น “ทำไม ยังอยากให้ฉันเข้ามาแทรกกลางระหว่างพวกนายอีกเหรอ ซือเหยี่ยนนายคิดว่าฉันไม่ตาย นายจะไม่มีความสุข ถึงอยากให้ฉันตาย นายถึงจะยินดีใช่ไหม”

ซือเหยี่ยนกำมือแน่น นัยน์ตาฉายสะท้อนความสับสนกระวนกระวายใจ ซือเหยี่ยนคนที่ไม่ว่าจะเผชิญเรื่องใดก็สงบนิ่งได้เสมอ กลับเป็นครั้งแรกที่ว้าวุ่นใจ เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของเจียงมู่เฉิน

“ผมกับซูเตอร์…” ซือเหยี่ยนอยากเอ่ยอธิบาย

เจียงมู่เฉินเอ่ยขัดจังหวะเสียงเย็น “พอแล้ว ฉันไม่อยากฟังเรื่องอะไรก็ตามของนายกับซูเตอร์อีก เรื่องระหว่างพวกนายไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่อยากรู้”

เขาพูดจบก็หันหลังเดินขึ้นบันไดไป ซือเหยี่ยนยื่นมือไปอยากจะดึงเจียงมู่เฉินไว้ กลับโดนฟู่เหยี่ยนยื่นมือมาขวาง

เจียงมู่เฉินเดินไปสองก้าว ก็หันมามองฟู่เหยี่ยนแวบหนึ่ง “เชิญนายคนนี้ออกไปด้วย ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขา”

 

ตอนที่ 351 รอเขา!

คำพูดของเขาตรงกับใจของฟู่เหยี่ยนพอดี เขามองพ่อบ้านหลินแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่ได้ยินที่เฉินเฉินพูดเหรอ ยังไม่รีบเชิญคนส่วนเกินพวกนี้ออกไปอีก”

พ่อบ้านหลินรีบพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ”

หลังจากฟู่เหยี่ยนพูดจบ ก็ตามเจียงมู่เฉินขึ้นชั้นบนไปทันที ซือเหยี่ยนมองตามแผ่นหลังเจียงมู่เฉินขึ้นไป หนักหน่วงในอารมณ์

แต่ในช่วงชี้เป็นชี้ตายแบบนี้ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น

เจียงมู่เฉินในตอนนี้บาดหมางกับเขาถึงขนาดนี้ เขาเองก็จะทำเป็นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่ทำตามความต้องการของเจียงมู่เฉินไม่ได้

ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงมองตาละห้อยดูเจียงมู่เฉินเดินจากไป

พ่อบ้านหลินมองซือเหยี่ยนกับซังจิ่งอย่างเย็นชา ก่อนกดเสียงพูด “ขอเชิญประธานซือและคุณซังรีบออกไปให้เร็วที่สุดด้วยครับ”

ซังจิ่งไม่ยอมไป กว่าเขาจะหาเจียงมู่เฉินเจอไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะให้ไปทั้งแบบนี้ได้ยังไง

“เจียงมู่เฉินไม่ไป ผมก็ไม่ไป กล้ามาคุณก็ให้ฟู่เหยี่ยนฆ่าผมเลย”

พ่อบ้านหลินถอนหายใจ “คุณชายของพวกเราไม่ใช่เอะอะก็คว้ามีดฆ่าคนนะครับ”

“ถึงยังไงวันนี้ผมซังจิ่งก็ทิ้งคำพูดอยู่ที่นี่แล้ว ขอเพียงแต่เจียงมู่เฉินอยู่ที่นี่วันหนึ่ง ผมก็จะไม่ไปไหนวันหนึ่งเหมือนกัน” ซังจิ่งมองพ่อบ้านหลินอย่างข่มขู่ “คุณควรจะรู้ว่าผมทำแบบนี้ได้”

พ่อบ้านหลินยิ้มหัวเราะ มองมาทางซือเหยี่ยน “แล้วประธานซือล่ะครับ”

ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ดวงตาสีดำขลับลึกล้ำ “รอเขา!”

พ่อบ้านหลินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ คุณชายของเขาใจร้ายจริงๆ

ผ่อนคลายสบายอยู่ข้างบน ทิ้งคนที่จัดการยากเย็นขนาดนี้ทั้งสองคนไว้ให้เขาได้

เขากุมขมับ “คุณชายของเราและคุณชายเจียงไม่ต้องการพบคุณทั้งสองคน พวกคุณอยู่ที่นี่ไม่ไปกันสักที กระผมลำบากใจมากนะครับ”

ซือเหยี่ยนแววตาจมดิ่ง หันหลังเดินผลักประตูออกไปข้างนอกทั้งอย่างนั้น

ซังจิ่งเห็นท่าทางนั้นของเขาก็ชะงักงันไป ซือเหยี่ยนยอมอ่อนข้อเร็วขนาดนี้เลยเหรอ

ใครจะคาดเดาว่าซือเหยี่ยนเดินไปถึงหน้าประตูก็หยุดลงกะทันหัน เขากอดอกอย่างตามใจมองดูพ่อบ้านหลิน “ที่นี่ คงจะไม่ทำให้คุณลำบากใจแล้วสินะ”

พ่อบ้านหลิน “…”

‘ประธานซือที่เขาว่ากันเย็นชาลุ่มลึกเย่อหยิ่งไม่ใช่เหรอ’

‘ทำไมยังมีโหมดแบบนี้ได้ด้วย’

‘ดูท่าว่าเรื่องที่เล่าต่อกันมาก็แค่เรื่องเล่า ไม่เป็นจริงได้เลยสักนิด’

เมื่อซังจิ่งเห็น ก็เข้าใจได้ความหมายของซือเหยี่ยนได้ในทันใด เขาเองก็หันกลับหลังเดินไปถึงที่นอกประตูเช่นกัน

“พวกเรารออยู่ข้างนอก ได้อยู่ใช่ไหมล่ะ”

พ่อบ้านหลินถอนหายใจ คุณชายบอกว่าให้เชิญคนออกไป ก็ควรจะแค่เชิญออกจากบ้านหลังนี้ คงจะไม่ได้บอกว่าให้เชิญออกจากเกาะไปหรอกใช่ไหม

เช่นนั้นแบบนี้ ทั้งสองคนนี้ก็เป็นฝ่ายถอยออกไปเองแล้ว

ก็คงจะไม่ได้ฝ่าฝืนความต้องการของคุณชายเช่นกัน

“ในเมื่อคุณทั้งสองอยากจะช่วยคุณชายของเราเฝ้าประตู งั้นก็รบกวนพวกคุณแล้วครับ”

พ่อบ้านหลินค่อยๆ เดินเข้าไป เสียงปิดประตูบานใหญ่ดังขึ้น

ซือเหยี่ยนและซังจิ่งโดนปิดประตูใส่ขนาดนี้ ซังจิ่งมองซือเหยี่ยนที่สงบนิ่งอยู่ข้างๆ พลางเอ่ยถามอย่างเงียบๆ “จะรออยู่ที่นี่ตลอดจริงๆ เหรอ”

ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ยังไง คุณมีวิธีที่ดีกว่านี้เหรอ”

ซังจิ่งถูกถามแบบนี้ก็ค่อนข้างเลิ่กลั่กทีเดียว ปิดปากไม่พูดจาทันที ถึงอย่างไรหาที่นี่เจอได้ ก็เพราะซือเหยี่ยนทั้งนั้น

ถ้าซือเหยี่ยนไม่ได้พาเขามา เกรงว่าเขาคงจะหาที่นี่เจอได้ยากมาก

ใครจะไปคิดได้ ว่าฟู่เหยี่ยนจะพาคนมาอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีคนอยู่แบบนี้

ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงทำได้เพียงรออยู่หน้าประตูแต่โดยดี

ซือเหยี่ยนมองดูประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิท ความรู้สึกทำอะไรไม่ได้สักอย่างผุดขึ้นมาในใจ ถ้าวันนี้เป็นการที่ฟู่เหยี่ยนพาเจียงมู่เฉินมาอยู่ที่นี่โดยไม่สนใจใคร เช่นนั้นไม่ว่าเขาจะทุ่มเทเสียสละอะไรแลกเปลี่ยน ก็จะพาเจียงมู่เฉินไปได้ทั้งนั้น

แต่…

ท่าทีของเจียงมู่เฉินเมื่อครู่นี้ก็ชัดเจนมากแล้ว

เขาต่อต้านตัวเองเสียขนาดนั้น

รู้จักกันกับเจียงมู่เฉินมาตั้งนาน เขาเข้าใจในตัวเจียงมู่เฉินเกินไปแล้วจริงๆ ถ้าเจียงมู่เฉินไม่อยากไปกับเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

ตอนที่ 348 ออกไปต้อนรับแขก

คืนเดียวกันนั้นซือเหยี่ยนกับซังจิ่งได้พากันออกไปตามหาเจียงมู่เฉิน

เครื่องบินลงจอดบนเกาะเล็กๆ อย่างช้าๆ ในขณะที่ฟู่เหยี่ยนกำลังเล่นเกมฝึกฝนอยู่ พ่อบ้านหลินได้รับทราบถึงความผิดปกติ ก็รีบไปรายงานฟู่เหยี่ยนทันที

ฟู่เหยี่ยนกำลังศึกษาได้เพียงครึ่งเดียว จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตู

“เข้ามา”

พ่อบ้านหลินยืนอยู่หน้าทางเข้า “คุณชายครับ มีคนขึ้นเกาะมาครับ”

ฟู่เหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย คนที่มาเกาะตอนนี้ได้? เขาแปลกใจอยู่ไม่เบาจริงๆ จะมีใครกล้าขึ้นมาในอาณาบริเวณของเขาได้

“ใคร”

“ซังจิ่ง…”

ฟู่เหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ซังจิ่งหาที่นี่เจอได้เหรอ ช่างเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ

“มีเขาแค่คนเดียวเหรอ”

“ยังมีซือเหยี่ยนอีกครับ”

ฟู่เหยี่ยนหัวเราะเยาะ “ฉันรู้อยู่แล้ว ระดับอย่างซังจิ่งไม่มีทางหาที่นี่เจอแน่นอน”

“ตอนนี้ตัวคนอยู่ที่ไหน”

พ่อบ้านหลินเอ่ยเสียงต่ำ “พวกเขาเพิ่งจะถึงบนเกาะเมื่อครู่นี้เองครับ ตอนนี้น่าจะกำลังเดินทางมา”

“ไปกันเถอะ ออกไปต้อนรับแขกกัน อย่าให้แขกวีไอพีรอเลย” วางเครื่องเล่นเกมลง แล้วลุกขึ้นยืน

พ่อบ้านหลินมองเขาด้วยความแปลกใจ “ต้อนรับเหรอครับ”

“ก็มาเป็นแขกนี่ ในเมื่อคนก็มาแล้ว ต้องต้อนรับเป็นธรรมดา ไม่อย่างนั้นถึงเวลาแพร่งพรายออกไป จะว่าฉันฟู่เหยี่ยนไม่รู้จักดูแลแขกได้ไม่ใช่เหรอ”

พ่อบ้านหลินเห็นท่าทีเขาเช่นนั้น ก็เข้าใจได้ในเวลาอันสั้น

เขาอยู่ข้างกายฟู่เหยี่ยนออกมาจากห้อง แล้วตรงลงไปชั้นหนึ่งด้วยกัน

ฟู่เหยี่ยนนั่งเอ้อระเหยอยู่บนโซฟา เขาเชิดคางขึ้น “ไปเปิดประตูรับแขกเถอะ”

พ่อบ้านหลินพยักหน้ารับ ก่อนเดินเข้าไปเปิดประตู

ประตูเปิดยังไม่ถึงห้านาที ซังจิ่งกับซือเหยี่ยนก็เดินเข้ามา

ฟู่เหยี่ยนมองพวกเขาด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ “แขกวีไอพีมาเยือนดึกๆ ดื่นๆ ทำไมไม่บอกล่วงหน้ากันสักหน่อยล่ะ แบบนี้ผมจะได้ส่งคนไปต้อนรับพวกคุณมา”

ซังจิ่งทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ เขามองฟู่เหยี่ยน “เจียงมู่เฉินล่ะ”

ฟู่เหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่งอย่างน่าขัน “คุณกำลังใช้ฐานะอะไรถามผมเหรอ วี”

เขาครุ่นคิดสักพักก่อนเอ่ย “ถ้าผมจำไม่ผิด คุณเสร็จภารกิจของคุณเรียบร้อย ตอนนี้ที่นี่ก็ไม่มีงานของคุณแล้ว”

ซังจิ่งสีหน้าชะงักค้าง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตอนแรกเขารับภารกิจนี้จริงๆ แล้วเจียงมู่เฉินก็เป็นเป้าหมายในภารกิจของเขา

“เงินผมคืนให้คุณ ตามข้อกำหนดของสัญญา จะชดเชยเงินให้ทั้งหมด ภารกิจถือเป็นโมฆะ” ซังจิ่งเอ่ยไปตามตรง

ฟู่เหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ซังจิ่ง คุณว่าคุณทำอาชีพนี้มาตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ควรจะมีจิตวิญญาณในอาชีพบ้างเถอะ ต่อให้คุณไม่มีจรรยาบรรณในอาชีพ คุณก็ควรจะมีสามัญสำนึกสักหน่อยไม่ใช่เหรอ…

…คนก็อยู่ในกำมือผมแล้ว ผมจะคุณได้โดยเปล่าประโยชน์” ฟู่เหยี่ยนหลุดขำ “เงิน? ผมฟู่เหยี่ยนยังขาดเงินอีกเหรอ”

ตระกูลฟู่ร่ำรวยล้นฟ้า ไม่ใส่ใจเรื่องเงินอะไรพวกนี้โดยสิ้นเชิง

สำหรับฟู่เหยี่ยนแล้ว เงินก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเศษกระดาษ ไม่มีความหมายอะไรทั้งสิ้น

“งั้นคุณจะเอายังไง!” ซังจิ่งชักจะโมโหแล้ว

เขารู้ว่าคนอยู่ในกำมือของฟู่เหยี่ยน ยากมากที่จะเอาตัวกลับมาได้ แต่คิดไม่ถึงว่าทัศนคติของฟู่เหยี่ยนจะเถรตรงขนาดนี้

ฟู่เหยี่ยนมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย เอ่ยอย่างขำๆ “คนต้นเรื่องยังไม่ได้พูดอะไรเลย คุณมีอะไรให้พูดได้เหรอ”

ซังจิ่งมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง ความเดือดดาลบนใบหน้าโดนกดลงไปเล็กน้อย

ถึงอย่างไรที่ฟู่เหยี่ยนพูดมาก็เป็นจุดอ่อนของเขาพอดี เขากับเจียงมู่เฉินไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ อย่างมากก็แค่ถือว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่ง

แล้วก็เป็นเพื่อนคนนี้ที่ยังหักหลังเจียงมู่เฉินอยู่เบื้องหลังอีก

เขาไม่มีสิทธิจะพูดอะไรออกมาจริงๆ

ซือเหยี่ยนที่ถูกฟู่เหยี่ยนเอ่ยถึงก็ขยับตัว ความดุดันทะลุผ่านดวงตาสีดำขลับ

เขาพินิจมองสังเกตด้านข้างสักพัก ทันทีหลังจากนั้นถึงได้พาดวงตามาจับจ้องที่ฟู่เหยี่ยน

“ตัวเขาล่ะ”

ฟู่เหยี่ยนยืดเหยียดขา มองเขาอย่างไม่รีบร้อน “ประธานซือ คุณถามหาใครล่ะ ที่นี่ของผมมีคนอยู่ค่อนข้างเยอะ ไม่ทราบว่าคุณหาคนไหนเหรอ”

 

ตอนที่ 349 เป็นแฟนเก่า

ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง กดเสียงเอ่ย “เจียงมู่เฉินล่ะ”

“เขาเหรอ อยู่บนเตียงผม” ฟู่เหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “วันนี้อยู่ด้วยกันกับผม เหนื่อยจนสลบไปเลย ยังกำลังพักผ่อนอยู่”

ความเดือดดาลฉายสะท้อนในแววตาของซือเหยี่ยน

“ผมจะถามคุณอีกครั้ง เขาอยู่ที่ไหน”

ฟู่เหยี่ยนเห็นสภาพการณ์แล้ว ในที่สุดก็เก็บรอยยิ้มอันฉาบฉวยของเขาไป เขาลุกยืนขึ้นจากโซฟา เดินมาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน

เขายกมุมปากขึ้นอย่างเยือกเย็นเจือความหัวเราะเยาะ “อะไรกัน ผมว่าซังจิ่งไม่มีคุณสมบัติแล้วนะ คุณคิดว่าคุณมีคุณสมบัติเหรอ”

“ผมเป็นแฟนของเขา จะไม่มีคุณสมบัติได้ยังไง”

‘แฟนของเขา’ สามคำนี้ ทำให้ฟู่เหยี่ยนขำขันอยู่ไม่น้อย “ประธานซือ ความจำของคุณชักจะเสื่อมถอยลงบ้างแล้วใช่ไหม ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนี้คุณไม่ใช่แฟนของเฉินเฉินแล้วนะ”

เขาจงใจเรียกชื่อเล่นของเจียงมู่เฉินอย่างสนิทสนม

ซือเหยี่ยนกดตัวฟู่เหยี่ยนไปกับตู้ที่อยู่ด้านข้าง “ส่งตัวคนมา ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ แน่”

ฟู่เหยี่ยนโดนเขาจับคอไว้ก็ไม่กลัว ยังคงมองเขาด้วยท่าทางเฉยเมยเหมือนเดิม “เขาควรจะอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าตอนนั้นคุณไม่เอาคานเข้ามาสอด ผมจะต้องถึงขนาดเสียแรงใจทุ่มเทพยายามมาหลายปีขนาดนี้เหรอ”

ดวงตาซือเหยี่ยนแดงก่ำ ไม่ได้ลังเลกับการกระทำในมือเลยสักนิด

“คุณกับเขา เหอะ มันเป็นไปไม่ได้มาตั้งแต่แรกแล้ว” นัยน์ตาประกายความเหยียดหยาม “ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้ เขาก็ชอบคุณไม่ได้หรอก”

สีหน้าฟู่เหยี่ยนค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็น เขาได้ยินความเคลื่อนไหวจากชั้นบน ก็พูดโต้ตอบกลับไป “แล้วคุณล่ะ คนที่หักหลังเขา คุณคิดว่าเขาจะยังรักคุณได้เหรอ…

…ประธานซือ ถ้าผมเป็นคุณ จะกลับไปหาคุณชายซู ถึงยังไงความรักความผูกพันของพวกคุณมีมาหลายปีขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าพูดตัดขาดก็จะตัดขาดได้เลย”

เจียงมู่เฉินได้ยินความเคลื่อนไหว เพิ่งจะออกมาก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้ต่อหน้าพอดี

เขาชะงักไป ประธานซือ…

‘นั่นไม่ใช่ซือเหยี่ยนเหรอ’

เขายืนอยู่ริมราวจับมองลงมา เป็นซือเหยี่ยนกับฟู่เหยี่ยน แล้วก็ซังจิ่งจริงๆ

เจียงมู่เฉินหัวใจบีบคั้น ค่อยๆ เดินตามบันไดลงมา

เขากลับอยากรู้เสียแล้ว ว่าสามคนนี้เกิดอะไรกันขึ้น

“เรื่องของผมกับซูเตอร์ ไม่ต้องให้คุณมาเป็นห่วง” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงเย็น

“ไม่ต้องให้ฉันไปยุ่งจริงๆ” ฟู่เหยี่ยนมองเขาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “เหมือนกัน เรื่องของผมกับเฉินเฉิน ก็ไม่ต้องให้คุณมาเป็นห่วงเหมือนกัน”

“ผมเป็นแฟนของเขา ผมเป็นห่วงได้”

ฟู่เหยี่ยนยิ้มเยาะ กำลังจะเตรียมถากถางกลับ ก็ได้ยินเสียงอันเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“เป็นแฟนเก่า” เจียงมู่เฉินเดินถึงหน้าบันไดพอดี เขาพิงอยู่ข้างๆ แถวนั้นอย่างตามใจ มองดูละครตลกข้างล่าง

พอซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินก็รีบพุ่งตัวเข้าไปทันที แต่กลับถูกพ่อบ้านหลินขวางเอาไว้เฉยเลย

เขาร้อนใจ “เจียงมู่เฉิน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”

เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ทุกวันมีคนคอยคุยด้วยกินด้วยเล่นด้วย เกรงว่าคงจะไม่มีใครได้สิ่งดีๆ ไปกว่าฉันแล้ว”

อารมณ์ซือเหยี่ยนที่นิ่งเฉยมาตลอด ค่อยๆ ร้าวทีละนิดๆ ตั้งแต่นาทีนั้นที่เจียงมู่เฉินปรากฏตัวออกมา

ดวงตาสีดำคู่นี้ของเขาจับจ้องมาที่เจียงมู่เฉินโดยไม่ละไปไหนอย่างเด็ดขาด

ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉิน แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “เฉินเฉิน….”

เสียงเพรียกหานี้นุ่มนวลอ่อนโยนถึงที่สุด แฝงความรู้สึกอันลึกซึ้งของซือเหยี่ยนที่เก็บไว้ในส่วนลึก

แต่เป็นเจียงมู่เฉินเมื่อก่อนต้องใจเต้นจนไม่ไหว

แต่เจียงมู่เฉินในตอนนี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเลยแม้แต่น้อย เขายกมุมปากอย่างเย็นชา มองเขาหัวเราะเล่นๆ ใส่เขา “คุณคนนี้ นายเป็นใครเหรอ”

ฟู่เหยี่ยนรู้ว่าตามนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว จะไม่ทำหน้าไม่รับแขกซือเหยี่ยนขนาดไหน

แต่ก็นึกไม่ถึง ว่าเจียงมู่เฉินจะไม่ไว้หน้าซือเหยี่ยนขนาดนี้

ประโยคนี้ฟังแล้วเขารู้สึกสบายสดชื่นเป็นบ้า

ในหัวใจซือเหยี่ยนเจ็บปวดอย่างรุนแรง แววตาที่มองเจียงมู่เฉินฉายสะท้อนความเจ็บปวดทรมาน

มือที่จับฟู่เหยี่ยนไว้ผ่อนแรงลงโดยไม่รู้ตัว

ตอนที่ 346 รอเขา

ท่านเชนมองเขาด้วยความเป็นห่วง “นายจะไปไหน”

ซือเหยี่ยนเดินอ้อมท่านเชนมุ่งหน้าออกข้างนอกไป ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ไปหาเจียงมู่เฉินครับ”

เขารู้ประมาณหนึ่งว่าเจียงมู่เฉินจะอยู่ที่ไหนได้ พอคิดถึงว่าเขาตกอยู่ในกำมือของฟู่เหยี่ยน เขารอต่อไปไม่ได้อยู่แล้ว

เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง กว่าท่านเชนจะมีท่าทีตอบสนองกลับมา เขาก็ออกจากห้องไปแล้ว

……

ซังจิ่งรออยู่หน้าประตูทางเข้าของแก๊งมังกรครามอยู่นานมากแล้ว เอาแต่รอเก้อก็ไม่เจอซูเตอร์และซือเหยี่ยนสักที

เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เอาแต่รอต่อไปแบบนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดี เขาจำต้องให้คนไปสืบถึงตำแหน่งของพวกซือเหยี่ยน

หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าซือเหยี่ยนและซูเตอร์เข้าร่วมกิจกรรมหนึ่งอยู่กลางทะเล

แต่ว่าคนอยู่กลางทะเล ก็ค่อนข้างยากจะจัดการได้ ถึงอย่างไรก็ไม่สะดวกเหมือนกับการตามหาบนบก

ซังจิ่งกุมขมับอย่างช่วยไม่ได้ หอบเอาจิตใจลองโทรหาซือเหยี่ยนสักตั้ง

ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้ว

ซังจิ่งกดโทรออก คิดไม่ถึงว่าจะโทรติด เขาตะลึงงันไป รู้สึกว่าน่าทึ่งอยู่ไม่เบา

มือถือหน้าจอมีแสงวิบวับไม่หยุด แต่ปลายสายทางนั้นก็ไม่รับสายสักที

ต่อมาก็ถูกตัดสายลง

ซังจิ่งขมวดคิ้วทันที รีบส่งข้อความไปหาอย่างรวดเร็ว

[เรื่องเกี่ยวกับเจียงมู่เฉิน รีบรับสายด่วน]

หลังจากส่งไป รอเพียงไม่กี่วินาทีก็โทรหาซือเหยี่ยนอีกครั้ง

ซือเหยี่ยนที่เพิ่งจะเดินถึงดาดฟ้าเรือเห็นข้อความนี้ คิ้วก็ขมวดทันที เพิ่งจะเตรียมโทรหาซังจิ่ง ก็เห็นซังจิ่งโทรเข้ามา

เขาลงเรือลำเล็กที่อยู่ด้านข้าง พลางรับสายของซังจิ่งไปด้วย

“เจียงมู่เฉินหายตัวไปแล้ว” ซังจิ่งเอ่ยออกก็พูดเรื่องนี้ทันที

ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว “ผมเพิ่งรู้เมื่อกี้นี้”

“วันนั้นที่พวกเราจะกลับถานโจว ก็ไม่เจอเขาแล้ว ไม่กี่วันมานี้ผมตามหาข่าวคราวของเขาตลอด แต่ก็หาไม่เจอเลย”

‘วันนั้นที่กลับถานโจว…’

‘นั่นเป็นตอนที่เจียงมู่เฉินออกจากคฤหาสน์พักตากอากาศของพวกเขาไม่ใช่เหรอ’

“คุณมีข่าวคราวอะไรไหม”

ซังจิ่งบอกไปตามตรง “เขาโดนฟู่เหยี่ยนพาตัวไป แต่รายละเอียดว่าพาไปที่ไหน ผมก็ยังไม่ชัดเจน”

คำตอบของเขาเหมือนกับที่ซูเตอร์พูดไม่มีผิด

ซือเหยี่ยนรีบเอ่ย “ช่วยผมเตรียมเครื่องบินส่วนตัวที ผมรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”

ซังจิ่งตะลึงงันทันที แปลกใจอยู่ไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ซือเหยี่ยนจะรับปากช่วยเจียงมู่เฉินอย่างไม่ลังเล

เขารีบตกลงรับปากทันที “ตอนนี้ผมอยู่ในทะเล หนึ่งชั่วโมงจะเทียบท่าเรือ คุณรอผมที่ท่าเรือ”

“ได้ ผมทราบแล้ว”

หลังจากวางสายไป ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึมกำชับสั่ง “ขับเร็วหน่อย”

เรือลำเล็กสีขาวเพิ่มความเร็วขึ้นในทันที วาดความเร็วบนผืนน้ำ เพียงเสี้ยวเวลาก็หายเข้าไปในความมืดมิดยามราตรีอันกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด

หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เรือของซือเหยี่ยนก็มาจอบเทียบท่า ซังจิ่งรอซือเหยี่ยนอยู่ตรงนั้นอยู่ก่อนแล้ว

ซือเหยี่ยนลงเรือก็รีบเดินเข้าไปทันที

“ผมเตรียมเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ไปได้เลย”

ซือเหยี่ยนพยักหน้า ตอบรับเสียงหนึ่ง รีบเดินเข้าไปกับซังจิ่ง ซังจิ่งรีบขับรถมุ่งหน้าไปที่นั่น

ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ด้านข้าง ไม่พูดอะไรสักคำ

ซังจิ่งมองดูซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง รู้สึกว่าสีหน้าอารมณ์ของเขาดูหนักหน่วงไม่ธรรมดา

เขาเก็บสายตาอย่างเงียบๆ เพิ่มน้ำหนักเท้าเหยียบคันเร่งไป

ทั้งสองคนมาถึงที่สนามบินได้เร็วมาก

หลังจากซือเหยี่ยนขึ้นเครื่องบินไปกับซังจิ่งแล้ว ซือเหยี่ยนก็เงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

ตลอดทางเขาไม่ปล่อยมือออกจากกันเลย เอาแต่กำมือแน่น สีหน้าท่าทางจริงจัง ในดวงตาสีดำขลับหนักหน่วงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

รอเขาอีกไม่กี่ชั่วโมง

เขาก็จะตามไปอยู่ข้างกายของเจียงมู่เฉินได้ในทันที

‘รอเขาอีกหน่อยนะ เขาจะรีบไปเดี๋ยวนี้’

เพียงไม่นาน เครื่องบินก็บินขึ้น ซือเหยี่ยนมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนก็ถอนหายใจ

เขาหวังว่าฟู่เหยี่ยนอย่าได้ทำอันตรายอะไรที่เรียกกลับคืนมาไม่ได้กับเจียงมู่เฉินเด็ดขาด

‘หวังทุกอย่างจะไม่สายเกินไป’

 

ตอนที่ 347 นายทื่อเกินไป

เจียงมู่เฉินที่ซือเหยี่ยนเป็นห่วง กำลังเอ้อระเหยขลุกตัวเล่นเกมอยู่ในห้อง

เขาตกปลาอยู่ทั้งวัน ปวดหัวอยู่ไม่เบาทีเดียวจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงทัดทานฟู่เหยี่ยน หาอย่างอื่นให้เขาเล่นหน่อยจะได้ไหม

ฟู่เหยี่ยนได้ยินก็ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “เมื่อตอนเช้าคุณเพิ่งจะเป็นลมไป ตอนนี้ก็อยากเล่นเกม ร่างกายคุณรับไหวเหรอ”

เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “ถ้านายเลี้ยงดูฉันเป็นคนป่าแบบนี้อีก ฉันเกรงว่าฉันจะรับไม่ไหวแล้วจริงๆ…

…เร็วสิ รีบไปหาเครื่องเล่นเกมมาให้ฉันสักเครื่อง ไม่ให้มือถือ ไม่ให้แท็บเล็ต กลัวว่าฉันจะติดต่อโลกภายนอก…

…แต่ถ้านายให้เครื่องเล่นเกม ก็ไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ”

ฟู่เหยี่ยนเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของเขา ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจเขาได้ จำใจต้องไปหาเกมให้เขาแต่โดยดี

เขาโทรศัพท์หาพ่อบ้านให้ส่งอุปกรณ์เครื่องเล่นเกมมาชุดหนึ่ง ทั้งหมดเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด

หลังจากที่เขาเห็นแล้ว ก็ส่งตรงเข้าไปในห้องของเจียงมู่เฉินทันที

เมื่อเจียงมู่เฉินเห็น ก็ยักคิ้วเล็กน้อย “ใช้ได้ๆ ประสิทธิภาพในการจัดการธุระให้สูงมาก มีพร้อมครบวงจร อยากยกนิ้วให้นายจริงๆ เลย”

เจียงมู่เฉินลงมือประกอบติดตั้งเครื่องเกมด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้ากวาดสายตามองฟู่เหยี่ยน “อยากเล่นกันสักตาไหม”

ฟู่เหยี่ยนค่อนข้างประหลาดใจนิดหน่อย คิดว่าเจียงมู่เฉินคงจะไม่อยากจะชวนเขาเล่นด้วย

“มองฉันทำไม จะเล่นไหม” เจียงมู่เฉินเร่งรัดอย่างอดรนทนไม่ไหว

อารมณ์ของฟู่เหยี่ยนตื่นเต้น รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยนั้น ตอนที่เพิ่งจะรู้จักกันกับเจียงมู่เฉิน

เขากำมือแน่น รีบตกลงรับปาก “เล่นๆ”

เจียงมู่เฉินหาเกมเล่นเกมหนึ่ง สองคนปะทะกัน

“มาเถอะ” เขาเชิดหางตาอย่างเย่อหยิ่ง “ฉันจะไม่อ่อยให้นายหรอก ถึงตอนแพ้แล้วแม้แต่กางเกงก็ไม่เหลือ อย่ามาโทษฉันเด็ดขาดเลยนะ”

ฟู่เหยี่ยนเองก็ไม่ยอมแสดงอาการอ่อนข้อ “วางใจเถอะ ใครแพ้ใครชนะยังไม่รู้หรอก”

เจียงมู่เฉินยักคิ้ว รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ช่างโอ้อวดวางอำนาจถึงขั้นสุด

“ท่าทีอย่างนาย ฉันเล่นงานนายตายแน่”

ด้วยเหตุนี้คุณชายน้อยเจียงจึงนั่งขัดสมาธิสู้ยิบตาอยู่บนเตียง

ฝีมือของฟู่เหยี่ยนไม่เลวจริงๆ กลับดีกว่าที่เจียงมู่เฉินคิดเอาไว้อยู่ไม่น้อย เทียบกับเขาก็ไม่ได้ห่างไกลกัน

เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าปกตินายจะฝึกอยู่ไม่น้อยทีเดียว”

ฟู่เหยี่ยนแส้รงทำเป็นถ่อมตัว “เทียบกับคุณแล้ว ยังห่างอีกนิดนึง”

เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ที่นายพูดเมื่อกี้ ไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่เลย”

ฟู่เหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “นี่ดูออกหมดเลยเหรอ”

นัยน์ตาเจียงมู่เฉินประกายแผนการบางอย่าง ตอนที่เขากำลังพูด ก็แอบซุ่มโจมตีฟู่เหยี่ยนเรื่อยๆ

เขาใช้การโจมตีสุดท้ายอย่างสบายๆ ตัวละครในเกมของฟู่เหยี่ยนก็ล้มลงไปกับพื้นทันที

เจียงมู่เฉินยักคิ้วหลิ่วตา พลางหัวเราะเบาๆ “บังเอิญจริงๆ นำนายไปก้าวหนึ่งแล้ว”

ฟู่เหยี่ยนจนใจ ไม่เคยเจอใครขี้โกงแล้วยังพูดได้เต็มปากเต็มคำขนาดนี้

ใบ้กินกับเขาไปเสียอย่างนั้น

“ยังจะเล่นไหม” ฟู่เหยี่ยนถาม

เจียงมู่เฉินยักไหล่ “ไม่เล่นแล้ว เลเวลนายต่ำเกินไป ไม่มีความท้าทาย”

ฟู่เหยี่ยนเลิกคิ้วเล็กน้อย นี่เขาโดนดูถูกเหรอ

“จะไม่เล่นแล้วจริงๆ เหรอ”

“อืม ไม่เล่นแล้ว นายทื่อเกินไป เล่นแล้วไม่มีความรู้สึกประสบความสำเร็จ”

โดนเสียดสีกันซึ่งๆ หน้าอีกครั้งแล้ว

หลังจากที่เขาออกมาจากห้องของเจียงมู่เฉิน ก็รีบโทรหาพ่อบ้านทันที

“ส่งอุปกรณ์เครื่องเล่นเกมมาอีกชุดด้วย”

ไม่ถึงสิบนาที พ่อบ้านก็ส่งชุดเครื่องเล่นเกมมาอีกชุดหนึ่ง

เขามองฟู่เหยี่ยนที่กำลังศึกษาวิธีอยู่อย่างอ่อนใจ “คุณชายครับ นี่คุณชายคือ?”

ฟู่เหยี่ยนเพิ่งจะติดตั้งเสร็จพอดี เขากวาดสายตามองพ่อบ้านอยู่แวบหนึ่ง “พอดีเลย มาเล่นเกมเป็นเพื่อนฉันที”

พ่อบ้าน “…”

‘กลางดึกไม่นอน มาเล่นเกมที่นี่?’

‘คุณชายของเขาคิดยังไงกัน’

จะทำอย่างไรได้ เป็นคุณชายของเขา เป็นคนให้เงินเดือน พ่อบ้านทำได้เพียงอยู่เล่นเกมเป็นเพื่อนฟู่เหยี่ยน

ฟู่เหยี่ยนหาเกมเกมนั้นที่เพิ่งจะเล่นไปเมื่อครู่นี้ออกมา แล้วเล่นอย่างจริงจัง

‘เขาไม่เชื่อหรอก ตัวเองฉลาดออกขนาดนี้ แม้แต่เกมยังเล่นได้ไม่ดี’

รอเขาฝึกฝน สะสมฝีมือก็เก่งขั้นเทพได้

ถึงตอนนั้นมาดูว่าเจียงมู่เฉินจะมีเหตุผลอะไรมาปฏิเสธเขา ไม่เล่นเกมกับเขาอีก!

พอคิดถึงวันเวลาที่หลังจากนี้จะเล่นเกมกับเจียงมู่เฉินทุกวันได้

ในดวงตาสีอำพันคู่นี้ของฟู่เหยี่ยนประกายความดีใจขึ้นมา

ตอนที่ 344 ใจร้ายเกินไปแล้ว

ซูเตอร์สบกับดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยน ทุกย่างก้าวที่เดินไป หัวใจก็บีบรัดตัวแน่นโดยไม่ตั้งใจ ก้าวสั้นๆ ไม่กี่ก้าวใช้เวลานานเหลือเกิน

เขาเดินไปหยุดอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน ยกมือโอบรอบคอของซือเหยี่ยน โน้มตัวเข้าไปใกล้อยากจะจูบซือเหยี่ยน

หัวของซือเหยี่ยนแนบอยู่ข้างหูเขา “ไปข้างใน”

นัยน์ตาซูเตอร์ประกายความดีใจแทบคลั่ง เดินเข้าไปข้างในกันด้วยท่านี้

เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง ชักมือที่โอบรอบคออีกฝ่ายกลับมา แล้วยื่นมือไปช่วยเขาถอดเสื้อสูทออก

ซือเหยี่ยนให้ความร่วมมือกับการกระทำของซูเตอร์เป็นอย่างดี ตอนซูเตอร์ช่วยเขาถอดเสื้อสูทข้างนอกออก ยังเป็นฝ่ายยื่นมือไปเองด้วย

ซูเตอร์เห็นซือเหยี่ยนที่สวมเพียงเสื้อเชิ้ต ก็กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว นิ้วมือเขาสั่นเล็กน้อย วางอยู่บนกระดุมเสื้อเชิ้ตของซือเหยี่ยน

เขายื่นมือไปปลดกระดุมออกสองเม็ด ถึงพร่ามัวแต่มองเห็นผิวกายสีน้ำผึ้งของซือเหยี่ยนได้

ซูเตอร์อยากจะยื่นมือไปปลดกระดุมที่เหลือออกให้หมด แต่กลับโดนซือเหยี่ยนคว้ามือเอาไว้

ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “โอเคแล้ว ปลดถึงแค่ตรงนี้ก่อน”

ขณะที่พูดอยู่ ซือเหยี่ยนยื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าของซูเตอร์

นาทีนั้นหัวใจของซูเตอร์ใกล้จนกระโดดออกมาแล้ว เวลาที่ใฝ่ฝันหาแม้แต่ในฝันในที่สุดก็จะเป็นจริงแล้ว

ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ค่อยๆ ก้มหน้าลงอย่างช้าๆ ราวกับต้องการจะจูบเขา ซูเตอร์หลับตาลงโดยไม่รู้ตัว

เขารอรอยจูบจากซือเหยี่ยนทั้งใจ

กลับคิดไม่ถึงว่า รอยจูบยังไม่ทันได้ประทับลงมา ตรงกันข้ามกลับเป็นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงฉับพลัน

ซูเตอร์ร้องโอดครวญ มองซือเหยี่ยนอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ “นาย!”

มือของซือเหยี่ยนวางอยู่บนข้อมือของเขา เมื่อครู่ที่ซูเตอร์หลับตาลง เขาก็หักกดข้อต่อกระดูกของเขา

“อะไรกัน อยากจะคบกับผมมากไม่ใช่หรือไง หักแขนคุณข้างนึงก็ไม่ให้เหรอ”

ซูเตอร์เจ็บปวดจนเหงื่อออกท่วมหัว มือเขาปล่อยลงตามธรรมชาติไม่ได้แล้ว

“นายมันจงใจ!” ซูเตอร์เห็นดวงตาซือเหยี่ยนที่แต่เดิมอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาในพริบตา

ซือเหยี่ยนหัวเราะเสียงเย็นยะเยือก ส่งมือไปจัดการหักกดข้อต่อกระดูกของเขาอีกข้าง

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานของซูเตอร์เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา “คุณฟาดแส้ใส่เจียงมู่เฉินไปสามที ผมหักแขนคุณไปสองข้างไม่นับว่าเกินไปหรอกใช่ไหม”

ซูเตอร์ถลึงตาโตใส่ “นาย…นายมันจงใจ!”

‘จงใจเลิกกับเจียงมู่เฉิน จงใจกลับมากับเขา จงใจปล่อยผ่านเรื่องเขาทำร้ายเจียงมู่เฉิน…’

ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ใช่แล้ว ผมจงใจ”

“ทำไมนายถึงทำแบบนี้ ซือเหยี่ยน ฉันมีความรู้สึกกับลึกซึ้งให้นาย ไม่เคยทำร้ายนาย แล้วทำไมนายถึงทำแบบนี้กับฉันได้!”

ซือเหยี่ยนมองดูใบหน้าถอดสีด้วยเจ็บปวดของซูเตอร์ ก็อดจะถอนหายใจไม่ได้ “ผมเคยบอกคุณแต่แรกแล้ว ผมไม่ได้สนใจคุณ เป็นคุณเองที่มาหาเรื่องผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

…ถ้าหากคุณหาเรื่องแค่ผมคนเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก คุณจะผิดก็ผิดที่ไปหาเรื่องเจียงมู่เฉิน”

ทันทีที่คิดถึงวันนั้นที่เจียงมู่เฉินทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด

ความโกรธาในแววตาของซือเหยี่ยนก็ยิ่งเพิ่มพูนทวี เขากำหมัดแน่นแทบอยากจะบดกระดูกซูเตอร์ให้ผุยผง

“เพราะนายกลัวว่าฉันจะทำร้ายเจียงมู่เฉิน เลยจงใจอยู่ข้างฉัน เพื่อจะได้จับตาดูฉันง่ายขึ้น จะได้ป้องกันไม่ให้ฉันลงมือทำอะไรกับเจียงมู่เฉิน ใช่ไหม”

“ใช่!”

ดวงตาคู่นี้ของซูเตอร์แดงก่ำ “ซือเหยี่ยน นายใจร้ายมากเลยนะ”

“คนใจร้ายคือคุณต่างหาก ถ้าคุณไม่เอาแต่หยั่งเชิงทดสอบเส้นตายของผม ยั่วยุไม่หยุดหย่อน แล้วยังเกือบจะฆ่าเขาอีก ผมก็จะไม่ลงไม้ลงมือกับคุณเร็วขนาดนี้หรอก”

ซูเตอร์ได้ยินคำพูดเหล่านี้ที่ซือเหยี่ยนพูดมา ในที่สุดทุกอย่างก็กระจ่างชัดเจนทั้งหมด

เขาคิดว่าในที่สุดตัวเองก็จัดการเจียงมู่เฉินได้แล้ว ได้ตัวซือเหยี่ยนมาแล้ว โดยไม่รู้เลยว่าซือเหยี่ยนกลับวางกับดักใหญ่ขนาดนี้ไว้ให้เขา

‘ใจร้าย!’

‘ใจร้ายเกินไปแล้วจริงๆ ใจร้ายกว่าที่เขาซูเตอร์ทำซะอีก!’

“ซือเหยี่ยน นายคิดว่านายทำแบบนี้ แล้วช่วยเจียงมู่เฉินแก้แค้นได้เหรอ” ซูเตอร์ยิ้มเยาะ “ต่อให้นายฆ่าฉัน เบื้องหลังฉันยังมีแก๊งมังกรคราม นายคิดว่าพวกเขาจะปล่อยนายไปง่ายๆ ได้เหรอ!”

 

ตอนที่ 345 อัดใส่ซูเตอร์ไม่ยั้ง

ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นอย่างตามใจ รู้สึกน่าขำไม่เบา “ซูเตอร์ ถ้าผมเป็นคุณ จะห่วงสถานการณ์ของคุณในตอนนี้ดีกว่านะ”

“นายคิดจะฆ่าฉันเหรอ”

ซือเหยี่ยนส่ายหน้าด้วยท่าทีเรียบเฉย ดวงตาสีดำขลับเยือกเย็นเป็นพิเศษ ทั้งยังเจือความเย็นชา

“ฆ่าคนผิดกฎหมาย เรื่องผิดกฎหมาย ผมทำไม่ได้หรอก”

ซูเตอร์ฟังคำพูดของเขา ก็ทนหรี่ตาลงมองไม่ไหว “งั้นนายหมายความว่าไง”

มีคนเคาะประตูห้องสามครั้งพอดี ซือเหยี่ยนนัยน์ตาประกายวาบ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “เดี๋ยวคุณก็จะรู้ได้เองว่าผมอยากทำอะไร”

เขาพูดจบก็ไม่สนใจซูเตอร์ที่อยู่บนเตียง เดินตรงไปยังทางเข้าเปิดประตูทันที

ท่านเชนยืนอยู่ข้างนอก เขามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง ซือเหยี่ยนพยักหน้า ยื่นมือดึงประตูเปิดออก

ท่านเชนเห็นสถานการณ์แล้วก็พาคนบุกเข้าไป

ซูเตอร์เห็นท่านเชนนำกำลังคนบุกเข้ามา มองซือเหยี่ยนอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ ร่างกายสั่นสะท้านโดยไม่ตั้งใจ

บุกมาจับเขาถึงที่นี่ได้…

ดูท่าว่าคนของแก๊งมังกรครามทั้งหมดบนเรือนี้จะตกอยู่ในกำมือของพวกเขาแล้ว

“ซือเหยี่ยน ไม่นึกเลยว่านายจะทำกับฉันแบบนี้!…

…คนระยำอย่างนาย ฉันทุ่มเทให้นายทั้งกายทั้งใจ นายกลับทำกับฉันแบบนี้!…

…นายคิดว่านายจับฉันแล้ว เจียงมู่เฉินจะได้อยู่กับนายเหรอ” ซูเตอร์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจียงมู่เฉิน…เหอะ…ไม่แน่ว่าคงจะโดนคนเล่นจนตายไปแล้ว”

ซือเหยี่ยนเดิมทีที่สีหน้าเย็นชา แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ออกจากปากของซูเตอร์ ก็เยือกเย็นจนน่าตกใจกลัว

เขาจ้องมองซูเตอร์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เอ่ยถามคำต่อคำ “เมื่อกี้คุณพูดอะไรของคุณ!”

ซูเตอร์ยิ้มเยาะมองเขา “ฉันไม่บอกนายหรอก ฉันอยากจะให้นายเสียใจไปตลอดชีวิต เมื่อฉันไม่ได้ เจียงมู่เฉินก็อย่าคิดจะได้เลย”

อารมณ์ของซือเหยี่ยนยิ่งคุกรุ่นระอุขึ้นเรื่อยๆ เขาเดินผ่านท่านเชนไป กระชากตัวซูเตอร์มา เสียงต่ำตวาดใส่ “ตกลงคุณทำอะไรเจียงมู่เฉิน”

ซูเตอร์ยิ้มเยาะ “ซือเหยี่ยน นายอยากรู้มากนักใช่ไหม แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่อยากบอกให้นายรู้”

ซือเหยี่ยนอดรนทนไม่ได้ ต่อยหน้าเขาไปหนึ่งหมัดเต็มๆ “ผมจะถามคุณอีกเป็นครั้งสุดท้าย คุณทำอะไรเขา!”

ใบหน้าซูเตอร์โดนแรงปะทะจนมุมปากมีเลือดเอ่อไหลออกมา

สายตาดุร้ายจ้องมองซือเหยี่ยน ความอำมหิตที่ไม่อาจบรรยายได้ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน

“เจียงมู่เฉินก็คือเจียงเฉินในตอนนั้นใช่ไหมล่ะ…

…ฉันก็แค่แจ้งข่าวกับคนรักเก่าของเขาก็เท่านั้นเอง”

ซือเหยี่ยนกำหมัดแน่นด้วยแรงอารมณ์ เสียงกระดูกข้อต่อนิ้วมือลั่น

ท่านเชนเห็นดวงตาเขาแดงก่ำ อารมณ์ไม่ค่อยจะปกติแล้ว รีบดึงตัวเขาไว้

“ซือเหยี่ยน อย่าทำแบบนี้ เจียงมู่เฉินต้องไม่เป็นไรแน่”

ซูเตอร์ได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกน่าขำจนไม่ไหว “ไม่เป็นไร? พวกนายนี่ปลอบใจตัวเองแบบเข้าข้างตัวเองเป็นจริงๆ…

…ตอนนั้นเขาตายได้ นายคิดว่าหลายปีมานี้โดนคนคนนั้นจับไปอีกครั้ง จะไม่ตายอีกครั้งได้เหรอ”

“คุณรู้เรื่องของเจียงมู่เฉินได้ยังไง”

ซูเตอร์ยิ้มเยาะ “ทีนายยังสืบเรื่องฉันได้ แล้วฉันจะสืบเรื่องเจียงมู่เฉินไม่ได้เชียวเหรอ…

…ฉันรักนายตั้งมากมาย รักจนยอมเชื่อใจนาย แล้วนายล่ะ หลอกฉันมาตั้งแต่ต้นจนจบ!”

ซือเหยี่ยนกัดฟัน กำหมัดแน่นสนิท

เขาแทบอยากจะจัดการซูเตอร์ให้มันรู้แล้วรู้รอดด้วยมือของเขาเอง

“อยากฆ่าฉันใช่ไหม” ซูเตอร์แสยะยิ้ม เลือดแดงฉานเปรอะริมฝีปาก ดูโหดร้ายป่าเถื่อนอย่างไม่ธรรมดา

เขาตวาดลั่น “ต่อให้นายฆ่าฉัน เจียงมู่เฉินก็ไม่มีชีวิตกลับมาหรอก!”

เส้นความอดทนในหัวของซือเหยี่ยนขาดผึงลงในทันใด เขาพุ่งตัวเข้าไปรัวหมัดใส่ซูเตอร์ไม่ยั้ง รุนแรงหนักหน่วงทารุณ ราวกับอยากจะฆ่าซูเตอร์อย่างไรอย่างนั้น

ท่านเชนเห็นเขาทำแบบนี้ ก็กลัวเขาจะเกิดเรื่อง รีบยื่นมือมาปรามซือเหยี่ยนไว้ “ซือเหยี่ยน นายใจเย็นหน่อย ทำแบบนี้ก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้นะ”

ซูเตอร์หมดสติไปเรียบร้อยแล้ว ซือเหยี่ยนเห็นซูเตอร์ที่ไม่รับรู้อะไรแล้ว ก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง

เขาผ่อนคลายร่างกายที่แข็งทื่อลงช้าๆ ให้ตัวเองได้ใจเย็นลง

ผ่านไปไม่กี่นาที ซือเหยี่ยนถึงได้เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ที่นี่ฝากอาจารย์จัดการด้วยนะครับ ผมจะหลบไปสักพัก”

ตอนที่ 342 จนตรอก

 

 

           ฟู่เหยี่ยนได้คำพูดนี้ ก็อดจะหวนนึกถึงริมหน้าผาที่เจียงมู่เฉินเกิดเรื่องขึ้นไม่ได้

 

 

           ‘ได้รับกระตุ้นที่มากจนเกินไป ทำให้หมดสติไป?’

 

 

           ‘หรือว่าเป็นเพราะเจียงมู่เฉินเห็นที่ที่ตัวเองกระโดดลงหน้าผาไปเมื่อตอนนั้น นึกย้อนถึงเรื่องอะไรขึ้นมา ถึงได้เป็นแบบนี้ได้’

 

 

           ฟู่เหยี่ยนคิ้วขมวดทันที ในใจค่อนข้างสับสนซับซ้อน สถานการณ์ของเจียงมู่เฉินในตอนนี้ มีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก

 

 

           ก่อนหน้านี้อยากให้เจียงมู่เฉินฟื้นคืนความทรงจำ อยากให้เขาจำตัวเองได้

 

 

           แต่ตอนนี้กลับไม่อยากให้เจียงมู่เฉินรู้เรื่องในตอนนั้น เขากลัวว่าเจียงมู่เฉินรู้เรื่องในตอนนั้นเข้าแล้ว แม้แต่ความสุภาพอ่อนโยนในตอนนี้ก็จะเสียไปด้วย

 

 

           ถึงอย่างไรสิ่งที่เขาทำกับเจียงมู่เฉินในตอนนั้น ค่อนข้างทำเกินไปจริงๆ

 

 

           แม้แต่ตัวเองนึกย้อนกลับไป ก็ยังรู้สึกผิดบาปในใจ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยกมือขึ้นมากุมขมับ เอ่ยเสียงต่ำ “โอเค ผมรู้แล้ว คุณออกไปก่อน”

 

 

           หลังจากหมอประจำตระกูลออกไปแล้ว ฟู่เหยี่ยนเดินไปยังที่ข้างเตียงเจียงมู่เฉิน ก้มหน้าจ้องเขาเขม็ง นัยน์ตาเจือความสับสันซับซ้อน

 

 

           ผ่านไปนานพอควร เขาก็ขยับมือ ปลายนิ้วประทับลงบนริมฝีปากที่ค่อนข้างซีดเซียวของเจียงมู่เฉิน

 

 

           ถ้าหากว่าเขาไม่ได้รักเจียงมู่เฉินเข้าให้แล้ว เช่นนั้นก็จะจัดการอย่างไรก็ได้ตามใจชอบเหมือนการประหารชีวิตคนทรยศ

 

 

           จะมีความกลัดกลุ้มเช่นในตอนนี้ได้อย่างไรกัน

 

 

           แต่ตอนนี้…

 

 

           เขาทำกับเจียงมู่เฉินในแบบที่ทำกับคนทรยศแบบนั้นไม่ลง

 

 

           เขาถึงขั้นคิดอยากจะกักตัวเจียงมู่เฉินไว้บนเกาะนี้ ให้เขาไม่จากไปไหนชั่วชีวิต อยู่เคียงข้างตัวเองตลอดไป

 

 

           ไม่รู้ว่าฟู่เหยี่ยนคิดถึงอะไร เขากำมือแน่นสนิท

 

 

           เขารีบยืนขึ้นมา ออกจากห้องของเจียงมู่เฉินไป

 

 

           ……

 

 

           ซังจิ่งสืบอยู่หลายวัน ที่ที่เกี่ยวข้องที่หาได้ก็ไปหามาหมดแล้ว ก็ยังหาร่องรอยของเจียงมู่เฉินไม่เจออยู่ร่ำไป

 

 

           ร่างกายเขาผอมลงเท่าตัว ซูบเซียวอย่างเห็นได้ชัด

 

 

           ที่ที่ฟู่เหยี่ยนพาเจียงมู่เฉินไปเก็บซ่อนไว้ลึกลับเกินไปแล้วจริงๆ ถ้าฟู่เหยี่ยนไม่ได้เป็นฝ่ายบอกให้เขารู้เอง เกรงว่าเขาคงจะหาเจอได้ยากมาก

 

 

           ซังจิ่งไตร่ตรองอยู่สักพัก ตอนนี้สถานการณ์แบบนี้ ดูท่าว่าจะทำได้เพียงขอความช่วยเหลือของซือเหยี่ยนแล้ว

 

 

           เพียงแต่ว่าเขาไม่ชัดเจน ว่าซือเหยี่ยนจะสามารถช่วยเขาตามหาเจียงมู่เฉินเจอได้หรือเปล่า

 

 

           ถึงอย่างไร ก่อนหน้านี้ท่าทีที่ซือเหยี่ยนมีต่อเจียงมู่เฉินก็ออกจะเย็นชาเสียขนาดนั้น

 

 

           ก็ยากจะรับประกันได้ว่าครั้งนี้จะยื่นมือเข้ามาช่วยได้หรือเปล่า

 

 

           ซังจิ่งกุมหน้าผาก เขาไม่รู้ท่าทีของซือเหยี่ยน แต่ว่าตอนนี้คนที่ช่วยเขาได้ก็มีเพียงแค่ซือเหยี่ยน

 

 

           ทำได้เพียงไปลองดู ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

 

 

           ทำอะไรไม่ได้จนในที่สุด ซังจิ่งก็ขับรถไปที่แก๊งมังกรครามเสียเลย

 

 

           คนในแก๊งมังกรครามพอเห็นหน้าซังจิ่ง ก็รีบขวางทันที “นายมาอีกทำไม”

 

 

           ครั้งนี้ซังจิ่งไม่ได้มีท่าทีโมโห แต่พูดไปตรงๆ “ฉันมาหาซือเหยี่ยน”

 

 

           “หาคุณซือ คุณซือไม่อยู่” ชายคนที่มีรอยมีดถากบนใบหน้าคนนั้นที่หน้าทางเข้า เมื่อพูดจาดูดุร้ายชัดเจน

 

 

           “ฉันมีธุระสำคัญมากต้องพบเขา” ซังจิ่งเอ่ยปากอีกครั้ง

 

 

           “บอกนายแล้วไง คุณซือไม่อยู่!”

 

 

           “ซูเตอร์ล่ะ เขาอยู่ไหม” ซือเหยี่ยนปิดมือถือ นอกจากที่ตอนนี้เขามาแก๊งมังกรครามแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นใดจะติดต่อเขาได้

 

 

           “คุณชายน้อยก็ไม่อยู่”

 

 

           ซังจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกเขาไปไหนกันแล้วเหรอ”

 

 

           “พวกเขาจะไปไหนก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย ไม่มีใครอยู่ รีบไปซะ ไป!”

 

 

           ซังจิ่งดูสถานการณ์แล้ว จำใจต้องออกไปก่อน เขาจอดรถอยู่ไม่ไกลนัก สายตาจดจ้องที่หน้าประตูบานใหญ่ของแก๊งมังกรครามอยู่ตลอดเวลา

 

 

           รอตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ก็ยังไม่เห็นซือเหยี่ยนกับซูเตอร์เลย

 

 

           ซังจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย  หรือว่าซือเหยี่ยนกับซูเตอร์จะไม่อยู่ที่แก๊งมังกรครามจริงๆ

 

 

           เขารอต่ออีกไม่กี่ชั่วโมง ก็ทำได้เพียงขับรถออกจากที่นั่นไปก่อน

 

 

           อีกฝั่งหนึ่ง ซือเหยี่ยนกับซูเตอร์กำลังเข้าร่วมกิจกรรมอยู่บนเรือสำราญลำหนึ่ง

 

 

           ซูเตอร์เดินอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน ในมือถือแก้วไวน์อยู่

 

 

           เหมือนเขาจะเหนื่อยอยู่ไม่น้อย ดึงตัวซือเหยี่ยนไปยังราวจับข้างนอก เอนกายพิงอยู่ตรงนั้น

 

 

           “อ่า สองวันนี้เหนื่อยจะตายแล้วจริงๆ” ซูเตอร์เหนื่อยจนถอนหายใจ

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงอยู่ในท่านั้น ยืนตัวตรงอยู่ข้างๆ อากัปกิริยาของร่างกายที่สูงใหญ่ ภายใต้แสงไฟนั้นยิ่งดูหล่อเป็นพิเศษ

 

 

           ซูเตอร์เงยหน้ามองซือเหยี่ยนที่แสดงสีหน้าเย็นชา ใจก็เต้นตึกตัก

 

 

            

 

 

ตอนที่ 343 เริ่มปฏิบัติการ

 

 

           บนดาดฟ้าของเรือเองก็ไม่มีคน จู่ๆ เขาก็ยันกายขึ้นมากะทันหัน เข้าใกล้ซือเหยี่ยนอยากจะจูบเขา

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นจุดประสงค์ของเขาประจักษ์ต่อสายตา เขาถอยหลังไปเล็กน้อย เพิ่มระยะห่างระหว่างตัวเองและซูเตอร์ได้พอดี

 

 

           “ในที่สาธารณะ” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           ซูเตอร์คว้ามือซือเหยี่ยนไว้ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราไปห้องกันก็ได้”

 

 

           แววตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนปรากฏอยู่บนใบหน้าของซูเตอร์ ค่อยๆ แย้มรอยยิ้มเล็กน้อยออกมาอย่างช้าๆ

 

 

           ซูเตอร์ใจเต้นตึกตัก รีบเอ่ย “ไปเถอะ กลับห้องกัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนครุ่นคิดสักหน่อย พยักหน้ารับ “ได้”

 

 

           ได้ยินคำตอบของเขา ซูเตอร์ดีใจแทบบ้า ในที่สุดซือเหยี่ยนก็ยอมรับเขาได้สักที

 

 

           ซูเตอร์ร้อนรนจับมือของซือเหยี่ยน มุ่งหน้าเดินไปยังห้องพัก จังหวะการก้าวเท้าของเขาเร็วมาก เหมือนจะรีบร้อนมากอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนปล่อยให้เขาดึงตัวไป เดินอย่างมั่นคงหนักแน่นอยู่ข้างกายเขา

 

 

           พวกเขาเดินผ่านด้านหน้าจนเข้าไปยังส่วนท้ายเรือ เดินเข้าห้องพักไป

 

 

           ไม่กี่วันมานี้ เขากับซือเหยี่ยนอยู่ห้องแยกกันเป็นสองห้อง

 

 

           ห้องของซือเหยี่ยนอยู่ด้านหลังของเขา ซูเตอร์ลากตัวคนมาเข้าห้องของตัวเอง รีบเปิดประตูดันซือเหยี่ยนเข้าไป

 

 

           ทันทีหลังจากนั้นตัวเองรีบแทรกตัวเองเข้าไป แม้แต่ประตูก็ไม่ได้ปิด เขาอยากจะจูบซือเหยี่ยนเต็มทนแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนกลับหยุดยั้งการกระทำของซูเตอร์พอดีอย่างไม่สนใจ

 

 

           เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ไปอาบน้ำก่อนเถอะ ผมจะรอคุณข้างนอก”

 

 

           ซูเตอร์กะพริบตาปริบๆ “อยากอาบด้วยกันไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเชิดมุมปาก เอ่ยเสียงนุ่ม “ผมไม่ชินเวลาอาบกับคนอื่น คุณไปก่อนเถอะ ผมจะรอคุณข้างนอก”

 

 

           ซูเตอร์รู้สึกว่าตัวเองถูกรอยยิ้มทำให้หลงเสน่ห์จนมึนงง เขารีบพยักหน้าแล้วเข้าห้องน้ำไป

 

 

           หลังจากได้ยินเสียงน้ำจากในห้องน้ำแล้ว ความอ่อนโยนในแววตาของซือเหยี่ยนก็แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาเพียงชั่วพริบตาเดียว

 

 

           เขาหยิบมือถือออกมาส่งข้อความหาท่านเชน ให้พวกเขาเตรียมลงมือปฏิบัติการได้

 

 

           เขาใช้เวลาตั้งหลายวัน ก็เพื่อวางกับดักนี้ ให้ซูเวลล์ได้ลงมือสะดวก

 

 

           บวกเข้ากับซูเตอร์ที่มุ่งหวังในตัวเขามาตลอด เขาจงใจใช้เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ ก่อกวนจิตใจของซูเตอร์

 

 

           ตอนนี้ในใจเขาเต็มไปด้วยความอยากจะออกกำลังกายกับตัวเอง ไม่มาสนใจโถงด้านหน้าอยู่แล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมือขึ้นมาปัดตรงบริเวณที่โดนซูเตอร์เคยจับไว้ เขายกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างน่าขัน

 

 

           ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินเมื่อรู้เข้าแล้ว จะด่าทอต่อว่าที่เขาขายศักดิ์ศรีตัวเองหรือเปล่า

 

 

           ข้างในมีเสียงน้ำดังมาไม่ขาดสาย ในห้องกันเสียงดีมากเป็นพิเศษ อยู่ข้างในไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดใดจากข้างนอกอยู่แล้ว

 

 

           มือถือสั่นอยู่สักพัก ท่านเชนตอบกลับมาสองคำ [รับทราบ]

 

 

           ซือเหยี่ยนปล่อยใจเอนพิงอยู่ด้านข้าง ใช้เวลาเพียงไม่นาน คนของแก๊งมังกรครามบนเรือสำราญลำนี้ โดนจับกุมทั้งหมด

 

 

           เขาจัดการเรื่องทุกอย่างนี้ไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย เหลือแค่เพียงซูเตอร์คนเดียว

 

 

           ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับซูเตอร์ เขาไม่อยากให้ใครอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย สิ่งที่ซูเตอร์ทำกับเจียงมู่เฉิน เขาต้องการช่วยเจียงมู่เฉินทวงคืนกลับมาด้วยมือเขาเอง

 

 

           แต่เดิมที่มีเสียงดนตรีเคล้าคลออย่างรื่นหู แชมเปญเลิศรส บรรยากาศสบายอารมณ์ ทั้งหมดกลับวุ่นวายยุ่งเหยิง เพราะท่านเชนและกำลังคนของปรากฏตัวกะทันหัน

 

 

           ทันทีที่ซูเวลล์เห็นท่านเชน สีหน้าก็ถอดสีในพริบตา เข้าใจได้ในบัดดล หมุนตัววิ่งหนีในทันใด

 

 

           จะทำอย่างไรได้เมื่อกับดักที่ซือเหยี่ยนวางไว้ ทุกเส้นทางของซูเวลล์โดนปิดตายไว้ทั้งหมดเรียบร้อย ไม่มีทางใดจะหนีได้มาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           ท่านเชนไม่ได้เสียแรงมากมายก็จับตัวคนมาได้

 

 

           ในห้อง ในที่สุดซูเตอร์ก็อาบน้ำพันผ้าเช็ดตัวเดินออกมา

 

 

           เป็นครั้งแรกที่เขามองซือเหยี่ยนด้วยความเอียงอาย “เหยี่ยน ฉันเสร็จแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง เชิดหางตาขึ้นเล็กน้อย ท่าทางนั้นช่างเหมือนท่าทางของเจียงมู่เฉินในยามปกติที่เป็น

 

 

           เขากวักมือเรียกซูเตอร์ “งั้นพวกเราเริ่มกันเถอะ”

 

 

           หัวใจซูเตอร์เต้นโครมครามตึกตัก ราวกับจะเต้นจนหัวใจจะหลุดออกมาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่จะได้อยู่ด้วยกันกับซือเหยี่ยนแบบนี้จริงๆ

 

 

           พรที่เขาปรารถนามานานหลายปี ในที่สุดก็พอจะเป็นจริงได้แล้ว    

ตอนที่ 340 ฟู่เหยี่ยนตกน้ำ

 

 

           ‘อยู่ที่นี่ไม่มีคนเฝ้าดู ยังมีคนคุยอยู่เป็นเพื่อน ยังมีพ่อครัวมาทำอาหารให้โดยเฉพาะ โอ๊ะ…แน่นอนตั้งแต่เมื่อคืนเป็นต้นมา ไม่รู้ว่าฟู่เหยี่ยนกินยาไม่เขย่าขวดมาหรือเปล่า เริ่มจะฉ้อโกงยักยอกอาหารกันแล้ว’

 

 

           แต่ว่า ถ้าตัดอาการสมองเป็นตะคริวในบางครั้งของฟู่เหยี่ยนออก  สวัสดิการที่ได้รับนี่มันคือการมาเที่ยวพักผ่อนชัดๆ

 

 

           “อะไรกัน คุณไม่อยากชมดอกไม้ตกปลากับผมที่นี่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินจนใจ “ฉันคิดว่านายพาฉันมาที่นี่จะมีเล่ห์กลอะไรไม่ธรรมดารอฉันอยู่ ใครจะรู้ว่าจะกินดีอยู่ดีทั้งวัน นี่นายเชิญฉันมาเที่ยวพักผ่อนเหรอ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็รีบเอ่ยถาม “คุณชายเจียง อยู่ที่เกาะเล็กๆ เกาะนี้ต่อเป็นไง”

 

 

           “ก็ไม่เป็นไง”

 

 

           “คุณพักอยู่ที่เกาะเล็กๆ เกาะนี้ ไม่สบายเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ถ้าไม่มีนายมาพูดกรอกหูอยู่ ก็คงจะสบายมากเลยทีเดียว”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนผู้โดนรังเกียจลูบจมูกปอยๆ ด้วยความน้อยใจ

 

 

           เขาหล่อเหลาเอาการ ทั้งยังรวยทรัพย์สินเงินทอง คนที่อยากอยู่กับเขาแบบนี้มีตั้งมากมาย จะมีเพียงเจียงมู่เฉินเท่านั้นที่เขาอยากอยู่ด้วย

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ เจียงมู่เฉินไม่อยากให้เขาอยู่ด้วย

 

 

           “ฟู่เหยี่ยน ถ้าคุณอยากหาคนมาเล่นเกม นายออกไปจับสุ่มๆ มาคนหนึ่งก็ได้ ต้องยอมอยู่ดูแลใจกับคุณ ชมดอกไม้ชมจันทร์บนเกาะเล็กๆ เกาะนี้แน่นอน”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือกุมหน้าผากอย่างจนใจ “มีคนตั้งมากมายขนาดนั้น นายกลับเลือกมาหาฉันไปเพื่ออะไร”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนค้านหัวชนฝา “จะมีคนมากกว่านี้ ผมก็ไม่ต้องการ ผมต้องการแค่คุณ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขมับกระตุก “พี่ใหญ่ เมื่อก่อนตกลงแล้วฉันทำผิดอะไรกับนายเหรอ ฉันชดเชยให้นายยังไม่โอเคเหรอ”

 

 

           เรื่องราวในอดีต เขาจำไม่ได้แล้ว มีหรือจะรู้ว่าตัวเองกับเขาได้มีความแค้นอะไรกันมาหรือเปล่า

 

 

           ฟู่เหยี่ยนได้ยินคำว่า ‘เมื่อก่อน’ สองคำนี้ แววตาแปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำโดยฉับพลัน

 

 

           เขาฉวยโอกาสตอนที่เจียงมู่เฉินไม่ทันระวังตัว เบี่ยงตัวมากดเจียงมู่เฉินไว้ ทั้งสองคนใกล้กันมาก ใกล้จนฟู่เหยี่ยนรู้สึกว่าขอเพียงแต่ตัวเองก้มหน้าลงก็จูบเจียงมู่เฉินได้

 

 

           เขามองดูใบหน้างามละเอียดได้รูปของเจียงมู่เฉิน โดยเฉพาะนัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ ราวกับโดนหลอกให้ลุ่มหลงอย่างไรอย่างนั้น เขาอดจะก้มหน้าลงมาเข้าใกล้อย่างช้าๆ ไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงแค่แววตาคู่นั้นยามที่ฟู่เหยี่ยนเข้ามาใกล้ กลับยิ่งเพิ่มความเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ

 

 

           เหลือเพียงแค่หนึ่งมิลลิเมตรสุดท้าย ฟู่เหยี่ยนก็จะสัมผัสโดนริมฝีปากเจียงมู่เฉินได้แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ก็ยกเท้าถีบใส่ทันที

 

 

           ในใจฟู่เหยี่ยนคิดเพียงแค่อยากจูบเจียงมู่เฉิน มีหรือจะรับรู้ถึงการกระทำนี้ของเขา ถูกเจียงมู่เฉินถีบใส่ก็ป้องกันไม่ทัน ถอยหลังก้าวหนึ่ง แต่เสียการทรงตัวจนร่วงตกทะเลสาบไป

 

 

           เจียงมู่เฉินใส่เต็มแรงไม่มียั้ง ไม่เหลือพื้นที่ใดใดให้ฟู่เหยี่ยนเลย

 

 

           การที่เขาตกลงไปในทะเลสาบก็อยู่ในแผนเช่นเดียวกัน

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นฟู่เหยี่ยนตกที่นั่งลำบาก ก็เชิดริมฝีปากหัวเราะเบาๆ “อยากจูบฉันเหรอ…

 

 

           …ถ้าฉันไม่ยอม ทั้งชีวิตนายก็ไม่มีความเป็นไปได้นี้หรอก”

 

 

           ‘ก็เหมือนตอนแรกที่เขาโดนซือเหยี่ยนจับกด ถ้าใจเขาไม่สมัครใจยินยอม ไม่ว่าซือเหยี่ยนจะทำยังไง เขาก็ไม่มีทางจะปล่อยให้ซือเหยี่ยนจับกดเขาหรอก’

 

 

           ใจอ่อนครั้งหนึ่งก็พอแล้ว ก็จะได้ให้บทเรียนตัวเองมากขึ้น

 

 

           ส่วนฟู่เหยี่ยน คดในข้องอในกระดูก เขายังไม่ถึงขั้นจะคิดอะไรอย่างอื่นกับฟู่เหยี่ยนได้

 

 

           เป็นแบบนี้มา การลงมือกับฟู่เหยี่ยนก็ยิ่งจะไม่ออมมือให้แล้ว

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำทะเลสาบบนใบหน้า เขามองดูรอยยิ้มอวดดีของเจียงมู่เฉิน ใจก็เต้นตึกตักทันที

 

 

           โดนเขาถีบตกทะเลสาบ ฟู่เหยี่ยนก็ไม่โกรธ ตรงกันข้ามกับอารมณ์ดีเสียด้วยซ้ำ

 

 

           “จะเป็นไปได้หรือไม่ ลองดูถึงจะรู้ได้” ฟู่เหยี่ยนตอบกลับด้วยท่าทีวางอำนาจบาตรใหญ่

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาตัวเปียกไปทั้งตัว ก็เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “พอเถอะ คุณชายใหญ่ฟู่ ตัวนายเปียกแบบนี้ ถ้ายังไม่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า เกิดเป็นหวัดตายขึ้นมา ฉันจะไม่สนใจนายหรอกนะ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนกรอกตาไปที “คุณจะไม่สนใจผมจริงๆ เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นายอยากลองดูไหมล่ะ”

 

 

 

 

ตอนที่ 341 เป็นลม

 

 

           เขาพูดจบก็มองฟู่เหยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วหันหลังกลับเดินหนีออกจากริมทะเลสาบ ฟู่เหยี่ยนเห็นเขาเดินหายออกไปแล้ว ทำได้เพียงขึ้นมาจากทะเลสาบอย่างว่าง่าย แล้วกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นว่าในระยะเวลาอันสั้นนี้ฟู่เหยี่ยนจะไม่ตามมาได้อีก ก็โล่งอกไปที

 

 

           ไม่กี่วันมานี้ ฟู่เหยี่ยนเอาแต่มาวนเวียนอยู่ข้างกายเขา ไม่มีเวลาเป็นของตัวเองได้อยู่แล้ว

 

 

           เขาจำใจแกล้งทำเป็นเหมือนไม่สนใจอะไร กินๆ ดื่มๆ ทั้งวัน ผ่อนคลายความหวาดระแวงฟู่เหยี่ยนไป

 

 

           ฟู่เหยี่ยนคนคนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร แต่ในความเป็นจริง เขาก็แค่อ่อนโยนเพียงเปลือกนอกเท่านั้น

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่วางแผนทำเขาหมดสติ แล้วพาเขามายังเกาพเล็กๆ เกาะนี้ได้

 

 

           ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร

 

 

           แต่ว่าจะมาถูกกักตัวอยู่ที่เกาะเล็กๆ เกาะนี้เป็นเวลานานๆ ก็ไม่ได้เหมือนกัน อีกอย่างดูท่าทีของฟู่เหยี่ยนในตอนนี้ เกรงว่าคงจะไม่อยากปล่อยเขาไปภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้

 

 

           ถึงแม้ว่าจะไม่ได้โดนคุมมีคนเฝ้าเหมือนกับที่อยู่ที่นั่นของซูเตอร์ แต่ว่าเกาะเล็กๆ เกาะนี้ของฟู่เหยี่ยนก็ตัดขาดจากโลกภายนอก

 

 

           แล้วเขาจะมีช่องทางที่ติดต่อกับคนภายนอกได้หรือไม่

 

 

           ที่จริงก็คือการกักบริเวณที่ตบตากันเท่านั้น

 

 

           เพียงแต่ว่าถ้าเทียบกับการเจอซูเตอร์แล้ว ถือว่าดีกว่าเยอะมาก

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมหน้าผาก ไม่รู้ว่าทางถานโจวจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เขาไม่ได้กลับไปตามเวลา  มั่วไป๋จะพยายามติดต่อหาตัวเองไปแล้วไหมนะ

 

 

           ยังมีคุณพ่อเจียงและคุณแม่เจียงอีก ตั้งแต่เลิกกันกับซือเหยี่ยนมา ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยกัน

 

 

           ตอนนี้ก็มาจากบ้านตระกูลเจียงไปนานขนาดนี้ ยังไม่ได้กลับไปตามเวลาอีก

 

 

           ไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาทางนั้นจะร้อนใจจนจะแย่แล้วหรือเปล่า

 

 

           ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องรีบกลับไปให้ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินหงุดหงิดสับสนคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา ไม่รู้ว่าเดินมาถึงที่ไหน กว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ตัวเขาก็เดินถึงริมหน้าผาที่สูงชันแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนมองดูรอบๆ สักพักหนึ่ง รู้สึกค่อนข้างคุ้นตา เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อนอย่างไรนั้น

 

 

           จู่ๆ ในหัวเขาก็ฉายสะท้อนภาพภาพหนึ่งขึ้นมา

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วทันที อยากจะนึกย้อนกลับไป แต่ภาพภาพนั้นแค่เพียงวาบผ่านเข้ามา จึงมองเห็นได้ไม่ชัดอยู่แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินคิ้วขมวด เขาจ้องมองหน้าผาสูงชันนั้น มีระดับความสูงที่สูงมาก ข้างล่างก็คือทะเลผืนใหญ่ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

           ถ้ากระโดดจากตรงนี้ลงไป เกรงว่าคงจะไม่มีความเป็นไปได้ที่กลับมาอย่างมีชีวิตรอดได้

 

 

           เจียงมู่เฉินก้มหน้าลงมองแวบหนึ่ง หัวก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที มีอะไรบางอย่างวาบเข้ามา

 

 

           เขากุมหัวตัวเองไว้ เจ็บปวดจนสั่นเทา

 

 

           ลางสังหรณ์บอกเขา ภาพที่วาบผ่านเข้ามาในสมองเมื่อครู่นี้นั้นสำคัญมากอย่างยิ่ง บางทีเขาอาจจะเพิ่งนึกเรื่องในอดีตขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองหน้าผาสูงชันนั้นอย่างบ้าคลั่ง คิดนึกย้อนกลับไปไม่หยุด

 

 

           หัวยิ่งปวดยิ่งเจ็บขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะแตกร้าวออกจากกันอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินเจ็บจนเหงื่อออกท่วมตัว จนคุกเข่าลงไป มือข้างหนึ่งเขาค้ำยันต้นไม้ด้านข้างไว้ พลางหายใจหอบต่ำ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็รีบร้อนออกมาตามหาเจียงมู่เฉิน

 

 

           เขาเดินไปรอบปราสาท ก็ไม่เห็นเงาของเจียงมู่เฉินเลย

 

 

           ฟู่เหยี่ยนสีหน้าเคร่งเครียดในทันใด เป็นห่วงอยู่ไม่เบา

 

 

           เขารีบเดินตามหาข้างนอก จนวิ่งไปถึงที่ที่เจียงมู่เฉินกระโดดลงไปจากหน้าผาในตอนนั้น ก็เห็นเงาร่างของอีกฝ่ายแล้ว

 

 

           เขาคุกเข่าอยู่ริมหน้าผา ช่างน่าอกสั่นขวัญแขวน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหัวใจบีบคั้น รีบพุ่งตัวเข้าไปทันที

 

 

           เขาดึงเจียงมู่เฉินไว้ได้ ก็เอ่ยเสียงต่ำ “คุณเป็นไรไป ทำไมถึงหนีมาที่นี่ได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินเจ็บจนเหงื่อออกท่วมหัว ได้ยินเสียง เงยหน้ามองฟู่เหยี่ยนแวบหนึ่ง เพิ่งจะกำลังเตรียมพูด เขาก็เป็นลมหมดสติไปเสียก่อน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนสะดุ้งตกใจ รีบอุ้มเจียงมู่เฉินวิ่งเข้าปราสาทไป

 

 

           วางเจียงมู่เฉินลงบนเตียงแล้ว ก็โทรหาหมอมาทันที ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ฟู่เหยี่ยนก็มองดูใบหน้าซีดเซียวของเจียงมู่เฉิน ร้อนใจจนลุกลี้ลุกลน

 

 

           ยังดีที่หมอประจำตระกูลมาถึงเร็วมาก รีบรุดเข้าไปดู

 

 

           ฟู่เหยี่ยนคว้าตัวเขาไว้ทันที ให้เขาทำการตรวจรักษาเจียงมู่เฉิน

 

 

           หมอประจำตระกูลตรวจอาการดูอย่างละเอียดไปรอบหนึ่ง สุดท้ายถึงได้เอ่ย “คุณชายครับ คุณชายเจียงไม่เป็นไร เพียงแค่สมองได้รับการกระตุ้น อาการจึงไม่ค่อยจะคงตัวก็เท่านั้นเองครับ”

 

 

           “หมายความว่าไง”

 

 

           หมอประจำตระกูลลดแว่นบนใบหน้าลง แล้วเอ่ยอธิบายอีกครั้ง “สมองคุณชายเจียงเมื่อก่อนเคยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ได้รับความเสียหายจนสูญเสียความทรงจำครับ…ครั้งนี้ที่เป็นลมกะทันหัน ก็เพราะสมองได้รับการกระตุ้น”

 

 

           หมอประจำตระกูลครุ่นคิดสักพัก “หรืออาจจะเป็นว่าคุณชายเจียงไปเห็นอะไรมา แล้วทำให้เส้นประสาทสมองได้รับกระตุ้นที่มากจนเกินไป ดังนั้นถึงได้หมดสติไปครับ”

ตอนที่ 338 สมองมีแต่ขี้เลื่อย

 

 

           คงจะเป็นของคนในปราสาท ไม่รู้ว่าซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           แม้แต่วันหมดอายุก็ไม่อ่านสักนิด เจียงมู่เฉินเปิดฝาถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออก แล้วเทน้ำร้อนใส่ลงไป

 

 

           กลิ่นหอมโชยออกมา เจียงมู่เฉินคอขยับ อดจะกลืนน้ำลายไม่ได้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเองก็ได้กลิ่นหอม เดินตามหากลิ่นเข้ามา

 

 

           เขาน้ำลายไหลมองดูบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในมือของเจียงมู่เฉิน

 

 

           พอเจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเขาแบบนั้น ก็รีบเอาหลบด้านหลัง “นายอย่าริอาจหมายปองบะหมี่ของฉันนะ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนจ้องมองเขาด้วยท่าทางดูน่าสงสาร เดิมเจียงมู่เฉินไม่อยากจะสนใจเขา แต่เห็นท่าทางที่เขามองตัวเอง ก็ชักจะห้ามใจไม่ค่อยได้แล้ว

 

 

           เขามองฟู่เหยี่ยนทีหนึ่ง แล้วมามองบะหมี่ของตัวเองอีกทีหนึ่ง ลังเลใจอยู่สักพัก ถึงเอ่ย “แบ่งนายสองคำ โอเคอยู่ใช่ไหม”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรีบพยักหน้า  แบ่งสองคำก่อน รอจนกินหมด ค่อยหาที่เขาต้องการก็ได้แล้วนี่

 

 

           ถึงอย่างไรขอคำแรกได้ ที่เหลือต่อไปก็ไม่ต้องห่วงอยู่แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินหาถ้วยจากด้านข้าง ตักให้ฟู่เหยี่ยนไปสองช้อนใหญ่ๆ แล้วยังเทน้ต้มบะหมี่ให้เขาอีกนิด

 

 

           “โอเค เยอะแล้ว”

 

 

           เขามองฟู่เหยี่ยนอย่างหวาดระแวง กลัวฟู่เหยี่ยนจะเล็งบะหมี่ของเขากะทันหัน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรู้สึกว่าท่าทางป้องกันสุดฤทธิ์สุดเดชแบบนี้ของเจียงมู่เฉิน จะไม่ค่อยเข้าตาเท่าไหร่  เขาดูมีเจตนาเป็นตัวโกงชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้าเตรียมป้องกันยกบะหมี่ของตัวเองมาถึงที่โซฟา นั่งขัดสมาธิกินบะหมี่อยู่ตรงนั้น

 

 

           เส้นบะหมี่สองช้อนในถ้วยของฟู่เหยี่ยนที่น่าสงสาร เพียงแป๊บเดียวก็กินหมดแล้ว

 

 

           เขาทำหน้าทำตาน่าสงสารมองเจียงมู่เฉิน ท่าทางต้องการอยากจะกิน

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาปราดเดียว หันหน้าหนีคร้านจะมองเขา

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นว่าแกล้งทำตัวน่าสงสารไม่มีประโยชน์อะไร ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองวางแผนพลาด ควรจะซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาสักหลายๆ ลังถึงจะถูกต้อง

 

 

           เจียงมู่เฉินจัดการบะหมี่อย่างรวดเร็วเสร็จสรรพ ก็ทิ้งถ้วยลงถังขยะ ยืดเอวอย่างสบายตัว

 

 

           ‘กินอิ่มแล้วสบายจริงๆ’

 

 

           เขาส่งสายตาให้ฟู่เหยี่ยนที่อยู่ข้างๆ แล้วเดินผ่านข้างกายเขาด้วยท่าทีนิ่งเฉยขึ้นชั้นบนไป

 

 

           จนกระทั่งหลังจากเจียงมู่เฉินเดินไปไกลแล้ว จู่ๆ ฟู่เหยี่ยนก็หยิบมือถือออกมา “ช่วยฉัน ส่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาสิบลังที”

 

 

           เขาพูดจบก็กดสายทิ้งทันที และก็ไม่สนว่าพ่อบ้านที่ถือสายอยู่จะงุนงงหรือเปล่า

 

 

           ฟู่เหยี่ยนวางสายแล้ว ก็ขบคิดถึงความรู้สึกที่ได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเมื่อครู่นี้ไปอย่างเงียบๆ

 

 

           ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงไม่รู้ ว่าที่แท้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะอร่อยได้ขนาดนี้

 

 

           ……

 

 

           เช้าวันต่อมา เจียงมู่เฉินลงมาชั้นล่าง ก็เห็นหน้าทางเข้าห้องครัวมีลังบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสิบลังตั้งอยู่ ขมับกระตุกแล้วกระตุกอีก

 

 

           ฟู่เหยี่ยนมองเขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เอ่ยอย่างลนลาน “มาสิ พวกเรามากินบะหมี่กันเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”

 

 

           ‘เจ้าหมอนี่สมองไม่ได้มีแต่ขี้เลื่อยจริงๆ ใช่ไหม’

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดว่าเวลาปกติฟู่เหยี่ยนดูหน้าตาเป็นจอมวางแผน เชื่อว่าเขาฉลาดหลักแหลมมากเหลือล้น ใครจะรู้ว่าบางเวลา จะซื่อบื้อจนกลายเป็นเช่นนี้ได้

 

 

           “ใครจะกินบะหมี่กับนาย นายอยากกินก็กินเองสิ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนทำหน้าไม่รู้เรื่อง  เมื่อวานยังอยากกินอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมแค่ผ่านคืนเดียวก็ไม่อยากกินแล้วล่ะ

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปในห้องครัว ดึงเปิดตู้เย็นดูว่ามีอย่างอื่นกินหรือเปล่า ปรากฏว่าเมื่อเปิดก็เจอความว่างเปล่า ไม่มีอะไรสักอย่าง

 

 

           เจียงมู่เฉินไปต่อไม่เป็นแล้ว รู้สึกว่าจะคุกเข่าให้ฟู่เหยี่ยนแล้วจริงๆ

 

 

           ‘เจ้าหมอนี่ให้คนมาส่งของ ก็ส่งมาแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจริงๆ อะไรอย่างอื่นไม่มีมาเลย’

 

 

           เจียงมู่เฉินพิงตู้เย็นมองฟู่เหยี่ยนอย่างเงียบๆ เอ่ยถามเน้นคำต่อคำ “ในสมองนายไม่ได้ขาดอะไรไปจริงๆ ใช่ไหม”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนทำหน้างุนงง  นี่เขาถูกเจียงมู่เฉินเหยียดหยามกันเหรอ

 

 

           “พี่ใหญ่ กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากเกินไป จะส่งผลต่อระบบย่อยและดูดซึมอาหารได้นะ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ “จริงเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่เขาเงียบๆ ไม่ค่อยอยากจะสนใจเขาเท่าไหร่นัก

 

 

           คนคนนี้นี่จริงๆ เลย เขาโกรธจนปวดหัวไปหมด

 

 

           เจียงมู่เฉินฉีกลังออกเงียบๆ หยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จออกมาหนึ่งถ้วย เดินอ้อมไปต้มบะหมี่ ไม่สนใจฟู่เหยี่ยน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนทำหน้าทำตาน่าสงสารมองหลังตามเจียงมู่เฉินไป เห็นเขาต้มบะหมี่ก็เอ่ยถามอย่างน้อยใจ “แล้วผมล่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแล้ว ยิ้มเยาะ “อะไรกัน อยากกินเหรอ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนพยักหน้าเงียบๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่ เอ่ยอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด “อยากกินก็ต้มเองสิ!”

 

 

             

 

 

ตอนที่ 339 ตกปลาชมดอกไม้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนถูกเขาโจมตีด้วยคำพูดขนาดนี้ ก็มึนงงไป

 

 

           เขาทำหน้าทำตาดูน่าสงสารมองเจียงมู่เฉิน “คุณไม่คิดจะต้มบะหมี่ให้ผมสักถ้วยหน่อยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัวอย่างจริงจัง “ไม่คิด”

 

 

           ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา ไม่เหลือพื้นที่ใดให้ฟู่เหยี่ยน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนโดนปฏิเสธแบบนี้ ก็ลูบจมูกปอยๆ อย่างซื่อๆ ตัวเองหยิบถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาเดินเข้าห้องครัวไปอย่างว่าง่าย

 

 

           คุณชายใหญ่ฟู่จะเคยต้มบะหมี่กินเองเมื่อไหร่กัน

 

 

           เขามองดูถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยสีหน้าจำใจและจนปัญญา

 

 

           สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงส่งสายมาหาเจียงมู่เฉิน “อันนี้ต้องต้มยังไงเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง หัวเราะเสียงเย็น “นายดูแล้วทำเอาเองเถอะ”

 

 

           เขาพูดจบก็หอบเอาถ้วยบะหมี่ของตัวเองเผ่นแน่บไปแล้ว ทิ้งฟู่เหยี่ยนให้โดดเดี่ยวอยู่คนเดียวไปต่อไม่เป็นอยู่ในห้องครัว

 

 

           เห็นว่าเจียงมู่เฉินไม่คิดจะช่วยเขาจริงๆ ฟู่เหยี่ยนจึงจำใจต้องพึ่งลำแข้งตัวเอง เขามองดูถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วยเล็กๆ หัวก็ชักจะชาๆ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนนึกถึงท่าทางการกระทำของเจียงมู่เฉินเมื่อครู่นี้ เขาไม่เชื่อหรอก ว่าตัวเองจะอับจนหนทางกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วยเล็กๆ ถ้วยเดียวได้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรีบฉีกฝาเทน้ำร้อนทำอย่างลวกๆ ไปที หลังจากทำเสร็จทุกอย่าง ก็หอบเอาถ้วยบะหมี่ของตัวเองออกไปยังห้องรับแขก

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังนั่งขัดสมาธิกินบะหมี่อยู่ตรงนั้น เขาเห็นฟู่เหยี่ยนหอบบะหมี่ออกมา กวาดสายตามองแวบหนึ่ง แล้วก็กินของตัวเองอย่างจริงจังไป

 

 

           คิดๆ ดูก็คิดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงจะตกต่ำถึงขั้นที่ทำได้เพียงพึ่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประทังชีวิต

 

 

           เจียงมู่เฉินกินไปด้วย ถอนหายใจไปด้วย

 

 

           เขากวาดสายตามองผ่านบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสิลลัง ในใจก็หดหู่

 

 

           ‘นี่ฟู่เหยี่ยนคงจะไม่พาเขามาเพื่อทรมานโดยการให้เขากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกวันหรอกใช่ไหม’

 

 

           เขาถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ โครงสร้างสมองของคนคนนี้ไม่ค่อยเหมือนคนปกติจริงๆ

 

 

           ไม่สามารถอิงความคิดของขอวคนทั่วไปไปทำความเข้าใจเขาได้

 

 

           ฟู่เหยี่ยมกุมถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ทั้งไม่สุกทั้งไม่มีกลิ่น น่าอนาถใจ

 

 

           ทั้งที่เป็นบะหมี่เหมือนกันแท้ๆ ทำไมในมือของเขากับของเจียงมู่เฉินเมื่อวานถึงไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่

 

 

           คุณชายใหญ่อย่างฟู่เหยี่ยนจะมากล้ำกลืนฝืนทนถึงขั้นยอมลดเกียรติมากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบนี้เมื่อไหร่กัน

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงมู่เฉิน เกรงว่าตลอดชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางจะมีวันนี้ได้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนกัดเข้าไปคำหนึ่ง กินไม่ได้กลืนไม่ลงจริงๆ จึงปิดฝาถ้วยแล้วทิ้งลงขยะไปอย่างขยะแขยง

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเหตุการณ์ก็ไม่พูดอะไร มองเขาอยู่อย่างนี้

 

 

           ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขา จะสนใจไปใย

 

 

           เจียงมู่เฉินกินอย่างเอ้อระเหยจนเสร็จ ก็เอาถ้วยบะหมี่ทิ้งลงถังขยะ แล้วหยิบคันเบ็ดตกปลาไปที่เดิมเพื่อตกปลาต่อ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินเดินไปแล้ว ก็รีบเดินตามในทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินเองก็ไม่สนใจ ปล่อยให้เขาตามมา

 

 

           ถึงอย่างไรเกาะเล็กๆ เกาะนี้ก็เป็นของฟู่เหยี่ยน เขาอยากจะไปไหนก็ไปที่นั่น

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งบนเก้าอี้นอน วางคันเบ็ดขึ้นบนที่วางคันเบ็ด หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ เขาถึงได้เอนพิงด้วยท่าทางขี้เกียจๆ อยู่ข้างๆ

 

 

           ครั้งนี้ฟู่เหยี่ยนไม่ได้เอาคันเบ็ดลง แต่นั่งอยู่ข้างๆ มองดูเจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินอยู่ที่นี่มาหลายวัน ชินกับการเพ่งมองจับตาดูของฟู่เหยี่ยนไปแล้ว ก็คร้านจะพูดกับเขา

 

 

           ปล่อยเขาไปเลยตามเลยแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลงเอนพิงอยู่ตรงนั้น ผ่านไปไม่กี่นาที เขาก็เอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “ตกลงว่านายเตรียมจะให้ฉันอยู่อีกนานแค่ไหน”

 

 

           เขาคิดว่าฟู่เหยี่ยนทำเรื่องราวใหญ่โตพาตัวเขามาอยู่ที่นี่ ต้องมีเรื่องอะไรสำคัญสักอย่าง ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรสักอย่างเลย

 

 

           ให้เขาตกปลาอยู่ที่นี่ทั้งวัน

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือกดที่หว่างคิ้ว ปวดหัวนิดหน่อย

 

 

           ฟู่เหยี่ยนได้ยินเจียงมู่เฉินถามเช่นนี้ นัยน์ตาประกายเล็กน้อย “อะไรกัน ไม่อยากอยู่ที่นี่ขนาดนี้เชียว”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “พี่ชาย นายเสียแรงลำบากพาฉันมาถึงเกาะนี้ จะให้ฉันตกปลาชมดอกไม้ทั้งวันเหรอ”

 

 

           เขาไม่เคยมีประการณ์ชีวิตการถูกลักพาตัวแบบนี้มาก่อน

 

 

           อีกอย่าง  การลักพาตัวก็ควรจะเหมือนที่ซูเตอร์ทำแบบนั้นไม่ใช่หรือไง

ตอนที่ 336 ชีวิตวัยเกษียณ

 

 

           เจียงมู่เฉินพักอยู่บนเกาะเล็กๆ ของฟู่เหยี่ยนเสมือนปลาได้น้ำ มีคนรับใช้ปรนนิบัติทุกวัน ยังมีใบหน้าใบนั้นของฟู่เหยี่ยนที่ยังไม่ถือว่าน่าเบื่อหน่ายจนเกินไป

 

 

           ชีวิตก็ถือว่าสุขกายสบายใจดี

 

 

           ทุกวันตกปลาย้ายเก้าอี้นอนพิงอยู่ด้านข้าง เข้าสู่ชีวิตวัยเกษียณล่วงหน้าเบื้องต้นไปแล้ว

 

 

           แน่นอนว่าถ้าไม่มีฟู่เหยี่ยนนั่งอยู่ด้านข้าง เขาอาจจะรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ได้สักหน่อย

 

 

           ดวงตาคู่นี้ของฟู่เหยี่ยนจ้องเจียงมู่เฉินเขม็ง ราวกับไม่คิดปล่อยโอกาสสังเกตการณ์เจียงมู่เฉินไปแม้เพียงนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินทำอะไรไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเนื้อที่วางอยู่บนเขียงไม่มีผิด

 

 

           มีคนมาสังเกตมองไปมา

 

 

           เขายกมือขึ้นมากุมหน้าผาก มองฟู่เหยี่ยนอย่างจริงจัง “พี่ใหญ่ อย่ามองฉันแบบนี้ตลอดจะได้ไหม”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนลูบคางไปมา ส่ายหัวอย่างช้าๆ ตามสบาย

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากกระอักเลือด พักอยู่บนเกาะเล็กๆ นี้มาไม่กี่วัน ก็ถูกฟู่เหยี่ยนมองแบบนี้ไม่กี่วันนั้นเช่นกัน

 

 

           วันสองวันยังพอไหว แต่ถ้าเอาแต่มองแบบนี้ต่อไป  เขารับไม่ไหวจริงๆ นะ

 

 

           ‘เขามีความชอบถูกคนอื่นจ้องเขม็งตั้งแต่เช้าจรดเย็นเป็นความชอบพิเศษหรือไง’

 

 

           “หารือกันสักหน่อยสิ” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงอ่อน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหัวเราะเล็กน้อย “ไม่หารือ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม ‘ปฏิเสธก็ปฏิเสธสิ ปฏิเสธกันน่าดูขนาดนี้เอาแบบไหนก็เชิญเลย’

 

 

           เขาเห็นว่าพูดว่าอะไรฟู่เหยี่ยนกระทบไม่ได้ จึงเอนพิงบนเก้าอี้ ปรือตานอนไปทั้งอย่างนี้เสียเลย

 

 

           ถึงอย่างไรหลายวันมานี้ที่ตกปลามา เขาก็ตกปลาไม่ได้สักครั้งอยู่แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนหลับอยู่ข้างๆ ฟู่เหยี่ยนก็มองอยู่อย่างนั้น สายตาของเขามองไล่ตั้งแต่ทรงผมพาดผ่านคิ้วลงมาที่ดวงตา…

 

 

           ไม่พลาดเลยแม้สักจุด…

 

 

           เจียงมู่เฉินที่ปรือตานอนรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ค่อยๆ ขยับตัวขึ้นมานั่ง เขาถลึงตามองฟู่เหยี่ยน “ถ้านายยังมองฉันอีก ฉันไม่จบกับนายง่ายๆ แน่”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนลูบจมูก ค่อยๆ เบนสายตาไปอย่างช้าๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอยู่สองวินาที เห็นเขาไม่หันหน้ากลับมา ถึงได้วางใจหลับตาลงนอนต่อ

 

 

           เขาเพิ่งจะเอนตัวลงนอนไม่ถึงสองนาที ฟู่เหยี่ยนก็หันกลับมามองเขาอีกครั้ง

 

 

           สายตาร้อนแรงแผดเผา จับจ้องมาที่ใบหน้าของเจียงมู่เฉินอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วสักพัก ยื่นมือไปคว้าหมวกที่อยู่ด้านข้างมาปิดปังหน้า

 

 

           ทำแบบนี้ กั้นสายตาของฟู่เหยี่ยน ทั้งเนื้อทั้งตัวก็สบายขึ้นมาหน่อย

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ ยืดเหยียดขาทั้งสองข้าง สีหน้าผ่อนคลายสบายๆ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็ไม่ร้อนใจ เขาเองเลียบแบบท่าทางของเจียงมู่เฉินนอนอยู่ข้างๆ

 

 

           คันเบ็ดตกปลาที่อยู่ข้างตัวทั้งสองคนถูกปลาสะบัดจนส่ายไปมา แต่ไม่มีใครสักคนยกขึ้นมา เหมือนโดนคนมองข้ามไปอย่างไรอย่างนั้น วางอยู่ข้างตัว

 

 

           ทั้งสองคนนอนหลับกันไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฟู่เหยี่ยนหยิบหมวกออกไป

 

 

           เขาเห็นท้องฟ้าที่มืดลงเล็กน้อย กะพริบตาปริบๆ

 

 

           พักอยู่บนเกาะนี้ช่วงเวลาหนึ่งที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ในหัวว่างเปล่า ไม่ต้องคิดอะไรสักอย่าง

 

 

           ความรู้สึกแบบนี้ สบายมากทีเดียว

 

 

           เมื่อคุ้นชินกับชีวิตที่สนุกครึกครื้น ไปไหนก็มีแต่คนห้อมล้อม

 

 

           จู่ๆ ก็มาอยู่ที่นี่ในที่เงียบสงบขนาดนี้ ทำกิจกรรมเมื่อยามพระอาทิตย์ขึ้น หยุดพักเมื่อยามพระอาทิตย์ตก

 

 

           สุขกายสบายใจกว่าที่จินตนาการไว้มากๆ

 

 

           เขายืดเหยียดแขนขา ค่อยๆ ยันกายขึ้นมานั่งบนเก้าอี้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนไม่อยู่ข้างกายเขาแล้ว เจียงมู่เฉินไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร ตามปกติที่แล้วมาเวลานี้ ฟู่เหยี่ยนควรจะอยู่ในห้องหนังสือ

 

 

           เขายื่นมือเก็บคันเบ็ดตกปลา ค่อยๆ เดินกลับเข้าไป

 

 

           จนกระทั่งเดินเข้ามาในปราสาท เจียงมู่เฉินวางคันเบ็ดตกปลาลงด้านข้าง เตรียมจะขึ้นชั้นบนไป ก็ได้ยินเสียงโช้งเช้งดังมาจากในห้องครัว

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย  อะไรกัน นี่ฟู่เหยี่ยนเปลี่ยนไปเป็นพ่อครัวหัวป่าก์แล้วเหรอ

 

 

           ‘แค่ทำอาหารต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เชียว?’

 

 

 

 

       ตอนที่ 337 พยายามขึ้นอีก

 

 

           เขาเดินเข้าไปเงียบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ในห้องครัวมีพ่อครัวคนไหนกันที่เป็นตัวการก่อเสียงทั้งหมดนี้ เป็นฟู่เหยี่ยนที่เขาคิดว่าอยู่ในห้องหนังสือนี่เอง

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกสนใจ เอนพิงอยู่ด้านข้าง สนุกกับท่าทางห้าวหาญในการทำอาหารของฟู่เหยี่ยน

 

 

           ‘ฟู่เหยี่ยนเจ้าหมอนี่ปกติก็ดูเหมือนทำอะไรเป็นหมด อะไรก็ดูไม่ยากเมื่อถึงมือเขา’

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเวลาทำอาหารมาทีจะดูลำบากลำบนขนาดนี้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนกำลังต่อสู้กับปลาตัวหนึ่ง ปลากำลังดิ้นไปมาอยู่บนเคาท์เตอร์บาร์ ฟู่เหยี่ยนจัดการอะไรมันไม่ได้เลยสักนิด

 

 

           ทำได้เพียงถือมีดตามฟันอยู่ด้านหลัง

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนฉากเข่นฆ่านี้ทำให้ตกใจจนขมับอดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้

 

 

           รู้สึกว่า ท่าทางนี้ของฟู่เหยี่ยน  เหมือนกำลังฆ่าปลาตรงไหนเหรอ

 

 

           ‘นี่มันท่าทางอยากฆ่าคนชัดๆ’

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเอ่ยขึ้น “นี่นายกำลังเตรียมทำอะไร”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนถือมีดหันกลับมา ก็เห็นเจียงมู่เฉินที่ยืนอยู่หน้าประตู เจียงมู่เฉินมองดูมีดที่ส่ายไปส่ายมาต่อหน้าตัวเอง จึงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

 

 

           “พี่ชาย ถึงแม้ว่าท่าทางทำอาหารนายจะดูน่าเกลียดไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกลับว่าจะถือมีดมาฆ่าปิดปากฉันหรอกใช่ไหม”

 

 

           พอฟู่เหยี่ยนเห็นมีดตัวเองจ่อหน้าเจียงมู่เฉินอยู่ ก็รีบชักมีดกลับไปทันที

 

 

           “ขอโทษด้วย เมื่อกี้ทำคุณตกใจกลัว”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างเฉยเมย “คุณชายน้อยเจียงอย่างฉันไม่ได้ขี้ขลาดขนาดนี้สักหน่อย ไม่ถึงขนาดกับตกใจกลัวหรอก”

 

 

           เขาพูดจบก็ก้มหน้ามองปลาที่กระโดดโลดเต้นอยู่ที่พื้น ก็เลิกคิ้วเงียบๆ “คือว่า…นี่นายกำลังเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตเหรอ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนค่อนข้างเลิ่กลั่ก ยกมือขึ้นมาลูบจมูก “ไม่มีอะไร เดี๋ยวผมก็จัดการได้แล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “ทำอาหารไม่เป็นก็ไม่ได้น่าขายหน้าอะไรนักหรอก”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรู้สึกว่าตัวเองยังควรจะต้องพยายามได้มากกว่านี้

 

 

           “ไม่งั้น ให้ผมลองอีกทีดูไหม” เขาเอ่ยเสนอเสียงอ่อน

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นปลาตัวนั้นที่เข้าใกล้ความตายอยู่รอมร่อ ก็กุมขมับอย่างจนใจ “นายอย่าลองอีกเลย ไว้ชีวิตมันเถอะ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นปลาตัวนั้น หัวก็ชักจะชาๆ เดิมทีเขายังอยากจะเคี้ยวซุปปลาให้เจียงมู่เฉิน ผลสุดท้ายใครจะไปรู้ว่าปลาตัวนี้มันจะไม่เชื่อฟังกันขนาดนี้ จับไว้ไม่อยู่เลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางลังเลของเขา ก็เดินเข้าไป หยิบกะละมังเอาปลาใส่ข้างในแล้วเอาออกไปปล่อยข้างนอก

 

 

           แทนที่จะให้เขากับปลาได้รับการทรมานกันทั้งคู่ สู้ปล่อยลงน้ำเสียก็สิ้นเรื่องเสียยังจะดีกว่า

 

 

           เจียงมู่เฉินกลับมา ฟู่เหยี่ยนยังยืนทำหน้างุนงงอยู่ในครัว

 

 

           เขากวาดสายตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง “ทำอาหารสิ จะมางงอะไร”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนกะพริบตาปริบๆ อย่างซื่อๆ “เมื่อกี้ผมอยากจะพูดกับคุณ ว่าปลาตัวนี้เป็นอาหารเย็นเดียวที่พวกเรามี”

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้  พี่ใหญ่ ปลาเขาก็ปล่อยไปแล้ว ตอนนี้จะพูดอีกยังจะมีความหมายอยู่เหรอ

 

 

           ……

 

 

           ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนทำการตาใหญ่จ้องตาเล็กนั่งอยู่บนโซฟา

 

 

           เจียงมู่เฉินหิวแล้วจริงๆ เขามองฟู่เหยี่ยน แล้วเอ่ยถาม “ปราสาทนี้ของนายใหญ่ออกขนาดนี้ จะไม่มีอะไรที่กินได้เลยเหรอ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ “เมื่อก่อนก็มีคนมาทำอาหารให้โดยเฉพาะอยู่” ปรากฏว่าเมื่อเขาอยากจะแสดงฝีมือการทำอาหารต่อหน้าเจียงมู่เฉิน จึงไล่คนออกไปหมดทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่เงียบๆ

 

 

           เมื่อก่อนยังรู้สึกว่าฟู่เหยี่ยนเจ้าหมอนี่ดูเก่งกาจสามารถ

 

 

           ‘เก่งกาจสามารถกับผีน่ะสิ ก็แค่เจ้าทึ่มในชีวิตจริง’

 

 

           ‘ไล่คนออกไปก็ออกไปสิ แต่ให้พวกเขาเหลือเสบียงอาหารที่ไม่ต้องใช้ไฟทำสักนิดไม่ได้เหรอ’

 

 

           เขายืนขึ้นมาเงียบๆ เขาไม่เชื่อหรอกว่าห้องครัวใหญ่ขนาดนี้จะไม่อะไรจริงๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินกลับไปยังห้องครัวอีกครั้ง พลิกหาไปทุกหนแห่ง ในตู้เย็นสองชั้น นอกจากน้ำแร่ที่สั่งทำเอง ก็ไม่มีอะไรสักอย่าง

 

 

           เจียงมู่เฉินใกล้จะสติแตกแล้ว  เขาหิวจริงๆ นี่

 

 

           เขาปิดประตูตู้เย็น แล้วไปเปิดตู้อยู่ด้านข้าง ในที่สุดก็หาเจอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชามหนึ่งที่มุมหนึ่งของตู้เจอ

 

 

           เจียงมู่เฉินตาลุกวาว รีบหยิบบะหมี่ออกมาทันที

ตอนที่ 334 จุดประสงค์คืออะไร

 

 

           เจียงมู่เฉินคือหนึ่งเดียวในโลกนี้ที่ไม่มีใครเหมือน

 

 

           ในใจเขาไม่มีใครคนไหนเทียบเจียงมู่เฉินได้

 

 

           ต่อมาเขาก็เบื่อหน่ายกับการตามหาเจียงมู่เฉินจากร่างกายของคนอื่น ด้วยเหตุนี้จะไล่คนพวกนั้นไปให้หมด เขาคนเดียวอาศัยอยู่ที่เกาะนี้

 

 

           ทุกๆ วันพักอยู่ในห้องที่เจียงมู่เฉินเคยอาศัยอยู่ในตอนนั้น

 

 

           จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งที่เขาเห็นคุณชายน้อยตระกูลเจียงแห่งถานโจว

 

 

           เขามองดูใบหน้าของเจียงมู่เฉิน นอกจากบุคลิกเฉพาะตัวจะค่อนข้างแตกต่างจากเจียงมู่เฉินในตอนนั้น อย่างอื่นก็เหมือนกันทุกอย่าง

 

 

           เพราะเรื่องของเจียงมู่เฉินในตอนนั้น ถูกคนในตระกูลจับตามองอยู่ตลอด ไม่มีหนทางที่เขาจะตามหาเจียงมู่เฉินแบบเอิกเกริกได้

 

 

           ดังนั้นเขาจึงไปหาองกร์อักขระ ให้วีพาตัวคุณชายน้อยตระกูลมาส่งที่ข้างกายของเขา

 

 

           จากนาทีนั้นที่วีพาเจียงมู่เฉินมา เขาก็รู้ในทันที ว่าเจียงมู่เฉินในตอนนั้นก็คือเจียงมู่เฉินในวันนี้

 

 

           ตามข้อมูลการสืบที่เขากุมไว้ในมือ รู้ว่าเจียงมู่เฉินสูญเสียความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนไป ดังนั้นจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาทั้งสิ้น

 

 

            นาทีนั้นที่เจียงมู่เฉินเดินเข้ามาในคฤหาสน์ของเขา เขาก็อยากไปเจอหน้าเจียงมู่เฉิน

 

 

           แต่เขากลัวอารมณ์ของตัวเองจะทำให้เจียงมู่เฉินตกใจกลัว

 

 

           ดังนั้นจึงทำได้เพียงสะกดความรู้สึกอยู่นาน รอจนกว่าเขาจะดูความผิดปกติอะไรไม่ออกแล้ว ถึงได้แสร้งทำเป็นคนแปลกหน้ายืนอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉิน

 

 

           เดิมทีเขาคิดจะพาตัวเจียงมู่เฉินออกจากคฤหาสน์ของเขาไปทั้งอย่างนั้น

 

 

           แต่หลังจากที่เขาเจอเจียงมู่เฉิน เขากลับลงมือไม่ลง ด้วยเหตุนี้จึงยอมตกลงปล่อยเจียงมู่เฉินออกไป

 

 

           เดิมทีเขาคิดจะค่อยๆ ปรากฏตัวอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน แต่เขาทราบข่าวโดยไม่ตั้งใจ คิดไม่ถึงว่าซังจิ่งต้องการจะพาเจียงมู่เฉินกลับถานโจวไป 

 

 

           เขาเดือดดาลทันที จนลงมือทำให้เจียงมู่เฉินหมดสติ แล้วพากลับมาที่เกาะเล็กๆ เกาะเดิมนี้

 

 

           ……

 

 

           ฟู่เหยี่ยนพูดจบประโยคนั้นก็ตกสู่ห้วงความคิด เจียงมู่เฉินจ้องมองเขา ผ่านไปนานเขาก็วางแก้วไวน์ลง

 

 

           “ครั้งก่อนเป็นคฤหาสน์ ครั้งนี้เป็นปราสาท…ฟู่เหยี่ยนนายทำให้ฉันสงสัยอยากรู้ถึงฐานะของนายจริงๆ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยิ้มมองมาทางเขา “คุณอยากรู้เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหยิบไวน์แดงที่อยู่ด้านข้างมาเทให้ตัวเองนิดหน่อย “ก็ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นจริงๆ หรอก”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของเขา ในใจก็บีบแน่น เจียงมู่เฉินในตอนนั้นดูกระตือรือร้น

 

 

           แต่ในเวลาห้าปีกว่าๆ ในตอนนี้ เจียงมู่เฉินมีเสน่ห์และความเฉยชาอย่างบอกไม่ถูกในแววตา

 

 

           ความรู้สึกแบบนั้นรวมกันอยู่ในตัวเขา ช่างเหมาะสมมาก แต่กลับดึงดูดคนเป็นพิเศษด้วย

 

 

           ถึงแม้ว่าจะแตกต่างจากเจียงมู่เฉินในความทรงจำของเขา

 

 

           แต่ฟู่เหยี่ยนคิดไว้ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นอย่างไร เขาก็คือเจียงมู่เฉิน ฟู่เหยี่ยนรับได้หมด

 

 

           เจียงมู่เฉินดื่มไวน์เข้าไปอีกคำ แล้วเอ่ยถาม “นายเชิญฉันมาแบบนี้ มีจุดประสงค์อะไร”

 

 

           นิ้วมือฟู่เหยี่ยนกำแก้วไวน์ในมือแน่นโดยไม่ตั้งใจ ในมุมที่เจียงมู่เฉินมองไม่เห็น แววตาประกายความสับสนขึ้นมาวาบหนึ่ง

 

 

           เขาหัวเราะเบาๆ “ผมกับคุณชายเจียงเป็นเพื่อนกันไง เชิญเพื่อนมาค้างแรมในที่พักของผม ไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม”

 

 

            “ค้างแรม?” เจียงมู่เฉินซ้ำประโยคอย่างขำๆ “วิธีการเชิญเพื่อนของนายช่างแปลกซะจริงๆ”

 

 

           “ใช่แล้ว ในเมื่อเชิญฉันมาค้างแรม งั้นฉันเสนอเงื่อนไขหนึ่งได้ไหม”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเลิกคิ้ว “คุณว่ามาเลย”

 

 

           “ติดต่อซังจิ่งที ฉันจะพูดกับเขา” หลังจากเขาตื่นมา ก็ไม่เห็นมือถือแล้ว

 

 

           คิดดูแล้วก็เป็นฝีมือของฟู่เหยี่ยน

 

 

           ได้ยิน ‘ซังจิ่ง’ ชื่อนี้ นัยน์ตาฟู่เหยี่ยนก็ฉายสะท้อนความโมโหขึ้นมาวาบหนึ่ง แต่เมื่อมองเจียงมู่เฉินกลับสลายหายไปในพริบตา

 

 

           “ติดต่อเขาทำอะไร”

 

 

           “นายพาฉันมาทั้งอย่างนี้ ฉันก็ต้องบอกเขาสักหน่อยสิ”

 

 

           หลังจากฟู่เหยี่ยนได้ยิน ก็เอ่ย “ผมจะแจ้งเขาเอง”

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด ซังจิ่งเป็นเพื่อนฟู่เหยี่ยน ให้ฟู่เหยี่ยนแจ้งซังจิ่งก็ได้ จึงพยักหน้าให้ “ได้ งั้นก็รบกวนนายแล้ว”

 

 

 

 

            ตอนที่ 335 โชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตคน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหัวเราะเบาๆ ในใจ ซังจิ่งฝ่าฝืนข้อตกลงร่วมกันของพวกเขา เขายังไม่ได้ไปคิดบัญชีซังจิ่ง แล้วจะยังเจตนาดีไปบอกข่าวได้อย่างไร

 

 

           ที่เขารับปากไปเพียงเพื่อทำให้เจียงมู่เฉินวางใจก็เท่านั้นเอง

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูแสงจันทร์ เวลาค่ำลงแล้ว เขาดื่มไวน์จนหมด “ฉันกลับไปก่อนนะ”

 

 

           เขาพูดจบก็หมุนตัวหันกลับเดินเข้าข้างใน ฟู่เหยี่ยนเองก็ไม่ขัด ปล่อยให้เขาแยกตัวไป

 

 

           ถึงอย่างไรเจ้าตัวก็อยู่ต่อหน้าตัวเองแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนอะไร

 

 

           โศกนาฏกรรมในตอนนั้น เขาไม่อยากเล่นซ้ำอีกครั้ง

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินกลับมา พินิจมองสังเกตอย่างละเอียดสักพัก รู้สึกว่าสถานที่นี้ดูคุ้นๆ แบบแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

 

 

           เหมือนกับเมื่อก่อนเขาเคยมาที่นี่อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           แต่พอคิดว่าเมื่อห้าปีก่อน เขารู้จักฟู่เหยี่ยน ก็ยากจะรับประกันได้ว่าจะไม่เคยมาที่นี่กับฟู่เหยี่ยน

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดเช่นนี้ก็ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว

 

 

           ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเดาว่าฟู่เหยี่ยนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อห้าปีก่อน แต่ตอนนี้ก็ได้รับคำยอมรับจากปากฟู่เหยี่ยนเองแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว  ตกลงแล้วเมื่อห้าปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

           เทียบกับครั้งที่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเร่งกระตุ้นให้เขาอยากรู้เรื่องราวในห้าปีนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินคิด หรือว่าเขาจะต้องให้ฟู่เหยี่ยนหาหมอมาให้เขา มาดูเรื่องฟื้นความทรงจำ

 

 

           เขานั่งขัดสมาธิบนเตียง วันสองวันมานี้เกิดอะไรกันไปหมด

 

 

           เดี๋ยวโดนซูเตอร์ลักพาตัวมา เดี๋ยวโดนฟู่เหยี่ยนกักตัวไว้ที่นี่อีก

 

 

           เดิมทีตอนนี้เขาควรจะอยู่สนามบินของถานโจว ใครจะรู้ว่าตอนนี้เขายังเดินไปไม่ถึงเลย

 

 

           ยังไม่รู้ว่าถูกพาตัวมาสถานที่อัศจรรย์อะไรอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ  รู้สึกว่าชีวิตคนเราช่างไม่แน่นอนจริงๆ

 

 

           ทุกๆ ที่มีแต่ความประหลาดใจ

 

 

           ในเมื่อตัวเขาก็อยู่ที่นี่แล้ว จะอะไรต่อมากมายก็ไม่มีความหมายอะไร สู้ทำใจยอมรับสภาพที่เป็นยังจะดีกว่า      

 

 

           คิดได้แบบนี้ เจียงมู่เฉินก็สบายใจแล้ว

 

 

           เขาเอนกายพิงเตียงแกว่งขาไปมาอย่างเอ้อระเหยบนเตียง ในใจสงบนิ่ง

 

 

           ส่วนฟู่เหยี่ยนอยากจะเล่นอะไร เขาคอยอยู่เป็นเพื่อนก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่ก็มีให้กินให้ดื่มถือว่าใช้ได้ทีเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินสบายใจ แต่กลับทำให้ซังจิ่งลำบากใจ วิ่งวุ่นไปทุกแห่งหน เพื่อเรื่องของเจียงมู่เฉิน

 

 

           อยากจะรีบหาให้เจอว่าฟู่เหยี่ยนพาเจียงมู่เฉินไปเก็บที่ไหนกันแน่

 

 

           แต่จะทำอย่างไรได้ อิทธิพลอำนาจของฟู่เหยี่ยนใหญ่เกินไป ไม่ว่าเขาจะตามสืบอย่างไร ยังคงไม่ได้ข่าวคราวอะไรเช่นเดิม

 

 

           ซังจิ่งจนปัญญา หัวใจสิ้นหวัง

 

 

           ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าหากเจียงมู่เฉินเกิดเรื่อง…

 

 

           ซังจิ่งกุมขมับ หรือว่าเขาต้องไปหาซือเหยี่ยน

 

 

           รู้ว่าเครื่องบินวันนี้ของเจียงมู่เฉินบินจากไปแล้ว ซือเหยี่ยนจนใจ แต่กลับโล่งอกไปโดยไม่รู้ตัว

 

 

           ตอนนี้เจียงมู่เฉินกลับถึงถานโจวโดยปลอดภัย เขาก็พอวางมือได้

 

 

           กับดักที่เขาวางไว้ก่อนหน้านั้นใกล้จะถึงเวลาตกเบ็ดแล้ว

 

 

           ซูเตอร์เป็นไปตามสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าจริงๆ ค่อยๆ ติดเบ็ดเข้ามาทีละนิดๆ ขอเพียงแต่รออีกไม่กี่วัน เขาก็จะจัดการตระกูลซูให้ติดเบ็ดทั้งหมดจนไม่เหลือสิ้นซาก

 

 

           รอให้ตระกูลซูพังทลาย รอให้ทุกอย่างเสร็จสิ้น ไม่มีการคุกคามของตระกูลซูแล้ว เขาก็จะกลับไปหาเจียงมู่เฉินที่ถานโจวได้ทันที

 

 

           ถึงเวลานั้น เจียงมู่เฉินอยากรู้อะไร เขาก็จะบอกโดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นครั้งนี้ หรือเรื่องเมื่อห้าปีก่อน

 

 

           เขาจะบอกความจริงทั้งหมด ไม่ปกปิดเลยแม้แต่คำเดียว

 

 

           ซือเหยี่ยนเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ไปทั้งใจ กลับไม่รู้ว่าเวลามากมายนี้โลกของคนเราช่างไม่แน่นอน กว่าเขาจะทำทุกอย่างเสร็จ กลับสายไปเสียแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนในตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจนกว่าจะเจอกันครั้งหน้า ระหว่างเขาและเจียงมู่เฉิน…

 

 

           ก็ไม่ใช่พวกเขาในตอนแรกเริ่มนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว

 

 

           แล้วเรื่องราวทุกอย่างเหล่านั้นที่เขาอยากจะบอกเจียงมู่เฉิน ก็จะไม่มีใครเคยถามถึงมันอีก

 

 

           ทุกอย่างก็เหมือนเพียงความฝันอย่างไรอย่างนั้น…

 

 

           หลังจากตื่นจากฝัน จบสิ้นไม่ทิ้งรอย

 

 

           นึกย้อนกลับไป ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น

 

 

           จวบจนมาถึงสุดท้าย ก็เป็นเพียงแค่ประโยคที่ว่า ‘โชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตคน’ เท่านั้นเอง

ตอนที่ 332 จุดจบของคนใจอ่อน

 

 

           “ไม่กลัวผมใส่อะไรในไวน์เหรอ” ฟู่เหยี่ยนเลิกคิ้วถาม

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “คุณฟู่พาฉันมาถึงที่นี่แล้ว ฉันยังมีที่เหลืออะไรให้กลัวอยู่เหรอ”

 

 

           ความชื่นชมประกายในแววตาของฟู่เหยี่ยน “สมกับที่เป็นคุณชายน้อยตระกูลเจียง”

 

 

           “ฉันสงสัยอยากรู้มาตลอด ความสนใจของนายที่มีต่อฉันตกลงแล้วมาจากไหนกันแน่” เจียงมู่เฉินพิงโต๊ะด้านข้าง เอ่ยเสียงเบา

 

 

           ฟู่เหยี่ยนกอดอกมองเขา

 

 

           “ฟู่เหยี่ยน เมื่อก่อนนายรู้จักฉัน” เจียงมู่เฉินกลัวคำพูดตัวเองไม่ชัดเจน จึงเสริมเพิ่มอีกประโยค “ห้าปีก่อน”

 

 

           “ทำไมคุณชายเจียงพูดแบบนี้ล่ะ”

 

 

           “วันนั้นที่ออกจากคฤหาสน์ของนายไป ฉันคิดอยู่ตั้งนาน ด้วยคุณสมบัติของคุณชายฟู่แล้ว อยากได้คนไหนก็ได้กลับไม่มี ทำไมจะต้องแสดงออกกับฉันคนเดียวคนที่เพิ่งเจอกันสองวันชัดเจนขนาดนี้…

 

 

           …ดังนั้นมันชัดเจนมากเลยว่านายเคยเจอมาก่อนหน้านั้นแล้ว”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “ถูกต้อง ผมรู้จักคุณมานานมากแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินสันนิษฐานไว้ ฟู่เหยี่ยนเกี่ยวข้องกับความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนของเขาจริงๆ สิ่งที่เขาคาดเดาก่อนหน้านี้ถูกต้องทั้งหมด

 

 

           “ก็น่าเสียดายอยู่ทีเดียว ฉันประสบอุบัติเหตุ ความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนลืมไปหมดเลย” เจียงมู่เฉินมองเขาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           “ถ้าคุณอยากฟื้นความทรงจำ ผมช่วยคุณได้นะ” ฟู่เหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           “ฉันอยากฟื้นความทรงจำก็จริง แต่น่าเสียดาย ฉันเคยถามผู้เชี่ยวชาญแล้ว ถ้าใช้วิธีบังคับให้ฟื้นคืน ฉันอาจจะเสียสติได้” เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “ตอนนี้ฉันก็ใช้ชีวิตได้อย่างดี ไม่อยากจะเสียสติอะไรหรอก”

 

 

           “อ่อ งั้นจู่ๆ คุณชายเจียงถามผม อยากจะสื่ออะไรเหรอ”

 

 

           นิ้วเรียวยาวของเจียงมู่เฉินบีบคางเอาไว้ “เมื่อก่อนฉันทำผิดกับนาย?”

 

 

           “เปล่า”

 

 

           “งั้นทำไมนายถึงจับฉันแน่นไม่ปล่อยเลยล่ะ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเลียบแบบท่าทางของเขา ยกมือขึ้นมาลูบคางไปมา ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ ฟู่เหยี่ยนก็เอ่ยถามเสียงต่ำ “คุณไม่เชื่อว่าผมทำเพราะว่าชอบคุณบ้างเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ฉันยังรู้ตัวเองดีอยู่นะ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนชักจะสนใจแล้ว “เช่นว่าเมื่อห้าปีก่อนผมเปิดใจให้คุณ หลังจากนั้นก็ตกหลุมรักคุณ ลืมคุณไม่ลงตลอดหลายปีมานี้ ดังนั้นจึงพาตัวคุณกลับมา”

 

 

           เหมือนเจียงมู่เฉินได้ฟังเรื่องตลกอะไรสักเรื่องไม่มีผิด เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ถ้าฉันเพิ่งจะเป็นผู้ใหญ่ นายพูดกับฉันแบบนี้ บางทีฉันอาจจะเชื่อนายได้”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ก็เผยอปากขึ้น รู้สึกปลงใจทีเดียว “บอกตามตรง ผมยังคิดถึงรอยยิ้มที่คุณเริ่มยิ้มทุกครั้ง”

 

 

           ในความทรงจำของฟู่เหยี่ยน เจียงมู่เฉินในตอนนั้นเรียกสั้นๆ ว่าเจียงเฉิน ความสามารถเด่นกว่าใคร รูปร่างหน้าตาดูดีแบบที่น้อยคนนักจะมี ไม่ว่าอะไรก็ตาม ขอเพียงแต่ส่งถึงมือเจียงมู่เฉิน ก็จะจัดการได้อย่างสวยงามทั้งหมด

 

 

           ได้รับวิชาจากพ่อเขามากกว่า แม้แต่คนในตระกูลก็ยังชื่นชมเจียงมู่เฉินมากมายเช่นกัน

 

 

           ตอนนั้นเขาโกรธจนทนไม่ไหว จึงมักจะไปยั่วโทสะเจียงมู่เฉินบ่อยๆ

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดาย เขามักจะยอมรับการยั่วโทสะของเขาอย่างใจเย็นเสมอ น้อยมากที่จะโกรธ

 

 

           มีเพียงครั้งหนึ่ง เขาฝ่าฝืนกฎ ทำเรื่องที่เจียงมู่เฉินรังเกียจ

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนตีกันกับเขา ตอนนั้นเขาผู้ซึ่งหยิ่งยโสโอหังถูกเจียงมู่เฉินกดลงกับพื้น อัดจนใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยแผล ก็ยังไม่ยอมแพ้

 

 

           สุดท้ายเจียงมู่เฉินจนใจ มือข้างหนึ่งกดที่ตัวเขา พลางเอ่ย “ฟู่เหยี่ยน มีวิธีแก้ปัญหาตั้งมากมาย ไม่ใช่จะใช้แต่กำลังไปซะทุกอย่างนะ”

 

 

           เขาโมโหจนดวงตาแดงก่ำ ถลึงตาใส่เจียงมู่เฉิน “วันนี้ฉันยังสู้นายไม่ได้ นายรอไว้เลย ไม่ช้าก็เร็วสักวัน ฉันจะทำให้นายรู้ถึงจุดจบของคนใจอ่อน”

 

 

           เจียงมู่เฉินปล่อยมือ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วฉันจะรอนาย”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินที่เดินลับไปไกล ตั้งใจแน่วแน่แล้ว ต้องมีสักวัน เขาจะทำให้เจียงมู่เฉินมาเสียใจทีหลังกับความเมตตาปราณีในวันนี้

 

 

       

 

 

ตอนที่ 333 ฐานะเปิดเผย

 

 

           ตั้งแต่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาก็มักจะไปหาเรื่องเจียงมู่เฉินเสมอๆ ทั้งสองตีกันได้ทุกวี่ทุกวัน กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ทำให้คนตกใจอยู่ไม่น้อย

 

 

           เพียงแต่ว่าไม่มีใครออกมาห้ามพวกเขาทั้งสองคน ตรงกันข้ามกลับมองดูพวกเขาตีกันเหมือนดูละครอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เป็นเช่นนี้มาตลอด หลังจากที่เขายั่วประสาทเจียงมู่เฉินมาเต็มๆ หนึ่งปี ก็ยังคงโดนเจียงมู่เฉินสยบแทบเท้าได้เหมือนเดิม

 

 

           จนกระทั่งเขาตัดสินใจไปหาคนฝึกซ้อมด้วย จึงออกไปข้างนอกเป็นเวลาสองเดือน หลังจากสองเดือนผ่านไป เขากลับมาก็พบว่าฐานะของเจียงมู่เฉินถูกเปิดเผย ตัวจริงเขาคือสายลับที่แฝงตัวมา

 

 

           ฟู่เหยี่ยนคิดไม่ตกถึงอารมณ์ในตอนนั้น เขารับคำสั่งจากพ่อ ให้พาตัวเจียงมู่เฉินไป บอกว่าต้องลงโทษเจียงมู่เฉินเป็นการส่วนตัว

 

 

           พ่อเขารู้ถึงอารามณ์โทสะของเขา จึงไม่ได้ความยากเย็นอะไรมากมาย

 

 

           ฟู่เหยี่ยนกักขังเจียงมู่เฉินไว้อย่างง่ายดาย พาตัวเขามากักขังไว้ในห้องที่เกาะเล็กๆ เกาะนี้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรู้สึกว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อเจียงมู่เฉินไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ เขาไม่อยากให้เจียงมู่เฉินตาย แต่ก็จงเกลียดจงชังเจียงมู่เฉิน

 

 

           เขากักตัวเจียงมู่เฉินในทุกๆ วัน เปลี่ยนวิธีทรมานอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ

 

 

           ในหัวเขามีเพียงแค่ความคิดเดียว เขาต้องการให้เจียงมู่เฉินผู้หยิ่งยโสได้รับความอัปยศอย่างถึงที่สุด ให้ยอมก้มหัวให้เขา

 

 

           เขาคิดอยู่หลากหลายวิธี ค่อยๆ ทรมานทำลายจิตใจของเจียงมู่เฉินทีละนิดๆ

 

 

           ช่วงเวลาสั้นเพียงครึ่งเดือน เจียงมู่เฉินผอมลงเท่าตัว ทั้งร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผล

 

 

           และก็ไม่ได้มีท่าทางห้าวหาญเมื่อแต่ก่อนอีก

 

 

           เห็นสภาพเช่นนั้นของเจียงมู่เฉิน ในใจฟู่เหยี่ยนไม่ได้มีความสุขกับการได้แก้แค้นเลย กลับรู้สึกสับสนเสียด้วยซ้ำไป

 

 

           เขาคิดไม่ตกถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเจียงมู่เฉิน กลับไม่อยากทรมานเจียงมู่เฉินอีกด้วย

 

 

           ประจวบเหมาะที่เวลาช่วงนั้น พ่อเขาเรียกตัวเขากลับไปพอดี

 

 

           ฟู่เหยี่ยนอยากจะทำให้ความรู้สึกที่สับสนของตัวเองชัดเจน ล็อคที่คุมขังเจียงมู่เฉินไว้ สั่งคนเพิ่มกำลังรักษาเวรยามเฝ้าประตูอย่างเข้มงวด

 

 

           รอเขากลับมาค่อยคิดกันใหม่

 

 

           แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เขาออกไปแล้ว เจียงมู่เฉินจะอาศัยเวลาช่วงค่ำในคืนหนึ่งแอบวิ่งหนีไป

 

 

           ผลปรากฏว่าถูกคนในปราสาทจับได้ จึงกระโดดลงหน้าผาไปตาย

 

 

           กว่าเขาจะกลับมา ก็เห็นเพียงแค่สภาพร่างกายที่ไม่เหลือชิ้นดีของเจียงมู่เฉิน

 

 

           ตัวบวม ใบหน้างามละเอียดได้รูปนั้นก็ถูกหินโสโครกครูดผ่านจนเสียโฉมไปหมด ช่างโหดร้ายทารุณเหลือเกิน

 

 

           ไม่เหลือเค้าเดิมของเจียงมู่เฉินเลย

 

 

           ฟู่เหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินในสภาพที่น่าอนาถ ใจเขาก็พังทลาย

 

 

           นาทีนั้นเอง เขาถึงเพิ่งได้เข้าใจ ตอนนั้นที่ตัวเองไปยั่วโมโหเจียงมู่เฉินอย่างไม่ลดละตลอดหนึ่งปีกว่าๆ ก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับเจียงมู่เฉิน

 

 

           เขาอยากจะสยบเจียงมู่เฉินให้ได้ แบบนี้ถึงจะมีคุณสมบัติเทียบเสมอเจียงมู่เฉินได้

 

 

           เขาถึงจะมีคุณสมบัติที่จะคบกับเจียงมู่เฉินได้

 

 

           แต่ใครก็ไม่คิดว่าเจียงมู่เฉินจะเป็นสายลับที่แฝงตัวมา ดังนั้นเขาในตอนนั้นถึงรับความจริงไม่ไหว พาลเกลียดเจียงมู่เฉินไปด้วย

 

 

           เขาเกลียดเจียงมู่เฉินมาก แต่กลับไม่อยากให้เจียงมู่เฉินตาย ดังนั้นเขาจึงหาเหตุผลพาตัวเจียงมู่เฉินไปทรมานอยู่ทุกวัน

 

 

           เห็นอีกฝ่ายเจ็บปวด…

 

 

           เหมือนกับว่าทำแบบนั้นแล้วจะทำให้ความรู้สึกที่โดนหักหลังสะเทือนจิตใจของเขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

 

 

           แต่ยิ่งทรมานเจียงมู่เฉิน ก้นบึ้งหัวใจเขากลับยิ่งสับสน

 

 

           เพียงแต่กว่าเขาจะคิดได้ คิดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินจะตายไปแล้ว

 

 

           กว่าเขาจะรู้ใจตัวเองได้ กว่าจะคิดได้ว่าต่อให้เจียงมู่เฉินหักหลังเขา เขาก็ยินดีที่จะคบกับเจียงมู่เฉิน

 

 

           แต่…

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเขา

 

 

           เขากระโดดลงไปเพื่อจบมัน และตายอยู่บนเกาะเล็กๆ เกาะนี้

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินเสียชีวิตไป ฟู่เหยี่ยนจะทำอะไรนับวันก็โหดร้ายและน่ากลัว การเปลี่ยนแปลงของเขากลับทำให้ได้วิชาของพ่อมา

 

 

           ต้องการให้เขารับช่วงต่อกิจการของตระกูล

 

 

           หลายปีมานี้ ข้างกายฟู่เหยี่ยนมีคนเข้ามาไม่ขาดสาย ทุกคนต่างก็มีเงาของเจียงมู่เฉิน

 

 

           ดวงตา ริมฝีปาก คิ้ว…

 

 

           ขอเพียงแต่มีจุดเดียวที่เหมือนกัน เขาก็จะให้คนอยู่ข้างกายเขา

 

 

           เขามองผ่านคนพวกนั้นเข้าไป ตามหาเงาของเจียงมู่เฉิน

 

 

           แต่คนพวกนั้นถึงแม้จะมีความคลับคล้ายกับเจียงมู่เฉิน ไม่มีใครสักคนที่เป็นเจียงมู่เฉิน

ตอนที่ 330 เมื่อคนจากไป ที่ทางก็ว่างเปล่า

 

 

           เจ้าแมวป่าน้อยที่วิ่งหนีไปตั้งนานขนาดนี้แล้ว ก็ควรจะกลับคืนสู่เจ้าของเดิมที่ถูกต้อง กลับไปสู่ที่ที่ควรกลับได้เสียที

 

 

           เขาอุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นมาบนเครื่องบิน เพียงไม่นานเครื่องบินก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเคลื่อนตัวออกจากที่นั่นไป

 

 

           บนเครื่องบิน เจียงมู่เฉินผู้ไม่ได้สติเอนซบอยู่ในอ้อมอกของฟู่เหยี่ยน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนก้มหัวลงมองเจียงมู่เฉิน ยกมือขึ้นเกลี่ยผมที่ปกแก้มเขา

 

 

           ถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายพาตัวคนไปเอง เกรงว่าเจ้าแมวป่าน้อยตัวนี้จะหนีไปในที่ที่เขาตามจับไม่ได้อีก

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดาย ชั่วชีวิตนี้เจียงมู่เฉินมีชะตากรรมที่หนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของเขาไปได้

 

 

           ห้าปีก่อนเคราะห์ดีที่ให้เขาหนีไปได้ แต่วันนี้เขาจะไม่เดินซ้ำรอยเดิมอีก

 

 

           เขาลูบไล้ใบหน้าของเจียงมู่เฉินอย่างเบามือ ความอยากเอาชนะแฝงในแววตา

 

 

           ……

 

 

           ซังจิ่งรอเจียงมู่เฉินอยู่ที่คฤหาสน์ แต่กลับรอแล้วไม่เจอสักที

 

 

           เขาโทรหาเจียงมู่เฉินด้วยจิตใจที่กระสับกระส่าย

 

 

           แต่กลับไม่มีคนรับสายอยู่ตลอด ซังจิ่งค่อนข้างร้อนใจ คิดว่าซูเตอร์ลักพาตัวเจียงมู่เฉินไปอีก พรวดพราดไปแก๊งมังกรครามโดยไม่คิดสักนิด

 

 

           ครั้งก่อนซังจิ่งมาก่อความอึกทึกวุ่นวาย คนข้างในส่วนใหญ่จึงรู้จักซังจิ่งกันทั้งหมด

 

 

           เมื่อเห็นเขามาอีกครั้ง ก็รีบรายงานซูเตอร์ทันที

 

 

           ซูเตอร์ออกมาจากด้านใน เห็นซังจิ่งยืนอยู่หน้าประตูคนเดียว ก็เอ่ยเสียงเย็น “นายมาอีกทำไม”

 

 

           “คุณจับตัวเจียงมู่เฉินไปใช่ไหม”

 

 

           ซูเตอร์ยิ้มเยาะ “คนหายไปอีกแล้ว? ครั้งนี้ฉันไม่ได้ลงมือสักหน่อย อย่าแบบพอหายตัวไป ก็เอาแต่โทษฉันอยู่เรื่อยสิ”

 

 

           “ไม่ใช่คุณจริงๆ เหรอ”

 

 

           “วันนั้นฉันปล่อยให้เขาพ้นสายตาฉันไปได้ แล้วจำเป็นต้องจับมาอีกหรือไง” ซูเตอร์เอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “ถึงแม้ฉันจะไม่ชอบขี้หน้าเจียงมู่เฉิน ก็ไม่ถึงขนาดจะมาเปลืองสมองกับเขามากขนาดนี้อยู่ได้ตลอดนะ”

 

 

           “ถ้าฉันเป็นนาย สู้จะคิดดีกว่า ว่าเขาได้ไปทำผิดกับคนอื่น ถูกศัตรูคนอื่นจับตัวไปแล้วหรือเปล่า”

 

 

           ซังจิ่งนัยน์ตาประกายวาบ  คนอื่น…

 

 

           ‘ถ้าไม่ใช่ซูเตอร์เป็นคนทำจริงๆ ถ้างั้นก็มีเพียงแค่…’

 

 

           “ผมจะถามคุณเป็นครั้งสุดท้าย คุณไม่ได้ทำอะไรเจียงมู่เฉินจริงๆ ใช่ไหม”

 

 

           ข้างๆ มีคนทนดูไม่ได้แล้ว “คุณชายน้อยของพวกเราสองสามวันมานี้ไม่ได้ออกไปไหนเลย จะมีเวลาว่างอะไรมาอยากจับคนของนายได้ที่ไหนกัน”

 

 

           ซังจิ่งสังเกตมองสีหน้าอารมณ์ของซูเตอร์อย่างละเอียด เห็นเขามีท่าทียืนยันว่าไม่ได้ทำเรื่องนี้จริงๆ ไม่ได้โกหกเลยสักนิด

 

 

           “รอผมสืบออกมาก่อนเถอะ ถ้าเป็นคุณจับตัวเจียงมู่เฉินไป ผมต้องมาคิดบัญชีกับคุณแน่!”

 

 

           ซังจิ่งทิ้งทวนด้วยประโยคนี้ แล้วรีบขับรถออกไป

 

 

           เขาลุกลี้ลุกลนในใจ ถ้าไม่ใช่ซูเตอร์ เช่นนั้นก็มีได้เพียงแค่ฟู่เหยี่ยน

 

 

           หรือว่าฟู่เหยี่ยนจะรู้ว่าเขาแอบตัดสินใจลับหลัง จะพาตัวเจียงมู่เฉินกลับถานโจววันนี้  ดังนั้นถึงได้ลงมือทันที?

 

 

           ซังจิ่งยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน รีบเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปคฤหาสน์ของฟู่เหยี่ยน

 

 

           ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ซังจิ่งรีบมาถึงที่คฤหาสน์ ประตูบานใหญ่ข้างในปิดสนิท ไม่มีคนอยู่แล้ว

 

 

           ถึงเวลาตอนนี้ ซังจิ่งถึงได้เข้าใจ เจียงมู่เฉินถูกฟู่เหยี่ยนเอาตัวไปจริงๆ

 

 

           เพราะกลัวเขาจะไปก่อกวน จึงออกจากคฤหาสน์ไปทั้งอย่างนี้

 

 

           ซังจิ่งทุบพวงมาลัยด้วยความคับแค้นใจอย่างหนัก ต้องโทษเขาคนเดียว ถ้าเขาไม่พาเจียงมู่เฉินไปส่งให้ฟู่เหยี่ยนถึงที่ ตอนนี้เจียงมู่เฉินก็จะไม่ถูกฟู่เหยี่ยนพาตัวไปได้

 

 

           อิทธิพลอำนาจของฟู่เหยี่ยน ซังจิ่งต้องเข้าใจเป็นธรรมดา

 

 

           ด้วยความสามารถของเขาไม่พอจะยื้อแย่งกับฟู่เหยี่ยนอยู่แล้ว อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าฟู่เหยี่ยนพาตัวคนไปไว้ที่ไหน

 

 

           อยากจะหาตำแหน่งของฟู่เหยี่ยน มันคือความยากซ้อนความยากยิ่งขึ้นไปอีก

 

 

           หาฟู่เหยี่ยนไม่เจอ แล้วจะช่วยชีวิตเจียงมู่เฉินได้อย่างไร

 

 

           เพียงชั่วพริบตานั้น ซังจิ่งใจพังครืน ด้วยอิทธิพลอำนาจของฟู่เหยี่ยน อยากจะซุกซ่อนปกปิดข่าวคราวของเจียงมู่เฉินนั้นง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ

 

 

           เขารีบขับรถออกไปทันที

 

 

           ต่อให้กำลังที่มีจะห่างชั้นกัน แต่เขาก็อยากพยายามหาเจียงมู่เฉินเจอ

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นคนใจอำมหิตมือเ**้ยมโหดอย่างฟู่เหยี่ยนคนเดียว ยากจะรับประกันได้ว่าจะไม่ทำร้ายเจียงมู่เฉิน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนคือผู้ว่าจ้างของเขา และภารกิจของเขาก็คือการพาเจียงมู่เฉินไปส่งให้ฟู่เหยี่ยนถึงที่

 

 

           

 

 

           ตอนที่ 331 โดนลักพาตัวไปอีกแล้ว

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะเขารักเจียงมู่เฉินเข้าแล้ว เขาก็ปฏิบัติภารกิจให้เสร็จโดยสมบูรณ์แล้ว

 

 

           แต่ตอนนี้ สำหรับเขาแล้วเจียงมู่เฉินไม่ใช่เป้าหมายในภารกิจ แต่เป็นคนที่ชอบ ทุกอย่างทั้งหมดก็ไม่สามารถอิงตามสิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้านี้

 

 

           ต่อให้วันหน้าเสียชื่อในองค์กร เขาก็ให้เจียงมู่เฉินตกอยู่ในกำมือของฟู่เหยี่ยนไม่ได้

 

 

           ……

 

 

           หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง เครื่องบินก็ลงจอดที่เกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง ฟู่เหยี่ยนอุ้มเจียงมู่เฉินที่ยังคงนอนหลับสนิทลงมาจากเครื่องบิน แล้วอุ้มตรงเข้าไปในปราสาทที่อยู่ด้านหลัง

 

 

           ฟู่เหยี่ยนอุ้มเจียงมู่เฉินพาไปยังห้องห้องหนึ่งด้วยความคุ้นเคย

 

 

           เขาบรรจงวางตัวเจียงมู่เฉินลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล พินิจมองด้วยความพอใจ

 

 

           เป็นอย่างที่คิดเตียงหลังนี้ยังคงเหมาะกับเจียงมู่เฉินที่สุด

 

 

           เพียงแต่ไม่รู้ว่าไม่นอนที่นี่มานานขนาดนี้แล้ว เขาจะยังจำเตียงหลังนี้ได้หรือเปล่า

 

 

           แต่ตอนนั้นเขาตั้งใจทำเพื่อเจียงมู่เฉินเป็นพิเศษโดยเฉพาะ

 

 

           ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เจียงมู่เฉินค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นสถานที่แปลกตา ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก

 

 

           ร่างกายเขาค่อนข้างไม่ปกติ ทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง เจียงมู่เฉินพยายามต่อสู้ดิ้นรนยันกายขึ้นมานั่ง เท้าตกถึงพื้น ขาทั้งสองข้างก็รู้สึกสั่น เกือบจะล้มหงายลงไป

 

 

           เจียงมู่เฉินหวนคิดถึงก่อนหน้านี้ที่ยังมีสติอยู่ ปัญหาน่าจะเกิดหลังจากขึ้นรถคันนั้นไป

 

 

           เขาได้กลิ่นแปลกๆ กลิ่นหนึ่ง หลังจากนั้นก็หมดสติไป

 

 

           กว่าจะตื่นมาอีกที ก็อยู่ที่นี่แล้ว ดูจากสีท้องฟ้าข้างนอกนั้น ก็มืดค่ำลงแล้ว

 

 

           ไม่รู้ว่ารู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน

 

 

           แล้วเป็นใครที่ลักพาตัวเขามาอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินกดที่หน้าผากอย่างอับจนหนทาง  ครั้งก่อนเป็นซูเตอร์ แล้วครั้งนี้เป็นใครอีก

 

 

           ช่วงนี้เขาดวงชงเหรอ ใครๆ ก็อยากลักพาตัวเขา

 

 

           ไม่ใช่ว่าไม่ได้คิดถึงซูเตอร์ แต่ถ้าเป็นซูเตอร์ เขาจะไม่เสียแรงลำบากขนาดนี้เพื่อลักพาตัวเขามาถึงที่นี่ได้

 

 

           ถึงอย่างไรห้องสีดำเล็กๆ คราวที่แล้วถึงจะเข้ากับสไตล์ของซูเตอร์

 

 

           ทุกส่วนของที่นี่ปรากฏความหรูหราโอ่อ่า ราวกับมีคนตั้งใจออกแบบเป็นพิเศษไม่มีผิด ค่าก่อสร้างแพงน่าดู

 

 

           ในหัวเจียงมู่เฉินฉายสะท้อนภาพคนคนหนึ่งขึ้นมา ถ้าจับจุดจากรายละเอียดปลีกย่อยจริงๆ

 

 

           ท่ามกลางคนที่เขารู้จักยังมีคนที่เข้ากับอะไรทำนองนี้อยู่คนหนึ่งจริงๆ

 

 

           เพียงแต่ว่า เขาจำเป็นอะไรจะต้องมาเปลืองแรงมากขนาดนี้เพื่อพาตัวเขามา

 

 

           อีกอย่างระหว่างพวกเขา ก็ไม่เคยได้พบปะติดต่อกันอะไรมากมาย

 

 

           เคยพูดคุยอยู่ร่วมกันเพียงแค่สองวันเท่านั้นเอง

 

 

           เจียงมู่เฉินยังไม่ถึงขั้นหลงตัวเอง  ขนาดที่ว่ารู้จักกันแค่วันสองวัน จู่ๆ ฟู่เหยี่ยนจะมาชอบเขาได้ ลืมเขาไม่ลง คิดหาวิธีพาตัวเขามาหรอกนะ

 

 

           เขาเดินออกจากห้องตามแสงไฟสลัวลงบันไดไป

 

 

           พอออกจากห้องมาแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้พบว่าสถานที่ที่เขาอยู่ใหญ่โตเพียงใด ราวกับปราสาทอย่างไรอย่างนั้น สลับซับซ้อนวนเวียนไปมา

 

 

           ใช้เวลาประมาณหนึ่ง ถึงเพิ่งจะเดินลงมาชั้นหนึ่งได้

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่ได้ เสียแรงลำบากพาตัวเขากักตัวอยู่ที่นี่ เขาชักจะรู้สึกสนใจขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

 

 

           ชั้นหนึ่งไม่มีใครสักคน ปราสาททั้งหลังตั้งแต่เขาตื่นมา ก็ไม่เห็นแม้แต่คนเดียว

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินเกิดความสงสัย  พาตัวเขามา แต่กลับไม่หาคนมาเฝ้าดู   หรือว่าไม่กลัวว่าเขาจะหนีเลย

 

 

           ตามทางที่เดินออกมาจากปราสาท เจียงมู่เฉินมองเห็นคนคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เขาหยุดสักพัก แล้วเดินเข้าไป

 

 

           นี่คือคนแรกที่เจอหลังจากตื่นขึ้นมา บางทีเขาอาจจะตอบปัญหาที่ตัวเองสงสัยได้

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับแผ่นหลังนี้ จนกระทั่งคนคนนั้นหมุนตัวหันกลับมา เจียงมู่เฉินตกตะลึงในทันที

 

 

           เขาคิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ คนคนนี้ก็คือฟู่เหยี่ยนจริงๆ

 

 

           ภายใต้แสงจันทร์ ฟู่เหยี่ยนถือแก้วไวน์ ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาเอียงตัวเล็กน้อย มองเจียงมู่เฉิน แล้วยกยิ้มมุมปาก “ตื่นแล้วเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ ฝีเท้ายังไม่หยุด เดินไปอยู่ข้างๆ ฟู่เหยี่ยน “เป็นนายจริงๆ ด้วย”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยื่นมือส่งไวน์แดงแก้วหนึ่งให้เขา “ชิมดูไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเองก็ไม่สงสัย ยื่นมือไปรับมาดื่มคำหนึ่ง “ได้”

ตอนที่ 328 ฉันเลิกกับเขาแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินไปยังห้องอาหาร ทั้งหมดบนโต๊ะคืออาหารที่เขาชอบกิน คิดดูแล้วก็คือผลงานชิ้นโบว์แดงของซังจิ่งด้วยเช่นกัน

 

 

           เขาถอนหายใจเล็กน้อย  ซังจิ่งคิดกับเขายังไงเขาเองก็รู้ เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้จะตอบรับซังจิ่งยังไงจริงๆ

 

 

           ถึงแม้เขาจะมีปมกับซือเหยี่ยนใหญ่ขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่คิดจะตามกลับมาจากคนอื่น

 

 

           ซังจิ่งดีกับเขา แต่เขาก็ไม่รักซังจิ่ง

 

 

           เขาไม่สามารถเอาความดีของซังจิ่งไปตอบรับซังจิ่งได้

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ  อย่างมากก็แค่ต่อไปมองเขาดีขึ้นหน่อยก็แล้วกัน เป็นคนรักไม่ไหว งั้นเป็นเพื่อนกันก็ได้

 

 

           หลงัจากเจียงมู่เฉินกินเสร็จ พ่อบ้านหลินเก็บกวาดของสักพักหนึ่ง ก็ออกจากคฤหาสน์ไป

 

 

           คฤหาสน์หลังใหญ่โตเหลือเพียงแค่เจียงมู่เฉินคนเดียว

 

 

           เขาค่อยๆ เดินไปยังด้านนอกนั่งบนเก้าอี้ชมพระจันทร์บนท้องฟ้า ไม่รู้ว่ามือถือดังขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เจียงมู่เฉินหยิบมือถือออกมา คิดไม่ถึงว่าจะคือมั่วไป๋

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบรับสายทันที

 

 

           “ไป๋ไป๋…”

 

 

           เมื่อเขาเอ่ยปาก ปลายสายก็ผ่อนลมหายใจทันที “ในที่สุดนายก็รับสายสักที”

 

 

           “ขอโทษนะ สองสามวันนี้ฉันค่อนข้างยุ่ง ไม่ได้เปิดมือถือเลย”

 

 

           ซูเตอร์ริบมือถือเขาไป แล้วพอออกมาได้ ก็ไม่รู้ว่าไปทำหายที่ไหน จนวันนี้ตอนเช้าออกจากโรงพยาบาลมา ถึงได้เพิ่งซื้อมือถือใหม่

 

 

           “นายจะกลับมาตอนไหน”

 

 

           “จะกลับพรุ่งนี้ตอนเช้า”

 

 

           มั่วไป๋โล่งอกไปที “งั้นโอเค รอนายกลับมาค่อยว่ากัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินเคลือบแคลง จับสังเกตถึงความผิดปกติบางอย่างได้ “เป็นไรไป เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ลังเลสักพัก “ฟู่เหยี่ยน คนที่คราวก่อนนายให้สืบเรื่องของเขา”

 

 

           “อืม เขาเป็นอะไรเหรอ” เขานึกถึงตอนที่อยู่คฤหาสน์ของฟู่เหยี่ยนขึ้นมาได้ ตัวเองให้มั่วไป๋ช่วยตรวจเบื้องลึกเบื้องหลังของฟู่เหยี่ยน

 

 

           “เขาค่อนข้างซับซ้อน พูดสั้นๆ รวบรัดไม่ชัดเจนหรอก ถึงยังไงนายจำไว้ระวังเขาด้วย ส่วนรายละเอียดรอกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “โอเค งั้นเจอกันวันมะรืน”

 

 

           “อืม งั้นนายทำธุระนายต่อเถอะ” มั่วไป๋พูดจบก็เตรียมจะวางสาย

 

 

           “ไป๋ไป๋…” เจียงมู่เฉินเอ่ยเรียกเสียงต่ำ

 

 

           “มีอะไรเหรอ”

 

 

           “ระหว่างนายกับไป๋จิ่ง…เป็นยังไงกันบ้าง” เขายังจำได้ ตอนที่ติดต่อกันอยู่ที่คฤหาสน์ของฟู่เหยี่ยน เหมือนว่าเขากับไป๋จิ่งจะเกิดปัญหากันแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เงียบไม่พูดจา ไม่ได้ตอบกลับในทันที

 

 

           กั้นกันแค่มือถือ เจียงมู่เฉินก็จับสังเกตท่าทีตอบสนองของมั่วไป๋ที่ไม่ค่อยปกติได้

 

 

           “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เขาถามอย่างร้อนใจ

 

 

           มั่วไป๋อ้าปากพูดอย่างยากลำบาก “ไม่มีอะไร ฉันเลิกกับเขาแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินยังอยากถามต่อ แต่มั่วไป๋กลับไม่มีคำตอบให้อีก

 

 

           “คุยกันแค่นี้ก่อนนะ ฉันจะวางสายแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงตกลง ปล่อยให้มั่วไป๋วางสายไป

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำไมตอนที่เขาไม่อยู่ช่วงเวลานี้ มั่วไป๋ก็เลิกกับไป๋จิ่งแล้ว

 

 

           เมื่อจะไปตอนนั้น พวกเขายังดีๆ กันอยู่ชัดๆ

 

 

           ‘หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น’

 

 

           ……

 

 

           หลังจากมั่วไป๋วางสายไปแล้ว ถึงได้ลงมาจากเตียง เขายืนเท้าเปล่าอยู่หน้าหน้าต่าง ยื่นมือไปเปิดผ้าม่าน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างวาบ

 

 

           เขาก้มมองดูข้างนอก ไม่มีรถที่คุ้นเคยคันนั้นอยู่อีกเช่นเคย

 

 

           หัวใจเจ็บกระตุกเล็กน้อย มั่วไป๋คิด  เขายอมแพ้จริงๆ แล้วสินะ

 

 

           ต่อไปไป๋จิ่งก็น่าจะไม่มาปรากฏตัวอีกแล้ว

 

 

           เขาต้องการจุดจบแบบนี้ชัดๆ แล้วตอนนี้เป็นไปตามแผนทั้งหมดของเขาแล้ว

 

 

           ทำให้ไป๋จิ่งเจ็บปวดสาหัส เอาความเจ็บปวดที่ได้รับในตอนนั้นแก้แค้นคืนให้เขา

 

 

           เขาควรจะดีใจถึงจะถูก สิ่งที่ปรารถนามานานหลายปี ในที่สุดก็เป็นจริงก่อน

 

 

           แต่…

 

 

           เขาไม่รู้สึกถึงความสุขเลยสักนิด หลังจากที่เห็นไป๋จิ่งเดินจากไป เหมือนหัวใจว่างเปล่า เกิดหลุมขนาดใหญ่ ไม่มีทางจะเติมเต็มได้อีก

 

 

           มั่วไป๋จนใจยิ้มอย่างขมขื่น  นี่คือสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ

 

 

           เขาสมควรจะได้รับมัน

 

 

 

 

ตอนที่ 329 ติดกับดัก

 

 

           นอนไม่หลับทั้งคืน เบิกตารอมาตลอดจนฟ้าสว่าง จนถึงตอนเช้าเวลาเจ็ดโมงกว่าๆ เจียงมู่เฉินถึงได้ขยับร่างกายที่ค่อนข้างแข็งทื่อของเขา

 

 

           เขายืนอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ แล้วเปลี่ยนชุดนอนจากในตู้เสื้อผ้า

 

 

           พ่อบ้านหลินอยู่ในห้องครัวที่ชั้นล่างอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินหยุดลงสักพัก ก่อนเดินเข้าไป “ลำบากนายแล้ว”

 

 

           พ่อบ้านหลินยกยิ้ม “สมควรอยู่แล้วครับ อาหารเช้าของคุณเจียงเสร็จแล้ว กินอาหารเช้าก่อนเถอะครับ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้าเข้าไปนั่ง กินไปด้วย พลางคุยกับพ่อบ้านหลินไปด้วย “ฉันกินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็จะออกไปเลย”

 

 

           “ต้องการให้กระผมเรียกรถไปส่งคุณไหมครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองก็ได้แล้ว”

 

 

           พ่อบ้านหลินได้ยินเข้าพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก พยักหน้าตอบรับ “ครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกินเสร็จก็เดินขึ้นชั้นบนไป หยิบเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่ไว้ในเครื่องอบแห้งออกมา เตรียมตัวเปลี่ยนชุดออกจากที่นี่

 

 

           เมื่อเขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะที่กำลังสวมเสื้อเชิ้ตก็หยุดชะงักไปกะทันหัน

 

 

           เขาถอดเสื้อเชิ้ตออก พินิจมองตัวเองในกระจกอย่างละเอียด

 

 

           คอเขามีรอยแดงจ้ำหนึ่ง เจียงมู่เฉินจ้องมองรอยแดงนั้นอย่างละเอียด ก็เกิดความสงสัยขึ้นมา

 

 

           ก่อนที่เขาจะมา อยู่ที่นี่เขาไม่ได้มีรอยใดใด ทำไมจู่ๆ ถึงมีรอยนี้โผล่มาอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยได้

 

 

           ทันใดนั้นเจียงมู่เฉินก็คิดถึงความฝันเมื่อวาน นัยน์ตาฉายแวว…

 

 

           ……

 

 

           หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เจียงมู่เฉินก็ออกจากคฤหาสน์ไป เขาเรียกรถไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อเขาเดินถึงหน้าประตูก็อดจะหันกลับมามองแวบหนึ่งไม่ได้

 

 

           มองดูโดยละเอียดอีกครั้ง เจียงมู่เฉินถึงได้นั่งออกไป

 

 

           จากหน้าต่างที่อยู่ไม่ไกลนัก มีคนคนหนึ่งจับตาดูตามเงาของเจียงมู่เฉินไม่ห่างอยู่ตลอด

 

 

           จนกระทั่งหลังจากที่เขาออกไปแล้ว พ่อบ้านหลินถึงได้หยิบมือถือออกมาโทรรายงาน

 

 

           “ประธานซือครับ คุณชายเจียงออกไปแล้วครับ”

 

 

           “ดี” เขาหยุดสักพักก่อนถามต่อ “เขาไม่ได้สงสัยหรอกใช่ไหม”

 

 

           “คุณวางใจได้ครับ กระผมทำตามที่คุณกำชับไว้ บอกว่าซังจิ่งแล้วครับ”

 

 

           เวลานี้เองซือเหยี่ยนถึงได้วางใจ “ดี ลำบากนายแล้ว”

 

 

           พ่อบ้านหลินลังเลสับสนอยู่ครู่หนึ่ง “ประธานซือครับ มีบางอย่าง กระผมไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือเปล่า”

 

 

           “เรื่องอะไร”

 

 

           “สองวันมานี้คุณชายเจียงเหมือนจะมีเรื่องในใจ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาอยู่ตลอด อารมณ์ก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ครับ”

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่ถือมือถืออยู่กำแน่นโดยไม่ตั้งใจ เขาเค้นคำออกมาอย่างยากลำบาก “อืม ฉันรู้แล้ว”

 

 

           หลังจากวางสายไป แววตาล้ำลึกของซือเหยี่ยนฉายสะท้อนความเจ็บขึ้นมาวาบหนึ่ง

 

 

           ‘รอเดี๋ยวก่อน…’

 

 

           เขาใกล้จะไปหาเจียงมู่เฉินได้แล้ว

 

 

           ……

 

 

           นั่งรถออกจากคฤหาสน์ไปได้ไม่ถึงสิบนาที จู่ๆ รถก็หยุดกะทันหัน

 

 

           “ขออภัยครับคุณ รถเสียกะทันหัน ตอนนี้น่าจะยังไปไม่ไหวครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า ลงจากรถไป

 

 

           ด้านข้างมีรถคันหนึ่งขับผ่านมาจอดพอดี “ต้องการให้ช่วยหรือเปล่า”

 

 

           คนขับรถเห็นก็รีบเอ่ยทันที “คุณคนนี้ต้องการจะไปเขตเมือง รถผมจอดเสียพอดี”

 

 

           “ผมเองก็จะไปพอดี ผมถือโอกาสนี้พาคุณไปด้วยเลย?”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูเวลา ใกล้จะถึงเวลาที่นัดกับซังจิ่งแล้ว เขาลังเลอยู่ไม่นานก็ขึ้นรถไปทันที

 

 

           “โอเค งั้นรบกวนนายแล้ว”

 

 

           รถขับเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ อีกครั้ง ผ่านไปไม่กี่นาที เจียงมู่เฉินได้กลิ่นแปลกๆ ขึ้นมา

 

 

           เขาขมวดคิ้วรู้สึกมีอะไรไม่ค่อยชอบมาพากล เพิ่งจะเตรียมเอ่ยปาก ทั้งร่างก็หมดสติไปทันที

 

 

           คนขับรถที่อยู่ด้านหน้าเห็นเจียงมู่เฉินเป็นลมไปแล้ว แววตาประกายรอยยิ้ม ฤทธิ์ยาอยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาจำเป็นต้องรีบพาตัวคนไป

 

 

           รถที่มีเจียงมู่เฉินอยู่เปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน มุ่งหน้าขับไปอีกเส้นทางหนึ่ง

 

 

           หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป รถมาจอดข้างเครื่องบินส่วนตัว

 

 

           “คุณชายฟู่ครับ พาตัวคนมาได้แล้วครับ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเดินมายังข้างตัวรถ เห็นเจียงมู่เฉินที่กำลังสลบไสลอยู่ข้างรถ ก็ช้อนร่างอุ้มเขาออกมา

ตอนที่ 326 เจ็บทะลุถึงก้นบึ้งหัวใจ  

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งบนเก้าอี้พับในสวนดอกไม้อยู่นานมาก ยกข้างทั้งสองข้างขึ้นนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง  

 

 

           มีลมพัดผ่านเรือนผมของเขาตลอดเวลา พัดกระพือทรงผมสั้นสีดำของเขา  

 

 

           ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทรงผมจากเดิมที่สั้นมากยาวจนไม่รู้ว่ายาวไปถึงหลังหูตอนไหนแล้ว โอนอ่อนตามลมแนบชิดข้างหู  

 

 

           ลมอ่อนๆ โชยมา ทรงผมสั้นพลิ้วไหวตามกระแสลม ปกคลุมคิ้วและตาอยู่เรื่อยๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่ตรงนั้น อารมณ์ที่แสดงออกมาบนใบหน้าสงบนิ่งอย่างไม่เคยเจอมาก่อน  

 

 

           เวลาผ่านมานานแล้ว เขาขยับขาทั้งสองข้างที่เกิดอาการชาพอสมควร ลุกจากเก้าอี้ยืนขึ้นมา  

 

 

           เดินจากสวนดอกไม้ถึงหน้าประตูคฤหาสน์อีกครั้ง เจียงมู่เฉินใช้มือผลักเปิดประตูเหล็กบานหนาและหนัก  

 

 

           เสี้ยวเวลานั้น ราวกับเปิดกล่องปริศนาของแพนโดรา [1] อย่างไรอย่างนั้น ความทรงจำมากมายที่ถูกปิดผนึกไว้พรั่งพรูออกมาทั้งหมดเพียงชั่วพริบเดียว  

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนอยู่หน้าทางเข้า มองดูคฤหาสน์อันว่างเปล่า ไม่มีอะไรแตกต่างจากวันนั้นที่พวกเขาออกจากที่นี่เลย  

 

 

           แม้กระทั่งการจัดวางสิ่งของก็ยังคงเป็นแบบของวันนั้น  

 

 

           คิดดูแล้วหลังจากพวกเขาจากไป ที่นี่ก็ไม่มีคนมาเข้ามาพักอีก  

 

 

           เจียงมู่เฉินหยุดลงสักพัก ยกเท้าก้าวเดินเข้าไป จากห้องรับแขกไปยังห้องครัว แล้วขึ้นไปห้องนอนชั้นบน  

 

 

           ทุกๆ ที่ยังคงเหลือร่องรอยการใช้ชีวิตของเขากับซือเหยี่ยน  

 

 

           ทันใดที่เจียงมู่เฉินใจลอย ในหัวก็มีเสียงมากมายดังก้องขึ้นมา  

 

 

           ในห้องครัว “คุณต้องการจีบผมไม่ใช่เหรอ ทำไมแค่ผูกผ้ากันเปื้อนก็ไม่ยอมทำให้”  

 

 

           ตอนเป็นไข้ “เจียงมู่เฉิน คุณอายุเท่าไหร่แล้วยังกลัวการกินยาอยู่อีก”  

 

 

           ในไนต์คลับ ทั้งสองคนโอบกอดท่ามกลางผู้คนมากมาย  

 

 

           “คุณล่ะ กลัวไหม”  

 

 

“คุณชายอย่างฉันเคยกลัวที่ไหนกัน”   

 

 

“ในเมื่อคุณชายเจียงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ผมจะต้องกลัวอะไรอีก ถึงยังไงมีคุณชายเจียงอยู่ในมือ อย่างมากก็แค่ลากคุณลงนรกไปด้วยกันเท่านั้นเอง”  

 

 

ยังมีที่เขาไม่รู้จักยางอายย่องเข้าไปในห้องซือเหยี่ยนกลางดึกอีก  

 

 

“ซือเหยี่ยน”  

 

 

“อืม”  

 

 

“นายอยากจะคบกับฉันไหม”  

 

 

“ได้”  

 

 

เจียงมู่เฉินทำให้ตัวเองเจ็บปวดเมื่อหวนคิดถึงทุกสิ่งในตอนนั้น ทุกอย่างไม่ขาดแม้เพียงแต่จุดเดียว ทั้งหมดดังสะท้อนอยู่ในหัว  

 

 

เขาหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง  

 

 

‘อยากจะลืมซือเหยี่ยนยากเกินไปแล้ว’  

 

 

ชีวิตของเขา ทุกอย่างของเขาถูกซือเหยี่ยนเติมเต็มทีละนิดๆ มาตั้งแต่แรกแล้ว  

 

 

จนกระทั่งตอนนี้อยากจะแกะซือเหยี่ยนออกจากใจทีละนิดๆ ก็ยังไม่วายเจ็บปวดรวดร้าวอย่างนี้  

 

 

เจียงมู่เฉินหลับตาลง เดินไปถึงในห้องของซือเหยี่ยน  

 

 

เขายื่นมือไปเปิดประตู หน้าต่างเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ลมพัดผ่านผ้าม่าน ครึ่งล่างของผ้าม่านสีเทากำลังปลิวไสวอยู่กลางอากาศ  

 

 

เจียงมู่เฉินปล่อยมือ ให้ประตูเปิดกว้าง  

 

 

เขาเดินเข้าไปทีละก้าวๆ นั่งลงที่ฝั่งหนึ่งของเตียง ปลายนิ้วลูบผ้าปูเตียงอย่างเบามือ  

 

 

สัมผัสที่ปลายนิ้ว ทำให้หัวใจเจียงมู่เฉินบีบรัดตัวแน่น ปลายนิ้วอดจะสั่นระรัวไม่ได้  

 

 

เขาหลับตาลงเอนตัวลงนอนที่ฝั่งหนึ่งของเตียงอย่างช้าๆ เขาตะแคงข้าง งอตัวเล็กน้อย  

 

 

เวลาผ่านไปนานแล้ว เจียงมู่เฉินลืมตามองอีกฝั่งหนึ่งของเตียง  

 

 

เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น ซือเหยี่ยนก็นอนอยู่ข้างเขา เขาเชิดมุมปากขึ้นเรียกเขา “เฉินเฉิน”  

 

 

ขอบตาเจียงมู่เฉินเจ็บแปลบ เพียงชั่วครู่ก็แดงขึ้นมา  

 

 

เขาขยับมืออยากจะเข้าไปลูบใบหน้าของซือเหยี่ยน แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นที่จะสัมผัสถึงได้ ซือเหยี่ยนก็สลายหายไปกับตาทันที  

 

 

หัวใจเจียงมู่เฉินบีบรัดตัวแน่น หายใจไม่ค่อยออก  

 

 

เขากำมือแน่นอย่างยากลำบาก ความเจ็บปวดทำให้ร่างกายขดตัวโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

ไม่รู้นอนไปนานเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินสะลึมสะลือจนหลับไป  

 

 

เจียงมู่เฉินรู้สึกตัวเองเหมือนฝันไป ในฝันมีคนเดินเข้ามาในห้อง ทีละก้าวๆ จนถึงด้านข้างของเขา นั่งลงอยู่ข้างกายเขา  

 

 

เขาก้มหัวลงคล้ายกับว่าจะจูบตัวเอง  

 

 

สัมผัสบางเบา แต่กลับสมจริงเหลือเกิน  

 

 

เจียงมู่เฉินอยากลืมตาขึ้น แต่เปลือกตากลับหนักอึ้ง ยกอย่างไรก็ยกไม่ขึ้น  

 

 

ท่ามกลางความสะลึมสะลือ มีคนเอ่ยเสียงต่ำเรียกชื่อเขาอยู่ที่ข้างหู  

 

 

เสียงนั้นอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เจียงมู่เฉินเจ็บแปลบที่ปลายจมูกทรมานทีเดียว เจียงมู่เฉินในฝันขอบตาแดงก่ำ น้ำตาไหลหลั่งรดรินลงมา  

 

 

 

 

 

[1]   กล่องปริศนาของแพนโดรา  มาจากตำนานของ “แพนโดรา” (Pandora) เป็นสตรีนางแรกบนโลกมนุษย์และเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวบนโลก ผู้ซึ่งเปิดกล่องที่บรรจุความชั่วร้ายนานาซึ่งทำให้จิตใจของมนุษย์ไม่บริสุทธิ์  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 327 ฝันเห็นซือเหยี่ยน  

 

 

           ก่อนที่น้ำตาจะร่วงหล่นเข้าสู่เรือนผมสีดำ มีคนยื่นมือมาเกลี่ยเช็ดน้ำตาที่หางตาอย่างเบามือและอ่อนโยน  

 

 

           เขาได้ยินเสียงถอนหายใจเลือนลาง  

 

 

           จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ริมฝีปาก มีคนก้มหัวลงมาจูบเขา  

 

 

           รอยจูบนี้ประทับอยู่เนิ่นนาน คนคนนั้นถึงได้ยืนขึ้นจากข้างกายเขา เขาไม่ได้จากไปในทันที แต่อยู่ข้างเตียงมองเขาอยู่นานแสนนาน แล้วค่อยๆ เดินห่างออกไปทีละก้าวๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยายามลืมตาขึ้น แต่กลับเห็นแค่เพียงเงาของแผ่นหลังที่เลือนราง  

 

 

           ‘แผ่นหลังนั้น…  

 

 

           …คือซือเหยี่ยน…’  

 

 

           เจียงมู่เฉินจนใจยิ้มอย่างขื่นขม  ตกลงแล้วเขาชอบซือเหยี่ยนมากสักแค่ไหนกัน แม้แต่หลับไปแค่ตื่นเดียวก็ยังฝันถึงซือเหยี่ยนได้  

 

 

           แผ่นหลังนั้นค่อยๆ มลายหายไป เจียงมู่เฉินหนังตาหนักอึ้ง เข้าสู่นิทราไปทั้งอย่างนั้น  

 

 

           ……  

 

 

           กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าก็เป็นสีดำแล้ว เจียงมู่เฉินลืมตาขึ้น  

 

 

           เขาเห็นคฤหาสน์อันมืดมิด ยังไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองเท่าไหร่นัก  

 

 

           เวลาผ่านไปนานแล้ว เขายื่นมือไปเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง แสงสว่างแผ่ปกคลุมไปทั้งห้อง ในห้องมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น  

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นมาวางที่ริมฝีปาก สัมผัสอุ่นร้อนทำให้เขาเผลอคิดถึงรอยประทับจูบในฝันโดยไม่ได้ตั้งใจ  

 

 

           เขารู้สึกว่าตัวเองช่างหมกมุ่นจริงๆ  

 

 

           คิดไม่ถึงว่านอนหลับยังฝันเห็นซือเหยี่ยนจูบตัวเองได้ เขาถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ลุกขึ้นยืนจากเตียง  

 

 

           เขายืนเท้าเปล่าอยู่บนพื้น เดินออกจากห้องนอนลงไปชั้นล่าง  

 

 

           ตั้งแต่ออกมาตอนเช้า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง รู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ  

 

 

           เขาลงไปถึงชั้นหนึ่งก็พบว่ามีเสียงดังจากในครัว เจียงมู่เฉินชะงักงัน เหมือนคิดถึงอะไรได้ ก็รีบพุ่งตัวเข้าไป  

 

 

           เขายืนอยู่หน้าห้องครัว เห็นคนแปลกหน้ายืนอยู่ข้างในนั้น ในใจพังทลายลง  

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นเขาเชื่อว่าเป็นซือเหยี่ยนที่กลับมาแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินฝืนยิ้ม  เป็นเขาที่คิดมากไปเอง ซือเหยี่ยนจะกลับมาได้ยังไง  

 

 

           “คุณผู้ชาย ตื่นแล้วเหรอครับ” จู่ๆ คนที่ทำอาหารอยู่ข้างในก็เอ่ยปากออกมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินกดเก็บความเจ็บปวดในใจ เขามองดูคนข้างใน ในใจรู้สึกแปลกไม่เบา “นายคือ?”  

 

 

           “กระผมคือพ่อบ้านของที่นี่ สกุลหลินครับ”  

 

 

           “นายอยู่ที่นี่ได้ยังไง”  

 

 

           “คุณผู้ชายบอกว่าคุณเจียงจะมา ให้กระผมเตรียมอาหารค่ำให้คุณเจียงครับ” เสียงต่ำของพ่อบ้านหลินเอ่ยชี้แจง  

 

 

           เจียงมู่เฉินตื่นตกใจ  จะมีคนรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ยังเรียกตัวพ่อบ้านมาทำกับข้าวให้เขาอีก  

 

 

           คำตอบในใจของเขาเหมือนเดินออกมาจากความจริง คนที่รู้จักที่นี่ก็มีเพียงแค่ซือเหยี่ยนคนเดียว   

 

 

           ‘หรือว่าจะเป็นซือเหยี่ยน…’  

 

 

           “พ่อบ้านหลิน…คุณผู้ชายคนนั้นชื่อว่าอะไร” เจียงมู่เฉินเอ่ยถามเสียงต่ำ  

 

 

           พ่อบ้านหลินตอบไปตรงๆ ด้วยท่าทางนบนอบโดยไม่ได้ลังเล “เขาบอกกับผมว่าสกุลซังครับ”   

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน ค่อยๆ กำนิ้วมืออย่างช้าๆ คุณผู้ชายสกุลซัง ข้างกายเขามีอยู่คนหนึ่งพอดี  

 

 

           เมื่อครู่เขายังคิดว่าซือเหยี่ยนรู้ว่าเขามาที่นี่ ถึงได้เรียกตัวพ่อบ้านหลินมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินขานรับด้วยจิตใจที่หดหู่ เสียกำลังใจเดินไปยังห้องรับแขก  

 

 

           เพราะตอนบ่ายฝันไปแบบนี้ ฝันเห็นซือเหยี่ยนจูบตัวเอง ดังนั้นนาทีที่พ่อบ้านหลินปรากฏตัวขึ้น ก็เชื่อไปว่าซือเหยี่ยนรู้ว่าตัวเองอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงได้ให้เขาเข้ามา  

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกเสียดแทงใจ  

 

 

           ซือเหยี่ยนมีซูเตอร์ แถมยังจัดการตัววุ่นวายอย่างตัวเองพ้นทางได้แล้ว เวลานี้คงจะกำลังอยู่ดีมีสุขจนลืมทุกอย่าง จะมามีเวลาไหนมาห่วงเขา  

 

 

           ถ้าซือเหยี่ยนห่วงเขาแม้เพียงสักนิดจริงๆ ระหว่างพวกเขาก็จะไม่ได้เดินทางกันมาถึงขั้นที่เป็นอย่างในวันนี้  

 

 

           เจียงมู่เฉินนึกถึงซังจิ่ง ซังจิ่งคงจะไม่วางใจตัวเอง ถึงได้ตามเขามาถึงที่นี่ ยังเรียกตัวพ่อบ้านของที่นี่มาดูแลเขาอีก  

 

 

           เจียงมู่เฉินหยิบมือถือออกมา อยากจะโทรหาซังจิ่งขอบคุณเขา  

 

 

           “คุณเจียงครับ อาหารเสร็จแล้วครับ”  

 

 

           เวลานี้พ่อบ้านหลินเดินเข้ามาเรียกเขาไปกินอาหารเย็นพอดี  

 

 

           เจียงมู่เฉินหยุดลงครู่หนึ่ง ปิดหน้าจอมือถือลง ตัดสินใจรอพรุ่งนี้  เจอหน้ากันค่อยขอบคุณซังจิ่งแล้วกัน  

ตอนที่ 324 ในที่สุดก็ปล่อยวางได้แล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว เขาลืมตาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ก็พบแสงสว่าง  

 

 

           ไม่ใช่ห้องสีดำเล็กๆ ห้องนั้นก่อนหน้านี้  

 

 

           เขาสังเกตมองไปรอบๆ อย่างง่ายๆ พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในโรงพยาบาล  

 

 

           เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ทุกอย่างกลับเข้ามาในหัว หัวใจเจียงมู่เฉินเจ็บชาๆ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย  

 

 

           เขาถูกซังจิ่งช่วยชีวิตออกมา  

 

 

           แต่กลับกระอักเลือดจนเป็นลมต่อหน้าซือเหยี่ยน  

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังอยากจะยกมือขึ้นมากดที่หน้าผากของตัวเอง ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดออก ซังจิ่งเห็นเขาตื่นแล้ว แววตาก็แปรเปลี่ยนเป็นความดีใจในพริบตา  

 

 

           เขาเดินก้าวใหญ่เข้าไปหาเจียงมู่เฉิน เอ่ยถามอย่างรีบเร่ง “เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินอ้าปากพูด ก็พบว่าออกเสียงไม่ค่อยจะได้  

 

 

           “คุณอย่าพูดเลย ช่องคอของคุณได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นถึงกระตุ้นให้กระอักเลือดได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า เอ่ยคำสองคำอย่างยากลำบาก “ขอบ…คุณ…”  

 

 

           ถ้าซังจิ่งไม่ปรากฏตัวพอดี เขาคงจะหนีจากความตายไปไม่ได้  

 

 

           ต่อให้เขาตายก็ไม่อยากตายอยู่ในที่ที่ของพวกเขาสองคน  

 

 

           ซังจิ่งจะเคยได้ยินเขาพูดแบบนี้เมื่อไหร่กัน เมื่อก่อนไม่พูดเหน็บแนมกับเขา ก็พูดลองใจ  

 

 

           เขายอมไม่อยากได้ยินไปตลอดชีวิต ประโยคกล่าวขอโทษอย่างจริงใจในวันนี้ของเจียงมู่เฉิน  

 

 

           “คุณอย่าคิดมาก พักผ่อนรักษาบาดแผลดีๆ บาดแผลที่เอวของคุณค่อนข้างอาการหนัก ตอนที่ส่งคุณมา แผลฉีกออกหมดเลย ตอนนี้เพิ่งจะเย็บเข้าไปดีๆ จำเป็นต้องพักผ่อนเงียบๆ…  

 

 

           …รอคุณหายดี ผมจะพาคุณกลับถานโจว”  

 

 

           อยู่ที่นี่เจอเรื่องสะเทือนใจขนาดนี้ เขาคิดว่าเจียงมู่เฉินคงจะไม่อยากอยู่ที่นี่อีก  

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลง เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ก็จริงอยู่ แต่เขาไม่อยากกลับถานโจว  

 

 

           ตอนอยู่ที่ถานโจวเขาผ่านอะไรมามากมายกับซือเหยี่ยน ตอนนี้เขายังไม่มีความกล้าพอจะกลับไปถานโจวเผชิญกับพ่อแม่เขา  

 

 

           “ฉัน…ฉันอยากอยู่คนเดียวสักพัก”  

 

 

           ซังจิ่งเห็นเขาเงียบไม่พูดจา ก็พยักหน้ารับทราบ “ได้ ผมจะรอคุณข้างนอก”  

 

 

           เจียงมู่เฉินรอจนกว่าซังจิ่งจะออกไป ถึงได้ลืมตาขึ้น เขามองเพดานห้องอย่างทำอะไรไม่ได้ ถ้าเขาเป็นผู้หญิงบางทีอาจจะกรี๊ดกร๊าดโวยวายระบายอารมณ์ออกมาสักที  

 

 

           แต่เขาเป็นผู้ชาย ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นไม่ได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองน่าขำ มีปมกับซือเหยี่ยนใหญ่ขนาดนี้ กลับทำได้เพียงค่อยๆ อดทนอดกลั้นอยู่คนเดียว  

 

 

           ได้ยินซือเหยี่ยนพูดแบบนั้นกับหูตัวเองครั้งแรก เขาก็หาเหตุผลที่ทำให้ตัวเองไม่ตัดใจไม่เจออีกแล้ว  

 

 

           ที่จริงเขาควรจะรู้ตั้งแต่แรก ถ้าซือเหยี่ยนชอบเขาจริงๆ แล้วทำไมถึงเลิกกับเขาได้ง่ายขนาดนั้น  

 

 

           แล้วทำไมเพิ่งจะเลิกกันก็ไปกับซูเตอร์ได้อีก  

 

 

           ก็แค่เขาหาเหตุผลแก้ตัวให้ซือเหยี่ยนตลอด คิดว่าซือเหยี่ยนมีความลำบากใจ  

 

 

           แต่ตอนนี้ เขาหาเหตุผลแก้ตัวให้ซือเหยี่ยนไม่เจออีกแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินหลุดขำ เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกจากคอพังๆ เสียงชวนบาดหู เขาหัวเราะเสียงต่ำครั้งแล้วครั้งเล่า  

 

 

           นัยน์ตาดอกท้อปิดลงเล็กน้อย น้ำตาไหลจากหางตาพาดผ่านเรือนผมสีดำ…  

 

 

           ‘ต้องขอบคุณซือเหยี่ยน ผ่านเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ในที่สุดเขาก็ปล่อยวางได้แล้ว’  

 

 

           ……  

 

 

           เจียงมู่เฉินพักฟื้นอยู่สองวัน บาดแผลบนร่างกายถึงได้ดีขึ้นมาประมาณหนึ่ง  

 

 

           ซังจิ่งถืออาหารเช้าผลักประตูเข้ามา เขานั่งต่อหน้าเจียงมู่เฉินอย่างคล่องแคล่ว “มา มากินอาหารเช้ากันก่อน”  

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เขาส่งมือไปรับอาหารเช้าในมือของซังจิ่งมา  

 

 

           “พรุ่งนี้กลับถานโจวไหม” ซังจิ่งถาม  

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบไม่พูดจาสักพัก ถึงค่อยเอ่ยปาก “ฉันยังไม่คิดจะไปตอนนี้”  

 

 

           ซังจิ่งชะงักงันไปครู่หนึ่ง “ทำไมกัน คุณยังอยากจะอยู่ที่นี่เหรอ”  

 

 

           “นายกลับไปก่อนเถอะ ฉันต้องจะไปที่ที่หนึ่ง”  

 

 

           เขาอยากไปดูคฤหาสน์พักตากอากาศหลังนั้นสักหน่อย  

 

 

           “ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองก็ได้”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 325 กลับสู่ลู่ทางที่ถูกต้อง  

 

 

           เขาไม่อยากจะให้ซังจิ่งเข้าไปเหยียบที่นั่นในตอนนี้  

 

 

           ซังจิ่งค่อนข้างเป็นห่วง “ถ้าหากว่าซูเตอร์…”  

 

 

           “เขาจะไม่ทำหรอก”  

 

 

           “ทำไมล่ะ”  

 

 

           “เขาบรรลุเป้าหมายแล้ว ไม่เก็บฉันมาใส่ใจอยู่แล้ว” เป้าหมายของซูเตอร์ตั้งแต่เริ่มก็คืออยากให้เขาแยกจากซือเหยี่ยน  

 

 

           ‘ตอนนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว เขาจะไม่มาหาเรื่องตัวเองได้อยู่แล้ว’  

 

 

           “แต่ว่า…” ซังจิ่งยังคงไม่วางใจ  

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดสักพัก “เดี๋ยวฉันจะออกจากโรงพยาบาลก่อน พรุ่งนี้จะมารวมตัวกับนายเอง ถึงตอนนั้นก็กลับไปถานโจวด้วยกัน”  

 

 

           เขาเอ่ยเสนอมาแบบนี้ ซังจิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้รับคำ  

 

 

           “ได้ งั้นคุณต้องระวังตัวด้วย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “วางใจเถอะ ฉันรู้แก่ใจดี”  

 

 

           หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เจียงมู่เฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากโรงพยาบาล ซังจิ่งยังคงเป็นห่วงความปลอยภัยของเจียงมู่เฉิน แต่ว่าเจียงมู่เฉินตัดสินใจไปแล้ว ต้องเปลี่ยนไม่ได้ง่ายดายเป็นธรรมดา  

 

 

           เขาเองก็ทำได้เพียงอยู่ที่คฤหาสน์ รอเจียงมู่เฉินมารวมตัวกับเขาพรุ่งนี้  

 

 

           เจียงมู่เฉินเรียกรถคันหนึ่ง ให้ขับตรงมาส่งเขาไปยังคฤหาสน์ที่มาพักตากอากาศกับซือเหยี่ยน  

 

 

           คิดถึงตอนนั้น เขายังอยากซื้อที่นี่ไว้ วันหน้ามีเวลาจะได้มาเที่ยวพักผ่อนอยู่กับซือเหยี่ยน  

 

 

           แต่ตอนนี้…  

 

 

           ดูท่าว่าวันหน้าก็ไม่ได้ใช้แล้ว  

 

 

           เขาเองก็จะไม่มาอีกแล้วด้วย  

 

 

           ถือโอกาสก่อนจะกลับถานโจว มาดูอีกเป็นครั้งสุดท้าย  

 

 

           ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง รถจอดนิ่งอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ เจียงมู่เฉินจ่ายเงินแล้วลงจากรถไป  

 

 

           เขายืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่มองดูข้างใน ในใจพรั่งพรูอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้  

 

 

           ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่ กระตือรือร้นมีชีวิตชีวา ใจคิดอยากแต่จะจัดการซือเหยี่ยนให้ได้  

 

 

           จงใจหาเรื่องเขา จงใจเข้าใกล้เขา  

 

 

           ต่อให้เขาทำหน้าเย็นชา ก็ยังเข้าหาเกาะติดอยู่ข้างกายเขาไม่มีหยุดหย่อน  

 

 

           เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างน่าขัน เมื่อก่อนไม่รู้สึก ตอนนี้พอคิดถึงตัวเองที่เอาแต่พัวพันอยู่กับซือเหยี่ยนได้ทั้งวัน ช่างไม่รู้จักยางอายเกินไปแล้ว  

 

 

           แต่ก็โทษยาก เขามายุ่มย่ามกับซือเหยี่ยนจนหมดหนทาง เลยยอมตกลงจะเล่นกันกับเขา  

 

 

           เขาเดินถึงประตูบานใหญ่ มองรหัสด้านข้างแล้วกดเข้าไป  

 

 

           เดิมเจียงมู่เฉินคิดจะลองดู คิดไม่ถึงว่าหลังจากกดรหัสเข้าไปแล้ว ประตูจะเปิดจริงๆ  

 

 

           ประตูบานใหญ่ค่อยๆ เปิดอย่างช้าๆ ในใจเจียงมู่เฉินรู้สึกแปลกใจ ค่อยๆ เดินเข้าไป  

 

 

           ผ่านถนนเล็กๆ ด้านหน้า เดินอยู่ตั้งนานถึงเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์  

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่รีบร้อนเข้าไป แต่ยืนอยู่ตรงนั้นมองไปรอบๆ เขายิ่งเห็นยิ่งสับสน  

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินตามทางเล็กๆ ไปถึงบริเวณข้างทะเลสาบ เขายังจำได้ตอนนั้นตัวเองเอวเคล็ด ตามซือเหยี่ยนให้พาเขาออกไปเดินเล่น  

 

 

ผลปรากฏว่าได้เดินไปถึงตรงนี้ตรงที่ทั้งสองคนทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมากะทันหัน  

 

 

           สุดท้ายซือเหยี่ยนก็อุ้มเขาไปยังเก้าอี้ด้านหลัง แล้วยังจูบเขาอีก  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ เวลานั้นถูกซือเหยี่ยนจูบเข้าอย่างนี้ เขายังรู้สึกแปลก  

 

 

           ที่ยิ่งทำให้เขาทึ่งก็คือในความรู้สึกแปลกนั้นยังมีอาการใจเต้นอยู่ด้วย  

 

 

           และเริ่มตั้งแต่เวลานั้น เขาถึงพบว่าเหมือนตัวเองจะชอบซือเหยี่ยนเข้าแล้ว  

 

 

           ดังนั้นเขาจึงเริ่มลองทดสอบหยั่งเชิงซือเหยี่ยนโดยไม่ทิ้งร่องรอย  

 

 

           แต่ไม่ว่าเขาลองทดสอบหยั่งเชิงอย่างไร ปฏิกิริยาตอบสนองของซือเหยี่ยนไม่มีเลยสักนิด  

 

 

           รู้ว่าเขาวิ่งไปห้องซือเหยี่ยนกลางดึก นั่งลงข้างๆ ถามซือเหยี่ยนว่าอยากจะคบกับเขาไหม   

 

 

           ซือเหยี่ยนถึงได้เอ่ยเสียงต่ำตกลงรับปาก  

 

 

           ตอนนั้นเขารู้สึกว่าคนอย่างซือเหยี่ยนนี้ นิสัยดื้อรั้น ชอบเขาชัดๆ แต่กลับอายที่จะพูด  

 

 

           แต่พอตอนนี้คิดขึ้นมา  เขาอายที่จะพูดที่ไหนกัน  

 

 

           ‘เขาไม่รู้จะพูดยังไง และก็ไม่อยากพูดต่างหาก’  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น ลำบากเขาต้องมาคบกับตัวเองเป็นเวลาตั้งนานได้ขนาดนี้  

 

 

           เพียงแต่ว่า ตอนนี้ซือเหยี่ยนเองก็หลุดพ้นได้แล้ว เขาเองก็จะไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับซือเหยี่ยนอีกต่อไป  

 

 

           ในโลกของเขาเจียงมู่เฉิน รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก ในเมื่อซือเหยี่ยนไม่ได้รักเขา เขาเองก็ไม่อยากดึงดันต่อไป  

 

 

            ให้ทุกอย่างกลับสู่ลู่ทางที่ถูกต้องดีแล้ว  

ตอนที่ 322 เจียงมู่เฉินกระอักเลือด  

 

 

           ประโยคไม่กี่ประโยคนี้ของเขา ราวกับคมมีดที่ค่อยๆ ทิ่งแทงเข้าไปกลางใจของเจียงมู่เฉินทีละนิดๆ เลือดแดงฉานหลั่งรินทีละหยดๆ  

 

 

           เขาคิดไม่ตกว่าทำไมพอแม่เขาคัดค้าน ซือเหยี่ยนก็ยอมแพ้อย่างไม่ลังเลไปได้มาจนถึงตอนนี้  

 

 

           ‘ที่แท้…  

 

 

           …ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็แค่เล่นกันเท่านั้นเอง’  

 

 

           ดังนั้นถึงไม่อยากจะแบกชื่อเสียงแบบนี้ ถึงได้เลือกจะเลิกกับเขาอย่างไม่ลังเลได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวใจบีบรัดแน่น เจ็บจนหายใจติดขัด  

 

 

           เขามองซือเหยี่ยน ยังคงเป็นใบหน้าเมื่อก่อนนั้น ทั้งๆ ที่เป็นใบหน้านั้นที่เขาคุ้นเคยขนาดนั้น กลับแปลกหน้าถึงขั้นนี้ไปได้ในเพียงชั่วพริบตา  

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะคิดไม่ได้ ว่าตอนแรกเริ่มนั้นเรื่องพวกนั้นที่ซือเหยี่ยนทำกับเขา ที่สุดแล้วมีความจริงสักแค่ไหนกันแน่  

 

 

           หรือว่าตั้งแรกจนสุดท้าย สำหรับซือเหยี่ยนแล้ว ก็เป็นแค่เกมเกมหนึ่ง  

 

 

           เป็นเขาเองที่ถลำลึกเกินไปในเกมนี้  

 

 

           ถูกเขาทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าขนาดนี้ ยังจะหาเหตุผลให้เขาอีก  

 

 

           ถึงขั้นที่ว่ายินดีจะก้าวเข้าไปเหยียบกับดักของซูเตอร์เพื่อซือเหยี่ยน เพราะอยากรู้ว่าซือเหยี่ยนจะยินดียินร้ายที่เขาโดนซูเตอร์กักขังหรือเปล่า  

 

 

           ทุกอย่างที่เขาทำไปในสายตาของซูเตอร์กับซือเหยี่ยนจะตลกมากเป็นพิเศษเลยใช่ไหม  

 

 

           หรือบางทีตอนนั้นที่เขาตกในห้วงความรักความหลงของซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนกลับรู้สึกว่าเขาหลอกง่ายเกินไป  

 

 

           หรือบางทีในใจของซือเหยี่ยน คุณชายเจียงผู้เย่อหยิ่งก็เป็นเพียงแค่เจ้าโง่ พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตัวเองก็เชื่อไปเสียทุกอย่าง  

 

 

           ซังจิ่งเห็นสีหน้าเขาแปลกไป ก็รีบเอ่ย “เจียงมู่เฉิน ผมจะพาคุณออกไปก่อนนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกดเก็บลมหายใจ ปัดมือซังจิ่งออก  

 

 

           เขามองซือเหยี่ยน ความเด็ดเดี่ยวที่ซือเหยี่ยนไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏในแววตา เขาเดินเข้าใกล้ซือเหยี่ยนทีละก้าวๆ  

 

 

           ซังจิ่งเป็นห่วง คว้ามือของเจียงมู่เฉินไว้ แต่กลับโดนเขาดึงออกอย่างไม่ลังเล  

 

 

           เขาเดินมาถึงตรงหน้าซือเหยี่ยนอย่างช้าๆ นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้มองเขาตรงๆ “ที่เขาพูดมาเป็นความจริงทั้งหมดเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกำมือแน่น ความต่อสู้ดิ้นรนแฝงในแววตา  

 

 

           “นี่เป็นที่เขาพูดกับฉันเองในวันนั้นทั้งหมด จะไม่จริงได้เหรอ” ซูเตอร์เอ่ยตอบอย่างอดรนทนไม่ได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาปราดเดียวด้วยความเย็นชา “หุบปาก ฉันให้เขาพูด”  

 

 

           การมองปราดเดียวนี้ของเขาทำเอาซูเตอร์ใจสั่นสะท้าย ไม่กล้าตอบในบัดดล ยืนอยู่ด้านข้างอย่างว่าง่าย  

 

 

           เจียงมู่เฉินเบนสายตากลับมามองซือเหยี่ยน  

 

 

           เขาถามอีกครั้ง “คำพูดพวกนั้นที่เขาพูดมาเมื่อกี้เป็นความจริงทั้งหมดใช่ไหม”  

 

 

           ปลายนิ้วของซือเหยี่ยนสั่นเล็กน้อย เขาพยายามให้ตัวเองครองสติมองไปยังเจียงมู่เฉิน  

 

 

           “ฉันก็แค่ต้องการคำตอบเดียวจากนาย ไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอกมั้ง”  

 

 

           เวลาเงียบลงสักพัก ผ่านไปนานพอควร ซือเหยี่ยนถึงเค้นคำหนึ่งออกมาจากลำคอ “ใช่”  

 

 

           “เพราะว่าไม่คุ้มค่าที่นายต้องแบกรับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ ดังนั้นตอนนั้นนายถึงเลิกกับฉันได้โดยไม่ลังเลสักนิดใช่ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่พูดจา  

 

 

           เจียงมู่เฉินตะเบ็งสียงเย็น “ใช่ไหม!”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหลับตาเอ่ย “ใช่”  

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ เขาตลกเสียจริง คิดไปเองว่าสุดท้ายก็หาคนที่จะอยู่เคียงกันไปตลอดชีวิตเจอแล้ว  

 

 

           แต่จนถึงวันนี้เขาถึงเพิ่งเข้าใจ ซือเหยี่ยนไม่เคยคิดจะอยู่กับเขาจนแก่เฒ่ามาตั้งแต่แรก  

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเสียงต่ำ รู้สึกว่าตัวเองช่างน่าขันไม่เบา  

 

 

           กลิ่นคาวเลือดตีขึ้นมาอยู่ในช่องคอ เจียงมู่เฉินตัวสั่นวูบ กระอักเลือดออกมา  

 

 

           เลือดสีแดงสดไหลตามมุมปากลงมาอย่างช้าๆ ตกกระทบเสื้อเชิ้ตบนตัวที่เปื้อนเปรอะจนดูไม่ได้มาก่อนหน้านี้แล้ว เจียงมู่เฉินหลับตาลง หงายหลังล้มลงไปอย่างช้าๆ…  

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวใจเจ็บปวดอย่างรุนแรงทันที เกือบจะพุ่งตัวเข้าไปกอดเจียงมู่เฉินเอาไว้  

 

 

           ซังจิ่งเอาแต่จ้องมองเจียงมู่เฉิน เห็นเขากระอักเลือดเป็นลมกะทันหัน ก็รีบเข้าไปกอดเขาเอาไว้  

 

 

           เจียงมู่เฉินในอ้อมกอดได้หมดสติไปแล้ว เขาไม่พูดต่อเป็นคำที่สอง ช้อนอุ้มร่างเจียงมู่เฉินขึ้นมาทันที  

 

 

           ซูเตอร์เห็นซังจิ่งคิดจะพาเจียงมู่เฉินออกไป เขากำลังเตรียมจะไปขวาง กลับถูกมือซือเหยี่ยนดึงเอาไว้  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 323 ให้เขาไป  

 

 

           “พอได้แล้ว ให้เขาไป”  

 

 

           ซูเตอร์มองซือเหยี่ยนอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ “นายไม่กลัวว่าวันหลังเขาเกิดไม่ยอมโดยดีแล้วแก้แค้นนายขึ้นมาหรือไง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น สายตาไม่ห่างจากเจียงมู่เฉินไปไหน เขาเอ่ยเน้นคำต่อคำ “วันหลังเขามาแก้แค้นผม ก็เป็นสิ่งที่ผมควรจะได้รับ”  

 

 

           “ซือเหยี่ยน…” ซูเตอร์ยังอยากพูดอะไรต่อ  

 

 

           เขาเอ่ยตัดตอน “ก่อนหน้านี้คุณรับปากอะไรผมไว้ หวังว่าคุณคงยังไม่ลืม”   

 

 

           ซูเตอร์พูดไม่ออกในทันใด เดิมเขารับปากซือเหยี่ยนว่าจะไม่ไปหาเรื่องเจียงมู่เฉินอีก  

 

 

           แต่ตอนนี้เขาพาตัวเจียงมู่เฉินมากักขังไว้ ก็เป็นการผิดข้อห้ามของซือเหยี่ยนไปแล้ว เขากลัวจะทำให้ซือเหยี่ยนโกรธเคืองจริงๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรอีก  

 

 

           ท่านเชนเห็นสถานการณ์ก็เดินเข้าไปหาซังจิ่ง “นายรีบพาเขาไปเร็ว”  

 

 

           ซังจิ่งชำเหลืองมองซือเหยี่ยนอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง แล้วอุ้มตัวคนออกไปโดยไม่ลังเลสักนิด  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินถูกคนพาตัวไปทั้งอย่างนี้ ทั้งยังไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต้น้อย  

 

 

           รอจนซังจิ่งขับรถออกไป ซือเหยี่ยนกำมือแน่นเดินเข้าห้องไป  

 

 

           เขาพิงประตู รู้สึกว่าทั้งตัวโดนควักออกทั้งหมดจนไม่เหลืออะไรสักอย่าง  

 

 

           ผ่านเรื่องวันนี้ไปแล้ว เจียงมู่เฉินต้องไม่มีทางจะให้อภัยเขาได้อีกต่อไป  

 

 

           ซือเหยี่ยนปิดดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความสิ้นหวังที่ไร้หนทางจะพรรณนาได้ปรากฏขึ้นมาในใจ  

 

 

           เฉินเฉินของเขา อาจจะกลับมาหาเขาไม่ได้อีกแล้ว  

 

 

           ……  

 

 

           ซังจิ่งขับรถเร็วราวจะบินทะยานขึ้นไป รีบส่งตัวเจียงมู่เฉินไปโรงพยาบาล  

 

 

           เขารออยู่ข้างนอก ในมือเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดของเจียงมู่เฉิน ซังจิ่งกำมืออย่างช่วยอะไรไม่ได้  

 

 

           คิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่เจียงมู่เฉินหมดสติอยู่ในอ้อมกอดของเขา แล้วตัวเองจะกระวนกระวายใจขนาดนี้  

 

 

           ภาพเจียงมู่เฉินสีหน้าซีดเซียวลอยขึ้นมาในหัวอย่างไม่หยุดหย่อน  

 

 

           ซังจิ่งยกมุมปากขึ้นอย่างจนใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขายังคงไม่เข้าใจความคิดของตัวเองที่มีต่อเจียงมู่เฉิน  

 

 

           แต่นาทีนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว  

 

 

           ที่แท้เขาชอบเจียงมู่เฉินไปแล้วตั้งแต่แรก  

 

 

           ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าถูกรสนิยม ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าเขาไม่เหมือนคนอื่น  

 

 

           แต่เป็นเพราะคุณชายน้อยผู้เย่อหยิ่งคนนี้ อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ  

 

 

           เพียงแต่ว่าสถานะของพวกเขาไม่เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอดทนอดกลั้นบอกตัวเองว่าเจียงมู่เฉินเป็นแค่เป้าหมายในภารกิจ  

 

 

           ซังจิ่งยกมุมปากขึ้นอย่างทำอะไรไม่ได้ บางทีตั้งแต่เขาพาตัวคนส่งให้ฟู่เหยี่ยน เขาก็วางเจียงมู่เฉินไม่ลงแล้ว  

 

 

           ดังนั้นถึงได้สับสนว้าวุ่นใจไม่เป็นสุข ถึงขนาดอยากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามภารกิจ  

 

 

           ซังจิ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน มองดูแสงไฟสีแดงสว่างข้างบนนั้น หัวใจก็บีบคั้นแน่นโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

           ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เจียงมู่เฉินถึงได้ถูกเข็นออกมาเข้าห้องพักผู้ป่วยไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินเพิ่งจะถูกส่งตัวเข้าห้องพักผู้ป่วยไป ท่านเชนก็รีบตามมา  

 

 

           เขามองซังจิ่งเอ่ยถามเสียงต่ำ “เขาเป็นยังไงบ้างแล้ว”  

 

 

           ซังจิ่งส่ายหัวพร้อมใบหน้าอันเหนื่อยล้า “ไม่เป็นไรแล้วครับ พ้นขีดอันตรายแล้ว”  

 

 

           ท่านเชนโล่งใจไปที “ฉันเข้าไปดูเขาหน่อยได้ไหม”  

 

 

           ซังจิ่งพยักหน้า “เขายังไม่ตื่น ถ้าคุณอยากเข้าไปก็เข้าไปเถอะครับ”  

 

 

           เขาพูดจบ ท่านเชนก็ใช้มือผลักประตูเข้าไป เจียงมู่เฉินนอนหลับสนิทสงบนิ่งอยู่บนเตียง ท่านเชนเห็นใบหน้าซีดเซียวของเจียงมู่เฉิน ขอบตาก็แดงก่ำ  

 

 

           เขาค่อยๆ เดินเข้าไปทีละก้าวๆ มองเจียงมู่เฉิน ภาพใบหน้าห้าวหาญกับใบหน้าซีดเซียวในตอนนี้ของเขาซ้อนทับกันในหัว  

 

 

           คิดถึงสมัยนั้น เจียงมู่เฉินเป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจที่สุด  

 

 

           เดิมทีเขาคิดว่ารอให้ตัวเองอายุมากแล้ว ก็จะเกษียณตัวเองสละตำแหน่งของตัวเองส่งต่อเจียงมู่เฉินและซือเหยี่ยน  

 

 

           แต่ใครจะรู้ อุบัติเหตุครั้งเดียว ตายหนึ่ง เจ็บหนึ่ง ไม่มีร่องรอยอะไรเหลือทั้งนั้น  

 

 

           ท่านเชนมองเจียงมู่เฉิน ขอบตาเจือความเจ็บปวด  

 

 

           เขายื่นมือไปดึงผ้าห่มผืนบางที่ห่มบนตัวเจียงมู่เฉินขึ้นเล็กน้อย ยืนมองอยู่ข้างๆ อีกครั้ง  

 

 

           ผ่านไปอีกหลายนาที เขาถึงได้หันกลับหลังเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป  

ตอนที่ 320 เจียงมู่เฉินสู้กลับ

 

 

           “งั้นมีคนที่เป็นผู้รับผิดชอบใหญ่ของที่นี่ได้อะไรเทือกนั้นอยู่หรือเปล่า ฉันมีธุระจะหาเขาหน่อย”

 

 

           ซังจิ่งเองก็ไม่โกรธ เขายกยิ้มมุมปากขึ้น “คุณชายน้อยของพวกนายจับเพื่อนของฉันไป นายว่าฉันต้องเจอเขาไหมล่ะ”

 

 

           “นายพูดจาอะไรมั่วๆ ของนาย”

 

 

           “พี่ใหญ่ พี่พล่ามอะไรกับเขาอยู่” ข้างๆ มีผู้ชายห่ามๆ หยาบๆ คนหนึ่งเดินออกมา “คุณชายน้อยของพวกเราไม่อยู่ ต่อให้อยู่ก็เจอนายไม่ได้ รีบไสหัวไปซะ”

 

 

           ซังจิ่งแววตาประกายความโกรธ

 

 

           เขายิ้มหัวเราะ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ดูท่าว่าจะพูดจาเคลียร์กันดีๆ ไม่ได้แล้ว” เขาเอียงหน้ามองคนที่อยู่ด้านหลัง

 

 

           กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเข้าใจความหมายของไป๋จิ่งในเพียงพริบตาเดียว

 

 

           คนจำนวนนั้นพุ่งตัวเข้าไปตะลุมบอนอัดใส่คนที่อยู่หน้าประตูทันที

 

 

           ท่านเชนเห็นเหตุการณ์แล้ว ก็เร่งตามเข้าไปติดๆ จากตำแหน่งที่ไม่ไกลนัก เข้าร่วมฉากการต่อสู้ คนหน้าประตูและคนที่เฝ้าอยู่ข้างในทั้งหมดต่อสู้กันเป็นกลุ่มใหญ่ ยุ่งวุ่นวายจนไม่ไหว

 

 

           ท่านเชนอาศัยช่วงเวลาจลาจลเข้าไปข้างในตามเส้นทางที่ซือเหยี่ยนบอก  มุ่งหน้าตามหาเจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินยังถูกขังอยู่ในห้องสีดำเล็กๆ หน้าประตูมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ต่อมาประตูก็ถูกเปิดออก

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลงมอง ตอนที่คนคนนั้นเปิดประตูมา เขานั่งคุกเข่าขดตัวอยู่ด้านข้าง ราวกับกำลังสลบไสลอยู่อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           คนมาส่งข้าวเห็นเจียงมู่เฉินแน่นิ่ง ในใจก็นึกสงสัย เขาไม่เหมือนปกติที่เป็น จึงรีบวางของแล้วออกไปทันที

 

 

           คนมาส่งข้าวลังเลสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงงานที่ซูเตอร์มอบหมาย ให้เขาติดตามสถานการณ์ของเจียงมู่เฉินอย่างใกล้ชิด

 

 

           คิดได้แบบนี้ สุดท้ายเขาก็เดินเข้าไปจนได้

 

 

           เขายื่นมือไปสะกิดเจียงมู่เฉิน “นี่…”

 

 

           เจียงมู่เฉินยังคงแน่นิ่ง คนคนนั้นอดจะวางความระแวงลงไม่ได้ นั่งยองๆ ลงไปเตรียมจะดูสถานการณ์ของเจียงมู่เฉินอย่างละเอียด

 

 

           และเวลานี้เอง เจียงมู่เฉินลืมตาขึ้นมากะทันหัน ใช้มือตีเข้าที่ท้ายทอยเขาทันที

 

 

           คนคนนั้นอ้าปากยังไม่ทันพูดออกมา ก็ถูกเจียงมู่เฉินตีจนแน่นิ่งอยู่บนพื้น

 

 

           เจียงมู่เฉินจัดการเขาเสร็จ กำลังจะเตรียมปฏิบัติการตามแผนที่สอง คือการล่อคนเฝ้าประตูเข้ามา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอึกทึกโครมครามระลอกหนึ่งจากทางประตูเข้ามา

 

 

           เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ จึงรีบยืนขึ้นหลบที่ประตูทันที ตอนที่มีคนจะเข้ามา ก็เตรียมจะตีเขาให้สลบทันที

 

 

           เสียงฝีเท้ายิ่งเข้าใกล้มาเรื่อยๆ แสงสว่างจากข้างนอกสะท้อนเงาเข้ามา เจียงมู่เฉินกำมือแน่นเหลือบมองหาจังหวะเหมาะสมเตรียมจะลงมือ

 

 

           เสี้ยวเวลาที่ประตูถูกเปิดออก เขาเหวี่ยงหมัดออกไปในทันใด กลับโดนคนกันเอาไว้

 

 

           พอเจียงมู่เฉินเห็นก็รีบดึงประตู แล้วต่อยเขาอย่างหนักหน่วงรุนแรงไปสองหมัด

 

 

           จนคนโดนตีจนขยับร่างกายไม่ได้แล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้ละมือออก เขาพลิกมือมาล็อคประตู มุ่งหน้าออกไปตามทางแคบๆ

 

 

           เนื่องจากการโจมตีสองรอบเมื่อครู่ ทำให้บาดแผลของเขาฉีกขาด เลือดแดงฉานไหลซึมออกมา

 

 

           เจียงมู่เฉินเจ็บจนสีหน้าซีดเผือด เขาไม่ทันดูสภาพของบาดแผล รีบวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างระมัดระวัง

 

 

           ยิ่งขึ้นไป ยิ่งได้ยินเสียงก่อจลาจล เจียงมู่เฉินแปลกใจไม่เบา ใครจะมาหาเรื่องที่นี่ได้

 

 

           เขาหลบหลีกตามทางอย่างระมัดระวัง พอเดินไปถึงชั้นหนึ่ง เพิ่งจะขึ้นไปก็เห็นโถงใหญ่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกันเป็นกลุ่มใหญ่ คนสองฝ่ายกอดรัดฟัดเหวี่ยงต่อสู้กันไม่ห่าง

 

 

           คนไม่กี่คนเห็นเขาเลือดออกท่วมตัววิ่งออกมา ก็กรูกันเข้าไป

 

 

           เจียงมู่เฉินยกเท้าถีบคนหนึ่งจนล้ม แผลฉีกอีกพอดี เขาทรุดลงกับพื้น ลุกขึ้นไม่ไหว

 

 

           ด้านข้างมีอีกคนพุ่งเข้ามา เจียงมู่เฉินคิ้วขมวด ลุกขึ้นเบี่ยงหลบอย่างยากลำบาก

 

 

           แต่ละคนเข้ามาออกไปเรื่อยๆ จนทำเขาเสียแรงไปเยอะมากแล้ว อยากจะออกจากที่นี่อย่างปลอดภัย เกรงว่าจะทำได้อย่างยากเย็น

 

 

           เจียงมู่เฉินฝืนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ดูท่าว่าวันนี้เขาต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่แล้วจริงๆ

 

 

           ‘ไม่รู้ว่าก่อนตาย จะได้เห็นซือเหยี่ยนเจ้าคนระยำนั่นไหม’

 

 

           เขาเห็นคนที่พุ่งเข้ามา หลับตาอย่างจนใจแล้ว

 

 

           

 

 

     ตอนที่ 321 เจอเข้ากับซือเหยี่ยน

 

 

           ความเจ็บปวดที่จินตนาการไว้ไม่ได้รับมา ที่ข้างหูก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “เจียงมู่เฉิน คุณยังไหวไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินลืมตาขึ้น ก็เห็นซังจิ่งถีบคนตรงหน้าเขาให้พ้นทาง

 

 

           เขาส่ายหัวไปมา ก่อนเอ่ย “พอไหว ตายไม่ได้หรอก”

 

 

           ซังจิ่งรีบพุ่งตัวเข้ามา ยื่นมือไปพยุงเขา “ไปกัน ผมจะพาคุณออกไปก่อน”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นความโกลาหลในโถงใหญ่ ก็เอ่ยถามเสียงต่ำ “นายทำทั้งหมดนี้เหรอ”

 

 

           “ไว้ผมอธิบายคุณทีหลัง ออกไปจากที่นี่ก่อนสำคัญกว่า รอให้ปลอดภัยแล้ว ผมจะอธิบายให้คุณฟังอีกที”

 

 

           ซังจิ่งเห็นเขาเลือดออกทั้งตัว คิ้วก็ขมวดกันแน่น แทบอยากจะจับซูเตอร์มา แล้วเอาคืนอย่างป่าเถื่อนกลับไป

 

 

           “ได้ งั้นลำบากนายแล้ว”

 

 

           ซังจิ่งปรากฏกะทันหันแบบนี้ ทำให้เจียงมู่เฉินโล่งใจไปที

 

 

           ท่านเชนไปยังที่กักขังของเจียงมู่เฉิน ก็พบว่าประตูข้างในถูกล็อคเอาไว้ เขาเสียเวลาเปิดประตู ก็เห็นคนสองคนกองอยู่ที่พื้น

 

 

           เขาดูทั้งคู่โดยละเอียดสักพัก ไม่ใช่เจียงมู่เฉินสักคน

 

 

           เขาจึงคิดว่าเจียงมู่เฉินควรจะหนีออกมาแล้ว

 

 

           กว่าเขาจะขึ้นไปอีกครั้ง ก็เห็นข้างกายซังจิ่งมีคนๆ หนึ่ง เขารีบพุ่งตัวเข้าไป เป็นเจียงมู่เฉินที่ได้รับบาดเจ็บจริงๆ

 

 

           ท่านเชนเห็นเจียงมู่เฉินยังมีชิวิตอยู่ ในใจดังคลื่นซัด แทบอยากจะรีบเข้าไปทักทายเจียงมู่เฉิน

 

 

           แต่เมื่อคิดถึงว่าตอนนี้เขาสูญเสียความทรงจำลืมตัวเองไปแล้ว ก็จำใจต้องล้มเลิกอย่างทำอะไรไม่ได้

 

 

           อีกอย่างสถานการณ์ในตอนนี้ ก็ไม่ใช่เวลาที่ดีจะมาทำความรู้จักกัน

 

 

           เขาทำได้เพียงกดเก็บความดีใจในใจนี้ลงไป เอ่ยเสียงต่ำกับซังจิ่ง “ฉันจะจัดการที่นี่เอง นายรีบพาเขาไปเลย”

 

 

           ซังจิ่งพยักหน้า “งั้นรบกวนคุณแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองท่านเชนแวบหนึ่ง ก็เบนสายตาตามซังจิ่งออกไป

 

 

           ทั้งสองคนเดินหน้าประตู ก็เห็นรถคันหนึ่งมาจอด

 

 

           ซือเหยี่ยนกับซูเตอร์ลงมาจากรถ

 

 

           ซังจิ่งเห็นทั้งสองคนที่หน้าทางเข้า สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูซูเตอร์และซือเหยี่ยนที่ยืนอยู่ต่อหน้าตัวเอง ในใจก็ขุ่นเคือง เขาคิดมาตลอดว่าซือเหยี่ยนจะพบเรื่องที่เขาถูกซูเตอร์พาตัวไปเรื่องนี้ได้หรือเปล่า

 

 

           แต่ตอนนี้ความจริงกลับมาลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อหน้าเขา

 

 

           ยามที่เขาโดนซูเตอร์กักตัวอยู่ที่ห้องชั้นใต้ดิน ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ซือเหยี่ยนกลับอยู่ข้างกายของซูเตอร์

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มอย่างอ้างว้าง เขารู้สึกว่าตัวเองคงจะโดนความรักที่ตัวเองคิดไปเองปิดบังดวงตาคู่นี้ไปแล้ว

 

 

           ‘ถึงได้เชื่อว่าซือเหยี่ยนจะมีความลำบากใจ ถึงหมดหนทางทำได้เพียงเท่านี้…’

 

 

           “เป็นนาย! คิดไม่ถึงว่านายจะกล้าบุกมาเอาตัวคนไป” ซูเตอร์เห็นเจียงมู่เฉินถูกช่วยออกมา คิดอะไรไม่ออก คิดออกแค่เพียงต้องการชีวิตของเจียงมู่เฉินโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว

 

 

           ถึงอย่างไรตอนนี้ซือเหยี่ยนก็รู้เรื่องแล้ว เขาไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว

 

 

           ‘ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็เปิดเผยมันตรงๆ ไปซะเลย’

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าบึ้งตึง มองซูเตอร์แวบหนึ่ง คำถามปรากฏในแววตา “คุณทำเหรอ”

 

 

           ซูเตอร์เชิดหน้า “ใช่ ฉันทำเอง แต่ซือเหยี่ยน นายรู้มาตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ ว่าฉันไม่ชอบขี้หน้าเขา อีกอย่างตอนนั้นนายก็พูดเองว่าเขาจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่เกี่ยวกับนาย”

 

 

           “แต่ผมไม่ได้ให้คุณมากักขังเขาแบบนี้” ใบหน้าซือเหยี่ยนเต็มไปด้วยความโมโห

 

 

           ซูเตอร์หัวเราะเบาๆ “ฉันกำลังคิดว่าวันนั้นนายพูดยังไงกับฉันบ้าง…”

 

 

“อ้อ” เขาเอ่ยขึ้นราวกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้ “วันนั้นนายบอกฉันว่าเจียงมู่เฉินกับนายครอบครัวพวกนายรู้จักกันมาหลายชั่วอายุคน เขาตายแล้วนายจะลำบากได้ นายเลยไม่อยากจะทำรุนแรงกับเขา…แล้วนายยังบอกว่านายก็แค่เล่นๆ กับเขาเท่านั้น เพียงแต่เรื่องของพวกนายถูกคนที่บ้านจับได้ นายคิดว่าเรื่องนี้จะไปกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ ก็เลยเลิกกับเขา”

 

 

           ซูเตอร์จ้องมองซือเหยี่ยน ซักถามเขา “ยังไงกัน นายกล้าไม่ยอมรับไหมล่ะว่าวันนั้นนายไม่ได้พูดแบบนี้”  

ตอนที่ 318 ฝันแล้ว

 

 

           เขาหยิบยาที่วางอยู่ข้างๆ มาทาอีกครั้ง

 

 

           บาดแผลเริ่มจะสมานกันแล้ว คงจะไม่ค่อยกระทบปฏิบัติการของเขาได้

 

 

           ตอนนี้แค่รอให้ไข้ลดลง

 

 

           เจียงมู่เฉินขดตัวอยู่ที่มุมๆ หนึ่ง พยายามทำให้ตัวเองรีบนอนหลับลงได้ เขาหลับตาลงไม่ไหวติง

 

 

           ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เจียงมู่เฉินที่มุมผนังจู่ๆ ก็ขยับตัวขึ้นมา

 

 

           ราวกับเขาฝันร้ายอยู่อย่างไรอย่างนั้น เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก

 

 

           เจียงมู่เฉินกำมือแน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย เอ่ยพึมพำเสียงต่ำ “อย่า…อย่า…”

 

 

           เสียงหายใจหอบอย่างรุนแรงในห้องมืดมิดค่อยๆ ดังขึ้นทีละนิดๆ

 

 

           ห้องสีดำเล็กๆ เต็มไปด้วยเสียงหวาดกลัวราวกับไม่เคยมีมาก่อน

 

 

           เจียงมู่เฉินพึมพำกับตัวเอง “ไม่ช้าก็เร็วสักวัน ฉันรับรอง…จะฆ่านาย…”

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังฝันถึงเรื่องๆ หนึ่ง ในฝันเขาถูกกักตัวอยู่ในห้องนอน มือเท้าถูกล่ามโซ่เอาไว้ทั้งหมด

 

 

           เขาอยู่ได้เพียงในบ้านหลังนี้ ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น

 

 

           เขาสิ้นหวัง เขาหมดกำลังใจ

 

 

           ราวกับมีคนมาทำลายความเข้มแข็งทรหดของเขาลงทีละนิดๆ

 

 

           ประตูถูกเปิดออกกะทันหัน มีคนเดินเข้ามา คนคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูเชิดสายตามองเขา

 

 

           “เจียงมู่เฉิน นายอย่าฝืนต่อไปเลย นายกล้าเข้ามาได้ตั้งแต่ตอนแรก ก็ควรจะคาดเดาถึงวันนี้ด้วย”

 

 

           เจียงมู่เฉินที่มุมผนังหลับตากำมือแน่นอย่างทำอะไรไม่ได้ แพรขนตาสั่นไหวอย่างไม่เป็นสุข

 

 

           “คนที่ตกอยู่ในกำมือของฉัน ไม่ตายก็ยอมมอบตัวให้ฉัน นายถูกกับรสนิยมของฉันขนาดนี้ ฉันไม่อยากให้นายตาย” คนคนนั้นหัวเราะเบาๆ “นายยอมมอบตัวให้ฉันดีกว่าไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้หลับใหลอยู่ในห้วงความฝันได้ยินเสียงของตัวเอง เขากึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่หน้าหน้าต่าง เอ่ยอย่างไม่จองหองไม่เจียมตัว “นายไม่ต้องเสียแรงคิด ฉันไม่มีทางมอบตัวให้นาย”

 

 

           คนคนนั้นโอดครวญสองเสียงด้วยความรู้สึกเสียดาย “น่าเสียดายจริงๆ ฉันชอบนายมากมายจริงๆ”

 

 

           “นายอย่าตกอยู่ในกำมือของฉันจะดีที่สุด ถ้ามีสักวันนายตกอยู่ในกำมือของฉัน ฉันจะฆ่านายแน่”

 

 

           คนคนนั้นหัวเราะเบาๆ “ฉันกลับอยากเห็นถึงวันนี้ เพียงแต่น่าเสีย เกรงว่าฉันจะรอไม่ถึงวันนี้แล้ว”

 

 

           “ไม่ช้าก็เร็วสักวัน ฉันรับรองจะฆ่านายแน่”

 

 

           จู่ๆ คนคนนั้นก็เดินจากประตูเข้ามา เขาไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป เจียงมู่เฉินเห็นเพียงแค่ตัวเองที่กลางห้องร่วงหล่นลงสู่อ้อมอกของคนคนนั้นในทันใด

 

 

           ต่อมาก็สูญเสียการรับรู้ไป

 

 

           เจียงมู่เฉินตกใจจนลืมตาขึ้นมา ความมืดมิดในห้องสีดำเล็กๆ เจียงมู่เฉินมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง

 

 

           เหงื่อเขาท่วมเต็มหัว ในใจเหมือนว่างเปล่า มีความรู้สึกหวาดกลัวบางอย่างอย่างพูดไม่ออก

 

 

           เจียงมู่เฉินกดเข้าที่ดวงตา เมื่อครู่เหมือนว่าเขาจะฝันไป

 

 

           ในฝันมีตัวเขาเอง ยังมีอีกคนหนึ่ง แต่คนคนนั้น ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร ก็มองได้ไม่ชัดสักที

 

 

           เจียงมู่เฉินเคลือบแคลงใจ อดจะหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในฝันเมื่อครู่นี้ไม่ได้

 

 

           เขารู้สึกว่าทุกอย่างนั้นไม่เหมือนความฝัน แต่เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           แต่ในความทรงจำของเขา ไม่มีความทรงจำพวกนี้อยู่

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว  หรือว่านี่มันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาสูญเสียความทรงจำเมื่อห้าปีก่อน

 

 

           ‘ความทรงจำส่วนนั้นที่เขาขาดหายไปตกลงแล้วมีอะไรกันแน่ ก่อนที่เขาจะสูญเสียความทรงจำไปตกลงแล้วเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกันแน่’

 

 

           ‘ทำไมตัวเองถึงฝันแบบนี้ได้อีก’

 

 

           ‘แล้วยังมีสองครั้งก่อนที่เกิดอุบัติเหตุกะทันหัน…’

 

 

           เจียงมู่เฉินอาการเปลี่ยนไป เขาปวดหัวมาก ราวกับมีคนถือของแหลมคมทิ่มแทงอยู่ข้างในไม่มีผิด

 

 

           เขากุมหัว พยายามคิดนึกย้อนกลับไป

 

 

           แต่เขาก็คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง นอกจากเจ็บปวดแล้วก็ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาพยายามปรับลมหายใจ อยากให้ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานบรรเทาลงได้เล็กน้อยบ้าง ดีขึ้นสักหน่อยบ้าง

 

 

           บางทีการปลอบโยนตัวเองก็มีผลที่ดีบ้างแล้ว ความเจ็บปวดในหัวค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ

 

 

 

 

ตอนที่ 319 เริ่มปฏิบัติการ

 

 

           หลังจากที่ตกใจตื่นจากความฝัน เจียงมู่เฉินก็นอนไม่หลับอีกครั้งแล้ว เขาเบิกตานั่งพิงอยู่ตรงนั้นมองดูหน้าต่างบานแคบๆ

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ สีท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นอย่างช้าๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นมาลูบหน้าผาก อุณหภูมิร้อนผ่าวบนหัวค่อยๆ สลายลงไปในที่สุด

 

 

           เขาผ่อนลมหายใจเล็กน้อย ในที่สุดไข้ก็ลดลงไปประมาณหนึ่งแล้ว

 

 

           ……

 

 

           ซังจิ่ง ท่านเชน และซือเหยี่ยนเริ่มเข้าสู่สภาวะตึงเครียดกันตั้งแต่เช้า ตรวจสอบแผนกำหนดการเดิมอีกครั้งหนึ่ง

 

 

           มั่นใจรับประกันว่าไม่มีอะไรผิดพลาดเป็นที่เรียบร้อย

 

 

           ซูเตอร์ไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนได้เตรียมการทุกอย่างนี้ไว้ เขาไปหาซือเหยี่ยนเหมือนปกติ

 

 

           ซือเหยี่ยนเพิ่งจะออกมาจากห้องหนังสือ พอเห็นซูเตอร์ก็เอ่ยขึ้นทันที “คุณมาพอดีเลย ไปชิ่งหลงกับผมที”

 

 

           “ทำไมจู่ๆ ต้องไปชิ่งหลง ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”

 

 

           ซูเตอร์ยังจำได้ สถานที่จัดการประชุมของพวกเจียงมู่เฉินอยู่ที่ชิ่งหลง ถ้าซือเหยี่ยนเข้าไปแล้วรู้อะไรมา แบบนั้นก็จัดการยากแล้ว

 

 

           “มีเรื่องเกิดขึ้นด่วน ต้องไปจัดการ” ซือเหยี่ยนเห็นใบหน้าคัดค้านของเขา ก็เอ่ยเสียงต่ำ “ถ้าคุณไม่สะดวก ผมจะไปเองแล้วกัน”

 

 

           เมื่อซูเตอร์ได้ยินก็รีบเดินนำหน้าไปสองก้าว “ไม่เป็นไรๆ ฉันจะไปด้วยกันกับนายนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “งั้นก็ไปตอนนี้กันเถอะ”

 

 

           ทั้งสองคนเตรียมตัวสักพัก ซือเหยี่ยนเองก็ไปรายงานกับเรย์มอนด้วย เวลานี้ถึงได้ออกไปด้วยกัน

 

 

           ระหว่างทางซูเตอร์มองซือเหยี่ยนด้วยความตื่นตระหนก

 

 

           ซือเหยี่ยนเก็บความกระวนกระวายในใจของเขาไว้ในแววตา ในใจเขารู้ถึงสาเหตุที่ซูเตอร์ตื่นตระหนกอย่างชัดเจน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากลัวเขาจะจับได้ถึงเรื่องที่ซูเตอร์จับเจียงมู่เฉินมา

 

 

           และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเวลานี้เขาถึงเสนอให้ต้องไปที่ชิ่งหลง

 

 

           ถือโอกาสยามที่ซูเตอร์กระวนกระวายใจ และไม่มีอารมณ์จะไปคิดถึงเจียงมู่เฉิน

 

 

           พาซูเตอร์ให้พ้นทางก่อน จะได้ให้ซังจิ่งและทีมของท่านเชนปฏิบัติการได้ แล้วเขาจะพาซูเตอร์กลับไปในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน

 

 

           ถึงตอนนั้นเขาจะออกหน้าใช้กำลังยับยั้ง จากนั้นให้ท่านเชนใช้โอกาสนี้ก่อจลาจลทำร้ายเขา

 

 

           พาเจียงมู่เฉินออกไป

 

 

           แผนการของเขาไร้ช่องโหว่ ทั้งยังปกป้องเจียงมู่เฉินไว้รอบด้านได้ ทั้งยังไม่สงสัยมาถึงตัวเขาได้

 

 

           ขณะที่ซูเตอร์มองมาอีกครั้ง ซือเหยี่ยนก็เอียงหน้ามองเขา “อะไรเหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

 

 

           ซูเตอร์ลนลาน รีบส่ายหัวทันที “ไม่มีอะไรๆ ฉันก็แค่มองดูนายสักหน่อย”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างไม่สนใจ “ผมยังคิดว่าคุณกังวลว่าผมไปชิ่งหลงแล้วจะเจอเจียงมู่เฉินซะอีก”

 

 

           ซูเตอร์ตื่นตกใจ บังเอิญโดนเขาถามด้วยประโยคนี้ ทำเอาหัวใจบีบคั้น เขากำมือแน่นแกล้งทำเป็นไม่มีอะไร แล้วตอบกลับไป “จะเป็นไปได้ยังไง ฉันใจแคบขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ไม่เป็นแบบนั้นจะดีที่สุด”

 

 

           เขาพูดจบก็เก็บสายตาแล้วขับรถต่อไป

 

 

           ซูเตอร์ใจแป้ว ไม่กล้ามองซือเหยี่ยนอีก ทำได้เพียงนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งข้างคนขับ ไม่กล้าพูดอะไร

 

 

           ……

 

 

           เวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง ซังจิ่งพาคนมาถึงที่หน้าประตูแก๊งมังกรคราม

 

 

           เขาให้คนรออยู่ระแวกใกล้ๆ เตรียมการรอจนถึงเวลาเที่ยงตรงค่อยปฏิบัติการ ไม่ไกลนักทีมของท่านเชนก็มาถึงแล้วเช่นกัน

 

 

           เขามองดูที่หน้าประตู ตามแผนแล้ว รอจนกว่าทีมของซังจิ่งปฏิบัติการ หลังจากนั้นก็ลงมือตามสถานการณ์

 

 

           ซังจิ่งรอนานอย่างร้อนใจมาก เขาไม่เคยรู้สึกว่าครึ่งชั่วโมงช่างยาวนานขนาดนี้มาก่อน

 

 

           ในที่สุดเมื่อใกล้จะถึงเวลาเที่ยงตรง เป็นอย่างที่คิดมีคนอยู่บางส่วนแยกตัวออกไป

 

 

           ซังจิ่งรออีกไม่กี่นาที หลังจากรอพวกเขาพากันออกไปแล้ว เขาถึงได้เดินอย่างทะนงองอาจเข้าไป

 

 

           คนที่ประตูเมื่อเห็นซังจิ่งพาคนจำนวนหนึ่งเข้ามา ก็รีบรวมตัวกันประตูเอาไว้ “พวกนายเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่”

 

 

           “ฉันมาหาซูเตอร์” ซังจิ่งเอ่ยตรงประเด็น ไม่อ้อมคอม

 

 

           ไม่กี่คนสบตากันแวบหนึ่ง “คุณชายน้อยไม่อยู่”

ตอนที่ 316 เสียสละตัวเอง  

 

 

           “แต่ว่าตอนนี้ผมเปลี่ยนความคิดแล้ว ผมจะส่งเส้นทางไปยังที่กักขังของเจียงมู่เฉินให้ทีมของอาจารย์ หลังจากนั้นก็ช่วยเจียงมู่เฉินออกมา แล้วจงใจเปิดเผยตัวว่าทีมของอาจารย์เป็นคนของคนคนนั้นครับ”  

 

 

           ท่านเชนเข้าใจความหมายของซือเหยี่ยนแล้ว คิดไตร่ตรองสักพักถึงได้พยักหน้ารับ “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”  

 

 

           “ถึงตอนนั้นฉันจะพาตัวคนออกมา แล้วทำตามที่นายว่าเปิดเผยตัว จากนั้นส่งตัวเขาให้เพื่อนของเขาไป แบบนี้ก็จะไม่สงสัยมาถึงตัวนายได้”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “แต่ว่าตอนที่ทีมของอาจารย์ลงมือ ซูเตอร์เองก็จะได้รับข่าวมาด้วย ถึงตอนนั้นต้องเพิ่มการคุ้มกันแน่นอนครับ”  

 

 

           เขาหยุดสักพัก มองมายังท่านเชน “ถึงเวลานั้น ยิงปืนมาใส่ผม ถ้าผมบาดเจ็บ ซูเตอร์ต้องไม่มีความคิดจะตามคนไปแน่นอนครับ”  

 

 

           สีหน้าท่านเช่นเปลี่ยนทันควัน “ไม่ได้ ฉันจะยิงปืนใส่นายได้ยังไง”  

 

 

           “ยิงไม่โดนจุดสำคัญ เอาแค่บาดเจ็บที่ผิวหนัง พักสองวันก็หายดีแล้วครับ”  

 

 

           เขาหยุดเล็กน้อย “ยิ่งกว่านั้น แบบนี้ถึงจะทำให้ซูเตอร์จะยิ่งไม่สงสัยในตัวผมได้”  

 

 

           ท่านเชนครุ่นคิด  เขารู้ว่าซือเหยี่ยนพูดมาก็ค่อนข้างมีเหตุผล แต่ว่าเอาตัวเองไปแลกเจียงมู่เฉินแบบนั้นคุ้มค่าเหรอ  

 

 

           เขาสงบใจ ลังเลอยู่สักพัก “ต้องการจะทำแบบนี้จริงๆ เหรอ”   

 

 

ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “มีแค่วิธีนี้ ทีมของอาจารย์ถึงจะถอนกำลังออกได้หมด”  

 

 

ท่านเชนทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น ทำได้เพียงยอมตกลงรับปาก  

 

 

“ได้ ฉันรู้แล้ว”  

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นท่านเชนรับปากแล้ว ถึงได้โล่งอกไปที เขาบอกท่านเชนถึงสถานที่กักขังเจียงมู่เฉิน รวมทั้งภาพตำแหน่งทั้งหมดส่งให้ท่านเชน  

 

 

หลังจากบอกแผนการที่เตรียมไว้กับซังจิ่งทั้งหมดกับท่านเชนแล้ว รอทุกอย่างจัดแจงเข้าที่เข้าทาง ถึงได้โล่งอกไปอีกครั้ง  

 

 

“อาจารย์ครับ พรุ่งนี้รบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ”  

 

 

ท่านเชนถอนหายใจ ใช้มือตบที่ตัวเขาเบาๆ “นายนี่นะ รักพี่เสียดายน้อง ฉันยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ”   

 

 

ไม่มีทางเลี่ยงจริงๆ ได้เพียงทำเช่นนี้  

 

 

ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ มองท่านเชน “ใช่แล้วครับ เรื่องพวกนี้ไม่ต้องบอกเฉินเฉินนะครับ”  

 

 

ถ้าเจียงมู่เฉินรู้เรื่องทั้งหมดนี้ ต้องไม่ทำตามแผนที่เขาวางไว้แน่นอน  

 

 

คนที่ทะนงตัวขนาดนั้นอย่างเจียงมู่เฉิน ถ้ารู้ว่าเขาทำเรื่องพวกนี้เพื่อให้ตัวเองหนีไปได้ ต้องพุ่งตัวกลับมาพาตัวเขาไปแน่นอน  

 

 

ถึงตอนนั้น ทุกอย่างก็จบเห่  

 

 

ท่านเชนถอนหายใจ “ทราบแล้ว นายวางใจเถอะ”  

 

 

ซือเหยี่ยนพยักหน้า ผ่อนลมหายใจไปที  

 

 

           ยามท่านเชนกำลังจะออกไป ใช้มือตบที่ตัวซือเหยี่ยนเบาๆ “บอกตามตรง นายทำแบบนี้คุ้มค่าเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้ม “ไม่มีอะไรคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่าหรอกครับ”  

 

 

           ขอเพียงแต่เขาอยู่ดีๆ ได้ อะไรก็คุ้มค่าทั้งนั้น  

 

 

           หลังจากท่านเชนไปแล้ว ซือเหยี่ยนนั่งลงข้างๆ ไมเคิล  

 

 

           ไมเคิลจ้องเขาด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง ซือเหยี่ยนรู้ว่าไมเคิลอยากพูดอะไร เขายกมุมปากขึ้น หัวเราะเสียงต่ำ “สูบบุหรี่สักมวนสิ”  

 

 

           ไมเคิลมองเขาแวบหนึ่งอย่างสับสน สุดท้ายก็ยังหยิบบุหรี่มวนหนึ่งให้เขาอยู่ดี  

 

 

           ซือเหยี่ยนคีบบุหรี่อยู่ในมือ จุดบุหรี่จากไฟแช็กที่หยิบออกมาจากมือของไมเคิล  

 

 

           ควันบุหรี่จางๆ ล่องลอยอยู่ในอากาศ ซือเหยี่ยนสูบเข้าเบาๆ รสของใบยาสูบตลบอบอวนอยู่ในลำคอ  

 

 

           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็นึกถึงคืนนั้นขึ้นมาได้ คืนที่อยู่บนระเบียงห้องกับเจียงมู่เฉินที่เพิ่งกลับจากโรงพยาบาล  

 

 

           เขายิ้มหัวเราะ รู้สึกว่าไม่ได้กอดกันมานานขนาดนี้ เขาคิดถึงอยู่ไม่น้อยจริงๆ  

 

 

           เขาสูบเข้าไปอย่างหนักหน่วงอีก แทบอยากจะกกกอดเจ้าตัวไว้อยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น  

 

 

           แบบนี้เขาจะได้ไม่อกสั่นขวัญแขวนอยู่ได้ทั้งวัน  

 

 

           ถึงอย่างไรแฟนของตัวเอง ยิ่งก่อเรื่องเก่งถึงขั้นสุดอยู่ด้วย  

 

 

           ไม่เห็นวันเดียว ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น ช่วงวันเวลานี้ เขาคิดถึงเจียงมู่เฉินมากจริงๆ  

 

 

           เขาสูบหรี่จนหมดมวนอย่างเงียบๆ เขาปล่อยควันบุหรี่ออกไป เอียงหัวยิ้มให้ไมเคิล “วางใจเถอะ ฉันมีแผนของตัวเอง”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 317 มีไข้แล้ว  

 

 

           ไมเคิลเห็นเขาแบบนั้น ในใจก็ไม่วางใจเลยสักนิด เมื่อเจอเจียงมู่เฉิน  ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นกว่าใครไหนๆ  

 

 

           ช่วงเวลาสำคัญ แม้แต่ชีวิตก็ไม่ต้องการ แบบนี้ยังจะให้ตัวเองวางใจได้  

 

 

           นอกจากเขาจะโง่เท่านั้นเอง ถึงจะคิดอย่างนี้ได้  

 

 

           ไมเคิลจ้องมองเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ทำไมนายถึงไม่บอกเรื่องทุกอย่างนี้กับเจียงมู่เฉิน ถ้าเขารู้ อย่างน้อย…จะได้ไม่เข้าใจผิดนาย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเงียบสักพัก ขยับร่างกายที่ค่อนข้างแข็งทื่อ  

 

 

           เขาใช้มือจัดแจงเสื้อผ้าบริเวณที่มีรอยยับ ไม่พูดจาสักคำ ลุกยืนขึ้นมาทั้งอย่างนี้  

 

 

           ไมเคิลถอนหายใจ รู้ว่าซือเหยี่ยนไม่อยากพูด  

 

 

           ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่มีอะไรจะถามต่อไปได้  

 

 

           “ทำอะไรก็ระวังตัวด้วย”  

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนเดินถึงประตู พยักหน้าขานรับคำหนึ่ง เวลานี้ถึงได้ออกไป  

 

 

           เขาออกพ้นประตูไป ก็เข้าไปนั่งในรถที่จอดอยู่ข้างๆ ซือเหยี่ยนพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลงเล็กน้อย  

 

 

           ในรถเงียบเกินบรรยาย แม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นของซือเหยี่ยนก็ยังได้ยินได้อย่างชัดเจน  

 

 

           ผ่านไปหลายนาที เขาโทรหาซังจิ่ง ชี้แจงถึงแผนการพรุ่งนี้ หลังจากแน่ใจว่าแผนการทุกอย่างของตัวเองไม่มีปัญหาใดใดแล้ว ซือเหยี่ยนถึงได้วางใจลง  

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แผนการพรุ่งนี้จะเกิดปัญหาอะไรไม่ได้  

 

 

           ……  

 

 

           หลังจากทายาที่บาดแผลแล้ว ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนดีกว่าก่อนหน้านี้ขึ้นมาก  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนซบผนัง ร้อนรุ่มไปทั้งร่าง ยิ้มเจื่อนๆ อย่างช่วยไม่ได้  

 

 

           บาดแผลติดเชื้อจนทำให้ไข้ขึ้น เจียงมู่เฉินกดหน้าผากไว้ อยากให้ตัวเองรู้สึกตัวตื่นอยู่บ้าง  

 

 

           ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเปลี่ยนไปอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้  

 

 

           เพียงแค่โดนแส้ฟาดสามทีเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะไข้ขึ้นได้  

 

 

           ทั้งร่างกายราวกับถูกโยนเข้าไปในเตาไฟอย่างไรอย่างนั้น เจียงมู่เฉินกัดฟันอย่างหนัก ความทุกข์ทรมานนี้เทียบกับการถูกเฆี่ยนแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไร  

 

 

           เขางอตัวเล็กน้อยพิงอยู่ตรงนั้น  

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลง คิดไม่ถึงว่าในหัวจะฉายภาพใบหน้าของซือเหยี่ยนขึ้นมา  

 

 

           เขายกมุมปากขึ้นอย่างจนใจ  เขาอาจจะผูกติดกับซือเหยี่ยนไปแล้วจริงๆ เจ้าหมอนั่นทำกับเขาแบบนี้  

 

 

           ‘แต่กลับยังตัดใจโทษเขาไม่ได้…  

 

 

           …จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังอดจะคิดถึงเขาไม่ได้’  

 

 

           เจียงมู่เฉินแอบก่นด่าตัวเองช่างไม่รู้ประสา ทำตัวเหมือนผู้หญิงไม่มีผิด ปากไม่ตรงกับใจเลยสักนิด  

 

 

           ไม่รู้ว่าตัวเองจะออกจากที่นี่ได้เมื่อไหร่ ตอนนี้เขาถูกกักตัวอยู่ที่นี่ ตัดขาดจากโลกภายนอกไปเรียบร้อย  

 

 

           สถานการณ์ของที่นี่เลวร้ายกว่าที่เขาคิดไว้แต่เดิมทีเดียว  

 

 

           ถึงแม้จะทำการเตรียมตัวจะเข้าถ้ำเสือลึก แต่ว่าเจียงมู่เฉินก็ไม่คิดถึงว่าตัวเองจะโดนกระทำถึงขั้นนี้ได้  

 

 

           จากการสังเกตการณ์ของเขาในสองวันนี้ นอกจากคนมาส่งข้าวแล้ว ข้างนอกยังมีคนเฝ้าเขาอีกสองคน  

 

 

           ถ้าเขาอยากวิ่งหนี ต้องใช้ช่วงเวลาส่งข้าว โจมตีให้พวกเขาล้มทั้งหมด ถึงจะฉวยโอกาสหนีออกไปได้  

 

 

           อีกอย่าง ตามการคาดคะเนของเขา ซูเตอร์กักตัวเขาไว้ที่นี่อย่างลับๆ ต้องไม่ให้คนรู้มากแน่นอน  

 

 

           มีคนรู้มากแล้ว ก็จะปากต่อปากกันเป็นธรรมดา  

 

 

           ถึงตอนนั้น เรื่องที่เขาตกอยู่ในมือของซูเตอร์ก็จะรั่วไหลออกไปได้ง่ายมาก  

 

 

           แต่ว่าแบบนี้ก็ดี เพราะคนที่รู้มีน้อย ต้องช่วยเรื่องการหนีของเขาได้แน่  

 

 

           เจียงมู่เฉินเตรียมตัวรอเวลามาส่งข้าวพรุ่งนี้ตอนเที่ยง เตรียมการหนี  

 

 

           ตามที่เขาเข้าใจ การคุ้มกันจะอ่อนแอที่สุด ถึงตอนนั้นเปอร์เซ็นต์ที่เขาจะหนีได้สำเร็จ ถึงจะเพิ่มมากขึ้นได้  

 

 

           ถ้าครั้งนี้หนีออกไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ชัดเจนว่าถ้าเขาอยากหนีอีกก็ยากขึ้นแล้ว  

 

 

           แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาทำได้เพียงลองเสี่ยงพนันดู  

 

 

           เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายของเขาตอนนี้ อยากจะหนีออกไปอย่างราบรื่น ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ง่ายดาย  

 

 

           ภารกิจเร่งด่วนคือรีบฟื้นคืนเรี่ยวแรงกลับมา  

ตอนที่ 314 รู้ความจริง  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย  หรือว่าครั้งนี้ซูเตอร์จะคิดเล่นลูกไม้อะไรอีก  

 

 

           เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาค่อยๆ จากประตูไปอย่างช้าๆ เพียงครู่เดียวก็หายไปจากห้องชั้นใต้ดิน  

 

 

           ยาออกฤทธิ์แล้ว คิ้วที่ขมวดหากันของเจียงมู่เฉินผ่อนคลายลงเล็กน้อย ร่างกายที่แข็งเกร็ง  

 

 

           ความรู้สึกเจ็บไม่รุนแรงเท่าก่อนหน้านี้แล้ว  

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะบาดแผลอาการดีขึ้นหรือเปล่า เขาจึงค่อยๆ รู้สึกง่วงขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนซบผนัง นอนหลับลงไปอย่างช้าๆ  

 

 

           ซือเหยี่ยนกลับมาถึงห้องหนังสือ ทั้งร่างกายเกร็งแน่นราวกับเสือชีตาร์ตัวหนึ่งที่กำลังเตรียมโจมตี  

 

 

           หมัดซ้ายเขาต่อยเข้าที่ผนังห้องด้วยแรงมหาศาล เกิดเสียงกระทบดังลั่น เลือดสีแดงสดไหลนองออกมาในทันใด  

 

 

            ซือเหยี่ยนมองเลือดในมือ พลางคิดถึงแผลบนตัวของเจียงมู่เฉิน ก็ทนไม่ไหวหัวใจบีบรัดตัวแน่น  

 

 

           เจียงมู่เฉินที่เขาเก็บไว้ในใจ คนที่ปกติคำพูดล่วงเกินสักคำก็ไม่กล้าพูด คิดไม่ถึงว่าจะถูกซูเตอร์ทำร้ายจนกลายเป็นสภาพแบบนั้น  

 

 

           ดวงตาคู่นี้ของซือเหยี่ยนแดงก่ำ ข้างในล้วนแต่เป็นเส้นเลือดฝอย  

 

 

           เขากำมืออย่างหนักหน่วง บาดแผลที่เลือดเพิ่งจะหยุดไหลปริแยกกันอีกครั้ง เลือดสีแดงสดไหลออกมาอีกจนได้  

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะยังพอมีสติควบคุมตัวเองเพียงนิดอยู่บ้าง เขาเกรงว่าตัวเองจะพุ่งเข้าไปกอดเจียงมู่เฉินไว้ทันที  

 

 

           เขาจงใจพูดกับซูเตอร์แบบนั้น ให้เขาเสียขวัญไปเอง แล้วตัวเองค่อยตามหลังซูเตอร์ไปจนหาตำแหน่งที่กักขังเจียงมู่เฉินเจอ  

 

 

           หลังจากเขาหาเจอ ก็ฉวยโอกาสยามที่ซูเตอร์ออกไป หาคนมาล่อคนที่หน้าประตูพวกนั้นออกไป เช่นนี้ถึงไปดูเจียงมู่เฉินแวบหนึ่งได้  

 

 

           บาดแผลบนตัวเจียงมู่เฉินดูไปแล้วน่าจะเป็นบาดแผลที่เพิ่งจะได้มาเมื่อวาน  

 

 

           ในวันนี้ซูเตอร์คงจะไม่ลงมือกับเจียงมู่เฉินได้อีก เขาทำได้เพียงรออีกวันเดียว จะต้องพาตัวเจียงมู่เฉินออกมาให้ได้  

 

 

           รออีกวัน เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเองไม่ได้สนใจมือที่บาดเจ็บ เขาถือมือถือออกไปข้างนอกทั้งอย่างนั้น  

 

 

           เมื่อเข้าไปนั่งในรถ เขาก็โทรหาไมเคิลทันที “ตอนนี้ฉันจะไปหานายที่เดิม ช่วยฉันติดต่ออาจารย์ที ฉันมีธุระหาท่าน”  

 

 

           “รีบร้อนขนาดนี้เชียวเหรอ”  

 

 

           “ฉันมีเรื่องด่วน ฉันกำลังเดินทางเข้าไปแล้ว”  

 

 

           พอไมเคิลได้ฟังน้ำเสียงของเขาก็เข้าใจได้ในทันที เขาพยักหน้าเอ่ย “ได้ ฉันจะไปบอกอาจารย์ของนายเดี๋ยวนี้”  

 

 

           ซือเหยี่ยนวางสายลงแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดิม เดิมทีเขายังคิดหาหลักฐานที่สำคัญยิ่งกว่านี้อีก แต่ตอนนี้เพราะสาเหตุเรื่องเจียงมู่เฉิน เขาไม่มีทางเลือกอื่น  

 

 

           แผนการล่วงหน้า พรุ่งนี้ตอนเที่ยงเมื่อซังจิ่งเข้ามา เขาต้องการขุดรากถอนโคนแก๊งมังกรครามไปด้วยกันทีเดียวเลย  

 

 

           ไมเคิลโทรหาท่านเชน ชี้แจงถึงสถานการณ์ ให้ท่านเชนเข้ามาหาโดยด่วน  

 

 

           ทันทีที่ได้ยินว่าซือเหยี่ยนมีธุระหาเขา ท่านเชนเองก็ไม่ล่าช้า รีบตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนจอดรถที่ประตูหลัง แล้วเข้าไปขึ้นบนชั้นสองทันที  

 

 

           ท่านเชนยังมาไม่ถึง เมื่อไมเคิลเห็นซือเหยี่ยนก็รีบถาม “จู่ๆ ทำไมนายถึงรีบร้อนขนาดนี้ ให้อาจารย์ของนายมาหา มีเรื่องอะไรเหรอ”  

 

 

           “เจียงมู่เฉินโดนซูเตอร์จับตัวไปแล้ว” ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างเจ็บใจ  

 

 

           ไมเคิลได้ยินก็เอ่ยด้วยความตกตะลึงในทันใด “มันเรื่องอะไร ทำไมเจียงมู่เฉินถึงโดนซูเตอร์จับตัวไปแล้ว”  

 

 

           “รายละเอียดฉันเองก็ไม่ค่อยชัดเจน ฉันก็เพิ่งได้ข่าวเมื่อเช้านี้เอง เจียงมู่เฉินถูกซูเตอร์พาตัวมาที่แก๊งมังกรครามเมื่อวานนี้”  

 

 

           “สถานการณ์ของเขาตอนนี้ไม่ค่อยดี?”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “โดนทำร้ายค่อนข้างสาหัส ยังถูกกักขังอยู่ที่ห้องใต้ดินด้วย ฉันไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง”  

 

 

           ไมเคิลสีหน้าเคร่งขรึม จากคำพูดแค่ไม่กี่คำของซือเหยี่ยน ก็รู้ได้ว่าสภาพของเจียงมู่เฉินในตอนนี้ไม่ค่อยดีแน่นอน  

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นซือเหยี่ยนก็ไม่มีทางจะรีบร้อนติดต่อท่านเชนขนาดนี้ได้  

 

 

           ขณะที่ทั้งสองคนเงียบไม่พูดจา ท่านเชนก็มาถึง เขาเห็นซือเหยี่ยนก็เอ่ยถาม “เรียกหาให้ฉันเข้ามาด่วนขนาดนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “ผมอยากตกเบ็ดล่วงหน้าครับ”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 315 หารือ  

 

 

           ท่านเชนขมวดคิ้วหากันเป็นปมอย่างหนัก “หมายความว่าไง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเงียบสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “เจียงมู่เฉินตกอยู่ในกำมือของซูเตอร์ ผมรอนานเกินไปไม่ไหวครับ”  

 

 

           เขาทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อเจียงมู่เฉิน ถ้าเจียงมู่เฉินเป็นอะไรไป สิ่งที่เขาทำมาทุกอย่างก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย  

 

 

           ต่อให้เขาต้องสละทุกอย่าง ก็ต้องปกป้องเจียงมู่เฉินให้ปลอดภัยดีทุกอย่าง  

 

 

           ท่านเชนขมวดคิ้ว ถ้าว่าเจียงมู่เฉินตกอยู่ในกำมือของซูเตอร์ เช่นนั้นก็จัดการยากแล้วจริงๆ  

 

 

           แต่ว่า…  

 

 

           ท่านเชนคิดหนัก “ซือเหยี่ยน ฉันรู้ว่าเจียงมู่เฉินสำคัญกับนาย เขาเองก็เป็นลูกศิษย์ของฉัน เขาก็สำคัญกับฉันมากเหมือนกัน…  

 

 

           …แต่ว่า หลักฐานที่พวกเรายึดกุมได้ในตอนนี้ ยังไม่เพียงพอจะงัดข้อให้แก๊งมังกรครามล้มได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”  

 

 

           ทำมาตั้งมากมายขนาดนี้ ถ้าตอนนี้มาใจร้อน ทุกอย่างทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะล่มกลางคันได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนก็รู้หลักการนี้ดี แต่สถานการณ์ตอนนี้หลุดจากการควบคุมเดิมของเขาไปแล้ว  

 

 

           เดิมทีเขาคิดว่ารอเจียงมู่เฉินกลับไปแล้ว หลังจากนั้นก็จะลุยหาหลักฐานของแก๊งมังกรครามอย่างจริงๆ จังๆ  

 

 

           แต่ตอนนี้เขารอนานขนาดนั้นไม่ได้แล้ว  

 

 

           “แต่เจียงมู่เฉิน…” ซือเหยี่ยนพูดต่อไม่ออกแล้ว คำหลังจากนั้นพวกเราต่างก็รู้แก่ใจดี  

 

 

           ท่านเชนขมวดคิ้ว แบบนี้ช่างจัดการยากมากๆ จริงๆ  

 

 

           ถ้ากดเรื่องนี้เก็บลงไปไม่สนใจ เจียงมู่เฉินทางนั้นก็จัดการยากมากเช่นกัน  

 

 

           ถึงอย่างไรนิสัยโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดนี้ของซูเตอร์ ยากจะรับประกันได้ว่าจะไม่ลงมือทำอะไรอย่างอื่นกับเจียงมู่เฉิน  

 

 

           อีกอย่าง ซือเหยี่ยนยอมแปดเปื้อนเช่นนี้ ว่ากันถึงสาเหตุก็เพื่อเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เขาต้องเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกในขณะนี้ของซือเหยี่ยนได้เป็นธรรมดา  

 

 

           “งั้นตอนนี้จะทำยังไงเหรอ” ไมเคิลมองไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่แล้ว  

 

 

           ‘คนหนึ่งไม่ให้ คนหนึ่งต้องทำ นี่ตกลงแล้วต้องฟังใคร’  

 

 

           ซือเหยี่ยนกับท่านเชนต่างก็เงียบไม่พูดจากันทั้งคู่ ไม่มีสักคนเริ่มเอ่ยปากก่อน  

 

 

           ไมเคิลกระวนกระวาย พวกเขาสองคนยังจะพูดพร้อมกันอีก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่  

 

 

           “คือว่า ซือเหยี่ยนกับท่านเชนตกลงว่าคิดยังไงกัน ตกลงวางแผนจะจัดการกันยังไงเหรอ”  

 

 

           ท่านเชนสีหน้าคร่ำเคร่ง อารมณ์บนใบหน้าจริงจังอยู่ไม่น้อย  

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ ซือเหยี่ยนจึงเอ่ยถาม “อาจารย์ครับ อาจารย์มีวิธีอะไรอย่างอื่นไหมครับ”  

 

 

           ครั้งก่อนก็เพราะเหตุผลของตัวเอง ถึงได้หยุดทุกอย่างกลางคัน  

 

 

           ตอนนี้ในครั้งนี้ เขาไม่อยากให้เป็นเพราะเรื่องนี้ เพราะตัวเองทำให้ทีมของอาจารย์ต้องเสียกำลังกายกำลังสมองอีกครั้ง  

 

 

           ท่านเชนคิดอยู่นานมาก สุดท้ายจึงเอ่ยเสียงต่ำออกมา “ถ้าพวกเราหาสาเหตุตรวจสอบพวกเขาล่ะ ให้เวลานายช่วยชีวิต…  

 

 

           …แต่ถ้าแบบนั้น ฐานะของนายอาจจะถูกเปิดเผย…” ท่านเชนเพิ่งจะพูดจบ ตัวเองก็ปฏิเสธเองแล้ว  

 

 

           แบบนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีอะไร  

 

 

           “หรืออาจจะ ผมมีวิธีหนึ่ง” ซือเหยี่ยนประกายความคิด  

 

 

           ท่านเชนกับไมเคิลรีบมองตามไปทันที  

 

 

           “ถ้าก่อความสับสนวุ่นวายพวกเขา แล้วผมให้คนอื่นมาช่วยล่ะครับ”  

 

 

           “ได้ก็ได้อยู่ แต่ว่า ถึงยังไงนายก็เป็นคนนอก ถ้าถูกช่วยออกไปได้จริงๆ ก็ยากจะรับประกันว่าพวกนั้นจะไม่สงสารนายได้”  

 

 

           “อาจารย์ครับ อาจารย์วางใจได้ คนที่ผมหามา ซูเตอร์ไม่มีทางจะคิดโยงถึงผมเด็ดขาด”  

 

 

           ซังจิ่งกับเขาไม่ใช่คนที่มาต่อติดกันได้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าเจียงมู่เฉินถูกซังจิ่งช่วยออกไป ซูเตอร์ก็ไม่มีทางจะสงสัยมาถึงตัวเขาได้  

 

 

           อีกอย่าง ทีมของอาจารย์เป็นคนออกหน้า ก็ไม่มีทางจะคิดโยงถึงตัวเองได้  

 

 

           แบบนี้เขาไม่ต้องออกหน้า เจียงมู่เฉินก็ถูกช่วยออกไปได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนคิดไปคิดมา ก็มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้นที่ค่อนข้างเหมาะสม  

 

 

           “หมายความว่าไง” ท่านเชนเอ่ยถาม  

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดลงสักพัก “เจียงมู่เฉินมีเพื่อนคนหนึ่ง วันนี้ตอนเช้าเขามาหาผมพอดี ผมให้เขาไปก่อความวุ่นวายอึกทึกพรุ่งนี้ตอนเที่ยง เดิมผมคิดจะฉวยโอกาสนี้ช่วยเจียงมู่เฉินออกมาครับ”   

ตอนที่ 312 เป็นห่วง  

 

 

           ผู้รับผิดชอบของโรงแรมเอ่ย “ใช่ครับ ตอนเช้าคุณซือก็มาแล้วครับ”  

 

 

           ซูเตอร์ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ความหวาดระแวงในแววตาถึงได้วางลงไป  

 

 

           “โอเค ฉันรู้แล้ว”  

 

 

           หลังจากเขาวางสายไป ก็กำมือถือไว้เล็กน้อย จะโทษว่าเขาสงสัยมากไม่ได้ เพียงเพราะเจียงมู่เฉินเพิ่งจะถูกเขากักตัวไว้ที่นี่ เขาไม่คิดมากไม่ได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนกลับไปห้องหนังสือ ในใจไร้กังวล  

 

 

           เขารู้ว่านิสัยขี้สงสัยของซูเตอร์ต้องไปตรวจสอบการเดินทางของเขาแน่นอน  

 

 

           เพียงแต่ว่าเขากล้าพูดอย่างนี้ เขาก็ต้องเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยอยู่แล้ว ไม่มีทางให้ซูเตอร์มองความผิดปกติอะไรออกได้  

 

 

           เขาปิดประตู กำหม้ดเล็กน้อย  

 

 

           พอคิดถึงว่าตอนนี้เจียงมู่เฉินยังอยู่ในกำมือของซูเตอร์ ก็เป็นห่วงไปทั้งใจ  

 

 

           ‘ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างแล้ว…  

 

 

           …ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า…  

 

 

           …แล้วถูกกักตัวอยู่ที่ไหน’   

 

 

           เขาจำเป็นต้องรีบสืบหาตำแหน่งของเจียงมู่เฉินออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ รีบพาตัวเจียงมู่เฉินออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน  

 

 

           เมื่อคิดถึงว่าเจียงมู่เฉินโดนกักตัวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ก็อดจะเจ็บปวดใจขึ้นมาไม่ได้  

 

 

           ตามนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของซูเตอร์แล้ว ตอนนี้เจียงมู่เฉินอยู่ในเงื้อมมือของเขา ต้องไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน  

 

 

           ซือเหยี่ยนทุบโต๊ะไปหมัดหนึ่งอย่างรุนแรงและหนักหน่วง  

 

 

           ความรู้สึกช่วยอะไรไม่ได้แบบนี้มาอีกแล้ว หลายปีก่อนเขาก็เป็นเช่นนี้ รู้อยู่เต็มอกว่าเจียงมู่เฉินตกอยู่ในอันตราย แต่กลับไม่มีกำลังพอจะช่วยคนออกมาได้  

 

 

           ครั้งนี้ เขาไม่มีทางจะให้เจียงมู่เฉินเดินไปเส้นทางเดิมเด็ดขาด  

 

 

           ต่อให้เขาตาย ก็ต้องปกป้องเจียงมู่เฉินไว้รอบด้าน  

 

 

           ซูเตอร์บดเมล็ดกาแฟชงพิเศษมาส่งถึงในห้องหนังสือของซือเหยี่ยนโดยเฉพาะ ซือเหยี่ยนกำลังจัดการเอกสารอยู่บนโต๊ะ  

 

 

           เขาเงยหน้ามองซูเตอร์แวบหนึ่ง ไม่พูดจา  

 

 

           ซูเตอร์ยิ้มเดินเข้าไปอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน “เห็นนายลำบากเกินไปแล้ว ฉันตั้งใจชงกาแฟให้นายเป็นพิเศษเลยนะ นายลองชิมดู ฉันไม่ได้เติมน้ำตาล”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองแก้วในมือเขา ยกขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง  

 

 

           ซูเตอร์มองเขาอย่างรอคอย “เป็นไงบ้าง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ไม่เลว”  

 

 

           สั้นๆ สองคำ ซูเตอร์ยิ้มอย่างเบิกบานใจสุดๆ เขาเข้าใกล้ซือเหยี่ยน “ในเมื่อไม่เลว งั้นนายก็ดื่มเยอะๆ หน่อยนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่มเสียเลย เขาลุกยืนขึ้นพิงหน้าต่าง ในมือถือกาแฟที่ซูเตอร์เอามาให้ ดื่มพอเป็นพิธี  

 

 

           ซูเตอร์เดินเข้าไปเห็นเขามองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ยถามเสียงต่ำ “กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ”  

 

 

           “ผมกำลังคิด ว่าช่วงนี้คุณไม่ได้ทำอะไรให้ตกใจประหลาดใจเลยนะ ไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่เลย”  

 

 

           ซูเตอร์หน้าชา นัยน์ตาแฝงความตื่นตระหนก  

 

 

           “ฉัน ฉันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่งอย่างแฝงความหมายลึกซึ้งบางอย่าง “ถ้าไม่มี ก็ดีที่สุดอยู่แล้ว ถ้าคุณทำเรื่องอะไรลงไปแล้วปิดบังผม ถ้าผมรู้เข้า ผมจะไปจากแก๊งมังกรครามทันที”  

 

 

            ซูเตอร์ทำไขสือมองเขา “จะเป็นไปได้ยังไง ช่วงนี้ฉันไม่ได้ไปหาเรื่องเจียงมู่เฉินจริงๆ”  

 

 

           “แบบนั้นก็ดี”  

 

 

           “เหยี่ยน นายยังปล่อยวางเรื่องเจียงมู่เฉินไม่ได้ใช่ไหม”  

 

 

           “ไม่ใช่”  

 

 

           “งั้นทำไมนายถึงเป็นห่วงเขา”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง “คุณรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าผมกับเจียงมู่เฉินครอบครัวพวกเรารู้จักกันมาหลายชั่วอายุคน พ่อแม่ของเขาก็ถือว่าเป็นพ่อแม่ผมเหมือนกัน…  

 

 

           …เห็นแก่หน้าพ่อแม่ ผมก็ต้องใจอ่อนกับเจียงมู่เฉินบ้างเป็นธรรมดา”  

 

 

           “ไม่ใช่เพราะว่านายยังคิดถึงยังลืมเขาไม่ลงได้จริงๆ หรอกเหรอ” ซูเตอร์ไม่เชื่อ  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างเย็นชา “คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงเลิกกับเจียงมู่เฉิน”  

 

 

           ซูเตอร์ส่ายหัว เขารู้แค่เพียง ซือเหยี่ยนเลิกกับเจียงมู่เฉินกะทันหัน แต่สาเหตุที่แท้จริงเขาเองก็ไม่ชัดเจน  

 

 

           “เพราะแม่เขารู้เรื่องของพวกเราแล้ว แม่เขาไม่เห็นด้วย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “เดิมทีก็แค่อยากเล่นกันเท่านั้น พอเรื่องไปเกี่ยวพันถึงครอบครัว ก็ไม่จำเป็นแล้ว ผมไม่อยากให้ทั้งสองตระกูลต้องมาบาดหมางกันเพราะเจียงมู่เฉิน”  

 

 

             

 

 

ตอนที่ 313 ทายา  

 

 

           เขาพูดอย่างไร้เยื่อใย ราวกับเจียงมู่เฉินไม่ได้สำคัญสำหรับเขา  

 

 

           ตอนเรื่องยังไม่ถึงหูครอบครัว ยังเล่นกับเจียงมู่เฉินได้ แต่พอไปเกี่ยวพันถึงครอบครัว ก็ไม่อยากจะสร้างความลำบากแล้ว  

 

 

           ซูเตอร์มองซือเหยี่ยน อยากจะมองหาอารมณ์อย่างอื่นทีละนิดๆ ออกมาจากใบหน้าของซือเหยี่ยน  

 

 

           แต่ไม่ว่าซูเตอร์จะมองอย่างไร มองถึงความแตกต่างอะไรออกมาไม่ได้ทั้งนั้น  

 

 

           ราวกับซือเหยี่ยนคิดแบบนี้อยู่แล้วไม่มีผิด  

 

 

           “ต่อไปถ้าเจอเจียงมู่เฉินอีก ก็อย่าหาเรื่องเขาเลย จะได้ไม่ทำให้เขาเกิดเรื่อง แล้วพ่อแม่เขาจะมาหาผม ถึงตอนนั้นผมก็ไม่มีทางจะเป็นอิสระไปได้แล้ว”  

 

 

           ซูเตอร์อ้าปากพูด พยักหน้ารับ “รู้แล้ว นายวางใจเถอะ”  

 

 

           เขาพูดประโยคนี้จบก็เงียบลง อยู่เป็นเพื่อนซือเหยี่ยนดื่มกาแฟเสร็จถึงได้ออกไป  

 

 

           หลังจากออกจากห้องหนังสือ ซูเตอร์ก็ไปที่ลานบ้าน เขายืนคิดทบทวนอยู่ที่ลานบ้าน คิดว่าถ้าเป็นไปตามที่ซือเหยี่ยนพูดอย่างนี้จริงๆ  

 

 

           ขณะนี้ที่เขาจับเจียงมู่เฉินมาที่นี่ จะเป็นการสร้างเรื่องเดือดร้อนที่ไม่จำเป็นให้ซือเหยี่ยนหรือเปล่า  

 

 

           แต่ว่าถ้าให้เขาปล่อยเจียงมู่เฉินไปแบบนี้ เขาทำไม่ได้  

 

 

           เขากลืนน้ำลายตัวเองไม่ลง  

 

 

           ซูเตอร์ครุ่นคิด ถ้าต้องปล่อยเจียงมู่เฉินไป เขาต้องทรมานอยู่ที่นี่ยิ่งกว่าเจียงมู่เฉินอีกแน่นอน  

 

 

           ‘เขาชอบซือเหยี่ยนไม่ใช่เหรอ’  

 

 

           ‘งั้นก็ให้ซือเหยี่ยนทำให้เขาเจ็บปวดเองก็ได้แล้ว’  

 

 

           แบบนั้น เขาก็จะไม่มีอะไรโหยหาซือเหยี่ยนได้อีก  

 

 

           ซูเตอร์ตัดสินใจแน่วแน่ นัยน์ตาประกายความอำมหิต  

 

 

           เขาไปที่ห้องชั้นใต้ดินอีกครั้ง ให้คนเฝ้าเจียงมู่เฉินเอายาส่งให้เจียงมู่เฉิน  

 

 

           เดิมเขาคิดจะกักตัวเจียงมู่เฉินอีกสองวัน ให้อีกฝ่ายทุกข์ทรมานสักหน่อย  

 

 

           แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนความคิดแล้ว รีบให้เจียงมู่เฉินรักษาแผลให้หายดีโดยเร็วที่สุด จะได้ไม่ให้ซือเหยี่ยนเห็นเขาแล้วเกิดสงสาร คิดถึงความสัมพันธ์เก่าๆ แล้วพาลตัดใจไม่ลง   

 

 

           ถึงตอนนั้นจะกลายเป็นเขาเองที่ช่วยเจียงมู่เฉินทำชุดแต่งงานแทน  

 

 

           ……  

 

 

           ยาขวดหนึ่งโยนเข้ามา เจียงมู่เฉินรับยานั้นมา อยากอ่านให้ชัด แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อแสงไม่พอและมืดจนเกินไป อะไรก็มองไม่ชัดสักอย่าง  

 

 

           เขาเปิดฝาดมกลิ่นสักพัก ควรจะเป็นที่ใช้ทาบาดแผลบริเวณช่วงเอวของเขา  

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดไม่ตก ทำไมเวลานี้ซูเตอร์ถึงเอายาให้เขาได้  

 

 

           ตามความรู้สึกนึกคิดของซูเตอร์แล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเอายาให้เขา สำหรับเรื่องที่ทำไมจู่ๆ เขาถึงเปลี่ยนความคิดกะทันหันได้ เจียงมู่เฉินก็คร้านจะคิดสืบสาวราวเรื่อง  

 

 

           เวลานี้เขาต้องการยานี้พอดี ในเมื่อซูเตอร์เอายาให้เขา ก็จะไม่ลงมือทำอะไรได้อยู่แล้ว  

 

 

           เขาคลำดึงเปิดเสื้อเชิ้ตบนตัวเขาที่เสียหายท่ามกลางความมืด บริเวณบาดแผลที่สมานกันฉีกออกอีกครั้ง เพียงครู่เดียวเลือดแดงฉานไหลซึมออกมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินเจ็บจนคิ้วขมวดหากัน เขากัดฟันอย่างฝืนทน ค่อยๆ ดึงเปิดเสื้อผ้าบนตัวไล่ตามผิวหนังลงมาทีละนิดๆ  

 

 

           การกระทำเพียงสั่นๆ ไม่กี่อย่าง เขาใช้เวลาประมาณสิบนาทีเต็มๆ ถึงจัดการจนเสร็จได้  

 

 

           เขาอดทนข่มความเจ็บปวด เอายาทาไปยังตำแหน่งของบาดแผลบนตัว  

 

 

           เมื่อบาดแผลสัมผัสกับตัวยา ก็เจ็บแสบขึ้นมาเป็นระลอก  

 

 

           เจียงมู่เฉินกัดฟันถึงได้ไม่ให้ตัวเองเจ็บจนระเบิดคำสบถออกมา เขาถูกตีตั้งแต่เล็กจนโตมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยได้รับความเจ็บปวดทรมานลำบากขนาดนี้มาก่อน  

 

 

           ‘ถ้าไม่คิดเข้าไปสำรวจถ้ำเสือจนถลำลึก เขาก็ไม่มีทางตกต่ำมาถึงขั้นที่ถูกกระทำได้ขนาดนี้หรอก’  

 

 

           เหงื่อผุดบางๆ ไปทั้งร่างกาย เจียงมู่เฉินหลับตาลงข่มความเจ็บปวดดังคลื่นซัดลงไป  

 

 

           เขาสูดหายใจเสียงต่ำเล็กน้อย จะได้ให้ความรู้สึกเจ็บไม่รุนแรงมากนัก  

 

 

           กว่าจะผ่อนคลายลงได้ไม่ใช่ง่ายๆ หลังจากนั้นถึงได้วางยาในมือลง  

 

 

           เขาพิงอยู่ตรงนั้น ระมัดระวังไม่ให้ทับโดนบาดแผล ร่างกายแข็งทื่อเพราะความเจ็บปวด   

 

 

           ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ประตูถูกเปิดอีกครั้ง แสงแยงตาจนทำให้เจียงมู่เฉินหลับตาลงโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

           เขารู้สึกเพียงแค่ที่ประตูมีคนหนึ่งยืนอยู่ แต่กว่าเขาจะลืมตาขึ้น ประตูก็ถูกปิดลงอีกครั้งแล้ว  

ตอนที่ 310 ทางเลือก  

 

 

           “คุณไม่ใช่ว่าไม่รักเจียงมู่เฉินเหรอ ทำไมถึงไม่ให้ผมเข้าใกล้เขาอีก”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “รักหรือไม่รักเขาเป็นเรื่องของผม ต่อให้ไม่รักก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนลุกยืนขึ้น “ต้องการให้ผมช่วยชีวิตเจียงมู่เฉินก็มีเพียงแค่วิธีนี้วิธีเดียว จะช่วยเขาได้หรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับทางเลือกของคุณแล้ว”  

 

 

           ซังจิ่งมองตามแผ่นหลังของเขาที่เตรียมจะออกไป หัวใจบีบคั้นฉับพลัน ช่างเลือกยากเหลือเกิน  

 

 

           เจียงมู่เฉินคือภารกิจของเขา เขายังไม่ได้ปฏิบัติภารกิจของตัวเองให้เสร็จสมบูรณ์ ถ้ายอมตกลงรับปากซือเหยี่ยนแล้ว เช่นนั้นต่อไปก็จะจบภารกิจไม่ได้อีก  

 

 

           แต่ถ้าไม่ยอมตกลงรับปากซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนต้องขัดขาอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเจียงมู่เฉินอาจจะตายอยู่ที่แก๊งมังกรครามจริงๆ  

 

 

           ‘ตาย…’  

 

 

           พอคิดถึงคำคำนี้ ในใจซังจิ่งอึดอัด ราวกับมีสิ่งของต้องการจะบุกทะลุหัวใจอย่างไรอย่างนั้น   

 

 

           แต่ต้นจนจบเขาใช้เวลาไม่ถึงสองนาที ก็ทำการตัดสินใจได้แล้ว  

 

 

           ซังจิ่งรีบตะโกนเรียกซือเหยี่ยนที่เตรียมตัวจะออกไป เอ่ยอย่างอับจนหนทาง “ผมตกลง”  

 

 

           ร่างซือเหยี่ยนหยุดชะงักไป  

 

 

           ซังจิ่งเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ที่คุณพูดมาเมื่อกี้ ผมยอมตกลงทั้งหมด ขอเพียงแต่คุณช่วยเจียงมู่เฉินออกมาได้ ต่อไปผมจะไม่มากวนใจอีก”  

 

 

           สัญญาณเตือนภัยในแววตาของซือเหยี่ยนในที่สุดก็วางลงได้นิดหน่อยแล้ว ไม่ว่าจะว่าอย่างไร ตัดซังจิ่งคนอันตรายออกจากข้างกายเจียงมู่เฉินให้ได้ก่อน  

 

 

           ก็เป็นเรื่องที่ดีทีเดียว  

 

 

           สำหรับซูเตอร์ เขาสามารถจัดการเองได้  

 

 

           ถึงเวลานั้น ข้างกายเจียงมู่เฉินก็จะไม่มีอำนาจอื่นใดมาคุกคามอีก  

 

 

           ซือเหยี่ยนกำมือแล้ว “ได้ ผมตกลง”  

 

 

           ซังจิ่งโล่งอกไปที “แล้วคุณคิดจะช่วยเขาเมื่อไหร่”  

 

 

           “หลังจากผมกลับไป จะรีบสืบหาตำแหน่งของเจียงมู่เฉินทันที ได้ข่าวแล้ว ผมก็จะช่วยเขาได้ไปโดยปริยาย”  

 

 

           ซังจิ่งยังคงไม่วางใจ “นิสัยของซูเตอร์ รอนานเกินไปไม่ได้”  

 

 

           “มีเรื่องหนึ่ง ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”  

 

 

           “เรื่องอะไร”  

 

 

           ซือเหยี่ยนตรึกตรอง “คุณไปที่แก๊งมังกรครามเรียกหาคน วางท่าบาตรใหญ่ยิ่งใหญ่ยิ่งดี”  

 

 

           ซังจิ่งขมวดคิ้ว “คุณคิดว่าแก๊งมังกรครามเข้าง่ายขนาดนั้น?”  

 

 

           “ผมเชื่อว่าด้วยความสามารถของวี ต้องทำได้อยู่แล้ว อีกอย่างในเวลาที่สำคัญจำเป็น ผมให้ความช่วยเหลือคุณได้”  

 

 

           ได้ยินซือเหยี่ยนพูดขนาดนี้ ซังจิ่งครุ่นคิด ถ้าเขาบุกเข้าไปแก๊งมังกรครามโดยพลการ ที่จริงก็ไม่ได้ยาก  

 

 

           เพียงแต่ว่า…  

 

 

           “ผมไปโหวกเหวกโวยวาย จะแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือเปล่า”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “ที่ต้องการก็คือให้คุณแหวกหญ้าให้งูตื่น” ในเมื่อซูเตอร์ไม่ได้บอกเขาเรื่องเจียงมู่เฉิน ก็เป็นธรรมดาที่จะไม่อยากให้เขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว  

 

 

           ถ้าซังจิ่งออกหน้าว่าต้องการตัวเจียงมู่เฉิน ต้องกระเทือนมาถึงตัวเองอย่างแน่นอน  

 

 

           ถึงตอนนั้นเขาก็จะได้ขอตัวคนจากซูเตอร์กันซึ่งๆ หน้าได้อย่างโจ่งแจ้ง  

 

 

           ตามนิสัยของซูเตอร์แล้ว เขาไม่มีทางส่งตัวให้ แต่ซูเตอร์ต้องรีบย้ายตัวเจียงมู่เฉินไปอย่างแน่นอน  

 

 

           ถึงเวลานั้น เขาก็จะแทรกกลางเข้าไปช่วยเจียงมู่เฉินออกมาได้  

 

 

           ซังจิ่งเห็นเขาว่ามาเช่นนี้ ก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายแล้ว เขาพยักหน้ารับ “ได้ งั้นผมรู้แล้ว จะเริ่มเมื่อไหร่”  

 

 

           “พรุ่งนี้ตอนเที่ยง คุณพาคนกลุ่มหนึ่งไปก่อความวุ่นวายอึกทึกที่แก๊งมังกรคราม” ซือเหยี่ยนหยุดสักพัก “เวลานั้นการรักษาความปลอดภัยของแก๊งมังกรครามจะเปราะบางที่สุด อีกอย่างผมช่วยคุณส่งคนส่วนหนึ่งพ้นทางได้…  

 

 

           …ส่วนที่เหลือต้องดูคุณแล้ว”  

 

 

           “พรุ่งนี้? ทำไมไม่เป็นตอนนี้ล่ะ” ซังจิ่งกลัวว่าเวลาจะนานเกินไป จะยิ่งไม่เป้นผลดีกับเจียงมู่เฉิน  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้ชี้แจงมากมาย บอกแค่ว่า “ผมยังมีธุระบางส่วนต้องทำ”  

 

 

           เขาเงียบลงสักพัก “ผมจำเป็นต้องกลับไปแล้ว พรุ่งนี้ตอนเที่ยง ผมจะรอคุณที่แก๊งมังกรคราม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพูดจบก็ออกไปทันที เขาออกมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว ถ้าไปนานเกินไป ยากจะรับประกันว่าซูเตอร์จะไม่สงสัยได้  

 

 

           ซังจิ่งรอซือเหยี่ยนออกไปแล้ว เขาก็ออกไปด้วยเช่นกัน เขารีบจัดคนมากลุ่มหนึ่ง เตรียมพร้อมสำหรับพรุ่งนี้ ไปแก๊งมังกรครามทำตามแผนของซือเหยี่ยน  

 

 

           ซังจิ่งกำมือแน่น ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เจียงมู่เฉินจะเกิดเรื่องไม่ได้เด็ดขาด  

 

 

 

 

 

           ตอนที่ 311 ซูเตอร์สงสัย  

 

 

           เจียงมู่เฉินอยู่ในห้องสีดำเล็กๆ ไปคืนหนึ่ง  

 

 

           เขาเอนพิงอยู่บนเก้าอี้ นั่งอยู่ทั้งคืน ไม่ได้นอนหลับตลอดคืน  

 

 

           อย่างแรกคือไม่มีที่ให้นอน อย่างที่สองคือเจ็บแผลจนหัวชา ไม่มีทางจะหลับลงได้  

 

 

           แส้สามครั้งนั้น ซูเตอร์ลงมืออย่างโหดเ**้ยม ทุกแส้ที่เฆี่ยนตีลงไปเป็นการใช้แรงกายจากทั้งร่างฟาดออกมา  

 

 

           เมื่อคืนฟาดแส้เสร็จ ก็โดนส่งตัวกลับมา เลือดแดงฉานบนตัวค่อยๆ ตกสะเก็ดแข็งตัวอย่างช้าๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินหายใจหอบต่ำ ยกมุมปากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ต้องดู เขาก็รู้ถึงสภาพน่าอนาถของตัวเองในตอนนี้  

 

 

           ไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาถูกซูเตอร์จับตัวมา ซังจิ่งจะรู้ตัวหรือเปล่า  

 

 

           เมื่อวานเป็นเพียงแค่แผนรับมือชั่วคราวของเขา ไม่ได้คิดจะทำตามที่ตัวเองพูดแบบนั้นไปจริงๆ ให้ซูเตอร์แกล้งทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์  

 

 

           อีกอย่างสำหรับซือเหยี่ยนแล้ว ซูเตอร์จะเสแสร้งหรือไม่เสแสร้ง บางทีเขาอาจจะไม่สนใจด้วยซ้ำ  

 

 

           ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เขาชอบมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้ ไม่ว่าซูเตอร์จะเป็นอย่างไร เขาควรจะรับได้ทุกอย่าง  

 

 

           ตรงกันข้ามกับตัวเอง ในใจซือเหยี่ยน ตัวเองคงจะกลายเป็นเจียงมู่เฉินที่เจ้าเล่ห์เพทุบายคนนั้นไปตั้งแต่แรกแล้ว  

 

 

           แต่ว่าต่อให้ถูกซือเหยี่ยนเข้าใจผิดก็ไม่เป็นไร  

 

 

           ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนก็รู้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร  

 

 

           อีกอย่างพวกเขาก็เลิกกันแล้ว ภาพลักษณ์ของตัวเองในใจของซือเหยี่ยนจะดีหรือไม่ดี ก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย โดนกักตัวอยู่ที่นี่ จะไปไหนก็ไปไม่ได้ สุดท้ายเขาต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นอิสระจากที่นี่ให้ได้ก่อน ซึ่งสำคัญกว่า  

 

 

           เขาพินิจมองที่นี่อีกครั้ง นอกจากประตูก็เหลือเพียงแค่ช่องหน้าต่างขนาดเท่าฝ่ามือ   

 

 

           โดนกักตัวอยู่ที่นี่ แม้ติดปีกก็ยากจะบินหนีรอดไปได้  

 

 

           มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นก็คือช่วงเวลาที่มาส่งข้าววันละสามครั้ง  

 

 

           มีเพียงแค่เวลานี้ เขาถึงพอจะวิ่งหนีไปได้  

 

 

           เขาคิดๆ ดูคุณชายน้อยตระกูลเจียงที่ถูกเลี้ยงให้สบายจนเคยตัวอย่างเขา ถ้าพ่อแม่เขามาเห็น คาดว่าแม่เขาคงจะร้องไห้จนท่วมแก๊งมังกรครามได้เลย  

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะถอนหายใจไม่ได้  ถ้าตัวเองตายอยู่ที่นี่จริงๆ คงจะมีเพียงคุณพ่อเจียง คุณแม่เจียง และมั่วไป๋เท่านั้นมั้งที่จะเศร้าโศกเสียใจเพื่อเขาได้  

 

 

           เขาคิดถึงซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ เวลานี้คงจะยังอยู่ข้างนอกจู๋จี๋กับซูเตอร์อยู่  

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแล้วขบกรามอีก  รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมายังไงไม่รู้  

 

 

           ‘ตัวเองทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ แต่เขากลับอยากนั่งเสพสุขเช่นคนรัฐฉี’  

 

 

           เจียงมู่เฉินตัดสินใจแล้ว  ถ้าตัวเองออกไปจากที่นี่ได้ เรื่องแรกที่จะทำคือไปทำลายซือเหยี่ยนเจ้าหมอนั่นทิ้งซะ  

 

 

           จะได้ไม่ให้ตัวเองเป็นทุกข์อยู่ในทุกๆ วัน  

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลงพักผ่อนดีๆ ให้ตัวเองได้เก็บออมพละกำลังของร่างกายอย่างเต็มที่  

 

 

           ถึงอย่างไรก็มีบาดแผลอยู่บนตัว ถ้าไม่รอให้แรงฟื้นคืนกลับมา ต่อให้หาวิธีหนีเจอก็ยากมากที่จะหนีออกไปได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนซบผนังห้องอันเย็นเฉียบ พักผ่อนอยู่อย่างสงบนิ่ง  

 

 

           ……  

 

 

           ตั้งแต่เมื่อวานมาซูเตอร์อารมณ์ดีมาก หลังจากตื่นเช้ามาก็ไปหาซือเหยี่ยน ปรากฏว่าพอเดินไปถึงห้องซือเหยี่ยน ก็พบว่าซือเหยี่ยนไม่อยู่  

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สอบถามคนที่อยู่ด้านข้าง “ซือเหยี่ยนล่ะ”  

 

 

           “คุณซือออกไปแต่เช้าแล้วครับ ตอนนี้ยังไม่กลับมา”  

 

 

           ซูเตอร์ขมวดคิ้ว  เวลานี้ซือเหยี่ยนก็ออกไปแล้ว? มีเรื่องอะไรสำคัญเหรอ ทำไมเขาไม่รู้เลย  

 

 

           “รออยู่ที่ประตู ซือเหยี่ยนกลับมารีบบอกฉันทันที”  

 

 

           “ได้ครับ คุณชายน้อย”  

 

 

           ซูเตอร์พูดจบ กำลังคิดจะออกไป ก็เจอซือเหยี่ยนที่เดินเข้ามาพอดี  

 

 

           นัยน์ตาเขาลุกวาว เดินเข้าไปเผชิญหน้า  

 

 

           “เหยี่ยน ตอนเช้านายไปไหนมาเหรอ” เขาเอ่ยลองทดสอบหยั่งเชิงเล็กน้อย  

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าไม่เปลี่ยน เอ่ยเสียงต่ำ “อาเรย์ให้ผมไปดูที่โรงแรมสักหน่อย เวลาเช้าเกินไป ผมเลยไม่ได้เรียกคุณ”  

 

 

           ซูเตอร์มองเขา “ไม่เป็นไร ครั้งหน้านายเรียกฉันไปด้วยก็ได้ ฉันเต็มใจมากเลยที่จะไปด้วยกันกับนาย”  

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนเอ่ยรับ “ได้ งั้นครั้งหน้าผมจะเรียกคุณ”  

 

 

           เขาพูดจบก็มุ่งหน้าเดินไปห้องหนังสือ ซูเตอร์มองตามแผ่นหลังเขาไป หยิบมือถือออกมาโทรหาผู้รับผิดชอบของโรงแรมทางนั้น  

 

 

           “คุณซือ ตอนเช้าไปหาพวกนายแล้วใช่ไหม”  

ตอนที่ 308 ฟาดแส้  

 

 

           ถ้าตระกูลเจียงเกิดมีปากเสียงขึ้นมา ถึงแม้แก๊งมังกรครามของเขาจะไม่ได้เสียหายใหญ่โต แต่ก็ยากจะรับประกันว่าซือเหยี่ยนจะไม่จดจำเจียงมู่เฉินไปตลอดชีวิตได้  

 

 

           ถึงอย่างไร คนตายเท่านั้นถึงจะคงอยู่ในใจคนอื่นได้นานกว่า  

 

 

           “แล้วคุณชายเจียงคิดจะทำยังไง”  

 

 

           “คุณซูลองสร้างเรื่องที่ไม่เป็นผลดีกับนายจากตัวฉัน ทำให้ซือเหยี่ยนเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของฉันชัดๆ สิ”  

 

 

           ซูเตอร์หรี่ตาลง รู้สึกว่าความคิดนี้ก็ไม่เลวจริงๆ แบบนี้เขาก็แสร้งเป็นผู้ถูกกระทำได้ ทั้งยังทำให้เจียงมู่เฉินเป็นคนเลวที่น่ารังเกียจในใจของซือเหยี่ยนได้อีก  

 

 

           แบบนี้เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไม่ใช่เหรอ  

 

 

           เจียงมู่เฉินสังเกตสีหน้าของซูเตอร์แล้วก็เข้าใจว่าเขาเห็นด้วยแล้ว ในใจก็นึกโล่งอกไป  

 

 

           ซูเตอร์อาศัยตอนที่เขาผ่อนลมหายใจออกมา ยกแส้ขึ้นฟาดออกไปอย่างรวดเร็วและดุดัน  

 

 

           แส้ฟาดบนตัวเจียงมู่เฉินอย่างโหดร้ายและรุนแรง เขาเจ็บจนหายใจหอบ  

 

 

           ซูเตอร์ฟาดแส้กะทันหันจนเกินไป เขาไม่ทันได้ตั้งหลักก่อน  

 

 

           เจียงมู่เฉินเก็บกดความเจ็บปวดเอาไว้ มองซูเตอร์แวบหนึ่ง หัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ย “อะไรกัน นี่คือของขวัญเวลาเจอหน้ากันเหรอ”  

 

 

           รอยยิ้มกระหายเลือดแต่งแต้มบนใบหน้าของซูเตอร์ “เมื่อก่อนที่คุณชายเจียงต่อยตีฉันครั้งนั้น ฉันจดจำมาตลอด ฉันรับข้อเสนอของคุณชายเจียง แต่ไม่ได้ตกลงยอมความเรื่องแค้นครั้งก่อนนั้นสักหน่อย”  

 

 

           เขายกมือสะบัดฟาดแส้ใส่เจียงมู่เฉินอย่างสุดแรงมือและเต็มกำลัง “ฉันซูเตอร์ไม่ได้เป็นคนใจอ่อนออมมือเสียด้วยสิ”  

 

 

           ปลายแส้ครูดผ่านเสื้อเชิ้ตตัวบางบนตัวของเจียงมู่เฉินจนฉีกขาด เลือดแดงฉานเปื้อนเปรอะชวนให้สะเทือนใจต่อภาพที่เห็น  

 

 

           เจียงมู่เฉินสูดลมหายใจเล็กน้อย พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง  

 

 

           “คุณชายเจียงนี่เก่งจริงๆ เจ็บจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว ยังไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวอีก”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยายามยกมุมปากล่าง เขายิ้มหัวเราะเล็กน้อยมองซูเตอร์ “ช่วยไม่ได้ ไม่มีอะไรสักอย่าง มีแค่ร่างกายทื่อๆ ถ้าคุณซูอยากเห็นฉันขอร้องให้ยกโทษให้ เกรงว่าจะไม่มีโอกาสนี้แล้ว”  

 

 

           “คุณชายเจียง ถ้าไม่ใช่เพราะซือเหยี่ยน ฉันคงจะชื่นชมนายมากทีเดียว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเบาๆ “การชื่นชมของคุณซู ฉันรับไว้ไม่ไหวหรอก”  

 

 

           ซูเตอร์ฟาดแส้ใส่เขาอีกครั้ง รอยแส้ฟาดสามรอยประทับเรียงรายอยู่บนเอวของเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เจียงมู่เฉินก้มมองแวบหนึ่ง ขบขันไม่น้อย “ดูท่าว่าคุณจะฝึกฟาดแส้อยู่ไม่น้อยทีเดียว เฆี่ยนตีคนยังมีความสวยงามอยู่มากอีกนะ”  

 

 

           “แส้สามครั้งนี้เอาคืนนายเรื่องแค้นที่ถานโจวก่อนหน้านี้ ส่วนเรื่องร่วมมือกัน รอนายอยู่ที่นี่สักสองวัน แล้วพวกเราค่อยมาพูดคุยกันอีกที”  

 

 

           เขาพูดจบก็มุ่งหน้าเดินออกไป “พาตัวคนกลับไป ไม่ต้องรักษา”  

 

 

           บอดี้การ์ดมองเจียงมู่เฉินปราดเดียวแล้วใช้มือปลดตัวเขาลงมา ทันทีที่ถึงพื้น เจียงมู่เฉินก็เจ็บปวดจนคิ้วขมวดหากัน สีหน้าค่อนข้างซีด  

 

 

           แม้กระทั่งริมฝีปากก็ไม่ขึ้นสีเลือดเลยแม้แต่น้อย  

 

 

           เขาลุกยืนขึ้นมาอย่างยากลำบาก ยื่นมือไปคว้าราวจับด้านข้างพยุงตัวขึ้น เพราะความเจ็บปวดทำให้เขาตัวงอเล็กน้อย  

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับเพียงก้าวเดียวก็เจ็บปวดจนหายสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่  

 

 

           “คุณชายเจียง เชิญครับ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยายามยันกายยืนขึ้น มุ่งหน้าเดินออกไปข้างนอกทีละก้าวๆ เขาบาดเจ็บที่เอว ทุกย่างก้าวที่เดินไปล้วนเจ็บปวดจนเหงื่อไหลท่วมหัว  

 

 

           ‘นี่ซูเตอร์เฆี่ยนเขาได้จริงๆ’ ฟาดโดนช่วงเอวเขาพอดี ขยับก็ขยับไม่ได้ เคลื่อนไหวเพียงนิดก็ร้าวไปถึงบาดแผลได้แล้ว  

 

 

           ‘ดูท่าว่าวันสองวันนี้จะไม่สามารถผ่านไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว’  

 

 

           ค่อยๆ เคลื่อนย้ายตัวเองกลับไปห้องเมื่อครู่นี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวเจียงมู่เฉินเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขายันผนังพยุงตัวเอง หายใจหอบเสียงต่ำ  

 

 

           กว่าจะกดเก็บความเจ็บปวดนี้ลงไปได้ไม่ใช่ง่ายๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก อดจะขบกรามนิดหน่อยไม่ได้  

 

 

           ‘ถ้าไม่ใช่เพราะซือเหยี่ยน เขาจะตกต่ำลงมาอย่างวันนี้ได้เหรอ ถูกคนมองเป็นศัตรูไม่ว่า ยังมาโดนแส้ฟาดไปเต็มๆ สามทีอีก’  

 

 

           บัญชีแค้นนี้ วันหลังเขาจะต้องสะสางกับซือเหยี่ยนอย่างสาสมแน่นอน  

 

 

             

 

 

ตอนที่ 309 ช่วยชีวิตเขา  

 

 

           วันต่อมา ซือเหยี่ยนไปสถานที่ที่ซังจิ่งบอกตามเวลาที่นัดกันไว้  

 

 

           ตอนที่เขามาถึง ซังจิ่งยังไม่มาถึง ซือเหยี่ยนสั่งชามาแก้วหนึ่งนั่งรออยู่ตรงนั้น  

 

 

           ผ่านไปประมาณห้านาที ซังจิ่งถึงได้ปรากฏตัว  

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนเห็นซังจิ่งเดินมานั่งลงตรงหน้าตัวเองแล้ว เสียงต่ำถึงเอ่ยเข้าประเด็นสักที “คุณมีธุระอะไรหาผมเหรอ”  

 

 

           ซังจิ่งเองก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายเจียงหายตัวไปแล้ว”  

 

 

           สีหน้าซือเหยี่ยนเปลี่ยนเล็กน้อยมองเขา “หมายความว่าไง”  

 

 

           “ตั้งแต่ออกจากบ้านไปตอนเช้า จนถึงตอนนี้ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย มือถือก็ปิดเครื่องไว้”  

 

 

           “ก่อนเขาจะออกไป ได้พูดว่าไปไหนไหม”  

 

 

           ซังจิ่งส่ายหัว “เขาไม่ได้พูดอะไรเลย” เขาหยุดสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “แต่ว่าผมให้คนไปสืบหาร่องรอยของเขาแล้ว เมื่อวานตอนเช้าเขาไปร้านกาแฟเซาท์เวสต์”  

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ร้านกาแฟเซาท์เวสต์…  

 

 

           นั่นไม่ใช่…  

 

 

           “คุณควรจะรู้อยู่แล้ว ว่านั่นคือธุรกิจของแก๊งมังกรคราม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกำมือเล็กน้อย เงยหน้ามองเขา “คุณอยากจะบอกว่าเขาถูกคนของแก๊งมังกรครามพาตัวไปแล้ว?”  

 

 

           “เป็นคนของแก๊งมังกรครามหรือเปล่า คุณควรจะชัดเจนยิ่งกว่าผมนะ”  

 

 

           ถ้าเป็นจริงตามที่ซังจิ่งว่ามา เจียงมู่เฉินถูกคนของแก๊งมังกรครามพาตัวไป มีความเป็นไปได้สูง แล้วคนบงการเบื้องหลังก็คือซูเตอร์  

 

 

           นอกจากซูเตอร์แล้ว ก็ไม่มีทางจะมีคนอื่นลงมือกับเจียงมู่เฉินได้  

 

 

           ถ้าเป็นซูเตอร์จริงๆ เจียงมู่เฉินหายตัวไปนานขนาดนี้ ก็ค่อนข้างจัดการได้ยากแล้ว  

 

 

           “ที่ผมมาหาคุณวันนี้ คืออยากให้คุณช่วยผมช่วยชีวิตเจียงมู่เฉิน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกำแก้วชาไว้อย่างสงวนท่าที นิ้วมือกระชับแน่นเล็กน้อย “คุณยึดอะไรมาเชื่อว่าสามารถช่วยคุณช่วยชีวิตเจียงมู่เฉินได้”  

 

 

           ซังจิ่งสีหน้าเปลี่ยนทันที “ก็ยึดตามที่เมื่อก่อนคุณเคยคบกับเจียงมู่เฉินไง คุณใจแข็งเห็นเขาตายอยู่ในกำมือของซูเตอร์ได้ลงคอเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนครุ่นคิดสักพัก เขาหัวเราะเบาๆ “แต่ผมเลิกกับเขาแล้ว ไม่ใช่เหรอ”  

 

 

           “ซือเหยี่ยน คุณแน่ใจเหรอว่าอยากจะไร้เหตุผลขนาดนี้” ซังจิ่งไม่ค่อยกล้าจะเชื่อ ไม่เชื่อว่าซือเหยี่ยนจู่ๆ จะไร้เหตุผลขนาดนี้ได้  

 

 

           “ประธานซัง คำพูดนี้ของคุณ ผมฟังไม่ค่อยเข้าใจแล้ว คุณรู้อยู่ชัดๆ ว่าผมอยู่แก๊งมังกรคราม กลับต้องการให้ผมหักหลังแก๊งมังกรคราม ช่วยชีวิตเจียงมู่เฉิน…  

 

 

           …ถ้าเป็นคุณ คุณจะช่วยไหม” ม่านตาซือเหยี่ยนหดตัวลงเล็กน้อย ย้อนถามไปตรงๆ  

 

 

           เมื่อซังจิ่งคิดถึงว่าเจียงมู่เฉินอาจจะตายในกำมือของซูเตอร์ได้ หัวใจก็บีบรัดแน่นขึ้นมาในพริบตา  

 

 

           ความสับสนว้าวุ่นใจที่ไม่เคยมีลอยขึ้นมากลางใจ ซังจิ่งไม่รู้ว่าความสับสนว้าวุ่นใจแบบนี้มาจากไหนกัน  

 

 

           แต่เขารู้แก่ใจ เจียงมู่เฉินจะตายไม่ได้  

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เจียงมู่เฉินต้องมีชีวิตอยู่  

 

 

           เขาค่อยๆ ยืนขึ้นมองซือเหยี่ยนด้วยความโมโห “ในเมื่อคุณไม่ช่วย งั้นผมเอง เพียงแต่หวังว่าซือเหยี่ยน คุณอย่ามาก้าวก่ายผม”  

 

 

           ซังจิ่งพูดจบก็ฮึดฮัดเตรียมจะเดินออกไป ก่อนที่เขาจะออกไป ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา “เดี๋ยวก่อน”  

 

 

           ซังจิ่งหยุดลง หันกลับมามองเขา  

 

 

           ซือเหยี่ยนลังเลอยู่สักพัก “อยากให้ผมช่วยชีวิตเจียงมู่เฉินก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้”  

 

 

           ซังจิ่งมองเขาสีหน้าเปลี่ยนทันที “คุณมีเงื่อนไขอะไร”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาเอ่ยเน้นคำต่อคำ “เงื่อนไขของผมก็คือ คุณซังจิ่งต่อไปอย่าติดต่อกับเจียงมู่เฉินอีก”  

 

 

           ซังจิ่งสีหน้าถอดสี “คุณมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้”  

 

 

           “คุณรู้ว่าถ้าผมไม่ช่วยคุณ คุณก็ช่วยเจียงมู่เฉินออกมาไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ซือเหยี่ยนลองทดสอบหยั่งเชิงเล็กน้อย “คุณคิดว่าไงล่ะ วี”  

 

 

           ซังจิ่งเงยหน้ามองเขา ความคาดไม่ถึงอยู่ในแววตา “คุณรู้มาแต่แรกเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตาเย็นยะเยือกมองเขาแวบหนึ่ง “เพิ่งจะรู้ช่วงนี้เอง ถ้าไม่อย่างนั้นคุณคิดว่าผมจะให้คุณอยู่ข้างเจียงมู่เฉินได้นานขนาดนี้เหรอ”  

ตอนที่ 306 ซังจิ่งนัดเจอซือเหยี่ยน

 

 

           หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ซังจิ่งถึงเพิ่งได้รับการตอบกลับ บอกว่าตอนเช้าเวลาเก้าโมงกว่าๆ เจียงมู่เฉินปรากฏตัวแถวร้านกาแฟเซาท์เวสต์ ต่อมาก็ไม่เจอเขาแล้ว

 

 

           ซังจิ่งอดจะคิดทบทวนไม่ได้ ว่าช่วงหลายวันมานี้ที่อยู่ด้วยกันกับเจียงมู่เฉินมา ก็ยังไม่เคยเจอเรื่องทำนองนี้มาก่อน

 

 

           เขาอดจะคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับฟู่เหยี่ยนหรือเปล่า เขาพาตัวคนไปแล้ว

 

 

           ซังจิ่งหน้าตาเคร่งเครียด เร่งรีบเหมือนจะกดสายโทรหาฟู่เหยี่ยน แต่กดเบอร์ออกไปได้ไม่ทันไร เขาก็กดปิดทิ้งทันที

 

 

           เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นฟู่เหยี่ยน ถ้าเป็นฟู่เหยี่ยน ตอนนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องให้เจียงมู่เฉินออกจากที่นั่นด้วยซ้ำ

 

 

           ‘ถ้าไม่ใช่ฟู่เหยี่ยน งั้นจะเป็นใครไปอีก’

 

 

           ในหัวมีชื่อของ ‘ซูเตอร์’ ลอยขึ้นมา ซังจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าซูเตอร์มีความเป็นไปได้สูงมาก

 

 

           ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่ ก็มีเพียงแค่ซูเตอร์ที่เอาแต่มองเจียงมู่เฉินเป็นศัตรูตลอด

 

 

           แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีหลักฐานใดใดจะยืนยันได้ว่าตัวคนอยู่ในกำมือของซูเตอร์

 

 

           ถ้าพรวดพราดเข้าไป ถึงตอนนั้นทำให้ซูเตอร์ไหวตัวทัน กลับจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นแทน

 

 

           ซังจิ่งไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าไปหาซูเตอร์ตรงๆ ไม่ได้…บางทีอาจจะติดต่อซือเหยี่ยนได้

 

 

           ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินเมื่อก่อนก็มีความสัมพันธ์แบบนั้น

 

 

           ถึงแม้ว่าตอนนี้ทั้งสองคนจะเลิกกันแล้ว แต่เขารู้สึกว่าซือเหยี่ยนก็ควรจะไม่ไร้น้ำใจได้ถึงขนาดที่ว่าเจียงมู่เฉินจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่สน

 

 

           เขาคิดทบทวนแบบนี้แล้ว รู้สึกว่าหาซือเหยี่ยนเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด

 

 

           ซังจิ่งรีบให้คนหาช่องทางการติดต่อการซือเหยี่ยนมาให้ หลังจากได้ข้อมูลการติดต่อแล้ว ถึงได้ส่งข้อความหาซือเหยี่ยนไป

 

 

           เขาจำเป็นต้องทดสอบหยั่งเชิงท่าทีตอบสนองของซือเหยี่ยนก่อน ถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะบอกซือเหยี่ยนหรือไม่

 

 

           ซือเหยี่ยนเพิ่งจะกินข้าวอยู่เป็นเพื่อนซูเตอร์เสร็จ กลับมาห้องหนังสือของตัวเอง เขาเห็นข้อความจากเบอร์แปลกในมือถือ ก็เปิดอ่านดูแวบหนึ่ง

 

 

           [ผมคือซังจิ่ง มีธุระอยากพบคุณ พรุ่งนี้ตอนเช้าสะดวกเจอกันไหม]

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม  ทำไมจู่ๆ ซังจิ่งถึงอยากเจอเขาได้ หรือว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจียงมู่เฉิน

 

 

           นอกจากเรื่องนี้ เขากับซังจิ่งก็ไม่มีอย่างอื่นเกี่ยวข้องกันมาก่อน

 

 

           เขารีบตอบกลับข้อความของซังจิ่งทันที [พรุ่งนี้แปดโมงเช้า]

 

 

           ซังจิ่งส่งที่อยู่มา ซือเหยี่ยนดูสักพักก็วางมือถือลง

 

 

           ไม่รู้ว่าครั้งนี้  เจียงมู่เฉินเกิดเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ  หวังว่าเจียงมู่เฉินอย่าได้เกิดเรื่องอะไรเลย

 

 

           ……

 

 

           หลังจากซูเตอร์กินข้าวกับซือเหยี่ยนเสร็จก็ตรงไปที่ห้องชั้นใต้ดินทันที เขาทิ้งเจียงมู่เฉินไว้ค่อนวันก็ควรจะไปดูเขาได้แล้ว

 

 

           ซูเตอร์เดินลงบันไดมาอย่างอารมณ์ดี คนข้างๆ ไม่กี่คนที่เฝ้าเจียงมู่เฉินไว้เห็นซูเตอร์ก็เอ่ยเรียกเสียงต่ำ “คุณชายน้อย”

 

 

           ซูเตอร์มองเขาแวบหนึ่ง “เป็นยังไงบ้าง”

 

 

           “เจียงมู่เฉินคนนั้นจนถึงตอนนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวเลยครับ”

 

 

           ซูเตอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่มีความเคลื่อนไหวเลยเหรอ”

 

 

           “ครับ ตั้งแต่จนถึงตอนนี้ ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไรเลยครับ”

 

 

           “โอเค ฉันรู้แล้ว ไปเปิดประตู ฉันจะเข้าไป”

 

 

           บอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่พยักหน้ารับ ยื่นมือหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู ซูเตอร์เปิดประตูเข้าไปก็เห็นเจียงมู่เฉินนั่งอยู่ท่ามกลางความมืด ไม่ขยับเขยื้อน

 

 

           เขายื่นมือไปเปิดไฟที่อยู่ด้านข้าง เห็นเจียงมู่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ “คิดไม่ถึงว่าคุณชายเจียงจะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่นี่ได้มากทีเดียวเชียว”

 

 

           เจียงมู่เฉินยังคงอยู่ในท่าเดิมก่อนหน้านี้ ไม่เคลื่อนไหว

 

 

           ซูเตอร์จ้องมองเจียงมู่เฉิน “อะไรกัน คุณชายเจียงไม่มีอะไรอยากจะพูดเลยเหรอ”

 

 

           ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขามองซูเตอร์แวบหนึ่ง “คุณซูอยากจะให้ฉันพูดอะไรเหรอ”

 

 

           ซูเตอร์มองไปรอบๆ อย่างรังเกียจ

 

 

           “นายไม่แปลกใจอยากรู้เลยเหรอว่าทำไมฉันถึงจับนายมา”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “เพราะว่าซือเหยี่ยนไง ไม่งั้นจะเป็นเพราะอะไรได้”

 

 

            

 

 

ตอนที่ 307 ข้อเสนอ

 

 

           “ในเมื่อนายรู้อยู่แล้ว นายยังทำเป็นไม่สนใจอีกเหรอ” ซูเตอร์กำมือแน่น “ฉันยังไม่ลืมครั้งก่อนที่นายลงไม้ลงมือกับฉันนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากอย่างจนใจ “ตัวฉันก็อยู่ในกำมือนายแล้ว เป็นธรรมดาที่นายอยากจะทำอะไรก็ทำอยู่แล้ว”

 

 

           ซูเตอร์มองเขา แววตาประกายความเย็นชา เขากวักมือเรียกบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆ “พาคุณชายเจียงไปไว้ห้องข้างๆ”

 

 

           บอดี้การ์ดพยักหน้ารับ เดินตรงมายังข้างตัวของเจียงมู่เฉิน ยื่นมือไปพยุงร่างเขาขึ้นมาพาตัวออกไป

 

 

           เจียงมู่เฉินให้ความร่วมมือดีมาตลอด ไม่ขัดขืนเลยสักนิด จนถูกคนพาตัวไปยังห้องลงทัณฑ์ที่อยู่ด้านข้าง

 

 

           เขาถูกมัดแขวนห้อยไว้กลางอากาศ

 

 

           เจียงมู่เฉินหน้าตานิ่งสงบ มองซูเตอร์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

           ซูเตอร์เห็นท่าทางไม่ใส่ใจนี้ของเขา ไฟโกรธก็ลุกโชนในใจขึ้นมาในพริบตา

 

 

           เจียงมู่เฉินมีสิทธิ์อะไรมาทำหน้าตาไม่แยแสอยู่ได้

 

 

           ในใจเขาโมโหอยากจะฉีกหน้ากากความไม่ใส่ใจบนใบหน้าของเจียงมู่เฉินออกทีละนิดๆ

 

 

           เขาหมุนตัวหันไปมองด้านข้าง นิ้วมือลูบแส้เบาๆ ราวกับกำลังสอบถามความเห็นของเจียงมู่เฉินอยู่อย่างไรอย่างนั้น เขาเอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้าย “คุณชายเจียงมีอะไรอยากใช้ไหม หรือคุณชายเจียงจะเลือกเองดีกว่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองแวบหนึ่ง แส้หนัง ไม้ตะบอง เครื่องมือเหล็ก ไม่มีสักชิ้นที่ทำให้คนผ่อนคลายได้

 

 

           เขายกมุมปากมองซูเตอร์ “ฉันกลับรู้สึกว่าอันไหนฉันก็ไม่ค่อยชอบเลย”

 

 

           ซูเตอร์เลิกคิ้ว “งั้นคุณชายเจียงอยากจะได้แบบไหน นายคงจะไม่คิดว่าเข้ามาในที่ของฉันแล้ว จะออกไปได้โดยไม่มีแผลเลยแม้แต่น้อยหรอกใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “ฉันก็แค่รู้สึกว่าในเมื่อนายลักพาตัวฉันมาแล้ว แต่ไม่ฆ่าฉันทันที ก็แสดงว่าตอนนี้นายยังให้ฉันตายไม่ได้…ถ้านายทำฉันเจ็บตัว ไม่ช้าก็เร็วจะถูกซือเหยี่ยนรู้เข้าจนได้ ถึงตอนนั้นถ้าซือเหยี่ยนมาเห็นฉันในสภาพน่าอนาถ ฉันก็ยากจะรับประกันว่าซือเหยี่ยนจะไม่สงสารฉันจับใจขึ้นมานะ”

 

 

           ซูเตอร์แววตาจมดิ่งลง จ้องเจียงมู่เฉินตาเขม็ง อยากจะเห็นว่าเขาจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่

 

 

           “นายคิดว่าฉันจะให้นายเจอซือเหยี่ยนเหรอ”

 

 

           “นายเองก็รู้ว่าครั้งนี้ที่ฉันมาออกงานที่นี่ ฉันมาด้วยกันกับซังจิ่ง ถ้าหากว่าเขาไม่เห็นฉันกลับไปสักที ถึงตอนนั้นถ้าเขามาตามหาคนที่แก๊งมังกรคราม ก็ยากจะรับประกันว่าซือเหยี่ยนจะไม่รู้”

 

 

           มือซูเตอร์ที่ถือแส้ไว้กำแน่น ยังมีซังจิ่งอยู่อีกคนจริงๆ ถ้าซังจิ่งรู้ว่าเจียงมู่เฉินหายตัวไป ต้องเป็นเหมือนที่เจียงมู่เฉินว่ามาจริงๆ

 

 

           “ตอนนี้ฉันเลิกกับซือเหยี่ยนแล้ว ซือเหยี่ยนเองก็ไม่ได้มาใส่ใจอะไรฉันเท่าไหร่ แต่ถ้านายลงไม้ลงมือกับฉัน ซือเหยี่ยนทางนั้นฉันก็พูดยากแล้ว ถึงยังไงฉันกับซือเหยี่ยนก็คบกันมาตั้งนานขนาดนี้ ยากจะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ใจอ่อนขึ้นมากะทันหัน ถึงตอนนั้นนายก็จะได้ไม่คุ้มเสียนะ”

 

 

           “งั้นคุณชายเจียงมีข้อเสนออะไร” ซูเตอร์มองมาทางเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบคางไปมา “ฉันมีวิธีดีๆ อยู่วิธีหนึ่ง”

 

 

           “อ้อ คุณชายเจียงลองพูดมาสิ”

 

 

           เจียงมู่เฉินไตร่ตรองสักพัก “บอกตามตรง ตอนนี้ฉันไม่ได้สนใจอะไรซือเหยี่ยนแล้ว ถ้าหากคุณซูชอบซือเหยี่ยน ฉันก็ช่วยนายได้นะ”

 

 

           ซูเตอร์เลิกคิ้ว นัยน์ตาฉายแววสงสัย “คุณชายเจียงใจดีขนาดนี้เชียวเหรอ”

 

 

           “ฉันกลับรู้สึกว่าถ้านายอยากเหนื่อยหนเดียวสบายไปทั้งชาติ สู้ทำให้ซือเหยี่ยนเกลียดฉันไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเขาเกลียดฉันขึ้นมา ก็คงจะไม่มาใส่ใจอะไรฉันอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นนายก็จะปลอบโยนให้ซือเหยี่ยนอยู่ข้างนายได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงต่ำแนะนำเขาไป

 

 

           ซูเตอร์คิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคำพูดนี้ของเจียงมู่เฉินก็มีเหตุผล ถ้าหากเจียงมู่เฉินเป็นฝ่ายทำให้ซือเหยี่ยนผิดหวังในตัวเขาเอง ก็จะเป็นเรื่องที่ดีในที่สุด

 

 

           ถึงอย่างไรตระกูลเจียงเบื้องหลังของเจียงมู่เฉินก็ไม่ได้เป็นพวกใจดีมีเมตตาอะไรเหมือนกัน

ตอนที่ 304 ถูกกักขัง

 

 

           แต่ว่าเขายังประหลาดใจมากจริงๆ ในเมื่อซูเตอร์รีบร้อนลงไม้ลงมือกับเขาขนาดนี้ ต้องเป็นเพราะซือเหยี่ยนแน่นอน

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง นึกถึงท่าทีที่ซือเหยี่ยนมีต่อซูเตอร์ก่อนหน้านี้ขึ้นมา ทั้งยังครั้งก่อนท่าทางตื่นตระหนกแบบนั้นของซือเหยี่ยนในโรงพยาบาลอีก

 

 

           สมองเขาประกายวาบ ราวกับมีสิ่งของอะไรพาดผ่านเข้ามา

 

 

           “พวกนายเบามือกับคุณชายเจียงหน่อยนะ อย่าทำให้เขาเจ็บตัวเด็ดขาด” ซูเตอร์เอ่ยอย่างเสแสร้ง

 

 

           หลายคนรับคำสั่งแล้วรีบเข้าประชิดตัวเจียงมู่เฉินทันที

 

 

           นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ของเจียงมู่เฉินพินิจมองพวกเขาเหล่านั้นอย่างจริงจัง ถึงเขาจะสามารถใช้ศิลปะป้องกันตัวเป็นอยู่บ้าง แต่ต้องมาต่อสู้กับคนหลายคน แผนจะชนะสักนิดก็ไม่มี

 

 

           อีกอย่าง เขามีข้อสงสัยนิดหน่อยขึ้นมาพอดี อยากจะไปแก๊งมังกรครามสืบสวนหาความจริง

 

 

           “เดี๋ยวก่อน” เจียงมู่เฉินเอ่ยขึ้น

 

 

           ซูเตอร์มองเขา “คุณชายเจียงอยากจะพูดอะไรอีก”

 

 

           “ฉันก็แค่อยากถาม คุณซูเตรียมจะจัดการฉันตรงนี้ทีเดียว หรือต้องการตีฉันจนสลบแล้วพาตัวไป”

 

 

           ซูเตอร์หรี่ตาลง “คุณชายเจียงคิดว่าไงล่ะ”

 

 

           “สถานที่ที่นายกับฉันนัดเจอกัน เป็นย่านการค้าใจกลางเมือง ถ้าฆ่าคนที่นี่ ต้องจัดการเรื่องศพได้ไม่ดีอยู่แล้ว ฉันคิดๆ ดู เจตนาเดิมของคุณซูคงจะอยากเชิญฉันไปดื่มน้ำชาที่แก๊งมังกรครามใช่ไหมล่ะ”

 

 

           “คิดไม่ถึงว่าคุณชายเจียงจะฉลาดกว่าที่ฉันคิดไว้ทีเดียว”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ขอบใจสำหรับคำชม ถ้าเชิญฉันไปดื่มชา พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ต้องลงมือลงแรงแล้ว ฉันคนนี้เป็นคนที่รู้กาลเทศะโดยเฉพาะ ฉันเป็นฝ่ายเดินไปกับนายเองก็ได้แล้ว”

 

 

           ซูเตอร์จ้องมองเขา ราวกับจะมองดูว่าเจียงมู่เฉินมีอุบายอะไรแอบแฝงหรือเปล่า หรือว่าคิดจะไปกับเขาจริงๆ

 

 

           “นายยอมจริงๆ เหรอ”

 

 

           “ยอมหรือไม่ยอมไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉันอยู่แล้วไง” เจียงมู่เฉินยิ้มเย็น “ชัดจากมากเลยว่าวันนี้ฉันมีแค่สองทาง…หนึ่งคือถูกพวกนายตีจนสลบ สองคือว่าง่ายเดินไปกับพวกนายเอง” เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ถึงยังไงก็ต้องไปกับพวกนายอยู่ดี งั้นฉันเป็นฝ่ายไปเองไม่ดีกว่าเหรอ จะได้เจ็บเนื้อเจ็บตัวน้อยลงไง”

 

 

           ซูเตอร์มองบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง “ในเมื่อคุณชายเจียงพูดแบบนี้แล้ว ยังไม่รีบไปเชิญคุณชายเจียงไปที่แก๊งมังกรครามอีก”

 

 

           บอดี้การ์ดสองคนที่อยู่ด้านหลังพยักหน้ารับ เดินเข้าไปก้าวใหญ่ ยื่นมือหยิบเชือกไปมัดเจียงมู่เฉิน ทั้งยังเอาผ้าปิดตาเจียงมู่เฉินไว้

 

 

           “คุณชายน้อย มัดเรียบร้อยแล้วครับ”

 

 

           “พาตัวกลับไป” ซูเตอร์เอ่ยสั่ง

 

 

           พวกเขายัดตัวเจียงมู่เฉินเข้าไปในรถจากทางประตูด้านข้างและขับรถกลับไปยังแก๊งมังกรคราม

 

 

           ประมาณหนึ่งชั่วโมง เจียงมู่เฉินถูกคนพาลงรถ เขาถูกปิดตา มองอะไรก็ไม่ชัด ไม่รู้ว่าตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

           เพียงรู้สึกว่าถูกคนพาเดินไปข้างหน้าไม่กี่นาที หลังจากนั้นก็เลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา สุดท้ายลงบันไดไป

 

 

           ประสาทรับรู้โดยฉับไวของเจียงมู่เฉินรู้สึกได้ถึง ว่าตัวเองควรจะอยู่ในห้องชั้นใต้ดินอะไรพวกนี้

 

 

           ในเมื่อซูเตอร์กล้าพาตัวเองมาถึงที่แก๊งมังกรครามแล้ว เป็นธรรมดาที่จะเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว

 

 

           ดูท่าว่าแบบนี้ ซือเหยี่ยนก็ควรจะไม่รู้เรื่องที่เขาถูกพาตัวมาที่แก๊งมังกรครามแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว ดูท่าว่าเข้ามาแล้ว เขายังต้องคิดหาทางเอาตัวรอดเองด้วย

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นตามความโหดร้ายป่าเถื่อนของซูเตอร์ เกรงว่าจะไม่รู้เลยว่าจะลงมืออะไรกับเขา

 

 

           “ถึงแล้ว เข้าไป” มีเสียงผู้ชายใหญ่และหยาบเสียงหนึ่ง ต่อมาเจียงมู่เฉินก็โดนผลักเข้าไป

 

 

           เงียบไปหนึ่งนาที ถึงมีคนเดินเข้ามา ยื่นมือไปเปิดผ้าปิดตาบนหน้าเขาออก

 

 

           “นายอยู่เงียบๆ ที่นี่ คุณชายน้อยจัดการธุระเสร็จแล้ว จะมาหานายเอง”

 

 

           คนที่พูดอยู่นี้ก็คือคนคนนั้นที่มัดเขาไว้ เขาพูดจบก็เดินออกไป ยังไม่ลืมจะล็อกประตูด้วย

 

 

           หลังจากคนคนนั้นเดินไป เจียงมู่เฉินพิจารณาสังเกตด้านข้าง พื้นที่ประมาณสิบกว่าตารางเมตร ห้องมืดมาก เหลือเพียงแค่หน้าต่างเล็กๆ เท่าฝ่ามือ

 

 

 

 

ตอนที่ 305 เจียงมู่เฉินหายตัวไป

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากหัวเราะ คิดไม่ถึงว่าซูเตอร์จะยังมองเขาเป็นหนามยอกอกจริงๆ

 

 

           ตอนคบกับซือเหยี่ยนก็มาแย่งโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

 

 

           ตอนนี้เลิกกับซือเหยี่ยนแล้ว ยังมาระบายความแค้นกับเขา

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้ คุณชายแห่งแก๊งมังกรคราม ไม่ควรมีเรื่องด้วยเลยจริงๆ

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดาย เขาเจียงมู่เฉินเองก็ไม่ใช่คนที่ถูกตีให้ล้มได้ง่ายๆ ขนาดนั้น

 

 

หลังจากถูกขังก็ไม่มีใครเข้ามาอีก นอกจากถึงเวลามีคนมาส่งข้าวแล้ว ก็ไม่มีใครเข้ามาที่ห้องเล็กๆ นี้อีก

 

 

           ไม่มีใครมาหาเรื่องเขาก็สงบเงียบดี

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งชันเข่าขึ้นอยู่ด้านข้าง เอ้อระเหยสบายอารมณ์

 

 

           หลังจากซูเตอร์ขังเจียงมู่เฉินไว้เรียบร้อยแล้วก็ไปหาซือเหยี่ยน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจียงมู่เฉินอยู่ในกำมือของเขาแล้วหรือเปล่า ซูเตอร์ถึงได้มองซือเหยี่ยนด้วยความเบิกบานใจกว่าวันปกติ

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่งด้วยความแปลกใจ “อะไรกัน หน้าผมมีอะไรติดอยู่เหรอ”

 

 

           ซูเตอร์ยิ้มหัวเราะตาหยี “ไม่มี”

 

 

           “งั้นคุณมองผมแบบนี้ทำไม”

 

 

           “วันนี้อารมณ์ดีไง อยากมองนายเยอะๆ หน่อย”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาปราดเดียว ไม่พูดจา

 

 

           ทุกวันซูเตอร์คนนี้ก็ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ เขาเองก็คร้านจะพูดอะไร ถึงอย่างไรซูเตอร์ควรจะทำอะไรก็ทำไป อย่ามารบกวนเขาก็พอแล้ว

 

 

           “เหยี่ยน คืนนี้ออกไปกินข้าวด้วยกันเถอะ ฉันรู้จักร้านเปิดใหม่รสชาติใช้ได้มากๆ เลย ไปลองชิมด้วยกันเถอะนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มลงมองเอกสารในมือ “ไม่ได้หรอก ผมยังมีงานอีกเยอะมาก คุณไปเองเถอะ”

 

 

           ซูเตอร์มองเขาราวกับถูกทอดทิ้ง “แต่ฉันอยากให้นายไปด้วยกันกับฉันนี่”

 

 

           ซือเหยี่ยนปฏิเสธอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ผมไม่มีเวลาออกไป ถ้าคุณอยากไปก็ไปเองเลย”

 

 

           ซูเตอร์ถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันก็ไม่ไปแล้ว ไม่มีนาย กินอะไรก็ไม่ต่าง”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบเดียว หยิบเอกสารในมือขึ้นมา “ยังมีธุระอย่างอื่นอีกไหม ถ้าไม่มีธุระอย่างอื่นแล้ว ก็ออกไปก่อนเถอะ”

 

 

           ซูเตอร์มองเขาด้วยความโกรธเคือง “นี่นายไม่อยากเห็นฉันขนาดนี้เชียวเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงกดต่ำในลำคอ “ซูเตอร์ นี่คุณกำลังขัดจังหวะการทำงานของผมอยู่นะ”

 

 

           “นายกำลังช่วยฉันทำงาน ฉันให้นายไม่ทำงาน นายไม่ทำงานก็ได้” ซูเตอร์เอ่ยอย่างเอาแต่ใจ

 

 

           ซือเหยี่ยนเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง

 

 

           เห็นท่าทีว่าจนแล้วจนรอดต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อนเขาอยู่ดีก็วางปากกาลงแล้วลุกยืนขึ้นทันที “ได้ ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณ”

 

 

           ซูเตอร์เห็นแบบนี้แล้ว ถึงได้ยิ้มหัวเราะขึ้นมา

 

 

           เขาเดินเข้าไปอยากจะควงแขนของซือเหยี่ยนกลับถูกซือเหยี่ยนปฏิเสธอย่างระงับอารมณ์

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินก้าวใหญ่ไปข้างหน้า “ในเมื่อต้องการจะไปกินข้าว ก็รีบไปกันเถอะ กลับมาผมยังมีงานต่อ”

 

 

           ซูเตอร์ขบกรามอย่างไม่ยินดี  เมื่อไหร่ซือเหยี่ยนถึงจะเลิกเย็นชากับเขาแบบนี้สักที

 

 

           ถ้าเขาดีกับตัวเองให้ได้สักครึ่งหนึ่งที่ทำกับเจียงมู่เฉิน ตนก็ไม่ถึงขนาดต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ซือเหยี่ยนมาขนาดนี้หรอก

 

 

           เขากำมือแน่น เดินตามอีกฝ่ายไป

 

 

           ถึงอย่างไรเจียงมู่เฉินก็อยู่ในกำมือเขาแล้ว ถ้าเขาไม่มีความสุข เจียงมู่เฉินก็ต้องรับกรรมไปด้วย

 

 

           ไม่ช้าก็เร็วสักวัน เขาจะทำให้เจียงมู่เฉินเสียใจที่เกิดมาในชาตินี้

 

 

           ……

 

 

           ตอนค่ำเวลาสองทุ่มแล้ว เจียงมู่เฉินก็ยังไม่กลับมา ซังจิ่งรู้สึกไม่ค่อยชอบมาพากลเท่าไหร่

 

 

           ตามหลักการแล้ว ถ้าเจียงมู่เฉินไม่กลับมา ต้องบอกเขาแน่นอน

 

 

           แต่จนถึงตอนนี้เจียงมู่เฉินไม่โทรมาแม้แต่สายเดียว

 

 

           เขาชักจะเป็นห่วงบ้างแล้ว ยกมือถือขึ้นมาโทรหาเจียงมู่เฉิน เพียงแต่ว่าหลังจากกดโทรออกไป ปลายสายก็อยู่ในสถานะปิดเครื่อง

 

 

           ซังจิ่งขมวดคิ้ว  หรือว่าเจียงมู่เฉินจะมีเรื่องสำคัญอะไรที่บอกเขาไม่ได้

 

 

           รออีกไม่กี่ชั่วโมง เจียงมู่เฉินก็ยังไม่กลับมา

 

 

           มือถือยังคงอยู่ในสถานะปิดเครื่อง

 

 

           ซังจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ให้คนไปสืบร่องรอยของเจียงมู่เฉิน

ตอนที่ 302 ประจันหน้ากัน

 

 

           เช้าวันต่อมา หลังจากเจียงมู่เฉินตื่นนอนมาก็บอกซังจิ่งทันทีว่าจะออกไปข้างนอก ก่อนหน้านี้เขานัดกับซูเตอร์ไว้แล้ว วันนี้ตอนสิบโมงเช้าเจอกันที่ร้านกาแฟเซาท์เวสต์

 

 

           ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าซูเตอร์มาเจอหน้าเขาอยากจะพูดเรื่องอะไร แต่ในเมื่อซูเตอร์กล้านัดเขา เขาก็กล้าไปเจออยู่แล้ว

 

 

           มีเรื่องบางเรื่อง พวกเขาจะได้พูดคุยกันให้ชัดเจนได้พอดี

 

 

           จะได้ไม่เอาเรื่องของซือเหยี่ยนมากัดเขาไม่ปล่อยวนไปวนมาอยู่ได้ทั้งวัน

 

 

           เวลาเก้าโมงสี่สิบ เจียงมู่เฉินก็มาถึงที่หน้าประตูร้านกาแฟเซาท์เวสต์พอดี เขาจัดเสื้อผ้าบนตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินมุ่งหน้าเข้าไป

 

 

           เจียงมู่เฉินประหลาดใจนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าซูเตอร์จะมาปรากฏตัวอยู่ก่อนเช้าขนาดนี้

 

 

           ยังคิดว่าระดับผู้นำของแก๊งมังกรคราม ต้องหรูหรามากพิธีการ จำเป็นต้องรออีกสักพักด้วยซ้ำ

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซูเตอร์อย่างไม่ใส่ใจ เดินตรงเข้าไปหาทันที นั่งลงต่อหน้าซูเตอร์ด้วยท่าทีเฉื่อยชา

 

 

           “มาเช้าขนาดนี้เชียว ไม่กลัวจะรอนานเกินไปเหรอ”

 

 

           ซูเตอร์จ้องมองเจียงมู่เฉิน “รอคุณชายเจียง ต้องมาเช้าหน่อย ถึงยังไงในถิ่นของฉัน ให้คุณชายรอนานเกินไปไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่มั้ง”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวักมือเรียกพนักงานร้าน สั่งอเมริกาโน่มาแก้วหนึ่ง

 

 

           เพียงชั่วครู่เดียว พนักงานก็มาเสิร์ฟ

 

 

           เจียงมู่เฉินก้มหัวดื่มคำหนึ่ง ถึงได้มองไปทางซูเตอร์ “พูดเถอะ ตกลงแล้วมีธุระอะไรหาฉัน”

 

 

           ซูเตอร์เองก็ไม่รีบร้อน เขาพินิจมองเจียงมู่เฉินอย่างละเอียด ถอนหายใจเงียบๆ “บอกตามตรง ไม่ว่าจะมองจากรูปร่างหน้าตาหรือวงศ์ตระกูล คุณชายเจียงถือว่าไม่เลวจริงๆ…มิน่าล่ะ เหยี่ยนถึงได้ถูกใจนายได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องทักทายตามมารยาทแล้วมั้ง วันนี้นายมาหาฉันควรจะไม่ใช่แค่มาทักทายกันตามมารยาทหรอกใช่ไหม”

 

 

           “คุณชายเจียงอย่าใจร้อนสิ ฉันก็แค่คิดว่ารู้จักกันกับคุณชายเจียงนานขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยได้คุยดีๆ กับคุณชายเจียง รู้สึกน่าเสียดายทีเดียว”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสถานการณ์แล้วก็ไม่ได้รีบร้อนเช่นกัน มองเขาอยู่แบบนี้  ในเมื่อซูเตอร์ไม่รีบร้อน เขาจะมีอะไรให้รีบร้อนล่ะ

 

 

           เขาเอนพิงบนเก้าอี้ เชิดสายตามองเขาเล็กน้อย

 

 

           “เอาเถอะ นายมีอะไรอยากพูดก็ค่อยๆ พูดมาเถอะ”

 

 

           “คุณชายเจียง คบกับเหยี่ยนมานานเท่าไหร่แล้ว”

 

 

           “อะไรกัน นายสนใจเรื่องของฉันกับซือเหยี่ยนมากเลยเหรอ”

 

 

           ซูเตอร์ลูบคาง “ไม่ต้องให้ฉันพูด นายเองก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว ความรู้สึกความรักที่ฉันมีต่อเหยี่ยน ฉันชอบเขามานานขนาดนี้แล้ว ถึงยังไงก็ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ไม่ใช่หรือไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ไม่รู้ว่าคุณซูเคยได้ยินประโยคนี้ไหม”

 

 

           ซูเตอร์มองเขา “ประโยคอะไร”

 

 

           “เรื่องบางเรื่องไม่รู้เสียยังจะดีกว่า” คำพูดเจียงมู่เฉินแฝงความนัย

 

 

           “พูดมาแบบนี้ก็จริงอยู่ แต่ว่าฉันคนนี้ชอบอะไรแล้วต้องคว้ามาอยู่ในมือให้ได้” ซูเตอร์มองเขาอย่างแน่วแน่ “อีกอย่าง เรื่องของซือเหยี่ยน ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร ฉันก็อยากรู้หมด”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะ “ในเมื่อนายอยากรู้ งั้นฉันก็ทำได้แค่บอกนายแล้ว”

 

 

           ซูเตอร์มองเขาอย่างได้ใจ “ดีเลย งั้นรบกวนคุณชายเจียงแล้ว”

 

 

           “ไม่รู้ว่าคุณซูอยากได้ยินอะไรเหรอ” เจียงมู่เฉินจงใจเอ่ยถาม

 

 

           “เช่นว่า…ซือเหยี่ยนชอบอะไรในตัวนาย” เจียงมู่เฉินคนนี้ดูๆ ไปแล้ว นอกจากใบหน้านี้ยังมีจุดที่ค่อนข้างใช้ได้ ส่วนตรงอื่นไม่มีอะไรโดดเด่น

 

 

           เขาคิดจนหัวจะระเบิดก็คิดไม่ตกจริงๆ  ตกลงซือเหยี่ยนชอบอะไรในตัวเขากันแน่

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ แววตาประกายรอยยิ้ม นิ้วมือเขาค่อยๆ ประคองแก้ว เอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “นายอยากรู้จริงๆ เหรอ”

 

 

           ซูเตอร์มองเขา ความอยากเอาชนะปรากฏในแววตา

 

 

           “ที่จริง ก็ไม่ได้มีอะไรน่าพูดเท่าไหร่หรอก” เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ยังไงซะขอเพียงแค่คนคนนี้เป็นฉัน เขาก็ชอบอยู่ดี”

 

 

 

 

ตอนที่ 303 ถูกต้อนจนมุม

 

 

           เขาอ้าปากพูดแฝงความทะนงตัว “ต่อให้ฉันไม่มีอะไรดีสักอย่าง”

 

 

           สีหน้าซูเตอร์เปลี่ยนในบัดดล เขาไม่เคยเจอคนที่ไม่รู้ยางอายแบบนี้อย่างเจียงมู่เฉินมาก่อน

 

 

           “นายพูดแบบนี้ไม่อายหรือไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มแล้ว “ฉันมีอะไรให้อายเหรอ หรือว่าคุณซูเตอร์บอกฉันได้ว่าตกลงแล้วซือเหยี่ยนชอบอะไรในตัวฉัน”

 

 

           เขาย้อนถามกลับมา ทำให้ซูเตอร์ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

 

 

           ถึงแม้ว่าสิ่งที่เจียงมู่เฉินพูดจะเป็นความจริง แต่พูดแบบนี้ก็อวดดีเกินไปแล้ว

 

 

           ซูเตอร์กำมือแน่น เขาทนเห็นท่าทางเย่อหยิ่งอวดดีเช่นนี้ของเจียงมู่เฉินไม่ได้จริงๆ

 

 

           อีกนิดเขาเกือบจะยั้งใจไม่อยู่อยากจะลงมือทันที

 

 

           แต่เขายังมีคำถามอื่นที่ยังอยากถามเจียงมู่เฉิน จำใจต้องบังคับขืนใจอดทนไว้

 

 

           เขากำมือแน่นกดเก็บความโมโหในใจลงไป

 

 

           “คุณชายเจียงช่างมีความมั่นใจตัวเองอย่างที่คนธรรมดาเขาไม่กล้ามีจริงๆ วันนี้ได้เห็นขนาดนี้ นับถือเลยจริงๆ”

 

 

           เจียงมู่เฉินดื่มกาแฟอีกคำอย่างสงวนท่าที

 

 

           ซูเตอร์มองเขาแล้วถามอีก “คุณชายเจียงรู้อยู่ใช่หรือเปล่าว่าฉันกับเหยี่ยนเป็นคนรู้จักกันมาก่อน”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองเขา

 

 

           “เจ็ดปีก่อน พ่อฉันให้เหยี่ยนมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของฉัน เวลาเกือบสองปี เหยี่ยนก็อยู่ข้างกายฉันมาตลอด”

 

 

           ซูเตอร์คิดย้อนกลับไป “เหยี่ยนบาดเจ็บเพื่อฉันมาหลายครั้งแล้ว มีสองครั้งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ยังดีที่เขาดวงดีถึงได้มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้…ดังนั้นคุณชายเจียงมีสิทธิ์อะไรที่คิดว่าเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปีของนายจะมาเทียบเวลาตั้งหลายปีขนาดนี้ของฉันกับเหยี่ยน”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “หรือว่าว่าวันนี้ที่คุณซูเรียกฉันมาก็คืออยากจะบอกฉันถึงอดีตของนายกับซือเหยี่ยน ให้ฉันรู้ว่ายากแล้วถอนตัวไปงั้นเหรอ”

 

 

           “ฉันก็แค่พูดในสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ต้องดูคุณชายเจียงเองแล้วล่ะ…ถึงยังไงก็มีคนบางคนคิดเพ้อเจ้อ มักจะเอาความดีอันน้อยนิดมาคิดเป็นตุเป็นตะไปเรื่อย”

 

 

           จู่ๆ ก็ถูกเขาถากถางแบบนี้ เจียงมู่เฉินรู้สึกน่าขำชะมัด

 

 

           งั้นวันนี้ก็คือให้มาโดนเสียดสีกันซึ่งๆ หน้าเหรอ

 

 

           ช่างน่าขันเสียจริงๆ

 

 

           ไม่รู้เหมือนกันว่าซูเตอร์ไปเอาความมั่นหน้านี้มาจากไหน

 

 

           เขาถอนหายใจเล็กน้อย “บอกตามตรง ถ้าเป็นอย่างนี้ตามที่คุณซูว่ามาจริงๆ ฉันก็ชักจะแปลกใจแล้วจริงๆ…ในเมื่อซือเหยี่ยนดีกับนายขนาดนั้น ไม่กี่ปีมานี้นายไม่ได้อยู่ข้างกายซือเหยี่ยน แต่กลับให้ซือเหยี่ยนมาหาฉันแทน”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปาก “ถ้าฉันเป็นนายจะไม่มามัวเสียเวลากับตัวฉันแน่นอน สู้เอาเวลาไปคิดว่าจะทำยังไงให้ซือเหยี่ยนเปลี่ยนใจกลับมายังจะดีกว่า”

 

 

           ซูเตอร์โกรธจนสีหน้าถอดสี

 

 

           “นาย!”

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกยืนขึ้นมามองเขาแวบหนึ่ง “ถ้าคุณซูอยากจะเอาแต่พูดจาไร้สาระ ฉันก็ไม่มีอะไรจะคุยกับคุณต่อแล้ว”

 

 

           เขาถอนหายใจเล็กน้อย “บอกตามตรง อดีตของฉันกับซือเหยี่ยนไม่มีอะไรน่าประหลาดใจจริงๆ อดีตของพวกนายจะเป็นยังไง สำหรับฉันแล้วไม่น่าสนใจเลยสักนิด…เอาล่ะ ไม่รบกวนเวลาของคุณซูแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อน”

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดจบก็หันหลังเตรียมจะเดินออกไป ซูเตอร์ยิ้มเยาะมองตามแผ่นหลังเขาไป “อะไรกัน คุณชายเจียงอยากจะไปแล้วเหรอ”

 

 

           ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีคนไม่กี่คนพุ่งออกมาจากในร้านกาแฟ จ้องมองเจียงมู่เฉินราวกับจ้องจะเขมือบ

 

 

           “อะไรกัน เถียงสู้ไม่ได้ก็เตรียมจะลงมือแล้วเหรอ” เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง “ดูท่าว่าคุณซูจะเตรียมการมาแล้วสินะ”

 

 

           “รับมือกับคุณชายเจียง ก็เป็นธรรมดาที่ต้องเตรียมป้องกันไว้เยอะหน่อย ถึงยังไงคุณชายเจียงฉลาดออกขนาดนี้ ฉันไม่มั่นใจว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของนายได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินสงบอารมณ์สังเกตมองโดยละเอียด คนไม่กี่คนพวกนี้แต่ละคนเป็นยอดฝีมือเก่งๆ กันทั้งนั้น

 

 

           ดูท่าว่าครั้งนี้ซูเตอร์ไม่อยากจะให้เขามีชีวิตเดินผ่านประตูนี้ออกไปได้แล้วจริงๆ

ตอนที่ 300 เพื่อนผู้มีเรื่องราว  

 

 

           “ฉันเลิกกับเขาแล้ว เขาอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด”  

 

 

           “นายก็ปากแข็งอยู่ตรงนี้เถอะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนมีใครมานั่งโศกเศร้าเสียใจอยู่บ้านฉัน”  

 

 

           “เอาเถอะ นั่นมันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว จะเอ่ยถึงขึ้นมาเพื่ออะไร”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขา “นายช่วยฉันสืบข้อมูลคนคนหนึ่งได้ไหม”  

 

 

           “ใคร”  

 

 

           “ฟู่เหยี่ยน ควรจะเป็นนักธุรกิจร่ำรวยคนหนึ่ง”  

 

 

           มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คนนี้ของนาย ขอบเขตใหญ่ไปหน่อยไหม”  

 

 

           “ฉันรู้ก็มีแค่นี้แล้ว นายช่วยฉันดูก่อนเถอะ เลือกอันที่เข้าท่าส่งให้ฉัน ฉันจะไปหา”  

 

 

           “ก็ได้ ฉันจะสืบให้นาย ถึงเวลาแล้วจะส่งให้นายทั้งหมดทางเมลนะ”  

 

 

           “เอ่อใช่ ท่าทางเขาดูอายุประมาณสามสิบสองปี ยังหนุ่มมาก ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน”  

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้า “โอเค รู้แล้ว นายวางใจเถอะ มีข่าวแล้วจะรีบส่งให้นายทันที”  

 

 

           หลังจากคุยกับมั่วไป๋จบ เจียงมู่เฉินถึงได้กดวางสาย เขาไขว้ขามองดูฝ้าเพดาน รู้สึกมาเสมอว่าฟู่เหยี่ยนคนนี้เหมือนจะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น  

 

 

           ‘ฐานะของเขาเกรงว่าจะไม่ใช่นักธุรกิจธรรมดาทั่วไปคนนั้นที่ซังจิ่งเอ่ยถึงหรอกมั้ง’  

 

 

           เจียงมู่เฉินบีบคางตัวเอง ค่อนข้างจะแปลกใจอยู่ในที ตรึกตรองเล็กน้อย  

 

 

           เช้าวันต่อมา หลังจากเจียงมู่เฉินตื่นนอน ฟู่เหยี่ยนก็ออกไปแล้ว  

 

 

           ไม่เจอฟู่เหยี่ยน เขากลับรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง  

 

 

           จะได้ไม่มาทำสงครามประสาทกับเขา ยังต้องระมัดระวังตัวอีก เหนื่อยจนลนไปหมด  

 

 

           วันนี้ซังจิ่งกลับไม่ได้ออกไปข้างนอก เขายืนอยู่ในห้องครัว เจียงมู่เฉินแอบย่องเข้าไปอยู่ข้างๆ ก้มลงมาดูเขาใกล้ๆ “ทำไมวันนี้ตอนเที่ยงถึงมีอารมณ์มาเข้าครัวได้”  

 

 

           “นี่ไม่ใช่ว่าอยากจะถือโอกาสก่อนไปโชว์ฝีมือทำอาหารให้คุณดูสักหน่อยหรือไง ไม่อย่างนั้นคุณชายเจียงจะคิดว่าผมเป็นคนที่ทำเป็นแค่โจ๊กไก่ฉีก”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกอดอกพิงอยู่ด้านข้าง “งั้นนายสู้ๆ แล้วกัน ปากฉันช่างเลือกนะ”  

 

 

           “วางใจเถอะ รับรองว่ารสชาติจะไม่แย่ไปกว่าที่คุณกินปกติเยอะเกินไปหรอก”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพิงอยู่ด้านข้าง มองเขาหั่นผัก นัยน์ตาทอประกาย ห้ามใจคิดถึงซือเหยี่ยนไม่อยู่  

 

 

           เมื่อก่อนไม่รู้สึก พอมาเปรียบกันแบบนี้ ฝีมือทำอาหารของซือเหยี่ยนเก่งกาจจนทำให้คนประหลาดใจได้  

 

 

           เขาเป็นคุณชายใหญ่คนหนึ่ง ตั้งแต่เล็กก็ไม่เคยได้ทำอาหารอะไร ตามหลักการแล้วก็ควรจะเหมือนกับตัวเอง อะไรก็ทำไม่เป็นถึงจะถูก  

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่าเขาได้ไปซือกรุ๊ปบ่อยๆ เขาคิดจริงๆ  ว่าซือเหยี่ยนใช้เวลาทำงานไปเรียนทำอาหารแล้วหรือเปล่า  

 

 

           ไม่อย่างนั้นจะมีฝีมือทำอาหารขึ้นชื่อตบตาได้อย่างไร  

 

 

           “มา ลองชิมดู” ซังจิ่งเอ่ยเรียกขึ้นมากะทันหัน  

 

 

           ห้วงความคิดของเจียงมู่เฉินถูกตัดขาดแล้วดึงตัวออกมาจากห้วงความทรงจำ เขาเห็นซังจิ่งถือตะเกียบอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาฉายแววเล็กน้อย  

 

 

           เมื่อก่อนซือเหยี่ยนก็เป็นแบบนี้ เอะอะก็ป้อนเขา  

 

 

           เขารับตะเกียบในมือของซังจิ่งมา เอ่ยอย่างไม่สนิทใจ “ฉันทำเองดีกว่า”  

 

 

           ซังจิ่งเองก็ไม่ได้พูดอะไร ยื่นมือส่งตะเกียบต่อให้เจียงมู่เฉิน  

 

 

           เขาถือตะเกียบที่คีบอาหารไว้ แล้วกินเข้าไป เขากัดไปสองคำ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “อืม อร่อย”  

 

 

           ใบหน้าซังจิ่งฉายความดีใจ “งั้นก็ดี ผมยังกังวลว่าคุณชายเจียงเอาใจยากขนาดนี้ อาหารที่ผมทำจะไม่ถูกปากได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ กดเก็บซือเหยี่ยนในหัวเขาลงไป เอ่ยถามอย่างระงับอารมณ์ “คิดไม่ถึงว่านายจะยังทำกับข้าวเป็นจริงๆ ด้วย”  

 

 

           “อะไรกัน ตัวผมดูไม่มีแววจะทำอาหารได้เลยเหรอ”  

 

 

           “นายเป็นนักธุรกิจไม่ใช่เหรอ ยุ่งขนาดนี้ยังมีเวลาไปทำอาหารด้วย?”  

 

 

           มือซังจิ่งชะงักไป เขาหัวเราะแห้งๆ สักพัก “เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้ทำธุรกิจ ผ่านเวลาช่วงยากลำบากมาช่วงหนึ่ง เพียงแต่ถูกบีบให้ต้องทำได้ก็เท่านั้นเอง”  

 

 

“อ่อ ดูท่าว่านายยังจะเป็นเพื่อนผู้มีเรื่องราวกับเขาด้วย?”  

 

 

ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “เรื่องราวของผมมีเยอะนะ คุณชายเจียงยินดีจะฟังหรือเปล่า”  

 

 

 

 

 

   ตอนที่ 301 แอบชักใยเงียบๆ  

 

 

           “ฉันคิดไปคิดมา มีบางเรื่องไม่ฟังยังจะดีกว่า” เจียงมู่เฉินกะพริบตา “ถึงยังไงคนที่รู้เยอะ ก็มักจะไม่เป็นผลดีเสมอ”  

 

 

           ในเมื่อเขาไม่อยากฟัง ซังจิ่งเองก็บังคับให้เขาฟังไม่ได้ เขาเอาอาหารที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วตกแต่งใส่จาน  

 

 

           “ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน”  

 

 

           หลังจากทั้งสองคนกินข้าวเสร็จ ก็ขับรถออกจากคฤหาสน์หลังนี้กลับไป  

 

 

           ระหว่างทางเจียงมู่เฉินสังเกตมองไปรอบๆ สักพัก ถึงแม้จะพักอยู่ข้างในสองวัน แต่ว่าก็เป็นสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่งจริงๆ  

 

 

           เขากวาดสายตามองกระจกหลัง มองดูคฤหาสน์ที่ยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ คิดว่าหลังจากนี้เขาควรจะไม่สามารถมาที่นี่ได้อีกแล้ว  

 

 

           ฝั่งท่านเชนรอแค่วันเดียวก็ติดต่อพวกเขาไปทันที เบื้องบนเห็นด้วยกับข้อเสนอของเขาแล้ว รวมทั้งจะให้ความช่วยเหลือเขาได้  

 

 

           ถึงเขาจะเดาได้แต่แรกแล้ว แต่พอตอนนี้ได้ยินความจริงแล้ว ในใจก็มั่นคงหนักแน่นขึ้นมาหน่อย  

 

 

           ฝั่งซือเหยี่ยนคอยอยู่ข้างกายซูเตอร์ต่อไป ขณะเดียวกันก็หาหลักฐานอย่างไม่แพร่งพรายไปด้วย  

 

 

           หลังจากผ่านการโดนยิงครั้งหนึ่ง เรย์มอนก็ค่อยๆ ไว้วางใจเขาทีละนิดๆ แล้ว เรื่องสำคัญๆ ต่างก็ส่งให้ซือเหยี่ยนแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนปฏิบัติงานให้สำเร็จไป พลางแอบเปิดช่องโหว่ให้ซูเวลล์  

 

 

           จัดการงานธุระต่างๆ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หาข้อผิดพลาดไม่ได้เพียงเศษเสี้ยว แต่ส่วนตัวก็แอบปล่อยข้อมูลให้รั่วไหลไปหาซูเวลล์  

 

 

           ให้ซูเวลล์เมื่อจะลงมือทำอันตรายหรือสิ่งที่ไม่เป็นผลดีกับซูเตอร์ จะได้ถนัดมือขึ้นอีกนิด  

 

 

           ทุกอย่างนี้ ซือเหยี่ยนดำเนินการอย่างเงียบๆ ไม่มีใครสักคนจะมานึกสาวไปถึงตัวซือเหยี่ยนได้  

 

 

           เขาแอบชักใยเงียบๆ เพื่อวันหลังจะทำตามแผนได้ดี  

 

 

           ซูเตอร์ยังคอยมาพัวพันกับเขาเหมือนเดิม นี่กลับเป็นให้ความสะดวกแก่ซือเหยี่ยน เขายังคงรับมืออย่างไม่มีอะไรเหมือนเมื่อก่อน  

 

 

           แต่กลับไม่ได้มีความผิดพลาดอะไรอย่างอื่น  

 

 

           วันนี้ซือเหยี่ยนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ซูเตอร์ก็วิ่งเข้ามาหา เขามองซือเหยี่ยนอย่างออดอ้อน “เหยี่ยน ช่วงนี้ทำไมนายถึงยุ่งขนาดนี้นะ ต้องการให้ฉันไปพูดกับอาเรย์ไหม ให้อาเรย์ให้งานนายน้อยลง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม “อาเรย์จะทำเรื่องอะไร ท่านคิดของท่านไว้แล้ว คุณอย่าไปแทรกแซงท่านเลย”  

 

 

           ซูเตอร์เอ่ยด้วยท่าทางน้อยใจ “แต่ว่า นานแล้วนะที่นายไม่ได้อยู่กับฉันเลย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหัวมองมือเขาที่เกาะอยู่แขนตัวเอง ยื่นมือดึงลง “ตอนนี้ผมยุ่งมาก หวังว่าคุณจะเข้าใจกัน”  

 

 

           ซูเตอร์มองมือตัวเองแล้วถอนหายใจ “ถึงแม้นายกำลังช่วยฉันอยู่ แต่ว่าฉันไม่ได้อยากให้นายยุ่งขนาดนี้จริงๆ นะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับด้วยท่าทีเหนื่อยล้า “ยังมีธุระอีกไหม ไม่มีผมจะกลับไปห้องก่อน”  

 

 

           “นายไม่อยากพูดกับฉันขนาดนี้เลยเหรอ”  

 

 

           “ซูเตอร์ ผมเหนื่อยมากจริงๆ ไม่มีเวลาจะมาโต้เถียงเรื่องนี้กับคุณนะ”  

 

 

           “นายเองก็เป็นแบบนี้กับเจียงมู่เฉินด้วยไหม” เขาซักถามด้วยน้ำเสียงติติงอย่างไม่ยินดี  

 

 

           “เขาคือเขา คุณคือคุณ ทำไมคุณต้องเอาไปเปรียบกับเขาตลอด”  

 

 

           ซูเตอร์แอบกำนิ้วมือแน่น “ฉันก็แค่อยากรู้ ว่าฉันยืนอยู่ตำแหน่งไหนในใจนาย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่อยากบีบให้ซูเตอร์ร้อนใจ เสียงเขาอ่อนโยนลงนิดหน่อย “ซูเตอร์ ผมเหนื่อยจริงๆ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันกับคุณได้ไหม”  

 

 

      ซูเตอร์เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็ใจอ่อนลงทันที “งั้นนายรีบไปพักผ่อนเถอะ มีอะไรพวกเราค่อยคุยกันพรุ่งนี้”  

 

 

นอกเหนือจากนั้นรอพรุ่งนี้เขาจัดการเจียงมู่เฉินเสร็จ ถึงเวลานั้นพวกเขาค่อยมาคุยกันก็ยังทัน   

 

 

ซูเตอร์มองตามแผ่นหลังของซูเตอร์ไป ยกมุมปากอย่างเย็นชา  

 

 

เขาเตรียมของขวัญชุดใหญ่ให้เจียงมู่เฉินแล้ว ตอนนี้รอคุณชายเจียงเป็นฝ่ายมาหาด้วยตัวเอง  

 

 

ถึงตอนนั้น เขาไม่มีทางจะใจอ่อนยอมปล่อยเจียงมู่เฉินไปง่ายๆ แน่นอน  

 

 

ครั้งก่อนได้รับการดูถูกเหยียดหยามที่ถานโจว เขาก็เอาคืนเจียงมู่เฉินกลับมาทีละนิดๆ จนได้   

 

 

        

ตอนที่ 298 แตกต่างค่อนข้างมาก  

 

 

           “บริษัทมีเรื่องด่วนกะทันหันนิดหน่อย ผมจำเป็นจัดการ ขอโทษด้วย บอกไว้ซะดิบดีว่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ แต่กลับทิ้งคุณไว้คนเดียวที่นี่”  

 

 

           “ฉันก็ไม่อะไรหรอก ก็แค่แปลกใจสงสัยว่าทำไมจู่ๆ นายถึงเปลี่ยนไปเป็นยุ่งขนาดนี้ได้”  

 

 

           ภายใต้แสงจากโคมไฟสลัวๆ ใบหน้าของซังจิ่งฉาบความไม่เป็นตัวเองขึ้นมาเพียงน้อยนิด แต่กลับโดนเขาปิดเอาไว้อย่างรวดเร็ว  

 

 

           เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ธุระค่อนข้างกะทันหัน ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแบบนี้แล้วก็ยิ้มหัวเราะ “ฉันก็แค่ถามไปงั้นแหละ ไม่ได้มีความหมายอะไรอย่างอื่นหรอก”  

 

 

           ซังจิ่งกำมือแน่น ค่อยผ่อนคลายร่างกายที่เกร็งแน่น ไม่ให้เจียงมู่เฉินมองเห็นพิรุธอะไรออกมาได้  

 

 

           “พรุ่งนี้ตอนบ่ายกลับไปกันก่อนเถอะ”  

 

 

           ซังจิ่งมองเขาแวบหนึ่ง “เป็นไรไป”  

 

 

           “ฉันมีธุระนิดหน่อยต้องจัดการ” เรื่องเขานัดเจอกับซูเตอร์ไว้ เจียงมู่เฉินไม่คิดจะบอกซังจิ่ง  

 

 

           ‘นี่เป็นเรื่องระหว่างเขากับซูเตอร์ ไม่อยากดึงคนรอบข้างเข้ามาเกี่ยวด้วย’  

 

 

           ซังจิ่งเห็นเขาสีหน้าเคร่งขรึม ก็อดจะสงสัยขึ้นมาไม่ได้ในทันใด แต่ว่าคิดไปคิดมา ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่พยักหน้าตอบรับ “ได้สิ งั้นผมจะไปพูดกับฟู่เหยี่ยนสักหน่อย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “งั้นก็รบกวนนายแล้ว”  

 

 

           ซังจิ่งขึ้นชั้นบนไปเข้าห้องหนังสือ เขามองฟู่เหยี่ยน แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “เมื่อกี้เจียงมู่เฉินบอกผมว่าจะกลับไปพรุ่งนี้”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไม”  

 

 

           “เรื่องนี้ตอนนี้ผมเองก็ไม่ชัดเจน แต่ว่าเขาดูเหมือนจะมีธุระต้องจัดการ”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนไตร่ตรอง “งั้นคุณก็พาเขากลับไปก่อนแล้วกัน”  

 

 

           ซังจิ่งค่อนข้างแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าฟู่เหยี่ยนจะยอมตกลงแบบนี้เลย  

 

 

           “อะไรกัน คุณคิดว่าผมจะกักตัวเขาอยู่ที่นี่ได้ ไม่พาไปไหนเลย?”  

 

 

           “คุณเสียแรงเปลืองสมองให้ผมพาเขามา ทำไมตอนนี้ถึงได้ให้ผมพาเขากลับไปอีก”  

 

 

           ซังจิ่งขมวดคิ้วมองเขา ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่  

 

 

           “จู่ๆ ผมก็แค่รู้สึกว่าเจียงมู่เฉินในตอนนี้ดูน่าสนใจกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย อยู่เล่นกับเขาก็ไม่ใช่ไม่ได้”  

 

 

           ขณะที่ฟู่เหยี่ยนพูดประโยคนี้ ใบหน้าประกายความกระหายเลือด ดูโหดเ**้ยมน่าสะพรึงไม่เบา  

 

 

           ยังมีหรือท่าทางเป็นสุภาพบุรุษเมื่อครู่นี้  

 

 

           ซังจิ่งมองความคิดของฟู่เหยี่ยนไม่ทะลุปรุโปร่ง แต่ฟู่เหยี่ยนก็พูดแบบนี้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องถามอีกต่อไป  

 

 

           ถึงอย่างไรก็ทำงานเพื่อเงิน เป็นหลักการหนึ่งก็เท่านั้นเอง  

 

 

           ส่วนฟู่เหยี่ยนอยากจะเล่นลูกไม้อะไร เขาก็ต้องปฏิบัติตามทันที  

 

 

           หลังจากพูดกับฟู่เหยี่ยนเสร็จแล้ว ซังจิ่งก็ลงมาบอกเจียงมู่เฉินถึงเจตนาของฟู่เหยี่ยน  

 

 

           เจียงมู่เฉินชายตามองกะพริบตาปริบๆ “ไม่กี่วันนี้ต้องขอบคุณเขาเลยจริงๆ”  

 

 

           ซังจิ่งหลุดยิ้ม “เขาคนเดียวก็เบื่อๆ มีคุณอยู่เป็นเพื่อนด้วยพอดี เขามีความสุขมากทีเดียว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “ชักอยากจะรู้จริงๆ ว่าสรุปแล้วฟู่เหยี่ยนมีความเป็นมายังไง”  

 

 

           “บ้านเขาทำธุรกิจเก่าแก่ แค่รวยมีเงินหน่อยก็เท่านั้นเอง อย่างอื่นก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง”  

 

 

           “เป็นเพื่อนกันแท้ๆ จะพูดอะไรมาก็ได้อยู่แล้ว”  

 

 

           “คืนนี้อยากกินอะไร ผมจะได้ให้คนไปเตรียมให้” ซังจิ่งเบี่ยงประเด็น ไม่อยากพูดเรื่องฟู่เหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินต่อ  

 

 

           เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้ถามมากความ ในเมื่อซังจิ่งไม่อยากพูด เช่นนั้นเขาก็ไม่พูดก็ได้  

 

 

           “แล้วแต่เลย ฉันไม่เลือกกิน”  

 

 

           คุณชายเจียงพูดจบก็เอนกายอาบแสงจันทร์อยู่ตรงนั้นต่อ  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนลงจากชั้นบนมาก็เห็นเขานอนเอ้อระเหยอยู่ตรงนั้น ท่าทางเอื่อยเฉื่อย  

 

 

           เขาลูบคางไปมา รู้สึกว่าเจียงมู่เฉินในหลายปีให้หลังมานี้ไม่ค่อยจะเหมือนเดิมจริงๆ  

 

 

           ถึงใบหน้าไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากในตอนนั้น  

 

 

           แต่นิสัยเฉพาะตัวของทั้งร่างๆ นี้ถือว่าแตกต่างมากจริงๆ  

 

 

           เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเบาๆ จนกระทั่งเดินลงมาถึงชั้นล่าง แล้วเดินไปอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉิน  

 

 

           “ได้ยินว่าอาบแสงจันทร์จะทำให้ผิวคล้ำได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างขำๆ “น่าเสียดาย ฉันอาบแดดยังคล้ำไม่ขึ้น ผิวขาวแต่เกิด ช่วยไม่ได้”  

 

 

             

 

 

ตอนที่ 299 เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนพินิจมองเขาตามนั้นไป ความเป็นเจ้าเจ้าของแฝงในแววตา “ขาวมากจริงๆ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาของฟู่เหยี่ยนทำให้เจียงมู่เฉินรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก  

 

 

           “พรุ่งนี้จะกลับแล้วเหรอ” ฟู่เหยี่ยนเอ่ยปากอีกครั้ง  

 

 

           “อืม” เจียงมู่เฉินตอบรับอย่างไม่ใส่ใจอะไร  

 

 

           “ทำไมถึงกลับไปกะทันหันขนาดนี้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเหยียดขา “มีเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย เกรงว่าจะไม่สะดวกบอกนาย”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหัวเราะเสียงต่ำ “ทำไมผมถึงฟังความหมายที่ไม่ดีสักนิดออกมาได้นะ”  

 

 

           “อืม นายฟังไม่ผิดหรอก”  

 

 

           “คุณชายเจียงนี่แบ่งแยกรักกับเกลียดชัดเจนจริงๆ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูเขา “สำหรับนาย ยังไม่ถึงขั้นเกลียดหรอก”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนพยักหน้าเงียบๆ “ในเมื่อถึงยังไม่ถึงขั้นเกลียด ก็แสดงว่าอาจจะยังเปลี่ยนเป็นรักได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างเอื่อยเฉื่อย “ฟู่เหยี่ยน บอกตามตรง ฉันยอมใจนายทีเดียว”  

 

 

           “หืม ยอมใจอะไร”  

 

 

           “ยอมใจที่นายหน้าหนาหน้าทน ไม่สะทกสะท้านอะไรได้ขนาดนี้”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเองก็ไม่โกรธ ตรงกันข้ามกลับโดนเจียงมู่เฉินจี้จุดจนดูน่ารัก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม  

 

 

           “ผมรู้สึกว่านิสัยใจคอของคุณชายเจียงถูกกับรสนิยมของผมจริงๆ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยักคิ้วมองเขา “น่าเสียดาย นายไม่ค่อยถูกกับรสนิยมของฉันเท่าไหร่”  

 

 

           “ไม่มีทางเหลืออะไรให้กู้หน้ากลับคืนมาเลยเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกะพริบตามองเขาครั้งแล้วครั้งเล่า “นายคิดว่าไงล่ะ”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “มีคำโบราณกล่าวไว้ดีทีเดียว ขอเพียงแค่ทุ่มเทตั้งใจก็สามารถฝนทั่งให้เป็นเข็มได้”  

 

 

           เขาลูบคางแล้วเอ่ยต่อ “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ความหมายนี้ก็คือขอเพียงแต่ผมทุ่มเทให้มากพอ ไม่ช้าก็เร็วก็สามารถทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “นายเข้าใจถูกแล้ว”  

 

 

           “ดังนั้น เรื่องบางเรื่องก็ยังไม่น่าตัดสินชี้ขาดได้ในตอนนี้ไม่ใช่เหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะหรี่ตาไม่ได้ ม่านตาสีอ่อนแฝงความหยั่งเชิง เขาสงสัยใคร่รู้แล้วจริงๆ  ฟู่เหยี่ยนไปเอาความมั่นใจมากจากไหนหนักหนา  

 

 

           เขาลุกยืนขึ้นมองฟู่เหยี่ยนแวบหนึ่ง “งั้นฟู่เหยี่ยนนายก็พยายามเถอะ ฉันหิวแล้ว จะไปหาอะไรกินสักหน่อย”  

 

 

           เขาหนีไปห้องครัวหาอะไรกิน จงใจหาเรื่องพูดคุยกับพ่อครัว  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนนั่งอยู่ที่เดิมมองดูเขา หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาจับจ้องมายังเจียงมู่เฉินที่อยู่ภายใต้แสงไฟ  

 

 

           หลังจากกินอาหารเสร็จ เจียงมู่เฉินกลับขึ้นห้องตัวเองทันที เขาโทรหามั่วไป๋ บอกเรื่องที่อีกสองวันเขาจะกลับถานโจว  

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับท่าทางค่อนข้างเหนื่อยล้า อาการดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความเป็นห่วง “นี่นายเกิดอะไรขึ้น ฉันเพิ่งไปไม่กี่วันเอง”  

 

 

           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น รอยยิ้มค่อนข้างแข็งกระด้าง “ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กๆ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าท่าทางของเขา ไม่เชื่อเลยสักนิด “นายอย่าปิดบังฉัน นายคิดว่าฉันมองนายไม่ออกเหรอ”  

 

 

           “ไม่มีอะไร ก็แค่เกิดปัญหากับไป๋จิ่งนิดหน่อย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วทันที “หมายความว่าไง”  

 

 

           มั่วไป๋ไม่อยากพูดต่ออีก เรื่องของเขากับไป๋จิ่ง เขาเองก็ยังจัดการได้ไม่เคลียร์เลย ไม่อยากจะรบกวนเจียงมู่เฉินอยู่แล้ว  

 

 

           “หลายวันมานี้นายเป็นยังไงบ้าง ขาดการติดต่อใกล้จะสิบวันแล้วนะ”  

 

 

           “ฉันจะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ ยังไม่ใช่แบบนั้นหรือไง”  

 

 

           มั่วไป๋เงียบไปสักพัก ก่อนถามต่อ “ซือเหยี่ยนเองก็อยู่ที่นั่น นายรู้ไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินนัยน์ตาฉายแวว แกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจ “รู้สิ เขาอยู่ที่นั่น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน”  

 

 

           “นายได้เจอเขาแล้วใช่ไหม” มั่วไป๋สังเกตเห็นแววตาเจียงมู่เฉินที่ไม่ค่อยปกติได้อย่างฉับพลัน ราวกับว่ารู้อะไรอยู่แล้ว  

 

 

           “บังเอิญเจอกันสองครั้งก็เท่านั้นเอง” เจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างเฉยเมย  

 

 

           “บังเอิญเจอเหรอ” มั่วไป๋จ้องมองเขา “คงจะไม่ได้บังเอิญขนาดนั้นมั้ง”  

ตอนที่ 296 เป็นแฟนฉัน  

 

 

           ไมเคิลพยักหน้า “โอเค มีเรื่องอะไรก็ติดต่อมาได้ตลอด” เขาพูดจบก็ส่งต่อของชิ้นหนึ่งให้ซือเหยี่ยน “สิ่งนี้นายเก็บไว้ ป้องกันทุกอย่างที่รบกวนข้างนอกได้”  

 

 

           “โอเค งั้นฉันขอตัวไปก่อนแล้ว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกลับออกทางเดิมผ่านประตูร้านไป เรียบง่ายเหมือนเข้ามาดื่มชายามบ่ายอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           หลังจากกลับไปแก๊งมังกรครามแล้ว ก็เจอซูเตอร์ที่กลับมาจากข้างนอกพอดี  

 

 

           เมื่อซูเตอร์เห็นซือเหยี่ยน ก็เข้าไปทำตัวเกาะติดอีกฝ่ายทันที บาดแผลบนมือยังไม่หายดี มือคว้าซือเหยี่ยนไว้ ท่าทีใกล้ชิดสนิทสนม  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง “มือหายแล้วเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นซือเหยี่ยนเป็นห่วงตัวเองก็ดีใจขึ้นมาทันที เขายิ้มทำหน้าทำตาน่าสงสารมองซือเหยี่ยน ยื่นมือมาไว้ต่อหน้าซือเหยี่ยน “ยังเจ็บมากอยู่เลย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองด้วยท่าทีเรียบเฉย “ในเมื่อแผลยังไม่หายดี ก็ระมัดระวังใส่ใจพักผ่อนเยอะๆ”    

 

 

           “เหยี่ยน นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่นายเป็นห่วงฉันแบบนี้” เขามองซือเหยี่ยนด้วยท่าทีน่าสงสารชัดเจน  

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจกุมขมับ “คนที่เป็นห่วงคุณมีออกตั้งเยอะ ยังจะขาดผมอีกคนที่ไหนกัน”  

 

 

           “ฉันไม่ต้องการความเป็นห่วงจากคนอื่น ฉันต้องการแค่จากนายคนเดียว” ความเอาแต่ใจของคุณชายน้อยซูเตอร์เผยให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัย  

 

 

           ซือเหยี่ยนคว้ามือเขาไว้ “ในเมื่อกลับมาแล้ว จะได้ไปเยี่ยมดูพ่อคุณพอดีด้วย ได้ยินอาเรย์พูดว่าอาการคุณซูดีขึ้นแล้ว”  

 

 

           ซูเตอร์พลิกมือมาลากตัวเขาแทน “ได้สิ พวกเราไปเยี่ยมพ่อฉันด้วยกันเถอะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนดึงมือเขาออกอีกครั้ง “คุณไปเถอะ ผมไม่เหมาะสมเท่าไหร่หรอก”  

 

 

           ซูเตอร์จ้องมองเขา “นายไม่เหมาะสมตรงไหนเหรอ ฉันกลับรู้สึกว่านายเหมาะสมมากเลยนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนปฏิเสธอีกครั้ง “อาเรย์กำลังรอคุณอยู่ฝั่งนั้น อย่าให้ท่านรอนานเลย”  

 

 

           ซูเตอร์มองซือเหยี่ยนแวบหนึ่งด้วยความโกรธ “นี่นายไม่อยากไปด้วยกันกับฉันขนาดนี้เลยเหรอ”  

 

 

           “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไปกับคุณ” ซือเหยี่ยนอธิบายอย่างอดทนอดกลั้น “ถึงยังไงฐานะของผมก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี คุณอย่าบีบกันให้ลำบากใจเลย”  

 

 

           “งั้นนายก็เป็นแฟนฉัน ในฐานะนี้ถึงจะเหมาะสมได้แล้วใช่ไหม”  

 

 

           “เรื่องนี้ตอนนี้ผมยังไม่อยากพูด คุณเข้าไปก่อนเถอะ ผมขอตัวกลับไปก่อน” ซือเหยี่ยนพูดจบก็เดินจากซูเตอร์ไปทั้งอย่างนั้น ไม่ให้โอกาสซูเตอร์พูดอะไรอีก  

 

 

           ซูเตอร์กัดริมฝีปากมองตามแผ่นหลังของซือเหยี่ยนไป  

 

 

           เขาพูดมาขนาดนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะยังไม่ยอมตกลงปลงใจอีก ดูท่าว่าถ้าไม่กำจัดเจียงมู่เฉินแค่เพียงวันเดียว เขากับซือเหยี่ยนก็ไม่มีวันจะคืบหน้าไปไหนได้  

 

 

           ซูเตอร์คิดถึงกับดักที่ตัวเองวางไว้ แค่รอเจียงมู่เฉินมาเจอเขา ถึงตอนนั้นเขารับประกันว่าจะทำให้เจียงมู่เฉินอยากอยู่ก็อยู่ไม่ไหว อยากตายก็ตายไม่ได้  

 

 

           ……  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนอยู่เป็นเพื่อนเจียงมู่เฉินตกปลาทั้งบ่าย  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนพิงนอนหลับสบายอยู่บนเก้าอี้ เรียวขายาวไขว้กัน ทั่วทั้งร่างเผยความเอ้อระเหยลอยชายมาตั้งแต่เกิด  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเองก็ไม่รีบร้อน ปล่อยให้คันเบ็ดตกปลาวางไว้ด้านข้าง เขากอดอกพินิจมองเจียงมู่เฉิน  

 

 

           นัยน์ตาแฝงความใคร่ครวญ  

 

 

เจียงมู่เฉินนอนหลับไปนานเท่าไหร่ ฟู่เหยี่ยนก็มองเขาอยู่ข้างๆ นานเท่านั้น  

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินถึงได้ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นลืมตาขึ้นมา ก็สบสายตาของฟู่เหยี่ยนพอดี  

 

 

หัวใจเขาหดเกร็งแต่กลับแกล้งทำเป็นมองฟู่เหยี่ยนด้วยท่าทีเฉยเมย “อะไรกัน ไม่ตกปลา มามองฉันนอนอยู่ตรงนี้แทน”  

 

 

ฟู่เหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “เดิมทีก็อยากจะตกปลา เพียงแต่ว่ากลับโดนคุณชายเจียงดึงดูดใจไปแล้ว”  

 

 

ม่านตาสีอ่อนของเจียงมู่เฉินหรี่ลงเล็กน้อย นัยน์ตาดอกท้อเชิดขึ้นเพียงนิด “ถ้างั้น นี่นายโทษฉันเหรอ”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 297 ไม่ปกติสักคน  

 

 

           “เปล่า โทษผมเอง” ฟู่เหยี่ยนเอ่ยขึ้นมาอย่างขำๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขา “จะว่ายังไง”  

 

 

           “โทษผมที่ต้านทานเสน่ห์ของคุณไม่ได้ ถูกเสน่ห์ของคุณยั่วยวนเข้าให้แล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินแทบจะกระอักเลือดออกมา  นี่จะเล่นกันแบบนี้ใช่ไหม ซังจิ่งก็คนหนึ่ง ฟู่เหยี่ยนก็คนหนึ่ง ทั้งสองคนนี้ไม่ปกติสักคน  

 

 

           ‘มิน่าล่ะพวกเขาถึงเป็นเพื่อนกันได้’  

 

 

           ไม่มีอะไรแตกต่างสักอย่าง  

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งต่ออีกสักพัก ตกปลาไม่ได้สักตัว เขาสูญเสียความสนใจไปแล้วลุกยืนขึ้น “ไม่ตกปลาแล้ว”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นเขาเป็นแบบนี้ รีบเอ่ยถาม “ทำไมจู่ๆ จะไม่ตกปลาแล้วล่ะ”  

 

 

           “ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว ตกปลาไม่ได้สักตัว ยังมีอะไรน่าตกอีกเหรอ”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเอาคันเบ็ดตกปลาในมือมาวางไว้ข้างหน้าตัวเอง ผ่านไปไม่กี่นาที คันเบ็ดก็สั่นกระตุกขึ้นมา  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนดึงคันเบ็ดขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ ในนั้นมีปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่ง  

 

 

           เขายักคิ้วให้เจียงมู่เฉิน “ขอเพียงแต่คุณชายเจียงเต็มใจ ปลาตัวไหนเต็มใจก็มาติดเบ็ด [1] ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองฟู่เหยี่ยนแวบหนึ่ง พินิจมองเบาๆ  เขากลัวไม่ใช่อยากจะพูดว่าปลาตัวนี้ก็เป็นของเขาหรอกใช่ไหม  

 

 

           เขาไม่เข้าใจจริงๆ  ผู้ชายห่ามๆ หยาบๆ คนหนึ่ง มีอะไรน่าทำให้คนโหยหานักเหรอ  

 

 

           อีกอย่างคนมีเงินเยอะขนาดนี้อย่างฟู่เหยี่ยน อยากได้สาวสวยมาอยู่ในอ้อมกอด แค่กวักมือเรียกก็มีคนมาต่อแถวเป็นร้อยเป็นพันกันเป็นพรวนแล้ว  

 

 

           ‘จะหมุนรอบมาถึงได้ที่ไหนกันล่ะ’  

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ อย่างหนักเอาเบาไม่สู้ “งั้นถ้าฉันไม่เต็มใจล่ะ”  

 

 

           สายตาฟู่เหยี่ยนเย็นยะเยือกเพียงนิด เขาจ้องมองเจียงมู่เฉินแล้วยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “ถ้าคุณไม่เต็มใจ งั้นก็ไม่เป็นไร”  

 

 

           เจียงมู่เฉินลองทดสอบหยั่งเชิงนิดหน่อย “ที่จริงฟู่เหยี่ยนนายเป็นคนเก่งออกขนาดนี้ คนชอบนายคงจะนับก็นับจนจำไม่ได้เลยทีเดียวใช่ไหมล่ะ”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเลิกคิ้ว “แล้ว?”  

 

 

           “นายมีทางเลือกมากมายขนาดนั้น ทำไมจะต้องเลือกฉันคนที่ธรรมดาไปในทุกด้านด้วย”  

 

 

           “ธรรมดาไปในทุกด้าน?” ฟู่เหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “คุณชายเจียงชอบดูถูกตัวเองขนาดนี้เชียวเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินบันเทิงแล้ว “คิดไม่ถึงว่านายจะแตกฉานเรื่องสำบัดสำนวนมากเอาเรื่อง ใช้เป็นอยู่ไม่น้อยทีเดียว”  

 

 

           “ข้อดีของผมไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องนี้” คำพูดเขาแฝงความนัยน์  

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขาอย่างจริงจัง ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงเอ่ยถามอย่างคิดไม่ตก “นายว่ามา ตกลงแล้วนายติดใจอะไรฉัน ฉันเปลี่ยนยังไม่ได้เหรอ”  

 

 

           “ติดใจคุณ…” ฟู่เหยี่ยนบีบคางครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ตรงไหนก็ติดใจ ขอเพียงแต่เป็นคุณ ก็ชอบหมด”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือกุมหน้าผาก เขาจะถูกฟู่เหยี่ยนตีพ่ายแล้วจริงๆ  เป็นแบบนี้ตลอด ยังไงก็คุยต่อไม่ได้อยู่แล้ว โอเคไหม  

 

 

           เขาลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีเกียจคร้าน “เอาล่ะ นายค่อยๆ ตกปลาไปเถอะ ฉันง่วงแล้ว จะกลับไปนอนแล้ว”  

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเองก็ไม่ได้ขัดขวาง มองเจียงมู่เฉินค่อยๆ เดินห่างออกไปไกลอย่างช้าๆ แบบนี้ เขาจ้องมองแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินแล้วยกมุมปากขึ้นอย่างเงียบๆ ความอยากเอาชนะแฝงในแววตา  

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินกลับห้องมา เขาเอนกายลงบนเตียง คิดทบทวนอย่างจริงจัง รู้สึกมาตลอดว่าตั้งแต่หลังจากที่ซือเหยี่ยนเลิกกับตัวเองแล้ว เรื่องราวมากมายก็ค่อยๆ หลุดออกจากวงจรไปอย่างช้าๆ   

 

 

           ราวกับมีคนอยู่ข้างหลังคอยชักจูงให้เดินมาทีละก้าวๆ จนถึงวันนี้  

 

 

           เรื่องทุกอย่างหลุดออกจากแผนเดิมไปหมดจนดึงก็ดึงไม่กลับมา  

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด เอาเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างในช่วงเวลานี้มาประมวลผลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ถ้าว่าจะจับให้ได้ว่าจุดไหนไม่ค่อยปกติกันแน่ ก็หาไม่เจอ  

 

 

           สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้  

 

 

           ในเมื่อก็เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นก็ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้ว  

 

 

           ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นอกจากไปต่อ ก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมหัว เขาปวดหัวนิดหน่อย  

 

 

           ฟ้าใกล้มืด ซังจิ่งถึงเพิ่งกลับมา เจียงมู่เฉินนั่งอาบแสงจันทร์อยู่ข้างนอกพอดี เขาเลิกคิ้วมองซังจิ่ง “ทำไมกัน ยุ่งขนาดนี้เชียวเหรอ”  

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]   ปลาตัวไหนเต็มใจก็มาติดเบ็ด  มาที่มาจากสำนวน “เจียงไท่กงตกปลา ตัวไหนเต็มใจก็มาติดเบ็ด” เจียงไท่กง เป็นนักยุทธศาสตร์คนสำคัญของโจวเหวินหวังและโจวอู่หวัง ผู้นำในการก่อรัฐประหารเพื่อล้มล้างราชวงศ์ซาง และสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณสามพันกว่าปีที่แล้ว กล่าวกันว่า เขาเคยตกปลาที่ที่ริมแม่น้ำเว่ย หวังว่าจะได้พบพระเจ้าโจวเหวินหวัง ณ ที่แห่งนี้ เบ็ดตกปลาของเขาเป็นแบบเหยียดตรง ไม่มีเหยื่อล่อบนตะขอเบ็ด นอกจากนั้นเบ็ดยังอยู่ห่างจากผิวน้ำมากอีกด้วย เขาตกปลาไปพลาง พูดพลางว่า “รีบมาติดเบ็ดซะ ตัวไหนเต็มใจก็รีบมาติดเบ็ดซะ” มีอยู่วันหนึ่งพระเจ้าโจวเหวินหวังเสด็จมาพบเขา จึงได้ทรงเชิญให้ไปช่วยพระองค์ปกครองประเทศ ต่อมาผู้คนจึงได้ใช้สำนวนที่ว่า “เจียงไท่กงตกปลา ตัวไหนเต็มใจก็มาติดเบ็ด” มาเปรียบเทียบกับการยอมทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยความเต็มใจ   

ตอนที่ 294 ศพเป็นของปลอม  

 

 

           ท่านเชนมองเขา “นายคิดจะให้ฉันช่วยอะไรนาย”  

 

 

           “ถ้าไม่ใช่เพราะผม แก๊งมังกรครามก็ควรจะจบสิ้นไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว” ซือเหยี่ยนกดหน้าต่ำลง “ครั้งนี้ที่ผมกลับมา ก็เพื่อจะปฏิบัติภารกิจที่ยังไม่สำเร็จทำให้สำเร็จครับ”  

 

 

           ท่านเชนขมวดคิ้วทันที “นายละมือไปนานขนาดนี้แล้ว ตอนนี้ทำไมยังจะอยากกวนน้ำให้ขุ่นอีก”  

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม มีท่าทางกระอักกระอวนใจพอควร  

 

 

“ที่จริงครั้งนี้ผมทำเพื่อคนรักของผมครับ”  

 

 

           ท่านเชนทำหน้าประหลาดใจ “คนที่นายรัก? ใคร”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอามือกุมหน้าผากเล็กน้อย “คนคนนั้น อาจารย์เองก็รู้จัก…”  

 

 

           ท่านเชนนัยน์ตาลุกวาว ยิ่งสงสัยใคร่รู้นัก  

 

 

           “ก็คือเจียงมู่เฉินครับ” เป็นครั้งแรกที่เขาพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองและเจียงมู่เฉินต่อหน้าท่านเชน  

 

 

           ท่านเชนตกตะลึง “นายว่าอะไรนะ นายพูดอีกครั้งซิ!”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ผมบอกว่าคนรักของผมคือเจียงมู่เฉินครับ”  

 

 

           ท่านเชนค่อนข้างสับสนมึนงง จู่ๆ เขาก็เดินกลับไปกลับมาไปรอบๆ อย่างกระสับกระส่าย “นายรอก่อนนะ ให้ฉันตั้งสติก่อน”  

 

 

           เขายอมรับไม่ค่อยได้แล้วจริงๆ “เจียงมู่เฉินตายแล้วไม่ใช่หรือไง พวกนายจะกลายเป็นคู่รักอีกได้ยังไง ตอนนี้นายยังอยากจะกวาดล้างแก๊งมังกรครามเพื่อเจียงมู่เฉินอีกเหรอ”  

 

 

           ท่านเชนรีบคว้าซือเหยี่ยนไว้ “ฉันจะบอกนายให้ เรื่องของเจียงมู่เฉินตอนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับแก๊งมังกรครามเลย นายไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปอยู่ในกับดักของแก๊งมังกรครามเพื่อเรื่องในตอนนั้นเลยนะ”  

 

 

           สำหรับเรื่องเจียงมู่เฉินในตอนนั้น เขาพูดแค่กับไมเคิล ส่วนคนอื่นไม่ได้รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังด้วยเลยสักนิด เขาทำทุกอย่างนี้อย่างไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย ดังนั้นหลายปีมานี้ถึงไม่มีใครเคยสงสัยเจียงมู่เฉิน  

 

 

           แม้กระทั่งจนถึงตอนนี้ ท่านเชนพวกเขาก็ยังคงเชื่อว่าเจียงมู่เฉินได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนั้นไปตั้งแต่แรกแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเงียบไม่พูดจาสักพัก เอ่ยอธิบายเสียงต่ำ “อาจารย์ครับ มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยบอกอาจารย์มาตลอด”  

 

 

           ท่านเชนมองเขาด้วยความสะพรึงกลัว “ครั้งนี้นายต้องการจะให้ฉันตื่นตกใจอะไรอีกใช่ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดชะงัก ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ที่จริงเจียงมู่เฉินยังไม่ตายครับ”  

 

 

           ท่านเชนที่เพิ่งโดนซือเหยี่ยนกดไหล่ลงไป เด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง “ซือเหยี่ยน นายรู้ไหมว่านายกำลังพูดอะไรอยู่”  

 

 

           “ตอนนั้นศพของเจียงมู่เฉินถูกกู้ขึ้นมาจากหน้าผาจริงๆ”  

 

 

           “ศพนั้นเป็นคนอื่น ไม่ใช่เจียงมู่เฉิน” ซือเหยี่ยนเอ่ยอธิบายเสียงต่ำ  

 

 

           “เป็นไปได้ยังไง ตอนนั้นที่หมอนิติเวชชันสูตร ดีเอ็นเอตรงกับเจียงมู่เฉินทุกอย่าง ดังนั้นพวกเราถึงได้มั่นใจว่าเจียงมู่เฉินตายไปแล้วจริงๆ”  

 

 

           “ผมเป็นคนทำทั้งหมด ศพนั้นผมก็เป็นคนทำ ทางหมอนิติเวชก็เป็นผมติดสินบนเองครับ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ผมทำทุกอย่างนี้ เพียงแค่อยากจะทุกคนเชื่อว่าเจียงมู่เฉินตายไปแล้วจริงๆ”  

 

 

           ท่านเชนเห็นท่าทางตรึงเครียดจริงจังขนาดนี้ของเขา ในที่สุดก็เชื่อว่าเขาไม่ได้กำลังล้อเล่นอยู่  

 

 

           เขามองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “งั้นความหมายของนายก็คือเจียงมู่เฉินยังมีชีวิตอยู่?”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “เขาถูกผมส่งตัวไปที่ถานโจวแล้ว ใช้ชีวิตอย่างดีมากครับ”  

 

 

           ท่านเชนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ “นายส่งเขาไปถานโจวแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงได้แตกหักกับแก๊งมังกรครามอีก”  

 

 

           “เรื่องค่อนข้างจะซับซ้อนครับ แต่ตอนนี้ซูเตอร์คนของแก๊งมังกรครามอยากจะทำร้ายเจียงมู่เฉิน” ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา “บอกตามตรง ผมอยากจะจัดการแก๊งมังกรคราม สาเหตุก็เพราะเรื่องนี้ครับ”  

 

 

           “ดังนั้นตอนนี้นายอยากจะยืมมือฉัน กวาดล้างแก๊งมังกรครามให้สิ้นซากเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “แก๊งมังกรครามเป็นเสี้ยนหนามที่ทิ่มคอตำรวจมาตลอด ถ้าถอนแม้รากขึ้นมาได้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งก็ได้นะครับ”  

 

 

           ท่านเชนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “นายพูดแบบนี้ ก็เป็นโอกาสที่ไม่เลวเหมือนกัน…แต่ว่า…”  

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ รอคำพูดต่อไปของท่านเชน  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 295 เขาไม่ได้ตาย  

 

 

           “ถึงยังไงหลายปีมานี้แก๊งมังกรครามก็ตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่นี่ ถ้าอยากจะกวาดล้างแก๊งมังกรครามถอนรากถอนโคนในระยะเวลาอันสั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น”  

 

 

           “อาจารย์พูดเรื่องนี้ ผมคิดตรึกตรองไว้ทั้งหมดเรียบร้อย ตอนนี้ขั้นต้นผมได้รับความไว้วางใจจากแก๊งมังกรครามแล้ว เรื่องภายในหลายๆ เรื่องก็อยู่ในมือผมครับ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนครุ่นคิดสักพัก “ถ้าผมได้หลักฐานการกระทำความผิดพวกนั้นของแก๊งมังกรครามไว้ในมือ ถึงตอนนั้น ก็จะจัดการจับกุมคนของแก๊งมังกรครามได้ทั้งหมดในคราวเดียวได้เลย”  

 

 

           ท่านเชนขมวดคิ้ว “ถึงแม้ว่าแก๊งมังกรครามจะเป็นความหนักใจของฉันมาโดยตลอด ตอนนี้นายออกปากอยากจะช่วยฉัน ฉันก็ต้องยินดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเราไม่มีทางจะรับประกันได้ ว่าจะพอจะกวาดล้างแก๊งมังกรครามให้สิ้นซากได้หรือเปล่า…อีกอย่าง ให้นายเป็นเหยื่อล่อ ความเสี่ยงนี้สูงเกินไป”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกลับไม่ได้สนใจขนาดนั้น “ผมตระเตรียมการเรื่องเบื้องหลังไว้เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้เพียงต้องการให้อาจารย์ช่วยผมไม่กี่เรื่อง ส่วนที่เหลือผมมีวิธีจัดการเองครับ”  

 

 

           ท่านเชนขมวดคิ้วมองเขา “นายยืนยันว่าจะต้องเข้าร่วมให้ได้ใช่ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้าอย่างจริงจัง ท่าทีเด็ดเดี่ยวแน่วแน่หาใดเปรียบ  

 

 

           ท่านเชนเห็นท่าทางแบบนั้นของเขา ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ ฉันรับปากจะช่วยนาย แต่ฉันมีเงื่อนไขหนึ่ง”  

 

 

           “อาจารย์ว่ามาเลยครับ”  

 

 

           “ปฏิบัติการในครั้งนี้ ฉันต้องกลับไปรายงานเบื้องบน จำเป็นต้องรับประกันให้แน่ใจว่าความปลอดภัยของนายจะไม่มีปัญหาอะไรก่อน ถึงจะลงมือปฏิบัติการได้” นี่คือเส้นตายสุดท้ายของเขาแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาพยักหน้าตอบรับ เวลานี้ถึงได้โล่งใจไปที  

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขอเพียงแต่พวกเขารับคำให้เข้าร่วม เรื่องมากมายหลังจากนี้ก็จัดการได้ถนัดมากแล้ว  

 

 

           “สถานที่เจอกันหลังจากนี้ก็ยังเป็นที่นี่ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง ฉันจะแจ้งนายล่วงหน้า”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “อาจารย์วางใจได้ครับ ผมเองก็จะระวังครับ”  

 

 

           ท่านเชนถอนหายใจ ใช้มือตบบ่าของซือเหยี่ยน “นายกับเจียงมู่เฉินเป็นลูกศิษย์ที่ฉันภาคภูมิใจที่สุด หลังจากที่เจียงมู่เฉินเกิดเรื่องในตอนนั้น นายเองก็หายสาบสูญไปด้วย ฉันยังคิดว่าต่อไปจะเจอนายไม่ได้แล้ว”  

 

 

           “คิดไม่ถึงว่าไม่ได้เจอนายเท่านั้น ยังรู้ข่าวว่าเจียงมู่เฉินยังไม่ตายอีก”  

 

 

           พูดถึงตรงนี้ท่านเชนก็หยุดไปกะทันหัน เขามองมาทางซือเหยี่ยน “เอ่อใช่ ในเมื่อเจียงมู่เฉินยังไม่ตาย สักวันนายให้เขาติดต่อฉันมาหน่อยสิ ฉันอยากเจอเขา”  

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย อารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าค่อนข้างหนักอึ้ง  

 

 

           ท่านเชนมองดูเขา “มีอะไรหรือเปล่า ไม่ค่อยสะดวกเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเงียบไม่พูดจาครู่หนึ่ง เอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “เขาสูญเสียความทรงจำไปแล้วครับ ลืมเรื่องราวทั้งหมดก่อนหน้านี้…รวมถึงอาจารย์และผม….”  

 

 

           ท่านเชนคิดไม่ถึงว่าจะยังมีเรื่องแบบนี้อีก  

 

 

           เขาถอนหายใจ “แต่ไม่ว่าจะว่ายังไง ยังมีชีวิตอยู่ได้ก็ดีแล้ว” เขาใช้มือตบที่ตัวซือเหยี่ยนเบาๆ “ฉันออกมาสักพักใหญ่แล้ว ต้องกลับไปก่อนแล้ว มีเรื่องอะไรสะดวกติดต่อฉันก็ติดต่อฉัน ไม่สะดวกก็ให้ไมเคิลติดต่อมาได้”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ครับ รบกวนอาจารย์แล้ว”  

 

 

           หลังจากท่านเชนไปแล้ว ซือเหยี่ยนนั่งลงต่อหน้าไมเคิล เขาใช้มือกดลงที่หว่างคิ้ว “เป็นยังไงบ้าง สืบเรื่องของซังจิ่งได้หรือยัง”  

 

 

           ไมเคิลส่ายหัว “จะว่าไปก็แปลกอยู่ ข่าวคราวเกี่ยวกับวีคนนั้นเหมือนถูกคนเจตนาลบทิ้งจนเกลี้ยง ฉันหาเบาะแสไม่ได้เลยสักนิด”  

 

 

           “ดังนั้นตอนนี้ จึงไม่มีวิธีจะตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างซังจิ่งกับวีได้ แล้วก็ไม่มีวิธีจะยืนยันว่าซังจิ่งก็คือวีใช่ไหม”  

 

 

           ไมเคิลพยักหน้า “ตอนนี้ก็หมายความแบบนี้แหละ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย “งานประชุมของเจียงมู่เฉินพวกเขายังมีอีกกี่วัน”  

 

 

           “ไม่นับวันนี้ยังมีอีกห้าวัน”  

 

 

           ‘ยังเหลือเวลาอีกห้าวัน…’  

 

 

           ซือเหยี่ยนลุกยืนขึ้น “ฉันต้องกลับไปก่อนแล้ว จะได้ไม่ทำให้ซูเตอร์สงสัยขึ้นมา”  

ตอนที่ 292 คุณหน้าตาหล่อนะ

 

 

“มีอะไรหรือเปล่า” จู่ๆ ฟู่เหยี่ยนก็เอ่ยขึ้นมา

 

 

           เจียงมู่เฉินคลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมกันเล็กน้อยออก “ไม่มีอะไร”

 

 

           “ผมยังคิดว่าคุณชายเจียงไม่ยินดีที่จะอยู่กับผมซะอีก” ฟู่เหยี่ยนมองเขาด้วยท่าทางค่อนข้างจะน้อยใจ “ถึงอดรนทนไม่ได้ถามหาซังจิ่งแบบนี้”

 

 

           “ฉันกับซังจิ่งเป็นเพื่อนกัน ถามหาเขาก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” เจียงมู่เฉินหยุดชะงักครู่หนึ่ง “เช่นเดียวกันกับนาย ถ้าเหมือนกับซังจิ่ง ฉันก็จะถามหาเหมือนกัน”

 

 

           ไม่รู้ว่าประโยคนี้เป็นการพูดเอาอกเอาใจฟู่เหยี่ยนหรือเปล่า รอยยิ้มทอประกายในแววตาของเขา คนทั้งคนยิ้มหัวเราะเล็กน้อยราวกับล่องลอยกลางสายลมเย็นฉ่ำใจ “ได้ยินคุณชายเจียงพูดแบบนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาบ้างแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง รู้สึกว่ารอยยิ้มบนใบหน้าเขามีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอฟู่เหยี่ยน เจียงมู่เฉินมีความรู้สึกที่พูดไม่ออกวกวนในใจเขาเสมอ

 

 

           แต่ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอฟู่เหยี่ยน ตามหลักการแล้วไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลย

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ เก็บกดข้อกังขาในใจลงไปอย่างช้าๆ

 

 

           “คุณชายเจียงกำลังคิดอะไรอยู่” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฟู่เหยี่ยนเดินไปอยู่ด้านขวาของเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงหัวมองเขาแวบหนึ่ง “ฉันกำลังคิดว่าฟู่เหยี่ยนนายยังหนุ่มขนาดนี้ ก็ประสบความสำเร็จแล้ว ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

 

 

           “เกียรติประวัติของคุณชายเจียง ผมเองก็ได้ยินมาไม่น้อย ผมกลับรู้สึกว่าคุณเองก็ไม่ได้ด้อยอะไร”

 

 

           เจียงมู่เฉินหลุดขำ “เกียรติประวัติของฉัน?” เขากะพริบตาแล้วกะพริบตาอีก “นายอยากจะพูดเรื่องเกียรติประวัติอะไรของฉัน เรื่องชอบกินชอบเที่ยวเหรอ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ ท่าทางค่อนข้างละอายใจ “ผมไม่ได้หมายความแบบนี้”

 

 

           “ถานโจวมีใครจะไม่รู้จักคุณชายน้อยตระกูลเจียงมีนิสัยดื้อรั้นหัวแข็ง เย่อหยิ่งทะนงตัว ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีพ่อแม่มีเงิน ไหนจะมีเจียงมู่เฉินในวันนี้ได้”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหรี่ตาลง “ผมกลับไม่ได้คิดแบบนี้เลยนะ”

 

 

           “อืม งั้นนายคิดยังไงล่ะ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเอียงหัวพินิจมองเจียงมู่เฉิน เขายืนอยู่ใต้แสงแดด ลมอ่อนๆ พัดโชยผ่านเรือนผมชี้ๆ ของเขา ใบหน้าละเอียดได้รูปจนหาข้อบกพร่องไม่ได้ชวนยั่วเย้าไม่เบา

 

 

           เขาเข้าไปใกล้เจียงมู่เฉินเล็กน้อย เอ่ยคำต่อคำ “ผมกลับรู้สึกว่าในใจคุณเหมือนกับกระจกใส”

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขามองใกล้ๆ ขนาดนี้ ก็ตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก ราวกับปฏิกิริยาตอบโต้ของร่างกาย ทะลุผ่านสมองใหญ่ตอบสนองออกมาในเวลาแรก

 

 

           เขากำมือแน่น “ฟู่เหยี่ยน เมื่อก่อนพวกเราเคยเจอกันหรือเปล่า”

 

 

           นัยน์ตาสีอำพันของฟู่เหยี่ยนไม่มีคลื่นความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย เขากะพริบตาเอ่ยเสียงต่ำ พร้อมรอยยิ้ม “ถ้าเมื่อก่อนผมเคยเจอคุณ เกรงว่าผมคงจะหลงรักคุณไปแล้ว”

 

 

           “นายกับซังจิ่งเป็นเพื่อนกัน ซังจิ่งเคยเจอฉันที่อเมริกาเมื่อหลายปีก่อน หรือว่าพวกเราเคย?”

 

 

           เจียงมู่เฉินลองเอ่ยทดสอบหยั่งเชิงเล็กน้อย

 

 

           “ถ้าเมื่อก่อนผมเคยเจอคุณ ระหว่างคุณกับผมก็ไม่มีทางจะห่างเหินกันเหมือนทุกวันนี้ได้หรอก”

 

 

           เขาไม่ได้ตอบตรงๆ ซึ่งๆ หน้า แต่กลับตอบอ้อมค้อมไปเล็กน้อย

 

 

           ม่านตาเจียงมู่เฉินหดตัวลงเล็กน้อย นัยน์ตาดอกท้อจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของฟู่เหยี่ยน สังเกตโดยละเอียด

 

 

           ฟู่เหยี่ยนก็ไม่ได้หลบเลี่ยง ปล่อยให้เจียงมู่เฉินพินิจมอง   

 

 

           ผ่านไปประมาณสามนาที เจียงมู่เฉินเก็บสายตาที่มองดูฟู่เหยี่ยนกลับเข้าไป ก่อนยิ้มหัวเราะ “คิดๆ ดูแล้วก็ควรจะเป็นแบบนี้ ถ้าเมื่อก่อนฉันเคยเจอนาย ไม่มีทางจะนึกไม่ออกเด็ดขาด…อ้อ จะว่ายังไงดี”

 

 

           จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ยื่นมือไปบีบคางของฟู่เหยี่ยน มองไปทั่วๆ อย่างละเอียดรอบหนึ่ง ทันทีหลังจากนั้นก็หรี่ตาลง เอ่ยอย่างเอ้อระเหย “เพราะว่านายหน้าตาดีมั้ง”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนปล่อยให้เขาบีบคางตัวเอง ต่อให้การกระทำนี้จะดูเหมือนทำเป็นเล่นไม่เกรงใจโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งการกระทำของเจียงมู่เฉินเลย

 

 

           เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย พร้อมเอ่ยถาม “หล่อเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “หล่อสิ เข้ากับรสนิยมความดูดีของฉันทุกอย่างเลย”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “งั้นคุณชายเจียงอยากคบกับผมไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดอย่างจริงจัง มือที่บีบคางเขาอยู่กระชับแน่นเล็กน้อย เขาวางมาดขรึมมองฟู่เหยี่ยน “ฉันอยู่แค่ข้างบนนะ นายยอมจะอยู่ข้างล่างเหรอ”

 

 

 

 

ตอนที่ 293 เจอท่านเชน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนชะงักไป คงจะคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะพูดแบบนี้ ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับไปสักพัก

 

 

           เจียงมู่เฉินปล่อยมืออย่างเย้าหยอก “น่าเสียดาย ได้แค่มอง กินไม่ได้”

 

 

           เขาพูดจบก็หันกลับเดินออกไปอย่างช้าๆ ท่าทางน่าเสียดาย

 

 

           ฟู่เหยี่ยนที่อยู่ข้างหลัง ยกมือขึ้นมาลูบคางที่เจียงมู่เฉินได้บีบไป อดจะถูไปถูมาไม่ได้

 

 

           คิดไม่ถึงว่าหลังจากเจียงมู่เฉินสูญเสียความทรงจำไปแล้ว ปัจจุบันจะไม่ค่อยเหมือนกับในอดีตเท่าไหร่นัก

 

 

           ตอนนั้น เขาไม่เคยพูดจาทีเล่นทีจริงกับตัวเองขนาดนี้

 

 

           ……

 

 

           หลายวันติดต่อกันมาแล้วที่ไม่ได้เจอเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนคิดว่าที่ตัวเองกล่าวเตือนซูเตอร์ไปคงจะมีประโยชน์บ้างแล้ว

 

 

           เวลานี้ เขาไม่เจอหน้าเจียงมู่เฉินจะดีกว่า

 

 

           จะได้ป้องกันเวลาที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เปิดเผยอะไรออกมาได้

 

 

           [วันนี้บ่ายสอง ฉันนัดอาจารย์ให้นายมาเจอที่เดิมแล้ว จำไว้มาตรงเวลาด้วย]

 

 

           ซือเหยี่ยนได้รับข้อความจากไมเคิลกะทันหัน เขาอ่านเนื้อหาในข้อความแล้ว หว่างคิ้วขมวดเป็นรอยย่น

 

 

           ขอเพียงแต่เขาได้รับความร่วมมือจากอาจารย์ ทั้งสองร่วมมือทั้งในทั้งนอกตีขนาบประสานกันทำลายกวาดล้างแก๊งมังกรคราม เช่นนี้จะได้สิ้นสุดกันสักที ไม่ต้องกังวลว่าจะยังมีคนมาทำร้ายเจียงมู่เฉินอีก

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ รีบตอบกลับไปทันที [โอเค]

 

 

           หลังจากส่งข้อความเรียบร้อย ก็ลบข้อความนั้นจนเกลี้ยงไม่เหลือร่องรอยใดใด จากนั้นถึงได้วางมือถือกลับไปบนโต๊ะเหมือนเดิม

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนจัดการธุระในมือเสร็จ ก็เตรียมจะไปดูซูเตอร์ เขาจำเป็นต้องทำให้ซูเตอร์พ้นทางไป ถึงจะจัดการเรื่องที่เหลือได้

 

 

           เขาเดินไปถึงห้องของซูเตอร์ เห็นในห้องไม่มีใคร เขาคว้าใครสักคนแถวนั้นมาสอบถาม “ซูเตอร์ล่ะ”

 

 

           “คุณชายน้อยเหมือนจะมีธุระกะทันหัน รีบร้อนออกไปแล้วครับ”

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไปนานแค่ไหนแล้ว”

 

 

           “ประมาณครึ่งชั่วโมงครับ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกลับห้องไป แล้วโทรหาซูเตอร์ เป็นครั้งแรกที่ใช้เวลาตั้งนานขนาดนี้กว่าซูเตอร์จะรับสายได้ ซือเหยี่ยนถามไปตรง “คุณอยู่ที่ไหน”

 

 

           ซูเตอร์เงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ย “ฉันมีธุระนิดหน่อย จะกลับไปช้าหน่อยนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนนัยน์ตาจมดิ่ง “ธุระสำคัญมากไหม ต้องการให้ผมช่วยหรือเปล่า”

 

 

           “ไม่ต้องๆ ฉันเองก็โอเคแล้ว” ซูเตอร์รีบโต้แย้งอย่างฉับไว ราวกับกลัวว่าซือเหยี่ยนจะมาช่วยเขาจริงๆ

 

 

           “โอเค งั้นคุณทำธุระเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนวางสาย แล้วออกไปข้างนอกทันที ในเมื่อซูเตอร์ไม่อยู่ เช่นนั้นเขาก็ยิ่งจัดการได้ง่ายขึ้น

 

 

           จนกระทั่งขับรถไปสถานที่ที่นัดกับไมเคิลไว้เรียบร้อย เขาเอารถมาจอดบริเวณถนนเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่งที่ดูไม่เตะตา แล้วเดินจากประตูหลังเข้าไป

 

 

           ร้านแห่งนี้ที่พวกไมเคิลนัดเจอกัน ตั้งอยู่บนถนนสองเส้น ทุกครั้งเขาจะเข้าทางประตูด้านหลัง ทุกครั้งไมเคิลจะเข้าทางประตูหน้า ไม่มีใครสามารถคิดเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกันได้

 

 

           ใช้เป็นที่พบปะหารือได้ปลอดภัยที่สุด

 

 

           ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ในแก๊งมังกรคราม ยากจะรับประกันได้ว่าเรย์มอนกับซูเวลล์จะไม่หวาดระแวงแล้วไม่มาเฝ้าดูเขา เขาจึงทำได้เพียงระมัดระวังในทุกๆ เรื่องที่ทำ

 

 

           หลังจากที่ซือเหยี่ยนเข้าไปแล้ว ก็ตรงเข้าประตูด้านข้างขึ้นไปชั้นสองทันที

 

 

           ไมเคิลนั่งอยู่บนโซฟา ด้านข้างยังมีคนคนหนึ่งยืนอยู่ ซือเหยี่ยนมองตามแผ่นหลังที่เขาคุ้นเคย ขอบตาร้อนผ่าว เสียงต่ำเอ่ยเรียก “อาจารย์ครับ”

 

 

           ท่านเชนได้ยินเสียงของซือเหยี่ยน ร่างกายสั่นสะท้านโดยพลัน เขาหันมองซือเหยี่ยนอย่างนึกไม่ถึง ขอบตาแดงขึ้นเล็กน้อย

 

 

           “ขออภัยครับ อาจารย์”

 

 

           “เฮ้อ” ท่านเชนมองเขาแล้วถอนหายใจ เดินไปอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน แล้วออกแรงกอดเขาครู่หนึ่ง “คิดไม่ถึงว่านายจะเป็นฝ่ายมาหาฉันเอง”

 

 

           “ตอนนั้นผมผิดเองที่ออกจากทีม ทำให้ทีมของอาจารย์วุ่นวายกันไปหมด”

 

 

           ท่านเชนกอดเขาไว้แน่น “โอเค เรื่องตอนนั้นฉันเองก็ไม่เคยโทษนาย ตอนนี้นายยังกลับมาเรียกฉันว่าอาจารย์ได้ ฉันก็ซึ้งใจมากแล้ว”

 

 

           “อาจารย์ครับ ครั้งนี้ที่ผมมาหาอาจารย์ คืออยากให้อาจารย์ช่วยครับ” ซือเหยี่ยนตัดสินใจเปิดประเด็น

ตอนที่ 290 ทำให้คนทุ่มเทความรักให้

 

 

           ระหว่างทาง ซังจิ่งขับรถอย่างไม่ถือว่าเร็วจนเกินไป เจียงมู่เฉินเอนพิงเอนซบอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผล็อยหลับไป

 

 

           รอจนกว่าจะตื่น รถก็ได้มาจอดหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์แล้ว

 

 

           ยามที่เจียงมู่เฉินหลับอยู่ ซังจิ่งมองเขาไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ทุกครั้งนัยน์ตาก็จะมีแววการต่อสู้ดิ้นรนเสมอ

 

 

           จนกระทั้งรถมาจอดที่ประตูหน้าทางเข้าคฤหาสน์ ซังจิ่งถึงได้ถอนหายใจเล็กน้อยเรียกปลุกเจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ มองไปรอบทิศทาง คฤหาสน์ที่ใหญ่โตมโหฬาร มองไปคราวเดียวก็ยังมองได้ไม่หมด เขาถอนหายใจเงียบๆ เป็นผลงานชิ้นใหญ่เสียจริง สไตล์ราชวงศ์ผู้ดีชนชั้นสูง

 

 

           “ถึงแล้ว ลงไปกันเถอะ”

 

 

           ทั้งคฤหาสน์มีเพียงแค่คนรับใช้กลุ่มหนึ่งและพ่อบ้านหนึ่งคน

 

 

           หลังจากพ่อบ้านเห็นเจียงมู่เฉินและซังจิ่งแล้วก็เข้ามาต้อนรับทันที “ก่อนหน้านี้คุณผู้ชายได้กำชับไว้แล้ว ว่าแขกคนสำคัญทั้งสองท่านจะมาถึง กระผมได้สั่งให้คนตระเตรียมห้องพักไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ”

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “งั้นก็รบกวนพ่อบ้านฟู่แล้ว”

 

 

           “คุณซังเกรงใจแล้วครับ”

 

 

           พ่อบ้านพาเจียงมู่เฉินกับซังจิ่งไปยังห้องพัก เขาเอ่ยก่อนที่จะแยกตัวมาว่า “คุณผู้ชายติดธุระอยู่ข้างนอก เกรงว่าพรุ่งนี้ถึงจะกลับมาได้ครับ มีเรื่องอะไร สั่งกับกระผมตรงๆ ได้เลยนะครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ “โอเค”

 

 

           หลังจากพ่อบ้านฟู่จากไป เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองซังจิ่งแวบหนึ่ง “นี่เป็นคฤหาสน์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหลังนั้นเหรอ”

 

 

           ซังจิ่งลูบจมูกปอยๆ “ใช่แล้ว เขาพักอยู่ที่นี่น้อยมาก มีเพียงพ่อบ้านฟู่คนนี้อยู่ที่นี่”

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ สิ่งที่ได้รับกับสิ่งที่เขาจินตนาการไว้ไม่เหมือนกันสักนิดเลยโอเคไหม…

 

 

           ‘นี่มันใช่คฤหาสน์ที่ไหนกัน นี่มันปราสาทกลางอุทยานชัดๆ ตอนนี้ท้องฟ้ามืดเกินไป เขายังมองเห็นไม่ถนัด ถ้ารอมามองตอนฟ้าสว่าง น่าจะดูน่าตกใจกว่านี้อีกแน่นอน’

 

 

           ถึงแม้ตระกูลเจียงพวกเขาจะมีเงิน แต่การสร้างคฤหาสน์พักตากอากาศหลังใหญ่ขนาดนี้มาตั้งไว้เฉยๆ ตามอำเภอใจ คงจะทำตัวสบายๆ ไม่ได้ถึงขนาดนั้น

 

 

           จู่ๆ เขาก็สนใจคุณผู้ชายคนนั้นที่พ่อบ้านฟู่เอ่ยถึงขึ้นมาสักหน่อยแล้ว

 

 

           ……

 

 

           คฤหาสน์หลังนี้ห่างไกลจากเขตเมือง จึงสงบเงียบมากอย่างยิ่ง เจียงมู่เฉินนอนหลับลึกไปคราวหนึ่ง จนถึงตอนเที่ยงถึงได้รู้สึกตัวตื่นขึ้น

 

 

           เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว จึงลงไปชั้นล่าง

 

 

           ที่ชั้นล่างมีคนรับใช้ไม่กี่คนอยู่ เมื่อเห็นเจียงมู่เฉินต่างก็ทักทายก่อนประโยคหนึ่ง แล้วถึงจัดการงานของตัวเองต่อ

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินออกไปจากคฤหาสน์อย่างช้าๆ ยืนอยู่ข้างนอก

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้พอฟ้าสว่างแล้ว ดูอลังการยิ่งใหญ่กว่ายามราตรีมากเหลือคณานับ จากที่เขามองไปแบบนี้ก็ยังมองได้ไม่หมด

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงจิ๊จ๊ะเล็กน้อย ดูท่าว่าเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ คงจะไม่ใช่คนทั่วไป

 

 

           “ไม่ทราบว่าคุณเจียงรู้สึกว่าที่นี่เป็นยังไงบ้าง”

 

 

           ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ด้านหลังเขามีคนคนหนึ่งเดินเข้ามา

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงหน้ามอง มีผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาดูหนุ่มแน่นคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายเขา สวมใส่ชุดฮั่นฝู[1]หลวมๆ สบายๆ ดูมีมาดสูงส่งและเป็นสุภาพชน

 

 

           เขาเลิกคิ้วเงียบๆ “นายคือ?”

 

 

           “ผมชื่อฟู่เหยี่ยน เพื่อนของซังจิ่ง” รอยยิ้มเรียบๆ ปรากฏบนใบหน้าดูเหมือนอ่อนโยน แต่ในแววตาคมคายคู่นี้กลับแฝงความรุกรานอย่างเงียบเชียบอยู่

 

 

           ‘ดูท่าว่าคนคนนี้ก็คือคุณผู้ชายคนนั้นที่พ่อบ้านฟู่เอ่ยถึงนี่เอง’

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “คิดไม่ถึงว่าคุณฟู่จะยังหนุ่มขนาดนี้”

 

 

           แต่ว่าก็ใช่อยู่ เพื่อนของซังจิ่ง อายุต้องไม่แก่กว่ามากอยู่แล้ว

 

 

           แต่ยังหนุ่มขนาดนี้มีคฤหาสน์เช่นนี้ในครอบครองได้ ดูท่าว่าต่อหน้าคนคนนี้จะประมาทไม่ได้ง่ายๆ ทีเดียว

 

 

           “คุณชายเจียงก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ครั้งนี้ที่มา ก็ขอบคุณที่คุณฟู่ให้การต้อนรับ ยังหวังว่าคุณฟู่จะไม่ว่ากัน”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “ผมกลับรู้สึกว่า แขกคนสำคัญอย่างคุณชายเจียงมาอยู่ในบ้านผมได้ เป็นเกียรติของผม”

 

 

           เจียงมู่เฉินพินิจมองสังเกตฟู่เหยี่ยนโดยละเอียดอย่างเงียบๆ ดูโตกว่าเขานิดหน่อย ดูเหมือนจะลึกล้ำและคาดเดาได้ยาก

 

 

           ลางสังหรณ์บอกเขา คนคนนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนในความคิดขนาดนั้น

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “ตั้งแต่รู้เรื่องคุณชายเจียงจากซังจิ่ง พอวันนี้ได้มาเจอหน้ากัน ก็เหมือนอย่างที่ซังจิ่งว่าไม่มีผิดเลยจริงๆ”   

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “แบบไหน?”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยิ้มหัวเราะ เอ่ยคำต่อคำ “ทำให้คนทุ่มเทความรักให้…”

 

 

    

 

 

 

 

[1]  ฮั่นฝู  ชุดจีนโบราณ เป็นชุดประจำชนชาติฮั่น ชาวจีนแต่งกายด้วยชุดฮั่นฝูตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยราชวงศ์หมิงล่มสลาย

 

 

 

 

ตอนที่ 291 ได้สิ ฟู่เหยี่ยน

 

 

           รอยยิ้มบนใบหน้าเจียงมู่เฉินหยุดชะงักไปหนึ่งวินาที เพียงแป๊บเดียวเขาก็ผ่อนคลายลง เขาหัวเราะตามใจ “คุณฟู่นี่ชอบล้อเล่นจริงๆ เลย”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองไปทั่วทั้งคฤหาสน์ เห็นข้างหลังมีภูเขาก็ค่อนข้างรู้สึกแปลกๆ “ทำไมข้างหลังยังมีภูเขาลูกหนึ่งอยู่ด้วยล่ะ”

 

 

           ภูเขาลูกนั้นเห็นได้ชัดว่าคือภูเขาที่คนสร้างขึ้น ไม่ควรจะใช่ที่มีอยู่แต่เดิม

 

 

           ฟู่เหยี่ยนมองตามไปดู แล้วยิ้มหัวเราะ “ผมมีเพื่อนเก่าอยู่คนหนึ่ง เขาชอบภูเขามากๆ เพื่อเขาแล้ว ผมก็ไปหาคนมาบุกเบิกทำพื้นที่ที่แต่เดิมเป็นทุ่งหญ้าตั้งใจสร้างมันขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงจิ๊จ๊ะ “ดูท่าว่าเพื่อนเก่าคุณฟู่คนนี้ จะไม่ค่อยธรรมดาจริงๆ”

 

 

           สายตาของฟู่เหยี่ยนจับจ้องมาที่เจียงมู่เฉิน พยักหน้าเล็กน้อย “เพียงแต่หน้าเสียดาย เขาไม่เหมือนคุณชายเจียงที่เข้าใจน้ำจิตน้ำใจนี้ของผม”

 

 

           “อ่อ ดูท่าว่าคุณฟู่ก็แค่พูดปลอบใจตัวเองหรือเปล่า”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนพาเจียงมู่เฉินเดินไปข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว เขาเอียงหน้าถาม “ถ้าคุณชายเจียงเป็นผม คุณจะทำยังไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่เข้าใจ “อะไรคือจะทำยังไง”

 

 

           “คุณยกให้คนคนนั้นอยู่ในใจของคุณ แต่คนคนนั้นกลับมองคุณเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่า แล้วยังคิดจะแทงข้างหลังคุณได้ทุกเมื่อ” ฟู่เหยี่ยนหรี่ตามองเจียงมู่เฉิน “ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไง”

 

 

           “คิดๆ ดูแล้วระหว่างคุณฟู่กับคนคนนั้นไม่ค่อยเหมาะสมกันตั้งแต่แรกแล้ว” เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “คุณฟู่ ที่จีนมีคำโบราณว่าแตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน[1] ในเมื่อเป็นคนที่ไม่เหมาะสม แล้วเหตุใดจะต้องบีบบังคับให้มาอยู่ด้วยกันอีก”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนนัยน์ตาฉายความลึกล้ำยากจะหยั่งลึกได้ขึ้นมาแวบหนึ่ง จู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลง มองเจียงมู่เฉินแล้วเอ่ย “ผมกลับคิดไม่เหมือนกับคุณ”

 

 

           “หืม?”

 

 

           “ถ้าเป็นผม ต่อให้บีบบังคับ คนที่ผมถูกใจ ยังไงก็ต้องจับให้มาได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี”

 

 

           นัยน์ตาไม่ปกปิดความเผด็จการเลยแม้แต่น้อย เจียงมู่เฉินมองดวงตาของเขา เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นคาดไม่ถึงว่าจะมีภาพลวงตาบางอย่าง คำพูดนี้ของฟู่เหยี่ยนเหมือนพูดกับเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินใจกระตุกวูบ ยิ้มหัวเราะกลบเกลื่อน “คุณฟู่มั่นคงแน่วแน่จริงๆ งั้นก็ทำได้เพียงขอให้คุณฟู่โชคดีก็แล้วกัน”

 

 

           หน้าตาจริงจังของฟู่เหยี่ยนค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างช้าๆ แล้วกลับสู่สภาพเดิมเมื่อครู่นี้อีกครั้ง เขายิ้มมองเจียงมู่เฉิน “เมื่อกี้ทำให้คุณชายเจียงตกใจแล้วใช่ไหม”

 

 

           “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ความคิดและทางเลือกระหว่างคนเราก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”

 

 

           “ขอบคุณคุณชายเจียงมากๆ ที่ยังพอเข้าใจกันได้”

 

 

           ซังจิ่งเดินเข้ามาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขายืนอยู่ด้านข้างของทั้งสองคน “ดูท่าว่าจะไม่ต้องแนะนำตัวกันแล้ว?”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นอย่างตามใจ “รอนายแนะนำ ดอกไม้จีนก็เย็นแล้ว[2]”

 

 

           “ถึงผมไม่แนะนำ ทั้งสองคนก็รู้จักกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ไปกันเถอะ ไปกินข้าวกันก่อน ตอนบ่ายผมจะพาคุณชายเจียงไปเดินดูรอบๆ”

 

 

           “ได้สิ งั้นก็รบกวนคุณฟู่แล้ว”

 

 

           ทั้งสามคนเดินเคียงกันไป จู่ๆ ฟู่เหยี่ยนก็พูดขึ้นมากะทันหัน “ในเมื่อคุณชายเจียงก็นับว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณฟู่หรอก เรียกผมว่าฟู่เหยี่ยนก็ได้”

 

 

           นัยน์ตาดอกท้อของเจียงมู่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจคิดคะนึง เอ่ยรับปากด้วยความชื่นใจ “ได้สิ ฟู่เหยี่ยน”

 

 

           มือฟู่เหยี่ยนที่ทิ้งลงข้างตัวกำขึ้นมาเล็กน้อย แววตาฉายสะท้อนความลึกล้ำยากจะหยั่งถึงได้

 

 

           เขาสบตากับซังจิ่งแวบหนึ่ง แล้วรีบเบนหนีอย่างรวดเร็ว

 

 

           ……

 

 

           หลังจากกินข้าวกันแล้ว เจียงมู่เฉินงีบหลับสักพัก หลังจากตื่นขึ้นมา แล้วลงมาชั้นล่าง คาดไม่ถึงว่าฟู่เหยี่ยนจะนั่งอยู่ในห้องรับแขก

 

 

           เขาเห็นเจียงมู่เฉินลงมาก็ยิ้มเล็กน้อย ลุกยืนขึ้นมุ่งหน้าเดินไปทางเจียงมู่เฉิน

 

 

           “พักอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง”

 

 

           “ดีมากเลย” เจียงมู่เฉินออกมาตั้งนานแล้ว ก็ไม่เห็นซังจิ่งเลย จึงเอ่ยถามขึ้นมาทันที “ซังจิ่งล่ะ”

 

 

           “เขามีธุระด่วนพอดี เดี๋ยวสักพักก็มา”

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าตั้งแต่ซังจิ่งเข้ามาที่คฤหาสน์นี้ ก็เอาแต่ยุ่งมากๆ ตลอด  ก่อนจะมาเพราะว่ารู้สึกเบื่อ ถึงได้อยากมาเที่ยวพักผ่อนไม่ใช่หรือไง

 

 

 

 

 

 

[1]  แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน  เป็นสำนวนที่มีความหมายสื่อว่า การทำอะไรโดยฝืนมักได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี

 

 

[2]  ดอกไม้จีนก็เย็นแล้ว  มาจากจีนสมัยโบราณที่ดอกไม้จีนจะเป็นอาหารที่ทำให้สร่างเมาจานสุดท้ายที่จะยกออกมาในงานเลี้ยงดื่มเหล้ากัน ดังนั้นถ้าแขกเพิ่งมาถึงเวลาที่อาหารจานสุดท้ายเย็นแล้ว ทุกคนจะตำหนิติติงเอาได้ จึงเป็นการสื่อถึงการมาช้าการมาสาย ไม่ทันเวลา 

ตอนที่ 288 ซือเหยี่ยนโกรธ

 

 

           ทั้งสองคนหันกลับมาก็เห็นเจียงมู่เฉินอยู่ด้านหลังพอดี ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้ยินไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นคิ้วที่ขมวดของซือเหยี่ยน ในใจก็บีบตัวแน่น อดจะเจ็บราวกับโดนทิ่มแทงขึ้นมาเพียงน้อยนิดไม่ได้

 

 

           ในในเขายิ่งเสียใจ ยิ่งไม่อยากแสดงออกมา

 

 

           เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปากขึ้น “เดิมทีอยากจะมาดูอาการบาดเจ็บของคุณซู ตอนนี้ดูท่าว่าเหมือนฉันจะเป็นห่วงมากไปแล้ว”

 

 

           “ผมจะพาซูเตอร์ไปโรงพยาบาล ขอตัวก่อน” ทั้งคืน ประโยคแรกที่ซือเหยี่ยนพูดกับเจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวใจหดเกร็ง มือที่ปล่อยลงข้างหลังตัวกำแน่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ต่อหน้าเขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ได้สิ พวกนายตามสบายเลย”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วพาซูเตอร์ออกไปทันที เจียงมู่เฉินยืนอยู่ข้างหลังมองตามแผ่นหลังของพวกเขาทั้งสองคนไป สลดใจจนพิงประตูที่อยู่ข้างตัว

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่าข้างๆ มีประตูพอดี เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองคงจะนั่งยองๆ ลงไปอย่างขายหน้าไปแล้ว

 

 

           ถ้าไม่ใช่ว่าได้เห็นกับตาตัวเอง เขาคงจะยังไม่รู้ ว่าที่แท้ซือเหยี่ยนดีกับซูเตอร์มากแค่ไหน

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลง รอให้ความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงในใจผ่านไป จนผ่อนคลายลงหายใจปกติได้ ถึงได้ยืดตัวตรงขึ้นมา

 

 

           ราวกับไม่ได้มีอะไรเคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น เดินกลับไปถึงห้องอาหารอย่างช้าๆ

 

 

           ฉากใจพังเพฉากนั้นโดนเก็บกวาดจนเกลี้ยงเกลาแล้ว

 

 

           โต๊ะอาหารสำหรับสี่คนเหลือเพียงแค่ซังจิ่งคนเดียว เจียงมู่เฉินเดินไปนั่งลงข้างๆ ซังจิ่ง

 

 

           “ยังจะกินอยู่ไหม” ซังจิ่งเอ่ยถามเสียงต่ำ

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “กินสิ ทำไมจะไม่กินล่ะ”

 

 

           เขายังไม่ถึงขนาดจะกินได้ไม่ลง เสียดายโจ๊กชามนั้นเปล่าๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่ข้างๆ เอาแต่กินข้าวไม่พูดไม่จา แววตามักจะแวบมองผ่านที่นั่งที่ซือเหยี่ยนเพิ่งนั่งไป

 

 

           จนกระทั่งหลังจากกินมื้อนี้เสร็จแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้คลายมือที่กำตะเกียบไว้แน่นลง

 

 

           เพราะว่าออกแรงมากเกินไป ข้อต่อกระดูกจึงซีดลงเล็กน้อย

 

 

           แม้แต่ปล่อยลงข้างตัว ก็สั่นเทาเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกยืนขึ้น ยกมุมปากขึ้นอย่างขำๆ  ครั้งนี้เขาควรจะตัดใจจริงๆ แล้วสินะ

 

 

           ……

 

 

            หลังจากซือเหยี่ยนพาซูเตอร์ไปทำแผลพันแผลเสร็จแล้ว ถึงได้พาซูเตอร์ออกมา

 

 

           ซูเตอร์มองซือเหยี่ยนด้วยท่าทางน่าสงสาร “จะเป็นแผลเป็นจริงๆ หรอกใช่ไหม”

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนเอ่ยรับคำเสียงเรียบๆ

 

 

           “ถ้าเป็นแผลเป็น ต้องดูไม่ได้มากๆ แน่ๆ” ซูเตอร์จ้องมองมืออยู่อย่างนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ในเมื่อรู้ว่าจะเป็นแผลเป็นแล้วดูไม่ได้ คุณยังจงใจเอาโจ๊กมาราดตัวคุณเองอีก ไม่กลัวว่าจะพลาดโดนหน้าจนเสียโฉมหรือไง”

 

 

           ซูเตอร์ที่กำลังจะเตรียมออดอ้อนซือเหยี่ยนชะงักไปสักพัก เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยน “นายรู้มาตั้งแต่แรกแล้วเหรอว่าฉันจงใจ”

 

 

           “ซูเตอร์ ระหว่างผมกับเจียงมู่เฉินไม่มีอะไร คุณไม่ต้องลำบากไปทดสอบหยั่งเชิงอะไรขนาดนี้หรอก”

 

 

           “ไม่มีอะไร? ฉันกลับไม่เชื่อเท่าไหร่เลย”

 

 

           “ครั้งที่แล้วที่ไปชิ่งหลง คุณเองก็จงใจพาผมไปไม่ใช่เหรอ ก็เพื่ออยากรู้ว่าผมเจอเจียงมู่เฉินแล้วจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรหรือเปล่า” เขาเอียงหน้ามองซูเตอร์ “ท่าทีตอบตอบสนองของผม คุณยังไม่พอใจเหรอ”

 

 

           ซูเตอร์มองซือเหยี่ยนอย่างกำเริบเสิบสาน “ฉันก็แค่ไม่อยากให้นายดีกับเจียงมู่เฉิน ตอนนี้นายก็เลิกกับเจียงมู่เฉินแล้ว”

 

 

           “ซูเตอร์ ผมจะพูดกับคุณเป็นครั้งสุดท้าย ผมเลิกกับเขาแล้ว ต่อไปคุณไม่ต้องมาจงใจทดสอบหยั่งเชิงผม เส้นตายของผมคืออะไร คุณก็ควรจะรู้ชัดเจนดี” ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม บรรยากาศในรถอึดอัดขึ้นมาในทันใด

 

 

           ซูเตอร์ไม่ค่อยอยากจะยอมจำนนเท่าไหร่ เขายอมให้เจียงมู่เฉินไม่ลง พอคิดถึงว่าซือเหยี่ยนได้อยู่ด้วยกันกับเจียงมู่เฉิน เขาก็ทนรับมันไม่ได้แล้ว

 

 

           “ถ้ายังมีครั้งต่อไปอีก ผมจะไม่ให้อภัยคุณได้ง่ายๆ แบบนี้แล้ว” ซือเหยี่ยนยื่นคำขาดคำสุดท้าย

 

 

           ซูเตอร์กังวลว่าซือเหยี่ยนจะโกรธจริงๆ เขารีบกอดแขนซือเหยี่ยนเอาไว้ “เหยี่ยน นายอย่าโกรธเลยนะ ฉันรับรองว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก ยังไม่โอเคเหรอ”

 

 

 

 

ตอนที่ 289 เริ่มวางกับดัก

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างจนใจ “ถ้ามีอีกครั้งหนึ่ง ผมจะกลับถานโจวไปเลย ถึงยังไงผมเองก็ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบจำเป็นต้องช่วยคุณอยู่แล้ว”

 

 

           ซูเตอร์เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าเขาไม่ได้พูดโกหก

 

 

           ถ้ายั่วโทสะซือเหยี่ยนแล้วจริงๆ ก็เป็นไปได้จริงๆ ว่าเขาจะหนีหายจากกันไปเลย

 

 

           ซูเตอร์มองซือเหยี่ยนด้วยท่าทีน่าเอ็นดู “เหยี่ยน นายวางใจ ฉันรับรองว่าจะไม่ไปหาเรื่องเจียงมู่เฉินแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “แบบนี้ดีที่สุด หวังว่าคุณจะรักษาสัญญา”

 

 

           ซูเตอร์มองเขาด้วยท่าทีเอาอกเอาใจ ราวกับได้ตัดสินใจตั้งเจตจำนงอันยิ่งใหญ่และแน่วแน่อย่างไรอย่างนั้น ท่าทีจริงใจเสียเหลือเกิน

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูมือที่บาดเจ็บของเขา “เอาล่ะ นั่งดีๆ จะกลับไปแล้ว”

 

 

           ทั้งสองคนกลับไปยังแก๊งมังกรคราม เรย์มอนเห็นมือที่บาดเจ็บของซูเตอร์ ก็ถามอย่างเป็นห่วงหลายต่อหลายครั้ง

 

 

           ซูเตอร์อธิบายอยู่ตั้งนานสองนานถึงเพิ่งได้กลับห้องไป

 

 

           เขายืนครุ่นคิดอยู่หน้าหน้าต่าง สุดท้ายต้องทำอย่างไรถึงจะกำจัดเจียงมู่เฉินให้สิ้นซากได้

 

 

           ถึงแม้ว่าตอนนี้ซือเหยี่ยนจะไม่ได้อะไรกับเจียงมู่เฉิน แต่ว่าก็ยากจะรับประกันได้ว่าต่อไปเขาจะโหยหาคิดถึงเจียงมู่เฉินขึ้นมากะหันทันอีกหรือเปล่า

 

 

           เขาต้องกำจัดเจียงมู่เฉินหนามยอกอกนี้ไปให้พ้นทางให้ถึงที่สุด

 

 

           แต่ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถฆ่าเจียงมู่เฉินได้ ถ้าเวลานี้เจียงมู่เฉินเกิดเรื่อง ซือเหยี่ยนต้องนึกถึงเขาอย่างแน่นอน

 

 

           ถึงเวลานั้น ถ้าหากว่าซือเหยี่ยนต้องการจะจากเขาไปจริงๆ มันก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว

 

 

           ซูเตอร์หรี่ตาลง ในเมื่อเขาบีบบังคับให้เจียงมู่เฉินไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้เจียงมู่เฉินเป็นฝ่ายจากไปเองก็ได้แล้ว

 

 

           ขอเพียงแต่เจียงมู่เฉินจากไปเอง เช่นนี้ก็จะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเขาแล้ว

 

 

           แผนการบางอย่างฉายสะท้อนขึ้นมาในแววตา เขาหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาเจียงมู่เฉิน

 

 

           [จันทร์หน้า สิบโมง เจอกันที่ร้านกาแฟเซาท์เวสต์ ไม่เจอไม่กลับ]

 

 

           เขากำมือถือแน่น รอยยิ้มกระหายเลือดปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขอเพียงแต่เจียงมู่เฉินกล้ามา เขาก็จะทำให้เจียงมู่เฉินไม่สามารถหนีไปได้ง่ายๆ

 

 

           มือถือสั่นอยู่สักพัก ซูเตอร์เปิดดูมือถือ หน้าจอปรากฏแค่คำเดียวว่า [ได้]

 

 

           ซูเตอร์ยิ้มเบาๆ เขาจะวางกับดักใหญ่สำหรับเจียงมู่เฉิน ไว้ต้อนรับเขาดีๆ

 

 

           ……

 

 

           หลังจากกินข้าวเสร็จกลับมา ซังจิ่งถามเจียงมู่เฉิน “อยากจะพรุ่งนี้ค่อยเข้าไปไหม คืนนี้เข้าไปจะรีบเกินไปหรือเปล่า”

 

 

           “ไม่เป็นไร เข้าไปตอนนี้ถึงที่นั่นก็จะได้พักผ่อนพอดี”

 

 

           ซังจิ่งเห็นเขาพูดแบบนี้แล้วถึงได้พยักหน้า “งั้นพวกเรากลับไปเก็บของที่ห้องก่อน อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันใต้ตึก”

 

 

           “ได้ งั้นฉันขึ้นไปก่อนนะ”

 

 

           ซังจิ่งเข้าห้องตัวเองไปแล้ว ก็หยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความออกไป

 

 

           [ผมจะพาคนเข้าไปคืนนี้]

 

 

           ผ่านไปประมาณสองนาที คนคนนั้นก็ตอบกลับมา [โอเค]

 

 

           เขามองดูข้อความสองบรรทัดบนหน้าจอ ความสับสนซับซ้อนฉายสะท้อนในแววตา เขาถอนหายใจเบาๆ อยู่นานพอควร ก่อนจะกดลบข้อความทิ้งไป

 

 

           เขาจำเป็นต้องบอกตัวเอง เจียงมู่เฉินเป็นเพียงแค่เป้าหมายในภารกิจเท่านั้น

 

 

           หน้าที่รับผิดชอบของเขาในตอนนี้ก็คือพาเจียงมู่เฉินไปพบคนคนนั้น

 

 

           ส่วนเรื่องที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวแล้ว

 

 

           ซังจิ่งโยนมือถือลงบนเตียง รีบเก็บเสื้อผ้าสองชุดใส่กระเป๋าเดินทางแล้วลงชั้นล่างไป

 

 

           หลังจากเขาลงไปเพียงไม่กี่นาที เจียงมู่เฉินก็เดินลงมา

 

 

           เขามองซังจิ่งด้วยความประหลาดใจ “เร็วขนาดนี้เชียว?”

 

 

           “ผมผู้ชายคนเดียว จะมีของเยอะแยะขนาดนั้นที่ไหนกัน” ซังจิ่งพูดอย่างยิ้มๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินลงมาถึงชั้นหนึ่งก็ยิ้มหัวเราะให้ซังจิ่ง “โอเคแล้ว ไปกันเถอะ”

 

 

           ตอนที่ทั้งคู่ออกเดินทาง ยังไม่ถึงเวลาหนึ่งทุ่ม จากที่นี่ขับรถไปที่คฤหาสน์ต้องใช้เวลาราวๆ สามชั่วโมง

 

 

           ซังจิ่งมองเจียงมู่เฉินที่นั่งอยู่ฝั่งข้างคนขับ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “เวลายังอีกนาน คุณหลับไปก่อนได้เลย ถึงแล้วผมจะเรียกคน”

 

 

           “อืม” เจียงมู่เฉินเอ่ยขานรับ ก่อนจะหลับตาลงแล้วเอนพิงพนักที่นั่ง

 

 

           ทันทีที่เขาหลับตา ภาพในหัวทั้งหมดก็ปรากฏเป็นภาพซือเหยี่ยนกำลังเป็นห่วงเป็นใยซูเตอร์อยู่ เจียงมู่เฉินเอามือขึ้นมากุมขมับ รำคาญใจอยู่ไม่เบา

 

 

           ในสมองภาพของทั้งสองคนแม้จะไล่กลับไล่ไม่ไปเลย

 

 

           เขาทำได้เพียงใช้ปลายนิ้วกดที่ปลายคิ้วเบาๆ ตั้งใจมองข้ามไป

ตอนที่ 286 คดในข้อ งอในกระดูก

 

 

           ซังจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยกำลังจะเตรียมปฏิเสธก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของเจียงมู่เฉิน เอ่ยตอบรับ “ก็ได้ ฉันก็ไม่ได้มีความเห็นไม่พอใจอะไร แต่ไม่รู้ว่าคนข้างกายนายคนนี้จะมีความเห็นไม่พอใจอะไรหรือเปล่า”

 

 

           ซูเตอร์คว้าแขนของซือเหยี่ยนไว้ “เหยี่ยน นายว่าพวกเรากินข้าวกับคุณชายเจียงด้วยกัน โอเคไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงหวานจนเลี่ยนเสียงนั้นของเขา ก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้  ไม่รู้จริงๆ ว่าที่แท้ซือเหยี่ยนชอบบุคลิกนิสัยแบบนี้นี่เอง

 

 

           ‘ลำบากเขาแล้วจริงๆ คบกับตัวเองที่หัวร้อนออดอ้อนไม่เป็นมาตั้งนานขนาดนี้’

 

 

มิน่าล่ะ ถึงได้คืนดีกับซูเตอร์ แล้วก็สลัดเขาทิ้งไปเลยในทันที

 

 

           ถึงอย่างไรก็ใช่ ใครจะไม่ชอบคนอ่อนหวานที่ออดอ้อนเป็นบ้าง

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดตามองซือเหยี่ยนอย่างเย็นชา ความยั่วยุปรากฏในแววตาเล็กน้อย

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉิน แล้วก็เก็บสายตาเข้าไปทันทีหลังจากนั้น “ในเมี่อคุณชายเจียงพูดมาขนาดนี้แล้ว งั้นก็กินด้วยกันก็ได้”

 

 

           ซูเตอร์ยิ้มอย่างสบายใจ ดูเหมือนจะมีความสุขมาก “ดีไปเลย เหยี่ยน ฉันรู้อยู่แล้วว่านายจะต้องเห็นด้วยแน่นอน”

 

 

           สายตาเจียงมู่เฉินกวาดมองไล่ตั้งแต่มือของซูเตอร์ที่กอดซือเหยี่ยนด้วยท่าทีเรียบเฉย สีหน้าอารมณ์ไม่สะทกสะท้าน เขาหันข้างเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “ในเมื่อเห็นด้วยก็เข้าไปกันเถอะ”

 

 

           พูดจบ เจียงมู่เฉินมุ่งหน้าเข้าไปข้างใน ซังจิ่งเดินอยู่ข้างกายเขา ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมาก บางครั้งก็พูดคุยกันเสียงต่ำ ดูสนิทชิดเชื้อกันเสียเหลือเกิน

 

 

           ซูเตอร์ลากซือเหยี่ยนเดินอยู่ข้างหลัง เขาเห็นพวกเขาก็จงใจทำเป็นพูดมาจากใจ “คุณชายเจียงพวกเขาสองคนช่างดูเหมาะสมกันดีจริงๆ”

 

 

           เขาพูดไปด้วยก็แอบสังเกตสีหน้าอารมณ์ของซือเหยี่ยน เห็นใบหน้าของเขาเย็นชาไม่ไหวติงอะไรเกินเลยออกมา ในใจถึงได้ผ่อนคลายลง

 

 

           ทั้งสี่คนนั่งอยู่ในร้านอาหาร เจียงมู่เฉินนั่งด้วยกันกับซังจิ่ง ซือเหยี่ยนนั่งด้วยกันกับซูเตอร์ ไม่รู้ว่าซูเตอร์จงใจหรือเปล่า ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ตรงข้ามเจียงมู่เฉินพอดี

 

 

           ขอเพียงแต่เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าของเจียงมู่เฉินทันที

 

 

           เริ่มตั้งแต่ที่ลานจอดรถมา ซือเหยี่ยนก็ทำสีหน้าเย็นชามาตลอด ซูเตอร์รินน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง “เหยี่ยน คราวหน้าถ้านายยุ่ง ไม่ต้องตั้งใจมารับฉันโดยเฉพาะตลอดหรอก ฉันกลับไปเองก็ได้อยู่”

 

 

           “ไม่เป็นไร ผมจะมารับคุณ” ซือเหยี่ยนปฏิเสธไปตรงๆ

 

 

           ซังจิ่งได้ยินคำพูดของทั้งคู่ก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่าประธานซือจะเป็นคนที่เอาใจใส่ดูแลกันขนาดนี้”

 

 

           ซูเตอร์มองซังจิ่ง “เหยี่ยนเขาดีกับฉันมากๆ เลย ครั้งที่แล้วยังบาดเจ็บเพื่อช่วยฉัน ทำเอาฉันตกใจจนอยู่เฝ้าเขาในห้องทั้งวันทั้งคืน”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ดูท่าว่าประธานซือจะรักนายจริงๆ สินะ”

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่ห้อยลงมาใต้โต๊ะกำแน่นขึ้นมาทันที

 

 

           “แน่นอนอยู่แล้ว ฉันรู้จักเหยี่ยนมาตั้งหลายปีขนาดนี้ เขาเคยช่วยชีวิตฉันไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งกี่คราแล้ว”

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ ส่งมือไปรินน้ำให้เจียงมู่เฉินแก้วหนึ่ง “ไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ ดื่มน้ำก่อนสิ”

 

 

           ซูเตอร์เห็นท่าทางเหมือนได้ทำจนชินของซังจิ่งก็จงใจเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คุณชายเจียง พวกนายคงจะไม่มีความสัมพันธ์แบบนั้นหรอกใช่ไหม…”

 

 

           ซังจิ่งเอียงหน้ามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง แล้วกะพริบตาให้ซูเตอร์ “ใช่สิ ผมกำลังจีบเขาอยู่ เพียงแต่ว่า เขายังไม่ได้ตกลงปลงใจด้วย”

 

 

           อีกนิดเจียงมู่เฉินจะสำลักน้ำแล้ว รู้ว่าซังจิ่งต้องการจะปั่นเรื่องนี้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเรื่องตามจีบตัวเองอย่างเปิดเผยขนาดนี้

 

 

           ซูเตอร์มองเขาอย่างไม่ค่อยจะเชื่อสายตาตัวเองเท่าไหร่ “จริงเหรอ มิน่าล่ะถึงรู้สึกว่าพวกนายเหมาะสมกันมากทีเดียวเชียว”

 

 

           ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็ทนไม่ไหวยิ้มออกมา เขาวางแก้วลง หยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดที่มุมปาก  ฝีมือการแสดงของซูเตอร์ออกจะห่วยไปหน่อย โอเคไหม

 

 

           เขาเอียงหัวมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง ถัดมาก็กะพริบตาให้เขา

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ รินน้ำให้เขาเองด้วยเช่นกัน “ให้นาย รินมารินกลับ”

 

 

           ทั้งสองคนเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ในท่าทางการกระทำแฝงความรู้ใจกัน สายตาซือเหยี่ยนหยุดลงที่มุมปากที่เชิดขึ้นของเจียงมู่เฉิน ม่านตาหดตัวลงเล็กน้อย

 

 

 

 

ตอนที่ 287 เกิดอุบัติเหตุ

 

 

           ซังจิ่งเห็นสีหน้าของซือเหยี่ยนก็อดจะยกมุมปากขึ้นเบาๆ ไม่ได้ เขากวักมือเรียกพนักงานบริการ “ช่วยสั่งโจ๊กไก่ฉีกให้ผมชามหนึ่ง”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงหน้ามองซังจิ่ง “ทำไมถึงกินเมนูนี้อีกแล้ว”

 

 

           “คุณลืมไปแล้วเหรอ ว่าหมอในโรงพยาบาลที่ตรวจคุณพูดว่ายังไงบ้าง” ซังจิ่งยักคิ้ว “วางใจเถอะ ผมรับประกันว่าของที่นี่อร่อยกว่าที่ผมทำ”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจเล็กน้อย “นายยังมีหน้ามาพูดอีก โจ๊กนั้นของนาย ถ้าไม่ติดว่าฉันหิวจนไส้กิ่วล่ะก็ กลืนลงไปได้ยากแล้ว”

 

 

           “คุณชายน้อย นี่คุณจะถีบหัวส่งกันใช่ไหม กินเสร็จก็แขวะกันเลย คุณทำแบบนี้ก็ได้เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอยหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตากวาดมองซือเหยี่ยนอย่างไม่สนิทใจ “มีบางคนอยากให้ฉันแขวะ ฉันก็ไม่แขวะ นายก็พอใจในสิ่งที่ได้เถอะ”

 

 

           ซูเตอร์เห็นพวกเขาสองคนโต้ตอบกันไปมา เขาหรี่ตาลงดูละครฉากเด็ด แล้วจะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “พวกนายสองคนพักอยู่ด้วยกันเหรอ”

 

 

           มุมปากเจียงมู่เฉินเชิดขึ้นเล็กน้อย มองซูเตอร์อย่างตามใจ “ใช่สิ มีคนดูแลใกล้ชิดข้างกายทั้งวันยี่สิบสี่ชั่วโมง จะไม่เห็นดีเห็นงามด้วยเหรอ”

 

 

           เขายิ้มหัวเราะเล็กน้อย “คุณซูเองก็ควรจะชัดเจนกับความรู้สึกที่ได้รับแบบนี้มากอยู่ไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ซูเตอร์เอียงหน้ามองซือเหยี่ยนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข “แน่นอน เหยี่ยนเขาดีกับฉันเป็นพิเศษเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซูเตอร์ ความเย็นชาก็ปรากฏขึ้นในแววตา เขายิ้มเยาะมองคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม

 

 

           ‘นี่ซือเหยี่ยนกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองมากมายเพื่อซูเตอร์จริงๆ’

 

 

           เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาคบกัน ซือเหยี่ยนไม่เคยให้เขาได้สัมผัสอะไรแบบนี้

 

 

           เจียงมู่เฉินขำหัวเราะ รู้สึกว่าแบบนี้ยิ่งไม่มีความหมายอะไร ในใจเขาโกรธเคืองอยู่ไม่เป็นสุข แต่ซือเหยี่ยนกลับสงบนิ่งดั่งสายน้ำ

 

 

           เขาไม่รู้ว่าแบบนี้ตัวเองต้องการอยากจะพิสูจน์อะไร

 

 

           พิสูจน์ว่าตัวเองจะยังปลุกคลื่นแม้เพียงนิดในใจของซือเหยี่ยนได้อยู่อีกหรือเปล่า หรือว่าจะพิสูจน์ว่าตอนนั้นซือเหยี่ยนจริงใจกับเขาสักเท่าไหร่

 

 

           เจียงมู่เฉินจนใจ ก่อนจะมาอเมริกาอีกครั้ง เขายังหลอกตัวเองไปได้ตั้งเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือ หรือความจริงที่มาวางไว้ตรงหน้า ทั้งหมดก็แจ่มแจ้งชัดเจนที่สุดแล้ว

 

 

           ‘ซูเตอร์ก็ควรจะเป็นแฟนเก่าคนนั้นที่ซือเหยี่ยนเอ่ยถึงสินะ’

 

 

           เขาลืมไม่ลง แล้วก็เป็นคนที่ไม่กล้าจะลืมด้วย

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะฝืนยิ้มไม่ได้ ตอนนั้นที่เขาถามซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนปฏิเสธไม่ยอมรับ ที่จริงก็ไม่ได้อะไร เขาเจียงมู่เฉินก็ไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนชอบซูเตอร์แล้วอย่างไร สำหรับเขา มันเป็นอดีตไปหมดแล้ว

 

 

           เขาจะไม่แคร์ว่าแฟนเก่าของซือเหยี่ยนคือซูเตอร์ก็ได้ แต่ว่าเขาไม่มีทางจะไม่แคร์ที่พอซูเตอร์หันหลังกลับมา ซือเหยี่ยนก็ทิ้งเขาแล้วจากไปโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามแวบหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ลุกยืนขึ้นมาทันที “ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ”

 

 

           เขานั่งอยู่ข้างในลุกยื่นขึ้นเดินมุ่งออกไปข้างนอก ขณะที่เดินอ้อมข้างหลังซังจิ่งไป พนักงานก็มาเสิร์ฟโจ๊กไก่ฉีกที่ซังจิ่งต้องการมาพอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินผ่านด้านข้างของซังจิ่ง กำลังจะเตรียมเดินออกไปข้างนอก เพียงรู้สึกว่าเอียงข้างก็ชนเข้ากับพนักงานเสิร์ฟ

 

 

           โจ๊กร้อนๆ ในมือที่เพิ่งจะยื่นส่งมา เทเอียงไปทางซูเตอร์

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเหตุการณ์แล้วรีบยื่นมือไปดึงซูเตอร์มา แต่ชามโจ๊กร้อนๆ นั้นก็ยังคงเทมาโดนหลังมือของซูเตอร์ไปกว่าครึ่งแล้ว

 

 

           ซูเตอร์ร้องด้วยความเจ็บปวด เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าหลังมือขาวผ่องแดงถึงขั้นสุด

 

 

           เขาเจ็บจนดวงตาแดงก่ำ คว้ามือซือเหยี่ยนไว้ “เหยี่ยน เจ็บ…เจ็บจังเลย…”

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว คว้าตัวเขาพาตัวพุ่งไปล้างมือในห้องน้ำ

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงันทันที หลังจากมองซังจิ่งปราดเดียวแล้ว ถึงได้ตามหลังเข้าไป

 

 

           “เหยี่ยน มือของฉันจะเหลือเป็นรอยแผลเป็นได้หรือเปล่า…” ความสั่นเครืออยู่ในน้ำเสียงของซูเตอร์ กลัวจนดวงตาหลุบต่ำลง ดูน่าสงสารชัดเจน

 

 

           “วางใจเถอะ ไม่เกิดรอยแผลเป็นได้หรอก” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           “เหยี่ยน เจ็บจริงๆ นะ…” เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยน น้ำตาคลออยู่ในดวงตากลมโตคู่นี้

 

 

           ซือเหยี่ยนรีบเอาน้ำเย็นช่วยเขาชะล้าง แผลน้ำร้อนลวกบนหลังมือพุพองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยังเกิดตุ่มน้ำพองขึ้นมาสองตุ่ม ดูๆ ไปแล้วน่าตะลึงต่อกับภาพที่เกิดขึ้นทีเดียว

 

 

           เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไป ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”

 

 

           ซูเตอร์สูดหายใจ พยักหน้าอย่างน่าสงสาร “แล้วพวกคุณชายเจียงจะทำยังไงดี”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่ต้องสนใจ”

ตอนที่ 284 องค์กรอักขระ  

 

 

           เพียงแป๊บเดียวลิฟต์ก็ลงมาถึงที่ชั้นหนึ่ง เจียงมู่เฉินเดินออกจากลิฟต์ไปในทันใด เดินไปหยุดที่ข้างกายซังจิ่ง  

 

 

           “ไปกันเถอะ”  

 

 

           ซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉิน “ทำธุระเสร็จแล้ว?”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ”  

 

 

           เวลานี้เองทั้งสองคนถึงได้เดินจากไป  

 

 

           ชายชาวอเมริกันคนนั้นที่อยู่ด้านหลังมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินและซังจิ่งไป เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย หยิบมือถือออกมา  

 

 

           “ซือเหยี่ยน ฉันเห็นเจียงมู่เฉินแล้ว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกำลังขับรถอยู่ ได้ยินคำพูดของไมเคิลก็ขมวดคิ้ว “เห็นอยู่ที่ไหน”  

 

 

           “โรงพยาบาล ตอนที่ฉันไปเยี่ยมเพื่อนแล้วออกมา ก็เจอเขาในลิฟต์พอดี” ไมเคิลหยุดอยู่ครู่หนึ่ง “เขาไม่รู้จักฉันแล้วจริงๆ”  

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่จับพวงมาลัยออกแรงเล็กน้อย “ถ้าเขารู้จักนาย นั่นถึงจะไม่ปกตินะ”  

 

 

           “ไม่ใช่ ที่ฉันโทรหานาย ไม่ได้อยากจะพูดเรื่องนี้” ไมเคิลรีบเอ่ยต่อ “เขาไม่ได้มาคนเดียว ข้างกายเขายังมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินเขาพูดมาแบบนี้ ก็รู้ประมาณหนึ่งแล้วว่าคนที่ไมเคิลพูดถึงคือซังจิ่ง  

 

 

           “ฉันรู้”  

 

 

           “ซือเหยี่ยน ในเมื่อนายรู้ว่าเขาอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน ทำไมนายถึงไม่ขัดขวาง ยังปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอีก” ไมเคิลร้องตะโกนเสียงดังอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้  

 

 

           “หมายความว่าไง”  

 

 

           “นายรู้จักองค์กรอักขระที่มีชื่อเสียงระดับสากลไหม ก็คือที่ทำงานเพื่อเงินโดยเฉพาะ” ไมเคิลคิดย้อนกลับไป “เมื่อก่อนฉันเคยเข้าไปครั้งหนึ่ง ข้างในมีคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับคนคนนั้นที่อยู่ข้างกายเจียงมู่เฉินมาก”  

 

 

           เอี๊ยด! เสียงเบรกรถแสบหูดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง ซือเหยี่ยนกำพวงมาลัยรถแน่น “องค์กรอักขระ?”  

 

 

           “ก็คือมีคดีอะไรก็รับหมด เรื่องอะไรก็จัดการให้ได้ทุกอย่าง ขอเพียงแต่ราคาเป็นที่พอใจ พวกเราก็รับทำหมด…เจียงมู่เฉินไปทำใครที่ไหนไม่พอใจหรือเปล่า ทำไมแม้แต่เขาถึงลงมาปฏิบัติการได้” ไมเคิลค่อนข้างเคลือบแคลงใจสงสัย ‘วี’ คนนี้เองก็รับภารกิจน้อยมากอยู่แล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนคิ้วขมวดผูกปมกันแน่น “ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”  

 

 

           “โรงพยาบาล”  

 

 

           “ไปที่ที่เราเจอกันเป็นประจำ ฉันจะไปรอนายที่นั่น คุยกันต่อหน้า”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่พูดพร่ำทำเพลงหักหัวรถกลับทันที ไปเจอไมเคิล ถ้าซังจิ่งเป็นคนในองค์กรอักขระจริงๆ เช่นนั้นเจียงมู่เฉินก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว  

 

 

           หัวใจเขาถูกบีบอัด อดจะเร่งความเร็วเหยียบคันเร่งไม่ได้ รถพุ่งทะยานมุ่งหน้าไปสถานที่นัดเจอเดิม  

 

 

           ซือเหยี่ยนจอดรถลวกๆ หน้าทางเขา ลงจากรถแล้วก็ตรงเข้าไปในร้านกาแฟทันที  

 

 

           เขาเข้าไปห้องที่อยู่ชั้นในสุดอย่างคุ้นชินเส้นทาง ไมเคิลรออยู่ข้างในก่อนแล้ว  

 

 

           ไมเคิลเห็นเขาก็รีบเอ่ยถามทันที “เจอกันตอนนี้ จะกระทบนายหรือเปล่า”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่มีเวลาจะมาสนใจเรื่องกระทบไม่กระทบอะไรแล้ว ตอนนี้สำหรับเขา เจียงมู่เฉินสำคัญกว่า  

 

 

           “ไม่เป็นไร ฉันจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ทำให้สงสัยได้หรอก” ซือเหยี่ยนเอ่ยถามตรงๆ “คนคนนั้นที่นายว่าคือเขาเหรอ”  

 

 

           เขาส่งมือถือต่อให้ เอารูปซังจิ่งให้เขาดู  

 

 

           ไมเคิลกวาดสายดูอย่างละเอียด ยืนยันว่าคนที่เขาเจอที่โรงพยาบาลวันนี้เป็นคนเดียวกัน  

 

 

           “เมื่อก่อนฉันเคยเจอวีครั้งหนึ่งอยู่ในระยะไกล เหมือนซังจิ่งคนนี้มาก ดังนั้นตอนนี้ฉันเพียงแค่คาดคะเนว่าซังจิ่งคนนี้ก็คือวี”  

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว “แบบนี้ นายช่วยฉันตรวจสอบซังจิ่งคนนี้หน่อยแล้วกัน ถ้ายืนยันได้แน่นอนว่าเขาก็คือคนคนนั้น รีบบอกฉันทันที”  

 

 

           ไมเคิลสีหน้าเคร่งขรึมคิดใคร่ครวญดู “ตั้งแต่นายพูดเรื่องเขาซังจิ่งกับฉันเมื่อครั้งก่อนจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ถ้าเขาเป็นวีล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ที่จนถึงตอนนี้จะยังไม่ลงมือ…แบบนี้ ฉันสืบเรื่องซังจิ่งอีกครั้ง นายก็อย่าร้อนใจไป รอฉันแน่ใจก่อน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไตร่ตรอง “นายช่วยฉันจับตาดูซังจิ่ง ขอเพียงแต่มีความผิดปกติอะไรก็ตาม รีบบอกฉันทันที”  

 

 

           “ตอนนี้กว่านายจะได้รับความไว้วางใจจากพวกเขาไม่ใช่ง่ายๆ นายอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้จะดีที่สุด ถ้าซังจิ่งคือวีจริงๆ อยู่ข้างกายเจียงมู่เฉินมาตั้งนานขนาดนี้ไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง ก็แสดงให้เห็นว่ายังไม่สามารถลงมือกับเจียงมู่เฉินได้ชั่วคราว”  

 

 

             

 

 

ตอนที่ 285 เปลี่ยนใจไปรักคนอื่น  

 

 

           ไมเคิลวิเคราะห์ “ดังนั้น สำหรับตอนนี้ เจียงมู่เฉินยังปลอดภัยอยู่”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ดูท่าทางตอนนี้จะทำได้เพียงแค่เร่งกระทำ จัดการปัญหาเรื่องแก๊งมังกรครามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้นค่อยมาจัดการปัญหาเรื่องซังจิ่ง”  

 

 

           ไมเคิลถอนหายใจ “ที่จริง ฉันกลับคิดว่านายเชื่อใจเจียงมู่เฉินได้ ต่อให้เขาสูญเสียความทรงจำไปแล้ว ก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ต่อให้พบเจอเหตุการณ์อะไรจริงๆ เขาก็อาจจะจัดการด้วยตัวเองได้”  

 

 

           ซือเหยี่ยนฝืนยิ้ม “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขามีความสามารถ แต่พอคิดว่าในที่ที่ฉันมองไม่เห็น เขาได้รับบาดเจ็บ ฉันก็ทำใจไม่ได้”  

 

 

           “นายนี่นะ ยังคงปกป้องดูแลยกเจียงมู่เฉินเอาไว้ในหัวใจ” เขามองซือเหยี่ยนอย่างจริงจัง “จะว่าไป นายไม่คิดจะบอกเจียงมู่เฉินจริงๆ เหรอว่านายไม่ได้อยากจะเลิกกับเขาจริงๆ”  

 

 

           “บอกไม่ได้ ถ้าพูดไป เขาไม่มีทางยินยอมหรอก”  

 

 

           “แต่ว่า ตอนนี้นายเลิกกับเขา ก็เพื่อเขา ถ้าหากว่าช่วงเวลานี้เขาไปคบกับคนอื่นแล้ว ถึงเวลานั้นนายร้องไห้ก็ไม่ทันแล้วนะ”  

 

 

           ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เลิกกันแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เจียงมู่เฉินเก็บใจไว้ให้เขาไปตลอดชีวิต อีกอย่างไม่เอ่ยถึงอย่างอื่น คนอย่างเจียงมู่เฉินดึงดูดสายตาคนแบบนี้ คนที่ชอบเขาเยอะเกินไปแล้ว  

 

 

           ยากจะรับประกันว่าท่ามกลางคนมากมายเหล่านั้น จะถูกใจใครสักคนสองคน  

 

 

           ซือเหยี่ยนกลับไม่กังวลจุดนี้เลย มองไมเคิลด้วยความมั่นใจในตัวเองมากทีเดียว “วางใจเถอะ เขาเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นไม่ได้หรอก”  

 

 

           ไมเคิลเลิกคิ้ว “มั่นใจขนาดนี้เชียว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “ตอนนั้นที่เขาจำฉันไม่ได้ ก็ไม่ได้เคยไปคบกับใคร ตอนนี้มาขึ้นเรือลำนี้ของฉันแล้ว ก็อย่าคิดจะลงจากเรือไปอีกเลย”  

 

 

           ไมเคิลเห็นสีหน้าท่าทางของซือเหยี่ยนแล้วก็ขบกรามเงียบๆ รู้สึกว่าสีหน้าอารมณ์บนใบหน้าซือเหยี่ยนชักจะดูกวนๆ ชอบกล  

 

 

           ‘ถ้าเจียงมู่เฉินหนีไปแล้ว ไม่ลงเอยกับเขาแล้ว คอยดูว่าเขาจะคุยโวอย่างใจเย็นขนาดนี้ได้ยังไงอยู่’  

 

 

           หลังจากที่ซือเหยี่ยนพบปะกับไมเคิลเสร็จเรียบร้อย ก็ออกจากร้านกาแฟไปรับซูเตอร์  

 

 

           ซูเตอร์อยู่ที่ตึกเกรทออเนอร์รอเขา ซึ่งที่นั่นคือหนึ่งในอสังหาริมทรัพย์ของแก๊งมังกรครามด้วยเช่นกัน วันนี้ซูเตอร์รีบมาประชุมตั้งแต่เช้า ยุ่งอยู่ทั้งวัน  

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็จะปลีกตัวไปหาไมเคิลไม่ได้เลย  

 

 

           เขาขับรถมาจอดที่ใต้ตึกแล้วโทรหาซูเตอร์ ผ่านไปไม่กี่นาทีคนก็เดินออกมาจากข้างใน  

 

 

           ซูเตอร์ขึ้นรถแล้วก็เอ่ยถาม “เหยี่ยน แถวๆ นี้มีร้านอาหารเปิดใหม่ ฉันให้คนจองที่ไว้แล้ว ไปกินข้าวด้วยกันแล้วค่อยกลับไปกันนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “ได้”  

 

 

           ซูเตอร์ยกมุมปากขึ้นแล้วหลุดขำ “นี่ถือเป็นครั้งแรกที่นายรับปากฉันโดยไม่ลังเลเลยนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้มีท่าทีตอบสนองอะไร นอกจากเอ่ยถามตรงๆ “อยู่ที่ไหน เอาที่อยู่ให้ผม”  

 

 

           หลังจากซูเตอร์บอกที่อยู่แล้ว ซือเหยี่ยนก็ขับรถมุ่งหน้าไปทันที  

 

 

           เขาเพิ่งจะจอดรถที่หน้าทางเข้าร้านอาหาร กำลังจะเตรียมตัวลงจากรถ ด้านข้างก็มีรถอีกคันแล่นมา จอดอยู่ข้างรถของพวกซือเหยี่ยนพอดี  

 

 

           เห็นเงาร่างของเขา มือซือเหยี่ยนที่กำลังจะเตรียมเปิดประตูก็ชะงักไปเล็กน้อย  

 

 

           ซูเตอร์เองก็ค่อนข้างแปลกใจอย่างชัดเจน “นึกไม่ถึงว่าอยู่ที่นี่จะยังเจอคุณชายเจียงได้ ถือว่ามีชะตาต่อกันจริงๆ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกำมือที่ค่อนข้างชาๆ ไว้แน่น เปิดประตูรถลงไป  

 

 

           ตำแหน่งของเขาอยู่ข้างหลังเจียงมู่เฉินพอดี นาทีที่เขาลงจากรถ เจียงมู่เฉินก็ได้พบตัวซือเหยี่ยนแล้ว  

 

 

           เขากวาดสายตามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่งด้วยใบหน้าเย็นชา ไม่พูดอะไรสักคำ ราวกับเป็นคนแปลกหน้ากันอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           กลับเป็นซูเตอร์ที่เอ่ยปากก่อน “คิดไม่ถึงว่าจะมีชะตาต่อกันขนาดนี้ มากินข้าวก็ยังเจอคุณชายเจียงได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นยะเยือก “ใครจะว่าไม่ใช่ ฉันชักจะสงสัยแล้วว่านายติดจีพีเอสที่ตัวฉันหรือเปล่า”  

 

 

           ซังจิ่งออกมาจากฝั่งที่นั่งคนขับ เดินมาอยู่ที่ข้างกายเจียงมู่เฉิน “ไปกันเถอะ หิวแล้วไม่ใช่เหรอ เข้าไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ “อืม เข้าไปกัน”  

 

 

           ซูเตอร์เห็นพวกเขาทั้งสองคนทำท่าทีเมินเฉยไม่สนใจตัวเอง ก็อดจะกำมือแน่นไม่ได้ เขาเห็นทั้งสองคนเตรียมจะเดินเข้าไป จึงพูดเสียงดัง “ในเมื่อรู้จักกันหมด มาร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันก็ได้นะ”  

ตอนที่ 282 เลี้ยงไม่เชื่อง  

 

 

           “แล้วนายยังจะดีกับฉันเหรอ”  

 

 

           “เจียงมู่เฉิน” ซังจิ่งเอ่ยปากเรียกเขา แต่กลับลังเลใจไม่เบา เขาเงียบสักพัก สุดท้ายเสียงต่ำถึงได้เอ่ยออกมา “ผมจำเป็นต้องยอมรับ ผมต้องการให้คุณตอบรับผม…  

 

 

           …แต่ว่า ถึงแม้คุณจะไม่สามารถตอบรับผมได้ ผมก็ยังอยากจะดีกับคุณ”  

 

 

           ภายใต้แสงไฟสลัว เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปากเบาๆ “ซังจิ่ง นายรู้ไหม บางคนก็เลี้ยงไม่เชื่อง ดีกับเขามาตั้งแต่แรกก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็อาจจะกลับมาแว้งกัดนายได้เท่านั้น”   

 

 

           ก็เช่นเดียวกันกับเขา เขาทุ่มเททั้งใจทั้งกายให้ซือเหยี่ยนอย่างดี คนเย่อหยิ่งถือตัวอย่างเขา เขาไม่สนใจกฎเกณฑ์อยู่ร่ำไปเพื่อซือเหยี่ยน แต่ซือเหยี่ยน…  

 

 

           ยังคงหาแฟนใหม่อีกคนได้อย่างไม่ลังเล  

 

 

           ซังจิ่งเห็นเส้นผมของคนตรงหน้าใกล้จะทิ่มเข้าไปในดวงตา เขาจึงยื่นมือไปเกลี่ยออกเบาๆ “ผมเตรียมพร้อมเรื่องเลี้ยงไม่เชื่องเรียบร้อยแล้วล่ะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินนัยน์ตาวาบแสง ถอยหลังไปหนึ่งก้าว  

 

 

           เขาลุกยืนขึ้นเอ่ยกับซังจิ่ง “ขอบใจสำหรับมื้อค่ำของนายนะ ฉันขอตัวขึ้นไปก่อน”  

 

 

           ซังจิ่งเห็นเขาหลบเลี่ยงก็ยิ้มหัวเราะ “พรุ่งนี้ตอนเช้าต้องไปตรวจดูอาการซ้ำที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เก้าโมงเช้าผมจะรอคุณอยู่ข้างล่าง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ “ได้ รบกวนนายแล้ว”  

 

 

           เขาหันหลังเดินขึ้นชั้นบนไป  

 

 

           ซังจิ่งมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินไปแล้วยกมุมปากขึ้น จัดการเก็บของที่เขากินไปเพียงครึ่งหนึ่งให้เรียบร้อย จากนั้นถึงได้ขึ้นไปชั้นบน  

 

 

           ในห้องซังจิ่งยืนตรงหน้าหน้าต่าง ในมือเขาคีบบุหรี่ติดไฟมวนหนึ่งอยู่  

 

 

           คอมพิวเตอร์ด้านข้างเปิดอยู่ในลักษณะกำลังทำการวิดีโอคอล  

 

 

           “ซังจิ่ง นายคิดจะพาเจียงมู่เฉินเข้าไปเมื่อไหร่” เซวียยางนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์จ้องมองใบหน้ามุมข้างของซังจิ่ง  

 

 

           “ฉันมีแผนจัดการของฉันอยู่”  

 

 

           “เขาอยากจะเจอเจียงมู่เฉินให้เร็วที่สุด” เซวียยางถ่ายทอดความหมายของคนคนนั้นออกมา  

 

 

           ซังจิ่งขมวดคิ้ว “ฉันรู้ ฉันมีแผนจัดการของฉันอยู่”  

 

 

           เซวียยางนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ สีหน้าดูหนักแน่น เพียงชั่วขณะเขาก็เอ่ยเสียงต่ำ “ซังจิ่งนายคงจะไม่ได้ชอบเจียงมู่เฉินเข้าแล้วจริงๆ หรอกใช่ไหม”  

 

 

           “ฉันมีแผนของฉัน ตอนนี้จังหวะเวลายังได้สุกงอมพอ รอได้โอกาสเหมาะ แล้วฉันก็จะพาเจียงมู่เฉินเข้าไปได้เอง”  

 

 

           สายตาเซวียยางจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าของซังจิ่ง “เขาเป็นเป้าหมายของนาย ฉันขอแนะนำว่านายอย่าได้รู้สึกกับเขาจริงๆ”  

 

 

           ซังจิ่งไม่ได้พูดอะไรอีก กดตัดสายวิดีโอคอลไปเสียเดี๋ยวนั้น  

 

 

           บุหรี่ที่สูบไปได้แล้วครึ่งหนึ่ง ซังจิ่งเองก็ไม่ได้มีความคิดอยากจะสูบต่อ เขาโยนมันทิ้งลงที่เขี่ยบุหรี่ที่อยู่ข้างๆ มองดูมันค่อยๆ มอดดับลงไปทีละนิดๆ  

 

 

           หลงรักเป้าหมายในภารกิจ  

 

 

           ‘ความผิดชั้นต่ำขนาดนี้ เขาไม่ทำผิดแบบนั้นได้หรอก’  

 

 

           ……  

 

 

           เช้าวันต่อมา เมื่อเจียงมู่เฉินตื่นขึ้นมา ซังจิ่งก็รออยู่ข้างล่างอยู่ก่อนแล้ว เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉินที่เดินออกมา “เช้าขนาดนี้ ผมยังคิดว่าคุณจะสายกว่านี้นิดหน่อย”  

 

 

           เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเจียงมู่เฉินดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก  

 

 

           เขาลงบันไดมาอย่างช้าๆ “ฉันเจียงมู่เฉินเป็นคนดูไม่น่าเชื่อถือแบบนั้นเหรอ”  

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “คุณชายเจียงน่าเชื่อถืออยู่แล้ว” เขายกอาหารเช้าออกมา “เข้ามากินอาหารเช้าสักนิด เดี๋ยวสักพักจะได้ไปกัน”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูอาหารเช้านั้น “นายแน่ใจเหรอว่าไปตรวจดูอาการซ้ำอีกครั้งจะกินอาหารเช้าไปก่อนได้”  

 

 

           ซังจิ่งหลุดขำ โดนเจียงมู่เฉินแซวแล้ว “คิดไม่ถึงว่าคุณชายจะยังเป็นคนที่มีความรู้ทั่วไปขนาดนี้ได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งตรงข้ามกับซังจิ่ง “ยังมีอีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะได้กลับไป ช่วงเวลานี้นายคิดจะทำอะไรหรือเปล่า”  

 

 

           ซังจิ่งครุ่นคิด “ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเข้ามาคฤหาสน์อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ ผมคิดว่าจะเข้าไปพักอยู่สักสองวัน ไม่รู้ว่าคุณชายเจียงจะยอมให้เกียรติไปพักอยู่ด้วยกันกับผมสักสองวันได้หรือเปล่า”  

 

 

           “เพื่อนของนาย ให้ฉันไปคงไม่เหมาะเท่าไหร่หรอก” เขานั่งพิงเก้าอี้เอื่อยเฉื่อยอยู่ตรงนั้น “นายไปเองเถอะ”  

 

 

           ซังจิ่งมองเขา “ปกติเขาไม่อยู่ที่นั่นหรอก เป็นบ้านว่างๆ ผมไปคนเดียวน่าเบื่อออก ไม่สู้คุณชายเจียงไปด้วยกันกับผม?”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 283 เสียสติ  

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด แล้วก็พยักหน้าตอบรับ “ช่างเถอะ งั้นฉันไปด้วยกันกับนายก็ได้”  

 

 

           ซังจิ่งเห็นเขารับปากแล้ว ยิ้มหัวเราะอย่างดีใจ “ในเมื่อเอาแบบนี้ งั้นก็ถือว่าตกลงกันแล้วนะ”  

 

 

           หลังจากทั้งสองคนกินข้าวเสร็จ ซังจิ่งก็ขับรถพาเจียงมู่เฉินไปโรงพยาบาล หลังจากตรวจดูอาการไปครั้งหนึ่งแล้ว หมอถึงได้พูดกับเจียงมู่เฉิน “ไม่มีปัญหาอะไรแล้วครับ พักผ่อนอีกสองวันก็หายเป็นปกติแล้วครับ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า เดินออกไปด้วยกันกับซังจิ่ง  

 

 

           ขณะที่เขาออกจากโรงพยาบาลก็เดินผ่านแผนกสมองและระบบประสาทพอดี เจียงมู่เฉินอดที่จะมองแล้วมองอีกไม่ได้ จึงพูดกับซังจิ่ง “นายรอฉันอยู่ตรงนี้สักพักนะ ฉันมีธุระนิดหน่อย”  

 

 

           ซังจิ่งอยากจะซักถาม แต่เจียงมู่เฉินไม่ได้คิดที่จะพูด เดินแยกจากตรงนั้นไปทันที  

 

 

           เขาเข้าไปสอบถามที่แผนกสมองถึงสภาพอาการของเขา สุดท้ายคำตอบที่ได้รับคือเวลาสมองประสบกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ เป็นสาเหตุให้เขาพอจะนึกช่วงเหตุการณ์ช่วงหนึ่งในอดีตได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินถามอย่างร้อนใจ “มีวิธีอะไรที่จะฟื้นคืนกลับมาได้ทั้งหมดไหมครับ”  

 

 

           หมอเงียบงันสักพัก “นี่ก็พูดยากครับ เรื่องสูญเสียความทรงจำเรื่องทำนองนี้ บางคนอาจจะตลอดชีวิตไม่มีทางฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้ แต่บางคนอาจจะปีสองปีก็ฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้ ถ้าคุณอยากจะลองตามหาความทรงจำกลับคืน ก็ลองทำการรักษาได้ครับ”  

 

 

           หมอเอ่ยอย่างจริงจัง “แต่แบบนั้นก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน อีกอย่างผมรับประกันไม่ได้ว่าคุณจะฟื้นความทรงจำกลับมาได้หมด”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อก่อนก็ไม่ได้อะไร แต่ว่าในช่วงเวลานี้เขาอยากจะจำเรื่องราวในอดีตพวกนั้นให้ได้มากขึ้น  

 

 

           เหมือนเขารู้สึกมาเสมอว่าในความทรงจำเมื่อก่อนนั้น เขาได้ลืมเรื่องราวบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไป  

 

 

           “ถ้าผมเข้ารับการรักษา ผลข้างเคียงที่เลวร้ายที่สุดคืออะไรครับ”  

 

 

           “คุณเจียงครับ ถ้าคุณเข้ารับการรักษา พวกเราจะทำการผ่าตัดกระตุ้นเซลล์ประสาทในส่วนของเปลือกสมองใหญ่ [1]  ขณะที่เซลล์ประสาทส่วนหนึ่งในกลุ่มของเซลล์ประสาทถูกกระตุ้นอยู่นั้น กลุ่มของเซลล์ประสาททั้งหมดก็จะสามารถถูกกระตุ้นได้เช่นกัน ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะสามารถดึงความทรงจำในส่วนที่ถูกกักเก็บเอาไว้กลับออกมา”  

 

 

           หมอกล่าวถึงครึ่งก็หยุดไปสักพัก “แต่ว่า บอกตามตรง ผมไม่อยากแนะนำให้คุณใช้วิธีนี้เลย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยถามเสียงต่ำ “ทำไมเหรอครับ”  

 

 

           “หลังจากเซลล์ประสาทถูกกระตุ้น ใครก็รับประกันไม่ได้ว่าเส้นประสาทสมองของคุณจะรับได้หรือเปล่า” เขาเปลี่ยนวิธีการพูด “หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ถ้าเส้นประสาทสมองของคุณรับไม่ไหว…แบบนั้นมีความเป็นไปได้มากที่คุณจะเกิดภาวะเสียสติ ถึงตอนนั้นความเสียหายของคุณคือการเรียกกลับคืนมาเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”  

 

 

            ใจเจียงมู่เฉินจมดิ่งลงไป ถ้าบอกว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือเสียสติ เช่นนั้นสำหรับเขาแล้วยิ่งไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด  

 

 

           ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังนึกย้อนเรื่องราวมากมายกลับมาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับชีวิตเขา  

 

 

           แต่ถ้าเขาเกิดอาการที่กู้คืนมาให้เหมือนเดิมไม่ได้ เพียงเพื่อจะบังคับให้จำทุกอย่างทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้ แบบนี้สำหรับเขาแล้วไม่ได้คุ้มค่าเลย  

 

 

           ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เจียงมู่เฉินก็ยอมล้มเลิกแผนการนี้อย่างไม่รีรอแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “โอเคครับ ผมทราบแล้ว ขอบคุณมาก”  

 

 

           ออกมาจากห้องทำงานของหมอแล้ว เจียงมู่เฉินก็ถอนหายใจเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ช่วยอะไรไม่ค่อยได้เลย  

 

 

           ดูท่าว่าความทรงจำที่สูญเสียไปพวกนั้น จะลิขิตไว้ว่าตามกลับมาไม่ได้แล้ว  

 

 

           แต่ว่าเป็นแบบนี้ก็ดี ในเมื่อเรื่องที่ลืมไปแล้วระลึกขึ้นมาไม่ได้ ก็พูดได้แค่ว่าฟ้าลิขิตไม่อยากให้เขาจดจำมันขึ้นมาได้แล้ว  

 

 

           เขาถอนหายใจเตรียมจะไปหาซังจิ่งที่โถงใหญ่  

 

 

           เจียงมู่เฉินเข้าไปในลิฟต์เตรียมจะลงไปชั้นล่าง ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งจากด้านข้างเข้ามา ประตูที่ใกล้จะปิดลงก็ถูกเปิดอีกครั้ง เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองชายชาวอเมริกันอยู่แวบหนึ่ง รูปร่างหน้าดูค่อนข้างองอาจผึ่งผายเลยทีเดียว  

 

 

           เขาเก็บสายตาลง ยืนพิงอยู่ด้านข้างตามสบาย คำพูดของหมอก่อนหน้านี้ดังก้องขึ้นมาในหัวอีกครั้ง  

 

 

           เขาหลับตาลงอยากกดเก็บคำพูดในหัวนี้ลงไป ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นว่าดวงตาคู่หนึ่งของชายชาวอเมริกันคนนั้นกำลังจับจ้องมองใบหน้าของตัวเองโดยไม่ละสายตา  

 

 

           ชายชาวอเมริกันคนนั้นมองเจียงมู่เฉินอย่างแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง              

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]   เปลือกสมองใหญ่  เปลือกสมอง หรือ ส่วนนอกของสมองใหญ่ หรือ คอร์เทกซ์สมองใหญ่ หรือ เซรีบรัลคอร์เทกซ์ หรือบางครั้งเรียกสั้น ๆ เพียงแค่ว่า คอร์เทกซ์ (แต่คำว่า คอร์เทกซ์ สามารถหมายถึงส่วนย่อยส่วนหนึ่ง ๆ ในเปลือกสมองด้วย) (อังกฤษ: Cerebral cortex, cortex, CORTEX CEREBRI) เป็นชั้นเนื้อเยื่อเซลล์ประสาทชั้นนอกสุดของซีรีบรัม (หรือเรียกว่าเทเลนฟาลอน) ที่เป็นส่วนของสมองในสัตว์มีกระดูกสันหลังบางพวก เป็นส่วนที่ปกคลุมทั้งซีรีบรัมทั้งซีรีเบลลัม มีอยู่ทั้งซีกซ้ายซีกขวาของสมอง เปลือกสมองมีบทบาทสำคัญในระบบความจำ ความใส่ใจ ความตระหนัก (awareness) ความคิด ภาษา และการรับรู้ (consciousness) เปลือกสมองมี 6 ชั้น แต่ละชั้นประกอบด้วยเซลล์ประสาทต่าง ๆ กัน และการเชื่อมต่อกับสมองส่วนอื่น ๆ ที่ไม่เหมือนกัน เปลือกสมองของมนุษย์มีความหนา 2-4 มิลลิเมตร   

ตอนที่ 280 เขาเสียใจทีหลังแล้ว

 

 

           เขาเอ่ยบรรยายคำว่า ‘รถชน’ สองคนนี้อย่างสบายๆ ราวกับกินข้าวเช้าอย่างผ่อนคลายอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวใจบีบคั้น เจ็บปวดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ “รถชนได้ยังไง” ความรู้สึกทั้งรักทั้งสงสารแฝงในน้ำเสียง

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างขำๆ ได้จังหวะยื่นมือผลักเข้าออกพอดี “ฉันจะรถชนยังไง เหมือนว่าจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณซือเลยมั้ง ไม่ลำบากให้นายมาเป็นห่วงหรอก”

 

 

           ก่อนที่ซือเหยี่ยนจะเข้าประชิดตัวเขาอีกครั้ง เขาเดินไปทางประตู ยื่นมือไปจะเปิดประตูห้อง

 

 

           “เฉินเฉิน…” เสียงต่ำของซือเหยี่ยนอดจะเอ่ยเรียกไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินตัวแข็งทื่อ เอ่ยตำหนิเสียงเย็น “นายแม่งอย่าเรียกฉันว่าเฉินเฉิน ฉันกับนายไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น…ซือเหยี่ยน เลิกกันแล้ว นายแม่งอย่าเสแสร้งทำเป็นห่วงฉันจะได้ไหม เห็นแล้วมันอยากอ้วก…ฉันเจียงมู่เฉินต่อจากนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายทั้งนั้น ซือเหยี่ยน”

 

 

           เขาพูดจบก็ดึงเปิดประตูเดินออกไป ซังจิ่งรออยู่หน้าประตูด้านนอกตลอดเวลา พอเห็นเจียงมู่เฉินออกมา ก็รีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงทันที “เป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

           “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ กลับไปกันก่อนเถอะ”

 

 

           “ได้ งั้นตอนนี้ผมจะพาคุณกลับไป”

 

 

           หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินห่างออกไปอย่างช้าๆ จนไร้ซึ่งเสียงใดๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนออกมาจากห้องพักผู้ป่วย มองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป มือก็กำแน่น

 

 

           เขานึกเสียใจแล้ว…

 

 

           เสียใจที่เลิกกับเจียงมู่เฉิน…

 

 

           ‘ความเป็นความตายของเขา จะไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองได้ยังไงกัน…’

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินขึ้นมานั่งในรถแล้วก็ไม่พูดจาเงียบมาตลอดทาง ซังจิ่งมองเขาก็ครู่เดียวก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงให้มากความ

 

 

           เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องพักผู้ป่วยกับซือเหยี่ยน เขาไม่รู้ แต่เมื่อเห็นท่าทางของเจียงมู่เฉินตอนออกมาก็พอจะเดาได้อยู่ประมาณหนึ่ง

 

 

           เงียบงันมาตลอดทางจนกลับมาถึงที่คฤหาสน์ เจียงมู่เฉินไม่ต่อปากต่อคำอะไร เพียงทิ้งทวนว่า “ไม่ต้องรบกวนฉัน” แล้วก็กลับเข้าห้องไปทั้งอย่างนั้น

 

 

           ซังจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยมองตามแผ่นหลังของเขาไป

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนกายนอนลงบนเตียง เขาเวียนหัวจนอยากจะอาเจียนบ้างแล้ว เดิมทีเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บก็อ่อนแอมากๆ แล้ว มาโดนซือเหยี่ยนหาเรื่องขนาดนี้ยิ่งทำให้หมดแรงไปทั้งตัว ออกแรงไม่ได้เลยแม้เพียงน้อยนิด

 

 

           เขาหลับตานอนอยู่บนเตียงไม่ขยับตัวไปไหน ในหัวก็มีภาพใบหน้าของซือเหยี่ยนที่อยู่โรงพยาบาลเมื่อครู่นี้ลอยมา

 

 

           ‘เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ…

 

 

           …มีแฟนใหม่อีกคนแล้วไม่ใช่เหรอ…

 

 

…ยังจะมาเสแสร้งทำเป็นห่วงกันไปทำไม อยากเหยียบเรือสองแคม อยากนั่งเสพสุขเช่นคนรัฐฉี[1]หรือไง’

 

 

เจียงมู่เฉินยกยิ้มเยาะที่มุมปาก เพียงแต่น่าเสียดาย เมื่อเขาเจอตัวเอง ก็กำหนดไว้แล้วว่าเสพสุขเช่นคนรัฐฉีไม่ไหว

 

 

ในโลกของเขาเจียงมู่เฉิน รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก แต่ไหนแต่ไรไม่เคยพูดว่าอยากจะมาลำบากแบ่งผู้ชายกับคนอื่นเลยด้วยซ้ำ

 

 

ตอนที่อยู่ถานโจว เขาก็ยังพอมีความหวังกับซือเหยี่ยนบ้าง

 

 

แต่ตอนนี้ เขาตัดใจจากซือเหยี่ยนจนถึงที่สุดแล้ว

 

 

เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ ความสิ้นหวังปรากฏบนใบหน้าละเอียดได้รูป

 

 

……

 

 

“เหยี่ยน ทำไมนายถึงเพิ่งกลับมา ฉันรอนายอยู่ตั้งนานแล้วนะ” ซูเตอร์เดินวนไปวนมาอยู่โถงใหญ่ ในที่สุดก็เห็นซือเหยี่ยนกลับมา

 

 

สีหน้าซือเหยี่ยนซีดเซียว เขากวาดมองซูเตอร์แวบหนึ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย “มีธุระหาผมเหรอ”

 

 

ซูเตอร์คว้าแขนซือเหยี่ยนไว้ด้วยความเป็นห่วง “ไม่มีธุระสักหน่อย ฉันก็แค่เป็นห่วงนาย กลัวว่านายจะเกิดเรื่องอีก”

 

 

ซือเหยี่ยนมองดูมือเขาที่จับแขนตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ชะงักไปสักพัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงออก “ผมไม่เป็นไร”

 

 

ซูเตอร์เห็นซือเหยี่ยนไม่ได้ปฏิเสธที่ตัวเองใกล้ชิดเขาแบบนี้ ความดีใจแทบบ้าทอประกายขึ้นในแววตา เขารีบเอ่ยถาม “ไปโรงพยาบาลตรวจดูอาการแล้วเป็นยังไงบ้าง แผลยังมีปัญหาอะไรไหม”

 

 

“ฟื้นตัวดีมากแล้ว” ซือเหยี่ยนท่าทีเย็นชา เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว เป็นจังหวะทำให้มือของซูเตอร์ตกกลางอากาศพอดี

 

 

“ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับไปพักสักหน่อยก่อนนะ”

 

 

ซูเตอร์เห็นมือตัวเองตกกลางอากาศก็ตะลึงงัน ยังเห็นใบหน้าแสนเหนื่อยล้าของซือเหยี่ยนอีกจึงรีบเอ่ย “ได้ งั้นนายไปพักเลย ต้องให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนนายไหม”

 

 

ซือเหยี่ยนยิ้มด้วยท่าทีเฉยชา “ไม่ต้องหรอก ผมนอนสักพักก็ดีเอง”

 

 

เขาพูดจบก็หมุนตัวกลับไป รอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าเก็บทิ้งไปในพริบตา พลันปรากฏท่าทีเย็นชาเมื่อครู่นี้อีกครั้ง

 

 

ซูเตอร์มองดูซือเหยี่ยน แล้วมามองดูมือตัวเองอีกครั้ง กำมือแน่น

 

 

อย่างน้อยที่สุดครั้งนี้ซือเหยี่ยนก็ไม่ได้ดึงมือเขาออกไปในนาทีแรก ก็ถือว่าคืบหน้าแล้ว

 

 

รออีกต่อไป ไม่ช้าก็เร็วสักวันซือเหยี่ยนอาจจะเต็มใจยอมรับเขาได้

 

 

 

 

[1]  เสพสุขเช่นคนรัฐฉี  มาจากนิทานสอนใจของเมิ่งจื่อ ชาวฉีคนหนึ่งมีเมียหลวงหนึ่ง เมียน้อยหนึ่ง รักใคร่กลมเกลียวดี สามีออกจากบ้านไปกินอาหารดีๆ กินเหล้าจนเมาแล้วกลับบ้าน บอกเมียว่าไปกินกับเพื่อนรวยมีเส้นสาย เมียหลวงเลยคุยกับเมียน้อยว่าจะตามไปดู วันต่อมาก็สะกดรอยตามไป ปรากฏว่าสามีไปที่สุสาน ไปขอของเซ่นคนตายจากคนดูแลสุสานมากิน เมียหลวงกลับมาเล่าให้เมียน้อยฟัง แล้วก็นั่งร้องไห้กัน นิทานของเมิ่งจื่อ เรื่องนี้ ใช้แขวะพวกขุนนางที่ดูโอ่อ่า มีกินมีใช้ แต่ทำเรื่องไม่ดีน่าอับอาย เพื่อให้ได้มาในสิ่งนั้นๆ

 

 

 

 

ตอนที่ 281 อารมณ์ในใจสับสน

 

 

           ซือเหยี่ยนกลับมาถึงห้องพัก ก็รีบหยิบมือถือออกมาส่งข้อความหาไมเคิล

 

 

           [ช่วยฉันติดต่ออาจารย์ฉันที ฉันอยากเจอเขา]

 

 

           ไมเคิลรีบตอบกลับทันที [ตอนนี้?]

 

 

           [ยิ่งเร็วยิ่งดี]

 

 

           [ทราบแล้ว ฉันจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด]

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นข้อความสุดท้ายในมือถือ ปลายนิ้วกดที่ปลายคิ้วเบาๆ เดิมทีเขาวางแผนจะรอต่อไปอีกสักหน่อย ค่อยหาโอกาสจังหวะเหมาะๆ

 

 

           แต่ตอนนี้เจียงมู่เฉินก็อยู่ที่อเมริกาด้วย การเจอกันเมื่อวานนี้ชัดเจนมากว่าซูเตอร์จงใจพาเขาไป

 

 

           ตามนิสัยของซูเตอร์แล้ว เขาต้องพยายามคิดหาทางลงมือกับเจียงมู่เฉินอย่างแน่นอน

 

 

           เดิมทีคิดว่าเจียงมู่เฉินอยู่ที่ถานโจว ก็ยังพอจะถือว่าปลอดภัยอยู่ ตอนนี้เจ้าตัวมาถึงอเมริกาแล้ว อยู่ต่อหน้าต่อตาเขาแท้ๆ แต่เขากลับไร้หนทางจะปกป้องเจียงมู่เฉิน

 

 

           เพิ่งจะเจอหน้ากัน เจียงมู่เฉินก็เกิดเหตุรถชนแล้ว

 

 

           เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของซูเตอร์หรือเปล่า

 

 

           แต่ทันทีที่คิดถึงว่าในที่ที่ตัวเองมองไม่เห็น เจียงมู่เฉินประสบอุบัติเหตุ หัวใจของซือเหยี่ยนก็ถูกคว้ามาบีบรัดไว้แน่น

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากจะติดต่ออาจารย์ของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ รีบจัดการปัญหาเรื่องของแก๊งมังกรครามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน

 

 

           ซือเหยี่ยนกดที่หว่างคิ้ว หลับตาที่เหนื่อยล้าลงไป

 

 

           ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็จะต้องรีบจัดการสะสางเรื่องราวให้หมดสิ้น ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็ยากที่จะรับประกันว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ ซูเตอร์จะทำเรื่องอะไรอย่างอื่นลงไปได้บ้าง

 

 

           สะลึมสะลือนอนหลับไป ตื่นมาอีกที ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว เจียงมู่เฉินลืมตาขึ้นมามองห้องที่มืดสนิท ยังใจลอยอยู่ชั่วครู่หนึ่ง

 

 

           เขากะพริบตาปริบๆ ประมาณห้านาทีถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา

 

 

           ยังเวียนหัวอยู่บ้าง ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรอีก จนถึงตอนนี้ค่อนข้างจะหิวแล้วจริงๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ ปีนลงจากเตียง ดึงเปิดประตูห้องเดินออกไป คฤหาสน์ทั้งหลังเงียบงันมาก ไม่มีแม้แต่เสียงใด

 

 

           เขาเดินตามขั้นบันไดลงมา เห็นแสงไฟสว่างอยู่ในห้องครัว มีความเคลื่อนไหวอยู่นิดหน่อย

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินลงจากบันไดแล้ว เดินไปถึงห้องครัวก็เอ่ยเรียก “ซือ…”

 

 

           เขายังพูดไม่ทันจบคำก็ตะลึงค้างอยู่ตรงนั้นทันที เขาเห็นซังจิ่งที่ยืนอยู่ข้างใน แววตาก็ฉายสะท้อนความเจ็บใจเศร้าโศกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

 

           “ตื่นแล้วเหรอ” ซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินที่อยู่ตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม เสียงต่ำเอ่ยถาม

 

 

           เจียงมู่เฉินกำมือไว้ ค่อยๆ กลืนคำว่า ‘เหยี่ยน’ ที่อีกนิดเกือบจะเรียกออกมาจากความปรารถนาลึกๆ คำนั้นลงไปอย่างช้าๆ

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น เขาคิดว่าคนที่ยืนอยู่ในห้องครัวคนนั้นคือซือเหยี่ยน

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นอย่างขื่นขม “อืม เพิ่งจะตื่น”

 

 

           ซังจิ่งรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ กลับไม่ได้ถามอะไรมากมาย แต่ยกโจ๊กไก่ฉีกที่อุ่นร้อนอยู่ตลอดออกมา “กลัวว่าคุณจะตื่นมาหิว เลยอุ่นให้คุณอยู่ตลอด”

 

 

           เขาวางชามโจ๊กลงบนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง “หิวแล้วใช่ไหมล่ะ ยังร้อนๆ อยู่ กินสักหน่อยนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูโจ๊กชามนั้น นัยน์ตามีความสับสนอยู่ในที

 

 

           เมื่อก่อน ซือเหยี่ยนก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าเวลาไหนก็จะมีของกินให้เขาได้เสมอ เจียงมู่เฉินอดจะคิดไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาก็ทำแบบนี้กับซูเตอร์ด้วยหรือเปล่า

 

 

           ทำอาหารให้เขากิน โอบกอดเขาไว้ จนกระทั่ง…

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลง กดเก็บความคิดในใจนี้ลงไป เขาหยิบช้อนกระเบื้องขึ้นมาตักกินคำหนึ่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลอยู่ในปาก

 

 

           ซังจิ่งอดจะเข้าไปมองเขาใกล้ๆ ไม่ได้ “เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินกำช้อนพยักหน้ารับ “อืม”

 

 

           ซังจิ่งดูสถานการณ์แล้วก็รีบเอ่ย “งั้นก็ดี คุณกินเยอะๆ หน่อยนะ ผมยังทำไข่ตุ๋นให้คุณด้วย ผมจะไปหยิบมาให้คุณ”

 

 

           เขาพูดก็หมุนตัวหันกลับไปหยิบไข่ตุ๋นออกมาวางข้างๆ เจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูโจ๊กในชามของตัวเองกับไข่ตุ๋นที่อยู่ข้างๆ อารมณ์ในใจสับสน

 

 

           เขากำช้อนไว้อยู่นานพอควร ก่อนเสียงต่ำจะเอ่ยออกมา “ซังจิ่ง ถ้านายยังดีกับฉันอีก ฉันเกรงว่าจะไม่มีทางใดที่ฉันจะตอบรับนายได้”

 

 

           คงจะเป็นเพราะเจียงมู่เฉินพูดตรงจนเกินไป ซังจิ่งถึงเงียบไม่พูดจาไปสักพัก เขาย้ายเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉิน “ผมรู้”

ตอนที่ 278 เริ่มสงสัย

 

 

           เจียงมู่เฉินบนเตียงคนไข้กำมือแน่น เอ่ยประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด เหงื่อผุดตามหน้าผากเขา สีหน้าซีดเซียว

 

 

           ซังจิ่งเข้ามาจากด้านนอกก็เห็นท่าทางแบบนี้ของอีกฝ่าย เขารีบดึงมือที่กำแน่นของเจียงมู่เฉินให้คลายออกทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินสั่นสะท้าน พลิกมือมากุมมือซังจิ่งไว้

 

 

           เขาคว้ามือซังจิ่งแล้วเอ่ยพึมพำไม่หยุด “อย่าไป อย่าไป…”

 

 

           ซังจิ่งหัวใจบีบคั้น รีบกุมมือเจียงมู่เฉินไว้แน่น พลางเอ่ยปลอบใจ “ผมไม่ไป วางใจเถอะ…ผมจะไม่ไปไหน”

 

 

           เขานั่งลงอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉิน ปล่อยให้อีกคนรั้งมือเขาไปอยู่อย่างนั้น

 

 

           ราวกับเจียงมู่เฉินกำลังฝันร้ายไม่มีผิด เหงื่อไหลท่วมหน้าผาก ซังจิ่งหยิบเอากระดาษทิชชูที่อยู่ด้านข้างซับเหงื่อบนหน้าผากของเขาอย่างเบามือและอ่อนโยน

 

 

           บางทีการปลอบประโลมของซังจิ่งก็มีประโยชน์ เจียงมู่เฉินค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ แล้ว

 

 

           ซังจิ่งเห็นสถานการณ์แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ตลอดทั้งคืนซังจิ่งอยู่เคียงข้างกายเจียงมู่เฉินตลอด แม้แต่เพียงครึ่งก้าวก็ไม่ละออกไปไหน

 

 

           ……

 

 

           เช้าวันต่อมา เจียงมู่เฉินค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นอย่างช้าๆ เขาลืมตาก็เห็นห้องพักผู้ป่วย เรื่องเมื่อวานนี้ทุกอย่างกลับเข้ามาในสมอง

 

 

           เขาอยากจะยกมือขึ้นมากดหัวที่ปวดขึ้นมา กลับพบว่ามีคนกุมมือเขาอยู่

 

 

           เจียงมู่เฉินมองตามเข้าไป ก็เห็นเพียงซังจิ่งฟุบหน้าอยู่ข้างเตียง รั้งมือเขาไว้อยู่

 

 

           ท่าทางการขยับมือของเขาทำให้ซังจิ่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมานิดหน่อย ซังจิ่งลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นเจียงมู่เฉินก็ยันกายขึ้นมานั่งในทันใด “คุณตื่นแล้ว?”

 

 

           “อืม” เจียงมู่เฉินขานรับ “เมื่อวานลำบากนายแล้ว”

 

 

           “ไม่เป็นไร คุณตื่นก็ดีแล้ว” ซังจิ่งโล่งใจไปที “เมื่อวานคุณเกือบทำให้ผมตกใจแทบตาย”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูเวลา “เมื่อวานฉันเป็นอะไรไปเหรอ”

 

 

           “คุณกับผมแข่งรถกัน จู่ๆ รถคุณก็เสียการควบคุมพุ่งตัวออกไป อาการโดยรวมคุณไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ไม่มีอะไรปัญหาติดขัด กลับไปพักฟื้นดีๆ ก็ได้แล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “เมื่อไหร่ฉันถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้”

 

 

           “เดี๋ยวรอหมอเข้ามาตรวจอาการสักพัก ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”

 

 

           ซังจิ่งให้เจียงมู่เฉินนอนต่ออีกสักหน่อย ส่วนเขาออกไปข้างนอก

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนอยู่บนเตียงคนไข้ อดจะคิดไม่ได้ว่าฝีมือของเขาถึงแม้จะไม่ได้ถึงขั้นเป็นมืออาชีพ แต่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะทำให้รถเสียการควบคุมกะทันหันได้แบบนั้น

 

 

           อีกอย่างก่อนที่รถทั้งสองคันนั้นจะออกตัวไป ก็ได้ทำการตรวจสอบสภาพแล้ว ไม่ได้มีอันตรายแอบแฝงใดใด

 

 

           จู่ๆ เขาก็นึกเรื่องที่ระหว่างทางตัวเองปวดหัวอย่างรุนแรงขึ้นมากะทันหันได้

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว

 

 

           ครั้งก่อน เขาเองก็เคยประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน

 

 

           ครั้งนั้นเกือบจะโดนชนกับครั้งนี้ที่หมดสติไปกะทันหัน ล้วนแล้วแต่ทำให้เขาเกิดอาการปวดหัวอย่างสาหัสทั้งสิ้น

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตา  ร่างกายเขาเกิดปัญหาอะไรกันแน่ หรือว่าจะเป็นเพราะอุบัติเหตุเมื่อห้าปีก่อนนั้น?

 

 

           หลังจากตั้งแต่ที่สูญเสียความทรงจำในอุบัติเหตุครั้งนั้น หลายปีมานี้เขาก็อยู่อย่างดีมาตลอด ไม่ได้ปรากฏเรื่องทำนองนี้ขึ้นเลย แต่ตอนนี้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงเดือน คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏขึ้นสองครั้งแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว  หรือว่าจะเป็นสาเหตุมาจากอาการข้างเคียงอันตรายแฝงที่อุบัติเหตุนั้นทิ้งไว้?

 

 

           ไม่เพียงเท่านี้ เขารู้สึกว่าในความทรงจำที่ตัวเองสูญเสียไปมีบางเรื่องที่เขาไม่รู้

 

 

           ครั้งก่อนที่ทะเลาะกันกับซูเตอร์ จู่ๆ ร่างกายเขาก็ปรากฏความคุ้นเคยเรื่องๆ หนึ่งอย่างน่าประหลาดใจเกินจะบรรยายได้ เหมือนเมื่อก่อนเขาก็ทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ เป็นประจำอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ยังมีการแข่งรถครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของเขาอยู่ทนโท่ แต่กลับรู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองเคยทำท่าทางแบบเดียวกันนั้นอยู่หลายครั้งหลายครา

 

 

           ข้างในนั้นมีความรู้สึกเคยชินอย่างบอกไม่ถูกซึมซาบผ่านเข้ามา

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะสงสัยไม่ได้ ตัวเองในอดีตมีความลับอะไรกันแน่

 

 

           เขาคิดถึงเรื่องที่พ่อแม่เขาไม่ยอมปริปากเอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อนนั้นอีกครั้ง ยังมีคนที่ถานโจวที่รู้จักเขาทั้งหมดไม่รู้ถึงอดีตที่ผ่านมาของเขา

 

 

           ราวกับมีคนเจตนาลบทิ้งจนเกลี้ยง หรือเก็บซ่อนเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตา จู่ๆ ตอนนี้เขาก็อยากรู้อยากเห็นเรื่องราวแต่ก่อนนั้นขึ้นมา  ดูท่าว่าเขาจะต้องสืบหาอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาในอดีตใช่หรือเปล่า

 

 

           

 

 

             ตอนที่ 279 พบหน้าซือเหยี่ยนอีกครั้ง

 

 

           ซังจิ่งโทรศัพท์เสร็จ กลับเข้ามาจากข้างนอก ก็เห็นเจียงมู่เฉินนอนขมวดคิ้วอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           เขาเดินเข้าไปถามใกล้ๆ “เป็นอะไรไป จู่ๆ สีหน้าถึงได้ดูผิดปกติขนาดนี้”

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่มีอะไร ฉันก็แค่กำลังคิดว่าทำไมจู่ๆ รถถึงเสียการควบคุมได้”

 

 

           ซังจิ่งสีหน้าเคร่งขรึม “ผมติดต่อสนามแข่งรถไปแล้ว รถคุณคันนั้นผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นสาเหตุที่เสียการควบคุม ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่”

 

 

           “ฉันรู้ ก่อนฉันจะออกตัวไป ก็ตรวจสอบสภาพรถแล้ว ไม่มีปัญหาได้หรอก”

 

 

           “อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ไปก่อนเลย เดี๋ยวหมอจะเข้ามาตรวจดูอาการคุณแล้ว ผมจะไปซื้ออาหารเช้ามาสักหน่อย เดี๋ยวพอตรวจเสร็จไม่มีปัญหาอะไร ผมก็จะพาคุณกลับไป”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “โอเค งั้นรบกวนนายแล้ว”

 

 

           ซังจิ่งไปซื้ออาหารเช้า หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จ หมอก็เข้ามาตรวจอาการเจียงมู่เฉินรอบหนึ่ง หลังจากตรวจดูอาการทุกอย่างเสร็จแล้ว หมอถึงได้กล่าวออกมา “ไม่มีอะไร กลับไปพักผ่อนสงบๆ สองวันก็ดีแล้วครับ”

 

 

           หลังจากทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซังจิ่งกำลังจะเตรียมพาเจียงมู่เฉินออกจากที่นี่

 

 

           เจียงมู่เฉินเปลี่ยนชุดผู้ป่วยที่อยู่บนตัวมาสวมใส่เป็นเสื้อทีเชิ้ตตัวเรียบๆ ดูสะอาดเกลี้ยงเกลาเหมือนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเลยทีเดียว

 

 

           “จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราออกไปข้างนอกกันเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า เพราะร่างกายยังไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่ จึงเดินได้อย่างไม่กระฉับกระเฉงนัก

 

 

           ซังจิ่งมองดูเขา “เอางี้ไหมให้ผมอุ้มคุณ”

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “เห็นว่าคุณชายอย่างฉันจำเป็นต้องให้คนอื่นอุ้มหรือไง”

 

 

           ซังจิ่งรู้ดีว่าเขาไม่มีทางเห็นด้วย เดิมทีเขาเองก็พูดไปส่งๆ ไม่ได้คิดจริงๆ ว่าเจียงมู่เฉินจะยอมตกลงได้

 

 

           ทั้งสองคนออกจากห้องพักผู้ป่วยแล้ว ก็เจอซือเหยี่ยนที่เข้ามาตรวจดูอาการที่โรงพยาบาลพอดี

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าเจียงมู่เฉินซีดเซียวแบบนั้น คิ้วก็ขมวดผูกปมเข้าหากันทันที เดินเข้าไปถามโดยที่ไม่ทันได้คิดอะไร “ทำไมมาโรงพยาบาลได้ บาดเจ็บมาเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ออกห่างจากเขา “คุณซือ ระหว่างพวกเราไม่สนิทกันมั้ง”

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวใจบีบคั้น หายใจหอบติดขัดบ้างแล้ว

 

 

           เขากดหน้าต่ำลงมองเจียงมู่เฉิน “บาดเจ็บมาแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ฉันบาดเจ็บหรือไม่บาดเจ็บเกี่ยวข้องอะไรกับคุณซือเหรอ” เขาไม่อยากพูดกับซือเหยี่ยนมากเกินจำเป็น มุ่งหน้าเดินแฉลบผ่านอีกฝ่ายไป

 

 

           ซือเหยี่ยนกลับนัยน์ตามืดดับยื่นมือไปกักตัวคนแล้วฉุดเข้าไปข้างในห้องพักผู้ป่วยของเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินที่ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับไป ก็โดนซือเหยี่ยนจับกดอัดเข้าผนังทันที

 

 

           ซังจิ่งรีบตามเข้าไป กำลังจะเตรียมยื่นมือช่วย ประตูก็ถูกซือเหยี่ยนปิดล็อคไว้แล้ว

 

 

           “ซือเหยี่ยน ปล่อยเจียงมู่เฉินออกมานะ”

 

 

           เสียงร้องตะโกนของซังจิ่งเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวาซือเหยี่ยนไป เขากอดรัดเจียงมู่เฉินไว้แน่นสนิท “ตกลงแล้วบาดเจ็บตรงไหน”

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาขนาดนี้ เพียงเสี้ยวนาทีก็เวียนหัวจนไม่ไหว สีหน้าซีดลงในทันใด

 

 

           เขากระชับจับเสื้อผ้าของซือเหยี่ยนไว้แน่นหนา เสียงต่ำเอ่ยตวาดใส่ “นายแม่งอย่าเหวี่ยงแล้วได้ไหม”

 

 

           ซังจิ่งยังตะโกนอยู่นอกประตู ทำให้คนตกใจอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นมีคนจะไปตามคนมาไขเปิดประตูแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินกลัวเรื่องราวจะวุ่นวายใหญ่โต รอให้พอหายเวียนหัวสักพักแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ซังจิ่งฉันไม่เป็นไร อีกแป๊บเดียวจะออกมา ไม่ต้องตะโกนแล้ว”

 

 

           ซังจิ่งได้ยินเสียงเจียงมู่เฉินแล้วถึงได้หยุดลง ข้างนอกเองก็เงียบสงบลงแล้วเช่นกัน

 

 

           เจียงมู่เฉินถูกกักตัวอยู่ในอ้อมกอดของซือเหยี่ยน เขากดขมับที่ปวดขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “นายถอยออกห่างฉันสักหน่อยก่อนจะได้ไหม ฉันเวียนหัว”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าเขาซีดเซียว คิ้วขมวดเกร็งแน่น ท่าทางทรมานเหลือเกิน จึงรีบคลายมือออกเพิ่มระยะห่างนิดหน่อย

 

 

           เจียงมู่เฉินผ่อนคลายลงสักพัก รู้สึกว่าสบายขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าเขาพอมีเลือดฝาดกลับมาบ้างเล็กน้อยแล้ว ก็โล่งใจไปที เจียงมู่เฉินเมื่อครู่นี้ดูน่าตกใจกลัวเลยทีเดียวจริงๆ

 

 

           “คุณเป็นอะไรไป ถึงได้ทำตัวเองกลายเป็นแบบนี้ได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “ไม่มีอะไร ไม่ทันระวังเลยรถชน”

ตอนที่ 276 สองคนเจอกัน

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยิน ‘ซือเหยี่ยน’ สองคำนี้ สีหน้าก็จมดิ่งในอารมณ์ เขาลุกยืนขึ้นมา “ออกไปเดินเล่นเท่านั้นเอง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ ไปกันเถอะประธานซัง”

 

 

           ซังจิ่งยิ้มเดินตามเจียงมู่เฉินไป เดินอยู่เคียงข้างเขา

 

 

           ทั้งสองคนลงลิฟต์จากชั้นห้าลงมา ซังจิ่งกำลังคิดอยากจะพาเจียงมู่เฉินไปชิลที่ไหนดีถึงจะเข้าท่า ก็เห็นเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างกายหยุดชะงักไปกะทันหันพอดี

 

 

           เขามองตามไปข้างหน้า นิ้วมือก็กำแน่นเล็กน้อย

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยนที่อยู่ตรงหน้า เขาผอมลง สีหน้าซีดเซียว ดูอาการแล้วคงจะเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บหนัก

 

 

           เจียงมู่เฉินตัวแข็งทื่อเล็กน้อย ขณะนั้นยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองกลับไป ทำได้เพียงยืนอยู่ตรงที่เดิม

 

 

           ซูเตอร์เห็นเจียงมู่เฉินอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “บังเอิญจริงๆ นี่คุณชายเจียงไม่ใช่เหรอ ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่นายก็มาอเมริกาด้วย”

 

 

           เวลานี้เจียงมู่เฉินถึงได้เบนสายตามาที่ข้างๆ ซือเหยี่ยน ซูเตอร์แสดงรอยยิ้มเกทับ เพียงพริบตาเดียวเจียงมู่เฉินก็เข้าใจได้ในทันที

 

 

           นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญที่ได้มาเจอซือเหยี่ยน

 

 

           ถ้าเขาเดาไม่ผิด ทั้งหมดนี้เป็นความจงใจของซูเตอร์ รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ดังนั้นถึงได้พาซือเหยี่ยนมาเกทับตัวเอง

 

 

           เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปากเบาๆ “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กัน ฉันถึงได้กลายเป็นเพื่อนที่ต้องคอยรายงานนายว่าอยู่ไหน”

 

 

           “นาย!” ซูเตอร์อ้ำอึ้งพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง

 

 

            เขาเพิ่งจะเตรียมโต้แย้งก็เห็นซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างกาย เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วซือเหยี่ยนล่ะ ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานเหรอ”

 

 

           สายตาเจียงมู่เฉินเคลื่อนมาหยุดลงตรงใบหน้าของซือเหยี่ยน นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ทอประกายความเย้ยหยัน

 

 

           “ฉันคิดว่าฉันยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะต้องมารายงาน ว่าฉันอยู่ที่ไหนกับคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลยด้วยช้ำนะ”

 

 

           “อ้อ คุณชายเจียงตัดเยื่อใยกันขนาดนี้เชียว เลิกกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันไม่ได้เลย?”

 

 

           ความเดือดดาลฉายสะท้อนในแววตาเจียงมู่เฉินขึ้นมาวาบหนึ่ง ยิ่งเขาโมโห รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งหนักแน่น เขาเชิดมุมปากมองดูซูเตอร์ “ฉันไม่เหมือนนาย เลิกกันแล้วยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่…

 

 

           …สำหรับฉันเจียงมู่เฉิน เลิกกันแล้วก็คือคนแปลกหน้า”

 

 

           เขากวาดสายตามองผ่านซือเหยี่ยนไป ไร้ความรู้สึกความผูกพัน เย็นชาราวกับเพิ่งได้เจอซือเหยี่ยนเป็นครั้งแรกไม่มีผิด

 

 

           สุดท้ายสายตาก็มาหยุดที่ซูเตอร์ “ขอเตือนนายสักคำ ดูคนไว้ให้ดีๆ ด้วย จะได้ไม่มีคนตัดใจไม่ลง แล้วกลับมาหาฉัน ถึงตอนนั้นจะอับอายได้”

 

 

           ซูเตอร์โดนถากถางกันขนาดนี้ ใบหน้าขึ้นสีไปหมดแล้ว กำลังจะเตรียมเอ่ยปาก ก็เห็นเจียงมู่เฉินลากซังจิ่งไป “ไปกันเถอะ อยากออกไปเดินกันไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ซังจิ่งพยักหน้าให้สองคน แล้วมาเดินข้างเจียงมู่เฉิน “ผมกำลังคิดว่าจะไปที่ไหนกันดี”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “แต่ฉันมีอยู่ที่ที่หนึ่ง”

 

 

           “ที่ไหน”

 

 

           “สนามยิงปืน”

 

 

           สามคำไม่ดังไม่ค่อย พอที่จะให้ซือเหยี่ยนได้ยินได้ ในมุมที่ซูเตอร์มองไม่เห็น มือที่ข้างตัวซือเหยี่ยนก็กำแน่นสนิทขึ้นในพริบตา

 

 

           เพราะออกแรงมากเกินไป ข้อต่อกระดูกจึงซีดเผือดขึ้นเล็กน้อย

 

 

           ซือเหยี่ยนที่ยืนหันหลังให้เจียงมู่เฉิน ดวงตาสีดำขลับคู่นี้ฉายสะท้อนความเจ็บปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาวาบหนึ่ง

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเขาจะพาซังจิ่งไปสนามยิงปืนที่พวกเขาเคยไปด้วยกัน…

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินออกมาข้างนอกแล้วก็ส่งมือมาทางซังจิ่ง ต้องการกุญแจรถ “เอากุญแจให้ฉัน ฉันจะขับเอง”

 

 

           ซังจิ่งเอียงหัวมองเขา “เอาจริงเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “วางใจได้ ฝีมือขับรถฉันใช้ได้อยู่”

 

 

           เวลานี้เองซังจิ่งถึงได้ส่งกุญแจให้เจียงมู่เฉิน หลังจากเจียงมู่เฉินขึ้นรถก็สตาร์ทรถเหยียบคันเร่งเต็มแรงออกตัวไปทันที

 

 

           เขาใช้ความเร็วถึงขีดสุดเร่งขับตีวงออกข้างนอกไป

 

 

           ซังจิ่งเห็นท่าทีเขาแบบนี้ก็อดจะเอ่ยปากไม่ได้ “อารมณ์ไม่ดี อยากขับรถแข่ง?”

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้นอย่างทะนงตัว “อะไรกัน อารมณ์ดีแล้วอยากขับรถแข่งไม่ได้เหรอ”

 

 

           

 

 

ตอนที่ 277 เจียงมู่เฉินเกิดเรื่อง

 

 

           ซังจิ่งเห็นท่าทีของเจียงมู่เฉินก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ได้ก็ได้ เพียงแต่ว่าผมไม่เห็นจะดูออกเลยว่าคุณอารมณ์ดีจริงๆ”

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาเปิดโปงขนาดนี้ รอยยิ้มที่มุมปากก็ค่อยๆ หุบลง

 

 

           “โอเค ฉันยอมรับ ฉันอารมณ์ไม่ดี” เขามองซังจิ่งด้วยสายตาเย็นชา “ตอนนี้ขับรถเร็วได้หรือยัง”

 

 

           “ผมพาคุณไปที่ที่หนึ่งดีกว่า ที่นั่นจะขับรถแข่งความเร็วใช้ได้ทีเดียว”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ได้ งั้นนายชี้บอกทางแล้วกัน” เขาพูดจบก็เหยียบคันเร่ง รถสปอร์ตคันสีเงินแล่นเร็วปานลมกรดไปตามถนน

 

 

           เจียงมู่เฉินลดกระจกข้างลง ลมแรงพัดโชยเข้ามา พัดพาเรือนผมของเจียงมู่เฉินพลิ้วไหวตามกระแสลมไป

 

 

           ซังจิ่งเอียงหัวมองเจียงมู่เฉิน ความซับซ้อนทอประกายในแววตา

 

 

           ดูเหมือนว่านับวันเขาจะยิ่งทุ่มเทใจให้คุณชายน้อยคนนี้

 

 

           สถานที่ที่ซังจิ่งพาเจียงมู่เฉินไปก็คือสนามแข่งรถแห่งหนึ่ง เจียงมู่เฉินจอดรถเลิกคิ้วมองซังจิ่ง “ที่ที่นายว่าก็คือที่นี่”

 

 

           “อยากเล่นแบบตื่นเต้นเร้าใจ ที่นี่เหมาะที่สุดแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นคนข้างๆ ที่กำลังเล่นอยู่ ก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ใช้ได้พอตัวเลย ที่นี่แล้วกัน”

 

 

           ทั้งสองคนลงจากรถ เดินมุ่งหน้าเข้าไปข้างใน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าไปนั่งในรถ

 

 

           ซังจิ่งเอียงหัวตะโกนเรียกเจียงมู่เฉิน “คุณไหวหรือเปล่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปาก “คุณชายน้อยไม่มีอะไรไม่ไหว”

 

 

           การแข่งขันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เจียงมู่เฉินสวมหมวกเรียบร้อยก็สตาร์ทรถ รถแข่งคันสีขาวทะยานตัวออกไป รถแข่งคันสีดำคันนั้นของซังจิ่งก็ขับตามไปติดๆ

 

 

           ความเร็วรถของเจียงมู่เฉินเร็วมาก ขณะที่กำลังขับไปอยู่นั้น ยิ่งรู้สึกราบรื่นกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก ยามเข้าโค้งแรก เจียงมู่เฉินเร่งความเร็วเลี้ยวหักศอกตามโค้งไป เร็วกว่าซังจิ่งขึ้นมานิดหนึ่งพอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่ในรถ เป็นครั้งแรกที่เขามาเล่นรถแข่งแบบนี้ แต่กลับมีความรู้สึกทำนองว่าเขาเคยมาเล่นอยู่หลายครั้งแล้ว

 

 

           เขาแทบจะไม่ต้องคิดเยอะ ยามเข้าโค้งแต่ละโค้ง ร่างกายเหมือนมีความทรงจำอย่างไรอย่างนั้น มีปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติ

 

 

           ข้างหน้าก็เป็นอีกทางโค้งหนึ่ง เจียงมู่เฉินเห็นซังจิ่งที่ตามมาติดๆ ก็ดันเปลี่ยนเกียร์เร่งความเร็วดริฟต์รถเข้าโค้งข้างหน้าไป

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูถนนตรงหน้า สมองก็ฉายสะท้อนภาพเป็นฉากๆ ขึ้นมาวาบหนึ่ง เหมือนกับเขาเองเคยนั่งอยู่ในรถแข่งแบบนี้ด้วย

 

 

           “มาสิ มาแข่งกับคุณชาย ดูว่าใครจะชนะได้”

 

 

           “แข่งก็แข่งสิ ใครกลัวใคร”

 

 

           “พูดมาก่อนเลย ว่าแพ้แล้วจะต้องทำยังไง”

 

 

           “แพ้แล้วก็ตามแต่คุณจะลงโทษเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดหัวอย่างรุนแรงขึ้นมากะทันหัน รถทั้งคันลดความเร็วลงในทันที เพราะความชะลอตัวลงของรถกลับทำให้พุ่งตัวออกไป

 

 

           เจียงมู่เฉินกดหัวตัวเองเอาไว้ ราวกับมีคนถือมีดมากรีดให้ฉีกขาดอยู่ข้างในนั้นไม่มีผิด เจ็บจนใกล้จะขาดออกจากกันแล้ว

 

 

           “ใครกำลังพูด ตกลงใครกำลังพูดอยู่…” เจียงมู่เฉินกุมหัวร้องตะโกนเสียงต่ำด้วยความเจ็บปวดทรมาน

 

 

           รถเสียการควบคุมเหวี่ยงออกนอกเส้นทางการแข่งขันกะทันหันไปชนเข้ากับรั้วกั้นด้านข้าง

 

 

           เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้เจียงมู่เฉินหน้ามืด หมดสติไปทั้งอย่างนั้น

 

 

           ……

 

 

           ซังจิ่งเห็นรถของเจียงมู่เฉินเสียการควบคุม ก็รีบจอดรถพุ่งตัวไปอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน รีบช่วยชีวิตอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หามเจียงมู่เฉินออกมาจากรถ อาการคร่าวๆ ไม่ได้รับบาดเจ็บภายนอกมากจนเกินไป เพียงแต่คนไม่ได้สติสลบไปเท่านั้น

 

 

           ซังจิ่งรีบส่งตัวคนไปโรงพยาบาล

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินถูกส่งตัวถึงที่โรงพยาบาลแล้ว ก็ถูกส่งตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองหมายกำลังฝันอยู่ ในฝันมีคนพูดอยู่ตลอด แต่เขาฟังไม่ชัดเลยสักประโยค

 

 

           เขาพยายามทำให้ตัวเองฟังได้ชัดๆ ว่าคนคนนั้นกำลังพูดอะไรอยู่ แต่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินพยายามต่อสู้ดิ้นรน รู้สึกมาเสมอว่าคนคนนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับตัวเองเป็นพิเศษ

 

 

ราวกับพวกเขารู้จักกันมานานมากๆ อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินกำมือแน่นพยายามไขว่คว้าเขาไว้ แต่ไม่ว่าจะตามไปอย่างไรก็ตามไม่ทัน

 

 

คนคนนั้นยังคงห่างไกลออกไปอยู่ดี

 

 

“อย่าไป…อย่าไป…”

ตอนที่ 274 เจียงมู่เฉินเมาเหล้า

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “ถ้าเมาได้ก็ดีมากเลย”

 

 

           เขาดื่มแก้วต่อแก้ว ไม่ให้เวลาตัวเองหยุดพักเลยสักนิด

 

 

           ซังจิ่งอยากจะห้ามปรามแต่กลับทำอะไรไม่ได้ คุณชายน้อยเจียงฟังความเห็นคนอื่นได้เมื่อไหร่ นั่นก็ไม่ใช่คุณชายน้อยเจียงแล้ว

 

 

           ซังจิ่งนั่งอยู่ข้างๆ ไม่แตะเหล้าสักหยด นั่งดูเจียงมู่เฉินดื่มอย่างเอาเป็นตาย

 

 

           จนสุดท้ายเจียงมู่เฉินเมาจนคว่ำหน้าฟุบลงกับโต๊ะ ซังจิ่งถึงได้ลุกขึ้นประคองเขาขึ้นมา

 

 

           “เจียงมู่เฉิน…เจียงมู่เฉิน…” ซังจิ่งเรียกชื่อเขาสองครั้งสองครา

 

 

           แพรขนตายาวสั่นไหว หลังจากเจียงมู่เฉินปรือตามองซังจิ่งแวบหนึ่ง ก็เข้าสู่นิทราอีกครั้ง

 

 

           ซังจิ่งเห็นสถานการณ์แล้ว ทำได้เพียงประคองเขาออกจากไนต์คลับไป

 

 

           เขายื่นมือเปิดประตูรถ ประคองเจียงมู่เฉินเข้ารถไปอย่างระมัดระวัง ทั้งเนื้อทั้งตัวเจียงมู่เฉินมีแต่กลิ่นเหล้า แก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ

 

 

           เป็นครั้งแรกที่ซังจิ่งได้เห็นเจียงมู่เฉินในสภาพแบบนี้ หัวใจเขาเต้นรัว มืออดจะลูบแก้มของเจียงมู่เฉินไม่ได้

 

 

           อุณหภูมิร้อนผ่าวทำให้นิ้วมือของเขาสั่นสะท้าน

 

 

           เจียงมู่เฉินยามเมาเหล้าช่างดูยั่วยวนใจอย่างบอกไม่ถูก ซังจิ่งพยายามให้ตัวเองละออกจากใบหน้าของเจียงมู่เฉิน

 

 

           เขาสงบจิตใจแน่วแน่ ถึงได้ขับรถพาอีกฝ่ายกลับคฤหาสน์ไป

 

 

           รถขับเคลื่อนอยู่บนถนน หาได้ยากที่เจียงมู่เฉินจะปรือตานั่งพิงพนักที่นั่งในรถอย่างว่าง่ายและน่าเอ็นดูเช่นนี้

 

 

           ซังจิ่งลดกระจกรถลงนิดหนึ่ง ระบายกลิ่นเหล้าออกไป

 

 

           ดีที่ไนต์คลับห่างจากคฤหาสน์ไม่ถือว่าไกลนัก เพียงครู่เดียวก็จอดอยู่หน้าทางเข้าคฤหาสน์

 

 

           ซังจิ่งจอดรถเข้าที่เรียบร้อยแล้ว เจียงมู่เฉินก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว เขาถอนหายใจ ทำได้เพียงเดินเข้าไปประคองอีกคนขึ้นมา

 

 

           พยุงเขาไปตลอดทางจนเข้าห้องไป ซังจิ่งบรรจงวางร่างเขาลงบนเตียง

 

 

           เขาเห็นหางตาเจียงมู่เฉินแดงเถือก ก็ทนไม่ไหวยื่นมือไปลูบคลึงเบาๆ ซังจิ่งมองเจียงมู่เฉินที่ตอนนี้ไม่มีแรงจะต่อต้านแม้สักนิด คิดทบทวนอย่างจริงจังว่าจะฉวยโอกาสนี้กลืนกินเจียงมู่เฉินให้หมดเกลี้ยงเลยดีไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินที่อยู่บนเตียงเหมือนว่าจะไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ ขมวดคิ้วขยับตัวขึ้นมา “น้ำ…”

 

 

           ‘น้ำ’ คำนี้ทำให้ซังจิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาในทันใด เขากดเก็บความคิดที่อยากจะจับเจียงมู่เฉินกดไว้ใต้ร่างเอาไว้ ออกไปรินน้ำให้แก้วหนึ่ง

 

 

           ทั้งยังเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดใบหน้าแดงก่ำของเจียงมู่เฉิน

 

 

           หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ซังจิ่งก็ฟุบลงบนเตียงนอนมองหน้าเขา ปลายนิ้วลูบไล้เกลี่ยอย่างเบามือ ตั้งแต่ขนคิ้วจรดมุมปากก็ไม่ปล่อยผ่านแม้สักบริเวณ

 

 

           เจียงมู่เฉินยามดื่มเหล้าจนมึนเมา ดูๆ ไปเหมือนจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากกว่าในยามปกติ ดูไม่มีพิษมีภัยให้เห็นมากแล้ว

 

 

           ดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจคนอย่างไม่คาดคิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

           ซังจิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหมือนโดนหลอกให้ลุ่มหลง เขาพินิจมองริมฝีปากแดงที่เพิ่งจะฉ่ำน้ำมาหมาดๆ ก็ทนไม่ไหว แนบชิดกายโน้มตัวเข้าไปใกล้อยากจะจูบคนตรงหน้า

 

 

           เขาค่อยโน้มลงไปทีละนิดๆ ลมหายใจรินรดอยู่บนใบหน้าของเจียงมู่เฉิน

 

 

           ระยะห่างระหว่างคนสองคนยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขอเพียงแต่ซังจิ่งก้มหัวลงเท่านั้นก็จะจูบเจียงมู่เฉินได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงหน้าเล็กน้อย ซังจิ่งเสียหลักกลางอากาศ ลงมาจูบโดนแก้มของเจียงมู่เฉินทันที

 

 

           อุบัติเหตุไม่คาดฝันนี้ ทำให้ซังจิ่งหลุดจากภวังค์ เขายันกายขึ้นมานั่งมองเจียงมู่เฉิน แล้วยิ้มอย่างจนใจ

 

 

           แม้กระทั่งยามหลับก็ยังไม่ให้เขาได้จูบ…

 

 

           ซือเหยี่ยนฝืนยิ้ม เขาโตมาขนาดนี้แล้ว เจียงมู่เฉินก็ยังเป็นคนแรกที่รังเกียจและไม่แยแสเขาได้ถึงขนาดนี้

 

 

           คิดดูว่าตัวเขาหลายปีมานี้ ไม่เอ่ยถึงว่าเป็นที่ต้อนรับมากแค่ไหน แต่อย่างน้อยดูๆ ไปก็ยังไม่มีใครสักคนหลบหลีกตีตัวออกห่างเขาแบบนี้

 

 

           ก็จะมีเพียงคุณชายน้อยคนนี้เท่านั้น มองเขาเป็น ‘ตัวอะไร’ ป้องกันไว้ทุกทาง

 

 

           ‘ช่างเถอะ’ เวลานี้ฉวยโอกาสช่วงที่เสียเปรียบตักตวงกินเจียงมู่เฉินไป ถึงเวลาเขาตื่นมาคงจะไม่มีทางปล่อยตัวเองไปง่ายๆ

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ ยื่นมือไปลูบสัมผัสริมฝีปากของเจียงมู่เฉิน

 

 

           ‘แล้วกันไป ช่างเถอะ ครั้งนี้ปล่อยคุณไปก่อน’

 

 

           ‘ยังไงซะไม่ช้าก็เร็ว คุณก็จะเป็นของผมทั้งหมด’

 

 

 

 

ตอนที่ 275 แผนการร้ายของซูเตอร์

 

 

           ซือเหยี่ยนพักอยู่ที่ห้องมาสองวันแล้ว เรย์มอนมาเข้าดูอยู่หลายครั้ง ให้เขาได้พักฟื้นดีๆ

 

 

           ซูเตอร์ก็อยู่ข้างกายเป็นเพื่อนซือเหยี่ยน คอยดูแลปรนนิบัติไม่ห่างตลอด

 

 

           การกระทำเช่นนั้นดูเอาใจใส่ยิ่งกว่าที่เขาดูแลพ่อของตัวเองอีก เพียงไม่นานคนในแก๊งก็ยิ่งโพนทะนาเรื่องของทั้งสองคนนี้กระจายกันไปทั่ว

 

 

           แต่ซูเวลล์และเรย์มอนก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเรื่องนี้

 

 

           เหตุการณ์ที่เป็นไปในขณะนี้ ดูไม่ค่อยจะเข้าใจได้เสียจริงๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนพักฟื้นอีกไม่กี่วัน ก็เสนอตัวออกไปทำงานต่อได้แล้ว แต่ซูเตอร์ยังไม่วางใจ ต้องการให้ซือเหยี่ยนพักผ่อนให้มากกว่านี้ต่ออีกสักวันสองวัน

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขา “ตอนนี้กำลังเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายกันได้ง่ายๆ”

 

 

           “งั้นนายก็รอให้แผลหายดีแล้วค่อยทำต่อสิ”

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม “ซูเตอร์ ผมจะพูดอีกครั้ง ผมไม่เป็นไรแล้ว”

 

 

           “ฉันบอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ นายพักรักษาแผลนายต่อไปเลย”

 

 

           เรย์มอนมาหาซูเตอร์พอดี ได้ยินทั้งสองคนโต้เถียงกัน เขาจึงเข้าไปสอบถาม “เกิดเรื่องอะไรกันขึ้น อยู่ไกลยังได้ยินเสียงพวกนายทะเลาะกันแล้ว”

 

 

           “อาเรย์ อามาได้จังหวะเวลาพอดี ผมให้เหยี่ยนพักฟื้นต่ออีกสักวันสองวัน แต่เขายืนกรานว่าตัวเองหายดีแล้วครับ”

 

 

           เรย์มอนมองมาทางซือเหยี่ยน “แผลยังไม่หายดี อย่าฝืนตัวเองเด็ดขาด”

 

 

           “คุณวางใจเถอะครับ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”

 

 

           เรย์มอนพยักหน้า “ในเมื่อซือเหยี่ยนพูดมาขนาดนี้แล้ว ก็เอาตามซือเหยี่ยนว่าเถอะ”

 

 

           “อาเรย์…” ซูเตอร์ยังอยากจะพูดอะไรต่อ

 

 

           “พอเถอะ คนในอาณัติของนายมาหา บอกมีเรื่องด่วน” เรย์มอนอุดปากเข้าไว้เสียก่อน

 

 

           ซูเตอร์ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงกำชับซือเหยี่ยน ก่อนออกจากห้องไป

 

 

           “คุณชายน้อยครับ พวกเราที่ไปถานโจวมาบอกว่า เจียงมู่เฉินไม่อยู่ถานโจว มาอเมริกาแล้วครับ”

 

 

           ซูเตอร์ตาลุกวาว “จริงเหรอ”

 

 

           “ผมให้คนไปสืบหาร่องรอยของเขาแล้ว เขามาประชุมอยู่ที่แคปริคอร์นเจมฮอลล์ครับ”

 

 

           แววตาซูเตอร์ทอประกายความดีใจ เขาคาดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินจะเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะยิ่งไปหาเจียงมู่เฉินได้ดีๆ แล้ว

 

 

           “คุณชายน้อยครับ ต้องการให้นำคนไปจัดการไหมครับ”

 

 

           “ไม่ต้อง ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” ซูเตอร์หรี่ตาลง ใช้ปืนฆ่าเขามันง่ายเกินไป เขาต้องการจะทรมานเจียงมู่เฉินอย่างช้าๆ เอาความอัปยศที่ได้รับเมื่อก่อนคืนกลับไปให้หมด

 

 

           “เตรียมรถให้ฉัน ตอนบ่ายฉันจะไปแคปริคอร์นเจมฮอลล์”

 

 

           หลังจากที่เขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็กลับไปยังห้องนอนของซือเหยี่ยน ส่วนเรย์มอนออกไปก่อนหน้านี้แล้ว ซูเตอร์มองเขา เสียงต่ำเอ่ยถาม “ตอนบ่ายฉันจะไปแคปริคอร์นเจมฮอลล์  นายไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “เมื่อกี้ยังบอกไม่ให้ผมไปอยู่ไม่ใช่เหรอ”

 

 

           “ฉันกลัวว่านายจะอยู่นิ่งเฉยไม่ไหวไงล่ะ ถึงยังไงไปแคปริคอร์นเจมฮอลล์  ก็ไม่ได้มีอันตรายอะไร ก็ถือว่าพานายออกไปรับลมชมวิวแล้วกัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “รู้แล้ว”

 

 

           ตอนบ่ายสองโมง ซูเตอร์กับซือเหยี่ยนขับรถมุ่งหน้าไปแคปริคอร์นเจมฮอลล์  ซูเตอร์มองซือเหยี่ยนอยู่ข้างกาย นัยน์ตาฉายสะท้อนแผนการขึ้นมาวาบหนึ่ง

 

 

           รออีกไม่นานให้ซือเหยี่ยนได้เจอกับเจียงมู่เฉิน…

 

 

           ‘ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดฉากเด็ดๆ อะไรออกมาได้ เขารอคอยมากเลยนะ’

 

 

           เจียงมู่เฉินประชุมอยู่ตลอดทั้งช่วงเช้า ประชุมจนปวดหัวแล้วจริงๆ สื่อสารคุยกับคนไม่รู้จักกลุ่ม เรื่องทำนองนี้เขาไม่เคยจะทำได้อยู่แล้ว

 

 

           ซังจิ่งเห็นเขาเอาแต่ขมวดคิ้ว ก็อดจะเอ่ยถามไม่ได้ “ไม่อยากอยู่ที่นี่เหรอ”

 

 

           “นายอยากอยู่เหรอ

 

 

” เจียงมู่เฉินถามกลับ

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “ไม่งั้นออกไปเดินเล่นไหม ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณเอง”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายใจดีได้ขนาดนี้เชียว อยากมาเดินเล่นกับฉันด้วยเหรอ”

 

 

           “คุณชายเจียง คุณว่าพวกเรารู้จักกันมาก็นานแล้ว อีกอย่างผมคิดกับคุณยังไง นายก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้” ซังจิ่งถอนหายใจอย่างเศร้าโศก “ต่อให้คุณไม่ชอบผม ก็คงไม่ถึงกับว่าจะไม่ให้โอกาสไปเดินเล่นด้วยกันเลยหรอกใช่ไหม”

 

 

           ซังจิ่งกะพริบตาปริบๆ “หรือว่า คุณกลัวคนเข้าใจผิด…ให้ผมเดา เป็นคนไหนของคุณ ระหว่างจี้ฉิงแฟนสาวน้อยคนใหม่ของคุณ หรือว่า…ซือเหยี่ยน…”

 

ตอนที่ 272 แฟนหนุ่ม

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง ค่อยๆ ชักมือกลับมา ซูเตอร์ชะงักค้าง ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตาตัวเองเท่าไหร่

 

 

           “ซูเตอร์…ผมเพิ่งตื่นมา ยังไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ คุณให้ผมพักผ่อนสักหน่อยได้ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนพูดมาแบบนี้ ซูเตอร์ก็ปฏิเสธไม่ถนัดไปโดยปริยาย เขาทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ “งั้นนายพักผ่อนเถอะ ฉันจะออกไปก่อน”

 

 

           ซูเตอร์ออกจากห้องมา เดินไปถึงข้างนอก ก็อัดหมัดชกใส่ประตูเต็มแรง

 

 

           ตั้งกี่วันมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะยังไม่ยอมรับในตัวเขาอีก

 

 

           เขาหรี่ตาลง ความอำมหิตฉายสะท้อนในแววตา เขากวักมือเรียกคนสนิทเข้ามา “ไปถานโจว ช่วยฉันฆ่าเจียงมู่เฉิน อย่าให้เหลือร่องรอย”

 

 

           มีเพียงเจียงมู่เฉินตายแล้วเท่านั้น เขาถึงจะครอบครองซือเหยี่ยนได้อย่างสมบูรณ์ได้

 

 

           “ตอนนี้เหรอครับ”

 

 

           ซูเตอร์กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “เดี๋ยวนี้!”

 

 

           “ได้ครับ คุณชายน้อย ผมจะนำคนไปจัดการทันที”

 

 

           ซูเตอร์หรี่ตาลงมองออกไปยังนอกหน้าต่าง  เจียงมู่เฉินนะเจียงมู่เฉิน เดิมทีไม่ได้คิดว่าจะต้องฆ่านาย แต่น่าเสียดาย เป็นนายเองที่มาชนปากกระบอกปืนของฉัน

 

 

           ‘ถึงยังไงถ้าไม่กำจัดนายแค่เพียงวันเดียว ฉันก็ไม่มีทางได้ครอบครองซือเหยี่ยน’

 

 

           ……

 

 

           ยามฟ้าใกล้จะมืด ซังจิ่งเพิ่งได้มาเคาะประตูห้องของเจียงมู่เฉิน เขาเห็นเจียงมู่เฉินทรงผมยุ่งเหยิง “มากินข้าวได้แล้ว”

 

 

           “ได้ นายรอฉันแป๊บนึงนะ ฉันเปลี่ยนชุดก่อน”

 

 

            ปัง!  เจียงมู่เฉินปิดประตูลง ซังจิ่งเห็นเขาสะบัดประตูแบบนี้ก็ลูบจมูกป้อยๆ ยืนขำรออยู่ข้างนอก

 

 

           เจียงมู่เฉินท่าทางคล่องแคล่วรวดเร็ว เปลี่ยนเสื้อเชิ้ตตัวเดียวก็เดินออกมา ซังจิ่งเลิกคิ้วมองกระดุมสองเม็ดที่เขาจงใจเปิดอ้าเอาไว้

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสายตาของเขาจดจ่อมาบนเรือนร่างของตัวเอง “ทำไม ประธานซังมีความเห็นอะไร”

 

 

           ซังจิ่งมองดูผิวขาวราวหิมะนั้นแล้วยิ้มหัวเราะ “นอกจากได้ชมอาหารตานิดหน่อย ก็ไม่มีความเห็นอย่างอื่นแล้ว”

 

 

ทั้งสองคนขับรถออกไป สถานที่ซังจิ่งจองเอาไว้อยู่ในเขตเมือง ค่อนข้างเป็นสถานที่คึกคักทีเดียว

 

 

           รถมาจอดตรงทางเข้า ทั้งสองคนถึงเพิ่งได้เดินเข้าไป

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินนั่งลงแล้ว ซังจิ่งก็ส่งใบเมนูอาหารต่อให้เขา “อยากกินอะไรก็สั่งได้ตามใจเลย”

 

 

           “นายสั่งเถอะ อะไรฉันก็กิน”

 

 

           พอซังจิ่งได้ยินก็ไม่พูดอะไรมากอีก เขายื่นมือไปหยิบใบเมนูอาหารกลับมา สั่งอาหารทันที

 

 

           มีคนไม่กี่คนเดินเข้าประตูมา นั่งลงที่ด้านหลังเจียงมู่เฉินพอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งพิงดื่มน้ำอยู่ตรงนั้น ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึง ‘แก๊งมังกรคราม’ ชื่อนี้แว่วๆ มา

 

 

           นัยน์ตาเย็นยะเยือก ระมัดระวังจับตามากขึ้น

 

 

           “เดิมทียังคิดว่าทริปนี้น่าเบื่อเกินไป คิดไม่ถึงว่าคุณชายเจียงก็อยู่ด้วย จู่ๆ กลับรู้สึกว่าสนุกขึ้นมาเยอะเลย”

 

 

           คุณชายเจียงกวาดสายตามองเขา เอ่ยอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “ฉันกลับรู้สึกว่าไม่มีประธานซัง จะเงียบสงบมากๆ ได้”

 

 

           ซังจิ่งชินกับนิสัยแบบนี้ของเขามาตั้งนานแล้ว ถ้าวันไหนเจียงมู่เฉินเกรงใจเขาขึ้นมา นั่นถึงจะแปลกแล้วจริงๆ

 

 

           “อยากให้ผมแยกจากคุณชายเจียงเหรอ” ซังจิ่งยักไหล่ “เกรงว่าจะไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

 

           คนไม่กี่คนข้างหลังเหมือนว่าหลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้วก็นั่งคุยกันอย่างไรอย่างนั้น เจียงมู่เฉินเฝ้าจับสังเกตคนไม่กี่คนด้านหลังนั้นอย่างไม่กระโตกกระตาก

 

 

           “จนถึงตอนนี้แล้ว พวกนายยังดูไม่เข้าใจอีกเหรอ”

 

 

           “ดูอะไรเข้าใจเหรอ”

 

 

           “ฉันได้ยินจากในโถงใหญ่ครั้งหนึ่ง คุณชายรองถามคุณชายน้อยว่าทำไมถึงพาซือเหยี่ยนกลับมาด้วย สุดท้ายนายรู้ไหมว่าคุณชายน้อยพูดยังไงบ้าง”

 

 

            พวกที่เหลือมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “คุณชายน้อยพูดว่า ซือเหยี่ยนเป็นแฟนของเขา คุณชายน้อยยังกอดซือเหยี่ยนดูท่าทีสนิทสนมกันอีก”

 

 

           “ไม่ใช่มั้ง นายพูดจริงๆ เหรอ”

 

 

           “ฉันเห็นกับตาตัวเองมาทั้งหมด จะปลอมได้ยังไง ต่อมาคุณชายรองทำอะไรไม่ได้ ก็ถอนหายใจแล้วเดินออกไปเลย”

 

 

           “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง มิน่าล่ะซือเหยี่ยนคนนี้ถึงอยู่ในแก๊งเข้าออกได้ตามสบาย ไม่มีใครกล้ายุ่ง แม้แต่คุณชายน้อยตรวจดูงาน ก็มีซือเหยี่ยนไปด้วยตลอด”

 

 

            

 

 

ตอนที่ 273 นายจงใจ

 

 

“นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไรแล้ว ได้ยินคนเก่าคนแก่ในแก๊งเล่าว่า หลายปีก่อนซือเหยี่ยนคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของคุณชายน้อย ต่อมาไม่รู้ว่าทำไมถึงออกจากแก๊งไป ครั้งนี้ก็กลับมาอย่างน่าประหลาดใจอีก”

 

 

“มีคนอยู่ไม่น้อยบอกว่า ตอนนั้นที่ซือเหยี่ยนหนีไปก็เพราะว่าทะเลาะกับคุณชายน้อยจนเลิกกัน ถึงได้ออกจากแก๊งไป ตอนนี้ทั้งสองคนคืนดีกันแล้ว ก็เลยได้กลับมาโดยปริยาย”

 

 

“เอ่อใช่ ครั้งนี้ซือเหยี่ยนยังโดนยิงเพื่อช่วยชีวิตคุณชายน้อยด้วย คุณชายน้อยไม่หลับไม่นอนอยู่ข้างๆ คอยดูแลทั้งวันทั้งคืนเลย”

 

 

มือเจียงมู่เฉินที่ถือแก้วน้ำไว้กำแน่นสนิท ราวกับนาทีต่อมาจะกำแก้วนี้ให้แตกคามือไม่มีผิด

 

 

หลายปีก่อน คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนกับซูเตอร์จะเป็นแฟนกัน

 

 

ตอนนี้ยังกลายเป็นแฟนของซูเตอร์

 

 

ยังรับกระสุนเพื่อซูเตอร์อีก…

 

 

เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ  ซือเหยี่ยนนะซือเหยี่ยน ตกลงนายปิดบังฉันไปสักกี่เรื่องแล้วกันแน่

 

 

เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่ไม่มีผิด โดนซือเหยี่ยนปิดหูปิดตา แม้กระทั่งจนถึงตอนนี้เป็นแบบนี้แล้ว ตัวเองได้ยินว่าซือเหยี่ยนบาดเจ็บ ก็ยังอดจะเป็นห่วงเขาไม่ได้

 

 

เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ ฟังต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาวางแก้วลงด้านข้างแล้วลุกยืนขึ้น

 

 

ซังจิ่งเห็นเขาไม่บอกไม่กล่าวอะไรก็เดินออกไปเลย จึงรีบลุกขึ้นเดินตามออกไป

 

 

เจียงมู่เฉินยืนอยู่หน้าประตู เงาร่างทอดยาวในยามราตรีช่างดูเดียวดายอ้างว้าง เขาเห็นซังจิ่งออกมา เสียงต่ำเอ่ยถาม “มีบุหรี่ไหม”

 

 

ซังจิ่งชะงักงัน ล้วงหยิบบุหรี่จากในกระเป๋ากางเกงออกมาส่งให้

 

 

เจียงมู่เฉินหยิบบุหรี่ออกมาจุดไฟหนึ่งมวน

 

 

ท่ามกลางควันบุหรี่คละคลุ้ง เขาหรี่ตามองดูซังจิ่ง นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้มองความรู้สึกไม่ออก เวลาผ่านไปนาน เขาถอนหายใจเบาๆ “นายจงใจพาฉันมาที่นี่สินะ”

 

 

ซังจิ่งกำมือแน่น “ผมยอมรับ ผมจงใจอยากให้คุณได้ยิน”

 

 

เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “เสียแรงตั้งมากมายขนาดนี้ก็แค่อยากให้ฉันรู้ข่าวคราวล่าสุดของซือเหยี่ยนแค่นั้นเหรอ”

 

 

“ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณถูกเขาปิดหูปิดตา”

 

 

“ปิดหูปิดตา…” เจียงมู่เฉินฝืนยิ้ม “ที่ฉันโดนเขาปิดหูปิดตาก็เป็นจุดนี้อีก”

 

 

           ซังจิ่งมองดูเจียงมู่เฉิน เขารู้จักเจียงมู่เฉินมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใบหน้าของเจียงมู่เฉิน แสดงสีหน้าความรู้สึกว้าเหว่แบบนั้นออกมาอย่างจนใจ

 

 

เจียงมู่เฉินที่เขาพบเจอเมื่อก่อน ทั้งเหมือนปีศาจแสนยั่วยวนใจ ทั้งเจ้าเล่ห์เพทุบายวางแผนไม่หยุด ทั้งจิตใจฮึกเหิมห้าวหาญแววตาเด็ดเดี่ยวทรหด

 

 

แต่ครั้งนี้ เจียงมู่เฉินดูว้าเหว่อยู่เต็มๆ ตาจริงๆ

 

 

ซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินเป็นแบบนี้ หัวใจก็บีบคั้นแน่น

 

 

“ในเมื่อนายรู้ว่าวันนี้จะมีคนในแก๊งมังกรครามมาที่นี่ งั้นนายก็รู้ร่องรอยของซือเหยี่ยนได้อยู่แล้วสินะ”

 

 

ซังจิ่งมองมาทางเขา “คุณอยากเจอซือเหยี่ยน?”

 

 

“ฉันก็แค่อยากจะทำให้แน่ใจ แบบนี้จะได้ตัดใจได้”

 

 

“ช่วงนี้เขาไม่สามารถมาปรากฏตัวได้ ก็เหมือนกับที่คุณเพิ่งจะได้ยินไป เขาโดนยิงบาดเจ็บเพราะช่วยซูเตอร์”

 

 

เจียงมู่เฉินกำมือแน่น กดเก็บความขื่นขมในใจลงไปอย่างช้าๆ “ให้เร็วที่สุดเถอะ ฉันอยากเจอเขา”

 

 

ซังจิ่งพยักหน้า “ได้ ผมจะช่วยคุณ”

 

 

เจียงมู่เฉินสูบบุหรี่มวนสุดท้ายจนหมด “ไปดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อย”

 

 

ซังจิ่งดูสถานการณ์แล้ว ก็ทำได้เพียงขับรถพาเจียงมู่เฉินไปไนต์คลับ เขาจอดรถที่หน้าทางเข้าไนต์คลับ หลังจากเจียงมู่เฉินมองเห็นได้ชัดๆ ก็ตกตะลึงงัน

 

 

ซังจิ่งมองเขา “เป็นไรไป มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

 

 

เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ไม่มีอะไร”

 

 

เขาก็แค่คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ เข้ามาไนต์คลับกันเรื่อยเปื่อย ไม่คาดคิดว่าจะเป็นร้านนั้นที่เคยมากับซือเหยี่ยนครั้งก่อน

 

 

ซังจิ่งกับเจียงมู่เฉินนั่งลงแถวเคาน์เตอร์บาร์ สั่งเหล้ามาสองแก้ว

 

 

เจียงมู่เฉินเงยหน้ามาก็ดื่มทันที ดื่มอย่างรวดเร็วมาก เขาส่งแก้วเปล่ากลับไป “เอาอีกแก้ว”

 

 

ดื่มต่อกันแบบนี้อยู่หลายแก้ว ซังจิ่งเห็นเขาเอาแต่ซื้อเหล้ามาดื่มแบบนี้ก็ทนไม่ไหวยื่นมือไปห้ามปราม “คุณชายเจียง เหล้าตัวนี้แรงมาก ระวังจะเมาได้”

ตอนที่ 270 เจอซังจิ่ง

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเธอเอะอะโวยวายใส่จนเวียนหัว รีบสงบศึกก่อน “ได้ๆๆ เธอขับช้าๆ เลย ไม่รีบ”

 

 

           รถความเร็วอย่างกับเต่าขับมุ่งหน้าไป ใช้เวลาช้ากว่าปกติไปครึ่งชั่วโมง กว่าจะมาถึงที่สนามบินได้

 

 

           ตอนลงรถไป เจียงมู่เฉินถอนหายใจเงียบๆ “ฝีมืออย่างเธอ ยังจะซื้อรถสปอร์ตมาอีก ทำเสียของตามใจตัวเองชะมัด”

 

 

           “พี่มีเงิน เต็มใจจะซื้อกลับมาดู ไม่ได้เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น “ได้อยู่แล้ว”

 

 

           ทั้งสองคนเดินเข้าไปด้วยกัน จี้ฉิงอยู่เป็นเพื่อนเจียงมู่เฉินจัดการเรื่องเช็คอินจนเสร็จ ทำท่าทางวางตัวเหมือนเป็นแฟนสาวของเขา

 

 

           กระทั่งเมื่อเจียงมู่เฉินต้องเข้าผ่านจุดตรวจเช็คความปลอดภัยก่อนขึ้นเครื่อง จี้ฉิงก็กอดเจียงมู่เฉินไว้แนบกาย แสดงความรู้สึกไม่อยากจากกันอยู่อย่างนั้น

 

 

           นักข่าวที่อยู่ด้านข้างรีบถ่ายภาพตรงหน้าทุกอย่างนี้ทันที

 

 

           มีนักข่าวใจกล้าอยู่ไม่กี่คนทนไม่ได้พุ่งตัวเข้าไปถาม “คุณชายเจียง คุณจี้ พวกคุณสองคนกำลังคบกันจริงๆ หรือเปล่าครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูพวกเขายกยิ้มมุมปากเบาๆ “ผมกับคุณจี้ต่างก็โสดกันทั้งคู่ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันบ้าง ก็ไม่ได้ทำร้ายใครอยู่แล้วครับ”

 

 

           “ได้ยินมาว่าคุณกับคุณจี้กำลังจะมีข่าวดีกันเร็วๆ นี้ใช่ไหมครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงหน้ามองจี้ฉิงแวบหนึ่ง สายตาทอประกายความอ่อนโยน “ถ้าโอกาสนั้นมาถึง ก็ควรจะเป็นแบบนี้ได้อยู่แล้วครับ”

 

 

            นักข่าวกลุ่มนี้ยังอยากถามต่อ แต่จี้ฉิงกลับจูงมือเจียงมู่เฉินไว้ “ทุกคนคะ มู่เฉินยังมีธุระต่อ รบกวนทุกคนออกไปกันก่อน ให้เวลาพวกเราอยู่กันตามลำพังหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ”

 

 

           พูดจบก็นำตัวคนมาส่งที่ห้องพักผู้โดยสาร จี้ฉิงกะพริบตามองเขาด้วยความสลดใจ “คุณมีเวลาได้อยู่อย่างปลอดภัยขึ้นมานิดนึงแล้วล่ะ เหลือแค่ฉันคนเดียวเผชิญหน้าเหตุการณ์อย่างนี้”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะ “ฉันกลับรู้สึกว่าเธอดูจะชอบเผชิญหน้าเหตุการณ์ทำนองนี้นะ”

 

 

           “วางใจได้ ฉันรู้ว่าจะทำยังไง ไม่ทำเกินไปหรอก”

 

 

           “ฉันรู้ ถ้าไม่ใช่แบบนี้ ฉันก็ไม่มีทางจะยอมตกลงเล่นละครฉากนี้กับเธอหรอก”

 

 

           อย่างอื่นไม่พูดถึง แต่เขากลับชอบบุคลิกนิสัยของจี้ฉิงจริงๆ เป็นคนหยุมหยิมไปหน่อย แต่กลับไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร

 

 

           ยังเป็นคนที่ใช้ได้จริงๆ

 

 

           จี้ฉิงกอดเขาไว้แนบกายสักพัก “คุณไปแล้ว ช่วงเวลานี้อย่าคิดถึงฉันมากเกินไปเชียวล่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเล็กน้อย “คุณจี้ คุณคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ” เขาพูดจบก็ผละตัวออกจากอ้อมกอดของจี้ฉิง

 

 

           หลังจากจี้ฉิงออกไปแล้ว เจียงมู่เฉินก็นั่งพักบนเก้าอี้สักพัก อีกครู่เดียวก็จะต้องขึ้นเครื่องแล้ว

 

 

           หลังจากขึ้นเครื่องมาแล้ว เจียงมู่เฉินเห็นคนที่กำลังนั่งลงข้างที่นั่งของตัวเองก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้

 

 

           “ประธานซังช่วยชี้แจงสักหน่อยได้หรือเปล่า ว่าทำไมนายถึงมานั่งข้างฉันได้พอดิบพอดีเลย”

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะนิดหน่อย “อาจจะเพราะผมกับคุณชายเจียงมีวาสนาต่อกันมากเกินไป”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตาเย็นชามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะนั่งหลับตาเอนพิงด้านข้าง ซังจิ่งมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ต่อให้ซังจิ่งไม่พูดอะไร เจียงมู่เฉินก็พอเดาได้

 

 

           เขาอาจจะไม่ใช่แค่บินไปทางเดียวกันกับตัวเองเท่านั้น

 

 

           ไม่แน่ว่าช่วงเวลานี้ เขาก็ไปทางเดียวกันกับตัวเองตลอดทั้งทริปนี้

 

 

           เจียงมู่เฉินใช้มือกดลงหว่างคิ้ว กว่าจะออกมาผ่อนคลายอารมณ์ได้ไม่ใช่ง่ายๆ ปรากฏว่าสุดท้ายข้างกายก็มีซังจิ่งออกมาจนได้

 

 

           บินมาสิบกว่าชั่วโมง ซังจิ่งลงเครื่องไปกับเจียงมู่เฉิน จนออกจากสนามบินมาแล้ว ถึงพูดอย่างยิ้มๆ “คุณชายเจียงไปด้วยกันเถอะ ถึงยังไงจุดหมายปลายทางก็เหมือนกันอยู่ดี”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่จะไม่มีอะไรน่าแปลกใจ

 

 

           ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอหน้าซังจิ่ง เขาไม่มีอะไรน่ากลัวอยู่แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินส่งกระเป๋าเดินทางต่อให้คนขับรถที่อยู่ด้านข้าง แล้วเข้าไปนั่งในรถทันที

 

 

           หลังจากซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินเข้าไปนั่งในรถแล้ว ก็หัวเราะเบาๆ แล้วก็ตามเขาเข้าไปนั่งข้างเจียงมู่เฉิน

 

 

           ระหว่างทางเจียงมู่เฉินมองไปยังนอกหน้าต่างรถไม่ได้พูดอะไร ซังจิ่งมองดูใบหน้ามุมข้างที่สมบูรณ์แบบของเขา ก็อดจะเอ่ยปากไม่ได้ “ช่วงนี้ที่ถานโจว ข่าวที่เกี่ยวกับคุณเป็นที่พูดถึงกันมากเลย”

 

 

 

 

ตอนที่ 271 ถือโอกาสเข้ามาในช่วงอ่อนแอ

 

 

           “อืม นายอยากถามอะไร”

 

 

           “เรื่องพวกนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า” ซังจิ่งรู้สึกแปลกๆ ไม่เบา เจียงมู่เฉินเลิกกับซือเหยี่ยนโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แล้วหันมาหาดาราสาวแทน ท่าทางยังดูรักกันมากอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยปากอย่างขำๆ “อะไรกัน ประธานซังเองก็เป็นพวกชอบเผือกขนาดนี้ด้วยเหรอ”

 

 

           “ผมก็แค่ข้องใจ ทำไมจู่ๆ คุณถึงเลิกกับซือเหยี่ยนแล้ว”

 

 

           เป็นอีกครั้งที่เอ่ยถึงซือเหยี่ยน ใบหน้าของเจียงมู่เฉินไม่สะทกไม่สะท้านอะไร เขายกมุมปากขึ้นเบาๆ “ที่บ้านไม่ยอมรับก็เลยเลิกกันไง”

 

 

           ซังจิ่งหรี่ตาลง “คุณชายเจียง คุณเป็นคนที่ปล่อยมือง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินนัยน์ตาทอประกายความเย้ยหยัน “มีคนอยากปล่อยมือ ก็ปล่อยเลยไง ทำไมจะต้องบังคับให้ลำบากใจกันด้วยล่ะ”

 

 

           “ช่วงเวลานี้ประธานซือไม่ได้อยู่ที่ถานโจวเลย ไม่รู้ว่าคุณชายเจียงรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

 

 

           มือที่เจียงมู่เฉินปล่อยลงสบายๆ อดจะกำมือเข้ามาไม่ได้ “อ้อ ใช่เหรอ ฉันเลิกกับเขาแล้ว จะไปสนอะไรเขามากมายไปทำไม”

 

 

           ซังจิ่งหัวเราะเบาๆ “อ้อ งั้นก็เป็นผมที่คิดมากเอง ผมยังคิดว่าคุณชายเจียงจะรู้ว่าประธานซือเองก็อยู่ที่อเมริกาด้วย”

 

 

           ความประหลาดใจฉายในแววตาเจียงมู่เฉิน  คิดไม่ถึงซือเหยี่ยนเองก็อยู่ที่อเมริกาด้วยเหรอ

 

 

           ‘อเมริกา…ซูเตอร์…’

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวใจบีบรัด  ซือเหยี่ยนคงจะไม่เลิกกับเขาแล้วไปอเมริกาด้วยกันกับซูเตอร์หรอกใช่ไหม ถึงได้ไม่มีข่าวคราวอะไรเลยหลังจากเลิกกันกับเขา

 

 

           ซังจิ่งเอาแต่สังเกตมองดูเจียงมู่เฉิน เห็นสีหน้าอารมณ์เขาดูพะว้าพะวังถึงได้เข้าใจ ว่าเจียงมู่เฉินไม่รู้จริงๆ ว่าซือเหยี่ยนเองก็อยู่ที่อเมริกาด้วยเช่นกัน

 

 

           ดูท่าว่าครั้งนี้ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินจะบาดหมางใจกันถึงที่สุดแล้วจริงๆ

 

 

           นัยน์ตาซังจิ่งทอประกายรอยยิ้ม  แบบนี้ได้จังหวะทีเดียว เขาจะได้อาศัยช่วงเวลานี้ทำให้เจียงมู่เฉินตัดใจจากซือเหยี่ยนได้เสียที

 

 

           ‘เขาจะได้ถือโอกาสนี้เข้ามาในช่วงที่อ่อนแอพอดี’

 

 

           รถได้ขับมาถึงคฤหาสน์แล้ว เจียงมู่เฉินเห็นว่าเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวอย่างชัดเจน ก็เลิกคิ้ว “ประธานซังไม่คิดจะอธิบายให้ฉันฟังสักหน่อยเหรอ”

 

 

           “ผมมีคฤหาสน์พักตากอากาศอยู่ที่นี่พอดี อยู่สบายกว่าพักในโรงแรม จะให้คุณชายเจียงลำบากไปพักโรงแรม ผมทำใจไม่ได้”

 

 

           “ในเมื่อประธานซังพูดมาแบบนี้ ฉันเองก็ไม่มีความเห็นอะไร งั้นก็รบกวนประธานซังด้วยแล้วกัน”

 

 

           ซังจิ่งให้คนส่งกระเป๋าเดินทางของเจียงมู่เฉินเข้าไปข้างใน แล้วยังพาเจียงมู่เฉินเข้าห้องไปด้วย

 

 

           “คืนนี้ผมจองร้านอาหารไว้ คุณพักสักหน่อย ถึงเวลาแล้วผมจะเรียกคุณ”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ แล้วหมุนตัวเดินเข้าห้อง เขายื่นมือไปปิดประตูลงกลอน แล้วเอนพิงประตู หลับตาลงเล็กน้อย

 

 

           คิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะตามซูเตอร์มาอเมริกาแล้ว

 

 

           ‘หลังจากจากเลิกกับตัวเอง เขาก็ไปเลยสินะ’

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากจะหัวเราะไม่เบา เสียแรงที่เขายังคิดมาเสมอ ว่าซือเหยี่ยนจะทนไม่ไหวแล้วเป็นฝ่ายมาหาเขาถึงที่เอง

 

 

           เขารออย่างโง่ๆ อยู่หลายวัน ก็ไม่เห็นซือเหยี่ยนแม้แต่นิดเดียว

 

 

           ตอนนี้มาคิดดู ซือเหยี่ยนกลับมีแฟนใหม่อีกคนไปแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินฝืนยิ้ม ดูท่าว่าในเกมรักครั้งนี้ คนที่ตกเข้าไปในหลุมพรางลึกมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น

 

 

           ……

 

 

           ณ แก๊งมังกรคราม ซูเตอร์เฝ้าอยู่หน้าเตียงของซือเหยี่ยน เขาเห็นซือเหยี่ยนที่ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมาได้เสียที ก็เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “เหยี่ยน นายดีขึ้นบ้างไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนลืมตาคู่นี้อย่างไร้เรี่ยวแรง มองพาดผ่านใบหน้าของซูเตอร์ “ผมหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว”

 

 

           “หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว” ซูเตอร์ดวงตาแดงก่ำ “ยังดีที่นายตื่นแล้ว ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำยังไงแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันไม่เป็นไร”

 

 

           “เพราะนายช่วยฉัน นายถึงได้เป็นแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน นายก็คงจะไม่บาดเจ็บแบบนี้ได้”

 

 

           “ในเมื่อรับปากว่าจะช่วยคุณแล้ว เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว”

 

 

           ซูเตอร์มองซือเหยี่ยน กระแสไออุ่นประดังประเดมาในแววตาไม่มีหยุด เขาคว้ามือซือเหยี่ยนเอาไว้ “เหยี่ยน ฉัน…”

ตอนที่ 268 ซือเหยี่ยนถูกยิง

 

 

           บรรยากาศลุ้นระทึกขึ้นมาชั่วพริบตา นอกจากเสียงเหยียบกิ่งไม้หัก บางครั้งก็มีเสียงนกร้องยามบินผ่าน

 

 

           ซูเตอร์กำปืนในมือแน่นโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           คนกลุ่มนั้นกระจายกำลังกันค้นหาอย่างไม่หยุดหย่อน ยิ่งใกล้พวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ

 

 

           พวกเขาเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว ซือเหยี่ยนนัยน์ตาประกายมองซูเตอร์ปราดเดียวโดยฉับพลัน

 

 

           ซูเตอร์รับสารของซือเหยี่ยนมา ก็รีบเล็งเป้าไปยังคนที่อยู่ด้านข้าง แล้วเหนี่ยวไกปืนใส่ทันที

 

 

           เสียงปืนสองนัดดังขึ้นขณะเดียวกัน

 

 

           สองฝั่งซ้ายขวาแต่ละคนหวีดร้องอย่างทรมานล้มลงไปทันที

 

 

           พวกซือเหยี่ยนจัดการไปแล้วสองคนโดยราบรื่น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการเผยให้รู้ถึงตำแหน่งของตัวเองไปด้วย

 

 

           พวกที่เหลือเห็นสถานการณ์แล้วก็กราดยิงราวกับคนเสียสติ ซือเหยี่ยนกระโดดหลบกระสุนไปด้านข้าง

 

 

           ฉวยโอกาสตอนที่พวกเขายิงปืน ยิงเข้าไปอีกสองนัด

 

 

           เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง

 

 

           ห่ากระสุนทางฝั่งซูเตอร์หนักหน่วงมาก ยังพาตัวเองออกมาไม่ได้ชั่วขณะ ทำได้เพียงหลบซ่อนไปก่อน

 

 

            ปัง! ปัง!  ซือเหยี่ยนยิงปืนอีกสองนัดก็จัดการไปได้อีกคน

 

 

           ตอนนี้ทั้งสองฝั่งเหลือเพียงแค่สองคน ซือเหยี่ยนมองดูปืนในมือ ปืนในมือเขาตอนนี้เหลือกระสุนแค่เพียงนัดเดียวเท่านั้น

 

 

           ถ้าใช้ไม้แข็งก็หาประโยชน์ไม่ได้เลย

 

 

           สองคนที่เหลือราวกับคนคลั่งอย่างไรอย่างนั้น ยิงปืนไม่หยุด เพียงพริบตากระสุนสาดมั่วไปทั่วบริเวณ

 

 

           กระสุนกระทบบนต้นไม้และลงในดิน เศษไม้และฝุ่นละอองลอยตลบฟุ้งกระจาย มีบางส่วนสาดกระเด็นโดนใบหน้าของทั้งสองคน

 

 

           ซูเตอร์โดนโจมตีจนลงมือตอบโต้ไม่ได้ ทำได้เพียงหลบหนีไปทุกมุมไม่ให้โดนยิง ระหว่างหลบหนีอย่างสับสนอลหม่าน ก็ไม่ได้ระวังสังเกตเห็นว่ามีคนเดินมาทางเขา

 

 

           ตาเห็น ปากกระบอกปืนก็ต้องการจะเล็งมาที่เขา ซือเหยี่ยนรีบเล็งยิงไปยังตำแหน่งมือของคนคนนั้นทันที

 

 

           “อ๊ากกก” เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด ปืนร่วงหล่นลงพื้น ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสนี้ดึงซูเตอร์มาอยู่ข้างหลังเขา

 

 

           “คุณอยู่ติดผมไว้” เขาเอ่ยกำชับ

 

 

           ซูเตอร์มองแผ่นหลังของซือเหยี่ยน แววตาฉาบรอยยิ้มขึ้นมาวาบหนึ่ง ซือเหยี่ยนยังเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดจริงๆ ขอเพียงแต่เขาประสบอันตรายคราใด ซือเหยี่ยนก็จะสามารถปกป้องตัวเขาเสมอ

 

 

           “วางใจได้ ฉันรับรองจะไม่เป็นภาระนาย”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอาปืนสั้นที่หมดกระสุนแล้วทุบออกไปฟาดเข้ากับข้อมือของคนที่ถือปืนคนสุดท้ายนั้น

 

 

           เขาเจ็บปวดทันที ปืนในมือหลุดร่วงลง

 

 

           ขณะนี้ระหว่างพวกเขาต่างฝ่ายต่างไม่มีปืนกันแล้ว ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสโถมเข้าโจมตีระยะประชิด

 

 

           สมัยนั้นที่ซือเหยี่ยนอยู่ที่โรงเรียนฝึกตำรวจ ฝีมือศิลปะการต่อสู้คราฟมากา[1]ของเขาติดอันดับต้นๆ นอกจากเจียงมู่เฉินในตอนนั้น คนที่สู้ชนะเขาก็ไม่มีเป็นสอง

 

 

ท่าทางของเขารวดเร็วดุดัน คล่องแคล่วและตรงจุด ไม่ชักช้ายืดยาดแม้แต่น้อย

 

 

เขาล็อกมือคนคนนั้นไว้แล้วจับพลิกหมุนกลับมาหักข้อมืออย่างไม่รอรี คนคนนั้นแผดเสียงด้วยความทรมาน แต่กลับยังไม่ลืมจะลงมือต่อไป

 

 

ซือเหยี่ยนสัมผัสได้ถึงลมระลอกหนึ่งบริเวณขา เขาเบี่ยงขาข้างหนึ่งถอยหลังหลบ จากนั้นก็วาดขาเตะฟาดคนคนนั้นจนร่วงลงพื้น

 

 

หลังจากจัดการคนทั้งหมดแล้ว เขาถึงให้ซูเตอร์ออกมา “ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปก่อน”

 

 

ซูเตอร์เห็นคนอีกสองคนที่ยังไม่ตายสนิท จึงเอ่ยถามขึ้น “จะทำยังไงกับสองคนนี้”

 

 

“พวกเขาลุกขึ้นมาทำอะไรไม่ไหวแล้ว ก็ปล่อยพวกเขาไว้ที่นี่เถอะ”

 

 

ทั้งสองคนกำลังจะเตรียมตัวออกไป ไม่ได้รู้ตัวว่าคนที่โดนกระบอกปืนฟาดข้อมือคนนั้นจู่ๆ จะขยับเขยื้อนร่างกาย

 

 

ปากกระบอกปืนสีดำทมิฬเล็งเป้ามาที่ซือเหยี่ยน

 

 

……

 

 

ซือเหยี่ยนกักเสียงคำรามในลำคอ ทั้งร่างโซเซ

 

 

ซูเตอร์รีบเข้าไปประคองเขาไว้ “เหยี่ยน นายเป็นไรไป”

 

 

ซือเหยี่ยนต้องกัดฟันเอ่ยเสียงต่ำ “กลับกันก่อน เร็วเข้า”

 

 

ทั้งสองคนกลับลงภูเขาไป ก่อนจะเข้าในรถ ซือเหยี่ยนพูดกับซูเตอร์ “คุณขับรถที”

 

 

ซูเตอร์พยักหน้า รีบวิ่งไปขึ้นฝั่งคนขับ รอซือเหยี่ยนเข้ามานั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถออกไปทันที

 

 

ระหว่างทาง ซูเตอร์เอียงหัวมองซือเหยี่ยนไม่หยุด “เหยี่ยน นายไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

เหงื่อผุดท่วมหน้าผากของซือเหยี่ยน สีหน้าซีดเซียว “ไม่เป็นไร ไม่ตายหรอก”               

 

 

           

 

 

[1]  คราฟมากา  (Krav Maga) เป็นศิลปะการต่อสู้ประชิดตัวของหน่วยจู่โจมของกองทัพอิสราเอล ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อฝึกให้เราสามารถปลดอาวุธและหยุดการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

 

 

 

 

ตอนที่ 269 ช่วยชีวิตให้พ้นขีดอันตราย

 

 

           อุ้งมือซูเตอร์ตื่นตระหนกจนมีเหงื่อผุดขึ้นมาชั้นหนึ่ง เขาเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว กลัวซือเหยี่ยนจะเกิดเรื่อง

 

 

           ซือเหยี่ยนพยายามอดทนประคองสติไว้ จนกระทั่งหลังจากเห็นประตูของแก๊งมังกรครามแล้ว ถึงได้ปล่อยตัวจนหมดสติไป

 

 

           ซูเตอร์ละเท้าออกจากคันเร่ง พุ่งตัวไปประคองซือเหยี่ยนออกมา ตะโกนเรียกเสียงดัง “พวกแก รีบมาเร็วเข้า”

 

 

           คนกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามา รีบหามซือเหยี่ยนเข้าไป

 

 

           ซือเหยี่ยนร่างโชกเลือด เรย์มอนเห็นก็ตกตะลึงรีบเอ่ยถาม “เจ้าเตอร์ พวกนายเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น”

 

 

           ซูเตอร์ดึงตัวเรย์มอนมาอย่างลุกลี้ลุกลน “อาเรย์ อาอย่าเพิ่งถามเลยครับ รีบชีวิตเขาก่อน”

 

 

           เรย์มอนรีบส่งตัวคนเข้าไปในห้อง แล้วเรียกหมอสองสามคนเข้ามา

 

 

           ซือเหยี่ยนโดนยิงเข้าที่บ่า ถึงแม้ว่าบาดแผลจะไม่ได้ร้ายแรง แต่เสียเลือดเยอะเกินไป สถานการณ์ยังวางใจไม่ได้

 

 

           ยังต้องช่วยให้พ้นขีดอันตรายโดยเร่งด่วน

 

 

           ซูเตอร์ยืนอยู่หน้าประตู เดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ “เป็นเพราะผมเอง ถ้าผมเอาลูกน้องไปด้วยอีกสักสองสามคน ซือเหยี่ยนก็จะได้ไม่ต้องมาบาดเจ็บแล้ว”

 

 

           เรย์มอนมองดูซูเตอร์แล้วอดจะถามขึ้นมาไม่ได้ “มีคนมุ่งร้ายพวกนาย?”

 

 

           ซูเตอร์เล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นตอนนั้นให้เรย์มอนฟังรอบหนึ่ง เรย์มอนขมวดคิ้ว “คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้าทำกันถึงขนาดนี้”

 

 

           “อาเรย์ อาว่าซือเหยี่ยนจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า”

 

 

           เรย์มอนปลอบใจซูเตอร์ “วางใจเถอะ คุณซือเป็นคนดีพระคุ้มครอง ไม่เป็นอะไรไปได้หรอก”

 

 

           ซูเตอร์กำมือแน่น เดินไปเดินมาด้วยความไม่วางใจ

 

 

           จนกระทั่งประตูห้องนอนถูกเปิดออก หมอเดินออกมา “คุณชายวางใจได้ คุณซือพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”

 

 

           ทันทีที่ซูเตอร์ได้ยินก็พุ่งตัวเข้าไปทันที

 

 

           หมอมองเรย์มอนแวบหนึ่ง เรย์มอนพยักหน้าให้ หมอถึงได้ปลีกตัวออกมา

 

 

           หลังจากเขาออกไป เรย์มอนเข้าห้องนอนไป มองดูซือเหยี่ยนที่นอนอยู่บนเตียง ความระแวงในแววตาลดลงไปนิดหนึ่งแล้ว

 

 

           ……

 

 

           เรื่องที่จี้ฉิงดาราสาวคนดังกับเจียงมู่เฉินคบกันอย่างคลุมเครือถูกยกให้ประเด็นร้อนที่สุดในขณะนี้ ทั้งถานโจวถกเรื่องนี้กันอย่างหนาหูว่าสรุปแล้วระหว่างพวกเขาเป็นจริงตามที่ในโลกออนไลน์ว่ากันแบบนั้นหรือเปล่า

 

 

           ไม่เพียงแต่คนนอกที่ให้ความสนใจ แม้กระทั่งคุณแม่เจียงก็เรื่องนี้ไม่แพ้กัน

 

 

           เจียงมู่เฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าหิ้วกระเป๋าเดินทางลงมาชั้นล่าง คุณแม่เจียงเห็นเขาก็รีบเดินเข้าไปหา “เจ้าลูกชาย นี่ลูกจะไปไหน”

 

 

           “แม่ครับ ผมจะไปดูงานที่อเมริกาครับ”

 

 

           คุณแม่เจียงพยักหน้า ลังเลใจอยู่สักพัก ยื่นมือไปดังเสื้อเจียงมู่เฉินเอาไว้ “ลูก แม่มีเรื่องจะถาม”

 

 

           “แม่อยากจะถามเรื่องผมกับจี้ฉิงใช่ไหม” นอกจากเรื่องนี้ก็คงจะไม่มีเรื่องอื่น ที่จะทำให้แม่เขาถามอย่างร้อนใจขนาดนี้ได้

 

 

           “ลูกรำคาญว่าแม่ปากมากเลยนะ แม่ก็แค่อยากถามสักหน่อย ว่าลูกกับจี้ฉิงคนนี้เป็นอย่างที่ในโลกออนไลน์ว่าแบบนั้นหรือเปล่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเธอ “แม่ แม่อยากให้ผมหาแฟนผู้หญิงสักคนไม่ใช่เหรอครับ”

 

 

           คุณแม่เจียงสบสายตาคู่นี้ที่เจือความเย็นชาของเจียงมู่เฉิน นิ้วมือก็อดจะสั่นเทาขึ้นมาไม่ได้

 

 

           “ผมเพียงแค่ทำตามที่แม่หวังก็เท่านั้น” เขาดึงมือคุณแม่เจียงออก “จี้ฉิงมาถึงแล้ว ผมขอตัวไปสนามบินก่อนนะครับ”

 

 

           พูดจบเจียงมู่เฉินก็ลากกระเป๋าเดินทางออกจากคฤหาสน์ตระกูลเจียงไป

 

 

           คุณแม่เจียงมองดูเจียงมู่เฉินค่อยๆ เดินจากลับไปไกลอย่างช้าๆ อดจะกำมือแน่นไม่ได้ ความไม่สงบในใจเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ

 

 

           รถของจี้ฉิงจอดอยู่หน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลเจียง เมื่อเห็นเจียงมู่เฉินก็รีบเปิดประตูลงมาทันที “เป็นไงบ้าง มารับคุณด้วยตัวเองดูซื่อสัตย์พออยู่ใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอากระเป๋าเดินทางใส่ที่เก็บของหลังรถ แล้วมาเปิดประตูเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ “ซื่อสัตย์พอ”

 

 

           จี้ฉิงขับรถมุ่งหน้าไปสนามบินอย่างช้าๆ เจียงมู่เฉินนั่งพิงหรี่ตาลงเล็กน้อย

 

 

           รถสปอร์ตคันสีขาวขับไปอย่างช้ามากถึงมากที่สุด เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “คุณดาราใหญ่จี้ รถคันนี้ของเธอยังขับได้ช้ากว่านี้อีกไหม”

 

 

           จี้ฉิงไม่ยอมแล้ว “แต่ก่อนจะเข้าออกก็มีคนมารับมาส่งตลอด ไม่จำเป็นต้องให้ฉันขับรถ วันนี้ฉันตั้งใจขับรถมาส่งคุณเป็นพิเศษ คุณยังมาบ่นว่าฉันขับรถช้าอีก”

ตอนที่ 266 ข่าวเดตซุบซิบเต็มหน้าจอ  

 

 

           ช่วงเช้าวันที่สอง จี้ฉิงขลุกตัวอยู่ในโซฟาอ่านหัวข้อพาดหัวข่าวของวันนี้  

 

 

           [เทพธิดาแห่งยุคจี้ฉิงเดตลับๆ กับคุณชายน้อยตระกูลเจียง คุณชายน้อยตระกูลเจียงรักและปกป้องจี้ฉิงขนาดนี้ คิดแล้วอาจจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น]  

 

 

           การพาดหัวข่าวเช่นนี้ระเบิดกระจายไปทั้งโลกออนไลน์ ด้านข้างยังมีรูปประกอบที่เจียงมู่เฉินช่วยเหน็บผมให้จี้ฉิงและที่เขายื่นมือไปโอบประคองจี้ฉิงไว้ด้วยเช่นกัน  

 

 

           มุมที่ถ่ายรูปออกมาดูดีมาก ถ่ายพวกเขาสองคนออกมาได้อย่างชัดเจน  

 

 

           จี้ฉิงนอนฟุบอยู่บนโซฟาเอ่ยจากใจ “เจียงมู่เฉิน รูปนี้ถ่ายคุณออกมาได้ดูดีมากจริงๆ ถ้าได้เข้าวงการบันเทิง คงจะทำให้คนอื่นไม่มีที่ยืนแล้วจริงๆ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “เธอเองก็ไม่เลว”  

 

 

           “เมื่อวานคุณจงใจทำให้ฉันสะดุดใช่ไหม” เธอเดินมาดีๆ ไม่มีทางจะมาล้มกะทันหันได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ก็เลียนแบบเธอดู คนเขาลำบากกันไม่เบา ก็ให้ดูมีความหวานบ้าง”  

 

 

           จี้ฉิงส่ายหัวถอนหายใจ “ยังดีที่ฉันไม่ได้ชอบคุณ ไม่งั้นความคิดของคุณแบบนี้ คงโดนคุณปั่นเล่นจนหัวหมุนไปนานแล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูเวลา “สามชั่วโมงแล้ว ฉันก็ควรจะไปได้สักที”  

 

 

           เขาวางนิตยสารในมือลงแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน  

 

 

           จี้ฉิงพินิจมองดูเจียงมู่เฉิน ขาเรียวยาวนี้ รูปร่างนี้ ทำให้คนอิจฉาไม่ไหวเสียจริง  

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายมองเธอแวบหนึ่ง “มีอะไรก็ค่อยบอกฉันแล้วกัน ฉันไปแล้ว”  

 

 

           เขาไม่ลังเลอะไร ออกจากคอนโดมิเนียมของจี้ฉิง ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว  

 

 

           ……  

 

 

           ณ แก๊งมังกรคราม ซูเตอร์เลื่อนอ่านพาดหัวข่าวนี้ก็ยิ้มหัวเราะ คิดไม่ถึงว่าหลังจากเจียงมู่เฉินเลิกกับซือเหยี่ยนแล้ว จะหาดาราสาวคนหนึ่งมา แล้วยังกลายเป็นคนดังในโลกออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้  

 

 

           เขายกมุมปากขึ้น ไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าให้ซือเหยี่ยนเห็นพวกนี้ จะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรได้บ้าง  

 

 

           “คุณชายน้อยครับ คุณซือมาหาครับ”  

 

 

           ซูเตอร์ตาลุกวาว รีบเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา “โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”  

 

 

           เขาเดินถึงประตูก็เห็นซือเหยี่ยนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาเดินเข้าไปยืนข้างๆ ซือเหยี่ยน “เหยี่ยน นายมีธุระหาฉันเหรอ”  

 

 

           “วันนี้ต้องไปบ่อน คุณลืมแล้วเหรอ”  

 

 

           “เข้าไปตอนนี้เหรอ” ซูเตอร์นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานเรย์มอนตั้งใจให้วันนี้เขาไปตรวจสอบและสำรวจดูที่บ่อนการพนันสักหน่อย  

 

 

           “อืม ผมเตรียมเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ออกเดินทางกันเถอะ”  

 

 

           ซูเตอร์พยักหน้า เดินออกไปพร้อมซือเหยี่ยน ทั้งสองคนขึ้นรถไป ซือเหยี่ยนเป็นคนขับให้ ซูเตอร์นั่งอยู่ด้านข้าง แกล้งทำทีเป็นเล่นมือถือ  

 

 

           เขาเปิดข่าวที่เพิ่งอ่านเมื่อเช้านี้อีกครั้ง จงใจทำเป็นเลิกคิ้วประหลาดใจ “เป็นข่าวที่สุดยอดจริงๆ เปิดโลกทัศน์ให้ฉันจริงๆ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเย็นชาขับรถไป ไม่ได้พูดอะไร  

 

 

           ซูเตอร์โน้มตัวเข้าไปใกล้ทางฝั่งเขา “เรื่องเกี่ยวกับเจียงมู่เฉิน นายอยากรู้หรือเปล่า”  

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่จับพวงมาลัยรถเกร็งแน่น ซูเตอร์ดูสภาพการณ์แล้วก็หัวเราะเบาๆ ไม่รอซือเหยี่ยนพูดก็อ่านออกมา “สาวคนใหม่ของคุณชายน้อยตระกูลเจียงเป็นดาราสาวหน้าตาสะสวยจริงๆ ไม่น่าเลยพวกนายเพิ่งจะเลิกกัน เขาก็ใจเร็วด่วนได้ไปเดตกับคนอื่นซะแล้ว”  

 

 

           ซูเตอร์หัวเราะ “ฉันยังคิดว่าเจียงมู่เฉินชอบนายมาก ตอนนี้คิดๆ ดูก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่”  

 

 

           “พอเถอะ อย่าพูดเลย” สีหน้าซือเหยี่ยนเก็บกดอารมณ์หนักหน่วง เสียงต่ำเอ่ยตำหนิ  

 

 

           ไม่ว่าอย่างไรซูเตอร์ก็จะทำให้เขาสมปรารถนาให้ได้ “ซือเหยี่ยน ฉันรักนายรักเดียวใจเดียว และก็ไม่แย่กว่าเจียงมู่เฉินด้วยหรอกใช่ไหม”  

 

 

           “ซูเตอร์!” ซือเหยี่ยนกล่าวเตือนเสียงดัง  

 

 

           “นายอย่าใจร้อนสิ ที่จริงข่าววก็ไม่ได้มีอะไร ก็แค่คุณชายน้อยเจียงโอบกอดกับดาราสาวคนหนึ่ง แล้วยังไปพักค้างคืนอยู่ในบ้านดาราสาวด้วย จากนั้นโลกออนไลน์ก็แชร์ต่อๆ กันเรื่องข่าวดีของสองคนนี้ก็เท่านั้นเอง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเหยียบเบรกเสียเดี๋ยวนั้น สายตามองซูเตอร์แวบหนึ่งอย่างรวดเร็วและดุดัน “ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องเอ่ยถึงเจียงมู่เฉินต่อหน้าผมอีก ผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา”  

 

 

             

 

 

           ตอนที่ 267 ซือเหยี่ยนโดนลอบทำร้าย  

 

 

           ซูเตอร์เห็นว่าเขาโกรธจริงๆ แล้ว จึงจำใจต้องเงียบปากไม่พูดอะไรอีก  

 

 

           ถึงอย่างไรเป้าหมายของเขาก็ถึงตามเป้าแล้ว ขอเพียงแต่ซือเหยี่ยนได้รู้เรื่องพวกนี้ของเจียงมู่เฉินก็เพียงพอแล้ว  

 

 

           เขาก็แค่ต้องการให้ซือเหยี่ยนรู้  ว่าเจียงมู่เฉินเป็นคนโลเลสองจิตสองใจ เลิกกับซือเหยี่ยนไม่ทันไร ก็ไปหาคนอื่นแล้ว  

 

 

           ‘ไม่มีค่าอะไรคู่ควรให้ซือเหยี่ยนโหยหาคิดถึง’  

 

 

           “เอาล่ะๆ ฉันไม่พูดแล้ว ยังไม่โอเคอีกเหรอ” ซูเตอร์เอ่ยอย่างไม่รู้ไม่ชี้  

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนได้ยิน ถึงได้สตาร์ทรถขับมุ่งหน้าออกไป ซูเตอร์มองดูใบหน้ามุมข้างของเขา สันกรามเกร็งแน่น ความโกรธยังคุกรุ่นแม้จะพร่าเลือน  

 

 

           ความพอใจทอประกายในแววตาซูเตอร์ ขอเพียงแต่ซือเหยี่ยนตัดใจจากเจียงมู่เฉิน แล้วยอมรับเขา ทางก็สะดวกแล้ว  

 

 

           รถขับไปข้างหน้าเรื่อยๆ ด้านหลังก็มีรถคันสีดำขับตามพวกเขามาเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน ซือเหยี่ยนเอียงหัวมองแวบหนึ่ง ดูเหมือนรถคันนี้จะขับตามเขาตลอดหลังจากพวกเขาออกมาได้ไม่นาน  

 

 

           นัยน์ตาฉายแวว หักเลี้ยวเข้าถนนเล็กๆ ข้างทางทันที  

 

 

           ซูเตอร์เห็นเขาเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ก็รีบถาม “เป็นอะไรไป”  

 

 

           ซือเหยี่ยนบอกใบ้ให้เขามองดูกระจกหลัง ซูเตอร์เอียงหัวมองเข้าไป “รถข้างหลังคันนั้นสะกดรอยตามพวกเรา?”  

 

 

           “อืม พวกเราออกมาได้ไม่นานก็ตามมาเลย ดูท่าว่าจะมีคนรู้ว่าวันนี้พวกเราต้องออกมา”  

 

 

           รถคันนั้นที่ตามมาข้างหลังรู้ว่าพวกเขาไหวตัวทันรับรู้ถึงความผิดปกติแล้ว ก็รีบเร่งความเร็วตามให้ทัน  

 

 

ซือเหยี่ยนดูสถานการณ์แล้วก็พูดกับซูเตอร์ “นั่งดีๆ”  

 

 

“อ้อ” เอ่ยรับเสียงเดียว รถก็เร่งความเร็วแล่นไปบนถนนทันที  

 

 

รถคันข้างหลังก็ไม่ยอมน้อยหน้ารีบขับตามให้ทัน  

 

 

ความเร็วในการขับรถของซือเหยี่ยนหนีจากรถคันอื่น หลายครั้งที่ใกล้จะชนรถคันข้างหน้า เขาก็จะเปลี่ยนทิศทางมุ่งทะลุไปด้านข้างอย่างรวดเร็วและเต็มกำลัง  

 

 

 รถคันสีขาว รถคันสีดำ รถสองคันนี้ไล่ตามกันไปบนถนน ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งเครียดเอาแต่จ้องเขม็งไปรอบทิศทาง คิดหาทางหนีไปด้วย พลางป้องกันไม่ให้รถคันข้างหลังไล่ตามมาทันไปด้วย  

 

 

“ซือเหยี่ยน ทางนั้น”  

 

 

ด้านข้างมีรถตามมาอีกคัน พุ่งตรงมาจะชนพวกเขา  

 

 

ซือเหยี่ยนเหยียบเบรกอย่างรวดเร็วและรุนแรง ถอยหลังกลับ หักโค้งไปด้านข้าง  

 

 

โครมคราม  เสียงรถชนสองคันพุ่งชนใส่กัน  

 

 

ซูเตอร์เห็นรถสองคันข้างหลังนั้น ก็โล่งใจ “ในที่สุดก็คลี่คลายแล้ว”  

 

 

สีหน้าซือเหยี่ยนกลับคร่ำเคร่งในทันใด “เพิ่งจะเริ่มต่างหาก”  

 

 

รถสองคันที่จอดอยู่ข้างหน้า ในมือยังถือปืน ดูท่าว่าวันนี้จะไม่คิดให้พวกเขามีชีวิตกลับไปแล้วจริงๆ  

 

 

ซูเตอร์นัยน์ตาแปรเปลี่ยนฉายความเฉียบคม เขาควานหาคว้าปืนออกมาสองกระบอก ตัวเองถือหนึ่งกระบอก อีกกระบอกส่งให้ซือเหยี่ยน “ระวังด้วย”  

 

 

ซือเหยี่ยนถือปืนไว้ ขับรถถอยหลังเลี้ยวออกไป รถสองคันนั้นคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะหนีออกไป จึงรีบตามไปทันที  

 

 

ซือเหยี่ยนขับรถเร็วสะบัดหนีพวกเขา เอารถจอดไว้ด้านข้าง ทั้งสองคนทิ้งรถอยู่บริเวณไม่ไกลนัก แล้วหนีเข้าภูเขาไป  

 

 

คนกลุ่มนั้นตามเข้าไปทันทีหลังจากนั้น เห็นรถที่ใต้เขาก็รีบเอ่ย “คนยืนอยู่ข้างบน รีบตามมาให้ฉัน”  

 

 

คนในชุดดำกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวตามเข้าไป  

 

 

ซือเหยี่ยนพาซูเตอร์มาหาที่ซ่อนตัวที่เหมาะสม เห็นสภาพการณ์ทางด้านล่างได้พอดี  

 

 

ทั้งสองคนมองข้างล่างภูเขาอย่างใจจดใจจ่อ เป็นอย่างที่คิดไว้ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ก็มีคนวิ่งขึ้นมา  

 

 

ซือเหยี่ยนหรี่ตาลงมองคนที่ขึ้นมา มีประมาณหกคน ทั้งหมดมีปืนในมือ   

 

 

เขามองอย่างละเอียดสักพัก เอ่ยเสียงต่ำกับซูเตอร์ “คุณจัดการสองคนฝั่งนั้น สี่คนฝั่งนี้ผมเอง”  

 

 

ซูเตอร์จ้องเขม็งมองดูคนไม่กี่คนคนนั้น แล้วพยักหน้ารับ “วางใจเถอะ ฝีมือยิงปืนฉันยังได้อยู่”  

 

 

“ดี”  

 

 

คนกลุ่มนั้นยิ่งเดินยิ่งเข้ามาใกล้ ค้นหาอย่างระมัดระวัง  

 

 

“พวกเขาสองคนต้องอยู่แถวนี้ ทุกคนระวังตัวให้ดี ไว้ชีวิตไม่ได้สักคน”  

 

 

“รับทราบครับ” คนไม่กี่คนขานรับอย่างพร้อมเพรียง  

ตอนที่ 264 ดื่มเหล้าย้อมใจ

 

 

           ในห้องเงียบเชียบ มั่วไป๋เป็นห่วงเจียงมู่เฉินที่มีอาการเมาเหล้า เขายื่นมือไปเปิดประตูอย่างไม่วางใจ กลับเห็นเจียงมู่เฉินที่ควรจะหลับสนิทนั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้น

 

 

           มองจากมุมเขาแล้ว ดูแข็งกระด้างเป็นพิเศษ

 

 

           มั่วไป๋ใจกระตุกวูบ ผลักประตูเดินเข้าไป นั่งลงข้างกายเจียงมู่เฉิน

 

 

           “นอนไม่หลับเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงของมั่วไป๋ ก็พยักหน้าเงียบๆ

 

 

           มั่วไป๋เหยียดขาตรง มองเขา “แต่ก่อนฉันก็เป็นแบบนี้ พอถึงตอนกลางคืนก็ทำได้เพียงนั่งอยู่แบบนี้”

 

 

           เจียงมู่เฉิยเอียงหัวมองเขา “ตอนนี้ล่ะ”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มเจื่อนๆ “พึ่งยา” เขาเอียงหัวมองเจียงมู่เฉิน “แบบนั้นก็ไม่เจ็บปวดทุกข์ทรมานเท่าไหร่แล้ว”

 

 

           “ไป๋ไป๋ นายว่าฉันเป็นแบบนี้ไม่เหมือนฉันเลยใช่ไหม” ตอนกลางวันเขาดูเหมือนสบายๆ ไม่คิดอะไร ไม่ต่างจากในอดีต

 

 

           แต่พอตกกลางคืน เขาถึงเป็นเจียงมู่เฉินตัวจริงคนนั้น

 

 

           นอนไม่หลับ ถึงขั้นหมดหนทางจะหลับตาลง

 

 

           หลับตาลงทีไร ก็เห็นแต่ใบหน้าของซือเหยี่ยน เมื่อก่อนเขาไม่เคยรักใคร ไม่เคยรู้ว่าที่แท้การรักคนคนหนึ่งก็เป็นแบบนี้ได้

 

 

           เหมือนไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ซือเหยี่ยนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาไปแล้ว

 

 

           แล้วตอนนี้ซือเหยี่ยนจากไป ก็กระชากเอากระดูกเอาเนื้อออกจากร่างกายเขาไปด้วย

 

 

           “เลิกกับซือเหยี่ยนแล้วเหรอ”

 

 

           “อืม”

 

 

           “เขาพูดเหรอ”

 

 

           “ฉัน”

 

 

           มั่วไป๋ลุกพรวดพราดขึ้นมา หมุนตัวเดินออกจากห้องนอนไป เขาเข้าไปในครัวหยิบเหล้าที่มีทั้งหมดในตู้เย็นออกมา วางกองรวมกันที่พื้น

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงหัวมองเขา

 

 

           “ดื่มเหล้าย้อมใจสิ ไม่ใช่ฉากที่ต้องมีแน่นอนเวลาเลิกกันแล้วเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋เปิดกระป๋องหนึ่งส่งให้เจียงมู่เฉิน “ลองดูสักหน่อย ดูว่าสรุปแล้วจะย้อมใจได้หรือเปล่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มยื่นมือไปรับต่อ มองเหล้าในมือแล้วยกมุมปากขึ้นอย่างจนใจ  ฉากดื่มเหล้าย้อมใจพวกนี้ หลอกกันทั้งเพ

 

 

           สุดท้ายกลับเป็นมั่วไป๋เองที่ดื่มจนเมา เจียงมู่เฉินอุ้มเขาขึ้นเตียงไป ส่วนตัวเองนั่งอยู่ข้างหน้าต่างทั้งคืน

 

 

           เช้าวันต่อมามั่วไป๋ตื่นขึ้น เจียงมู่เฉินก็ออกจากคอนโดมิเนียมไปแล้ว

 

 

           เขานอนเหยียดแขนขาเรียวยาวอยู่บนเตียง ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ความรักความรู้สึกอะไรพวกนี้ ยามหวานชื่นช่างหวานล้ำ ยามทำร้ายช่างเจ็บปวดที่สุด

 

 

           ตอนนั้นเขาลิ้มรสกับมันอย่างถึงที่สุดแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินออกจากบ้านมั่วไป๋แล้วก็กลับบ้านตระกูลเจียงไป คืนนี้มีงานเลี้ยงตอนเย็น คุณแม่เจียงให้เขาต้องเข้าร่วมงานด้วย

 

 

           ตอนนี้สำหรับเจียงมู่เฉินแล้ว จะไปที่ไหนก็เหมือนกันหมด ไม่มีความแตกต่างอะไรทั้งสิ้น

 

 

           แม่เขาออกปากมาแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาต้องทำตามความต้องการของคุณแม่เจียง

 

 

           กลับไปนอนพักอีกที เวลาห้าโมงถึงเพิ่งตื่นขึ้นมา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้ลงมาชั้นล่าง

 

 

           คุณแม่เจียงรอเขาที่ชั้นล่างอยู่ก่อนแล้ว เจียงมู่เฉินเห็นคุณแม่เจียงก็เดินเข้าไปหาทันที “ผมเสร็จแล้ว ไปกันเถอะ”

 

 

           คุณแม่เจียงเห็นเจียงมู่เฉินเป็นแบบนี้ แววตาฉายสะท้อนความกังวลใจขึ้นมาวาบหนึ่ง แต่ใบหน้าเรียบเฉยของเจียงมู่เฉินมองหาความผิดปกติไม่ออกเลยสักนิด

 

 

           คุณแม่เจียงต้องถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรสักคำ พาเจียงมู่เฉินออกเดินทาง

 

 

           รถมาจอดที่หน้าทางประตูทางเข้าโรงแรมจินเม่า ข้างๆ มีคนดึงเปิดประตูรถของเจียงมู่เฉิน ขาเรียวยาวก้าวออกมาก่อน ตามด้วยร่างทั้งร่างของเจียงมู่เฉินที่เดินออกมาจากรถ

 

 

           เขาสวมชุดสูทที่วัดตัวสั่งตัดมาเป็นพิเศษ รูปร่างดีสูงเพรียวเผยให้เห็นเด่นชัดอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งประกอบเข้ากับใบหน้างามละเอียดได้รูปของเจียงมู่เฉินอีกแล้วนั้น

 

 

           คนรอบข้างไม่น้อยต่างตกตะลึงงัน

 

 

           ถึงแม้จะรู้ว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้นี้สุดยอดไม่มีใครเปรียบได้ แต่จู่ๆ พอมาได้เห็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้คนละสายตาไปไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นผู้คนมากมายก็ยกมุมปากขึ้น ส่งมือต่อให้คุณแม่เจียงอยู่ด้านข้าง

 

 

           การกระทำและท่าทางของเขาแบบนั้นยิ่งแสดงความเป็นสุภาพบุรุษองอาจให้เห็น คุณหนูลูกผู้ลากมากดีที่อยู่ด้านข้างหัวใจใกล้จะกระโดดออกมาแล้ว หวังจริงๆ ว่าตัวเองจะถูกเขาจูงมือแบบนี้บ้าง  

 

 

 

 

ตอนที่ 265 จี้ฉิงปรากฏตัว

 

 

           คุณแม่เจียงพาเจียงมู่เฉินเดินเข้าไป ข้างในมีคนอยู่ไม่น้อยแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่ทั้งสาวทั้งสวย

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น ดูท่าว่าแม่เขาจะยังไม่ยอมแพ้ อยากทำให้เขากลับเนื้อกลับตัว

 

 

           เขาอยากหัวเราะ  นี่ไม่ใช่โรคสักหน่อย รักษาไม่หายหรอก

 

 

           ตลอดทั้งคืนคุณแม่เจียงพาเจียงมู่เฉินเจอหน้าพบปะคนมากมาย ทั้งหมดคือผู้หญิงที่เหมาะสมคู่ควรจะแต่งงานด้วย เจียงมู่เฉินเห็นมาแต่ละที แม้แต่หน้าก็ยังจำไม่ได้

 

 

           สุดท้ายไม่รู้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งแทรกเข้ามาจากไหน แม่เขามองเธอด้วยความรักใครเอ็นดู ปล่อยให้พวกเขาสองคนคุยกันเอง

 

 

           ตรงมุมมุมหนึ่ง เจียงมู่เฉินถือแก้วเหล้าในมือ ยืนพิงอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเอ้อระเหย “ฉันไม่คิดจะดูตัว”

 

 

           ตรงข้ามเป็นผู้หญิงใส่ชุดเดรสสีน้ำตาลอ่อน เธอมองเจียงมู่เฉินแล้วอดจะยิ้มหัวเราะไม่ได้ “เมื่อก่อนได้ยินมาว่าคุณชายเจียงทำอะไรไม่เหมือนใคร วันนี้มาเจอ ก็เป็นอย่างนี้จริงๆ”

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดไม่ถึงว่าเธอจะมาท่าทีตอบกลับแบบนี้ได้ เขาชายตามองเธอโดยไม่ตั้งใจ หน้าตาสวยมากทีเดียว ดูหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน

 

 

           “ได้ยินมา?”

 

 

           เธอยิ้มหัวเราะ “ขอแนะนำตัว ฉันชื่อจี้ฉิง บังเอิญทีเดียว ฉันเองก็ไม่ได้มาดูตัวเหมือนกัน”

 

 

           “ถ้างั้น เธออยากจะพูดอะไรกับฉัน”

 

 

           จี้ฉิงลูบแก้วเหล้า “ถ้าคุณชายเจียงไม่รังเกียจ ร่วมมือกับฉันสักหน่อย เป็นไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินยักคิ้ว “เดิมทีไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็ชักจะสนใจบ้างแล้ว”

 

 

           เขาเห็นแววตาของเธอทอประกายความเจ้าเล่ห์และแผนการบางอย่าง  แต่เขากลับชอบแผนการทำนองนั้นพอดีด้วยสิ

 

 

           “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ถือว่าพูดคำไหนคำนั้น ไม่มีการคืนคำแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “แน่นอน ฉันเจียงมู่เฉินไม่เคยคืนคำอยู่แล้ว”

 

 

           หลังจากคืนนั้น คนทั้งถานโจวก็ได้รู้ว่าตระกูลเจียงตั้งใจจัดงานเลี้ยงดูตัวเพื่อคุณชายเจียงโดยเฉพาะ คนมีหน้ามีตาทุกคนมาที่งานเลี้ยงนี้กันทั้งหมด งานใหญ่โตอลังการ

 

 

           ถึงขนาดที่ว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงกลายเป็นประเด็นร้อนพูดถึงกันไปทั่วถานโจวเพียงชั่วข้ามคืน

 

 

           ถึงอย่างไรด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลเจียงแล้ว ถ้าหากว่ามีคนตะกายถึงตระกูลเจียงได้ก็ไม่แตกต่างอะไรจากการได้เป็นหงส์บินไปเกาะที่ยอดกิ่ง

 

 

           หลายวันต่อมาเจียงมู่เฉินก็ติดอันดับการค้นหายอดนิยมอยู่อันดับต้นๆ ไม่ตกอันดับลงมาตลอด

 

 

           ในร้านอาหารเขตเมืองแห่งหนึ่ง เจียงมู่เฉินนั่งฝั่งหน้าต่าง อยู่ฝั่งตรงข้ามกับจี้ฉิง ใบหน้าทั้งสองคนคนแต่งแต้มรอยยิ้มท่าทางดูสนิทชิดเชื้อกันไม่เบา

 

 

           “คุณชายเจียง ท่าทางของคุณหนักแน่นกว่านี้หน่อยได้ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินฉีกมุมปาก “เธอต้องขอบคุณฉันด้วยซ้ำที่ตอนนี้ยังให้ความร่วมมือกับเธออยู่”

 

 

           จี้ฉิงเผลอยิ้มออกมา ยื่นมือคีบอาหารให้เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองเธอ จี้ฉิงชี้ที่มือของตัวเอง “ตะเกียบกลาง[1]”

 

 

           “ในเมื่อต้องการให้พวกเขาถ่าย ก็ต้องให้พวกเขามีอะไรให้ถ่ายเยอะๆ บ้าง ไม่งั้นจะไม่เป็นการเล่นละครเสียเปล่าหรอกเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยื่นมือไปเหน็บผมของเธอที่ตกลงมากะทันหันกลับเข้าไป เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “เธอแน่ใจว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ที่เธอหามาเอง?”

 

 

           จี้ฉิงหลุดหัวเราะ “ก็ฉันเป็นดารานี่ คนอยากถ่ายฉันต้องไม่น้อยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” เธอยักไหล่ “ดังนั้น ก็โทษฉันไม่ได้ ถูกไหม”

 

 

           เห็นเธอทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ ความชื่นชมวาบขึ้นมาในแววตาของเจียงมู่เฉิน “เพราะฉะนั้น เธอคิดจะยืมฉันมาขยี้ตามประเด็นร้อน[2]ตอนนี้เหรอ”

 

 

           “แหม คุณชายเจียงก็ พวกเราจะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการไงล่ะ เล่นละครกันทีก็ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่ได้เสียหายอะไร ดีมากเลยนะ”

 

 

           “เธอคิดจะขยี้ประเด็นร้อนนี้ไปอีกนานเท่าไหร่”

 

 

           จี้ฉิงมองเขา “งั้นก็ต้องดูว่าคุณชายเจียงอดทนได้สักแค่ไหนแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินดื่มน้ำ “อีกสองวัน ฉันต้องไปอเมริกา ฉันจะให้โอกาสเธอขยี้ประเด็นร้อนนี้”

 

 

           จี้ฉิงตาลุกวาว “ฉันจะมารับคุณ ไปส่งคุณด้วยตัวเอง”

 

 

           “อืม” เจียงมู่เฉินพยักหน้า

 

 

           ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงมุมมุมหนึ่ง เอาแต่ยิ้มหัวเราะพูดคุยกันดูไปแล้วช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน จนกระทั่งกินอาหารกันเสร็จแล้ว เจียงมู่เฉินกับจี้ฉิงถึงได้เตรียมตัวออกจากร้านไป

 

 

           เมื่อออกมาจากร้านอาหาร จี้ฉิงยืนทรงตัวไม่อยู่เซล้มไปด้านข้าง เจียงมู่เฉินยื่นมือไปโอบกอดเธอเอาไว้ เสียงต่ำเอ่ยปลอบใจเธอ

 

 

           จนจี้ฉิงส่ายหัว ทั้งสองคนถึงได้ออกจากร้านอาหารไป

 

 

 

 

 

 

[1]  ตะเกียบกลาง  ที่ไว้ใช้ร่วมกันคีบอาหารวางใส่จานตัวเองได้ แต่เอาเข้าปากไม่ได้

 

 

[2]  ขยี้ตามประเด็นร้อน  ศัพท์แสลงในอินเทอร์เน็ตของจีน หมายถึง การขยี้ตามประเด็นร้อน ณ ตอนนั้น เพื่อให้ตัวเองดังขึ้นตามประเด็น

ตอนที่ 262 นายไม่ช่วยฉันอาบเหรอ

 

 

           “ไป๋ไป๋ นายมาได้จังหวะพอดีเลย”

 

 

           มั่วไป๋ขบกรามมองเจียงมู่เฉิน ถือแก้วเหล้าในมือเขาลง “พอได้แล้ว ฉันจะส่งนายกลับบ้าน”

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่กลับไป”

 

 

           มั่วไป๋จนใจ “งั้นไปบ้านฉันไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดแล้วคิดอีก “ได้ งั้นไปบ้านนาย”

 

 

           มั่วไป๋มองเฉิงฉีแวบหนึ่ง “ฉันพามู่เฉินกลับไปก่อนนะ” เขาพูดจบก็ไม่รอให้เฉิงฉีได้พูดต่อ ดึงตัวคนมากอดประคองเดินออกไป

 

 

           เฉิงฉีลูบคางไปมา รู้สึกว่าบุคลิกของมั่วไป๋แปลกอยู่ทีเดียวจริงๆ บางมุมค่อนข้างเหมือนเจียงมู่เฉินอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           “โอเค ฉันจะพานายกลับไปก่อน มีอะไรกลับไปค่อยว่ากัน อย่ามาวุ่นวายอยู่ที่นี่”

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้ดื่มเหล้าไปแล้วนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ลืมตามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเมาแล้วหรือไม่ได้เมา ไม่พูดจาสักคำดูสีหน้าอารมณ์ไม่ออก

 

 

           มั่วไป๋ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงขับรถมุ่งหน้าไปคอนโดมิเนียมของตัวเองเท่านั้น

 

 

           เขาประคองร่างคนขึ้นชั้นบนไป พามาถึงห้องแล้วก็ถีบใส่ให้เข้าห้องน้ำไป ให้เขาอาบน้ำล้างกลิ่นเหล้าทั้งตัวออก แล้วค่อยมาคุยกับตัวเอง

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้าซื่อมองเขา “นายไม่ช่วยฉันอาบเหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ไม่พูดเป็นคำที่สอง ยกเท้าให้เขาเสียก่อน “อาบไม่อาบ? ไม่อาบ ฉันจะฆ่านาย”

 

 

           คนที่จะสยบเจียงมู่เฉินได้ก็มีแค่มั่วไป๋ โดนเขาถีบใส่ทีหนึ่ง เจียงมู่เฉินก็ว่าง่ายสุดๆ เข้าไปห้องน้ำอาบน้ำทันที

 

 

           มั่วไป๋ยืนอยู่นอกประตู เป่าปากโล่งอก เขาฟังเสียงน้ำข้างใน แล้วโทรหาไป๋จิ่ง

 

 

           “มาที่บ้านฉันที ถึงใต้ตึกแล้วโทรหาฉัน”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินก็ตกลงทันที คว้าเสื้อจากในห้องทำงานแล้วรีบออกไป

 

 

           หลังจากวางสายแล้ว มั่วไป๋กุมขมับ ช่วงนี้เจียงมู่เฉินไม่ปกติขั้นรุนแรง ถึงแม้จะดูเหมือนเที่ยวเล่นไม่สนใจโลกตามปกติก็ตาม

 

 

           แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เขามองแวบเดียวก็เห็นได้ชัดเจน

 

 

           เรื่องของเจียงมู่เฉินต้องเกี่ยวข้องกับซือเหยี่ยนแน่นอน ไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้เจียงมู่เฉินนิสัยอารมณ์เปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้

 

 

           ดื่มเหล้าแล้วมาอาบน้ำ เจียงมู่เฉินเวียนหัวอยู่บ้าง ออกจากห้องน้ำก็ตะกายขึ้นเตียงทันที

 

 

           มั่วไป๋ถือน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งเดินเข้ามา เขาเตะเจียงมู่เฉิน “ลุกขึ้นมาดื่มน้ำ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังกระหายน้ำพอดี บังคับตัวเองให้ลืมตาขึ้น ดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งเข้าไป

 

 

           ทำทุกอย่างเสร็จ มั่วไป๋ถึงได้ปล่อยให้เจียงมู่เฉินนอนต่อไป

 

 

           เขาออกมาจากห้องนอน ไป๋จิ่งก็มาถึงใต้ตึกพอดี เขาคิดว่าเจียงมู่เฉินนอนสักพักก็ไม่น่าจะตื่นไหว จึงหยิบกุญแจแล้วออกไปข้างนอก

 

 

           มั่วไป๋ออกไปแล้ว ทันทีที่ประตูปิดลง เจียงมู่เฉินที่อยู่ในห้องนอนเพียงชั่วครู่เดียวก็ลืมตาขึ้นมา

 

 

           เขาตาสว่าง มีหรือจะยังมีความง่วงเมื่อครู่นี้อยู่ เจียงมู่เฉินยืดแขนยืดขานอนบนเตียง ลืมตามองฝ้าเพดาน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           ใต้ตึก มั่วไป๋นั่งอยู่ในรถของไป๋จิ่ง เขาเอ่ยประโยคแรกก็ถาม “ซือเหยี่ยนล่ะ ช่วงนี้เขาอยู่ที่ไหน”

 

 

           ไป๋จิ่งใจสั่นเทา “ทำไมจู่ๆ คุณถึงมาถามว่าซือเหยี่ยนอยู่ที่ไหน” มั่วไป๋ไม่ได้สนใจซือเหยี่ยนมาแต่ไหนแต่ไร

 

 

           “ไม่มีอะไร ก็แค่ถามไปเรื่อยเปื่อย” มั่วไป๋จ้องมองเขา ราวกับอยากจะมองอะไรออกจากดวงตาของเขา

 

 

           “เกี่ยวข้องกับเจียงมู่เฉินใช่หรือเปล่า”

 

 

           “ตกลงระหว่างซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินเกิดปัญหาอะไรกันขึ้น”

 

 

           ไป๋จิ่งขมวดคิ้ว “บอกตามตรง ผมเองก็ไม่ชัดเจน อีกอย่างซือเหยี่ยนก็มีธุระไปดูงานต่างเมืองกะทันหัน ช่วงเวลานี้ไม่ได้อยู่บริษัทเลย”

 

 

           “โอเค ถ้าซือเหยี่ยนกลับบริษัทมา ก็รีบบอกฉันทันทีนะ”

 

 

           มั่วไป๋พูดจบก็เตรียมจะออกไป ไป๋จิ่งเห็นก็รีบฉุดรั้งดึงคนกลับเข้ามา

 

 

           “เป็นไรไป”

 

 

           ไป๋จิ่งมองใบหน้าของมั่วไป๋ เดิมทีพื้นที่ในรถก็เล็กอยู่แล้ว ยิ่งมาบวกกับที่มั่วไป๋หันหน้ากลับมาหา ทั้งสองคนอยู่ในระยะประชิดใกล้กันถึงขีดสุด

 

 

           เห็นมั่วไป๋ที ไป๋จิ่งค่อนข้างจะคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว เขาเข้าไปจูบทั้งแบบนี้

 

 

           ดวงตามั่วไปเบิกขึ้นเล็กน้อย ฉายสะท้อนความรู้สึกแปลกใจขึ้นมาวาบหนึ่ง

 

 

           

 

 

ตอนที่ 263 อาลัยในความอบอุ่น

 

 

ขณะจูบไม่รู้ว่าอารมณ์ฮึกเหิมมาจากไหน หลังจากจบจูบนี้ จู่ๆ ไป๋จิ่งก็หวาดกลัวอยู่บ้าง สายตาไม่ค่อยกล้าวางไว้ที่มั่วไป๋

 

 

มั่วไป๋ดูสถานการณ์แล้ว ก็ยกมือขึ้นโอบรอบคอของไป๋จิ่ง เป็นฝ่ายลงมือจูบเขาเอง

 

 

ครั้งนี้เป็นทีของไป๋จิ่ง เขาตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋จะเป็นฝ่ายจูบเขาเอง เขายังคิดว่าเมื่อครู่ที่ตัวเองจูบมั่วไป๋กะทันหัน มั่วไป๋จะโกรธเขาขึ้นมาได้

 

 

ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ ในเมื่อคนเขาเป็นฝ่ายมาส่งให้ถึงที่ ถ้ายังไม่จูบตอบ ก็จะเป็นความผิดของเขาไปจริงๆ

 

 

เขายื่นมือไปดึงมือมั่วไป๋มา เปลี่ยนจากผู้รับเป็นผู้ให้ รวมอำนาจสิทธิ์ขาดไว้ในมือของตัวเอง

 

 

มั่วไป๋รีบใช้มือยันตัวไป๋จิ่งออก ทั้งสองคนห่างกันเพียงนิดเดียว

 

 

“พอแล้ว ฉันยังมีธุระ ขอตัวขึ้นไปก่อนแล้ว”  เจียงมู่เฉินยังอยู่ข้างบนห้องนะ

 

 

ไป๋จิ่งตัดใจปล่อยมั่วไป๋ไปไม่ได้ โอบรัดเข้าไว้ตลอด มั่วไป๋เห็นท่าทางเขาแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างจนใจ “นายปล่อยมือก่อน”

 

 

ไป๋จิ่งยังดึงดันดื้อรั้นอยู่ข้างๆ

 

 

“อยู่ต่ออีกสักพักนะ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง อาจจะไม่ได้มีเวลามาหาคุณ”

 

 

ซือเหยี่ยนออกจากบริษัทกะทันหัน เรื่องงานทุกอย่างก็โยนอยู่ที่เขาทั้งหมด ช่วงเวลานี้เขายุ่งจนกระดิกไปไหนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

 

 

มั่วไป๋เห็นแววตาเล็กๆ ของเขา ก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้”

 

 

ที่สุดแล้วเขาก็ยังคงไม่ได้ผลักไป๋จิ่งออก

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ในรถ ไป๋จิ่งฉวยโอกาสตอนที่มั่วไป๋อยู่ด้วย แอบขโมยจูบไปได้ไม่น้อยทีเดียว แบบนี้ถึงได้อิ่มอกอิ่มใจพามั่วไป๋ไปส่งขึ้นชั้นบน

 

 

ออกจากลิฟต์มา ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋เตรียมจะเปิดประตูในใจก็สั่นไหว จับเขาจูบอีกสักรอบ

 

 

ขามั่วไป๋อ่อนแรงบ้างแล้ว ดึงแขนเสื้อของไป๋จิ่งไว้แน่น ในใจเขาฝืนยิ้มอย่างจนใจ ที่แท้หลายปีมาขนาดนี้แล้ว เขาก็ยังคงไม่มีแรงต้านทานสัมผัสจูบของไป๋จิ่งแม้แต่นิดเดียว

 

 

จูบตามอำเภอใจแบบนี้ เขาก็ยกมือยอมจำนนแล้ว

 

 

หลังพายุฝนโหมกระหน่ำ ก็จะมีฝนโปรยปรายเจือจางอีกครั้ง เพียงชั่วขณะความรู้สึกอบอุ่นรุนแรงได้เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน

 

 

มั่วไป๋ถูกแววตาอันรุ่มร้อนของเขามองมาจนหัวใจบีบคั้น

 

 

เขากำมือแน่น พยายามทำให้ตัวเองฟื้นคืนกลับมาสู่สภาพปกติ อย่าให้การกระทำเช่นนี้ของไป๋จิ่งหลอกให้ลุ่มหลงได้

 

 

ไป๋จิ่งเป็นคนแบบไหน เขารู้แจ้งแก่ใจดีกว่าใคร

 

 

เวลานี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นกับนายเพียงน้อยนิด เวลาต่อไปก็จะตัดเยื่อใยอย่างไร้ความปรานีได้

 

 

เขาเคยตกหลุมพรางมาแล้วครั้งหนึ่ง จะมาโดนหลอกอย่างโง่ๆ อีกครั้งไม่ได้

 

 

มั่วไป๋ผลักเขาออก เอ่ยเสียงต่ำ “พอได้แล้ว ดึกแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

 

 

ไป๋จิ่งถอนหายใจ “อยากจะห่อคุณกลับไปด้วยจริงๆ”

 

 

รอยยิ้มฉายสะท้อนขึ้นมาในแววตามั่วไป๋วาบหนึ่ง “ได้สิ รอนายทำงานของนายเสร็จแล้ว นายก็มาห่อฉันกลับไป”

 

 

ไป๋จิ่งตาลุกวาว ไม่ค่อยกล้าจะเชื่อเท่าไหร่ “คุณพูดจริงๆ เหรอ พาคุณไปได้จริงๆ เหรอ”

 

 

“ถ้านายอยากพาไปด้วย ก็ได้อยู่แล้ว”

 

 

ไป๋จิ่งก้มลงจูบเขาฟอดหนึ่ง “มั่วไป๋ ไม่งั้นคุณย้ายมาอยู่กับผมไหม” เขากลัวมั่วไป๋เข้าใจผิด จึงรีบเอ่ยต่อ “หรือว่าให้ผมย้ายเข้ามาอยู่กับคุณ”

 

 

มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ “ย้ายไปอยู่กับนาย…”

 

 

ไป๋จิ่งรอคำตอบของมั่วไป๋อย่างกระวนกระวายใจ หายใจแรงๆ ยังไม่กล้าเลย

 

 

“ก็ไม่ใช่ไม่ได้”

 

 

บรรยากาศเงียบลงสองวินาที ไป๋จิ่งชะงักงันมองเขาอย่างไม่น่าเชื่อ นัยน์ตาทอประกายความดีใจแทบบ้า

 

 

เขากุมมือมั่วไป๋ไว้แน่น “งั้นถือว่าคุณพูดแล้วนะ ผมจะรีบจัดการเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แล้วจะมาช่วยคุณย้ายบ้านนะ”

 

 

“ได้” มั่วไป๋จูบเขาครู่หนึ่ง “รีบกลับไปเถอะ เดินทางปลอดภัย ระมัดระวังด้วย”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋รับปากแล้ว ก็เบิกบานไปทั่วทั้งหัวใจ ครั้งนี้มั่วไป๋ให้เขากลับไปก่อน เขาแทบจะปล่อยมืออย่างไม่ลังเล

 

 

           “โอเค งั้นผมกลับไปก่อนแล้ว รีบพักผ่อนนะ”

 

 

           จนกระทั่งไป๋จิ่งออกไปแล้ว สีหน้ามั่วไป๋ก็เย็นชาเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จืดจางลง ถึงได้ยื่นมือเปิดประตูเข้าไป

ตอนที่ 260 เขาเป็นแฟนของผม

 

 

           “ครั้งนี้ผมเองเป็นฝ่ายหาร่องรอยของซือเหยี่ยนเจอ พูดโน้มน้าวใจเขาให้กลับมากับผม” ซูเตอร์ยิ้มหัวเราะ “อาเรย์ อาวางใจเถอะ ซือเหยี่ยนเขาไม่มีอะไรอย่างอื่นหรอกครับ”

 

 

           เรย์มอนขมวดคิ้ว ยังคงไม่ค่อยวางใจ แต่เห็นท่าทีของซูเตอร์ก็ทำได้แค่พยักหน้า “โอเค นายก็อย่าคิดมากด้วย ไปพักผ่อนก่อนเถอะ หลังจากนี้ยังมีเรื่องอีกไม่น้อยที่ต้องจัดการ”

 

 

           ซูเตอร์พยักหน้า “งั้นอาเรย์ ผมขอตัวก่อนนะครับ”

 

 

           เขาออกจากโถงทางเข้า ก่อนจะกลับห้องไป ก็แวะไปที่ห้องของซือเหยี่ยนก่อน เขายืนอยู่หน้าประตู เคาะประตูเรียก “เหยี่ยน ฉันเอง”

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนเอ่ยรับเสียงต่ำ ถึงได้เปิดประตูเข้าไป

 

 

           “คือว่าฉันอยากมาดูว่ากำลังพักผ่อนอยู่หรือเปล่า วันนี้เหนื่อยมากแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ” รอยยิ้มนิดๆ ของซูเตอร์ดูเหมือนไม่มีพิษภัยอะไรมากมาย

 

 

           ซือเหยี่ยนเปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆ สบายๆ ทรงผมดูยุ่งๆ นิดหน่อย ดูเหมือนว่าควรจะเพิ่งลุกจากเตียงขึ้นมา

 

 

           สายตาซูเตอร์จับจ้องตรงหน้าอกของซือเหยี่ยนที่เผยออกมาให้เห็น มองค้างอยู่อย่างนั้นไม่อาจหักใจจากไปได้อยู่พักหนึ่ง

 

 

           “ผมสบายดีทุกอย่าง คุณซูเป็นยังไงบ้าง”

 

 

           “อาการบาดเจ็บของพ่อฉันค่อนข้างสาหัส จำเป็นต้องพักผ่อนอย่างสงบ” เอ่ยถึงซูแวน เขาดูเหมือนค่อนข้างจะช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านี้ ซูเตอร์ยื่นมือไปจับมือของซือเหยี่ยนไว้ “เหยี่ยน ยังดีที่เวลานี้นายอยู่ข้างกายฉัน ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้วจริงๆ”

 

 

           ซือเหยี่ยนชักมือกลับมา เอ่ยปลอบใจ “วางใจเถอะ คุณซูต้องไม่เป็นไรแน่นอน”

 

 

           โดนซือเหยี่ยนปฏิเสธอีกครั้ง เขาเองก็ไม่มีอะไรไม่สบายใจ ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนก็เลิกกับเจียงมู่เฉินแล้ว ตอนนี้ปฏิเสธเขาก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วสักวัน ซือเหยี่ยนต้องมาคบกับเขาจนได้

 

 

           “งั้นเหยี่ยน นายพักผ่อนดีๆ ล่ะ ฉันขอตัวกลับไปก่อน ไม่รบกวนนายแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “อืม โอเค”

 

 

           เพียงไม่นานซูเตอร์ก็หมุนตัวหันกลับเดินออกไป หลังจากซือเหยี่ยนมองตามแผ่นหลังของเขาไปจนลับตา ก็ปิดประตูใส่กลอนลงทันที

 

 

           …… 

 

 

           เช้าวันต่อมา มีเสียงอึกทึกโครมครามดังไปทั่วทั้งโถงทางเข้า ซือเหยี่ยนเดินออกมาจากห้องพักที่อยู่ด้านหลังก็ได้ยินเสียงคนกำลังพูดคุยกัน

 

 

           “ในที่สุดนายก็กลับมาแล้ว อารองเอาแต่คิดถึงนาย”

 

 

           ซูเวลล์ อารองของซูเตอร์

 

 

           ซูเตอร์ยิ้มหัวเราะ “หลายวันมานี้ลำบากอารองแล้ว แต่ว่าตอนนี้ผมก็กลับมาแล้ว มีเรื่องอะไรก็จะพยายามแบ่งเบาภาระช่วยอารอง วันหน้าจะได้ไม่ต้องรบกวนอารองมากเกินไป”

 

 

           ซูเวลล์ฉีกยิ้มมุมปาก แต่ในแววตากลับไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย

 

 

           ซือเหยี่ยนดูสถานการณ์แล้วเดินเข้ามาจากด้านหลัง ซูเตอร์เห็นซือเหยี่ยนก็รีบเอ่ยเรียกทันที “เหยี่ยน ท่านนี้คืออารองของฉันเอง”

 

 

           “คุณซูเวลล์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

 

 

           ซูเวลล์หรี่ตาลง “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

 

 

           ตอนนั้นซือเหยี่ยนเป็นบอดี้การ์ดให้ซูเตอร์ พวกเขาต่างก็รู้เรื่องนี้ดีเป็นธรรมดา ตอนนั้นซือเหยี่ยนได้ช่วยชีวิตของซูแวนไว้ เพื่อเป็นการขอบคุณเขา ซูแวนจึงถามว่าเขาต้องการจะมาอยู่แก๊งมังกรครามด้วยหรือเปล่า

 

 

           สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซือเหยี่ยนก็มาอยู่เป็นบอดี้การ์ดของซูเตอร์ แต่ที่ซือเหยี่ยนต่างจากคนรอบข้างคนอื่นๆ คือเขาเป็นอิสระ ถ้าอยากจะมาอยู่ในแก๊งมังกรครามก็มาได้เลย

 

 

           ถ้าอยากจะไป เมื่อไหร่ก็ไปได้ทั้งนั้น คนในแก๊งมังกรครามไม่ว่าจะระดับชั้นไหนต่างก็เข้าไปก้าวก่ายไม่ได้

 

 

           ดังนั้น หลังจากที่ซือเหยี่ยนเดินออกไปจากแก๊ง ก็ไม่มีใครเคยไปตามหาซือเหยี่ยน

 

 

           เพียงแต่คิดไม่ถึง ว่าหลายปีมานี้เขาจะกลับมาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญแบบนี้จนได้

 

 

           “ผมพาเขากลับมาเองแหละครับ อารอง ตอนนี้สถานการณ์ในแก๊งมังกรครามไม่มั่นคง ผมอยากให้เหยี่ยนมาปกป้องอยู่ข้างกายผมเหมือนกับเมื่อก่อน อีกอย่างผมเองจำเป็นต้องให้เขาช่วยทำให้สถานการณ์มั่งคงด้วยครับ”

 

 

           ซูเวลล์ขมวดคิ้ว “ซูเตอร์ นายเป็นลูกชายคนเดียวของพี่ใหญ่ การที่นายเข้าควบคุมดูแลงานในแก๊งเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถึงยังไงซือเหยี่ยนก็เป็นคนนอก จะให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับแก๊งมังกรครามได้ยังไง”

 

 

           ซูเตอร์มองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง รีบเอามือคล้องแขนของเขาไว้ “อารองยังไม่รู้ ว่าเขาเป็นแฟนของผม เข้ามาช่วยผมก็เรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว”

 

 

 

 

ตอนที่ 261 เริ่มจะยอมรับเขาแล้ว

 

 

           ซูเวลล์สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “เจ้าเตอร์ นี่นายหมายความว่าไง”

 

 

           “เมื่อก่อนผมก็ชอบซือเหยี่ยนมาตลอด เพียงแต่ว่าต่อมาเขามีเรื่องทำให้ต้องจากไป ดังนั้นหลายปีมานี้ผมจึงเอาแต่ตามหาเขา ครั้งนี้ที่ออกจากแก๊งมังกรครามไปก็เพื่อตามหาเขา จะว่าไปครั้งนี้ผมโชคดีใช้ได้เลยครับ” ซูเตอร์มองซือเหยี่ยนอย่างอ่อนโยน ยิ้มไป อธิบายไป

 

 

           “นาย” ซูเวลล์ถอนหายใจ “นายทำได้ยังไง…เฮ้อ”

 

 

           สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

 

 

           หลังจากซูเตอร์เห็นซูเวลล์เดินจากไปแล้ว เขาก็รีบปล่อยมือลงมองซือเหยี่ยนอย่างซื่อๆ “ขอโทษนะ ฉันก็แค่ไม่อยากให้อารองเพ่งเล็งนาย ถึงได้พูดแบบนี้ ฉันไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น นายอย่าโกรธฉันเลยนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเก็บมือเข้าไป ลูบบริเวณที่โดนซูเตอร์จับจนยับ เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร”

 

 

           ซูเตอร์นัยน์ตาลุกวาว ถึงแม้ว่าซือเหยี่ยนจะยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย  แต่คำพูดที่เขาพูดเมื่อกี้นี้หมายความว่าไง

 

 

           ‘ถือว่าซือเหยี่ยนกำลังเริ่มจะยอมรับเขาแล้วใช่ไหม’

 

 

           หลังจากกลับแก๊งมังกรครามมาแล้ว เรื่องงานมากมายทั้งหมดนั้นส่งไว้ในมือของซูเตอร์ แล้วซือเหยี่ยนเองก็ห่างกายซูเตอร์ไม่ได้ไปโดยปริยาย ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ทั้งสองคนก็จะเป็นเงาตามตัวกันอยู่เสมอ

 

 

           เดิมทีเรย์มอนยังรู้สึกว่ามีบางที่ที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ แต่เห็นความต้องการอันแรงกล้าของซูเตอร์แล้ว สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ จำใจต้องรับปาก

 

 

           เพียงแต่ว่าจิตใจที่คอยระแวดระวังที่มีต่อซือเหยี่ยนของเรย์มอนไม่เคยวางลงได้มาจนถึงตอนนี้ ยังแอบจับจ้องซือเหยี่ยนอยู่เสมอ

 

 

           เพียงแต่ว่ามีซูเตอร์ขวางอยู่ จึงไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนขนาดนั้น

 

 

           เบื้องหน้าซูเวลล์มอบงานมากมายส่งให้ซูเตอร์ มีหลายเรื่องที่ตัวเองไม่ออกหน้าอีก แต่ความเป็นจริงแล้วงานที่เขาส่งออกมาก็แค่ดูเสมือนความเป็นจริง กลับเป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายอะไร

 

 

           แต่เรื่องที่สำคัญพวกนั้น ทั้งหมดยังควบคุมอยู่ในมือของเขา

 

 

           ซูเตอร์รู้ว่าอารองคนนี้ใจไม่ไปทางเดียวกันกับพ่อเขา เพียงแต่ว่าติดขัดอยู่ที่ยังหาหลักฐานที่ชัดเจนไม่ได้มาเสมอ จึงจำใจต้องรักษาความสงบที่เบื้องหน้าไปชั่วคราวก่อน

 

 

           ถึงอย่างไรซูเตอร์ก็เป็นลูกคนเดียวของซูแวน เติบโตมาอยู่ในแก๊ง ทั้งยังมีเรย์มอนคอยช่วยเหลือ ถ้าต้องมาเทียบกับซูเวลล์จริงๆ กลับไม่ได้ห่างชั้นกันเท่าไหร่นัก

 

 

           ซูเวลล์เห็นซูเตอร์กลับมา ในใจก็กระวนกระวายนิดหน่อย เลี่ยงไม่ได้ที่อยากจะลงมือให้เร็วที่สุด จะได้ไม่รอจนอิทธิพลฝั่งซูเตอร์ใหญ่โต ถึงเวลานั้นเขาจะลงมือก็ไม่มีโอกาสอะไรแล้ว

 

 

           คนในตระกูลซูล้วนคดในข้องอในกระดูกด้วยกันทั้งสิ้น

 

 

            ……

 

 

           “คืนนี้จะไปไหน” เฉิงฉีมองเจียงมู่เฉิน “ไม่คิดจะกลับไปเร็วหน่อยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “อย่าเลย ช่วงนี้แม่ฉันกำลังหาเรื่องนัดดูตัวให้ฉันอยู่ ขืนกลับไปเร็วโดนจับไว้ต้องพูดอีก”

 

 

           “เมื่อก่อนก็ยังดีๆ กันอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงอยากจะนัดดูตัวให้นายได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะ ดื่มเหล้าเข้าไปอึกหนึ่ง ไม่ได้อธิบายอะไร

 

 

           ‘จะเพราะอะไรได้ กลัวเขาจะรักผู้ชายเข้าอีกไง’ ดังนั้นถึงอยากจะรีบหาแฟนที่เป็นผู้หญิงให้เขา รีบแต่งงานมีลูก แก้ไขเรื่องในใจเธอก็เท่านั้นเอง

 

 

           “แต่ว่าช่วงนี้นายดูแปลกไปจริงๆ นะ ช่วงหนึ่งนายไม่ได้มาที่นี่เลย แล้วช่วงนี้ทำไมถึงมาได้ทุกวัน”

 

 

           “เอาเป็นว่าฉันค้นพบแล้ว ว่าชีวิตแบบอิสระตามใจตัวเองเข้ากันกับฉันมากกว่า”

 

 

           เฉิงฉีเห็นเขาดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อยแค่เพียงแป๊บเดียว ก็ค่อนข้างเป็นห่วงจึงหยุดมือของเจียงมู่เฉินไว้ “พอเถอะ นายดื่มไปเยอะแล้ว ดื่มอีกจะเมาแล้วนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มแล้วดึงมือของเขาออก “วางใจเถอะ เมาได้ก็ดีแล้ว” เขาต่างหากที่กลัวจะเมาไม่ไหว

 

 

           มั่วไป๋เดินเข้านายเยี่ยมาแวบแรกก็เห็นเจียงมู่เฉินก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้าอยู่ตรงนั้น เขาขมวดคิ้วเดินเข้าไปหยุดเจียงมู่เฉิน “เสียสติไปแล้วหรือไง นายดูว่านายดื่มไปเท่าไหร่แล้ว”

 

 

           เฉิงฉีมองมั่วไป๋แวบหนึ่ง ทั้งยังมองความสัมพันธ์ของเขาและเจียงมู่เฉิน แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

           “นายกับมู่เฉินเฉินเขา”

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยเสียงต่ำ “เพื่อน”

 

 

           เฉิงฉีกับมั่วไป๋ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของมั่วไป๋และเจียงมู่เฉิน เขากำลังเตรียมจะพูดก็เห็นเจียงมู่เฉินยื่นมือฉุดมั่วไป๋ให้เข้าไปหาอย่างกะทันหัน

ตอนที่ 258 กลับแก๊งมังกรคราม  

 

 

           ตั้งแต่เจียงมู่เฉินกลับมาบ้านตระกูลเจียงก็โดนกักบริเวณให้อยู่แต่ในคฤหาสน์ ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น  

 

 

           วันๆ เขาอยู่ในห้อง นอกจากนอนหลับก็ใจลอย นอกจากเงียบไม่พูดจาแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม  

 

 

           คุณแม่เจียงเฝ้าอยู่ที่คฤหาสน์ตลอดวัน มือถือของเจียงมู่เฉินถูกเธอเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว ตัดการสื่อสารอินเทอร์เน็ตทั้งหมดทุกอย่าง นอกจากเธอก็ติดต่อใครข้างนอกไม่ได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนตัวลงนอนบนเตียง ลืมตาอย่างล่องลอย นัยน์ตาดอกท้อคู่เดิมที่เบิกบานสดใสในวันวานสงบนิ่งราวกับน้ำตายก็ไม่ปาน  

 

 

           เขาเหมือนกับหุ่นกระบอก ปฏิกิริยาตอบสนองอะไรก็ไม่มี  

 

 

           คุณแม่เจียงยกจานผลไม้มายืนอยู่หน้าประตู เธอเคาะประตูอยู่ตั้งนานก็ไม่มีการตอบรับ ในใจคุณแม่เจียงเป็นทุกข์ในที่สุดก็ยื่นมือผลักประตูเปิดเข้าไป  

 

 

           เจียงมู่เฉินยังคงอยู่ในท่าเดิม ไม่ขยับเขยื้อน แม้แต่คุณแม่เจียงเข้ามาก็ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร  

 

 

           คุณแม่เจียงเห็นเขาเป็นแบบนี้ ในใจก็ปวดร้าว ถึงอย่างไรก็เป็นลูกชายที่ทั้งรักทั้งเอ็นดูมาตั้งแต่เล็กจนโต เนื้อชิ้นหนึ่งหลุดออกมาจากตัว จะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร  

 

 

           เธอวางผลไม้ลงข้างเตียง เอ่ยเสียงต่ำ “เฉินเฉิน มากินผลไม้สักหน่อยเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่มีท่าทีตอบสนอง ราวกับไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           คุณแม่เจียงถอนหายใจ “แม่รู้ว่าลูกเคืองใจแม่ แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับซือเหยี่ยน มันไม่ถูกต้อง แม่ลืมตามามองลูกเดินผิดเส้นทางไม่ได้”  

 

 

           “แม่เข้าใจว่าลูกโตแล้ว มีคนที่ชอบได้ แต่ลูกชอบใครไม่ชอบ ลูกดันมาชอบซือเหยี่ยน”  

 

 

           เธอยื่นมือไปเกลี่ยผมข้างหูที่ยาวขึ้นแล้วของเจียงมู่เฉิน  

 

 

           “แม่มีลูกชายแค่ลูกคนเดียว ลูกก็เห็นใจให้อภัยแม่ได้ไหม”  

 

 

           ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร เจียงมู่เฉินก็มีแค่ท่าทีตอบสนองเดียว สุดท้ายเขาก็ขยับตัวหันหลังให้คุณแม่เจียง  

 

 

           “แม่ครับ แม่ให้ผมอยู่เงียบๆ ได้ไหม” เจียงมู่เฉินที่ไม่ได้เอ่ยปากมานาน เสียงแหบแห้งอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

           เสียงราวกับปลายปากกาขีดจนกระดาษทะลุไม่มีผิด  

 

 

           คุณแม่เจียงใจสั่นเทารีบยืนขึ้นขึ้นมา เธอเช็ดน้ำตาที่หางตาออก “ได้ แม่จะออกไปเดี๋ยวนี้ ลูกพักผ่อนดีๆ นะ”  

 

 

           หลังจากคุณแม่เจียงออกไป เจียงมู่เฉินกะพริบดวงตาที่ค่อนข้างบอบช้ำ เวลาผ่านไปนาน เขาก็ลุกยืนขึ้นจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำไป  

 

 

           ก็แค่เลิกกันเท่านั้นเอง เขาควรจะฟื้นคืนกลับสู่สภาพปกติได้แล้ว  

 

 

           จะมามัวนั่งเศร้าเสียใจไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพราะเรื่องซือเหยี่ยน เรื่องแบบนี้เขาเจียงมู่เฉินทำไม่ได้  

 

 

เจียงมู่เฉินเช็ดหน้าเช็ดตา คุณชายน้อยแห่งตระกูลเจียงผู้สง่าผ่าเผยก็ควรจะกลับมาแล้ว  

 

 

           อีกฝั่งหนึ่ง เครื่องบินที่บินขึ้นจากถานโจวก็กำลังลงจอดพอดี ซือเหยี่ยนในชุดดำทั้งตัวและซูเตอร์เดินออกมาอย่างช้าๆ  

 

 

           นอกสนามบินมีคนมารออยู่ก่อนหน้านี้หลายชั่วโมงแล้ว  

 

 

           “คุณชายน้อย คุณซือเหยี่ยน เชิญทางนี้ครับ”  

 

 

           ใบหน้าเย็นชาของซูเตอร์พยักรับ เดินเข้าไปนั่งในรถเก๋งสีดำพร้อมกับซือเหยี่ยน เพียงไม่นานรถก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวขับออกไป  

 

 

           แก๊งมังกรครามถือครองพื้นที่ใหญ่มาก บวกกับรากฐานหยั่งลึกหลายปีมานี้ที่มีแผ่ปกคลุมขยายไปทั่วทั้งแก๊ง  

 

 

           ซือเหยี่ยนอยู่ข้างกายซูเตอร์ ใบหน้าสงบนิ่งไม่มีความประหลาดใจใดๆ  

 

 

           การที่ซูเตอร์กลับมา สำหรับแก๊งมังกรครามแล้วนั้นเป็นเรื่องดี มีคนอยู่ไม่น้อยหลังจากเห็นซูเตอร์แล้ว ใบหน้าก็แสดงออกถึงความโล่งใจ  

 

 

           ตั้งแต่ที่ซูแวนโดนลอบทำร้ายกะทันหันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส คนในแก๊งมังกรครามทุกระดับชั้นก็อลหม่านวุ่นวายกันไปหมด ไม่กี่วันมานี้ต่างคนต่างสร้างเรื่องสร้างปัญหาอยู่ไม่น้อย  

 

 

           โชคดีที่เวลานี้ ในที่สุดซูเตอร์ก็กลับมาจนได้  

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นขืนสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ก็ไม่รู้ว่าในแก๊งจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้อีก  

 

 

           “อาเรย์ อาการของพ่อผมสองวันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” ‘เรย์มอน’ ผู้ช่วยมือฉมังของซูแวน  

 

 

            สมัยนั้นก็เป็นเรย์มอนที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมก่อร่างสร้างตัวให้แก๊งมังกรครามเดินมาถึงวันนี้ได้ หลายปีมานี้ฐานะของเขาในแก๊งมังกรครามก็เป็นรองแค่ซูแวนเท่านั้นมาโดยตลอด  

 

 

           คนในแก๊งทุกระดับชั้นก็ให้เกียรติและนับถือเขาอย่างยิ่ง แม้กระทั่งซูเตอร์เองก็เคารพเรย์มอนคนนี้เช่นกัน  

 

 

           เรย์มอนเห็นซูเตอร์ก็โล่งใจขึ้นนิดหน่อย “ยังดีที่นายกลับมา ไม่กี่วันมานี้พ่อนายเอาเรียกหานาย”  

 

 

           “ท่านอยู่ที่ไหนครับ ผมจะไปหาท่าน”  

 

 

           เรย์มอนเพิ่งจะนำซูเตอร์ไปข้างหน้า ก็เห็นซือเหยี่ยนข้างกายซูเตอร์พอดี เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยถาม “นี่ไม่ใช่…”  

 

 

             

 

 

        ตอนที่ 259 ไม่มีทางเลือกอื่น  

 

 

           ซูเตอร์พยักหน้า “คนนี้คือพี่ซือเหยี่ยน เมื่อก่อนโชคดีที่ได้เขาปกป้องผม”  

 

 

           เรย์มอนหรี่ตาลง สายตาอันเฉียบคมกวาดมองซือเหยี่ยน “ไม่ทราบว่าคุณซือมาปรากฏตัวที่นี่กะทันหันได้ยังไง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ซูเตอร์ก็ชิงตอบไปก่อน “ครั้งนี้ที่ผมไปถานโจวก็ตั้งใจจะไปหาพี่ซือเหยี่ยนโดยเฉพาะ ครั้งนี้ผมก็ตั้งใจเชิญพี่ซือเหยี่ยนมาช่วยผมด้วยครับ”  

 

 

           เรย์มอนยังคงไม่คลายความระแวง พินิจมองซือเหยี่ยนอย่างละเอียด  

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้แจ้งแก่ใจดี ถึงอย่างไรคนที่อยู่กับซูแวนมานานขนาดนี้ ถ้าไม่มีความสามารถอะไรแม้แต่นิดเดียวจริงๆ จะอยู่ในแก๊งมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร  

 

 

           “สวัสดีครับคุณเรย์ ผมซือเหยี่ยนครับ” เขาเอ่ยทักทายด้วยการวางตัวที่ไม่แสดงตัวต่ำต้อยและไม่แสดงตัวโอหัง ปล่อยให้เขาพิจารณาสังเกตเขาโดยไม่หวาดหวั่น  

 

 

           “อาเรย์ อารีบพาผมไปเจอพ่อที ผมเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของท่าน”  

 

 

           เดิมทีเรย์มอนอยากจะพินิจพิเคราะห์ในตัวซือเหยี่ยนต่อ แต่พอคิดว่าคนก็มาแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเร่งรัดในตอนนี้  

 

 

           “มา อาจจะพานายเข้าไป” เขาเรียกคนข้างๆ “พาคุณซือลงไปพักผ่อน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ เดินจากไปพร้อมกับคนนั้น  

 

 

           เวลานี้เองเรย์มอนถึงได้พาซูเตอร์เดินเข้าไปข้างใน “อาการบาดเจ็บของพ่อนายค่อนข้างสาหัส แต่ยังดีที่ไม่ได้ถูกจุดสำคัญ พักฟื้นดีๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร”  

 

 

           ซูเตอร์ฟังแบบนี้ถึงได้วางใจพยักหน้ารับ “งั้นก็ดีครับ ผมเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของท่านตลอดเลย”  

 

 

           ทั้งสองคนยิ่งเดินยิ่งไกลจนไม่ได้ยินเสียงแล้ว ดวงตาซือเหยี่ยนแน่วแน่ เดินไปยังห้องรับรองแขก  

 

 

           จู่ๆ เขามาปรากฏตัวกะทันหันตอนนี้ ต้องการจะได้รับความไว้วางใจยังไม่ค่อยจะง่ายดายเท่าไหร่นัก   

 

 

           ซือเหยี่ยนครุ่นคิด เขาจำเป็นต้องรีบทำเวลาให้ได้รับความไว้วางใจโดยเร็วที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นเวลายืดออกไปยิ่งนานยิ่งไม่เป็นผลดีกับเขา  

 

 

           แต่ยังดีที่ยังมีซูเตอร์ เขาสามารถอาศัยซูเตอร์ทำให้ตัวเองยืนอย่างมั่นคงอยู่ในแก๊งมังกรครามได้ชั่วคราว  

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนเข้าห้องพักไปแล้ว คนนั้นก็เดินจากไป เขายืนอยู่หน้าหน้าต่างมองออกไปข้างนอก ทั้งแก๊งมังกรครามราวกับคุกไม่มีผิด มีคนยืนเฝ้าอยู่ทุกมุม  

 

 

           ขณะนี้ซูเตอร์ไปเยี่ยมเยือนหาซูแวน สักพักหนึ่งคงจะยังไม่กลับมาได้ เขากดคลึงบริเวณขมับ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย  

 

 

           หลังจากวันก่อนที่เลิกกันกับเจียงมู่เฉิน เขาก็บอกซูเตอร์ว่าเขาตัดสินใจจะกลับมาแก๊งมังกรครามด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ถึงมาปรากฏพร้อมกันที่นี่ได้  

 

 

           เดิมทีเขาหาข้ออ้างที่เหมาะสมสำหรับเรื่องที่เขาต้องออกจากถานโจวสักระยะหนึ่งไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคุณแม่เจียงจะมาเจอมารับรู้เรื่องของเขากับเจียงมู่เฉินพอดี  

 

 

           ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ เขาจำใจต้องเล่นไปตามน้ำเลิกกับเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เขาจำเป็นต้องแก้ปัญหาเรื่องของซูเตอร์ ถึงจะอยู่กับเจียงมู่เฉินได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าไม่อย่างนั้นระหว่างพวกเขาก็จะมีระเบิดเวลาลูกหนึ่งขึ้นมาเสมอ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกจุดชนวนได้  

 

 

           เขาไม่มีทางจะทนนั่งดูเจียงมู่เฉินตกอยู่ในอันตรายอีกครั้งได้อีกแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนหลับตาลง ในหัวปรากฏภาพแววตาตัดเยื่อใยในวันนั้นลอยขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ในใจก็อดจะเจ็บกระตุกไม่ได้  

 

 

           การเลิกกับเจียงมู่เฉิน ก็เหมือนกับมีคนเอามีดมาเฉือนหัวใจเขาออกทีละนิดๆ ฉีกหัวใจของเขาออกมาทีละหน่อยๆ เหมือนการฆ่าให้ตายทั้งเป็น  

 

 

           ถึงแม้ว่าจะเจ็บจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น  

 

 

           ซือเหยี่ยนอดจะคิดไม่ได้ และก็ไม่รู้ว่าสองวันที่เขาจากมา เจียงมู่เฉินจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว  

 

 

           คนดื้อรั้นหัวแข็งอย่างเจียงมู่เฉิน โดนเขาทำให้เจ็บขนาดนี้ คงจะยังเดินหน้าไปไหนไม่ได้ยิ่งกว่าเขา  

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ หวังแค่ว่าเจียงมู่เฉินจะอยู่ปลอดภัยดีทุกอย่างอยู่ที่ถานโจว  

 

 

           ……  

 

 

           หลังจากซูเตอร์ไปเยี่ยมซูเหวินเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาจากห้องนอน เรย์มอนมองตามแผ่นหลังซูเตอร์ไปก็อดไม่ได้ที่จะเรียกให้เขาหยุดก่อน “เจ้าเตอร์”  

 

 

           “อาเรย์”  

 

 

           “นายมานี่ที อามีเรื่องอยากจะถามนาย” เรย์มอนยืนอยู่ข้างๆ เสียงต่ำเอ่ยเรียก   

 

 

           ซูเตอร์เดินเข้าไป “อาเรย์ อาอยากถามผมเรื่องซือเหยี่ยนสินะครับ”  

 

 

           “นายรู้ก็ดี ตอนนั้นเขาจากไปอย่างคลุมเครือ ตอนนี้จู่ๆ กลับมากับนายได้ นายไม่เคยจะสงสัยเลยเชียวเหรอ” เขารู้สึกระแวงซือเหยี่ยนมากอย่างยิ่งมาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้  

ตอนที่ 256 ทางเลือกที่ยากลำบาก  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแม่เขาค้านหัวชนฝาถึงขั้นนี้ ก็ค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว เขาคิดว่าตามความชอบที่คุณแม่เจียงมีต่อซือเหยี่ยน จุดนี้ก็ควรจะไม่ได้เสียใจขนาดนั้น  

 

 

           แต่เห็นคุณแม่เจียงในวันนี้ เจียงมู่เฉินถึงได้เข้าใจ ต่อให้คุณแม่เจียงจะชอบซือเหยี่ยนอีกสักแค่ไหน แต่ในความสัมพันธ์ประเภทนี้ เธอไม่มีทางจะยอมรับได้เป็นธรรมดา  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองคุณแม่เจียงด้วยใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่เองก็ชอบซือเหยี่ยนเอามากๆ เขาอยู่ที่บ้านเรากับลูกชายของแม่ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง ทำไมแม่ถึงไม่เห็นด้วยล่ะครับ”  

 

 

           คุณแม่เจียงขอบตาแดงก่ำ เธอพยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่อยากระเบิดออกมา พยายามแสดงออกถึงความเป็นคนที่พอมีเหตุผลอยู่บ้างเล็กน้อย  

 

 

           “เจียงมู่เฉิน ลูกมาหาแม่ ตั้งแต่วันนี้ไปกลับบ้านเราไปกับแม่”  

 

 

           “แม่ครับ ที่นี่ก็เป็นบ้านของผมเหมือนกัน”  

 

 

           “หยุดพูด มีแค่บ้านตระกูลเจียงเท่านั้นถึงจะเป็นบ้านของลูก” ในที่สุดคุณแม่เจียงก็ทนไม่ได้ เอ่ยตวาดออกมา  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นคุณแม่เจียงอารมณ์เดือดดาล ก็รีบดึงเจียงมู่เฉินเข้าหาตัว อยากจะปลอบโยนเขา แต่คุณแม่เจียงกลับเห็นมือที่พวกเขาสอดประสานกันอยู่ฉากนี้พอดี  

 

 

           เธอรีบพุ่งตัวมากระชากมือของทั้งสองคนแยกออกจากกัน “ปล่อยมือ ปล่อยมือ ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกลัวจะทำให้คุณแม่เจียงบาดเจ็บ จึงจำใจต้องปล่อยมือเจียงมู่เฉินชั่วคราว เขามองคุณแม่เจียง เอ่ยชี้แจงด้วยความนอบน้อมและจริงใจ “น้าเจียงครับ ผมกับเฉินเฉินชอบกันด้วยใจจริงนะครับ”   

 

 

           คุณแม่เจียงยิ้มเยาะ “ชอบกันด้วยใจจริง?” เธอมองซือเหยี่ยน “น้าเองก็ชอบเราด้วยใจจริง แต่เราล่ะ ไม่ปริปากพูดสักคำก็ทำให้ลูกชายเพียงคนเดียวของน้าเบี่ยงเบน…  

 

 

           …ซือเหยี่ยน เราไม่ละอายใจต่อความรักความชอบที่น้ามีต่อเรามาหลายปีขนาดนี้บ้างเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินฟังไม่เข้าหู รีบออกปาก “แม่ครับ นี่มันไม่เกี่ยวกับซือเหยี่ยนเลย ผมเป็นฝ่ายชอบเขาก่อน และก็เป็นผมที่ต้องการให้เขามาคบกับผม ถ้าแม่จะโทษก็โทษผม”  

 

 

           เวลานี้คุณแม่เจียงฟังประโยคใดใดไม่เข้าหูโดยสิ้นเชิง เธอได้ยินคำพูดปกป้องซือเหยี่ยนได้เต็มปากเต็มคำของเจียงมู่เฉิน ก็ยกฝ่ามือขึ้นมาฟาดใส่เจียงมู่เฉินฉาดใหญ่อย่างรุนแรง  

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนตบจนหน้าหันไปอีกฝั่ง ไม่ค่อยกล้าจะเชื่อ หลายปีมานี้แม่เขารักใคร่เอ็นดูเขา ไม่เคยลงไม้ลงมือกับเขาแม้แต่ปลายเล็บ  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นรอยแดงบนใบหน้าของเจียงมู่เฉิน หัวใจก็อดจะบีบคั้นไม่ได้ ฝ่ามือเดียวยังเจ็บกว่าเฆี่ยนตีไปบนตัวเขา  

 

 

           คุณแม่เจียงมองดูมือตัวเอง รู้ว่าทุกอย่างที่ทำไป เธอสูญเสียการควบคุมไปแล้ว ในใจนึกเสียใจทีหลังอยู่ไม่เบา แต่ในเมื่อฟาดไปแล้ว เวลานี้พูดอะไรไปก็ชดเชยคืนมาไม่ได้  

 

 

           เธอหลับตาลงด้วยความยากลำบาก มองไปทางเจียงมู่เฉินอีกครั้ง แล้วเอ่ยเน้นคำต่อคำ “แม่จะพูดกับลูกเป็นครั้งสุดท้าย กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดิมทีเขาคิดจะค้านหัวชนฝาให้ถึงที่สุด อยากจะสู้จนแม่เขาใจอ่อน  

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับส่ายหัวอยู่ด้านข้าง…  

 

 

           เจียงมู่เฉินใจสั่นสะท้าน ตัวเองอยู่ต่อหน้าเขาและต่อหน้าแม่เขาแบบนี้ ในใจซือเหยี่ยนเองก็ไม่อาจจะสบายได้ หลายปีมานี้แม่เขาทั้งรักทั้งเอ็นดูซือเหยี่ยนเหมือนลูกคนที่สองมาตลอด  

 

 

           เวลานี้เรื่องของพวกเขาสองคนโดนคุณแม่เจียงจับได้แบบนี้ จะสักเพียงใดก็ยากจะยอมรับได้  

 

 

           คุณแม่เจียงมองเจียงมู่เฉินด้วยอารมณ์เดือดดาล “วันนี้แม่มีสองทางเลือกให้ลูก ต้องการแม่กับของลูก หรือต้องการซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินลูกต้องเลือกด้วยตัวเองแล้ว”  

 

 

           ‘ทางหนึ่งคือซือเหยี่ยน อีกทางหนึ่งคือคุณพ่อเจียงและคุณแม่เจียง เขาจะเลือกได้ยังไง’  

 

 

           “แม่ แม่อย่าบีบบังคับผมสิ” เจียงมู่เฉินมองเธออย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาต้องการทั้งสองทางเลือก  

 

 

           “เจียงมู่เฉิน ลูกนั่นแหละบีบบังคับแม่!” คุณแม่เจียงตัวสั่นโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

           ทั้งสองคนต่างไม่มีใครยอมใคร กัดไม่ยอมปล่อยทั้งคู่ ซือเหยี่ยนกำมือแน่น เขาเอ่ยเสียงต่ำยุติเหตุการณ์ไม่ยอมอ่อนข้อนี้ลง  

 

 

           “น้าเจียง ให้ผมคุยกับเฉินเฉินสักคำจะได้ไหมครับ”  

 

 

           คุณแม่เจียงมองเขาแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ยังพยักหน้าให้อย่างไม่เต็มใจนัก  

 

 

           ซือเหยี่ยนลากเจียงมู่เฉินมาถึงบริเวณหลังรถ ห่างกับคุณแม่เจียงกั้นเพียงหนึ่งฝาผนัง เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าของเจียงมู่เฉิน เอ่ยถามเสียงเบา “เจ็บไหม”    

 

 

   

 

 

            ตอนที่ 257 พวกเราเลิกกัน  

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “แม่ฉันจะมีแรงได้สักเท่าไหร่ มีอะไรให้เจ็บ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนจ้องมองเขาชั่วครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงต่ำ “คุณกลับไปกับแม่คุณเถอะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้างถลึงตามองเขาด้วยความตกใจ “ซือเหยี่ยนนายหมายความว่าไง”  

 

 

           “ผมบอกว่า คุณกลับไปกับแม่คุณเถอะ” ซือเหยี่ยนเอ่ยซ้ำอีกครั้ง  

 

 

           เจียงมู่เฉินกำมือแน่นยืนอยู่ตรงนั้น อุณหภูมิทั่วร่างกายผันผวนถึงจุดต่ำสุด หัวใจเหมือนถูกคนจับมาบีบไว้แน่นสนิทจนหายใจไม่ออก เขาจ้องมองซือเหยี่ยนเอ่ยถามทีละคำ “นี่เป็นครั้งที่สองที่นายให้ฉันไปกับแม่ฉัน ซือเหยี่ยน นายรู้ไหม ถ้าครั้งนี้ฉันไปแล้ว ฉันจะกลับมาไม่ได้แล้วนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกดหน้าต่ำลง สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ดูสุขุมใจเย็นอย่างยิ่ง “ผมรู้”  

 

 

           “ถ้าอย่างนั้น…นายยังจะต้องการให้ฉันกลับไปกับแม่ฉันอีกเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองซือเหยี่ยน อยากจะจับพิรุธในตัวเขาสักนิด แต่สีหน้าอารมณ์ของซือเหยี่ยนสงบนิ่งเกินไป เขาดูอะไรไม่ออกสักอย่าง  

 

 

           ซือเหยี่ยนพูดอีกครั้ง “คุณควรจะกลับไป”  

 

 

           เจียงมู่เฉินปัดมือของเขาออก ถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองเขาอย่างเยือกเย็น “ซือเหยี่ยน ขอเพียงแต่วันนี้ฉันจากไป ก็จะเป็นสัญลักษณ์ว่าระหว่างพวกเราเลิกกันโดยสมบูรณ์”  

 

 

           เขาจ้องมองซือเหยี่ยนให้ลึกเข้าไปข้างใน “แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ นายก็ยังต้องการให้ฉันไป?”  

 

 

           นัยน์ตาของซือเหยี่ยนฉายสะท้อนความร้าวรานใจขึ้นมาวาบหนึ่ง เพียงไม่นานก็ถูกเขาหยุดยั้งเอาไว้ พลันสูญสลายไปในแววตา  

 

 

           เขาพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว แต่เสียงกลับเด็ดเดี่ยวผิดปกติ “ใช่ ผมหวังว่าคุณจะไป”  

 

 

           ได้ยินคำว่า ‘ใช่’ ของเขา ความคาดหวังในแววตาที่มีเหลือแค่เพียงน้อยนิดก็ดับสลายไม่เหลือชิ้นดี เขาเห็นใบหน้าของซือเหยี่ยน ก็รู้สึกน่าขันไม่เบาจนอดจะยกยิ้มมุมปากขึ้นไม่ได้  

 

 

           เพียงเสี้ยวนาทีเดียวที่โดนแม่เขาจับได้ ทั้งใจเขาก็คิดว่าจะต้องทำอย่างไรให้แม่เขาเห็นด้วยให้เขาได้คบกับซือเหยี่ยน  

 

 

           จะต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้แม่เขายอมรับซือเหยี่ยนได้  

 

 

           คิดว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะพูดจากโน้มน้าวใจแม่เขาได้  

 

 

           เขาเชื่อมาตลอด ว่าซือเหยี่ยนจะยืนอยู่ข้างเขาตรงนี้ตลอดไปได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็จะสนับสนุนเขาทุกอย่างได้ อยู่เป็นเพื่อนคอยพูดโน้มน้าวแม่เขาทีละนิดๆ  

 

 

           แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าคนที่เขาเชื่อมาตลอดว่าจะยืนอยู่ฝั่งนี้กับตัวเอง จะกลับลำเปลี่ยนไปยืนอยู่ฝั่งนั้นกับแม่ของเขาพูดโน้มน้าวใจตัวเอง…  

 

 

           พูดขึ้นมาก็ตลกไม่เบา เขาเชื่อมั่นทั้งใจ คิดว่าซือเหยี่ยนจะเหมือนกันกับเขาได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็จะไม่ปล่อยมือกันไปง่ายๆ  

 

 

           ‘แต่ตอนนี้ล่ะ’ เพียงแค่แม่เขารู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาแล้ว เพิ่งจะเริ่มคัดค้าน ซือเหยี่ยนก็ปล่อยมือแล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยน อยากรู้ว่าเนิ่นนานมาถึงเพียงนี้  ซือเหยี่ยนจริงใจกับเขาแค่ไหนกันแน่  

 

 

           หรือว่า ตั้งแต่ต้นจนจบซือเหยี่ยนไม่เคยรักเขาเลยสักนิด  

 

 

           ดังนั้นถึงได้พูดให้เลิกกันได้ง่ายดายขนาดนี้  

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น  เขาเจียงมู่เฉินชั่วชีวิตนี้ไม่เคยพลาดพลั้งเสียทีคนอื่นได้มากขนาดนี้เลย  

 

 

           มอบใจจริงส่งออกไปให้ กลับโดนซือเหยี่ยนทุบลงกับพื้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด  

 

 

           ‘นี่ก็คือคำว่าชอบที่ออกมาจากปากเขาเหรอ’  

 

 

           ‘เขาเจียงมู่เฉินไม่ต้องการ!’  

 

 

           “ซือเหยี่ยน ฉันจะถามนายอีกเป็นครั้งสุดท้าย”  

 

 

           “ทุกอย่างในวันนี้ที่นายพูดมาทั้งหมดออกจากใจจริงๆ เหรอ ต่อให้หลังจากนี้ระหว่างพวกเราไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ” เจียงมู่เฉินกำมือไว้ “ต่อให้หลังจากนี้นายกลับมาหาฉันอีก ฉันก็จะไม่ต้องการนายได้”  

 

 

           คำพูดอีกไม่กี่คำสุดท้าย ทุกๆ คำสำหรับเจียงมู่เฉินแล้วช่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน ราวกับต้องใช้แรงกำลังจากทั้งร่างกายถึงเค้นออกมาจากคอหอยได้ “ถ้าเป็นแบบนี้ นายยังต้องการให้ฉันไปอีกไหม”  

 

 

           เงียบไม่พูดจากันสั้นๆ เพียงไม่กี่นาที สำหรับเจียงมู่เฉินแล้วมันคือเวลาที่เนิ่นนานชั่วชีวิต…  

 

 

           เขาจดจำได้เพียงซือเหยี่ยนที่พยักหน้าอย่างไร้ความรู้สึก  

 

 

           ราวกับเป็นการใคร่ครวญครั้งสุดท้าย สำหรับซือเหยี่ยนแล้วไม่ต้องใช้เวลามากมาย ก็ให้คำตอบนี้ออกมาได้  

 

 

           “ผมยืนยัน”  

 

 

           สั้นๆ แค่สามคำ ก็เพียงพอจะทำให้เจียงมู่เฉินใจเสีย  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ ความเย็นชาปรากฏอยู่ในนัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันก็เห็นด้วยเช่นกัน”  

 

 

           เขาพูดจบก็หันกลับมุ่งหน้าเดินออกไป เดินไปได้ระยะห่างประมาณสามก้าว เขาก็หยุดลงกะทันหัน   

 

 

           น้ำเสียงเย็นชาดังทะลุออกมา “ซือเหยี่ยน พวกเราเลิกกัน ต่อไปจะไม่เจอกันอีก”  

 

 

           เขาพูดจบก็เดินจากไปโดยไม่เหลือเยื่อใยความรู้สึกเลยสักนิด  

 

 

           เพียงไม่นานเสียงสตาร์ทรถดังขึ้น รอจนกว่ารถเคลื่อนตัวออกไปลับตาแล้ว ซือเหยี่ยนถึงได้ค่อยๆ ขดตัวทรุดลงไปนั่งยองๆ  

 

 

           เหงื่อท่วมหน้าผากเขา ราวกับเจ็บปวดรวดร้าวถึงขีดสุดอย่างไรอย่างนั้น คนทั้งคนขดตัวลงรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ดูเหมือนจะแข็งทื่อเป็นพิเศษ ปรากฏให้เห็นความบิดเบี้ยวอยู่ในที  

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้ยืนขึ้นอย่างช้าๆ ใบหน้ากลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม  

 

 

           เพียงแต่ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นไร้เกลียวคลื่น ดุจดั่งน้ำตาย ไม่มีชีวิตชีวาอีกต่อไป…  

ตอนที่ 254 เปิดโหมดหึงหวง  

 

 

           “ทำไม คุณชายอย่างฉันรวยซะอย่าง อยากจะเปลี่ยนรถสักคัน ยังต้องให้นายอนุมัติด้วยเหรอ” เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปากเอ่ยหยอกล้อ  

 

 

           ท่าทางทะนงตัวของเขาทำเอาซือเหยี่ยนตลกไม่เบา  

 

 

           ในโลกนี้คงจะมีแค่เจียงมู่เฉินพูดคำพูดแสนเย่อหยิ่งทะนงตัวขนาดนี้ออกมาได้เต็มปากเต็มคำ  

 

 

           เขากุมมือเจียงมู่เฉินเอาไว้ “งั้นถ้าผมอยากจูงมือคุณก็ควรจะไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากคุณหรอกใช่ไหม”  

 

 

           ‘ว้าว นี่ไร้ยางอายแล้ว’  

 

 

           เจียงมู่เฉินอีกนิดจะกระอักเลือดออกมาแล้ว ใกล้จะโดนซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ตีป้อมจนจะแพ้แล้วจริงๆ  

 

 

           เขายืนพิงรถ ถลึงตาใส่อีกฝ่าย “นายยังหน้าไม่อายกว่านี้ได้อีกไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนลากอีกคนเข้าไปข้างใน “กับคุณแล้ว ผมหน้าไม่อายหรือเปล่า คุณเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “อะไรกัน เริ่มหุนหันพลันแล่นเร็วขนาดนี้เลยเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม “หุนหันพลันแล่นกับน้องสาวนายสิ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “คุณชายน้อยอย่างคุณพูดจาสุภาพหน่อยไม่ได้เหรอ”  

 

 

           “เหอะเหอะ” เจียงมู่เฉินหัวเราะเสียงเย็นไปสองที “ทำไม ตอนนี้รังเกียจที่คุณชายพูดจาไม่สุภาพแล้วเหรอ ยังไง มีคนใหม่แล้วรังเกียจคนใหม่แล้วใช่ไหม”  

 

 

           คนบางคนเปิดโหมดหึงหวงอีกแล้ว ซือเหยี่ยนอดจะใคร่ครวญไม่ได้ ถ้าเจียงมู่เฉินรู้เข้าว่าตัวเองกลับอเมริกาไปเป็นเพื่อนซูเตอร์ เกรงว่าเขาคงจะถือปืนมาตามฆ่าตัวเองแล้วจริงๆ  

 

 

           เขากุมขมับ รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจะจัดการได้ยากจริงๆ  

 

 

           ท่าทางลำบากใจของซือเหยี่ยนอยู่ในสายตาของเจียงมู่เฉิน เขาคิดว่าซือเหยี่ยนรู้สึกว่าคำพูดที่เขาเพิ่งถามไปทำให้เจ้าตัวลำบากใจ ทันใดนั้นก็โมโหจนทนไม่ได้ พลิกมือมากดคนติดผนังเอาไว้  

 

 

           “นี่ นายยังจะกล้าคิดจริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “อะไรกัน ตอนนี้ฉันควรจะรู้งานรีบจบกับนายเคลียร์ทางทุกอย่าง จะได้ให้นายไปหาคนอื่นใช่หรือเปล่า”  

 

 

           เขาซือเหยี่ยนไม่พูดจาเอาแต่จ้องมองเขา ก็อดจะกระทืบเท้าใส่อีกฝ่ายไม่ได้ “ถามนายอยู่นะ นายแม่งทำมาเป็นถือตัวอะไร”  

 

 

           ซือเหยี่ยนทำหน้าเสพสุขแม้โดนกดอัดติดกับผนัง เจียงมู่เฉินขบกรามรู้สึกว่า  เจ้าหมอนี่คงจะไม่ใช่พวกชอบโดนกระทำหรอกใช่ไหม  

 

 

           “ซือเหยี่ยน ถ้านายยังไม่พูดอีก คุณชายจะฆ่านาย”  

 

 

           เขาเห็นเจียงมู่เฉินถูกเขายั่วจนโมโหจริงๆ ก็อดจะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “เฉินเฉิน นี่คุณหึงแล้วเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังหึงอยู่ดีๆ จู่ๆ โดนซือเหยี่ยนพูดมาขนาดนี้ทำเอาใบหน้าเรียวเล็กแดงจัดในทันใด มือที่กดไหล่ซือเหยี่ยนไว้สั่นเทาขึ้นมา “ฉันหึง ฉันวุ่นวายขนาดนี้หรือไง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสตอนที่เขาคลายมือลง พลิกมือมากดเขาอัดติดกับรถ เจียงมู่เฉินตกใจกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบกลับ ร่างของตัวเองก็แนบชิดกับหน้าต่างรถแล้ว ขยับเขยื้อนไม่ได้สักนิด  

 

 

           “นายปล่อยฉันนะ” เจียงมู่เฉินร้อนใจจนเหยียดคิ้วขมวด  

 

 

           “คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย” ซือเหยี่ยนบอกเป็นนัยว่า ‘คุณไม่พูด ผมก็จะไม่ปล่อยมือเด็ดขาด’  

 

 

           “พูดอะไร คุณชายมีอะไรน่าพูดเหรอ” เจียงมู่เฉินจะไม่ยอมรับเรื่องที่ตัวเองหึงเรื่องนี้เด็ดขาด ยอมยืนเป็นกระต่ายขาเดียวอยากเป็นอิสระโดยเร็ว  

 

 

           ตัวเองโดนซือเหยี่ยนปราบให้พ่ายอยู่หลายครั้งหลายคราแบบนี้ เขาก็ไม่เชื่อแล้ว ตัวเองจะสู้ซือเหยี่ยนไม่ชนะจริงๆ เหรอ  

 

 

           เขาฉวยโอกาสตอนซือเหยี่ยนเผลอ พลิกมือไปจับมือของซือเหยี่ยน กลับโดนซือเหยี่ยนจับมือทั้งสองข้างแยกจากกันกดแนบติดกับหน้าต่างรถ  

 

 

           เขาถูกบีบบังคับจนชิดกับประตูรถ กระดุกกระดิกไม่ได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วยกเท้าถีบใส่ซือเหยี่ยน ครั้งนี้ไม่เหมือนวันก่อนที่แค่ถีบเล่นๆ ครั้งนี้เจียงมู่เฉินออกแรงอยู่ไม่น้อย  

 

 

            ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ เล็กน้อย หนีบขาเจียงมู่เฉินไว้อยู่กลางขาของตัวเอง  

 

 

           เขามองเจียงมู่เฉินอย่างขำๆ “เฉินเฉิน ในที่สุดผมก็พบแล้ว ว่าตอนนี้คุณไม่ว่าง่ายเลยสักนิด”  

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนทนร้องตะโกนออกมาไม่ไหว “นายปล่อยมือฉันก่อน คุณชายเจ็บมือ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินเขาร้องว่าเจ็บก็รีบออมแรงทันที กลัวว่าจะกดเจียงมู่เฉินไว้จนเจ็บขึ้นมาจริงๆ เจียงมู่เฉินดูสถานการณ์แล้ว นาทีที่เห็นเขาปล่อยมือ ทันใดนั้นก็พลิกมือกลับมาพยายามออกแรงจับอีกคนอัดชนกับรถคันข้างๆ  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 255 โดนจับได้แล้ว  

 

 

           “ซือเหยี่ยน เวลาปกตินายแอบกินอะไรมั่วซั่วลับหลังฉันใช่ไหม” แรงเยอะเหมือนวัวไม่มีผิด  

 

 

           ซือเหยี่ยนขำจนกะพริบตาปริบๆ “อะไรกัน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าผมเก่งมากเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “เก่งกับผีน่ะสิ”  

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนมืดลงเล็กน้อย  ดูท่าว่านี่คือถามเพราะข้องใจในสมรรถภาพของเขาสินะ โดนแฟนข้องใจแบบนี้ ต้องพิสูจน์ให้เห็นสักหน่อยน่าจะเหมาะสมใช่ไหม  

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาถลึงตามองซือเหยี่ยนอย่างไม่กลัวตาย “ฉันจะบอกนายให้นะ วันนี้คุณชายยังจะไม่พูดกับนายแล้ว มีความคิดเห็นไม่พอใจก็อดทนรอไปนะ”  

 

 

           “คุณชายหึงนาย? รอชาติหน้าเถอะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็เอนพิงรถไปเลย “เอาเถอะ ในเมื่อคุณไม่อยากหึงผม งั้นผมหึงคุณก็ได้”  

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง “นายหึงอะไรฉัน”  

 

 

           “เรื่องที่คุณคร่อมทับไป๋จิ่งเล่นลีลากับเขาที่บริษัทผม ผมยังไม่ลืมนะ”  

 

 

           “!” เจียงมู่เฉินตาลุก “ใครเล่นลีลากับเขา คุณชายอยากจะเล่นงานเขาจนตายต่างหาก โอเคไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วเล็กน้อย “อ่อ งั้นเรื่องที่คุณคร่อมทับอยู่บนตัวไป๋จิ่ง เป็นผมที่มองผิดไปแล้วใช่ไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขุ่นเคืองใจ เขาไปแก้แค้นไป๋จิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะถูกมองว่าไปลวนลามไป๋จิ่งแทน  

 

 

           ‘นี่ก็โรคจิตเกินไปจริงๆ แล้วไหม’  

 

 

           “ถึงยังไงฉันก็ไม่คิดอยากจะอะไรกับเขาอยู่แล้ว เขาส่งให้ฉัน ฉันก็รังเกียจไม่แยแสทั้งนั้น แล้วยังจะเล่นลีลากับเขาอีกเหรอ”  

 

 

           “ที่พูดอยู่ห้องทำงานผม คุณยังไม่ลืมใช่ไหม” ซือเหยี่ยนตัดสินใจเอ่ยเตือนเขา  

 

 

           ในสมองเจียงมู่เฉินฉายภาพเรื่องที่ตัวเองรับปากซือเหยี่ยนว่าจะขยับเอง ใบหน้าเรียวเล็กแดงปรี๊ด รีบโต้แย้ง “ฉันไม่เห็นจำได้เลยว่าตัวเองรับปากอะไรนายไป”  

 

 

           ‘ล้อเล่นอะไรกัน’ ตอนนี้คนอยู่ใต้มือเขาแล้ว เขาไม่พูด ซือเหยี่ยนจะทำอะไรเขาได้  

 

 

            ‘ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับเด็ดขาด’  

 

 

           รอยยิ้มฉายสะท้อนในแววตาซือเหยี่ยนขึ้นมาวาบหนึ่ง เขายกมุมปากขึ้น พยายามกดเสียงต่ำให้ถึงที่สุด “เฉินเฉิน เรื่องที่รับปากคนอื่นไว้ จะพูดแล้วกลับคำได้ยังไง”  

 

 

           “นั่นมันเป็นนายต่างหากที่บังคับให้ฉันรับปาก ฉันเป็นฝ่ายรับปากเองหรือไง”  

 

 

           “แต่ไม่ว่าจะยังไง ก็เป็นคุณเองที่เอ่ยรับปาก ถ้าผมพูดออกไปว่าคุณชายน้อยเจียงเป็นคนพูดแล้วคืนคำ ไม่รู้ว่า…” เขาจงใจพูดไม่จบประโยค เป็นการแสดงท่าทีข่มขู่เจียงมู่เฉิน  

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนขบกราม เขาเตรียมจะกัดซือเหยี่ยนหนักๆ แรงๆ สักคำ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้นมา  

 

 

           “ลูก พวกลูก…พวกลูกกำลังทำอะไรกัน”  

 

 

           เจียงมู่เฉินคลายมือเอียงหน้ามองเข้าไป คุณแม่เจียงยืนอยู่ไม่ไกลนัก มองพวกเขาสองคนด้วยความหวาดกลัว เจียงมู่เฉินใจกระวูบ รีบปล่อยมือแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง  

 

 

           “แม่…แม่มาได้ยังไงครับ”  

 

 

           คุณแม่เจียงนิ้วมือสั่นเทา เธอมองเจียงมู่เฉิน แล้วก็มองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง สายตาวนเวียนมองไปมาทั้งสองคน สุดท้ายก็มาหยุดลงที่เจียงมู่เฉิน  

 

 

           “เฉินเฉิน ลูกบอกกับแม่ที พวกลูกสองคนไม่ได้เป็นแบบที่แม่คิดแบบนั้น” ราวกับคุณแม่เจียงโดนโจมตีอย่างแรง ในเสียงมีความสั่นเครือเล็กๆ  

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าดำดิ่ง “น้าเจียงครับ…”  

 

 

            “เฉินเฉิน!” คุณแม่เจียงแผดเสียงเอ่ยตัดบทคำพูดของซือเหยี่ยน “ลูกพูดสิ ระหว่างพวกลูกสองคนมีความสัมพันธ์เป็นอะไรกันแน่”  

 

 

           ซือเหยี่ยนทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย ตอนนี้อารมณ์คุณแม่เจียงกำลังเดือดดาล อย่างไรก็ไม่ฟังคำพูดเขาอยู่แล้ว  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูคุณแม่เจียงที่ไม่กล้ายอมรับ แล้วมองดูซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างกาย ในใจจมดิ่งในห้วงความคิด ฉากนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องเผชิญหน้ากับมัน เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่คุณแม่เจียงมาเห็นก่อน ไม่ได้อยู่ในแผนของเขา  

 

 

           แต่ว่าขอเพียงแต่ได้อยู่ด้วยกันกับซือเหยี่ยน การสารภาพกับคุณแม่เจียงเป็นเรื่องที่  

 

 

           เขากุมมือของซือเหยี่ยนไว้อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ มองมาทางคุณแม่เจียง “แม่ครับ ผมกับซือเหยี่ยนมีความสัมพันธ์เป็นคนรักกันครับ”  

 

 

           เพล้ง! ปิ่นโตเก็บความร้อนในมือของคุณแม่เจียงร่วงหล่นลงพื้น น้ำแกงไก่ที่ตุ๋นมาอย่างดีหกกระจายบนพื้น  

 

 

           เธอหน้าเปลี่ยนสี มองทั้งสองคน “แม่ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด!”  

ตอนที่ 252 เอาตัวเข้าไปเสี่ยง

 

 

           “อืม ฉันต้องยืมกำลังจากฝั่งตำรวจ”

 

 

           ไมเคิลได้ยินก็ว่า “นายบ้าไปแล้ว ตอนนั้นจู่ๆ นายก็พูดว่าไม่ทำก็ไม่ทำ ท่านเชนพวกเขาโกรธนายแทบคลั่งเพราะเรื่องนี้ ตอนนี้นายกลับไปหาพวกเขา พวกเขาจะเชื่อนายง่ายๆ เหรอ”

 

 

           “วางใจเถอะ อย่างมากก็แค่อัดฉันระบายความแค้นเอง” ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “เพียงแต่อาจารย์ของฉันไม่แน่นอนว่าจะฟาดฉันได้ลงคอ”

 

 

           ไมเคิลรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างเป็นห่วงแทนซือเหยี่ยนไม่เบา เขาเป็นห่วงมากมายขนาดนั้น ซือเหยี่ยนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

 

 

           “โอเค งั้นพรุ่งนี้นายก็กลับมาพร้อมซูเตอร์เลยสินะ ถึงอเมริกาเมื่อไหร่ไว้เจอกันอีก”

 

 

           “หลังจากฉันถึงอเมริกาแล้ว จะเจอหน้านายไม่ได้ ฉันกลับไปกะทันหันแบบนี้ คนตระกูลซูต้องจับจ้องฉันไม่ให้คลาดสายตาอยู่แล้ว แต่ว่านายวางใจได้ มีโอกาสฉันจะเป็นฝ่ายติดต่อนายไปเอง”

 

 

           ไมเคิลพยักหน้า “โอเค งั้นนายก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น อย่าเกิดเรื่องเด็ดขาด”

 

 

           หลังจากจบการสนทนาทางวิดีโอไป ซือเหยี่ยนเอามือกุมขมับ เขาเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว  ตอนนี้จะบอกเจียงมู่เฉินยังไงดี

 

 

           ถ้าเจียงมู่เฉินรู้ว่าเขาเอาตัวเข้าไปเสี่ยง เขาไม่มีทางจะบอกให้เขาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

 

 

           ซือเหยี่ยนหลับตาลง ต้องคิดหาแผนที่รอบคอบรัดกุม ถึงจะทำให้เจียงมู่เฉินไม่สงสัยเขาได้

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินออกจากห้องทำงานของซือเหยี่ยนแล้ว ก็ขับรถมุ่งหน้าไปเจียงกรุ๊ป ช่วงเวลานี้เขาไม่ได้กลับบ้านเลย พ่อทนดูเฉยๆ ไม่ได้จึงให้เขาเข้ามารายงานตัวสักหน่อย

 

 

           เขาจอดรถบริเวณทางเข้าเจียงกรุ๊ป เมื่อลงรถไปก็เห็นรถคันข้างๆ ดูคุ้นตา ลักษณะเหมือนจะเป็นรถของซังจิ่ง

 

 

           หรือว่าเจ้าหมอนั่นก็อยู่ด้วย?

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยเข้าไป ตลอดทางไม่มีกีดขวางเส้นทางจนไปถึงหน้าประตูห้องทำงานของคุณพ่อเจียง เขาเคาะประตูอย่างมีมารยาทเป็นพิเศษ

 

 

           ถ้าหากว่าพ่อเขาทำเรื่องอะไรรุนแรงขึ้นมา ตัวเองก็ไม่สามารถไปปะทะกับท่านได้

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจเงียบๆ รู้สึกว่าตัวเองรู้ความที่สุดแล้ว  ลูกชายทำได้ถึงขั้นนี้ก็ไม่มีใครแล้วล่ะ          

 

 

           “เข้ามา”

 

 

           ได้ยินเสียงของพ่อเขา เจียงมู่เฉินถึงได้ผลักประตูเข้าไป เป็นอย่างที่คิดไว้ข้างในมีซังจิ่งนั่งอยู่ เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “บังเอิญจัง เจอประธานซังที่นี่ได้ด้วย?”

 

 

           คุณพ่อเจียงเห็นท่าทางลอยหน้าลอยตาของเจียงมู่เฉินก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “ทำไมถึงเพิ่งจะเข้ามาตอนนี้ได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำอะไรในใจไม่ได้  ลูกชายของพ่อถ้าไม่ต่อสู้ดิ้นรนออกมาจากใต้ร่างของซือเหยี่ยน เกรงว่าวันนี้จะมาปรากฏตัวไม่ได้แล้ว

 

 

           “พ่อ วันนี้เรียกผมมามีเรื่องอะไรอีกครับ”

 

 

           ‘ถึงยังไงไม่มีเรื่อง พ่อเขาก็ไม่มีทางให้เขาเข้าบริษัทมาง่ายๆ หรอก’

 

 

           “โครงการหลินไห่ฉันดูแล้ว โชคดีที่มีประธานซังช่วย ทำออกมาได้ดีมาก วันนี้เรียกแกเข้ามาก็อยากให้ต่อไปแกเรียนรู้งานกับประธานซังเยอะๆ จะได้รีบมาช่วยฉันประคับประคองบริษัทไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว  ดูท่าว่าคำพูดของพ่อเขามีความหมายอื่นแฝงอยู่นะ

 

 

           “คุณชายเจียงฉลาดขนาดนี้ ท่านเอ่ยแค่นิดเดียวก็พอแล้วครับ ผมอยู่ต่อหน้าท่านก็เป็นแค่เพียงเส้นขนเท่านั้นเองครับ”

 

 

           “ที่ไหนกัน ประธานซังยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้ ก็ประสบความสำเร็จแล้ว อนาคตจะยิ่งโดดเด่นกว่านี้อีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินจนใจ  เหตุที่เรียกเขามาคือให้มาดูพวกเขาคุยโวโอ้อวดกันและกันเหรอ

 

 

           “ประธานเจียง คุณชายเจียง ผมยังมีธุระต่อ ขอตัวออกไปก่อนแล้ว วันหลังมีเวลาจะมาเยี่ยมเยียนอีกนะครับ”

 

 

           คุณพ่อเจียงเผลอยิ้มออกมา “ตามสบาย เมื่อไหร่ก็มาได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นพ่อของเขาออกไปส่งคนแล้วกลับมาอีกครั้ง เขาฟุบไปกับโซฟามองดูคุณพ่อเจียง “พ่อครับ พ่อเรียกผมมา คงจะไม่ใช่แค่ให้ผมมาดูพ่อกับเขาทักทายกันตามธรรมเนียมหรอกใช่ไหม”

 

 

           คุณพ่อเจียงเห็นท่าทางทำเป็นเล่นๆ ของเจียงมู่เฉิน ก็ส่ายหัว พลางถอนหายใจ “แกดูแกสิ โตพอๆ กับซังจิ่งแล้วก็ซือเหยี่ยน แต่ทำไมถึงต่างกันได้มากขนาดนี้นะ”

 

 

 

 

ตอนที่ 253 เกือบจะโดนรถชน

 

 

           เจียงมู่เฉินหางตากระตุก ยกเขามาเปรียบกับซือเหยี่ยนก็ช่างเถอะ ตอนนี้ทำไมยังยกเขามาเปรียบกับซังจิ่งอีก

 

 

           “ผมใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อจริงๆ แน่ใช่ไหม” เขาค่อนข้างจะสงสัยในปัญหานี้อย่างแปลกประหลาด

 

 

           ใบหน้าของคุณพ่อเจียงขึ้นสีแล้ว “ถ้าแกไม่ใช่ลูกชายฉัน แกคิดว่าฉันจะปล่อยให้แกมีชีวิตจนถึงวันนี้”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นทีว่าพ่อเขาจะเหวี่ยงวีนแล้วจึงรีบว่าง่ายขึ้นมาทันที เขามองคุณพ่อเจียงด้วยท่าท่างดูอ่อนแอ “ผมจะกลับบ้านไปพูดกับแม่ผม ว่าที่บริษัทพ่อไม่เพียงแต่ใช้คำหยาบด่าผม ยังข่มขู่ผมอีกด้วย”

 

 

           คุณพ่อเจียงขัดใจ แทบอยากจะใช้ฝ่ามือพิฆาตเจ้าเด็กโง่นี่

 

 

           ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว เขาให้กำเนิดลูกชายคนนี้มาก็เพื่อลงโทษตัวเขาเอง

 

 

           “พอเถอะ ฉันเรียกแกมาก็เพื่อจะพูดเรื่องสำคัญ สัปดาห์หน้าแกต้องไปเข้าร่วมงานประชุมแลกเปลี่ยนงานหนึ่งแทนฉันที่อเมริกา เป็นเวลาสิบวัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “สิบวัน? อเมริกา? พ่อไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่ไหม ให้ผมไปเข้าร่วมงานประชุมแลกเปลี่ยน? ไม่กลัวผมทุบป้ายตระกูลเจียงของพ่อเหรอ”

 

 

           “ในเมื่อกลัวว่าจะทุบป้ายตระกูลเจียงของฉัน ช่วงนี้แกก็ซ่อมแซมให้ฉันดีๆ ถึงยังไงงานประชุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ฉันจะมาถามเอาความกับแก”

 

 

           เจียงมู่เฉินสั่นเทาด้วยความอิดโรย รู้สึกว่าพ่อเขาตอนแสดงอารมณ์โกรธออกมา ไม่น่ารักเลยสักนิด

 

 

           เขาลุกยืนขึ้นจากโซฟามุ่งหน้าเดินออกไปข้างนอก คุณพ่อเจียงถลึงตาใส่เขา “แกจะไปทำไม”

 

 

           “ไปเรียนกับซือเหยี่ยนไงครับ ถึงยังไงจะให้ผมทำขายหน้าตระกูลเจียงไม่ได้นี่ครับ”

 

 

           เขาเดินอย่างทะนงตัวออกไป คุณพ่อเจียงมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินไป ในใจเป็นปลื้มอยู่เล็กๆ  ดูท่าว่าลูกชายคนนี้ของเขายังไม่ถือว่าเหลวแหลกเกินไป

 

 

           ‘มีทางรอดๆ’

 

 

           ระหว่างทางกลับไป เจียงมู่เฉินต่อสายโทรหาซือเหยี่ยน “กลับมาแล้วหรือยัง”

 

 

           ซือเหยี่ยนกำลังเตรียมตัวออกจากห้องทำงาน “กำลังเตรียมตัวออกไป”

 

 

           “โอเค งั้นฉันกลับไปรอนายก่อน”

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกตลกนิดหน่อย รู้สึกว่าท่าทีในตอนนี้ของเจียงมู่เฉินไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ เขาเลิกคิ้วถาม “จู่ๆ คุณว่าง่ายขนาดนี้ เกิดอะไรกันขึ้น”

 

 

           เจียงมู่เฉินจะชิดข้างเตรียมเลี้ยว “เอาใจนายไง นายจะได้ไม่หนีไปกับซูเตอร์”

 

 

           ซือเหยี่ยนเข้าไปนั่งในรถพร้อมสตาร์ทเครื่อง “วางใจเถอะ ผมทำใจทิ้งคุณไม่ลงหรอก”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินความเคลื่อนไหวจากทางซือเหยี่ยนแล้วก็เอ่ยต่อ “โอเค กลับบ้านรอนายนะ”

 

 

           เขากดตัดสายเตรียมตัวจะเลี้ยวขวา จู่ๆ ก็มีรถเก๋งคันสีดำพุ่งออกมาตัดหน้า เจียงมู่เฉินตกใจกลัวจนรีบหักหลบไปด้านข้าง

 

 

           รีบร้อนเบี่ยงหลบรถ เจียงมู่เฉินชนเข้ากับราวเหล็กด้านข้าง รถสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ศีรษะกระแทกอย่างหนักอยู่บนที่นั่ง

 

 

           สมองได้รับการกระทบกระเทือนเพียงพริบตาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว เขาหลับตาลงเล็กน้อยรู้สึกว่าในหัวค่อนข้างจะสับสนปนเป ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างต้องฝ่าเข้ามาในสมองอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เขายกมือขึ้นกุมหัวด้วยความเจ็บปวด มีอะไรบางอย่างวาบผ่านสายตาเข้ามาปรากฏอยู่ตรงหน้า เร็วจนเขามองได้ไม่ชัดเจน

 

 

           เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้นสองที เจียงมู่เฉินลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบาก เขากดลดกระจกลง “คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”

 

 

           หูของเจียงมู่เฉินไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง เขาเห็นตำรวจคนที่อยู่ข้างกระจก ในหัวมีภาพหนึ่งวาบขึ้นมา สายตาของเขาจดจ่อพุ่งเป้ามาที่ตำรวจคนนี้ เขาจ้องชุดเครื่องแบบตำรวจอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

           “คุณครับ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” ตำรวจรออยู่ช้าๆ แต่ยังไม่ได้คำตอบ จึงเอ่ยถามอีกครั้ง

 

 

           ภาพในหัวเจียงมู่เฉินตีกันยุ่งเหยิงไปหมด มองเข้าไปอีกครั้งกลับนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง เขายกมือขึ้นกดเข้าที่หัว เอ่ยเสียงแหบแห้ง “ผมไม่เป็นไร”

 

 

           “ไม่ต้องไปโรงพยาบาลจริงๆ เหรอครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพเดิมอย่างช้าๆ แล้ว นอกจากศีรษะยังมีบาดเจ็บภายนอกนิดหน่อย ไม่มีอาการอะไรอย่างอื่น ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยซ้ำไปอีกรอบหนึ่ง “ผมไม่เป็นไร ขอบคุณครับ”

 

 

           ตำรวจเห็นสภาพของเขายังพอใช้ได้ ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เจียงมู่เฉินสตาร์ทรถขับออกไปจากตรงถนนนั้น เขามองดูหน้ารถของตัวเองโดนชนจนบุบเข้าไปเป็นรอยใหญ่ ถ้าให้ซือเหยี่ยนเห็นก็ต้องเป็นห่วงอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอารถไปอู่ซ่อมบำรุงที่ไปอยู่เป็นปกติ ให้พวกเขาซ่อมแซม แล้วตัวเองก็เปลี่ยนรถอีกคันที่ครั้งก่อนจอดทิ้งเอาไว้อยู่อู่ซ่อมรถนั้นพอดี ขับกลับไป

 

 

           เสียเวลาขนาดนี้ เมื่อเขารีบกลับไปถึงที่คอนโดมิเนียมก็เจอเข้ากับซือเหยี่ยนพอดี

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเปลี่ยนรถมา ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย “แล้วรถสปอร์ตคันนั้นล่ะ ทำไมถึงเปลี่ยนมา”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวใจบีบคั้น ไม่เพียงเท่านั้นยังกำนิ้วมือไว้ด้วย    

ตอนที่ 250 ซูแวนโดนลอบทำร้าย

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นว่าตัวเองแกล้งจนเขาเดือดพล่านแล้ว ก็รีบคลี่คลายสถานการณ์ “คืนนี้กลับไป คุณขยับเอง ถ้าคุณตกลง ผมถึงจะปล่อยมือ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกัดฟันกรอด ไม่พูดจา

 

 

           เขามองดูท่าทางของซือเหยี่ยน ทำนองว่าถ้าเขาไม่เอ่ยปากยอมตกลงก็จะทำมันตรงนี้เลย เจียงมู่เฉินขบกรามแรงๆ อยู่ครู่ใหญ่ “ตกลง คุณชายตกลงแล้ว ยังไม่โอเคเหรอ”

 

 

           เขาอยากจะร้องไห้เสียจริงๆ  โดนซือเหยี่ยนขุดหลุมฝังกลบอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ จะดีจริงๆ เหรอ

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นว่าในที่สุดเขาก็เอ่ยปากออกมา ถึงได้ก้มหน้าลงไปจูบเขาอย่างดุเดือด ถึงได้ปล่อยมือออกจากเจียงมู่เฉินไป เจียงมู่เฉินโดนเขาจูบจนหางตาแดงก่ำ ซือเหยี่ยนเห็นนัยน์ตาทอประกายแสงแวววาวของเขา กล้ามตรงท้องน้อยก็เกิดหดเกร็งขึ้นมา แทบอยากจะโผเข้าหาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่งด้วยอารมณ์รุนแรง รีบเช็ดหางตาที่ยังคงปริ่มน้ำ ก่อนใช้มือยันกายขึ้นมาจากโต๊ะ

 

 

           “เข้ามา” ซือเหยี่ยนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

 

           ข้างนอกเงียบสักพักหนึ่งถึงเปิดประตูเข้ามา ผู้ช่วยของซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าทางเข้า “ประธานซือครับ คุณซูมาแล้วครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว เป็นอย่างที่คิดไว้เจอซูเตอร์อยู่ข้างหลังของเขา คิดไม่ถึงว่าจะมาบังเอิญเจอซูเตอร์จนได้

 

 

           เขาเบนสายตามาจดจ่อที่ซือเหยี่ยน เชิดหางตาใส่ แสดงท่าทีบ่งบอกว่าให้อีกฝ่ายชี้แจงมาด้วย

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือดึงเขามาอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง จากนั้นมองผู้ช่วยแล้วพยักหน้า “เชิญเขาเข้ามา”

 

 

           ตั้งแต่เข้ามานาทีนั้นดวงตากลมโตของซูเตอร์ก็เอาแต่จับจ้องมาที่เจียงมู่เฉินตลอด เขายืนรออยู่ข้างนอกตั้งนานก็ไม่เปิดประตูสักที พวกเขาสองคนปิดตายอยู่ข้างในห้องทำเรื่องอะไรกัน มองปราดเดียวก็รู้ได้

 

 

           ยิ่งไปกว่านั้นคือหางตาที่แดงก่ำและริมฝีปากที่ยังคงบวมแดงของเจียงมู่เฉิน…

 

 

           ซูเตอร์กำหมัดแน่น เขารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉิน แต่ว่าพอมาเห็นพวกเขายังคงเหมือนเดิมอยู่แบบนี้ ในใจก็รู้สึกโกรธแค้นยากเกินจะทนไหว

 

 

           ไม่ช้าก็เร็วสักวันเขาจะเอาความอับอายขายหน้าทั้งหมดบนตัวเขาทยอยส่งคืนให้เจียงมู่เฉินทีละนิดๆ ให้โดนแผดเผาทั้งเป็น

 

 

           ถึงเวลานั้น ซือเหยี่ยนก็จะเป็นของเขาได้โดยไม่มีเจียงมู่เฉินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยตลอดไป

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งลงอยู่ตรงนั้น กวาดสายตามองซูเตอร์โดยไม่ระวัง เขาอยากรู้จริงๆ ว่าวันนี้ซูเตอร์มาเพราะเรื่องอะไรอีก

 

 

           “เหยี่ยน ฉันมาหานายมีเรื่องจะคุยส่วนตัวกับนายสองคน สะดวกไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง เห็นเขายิ้มเยาะเยือกเย็นมองตัวเอง ซือเหยี่ยนรู้ความหมายของเจียงมู่เฉินอย่างไม่มีทางเลี่ยง

 

 

           “เฉินเฉินเขาไม่ใช่คนนอก ไม่เป็นไร”

 

 

           ซูเตอร์กำหมัดด้วยความไม่ยินดี “เรื่องนี้เกี่ยวกับแก๊งมังกรคราม ฉันคิดว่าคุณชายเจียงหลบเลี่ยงไปจะดีกว่า”

 

 

           ดึงเรื่องแก๊งมังกรครามออกมาจนได้  นี่ถ้ายังไม่ออกไปอีกไม่ใช่จะว่า ‘เขาไม่รู้จักกาลเทศะ’ หรอกใช่ไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกยืนขึ้นปัดเสื้อผ้าอย่างช้าๆ ทั้งยังจัดเสื้อเชิ้ตที่โดยซือเหยี่ยนทำเสียทรง “ในเมื่อเป็นเรื่องภายในของคุณซู ฉันก็ไม่ยุ่งด้วยแล้ว วันหลังจะได้ไม่เกิดเรื่องอะไรมาก็มาสงสัยฉันเป็นทำความลับรั่วไหล”

 

 

           เขามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “ฉันไปก่อนนะ คืนนี้ก็กลับบ้านเร็วหน่อยแล้วกัน” เขาหรี่ตาใส่ซือเหยี่ยน “เลยเวลาไม่รอนะ”

 

 

           เขาพูดจบก็กวาดสายตามองซูเตอร์ด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม จากนั้นถึงได้เดินจากไป

 

 

           ความเดือดดาลฉายสะท้อนในแววตา มาแสดงอำนาจสิทธิ์ขาดต่อหน้าเขา  คิดว่าทำแบบนี้แล้วเขาจะยอมให้เหรอ

 

 

           เจียงมู่เฉินไร้เดียงสาเกินไปแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนรอจนเจียงมู่เฉินเดินออกไปแล้ว ถึงได้เบนสายตามามองซูเตอร์ “เป็นไรไป แก๊งมังกรครามเกิดเรื่องอะไรเหรอ”

 

 

           “พ่อฉันโดนคนลงมือลอบสังหาร ได้รับบาดเจ็บสาหัส หวังให้ฉันกลับไป” เขาเองก็เพิ่งรู้ข่าวเมื่อเช้านี้ เมื่อคืนระหว่างทางกลับบ้าน ซูแวนโดนลอบยิง กระสุนเข้าที่หัวใจ

 

 

           “ถ้างั้นคุณก็ควรจะกลับไป แก๊งมังกรครามและพ่อคุณต้องการคุณมากนะ”

 

 

           

 

 

            ตอนที่ 251 เริ่มลงสนาม

 

 

           “ฉันอยากให้นายไปเป็นเพื่อนฉันด้วยกัน พ่อฉันโดนลอบทำร้ายกะทันหัน ตอนนี้ในแก๊งต้องวุ่นวายมากแน่ๆ ฉันกลับไปเวลานี้ต้องไม่สงบแน่ๆ” เขามองซือเหยี่ยน “ฉันรู้ว่าวันนั้นฉันเอาแต่ใจตัวเองเกินไป ฉันผิดเอง หลายวันมานี้ฉันพิจารณาตัวเองอยู่ตลอด ดังนั้นนายอย่าถือสาฉันเลยได้ไหม”

 

 

           นิ้วมือซือเหยี่ยนเคาะที่โต๊ะเบาๆ “ผมเป็นคนนอก ไปปรากฏตัวด้วยกันกับคุณ ไม่ดีมั้ง”

 

 

           ซูเตอร์รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “นายอยู่ข้างฉันมาตั้งนาน ตลอดมาฉันเชื่อนายมาก ครั้งนี้ฉันกลับไปก็ยากจะรับประกันว่าจะไม่มีใครอยากจะลอบฆ่าฉัน ดังนั้นฉันอยากจะขอร้องให้นายกลับไปด้วยกันกับฉัน ช่วยฉันสักครั้งนะ…รอฉันกลับไปทำให้สถานการณ์สงบนิ่งมั่นคงได้แล้ว นายก็กลับมาได้ทันทีเลย ฉันสัญญาฉันรับประกันว่าต่อไปจะไม่มาหานายอีก”

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนฉายแววบางอย่าง เขาครุ่นคิดนิดหน่อย

 

 

           ซูเตอร์เห็นท่าทีของเขาดูอ่อนลงบ้างแล้ว ก็เอ่ยต่อ “ตอนนั้นพ่อฉันช่วยนายอยู่ไม่น้อย ตอนนี้พ่อฉันตกอยู่ในอันตราย นายไม่คิดจะไปช่วยท่านสักหน่อยจริงๆ เหรอ”

 

 

           “ซูเตอร์ เรื่องนี้คุณให้ผมคิดทบทวนสักหน่อยจะได้ไหม”

 

 

           “เหยี่ยน ฉันบินกลับอเมริกาเที่ยวบินตอนเช้า ฉันหวังว่าฉันขอร้องอ้อนวอนนายแล้ว นายจะกลับไปกับฉันได้” ใบหน้าซูเตอร์แสดงความขอร้อง

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “ได้ ผมจะไตร่ตรองดูอย่างจริงจัง”

 

 

           “เหยี่ยน ฉันต้องการนายมากจริงๆ”

 

 

           หลังจากซูเตอร์ออกไป นัยน์ตาที่เจืออารมณ์ที่ต่อสู้ขัดแย้งกันเมื่อครู่นี้ก็แปรเปลี่ยน เขาวิดีโอคอลติดต่อกับไมเคิลโดยพลัน

 

 

           “ซูแวนโดนลอบทำร้ายจริงๆ เหรอ” ไมเคิลรับสายก็เปิดประเด็นเรื่องซูแวนทันที

 

 

           ไมเคิลพยักหน้า “ฉันกำลังจะเตรียมติดต่อนายพอดีเลย เมื่อคืนนี้ซูแวนโดนลอบทำร้ายทำร้ายกะทันหัน”

 

 

           “รู้ไหมว่าใครทำ”

 

 

           “ซูเวลล์”

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว “เขาลงมือกะทันหันรวดเร็วขนาดนี้เลยเหรอ” เขาคิดว่าตามนิสัยของซูเวลล์แล้วยังต้องรอไปอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง ทำไมจู่ๆ ถึงมาลงมือเวลานี้ได้

 

 

           “สถานการณ์โดยละเอียด ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้เพราะเรื่องที่ซูแวนถูกยิง ทำให้ในแก๊งมังกรครามวุ่นวายไปหมด ฉันคิดว่าในเมื่อซูเวลล์กล้าลงมือ ต้องเป็นการเตรียมจะปิดเกมแน่ๆ หรือบางทีอีกแป๊บเดียวเขาก็จะไปขั้นต่อไปแล้ว”

 

 

           “ซูเตอร์ให้ฉันกลับไปแก๊งมังกรครามด้วยกันกับเขา”

 

 

           “เขามาหานายจริงๆ เหรอ แล้วนายตัดสินใจยังไง จะมากับเขา?” ไมเคิลขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพียงแต่ว่าถ้านายปรากฏตัวออกมา นายจะหลุดพ้นจากน้ำขุ่นๆ นี้ไม่ได้แล้วนะ ถึงเวลานั้นนายก็จะติดร่างแหอยู่ในการต่อสู้แสนวุ่นวายนี่ไปด้วย”

 

 

           เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะฉะนั้น นายต้องคิดดีๆ แล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนเงียบไม่พูดจาไปสักพัก “ฉันเคยคิดไว้ ในเมื่อการชิงชัยนี้มีขึ้นมาแล้ว ฉันจะได้อาศัยซูเตอร์ลงสนามนี้พอดี…ถึงแม้ว่าตอนนี้ซูแวนจะถูกยิง แต่หลายปีมานี้เขาเองก็มีคนสนิทที่ซูเวลล์สยบไม่ไหว ถ้ารวมซูเตอร์กลับไป ถึงตอนนั้นซูเวลล์ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะครอบครองแก๊งมังกรครามได้โดยสมบูรณ์…เพราะฉะนั้น ฉันตัดสินใจจะลงสนามนี้ ช่วยซูเวลล์สักตั้ง”

 

 

           “แล้วนายเคยคิดหรือเปล่า ว่าต่อหน้า นายเป็นคนของซูเตอร์ แต่ลับหลัง แอบช่วยซูเวลล์ ถ้าซูเวลล์ทำสำเร็จจริงๆ ถึงเวลานั้นซูเวลล์ก็จะไม่มีทางปล่อยนายไป”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “วางใจเถอะ ฉันวางแผนนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ครั้งนี้ก็คิดซะว่าฉันไปจบเรื่องราวชดเชยที่ตอนนั้นฉันจากไปกะทันหันก็แล้วกัน…แก๊งมังกรครามมีชีวิตอยู่มาได้หลายปีขนาดนี้ ก็ควรจะสิ้นสุดลงได้สักที”

 

 

           ไมเคิลหัวใจบีบคั้น คิดถึงเรื่องหนึ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาอ้าปากเอ่ยถามด้วยความสองจิตสองใจ “นายจะบอกว่าตั้งแต่ต้นจนจบ นายไม่ได้ทำเพื่อโค่นล้มซูเตอร์ ไม่ได้ทำเพื่อรักษาตำแหน่งให้ซูเวลล์ได้ขึ้นใช่ไหม”

 

 

           “เป้าหมายของฉันมีเพียงแค่อย่างเดียว คือปฏิบัติภารกิจการแฝงตัวเป็นสายลับในตอนนั้นให้สำเร็จ ถอนรากถอนโคนแก๊งมังกรครามให้หมด”

 

 

           “ดังนั้น นายเตรียมจะ…ติดต่อพวกเขาเหรอ”

ตอนที่ 248 โดนจับคาที่

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบเร่งจนมาถึงยังใต้ตึกของซือกรุ๊ป พอรถจอดก็มุ่งหน้าพุ่งตัวขึ้นไปหาที่ห้องทำงานของไป๋จิ่ง หลังจากเสี่ยวหลิวพึ่งจะออกมาจากห้องทำงานของไป๋จิ่งก็เห็นเจียงมู่เฉินทันที เพียงรู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตสังหารอย่างชัดเจน

 

 

           เขาคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง ตัวเองต้องแอบส่งข่าวด่วนไปบอกประธานไป๋ของเขาสักหน่อยไหม แต่ยังไม่ทันได้ใคร่ครวญเสร็จ เจียงมู่เฉินก็พุ่งตัวเข้าไปแล้ว

 

 

            ปัง!  ได้ยินแค่เสียงกระแทก ประตูโดนเหวี่ยงในเพียงพริบตา

 

 

           เสี่ยวหลิวเก็บความคิดเรื่องแอบส่งข่าวเข้าไปอย่างเงียบๆ ถึงอย่างไรเขากับประธานไป๋ล้มได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ประธานไป๋ล้มแล้ว เขาก็ต้องพยายามปักหลักยืนหยัดอย่างทรหดเสมอ ไม่อย่างนั้นงานใครจะมาทำ

 

 

           คิดได้ขนาดนี้ เสี่ยวหลิวรู้สึกว่าตัวเองมีความจงรักภักดีที่สุดแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งอยู่ในห้องทำงาน เจียงมู่เฉินกดไป๋จิ่งไว้กับเก้าอี้ ยิ้มเยาะมองเขา ไป๋จิ่งสีหน้างุนงง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น

 

 

           “คือว่า…คุณชายน้อยเจียง ฉันเป็นแฟนของเพื่อนนายนะ นายกดฉันไว้แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง”

 

 

           “แฟนช่วงทดลองใช้”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินคำที่ฟังไม่เข้าหูที่สุด ‘ช่วงทดลองใช้’ ก็รีบโต้แย้งทันที “เดี๋ยวก็ต้องเลื่อนขั้นเป็นตัวจริงแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันกลัวว่านายจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันได้เลื่อนขั้นวันนั้นแล้ว”

 

 

           “นายต้องการมาลงความโกรธแค้นอะไรกับฉัน” ไป๋จิ่งกลืนน้ำลาย  คุณชายน้อยเจียงคงจะไม่มาหลงเสน่ห์ความหน้าตาดีของเขากะทันหัน แล้วมีใจอยากได้ขึ้นมาหรอกใช่ไหม  

 

 

           “ไป๋จิ่ง วันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของนาย ฉันร่ำลาแฟนช่วงทดลองใช้ของนายให้นายเรียบร้อยแล้ว ให้เขาไม่ลืมไปไหว้นายด้วย”

 

 

           “มั่วไป๋ว่ายังไงบ้าง” ไป๋หน้าสีหน้ารอคอย อยากรู้เหลือเกินว่ามั่วไป๋ของเขาจะพูดคำอาวรณ์อะไรออกมาได้บ้าง

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะเพียงนิด “เขาบอกว่าจะเก็บศพนาย แล้วยังจะส่งดอกกุหลาบวางหน้าป้ายหลุมศพนายด้วย”

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาอย่างสิ้นหวัง “มั่วไป๋ของฉันพูดขนาดนี้จริงๆ เหรอ”

 

 

           “อะไรกัน ตัวนายเองอยู่อันดับที่เท่าไหร่ในใจของมั่วไป๋ นายเองไม่ได้นับดูหรือไง”

 

 

           “เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ที่มั่วไป๋จะไม่ชอบฉัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ชอบกับน้องสาวนายสิ”

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าไม่เข้าใจ “ไม่ได้สิ ฉันไม่มีน้องสาวนะ เขาจะชอบน้องสาวฉันได้ยังไงกัน” เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉิน “หรือว่าฉันจะต้องแปลงเพศ แล้วแกล้งทำเป็นน้องสาวฉันเข้าใกล้เขา?”

 

 

           เจียงมู่เฉินจะโดนความคิดพิสดารของไป๋จิ่งโจมตีจนจะแพ้แล้วจริงๆ เมื่อก่อนรู้สึกว่าคนคนนี้ดูเหมือนจะยังเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง ตอนนี้เดินบนเส้นทางนักแสดงตัวพ่อนับวันยิ่งไปไกลแล้ว

 

 

           ยังเป็นประเภทที่กู่อย่างไรก็กู่ไม่กลับเสียด้วย

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลง กำปั้นทุบไปบนเก้าอี้ข้างตัวไป๋จิ่ง “ใครอนุญาตให้นายเอาเรื่องฉันไปโพนทะนาไปทั่วแบบนี้”

 

 

           “ฉันโพนทะนาเรื่องอะไรของนาย”

 

 

           “แม่งเอ๊ย เรื่องที่ฉันโดนซือเหยี่ยนกักตัวสามวันเต็มๆ นายไม่ได้พูด เป็นผีพูดหรือไง” เจียงมู่เฉินขบกราม “นายจะให้คุณชายกักตัวนายสามวันเต็มๆ ให้นายโดนจับกดครั้งแล้วครั้งเล่าใช่ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งคิดไตร่ตรองอย่างจริงจังสักพักหนึ่ง “ถ้านายอยากจะกักตัวฉันไว้สามวันเต็มๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” เขาลูบคางไปมา “ฉันมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา ตอนนี้ยังกล้ามีเงื่อนไขอีกเหรอ

 

 

           “ให้มั่วไป๋ของฉันเข้ามาอยู่ด้วยกันกับฉันได้ไหม แบบนี้นายอย่าว่าแต่สามวันเลย สัปดาห์หนึ่งฉันก็ไม่ต่อต้านอะไรทั้งนั้น”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”

 

 

           อดจะมองบนใส่ไม่ได้แล้วจริงๆ  วงจรสมองของคนคนนี้เป็นลำไส้ใช่ไหม ไม่ปกติเลยสักนิด

 

 

           เขามองไป๋จิ่งเอ่ยถามอย่างจริงจัง “นายต่ำทรามขนาดนี้ มั่วไป๋รู้บ้างไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งใคร่ครวญครู่เดียว “มั่วไป๋จะรู้หรือไม่รู้ เรื่องนี้ฉันไม่แน่ใจ แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันแน่ใจ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “เรื่องอะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินเสียงประตูเปิด เขายิ้มเบาๆ แต่สดใสไม่มีใครเกินให้กับเจียงมู่เฉิน “ฉันแน่ใจว่านายอาจจะต้องโดนจับกลับไปกักตัวสามวันอีกครั้ง”

 

 

           ประตูถูกผลักเปิดเข้ามาพอดี เจียงมู่เฉินกำลังกดไป๋จิ่งไว้อยู่ อิริยาบถของคนสองคนใกล้ชิดแนบสนิทกัน

 

 

 

 

ตอนที่ 249 พี่ชาย ฉันเจ็บ

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าดำคร่ำเคร่งยืนอยู่หน้าประตู เห็นสองคนที่อยู่ไม่ไกล เส้นเลือดบนหน้ากระตุกแล้วกระตุกอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินหันกลับมามองซือเหยี่ยน ทั้งยังก้มหน้ามองมือที่กดอยู่บนตัวของไป๋จิ่ง เขารีบเก็บมือเข้าไป แล้วมองซือเหยี่ยน “ถ้าฉันบอกว่า ฉันเตรียมจะล้อเล่นกับไป๋จิ่ง นายจะเชื่อไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น เดินเข้าไปอย่างช้าๆ หิ้วปีกเจียงมู่เฉินกลับมากดที่ห้องทำงานของตัวเอง “ตอนนี้ผมกดคุณอยู่ก็คือการล้อเล่นเหมือนกัน คุณจะเชื่อไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก เขาอยู่ในท่าแบบนี้แล้ว  ยังจะกดไว้ล้อเล่นเหรอ

 

 

           “ซือเหยี่ยน นายเห็นว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง”  เขาดูเหมือนปัญญาอ่อนขนาดนั้นเลยเหรอ

 

 

           “แล้วคุณคิดว่าผมเป็นคนโง่เหรอ” ซือเหยี่ยนเอาคำพูดคงเดิมย้อนใส่เจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรกตัวเองก็จะไม่พุ่งเข้าไปคิดบัญชีในห้องทำงานของไป๋จิ่ง ควรจะให้ซือเหยี่ยนไปช่วยเขาคิดบัญชี

 

 

           ซือเหยี่ยนขบกรามมองเขา “สองวันก่อนจูบมั่วไป๋ วันนี้มาคร่อมทับไป๋จิ่ง ทำไม ผมเติมเต็มให้คุณไม่ดีพอกับใจคุณใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกถึงก้นที่เกร็งแน่น รีบยอมแพ้ “พี่ชาย พอใจๆๆ พอใจเป็นพิเศษเลย”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “อ้อ แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าคุณพอใจนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินร้องโหยหวนในใจอย่างเงียบๆ  ตอนนี้ใครช่วยพาเขาออกจากปากซือเหยี่ยนออกมาได้ เขารับรองจะขอบคุณเขาคนนั้นไปตลอดชีวิตเลย

 

 

           ‘ก้นเขายังเจ็บอยู่นะ’ ถ้าโดนซือเหยี่ยนจับกดอีก ไม่ช้าก็เร็วจะต้องตายภายใต้ร่างของซือเหยี่ยนแน่

 

 

           “พี่ชาย ฉันเจ็บ” เจียงมู่เฉินเริ่มแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา

 

 

           “พอดีเลย ผมจะได้ช่วยคุณดู” ขณะพูดก็จะลงมือถอดกางเกงของเจียงมู่เฉินไปด้วย

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ต่อไปจะไม่รนหาที่ตายอีกแล้ว โดนจับกดบ่อยๆ ขนาดนี้ช่างขาดทุนง่ายมากจริงๆ เขายังหนุ่มขนาดนี้ไม่อยากจะตายตั้งแต่ยังหนุ่มนะ

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทีของเขา รอยยิ้มก็ฉายสะท้อนขึ้นในแววตาแวบหนึ่ง เขาจงใจจ้องมองคนตรงหน้า พร้อมแสดงท่าทางเหมือนว่าจะจัดการเขาตรงนี้จริงๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินหวาดกลัว  หรือว่าสถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่มีใครที่ไหนจะมาช่วยเขาเลยเชียวเหรอ

 

 

            ก๊อก ก๊อก…

 

 

         จู่ๆ ประตูก็ถูกเคาะสองที เจียงมู่เฉินได้ยิน ดวงตาก็ลุกวาวในพริบตา  หรือว่าผู้ช่วยชีวิตมาถึงแล้วใช่ไหม ผู้มีพระคุณสินะ

 

 

           เขายกเท้าถีบเข้าไป “รีบปล่อยคุณชายสิ มีคนมาแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางร้อนรนของเขา แอบออกแรงในมือเงียบๆ ไม่ยอมปล่อยมือ เขาจงใจก้มหน้าเข้าใกล้ใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ทำท่าทางต้องการจะจูบอีกฝ่าย “ห้องทำงานของผม ผมไม่ให้เข้ามา เขาก็ต้องยืนรออยู่ข้างนอกเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”

 

 

           เขากัดเข้าที่มุมปากของเจียงมู่เฉิน “มาแก้ปัญหาระหว่างพวกเราสองคนก่อนดีกว่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินตกใจจนฉี่จะราดแล้ว  ไม่ขนาดนี้มั้ง ข้างนอกยังมีคนอยู่ เจ้าหมอนี่ยังคิดจะกดเขา เมื่อกี้ที่พวกเขาเข้ามายังไม่ได้ล็อกประตูนะ ถ้าหากโดนคนเห็นเข้า จะไม่เสียหน้าไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิกเลยเหรอ

 

 

          เจียงมู่เฉินขบกราม ตอนนี้ในอิริยาบถนี้ ซือเหยี่ยนไม่ร้อนใจอยู่แล้ว มีความสามารถให้เขาพลิกกลับมากดซือเหยี่ยนได้ รับรองเขาเองก็ใจเย็นมากเหมือนกัน

 

 

           “นายแม่งปล่อยฉันนะ ฉันไม่ได้อยากแก้ปัญหากับนายสักหน่อย”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “เฉินเฉิน คุณไม่ยินยอมจริงๆ เหรอ”

 

 

           “หัวฉันโดนประตูหนีบเท่านั้นแหละถึงจะเห็นด้วยได้” เขาขยับขาอยากจะเตะซือเหยี่ยน “แม่งเอ๊ยนายปล่อยฉันนะ ได้ยินไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเป็นแบบนี้รอยยิ้มในแววตายิ่งหยั่งลึก เขาวางมือบนกระดุมเสื้อเชิ้ตของเจียงมู่เฉิน หัวใจเจียงมู่เฉินตกใจแทบจะหยุดเต้นแล้ว “ซือเหยี่ยน นายแม่งจะมาจริงๆ เหรอ”

 

 

           เขาลงมือแยกกระดุมเม็ดแรกออก “อะไรกัน ผมมาหลอกๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

           นอกประตูมีเสียงเคาะดังขึ้นมาอีกสองครั้ง หัวใจที่ตื่นตระหนกของเจียงมู่เฉินใกล้จะกระโดดออกมาแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่ตื่นตระหนกขนาดนี้มาก่อน

 

 

           “นายว่ามา นายจะเอายังไงกันแน่” เจียงมู่เฉินขบกราม

ตอนที่ 246 สืบเรื่องแก๊งมังกรคราม

 

 

           ‘เอะอะก็กัดเขา เขาเป็นเนื้อหมูเหรอ’

 

 

           ซือเหยี่ยนยกเท้าขึ้นมาถูขาของเจียงมู่เฉิน “ขยับมือขยับปากไม่ได้ ขยับเท้าได้อยู่ใช่ไหมล่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”  แบบนี้ก็ยังได้อีกเหรอ

 

 

           ที่แท้เรื่องหน้าไม่อายแบบนี้ ไม่มีขีดจำกัดต่ำสุดเลยสักนิด

 

 

           เพื่อที่จะระงับเหตุป้องกันตัวเองที่ไม่รู้ว่าไปแหย่โดนจุดแปลกประหลาดไหนของซือเหยี่ยน ถึงได้ทำให้สัญชาตญาณดิบของสัตว์เติบโต เขารีบยันกายขึ้นมานั่งอีกฝั่ง ถอยห่างออกไปไกลๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินถูกซือเหยี่ยนย่ำยีมาหลายวัน ถ้าเขาอดกลั้นไม่อยู่ทำอะไรแบบนั้นกับตัวเองอีก ชีวิตน้อยๆ นี้ก็จะไม่เหลือแล้วจริงๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางหวาดระแวงแบบนั้นของเขาก็ตัดสินใจไม่แกล้งแหย่เขาแล้ว เจ้าตัวลุกยืนขึ้น “ผมจะกลับไปบริษัทก่อนแล้ว คุณนอนหลับดีๆ นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตามองเขา “อืม ไสหัวไปเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ เวลานี้เองถึงได้ออกจากที่นี่ ทันทีเขาออกไป เจียงมู่เฉินรีบเข้าห้องนอนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปข้างนอก

 

 

           เขาขับรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลที่ซูเตอร์พักรักษาตัวอยู่ก่อนหน้านี้ กว่าเขาจะถึงห้องพักผู้ป่วย ซูเตอร์ก็ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง ออกจากโรงพยาบาลตั้งนานแล้วยังไม่มาคิดบัญชีกับเขา ครั้งนี้ซูเตอร์คิดจะทำอะไรอีก

 

 

           เขาขับรถออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าไปหามั่วไป๋ เขามีบางเรื่องจำเป็นต้องให้มั่วไป๋ช่วยเขาหาข้อมูล

 

 

           ……

 

 

           “นายอยากจะสืบเรื่องแก๊งมังกรคราม?” มั่วไป๋ขมวดคิ้ว

 

 

           “อืม แก๊งมังกรครามที่นายรู้จักแก๊งนั้นแหละ” เจียงมู่เฉินค่อยๆ จิบกาแฟไป

 

 

           “นายไม่มีอะไรแล้วจะสืบเรื่องแก๊งมังกรครามไปทำไม” เมื่อก่อนก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจียงมู่เฉินถึงคิดจะสืบเรื่องนี้ได้

 

 

           “ไม่กี่วันมานี้ฉันลงไม้ลงมือกับผู้สืบทอดของพวกเขาจนบาดเจ็บ ตามแนวทางปฏิบัติของพวกเขาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มาหาเรื่องฉัน ดังนั้นฉันคิดว่าก่อนที่พวกเขาจะลงมือ ก็ทำความเข้าใจพวกเขาซะก่อน ถึงเวลาจะได้พอรับมือได้บ้าง”

 

 

           “ทำไมจู่ๆ นายถึงไปมีเรื่องกับแก๊งมังกรครามได้” ถึงแม้เจียงมู่เฉินจะเป็นที่รู้จักไปทั่วถานโจว แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ควรมีก็ไม่ได้น้อย จะไปแตกหักกับแก๊งมังกรครามแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยได้อย่างไร

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “เรื่องนี้จะพูดกันก็ยาว ฉันไม่พูดได้ไหม”

 

 

           มั่วไป๋เลิกคิ้ว “ไม่ได้อยู่ทนโท่ ถ้านายอยากให้ฉันช่วย ต้องบอกฉันทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นฉันก็ช่วยนายไม่ได้”

 

 

           “ซูเตอร์คนของแก๊งมังกรครามวางยาซือเหยี่ยน ฉันยื่นมือเข้าไปช่วยซือเหยี่ยน สุดท้ายไปยั่วโมโหซูเตอร์เข้า” เจียงมู่เฉินสีหน้าไร้ความผิด “นายว่าคนเขายั่วโมโหฉันขนาดนี้ ฉันลงมือก็เป็นเรื่องปกติมากใช่หรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มเยาะ “นายคิดว่าฉันเชื่อเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบจมูกปอยๆ “เอาเถอะ วันที่สองฉันก็ถือโอกาสไปโรงพยาบาล ไปประกาศศักดาครองอำนาจสิทธิ์ขาดของตัวเอง”

 

 

           มั่วไป๋จ้องเขาเขม็ง เจียงมู่เฉินรีบโบกมือ “ฉันทำถึงแค่ตรงนี้จริงๆ ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย”

 

 

           ‘แน่นอนว่าท่าทีที่เขาทำจะรุนแรงไปหน่อย พูดเอาเรื่องไปหน่อย ตอนลงมือก็หนักไปหน่อย แต่อะไรอย่างอื่นก็ดีหมดเลยนะ’

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ เจียงมู่เฉินทำในสิ่งที่เขาไม่อยากให้ทำจริงๆ

 

 

           แต่ว่าเขาทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ก็ไม่แปลก ถ้าเขาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ทำอะไรสักอย่าง แบบนั้นต่างหากถึงจะรู้สึกว่าแปลก

 

 

           “ดังนั้น วันนี้นายมาหาฉัน อยากให้ฉันหาข้อมูลอะไร”

 

 

           “ซูเวลล์”

 

 

           เขาเคยสืบหาข้อมูลแก๊งมังกรคราม รู้ว่านอกจากซูแวนพ่อของซูเตอร์แล้ว ตอนนี้ก็มีแค่ซูเวลล์น้องชายต่างแม่ของเขา ซูเวลล์คนนี้ถึงแม้จะเป็นพี่น้องของซูแวน แต่ใจนี้ไม่เคยจะอยู่บนเส้นทางเดียวกัน

 

 

           เขาคนนี้ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะดูเหมือนพวกพูดจาดี เป็นเสือยิ้มกว้าง ในความเป็นจริงนั้นใจโหดมือเ**้ยม มีแค่ใจเดียวที่อยากครอบครองแก๊งมังกรครามไว้ในมือของตัวเอง

 

 

           “ซูเวลล์? นายคิดจะลงมือจากฝั่งเขาเหรอ”

 

 

           

 

 

       ตอนที่ 247 ยืมมือคนอื่นฆ่าคน

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “ซูเวลล์อยากจะได้ตำแหน่งของแก๊งมังกรคราม แล้วซูเตอร์ก็คือหัวหน้าแก๊งคนต่อไป นายว่าถ้าซูเวลล์รู้ว่าซูเตอร์มาถานโจวคนเดียว เขาคิดจะทำอะไรลงไปได้บ้าง”

 

 

           ในที่สุดมั่วไป๋ก็เข้าใจแล้ว “นายคิดจะยืมมือคนอื่นฆ่าคนเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “จะมาว่าฉันยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ยังไง นี่เป็นความขัดแย้งภายในแก๊งของพวกเขา ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรด้วยเลย ฉันก็แค่อยากให้นายบอกซูเวลล์ถึงตำแหน่งของซูเตอร์ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา พวกเราไม่น่าเอี่ยวด้วยอยู่แล้ว”

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ “นายทำแบบนี้ซือเหยี่ยนรู้ไหม”

 

 

           “เขาเหรอ เขาจำเป็นต้องรู้เหรอ” เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “นายวางใจเถอะ ถึงฉันจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็ไม่ทำเรื่องที่ไร้มนุษยธรรมได้หรอก ขอเพียงแต่ซูเตอร์ไม่มาระรานฉัน ฉันก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายทำร้ายเขา”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับ “รู้แล้ว เรื่องนี้ฉันจัดการเอง เพียงแต่ว่านายแน่ใจเหรอว่าซูเวลล์จะมาได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินยักไหล่ “ไม่รู้สิ ฉันแค่รับผิดชอบแจ้งข่าว ที่เหลือก็ดูพวกเขาเองแล้ว” เขามองมั่วไป๋กะพริบตาปริบๆ “คนเราต้องสร้างบุญ ทำเรื่องไม่ดีไม่ได้ ฉันไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดีตัดอายุตัวเองหรอก”

 

 

           มั่วไป๋ขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น “ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว นายไม่ได้อยากจะให้ซูเวลล์ฆ่าซูเตอร์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่อยากให้ซูเวลล์คุมตัวซูเตอร์เอาไว้ แบบนี้จะได้ไม่มีเวลามาพัวพันนายกับซือเหยี่ยน”

 

 

           เจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ “สมกับเป็นไป๋ไป๋ของฉัน เป็นอย่างที่คิดไว้…ฉลาดเหมือนกันกับฉัน”

 

 

           “ดังนั้นสาเหตุที่นายไม่คิดจะบอกซือเหยี่ยน ก็เพราะนายรู้ว่าถึงนายจะพูดกับซือเหยี่ยน เขาเองก็คัดค้านไม่ได้ ถูกไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเผลอยิ้มออกมา “ไป๋ไป๋ นายก็รู้อยู่แล้วว่าฉันระวังมากขนาดนี้ มีวันไหนกันจะโดนฆ่าปิดปากได้”

 

 

           มั่วไป๋เลิกคิ้วมองเขา “นายทำกันลงคอเหรอ”

 

 

           “ทำไม่ลงอยู่แล้ว ไป๋ไป๋ของฉันดีขนาดนี้ มีหรือจะฆ่านายปิดปากได้ลงคอ” เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ท่าทางอยากจะจูบอีกคน “มา ให้คุณชายจูบที”

 

 

           มั่วไป๋กวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา “ครั้งก่อนนายจูบฉันก็โดนซือเหยี่ยนกักตัวไว้สามวันเต็มๆ ครั้งนี้ยังกล้าจูบอีกเหรอ นี่เตรียมจะโดนเขากักตัวไว้สัปดาห์หนึ่งเลยใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินระเบิดลง “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันโดนซือเหยี่ยนกักตัวไว้สามวัน”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะเล็กน้อยขายไป๋จิ่งโดยไม่ลังเลเลยสักนิด เขายกมือถือขึ้น “เมื่อกี้มีคนคาบข่าวมาบอก”

 

 

           เจียงมู่เฉินตาค้าง

 

 

           ‘ไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่ไม่อยากจะมีชีวิตแล้วใช่ไหม’ ครั้งก่อนเรื่องที่ขายเขาไปยังไม่ได้คิดบัญชีดีๆ กัน ครั้งนี้ยิ่งเล่นหนักกว่าเดิม  ยังบอกมั่วไป๋ว่าเขาโดนซือเหยี่ยนกักตัวไว้สามวันอีกเหรอ

 

 

           ‘เชี่ยแม่ง นี่ไม่ใช่ว่ากล้าบอกพวกเขาว่าคุณชายโดนซือเหยี่ยนจับกดสามวันเต็มๆ กันโจ่งแจ้งเลยใช่ไหม’

 

 

           เจียงมู่เฉินเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา  คิดบัญชี ต้องคิดบัญชีกับไป๋จิ่ง ใครจะรู้ว่าเจ้าหมอนั่นจะไปบอกคนอื่นอีกหรือเปล่า ถึงตอนนั้นถ้าเรื่องแพร่ออกไป เขาก็เสียหน้าสิ

 

 

           “ไปไหน” มั่วไป๋มองเขาพุ่งตัวไปข้างนอกด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม “วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของไป๋จิ่ง นายในฐานะแฟนช่วงทดลองใช้ของเขาจำไว้ว่าต้องปัดกวาดหลุมศพด้วย”

 

 

           หลังจากมั่วไป๋ได้ยินก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดีมากทีเดียว “งั้นนายก็พูดกับเขาด้วย ว่าฉันจะตั้งป้ายหลุมศพให้เขา พร้อมส่งดอกกุหลาบให้เขาด้วย”

 

 

           เจียงมู่เฉินฟังจบก็สะบัดประตูออกไปทันที

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับค่อนข้างปวดหัว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไป๋จิ่งนับวันยิ่งเกินกว่าแผนที่เขาวางไว้ บางทีไม่ต้องใช้เวลานาน เขาก็จะสะสางบัญชีกับไป๋จิ่งให้ถึงที่สุดได้

 

 

           ในที่สุดก็ใกล้จะถึงวันนี้จนได้ วันที่ความจริงทั้งหมดเปิดเผย ตอนที่เขาได้เหยียบย่ำซ้ำเติมหัวใจของไป๋จิ่งจนแหลกอยู่ใต้เท้าเขา เมื่อให้ไป๋จิ่งได้รู้ว่าเขาคือหลินฝานในตอนนั้น คนที่ไม่เคยสนใจอะไรอย่างไป๋จิ่งจะแสดงสีหน้าอารมณ์อะไรออกมาได้บ้าง

 

 

           มั่วไป๋หลับตาลง เขาควรจะดีใจถึงจะถูกต้องอยู่ชัดๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม พอคิดถึงขึ้นมากลับไม่ได้ดีใจขนาดนั้นอย่างที่คิดไว้เลย

ตอนที่ 244 นอนอยู่โดนลอบโจมตี  

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ถ้าซูเตอร์มีความเคลื่อนไหว นั่นถึงจะใช่ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดใด คนอย่างซูเตอร์ขาดทุนกับเจียงมู่เฉินถึงขนาดนี้แล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ทวงคืนกลับไปแต่รั้งทัพรอจังหวะบุกโจมตีแทน  

 

 

           “เป็นไรไป นายคิดถึงอะไรอยู่ใช่ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดสักพัก “เอางี้ นายช่วยเฝ้าระวังทิศทางความเคลื่อนไหวของแก๊งมังกรคราม มีเรื่องอะไรก็รีบบอกฉันทันที ส่วนซูเตอร์ทางนี้ฉันจะจัดการปัญหาเอง”  

 

 

           ไมเคิลพยักหน้า “โอเค นายวางใจเถอะ ทางนี้ฉันจัดการเอง”  

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนสิ้นสุดวิดีโอคอลแล้ว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยครุ่นคิด ตลอดสามวันมานี้เขาจงใจไม่ติดต่ออะไรกับซูเตอร์ ก็เพื่ออยากจะรอดูว่าตกลงอีกฝ่ายคิดจะจัดการปัญหาอย่างไร  

 

 

           แต่เวลาสามวันกว่าๆ แล้ว คิดไม่ถึงว่าซูเตอร์จะไม่กระทำการอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  

 

 

           นี่ก็เหมือนกับความสงบนิ่งก่อนพายุฝนจะโหมกระหน่ำอย่างแรง ซูเตอร์ไม่มีทางจะเป็นลูกไก่ในกำมือของเจียงมู่เฉินแบบนี้ได้หรอก ถ้าตอนนี้เขายังไม่มีท่าทีอะไร ก็มีนัยว่าเป็นไปได้สูงที่ซูเตอร์จะเตรียมการที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  

 

 

           คิดถึงตรงนี้ สีหน้าซือเหยี่ยนดำดิ่งในอารมณ์ ความกังวลใจฉายสะท้อนในแววตา  

 

 

           ……  

 

 

           กลับไปตอนเที่ยง เจียงมู่เฉินยังไม่ตื่นขึ้นมา ซือเหยี่ยนเดินย่องเข้าไปยังห้องนอนก็เห็นเขานอนฟุบอยู่บนเตียง  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูรอยบนร่างกายเขาที่ตัวเองทิ้งไว้ เพียงรู้สึกว่าหายใจหนักเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปพลิกร่างคนบนเตียงกลับมากอดไว้  

 

 

           เจียงมู่เฉินถูกรบกวนจนขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ ซือเหยี่ยนเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็ขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น ใช้ฟันกัดเข้าที่ใบหน้าเขาเบาๆ คำหนึ่ง  

 

 

           เจียงมู่เฉินที่โดนกัดเข้าก็หงุดหงิด ง้างมือตบเข้าไปโดนหน้าของซือเหยี่ยนพอดี ซือเหยี่ยนตะลึงงันไม่ค่อยกล้าจะเชื่อว่าตัวเองจะโดนเจียงมู่เฉินสะบัดฝ่ามือใส่อย่างไร้คำอธิบายโดยไม่คาดคิดขนาดนี้  

 

 

           ‘สะบัดกลับไปหรือว่ากัดกลับมา?’  

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงประกบริมฝีปากเขาอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ เคี้ยว ค่อยๆ กัดอย่างช้าๆ แม้แต่มุมปากก็ไม่ปล่อยผ่าน  

 

 

           สะบัดฝ่ามือใส่เจียงมู่เฉิน ต้องตัดใจทำไม่ลงเป็นธรรมดา แต่ว่า…ใช้ฟันกัดงับเขา ตัวเองยังเต็มใจมากอยู่  

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้หลับใหลท่ามกลางความฝันเพียงครู่เดียวก็หายใจติดขัด ใบหน้าเล็กที่อึดอัดแดงจัด อาการหายใจไม่ออกกำเริบ เขารีบลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าที่แนบชิดอยู่ต่อหน้าของตัวเอง และสัมผัสแปลกประหลาดที่อยู่ในปาก  

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนน้ำใสๆ เอ่อขึ้นมาในดวงตา นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นถลึงตาค้างใส่ซือเหยี่ยน เพิ่งจะตื่นนอนแขนขาไร้เรี่ยวแรงดิ้นรนสู้ไม่ไหวอยู่แล้ว ทำได้เพียงปล่อยให้เขาจูบได้ตามอำเภอใจ  

 

 

           กว่าจะปล่อยไม่ใช่ง่ายๆ เจียงมู่เฉินผลักซือเหยี่ยนออกไป หายใจหอบอย่างรุนแรง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงผ่อนคลายลง เมื่อฟื้นคืนสภาพเดิมกลับมาได้ก็เปิดปากด่าชุดใหญ่ทันที “นายแม่งฉวยโอกาสตอนฉันหลับลอบโจมตีฉัน ไม่ละอายใจหรือไง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไม่รู้ไม่ชี้ “ใครใช้ให้คุณยั่วยวนผมก่อนล่ะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนหน้ามืดตามัว  เขานอนอยู่ดีๆ ก็ยังยั่วยวนอีกเหรอ  

 

 

           “คุณชายนอนก็หาเรื่องนายแล้วใช่ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูก “คุณนอนอยู่บนเตียงแบบนี้ ไม่ใช่ว่ายั่วยวนผมเหรอ” เห็นเรียวขายาวนั่นเต็มตา  เขาจะไม่ฮึกเหิมได้ยังไงไหว  

 

 

           เจียงมู่เฉินฉุนเฉียวจนอยากจะชูนิ้วกลางใส่เขา ยังไม่ทันได้ชูออกมา ท้องก็ร้องขึ้นมา เขาถึงเพิ่งได้รู้ตัวว่าตัวเองหิวจนอกติดแผ่นหลังแล้ว  

 

 

           เขายกเท้าถีบซือเหยี่ยน “อุ้มฉันไปอาบน้ำ แล้วฉันจะกินข้าว”  

 

 

           พอซือเหยี่ยนได้ยินก็รีบอุ้มเขาขึ้นมา มุ่งหน้าไปทางห้องน้ำ ถึงยังไงดูเฉินเฉินอาบน้ำ เขาก็ชอบที่สุดแล้ว  

 

 

           อาบน้ำทีก็ใกล้จะครบหนึ่งชั่วโมงแล้ว กว่าจะออกมาอีกที เจียงมู่เฉินแม้แต่ด่าคนก็ยังด่าไม่ไหวแล้ว ปล่อยให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขาออกไปที่โต๊ะอาหาร  

 

 

           “คุณรอผมไม่กี่นาทีนะ เดี๋ยวผมไปอุ่นอาหารแป๊บนึง”  

 

 

           เขาถืออาหารเข้าไปในครัว ทั้งยังหยิบผ้าขนหนูให้เจียงมู่เฉิน “ผมยังมีน้ำหยดลงมาอยู่ เช็ดผมให้แห้งก่อนนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมือไม้อ่อนเช็ดผมอย่างเกียจคร้าน เขานั่งพิงเก้าอี้มองดูซือเหยี่ยนที่อยู่ในครัว สวมเสื้อผ้าในมาดของคน ถอดออกแล้ว…ก็คือสัตว์ดีๆ นี่ล่ะ  

 

 

             

 

 

ตอนที่ 245 ขาดทุนแล้ว  

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินนึกถึงภาพที่เขาถอดเสื้อผ้าออกแล้วหัวรู้สึกชาๆ ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนที่ถอดเสื้อผ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนที่อยู่ในห้องครัวไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองถูกเจียงมู่เฉินหมายหัวขีดฆ่าว่าเป็นคนไม่ดีแล้ว เขาอารมณ์ดี เอาอาหารที่ซื้อกลับมาออกมาอุ่นร้อนครั้งหนึ่งแล้วจัดใส่จานอย่างดีวางลงต่อหน้าเจียงมู่เฉิน  

 

 

           เจียงมู่เฉินหิวจนไม่ไหวแล้ว ไม่กี่วันมานี้โดนซือเหยี่ยนตักตวงขูดรีดกันดุเดือดเกินไป รู้สึกว่าถ้าเขาไปชั่งน้ำหนักตอนนี้ต้องผอมลงไปเป็นกิโลแน่นอน  

 

 

           เขาพิจารณาไตร่ตรองดูว่าถ้าตอนนี้ไปฟ้องร้องซือเหยี่ยนในข้อหาใช้ความรุนแรงในครอบครัว จะมีโอกาสชนะคดีบ้างหรือเปล่า  

 

 

           ซือเหยี่ยนถือถ้วยเข้ามา ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน ถึงแม้ว่าเจียงมู่เฉินจะหิว แต่กิริยาท่าทางการกินอาหารของเขายังคงเป็นสไตล์ตามความเคยชินของเขา เชื่องช้าเหมือนแมวขี้เกียจอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ กินไปหาวไป คอเสื้อเลื่อนตกลงไปถึงครึ่งแล้วก็ยังไม่รู้ตัว  

 

 

           สายตาเขาจับจ้องมาที่ไหล่ขาวผ่องของเจียงมู่เฉิน มองไปมองมาสุดท้ายสายตามาหยุดลงตรงกระดูกไหปลาร้าอันได้รูปของเขา ซือเหยี่ยนขบกรามแล้วขบกรามอีก อยากโผตัวเข้าใส่แล้วกัดสักคำสองคำ  

 

 

           แต่พอเห็นสภาพเจียงมู่เฉินเป็นแบบนี้ ขืนเขากล้ากัดจริงๆ เจียงมู่เฉินต้องระเบิดลงจริงๆ แล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนตักน้ำแกงไก่ใส่ถ้วยให้เขา “กินซุปหน่อย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ทำไม รู้สึกว่าฉันขาดทุนเลยอยากจะชดเชยให้ฉันเหรอ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกะพริบตาปริบๆ ตักน้ำแกงให้ตัวเองถ้วยหนึ่งเช่นกัน “พูดแบบนี้ ผมเองก็ต้องการชดเชยเหมือนกัน”  

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”  วันนี้หมดหนทางจะผ่านไปได้แล้ว  

 

 

           หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ซือเหยี่ยนเองก็ไม่รีบไปทำงาน เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยถามนิ่งๆ “บริษัทของนายจะเจ๊งแล้วเหรอ”  

 

 

           “อะไรกัน คุณหวังไว้มากว่าบริษัทผมจะเจ๊งเหรอ”  

 

 

           “เงินของนายไม่ใช่เงินของฉีนสักหน่อย จะเจ๊งไม่เจ๊งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน”  

 

 

           “งั้นผมเอาเงินให้คุณ? แบบนี้ก็จะเกี่ยวกับคุณได้แล้วใช่หรือเปล่า” จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว  

 

 

           ขมับเจียงมู่เฉินกระตุกทันที รีบเอ่ยห้าม “อย่า คุณชายอย่างฉันเองมีเงิน ไม่อยากได้เงินของนายหรอก”  

 

 

           ‘เงินของเขามีมหาศาล ตัวเองยังใช้ได้ไม่หมดเลย ถ้าบวกเงินของซือเหยี่ยนเข้าไปอีก…’  

 

 

           ความฝันของเขาเองก็ไม่ใช่มานอนนับเงินบนกองเงินกองทอง อยากได้เงินเยอะขนาดนั้นไปเพื่ออะไร  

 

 

           “เงินของคุณมารวมกับเงินของผม ถ้าเอาให้คุณทั้งหมด เฉินเฉินคุณอาจจะเป็นคนที่รวยที่สุดในถานโจวแล้ว”  

 

 

           เจียงมู่เฉินสมองกระตุก “ฉันไม่ได้อยากกลายเป็นคนที่รวยที่สุดอะไรสักหน่อย”  

 

 

           เขายื่นมือไปสะกิดซือเหยี่ยน “ซูเตอร์ทางนั้นตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง สามวันมานี้จะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเชียวเหรอ”  

 

 

           สามวันมานี้เขาตัวติดกันซือเหยี่ยนตลอด ไม่มีเวลาคิดทบทวนอะไรเลย ตอนนี้นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้กะทันหัน  

 

 

           “ไม่มีความเคลื่อนไหว” ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงจูบเขา “อาจจะยอมศิโรราบให้กับความห้าวหาญของคุณ ถึงได้ไม่กล้ามีความเคลื่อนไหวอะไรมั้ง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่  มองเขาเป็นเด็กอายุสามขวบหรือไง ยังจะเชื่อคำโกหกที่ไม่มีชั้นเชิงขนาดนี้ได้อยู่เหรอ  

 

 

           เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดจะคิดว่าคำพูดในวันนั้นจะทำให้ซูเตอร์รู้ถึงความยากลำบากแล้วจะยอมถอนตัวได้จริงๆ  

 

 

           ตอนนี้เขาไม่มีความเคลื่อนไหว เป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นเพราะกำลังวางแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ถ้าซูเตอร์ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร เขาถึงรู้สึกแปลกประหลาด ถ้าเป็นแบบนั้นจะคู่ควรกับตำแหน่งผู้สืบทอดของแก๊งมังกรครามได้อย่างไร  

 

 

           ดวงตาเจียงมู่เฉินจมดิ่งลงเล็กน้อย นัยน์ตาฉายความหยั่งลึกในอารมณ์ แต่เมื่อมองไปยังซือเหยี่ยนกลับสลายหายไปอย่างรวดเร็ว  

 

 

           เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยน “นายได้ไปหาเขาหรือยัง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัว “คุณไม่เห็นด้วย มีหรือผมจะกล้าไป”  

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะมองเขา “โอ้ ประธานซือว่าง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อก่อนประธานซือไม่เคยจะถามความคิดเห็นอะไรของฉันเลย”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นแววตาเล็กๆ นั่นของเขาแล้ว จิตใจพลันหวั่นไหว โน้มตัวเข้าใกล้ไปกัดเขา เจียงมู่เฉินผลักอีกฝ่ายออก “พูดจากันก็พูดจากันสิ อย่าเอาแต่ขยับมือขยับปาก”  

ตอนที่ 242 นี่คืออยากทำให้เขาตายสินะ  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “ตอนนั้นเป็นคุณที่โหยหาต้องการจะลูบให้ได้ อย่างผมนี้เรียกว่าตอบสนองด้วยมารยาทที่ดีต่างหาก”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้าโต้ตอบอย่างหนักแน่น “ใช่สิ ฉันลูบนายไปสิบห้าครั้ง อย่างมากก็แค่ให้นายลูบกลับคืนก็ได้แล้ว”  

 

 

           “อ้อ ถ้าลูบกลับคืนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “เพียงแต่ว่าตอนนั้นที่คุณลูบคือกล้ามท้องของผม บนตัวคุณมีสิ่งนี้หรือเปล่าล่ะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”  

 

 

           ‘นี่เขาถูกหยามกันแล้วใช่ไหม ไม่มีกล้ามท้องแล้วจะทำไม เขาก็เป็นสไตล์หนุ่มรูปงามหน้าหล่อ ผิวขาวเนียน สูงยาวเข่าดีไงล่ะ’  

 

 

           “เฉินเฉิน คุณอย่าดิ้นรนอีกเลย” ซือเหยี่ยนยื่นมือไปเกลี่ยผมเขา “บวกกับที่คุณจูบมั่วไป๋ไปสองครั้ง ผมเองก็คิดคุณไม่เยอะหรอก รวมเป็นยี่สิบครั้งถ้วน เสร็จเมื่อไหร่ ผมก็จะปล่อยคุณเมื่อนั้น”  

 

 

           “…” เจียงมู่เฉินล้มลงบนโซฟา  

 

 

           ‘ยี่สิบครั้ง?’  

 

 

           ‘ซือเหยี่ยนอยากจะทำให้เขาตายจริงๆ สินะ ยี่สิบครั้งเขายังจะมีทางรอดอยู่ไหม’  

 

 

           “ผมช่วยคุณคำนวณดูแล้วก็วันละเจ็ดครั้ง มากสุดสามวันคุณก็ออกข้างนอกได้แล้ว” สีหน้าท่าทางอ่อนโยน “แน่นอน ถ้าคุณรู้สึกว่าอ่อนแรงจนรับไม่ไหว พวกเราก็ทำวันละห้าครั้งได้ ขอแค่สี่วันพอ…เฉินเฉิน สามสี่วันผ่านไปไวมากนะ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ รู้สึกว่าให้ซือเหยี่ยนเด็ดหัวเขาออกให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยยังจะดีกว่า  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาดูสิ้นหวัง ไม่มีท่าทางขัดขืนอะไรก็พยักหน้าอย่างพอใจ ช้อนร่างอุ้มเขาขึ้นมา “งั้นพวกเราก็ประหยัดเวลากันหน่อยดีกว่า เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกัน จะได้เสร็จไวขึ้นถูกไหม”  

 

 

           ขณะที่เจียงมู่เฉินโดนอุ้มเข้าในห้องนอน ก็อดจะขบกรามไม่ได้ ไป๋จิ่งเจ้าคนระยำนั่น ถ้าวันหนึ่งมีจุดอ่อนอะไรในมือเขา เขาจะต้องค่อยๆ คิดบัญชีกับไป๋จิ่งทีละนิดๆ แน่นอน  

 

 

           รับประกันว่าจะร้ายแรงกว่าที่ขุดหลุมฝังศพเขารอบนี้อีก  

 

 

           ยามโดนซือเหยี่ยนจับกดวาดลวดลายลีลา เจียงมู่เฉินใกล้จะร้องไห้จริงๆ แล้ว  ยี่สิบครั้งเลยนะ เยอะขนาดนี้เขาจะคืนยังไง เขาจะโดนซือเหยี่ยนทำจนตายเลยไหม  

 

 

           ‘เขายังไม่ได้แก้แค้นไป๋จิ่งเลย จะตายไม่ได้เด็ดขาด’  

 

 

           ……  

 

 

           สามวันครึ่งติดต่อกัน  สามวันครึ่งเต็มๆ  เลยนะ แม้แต่ประตูคอนโดมิเนียมก็ยังไม่ได้ออกไป นอกจากกินข้าวก็โดนซือเหยี่ยนจับกดอยู่อย่างนี้  

 

 

           แม้แต่ห้องครัวกับห้องรับแขกก็ไม่ได้ปล่อยผ่าน…  

 

 

           เจียงมู่เฉินราวกับปลาตายที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาขาวโพลน ยังดีที่เมื่อก่อนไม่ได้รับปากตกลงเรื่องที่ไม่เท่าเทียมกันกับซือเหยี่ยนมากเกินไป  

 

 

           ‘ไม่อย่างนั้นตอนนี้จะชดใช้คืนต้องถึงชีวิตจริงๆ แล้ว’  

 

 

           ซือเหยี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวา สวมใส่ชุดสูทกิริยาท่าทางเหมือนคน สัญชาตญาณดิบของสัตว์เมื่อไม่กี่วันมานี้ดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อย  

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม เหนื่อยกันมาสามวันครึ่งชัดๆ ทำไมซือเหยี่ยนถึงดูสดชื่นมีชีวิตชีวาได้ขนาดนี้  

 

 

           ส่วนเขาก็เหมือนกับปลาตายดีๆ นี่เอง  

 

 

           ซือเหยี่ยนที่สวมเสื้อเสร็จเรียบร้อยจึงโน้มใบหน้าลงมาจูบเขา “เด็กดี นอนชดเชยดีๆ ตอนเที่ยงผมจะกลับมาป้อนคุณจนอิ่มเลย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมือไม้อ่อนคว้าหมอนใกล้ตัวโยนใส่เขา “ป้อนกับน้องสาวนายจนอิ่มสิ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกซื่อๆ “ทำอาหารให้คุณกินไง ตอนเที่ยงคุณไม่กิน ไม่หิวเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนคร้านจะสนใจเขา ใช้มือดึงผ้าห่มมาปิดคลุมตัวเองไว้ ไม่อยากจะเห็นเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้  

 

 

           ซือเหยี่ยนขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น ก้มหัวโน้มตัวลงมาแนบชิดกับผ้าห่ม แล้วกกกอดไว้ในอ้อมอก จากนั้นออกแรงจูบลงไปหนักๆ  

 

 

           หลังจากนั้นสักครู่หนึ่งถึงได้ออกจากคอนโดมิเนียมอย่างสุขใจ  

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงปิดประตูก็ดึงผ้าห่มลง มองดูฝ้าเพดาน เขาตัดสินใจแล้วเรื่องหนึ่ง นั่นคือ ‘การสลับเป็นรุก’  ยังต้องสลับเป็นรุก ต้องสลับเป็นรุกให้ได้!  

 

 

           ‘จะโดนเขาจับกดไปเรื่อยๆ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด’  

 

 

           สีหน้าเจียงมู่เฉินเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะต้องสลับเป็นรุกให้สำเร็จ ทำให้ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ได้ลิ้มรสผลข้างเคียงจากอาการเอวเคล็ด หลังยอก ขาเป็นตะคริวให้ได้  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 243 สลัดนายทิ้งไปนานแล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนไปบริษัทอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวา ทั่วทั้งใบหน้าที่ได้เติมเต็มความต้องการแผ่ซ่านความสบายออกใจมาอย่างสงบนิ่ง  

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นสีหน้าท่าทางแบบนั้นของเขา ทั้งยังคิดถึงว่าสามวันมานี้ซือเหยี่ยนไม่ได้มาปรากฏตัวที่บริษัทเลย จึงอดจะเข้าไปถามไม่ได้ “สามวันมานี้นายกับคุณชายน้อยเจียงทำอะไรกัน”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ทำเรื่องที่ควรจะทำ”  

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาด้วยสายตาหยอกล้อ “หลังจากวันนั้นที่นายพาคุณชายเจียงของนายกลับไป ลงโทษเขายังไงกัน ลงโทษทีก็ลงโทษสามวันเชียว”  

 

 

           “นายตามเมียนายกลับมาแล้วหรือยัง”  

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักงัน ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินขึ้นเตียงกันสามวันแล้ว ส่วนเขาความคืบหน้าสักนิดก็ไม่มี แม้กระทั่งหน้ามั่วไป๋ก็ยังไม่ได้เจอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเลื่อนขั้นเป็นตัวจริง  

 

 

           เมื่อเปรียบเทียบกันขนาดนี้ก็ช่างน่าเวทนาจริงๆ  

 

 

           ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ รู้สึกปลงอนิจจังโลกใบนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับเขาเสียเลย  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นใบหน้าขมขื่นของเขา ก็เข้าใจได้ในทันที เขามองไป๋จิ่งด้วยสายตาเย็นชา “เมียตัวเองก็จัดการไม่ได้ ยังมานินทาฉันในใจอีก ถ้าฉันเป็นมั่วไป๋ ฉันสลัดนายทิ้งไปนานแล้ว”  

 

 

           หัวใจของไป๋จิ่งโดนโจมตีในชั่วพริบตา นี่…คำพูดนี้ถึงจะพูดกันขนาดนี้ แต่ก็จะทำร้ายกันขนาดนี้ไม่ได้หรือเปล่า  

 

 

           ‘ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ไว้หน้าอะไรกันบ้างสักหน่อยก็ได้’  

 

 

           “ยังไม่ไปอีกเหรอ” ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ชีวิตด้านความรักไม่รุ่ง ตอนนี้การงานก็ไม่อยากจะทำแล้วใช่ไหม”  

 

 

           ไป๋จิ่งน้ำตาตกใน ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่สุขกายสบายใจตั้งสามวัน คิดไม่ถึงว่าจะยังมาระบายอารมณ์ลงที่เขาอีก  

 

 

           “นายนี่มันทำคุณบูชาโทษ ฉันหวังดีบอกนาย นายดันกลับมาเหน็บแนมเย้ยหยันฉัน ทั้งโลกก็มีแค่นายที่คิดไม่ซื่อที่สุดแล้ว”  

 

 

           พูดถึงตรงนี้ ซือเหยี่ยนก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ “นายยังไม่กระดากใจมาขอความดีความชอบจากฉันอีก เมียตัวเองก็คุมไม่อยู่ โดนคนอื่นจูบต่อหน้านาย นายยังจนปัญญา มิน่าล่ะจนถึงตอนนี้แล้วถึงจีบใครไม่ติดสักที”  

 

 

           ‘เชี่ย…แม่ง…’  

 

 

           ไป๋จิ่งขบกราม เมื่อก่อนซือเหยี่ยนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ ทำไมพอคบกับเจียงมู่เฉินแล้ว ปากถึงอาบยาพิษได้ถึงเพียงนี้  

 

 

           ต้องเป็นเพราะเจียงมู่เฉินแน่นอน ต้องเป็นเขาที่พาซือเหยี่ยนเสียคนแน่นอน  

 

 

           ‘เลิก’ ต้องรีบทำให้พวกเขาเลิกกัน ไม่อย่างนั้นซือเหยี่ยนจะเรียนรู้ซึมซับกับเจียงมู่เฉินมากเกินไป ถึงเวลานั้นก็ไม่มียาใดจะรักษาได้แล้ว  

 

 

           ไป๋จิ่งเดินฟึดฟัดฮึดฮัดจากไป ขืนอยู่กับซือเหยี่ยนที่นี่ต่อไป เกรงว่าเขาจะโดนซือเหยี่ยนเหน็บแนมเย้ยหยันจนไม่เหลือแม้แต่หน้าแล้ว  

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งออกไป ซือเหยี่ยนกุมขมับ สามวันไม่มาปรากฏตัว ไม่รู้ว่าซูเตอร์ทางนั้น สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง  

 

 

           เขาเปิดอีเมลดูคร่าวๆ ในสามวันนี้นอกจากเมลเรื่องงาน เมลส่วนตัวน้อยมาก และในนั้นก็มีเมลจากไมเคิลสองฉบับ  

 

 

           เขาเปิดอ่านดูคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว ซือเหยี่ยนครุ่นคิดอยู่ไม่กี่นาทีก็วิดีโอคอลหาไมเคิล  

 

 

           ไมเคิลทางนั้นกำลังเป็นช่วงกลางคืน เหมือนว่าเขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จออกมานั่งหน้าโต๊ะหนังสือ  

 

 

           “เห็นเมลแล้วใช่ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “เพิ่งจะเห็น”  

 

 

           “เพราะว่าแก๊งมังกรครามกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านตำแหน่ง ดังนั้นตอนนี้ภายในค่อนข้างยุ่งเหยิง อีกอย่างซูเตอร์เจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่ในแก๊งตอนนี้ที่นี่ มีคนอยู่ไม่น้อยที่อยากจะฉวยโอกาสก่อนที่ซูเตอร์จะกลับมา ก่อการเปลี่ยนผู้นำ… ฉันทำตามที่นายต้องการ เข้าใกล้ซูเวลล์น้องชายของซูแวน เหมือนกับที่นายบอก เขามีความคิดอยากจะแย่งชิงตำแหน่งจริงๆ อีกอย่างหลายปีมานี้เขาเองก็แอบกระทำการลับแม้จะไม่ใหญ่ แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยทีเดียว เพียงแต่ว่าตอนนี้ติดที่ซูแวนยังไม่สละตำแหน่ง ยังไม่มีคลื่นใหญ่อะไรซัดมา”  

 

 

           “ซูแวนทางนั้นสองวันมานี้มีท่าทีตอบสนองอะไรไหม” ซือเหยี่ยนหยุดสักพัก “หรือว่าคนในสังกัดแต่เดิมของซูเตอร์มีความเคลื่อนไหวอะไรไหม”  

 

 

           ไมเคิลขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว ซูเตอร์อยู่ถานโจวไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องเฝ้าระวังทิศทางความเคลื่อนไหวของเขาด้วย”  

 

 

           “ถานโจวทางนี้เกิดเรื่องนิดหน่อย ฉันคิดว่าซูเตอร์จะติดต่อแก๊งมังกรครามเรียกคนของเขาเข้ามา”  

 

 

           “ไม่มี ไม่กี่วันนี้ฉันติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่พบความผิดปกติอะไร”  

ตอนที่ 240 เรียกคนมาเก็บศพ  

 

 

           เมื่อครู่เจียงมู่เฉินยังอวดดีมาก แต่ตอนนี้หวาดกลัวลงในทันใด เขาเห็นสีหน้าซือเหยี่ยนที่ดำจนทมิฬแล้วมุมปากกระตุกขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าฉันบอกว่าเมื่อกี้ฉันแค่จูบไปเล่นๆ นายจะเชื่อไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “คุณคิดว่าผมควรจะเชื่อไหมล่ะ”  

 

 

           ไป๋จิ่งเล่นตามน้ำ เอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อย “นายจูบไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ทั้งกอดทั้งจูบ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่ไป๋จิ่งทันที  แกมันผู้ชายกากเดน  แทงข้างหลังเขาก็ช่างเถอะ ตอนนี้อยู่ต่อหน้าเขายังจะมาทำตัวเป็นบ่างช่างยุอีก  

 

 

           “อะไรกัน เมื่อกี้นายยังกอดมั่วไป๋ของฉันแล้วยังจูบไปจูบมาอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่มีฉันขวางเอาไว้ ไม่แน่ว่านายคงถอดเสื้อผ้ามั่วไป๋ออกแล้ว”  

 

 

           “…” เจียงมู่เฉินรู้สึกว่า  เจ้าผู้ชายกากเดนนี่วันนี้มาขุดหลุมฝังศพเขาสินะ  

 

 

           “มือฉันเป็นตะคริว นายเชื่อไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ เดินเข้าไปช้อนอุ้มร่างเจียงมู่เฉินขึ้นมา หมุนตัวมุ่งหน้าจะเดินออกไปข้างนอก  

 

 

           เจียงมู่เฉินจับบานประตูเอาไว้ “ไป๋ไป๋ ถ้านายยังไม่มาช่วยฉันอีก ฉันคงจะไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้วนะ”  

 

 

           มั่วไป๋เลิกคิ้ว “ถ้าฉันไปช่วยนาย แม้แต่พระอาทิตย์ตกในวันนี้ นายก็จะไม่เห็นเลยนะ” เขากวาดสายตามองเจียงมู่เฉินด้วยท่าทีเรียบเฉย “ดังนั้น…นายยังอยากให้ฉันช่วยนายอยู่อีกเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองใบหน้าของซือเหยี่ยน มือไม้ก็อ่อนลงเฉียบพลันแล้วก็โดนอุ้มออกไปทั้งอย่างนี้ เขาขดตัวอยู่ในอ้อมอกของซือเหยี่ยน เอ่ยถามเสียงอ่อน “นายทำใจตีฉันให้ตายไม่ลงหรอกใช่ไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ “เฉินเฉิน คุณว่าไงล่ะ”  

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย “นายควรจะทำใจไม่ลงใช่ไหม”  

 

 

           เสียงพูดเขาเพิ่งจะหยุดลง ตัวคนก็โดนจับยัดเข้าไปในรถ แล้วปิดประตู เขาฟุบลงไปกับประตูคิดอย่างอ่อนแรง รู้สึกว่าครั้งนี้เกรงว่าตัวเองจะเป็นอิสระไม่ได้ง่ายๆ เสียแล้ว  

 

 

           เขาส่งข้อความหามั่วไป๋ ซือเหยี่ยนที่เข้ามาในรถก็ดันเห็นเข้าพอดีพลางเอ่ยถามเสียงต่ำ “หาคนฟ้องเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินสีหน้าเศร้าสลด “ฉันหาคนมาช่วยฉันเก็บศพต่างหากเล่า”  

 

 

           ซือเหยี่ยน “…”  

 

 

           ……  

 

 

           บนตึก หลังจากที่ไป๋จิ่งเห็นเจียงมู่เฉินถูกจับยัดในรถแล้วออกไปก็อดจะยักคิ้วด้วยความลำพองใจไม่ได้  เขาสู้ไม่ชนะเจียงมู่เฉิน แล้วยังจะหาคนมาจัดการแทนไม่ได้เชียวเหรอ  

 

 

           ‘ดูสิ นี่แก้ปัญหาไปได้สบายๆ เลยไม่ใช่เหรอ’  

 

 

           เขาหันกลับมา มั่วไป๋ก็ไม่อยู่แล้ว ไป๋จิ่งสะดุ้งตกใจคิดว่ามั่วไป๋พุ่งตัวไปช่วยเจียงมู่เฉินแล้ว แต่คิดดูแล้วคงไม่หรอก เมื่อกี้ไม่ลงมือ ตอนนี้จะลงมือเหรอ  

 

 

           เขาหมุนตัวเดินไปยังห้องนอน ก็เห็นมั่วไป๋กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ เขามองแผ่นหลังขาวผ่องแล้วกลืนน้ำลายลงคอ “กลางวันแสกๆ คุณจะถอดเสื้อผ้าทำไม”  

 

 

           “เสื้อผ้าถูกพวกนายดึงไปดึงมาจนยับแล้ว ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปเจอหน้าคนยังไง”  

 

 

           ไป๋จิ่งลูบปลายจมูกด้วยความรู้สึกผิดแก่ใจ  เหมือนว่าเมื่อกี้ที่เขากอดมั่วไป๋ … จะออกแรงเยอะไปหน่อยแฮะ    

 

 

           รอจนมั่วไป๋เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ไป๋จิ่งก็เริ่มจ้องมองเขาอีก “คุณเตรียมตัวจะไปไหน ผมส่งคุณไหม”  

 

 

           มั่วไป๋กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายไม่ต้องกลับบริษัทเหรอ ซือเหยี่ยนคงไม่มีอารมณ์กลับบริษัทหรอก”  

 

 

           ไป๋จิ่งรีบพูด “ส่งคุณสำคัญกว่า ช่างบริษัทสิ”  

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับแล้ว “นายปากหวานวันนี้ก็ยังเลื่อนขั้นเป็นตัวจริงไม่ได้หรอก”   

 

 

           ไป๋จิ่งผู้สิ้นหวังในการเลื่อนขั้นเป็นตัวจริงอีกครั้งถอนหายใจอย่างเงียบๆ เขาดึงชายเสื้อของมั่วไป๋ “ตรวจงานมาตั้งกี่วันแล้ว ยังเลื่อนขั้นเป็นตัวจริงไม่ได้เหรอ”  

 

 

           มั่วไป๋มองเขาแล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ “รออีกหนึ่งสัปดาห์ค่อยว่ากันเถอะ”  

 

 

           …ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ รู้สึกว่าหนทางการเลื่อนขั้นเป็นตัวจริงยังอีกยาวไกลพอควร เขายังคิดว่าในเร็วๆ นี้จะได้เลื่อนขั้นเป็นตัวจริง จะขอรางวัลปูนบำเหน็จกับมั่วไป๋อย่างเปิดเผยสักหน่อย มีหรือจะเหมือนตอนนี้ที่เขาทำได้แค่กอดๆ จูบๆ ไม่กล้าทำเรื่องอย่างอื่น  

 

 

           ……  

 

 

           ซือเหยี่ยนขับรถกลับไปที่คอนโดมิเนียม เจียงมู่เฉินนั่งเป็นอัมพาตอยู่บนที่นั่งในรถ ยอมแพ้ไม่ดิ้นสู้แล้ว คิดเสมอว่าวันนี้เขาคงจะไม่มีชีวิตอยู่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว  

 

 

           ซือเหยี่ยนจอดรถเข้าที่เรียบร้อยแล้ว กวาดสายตามองเจียงมู่เฉินผู้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดใดทั้งสิ้น “ยังไง อยากอยู่บนรถเหรอ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบตะเกียกตะกายขึ้นมา “อย่าๆๆ ฉันไม่อยาก”  

 

 

           ตายในรถไม่สมฐานะอันมีเกียรติสูงส่งของเขา ต่อให้คลานก็ต้องคลานให้ถึงข้างในคอนโดมิเนียม ถึงจะตายได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนพาตัวเจียงมู่เฉินเข้าลิฟต์ไป ออกมาจากลิฟต์อีกที จนมายืนอยู่หน้าประตูคอนโดมิเนียม เจียงมู่เฉินถอนหายใจเล็กน้อย ดูท่าว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ที่พึ่งพาของเขาในวันข้างหน้านี้แล้ว  

 

 

           เขามองดูซือเหยี่ยนที่เปิดประตูอยู่ข้างๆ ก่อนเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ในวันข้างหน้า นายต้องดูบ้านหลังนี้ให้ดีนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมุมปากกระตุก ใช้มือดึงลากคนเข้าไปข้างในทันที  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 241 สิบห้าครั้งที่ติดหนี้ไว้  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองประตูที่ถูกปิดลงทั้งแบบนี้ด้วยสีหน้าอนาถใจตัวเอง เขาจับประตูไว้อยากร้องไห้ ซือเหยี่ยนเองก็ไม่สนใจ เพียงมองเขาอยู่แบบนั้น  

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนสงบนิ่งไว้อาลัยอยู่ตั้งนานกว่าจะหันกลับมาก็เห็นซือเหยี่ยนยืนกอดอกอยู่ข้างๆ เขา สีหน้าดำทมิฬ  

 

 

           เขากำชายเสื้อไว้ด้วยท่าทางอ่อนแอดูน่าสงสารจับใจ  

 

 

           “เล่นละครพอหรือยัง” ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงเรียบ ไม่รู้ว่าช่วงนี้เจียงมู่เฉินไปเรียนจากใครมา  แสดงเก่งตัวพ่อขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่เห็นจะรู้สึกเลย  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนตัดสินใจจะขุดหลุมฝังศพให้ไป๋จิ่ง ใครใช้ให้เมื่อกี้พลิกกลับมาแทงข้างหลังเขา  

 

 

           “ฉันเล่นละครก็เรียนมาจากไป๋จิ่งทั้งนั้น เขาน่ะไม่ปกติ ต่อไปนายต้องเจอเขาให้น้อยลงนะ” เจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างหนักแน่นจากใจจริง “ฉันก็รู้ว่าคืนนี้ฉันคงจะหลบไม่พ้น ต่อไปกับไป๋จิ่งก็ไม่มีอะไรจะยุ่งเกี่ยวกันแล้ว…พอเป็นนาย ฉันไม่วางใจเลย ถ้าเขาทำให้นายกลายเป็นแบบนี้ ฉันจะทำยังไงล่ะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ หิ้วปีกเจียงมู่เฉินมานั่งลงโซฟาดีๆ “คุณอย่าเพิ่งเป็นกังวลขนาดนั้นไปก่อน คุณคิดก่อนว่าจะอธิบายกับผมยังไง เรื่องที่คุณจูบมั่วไป๋”  

 

 

            เจียงมู่เฉินหัวใจบีบแน่น ลังเลอยู่สักพักถึงได้เอ่ยปากขึ้น “ฉันกับมั่วไป๋เป็นเพื่อนกันไง จูบสักหน่อยก็ไม่เป็นไรมั้ง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “ตามที่คุณพูดมาขนาดนี้ ผมก็จะไปจูบซูเตอร์ ถึงยังไงผมกับเขาก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันครึ่งหนึ่งเหมือนกัน ก็ไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม”   

 

 

           เจียงมู่เฉินเด้งตัวขึ้นในทันใด “ไม่ได้ นายอย่าเอะอะอะไรก็เอาซูเตอร์มาขู่ฉันนะ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง เจียงมู่เฉินหวาดกลัวขึ้นเฉียบพลัน รีบกลับไปนั่ง ท่านั่งราวกับเด็กประถมเป็นระเบียบเรียบร้อยเหลือเกิน  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้าด้วยความพอใจ “ได้ คุณคิดดูอีกทีอย่างละเอียดๆ คุณจูบมั่วไป๋ไปกี่ครั้ง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินหวนคิดย้อนกลับไปครู่หนึ่ง “ก็ที่นายเพิ่งจะเข้ามาครั้งนั้นครั้งเดียว”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “คิดอย่างจริงจังหน่อย”  

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้น่าสงสารมองซือเหยี่ยน จินตนาการภาพซือเหยี่ยนถือแส้หนังยืนต่อหน้าเขายิ้มเยาะไปด้วย พลางโบกมือไปมาด้วย นึกแล้วก็อดจะหนาวสั่นสะท้านไม่ได้  

 

 

           “สอง สองครั้ง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “สองครั้งจริงๆ เหรอ”  

 

 

           “ฉันสาบาน แค่สองครั้ง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเงียบสักพัก สายตาจับจ้องมาที่เจียงมู่เฉิน พินิจมองอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาไม่พูดจาอะไรสักคำ   

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแบบนี้ หัวใจดวงน้อยกำลังสั่นเทา  ซือเหยี่ยนนี่หมายความว่ายังไงกันแน่ ไม่พูดไม่จาเอาแต่มองเขาแบบนี้ ทำให้ตกใจกลัวมากเลยนะ  

 

 

           “นายอย่าเงียบสิ จะตีจะด่าจะฆ่าจะแทง นายก็บอกฉันมาตรงๆ สิ”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “เจียงมู่เฉิน”  

 

 

           ‘เขาไม่เรียกว่าเฉินเฉินแล้ว จบแล้ว เขาจะคิดบัญชีกับตัวเองจริงๆ แล้ว’  

 

 

           “คุณยังจำได้หรือเปล่า ที่อเมริกาคุณยังติดหนี้ผมสิบห้าครั้ง”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “สิบห้าครั้งอะไร ทำไมเป็นสิบห้าครั้งแล้วล่ะ” เป็นไปได้ยังไงที่เขาจะติดหนี้ซือเหยี่ยนสิบห้าครั้งได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะอย่างอ่อนโยน “จำไม่ได้แล้วเหรอ ไม่เป็นไร ผมจะค่อยๆ ทบทวนความจำให้คุณเอง”  

 

 

           “ตอนนั้นมีคนโหยหากล้ามท้องของผม แต่ติดหนี้สิบห้าครั้งไว้ ตอนนั้นผมยังไม่ได้ทวงคืน ฝากเก็บไว้ที่คุณมาตลอด ตอนนี้ผมนึกขึ้นมาได้กะทันหัน โอกาสทวงคืนมาถึงแล้ว”  

 

 

           สมองเจียงมู่เฉินแล่นด้วยความเร็วสูง  เขาลงนามในสัญญาที่ไม่เท่าเทียมแบบนี้ไปได้ยังไงนะ เขาลูบกล้ามท้องซือเหยี่ยนไปสิบห้าครั้ง ตอนนี้พลิกกลับมาจะโดนซือเหยี่ยนจับกดสิบห้าครั้ง นี่มันไม่เท่าเทียมกันเกินไปไหม  

 

 

           “ไม่ทำๆ ฉันไม่เห็นด้วยเด็ดขาด”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ถ้างั้นตอนนี้คุณคิดอยากจะเปลี่ยนใจใช่ไหม”  

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบเดียวก็หวาดกลัวทันที “ไม่ใช่เปลี่ยนใจ ก็สัญญาฉบับนี้ของนายไม่เท่าเทียมกันขนาดนี้ ฉันก็ต้องทวงสิทธิ์แทนตัวเองสักหน่อยสิ”  

ตอนที่ 238 คบกับผู้ชายกากเดน 

 

 

           เจียงมู่เฉินขลุกตัวอยู่บนโซฟานุ่ม กินไปด้วย บ่นกับมั่วไป๋ไปด้วย ยังพูดกันไปได้ไม่เท่าไหร่ ที่ประตูบานใหญ่ก็มีเสียงคนตบประตูดังขึ้นมาต่อเนื่อง 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองมั่วไป๋อย่างจริงจัง “ช่วงนี้หรือว่านายจะถือโอกาสตอนที่ฉันไม่อยู่ ไปยืมเงินกู้ดอกเบี้ยสูงอะไรมา คนเขาเลยมาทวงเงินนายตอนนี้” 

 

 

           “ฉันดูเหมือนคนยืมเงินกู้ดอกเบี้ยสูงเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดอย่างจริงจังสักพัก ก่อนส่ายหัว “นายเองไม่ได้ขาดเงิน ไม่ถึงกับต้องไปยืมเงินกู้ดอกเบี้ยสูงมา” 

 

 

           เสียงตบประตูดังสนั่นขึ้นมาเป็นระลอกต่อกันอีกครั้ง 

 

 

           “หรือว่านายไปเล่นกับความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่ไหนมา คนเขาถึงได้ทุ่มเทมาหานายถึงที่” 

 

 

           มั่วไป๋มุมปากกระตุก ไม่ค่อยอยากจะพูดกับเจียงมู่เฉินแล้ว ลุกยืนขึ้นเดินไปเปิดประตู 

 

 

           เขายื่นมือไปเปิดประตูมาก็เห็นไป๋จิ่งยืนฟุ้งซ่านอยู่หน้าประตู “มีคนอยากฆ่าผม” เขาเพิ่งจะเตรียมฟ้องก็เห็นเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างๆ มั่วไป๋ 

 

 

           เขาตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง “ทำไมที่นี่ก็มี…” พูดจบก็ตบประตู แล้วปิดประตูไป 

 

 

           มั่วไป๋หันกลับมามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง ทั้งสองคนอดจะกระตุกมุมปากพร้อมกันไม่ได้ 

 

 

           เขาเปิดประตูมาอีกครั้ง ไป๋จิ่งยังยืนอยู่ที่เดิม เขากะพริบตาเอ่ยถาม “เจียงมู่เฉินที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อกี้นี้เป็นภาพหลอนใช่ไหม” 

 

 

           มั่วไป๋ฉุดคนให้เข้ามา ปิดประตูเสร็จสรรพอย่างคล่องแคล่วว่องไว “นายไปถามเองดูว่าเขาใช่ภาพหลอนหรือเปล่า” 

 

 

           …ไป๋จิ่งยังไม่ได้สติกลับมาจากโลกที่ซือเหยี่ยนเตรียมจะใช้เชือกรัดคอเขาตาย เขากวาดสายตามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง แล้วกลับมามองมั่วไป๋ รีบสวมกอดมั่วไป๋ทันที 

 

 

           “ซือเหยี่ยนของเขาอยากฆ่าผม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “โอ้ วันนี้เขาถึงเพิ่งจะอยากฆ่านายเหรอ” 

 

 

           “หืม?” หรือว่าเมื่อก่อนซือเหยี่ยนเคยพูดกับเจียงมู่เฉินว่าอยากจะฆ่าเขา 

 

 

           “ทนอยู่กับนายมาได้นานขนาดนี้โดยไม่ลงมือฆ่านาย ซือเหยี่ยนของฉันช่างเป็นเซียนจริงๆ ถ้าฉันเป็นเขา นายควรจะตายไปตั้งนานแล้ว จะยังมาขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ จนถึงตอนนี้ได้เหรอ” 

 

 

           ไป๋จิ่ง “= : =” 

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ สองคนนี้ไม่มีใครปกติสักคน เขาแกะมือที่โอบรัดเขาอย่างแน่นสนิทของไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่แรงเยอะเกินไปจริงๆ จะแกะมือออกอย่างไรก็แกะไม่ออก สุดท้ายทำได้แค่โดนเขากอดอยู่แบบนี้ 

 

 

           มั่วไป๋นั่งอยู่บนโซฟาเอนซบพิงร่างของไป๋จิ่ง เอ่ยถามเสียงต่ำ “ทำไมซือเหยี่ยนถึงอยากจะฆ่านายเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินดื่มกาแฟไป พลางเอ่ยอย่างเฉยเมย “จะเพราะอะไรได้อีก ก็เพราะเขามันเป็นกากเดนไง”  

 

 

           …ไป๋จิ่งโมโหแล้ว อะไรก็ว่าเขาเป็นกากเดน คนดีศรีศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดจะใช่กากเดนที่ไหนกัน 

 

 

           “พอเถอะ นายไม่ต้องพูดแล้ว” มั่วไป๋กวาดสายตามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง 

 

 

           เจียงมู่เฉินยักคิ้ว ดื่มกาแฟอย่างจริงจัง 

 

 

           ไป๋จิ่งมองเจียงมู่เฉินด้วยท่าทียั่วยุไปแวบหนึ่ง มีมั่วไป๋ของเขาอยู่ มั่วไป๋ถึงทำใจเห็นตัวเองโดนเจียงมู่เฉินรังแกไม่ได้ 

 

 

           ไป๋จิ่งแนบใบหน้าคลอเคลียใบหน้าของมั่วไป๋ 

 

 

           มั่วไป๋สีหน้าดำคร่ำเครียด ท่าทางของเขาเหมือนกำลังคลอเคลียหมาอยู่ไม่มีผิด นี่หมายความว่าไง เขาเอามือผลักไป๋จิ่งให้ถอยหลังอย่างไม่ลังเล 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอาแต่พินิจมองพวกเขาสองคนอยู่ครู่ใหญ่ เขาเลิกคิ้ว เอ่ยถาม “พวกนายทำกันแบบนี้ไม่ค่อยถูกนะ” 

 

 

           ไป๋จิ่งเด้งตัวออกมา “ไม่ถูกยังไง มั่วไป๋ตกลงยอมคบกับฉันแล้ว กอดสักหน่อยผิดตรงไหน” 

 

 

           “นายคบกับผู้ชายกากเดนจริงๆ เหรอ”  

 

 

           “นายนั่นแหละผู้ชายกากเดน” ไป๋จิ่งโต้แย้งเงียบๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่สนใจเขา สายตาของเขามองมาแต่ที่มั่วไป๋ ไป๋จิ่งสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น มองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง 

 

 

           “อืม ฉันรับปากเขา” มั่วไป๋พยักหน้า 

 

 

           “เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่” 

 

 

           “ช่วงที่นายไม่อยู่” มั่วไป๋เอ่ยตอบเสียงต่ำ “ฉันคิดดูแล้ว ลองกับเขาดูได้ แต่ตอนนี้พวกเรายังอยู่ในช่วงทดลองใช้” 

 

 

           “ไม่ช้าก็เร็วจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นตัวจริงได้” 

 

 

           คำพูดนี้ของไป๋จิ่งถูกทั้งสองคนนี้มองข้ามไปอย่างเงียบๆ… 

 

 

           “นายยังทดลองใช้กับเขาอยู่เหรอ เขามีอะไรน่าทดลองใช้ ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรงทั้งหมด อีกอย่างหน้าตาเจ้าชู้แบบนี้ ไม่แน่ว่าจะยังมีโรคพูดโกหก พูดไม่น่าเชื่อถืออะไรอีกด้วยนะ” 

 

 

            

 

 

ตอนที่ 239 เรือล่ม 

 

 

           เจียงมู่เฉินเข้าไปใกล้ “ต้องการให้ฉันแนะนำหมอให้นายหรือเปล่า นายไปตรวจดูสักหน่อยไหม” 

 

 

           เขากอดมั่วไป๋ให้ห่างจากเจียงมู่เฉิน “นายมาที่นี่ทำไม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกสดชื่นแล้ว คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะถามเขาว่ามาที่นี่ทำไม 

 

 

           “ฉันยังไม่ได้ถามนายด้วยซ้ำว่ามาที่นี่ทำไม นายยังไม่กระดากใจถามฉันอีกเหรอ” 

 

 

           “ฉันมาดูแลหัวใจไม่ได้เหรอ ตอนนี้พวกเราคบกันโดยชอบธรรมอย่างเปิดเผย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “คุณชายก็มาดูแลหัวใจไม่ได้เหรอ” เขาเข้าไปกอดมั่วไป๋ไว้ ทำเสียงจิ๊จ๊ะ หอมแก้มมั่วไป๋ “ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันเองก็จะจีบมั่วไป๋…ให้เขาคบผู้ชายกากเดนแบบนายสู้ฉันเก็บเขาไว้ดีกว่า” 

 

 

           “นายจีบมั่วไป๋เหรอ แล้วซือเหยี่ยนล่ะ จะรักสามเส้า เราสามคนเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบคาง คิดทบทวนอย่างจริงจังพักหนึ่ง รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว เขากอดมั่วไป๋ดวงตาลุกวาว “เป็นไง นายกับฉัน คุณชายจะดูแลนายอย่างดีเลย” 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นสถานการณ์ดูท่าจะไม่ดี จึงรีบส่งข้อความหาซือเหยี่ยน  

 

 

           [คุณชายน้อยของนายอยากจะปีนกำแพง ถ้านายไม่สนใจอีก เขาจะหนีไปกับคนอื่นแล้ว] 

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ในห้องทำงาน เห็นข้อความนี้ ก็เลิกคิ้วในทันใด  

 

 

           [ที่ไหน] 

 

 

           ตอนที่ไป๋จิ่งเอาที่อยู่ส่งให้ซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนก็อยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว มุ่งหน้าไปยังจุดหมายพร้อมรังสีอำมหิต 

 

 

           ‘เจียงมู่เฉินอยากจะปีนกำแพงเหรอ’ 

 

 

           ‘ขอเพียงมีเขาอยู่ ไม่มีทาง’ 

 

 

           …… 

 

 

           เจียงมู่เฉินยังไม่รู้ว่ามีใครบางคนแอบคาบข่าวไปฟ้องให้อีกคนตามมาแล้ว เขายังทำหน้าตาอยากได้กอดแขนมั่วไป๋อยู่ “ยอมตกลงกับคุณชายโอเคไหม คุณชายอ่อนโยน เอาใจใส่ อะไรๆ ก็ดีกว่าผู้ชายกากเดนคนนั้นใช่ไหม” 

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินคำพูดนี้ยิ่งโกรธจนหน้ามืดตามัว แต่พอคิดว่าใช้เวลาอีกไม่นาน ก็จะมีคนมาสั่งสอนเขาแทนตัวเองแล้ว คิดมาแบบนี้ในใจก็สบายขึ้นแล้ว 

 

 

           ไป๋จิ่งกระชับมือแน่นขึ้น “นายอย่าหมายปองมั่วไป๋ของฉันเลย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นายอย่าลืมสิ ว่านายก็คือช่วงทดลองใช้ ยังไงก็ตกรอบได้ ยังจะมามั่วไป๋อะไรของนายอีก เรียกซะสนิทกันจริงๆ” 

 

 

           ไป๋จิ่งขบกราม ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าตอนเช้าเขากินยาไม่เขย่าขวดมาหรือเปล่าถึงได้คิดจะพูดโน้มน้าวซือเหยี่ยนแบบนั้น 

 

 

           ‘ควรจะเลิกๆๆๆ แบบนี้ไม่เลิกกันแล้ว จะเก็บไว้ฉลองปีใหม่เหรอ’ 

 

 

           พวกเขาสองคนทะเลาะกันจนทำให้มั่วไป๋ปวดหัว ทำหน้าเย็นชานั่งอยู่ตรงกลาง โดนพวกเขาดึงไปดึงมา พออีกนิดเดียวใกล้จะระเบิดอารมณ์ออกมา มือถือของไป๋จิ่งก็สั่นขึ้นมา 

 

 

           เขาหยิบออกมาอ่านก็เห็นสองคำนี้ 

 

 

           [เปิดประตู] 

 

 

           แผนร้ายฉายสะท้อนในแววตาไป๋จิ่งขึ้นมาวาบหนึ่ง เขาจูบมั่วไป๋แล้วรีบกระโดดหนี “นายอย่ามาจูบมั่วไป๋ของฉันตามใจชอบสิ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม ไม่ให้จูบ เขากลับจะจูบ เขากอดมั่วไป๋ไว้แล้วจูบเข้าไปหนักๆ แรงๆ ไป๋จิ่งเหลือบมอง เมื่อได้เวลาเหมาะก็เปิดประตูทันที 

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าประตูเห็นเจียงมู่เฉินที่กอดจูบมั่วไป๋แล้ว เส้นเลือดตรงขมับก็อดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเพิ่งจะจูบเสร็จ ก็พูดเกทับเสียงสูงกับไป๋จิ่ง “จูบฉันก็จูบแล้ว นายจะว่าอะไร…ฉัน…ล่ะ…” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก สีหน้าดำดิ่งในอารมณ์เพียงเสี้ยวนาที 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกหนาวๆ ที่คอจึงรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที ยามสายตามองเห็นใบหน้าดำคร่ำเคร่งของซือเหยี่ยนก็ตะลึงงันไปในชั่วพริบตา… 

 

 

           เขามองดูมือตัวเองที่กอดมั่วไป๋ไว้ พลางคิดว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองทำอะไรลงไป จากนั้นก็เด้งตัวจากโซฟามายืนตัวตรงราวกับทหารอย่างไรอย่างนั้น “นาย…นาย…นายมาได้ยังไงกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “อะไรกัน คุณจะปีนกำแพงหนีไปแล้ว ผมจะไม่มาได้ยังไง” 

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…” 

 

 

           มั่วไป๋ “…” 

 

 

           ไป๋จิ่งลำพองใจ มาเล่นกับฉัน นายมันยังเด็กไป ใครใช้ให้นายมากอดมาจูบเมียฉัน ตอนนี้เรือล่มแล้วล่ะสิ 

ตอนที่ 236 พูดเข้าเค้าความจริงแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไม่รู้ไม่ชี้ “คุณไม่ยอมจะลองด้วย ยังไม่ยอมให้ผมไปลองกับคนอื่นอีก เป็นแบบนี้ตลอดผมจะช้ำในได้นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องเขาด้วยสายตาดุร้าย “ฉันไม่ยอมให้นายลองเหรอ แม่งเอ๊ย เมื่อคืนนี้ใครกันแน่ที่ไม่คิดถึงตัวเองรีบออกไปช่วยนาย ยังโดนนายจับพลิกไปคว่ำมาเหมือนกับกำลังจี่ขนมเปี๊ยะไปกับกระทะ ทำจนเอวฉันยกไม่ขึ้นแบบนี้”

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ “นั่นมันเมื่อวานไม่ใช่เหรอ วันนี้ยังไม่ได้ลอง”

 

 

           “นายอายุเท่าไหร่แล้ว ยังคิดจะลองทุกวันอีกเหรอ” เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยท่าทีเหยียดหยาม

 

 

           ซือเหยี่ยนบริสุทธิ์ใจ เขายังหนุ่มยังแน่น ถ้าเวลานี้ไม่ลองทุกวัน ต่อไปตัวเองกับเจียงมู่เฉินอายุมากแล้ว ก็จะทำทุกวันไม่ได้แล้วนะ

 

 

           “ผมยังไม่ถึงสามสิบ ยังหนุ่มมากอยู่”

 

 

           เจียงมู่เฉินเดือดดาลจนอีกนิดเดียวจะกระอักเลือดออกมาแล้ว ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าซือเหยี่ยนพูดประโยคนี้ดูเป็นเกียรติมากอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           “เฉินเฉิน รอจนอายุมากขึ้น ระดับความยืดหยุ่นของร่างกายคุณก็ไม่ไหวแล้ว ถึงเวลานั้นท่ายากก็ท้าทายกันไม่ไหวแล้วเช่นกัน” ซือเหยี่ยนเอ่ยแนะนำด้วยความจริงใจ “ไม่งั้นตอนนี้พวกเราก็มาลองกัน บางทีต่อไปอาจยังพอไหว”

 

 

           เจียงมู่เฉินคว้าหมอนที่อยู่ด้านข้าง ฟาดเข้าไปเต็มๆ มือ “นายแม่งไปตายได้แล้ว”

 

 

           ……

 

 

           วุ่นวายกับซือเหยี่ยนตลอดทั้งเช้า สุดท้ายเจียงมู่เฉินก็กลัวว่าจะรบกวนเวลาซือเหยี่ยนทำงาน จึงจะเตรียมตัวกลับแล้ว ถ้ายังอยู่กับเขาต่อไป เกรงว่าตัวเองจะลงมือฆ่าซือเหยี่ยนหมกตู้จริงๆ

 

 

           เขาลุกยืนขึ้นมุ่งหน้าจะเดินออกไปข้างนอก แต่ซือเหยี่ยนกลับคว้าตัวเขาเอาไว้เสียก่อน กระตือรือร้นอยากจะไปส่งเจียงมู่เฉินลงไปมาก

 

 

           เจียงมู่เฉินจนใจ เขาก็แค่ลงลิฟต์ไปเอง ตัวเองรู้ทางอยู่ ต้องการให้เจ้าหมอนี่ไปส่งทำไม

 

 

           “คุณชายไม่ได้โง่ ลงตึกยังเป็นอยู่” เขามองรอยฟันบนคางซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง ยังชัดเจนมากทีเดียว “นายไม่กลัวจะโดนคนอื่นเห็นคางนายเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยักคิ้วด้วยท่าทีสุขุม “ก็เพื่อให้พวกเขาเห็น ถึงได้จะลงไปไง”

 

 

           …ยังกลยุทธขั้นเทพแบบนี้อีก สมองซือเหยี่ยนเป็นของเซียนโดยแท้จริง คิดไม่เหมือนคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้ใช้ลิฟต์ส่วนบุคคล แต่จงใจใช้ลิฟต์ธรรมดาเป็นพิเศษ ตอนที่ลงไปลิฟต์หยุดทุกชั้น และทุกครั้งที่มีคนเข้ามา จิตใต้สำนึกของทุกคนจะสั่งให้มองซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉินทั้งสองคนตลอด

 

 

           พอเห็นรอยฟันบนคางของซือเหยี่ยน แววตาก็จะลุกวาวทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินหางตากระตุกอยู่ร่ำไป สายตาที่ตื่นเต้นส่งมาจากรอบข้างอยู่ตลอดเวลาทำให้เขาค่อนข้างจะปลง ในที่สุดเขาก็พบว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไม่ปกติ แม้แต่คนในบริษัทนี้ก็ไม่ปกติกันหมด

 

 

           ลงลิฟต์กันจนมาถึงชั้นหนึ่ง ซือเหยี่ยนส่งเจียงมู่เฉินออกผ่านประตูไปด้วยสีหน้าท่าทางอ่อนโยน ยังไปส่งที่รถด้วยตัวเองด้วย

 

 

           คนที่เห็นฉากนี้ก็พากันตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาในพริบตา เพียงไม่นานข่าวก็แพร่ไปในบริษัท ประธานซือส่งคุณชายเจียงออกจากบริษัทด้วยตัวเอง จุดสำคัญคือยังมีรอยฟันบนคางด้วย

 

 

           มีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยใคร่รู้ในรอยฟันบนคางของซือเหยี่ยน มีบางคนถึงขึ้นอดไม่อยู่อยากไปหาเจียงมู่เฉินเปิดปากดูว่ารอยฟันตรงกันหรือเปล่า

 

 

           มีคนจับกลุ่มถกกันอย่างออกรสออกชาติ ซือเหยี่ยนที่ส่งเจียงมู่เฉินเสร็จเดินกลับเข้ามาเห็นพนักงานตื่นตัวกันชัดเจน ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ เชิดมุมปากขึ้นยกมือขึ้นมาลูบคลำรอยฟันบนคาง

 

 

           การกระทำของเขาทำให้คนรอบข้างที่เห็นเกือบจะตกใจจนฉี่จะราดแล้ว

 

 

           ทำไมตอนประธานซือลูบคาง สีหน้าอารมณ์ดูลึกซึ้งค่อนข้างแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           ภายใต้สายตาอยากรู้อยากเห็นทุกรูปแบบที่ส่งมา ซือเหยี่ยนเดินอย่างผ่าเผยกลับเข้าลิฟต์ไป เมื่อประตูลิฟต์ปิดในพริบตาเดียวทั้งตึกก็ระเบิดเสียงเซ็งแซ่ออกมา “เมื่อกี้ประธานซือยิ้มแล้วถูกต้องไหม”

 

 

           “แม่เจ้าเว้ย นี่คงจะไม่ใช่เป็นฝีมือคุณชายเจียงกัดหรอกใช่ไหม หรือทั้งสองคนตีกันข้างบน คุณชายเจียงตีไม่สู้ก็เลยใช้ปากประธานซือ”

 

 

           “แต่ว่า…คุณชายน้อยกัดประธานซือ แล้วประธานซือจะยังดูมีความสุขขนาดนี้ไปทำไม”

 

 

           หญิงสาวคนหนึ่งกัดนิ้ว เอ่ยด้วยสีหน้าแปลกใจ “หรือว่า ประธานซือเป็นพวกชอบโดนกระทำ”

 

 

           ‘…อืม…น้องสาวคนนี้ เหมือนเธอจะพูดเข้าเค้าความจริงบ้างแล้ว’

 

 

           

 

 

ตอนที่ 237 ซือเหยี่ยนจะอยากรัดคอเขาให้ตาย

 

 

           เรื่องที่ซือเหยี่ยนไปส่งคุณชายน้อยเจียงด้วยตัวเองแพร่สะพัดไปทั้งบริษัท ไป๋จิ่งเองก็ได้ทราบข่าวไปโดยปริยาย เขารีบหยิบมือถือออกมาส่งข้อความหามั่วไป๋

 

 

           [ช่วงวิกฤตกาลคลี่คลาย ผมไม่ต้องตายแล้ว]

 

 

           มั่วไป๋อ่านข้อความแล้วมุมปากกระตุกขึ้นมา ตอบกลับไปส่งๆ

 

 

           [ถ้านายอยากตาย ฉันจะลงมือช่วยนาย]

 

 

           เขาส่งไปเสร็จก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เสริมไปอีกประโยค

 

 

           [นายวางใจได้ ต่อให้ฉันลงมือฆ่านาย ก็ยังช่วยนายจัดงานศพได้อยู่]

 

 

           ไป๋จิ่งถือมือถือไว้ยืนฟุ้งซ่านอยู่ข้างหน้าต่าง ครั้งนี้เขาไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วจริงๆ ใช่ไหม ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วจริงๆ ใช่ไหม

 

 

           คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋ของเขาจะยังอยากลงมือฆ่าเขาเองด้วย

 

 

           ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ริมหน้าต่างเศร้าสลดสักพัก ตัดสินใจจะต้องเป็นฝ่ายตีวงล้อมกลับไปกอบกู้ตำแหน่งของตัวเอง

 

 

           เขาทำแม้กระทั่งรีบวิ่งพุ่งเข้าไปห้องทำงานของซือเหยี่ยน เลียนแบบท่าทางของเจียงมู่เฉินใช้เท้าถีบประตูห้องทำงานของซือเหยี่ยน

 

 

           เขายืนอยู่ตรงนั้นคิดคำนึงว่าต้องมีพลังออกมา ต่อให้ไม่แรงเท่าเจียงมู่เฉินได้ ก็จะแย่กว่าเจียงมู่เฉินไม่ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ในห้องทำงานกวาดสายตามองไป๋จิ่งเล็กน้อย มีความเย็นยะเยือกอยู่ในสายตา เพียงครู่เดียวไป๋จิ่งก็หวาดกลัวจนพลังที่มีหายเกลี้ยง

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นประตูที่ถูกถีบเข้ามากวัดแกว่งไปมาอยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ปิดประตูดีๆ แล้วออกไป”

 

 

           ไป๋จิ่งหวาดกลัวจนปิดประตูอย่างจริงจัง ยืนอยู่หน้าประตูสูดหายใจเข้าลึกๆ เคาะประตูด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง

 

 

           “เข้ามา”

 

 

           ตอนนี้เองที่ไป๋จิ่งถึงได้ผลักประตูเข้ามา ตอนที่เข้ามายังถือโอกาสพูดขอโทษกับประตูด้วย

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับที่ปวดกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

           “ฉันต้องการขอลากิจ” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงดัง

 

 

           “ไม่อนุญาต!”

 

 

           ‘…ปฏิเสธกันตรงๆ ขนาดนี้เชียว แม้แต่เหตุผลก็ไม่ต้องถามกันเลยเหรอ’

 

 

           “ฉันมีเหตุผลที่เหมาะสมจะขอลากิจ” ไป๋จิ่งแอบพูดต่อ

 

 

           ซือเหยี่ยนยักคิ้ว “ไม่รับ”

 

 

           ไป๋จิ่งน้ำตาตกใน ขาดแค่พุ่งตรงเข้าไปกอดขาซือเหยี่ยนเท่านั้น “ถ้านายไม่ปล่อยฉันไป เมียฉันก็จะไม่มีแล้ว ถ้าฉันต้องเป็นโสด รับประกันว่าฉันไม่จบกับนายแน่…ฉันจะบอกพ่อแม่นายแล้วก็พ่อแม่เจียงมู่เฉิน บอกว่าพวกนายสองคนคบกัน ทำให้พวกท่านจับพวกนานแยกจากกัน” เขาเริ่มข่มขู่เงียบๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำในมือลง กอดอกมองไป๋จิงจริงจัง “หืม นี่นายกำลังขู่ฉันเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า “ชัดเจนว่าใช่”

 

 

           “แล้วถ้าฉันไม่ยอมตกลงล่ะ”

 

 

           “ฉันก็กระโดดตึก เมียไม่มีแล้ว ชีวิตจะมีความหมายอะไรอีก” สีหน้าท่าทางแบบนั้นเรียกว่าไม่ย่อท้อที่จะยืนหยัดต่อความถูกต้อง

 

 

           ซือเหยี่ยนยักคิ้ว พยักหน้าจริงๆ “ฉันเข้าใจแล้ว”

 

 

           เขากดต่อสายโทรศัพท์ “เสี่ยวหลิว เข้ามาหน่อย ถือเชือกติดมือมาด้วย”

 

 

           เสี่ยวหลิวรีบถือเชือกเข้ามา ราวกับคุ้นชินกับเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่มีผิด ท่าทีเรียบเฉยอาการนิ่งอย่างมาก

 

 

           “ประธานซือ เชือกมาแล้วครับ”

 

 

           “ประธานไป๋ของนายอยากจะกระโดดตึก ฉันกับเขาเป็นเพื่อนกันมาหลายปี ยังมีความผูกพันกันอยู่ไม่น้อย ไม่ต้องให้เขาเสียแรงกระโดดตึกลงไปเอง ถือเชือกไว้ นายรัดคอประธานไป๋ของนายด้วยมือนายเองเถอะ จะได้ส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย”

 

 

           ‘…ไม่คาดคิดว่าซือเหยี่ยนจะอยากรัดคอเขาให้ตาย?’

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเสี่ยวหลิวที่เข้ามาประชิดตัวด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง ก็รีบวิ่งหันกลับออกไปทันที

 

 

           เสี่ยวหลิวไม่เห็นเงาคนในห้องทำงานแล้วถอนหายใจเงียบๆ “เชือกยังจะใช้อยู่ไหมครับ”

 

 

           “เก็บไว้ ถ้าประธานไป๋ของนายไม่ฟังความก็ใช้ต่อไป”

 

 

           เสี่ยวหลิว “…”

 

 

           คนที่อยู่ชั้นล่างของตึกยังคงตกอยู่ในภวังค์ในโลกของซือเหยี่ยน ทันใดนั้นก็เห็นไป๋จิ่งราวกับพายุพัดผ่านออกมา กิริยาท่าทางเร็วปานข้างหลังมีผีไล่ตามอยู่

 

 

           กระแสลมแรงผ่านไป ไป๋จิ่งก็พุ่งตัวออกจากตึกใหญ่จนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย

 

 

           …คนที่เหลือมองหน้ากันไปมา วันนี้บริษัทเป็นอะไรไปกันแน่ หรือว่าเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น

 

 

           ประธานซือมาก่อน ตามด้วยประธานไป๋ ยิ่งมายิ่งไม่ปกติ

 

 

           คนทั้งกลุ่มถอนหายใจเงียบๆ เป็นพนักงานของซือกรุ๊ปนี่เหนื่อยจัง

ตอนที่ 234 ตีตราเป็นเจ้าของ

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ทั้งโลกไม่ได้มีแค่นายคนเดียว ถ้าฉันอยากสบาย ก็มีคนอื่นยินดีด้วยอยู่แล้ว อีกอย่างคุณชายอย่างฉันก็ไม่ชอบโดนจับกดด้วย นายตายไป ฉันจะได้หาคนมาให้ฉันจับกดพอดี”

 

 

           ยิ่งคิดเจียงมู่เฉินยิ่งอดจะขบกรามไม่ได้ เขาเป็นผู้ชายแมนๆ อยู่ดีๆ อย่าว่าแต่โดนซือเหยี่ยนทำลายความเป็นชายเลย ยังมาโดนจับกดแบบนั้นอีก

 

 

           ‘คิดๆ แล้ว เขาก็อยากร้องไห้ ทำไมสายตาเขาดีขนาดนี้นะ’

 

 

           คนตั้งมากมายไม่เลือก ต้องมาเลือกคนที่ไม่มีทางจะยอมอยู่เป็นเบี้ยล่างใครอย่างซือเหยี่ยน

 

 

           “คุณกล้าเหรอ นอกจากผม คุณจะไปหาใครไม่ได้ทั้งนั้น” ซือเหยี่ยนเพียงพลิกฝ่ามือก็กดทับร่างเจียงมู่เฉินเอาไว้

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าของเขา ฮึดฮัดกัดเขาเข้าไปคำหนึ่ง “นายคิดจะปีนกำแพงแล้ว ยังไม่ให้ฉันไปหาอีกเหรอ นี่นายไม่ค่อยจะมีเหตุผลเกินไปไหม”

 

 

           “ผมไม่ปีนกำแพง คุณเองก็ไปหาคนอื่นไม่ได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม “ฉันเป็นผู้ชายคนนึง วันๆ โดนจับกดก็ช่างเถอะ นายแม่งยังคิดจะปีนกำแพง ในโลกนี้มีเรื่องดีขนาดนี้ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้ามองคนใต้ร่าง ดวงตาสีดำขลับทอประกาย เขามองเจียงมู่เฉินอย่างจริงจัง “งั้นให้ผมโดนคุณจับกดครั้งหนึ่ง?”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อใจ พูดแบบนี้มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว โดนซือเหยี่ยนหลอกมาทุกครั้ง โดนหลอกมาหลายครั้งขนาดนี้ ถ้าเขายังไม่เข็ดหลาบ เขาก็เป็นคนโง่จริงๆ แล้ว

 

 

           “นายเห็นว่าคุณชายโง่จริงๆ ใช่ไหม” ซือเหยี่ยนคนหยิ่งยโสโอหังขนาดนี้ จะมาสมัครใจยอมนอนให้โดนจับกดได้อย่างไร

 

 

           ซือเหยี่ยนโน้มตัวลงมากัดใบหูเจียงมู่เฉิน “ผมจริงจัง” กว่าเขาจะตัดสินใจยอมให้เจียงมู่เฉินเปลี่ยนกลับเป็นรุกได้ครั้งหนึ่งไม่ใช่ง่ายๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง พูดอย่างไม่สนใจ “ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันไม่สนใจเรื่องจะจับกดอะไรนายแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่แล้ว “คุณไม่สนใจผม คุณคิดจะสนใจใคร”

 

 

           “นายยุ่งอะไรฉัน ฉันชอบจะสนใจใคร ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย”

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไขสือกะพริบตาปริบๆ “คุณเป็นแฟนผมนะ ต้องเกี่ยวกับผมอยู่แล้วสิ” 

 

 

           “นายยังรู้ว่าฉันเป็นแฟนนายอยู่เหรอ ตอนขุดหลุมฝังกลบฉัน ทำไมไม่คิดถึงสักนิดว่านายยังมีแฟนหนุ่มรูปงามที่ทั้งหล่อทั้งรวยทั้งฉลาดและสง่าผ่าเผยคนหนึ่งอยู่”

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินคำพรรณนามากมายขนาดนี้ของเขา ก็อดจะยิ้มหัวเราะออกมาไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “น่าขำเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่อดกลั้น พยักหน้ารับ “น่าขำนิดหน่อย”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามมองใบหน้าที่ปรากฏรอยยิ้มบางๆ อย่างตามใจตัวเอง สุดท้ายก็ใช้ฟันกัดคางเขาหนักๆ แรงๆ จนเห็นเป็นรอยฟันชัดเจน

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ยกมือขึ้นลูบรอยฟันบนคางของตัวเอง “คุณกัดจนเป็นแบบนี้ จะยังให้ผมออกไปอีกเหรอ”

 

 

            เจียงมู่เฉินจ้องเขม็ง “ทำไม นายไม่พอใจเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “คุณจงใจถูกไหม” เขาใช้มือถูรอยฟันบนคางเบาๆ “ทำไม อยากแสดงอำนาจสิทธิ์ขาดเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกัดฟัน “ฉันแทบอยากจะเขียนบนหน้านายว่าฉันเป็นเจ้าของ ให้นายวันๆ ไม่กล้าออกไปเจ้าชู้ไม่เลือกหน้ากับใครข้างนอก”

 

 

           ‘ยังเป็นแก๊งมังกรครามที่รับมือยากนั่นอีก…’

 

 

ซือเหยี่ยนอดจะเลิกคิ้วไม่ได้ เขาเอ่ยเตือนเล็กน้อย “เฉินเฉิน คุณลืมไปแล้วหรือเปล่า สองวันก่อนคุณเพิ่งจะปีนกำแพงสำเร็จมา”

 

 

           หลังจากเฉินเฉินของเขาทำสงครามเย็นกับเขา ก็ไม่พูดไม่จาไปกอดกับคนอื่น ถ้านับกันจริงๆ แล้ว กำแพงนี้เป็นเจียงมู่เฉินที่ปีนไปได้ไกลกว่า

 

 

           ‘เขายังไม่ได้รับความเป็นธรรมเลยนะ’

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องของซังจิ่งขึ้นมา ใจก็แป่วนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก นับกันแบบนี้ดูเหมือนว่าเขาจะปีนกำแพงไปก่อนจริงๆ

 

 

           ‘แต่ว่า’

 

 

           “ฉันไม่ได้ขึ้นเตียงกับคนอื่น แล้วดูนาย กล้าเปิดห้องถอดเสื้อผ้าเล่นกันกับคนอื่นสดๆ ร้อนๆ ต่อหน้าต่อตาฉัน” เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ฉันกำลังคิดว่าฉันเองก็ต้องไปเล่นกับซังจิ่งแบบนี้สักครั้งดีไหม ถึงจะได้เสมอกันกับนาย”

 

 

       

 

 

ตอนที่ 235 ชอบโดนกระทำ

 

 

           ทันทีที่ซือเหยี่ยนได้ยินเขาพูดขนาดนี้ก็รีบคว้าตัวคนเข้ามากอดไว้แนบอกทันที “ไม่ได้ เรื่องบนเตียงคุณเล่นได้แค่กับผมเท่านั้น”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกเท้าถีบใส่ “ทีนายแม่งยังไปเล่นกับคนอื่น ซือเหยี่ยนนายเป็นจอมเผด็จการหรือไง แม่งไม่ฟังเหตุผลกันเลย”

 

 

           พอคิดถึงภาพเฉินเฉินของเขาไปเล่นถอดเสื้อผ้ากับคนอื่น เพียงเสี้ยวเวลานัยน์ตาซือเหยี่ยนก็ดำดิ่งหยั่งลึกแผ่รังสีความโกรธเกรี้ยวที่ค่อยๆ คุกรุ่น

 

 

           แค่คิด เขาก็ระเบิดลงแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาเห็นกับตาตัวเอง

 

 

           เขากอดกกคนในอ้อมกอดแน่น “ต่อไปมีแค่พวกเราสองคนเล่นกันเองได้เท่านั้น ดีไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินแกะมือเขาออกอย่างเสียแรงเปล่า ไม่ว่าอย่างไรอยู่ในมือเจ้าหมอนั่นก็เหมือนโดนฉาบปูน แกะอย่างไรก็แกะไม่หลุด

 

 

           แกะจนสุดท้ายเขาโมโหจนกัดฟันกรอด เล็งคางที่เขายังทิ้งรอยฟันเอาไว้ แล้วกัดเข้าไปหนักๆ แรงๆ คำหนึ่ง

 

 

           ซือเหยี่ยนเจ็บ แต่ก็เอ่ยต่ออย่างติดตลก “ถ้าคุณกัดต่อไปแบบนี้ เดี๋ยวสักพักเลือดออก คนที่เห็นใจก็คือคุณอยู่ดี”

 

 

           “นายเจ็บของนาย มาเกี่ยวอะไรกับฉัน ถึงยังไงคุณชายก็กัดอย่างมีความสุขดีออก”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาพูดขนาดนี้ก็รีบเอียงขวาให้ทันที “มา คุณมากัดอีกคำ”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าคนคนนี้ค่อนข้างจะชอบโดนกระทำทีเดียว กัดเขาเดี๋ยวเดียวไม่ได้ ยังจะต้องให้เข้าไปกัดเขาต่ออีก

 

 

           “นายเพี้ยนไปแล้วเหรอ ไม่มีอะไรจะมาให้ฉันกัดทำไม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่หน้าไม่อายเกินไปแล้ว มองเขาด้วยสีหน้าท่าทางอ่อนโยนอีก “คุณมีความสุขไม่ใช่เหรอ ผมก็อยากให้คุณมีความสุขมากยิ่งขึ้นหน่อยไง”

 

 

           ‘เชี่ยแม่ง…คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้ความอ่อนโยนที่หน้าไม่อายนี้มาจู่โจมตัวเอง’

 

 

           ‘ดันใช้กับตัวเองได้ดีเป็นพิเศษด้วยซะงั้น…’

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่เลย

 

 

           “ไปให้พ้น ฉันกัดอีกสองคำ นายก็อย่าคิดจะออกไปข้างนอกเลย” จ้องมองใบหน้าที่มีรอยฟันเขม็ง ทั้งยังไม่กลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะเขาอีก

 

 

           “ไม่เป็นไร ที่คุณกัด เป็นเกียรติของผม”

 

 

           ‘…เป็นเกียรติ? เป็นเกียรติกับผีนายสิ’

 

 

           เจียงมู่เฉินเลือดขึ้นหน้า รู้สึกว่าตัวเองเมื่อเทียบกับซือเหยี่ยนแล้ว วางตำแหน่งในกระดานหมากรุกต่ำเกินไปจริงๆ เขานั่งห่อเ**่ยวอยู่บนโซฟาอย่างสิ้นหวัง

 

 

           ซือเหยี่ยนเข้าไปกัดเขาคำหนึ่ง “อะไรกัน ตัดใจกัดผมไม่ลงเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามยิ้มเยาะ “คุณชายกลัวว่ากัดเข้าไปแล้วจะอดไม่ได้จนกัดนายตายไปซะก่อน” สายตาเขาจับจ้องที่เส้นเลือดใหญ่ของซือเหยี่ยน เปล่งแสงอย่างเงียบๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบคอไป พลางครุ่นคิดปัญหานี้ของเจียงมู่เฉินด้วยท่าทีจริงจัง เขาเอ่ยเสนอแก้ไข “ไม่งั้น…เปลี่ยนที่กัดมั้ย”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองเขา

 

 

           ซือเหยี่ยนจับมือของเขาขึ้นมาลูบ “กัดตรงนี้เป็นไง”

 

 

           ‘……บัด ซบ บัด ซบ’

 

 

           “ในที่สุดฉันก็มองนายเข้าใจแล้ว นายแม่งอาศัยช่วงล่างเดินสินะ เมื่อก่อนทำไมไม่รู้เลยว่าหัวสมองนายมีแต่เรื่องแบบนี้เต็มไปหมด เสียแรงที่ฉันเชื่อว่านายเป็นพ่อพระมาโดยตลอด” เจียงมู่เฉินโมโหจนระเบิดลง “พ่อพระกับน้องสาวนายสิ นายแม่งเป็นสัตว์ตลอดหัวจรดเท้า”

 

 

           เจียงมู่เฉินหดมือเข้า ฝ่ามือร้อนจนน่าตกใจ ครั้งที่แล้วใช้แรงงานมือจนเกินเส้นขีดความอดทนเขาแล้ว ตอนนี้ไม่คาดคิดว่าจะมาโหยหาริมฝีปากสีเชอร์รี่ของเขา

 

 

           ‘เป็นสัตว์สินะ เป็นสัตว์ที่น่าไม่อายประชาชีด้วย’

 

 

           ซือเหยี่ยนทำหน้าซื่อตาใส ถอนหายใจ “เฉินเฉิน คุณอยู่ต่อหน้าผม ถ้าผมไม่คิดอะไรเลย เกรงว่าคุณจะต้องอกหักแล้ว”

 

 

           คนอื่นอยากให้เขาคิดแบบนี้ด้วย เขาก็ไม่เต็มใจด้วยทั้งนั้น ใจจดใจจ่อสำรวจแต่บนร่างกายของเจียงมู่เฉิน เขารักเดียวใจเดียวมาก โอเคไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาตอกกลับหน้าหงาย จู่ๆ ก็ไม่พูดจา รู้สึกว่าซือเหยี่ยนพูดถูกต้องมาก แต่ว่า…ถูกต้องแล้วมีประโยชน์อะไร  ถูกต้องแล้วก็ต้องเบลอภาพในหัวทุกวันเหรอ

 

 

           ซือเหยี่ยนกดมือไว้แน่น “ถ้าไม่ได้ ผมไปลองดูกับซูเตอร์แล้วกัน เขาต้องยินดีให้ความร่วมมือกับผมเป็นพิเศษแน่ๆ”

 

 

           เสียงขบกรามลอยอยู่ในห้องทำงาน เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยท่าทีดุร้าย “นายกล้าไปก็ลองดู”

ตอนที่ 232 มาเกทับเหรอ

 

 

           ซูเตอร์จ้องเขาเขม็ง แววตาหวาดระแวง “นายคิดจะทำอะไร”

 

 

           “ฉันก็แค่รู้สึกประหลาดใจ ว่าซือเหยี่ยนมีดีอะไรถึงมีค่าพอให้นายชอบได้”

 

 

           “เจียงมู่เฉิน นายอย่ามาเล่นลูกไม้อะไรกับฉันที่นี่ คิดจะล้วงอะไรจากฉันที่นี่ ฉันจะบอกนายไว้ว่าไม่มีทาง ฉันเปิดเผยความลับกับนายไม่ได้หรอก”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางผลักไสไล่ส่งของเขา ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “น้องชาย ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ก็ได้ ฉันก็แค่ประหลาดใจ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรอย่างอื่น”

 

 

           “หึ ไม่มีเจตนาร้ายเหรอ” ซูเตอร์ยิ้มเยาะ “ถ้านายไม่ได้มีเจตนาร้าย แล้วจะทำฉันจนเข้าโรงพยาบาลแบบนี้เหรอ”

 

 

           “นายคิดจะขึ้นเตียงกับซือเหยี่ยนขนาดนั้น ฉันในฐานะแฟน ถ้าไม่ทำอะไรเลย จะไม่ดูใจกว้างไปหน่อยเหรอ” เขาทำเสียงกระดกลิ้นเล็กน้อย “น่าเสียดาย ฉันคนนี้ใจแคบจะตาย จะให้ฉันมองตาปริบๆ เห็นนายขึ้นเตียงกับซือเหยี่ยน ฉันทำไม่ได้หรอก”

 

 

           “งั้นวันนี้นายมาเกทับฉันหรือไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะเบาๆ “ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ วันนี้ฉันก็แค่มาเยี่ยม แล้วถือโอกาสถามไถ่ดูอาการบาดเจ็บของนายสักหน่อยเท่านั้นเอง”

 

 

           ซูเตอร์ยิ้มเยาะ “เจียงมู่เฉิน ฉันไม่ได้ถูกนายอัดจนกระทบสมอง ไม่ได้โง่ถึงขนาดจะเชื่อจริงๆ ว่านายจะมาใจดีได้ขนาดนี้”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “โอเค ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็จะไม่ทักทายนายตามมารยาทอีกต่อไปแล้ว” เขาพูดออกมาตรงๆ “ระหว่างฉันกับซือเหยี่ยนไม่หวังจะให้มีใครมาแทรกกลาง ถ้ามีวันหนึ่งซือเหยี่ยนเขารักนายเข้าแล้ว เลือกนาย ฉันจะไม่ว่าอะไร รับรองจะยอมหลีกทางให้…แต่ว่า ขอเพียงแต่ฉันไม่ได้เลิกกับเขา นายซูเตอร์! ก็จะไม่มีทางจะได้ยืนข้างกายซือเหยี่ยน” เขายิ้มหัวเราะเบาๆ “ฉันพูดแล้ว ว่าฉันคนนี้ใจแคบ ยอมให้คนอื่นไม่ได้”

 

 

           “เจียงมู่เฉินนายไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้เชื่อว่าซือเหยี่ยนทั้งชีวิตนี้จะมีคบกับนายแค่คนเดียว”

 

 

           “ฉันไม่มีความมั่นใจเรื่องนี้หรอก แต่ว่านายจำเอาไว้ จะเลิกหรือไม่เลิกกับซือเหยี่ยนก็เป็นฉันที่ตัดสิน ขอเพียงแต่ฉันยังไม่เลิกกับซือเหยี่ยน นายก็จะไม่มีความเป็นไปได้ใดใดทั้งสิ้น”

 

 

           “หึ” ซูเตอร์ทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ถ้าซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายบอกเลิกนายล่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “งั้นนายกล้าทำให้เขาพูดได้ก็ลองดู!”

 

 

           เขาพูดจบประโยคนี้ก็ออกจากห้องพักผู้ป่วยไป ซูเตอร์มองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินไป ความอำมหิตฉายสะท้อนขึ้นในแววตาแวบหนึ่ง เรื่องเมื่อคืนบวกกับเรื่องของซือเหยี่ยนอีก สองบัญชีแค้นนี้ เขาจะต้องสะสางกับเจียงมู่เฉินให้ดีๆ อย่างชัดเจนแน่นอน

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินออกจากโรงพยาบาลมา ก็มุ่งหน้าพุ่งตรงเข้าไปห้องทำงานของซือเหยี่ยน เขายืนอยู่หน้าประตูแล้วก็ถีบประตูเข้าไปทันที บานประตูอันเปราะบางโดนเขาถีบขนาดนี้ก็ไปกระแทกกับโต๊ะที่อยู่ด้านข้างจนเกิดเสียงดังสนั่น

 

 

           ซือเหยี่ยนกับไป๋จิ่งและอีกสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ข้างใน เห็นเจียงมู่เฉินยืนอยู่ตรงทางเข้าเตะประตูเข้ามา มุมปากก็อดจะกระตุกแล้วกระตุกอีกไม่ได้

 

 

           ยังเป็นไป๋จิ่งที่มีท่าทีตอบสนองก่อน เขารีบลุกยืนขึ้นเอ่ยด่วยหน้าตาทะเล้น “นี่คุณชายเจียงไม่ใช่หรือไง อะไรกัน มาลองทดสอบว่าประตูห้องทำงานของซือเหยี่ยนแข็งแรงหรือเปล่าเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายอยากให้ฉันช่วยทดสอบว่านายแข็งแรงหรือไม่แข็งแรงไหม”

 

 

           ไป๋จิ่ง “…”

 

 

           ดูท่าว่าไฟจะลุกใหญ่มากทีเดียว เขาต้องรีบหนีไป ป้องกันไฟลามมาเผาตัวจากตรงนี้

 

 

           “คือว่า ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้กะทันหันพอดีว่าฉันยังมีลูกค้าคนหนึ่งอยู่ ฉันขอตัวออกไปก่อนนะ” ไป๋จิ่งพูดจบก็รีบวิ่งออกไป เห็นไฟลูกนั้นของคุณชายเจียงแล้ว ถ้าไม่รีบหนีให้ไว รู้สึกว่าคนแรกที่คุณชายเจียงอยากจะลงดาบก็คือเขา

 

 

           ไป๋จิ่งลูบใบหน้าตัวเองไปมา คิดว่าตัวเองยังดีที่มีไหวพริบวิ่งออกมาไว

 

 

           เขาส่งข้อความหามั่วไป๋อย่างอ่อนแรง

 

 

           [คุณชายเจียงภูเขาไฟระเบิดแล้ว ยังดีว่าผมวิ่งเร็ว ไม่งั้นเกรงว่าคุณจะไม่ได้เห็นผมแล้ว]

 

 

           มั่วไป๋อ่านข้อความแล้วก็ตอบกลับไปส่งๆ

 

 

           [ไม่เป็นไร ตายแล้วฉันจะจัดงานศพให้นายเอง]

 

 

           

 

 

ตอนที่ 233 ปลิดชีพนายให้มันรู้แล้วรู้รอด

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงัน ช่วงนี้เขาไม่มีเวลาไปปลูกต้นรักกับมั่วไป๋เลย เขามองข้ามตัวเองถึงขนาดนี้เชียวเหรอ

 

 

           คิดถึงเจียงมู่เฉินที่หัวร้อนไฟลุก แล้วมาคิดถึงมั่วไป๋อีก ไป๋จิ่งร้องไห้งอแงรู้สึกว่าตัวช่างน่าเวทนาเสียจริง พ่อไม่ถนอม แม่ไม่รัก

 

 

           อีกสองคนที่เหลืออยู่ในห้องทำงานเห็นไป๋จิ่งหนีไปแล้ว ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ หาข้ออ้างแล้วรีบแอบวิ่งออกไป ด้วยเหตุนี้ข้างในจึงเหลือเพียงเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนกันอยู่สองคน

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเรียบเฉยนั่งอยู่บนเก้าอี้ เจียงมู่เฉินสะบัดประตูแล้วเดินเข้าไปหาซือเหยี่ยน

 

 

           “ฉันคิดมาแล้ว เรื่องเมื่อคืนนี้ฉันจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาย แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีก พวกเราสองคนจบกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดจบก็จ้องซือเหยี่ยนเขม็งด้วยท่าทีเผด็จการ “นายได้ยินแล้วหรือยัง”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ได้ยินแล้ว”

 

 

           “นายรู้นิสัยฉันดี คำพูดที่ฉันพูดออกมา ฉันก็พูดคำไหนคำนั้นมาตลอด ขอเพียงแต่เป็นเรื่องที่ฉันตัดสินใจแล้ว แม้แต่ทางให้เรียกกลับคืนก็จะไม่มีทั้งนั้น”

 

 

           เขาจ้องมองซือเหยี่ยน เอ่ยเน้นหนักทีละคำ “ดังนั้น ฉันให้โอกาสนายได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแล้วก็ถอนหายใจเล็กน้อย ส่งมือไปหา “ตอนนี้ยังโกรธอยู่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเขาแบบนี้ก็หมดหนทางแล้ว เมื่อครู่นี้โกรธจนไม่ไหวออกไปขับรถวนอยู่รอบหนึ่งก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่มีทางจะโกรธซือเหยี่ยนได้จริงๆ อยู่แล้ว ยามคิดถึงซือเหยี่ยน ใจก็อ่อนอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

           “แม่งเอ๊ย ไม่ช้าก็เร็วสักวันฉันจะอกแตกตายเพราะนาย” เจียงมู่เฉินอดจะมองบนใส่เขาไม่ได้

 

 

           “ขอโทษนะ เป็นความผิดผมเอง” ซือเหยี่ยนพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบเจียงมู่เฉิน

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินต่อให้ยังมีความโกรธอยู่บ้าง ตอนนี้ไฟที่ลุกมาเนิ่นนาน ก็มอดดับลงไปพอประมาณหนึ่งแล้ว โดนซือเหยี่ยนเอาน้ำเย็นเข้าลูบขนาดนี้ สบายใจขึ้นเยอะทีเดียว

 

 

           เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยนอย่างกล้ำกลืน “คุณชายหิวแล้ว” ซาลาเปาที่ตั้งใจซื้อมาเป็นพิเศษในตอนเช้ายังไม่ได้กินเลย

 

 

           ในใจซือเหยี่ยนบีบแน่น รีบให้คนไปเตรียมของกินมาให้เจียงมู่เฉิน เพียงไม่นานทุกอย่างก็ถูกส่งขึ้นมา ทั้งหมดเป็นของที่เจียงมู่เฉินชอบกินทั้งนั้น

 

 

            ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินนั่งขัดสมาธิกินอาหารเช้า แล้วยกมุมปากขึ้นอย่างขำๆ รอยยิ้มยังทิ้งรอยเอาไว้อยู่ที่มุมปาก ซือเหยี่ยนไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรขึ้นมา เขาตัวแข็งทื่อหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง เขากำหมัดแล้วกำหมัดอีก สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ พลางส่งข้อความหาไป๋จิ่ง

 

 

           [ข้อตกลงเมื่อเช้ายกเลิก ปิดเป็นความลับชั่วคราว]

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นข้อความที่ถูกส่งออกไปสำเร็จแล้วก็หลับตาลง เขายังตัดใจเลิกกับเจียงมู่เฉินแบบนี้ไม่ลง เหมือนกับที่ไป๋จิ่งพูดไว้ ถ้าเขาให้ไป๋จิ่งเอาความลับไปแพร่กระจายข่าวให้รู้ถึงหูผู้ใหญ่ของสองตระกูลจริงๆ

 

 

           ตามนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว ถึงเวลานั้นเจียงมู่เฉินต้องหักกันไปข้างให้ถึงที่สุดแน่นอน

 

 

         เขาถอนหายใจเล็กน้อย ถ้าระหว่างพวกเขาเดินกันไปถึงขั้นนั้นจริงๆ เกรงว่าจะไม่ทางให้เรียกกลับคืนมาได้อีกแล้ว

 

 

           ‘ส่วนเรื่องของซูเตอร์ เขาค่อยคิดหาวิธีอื่นจัดการก็แล้วกัน’

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นข้อความแล้วก็เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกโล่งใจ รีบตอบกลับไป [ได้]

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนเห็นข้อความไป๋จิ่งตอบกลับมา ถึงได้ลบข้อความนี้ทิ้ง

 

 

           เขาเอียงหน้ามองดูเจียงมู่เฉินที่นั่งอยู่บนโซฟาไม่ไกลนัก เขายกมุมปากขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา พร้อมนั่งลงข้างๆ เจียงมู่เฉิน มองดูอีกฝ่าย “ผมเองก็ยังไม่ได้กินนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง เดิมทีไม่อยากสนใจเขา แต่ก็รู้สึกใจอ่อนจนไม่สนใจไม่ได้ ทำได้เพียงแต่ยกส้อมขึ้นป้อนซือเหยี่ยน

 

 

           เจียงมู่เฉินป้อนไปด้วย ด่าตัวเองโง่ไปด้วย ทำไมเขาทำอะไรถึงยังคงเป็นเหมือนเดิมทุกครั้ง ใจร้ายกับซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไม่ลง

 

 

           พอคิดมาได้แบบนี้ก็อดจะขบกรามไม่ได้ รู้สึกว่าซือเหยี่ยนก็คือ ‘จอมตลบหลัง’    

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าดุร้ายของเขา ก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ “คุณคงจะไม่ได้เห็นผมเป็นข้าวที่คุณกินอยู่หรอกใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันอยากจะปลิดชีพนายให้มันรู้แล้วรู้รอดจริงๆ จะได้ไม่มาทำให้ฉันโกรธง่ายๆ ได้ทุกวัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนทำหน้าซื่อๆ กะพริบตาปริบๆ “ผมตายไป ก็จะไม่มีใครทำให้คุณสบายแล้วนะ”

ตอนที่ 230 ไม่อยากเดินไปถึงขั้นนั้น 

 

 

           “โอเค งั้นถ้าเมื่อคืนฉันไม่ได้ตามไปช่วย แล้วนายจะทำยังไง ทำตามที่ซูเตอร์ต้องการเหรอ” 

 

 

           “ผมกล้าเข้าไปเหยียบกับดักของซูเตอร์แล้วก็ต้องเตรียมการทุกอย่างไว้อย่างดีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ตามแผนของผม เมื่อคืนถ้าคุณไม่ได้มา ก็ยังมีคนอื่นมาปรากฏตัวได้” ซือเหยี่ยนมองเขา “คุณวางใจเถอะ นอกจากคุณแล้ว ผมไม่มีทางจะไปหลับนอนกับคนอื่น” 

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “นายอย่ามาพูดไปเรื่อยกับฉันที่นี่” 

 

 

           “เมื่อคืนเป็นที่คิดไม่รอบคอบเอง ผมควรที่จะบอกคุณล่วงหน้าถึงจะถูก ไม่ควรจะทำให้คุณที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาเป็นห่วงผม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนจับมือเจียงมู่เฉินไว้ “ผมรับรองจะไม่มีครั้งต่อไปอีก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบไม่พูดจาครู่หนึ่ง ชักมือออกจากมือของซือเหยี่ยน สายตาเย็นชามองมาที่ซือเหยี่ยน 

 

 

           “ซือเหยี่ยน…สำหรับนายแล้ว ฉันเป็นอะไรกันแน่” 

 

 

           เขาเป็นแฟนของซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนก็ควรจะก้าวพร้อมกับเขาไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังถึงจะถูก ไม่ใช่มาวางแผน มาอ้างเหตุผลสารพัดเรื่องของตัวเอง เพื่อมาปกป้องเขาอยู่ข้างหลังตลอดไปแบบนี้ 

 

 

           “คนรัก” ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างไม่ลังเล 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “ซือเหยี่ยน ฉันเหนื่อยแล้ว เรื่องเมื่อคืนก็พอแค่นี้เถอะ ฉันเองก็ไม่อยากจะพูดต่อแล้ว” 

 

 

           เขาลุกขึ้นมาจากโซฟา “ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย นายไม่ต้องติดต่อฉันชั่วคราวนะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนใจกระตุบวูบ รีบคว้าตัวเจียงมู่เฉินเอาไว้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ ดึงมือของซือเหยี่ยนออกอย่างเด็ดเดี่ยว “ฉันขอตัวก่อน” 

 

 

           เขาพูดจบก็เดินผ่านข้างตัวซือเหยี่ยนไป ข้าวเช้าก็ไม่ได้กิน ออกจากคอนโดมิเนียมไปทั้งอย่างนั้น 

 

 

           เจียงมู่เฉินขับรถออกไป เขาขับวนไปรอบๆ อย่างไร้จุดหมาย และก็ไม่มีที่ที่อยากไป เขาเอารถมาจอดตรงพื้นที่ว่างเปล่าอย่างแล้วแต่จะจอด เขาเอนพิงพนักที่นั่งแล้วหลับลง 

 

 

           เขารู้ว่าซือเหยี่ยนไม่มีทางจะทรยศตัวเอง ดังนั้นเมื่อวานตอนที่พบว่าซือเหยี่ยนเปลือยกายนอนอยู่บนเตียงกับซูเตอร์ ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างแรกคือจะต้องดึงตัวซูเตอร์ให้พ้นทางให้ได้ แต่ไม่ใช่มารู้สึกว่าซือเหยี่ยนจะทำอะไรกับซูเตอร์ได้แบบนั้น 

 

 

           ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างแรกก็คือจะตัดสินลงโทษซูเตอร์ ดังนั้นถึงได้อัดคนจนอ่วมไปชุดใหญ่ แล้วพาซือเหยี่ยนออกมา 

 

 

           เขาไม่โทษที่ซือเหยี่ยนวางแผนใส่เขา เขาก็แค่รู้สึกว่าซือเหยี่ยนไม่จำเป็นต้องยกเขาวางไว้ในตำแหน่งที่ทำได้แค่รับการปกป้องจากซือเหยี่ยนเท่านั้น 

 

 

           ก็เหมือนกับเรื่องนั้นที่เขาพูดไปเมื่อคืน เขาไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าซูเตอร์จะเป็นผู้สืบทอดของแก๊งมังกรครามอะไร หรือมีอำนาจใหญ่อะไรหนุนหลัง 

 

 

           ดังนั้นหลังจากที่คิดตกผลึกเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ถึงได้รู้สึกท้อแท้ใจอยู่ไม่เบา 

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ ไม่ค่อยจะรู้แล้วว่าจะจัดการเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับซือเหยี่ยนอย่างไรดี ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วสักวันระหว่างพวกเขาอาจจะจุดระเบิดปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านี้ขึ้นมาได้ 

 

 

           เขาไม่อยากเดินไปกับซือเหยี่ยนจนถึงขั้นนั้น 

 

 

           เจียงมู่เฉินหยุดสักพัก จากนั้นถึงค่อยขับรถออกไป 

 

 

           …… 

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินจากไป ซือเหยี่ยนยืนนิ่งอยู่หน้าโซฟา มือไร้กำลังดิ่งลงข้างตัว อาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ เปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็นจนไม่เหลือแม้อุณหภูมิความร้อนเลยสักนิด จนอาหารทั้งหมดเย็นชืดแล้วก็ยังไม่มีใครแตะต้อง 

 

 

           เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ซือเหยี่ยนถึงได้ขยับเขยื้อนร่างกายที่แข็งทื่อของเขา ออกจากห้องไปบริษัท 

 

 

           ไป๋จิ่งทำงานอยู่ที่บริษัทตลอดเวลา พอเห็นซือเหยี่ยน ก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหา “เมื่อคืนนายทำอะไรลงไป ซูเตอร์เข้าโรงพยาบาลไปแล้ว” 

 

 

           “ตอนนี้ทางนั้นเขาว่ายังไงบ้าง” 

 

 

           “ทางอเมริกายังไม่มีการเคลื่อนไหวใดใดชั่วคราว แต่ตอนนี้ซูเตอร์เข้าโรงพยาบาลไปแบบนี้ จะต้องสะเทือนแก๊งมังกรครามแน่นอน ถึงตอนนั้นรอพวกเขาเข้ามา เรื่องนี้จะจัดการไม่ได้ง่ายแล้วนะ” 

 

 

           “เขาบาดเจ็บหนักเหรอ” 

 

 

           เมื่อคืนถึงแม้เจียงมู่เฉินจะลงมือไม่ได้เบาๆ แต่ซูเตอร์เองก็ไม่ใช่ลูกพลับอ่อนที่จะยอมปล่อยให้เจียงมู่เฉินอัดอยู่ฝ่ายเดียว เขาไม่ควรจะบาดเจ็บสาหัสได้ 

 

 

           “ยังดีบาดเจ็บไม่เท่าไหร่ ไม่ได้มีอะไรสาหัส ก็แค่บาดเจ็บภายนอก” ไป๋จิ่งตอบอย่างตรงไปตรงมา “นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าตกลงนายคิดจะทำยังไง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องทำงานครุ่นคิดอยู่สักพัก “ช่วยฉันสักเรื่อง” 

 

 

            

 

 

 ตอนที่ 231 นายชอบอะไรในตัวซือเหยี่ยน 

 

 

           ตอนนี้เขาจำเป็นต้องดึงเจียงมู่เฉินออกมาจากโคลนตมนี้ ก่อนที่ซูเตอร์จะลงมือโต้ตอบอะไร 

 

 

           “นายต้องการจะทำอะไรอีก” 

 

 

           “เปิดเผยเรื่องของฉันกับเจียงมู่เฉินให้พ่อแม่ทั้งสองตระกูลรู้” ซือเหยี่ยนหยุดสักพัก “นอกจากพวกท่าน ฉันไม่หวังว่าจะยังมีคนอื่นรู้อีก” 

 

 

           ไป๋จิ่งถลึงตาใส่เขา “นายเสียสติไปแล้วหรือไง เวลานี้จะมาเปิดตัวว่าชอบผู้ชาย เจียงมู่เฉินก็เห็นด้วยเหรอ” 

 

 

           “เขาไม่รู้ และก็ไม่จำเป็นต้องรู้” 

 

 

           “นายคิดจะปิดบังเขาเหรอ” ไป๋จิ่งไม่สนับสนุน “ฉันไม่เห็นด้วย นายทำแบบนี้ ถ้าเจียงมู่เฉินรู้เข้า ตามนิสัยเขาแล้ว เป็นไปได้สูงมากที่พวกนายสองคนจะจบกันไปทั้งแบบนี้” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ตอนนี้ฉันไม่มีวิธีอื่นแล้ว” เขาถอนหายใจเบาๆ รอจนเคลียร์เรื่องทุกอย่างเสร็จ ค่อยกลับไปหาเจียงมู่เฉินขอให้ยกโทษให้ก็แล้วกัน 

 

 

           “เหตุผลที่นายทำแบบนี้คืออะไร นายอย่าบอกฉันนะว่านายคิดจะเลิกกับเจียงมู่เฉิน” 

 

 

           สีหน้าซือเหยี่ยนดำดิ่งลงเล็กน้อย “ถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ” 

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงัน “นายบ้าไปแล้วเหรอ พวกนายดีๆ กันอยู่ จู่ๆ จะมาเลิกอะไรกัน สองวันก่อนยังจะเป็นจะตายไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพื่อไปตามหาเขากลับมาไม่ใช่หรือไง ตอนนี้ยังอยากจะเลิกอีกเหรอ” 

 

 

           “เรื่องนี้นายไม่ต้องสนใจมาก ฉันมีแผนของฉัน” 

 

 

           ไป๋จิ่งยอมใจเขาจริงๆ ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าแต่เช้าจรดเย็น นายกำลังคิดอะไรอยู่…ถึงยังไงเรื่องของนายกับเจียงมู่เฉิน นายรอบคอบระมัดระวังจะดีที่สุด ถ้าเจียงมู่เฉินรู้เข้า ตามนิสัยเขา เกรงว่าทั้งชีวิตนี้นายจะตามกลับมาไม่ได้อีกแล้ว” 

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนประกายความดำดิ่งหยั่งลึกลงไปในความรู้สึก เขาหลับตาลงเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันคิดอย่างชัดเจนมากแล้ว นายไปทำตามที่ฉันบอก” 

 

 

           ไป๋จิ่งถอนหายใจอย่างหมดหนทาง อยากจะพูดโน้มน้าวใจซือเหยี่ยนอีกครั้ง แต่พอเห็นท่าทางซือเหยี่ยนแบบนั้นก็คงจะไม่มีทางจะหันกลับไปเดินได้แล้ว จึงจำใจต้องเดินจากไป 

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งออกไปแล้ว ซือเหยี่ยนหลับตาลง เดินมาถึงขั้นนี้ได้ก็เกินกว่าสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว 

 

 

           …… 

 

 

           เจียงมู่เฉินขับรถวนอยู่ข้างนอกอย่างเคว้งคว้างไปรอบหนึ่ง ถึงกลับมาที่คอนโดมีเนียม ผลักประตูเข้าไปก็พบว่าซือเหยี่ยนไม่ได้อยู่ข้างในแล้ว เหลือเพียงแค่อาหารเช้าที่เย็นไปเรียบร้อยแล้วอยู่บนโต๊ะ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปหยิบขึ้นมา อาหารเช้านี้ไม่มีไอร้อนเลยสักนิด 

 

 

           เขาส่งมือไปหยิบเสี่ยวหลงเปาของร้านฝูจี้ที่ซือเหยี่ยนตั้งใจไปย่านเฉิงซีในถานโจวซื้อมาให้เขา กัดเข้าไปหนึ่งคำ เพราะความเย็นในเสี่ยวหลงเปาทำให้รสชาติไม่ค่อยเหมือนรสชาติในความทรงจำของเขาเท่าไหร่ 

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินกัดเข้าไปสองคำก็กินเสี่ยวหลงเปาในมือหมดแล้ว ถึงเพิ่งหยิบถุงขึ้นมาคิดจะโยนลงถังขยะ แต่พอเห็นถังขยะแล้ว เจียงมู่เฉินก็โยนทิ้งไม่ลง สุดท้ายถือของทั้งหมดไปวางในครัวแทน 

 

 

           เขาขับรถออกจากคอนโดมีเนียมไปอีกครั้ง 

 

 

           ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เจียงมู่เฉินก็มาปรากฏตัวที่โรงพยาบาล เขาสืบข่าวได้เรื่องมาว่าซูเตอร์ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจเขามาเยี่ยมเป็นพิเศษ 

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินสืบไปจนรู้ห้องพักผู้ป่วยของซูเตอร์แล้ว ก็หิ้วของขวัญเดินเข้าไป 

 

 

           เขายืนอยู่หน้าประตูมองป้ายชื่อหน้าห้องแล้ว แน่ใจว่าเป็นห้องพักผู้ป่วยของซูเตอร์แล้ว ถึงได้เข้าไปในทันใด 

 

 

           ซูเตอร์นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ใบหน้าที่ดูดีมีรอยฟกช้ำอยู่ประมาณหนึ่ง 

 

 

            “นายมาที่นี่ทำไม ที่นี่ไม่ต้อนรับนาย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ที่นายบาดเจ็บถึงยังไงก็เป็นฝีมือฉันทำ เข้ามาเยี่ยมหานายก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” 

 

 

           ซูเตอร์ถลึงตาใส่เขา ตัวเองยังไม่ทันได้ไปตามคิดบัญชีกับเขา เขากลับเป็นฝ่ายมาหาถึงที่เอง 

 

 

           “เรื่องเมื่อคืนฉันไม่มีทางจะปล่อยไปเฉยๆ ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก ไม่ช้าก็เร็วสักวันฉันจะมาทวงคืนทบต้นทบดอกแน่นอน” 

 

 

           ได้ยินเขาพูดมาขนาดนี้ เจียงมู่เฉินเองก็ไม่รีบร้อนอะไร เขาลากเก้าอี้ที่อยู่ใกล้มือ มานั่งวางท่าอยู่ข้างเตียงซูเตอร์ 

 

 

           “นายชอบอะไรในตัวซือเหยี่ยน” 

ตอนที่ 228 กวาดล้างแก๊งมังกรคราม

 

 

           ไมเคิลขมวดคิ้วมองเขา “ครั้งนี้นายทำแบบนี้เพื่อใครอีก” เขาถอนหายใจ “ให้ฉันเดา เจียงมู่เฉินใช่ไหม ครั้งนี้นายก็ทำเพื่อเจียงมู่เฉินอีกสินะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกดหน้าลงไม่พูดจา

 

 

           “ฉันจะบอกนายให้นะ เมื่อก่อนที่นายแอบแฝงตัวเป็นสายลับเข้าไปในแก๊งมังกรครามก็ดีทีเดียว เพราะความสัมพันธ์ระหว่างนายกับซูเตอร์ ทำให้ใช้เวลาไม่นานก็ดึงเอาของจากข้างในแม้แต่รากออกมาได้ แต่นายอยู่ช่วงวิกฤตร้ายแรง เพราะเจียงมู่เฉินบอกจะไปก็ไป…นายไปแล้วก็ไปลับ ตอนนี้ก็เพราะเรื่องนี้ นายยังคิดอยากกวาดล้างแก๊งมังกรครามอีก นายเคยคิดบ้างหรือเปล่า ว่าครั้งนี้ยากมากแค่ไหน”

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ฉันก็จะต้องทำ”

 

 

           “แบบนี้มันคุ้มค่าเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด “คุ้มค่า”

 

 

           หลังจากเรื่องคืนนี้ผ่านไป ทางซูเตอร์จะต้องเล่นงานเจียงมู่เฉินอย่างแน่นอน ตอนนี้เขารีบต้องตัดเนื้อร้ายทั้งหมดของแก๊งมังกรครามออกมาจนไม่มีเหลือให้ทัน ก่อนที่ซูเตอร์จะลงมือ

 

 

           แบบนี้ก็จะแก้ไขปัญหาเรื่องซูเตอร์ได้สักที

 

 

           “งั้นตอนนี้นายคิดจะทำยังไง”

 

 

           “ฉันอาจจำเป็นต้องไปอเมริกา รีบแก้ปัญหาเรื่องแก๊งมังกรครามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

 

 

           “ได้ ถ้านายเข้ามา จำเป็นต้องการอะไรก็รีบบอกฉันทันที”

 

 

           “โอเค งั้นฉันวางสายก่อนนะ”

 

 

           หลังจากตัดสายโทรวิดีโอไป ซือเหยี่ยนก็ปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเดินกลับมายังห้องนอน ในห้องเจียงมู่เฉินหลับใหลไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าซือเหยี่ยนเพิ่งจะตัดสินใจทำอะไรลงไป

 

 

           เขามองใบหน้าของเจียงมู่เฉิน พลางถอนหายใจ เรื่องที่ตัวเองต้องไปอเมริกา เขายังไม่รู้เลยว่าจะบอกเจียงมู่เฉินอย่างไร

 

 

           เขาครุ่นคิดไปจนสุดท้ายไม่พูดอะไรสักคำ สวมกอดอีกคนไว้ฝังอก แล้วนอนหลับลงไป

 

 

           ……

 

 

           เช้าวันต่อมา เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกคนจับฉีกออกแล้วประกอบกลับเข้าไปใหม่อย่างไรอย่างนั้น เจ็บไปทั้งร่างกายจนไม่ไหว

 

 

           เขาขบกรามแล้วขบกรามอีก ถ้าไม่ใช่เพราะซือเหยี่ยนแอบหนีไปเจอหน้าซูเตอร์ จะถูกคนเขาวางยาได้เหรอ

 

 

           ‘ผลของการโดนวางยาสุดท้ายหวยมาออกที่เขาไม่ใช่หรือไง’

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนอยากจะกอดซือเหยี่ยนไว้แล้วกัดเข้าไปสักคำ ‘แม่งเอ๊ย’ เจ้าคนระยำถ้าต่อไปยังกล้าทำแบบนี้อีก เขาต้องยกโทษให้อีกฝ่ายไม่ได้แน่

 

 

           เจียงมู่เฉินพยายามดิ้นรนลงจากเตียงมา กว่าจะเดินออกจากห้องนอนมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ รู้สึกว่าแรงที่มีทั้งร่างใช้ไปหมดแล้ว ยังดีที่เมื่อวานซือเหยี่ยนยังรู้จักช่วยอาบน้ำให้เขา ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาก็คงจะไม่มีแรงจะตะเกียกตะกายเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำได้

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ เคลื่อนย้ายตัวเองมาถึงห้องนั่งเล่น ในห้องไม่มีใครสักคน สำหรับพฤติกรรมกินเสร็จแล้วหนีของซือเหยี่ยนแล้วนั้น เขาโมโหจนเจ็บท้องไปหมดแล้วจริงๆ

 

 

           ในใจคุณชายเจียงขุ่นเคือง โทรหาซือเหยี่ยน ให้เขากลับมาปรนนิบัติตัวเอง

 

 

           เพิ่งจะกดโทรออกไป มือถือของซือเหยี่ยนก็ดังขึ้นมาจากในห้องครัว เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วกดตัดสายไป “เกิดอะไรขึ้น ลืมเอามือถือไปเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นมือถืออยู่ตั้งไกล ไม่อยากจะดิ้นรนไปหยิบเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้จึงนั่งขี้เกียจอยู่ตรงนั้น

 

 

           ผ่านไปประมาณห้านาที ประตูคอนโดมิเนียมก็ถูกเปิดจากข้างนอกเข้ามา

 

 

           ซือเหยี่ยนหิ้วถุงของกินเดินเข้ามา เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองเขา “นี่นายกลับเข้ามาเอามือถือเหรอ”

 

 

           “ก็เห็นกันอยู่ ผมซื้ออาหารเช้ากลับมาให้คุณ”

 

 

           “เช้าขนาดนี้นายไม่ไปบริษัท ไม่คิดเลยว่าจะไปซื้ออาหารเช้ามาให้ฉัน” เจียงมู่เฉินค่อนข้างประหลาดใจ

 

 

           “ถ้าผมไปบริษัท คุณจะไม่โกรธจนอยากจะฆ่าผมตายเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามอย่างจริงจัง “ตอนนี้ฉันก็ยังอยากจะฆ่านายอยู่นะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเข้าไปงับเขาเบาๆ “วางใจเถอะ คุณทำไม่ลงหรอก”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจอย่างหมดหนทาง ซือเหยี่ยนบีบจุดสามนิ้ว[1]ของเขาไว้ ต่อหน้าซือเหยี่ยนพื้นที่ให้เหลือโต้ตอบไม่มีเลย ทำได้เพียงยอมปล่อยให้เขาทำแบบนี้

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “เรื่องเมื่อคืนฉันไม่หวังว่าจะเห็นอีกเป็นครั้งที่สองนะ”

 

 

           

 

 

[1] สามนิ้ว มาจากสำนวนจีนว่า ตีงูต้องตีให้แม่นในตำแหน่งที่หลังหัว 3 นิ้วจีน ซึ่งเป็นช่วงกระดูกสันหลังของงูที่ตีให้หักง่ายที่สุด เมื่อตีให้หักแล้ว อวัยวะส่วนต่อมาก็จะเสียหายไปด้วย งูถึงจะสยบทันที คนตีงูก็ย่อมพ้นอันตรายอย่างสำเร็จ

 

 

 

 

ตอนที่ 229 โดนวางแผนอีกแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำในมือลง มองมายังเจียงมู่เฉิน “เมื่อคืนคุณไปที่นั่นได้ยังไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนขบกรามแน่น “อะไรกัน นายยังคิดว่าฉันไปรบกวนเรื่องดีๆ ของนายใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งเครียดมองเขา ท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ราวกับกำลังคิดว่าเจียงมู่เฉินได้รบกวนเรื่องดีๆ เรื่องนี้ของเขาหรือเปล่า

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนกระทืบเท้าใส่ ร้าวไปถึงด้านหลังพอดี เจ็บจนเกือบหยุดหายใจ เจียงมู่เฉินทั้งเจ็บทั้งโมโห เอ่ยปากด่าชุดใหญ่ทันที “นายแม่งยังกล้าคิดจริงๆ เหรอ แม่งเอ๊ย ถ้าเมื่อคืนฉันไม่ปรากฏตัว นายก็จะได้ไปมีชู้ไปลองกับคนอื่นเลยใช่ไหม”

 

 

           “ฉันจะบอกนายให้นะ ขอเพียงแต่ฉันยังเป็นแฟนของนายอยู่วันยังค่ำ ถ้านายแม่งกล้าจับปลาสองมือ ฉันจะลงทัณฑ์นายแน่”

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนข้างๆ มองเจียงมู่เฉินระเบิดลงอย่างบันเทิงเริงใจ นานเกินไปแล้วที่ไม่ได้เห็นเขาเป็นแบบนี้ คิดถึงอยู่บ้างจริงๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาทำหน้าตาระรื่น ก็โกรธจนเจ็บท้อง หันหลังใส่ไม่อยากจะสนใจเขา ไม่อย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วสักวันต้องอกแตกตายเพราะเขาแน่

 

 

           พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ เจียงมู่เฉินก็รู้สึกเดือดดาลจนหัวร้อนไปหมด ถ้าเขาไม่โทรหาซือเหยี่ยน ถ้าซูเตอร์ไม่ยั่วยุเขา ถ้าเขาไม่รู้สึกถึงความไม่ผิดปกติแล้วรีบตามเข้าไป

 

 

           ‘ซือเหยี่ยนก็คงจะมีอะไรกันกับซูเตอร์จริงๆ ใช่ไหม’

 

 

           คิดถึงตรงนี้ เจียงมู่เฉินก็อยากจะกระทืบใส่ซือเหยี่ยนอีกสักทีสองที เรื่องที่แอบไปเจอซูเตอร์หลับลังเขา เขายังไม่ได้คิดบัญชีกับซือเหยี่ยนเลยนะ

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นว่าทำให้เขาโกรธจริงๆ แล้ว ก็รีบเข้าไปง้อ “ผมไม่ได้คิดอยากจะลองกับใคร…เมื่อวานเป็นเหตุสุดวิสัย ครั้งหน้าผมจะระวังแน่ จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบไม่พูดจาอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นก็หันกลับไปมองซือเหยี่ยน “ตกลงนายคิดจะทำอะไรกันแน่ หรือจะว่านายกำลังทำแผนอะไรบางอย่างที่ฉันไม่รู้”

 

 

           ซือเหยี่ยนโดนเขามองจู่โจมกะทันหันด้วยท่าทีจริงจังขนาดนี้ หัวใจเหมือนโดนบีบคั้น เพียงชั่วขณะเขากำมือ ยิ้มหัวเราะเบาๆ “เปล่า ผมไม่ได้จะทำอะไรสักอย่าง”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่เชื่อ “ถ้านายไม่ได้จะทำอะไรสักอย่าง แล้วทำไมเมื่อวานนายถึงไปหาซูเตอร์ นายก็อยู่เต็มอกว่าเขาคิดไม่ซื่อกับนาย ทำไมนายยังอยากนัดเขาอีก” เขากุมขมับแล้ว “ขนาดจะบอกฉันสักคำยังไม่มีเลย…

 

 

ซือเหยี่ยน ถ้าจะบอกว่านายไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าจริงๆ ฉันก็ไม่เชื่อจริงๆ เหมือนกัน”

 

 

           เรื่องเมื่อคืน ตอนนั้นแค่รู้สึกโมโหสุดๆ จนไม่ได้คิดอะไรมากมาย ตอนนี้พอใจเย็นลงแล้ว ถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจเบาๆ “หาแฟนได้ฉลาดขนาดนี้ ตกลงแล้วดีหรือไม่ดีกันแน่”

 

 

           เขารู้ว่าปิดเจียงมู่เฉินไม่ได้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวเร็วขนาดนี้

 

 

           “ทุกอย่างเมื่อวานนี้เป็นแผนที่นายวางไว้ล่วงหน้าอย่างดีแล้วใช่ไหม จงใจไม่บอกฉัน จะได้ให้ฉันโทรหานาย แล้วยังไม่เอามือถือไปด้วย เพื่อให้ซูเตอร์เห็น นายรู้ว่าขอเพียงแต่ซูเตอร์เห็นก็จะต้องมายั่วยุฉันแน่ๆ…แล้วตามนิสัยของฉัน ไม่มีทางจะมานั่งดูเฉยๆ อยู่แล้ว” เจียงมู่เฉินกดหน้าลง “นายทำทุกอย่างที่เตรียมการไว้เสร็จก็รอให้พวกเราค่อยๆ มาติดเบ็ดถูกต้องไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่คาดคิดว่าในเวลาอันสั้นเจียงมู่เฉินจะมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้

 

 

           “นายรู้ว่าฉันจะตามมาได้ ไหนจะเรื่องโรงแรมนายก็เตรียมการไว้ล่วงหน้าด้วยใช่ไหม ฉันถึงได้ทำได้อย่างราบรื่นขนาดนั้น”

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “จุดนี้ไม่ได้อยู่ในแผนของผม ผมอยากจะยั่วโมโหซูเตอร์จริงๆ จะได้ให้เขาเผยพิรุธออกมา แต่ผมนึกไม่ถึงว่าคุณจะตามมาได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “นายแน่ใจนะว่านายไม่ได้คิดเอาไว้”

 

 

           “เฉินเฉิน เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดจะให้คุณเข้ามาเอี่ยวด้วย แผนยั่วโมโหซูเตอร์เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมจะเสียสละครั้งใหญ่ที่สุดเพื่อคุณได้ ส่วนเรื่องที่คุณตามมาช่วยผมทัน มันเกินกว่าแผนที่ผมวางเอาไว้แล้ว”

ตอนที่ 226 คนของคุณชาย นายก็กล้าแย่ง 

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนอยู่ประตูห้องแปดศูนย์เจ็ด เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ รีบรูดคีย์การ์ดเปิดประตูห้อง เสียงประตูถูกเปิดออก เขาถีบประตูเข้าไปทันที 

 

 

           ฉากที่เห็นชัดๆ เต็มสองลูกตา ม่านตาเจียงมู่เฉินหดตัวลงฉับพลัน 

 

 

           เลือดขึ้นหน้าในพริบตา แม้กระทั่งเส้นเลือดบนหน้าผากก็แทบจะระเบิดออกมาแล้ว 

 

 

           ขณะที่ซูเตอร์กำลังถอดกางเกงของซือเหยี่ยนอยู่ เจียงมู่เฉินก็เดินเข้าไปดึงกระชากตัวซูเตอร์ออกแล้วเหวี่ยงลงไปด้านข้างโดยไม่ลังเลเลยสักนิด 

 

 

           “นาย! นายเข้าได้ยังไง” เขาคิดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงหน้าเห็นเจียงมู่เฉิน ก็โล่งใจบ้างไปเปราะหนึ่ง 

 

 

           ยามที่เจียงมู่เฉินเดือดดาลถึงขีดสุด ไม่ตอบกลับไปสักคำ แต่ถีบใส่อีกฝ่ายเต็มๆ ถึงอย่างไรซูเตอร์ก็เป็นผู้สืบทอดของแก๊งมังกรคราม หลายปีมานี้ถึงแม้จะไม่ได้เก่งมากมาย แต่คนทั่วไปก็ทำให้เขาเจ็บตัวไม่ได้ 

 

 

           เขาหลบเท้าของเจียงมู่เฉินอย่างรวดเร็ว เอียงตัวพุ่งไปอัดเจียงมู่เฉิน 

 

 

           ดวงตาเจียงมู่เฉินแดงก่ำ เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รับเท้าของซูเตอร์ไว้แล้วจับบิดทันที ได้ยินแค่เสียงกระดูกลั่น ซูเตอร์เจ็บจนร้องกรีดร้องโหยหวน 

 

 

           ราวกับความทรงจำในร่างกายพรั่งพรูออกมาอย่างช้าๆ หลายๆ ท่าทางเขาแทบจะไม่ต้องคิด จิตใต้สำนึกสั่งร่างกายให้มีปฏิกิริยาตอบสนองออกมาได้ ภายใต้สถานการณ์ที่เดือดดาลเช่นนี้ ซูเตอร์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจียงมู่เฉินมาตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

           โดนเขาจัดการไม่พอ แม้แต่โอกาสจะตอบโต้ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ 

 

 

           เขาโยนซูเตอร์ทิ้งลงด้านข้าง “คนของคุณชาย นายก็กล้าแย่งเหรอ” 

 

 

           ซูเตอร์ถลึงตาใส่เขา “เจียงมู่เฉิน วันนี้นายกล้าทำกับฉันแบบนี้ วันหลังฉันจะตามไปเอาคืนนายแน่!” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ ค่อยๆ เดินเข้าไปหาแล้วเหยียบเขาไว้ “คุณชายอย่างฉันเดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่[1]นายมีความสามารถก็มาหาฉันเลย” 

 

 

           เมื่อเห็นว่าซูเตอร์แม้จะยืนก็ยืนไม่ขึ้นแล้ว เขาถึงเพิ่งได้หันกลับมาพร้อมเดินเข้าไปหาซือเหยี่ยน พอเห็นซือเหยี่ยนในสภาพที่ไม่ปกติ ก็รีบประคองร่างอีกฝ่ายขึ้นมา 

 

 

           “เป็นยังไงบ้าง ยังเดินได้ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัวไปมา เขาฝืนยิ้ม ก่อนจะเอ่ยปาก “ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณยุ่งยากกว่าเดิม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง ไม่มีอารมณ์จะล้อเล่นกับเขา สอดแขนกอดประคองร่างของซือเหยี่ยนเดินออกจากห้องไป 

 

 

           ร่างกายของซือเหยี่ยนร้อนจัดจนน่าตกใจ เจียงมู่เฉินกดหน้าลง ไม่พูดจาตลอดทางที่เดินจากมา เขาพยุงร่างอีกคนพาเข้ารถไป แล้วขับรถออกจากที่นั่นทันที 

 

 

           เขาลดกระจกลงเล็กน้อย เพื่อให้ซือเหยี่ยนสบายตัวขึ้นมาหน่อย 

 

 

           เขาขับรถไปด้วย เอ่ยถามไปพลาง “เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ดีขึ้นบ้างไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกัดฟันสู้ระดับความร้อนในร่างกาย ฤทธิ์ยาตัวนี้แรงเกินไปแล้ว เขาอดทนอดกลั้นมาได้จนถึงตอนนี้ก็เก่งมากแล้ว เขาค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือเจียงมู่เฉินอย่างช้าๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกถึงแค่ความร้อนจัดที่หลังมือพร้อมกับได้ยินเสียงซือเหยี่ยนพูด “เหมือนผมจะอดทนไม่ค่อยไหวแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงัน อีกครึ่งทางนี้อดทนไม่ไหวแล้วต้องทำยังไง 

 

 

           เขาเอียงหน้ากำลังจะเตรียมพูดกับซือเหยี่ยนให้ทนต่ออีกสักหน่อย แต่พอเห็นเส้นเลือดบนหน้าผากเขาปูดขึ้นมาก็เข้าใจได้ในพริบตาเดียว 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูข้างทาง บริเวณใกล้เคียงนี้ก็ไม่มีโรงแรม เขากัดฟันจอดรถข้างทางในซอย 

 

 

           ที่นั่นไม่มีใครสักคน เวลาปกติก็ไม่มีใครเดินผ่านมาได้ ยังถือว่าปิดบังอำพรางได้อยู่ 

 

 

           เจียงมู่เฉินหาสถานที่ที่ลับตาคนมาจอดรถเอาไว้ หลังจากถึงได้ปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วมองซือเหยี่ยน เขายื่นมือไปตบเรียกซือเหยี่ยนเบาๆ “ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ยังไหวไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยายามดิ้นรนมองไปทางเจียงมู่เฉิน เปลวไฟแผดเผาในดวงตาสีดำขลับราวกับเก็บกดเอาไว้ต่อไปไม่อยู่แล้ว เขาพลิกร่างมาคร่อมทับเจียงมู่เฉินไว้  

 

 

           พื้นที่ในรถเล็กเกินไป บวกกับที่รถของเจียงมู่เฉินเป็นรถสปอร์ต พื้นที่ข้างในจึงยิ่งเล็กลงไปอีก 

 

 

           ขยับตัวไม่ค่อยถนัดเลยสักนิด 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนพิงพนักที่นั่งโดนเขาจูบจนเจ็บขึ้นมานิดหน่อย เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยอยากให้ซือเหยี่ยนควบคุมการกระทำของตัวเองสักหน่อย 

 

 

           ซือเหยี่ยนที่อดทนอดกลั้นอย่างขื่นขมให้ตัวเองยังเหลือสติอยู่นิดหนึ่งต่อหน้าซูเตอร์เมื่อครู่นี้ พอมาเผชิญหน้ากับเจียงมู่เฉินก็เหมือนกับสิงโตที่เพิ่งถูกปล่อยออกมาจากกรงขังไม่มีผิด ปฏิกิริยาอะไรก็ไม่ตอบสนองกลับมาแล้ว 

 

 

           ในใจมีแค่เพียงความคิดเดียว คือจะต้องกลืนกินเจียงมู่เฉินทีละนิดทีละน้อยจนเกลี้ยงอย่างไม่ให้ต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น 

 

 

                                                                                                                   

 

 

[1] เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ เป็นสำนวนเปรียบเปรย คนจริงทำอะไรก็ไม่กลัวว่าใครจะรู้จักหรือจำได้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 227 เจ็บปวดใจทีเดียว 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยายามผ่อนคลาย ตอนนี้จะให้ซือเหยี่ยนรู้จักหนักเบา ไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว สุดท้ายก็มีแค่เขาที่ต้องพยายามเอง ทำให้ตัวเองบาดเจ็บน้อยที่สุด 

 

 

           เขายื่นมือไปปรับพนักที่นั่งให้เอนไปข้างหลัง ทำให้พื้นที่เดิมที่คับแคบกว้างขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง 

 

 

           ในซอยที่เงียบวังเวง ในรถสปอร์ตคันสีแดงร้อนแรงดุจดั่งไฟแผดเผา ผ่านไปนานแสนนาน อุณหภูมิข้างในถึงค่อยๆ ผ่อนลงเรื่อยๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเป็นอัมพาตนอนอยู่บนเบาะที่นั่งขยับตัวไม่ได้ เรี่ยวแรงสักนิดก็ไม่มีแล้ว 

 

 

           หลังจากกำจัดฤทธิ์ยาออกไปได้ ในดวงตาแดงฉานก็ค่อยๆ สว่างชัดเจนมากขึ้น เขามองเจียงมู่เฉินแล้วก็เจ็บปวดใจทีเดียว 

 

 

           เขาก้มลงจูบอีกฝ่าย “ขอโทษนะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากอย่างไร้เรี่ยวแรง “อย่าพูดอะไรพวกนี้เลย กลับบ้านกันก่อน ฉันเจ็บไปทั้งตัวแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินก็รีบย้ายเจียงมู่เฉินมาวางลงบนที่นั่งข้างคนขับอย่างระมัดระวัง ทั้งยังหยิบเสื้อผ้ามาคลุมห่มร่างกายของเขาด้วยท่าทีอ่อนโยน สุดท้ายก็จูบหน้าผากเขาอยู่ครู่หนึ่ง เสียงต่ำถึงเพิ่งเอ่ยต่อ “ผมจะพาคุณกลับเดี๋ยวนี้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกเขินนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก จู่ๆ มาได้รับการดูแลที่อ่อนโยนขนาดนี้ก็ชักจะเขินๆ แม้แต่ใบหูก็แดงระเรื่อขึ้นมา 

 

 

           รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆ ราวกับว่าซือเหยี่ยนอยากให้เจียงมู่เฉินได้นั่งสบายๆ ขึ้น ตั้งใจขับช้าเป็นพิเศษ 

 

 

           เขามุ่งหน้าไปยังคอนโดมิเนียมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เจียงมู่เฉินพิงอยู่ตรงนั้นไปพร้อมกับร่างกายที่โรยแรง เขาเงียบไม่พูดจาสักพัก เสียงต่ำถึงได้เอ่ยขึ้น “เปิดกระจกลงหน่อยสิ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงหัวมองเขา 

 

 

           ใบหูเจียงมู่เฉินขึ้นสี “ข้างในกลิ่นแรงไปหน่อย” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเปิดหน้าต่างรถที่ข้างตัว ทั้งยังดึงเสื้อผ้าที่ให้เจียงมู่เฉินไว้ขึ้นสูงอีก ให้แน่ใจว่าลมจะไม่พัดเข้าไปใส่แล้ว ถึงได้ขับรถต่อ 

 

 

           เจียงมู่เฉินอิงแอบอยู่ตรงนั้น หลังจากผ่านกิจกรรมอันดุเดือดมา เขาไม่มีแรงอะไรเหลือแล้วจริงๆ 

 

 

           ตั้งแต่ออกเดินทางตามหาซือเหยี่ยน ไหนจะต่อสู้กับซูเตอร์ แล้วตอนนี้ยังมาโดนซือเหยี่ยนจับกดอยู่ในรถอย่างเอาแต่ใจตัวเองราวกับกำลังจี่ขนมเปี๊ยะไปกับกระทะ 

 

 

           เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้ต่างอะไรกับปลาตายตัวหนึ่งเลย 

 

 

           ในรถเงียบสงัด เจียงมู่เฉินอิงแอบอยู่ตรงนั้นเพียงไม่นานก็หรี่ตาลงแล้วผล็อยหลับไป 

 

 

           รถค่อยๆ เคลื่อนตัวมาจอดใต้ตึกคอนโดมีเนียม ซือเหยี่ยนจอดรถสนิทดีแล้ว เจียงมู่เฉินก็ยังไม่ตื่น ใต้แสงไฟในรถ ซือเหยี่ยนสอดแขนช้อนตัวอุ้มเขาออกมาจากรถอย่างระมัดระวังแล้วเดินขึ้นตึกไป 

 

 

           คงเพราะเหนื่อยเกินไป เจียงมู่เฉินจึงหลับลึกเป็นพิเศษ แม้กระทั่งโดนซือเหยี่ยนอุ้มขึ้นคอนโดมีเนียมแบบนี้ตลอดทางก็ยังไม่รู้สึกตัวตื่น 

 

 

           เขาบรรจงวางร่างของเจียงมู่เฉินลงบนเตียง แต่เจ้าตัวกลับขยับตัวไปมาอย่างไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นัก คิ้วขมวดผูกปมขึ้นมา 

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากมองเขาอย่างขำๆ ไอ้หมอนี่นอนหลับอยู่ก็ยังไม่ลืมนิสัยรักสะอาดของตัวเอง ผ่านกิจกรรมมาจนเหนื่อยกลายเป็นสภาพแบบนี้แล้ว ยังจำได้อีกว่าถ้าตัวเองไม่ได้อาบน้ำก็จะไม่ยอมนอน 

 

 

           เขาจึงจำเป็นต้องอุ้มอีกคนเข้าไปในห้องน้ำ อาบน้ำล้างตัวให้เขาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม เปลี่ยนเสื้อผ้าอะไรเรียบร้อยแล้ว ถึงได้วางร่างนี้ลงบนเตียง 

 

 

           ครั้งนี้เจียงมู่เฉินนอนยืดเหยียดแขนเหยียดขาอย่างสบายๆ ขึ้นมากกว่าในตอนแรก ราวกับได้นอนเอ้อระเหยบนเตียง หลับฝันหวานอยู่อย่างนั้น 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขายิ้มเบาๆ แบบนี้ ก็อดจะเข้าไปใช้ปากงับเข้าที่มุมปากคนตรงหน้าไม่ได้ พะเน้าพะนออยู่นานสองนาน ถึงได้ห่มผ้าห่มให้เขาเสียที ซือเหยี่ยนหมุนตัวเดินเข้าห้องหนังสือไป 

 

 

           …… 

 

 

           ณ ห้องหนังสือ ซือเหยี่ยนนั่งลงบนเก้าอี้ มองดูคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้า ในนั้นคือไมเคิลที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน 

 

 

           “รีบร้อนขนาดนี้ หาฉันมีเรื่องอะไร”  

 

 

           “ฉันคิดจะกวาดล้างแก๊งมังกรครามสิ้นซาก” 

 

 

           ไมเคิลตกใจจนสะดุ้งตัวโหยง “เชี่ยแม่ง! นายไม่มีปัญหาใช่ไหม ตัวนายอยู่ถานโจว นายจะจัดการอะไรแก๊งมังกรคราม” 

 

 

           “วันนี้ฉันไม่จัดการเขา วันหลังเขาก็จะมาจัดการฉัน” 

 

 

           ไมเคิลขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง” 

 

 

           “ไม่มีอะไรหรอก ฉันตัดสินใจแล้ว พอดีกับที่เมื่อก่อนฉันรวบรวมจัดการหลักฐานเกี่ยวกับแก๊งมังกรครามอยู่ไม่น้อย ตอนนี้จะลงมือทำก็ไม่ยากขนาดนั้นหรอก” 

 

 

           “ฉันรู้สึกว่านายจะผิดหวังกับเขาบ้างแล้วล่ะ นั่นเป็นที่นายจัดการเมื่อหลายปีก่อน ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า อีกอย่าง แก๊งมังกรครามก็จะเปลี่ยนคนแล้ว อีกไม่นานซูเตอร์ก็ต้องรับช่วงต่อแล้ว” 

 

 

           “งั้นฉันจะกวาดล้างแก๊งมังกรครามให้สิ้นซากก่อนที่ซูเตอร์จะได้รับช่วงต่อ” 

ตอนที่ 224 เมื่อคว้ามาครองไม่ได้ก็ทำลายทิ้ง

 

 

           “คุณวางยาที่แก้วใช่ไหม” จนถึงตอนนี้มีเพียงแค่แก้วใบนั้นเท่านั้นที่เขาใช้อยู่คนเดียว ถ้าไม่อยู่ในไวน์ ก็ต้องอยู่ในแก้ว

 

 

           เขาคิดไม่ถึงว่าซูเตอร์จะใจกล้าหน้าด้านวางยาเขาแบบนี้

 

 

           “พี่เหยี่ยน ตอนนี้นายรู้ก็สายเกินไปแล้วล่ะ” ซูเตอร์ยื่นมือไปประคองเขาไว้ “นายก็อย่าเสียแรงเปล่าเลย นี่คือสิ่งที่ฉันตั้งใจเอากลับมาเป็นพิเศษ ไร้สีไร้กลิ่นไร้ยาแก้”

 

 

           เขายิ้มหัวเราะเข้าประชิดซือเหยี่ยน “ใช่แล้ว อีกอย่างฤทธิ์ยาตัวนี้แรงมากนะ”

 

 

           ซูเตอร์ยื่นมือไปกอดเอวซือเหยี่ยนเอาไว้ ยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อ “แต่ว่านายวางใจได้ มีฉันอยู่ ฉันอยู่กับนายค่อยๆ ช่วยนายแก้ได้” เขาเข้าใกล้พร้อมเป่าลมเบาๆ ใส่ที่ข้างหูของซือเหยี่ยน “พวกเรายังมีเวลากันทั้งคืน”

 

 

           อารมณ์โกรธถึงขีดสุดลุกโชนขึ้นมาในแววตา ไม่นึกเลยว่าเขาเองจะลืมว่าคนอย่างซูเตอร์ทำได้ทุกอย่าง คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เตรียมป้องกันที่เขาจะวางยาในไวน์ไว้ด้วย

 

 

           เขาลองขยับตัว แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงทั้งร่างกายถูกคนกระชากออกไปอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้แค่คิดจะผลักซูเตอร์ออกก็ยังทำไม่ไหว

 

 

           “พี่เหยี่ยนอย่าพยายามดิ้นรนเลย ยานี้เป็นยาที่ฉันให้หมอส่วนตัวของฉันทำขึ้นมาเป็นพิเศษ คนที่คุมสติตัวเองได้แล้วยังแข็งแกร่งอีกยังต้านทานไม่ไหว ถึงยังไงฉันเสียแรงตั้งมากตั้งมายกว่าจะหาร่องรอยของนายเจอ ถ้าไม่ได้เตรียมอะไรมาบ้าง ฉันจะมาปรากฏตัวได้ยังไงล่ะ”

 

 

ซูเตอร์ใช้มือประคองร่างอีกคนหมุนตัวเปลี่ยนทางขึ้นบนตึกไป เขาเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว แค่รอให้ซือเหยี่ยนเข้ามาตามแผน

 

 

           ซูเตอร์พยุงร่างซือเหยี่ยนไป พลางยกมุมปากขึ้นอย่างลำพองใจ ต่อสู้กับเขาเหรอ ก็แค่เจียงมู่เฉินคนตัวเล็กๆ จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ยังไง

 

 

           ‘พรุ่งนี้เจอกันตอนเช้าใช่ไหม’

 

 

           เขาอยากจะรู้จริงๆ ว่าผ่านคืนนี้ไปแล้ว เจียงมู่เฉินจะยังกล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าเขาได้อย่างไร

 

 

           เขาโตมาในแก๊งมาเฟีย คำสอนของพ่อเขาคือถ้าชอบแล้ว ไม่ว่าจะ ‘ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล’ มากมายขนาดไหน ก็ต้องคว้ามาให้ได้ ครั้งแรกที่เขาเจอซือเหยี่ยน เขาก็ชอบอีกฝ่ายเข้าแล้ว

 

 

           แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ซือเหยี่ยนก็เอาแต่ ‘งานก็คืองาน’ มาตลอด

 

 

           ดังนั้นเขาจึงเสแสร้งแกล้งทำให้ตัวเองกลายเป็นคุณชายน้อยผู้อ่อนแอที่มีคนมุ่งร้ายอยากจะสังหารเขา มาแทนที่เขา

 

 

           ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ ซือเหยี่ยนก็จะยืนอยู่ตรงนั้นคอยช่วยเหลือเขา ยืดอกเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ บาดเจ็บสาหัสเพื่อเขาก็ตั้งหลายครั้ง

 

 

           ทุ่มเททั้งกายทั้งใจปกป้องเขาขนาดนี้ ซือเหยี่ยนของเขาจะไม่ชอบเขาได้อย่างไรกัน

 

 

            ขอเพียงแต่กำจัดคนข้างกายซือเหยี่ยนออกไปทีละคนจนหมด ซือเหยี่ยนก็เป็นของเขาไปโดยปริยายแล้ว เหมือนกับที่พ่อเขาพูดเอาไว้เมื่อตอนนั้นไม่มีผิด ถ้าชอบก็ต้องคว้ามาครองให้ได้ เมื่อคว้ามาครองไม่ได้ก็สู้ทำลายทิ้งเสียดีกว่า

 

 

           ตอนนี้เขายังไม่อยากทำลายซือเหยี่ยนทิ้ง ดังนั้นก็มีเพียงแค่ต้องได้เขามาครองเท่านั้น

 

 

           “พี่เหยี่ยน ผ่านคืนนี้ไป นายก็เป็นได้แค่ของฉันคนเดียวแล้ว” ความดื้อรั้นปรากฏในแววตา “นายก็รู้ว่าฉันชอบนายมานานหลายปีแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนยังพอมีสติอยู่บ้าง เขาพยายามเก็บกดอาการกระสับกระส่ายในร่างกาย เอ่ยเสียงกดต่ำในลำคอ “ซูเตอร์ คุณทำแบบนี้มีแต่ทำให้ผมยิ่งเกลียดคุณ”

 

 

           “ก็ช่างสิ นายเกลียดฉันก็ถูกแล้ว ยังไงซะนายก็ไม่ชอบฉันอยู่แล้ว” เขาหัวเราะเบาๆ “ไม่ชอบกับเกลียดสำหรับฉันแล้วมันเหมือนกันหมด ยังไงซะขอเพียงนายอยู่ข้างกายฉันก็พอแล้ว”

 

 

           พูดจบ ซูเตอร์ก็พาซือเหยี่ยนเข้าลิฟต์ไป

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินเอารถมาจอดหน้าทางเข้า แล้วพุ่งตรงเข้าไปข้างในทันที เขามองดูที่โถงใหญ่ก็ไม่เห็นเงาของซือเหยี่ยน

 

 

           เขาหรี่ตาลง พวกเขาไม่มีทางจะออกไปได้เร็วขนาดนี้

 

 

           “ช่วยฉันหาที มีคนชื่อซือเหยี่ยนมาหรือเปล่า” เจียงมู่เฉินเข้าไปถามคนที่อยู่เคาน์เตอร์ต้อนรับลูกค้าตรงๆ

 

 

           “คุณคะ ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ทางเราเปิดเผยข้อมูลโดยพลการไม่ได้ค่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินสีหน้าบูดบึ้ง บ่งสัญญาณว่าคนอื่นไม่ควรจะเข้าไปหาเรื่องด้วย “จะหาหรือไม่หา ถ้าไม่หาพรุ่งนี้พวกเธอไม่ต้องมาทำงาน”

 

 

           “ขออภัยค่ะ คุณ…”

 

 

 

 

ตอนที่ 225 คุณชายเจียงคลั่ง

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “เรียกผู้จัดการของพวกเธอมา เดี๋ยวนี้!”

 

 

         ไม่กี่คนเห็นถึงสัญญาณของเขาว่าคนอื่นไม่ควรจะเข้าไปหาเรื่องด้วย ก็รีบไปตามผู้จัดการของกะนี้มา เจียงมู่เฉินยืนวางท่าอยู่ตรงนั้น

 

 

           ผู้จัดการของกะนี้เห็นใบหน้าเจียงมู่เฉินก็หวาดกลัวในพริบตา ทำไมถึงได้ไปกระตุกหนวดเสือของคุณชายน้อยผู้นี้ได้

 

 

           “คุณชายเจียง ทำไมมาที่นี่กะทันหันครับ”

 

 

           “รีบช่วยฉันหาว่าซือเหยี่ยนอยู่ที่นี่ไหม” เจียงมู่เฉินไม่มีอารมณ์จะมาไร้สาระกับพวกเขา

 

 

           “คุณชายเจียง ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะช่วยคุณหา…”

 

 

           “ฉันจะพูดอีกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าวันนี้พวกเธอไม่หา พรุ่งนี้ทุกคนก็ออกกันไปให้หมด”

 

 

           พอผู้จัดการได้ยินก็พูดกับคนข้างๆ ทันที “ไม่ได้ยินที่คุณชายเจียงพูดหรือไง รีบไปหาสิ”

 

 

           หญิงสาวที่อยู่เคาท์เตอร์ต้อนรับมือไม้อ่อนลนลานรีบหาข้อมูล “ขออภัยค่ะ ไม่มีข้อมูลของคุณซือเหยี่ยน”

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “ซูเตอร์ ดูสิว่ามีเขาไหม”

 

 

           ครั้งหาออกมาได้อย่างรวดเร็ว “มีค่ะ บนตึกห้องแปดศูนย์เจ็ด”

 

 

           “เอาคีย์การ์ดให้ฉัน” เจียงมู่เฉินสีหน้าเคร่งเครียด

 

 

           “คุณชายเจียง ไม่ดีมั้งครับ”

 

 

           “จะให้ไหม” เจียงมู่เฉินกดเก็บอารมณ์โมโหรุนแรงไว้ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           ผู้จัดการรีบพูด “ให้ครับให้ รีบเอาคีย์การ์ดให้คุณชายเจียงเร็ว”

 

 

           หญิงสาวรีบส่งคีย์การ์ดต่อให้ผู้จัดการ ผู้จัดการส่งคีย์การ์ดให้เขาด้วยท่าทางเคารพนบนอบ แล้วยังไม่ลืมเอ่ยกำชับ “ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นที่สาธารณะ คุณชายเจียงต้องระวังรอบคอบด้วยนะครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหยิบคีย์การ์ดจากมือเขาแล้วมุ่งตรงไปเข้าลิฟต์ เขาหยิบคีย์การ์ดถูไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า หวังว่าตอนตัวเองเข้าไปจะยังทันเวลาอยู่

 

 

           ……

 

 

           ในห้องพักบนตึก ซูเตอร์วางซือเหยี่ยนลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง เขานอนคว่ำลงข้างกายซือเหยี่ยน หรี่ตามองเขา

 

 

           “เหยี่ยน แบบนี้นายดูดีจริงๆ” ปลายนิ้วกรีดกรายสัมผัสผ่านใบหน้าของซือเหยี่ยน “นายรู้ไหม ครั้งแรกที่ฉันเห็นนายก็รู้สึกว่านายดูดีมากจริงๆ”

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามกดปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย ทั้งที่เอาออกไม่ได้และเอากลับคืนไม่ได้

 

 

           ซูเตอร์เห็นเหงื่อบนหน้าผากเขา ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “นายทรมานมากใช่ไหม อย่าร้อนใจไป ฉันจะรีบช่วยนายเดี๋ยวนี้เลยดีไหม”

 

 

           ขณะที่เขาพูดอยู่ก็เตรียมจะลงมือกับเสื้อเชิ้ตของซือเหยี่ยนด้วย  

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปกุมมือเขาไว้แน่น “ซูเตอร์ ตอนนี้คุณเปลี่ยนใจยังทัน ผมจะไม่ติดใจเอาความกับคุณ”

 

 

           ซูเตอร์หัวเราะเบาๆ “เหยี่ยน ฉันทำมาขนาดนี้แล้ว ยังจะกลัวนายติดใจเอาความฉันอยู่เหรอ นายคิดจะถ่วงเวลาฉันใช่ไหม…นายอย่าเสียแรงเปล่าเลย ฤทธิ์ยา ถ้าไม่ทำก็ไม่มีทางจะแก้ได้ ที่นี่นอกจากนายก็มีแค่ฉัน นายไม่ทำกับฉัน แล้วยังมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ…อีกอย่าง นายก็ไม่ต้องคิดว่าจะมีใครมาช่วยนายได้ เรื่องที่นายอยู่กับฉันที่นี่ นอกจากฉัน ไม่มีคนอื่นที่รู้ ดังนั้นนายก็วางใจเถอะ จะไม่มีใครมารบกวนพวกเราได้หรอก”

 

 

           ซูเตอร์ก้มหน้าลงเบาๆ อยากจะจูบซือเหยี่ยนสักหน่อย แต่เมื่อใกล้จะโดนริมฝีปากเขา ซือเหยี่ยนก็ออกแรงเบือนหน้าหนี ริมฝีปากตกกระทบบนใบหน้าของซือเหยี่ยนแทน

 

 

           ซูเตอร์เห็นเขาทำแบบนี้ก็ไม่โกรธ มองเป็นเรื่องสนุกแทน ถึงอย่างไรเวลาของพวกเขายังมีอีกนาน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปก็ได้

 

 

           สายตาของซูเตอร์จับจ้องมาที่เสื้อผ้าของซือเหยี่ยน ค่อยๆ ปลดกระดุมบนตัวของเขาอีกทีละเม็ด ทำอย่างรวดเร็วและตรงจุด เพียงชั่วครู่เดียวเสื้อเชิ้ตบนตัวของซือเหยี่ยนก็เปิดออกทั้งหมด

 

 

           ซูเตอร์มองร่างกายกำยำอันสมบูรณ์แบบของเขาแล้วยิ้มด้วยความพอใจ ซือเหยี่ยนเป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ทั้งคนทั้งรูปร่างมีดีเหมือนกัน สุดยอดเหลือเกิน

 

 

           ซูเตอร์พินิจมองมัดกล้ามแน่นกระชับของเขาก็ยิ่งรู้สึกใจเต้นรัว ในใจเริ่มร้อนรนนิดหนึ่งแล้ว แทบอยากจะถอดเสื้อผ้าซือเหยี่ยนออกให้หมด มือของเขาเลื่อนลงมาถึงที่เอวของซือเหยี่ยน

ตอนที่ 222 ศัตรูหัวใจมาหาถึงที่แล้ว

 

 

           มือถือที่เพิ่งจะโดนวางสายไป จู่ๆ ก็สั่นขึ้นมา เจียงมู่เฉินเปิดอ่านข้อความจากเบอร์แปลกที่ส่งเข้ามา

 

 

           [ซือเหยี่ยนอยู่ด้วยกันกับฉัน ไม่รบกวนนายให้ลำบากแล้ว]

 

 

           เจียงมู่เฉินอ่านข้อความตัวเล็กบรรทัดนั้นบนหน้าจอ แล้วยิ้มหัวเราะออกมา นี่เขาโดนยั่วยุกันซึ่งๆ หน้าอยู่ใช่ไหม

 

 

           “มาเจอกันเถอะ ซูเตอร์”

 

 

           เจียงมู่เฉินเป็นฝ่ายนัดให้ออกมาเจอกัน ศัตรูหัวใจมาหาถึงที่แล้ว ถ้าเขายังถอยกลับหลัง ก็ไม่ใช่สไตล์ของคุณชายน้อยแห่งตระกูลเจียงแล้ว

 

 

           “ไม่มีปัญหา!” ซูเตอร์ตอบกลับมาครั้งแรกอย่างสบายอารมณ์

 

 

           “พรุ่งนี้เช้าสิบโมง เจอกันที่เซิ่งซื่อ”

 

 

           “ได้ ส่วนคืนนี้ซือเหยี่ยนฉันก็จะช่วยนายดูแลดีๆ นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “น่าเสียดายจริงๆ เกรงว่าซือเหยี่ยนของฉันจะไม่ต้องการให้นายดูแล”

 

 

           เขาวางสายไป ก็รีบโทรหามั่วไป๋ทันที “ช่วยฉันสืบหาตำแหน่งของซือเหยี่ยนที”

 

 

           มั่วไป๋ถือสายไป พลางเลิกคิ้ว “อะไรกัน ซือเหยี่ยนเตรียมจะปีนกำแพงแล้วโดนนายจับได้เหรอ”

 

 

           “วางใจเถอะ มีกำแพงเขาก็ไม่กล้าปีนหรอก” เจียงมู่เฉินหยุดสักพัก “นายเร็วหน่อยสิ ฉันรีบอยู่”

 

 

           ทางมั่วไป๋เองขณะพูดอยู่ เสียงเคาะแป้นก็ดังออกมาด้วย “เฉินเฉิน ฉันเพิ่งพูดกับนายประโยคสองประโยคเองนะ ให้เร็วกว่านี้ฉันก็หาออกมาไม่ได้ มีความอดทนสักนิดนึงหน่อยได้ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนพิงอยู่ตรงนั้นอย่างเอื่อยเฉื่อย “ได้ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ฉันไม่รีบเลยสักนิด”

 

 

           ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ทางมั่วไป๋ก็ตอบกลับมา “อยู่ที่จุ้ยถิงเซวียน ฉันหาได้แค่ถึงตรงนี้ รายละเอียดอย่างอื่นฉันไม่มีวิธีแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา “ที่เหลือฉันจัดการเอง”

 

 

           เขาหยิบกุญแจรถเดินออกไปข้างนอก อยากจะปีนกำแพงต่อหน้าต่อตาเขา ประตูก็ไม่มีทั้งนั้น ต่อให้ซือเหยี่ยนอยากจะปีน อย่างมากก็แค่จะต่อกำแพงให้สูงขึ้นอีก ให้เขาปีนออกไปไม่ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนปีนกำแพงขึ้นได้หนึ่งนิ้ว เขาก็จะเอาขึ้นไปอีกหนึ่งนิ้ว

 

 

           ยังดีที่ซือเหยี่ยนเอารถสปอร์ตของเขามาไว้ที่นี่ให้ด้วย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่อย่างนั้นคิดจะไปตามจับคน ก็ไม่รู้จะไปอย่างไรแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเหยียบคันเร่งหนักๆ รถสปอร์ตคันสีแดงรีบมุ่งหน้าพุ่งตัวออกไปทันที

 

 

           ‘จุ้ยถิงเซวียนเหรอ’

 

 

           เป็นสถานที่ดีๆ ที่น่าสนใจเสียจริง

 

 

           ……

 

 

           ซูเตอร์ฉวยโอกาสตอนที่ซือเหยี่ยนไปเข้าห้องน้ำ กดตัดสายเรียกเข้าจากเจียงมู่เฉิน แล้วยังแอบบันทึกเบอร์มือถือของเจียงมู่เฉินในมือถือของตัวเองอีกด้วย

 

 

           ผ่านไปสองสามนาที ซือเหยี่ยนก็กลับมา เขานั่งลงหน้าโต๊ะอาหาร เอ่ยเสียงต่ำ “ในเมื่อคุณกินเสร็จแล้ว ผมจะส่งคุณกลับไปนะ”

 

 

           ซูเตอร์จะอยากกลับไปได้อย่างไร กว่าเขาจะนัดคนออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะมาเลิกล้มกลางคันได้อย่างไร

 

 

           ซูเตอร์ส่ายหัว “ตอนนี้ฉันยังไม่อยากกลับ”

 

 

           ซือเหยี่ยนระงับท่าทีที่อยากจะขมวดคิ้วเอาไว้ “แล้วคุณอยากจะไปไหน”

 

 

           “ก็อยู่ที่นี่ไง พวกเราดื่มกันต่ออีกหน่อย ได้ไหม” เขาจองห้องที่นี่เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงแต่ให้ซือเหยี่ยนดื่ม แล้วทำให้ซือเหยี่ยนปล้ำเขา ถึงตอนนั้นสำหรับซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินจะเป็นอะไรได้อีก

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว “ผมขับรถมา ดื่มเหล้าไม่ได้”

 

 

           ซูเตอร์กะพริบตาปริบๆ ตีหน้าเศร้า “เหยี่ยน นายอยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหม ฉันคนเดียวเดินทางมาตั้งไกลขนาดนี้เพื่อมาหานาย นายอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยไม่ได้เหรอ…

 

 

           …คิดถึงตอนนั้นเป็นฉันที่ช่วยชีวิตนายไว้ แล้วตอนนี้นายกลับมาทำแบบนี้กับฉันเหรอ” ขอบตาซูเตอร์แดงก่ำ ทำหน้าทำตาน่าสงสารชัดเจน

 

 

           ซือเหยี่ยนทำได้แค่นั่งลงไปอีกครั้ง

 

 

           ซูเตอร์เห็นสถานการณ์เป็นไปตามแผนแล้ว ก็ยิ้มตาหยีออกมา “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเหยี่ยนทนเห็นฉันเศร้าไม่ได้ เมื่อก่อนนายดีกับฉันขนาดไหน ตอนนี้ก็ต้องดีให้เหมือนเดิมเหมือนเมื่อก่อน”

 

 

           “ดื่มได้แค่นิดเดียวนะ แล้วเดี๋ยวผมจะส่งคุณกลับไป”

 

 

           ซูเตอร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย “ได้ ฉันรับรองว่าจะดื่มไม่เยอะ”

 

 

           เขากวักมือเรียกให้คนยกไวน์แดงมาเสิร์ฟ ทั้งยังหยิบแก้วไวน์อีกสองแก้วมาด้วย ซูเตอร์รินไวน์อย่างชำนาญ แล้วส่งต่อให้ซือเหยี่ยน

 

 

           

 

 

           ตอนที่ 223 ในไวน์มีอะไรบางอย่าง

 

 

           ซือเหยี่ยนส่งมือไปรับแก้วไวน์มาไว้ตรงหน้าตัวเอง

 

 

           ซูเตอร์เองก็รินไวน์ให้ตัวเองด้วยแก้วหนึ่ง เขายิ้มยกแก้วไวน์ขึ้น พูดกับซือเหยี่ยน “เหยี่ยน ตั้งแต่นายจากฉันไป ฉันก็คิดถึงนาย…

 

 

           …หลายปีมานี้ฉันเอาแต่คิดถึงวันวาน คิดถึงเป็นพิเศษเลย เมื่อก่อนนายอยู่ข้างกายฉันคอยปกป้องฉันตลอด ไม่ว่าฉันจะพบเจออุปสรรคอะไร นายก็จะเป็นคนแรกที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเสมอ” ใบหน้าซูเตอร์เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาหรี่ตาลง “ฉันคิดนะว่าถ้าไม่รับตำแหน่งต่อจากพ่อก็คงจะดีกว่านี้ แบบนี้พี่เหยี่ยนของฉันก็จะได้อยู่ปกป้องฉันไปตลอดชีวิต”

 

 

           “ซูเตอร์ การสืบต่อแก๊งมังกรครามเป็นหน้าที่ที่คุณต้องรับผิดชอบ ที่ผมปกป้องคุณก็ในฐานะที่ตอนนั้นผมเป็นบอดี้การ์ด มันคือหน้าที่รับผิดชอบของผม”

 

 

           “ไม่ใช่หรอก นายดีกับฉันขนาดนั้น จะเป็นแค่หน้าที่รับผิดชอบเป็นบอดี้การ์ดง่ายๆ แค่นั้นได้ยังไง” ซูเตอร์มองเขา “นายชอบฉันใช่ไหม นายน่าจะชอบฉันบ้างแหละ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ซูเตอร์ ครั้งนี้ที่คุณมาที่จีนกะทันหัน สร้างเรื่องวุ่นวายอยู่ไม่เบาจริงๆ คราวก่อนที่พวกเราเจอกัน ผมก็พูดกับคุณชัดเจนมากแล้ว เมื่อก่อนผมคือบอดี้การ์ดที่พ่อคุณว่าจ้างมาให้ปกป้องคุณ ความปลอดภัยในชีวิตคุณเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผม…ดังนั้น ผมจำเป็นต้องปกป้องคุณ ไม่ใช่เพราะผมชอบคุณ เข้าใจไหม”

 

 

           ขอบตาซูเตอร์แดงก่ำ น้ำใสๆ เอ่อขึ้นมาในดวงตาคมสวย “ฉันไม่เชื่อ นายดีกับฉันขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้หรอกที่นายจะไม่ชอบฉัน”

 

 

           เขาจ้องมองคนตรงหน้า “เพราะคนคนนั้นในวันนั้นใช่ไหม คนคนนั้นคือแฟนใหม่ของนายเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่อยากให้เรื่องนี้ไปพัวพันถึงเจียงมู่เฉิน ซูเตอร์คนนี้ดูเหมือนจะบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่ลงมือได้อย่างโหดเ**้ยมไม่ปรานีใคร เรื่องนี้เขารู้ดีแก่ใจ

 

 

           ตอนที่แอบแฝงตัวเป็นสายลับเข้าไปในแก๊งมังกรคราม เขาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของซูเตอร์ เห็นจนชินตากับภาพของซูเตอร์ที่ตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้อย่างหน้าตาระรื่นไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ

 

 

           “ไม่มีเกี่ยวกับเขา เขากับผมเป็นแค่เพื่อนธรรมดากันเท่านั้นเอง”

 

 

           ซูเตอร์มองเขาอย่างไม่เชื่อ “แต่ฉันกลับรู้สึกว่าสำหรับนายแล้วเขาไม่ค่อยเหมือนใครนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนดื่มไวน์แดงในแก้วจนหมดทีเดียว “เอาล่ะ ดึกมากแล้ว ไวน์ก็ดื่มเป็นเพื่อนคุณแล้ว ตอนนี้ผมจะส่งคุณกลับไปพักผ่อน”

 

 

           หลังจากซูเตอร์เห็นเขาดื่มไวน์ในแก้วจนไม่เหลือสักหยด แผนร้ายฉายสะท้อนในแววตาขึ้นมาวาบหนึ่ง

 

 

           ‘ดื่มไวน์เข้าไปเรียบร้อย ที่เหลือก็จัดการได้ง่ายๆ แล้ว’

 

 

           เขาพยักหน้าพลางรินไวน์ให้ซือเหยี่ยนอีกแก้ว “เมื่อกี้นายดื่มของนายเอง นายยังไม่ได้ดื่มพร้อมฉันเลย ดื่มเสร็จแก้วนี้ ฉันรับรองว่าจะไม่ดื้อยอมกลับไปกับนาย”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกแก้วขึ้นมา “คุณพูดแล้วนะ หวังว่าจะไม่มีความคิดอย่างอื่นอีก”

 

 

           ซูเตอร์หัวเราะเบาๆ “แน่นอน นายก็รู้นี้ดี ว่าฉันพูดแล้วจะไม่คืนคำเด็ดขาด”

 

 

           “ได้ แก้วนี้ผมจะดื่มกับคุณ”

 

 

           ซือเหยี่ยนดื่มไวน์เข้าไปอีกแก้ว เขาวางแก้วไวน์ที่ว่างเปล่าไว้บนโต๊ะ “คราวนี้ก็ไปกันได้แล้ว”

 

 

           ครั้งนี้ซูเตอร์ไม่ได้ขัดขวางอะไรมากมายต่อ ลุกเดินขึ้นมาเดินไปอยู่ข้างกายซือเหยี่ยนอย่างว่าง่าย “เหยี่ยน ไปกันเถอะ”

 

 

           ทั้งสองคนกำลังจะเตรียมตัวออกไป จู่ๆ ซูเตอร์ก็คล้องแขนซือเหยี่ยนเอาไว้ ซือเหยี่ยนตกใจทันที อยากจะชักแขนออกไปตามปฏิกิริยาตอบโต้ของร่างกาย

 

 

           “เหยี่ยน เมื่อกี้ฉันรีบดื่มเกินไปเลยเวียนหัวนิดหน่อย นายให้ฉันคล้องแขนพยุงตัวหน่อยได้ไหม”

 

 

           ซูเตอร์เดินช้ามาก เพราะเวียนหัว ซือเหยี่ยนจำใจทำได้แค่ให้เขาเกาะแขนตัวเอง แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เขาเดินไปได้สองแก้วก็รู้สึกว่าภายในร่างกายไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่

 

 

           จิตใต้สำนึกเขาบอกให้เขาดึงมือของซูเตอร์ออกในทันใด “คุณใส่อะไรลงไปในไวน์”

 

 

           ซูเตอร์ทำไขสือยิ้มหัวเราะ “ไวน์ฉันก็ดื่มด้วย ฉันจะใส่อะไรลงไปได้ยังไงกัน”   

ตอนที่ 220 ลองโซฟา

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แสงอาทิตย์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า เจียงมู่เฉินเอามือผลักซือเหยี่ยนออก “ไปกันเถอะ ควรจะลงไปได้แล้ว”

 

 

           ระหว่างทางที่กลับไป เจียงมู่เฉินไม่ได้ให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขาแล้ว ทั้งสองคนค่อยๆ เดินเรียงหน้ากระดานกันลงมา จนลงมาจากเขาแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้ยืนอยู่หน้ารถ หันกลับไปมองแวบหนึ่ง

 

 

           เขาเอียงหน้ามองซือเหยี่ยนคนข้างกาย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะจับมืออีกฝ่ายกุมไว้แน่น ผ่านไปสักพัก ถึงได้คลายมือออก

 

 

           ต่อจากนี้ไปอีกนานแค่ไหน ทุกครั้งที่เจียงมู่เฉินหวนรำลึกถึงช่วงเวลานี้ ในใจก็จะรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ ขึ้นมา มันคือฉากในความทรงจำที่อบอุ่นที่สุดของเขา

 

 

           ทั้งคู่ขับรถลงเขาไป ก็เจอเข้ากับซังจิ่งที่รอพวกเขาอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงแรม สีหน้าท่าทางซังจิ่งดูจริงจังทีเดียว “ขออภัยด้วย ผมมีธุระกะทันหันนิดหน่อย อาจจะจำเป็นต้องกลับไปก่อน พวกคุณจะกลับด้วยกันกับผมหรือว่า?”

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด อยู่ที่นี่ก็ไม่มีธุระอะไรแล้ว ที่ควรสำรวจพื้นฐานก็ตรวจดูกันเสร็จแล้ว จะได้กลับไปด้วยกันพอดี

 

 

           “พวกเราก็กลับไปด้วยกันเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้าตกลง

 

 

           พวกเขากลับเข้าไปเก็บของในห้องพักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพวกเขาถึงได้ขับรถพากันไปสนามบิน

 

 

           หลังจากสี่ชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบินถานโจว ออกจากสนามบิน ซังจิ่งก็ขับรถออกไปทันที ส่วนเจียงมู่เฉินและซือเหยี่ยนมีคนขับรถมารับ

 

 

           ระหว่างทางกลับ เจียงมู่เฉินคิดเสมอว่าจะกลับไปที่บ้านตระกูลเจียง จนรถจอดแล้วถึงได้พบว่าที่ที่ซือเหยี่ยนจะกลับไปคือคอนโดมิเนียมที่พวกเขาซื้อใหม่

 

 

           “ของยังไม่ได้ย้ายมาหมดไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงมาที่นี่แล้วล่ะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนลากตัวเจียงมู่เฉินคนง่วงนอนมา “ผมให้คนขนย้ายของที่จำเป็นจากคฤหาสน์มาที่นี่หมดแล้ว ส่วนของอย่างอื่นก็ให้คนไปซื้อใหม่มาเรียบร้อย”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายมองเขาแวบหนึ่งอย่างชื่นชม “ดูท่าว่าแฟนฉันคนนี้ยังมีประโยชน์มากทีเดียว”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “คุณวางใจเถอะ แฟนคุณไม่ได้ทำได้แค่เรื่องนี้หรอก ประโยชน์ใช้สอยใหญ่อยู่”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม รู้สึกว่าตอนนี้ซือเหยี่ยนนับวันยิ่งหน้าไม่อาย ไม่กลัวว่าวันไหนเขาจะไม่แยแสเขาด้วย

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าคอนโดมิเนียม ใช้มือเปิดประตูเข้าไป หลังจากเจียงมู่เฉินเข้าไปแล้ว ก็พยักหน้าอย่างพอใจ ทุกอย่างในนี้ทั้งหมดตกแต่งตามแบบที่เขาชอบทั้งนั้น

 

 

           เพราะรู้ว่าเจียงมู่เฉินชอบเดินเท้าเปล่า ข้างในข้างนอกทั้งหมดจึงปูพื้นด้วยพรม

 

 

           เขาพุ่งตัวไปหาโซฟาเขาถูกใจเมื่อคราวก่อน เขาเอนตัวลงนอนบนโซฟา ผ่อนลมหายใจออกด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ “ฟินจริงๆ”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างขำๆ โซฟาที่เขาวางไว้ในคฤหาสน์แต่ก่อนนั้นก็ดีมากอยู่ แค่ไม่ได้เห็นเจียงมู่เฉินอวดโซฟานั้นได้ขนาดนี้

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ อย่างสนอกสนใจ เขานั่งพิงอยู่ตรงนั้น พร้อมเอ่ยถามอย่างจริงจัง “สบายขนาดนี้เชียว”

 

 

           เจียงมู่เฉินดึงเขาไว้ “นายเอนตัวลงนอนดูสิ”

 

 

           ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนที่นอนเบื่อๆ บนโซฟา จึงทดลองระดับความสบายกันขึ้น

 

 

           ……

 

 

           “ประธานไป๋ครับ วันนี้คุณซูเตอร์โทรมาถามหาตำแหน่งที่อยู่ของประธานซือครับ” เสี่ยวหลิวได้รับโทรศัพท์จากซูเตอร์ก็รีบเข้ามารายงานทันที

 

 

           ไป๋จิ่งกุมขมับ หลายวันที่ซือเหยี่ยนไม่อยู่ ซูเตอร์ก็เอาแต่ถามหาตำแหน่งที่อยู่ของซือเหยี่ยน

 

 

           ซูเตอร์คนนี้ เขาพอเข้าใจเรื่องราวอยู่บ้าง เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญา ถ้าซือเหยี่ยนพวกเขายังไม่กลับมาอีก เขาก็ไม่รู้จริงๆ แล้วว่าจะต้องขัดขวางซูเตอร์อย่างไรแล้ว

 

 

           “โอเค ฉันรู้แล้ว” ไป๋จิ่งให้เสี่ยวหลิวออกไปก่อน

 

 

           ตัวเองก็เตรียมกดสายโทรหาซือเหยี่ยนถามเขาว่าสรุปแล้วจะพร้อมกลับมาเมื่อไหร่ ถ้ายังไม่กลับมาอีก เขาจะต้านไม่อยู่จริงๆ แล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนกำลังจะลองโซฟากับเจียงมู่เฉินอยู่ เมื่อได้ยินเสียงมือถือดังขึ้น ซือเหยี่ยนก็มองข้ามมันไปเลย แต่เจียงมู่เฉินกลับฉวยโอกาสนี้เตะซือเหยี่ยนออกไป “ไปรับโทรศัพท์สิ”

 

 

            ซือเหยี่ยนจำใจทำได้แค่ทำหน้าน้อยใจไปหยิบมือถือขึ้นมากดรับสาย

 

 

           “ซือเหยี่ยน ในที่สุดนายก็รับสายได้สักที สองสามวันนี้นายไปไหนมา โทรหานายไม่ติดเลย” ไป๋จิ่งได้ยินเสียงซือเหยี่ยนในปลายสาย ก็โล่งใจทันที

 

 

 

 

ตอนที่ 221 การกระทำที่คุ้นเคย

 

 

           “สองสามวันก่อนไม่มีสัญญาณมือถือ”

 

 

           “นายจะกลับมาเมื่อไหร่ ฉันใกล้จะต้านไม่อยู่แล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงไป๋จิ่งไม่บอก แต่เขาก็รู้ว่าที่ไป๋จิ่งพูดถึงก็คือเรื่องของซูเตอร์

 

 

           “ฉันถึงถานโจวแล้ว” เจียงมู่เฉินอยู่ที่นี่ด้วย เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับซูเตอร์มากเกินไป

 

 

           “นายจะมาบริษัทเมื่อไหร่ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

 

 

           “อีกสักพักฉันจะเข้าไป นายรอฉันที่บริษัทก่อน”

 

 

           ซือเหยี่ยนพูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที เจียงมู่เฉินมองดูเขา “ไป๋จิ่ง?”

 

 

           “อืม เขามีธุระหาผม”

 

 

           “โอเค งั้นนายรีบไปบริษัทเถอะ ฉันจะได้นอนชดเชยพอดีด้วย” เขาก็ง่วงสุดๆ แล้วพอดี เมื่อเช้าตีสี่โดนเรียกปลุก จนถึงตอนนี้ง่วงจนตาจะลืมไม่ขึ้นแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วเดินเข้าห้องนอนไป หันหลังใส่พร้อมปัดมือทำท่าให้เขารีบออกไป

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเข้าห้องนอนไปแล้ว ถึงได้ออกจากคอนโดมิเนียม แล้วมุ่งหน้าพุ่งตรงไปยังบริษัท

 

 

           ไป๋จิ่งวางสายแล้วก็รอซือเหยี่ยนที่บริษัท หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไปในที่สุดเขาก็มาถึงสักที ไป๋จิ่งเข้าห้องทำงานไปพร้อมกับซือเหยี่ยน

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขา “มีเรื่องอะไร ด่วนขนาดนี้เชียวเหรอ”

 

 

           “ฉันยังมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ ซูเตอร์ไง สองสามวันนี้มาตามนายทุกวันเลย” ไป๋จิ่งนึกถึงตอนที่ซูเตอร์เป็นกระต่ายขาวตัวน้อยอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน แต่พออยู่ต่อหน้าเขากลับกลายเป็นเสือชีตาห์ที่กัดคนได้ตลอดเวลา เปลี่ยนกันเร็วเสียเหลือเกินนะ

 

 

           “นอกจากมาตามฉันแล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวอะไรอย่างอื่นไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิดสักพัก “เขามาถานโจวนานขนาดนี้ ฉันยังไม่เห็นเขาเคยติดต่อใครเลยจริงๆ ก็มีแค่ทุกวันต้องมาถามถึงร่องรอยของนาย นายว่าเขามาตั้งไกลขนาดนี้ก็เพียงเพื่อนายคนเดียวหรือเปล่า”

 

 

           “แผนการของเขาตอนนี้ยังไม่ต้องคาดเดา ในเมื่อคนก็มาถึงที่นี่ทั้งที ต้องไม่มาเสียเที่ยวอยู่แล้ว” ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว “ใช่แล้ว อเมริกาทางนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างเหรอ”

 

 

           “หลังจากที่นายออกไป ฉันก็รีบให้คนไปตรวจสอบที่อเมริกามา แต่แก๊งมังกรครามทุกอย่างยังปกติดี ไม่มีความผิดปกติใดๆ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกดหน้าลงพลางคิดทบทวน สองสามวันนี้เขาจงใจทำตัวเย็นชาใส่ซูเตอร์ เดิมคิดว่าเขาจะลงมือทำอะไร แต่ผ่านไปแล้วหลายวัน คาดไม่ถึงว่าซูเตอร์จะเงียบขนาดนี้ ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร จะมีแค่โทรมาหาสายหนึ่งทุกวันเหรอ

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรจะสงบเงียบขนาดนี้ถึงจะถูก ตามนิสัยของซูเตอร์แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ถึงตอนนี้แล้วจะความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ออกมา

 

 

           “เอาล่ะ เรื่องของซูเตอร์ส่งต่อให้ฉันแล้วกัน”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า “ได้ งั้นฉันไปจัดการธุระอย่างอื่นก่อนแล้วกัน นายไม่อยู่สองวันนี้ ฉันใกล้จะตายทั้งเป็นอยู่แล้ว”

 

 

           เขายุ่งจนแม้แต่เวลาจะไปหามั่วไป๋ก็หดสั้นลงแล้ว

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งออกไป ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าต่าง เขาก้มหน้ามองลงไปยังข้างล่างตึก สีหน้าเหนื่อยล้านิดหน่อย เงียบงันอยู่ไม่กี่นาที เขาถึงได้หยิบมือถือออกมากดโทรออก

 

 

           “ซูเตอร์ ผมซือเหยี่ยนนะ คืนนี้ผมจะไปหาคุณ”

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนทีหลับยาวจนถึงตอนพลบค่ำ ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมานิดหนึ่ง นอกหน้าต่างท้องฟ้ามืดลงบ้างแล้ว เขาเวียนหัวจึงหลับตาลงอีกสองวินาที ถึงค่อยๆ ลงจากเตียงอย่างเอื่อยเฉื่อย

 

 

           “ซือเหยี่ยน…”

 

 

           เจียงมู่เฉินออกมาจากห้องนอน เอ่ยเสียงต่ำร้องเรียก

 

 

           ผ่านไปตั้งนานก็ไม่มีใครตอบรับ เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว หรือว่าซือเหยี่ยนยังไม่กลับมา?

 

 

           เขาเดินเท้าเปล่าหยิบมือถือออกมาโทรหาซือเหยี่ยน อยากถามว่าคืนนี้เขาจะกลับมากินข้าวเย็นหรือเปล่า เพิ่งจะกดโทรออกไปไม่ทันไรก็โดนตัดสายทิ้ง เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว การกระทำนี่ดูคุ้นๆ นะ เกิดอะไรขึ้นกัน  

 

 

           ในหัวโพล่งออกมาสองคำ ‘ซูเตอร์’

 

 

           มือเจียงมู่เฉินที่ถือแก้วน้ำอยู่กำแน่นขึ้น อารมณ์พลุ่งพล่าน

ตอนที่ 218 เขาไม่เคยให้ผมต้องอุ้ม

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขา “นายหยิบผ้าห่มมาทำไม”

 

 

           เขากวาดสายตามองเสื้อเชิ้ตตัวบางๆ ของเจียงมู่เฉิน “ข้างบนลมพัดแรง ถือผ้าห่มมาจะได้ใช้ด้วย”

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาเข้าไปใกล้เชยคางของซือเหยี่ยนไว้ “แฟนฉันทำไมเอาใจใส่ดูแลกันขนาดนี้นะ”

 

 

           “รีบขึ้นไปข้างบนกันเถอะ ข้างหน้ายังมีทางขึ้นเขาต่อไปอีก ถ้าไม่รีบจะไม่ทันแล้ว”

 

 

           พวกเขาออกเดินทางกันมาเมื่อตอนตีสี่กว่าๆ ตอนนี้ยังต้องขับรถมาอีกกว่าครึ่งชั่วโมง เหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมง พระอาทิตย์ก็ใกล้จะขึ้นแล้ว

 

 

           ทั้งสองคนค่อยๆ เดินขึ้นไปตามทางบนภูเขาอย่างช้าๆ ช่วงแรกๆ เจียงมู่เฉินก็ยังไม่เป็นไร แต่พอผ่านไปช่วงหนึ่ง อาการข้างเคียงจากการที่เมื่อคืนโดนซือเหยี่ยนจับกดไปสองรอบกำเริบขึ้นมาทั้งหมด

 

 

           เอวและขาอ่อนกำลังไร้เรี่ยวแรง เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วฝืนอดทนค่อยๆ ก้าวเดินขึ้นไปอย่างช้าๆ

 

 

           “เฉินเฉิน” ซือเหยี่ยนเอ่ยเรียกเขา เจียงมู่เฉินเงยหน้าขึ้นมอง ซือเหยี่ยนส่งของในมือให้เขา “ถือไว้ ผมจะแบกคุณ”

 

 

           เมื่อคืนเขาก็พูดแล้ว ทางขึ้นเขาแบบนี้ มีหรือเขาจะตัดใจให้ซือเหยี่ยนแบกเขาได้ลงคอ เจียงมู่เฉินส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก “ไม่ต้อง ฉันขึ้นไปเองได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เอ่ยต่อเป็นคำที่สอง ก็ยัดของใส่มือของเจียงมู่เฉิน แล้วอุ้มเขาขึ้นมาทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน โดนเขาอุ้มท่าเจ้าหญิงอีกครั้งแล้ว?

 

 

           ‘เขาเป็นผู้ชายนะ เอะอะก็อุ้มท่าเจ้าหญิงหมายความว่าไง ดูเหมือนเขาไม่มีความองอาจแบบลูกผู้ชายเอาซะเลย’

 

 

           “เอาล่ะ คุณให้ผมอุ้มคุณแก้ขัดไปก่อนเถอะ จะไม่ทำร้ายมาดคุณชายน้อยของคุณหรอก”

 

 

           “นายไหวเหรอ อย่าโยนฉันทิ้งกลางทางล่ะ” พวกเขาเพิ่งมากันครึ่งทาง อย่าให้ถึงเวลานั้นแล้วซือเหยี่ยนอุ้มเขาไม่ไหวจนโยนเขาออกไปนะ

 

 

           “วางใจเถอะ ต่อให้ผมโยนตัวเองออกไปก็จะไม่โยนคุณออกไปหรอก” คนในส่วนลึกของหัวใจ มีหรือจะตัดใจโยนทิ้งได้ลงคอ

 

 

           “งั้นถ้านายเหนื่อยแล้วก็บอกฉันมา ฉันลงไปเดินเองได้” เจียงมู่เฉินเอ่ยกำชับอย่างไม่วางใจ

 

 

           “ได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนอุ้มเขาไว้ ค่อยๆ เดินขึ้นเขาไปอย่างช้าๆ ความเร็วช้ากว่าเดินนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก

 

 

           เจียงมู่เฉินอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของเขา เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เมื่อก่อนนายอุ้มคนอื่นบ่อยๆ เหรอ”

 

 

           ขณะซือเหยี่ยนเดินอยู่ ก็ต้องตอบคำถามของเจียงมู่เฉินไปด้วย “เปล่า คุณเป็นคนแรกที่ผมอุ้ม”

 

 

           “แล้วแฟนเก่าคนนั้นของนายล่ะ”

 

 

           “เขาไม่เคยให้ผมต้องอุ้ม” เจียงมู่เฉินในอดีตเย่อหยิ่งทะเยอทะยานมากกว่าในปัจจุบัน จะมาอยู่เงียบๆ นิ่งๆ ในอ้อมกอดเขาแบบนี้ได้ยังไงกัน

 

 

           มีเรื่องอะไรไม่ออกตัวก็ถือว่าดีมากแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ ถ้าสมัยนั้นเขาว่าง่ายไม่ดื้อขนาดนี้ ก็ไม่มีทางที่เขาจะแอบไปรับภารกิจหลับหลังเขาได้

 

 

           เขายังจำได้ว่าภารกิจในตอนนั้น เดิมทีเป็นของเขา แต่ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน จนเป็นฝ่ายไปอาสาเสนอตัวบอกว่าต้องการจะไปแฝงตัวเป็นสายลับ กว่าเขาจะรู้ตัวทุกอย่างก็กำหนดชี้ขาดมาเรียบร้อย

 

 

           หลังจากที่เขาทราบเรื่องก็รีบไปหาเจียงมู่เฉินถามว่าทำไมต้องแอบรับภารกิจนี้ลับหลังเขาด้วย เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยท่าทางลำพองใจ “คุณชายเป็นผู้ชายของนาย ช่วยนายรับภารกิจจะเป็นไรไป ชีวิตของตัวเองยังมีอะไรจำเป็นต้องแบ่งอีกเหรอ พวกเราสองคนใครไปก็ไม่เหมือนกัน”

 

 

           เขาไม่เชื่อว่าเจียงมู่เฉินจะแค่ถือโอกาสช่วยเขารับภารกิจนี้ ทั้งๆ ที่เจียงมู่เฉินรู้อยู่เต็มอกว่าระดับความยากของภารกิจนั้นสเกลใหญ่เกินไป มีโอกาสล้มเหลวสูงมาก ดังนั้นเจียงมู่เฉินถึงได้แอบขอรับภารกิจนี้ลับหลังเขาได้

 

 

           ไม่เพียงเท่านั้น เขายังรวมหัวกันกับผู้บังคับบัญชามาหลอกเขา ส่งเขาออกไปทำภารกิจอื่นที่ไม่หนักไม่เบา จนทุกอย่างถูกกำหนดชี้ขาด รู้ว่าเวลานั้นเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว ถึงได้มาบอกเรื่องนี้กับเขา

 

 

           ตอนนั้นเขาโมโหจนบ้าคลั่ง แต่เจียงมู่เฉินกลับมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “วางใจเถอะ คุณชายฉลาดขนาดนี้ แค่ภารกิจเดียวเอง รับรองว่าสำเร็จอย่างราบรื่นได้แน่นอน”

 

 

 

 

ตอนที่ 219 เจียงมู่เฉิน ผมรักคุณ

 

 

           ทุกๆ อย่างถูกเตรียมการเอาไว้อย่างดีทั้งหมดแล้ว กองตำรวจใช้กำลังกายกำลังสมองมากมายขนาดนั้น ถ้าในเวลาเช่นนี้เขาเอ่ยเสนอให้เปลี่ยนคน ทั้งหมดพูดไปก็เสียแรงเปล่า ยังอาจจะทำให้สายที่ปิดซ่อนไว้ทั้งหมดถูกตัดขาด

 

 

           เขาทำได้เพียงเบิกตาค้างทำอะไรไม่ถูก จำใจมองดูเจียงมู่เฉินเดินเข้าสู่ความอันตรายทีละก้าวทีละก้าว

 

 

           ซือเหยี่ยนยังจำวันสุดท้ายที่กองตำรวจได้ เจียงมู่เฉินใส่ชุดเครื่องแบบตำรวจยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองมาที่เขาพร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

 

 

           แสงแดดสาดส่องตกกระทบใบหน้างามละเอียดของเขาสะท้อนความรู้สึกอาวรณ์ใจบางอย่างออกมาอย่างคาดไม่ถึง เขายืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ เงาร่างเพรียวทอดยาวมา ภาพทั้งหมดค่อยๆ สลักลงฝังในสมองของซือเหยี่ยนทีละนิดทีละนิด

 

 

           ขอเพียงแค่ได้มองแวบเดียว หลังจากนี้เขาก็จะลืมอีกไม่ได้

 

 

           ตลอดชีวิตเขาไม่นึกไม่ฝัน ว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นเจียงมู่เฉินที่ยังมีชีวิตอยู่ในชุดเครื่องแบบตำรวจ

 

 

           ……

 

 

           เดินกันมาถึงยอดเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เจียงมู่เฉินกระโดดลงมาจากอ้อมอกของซือเหยี่ยน เวลานี้พระอาทิตย์ยังไม่แย้มหน้าออกมา แต่ดูท่าว่าอีกไม่นานก็จะขึ้นมารับอรุณได้แล้ว

 

 

           “ไป หาที่เหมาะๆ กัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินลากซือเหยี่ยนมาหาที่นั่งตรงมุมที่ไม่มีอะไรบดบัง ทั้งสองคนนั่งลง กระแสลมบนยอดเขายามเช้าทั้งแรงทั้งหนาว ลมพัดกระพือเสื้อเชิ้ตตัวบางๆ ของเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินหนาวจนอดจะเอามือมาถูกันไม่ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนเอาผ้าห่มมาคลุมพันรอบตัวเจียงมู่เฉิน เขาเอียงหน้าไปกลับเห็นซือเหยี่ยนเองก็ใส่เสื้อเชิ้ตนั่งอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉินรีบเอาผ้าห่มบนตัวมาคลุมห่มให้ทั้งสองคนอยู่ข้างในด้วยกัน

 

 

           “คุณชายเป็นผู้ชายของนาย จะให้นายรับความหนาวได้เหรอ”

 

 

           เขากอดเอวซือเหยี่ยนไว้ ทั้งสองคนสร้างความอบอุ่นให้กันและกันอยู่บนยอดเขา

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ผมนี่โชคดีจริงๆ ได้มาเจอคุณ แฟนที่ดีขนาดนี้”

 

 

           เจียงมู่เฉินกะพริบตาด้วยความภาคภูมิใจ “ก็ไม่ขนาดนั้น นายเองก็ดีมากเหมือนกัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเขาก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ เขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้มาเจอเจียงมู่เฉิน

 

 

           รออีกยี่สิบนาที พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากหมู่มวลก้อนเมฆ แสงแดดอบอุ่นเปล่งประกาย สว่างอร่ามตา ค่อยๆ สาดสะท้อนแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกผืนดิน

 

 

           แสงแห่งรุ่งอรุณกระทบรับใบหน้าผิวขาวผ่องของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนพินิจมองใบหน้ามุมข้างของคนข้างกาย แล้วยกมุมปากขึ้น เขากดเสียงต่ำเอื้อนเอ่ย “เจียงมู่เฉิน”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้เสียงซือเหยี่ยนก็เอียงหน้าไปมอง ชั่วพริบตาเดียวที่หันกลับมาหากลับโดนเขาประกบปากจูบแทน เจียงมู่เฉินยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็เบิกตากว้าง เขามองซือเหยี่ยนที่กำลังมอบจูบให้เขาอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง กะพริบตาปริบๆ ด้วยความตกตะลึง

 

 

           ซือเหยี่ยนมองท่าทีตอบสนองของคนตรงหน้าอย่างขำๆ เขาเอามือปิดตาอีกคนไว้ “คุณมองผมแบบนี้ ผมจะจูบต่อไม่ได้นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยถามพลางหายใจหอบด้วยเล็กน้อย “ซือเหยี่ยน จู่ๆ นายมาจูบฉันทำไม ทำเอาฉันตกอกตกใจหมดเลย”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเขายามแนบชิดกาย โน้มตัวเข้าไปจูบอีกครั้ง ซือเหยี่ยนค่อยๆ งับริมฝีปากเจียงมู่เฉินทีละนิดโดยใช้วิธีที่อ่อนโยนที่สุด

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็แนบชิดริมฝีปากของเขา เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบ “เจียงมู่เฉิน ผมรักคุณ”

 

 

           ขณะเดียวกันนั้น พระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นพ้นหมู่มวลก้อนเมฆมาอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า แสงตะวันส่องสว่างไปทั่วผืนป่าบนเขา ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นแสนพิเศษ

 

 

           เจียงมู่เฉินเก็บคำพูดนี้ของซือเหยี่ยนฟังไว้ในหู ดวงตาที่ปิดสนิทขยับเล็กน้อยแฝงรอยยิ้มในแววตา

 

 

           ถึงแม้ว่าเอ่ยขึ้นมาแล้วจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่ว่าได้ยินซือเหยี่ยนพูดแบบนี้ ในใจก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           เขายิ้มพลางส่งมือไปกอดซือเหยี่ยนไว้ ออกแรงตอบรับเขา

 

 

           ผ่านไปนานพอสมควร คนสองคนถึงได้หยุดสบตากันและกัน มีแต่รอยยิ้มปรากฏในแววตา เจียงมู่เฉินเงยหน้าหลับตาลง ให้แสงแดดอุ่นกระทบลงใบหน้าของเขา

 

 

           แพรขนตายาวสั่นไหวในอากาศ เผยอารมณ์ความตื่นเต้นที่เขามีออกมาเล็กน้อย     

ตอนที่ 216 คุณชายจะเจี๋ยนนายทิ้งซะ 

 

 

           เขาใช้ชีวิตมาตั้งหลายปีกว่าจะมาตกหลุมรักซือเหยี่ยน ความรักความรู้สึกครั้งนี้ เขาจะพยายามรักษามันเอาไว้ให้ได้ 

 

 

           ทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างทะเลสาบ ต่างอิงแอบคลอเคลียกันไปมา ท่ามกลางความมืดมิดมือทั้งสองสอดประสานกันอย่างแนบสนิท การกระทำทุกอย่างราวกับจะบอกอีกฝ่ายถึงความตั้งใจอันหนักแน่นว่าอยากจะเดินไปด้วยกันชั่วนิรันดร์ 

 

 

           เวลาผ่านไปนานระยะหนึ่ง เจียงมู่เฉินถึงได้ยืนขึ้น 

 

 

           “ไปเถอะคุณแฟน กลับไปนอนได้แล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเลียนแบบท่าทางเมื่อครู่นี้ ส่งมือไปทางเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น เล่นใหญ่ทีกลับไม่ลืมจะยื่นมือมา 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูมือที่เขาส่งมา ก่อนจะเกี่ยวพันจับแขนไว้แน่น เจียงมู่เฉินออกแรงดึงขึ้นมา ทั้งสองคนเดินควงแขนกันมุ่งหน้ากลับไป 

 

 

           ในโรงแรมเดิมทีก็ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่อยู่แล้ว นอกจากพวกเขาไม่กี่คนก็ไม่มีใครคนอื่น ตอนที่เจียงมู่เฉินพวกเขากลับมา ซังจิ่งก็ไม่อยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมแล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่เห็นเขาก็ไม่ได้ถามหา เจ้าตัวพาซือเหยี่ยนเข้าห้องไปทันที 

 

 

           ทั้งสองคนอาบน้ำเสร็จถึงเพิ่งได้เอนตัวลงนอนบนเตียงมองดูดวงดาวนับพันนับหมื่นอยู่นอกหน้าต่าง ที่นี่ไม่มีอินเทอร์เน็ต นอกจากคุยกันก็ทำได้แค่นอนหลับ 

 

 

           ทั้งสองคนหลับกันมาทั้งบ่ายแล้ว พอมานอนกันแต่หัวค่ำแบบนี้ก็ทำให้นอนไม่ค่อยจะหลับเท่าไหร่ นับดวงดาวมาตั้งนานสองนาน เจียงมู่เฉินก็ยังไม่รู้สึกง่วงนอน เจียงมู่เฉินเอาแต่พลิกมาคว่ำไปไม่หยุด 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาเหมือนกับแพนเค้กที่พลิกไปพลิกมาทั้งสองด้าน เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พลางเบรกอีกฝ่ายเอาไว้ “ถ้าคุณนอนไม่หลับจริงๆ พวกเราหาอะไรทำกันหน่อยไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม อะไรที่ออกมาจากปากของซือเหยี่ยน เห็นแล้วก็รู้ได้ในทันใดว่าต้องไม่มีเรื่องอะไรดีๆ 

 

 

           “ไม่เอา ฉันขอปฏิเสธ พรุ่งนี้เช้าต้องไปขึ้นเขา คือว่านาย ถ้าพรุ่งนี้ถึงเวลาแล้วฉันกล้ามเนื้อขาอ่อนแรงขึ้นมา นายจะแบกฉันขึ้นไปเหรอ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนพลิกตัวขึ้นมาคร่อมทับเขาไว้ “ผมแบกคุณเอง ไม่ต้องให้คุณเดิน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดของเขานัก “ทางเรียบก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ในเขานายยังจะแบกฉันได้ ถึงตอนนั้นพวกเราจะเสียหลักล้มกันหมดพอดี” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยักคิ้ว “คุณลืมไปแล้วเหรอว่าครั้งก่อนที่คุณโดนลักพาตัววิ่งหนีเข้าในเขาไป ใครอุ้มคุณออกมา วันนั้นผมทั้งอุ้มทั้งแบกพาคุณออกมานะ” 

 

 

           เหมือนจะมีเหตุผลก็เหตุผลนี้ไม่ผิด แต่ว่าก็รู้สึกตลอดว่ามันตหงิดๆ ดูชอบกล 

 

 

           “ต้องการให้ผมช่วยคุณออกกำลังกายสักหน่อยมั้ย หลังจากนั้นพอคุณเหนื่อยแล้วก็ค่อยนอนพักกัน” ซือเหยี่ยนเริ่มกัดเข้าที่ใบหูเขา พร้อมเอ่ยเสียงต่ำยั่วยวนล่อใจ 

 

 

           เสียงกดต่ำของซือเหยี่ยนดังวนเวียนอยู่ที่ข้างหูเขาไม่หยุด ช่างดึงดูดคนเหลือเกิน เจียงมู่เฉินโดนเขาทำแบบนี้ ใจก็เต้นตึกตักบ้างแล้ว 

 

 

           ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ ‘ทำ’ กับซือเหยี่ยนมานานแล้ว จะ ‘ทำ’ กันสักหน่อยก็ไม่น่าจะมีอะไร 

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เจียงมู่เฉินก็พยักหน้ารับคำยอมตกลงทันที “โอเค แต่ให้แค่ครั้งเดียวนะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นว่าในที่สุดเขาก็รับคำยอมตกลงได้เสียที พอเจียงมู่เฉินพยักหน้า ซือเหยี่ยนก็ลงมือวาดลวดลายทันที แต่จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ รีบฉุดมือเขาไว้ “เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่ง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำลง มองดูเขา 

 

 

           “ห้องนี้กันเสียงไม่ดีจริงๆ นายทำเบาๆ หน่อยนะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเงียบไปพักหนึ่ง วินาทีต่อมาก็สอดแขนช้อนร่างของเขาอุ้มขึ้นมาพาเข้าห้องน้ำไป “อยู่ข้างในนี้ ข้างนอกไม่ได้ยินแล้วใช่ไหม” 

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินให้เขาปิดประตูสนิทแล้ว ถึงได้เห็นด้วย 

 

 

           ออกกำลังกายกันอยู่ข้างใน ทั้งร่างเจียงมู่เฉินเต็มไปด้วยเหงื่อ ซือเหยี่ยนอุ้มเขาไปอาบน้ำล้างตัว สุดท้ายอาบไปอาบมา ก็จัดกันไปอีกรอบ 

 

 

           เจียงมู่เฉินกัดฟันกรอด ที่แท้เจ้าหมอนี่ให้แค่ครั้งเดียว ไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว 

 

 

           เมื่อซือเหยี่ยนจะจับกดเขาอีกครั้ง เจียงมู่เฉินก็ระเบิดลงจริงๆ แล้ว เขายกขาที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นถีบใส่อีกฝ่ายไปทีหนึ่ง “นายแม่งถ้ากล้ามาอีก คุณชายจะเจี๋ยนนายทิ้งซะ” 

 

 

           โดนขู่ฟ่อขนาดนี้ ซือเหยี่ยนก็ว่าง่ายโดยพลัน รีบอาบน้ำล้างตัวเช็ดตัวคนให้แห้ง แล้วอุ้มออกมาบรรจงวางลงบนเตียง ตั้งใจปรนนิบัติดูแล 

 

 

           พวกเขาไม่ได้ ‘ทำ’ กันมาระยะหนึ่งแล้ว ยังมาจัดกันไปสองรอบในห้องน้ำอีก เขารับไม่ค่อยจะไหวแล้วจริงๆ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นอนฟุบอยู่บนเตียง ไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนเลย 

 

 

               

 

 

ตอนที่ 217 ออกเดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้น 

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดที่กินเขาจนคุ้มทุน ทำหน้าทำตาน่าเอ็นดูเสนอตัวช่วยนวดให้เจียงมู่เฉิน 

 

 

           เขานวดให้ขนาดนี้แล้ว ผ่านไปพักหนึ่ง เจียงมู่เฉินก็รู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่หดเกร็งไปทั้งตัวค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างช้า 

 

 

           ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ซือเหยี่ยนถึงได้หยุดลง ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เจียงมู่เฉินด้วยความระมัดระวัง แล้วจับเขาพลิกตัวมานอนหงายดีๆ 

 

 

           ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ซือเหยี่ยนถึงได้เอนตัวลงนอนข้างกายเจียงมู่เฉิน 

 

 

           ท่ามกลางความมืดมิดซือเหยี่ยนมองหาแสงไฟรางๆ จากข้างนอกที่ฉายสะท้อนเข้ามากระทบใบหน้ายามหลับใหลของเจียงมู่เฉิน พินิจมองอยู่อย่างนั้น เขารู้สึกชอบใจอย่างบอกไม่ถูก จนทนไม่ไหวเข้าไปใกล้แล้วมอบจุมพิตก่อนนอนให้คนตรงหน้า 

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะคิดถึงว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ซือเหยี่ยนเกรงว่าตัวเองในตอนนี้จะทำให้อีกคนตื่นแล้วจัดกันอีกสักรอบ 

 

 

           ในห้องที่เงียบสงบ เพียงครู่เดียวคนสองคนก็เข้าสู่นิทรา 

 

 

           …… 

 

 

           เช้าวันต่อมาเวลาตีสี่ ซือเหยี่ยนตื่นมาแล้ว ขณะเดียวกันเจียงมู่เฉินก็ยังคงนอนหลับปุ๋ยอยู่ เขาดูเวลาแล้ว ลังเลอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจเรียกปลุกเจียงมู่เฉิน 

 

 

           “เฉินเฉิน ตื่นได้แล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงเบาๆ เรียกปลุกเจียงมู่เฉิน เขาขยับพลิกตัวนอนต่อ 

 

 

           เขาถอนหายใจเงียบๆ ว่าแล้วเชียวเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหมอนี่จะตื่นได้ตามเวลาจริงๆ เขายื่นมือไปบีบจมูกเจียงมู่เฉินไว้ เป็นอย่างคิดไม่กี่วินาทีเจียงมู่เฉินก็ขมวดคิ้วในทันใด 

 

 

           ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสที่เจียงมู่เฉินยังไม่ตื่นดี รีบคลายมือออก “เฉินเฉิน รีบตื่นเร็วเข้า” 

 

 

            เวลานี้เจียงมู่เฉินถึงได้ยกเปลือกตาหนักๆ ขึ้นมาด้วยความยากลำบาก “จะทำอะไร ฟ้ายังไม่สว่างเลย นายมาเรียกฉันทำไม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาขำๆ “ไม่ใช่ว่าวันนี้จะออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันหรอกเหรอ ถ้าไม่อยากไป คุณก็นอนต่อเลย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำพูดว่าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ทันทีหลังจากนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าวันนี้รับปากซือเหยี่ยนเอาไว้ว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน 

 

 

           ฉวยโอกาสที่ตัวเองยังมีสติอยู่ นั่งตัวตรงขึ้นมาในพริบตา “ไปๆๆ ต้องไปสิ เมื่อคืนคุณชายพูดแล้ว รับรองว่าวันนี้ตื่นเช้าได้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินลงจากเตียงด้วยท่าทางโคลงเคลง พุ่งตัวเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน แบบนี้ถึงได้ตาสว่างตื่นตัวมากขึ้น 

 

 

           ทั้งสองคนสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องไป 

 

 

           ในโรงแรมไม่มีใครสักคน มืดมิดไม่มีแสงไฟ ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินเดินตามหลังกันไป เมื่อออกจากประตูใหญ่ทางเข้าโรงแรม ก็ไปนั่งในรถของซือเหยี่ยนทันที 

 

 

           ก่อนซือเหยี่ยนจะขับรถออกตัวไป เขาหยิบของกินเล็กๆ น้อยๆ ให้เจียงมู่เฉิน ทั้งยังหยิบผ้าห่มให้อีกด้วย แล้วถึงได้สตาร์ทรถขับออกไป 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอาผ้าห่มมาพันตัวไว้ แล้วเอนพิงพนักที่นั่งข้างคนขับอย่างรวดเร็วเสร็จสรรพ เขากินขนมปังไปด้วย ป้อนซือเหยี่ยนไปด้วย 

 

 

           หลังจากที่ผ่านถนนราบเรียบข้างหน้าแล้ว เจียงมู่เฉินก็หยุดป้อนอาหาร ข้างหน้าเป็นทางขึ้นเขาทั้งหมด เขายังไม่อยากฝังศพกับซือเหยี่ยนด้วยกันที่นี่ 

 

 

           “ซือเหยี่ยน เมื่อก่อนนายเคยขับรถขึ้นภูเขาแบบนี้ไหม” เจียงมู่เฉินชักจะอยากรู้ขึ้นมา 

 

 

           “เปล่า ครั้งแรก” 

 

 

           “อ้าวเฮ้ย ครั้งแรกนายยังกล้าบอกฉันว่าจะขับรถขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอีกเหรอ ฉันใช้ชีวิตของฉันอยู่ดีๆ ยังไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่” 

 

 

           ซือเหยี่ยนขับรถอย่างเอาจริงเอาจัง “คุณเชื่อผมสักหน่อยไม่ได้เหรอ ผมมีใบอนุญาตขับขี่รถแข่ง แค่ทางขึ้นเขาจะกลัวอะไร” 

 

 

           “นายยังมีใบอนุญาตขับขี่รถแข่งด้วยเหรอ เจ๋งขนาดนี้เชียว” พอเจียงมู่เฉินได้ยินก็อิจฉาขึ้นมาทันใด “ครั้งหน้าเมื่อไหร่นายจะพาฉันไปแข่งรถไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง “ได้ รอคราวหน้า ผมจะพาคุณไปแข่งรถ” 

 

 

           พูดถึงเรื่องใบอนุญาตขับขี่รถแข่งขึ้นมา ในสมัยนั้นตอนที่อยู่โรงเรียนฝึกตำรวจ เขากับเจียงมู่เฉินเจียดเวลาว่างไปเรียนอบรมสอบขอใบอนุญาตขับขี่รถแข่งมา ใบขับขี่นี้ของเจียงมู่เฉินยังถูกเก็บรักษาอยู่ที่เขาตลอด 

 

 

           ท่ามกลางภูเขาที่มืดสนิทมีเพียงรถของซือเหยี่ยนที่ขับเคลื่อนไปตามถนนบนเขา จนกระทั่งรถมาจอดพักที่จุดชมวิว ทั้งสองคนถึงได้ลงจากรถมา ก่อนที่ซือเหยี่ยนจะลงจากรถก็หยิบเอาของกินและผ้าห่มที่เจียงมู่เฉินห่มเมื่อครู่นี้เอาลงไปด้วย 

ตอนที่ 214 มาตรการพื้นฐานของศัตรูหัวใจ 

 

 

           “งั้นตอนนี้…คุณชายเจียงให้ผมจูบคุณดีๆ สักหน่อยจะได้หรือเปล่า” 

 

 

           ตั้งแต่เขาเริ่มตามหาเจียงมู่เฉิน จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้จูบเขาดีๆ เลย กว่าจะง้อเจ้าตัวได้ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องรีบตักตวงรางวัลปลอบใจให้ได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดนัยน์ตาดอกท้อพราวเสน่ห์ของตัวเองขึ้น “อยากจูบฉัน?” 

 

 

           “อืม ให้จูบหรือเปล่า” 

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ว่า…” เขาพูดจบก็เข้าไปจูบซือเหยี่ยน “ต้องให้ฉันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน” 

 

 

           ทั้งสองคนอยู่ในเขารกร้างเปล่าเปลี่ยวผู้คน ซือเหยี่ยนกักช่วงเอวของเจียงมู่เฉินไว้แน่น มอบจุมพิตสวาทอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เจียงมู่เฉินพลิกมือมากุมมือซือเหยี่ยนไว้ ทั้งยังเลียนแบบการกระทำของซือเหยี่ยนเช่นกัน ใช้มือกักช่วงเอวของเขาไว้ 

 

 

           เขาพลิกเบี้ยล่างให้กลายเป็นเบี้ยบน เป็นฝ่ายกดจูบซือเหยี่ยนเอง ปกติเขายอมให้ซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายรุก เพียงแค่ใจมันอ่อนใจมันยอมให้ทั้งใจก็เท่านั้นเอง 

 

 

           ทุกครั้งที่พูดว่าอยากเป็นรุกบ้าง ก็ไม่พ้นหาเรื่องสนุกให้อีกฝ่ายแทน ถ้ามีวันหนึ่งที่เขาอยากจะกดซือเหยี่ยนบ้าง ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ 

 

 

           ถึงเขาจะต่อยตีไม่สู้ซือเหยี่ยน แต่ถ้าแข็งขืนขึ้นมาจริงๆ จังๆ ซือเหยี่ยนเองก็ไม่แน่ว่าจะหาข้อดีได้ 

 

 

           เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขายอมให้ซือเหยี่ยนทำผิดโดยไม่ห้ามปราม ไม่ขัดขวางถึงขนาดว่าไม่ว่าเขาจะทำเรื่องอะไร ขอเพียงแค่อยู่ในหลักการที่ยึดถือไว้ เขาก็สนองความต้องการได้ทั้งนั้น 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธไม่ลง เมื่อถอยออกมาก็ยังไม่ลืมที่จะใช้ฟันกัดซือเหยี่ยนไปหนักๆ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเจ็บที่มุมปาก เขายกยิ้มมุมปากขึ้น พลางหัวเราะ “คุณกัดผมตรงนี้ ถ้าบวมขึ้นมา จะไม่ทำให้คนอื่นรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างของพวกเราสองคนเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายยังกลัวจะคนอื่นจับได้อยู่เหรอ ฉันเห็นว่านายอยากให้คนจับได้จนตัวสั่นมากกว่ามั้ง เมื่อกี้บนโต๊ะอาหารจงใจพูดว่าฉันใช้แรงงานมือเกินขนาด ไม่ใช่ว่าจะประกาศศักดาครองอำนาจสิทธิ์ขาด บอกซังจิ่งว่าพวกเราเพิ่งจะทำเรื่องอะไรกันมาหรือไง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ “ผมไม่รู้สึกว่าแบบนั้นผมผิดนะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “อืม นายไม่ผิด ปฏิบัติกับศัตรู การกระทำต้องตรงจุดและชัดเจนตลอด นี่เป็นหลักการพื้นฐานของนักธุรกิจไม่ใช่เหรอ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะ “ปฏิบัติกับซังจิ่งไม่ได้ใช้หลักการทั่วไปของนักธุรกิจหรอก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “แล้วคือ?” 

 

 

           “มาตรการพื้นฐานของศัตรูหัวใจ” ซือเหยี่ยนเอ่ยหน้าซื่อตาใส “แฟนผมใกล้จะโดนอุ้มหนีไปแล้ว ถ้าผมไม่ประกาศศักดาครองอำนาจสิทธิ์ขาด จะรอให้เขาอุ้มคุณหนีแล้วมาเลิกกับผมหรือไง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม “ใครกันจะโดนเขาอุ้มไป ฉันโดนอุ้มง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ผมอุ้มขึ้นมายังง่ายเหมือนปอกกล้วยอยู่” 

 

 

           “…” อยากตีคน อยากฆ่าปิดปาก ทำไงดี ด่วนมาก กรุณารอสักครู่… 

 

 

           …… 

 

 

           “นายออกมาขนาดนี้ ไม่กลัวว่าซูเตอร์จะรู้ แล้วจะไม่เป็นผลดีกับฉันเหรอ” เจียงมู่เฉินหาที่นั่งพิงข้างๆ ทะเลสาบ ก่อนเอ่ยถามอย่างเอื่อยเฉื่อย 

 

 

           “นายออกจากบ้านมา ผมจะมีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้ได้ที่ไหนล่ะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ทำไมฉันรู้สึกว่านายจัดการทุกอย่างก่อนแล้วถึงค่อยมา” 

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ “ก็แค่จัดการไปตามสมควร รับประกันว่าตอนนี้ซูเตอร์จะมาสร้างความวุ่นวายให้ผมไม่ได้แน่นอน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้า “ฉันว่าฉันพบแล้ว ว่าบางทีคนอย่างนายนี่ใจเย็นสุขุมเกินขั้นจริงๆ” ก่อนจะมาหาเขา ยังไม่ลืมจะจัดการทางหนีทีไล่ทั้งหมดไว้ให้ดี ความคิดละเอียดรอบคอบเกินไปไหม 

 

 

           ซือเหยี่ยนแอบอิงข้างกายเจียงมู่เฉิน “มีบางทีก็ไม่ใจเย็น” 

 

 

           “เมื่อไหร่” เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขายังแปลกใจอยู่จริงๆ ว่าอะไรที่ทำให้ซือเหยี่ยนไม่ใจเย็นได้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงหัวมองเจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ “ความลับ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรอคำตอบอย่างจริงจังอยู่นานสองนาน สุดท้ายคำตอบที่ได้ก็มีแค่คำว่า ‘ความลับ’ นี่คือต้องการจะทำให้เขาอกแตกตายแล้วจะยึดสมบัติตระกูลเขาใช่ไหม  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 215 ถ้าหากว่าพวกเราเลิกกันล่ะ 

 

 

           ซือเหยี่ยนคว้าตัวเจียงมู่เฉินที่ใกล้จะระเบิดลงมาไว้ในอ้อมกอด “อย่าพูดเลย พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองตามทางที่เขาชี้ไป พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนตกดินทีละนิดตามที่ซือเหยี่ยนบอก ค่อยๆ สลายหายไปท่ามกลางท้องฟ้า แสงอาทิตย์ส่องผ่านกลุ่มเมฆเปล่งรัศมีเรืองรองทอประกาย 

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจเบาๆ “คิดไม่ถึงว่าจะได้มาดูพระอาทิตย์ตกดินครั้งแรกที่นี่กับนาย” ถึงจะทำลวกๆ เกินไปหน่อย แต่นี่ก็ยังถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเขาที่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่รู้ว่านึกถึงอะไรได้ขึ้นมา เขาสอดมือประสานกันกับมือของเจียงมู่เฉินอย่างแนบแน่น “อยากจะดูพระอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกกับผมไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ที่นี่เหรอ” 

 

 

           “พวกเราไปยอดเขากัน ดูพระอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกกันจริงๆ จังๆ” 

 

 

           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็คิดถึงสมัยที่อยู่อเมริกาด้วยกัน ก่อนที่เจียงมู่เฉินจะออกปฏิบัติภารกิจสุดท้าย เขากอดซือเหยี่ยนแน่น แล้วพูดลงที่ข้างหู “ซือเหยี่ยน ถ้าคุณชายมีชีวิตกลับมาได้ คุณชายรับประกันว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกับนาย” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกะพริบตา แต่น่าเสียดาย ภารกิจแฝงตัวเป็นสายลับครั้งนั้นล้มเหลว 

 

 

พระอาทิตย์ขึ้นที่เขากับเจียงมู่เฉินนัดจะไปดูกันก็ไปดูไม่ได้แล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างกายเขาอารมณ์ดูไม่ค่อยจะปกติอย่างบอกไม่ถูก “ได้ ฉันจะไปกับนาย” 

 

 

           ความขมขื่นเจ็บช้ำปรากฏรอบๆ ดวงตาของซือเหยี่ยน เขาหลับตาลงเล็กน้อย ปิดบังขอบตาที่เริ่มจะแดงก่ำไว้ เขายกมุมปากขึ้น แกล้งทำท่าทางสบายๆ “ผมได้ยินคุณรับปากแล้ว พรุ่งนี้ห้ามเปลี่ยนใจนะ” 

 

 

           “วางใจเถอะ พรุ่งนี้คุณชายรับรองว่าจะลุกไหว” 

 

 

           เรื่องที่รับปากแล้ว เขาไม่มีทางจะเปลี่ยนใจอยู่แล้ว 

 

 

           เพียงไม่นานท้องฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว ซือเหยี่ยนลุกขึ้นส่งมือให้เจียงมู่เฉิน “ไปกันเถอะ ควรจะกลับกันได้แล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองมือของเขา แล้วยิ้มหัวเราะ ก่อนจะส่งมือไปจับมือเขาไว้ ซือเหยี่ยนกำลังจะเตรียมออกแรงดึงเจียงมู่เฉินขึ้นมา เขาก็โดนเจียงมู่เฉินดึงฉุดลงไป ทั้งตัวค้ำยันอยู่บนร่างเจียงมู่เฉินไว้ 

 

 

           “อะไรกัน ไม่อยากกลับไปเหรอ” 

 

 

           “ตอนนี้ข้างๆ ไม่มีคน ยังเป็นสถานที่ดีๆ ที่มืดไม่มีไฟอีก จะกลับไปทั้งแบบนี้ ไม่รู้สึกเสียดายหน่อยเหรอ” 

 

 

           ท่ามกลางความมืดสลัว ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “อะไรกัน คุณยังอยากทำอย่างอื่นอีกเหรอ” 

 

 

           “เก็บความคิดเลอะเทอะในหัวสมองนายเข้าไปเลย ฉันก็แค่อยากจะคุยต่ออีกสักพักแค่นั้นเอง กลับจากที่นี่ไป จะหาความสงบแบบนี้ได้ที่ไหนกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ ถือโอกาสนั่งลงข้างกายเขา “ถ้าคุณชอบ วันหลังพวกเรามาอยู่ที่นี่ก็ได้นะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ที่จริงฉันมีที่ที่ดีกว่านี้อีก” 

 

 

           “ที่ไหน” 

 

 

           “คฤหาสน์หลังนั้นตอนที่อยู่อเมริกากัน ฉันชอบที่นั่นมากกว่า” อีกอย่างที่นั่นยังเป็นที่ที่เขากับซือเหยี่ยนตกลงเป็นแฟนกัน อย่างไรก็มีความหมายเป็นที่จดจำอยู่ไม่เบา 

 

 

           “คุณอยากไป เมื่อไหร่ผมก็ไปกับคุณได้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง “ตอนนี้นายก็พูดได้น่าฟัง พอวันหลังนายยุ่งขนาดนั้นจะมีเวลามาอยู่กับฉันได้ที่ไหนกัน” 

 

 

           “ไม่ว่าเวลาไหน ขอเพียงแต่คุณอยากไป ผมก็ไปกับคุณได้ทั้งนั้น” 

 

 

           สำหรับเขาแล้ว ซือกรุ๊ปไม่ใช่ปัญหาอะไร หลายปีมานี้เขาขยายบริษัทใหญ่โตออกไปตั้งเท่าตัว ต่อจากนี้ถ้าเจียงมู่เฉินชอบอยากจะทำอย่างอื่น เขาก็ไปกับเจียงมู่เฉินได้เกือบหมด เรื่องบริษัทอย่างมากก็แค่ให้ไป๋จิ่งควบคุมดูแล 

 

 

           ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าที่เขาพูดเป็นความจริงหรือเท็จ แต่เจียงมู่เฉินก็ยังประทับใจอยู่เล็กๆ บ้างในเวลานี้ 

 

 

           เขาเอนหัวซบไหล่ของซือเหยี่ยน “นายว่าถ้าในอนาคตพวกเราเกิดเลิกกันขึ้นมา จะทำยังไง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนแข็งทื่อไปทั้งตัว “ผมไม่อยากเลิกกับคุณ” 

 

 

           “ฉันเองก็ไม่อยาก” เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะ “ถ้าหากว่ามีสักวันล่ะ” 

 

 

           “โลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืนจีรังและแน่นอนไม่ใช่เหรอ เรื่องบางเรื่อง ใครก็ไม่มีทางจะรับประกันได้” เจียงมู่เฉินดึงมือซือเหยี่ยนมากุมไว้แน่น “แต่ว่านายวางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นยังไง ฉันจะพยายามทุ่มเทล็อกนายไว้อยู่ข้างกายฉัน” 

 

 

           “งั้นคุณต้องล็อกผมไว้ตลอดชีวิตเลยนะ” 

 

 

           นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ของเจียงมู่เฉินเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิด ราวกับได้อธิษฐานความปรารถนาในใจอย่างไม่หวั่นไหวแน่วแน่ที่สุด 

ตอนที่ 212 แตกหักกับซือเหยี่ยนได้ไหม 

 

 

           “ผมจะกล้าที่ไหนกัน คุณเจียงอยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นอยู่แล้ว นี่ผมเป็นห่วงสุขภาพของคุณชายเจียงไม่ใช่เหรอ ถ้าหากไม่ได้กินข้าว แล้วหิวจนตาลายขึ้นมาจะทำยังไง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแล้วหน้าผากกระตุกแล้วกระตุกอีก ทำไมตอนนี้นิยมเดินทางสายเลี่ยนๆ กันเหรอ 

 

 

           คำพูดของซังจิ่งไม่กี่ประโยคนี้อีกนิดจะทำให้เขาเลี่ยนจนตายแล้ว 

 

 

           “โอเค กินข้าวกันเถอะ” เจียงมู่เฉินหยิบตะเกียบเตรียมจะลงมือกินข้าว เขาหิวแล้วจริงๆ ตั้งแต่ตอนเที่ยงกลับมาจนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย 

 

 

           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็หยิบตะเกียบจากมือเขาไป มาวางที่มือของเขาเอง 

 

 

           เจียงมู่เฉินงุนงงอยู่ในที ทำไมไม่ปรนนิบัติเขาดีๆ แม้แต่กินข้าวก็ไม่ให้กินแล้ว? 

 

 

           ซือเหยี่ยนคีบอาหารให้เขาด้วยท่าทีอ่อนโยน ทุกอย่างเป็นอาหารที่เขาชอบวางใส่ในชามของเจียงมู่เฉิน หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ ซือเหยี่ยนถึงได้คืนตะเกียบให้เขา “เมื่อกี้คุณบอกว่าเมื่อยมือจนยกไม่ขึ้นไม่ใช่เหรอ อยากกินอะไรก็บอกผมได้ ผมทำให้” 

 

 

           ‘…บัด! ซบ! บัด! ซบ!’ 

 

 

           ‘ตลบหลังกันสินะ’ ทีตอนนี้รู้ว่าเขาเหนื่อยจนปวดมือ ทีตอนนั้นให้เขาทำอะไรแบบนั้นลงไป ทำไมไม่เห็นจะเห็นใจเขาสักนิด 

 

 

           ทุกครั้งที่เขาถามว่าหยุดได้หรือยัง เจ้าหมอนั่นก็เอาแต่พูดว่า ‘ทำต่อ’ สองคำนี้ตอบกลับเขามา 

 

 

           ตอนนี้จะกินข้าวถึงมานึกได้เหรอว่าเขาปวดมือ 

 

 

           ‘จงใจ เจ้าหมอนี่ต้องจงใจแน่นอน’ อยู่ต่อหน้าซังจิ่งมาพูดว่าเขาเมื่อยมือจนยกไม่ขึ้น ขอเพียงแต่เป็นผู้ใหญ่ที่ไอคิวปกติ แวบแรกก็ดูออกแล้วว่าพวกเขาทำอะไรกันมา 

 

 

           ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซังจิ่งผู้เจนโลกคนนี้อีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าวันนี้ไม่มีทางจะผ่านไปได้แล้ว ถ้าคนอื่นรู้ว่าเขาเป็นคนที่ช่วยซือเหยี่ยนทำอะไรแบบนั้นลงไป เขาจะเสียหน้าแค่ไหน 

 

 

           ซือเหยี่ยนมีหรือจะเหลียวแลคำพูดพวกนั้นที่วาบขึ้นมาในหัวของเจียงมู่เฉิน เขาพูดจบก็มองซังจิ่งด้วยรอยยิ้มเบาๆ ประกาศศักดาผ่านแววตาคู่นี้ 

 

 

           รอยยิ้มบนใบหน้าซังจิ่งไม่เปลี่ยน แต่มือที่จับตะเกียบไว้กลับกำแน่นขึ้นเล็กน้อย 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ขออภัย เพราะมีเรื่องส่วนตัวเลยทำให้ประธานซังรอนานขนาดนี้ ยังต้องขออภัยด้วยจริงๆ” 

 

 

           ซังจิ่งยิ้มเยาะ ขออภัย? 

 

 

           เขาฟังคำขออภัยจากซือเหยี่ยนไม่ออกถึงสักครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ กลับรู้สึกว่า ซือเหยี่ยนประกาศศักดาครองอำนาจสิทธิ์ขาดต่อหน้าเขาอย่างหน้าชื่นตาบานมาก 

 

 

           “รอๆ ไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คิดไม่ถึงว่าประธานซือจะรีบเร่งกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ไม่เจอหน้าเฉินเฉินมาตั้งหลายวัน จะนานเท่าไหร่ก็คิดถึง ประธานซังโดดเดี่ยวอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ต้องเข้าใจยากเป็นธรรมดา” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเริ่มจะปวดหัวนิดหน่อยแล้ว สองคนนี้เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องจิกกัดกัน เขามองดูอาหารที่อยู่เต็มบนโต๊ะ แล้วตัดสินใจจะไม่สนใจพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาทำตามสบายดีกว่า เขาไม่ยุ่งด้วยแล้ว 

 

 

           เขาคนเดียวผ่อนคลายสบายใจ 

 

 

           เจียงมู่เฉินกินข้าวไปด้วย พลางมองดูสงครามน้ำลายของพวกเขาทั้งสองคนไปด้วย ในใจก็คิดว่าทั้งสองคนนี้จะต่อปากต่อคำกันถึงเมื่อไหร่ถึงจะหยุดได้สักที 

 

 

           “คุณชายเจียงรักอิสระ ถ้าผมเป็นประธานซือจะไม่ตามติดขนาดนี้” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ เขาก้มหน้ามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง “คนนอกมักจะคิดว่าเฉินเฉินรักสนุก ความเป็นจริงแล้วเขาไม่ค่อยเหมือนกับข่าวลือที่ได้ยินมาเท่าไหร่” 

 

 

           ‘คนนอก’ สองคำนี้ฟังแล้วซังจิ่งไม่ค่อยปลื้มใจนัก ไม่ช้าก็เร็วสักวันเขาจะลบคำว่า ‘คนนอก’ นี้ทิ้งเสีย ถึงตอนนั้นจะทำให้ซือเหยี่ยนจดจำคำพูดในวันนี้ให้ดี 

 

 

           ซังจิ่งคีบซี่โครงไปวางใส่ชามของเจียงมู่เฉิน “ได้ยินว่าคุณชอบกิน ผมตั้งใจให้ครัวเตรียมให้คุณเป็นพิเศษ ลองชิมดูว่าเป็นยังไงบ้าง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเจียงมู่เฉินด้วยท่าทีเย็นชา “เฉินเฉิน คุณชอบกินซี่โครงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่ยักรู้เลย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกเย็นสันหลังวาบ ข้างหน้ามีซังจิ่ง ข้างหลังมีซือเหยี่ยน วันนี้หมดทางจะผ่านไปแล้ว 

 

 

           เขาหัวเราะอย่างเลิ่กลั่ก “ขอบใจประธานซังนะ เพียงแต่ว่าวันนี้ฉันปวดฟันนิดหน่อย เลยจะไม่กินแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินแบบนี้ถึงได้เริ่มกินข้าวอย่างพอใจ ยังคีบเนื้อปลาให้เขาอีก “ปวดฟันก็กินของแข็งให้น้อยลงหน่อย” 

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”  เขาแตกหักกับซือเหยี่ยนได้ไหม 

 

 

            

 

 

           ตอนที่ 213 งั้นคุณก็ฆ่าผมเลย 

 

 

           กว่าจะกินข้าวเย็นมื้อนี้เสร็จไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ท้องฟ้ายังไม่ถือว่าค่ำมากนัก ข้างนอกยังสว่างโร่ เจียงมู่เฉินกินจนอิ่มแล้วก็เตรียมจะออกไปเดินย่อยรอบๆ แถวนี้ 

 

 

           เขาเดินตามทางไปทะเลสาบแห่งนั้นที่ซังจิ่งชี้บอกเขาเมื่อตอนเช้า เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ซือเหยี่ยนก็เดินตามเข้ามา เจียงมู่เฉินหันกลับมามองเขา “นายตามมาทำไม” 

 

 

           “จุกนิดหน่อย เลยมาเดินเล่น” 

 

 

           “ในภูเขานี้มีถนนตั้งหลายเส้นขนาดนั้น นายไม่ไปเดิน มาเดินใกล้ฉันทำไม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินเอ้อระเหยลอยชายตามเขาอยู่ด้านหลัง มองเขาก่อนเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำ “แฟนผมอยู่ที่นี่ ผมไม่อยู่ที่นี่ คุณจะให้ผมไปไหน” 

 

 

           “ฉันเห็นนายคุยอยู่กับซังจิ่งดูเพลิดเพลินเจริญใจกันอยู่ไม่ใช่เหรอ พอดีจะได้เข้าไปคุยกันต่อสักหน่อยเลย” เจียงมู่เฉินแอบเอ่ยเหน็บแนม 

 

 

           “ผมอยากจะคุยเพลิดเพลินกับคุณมากกว่า” 

 

 

           ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เจียงมู่เฉินเดินอย่างช้าๆ คิดไม่ถึงว่าในภูเขาแห่งนี้จะรู้สึกถึงความเงียบสงบที่ไม่ได้พบมานาน เป็นความรู้สึกที่พูดไม่ถูกจริงๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่พูดจา ซือเหยี่ยนเดินเข้าไปอยู่ข้างกายเขา 

 

 

           “นายว่าที่ซูเตอร์กลับมาครั้งนี้ เขามาตามจีบนายหรือเปล่า” จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็เอ่ยปากขึ้น 

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ทำไมพูดแบบนี้” 

 

 

           “คนเขาอยู่ตั้งอเมริกา ห่างไกลตั้งกี่หมื่นลี้กว่าจะมาถานโจวได้ ถ้าไม่คิดแบบนี้ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว” 

 

 

           “ดังนั้น คุณกลัวว่าผมจะตั้งรับการรุกจีบของเขาไม่อยู่เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินหางตากระตุก “ฉันถูกเอาไปเปรียบเทียบง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง ความมั่นใจนี้คุณชายก็ยังมีอยู่นะ” 

 

 

           ในใจเขานอกจากแฟนเก่าคนนั้นของซือเหยี่ยนที่เป็นหนามยอกอกแล้ว คนอื่นเขาไม่เคยวางไว้ในสายตา 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางหยิ่งผยองของเขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น เขาดึงมือเจียงมู่เฉินมากุมไว้ “วางใจเถอะ ผมเป็นของคุณ ใครก็แย่งชิงไปไม่ได้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคำพูดของนายความน่าเชื่อถือต่ำจัง” 

 

 

           ก่อนหน้านี้ยังพูดว่าลืมแฟนเก่าไม่ได้อยู่เลย ตอนนี้ยังบอกกับเขาว่าเป็นของตัวเองอีก ถ้าหากว่าแฟนเก่าคนนั้นกลับมาแย่งชิงกับเขา ใครจะรู้ว่าซือเหยี่ยนจะเลือกแบบไหน 

 

 

           ถึงอย่างไรคนคนนั้นก็คบกับเขามานานขนาดนี้ ถ้าหากรู้สึกเบื่อหันไปตบก้นเรียก ก็หนีตามแฟนเก่าไปแล้ว 

 

 

           พูดถึงแฟนเก่า เจียงมู่เฉินก็อดจะหรี่ตาลงไม่ได้ รอจัดการซูเตอร์ก่อน ค่อยไปจัดการแฟนเก่าคนนั้นของซือเหยี่ยน 

 

 

           ถึงอย่างไรตอนนี้ซือเหยี่ยนก็เป็นคนของเขา ยกเว้นเขาเจียงมู่เฉินไม่ต้องการแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นใครก็แย่งไปไม่ได้ 

 

 

           เขาพลิกมือมาคว้าคอเสื้อซือเหยี่ยนไว้ “ฉันจะบอกนายให้นะ ฉันไม่เคยจะเป็นคนดีอะไร ยกเว้นฉันจะเบื่อไม่ต้องการนายแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นนายก็ทำได้แค่ทำตัวดีๆ อยู่ข้างกายฉัน” 

 

 

           การใช้อำนาจข่มขู่ปรากฏในแววตา ยังมีอีกหรือท่าทางอะไรก็ได้เมื่อครู่นี้ เขาเจียงมู่เฉิน เขาเจียงมู่เฉินอยากได้อะไรก็ต้องได้ ในเมื่อเป็นของเขาแล้ว ก็ไม่มีทางจะปล่อยมือไปง่ายๆ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเอาเรื่องอย่างเอาเป็นเอาตายของเขา ก็ยิ้มหัวเราะเบาๆ “งั้นคุณก็คงจะต้องดูผมดีๆ แล้ว” 

 

 

           “นายไม่กลัวว่าฉันทำจะเรื่องอะไรไม่ดีออกมาเหรอ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหัว “ไม่เป็นไร ถึงยังไงผมเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร พวกเราสองคนก็ไม่ใช่คนดีทั้งคู่ เข้ากันได้พอดี ทำลายกันและกันก็พอแล้ว ไม่ต้องทำลายคนอื่น” 

 

 

           “ถ้าหากว่าสักวันฉันอยากจะไปทำลายคนอื่นล่ะ” ถึงอย่างไรคนที่ชอบเขาก็มีไม่ใช่น้อยๆ เลย 

 

 

           “งั้นผมก็จะขังคุณเอาไว้ ให้ผมเห็นคุณได้คนเดียวเท่านั้น” 

 

 

           “แล้วถ้านายอยากจะไปทำลายคนอื่นบ้างล่ะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยอย่างจริงจัง “งั้นคุณก็ฆ่าผมเลย” 

 

 

           นัยน์ตาเอาจริงเอาจังของเขาทำเอาเจียงมู่เฉินตกใจจนขวัญกระเจิงแล้ว เขารู้ว่าที่ซือเหยี่ยนพูดเป็นความจริง ถ้ามีสักวันเขาอยากจะฆ่าซือเหยี่ยน เกรงว่าซือเหยี่ยนจะไม่กะพริบตาเลย แล้วปล่อยให้เขาลงมือ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเข้าไปจูบเขา “ฉันคิดๆ แล้ว ไม่ค่อยจะทำใจได้ลงเท่าไหร่ แต่ถ้ามีวันนั้นจริงๆ ฉันก็จะไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ หรอก” 

ตอนที่ 210 ไม่อยากได้หน้า อยากได้คุณ 

 

 

           เจียงมู่เฉินตกใจจนฉี่จะราดแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงจู่ๆ ก็มาถอดเสื้อผ้าเขาเลย จะหมายความว่าอะไรได้บ้างล่ะ 

 

 

           “เดี๋ยวก่อนสิ ยังพูดไม่จบเลย นายจะลงไม้ลงมืออะไรกัน” เจียงมู่เฉินรีบดึงเสื้อผ้าตัวเองเอาไว้แน่น 

 

 

           ยังพูดคุยกันไม่จบก็คิดจะป๊าบๆ เขาเลย? บนโลกจะมีเรื่องที่ไหนดีขนาดนี้อีก 

 

 

           ซือเหยี่ยนทำได้เพียงพูดคุยกับเฉินเฉินของเขาต่ออย่างจนใจ  มือเขายังคงวางไว้บนหน้าอกของเจียงมู่เฉิน คลอเคลียอย่างตามใจ “งั้นคุณว่ามา” 

 

 

           “ฉันว่านายคิดแผนอะไรกับฉันอีกใช่ไหม” เจียงมู่เฉินถามคำถามที่เพิ่งถามไปเมื่อครู่นี้ซ้ำอีกรอบ 

 

 

           ซือเหยี่ยนตอบกลับอย่างไม่ลังเล “เปล่า” 

 

 

           “เปล่าจริงเหรอ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนถูกเขาถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำได้เพียงหยุดการกระทำในมือลง แล้วมองเขาอย่างจริงจัง “อยากปล้ำคุณถือว่าเป็นแผนหรือเปล่า อยากจูบคุณถือว่าเป็นแผนหรือเปล่า” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาถามกลับตรงๆ ขนาดนี้ ทำเอาใบหน้าเล็กได้รูปแดงระเรื่อ เขาเอามือไปตีซือเหยี่ยนเบาๆ ไปที “นายเก็บอาการนิดนึงหน่อยจะได้ไหม นายไม่ไว้หน้าตัวเอง แต่ฉันยังต้องการไว้นะ” 

 

 

           ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนจ้องมองเขา “ตอนนี้อะไรที่อธิบายก็อธิบายไปหมดแล้ว ให้ผมถอดได้หรือยัง” 

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…” 

 

 

           ‘ประธานซือจะขอมีสัมพันธ์ทีพูดได้เต็มปากเต็มคำขนาดนี้เลยเหรอ’ 

 

 

           “ฉันรู้สึกว่านายไม่ค่อยอยากจะเก็บหน้าตัวเองไว้เท่าไหร่เลยนะ” เจียงมู่เฉินมองหน้าเขาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ 

 

 

           “อืม ไม่อยากได้หน้า อยากได้คุณ” 

 

 

           “…” โดนโจมตีด้วยคำหวานอีกจนได้ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองต้านทานไม่ค่อยจะไหวแล้ว 

 

 

           “จะให้ถอดหรือไม่ถอด” ซือเหยี่ยนใช้ฟับงับเขาไปที “หืม?” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าเมื่อตกอยู่ในสภาพที่โดนความหน้าไม่อายของซือเหยี่ยนโจมตี เส้นตายของตัวเองก็ค่อยๆ มลายหายไปแล้ว โดยเฉพาะดวงตาคมเข้มสีนิลที่มองเขาอย่างซื่อๆจนน่าเหลือเชื่อ 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่า ถ้ามาอีกประโยคหนึ่ง ตัวเองจะต้านทานไม่ไหว อยากจะรับปากยอมตกลงแล้ว 

 

 

           “คุณชายเจียง…ยังนอนอยู่ไหม” เสียงเคาะประตูดังขึ้นมากะทันหัน เสียงของซังจิ่งดังเข้ามาจากข้างนอก 

 

 

           เจียงมู่เฉินตาลุกวาว รีบดันมือซือเหยี่ยนไว้ “รีบลุกสิ มีคนเคาะประตูแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกดหน้าต่ำลง แรงกดดันหนักขึ้นเพียงเสี้ยวเวลา “ไม่สน” เขาพูดจบก็ส่งมือไปถอดเสื้อผ้าของเจียงมู่เฉิน 

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบดึงเสื้อผ้าตัวเองไว้ แต่ครั้งนี้ซือเหยี่ยนตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าต้องการจะป๊าบๆ กับเขา ดึงไปก็ดึงไว้ไม่อยู่ฃ 

 

 

           เสียงเคาะประตูข้างนอกยังคงดังต่อไป ซังจิ่งยังอยู่ข้างนอกเรียกเขาออกมากินข้าวเย็น 

 

 

           เจียงมู่เฉินชักจะสับสนลุกลี้ลุกลนแล้ว นี่ถ้า ‘ทำ’ กับซือเหยี่ยนแล้ว ก็ออกไปไม่ได้สิ ข้างนอกยังมือซังจิ่งอยู่ด้วย เขาปวดหัวทีเดียว 

 

 

           เขารีบสกัดกั้นมือซือเหยี่ยนไว้ “ที่นี่กันเสียงไม่ดี”  

 

 

           ซือเหยี่ยนยักคิ้ว “ผมไม่ถือ” จะได้ให้ซังจิ่งได้ยินว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันพอดี จะได้ให้เขารู้ถึงความยากลำบากแล้วถอนตัวไปด้วย 

 

 

           เจียงมู่เฉินเป็นของเขาได้เพียงคนเดียว ส่วนซังจิ่งถูกลิขิตไว้แล้วให้เป็นได้แค่ตัวรับกระสุนเท่านั้น 

 

 

           “นายไม่ถือ แต่ฉันถือนะ” เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ “ฉันไม่ต้องการไว้หน้าตัวเองหรือไง” 

 

 

           ถ้าคนอื่นมาได้ยินการเคลื่อนไหวในห้องของพวกเขา ไม่ใช่ว่าจะรู้ทันทีได้เลยหรือไงว่าตลอดทั้งบ่ายปิดประตูทำอะไรกันอยู่ข้างใน 

 

 

           เขาเสียหน้าไม่ได้ อีกอย่างซังจิ่งเจ้าหมอนั่นก็ยังอยู่นอกประตู 

 

 

           “งั้นพวกเราไปห้องน้ำ” ซือเหยี่ยนเอ่ยอีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทีเขาว่าไม่มีทางที่จะเจรจากันได้ ความคิดๆ หนึ่งก็วาบเข้ามาในหัว “ไม่งั้นให้ฉันใช้มือช่วยนายไหม” 

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำในมือลง เขาก้มลงมองเจียงมู่เฉินที่ขอบตาแดงก่ำ แล้วพยักหน้าอย่างชื่นใจ “ได้ คุณพูดเองนะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเขาดูชื่นใจอะไรขนาดนั้น ก็รู้สึกว่าต้องมีตรงไหนผิดปกติ แต่ยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองกลับไป เขาก็โดนซือเหยี่ยนอุ้มเข้าห้องน้ำไปแล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยนที่ยืนจังก้าอยู่ต่อหน้า เล่นเอาปวดหัวทีเดียว เป็นครั้งแรกของเขาที่มาทำเรื่องอะไรแบบนี้ เขาไม่ประสีประสา ทำไม่ค่อยจะเป็นเท่าไหร่เลย 

 

 

           อยากจะรีบให้ซือเหยี่ยนปล่อยตัวเองออกจากห้องไป ผลสุดท้ายสิ่งที่ตัวเองเอ่ยเสนอไปกลับมาฝังกลบตัวเองจนได้ 

 

 

           เขามองซือเหยี่ยนเงียบๆ จนหัวชักจะเริ่มชาๆ บ้างแล้ว 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 211 ขุดหลุมฝังกลบตัวเองอีกแล้ว 

 

 

           ‘ลงมือทำหรือไม่ลงมือทำ ถอดหรือไม่ถอด เป็นปัญหาที่จริงจังเสียจริง…’ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร และก็ไม่ได้เร่งรัดอีกฝ่าย ปล่อยให้เขายืนอยู่ต่อหน้าตัวเองคิดทบทวนอยู่เงียบๆ ถึงอย่างไรเขาก็มีเวลาให้เจียงมู่เฉินค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปได้ 

 

 

           รออีกหลายนาที เจียงมู่เฉินถึงได้กัดฟันกรอด ก็แค่เรื่องใช้มือทำไม่ใช่หรือไง จะทำให้คุณชายน้อยเจียงลำบากได้เหรอ 

 

 

           เจียงมู่เฉินส่งมือไปปลดเข็มขัดให้ซือเหยี่ยน ขณะแก้อยู่ เหงื่อก็ไหลออกท่วมหัว มือน้อยๆ ที่ประหม่าของเขากำลังสั่นระริก 

 

 

           กว่าจะปลดเข็มขัดออกมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะโดนถอดออกไปชั้นหนึ่งแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะหน้าหนาพอ ไม่ใส่เสื้อผ้าล่อนจ้อนอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยนได้ไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือเขาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน ช่วยซือเหยี่ยนถอดเสื้อผ้า มันไม่ใช่ความหมายนี้แล้ว 

 

 

           ความน่าละอายเกินจะบรรยายได้หมายความว่าไงกัน เจียงมู่เฉินแอบขบกราม รู้สึกว่าตัวเองไม่คืบหน้าไปไหนเลย 

 

 

           พอหลับตาก็ดึงกางเกงซือเหยี่ยนลงมา เอาล่ะ ในที่สุดก็เข้าเรื่องได้สักที 

 

 

           “เริ่มกันเถอะ คุณชายน้อยเจียงของผม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม หัวชักจะเริ่มชาๆ บ้างแล้ว 

 

 

           ‘เริ่มกันเถอะ…สามคำนี้พูดง่าย แต่ทำยาก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะลงมือยังไงดี’ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางแบบนั้นของเขาก็ถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดว่าถ้าตัวเองไม่ลงมือสักที เกรงว่าผ่านไปคืนนี้ก็ยังหากินไม่ได้สักที 

 

 

           เขาส่งมือไปจับมือเจียงมู่เฉินดึงลงเข้าหาตัวเองไปตรงๆ 

 

 

           ใบหน้าเรียวเล็กของเจียงมู่เฉินแดงจัด ทันใดก็คิดอยากจะชักมือออก แต่กลับโดนซือเหยี่ยนกดทับไว้จนอยู่หมัด ไม่เหลือที่ให้เขาเผ่นแนบไปไหนเด็ดขาด 

 

 

           เขายกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีสุขุม “เฉินเฉิน ขยับเองสิ” 

 

 

           …… 

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ เป็นวันหนึ่งที่เขาขุดหลุมฝังกลบตัวเองอีกแล้ว ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเหนื่อยขนาดนี้ สู้นอนแผ่หลาให้ซือเหยี่ยนมาปล้ำยังจะดีกว่า 

 

 

           แบบนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขายังได้เสพสุขไปด้วย 

 

 

           ตอนนี้เป็นไงล่ะ เหลือแค่เหนื่อยอย่างเดียว มีหรือจะได้เสพสุขด้วย 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองมาอย่างน่าสงสารอยู่บนเตียงไม่อยากขยับไปไหน ซือเหยี่ยนจัดเสื้อผ้าเรียบร้อยเดินออกมาด้วยสีหน้าสบายอารมณ์ 

 

 

           “เฉินเฉิน ยังไม่ออกไปเหรอ ข้างนอกยังมีคนรอคุณกินข้าวอยู่นะ” เขาเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี 

 

 

           อีกนิดเจียงมู่เฉินจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว ตอนนี้รู้จักว่ามีคนรอกินข้าวอยู่เหรอ เมื่อกี้ไม่เห็นจะนึกถึงเรื่องนี้เลยสักนิด 

 

 

           เขาขบกรามแน่นยื่นมือไปทางซือเหยี่ยน 

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น เข้าไปดึงเขา สุดท้ายเจียงมู่เฉินฉวยโอกาสกัดเข้าที่คอไปคำหนึ่ง 

 

 

           “ซี๊ด…คุณเป็นหมาหรือไง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันเป็นของนาย” 

 

 

           ได้กัดคอเขาระบายอารมณ์ เจียงมู่เฉินก็สบายใจได้สักที เขาลงจากเตียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเปิดประตูออกไป 

 

 

           ซังจิ่งรออยู่ข้างนอกมานานสองนานแล้ว เห็นเจียงมู่เฉินเดินออกมาจากข้างในก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ “ผมคิดว่าพวกคุณจะไม่กินข้าวเย็นกันแล้วซะอีก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดประชดของเขา นั่งลงตรงข้ามไป๋จิ่งทันที ซือเหยี่ยนก็ตามเข้ามานั่งลงข้างเจียงมู่เฉินด้วยตัวเอง 

 

 

           ซังจิ่งกวาดสายตามองพวกเขาสองคนสลับกันไปมา เขายกมุมปากขึ้น “ทั้งบ่ายนี้พวกคุณสองคนทำอะไรกันในห้องเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “ทำไมนายนี้มันเผือกได้ขนาดนี้ นอนชดเชยไม่ได้เหรอ หรือว่าเวลาฉันนอนก็ต้องรายงานนายด้วย” 

 

 

           ซังจิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย หัวร้อนขนาดนี้ ดูท่าว่ายังไม่ได้ระบายความร้อนออกมาล่ะสิ แต่ว่าสองคนนี้ดูเหมือนจะไม่คิดจะร่วมเตียงกันเท่าไหร่ 

 

 

           ซังจิ่งความกลัดกลุ้มในใจคลายลงเล็กน้อย 

 

 

           ไม่รู้ว่าทำไมถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนมีความสัมพันธ์กันแบบนั้น แต่พอคิดเห็นภาพตอนที่สองคนนี้อยู่ด้วยกันใกล้ชิดสนิทสนมกัน ก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเกินจะเอ่ยได้ 

ตอนที่ 208 ลมหึงหึ่ง

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นแววตาของเขา จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวที่คอขึ้นมานิดหน่อย รู้สึกมาตลอดว่าในแววตาของซือเหยี่ยนไม่มีเรื่องอะไรดีแน่ เขาคงจะไม่คิดบัญชีเรื่องที่ตัวเองโดนซังจิ่งกอดหรอกใช่ไหม

 

 

เจียงมู่เฉินปวดหัวจนกุมขมับ พวกเขาคุยกันมาจนถึงตอนนี้แล้ว ยังคิดว่าซือเหยี่ยนจะลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้วซะอีก

 

 

“คือว่า…ระหว่างพวกเราก็พูดกันจบแล้วไม่ใช่เหรอ ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก”

 

 

ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “ช่วงนี้มู่เฉินอารมณ์ไม่ดี ออกมาแก้เซ็งเป็นเพื่อนเขา?” เขาก้มหน้ามองคนใต้ร่าง “คุณอยากจะอธิบายให้ผมฟังสักหน่อยไหม อะไรคือออกมาแก้เซ็งเป็นเพื่อนคุณ”

 

 

พอคิดถึงว่าทั้งสองวันนี้เจียงมู่เฉินอยู่ด้วยกันกับซังจิ่งตลอด ซือเหยี่ยนก็รู้สึกว่าในใจลมหึงใกล้จะหึ่งเต็มทนแล้ว

 

 

“คือ…คือ…ว่าเขาเข้าใจผิดเอง ฉันไม่ได้พูดขนาดนี้ซะหน่อย”

 

 

“อ๋อ เข้าใจผิดเองสินะ” ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “คุณอย่าผมนะว่าพวกคุณสองอยู่ในภูเขาด้วยกันก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดด้วย”

 

 

เจียงมู่เฉินขยับมือ “คือว่า นายถอยห่างจากฉันนิดนึงก่อน มือฉันโดนนายกดไว้จนชาแล้ว”

 

 

ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วมองดูเขา “ยังชาไหม”

 

 

เจียงมู่เฉินกลัวขึ้นมาทันที “ไม่ชา ไม่ชา ไม่ชาเลยสักนิด สบายฟินสุดๆ เลย”

 

 

“งั้นคุณอยากจะอธิบายกับผมหน่อยไหม ว่าพวกคุณสองคนมาอยู่ในภูเขานี้ด้วยกันได้ยังไง”

 

 

“พวกเรามาที่นี่ก็เพราะเรื่องงาน ไม่ใช่เพราะเรื่องส่วนตัว” เจียงมู่เฉินมองเขาก็หัวเราะ “แหะแหะ” ออกมาสองเสียง

 

 

“เรื่องงาน? ระหว่างพวกคุณสองคนจะมีเรื่องงานอะไรได้”

 

 

เจียงมู่เฉินเคืองใจแล้ว “อะไรเรียกว่าระหว่างฉันกับเขาจะมีเรื่องงานอะไรได้ เขาเป็นเจ้าของบริษัท ฉันเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัท จะร่วมทำธุรกิจด้วยกันบ้าง ไม่ได้เหรอ”

 

 

“ได้ งั้นขอถาม พวกคุณเตรียมวางแผนจะทำธุรกิจอะไร”

 

 

“เรื่องนี้บอกนายได้หรือไง นี่คือความลับทางธุรกิจของพวกเรา บอกนายแล้ว ถ้าหากว่านายอยากขโมยธุรกิจของพวกเราขึ้นมาจะทำยังไง” เจียงมู่เฉินกรอกตาไปมาอย่างรู้ทัน

 

 

‘เยี่ยม! เยี่ยมจริงๆ! ตอนนี้ยังรู้จักคุยเรื่องความลับทางธุรกิจด้วยเหรอ’

 

 

‘เก่งขนาดนี้ ทำไมไม่ขึ้นไปสวรรค์กันเลยล่ะ!’

 

 

เขาโน้มตัวก้มลงประกบปากที่ยังคงร้องประท้วงของเจียงมู่เฉิน จูบปิดช่องทางอย่างหนักหน่วง ในที่สุดเขาก็พบว่าเจียงมู่เฉินตอนพูดจาดูดึงดูดใจไม่เท่ากับเจียงมู่เฉินตอนไม่พูดจาแล้วนอนอยู่ใต้ร่างเขาแบบเทียบไม่ติดเลยทีเดียว

 

 

เจียงมู่เฉินตั้งตัวรับไม่ทัน โดนเขาจูบกันไว้ทุกทาง แขนขาออกแรงไม่ไหว ทำได้เพียงยอมให้เขากดจูบตัวเองอยู่แบบนี้

 

 

‘มามุขนี้ทุกครั้งไป พูดไม่ชนะเขาก็ใช้ปากจูบเขา’

 

 

‘มีวิธีที่ดีกว่านี้หน่อยได้หรือเปล่า หาวีธีอื่นๆ บ้าง อย่าเอะอะก็คร่อมทับจับกด ยิ่งทำยิ่งเหนื่อยนะ’

 

 

ซือเหยี่ยนกัดเขาแรงๆ คำหนึ่งถึงได้ถอยห่างออกมาเพียงนิด “แล้วพวกคุณคุยธุรกิจกันถึงขนาดกอดกันด้วยเหรอ”

 

 

เบื้องบนรู้เห็นเป็นใจ เมื่อครู่นั่งในรถก็เห็นพวกเขาทั้งสองคนกอดกันกะทันหันพอดี ซือเหยี่ยนหน้าดำคร่ำเครียดไปขนาดไหน แม้แต่อุณหภูมิในรถก็ลงฮวบลงในพริบตา

 

 

เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมจริงๆ เขายังไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ก็แค่เสียหลักทรงตัวไม่อยู่ก้าวพลาดไป แล้วซังจิ่งก็ดึงตัวเขาไว้ทันพอดี ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นด้วย

 

 

“อะไรคือเรียกว่าพวกเรากอดกัน ที่เขาทำคือเรียกว่ากล้าทำในสิ่งที่ชอบธรรม เห็นฉันจะล้มเสียหลัก ก็ยื่นมือมาดึงฉันไว้”

 

 

ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “กล้าทำในสิ่งที่ชอบธรรม? ตามที่คุณพูดมาขนาดนี้ ถ้าครั้งหน้าคนอื่นโดนวางยา ผมก็จะกล้าทำในสิ่งที่ชอบธรรมช่วยเขาแก้คลายฤทธิ์ของยาเลย?”

 

 

เจียงมู่เฉินได้ยินก็ระเบิดลงทันที “แม่งเอ๊ย ถ้านายกล้าไปป๊าบๆ กับคนอื่นนะ คุณชายอย่างฉันจะทำลายนายทิ้งซะ”

 

 

ซือเหยี่ยนเบือนหน้าไม่สนใจเขา

 

 

เจียงมู่เฉินกัดเขาไปคำหนึ่ง “นายได้ยินไหม”

 

 

ซือเหยี่ยนยังไม่พูดจาต่อไป

 

 

เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว “นี่ ฉันพูดกับนายอยู่นะ นายได้ยินไหม”

 

 

ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “กล้าทำในสิ่งที่ชอบธรรม คุณพูดของคุณเองไม่ใช่เหรอ นี่ผมก็ทำตามความคิดของคุณไง”

 

 

 

 

ตอนที่ 209 นายข่มขู่ฉัน

 

 

เจียงมู่เฉินโดนเขาอัดด้วยคำพูดจนตัวเองพูดไม่ออก เจ้าหมอนี่พูดจาได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาเลือดขึ้นหน้าแล้ว ก่อนจะเอ่ยตอบ “ได้ ครั้งนี้ถือว่าฉันผิดเอง ฉันไม่ดีเอง ที่ปล่อยให้ซังจิ่งฉวยโอกาสได้”

 

 

ซือเหยี่ยนจ้องมองเขา “ยังมีอีกไหม”

 

 

เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง “ฉันก็ยอมรับในความผิดฉันไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่จบสักที”

 

 

“คุณคิดว่าแค่พูดไปเรื่อยมาประโยคเดียวก็ได้แล้วเหรอ”

 

 

เจียงมู่เฉินชูนิ้วกลางในใจเงียบๆ ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาก่อน ง้อเขาให้ได้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน

 

 

เขาเข้าไปใกล้แล้วจูบซือเหยี่ยนไปทีหนึ่ง “ฉันรับประกันว่าหลังจากนี้จะไม่เกิดปัญหาแบบนี้อีก ถ้าปัญหาแบบนี้ปรากฏขึ้นมาอีก ก็ตามแต่คุณซือเหยี่ยนจะจัดการเลย ฉันรับรองจะไม่ขัดขืนต่อต้านใดใดทั้งสิ้น…เป็นไงบ้าง ฉันยอมรับในความผิดครั้งนี้ได้ลึกซึ้งมากเลยใช่ไหม”

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเอาอกเอาใจของเขา ก็ยกมุมปากขึ้นอย่างจนใจ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยจะโกรธอีกฝ่ายลงคอได้อยู่แล้ว

 

 

เขากัดคนตรงหน้าอีกสักที “เห็นแก่ที่คุณยอมรับผิดอย่างลึกซึ้งเมื่อกี้นี้ ครั้งนี้ผมก็จะไม่สอบสวนต่อแล้ว”

 

 

เจียงมู่เฉินตาลุกวาว “ดีเลย ดีเลย ไม่สอบสวนแล้ว”

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางดีอกดีใจของเขา แววตาก็ประกายความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาแวบหนึ่ง “แต่ว่าเพื่อให้คุณเป็นบทเรียน การลงโทษที่ควรพึ่งมีก็ยังต้องมีอยู่”

 

 

เจียงมู่เฉินงงเป็นไก่ตาแตก บ้าอะไรกัน ทำไมจู่ๆ อยากจะลงโทษเขา การซื้อขายครั้งนี้ไม่คุ้มค่าเกินไปหรือเปล่า ขอโทษก็แล้ว รับผิดก็รับแล้ว ตอนนี้ยังจะลงโทษเขาอีกเหรอ

 

 

“นายยังคิดจะลงโทษฉันเหรอ การซื้อขายครั้งนี้ขาดทุน คุณชายไม่ทำด้วยแล้ว” เจียงมู่เฉินรีบผลักเขาออก รีบสาวเท้าคิดจะวิ่งออกไป

 

 

“เสียใจทีหลังก็ได้” ซือเหยี่ยนนั่งนิ่งๆ พิงอยู่ตรงนั้น “งั้นที่ผมพูดไปเมื่อกี้เก็บกลับคืนทั้งหมด”

 

 

เจียงมู่เฉินชะงักฝีเท้าไป หยุดชะงักหัวแทบทิ่ม

 

 

“นายข่มขู่ฉันเหรอ”

 

 

ซือเหยี่ยนยักคิ้ว “อืม กำลังข่มขู่คุณอยู่ไง”

 

 

เจียงมู่เฉินระเบิดลง “ว้าว ดีนี่ซือเหยี่ยน คิดไม่ถึงว่าข่มขู่ฉันกันหน้าด้านๆ ขนาดนี้”

 

 

“ดังนั้นคุณจะรับการข่มขู่นี้ไหม”

 

 

เจียงมู่เฉินเลือดขึ้นหน้าแล้ว เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ถ้าไม่รับ แล้วซือเหยี่ยนออกไปหาคนอื่นขึ้นมา จะทำยังไง แต่ถ้ารับการข่มขู่นี้ เขาก็ต้องรับการลงโทษของซือเหยี่ยน

 

 

การโดนตลบหลังนี้คิดไม่ถึงว่าเขาจะบังคับแฟนตัวเองขนาดนี้ ยังมีความรักกันอยู่นิดนึงบ้างไหม

 

 

“เฉินเฉิน คุณคิดดีหรือยัง” ซือเหยี่ยนนั่งพิงอยู่ตรงนั้น น้ำเสียงอ่อนโยนดั่งน้ำใส

 

 

เจียงมู่เฉินกัดฟันกรอด “ลงโทษกันอยู่ไม่ใช่หรือไง นายลงโทษเรียบร้อยแล้ว” เขาไม่เชื่อหรอกว่าซือเหยี่ยนจะยังกล้าลงไม้ลงมือกับเขาอย่างโหดเ**้ยม

 

 

แววตาซือเหยี่ยนประกายรอยยิ้ม “ได้ นั่นพูดเองนะ”

 

 

เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ฉันพูดแล้ว ไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด”

 

 

“ได้ งั้นคุณเข้ามาเถอะ”

 

 

เจียงมู่เฉินยืนอยู่ตรงนั้นไม่เข้าไป มองเขาอย่างระแวดระวัง “ฉันว่านายอย่าเอาแต่คิดมาต้มตุ๋นฉันจะดีที่สุด”

 

 

ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ “ผมจะต้มตุ๋นคุณลงได้ยังไง”

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นรอยยิ้มนั้นของเขา ก็รู้สึกว่าน่ากลัวเกินบรรยาย เขารู้สึกมาตลอดว่าแค่มองซือเหยี่ยนแวบเดียว คนคนนี้ก็ไม่มีเจตนาดีอะไรแล้ว

 

 

“ถ้านายกล้าต้มตุ๋นฉัน คุณชายจะทำลายนายแน่นอน” เจียงมู่เฉินยังคงกล่าวตักเตือน

 

 

ซือเหยี่ยนทำหน้าทำตาสบายๆ ไม่กดดัน “วางใจเถอะ เฉินเฉิน ผมจะดีกับคุณให้มากๆ”

 

 

หลังจากพินิจพิจารณาอยู่หลายครั้ง เจียงมู่เฉินถึงเพิ่งได้เดินเข้าไปอย่างช้าๆ เขามองซือเหยี่ยนอย่างระแวดระวัง ขอเพียงแต่อีกฝ่ายเล่นตุกติกลงมือทำอะไรกะทันหัน เขาก็จะเปลี่ยนใจทันที

 

 

‘ถึงยังไงซือเหยี่ยนก็ไม่ได้พูดว่าไม่ให้เขาเปลี่ยนใจ คนโบราณกล่าวไว้การทหารไม่เบื่อหน่ายกลอุบายไม่ใช่เหรอ’

 

 

 ซือเหยี่ยนกวักมือเรียกเขา เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปหาด้วยความไม่สมัครใจ “นายคงจะไม่คิดจะใช้ความรุนแรงในครอบครัวกับฉันหรอกใช่ไหม”

 

 

ซือเหยี่ยนสีหน้าบูดบึ้ง เขาดูมีแนวโน้มจะป่าเถื่อนมากเลย?

 

 

“หรือจะว่านายฉวยโอกาสตอนที่ฉันเผลอแอบวางแผนร้ายอะไรใส่ฉันอีกแล้ว?”

 

 

ซือเหยี่ยนกุมขมับ รู้สึกว่าแฟนของเขาพูดมากเกินไปหน่อยแล้ว เขาอดทนที่เหลือเพียงน้อยนิดโดนเขาบดขยี้จนใกล้จะหมดแล้ว

 

 

ไม่รอให้เขาได้พูดต่อ ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสตอนเขาเผลอ คว้าตัวเขามาคร่อมทับไว้ ไม่ให้โอกาสเจียงมู่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบก็ลงมือถอดเสื้อผ้าเขาเสียเดี๋ยวนั้น

ตอนที่ 206 คุณนอนเป็นเพื่อนผมนะ

 

 

           ชอบซือเหยี่ยนไม่พอ ยังเป็นคนของแก๊งมังกรครามอีก ซือเหยี่ยนกลัวว่าเพราะรักจะสร้างความเกลียดชังให้เขาหันมาลงมือกับตัวเอง?

 

 

           “ใช่”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจถลึงตาใส่เขา “ฉันทำอะไรไม่ได้ขนาดนี้เลยหรือไง จำเป็นต้องให้นายปกป้องด้วยเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นอารมณ์เขาเย็นลงบ้างแล้ว ถึงได้ดึงตัวอีกคนเข้ามากอดไว้ “เพื่อตามหาคุณ ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้นอนเลย”

 

 

           หลายกี่สิบกว่าชั่วโมงที่ไม่ได้นอน ยังกล้าขึ้นเขามาหาเขาอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินพลิกมือมากดไหล่เขาไว้ “เอาล่ะ นายไม่ต้องพูดแล้ว รีบไปนอนเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขา “แล้วคุณล่ะ”

 

 

           “นายจะนอนก็นอนไปสิ ยุ่งอะไรกับฉัน”

 

 

           “ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม” เสียงนุ่มทุ้มต่ำของซือเหยี่ยนเอ่ยกระซิบ เจียงมู่เฉินได้ยินทีใจก็ชักจะเริ่มอ่อนลงบ้างแล้ว

 

 

           “นายโตขนาดนี้แล้ว นอนคนเดียวไม่เป็นหรือไง ทำไมต้องให้ฉันนอนเป็นเพื่อนด้วย” เจียงมู่เฉินปากแข็งใจอ่อน

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปจับมือเขาไว้ “ไม่มีคุณอยู่ข้างกาย ผมไม่ชิน”

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย!’ เขาพูดมาขนาดนี้ เจียงมู่เฉินจบเห่แล้ว ใจอ่อนโดยสมบูรณ์ มีหรือจะยังจำได้เรื่องที่ต้องโกรธเขาอยู่

 

 

           เขาดึงเปิดผ้าห่มออก เอนตัวลงนอนที่ข้างกาย นอนอยู่เป็นเพื่อนซือเหยี่ยน

 

 

           ซือเหยี่ยนเหนื่อยจนไม่ไหวแล้วจริงๆ นอนลงไปไม่ถึงสองนาทีก็เข้าสู่นิทราไปเป็นที่เรียบร้อย เจียงมู่เฉินเอียงคอมองใบหน้ายามอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าของเขา แล้วถอนหายใจด้วยความรู้สึกจนใจ

 

 

           เขาไม่คิดว่าซือเหยี่ยนจะตามมาถึงที่นี่จริงๆ เขายังคิดว่าเวลานี้ซือเหยี่ยนคงจะร้อนใจอยู่ที่ถานโจว คิดไม่ถึงว่าจะรีบตามมาได้ทัน

 

 

           เจียงมู่เฉินยื่นมือไปนวดคลึงรอยย่นบนหว่างคิ้วของเขา หลังจากลูบให้เรียบแล้วถึงได้คลายมือลง

 

 

           ‘ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของแก๊งมังกรครามใช่ไหม’

 

 

           ดูท่าว่าคู่ปรับของเขา เบื้องหลังจะยิ่งใหญ่แข็งแกร่งมากสินะ

 

 

           หลับทีหลับยาวจนถึงเวลาสี่โมงเย็น กว่าเจียงมู่เฉินจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นซือเหยี่ยนนอนตะแคงอยู่ข้างๆ มองดูเขา เจียงมู่เฉินชะงักไป “นายตื่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “ก่อนหน้านี้ไม่นาน เพิ่งจะตื่นไม่ได้นานเท่าไหร่”

 

 

           “ทำไมไม่นอนพักต่ออีกสักหน่อย”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่จ้องมองเขาแทน “คุณยังโกรธอยู่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่เขา “อะไรกัน นี่นายอยากเห็นฉันโกรธมากนักใช่ไหม”

 

 

           เพิ่งจะตื่นมาไม่มีอะไรจะพูดก็มาถามเขาเรื่องนี้ เขาดูเหมือนวัตถุระเบิดหรือไง ขยับไม่ขยับก็ระเบิด?

 

 

           “คุณคิดจะกลับไปเมื่อไหร่”

 

 

           “รออีกสองวันแล้วกัน สำรวจตรวจดูงานทางนี้เสร็จก็จะไป” กว่าเขาจะมาถึงในเขาที่สงบเงียบแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องอยู่ต่ออีกสองวันค่อยไปอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นต้องขอโทษการเดินทางไกลที่แสนยากลำบากครั้งนี้แล้ว

 

 

           “ดี งั้นผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณด้วย”

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “ฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะให้นายอยู่เป็นเพื่อนฉันไปทำไม นายไม่กลับบริษัทไปหรือไง ยังมีคนแอบรักนายคนนั้นอยู่ไม่ใช่เหรอ ไม่คิดจะไปสนใจจัดการเลย?”

 

 

           “พวกเขาเทียบกับคุณแล้ว คุณสำคัญกว่า”

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “คำพูดนี้ของนาย ฉันไม่เชื่อแล้ว”

 

 

           ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินซือเหยี่ยนพูดแบบนี้ ครั้งแรกได้ฟังยังรู้สึกแปลกใหม่ ตอนนี้ได้ฟังหลายครั้งก็รู้สึกชินแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนขึ้นคร่อมร่างคนข้างกาย เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “ฉันจะบอกนายให้ นายอย่าคิดว่าพูดชนะฉันไม่ได้แล้วคิดจะใช้กำลังกับฉันได้นะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นหน้าตาท่าทางเอาเรื่องของเขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น เขาก้มลงจูบเจียงมู่เฉิน “ผมจะใช้กำลังกับคุณได้ลงคอได้ยังไงกัน”

 

 

           พูดชนะเขาไม่ได้ก็จูบเขา ยังมีใครที่โรคจิตมากกว่าซือเหยี่ยนเจ้าคนระยำนี้อีกไหม

 

 

           “เลี่ยน” เจียงมู่เฉินเบ้ปากอย่างไม่ยินดี คิดว่าเขาใจอ่อนง้อง่ายจริงๆ สินะ หยอดคำหวานไม่กี่ประโยค ตัวเองก็จะรอดตัวไปง่ายๆ เหรอ

 

 

           ซือเหยี่ยนแนบชิดติดริมฝีปากเขา เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบ “เฉินเฉิน สองวันนี้ผมเอาแต่คิดถึงคุณ”

 

 

           แม้กระทั่งยามหลับตาลงก็คิดถึงแต่เขา

 

 

           เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับกำลังพูดพึมพำอย่างไรอย่างนั้น เรียบเฉยแต่ยังแฝงความน้อยใจอยู่นิดๆ เจียงมู่เฉินผลักมือของเขาออก ผ่อนแรงลงเล็กน้อย

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะด่าตัวเองไม่ได้ เกินเยียวยาแล้วจริงๆ แค่ซือเหยี่ยนทำตัวน่าสงสารนิดหน่อยก็ใจร้ายใส่เขาไม่ลงแล้ว

 

 

           

 

 

 

 

 

ตอนที่ 207 เริ่มคิดบัญชี

 

 

           “พอเถอะ ฉันรู้แล้ว นายปล่อยฉันก่อนนะ” เขาเอามือผลักซือเหยี่ยนออก อยากให้เขาคลายมือออก

 

 

           ซือเหยี่ยนคลายมือออกเล็กน้อย แต่กลับไม่ปล่อยมือ เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา

 

 

           เจียงมู่เฉินหมดหนทางจะทำให้เขาปล่อยแล้ว ทำได้เพียงยอมให้เขากอดตัวเองแต่โดยดี

 

 

           เขาผ่อนคลายร่างกายให้ตัวเองอยู่ในอ้อมอกของซือเหยี่ยนได้อย่างสบายขึ้นมาเล็กน้อย ผ่านไปไม่กี่นาที เจียงมู่เฉินถึงเอ่ยปากออกมา “นายรู้ไหมว่าเมื่อห้าปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกับฉัน”

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่โอบกอดเจียงมู่เฉินกระชับแน่นขึ้น เจียงมู่เฉินเจ็บจนคิ้วขมวดกัน กำลังจะเตรียมออกปาก ซือเหยี่ยนก็คลายมือลง

 

 

           เขาจูบคนในอ้อมกอด แล้วเอ่ยถาม “ทำไมนึกถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อนขึ้นมาเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉันไม่เคยบอกนายมาตลอด ที่จริงเมื่อห้าปีก่อน ฉันประสบอุบัติเหตุจนสูญเสียความทรงจำ”

 

 

           เขาหยุดลงสักพัก ก่อนกล่าวต่อ “จะว่ากันก็คือเรื่องทุกอย่างของฉันเมื่อห้าปีก่อน ฉันลืมไปแล้วทั้งหมด ในหัวจำได้แค่เพียงเรื่องราวห้าปีให้หลังพวกนี้เท่านั้น”

 

 

           “ช่วงนี้จู่ๆ ฉันก็คิดถึงว่าเมื่อห้าปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ ถึงได้ทำให้ฉันลืมทุกอย่างก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น”

 

 

           ตั้งแต่แม่เขาเริ่มเอ่ยถึงเรื่องในอดีตตอนที่อยู่อเมริกา บวกกับที่ซังจิ่งเอ่ยถึงว่าได้เคยเจอกันกับเขาที่อเมริกาด้วย

 

 

           ตลอดห้าปีมานี้เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องอุบัติเหตุในตอนนั้นเลย แต่ว่าตอนนี้จู่ๆ เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

           เขาไม่มีความทรงจำ แต่คนที่รู้เรื่องนี้ มีเพียงแค่พ่อแม่เขา แต่ดูเหมือนพวกท่านจะปรึกษากันดีแล้วอย่างไรอย่างนั้น ไม่คิดจะบอกอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อห้าปีก่อนกับเขาทั้งนั้น

 

 

           ตั้งแต่เจียงมู่เฉินเอ่ยถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อนขึ้นมา เส้นประสาทของซือเหยี่ยนก็ขึงตึงขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เจียงมู่เฉินถึงได้ถามเรื่องเมื่อห้าปีก่อนขึ้นมาได้

 

 

           สงสัยใคร่รู้กะทันหัน หรือจากสาเหตุอย่างอื่น

 

 

           แวบแรกซือเหยี่ยนนึกถึงซูเตอร์ คิดว่าเขาลงมือทำอะไรแทรกกลางหรือเปล่า แต่ก็คิดว่าไม่ควรจะเป็นไปได้

 

 

           ซูเตอร์เพิ่งรับช่วงต่อแก๊งมังกรคราม เรื่องของเจียงมู่เฉินในตอนนั้น เขาก็ไม่รู้ด้วย ไม่มีทางจะสืบเรื่องมาถึงเจียงมู่เฉินได้

 

 

           แต่ครั้งนี้ที่จู่ๆ ซูเตอร์มาหาถึงถานโจวได้ กลับไม่ทำให้คนสงสัยในเจตนารมณ์ของเขาไม่ได้

 

 

           เขาพยายามจะทำให้ตัวเองผ่อนคลายลงเล็กน้อย อย่าให้เจียงมู่เฉินมองเงื่อนงำออกเด็ดขาด เขาขมวดคิ้วมองเจียงมู่เฉินด้วยความตื่นตระหนก ค่อยๆ คว้าแขนของเขาเอาไว้ เอ่ยถามอย่างร้อนรน “เมื่อก่อนคุณประสบอุบัติเหตุเหรอ เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “เรื่องนี้พ่อแม่ฉันปิดบังไว้มิดมาก ตอนนี้นอกจากพวกท่าน ก็แค่นายกับมั่วไป๋ที่รู้”

 

 

           “แล้วคุณอยากจะฟื้นความทรงจำช่วงนั้นกลับมาไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “บอกตามตรง การสูญเสียความทรงจำช่วงนั้นไปไม่ได้กระทบกับชีวิตฉันมากเท่าไหร่หรอก แต่ฉันมีความรู้สึกหนึ่งมาตลอด ว่าในความทรงจำช่วงนั้นที่ฉันสูญเสียไปดูเหมือนจะผ่านเรื่องอะไรสำคัญมากมา

 

 

           ซือเหยี่ยนกระชับมือแน่น “เฉินเฉิน เรื่องสูญเสียความทรงจำรีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร พวกเราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีไหม บางทีสักวันอาจจะนึกขึ้นมากะทันหันก็ได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “ฉันก็พูดไปงั้นเอง เรื่องแบบนี้ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามวาสนา ไม่แน่ว่าทั้งชีวิตนี้อาจจะนึกไม่ออกเลย หรือบางทีผ่านไปสองวันก็นึกขึ้นมาได้กะทันหัน”

 

 

           เขายังถือว่าเปิดใจยอมรับแล้ว นึกขึ้นมาได้เป็นตามธรรมชาติดีที่สุด ถ้าคิดไม่ออกก็ไม่มีวิธีอะไร ถึงอย่างไรการสูญเสียความทรงจำเรื่องทำนองนี้ ต่อให้ทุบสมองเปิดออกมาวิจัยก็ไม่มีประโยชน์อะไร

 

 

           “ขอโทษ ผมไม่รู้เลยว่าคุณเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย” น้ำเสียงซือเหยี่ยนฟังดูเหมือนแอบๆ ตำหนิตัวเองไปด้วย

 

 

           “เอาเถอะ คุณชายก็แค่จู่ๆ รู้สึกรบกวนใจขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้คิดจะให้นายมาเห็นใจฉัน อีกอย่างเรื่องทำนองนี้ก็ไม่มีอะไรให้น่าเห็นใจหรอก” มีท่าทีอ่อนโยนแบบนี้ เจียงมู่เฉินยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่

 

 

           รู้สึกเสมอว่าประธานซือไม่เหมาะที่จะเดินทางสายอ่อนโยนเช่นนี้

 

 

           เขาอยู่ในมาดเย็นชายังจะดีกว่า มาดหัวสูงขี้เก๊กดีๆ เข้ากันกับเขามากกว่า

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง จู่ๆ ก็พลิกตัวขึ้นมาคร่อมทับอีกคนไว้ “มีเรื่องหนึ่งผมคิดขึ้นมาได้พอดี เรื่องของคุณพูดจบแล้ว เรื่องของผมยังไม่จบเลย”

 

 

           เขายังจำได้ว่าตัวเองยังมีบัญชีที่ยังไม่ได้สะสางกับเขา

ตอนที่ 204 ประธานซือคนขี้หึง 

 

 

           “สองวันนี้รบกวนประธานซังดูแลแล้ว หาสถานที่ที่ตัดจากโลกภายนอกให้เฉินเฉินได้แก้เซ็ง ประธานซังมีน้ำใจจริงๆ” 

 

 

           ซังจิ่งเลิกคิ้ว ซือเหยี่ยนคนนี้พูดจาทิ่มแทงทุกคำจริงๆ ประโยคที่พูดมาถากถางเขาทั้งนั้น 

 

 

           ‘แต่ว่าเขาชอบเป็นอริกับคนที่รู้สึกขัดหูขัดตากับตัวเองด้วยสิ’ 

 

 

           “ผมกับมู่เฉินรู้จักมานานขนาดนี้ เห็นเขาอารมณ์ไม่ได้ เลยพามาแก้เซ้งก็เป็นเรื่องที่สมควรทำเป็นธรรมดา ตามใครที่ว่าๆ กัน เพื่อนต้องเป็นเกราะกำบังให้กันอยู่แล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเขาสองคนพูดก็ปวดหัว อีกคนขุดหลุมฝังศพได้ยิ่งกว่าอีกคนอีก ที่สำคัญคือพวกเขาจะขุดหลุมกันเองก็ช่างเถอะ อย่าเอาเขาเข้าไปเอี่ยวด้วยสิ 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าวันดีๆ ของตัวเองอีกไม่นานจะต้องสิ้นสุดแล้ว 

 

 

           “พอแล้วพวกนายสองคน” เขากลืนน้ำลายแล้วกลืนน้ำลายอีก ก่อนเอ่ยถาม “มีน้ำไหม ฉันกระหายน้ำจะตายอยู่แล้ว” 

 

 

           ซังจิ่งอยู่ใกล้รถมากว่าพอดี เขายื่นมือไปหยิบขวดน้ำจากข้างในส่งต่อให้เจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนแพ้ตรงระยะทาง เข้าไปหยิบน้ำให้ไม่ทัน 

 

 

           เขาทำหน้าดุๆ มองเจียงมู่เฉิน เป็นนัยว่า ถ้ากล้ารับน้ำของซังจิ่ง ก็ลองดูสิ 

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดหัวจนอดจะเอามือกุมขมับไม่ได้ ซือเหยี่ยนข่มขู่เขาขนาดนี้แล้ว มีหรือเขาจะกล้าหยิบ 

 

 

           “คือว่า…จู่ๆ ฉันก็ไม่กระหายน้ำแม้แต่นิดเดียวแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ ทั้งที่ซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายหาเรื่องเขาก่อน ทำไมตอนนี้ถึงสลับกันได้ ซือเหยี่ยนกลายเป็นผู้ถูกทำร้ายไปแล้ว? 

 

 

           เหนื่อยมาทั้งเช้า น้ำก็ยังไม่ได้ดื่ม เจียงมู่เฉินตากแดดจนหน้าจะมืดแล้ว มายืนแบบนี้ต่อไปกับพวกเขา ชีวิตน้อยๆ จะไม่เหลือแล้ว 

 

 

           “เอาไง คิดจะยืนเป็นหินสลักที่นี่อยู่หรือไง” เจียงมู่เฉินอดจะเลิกคิ้ว เอ่ยประชดใส่ไม่ได้ 

 

 

           “สายแล้ว ควรลงไปกินข้าวได้แล้ว” เขาพูดไปก็เปิดประตูรถ “ไปกันเถอะ ลงไปกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง “คุณจะนั่งรถเขาเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาทำหน้าตาดุขู่ใส่ตัวเอง ไฟโมโหก็ลุกโชนขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น เขาเข้าไปนั่งในรถทันที “ก็ฉันจะนั่งวันนี้” 

 

 

           ‘ทีเขาเองเจ้าชู้ประตูดิน ตัวเองก็ไม่ว่าอะไร พอตอนนี้ตัวเองแค่นั่งรถยังจะมาข่มขู่กันอีกเหรอ’ 

 

 

           ‘เขาเจียงมู่เฉินโดนข่มขู่มากแล้วใช่ไหม’ 

 

 

           ‘ยิ่งข่มขู่เขา เขาก็ยิ่งจะนั่งให้ดู!’ 

 

 

           ซังจิ่งยกมุมปากขึ้นอย่างลำพองใจ “ขออภัยจริงๆ สองวันมานี้มู่เฉินนั่งรถคันนี้กับผมจนชินแล้ว ไม่ขอรบกวนประธานซือแล้วกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนโดนท่าทีแบบนั้นของเจียงมู่เฉินทำให้โมโหจนแทบจะกระอักเลือด ยังมาได้ยินคำพูดของซังจิ่งอีก อดจะขบกรามหนักๆ ไม่ได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินกลับกระเฟียดกระฟาดใส่เสียอย่างนั้น ดูท่าว่าจะโกรธเขาถึงที่สุดแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนกัดฟันกรอดๆ เขาเปิดประตูรถแล้วเข้าตามไปนั่งข้างใน ซังจิ่งทำหน้างุนงง นี่ต้องการจะทำอะไรเหรอ 

 

 

           “ประธานซังคงจะไม่ถือสาที่จะช่วยพาผมลงไปด้วยหรอกใช่ไหม” 

 

 

           ซังจิ่งเลิกคิ้ว มาดหัวสูงขี้เก๊กของนายล่ะ แอบขึ้นรถฟรีเรื่องแบบนี้ก็กล้าทำออกมาได้เหรอ 

 

 

           “ไม่ถือสาอยู่แล้ว” 

 

 

           รถของซือเหยี่ยนจอดอยู่ข้างทางอย่างน่าสงสาร คนขับรถเห็นซังจิ่งขับรถออกไป เขาก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาโดนซือเหยี่ยนทิ้งไว้กลางทางแล้ว? 

 

 

           ผู้ที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยอย่างคนขับรถค่อยๆ ขับรถตามหลังลงเขาไป 

 

 

           บรรยากาศในรถของซังจิ่งแปลกประหลาดไม่เบา เจียงมู่เฉินนั่งที่นั่งข้างคนขับมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ซือเหยี่ยนก็นั่งนิ่งอยู่ที่นั่งข้างหลัง สายตาเอาแต่จับจ้องไปที่เจียงมู่เฉิน 

 

 

           ซังจิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศในรถช่างน่าเบื่อเกินไปจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจหาหัวข้อเปิดประเด็น “ประธานซือ ทำไมจู่ๆ ถึงมาได้”  

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินเผยอปากเอ่ยขึ้น “ตามหาคน”        

 

 

           ซังจิ่งเชิดริมฝีปาก “ครั้งนี้ที่ประธานซือมาคงจะไม่ได้ตั้งใจออกมาตามหามู่เฉินหรอกใช่ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาเย็นยะเยือก “นายไม่มีเรื่องก็อย่าหาเรื่องจะได้ไหม” 

 

 

           ‘ไม่พอใจที่ตอนนี้ไฟโมโหเขาใหญ่ไม่พอใช่ไหม ถึงได้เติมฟืนใส่อยู่ได้’ 

 

 

           ซังจิ่งหน้าซื่อตาใส “ก็แค่สงสัยนี่” อยู่คลุกคลีกับเจียงมู่เฉินมาสองวัน เขาจับจุดนิสัยของคุณชายน้อยผู้นี้ได้แล้ว คนคนนี้ดูเป็นคนไม่มีเหตุผล อารมณ์คาดเดายาก แต่ที่จริงใจอ่อนเสียเหลือเกิน 

 

 

           แกล้งน้อยใจให้เป็น ก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 205 เพื่อนธรรมดา 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่เขา “แมวตายเพราะความสงสัย นายไม่รู้เหรอ” 

 

 

           ซังจิ่งยักไหล่ขับรถอย่างจริงจัง เพียงไม่นานในรถก็เงียบสงบลง ในใจเจียงมู่เฉินหงุดหงิด เขาเงยหน้ามองกระจกมองหลังก็ปะทะกับดวงตาคมสีดำขลับของซือเหยี่ยนพอดี 

 

 

           มีซังจิ่งอยู่ด้วย เขาพูดกับซือเหยี่ยนมากเกินไปไม่ได้ ทั้งสองคนทำได้เพียงต่างคนต่างเงียบไม่พูดจากัน 

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็เพราะซังจิ่งเป็นสาเหตุเช่นกัน เขาไม่ได้อะไรมากมาย รถขับลงเขาไปเรื่อยๆ จนมาจอดที่หน้าทางเข้าโรงแรมที่เข้าพักเมื่อวาน 

 

 

           พวกเขาถึงเพิ่งได้เปิดประตูรถลงไป 

 

 

           ซังจิ่งมองซือเหยี่ยน “ประธานซือคืนนี้ก็จะพักที่นี่ด้วยเหรอ” 

 

 

           “แน่นอนอยู่แล้ว” เจียงมู่เฉินอยู่ที่นี่ทั้งคน เขาจะไปไหนได้ 

 

 

           “งั้นผมจะไปเอาห้องให้คุณ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินเดินเข้าไปข้างใน ก่อนจะทิ้งทวนประโยคหนึ่งใส่ซังจิ่งแล้วเดินตามเข้าไป 

 

 

           “ไม่รบกวนประธานซังให้ลำบาก ผมพักอยู่กับเฉินเฉินของผมก็ได้” 

 

 

           ซังจิ่งลูบจมูกป้อยๆ ตอนนี้สองคนนี้จะจู๋จี๋กันต้องเปิดเผยกันขนาดนี้เชียว ไม่คิดจะปิดกันสักนิดบ้างเหรอ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินถึงหน้าห้องพักตัวเอง เปิดประตูเข้าไปก็เตรียมจะสะบัดประตู ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสตอนที่เขาจะสะบัดประตู รีบเอามือกันประตู แล้วแทรกตัวเข้าไป 

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนหน้าแดง “นายมันหน้าไม่อายจะตามฉันเข้ามาทำไม” 

 

 

           เหมือนประธานซือจะคิดทำตามคำว่า ‘หน้าไม่อาย’ สามคำนี้ให้ถึงขีดสุด เขาพลิกมือปิดประตู เอ่ยเสียงต่ำ “คุณอยู่ที่นี่ จะให้ผมไปไหน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ประธานซือ พวกเราก็เป็นแค่เพื่อนธรรมดา จะพักห้องเดียวกันไม่เหมาะสมเท่าไหร่หรอกมั้ง” 

 

 

           เขายังไม่ลืมที่ซือเหยี่ยนแนะนำตัวเขาไป เพื่อนธรรมดา ยังเรียกเขาว่าคุณชายเจียงอีก เป็นความเกรงใจที่ดูห่างเหินซะจริงๆ  

 

 

           “ผมมีเหตุจำเป็น” ซือเหยี่ยนเอ่ยอธิบายเสียงต่ำ 

 

 

           “เหตุจำเป็น?” เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “อะไรกัน ไม่ใช่เพราะว่านายก็มีความสัมพันธ์กับเขาด้วย เลยไม่อยากจะหาเรื่องให้เขาไม่สบายใจหรือไง” 

 

 

           “ผมกับเขาก็เป็นแค่เพื่อนธรรมดา” 

 

 

           “เพื่อนธรรมดาเหรอ นายกับฉันขึ้นเตียงกันมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง นายก็บอกว่าพวกเราเป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆ ทั่วไปไม่ใช่หรือไง” เจียงมู่เฉินหน้ามืดตามัว “ประธานซือ คำว่าเพื่อนธรรมดาของนายคำจำกัดความดูแปลกประหลาดเกินไปหน่อยหรือเปล่า…หรือว่านายคิดว่า นายตามกันขนาดนี้แล้ว ฉันเห็นนายแบบนี้ก็ซึ้งใจแล้ว จากนั้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ กี่สิบชั่วโมงแล้วที่เขาตาค้าง ร่างกายเขาใกล้จะไม่ไหวแล้วจริงๆ 

 

 

           “คุณไม่ใช่เพื่อนธรรมดา คุณเป็นแฟนเพียงคนเดียวของผมเท่านั้น” ซือเหยี่ยนคิดแล้วคิดอีก ตัดสินใจสารภาพไปตรงๆ ตามนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว ไม่ใช่คนที่อยากจะใช้ชีวิตภายใต้การปกป้องของคนอื่น 

 

 

           “ไสหัวไปซะ อย่ามาปากหวานกับฉันที่นี่” รู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว มาทำเอาตอนนี้ มีประโยชน์เหรอ 

 

 

           “ที่คุณอยากรู้ ผมจะบอกคุณให้หมด โอเคไหม” 

 

 

           ยามนี้เองที่ท่าทีของเจียงมู่เฉินถึงได้โอนอ่อนผ่อนปรนลงเล็กน้อย ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าเขาดีขึ้นบ้างแล้ว ถึงได้เอ่ยปาก “เขาเป็นเพื่อนที่ผมรู้จักเมื่อก่อนตอนที่ผมอยู่อเมริกา สมัยนั้นเพราะเรื่องงานทำให้พวกเราเคยได้คลุกคลีกัน ครั้งนี้ที่เขามาหาผม ก็เพราะเรื่องงานเมื่อก่อน” 

 

 

           “เขาชอบนาย ฉันพูดถูกใช่ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ใช่ เขาชอบผม แต่ระหว่างผมกับเขาไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ เกินเลยกว่าเพื่อนกัน” 

 

 

           “งั้นทำไมนายถึงพูดกับเขาว่าฉันกับนายเป็นแค่เพื่อนธรรมดากัน กลัวเขาไม่สบายใจเหรอ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “คุณอย่ามองว่าเขาหน้าตาดูจิ้มลิ้มแล้วจะไม่มีแรงสู้ ที่จริงเขาเป็นถึงผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของแก๊งมาเฟียอเมริกาแก๊งมังกรคราม มีอำนาจใหญ่หนุนหลัง ลงมือได้อย่างไม่ปราณีใคร” 

 

 

           เจียงมู่เฉินแจ้งใจ เข้าใจความหมายของซือเหยี่ยนคร่าวๆ แล้ว “ดังนั้นต่อหน้าเขา ที่นายไม่พูดเรื่องความสัมพันธ์ของเรา ก็เพื่อปกป้องฉันเหรอ” 

ตอนที่ 202 ขึ้นเขาหาคน 

 

 

           ตอนนั้นเขาเคยถามคุณแม่เจียง คุณแม่เจียงบอกเขาว่าเขาเกิดอุบัติเหตุสมองได้รับการกระทบกระเทือน ดังนั้นจึงจำอะไรไม่ได้สักอย่าง หลายปีมานี้เรื่องสูญเสียความทรงจำสำหรับเขาแล้วไม่ได้มีผลกระทบอะไรจริงๆ ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาก็เลยไม่ได้คิดจะถามเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น 

 

 

           แต่ตอนนี้โดนซังจิ่งว่ามาขนาดนี้ จู่ๆ เขาก็ชักจะอยากรู้ขึ้นมาว่าเขาเมื่อห้าปีก่อนประสบกับอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้บาดเจ็บจนเสียความทรงจำได้ 

 

 

           “ขอโทษ ฉันไม่มีภาพจำอะไรจริงๆ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่อยากจะบอกซังจิ่งเรื่องที่ตัวเองสูญเสียความทรงจำ ทำได้เพียงแกล้งนึกไม่ออก ลืมๆ ไปแล้ว 

 

 

           ซังจิ่งเองก็ไม่ได้ซักไซ้ถามเอาความต่อ เขายิ้มหัวเราะ “ไม่เป็นไร ถึงยังไงผมเองก็ไม่ได้หวังว่าคุณจะนึกออกอยู่แล้ว” 

 

 

           รถขับขึ้นไปตามเส้นทางบนภูเขา หลังจากผ่านถนนที่ราบเรียบแล้ว ทางต่อมาก็เริ่มจะทำให้รถโคลงเคลงนิดหน่อย เจียงมู่เฉินนั่งตัวตรงปรับพนักที่นั่งขึ้นมา 

 

 

           “ทางข้างบนเป็นแบบนี้ทั้งหมด ผมพยายามจะขับช้าที่สุดแล้ว” 

 

 

           “ไม่เป็นไร นายขับปกติเถอะ” 

 

 

           …… 

 

 

           ซือเหยี่ยนรอกว่าสามชั่วโมง คนถึงเพิ่งจะมาถึง แล้วใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ในการเคลียร์ทางขนย้ายก้อนหินที่กระจัดกระจายไปทั่ว รถถึงเพิ่งได้ขับมุ่งหน้าไปต่อ 

 

 

           หนึ่งชั่วโมงให้หลัง รถก็มาจอดที่หน้าทางเข้าโรงแรมที่เจียงมู่เฉินพวกเขาเข้าพักกันเมื่อวานนี้ ซือเหยี่ยนเปิดประตูรถลงไปตามหาคนทันที 

 

 

           หลังจากเข้าไปแล้ว ถึงได้พบว่าเจียงมู่เฉินไม่อยู่ที่โรงแรม แต่ขึ้นเขาไปแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนเงยหน้ามองภูเขาที่บุกเบิกไปเพียงครึ่งหนึ่ง แล้วกุมขมับ แฟนของเขาไล่ตามหาที แต่ละด่านยุ่งยากลำบากเกินไปแล้วจริงๆ 

 

 

           กลับขึ้นรถอีกครั้ง ซือเหยี่ยนออกเดินทางมุ่งขึ้นเขาไป 

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งหลับตาอยู่ในรถ ขบกรามอยู่เงียบๆ รอให้หาเจียงมู่เฉินไอ้หมอนั่นเจอได้เมื่อไหร่ จะต้องมัดเขาไว้กับเตียง ‘ทำ’ ทั้งสามวันสามคืนแน่ๆ 

 

 

           ไม่เอ่ยปากพูดสักคำก็หนีเตลิดมาที่ๆ รกร้างว่างเปล่า ไร้ผู้คนแบบนี้ จะติดต่อกันก็ยากลำบากยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยังจะคิดวิ่งวุ่นไปทั่วอีก 

 

 

           เขากุมขมับอย่างจนใจ ถึงอย่างไรก็เป็นแฟนของเขาเอง จะยากลำบากอีกแค่ไหนก็ต้องตามหา 

 

 

           ซังจิ่งขับรถมาจอดที่จุดชมวิวข้างทางทั้งสองคนลงจากรถมายืนอยู่ข้างๆ เขาชี้มือไป “มองจากตรงนี้ลงไป” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองตามตำแหน่งที่ซังจิ่งชี้ไป ข้างล่างเป็นทะเลสาบสีเขียวมรกต รูปลักษณ์คล้ายหงส์ สีเขียวของอัญมณีเฉิดฉาย มองจากมุมนี้งดงามจนเกินน่าขนลุกจริงๆ 

 

 

           ไม่เพียงเท่านี้ นอกจากทะเลสาบผืนใหญ่ ยังมีทะเลสาบเล็กๆ เชื่อมอยู่ด้านข้าง ดูจากมุมไกลๆ ราวกับมีเม็ดอัญมณีทีละเม็ดประดับประดาเรียงต่อกัน 

 

 

           “พวกเราสื่อสารกับส่วนท้องถิ่นเรียบร้อยแล้ว ที่นี่ไม่เพียงแค่บุกเบิกทำเป็นรีสอร์ทยังทำเป็นจุดชมวิวได้ด้วย ยิ่งกว่านั้นส่วนท้องถิ่นกับพวกเราจะทำโฆษณาด้วยกัน ส่งเสริมผลักดันที่นี่ออกไป ใช้ประโยชน์จากทัศนียภาพเป็นตัวขับเคลื่อนให้ที่นี่เป็นเขตท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ วินวินกันทั้งสองฝ่าย” 

 

 

           ซังจิ่งยืนอธิบายอยู่ข้างๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า สถานที่แห่งนี้ไม่เลวจริงๆ รอให้มีการบุกเบิกอะไรเสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้นหาคนมาผลักดันส่งเสริมออกไป เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่มากจริงๆ บวกกับแรงสนับสนุนจากส่วนท้องถิ่น ก็ยิ่งสะดวกมากขึ้นไปอีก 

 

 

           “นอกจากตรงนี้ ยังมีที่อื่นอีกไหม” 

 

 

           ซังจิ่งพยักหน้า “มีอยู่แล้ว แต่มีเพียงตรงนี้ ผมยังทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เพียงแต่ว่าทางข้างบนรถยังขึ้นไปไม่ได้ พวกเราต้องเดินขึ้นไปเองเท่านั้น” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยักไหล่ “ได้สิ ไปกันเถอะ” 

 

 

           ทั้งสองคนเอารถมาจอดยังจุดชมวิว เดินย่ำเท้าขึ้นไป ยิ่งขึ้นไปยิ่งเดินลำบาก เจียงมู่เฉินเดินไปสักพักก็รู้สึกกำลังของร่างกายยืนหยัดไม่ค่อยจะไหวแล้ว 

 

 

           เขาเอามือยันต้นไม้ข้างทางไว้ พักหายใจหายคอสักพัก 

 

 

           ซังจิ่งมองดูเขา “ยังไหวไหม อยากจะพักสักหน่อยหรือเปล่า” 

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่ต้อง ไปต่อเถอะ” 

 

 

           ทั้งสองคนปีนขึ้นข้างบนไป ซังจิ่งพาเขามาดูสถานที่ที่เขาคิดจะสร้างเขตท่องเที่ยวพักผ่อน แค่ก้มหัวลงก็เห็นทะเลสาบข้างล่างได้พอดี 

 

 

           ข้างหลังยังมีที่ดินผืนใหญ่เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ถึงตอนนั้นลองปูพื้นเป็นสนามหญ้า สร้างเครื่องเล่นทำสวนสนุกก็ไม่เลว เจียงมู่เฉินยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าที่ดินผืนนี้ไม่เลว 

 

 

            

 

 

ตอนที่ 203 แฟนหนุ่มอยากปีนกำแพง 

 

 

           “ถึงตอนนั้นทำเป็นเขตท่องเที่ยวพักผ่อนแล้ว ยังจากหาที่สงบๆ สร้างคฤหาสน์ไว้เป็นบ้านพักตากอากาศสักหลัง ต่อไปพอแก่ตัวมาอาศัยอยู่ที่นี่ก็เหมาะสมดีเหมือนกัน” 

 

 

           ซังจิ่งเผลอยิ้มออกมา “คุณชายเจียงในฐานะผู้ร่วมก่อสร้างโครงการ ความปรารถนาแค่นี้ทำให้ได้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นหลังจากเริ่มการก่อสร้างแล้ว ก็หาสถานที่ที่เงียบสงบให้คุณชายเจียงออกแบบคฤหาสน์ส่วนตัว” 

 

 

           สถานที่แห่งนี้เงียบสงบ ท้องฟ้าคราม ต้นไม้เขียว ก้มหน้าก็เห็นทะเลสาบ เงยหน้ายื่นมือไปก็สัมผัสก้อนเมฆได้ ถ้าวันหลังมีเวลามาที่นี่กับซือเหยี่ยนอยู่สักสามสี่วันก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวทีเดียว 

 

 

           รถของซือเหยี่ยนขับขึ้นมาบนเขา ก็เห็นรถออฟโรดคันหนึ่งจอดอยู่ที่จุดชมวิว นัยน์ตาสะท้อนแววความซับซ้อน ดูว่าเจียงมู่เฉินจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่แล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่เอ่ยปากพูดสักคำ จู่ๆ ก็ขาดการติดต่อไป ซือเหยี่ยนขบกรามแน่น รอให้พบตัวเจียงมู่เฉินให้ได้เมื่อไหร่ จะคิดบัญชีกับเขาอย่างสาสมให้ดู 

 

 

           พื้นที่ในภูเขาใหญ่เกินไป ทำให้ตอนนี้เขาไม่สามารถประมาณการตำแหน่งที่เจียงมู่เฉินอยู่คร่าวๆ ได้ ซือเหยี่ยนทำได้เพียงนั่งรออยู่ในรถ ขอเพียงแต่รถของพวกเจียงมู่เฉินอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ต้องกลับมาที่นี่เป็นธรรมดา 

 

 

           นั่งซุ่มรอแบบนี้เหมาะที่สุด 

 

 

           เจียงมู่เฉินกับซังจิ่งดูสถานที่ข้างบนเสร็จเรียบร้อย ก็พักเอาแรงกันสักหน่อย ก่อนจะเดินกลับทางเดิม ตอนขึ้นไปยังไม่รู้สึก ตอนลงมาเจียงมู่เฉินรู้สึกว่าขาของตัวเองอ่อนแรงไปหมด 

 

 

           เดินลงเขาด้วยความยากลำบากตลอดทาง กว่าจะเดินให้ถึงจุดชมวิวที่จอดรถเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ง่ายๆ เขาที่ยืนทรงตัวไม่อยู่เกือบจะลื่นล้มลงไปแล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินสะดุ้งตกใจ เขารีบเอามือคว้าต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ แต่กลับคว้าได้แต่อากาศ คนทั้งคนร่วงลงไป 

 

 

           ซังจิ่งรีบส่งมือไปดึงตัวคนกลับมากอดประคองไว้ 

 

 

           “ไม่เป็นไรใช่ไหม” ซังจิ่งรีบตั้งหลักให้ทั้งสองคนทรงตัวได้ แล้วถึงเอ่ยถามเสียงต่ำ 

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่เป็นไร ขอบใจ” 

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “ไม่เป็นไรก็ดี ถ้าเกิดเรื่อง ผมต้องรับผิดชอบแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูมือเขาที่ยังวางพาดอยู่บนเอวของตัวเอง แล้วเลิกคิ้ว “คือว่า มือปล่อยได้หรือยัง” 

 

 

           ซังจิ่งเองก็ไม่ได้รู้สึกเกรงใจอะไร จงใจอาศัยเรื่องช่วยคน กอดเขาไว้ในอ้อมอกตัวเอง ตักตวงผลประโยชน์ตั้งนานสองนาน เขาคลายมือออกอย่างเงียบๆ แล้วหัวเราะเบาๆ “บอกตามตรง สัมผัสที่มือไม่เลวจริง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันกอดนาย สัมผัสที่มือยิ่งไม่เลว” 

 

 

           ซังจิ่งยิ้มอย่างหน้าไม่อาย “ถ้าคุณยอมกอดผม ผมก็ยอม อย่างมากผมก็แค่กินทุนตัวเองนิดหน่อย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินตบมืออย่างไม่แยแส “นายอยากกินทุนตัวเอง แต่ฉันยังไม่อยากให้นายกิน” 

 

 

           ทั้งสองคนพูดไปเดินไปจนลงจากเขามา เพิ่งเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ เจียงมู่เฉินก็เห็นซือเหยี่ยนที่ใบหน้าเคร่งขรึมอยู่ไม่ไกลนัก เพียงพริบตาเดียวก็ตะลึงค้างไป 

 

 

           เขามองดูตัวเอง แล้วยังมองดูซังจิ่ง 

 

 

           ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนั่นอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว เมื่อกี้ที่ซังจิ่งกอดเขา ซือเหยี่ยนเห็นหมดแล้ว? 

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าคร่ำเคร่งยิ้มเยาะ เขาอกสั่นขวัญแขวนรีบออกมาตามทั้งคืน จนถึงตอนนี้ตาค้างมาตลอดทางที่ตามเข้ามาหา 

 

 

           ใครจะไปคิดได้ ว่าแฟนของเขาจะหน้าตาชื่นบาน มีคนเคียงข้าง เพลิดเพลินบนภูเขาไม่ลืมหูลืมตา มีหรือจะยังจำได้ว่าเขายังมี ‘ผู้ชาย’ ของตัวเองเป็นตัวเป็นตนคอยอยู่ที่บ้าน  

 

 

           ‘สุดยอดไปเลยจริงๆ!’ 

 

 

           “ซือเหยี่ยน นายมาได้ยังไง” เจียงมู่เฉินตกใจจนฉี่เกือบราด เขาก็แค่ขึ้นไปสำรวจดูงานบนเขา แล้วไม่ระวังเสียหลักทรงตัวไม่อยู่ โดนซังจิ่งจงใจโอบเอวเท่านั้นเอง ผลสุดท้ายกลับโดนซือเหยี่ยนจับได้คาหนังคาเขา 

 

 

           เขาคิดอย่างจริงจัง ถ้าบอกซือเหยี่ยนว่านี่คือเรื่องบังเอิญพอดี จะมีความน่าเชื่อถืออยู่ไหม 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “อะไรกัน คุณไม่ยินดีต้อนรับผมเหรอ” 

 

 

           ‘แฟนใกล้จะกระโดดกำแพงหนีแล้ว ยังถามเขาว่ามาได้ยังไงอีก ถ้ายังไม่มาดูแฟน แล้วจะให้เตรียมรอโดนบอกเลิกหรือไง’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขายิ้มเยาะแบบนั้น เพียงแป๊บเดียวเหงื่อก็ไหลออกมาแล้ว 

 

 

           “คือว่า ก็ฉันเป็นห่วงไม่ใช่หรือไง” 

 

 

           “ประธานซือ ไม่ได้เจอกันนาน คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอคุณได้ที่นี่” ซังจิ่งไม่เพียงแต่เข้าไปยุ่ง ยังคิดสุมไฟเข้าไปอีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่แอบเตือนเขา อย่าพูดอะไรมั่วๆ จะดีที่สุด 

 

 

           ซังจิ่งทำไขสือลูบจมูกปอยๆ เขาเป็นคนพูดไปเรื่อยแบบนั้นเหรอ มากที่สุดเขาก็แค่เติมเชื่อไฟนิดหน่อยให้ไฟเผาเร็วขึ้นนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง 

ตอนที่ 200 เขาพังถล่ม 

 

 

           ไป๋จิ่งลืมตาขึ้นมาในทันใด เขามองท้องฟ้ามืดมิดยามราตรี แล้วถอนหายใจเบาๆ อดจะคิดไม่ได้ว่าในตอนนั้นที่รับปากยอมให้หลินฝานอยู่ข้างกายตัวเอง เขาทำผิดไปแล้วหรือเปล่า 

 

 

           เดิมทีหลินฝานเป็นเด็กดีที่สดใสร่าเริง บางทีอาจมีสักวันที่ได้เจอคนที่ดีกับเด็กคนนั้นจริงๆ และคนนั้นไม่ใช่เขาแน่นอน 

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดาย พวกเขาเจอกันผิดเวลา สุดท้ายเด็กคนนั้นก็จากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ จนถึงวันนี้เขาก็ยังหาร่องรอยของเด็กคนนั้นไม่เจอ 

 

 

           ไป๋จิ่งฝืนยิ้ม หลินฝานคงไม่อยากจะเจอเขาไปตลอดชีวิตเลยสินะ 

 

 

           ไป๋จิ่งสูบบุหรี่เข้าไปอีกสองครั้ง แล้วถึงกดบุหรี่ลงที่เขี่ยบุหรี่เพื่อดับไฟ หลังจากกลิ่นบุหรี่จางลงแล้ว ถึงได้กลับเข้าห้องไป 

 

 

           …… 

 

 

           กว่าซือเหยี่ยนจะลงจากเครื่องบินมา ฟ้าก็ใกล้จะสว่างแล้ว รถที่เตรียมไว้ล่วงหน้าจอดรอเขาที่สนามบินเรียบร้อยแล้ว ซือเหยี่ยนขึ้นรถมาก็ไม่ได้ให้พวกเขาไปส่งที่โรงแรม แต่ให้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เจียงมู่เฉินอยู่ทันที 

 

 

           ซือเหยี่ยนผู้ไม่ได้นอนทั้งคืน นั่งพิงพนักที่นั่งหลับตาพักผ่อนร่างกายสักพักหนึ่ง รถที่ขับมานิ่งๆ จู่ๆ ก็เบรกกะทันหัน 

 

 

           “ประธานซือครับ ทางข้างหน้าพังถล่ม ผ่านเข้าไปตอนนี้ไม่ได้ครับ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนลืมตามองข้างนอก แนวเขาด้านข้างพังถล่มลงมา เศษหินกระจัดจายปิดทางเอาไว้ ไม่มีทางจะผ่านเข้าไปได้ 

 

 

           “ที่นี่ห่างจากที่นั่นอีกเท่าไหร่” 

 

 

           “ยังอีกประมาณเก้าสิบกว่ากิโลเมตรครับ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนคำนวณเวลาเดินเท้า แล้วรีบเอ่ย “รีบหาคนมาเคลียร์เส้นทาง” 

 

 

           ถนนทางเข้าภูเขาถูกปิดช่องทางด้วยหินที่ถล่มลงมา ซือเหยี่ยนถูกปิดกั้นให้อยู่รอบนอกชั่วคราว เขามองดูเวลา ต้องเสียเวลาอีกกี่ชั่วโมงกัน 

 

 

           เขาก้มหน้าลงกลุ้มใจอยู่ไม่เบา ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินเจ้าหมอนั่นตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจียงมู่เฉินที่เขาเป็นห่วงนักเป็นห่วงหนา ตอนนี้กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง ไม่รู้เลยสักนิดว่าเขาถูกปิดกั้นอยู่ข้างนอกห่างไกลออกไปอีกกี่สิบกิโลเมตร เข้ามาหาไม่ได้ 

 

 

           ตอนที่ซังจิ่งมาเคาะประตูหา เจียงมู่เฉินยังไม่ตื่นนอน 

 

 

           เคาะไปตั้งนานก็ไม่มีใครมาเปิดประตู ซังจิ่งถอนหายใจเบาๆ คิดว่า คุณชายน้อยคนนี้คงจะไม่ได้นอนหมดสติไปหรอกใช่ไหม เขาเคาะต่ออีกสองที “คุณชายเจียง ตื่นหรือยัง” 

 

 

           ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็มีปฏิกิริยากลับมาบ้างแล้ว เขาขยับขาเรียวยาว ลืมตาขึ้นมาอย่างเฉื่อยชา กำลังจะเตรียมพุ่งตัวจากข้างเตียงไปตามความเคยชิน ถึงได้พบว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง  

 

 

           “เจียงมู่เฉิน” 

 

 

           ข้างนอก ซังจิ่งยังเคาะประตูต่ออีก เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงต่ำ “ตื่นแล้ว จะออกไปเดี๋ยวนี้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูห้องนอนที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเพียบพร้อม แล้วถอนหายใจเบาๆ เขาลงจากเตียงเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้วถึงออกไป 

 

 

           วันนี้ซังจิ่งใส่ชุดลำลองออกมา ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีพิษมีภัยอะไร เป็นมาดคนดีทีเดียว 

 

 

           “มากินอาหารเช้าก่อน กินเสร็จผมจะพาคุณเข้าไปในเขา” 

 

 

           ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรก เขายังรู้สึกแปลกที่แปลกทางอยู่จริงๆ เจียงมู่เฉินนั่งกินอาหารเช้าไป พลางพินิจมองรอบๆ ไปด้วย สุดท้ายสายตาก็มาหยุดลงที่ใบหน้าของซังจิ่ง 

 

 

           ซังจิ่งโดนเขาจ้องขนาดนี้ก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ “จู่ๆ คุณมาจ้องผมขนาดนี้ทำไม” 

 

 

           ในแววตาเจียงมู่เฉินแฝงความอยากหยั่งเชิงอยู่ในที “รู้สึกแปลกๆ นิดนึง” 

 

 

           “แปลกตรงไหน” จู่ๆ ซังจิ่งก็นึกถึงคำพูดเมื่อวานของเขาขึ้นมาได้ รีบเอ่ยเสริม “อย่าบอกผมนะว่า เพราะผมน่าสะอิดสะเอียน เลยรู้สึกแปลกๆ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินบันเทิงแล้ว เมื่อก่อนทำไมถึงไม่ค้นพบว่าซังจิ่งยังพกพรสวรรค์ทางตลกมาด้วยนิดนึงนะ 

 

 

           ซังจิ่งจ้องมองใบหน้าของเขา รู้สึกแปลกใจอยู่ในที “เห็นไม่ได้บ่อยจริงๆ ไม่คาดคิดว่าคุณชายน้อยเจียงจะยิ้มให้ผมแบบนี้เป็นครั้งแรก แถมยังไม่ใช่ยิ้มเยาะด้วย” 

 

 

           เมื่อก่อนครั้งนั้นที่เจอหน้าเขา ทั้งเหน็บแหนม ทั้งเย้ยหยัน สีหน้าท่าทางราวกับรังเกียจเขาเต็มประดา 

 

 

           คิดไม่ถึงว่าคนสองคนที่เพิ่งจะอยู่ร่วมกันวันหนึ่ง จะเริ่มให้ใบหน้าที่มีรอยยิ้มกันแล้ว ซังจิ่งคิดว่า ถ้าอยู่ร่วมกันต่ออีกหลายๆ วัน จะพัฒนาความสัมพันธ์ได้เร็วยิ่งขึ้นใช่ไหมล่ะ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 201 ห้าปีก่อน ณ อเมริกา 

 

 

           “นายอย่าคิดมากไปเลย ฉันไม่ได้คิดจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นหรอก” ถึงแม้จะอยู่ในช่วงทำสงครามเย็นกับซือเหยี่ยนอยู่ แต่เขาก็ไม่คิดจะปีนกำแพงไปหาคนอื่น 

 

 

           “ที่จริงผมก็ใช้ได้อยู่ไม่เบา คุณไม่คิดจะลองกับผมจริงๆ เหรอ” ซังจิ่งเอ่ยแนะนำอีกครั้ง 

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกขึ้นมาด้วยท่าทีเฉื่อยชา “รีบกินเถอะ ฉันจะรอนายอยู่ข้างนอก”  

 

 

           ซังจิ่งมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินที่ค่อยๆ เดินลับไปไกล แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น จู่ๆ เขาไม่อยากรับภารกิจนี้ต่อแล้ว คุณชายน้อยคนนี้ช่างโดนใจถูกรสนิยมของเขาจริงๆ อยากจะลักพาเจ้าตัวไปเก็บไว้ครอบครองโดยไม่สนใจอะไรเสียจริงๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินออกมาจากห้องอาหารแล้ว ถึงได้พบว่าภูเขาลูกนี้ถือว่าทิวทัศน์งดงามจับตาจริงๆ เมื่อวานมาถึงค่ำเกินไป ฟ้ามืดอะไรก็มองไม่เห็น 

 

 

           ตอนนี้ตื่นมาตอนเช้าถึงได้ค้นพบว่า ถ้าสถานที่แห่งนี้ได้ทำเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจคงจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลว แค่เห็นวิวทิวทัศน์ก็ทำให้คนเบิกบานใจแล้ว 

 

 

           “เป็นยังไงบ้าง สถานที่แห่งนี้ไม่เลวเลยใช่ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ไม่เลวจริงๆ” 

 

 

           “ผมจะพาคุณขึ้นไปข้างบน มองลงมาจากข้างบน จะยิ่งสวยกว่านี้อีก” ซังจิ่งพูดไปก็เดินไปเปิดประตูรถ “ไปกันเถอะ เข้าเขากัน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งข้างที่นั่งคนขับ เขารัดเข็มขัดนิรภัยไป พลางหัวเราะเยาะไปด้วย “ทักษะการขับรถนายโอเคไหม ฉันยังไม่อยากตายนะ” 

 

 

           ซังจิ่งยกมุมปากขึ้น “วางใจเถอะคุณชายน้อย ผมก็ทำใจเห็นคุณตายไม่ได้หรอก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะ ในเมื่อเขากล้าขึ้นไปนั่งในรถ ก็ต้องเชื่อมือของซังจิ่งอยู่แล้ว ไม่ว่าเป้าหมายของซังจิ่งคืออะไร เวลานี้ไม่มีทางที่เขาจะทำให้ตัวเองเกิดเรื่องได้ 

 

 

           ระหว่างที่ขึ้นเขาไป เจียงมู่เฉินมองไปนอกหน้าต่าง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “นายไม่ได้มาครั้งแรกสินะ” 

 

 

           “เคยมาสองครั้ง ในเมื่ออยากจะลงทุน จะเลือกอะไรก็ได้ไม่ได้อยู่แล้ว” 

 

 

           “แล้วทำไมครั้งนี้ถึงคิดให้ฉันมาด้วย ฉันเข้าร่วมแบ่งน้ำแกง[1]กับนายได้เท่านั้นเองนะ” 

 

 

           ซังจิ่งเลิกคิ้ว “ถ้าผมบอกว่าผมเสนอเรื่องนี้มาคืออยากให้คุณเข้าร่วม เพื่อให้ผมได้ใกล้ชิดคุณ คุณจะเชื่อไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเหยียดยืดขาอย่างเอื่อยๆ “เชื่อ ตั้งแต่ตอนหลินไห่ นายก็ทำแบบนี้แล้วไม่ใช่เหรอ” 

 

 

           เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ที่จริงเป็นนายที่แนะนำพ่อฉันให้ฉันควบคุมโครงการหลินไห่นี้ด้วยล่ะสิ เพื่อให้ฉันต้องติดต่อกับนาย ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธได้ 

 

 

“คุณชายเจียงฉลาดอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ ผมได้ดินก้อนนี้มา ก็จงใจไปหาเจียงเฉินกรุ๊ปบอกว่าต้องการร่วมทำโครงด้วย โครงการหลินไห่นั่นไม่ได้กำไรเพิ่ม ประธานเจียงก็รู้อยู่แก่ใจ” 

 

 

           พูดถึงตรงนี้แล้ว ซังจิ่งก็ถือโอกาสพูดทุกอย่างออกมาหมดเสียเลย ถึงอย่างไรเขาจะสารภาพหรือไม่ เจียงมู่เฉินเองก็ทายได้เกือบครึ่งแล้ว 

 

 

           “หลังจากผมกับประธานเจียงเจรจาเรื่องโครงการร่วมกันเสร็จ ก็ระบุให้เขามาร่วมโครงการนี้ด้วย เพียงแต่ว่าผมคิดไม่ถึงว่าประธานเจียงจะให้คุณรับผิดชอบโครงการนี้โดยตรง” ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “ถึงแม้ว่าจะเกินที่ผมคาดการณ์ไว้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเหนือความคาดหมายที่น่ายินดี” 

 

 

           “ดังนั้นเป้าหมายของนายก็เป็นฉันมาตั้งแต่แรกเหรอ” 

 

 

           “จะว่าอย่างนี้ก็ได้” 

 

 

           “พวกเราไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน ทำไมนายต้องตามหาฉันให้ได้ เพราะว่าหน้าตาฉันตรงรสนิยมนายเหรอ” 

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “เมื่อก่อนผมเคยเจอคุณ แต่คุณคงจะลืมไปแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “หมายความว่าไง” 

 

 

           “ห้าปีก่อนที่อเมริกา พวกเราเคยเจอกัน” 

 

 

           ‘ห้าปีก่อนที่อเมริกา?’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว เรื่องเมื่อห้าปีก่อน เขาลืมไปตั้งนานแล้ว อะไรก็ไม่จำแล้ว ตอนนี้มานั่งนึกกลับไป อะไรก็นึกขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

           ถ้าไป๋จิ่งพูดออกมาขนาดนี้จริงๆ เขาเองก็ไม่มีวิธีใดจะพิสูจน์ได้ 

 

 

           “คุณชายเจียงช่างเป็นคนรวยที่มักจะขี้ลืม[2]จริงๆ จำไม่ขึ้นใจแล้ว” 

 

 

           ได้ยินซังจิ่งพูดมาแบบนี้ จู่ๆ เขาก็ชักจะอยากรู้แล้วว่าเขาเมื่อห้าปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมหลังจากที่ตื่นมา ความทรงจำทั้งหมดทุกอย่างถึงไม่มีอยู่เลย 

 

 

 

 

 

[1] แบ่งน้ำแกง มาจากฉากหนึ่งในนิทานเรื่องเสียงเพลงเมืองฉู่ก้องสี่ทิศ เป็นเรื่องราวการสู้รบระหว่างเซี่ยงอวี่กับหลิวปังที่ดำเนินไปหลายปี ในประวัติศาสตร์ขนานว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างฉู่กับฮั่น มีอยู่ครั้งหนึ่งเซี่ยง อวี่ได้ตีหลิวปังพ่ายแพ้หนัก อีกทั้งจับกุมบิดาและภรรยาของหลิวปัง เซี่ยงอวี่ใช้บิดาของหลิวปังเป็นตัวประกัน เรียกร้องให้หลิวปังยอมแพ้ ขู่หลิวปังว่าถ้าไม่ยอมแพ้ ก็จะสังหารบิดาของเขา แล้วต้มเป็นน้ำแกงกิน คาดไม่ถึงว่า หลิวปังกลับกล่าวต่อเซี่ยงอวี่ว่า”ตอนที่เราร่วมต่อต้านฉินนั้น เราเป็นพี่น้องกัน บิดาข้าพเจ้าก็คือบิดาของท่าน ถ้าเอาบิดาของพวกเราต้มเป็นน้ำแกง ก็อย่าลืมแบ่งให้ข้าพเจ้าสักถ้วย” เซี่ยงอวี่จนปัญญา ได้แต่ส่งตัวบิดาและภรรยาของหลิวปังกลับไป  

 

 

[2] คนรวยมักจะขี้ลืม เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่า คนขี้ลืมจะถูกเสียดสีว่าเป็นคนมั่งมี อะไรก็ไม่ใส่ใจจำ 

ตอนที่ 198 ความรักราคาถูกมาก

 

 

           มั่วไป๋หลับยาวจนถึงกลางดึกถึงเพิ่งจะตื่นขึ้นมา เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แล้วพบว่าทั้งห้องเป็นสีดำมืดไปหมด จังหวะที่เขาเอียงคอก็เห็นใบหน้ายามหลับใหลของไป๋จิ่งเข้าพอดี

 

 

           มั่วไป๋มองดูใบหน้านั้นในระยะประชิด ใจก็ลอยไปนิดหน่อย

 

 

           นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้นอนกันอย่างสงบนิ่งขนาดนี้

 

 

           ครุ่นคิดเรื่องราวอยู่หลายนาที มั่วไป๋ถึงได้ดึงมือของไป๋จิ่งที่วางอยู่บนเอวของตัวเองออก เขาลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง แล้วเดินออกจากห้องนอนไป

 

 

           ยืนที่ห้องรับแขก มั่วไป๋เทน้ำรินใส่แก้วให้ตัวเอง เพิ่งจะตื่นนอนมาก็มีชีวิตชีวาขึ้นบ้างแล้ว เขาเดินไปยืนอยู่ที่ระเบียง ลมพัดโชยให้เสื้อเชิ้ตบนตัวเขาปลิวไสว เผยให้เห็นไหล่ผอมบาง มั่วไป๋กำแก้วในมือไว้แน่น

 

 

           เขาถอนหายใจเงียบๆ โน้มตัวพิงระเบียง ทันใดนั้นก็มีมือๆ หนึ่งจากด้านหลังเข้ามาโอบกอดเขาไว้ในอ้อมอก มั่วไป๋ตะลึงงันไปสักพัก เขากลับไม่ดิ้น แต่เอนซบอกแกร่งไปทั้งแบบนี้

 

 

           “ทำไมลุกมาแล้วล่ะ” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           “นอนไม่ค่อยหลับ ก็เลยอยากออกมายืนสักหน่อย” มั่วไป๋ดื่มน้ำเข้าไป แล้วถามต่อ “นายล่ะ ฉันเสียงดังจนทำให้นายตื่นหรือเปล่า”

 

 

           ไป๋จิ่งเกยคางไว้บนไหล่ของมั่วไป๋ “ไข้คุณลดหรือยัง”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้าเล็กน้อย “ลดแล้ว ดีขึ้นเยอะแล้ว”

 

 

           ข้างนอกระเบียงถึงจะเป็นเวลากลางดึกแล้ว แต่แสงไฟทั้งเมืองกลับสว่างแพรวพราว ภายใต้แสงไฟที่สาดส่อง ใบหน้ามุมข้างของมั่วไป๋ยิ่งสะท้อนความอ้างว้างอย่างชัดเจน

 

 

           มือไป๋จิ่งที่โอบกอดเขาไว้อดไม่ได้ที่จะกระชับแน่นขึ้น เขากอดแนบกายชิด เอ่ยที่ข้างๆ หูคนในอ้อมกอด “พูดเรื่องในอดีตของคุณกับผมได้หรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “นายอยากจะถามเรื่องแฟนเก่าคนนั้นของฉันสินะ”

 

 

           “ขอโทษ ผมก็แค่รู้สึกว่าคุณดูเหมือนจะได้รับความเจ็บปวดครั้งใหญ่ เพราะเขา”

 

 

           ครั้งแรกที่ได้เข้าหามั่วไป๋ ก็แค่รู้สึกว่าคนคนนี้หน้าตาดี บุคลิกดูเย็นชา ดึงดูดใจตัวเองอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ต่อมาพอค่อยๆ ได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดกัน ถึงได้รู้ตัวว่านับวันยิ่งใกล้ชิดกันยิ่งรู้สึกทั้งรักทั้งสงสารเขา

 

 

           โดยเฉพาะยามที่ได้เห็นสีหน้าแสนเย็นชาของเขา ไป๋จิ่งรู้สึกราวกับมีมือๆ หนึ่งเข้าไปจับกุมหัวใจของเขาไว้แน่นอย่างไร้ความปราณี

 

 

           นั่นเป็นความรู้สึกอีกมุมหนึ่งที่ไป๋จิ่งไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน

 

 

           ท่ามกลางความเงียบงัน ไป๋จิ่งคิดว่ามั่วไป๋จะเหมือนกับคราวก่อน จะไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น

 

 

           แต่เวลานี้ จู่ๆ มั่วไป๋ก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา “ฉันเคยชอบเขา แต่น่าเสียดาย เขาไม่ชอบฉัน”

 

 

           “ถ้าจะบอกว่านายคิดว่าฉันได้รับความเจ็บปวดอะไรเพราะเขา มันก็ไม่เชิง แต่เป็นฉันเองที่เข้าไปหาเอง”

 

 

           ตอนนั้นเขารู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่กำลังจะทำไม่ต่างจากแมงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่เขากลับบินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งโดนไฟแผดเผา เขาถึงได้เข้าใจว่าตัวเองนั้นโง่งมงายสิ้นดี

 

 

           “ไป๋จิ่ง นายคงจะไม่รู้ว่าฉันเคยชอบเขามากแค่ไหน”

 

 

           ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น ร่างกายเกิดสั่นเทาขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ไป๋จิ่งที่กอดเขาอยู่เพียงชั่วพริบตาก็รู้สึกได้ มือที่โอบกอดกระชับแน่น เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่านิดหน่อย “แล้วต่อมาล่ะ”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ “ต่อมาเหรอ…”

 

 

           “ต่อมาฉันก็เกือบจะตาย หลังจากถูกช่วยชีวิตมาแล้ว ฉันก็ไม่รักเขาแล้ว”

 

 

           จู่ๆ มั่วไป๋ก็หมุนตัวหันกลับมามองไป๋จิ่ง “ดังนั้น ฉันที่นายเห็นในตอนนี้ที่จริงได้ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ฉันที่เป็นแบบนี้ นายยังคิดอยากจะเล่นเกมกับฉันอยู่อีกเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งสบสายตาแสนเย็นชาของเขา ข้างในนั้นไม่มีความหวังแม้เพียงนิด สงบนิ่งราวกับบึงน้ำตายที่ไร้เส้นคลื่น

 

 

           เขาไม่เข้าใจว่าต้องชอบมากสักแค่ไหน ถึงได้เปลี่ยนคนที่มีชีวิตชีวากลายเป็นแบบนี้ในวันนี้ไปได้

 

 

           “ผมไม่ได้คิดจะเล่นเกมกับคุณ” ไป๋จิ่งมองเขาตรงๆ “มั่วไป๋ ผมชอบคุณ ให้ผมดูแลคุณได้ไหม”

 

 

           มั่วไป๋เงียบไปไม่กี่นาที จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา เขาค่อยๆ ดึงมือไป๋จิ่งที่จับแขนเขาอยู่ “ชอบเหรอ”

 

 

           “ชอบคือสิ่งของประเภทที่ราคาถูกมาก เสี้ยวเวลาที่พูดออกจากปากก็ไม่มีราคาแม้แต่สักนิดแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาด้วยความตระหนก “ผมพูดจริงๆ ไม่ได้กำลังล้อเล่น”

 

 

           “นายชอบฉันที่ตรงไหนเหรอ” มั่วไป๋มองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย “ใบหน้านี้? ร่างกายนี้? หรือว่าเพราะนายไม่เคยเจอคนอย่างฉัน คนแบบที่นายไม่ได้มาง่ายๆ เลยรู้สึกอยากรู้อยากลองเพียงเท่านั้นเอง?จ”

 

 

 

 

ตอนที่ 199 เรื่องราวในอดีตของไป๋จิ่ง

 

 

           “เพราะเป็นคุณคนนี้ไม่ได้เหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ชะงักนิดหนึ่ง “คนเหรอ”

 

 

           “เพราะว่าเป็นคุณ ผมถึงได้ชอบคุณไง” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำอีกครั้ง

 

 

           ราวกับมั่วไป๋รู้สึกน่าขันจนยกมุมปากขึ้นเบาๆ ถ้าไป๋จิ่งรู้ว่าเขาก็คือ ‘หลินฝาน’ ในตอนนั้น คงจะไม่พูดประโยคในวันนี้ออกมาแน่

 

 

           “นายเองก็ใช้วิธีแบบนี้ง้อคนบ่อยๆ ใช่ไหม” มั่วไป๋หัวเราะเบาๆ ค่อนข้างจะมองเขาด้วยความใคร่รู้

 

 

           “คุณเป็นคนแรก” ไป๋จิ่งบอกไปตามตรง

 

 

           “นายไม่ต้องคิดมาบอกฉันหรอก เพราะคนอื่นเห็นนายก็วิ่งแจ้นใส่นายแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งลูบจมูกปอยๆ “ถึงจะเขินบ้างที่จะยอมรับ แต่ก็เป็นจริงตามนี้”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ “สุดยอดไปเลย ไม่ปฏิเสธใครที่เข้ามาได้พอดีด้วย”

 

 

           ไป๋จิ่งถอนหายใจ “คุณเห็นว่าผมว่างงานมากหรือไง ยังจะมาไม่ปฏิเสธใครที่เข้ามาอีก”

 

 

           หลายปีมานี้เขาโดนซือเหยี่ยนโขกสับมาตลอด เวลาพักสักนิดก็ไม่มี แล้วจะมีเวลาไปมีความรักกับคนอื่นเมื่อไหร่กัน ตลอดหลายปีมานี้ มั่วไป๋ถือเป็นคนแรกที่เขาตามจีบ

 

 

           “อะไรกัน นายอย่าบอกฉันนะว่า หลายปีมานี้นายจิตใจขาวสะอาดใช้ชีวิตอย่างสันโดษมาตลอด”

 

 

           “นี่คุณเริ่มจะสอบประวัติเรื่องความรักของผมแล้วใช่ไหม” ไป๋จิ่งจงใจเอ่ยหยอกล้อ

 

 

           “นายจะให้ฉันสอบประวัตินายเหรอ” มั่วไป๋ยกมุมปากด้วยท่าทีเย็นชา

 

 

           “ถึงแม้ว่าภายนอกผมจะดูเป็นคนหลายใจไปหน่อย แต่ที่จริงแล้วยังถือว่ารักเดียวใจเดียวมากอยู่” ไป๋จิ่งถอนหายใจ

 

 

           “รักเดียวใจเดียว? นายอย่าบอกฉันนะ ว่านายไม่มีสักคน”

 

 

           “เคยมีอยู่คนหนึ่ง” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           มั่วไป๋เลิกคิ้วไม่ค่อยอยากจะถามอีกต่อไป เขารู้สึกว่าตัวเองหาเรื่องให้ตัวเองลำบากใจแล้ว ฉวยโอกาสสอบประวัติชีวิตส่วนตัวของไป๋จิ่ง อยากจะพิสูจน์อะไรเหรอ

 

 

           ‘พิสูจน์ว่าเขาในตอนที่ตัวเองใกล้จะตาย ข้างกายยังมีคนอื่นอีกเหรอ’

 

 

           เขาเอามือผลักไป๋จิ่งออก “ตอนนี้ฉันง่วงแล้ว ขอตัวไปพักก่อนนะ” เขาพูดจบก็เดินเข้าห้องนอนไป

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ตรงระเบียงเห็นด้างข้างมีบุหรี่วางไว้พอดี จึงหยิบออกมาจุดไฟมวนหนึ่ง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เหม่อมองออกไปข้างนอก

 

 

           ถ้าคืนนี้มั่วไป๋ไม่ถามเขา เขาคงใกล้จะลืมว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มอบความอบอุ่นให้เขามากมาย

 

 

           แวบแรกที่เจอมั่วไป๋ ก็รู้สึกว่าเขาเหมือนคนคนนั้นในตอนนั้นมากๆ ถึงแม้ว่าบุคลิกเฉพาะตัวจะแตกต่างกันมาก คนคนนั้นอบอุ่นมาก แต่มั่วไป๋กลับเย็นชาจนยากจะเข้าใกล้ได้ เสี้ยวนาทีนั้นที่ได้พบกับมั่วไป๋ ไม่รู้ว่าทำไมเงาสะท้อนของพวกเขากลับทับซ้อนกันได้พอดิบพอดีแบบนี้

 

 

           ถ้าบอกว่าเขาไป๋จิ่งใช้ชีวิตมาตั้งนานขนาดนี้ เคยมีคนที่ทรมานใจจากความละอายอะไรบ้างไหม ก็คงจะมีแค่เขาคนนั้นคนเดียวแล้ว  

 

 

           เขาหลับตาลงเบาๆ ในหัวก็ห้ามเสียงดังก้องของเขาคนนั้นไม่ได้ “ฉันชื่อหลินฝาน ฉันชอบนาย นายจะคบกับฉันไหม”

 

 

           “ชอบผม?”

 

 

           “ใช่สิ ฉันชอบนายมานานมากแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูเด็กหนุ่มวัยละอ่อนตรงหน้าตัวเองอย่างขำๆ ผิวขาวเกลี้ยงเกลา หน้าตาดีดูจิ้มลิ้ม ดูเหมือนจะไร้เดียงสาเกินไปจนจะถูกหลอกเอาง่ายๆ ทีเดียว

 

 

           “เจ้าหนู ดึกแล้วรีบกลับบ้านไปนอนเถอะ ไม่งั้นคนที่บ้านจะเป็นกังวลได้”

 

 

           หลินฝานชักจะเดือดดาลหน่อยๆ แล้ว เขาอายุยี่สิบแล้วนะ ยังเด็กอยู่ที่ไหนกัน

 

 

           “ฉันจริงจังนะ ไม่ได้ล้อเล่นกับนายสักหน่อย” เขาคิดอยู่ตั้งนานกว่าจะรวบรวมความกล้ามาสารภาพรักกับไป๋จิ่งได้

 

 

           “อะไรกัน นี่ชอบผมจริงๆ เหรอ” ไป๋จิ่งยกมุมปากขึ้น “งั้นคุณรู้ไหม ผมไป๋จิ่ง ต้องการร่างกายไม่ต้องการหัวใจ ถ้าคุณอยากจะคบกับผมจริงๆ ความสัมพันธ์ของพวกเรามีแค่บนเตียงเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว พวกเราไม่มีความสัมพันธ์ใดใดทั้งสิ้น”

 

 

           เขาเห็นเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสาก็จงใจจะทำให้เขาหวาดกลัว อยากให้เขารับรู้ถึงความลำบาก แล้วถอยหนีห่างไป “ดังนั้นถ้าคุณไม่ยอมรับ หนีไปตอนนี้ยังจะดีกว่านะ”

 

 

           หลินฝ่านกัดริมฝีปาก แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังคิดไตร่ตรองข้อเสนอเมื่อครู่นี้ของเขาอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าเปลี่ยนกลับไปกลับมา

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูเขาอยู่หลายนาที คิดว่าตัวเองพูดแบบนี้ไป คงจะทำให้เด็กน้อยตกใจกลัวแล้ว “เอาล่ะ ผมยังยุ่งมากอยู่ อยู่ต่อกับคุณที่นี่ไม่ได้แล้ว คุณรีบกลับบ้านแต่หัวค่ำเถอะ อย่ามาสถานที่แบบนี้อีก”

 

 

           เขาพูดจบก็หมุนตัวคิดจะเดินออกไป แต่กลับโดนหลินฝานจับตัวไว้ก่อน

 

 

           “ฉันคิดดีแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งเลิกคิ้วเงียบๆ

 

 

           “ที่นายพูดมา ฉันตกลงทุกอย่าง” เหมือนหลินฝานนึกถึงอะไรน่าอายขึ้นมาได้ แก้มแดงจัด “ฉันควรจะเป็นคู่…นอนของนาย”

ตอนที่ 196 สะอิดสะเอียนน่าดู

 

 

           “สัญญาณแย่?”

 

 

           “เพราะว่าภูเขาตรงนั้นยังไม่มีใครมาบุกเบิก ดังนั้นสัญญาณยังเข้าไปไม่ถึง รอให้บุกเบิกทำโครงการเสร็จ ก็ไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า ส่งข้อความหาคุณแม่เจียงบอกว่าเขามีธุระต้องออกไปทำ อีกไม่กี่วันจะกลับมา

 

 

           พูดจบก็ปิดมือถือ นอนหลับต่อ

 

 

           โคลงเคลงไปมาตลอดทางจนฟ้ามืดแล้ว ถึงเพิ่งมาถึงตีนเขา ซังจิ่งเรียกปลุกคนข้างๆ ให้ตื่น “ตื่นเถอะ ถึงแล้ว“

 

 

           เจียงมู่เฉินขยี้ตา นอกหน้าต่างรถมืดค่ำลงแล้ว “นี่คือที่ไหน”

 

 

           “ดึกแล้ว พักที่โรงแรมนี้ก่อน แล้วพรุ่งนี้พวกเราค่อยไปสำรวจกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ได้ ก็ไม่ได้รีบอะไรด้วย ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปแล้วกัน”

 

 

           ทั้งสองคนแบกสัมภาระลงจากรถ แล้วเดินตรงเข้าในโรงแรมไป ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นโรงแรม แต่ปัจจัยสภาพแวดล้อมไม่ถือว่าดีมากนัก ช่างแตกต่างกับเคหสถานที่เจียงมู่เฉินอาศัยอยู่ทุกวันลิบลับราวฟ้ากับเหว

 

 

           ยังดีที่เจียงมู่เฉินคนนี้ ถึงแม้จะถูกโอ๋ถูกเลี้ยงประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ทำตัวหัวสูง เขาไม่พูดไม่จา ลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปข้างใน

 

 

           ได้ห้องพักมาสองห้อง ทั้งสองคนอยู่กันคนละห้อง เจียงมู่เฉินลาซังจิ่งแล้วก็ลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในห้องทันที

 

 

           ภายในห้องไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเพียบพร้อม มีแค่เตียงหลังหนึ่งกับโต๊ะหนึ่งตัว นอกนั้นไม่มีอะไรสักอย่าง เจียงมู่เฉินนั่งลงบนเตียงหยิบมือถือออกมา หลังจากเปิดเครื่อง ไม่มีสัญญาณอย่างที่คิดไว้จริงๆ กดสไลด์หน้าจอไปมาอยู่ตั้งนานก็ไม่มีสัญญาณอะไรขึ้นมา

 

 

           คิดไปคิดมาเขาไม่เล่นมือถือแล้วดีกว่า ก่อนจะเอนกายนอนบนเตียงครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา

 

 

           เรื่องที่เจอที่บริษัทซือเหยี่ยนวันนี้ เขาไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้นแล้ว ถึงแม้ตอนที่ได้ยินซือเหยี่ยนพูดแนะนำตัวเขา จะดูห่างเหินเหมือนไม่สนิทกัน ทำให้เขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก แต่พอตอนนี้อารมณ์เย็นลง มาคิดดูอีกที ก็รู้สึกว่าที่ซือเหยี่ยนทำไปแบบนั้นต้องมีเหตุผลของซือเหยี่ยนเอง

 

 

           ถึงแม้จะรู้ว่าซือเหยี่ยนมีความคิดของตัวเอง แต่เวลาได้ยินซือเหยี่ยนพูดแบบนั้น ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

 

 

           เจียงมู่เฉินใจร้อนไม่เป็นสุขจนปิดตาลงไป เวลานี้ไม่อยากจะคิดเรื่องนี้ต่อไปอีกแล้วจริงๆ สงบสติอารมณ์กันสักสองวันก็ดี

 

 

           มีเรื่องอะไรก็รอให้สงบสติอารมณ์ใจเย็นลงได้ก่อน จะยิ่งทำให้ได้คำตอบได้ง่ายขึ้น อีกอย่างเดิมทีเขาก็ต้องมากับซังจิ่งอยู่แล้ว ได้จังหวะฉวยโอกาสใช้เวลานี้จัดการธุระให้เรียบร้อยพอดี

 

 

           ประตูถูกเคาะทีสองที เสียงไป๋จิ่งดังเข้ามาจากข้างนอก “คุณชายเจียง ออกมากินอะไรกันเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยันกายขึ้นมาจากเตียง เดินไปเปิดประตู “อืม ไปกัน”

 

 

           ทั้งสองคนไปข้างนอกด้วยกัน ซังจิ่งได้ให้คนเตรียมอาหารเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดเป็นอาหารป่ากลางเขา เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองดูอาหารที่วางเรียงรายบนโต๊ะ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอาหารป่าแบบนี้

 

 

           “เป็นไรไป ไม่ถูกปากเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “นายเป็นคนแรกที่พาฉันกินอาหารป่า แปลกจริงๆ”

 

 

           “ได้เป็นคนแรกที่พาคุณกินอาหารป่า ดีสุดๆ ไปเลย ไม่ว่ายังไงก็ได้เป็นคนแรกเชียวนะ” ซังจิ่งรู้สึกว่า ‘คนแรก’ คำนี้มีความหมายอยู่ไม่เบา

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าซังจิ่งเกินเยียวยาแล้วจริงๆ เรื่องอะไรก็เอามาโยงกับเขาได้ตลอด

 

 

           เขาหยิบตะเกียบคีบอาหารขึ้นมา ดูจากภาพนอกไม่ค่อยเท่าไหร่จริงๆ แต่พอเอาเข้าปากกลับแปลกไม่เหมือนใคร ชินกับอาหารเลิศรสชั้นดีมากมายก็จริง แต่บางทีได้มาสั่งอาหารแบบนี้กินก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยจริงๆ

 

 

           ซังจิ่งสังเกตดูเจียงมู่เฉินอยู่ตลอด เห็นเขากินได้ไม่ติดขัดก็วางใจแล้ว เขาเอาแต่กังวลว่าคุณชายน้อยผู้นี้คนที่ถูกประคบประหงมเลี้ยงมาพร้อมมาดคุณชายอันใหญ่โต จะไม่คุ้นชินกับการอาศัยอยู่ที่นี่

 

 

           เพียงแต่ว่าตอนนี้ดูท่าว่าคุณชายน้อยจะปรับตัวได้เร็วกว่าเขาอีก

 

 

           ซังจิ่งลูบคางไปมา ไม่ต้องพูดถึงเลย ว่าเขานั้นยิ่งชอบคุณชายน้อยผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองไป๋จิ่งผู้ต่ำตม “กินข้าวสิ นายจะมองฉันทำไม หน้าฉันมีดอกไม้หรือไง”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้าเงียบๆ “บนหน้าคุณดูดีๆ มีอะไรติดอยู่จริงๆ นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว

 

 

           “หล่อน่าดู!” ซังจิ่งตอบอย่างหน้าไม่อาย

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าอาหารไม่กี่คำที่เพิ่งจะกินเข้าไปเมื่อครู่นี้ อีกนิดจะอาเจียนออกมาทั้งหมดแล้ว เพราะโดนอีกคนทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียน เขามองไป๋จิง แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “บนหน้านายดูดีๆ ก็มีอะไรติดอยู่เหมือนกัน”

 

 

           ซังจิ่งเอ่ยถาม “อะไรเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเผยอปากขึ้นเอ่ยอย่างไม่ใยดี “สะอิดสะเอียนน่าดู”

 

 

              

 

 

ตอนที่ 197 ไปง้อด้วยตัวเอง

 

 

           ซังจิ่งทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ เขา…ดูน่าสะอิดสะเอียนมากเลยเหรอ

 

 

           ซังจิ่งผู้โดนด่าไปเต็มๆ ทำได้เพียงนั่งกินข้าวอย่างว่าง่าย ถึงอย่างไรคุณชายน้อยผู้นี้ด่าคนขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่ไว้หน้าใครเลยจริงๆ

 

 

           ที่สำคัญคือท่าทางที่เจียงมู่เฉินเอ่ยต่อว่าคนอย่างไม่ไยดีแล้วยักคิ้วขึ้นเล็กน้อยช่างดูมีเสน่ห์ เขายังชอบอยู่ไม่เบาจริงๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินคร้านจะพูดจากับซังจิ่งต่อ จึงรีบกินยัดๆ เข้าไป แล้วยังดื่มน้ำแกงต่ออีกหน่อย ถึงได้เอนพิงพนักเก้าอี้ นั่งพักครู่หนึ่ง

 

 

           เขาเอียงหัวมองไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกฟ้าสีดำ มีเพียงดวงไฟสองสามดวงที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด ฉายความอ่อนแอบางอย่างออกมา

 

 

           เป็นครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินได้มาในสถานที่แบบนี้ ทั้งสงบเงียบทั้งวังเวง ให้ความรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบเงียบงันลงไปหมด

 

 

           เขาลุกยืนขึ้นเดินออกไปทางประตูที่อยู่ด้านข้าง เขายืนใต้แสงไฟมองสิ่งต่างๆ รอบนอก พอมองไปก็เห็นท้องฟ้าที่เหมือนกับใช้ตาข่ายสีดำปกคลุมเอาไว้ทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้น มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง

 

 

           เขาดูต่ออีกสักพักก็เงยหน้าสูงขึ้นไปอีก บนท้องฟ้าทั้งหมดคือดวงดาว ประดับประดาอยู่เติมเต็มทั่วผืนฟ้า

 

 

           ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซังจิ่งเองก็เดินออกมาข้างนอกด้วย เขายืนอยู่ข้างเจียงมู่เฉิน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “รู้สึกว่าที่นี่เงียบเกินไปแล้วใช่ไหม”

 

 

           “ทำไม ประธานซังไม่ชินกับความเงียบสงบขนาดนี้เหรอ”

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “บอกตามตรง ก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินจริงๆ” เขาเอียงหัวมองเจียงมู่เฉิน “คุณล่ะ? คุณชินไหม”

 

 

           “เมื่อกี้ยังไม่ค่อยชิน แต่ตอนนี้ก็ยังพอได้ ตามธรรมชาติที่เป็นไปก็เท่านั้นเอง”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองอีกแวบหนึ่ง “โอเค ฉันจะกลับไปก่อนแล้ว นายค่อยๆ ปรับตัวไปแล้วกัน”

 

 

           ซังจิ่งเอียงหัวมองเจียงมู่เฉินที่เตรียมจะออกไป “บอกตามตรง ผมยังรู้สึกคิดไม่ถึงอยู่บ้างนะ”

 

 

           “หืม?”

 

 

           “คิดไม่ถึงว่าคุณจะพอใจกับสิ่งที่มีอยู่แบบนี้”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ทำไม คิดว่าปกติฉันดื้อรั้นหัวแข็งเกินจะทนหรือไง”

 

 

           “ตอนนี้ผมชอบคุณมากๆ จริงๆ นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “น่าเสียดาย ฉันเกรงว่าฉันจะชอบนายไม่ลง”

 

 

           “จะชอบหรือไม่ชอบเรื่องแบบนี้ ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง ถ้าหากว่าลองดูแล้ว คุณรู้สึกว่าผมคนนี้เหมาะสมเป็นพิเศษ ดีเป็นพิเศษล่ะ?”

 

 

           “ลองดู? เกรงว่าจะยากหน่อยนะ”

 

 

           “คุณว่าผมเทียบกับซือเหยี่ยนแล้ว ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเตะหินที่อยู่ใต้เท้า “อืม”

 

 

           “ถ้างั้นทำไมคุณถึงไม่เห็นผมในสายตาบ้าง” เขาไม่รู้จริงๆ ว่าสรุปแล้วตัวเองเทียบกับซือเหยี่ยนไม่ได้ตรงไหน

 

 

           “ไม่รู้”

 

 

           ซังจิ่งเลิกคิ้ว “ไม่รู้?”

 

 

           “อืม”

 

 

           “ไม่รู้หมายความว่าไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วเลิกคิ้วเงียบๆ “อะไรกัน ฉันไม่เห็นนายในสายตา นายยังจะโทษฉันหรือไง”

 

 

           ซังจิ่ง “…”

 

 

           ‘ดังนั้นที่เจียงมู่เฉินไม่เห็นเขาในสายตา ผิดที่เขางั้นสิ’ ซังจิ่งรู้สึกว่าจริงๆ แล้วตัวเองก็ไม่ได้มีความผิดอะไรขนาดนั้น

 

 

           ……

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินกลับเข้าห้องพัก เอนกายนอนบนเตียงแล้วกลับนอนไม่ค่อยจะหลับ เขามองดูภาพสีดำขลับที่นอกหน้าต่าง พลางหยิบมือถือออกมา แต่พอเห็นว่าสัญญาณสักขีดเดียวก็ไม่มีก็เอาเก็บเข้าไปอย่างเงียบๆ

 

 

           เขาหลับตาลง ไม่มีสัญญาณก็ดี จะได้ไม่ให้ตัวเองคิดอยากจะติดต่อกับซือเหยี่ยน

 

 

           ไม่รู้ว่าหลับตาไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็เข้าสู่นิทราไปเรียบร้อย ไม่มีซือเหยี่ยน พอมานอนคนเดียว ก็รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

 

 

           “ประธานซือครับ หาตำแหน่งของคุณชายเจียงเจอแล้วครับ”

 

 

           “จองตั๋วเครื่องบิน ฉันจะเข้าไปเดี๋ยวนี้” ซือเหยี่ยนไม่เอ่ยต่อ มุ่งหน้าไปสนามบินทันที

 

 

           “ได้ครับ”

 

 

           “ช่วงนี้บอกกับข้างนอกให้หมดว่าฉันไปดูงานต่างเมือง ติดต่อไม่ได้ ถ้าซูเตอร์มาหาฉัน บอกว่าฉันมีธุรกิจสำคัญมากที่ต้องไปเจรจา ช่วยฉันปฏิเสธให้หมด”

 

 

           “แล้วประธานไป๋ล่ะครับ? จะให้แจ้งข่าวชั่วคราวไหมครับ”

 

 

           ซือเหยี่ยนคิดอยู่พักหนึ่ง “พรุ่งนี้เช้าโทรหาไป๋จิ่ง บอกความจริงกับเขา ให้เขาต้องช่วยฉันปกปิดที่ๆ ฉันจะไป”

 

 

           “ได้ครับ ประธานซือ”

 

 

            กลางดึกซือเหยี่ยนนั่งเครื่องบินมุ่งตรงไปตามเจียงมู่เฉิน เขากุมขมับด้วยความเหนื่อยล้า รอเขาไปง้อด้วยตัวเอง ไปตามคนที่หนีไปให้กลับมาได้ก่อนนะ

ตอนที่ 194 นายอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ

 

 

           ไป๋จิ่งลูบจมูกป้อยๆ หน้าซื่อตาใส “ที่จริงผมเองก็ยังงงๆ ซือเหยี่ยนโทรหาผมบอกว่าต้องการจะติดต่อคุณ หลังจากนั้นผมก็มาเป็นเพื่อนเขามาที่นี่”

 

 

           มั่วไป๋ครุ่นคิด เขาหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหามั่วไป๋ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้อความของเขา เจียงมู่เฉินต้องตอบกลับมาอยู่แล้ว

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่ถึงนาที เจียงมู่เฉินก็ตอบกลับข้อความเขามา

 

 

           มั่วไป๋เห็นข้อความก็วางใจลงได้สักที

 

 

           “คุณไม่สบายหรือเปล่า ทำไมถึงรู้สึกว่าสีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลย” ตอนไป๋จิ่งเข้ามาก็รู้สึกว่ามั่วไป๋ดูท่าทางจะเหนื่อยเอามากๆ

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ “ไม่มีอะไร ก็แค่ไข้ขึ้นนิดหน่อย”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินว่าเขาไข้ขึ้นก็รีบมานั่งข้างเขาทันที “กลับไปนอนพักที่ห้องสักหน่อยเถอะ”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้าลุกขึ้นยืนจากโซฟา เพราะลุกขึ้นเร็วเกินไปทำให้ร่างกายผอมบางที่อ่อนแออยู่แล้วเสียหลักเซไปนิดหน่อย

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นก็หวั่นวิตกจนสอดแขนอุ้มอีกคนขึ้นมา

 

 

           มั่วไป๋ตกใจจนสะดุ้งโหยง เสียงต่ำเอ่ยทันใด “จู่ๆ มาอุ้มฉันทำไม”

 

 

           “แบบนี้เบาแรงกว่า”

 

 

           ไป๋จิ่งอุ้มเจ้าตัวเข้ามาข้างในห้อง วางร่างลงบนเตียงอย่างเบามือและนุ่มนวล ทั้งยังห่มผ้าให้ ทั้งยังเอาใจใส่ดูแล มั่วไป๋มองเขาอย่างน่าเอ็นดูผิดปกติ

 

 

           จนกระทั่งทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ไป๋จิ่งถึงได้ถามด้วยรอยยิ้ม “จ้องผมซะขนาดนี้ มีอะไรหรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น “ไม่มีอะไร จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแบบนี้นายหล่อมาก”

 

 

           “ผมหล่อแค่ตอนนี้หรือไง” ไป๋จิ่งพูดไปก็เอามือสัมผัสหน้าผากมั่วไป๋ไปด้วย อุณหภูมิร้อนผ่าวที่ฝ่ามือทำเอาเขารีบลุกขึ้นมาทันที “คุณนอนไปก่อนนะ เดี๋ยวผมจะรินน้ำมาให้”

 

 

           มั่วไป๋นอนอยู่ตรงนั้น เห็นเขารีบร้อนเดินออกไป เสียงฝีเท้าดังที่ข้างหูตลอดเวลา มั่วไป๋กะพริบตาพริบๆ รู้สึกว่าทุกอย่างนี้เหมือนกำลังฝันอยู่ไม่มีผิด

 

 

           คิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาจะวิ่งวุ่นทำโน่นทำนี่ไปทั่วเพื่อตัวเองได้

 

 

           มั่วไป๋หลับตาลงยิ้มออกมาอย่างจนใจ ถ้าทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน จะดีมากแค่ไหนกันเชียว?

 

 

           บางทีเขาอาจจะซึ้งใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำในวันนี้ จนควักหัวใจทุ่มรักเขาต่อไปก็ได้

 

 

           ไป๋จิ่งรีบถือแก้วน้ำเข้ามา ในมือยังถือยามาด้วย เขานั่งลงข้างเตียง เอ่ยเสียงต่ำ “มา กินยาก่อน แล้วค่อยไปนอนพักผ่อนดีๆ”

 

 

           มั่วไป๋มองยาลดไข้ในมือเขา แล้วยกมุมปากขึ้นเบาๆ “ฉันไม่มีแรง ไม่อยากกิน”

 

 

           ไป๋จิ่งร้อนใจแล้ว “คุณยังไข้ขึ้นอยู่ จะไม่กินยาได้ยังไง”

 

 

           มั่วไป๋มองเขา “งั้นนายป้อนฉัน?”

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ยินก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ เขาวางแก้วน้ำไว้บนตู้ข้างเตียง นั่งลงข้างมั่วไป๋ แล้วค่อยๆ ประคองขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

 

 

           เขาพยายามให้มั่วไป๋ได้เอนพิงอย่างสบายตัวแล้วถึงได้หันมาหยิบยาและแก้วน้ำ เขาส่งยาต่อให้มั่วไป๋ ครั้งนี้เขาเปิดปากกินยาเข้าไปอย่างว่าง่าย ดื่มน้ำตามแล้วถึงได้กลืนยาลงไป

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยถาม “ยังอยากดื่มน้ำอีกไหม”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว

 

 

           ไป๋จิ่งเอาแก้วน้ำกลับมาวางบนโต๊ะ เพิ่งจะหมุนตัวเตรียมจะคลายมือออกให้มั่วไป๋ได้นอนลงดีๆ จู่ๆ มั่วไป๋ก็ประชิดตัวเข้ามาจูบ

 

 

           เขาจูบตามอำเภอใจ แต่ท่าทางกลับไร้เรี่ยวแรงลงทีละนิด เพราะอาการป่วยเป็นสาเหตุ

 

 

           จนกระทั่งมั่วไป๋จูบเสร็จแล้ว ถึงได้ผละตัวออกนิดหนึ่ง

 

 

           “ยาขมมาก” มั่วไป๋เอ่ยเสียงต่ำอธิบาย

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะเบาๆ “ยังขมอยู่ไหม ยังขมอีกก็จูบอีกได้นะ”

 

 

           “ไม่ขมแล้ว”

 

 

           “โอเค งั้นคุณก็นอนพักผ่อนดีๆ แล้วกัน” ไป๋จิ่งค่อยๆ วางอีกคนให้นอนลง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาให้ ทันใดนั้นมั่วไป๋ก็คว้ามือเขาไว้แน่น

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาอย่างประหลาดใจ “เป็นไรไป หรือว่ายังรู้สึกไม่สบายอยู่”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋รับคำ “นายอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ ฉันคนเดียวนอนไม่หลับ”

 

 

 

 

ตอนที่ 195 เอียนมาก

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นใบหน้าขาวซีดของมั่วไป๋ ก็พยักหน้ารับ “ได้ งั้นผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ” เขาถอดเสื้อสูทออก แล้วทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้างหามั่วไป๋ เขาจ้องมองดวงตาสีดำขลับของมั่วไป๋แล้วยิ้ม “เอาล่ะ รีบนอนเถอะ ผมจะอยู่ตรงนี้เคียงข้างคุณเอง”

 

 

           อาจเพราะเสียงของไป๋จิ่งอ่อนโยนเกินไป มั่วไป๋ที่อยู่ข้างๆ กายเขาค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ เพียงครู่เดียวก็เข้าสู่นิทราไปในที่สุด

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งได้ยินเสียงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอที่ข้างกายแล้ว ถึงเพิ่งเอามือเกลี่ยผมที่ปกหน้าผากเขาออก

 

 

           เขาจ้องมองใบหน้าของมั่วไป๋ พลางถอนหายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เห็นเขาแบบนี้ ก็อดจะทั้งรักทั้งสงสารไม่ได้

 

 

           ไป๋จิ่งคว้ามือของมั่วไป๋ที่วางข้างตัวเอาไว้ เขากุมมือนั้นเบาๆ คอยอยู่เป็นเพื่อนเขา แล้วค่อยๆ หลับลงไปอย่างช้าๆ

 

 

           ……

 

 

           ตลอดทั้งบ่ายซือเหยี่ยนวิ่งวุ่นไปทุกที่ที่เจียงมู่เฉินจะสามารถไปได้ ไม่มีการตอบรับใดใดทั้งสิ้น ซือเหยี่ยนเพิ่งจะเข้าใจ ดูท่าว่าครั้งนี้เจียงมู่เฉินโกรธเขาแล้วจริงๆ

 

 

           เขาไม่อยากเจอหน้าตัวเอง เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่มีทางจะได้เจอเขา

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ ตอนนี้ซูเตอร์กลับประเทศมาแล้ว เจียงมู่เฉินยังมาหลบหน้าเขาในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้อีก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าเวลานี้ซูเตอร์เกิดนึกสงสัยขึ้นมา แล้วต้องการจะลงมือกับเจียงมู่เฉิน เขาจะต้องทำอย่างไร

 

 

           “ช่วยฉันสืบหาร่องรอยตำแหน่งที่เจียงมู่เฉินไปมาวันนี้ที”

 

 

           “ได้ ฉันจะตรวจสอบให้ทันที”

 

 

           ซือเหยี่ยนวางมือถือลง ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้อยู่ต่อหน้าหน้าต่าง หวังว่าเจ้าหมอนั่นอย่าไปไกลเกินไป ให้เขายังตามไปทันได้อยู่

 

 

           ……

 

 

           ลงจากเครื่องมาแล้ว เจียงมู่เฉินกับซังจิ่งก็นั่งรถที่ซังจิ่งเตรียมเอาไว้ มุ่งหน้าไปยังเขตภูเขา

 

 

           ระหว่างทาง ซังจิ่งมองดูเจียงมู่เฉินที่กำลังมองออกนอกหน้าต่างไป ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความใคร่อยากรู้ “ตลอดทางมาที่นี่ คุณไม่บอกผมเลยว่าทำไมถึงอยากมาล่วงหน้ากะทันหันแบบนี้ จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่คิดจะพูดอีกเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นขำๆ “ประธานซังพูดแบบนี้ตลกจริงๆ ก่อนขึ้นเครื่อง นายก็ถามไม่ได้อะไร นายยังคิดว่าลงเครื่องแล้ว นายยังจะถามได้คำตอบอยู่อีกเหรอ”

 

 

           “ให้ผมเดา…คุณคงจะไม่ทะเลาะกันกับซือเหยี่ยนหรอกใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ทำไม นี่นายหวังอยากจะให้ฉันทะเลาะกับซือเหยี่ยนมากเลยใช่ไหม”

 

 

           “ใช่สิ” ซังจิ่งพยักหน้ารับอย่างหน้าไม่อาย “พวกคุณทะเลาะกัน ผมก็จะได้เป็นตาอยู่เอาพุงปลาไปกิน[1]ซะเลย”

 

 

           “นายตื่นตาสว่างสักหน่อยเถอะ ซีอีโอซัง เรื่องเพ้อฝันขนาดนี้ นายยังกล้าคิดได้เหรอ”

 

 

           ซังจิ่งมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ “ผมยังแปลกใจมากอยู่จริงๆ คุณว่าคุณคบกับซือเหยี่ยนมีอะไรน่าสนุกกัน หน้าตายังกับก้อนน้ำแข็งแบบนั้น เห็นแล้วไม่รู้สึกเอียนบ้างเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแล้วกะพริบตาปริบๆ “ที่จริง ฉันรู้สึกว่าเห็นนายแล้วเอียนมากกว่าอีกนะ”

 

 

           พูดจบเจียงมู่เฉินก็หลับตาลงนอนทันที ทำท่าทางเหมือนซังจิ่งน่าเอียนมากจริงๆ

 

 

           ซังจิ่งทำไขสือลูบจมูกปอยๆ คิดใคร่ครวญอย่างจริงจัง นี่เขาดูเอียนมากขนาดนั้นเลยเหรอ

 

 

           ‘ที่จริงเขายังรู้สึกว่าตัวเองหล่อเอาเรื่องอยู่นะ’

 

 

           จากสนามบินมาก็ขึ้นทางด่วนไป หลังจากเดินทางได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็เป็นทางขึ้นเขาทั้งหมด เจียงมู่เฉินนั่งโคลงเคลงไปมาจนเวียนหัว สีหน้าดูไม่ค่อยจะไหวเท่าไหร่

 

 

           ซังจิ่งส่งน้ำขวดหนึ่งจากด้านข้างมาให้ “ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับที่ปวดตุบๆ ขึ้นมา “ไม่เป็นไร น่าจะเพราะเป็นครั้งแรกที่ใช้ถนนบนเขา เลยไม่ค่อยชินเท่าไหร่”

 

 

           “ผมไม่ได้พิจารณาถึงเรื่องนี้ไว้ ไม่ควรจะชวนคุณมาเลย ถ้ารู้แต่แรกว่าคุณไม่ชินกับถนนบนเขาแบบนี้”

 

 

           “ช่างเถอะ ไหนๆ ฉันก็มาแล้ว ตอนนี้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก” เจียงมู่เฉินรับขวดน้ำต่อจากมือซังจิ่งมาเปิดฝาดื่มเข้าไปหนึ่งคำ

 

 

           “ข้างหน้ายังอีกไกลเท่าไหร่”

 

 

           “ประมาณอีกหนึ่งชั่วโมง”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่างดูเส้นทางบนเขา แล้วกุมขมับ “งั้นฉันจะนอนสักพักหนึ่ง ใกล้ถึงแล้วเรียกฉันด้วย”

 

 

           ซังจิ่งพยักหน้า “ได้ คุณพักผ่อนดีๆ เถอะ” ระหว่างพูดอยู่ จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว คุณต้องการจะบอกครอบครัวคุณหน่อยไหม เดี๋ยวเข้าในภูเขาแล้วสัญญาณจะแย่มาก”  

 

 

   

 

 

 

 

[1] เป็นตาอยู่เอาพุงปลาไปกิน เป็นสำนวนมาจากเรื่องราวของตาอิน กับ ตานา หาปลามากินกัน ได้ปลาทุกวันรักกันก็ปันกันไป แล้ววันหนึ่งได้ปลามาตัวเดียว ตาอินกับตานาเริ่มทะเลาะกัน ตาอยู่มาเดี๋ยวเดียวคว้า พุงเพียวๆ ไปกิน มักใช้เพื่อตักเตือนว่า ยามที่ต้องทะเลาะ หรือมีปากเสียงกับผู้อื่น ควรใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาแทนที่จะใช้อารมณ์ มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย ปล่อยให้มือที่ 3 ได้รับประโยชน์ไปฟรีๆ 

ตอนที่ 192 เหยียบย่ำจนแหลกโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

 

 

           มั่วไป๋ถือบุหรี่เข้าไปใกล้ๆ “ช่วยฉันจุดไฟหน่อยสิ”

 

 

           ไป๋จิ่งกดเปิดไฟแช็กช่วยจุดบุหรี่ให้เขา

 

 

           นานแล้วที่เขาไม่ได้สูบบุหรี่ รู้สึกได้ถึงกลิ่นบุหรี่ที่คุ้นเคยค่อยๆ อบอวลอยู่ในปาก คิ้วมั่วไป๋คลายออกจากกันเล็กน้อย

 

 

           มั่วไป๋ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียง ความเย็นชาปกคลุมไปทั่วร่าง ปลายนิ้วคีบบุหรี่อย่างถนัดมือ ภาพที่ปรากฏพาให้รู้สึกอ้างว้างทีละนิดๆ

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นท่าทางแบบนี้ของมั่วไป๋ ดูใจลอยอยู่ในที

 

 

           “นายอยากถามเรื่องแฟนเก่าของฉันใช่ไหม”

 

 

           จู่ๆ เสียงของมั่วไป๋ก็ดังขึ้นทำให้สายตาของไป๋จิ่งหยุดชะงักลง เขากะพริบตาพยักหน้า “ใช่ ถ้าไม่สะดวกจะพูด คุณไม่พูดก็ได้นะ”

 

 

           “ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรไม่สะดวกหรอก” มั่วไป๋หลับตาลงเล็กน้อย “เพียงแต่ว่าไปรักผิดคน เลยต้องจ่ายค่าเสียเวลาไปเท่านั้นเอง”

 

 

           “เพราะเรื่องนี้ เจียงมู่เฉินเลยกลัวว่าผมจะเป็นเขาคนต่อไปใช่ไหม”

 

 

           ‘มิน่าล่ะทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินเขาพูดแบบนั้นถึงได้เปลี่ยนไปในพริบตา’

 

 

           “เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ได้ เขาแค่เป็นห่วงฉัน”

 

 

           ไป๋จิ่งทำเสียงกระดกลิ้น “ผมรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาดีมากจริงๆ”

 

 

           ที่ไปกินอาหารด้วยกันครั้งนั้น เขาคิดแค่เพียงว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจียงมู่เฉินกับมั่วไป๋สนิทสนมกับระดับหนึ่ง เจอกันวันนี้ถึงได้พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนสนิทสนมกันมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้เยอะมาก

 

 

           “ดีมากๆ เลยล่ะ” มั่วไป๋ตอบแค่นั้น ไม่ยอมพูดมากกว่านี้

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นท่าทางเขาแบบนี้ ก็ไม่ตามถามต่ออยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ถามมากเกินไปก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก

 

 

           “ครั้งนี้ผมจริงจัง” ไป๋จิ่งเอียงหัวมองมั่วไป๋ “บอกตามตรง ผมรู้สึกว่าเหมือนว่าผมจะชอบคุณขึ้นมาบ้างแล้ว”

 

 

           อย่างน้อยเมื่อครู่นี้ยามที่เขาเห็นมั่วไป๋ยืนโดดเดี่ยวคนเดียวอยู่ตรงระเบียง เขาก็อยากจะอยู่เคียงข้างมั่วไป๋แล้ว

 

 

            ถ้าพูดว่าสิ่งที่เขากำลังรู้สึกนี้คือ ‘ชอบ’ เขาก็ควรจะชอบมั่วไป๋ขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ได้ยินคำพูดของเขาก็ไม่ได้มีท่าทีตอบสนองอะไรมากมาย เพียงแค่ยิ้มหัวเราะ “ไป๋จิ่ง นี่นายเคยชอบใครมากี่คนแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งพูดไม่ออกไปสักพัก เขาครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยออกมา “น่าจะมีคนหนึ่ง” เพียงแต่ว่าเขายังไม่ทันได้จัดความคิดของตัวเองให้เข้ารูปเข้ารอย คนคนนั้นก็ไปเสียแล้ว

 

 

           นัยน์ตามั่วไป๋ดำดิ่งลงลึกเรื่อยๆ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังหัวเราะเยาะไป๋จิ่ง หรือว่ากำลังหัวเราะเยาะตัวเองอยู่กันแน่

 

 

           “เอาล่ะ สายแล้ว นายไม่ต้องไปบริษัทเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูเวลา “งั้นผมไปบริษัทก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้มาหาคุณอีก?”

 

 

           “พรุ่งนี้นายไม่ต้องมาแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งสะดุ้งตกใจ “หมายความว่าไง”

 

 

           “พรุ่งนี้ฉันต้องไปดูงานต่างเมือง อีกหลายวันถึงจะกลับมาได้” มั่วไป๋เอ่ยชี้แจงเสียงต่ำ

 

 

           ไป๋จิ่งโล่งใจ “ผมคิดว่าคุณจะริดรอนสิทธิ์ในการเจอกันของคุณกับผมซะอีก”

 

 

           “เรื่องที่ฉันมั่วไป๋รับปากตกลงแล้ว ไม่มีทางจะเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ข้อนี้นายวางใจเถอะ” เกมของเขาเพิ่งจะเริ่มเอง มีหรือจะเปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้น

 

 

           ‘ริดรอนสิทธิ์เหรอ’

 

 

           ‘ต้องมีวันนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้’

 

 

           “ได้ งั้นผมไปก่อนนะ”

 

 

           หลังจากเห็นไป๋จิ่งออกจากคอนโดมิเนียมไปแล้ว มั่วไป๋ถึงได้ยกมุมปากขึ้น ชอบเขาขึ้นมาบ้างแล้วงั้นเหรอ

 

 

           แต่น่าเสียดาย ที่เขาต้องการไม่ใช่ความชอบนิดๆ หน่อยๆ อะไรทั้งนั้น

 

 

           เป้าหมายของเขานั้นง่ายมาก แค่ต้องการให้ไป๋จิ่งตกหลุมรักเขา เหมือนกับตัวเองในตอนนั้น เขาจะทำเหมือนกับที่ไป๋จิ่งทำในตอนนั้น ให้ไป๋จิ่งมอบหัวใจทั้งดวงวางไว้ในมือของเขา จากนั้นเขาจะเขวี้ยงมันทิ้งลงพื้น แล้วค่อยๆ เหยียบย่ำจนแหลกโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

 

 

           คนเราส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือหัวใจ ถ้าแม้แต่หัวใจก็ไม่มีแล้ว คนคนนี้ก็แทบจะไม่ต่างอะไรกันแล้ว

 

 

           ……

 

 

           นัดเวลาย้ายบ้านกับซือเหยี่ยนเรียบร้อยแล้ว เจียงมู่เฉินตั้งใจไปบริษัทซือเหยี่ยนก่อนเวลา เวลาที่เขานัดกันกับซือเหยี่ยนคือบ่ายสองโมง ไม่ถึงบ่ายโมงเจียงมู่เฉินก็ถึงใต้ตึกของซือกรุ๊ปแล้ว

 

 

           เขาขึ้นลิฟต์ไป ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นสู่ชั้นบน ออกมาจากลิฟต์แล้ว เดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของซือเหยี่ยนด้วยความเคยชิน

 

 

           เพิ่งจะเดินถึงประตู ก็พบว่าประตูห้องทำงานของซือเหยี่ยนปิดอยู่ เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เวลาเข้างานมีเรื่องลับอะไรถึงขนาดต้องปิดห้องแบบนี้กัน

 

 

           

 

 

ตอนที่ 193 ลมเพชรหึง

 

 

           เขาถอนหายใจยื่นมือออกไปเตรียมจะเปิดประตู แต่ประตูก็ถูกดึงเปิดออกมาจากข้างใน

 

 

           ผู้ชายผมสีทองตาสีฟ้าน้ำทะเลคนหนึ่ง ดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าตัวเองสักปีสองปี เจียงมู่เฉินมองเขาแล้วเลิกคิ้วเงียบๆ

 

 

           “เหยี่ยน คนนี้คือใครน่ะ”

 

 

           ‘เหยี่ยนเหรอ’

 

 

           ‘ชื่อนี่เรียกกันสนิทสนมเชียวนะ เขายังไม่เคยเรียกซือเหยี่ยนแบบนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ’

 

 

           เขายิ้มหัวเราะเล็กน้อย มองไปทางซือเหยี่ยน “ใช่สิ คนนี้คือ?”

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนฉายแววซับซ้อน “เพื่อนผมตอนอยู่ที่อเมริกา ซูเตอร์”

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดริมฝีปากขึ้นทันที เขายิ้มหัวเราะ “อ้อ เพื่อนจากอเมริกานี่เอง”

 

 

           ซูเตอร์มองเจียงมู่เฉิน “เหยี่ยน นายไม่คิดจะแนะนำเขาให้ฉันรู้จักหน่อยเหรอ”

 

 

           ตอนที่เขาพูดอยู่ สายตาเจียงมู่เฉินกวาดมองทั้งสองคนอย่างด้วยท่าทีสงบนิ่ง และก็เป็นธรรมดาที่จะไม่ได้มองข้ามนัยน์ตาซือเยี่ยนที่ฉายแววซับซ้อนขึ้นมาวาบหนึ่ง

 

 

           เจียงมู่เฉินมองพวกเขาทั้งสองคนอย่างขำๆ ดูท่าว่าเขาจะมาได้จังหวะพอดี รบกวนพวกเขาแล้ว

 

 

           “เพื่อนของผมเอง คุณชายเจียง” ซือเหยี่ยนพูดแบบแบ่งรับแบ่งสู้

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ดูท่าว่าประธานซือจะไม่ค่อยสะดวก งั้นฉันก็ไม่อยู่รบกวนต่อแล้ว”

 

 

           ไม่ได้เวลาซือเหยี่ยนและซูเตอร์พูดสักนิด เจียงมู่เฉินพูดจบก็หมุนตัวหันกลับไปทั้งอย่างนั้น

 

 

           ‘เพื่อนเหรอ’

 

 

           คำตอบนี้ของซือเหยี่ยนทำให้เขาฟังไม่รื่นหูจริงๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเข้าลิฟต์ไป หยิบมือถือออกมาโทรหาซังจิ่ง “สถานที่ที่นายบอกอยู่ที่ไหน ฉันจะเข้าไปตอนนี้”

 

 

           ซังจิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย “ไม่ใช่วันจันทร์หน้าเหรอ”

 

 

           “ทำไม ฉันอยากไปสำรวจสถานที่ก่อน ประธานซังกลัวเหรอ”

 

 

           ซังจิ่งหัวเราะ “ไม่อยู่แล้ว เอางี้คุณมาบริษัทผม พวกเราไปด้วยกัน”

 

 

           “ทำไม ประธานซังอยากไปส่งฉันด้วยตัวเอง?”

 

 

           “ไม่ใช่ไปส่งคุณด้วยตัวเอง ไปกับคุณด้วยตัวเองต่างหาก”

 

 

           ……

 

 

           กว่าซือเหยี่ยนจะส่งซูเตอร์ออกไปได้ไม่ใช่ง่ายๆ ซือเหยี่ยนกดสายโทรหาเจียงมู่เฉิน แต่ทางนั้นปิดมือถือแล้ว ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วออกจากห้องทำงานไป

 

 

           เขารู้ว่าคำพูดของตัวเองเมื่อครู่นี้ทำให้เจียงมู่เฉินเข้าใจผิดแล้ว แต่ซูเตอร์อยู่ตรงนั้นด้วย เขาไม่มีวิธีอื่น จะให้ซูเตอร์รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเจียงมู่เฉินกับตัวเองไม่ได้ ไม่เช่นนั้นถึงเวลา เขาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

 

           ซือเหยี่ยนขับรถปราดเดียวถึงบ้านตระกูลเจียง หลังจากเข้าคฤหาสน์ไปแล้วถึงได้พบว่าเจียงมู่เฉินไม่ได้กลับมาตั้งแต่แรกแล้ว เขาขมวดคิ้ว เวลานี้นอกจากกลับบ้านตระกูลเจียงแล้วเขายังจะไปไหนได้อีก

 

 

           กลับมานั่งในรถอีกครั้งหนึ่ง ซือเหยี่ยนครุ่นคิด โทรหาไป๋จิ่งดีกว่า ถึงอย่างไรตอนนี้คนที่ติดต่อมั่วไป๋ได้ก็มีแค่ไป๋จิ่งเท่านั้น

 

 

           “อะไรนะ คุณชายน้อยของนายหายไป”

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งอยู่ในห้องทำงาน สีหน้าแปลกใจ สองวันก่อนยังตัวติดกันอยู่แท้ๆ ทำไมวันนี้คนถึงหายไปได้

 

 

           “นายบอกวิธีติดต่อมั่วไป๋มาให้ฉัน ฉันจะถามเขาว่าเจียงมู่เฉินอยู่บ้านเขาหรือเปล่า”

 

 

           ไป๋จิ่งหยุดชะงักไป “นายอยู่ที่ไหน ฉันจะเข้าไปด้วยกันกับนาย ถ้าเจียงมู่เฉินไปหามั่วไป๋ก็ควรจะอยู่ที่บ้านเขา เพียงแต่ว่าเขาบอกว่าสองวันนี้ต้องไปดูงานต่างเมือง ไม่รู้ว่าตอนนี้ออกไปหรือยัง”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ฉันเพิ่งออกมาจากบ้านเขา นายส่งที่อยู่มาให้ฉัน ฉันจะเข้าไปตอนนี้”

 

 

           ไป๋จิ่งคว้าเสื้อสูท แล้วเดินออกมา “ได้ ฉันก็จะไปตอนนี้เหมือนกัน ถึงแล้วเจอกันนะ”

 

 

           ทั้งสองคนรีบมุ่งหน้าไปที่บ้านของมั่วไป๋ แต่กลับไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินไม่ได้ไปหามั่วไป๋เลยด้วยซ้ำ แต่อยู่ที่สนามบินกับซังจิ่ง เตรียมพร้อมจะขึ้นบินแล้ว

 

 

           ……

 

 

           “เจียงมู่เฉินหายตัวไปเหรอ” มั่วไป๋มองทั้งสองคนด้วยสีหน้าเย็นชา

 

 

           “เขาไม่ได้มาหาคุณที่นี่เหรอ” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           “เปล่า ฉันไม่ได้ข่าวเขาเลย”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เขาลุกขึ้นมาทันที “รบกวนคุณแล้ว ผมขอตัวก่อน”

 

 

           มั่วไป๋มองตามซือเหยี่ยนไป ก่อนจะเบนสายตามามองไป๋จิ่งที่ข้างๆ ตัว “เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ เจียงมู่เฉินถึงหายไปได้ล่ะ”

ตอนที่ 190 ไป๋จิ่งไม่ใช่คนดี

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นายมันกากเดนไม่กากเดน ในใจนายเองไม่รู้หรือไง ยังให้ฉันต้องบอกย้ำชัดออกมาอีกเหรอ”

 

 

           “ไม่ใช่นะ ทำไมฉันถึงเป็นกากเดนไปแล้วล่ะ” ไป๋จิ่งรู้สึกลำบากใจจะตายจริงๆ อยู่แล้ว ต่อหน้ามั่วไป๋มาพูดว่าเขาเป็นกากเดน เขาจะทนได้อย่างไร

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “มั่วไป๋ไม่ใช่คนที่นายจะมาปั่นหัวยังไงก็ได้ ถึงยังไงขอเพียงแต่มีคุณชายอย่างฉันอยู่ ฉันไม่มีทางจะเห็นดีเห็นงามให้พวกนายคบกันเด็ดขาด…

 

 

           …มั่วไป๋บริสุทธิ์ไม่เหมือนนาย ตอนนี้ใจมันคันๆ นึกสนุกก็พากันเข้ามา เวลาผ่านไป เกิดไม่ชอบขึ้นมาก็ทิ้งได้อย่างไม่ลังเล ถึงตอนนั้นนายเดินออกมาสบายๆ ตามใจนายได้ แต่มั่วไป๋ไม่ได้ เขาเผชิญหน้ากับมันอีกครั้งหนึ่งไม่ไหวแล้ว…”

 

 

           “พอได้แล้ว!” มั่วไป๋พูดตัดบทอย่างเยือกเย็น

 

 

           “เจียงมู่เฉิน นายเข้ามากับฉัน” มั่วไป๋เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา

 

 

           คาดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยเจียงผู้หยิ่งยโสโอหังจะไม่ปริปากสักคำ แล้วเดินตามมั่วไป๋เข้าไป ไป๋จิ่งขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อกี้ที่เจียงมู่เฉินพูดมาหมายความว่าไง

 

 

           ‘อะไรคืออีกครั้งหนึ่ง’

 

 

           หรือว่า ในอดีตมั่วไป๋จะเคยประสบกับความเจ็บปวดอะไรสักอย่าง…

 

 

           ……

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินตามมั่วไป๋เข้าไป มั่วไป๋ก็เอาแต่ยืนอยู่หน้าหน้าต่างไม่พูดจา เจียงมู่เฉินร้อนใจจนไม่ไหวแล้ว “นายพูดมาสิ หมายความว่ายังไงกันแน่”

 

 

           “ตกลงนายจะเอายังไงกับไป๋จิ่งกันแน่ คิดจะคบหาศึกษาดูใจกับเขาจริงๆ เหรอ…

 

 

           …ฉันจะบอกนายให้นะมั่วไป๋ ไม่ว่ายังไงนายก็อยู่กับไป๋จิ่งไม่ได้ เจ้าผู้ชายกากเดนนั่นต่อไปจะทำให้นายเจ็บปวดได้แน่ๆ นายใช้เวลามาตั้งหลายปีขนาดนี้ กว่าจะเดินออกมาจากเรื่องเมื่อตอนนั้นได้ไม่ใช่ง่ายๆ ทำไมกัน ยังอยากจะเริ่มใหม่อีกครั้งหรือไง”

 

 

           มั่วไป๋หลับตาลง “เฉินเฉิน นายเชื่อฉัน ฉันมีแผนของฉันเอง”

 

 

           “นายมีแผนกับผีน่ะสิ นายจะมีแผนอะไรได้ แผนของนายคือเอาชีวิตของนายมาเล่นอีกครั้งเหรอ” เขารู้สึกจริงๆ ว่ามั่วไป๋กำลังเล่นกับไฟอยู่

 

 

           อีกอย่างไฟนี้ลุกโชนขึ้นมาเพียงนิด เขาก็หนีออกมาไม่ได้อยู่แล้ว

 

 

           “ไม่มีทางหรอก นายเชื่อฉัน ครั้งนี้ฉันมีการเตรียมพร้อม จะไม่เกิดเรื่องเหมือนครั้งก่อนนั้นได้อีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “มั่วไป๋ เรื่องในอดีต ฉันไม่อยากจะพูดถึงมันกับนาย แต่ว่าฉันก็หวังว่านายจะจำได้ ว่าตอนนั้นนายโดนเจ้าคนนั้นทำระยำตำบอนใส่จนสุดท้ายนายเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด นายลืมไปแล้วเหรอ”

 

 

           เขาพยายามที่จะกดไฟโมโหของตัวเองไว้ “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะให้นายมีความรัก ฉันก็อยากให้ข้างกาย นอกจากฉันแล้ว ยังมีคนอื่นอยู่เคียงข้างนายได้ แต่ไป๋จิ่งไม่ใช่คนที่เหมาะสมคนนั้น นายควรจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

           “เฉินเฉิน นายเชื่อฉันสักครั้งจะได้ไหม ครั้งนี้ฉันปกป้องตัวเองได้”

 

 

           เขารู้แน่นอนอยู่แล้วว่าไป๋จิ่งไม่ใช่คนดีอะไร ได้รับรู้รสชาติไปครั้งหนึ่ง ก็ขาดทุนไปครั้งหนึ่ง เขาต้องได้บทเรียนแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้เขามีแผนอย่างอื่น

 

 

           อย่างน้อยที่สุดเขาต้องทำให้ไป๋จิ่งจ่ายส่วนที่ควรจะจ่ายคืนเขามา

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาเป็นแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างจนหนทาง เขายืนตรงหน้าหน้าต่างเงียบไม่พูดจาอยู่นานสองนาน พยายามค่อยๆ เก็บกดไฟเดือดในใจลงอย่างช้าๆ

 

 

           เขายืนเผชิญหน้ากับหน้าต่าง ใช้เวลาอยู่หลายนาทีถึงได้ทำให้อารมณ์สงบลงได้

 

 

           สุดท้ายเจียงมู่เฉินก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถอะ ในเมื่อนายอยากทำก็ทำเถอะ ฉันไม่รู้ว่าเหตุผลที่นายจะต้องคบกับไป๋จิ่งให้ได้คืออะไร แต่นายตัดสินใจเอง คิดทบทวนดีๆ แล้วก็โอเค อย่างมากฉันก็แค่ช่วยนายอีกครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง”

 

 

           ถ้าปรากฏฉากเดิมเหมือนในอดีตอีก อย่างมากเขาก็แค่ทำเหมือนตอนนั้น ช่วยมั่วไป๋อีกครั้งหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ยังมีเขาอยู่ ไม่มีทางจะให้มั่วไป๋เกิดเรื่องเด็ดขาด

 

 

           มั่วไป๋คือเพื่อนแท้ตลอดทั้งชีวิตนี้ของเขา นอกจากจะให้เกียรติอีกฝ่าย แล้วเขาจะทำอะไรได้อีก

 

 

           มั่วไป๋มองดูใบหน้าของเจียงมู่เฉิน แล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาจับมือเจียงมู่เฉินไว้ “เฉินเฉิน นายวางใจได้ ฉันจะไม่กลับไปเดินทางเดิมอีก”

 

 

           เขาเอ่ยปฏิญาณ “จริงๆ นะ ฉันมีแผนของฉัน ถ้าพลาดไปจริงๆ ฉันก็ยังมีนายไม่ใช่เหรอ”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ “นายจะอยู่เคียงข้างฉันตลอดไปได้ใช่ไหมล่ะ”

 

 

            

 

 

ตอนที่ 191 คุณเสียใจทีหลังแล้วใช่หรือเปล่า

 

 

           เจียงมู่เฉินพลิกมือมาจับเขาไว้ “โอเค เขาอยู่ที่นี่ ฉันก็ขอตัวไปก่อนแล้วกัน ไว้เขาไปแล้วฉันจะมาใหม่”

 

 

           ในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่อยากจะเจอหน้าไป๋จิ่งเลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินหันกลับออกมาจากห้องนอน ไม่บอกลาไป๋จิ่งสักคำ เดินพุ่งตรงออกจากคอนโดมีเนียมไปทันที เขายืนสูบบุหรี่อยู่ใต้ตึก ถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้ารู้ก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ วันนั้นเขาไม่ควรจะเรียกมั่วไป๋ให้มาด้วยกันเลย แบบนี้ไป๋จิ่งจะได้หามั่วไป๋ไม่เจอ

 

 

           เจียงมู่เฉินเดือดดาลจนทุบรถ สูบบุหรี่หมดมวนแล้วถึงขับรถออกไป

 

 

           หลังจากที่เขาไป มั่วไป๋ก็ออกจากห้องนอนมาเช่นกัน ไป๋จิ่งเห็นเขาก็เป็นห่วงไม่เบา “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่เป็นไร จะทำอาหารเช้าไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะ ลังเลใจอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยปากถาม “คุณเสียใจทีหลังแล้วใช่หรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋ชายตามองเขา ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ “เสียใจทีหลังที่ยอมตกลงคบกับผม”

 

 

           เขายังไม่ลืมเรื่องที่เมื่อครู่นี้ที่เจียงมู่เฉินบอกว่าเขาเป็นผู้ชายกากเดน ต่อหน้าเขายังกล้าพูดขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงตอนเข้าไปในห้องเลย

 

 

           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย “เปล่าๆ อย่าคิดมากเลย”

 

 

           เขาเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ ไป๋จิ่ง “ฉันหิวมากเลย นายต้องใช้เวลาอีกนานไหม”

 

 

           เมื่อไป๋จิ่งได้ยินว่าเขาหิว ก็รีบพูดขึ้นทันที “คุณรอผมที่ห้องนั่งเล่นก่อนนะ เดี๋ยวผมจะเสร็จแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ ไม่ได้ค้างอยู่ตรงนั้น เขาหมุนตัวเดินเข้าห้องรับแขกไป ไป๋จิ่งรีบเอาของที่ตัวเองเตรียมไว้มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ผ่านไปสิบกว่านาทีถึงทำของในหม้อเสร็จ

 

 

           เขาจัดโต๊ะเก็บกวาดอะไรเรียบร้อย ถึงค่อยเรียกมั่วไป๋ออกมากินอาหารเช้า

 

 

           มั่วไป๋นั่งลงหน้าโต๊ะ ไป๋จิ่งทำหน้าราวกับกำลังมอบของล้ำค่า ให้มั่วไป๋นั่งรอเขาสักครู่หนึ่ง มั่วไป๋มองดูการแสดงของเขาเงียบๆ ให้ความร่วมมือเต็มที่

 

 

           ไป๋จิ่งหมุนตัวหันกลับเข้าห้องครัวไป หยิบชามมา แล้วตักของที่อยู่ในหม้อใส่ลงไป ก่อนจะยกมาวางต่อหน้ามั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋เห็นของในชามชัดๆ ก็ตะลึงค้างไป แววตาทอประกายขึ้นมาวาบหนึ่ง

 

 

           “เมื่อวานคุณบอกว่าอยากกินเกี๊ยวน้ำไม่ใช่เหรอ เมื่อวานไม่ได้ซื้อเครื่องปรุงมาทำ วันนี้เลยตั้งใจไปซื้อล่วงหน้ามาก่อน แล้วก็รีบมาที่นี่ คุณลองชิมดูว่าอร่อยไหม”

 

 

           รอบดวงตามั่วไป๋ร้อนๆ ขึ้นมาเล็กน้อย เขาจ้องมองเกี๊ยวน้ำในชาม มือที่จับตะเกียบสั่นเบาๆ เขากลัวไป๋จิ่งจะดูออก จะระแคะระคาย จึงรีบยื่นมือไปจับนิ้วมือไว้แน่น

 

 

           เขาก้มหัวลงชิมไปหนึ่งคำ ก่อนจะยิ้มออกมา “อร่อย”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินเขาพูดแบบนี้ ถึงได้วางใจลง “งั้นคุณก็กินเยอะๆ หน่อยนะ”

 

 

           มั่วไป๋กินเกี๊ยวน้ำที่อยู่ในปากไป ในใจอารมณ์ก็ซับซ้อน มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปครู่หนึ่ง

 

 

           หลังจากกินเกี๊ยวน้ำชามนี้อย่างเงียบจนเสร็จ มั่วไป๋ถึงได้วางชามลง ไป๋จิ่งเห็นก็รีบพูด “อยากจะกินอีกไหม ผมต้มไว้เยอะเลย”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่ต้องแล้ว ฉันเองก็กินต่อไม่ไหวแล้ว”

 

 

           อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะติดลบนิดหน่อย หลังจากไป๋จิ่งเก็บกวาดของในครัวเสร็จ ออกมาก็เห็นมั่วไป๋ยืนอยู่ตรงระเบียง

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างหลัง มองดูแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวของมั่วไป๋ เขายืนอยู่คนเดียวตรงนั้นราวกับโลกทั้งใบมีแค่เขาอยู่คนเดียวอย่างไรอย่างนั้น ตัวเองไม่เดินออกมา คนอื่นก็ทลายกำแพงเข้าไปไม่ได้ ความรู้สึกเดียวดายที่ซัดสาดดั่งคลื่นกระทบฝั่งแบบนั้นทำให้ไป๋จิ่งทุกข์ระทมไม่เบา

 

 

           เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาปรารถนาแค่จะเข้าไปโอบกอดคนตรงหน้าไว้โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น  

 

 

           ไป๋จิ่งกำมือแน่น สุดท้ายค่อยๆ เดินไปเข้าไปยืนข้างๆ มั่วไป๋ เขาหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “สูบบุหรี่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ก้มหน้ามองบุหรี่ในมือเขา แล้วหัวเราะ “ได้สิ”

 

 

           ไป๋จิ่งหยิบบุหรี่ออกมาจากซองใส่บุหรี่ ยื่นให้ต่อหน้ามั่วไป๋ มั่วไป๋ยิ้มเบาๆ ก่อนส่งมือไปรับ สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่บุหรี่มวนนั้น กรอกตาไปมาอยู่อย่างนั้น

 

 

           “เป็นไรไป” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           มั่วไป๋หัวเราะ “ไม่มีอะไร ก็แค่คิดถึงเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมา”

 

 

           “คำพูดที่เจียงมู่เฉินพูดไปเมื่อกี้นี้ ผมได้ยินหมดแล้ว” เขาหยุดลงสักพัก “เมื่อก่อนคุณ…”

ตอนที่ 188 ง้อทุกวิถีทางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 

 

 

           “เสี่ยวเหยี่ยนไม่เป็นไรใช่ไหมจ๊ะ” คุณแม่เจียงมองซือเหยี่ยนด้วยความเป็นห่วง ทั้งรักทั้งสงสาร 

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่เข้าใจงงไปหมดแล้ว นี่เป็นห่วงผิดคนหรือเปล่า เขาต่างหากที่เป็นลูกชายของแม่เขานะ 

 

 

           “คือว่า…แม่ครับ…” เจียงมู่เฉินกำลังคิดจะเอ่ยปาก 

 

 

           “เงียบปากซะ กินข้าวของลูกไปเลย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน นี่เขาโดนด่าเหรอ 

 

 

           ซือเหยี่ยนอยากหัวเราะ แต่โดนเจียงมู่เฉินถลึงตาใส่ในนาทีนั้น ก็รีบกลั้นเอาไว้ทันที 

 

 

           คุณแม่เจียงเพิ่งจะเตรียมปลอบขวัญซือเหยี่ยน ก็ไปเห็นลูกชายตัวเองถลึงตาใส่คนอื่นเขา เธอถลึงตาโตใส่เสียเดี๋ยวนั้น “อะไรกัน นี่แม่พูดก็ไม่ฟังกันแล้วใช่ไหม ในเมื่อลูกไม่อยากกิน ก็ออกไปยืนซะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…”  

 

 

           ตอนนี้เขาไม่เพียงแค่ถูกลิดรอนสิทธิ์ในการกินข้าว ยังต้องไปยืนข้างนอกอีกเหรอ 

 

 

           ‘ยืนก็ยืน ใครกลัวใคร!’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกยืนขึ้นทันที แล้วเดินออกไปข้างนอก ยืนตัวตรงอยู่นอกประตู 

 

 

           “เสี่ยวเหยี่ยน ขอโทษด้วยนะจ๊ะ เฉินเฉินไม่รู้จักความเลยสักนิด เขาไม่ได้ตั้งใจ เสี่ยวเหยี่ยนอย่าถือโทษโกรธเขาเลยนะจ๊ะ” 

 

 

           พอซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินยืนน่าสงสารอยู่นอกประตู ก็รู้สึกเห็นใจในทันใด “น้าเจียง ผมกับเฉินเฉินแค่หยอกล้อเล่นกันครับ ให้เขากลับเข้ามากินข้าวเถอะครับ เดี๋ยวจะหนาวเอาได้” 

 

 

           คุณแม่เจียงก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง มีหรือจะลงโทษให้ลูกชายไปยืนอยู่ข้างนอกได้ลงคอ เธอจึงรีบเรียกเขากลับมา 

 

 

           “เห็นไหมว่าเสี่ยวเหยี่ยนใจกว้างแค่ไหน ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนกระอักเลือด คิดว่าแม่ของเขาต้องโดนรูปลักษณ์ภายนอกหน้าซื่อตาใสของซือเหยี่ยนหลอกเอาแน่ๆ ทั้งที่ข้างในนั้นแสนร้ายกาจ 

 

 

           “ยังไม่มาอีกเหรอ” คุณแม่เจียงเห็นเจียงมู่เฉินไม่ขยับไปไหน ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ก็ตะโกนเรียกอีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “วิวตรงนี้สวยดีครับ ยืนตรงนี้เห็นวิวพอดีด้วย” 

 

 

           ‘ล้อเล่นอะไรกัน ให้เขาเข้าไปก็เข้าไป ให้เขาออกไปก็ออกไป เขาเป็นลูกบอลเหรอ นึกจะเตะยังไงก็เตะ’ 

 

 

           คุณแม่เจียงจนปัญญาจะให้เขากลับมา ยังโดนเขาโกรธ จนกลับห้องไป ตาไม่เห็นจะได้ไม่ช้ำใจ 

 

 

           ซือเหยี่ยนรอให้เธอไปก่อน ถึงมองมายังเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างนอกประตู แล้วยกมุมปากขึ้น ยื่นมือไปหยิบน้ำแกงที่คุณแม่เจียงตักมา 

 

 

           ตัวเองทำให้เขาโกรธจนออกไป ก็ต้องเป็นตัวเองที่ไปง้อเขากลับมา 

 

 

           ประธานซือไปง้อสะใภ้ที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างว่าง่าย 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นอีกฝ่ายมาก็รีบหันหน้าหนีทันที ไม่มองชายตามองเลยแม้แต่น้อย เมื่อกี้รังแกเขา แกล้งเขาจนสะใจ แล้วตอนนี้จะมาง้อเขาทำไม มีความสามารถก็เชิญต่อเลย 

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ เขาไม่มีความสามารถยังไม่ได้อีกเหรอ 

 

 

           อะไรก็ได้ แต่ทนเห็นแฟนของตัวเองน้อยใจไม่ได้ ประธานซือมองเจียงมู่เฉินอย่างเอาใจ “เฉินเฉินยังโกรธอยู่เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเบือนหน้าหนีไม่มองเขา 

 

 

           ซือเหยี่ยนข่มใจเขาไปง้อต่อ “เฉินเฉิน น้ำแกงที่แม่คุณตักมาให้คุณ ดื่มสักหน่อยสิ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นั่นตักให้นายต่างหาก นายดื่มเองเถอะ” 

 

 

           “อย่าสิ เป็นที่แม่คุณตักให้คุณต่างหาก” 

 

 

           “ยังเป็นแม่ฉันอยู่เหรอ ฉันเห็นว่ากลายเป็นแม่นายแล้วเหอะ” เจียงมู่เฉินโกรธจนเจ็บท้อง 

 

 

           “แม่ผมก็แม่คุณ แม่คุณก็แม่ผม ต่างก็เป็นแม่กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ” ซือเหยี่ยนเริ่มควักพลังการแสดงของตัวเองออกมาบดขยี้อยู่ข้างหลังเจียงมู่เฉิน 

 

 

           “ไสหัวไป นายไม่ต้องมาพูดกับฉัน เมื่อกี้ให้ร้ายฉันยังไง ฉันยังจำได้นะ” เขาโกรธจนจะตายแล้วจริงๆ โดนเจ้าหมอนี่ให้ร้ายทุกวัน ยังจะมาเป็นคู่รักอะไร คู่รักกับน้องสาวนายสิ จะมาให้ร้ายเขาอะไรหนักหนา 

 

 

           ซือเหยี่ยนจะเลิกคิ้วก็ไม่เลิกคิ้ว “ไม่งั้นก็ให้คุณให้ร้ายผมคืน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่ “สำหรับฉัน นายไม่มีอะไรจะเชื่อถือได้อีกแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นแบบนี้ เขาเล่นเกินขอบเขตไปแล้วจริงๆ ทำให้เจียงมู่เฉินโกรธแล้วจริงๆ เขาวางชามแกงลงที่โต๊ะข้างๆ แล้วส่งมือไปลากตัวเจียงมู่เฉินมา “อย่าโกรธเลยนะ พวกเราสร้างความเชื่อใจกันใหม่อีกครั้งไม่ได้เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ตอนนี้คิดจะมาสร้างใหม่อีกครั้งเหรอ สายไปแล้ว คุณชายไม่มีอารมณ์จะมาสร้างใหม่อีกครั้งกับนายหรอก” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกะพริบตาปริบๆ เอ่ยเสียงต่ำ “งั้นผมนอนหงายเป็นไง” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 189 ผู้ชายกากเดน 

 

 

           เจียงมู่เฉินตาลุกวาว “นายพูดจริงๆ เหรอ” 

 

 

           “จริงเป็นพิเศษ” ซือเหยี่ยนแสดงสีหน้าจริงใจ 

 

 

           “ได้ งั้นฉันจะสร้างกับนายใหม่อีกครั้งหนึ่งก็ได้ ถ้านายหลอกฉันอีก ฉันจะเด็ดหัวนาย” 

 

 

           “รับประกันว่าไม่หลอกคุณ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาพูดแบบนี้ถึงจะคลายอารมณ์โกรธลงไปบ้าง ซือเหยี่ยนรีบยกชามแกงมา “งั้นก็ดื่มน้ำแกงเลยไหม” 

 

 

           “เอามาเถอะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ซดน้ำแกงทีละคำๆ เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง “พวกเราจะย้ายบ้านกันเมื่อไหร่” 

 

 

           “สัปดาห์หน้า?” 

 

 

           “สัปดาห์นี้เถอะ สัปดาห์หน้าฉันมีธุระ” จันทร์หน้าเขายังต้องออกไปกับซังจิ่งอยู่ 

 

 

           “ได้ งั้นพรุ่งนี้แล้วกัน ตอนบ่ายคุณมาที่บริษัท พวกเราเข้าไปด้วยกัน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินคำนวณเวลาดู แล้วพยักหน้า “ได้ งั้นพรุ่งนี้ตอนบ่าย ฉันจะไปหานาย” 

 

 

           รอเขาดื่มน้ำแกงจนหมด ซือเหยี่ยนถึงได้เอ่ยถาม “ไม่โกรธแล้วใช่ไหม” 

 

 

           “หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ เขาไม่พูดตัวเองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เขาวางชามแกง แล้วลุกยืนขึ้น “ฉันยังมีธุระต่อ ขอตัวไปก่อนแล้ว” 

 

 

           ‘ไม่โกรธ?’ 

 

 

           ‘เหอะๆ มีหรือจะง่ายขนาดนั้น เขาคุณชายน้อยตระกูลเจียงไม่ได้ง้อได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกนะ คิดจะเล่นแง่กับเขาก็ควรจะคิดถึงเรื่องนี้ด้วย’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินขับรถสปอร์ตคันฉูดฉาดผ่านประตูออกไป ซือเหยี่ยนมองตามรถสปอร์ตคันสีแดงที่ขับไปไกลลับตา ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ 

 

 

           ดูท่าว่าต่อไปนี้จะเล่นแง่กันโต้งๆ ขนาดนี้ไม่ได้แล้ว คราวหน้าต้องจัดการเงียบๆ กว่านี้ 

 

 

           …… 

 

 

           เจียงมู่เฉินขับรถไปถึงบ้านของมั่วไป๋ราวกับหายวับไปกับตาได้ เขายืนอยู่หน้าห้องเคาะประตู ผ่านไปสองนาที มั่วไป๋ถึงได้มาเปิดประตู 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความแปลกใจ “ทำไมวันนี้ถึงลุกมาแต่เช้าจัง” 

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มเยาะ ดึงประตูเปิดออก “นายเข้ามาดูเองเถอะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้างงงวย เข้าประตูมาก็เห็นคอนโดมีเนียมที่ว่างเปล่าของมั่วไป๋ มีของกองหนึ่งวางอยู่ เขาเลิกคิ้วเงียบๆ “อะไรกัน นายเตรียมจะระเบิดบ้านหรือไง” 

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ “นายเดินเข้าไปข้างในอีกสิ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปข้างในถึงได้เห็นไป๋จิ่งที่เดินออกมาจากในครัว เขาหันมามองมั่วไป๋ทันที “ทำไมเจ้าหมอนั่นถึงอยู่ที่นี่ได้” 

 

 

           ‘เหอะๆ เขาเองก็อยากรู้…’ 

 

 

           พุ่งตัวเข้ามาตั้งแต่เช้า หิ้วถุงของมาเต็มมือ ไม่พูดพร่ำทำเพลงมุ่งตรงเข้าห้องครัว ไปตอกๆ ตีๆ ราวกับจะรื้อคอนโดมีเนียมเขาอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

           “ผีรู้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูไป๋จิ่งที่มีผ้ากันเปื้อนผูกอยู่ที่เอว “นายมาทำอะไรที่นี่” 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเจียงมู่เฉินก็ชะงักงันไปพักหนึ่ง “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินบันเทิงแล้ว ตอนที่เขามาที่นี่ ไป๋จิ่งยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ตอนนี้กลับมาถามเขาว่าทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้? 

 

 

           “นายไม่รู้สึกเหรอว่าที่นายถามฉันมันออกจะตลกไปหน่อย มั่วไป๋เป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันอยู่ที่นี่ไม่ถูกตรงไหนเหรอ” 

 

 

           ไป๋จิ่งรีบแย้งทันควัน “งั้นฉันอยู่ที่นี่มีอะไรไม่ถูกต้องเหรอ” 

 

 

           “เอ๊ะ ฉันว่านายนี่โง่จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่ นายมันคนแปลกหน้ามาปรากฏตัวอยู่ที่บ้านเพื่อนฉัน นายยังมีหน้ามาถามฉันได้เต็มปากเต็มคำว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง” เจียงมู่เฉินเอ่ยถากถาง “นายว่ามา ทำไมหน้านายถึงได้ใหญ่ถึงขนาดนี้” 

 

 

           ไป๋จิ่งวางจานในมือลง “ตอนนี้สถานะพวกเราคือคบหาศึกษาดูใจกันก่อน ดังนั้นการที่ฉันจะเข้ามาบ้านเขา จะไม่ถูกต้องได้ยังไงล่ะ” 

 

 

           ทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘คบหาศึกษาดูใจ’ สองคำนี้ก็ระเบิดลงขึ้นมาในพริบตา “นายจะมาดูใจอะไรกับเขา เขาเป็นผู้ชายกากเดน นายคบกับเขาจะมีอะไรดี” 

 

 

           เขายังคิดว่าระหว่างพวกเขาเป็นแค่ผู้ใหญ่ที่เคยมาป๊าบๆๆๆ กันเฉยๆ ใครจะรู้ว่าตอนนี้จะมาทำเรื่องคบกันอะไรอีก 

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ เขาปวดหัวจริงๆ แล้วนะ เจ้าพวกสองคนนี้นี่ 

 

 

           “นายอย่าเงียบสิ รีบบอกฉันมา” เจียงมู่เฉินจับตัวมั่วไป๋ไว้ 

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็เดือดแล้ว “เอ๊ะ ทำไมฉันถึงเป็นผู้ชายกากไปได้ พวกเราสองคนต่างก็โสดด้วยกันทั้งคู่ ทำไมจะจีบกันไม่ได้” 

ตอนที่ 186 การโดนตลบหลังครั้งใหญ่ 

 

 

           เขาหยุดไปพักหนึ่ง ถึงเอ่ยตอบ “ขอโทษ ครั้งนี้ผมไม่ดีเอง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “พอเถอะ นายอย่ามามุขนี้ตลอดเลย ใช้กับฉันที่นี่ไม่ได้หรอก” 

 

 

           ‘เขาเป็นคนที่นึกจะง้อยังไงก็ง้อได้หรือไง’ 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ พร้อมโน้มตัวเข้าไปใกล้ “คืนนี้คุณออกไปดื่มเหล้ามาใช่ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินดมกลิ่นบนตัวทันที ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง เดิมทีก็ไม่ได้ดื่มเยอะอะไร อีกอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ทำไมเขายังดมกลิ่นออกมาได้อยู่ 

 

 

           “ฉันไม่ได้ดื่ม นายดมผิดแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเชิดริมฝีปาก “ไม่ได้ดื่มจริงเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเจ้าเป็ดปากแข็ง ไม่ยอมรับเด็ดขาด “ไม่ได้ดื่มไง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ดี ได้ดื่มหรือไม่ดื่ม ผมชิมดูก็รู้แล้ว” 

 

 

           เขามองซือเหยี่ยนอย่างไม่เข้าใจ ชิมดู? ชิมยังไง เขายังไม่ทันได้ถามออกมาก็โดนซือเหยี่ยนลงมือประกบปากไปทั้งอย่างนั้น 

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนั่นชิมยังไง การโดนตลบหลังครั้งนี้เกินไปแล้ว’ 

 

 

           เรื่องของเขายังไม่ได้อธิบายให้ตัวเองฟังอย่างชัดเจน คิดไม่ถึงว่าจะยังกล้าจู่โจมบังคับจูบกันอีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินต่อสู้ดิ้นรนในทันที แต่แรงอันน้อยนิดของตัวเองมีหรือจะสู้ซือเหยี่ยนคนตรงหน้านี้ได้ โดนเขากดทับร่างจนกระดุกกระดิกไม่ได้ขนาดนี้ เจียงมู่เฉินโมโหจนอยากจะขบกราม แต่ทำไม่ได้เลย 

 

 

           ทำได้แค่เปิดปากยอมให้เขาเข้ามารุกรานรุกล้ำอย่างตามใจ 

 

 

           โดนซือเหยี่ยนลิ้มชิมรสเข้มข้นตั้งแต่หัวจรดหางอย่างสบายใจเฉิบ เจียงมู่เฉินอยากจะร้องไห้จริงๆ แล้ว มีคนที่ชิมเหล้าแบบนี้ด้วยเหรอ 

 

 

           ตัวเองยังไม่ได้คิดบัญชีกับซือเหยี่ยน กลับถูกซือเหยี่ยนกินจนเกลี้ยง การซื้อขายนี้ขาดทุนขั้นสุดแล้วโอเคไหม 

 

 

           …… 

 

 

           เช้าวันต่อมาเจียงมู่เฉินพยายามดิ้นรนลืมตาขึ้นมา กำลังจะเตรียมยืดเอวบิดขี้เกียจก็พบว่าตัวเองถูกโอบกอดไว้อยู่ในอ้อมอก 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงหัวมองใบหน้ายามหลับใหลของซือเหยี่ยน เพียงพริบตาเดียวก็รู้สึกหมั้นเขี้ยว อยากจะโถมตัวเข้าไปกัดเขาสักสองคำ 

 

 

           เดิมทีอยากจะถีบเขาลงเตียง แต่พอเห็นใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของซือเหยี่ยน ก็ทำไม่ค่อยลงเท่าไหร่ ขบกรามอยู่ตั้งนานสองนาน สุดท้ายเจียงมู่เฉินก็นอนนิ่งๆ อยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างว่าง่าย 

 

 

           ผ่านไปไม่กี่นาที เจียงมู่เฉินนอนไม่ค่อยจะหลับ เขาค่อยๆ ดึงมือของซือเหยี่ยนออก แล้วปีนลงจากเตียงไป 

 

 

           ที่ชั้นล่างคุณแม่เจียงกำลังเตรียมอาหารเช้าพอดี เจียงมู่เฉินดูท่าว่าจะแปลกใจอยู่ไม่เบา “แม่ครับ ทำไมวันนี้ถึงได้เตรียมอาหารเองแล้ว” 

 

 

           คุณแม่เจียงอารมณ์ดีมาก “อยากทำอาหารเช้าให้พวกลูกกับมือตัวเองนี่หน่า” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกแปลกใจ เขามาเกาะติดสถานการณ์ในห้องครัว ดูแม่เขาทำอาหารไป พลางแอบกินไปด้วย คุณแม่เจียงมองเขา แล้วยิ้มอย่างเสียไม่ได้ “ทำไมวันนี้ลูกตื่นเช้าจัง” 

 

 

           “แม่บอกเองไม่ใช่เหรอครับว่า ตอนเช้าอากาศดี ต้องตื่นเช้ามาสูดเอาอากาศสดชื่น” 

 

 

           “เสี่ยวเหยี่ยนล่ะลูก” 

 

 

           “เขาเหรอครับ ยังนอนอยู่เลย” 

 

 

           จู่ๆ คุณแม่เจียงก็จ้องมองเจียงมู่เฉิน “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับเสี่ยวเหยี่ยนจะดีได้ขนาดนี้ นึกถึงสมัยก่อนพวกลูกสองคนเจอหน้าทีไร ก็ขัดหูขัดตากันเองตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นแบบนี้” 

 

 

           คุณแม่เจียงถอนหายใจ “ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกลูกสองคนจะไม่ดีมาตลอด แต่เรื่องบางอย่างก็เลือกได้ใกล้เคียงกันมาก ทันทีที่เสี่ยวเหยี่ยนไปเรียนต่อเมืองนอก ลูกก็ไปเมืองนอกเหมือนกัน แม่คิดมาตลอด ถ้าตอนนั้นความสัมพันธ์ของพวกลูกดีแบบนี้ ดูแลกันและกันได้ ก็คงจะไม่…” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘เรียนต่อเมืองนอก’ สี่คำนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หมายความว่าไงครับ ผมกับซือเหยี่ยนต่างก็ไปเรียนต่อเมืองนอกกันเหรอ” 

 

 

           “ใช่สิ เขาไปอเมริกา อยู่ที่นั่นตั้งหลายปี ไม่กลับมาเลย จนไม่กี่ปีมานี้ถึงได้กลับมารับช่วงต่อบริษัท” 

 

 

           เจียงมู่เฉินสงสัยนิดหน่อย แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติ ครอบครัวซือเหยี่ยนไปเรียนต่อเมืองนอกแบบนี้ถือว่าปกติมาก 

 

 

           “อ้อ งั้นก็มีวาสนาต่อกันอยู่บ้างจริงๆ” 

 

 

           คุณแม่เจียงหัวเราะ “ไม่ใช่แค่พวกลูกจะมีวาสนาต่อกันอยู่บ้างแค่นั้นนะ แม่กับเหวินฮุ่ยครอบครัวเราก็สนิทสนมกัน ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกลูกก็ยังดีอีก ต่อไปแต่งงาน มีลูกแล้ว จะยิ่งดียิ่งขึ้นไปอีก” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 187 จับได้คาหนังคาเขา 

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงจิ๊จ๊ะอยู่ในใจ เขากับซือเหยี่ยนไม่ใช่แค่เพียงจะมีวาสนาต่อกันอยู่บ้างจริงๆ แต่ว่าเรื่องแต่งงานมีลูกแล้วจะยิ่งดีขึ้นไปอีก เรื่องทำนองนี้ เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงจะไม่มีโอกาสนี้แล้ว 

 

 

           “แม่ ผมยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้ แม่จะเป็นกังวลเรื่องนี้ไปทำไมครับ” 

 

 

           คุณแม่เจียงถอนหายใจ “ลูกยังไม่แก่ แต่แม่กับพ่อของลูกแก่แล้ว ลูกยังไม่แต่งงานอยู่แบบนี้ พ่อกับแม่คงจะไม่ได้เห็นลูกแต่งงานแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแม่เขาท่าทางเศร้าใจ ก็รีบเข้าไปสวมกอดเธอเอาไว้ “แม่ครับ แม่พูดอะไรกัน แม่กับพ่อผมยังไม่แก่เลย ต่อจากนี้ต้องอยู่ไปอีกนานๆ แน่นอน” 

 

 

           คุณแม่เจียงยีหัวเจ้าลูกชายของเธอ “ลูกชายของแม่ทำไมวันนี้ถึงว่าง่าย ยังรู้จักปลอบใจแม่อีก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกขัดๆ นิดหน่อย เขาหัวเราะอย่างเลิ่กลั่ก “คือว่า…ก็แม่เป็นแม่ผมไง” 

 

 

           ยกอาหารไปวางบนโต๊ะเสร็จ เจียงมู่เฉินกำลังจะเตรียมขึ้นไปเรียกซือเหยี่ยนลงมากินข้าวเช้า ก็เห็นเขาลงมาชั้นล่างแล้ว 

 

 

           เขากวักมือเรียกซือเหยี่ยน “มาเร็ว มากินข้าวได้แล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว ทำไมท่าทางของเขาถึงให้ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับการกวักมือเรียกหมาอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

           คุณแม่เจียงรินนมเสร็จ เข้ามาเห็นท่าทางกวักมือเรียกนั้นของเจียงมู่เฉินพอดี ก็ถอนหายใจอย่างจนใจ “เฉินเฉิน ลูกดีกับเสี่ยวเหยี่ยนนิดนึงบ้างจะได้ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ เขายังไม่ดีกับซือเหยี่ยนเหรอ 

 

 

           ‘นี่เขาเหลือแค่ไม่ได้เป็นฝ่ายถอดเสื้อผ้านอนแผ่หลาให้ซือเหยี่ยนมาปล้ำเท่านั้นเอง’ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขายิ้มเยาะแบบนี้ก็รีบเอ่ย “น้าเจียง เฉินเฉินดีกับผมมากเลยครับ” 

 

 

           “เสี่ยวเหยี่ยน ตามใจเขาอีกแล้วนะ นิสัยนี้ของเฉินเฉินต้องโทษน้ากับพ่อของเขาด้วยที่รักเขาจนตามใจมากเกินไป ถึงได้กำเริบเสิบสานเหมือนตอนนี้ได้” 

 

 

           “เอ๊ะ ผมฟังไม่ค่อยถนัดเลย อะไรเรียกว่ากำเริบเสิบสานเหรอครับ” เจียงมู่เฉินอดจะคัดค้านไม่ได้ เขาจะไม่รับข้อหานี้เด็ดขาด 

 

 

           คุณแม่เจียงกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “อะไรกัน ลูกยังคิดว่าแม่พูดผิดเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนแม่เขามองแบบนี้ เพียงครู่เดียวก็อกสั่นขวัญแขวน ตัดสินใจไม่คิดเล็กคิดน้อยกับแม่เขาแล้ว ถึงอย่างไรเป็นลูกชายก็ต้องยอมให้แม่เขาอยู่แล้ว 

 

 

           “ที่จริงเฉินเฉินเชื่อฟังมากนะครับ” ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา ก็รู้สึกขัดใจ จึงเหยียบเท้าอีกคนใต้โต๊ะไปเต็มๆ แรง ซือเหยี่ยนไม่ได้ทันระวัง เจ็บจนขมวดคิ้วเข้าหากัน 

 

 

           คุณแม่เจียงเห็นเข้า “เป็นไรไปจ๊ะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนคลายคิ้วที่ผูกเป็นปมเบาๆ “ไม่มีอะไรครับ ไม่ระวังเลยกัดไปโดนลิ้นเข้า” 

 

 

           คุณแม่เจียงมองเขาขำๆ “ค่อยๆ กิน อย่ารีบร้อนนะจ๊ะ แม่จะไปตักน้ำแกงมาให้พวกลูกก่อน” 

 

 

           ลับหลังเธอไปแล้ว เจียงมู่เฉินลุกขึ้นยืนพุ่งตรงมาหาเขา “ฉันเชื่อฟังมาก? เชื่อฟังกับน้องสาวนายสิ คุณชายอยากจะฆ่านายเต็มทนแล้ว” 

 

 

           เรื่องเมื่อคืนยังไม่ทันได้สะสาง บัญชีแค้นใหม่และเก่ามาพร้อมกันพอดีจนได้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอามือจับเขาไว้ “แม่คุณยังอยู่ด้วย ควบคุมตัวเองสักหน่อยจะดีกับตัวคุณที่สุดนะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “แหม ตอนนี้นายเจ๋งมากเลยใช่ไหม ยังกล้าเอาเรื่องแม่ฉันมาอ้างอีก ฉันจะบอกนายให้นะ ต่อให้แม่ฉันเห็นว่าฉันตีนาย ท่านก็ไม่มีทางจะว่าฉัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางอวดดีของเขาก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ “คุณจริงจังเหรอ” 

 

 

           “แน่นอน จุดนี้ฉันยังมั่นใจมากอยู่” 

 

 

           ซือเหยี่ยนปล่อยมือไปเสียดื้อๆ เจียงมู่เฉินที่ไม่ได้ทรงตัวดีๆ ก็เสียหลักปะทะร่างของซือเหยี่ยน นิ้วมือจิกเข้าที่ไหล่ของซือเหยี่ยนพอดี ท่าทางราวกับจะตีซือเหยี่ยน 

 

 

           คุณแม่เจียงตักน้ำแกงเสร็จออกมา ก็เห็นตำตาพอดี เล่นเอาใจเกือบร่วงหล่นลงตาตุ่ม 

 

 

           “เฉินเฉิน ลูกจะทำอะไร รีบปล่อยมือออกเลยนะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงัน ไม่ใช่หรอกมั้ง นี่เขาซวยขนาดนี้เลยหรือไง ตัวเองยังไม่ทันได้ทำอะไรก็โดนแม่เขาจับได้คาหนังคาเขาแล้วเหรอ 

 

 

           “แม่พูดกับลูกอยู่นะ ไม่ได้ยินเหรอ” คุณแม่เจียงวางน้ำแกงลงบนโต๊ะ แล้วรีบเข้ามาดึงตัวเจียงมู่เฉินออก “ทำไมกินข้าวอยู่ดีๆ ถึงยังลงไม้ลงมือกันได้”  

ตอนที่ 184 ตรวจดูสำรวจงานโครงการ 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าซือเหยี่ยนมีท่าทีแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน คิดแล้วคิดอีกก็ตัดสินใจไม่ถามซักไซ้ต่อแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็มีธุระพอดี จะได้ไม่คิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียวแล้วไม่ฟังซือเหยี่ยน 

 

 

           นั่งรออยู่ครึ่งชั่วโมงที่ชั้นสาม ในที่สุดซังจิ่งก็จบการสัมภาษณ์ เขารอให้ทีมงานออกไปหมดเรียบร้อยก่อน ถึงเพิ่งได้ลุกขึ้นแล้วไปที่ชั้นสาม 

 

 

           ในโซนที่นั่งส่วนตัว ซังจิ่งมองแวบเดียวก็เห็นเจียงมู่เฉิน 

 

 

           เจียงมู่เฉินคนนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ดึงดูดสายตาคนในแวบแรกที่มองจริงๆ 

 

 

           เขาค่อยๆ เดินเข้าไปอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉิน “ให้คุณรอนานเลย” 

 

 

           “ประธานซังยุ่งขนาดนี้ ต้องรอก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” 

 

 

           “ทำไมวันนี้คุณถึงนึกมาหาผมได้ล่ะ” ตอนที่เขาได้รับสายจากเจียงมู่เฉินก็ยังว่าแปลกๆ ชอบกล ตามนิสัยของเจียงมู่เฉิน ไม่มีทางจะมานึกถึงเขาได้อยู่แล้ว 

 

 

           ‘หรือว่ามาเพราะแผลถูกยิงบนตัวของเขา?’ 

 

 

           “นายช่วยฉันไว้ ฉันก็ควรจะมาขอบใจนาย” เป็นอย่างที่คิดเจียงมู่เฉินหลุดปากเผยออกมาจนได้ 

 

 

           ซังจิ่งหรี่ตาลง “คิดไม่ถึงว่าคุณชายเจียงมีน้ำใจให้กันขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ส่งผมไปโรงพยาบาล ตอนนี้ยังตั้งใจมาหาผมเป็นพิเศษอีก” 

 

 

           “ไม่ต้องมาลองทดสอบหยั่งเชิงฉันเลย ครั้งนี้ที่ฉันมาก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่จะมาพูดขอบใจนาย” เจียงมู่เฉินยกมุมขึ้น “ถึงแม้ว่าที่จริงฉันจะไม่ค่อยชอบขี้หน้านายเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ครั้งนี้นายมีบุญคุณกับฉัน ต้องตอบแทนเป็นธรรมดา” 

 

 

           ซังจิ่งพินิจมองเจียงมู่เฉินอย่างจริงจัง “ถ้าผมบอกว่า ผมอยากได้คืบจะเอาศอกนิดหน่อยล่ะ คุณจะเห็นด้วยไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นายอยากได้คืบจะเอาศอกยังไง” 

 

 

           “วันจันทร์หน้า ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง จะให้ผมไปตรวจดูงานในหุบเขาห่างออกไปจากตัวเมือง คุณอยากไปด้วยกันไหม คงจะประมาณสองสามวันเท่านั้นเอง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “ตรวจดูงาน? ตรวจดูงานอะไร?” 

 

 

           “ปัจจุบันนี้สังคมเราเร่งรีบ ยิ่งอยู่ในธรรมชาติยิ่งดึงดูดคนให้ชอบ เพื่อนผมคนนี้ถูกใจเขาลูกหนึ่งอยู่ที่ซีหนาน วางแผนจะซื้อมาทำโครงการตามธรรมชาติ แล้วก็จะสร้างโรงแรมน้ำพุร้อนอีกแห่งหนึ่งด้วย” เขามองเจียงมู่เฉิน “ไม่รู้ว่าคุณชายเจียงสนใจหรือเปล่า” 

 

 

           “ทำไม นายอยากให้ฉันร่วมหุ้นด้วยงั้นสิ” 

 

 

           ซังจิ่งหัวเราะ “ถ้าคุณชายเจียงอยากจะร่วมหุ้นด้วย ผมก็ไม่ขัดข้องอะไรอยู่แล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดไตร่ตรองดูสักพัก รู้สึกว่าก็เป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว อีกอย่างไปดูงานกับซังจิ่งก็ไม่มีอะไร เขาไปได้อยู่แล้ว 

 

 

           เขาพยักหน้ารับ “ได้ ได้ไปเปิดหูเปิดตากับประธานซังมากขึ้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” 

 

 

           “งั้นก็ตกลงตามนี้ วันจันทร์เจอกันที่สนามบิน” 

 

 

           พอได้มาอยู่กินอาหารเย็นเป็นเพื่อนซังจิ่ง พูดคุยเรื่องรายละเอียดต่างๆ เจียงมู่เฉินถึงได้รู้สึกว่าคนคนนี้หัวการค้าใช้ได้จริงๆ ถ้าตัดเรื่องไม่ถูกชะตากับตัวเองไป ก็ยังเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีกันได้ 

 

 

           เพียงแต่เสียดาย ระหว่างเขากับซังจิ่งลิขิตไว้แล้วว่าไม่มีทางจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีกันได้ 

 

 

           หลังจากทั้งสองคนกินข้าวเสร็จ ซังจิ่งก็เอ่ยเสนอ “อยากจะไปนั่งเล่นกันต่อที่หลานเยี่ยไหม คุณชายเจียงคงจะไม่ค่อยได้ไปเท่าไหร่ใช่หรือเปล่า” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว หลังจากอยู่ด้วยกันกับซือเหยี่ยน ก็ไม่เคยได้เข้าไปหลานเยี่ยอีกเลย จะว่าไปก็เป็นเวลานานแล้วจริงๆ 

 

 

           ซือเหยี่ยนน่าจะยังไม่กลับมาพอดี เจียงมู่เฉินคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้ งั้นไปนั่งเล่นที่หลานเยี่ยกัน” 

 

 

           ทั้งสองคนต่างขับรถของตัวเองมุ่งตรงไปยังหลานเยี่ย รถสปอร์ตคันสีแดงของเจียงมู่เฉินกับรถปอร์เชคันสีเงินจอดตระหง่านอยู่หน้าทางเข้าหลานเยี่ย เย่อหยิ่งไม่ต่างจากเจ้าของรถทีเดียว 

 

 

           ทันทีที่เจียงมู่เฉินก้าวเข้าไปหลานเยี่ยก็ดึงดูดสายตาคนอยู่ไม่น้อย เขาไม่ได้ปรากฏตัวนานขนาดนี้ ยังคิดกันเลยว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้นี้จะกลับเนื้อกลับตัวไม่มาสถานที่แบบนี้อีกแล้ว 

 

 

           เฉิงฉีอยู่ชั้นสอง ตอนที่ผู้จัดการเข้ามารายงาน เขาเองก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เขาเดินออกจากห้องรับรองยืนอยู่มุมมุมหนึ่งบนชั้นสอง มองตามที่ผู้จัดการชี้ให้ดู 

 

 

           ‘คนที่นั่งตรงข้ามเจียงมู่เฉินไม่ใช่ซือเหยี่ยน’ 

 

 

           เฉิงฉีเลิกคิ้ว คงจะไม่ได้เปลี่ยนศัตรูคู่แค้นอีกคนหรอกใช่ไหม 

 

 

           “ส่งเหล้าให้พวกเขา บอกว่าฉันส่งมาให้” 

 

 

           ผู้จัดการพยักหน้า “ได้ครับ ผมรับทราบแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองดูเหล้าบนโต๊ะที่ถูกส่งมาให้  

 

 

 

 

 

 ตอนที่ 185 ดึกๆ ดื่นๆ ไม่กลับบ้านมานอน 

 

 

           “ประธานเฉิงให้ผมนำมาส่งให้คุณครับ บอกว่าเป็นเหล้าที่คุณโปรดปรานที่สุด” ผู้จัดการไนต์คลับเอ่ยเสียงต่ำ 

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะ “รู้แล้ว ลงบิลฉันด้วยแล้วกัน” 

 

 

           “ประธานเฉิงบอกว่ามอบให้คุณครับ ให้คุณ ‘เล่น’ อย่างมีความสุขครับ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว คิดว่าเฉิงฉีคงจะเข้าใจผิดแล้ว แต่คิดๆ ไป ไม่ได้พูดอะไร ก็พยักหน้ารับ “ได้ งั้นก็ฝากไปขอบใจประธานเฉิงของนายด้วยแล้วกัน” 

 

 

           “เชิญคุณชายเจียงดื่มกันตามสบายเลยครับ” 

 

 

           หลังจากผู้จัดการร้านออกไปแล้ว ซังจิ่งมองดูเหล้าสองขวดบนโต๊ะ “เหล้านี้เป็นถึงเหล้าชั้นเยี่ยม ราคาก็ไม่เบา เพราะได้หน้าของคุณชายเจียงแท้ๆ ถึงได้มีของฟรีมาให้ดื่มแบบนี้” 

 

 

           “ประธานซังอยากดื่ม ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้หรือไง” 

 

 

           ซังจิ่งหัวเราะ “แต่ให้ฟรีแบบนี้ จะยิ่งดีไม่ใช่เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “ก็แค่ ของฟรีก็ใช่จะดีเลิศเสมอไป” เขามองซังจิ่ง คำพูดแฝงความนัย 

 

 

           ซังจิ่งยื่นมือไปเปิดขวดเหล้า แล้วรินใส่แก้วสองใบ แก้วหนึ่งวางต่อหน้าเจียงมู่เฉิน อีกแก้วถือไว้ในมือของตัวเอง “บอกตามตรง ได้มาดื่มเหล้ากับคุณชายเจียงแบบนี้ได้ ถือเป็นเกียรติของผมจริงๆ” 

 

 

           “ถึงยังไงผมก็คิดว่าด้วยความเกลียดชังของคุณชายเจียงที่มีต่อผมแล้ว เกรงว่าทั้งชีวิตจะไม่มีวันได้มีโอกาสนี้เลย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ถ้านายไม่บาดเจ็บ ก็จริงตามนั้น” 

 

 

           “ดูท่าว่า ผมต้องช่วยคุณชายเจียงหลายๆ ครั้งซะแล้ว แบบนี้ไม่แน่ว่าคุณชายเจียงจะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผมได้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเสียงเย็น ก่อนเอ่ยต่อ “งั้นก็ล้างตารอดูได้เลย” 

 

 

           หลังจากดื่มเหล้ากันที่หลานเยี่ยเสร็จ ทั้งสองคนก็ต่างกลับบ้านของตัวเอง 

 

 

           ยามที่เจียงมู่เฉินกลับไป ซือเหยี่ยนก็ยังไม่กลับมา เขาขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก นี่ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ทำไมซือเหยี่ยนเจ้าหมอนั่นยังไม่กลับมาอีก 

 

 

           เขาหยิบมือถือออกมาโทรหาซือเหยี่ยน ถามไถ่ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ 

 

 

           โทรออกไปตั้งนานก็ไม่มีใครรับสาย เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว ตอนนี้ไม่ใช่แค่ดึกๆ ดื่นๆ ไม่กลับบ้านมานอน ยังไม่รับสายเขาอีกเหรอ 

 

 

           เขากดมือถือโทรออกอีกครั้ง 

 

 

           ครั้งนี้โดนตัดสายไปเลย 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูมือถือที่ถูกตัดสายทิ้งในมือ เขาโมโหในพริบตา นึกไม่ถึงว่าจะกล้าตัดสายใส่เขา! 

 

 

           ‘ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไปกินใจหมีไส้เสือ[1]มาหรือไง’ 

 

 

           เขาโยนมือถือลงบนโต๊ะ ปิดประตูใส่กลอน มานอนบนเตียง ส่วนซือเหยี่ยนใครจะสนกัน 

 

 

           หนึ่งชั่วโมงให้หลัง ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าประตู ยื่นมือไปจับลูกบิดประตูไว้ ยิ้มเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้ ดูท่าว่าคุณชายเจียงของเขาจะโกรธจริงๆ แล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนลงไปชั้นล่างเดินอ้อมจากสวนดอกไม้ ปีนระเบียงเข้ามา 

 

 

           เขามองดูใบหน้ายามหลับใหลของเจียงมู่เฉิน แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น ไม่อยากให้เขาเข้ามา แต่ทำไมกลับล็อกแค่ประตูห้อง ไม่ล็อกประตูระเบียง 

 

 

           ‘ทำไมเฉินเฉินของเขาถึงไม่ระวังตัวแบบนี้นะ…’ 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้ส่งเสียงปลุกเจียงมู่เฉินให้ตื่น เขาตรงเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำถึงค่อยได้ออกมา เขาเดินไปที่ข้างเตียงอย่างระมัดระวัง พินิจมองเจียงมู่เฉินที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ 

 

 

           เขาทนไม่ได้แล้วจริงๆ จึงขึ้นคร่อมอีกคน แล้วกดจูบลงไปให้ถึงที่สุด 

 

 

           เจียงมู่เฉินถูกความอึดอัดปลุกให้ตื่น หายใจเข้าไม่ทันเกือบจะกลั้นใจตาย ลืมตาขึ้นมาก็ซือเหยี่ยนกดตัวเองไว้ แล้วจูบไปจูบมา 

 

 

           โกรธจนยกเท้าถีบใส่ 

 

 

           “นางแม่งเป็นบ้าหรือไง ดึกป่านี้จะมาจูบอะไร!” อารมณ์โมโหยามตื่นนอนของเจียงมู่เฉินเดิมทีก็ใหญ่มากอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่เขายังจำเรื่องที่เจ้าหมอนี่วางสายใส่เขา 

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ “ผมคิดถึงคุณนี่” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเคืองแล้ว ยกเท้าถีบใส่อีกครั้ง “ไสหัวไปซะ ฉันไม่คิดถึงนายเลยสักนิด” 

 

 

           ‘ตอนตัดสายเขาทำไมไม่คิดถึงเขา ตอนนี้มาจูบเขาก็คิดถึงเขาแล้ว? เขาเจียงมู่เฉินไม่ใช่คนที่จะยอมขาดทุนไปเรื่อยๆ แบบนั้นหรอกนะ’ 

 

 

           “คุณโกรธเหรอ” ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนจ้องมองเขา “เพราะว่าผมกลับมาดึกเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันจะโกรธอะไร นายไม่กลับมา ฉันก็ไม่ได้สนใจหรอก” เขาโกรธที่ซือเหยี่ยนกลับมาดึกเหรอ ที่เขาโกรธคือไม่คิดว่าจะกล้าตัดสายตัวเองทิ้งได้ต่างหาก 

 

 

           “พูดมา ทำไมถึงตัดสายฉัน!” 

 

 

         ซือเหยี่ยนชะงักงัน มึนงงไปพักหนึ่ง เพิ่งจะเตรียมจะโต้แย้ง แต่กลับเหมือนจะคิดถึงอะไรได้ แล้วหยุดไป เขาไม่ได้ตัดสายเจียงมู่เฉิน ถ้าไม่ใช่เขา งั้นก็มีแค่… 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ใจหมีไส้เสือ เป็นสำนวนจีนเปรียบเปรยว่ามีความกล้าหาญมาก 

ตอนที่ 182 กินอาหารเช้าด้วยกัน 

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งวางของทั้งหมดใส่เข้าที่เรียบร้อย ก็เอ่ยถามมั่วไป๋ “ตอนเช้าอยากกินอะไร” 

 

 

           มั่วไป๋ครุ่นคิดสักพัก “เกี๊ยวน้ำ” 

 

 

           เมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่กับไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งเคยพูดถึง เพียงแต่ตอนนั้นเขายังไม่มีค่าพอจะได้ชิมเกี๊ยวน้ำฝีมือของไป๋จิ่ง 

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินคำว่า ‘เกี๊ยวน้ำ’ สองคำนี้ ก็ชะงักไปสักพัก “กินอย่างอื่นได้หรือเปล่า” 

 

 

           แววตามั่วไป๋หม่นมัวลง “งั้นก็แล้วแต่นายเถอะ” กินอะไรสำหรับเขาก็เหมือนกันหมด 

 

 

           เพียงแต่ว่าคิดๆ ดูแล้วก็ช่างน่าขันทีเดียว ตัวเองในตอนนั้นไม่มีค่าพอ ตัวเองในตอนนี้ก็ยังไม่มีค่าพอเหมือนเดิม 

 

 

           เขาพูดจบประโยคนี้ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องครัวไป ไป๋จิ่งเห็นท่าทางนิ่งๆ ของมั่วไป๋ ทั้งที่สีหน้าท่าทางเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ไป๋จิ่งยังคงรู้สึกได้ ว่าดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยมีความสุข 

 

 

           ไป๋จิ่งถอนหายใจ หยิบขนมปังมาทำแซนด์วิช พร้อมทอดไข่ดาว อุ่นนมเสร็จถึงได้ตะโกนเรียกมั่วไป๋ “มากินข้าวเถอะ” 

 

 

           มั่วไป๋เดินออกมาจากห้องนอน ยังคงอยู่ในชุดนอนเดิม คอเสื้อแหวกกว้าง เผยให้เห็นผิวกายขาวผ่อง 

 

 

           โดยเฉพาะตอนที่เขานั่งลง เสื้อไหล่ตกพอดี เผยให้เห็นไหล่นวลเนียน บวกกับท่าทางกรีดกรายเฉพาะตัวของเขา ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ก็แทบจะอยากโผตัวเข้าใส่แล้วจับกดสักที 

 

 

           ‘แน่นอน นี่เป็นแค่ความคิด ไม่กล้าลงมือทำจริงๆ หรอก’ 

 

 

           ไป๋จิ่งวางจานลงต่อหน้ามั่วไป๋ แล้วเอ่ยอย่างยิ้มๆ “มาลองชิมดู ผมไม่ได้ทำอาหารนานมากแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือทำอาหารจะคืนครูหรือเปล่า” 

 

 

           มั่วไป๋มองดูจานตรงหน้า อารมณ์ซับซ้อนอยู่ในที เขาเผยอปากขึ้นเอ่ยอย่างเผลอตัว “คิดไม่ถึงว่านายจะทำกับข้าวเป็นด้วย ดูไม่ค่อยเหมือนเลย” 

 

 

           “เมื่อก่อนตอนที่ไปเรียนเมืองนอก รู้สึกว่าอาหารฟาสต์ฟูดที่นั่นไม่ค่อยอร่อย กินยากเกินไป ก็เลยฝึกทำกินเอง” 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาตัดแบ่งแซนด์วิช จนเอาเข้าปากไป ก็อดจะจ้องมองอีกฝ่านไม่ได้ “เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม” 

 

 

           มั่วไป๋เคี้ยวแซนด์วิชอยู่ ก็พยักหน้ารับ “อร่อย” 

 

 

           ได้ยินคำพูดของมั่วไป๋ ไป๋จิ่งอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ ยังดีที่ไม่ได้เสียหน้าต่อหน้ามั่วไป๋ 

 

 

           หลังจากกินเสร็จเรียบร้อย เดิมทีไป๋จิ่งอยากนัดมั่วไป๋ออกไปข้างนอกด้วยกัน แต่มั่วไป๋บอกว่ามีธุระต้องจัดการนิดหน่อย ให้ไป๋จิ่งกลับไปก่อน 

 

 

           ถึงอย่างไรเพิ่งจะเริ่มจีบกัน ถ้ารุกอีกฝ่ายชัดเจนมากเกินไปก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงทำได้เพียงกลับไปเสียโดยดี 

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งออกไป มั่วไป๋ก็กลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า บริษัทที่ช่วยเรื่องวาดภาพเมื่อก่อนตอนที่อยู่อเมริกา รู้ว่าเขากลับประเทศมาแล้ว จึงให้เขาเข้าไปหาสักหน่อย เพื่อพูดคุยเรื่องการทำงานร่วมกัน 

 

 

           เดิมทีมั่วไป๋ไม่คิดจะรับปาก แต่ตอนนี้มาคิดดู รู้สึกว่าจะรับปากไปก็ไม่ดีข้อเสียอะไร ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้เขาจะไม่ได้ขาดเงินใช้จริงๆ แต่จะมาหมกตัวอยู่แต่ที่บ้านอย่างเดียว ไม่ทำอะไรสักอย่างก็ไม่ได้ 

 

 

           อีกอย่างเขาจำเป็นต้องใช้เรื่องอื่นมาเบี่ยงเบนความรู้สึกของเขา 

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้น เวลาได้ใกล้ชิดไป่จิ๋ง อารมณ์พังๆ ของเขาจะปรากฏออกมาได้ง่ายๆ 

 

 

           …… 

 

 

           กลับไปนอนต่ออีกรอบ ก็หลับไปถึงบ่ายสองโมงครึ่ง ซือเหยี่ยนไปบริษัทก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อคิดว่าเจียงมู่เฉินยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนก็ไม่ได้เรียก แค่จูบเขาแล้วก็ออกไป 

 

 

           เจียงมู่เฉินลงมาชั้นล่าง คุณแม่เจียงอาบแสงแดดอยู่ในสวนดอกไม้ เจียงมู่เฉินเห็นห้องรับแขกไม่มีใครสักคน จึงเปลี่ยนทางไปมุ่งตรงไปยังสวนดอกไม้ พอเห็นคุณแม่เจียงนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้พับ ก็เดินเข้าไปหา 

 

 

           “แม่ครับ แม่มาทำอะไรอยู่ที่นี่ อาบแดดเหรอครับ” เจียงมู่เฉินทิ้งตัวลงเอนกายไปกับเก้าอี้พับที่อยู่ข้างๆ หรี่ตาลงเล็กน้อย สบายจริงๆ สบายจนอย่าบอกใคร 

 

 

           คุณแม่เจียงมองเขาแวบหนึ่ง “เป็นยังไงบ้าง หลับสบายดีไหม” 

 

 

           “ค่อยยังชั่วครับ เพียงแต่ว่าทำไมวันนี้แม่ไม่เรียกผมกินข้าวเลยล่ะ” ปกติถึงตอนเที่ยงต้องเรียกเขากินข้าวแล้ว 

 

 

           คุณแม่เจียงหรี่ตาลงเล็กน้อย “เป็นเพราะเสี่ยวเหยี่ยนเด็กคนนั้นเอาใจใส่ลูก บอกแม่ว่าเมื่อคืนลูกนอนไม่หลับ เพิ่งจะได้นอนตอนเช้า ให้แม่อย่าไปเรียกปลุกลูก ให้ลูกนอนพักต่อสักหน่อยดีกว่า”   

 

 

        

 

 

ตอนที่ 183 ตัดสินใจแล้วว่าจะสู้ตายให้ถึงที่สุด 

 

 

           พอคิดถึงตรงนี้ คุณแม่เจียงก็ถอนหายใจเล็กน้อย “ลูกว่าไหม ถ้าเสี่ยวเหยี่ยนเป็นผู้หญิง คงจะดีมากทีเดียว แบบนี้ลูกแต่งเขาเข้าบ้านเราเป็นลูกสะใภ้แม่ได้ หน้าตาดี ยังกตัญญูมีความสามารถ เปิดไฟก็หาแบบนี้ไม่เจอนะลูก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดทำนองล้อเล่น “อะไรกัน นี่แม่หมายความว่าเป็นผู้ชายก็ไม่ได้แล้วเหรอครับ” 

 

 

           คุณแม่เจียงถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “เป็นผู้ชายจะได้ยังไงกัน แม่ยังหวังให้ลูกรีบแต่งงาน มีหลานให้แม่อุ้มสักที” 

 

 

           “อยากได้หลานขนาดนี้เชียวเหรอแม่” 

 

 

           “แม่เฝ้าคอยมาหลายปีแล้ว แต่ลูกล่ะ เมื่อไหร่จะให้แม่กลับมาสักที” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูสีหน้าท่าทางแบบนั้นของแม่เขาแล้ว ก็ถอนหายใจอยู่ในใจอย่างจนใจ เห็นแม่เขามีทีท่าแบบนี้ คงไม่ต่างกับพ่อแม่ของซือเหยี่ยนเท่าไหร่ ดูท่าว่าจะเสียใจแล้ว  

 

 

           คุณแม่เจียงพูดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ ก็นึกอยากจะคว้าตัวเจียงมู่เฉินมาพูดอะไรด้วยต่อ เจียงมู่เฉินเห็นเข้าก็รีบเอ่ยตัดบททันที “แม่ครับ มีอะไรกินไหม ผมหิวจะตายอยู่แล้ว” 

 

 

           พอคุณแม่เจียงได้ยินว่าลูกชายสุดที่รักบอกว่าหิวแล้ว ก็รีบลุกขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น “ลูกรอก่อนนะ แม่จะไปอุ่นอาหารให้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองตามแผ่นหลังของคุณแม่เจียงที่ห่างไกลออกไป เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ต่อให้ยึดเมืองยากแค่ไหนก็ต้องยึดให้ได้ อย่างมากก็แค่กลายเป็นต้องรบในสงครามที่ยืดเยื้อเท่านั้นเอง 

 

 

           ถึงอย่างไรเขาก็พร้อมจะรออย่างอดทน ใครใช้ให้เขาไปชอบซือเหยี่ยนเจ้าคนระยำหน้าไม่อายนั่นเข้าให้ล่ะ 

 

 

           อีกอย่างคุณชายเจียงอย่างเขาเคยจะกลัวเมื่อไหร่กัน ต่อให้ยากแค่ไหนก็ต้องเดินไปข้างหน้า เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะเดินผ่านไปไม่ได้ 

 

 

           ความมั่นใจในตัวเองข้อนี้ เขายังมีอยู่พอตัว 

 

 

           เจียงมู่เฉินพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม หยิบมือถือออกมาส่งข้อความหาซือเหยี่ยน เขาพิมพ์ลงไปอย่างเน้นหนักและตั้งใจ ก่อนจะทำใจใหญ่ส่งออกไป 

 

 

           [ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะสู้ตายให้ถึงที่สุด ถ้านายหนีไปกลางคัน ทิ้งฉันไว้กลางทาง ฉันรับรองว่าจะฆ่านายทิ้งซะ!] 

 

 

           ซือเหยี่ยนที่กำลังประชุมงานอยู่ในห้องประชุม อ่านข้อความของเจียงมู่เฉินแล้ว ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาพิมพ์ตอบกลับไป  

 

 

[ได้ ผมจะยืนหยัดไม่ถอยทัพแน่นอน] 

 

 

           เจียงมู่เฉินอ่านข้อความที่ซือเหยี่ยนส่งกลับมา ก็พยักหน้ารับอย่างพอใจ 

 

 

           มาขึ้นเรือบาปลำนี้ของคุณชายแล้ว ไม่มีทางจะลงจากเรือลำนี้ไปได้ ถึงอย่างไรเขาก็มีเวลาพอที่จะผูกมัดซือเหยี่ยนให้อยู่บนเรือลำนี้กับเขาตลอดชีวิต 

 

 

           ถึงเวลานั้นต่อให้มีแฟนเก่าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นมาแย่งชิง เขาก็ไม่มีทางจะยอมให้ง่ายๆ 

 

 

           ‘แฟนเก่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็เป็นได้แค่เส้นขนเท่านั้นแหละ เขาเจียงมู่เฉินก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน โอเคไหม’ 

 

 

           ‘ไม่ถอย ยังไงก็ไม่ถอยให้หรอก’ 

 

 

           …… 

 

 

           กินข้าวเสร็จ เจียงมู่เฉินถือโอกาสตอนที่ฟ้ายังไม่ค่ำลงมากนัก ตัดสินใจไปดูซังจิ่ง ถึงอย่างไรคราวก่อนเขาก็ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ ตามหลักมนุษยธรรมแล้ว ก็ต้องไปเยี่ยมเยือนบ้าง 

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินขับรถออกมาแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่รู้ว่าซังจิ่งพักอยู่ที่ไหน เขาหยิบมือถือขึ้นมา กดโทรหาซังจิ่ง เตรียมจะถามเอาที่อยู่กับเขา 

 

 

           “นายอยู่ที่ไหน ฉันจะไปหานายตอนนี้” 

 

 

           ซังจิ่งได้ยิน ก็รีบเอ่ย “ตอนนี้ผมทำธุระอยู่ข้างนอก ไม่งั้นคุณมาหาผม แล้วคืนนี้กินข้าวด้วยกัน?” 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดไปคิดมาก็ได้อยู่ ไปร้านอาหารก็ดีกว่าไปบ้านเขา เมื่อคิดถึงว่าตัวเองไปอยู่กันสองต่อสองกับเขาในบ้านเขา หัวเจียงมู่เฉินชักจะเริ่มชาๆ 

 

 

           คิดได้แบบนี้ เขาตกลงทันที “ส่งที่อยู่มาให้ฉัน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” 

 

 

           ไป๋จิ่งรีบส่งที่อยู่ให้เขา เจียงมู่เฉินขับรถมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่ซังจิ่งปักหมุดไว้ เมื่อเขาไปถึงซังจิ่งกำลังถูกสัมภาษณ์อยู่ในห้องประชุมชั้นสอง 

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูมองดูแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวไปอยู่ด้านข้าง สถานการณ์ตอนนี้เขาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยจะดีกว่า 

 

 

           ไม่อย่างนั้นถึงเวลาก็ไม่รู้แล้วว่าบนหน้าหนังสือพิมพ์จะเขียนอย่างไรบ้าง 

 

 

           เจียงมู่เฉินอยู่ชั้นสามสั่งกาแฟมาแก้วหนึ่ง รอซังจิ่งไปด้วย ชมวิวไปด้วย จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าถานโจวมีร้านอาหารลอยฟ้าชื่อดังอยู่ร้านหนึ่ง เหมือนว่าจะอยู่แถวๆ นี้ด้วย 

 

 

           ถ้าได้มากับซือเหยี่ยนก็คงจะไม่เลวทีเดียว ถึงพวกเขาสองคนจะไม่ได้เน้นหนักเรื่องความโรแมนติกอะไร แต่ว่าบางทีเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีไม่เบา 

 

 

           มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นขึ้นมากะทันหัน เจียงมู่เฉินหยิบขึ้นมาดู ก็เห็นเป็นสายของซือเหยี่ยนโทรเข้ามา 

 

 

           เขากดรับสาย “มีอะไร” 

 

 

           เสียงทุ้มต่ำจากปลายสายของซือเหยี่ยนเอ่ยขึ้น “ขอโทษด้วย คืนนี้ผมมีธุระ กลับไปกับคุณไม่ได้แล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ธุระอะไร” 

 

 

           “ขอโทษด้วย ตอนนี้ไม่สะดวกพูด เดี๋ยวกลับไป ผมจะบอกอีกทีนะ” 

 

 

           พูดจบซือเหยี่ยนก็วางสายไป เจียงมู่เฉินมองดูมือถือแล้วก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ ธุระอะไรต้องมาทำตอนกลางคืน ยังไม่สะดวกจะบอกเขาอีก 

ตอนที่ 180 จะกลายเป็นผู้หญิงแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตั้งแต่นิ่งอึ้งไปจนตื่นตระหนก แล้วมาหวาดกลัว ไม่พูดไม่จาสักคำอยู่อย่างนี้

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทีตอบสนองเขาแบบนี้ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยปกติเท่าไหร่

 

 

           เขาคำนวณได้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ของเจียงมู่เฉินได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกหวาดกลัวได้ เขาอดจะกุมมือเจียงมู่เฉินไว้แน่นๆ ไม่ได้

 

 

           “เฉินเฉิน คุณเป็นไรไป”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนอย่างไปต่อไม่เป็น “จบกันๆ ฉันจะกลายเป็นผู้หญิงแล้ว”

 

 

           เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเต็มหัวซือเหยี่ยน

 

 

           พวกเขารู้จักกันมาตั้งนาน จะไม่รู้โครงสร้างร่างกายเจียงมู่เฉินได้อย่างไร ตั้งแต่หัวจรดเท้า จากข้างในมาข้างนอก เขาคือผู้ชายตัวจริง

 

 

           ถ้าเจียงมู่เฉินกลายเป็นผู้หญิงจริงๆ เกรงว่าโลกจะถล่ม เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น

 

 

           “จริงๆ ฉันกลายเป็นผู้หญิงไปแล้วใช่ไหม” เจียงมู่เฉินตกใจจนจะฉี่ราดจริงๆ แล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปลูบสักหน่อย “ไม่นะ ก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหน้าชา ปัดมือซุกซนของเขาทิ้ง “นายมันน่าไม่อาย เอามือไปวางตรงไหนกัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไขสือ “คุณบอกว่าคุณกลายเป็นผู้หญิงแล้วไม่ใช่เหรอ ผมก็เลยลองลูบดูว่ายังอยู่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกขัดใจ โกรธจนไม่โต้แย้งเขาแล้ว

 

 

           “ฉันหมายถึงใจ หัวใจ นายเข้าใจไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัวอย่างจริงจัง “บอกตามตรง ยังไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ”

 

 

           “ไสหัวไปซะ ไม่อยากจะคุยกับนายแล้ว” เจียงมู่เฉินยกเท้าถีบเข้าให้ทีหนึ่ง นอนห่อตัวซุกตัวในผ้าห่มหดหู่ใจ

 

 

           ซือเหยี่ยนงงค้าง มองดูเจียงมู่เฉินที่ห่อพันตัวเองราวกับรังไหม แล้วยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่ เรื่องมันดำเนินมาไม่ค่อยจะถูกทิศถูกทางหรือเปล่า

 

 

           ตามแผนที่เขาวางไว้ ตอนนี้ควรจะได้ฉลองบทรักกันอย่างมีความสุขแล้วไม่ใช่เหรอ

 

 

           ‘ทำไมเจียงมู่เฉินถึงได้ห่อตัวเองใต้ผ้าห่ม แล้วนอนไปเลย’

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มลงมองน้องชายตัวเอง แล้วมองเจียงมู่เฉิน…ไปต่อไม่ค่อยถูก…

 

 

           “คือว่า เฉินเฉิน…ไม่ออกกำลังกายก่อนนอนสักหน่อยเหรอ” ซือเหยี่ยนตัดสินใจสู้เพื่อน้องชายตัวเองสักหน่อย

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้ม้วนตัวใต้ผ้าห่ม ด่ายกใหญ่ “ออกกำลังกายกับน้องสาวนายสิ จะนอน!”

 

 

           ซือเหยี่ยนผู้โดนตวาดใส่ ถอนหายใจอย่างเงียบๆ

 

 

           ดีที่เขาไม่มีน้องสาว ไม่อย่างนั้นน้องสาวต้องมาเอาชีวิตเขาแน่

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่คิดจะโปรดปรานเขาแล้ว ทำได้เพียงน้อยใจกันสองคนพี่น้อง ซือเหยี่ยนนอนหงายลงบนเตียง พูดคุยเรื่องความรู้สึกกับน้องชายของตัวเองแบบเงียบๆ ให้เขาไม่ดื้อ สงบลงแล้วนอนหลับแต่โดยดี

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกว่า…เป็นตัวเขานี่ยากลำบากเอาเรื่องจริงๆ

 

 

           ……

 

 

           รุ่งสางวันต่อมา ซือเหยี่ยนโดนเจียงมู่เฉินใช้เท้าถีบปลุก ซือเหยี่ยนสับสนงุนงงมองเจียงมู่เฉินที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ ไม่ค่อยจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

 

           เขากะพริบตาปริบๆ “นี่……เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขาอย่างเอาจริงเอาจัง “ฉันจะบอกนายไว้ ต่อให้ฉันกลายเป็นผู้หญิง นายก็เลิกกับฉันไม่ได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ เขาดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจียงมู่เฉินเป็นผู้หญิงตรงไหน แต่สายตาด้านข้างนี้ก็เอาแต่ถลึงตาใส่เขา ซือเหยี่ยนทำได้เพียงพยักหน้า “ได้ ไม่เลิก”

 

 

           เจียงมู่เฉินถึงได้พอใจแล้วเอนกายนอนลงไป “โอเค นอนกันเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนจ้องมองเขา “เฉินเฉิน คงไม่ใช่ว่าไม่ได้นอนทั้งคืนหรอกใช่ไหม” เขาเห็นแววตาเจียงมู่เฉินใสวาว ไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ใช่สิ ฉันคิดเรื่องของฉันอยู่”

 

 

           เขาคิดมาทั้งคืน ต่อให้ความคิดตัวเองกลายเป็นผู้หญิงในจุดนี้ เขาก็ยอมรับแล้ว ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนก็อย่าคิดจะหนีรอดจากอุ้งมือเขา

 

 

           ‘ในเมื่อขึ้นเตียงของเขาเจียงมู่เฉินแล้ว คิดจะลงไปอีก ไม่มีทาง!’

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “คุณคิดเรื่องนี้มาทั้งคืนเลยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้าจริงจัง “ก็ใช่น่ะสิ”

 

 

           ซือเหยี่ยนแทบจะคุกเข่าให้แล้วจริงๆ เพราะเรื่องนี้ถึงได้คิดทั้งคืน สู้มาออกกำลังกายกับเขาสักหน่อยยังจะดีกว่า

 

 

           ‘เลิกเหรอ’

 

 

           ‘ชาตินี้ตีให้ตายก็ไม่มีทางเลิกเด็ดขาด’

 

 

           “เฉินเฉิน ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ไม่อย่างนั้น…” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสนออย่างจริงจัง

 

 

           เจียงมู่เฉินเอาหมอนตบหน้าเขา “ไม่มีไม่อย่างนั้น นอน!”

 

 

           เปลวไฟดวงน้อยๆ ที่ซือเหยี่ยนหวังไว้ถูกดับมอดอย่างไร้เยื่อใย เขาถอนหายใจอย่างจนใจ กลับไปนอนตะแคงยื่นมือไปโอบกอดเจียงมู่เฉินเอาไว้

 

 

           ‘กินไม่ได้ แล้วยังจะกอดสักหน่อยไม่ได้เหรอ’

 

 

           ความต้องการของซือเหยี่ยนคงไม่ได้รับการเติมเต็มแล้วจริงๆ

 

 

 

 

ตอนที่ 181 เป็นฝ่ายมาถึงที่

 

 

           เช้าวันต่อมา มือถือที่มั่วไป๋วางลงข้างเตียงร้องไม่หยุด อึกทึกจนเขานอนหลับดีๆ ไม่ได้ มั่วไป๋ขมวดคิ้ว เอามือออกจากใต้ผ้าห่มควานหาอยู่ด้านข้างอย่างทุลักทุเล

 

 

           กว่าคว้าเอามือถือมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เขาไม่ดูสักนิด กดรับสายทันที จิตใต้สำนึกของมั่วไป๋บอกเขาว่าคนที่โทรมาหาเขาเช้าขนาดนี้ก็มีเพียงเจียงมู่เฉินคนเดียว

 

 

           “ฮัลโหล โทรหาฉันมีอะไรอีก เมื่อคืนยังง้อกันไม่ได้เหรอ” มั่วไป๋ย่นคิ้ว เอ่ยถาม

 

 

           “ผมเอง ไป๋จิ่ง”

 

 

           ได้ยินเสียงดังมาจากปลายสาย มั่วไป๋ชะงักงันสักพักหนึ่ง เขาลืมตาดูเวลาในมือถือ เพิ่งจะเก้าโมง ทำไมเช้าขนาดนี้ไป๋จิ่งถึงโทรหาเขาได้

 

 

           ‘เป็นบ้าหรือไง เจ้าคนนี้’

 

 

           “มีอะไรเหรอ” น้ำเสียงมั่วไป๋ดีขึ้นมานิดหนึ่ง

 

 

           “ผมมาคืนรถให้คุณ”

 

 

           “อ้อ งั้นนายก็จอดไว้ตรงนั้น แล้วไปเลยก็ได้” มั่วไป๋พูดไปส่งๆ

 

 

           เส้นเลือดบนหน้าผากไป๋จิ่งกระตุกแล้วกระตุกอีก เมื่อคืนเขาตื่นเต้นจนนอนหลับไม่สนิททั้งคืน กว่าจะหอบร่างตัวเองให้มาลุกเวลาเจ็ดโมงเช้าได้ กว่าจะลงจากเตียงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหล่อๆ ไหนจะยังพรมน้ำหอมอีกไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทั้งหมดก็เพื่ออยากให้มั่วไป๋มีภาพจำที่ดีเกี่ยวกับเขา

 

 

           ‘สุดท้ายเขายังไม่ทันได้เจอมั่วไป๋ ก็จะให้เขากลับไปแล้วเหรอ’

 

 

           ‘ที่ตื่นเต้นมาก็เสียเปล่าเลยใช่ไหม’

 

 

           ไป๋จิ่งกลอกตาไปมา “ผมอยากกินข้าวเช้าด้วยกันกับคุณ”

 

 

           มั่วไป๋เงียบไม่พูดจาครู่หนึ่ง ทันทีหลังจากนั้นคิดไม่ถึงว่าจะเอ่ยตอบรับไป “อ่อ งั้นนายขึ้นมาแล้วกัน ฉันยังไม่ลุกจากเตียง”

 

 

           ไป๋จิ่งตาลุกวาว นึกไม่ถึงว่าจะให้เขาขึ้นไป เดิมทีเขาแค่คิดจะชวนมั่วไป๋ลงมากินข้าวเช้าด้วยกัน ไม่คิดเลยว่าจะให้เขาขึ้นไปบ้านด้วย การพัฒนาความสัมพันธ์คืบหน้าอย่างราบรื่นเกินไปนิดหน่อยมั้ง

 

 

            หัวใจไป๋จิ่งอดจะเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาไม่ได้ มั่วไป๋ที่เพิ่งตื่นนอน……คิดแล้วก็เร้าใจไม่เบา

 

 

           เดินทางมาตามเลขห้องที่มั่วไป๋บอก จนขึ้นลิฟต์ขึ้นไป มายืนอยู่หน้าประตูห้องของมั่วไป๋ ไป๋จิ่งสูดหายใจลึกๆ เช็คดูการแต่งตัวของตัวเอง คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ถึงได้เคาะประตู

 

 

           เขาเคาะเสร็จรออีกไม่กี่นาที ประตูก็ถูกเปิดออก

 

 

           มั่วไป๋ใส่เสื้อทีเชิ้ตตัวโคร่งๆ สบายๆ ท่าทางเพิ่งตื่นนอนมา

 

 

           “ฉันไปล้างหน้าแปรงฟัน นายนั่งรอสักพักก่อนแล้วกัน” มั่วไป๋เอามือกุมผมที่ยุ่งเล็กน้อย แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปห้องน้ำที่อยู่ข้างๆ

 

 

           ที่นี่ไม่ถือว่าใหญ่เกินไป แบ่งเป็นสองห้องอยู่อาศัยใหญ่ๆ เป็นสัดส่วน เขาอยู่คนเดียวก็ไม่ได้มีสิ่งของอะไรมากมาย ดูค่อนข้างว่างโล่งทีเดียว

 

 

           ไป๋จิ่งยืนอยู่ในห้องรับแขก เห็นมั่วไป๋ยืนแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำได้พอดี ภายใต้เสื้อผ้าที่หลวมโคร่งยิ่งดูบอบบาง

 

 

           ไม่รู้ทำไมเพียงชั่วครู่เดียวนั้น หัวใจของไป๋จิ่งถูกจับกุมเอาไว้แน่น ราวกับใจจะลอยไป คิดถึงอะไรสักอย่าง

 

 

           เขาหมุนตัวเดินเข้าห้องครัว ในห้องครัวดูสะอาดเรียบร้อยราวกับไม่มีคนเคยใช้มาก่อน

 

 

           “มั่วไป๋ ผมใช้ห้องครัวของคุณได้ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ที่กำลังแปรงฟันอยู่ชะงักไป เอาแปรงสีฟันลง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ในตู้เย็นไม่มีอะไรสักอย่างนะ”

 

 

           ไป๋จิ่งเดินไปด้านหลัง เปิดตู้เย็นออกมาดู ถึงพบว่าข้างในไม่มีอะไรสักอย่าง มีเพียงแค่ขวดเบียร์และน้ำแร่อยู่ไม่กี่ขวด ว่างเปล่าราวกับไม่มีใครอยู่ข้างใน

 

 

           “ผมจะลงไปสักหน่อย คุณรอผมอยู่นี่แป๊บนึงนะ”

 

 

           เขาหมุนตัวเดินออกประตูไป ตอนที่มาถึงเห็นแถวทางเข้ามีตลาดใหญ่พอดี ห้องของมั่วไป๋ว่างเปล่า ไม่เหมือนกับที่ที่ มีคนอยู่อาศัย ไม่ใช่แค่ตู้เย็น แม้แต่ในทั้งคอนโดมิเนียมนี้สังเกตไม่เห็นหรือได้กลิ่นคนทำอาหารเลยสักนิด

 

 

           ไป๋จิ่งใช้เวลาประมาณหนึ่ง ซื้อของมาเต็มสองถุง กลับมาถึงที่คอนโดมิเนียมอีกครั้ง ไป๋จิ่งเคาะประตูเรียก

 

 

           หลังจากมั่วไป๋เปิดประตูให้ มองถุงที่อยู่ในมือของไป๋จิ่ง แล้วเลิกคิ้ว “อะไรกัน”

 

 

           “ทำข้าวเช้าไง เห็นตู้เย็นของคุณไม่มีอะไรสักอย่าง เลยถือโอกาสซื้อมาด้วยนิดหน่อย” ไป๋จิ่งหิ้วของเข้ามาในห้อง คุ้นเคยราวกับเป็นบ้านของตัวเองไม่มีผิด

 

 

           เขาเอาของไปวางบนเคาน์เตอร์ในห้องครัว ค่อยๆ แบ่งของใส่ในตู้เย็นเป็นสัดส่วน

 

 

           ขณะที่ไป๋จิ่งกำลังจัดการของพวกนี้อยู่ มั่วไป๋ก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย สีหน้าสงบนิ่งดูไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับจดจ่อมาที่ไป๋จิ่งตลอดเวลา บางครั้งความรู้สึกซับซ้อนก็ฉายขึ้นมาในแววตา   

ตอนที่ 178 ฉวยโอกาสเอาเปรียบ

 

 

           เขาทำให้เจียงมู่เฉินตกใจกลัว รีบเอามายันซือเหยี่ยนไว้

 

 

           “ไม่นอนดีๆ นายปีนขึ้นมาทำอะไร” เจียงมู่เฉินระเบิดลง นี่มันอะไรกัน เมื่อกี้ก็ยังดีกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ทำไมขึ้นมานอนแล้วยังมาโกรธกันอีก

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ตอบ ใจจดจ่ออยู่กับการกระทำในมือ

 

 

           เจียงมู่เฉินดึงผ้าห่มสุดชีวิต ยกเท้าเตะเขา “ดูท่าว่าคำพูดเมื่อกี้นี้ของเฉินเฉินจะแค่พูดไปงั้นๆ เอง หลอกผมมาตั้งแต่แรกแล้วสินะ”

 

 

           เขาถอนหายใจเงียบๆ “ช่างเถอะ ผมน่าจะรู้มาตั้งนานแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง เมื่อครู่นี้เขารับปากอะไรซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง ภาพในหัวค่อยๆ ย้อนระลึกปรากฏขึ้นมา…จากนั้นก็ตะลึงค้างไป

 

 

           ‘เขาบอกเองว่าต่อให้จะป๊าบๆๆ ก็โอเค’

 

 

           ‘ห้ามขัดขืน แล้วต้องให้ความร่วมมือด้วย แบบนั้นน่ะเหรอ’ เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ ตอนนี้เขาเอาคำพูดพวกนั้นเก็บกลับคืนมายังจะทันอยู่ไหม

 

 

           สีหน้าท่าทางของซือเหยี่ยนดูแล้วน่าสงสารอยู่ในที พูดไปก็คิดจะเปิดผ้าห่มลงจากเตียง ท่าทีแบบนั่นก็แปลว่า ‘ถ้าคุณยังไม่ยอมตกลง ผมจะกลับไปที่ระเบียง’

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าชาติที่แล้วตัวเองต้องทำกรรมกับเขาไว้จริงๆ ชาติถึงได้โดนซือเหยี่ยนจัดการตลอด

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย!’ ประเด็นสำคัญคือเขายังเป็นฝ่ายเต็มใจยอมส่งตัวเองถึงที่ให้ซือเหยี่ยนกิน

 

 

           เขากดมือซือเหยี่ยนที่อยากจะลงจากเตียงไว้ ขบกรามสุดชีวิตภายใต้ความมืดมิด ก็แค่โดนจับกดไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำ มีอะไรต้องกลัว

 

 

           อย่างมากก็แค่ออกกำลังกายกันก่อนนอนเท่านั้นเอง

 

 

           “นายอย่าไปไหน อยากเอาก็เอา คุณชายอย่างฉันพูดคำไหนคำนั้น” เจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างหนักแน่น แทบอยากจะพุ่งตัวไปจับซือเหยี่ยนกดลงเตียงแทน

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “จริงเหรอ คุณอย่าฝืนใจเลย”

 

 

           เขายังมาทำหน้าเหมือนไม่อยากทำให้เขาลำบากใจอีก เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “ฝืนใจกะน้องสาวนายสิ ให้นายทำนายก็ทำ จะมาพล่ามอะไรมากมาย”

 

 

           ท่ามกลางราตรีอันมืดมืด แววตาของซือเหยี่ยนทอประกาย จ้องเหยื่อที่ส่งตัวเองมาให้เขาถึงที่ตาไม่กะพริบ ยังวางลงตรงปากเข้าอีก เมื่อคิดถึงว่าเจียงมู่เฉินเป็นฝ่ายออกปากเองก็อดจะแอบยิ้มไม่ยิ้ม

 

 

           “เร็วเข้าสิ ยังอืดอาดอยู่ ฟ้าจะสว่างแล้วนะ” เจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนไม่ทำอะไรสักที ชักจะร้อนใจแล้ว

 

 

           “โอ้…” แผนการเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นในแววตา “ผมก็ไม่ได้ไม่อยากจะเร็ว ประเด็นคือมือผมค่อนข้างชา”

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด “งั้นนายจะให้ทำยังไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “เฉินเฉิน ไม่งั้นคุณช่วยผมปลดกระดุมสิ”

 

 

           “!” ปลดกระดุม? เขาช่วยซือเหยี่ยน?

 

 

           เจียงมู่เฉินไปต่อไม่ถูก นี่มันเร้าใจไปไหม พวกเขาอยู่กันมาตั้งนาน เป็นซือเหยี่ยนคนเดียวที่ปลดเสื้อผ้าเขาออก ตัวเองยังไม่เคยช่วยซือเหยี่ยนปลดเสื้อผ้าเลย

 

 

           จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็รู้สึกจักจี้ที่มือ

 

 

           “ได้ ฉันเองๆ” เจียงมู่เฉินลุกขึ้นนั่งบนเตียงประจันหน้าซือเหยี่ยน

 

 

           ท่ามกลางความมืด เขามองกระดุมบนเสื้อของซือเหยี่ยนไม่ชัด ทำได้แค่เพียงลูบๆ คลำๆ หาไปตามร่างกายของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินคลำอยู่ตั้งนานก็ยังหากระดุมบนเสื้อของซือเหยี่ยนไม่เจอ

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจเงียบๆ “เฉินเฉิน คุณคงจะไม่ฉวยโอกาสเอาเปรียบผมหรอกใช่ไหม”

 

 

           “ใครจะเบื่อจนเอาเปรียบนายกัน อีกอย่างร่างกายของนายจะส่วนไหนก็เป็นของฉัน ฉันลูบสักหน่อยจะเป็นไรไป นายไม่พอใจหรือไง” เวลานี้แล้วเจียงมู่เฉินยังลำพองตัวกว่าคนข้างๆ เสียอีก

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นหัวเราะ เขากางมือออก แสดงลีลาท่าทางว่า ‘ให้คุณทำได้ตามใจ’

 

 

           “อืม คุณพูดถูก ลูบได้ ลูบตามใจเลย”

 

 

           ปลายนิ้วเจียงมู่เฉินสั่นสะท้าน อดจะลูบจมูกปอยๆ ไม่ได้ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคำพูดของซือเหยี่ยนดูน่าอับอายอย่างไรชอบกล

 

 

           ตั้งสติได้ ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็หากระดุมเสื้อเจอ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงค่อนข้างจะตื่นเต้น เขาค่อยๆ ใช้มือปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดๆ ตั้งแต่ปลดเม็ดแรก เม็ดที่เหลือก็ราบรื่นขึ้นเยอะ

 

 

           จนกระทั่งกระดุมทุกเม็ดถูกปลดออกแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้โล่งใจ เขาถอนหายใจเล็กน้อย ทำไมแค่ช่วยซือเหยี่ยนปลดกระดุมถึงเหนื่อยเหมือนไปวิ่งแปดร้อยเมตรมา

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่กำลังถอนหายใจเบาๆ เขายกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีใจเย็น “เฉินเฉิน ยังมีกางเกงอีกนะ”

 

 

             

 

 

ตอนที่ 179 โดนปั่นหัวเล่นอีกแล้ว

 

 

           “!” เจียงมู่เฉินอยากจะร้องไห้ ทำไมแค่ถอดเสื้อผ้าทำไมถึงยากขนาดนี้ ชีวิตใกล้จะไม่เหลือแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนพิงกายเอ้อระเหยอยู่ตรงนั้น “อะไรกัน เฉินเฉินคิดจะฉีกสัญญาเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกัดฟัน อยากจะสบถคำหยาบคายใส่ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นขุดหลุมเอาไว้ แล้วตัวเองยังไม่ทันได้ค้นพบ ก็กระโดดลงไปอย่างโง่ๆ แล้ว

 

 

           “ฉันว่า นายกำลังปั่นหัวฉันเล่นอยู่ใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเอ่ยถามอย่างคนรู้ตัวช้า

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูก เอ่ยอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “โดนคุณจับได้แล้วหรือนี่”

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนกัดฟัน “โคตร! พ่อง! สิ! ฉันอยากจะเล่นงานนายให้ตายจริงๆ” เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังมีหน้ามายอมรับอีก

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงพิงอยู่ตรงนั้น หรี่ตาลงเล็กน้อย “มาเถอะ อย่าอ่อนโยนกับผมมากเกินไปอีกนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “……”

 

 

           ‘อยากจะคืนสินค้าทำไงดี’

 

 

           “นายวางแผนหลอกฉันมาแม้แต่เรื่องที่อยู่ตรงระเบียงใช่ไหม” ดวงตาดอกท้อของเจียงมู่เฉินหรี่ลงเล็กน้อย “ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แค่ตรงระเบียง นายวางแผนหลอกฉันตั้งแต่ที่ถามหาของขวัญกับฉันใช่ไหม”

 

 

           จงใจถามหาของขวัญกับตัวเอง แล้วจงใจยั่วโมโหตัวเอง จงใจให้ตัวเองโกรธจนด่าเขา จากนั้นตัวเขาเองก็ไปทำเป็นยืนน้อยใจอยู่ตรงระเบียง คิดไว้อยู่แล้วตัวเองทนเห็นเขาน้อยใจอยู่ตรงระเบียงคนเดียวไม่ได้ ต้องไปหาเขาแน่นอน

 

 

           ถึงเวลาก็ฉวยโอกาสเอาของขวัญ ไหนจะให้ตัวเองยอมตกลงรับสัญญาที่ไม่เท่าเทียมกันของเขา

 

 

           จากนั้นเขาก็ฉวยโอกาสทำตามอำเภอใจได้

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย!’

 

 

           การโดนตลบหลังครั้งนี้ พาตัวเองผ่านไปทีละขั้นอย่างแม่นยำ ค่อยๆ ดึงดูดตัวเองให้มาลงหลุมที่เขาขุดไว้ล่วงหน้าแล้ว

 

 

           ที่สำคัญคือตัวเองเหมือนกับคนโง่ไม่มีผิด กระโดดลงไปอย่างโง่ๆ แล้วยังทุ่มเทใจกระตือรือร้นคิดอยากจะง้อเขา ไม่ว่าเขาพูดอะไร ตัวเองก็ยอมรับปากทุกอย่าง

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมูอย่างไรอย่างนั้น หมูก็ไม่ได้โง่เท่ากับเขาขนาดนี้ ชำระล้างให้สะอาดแล้วก็ยังเต็มใจส่งตัวเองถึงปาก ให้เขากินอีก

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบปลายจมูกป้อยๆ “เฉินเฉิน ผมดูเป็นจอมวางแผนขนาดนั้นเลยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น “เหมือน โคตรจะเหมือน เป็นสิ่งที่กำหนดใส่มาในตัวนายอยู่แล้วจริงๆ” เขาโกรธจนยื่นมือไปกดเปิดโคมไฟ แล้วจ้องมองซือเหยี่ยนด้วยความเดือดดาล “นายว่านายทำขนาดนี้ได้ยังไงล่ะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนทำเหมือนกับว่าคำพูดนี้กำลังอวยตัวเองอยู่ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เพราะว่าผมคือผู้ชายของคุณ”

 

 

           “…” ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าในคำตอบของซือเหยี่ยนที่ยังมีความภูมิใจอยู่ด้วย มันหมายความว่าไงกัน

 

 

            “ตอนนี้นายกำลังรู้สึกภูมิใจใช่ไหม รู้สึกว่าการได้แกล้งฉันจนหัวหมุนมีความสุขมากใช่ไหม”

 

 

           “ภูมิใจมากจริงๆ” ซือเหยี่ยนตอบอย่างซื่อสัตย์

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำตอบนี้ก็ระเบิดลงชั่วพริบตา ซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นยังรู้สึกว่าการปั่นหัวเขาเล่นน่าภูมิใจมากเลยเหรอ

 

 

           เขาจะโมโหจนระเบิดจริงๆ แล้ว ถ้าเวลานี้เขาพุ่งขึ้นไปเด็ดหัวซือเหยี่ยนออก คงจะไม่ต้องโดนปรับทางกฎหมายหรอกใช่ไหม

 

 

           “คิดไม่ถึงว่านายยังจะกล้ายอมรับ แม่งเอ๊ย นายยังจะกล้ายอมรับอีกเหรอ” เจียงมู่เฉินพุ่งเข้าใส่ ต้องการจะสู้กับซือเหยี่ยน “คุณชายเป็นคนที่นายจะปั่นหัวเล่นยังไงก็ได้เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาโกรธจริงๆ ก็รีบง้อเขา เขาก็แค่หยอกล้อเจียงมู่เฉินเท่านั้น คิดจะทำให้เขาโกรธจริงๆ ที่ไหนกัน

 

 

           “เฉินเฉิน ที่ผมภูมิใจไม่ใช่เพราะผมหยอกคุณ”

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “เรียกว่าปั่นหัว ไม่เรียกว่าหยอก”

 

 

           “ผมภูมิใจ เพราะผมมีแฟนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ แล้วยังเป็นห่วง ใส่ใจผมมากๆ อีกด้วย”

 

 

           “น้ำผึ้งอาบยาพิษ นายคิดว่าฉันจะเชื่อนายได้เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแล้วหัวเราะ “ใช่ ผมยอมรับว่าทั้งหมดเป็นแผนของผม แต่มันก็เดิมพันด้วยความห่วงใยที่คุณมีต่อผม ถ้าคุณไม่ห่วงใยผม แผนของผมก็จะไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น”

 

 

           เขาคว้ามือเจียงมู่เฉินเอาไว้ “ดังนั้น ผมภูมิใจ ก็เพราะแฟนของผม…คือคุณไง”

 

 

           ……

 

 

           เงียบไม่พูดจากันอยู่หลายนาที เจียงมู่เฉินถึงได้กะพริบตา หัวใจเขาเต้นตึกตักตึกตักตึกตัก ราวกับหัวใจจะทะลุออกไป

 

 

           จู่ๆ เขาก็เริ่มกลัวตัวเองแล้ว รู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเองเหมือนกับผู้หญิง คิดไม่ถึงว่าเมื่อได้ยินคำหวานแบบนี้จากปากซือเหยี่ยน หัวใจก็ตื่นเต้นจนจะระเบิดออกมา

 

 

           ‘หรือว่าเพราะว่าเขารักซือเหยี่ยนเข้าแล้ว ถึงได้เปลี่ยนไป กลัวการได้มาและการสูญเสียไม่ต่างจากผู้หญิงคนหนึ่งเลยแบบนี้’

ตอนที่ 176 เริ่มง้อ 

 

 

           คิดถึงตรงนี้ เจียงมู่เฉินก็เปิดผ้าห่มออก กระโดดลงจากเตียงเดินเท้าเปล่าไปถึงหน้าระเบียง แล้วเปิดประตูมา ยืนอยู่ข้างหลังของซือเหยี่ยน 

 

 

           “เพราะฉันไม่ได้ให้ของขวัญนาย นายเลยไม่สบายใจใช่ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ตอบเขา 

 

 

           เดิมทีเจียงมู่เฉินคิดจะจุดไฟในใจ สุดท้ายไฟยังไม่ทันได้ลุกโชน ก็ถูกซือเหยี่ยนดับมอดไปหมดแล้ว 

 

 

           “นี่ นายโกรธแล้วจริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินเริ่มจะใจคอไม่ดีแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนยังหันหลังให้เขาเหมือนเดิม ดูแล้วน่าสงสารทีเดียว 

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองแผ่นหลังของเขา เพียงชั่วครู่ก็รู้สึกใจอ่อนแล้ว เขาเดินเข้าไปดึงเสื้อของซือเหยี่ยนไว้ “นายพูดอะไรบ้างสิ อย่าอมทุกข์อยู่ที่นี่เลย” 

 

 

           ซือเหยี่ยนดึงมือของเขาให้ออกห่าง แล้วยังไม่พูดอะไรสักคำ 

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว กระชากอีกคนอัดเข้าผนัง แล้วล็อคตัวเอาไว้ เขาจ้องมองใบหน้าแสนเย็นชาของซือเหยี่ยน เสียงต่ำเอ่ยตวาดใส่ “นายแม่งหาเรื่อง ก็แค่ไม่ได้ให้ของขวัญนายไม่ใช่หรือไง ถึงขนาดต้องทำเย็นชาใส่ฉัน ทำสงครามเย็นกันเลยเหรอ” 

 

 

           ในที่สุดซือเหยี่ยนก็เบนสายตามามองใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ดวงตาสีดำขลับแฝงความเจ็บปวดจางๆ 

 

 

           เขามองเจียงมู่เฉิน ยิ้มอย่างจนใจ เปลือกตาปิดลงมา “คุณไม่ใช่ผม ต้องไม่เข้าใจอยู่แล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว “ไม่ใช่ ถ้านายไม่สบายใจจริงๆ นายก็พูดกับฉันสิ นายมายืนคนเดียวอยู่ตรงนี้หมายความว่าไง” 

 

 

           “ผมไม่อยากให้เรื่องนี้กระทบคุณ” 

 

 

           เขาทำให้เจียงมู่เฉินไปต่อไม่เป็นแล้ว ใช้ไม้แข็งกับซือเหยี่ยนไม่ได้ผลเลยสักนิด เขาคิดแล้วคิดอีก ตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์การง้อที่เหมาะสมกว่านี้ใหม่ 

 

 

           เขาดึงชายเสื้อของซือเหยี่ยนด้วยท่าทางอ่อนแอ ดูเหมือนว่าจะน่าสงสารกว่าซือเหยี่ยนอีก “ถ้านายไม่สบายใจ เพราะฉันไม่ได้ให้ของขวัญนาย ฉันชดเชยให้นายดีไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “เฉินเฉิน ไม่ใช่เพื่อของขวัญชิ้นหนึ่ง ผมแค่รู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ฉลองวันเกิดด้วยกัน” เขาหยุดสักพัก “คุณรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้ผมรอคอยมากแค่ไหน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาพูดมาแบบนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกผิดบ้างแล้ว 

 

 

           “เมื่อก่อนโลกของคุณสนุกสนานหลากสีสัน ไม่เหมือนตอนนี้ที่น่าเบื่อไร้สีสันหลังจากที่คบกับผม ผมอดที่จะคิดไม่ได้ว่าสำหรับคุณแล้ว ผมซือเหยี่ยนสุดท้ายแล้วเป็นอะไร สุดท้ายแล้วสำคัญแค่ไหน……” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกผิดจนจะร้องไห้แล้ว เขารู้สึกหงุดหงิดตัวเองทันที ให้ของขวัญซือเหยี่ยนไปตั้งแต่แรกก็จบแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ทำให้คนเขาโกรธขึ้นมา จะง้อก็ง้อลำบากแล้วทีนี้ 

 

 

           “งั้นฉันให้ของขวัญชดเชยนายเป็นไง” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสนอเสียงอ่อน    

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องเอาของขวัญ” 

 

 

           “เอาสิ จะไม่เอาได้ไง” เจียงมู่เฉินจ้องมองซือเหยี่ยน “ฉันบอกให้นายเอาของขวัญ นายก็ต้องเอา วันนี้คุณชายกำหนดมาให้นายแล้ว” 

 

 

           เขาหันกลับพุ่งตัวเข้าไปข้างใน หยิบนาฬิกาข้อมือที่เขาซื้อมาให้ซือเหยี่ยน แล้ววิ่งกลับออกไป 

 

 

           “ฉันซื้อไว้ให้นายล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่เขินเวลาจะให้นาย” เดิมทีเขารู้สึกว่าตัวเองกับซือเหยี่ยนเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ จะมาให้ของขวัญกันก็รู้สึกเขินทีเดียว 

 

 

           แต่ใครจะรู้ว่าซือเหยี่ยนจะแคร์เรื่องนี้ขนาดนี้ ถ้ารู้มาก่อนถึงจะอายก็จะให้เขาอยู่ดี 

 

 

           ซือเหยี่ยนจ้องมองกล่องในมือของเขา ไร้การเคลื่อนไหวใดใดไปพักหนึ่ง 

 

 

           เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว รีบดึงมือซือเหยี่ยนมา แล้วยัดกล่องใส่มือซือเหยี่ยนไว้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูกล่องใบนั้น ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร เหมือนกับไม่ได้ดีใจอะไรมากแบบนั้นเลย เจียงมู่เฉินกระวนกระวายใจ ของขวัญก็ให้แล้ว ทำไมยังไม่โอเคอีก 

 

 

           “ฉันตั้งใจซื้อให้นายเป็นพิเศษเลยนะ นายไม่คิดจะเปิดดูหน่อยเหรอ” เจียงมู่เฉินถามอย่างระมัดระวัง 

 

 

           ซือเหยี่ยนเพิ่งจะลงมือเปิดกล่องออก เห็นเป็นนาฬิกาข้อมือ เผยอปากขึ้นเอ่ย “อืม ชอบ” พูดจบก็ปิดฝาลงทันที 

 

 

           ‘ท่าทีของเขาทำแบบขอไปทีเกินไปไหม ยังว่าชอบอีก ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าชอบตรงไหน’ เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยน เพียงพริบตาเดียวก็อยากจะระเบิดลงแล้ว 

 

 

           เขาลำบากลำบนอ้อมไปอ้อมมากว่าจะให้ของขวัญซือเหยี่ยนได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะมองแค่ผ่านๆ ตาไปแบบนี้ 

 

 

           ยังดีที่ยังพอมีสตินึกคิด เจียงมู่เฉินถึงเบรกรถไม่ให้ระเบิดทันทีได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินบีบนิ้วมือแน่น พยายามเตือนตัวเองให้ควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเอง ยังง้อเขากลับมาไม่ได้ เดี๋ยวโกรธหนีไปอีก 

 

 

           เขากัดฟันถาม “ของขวัญก็ให้แล้ว อย่าโกรธเลยนะ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 177 สัญญาไม่เท่าเทียม 

 

 

           ซือเหยี่ยนจ้องมองเขา ไม่พูดจา 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาไม่ทะลุปรุโปร่งว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขารู้แค่เพียงซือเหยี่ยนแสดงออกแบบนี้ อารมณ์โกรธยังไม่หายไปแน่นอน 

 

 

           “ไม่อย่างนั้นนายก็พูดมา นอกจากของขวัญแล้ว นายยังอยากได้อะไร” 

 

 

           ในที่สุดซือเหยี่ยนก็มีท่าทีตอบกลับ “คุณพูดเอง” 

 

 

           “อืม ฉันพูดเอง” 

 

 

           “อยากได้อะไรก็รับปากหมดเลยเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกัดฟัน เพื่อจะง้อซือเหยี่ยนให้ได้ เขาเทหมดหน้าตักจริงๆ แล้ว “อืม อะไรฉันก็รับปาก ต่อให้นายอยากป๊าบๆๆ กับฉัน ฉันก็ยอม” 

 

 

           ขณะเขาพูดประโยคนี้ออกมา แววตาซือเหยี่ยนก็ลุกวาวขึ้นมา เขามองเจียงมู่เฉิน “เอาจริงเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าตัวเองได้กระโดดเข้าหลุมที่ซือเหยี่ยนขุดไว้เรียบร้อยแล้ว ยังพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “จริงจังๆๆ จริงจังเป็นพิเศษเลย” เขาชี้มาที่ใบหน้าตัวเอง “นายดูใบหน้าเล็กๆ นี้ อีกนิดก็เขียนคำว่า ‘จริงจัง’ สองคำนี้ลงไปได้แล้ว” 

 

 

           “มีแค่นี้เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินงุนงง เขาสละตัวเองขนาดนี้แล้ว ยังไม่ได้ 

 

 

           ‘ยังต้องการอย่างอื่นอีก’ 

 

 

           “งั้นนายยังต้องการอะไรอีก” 

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบคางไปมา “ผมทำอะไร คุณจะโกรธไม่ได้ ห้ามขัดขืน ยังต้องร่วมมือด้วย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินก็พยักหน้าทันที “ได้ๆๆ ฉันรับปากทุกอย่าง นายเป็นโคตรเหง้าศักราช[1]ฉันจริงๆ” 

 

 

           ‘ไม่ใช่แค่ขายตัวเอง แต่ยังเป็นฝ่ายห่อตัวเองส่งถึงมือซือเหยี่ยนด้วย’ 

 

 

           ‘เป็นโคตรเหง้าศักราชจริงๆ นะ’ 

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนซ่อนรอยยิ้มไว้ เป็นอย่างคิดไม่มีผิด เฉินเฉินของเขาต่อให้สูญเสียความทรงจำไปแล้ว ก็ยังเหมือนเมื่อก่อนทั้งใจอ่อนทั้งซื่อบื้อทั้งน่ารักอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

           แกล้งทำเป็นน่าสงสาร อะไรก็ยอมรับปาก 

 

 

           ซือเหยี่ยนถูนิ้วมือไปมา คิดทบทวนอย่างจริงจังว่าจะกินจากตรงไหนดี 

 

 

           “ฉันยอมให้แบบนี้แล้ว ยังโกรธอยู่อีกเหรอ” เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาตั้งนานสองนาน เจียงมู่เฉินร้อนใจแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนหยิบนาฬิกาขึ้นมาวางไว้ในมือ พินิจดูอย่างจริงจัง ก่อนจะส่งต่อให้เจียงมู่เฉินทันทีหลังจากนั้น “ในเมื่อเป็นของขวัญที่คุณให้ผม คุณช่วยสวมให้ผมหน่อยแล้วกัน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแบบนี้ ก็รู้สึกว่าควรจะถือว่าตัวเองง้อซือเหยี่ยนได้แล้ว รีบรับใช้เอานาฬิกามาสวมให้เขา 

 

 

           นาฬิกาสวมอยู่บนข้อมือของซือเหยี่ยน ดูเข้ากันเหมือนที่เขาคิดไว้ เจียงมู่เฉินพยักหน้าอย่างพอใจ รู้สึกว่าสายตาของตัวเองยังดีเหมือนเดิม 

 

 

           ดีเหมือนสายตาในการมองผู้ชายของเขาไม่มีผิด 

 

 

           “ของขวัญก็สวมให้แล้ว ยังไม่กลับเข้าไปอีกเหรอ” เจียงมู่เฉินกะพริบตาแกล้งทำซื่อตาใส 

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ดึกมากแล้ว ต้องเข้านอนเร็วหน่อย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินก็ดีใจในพริบตา “ไปเถอะ ไปเถอะ พวกเรากลับไปนอนกันเถอะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คุณดูรีบร้อนมากเลย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบร้อนมากที่ไหนกัน เขาใกล้จะรีบร้อนจนตายแล้วต่างหาก เพิ่งจะง้อได้ ถ้ายังทำให้โกรธอีก ไม่คุ้มค่าเอามากๆ 

 

 

           เขาดึงมือของซือเหยี่ยนมา “รีบร้อน รีบร้อนเป็นพิเศษ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “ได้ งั้นกลับไปนอนกันเถอะ” 

 

 

           พอได้ยินซือเหยี่ยนพูดมาขนาดนี้ เจียงมู่เฉินร่าเริงขึ้นทันตา ไม่มีอะไรเทียบได้กับการที่ซือเหยี่ยนไม่โกรธ ยังคุ้มค่าที่เขาจะสุขใจด้วย 

 

 

           เขาดึงมือซือเหยี่ยนฉุดตัวเข้าไปข้างใน “เร็วเข้า นอนได้แล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนก็ไม่ขยับเอง ปล่อยให้เขาลากดึงไป มองดูท่าทางรีบร้อนของเขาอย่างขำๆ แทบจะอยากจับเขายัดใส่เตียง 

 

 

           กว่าเจียงมู่เฉินจะลากคนตัวโตเข้ามาถึงเตียงไม่ใช่ง่ายๆ เขาใช้มือกดอีกคนให้นั่งลงบนเตียง “มา ดึกแล้ว รีบนอนกันเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปบริษัทอีก” 

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้าดูเวลาก็ดึกแล้วจริงๆ มีเรื่องสำคัญที่ต้องคว้าโอกาสรีบจัดการจริงๆ 

 

 

           คิดแบบนี้แล้ว ซือเหยี่ยนก็ให้ความร่วมมือกับเจียงมู่เฉิน มานอนอยู่ข้างๆ บนเตียง เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนที่จู่ๆ ก็ทำตัวน่าเอ็นดูด้วยความพอใจ 

 

 

           ดูท่าว่าเขาเองก็มีประสบการณ์ง้อคนมากอยู่มากทีเดียว เจียงมู่เฉินอดจะกดไลค์ให้ตัวเองไม่ได้ 

 

 

           จัดการซือเหยี่ยนเรียบร้อยแล้ว เจียงมู่เฉินก็เดินอ้อมมาอีกฝั่งแล้วขึ้นเตียง เอนกายลงเตรียมจะนอนหลับสบายๆ 

 

 

           คนยังนอนไม่ถึงสองนาที ซือเหยี่ยนก็พลิกตัวมาคร่อมเขาไว้……        

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] นายเป็นโคตรเหง้าศักราช เป็นการเปรียบเปรย รู้สึกจนปัญญากับอีกฝ่าย 

ตอนที่ 174 ซื้อแล้วไม่รับคืนทุกกรณี 

 

 

           ยามที่เขากำลังจะเสียการควบคุมของหัวใจเข้าไปจูบมั่วไป๋ จู่ๆ พนักงานขับรถแทนที่อยู่ข้างหน้าก็เอ่ยปากขึ้นมา “คุณครับ ถึงแล้วครับ” 

 

 

           ไป๋จิ่งตกใจจนหยุดการกระทำนั้นทันที มั่วไป๋เองก็ลืมตาขึ้นมาขณะนั้นพอดี เขาเห็นใบหน้าของไป๋จิ่งที่เข้ามาใกล้ตัวเองในระยะประชิด ก็ไม่ขยับตัวไปไหน ราวกับมองทะลุถึงอะไรบางอย่าง ไป๋จิ่งรู้สึกใจแป่ว อดจะลูบจมูกป้อยๆ ไม่ได้ “คือว่า…เมื่อกี้ผมคิดจะเรียกคุณให้ตื่น” 

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ เหมือนจะยอมรับคำอธิบายของเขาอย่างไรอย่างนั้น พลิกตัวกลับมาเปิดประตูออกไป “ขอบใจความหวังดีของนายนะ รถก็ค่อยมาส่งให้ฉันพรุ่งนี้แล้วกัน” 

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักไป มั่วไป๋กลับถือโอกาสนี้ลงจากรถปิดประตู เขามองเงาร่างเพรียวอยู่นอกประตู ใจในก็ประกายความดีใจแทบจะบ้าขึ้นมาแวบหนึ่ง 

 

 

           ‘นี่มั่วไป๋กำลังให้โอกาสให้เขามาเจอหน้าพรุ่งนี้ใช่ไหม’ 

 

 

           ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาต้องรักษาโอกาสนี้ให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ประจวบเหมาะกับความคิดเดิมที่เขาเตรียมจะหาข้ออ้างเพื่อใกล้ชิดมั่วไป๋พอดี จะได้รีบทำตามแผน 

 

 

           หลังจากมั่วไป๋เข้าคอนโดมิเนียมไปแล้ว ถึงได้เห็นรถของตัวเองขับออกไปอย่างช้าๆ เขามองดูรถที่ค่อยๆ แล่นไปไกลลับตา ก็อดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ 

 

 

           ในเมื่อเขาตัดสินใจจะเล่นกับไป๋จิ่งอีกครั้ง เขาเองก็จะไม่ใจอ่อนยอมแพ้ให้เด็ดขาด 

 

 

           ‘หวังว่าไป๋จิ่งจะยืนหยัดให้นานกว่านี้สักหน่อย ไม่อย่างนั้นน่าเบื่อตายเลย’ 

 

 

           อีกด้านหนึ่ง เจียงมู่เฉินออกจากห้องน้ำมาก็เช็ดผมไป พลางครุ่นคิดว่ามั่วไป๋กับไป๋จิ่งรู้จักกันได้อย่างไร 

 

 

           ตามนิสัยชอบอยู่กับบ้านของมั่วไป๋แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้จักไป๋จิ่งได้ 

 

 

           อีกอย่างความใส่ใจที่มั่วไป๋มีต่อไป๋จิ่ง ดูเหมือนจะเกินกว่าคนที่เพิ่งจะรู้จักกันเสียอีก 

 

 

           เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่แล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดทบทวนเรื่องที่กินข้าวด้วยกันเมื่อตอนหัวค่ำอย่างจริงจัง คิดว่าตัวเองตกหล่นอะไรไปหรือเปล่า ยังไม่ทันได้รู้ตัว 

 

 

           จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งมาโอบเอวของเขาเอาไว้ ร่างกายของซือเหยี่ยนอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่จางๆ เจียงมู่เฉินดมกลิ่นเบาๆ “ทำไมช่วงนี้ถึงได้สูบหรี่บ่อยจัง” 

 

 

           รู้จักซือเหยี่ยนมาตั้งหลายปี เห็นเขาสูบบุหรี่ก็ยังไม่ได้เยอะอะไร คบกันแล้วก็ยังไม่ได้สูบบ่อยครั้งเท่าช่วงนี้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเกยคางไว้บนไหล่ของเจียงมู่เฉิน “หลังจากได้ลองรสจูบครั้งก่อนไป ก็ตกหลุมรักความรู้สึกที่ได้สูบบุหรี่แล้ว” 

 

 

           เส้นเลือดบนหน้าผากของเจียงมู่เฉินกระตุกแล้วกระตุกอีก แทบอยากจะสะบัดมือของซือเหยี่ยนออกไป 

 

 

           “วันๆ สมองนายนี่มีแต่ของเสียอยู่ใช่ไหม เมื่อก่อนไม่เห็นจะรู้สึกว่านายจะโรคจิตขนาดนี้เลย” 

 

 

           เสียแรงที่เมื่อก่อนเขาคิดว่าซือเหยี่ยนเป็นคนที่ทำตัวดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง แล้วดูพฤติกรรมการกระทำที่เขาทำตอนนี้ ความเป็นคนดีนั่นหายไปไหนแล้ว 

 

 

           ดูแล้วเหมือนคนถ่อยมากกว่า ยังเป็นพวกหน้าไม่อายสุดๆ อีกด้วย 

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองซือเหยี่ยนแล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง “นายว่าตอนนี้ฉันสลัดนายทิ้งยังทันอยู่ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ มองดูเขา “คุณชายเจียง สินค้าก็ใช้ไปแล้ว คุณยังคิดจะคืนของอีกเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น อยากพุ่งตัวขึ้นไปกัดเขาระบายความโมโหแรงๆ สักที 

 

 

           “ของล่ะ?” 

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง “ของอะไร” 

 

 

           “ของขวัญ ของขวัญผมล่ะ” ซือเหยี่ยนมองดูเขา “คุณคงจะไม่คิด จะไม่ให้ของขวัญวันเกิดผมหรอกใช่ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนกระอักเลือด ทำเป็นคนไม่รู้จักกันแล้ว “ไม่มี ผีเท่านั้นแหละที่จะเตรียมของขวัญให้นาย” 

 

 

           “อ่อ” ซือเหยี่ยนเอ่ยรับคำหนึ่ง ก่อนถามกลับไป “ไม่มีจริงๆ เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินนึกถึงของชิ้นนั้น เขายังวางไว้อยู่ในลิ้นชัก เขาไม่เชื่อว่าซือเหยี่ยนจะทายได้ถูก เจ้าตัวเอ่ยเสียงแข็ง “ไม่มี” 

 

 

           “เฉินเฉิน ผมให้เวลาคุณอีกสามนาที คิดทบทวนให้ดีอีกครั้ง ว่าอยากจะเปลี่ยนคำตอบของคุณไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “คิดกับน้องสาวนายสิ ฉันก็ไม่ใช่ผีด้วย จะมาเตรียมของขวัญอะไรให้นาย” 

 

 

           เขาพูดจบก็หมุนตัวเดินไปนอนที่เตียง แล้วปิดไฟนอน 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่ไม่พูดจานอนอยู่บนเตียง นัยน์ตาก็ลุกวาวขึ้นมาแวบหนึ่ง 

 

 

           เขายืนอยู่ด้านข้าง รออีกไม่กี่นาทีก็กดเสียงต่ำถอนหายใจออกมา หลังจากช่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เจียงมู่เฉินแล้ว ยังปิดไฟจากโคมไฟที่อยู่ๆ ข้าง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปที่ระเบียง  

 

 

              

 

 

ตอนที่ 175 ซือเหยี่ยนโกรธแล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลง รออีกไม่กี่นาที ก็เห็นซือเหยี่ยนถอนหายใจ ห่มผ้าห่มให้เขา แล้วเดินออกจากห้องไป 

 

 

           เขาคิดว่าซือเหยี่ยนกำลังวางกับดักเขาอยู่ จึงตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เขาจึงนอนเฉยๆ อยู่บนเตียง ไม่เป็นฝ่ายไปหาซือเหยี่ยนเอง 

 

 

           รออยู่นานสองนาน ซือเหยี่ยนก็ยังไม่มา เจียงมู่เฉินชักจะร้อนใจ รู้สึกถึงความไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่แล้ว 

 

 

           ‘นี่ซือเหยี่ยนคงจะไม่โกรธเขาจริงๆ หรอกใช่ไหม’ 

 

 

           ‘ไม่ควรจะใช่เลย ซือเหยี่ยนจะขี้น้อยใจขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะเขาไม่ได้ให้ของขวัญวันเกิดเขาเลยโกรธเหรอ’ 

 

 

           เจียงมู่แอบลืมตาขึ้นมา ไม่มีใครสักคนในห้อง เขามองไปทางระเบียง ก็เห็นซือเหยี่ยนยืนอยู่คนเดียวตรงระเบียง แผ่นหลังกว้างดูวังเวงเหงาหงอยอยู่ในที 

 

 

           เพียงไม่นานเจียงมู่เฉินก็รู้สึกผิดในใจ ของขวัญก็ซื้อมาแล้วแท้ๆ ทำไมถึงไม่ให้ซือเหยี่ยนไป 

 

 

           ‘แต่ว่ามันจะใช่เหรอ’ เมื่อก่อนซือเหยี่ยนไม่เคยโกรธเขาแบบนี้มาก่อน ยังมาทำสงครามเย็นกับเขาอีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูประตูระเบียงที่ปิดสนิท เมื่อแน่ใจว่าซือเหยี่ยนจะไม่หันกลับมาแล้ว เขาก็หยิบมือถือไว้ใต้ผ้าห่มกดโทรหามั่วไป๋ 

 

 

           ขณะที่เขาโทรไป มั่วไป๋เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี 

 

 

           ทันทีที่เห็นสายโทรเข้าจากเจียงมู่เฉิน เขายังคิดว่าเจียงมู่เฉินคิดจะถามเรื่องของเขากับไป๋จิ่ง จึงคิดอยู่สักพักหนึ่งถึงค่อยกดรับสาย 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นมั่วไป๋รับสายก็รีบเอ่ยถามทันที “ไป๋ไป๋ ถามนายเรื่องหนึ่งสื นายว่าคู่รักคู่หนึ่ง ในวันเกิดของคนหนึ่ง อีกคนไม่ได้เตรียมของขวัญวันเกิดให้ เขาจะโกรธได้หรือเปล่า” 

 

 

           มั่วไป๋เลิกคิ้ว “คู่รักคู่หนึ่งอะไร นี่มันนายกับซือเหยี่ยนเหอะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “ต่อให้นายรู้ ก็ไม่ต้องเปิดโปงกันจะได้ไหม ไม่รู้จักไว้หน้าฉันบ้างหรือไง” เขาเสียหน้านะ 

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มเยาะ “นายอยู่กับฉัน ยังมีหน้าอยู่เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเดือดแล้ว “ทำไมฉันจะไม่มีหน้า ฉันคุณชายน้อยแห่งตระกูลเจียงผู้สง่าผ่าเผยนะ จะไม่มีหน้าได้ยังไง” 

 

 

           “ได้ๆๆ คุณชายน้อย นายมีหน้า มีหน้าเป็นพิเศษเลย” 

 

 

           “พอเถอะ นายอย่าพล่ามต่อเลย นายว่าซือเหยี่ยนจะโกรธจริงๆ ไหม” เขายังร้อนใจเรื่องนี้อยู่ 

 

 

           มั่วไป๋หรี่ตานั่งเอนพิงกับโซฟา “เขาเป็นไรไป” 

 

 

           “เขายืนคนเดียวอยู่ตรงระเบียงมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว” ยึดตามเวลาตั้งแต่เขาแกล้งหลับเป็นต้นไป ก็น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงที่ยังคงอยู่ที่เดิมตรงนั้น 

 

 

           “ยืนอย่างเดียว?” 

 

 

           “ยืนอย่างเดียว มือถือก็ไม่หยิบ เหล้าก็ไม่ดื่ม บุหรี่ก็ไม่สูบ แบบนี้ไม่ค่อยปกติใช่หรือเปล่า” เจียงมู่เฉินพูดไป พลางถือโอกาสเปิดผ้าห่มออกไป มองที่ระเบียงแวบหนึ่ง เห็นซือเหยี่ยนก้มหน้าเล็กน้อย พร้อมเอามือปิดหน้า 

 

 

           เขาร้อนใจแล้ว “เขายังเอามือปิดหน้าด้วย นายว่าซือเหยี่ยนคงจะไม่ร้องไห้หรอกใช่ไหม” 

 

 

           มั่วไป๋อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ ซือเหยี่ยนร้องไห้? เพราะเจียงมู่เฉินไม่ได้ให้ของขวัญเหรอ ไม่น่าจะอ่อนแอขนาดนั้นมั้ง 

 

 

           “ทำไงดี นายว่าถ้าเขาร้องไห้แล้ว ฉันต้องทำยังไง ไปง้อเขาเหรอ” 

 

 

           ถึงเวลานี้ ในที่สุดมั่วไป๋ก็มองออก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ซือเหยี่ยนเลยสักนิด แต่อยู่ที่เจียงมู่เฉินเองต่างหาก 

 

 

           เขาอยากไปง้อ แต่กลับกลัวเสียหน้า ดังนั้นถึงได้โทรมาหาเขา 

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ ตัดสินจะผลักดันให้เขาทำตามความต้องการของตัวเอง “งั้นนายก็ไปง้อเขาสิ” 

 

 

           “ต้องง้อจริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินเริ่มลังเลใจ 

 

 

           “อืม ง้อจริงๆ” 

 

 

           “จะดีเหรอ” เขายังพยายามดึงดัน 

 

 

           “เจียงมู่เฉินสมองนายเพี้ยนใช่ไหม เป็นลูกผู้ชายทั้งทียังจะมาลังเลอยู่ได้ อยากไปง้อก็ไปง้อสิ ระวังให้ดีเถอะ ถ้าไม่ไปง้อ แล้วซือเหยี่ยนเกิดอยากจะเลิกกับนายขึ้นมา ถึงตอนนั้นอย่ามาหาฉันนะ!” มั่วไป๋พูดจบประโยคเพียงอึดใจเดียว แล้วกดวางสายหนักๆ ใส่ทันที โดยไม่ลังเลสักนิด 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนด่าจนตะลึงค้าง เขาถือมือถือไว้ด้วยสีหน้างุนงง มั่วไป๋เปิดปากมาก็ด่าเขาว่าเพี้ยนหรือเปล่า ตอนนี้เขาไม่เพี้ยน แต่ต่อไปโดนเขาด่าทอต่อว่าขนาดนี้อีก จากนี้ตัวเองคงจะเพี้ยนแล้วจริงๆ 

 

 

           แต่ว่ายังมีอยู่จุดหนึ่ง ถือว่ามั่วไป๋พูดตรงจุดแล้ว ในเมื่อตัวเองเป็นห่วงซือเหยี่ยน ก็เข้าไปถามสิ ถามสักหน่อยคงไม่เสียหน้าเท่าไหร่  

ตอนที่ 172 เล่นเกมความรัก 

 

 

           อีกนิดไป๋จิ่งจะกระอักเลือดออกมาแล้ว คนๆ นี้พูดจาอะไรก็ตรงไปตรงมาขนาดนี้เชียว อีกอย่างระหว่างพวกเขา จะเริ่มต้นกันด้วยคำถามพวกนี้ มันจะดีจริงๆ เหรอ 

 

 

           “คือว่า..ผมคิดว่าระหว่างพวกเรา นอกจากเรื่องนี้ ควรจะมีเรื่องอื่นคุยกันได้ใช่ไหม” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงอ่อน 

 

 

           เขาอยากจะรู้จริงๆ แล้ว ว่าคนที่เป็นเพื่อนกับเจียงมู่เฉินนี่แปลกไม่ธรรมดาขนาดนี้กันหมดเลยไหม ความคิดความอ่านแปลกกว่าคนทั่วไปเยอะทีเดียว 

 

 

            มั่วไป๋วางแก้วเหล้าในมือลง มองเขา “นายคิดว่าระหว่างเรายังมีเรื่องอื่นที่คุยได้อีกเหรอ” 

 

 

           ไป๋จิ่งโดนถามแบบนี้ก็พูดไม่ออกไปสักพัก 

 

 

           เขาลูบจมูกไปมาคิดอย่างจริงจัง ว่าตัวเองควรจะหาเรื่องอะไรมาคุยกับอีกฝ่ายดีจะได้เหมาะสม 

 

 

           เขายังหาไม่เจอ มั่วไป๋ก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “เป็นไร นายชอบฉันเข้าแล้วเหรอ” 

 

 

           ไป๋จิงเงียบงันพูดไม่ออก 

 

 

           “หรือว่านายอยากจะจีบฉัน” มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น ภายใต้แสงไฟสลัวๆ ชวนให้หลงเสน่ห์ที่ยั่วใจถึงชีวิต 

 

 

           “ทำไมคุณถึงคิดขนาดนี้ได้” ไป๋จิ่งอดจะถามกลับไม่ได้ 

 

 

           “พวกเราเจอกันสองครั้ง หลับนอนกับครั้งหนึ่ง ฉันยังไม่ได้ถึงขนาดจะถือดี คิดว่านายมานอนกับฉันคืนเดียว แล้วจะตัดใจไม่ลง มารักฉันเข้าแล้วหรอกนะ” นัยน์ตามั่วไป๋แฝงความยั่วเย้า 

 

 

           ในเมื่อไป๋จิ่งเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ แล้วเขาจะหลบอะไรได้อีก 

 

 

           ตอนนั้นเขาติดหนี้ตัวเอง ก็ควรจะเป็นเวลาที่ต้องส่งคืนกลับมาแล้ว 

 

 

           “ถ้าผมจะบอกว่า ผมยังชอบคุณมากๆ อยู่ล่ะ” ถ้าไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าโดนมั่วไป๋ดึงดูดใจไปแล้ว เขาก็จะไม่ทำถึงขั้นลงทุนลงแรงมากขนาดนี้เพื่อตามหามั่วไป๋ทั่วถานโจวหรอก 

 

 

           เพียงแต่ว่ามันเป็นการดึงดูดในแบบที่ยังไม่ถึงขั้น ‘รัก’ จริงๆ 

 

 

           “แล้วไงต่อ นายอยากจะพูดอะไร” มั่วไป๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “นายอยากจะดูใจกันก่อนแล้วค่อยคบกัน หรือว่าอยากจะเป็นเพื่อนทำกิจกรรมบนเตียงอย่างเดียวล่ะ?” 

 

 

           “…” เขาทำให้ไป๋จิ่งตกใจจริงๆ แล้ว 

 

 

           ตั้งแต่ที่ได้เจอกับมั่วไป๋ เริ่มแรกก็รู้สึกได้ทันทีถึงความคุ้นเคยที่ยากจะอธิบาย ต่อมายังรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์ยั่วใจบางอย่างที่ถึงขั้นเอาชีวิตกันได้ 

 

 

           ความรู้สึกไปเรื่อยๆ แบบนั้น แต่กลับค่อยๆ เข้าหากัน แทรกซึมเข้าร่างกายอย่างช้าๆ ตามกาลเวลา 

 

 

           หลังจากนั้นก็เอาออกไปไม่ได้แล้ว 

 

 

           “หืม สนใจฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ให้นายเลือก นายถึงตัดสินใจไม่ได้” 

 

 

           ไป๋จิ่งมองใบหน้างามได้รูปของเขา ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย “ถ้าผมเลือกแบบที่สอง คุณจะเห็นด้วยไหม” 

 

 

           สายตามั่วไป๋ฉายสะท้อนความเย้ยหยัน เป็นอย่างที่คิด…ตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว เขายังไม่เปลี่ยนไป 

 

 

           “ถ้านายเลือกแล้ว ฉันก็เห็นด้วยอยู่แล้ว” เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาด้วยท่าทีสบายๆ “ฉันเคย ‘ทำ’ กับนายครั้งนึง เทคนิคถือว่าใช้ได้ ดูท่าว่าเมื่อก่อนจะผ่านการฝึกมาไม่น้อย” 

 

 

            ไป๋จิ่งลูบจมูกป้อยๆ นี่เขาโดนมั่วไป๋ชมเรื่องแบบนี้เหรอ 

 

 

           “ดังนั้นถ้านายเลือกแบบที่สอง ฉันก็ไม่ถือสาอะไร ยังไงซะโตๆ กันแล้วจะสุขสมกัน ก็โอเคดี จะแคร์อะไรมากมายไปทำไม” 

 

 

           ทัศนคติอะไรก็ได้ของเขา คำที่พูดออกมายิ่งตามใจตัวเอง ราวกับว่าไม่ค่อยจะสนใจอะไรกับเรื่องนี้เลย อีกอย่างการที่ไม่ใส่ใจแบบนั้นดูเหมือนออกจากเนื้อแท้ข้างในอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิดสักพัก “แล้วถ้าผมเลือกแบบแรกล่ะ คุณจะยังยินยอมไหม” 

 

 

           มั่วไป๋กะพริบตามองดูใบหน้าของเขา “ทำไมอยากจะมาเล่นเกมความรักกับฉันเหรอ” 

 

 

           “อืม แบบแลกใจกัน คุณอยากจะเล่นไหม” 

 

 

           เขายกขวดเหล้าขึ้นมารินให้ตัวเองและไป๋จิ่งคนละแก้ว เขาส่งแก้วถึงต่อหน้าของไป๋จิ่ง 

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูใบหน้าและดวงตาแสนเย็นชาของคนตรงหน้า ขณะที่เขายักคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วส่งมือไปหยิบแก้วมา นิ้วมือเหมือนไม่ตั้งใจ แต่ก็เหมือนจงใจจะเฉียดนิ้วมือของมั่วไป๋ 

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ ส่งแก้วให้เขา 

 

 

           “บังเอิญจัง ฉันคนนี้ก็ชอบเล่นเกมด้วยสิ เล่นเกมกับนายสักตาหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่กลัวว่าสุดท้ายแล้ว คนที่แพ้จะเป็นนาย” 

 

 

            

 

 

    ตอนที่ 173 ไม่ใช่ว่าจะแพ้ไม่เป็น 

 

 

           ไป๋จิ่งหัวเราะ “เรื่องนี้ไม่ต้องให้คุณมาเป็นห่วงหรอก อีกอย่างคนที่ชนะด่านสุดท้ายได้ จะเป็นใครก็ยังไม่แน่” 

 

 

           มั่วไป๋กระดกเหล้าเข้าไป น้ำเมาค่อยๆ ไหลจากลำคอลงไปอบอวลอยู่ท้อง พาไฟร้อนแผดเผาขึ้นมา 

 

 

           เขาหรี่ตาลง “ถ้าเกมๆ นี้ ฉันแพ้ขึ้นมา…” เขาเงยหน้าขึ้นมองไป๋จิ่ง “บางที ฉันเองก็ไม่ใช่ว่าจะแพ้ไม่เป็น” 

 

 

           “โอเค งั้นผมเลือกแบบแรก” ไป๋จิ่งจ้องมองมั่วไป๋ สายตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่มุ่งจะเอาชนะให้ได้ 

 

 

           คนที่เขาพึงพอใจ จะวิ่งหนีไปไหนไม่ได้ 

 

 

           เขาไม่เชื่อว่ามั่วไป๋จะเป็นเหตุบังเอิญนั่นได้ 

 

 

           “โอเค ในเมื่อนายเลือกแล้ว ฉันก็จะสู้กับนายไปให้ถึงที่สุด” 

 

 

           มั่วไป๋เห็นความลำพองใจในแววตาของไป๋จิ่ง ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ ไป๋จิ่งจะยังยิ้มออกมาเหมือนตอนนี้ได้หรือเปล่า 

 

 

           เมื่อนึกถึงว่าหลายปีมานี้ เพื่อไป๋จิ่งแล้ว แม้แต่ชีวิต เขาแทบจะไม่เหลือ แต่ไป๋จิ่ง เขากลับลืมเขาไปหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง 

 

 

           จนกระทั่งสองปีให้หลัง ได้พบเขาอีกครั้ง ก็เอาแต่พูดไม่หยุดว่าอยากจะเล่นเกมแลกหัวใจกับเขา 

 

 

           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น รู้สึกว่ามันน่าขำขันไม่เบา 

 

 

           ตอนนั้นที่เขาคบกันอยู่กับไป๋จิ่ง เขาก็ไม่ได้พูดขนาดนี้ เขาหรี่ตาลงคิดภาพย้อนกลับไปอย่างจริงจัง 

 

 

           “ฉันไป๋จิ่ง ต้องการร่างกายไม่ต้องการหัวใจ ความสัมพันธ์ของพวกเรามีแค่บนเตียงเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว พวกเราไม่มีความสัมพันธ์ใดใดทั้งสิ้น” 

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะ ตอนนั้นไป๋จิ่งพูดถึงขนาดนี้ แต่ตัวเองกลับโถมตัวขึ้นไปอย่างโง่ๆ คิดแค่ว่าตัวเองชอบไป๋จิ่ง ขอเพียงแต่ดีกับไป๋จิ่ง ไม่ช้าก็เร็วสักวัน เขาจะมองเห็นตัวเองได้ 

 

 

           แต่สุดท้าย ก็ร่วงหล่นลงถึงจุดจบแบบนั้น 

 

 

           สรุปแล้วเป็นตัวเขาเองที่ประเมินตัวเองสูงเกินไป และก็เป็นเขาเองที่ประเมินความไร้หัวใจของไป๋จิ่งที่มีต่อเขาต่ำเกินไป 

 

 

           …… 

 

 

           “ดึกแล้ว ฉันไปก่อนนะ” มั่วไป๋ดูเวลา ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว 

 

 

           ไป๋จิ่งเลิกคิ้ว “ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลย จะไปแล้วเหรอ ไม่นั่งต่อสักหน่อย” 

 

 

           “ไม่ไหว ฉันไม่ชอบอยู่ข้างนอกดึกเกินไป” 

 

 

           คำพูดของเขาแบบนี้ ทำเอาไป๋จิ่งแปลกใจไม่เบา เขายังคิดว่าตามความเข้าใจที่เขามีต่อมั่วไป๋ ควรจะเป็นคนที่มีชีวิตกลางคืน แถมยังมากประสบการณ์อีกด้วย 

 

 

           “ให้ผมไปส่งคุณไหม” 

 

 

           ครั้งนี้มั่วไป๋ไม่ได้ขัดขวาง “ฉันก็อยากให้นายไปส่งฉันอยู่ แค่น่าเสียดาย พวกเราสองคนดื่มเหล้ากันแล้ว” 

 

 

           “ไม่เป็นไรๆ ผมจะหาคนขับรถให้เรา ช่วยส่งคุณกลับบ้านก่อน แล้วผมค่อยไป”      

 

 

           ในเมื่อดูใจกันก่อนแล้วค่อยคบกัน เรื่องที่ต้องไปส่งอีกฝ่ายกลับบ้าน เขาปล่อยไปไม่ได้อยู่แล้ว 

 

 

           เขาไม่เชื่อ ว่าภายใต้การรุกของเขา มั่วไป๋จะคุมได้อยู่ 

 

 

           สุดท้ายไป๋จิ่งก็หาพนักงานขับรถแทนมาได้คนหนึ่ง ให้ส่งอีกคนกลับไปก่อน ตลอดทางมั่วไป๋เอาแต่หลับตาเบาๆ พิงพนักที่นั่ง 

 

 

           ไป๋จิ่งเอียงหัวพินิจมองสังเกตใบหน้างามได้รูป หน้าตาดูจิ้มลิ้มของมั่วไป๋ รู้สึกได้ว่าไม่ว่าจะมองจากมุมไหน มั่วไป๋ก็เข้ากับรสนิยมทางด้านความงามของเขาทุกด้าน ราวกับฟ้าตั้งใจสรรค์สร้างมาเพื่อเขาเป็นพิเศษ 

 

 

           เขาคนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีเซ็กส์กับใครไปทั่ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว เป็นธรรมดาที่จะมีอีกคนมาช่วยปลดปล่อยความต้องการทางร่างกาย แต่ไม่ว่าคนไหนก็ไม่มีใครจะทำให้เขาทึ่งได้เท่ามั่วไป๋ 

 

 

ในความเป็นมั่วไป๋นั้น ถ้าดูจากที่ไกลๆ ก็เหมือนเห็นกุหลาบงามแสนนวลละออ ในความเป็นจริง ก่อนที่กุหลาบจะถูกเด็ดออกมา ก็มีหนามอยู่ก่อนแล้ว 

 

 

มั่วไป๋ก็คือสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างกะทันหันและรวดเร็ว ขณะที่เขาไม่ทันตั้งตัว ยามที่เผลอในแวบแรกที่เห็น สายฟ้านั้นก็จะเข้ามาปะทะตัวไม่หยุด 

 

 

ถึงจะเจ็บ แต่ก็สวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ 

 

 

รถมาจอดใต้คอนโดมีเนียมของมั่วไป๋ เขายังอยู่ท่าเดิมไม่ขยับ ไป๋จิ่งเข้าไปใกล้เตรียมจะปลุกเรียกเขา แต่พอได้มองใบหน้าขาวผ่องก็อดจะคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ 

 

 

เขาก้มหน้าเข้าประชิดใบหน้าของมั่วไป๋ ลมหายใจรดรินกระทบใบหน้าของเขา แค่เพียงไป๋จิ่งก้มหน้าอีกนิดก็จะจูบเขาได้แล้ว 

ตอนที่ 170 งานกินเลี้ยงที่เลิ่กลั่กผิดปกติ 

 

 

ทั้งสามคนออกจากบริษัท เจียงมู่เฉินขับรถ ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ข้างเขา ส่วนไป๋จิ่งก็นั่งน่าสงสารอยู่เบาะหลัง โดดเดี่ยวเดียวดายเหงาเหน็บหนาวอยู่คนเดียว ยังต้องมาทนรับคู่อื่นเขาโชว์หวานไม่สิ้นสุดอีก 

 

 

ไป๋จิ่งกอดตัวเองอย่างจนใจ รอเขาตามหามั่วไป๋ให้เจอ คว้าเจ้าตัวมาอยู่ในมือให้ได้ก่อน ถึงตอนนั้นเขาจะจู๋จี๋กันต่อหน้าพวกเขาทุกวันเลย 

 

 

‘จู๋จี๋ใครจะทำไม่ได้ แค่เขายังไม่มีแฟนแค่นั้นเองไม่ใช่หรือไง’ 

 

 

ขับรถพากันมาถึงที่ฉินจี้แล้ว เขาจองที่ล่วงหน้าไว้เรียบร้อย ใกล้จะสองทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่ามั่วไป๋มาถึงหรือยัง 

 

 

หลังจากทั้งสามคนเข้าห้องรับรองไป มั่วไป๋ก็ยังไม่ถึง 

 

 

ไป๋จิ่งเห็นชุดอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารมีสี่ชุดก็เลิกคิ้ว “อะไรกัน ยังมีคนอื่นอีกเหรอ” 

 

 

“เพื่อนสนิทฉันเอง ควรจะใกล้ถึงแล้วล่ะ” 

 

 

เพิ่งจะสิ้นเสียงลง ประตูด้านหลังก็ถูกคนผลักเข้ามา เจียงมู่เฉินเห็นมั่วไป๋ก็รีบตะโกนเรียกทันที “มั่วไป๋ ทางนี้” 

 

 

……เสียงเรียกชื่อ ‘มั่วไป๋’ ทำไป๋จิ่งตัวแข็งทื่อ แก้วในมือพลิกคว่ำ น้ำหกกระจายออกมา 

 

 

เขาหันไปมองข้างหลังเงียบๆ ทั้งตัวตะลึงค้างไปแล้ว 

 

 

คนที่ตัวเองตามหามาตั้งนานขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพื่อนของเจียงมู่เฉิน ยังมีเรื่องอะไรพลิกผันกว่านี้อีกไหม 

 

 

ไม่ใช่แค่ไป๋จิ่งที่ตะลึงค้าง มั่วไป๋ที่ยืนอยู่ตรงประตูเองก็ตะลึงค้างเช่นกัน 

 

 

 ‘ทำไมไป๋จิ่งก็มาปรากฏตัวที่นี่ด้วย’ 

 

 

พอเขาเห็นซือเหยี่ยนที่นั่งข้างเจียงมู่เฉินก็เข้าใจได้ในทันที ซือเหยี่ยนกับไป๋จิ่งเป็นเพื่อนกัน ปรากฏตัวที่นี่ก็เป็นเรื่องปกติมาก 

 

 

มั่วไป๋ไม่ได้เสียอาการเท่าไป๋จิ่งขนาดนั้น นอกจากตอนเข้ามาจะตกใจงงๆ นิดหน่อยแล้ว ก็ดูไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย 

 

 

           เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ไป๋จิ่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วล้วงหยิบเอาของขวัญออกมา “ได้ยินเฉินเฉินบอกว่าเป็นวันเกิดของนาย นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หวังว่านายจะไม่ถือสา” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปรับ “ขอบคุณ” 

 

 

           มั่วไป๋นั่งลงข้างๆ ไป๋จิ่งด้วยท่าทีเรียบเฉย ราวกับว่าทั้งสองคนนี้ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น ไป๋จิ่งอยู่ไม่สุขเท่าไหร่แล้ว ไอ้หมอนี่คงจะไม่ลืมเขาไปแล้วใช่ไหม 

 

 

           สายตาเจียงมู่เฉินมองทั้งสองคนสลับไปมาตลอด เขาเห็นน้ำในแก้วที่วางอยู่หน้าไป๋จิ่งใกล้ไหลออกหมดแล้ว 

 

 

           เขาอดจะเลิกคิ้วมองไป๋จิ่งไม่ได้ “นายคิดจะถือโอกาสนี้ซักเสื้อผ้าใช่ไหม” 

 

 

           ไป๋จิ่งถึงได้ก้มลงมอง น้ำบนโต๊ะใกล้จะไหลไปถึงตัวเขาแล้ว เขารีบจับแก้วตั้งวางใหม่ ดึงกระดาษทิชชูออกมาเช็ด 

 

 

           เจียงมู่เฉินเบนสายตามาหยุดที่ใบหน้าของมั่วไป๋ ก็เห็นแค่เขาเลิกคิ้ว ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

 

 

           “นี่คือเพื่อนของซือเหยี่ยน ไป๋จิ่ง นี่คือเพื่อนสนิทของฉัน มั่วไป๋” 

 

 

           มั่วไป๋มองไป๋จิ่งแวบหนึ่งด้วยสายตาสงบนิ่ง “บังเอิญจัง เมื่อก่อนเคยเจอกันสองครั้ง คุ้นเคยกันบ้างแล้ว” 

 

 

           “เอ๊ะ?” ไป๋จิ่งอุทานเสียงหลงด้วยความงงงวย เขายังคิดว่าไป๋จิ่งคิดจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขา คิดไม่ถึงว่าจะพูดเรื่องที่พวกเขาเคยเจอกันก่อนหน้านี้ออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน 

 

 

           “อะไรกัน นายอยากบอกว่าพวกเราไม่คุ้นเคยกันเหรอ” 

 

 

           ไป๋จิ่งโดนเขามองแบบนี้ เหงื่อก็ออกท่วมหัว ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามั่วไป๋คนงามแผ่รังสีออกมาได้จัดเต็มขนาดนี้ 

 

 

           ระเบิดพลังออกมาชนิดที่ดูไปแวบเดียวก็เทียบชั้นกับเจียงมู่เฉินได้จริงๆ 

 

 

           “คุ้นเคยๆ คุ้นเคยเป็นพิเศษ” ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่สื่อสารกันอย่างใกล้ชิดแนบสนิทกันบนเตียงมา 

 

 

           เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนสบสายตากัน แววตาทั้งคู่ก็ลุกวาวเป็นประกายขึ้นมา 

 

 

           ซือเหยี่ยนดูละคร ส่วนเจียงมู่เฉินดูเป็นห่วงนิดหน่อย 

 

 

           ตอนที่กินอาหารกัน ไป๋จิ่งเอาแต่แอบมองมั่วไป๋ รู้สึกว่าเขาเย็นชาแบบนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ตามหลักการแล้วพวกเขาก็สนิทชิดใกล้กันขนาดนี้แล้ว เจอกันก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้นี่หน่า 

 

 

           ตั้งแต่เข้ามาในห้องจนถึงตอนนี้ มั่วไป๋ก็ไม่เคยมองเขาเลย ไป๋จิ่งเริ่มร้อนใจแล้ว นี่คือต้องการมองข้ามเขาหรือไง 

 

 

           “คือว่า…” ไป๋จิ่งอยากจะเอ่ยปาก มั่วไป๋ก็กวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา ทำเอาไป๋จิ่งลืมไปเสียสนิทว่าที่เหลือต้องการจะพูดอะไร 

 

 

           ในมื้ออาหารนี้ ไป๋จิ่งอยากจะร้องไห้ มันอึดอัด อึดอัดเกินไปแล้ว 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 171 ไป๋จิ่งผู้ถูกกลั่นแกล้ง 

 

 

           มองในมุมกลับกัน เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยน ไหนจะมั่วไป๋อีก พวกเขากลับผสมกลมกลืนกันได้ มั่วไป๋ถึงจะพูดน้อย แต่เวลาพูดจากลับดูมีทิฐิบางอย่างที่บอกไม่ถูก บวกกับบุคลิกเย็นชาเฉพาะตัว ยิ่งดูน่าดึงดูดเป็นพิเศษ 

 

 

           อีกอย่างระหว่างเขาและเจียงมู่เฉินมีบรรยากาศบางอย่างที่พูดไม่ออก ดูเหมือนจะพร้อมปะทะ ในความเป็นจริงพร้อมจะช่วยกันโดยไม่ห้ามปรามใดใด 

 

 

           ไป๋จิ่งถอนหายใจ ดังนั้นงานกินเลี้ยงคืนนี้มีแค่เขาคนเดียวที่ถูกบีบให้ออกมาแล้วใช่ไหม 

 

 

           ตลอดมื้ออาหารนี้ ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะอึดอัดจนป่วยจริงๆ แล้ว เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าเหมือนกำลังถูกบีบคั้นของเขา ก็เอ่ยถามขำๆ “ไป๋จิ่ง ทำไมวันนี้นายดูมีอะไรติดค้างอยู่ในใจนะ” 

 

 

           มุมปากซือเหยี่ยนกระตุกขึ้นมา ในใจของเขาตอนนี้อยู่กับมั่วไป๋ไปทั้งใจ จะมีเรื่องติดค้างอะไรในใจเรื่องอื่นที่ไหนอีก 

 

 

           “เปล่า นายดูผิดแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองมั่วไป๋ที่กินข้าวนิ่งๆ อยู่ตรงข้าม “นายคงจะไม่ใช่ว่าไม่ชอบมั่วไป๋หรอกใช่ไหม ฉันเห็นตั้งแต่เขาเข้ามา สีหน้านายก็ไม่ค่อยดีแล้ว” 

 

 

           มั่วไป๋เตะเท้าเจียงมู่เฉินอยู่ใต้โต๊ะ บอกให้เขาอย่าแสดงออกมากเกินไป เจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ บอกให้อีกฝ่ายวางใจได้  

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ เพราะเจียงมู่เฉินไอ้หมอนี่อยากจะสร้างเรื่องนี่แหละ เขาถึงได้วางใจไม่ได้ 

 

 

           “จะเป็นไปได้ยังไง ฉันจะเกลียดมั่วไป๋ทำไมล่ะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างไม่สนใจ “อ่อ งั้นก็ดี ฉันยังคิดว่านายจะเจ็บแค้นไป๋ไป๋ของฉัน เพราะวีรกรรมอันเลื่องชื่อของนายครั้งก่อนซะอีก” 

 

 

           ไป๋จิ่งอกแตกแล้ว เขารู้ได้ยังไงว่ามั่วไป๋คือคนที่โยนเงินให้แล้วหนีไปคนนั้น 

 

 

           เขามองไปทางมั่วไป๋อย่างแทบไม่เชื่อหูตัวเอง หรือว่ามั่วไป๋เองก็พูดเรื่องนี้กับเจียงมู่เฉิน แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นนั้นได้ มั่วไป่คนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่พูดเรื่องทำนองนี้กับเจียงมู่เฉินได้ 

 

 

           มั่วไป๋สบตาไป๋จิ่งอย่างไม่หวาดหวั่น ไป๋จิ่งเห็นสีหน้าท่าทางตรงไปตรงมาและจริงใจของเขา เหมือนจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจียงมู่เฉินกำลังพูดอะไรอยู่ 

 

 

           ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ คุณชายน้อยเจียงคนนี้อยากจะสร้างเรื่องต่อหน้าพวกเขาใช่ไหม 

 

 

           ซือเหยี่ยนฟังคำพูดของเจียงมู่เฉินก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองมั่วไป๋แวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เพียงพริบตาในใจก็เข้าใจได้ในทันที 

 

 

           ที่แท้ก็เป็นเพื่อนของเจียงมู่เฉิน ออกตัวทีไม่เหมือนกับคนทั่วไปจริงๆ 

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าขมขื่น ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากซือเหยี่ยน ไอ้หมอนี่ถ้ายังไม่ยื่นมือมาช่วย ตัวเองต้องโดนแฟนเขาเล่นงานตายแน่ 

 

 

           ซือเหยี่ยนรับสัญญาณขอความช่วยเหลือนี้มา เขาเอียงหัวมองเจียงมู่เฉินสักพัก ก็เห็นแค่เจียงมู่เฉินใช้มือจิกต้นขาเขาอยู่ โดนข่มขู่เงียบๆ แบบนี้ ซือเหยี่ยนทำได้แค่เลิกคิ้วอย่างจนใจไปทางไป๋จิ่ง 

 

 

           ไป๋จิ่งโกรธจนกระอักเลือด เพื่อนคนนี้เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ปกติแกล้งเขายังกะอะไรดี พอมาเจอเจียงมู่เฉินกลายเป็นกลัวหัวหดไปได้ 

 

 

           ‘เหยียดหยาม เหยียดหยามกันเกินไปแล้ว!’ 

 

 

           “ฮ่าๆ จะเป็นไปได้ยังไง” ไป๋จิ่งเลิ่กลั่ก 

 

 

           มั่วไป๋มองเจียงมู่เฉินอีกแวบหนึ่ง ครั้งนี้เจียงมู่เฉินถึงได้ตัดสินใจไม่แกล้งไป๋จิ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นบีบมั่วไป๋ให้ร้อนใจไปด้วยจะไม่คุ้มค่ากันแล้ว 

 

 

           กว่าจะกินอาหารกันเสร็จไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซือเหยี่ยนได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากไป๋จิ่งนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็ออกตัวพาเจียงมู่เฉินกลับไป 

 

 

           หลังจากพวกเขาสองคนออกไป มั่วไป๋ก็หันกลับเตรียมจะออกไป กว่าไป๋จิ่งจะเจอตัวเขาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีหรือจะยอมปล่อยเขาไปได้ง่ายๆ จริงๆ 

 

 

           ไป๋จิ่งรีบตะโกนตามหลังไป “ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลย ไม่คิดจะไปดื่มกันสักแก้วหน่อยเหรอ?” 

 

 

           มั่วไป๋มองไป๋จิ่ง นัยน์ตาฉายแววสับสน เขาครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพยักหน้า “ได้ ไปด้วยกัน?” 

 

 

           ไป๋จิ่งรอประโยคนี้มาตลอด กว่าจะได้ยินคำชวนของมั่วไป๋ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะปฏิเสธได้อย่างไร เขารีบรับปากทันที “ได้สิ ไปด้วยกัน” 

 

 

           ไป๋จิ่งมากับพวกซือเหยี่ยน ไม่ได้ขับรถมา มั่วไป๋ขับรถมาเองพอดี เขาพาไป๋จิ่งไปขึ้นรถตัวเอง แล้วทั้งสองคนก็ขับรถไปหลานเยี่ยกัน 

 

 

           มั่วไป๋นั่งบนเบาะที่นั่ง ในมือถือแก้วเหล้าค่อยๆ หมุนอย่างช้า “บอกมาเถอะ หาฉันมีธุระอะไร รู้สึกว่าเงินที่ฉันให้วันนั้นมันน้อยไป เลยตั้งใจจะมาทวงกับฉัน” 

ตอนที่ 168 แล้วฉันสู้เขาไม่ได้ตรงไหน 

 

 

           “วันเกิดเขาจะให้ฉันไปทำไม ฉันเองก็ไม่ได้สนิทกับเขา” มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยเลยสักนิด 

 

 

           “ไป๋ไป๋ นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลยนะ นายไม่คิดจะเจอแฟนของฉันหน่อยเหรอ” มั่วไป๋ผู้โดนเจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ ใส่ อารมณ์ขัดใจสักนิดก็ไม่มีแล้ว ทำได้แค่กุมขมับพยักหน้า “ได้ๆๆ ไปๆๆ โอเคแล้วใช่ไหม” 

 

 

           ได้ยินเขายอมตกลงแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้พยักหน้าอย่างพอใจ “สองทุ่มคืนนี้ รอนายที่ฉินจี้นะ” 

 

 

           “ได้ ฉันจะไปถึงให้ตรงเวลา” 

 

 

           เดินทางออกจากบ้านมั่วไป๋ไป เจียงมู่เฉินก็ขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลนัก เขากำลังคิดว่าจะส่งของขวัญอะไรให้ซือเหยี่ยนดี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวันเกิดครั้งแรกที่พวกเขาได้จัดด้วยกัน ที่สุดแล้วมันก็มีความหมายที่พิเศษอยู่ดี 

 

 

           ถึงพวกเขาจะเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ กับเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการอะไรเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่คนอื่นทำได้ เขาเองก็อยากจะทำด้วย 

 

 

           เรื่องนี้จะไม่ยุติธรรมกับซือเหยี่ยนได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินวนไปทั่วห้างสรรพสินค้า ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไรให้ซือเหยี่ยนเป็นของขวัญดี สุดท้ายมาหยุดต่อหน้านาฬิกาข้อมือ 

 

 

           นาฬิกาข้อมือเรือนนี้ถึงจะไม่ใช่รุ่นลิมิเต็ด แต่ไม่รู้ว่าทำไมเจียงมู่เฉินถึงรู้สึกว่าถ้ามันสวมอยู่บนข้อมือของซือเหยี่ยน ต้องเข้ากันมากเป็นพิเศษแน่ๆ 

 

 

           เขายักคิ้ว ไม่ลังเลที่จะให้ทางร้านห่อของขวัญชิ้นนี้ให้ 

 

 

           ของขวัญก็ซื้อเรียบร้อยแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้ขับรถไปรับซือเหยี่ยนที่ซือกรุ๊ป 

 

 

           ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจียงมู่เฉินได้กลายเป็นแขกประจำของซือกรุ๊ปไปแล้ว จำนวนครั้งที่มาแค่ช่วงสั้นๆ ในหนึ่งเดือนนี้ก็มากกว่าแต่ก่อนที่คบกันอีก 

 

 

           มีคนอยู่จำนวนไม่น้อยที่ต่างก็เดากันว่าคุณชายเจียงผู้นี้กลายเป็นเพื่อนของประธานซือหรือเปล่า ถึงได้เข้ามาอยู่ใกล้กันแบบนี้ 

 

 

            หลังจากเดินไปถึงห้องทำงาน ถึงได้พบว่าซือเหยี่ยนออกไปประชุมแล้ว เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ยืนพิงหน้าต่างข้างๆ รอซือเหยี่ยน 

 

 

           รอมาสิบกว่านาที ซือเหยี่ยนก็ยังไม่กลับมา เจียงมู่เฉินล้วงมือถือออกมาเริ่มเล่นเกม เล่นไปได้สองเกม จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังขึ้นมาจากข้างนอก 

 

 

           เขาเดินมุ่งหน้าไปยังทางข้างนอกสองก้าว ยังไม่ทันได้ออกไปก็ได้ยินเสียงหลินเหวินฮุ่ย เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วเงียบๆ 

 

 

           เขาพิงประตูยืนตระหง่านฟังพวกเขาสองคนพูดคุยกัน 

 

 

           “พี่ซือเหยี่ยน สุขสันต์วันเกิดนะคะ นี่คือของขวัญที่ฉันตั้งใจเลือกมาให้พี่โดยเฉพาะเลย ถ้าพี่ใส่แล้วต้องดูดีมากเป็นพิเศษแน่ๆ ค่ะ”    

 

 

           ‘ให้เสื้อผ้าเป็นของขวัญวันเกิด?’ 

 

 

           คุณหนูหลินคนนี้ความคิดความอ่านล้ำเลิศกว่าคนทั่วไปจริงๆ นี่เธอยังคิดรอซือเหยี่ยนใส่มันเข้าไป แล้วถือโอกาสช่วยเขาถอดออกมาใช่ไหม 

 

 

           “ขอบใจ” ซือเหยี่ยนยื่นมือไปรับ “ครั้งหน้าไม่ต้องซื้อมาพิเศษให้ฉันอีก” 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยหัวเราะอย่างเริงร่า “ได้ยังไงล่ะคะ ของขวัญที่พี่ให้ฉันคราวก่อน ฉันชอบมากสุดๆ เลย แล้วจะให้พี่ให้ของขวัญฉันฝ่ายเดียว แล้วฉันไม่ให้พี่ได้ยังไงกันคะ” 

 

 

           จู่ๆ เธอก็รู้สึกเขินๆ ขึ้นมา “อีกอย่าง ฉันเองก็ชอบช่วยพี่ซือเหยี่ยนเลือกของขวัญด้วย” 

 

 

           ‘มีคนมาจีบแฟนของคุณต่อหน้าคุณ จะเข้าไปจัดการหรือไม่เข้าไปดี นี่คือปัญหาจริงจังปัญหาหนึ่งทีเดียว’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนพิงอยู่ตรงนั้นค่อยๆ ไตร่ตรอง ถ้าตัวเองออกไปประกาศสงคราม คุณหนูหลินผู้บอบบางจะรองรับไหวไหม 

 

 

           ยังไม่ทันรอให้เจียงมู่เฉินคิดทบทวนเสร็จ ซือเหยี่ยนก็กดเสียงต่ำ เอ่ยปากขึ้น “ฉันยังมีธุระต่อ เธอกลับไปก่อนเถอะ” 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็ผิดหวังไม่น้อย ร้องอย่างเศร้าใจ “พี่ซือเหยี่ยน ฉันมาตั้งไกลขนาดนี้ พี่ไม่คิดจะชวนฉันกินข้าวหน่อยเหรอคะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเวลา ใจก็คิดว่าเจียงมู่เฉินใกล้จะเข้ามาแล้ว “ขอโทษนะ คืนนี้ฉันมีนัดแล้ว ไม่งั้นเธอดูว่าเธออยากกินอะไร ตัวเองไปกินเอง ฉันจะออกเงินให้ไหม” 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยโกรธจนถลึงตาโต “ฉันอยากกินข้าวด้วยกันกับพี่ ไม่ใช่อยากกินข้าวเฉยๆ ค่ะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างจนใจ “เหวินฮุ่ย ก่อนหน้านี้ฉันเคยพูดกับเธอแล้ว ว่าฉันกับเจียงมู่เฉินเราคบกัน ข้างนอกมีคนดีๆ เก่งๆ ตั้งมากมาย เธอไม่ต้องมาผูกติดกับฉันคนเดียว” 

 

 

           “เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉิน แล้วฉันสู้เขาไม่ได้ตรงไหน เขาเป็นผู้ชายจะแต่งงานมีลูกกับพี่ได้เหรอคะ” หลินเหวินฮุ่ยจะคลุ้มคลั่งจริงๆ แล้ว คิดไม่ถึงว่าสักวันเธอจะต้องมาแย่งชิงกับผู้ชายคนหนึ่ง  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 169 แกล้งหลับโดนเปิดโปง 

 

 

           ‘ผู้ชายสองคนคบกัน นี่มันไม่ปกติแล้ว’ 

 

 

           “พวกพี่สองคนคบกัน ไม่ต้องพูดถึงว่าสังคมจะยอมรับได้หรือไม่ได้เลย คุณอาคุณน้าพวกท่านจะยอมรับได้ไหม พี่ซือเหยี่ยน ที่พวกพี่ทำมันไม่ถูกต้องนะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม “เห็นแก่อาจารย์ ครั้งนี้ฉันจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเธอ เจียงมู่เฉินไม่ต้องมาเปรียบกับใครที่ไหน ขอเพียงแต่เขาคือเจียงมู่เฉินก็ชนะแล้ว ส่วนฉันจะชอบผู้ชายหรือว่าชอบผู้หญิง จะยอมรับได้หรือไม่ได้ก็เป็นเรื่องของฉัน ไม่ต้องให้เธอมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทน” 

 

 

           “ไม่มีธุระอะไรก็กลับไปก่อนเถอะ ฉันยังมีธุระต่อ ขอบใจสำหรับของขวัญของเธอนะ” ซือเหยี่ยนสีหน้าเย็นชาไล่ส่งแขก 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยโดนซือเหยี่ยนซัดกลับแบบนี้ ใบหน้าก็ซีดเซียวแล้ว เธอทั้งโกรธทั้งเสียใจ อีกนิดจะร้องไห้ออกมาแล้ว 

 

 

           “รีบกลับไปเถอะ เย็นมากแล้ว” 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยมองซือเหยี่ยนอย่างไม่เต็มใจ เธอโกรธจนหมุนตัวเดินออกไป 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองตามแผ่นหลังของเธอจนลับตาไป แล้วกุมขมับ เขาก้มลงมองชุดในมือสักพัก พอเดินไปถึงห้องทำงานของผู้ช่วย ก็ส่งชุดให้ผู้ช่วยเขา 

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนออกจากห้องทำงานของผู้ช่วย ก็ตรงกลับเข้าห้องทำงานของตัวเองทันที เขาเดินไป พลางมองเวลาไปด้วย 

 

 

           เขาผลักประตูที่ปิดอยู่ เจียงมู่เฉินนอนอยู่บนโซฟา ซือเหยี่ยนแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าเขามาถึงแล้ว 

 

 

           เมื่อปิดประตูลงแล้ว ซือเหยี่ยนก็เดินไปหาเจียงมู่เฉิน เห็นเขากำลังหลับสนิทอยู่ ก็ลังเลว่าจะปลุกเขาดีไหม 

 

 

           เขายังไม่ทันได้ลงมือ จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็รู้สึกตัวขึ้นมา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นอนตะแคงข้าง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา 

 

 

           ราวกับว่าเพิ่งตื่นอย่างไรอย่างนั้น เขาขยี้ตา เสียงต่ำเอ่ยถาม “นายกลับมาแล้วเหรอ” 

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนรับคำ 

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดต่อ “กี่โมงแล้ว” 

 

 

           “หกโมงครึ่งแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินก็ลุกขึ้นมานั่งทันที “หกโมงครึ่งแล้ว นี่ฉันหลับนานขนาดนี้เลย” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาขำๆ แล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “เฉินเฉิน คุณไม่ได้หลับมาแต่แรกแล้วสินะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินหันมาถลึงตาใส่เขา 

 

 

           “คำที่ผมเพิ่งพูดข้างนอกเมื่อกี้นี้ คุณได้ยินหมดแล้วใช่ไหมล่ะ” ซือเหยี่ยนพูดต่ออีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินในใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เขารู้ได้ยังไงว่าตัวเองแกล้งหลับ หรือว่าฝีมือการแสดงการดูเกินจริงมากไป แวบเดียวก็ดูออกเลย 

 

 

           “ถ้าคุณหลับจริงๆ จะไม่เป็นแบบนั้น” ตอนเขาเดินเข้ามาก็รู้ทันทีว่าเจียงมู่เฉินกำลังแกล้งหลับ เดิมทีก็ไม่คิดจะเปิดโปง แต่พอเห็นยังเล่นละครต่อไป ก็อดใจไม่ได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นตัวเองโดนเปิดโปงแล้ว ยิ่งทำยิ่งแย่ไปกันใหญ่ 

 

 

           “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันแกล้งหลับ” เขารู้สึกว่าการแสดงของตัวเองควรจะสมจริงมากอยู่นะ 

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “เวลาคุณตื่นตระหนกก็จะกำมือไว้ ถ้าคุณหลับไปแล้วจริงๆ จะไม่เป็นแบบนี้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินบื้อแล้ว นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมาพลาดเพราะมือคู่นี้ 

 

 

           เขาเอียงมองซือเหยี่ยน “ของขวัญที่ให้นายล่ะ เลือกให้นายเองกับมือเลยไม่ใช่เหรอ นายอยากลองใส่ดูสักหน่อยไหมว่าพอดีกับหุ่นนายหรือเปล่า” 

 

 

           “ให้คนอื่นแล้ว” ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “ใครใช้ให้แฟนผมแรงหึงเยอะเกินไป ผมกลัวว่าไม่ช้าก็เร็วสักจะหึงจนฆ่าตัวเองได้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกัดคอเขาไปหนึ่งคำ “นายต่างจากจะหึงตาย” 

 

 

           “ได้ฟังเยอะขนาดนี้ ยังพอใจไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยักคิ้ว “ก็งั้นๆ แหละ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเย่อหยิ่งเชิดๆ ของเขาก็อดจะขบกรามไม่ได้ อยากจะโผตัวเข้าไปกัดเขาสักคำ ยังไม่ได้ปฏิบัติตามความคิดให้เป็นจริง กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มก็โดนเสียงเคาะประตูขัดจังหวะพอดี 

 

 

           ไป๋จิ่งโผล่แค่หัวออกมาจากประตู “พี่ชาย น้องชาย นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ยังจะมาจู๋จี๋กันอยู่นี่อีก ถ้ายังไม่ไป คนใกล้จะเลิกงานกันแล้วนะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินฉวยโอกาสถลึงตาใส่ไป๋จิ่ง มาได้จังหวะจริงๆ  

ตอนที่ 166 กุญแจสำคัญดอกใหม่

 

 

           ซังจิ่งถอนหายใจ “ใครจะรู้ล่ะ เขาคงจะเบื่อไม่มีอะไรทำมั้ง”

 

 

           “แต่ว่า ถ้าเป็นเขาทำจริงๆ เกรงว่าเรื่องนี้พวกเจียงมู่เฉิน ต่อให้จะสืบจะตรวจสอบยังไง ก็หาอะไรออกมาไม่ได้หรอก”

 

 

           เหมือนซังจิ่งจู่ๆ ก็คิดถึงอะไรขึ้นมาได้ เขาเอ่ยปากขึ้น “ช่วยฉันนัดเขาหน่อย ฉันจำเป็นต้องเจอเขา”

 

 

           “นายแน่ใจ”

 

 

           “แน่ใจ”

 

 

           เซวียยางเห็นเขาพูดแบบนี้ก็พยักหน้ารับ “ได้ ฉันจะลองช่วยนายนัดดู เพียงแต่ว่าเขาคนนี้นิสัยใจคอแปลกพิลึกคน ไม่แน่นอนว่าเขาจะมาเจอนายได้”

 

 

           “ลองนัดดูเถอะ”

 

 

           ……

 

 

           กว่าเจียงมู่เฉินจะกลับมาบ้านตระเจียง ซือเหยี่ยนก็กลับมาแล้ว เขาขึ้นชั้นบนไปก็เห็นซือเหยี่ยนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ เจียงมู่เฉินเหวี่ยงตัวเองลงเตียง หลับตาพักกายพักใจ

 

 

           “เป็นไรไป เกิดเรื่องอะไรเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย”

 

 

           ซือเหยี่ยนปิดเอกสารในมือลง แล้วเดินเข้าไป เขานั่งลงข้างเตียง มองเจียงมู่เฉินที่นอนหลับตาอยู่ “โดนครอบครัวของผู้เสียชีวิตปฏิเสธมาใช่หรือเปล่า”

 

 

           “อืม ฉันไปมาแล้วรอบหนึ่ง แต่อารมณ์พวกเขาเดือดดาลเกินไป ไม่ยอมรับวิธีชดเชยที่ฉันบอกเลยสักนิด”

 

 

           ระหว่างทางที่เขากลับมา ก็ครุ่นคิดอยู่ตลอด ว่าจะทำอย่างไรถึงจะแก้ไขปัญหานี้ได้ ถึงอย่างไรเหตุสุดวิสัยครั้งนี้ที่ถานโจว มีคนให้ความสนใจไม่น้อย ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้จัดการอย่างถูกต้องเหมาะสม ต้องเป็นที่โพนทะนาไปทั่วเป็นธรรดา

 

 

           “ผมมีคำแนะนำอันหนึ่ง นายอยากฟังไหม” ซือเหยี่ยนลองถามหยั่งเชิง

 

 

           เจียงมู่เฉินลืมตาขึ้นทันที ก่อนจะยันตัวขึ้นมานั่ง “คำแนะนำอะไร”

 

 

           “คุณไปตรวจดูครอบครัวของผู้เสียชีวิต ระยะนี้มีอะไรผิดปกติไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้าง “หมายความว่าไง”

 

 

           “คุณไปตรวจดูก็จะรู้เอง” ซือเหยี่ยนไม่ยอมจะบอกไปมากกว่า ถึงแม้ว่าเจียงมู่เฉินกับเขาจะเป็นคนรักกัน แต่เรื่องนี้ถึงอย่างไรก็เกี่ยวโยงไปถึงกรุ๊ปของสองตระกูล เขาพูดออกไปตรงๆ ไม่ค่อยได้ มันชัดเจนเกินไป

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินซือเหยี่ยนพูดมาแบบนี้ รู้สึกว่าลงมือสืบจากฝั่งนี้ดูอาจจะเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งก็ได้ อีกอย่างยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกเขามองข้ามตลอด

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา บางทีเขาก็ยังคงคิดไม่ออก

 

 

           เมื่อตอนบ่าย อารมณ์คุณแม่เจียงเดือดดาลขนาดนั้น เป็นแม่ที่เสียลูกสาวคนหนึ่งไปจริงๆ แต่ท่าทีของคุณพ่อหวังไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าผู้ชายคนหนึ่งจะไม่ค่อยเผยสีหน้าอารมณ์ออกมา แต่ไม่ถึงขนาดว่าจะว่างเปล่าขนาดนั้น

 

 

           เขายังจำได้ตอนที่เขาบอกว่าตัวเองมาจากโครงการหลินไห่ ความเกลียดชังในแววตาของคุณพ่อหวังที่ควรมีก็ไม่มีเลยสักนิด

 

 

           นี่มันไม่ควรเป็นปฏิกิริยาของคนเป็นพ่อคนหนึ่ง

 

 

           “คิดถึงอะไรอยู่” ซือเหยี่ยนเอนกายพิงด้านข้างมองดูเจียงมู่เฉินที่เปลี่ยนสีหน้ากลับไปกลับมา

 

 

           เจียงมู่เฉินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายให้ซือเหยี่ยนฟังรอบหนึ่งโดยละเอียดครบถ้วน รวมถึงการคาดคะเนของตัวเองด้วย “ดังนั้นตอนที่นายพูดมาเมื่อกี้ ให้ฉันตรวจดูว่าครอบครัวของเขาช่วงนี้มีสถานการณ์อะไรพิเศษหรือเปล่า จู่ๆ ฉันก็มีความคิดทำนองนี้ขึ้นมา”

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลง เขาคิดทบทวนดูสักพัก “งั้นคุณก็เน้นตรวจสอบพ่อของเธอดู”

 

 

           ซือเหยี่ยนจุดประกายให้เจียงมู่เฉินขนาดนี้ ในใจเขาผ่อนคลายลงทันที เขาเงยหน้าไปทางซือเหยี่ยน ใช้นิ้วกวักเรียกเขา

 

 

           ซือเหยี่ยนเข้าไปใกล้ เจียงมู่เฉินเข้าถึงตัวแล้วกัดเขาไปคำหนึ่ง “ให้รางวัลนาย”

 

 

           ยื่นมือมาลูบมุมปากที่ถูกกัด ซือเหยี่ยนรวบตัวเจียงมู่เฉินมาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง เขาเชยคางเจียงมู่เฉินขึ้น แล้วเข้าไปมอบจุมพิตแสนลึกล้ำให้เขา สักพักหนึ่งถึงได้คลายมือออก

 

 

           “นี่สิ ถึงจะเป็นรางวัล”

 

 

           เจียงมู่เฉินหน้าแดงขึ้นมาทันที เขาค้นพบแล้วว่าเรื่องแบบนี้ เขาไม่มีทางเทียบเท่าซือเหยี่ยนในเรื่องความหน้าไม่อายได้ตลอดไป

 

 

           เขายกมือเกี่ยวคอซือเหยี่ยนไว้ หรี่ตาลง เอ่ยถาม “สรุปแล้วนายเคยติดผู้ชายมากี่คน”

 

 

           “คุณอยากรู้จริงๆ เหรอ”

 

 

           “นายวางใจได้ คุณชายใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนายหรอก”

 

 

           ซือเหยี่ยนคิดอย่างจริงจัง “เพิ่มคุณอีกคน น่าจะนับไม่ได้ชัดเจนแล้วมั้ง ถึงยังไงคนที่ชอบผมก็มีมากมาย”

 

 

           เจียงมู่เฉินกัดเขาคำหนึ่งโดยไม่ลังเลสักนิด “ฉันถามจริงจังนะ”

 

 

           “คุณคนเดียว”

 

 

           เจียงมู่เฉินเบ้ปากหยิ่งๆ ไม่คิดเชื่อคำพูดไอ้หมอนี่เลยสักนิด เขายกเท้าถีบคนตรงหน้า “แล้วคนก่อนคนนั้น ที่อยู่อเมริกาคนนั้นล่ะ”

 

 

 

 

ตอนที่ 167 แฟนเก่าผู้ยิ่งใหญ่

 

 

           เขายังไม่ลืมคนรักคนนั้นที่ซือเหยี่ยนเอ่ยถึง พอคิดถึงใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขของซือเหยี่ยนเวลาที่เอ่ยถึงคนนั้น เจียงมู่เฉินก็มีวิกฤตแล้ว

 

 

           ตอนนี้ซือเหยี่ยนคบอยู่กับเขา แต่ถ้าหากว่ามีวันหนึ่งวันนั้น แฟนเก่าที่เขายังลืมไม่ลงคนนี้กลับมา ซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นจะบังคับตัวเองให้ยอมสละตำแหน่งเปิดทางให้หรือเปล่า

 

 

           ถึงแม้ว่าเขาจะมีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่ว่าเกราะป้องกันทางใจก็ยังต้องมีอยู่

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกไปมา “อ่อ คุณหมายถึงคนนั้นเหรอ”

 

 

           “นายสารภาพมาตรงๆ อย่าคิดจะพูดอ้อมค้อมกับฉัน” เจียงมู่เฉินหรี่ตาใช้สายตาข่มขู่เขา

 

 

           “ก็ได้ สารภาพ” ซือเหยี่ยนสีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับกลัวการสารภาพเพียงนิดเดียวเท่านั้น “พูดมาเถอะ คุณอยากรู้อะไร”

 

 

           “พวกนายคบกันมานานเท่าไหร่”

 

 

           “รู้จักกันมายี่สิบกว่าปี คบกันสี่ปี” รู้จักกันตั้งแต่เด็ก จนอายุยี่สิบปีไปเจอกันที่อเมริกา ต่อมาสองคนได้คบกัน จนจบการศึกษาปีนั้น ภารกิจของเจียงมู่เฉินล้มเหลวจนเกือบตาย

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยิน ก็รู้สึกอิจฉาไม่เบา เขาเพิ่งจะคบกับซือเหยี่ยนแค่ครึ่งปีเอง แต่กับแฟนเก่าคนนั้นคบกันมาตั้งสี่ปีเต็มๆ

 

 

           ถึงเขามีความเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้ง ก็ไม่มีทางจะว่าครึ่งปีของตัวเองจะล้มเวลาสี่ปีของพวกเขาได้

 

 

           ข้อนี้เขารู้ตัวเองดี เจียงมู่เฉินยังมีความรู้ตัวเองอยู่

 

 

           “ก่อนหน้านี้นายบอกฉันว่า เขาเกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิตแล้วหรือว่า?”

 

 

           ซือเหยี่ยนหลับตาลง “เกือบจะเสียชีวิต แต่ช่วยกลับมาได้แล้ว”

 

 

           “งั้นทำไมนายถึงยังต้องเลิกกับเขาล่ะ” เจียงมู่เฉินไม่เข้าใจ ซือเหยี่ยนดูเหมือนจะไม่ใช่คนประเภทที่ว่าตอนคนเขากำลังบาดเจ็บอยู่ แล้วจะขอเลิกไม่รับผิดชอบอะไรแบบนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนเบือนหน้าหนี แสดงออกว่าไม่ยอมให้คำถามนี้ไปต่อชัดเจน เจียงมู่เฉินมองดูมุมหน้าด้านข้างของเขา ก่อนจะเปลี่ยนคำถาม “นายยังรักเขาอยู่ไหม”

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนจอจ่ออยู่ที่เจียงมู่เฉิน เขาแทบจะไม่มีความลังเลอะไร ก่อนจะพยักหน้า “ชอบ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกำหมัดแน่น เขายังชอบแฟนเก่าคนนั้นอยู่ แล้วตัวเองล่ะ เป็นอะไรสำหรับเขา       

 

 

           “ถ้ามีวันหนึ่ง เขาอยากจะกลับมาสานต่อความสัมพันธ์กับนาย นายจะตกลงปลงใจกับเขาไหม”

 

 

           ยามที่เอ่ยถามประโยคนี้ไป หัวใจของเจียงมู่เฉินราวกับมีคนมากำเอาไว้แน่น แทบจะหยุดหายใจ เป็นครั้งแรกที่คุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้เย่อหยิ่งเสียความมั่นใจขนาดนี้

 

 

           ซือเหยี่ยนมองใบหน้าของเขา แล้วถอนหายใจเบาๆ “ผมชอบเขา ลืมเขาไม่ลง แต่ว่าครั้งนี้ผมเลือกคุณ”

 

 

           อีกอย่าง แฟนคนก่อนกับแฟนคนปัจจุบันก็คือเจียงมู่เฉินแค่คนเดียว เพียงแต่ว่าเจียงมู่เฉินไม่รู้ก็เท่านั้นเอง

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะพูดอะไร

 

 

           เขาลุกขึ้นยืน “นอนแต่หัวค่ำเถอะ ฉันจะไปอาบน้ำแล้ว”

 

 

           ‘ชอบแฟนเก่าไปด้วย เลือกเขาไปด้วย เขาควรจะรู้สึกมีความสุขเหรอ’

 

 

           สำหรับแฟนเก่าผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินรู้สึกสั่นคลอน

 

 

           ……

 

 

           ตามคำแนะนำของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินเริ่มลงสืบเรื่องราวจากคุณพ่อหวัง เขาฟุบบนโซฟามองมั่วไป๋เอานั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊ขตลอด ไม่รู้กำลังหาข้อมูลอะไรอยู่

 

 

           เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ จู่ๆ มั่วไป๋ก็ส่งเสียงร้องเรียกเขา เจียงมู่เฉินเข้าไปใกล้ มั่วไป๋ให้เขาดูใบโอนเงินใบหนึ่ง

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “นี่คือ?”

 

 

           “ในนามของเขามีบัตรธนาคารใบหนึ่ง ที่ไม่นานมานี้มีเงินก้อนใหญ่โอนเข้ามา แต่วันนั้นก็ถูกโอนย้ายไปเข้าบัตรธนาคารอีกใบ”

 

 

           “คิดไม่ถึงว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ” เจียงมู่เฉินถอนหายใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าพ่อคนหนึ่งจะทำเรื่องแบบนี้กับลูกสาวของตัวเองได้

 

 

           “ฉันตามตรวจสอบบัญชีที่โอนเข้ามานี้ แต่ไม่มีข่าวอะไรเลย” มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ซ่อนทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเองไว้มิดชิด ถ้าต้องการจะสืบเรื่องนี้ต่อจริงๆ ค่อนข้างยากเอาเรื่องเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ ชักจะปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว เดิมทีคิดว่าถ้าตามทางนี้ได้จะหาอะไรเจอบ้าง แต่ตอนนี้เห็นเบาะแสถึงแค่ตรงนี้ก็โดนตัดทางอีกแล้ว

 

 

           “โอเค แค่นี้ก่อนเถอะ สุดแล้วแต่จะเป็นไปดีกว่า”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้า “ได้ ทางนี้ฉันมีข่าวอะไร จะรีบบอกนายทันที”

 

 

           “ใช่สิ คืนนี้วันเกิดซือเหยี่ยน ไปกินข้าวด้วยกันสิ”

ตอนที่ 164 ผู้ต้องสงสัย

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ รู้สึกว่าเรื่องนี้ยิ่งซับซ้อนขึ้นทุกที ใครกันที่อยากจะลงมือสังหารเขาท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดนี้ได้

 

 

           “นายมีผู้ต้องสงสัยอะไรไหม”

 

 

           มั่วไป๋หยิบแก้วน้ำด้านข้างขึ้นมาดื่มตามด้วยยาแก้ปวด หัวเขาปวดจนใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว

 

 

           “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ ที่ฉันตรวจสอบได้ก็มีแค่ข้อมูลพวกนี้”

 

 

           “โอเค นายรีบไปนอนเถอะ เรื่องนี้เองก็รีบร้อนไม่ได้ ก็เอาแบบนี้ชั่วคราวไปก่อนแล้วกัน”

 

 

           มั่วไป๋ยื้อตัวเองต่อไปไม่ค่อยจะไหวจริงๆ แล้ว เขาส่งต่อโน้ตบุ๊กให้เจียงมู่เฉิน “ข้างในนี้มีข้อมูลที่ฉันหามาทั้งหมด นายดูเองแล้วกัน ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ”

 

 

           “ได้ๆๆ รีบไปนอนเลยไป”

 

 

           หลังจากมั่วไป๋เข้าห้องนอนไป เจียงมู่เฉินก็ดูหลักฐานที่มั่วไป๋ค้นหาดูอย่างจริงจัง

 

 

           เพียงแต่ว่าถ้าอยากจะยืนยันว่าคนเบื้องหลังเรื่องนี้เป็นใครยังค่อนข้างยากมากทีเดียว เจียงมู่เฉินนั่งขัดสมาธิเอนพิงบนโซฟา ตอนนี้เบื้องต้นจำกัดขอบเขตให้เล็กลงได้แล้ว คนที่อยากฆ่าเขาก็คือคนที่อยู่ในหลินไห่

 

 

           เพราะว่าหลินไห่คือโครงการที่เจียงเฉินกรุ๊ปและทางซังจิ่งทั้งสองฝ่ายร่วมลงทุนด้วยกัน คนในเจียงเฉินกรุ๊ปที่อยากจะฆ่าเขาควรจะไม่นับ ถ้าอย่างนั้นที่เหลือก็ควรจะมีแค่ซังจิ่งแล้ว

 

 

           ถึงเขาจะเคยสงสัยซังจิ่ง แล้วตอนนี้หลักฐานที่มีชี้นำไปทางซังจิ่ง แต่เจียงมู่เฉินกลับรู้สึกมีอะไรไม่ชอบมาพากล

 

 

           เขารู้สึกมาตลอดว่าข้อมูลพวกนี้ถูกตรวจสอบพบค่อนข้างจะเร็วเกินไป เหมือนกับมีคนต้องการให้เขารู้ไม่มีผิด

 

 

           อีกอย่างซังจิ่งออกจะฉลาดขนาดนั้น ถ้าเขาเป็นคนทำจริงๆ ไม่มีทางที่จะทิ้งช่องโหว่ให้เห็นชัดเจนขนาดนี้ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ ดูท่าว่าเรื่องนี้ต้องสืบสวนดูบ้างแล้ว

 

 

           ยังมีเรื่องที่เขาโดนลักพาตัวไปก่อนหน้านี้อีก จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มีคนอยากจะฆ่าเขาด้วยหรือเปล่า

 

 

           แต่ว่าก็ไม่ค่อยจะถูกเสียทีเดียว ถ้าอยากจะฆ่าเขา ตอนที่จับเขามัดเอาไว้ ทำไมถึงไม่ลงมือไปเสียเลยตั้งแต่ตอนนั้น

 

 

           เขากุมขมับแล้ว ดูท่าว่าตัวเองจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับซังจิ่งตัวต่อตัวแล้ว บางทีเขาอาจจะให้กุญแจสำคัญกับเขาบ้างนิดหนึ่งก็ได้

 

 

           คอนโดมิเนียมของไป๋จิ่งเงียบสงบมาก ประตูห้องนอนบานใหญ่ปิดสนิท ดูเหมือนว่าเขาควรจะนอนหลับไปแล้ว เจียงมู่เฉินมองเวลาแล้วก็ย่องเงียบๆ ออกจากคอนโดมิเนียมไป

 

 

           ณ ซือกรุ๊ป สองวันติดกันมานี้ไป๋จิ่งดูค่อนข้างจะเบลออยู่ไม่เบา ซือเหยี่ยนเดินผ่านห้องทำงานของเขาก็กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง เห็นเขาเอามือเท้าคาง ไม่รู้ว่าใจลอยอะไรอยู่

 

 

           ซือเหยี่ยนเคาะประตู “คิดอะไรอยู่”

 

 

           ไป๋จิ่งถอนหายใจ “คุณชายเจียงของนายไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

           เมื่อวานซือเหยี่ยนรีบเร่งออกไป แม้แต่ประชุมที่เหลือก็ไม่ประชุมกันแล้ว

 

 

           “ไม่เป็นไร ยังอยู่ดี”

 

 

           “คุณชายเจียงของนายไม่เป็นไร แต่ฉันเป็น”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ยังคิดเรื่องที่นายกลายเป็นผู้ชายขายตัวอยู่เหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งโมโหแล้ว “นายนั่นแหละเป็นผู้ชายขายตัว ของฉันเขาเรียกว่าสมยอมกันทั้งคู่ โอเคไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “อืม ก็แค่หลังเสร็จกิจกัน กลายเป็นคนไม่รู้จักกัน แล้วเขายังให้เงินค่าลำบากนายอีกเท่านั้นเอง”

 

 

           อีกนิดไป๋จิ่งจะกระอักเลือดตายอยู่แล้ว เป็นอย่างที่คิดจริงๆ สองคนนี้พูดจามาแต่ละที คนหนึ่งยิ่งทำให้คนอื่นอกแตกตายได้มากกว่าอีกคนหนึ่ง ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก

 

 

           “นายมาหาฉันมีธุระเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยักไหล่ “ไม่มีธุระอะไร”

 

 

           ไป๋จิ่งมองบนใส่ “ไม่มีธุระอะไรก็ใสหัวไปซะ ฉันไม่อยากให้นายมาสาดเกลือใส่แผลฉันต่อไปเลยสักนิด”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง แล้วออกจากห้องทำงานเขาไปทันที

 

 

           ไป๋จิ่งเอนพิงเก้าอี้คิดทบทวนอย่างจริงจัง นอนเสร็จเขาก็หนีไป จะง่ายขนาดนั้นที่ไหนกัน จู่ๆ ดวงตาก็ลุกวาวเป็นประกายขึ้นมา ในเมื่อมั่วไป๋ไม่เป็นฝ่ายมาหาเขาเอง เขาก็เป็นฝ่ายไปหาก็ได้ไม่ใช่เหรอ

 

 

           จะได้ไม่นั่งรอคอยโชคชะตาอย่างไร้เป้าหมายแบบนี้ ตามความคืบหน้าในตอนนี้ คาดว่ารอถึงปีหน้าก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นฝ่ายปรากฏตัวมาแน่

 

 

           ถานโจวใหญ่ขนาดนี้ เขายังไม่เชื่อหรอกว่าแม้แต่มั่วไป๋คนเดียว เขาจะหาไม่เจอ

 

 

           มั่วไป๋ที่ไป๋จิ่งกำลังโหยหาอยู่นั้น กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เพราะไม่ได้นอนหลับมาทั้งคืน ไหนเลยจะรู้ว่าจะมีคนที่คิดจะพลิกแผ่นดินถานโจว เพื่อตามหาเขาให้พบ  

 

 

 

 

ตอนที่ 165 ครอบครัวของผู้เสียชีวิต

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินทางไปตามที่อยู่ที่ได้รับมา จนไปเจอตำแหน่งที่อยู่ของครอบครัวของผู้เสียชีวิต เป็นอาคารชุดค่อนข้างจะดูเก่าแก่ ใกล้กับบริเวณเมืองเก่า

 

 

           เขาจอดรถอยู่ใต้ตึก หยิบมือถือขึ้นมาดูอีกที ตรวจสอบที่อยู่ให้แน่ใจอีกครั้งว่าถูกต้องแล้ว ถึงได้เปิดประตูลงจากรถเดินเข้าไป

 

 

           บ้านครอบครัวของผู้เสียชีวิตอยู่ชั้นสามของตึกนี้ เจียงมู่เฉินยืนอยู่หน้าประตู ยื่นมือไปเคาะประตู เพียงไม่นานประตูก็ถูกเปิด

 

 

           “แกเป็นใคร!” ดูจากอายุแล้วควรจะเป็นพ่อแม่ของผู้เสียชีวิต ยืนอยู่ตรงทางเข้า มองเขาด้วยสายตาเย็นชา

 

 

           “สวัสดีครับ ผมเจียงมู่เฉินเป็นผู้รับผิดชอบโครงการหลินไห่” เขาเพิ่งพูดประโยคนี้ออกมา คนข้างในก็พุ่งตัวออกมา

 

 

           “โครงการหลินไห่…พวกแกนี่เอง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกแก ลูกสาวจะตายได้ยังไง” แม่ของผู้เสียชีวิตผมยุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนว่าคงจะร้องไห้มานานมากแล้ว “พวกแกคืนลูกสาวฉันมา! เอาลูกสาวฉันคืนมาให้ฉัน!”

 

 

           “แกมาที่นี่ทำไม พวกเราไม่ต้อนรับแก” พ่อของเธอกลับแสดงออกอย่างเรียบเฉย เพียงแต่ว่าท่าทีไม่ค่อยดีเท่าไหร่

 

 

           “เรื่องของลูกสาวคุณ ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ ทางเราเองก็คาดไม่ถึงว่าวันนั้นจะเกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้” เจียงมู่เฉินหยุดสักพัก “เนื่องจากคุณหวังเกิดอุบัติเหตุจากกิจกรรมงานตัดริบบิ้นของหลินไห่ ทางเราจะแสดงความรับผิดชอบอยู่แล้วครับ ที่ผมมาวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้ครับ”

 

 

           “ความรับผิดชอบ? แกพูดมาก็น่าฟัง แกคิดจะรับผิดชอบยังไง ลูกสาวฉันมีแค่ชีวิตเดียวนะ”

 

 

           “สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหวัง ผมตลอดจนเจียงเฉินกรุ๊ปต่างก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง คนตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงทำได้แค่มอบเงินชดเชยให้ก้อนใหญ่ นอกจากนี้หากต้องการการชดเชยอย่างอื่น พวกเราจะนำไปพิจารณาชดเชยให้ได้ครับ”

 

 

           คุณแม่หวังได้ยิน อารมณ์ก็เดือดขึ้นมาทันที เธอรีบผลักเจียงมู่เฉินออกไป “แกคิดว่าแค่พวกแกมีเงินเน่าๆ นั่นแล้วจะน่าสรรเสริญเหรอ จะชดเชยอะไร ฉันก็ไม่เอาทั้งนั้น ขอเพียงแต่แกทำให้ลูกสาวฉันมีชีวิตกลับมาได้”

 

 

           “ขอโทษครับ เรื่องนี้ผมทำไม่ได้จริงๆ”

 

 

           “ทำไม่ได้แล้วแกมาพูดอะไรอยู่ที่นี่ ฉันจะบอกแกไว้ ไม่มีอะไรจะพูดกันได้แล้ว วันนี้พวกแกไม่ได้ให้คำตอบที่น่าพอใจกับพวกเราก็ไม่ปล่อยบริษัทพวกแกไป ฉันจะต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้ลูกฉันให้ได้”

 

 

           พูดประโยคนี้จบ ประตูก็ถูกปิดลงด้วยแรงมหาศาลจนวงกบประตูสั่นคลอน

 

 

           เป็นครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินไปบ้านคนอื่นแล้วโดนตอกหน้าหงาย ก่อนหน้านี้เขาเองก็คาดการณ์มาแล้วว่าจะเป็นแบบนี้ได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าอารมณ์ของพวกเขาจะเดือดดาลกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก

 

 

           เขามองประตูบานใหญ่ที่ถูกปิดสนิท แล้วหมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถ

 

 

           การสัญจรไปมาวันนี้ได้ฆ่าเวลาไปไม่น้อย ท้องฟ้ามืดลงแล้ว เจียงมู่เฉินนั่งอยู่ในรถถอนหายใจ รออีกไม่กี่นาทีถึงได้ขับรถแล่นออกไป

 

 

           มีรถคันหนึ่งจอดหลบมุมข้างๆ อยู่ไม่ไกลนัก เซวียยางนั่งอยู่ที่นั่งคนขับมองดูเจียงมู่เฉินขับรถออกไป ก็อดจะเอ่ยแซวไม่ได้ “ดูท่าว่านายจะเดาได้แม่นจริงๆ แม่นว่าวันนี้เขาจะมาได้”

 

 

           ซังจิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตาจับจ้องรถของเจียงมู่เฉินอยู่ตลอด จนกระทั่งเขาแล่นรถออกไปไกลลิบตาแล้วถึงเบนสายตากลับมา

 

 

           “แค่คาดคะเนเท่านั้นเอง” แค่ที่ตัวเองเดาแม่นนิดหน่อยเฉยๆ ก็เท่านั้นเอง

 

 

           “นายไม่กลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดว่าเรื่องนี้นายเป็นคนทำเหรอ”

 

 

           “กลัวว่าเขาจะคิดไม่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ” นัยน์ตาซังจิ่งฉายแววความรู้สึกซับซ้อน “ถึงจะไม่มีอะไรที่เชื่อถือได้ แต่ว่าเจียงมู่เฉินไม่สงสัยฉันได้แน่นอน”

 

 

           “ทำไมเหรอ ภาพจำของเขาที่มีต่อนายไม่ดีมาตลอดเลยนะ”

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “ลางสังหรณ์ อีกอย่างเจียงมู่เฉินฉลาดกว่าที่พวกเราคิดไว้มาก”

 

 

           “คนที่ลงมือครั้งนี้ นายตรวจสอบออกมาได้หรือยัง” เซวียยางค่อนข้างจะให้ความสนใจเรื่องนี้อยู่

 

 

           “ยัง แต่ว่าควรจะหนีความรับผิดชอบจากเขาไม่พ้นหรอก”

 

 

           “เขาเหรอ” เซวียยางเลิกคิ้ว “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง เรื่องของเจียงมู่เฉิน เบื้องบนส่งให้นายแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาต้องเข้ามาร่วมอีก”

ตอนที่ 162 แจ้งความไปเลย

 

 

           เขาไม่มีทางเหลือประตูไว้ให้เจียงมู่เฉินแอบออกไปกิน อย่าว่าแต่ประตูเลย แม้แต่หน้าต่างก็จะไม่มีให้

 

 

           เรื่องทำนองนี้ควรจะบีบคอให้ตายตั้งแต่อยู่ในเปลเด็กด้วยซ้ำ

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาถลึงตาใส่ ก็ยักไหล่อย่างจนใจ กลัวแล้ว กลัวแล้ว แอบกินไม่ได้ ยังคิดไม่ได้อีกใช่ไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินให้ซือเหยี่ยนมาส่งเขาที่สถานที่จัดงานตัดริบบิ้นเมื่อวาน เขาจะรีบไปจัดการเรื่องเมื่อวานนี้ก่อน กำลังจะลงจากรถ ซือเหยี่ยนก็เอ่ยถาม “ไม่ต้องการให้ผมช่วยเหลืออะไรจริงๆ เหรอ”

 

 

           “ถึงแม้ว่าฉันจะด้อยกว่านายแค่นิดเดียว แต่ก็ยังเก่งมากโอเคไหม ต้องให้นายมาช่วยทุกเรื่องหรือไง”

 

 

           เขายื่นมือไปปิดประตูรถ “โอเค นายรีบไปเถอะ ฉันยังมีธุระอยู่ ทำเสร็จแล้ว ฉันจะกลับไปเองนะ ไม่ต้องมารับฉัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ากำชับเตือนประโยคสองประโยค แล้วถึงได้ออกไป

 

 

           เจียงมู่เฉินไปสถานที่จัดงานตัดริบบิ้นเมื่อวานเพื่อหารถตัวเองก่อน จากนั้นถึงขับรถไปหลินไห่

 

 

           ทางด้านหลินไห่นั้น เพราะอุบัติเหตุเมื่อวานทำให้คนหวาดผวา มีคนอยู่ไม่น้อยกำลังวิพากษ์วิจารณ์ มีบางคนใจอยู่ไม่นิ่งแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเรียกคนที่อยู่จัดการที่เกิดเหตุเมื่อวานมาสอบถามสถานการณ์ตอนนี้ทั้งหมด

 

 

           “คุณชายเจียงครับ เรื่องเมื่อวานนี้การจัดการขั้นพื้นฐานดำเนินการไปพอประมาณแล้วครับ จะมีแค่เพียงเรื่องยุ่งยากอยู่สองเรื่องเท่านั้นครับ” ผู้จัดการผู้รับผิดชอบสถานที่เกิดเหตุ “เรื่องแรกคือทีมงานที่ได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิตเมื่อวาน เมื่อเช้าครอบครัวของเธอมาร้องเรียนครั้งหนึ่งแล้ว บอกว่าต้องการให้พวกเราให้คำตอบที่สมเหตุสมผลพอครับ”

 

 

           “เรื่องที่สองก็คือคนที่ก่อเหตุยิงปืนเมื่อวาน พวกเราตรวจสอบไม่เจอเลยครับว่าใครเป็นคนทำ”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย “เรื่องครอบครัวของผู้เสียชีวิต ฉันจะจัดการเอง เรื่องนี้ยังไม่ต้องยุ่ง ส่วนเรื่องคนที่ยิงปืน…แจ้งความไปเลย”

 

 

           “แจ้งความเหรอครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองแวบหนึ่ง “ไม่ทำแบบนี้ แล้วนายว่าไง ตอนนี้ถูกสื่อตีข่าวไปแล้ว ไม่แจ้งตำรวจแล้วจะกดเรื่องนี้ไม่ให้แดงได้เหรอ”

 

 

           แววตาแฝงความเฉียบคม ผู้จัดการโดนมองแบบนี้ใจก็สั่นๆ ขึ้นมา บอกกันว่าคุณชายน้อยผู้นี้หัวแข็งเหวี่ยงวีนมากไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ค่อยจะเหมือนที่ได้ยินมาเลย

 

 

           “ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงเย็น

 

 

           “ตอนนี้ยังไม่มีครับ มีแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ จัดการต่อเรียบร้อยแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรต้องจัดการอีกครับ”

 

 

           “นายเอาที่อยู่ของครอบครัวของผู้เสียชีวิตมาให้ ฉันจะไปหาด้วยตัวเอง”

 

 

           ผู้จัดการเบิกตากว้าง “คุณคนเดียวเหรอ ไม่เหมาะหรอกมั้งครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว

 

 

           “ตอนนี้ท่าทีของครอบครัวของผู้เสียชีวิตรุนแรงมาก คุณไปคนเดียวจะไม่เป็นอันตรายเหรอครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ลูกสาวเสียชีวิตทั้งคน ท่าทีรุนแรงก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ เอาที่อยู่มาให้ฉันเถอะ ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง”

 

 

           ผู้จัดการได้ยินเจียงมู่เฉินพูดมาขนาดนี้ก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าตกลง ส่งที่อยู่ให้เจียงมู่เฉิน

 

 

           “งั้นฉันไปก่อน ทางนี้ก็รบกวนนายด้วยแล้วกัน”

 

 

           ผู้จัดการรีบส่งเจียงมู่เฉินออกไป หลังจากคุณชายเจียงพ้นจากที่นั่นแล้ว เขาถึงได้ปาดเหงื่อบนหน้าผาก คุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้นี้ทำให้เขาเปลี่ยนทัศนคติจริงๆ

 

 

           ออกจากหลินไห่แล้ว เจียงมู่เฉินนั่งในรถโทรหามั่วไป๋ทันที เดิมทีเขาควรจะได้ติดต่อมั่วไป๋ตั้งแต่เมื่อวาน สุดท้ายเพราะซือเหยี่ยนที่รีบตามมาหาที่โรงพยาบาล ทำเอาเขาลืมไปเสียสนิท

 

 

           “มีเรื่องอะไร”

 

 

           “ไป๋ไป๋ ถ่ายทอดสดเมื่อวาน นายดูแล้วใช่ไหม”

 

 

           “ดูแล้ว พิธีตัดริบบิ้นมีคนยิงปืน ตายหนึ่งเจ็บหนึ่ง” มั่วไป๋กุมขมับเอ่ยเสียงเรียบ

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ที่นายพูดมาฟังดูแล้วเหมือนนายไม่ค่อยเป็นห่วงฉันยังไงไม่รู้ ฉันเกือบจะโดนคนฆ่าตาย นายก็ไม่รู้จักจะโทรมาปลอบใจฉันสักหน่อยเลย”

 

 

           “เมื่อวานยุ่งตลอด เลยไม่มีเวลาจะมาสนใจนาย”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง “นายนี่ตรงเกินไปไหม แค่เล่นละครสักหน่อยก็ไม่ยอมเลย?”

 

 

           “พอเถอะ เลิกพล่ามได้แล้ว ตอนนี้มีเวลาไหม มาหาฉันที่นี่หน่อย”

 

 

           เดิมทีเจียงมู่เฉินก็เตรียมจะไปหาเขาอยู่แล้ว ต้องมีเวลาเป็นธรรมดา “งั้นนายรอฉันนะ สักพักถึง”

 

 

           

 

 

ตอนที่ 163 ไม่ได้นอนทั้งคืน

 

 

           “ใช่แล้ว ช่วยฉันซื้ออะไรมากินหน่อยสิ แล้วซื้อยาแก้ปวดหัวมากล่องหนึ่งนะ”

 

 

           “หมายความว่าไง นายกินยาแก้ปวดทำไม”

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับแล้ว “อย่าเพิ่งถามเลย รีบซื้อเข้ามาเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินวางสายแล้วก็ขับรถไปซื้อของกินให้มั่วไป๋ ระหว่างรออาหารก็เข้าร้านขายยาไปซื้อยาแก้ปวด

 

 

           เจียงมู่เฉินถือยานั้นแล้วถอนหายใจ มั่วไป๋ไอ้หมอนี่ วันๆ จะกินยาแทนข้าวแล้ว จะโอเคได้ยังไง

 

 

           รอต่ออีกพักหนึ่ง ถึงได้ถือน้ำแกงและข้าวที่ห่อเรียบร้อยรีบรุดไปหามั่วไป๋

 

 

           “ทำไมสีหน้านายแย่ขนาดนี้ เมื่อคืนนอนไม่หลับอีกแล้วเหรอ ไม่ได้นอนทั้งคืนเลย?” ทันทีที่เข้ามาในห้อง เจียงมู่เฉินก็ตกใจกับสีหน้าขาวซีดของมั่วไป๋เลย

 

 

           “ข้าวกับยาล่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินวางของลงบนโต๊ะ “กินก่อนเถอะ กินเสร็จค่อยคุยกัน”

 

 

           เขาวางของลงบนโต๊ะอาหาร ดันชามแกงต้มไก่ดำที่ตั้งใจให้คนเตรียมเป็นพิเศษไปอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋ “อย่าเพิ่งกินข้าว ซดน้ำแกงก่อน”

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่ตรงข้าม กินข้าวไป พลางถอนหายใจไป “ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นเพื่อนนายตรงไหน จริงๆ แล้วเป็นแม่นมนายต่างหาก”

 

 

           ฟ้าสว่างจนฟ้ามืดต้องคอยเป็นห่วงว่าเขาได้นอนหลับดีๆ ไหม ได้กินข้าวดีๆ หรือเปล่า

 

 

           มั่วไป๋นั่งซดน้ำแกงอยู่ตรงนั้น หลังจากกินน้ำแกงหมดแล้ว ภายใต้การควบคุมดูแลของเจียงมู่เฉิน ก็กินข้าวต่อไม่น้อย เจียงมู่เฉินถึงได้พอใจ “บอกมา เมื่อก่อนตอนที่นายอยู่อเมริกา ไม่ได้อยู่ในสายตาฉัน นายก็ไม่กินข้าวใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ “ที่ไหนกัน นายไปแล้วก็จริง แต่นายก็หาคนมาดูฉันแล้วไม่ใช่เหรอ เขาเทียบกับนายติดเลย”

 

 

           เขาเก็บถ้วยลงไป “มาสิ ฉันมีอะไรให้นายดู”

 

 

           มั๋วไป๋ย้ายไปนั่งที่โซฟา ยื่นมือเปิดโน้ตบุ๊กที่เพิ่งปิดลงเมื่อครู่ “เมื่อวานฉันเห็นรายงานข่าวในทีวีแล้ว ก็รีบตรวจสอบวิดีโอจากกล้องวงจรปิดทั้งหมด ยังมีอีก สื่อมวลชนที่เชิญมาวันนั้นทั้งหมด ฉันเองก็คัดเลือกดูมาทั้งหมดแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน “ที่นายไม่ได้นอนทั้งคืน ก็เพราะทำเรื่องพวกนี้เหรอ”

 

 

           “ฉันกลัวว่าช้าไปจะหาหลักฐานยาก” มั่วไป๋เปิดให้เขาดูต่อ “ฉันเข้าไปดูเว็บไซต์ของสื่อมวลชนส่วนใหญ่ที่มาในวันนั้น ยังมีอีเมลด้วย พบว่าวันก่อนเวลาตีสี่ ทั้งหมดได้รับอีเมลกันหนึ่งฉบับ”

 

 

           “แล้วอีเมลฉบับนั้นก็มีไวรัส หลังจากเปิดอ่านแล้วจะทำลายตัวเองทันที” พูดถึงตรงนี้ มั่วไป๋ก็ยกมุมปากขึ้น “แต่ว่า หลายปีมานี้ฉันเองก็ไม่ได้ทำเสียเปล่า สามนาทีก็กู้กลับคืนมาหมดแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงกระดกลิ้น เขารู้ว่าเรื่องแฮกเกอร์ มั่วไป๋เก่งขั้นเทพ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเก่งกาจสามารถขนาดนี้

 

 

           “ดังนั้น เรื่องเมื่อวานนี้มีคนจงใจวางแผนมา ยิ่งกว่านั้นยังเตรียมการไว้ล่วงหน้าด้วย”

 

 

           สิ่งที่มั่วไป๋คาดคะเนไว้กับสิ่งเขาคิดเมื่อวานตรงกันโดยบังเอิญ ทั้งที่ไม่ได้พูดคุยกันมาก่อน เรื่องนี้ยิ่งเป็นการยืนยันเพิ่มน้ำหนักให้สิ่งที่เขาคิดเมื่อวานนั้นถูกต้องแล้วจริงๆ

 

 

           “แล้วอย่างอื่นล่ะ”

 

 

           “อีเมลแอคเคาท์นี้ถูกทำลายไปแล้ว” มั่วไป๋หยุดสักพัก “เพียงแต่ว่าฉันก็ลงไวรัสไว้แล้ว แค่คนนั้นที่ส่งอีเมลมาใช้อีเมลนั้นอีก ฉันก็จะรู้ถึงตำแหน่งของเขาได้ทันที”

 

 

           “แล้วถ้าเขาไม่ใช้อีเมลที่ถูกทิ้งไปแล้วนี่ล่ะ”

 

 

           ในเมื่อถูกทิ้งแล้ว ก็เป็นไปได้ที่จะไม่ใช้อีกเป็นธรรมดา ถ้าว่าจะมารอแบบนี้ จะไม่ได้อะไรหรือเปล่า

 

 

           “ตอนนี้นอกจากจะหาเบาะแสที่นี่เจอได้นิดหน่อยแล้ว นายยังมีวิธีที่ดีกว่านี้เหรอ” มั่วไป๋ย้อนถาม

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “ไม่มี”

 

 

           “ยังมีอีก ฉันตรวจสอบกล้องวงจรปิดโดยรอบบริเวณทั้งหมดแล้ว ดูภาพทั้งที่เกิดก่อนเกิดหลังทั้งหมดรอบหนึ่งไปแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ตอนกลางคืนทำอะไรตั้งมากมายขนาดนี้ มิน่าล่ะนายถึงไม่ได้นอนทั้งคืน”

 

 

           เขาทั้งโกรธทั้งซึ้งใจ ถึงแม้จะรู้ว่ามั่วไป๋กำลังช่วยเขาอยู่ แต่พอคิดถึงว่าไอ้หมอนี่ยังไม่ได้นอนจนถึงตอนนี้ เพราะเอาแต่จ้องโน้ตบุ๊กจนถึงตอนนี้ ก็อดจะเห็นใจไม่ได้

 

 

           “นายไม่อยากรู้ผลที่ฉันได้จากการดูกล้องวงจรปิดเหรอ”

 

 

           “หมายความว่าไง”

 

 

           “ก่อนจะเกิดเหตุไม่มีใครน่าสงสัย” มั่วไป๋มองเขาแล้วเอ่ยเน้นทีละคำ “จะให้พูดกันก็คือคนที่ต้องการจะฆ่านาย อยู่ปะปนข้างในก่อนหน้านั้นแล้ว หรือจะว่าอยู่ข้างในตลอดก็ได้”

ตอนที่ 160 โดนกวนประสาทแต่เช้า 

 

 

           หลังเที่ยงคืน ซือเหยี่ยนถึงเพิ่งได้อุ้มเจียงมู่เฉินออกจากห้องน้ำ เจียงมู่เฉินเอ้อระเหยพิงกายอยู่บนเตียง คิดอย่างจริงจัง “ซือเหยี่ยน นายเหนื่อยทุกวันแบบนี้ ต่อไปแก่ตัวมาจะขาดทุนเอาง่ายๆ ใช่ไหมล่ะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนหน้าดำคร่ำเคร่ง “คุณนี่ชอบเป็นเดือดเป็นร้อนจริงๆ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพลิกมานอนตะแคงข้างเลิกคิ้วใส่ซือเหยี่ยน “ที่จริงฉันคิดเพื่อนายแล้ว ที่จริงพวกเราสองคนมาสลับกันสักหน่อยก็ได้ ครั้งหน้านายนอนลง ฉันจัดการเองก็โอเคแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “รอคุณจับผมกดลงได้เมื่อไหร่ ค่อยมาว่ากันเถอะ” 

 

 

           ตั้งหลายปีมาแล้ว หนทางการอยากผลัดเป็นรุกของเจียงมู่เฉินไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิด สมัยนั้นที่คบกับเขาก็อยากจะผลัดเป็นรุกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม 

 

 

           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็นึกถึงเมื่อก่อน เพื่อแผนการใหญ่แผนกลับมาเป็นรุกแล้ว เจียงมู่เฉินจะขยับไม่ขยับก็แอบจู่โจมเขาตลอด แต่สุดท้ายทุกครั้งก็จะกลับมาโดนเขาจับกดอยู่ดี 

 

 

           นึกไม่ถึงว่าผ่านไปตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว จะยังไม่เข็ดอยู่อีก 

 

 

           ตอนนั้นเป็นรุกไม่ได้เลย ตอนนี้ยิ่งไม่มีหวังแล้ว นอกจากวันไหนสมองเขาเกิดช็อตแล้วยินดีที่จะนอนให้เจียงมู่เฉินวาดลวดลาย 

 

 

           ‘เพียงแต่ว่าสมองเขายังดีเยี่ยมอยู่เสมอ ดูท่าจะช็อตไม่ไหวเสียด้วย’ 

 

 

           …… 

 

 

           รุ่งเช้าวันต่อมา เจียงมู่เฉินก็ตื่นแล้ว เขาเห็นซือเหยี่ยนยังนอนหลับตาอยู่ข้างกาย ดูๆ ไปแล้วยังพออ่อนโยนกับเขาบ้าง 

 

 

           ‘แท้จริงแล้วมีเพียงแค่ซือเหยี่ยนยามนอนเท่านั้นถึงจะเป็นคน ยามไม่นอนก็เป็นสัตว์ดีๆ นี่เอง’ 

 

 

           เขากลัวเสียงอึกทึกจะทำให้ซือเหยี่ยนตื่น จึงลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง แต่ยังไม่ทันได้ลงไป มือโดนจับไว้เสียก่อน เจียงมู่เฉินหันกลับมาก็เห็นแค่ซือเหยี่ยนลืมตามองเขา จะมีความง่วงสักนิดที่ไหนกัน 

 

 

           “นายตื่นก่อนอยู่แล้วใช่ไหม” เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว เสียแรงที่เขาอุตส่าห์ระมัดระวัง 

 

 

           ซือเหยี่ยนค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น “เดิมทียังอยากจะนอนอุ่นเครื่องต่อ แต่พอเห็นเฉินเฉินปีนลงจากเตียง อดใจไม่ได้เลยตื่นดีกว่า” 

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าทำไขสือของเขา รู้สึกมาตลอดว่าไอ้หมอนี่มักจะมีเจตนาไม่ดีแอบแฝง 

 

 

           “เอามือนายออกไป ฉันจะลงจากเตียง” 

 

 

           “ไม่ปล่อย นอกจากคุณจะจูบผม” 

 

 

           ‘เชี่ย! แม่ง!’ 

 

 

           ‘นี่เขาโดนกวนประสาทแต่เช้าเลยเหรอเนี่ย’ 

 

 

           “จูบน้องสาวนายสิ ไสหัวไป” เจียงมู่เฉินระเบิดลง 

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจอย่างซื่อๆ “น่าเสียดายนิดนึงจริงๆ ผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีน้องสาวให้คุณจูบเลย” 

 

 

           “นาย..” เจียงมู่เฉินขัดใจ “นายรู้ไหมว่านายนี่เรียกว่าอะไร” 

 

 

           “อะไร” 

 

 

           “นายนี่แม่งเรียกว่าจอมแถ จอมแถไง!” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูคนไม่ให้ความร่วมมือแล้วถอนหายใจเล็กน้อย นิ้วมือออกแรงดึงตัวคนนอนลงกับเตียง ไม่พูดไม่จาคร่อมทับอีกคนไว้ แล้วกดจูบลงไปหนักๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่รู้ว่าถูกทำให้โมโหหรือถูกทำให้นิ่งเงียบ น้ำใสเอ่อล้นปริ่มเต็มนัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ ช่างดูไร้เดียงสาไม่เบา 

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ปล่อยมือออก เจียงมู่เฉินรีบลงจากเตียง ยกเท้าถีบซือเหยี่ยนไปที “วันนี้นายอย่าพูดกับคุณชายจะดีที่สุด คุณชายกลัวว่าไม่ระวังพลั้งมือฆ่านาย” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่เดินเข้าห้องน้ำไป แล้วลูบจมูกเล็กน้อย โอ้…เฉินเฉินของเขาวันนี้โหดแต่เช้าเลย  

 

 

           ทั้งสองคนล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เดินตามกันลงบันไดมา เจียงมู่เฉินหน้าตาบูดบึ้งเหมือนกับไฟโกรธยังพลุ่งพล่านอยู่ ส่วนซือเหยี่ยนเชิดมุมปากขึ้น ราวกับแมวที่ได้ขโมยกินปลาเรียบร้อยแล้ว 

 

 

           คุณแม่เจียงจ้องมองคนสองคนที่สีหน้าอารมณ์ไม่สามัคคีกัน แล้วพิจารณาไตร่ตรองดูสักพัก ร้อยเรียงคำ ก่อนเอ่ยถามเสียงเล็ก “พวกลูกทะเลาะกันเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “หึ” อดกลั้นทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจไม่ได้ ไม่ใช่แค่ทะเลาะกันหรอก ใกล้จะตีกันอยู่แล้วโอเคไหม 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเบาๆ มองคุณแม่เจียง “เมื่อกี้พูดผิดไปประโยคหนึ่งครับ เหมือนจะทำให้เฉินเฉินไม่พอใจแล้ว” 

 

 

           “เฉินเฉิน ลูกขี้น้อยใจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แค่พูดผิดไปประโยคเดียวแล้วจะเป็นไรไป ถึงขนาดต้องโกรธเสี่ยวเหยี่ยนเลยเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธแล้ว ชูนิ้วกลางใส่ซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างล่าง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 161 นึกไม่ถึงว่าคิดจะแอบออกไปกิน 

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ แอบกำนิ้วกลางที่ยื่นออกมาของเจียงมู่เฉิน สีหน้าไม่เปลี่ยน “ปัญหาอยู่ที่ผมเองครับ เฉินเฉินควรจะโกรธอยู่แล้ว” 

 

 

           คุณแม่เจียงถอนหายใจ “ถ้าเสี่ยวเหยี่ยนมาเป็นลูกชายน้าคงจะดีมากเลย รู้จักความขนาดนี้ เหวินฮุ่ยนี่โชคดีจริงๆ” 

 

 

           “น้าเจียงครับ เฉินเฉินก็รู้จักความมาก แม่ผมเองก็ชอบเขามาก” 

 

 

           คุณแม่เจียงเอามือค้ำคาง ไม่รู้ว่ากำลังนึกถึงอะไรอยู่ จู่ๆ ก็ดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมา “แม่ว่าตอนนี้พวกลูกสองคนความสัมพันธ์ดีขนาดนี้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองบ้านก็ยังดีมากด้วย แบบนี้ก็ให้พวกลูกสาบานเป็นพี่น้องกันซะเลย ตอนนี้ฮิตกันมากอยู่ไม่ใช่เหรอ” 

 

 

           เมื่อซือเหยี่ยนได้ยินคำว่า ‘พี่น้อง’ สองคำนี้ สมองก็อดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินแบบนี้ก็ชอบใจทันที เขายักคิ้วอย่างดีอกดีใจ “ใช่ๆๆ ผมคิดว่าความคิดนี้ดีมากเป็นพิเศษเลยครับ แม่มีลูกชายเพิ่มอีกคน ผมก็มีแม่เพิ่มอีกคน เพอร์เฟกต์” 

 

 

           ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสตอนที่คุณแม่เจียงไม่ทันได้สังเกตถลึงตาใส่เจียงมู่เฉิน ให้เขาอย่าใส่ไฟอะไรเพิ่มเข้าไปอีกหลังจากนี้ พวกเขาสองคนเป็นคนรักกัน จะมาเปลี่ยนเป็นพี่น้องกันได้ยังไง 

 

 

           “จริงเหรอลูก งั้นวันหลังแม่จะพูดกับเหวินฮุ่ย ให้พวกลูกได้เป็นพี่น้องกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นคุณแม่เจียงที่แทบอยากจะพุ่งตัวไปบอกแม่เขาเรื่องให้พวกเขาสาบานเป็นพี่น้องกัน ก็อดจะยกมือขึ้นมากุมขมับไม่ได้  

 

 

           เจียงมู่เฉินลำพองใจ ใครใช้ให้นายแกล้งฉันทุกวัน ตอนนี้มีแม่ฉันจัดการลงโทษนายแล้ว 

 

 

           “น้าเจียงครับ ผมรู้สึกว่าไม่เหมาะเอามากๆ เลยครับ” ซือเหยี่ยนรีบใช้ความคิดจะหาเหตุผลอะไรดีมาใช้ข้ามผ่านด่านที่ผ่านได้ยากนี้ 

 

 

           คุณแม่เจียงมองซือเหยี่ยนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม “ไม่เหมาะสมตรงไหนเหรอจ๊ะ เสี่ยวเหยี่ยน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกัดฟัน ตัดสินใจขายพ่อตัวเองสักหน่อยแล้วกัน ให้พ่อออกหน้ารับแทนเขาไป 

 

 

           เขามองคุณแม่เจียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พ่อผมอยากอยู่สองต่อสองกับแม่ผมครับ ถ้าให้เฉินเฉินกลายเป็นลูกบุญธรรมของแม่ผม ถึงตอนนั้นพ่อผมก็จะโดนแย่งความรักครับ” 

 

 

           คุณแม่เจียงแปลกใจ “ไม่หรอกมั้งจ๊ะ เขาขี้หึงขนาดนี้เชียว แต่จะว่าไปก็ใช่ ตั้งหลายปีมาแล้วยังขี้หึงมากๆ อยู่เลย” 

 

 

           เธอมองเจียงมู่เฉินทันที “ช่างเถอะๆ ลูกแม่อย่าไปรบกวนจะดีกว่า เป็นเพื่อนสนิทกันแบบนี้ดีแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนกระอักเลือด ใช้พ่อตัวเองมาอ้าง ซือเหยี่ยนไอ้หมอนั้นช่างคิดได้ 

 

 

           แม้แต่เรื่องที่อาซือขี้หึงก็เอามาโพนทะนาข้างนอก เจียงมู่เฉินถอนหายใจ เลี้ยงลูกชายอย่างซือเหยี่ยน ซวยไม่เบาทีเดียว 

 

 

           คุณพ่อซือที่กำลังเที่ยวพักผ่อนอยู่บนเกาะเล็กๆ กับเหวินฮุ่ยจามขึ้นมาโดยฉับพลัน 

 

 

           เหวินฮุ่ยมองเขาแวบหนึ่ง “เป็นหวัดแล้วเหรอคะ” 

 

 

           คุณพ่อซือมองพระอาทิตย์ดวงใหญ่บนหัว ในใจคิด ไม่หรอกมั้ง อุณหภูมิที่นี่สูงถึงขนาดจะทำให้เขาเป็นหวัดแดดเลยเหรอ 

 

 

           “ไม่ควรจะใช่หวัดหรอก” เขาลูบคอที่เย็นขึ้นมา “หรือว่ามีคนพูดจาให้ร้ายผมลับหลังผมอยู่” 

 

 

           คุณพ่อซือไม่รู้ ว่ามีคนกำลังพูดจาให้ร้ายเขาแล้วจริงๆ คนที่เป็นตัวหลักในการพูดคือลูกชายแท้ๆ ของเขาเอง 

 

 

           …… 

 

 

           “นายนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ เอาพ่อนายมาอ้างออกมา เพื่อจะไม่ต้องมาเป็นพี่น้องกับฉัน” เจียงมู่เฉินถากถาง 

 

 

           “แล้วไง คุณอยากเป็นพี่น้องกับผมมากนักเหรอ” ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ถ้าอยากมาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ ตอนนี้ผมขับรถกลับไปบอกน้าเจียงก็ได้นะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “นายเปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “ถ้าคุณอยากเป็นพี่น้องกับผม ก็ฆ่าผมก่อนเถอะ ผมไม่มีธรรมเนียม ‘ทำ’ กับพี่น้อง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น รู้สึกว่าไอ้หมอนี่หน้าซื่อใจเ**้ยมเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเอาเรื่องออกกำลังกายกันบนเตียงกับเรื่องชีวิตมาข่มขู่เขา 

 

 

           “ไม่มีนาย ฉันหาคนอื่น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “คนอื่นทำให้คุณสบายได้อย่างที่ผมทำเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกัดฟัน “ลองดูเดี๋ยวก็รู้ คนที่ชอบคุณชายมีอยู่เยอะแยะ อย่างมากก็แค่ลองสักไม่กี่คนดู” 

 

 

           เขาทำให้ซือเหยี่ยนโกรธจนดวงตาดำคล้ำแล้ว ยังอยากจะไปลองกับคนอื่นอีก ยังอยากจะลองกับสักกี่คนกัน 

 

 

           เขากวาดสายตามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง “คุณตัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไปเถอะ มีผมอยู่ ยังคิดจะแอบออกไปกินอีกเหรอ” 

ตอนที่ 158 ใครคิดจะฆ่าฉันได้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงหน้ามองเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างๆ เห็นเขาขมวดคิ้วไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะว่าเมื่อคืนได้ยินเจียงมู่เฉินบอกว่าวันนี้มีตัดริบบิ้น ดังนั้นเขาจึงเบนมาสนใจเรื่องนี้ด้วยเป็นพิเศษ 

 

 

           เขาอยู่ที่บริษัทก็ดูถ่ายทอดสดตามไปด้วยตลอด จนกระทั่งหลังจากเจียงมู่เฉินโดนซังจิ่งผลักล้มกะหันทัน ภาพในจอก็มั่วยุ่งเหยิงกันไปหมด จากนั้นก็ไม่เห็นเงาของเจียงมู่เฉินอีก 

 

 

           ในใจเขาเป็นห่วงจนรีบวิ่งบุ่มบ่ามไปที่งานตัดริบบิ้น ที่นั่นเกิดจลาจลขึ้นฉับพลัน แล้วเจียงมู่เฉินก็ไม่อยู่ด้วย 

 

 

           ระหว่างเดินทางไป ซือเหยี่ยนไม่รู้ว่าตัวเองใช้อะไรหล่อเลี้ยงสภาพจิตใจให้พุ่งตรงไปโรงพยาบาลได้ เขากลัวมาก……ว่าเจียงมู่เฉินจะหลบไม่ทัน กลัวมากว่าคนที่บาดเจ็บจะเป็นเจียงมู่เฉิน 

 

 

           เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด แม้แต่โอกาสจะช่วยเขาก็ไม่มีให้ตัวเอง 

 

 

           ยังดีที่ไอ้หมอนี่ปลอดภัย ไม่อย่างนั้นซือเหยี่ยนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองจะทำเรื่องอะไรออกมาได้บ้าง 

 

 

           เขาเข้าไปดูที่เกิดเหตุพร้อมกับเจียงมู่เฉิน ดูกันไปรอบหนึ่ง มีคนจัดการเคลียร์เคลียร์พื้นที่ในทุกบริเวณเรียบร้อยแล้ว เจียงมู่เฉินมองดูโดยละเอียด ก็หาเบาะแสที่ประโยชน์ไม่เจอ สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจ แล้วเอ่ย “ไปกันเถอะ กลับกันไปก่อน พ่อแม่ฉันคงจะรอฉันอยู่ที่บ้านแล้ว” 

 

 

           จนมาถึงที่บ้านตระกูลเจียง คุณพ่อเจียง คุณแม่เจียงนั่งรอที่ห้องรับแขกแล้ว เมื่อเห็นเจียงมู่เฉินเดินเข้ามา ก็โผตัวเข้าหาอย่างตื่นตระหนก 

 

 

           “เฉินเฉิน ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม” ดวงตาคู่นี้ของคุณแม่เจียงเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา จับเจียงมู่เฉินไว้แน่น 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้ว่าเรื่องของตัวเองทำให้พ่อแม่เป็นห่วงแล้ว แต่หลังจากที่เข้ามาข้างในถึงได้พบว่าตัวเองคิดง่ายเกินไปแล้ว 

 

 

           ท่าทางราวกับว่าจะล้มหายตายจากกันไปตลอดของแม่เขาทำเขาตกใจกลัวแล้ว 

 

 

           “ผมไม่เป็นไรครับ ซังจิ่งช่วยผมเอาไว้” 

 

 

           คุณแม่เจียงไม่ฟัง ดึงตัวเขามาดูอยู่นานสองนาน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียวแล้ว ถึงได้หยุดลง 

 

 

           “เคราะห์ดีๆ ถ้าลูกเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แม่จะอยู่ยังไงลูก” 

 

 

           สีหน้าที่คร่ำเคร่งของคุณพ่อเจียงค่อยๆ ผ่อนคลายลงแล้ว เขายื่นมือไปตบไหล่เจียงมู่เฉินเบาๆ “แกไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” 

 

 

           “ขอโทษครับที่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วง” 

 

 

           คุณพ่อเจียงส่ายหัว “ฉันกับแม่แกก็มีแค่แกเป็นลูกชายคนเดียว ไม่ห่วงแก แล้วจะห่วงใคร โอเค ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็รีบไปกินข้าวกันเถอะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ ตอนนี้เองถึงได้เดินเข้าห้องอาหารด้วยกันกับซือเหยี่ยนสักที 

 

 

           ขณะกินข้าวกันอยู่ คุณแม่เจียงมองเจียงมู่เฉินอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าจู่ๆ เขาจะหายไปต่อหน้าต่อตัวเอง 

 

 

           เจียงมู่เฉินตามองแล้วรู้สึกใจหายทีหลัง ถ้าตอนนั้นซังจิ่งไม่ช่วยเขาไว้ เขาก็คงจะไม่มีหนทางได้มานั่งอยู่ที่นี่กินข้าวกันแล้ว 

 

 

           “ฉันได้ยินว่าในที่เกิดเหตุมีทีมงานคนหนึ่งเสียชีวิตคาที่ใช่ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ “ใช่ครับพ่อ ระหว่างทางไปโรงพยาบาลช่วยชีวิตนั้น ก็มีประกาศว่าเสียชีวิตแล้ว” 

 

 

           คุณพ่อเจียงเอ่ยอย่างไตร่ตรอง “เรื่องนี้แกจัดการด้วยตัวเองแกเองเลย ถึงอย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นในพิธีตัดริบบิ้นของตระกูลเจียงเรา จึงจำเป็นต้องมีการชี้แจง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “เดิมทีผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน” 

 

 

           “แล้วก็ซังจิ่งทางนั้น เจียดเวลาไปขอบใจเขาสักหน่อยนะ ถ้าไม่ได้เขาเป็นคนช่วยแก เกรงว่าจะเลวร้ายกันไปยิ่งกว่านี้” 

 

 

           ถึงแม้ว่าเจียงมู่เฉินจะไม่เต็มใจจะพบซังจิ่งอีก แต่ครั้งนี้ซังจิ่งมีบุญคุณกับเขาจริงๆ เรื่องนี้เขาทำเป็นไขสือไม่ได้ 

 

 

           “พ่อ พ่อวางใจเถอะ ผมจัดการเองได้” 

 

 

           ซือเหยี่ยนก็เอ่ยปากด้วย “ถ้ามีอะไรต้องการให้ผมช่วย บอกผมได้ตลอดเลยนะครับ” 

 

 

           คุณพ่อเจียงพยักหน้าด้วยความพอใจ “งั้นก็รบกวนเสี่ยวเหยี่ยนด้วยแล้วกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มรับ “ไม่รบกวนหรอกครับ สมควรอยู่แล้ว” 

 

 

           ‘ช่วยแฟนตัวเอง เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ต่อให้เจียงมู่เฉินไม่พูด เขาก็สามารถช่วยได้ทั้งนั้น’ 

 

 

           อาบน้ำเสร็จออกมา เจียงมู่เฉินยืนอยู่ที่ระเบียงไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ซือเหยี่ยนเช็ดหยดน้ำบนผมอย่างลวกๆ แล้วเดินตามเข้าไป 

 

 

           เขายืนพิงอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉิน เอียงคอมองเจียงมู่เฉินด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นไรไป กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ หมุนตัวหันกลับมาพิงระเบียง “นายว่าใครคิดจะฆ่าฉัน” 

 

 

            

 

 

  ตอนที่ 159 ใช้ปากป้อนดีกว่า 

 

 

           “ไม่กี่ปีมานี้ถึงคุณจะก่อเรื่องไม่น้อย แต่ไม่น่าจะถึงขั้นที่ทำให้คนมีใจอยากจะฆ่าคุณได้” 

 

 

           “นายว่าใครก่อเรื่องไม่น้อย” เดิมทีเจียงมู่เฉินคิดว่าอีกฝ่ายจะคิดอวยเขาสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่จะเปลี่ยนมาเหน็บแนมเขาแทน 

 

 

           “วีรกรรมของคุณชายน้อยเจียงไม่กี่ปีมานี้ คงไม่ต้องให้ผมพูดหรอก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเสียหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนไม่ยี่หระอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ร้ายแรงไร้มนุษยธรรมนี่   

 

 

           เส้นตายของเขายังสูงมากอยู่ 

 

 

           “สูบบุหรี่ไหม” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซือเหยี่ยนหยิบบุหรี่ออกมา 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองแวบหนึ่ง ยังอยากสูบอยู่บ้างจริงๆ 

 

 

           “เอา แต่ว่า นายช่วยฉันหน่อย” เขายังจำเรื่องที่ซือเหยี่ยนบอกว่าเขาเป็น ‘ตัวก่อปัญหา’ ได้อยู่ 

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น เขาหยิบบุหรี่มวนหนึ่งมาใส่ไว้ในปาก เขากัดบุหรี่เล็กน้อยมองเจียงมู่เฉิน แค่เพียงเวลาสั้นๆ ยังดูน่าดึงดูดใจไม่เบา 

 

 

            แสงไฟฉายกระทบใบหน้าคมเข้มของซือเหยี่ยน เขาสูบเข้าเบาๆ แล้วปล่อยควันจางๆ ออกมา 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว นี่คือตัวเองจะสูบเองไม่คิดจะให้เขาเหรอ 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้ม กวักมือเรียกเขา 

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับเคลื่อนตัว เข้าใกล้ซือเหยี่ยนอีกนิด เขาคิดว่าซือเหยี่ยนจะเอาบุหรี่ที่เพิ่งจะจุดไฟแล้วเมื่อครู่นี้ให้เขา แต่เจียงมู่เฉินคิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะสูบเข้าลึกๆ หลังจากนั้นเอาบุหรี่ลง ล็อกเอวเขาไว้ แล้วประกบปากเขาในทันใด 

 

 

           ควันบุหรี่เข้มข้นตลบอบอวนอยู่ในโพรงปากของคนทั้งคู่ แนบแน่นไม่อาจแยก 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาผลักติดผนังด้านหลังแล้วกดจูบลงไป 

 

 

           จนกระทั่งรสของใบยาสูบในปากเจือจางลง ซือเหยี่ยนถึงได้ปล่อยคนตรงหน้า เขาแนบชิดริมฝีปากของเจียงมู่เฉิน ก้มหน้าหายใจหอบ “ผมคิดแล้วคิดอีก ว่าใช้ปากป้อนดีกว่า” 

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…” นายนี่มันใช้ปากป้อนได้สมชื่อเสียงจริงๆ 

 

 

           ริมฝีปากก็โดนเขาค่อยๆ เคี้ยวจนชา ไอ้หมอนี่เป็นหมาเหรอ กัดเป็นขนาดนี้เชียว         

 

 

           “จู่ๆ นายมาจูบฉันทำไม” เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งอย่างเชิดๆ 

 

 

           ซือเหยี่ยนออกแรงกดริมฝีปากเขาเล็กน้อย แล้วงับเข้าไปหนักๆ “ตอนอยู่โรงพยาบาลก็อยากจะ ‘ทำ’ แบบนี้แล้ว” 

 

 

           ตอนที่เขาลุกลี้ลุกลนพุ่งตัวเข้าโรงพยาบาล พอเห็นเจียงมู่เฉินยืนอยู่คนเดียวหน้าห้องฉุกเฉิน เขาก็อยากจะกดกอดอีกคนไว้ในอ้อมอก แล้วมอบจูบอันร้อนแรงให้อีกฝ่าย 

 

 

           มีเพียงแค่เก็บคนๆ นี้ไว้ในอ้อมอกตัวเองเท่านั้น ถึงจะวางใจได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นเกี่ยวคอของเขา เอ่ยเสียงเล็ก “นายกลัวฉันตายเหรอ” 

 

 

           ได้ยินคำว่า ‘ตาย’ นัยน์ตาซือเหยี่ยนก็ดำดิ่งมืดมิดลง กัดปากเขาแรงๆ คำหนึ่ง “ต่อหน้าผม อย่าพูดคำว่า ‘ตาย’ ส่งเดช”  

 

 

           ครั้งนี้ที่ถูกเขากัด เจียงมู่เฉินรู้สึกเจ็บไม่เบา เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ คิดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยเจียงจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วยังเอามาโอบรอบคอของซือเหยี่ยนอีก “แฟนของนายจู่ๆ ก็อยาก ‘ทำ’ นายอยากจะเติมเต็มความต้องการให้เขาไหม” 

 

 

           แววตาบาดลึกของซือเหยี่ยนกระทบลงใบหน้าของคนตรงหน้า เขาถอนหายใจเบาๆ ช้อนอุ้มคุณชายน้อยขึ้นมา “แฟนผมออกปากมาแล้ว จะไม่เติมเต็มให้ได้ยังไง” 

 

 

           พูดจบก็อุ้มเขาเข้าห้องไปวางลงบนเตียง เจียงมู่เฉินเห็นก็เรียนห้ามไว้ทันที “จู่ๆ ฉันก็อยากไปห้องน้ำ” 

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนทอประกาย รู้สึกว่าข้อเสนอของเจียงมู่เฉินช่างเยี่ยมเหลือเกิน 

 

 

           เขางับอีกฝ่ายไปทีหนึ่ง “คุณพูดเองนะ อย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกยิ้มยั่วเสน่ห์ นัยน์ตาดอกท้อภายใต้แสงไฟเปล่งแสงแวววับราวกับเม็ดอัญมณีอันเจิดจ้าแสนดึงดูดสายตาคน 

 

 

           “วางใจเถอะ คุณชายไม่เคยทำเรื่องที่ต้องมาเสียใจทีหลังอยู่แล้ว” 

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนได้รับการตอบกลับ ก็อุ้มเขาเข้าห้องน้ำไป นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขา ‘ทำ’ กันในห้องน้ำ ท่าทางของซือเหยี่ยนดูเร่งรีบอยู่ไม่เบา 

 

 

           เจียงมู่เฉินในคืนนี้ใจกล้าเป็นพิเศษ โอบรัดซือเหยี่ยนพันกายซือเหยี่ยนไม่ยอมปล่อย 

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลงงับลูกกระเดือกของซือเหยี่ยนเบาๆ เงยหน้าขึ้นไปก็คือใบหน้าหล่อเหลาได้รูปของซือเหยี่ยน อะไรเขาก็จำไม่ขึ้นใจแล้ว รู้แค่เพียงว่านาทีที่โดนซังจิ่งผลักล้มลงไป ในหัวเขาก็ฉายแต่ภาพใบหน้าของซือเหยี่ยน 

 

 

           เพียงชั่วพริบตานั้น เขามีอยู่แค่ความคิดเดียว ถ้าเขาตายไป ซือเหยี่ยนจะทำยังไง 

 

 

           ดังนั้นไม่ใช่ว่าซือเหยี่ยนเห็นเขาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วอยาก ‘ทำ’ แบบนี้ แต่เป็นเขาที่นาทีนั้นเห็นซือเหยี่ยนรีบเดินเข้ามาหาตัวเอง เขาก็อยากโผตัวเจ้าหาผลักซือเหยี่ยนล้มลงไปแล้ว 

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีพอสตินึกคิดอยู่บ้าง เขาเกรงว่าคงจะพุ่งตัวเข้าไปจูบเขาที่โรงพยาบาลไปแล้ว 

ตอนที่ 156 คุณชายเจียงถูกลอบยิง

 

 

           “มู่เฉิน จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ ถึงยังไงเป้าหมายของผมมีแต่คุณมาโดยตลอด”

 

 

           “ซังจิ่ง ฉันจะเตือนนายเป็นครั้งสุดท้ายนะ อย่าคิดมาเล่นลิ้นอะไรกับฉัน ฉันเจียงมู่เฉินตลอดชีวิตนี้ไม่เคยกลัวใครหน้าไหน ในฐานะคนที่ต้องทำงานร่วมกัน ก่อนหน้านี้ฉันไว้หน้านายแค่ไหนแล้ว แต่ถ้านายยังมาล้ำเส้นตายฉันไม่เลิกรา ฉันจะไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ เด็ดขาด”

 

 

           “เส้นตาย” ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “ไม่ทราบว่าเส้นตายของคุณชายเจียงคืออะไร”

 

 

           “เจียงเฉินกรุ๊ป หรือว่าพ่อแม่คุณ หรือจะเป็น…ซือเหยี่ยน”

 

 

           ยามที่ได้ยิน ‘ซือเหยี่ยน’ สองคำนี้ นัยน์ตาเจียงมู่เฉินฉายความอันตรายขึ้นมาแวบหนึ่ง มือที่กักตัวซังจิ่งไว้กระชับแน่นขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นใคร นายอย่าแตะต้องจะดีที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นฉันไม่รับรองว่านายจะกลับจิงโจวได้อย่างปลอดภัย”

 

 

           เขากดหน้าลงกล่าวเตือน “ในเมื่อเป้าหมายของนายคือฉัน นายก็ควรจะรู้ไว้ ว่าฉันเจียงมู่เฉินพูดคำไหนคำนั้น ไม่เคยไม่เป็นจริง”

 

 

           เขาพูดจบก็สะบัดมือออก แฉลบผ่านข้างกายซังจิ่ง พาลมระลอกหนึ่งพัดผ่านเข้ามา

 

 

           ซังจิ่งยืนอยู่ในห้องน้ำ เขาจ้องมองกระจกตรงหน้า จัดระเบียบเสื้อผ้าที่เจียงมู่เฉินทำยับยุ่งเหยิงเอาไว้

 

 

           “มีเรื่องอะไรกับคุณชายน้อยเจียงเหรอ ฉันเห็นเขาฉุนเฉียวเดินออกไป” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เซวียยางมาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ซังจิ่ง เขายืนกอดอกพิงประตูมองซังจิ่ง

 

 

           “คงเพราะเป้าหมายฉันแสดงออกชัดเจนเกินไป เขาเลยพาลโกรธเอาดื้อๆ” ซังจิ่งจัดระเบียบเสื้อผ้าเรียบร้อย จึงหมุนตัวเดินออกไปจากห้องน้ำ

 

 

           รู้ว่าเจียงมู่เฉินนิสัยเย่อหยิ่ง แต่ไม่คิดเลยว่าตอนโกรธขึ้นมา จะเดือดดาลขนาดนี้

 

 

           ซังจิ่งลูบจมูกปอยๆ โดนคนตักเตือนขนาดนี้แล้ว เขาต้องคิดทบทวนใหม่แล้วใช่ไหมว่าตอนนี้ควรจะเก็บอาการสำรวมสักหน่อย เพื่อกันไม่ให้บีบคนจนร้อนตัวจริงๆ ถึงตอนนั้นปลาตายตาข่ายขาด[1]กันพอดี

 

 

           เวลาสี่โมงเย็น ในที่สุดพิธีตัดริบบิ้นก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินและซังจิ่งยืนอยู่ตรงกลาง ใบหน้าฉาบรอยยิ้ม ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเมื่อก่อนนี้ไปมีเรื่องในห้องน้ำกันมา

 

 

           หญิงสาวผู้อัญเชิญในพิธีส่งกรรไกรขึ้นมาให้ เจียงมู่เฉินและซังจิ่งหยิบกรรไกรขึ้นมาพร้อมกัน แล้วตัดสายริบบิ้นที่อยู่ตรงหน้าทันที คนในงานต่างพากันส่งเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี

 

 

           เจียงมู่เฉินตัดริบบิ้นเสร็จ กำลังจะเตรียมเอากรรไกรวางกลับบนถาด ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น คนทั้งคนถูกแรงมหาศาลตะครุบให้ล้มลงไป วุ่นวายสับสนอลหม่านกันทั้งงาน

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนชนจนล้มลงไปกองกับพื้น หัวลงกระแทกพื้นทำให้ค่อนข้างเวียนหัว เขาไม่มีเวลาจะมารอให้หายเวียนหัว จึงพลิกตัวให้กลับมา ประคองซังจิ่งที่เป็นคนผลักตัวเองล้มลงขึ้นมา

 

 

“เป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

ซังจิ่งโดนกระสุนปืนถากที่ไหล่ เลือดไหลซึมออกมา

 

 

เขาเจ็บจนย่นคิ้ว หลังจากฟังคำพูดของเจียงมู่เฉิน ก็ส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่เป็นไร บาดเจ็บเล็กน้อยเอง”

 

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ในงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่หาคนยิงปืนไม่เจอ เจียงมู่เฉินมองดูไปรอบๆ กระสุนปืนลูกนั้นมาทางเขาชัดเจน

 

 

ถ้าซังจิ่งไม่ผลักเขาลงกับพื้น คนที่ตายตอนนี้ก็คือเขา

 

 

นอกจากซังจิ่งแล้ว ในที่เกิดเหตุยังมีหญิงสาวผู้อัญเชิญในพิธีที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาก็ได้รับบาดเจ็บไปด้วย

 

 

เจียงมู่เฉินรีบหาคนมารักษาความเรียบร้อยในที่เกิดเหตุ ทันที ก่อนที่จะตามคนบาดเจ็บสองคนไปโรงพยาบาลด้วย

 

 

           หญิงสาวผู้อัญเชิญในพิธีอาการค่อนข้างสาหัส จึงเสียชีวิตระหว่างทางที่ไปโรงพยาบาลแล้ว ส่วนซังจิ่งก็ถูกส่งตัวด่วนเข้าห้องฉุกเฉินไปเรียบร้อย

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนพิงอยู่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน ใครกันกล้าจะมาลอบฆ่าเขาต่อหน้าสื่อมวลชนเยอะขนาดนี้

 

 

           เขาอยู่ถานโจวมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย อีกอย่างหลายปีมานี้เขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไรกับใคร ถึงขั้นต้องทำลายเอาชีวิตกันถึงเพียงนี้

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดไม่ตก สรุปแล้วใครกันที่อยากจะฆ่าเขา

 

 

           อาการบาดเจ็บของซังจิ่งไม่ถือว่าสาหัสเท่าไหร่ ทำแผลอะไรเรียบร้อยก็เดินออกมา เจียงมู่เฉินมองผ้าพันแผลที่พันอยู่บนแขนเขา “เป็นยังไงบ้าง อาการบาดเจ็บสาหัสไหม”

 

 

           ซังจิ่งเห็นสีหน้าวิตกกังวลของเขา ก็ยกมุมปากขึ้น “นี่คุณชายเจียงกำลังเป็นห่วงผมเหรอ”

 

 

 

 

[1] ปลาตายตาข่ายขาด คือสำนวนหมายถึง ต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย

 

 

 

 

ตอนที่ 157 ดูมีลับลมคมใน

 

 

           เจียงมู่เฉินหน้าตาบูดบึ้ง “นายบาดเจ็บเพราะช่วยชีวิตฉัน ฉันก็ควรจะต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา”

 

 

           “ผมยังคิดว่าเพราะตอนบ่ายคุณชายเจียงโมโหแบบนั้น จะไม่เป็นห่วงผมซะแล้ว เกินความคาดหมายผมไปเยอะเลย”

 

 

           “จะให้ส่งนายกลับหรือว่า” เจียงมู่เฉินคร้านจะเยิ่นเย้อกับเขาอีกต่อไป

 

 

           “ที่ช่วยคุณไว้ได้ก็แค่เป็นสัญชาตญาณของผมเท่านั้นเอง คุณชายเจียงไม่ต้องมาลำบากใจหรอก” เขามองดูเวลา “เซวียยางก็น่าจะมาถึงแล้ว”

 

 

           “ไม่ต้องแล้ว” ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “วันนี้ตอนบ่ายพิธีตัดริบบิ้นของพวกเราเป็นงานถ่ายถอดสด ถ้าผมเดาไม่ผิด ตอนนี้ควรจะมีคนกำลังรีบเดินทางมาแล้ว”

 

 

           เขาพูดจบ โบกมือลาเจียงมู่เฉิน “เซวียยางมาแล้ว ผมไปก่อนนะ”

 

 

           เซวียยางยืนอยู่ด้านหลังไม่ไกลนัก เจียงมู่เฉินเห็นซังจิ่งเดินไปถึงตัวเซวียยาง แล้วทั้งสองคนก็ออกไปทันทีหลังจากนั้น

 

 

           เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายวันนี้ คนที่จัดการซังจิ่งในตอนนั้นอย่างเขายังไม่ค่อยเข้าใจ ยังอ่านซังจิ่งไม่ออก

 

 

           ทั้งที่ซังจิ่งมีจุดประสงค์แอบแฝงกับเขาอยู่ทนโท่ แต่ทำไมตอนที่มีคนจะยิงปืนมาใส่เขา ยังผลักเขาหลบกระสุนอีก

 

 

           ดวงตาเรียวยาวฉายแววความสับสน หรือว่าการลอบยิงครั้งนี้จะเป็นแผนของซังจิ่ง ดังนั้นตอนที่มีคนเล่งปืนมาใส่เขาถึงได้ผลักเขาหลบกระสุนได้พอดี

 

 

           ถ้าเป็นแผนของซังจิ่ง แล้วจุดประสงค์ของเขาคืออะไรอีก ถึงอย่างไรก็คือปืนจริง ถ้าซังจิ่งเป็นคนเล่นเองกำกับเองจริงๆ เขาก็ถือว่าเอาชีวิตมาเสี่ยงเหมือนกัน

 

 

           ถ้าเขากะจังหวะพลาด หรือว่าคนที่ยิงปืนดันยิงมาก่อนเวลา ถ้าแบบนั้นซังจิ่งที่เอาตัวเข้ามาผลักเขาหลบกระสุนก็มีสิทธิ์จะรับกระสุนแทนเขาเต็มๆ เวลานั้นไม่ใช่แค่โดนกระสุนถากไหล่ง่ายๆ ขนาดนี้แน่

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว ยังคิดไม่ตกเท่าไหร่

 

 

           เขาหยุดสักพักหนึ่ง เตรียมจะโทรหามั่วไป๋ ให้มั่วไป๋ช่วยเขาตรวจสอบเรื่องการลอบยิงในครั้งนี้ ดูว่าคนเบื้องหลังแผนทั้งหมดจะใช่ซังจิ่งหรือเปล่า

 

 

           เขาเพิ่งจะหยิบมือถือออกมาก็เห็นซือเหยี่ยนที่รีบเร่งฝีเท้ามาทางเขาจากที่ไม่ไกลนัก สีหน้าคร่ำเคร่งของเขาคือความน่าเกรงขามเอาจริงเอาจังแบบที่เจียงมู่เฉินไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

           นาทีนั้นที่ได้เห็นเจียงมู่เฉิน เขารู้สึกโล่งอกไปจริงๆ

 

 

           เขารีบเดินถึงตัวเจียงมู่เฉินสำรวจดูรอบๆ จนแน่ใจว่าเขาไม่เป็นไร ถึงได้วางใจลงได้

 

 

           “นายตามมาที่นี่ทันได้ยังไง” เจียงมู่เฉินงงงันไม่เบา ซือเหยี่ยนรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล

 

 

           สีหน้าซือเหยี่ยนดูตื่นตระหนกทีเดียว “ผมเห็นในถ่ายทอดสดแล้ว ก็เลยรีบตามเข้าไป คนในที่เกิดเหตุบอกว่าคุณมาโรงพยาบาลแล้ว”

 

 

           “วางใจได้ ฉันไม่ได้บาดเจ็บ เอ่อใช่สิ ตอนนายมาจากที่เกิดเหตุ ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

 

 

           ตอนที่เขาออกมา ทางนั้นอลหม่านไปหมด ไม่รู้ว่าตอนนี้ปลอบขวัญกันดีหรือเปล่า ครั้งนี้มีสื่อมวลชนมามากมาย แล้วยังเกิดเหตุลอบยิงอีก…

 

 

           ‘เดี๋ยวๆ…’

 

 

           เจียงมู่เฉินนึกอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน ตอนที่เขามาก็รู้สึกว่าคนของสื่อมวลชนมาเยอะเกินไป

 

 

           ตอนนี้ยังเกิดคดีลอบสังหารโดยอาวุธปืนอีก

 

 

           ถ้ามีคนจัดฉากการลอบยิงนี้ล่วงหน้า แล้วระดมนักข่าวให้มาเยอะขนาดนี้ เป้าหมายก็เพื่อผลักดันให้คดีนี้มาอยู่ต่อหน้ามวลชนใช่ไหม

 

 

           ยืมมือสื่อมวลชนแพร่กระจายข่าวกันตามสบาย…

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “ขับรถมาใช่ไหม ไปส่งฉันกลับที่เกิดเหตุได้หรือเปล่า”

 

 

           “ไปกัน ผมจะไปส่งคุณเอง”

 

 

           ตลอดทาง เจียงมู่เฉินเอาแต่ครุ่นคิด ตกลงใครกันที่แอบวางแผนเรื่องนี้ทั้งหมด แม้แต่นักข่าวก็เตรียมมาพร้อม วางแผนได้ครอบคลุมเชื่อมกันเป็นวงจรได้ขนาดนี้ ทำให้เขาคิดสาวไปถึงคนๆ นี้โดยไม่รู้ตัว

 

 

           ‘ซังจิ่ง…’

 

 

           ถ้าคนๆ นี้คือซังจิ่ง แล้วข้อดีของการทำแบบนี้คืออะไร โครงการนี้เขาเป็นผู้ร่วมลงทุนครึ่งหนึ่ง ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป สำหรับซังจิ่งแล้ว ไม่ได้เป็นผลกับเขาเลย

 

 

           เจียงมู่เฉินย่นคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าทุกอย่างนี้ดูลับลมคมในเกินขอบเขตไปแล้ว

 

 

       

ตอนที่ 154 จะถือครองโฉนดที่ดินร่วมกันก็ดีทีเดียว

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางรีบร้อนเดินออกจากห้องน้ำของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นเบาๆ

 

 

           เขาไม่โต้แย้งคำเปรียบเปรยตัวเองที่เจียงมู่เฉินมอบให้ ถึงอย่างไรเมื่อพบเจียงมู่เฉิน ทั้งร่างกายของเขาเอาแต่ร้องเรียกอยากครอบครองเจียงมู่เฉินเป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว แม้เส้นผมเส้นเดียวก็ไม่อยากจะปล่อยไป

 

 

           ไม่มีเจียงมู่เฉินอยู่อาบน้ำด้วย ซือเหยี่ยนก็รีบอาบน้ำให้เสร็จไวไวแล้วออกจากห้องน้ำมา ผมเจียงมู่เฉินเปียกชื้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เช็ดอะไร เขานอนฟุบบนเตียงไปเสียแล้ว

 

 

           “กำลังดูอะไรอยู่”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกถือแท็บเล็ตไว้ในมือ “เอกสารที่ซังจิ่งเพิ่งจะส่งมาเมื่อกี้ ฉันกำลังอ่านอยู่”

 

 

           ได้ยิน ‘ซังจิ่ง’ สองคนนี้ ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

           “เขาได้พูดอะไรหรือเปล่า” ซือเหยี่ยนเผลอถามขึ้น

 

 

           เจียงมู่เฉินจดจ่ออยู่ที่หน้าจอแท็บเล็ต ไม่ได้เห็นความแปลกจากเดิมของซือเหยี่ยน เขาถอนหายใจ “บอกว่าหลินไห่ทางนั้นเริ่มก่อสร้างใหม่ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านความบันเทิงระแวกใกล้เคียงที่สำเร็จรูปเรียบร้อย ให้ฉันเข้าไปร่วมพิธีตัดริบบิ้นด้วย”

 

 

           “เคสของหลินไห่ตอนนี้คุณรับช่วงต่อใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ “พ่อฉันมอบงานนี้ให้ฉัน ทำได้ไม่ดีเมื่อไหร่ พ่อจะไล่ฉันออกจากบ้าน ไม่ให้ฉันกลับบ้านแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนขยี้ผมเจียงมู่เฉินที่เริ่มยาวขึ้นแล้ว “วางใจได้ ผมต้อนรับคุณเสมอ”

 

 

           จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็นึกถึงคฤหาสน์ของซือเหยี่ยนขึ้นมาได้ “ใช่สิ วันนี้ฉันไปหยิบเสื้อผ้าให้นายที่บ้าน นายอยากจะตกแต่งปรับปรุงคฤหาสน์ใหม่จริงๆ เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “อยากเปลี่ยนสไตล์ใหม่”

 

 

           เจียงมู่เฉินก้มหน้าคิดใคร่ครวญ มีความลังเลว่าจะพูดหรือไม่พูดดี เขารู้สึกมาตลอดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ ถ้าพูดออกมา คงจะน่าอายทีเดียว

 

 

           “ซือเหยี่ยน……”

 

 

           เขาไตร่ตรอง ก่อนจะเอ่ยปาก

 

 

           ซือเหยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเขา “เป็นไรไป”

 

 

           “ถ้าไม่งั้นพวกเราเปลี่ยนไปอยู่ที่อื่นกันเถอะ” วันนี้เมื่อตอนที่เขาไปเห็นบ้านซือเหยี่ยนกำลังตกแต่งปรับปรุงอยู่ ก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว พิงอยู่ข้างๆ “หมายความว่าไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินวางแท็บเล็ตในมือลงข้างๆ แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “พวกเราซื้อบ้านใหม่ ออกเงินกันคนละครึ่ง ซื้อคอนโดมีเนียมที่อยู่ชั้นสูงๆ หน่อย แล้วมีผนังเป็นกระจกหน้าต่างด้วย”

 

 

           เขาเป็นผู้ชาย ไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของซือเหยี่ยนเป็นระยะเวลานาน ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็มีความรู้สึกอยู่เรื่อยๆ ว่าเป็นที่ๆ ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่

 

 

           ถึงเขาจะไม่ได้เก่งอะไรมากมายเหมือนซือเหยี่ยน แต่เขาเจียงมู่เฉินก็ไม่ได้แย่ ไม่จำเป็นต้องให้ซือเหยี่ยนมาเลี้ยงเขา

 

 

           เขาคือแฟนของซือเหยี่ยน เป็นคนที่ร่วมยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เขาได้ ไม่ใช่คนที่คอยพึ่งซือเหยี่ยน เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเขา

 

 

           ซือเหยี่ยนครุ่นคิดสักพัก ก่อนพยักหน้ารับ “ได้ งั้นพรุ่งนี้พวกเราไปดูกันไหม”

 

 

           “นายเห็นด้วยเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนโน้มตัวเข้าไปงับเขาทีหนึ่ง “ต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว”

 

 

           มีบ้านที่เป็นของเขาและเจียงมู่เฉินเองได้ สำหรับซือเหยี่ยนแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีก

 

 

           เจียงมู่เฉิยเห็นเขายอมตกลงเร็วขนาดนี้ ก็ยังตะลึงค้างอยู่อย่างนั้น เขายังคิดว่าซือเหยี่ยนจะไม่เห็นด้วยเสียอีก

 

 

           “ทำไมนายถึงเห็นด้วยกันตรงๆ แบบนี้ล่ะ”

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนฉายสะท้อนรอยยิ้มบางๆ “ตอนนี้พวกเรายังถือครองใบทะเบียนสมรสไม่ได้ จะถือครองโฉนดที่ดินร่วมกันก็ดีทีเดียว”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “……” ถึงจะพูดแบบนี้มา แต่ฟังแล้วทำไมรู้สึก……อายจังนะ               

 

 

           เขาดึงผ้าห่มข้างๆ มา “นอนๆๆๆ”

 

 

           ‘อืม~คุณชายเจียงเขินอีกแล้ว’

 

 

           ……

 

 

           วันต่อมา ช่วงเช้าทั้งสองคนไปดูบ้านด้วยกัน คอนโดมีเนียมสุดหรูใจกลางเมือง พื้นที่ใช้สอยสองร้อยกว่าตารางเมตร ผนังเป็นกระจกหน้าต่างแบบที่เจียงมู่เฉินชอบที่สุด ข้างในตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เป็นสไตล์ที่เจียงมู่เฉินชอบด้วย

 

 

           เจียงมู่เฉินพอใจถึงที่สุด ไม่พูดอะไรให้มากความ จ่ายเงินซื้อทันที

 

 

           ที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินทำเลทอง ราคาแพงที่สุดในถานโจว อยู่ที่นี่มีบางคนที่ทั้งชีวิตแม้แต่ห้องน้ำก็ยังซื้อไม่ได้

 

 

           แต่เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนทำเหมือนกับซื้อของเล่นกันไม่มีผิด ท่าทางการจ่ายเงินคล่องแคล่วไม่ติดขัดเลยแม้แต่น้อย

 

 

           ถึงอย่างไรทั้งสองคนนี้ก็รวยด้วยกันทั้งคู่ ขนหน้าแข้งไม่ร่วง

 

 

           รูดบัตรจ่ายเงินกันคนละครึ่ง เจียงมู่เฉินพยักหน้าอย่างพอใจ “นี่ก็ใช้ได้แล้ว”

 

 

           ในที่สุดก็ไม่มีความรู้สึกถูกซื่อเหยี่ยนเลี้ยงอีกแล้ว

 

 

           ต่อไปเวลาเอ่ยขึ้นมา ก็ไม่ต้องพูดว่าบ้านซือเหยี่ยนแล้ว แต่เป็นบ้านของพวกเขาแทน บ้านของกันและกัน

 

 

 

 

ตอนที่ 155 คุณชายเจียงเหวี่ยงวีน

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินขำๆ หัวเราะเล็กน้อย พลางเอ่ยถาม “คุณเจ้าของห้อง ดูเสร็จยังครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้าเชิดๆ “ก็พอได้”

 

 

           ทั้งสองคนเดินออกไป เจียงมู่เฉินเอ่ยถาม “นายคิดจะย้ายเข้ามาเมื่อไหร่”

 

 

           “สัปดาห์หน้าเป็นไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินคำนวณเวลาดู จะซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ที่นี่ก็ต้องใช้เวลาสองวัน เวลาสัปดาห์หน้าก็พอได้ เขาพยักหน้ารับตกลง

 

 

           “ได้ งั้นสัปดาห์หน้าก็มาเลย”

 

 

           ออกจากคอนโดมิเนียม เจียงมู่เฉินรีบไปงานตัดริบบิ้นที่หลินไห่ทันที เขาไม่ได้มากับซือเหยี่ยน แต่ขับรถมุ่งหน้าไปหลินไห่เลย

 

 

           เจียงมู่เฉินไปเขตก่อสร้างที่เริ่มทำการก่อสร้างก่อน เข้าควบคุมตรวจดูพื้นที่ทั้งหมดที่จำเป็นต้องซ่อมแซมให้เรียบร้อยใหม่อีกครั้งก่อนหน้านี้ เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าการดำเนินการก่อสร้างครั้งนี้ไม่มีปัญหาอะไร ถึงค่อยไปถึงสถานที่จัดงานตัดริบบิ้น

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินมาถึงสถานที่จัดงาน ก็รายล้อมไปด้วยผู้คนไม่น้อยทีเดียว สื่อมวลชนกลุ่มใหญ่เฝ้ารออยู่ด้านข้าง เจียงมู่เฉินตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าพิธีตัดริบบิ้นนี้จะมีสื่อเยอะขนาดนี้

 

 

           เขาไม่ได้รู้สึกว่าพิธีตัดริบบิ้นนี้จำเป็นต้องประกาศกันใหญ่โตเกินจริงด้วยซ้ำ

 

 

           เจียงมู่เฉินหาช่องทางที่คนอยู่กันไม่มากนัก แทรกตัวเข้าไปในโรงแรม ซังจิ่งถือแก้วไวน์ยืนอยู่โถงใหญ่ข้างใน เห็นเจียงมู่เฉินก็เดินตรงเข้ามาหาทันที

 

 

           “ผมคิดว่าคุณจะไม่มาแล้วซะอีก”

 

 

           “โครงการนี้ก็เป็นของตระกูลเจียงของฉัน ในฐานะผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลเจียง ก็ควรจะมาร่วมงานเป็นธรรมดา”

 

 

           ซังจิ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องมองเจียงมู่เฉินอยู่นานสองนาน “ผมรู้สึกมาตลอดว่าคุณมีตรงไหนที่ไม่ค่อยเหมือนเดิม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ตรงไหน?”

 

 

           “คุณในตอนนี้ดึงดูดคนได้มากกว่าเมื่อก่อนอีก”

 

 

           หลังจากตั้งแต่คราวก่อน เขาเองก็ไม่ได้มากวนใจคุณชายน้อยคนนี้ไปพักใหญ่ วันนี้ได้มีโอกาสเจอกันอีก ซังจิ่งรู้สึกตัวจริงๆ แล้วว่าตัวเองก็คิดถึงคุณชายน้อยคนนี้ไม่เบา

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาฉายสะท้อนความเย็นชา ในรอยยิ้มรู้สึกไม่ได้ถึงความอบอุ่นแม้เพียงครึ่ง ราวกับน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก “ประธานซังจะพูดจาอะไร ช่วยคิดไตร่ตรองสักนิดจะดีที่สุด ไม่อย่างงั้นฉันไม่รับประกันนะว่าวันไหนจะมีคนไปสร้างความเดือนร้อนให้ประธานซัง”

 

 

           คำขู่ในคำพูดของเขา ซังจิ่งได้ยินไม่ตกหล่นแม้สักคำ เขาหัวเราะไม่ได้เก็บมาใส่ใจ “ถ้าคนที่มาสร้างความเดือดร้อนให้ผมเป็นคุณ ผมยินดีต้อนรับครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นใบหน้ายิ้มๆ ของซังจิ่งนี้ แล้วรู้สึกว่าเมื่อก่อนที่เรียกไป๋จิ่งว่า ‘เดนคน’ เรียกผิดจริงๆ แล้ว พอมาเทียบกับไป๋จิ่งแล้ว ซังจิ่งถึงจะเป็น ‘เดนคน’ ตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

 

           “ฉันอยากจะไปห้องน้ำ นายจะมาไหม” จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ยกมุมปากขึ้น

 

 

           ซังจิ่งเลิกคิ้ว “แน่นอน”

 

 

           ทั้งสองคนเดินตามกันไปเข้าห้องน้ำ ซังจิ่งมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินที่เดินอยู่ข้างหน้า รูปร่างดี เอวก็บางมาก ถ้าจับกดลงกับเตียง แล้วแยกขาเรียวตรงสวยคู่นี้ออกจากกัน……

 

 

           ซังจิ่งลูบจมูกปอยๆ อย่าว่างั้นงี้เลย เขายังรอคอยอยู่จริงๆ

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินเข้าห้องน้ำแล้วหันหลังให้ซังจิ่ง ยืนอยู่ข้างใน จนได้ยินเสียงซังจิ่งเดินเข้ามาใกล้ ความโมโหในแววตาเพียงพริบตาเดียวก็แผ่กระจายออกมา

 

 

           เขารีบหมุนตัวกลับไป ดันซังจิ่งกดเข้าผนังแผ่นกระเบื้องสีเหลืองโทนอุ่นอย่างว่องไว

 

 

           “นายแม่งคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่” เจียงมู่เฉินกดตัวซังจิ่งไว้กระแทกเสียงถาม

 

 

           โดนคนจับอัดกับผนังแบบนี้ ซังจิ่งก็ไม่ได้โมโหร้ายอะไร จนกระทั่งจะขัดขืนสักนิดก็ไม่มี ปล่อยให้เจียงมู่เฉินกดเขาแบบนี้ต่อไป

 

 

           “ผมมีเป้าหมายของผมเองจริงๆ” ซังจิ่งหัวเราะเบาๆ

 

 

           นัยน์ตาดอกท้อของเจียงมู่เฉินไม่เคยฉายสะท้อนความโมโหที่คุกรุ่นอัดแน่นแบบนี้มาก่อน “ก่อนหน้านี้ฉันเคยเตือนนายแล้วใช่ไหม ไม่ว่านายคิดจะเอาอะไรไปจากฉัน ฉันก็ให้นายไม่ได้ ถ้านายอยากเล่นจริงๆ ฉันก็เล่นเป็นเพื่อนนายได้ ถึงยังไงตอนสุดท้าย คนที่แพ้ก็ไม่ใช่ฉันเสมอไป”

 

 

           “เป้าหมายของผมเป็นคุณมาตลอดนั่นแหละ” ซังจิ่งเอ่ยอย่างช้าๆ เนิบๆ “คุณฉลาดออกจะขนาดนี้ จะไม่รู้จริงๆ เลยเหรอ ว่าผมชอบคุณตั้งแต่แรกเห็น”

 

 

           แววตาของเจียงมู่เฉินเปลี่ยนมาดุดันอย่างรวดเร็ว “นายคิด ว่าฉันจะเชื่อคำแก้ต่างของนายจริงๆ งั้นเหรอ”           

ตอนที่ 152 นี่เขาไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วใช่ไหม

 

 

           สายตามาหยุดลงที่ริมฝีปากของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนคันยิบๆ ที่หัวใจ ข่มใจจะโถมเข้าไปกินสักคำไม่ได้ แต่พอคิดว่าวันนี้ตัวเองจัดบท ‘รัก’ ให้เขาหนักพอแล้ว ถ้ามาครั้งนี้อีก จะเป็นการยั่วโทสะเจียงมู่เฉินจริงๆ แล้ว

 

 

           นิสัยหยิ่งผยองนี้ของเฉินเฉินของเขา เวลาฉุนเฉียวขึ้นมา เขาหาข้อดีไม่เจอเลยสักนิด

 

 

           คิดได้แบบนี้ ซือเหยี่ยนถอนหายใจเงียบๆ ทำได้แค่เพียงกล้ำกลืนฝืนทนกับน้องชายตัวเองไปก่อน

 

 

            สิ่งที่คิดในหัวเขาตอนนี้ ถ้าให้เจียงมู่เฉินรู้ ต้องด่าเขาว่าเป็นสัตว์แน่ ในหัวมีแต่เรื่องทะลึ่งๆ เต็มไปหมด

 

 

           รถจอดสนิทหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลเจียง ทั้งสองคนลงจากรถแล้วเดินเข้าไปด้วยกัน

 

 

           คุณแม่เจียงเห็นพวกเขากลับมาแล้ว ก็รีบถามด้วยความเป็นห่วงทันที “ทำไมกลับมาค่ำจัง กินข้าวมาหรือยังลูก”

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนไอ้หมอนั่นจับกดอยู่บนเตียงจัดหนักจัดเต็มกว่าสามชั่วโมง หิวจนไม่ไหวมาตั้งแต่แรกแล้ว เขารีบพยักหน้า “ใกล้จะหิวตายแล้วครับ”

 

 

           “มาๆๆ นั่งลงก่อน แม่จะไปอุ่นอาหารให้แป๊บนึง”

 

 

           ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินนั่งอยู่หน้าโต๊ะ เจียงมู่เฉินมองคุณแม่เจียง แล้วหันไปยักคิ้วให้ซือเหยี่ยน “แม่ฉันดีสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “อืม แม่ดีมากจริงๆ”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “……” ไอ้หมอนี่หนังหน้าหนาจริงๆ “แม่ฉันกลายเป็นแม่นายตั้งแต่เมื่อไหร่ ซือเหยี่ยนหน้านายหนาขนาดนี้ เวลาจะบูรณะกำแพงเมืองจีนไม่ได้หยิบเอาไปใช้ น่าเสียดายน่าดู”

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ หัวเราะเบาๆ “ต่อให้ตอนนี้ไม่ใช่ ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็ใช่เอง”

 

 

           “ฉันไม่คิดจะยกแม่ฉันให้นายหรอกนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเชิดมุมปากขึ้น “งั้นผมจะยกแม่ผมให้คุณ แม่ผมชอบคุณมากเป็นพิเศษมาตลอดเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินใช้เท้าเตะซือเหยี่ยนอยู่ใต้โต๊ะ “นายมีเหตุผลหน่อยจะได้ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ทำไมผมไม่มีเหตุผลไปได้ล่ะ”

 

 

           ‘พวกเขาคบกัน แม่ทั้งสองคนก็เป็นแม่พวกเขา ไม่มีเหตุผลเหรอ’

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น กำลังอยากจะซัดกลับไป คุณแม่เจียงก็ยกอาหารออกมาแล้ว “รีบกินซะนะจ๊ะ จะได้ไม่หิว”

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง นี่เขาเห็นแก่หน้าแม่ตัวเองหรอกนะ ถึงได้ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับซือเหยี่ยน

 

 

         “เสี่ยวเหยี่ยนกินเยอะๆ หน่อย ดูสิผอมหมดแล้ว” คุณแม่เจียงนั่งลงข้างๆ ดวงตาคู่นี้จดจ้องมาที่ซือเหยี่ยน

 

 

           นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ของเจียงมู่เฉินแอบจ้องเขม็งใส่ซือเหยี่ยน บทบาทของเขากับซือเหยี่ยนไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นะ เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ เหรอ

 

 

           ‘แม่เขาควรจะเป็นห่วงว่าเขาผอมหรือไม่ผอม ไม่ใช่หรือไง ให้เขากินเยอะขึ้นหน่อยไหม’

 

 

           ‘ทำไมพอมาถึงแม่เขา ทุกอย่างกลับกันหมดเลย’

 

 

           “แม่ครับ ผมเป็นลูกชายแม่นะ แม่ควรเป็นห่วงเป็นใยผมไม่ใช่เหรอ”

 

 

           คุณแม่เจียงกวาดสายตามองเจียงมู่เฉินอย่างเย็นชา แล้วกลับไปมองซือเหยี่ยนอย่างเบิกบานใจ “ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่เจอเสี่ยวเหยี่ยนจะรู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษเลย แม่สงสัยมาตลอดเลย ว่าตอนเล็กๆ อุ้มผิดมาหรือเปล่า”

 

 

           “……” เพราะฉะนั้น ตอนนี้เขาไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วใช่ไหม

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินถูกหักหลังแบบนี้ก็ดูน่าขำไม่เบาทีเดียว เขาอดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเพิ่งจะเห็นเขาแอบยิ้มพอดี ฉวยโอกาสตอนที่คุณแม่เจียงไม่เห็น แอบถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง รอกลับไปห้องก่อน ดูว่าเขาจะลงโทษซือเหยี่ยนยังไง

 

 

           อาหารมื้อนี้ภายใต้การจับตาดูของคุณแม่เจียง ในที่สุดก็กินด้วยกันเสร็จแล้ว หลังมื้ออาหารผ่านไป ซือเหยี่ยนอยู่ชั้นล่างคุยอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่เจียงต่อ เจียงมู่เฉินก็ถือโอกาสนี้เผ่นขึ้นข้างบนไป

 

 

           ‘ถึงยังไงก็มีลูกชายคนใหม่อยู่ด้วยแล้ว แม่เขากำลังมีความสุข ยังจะมานึกถึงเขาได้อยู่เหรอ’

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนฟุบถอนหายใจอยู่บนเตียง จะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าเขากำลังแย่งชิงเป็นลูกรักกับซือเหยี่ยนอยู่

 

 

           นอนฟุบเล่นเกมอยู่บนเตียง เจียงมู่เฉินมองดูเวลาก็ล่วงเลยใกล้จะสามทุ่มแล้ว เขาได้ยินเสียงหัวเราะของซือเหยี่ยนกับคุณแม่เจียงดังขึ้นมาลางๆ จากชั้นล่าง

 

 

           เขาถอนหายใจ ปีนลงจากเตียงไปอาบน้ำ

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนกายฟุบอยู่ในอ่างอาบน้ำ ครุ่นคิดอย่างจริงจัง ไม่แน่ว่าต่อไปตอนที่พวกเขาสองคนสารภาพความจริง แม่เขาคงอยากฟาดเขามากกว่า ทำใจฟาดซือเหยี่ยนไม่ลง

 

 

           หมอกไอน้ำแผ่ปกคลุมไปทั่วห้องน้ำ เขาแช่น้ำอุ่นๆ เปลือกตาหนักแทบยกจะไม่ขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานผลข้างเคียงจากการโดนซือเหยี่ยน ‘ทำ’ แบบนั้น ทุกอย่างปรากฏออกมาหมด

 

 

           เขานอนฟุบอยู่ข้างใน ทั้งร่างกายอ่อนเพลียอยากจะนอนหลับบ้างแล้ว

 

 

           หลังจากพูดคุยอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่เจียงแล้ว ถึงได้ขึ้นชั้นบนมา เขาเดาไว้ว่าเจียงมู่เฉินควรจะกำลังเล่นเกมอยู่ ทันทีหลังจากผลักประตูเปิดเข้ามาก็ไม่เห็นใคร รู้สึกแปลกใจหน่อยๆ แล้ว

 

 

           เขาเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ ยื่นมือผลักประตูเปิดเข้าไปก็เห็นทั้งห้องเต็มไปด้วยไอร้อน เจียงมู่เฉินนอนฟุบสัปหงกอยู่ในอ่างอาบน้ำ

 

 

 

 

ตอนที่ 153 จูบผมที

 

 

           ซือเหยี่ยนกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะยามที่สายตาจดจ่อถูกจุดสำคัญ รอยช้ำบนแผ่นหลังเจียงมู่เฉิน แววตาคมเข้มดำดิ่งหยั่งลึกลงไปในความรู้สึก

 

 

           ขณะเจียงมู่เฉินกำลังง่วงๆ มึนๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เขาเอียงหัวเล็กน้อยปรือตามองไปข้างหลัง เมื่อเห็นซือเหยี่ยน ก็ยกมุมปากขึ้นโดยจิตใต้สำนึก “นายเข้ามาทำไม”

 

 

           เดิมทีเจียงมู่เฉินคิดว่าซือเหยี่ยนจะปิดประตูเดินออกไป ผลคือคิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือปิดประตูแล้วเดินตรงมาทางเขา

 

 

           เขาทำทุกอย่างตรงๆ และชัดเจน เริ่มจากการยืนตรงนั้นถอดเสื้อผ้าบนตัวออก ตั้งแต่เสื้อเชิ้ตยันกางเกงสูท ไม่มีเหลือสักชิ้น ซือเหยี่ยนเอาเสื้อผ้าวางบนชั้นวาง แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาเจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง รู้สึกว่าไอ้หมอนี่ช่างหน้าไม่อายจริงๆ ถึงแม้จะว่าหยามอีกฝ่าย แต่ก็ไม่คิดจะละสายตาไปเช่นกัน

 

 

           ถึงอย่างไร รูปร่างของซือเหยี่ยนไม่ต้องพูดถึงจริงๆ ขายาวสูงแข็งแรง เอวคอดเพรียว ที่สำคัญคือใบหน้าของซือเหยี่ยนที่ดูดีถึงขั้นคนกับเทพต้องมาแย่งชิงกัน

 

 

           แม้แต่เจียงมู่เฉินคนที่หลงตัวเองขนาดนี้ยังรู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาของซือเหยี่ยนช่างไร้ที่ติ เขาเลือกส่วนที่ไม่ดีออกมาไม่ได้อยู่แล้ว

 

 

           เขาเห็นซือเหยี่ยนเดินเข้ามาทีละก้าวทีละก้าว จนมายืนอยู่ต่อหน้าเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินกลืนน้ำลายเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ “นาย นายมาทำอะไร”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อาบน้ำไง”

 

 

           “นายไม่เห็นว่าฉันอาบน้ำอยู่หรือไง”

 

 

           “อย่าสิ้นเปลืองเลย พวกเราประหยัดทรัพยากรน้ำกันหน่อยดีกว่า อาบน้ำด้วยกันก็ได้แล้ว”

 

 

           “……” ปั้นน้ำเป็นตัว ปั้นน้ำเป็นตัวเกินไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้าง

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยินก็ยืนขึ้น เตรียมจะออกไปทันที “ฉันอาบเสร็จแล้ว นายค่อยๆ อาบเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว กดมือเจียงมู่เฉินไว้แล้วพลิกมือ จับคนกดลงไป

 

 

           เจียงมู่เฉินยกเท้าขึ้นถีบเขา “โคตรพ่อง ปล่อยมือฉันนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเล็กน้อยไม่ปล่อยมือแน่นอน เจียงมู่เฉินดิ้นต่อสู้ แต่ดึงมือตัวเองออกมาไม่ได้ เขาขบกรามถลึงตาใส่ซือเหยี่ยน “นี่นายกินอะไรโตมากันแน่ ถึงได้แรงเยอะขนาดนี้”

 

 

           เขาแปลกใจแล้ว ตัวเองเป็นผู้ชายอกสามศอก พละกำลังก็ไม่ได้ถือว่าน้อยอะไร แต่ทำไมจะขยับทีก็ถูกซือเหยี่ยนกดเอาไว้ ยังกระดุกกระดิกไม่ได้เลย

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางหัวร้อนของเขา ก็ขำจนยกมุมปากขึ้น “อยากรู้มากเลย?”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ก็อยากรู้นิดหน่อย”

 

 

           “อยากรู้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้” เขากะพริบตาปริบๆ “จูบผมที แล้วผมจะบอกคุณ”

 

 

           “” เจียงมู่เฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าซือเหยี่ยนกำลังใช้มุขที่ใช้กับผู้หญิงมาใช้กับเขา

 

 

           “อยากบอกไม่บอก ใจที่อยากรู้อยากเห็นของคุณชายก็ไม่ได้หนักขนาดนั้น” เรื่องเอาอกเอาใจ เขาทำไม่ถนัดหรอก

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ “งั้นก็ได้ ในเมื่อเฉินเฉินไม่ยอม ผมก็บังคับไม่ได้อยู่แล้ว” เขาคลายมือออกเล็กน้อย “อยากออกไปก็ไปเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง “ยอมให้ฉันออกไปจริงๆ เหรอ นายจะไม่เล่นลูกไม้กันใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนยักไหล่ “เชิญตามสบายเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยความสงสัย รู้สึกมาเสมอว่าเขาไม่น่าจะมีเจตนาดีอะไร เขาลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกจากอ่างอาบน้ำ ไหนเลยจะรู้ว่าด้านหลังตัวเอง ซือเหยี่ยนกำลังใช้มือเท้าคางชื่นชมเพลิดเพลินกับภาพสวยงามประจักษ์สายตาตรงหน้า

 

 

           ถึงรูปร่างของเจียงมู่เฉินไม่ได้แข็งแรงกำยำเท่าซือเหยี่ยน แต่แขนขาเพรียวยาวได้สัดส่วน ผิวกายขาวผ่องราวกับผู้หญิง ตากแดดอย่างไรก็ไม่คล้ำลง อะไรทำนองนี้ ดูๆ ไปแล้วช่างถูกตาต้องใจเหลือเกิน

 

 

           เจียงมู่เฉินเช็ดตัวให้แห้ง แล้วหยิบเสื้อผ้าที่อยู่ข้างๆ มาสวมใส่ ตอนใส่กางเกงขาสั้น ขาก็ค่อยๆ ยกขึ้น…

 

 

           ดวงตาสีดำขลับของซือเหยี่ยนมืดลง ถ้าไม่คิดว่าเมื่อตอนบ่ายจัดบท ‘รัก’ ให้เขาหนักพอแล้ว เจียงมู่เฉินไม่มีทางจะออกจากห้องน้ำนี้อย่างปลอดภัยได้แน่

 

 

           เขาใส่เสื้อผ้าเสร็จก็หันมาสบสายตาคมเข้มที่กำลังดำดิ่งของซือเหยี่ยน หัวใจก็อดจะสั่นระรัวรุนแรงไม่ได้ เขารีบกำหมัดราวกับจะยับยั้งอารมณ์ของตัวเองที่ถาโถมดั่งระลอกคลื่นซัดฝั่ง กดเสียงต่ำเอ่ยด่าทออีกฝ่าย “สัตว์”

ตอนที่ 150 เฉินเฉิน น้ำยาผมดีหรือไม่ดี

 

 

           “วางใจเถอะ ฉันเป็นคนดีพอ ไม่รังแกคนไร้น้ำยาหรอก” เจียงมู่เฉินเหมือนยังขยี้จุดไม่จบ

 

 

           ไป๋จิ่งเดือดจนดวงตาดำคร่ำเคร่ง ถ้าซือเหยี่ยนไม่อยู่ด้วย เขาคิดว่าตัวเองคงจะอดใจพูดกับเจียงมู่เฉินไม่ได้ ให้ไอ้หมอนี่มาลองน้ำยาเขาดูสักหน่อย

 

 

           ยังดี ที่ยังไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมา ไม่เช่นนั้นเจียงมู่เฉินไม่เป็นฝ่ายเผาเขา ก็เป็นซือเหยี่ยนที่จะฆ่าเขาแทน

 

 

           “รีบพาคุณชายเจียงของนายออกไปที ไม่งั้นฉันกลัวว่าฉันจะคุมตัวเองไม่อยู่” ไป๋จิ่งแอบตักเตือน

 

 

           เจียงมู่เฉินก็เดือดเช่นกัน เขาเป็นคนที่ต้องให้ซือเหยี่ยนปกป้องเหรอ

 

 

           “ผู้ชายกากไร้น้ำยา” คำพูดเดียวหลายความหมายของเจียงมู่เฉิน

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสองคนนี้ใกล้จะทะเลาะกันจริงจังแล้ว ก็กุมขมับอย่างจนใจ เขาเดินเข้าไปดึงแขนลากตัวเจียงมู่เฉินมา “ไปได้แล้ว ควรจะกลับสักที”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นซือเหยี่ยนเข้ามาจัดการ ก็ยักคิ้วอย่างลำพองใจทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขายั่วยุกันจะจะก็อยากจะสะบัดแขนตัวเองให้หลุดออกจากมือของซือเหยี่ยน แต่ซือเหยี่ยนล็อกไว้แน่นหนาจึงสะบัดไม่ออก

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองไป๋จิ่งผู้ลำพองใจตรงหน้า “ที่จริงฉันกลัวเฉินเฉินของฉันจะปล่อยหมัดหนักใส่นายรุนแรงเกินไป ฉันเห็นใจสงสารนาย”

 

 

           ไป๋จิ่ง “……” เขายังเป็นไก่อ่อนมากกว่าเจียงมู่เฉินอีกเหรอ

 

 

           ไฟโมโหลุกโชนเต็มอก เจียงมู่เฉินผู้เล็งหัวไป๋จิ่งแบบต้องเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่งเพียงพริบตาก็สบายใจสบายอารมณ์แล้ว เขาจัดระเบียบเสื้อผ้าบนตัวอย่างมีมาด

 

 

           “เห็นแก่หน้าซือเหยี่ยน ฉันก็จะไม่รังแกนายแล้ว” เจียงมู่เฉินเสยผม “ถึงยังไง ฉันก็สาดเกลือใส่แผลนายต่อไม่ได้หรอก”

 

 

           พูดไปยังกวาดสายตามองช่วงขาของไป๋จิ่งด้วย

 

 

           ไป๋จิ่งโมโหจนดวงตาคู่นี้ดำคล้ำ รู้สึกว่าซือเหยี่ยนหาปีศาจแสนร้ายกาจขนาดนี้มาทำให้เขาโมโห

 

 

           โดนเจียงมู่เฉิน ‘ปลอบใจ’ ขนาดนี้ ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองยิ่งบาดเจ็บหนักกว่าเดิม

 

 

           ทันใดนั้นในหัวไป๋จิ่งก็มีความคิดหนึ่งวาบขึ้นมา เขารีบหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาซือเหยี่ยน หัวเราะเยาะเขาเหรอ

 

 

           ‘เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะลงจากเตียงไม่ไหว’

 

 

           ……

 

 

           หลังจากออกจากบริษัทไป ทั้งสองคนเพิ่งจะนั่งในรถ มือถือของซือเหยี่ยนก็ดังขึ้นมา เขาหยิบมือถือขึ้นมาดู เลิกคิ้วขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วผลัดไปมองเจียงมู่เฉินที่กำลังรัดเข็มขัดนิรภัยอยู่

 

 

           นัยน์ตาฉาบความรู้สึกที่ยากจะหยั่งถึงได้ ซือเหยี่ยนไม่พูดอะไรสักคำ ขับรถออกไปทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นทางที่เขาขับรถมา ไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าไหร่ จึงรีบเอ่ยถาม “นายขับไปผิดทางแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนเบนรถเลี้ยวไปทางซ้าย “ไม่ผิดหรอก”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง เขาไม่ได้โง่จนไม่รู้แม้กระทั่งว่าบ้านตัวเองไปทางไหน อีกอย่างเส้นทางนี้ก็ไม่ใช่ทางไปบ้านซือเหยี่ยน

 

 

           ไม่กี่นาทีต่อมา เจียงมู่เฉินโดนเขาจับกดลงเตียงหลังใหญ่อยู่ในโรงแรมเป็นที่เรียบร้อย เจ้าตัวยังตอบสนองกลับไปไม่ค่อยได้

 

 

           “อะไรกัน……พูดจากันดีๆ ก็ได้ อย่าลงไม้ลงมือกันสิ” เจียงมู่เฉินลุกลี้ลุกลนจับเสื้อผ้าตัวเองไว้ ปกป้องข้างบนไม่ได้ ก็ป้องกันข้างล่างไม่ได้แล้ว จนสุดท้าย บนตัวก็จะไม่เหลือเสื้อผ้าสักชิ้น

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูใบหน้าของเขา ออกแรงงับเขาไปคำหนึ่ง “รู้สึกว่าผมไร้น้ำยา อยู่ดีๆ ไม่ชอบใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่เข้าใจ เขาไปพูดแบบนี้ตอนไหน

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ให้โอกาสเขาได้โต้แย้งอะไร ลงมือประกบปาก มอบจูบแนบสนิทไร้อากาศใดจะผ่านได้

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนซือเหยี่ยนจับกดที่เตียงเล่นลวดลายหลากลีลาซึ่งเขาก็ขัดขืนไม่ไหวอยู่แล้ว เจียงมู่เฉินโกรธจนอยากจะขบกราม ต้องเป็นแผนที่ไป๋จิ่งไอ้หมอนั่นจงใจเล่นงานเขาแน่ๆ

 

 

           ถ้ามีครั้งหน้า เขารับรองว่าจะต้องเอาคืนไป๋จิ่งไอ้คนระยำนั่นเป็นสองเท่าให้ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนมองคนใต้ร่างที่กำลังใจลอย โน้มตัวเข้าไปกัดหูเขาแรงๆ “ซี๊ด…” เจียงมู่เฉินร้องขึ้นมา รีบเอามือกุมหูที่โดนกัดเอาไว้

 

 

           “นายเป็นหมาหรือไง”

 

 

           เสียงซือเหยี่ยนแหบพร่า เซ็กซี่บาดใจ “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากให้คุณรับความรู้สึกให้ดี ว่าน้ำยาผมดีหรือเปล่า”

 

 

           โดนเล่นบท ‘รัก’ ซ้ำแล้วซ้ำอีกไปหลายชั่วโมง เจียงมู่เฉินยกมือไม่ขึ้นแล้ว สุดท้ายซือเหยี่ยนค้ำเอวที่ยืดตรงไม่ได้ของเขา แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เฉินเฉิน น้ำยาผมดีหรือไม่ดี”

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย’

 

 

            เจียงมู่เฉินพังครืนลมแทบจับแล้ว “ดีๆๆ นายแม่งดีที่สุดในโลกเลย”

 

 

           เขาอยากร้องไห้ อยากเลิก

 

 

           เหตุผลเพราะน้ำยาดีเกินไป

 

 

           

 

 

ตอนที่ 151 คุณชายปวดขา เดินไม่ไหว

 

 

           กว่าทั้งสองคนจะออกจากโรงแรมได้ เจียงมู่เฉินก็ขี้เกียจถึงขั้นแม้แต่เดินก็ไม่อยากจะเดินแล้ว ถ้าไม่ติดว่าคนในโรงแรมเยอะเกินไป เขาต้องให้ซือเหยี่ยนอุ้มออกไปแน่ๆ

 

 

           ‘ได้สมใจแล้วก็ไม่สนใจเขาแล้ว มีเรื่องที่ดีขนาดนั้นที่ไหนกัน’

 

 

           ก้อนเนื้ออย่างคุณชายนี้ ซือเหยี่ยนกล้ากินเข้าไป เขาก็ควรจะทำใจเตรียมพร้อมเรื่องกลืนยากด้วย

 

 

           ยามเข้าโรงแรมไป ข้างนอกสว่างไสว กว่าจะออกมาอีกที ข้างนอกก็เปิดไฟประดับแต่หัวค่ำแล้ว

 

 

           ‘สามชั่วโมงเต็มๆ เลยนะ นี่มันเป็นสัตว์แล้ว’

 

 

           เขามองซือเหยี่ยนที่สุขสมใจอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง อดจะกัดฟันกรอดๆ ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนออกกำลังกายมาสามชั่วโมงเต็มๆ ทำไมเขาถึงเหมือนคนที่ถูกตีมาหลายวัน เจ็บปวดเมื่อยไปทั้งตัว

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาทำหน้าสุขสมก็ไม่ค่อยปลื้มแล้ว เขายืนขึ้นก็ไม่อยากเดินทันที 

 

 

           ซือเหยี่ยนหันกลับมามองเขา “เป็นไรไป”

 

 

           “คุณชายปวดขา เดินไม่ไหว”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นหัวเราะ พูดโดยไม่คิดอะไร “ให้ผมอุ้มคุณไหม”

 

 

           เดิมทีเจียงมู่เฉินจงใจอยากให้ซือเหยี่ยนลำบาก แต่เห็นอีกฝ่ายเสนอตัวอยากอุ้มตัวเอง ความไม่สบายไม่สดชื่นแม้แต่นิดเดียวในใจก็สลายหายไปในพริบตา

 

 

           เขาเปลี่ยนไปโหมดเล่นแง่ใส่แทน “คุณชายไม่ได้พิการขนาดนั้น ต้องให้นายอุ้มด้วยเหรอ”

 

 

            ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเล่นแง่ระเบิดลงของเขาน่าขำอยู่ไม่เบา นัยน์ตาฉาบรอยยิ้ม พร้อมพยักหน้า “อืม เฉินเฉินของผมเก่งที่สุดอยู่แล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินที่เอียงคออยู่ รู้สึกว่าหูตัวเองเริ่มร้อนขึ้นมา โดนเขาปากหวานใส่กะทันหัน ยังรู้สึกอายๆ อยู่ด้วย

 

 

           “ไปแล้วๆ”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่กล้ามองซือเหยี่ยน หมุนตัวเดินไปข้างหน้า แสงไฟสีสันแพรวพราวตกกระทบเรือนกายของเจียงมู่เฉิน ร่างเพรียวสูงโฉบเฉี่ยวเปล่งประกายวิบวับ

 

 

           “เจียงมู่เฉิน…” จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็เอ่ยเรียก

 

 

           เจียงมู่เฉินที่เดินอยู่ข้างหน้าได้ยินเสียงซือเหยี่ยนเรียก จิตใต้สำนึกบอกให้เขาหันกลับไป ยังไม่ทันได้มองซือเหยี่ยน แขนของอีกฝ่ายก็โอบกอดเอวเขาไว้ ริมฝีปากแสนอบอุ่น

 

 

           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้างมองซือเหยี่ยนที่จูบตัวเองกะทันหัน รีบเอามือผลักเขาออก “ซือเหยี่ยน นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง กลางถนนแบบนี้ จู่ๆ นายมาจูบฉันทำไม”

 

 

            ซือเหยี่ยนผู้ไม่เข้าตามตรอก ไม่ออกตามประตู จะทำเขาตกใจจนจะตายจริงๆ

 

 

           ถึงแม้ว่าเมื่อครู่จะไม่มีใครเดินผ่านมา แต่ก็ยากจะเลี่ยงไม่ให้คนไม่เห็นได้ ถ้ามีคนมาเห็นตัวเองกับซือเหยี่ยนจูบกัน…

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดสักพัก เหมือนว่า…มาเห็นก็ไม่มีอะไร

 

 

           ‘ก็แค่ก่อนที่ยังไม่ได้เตรียมตัวดีๆ จะยุ่งยากกว่าเดิมเท่านั้นเอง’

 

 

           “จู่ๆ ผมก็อยากจูบคุณ” ซือเหยี่ยนทำหน้าทำตาน้อยใจ

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนขบกรามแน่น แต่พอได้สบสายตาซื่อๆ ของเขา เพียงชั่วครู่ไฟโกรธในใจก็ดับมอดไปจนหมด

 

 

           เขาถอนหายใจลึกๆ “ครั้งหน้าถ้านายไม่บอกกันก่อน ระวังคุณชายจะลงโทษนาย”

 

 

           ซือเหยี่ยนกะพริบตาปริบๆ ตลกๆ “รับบัญชา นายท่านแฟนผู้ยิ่งใหญ่”

 

 

           กลับมานั่งที่รถ เจียงมู่เฉินมองดูเวลา ตอนนี้หนึ่งทุ่มกว่าๆ แล้ว “จะกลับบ้านหรือว่าจะไปกินข้าวก่อน”

 

 

           เวลานี้พ่อแม่เขาคงจะเตรียมกินข้าวกันแล้ว

 

 

           “กลับบ้านเถอะ” ยามซือเหยี่ยนกำลังพูดคำว่า ‘กลับบ้าน’ สองคำนี้ ในใจก็ห้ามความรู้สึกอบอุ่นนี้ไม่ได้

 

 

           ถึงแม้ว่าอยากจะพาเขาเลี้ยวกลับไปบ้านของพวกเขาสองคนแค่ไหน แต่เมื่อคิดว่ายังมีเรื่องอย่างอื่นอีก ซือเหยี่ยนก็อดทนไว้ ขับรถพากันกลับบ้านตระกูลเจียงไป

 

 

           เป็นครั้งแรกที่เขาจงใจตกแต่งปรับปรุงบ้านใหม่เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการไปอยู่บ้านตระกูลเจียง พ่อแม่เจียงมู่เฉินดีกับเขามากมาตลอด ตั้งแต่เด็กๆ ก็ถือว่ามองเขาเป็นเหมือนลูกชายไปครึ่งหนึ่งแล้ว

 

 

           แต่ว่าถ้ามีวันหนึ่ง เขาเผชิญหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองคน แล้วบอกว่า ‘ผมต้องการชิงตัวลูกชายสุดที่รักคนเดียวของพวกท่านหนีไป’ 

 

 

           เกรงว่า คุณพ่อเจียงจะอดหยิบไม้ตะบองมาไล่ตามฆ่าเขาไม่ได้

 

 

           ถึงอย่างไรคนที่เขาอยากชิงตัวไปก็เป็นถึงก้อนเนื้ออันล้ำค่าในใจของพวกเขา

 

 

           ดังนั้น วิธีที่เขาอยากจะทำให้สองสามีภรรยาตระกูลเจียงชินกับการที่ตัวเองอยู่ด้วยกันกับเจียงมู่เฉินได้เร็วที่สุด ไหนเลยจะเท่ากับการเข้ามาในฐานะเพื่อนสนิท

 

 

           เขาเอียงคอมองเจียงมู่เฉินที่หรี่ตาเล่นเกมอย่างเอื่อยเฉื่อย เขาทุ่มเทหมดใจเพื่อเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเขาในอนาคต แต่ไอ้หมอนั่นยังมีกะจิตกะใจเล่นเกมอยู่ได้      

ตอนที่ 148 ใครทำ

 

 

           เรื่องพวกนี้จริงๆ ก็โทษเจียงมู่เฉินเสียทีเดียวไม่ได้ บางอย่างโชคชะตาก็กำหนดไว้แล้ว คงเพราะตอนนั้นเขายังไม่ตาย พระเจ้าเห็นขัดหูขัดตา จึงทำให้ไป๋จิ่งปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก

 

 

           แต่ว่าเขาเองก็ไม่สนใจ ในเมื่อเขาเป็นคนที่เคยผ่านความตายมาครั้งหนึ่งแล้ว เรื่องความเป็นความตายจึงไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย

 

 

           “โอเค ของขวัญเอาใจก็ส่งมาแล้ว ยังมีธุระอย่างอื่นอีกไหม” เมื่อคืนมีเรื่องชกต่อยไม่พอ ยังโดนไป๋จิ่งทรมานทั้งคืน เพิ่งจะนอนหลับไปก็โดนเจียงมู่เฉินทำเสียงดังจนตื่นมาอีก เขาแบกรับไม่ค่อยจะไหวแล้วจริงๆ

 

 

           “ทำไมวันนี้ถึงแปลกคนขนาดนี้นะ บอกมา นายไปติดหนุ่มคนใหม่ที่ไหนมา”

 

 

           มั่วไป๋มองบนใส่ คร้านจะสนใจอีกฝ่ายแล้ว เขาหมุนตัวเตรียมจะเดินไป จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็คว้ามือเขา แล้วกักตัวเขาเอาไว้ด้วยท่าทีประหลาดใจ

 

 

            “เดี๋ยวก่อน บนตัวนายใครทำ”

 

 

           มั่วไป๋ใส่เสื้อเชิ้ตปกปิดอำพรางไว้ได้อยู่ไม่น้อย เมื่อครู่ตอนที่ลุกขึ้นยืน เนื้อส่วนนั้นโผล่ออกมาให้เห็นนิดหน่อย หลังจากเจียงมู่เฉินเห็นก็กดเขาลงโซฟา จับปกเสื้อที่กำบังอยู่เปิดออก

 

 

           แผ่นอกเรือนผิวขาวผ่องมีรอยช้ำกระจายไปทั่ว มีบางรอยที่มีเส้นเลือดฝอยปรากฏขึ้น เพราะใช้แรงมากเกินไป

 

 

           มั่วไป๋เอนพิงโซฟาปล่อยให้เขาดู

 

 

           “ไม่มีอะไร ก็แค่เรื่องที่สมยอมกันทั้งคู่เท่านั้นเอง” มั่วไป๋เอ่ยเสียงเรียบ

 

 

           เจียงมู่เฉินเดือดแล้ว ร้อนใจจนเดินวุ่นไปมา “นายเป็นคนแบบไหน ฉันไม่รู้หรือไง นายแม่งไปสมยอมกับใครที่ไหนกัน”

 

 

           มั่วไป๋ไม่อยากเอ่ยชื่อ ‘ไป๋จิ่ง’ ชื่อนี้ออกมา เจียงมู่เฉินออกจะฉลาดขนาดนี้ ต้องเข้าใจได้ปรุโปร่งอยู่แล้ว

 

 

           เขาสามารถโยงเรื่องของคนๆ นั้นเมื่อก่อนนี้กับไป๋จิ่งเข้าด้วยกันได้ ตามนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว เขาต้องตามไปคิดบัญชีกับไป๋จิ่งแน่นอน ถึงตอนนั้นเรื่องของเขาก็ปิดบังไว้ไม่อยู่แล้ว

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ เขายังไม่อยากเดินไปถึงขั้นนี้ ระหว่างที่เขายังคิดไม่ตกว่าจะเดินต่อไปอย่างไร เขาก็ยังไม่อยากเปิดเผยสถานะของตัวเอง

 

 

           “มู่เฉิน ฉันเป็นผู้ใหญ่คนนึง ก็มีความต้องการทางร่างกายของตัวเอง หลับนอนด้วยกันแค่ครั้งเดียวก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ฟังอยู่แล้ว “ถ้าคนอื่นมาทำแบบที่นายพูด มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่นี่เป็นนายไง มันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” เขาเงียบลงสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “นายไม่อยากบอกฉันใช่ไหมล่ะ”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้า “นายเชื่อฉัน ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็พูดอะไรไม่ออก เขาถอนหายใจเบาๆ “เอาเถอะ ฉันไม่ถามต่อแล้ว ข้าวเที่ยงกินหรือยัง”

 

 

           “ยัง เพิ่งจะนอนหลับก็โดนนายทำเสียงดังจนตื่นแล้ว”

 

 

           “ฉันจะสั่งของกินมาให้ นายกินเค้กก่อน รอนายกินเสร็จ ฉันถึงจะไป แล้วนายไปนอน ฉันจะไม่รบกวนนายอีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนเป็นแม่ไม่มีผิด แต่ก็ช่วยไม่ได้ มั่วไป๋ยังดูแลได้ไม่เท่าเขา ไม่เฝ้าดูไม่ได้

 

 

           มั่วไป๋พิงโซฟา หัวเราะมองเจียงมู่เฉิน “ฉันว่า นายมีเวลา ทำไมไม่ไปเป็นห่วงเป็นใยซือเหยี่ยนของนาย มาเฝ้าดูฉันเพื่ออะไร”

 

 

           เอ่ยถึงซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินก็อดจะทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจไม่ได้ “หึ เขาไม่ต้องให้ฉันมาเป็นห่วงเป็นใยเขาหรอก”

 

 

           มั่วไป๋เลิกคิ้วมองเจียงมู่เฉิน

 

 

           “มีแม่ฉันอยู่ มาไม่ถึงฉันหรอก” นึกถึงแม่เขาขึ้นมา เจียงมู่เฉินกลัวว่าแม่เขาจะลืมไปแล้วว่ายังมีลูกชายชื่อเจียงมู่เฉินอยู่

 

 

           “คืบหน้าไปเร็วมาก ถึงขั้นไปเจอหน้าผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินมุมปากกระตุก ของเขามากสุดก็แค่ถือว่าถูกผู้ใหญ่มาพบเท่านั้นเอง

 

 

           เฝ้าดูมั่วไป๋กินเค้กจนหมด รอกินของที่สั่งจากข้างนอกมาเสร็จ เจียงมู่เฉินถึงได้ออกไป ถึงอย่างไรเขายังมีภาระไปรับซือเหยี่ยนต่อ

 

 

           เขาหาแฟนเป็นผู้ชายที่ไหนกัน เขาหาบรรพบุรุษมาต่างหาก

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินเดินเข้าไปในซือกรุ๊ป มีคนอยู่ไม่น้อยมองดูเขาแวบหนึ่ง ครั้งก่อนที่คุณชายน้อยผู้นี้มาบริษัท แต่พังของบริเวณนี้ไปเกือบทั้งหมด ใครจะรู้ว่าครั้งนี้จะมีหายนะอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเข้าลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนด้วยท่าทีสุขุมเรียบเฉยประจักษ์แก่ทุกสายตา

 

 

            เขามุ่งตรงเดินไปยังประตูห้องทำงานของซือเหยี่ยน ผลักเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล ซือเหยี่ยนนั่งหน้าโต๊ะทำงาน เห็นเจียงมู่เฉินแล้วก็อดจะหัวเราะเยาะไม่ได้ “ไง กลัวว่าผมจะซ่อนใครไว้ในห้องทำงานเหรอ”

 

 

 

 

ตอนที่ 149 หน้าตาหล่อ รูปร่างดี ชีวิตยังดีอีกด้วย

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งกางแขนกางขาอยู่ต่อหน้าเขา “นายมีประวัติต้องโทษ ฉันจะคิดขนาดนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร”

 

 

           “ถ้างั้น คุณคิดจะตรวจสอบผมอีกนานเท่าไหร่”

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง “รอคุณชายอารมณ์ดีเมื่อไหร่ ค่อยหยุดตรวจสอบ”

 

 

           ซือเหยี่ยนวางปากกาในมือลง มองมาทางเขา “งั้นครั้งนี้ตรวจสอบพอใจไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนยักไหล่อย่างตามใจ “ธรรมดามั้ง ใครจะรู้ว่ามีคนแอบรายงานอะไรให้นายหรือเปล่า”

 

 

           “รอผมดูเคสนี้เสร็จ ก็ไปได้แล้ว”

 

 

           “ไม่เป็นไร นายดูต่อเถอะ ฉันจะไปเดินเล่นดูรอบๆ”

 

 

           เจียงมู่เฉินว่างจนเบื่อ เดินวนดูรอบห้องทำงานของซือเหยี่ยนรอบหนึ่งก็ออกไปดูข้างนอกต่อ ชั้นนี้มีแค่ห้องทำงานของซือเหยี่ยนกับไป๋จิ่ง บวกผู้ช่วยสองคนเข้าไปอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินเตร่ไปเตร่มาก็เจอไป๋จิ่งเข้าโดยบังเอิญ สีหน้าหม่นหมองราวกับโดนอะไรกระทบกระเทือนมา เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าความบันเทิงมาแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูไป๋จิ่งผู้ซึมเซา แล้วเดินเข้าไปใกล้อย่างร่าเริง เขานั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของไป๋จิ่ง เลิกคิ้วเอ่ยถาม “โดนคนแย่งแฟนสาวไปเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งขุ่นเคืองใจมองดูเจียงมู่เฉินที่จงใจเข้ามาดูฉากเด็ดกันจะจะ เขาโกรธจนหมุนตัวหนีไม่อยากพูดกับคนตรงหน้า คราวก่อนที่ขุดหลุมฝังศพเขา เขายังจำได้ไม่ลืม

 

 

           ถึงอย่างไรคนที่มากเล่ห์กลอย่างเขา เจอทีต้องไม่มีเรื่องอะไรดีอยู่แล้ว

 

 

           “พี่ชาย นี่ฉันกำลังเป็นห่วงนายอยู่นะ”

 

 

           ไป๋จิ่งมองบนใส่เขา “ฉันขอบใจความเป็นห่วงของนายจริงๆ”

 

 

           “บอกมาเถอะ สีหน้าเหมือนโดนคนสวมเขาของนายนี่มันอะไรกัน” เจียงมู่เฉินอยากรู้อยากเห็นจนไม่ไหว รู้สึกว่าไป๋จิ่งต้องมีเรื่องอะไรบันเทิงมากแน่ๆ

 

 

           ไป๋จิ่งช้ำใจจนจะกระอักเลือด อะไรคือโดนสวมเขา เขาโดนสวมเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           เขาค่อยๆ ถอยหลังพินิจมองเจียงมู่เฉิน “พวกเราสองคนก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นมั้ง”

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งเอ้อระเหยลอยชายอยู่ตรงนั้น “ไม่สนิทกันขนาดนั้น แต่ในฐานะที่นายเป็นเพื่อนของแฟนฉัน แสดงน้ำใจเป็นห่วงนายสักหน่อย ถึงยังไงนอกจากฉันก็ไม่มีใครถามนายได้แล้วนะ”

 

 

           คำพูดของเจียงมู่เฉินจี้จุดตายไป๋จิ่งเข้าอย่างจัง เขาโทรหาซือเหยี่ยน ไอ้หมอนั่นเมินเฉยไม่พอ ตัดสายเขาทิ้งอีก

 

 

           ความทุกข์อยู่เต็มอก ไม่มีแม้ใครสักคนมาช่วยแบ่งเบา

 

 

           “ต้องการความห่วงใยจากฉันไหม ถ้าไม่ต้องการ ฉันจะไปแล้ว” เจียงมู่เฉินพูดจบก็จะลุกยืนขึ้น

 

 

           ไป๋จิ่งรีบดึงเสื้อเขาไว้ “อย่าๆๆ พี่ชาย นายเป็นห่วงฉันหน่อยเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “เอ๊ะ เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่สนิทกันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้มาเป็นพี่น้องกันแล้วเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งยอมขาดทุนเพราะความทุกข์ใจ “นายเป็นแฟนของพี่น้องฉัน ก็ต้องเป็นพี่น้องฉันด้วยอยู่ด้วย”

 

 

           คำพูดนี้ฟังรื่นหูเจียงมู่เฉินไม่เบา เขาจึงนั่งกลับลงไปอีกครั้ง “ก็ได้ เชิญเริ่มการแสดงของนายเถอะ”

 

 

           ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้องทำงาน ไป๋จิ่งเอาเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนรุ่งสาง เล่าให้เจียงมู่เฉินฟังทั้งหมด

 

 

           เจียงมู่เฉินฟังจบ สีหน้าพังทลาย ไป๋จิ่งเพิ่งจะเตรียมถอนหายใจด้วยความเศร้าใจ จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังออกมา

 

 

           เขาหัวเราะไป ตบโต๊ะไป “เฮ้ย ไป๋จิ่ง ทำไมนายถึงเจ๋งขนาดนี้ มีคนมาหลับนอนด้วย เขายังให้เงินนายอีก ได้ทั้งคน ได้ทั้งเงิน นายได้กำไรเห็นๆ เลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ่งคิดยิ่งขำ เหมือนโดนคนมองเป็นท่อนไม้ไปแล้ว

 

 

           เขากุมท้อง หัวเราะจนน้ำตาจะไหลออกมาแล้ว

 

 

           น่าเสียดาย ทำไมเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย ไม่เช่นนั้นตอนที่ไป๋จิ่งเห็นเงินที่อยู่บนเตียง สีหน้าต้องตลกมากแน่ๆ

 

 

           สีหน้าไป๋จิ่งดำคร่ำเคร่ง เขากัดฟันเอ่ยเน้นคำต่อคำ “เจียงมู่เฉิน น่าขำขนาดนั้นเลยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือถูตา “ไม่ใช่น่าขำขนาดนั้น โคตรขำเลยต่างหาก ตลกจะตายแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นบ้าแน่ๆ ที่ไปเล่าเรื่องนี้ให้เจียงมู่เฉินฟัง เขาเชื่อไปได้ยังไงว่าเจียงมู่เฉินไอ้หมอนี่จะอยากปลอบใจตัวเองจริงๆ

 

 

           “เย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่รู้จริงๆ ว่าซือเหยี่ยนชอบอะไรในตัวนาย”

 

 

           กว่าเจียงมู่เฉินจะหยุดน้ำตาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขายักคิ้วมองไป๋จิ่งด้วยความเย่อหยิ่ง “คุณชายอย่างฉันหน้าตาหล่อ รูปร่างดี ชีวิตยังดีอีกด้วย” เขาถอนหายใจเบาๆ “ใครจะไปเหมือนนาย ไร้น้ำยาจนคนเขาเอาเงินฟาดหัวนายแล้ว”

 

 

           “…” ไป๋จิ่งรู้สึกว่าถ้ายังอยู่กับเจียงมู่เฉินต่อไป เกรงว่าเขาต้องช้ำใจจนกระอักเลือดแน่

 

 

           คงจะเพราะได้ยินการเคลื่อนไหวของไป๋จิ่ง ซือเหยี่ยนเดินเข้ามาจากข้างนอก เขาพิงประตูตามสบาย “นี่กำลังจะทะเลาะกันเหรอ”            

ตอนที่ 146 หน้าเนื้อใจเสือ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสีหน้าของคุณแม่เจียงจากตะลึงงันจนไปถึง……ดีใจแทบบ้า? 

 

 

           เสียงใสจิ๊จ๊ะเบาๆ ไม่ใช่สิ คนปกติเวลาเห็นคนในบ้านเพิ่มมาหนึ่งคนก็ควรจะรู้สึกแปลกใจมากไม่ใช่เหรอ ท่าทีตอบสนองของแม่เขาไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่เลยนะ 

 

 

           “เสี่ยวเหยี่ยน มาอยู่ด้วยกันกับเฉินเฉินได้ยังไง” คุณแม่เจียงมองซือเหยี่ยนด้วยสีหน้าดีใจ ขาดแค่ไม่ได้พุ่งตัวไปดึงมือเขามาเท่านั้น 

 

 

           “สวัสดีครับน้าเจียง พอดีเมื่อคืนผมเพิ่งกลับจากไปดูงานด่วนนอกสถานที่ครับ แล้วบ้านผมกำลังตกแต่งปรับปรุงอยู่ เห็นว่าดึกมากแล้วเลยมาที่นี่ ขอบคุณคุณน้าที่ให้การตอบรับนะครับ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว ตกแต่งปรับปรุง? ข้ออ้างแถสีข้างถลอกขนาดนี้ แม่เขาจะเชื่อได้ลงเหรอ 

 

 

           “น่าจะบอกกันก่อน ถ้ารู้ว่าเสี่ยวเหยี่ยนกลับมาเมื่อคืน น้าจะได้ให้เฉินเฉินรออยู่ข้างล่าง อ่อใช่ ระหว่างที่นั่นยังตกแต่งปรับปรุงอยู่ ก็มาพักที่บ้านน้าก่อนเถอะ ห้องเฉินเฉินก็ใหญ่พอดี พวกลูกเบียดกันนิดนึงก็อยู่ได้แล้ว” 

 

 

           ??? 

 

 

           เครื่องหมายคำถามเต็มหัวเจียงมู่เฉินไปหมด……นี่แม่เขาเจอซือเหยี่ยนที จิตใต้สำนึกไม่ต้องใช้ไอคิวแล้ว? 

 

 

           ‘ยังให้เขาเบียดกันกับซือเหยี่ยนอีก?’ 

 

 

           นี่มันเป็นการผลักเขาให้ไปอยู่ใต้ร่างซือเหยี่ยนไม่ใช่หรือไง เป็นแม่เขาเองจริงๆ คัดค้าน! 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเบาๆ พยักหน้ารับ “งั้นช่วงนี้รบกวนน้าเจียงด้วยนะครับ” 

 

 

           คุณแม่เจียงรีบเอ่ยยิ้มรับ “ไม่รบกวนๆ เจ้าเด็กแสบของพวกเราควรจะเรียนรู้จากเสี่ยวเหยี่ยนเยอะๆ ไม่ดื้อได้สักครึ่งหนึ่งของเสี่ยวเหยี่ยนก็โอเคแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนอัดจนจะกระอักเลือดจริงๆ แล้ว เขาเกือบจะไม่ทน อีกนิดจะเด้งตัวขึ้นมาชี้หน้าซือเหยี่ยนพูดกับแม่เขาแล้ว ไอ้หมอนี่ไม่ดื้อกับผีน่ะสิ ตอนอยู่บนเตียง ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าไม่ดื้อตรงไหน 

 

 

           สัตว์……ที่รู้หน้าไม่รู้ใจ! 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าคำว่า ‘สัตว์’ น่าฟังกว่าคำว่า ‘เดรัจฉาน’ มาก เปรียบเทียบได้เหมาะสมกับซือเหยี่ยนคนหน้าเนื้อใจเสือ 

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้กำลังกินข้าวอยู่อย่างกล้ำกลืนฝืนทน ถ้าไม่เห็นแก่หน้าแม่เขา เขาเผาซือเหยี่ยนไปนานแล้ว 

 

 

           หลังจากกินข้าวเสร็จ ซือเหยี่ยนเช็ดปากอย่างมีมาดสุภาพ ก่อนเอ่ยขึ้น “น้าเจียงครับ พอดีที่บริษัทมีเรื่องนิดหน่อย ผมจะกลับบริษัทไปก่อน จัดเก็บของลงกระเป๋าแล้ว จะมาอีกนะครับ” 

 

 

           คุณแม่เจียงได้ยินก็รีบเอ่ย “เสี่ยวเหยี่ยนจัดการงานที่บริษัทเถอะจะ เรื่องจัดเก็บของลงกระเป๋าเดี๋ยวให้เฉินเฉินจัดการก็แล้วกัน ถึงยังไงเขาก็อยู่ที่นั่นมาพักหนึ่งแล้ว คุ้นเคยดีอยู่จะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉิน “……” ผมเป็นลูกชายแท้ๆ ของแม่จริงๆ มือที่ขุดหลุมฝังตัวเองไม่อ่อนโยนเลย 

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนฉายรอยยิ้ม เขาเอียงหน้ายกมุมปากขึ้นมองไปทางเจียงมู่เฉิน “งั้นก็รบกวนคุณแล้ว เฉินเฉิน~” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ไม่! รบ! กวน! มาก! เลย!” 

 

 

           คุณแม่เจียงส่งสายตามองตามพวกเขาไป เจียงมู่เฉินขับรถไปส่งซือเหยี่ยนที่บริษัท จากนั้นไปบ้านเขาเพื่อจัดกระเป๋าเดินทางให้เขา 

 

 

           เจียงมู่เฉินขับรถไป พลางยิ้มเยาะ เขาอดจะสงสัยไม่ได้ ซือเหยี่ยนถึงจะเป็นลูกชายของพ่อแม่เขาที่แท้จริงใช่ไหม ตอนนั้นตัวเองโดนอุ้มไปผิดหรือเปล่า 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่เอาแต่ยิ้มเยาะตลอดทาง แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นหัวเราะ “เป็นไรไป หึงเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “เปล่า ฉันจะไปหึงอะไร” 

 

 

           “ไม่ดื้อนะ ในใจผมคุณยังเป็นที่หนึ่งอยู่” ซือเหยี่ยนเอ่ยโอ๋ 

 

 

           “ไม่ดื้อน้องสาวนายสิ ฉันไม่เอาที่หนึ่งของนายหรอก” เจียงมู่เฉินระเบิดลงเพียงพริบตา 

 

 

           “อ่อ งั้นผมเป็นที่หนึ่งของคุณแล้วกัน” เขามองเจียงมู่เฉินผู้กำลังระเบิดลง แล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ 

 

 

           “……” เขาจอดรถทิ้งคนลงกลางทางตอนนี้ทันไหม 

 

 

           …… 

 

 

           หลังจากส่งซือเหยี่ยนถึงบริษัทแล้ว ถึงได้ขับรถด้วยความเร็วสูงมาถึงที่คฤหาสน์ของซือเหยี่ยน รถเพิ่งจะจอดถึงประตูทางเข้า ก็เห็นว่าข้างในมีคนอยู่ไม่น้อยจริงๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินลงจากรถ เห็นพวกเขาขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ออกมาข้างนอก เจียงมู่เฉินชะงักไป บ้านไอ้หมอนี่ตกแต่งปรับปรุงจริงๆ แฮะ 

 

 

           เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เข้าไปข้างในขึ้นชั้นสองหยิบเสื้อผ้าให้ซือเหยี่ยนแล้ว ถึงได้ออกมา 

 

 

           หลังจากออกจากบ้านซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินไม่ได้รีบร้อนกลับบ้าน แต่มุ่งตรงไปบ้านมั่วไป๋ เมื่อคืนเขาขอให้มั่วไป๋ออกไปด้วย แต่ตัวเองดันไม่ได้ไป เพราะฉะนั้นเขาต้องไปแสดงการขอโทษมั่วไป๋ด้วยตัวเอง 

 

 

             

 

 

ตอนที่ 147 ไป๋จิ่งผู้หมดอาลัยตายอยาก 

 

 

           ณ ซือกรุ๊ป ซือเหยี่ยนเข้าบริษัทมา เมื่อเดินผ่านห้องทำงานของไป๋จิ่ง ก็พบว่าประตูปิดสนิท ราวกับว่าไม่มีคนอยู่อย่างไรอย่างนั้น 

 

 

           เขาคว้าตัวเสี่ยวหลิวที่เดินผ่านมาข้างๆ พอดี “ประธานไป๋ของพวกคุณล่ะ” 

 

 

           “ประธานไป๋ยังไม่มาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วค่ะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ แล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องทำงานของตัวเองไป เขาหยิบมือถือออกมาโทรหาไป๋จิ่ง เมื่อก่อนก็ตกลงกันแล้ว ว่าวันนี้จะมาเจอกัน ทำไมถึงตอนนี้แล้วยังไม่มาอีก 

 

 

           ไป๋จิ่งนั่งตะลึงค้างอยู่บนเตียง ค่ำคืนอันเร่าร้อนผ่านไป เช้าวันต่อมา ไป๋จิ่งยังอยากจะกอดมั่วไป๋นอนอุ่นเครื่องอีกอยู่เลย 

 

 

           ปรากฏว่าไม่มีใครให้กอด ลืมตามาก็เห็นแค่เงินปึกหนึ่งวางไว้บนหมอน…… 

 

 

           เขาชะงักงันมองเงินหยวน สมองอดจะกระตุกไม่ได้ นี่มั่วไป๋เห็นเขาเป็นหนุ่มบาร์โฮสต์ไปแล้วเหรอ 

 

 

           ไป๋จิ่งผู้ไม่เคยรับเงินบนเตียง รู้สึกงุนงงไม่เบา 

 

 

           เขานั่งขัดสมาธินิ่งเงียบอยู่บนเตียงตั้งนานสองนาน ยังรับความจริงเรื่องนี้ไม่ไหว ไม่นึกว่าสักวันจะมีคนมาทำให้เขากลายเป็นผู้ชายขายตัวไปแล้ว 

 

 

           ‘ที่สำคัญคือ……คนๆ นั้นใช้เขาเสร็จ ทิ้งเงินไว้ แล้วก็หนีไปเลย’ 

 

 

           มือถือที่วางข้างเตียงสั่นไม่หยุด ไป๋จิ่งหยิบมือถือขึ้นมากดรับสายด้วยความสิ้นหวังในชีวิต ทางซือเหยี่ยนยังไม่ทันได้พูดอะไร ไป๋จิ่งร้องโหยหวนอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ฉันไป๋จิ่ง ไม่นึกว่าสักวันจะมีคนมาทำให้ฉันกลายเป็นผู้ชายขายตัวไปแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนผู้นั่งอยู่ในห้องทำงานมุมปากกระตุกแล้ว เขาตัดสายทิ้งอย่างไม่ลังเล 

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูมือถือที่ถูกตัดสายไป ยังตอบสนองกลับไปไม่ได้ ซือเหยี่ยนไอ้หมอนี่กำลังสาดเกลือใส่บาดแผลเขาเหรอ 

 

 

           เขากอดตัวเองไว้ด้วยความรู้สึกอ่อนแอ ชักอยากจะร้องไห้แล้ว 

 

 

           ความเป็นจริงมันโหดร้ายเกินไป เขาไม่อยากเผชิญความจริงนี้เลยสักนิด 

 

 

           รถเจียงมู่เฉินแล่นมาจอดใต้ตึกคอนโดมิเนียมของมั่วไป๋ เขาถือเค้กที่ตั้งใจอ้อมชานเมืองไปซื้อมา เป็นของที่มั่วไป๋ชอบที่สุด ใช้ของชิ้นนี้เป็นของขวัญเอาใจ หวังว่ามั่วไป๋จะเห็นความซื่อตรงจริงใจจากเขาได้บ้าง ลงมือกับเขาเบาๆ หน่อย 

 

 

           เขายืนอยู่หน้าประตูบ้านของมั่วไป๋ กดกริ่งประตู 

 

 

           ตั้งนานก็ไม่มีใครเปิดประตู 

 

 

           เจียงมู่เฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด เวลานี้มั่วไป๋ไม่ควรจะไม่อยู่ แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนที่ไม่ถึงตอนบ่ายไม่ตื่นนอนนี่หน่า 

 

 

           เขากดกริ่งอีก ราวกับว่าไม่เปิดประตูก็จะกดอยู่อย่างนี้ไม่หยุด 

 

 

           มั่วไป๋นอนฟุบอยู่บนเตียง โดนเสียงหนวกหูรบกวนก็หมดหนทาง เขาดึงผ้าห่มออก ปีนลงจากเตียง กุมขมับที่กำลังปวดอยู่ เดินออกจากห้องไป 

 

 

           ดึงประตูเปิดออก เจียงมู่เฉินยืนยิ้มอ่อนอยู่หน้าทางเข้า 

 

 

           มั่วไป๋กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง ปัง เสียงประตูกระแทกปิด เจียงมู่เฉินตะลึงงัน จิตใต้สำนึกบอกให้เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง 

 

 

           อันตรายๆ อีกนิดประตูบานนี้จะสะบัดหน้าเขาแล้ว 

 

 

           ผ่านไปอีกห้านาที มั่วไป๋เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ถึงได้เปิดประตูอีกครั้ง สีหน้ายังไม่คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อครู่นี้เยอะแล้ว 

 

 

           “ไป๋ไป๋ เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ ทำไมสีหน้าดูแย่ขนาดนี้ล่ะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยถามไถ่เอาใจด้วยความเป็นห่วง ยังไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องโดนเขาปิดประตูใส่ให้รออยู่ข้างนอกอีก 

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ “อืม เมื่อวานหลับไม่ค่อยสนิท” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินก็มองเขาด้วยความสงสัยทันที “เมื่อคืนนายไม่นอนแล้วไปทำไม” 

 

 

           มั่วไป๋ขบกรามแน่น “ถ้าฉันเป็นนายฉันจะไม่เป็นฝ่ายถามปัญหานี้นะ” เขายังมีหน้ามาถามว่าเขาไปไหนอีกเหรอ 

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงมู่เฉิน เขาคงไม่ต้องถึงขนาดไปหลานเยี่ยกลางดึก แล้วโดนคนทำร้าย แถมยังไม่ระวังถูกวางยาอีก 

 

 

           ‘สุดท้ายก็โดนไป๋จิ่งไอ้คนระยำ ‘ทำ’ จนเอวยืดตรงไม่ได้’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้ตัวว่าถามผิดก็รีบเอามือกุมปากตัวเองไว้ “คือว่า โทษฉันเลย โทษฉัน เป็นปัญหาของฉันเอง” 

 

 

           “ทำไมจู่ๆ นายมาโผล่ที่นี่” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอาเค้กที่ตัวเองตั้งใจซื้อมาเป็นพิเศษวางลงต่อหน้ามั่วไป๋ “ฉันมาแสดงการขอโทษ เมื่อคืนฉันถูกพ่อฉันจับตัวไว้ เขาลากฉันไปคุยด้วยสามชั่วโมง” 

 

 

           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น เขาเองก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเจียงมู่เฉิน 

ตอนที่ 144 แค่หนุ่มบาร์โฮสต์เป็นคนคุ้นหน้ากัน 

 

 

           ความรู้สึกทำนองนั้นก็คือเหมือนเสือชีตาร์แสนดุร้ายที่จู่ๆ กลายร่างเป็นแกะน้อยแสนเชื่อง ดูไม่ชอบมาพากลเหมือนมีความลับรั่วไหลออกมาจากทุกทาง  

 

 

           แต่กลับดูไม่ออกว่าสุดท้ายแล้วไม่ชอบมาพากลตรงไหน 

 

 

           “โอเค ฉันรู้แล้ว ไสหัวไปได้แล้ว” เจียงมู่เฉินเอนกายไปข้างหลังเตรียมตัวจะนอน 

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ นี่คือใช้เสร็จแล้วทิ้งเลย เขายังคิดว่าเจียงมู่เฉินจะให้เขานอนด้วยคืนหนึ่งแล้วค่อยไปเสียอีก 

 

 

           “ผมจะไปแล้วนะ……” ซือเหยี่ยนแค่พูดแต่ไม่ขยับ “ผมจะไปจริงๆ แล้วนะ……” 

 

 

           เจียงมู่เฉินอยู่บนเตียง ปฏิกิริยาตอบสนองสักนิดก็ไม่มี 

 

 

           ซือเหยี่ยนทำหน้าน้อยใจ “เฮ้อ ดูท่าว่าคุณไม่อยากจะให้ผมอยู่ต่อจริงๆ งั้นผมไปก็ได้ จะได้ไม่ทำให้คุณไม่สบายใจอีก” 

 

 

           “เพียงแต่ว่า ลงจากเครื่องมา ก็ให้คนขับรถมาส่งผมที่นี่เลย เดิมทีผมคิดว่าคุณจะเห็นใจผม ผมเลยให้คนขับออกไปก่อนแล้ว……” 

 

 

           “แต่ก็ช่างเถอะ ดึกขนาดนี้ไม่มีรถ ผมเดินกลับเองก็ได้ พรุ่งนี้เช้าคงจะถึงได้พอดี” เขาพูดไปพลางลุกยืนขึ้นเตรียมจะเดินออกไป “งั้นผมไปแล้วนะ เฉินเฉินคุณก็พักผ่อนดีๆ แล้วกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยังไม่ทันได้ก้าวเท้าถึงสองก้าว ก็โดนฉุดดึงกลับมา เจียงมู่เฉินกดเขาลงไปกับเตียงไป “จะพล่ามอะไรมากมาย นอน” 

 

 

           ยามราตรีมืดมิด ซือเหยี่ยนยกยิ้มเจ้าเล่ห์ สมหวังดั่งใจได้นอนข้างเจียงมู่เฉินบนที่ครึ่งหนึ่งของเตียง เขาผ่อนลมหายใจออกอย่างสบายอารมณ์ 

 

 

           ด้านเจียงมู่เฉินลืมตาค้างนอนไม่ค่อยจะหลับ เขานอนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

           ซือเหยี่ยนรั้งเขาเข้ามากอดด้วยความเคยชิน เป็นครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินไม่ดิ้นรนขัดขืน ปล่อยให้เขาโอบเอวอยู่อย่างนั้น 

 

 

           “คิดอะไรอยู่เหรอ” ซือเหยี่ยนงับใบหูเขาไว้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินรำคาญไม่อยากจะสนใจเขา “ไม่มีอะไร นอนเถอะ” 

 

 

           เขาหาท่านอนที่ทำให้สบายตัวได้แล้ว ดวงตาคู่นี้ปิดลงจนหลับไป ครั้งนี้ไม่ถึงห้านาที เจียงมู่เฉินก็เข้าสู่นิทราไปเป็นที่เรียบร้อย 

 

 

           ซือเหยี่ยนกอดกุมหลังมือของเจียงมู่เฉินไว้แน่น แล้วปล่อยกายนอนหลับ เป็นการนอนที่ดีครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้เจอเจียงมู่เฉินมา 

 

 

           เช้าวันต่อมา แสงแดดสาดส่องทะลุผ่านผ้าม่านมาตกกระทบบนพื้น มั่วไป๋ขยับร่างกายที่ปวดเมื่อย ร่างกายที่ไม่เหมือนปกติทำให้เขาตกใจกลัวเล็กน้อย เมื่อคืนความทรงจำอันบ้าคลั่งถาโถมกลับเข้ามาในหัวทั้งหมด 

 

 

           เขาหลับตาลง ในหัวฉายภาพความทรงจำบางอย่างขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ เขากอดไป๋จิ่งไว้ประทับรอยจูบตามอำเภอใจอยู่อย่างนั้น 

 

 

           ใช้เวลากว่าสองนาทีถึงทำให้ใจสงบลงได้ เขาหันมามองไป๋จิ่งที่ยังนอนหลับอยู่ข้างกาย มั่วไป๋ค่อยๆ ลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง สวมเสื้อผ้าที่อยู่ข้างๆ แล้วหยิบเงินสดปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงวางไว้ข้างเตียง จากนั้นถึงค่อยเดินออกไป 

 

 

           เขาคิดเสียว่าเมื่อคืนตัวเองแค่หาหนุ่มบาร์โฮสต์มาช่วยตัวเองที่โดนวางยา ให้คลายฤทธิ์ยาออก แต่บังเอิญว่าหนุ่มบาร์โฮสต์เป็นคนคุ้นหน้ากันพอดีเท่านั้นเอง 

 

 

           มั่วไป๋สีหน้าเย็นชา เดินออกจากคอนโดมิเนียมของไป๋จิ่งไป ราวกับว่าเมื่อคืนนี้เรื่องราวทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

 

           …… 

 

 

           อีกด้านหนึ่ง เจียงมู่เฉินนอนอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน ทั้งสองคนกอดรัดพันเกี่ยวกันอยู่ใต้ผ้าห่ม 

 

 

           ในห้องเงียบสงัด เหลือแค่เพียงเสียงลมหายใจที่เป็นจังหวะมั่นคง 

 

 

           ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา “เฉินเฉิน ใกล้จะเที่ยงแล้ว รีบลงมากินข้าวเร็วลูก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินตกใจตื่น ตอบกลับอย่างเอื่อยเฉื่อย “รู้แล้วครับแม่ เดี๋ยวจะรีบลงไปครับ” 

 

 

           “อืม เร็วเข้าล่ะ แม่จะรอลูกอยู่ข้างล่าง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินบิดขี้เกียจตามความเคยชิน มือไปโดนเรือนผิวกายอุ่นร้อนพอดี เขาชะงักไปหันมองด้านข้าง ซือเหยี่ยนนอนเอ้อระเหยอยู่ข้างกาย เพิ่งจะลืมตาง่วงๆ ตื่นขึ้นมาได้ไม่นานนี้เอง 

 

 

           “อรุณสวัสดิ์” ซือเหยี่ยนคว้ามือเจียงมู่เฉินที่สัมผัสโดนแผ่นอกของตัวเองขึ้นมาจูบ 

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย ใจหายหมด’ เจียงมู่เฉินรีบชักมือกลับ เขาลืมไปได้ยังไงว่าบนเตียงยังมีซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นนอนอยู่ 

 

 

           “นาย นายทำไมยังอยู่ที่นี่อีก” เจียงมู่เฉินนึกขึ้นมาได้กะทันหันว่าเมื่อครู่นี้ยังดีที่แม่เขายังเคารพความเป็นส่วนตัวของเขา ไม่เปิดประตูเข้ามาเอง 

 

 

           ไม่เช่นนั้นมาเห็นเขากับซือเหยี่ยนนอนกันแบบนี้บนเตียง กลัวว่ามีแปดปากก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่กำลังลุกลี้ลุกลนแล้วหัวเราะ “คุณถามผมแบบนี้เหรอ เมื่อคืนคุณให้ผมนอนที่นี่ ผมไม่อยู่ที่นี่แล้วจะให้ผมไปไหน”    

 

 

            

 

 

ตอนที่ 145 พะเน้าพะนอคลอเคลียยามเช้า 

 

 

           ขมับเจียงมู่เฉินอดจะกระตุกสั่นไม่ได้ เมื่อคืนเขาไม่ควรใจอ่อนให้ซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นอยู่ต่อเลย ตอนนี้คนตัวโตขนาดนี้อยู่บนเตียงของตัวเอง จะให้ปีนออกจากหน้าต่างไปก็ไม่ได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเริ่มปวดหัว หรือว่าจะต้องพาไอ้หมอนี่ลงไปข้างล่างด้วย? 

 

 

           ‘แล้วถ้าแม่เขาถามขึ้นมาจะอธิบายยังไง’ 

 

 

           คิดถึงตรงนี้ เจียงมู่เฉินก็อดจะถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนไม่ได้ 

 

 

           คนโดนจ้องเขม็งลูบจมูกป้อยๆ ทำไขสือมองเขา เจียงมู่เฉินถอนหายใจ ไม่ช้าก็เร็วคงมีสักวันที่ตัวเองจะต้องตายด้วยเงื้อมมือของซือเหยี่ยน 

 

 

           “งั้นตอนนี้จะทำยังไง” เจียงมู่เฉินลนลานขึ้นมาแล้ว เขากลัวว่าแม่เขารู้จะไล่ฆ่าเขา 

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับทำหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาไม่มีผิด เจียงมู่เฉินโมโหจนขบกรามแน่น ยกเท้าถีบเขาแรงๆ ไปที 

 

 

           “ทำไมนายไม่ร้อนใจบ้าง ถ้าโดนแม่ฉันจับได้ขึ้นมา พวกเราสองคนจบกันเลยนะ”  

 

 

           ถึงแม้ว่าเรื่องที่เขาคบกับซือเหยี่ยน ไม่ช้าก็เร็วสักวันพ่อแม่เขาจะต้องจับได้ เขาเองก็ไม่คิดจะปิดเรื่องซือเหยี่ยน แต่ว่าเรื่องราวระหว่างเขากับซือเหยี่ยนในตอนนี้ยังไม่ได้ทำให้ชัดเจน มันยังไม่ใช่โอกาสที่ดีในการเปิดเผยเรื่องนี้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนคืนสภาพกลับมาเป็นคนหัวสูงขี้เก๊กเหมือนปกติเช่นเดิมแล้ว เขากวาดสายตามองเจียงมู่เฉินที่อยู่บนเตียง “หยิบเสื้อผ้าให้ผมหน่อย คุณจะให้ผมแต่งตัวสภาพแบบนี้เหรอ” 

 

 

 

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น อยากพุ่งเข้าไปกัดเขาสักที นี่มันใช่เวลามาห่วงรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองไหม 

 

 

           แต่ว่าสุดท้ายก็ยังใจอ่อนอยู่ดี เจียงมู่เฉินหาเสื้อผ้าใหม่ที่ตัวเองไม่เคยใส่จากในตู้เสื้อผ้ามาให้เขา 

 

 

           “นี่ ยังไม่เคยใส่” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองแวบหนึ่งก่อนจะโยนกลับไป 

 

 

           เส้นเลือดบนหัวเจียงมู่เฉินกระตุกแล้วกระตุกอีก ตอนนี้เขาฆ่าซือเหยี่ยนจับหมกยัดตู้จะเป็นไรไหม แบบนี้แก้ไขสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานได้ไม่พอ ยังไม่ทำให้เขาอกแตกตายด้วย 

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินอ้อมเตียงมา ปลดกระดุมบนเสื้อเชิ้ตไป พลางมุ่งหน้าไปยังตู้เสื้อผ้าด้วย 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูเขาค่อยๆ ปลดกระดุมออกจนหมด จากนั้นถอดเสื้อเชิ้ตออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นร่างกายกำยำกล้ามเนื้อกระชับแน่นวาบไปวาบมาต่อหน้าต่อตาเขา 

 

 

           ซือเหยี่ยนควานหาเสื้อเชิ้ตที่เจียงมู่เฉินเคยใส่ออกมาจากตู้เสื้อผ้า ค่อยๆ ปลดกระดุมออก เอามาสวมคลุมตัว 

 

 

           เขายืนอยู่ตรงนั้นตั้งนานก็ยังไม่แต่งตัวให้เสร็จสักที 

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนถลึงตาใส่เขา “นายใส่ให้มันเร็วขึ้นหน่อยจะได้ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงตัวหันมามองเขา “โทษที เพิ่งจะตื่นนอนเวียนหัวนิดหน่อย” จากนั้นถึงได้ค่อยๆ สวมเสื้อเชิ้ตบนตัวเข้าไปดีๆ 

 

 

           เสื้อเชิ้ตของเจียงมู่เฉินเมื่อมาอยู่ในร่างของซือเหยี่ยนก็จะคับนิดหน่อย แต่พอใส่เสื้อสูทเข้าไปก็มองไม่ออกแล้ว 

 

 

           สวมเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็เดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน ท่าทางคล่องแคล่วดูคุ้นเคยราวกับอยู่บ้านตัวเองไม่มีผิด 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าหางตาจะดำๆ คล้ำๆ แล้ว เขาเดินตามเข้าไป 

 

 

           คนสองคนอยู่ในห้องน้ำ กระจกสะท้อนภาพคนสองคนที่ทำอะไรๆ เหมือนๆ กัน เจียงมู่เฉินก้มตัวลงไปล้างหน้า กำลังจะเตรียมดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดหน้า ก็โดนซือเหยี่ยนโอบเอวไว้แน่นแล้วประทับรอยจูบลงไป 

 

 

           เขาเบิกตากว้างมองซือเหยี่ยน ไม่นึกถึงน้ำที่ยังไม่ได้เช็ดให้แห้งบนใบหน้าเลย 

 

 

           ซือเหยี่ยนจูบจนพอใจถึงได้ปล่อยมือ เจียงมู่เฉินยึดไหล่เขาไว้ หายใจหอบ “แม่ฉันยังอยู่ข้างล่าง สนใจระวังหน่อยจะได้ไหม” 

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนทอประกายความเจ้าเล่ห์ ตั้งแต่ตอนที่เจียงมู่เฉินตื่นนอน เขาก็อยากทำแล้ว ตัวเองพะเน้าพะนอคลอเคลียมาตั้งเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยสักนิด 

 

 

           รอให้เจียงมู่เฉินโผเข้ามาจูบเขา เกรงว่ารอถึงพรุ่งนี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพึ่งลำแข้งของตัวเอง 

 

 

           ซือเหยี่ยนผู้ได้ลิ้มชิมความหวานสมใจรับกระดาษทิชชูเช็ดหน้าต่อจากมือเจียงมู่เฉิน หลังจากช่วยเขาเช็ดหน้าอย่างเบามือแล้ว ถึงได้เอ่ยปาก “ไปกันเถอะ คุณชายน้อยเจียงของผม” 

 

 

           โดนซือเหยี่ยนพาลงไปชั้นล่างแบบงงๆ เจียงมู่เฉินถึงเพิ่งรู้ตัว เขายังไม่ได้คิดดีๆ เลยว่าจะอธิบายเรื่องของซือเหยี่ยนกับแม่เขาแบบไหน 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือกุมหัว ต้องเป็นเพราะเขาโดนจูบจนขาดอากาศหายใจแน่ๆ สมองถึงได้ประมวลผลไม่ได้แบบนี้ 

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับสุขุมนิ่งสงบ ค่อยๆ เดินลงบันไดช้าๆ ราวกับเดินเล่นอยู่ไม่มีผิด เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น รอดูอีกสักพัก ว่าซือเหยี่ยนไอ้หมอนี่จะอธิบายเรื่องเมื่อคืนที่ลอบขึ้นมาที่เตียงเขายังไง 

 

 

           คุณแม่เจียงอยู่ชั้นล่างรอเจียงมู่เฉินเรียบร้อยแล้ว เธอได้ยินการเคลื่อนไหวจากชั้นบนจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นซือเหยี่ยนอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน สีหน้าตกตะลึงมึนงง……        

ตอนที่ 142 ประธานซือกระโดดข้ามกำแพงกลางดึก 

 

 

           “มั่วไป๋ ตอนนี้คุณยังโอเคไหม อยากให้ไปตามหมอมาให้คุณไหม” 

 

 

           เขาลืมตาที่แดงก่ำจ้องมองไป๋จิ่ง มั่วไป๋อดจะฝืนยิ้มไม่ได้ เขาใกล้จะลืมไป๋จิ่งแล้ว ทำไมไป๋จิ่งถึงยังต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาไม่มีท่าทีตอบสนอง จึงคิดจะไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อบนหน้าเขา เจ้าตัวยังไม่ทันหันไปก็ถูกมั่วไป๋ดึงรั้งให้หยุด 

 

 

           เขากุมมือไป๋จิ่งแน่นสนิท ดึงอีกฝ่ายมาอยู่ข้างหน้าตัวเอง ไป๋จิ่งตะลึงงัน นาทีต่อมาก็ถูกมั่วไป๋โอบรัดต้นคอเอาไว้ 

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้าฉวยโอกาสนี้ประทับรอยจูบที่ริมฝีปากปากของไป๋จิ่ง เขายอมแพ้แล้ว แทนที่จะต่อสู้ดิ้นรนเก็บกดความรู้สึกด้วยความเจ็บปวดทรมาน สู้ใช้ไป๋จิ่งไปเลยดีกว่า 

 

 

            ‘ถึงยังไงเมื่อก่อนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยทำ มีอะไรต้องเสแสร้งอีก’ 

 

 

            ท่ามกลางความเจ็บปวด น้ำตาหลั่งไหลรดรินจากหางตาลงไปซ่อนในเรือนผมสั้นสีดำของมั่วไป๋ เขาหลับตาลงรองรับความรุ่มร้อนของไป๋จิ่ง 

 

 

           ‘ครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นตัวเองในตอนนั้นที่เคยยอมให้เขาจับกดมาได้ตั้งนาน เป็นการเก็บดอกเบี้ยเดิมมาใช้ใหม่แล้วกัน’ 

 

 

           …… 

 

 

           กว่าซือเหยี่ยนจะบินจากอเมริกามาถึงสนามบินที่ถานโจว เวลาก็ปาไปห้าทุ่มกว่าแล้ว ร่างกายเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด แต่เมื่อคิดถึงเจียงมู่เฉิน เพียงเสี้ยววินาทีก็ตาสว่างขึ้นมาจนได้ 

 

 

           เขาค่อยๆ ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากสนามบิน จนกระทั่งขึ้นนั่งในรถเก๋งคันสีดำที่จอดรอข้างนอกมาเป็นระยะเวลานาน 

 

 

           “ประธานซือครับ กลับคฤหาสน์หรือเปล่าครับ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนครุ่นคิด “ไปบ้านตระกูลเจียง” 

 

 

           เทียบกับการกลับบ้านไปนอน เขาอยากเจอเจียงมู่เฉินมากกว่า ไม่รู้ว่าไม่กี่วันมานี้อีกฝ่ายจะโกรธจนระเบิดลงเลยใช่หรือเปล่า 

 

 

           รถเก๋งคันสีดำแล่นไปตามถนนโล่งไร้รถ ซือเหยี่ยนเอนพิงอยู่เบาะหลัง หลับตาลงเบาๆ สามวันมานี้ เขาเอาแต่ตามไมเคิลอยู่ข้างหลัง ไปตรวจสอบเรื่องราวของซังจิ่ง แทบจะไม่ได้ปิดตานอน 

 

 

           กลับมาแวบแรกคือมุ่งตรงไปหาเจียงมู่เฉิน เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย อดจะยิ้มไม่ได้ ไม่รู้ว่าเข้าไปดึกขนาดนี้ เจียงมู่เฉินจะโกรธจนคว้ามีดมาไล่ฆ่าเขาไหม 

 

 

           รถมาจอดตรงหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลเจียง ซือเหยี่ยนเปิดประตูรถออกมา ก็ไม่ลืมจะสั่งกำชับ “พรุ่งนี้ไม่ต้องมารับฉัน” 

 

 

           หลังจากพูดจบ รถถึงได้แล่นออกไป 

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลเจียง ดูลาดเลาตำแหน่งห้องของเจียงมู่เฉินสักหน่อย ข้างในดับไฟเรียบร้อย ซือเหยี่ยนอดจะเลิกคิ้วไม่ได้ คืนนี้ยังไม่ดึกก็นอนแล้วเหรอ 

 

 

         เขาหยิบมือถือออกมาคิดว่า จะโทรหาเจียงมู่เฉินให้เขาลงมารับตัวเองดีไหม 

 

 

           แต่พอคิดถึงความเจ้าอารมณ์ของเจียงมู่เฉิน เกรงว่าเห็นสายของเขาโทรมาก็โกรธจนปิดเครื่องไปดื้อๆ ได้ ซือเหยี่ยนจึงเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วปีนรั้วเข้าไป 

 

 

           ถ้าอาจารย์ของโรงเรียนฝึกตำรวจรู้เข้า ว่าเขาต่อยอดวิชาฝึกตอนนั้นมาใช้กระโดดข้ามกำแพง ปีนขึ้นเตียงเจียงมู่เฉิน จะโกรธเขาจนอยากจะตีเขาให้ตายได้หรือเปล่า 

 

 

           ในกลางดึก ท่าทางซือเหยี่ยนคล่องแคล่วว่องไว หลบหลีกกล้องวงจรปิดจนกระทั่งปีนขึ้นระเบียงชั้นสองห้องทางซ้ายไป 

 

 

           เขาผลักเปิดประตูตรงระเบียงออก ที่แท้ก็ไม่ได้ล็อกไว้ เขาเงียบสักพัก เพื่อฟังเสียงข้างใน จนแน่ใจว่าเจียงมู่เฉินนอนหลับแล้วถึงผลักประตูเดินเข้าไป 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนพ่อเขาอบรมจนง่วงอยู่ชั้นหนึ่ง กว่าจะรอให้พ่อยอมปล่อยเขากลับห้องไม่ใช่ง่ายๆ เมื่ออาบน้ำเสร็จ แม้แต่เล่นเกมยังไม่ได้เล่น เขาเข้านอนไปเลย 

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนจับจ้องมายังเจียงมู่เฉินที่นอนฟุบอยู่บนเตียง แววตาทอประกายความอ่อนโยน เขาย่องเบาเดินเข้าไป 

 

 

           ท่านอนเจียงมู่เฉินทำตัวโตลำพองตัวไม่ต่างจากเจ้าตัวเท่าไหร่ เหมือนเมื่อก่อนที่นอนอยู่คฤหาสน์ซือเหยี่ยนไม่มีผิด คนเดียวนอนแผ่หลาเต็มเตียง 

 

 

           ซือเหยี่ยนเข้าไปใกล้พินิจมองใบหน้ายามหลับใหลของเขา พลางยื่นมือไปบีบจมูกเจียงมู่เฉิน 

 

 

           จู่ๆ ก็มีความรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมา ทำเอาคิ้วเจียงมู่เฉินขมวดเข้าหากันเพียงพริบตา เขาย่นคิ้วลืมตาด้วยสีหน้าหงุดหงิด เพิ่งจะเตรียมเปิดปากต่อว่าก็ถูกซือเหยี่ยนใช้ปากอุดกลับไปก่อน 

 

 

           ซือเหยี่ยนกดร่างเขาไว้กับเตียง มอบจุมพิตเร่าร้อนให้ ราวกับจะกลืนกินคนลงท้องอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

            

 

 

ตอนที่ 143 ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นคนรัก 

 

 

           ในห้องมืดสนิท เจียงมู่เฉินโดนกดร่างไว้กับเตียงขยับเขยื้อนไม่ได้ ยังมีซือเหยี่ยนไอ้คนระยำหน้าไม่อายกดทับอยู่บนร่างเขาอีก 

 

 

           เพียงไม่นานเขาก็ตื่นเต็มตาแล้ว เคลื่อนไหวร่างกายไม่ไหว โมโหจนอยากจะกัดเขา แต่ดันไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนไปบีบส่วนไหนของหน้าเขาแล้ว ทำได้แค่เปิดปากปล่อยให้ซือเหยี่ยนฉกชิงจากตัวเองไป 

 

 

           จนเขาจูบจนพอใจ ถึงได้หยุดการกระทำลง 

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนตาสว่างแล้ว ฉวยโอกาสที่ตัวเองเคลื่อนตัวได้ ใช้เท้าถีบซือเหยี่ยนอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เขากดเสียงต่ำเอ่ยด้วยความโมโห “นายแม่งเป็นโรคจิตหรือไง มาโผล่บ้านฉันทำไมดึกๆ ดื่นๆ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินโกรธแล้ว ก็นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างเตียง ทำไขสือพูดซื่อๆ “ผมคิดถึงคุณ” 

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย!’ หายไปสามวัน ไม่โทรหาเขาเลยสักสาย ตอนนี้ดึกๆ ดื่นๆ วิ่นแจ้นมาหาบอกว่าคิดถึงตัวเอง นายคิดว่าคุณชายเป็นเด็กอายุสามขวบที่นายจะหลอกยังไงก็ได้หรือไง! 

 

 

           “ไสหัวไปซะ อยู่ห่างๆ ฉันเลย” เจียงมู่เฉินโมโหจนไม่ไหว แทบอยากจะบีบคอเขาตายคามือ 

 

 

           “เฉินเฉิน……” ซือเหยี่ยนเริ่มจะทำตัวออดอ้อน ขอความเห็นใจจากเจียงมู่เฉิน 

 

 

           “อย่าเรียกชื่อฉัน” เจียงมู่เฉินด่าทอกลับโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย 

 

 

           เมื่อคิดถึงสามวันที่ผ่านมานี้ เขาคิดถึงซือเหยี่ยนทุกวัน แล้วเขาล่ะ ไม่รู้ว่าไปลอยหน้าลอยตาที่ไหน พอสบายแล้วมาคิดถึงเขาได้ ยังหน้าไม่อายมาที่นี่อีก 

 

 

           “คุณโกรธเหรอ” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ 

 

 

           “ฉันโกรธเหรอ ฉันโกรธจนจะอกแตกตายแล้ว” เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “ฉันเป็นสัตว์เลี้ยงของนายหรือไง อยากได้ก็มาดู ไม่อยากได้ก็ทิ้งขว้าง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ มองเขา “ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง” 

 

 

           เฮือก…เจียงมู่เฉินยิ่งของขึ้นกว่าเดิม นี่ในใจซือเหยี่ยน แม้แต่สัตว์เลี้ยงก็ยังเป็นไม่ได้เหรอ 

 

 

           “ไปๆๆๆ อย่ามาอยู่ในห้องฉัน รีบออกไปเลย ไม่งั้นฉันจะแจ้งความจับนายข้อหาบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลในยามวิกาลนะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนขำๆ มองดูเจียงมู่เฉินระเบิดลง ก่อนเอ่ยเน้นคำต่อคำ “ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นคนรัก” 

 

 

           “ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยง……เดี๋ยวๆ เมื่อกี้นายพูดอะไร” 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่สมัครใจจะเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ผมพูดไปแล้ว ไม่ได้ยินก็เป็นปัญหาของคุณ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง เมื่อครู่นี้เขาได้ยินคำว่า ‘คนรัก’ สองคำนี้ เขามองซือเหยี่ยน กำลังจะเตรียมบังคับให้อีกฝ่ายพูดอีกรอบ ก็เห็นซือเหยี่ยนยืนพรวดพราดขึ้นมา 

 

 

           “นายจะไปไหน” เจียงมู่เฉินรีบร้องเรียก 

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ “คุณบอกให้ผมรีบออกไป ไม่งั้นจะแจ้งตำรวจจับผมไม่ใช่เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนจะกระอักเลือด เมื่อก่อนพูดปากเปียกปากแฉะ ก็ไม่เห็นซือเหยี่ยนจะฟังกัน ทีตอนนี้มาเปลี่ยนไป ทำเป็นเชื่อฟังจะออกไปจริงๆ 

 

 

           “นายกลับมาหาฉันเดี๋ยวนี้” เจียงมู่เฉินถลึงตามองเขา “ถ้านายกล้าออกไป คุณชายรับประกันว่าจะตีขานายให้หักแน่!” 

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินก็หันกลับมานั่งลงข้างเตียงทันที “ในเมื่อเฉินเฉินพูดมาแบบนี้แล้ว ผมยังจะกล้าไปที่ไหนได้อีก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก เมื่อก่อนทำไมถึงไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนจะทำไขสือได้เก่งขนาดนี้ 

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย! มาดหัวสูงขี้เก๊กของนายล่ะ?’ 

 

 

           ‘โดนหมากินไปแล้วเหรอ’ 

 

 

           “กลางดึกแบบนี้ นายวิ่งแจ้นมานี่ทำไม” 

 

 

           “ผมคิดถึงคุณ เพิ่งจะลงเครื่องมาก็รีบมาหาคุณเลย” เสียงอ่อนโยนของซือเหยี่ยนเอ่ยชี้แจง 

 

 

           เจียงมู่เฉินหางตากระตุกมองข้ามคำว่า ‘หน้าไม่อาย’ ก่อนหน้านี้ไป เขาถีบซือเหยียบไปที “สามวันนี้นายไปไหนมา” 

 

 

           “ไปดูงานนอกมา บริษัทมีเรื่องนิดหน่อย” ซือเหยี่ยนอธิบายอย่างตรงไปตรงมา 

 

 

           เจียงมู่เฉินสังเกตมองเขาอย่างละเอียด “แน่ใจนะว่าแค่ออกไปดูงาน” 

 

 

           ความตรงไปตรงมาและจริงใจของซือเหยี่ยนโดนเขามองดูอยู่ “อืม แค่ออกไปดูงาน” 

 

 

           “ถ้างั้นที่นายให้แม่ฉันพาตัวฉันกลับมา เพราะกลัวว่าฉันจะทำให้นายเสียเวลาไปดูงานใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเริ่มรอจังหวะคิดบัญชีแค้น 

 

 

           “ขอโทษ เรื่องนี้ผมไม่รอบคอบเอง เลยไม่ได้บอกคุณล่วงหน้า” 

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าของเขา รู้สึกมาตลอดว่าจู่ๆ ซือเหยี่ยนมาทำตัวว่าง่ายขนาดนี้ ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่ 

ตอนที่ 140 โดนวางยาแล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก เขาไม่ไปก็ไม่อะไรหรอก แต่มั่วไป๋ไปด้วยไง เห็นสีหน้าของพ่อเขาแล้ว เจียงมู่เฉินเองก็ไม่กล้าจะพูดกับพ่อ ว่าขอเวลาให้เขาได้โทรศัพท์เพียงไม่กี่นาที 

 

 

           ตอนนี้เขากำลังรอคอย หวังว่ามั่วไป๋จะไม่คิดบัญชีกับเขาโหดร้ายเกินไป อย่างน้อยเหลือชีวิตให้เขาสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี 

 

 

           อีกฝั่งหนึ่ง มั่วไป๋หลังจากวางสายจากเจียงมู่เฉิน ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมุ่งตรงไปหลานเยี่ยทันที 

 

 

           หลังจากถึงแล้ว เจียงมู่เฉินยังไม่มา มั่วไป๋จึงหามุมสงบๆ นั่งรอเจียงมู่เฉิน 

 

 

           เขาถือโอกาสสั่งเหล้าขวดหนึ่งที่เจียงมู่เฉินชอบที่สุดมารินไว้รอเขา 

 

 

           มั่วไป๋ผู้นั่งรออยู่หลานเยี่ยไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงแน่นอน ว่าเจียงมู่เฉินคนที่เร่งตัวเองให้ออกมาเที่ยวด้วยจะถูกพ่อเขากักตัวไว้ มาไม่ไหวไปโดยปริยาย 

 

 

           เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที วินาทีต่อวินาที มั่วไป๋รอมาครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นเจียงมู่เฉินเข้ามา เขาหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมจะโทรหาเจียงมู่เฉินถามว่าเขาถึงไหนแล้ว 

 

 

           เพิ่งจะหยิบมือถือออกมาก็พบว่าเครื่องปิดไปเรียบร้อย มั่วไป๋กุมขมับ ลืมชาร์จแบบมือถืออีกครั้งจนได้ 

 

 

           ไร้หนทางจะติดต่อเจียงมู่เฉินแล้ว มั่วไป๋เองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร นั่งพิงจิบเหล้าอย่างช้าๆ อยู่ตรงนั้น 

 

 

           หลังจากที่ครั้งก่อนได้เจอไป๋จิ่งที่หลานเยี่ย มั่วไป๋ก็ไม่ได้มาที่นี่อีก คงเพราะจิตใต้สำนึกไม่อยากให้โอกาสตัวเองได้เจอกับไป๋จิ่งอีก 

 

 

            มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะตัวเอง เขาคงจะไม่แย่ขนาดที่มาสองครั้งก็เจอไป๋จิ่งทั้งสองครั้งหรอก 

 

 

           เขาเงยหน้ากระดกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่มจนหมด 

 

 

           อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงมู่เฉินก็ยังไม่มา มั่วไป๋ถอนหายใจ ไอ้หมอนี่คนที่อยากมาก็มาไม่ได้แล้ว เขาดูเวลาเตรียมจะกลับออกไป        

 

 

           จากมุมมืดมุมๆ หนึ่งไม่ไกล มีใครสักคนเอาแต่จ้องมองมายังตำแหน่งที่มั่วไป๋อยู่ตลอด ตั้งแต่นาทีนั้นที่เขาผ่านประตูเข้ามาก็กลายเป็นเหยื่อในสายตาของผู้อื่นไปแล้ว 

 

 

           เมื่อเห็นว่ามั่วไป๋กำลังจะเตรียมตัวออกจากที่นี่ ฝั่งนั้นก็มีความเคลื่อนไหวด้วย 

 

 

           คนในมุมมืดส่งสายตาเป็นสัญญาณให้คนข้างๆ ทั้งสองคนยืนขึ้นเดินเข้าประชิดตำแหน่งของมั่วไป๋ 

 

 

           มั่วไป๋เช็กบิลเสร็จเตรียมจะเดินออกประตูไป เพิ่งจะเดินถึงประตูก็โดนคนสองคนเดินชนเข้าให้ มั่วไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นแค่ด้านข้างมีผู้ชายร่างกายกำยำสูงใหญ่ยืนอยู่ 

 

 

           “ขออภัย” มั่วไป๋พูดจบก็เตรียมจะเดินจากไป 

 

 

           ยังไม่ขยับตัว ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขนขึ้นมากะทันหัน เหมือนกับมีอะไรโดนฉีดเข้ามา จิตใต้สำนึกบอกให้เขาก้มลงมอง แต่กลับไม่พบอะไรสักอย่าง 

 

 

           “เจ้านี่ แกชนพวกเราแล้วคิดจะไปเลย” จู่ๆ คนร่างสูงใหญ่กำยำสองคนก็เริ่มโจมตี 

 

 

           มั่วไป๋ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ่ยอย่างอดทน “งั้นพวกแกจะให้ทำยังไง ให้พวกแกชนกลับเหรอ” 

 

 

           “แกนี่มันดูขาวสะอาด แต่พอพูดจากลับอวดดี วันนี้ฉันจะทำให้แกรับรู้ลิ้มรสผลของการอวดดี” พูดจบก็มองคนข้างๆ แวบเดียว ก่อนจะเริ่มลงไม้ลงมือ 

 

 

           คนร่างสูงใหญ่กำยำสองคนปิดล้อมมั่วไป๋เอาไว้ ดูจากรูปร่างแล้ว มั่วไป๋เสียเปรียบอยู่มาก ไม่เป็นผลดีต่อเขาเลยสักนิด 

 

 

           รอบข้างมีคนจำนวนไม่น้อยมองดูพวกเขา ในใจอดจะห่วงมั่วไป๋ไม่ได้ 

 

 

           แต่มั่วไป๋สีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวแม้เพียงเสี้ยวเดียว เขามองทั้งสองคนแล้วยกมุมปากขึ้น กลับมาตั้งนานยังไม่ได้ออกกำลังกายเท่าไหร่ มีคนส่งมาให้ถึงที่พอดี ไม่ใช้ก็เสียของอยู่ 

 

 

           “ดีเลย งั้นพวกแกก็มาลองดู”   

 

 

           เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง ทั้งสองคนก็เริ่มลงมือ กำปั้นที่ซัดเข้ามา มั่วไป๋เอามือรับไว้ ฉวยโอกาสโจมตีช่วงท้องของเขา ท่าทางเด็ดขาดว่องไว ไหนเลยจะมีมาดสุภาพเรียบร้อยเมื่อครู่นี้ได้ 

 

 

           การโจมตีในทุกครั้งรวดเร็วฉับไวคล่องแคล่วเป็นพิเศษ คนร่างสูงใหญ่กำยำสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้เขาอยู่แล้ว ไม่กี่นาทีก็จัดการราบคาบ 

 

 

           คนในมุมนั้นคงจะคาดไม่ถึงว่าเหยื่อที่เหมือนกระต่ายขาวตัวน้อยนี้จะจับยากขนาดนี้ เขามองคนรอบข้างอีกไม่กี่คน คนพวกนั้นก็รีบเข้ามา 

 

 

           ในหลานเยี่ยอลหม่านขึ้นมาพริบตา รับมือกับคนพวกนี้ไม่คณามือเขา ท่าทางออกหมัดเตะต่อยของมั่วไป๋รวดเร็วดุดันและสวยงาม เขากวาดสายมองคนพวกนี้เล็กน้อยด้วยแววตาแฝงความเย็นชา 

 

 

           ทันใดนั้นจู่ๆ ภายในร่างกายก็ร้อนผ่าวขึ้นมา มือเท้าอ่อนแรงกะทันหัน กำลังที่ใช้ต่อสู้ก็ลดทอนลงครึ่งหนึ่ง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 141 ฉันคิดถึงนายมาตลอด 

 

 

           ดูท่าว่า ยาที่ถูกฉีดเข้าไปจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว 

 

 

           ภายในร่างกายร้อนวาบดั่งระลอกคลื่นที่ซัดสาดเข้ามา มือเท้าอ่อนแรง ทำให้มั่วไป๋ค่อยๆ สูญเสียพละกำลัง เขาจิกฝ่ามือตัวเองหนักๆ ทำให้ตัวเองตื่นมีสติอยู่ 

 

 

           ความทรมานจากฤทธิ์ยาดูเหมือนจะทำให้เห็นความใจสู้แต่แรงไม่ยอมเป็นใจ ภาพข้างหน้าเริ่มมืดสลับไปมา มั่วไป๋สะบัดหัว คิดจะทำให้ตัวเองตาสว่างขึ้นมาหน่อย 

 

 

           เวลานี้เองมีเก้าอี้ตัวหนึ่งฟาดเข้ามา มั่วไป๋เห็นเก้าอี้ตัวนั้นก็คิดจะเบี่ยงตัวไปข้างหลัง แต่เท้าเหมือนมีรากยึดเอาไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทำได้แค่เบิกตาค้างทำอะไรไม่ถูกจ้องมองเก้าอี้ที่กำลังจะฟาดลงมา 

 

 

           โครม! เสียงของหนักหล่นกระทบพื้นดังขึ้น เก้าอี้ฟาดลงมาข้างตัวมั่วไป๋ เกิดเสียงดังสนั่นลั่นไปทั้งหลานเยี่ย 

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน เมื่อครู่นี้เขากะระยะของเก้าอี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่โดนเขา เขางุนงงเงยหน้าขึ้น ปะทะเข้ากับดวงตาสีดำขลับคู่หนึ่งพอดี 

 

 

           ไป๋จิ่งส่งมือมาทางเขา “ยังโอเคไหม” 

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว คิดว่าฤทธิ์ของยาทำให้เขาเห็นภาพหลอน 

 

 

           “แกเป็นใคร ไม่นึกว่าจะกล้าเข้ามาสอดเรื่องของพวกเรา” ข้างๆ มีคนร้องโวยวายขึ้นมา 

 

 

           ไป๋จิ่งมองพวกเขาแวบหนึ่ง ยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ “ช่วยฉันฝากไปบอกคุณชายสี่ของพวกแกด้วยนะ ว่าไม่มีอะไรทำก็อย่ามาหาเรื่องก่อความวุ่นวายที่นี่ ถึงเวลาเก็บกวาดไม่ไหวจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก” 

 

 

           อู๋หมิงที่อยู่ไม่ไกลนักกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์ดุร้าย กว่าเขาจะเจอเหยื่อถูกใจไม่ใช่ง่ายๆ นึกไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะมาขัดคอกันได้ 

 

 

           ไม่กี่คนสบตามองกันไปมา จนกระทั่งได้ยินเสียงอู๋หมิงดังเข้ามาจากในหูฟัง ถึงได้ถอยกลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋เอาแต่นิ่งเฉย ไม่มีปฏิกิริยาใดใดตอบสนองกลับมา จึงรีบส่งมือไปประคองเขาไว้ มือที่จับแขนเขาอยู่รับความรู้สึกของอุณหภูมิที่ร้อนจนลวกคนได้แม้เพียงสัมผัสเบาๆ 

 

 

           สภาพเขาตอนนี้ดูเหมือนจะแย่มากทีเดียว 

 

 

           “ยังเดินไหวไหม” ไป๋จิ่งเข้าใกล้ เสียงต่ำเอ่ยลงข้างหูมั่วไป๋ 

 

 

           ฤทธิ์ยาได้ออกฤทธิ์กำเริบเต็มที่ไปเป็นที่เรียบร้อย มั่วไป๋ฟังไม่ได้ยินอยู่แล้วว่าไป๋จิ่งกำลังพูดอะไร เขารับรู้ได้แค่ว่ายามที่ไป๋จิ่งพูด เวลาที่ลมหายใจกำลังรดรินลงข้างๆ ลำคอ ขนลุกสั่นระรัวโดยไม่ตั้งใจไปทั้งตัว 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขากัดริมฝีปากด้วยท่าทางสั่นเทา จึงช้อนอุ้มเขาขึ้นมา 

 

 

           โดนอุ้มกะทันหันแบบนี้ จิตใต้สำนึกบอกมั่วไป๋ให้โอบคอไป๋จิ่งเอาไว้ ร่างทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงอิงแอบแนบชิดกายไป๋จิ่ง หัวเขาซบบนไหล่ของไป๋จิ่งด้วยเช่นกัน 

 

 

           ท่าทางที่สบายขั้นสุด ทำเอามั่วไป๋เอนพิงอยู่ตรงนั้นโดยที่ความรู้สึกนึกคิดค่อยๆ กระจายหายไป 

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งอุ้มเขาออกมาแล้วเอาเข้าในรถเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เข้าใกล้ไปเอ่ยเรียกมั่วไป๋ ตบหน้าเขาเบาๆ “มั่วไป๋ ตื่นๆ” 

 

 

           ถึงเวลานี้แล้ว มีหรือที่จะฟังได้ชัดว่าไป๋จิ่งกำลังพูดอะไร เขาพยายามดิ้นรนต่อสู้ให้ตัวเองได้ลืมตามองไป๋จิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเองมากๆ 

 

 

           มั่วไป๋จ้องเข้าไปในดวงตาสีดำขลับคู่นี้ ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรอยู่ จู่ๆ ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา 

 

 

           “นายรู้ไหม…ฉันคิดถึงนายมาตลอดเลย…” 

 

 

           เสียงเขาเล็กมาก ไป๋จิ่งต้องไม่ได้ยินอยู่แล้วว่าตกลงแล้วเขาพูดอะไรออกมา เขาประชิดเข้าไปเรียกมั่วไป๋อีกครั้ง “คุณพักที่ไหน ผมจะไปส่งคุณ” 

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว เขาไม่อยากกลับบ้าน 

 

 

           ไป๋จิ่งเริ่มร้อนใจแล้ว กลายเป็นแบบนี้แล้วไม่กลับบ้านอีก แล้วนี่จะเอาแบบไหน อีกอย่างดูท่าว่าจะไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ร่างกายอุณหภูมิสูงมาก ใบหน้ายังแดงระเรื่ออีก 

 

 

           แม้แต่ในดวงตาที่ดูดีคู่นั้นยังมีน้ำเอ่อขึ้นมา ดูแล้วช่างน่าสงสารจริงๆ 

 

 

            ไป๋จิ่งเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็กัดฟันทันที “งั้นผมส่งคุณไปบ้านผมก่อนแล้วกัน” 

 

 

           ‘จะมาทิ้งคนลงข้างทางกลางดึกแบบนี้ไม่ได้หรอก แล้วยังเป็นคนที่เขาชื่นชมแบบสุดๆ อีก’ จะปล่อยมั่วไป๋ลงถนนไปตามยถากรรม เขาทำไม่ลงอยู่แล้ว 

 

 

           ตลอดทางที่มุ่งหน้าไปคอนโดของตัวเอง มั่วไป๋นอนนิ่งๆ อยู่บนที่นั่งข้างคนขับไม่กระดุกกระดิก ไป๋จิ่งเอียงหน้ามองเขา คิดว่าเขาหลับไปแล้ว 

 

 

           จนมาถึงที่คอนโด ตอนจะให้เขาลงจากรถ ไป๋จิ่งถึงได้ค้นพบความผิดปกติ 

 

 

           ร่างกายเขาเกร็งไปหมด ทั้งยังสั่นระริกอีกด้วย ทั้งเนื้อทั้งตัวร้อนจัดจนน่าตกใจ ราวกับคนทั้งคนถูกงมขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

           ระหว่างทางที่นั่งรถมา ในร่างกายเหมือนมีใครมาจุดไฟไว้ อยากจะฝ่าทะลุจากเนื้อข้างในออกมา เพราะข้างกายมีไป๋จิ่งอยู่ มั่วไป๋จึงพยายามอย่างสุดกำลังในการควบคุมตัวเองไม่ให้ลืมตัวเสียท่าทีไป 

 

 

           ร่างกายเขาเกร็งสู้ต่อต้านฤทธิ์ยาอย่างหนักหน่วง แต่ฤทธิ์ยารุนแรงเกินไป สุดท้ายดูเหมือนว่าจะเสียเปล่าทีเดียว 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่คิดอะไรมากให้เสียเวลา รีบอุ้มเขาขึ้นคอนโด แล้วว่างร่างเขาลงบนเตียงในห้องนอน            

ตอนที่ 138 แฟนหนุ่มต่างหาก

 

 

           ครั้งนี้ที่เขามาก็เพื่อตรวจสอบซังจิ่ง ที่ถานโจวเขาใช้เส้นสายตรวจสอบซังจิ่งคนนี้ เพียงแต่ว่าข้อมูลประวัติเขาขาวสะอาดมาก ปัญหาอะไรก็ตรวจสอบไม่พบ

 

 

           แต่ลางสังหรณ์จากการที่เขาเรียนตำรวจมาหลายปีบอกเขา ว่าซังจิ่งคนนี้ต้องมีปัญหาอะไรบางอย่างแน่ๆ

 

 

           อีกอย่าง ซังจิ่งมีเป้าหมายกับเจียงมู่เฉินชัดเจนมาก

 

 

           เพียงแค่มันโยงใยไปถึงเจียงมู่เฉิน เขาไม่ปกป้องไม่ได้

 

 

           “ซังจิ่ง?” ไมเคิลทวนชื่อนี้ซ้ำ “เขามีอะไรผิดปกติเหรอ”

 

 

           “ตอนนี้ยังไม่มี ฉันเลยคิดจะให้นายช่วยฉันตรวจสอบเขา” ไมเคิลเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ เมื่อก่อนช่วยเหลือพวกเขาไม่น้อยทีเดียว ดังนั้นครั้งนี้คนที่เขานึกถึงแวบแรกก็คือไมเคิล

 

 

           เดิมทีเขาคิดจะรออีกสองวันรอให้เจียงมู่เฉินอาการดีขึ้นมาหน่อย แล้วเขาจะส่งตัวคนกลับบ้านตระกูลเจียงไป จากนั้นค่อยมาที่นี่

 

 

           แต่คุณแม่เจียงก็มาปรากฏตัวกะทันหัน ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผนก่อนหน้านี้ ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ มีแต่เป็นผลดีกับเจียงมู่เฉินทั้งนั้น

 

 

           ดังนั้นถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าเขาจะโกรธได้ ตัวเองก็ยังตัดสินใจแบบนี้ ไม่ได้รั้งให้อยู่ด้วย แต่ยอมให้เจียงมู่เฉินกลับบ้านตระกูลเจียงไป

 

 

           คิดถึงตรงนี้ ซือเหยี่ยนก็กุมขมับอย่างจนใจ คิดถึงตอนกลับไป ด้วยนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว เกรงว่าจะง้อไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

 

 

           ไมเคิลเห็นเขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “ซือ สีหน้านายค่อนข้างจะมีปัญหานะ” เขามีปฏิกิริยาไวต่อเรื่องไมโครเอ็กซ์เพรสชัน[1]และการสังเกตทางจิตวิทยามาก แค่ผิดปกติเพียงนิดเดียว ก็สังเกตได้ในทันที

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะ “ไม่เจอกันมาหลายปี นายก็ยังเหมือนเดิม”

 

 

           เหมือนไมเคิลจะสนใจเรื่องนี้มากอย่างไรอย่างนั้น “พูดสิ ว่าเมื่อกี้นี้นายกำลังคิดถึงใคร” มือข้างหนึ่งของเขาค้ำใต้คางเอาไว้ ทำท่าทำทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ “อืม ให้ฉันเดา…คงจะไม่ใช่แฟนสาวของนายหรอกใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “แฟนหนุ่มต่างหาก”

 

 

           ไมเคิลแสดงสีหน้าตกใจ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างมองซือเหยี่ยน ไม่กล้าจะเชื่อเลย

 

 

           “ทำไม ไม่เชื่อเหรอ”

 

 

           ไมเคิลส่ายหัว “นายเป็นคนที่ไม่ใช่ใครก็จะมาเข้าใกล้ได้ง่ายๆ ผู้ชายคนไหนที่เก่งกล้าเข้าหานายได้กัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนวางแก้วกาแฟลง “นายก็รู้จัก”

 

 

           ไมเคิลงุนงง นิ้วมือชี้เข้าหาตัวเอง “ฉันก็รู้จัก?”

 

 

           ท่ามกลางคนที่เขารู้จัก มีเพียงคนเดียวที่สนิทชิดเชื่อกับซือเหยี่ยนที่สุด แล้วคนนั้นก็คือ……

 

 

           “เจียงมู่เฉิน”

 

 

           แก้วกาแฟบนโต๊ะโดนปัดล้ม ไมเคิลรีบดึงกระดาษทิชชูออกมาเช็ด

 

 

           “ตกใจขนาดนี้เชียว?” ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย

 

 

           ไมเคิลตกใจจริงจัง “นายตัดสินใจว่าจะไม่สร้างเรื่องให้เขาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้มาคบกันอีก”

 

 

           เรื่องของเจียงมู่เฉินในตอนนั้นเขาเองก็รู้ ตอนไปปฏิบัติภารกิจ เจียงมู่เฉินพลัดตกหน้าผา ตอนนั้นทุกคนต่างก็คิดว่าเจียงมู่เฉินตายไปแล้ว มีแค่ซือเหยี่ยนคนเดียวที่ตามหาเขาเหมือนคนบ้า

 

 

           สุดท้ายก็มาเจอเจียงมู่เฉินอยู่ในบ่อน้ำตื้น แต่เวลานั้นเจียงมู่เฉินบาดเจ็บสาหัสอาการร้ายแรงมาก ใช้เวลาเจ็ดวันเต็มๆ ในการรักษานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้เขาพ้นขีดอันตราย ถึงช่วยชีวิตเขากลับมาได้

 

 

           ไมเคิลยังจำได้ดีวันที่เจียงมู่เฉินพ้นขีดอันตรายแล้ววันนั้น ราวกับซือเหยี่ยนถูกดูดพลังจนเกลี้ยง เขายืนอยู่ข้างเตียงเจียงมู่เฉิน แล้วกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ไมเคิล ฉันอยากจะทำให้เขาลืมทุกอย่างที่นี่”

 

 

           ตอนนั้นไมเคิลตกตะลึงจนพูดไม่ออก มองเห็นแค่ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากเบาๆ แต่กลับน่าเวทนายิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก

 

 

           เขาพูดว่า “ฉันอยากให้เขาใช้ชีวิตดีๆ ได้”

 

 

           ดังนั้น ซือเหยี่ยนจึงไปหาคนมาลบความทรงจำของเจียงมู่เฉิน จากนั้นก่อนที่เขาจะฟื้นขึ้นมาก็ส่งข่าวให้ทางครอบครัวเจียงทราบ แล้วส่งตัวคนกลับไปบ้านตระกูลเจียง

 

 

           หลังจากนั้นไมเคิลก็ไม่ได้ข่าวคราวของพวกเขาอีกเลย

 

 

           เรื่องที่เจียงมู่เฉินยังมีชีวิตอยู่ งานเก็บความลับนี้ซือเหยี่ยนทำได้ดีมาก คนที่รู้มีแค่เขากับซือเหยี่ยนสองคนเท่านั้น

 

 

           เขาเคยแอบสืบหาข่าวคราวที่เกี่ยวกับซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉิน ก็เห็นแค่ซือเหยี่ยนรับช่วงต่อบริษัท กลายเป็นผู้คุมอำนาจของซือกรุ๊ปไปแล้ว

 

 

           ส่วนเจียงมู่เฉินก็กลับไปเป็นคุณชายน้อยผู้ลอยตัวสบายๆ ไม่มีภาระอะไร หลังจากได้เคยเรื่องนี้มา คนในครอบครัวเจียงยิ่งประคบประหงมเจียงมู่เฉินไว้ในอุ้งมือ ไม่กล้าจะทำให้เขาได้รับอันตรายใดใดแม้เพียงปลายเล็บ

 

 

           เพียงแต่ว่าคนสองคนที่เคยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นสนิทใจกันกลับกลายเป็นศัตรูคู่แค้น ไม่ได้มาข้องเกี่ยวกันอีก

 

 

 

 

[1] ไมโครเอ็กซ์เพรสชัน (Microexpression) คือ การแสดงออกทางใบหน้าอย่างรวดเร็วและโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะอารมณ์ทำให้เกิดการแสดงออกอย่างอัตโนมัติ (involuntary) ทั้งในด้านสีหน้า(facial expression) เสียงพูด ท่าทาง และสายตา และที่สำคัญคือ การโกหกเกี่ยวกับอารมณ์ที่กำลังรู้สึก ณ ขณะนั้นมักเป็นการโกหกที่ยากที่สุด 

 

 

 

 

ตอนที่ 139 อยากเลิก

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดของไมเคิลก็ยกมุมปากขึ้น แพขนตาหนาสั่นไหว “ความชอบเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่”

 

 

           ดังนั้นเมื่อเจียงมู่เฉินเป็นฝ่ายมาพัวพันก่อกวนใจเขา เขาจึงพยายามจะควบคุมตัวเองให้อยู่ ทำเย็นชาใส่เจียงมู่เฉิน

 

 

           เขาควบคุมสีหน้าท่าทีของตัวเองได้ แต่กลับควบคุมหัวใจตัวเองไม่อยู่

 

 

           ไมเคิลถอนหายใจ “ตอนแรกฉันก็รู้สึกแปลกใจมาตลอด เจียงมู่เฉินกลับถานโจวไป ทำไมนายต้องตามกลับไปด้วย ยังรับช่วงต่อบริษัทของตัวเองอีก”

 

 

           “ซือเหยี่ยน ฉันเข้าใจนายขนาดนี้ ฉันจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเป้าหมายของนาย แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยจะเป็นบริษัทอยู่แล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะ ไม่พูดจา

 

 

           “นายทำก็เพื่อเจียงมู่เฉินใช่ไหม ถึงได้รับช่วงต่อบริษัท อยู่ที่ถานโจวต่อ”

 

 

           ถ้าเป็นแบบนี้ ก็เป็นเหตุเป็นผลกันได้

 

 

           เพราะเจียงมู่เฉิน ถึงได้ทิ้งความฝัน แล้วยินดีที่จะถูกผูกมัด

 

 

           ซือเหยี่ยนดื่มกาแฟจนหมดแก้ว ถึงค่อยได้เอ่ยคำต่อคำออกมา “ไมเคิล เขาคือคนรักของฉัน”

 

 

           “แบบนี้ ฉันถึงต้องคอยอยู่เคียงข้างเขา”

 

 

           ไมเคิลตะลึงค้าง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เขายังคงโดนซือเหยี่ยนตลบหลังเหมือนเคย

 

 

           “ถ้าอย่างนั้น ที่นายมาครั้งนี้ก็คงจะเป็นเพราะเจียงมู่เฉินสินะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “จะว่าแบบนี้ก็ได้”

 

 

           ไมเคิลอดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “อิจฉาเจียงมู่เฉินจริงๆ ที่มีคนอย่างนายมาหลงรักขนาดนี้ได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนคิดถึงเจียงมู่เฉินขึ้นมาก็อดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ “ที่ฉันดีกับเขา ไม่ถึงครึ่งที่เขาดีกับฉันหรอก”

 

 

           ระหว่างพวกเขา เจียงมู่เฉินถึงจะเป็นคนๆ นั้น คนที่ให้อภัยกันและทุ่มเทให้กันมาตลอด

 

 

           ……

 

 

           สามวันเต็มๆ ที่ซือเหยี่ยนไม่โทรมาหาสักสาย เจียงมู่เฉินอดจะคอยมองดูมือถือไม่ได้ สงสัยว่ามือถือพังหรือเปล่า

 

 

           ‘ไม่งั้นซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นจะกล้าไม่ติดต่อเขาเลยสามวันได้ยังไง’

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาคว้ามือถือที่เคยถูกตัวเองเหวี่ยงลงข้างๆ ขึ้นมา ตัดสินใจเป็นฝ่ายโทรหาซือเหยี่ยน

 

 

           ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นไม่โทรมา เขาโทรไปเองก็ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบโทรหาซือเหยี่ยน แต่หลังจากที่โทรออกไป ก็แสดงให้รู้ทันทีว่าปิดเครื่องอยู่ เจียงมู่เฉินใกล้จะระเบิดลงแล้วจริงๆ

 

 

           ไม่ติดต่อเขาก็ช่างหัวมัน ยังจะมาปิดเครื่องอีก

 

 

           ‘เลิก’

 

 

           ‘เป็นกันแบบนี้แล้ว ถ้ายังไม่เลิก จะให้อยู่ฉลองปีใหม่ต่อหรือไง’

 

 

           เจียงมู่เฉินโทรหามั่วไป๋ต่อ “ไป๋ไป๋ ไปกินเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ฉันเบื่อมากเลย”

 

 

           มั่วไป๋อดจะเอ่ยเหน็บแนมไม่ได้ “ร่างบางๆ ของนาย บาดเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ นายแน่ใจนะว่านายดื่มเหล้าได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนหยามกันแบบนี้ ก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที “คุณชายอย่างฉันอาการดีขึ้นเยอะแล้ว จะดื่มเหล้าไม่ได้ ได้ยังไงกัน”

 

 

           “นายระวังซือเหยี่ยนของนายจะจับนายกลับไปขังลืมนะ”

 

 

           “เขาทิ้งฉันไว้กับแม่ฉันแล้วก็หายตัวไปเลย ไม่รู้ว่าไปปรากฏตัวที่ไหนแล้ว จะมีเวลามาสนใจฉันเมื่อไหร่กัน”

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มเยาะ “ในที่สุดฉันก็ฟังเข้าใจแล้ว เพราะซือเหยี่ยนไม่สนใจนาย นายถึงได้นึกถึงฉันสินะ”

 

 

           “อะไรเรียกว่าไม่สนใจเหรอ ฉันอ่อนแอขนาดนั้นเชียว? คนที่ชอบฉันแถวยาวจนวนถานโจวได้สองรอบเลย”

 

 

           “พอเถอะ ไปไหน กี่โมง”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋รับคำ “ฉันรู้แล้ว” พูดจบก็วางสายมือถือเสียงดัง

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบลุกออกจากเตียง เตรียมตัวไปหลานเยี่ย ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นไม่ปรากฏตัวมา เขาจะได้ไปหาความบันเทิงพอดี

 

 

           จะเที่ยวเล่นก็ไปไม่รบกวนกันและกัน ดีสุดๆ ไปเลยจริงๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้ายั่วๆ อ่อยๆ หน่อยๆ แล้วเดินลงบันไดอย่างเริงร่า ที่ชั้นล่างคุณพ่อเจียงนั่งอยู่บนโซฟา เขาเงยหน้าเห็นเจียงมู่เฉินลงมา ก็รีบวางหนังสือพิมพ์ในมือลงพอดี

 

 

           “ดึกป่านจะเตรียมออกไปไหน”

 

 

           ‘ซวยแล้ว’ เจียงมู่เฉินแอบร้องในใจ ทำไมพ่อเขากลับมาเร็วขนาดนี้ได้

 

 

           “พ่อ ทำไมจู่ๆ พ่อถึงกลับมาแล้วล่ะ คืนนี้ทำโอทีไม่ใช่เหรอครับ” 

 

 

           คุณพ่อเจียงทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “นี่แกอยากให้ฉันทำโอทีต่อที่บริษัทใช่ไหม”

 

 

           “ที่ไหนกันล่ะครับ ผมเป็นลูกชายแท้ๆ ของพ่อ จะหวังให้คนแก่ทำโอทีตลอดได้ยังไงกันครับ” เจียงมู่เฉินปากหวานก้นเปรี้ยว เขาอยากให้พ่อเขามีเรื่องด่วนต้องไปทำตอนนี้จริงๆ

 

 

           “แกอย่าพล่ามไร้สาระกับฉันขนาดนั้น นั่งลง ฉันมีเรื่องจะถามแก”

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดหัว “พ่อ พรุ่งนี้ค่อยถามได้ไหม ผมมีธุระ”

 

 

           “แกจะมีธุระอะไรได้ ธุระของแกไม่มีเรื่องไหนดีๆ หรอก” คุณพ่อเจียงกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คืนนี้ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น มานั่งตรงนี้ให้ฉันซะ”

ตอนที่ 136 พาเขากลับบ้าน

 

 

           สายตาขอร้องให้ช่วยของเจียงมู่เฉินส่งหาซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนมองคุณแม่เจียง ก่อนเอ่ยปาก “น้าครับ แผลของมู่เฉินไม่เป็นไรแล้ว หมอตรวจดูอาการเรียบร้อย บอกว่าอีกสองวันก็หายแล้วครับ”

 

 

           คุณแม่เจียงเพิ่งจะเห็นซือเหยี่ยนก็ตอนนี้ ตอนเธอเข้ามาเอาแต่เป็นห่วงลูกชายสุดที่รักของเธอ จึงมองข้ามคนรอบข้างไปโดยปริยาย

 

 

           “เสี่ยวเหยี่ยนก็อยู่ด้วยเหรอจ๊ะ”

 

 

           “ผมมาเป็นเพื่อนเจียงมู่เฉินตรวจดูอาการครับ”

 

 

           “งั้นต้องขอบใจเสี่ยวเหยี่ยนด้วยนะ เฉินเฉินของน้าก่อเรื่องวุ่นวายอยู่เรื่อย ทำให้เสี่ยวเหยี่ยนลำบากไม่เบาเลยใช่ไหม”

 

 

           “ไม่หรอกครับ เขา……ไม่ดื้อเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองตายอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนไอ้คนระยำอยู่ต่อหน้าแม่เขาจะบอกว่าเขาไม่ดื้อ

 

 

           เขาถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนทันที ส่งแววตาตักเตือน

 

 

           คุณแม่เจียงหันมาเห็นเจียงมู่เฉินถลึงตาใส่ซือเหยี่ยนพอดี จึงต่อว่าในทันใด “เฉินเฉิน ลูกเป็นอะไรของลูก ซือเหยี่ยนหวังดีมาส่งลูกหาหมอ ลูกยังถลึงตาใส่เขาอีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่เข้าใจ เขาไม่ใช่ลูกรักของแม่เขาแล้วเหรอ

 

 

           ‘ทำไมตอนนี้ถึงช่วยซือเหยี่ยนแล้วมาต่อว่าเขาได้’

 

 

            “ยังไม่ขอโทษซือเหยี่ยนอีก!”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างจะซับซ้อน เขาไม่เคยขอโทษใครมาก่อน นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ยังต้องมาขอโทษซือเหยี่ยนอีก

 

 

           เขามองซือเหยี่ยนคนต้นเหตุ “นายอยากให้ฉันขอโทษนายเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น ใบหน้าสงบเสงี่ยม “ถ้าเฉินเฉินอยากขอโทษ ก็ขัดไม่ได้อยู่แล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากจะกระอักเลือด ไอ้หมอนี่ ไม่คิดเลยว่าต่อหน้าแม่เขายังจะเอาเปรียบเขาอีก มาเรียกชื่อเล่นเขาต่อหน้าแม่เขาก็ช่างเถอะ แต่ยังจะอยากให้เขาขอโทษอีกเหรอ

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะถลึงตาใส่เขาอีกไม่ได้

 

 

           คุณแม่เจียงรอมาตั้งนานก็ไม่เห็นว่าเจียงมู่เฉินจะขอโทษสักที เธอจึงรีบตีเขาเดี๋ยวนั้น “เกิดอะไรขึ้น ยังไม่ขอโทษอีก”

 

 

           ฝ่ามือเธอโดนเข้าที่แผลของเขาพอดี เจียงมู่เฉินเจ็บจนอีกนิดเดียวก็จะกัดฟันแตกได้แล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวด ใจก็กระตุกจนอีกนิดเดียวจะพุ่งตัวไปอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉินและกอดเขาไว้แล้ว

 

 

           ยังดีที่เขายังพอเหลือสติอยู่บ้าง ระงับการกระทำของตัวเองที่คิดเอาไว้ลงก่อน ถ้าต่อหน้าคุณแม่เจียง เขาโผเข้าไปกอดเจียงมู่เฉิน เกรงว่าพวกเขาทั้งสองคนจะอธิบายกันให้ชัดเจนไม่ได้

 

 

           “แม่ครับ นี่แม่จะลอบฆ่าลูกชายตัวเองใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเจ็บจนเหงื่อออกท่วมหัว

 

 

           คุณแม่เจียงมองเจียงมู่เฉินที่เจ็บจนตัวงออย่างช่วยอะไรไม่ได้ “ลูกแม่ ลูกไม่เป็นไรนะ แม่ไม่ได้ตั้งใจ”

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ มีแม่ที่ไหนขุดหลุมฝังลูกชายตัวเองแบบนี้ไหม ตกลงแล้วเขายังเป็นลูกแท้ๆ ของแม่เขาหรือเปล่า

 

 

           บาดแผลที่หายสนิทโดนฝ่ามือคุณแม่เจียงฟาดจนฉีกขาด หมอต้องรีบเข้ามาเย็บแผลใหม่ให้

 

 

           เจียงมู่เฉินเจ็บจนหน้าซีด สูดลมหายใจไป ถอนลมหายใจไป “แม่ครับ ปกติแม่อยู่บ้านไม่มีอะไรทำก็เลยฝึกวิชาฝ่ามือเหล็ก[1]ใช่ไหม หรือเกิดอะไรขึ้น มือถึงได้หนักขนาดนี้ครับ”

 

 

           ‘แผลเขาเพิ่งจะหายสนิทเองนะ อยากร้องไห้แล้ว’

 

 

           ตอนเจียงมู่เฉินเย็บแผล ซือเหยี่ยนก็ยืนอยู่ข้างๆ คิ้วขมวดกันแน่น กดเก็บความรู้สึกสงสารจับใจในแววตา

 

 

           หลังจากเย็บแผลเสร็จ คุณแม่เจียงก็เอ่ยเสนอขึ้นมา “เจ้าลูกชาย กลับไปพักที่บ้านไหม แม่จะดูแลลูกเอง รับรองลูกจะหายอย่างไวเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักไป เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

 

 

           ตามนิสัยของแม่เขาแล้ว ต้องพาเขากลับบ้านอยู่แล้ว เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง เขาไม่อยากกลับบ้านนี่หน่า

 

 

           หลังจากคุณแม่เจียงเอ่ยปาก แววตาสุขุมของซือเหยี่ยนก็ลุกวาวขึ้นมา เขารีบมองไปทางเจียงมู่เฉินแทบจะเดี๋ยวนั้น เห็นเจียงมู่เฉินกะพริบตาเบาๆ ให้ตัวเอง ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น

 

 

           “เอาแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวกลับกับแม่นะ” คุณแม่เจียงเห็นเจียงมู่เฉินไม่พูดไม่จา จึงพูดสรุปเองเสียเลย

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแม่ตัวเองพูดเองเออเองแบบนี้ก็ร้อนรนแล้ว “อย่าเลยครับแม่ ผมจะกลับบ้านไปเพิ่มภาระให้แม่ทำไมล่ะ”

 

 

           คุณแม่เจียงถลึงตาใส่เขา “ลูกเป็นลูกชายแม่นะ การที่แม่ดูแลลูกจะเรียกว่าเพิ่มภาระได้ยังไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินฉวยโอกาสตอนที่คุณแม่เจียงไม่ทันได้สังเกต เตะเท้าซือเหยี่ยน ส่งสายตาบอกเขา

 

 

 

 

 

 

 

[1] วิชาฝ่ามือเหล็ก ว่าด้วยวรยุทธ์วิชามือเหล็กนั้นเป็นวิชาฝ่ามือสายหยางที่แกร่งกร้าวรุนแรงมาก ผู้ฝึกต้องฝึกโดยการทิ่มแทงฝ่ามือบนทรายเหล็กร้อนที่คั้วบนกระทะ คล้ายๆทรายคั่วลูกเกาลัด และทรายนี้ยังอาบไปด้วยพิษอันร้ายกาจ คนฝึกไม่เพียงต้องโคจรพลังต้านความร้อนเท่านั้น ยังต้องต้านพิษในทรายเหล็กอีกด้วย

 

 

 

 

ตอนที่ 137 ปล่อยเขาไปเลย

 

 

           ‘ไอ้หมอนี่ปกติฉลาดหลักแหลม ทำไมตอนนี้ถึงได้ทื่อเป็นไม้ไปได้ ไม่พูดอะไรสักอย่าง ไม่เห็นหรือไงว่าแฟนตัวเองจะถูกแม่ชิงตัวกลับบ้านไปแล้ว’

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง แล้วก็มองไปทางคุณแม่เจียง เขาเงียบสักพัก ก่อนเอ่ยปาก “เฉินเฉินคุณกลับไปด้วยกันกับน้าเจียงเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่กล้าเชื่อหูตัวเองว่าได้ยินอะไร ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำคาดไม่ถึงว่าจะเป็นฝ่ายปล่อยให้เขากลับไปกับแม่เขาได้

 

 

           “นายพูดจริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินกัดฟันถาม

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างใจเย็น “มีน้าเจียงดูแลคุณ เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของแผล”

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนไม่ไหว เดิมทีเขาคิดว่าซือเหยี่ยนจะออกปากรั้งเขาไว้ แต่กลับตาลปัตร อุตส่าห์รอเขาเต็มใจ เขาดันปล่อยให้แม่เขาพาเขากลับบ้านได้

 

 

           “ใช่ๆ ลูกดูสิ ที่เสี่ยวเหยี่ยนพูดมาใช่มากๆ เลย” คุณแม่เจียงถือโอกาสพูดสนับสนุน

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ มองหมอที่อยู่ข้างๆ “ฉันโอเคหรือยัง ไปได้หรือยัง”

 

 

           หมอโดนเขามองแบบนี้ก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมา จึงรีบตอบไป “ได้แน่นอนครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกยืนขึ้น ไม่พูดอะไรสักคำ แล้วมุ่งหน้าเดินออกไปข้างนอก ซือเหยี่ยนเห็นเขาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟก็อดจะรั้งแขนเขาเบาๆ ไม่ได้ “จะไปไหน”

 

 

           เขาสะบัดมืออีกคนออก “คุณชายจะกลับบ้าน!”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินไป แล้วขมวดคิ้ว ว่ากันมาตั้งนานกว่าจะกำมือแล้วผ่อนลมหายใจได้

 

 

           “เรื่องของเจียงมู่เฉินทางนี้นายช่วยดูแลด้วย มีเรื่องอะไรรีบบอกฉัน” ซือเหยี่ยนกำชับหมอที่อยู่ข้างๆ

 

 

           “วางใจเถอะครับ บอสซือ ผมรับรองจะติดตามตลอดครับ”

 

 

           “อืม งั้นฉันไปก่อนแล้วกัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนออกจากโรงพยาบาลก็พุ่งตรงไปบริษัททันที ไป๋จิ่งเห็นซือเหยี่ยนมาที่บริษัทพอดีก็ชะงักงันไป

 

 

           “นายไปเป็นเพื่อนคุณชายน้อยเจียงหาหมอไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาบริษัทได้”

 

 

           “ฉันต้องไปดูงานนอกสถานที่ ประมาณสามวันถึงจะกลับมา”

 

 

           “ไม่ใช่มั้ง จู่ๆ นายจะไปดูงานอะไรนอกสถานที่ ด่วนขนาดนี้เชียวเหรอ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะได้ยินนายเคยพูดไว้เลย”

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ไม่มีอะไร กำหนดการชั่วคราว”

 

 

           เขายกเคสที่ค่อนข้างจะยุ่งยากให้ไป๋จิ่งทั้งหมด ส่งมอบงานอะไรเสร็จแล้วก็ออกไปเลย

 

 

           ไป๋จิ่งจ้องมองตามแผ่นหลังของซือเหยี่ยนที่รีบร้อนเดินออกไป ไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณชายน้อยเจียงไม่พอ ตัวเองยังรีบร้อนไปอเมริกาอีก นี่ซือเหยี่ยนมีเรื่องอะไรกะทันหันนะ

 

 

           อีกฝั่งหนึ่ง เจียงมู่เฉินกลับมาบ้านตระกูลเจียงพร้อมคุณแม่เจียง ตลอดทางในใจเขาเหมือนมีหินก้อนใหญ่อุดตันอยู่ กดทับจนหายใจไม่สะดวก

 

 

           เดิมทีเขาคิดว่าซือเหยี่ยนจะลงเรือลำเดียวกันกับเขา จะช่วยเขาพูดสักคำ แต่เขากลับไม่ช่วยพูดอะไรสักอย่าง ปล่อยเขาไปเลย

 

 

           พวกเขายังไม่ได้อยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่เลย ซือเหยี่ยนก็เริ่มจะรำคาญเขาแล้วเหรอ

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนตามืดมัว

 

 

           เข้าข้างในบ้านแล้ว เจียงมู่เฉินกินข้าวเสร็จก็ลากสังขารตัวเองขึ้นชั้นบนไปนอนทันที ตาไม่เห็น ใจไม่หงุดหงิด ซือเหยี่ยนไม่อยู่ เขาก็ไม่มีเรื่องอะไรอย่างอื่นแล้ว

 

 

           กว่าเขาจะตื่นมา ท้องฟ้าก็มืดแล้ว เจียงมู่เฉินหยิบมือถือมา หน้าจอมืดดำ อย่าพูดถึงสายโทรเข้าเลย แม้แต่ข้อความสั้นๆ ก็ยังไม่มีมาสักข้อความ

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนเขวี้ยงมือถือลงข้างตัว ถอนหายใจเงียบๆ ทำได้แค่ใช้ลิขิตแห่งการตกหลุมรักก่อนมายึดพื้นที่ปลอบใจตัวเอง

 

 

           เขาลุ่มหลงงมงายกับซือเหยี่ยน แต่ซือเหยี่ยนกลับเอาแต่ลอยตัวสบายๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว

 

 

           ‘เสียใจนะ……’

 

 

           …………

 

 

           การเดินทางสิบกว่าชั่วโมง ซือเหยี่ยนถึงอเมริกาก็เรียกรถไปร้านกาแฟที่นัดไว้ทันที

 

 

           ไมเคิลรอเขาอยู่ในร้านกาแฟเรียบร้อยแล้ว

 

 

           “ขออภัยที่ฉันมาสาย” ซือเหยี่ยนนั่งลงตรงข้ามไมเคิล

 

 

           “ซือ ทำไมนายถึงบินมาจากถานโจวกะทันหันแบบนี้” ไมเคิลจู่ๆ ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากเขา ยังค่อนข้างรู้สึกแปลกใจอยู่

 

 

           หลังจากตอนนั้นที่เขากลับจากอเมริกาไป หลายปีแล้วที่ไม่ได้มาหาเขา

 

 

           “ช่วยฉันตรวจสอบคนคนหนึ่งที”

 

 

           ไมเคิลขมวดคิ้ว “ใคร”

 

 

           “ซังจิ่ง”

ตอนที่ 134 คิดเล็กคิดน้อย

 

 

           ถึงแม้ว่าการที่ผู้ชายสองคนจะมาอลวนเรื่องว่าชอบหรือไม่ชอบจะดูน่าเบื่อไปสักหน่อย แต่ว่าซือเหยี่ยนไม่เคยพูดว่าชอบเขาเลย

 

 

           เหมือนว่าตั้งแต่เริ่มเป็นเขาคนเดียวที่ร้อนใจ คอยเซ้าซี้มายุ่งพัวพันกับซือเหยี่ยน ต่อมาก็ชอบเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สุดท้ายยังขอให้คบกันอีก

 

 

           ทุกย่างก้าวทั้งหมดนี้มีเขาเดินไปอยู่คนเดียว

 

 

           ตอนนี้เขาตกลงไปในห้วงความรักแล้ว แต่เขากลับไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าซือเหยี่ยนแค่รู้สึกสนุก หรือว่าเพราะคนรักคนนั้นที่ซือเหยี่ยนเอ่ยถึงไม่ได้อยู่ข้างกาย เลยมาหาเขาคั่นเวลา

 

 

           เป็นแบบนี้ใช่ไหม คนรักคนนั้นของซือเหยี่ยนกลับมาแล้ว เขาก็จะยืดอกเดินจากไปได้ทุกเมื่อ

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองซือเหยี่ยนผู้อยู่ใต้แสงไฟ หน้าตาหล่อเหลา มีความสามารถ ยังมีเงินอีก คนแบบนี้ชอบอะไรในตัวเขาเจียงมู่เฉินเหรอ

 

 

           เรื่องในอดีตเขาลืมไปแล้ว หลังจากตื่นมาหลายปีมานี้ เขาไม่เคยได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เอาแต่ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาทั้งวันทั้งคืน

 

 

           เอาคำพูดของพ่อเขามาใช้ เขาก็แค่ลูกผู้ดีมีเงินแค่นั้น

 

 

           แค่ลูกผู้ดีที่มีแต่เงินคนหนึ่งกับอัจฉริยะแห่งโลกธุรกิจคนหนึ่ง ซือเหยี่ยนทำไมถึงมาคบกับเขาได้

 

 

           “ซือเหยี่ยน” เจียงมู่เฉินเอ่ยปากด้วยอารมณ์อันซับซ้อนอยู่ในใจ

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนที่กำลังหั่นผักอยู่ขานรับคำหนึ่ง

 

 

           “นายชอบอะไรในตัวฉันเหรอ” เป็นครั้งแรกที่เขาถามอะไรแบบนี้

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่หั่นผักอยู่ชะงักไป ไม่ได้ตอบกลับในทันที ดวงตาเจียงมู่เฉินทอประกาย เขารู้สึกว่าตัวเองโคตรเหลวแหลก หาข้อดีของการถูกชอบไม่เจอหรือไง

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ซือเหยี่ยนถึงเอ่ยปาก “เพราะว่าคุณคือเจียงมู่เฉิน”

 

 

           “แล้วแฟนหนุ่มคนก่อนของนายล่ะ? ทำไมพวกนายถึงเลิกกัน” แฟนเก่าคือคันดินในใจที่เขายังข้ามไม่ไป เขาอยากรู้เหลือเกิน ว่าคนคนนั้นเลิศเลอขนาดไหนกันถึงทำให้ซือเหยี่ยนยังคิดถึงยังโหยหามาจนถึงทุกวันนี้ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกว่าวันนี้เจียงมู่เฉินดูแปลกๆ ไปไม่เบา เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ แววตาแฝงความอยากรู้ความจริง

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น รอยยิ้มดูเลือนรางล่องลอย

 

 

           ซือเหยี่ยนเบนสายตากลับมาที่เดิม เสียงต่ำเอ่ยต่อ “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินแสร้งทำท่างสบายๆ พูดแบบไม่เครียดอะไร “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่สงสัยอยากรู้ขึ้นมา เลยถามไปงั้น ทำไม พูดไม่ได้เหรอ”

 

 

           “อุบัติเหตุ เขาเกิดเรื่อง”

 

 

           แววตาเจียงมู่เฉินประกายวาบขึ้นมาแวบหนึ่ง สีหน้าอารมณ์เปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกขุ่นมัว

 

 

           ‘ถ้าอย่างนั้น เพราะว่าแฟนเก่าประสบอุบัติเหตุ ซือเหยี่ยนเลยหาเขาเป็นตัวแทนใช่ไหม’ สำหรับคำตอบนี้ ในใจเจียงมู่เฉินไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบไม่พูดจา ไม่พูดต่อเลยสักคำ เขาไม่ถามซือเหยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไร ห้องครัวที่อบอุ่นแต่เดิมได้ตกเข้าสู่ความเงียบสงัดที่ทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออกแล้ว

 

 

           ทั้งสองคนต่างมีเรื่องติดค้างในใจ แต่กลับไม่มีใครสักคนเปิดปากพูด

 

 

           หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เจียงมู่เฉินให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขากลับห้องไป แผลบนตัวเขาลงชั้นล่างไปก็เหลือจะทนแล้ว ส่วนขึ้นชั้นบนมา เขารู้แก่ใจดีว่ามีแผลตรงไหน

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนอุ้มเขาถึงห้องนอนแล้ว ก็เข้าห้องหนังสือไป บอกว่ามีประชุมกันผ่านทางวิดีโอ

 

 

           เจียงมู่เฉินมีเรื่องติดค้างในใจ ก็ไม่ได้ยั้งเอาไว้ เขาดมกลิ่นยาทั้งตัวไม่ค่อยจะไหวเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินพยายามดิ้นรนยันกายลุกขึ้นมา หยิบเสื้อผ้าที่เปลี่ยนซักใหม่ออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วค่อยๆ เดินเข้าห้องน้ำไป

 

 

           การอาบน้ำครั้งนี้เป็นครั้งที่เสียแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเจียงมู่เฉินที่โตมาจนป่านนี้แล้ว กว่าจะอาบน้ำเสร็จไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหงื่อเขาออกทั้งตัว

 

 

           เขายืนต่อหน้ากระจกที่ปกคลุมไปด้วยไอน้ำ เจียงมู่เฉินมองใบหน้านั้นที่อยู่ในกระจก บนใบหน้ามีบาดแผลอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไร

 

 

           เขายังดูดีไม่ต่างจากเมื่อก่อน

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของตัวเอง ถ้าบอกว่าซือเหยี่ยนยอมคบกับเขาก็เป็นเพราะใบหน้านี้ของเขางั้นเหรอ

 

 

           เพราะคิดว่าเขาเจียงมู่เฉินไม่ได้เรื่องสักอย่าง แต่ยังหน้าตาดีใช้ได้ อย่างน้อยที่สุดแค่เห็นหน้าก็กินลงไปได้ ไม่รู้สึกแย่เกินไปด้วย

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นฝืนยิ้มอย่างจนใจ เขากลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยไปตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           ไม่เหมือนเจียงมู่เฉินคนเดิมที่ใจกว้างไม่หวาดกลัวสิ่งใดคนนั้นเลยสักนิด

 

 

            

 

 

ตอนที่ 135 คุณแม่เจียงรู้ว่าบาดเจ็บ

 

 

           กว่าซือเหยี่ยนจะกลับมาจากห้องหนังสือ เจียงมู่เฉินก็หลับไปเรียบร้อย เขานอนหลับแบบหัวไปทางหางไปทางอยู่บนเตียง ลักษณะการนอนคงเส้นคงวา ชนิดที่ว่าจะมีกี่เตียงก็ดูเหมือนจะไม่เหลือที่ว่างตรงไหนให้เขาเลย

 

 

           ราวกับซือเหยี่ยนจะคุ้นชินแล้วอย่างไรอย่างนั้น นั่งลงข้างๆ แล้วค่อยๆ จับมือเขาที่พาดขวางอยู่ดึงออกอย่างระมัดระวัง เอนกายนอนลงข้างกายเขาอย่างรู้ตำแหน่ง

 

 

           เหมือนกับรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่คุ้นเคย เจียงมู่เฉินจะบดเบียดร่างกายเข้าหาร่างกายของซือเหยี่ยนด้วยความเคยชิน

 

 

           ซือเหยี่ยนมือไวตาไวพอที่จะจับเขาทัน ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่นี้จะพลิกตัวมาแบบนั้นก็จะกดทับแผลที่แขนพอดี

 

 

           มือๆ เดียวของเขาคว้ามือเจียงมู่เฉินเอาไว้ แล้ววางไว้บนตัวเขา ระมัดระวังกลัวเขาจะสัมผัสโดนแผล

 

 

           ท่ามกลางความมืดมิด ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขามีลางสังหรณ์มาตลอด ว่าชีวิตสงบสุขของตัวเองกับเจียงมู่เฉินจะอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว

 

 

           เขาถอนหายใจเบาๆ จับกระชับมือเจียงมู่เฉินเข้ามา สอดมือประสานกันอย่างแนบสนิทจนไม่เหลือแม้ช่องว่างเพียงน้อยนิด

 

 

           ……

 

 

           เช้าวันต่อมา เขารู้สึกตัวตื่นโดยไม่มีซือเหยี่ยนอยู่ข้างกาย เจียงมู่เฉินเคลื่อนไหวร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ รู้สึกได้ว่าอาการดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก ขาทั้งสองข้างฟื้นคืนพละกำลังมาบ้างแล้ว ไม่ได้อ่อนแรงเหมือนเมื่อวาน

 

 

           เขาเดินอืดอาดออกจากห้องนอนไป เจียงมู่เฉินได้ยินการเคลื่อนไหวจากชั้นล่าง

 

 

           เขาชะงักไป รู้สึกแปลกไม่เบา ซือเหยี่ยนออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังมีเสียงดังขึ้นมา คงจะไม่ใช่โจรขึ้นบ้านซือเหยี่ยนหรอกใช่ไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ เคลื่อนย้ายตัวเองลงมา จนมาถึงชั้นหนึ่ง ถึงได้เข้าห้องครัวไป

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนทำอาหารเช้าอยู่ในครัว เจียงมู่เฉินตะลึงงัน เขาคิดว่าซือเหยี่ยนออกไปแล้ว

 

 

           “ตื่นแล้วเหรอ” ในขณะเดียวกันซือเหยี่ยนก็เห็นเจียงมู่เฉินพอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า เดินเข้าไปเทน้ำรินใส่แก้ว ถือไว้ในมือ

 

 

           ซือเหยี่ยนหันมามองเขา “วันนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

 

 

           “ดีกว่าเมื่อวานมากอยู่”

 

 

           “กินข้าวเช้าเสร็จ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”

 

 

           ทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘โรงพยาบาล’ ก็รีบเอ่ยถามเดี๋ยวนั้น “จะให้ฉันไปทำอะไรที่โรงพยาบาล” ไม่ใช่ว่าแอบหนีออกมากันเหรอ ยังจะกลับไปอีกทำไม

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาขำๆ “เฉินเฉิน พวกเราก็แค่แอบหนีจากโรงพยาบาลมา ไม่ได้แปลว่าจะไม่ต้องตรวจดูอาการนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินห่อเ**่ยวแล้ว ต้องกลับไปโรงพยาบาลอีก หลังจากกลับไปยังจะออกมาอีกได้หรือเปล่า ถ้าไม่ให้ออกมา เขาต้องอยู่โรงพยาบาลอย่างเป็นทุกข์แค่ไหน

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาทำหน้าย่น ก็ขำจนไม่ไหว “วางใจได้ ถ้ายังให้คุณอยู่โรงพยาบาล ผมพาคุณแอบหนีออกมาได้”

 

 

           ‘แอบหนี’……พูดถึงคำนี้ เหมือนเจียงมู่เฉินจะถากถางเขาก็ไม่ปาน แบบนั้นเขาเรียกแอบหนีเหรอ ต้องเรียกว่าเดินเล่นกันโอเคไหม

 

 

           หลังจากกินอาหารเช้ากันเสร็จ ซือเหยี่ยนก็พาตัวเขาไปโรงพยาบาล ตรวจดูอาการซ้ำอีกครั้ง

 

 

           “ร่างกายของคุณชายเจียงฟื้นตัวได้เร็วมาก ไม่ถึงสองวันก็กลับมาแข็งแรงเป็นปกติได้แล้วครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินแบบนั้นก็รีบถามทันที “งั้นฉันก็ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลแล้วใช่ไหม”

 

 

           หมอมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วมองมาทางเจียงมู่เฉินอีก “ถ้าคุณอยากอยู่ก็อยู่ได้ครับ”

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยินว่าไม่ต้องอยู่โรงพยาบาล รีบดึงซือเหยี่ยนไว้ “อย่าๆๆ อย่าเด็ดขาด”

 

 

           เขาไม่อยากอยู่โรงพยาบาลเลยสักนิด

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะมองดูท่าทางของเขา เชิดริมฝีปากขึ้นเอ่ยกับหมอไม่กี่ประโยค ก็เตรียมจะออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว

 

 

           ทั้งสองคนเตรียมจะออกไป ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออก

 

 

           จู่ๆ คุณแม่เจียงก็พุ่งตัวเข้ามา

 

 

           เจียงมู่เฉินตกตะลึง เงยหน้ามองซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนเองก็มีท่าทีตกใจนิดหน่อย

 

 

           “เฉินเฉิน ทำไมถึงบาดเจ็บแบบนี้ล่ะลูก” คุณแม่เจียงรีบโผเข้าหาเจียงมู่เฉิน “ทำไมบาดเจ็บแบบนี้ ก็ไม่บอกแม่”

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดหัวมองแม่ตัวเอง “แม่รู้ได้ไงว่าผมอยู่โรงพยาบาล”

 

 

           คุณแม่เจียงทั้งรักทั้งสงสารลูกจับใจ “ถ้าไม่ใช่ว่าแม่เห็นลูกเมื่อกี้พอดี ลูกคิดจะปิดบังแม่ไปอีกนานแค่ไหน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่รู้จักบอกแม่”

 

 

           เธอเห็นเจียงมู่เฉินซูบผอมลง ก็สงสารแทบไม่ไหว ลูกชายที่เธอฟูมฟักประคองไว้ในอุ้งมืออย่างดีหลายปีมานี้ จู่ๆ ก็ผอมโซแบบนี้ได้ ยังมีแผลไปทั้งตัวอีก

 

 

           ‘เธอจะไม่ทั้งรักทั้งสงสารลูกได้ยังไงกัน’

ตอนที่ 132 เหมือนเดนคนจริงๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นไป๋จิ่งหัวยุ่งๆ แล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ซือเหยี่ยนล่ะ?” 

 

 

           “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง เพิ่งจะลงจากเครื่องมาก็โดนซือเหยี่ยนจับตัวมาไว้ที่นี่แล้ว” ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ เขาก็เป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกันโอเคไหม 

 

 

         เจียงมู่เฉินมองไป๋จิ่งอย่างไม่ไยดี ก่อนจะหันหน้าเดินหนีไป 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาเดินกะโผลกกะเผลกก็รีบเอ่ยถาม “จะทำอะไร นี่นายจะไปไหน” 

 

 

           “กลับห้องไปนอน” มาตาใหญ่จ้องตาเล็ก[1]กับไป๋จิ่งอยู่ตรงนี้ สู้กลับห้องไปนอนยังจะดีกว่า 

 

 

           “อย่าเลย มาคุยเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” เขาไม่เห็นผู้ชายรูปงามมานานแล้ว ต้องการมองเจียงมู่เฉินชดเชยให้หัวใจที่บอบช้ำของเขาเป็นการด่วน 

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองบันไดที่กว่าจะเดินลงมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ แล้วถอนหายใจอย่างจนใจ ช่างเถอะ มาตาใหญ่จ้องตาเล็กกับไป๋จิ่งก็ได้ 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเจียงมู่เฉินหันหลังกลับมา ก็รีบเขยิบตัวเหลือที่ว่างใหญ่ๆ ให้เจียงมู่เฉิน 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูเขา ก่อนรีบคว้าเอาหมอนมาปัดๆ แล้วถึงนั่งลงไป 

 

 

           ไป๋จิ่งทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ เขาทำให้เจียงมู่เฉินรังเกียจขนาดนี้เลยเหรอ เขาคิดว่าตัวเองก็หล่อมากอยู่นะ ไป๋จิ่งชักจะปวดใจหน่อยๆ แล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนพิงโซฟา เปิดทีวีขึ้นมาหาว่าจะดูหนังเรื่องอะไร 

 

 

           ไป๋จิ่งพินิจมองใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ก็อดจะถอนหายใจไม่ได้ ใบหน้าของคุณชายน้อยตระกูลเจียงช่างตรงใจตรงรสนิยมเขาเหลือเกิน ถึงจะหักคะแนนทรงผมไปนิดหน่อย แต่คะแนนความงดงามที่เหลือก็ยังสูง หักออกไปได้แค่นิดเดียวเอง 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงคอ กวาดสายตามองเขา “นายมองฉันจนน้ำลายจะไหลแล้ว มองแบบนี้ไปทำไม” 

 

 

           ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ “ชอบไง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นายรอให้ซือเหยี่ยนกลับมา แล้วลองพูดอีกทีดูได้นะ” 

 

 

           ไป๋จิ่งหวาดกลัวขึ้นมาในทันใด “อย่าเลย คำว่า ‘ชอบ’ คำนี้ของฉันก็แค่การชื่นชมอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ ‘ชอบ’ แบบที่ต้องรับผิดชอบ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “พูดแบบนี้เหมือนเดนคนจริงๆ” 

 

 

           ไป๋จิ่งผู้โดนด่าว่า ‘เดนคน’ ทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ คนเราก็ชอบของสวยๆ งามๆ กันทั้งนั้น เขาแค่ชื่นชมใบหน้าของเจียงมู่เฉินเองไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง 

 

 

           จู่ๆ เขาก็นึกถึงใบหน้าอีกใบหน้าหนึ่งที่เขาเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้ ใบหน้างามได้รูป หน้าตาดูจิ้มลิ้มกว่าเจียงมู่เฉินเสียอีก 

 

 

           ไป๋จิ่งคิดใคร่ครวญอยู่ในหัว ในที่สุดก็คิดถึงสองคำนี้ขึ้นมาได้ 

 

 

           คนๆ นั้นชื่อ ‘มั่วไป๋’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเป็นสไตล์แบบที่เขาชอบมากทีเดียว เพียงแต่ว่าเจียงมู่เฉินมีเจ้าของหัวใจแล้ว ถ้าเป็นคนอื่น เขาก็ยังพองัดข้อได้ แต่เจ้าของคนนี้เป็นซือเหยี่ยน เขาปล่อยผ่าน อยู่เฉยๆ ไม่ไปกระตุกหนวดเสือจะดีกว่า 

 

 

           อีกอย่างต่อให้ไม่มีซือเหยี่ยน แค่เจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่งไม่ยอมเสียเปรียบแบบนี้ ต่อให้เขากินถึงปากก็กลืนได้ไม่ลงคออยู่ดี 

 

 

           คิดได้แบบนี้ เลือกกระต่ายขาวตัวน้อยผู้น่ารักคนนั้นดีกว่า 

 

 

           อย่างน้อยก็อร่อยแล้วยังย่อยง่าย ไม่ต้องกลัวว่าจะมาแว้งกัดเมื่อไหร่อีก  

 

 

           “นายนี่แม่งกำลังคิดเรื่องชั่วอะไรอยู่ ทำหน้ายิ้มลามกอยู่ได้” 

 

 

           ไป๋จิ่งเลิกคิ้ว “เมื่อกี้หน้าฉันดูลามกมากเลยเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบน “โคตรๆ ไม่ใช่มาก” 

 

 

           ไป๋จิ่งยกมุมปากขึ้น ยิ้มเหม่อเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

           “นายจะอยู่ที่นี่ถึงเมื่อไหร่” เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างขัดหูขัดตา 

 

 

           “เรื่องนี้ต้องดูซือเหยี่ยนของนายจะกลับมาเมื่อไหร่” 

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ 

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าไม่เข้าใจ “ฉันว่าฉันไม่ดึงดูดให้นายชอบได้ขนาดนี้เลยเหรอ หน้าตาฉันออกจะหล่อเหลา ถึงแม้จะเทียบซือเหยี่ยนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่กว่าซือเหยี่ยนสักหน่อย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “เขาไม่เหมือนนายหรอก บนใบหน้าขาดแค่เขียนคำว่า ‘เดนคน’ สองคำนี้เอง” 

 

 

           ไป๋จิ่งผู้โดนด่าว่า ‘เดนคน’ ทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ ดูท่าว่าเจียงมู่เฉินจะไม่ค่อยชอบเขาจริงๆ 

 

 

           “ว่าแต่ นายชอบอะไรในตัวซือเหยี่ยนเหรอ” ไป๋จิ่งค่อนข้างอยากรู้ทีเดียว เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนถึงขั้นมาคบกันได้มันเป็นเพราะอะไร 

 

 

           “เรื่องนี้ฉันบอกนายได้เหรอ” 

 

 

           “เอาหน่า บอกฉันเถอะนะ พวกนายสองคนเป็นศัตรูคู่แค้นกันไม่ใช่เหรอ แค่หันหลังแป๊บเดียวเอง พวกนายก็เป็นคู่รักกันไปแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายนี่มันชอบเผือกจริงๆ” 

 

 

           “จะเผือกก็เป็นเรื่องปกตินี่หน่า สมัยนี้แล้วใครจะไม่ชอบเผือกบ้าง” ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ “พวกนายสองคนใครจับกดใครเหรอ” 

 

 

           เห็นซือเหยี่ยนแค่แวบแรกก็ไม่รู้สึกว่าจะเหมือนคนโดนจับกดแบบนั้นเลย 

 

 

           ส่วนเจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่งและทะนงตัว ถ้าโดนจับกด…ร่างเสือร้ายของไป๋จิ่งสั่นสะท้าน ไม่กล้าคิดต่อไป 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองไป๋จิ่ง “อยากรู้จริงๆ เหรอ” 

 

 

           ไป๋จิ่งรีบพยักหน้า “อยากรู้โคตรๆ เลย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงดังมาจากประตูทางเข้า แล้วจึงยกนิ้วชี้ไปที่เขา “มา นายเข้ามาใกล้หน่อย ฉันจะบอกนาย” 

 

 

           ไป๋จิ่งไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าอันตรายจะมาใกล้ตัวแล้ว การสอดรู้สอดเห็นเป็นอันตรายแค่ไหน ในใจไป๋จิ่งก็เอาแต่คิดอยากจะสืบเรื่องการแบ่งบนล่างของพวกเขา 

 

 

           เสียงประตูถูกเปิดออก เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้น ก่อนเอ่ยเน้นคำต่อคำ “นายอยากรู้อยากเห็นขนาดนี้ อยากไปถามซือเหยี่ยนตรงๆ ไหม” 

 

 

    

 

 

[1] ตาใหญ่จ้องตาเล็ก คือสำนวนที่หมายถึง ต่างฝ่ายต่างมองตากัน เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 133 แย่งเมียเขา 

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกเพียงว่าเสียวสันหลังวาบขึ้นมา เขาหันหน้าไปมองเงียบๆ ก็เห็นแค่ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าทางเข้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นสีหน้าแบบนั้นของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ตัวเองก็แค่พูดคุยกับเจียงมู่เฉินไม่กี่ประโยคเอง ทำยังกับว่าไปแย่งเมียเขามาไม่มีผิด 

 

 

           เสียงหัวเราะเบาๆ ของเจียงมู่เฉินดังอยู่ข้างหู ไป๋จิ่งหันหน้ากลับมาอีกทีก็เห็นใบหน้างามละออของเจียงมู่เฉินพอดี 

 

 

           ไป๋จิ่งถลึงตาโต (。ì _ í。) อิริยาบถนี้ของตัวเองค่อนข้างจะให้ความรู้สึกเหมือนไปแย่งเมียเขามาจริงๆ  

 

 

           “นายยังอยากไปแอฟริกาอีกใช่ไหม” เสียงซือเหยี่ยนเจือความเลือดเย็น ทำเอาไป๋จิ่งตกใจจนรีบลุกขึ้นยืน 

 

 

           “อย่าๆๆ เมื่อกี้ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขา พลางยิ้มเยาะ “ยังไงกัน นายยังอยากทำอะไรอีก” 

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักงัน เขากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ชำระได้ไม่สะอาด[1]แล้วจริงๆ ก็แค่อยากรู้เรื่องใครจับกดใครเท่านั้นเอง ทำไมถึงกลายเป็นโดนจับชู้ไปได้ 

 

 

           การสอดรู้สอดเห็นเป็นอันตรายจริงๆ เขาไม่มีอะไรทำแล้วอยากรู้อยากเห็นไปเพื่ออะไร 

 

 

           เรื่องบนเตียงของคนอื่นจะเข้ากันหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับเขา 

 

 

           “ที่ไหนกันล่ะ ไม่ได้อยากทำอะไรเลยสักนิด ตีท้ายครัวเมียเพื่อนไม่ได้ ฉันยังเข้าใจกฎข้อนี้ดี” ไป๋จิ่งเหงื่อแตกพลั่กท่วมหัว แทบอยากจะเอาแขนเสื้อขึ้นมาเช็ด 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘เมียเพื่อน’ ก็อดจะทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจไม่ได้ “นายนั่นแหละเป็นเมีย” 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นสองคนกำลังปิดล้อมโจมตีเขา จึงวิ่งไปยังประตูทางออก “คือว่า จู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องสำคัญมากต้องรีบไปทำ ไม่ต้องให้ฉันอยู่ต่อกินข้าวเย็นแล้วนะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าคนคนนี้ช่างหน้าหนาจริงๆ ไม่มีใครอยากให้เขาอยู่ต่อกินข้าวเย็นด้วยกันเลยด้วยซ้ำ 

 

 

           ไป๋จิ่งปิดประตูลงก็เผ่นแน่บทันที กลัวจะมีใครจับเขากลับมา 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูประตูที่ถูกปิดลง ก่อนจะเดินมาอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน “เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” 

 

 

           ตอนเจียงมู่เฉินแก้เผ็ดไป๋จิ่ง เขามีกำลังล้นเหลือ พอตอนนี้แก้เผ็ดเสร็จแล้ว กลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนโคลนตม อ่อนปวกเปียกเป็นก้อนจับกัน กำลังสักนิดก็ไม่มี 

 

 

           เขาส่ายหัวอย่างน่าเวทนา “ฉันเกรงว่าจะไม่ไหวแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนดึงเขาเข้ามาใกล้ให้พิงตัวเองไว้ นวดให้เขาโดยระวังไม่ให้โดนแผล 

 

 

           เจียงมู่เฉินสบายตัวจนหลับตาทำเสียงฮัมในลำคอไปด้วย ซือเหยี่ยนเองก็ไม่หยุดมือ นวดให้เขาเรื่อยๆ 

 

 

           ทันใดนั้นก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นท่ามกลางห้องรับแขกอันเงียบสงบ 

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบเอามือกุมท้อง มองซือเหยี่ยน “นายไม่ได้กินข้าวเย็นมาเหรอ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเกือบจะหลุดขำออกมาแล้ว ตัวเองท้องร้องหิวเอง ยังจะโยนมาให้เขาอีก เฉินเฉินของเขาน่ารักจริงๆ 

 

 

           เพียงแต่ซือเหยี่ยนผู้กำลังตกอยู่ในห้วงความรักนั้น ต่อให้เจียงมู่เฉินมาแคะเท้าต่อหน้าเขา เขาก็ยังมองว่าน่ารักอยู่ดี 

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ เล่นตามน้ำคำพูดเขาไป “ผมก็ชักจะหิวขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว” เขาก้มลงมองเจียงมู่เฉิน “คุณอยากถือโอกาสนี้กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองซือเหยี่ยนตีมึนทำท่าทางเหมือนคิดหนัก สุดท้ายก็พยักหน้า “ได้สิ กลัวว่านายคนเดียวจะร้อนใจ ฉันก็อยู่เป็นเพื่อนนายกินอะไรสักหน่อยแล้วกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนขำจนกัดมุมปากเขาเข้าให้ จากนั้นถึงได้ปล่อยเขาแล้วเตรียมไปทำอาหารอยู่ในครัว 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาจะไป ก็รีบร้องเรียกเขาไว้ก่อน “เดี๋ยว นายก็อุ้มฉันไปด้วยเลยสิ” ไม่งั้นเหลือเขาคนเดียวนั่งอยู่ห้องรับแขกน่าเบื่อจะตาย  

 

 

            ซือเหยี่ยนหวนกลับมาอีกครั้ง ช้อนอุ้มร่างเขาขึ้นจากโซฟาไปวางบนเคาน์เตอร์ในห้องครัวไม่พอ ยังกลัวว่าเขาจะหนาวจึงไปหยิบเบาะรองนั่งมาวางให้อีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยนคนอ่อนโยนแสนใส่ใจ แล้วหรี่ตาลง เขาถือโอกาสตอนซือเหยี่ยนทำอาหารเอ่ยถามขึ้น “นายนี่ดีกับทุกคนขนาดนี้เลยไหม” 

 

 

           เขารู้สึกมาตลอดว่าการกระทำของซือเหยี่ยนดูคล่องมือไปหมด ราวกับว่าเคยฝึกเคยทำหลายๆ ครั้งมาก่อนเมื่อนานมากๆ มาแล้ว เมื่อคิดว่าซือเหยี่ยนเคยทำอะไรทำนองนี้กับคนอื่น ในใจเจียงมู่เฉินก็อดจะรู้สึกหึงไม่ได้ 

 

 

           เขาเจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่ง ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบมากเป็นพิเศษ เป็นไปไม่ได้ที่จะมาทำแบบนี้ต่อหน้าเขา 

 

 

           ‘เขาชอบซือเหยี่ยนมากๆ แล้วซือเหยี่ยนล่ะ?’ 

 

 

           ‘ซือเหยี่ยนชอบเขามากแค่ไหน?’ 

 

 

 

 

 

[1] เขากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ชำระได้ไม่สะอาด เปรียบเปรย มลทินที่ไม่อาจลบล้างให้หายไปได้ 

ตอนที่ 130 แค่อยากเล่นกับแฟนผมเท่านั้น 

 

 

           “คือว่า พี่ใหญ่ พี่ชาย ฉันยังเป็นคนป่วยอยู่นะ อดรนทำกับนายไม่ได้หรอก” เมื่อเห็นว่าซือเหยี่ยนจะเล่นทีจริง เจียงมู่เฉินก็หวาดหวั่นขึ้นมาทันที เขาเพิ่งจะออกมาจากโรงพยาบาล ถ้ามาโดนซือเหยี่ยนเล่นกันแบบนี้ ต้องเล่นจนเขาขาดใจตายแน่ 

 

 

           ซือเหยี่ยนแววตาดำทะมึน “ตอนนี้มารู้ตัวว่าเป็นคนป่วยเหรอ สายไปแล้ว” 

 

 

           มือข้างหนึ่งเจียงมู่เฉินบาดเจ็บขยับไม่ได้ มืออีกข้างหนึ่งโดนซือเหยี่ยนกดเอาไว้ ความสามารถในการต่อต้านขัดขืนเป็นศูนย์ 

 

 

           “อย่าเลยนะ พี่ชาย” เจียงมู่เฉินยังคงต่อสู้ดิ้นรนอยู่อย่างนั้น “แฟนสาวน้อยของนายยังอยู่ข้างนอก นายไปอยู่เป็นเพื่อนเธอก่อนสิ ระวังเธอจะโกรธเอาได้แล้วจะไม่เล่นกับนายอีกนะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “ตอนนี้ผมแค่อยากเล่นกับแฟนผมเท่านั้น” 

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาโต (。ì _ í。)  เขาไม่อยากโดนเล่นจะได้ไหม… 

 

 

         ยังดีที่ซือเหยี่ยนไม่ได้โรคจิตขนาดนั้น ก็แค่จูบเขาจนขาเขาอ่อนปวกเปียก สภาพแขนขาไร้เรี่ยวแรง ไม่ถึงขึ้นเล่นเขาจนตาย 

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้ฝ่ามรสุมรอดมาได้ กำลังนอนเป็นอัมพาตหายใจหอบชุดใหญ่อยู่ 

 

 

           เขารู้สึกว่าตัวเองซวยสุดๆ แล้วจริงๆ จะขยับตัวหรืออยู่กับที่ก็มีแต่เรื่องให้เจ็บตัว เดิมทีหนทางการเปลี่ยนเป็นรุกก็ห่างไกลกันมากอยู่แล้ว ยังมาบาดเจ็บแบบนี้อีก ยิ่งทำให้ไม่รู้ปีลิงเดือนม้าไปเลย 

 

 

           ‘หรือว่าเขาต้องนอนแผ่ให้ซือเหยี่ยนเล่นจริงๆ?’ 

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินคิดถึงตรงนี้ ก็อดจะอยากร้องไห้ไม่ได้ 

 

 

           กว่าเจียงมู่เฉินจะยอมเข้าที่เข้าทางมาเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของซือเหยี่ยนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยนที่กำลังดูโน้ตบุ๊กอยู่ “นายว่าใครคิดอยากลักพาตัวฉันเหรอ คงจะไม่ใช่ว่าพ่อฉันไปทำผิดอะไรกับใครไว้ แล้วคนๆ นั้นเห็นว่าพ่อฉันขวางหูขวางตา เลยมาจับฉันเอาไว้หรอกใช่ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดไปคิดมาก็รู้สึกถึงอะไรไม่ค่อยชอบมาพากลบางอย่าง “แต่ว่า ก็ไม่น่าจะใช่ทีเดียว ถ้าต้องการจับตัวฉันเพื่อข่มขู่พ่อฉัน ก็ควรจะบอกพ่อฉันไปแต่แรกแล้ว ไม่ต้องมารอจนถึงป่านนี้หรอก” 

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เรื่องนี้มีอะไรลับลมคมในจริงๆ เขาโดนลักพาตัวจากแถวหลินไห่ไป แล้วถูกจับตัวไปนานขนาดนั้นกลับไม่มีการโทรศัพท์แจ้งใคร ถ้าบอกว่าเพื่อทรัพย์สินก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดถึงคำพูดของสองคนนั้นขึ้นมาได้กะทันหัน เขายื่นมือสะกิดซือเหยี่ยน “นายว่าตกลงแล้วใครต้องการจะจับฉันไว้ แล้วยังสั่งการมาว่าไม่ให้ลงไม้ลงมือกับฉันอีก งั้นที่เขาจับฉันไว้หมายความว่ายังไงกัน” 

 

 

           เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก รู้สึกว่าเรื่องนี้เกินกว่าที่สมองเขาจะประมาณการได้พอควรทีเดียว 

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ ยื่นมือไปปิดโน้ตบุ๊กลง แล้วอุ้มคนในอ้อมอกขึ้นมา “พอเถอะ อย่าคิดอีกเลย ไปนอนกับผมนะ” 

 

 

           “กลางวันแสกๆ ขนาดนี้ จะนอนอะไร” 

 

 

           “คุณไม่สบายอยู่ต้องพักผ่อนเยอะๆ” ซือเหยี่ยนไม่ยอมให้ขัดขืน เขาวางอีกฝ่ายลงบนเตียง 

 

 

           “ฉันยังไม่ง่วง” เจียงมู่เฉินระเบิดลง ไม่ง่วงแล้วจะนอนหลับยังไง   

 

 

           “ไม่ง่วง งั้นผมจะเสียสละออกกำลังกายเป็นเพื่อนคุณก็แล้วกัน” ซือเหยี่ยนเอ่ยขู่เสียงต่ำ 

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบนอนตัวตรง “อย่าเลย ดูเหมือนฉันจะง่วงขึ้นมากะทันหันแล้วจริงๆ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนนอนอยู่ข้างกายเขา เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อง่วงแล้ว ก็นอนหลับดีๆ นะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาไปด้วย พลางด่าซือเหยี่ยนไปด้วย ถ้าไม่ติดว่าร่างกายฉันไม่พร้อม นายจะกินฉันจนขาดใจตายให้ได้เลยใช่ไหม 

 

 

         ‘รอร่างกายฉันหายดีก่อนเถอะ ฉันจะดูว่านายจะทำอะไรฉันได้’ 

 

 

           ไม่รู้ว่าการด่าซือเหยี่ยนเป็นการสะกดจิตให้นอนหลับได้ดีหรือเปล่า เพียงแป๊บเดียวเจียงมู่เฉินผู้ไม่ง่วงก็เข้าสู่นิทรา หลังจากได้ยินเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนข้างกาย ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง ถึงได้เปิดผ้าห่มออก แล้วลงจากเตียงไป 

 

 

           หลังจากเดินเข้าห้องหนังสือไป ก็โทรศัพท์ทันที “ช่วยฉันสืบเรื่องที่เจียงมู่เฉินโดนลักพาตัวไปที” 

 

 

           “ต้องการเร็วที่สุด ฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก” 

 

 

           ไม่รู้ว่าปลายสายทางนั้นพูดว่าอะไร เสียงทุ้มต่ำของซือเหยี่ยนตอบรับ “ได้ ฉันรู้แล้ว” 

 

 

           หลังจากวางสายไป ซือเหยี่ยนยืนอยู่ต่อหน้าหน้าต่าง มองออกข้างนอกไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ใบไม้นอกหน้าต่างเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูใบไม้ที่ขึ้นสีเหลือง ความคิดถึงก็ปลิดปลิวออกไปไกล 

 

 

           นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้เจอกับเจียงมู่เฉินที่อเมริกา ในวัยไม่เกินยี่สิบปี เป็นคนนิสัยตรงๆ มั่นใจตัวเอง แต่กลับดึงดูดสายตาคนเป็นพิเศษ   

 

 

   

 

 

ตอนที่ 131 คิดถึงเรื่องในอดีต 

 

 

           เขากับเจียงมู่เฉินรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะครอบครัวพวกเขารู้จักกันมาหลายชั่วอายุคน ต้องมีเจอหน้ากันบ้างเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันจนเป็นเรื่องปกติ 

 

 

           ต่างฝ่ายต่างหมายหัวกัน หลังจากเรียนมัธยมปลายแล้ว ก็ไม่เคยได้เจอกันอีก 

 

 

           ภายหลังเรียนจบมัธยมปลาย เขาได้ไปเรียนต่อที่อเมริกา จากนั้นก็ยิ่งไม่ได้มาข้องเกี่ยวกันอีก 

 

 

           จนกระทั่ง เขาเจอเจียงมู่เฉินที่โรงเรียนฝึกตำรวจ เจียงมู่เฉินในวัยยี่สิบปี คิ้วโก่งสวย ดวงตาสุกใสเป็นประกาย แวววับดั่งอัญมณีที่ดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ 

 

 

           ครั้งแรกที่เจอกันที่โรงเรียนฝึกตำรวจ เจียงมู่เฉินยืนอยู่ต่อหน้าเขา ยักคิ้วมองเขาด้วยท่าทางองอาจและเป็นตัวของตัวเองสูง “คุณชายอย่างฉันจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เพียงเพราะเรารู้จักกันหรอกนะ” 

 

 

           พวกเขาในวัยยี่สิบต้นๆ คือวัยหนุ่มที่กำลังเลือดร้อน ซือเหยี่ยนเองก็ไม่มีทางจะยอมให้อยู่แล้ว 

 

 

           ในกลุ่มคนต่างชาติ เจียงมู่เฉินและซือเหยี่ยนถูกแบ่งไปอยู่กลุ่มฝึกอบรมกลุ่มหนึ่ง เขามักจะเชิดมุมปากขึ้น ทำท่าทางไม่สนใจเสมอ แต่เวลาฝึกซ้อมกลับเก่งกว่าใคร เพราะหน้าตาที่โดดเด่นและผลการฝึกที่ยอดเยี่ยม เพียงไม่นานจึงกลายเป็นคนดังของโรงเรียน 

 

 

           อีกอย่างซือเหยี่ยนหยิ่งในศักดิ์ศรีมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีทางจะยอมแพ้เจียงมู่เฉินเป็นธรรมดา 

 

 

           ในไม่ช้า ทั้งคู่มีชื่อเสียงในโรงเรียนนี้พอๆ กัน ไม่ว่าจะเอ่ยถึงใคร ก็จะเอ่ยถึงชื่ออีกคนพ่วงท้ายตามตลอด 

 

 

           เจียงมู่เฉินราวกับเจอมวยถูกคู่ไม่มีผิด มักจะนัดเขาออกไปด้วยกันเสมอ เจียงมู่เฉินชอบความตื่นเต้นเร้าใจ มีเพียงซือเหยี่ยนที่อดทนไม่มองว่าเป็นปัญหาและอยู่เคียงข้างเขาได้ 

 

 

           นานวันเข้า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับแน่นแฟ้นสนิทใจกันมากยิ่งขึ้น 

 

 

           เจียงมู่เฉินชอบไปเล่นที่สนามฝึกซ้อมยิงปืน เวลาไม่เข้าฝึกอบรม ซือเหยี่ยนก็ไปด้วยกันกับเขา จนกระทั่งมีครั้งหนึ่ง เจียงมู่เฉินยักคิ้วเอ่ยท้าเขา “อยากแข่งกันไหม คนที่ชนะจะขออะไรก็ได้ข้อหนึ่งโดยที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้” 

 

 

           พูดถึงเรื่องแข่งขัน ซือเหยี่ยนไม่เคยกลัวเขาที่ไหนกัน ไม่ต้องเอ่ยคำที่สอง เขาก็รับปากไปโดยปริยาย 

 

 

           ทั้งสองคนแข่งกันแบบสามเกมชนะสองเกม ทั้งสองรอบแรกทั้งคู่ผลัดกันแพ้ชนะจนตีเสมอกันได้ จนถึงรอบที่สามเจียงมู่เฉินยักคิ้วแสดงคำมั่นอันหนักแน่น 

 

 

           รอบที่สาม เจียงมู่เฉินชนะ 

 

 

           เขายืนอย่างทะนงตัวถือปืนหันหน้ากลับมายิ้มเบาๆ สายลมพัดผ่านทรงผมสั้นหลังหูของเจียงมู่เฉินให้ไหวติง เขาเอ่ยใส่ซือเหยี่ยนด้วยมาดยิ้มย่องในชัยชนะ “บังเอิญจริงๆ ฉันชนะแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนอยู่ตรงนั้นมองเขา “อืม คุณอยากได้อะไร” 

 

 

           “มาเป็นแฟนคุณชาย!”  

 

 

           …… 

 

 

           ซือเหยี่ยนที่ยืนอยู่หน้าหน้าต่างอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ เจียงมู่เฉินคงจะไม่รู้เลย ว่านัดสุดท้ายเขาจงใจพลาด 

 

 

           เพราะว่าเขาอยากให้เจียงมู่เฉินชนะ 

 

 

           ถึงแม้ว่าคนที่สารภาพรักจะเป็นเจียงมู่เฉิน แต่ในความเป็นจริง คนที่หวั่นไหวในหัวใจก่อนกลับเป็นซือเหยี่ยน เป็นเขาที่ค่อยๆ ชักจูงเจียงมู่เฉินเข้ามาอยู่ในโลกของเขา 

 

 

           เริ่มทีละนิดทีละนิดจนทำให้เขาพูดประโยคนี้ออกมาได้ 

 

 

           วันแรกที่พวกเขาคบกัน อยู่ในสนามฝึกซ้อมยิงปืน แข่งกันจนไม่อาจจะพรากจากกันได้ 

 

 

           หลังจากนั้นหลายปีผ่านไป เจียงมู่เฉินผู้สูญเสียความทรงจำมายืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ทะนงตัวยักคิ้วให้ซือเหยี่ยน “เป็นไงบ้าง คุณชายอย่างฉันยิงปืนได้ไม่เลวอยู่ใช่ไหม ถือว่ามีพรสวรรค์หรือเปล่า”  

 

 

           เจียงมู่เฉินหลายปีหลังจากนั้น ยังมีท่าทางองอาจและเป็นตัวของตัวเองสูงเหมือนในตอนนั้นไม่มีผิด เย่อหยิ่งจนทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนหลับตาลงเบาๆ ใช้เวลาตั้งหลายปี ในที่สุดเจียงมู่เฉินของเขาก็ยังได้กลับมาอยู่เคียงกายเขา 

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้หลับใหลในความฝันกำลังซุกหน้าคลอเคลียหมอนของซือเหยี่ยนอย่างสบายๆ เข้าสู่นิทราสนิทอีกครา 

 

 

           …… 

 

 

           ตื่นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว เจียงมู่เฉินลืมตาสองข้างที่ยังคงง่วงนอนอยู่ ในห้องนอนมืดสนิท 

 

 

           เขานอนบนเตียงร้องเรียกซือเหยี่ยน ก็ไม่เห็นมีคนตอบกลับมา 

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ พยายามดิ้นรนลุกขึ้นมานั่ง ยังเจ็บไปทั้งตัวอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่พอจะทนได้ เขาค่อยเคลื่อนตัวลงจากเตียง แล้วเดินไปข้างนอก 

 

 

           ทั้งร่างกายส่วนที่เจ็บที่สุดคือบริเวณแขน ส่วนขาอ่อนแรงนิดหน่อย แต่ยังพอพยุงตัวเองเดินลงไปชั้นหนึ่งได้อยู่ 

 

 

           เฉื่อยชาราวกับคนแก่อายุแปดสิบปีอย่างไรอย่างนั้น เจียงมู่เฉินเดินลงบันไดด้วยความยากลำบาก เพิ่งจะเตรียมไปนั่งโซฟาสักหน่อย ก็เห็นมีของกองอยู่บนโซฟา เขาชะงักไป 

 

 

           เขาเดินเข้าไปยกเท้าถีบใส่ 

 

 

           ของก้อนนั้นบนโซฟาขยับเขยื้อน ยันกายขึ้นมานั่ง แล้วมองเขาด้วยความงุนงง “นายมาถีบฉันทำไม”  

 

ตอนที่ 128 แอบหนีจากโรงพยาบาล 

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินตื่นมาแต่เช้าแล้วโดนจูบไปจูบมาก็ชักจะรำคาญบ้างแล้ว เขายกเท้าถีบใส่อีกคน “ฉันยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานเท่าไหร่” 

 

 

           “ทำไม อยากออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “อยู่โรงพยาบาลเกลียดที่สุดแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูคนย่นคิ้วในอ้อมกอดตัวเอง แล้วยิ้มเบาๆ ก่อนเอ่ย “ไม่งั้นผมพาคุณกลับบ้านดีไหม” 

 

 

           “นายแน่ใจเหรอว่าจะพาฉันกลับไปได้” เจียงมู่เฉินไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่ 

 

 

           จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็ยกมุมปากขึ้น “หมอไม่ให้คุณออก ผมจะพาคุณแอบออกไปเป็นไง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยความตะลึงตกใจ “นายเอาจริงเหรอ จะแอบหนีจริงๆ เหรอ” 

 

 

           “ทำไมล่ะ หรือคุณไม่อยากออกจากโรงพยาบาลแล้ว?” 

 

 

           “อยากออกไปอยู่แล้วสิ” เจียงมู่เฉินทำหน้าบูดบึ้ง “แต่แอบหนีไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั้ง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนช้อนตัวอุ้มเขาออกไป “แอบหนีออกไปสักครั้งก็ตื่นเต้นเร้าใจดีไม่ใช่เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิด แววตาก็ทอประกายขึ้นมา จะว่าไปเขาก็ยังไม่เคยแอบหนีจริงๆ คิดไปคิดมาก็ใจเต้นไม่เบาเลย 

 

 

           “จะเอายังไง เฉินเฉิน จะหนีหรือไม่หนี” ซือเหยี่ยนยิ้มรอ ดูเหมือนจะสอบถามความคิดเห็น แต่ที่จริงในใจก็มั่นใจอยู่พอตัว 

 

 

            ตามนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ยอมตกลง 

 

 

           เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เจียงมู่เฉินรีบพยักหน้า “หนีๆๆ รีบหนีเร็วเข้า” 

 

 

           เขาพูดจบก็รีบให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขาออกไป ซือเหยี่ยนอุ้มเขากลับห้องผู้ป่วย พวกเขาไม่มีสัมภาระอะไร เสื้อผ้าสองชิ้นบนตัวเจียงมู่เฉินที่เปื้อนเลือด ซือเหยี่ยนก็เอาไปจัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว 

 

 

           ตอนนี้จะอุ้มคนออกไปก็ได้แล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินสวมชุดคนไข้ ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของซือเหยี่ยน จะว่าไปครั้งแรกที่จะหนีออกจากโรงพยาบาลแบบนี้ ยังค่อนข้างจะตื่นตระหนกจริงๆ 

 

 

           เขาเงยหน้ามองดูซือเหยี่ยนสีหน้านิ่งเฉยอุ้มเขาอยู่ แล้วเลิกคิ้ว “นายไม่ได้อยากจะแอบหนีหรือไง” 

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนรับคำหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “นี่กำลังหนีอยู่ไม่ใช่เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น อุ้มเขาเดินไปช้ากว่าปกติอีก นี่เรียกว่าหนี? ไปเดินเล่นสาธารณะก็ยังไม่เอ้อระเหยขนาดนี้เหอะ 

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มลงใบหน้าของเขา “เฉินเฉิน อย่าใจร้อนสิ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกัดฟันกรอด เขาไม่ได้ใจร้อนสักหน่อยเลยเหอะ! 

 

 

           … 

 

 

           ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซือเหยี่ยนวางเขาลงข้างที่นั่งคนขับอย่างอ่อนโยน ยังกลัวว่าเขาจะรู้สึกไม่สบายตัว ตั้งใจวางเบาะรองนิ่มๆ เป็นพิเศษ แล้วยังปรับที่นั่งเอนไปข้างหลังนิดหน่อยให้อีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนกายนอนบนเบาะที่นั่ง มองดูซือเหยี่ยนที่กำลังช่วยเขารัดเข็มขัดนิรภัย แล้วถอนหายใจอย่างปลงๆ “ตอนนี้ฉันเหมือนคนพิการมากเลยใช่ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนโน้มตัวเข้าไปใกล้ ใช้ปากงับมุมปากของเจียงมู่เฉิน “ไม่เหมือน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ค่อยสบายใจ “ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ฉันทำอะไรก็ไม่ได้ดีสักอย่าง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกัดเขาซ้ำอีก “ไม่ใช่หรอก คุณยังมีอย่างอื่นที่ทำได้อีก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองเขา 

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ ก่อนพูดต่อ “นอนคราง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ทนแล้ว ชกเขาเข้าไปเต็มๆ 

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย ทำไมนายไม่ไปนอนครางเองล่ะ!’ 

 

 

           …… 

 

 

           แอบหนีจากโรงพยาบาลกลับบ้านมา รถเพิ่งจะมาจอดที่หน้าทางเข้าคฤหาสน์ก็เห็นหลินเหวินฮุ่ยยืนอยู่ตรงนั้น เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองซือเหยี่ยน 

 

 

           “แฟนสาวน้อยของนายมาหานายแล้ว” เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ 

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ผมไม่มีแฟนสาวน้อย ถ้ามีก็เป็นคุณ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม “ฉันเป็นแฟนหนุ่มของนายต่างหาก” 

 

 

           ซือเหยี่ยนขำ ยื่นมือไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้เขา แล้วก็ไม่ลืมจะจูบเขาด้วย “อืมๆ คุณเป็นแฟนหนุ่มของผม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเปิดประตูรถออกไป หลินเหวินฮุ่ยเห็นเขาก็รีบเดินเข้ามาหา “พี่ซือเหยี่ยน ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว ฉันรอพี่มาตั้งนานเลย” 

 

 

           “เหวินฮุ่ย มีธุระอะไรหรือเปล่า” 

 

 

           “ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่อยากบอกพี่ว่าฉันออกจากโรงพยาบาลแล้ว” หลังจากที่ซือเหยี่ยนพาตัวเธอไปส่งโรงพยาบาลก็ไม่เคยได้ปรากฏตัวอีกเลย เธอโทรศัพท์หาก็โอนสายไปหาผู้ช่วยตลอด ไม่มีวิธีการอื่นจะติดต่อซือเหยี่ยนจริงๆ ทำได้แค่มาบ้านเขาเท่านั้น 

 

 

           “อืม งั้นเธอก็พักผ่อนดีๆ แล้วกัน” 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยมองดูซือเหยี่ยน กัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกน้อยใจ “พี่ซือเหยี่ยน พี่ไม่ห่วงใยไม่สนใจฉันเลยนะ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 129 คุณชายคือผู้ชายของเขา 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่อยากพูดก็ต้องพูด “เหวิยฮุ่ย เพิ่งออกจากโรงพยาบาลยังอยู่ในช่วงที่ต้องพักฟื้นดีๆ ออกมาแบบนี้จะไม่ดีต่อสุขภาพได้” 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยกะพริบตาปริบๆ ดูน่าสงสารไม่น้อย เธอคว้าแขนของซือเหยี่ยนไว้ “พี่ซือเหยี่ยน ฉันเศร้ามาก พี่อยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหมคะ” 

 

 

           “ประธานซือ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร นายอุ้มฉันเข้าไปข้างในก่อน แล้วค่อยออกมาจู๋จี๋กับน้องหลินเหวินฮุ่ยจะได้ไหม” เจียงมู่เฉินมองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา ถ้าไม่ติดว่าเขาเดินเหินไม่สะดวก เขาเดินเข้าไปเองแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองหลินเหวินฮุ่ยแวบหนึ่ง “เหวินฮุ่ย คุณชายเจียงยังไม่ค่อยสบาย ฉันอุ้มเขาเข้าไปก่อนนะ” 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยตะลึงงันมองซือเหยี่ยนเดินอ้อมรถไปอยู่อีกฝั่ง แล้วช้อนอุ้มเจียงมู่เฉินออกมา 

 

 

           นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นพวกเขาแบบนี้ ไหนจะยังมีครั้งก่อนในห้องทำงานของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินยังบอกว่าพวกเขานอนด้วยกัน… 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยไม่กล้าคิดต่อไป เธอปากสั่นมองทั้งสองคนด้วยความหวาดกลัว “พวกพี่…ตกลงว่าความสัมพันธ์ของพวกพี่คือแบบไหนกันแน่คะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดฝีเท้าลง มองหน้าหลินเหวินฮุ่ย กำลังจะเตรียมตอบเธอก็ถูกเจียงมู่เฉินคว้าคอลงมาประกบริมฝีปาก 

 

 

           เจียงมู่เฉินยักคิ้วมองดูหลินเหวินฮุ่ยที่อยู่ข้างๆ “คุณชายคือผู้ชายของเขา เธอว่าฉันกับเขาเป็นอะไรกันล่ะ” 

 

 

           พูดจบก็ไม่มองหลินเหวินฮุ่ยอีก แล้วหันมาสั่งซือเหยี่ยนต่อ “ยังไม่รีบอุ้มคุณชายเข้าไปอีก” 

 

 

           ซือเหยี่ยนขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น เห็นเจียงมู่เฉินมีแนวโน้มว่าจะระเบิดลงในอีกไม่ช้าจึงรีบอุ้มเขาเข้าไปข้างใน 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยผู้น่าสงสารมองพวกเขาสองคนเดินเข้าคฤหาสน์ไปด้วยสีหน้างุนงง เหลือแค่เธอคนเดียวยืนสับสนวุ่นวายใจค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ 

 

 

           ‘พี่ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉิน…’ 

 

 

           ‘จะเป็นไปได้ยังไง นี่เป็นไปไม่ได้หรอก พวกเขาจะมาคบกันได้ยังไง’ เธอชอบพี่ซือเหยี่ยนมาตลอด เธออยากจะเป็นเจ้าสาวของพี่ซือเหยี่ยน 

 

 

           หลินเหวินฮุ่ยกำหมัดแน่นยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ พวกเขาเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่จะมาคบกันได้ยังไง คนที่คบกับพี่ซือเหยี่ยนได้มีแค่เธอเท่านั้น       

 

 

         เธอกับพี่ซือเหยี่ยนครอบครัวพวกเขาจะรู้จักกันมารุ่นสู่รุ่น พ่อของเธอเป็นอาจารย์ของพี่ซือเหยี่ยน หลายปีมานี้พี่ซือเหยี่ยนดูแลเธอดีมาเสมอ 

 

 

           มีเพียงเธอเท่านั้นที่ยืนเชิดหน้าชูตาอยู่ข้างพี่ซือเหยี่ยนได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเป็นผู้ชาย ไม่มีทางเด็ดขาด 

 

 

           เธอจะไม่ยอมให้เจียงมู่เฉินมาแย่งพี่ซือเหยี่ยนจากเธอไปเด็ดขาด 

 

 

           …… 

 

 

           เมื่อเข้าคฤหาสน์มาแล้ว เจียงมู่เฉินให้ซือเหยี่ยนวางเขาลงบนโซฟา ซือเหยี่ยนเพิ่งจะวางเขาลง เจียงมู่เฉินก็ทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจใส่ “ไสหัวไปเลย ฉันอยู่ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว นายไปโอ๋แฟนสาวน้อยของนายเถอะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินก็ยักคิ้วทันที “ได้ งั้นคุณนั่งตรงนี้สักพักนะ” พูดจบก็หมุนตัวจะเดินออกไป 

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนระเบิดลง มือคว้าเอาหมอนข้างๆ เขวี้ยงใส่ไหล่กว้างของซือเหยี่ยน 

 

 

           “แม่งเอ๊ย นายกล้าเดินออกไป ก็ลองดู” 

 

 

           ซือเหยี่ยนหมุนตัวกลับมา แววตาแฝงรอยยิ้ม แต่กลับทำหน้าตาจริงจังใส่อีกฝ่าย 

 

 

           “คุณให้ผมไปไม่ใช่เหรอ” 

 

 

           “ฉันให้นายไปตาย นายก็จะไปใช่ไหม” ปกติก็ไม่ได้เห็นว่าเขาจะเชื่อฟังกันเท่าไหร่ ตอนนี้ยังมาเสแสร้งทำตัวเป็นเจ้ากระต่ายน้อยสีขาว[1]ต่อหน้าเขาอีก 

 

 

           “ไป” ซือเหยี่ยนขานรับทันที 

 

 

           เจียงมู่เฉินยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ ยังเพลิดเพลินตกอยู่ในภวังค์การก่นด่าซือเหยี่ยนอยู่ จู่ๆ มาได้ยินคำๆ หนึ่ง ก็อดจะเอ่ยถามไม่ได้ “นายว่าอะไรนะ” 

 

 

           “ถ้าคุณอยากให้ผมไปตาย ผมก็จะไป” 

 

 

           เจียงมู่เฉินอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง เขาก็แค่พูดไปส่งๆ แต่ซือเหยี่ยนกลับมาตอบเขาจริงจังแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกประทับใจเกินจะบรรยายออกมาได้ 

 

 

           เขาแกล้งทำเป็นไม่เชื่อหูตัวเอง กวาดสายตามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “ปากหวานแบบนี้ใครจะไปเชื่อ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้ชี้แจงอะไรต่อ เขาโผเข้าหาแล้วจับตัวคนกดลงไป 

 

 

           เจียงมู่เฉินตกใจจนสะดุ้งโหยง “นายมันบ้าไปแล้ว พูดจาดีๆ กันก็ได้จะลงไม้ลงมือกันทำไม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหัวลงไปกัดคอระหงขาวผ่องของเขา “ใช้คำพูดกับคุณไม่ได้หรอก ใช้ได้แค่การกระทำแสดงออกเท่านั้น” 

 

 

            

 

 

 

 

 

[1] เจ้ากระต่ายน้อยสีขาว เป็นการเปรียบเปรยกับคนที่ไม่รู้จักสิ่งชั่วร้าย บริสุทธิ์สีขาวเหมือนกระต่ายขาว   

ตอนที่ 126 จะไม่เสียโฉมใช่ไหม 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนอีกฝ่ายอุ้มอยู่เช่นนี้ เขาซบไหล่ซือเหยี่ยนอย่างว่าง่าย เขาขมวดคิ้วไป พลางเอ่ยปากไปด้วย “ทำไมฉันรู้สึกว่าหลังจากที่อยู่ด้วยกันกับนาย ก็โดนนายอุ้มไปอุ้มมาตลอด อุ้มจนต่อไปฉันเกิดไม่อยากจะเดินขึ้นมาแล้วจะทำไง” 

 

 

           “งั้นผมจะอุ้มคุณไว้ตลอดเลย” 

 

 

           “ไม่ได้หรอก ขาทั้งสองข้างของคุณชายดูดีออกขนาดนี้ ไม่ได้เอามาไว้ประดับสักหน่อย จะไม่ให้เดินได้ยังไงกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนดูเหมือนจะหลุดขำออกมา เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น “มีประโยชน์อย่างอื่นอยู่” 

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงัน ขาไม่ได้ใช้ไว้เดิน แล้วยังจะมีประโยชน์อะไรอย่างอื่นอีก 

 

 

           “ผมให้คุณยืมเอวผมได้” 

 

 

           …เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง ร่างกายที่บาดเจ็บไปทั้งตัวเหมือนคนป่วยขนาดนี้ยังโดนซือเหยี่ยนไอ้คนชั่วยั่วประสาทกันอีกเหรอ 

 

 

           ‘ให้เขายืมเอว?’ 

 

 

           ‘ไม่ได้อยากจะยืมเอวเขาเลยเหอะ’ 

 

 

           … 

 

 

           “นายแน่ใจนะว่านายเดินออกไปได้” เดินตัดทางแบบนี้ เจียงมู่เฉินอดจะถามขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

           “เจียงมู่เฉิน” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงนิ่ง “คุณต้องเชื่อแฟนของคุณนะ” 

 

 

           “แต่ว่านายเดินมาได้สักพักแล้ว” เจียงมู่เฉินพูดพึมพำ “ไม่งั้นนายวางฉันลง ให้ฉันเดินเอง?” 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่คิดเลยสักนิดก็เอ่ยปฏิเสธเขาแล้ว “ร่างกายคุณบาดเจ็บอยู่ ให้ผมอุ้มคุณดีกว่า” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนด้วยความประทับใจ “นายทำแบบนี้ ฉันรู้สึกประทับใจขึ้นมานิดหน่อยแล้วตอนนี้” 

 

 

           “ผมไม่ถือสาคุณจดเอาไว้ก่อนเลย ว่ากลับไปจะให้ผมจับคุณกดกี่ครั้ง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินระเบิดลง “เชี่ยแม่ง! นายมันไอ้คนระยำ ฉันเป็นขนาดนี้แล้ว ในหัวนายยังคิดเรื่องจะจับฉันกดอยู่ได้อีก” 

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไขสือพูดออกไป “งั้นคุณจับผมกด?” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมีแรงฮึดขึ้นมาแล้ว “จริงเหรอ นายยอมจะให้ฉันจับกด?” 

 

 

           “รอออกจากไปที่นี่แล้ว ผมจะลองคิดทบทวนดู” 

 

 

           “วางใจได้ อาศัยดวงดีของคุณชาย รับรองว่าต้องออกไปได้แน่” ซือเหยี่ยนมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ เรื่องที่จะออกไป เขาไม่เคยต้องเป็นกังวลอยู่แล้ว 

 

 

           ถึงแม้จะดูเหมือนว่าไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ไม่รู้ทำไม เพียงพริบตาเดียวที่เห็นซือเหยี่ยน ในใจก็สงบลงแทบจะเดี๋ยวนั้น 

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้าขึ้นจูบซือเหยี่ยน ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ถ้าฉันตายขึ้นมาจริงๆ นายคิดจะเปลี่ยนไปรักคนอื่นบ้างไหม” 

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่โอบอุ้มเจียงมู่เฉินไว้กระชับแน่นขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำตอบนี้ก็โกรธจนเข็ดฟัน โอบคอซือเหยี่ยนไว้แล้วกัดเข้าไปแรงๆ คำหนึ่ง “นายเป็นคนของคุณชายแล้ว ต่อให้คุณชายตายไป นายก็ยังเป็นของคุณชาย อยากจะหนีไปรักคนอื่น ตลอดชีวิตนี้ไม่มีทางจะมีวันนั้นหรอก” 

 

 

           ท่ามกลางความมืดมิดซือเหยี่ยนอดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ ดวงตาสีดำขลับเอ่อล้นไปด้วยประกายรอยยิ้มบางๆ “งั้นก็เหลือบ่ากว่าแรงผมสักหน่อยแล้วกัน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “เหลือบ่ากว่าแรง?” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มขำ “ตามใจปรารถนา” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น ได้ยินคำตอบนี้ยังพอได้อยู่ 

 

 

           เดินต่อไปอีกสักพักหนึ่ง เจียงมู่เฉินเริ่มจะประคองสติตัวเองไม่ได้แล้ว คนที่เสียเลือดมากอย่างเขาแทบจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวมาตั้งแต่แรกๆ ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะอยู่เป็นเพื่อนซือเหยี่ยน เขาคงเป็นลมไปตั้งนานแล้ว 

 

 

           มือเขาที่โอบกอดซือเหยี่ยนคลายลง เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น แต่ใบหน้ากลับอ่อนล้าอย่างชัดเจน เขาพยายามยิ้มออกมา “ฉันง่วงแล้ว ขอตัวพักก่อนนะ”  

 

 

           “อืม” 

 

 

           “ฉันหลับไปแล้ว นายจะไม่กลัวหรอกใช่ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนบรรจงจูบเขา “ไม่หรอก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า อิงแอบแนบกายในอ้อมอกของซือเหยี่ยน เขาค่อยๆ หมดสติไปอย่างช้าๆ… 

 

 

           …… 

 

 

           ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็อยู่ในห้องผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว เขาโดนซือเหยี่ยนกอดไว้ในอ้อมอก 

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้าขึ้นมา มองเห็นใบหน้ายามหลับใหลของซือเหยี่ยน ใบหน้าได้รูปที่มีรอยแผลเพิ่มขึ้นมา ไม่ถือว่าอาการหนักเท่าไหร่ ไม่กี่วันก็หายดีได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูเขาไม่ทันไรก็อดจะเข้าใกล้มอบจูบนี้ให้เขาสักหน่อย 

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นาทีนี้ที่ได้เห็นซือเหยี่ยนอยู่ข้างกายเขา ในใจก็มีความรู้สึกประทับใจจนพูดไม่ออก 

 

 

           เขาขยับร่างกายแค่เพียงนิดก็เจ็บราวกับโดนเข็มทิ่มแทง เจียงมู่เฉินชะงักไป เมื่อครู่เขาเห็นแค่บาดแผลของซือเหยี่ยน ไม่ได้รู้สภาพอาการของตัวเองเลย 

 

 

           เขาค่อนข้างรู้สึกปวดตุบๆ บนใบหน้า คงจะไม่เสียโฉมหรอกใช่ไหม 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 127 เจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่ง 

 

 

           ‘เสียโฉม’ สองคำนี้วนเวียนอยู่ในสมอง เจียงมู่เฉินตกใจจนเด้งตัวขึ้นมา พลาดไปโดนแผลที่แขนตัวเองพอดี เจ็บจนหน้าตาเหยเก 

 

 

           ซือเหยี่ยนตื่นมาก็เห็นเจียงมู่เฉินเจ็บจนหน้าย่นรวมกันเป็นก้อน 

 

 

           เขาไม่ง่วงนอนอะไรอีก รีบลุกขึ้นมานั่ง “เป็นไรไป” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนตื่นมาแล้วก็รีบร้องเรียก “รีบไปหากระจกมาให้ฉันที คุณชายอย่างฉันจะไม่เสียโฉมหรอกใช่ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าทำตาหวาดกลัว ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “เสียโฉมไปบ้างนิดหน่อย แต่วางใจได้ ผมไม่ทิ้งคุณหรอก” 

 

 

           เดิมทีเจียงมู่เฉินแค่รู้สึกกลัวนิดหน่อย แต่ซือเหยี่ยนดันพูดมาขนาดนี้ ยิ่งทำให้เขาตกใจจนไม่ไหว 

 

 

           ยกเท้าขึ้นถีบใส่ซือเหยี่ยน “รีบไปหากระจกมาให้ฉันเลย” 

 

 

           ในห้องผู้ป่วยจะไปหากระจกมาจากไหน ซือเหยี่ยนลุกขึ้นยืนอย่างขำๆ เขาช้อนอุ้มอีกคนขึ้นมา แล้วเดินพาเข้าไปในห้องน้ำ 

 

 

           ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากับกระจก เจียงมู่เฉินเบิกตาโตพินิจมองใบหน้าของตัวเอง โล่งใจไปได้เสียที “โชคดีๆ ไม่กระทบความหน้าตาดีของคุณชาย” 

 

 

           พูดไปด้วย ลูบใบหน้าไปด้วย “แม่งเอ๊ย ทำฉันตกใจจนคิดว่าเสียโฉมจริงๆ ไปแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางของเขาก็อดจะถอนหายใจไม่ได้ “เฉินเฉิน คุณเป็นผู้ชายคุณต้องห่วงใบหน้าขนาดนี้เลยเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบไล้ใบหน้า พร้อมพูดแก้ต่าง “นี่มันไม่เกี่ยวว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงสักหน่อย หน้าตานี้อยู่บนใบหน้าของฉัน ฉันต้องรับผิดมัน” 

 

 

           มุมปากซือเหยี่ยนอดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้ เขายังคิดว่าเจียงมู่เฉินตื่นมา เรื่องแรกที่นึกถึงคือร้องหาเขา ที่ไหนได้มาจนป่านนี้เรื่องแรกที่เขานึกถึงคือห่วงแต่ใบหน้าของตัวเอง 

 

 

           “อีกอย่าง ถ้าฉันเกิดเสียโฉมขึ้นมา นายต้องเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นแน่” เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้า พลางถอนหายใจอย่างทะนงตัว “ฉันจะไม่ให้นายมีโอกาสนั้นหรอก” 

 

 

           “ดูจนพอใจหรือยัง” ซือเหยี่ยนเอ่ยถาม 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบาดแผลบนใบหน้าตัวเองอย่างจริงจัง “ถ้าแผลฉันหายดี จะไม่เหลือแผลเป็นหรอกใช่ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินผู้เอาแต่หมกมุ่นเรื่องใบหน้าของตัวเอง แล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ เขาอุ้มอีกคนขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ในห้องน้ำ 

 

 

           ก้นเจียงมู่เฉินเย็นขึ้นมาทันที “เดี๋ยว จู่ๆ นายยกฉันขึ้นมาวางข้างบนนี้ทำไมกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนชักมือออกมาวางและกดไว้ที่เอวของคนตรงหน้า พร้อมโน้มตัวเข้าใกล้ ใช้ฟันงับเขาไปทีสองที “อดทนมานานพอแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินทำหน้างุนงง เขาอดทนอะไรมาตั้งนานเหรอ 

 

 

         ซือเหยี่ยนไม่คิดจะใช้วาจาใดๆ บอกเจียงมู่เฉิน ชายหนุ่มเข้าไปใกล้แล้วลงมือจูบเจียงมู่เฉินทันที รวบตัวเขาไว้ในอ้อมกอดของตัวเอง ให้เป็นฝ่ายรองรับรสสัมผัสนี้ 

 

 

           ตั้งแต่พาเขากลับมาเมื่อคืนก็อยากจะทำขนาดนี้แล้ว 

 

 

           ถ้าไม่ติดว่าเห็นเจียงมู่เฉินนอนหมดสติ แล้วสงสารจนทำไม่ลง คงจะจับเขากดลงเตียง แล้วจัดหนักจัดเต็มจนลงจากเตียงไม่ได้ไปตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

           ทุกๆ วันเขาจะได้ไม่วิ่งวุ่นไปไหนต่อไหน ทำให้ตัวเองกังวลใจอีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาจูบจนหายใจจะไม่ทันแล้ว มือที่ไร้เรี่ยวแรงกำแขนเสื้อซือเหยี่ยนเอาไว้ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายรับจูบของเขา 

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดซือเหยี่ยนก็ถอยห่างจากเจียงมู่เฉินออกมา เจียงมู่เฉินฉวยโอกาสนี้รีบสูดหายใจเข้าไปเต็มๆ ปอด 

 

 

           เขาลูบหน้าอกตัวเองไป พลางเอ่ยอย่างทุลักทุเลจนน่าสงสาร “ฉันยังเป็นคนไข้อยู่นะ ต้องรุนแรงกันขนาดนี้เลยเหรอ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนโน้มเข้าใกล้ไปกัดเขาสักคำ “อยากรวบตัวคุณมาอยู่ข้างกายผม ไม่ให้ไปไหนซะจริงๆ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “เจียงมู่เฉินแบบนั้น นายจะไม่ชอบเอาได้นะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมือกระชับแน่น ออกแรงจับเจียงมู่เฉินไว้ เจียงมู่เฉินที่โดนเด็ดปีกออกก็ไม่ใช่เจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่งที่เขารู้จักคนนั้นแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนจ้องมองใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ในหัวอดจะคิดถึงเจียงมู่เฉินที่เจ้าอารมณ์แต่กลับเย่อหยิ่งในตอนนั้นไม่ได้ 

 

 

           เขายืนอยู่ต่อหน้าถือปืนจ่อตัวเองแล้วยกยิ้มบางๆ อย่างตามใจ 

 

 

           ซือเหยี่ยนคว้าเขามากอด เจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่งถึงจะเป็นเจียงมู่เฉินที่แท้จริง 

 

 

           เขาถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงเจือความยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่าย “ช่างเถอะ ผมก็เด็ดปีกคุณไม่ลงหรอก” 

 

 

           อย่างมากก็แค่ เขาต้องพยายามขึ้นอีก ปกป้องอีกฝ่ายให้รอบด้านก็โอเคแล้ว  

ตอนที่ 124 ซือเหยี่ยนหายตัวไป

 

 

นาทีที่ได้ยินเสียงซือเหยี่ยนเพียงชั่วพริบตาเดียว ในใจของ​เจียงมู่เฉินก็มีความรู้สึก​บางอย่าง​ที่พูดไม่ออกพรั่งพรูออกมา มือที่จับมือ​ถือไว้แน่น​ ปลาย​นิ้วที่ประสานกันสั่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

“ซือเหยี่ยน…ฉันเอง…” เสียงเขาขาดๆ หายๆ

 

 

“คุณเป็นไรไหม” เสียงซือเหยี่ยนแฝงความร้อนใจ

 

 

“ฉัน…” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค จู่ๆ มือถือ​ก็ดับไป เจียงมู่เฉินมองดูมือถือด้วยความงุนงง เขาเพิ่งจะเอ่ยได้ไม่กี่คำ แบตมือถือ​ที่เหลือเพียงแค่นี้ก็ทนอยู่ต่อไม่ไหว ปิดเครื่อง​เองโดยอัตโนมัติ​

 

 

เขามองดูมือถือ​แล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ สักประโยคยังไม่ทันได้พูดก็หายตัวไปเสียดื้อๆ ยังโทรหาซือเหยี่ยนด้วยสายแปลกๆ อีก ไม่รู้ว่าแบบนี้อีกฝ่ายจะยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิมไหม

 

 

เจียงมู่เฉินเก็บมือถือ​เข้ากระเป๋ากางเกง​ ถอนหายใจ​แบบปลงๆ

 

 

‘ดูท่าว่าวันนี้สวรรค์​ต้องการจะตัดขาดกับเขาสินะ’ ในหุบเขาลึกป่าดงดิบ ท้องฟ้ามืดมิด มองทิศทางก็ไม่ชัด แล้วยังติดต่อซือเหยี่ยนไม่ได้อีก ยิ่งไม่ต้อง​พูดถึง​ว่าจะมีคนสองคนนั้นที่พบว่าเขาหนีไปแล้วจะตามจับเขาอีกได้

 

 

เขาพักอยู่ไม่กี่นาที พอรู้สึกว่าเรี่ยวแรงพอกลับมานิดหนึ่ง​แล้วก็เดินมุ่งออกข้างนอกต่อไป ถึงอย่างไรสถานการณ์​ในขณะนี้ ค้นหาเขาให้เจอ เกรงว่าจะยากมากไป ทำได้แค่พึ่งตัวเองเอาตัวรอดเอง

 

 

ภูเขารกร้างในยามราตรีมืดมิด​เกินไปแล้วจริงๆ เดิมทีก็ไม่มีแสงอะไรอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต้นไม้สูงใหญ่สองข้างทางนี้ด้วยซ้ำ

 

 

เจียงมู่เฉินค่อยๆ ใช้มือคลำทีละนิดไปเรื่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เดินไปช่วงหนึ่ง เจียงมู่เฉินก็แยกตำแหน่ง​ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้ได้ไม่ชัดเจน ทำได้แค่พึ่งเซนส์เรื่องทิศทางที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ​เท่านั้น​

 

 

จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็รู้สึกหงุดหงิด​ขึ้นมาบ้างแล้ว ตัวเองไม่มีอะไรทำแล้ววิ่งเข้ามาในภูเขาทำไม ถ้ารู้​ตั้งแต่​เนิ่นๆ อยู่ในโกดังไม่ไปไหน ไม่แน่ว่าอาจจะยังสบายขึ้นมาหน่อยก็ได้

 

 

เวลานี้วิ่งเข้าภูเขา หาก็หาไม่เจอ ดูท่าว่าจะยิ่งยุ่งยาก​ลำบากไปกว่าเดิมเสียอีก

 

 

 

 

ซือเหยี่ยนมองดูมือถือ​ในมือ ดวงตาสีดำขลับฉายแววความกดดัน​อันหนักหน่วง​ กว่าจะได้รับสายจากเจียงมู่เฉินไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่พูดไม่ถึงสองคำ สายก็ตัดไปกะทันหัน​

 

 

ไม่รู้​ว่าเขาเจอเรื่องอะไรกะทันหัน​หรือเปล่า สายถึงได้ตัดไปแบบนี้

 

 

เมื่อคิดถึง​ภาพเจียงมู่เฉินอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้​ หัวใจ​ของซือเหยี่ยนก็บีบรัดตัวแน่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เขาต้องเร่งทำเวลารีบหาเจียงมู่เฉินให้เจอ

 

 

ทันทีที่คิดถึงภาพเจียงมู่เฉินตกอยู่ในอันตรายในสถานที่ที่ตัวเองมองไม่เห็น

 

 

ซือเหยี่ยนก็รู้สึกว่าหัวใจค่อยๆ เจ็บปวดไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนั้น

 

 

เขาเร่งฝีเท้า ตามหาอย่างบ้าคลั่ง กิ่งไม้ขูดบาดเสื้อผ้าบนตัวของซือเหยี่ยน แต่เขาไม่มาดูเลยสักแวบเดียว ราวกับคนที่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ซือเหยี่ยนผู้เย็นชา สุขุม มาโดยตลอด กลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเพื่อคนคนหนึ่งเป็นครั้งแรก

 

 

เจียงมู่เฉินเหนื่อยจนหายใจหอบเก็บอากาศเข้าแทบจะไม่ทัน เขารู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คาดว่าตัวเองต้องขาดอากาศหายใจอยู่ในภูเขานี้แน่

 

 

เขายื่นมือออกไปคิดจะจับต้นไม้ข้างๆ เพื่อพยุงตัวเองหยุดพักผ่อนสักหน่อย ปรากฏว่าไม่ได้จับไว้มั่นคงพอ ตัวคนทั้งคนจึงหงายหลังล้มลงไป

 

 

ร่างทั้งร่างหมุนกลิ้งลงไป เจียงมู่เฉินปกป้องได้ทันแค่ใบหน้าตัวเองที่บาดเจ็บนั้น

 

 

ก่อนจะหมดสติไป เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นอย่างเสียดาย เขาเพิ่งจะได้อยู่ด้วยกันกับซือเหยี่ยนเอง ต้องมาตายแบบนี้ ซือเหยี่ยนจะเสียใจเพื่อเขาได้บ้างไหม…

 

 

เสียงฝีเท้าดังปนเปกันในภูเขา ซือเหยี่ยนเห็นมือถือเครื่องหนึ่งตกอยู่บนพื้น เขารีบหยิบขึ้นมาดู

 

 

นั่นคือมือถือของเจียงมู่เฉิน

 

 

มือถือตกอยู่ตรงนี้ เจ้าตัวก็ควรจะอยู่ไม่ไกลจากนี้

 

 

ซือเหยี่ยนพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นสงบสติอารมณ์ อย่าลุกลี้ลุกลนจนสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจอย่างถูกต้องขั้นพื้นฐานไป

 

 

เขาถือไฟฉายส่องไปรอบๆ เดินตามทางรกๆ ที่อยู่ด้านข้าง

 

 

เวลาค่อยๆ หายไปทีละนิดทีละนิด เจียงมู่เฉินหายตัวไปเป็นเวลาเจ็ดชั่วโมงแล้ว ฝั่งตำรวจยังคงไม่ได้อะไรสักอย่าง พวกเขาไปตามหากันหลายๆ ที่ ก็หาแม้แต่เงาของเจียงมู่เฉินไม่เจอ

 

 

ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิดเกินไป ทำให้การค้นหายิ่งยากขึ้นไปอีก มีคนหายเข้าไปอย่างไรก็หาได้ไม่เจออยู่แล้ว

 

 

“หัวหน้าหลิน แบบนี้รอฟ้าสว่างกันดีไหมครับ รอฟ้าสว่างมองเห็นได้ชัดแล้ว จะทำให้การค้นหาของเราสะดวกขึ้นนะครับ”    

 

 

หลินเยี่ยมองดูเวลา กว่าจะฟ้าสว่างก็มีเวลาอีกสี่ชั่วโมง

 

 

“ซือเหยี่ยนล่ะ ทำไมเขาไม่ได้กลับมาด้วยกันกับพวกนาย” 

 

 

 

 

ตอนที่ 125 ขอโทษที่ผมมาช้า

 

 

           “ประธานซือเหรอ พวกเราไม่ได้เห็นเขาเลยครับ”

 

 

           หลินเยี่ยขมวดคิ้ว “เขาไม่ได้อยู่กับพวกนายเหรอ”

 

 

           “พวกเราไม่เคยเห็นประธานซือเลยครับ”

 

 

           หลินเยี่ยมองดูเวลาแวบหนึ่ง ซือเหยี่ยนเข้าไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว ถ้าไม่ได้ไปกับคนของเขา แล้วจะไปไหนได้

 

 

         “ตามหากันต่อ นานขนาดนี้แล้วซือเหยี่ยนยังไม่กลับมา ถ้าไม่เกิดเรื่อง ก็มีเงื่อนงำ”

 

 

           “ตามกันต่อเหรอครับ”

 

 

           หลินเยี่ยเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ค้นหากันต่อไป”

 

 

           ดวงตาสีดำขลับโถมเข้าหาภูเขารกร้างอันมืดสนิท แววตาแฝงความเป็นห่วง ถ้าซือเหยี่ยนเกิดปัญหา ลำบากแน่ๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินลงไปเรื่อยๆ มานานมากแล้ว ไฟฉายในมือส่องไปรอบทิศทาง จนมาหยุดลงตรงมุมมุมหนึ่ง

 

 

           เสื้อเชิ้ตสีขาวใต้แสงไฟ ชัดเจนเต็มตา ซือเหยี่ยนแข็งทื่อไปทั้งตัวพุ่งตัวเข้าหาราวกับคนเสียสติ

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนกองอยู่กับพื้น มีบาดแผลไปทั้งตัว เสื้อเชิ้ตสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดคราบดวงใหญ่ ดวงตาซือเหยี่ยนหยุดลงตรงร่างของเจียงมู่เฉิน เพียงชั่วพริบตาก็แดงก่ำขึ้นมา

 

 

           เขารีบประคองร่างเจียงมู่เฉินมากอดไว้แนบกายเขา

 

 

           “เฉินเฉิน…ผมมาแล้ว” ซือเหยี่ยนเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

           แต่เจียงมู่เฉินผู้สลบไสลไปแล้วไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของเขา ร่างกายอ่อนปวกเปียกนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

           “ขอโทษที่ผมมาช้า” นิ้วมือซือเหยี่ยนสั่นเทาเล็กน้อย แขนสอดช้อนอุ้มเขาขึ้นมา

 

 

           ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ต้องเดินได้ไม่ค่อยสะดวกเป็นธรรมดา ยิ่งซือเหยี่ยนมาอุ้มเจียงมู่เฉินอยู่แบบนี้ยิ่งเดินยากขึ้นไปอีก แต่ทุกย่างก้าวของเขากลับมั่นคง ราวกับกลัวว่าตัวเองจะเป็นสาเหตุทำให้เจียงมู่เฉินบาดเจ็บอีก

 

 

           ดูๆ ไปแล้วซือเหยี่ยนยังถือว่าสงบจิตใจได้อยู่ แต่ก็มีเพียงเขาเองที่รู้ ว่านาทีที่เขาอุ้มเจียงมู่เฉินไว้ในอ้อมอก เขาหวาดกลัวมากแค่ไหน

 

 

           เขากลัวว่าเรื่องเมื่อหลายปีก่อนจะฉายซ้ำอีกครั้ง

 

 

           เขากลัวว่าเจียงมู่เฉินจะตายอีกครั้ง…

 

 

           …

 

 

           ซือเหยี่ยนหาพื้นที่ว่าง บรรจงกอดร่างเจียงมู่เฉินไว้ในอ้อมอก ท่าทางระมัดระวังราวกับบรรจงกอดของล้ำค่าที่ตัวเองรักและถนอมที่สุดไม่มีผิด

 

 

           เขาโน้มตัวลงประทับรอยจูบบนใบหน้าที่มีรอยแผลของเจียงมู่เฉิน “ครั้งนี้ผมสายไม่ได้ใช่ไหม”

 

 

           ห้าปีก่อน เขาช้าไปเพียงก้าวเดียว กลับต้องเบิกตาค้างจ้องมองเจียงมู่เฉินหายสาบสูญไปต่อหน้าต่อตาตัวเอง เขาคิดว่าตลอดชีวิตของตัวเองคงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

 

 

           คนมีชีวิตที่ไร้ชีวิต เจ็บปวดกับความรักและความสูญเสีย

 

 

           ยังดีที่พระเจ้ายังเมตตาปรานีเขาอยู่บ้าง คืนเจียงมู่เฉินกลับมาให้ เขาถือโอกาสตอนที่เจียงมู่เฉินยังไม่ได้สติ ไปหาคนมาลบความทรงจำของเจียงมู่เฉินที่เคยมีร่วมกันกับตัวเองทิ้งไป

 

 

           ส่งตัวคนกลับไปบ้านตระกูลเจียง แสร้งทำเป็นไม่ลงรอยกันกับเจียงมู่เฉิน คอยปกป้องอยู่ข้างกายเขา

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูคนในอ้อมกอด แล้วยกมุมปากขึ้นฝืนยิ้มอย่างจนใจ เดิมทีเขาอยากจะปกป้องดูแลเจียงมู่เฉินให้มั่นคงปลอดภัยไปตลอดชีวิตนี้ แต่ทุกครั้งเขาก็ปกป้องไว้ไม่ได้เลย

 

 

           ริมฝีปากเย็นเฉียบกดลงบนริมฝีปากซีดเซียวไร้สีเลือด ซือเหยี่ยนจุมพิตเขาอย่างอ่อนโยนเป็นพิเศษ

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินผู้ยังไม่ได้สติเริ่มขยับตัวค่อยๆ รู้สึกตัวตื่น

 

 

           ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา ก็รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว ราวกับมีคนถือมีดมาค่อยๆ กรีดเนื้อเขาออกทีละนิด แล้วเย็บกลับเขาไปใหม่อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เขาอยากจะขยับเขยื้อนร่างกายที่เจ็บสาหัส แต่กลับถูกคนคว้าตัวไว้อย่างนุ่มนวลและเบามือ

 

 

            “ไม่ดื้อนะ อยู่นิ่งๆ” เสียงอ่อนโยนของซือเหยี่ยนดังขึ้นอยู่ข้างหู

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน คิดว่าตัวเองฟังผิด เขากะพริบตาปริบๆ จ้องมองซือเหยี่ยนท่ามกลางความมืดมิด “ซือเหยี่ยน”

 

 

           “ผมเอง”

 

 

           “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เจียงมู่เฉินค่อนข้างสงสัย เขาวิ่งจนมาถึงข้างในขนาดนี้แล้ว ซือเหยี่ยนตามหาตัวเขาเจอได้ยังไง หรือบนตัวเขามีจีพีเอสติดไว้อยู่

 

 

           “ไม่อยากเจอผมเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากจะหัวเราะ แต่ดันฉีกโดนบาดแผล เจ็บจนหน้าตาบิดเบี้ยวไปหมด “นายนี่แม่งมาช้าเกินไปไหม ทำไมไม่รอให้คุณชายขาดใจตายก่อนแล้วถึงค่อยมาล่ะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางมีชีวิตชีวาของเขา ก็อดจะจุ๊บเขาสักฟอดไม่ได้ “ทำใจเห็นคุณตายไม่ได้ เลยรีบเข้ามาตามหา”

 

 

           “สายไปแล้วล่ะ อีกครึ่งชีวิตฉันใกล้จะไม่เหลือแล้ว” เจียงมู่เฉินเจ็บจนไปถึงลมหายใจ

 

 

           ซือเหยี่ยนช้อนอุ้มเขาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะไปโดนบาดแผลของเจียงมู่เฉินโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

 

           เขาก้าวเท้าเดินอย่างมั่นคง ทุกย่างก้าวไปอย่างเชื่องช้า

ตอนที่ 122 วิ่งหนีเข้าภูเขารกร้าง

 

 

           เขากระโดดลงมาจากหน้าต่าง เจียงมู่เฉินพยายามป้องกันตัวเองไม่ให้บาดเจ็บ แต่ตอนกระโดดลงมากลับพลาดท่าล้มลงไปกับพื้น แขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้กระแทกลงพื้นพอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินเจ็บอย่างรุนแรงจน คิ้วแสนองอาจขมวดเข้าหากัน เขากัดฟันไม่เปล่งเสียงเล็ดลอดออกมา กลัวว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้คนที่อยู่ไม่ไกลรู้ตัว

 

 

           ออกมาจากโกดังเขาถึงพบว่า บริเวณรอบๆ นี้รกร้างไม่มีคนดูแล ข้างหลังเป็นภูเขารกร้าง เขามองดูอย่างละเอียด ถ้าวิ่งหนีออกจากตรงนี้ เป้าหมายชัดเจนเตะตาเกินไป แป๊บเดียวพวกเขาก็เห็นได้แล้ว

 

 

           บริเวณรอบๆ นี้ที่กำบังสักนิดก็ไม่มี เปอร์เซ็นต์จะถูกจับได้มีมากเกินไป

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดทบทวน เมื่อจะทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุดไปเลย เขาวางเป้าหมายไว้บนภูเขารกร้างที่อยู่เบื้องหลังของตัวเอง

 

 

           ถือโอกาสยามท้องฟ้ามืดสนิทวิ่งไปข้างหลัง ภูเขารกร้างไม่เคยผ่านการถูกบุกเบิก ลักษณะทางกายภาพค่อนข้างซับซ้อน ถึงแม้พวกเขาจะมาพบว่าตัวเองวิ่งหนีไปแล้ว อยากจะตามหาเขายังต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียว

 

 

เวลานี้เขาคิดวิธีช่วยเหลือเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้พอดี

 

 

เจียงมู่เฉินวิ่งเร็วสุดชีวิต ดีที่โกดังได้บดบังพรางการมองเห็นให้บางส่วน อีกอย่างพวกเขาคงจะคิดไม่ถึงว่า คุณชายน้อยที่ถูกเลี้ยงให้สบายจนเคยตัวจะรู้สึกตัวตื่นแล้วยังแอบวิ่งหนีออกไปอีก

 

 

 

 

หลังจากซือเหยี่ยนกลับมาที่คฤหาสน์ ถึงได้พบว่าข้างในมืดสนิท เขาชะงักไปพักหนึ่ง ในใจมีความรู้สึกบางอย่างแปลกๆ ขึ้นมา

 

 

ตั้งแต่หลังจากที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ดึกป่านนี้เจียงมู่เฉินปกติจะต้องกลับมาแล้ว เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

 

 

ซือเหยี่ยนคิ้วขมวด ในใจรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่าง

 

 

เขารีบโทรศัพท์หา ให้คนไปตามร่องรอยของเจียงมู่เฉินตามที่ต่างๆ ระหว่างรอข่าวคราว ซือเหยี่ยนก็ไม่ลังเลใจที่จะมุ่งหน้าไปหลานเยี่ย

 

 

สถานที่ที่เจียงมู่เฉินจะไปได้ เขาไปตามหามาหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แวว ไม่มีเงาของเจียงมู่เฉินเลยสักที่

 

 

ซือเหยี่ยนสีหน้าคร่ำเคร่ง คิ้วขมวดกันแน่น

 

 

“ประธานซือครับ หาร่องรอยตำแหน่งของคุณชายเจียงได้แล้วครับ”

 

 

“เขาอยู่ไหน”

 

 

“เขตเขาชิงผิงซานครับ”

 

 

ซือเหยี่ยนย่นคิ้วขึ้นเล็กน้อย “รีบเข้าไปตอนนี้ทันที”

 

 

รถคันสีดำแล่นเร็วปานลมกรดไปตามถนน ซือเหยี่ยนนั่งในรถด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เป็นครั้งแรกที่เห็นซือเหยี่ยนเป็นเอามากขนาดนี้

 

 

“ตอนบ่ายคุณชายเจียงไปดูงานโครงการหลินไห่ หลังจากที่ถึงเขตก่อสร้างแล้วก็ไม่ได้ออกมา พวกเราตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่มีการบันทึกตามเวลาของคุณชายเจียง จุดหมายสุดท้ายล็อกเป้าอยู่บนรถตู้เก่าๆ คันหนึ่งครับ”

 

 

“รถตู้คันนั้นขับมุ่งหน้าไปถึงบริเวณละแวกใกล้ๆ เขตเขาชิงผิงซาน หลังจากนั้นก็ทิ้งรถไว้ครับ”

 

 

ขณะนี้พวกเขาได้รับข้อมูลมาเต็มที่ แถมยังระบุพิกัดอยู่ในพื้นที่จำกัดไม่ใหญ่แล้วก็จริง แต่ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ใครจะรู้ว่าจะเกิดการย้ายสถานที่กันบ้างหรือเปล่า

 

 

“ประธานซือครับ จะแจ้งความหรือเปล่าครับ”

 

 

ซือเหยี่ยนหลับตาลง หยิบมือถือออกมา “ฉันเอง ช่วยฉันตามหาคนคนหนึ่งให้ที เขาหายตัวไปจากหลินไห่ตั้งแต่บ่ายสี่โมง ประมาณห้าโมงเย็นเจอรถทิ้งไว้ที่เขตชิงผิงซาน”

 

 

“ได้ แล้วเจอกัน”

 

 

 

 

เจียงมู่เฉินวิ่งเข้าไปในภูเขารกร้าง หลังจากที่วิ่งเข้าไปถึงได้พบว่า ข้างในยุ่งยากลำบากกว่าที่จินตนาการไว้มาก ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดเกินไป มองทางก็ได้ไม่ค่อยชัด อีกทั้งเขาเองไม่เข้าใจสภาพความเป็นไปของที่นี่แม้แต่น้อย ไม่มีความรู้สึกบอกทางว่าจะไปที่ไหนได้เลย

 

 

ระหว่างที่วิ่งอย่างสุดกำลังอยู่นั้น พุ่มไม้เตี้ยมีหนามและกิ่งไม้ขูดบาดไปตามเสื้อผ้าบนตัวเจียงมู่เฉิน แม้แต่แก้มยังมีบาดแผลไม่เล็กไม่ใหญ่แทรกเพิ่มเข้าไปอีก

 

 

วิ่งมานานระยะหนึ่ง ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็หยุดฝีเท้าลง เขาตั้งใจฟังเสียงรอบๆ อย่างละเอียดก็ไม่ได้ยินเสียงอย่างอย่างอื่น โจรลักพาตัวที่เขานึกถึงยังตามเขามาไม่ทัน

 

 

เขาหาที่มั่นและปลอดภัยหยุดพักลงสักครู่ เจียงมู่เฉินเอียงหน้ามองดูบริเวณบาดแผลที่โดนกระจกบาด อยากเห็นว่าสภาพบาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง

 

 

แต่ท้องฟ้าเป็นสีดำมืดเกินไป เขามองไม่เห็นอยู่แล้ว แค่รู้สึกได้ถึงความเจ็บราวโดนทิ่มแทงไปทั้งร่างกาย

 

 

เจียงมู่เฉินจนใจ ฝืนยิ้มมองฟ้า คุณชายเจียงอย่างเขาหลายปีมานี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ตกทุกข์ได้ยากถึงเพียงนี้ ถ้าแม่เขาเห็น ต้องร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาจะร้องออกมาแน่ๆ

 

 

เจียงมู่เฉินทรุดตัวนั่งลงกับพื้น เขาอดจะหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้ ถ้าซือเหยี่ยนมาเห็นเขาในสภาพไก่อ่อนแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะโดนเขาหัวเราะเยาะใส่หรือเปล่า

 

 

ถึงอย่างไรคุณชายเจียงก็เป็นคนมีมาดสง่างาม ใครเห็นใครรักแบบนั้นมาตลอด

 

 

           

 

 

ตอนที่ 123 เริ่มการค้นหา

 

 

ใบหน้ายังรู้สึกเจ็บราวโดนทิ่มแทงอยู่เงียบๆ เจียงมู่เฉินอดทนไม่กล้าจะใช้มือสัมผัส ไม่รู้ว่าแผลบนใบหน้าจะเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้เสียโฉมได้หรือเปล่า

 

 

เมื่อซือเหยี่ยนรีบมาถึงที่โกดัง โกดังก็ร้างไร้ผู้คนแล้ว ไม่มีใครสักคน ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าตำแหน่งเดียวกันกับที่เจียงมู่เฉินถูกจับมัดเอาไว้ เขาจ้องมองเชือกป่านที่พันกันยุ่งเหยิงอยู่บนพื้น ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

 

 

เมื่อคิดถึงภาพที่เจียงมู่เฉินถูกจับมัดไว้ที่นี่ ร่างกายขดตัวงออย่างน่าสงสาร อารมณ์เกรี้ยวกราดก็เดือดพล่านขึ้นมา

 

 

“ซือเหยี่ยน ที่นี่ไม่มีคนมาสักพักแล้ว เจียงมู่เฉินน่าจะวิ่งหนีออกไปแล้ว ข้างหลังเป็นภูเขารกร้าง ฉันเดาว่าคงจะวิ่งหนีเข้าภูเขารกร้างไปแล้ว”

 

 

“รีบตามหาเดี๋ยวนี้ ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ต้องเอาตัวคนออกมาให้ได้” ซือเหยี่ยนสีหน้าราวกับท้องฟ้ามืดครึ้ม ดูแล้วทำเอาคนตกใจกลัวทีเดียว

 

 

หลินเยี่ยผู้เป็นหัวหน้าตำรวจชุดค้นหามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจ ก่อนจะหันไปพูดกับลูกน้องด้านหลัง “ทุกคนกระจายกำลังตามหาในภูเขารกร้างข้างหลังนี้ ได้ข่าวอะไรรีบรายงานฉันทันที”

 

 

“รับทราบครับ หัวหน้าหลิน”

 

 

“คนของฉันเข้าไปแล้ว อย่ากังวลไปเลย ต้องไม่เป็นไรแน่นอน” หลินเยี่ยเห็นซือเหยี่ยนที่เอาแต่เงียบปากไม่พูดจา เสียงต่ำจึงเอ่ยปลอบใจ

 

 

“หลินเยี่ย นายอยู่ที่นี่ช่วยฉันดูไว้ ฉันจะไปหาข้างหลัง”

 

 

“เดี๋ยว ซือเหยี่ยน ดึกขนาดนี้แล้ว นายไหวเหรอ”

 

 

ซือเหยี่ยนไม่ได้ตอบกลับเขาไป คว้าไฟฉายส่องไฟนำทางเดินไปด้านหลัง ไม่ว่าจะไหวไม่ไหว เจียงมู่เฉินอาจจะยังอยู่ในภูเขา แค่มีความคิดแบบนี้ขึ้นมาก็เพียงพอแล้วจะทำให้เขาไม่ต้องคิดอะไรอย่างอื่นอีก

 

 

ซือเหยี่ยนจงใจแยกกับตำรวจชุดค้นหา เดินไปอีกทาง ด้านในเดินเข้าไปได้ยากมาก เพราะว่าไม่เคยผ่านการบุกเบิก ไหนจะมีเขาอีกหลายลูกซ้อนกันอยู่ด้านข้าง ถ้าไม่มีเซ้นส์เรื่องทิศทาง แล้วเดินไปสะเปะสะปะ มีโอกาสจะหลงทางสูงมาก เดินออกมาไม่ได้

 

 

ซือเหยี่ยนตามหาไป หัวใจจะบีบรัดตัวแน่นไปด้วย เมื่อคิดถึงภาพเจียงมู่เฉินเดินไปไร้จุดหมายค้นหาไปทุกทิศทาง หัวใจก็อดจะบีบรัดตัวแน่นไม่ได้

 

 

ราวกับมีคนมากำหัวใจเขาแล้วบิดหมุนไปรอบๆ อย่างป่าเถื่อน หายใจไม่ออกอย่างไรอย่างนั้น

 

 

สีหน้าบึ้งตึง รีบค้นหาอย่างรวดเร็ว

 

 

……

 

 

เจียงมู่เฉินยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หลังจากรอเรี่ยวแรงกลับมาสักพัก ก็จับต้นไม้ข้างๆ พยุงตัวลุกขึ้นมา เริ่มรู้สึกเวียนหัวบ้างแล้ว เจียงมู่เฉินกัดริมฝีปากให้ตัวเองตื่นตัวมีสติขึ้นมาหน่อย

 

 

‘เขาหายตัวไปตั้งนานขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นจะรู้หรือเปล่า’

 

 

‘ถ้ารู้ว่าไม่เจอเขาแล้ว จะมาตามหาเขาหรือเปล่านะ’

 

 

ถึงเวลาแบบนี้แล้ว ในหัวของเจียงมู่เฉินมีแต่ซือเหยี่ยนไปหมด เขาอดจะเดาไม่ได้ ถ้าซือเหยี่ยนรู้ว่าเขาโดนคนจับตัวมัดเอาไว้ ใบหน้าแสนเย็นชานั่นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้บ้างไหม

 

 

เจียงมู่เฉินขำตัวเองไปพลางเดินไปข้างหน้า ตอนบ่ายโดนตีจนสลบจนมาโดนทิ้งอยู่ที่นี่ ไหนจะบาดเจ็บจนเลือดไหลออกไม่น้อย ร่างกายทำท่าจะไม่ไหวมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

เจียงมู่เฉินใช้แค่แรงใจเท่านั้นประคับประคอง​ตัวเองไว้ ในสถานที่เปลี่ยวห่างไกลผู้คนขนาดนี้ ถ้าตัวเองไม่เป็นฝ่ายออกไปขอความช่วยเหลือ​ กลัวว่าตัวเองอยู่ที่นี่จะกี่วันก็ไม่มีใครรู้

 

 

เขาเจียงมู่เฉินตั้งแต่​เล็กจนโต ไปที่ไหนก็เป็นจุดสนใจ จะมาตายในเขาหัวโล้นนี้ไม่ได้ ยามล้มตายผ่านไปไม่กี่วัน ร่างกายเน่าขึ้นมา ใบหน้าสมบูรณ์​แบบไร้ที่ติดของเขาก็ไม่เหลือแล้ว ไม่สมควรเอามากๆ

 

 

เขารู้สึก​จะตายแต่ไม่ยอมตาย เขาคลำเอามือถือออกมา หน้าจอมืดสนิท ไม่รู้​ว่าตอนวิ่งหนีออกมา หล่นกระแทกจนเสียหรือเปล่า

 

 

เขากดปุ่มเปิดปิดเครื่อง คาดไม่ถึงว่าหน้าจอจะสว่างขึ้นมา

 

 

ในใจเจียงมู่เฉินดีใจสุดขีด มือถือยังใช้ได้เยี่ยมไปเลย เขารีบเปิดเครื่อง ไม่รู้ว่าที่ภูเขารกร้างนี้มีสัญญาณ​อะไรไหม

 

 

เขารีบเปิดมือถือ แต่แบตมือถือ​เหลือเปอร์เซ็นต์​สุดท้ายแล้ว เจียงมู่เฉิน​เห็นแถบข้างบนหน้าจอยังพอมีสัญญาณ​โทรศัพท์​ เขาจึงรีบกดสายหาซือเหยี่ยน

 

 

ถึงแม้จะไม่รู้​ว่าโทรหาซือเหยี่ยนแล้วจะมีประโยชน์​อะไรไหม แต่ปฏิกิริยา​แรกของสมองบอกให้เขาโทรหาซือเหยี่ยน

 

 

เจียง​มู่เฉินมองดูสายโทรออกบนหน้าจอมือถือ ในใจภาวนาให้ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นรับสายได้ เจียงมู่เฉินกลัว​ว่ามือถือ​ของตัวเองจะอดทนอยู่ต่อจนโทรหาซือเหยี่ยนเป็นครั้งที่สองไม่ได้

 

 

ภายใต้สถานการณ์​คับขัน ตื่นตระหนก​เป็นพิเศษ​แบบนี้ เวลาเปลี่ยนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เจียงมู่เฉินจ้องมองมือถือ พลางหายใจด้วยความตื่นตระหนกจนแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ

 

 

“เจียง… มู่เฉิน…” จู่ๆ ในมือถือ​ก็มีเสียงซือเหยี่ยนขาดๆ หายๆ ดังออกมาจากปลายสาย

ตอนที่ 120 โดนตีจนสลบ

 

 

           ซังจิ่งหัวเราะ “ไม่ใช่อยู่แล้ว ผมก็แค่รู้สึกว่าคุณชายเจียงควรจะไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น เจียดเวลาว่างมาสนใจสักหน่อยควรจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรมากมาย ถึงยังไงโครงการนี้ประธานเจียงก็ตั้งใจส่งให้คุณดูแลเป็นพิเศษเลยไม่ใช่เหรอ”

 

 

           เขาอ้างเอาคุณพ่อเจียงมากดดันเขาแบบเนียนๆ เจียงมู่เฉินหัวเราะเสียงเย็น เขาโตมาขนาดนี้แล้ว เต็มใจจะทำอะไร ไม่เต็มใจจะทำอะไร เขากำหนดเองทั้งนั้น ไม่เคยมีใครกล้ามาจูงจมูกเขา

 

 

           “เรื่องไหนที่ควรจะสนใจ ฉันก็จะสนใจเอง เรื่องไหนที่ไม่ควรจะสนใจ ฉันก็จะไม่ยุ่งเป็นธรรมดา คนเรามีดีที่รู้จักประมาณตนไม่ใช่เหรอ” เขาหัวเราะ “มีบางเรื่องล้ำเส้นเข้าไปแล้วดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”

 

 

           ซังจิ่งหัวเราะ “นั่นแน่นอน”

 

 

           มั่วไป๋เห็นทั้งสองคนปะทะฝีปากกัน เขาก้มหน้าลงกินข้าว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนที่เขารู้จัก ต่อให้ตีกันขึ้นมาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา

 

 

           อีกอย่าง ด้วยนิสัยของเจียงมู่เฉิน ต่อให้ตีกันขึ้นมาก็ไม่ยอมเสียเปรียบหรอก แล้วถ้าเกิดไม่โอเคขึ้นมา ก็ยังมีเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ

 

 

           ดีที่ทั้งสองคนไม่พูดอะไรต่อ หลังจากกินข้าวเสร็จ ซังจิ่งก็รับโทรศัพท์รีบเดินออกไป

 

 

           มั่วไป๋มองตามแผ่นหลังเขาไป พร้อมเลิกคิ้ว “เรื่องอะไรกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนพิงพนักที่นั่ง แล้วถอนหายใจ “พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจน่ะ เคยเจอกันสองครั้ง ไม่สนิทหรอก”

 

 

           “เขามีจุดประสงค์แอบแฝงกับนายสินะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันมีจุดประสงค์แอบแฝงกับซือเหยี่ยนเท่านั้นแหละ”

 

 

           มั่วไป๋ลูบคาง “ฉันแปลกใจชักอยากรู้จริงๆ แล้วสิ นายกับซือเหยี่ยนก็ถือว่าโตมาด้วยกัน หลายปีมานี้ต่างฝ่ายต่างขัดหูขัดตากัน ทำไมจู่ๆ ตอนนี้ถึงอยากมาคบกันได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง ก็เป็นแบบนี้จริงๆ เขากับซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นรู้จักกันมายี่สิบกว่าปี เมื่อก่อนเห็นหน้าเขาก็อยากถีบ ตอนนี้เห็นหน้าเขาก็อยากจูบ

 

 

           การเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่มากทีเดียว

 

 

           “พอเถอะ เก็บสีหน้าฟินๆ ของนายไปได้แล้ว” มั่วไป๋ไม่อยากจะมองแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบใบหน้าตัวเอง เขาแสดงออกว่าฟินมากเลยเหรอ

 

 

           มั่วไป๋ลุกยืนขึ้น “ฉันไปก่อนนะ อย่าลืมเช็คบิลด้วย”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความงุนงง “เรื่องอะไรกัน นายกลับไปก็ไม่มีอะไรทำ จะกลับไปตอนนี้ทำไม”

 

 

           “ไปออกกำลังกาย”

 

 

           ทิ้งทวนด้วยประโยคนี้ มั่วไป๋ก็เดินออกจากร้านอาหารไปทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินยังคงนั่งทำหน้างงๆ อยู่บนโซฟา ไอ้หมอนี่เชื่อเรื่องพลังของการอยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรือไง นึกยังไงถึงมาออกกำลังกายได้

 

 

           …

 

 

           หลังจากออกจากร้านอาหารแล้ว เจียงมู่เฉินก็มุ่งหน้าไปหลินไห่สอบถามความคืบหน้าแผนการทำงานของฝ่ายวิศวกรรม ถึงจะว่าเขาดูเชื่อถือไม่ได้ แต่เรื่องกำไรขาดทุน เขาก็ยังเข้าใจอยู่

 

 

           ถึงอย่างไรที่ดินฝืนนี้ พวกเขาก็ลงทุนไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ ถึงตอนนั้นจะพัวพันกันยุ่งเหยิงเกินไปได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเรียกตัวผู้รับผิดชอบฝ่ายวิศวกรรมมาพบ ทำความเข้าใจสถานการณ์โดยสังเขป แล้วให้พวกเขารีบเสนอวิธีแก้ปัญหาโดยเร่งด่วนทันทีหลังจากนั้น

 

 

           กว่าจะจัดการเรื่องทางนี้เสร็จ เวลาได้ล่วงเลยมาถึงสี่โมงเย็นแล้ว

 

 

           ยามที่เขาออกมาจากห้องทำงาน ถือโอกาสไปดูสถานที่ก่อสร้างด้วย ครั้งก่อนที่หัวแตกไปยังจำได้ไม่ลืม

 

 

           ระหว่างทาง เจียงมู่เฉินระวังตัวรอบทิศทาง กลัวจะมีคนไม่ระวังทำของตกใส่เขาอีก

 

 

           เขาเหลือแค่ผมทรงนี้แล้ว ถ้ามาอีกจะกลายเป็นนักบวชจริงๆ แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปข้างใน มองดูรอบๆ คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โตเกินไป เตรียมตัวจะออกจากที่นี่ ยามหมุนตัวหันกลับไปก็เห็นคนสองคนกำลังทำลับๆ ล่อๆ อยู่

 

 

           เจียงมู่เฉินแววตาครุ่นคิด แอบตามไปเงียบๆ

 

 

           ตลอดทางที่เดินตามอยู่ข้างหลัง จนพวกเขาเดินผ่านประตูบานเล็กด้านหลังเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้ว ก็เดินออกไปยืนหน้าประตูตรงนั้น เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

           เขารู้สึกมาตลอดทางว่าสองคนนี้มีอะไรไม่ค่อยปกติ

 

 

           แต่ตลอดทางที่เดินตามไปก็ไม่ได้เห็นว่าพวกเขาจะทำพฤติกรรมอะไรไม่เหมาะสมออกมา

 

 

           เจียงมู่เฉินก้าวออกจากประตูบานเล็ก เดินตามทางที่พวกเขาเดินออกไป ด้านหลังเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่มีอาคาร บ้าน สถานที่สำหรับคนอาศัยอยู่เลยสักหลัง

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ เดินลึกเข้าไป สังเกตดูรอบๆ อย่างละเอียด

 

 

           จนกระทั่งตอนเลี้ยวเข้าซอยไป รู้สึกเพียงแค่ต้นคอด้านหลังเจ็บขึ้นมาอย่างรุนแรง หมดสติล้มลงไปกองกับพื้น

 

 

 

 

ตอนที่ 121 เตรียมช่วยเหลือตัวเอง

 

 

           ในโกดังอันมืดมัว เจียงมู่เฉินถูกโยนไปตรงมุม ร่างกายเพรียวยาวขดตัวเข้าหากันดูแล้วช่างน่าสงสารไม่น้อย รอบกายไม่มีใครสักคน มีเพียงแค่โกดังว่างเปล่ากับเจียงมู่เฉินผู้สลบไสลไม่ได้สติอยู่เท่านั้น

 

 

           ผ่านไปประมาณยี่สิบกว่านาที เจียงมู่เฉินที่นอนกองอยู่กับพื้นก็ค่อยๆ รู้สึกตัวกลับคืนมา เขาต่อสู้ดิ้นรนอยากจะยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น

 

 

           โดยรอบบริเวณนี้คือโกดังร้าง ขาดการซ่อมแซมมาเป็นแรมปี เหนือศีรษะยังมีรอยแยก แสงสลัวๆ จากแสงสีในยามราตรีทะลุเข้ามา

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับตัวก็พบว่าตัวเองถูกมัดไม่ต่างจากขนมบ๊ะจ่าง ดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่ได้ เจียงมู่เฉินคิดหาวิธีช่วยเหลือตัวเองไปพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนจะหมดสติไปด้วย

 

 

           เขาไม่ค่อยเข้าใจ ตัวเองไม่ได้ทำอะไร ทำไมถึงโดนตีจนสลบแล้วถูกโยนทิ้งมาอยู่ที่นี่ได้

 

 

           ข้อมือถูกมัดแน่นนานเกินไป ทำให้เลือดไม่ไหลไปเลี้ยงบริเวณข้อมือเกิดอาการเหน็บชาจนเจ็บเหมือนมีเข็มทิ่ม เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย การกระทำในมือยังคงไม่หยุดนิ่ง

 

 

           ถึงเขาจะดื้อรั้นหัวแข็งไปบ้าง แต่ว่าความรู้ทั่วไปที่ควรรู้ก็มีหมด ไม่เพียงเท่านี้เมื่อก่อนเขายังเคยตั้งใจไปหาเรียนวิธีการเอาตัวรอดช่วยเหลือตัวเองมาเป็นพิเศษด้วย

 

 

           บังเอิญว่าเรื่องแก้มัดเชือก เขายังพอทำได้แบบผิวเผิน

 

 

           ‘รู้ไว้ใช่ว่า ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย’

 

 

           เขาฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครเร่งการกระทำในมือ รีบดึงแก้เงื่อนตาย เชือกค่อยๆ ถูกเขาดึงแยกออกจากกัน เจียงมู่เฉินเพิ่งจะเตรียมลงมือแก้เชือกที่มัดอยู่ที่เท้าก็ได้ยินเสียงฝีย่ำเท้าดังมาจากด้านนอก

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบหลับตาลงแกล้งทำเป็นว่ายังหมดสติอยู่

 

 

           คนสองคนเดินเข้ามา เจียงมู่เฉินฟังเสียงฝีเท้าแล้วคาดการณ์ไปด้วย ทั้งสองคนน่าจะเดินมาถึงบริเวณทางเข้าแล้ว ยังมีระยะห่างจากเขาอยู่ประมาณหนึ่ง

 

 

           ทันทีหลังจากนั้นก็ค่อยๆ เดินมุ่งหน้าเข้าใกล้เขาเรื่อยๆ

 

 

           “ยังไม่ฟื้นอีกเหรอ ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วนะ” เสียงผู้ชายใหญ่ๆ หยาบๆ เอ่ยขึ้น

 

 

           “ใครจะไปรู้ คงจะถูกเลี้ยงสุขสบายจนเคยตัว รูปร่างบอบบาง รออีกสักหน่อยเดี๋ยวยังไงก็ตื่นอยู่ดี” อีกคนที่เสียงค่อนข้างเล็กเอ่ยปาก

 

 

           “นายว่า ที่ให้พวกเราจับคนมัดไว้แต่ไม่ให้พวกเราลงมือทำอะไรเขา หมายความว่าไง”

 

 

           “จะสนใจมากมายไปทำอะไร พวกเราทำงานได้เงิน ที่เหลือต่อจากนี้ พวกเราอย่ายุ่งจะดีที่สุด”

 

 

             ทั้งสองคนพูดพึมพำกันไม่กี่ประโยค เสียงก้าวเดินก็ค่อยๆ ไกลออกไป จนไม่ได้ยินเสียงแล้ว เจียงมู่เฉินถึงได้ลืมตาขึ้น

 

 

           เดิมที่เขาคิดว่าเพราะตัวเองสะกดรอยตามพวกเขาจึงโดนตีจนสลบแล้วถูกมัดจับกลับมา

 

 

           ตอนนี้ดูท่าว่าจะเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า พวกนั้นรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร เพราะว่าต้องการจับเขามัดเอาไว้ ถึงได้ตีเขาจนสลบแล้วมัดจับกลับมา

 

 

           บางที ทุกอย่างที่เขาเห็นในเขตก่อสร้างนี้คือสิ่งที่พวกเขาจงใจแสดงละครตบตา ทำให้เขานึกสงสัยแล้วเดินตามออกไป

 

 

           เจียงมู่เฉินฉวยโอกาสตอนที่พวกเขายังไม่กลับมา รีบแก้เชือกที่เท้า หาทางออกอย่างระมัดระวัง โกดังนี้ทั้งเก่าทั้งชำรุด อีกอย่างพื้นที่ก็ไม่ใหญ่ มีเพียงแค่ประตูใหญ่บานเดียว

 

 

           สองคนนั้นเมื่อครู่นี้ควรจะอยู่ใกล้ๆ แถวทางออกประตูใหญ่ เขาจะออกจากประตูใหญ่ไปโต้งๆ ไม่ได้

 

 

           ถึงอย่างไรแม้แต่ซือเหยี่ยน เขายังสู้ไม่ชนะ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกโจรลักพาตัวสองคนนี้เลย ข้อนี้เขายังรู้ตัวเองดี

 

 

           เขาพิจารณาสถานการณ์รอบข้างไป พลางรีบหาทางหนีไป ยามนัยน์ตาดอกท้อคู่นี้มองหาไปรอบทิศทางจนไปเจอหน้าต่างข้างๆ ก็รู้สึกใจหวิวๆ

 

 

           ความสูงของหน้าต่างสูงราวๆ สองเมตรห้าสิบ ด้านข้างมีของวางให้เขาปีนขึ้นไปได้พอดี เพียงแต่ว่าหลังจากปีนออกไปไม่มีที่กำบังเลยค่อนข้างจะลำบากอยู่บ้างเล็กน้อย

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดสักพัก ไม่ได้คิดอะไรมากต่อ เลือกหน้าต่างบานนั้น เขารีบสาวเท้าให้ถึงหน้าต่าง แล้วปีนขึ้นสินค้าที่ตั้งไว้นานมากแล้ว ตะกายขึ้นไปที่หน้าต่าง

 

 

           กระจกหน้าต่างไม่ได้ถูกทุบออกทั้งหมด ตอนที่เจียงมู่เฉินปีนออกไปก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขนขึ้นมา เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกขีดเป็นรอยเลือด

 

 

           “ซี๊ด…” เจียงมู่เฉินรู้สึกเจ็บจนขมวดคิ้ว สำรวจดูแขนลวกๆ ไม่ได้มองอะไรมากมาย ปีนข้ามออกไป

 เป็นรับชัดเจนมากเลยเหรอ / ตอนที่ 119 ไม่อยากเอ่ยถึงอีก

 

ตอนที่ 118 เป็นรับชัดเจนมากเลยเหรอ 

 

 

           ในห้องครัวซือเหยี่ยนต้มบะหมี่อยู่อย่างเงียบๆ ระหว่างสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เจียงมู่เฉินเอนกายกับพนักพิงมองดูซือเหยี่ยนแล้วอดคิดไม่ได้ นิสัยก่อความวุ่นวายขนาดนั้นของตัวเองพอมาอยู่กับซือเหยี่ยนคาดไม่ถึงว่าจะไม่รู้สึกน่าเบื่อเลย 

 

 

           สำหรับเจียงมู่เฉิน เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตเมื่อก่อนหน้านี้ เขายิ่งชอบชีวิตที่อยู่กับซือเหยี่ยนแบบนี้มากกว่า 

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจเบาๆ เขาคงจะปลูกต้นรักกับซือเหยี่ยนจริงๆ แล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอาบะหมี่ที่ต้มเสร็จแล้วมาวางไว้ตรงหน้าเจียงมู่เฉิน ไม่เพียงเท่านั้นยังใส่ไข่ตามที่เจียงมู่เฉินบอกไว้ แถมยังมีผักกาดกวางตุ้งและกุ้งอีกด้วย 

 

 

           เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้เรื่องมากอะไร หยิบตะเกียบขึ้นมา เป่าทีสองทีแล้วจึงกินคำใหญ่เข้าไป 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินกิน ในใจก็ปรากฏความรู้สึกรักทะนุถนอมขึ้นไม่หยุด 

 

 

           บะหมี่หนึ่งชามถูกจัดการเรียบอย่างรวดเร็ว เจียงมู่เฉินนั่งเกียจคร้านเป็นอัมพาตอยู่บนเก้าอี้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอาชามบะหมี่ใส่เข้าไปในเครื่องล้างจาน แล้วออกมาดูเจียงมู่เฉิน “นอนไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ฉันเพิ่งกินข้าวเสร็จจะให้นอนเลย นายเห็นฉันเป็นหมูหรือไง”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางอ่อนปวกเปียกของเขาอยู่บนเก้าอี้ก็อดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเตะเขาไปทีหนึ่ง “อุ้มฉันไปโซฟาที ฉันอยากดูทีวี” 

 

 

           ในฐานะแฟนหนุ่มยี่สิบสี่ยอดกตัญญู[1] ซือเหยี่ยนรับคำสั่งอุ้มเจียงมู่เฉินไปวางบนโซฟา ทั้งยังเป็นฝ่ายเปิดทีวีให้เจียงมู่เฉินเลือกหาดูเองอีกด้วย 

 

 

           เจียงมู่เฉินหาดูอยู่ตั้งนานก็หาหนังเรื่องหนึ่งเจอ 

 

 

           ซือเหยี่ยนปิดไฟในห้องรับแขก ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ แล้วดึงเจียงมู่เฉินมาอยู่ในอ้อมกอด 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนกอดแบบนี้ก็รู้สึกแปลกๆ เขาตีมือซือเหยี่ยน “นายปล่อยมือออกก่อน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนละมือออก 

 

 

           เจียงมู่เฉินเคลื่อนตัวถอยหลังไป เอามือกอดซือเหยี่ยนเอาไว้ เขาคลอเคลียอีกฝ่ายอย่างพอใจ ที่แท้ทำแบบนี้ก็สบายตัวกว่ามากทีเดียว 

 

 

           ‘เปลี่ยนเป็นรุกบนเตียงไม่ได้ แล้วจะเป็นรุกบนโซฟาหน่อยไม่ได้เหรอ’ 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูท่าท่างการกระทำเล็กๆ ของเจียงมู่เฉินอย่างขำๆ ขยับร่างกายให้เจียงมู่เฉินได้กอดเขาสบายๆ ขึ้นมาหน่อย 

 

 

           ‘ความรู้สึกครั้งแรกที่โดนคนกอดไว้ในอ้อมอกแบบนี้…’ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วเงียบๆ รู้สึกแปลกๆ แต่ว่าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร 

 

 

           ความมืดปกคลุมทั่วห้อง เหลือแค่เพียงแสงสลัวๆ สะท้อนจากทีวีเท่านั้น แสงฉายสลับตัดไปมากระทบใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนเอียงหน้าก็มองเห็นสีหน้าดูทีวีอย่างจริงจังของเขา 

 

 

           แววตาซือเหยี่ยนทอประกายฉายอารมณ์อันซับซ้อน เขาใช้เวลาเนิ่นนานตั้งเท่าไหร่ถึงพาตัวคนคนนี้กลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้งได้ 

 

 

           ครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่ยอมปล่อยมือไปง่ายๆ อีกแล้ว 

 

 

           … 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นมั่วไป๋เอาแต่คลุกตัวอยู่ในคอนโดมิเนียมทั้งวัน ไม่วาดรูปก็นอนหลับ เขาทนดูไม่ได้แล้วจริงๆ จึงวิ่งแจ้นมาหาคว้าตัวอีกคนออกมา 

 

 

           แสงแดดข้างนอกค่อนข้างจ้า มั่วไป๋หรี่ตาลงพิงหน้าต่างอย่างเอื่อยเฉื่อย  

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางปล่อยเนื้อปล่อยตัวเหมือนหมดอาลัยตายอยากของเขาแล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ฉันว่านะ โลกมนุษย์สวยงามขนาดนี้ บางครั้งนายก็ต้องออกมาชื่นชมของพวกนี้บ้าง” 

 

 

           มั่วไป๋นึกอนาถใจในตัวเอง “ชื่นชมของพวกนั้นไปทำไม ชื่นชมนายก็โอเคแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ถ้าต้องชื่นชมก็ให้ฉันชื่นชมนายด้วยไง” 

 

 

           มั่วไป๋กวาดสายตามองหยามเขา “แผนเป็นรุกล้มเหลวอีกแล้วล่ะสิ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินระเบิดลง “นายรู้ได้ยังไง” 

 

 

           “ไม่กี่วันมานี้ไม่ได้ออกจากบ้านเลยล่ะสิ ไม่ใช่ว่าโดนจับกดจนลงจากเตียงไม่ได้หรอกเหรอ” มั่วไป๋เลิกคิ้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

 

 

           ‘…เขาเป็นรับชัดเจนขนาดนั้นเลยเรอะ’ 

 

 

           “ถ้าไม่ใช่ว่าคุณชายเห็นว่าใบหน้าของนายเป็นใบหน้าที่คุณชายชอบ คงจะฟาดนายจนตายไปแล้วแน่ๆ” เจียงมู่เฉินโกรธจนต้องขบกราม 

 

 

           มั่วไป๋หัวเราะเยาะ “งั้นฉันจะต้องขอบคุณใบหน้านี้ของฉันจริงๆ สินะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแววตาเยาะเย้ยตัวเองของเขาก็ชะงักไปจึงรีบเอ่ยปากทันที “มั่วไป๋ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ” 

 

 

           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น “ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดที่พูดประโยคเดียวแล้วจะทิ่มแทงบาดแผลของฉันได้” 

 

 

           “นายยังลืมไม่ลงใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเงียบลงอยู่พักใหญ่ๆ ถึงได้พูดต่อ 

 

 

           “คงจะใกล้แล้วมั้ง” ถ้าคืนนั้นเขาไม่ได้เจอกับไป๋จิ่งอีก เขาคงใกล้จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไปแล้ว 

 

 

           เลือดแดงฉานนองพื้น เขานอนดิ้นรนทุรนทุราย โฉมหน้าเปลี่ยนไปหมด… 

 

 

               

 

 

[1] ยี่สิบสี่ยอดกตัญญู เป็นนิทานพื้นบ้านที่นำเสนอถึงความกตัญญูตามปรัชญาขงจื้อ 7 ประการ ได้แก่ การเลี้ยงดูบุพการี การปรนนิบัติรับใช้บุพการีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย การให้ความสุขแก่บุพการี การให้อภัยต่อความผิดพลาดของบุพการี การปกป้องบุพการี การรำลึกถึงบุพการี จัดงานศพและเซ่นไหว้บุพการี 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 119 ไม่อยากเอ่ยถึงอีก 

 

 

           “ตกลงว่าคนคนนั้นเป็นใคร ตั้งหลายปีแล้ว นายยังไม่คิดจะบอกฉันอีกเหรอ” ปีนั้นตอนที่เขาไปถึง มั่วไป๋ก็นอนหมดสติเลือดท่วมตัวอยู่บนพื้นแล้ว 

 

 

           ถ้าตอนนั้นไปช้าอีกนิด เกรงว่ามั่วไป๋คนที่มานั่งอยู่ต่อหน้าเขาวันนี้คงจะไม่มีอีกแล้ว 

 

 

           ด้วยเหตุนี้จึงถูกส่งตัวไปอเมริกา ใช้เวลากว่าครึ่งปีถึงทำให้อาการของเขาค่อยๆ ดีขึ้น รอจนเกือบจะสองปีเต็มๆ มั่วไป๋ถึงได้กลับมาถานโจวอีกครั้ง 

 

 

           ความอ้างว้างแฝงในแววตาของมั่วไป๋ เขาส่ายหัวด้วยท่าทีสงบนิ่ง หยิบแก้วที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง “มู่เฉิน มีบางเรื่องที่ฉันไม่อยากเอ่ยถึงอีก ฉะนั้นนายก็อย่าเอ่ยถึงอีกเลย” 

 

 

           เขาหยุดสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “อีกอย่าง ฉันเปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว หน้าตาก็ไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อน คนที่รู้จักฉันก็มีไม่กี่คน” แม้แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดสนิทกันตลอดเวลาในตอนนั้นอย่างไป๋จิ่งมาเจอเขาอีกครั้งก็ยังจำเขาไม่ได้แล้ว 

 

 

           ‘เขาที่เป็นแบบนี้ มีอะไรต้องกลัวอีก’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ถึงอย่างไรเรื่องบางเรื่องก็ได้แต่พึ่งตัวเองให้ข้ามผ่านไปได้เท่านั้น คนอื่นจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถช่วยเขาได้ 

 

 

           ทั้งสองคนนั่งอยู่กันสักพัก จากนั้นก็ไปร้านอาหารระแวกใกล้ๆ แถวนั้น เพิ่งจะสั่งอาหารกันเสร็จ เจียงมู่เฉินเห็นเงาคนคนหนึ่งกำลังเดินมาทางตัวเอง แล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย 

 

 

           “คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอคุณที่นี่” ซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินก็อมยิ้มเบาๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินฉีกมุมปากขึ้น “ฉันเองก็คิดไม่ถึง” ไม่ได้เจอหน้าเขาหลายวัน ตัวเองใกล้จะลืมซังจิ่งคนนี้ไปแล้ว 

 

 

           “มากินข้าวกับเพื่อนเหรอ” ซังจิ่งมองมั่วไป๋ที่นั่งตรงข้ามเจียงมู่เฉินอยู่แวบหนึ่ง 

 

 

           “อืม” เขาเอ่ยรับคำเดียวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย 

 

 

           ซังจิ่งมองเจียงมู่เฉินอย่างขำๆ เมื่อครู่นี้ยังเห็นรอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้า แต่พอเห็นหน้าเขา สีหน้าเป็นมิตรสักนิดก็ไม่มีให้ 

 

 

           เขายังแสดงออกว่าเกลียดตัวเอง ไม่เหลือทางให้ถอยจริงๆ 

 

 

           “ผมเองก็มากินข้าว เพียงแต่ว่าบังเอิญไม่มีที่นั่งแล้ว ไม่รู้ว่าจะขอแชร์โต๊ะกับประธานเจียงได้หรือเปล่า” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยมองไปข้างๆ ไม่มีโต๊ะว่างเหลือเลยสักโต๊ะ เขามองหน้ามั่วไป๋ราวกับจะขอความเห็นของมั่วไปอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

           หลังจากมั่วไป๋พยักหน้าให้เล็กน้อย เจียงมู่เฉินถึงได้ตกปากรับคำ 

 

 

           “งั้นแชร์กันก็ได้” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงนิ่ง 

 

 

           ซังจิ่งนั่งลงข้างๆ เจียงมู่เฉิน ส่วนฝั่งของมั่วไป๋ก็ว่างลง แบบนี้ทำให้เจียงมู่เฉินโล่งใจไปส่วนหนึ่งเพราะมั่วไป๋ไม่ชอบให้มาเข้าใกล้แตะเนื้อต้องตัว 

 

 

           ซังจิ่งถือใบรายการอาหารขึ้นมาสั่ง มองดูเจียงมู่เฉินที่นั่งข้างๆ คุยกันกับมั่วไป๋ ดูท่าว่าจะทำให้เขาเป็นแค่คนแปลกหน้าที่แค่มาแชร์นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันเท่านั้นจริงๆ ไม่มีทีท่าจะสนใจเขาแม้แต่น้อย 

 

 

           เขานวดถูคางตัวเองเบาๆ ถึงแม้ว่าคืนนั้นคำพูดที่เจียงมู่เฉินพูดกับเซวียยางเขาจะได้ยินชัดทุกถ้อยคำ 

 

 

           ทุกทุกคำล้วนพาความเย็นชามาสู่เขา 

 

 

           เพียงแต่ว่าถ้าเอาความอบอุ่นของเขาตั้งรับความเย็นชาของเจียงมู่เฉิน ก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่น่าลำบากใจขนาดนั้น ถึงอย่างไรใบหน้าของเจียงมู่เฉินนี้ก็โดนใจ ถูกรสนิยมของเขามากอยู่ดี 

 

 

           ซังจิ่งพิจารณาสังเกตดูเจียงมู่เฉิน แม้ตัดทรงผมสั้นแล้วจะดูแมนๆ ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่กระทบใบหน้านั้นเลยสักนิด 

 

 

           ยังดูดีเหมือนเดิม 

 

 

           เขายกมุมปากขึ้น เอ่ยเสียงต่ำ “แบบแปลนก่อสร้างของทางหลินไห่เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย ไม่ทราบว่าคุณชายเจียงรู้เรื่องหรือยัง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินที่เดิมทีไม่อยากจะสนใจเขา แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหลินไห่ก็ยังต้องเบนสายตามาหาซังจิ่งอยู่ดี 

 

 

           “หมายความว่ายังไง” 

 

 

           “ฝ่ายงานวิศวกรพบว่า แบบแปลนก่อสร้างของหลินไห่กับที่ส่งรายงานไปตอนแรกเทียบกับการก่อสร้างห้องใต้ดินมีบางจุดไม่ค่อยเหมือนกัน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แล้ว?” 

 

 

           “ต้องส่งแบบแปลนไปใหม่ รอพิจารณาสั่งการ หลังจากผ่านแล้วจะสร้างซ้ำใหม่อีกรอบ” ซังจิ่งถอนหายใจเบาๆ “หรือว่า ตั้งนานขนาดนี้แล้วคุณชายเจียงไม่เคยสนใจโครงการหลินไห่เลยใช่ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “แล้วไง ตอนนี้ประธานซังกำลังตำหนิฉันอยู่เหรอ” 

ตอนที่ 116 เขาอยากเป็นรุกบ้าง

 

 

           ซือเหยี่ยนวางแก้วน้ำลง ลากเก้าอี้มานั่งต่อหน้าเจียงมู่เฉิน เขาเอนพิงพนักเก้าอี้พาดขายาวๆ ด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย

 

 

           “ทำไมถึงวางยาผม”

 

 

           เจียงมู่เฉินหนังหัวชาไปหมด นี่มันคำถามปลิดชีพนี่หว่า

 

 

           “หรือว่า หลังจากคุณวางยาผมแล้ว คุณคิดจะทำอะไรกับผม หืม” ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย

 

 

           เจียงมู่เฉินสบสายตาซือเหยี่ยน ชักอยากจะร้องไห้

 

 

           ‘เขาก็อยากเป็นรุกบ้างไง เขาจะอยากทำอะไรได้เล่า’ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางน่าสงสารของเขาก็โน้มตัวลงไปจูบคนตรงหน้า ราวกับมอบรางวัลให้อย่างไรอย่างนั้น เจียงมู่เฉินมองเขาแล้วอดจะขบกรามไม่ได้

 

 

           “เฉินเฉิน ของพวกนี้มันอันตรายมาก ครั้งต่อไปอย่าใช้มั่วๆ แบบนี้อีก” ครั้งนี้ใช้กับเขา แต่ถ้าหากว่าต่อไปเจอคนอื่นแล้วย้อนเขาตัวเองแบบนี้อีกคงจะโดนแทะโลมจนไม่เหลือชิ้นดีแน่

 

 

           “วันหลังฉันก็ไม่ได้คิดจะใช้อีกหรอก” ตัวเองกลายเป็นแบบนี้แล้ว ต่อไปยังใช้อีกเขาก็ไม่ใช่คนแล้ว ถ้าหากว่าบังเอิญเจอคนระยำแบบซือเหยี่ยนอีก เขายังจะอยากมีชีวิตอยู่อีกไหม

 

 

           “ต่อไปยังจะทำอีกไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ “ถ้าทำอีกฉันก็เป็นหลานชายของนายแล้ว”

 

 

           สำหรับซือเหยี่ยนคำว่า ‘หลานชาย’ ที่เปรียบเปรยมานี้ ทำให้เขาคิ้วขมวดเบาๆ ทีเดียว ทันทีที่คิดถึงว่าต่อไปเจียงมู่เฉินต้องเรียกเขาว่า ‘คุณปู่’ ก็รู้สึกขนลุกแปลกๆ แล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนคิดทบทวนอย่างจริงจัง “เปลี่ยนวิธีลงโทษกันดีกว่า ถ้าโดนผมจับได้อีก คุณจะลงจากเตียงไม่ได้สามวัน เป็นไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้างขึ้นในทันใด “เชี่ยเอ๊ย นายมันหน้าเลือดเกินไปมั้ย”

 

 

           ‘สามวันเหรอ นี่จะพรากชีวิตน้อยๆ ของเขาไปเลยใช่ไหม’ เจียงมู่เฉินรีบส่ายหัว ตีให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ

 

 

           “ไม่เห็นด้วยเหรอ” ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย “งั้นก็ห้าวันแล้วกัน”

 

 

           “อย่าๆๆ พี่ชาย สามวันเหมือนเดิมเถอะ” เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองรู้งานจริงๆ ลดไปสองวันก็ยังดีวะ

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “ได้ งั้นสามวัน”

 

 

           เขาพูดจบก็เข้าช้อนตัวเจียงมู่เฉินอุ้มขึ้นมา เดินมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นสอง เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยสีหน้างุนงง “นาย นายจะอุ้มฉันไปไหนน่ะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนก้มหน้าลงจูบเขา “เฉินเฉิน ความจำคุณดูเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้าง

 

 

           “ตกลงกันแล้วว่าสามวันนี่” ซือเหยี่ยนยกยิ้มเบาๆ ช่างดูอ่อนโยนเหลือเกิน เผยท่าทางสุภาพบุรษจอมปลอมออกมา

 

 

           ‘บัด! ซบ! อ่อนโยนตรงไหน นี่มันหมาป่าห่มหนังแกะชัดๆ ไหนจะปากนี้ที่แทะกระดูกฉันได้แบบไม่มีเหลืออีก’

 

 

           “พี่ชาย หารือกันสักหน่อยสิ ลดจำนวนหน่อยเป็นไง” ต่อให้วันนี้จะหนีการโดนป๊าบๆๆ ไม่พ้น แต่ก็ต้องช่วงชิงเวลามาให้ชีวิตตัวเองสักวันสองวัน

 

 

           “ไม่เยอะๆ ลดลงครึ่งหนึ่งสิ นายว่าเป็นไง”

 

 

           จังหวะก้าวเดินของซือเหยี่ยนที่กำลังอุ้มเขาขึ้นไปไม่มีหยุด ยังคงเดินขึ้นบันไดต่อไป เจียงมู่เฉินเห็นเขาไม่โต้ตอบอะไรก็เริ่มร้อนใจจนรีบพูดต่อ “สองวัน สองวันก็ได้นะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงไม่ตอบสนอง เจียงมู่เฉินเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ไม่งั้น สองวันครึ่งล่ะ”

 

 

           ในที่สุดซือเหยี่ยนก็มีปฏิกิริยาตอบกลับเสียที เขาก้มหน้าใช้ดวงตาสีดำขลับจ้องมองเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินอยากมองเห็นอะไรในแววตาของเขาบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็เห็นไม่ชัดว่าตกลงแล้วเขาคิดอย่างไร

 

 

           เจียงมู่เฉินออกแรงดึงแขนเสื้อของซือเหยี่ยน ทำหน้าทำตาน่าสงสาร “ลดลงให้หน่อยสิ ฉันเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ร่างกายอ่อนแอ ทนรับขนาดนั้นไม่ไหวหรอก”

 

 

            ซือเหยี่ยนอดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ นึกขึ้นมาได้แล้วว่าตัวเองเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนดเหรอ

 

 

           ตอนอยากจะเปลี่ยนเป็นรุก ทำไมไม่นึกถึงว่าตัวเองเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ใช้แรงงานเกินขีดจำกัดไม่ได้บ้างล่ะ

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขายิ้มออกมาแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา เขารีบกะพริบตาปริบๆ ทำหน้าทำตาน่าสงสาร

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินมาถึงเตียงพอดี เขาวางคนในอ้อมอกลง ปลายนิ้วจับบนเสื้อเชิ้ตและกระดุมของคนที่นอนอยู่บนเตียง

 

 

           “บังเอิญว่าผมเป็นพ่อค้า ไม่ทำธุรกิจที่ขาดทุน”

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้โดนจับพลิกร่างอีกครั้ง นัยน์ตาดอกท้อคู่นี้แดงก่ำไปแล้วเรียบร้อย ไม่ต้องถามว่าทำไมถึงแดงก่ำ

 

 

           โดนจับพลิกมาคว่ำไปตลอดทั้งคืน เขาจะไม่ร้องไห้ได้เหรอ   

 

 

             

 

 

ตอนที่ 117 ชีวิตข้าน้อยสำคัญ

 

 

           ซือเหยี่ยนทำตามดั่งคำที่ให้ไว้ไม่มีผิด เจียงมู่เฉินลงจากเตียงไม่ได้มาสามวันเต็มๆ จนสุดท้าย เขายืนตัวตรงเดินเองไม่ได้แล้ว

 

 

           จะเดินเหินไปไหนก็ต้องพึ่งซือเหยี่ยนทุกอย่าง ให้อุ้มเขาในท่าเจ้าหญิง

 

 

           เช้าวันที่สี่ ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเจียงมู่เฉินผู้นอนฟุบตาลืมไม่ขึ้นอยู่บนเตียง “คราวหน้าคราวหลังยังคิดอยากจะลองอีกไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินที่กำลังมึนๆ เบลอๆ ตกใจจนรู้สึกตัวตื่นในพริบตาเดียว รีบส่ายหัวทันควัน “ไม่แล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ชีวิตข้าน้อยสำคัญนัก”

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะ ก่อนจะบรรจงจูบเขา “คุณนอนต่อเถอะ ผมจะไปบริษัทแล้ว”

 

 

           ทันทีที่ได้ยินว่าเขาจะไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเจียงมู่เฉินแข้งขาอ่อนแรง อีกนิดเดียวเขาจะดีใจจนคุกเข่าลงกับพื้นไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่อยากจะเห็นใบหน้าที่ดูเหมือนไร้พิษภัย แต่แฝงความโรคจิตเอาไว้ของซือเหยี่ยนเลยสักนิด

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย’ เขารู้สึกว่าขาของตัวเองในตอนนี้ ถ้าให้เขาฉีกขา เขาฉีกได้สุดขาเลย

 

 

           ได้ยินเสียงปิดประตูดังมาจากชั้นล่าง เจียงมู่เฉินคว้าหมอนของซือเหยี่ยนมา อยากจะปาลงพื้นระบายไฟที่กำลังคุกรุ่นในใจ แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าของซือเหยี่ยนก็ปาไม่ลงในทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินหาเหตุผลให้ตัวเองว่าที่ไม่ปาหมอนของซือเหยี่ยนลงพื้นเพราะว่าหมอนของพวกเขาทั้งสองใบเหมือนกัน ถ้าหากตอนกลางคืนนอนผิดใบไปจะทำอย่างไรเล่า

 

 

           ถึงแม้ว่าข้ออ้างจะดูห่วยไปหน่อย แต่เจียงมู่เฉินก็กลับไปนอนฟุบลงบนเตียงหลับชดเชยต่อไป ใบหน้ายังซุกไซ้ไปกับหมอนของซือเหยี่ยนโดยไม่ตั้งใจอีก

 

 

           นอนอยู่บ้านหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ สลบไสลราวกับเป็นเจ้าชายนิทรา เปิดเปลือกตาขึ้นมาไม่ได้เลยสักนิด

 

 

           เวลาพลบค่ำซือเหยี่ยนกลับมาจากบริษัทก็ตรงเข้าห้องนอนทันที เห็นแค่บนเตียงหลังใหญ่มีเจียงมู่เฉินนอนหลับแบบหัวไปทางหางไปทาง ผ้าห่มเกือบจะหล่นลงพื้น แขนขาเพรียวยาวยื่นออกมาข้างนอก 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินเข้าไปกอดเจียงมู่เฉิน แล้วประทับจูบเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้หลับใหลในความฝันจู่ๆ ก็รู้สึกหายใจหอบหายใจติดขัด เขาลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก็เห็นใบหน้าเวอร์ชันขยายใหญ่ของซือเหยี่ยนเข้า

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้มีอารมณ์เหวี่ยงยามเพิ่งตื่นนอน สีหน้าบูดบึ้ง ยกเท้าถีบใส่ทันที

 

 

           “นายเป็นบ้าหรือไง จู่ๆ มาจูบฉันทำไม”

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งลงข้างๆ ใบหน้าเรียบเฉยทำไขสือ เขาคลึงสันจมูกไปมา “ขอโทษ อดใจไม่ไหวขึ้นมากะทันหันน่ะ”

 

 

           ‘เชี่ย!’ เจียงมู่เฉินเกือบจะหลุดปากด่าใส่ชุดใหญ่แล้ว

 

 

           ‘ขอโทษเรอะ’

 

 

           ท่าทางรู้สึกผิดน่ะมีอยู่ตรงไหนบ้าง เจียงมู่เฉินนึกเสียใจ ตอนเช้าไม่ควรใจอ่อนเลย ควรจะปาหมอนอีกฝ่ายลงพื้นแล้วกระทืบๆ เสียให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

 

 

            ยามเจียงมู่เฉินระเบิดลง ซือเหยี่ยนก็นั่งอยู่ข้างๆ ตลอด ดวงตาสีดำขลับจดจ้องมาที่เจียงมู่เฉิน

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ เจียงมู่เฉินก็ฟื้นคืนจากอาการหายใจไม่ออกแล้ว เขาเชิดหางตาขึ้นเอ่ยปากออกคำสั่ง “อุ้มฉันไปห้องน้ำอาบน้ำที”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่เอ่ยเป็นคำที่สอง จัดการอุ้มเขาขึ้นมาตรงเข้าห้องน้ำทันที ทั้งเปิดน้ำให้ ทั้งนวดผ่อนคลายให้

 

 

           ต้องยอมรับเลยว่าถึงแม้เวลาซือเหยี่ยน ‘ทำ’ จะป่าเถื่อนไม่เหมือนคน แต่เวลาไม่ ‘ทำ’ กลับเป็นเหมือนแฟนที่เอาใจใส่ดูแลกันมากเลยทีเดียว

 

 

           ไอน้ำแผ่ปกคลุมไปทั่ว เจียงมู่เฉินฟุบหันหลังอยู่ในอ่างอาบน้ำ สีหน้าสุขสมสบายใจ

 

 

           อาบน้ำด้วยกันกับซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินผู้ได้รับการนวดอย่างสบายไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกาย ให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขาออกไป

 

 

           ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนซือเหยี่ยนอุ้ม ไม่มีอะไรต้องเสแสร้งแกล้งทำ

 

 

           ‘อีกอย่าง ที่เขาเป็นแบบนี้ก็เป็นฝีมือของซือเหยี่ยนไม่ใช่หรือไง’

 

 

             ‘เขาเป็นคนอุ้มตัวเองออกไปก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว คุณชายน้อยตระกูลเจียงไม่ใช่คนประเภทที่ยอมให้เขากินแล้วเช็ดปากจากไปหรอกนะ’

 

 

           พอออกมาจากห้องน้ำ ซือเหยี่ยนก็อุ้มเขามุ่งหน้าลงไปชั้นหนึ่ง “มีอะไรอยากกินไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินชักจะหิวขึ้นมาจริงๆ แล้ว นอนสลบไสลมาทั้งวัน จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้กินอะไรสักอย่าง แต่เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว ถ้าทำกับข้าวตอนนี้ คงอีกนานกว่าจะได้กิน

 

 

           เขาเอนกายพิงกายอย่างอิดโรย “อยากกินบะหมี่”

 

 

           “กินแค่บะหมี่เหรอ”  

 

 

           “เพิ่มไข่ด้วยแล้วกัน”

 

 

           หลังจากพูดจบ ซือเหยี่ยนก็เข้าครัวไป เจียงมู่เฉินพาดร่างตัวไปกับเก้าอี้ไม่กระดุกกระดิก ร่างกายที่เพิ่งจะผ่านการอาบน้ำมายังอ่อนแรง ไม่อยากขยับเขยื้อนเลยสักนิด

 

 

           ถึงอย่างไรก็มีซือเหยี่ยนอยู่ ใช้ได้ไม่เสียเปล่า

ตอนที่ 114 โดนซือเหยี่ยนหลอกอีกแล้ว

 

 

           ทำเรื่องอะไรทำนองนี้เป็นครั้งแรก ในใจยังค่อนข้างจะหวาดหวั่นอยู่ทีเดียว

 

 

           ไม่กี่นาทีต่อมา ซือเหยี่ยนกลับมานั่งยังที่เดิม เจียงมู่เฉินพยายามไม่กระโตกกระตากจ้องมองซือเหยี่ยน ไหนจะแก้วเหล้าในมือเขาอีก

 

 

           ทำเรื่องไม่บริสุทธิ์ใจไม่ได้จริงๆ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นจนจะตายแล้ว

 

 

           เขาจดจ้องแก้วเหล้าในมือซือเหยี่ยนอย่างเอาเป็นเอาตาย เบิกตาค้างมองคนตรงหน้าเขาที่ไม่มีทีท่าว่าจะดื่มเสียที

 

 

           เจียงมู่เฉินร้อนรน ถ้าซือเหยี่ยนยังไม่ดื่มอีก เขาคงร้อนใจจนเป็นบ้าแน่ อยากจะแย่งมาดื่มเองแล้ว

 

 

           ในที่สุดภายใต้แววตารอคอยของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนก็เอาแก้วมาจรดที่ริมฝีปาก เหมือนกำลังจะดื่มเข้าไปแล้ว…

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเหล้าบนริมฝีปากของซือเหยี่ยน ลมหายใจก็แทบจะหยุดลงแล้ว…

 

 

           …

 

 

           “ข้างหลังมีคนเรียกคุณน่ะ” ซือเหยี่ยนวางแก้วลงกะทันหันพลางเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           เจียงมู่เฉินสำลักน้ำลายตัวเอง ตกใจจนไอออกมา เขาไออยู่ตั้งนานกว่าจะหันไปมองข้างหลัง

 

 

           ไม่มีใครสักคน

 

 

           “ไม่มีใครนี่ ใครเรียกฉันเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มบางๆ “ขอโทษ เมื่อกี้ดูผิดไปน่ะ” เขาพูดไปพลางยกแก้วเหล้าขึ้น

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ได้กังวลใจเรื่องเมื่อครู่นี้ หัวใจถูกซือเหยี่ยนสะกดไว้อีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องที่ซือเหยี่ยนจะดื่มเหล้าเข้าไปอีกแล้ว

 

 

            ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าซือเหยี่ยนจะไม่ลังเลใจอีก ยกแก้วขึ้นมากระดกเหล้าเข้าไปทันที

 

 

           น้ำเมาชุ่มฉ่ำเต็มริมฝีปากบางของซือเหยี่ยนค่อยๆ ไหลลงไปตามลำคอ เจียงมู่เฉินเห็นว่าเป้าหมายของตัวเองสำเร็จแล้ว ในใจก็อดจะเริงร่าขึ้นมาไม่ได้

 

 

           เขายิ้ม ยกแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นมาดื่มสักสองสามอึก

 

 

           รออีกไม่กี่นาที รับรองว่าจะจัดการซือเหยี่ยนให้ราบคาบ ให้เขาลองลิ้มรสความรู้สึกของการโดนจับกดบ้าง ไม่แน่ว่าต่อจากนี้สุดท้ายอาจจะตกหลุมรักในสายนี้ก็ได้

 

 

           ทันทีที่เจียงมู่เฉินคิดว่าซือเหยี่ยนดึงรั้งตัวเขาร้องขอให้เขาจับกด อารมณ์ก็อดจะแปรปรวนขึ้นมาไม่ได้

 

 

            ผ่านไปสิบนาที ซือเหยี่ยนยังคงมีท่าทางเหมือนก่อนหน้านี้ ความแตกต่างสักนิดก็ไม่มี

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินกระวนกระวาย นี่ก็สิบนาทีแล้ว ทำไมยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรอีก ฤทธิ์ยาตัวนี้คงไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง

 

 

           “ซือเหยี่ยน” เจียงมู่เฉินอดเรียกเขาไม่ได้

 

 

           “หืม” ซือเหยี่ยนเงยหน้ามองเจียงมู่เฉิน

 

 

           “นายไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เจียงมู่เฉินไตร่ตรอง ก่อนเอ่ยต่อ “เช่นว่า ร่างกายอ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรงน่ะ”

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนจับจ้องมาที่เจียงมู่เฉิน เขายกมุมปากขึ้นน้อยๆ “ผมสบายดี”

 

 

           เขาหยุดไปครู่หนึ่งจึงพูดต่อ “แต่ว่า แล้วคุณล่ะ ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียไหม แขนขาไม่มีแรงไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว เขาถามซือเหยี่ยนอยู่ แล้วซือเหยี่ยนมาถามเขากลับทำไมเนี่ย

 

 

           ‘คนที่ดื่มยาเข้าไปเป็นซือเหยี่ยนไม่ใช่เขาสักหน่อย แขนขาเขาจะไม่มีแรง ร่างกายจะอ่อนเพลียได้ไงกัน…’

 

 

‘เดี๋ยวนะ…’

 

 

‘เหมือนจะมีตรงไหนไม่ค่อยถูกต้อง…’

 

 

เจียงมู่เฉินนั่งพิงพนักอย่างหมดแรง ทั้งร่างไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด เขาเอามือยันโต๊ะอยากจะพยุงตัวเองขึ้นมา แต่ไม่เป็นผลแม้แต่น้อย

 

 

ร่างกายเหมือนฟองน้ำไม่มีผิด ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายของซือเหยี่ยน ทันใดนั้นก็เข้าใจโดยพลัน

 

 

เหล้าของเขาโดนซือเหยี่ยนไอ้คนระยำสลับสับเปลี่ยนเรียบร้อย มิน่าล่ะเขาถึงได้มาย้อนถามตนแบบนี้

 

 

‘ไม่สิ ซือเหยี่ยนรู้ได้ยังไงว่าในเหล้ามียาอยู่…’

 

 

“นาย…นายจงใจ!” เจียงมู่เฉินโมโห

 

 

ซือเหยี่ยนเดินมาจากฝั่งตรงข้ามมาอยู่ต่อหน้าเจียงมู่เฉิน แล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ “เฉินเฉิน ยานี้คุณเป็นคนใส่เข้าไปเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลยนะ”

 

 

‘แม่งเอ๊ย โดนซือเหยี่ยนหลอกอีกแล้ว’   

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก กว่าจะคิดวิธีจับกดซือเหยี่ยนได้ไม่ใช่ง่ายๆ สุดท้ายตอนนี้เป็นไงล่ะ เขาไม่พลาด ตัวเองพังแทน…

 

 

         “นายไปไกลๆ ฉันเลย อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” ถ้าไม่ห่างกันสักหน่อย เขาอาจจะอยากจะพุ่งตัวขึ้นไปกัดซือเหยี่ยนสักสองคำ

 

 

           ซือเหยี่ยนส่งมือไปพยุงเขาขึ้นมา “อย่าดื้อเลย ผมเป็นคนของคุณนะ จะมาเห็นคุณทำน้อยใจอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น เขายอมนอนอยู่ที่นี่ทั้งคืนดีกว่ากลับไปกับซือเหยี่ยน

 

 

           ใครจะรู้ว่าหลังจากซือเหยี่ยนไอ้คนระยำกลับไป ยังจะอยากทรมานเขาอย่างไรอีกบ้าง

 

 

           ซือเหยี่ยนกอดเจียงมู่เฉินไว้อย่างอ่อนโยน “เฉินเฉิน ผมจะพาคุณกลับบ้านเอง”

 

 

           ทั้งร่างกายเจียงมู่เฉินไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงโดนซื่อเหยี่ยนกอดประคองออกไป เขาเดินไปร้องโวยวายในใจไป คุณชายไม่ได้อยากกลับบ้านอะไรกับนายทั้งนั้นแหละ

 

 

                  

 

 

ตอนที่ 115 บทบัญญัติการแกล้งหลับ

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่อยากกลับบ้านแต่ก็ยังโดนซือเหยี่ยนอุ้มขึ้นรถไปอยู่ดี ระหว่างเดินทางกลับ เจียงมู่เฉินโกรธจนท้องไส้ร้อนระอุไปหมด เดิมทีเขาเตรียมจะหลอกซือเหยี่ยน ใครจะไปรู้ว่ามันจะวกกลับมาเข้าตัวเขาจนได้

 

 

           ซือเหยี่ยนขับรถอย่างใจเย็น ดวงตาสีดำดั่งน้ำหมึกทอประกายรอยยิ้ม ดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อย

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น เขาต้องอารมณ์ดีอยู่แล้วสิ

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย ก็ตอนนี้คนที่หมดแรงไปทั้งตัวคือเขานี่ไง’

 

 

           ถ้าเปลี่ยนสลับกัน ตอนนี้เขากำลังขับรถ ซือเหยี่ยนหมดแรงนอนอยู่ข้างๆ รับรองว่าเขาต้องมีความสุขมากแน่ๆ

 

 

           “เฉินเฉิน อย่ามองผมด้วยสายตาเร่าร้อนขนาดนี้บ่อยๆ สิ ผมกลัวว่าจะคุมสติไม่ได้ จนอยู่ในรถก็จะ…” ซือเหยี่ยนขู่เสียงนิ่ง

 

 

           เจียงมู่เฉินแข็งทื่อไปทั้งใบหน้า เบนสายตาหนีเงียบๆ

 

 

           พยายามท่องในใจว่าตัวเขาอยู่ในรถจะไม่ยอมก็ไม่ได้ เขาท่องจนต่อมาหลับตาไม่มองซือเหยี่ยนอีก อกจะได้ไม่ร้อนไปมากกว่านี้

 

 

           ระหว่างรอไฟเขียวไฟแดง ซือเหยี่ยนเอียงหัวเหลือบมองเจียงมู่เฉินผู้กำลังคับแค้นใจอยู่ข้างๆ เขาอดจะยกมุมปากขึ้นมาไม่ได้

 

 

           รถคันสีดำแล่นมาด้วยความเร็วสูง เพียงไม่นานก็มาจอดที่หน้าทางเข้าคฤหาสน์

 

 

           ซือเหยี่ยนปลดเข็มขัดนิรภัยออก เอียงหน้ามองดูเจียงมู่เฉินที่ยังคงไม่ลืมตาขึ้นมา “ตื่นเถอะ ถึงบ้านแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินไร้การเคลื่อนไหว ยังคงอิงแอบอยู่ตรงนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนเปิดประตูลงจากรถไป เจียงมู่เฉินผู้แกล้งหลับได้ยินเสียงก็ชะงักไป นี่เขาจะทิ้งตัวเองไว้ที่นี่ไม่สนใจกันแล้วเหรอ

 

 

           กำลังจะเตรียมลืมตาขึ้นพึ่งลำแข้งตัวเอง ประตูข้างตัวก็ถูกเปิดออก

 

 

           ซือเหยี่ยนโน้มตัวเข้าไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้เจียงมู่เฉิน ในรถพื้นที่คับแคบเช่นนี้ ใบหน้ายามหลับใหลของเจียงมู่เฉินเผยให้ซือเหยี่ยนเห็นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

 

 

           เขาหลับตาพริ้ม ดูไปแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน ซือเหยี่ยนยิ้ม ชั่วพริบตาที่ยื่นมือเข้าไปกดปลดเข็มขัดนิรภัย รอยจูบแผ่วเบาก็ประทับลงที่ริมฝีปากเจียงมู่เฉิน

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน ร่างกายเริ่มแข็งทื่อ

 

 

           นาทีต่อมา เจียงมู่เฉินก็ถูกช้อนตัวขึ้น ซือเหยี่ยนอุ้มเขาแล้วจึงปิดประตูรถ ค่อยๆ เดินเข้าไปข้างใน

 

 

           เจียงมู่เฉินยังตกอยู่ในภวังค์ของจุมพิตเมื่อครู่นี้ เขาคิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะฉวยโอกาสขโมยจูบเขา เขาคงจะชอบตัวเองมากๆ ถึงได้แอบขโมยจูบตัวเองตอนหลับอยู่แบบนี้

 

 

           คิดได้อย่างนี้ เจียงมู่เฉินก็อดจะเชิดมุมปาก แอบยิ้มขึ้นมาไม่ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินถึงหน้าทางเข้าคฤหาสน์ เปิดประตูเดินเข้าไปข้างใน วางเจียงมู่เฉินลงบนโซฟา แล้วเดินจากไปทันทีหลังจากนั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อยู่พักใหญ่

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนหลับบนโซฟาตั้งนาน ซือเหยี่ยนกลับไม่สนใจเขาเลย เจียงมู่เฉินที่แกล้งหลับรู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ ต่อให้เขาหลับอยู่แล้วซือเหยี่ยนไม่แยแสเรื่องที่เขาไม่ยอมมีอะไรด้วยแต่ก็คงไม่ถึงขั้นที่เอามาโยนทิ้งบนโซฟาแล้วไม่สนใจกันขนาดนี้มั้ง

 

 

         เขาหลับตารอได้อีกไม่กี่นาที ใจก็เริ่มร้อนรนแล้ว

 

 

           ในห้องเงียบเป็นพิเศษ ไม่ได้ยินเสียงใดใดทั้งสิ้นราวกับมีเขาอยู่แค่คนเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินแอบลืมตา อยากรู้ว่าตกลงซือเหยี่ยนทำอะไรอยู่

 

 

           เปลือกตาเพิ่งจะเปิดได้เพียงนิดเดียว เจียงมู่เฉินก็ตกใจจนตัวสั่น

 

 

           “ไม่แกล้งหลับต่อแล้วเหรอ” ซือเหยี่ยนถือแก้วน้ำยืนอยู่ตรงหน้าเขา จ้องเขาเขม็ง

 

 

           เจียงมู่เฉินตกใจจนเกือบฉี่ราด อยู่มาตั้งนาน จะมาทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปเพื่ออะไร

 

 

           “นาย…นายนั่นแหละที่แกล้งหลับ!”  

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “อ้อ งั้นตอนนี้คุณก็เพิ่งจะตื่นสินะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำปากแข็ง “ใช่ ถึงแม้ว่าฉันจะควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ แต่ว่าความคิดฉันยังไงก็ควบคุมได้อยู่แล้ว ทำไม นอนสักหน่อยก็ไม่ได้เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ถือแก้วน้ำไว้ในมือแล้วเคาะไปเรื่อยๆ

 

 

           การที่เขามองเจียงมู่เฉินแบบนี้เพราะในใจรู้สึกหงุดหงิด คิดอยู่ว่าถ้าราดน้ำมันลงบนกองไฟอีกแค่นิดเดียวก็จะจับเจียงมู่เฉินมาทรมานเพื่อให้รับสารภาพซะ

 

 

           “นายจะมามองฉันแบบนี้ทำไม มันทำให้คนอื่นกลัวนะ” เจียงมู่เฉินโดนมองแบบนี้ก็ชักจะรับไม่ไหวแล้ว

ตอนที่ 112 จำไม่ได้

 

 

           หลังจากมั่วไป๋เดินออกจากหลานเยี่ยไปได้สักพักถึงหยุดเดิน เขาหมุนตัวเดินเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง ทิ้งตัวลงกับกำแพง สั่นเทาไปทั้งตัว

 

 

           เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอไป๋จิ่งที่นี่

 

 

           ที่น่าตลกก็คือ อีกฝ่ายจำเขาไม่ได้เลยสักนิด

 

 

           มั่วไป๋พิงกำแพงยิ้มเยาะ ตอนที่ไป๋จิ่งออกปากถามชื่อของเขา รู้สึกว่าเขาดูคุ้นตา คาดไม่ถึงว่าเขาจะรอคอยว่าไป๋จิ่งจะจำเขาได้หรือเปล่า

 

 

           เขาอดอยากเห็นไม่ได้ ถ้าไป๋จิ่งรู้ว่าเขายังไม่ตาย รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จะทำสีหน้าแบบไหนออกมานะ

 

 

           แต่สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่คิดมากไป ไป๋จิ่งไม่มีภาพจำอะไรเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย ราวกับเขามั่วไป๋ไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้เลยด้วยซ้ำ

 

 

           เขาหยุดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ เสียงหัวเราะที่เก็บกดเอาไว้ดังออกมาล่องลอยอยู่ในตรอกอันไร้ผู้คน ชวนให้รู้สึกอ้างว้างวังเวงอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           เขานึกถึงไป๋จิ่งทั้งเช้าค่ำ แต่ไป๋จิ่งกลับลืมเขาไปตั้งนานแล้ว

 

 

           คุณว่าน่าขำไหมล่ะ…

 

 

           …

 

 

           “ฉันว่านะ นายเลิกเดินไปเดินมาตรงหน้าฉันจะได้ไหม ทำแบบนี้ฉันเวียนหัวหมดแล้ว” มั่วไป๋มองเจียงมู่เฉินผู้สาวเท้าอย่างไวเดินกลับไปกลับมาจนจะครบชั่วโมงอยู่ตรงหน้าเขา เล่นเอาปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

           เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนเช้าเพิ่งจะได้นอนก็ถูกเจียงมู่เฉินปลุกให้ตื่นขึ้นมา

 

 

           เจียงมู่เฉินจับเอวตัวเองไว้ กัดฟันกรอดด้วยความโมโห “นายว่า ทำยังไงฉันถึงจะจับกดซือเหยี่ยนได้บ้าง”

 

 

           เมื่อคืนคิดว่าแผนการใหญ่ในการเปลี่ยนกลับเป็นรุกจะมีความหวัง สุดท้ายไม่คิดเลยว่าเขาจะยังโดนซือเหยี่ยนจับกดอยู่ เขาคิดมาค่อนวันก็ยังนึกหนทางที่ตัวเองจะรุกซือเหยี่ยนไม่ออกเหมือนเดิม

 

 

           ดังนั้นจึงวิ่งแจ้นมาหามั่วไป๋ที่นี่ ดูว่ามีวิธีอะไรดีๆ หรือเปล่า

 

 

           “ฉันว่า นายก็อย่าคิดมากขนาดนี้เลย” มั่วไป๋กุมขมับ “นายจับกดซือเหยี่ยนไป ขนาดไม่เหมาะหรอก”

 

 

           …เขาอยากจะกระโดดกัดมั่วไป๋ให้ตาย ตัวเองจะจับซือเหยี่ยนกดแล้วทำไมถึงขนาดไม่เหมาะได้

 

 

           “ในฐานะเพื่อนของนาย ฉันต้องให้นายเผชิญหน้ากับความจริง”

 

 

           เจียงมู่เฉินเส้นเลือดปูดขึ้นมา จ้องมองมั่วไป๋พร้อมเดินเข้าประชิดทีละก้าวทีละก้าว

 

 

           มั่วไป๋กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ฉันแนะนำนายว่าใจเย็นสงบเสงี่ยมจะดีที่สุด อย่าทำเรื่องอะไรที่ตัวเองจะมานั่งเสียใจทีหลัง”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “เรื่องที่คุณชายอย่างฉันมานั่งเสียใจทีหลังที่สุดก็คือสมองกลวงวิ่งออกมาให้นายด่าเนี่ยแหละ”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้าเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาทันที เดินไปถึงข้างประตูแล้วดึงประตูเปิดออก “เรื่องนี้นายอย่าเสียใจเกินไป ตอนนี้หันหลังแล้วเดินตรงออกจากประตูไป ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น “วันนี้ฉันไม่ไปแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋ยื่นมือไปปิดประตูแล้วยืนพิงอยู่ตรงนั้น “อยากจะจับซือเหยี่ยนกดไม่ใช่เหรอ ง่ายๆ ฉันจะบอกแผนให้”

 

 

           “แผนอะไร”

 

 

           “ซื้อยามา ทำให้เขาหมดสติ ที่เหลือนายก็ทำตามอำเภอใจได้ไม่ใช่เหรอ”

 

 

           “ว้าว นายนี่มันจริงๆ เลย…” เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความประหลาดใจ “นายนี่มันฉลาดเกินไปแล้วจริงๆ ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงเลย”

 

 

           ‘ซือเหยี่ยนเวอร์ชันเป็นๆ อยู่จับกดไม่ได้ ซือเหยี่ยนเวอร์ชันไม่ได้สตินี่แหละ เขาจับกดได้แน่’

 

 

           ‘ถึงแม้ว่าซือเหยี่ยนจะขยับเองไม่ได้ก็เถอะ… ’

 

 

           ‘แต่ว่า จับกดได้ก็ดีกว่าจับกดไม่ได้ เนื้อชิ้นหนึ่งก็คือเนื้ออยู่วันยังค่ำ’ ตัดสินใจได้แล้ว เจียงมู่เฉินไม่เอ่ยคำลาอะไรก็พุ่งทะยานตัวออกจากบ้านมั่วไป๋ทันที

 

 

           มั่วไป๋ปิดประตูลงเงียบๆ เขาพูดไปส่งๆ เท่านั้นเอง ไม่คิดว่าเจียงมู่เฉินจะเชื่อจริงๆ

 

 

           เฮ้อ…

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ รู้สึกว่าสมองใหญ่ๆ อันชาญฉลาดของเจียงมู่เฉินเหมือนโดนปลูกถ่ายไวรัสชนิดร้ายแรงลงไปไม่มีผิด มาเจอกับซือเหยี่ยน เครื่องจึงรวนไปทั้งหมด

 

 

           ที่แท้ ความรักอะไรพวกนี้ ไม่พบเจอง่ายๆ ยังจะดีกว่า

 

 

           …

 

 

           ไป๋จิ่งยืนก้มหน้ารับกรรมมองซือเหยี่ยนอยู่ที่หน้าประตู “เที่ยวบินวันนี้ของฉัน นายไม่คิดจะไปส่งฉันเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขารอบหนึ่ง “ขอโทษด้วย ไม่มีเวลาน่ะ”

 

 

           “ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็รู้จักกันมาตั้งหลายปี เยื่อใยสักนิดก็ไม่มีให้กันเลยเหรอ”

 

 

           “ขออภัย คนคนนั้นของฉันต้องไม่หวังให้ฉันมีเยื่อใยกับคนอื่นแน่ๆ” ซือเหยี่ยนไม่ลังเลที่จะเอาเจียงมู่เฉินออกมาเป็นข้ออ้าง

 

 

           ได้ยินซือเหยี่ยนเอ่ยถึงคนคนนั้น ไป๋จิ่งก็อยากรู้อยากเห็นขึ้นมากะทันหัน “นายถึงขั้นพูดแบบนี้ ตกลงแล้วคนคนนั้นของนายเป็นใครกันแน่ ต้องลึกลับขนาดนี้เชียวเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขากำลังจะเตรียมเอ่ยปาก

 

 

           เสียงเจียงมู่เฉินดังขึ้นมาจากข้างหลัง เขาค่อยๆ เชิดริมฝีปากขึ้นอย่าเกียจคร้าน “ฉันเอง ฉันเอง”

 

 

           เขาเดินช้าๆ ไปจนถึงตรงหน้าไป๋จิ่งผู้แข็งเป็นหินไปแล้ว เขายักคิ้วแล้วพูดต่อ “ลึกลับไหม” 

 

 

 

 

ตอนที่ 113 ตกใจจนเกือบฉี่ราด

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงัน อยากร้องตะโกนดังๆ จริงๆ แม่งลึกลับขั้นสุดแล้ว

 

 

         ‘เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนถึงขั้นมาคบกันได้แบบนี้ ยังจะถามเขาว่าลึกลับไหมอีกเหรอ’

 

 

            ‘เขาตกใจจนเกือบฉี่ราดแล้วโอเคไหม’

 

 

           “นาย…เขา…พวกนาย…เชี่ย!” มือไป๋จิ่งชี้ไปที่พวกเขาสองคนสลับกันไปมายังสั่นน้อยๆ อีกด้วย แม้แต่จะพูดให้เต็มประโยคยังพูดไม่ออกเลย

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางของเขาก็ใจดีอธิบายให้เขาฟัง “นายอยากเจอฉันไม่ใช่เหรอ ฉันก็อยู่นี่แล้วไง”

 

 

           สายตาหวาดกลัวของไป๋จิ่งไล่มองจากใบหน้าของเจียงมู่เฉินย้ายไปยังใบหน้าของซือเหยี่ยน จากนั้นก็วนเวียนกลับไปกลับมา “พวกนาย…ล้อเล่นกันใช่ไหม”

 

 

           ‘บุคลิกเฉพาะตัวของเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนดูยังไงก็ไม่เข้ากันเลย’

 

 

           ‘อีกอย่าง สองคนนี้เป็นศัตรูคู่แค้นกันไม่ใช่เหรอ จะมามีความสัมพันธ์แบบนั้นเป็นไปได้ยังไง ทำให้คนตกใจเกินไปแล้วโอเคไหม’

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว นัยน์ตาดอกท้อฉายแววหยอกล้อ เขาเดินไปอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน โน้มตัวลงมาหอมแก้มซือเหยี่ยน “ซือเหยี่ยน นายบอกเขาทีว่าจริงไม่จริง”

 

 

           ไป๋จิ่งมองซือเหยี่ยนเงียบๆ

 

 

           เห็นแค่ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “อืม แฟนฉันเอง”

 

 

           ไป๋จิ่งสั่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เขาพินิจมองทั้งสองคนอย่างละเอียด รู้สึกว่าทัศนคติที่มีต่อชีวิตของตัวเองได้รับความกระทบกระเทือนแล้ว

 

 

           เขาเองก็ไม่อยากให้ซือเหยี่ยนไปส่งแล้ว หันหลังวิ่งออกไปทันที

 

 

           จู่ๆ ไป๋จิ่งก็รู้สึกตัวขึ้นมา ว่าซือเหยี่ยนให้เขาแอฟริกาเป็นเรื่องที่ดีสุดๆ ไปเลย แอฟริกาออกจะสวยขนาดนั้น เขาอยากไปดูของสวยๆ งามๆ จะได้ชำระล้างจิตวิญญาณที่ได้รับความตื่นตกใจให้บริสุทธิ์ขึ้น

 

 

           ‘ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินถึงขั้นมาคบกันได้แบบนี้ ยังห่างจากวันสิ้นโลกอีกไกลไหม’

 

 

           เจียงมู่เฉินมองตามแผ่นหลังหนีเตลิดเปิดเปิงของเขาไป แล้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ฉันดูป่าเถื่อนมากเลยเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัวขำๆ “ไม่ป่าเถื่อนหรอก”

 

 

           “แล้วเขาทำหน้าเหมือนเห็นผีไปทำไมล่ะ วิ่งเร็วขนาดนี้ กลัวฉันจะกินเขาเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนชะงักกับคำเปรียบเปรยของเจียงมู่เฉิน พลางคิดถึงท่าทางเมื่อครู่นี้ของไป๋จิ่ง แล้วอดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ เขาพบว่าเจียงมู่เฉินเปรียบเปรยได้ถูกต้องอย่างเหลือเชื่อ

 

 

           ซือเหยี่ยนทำท่าใสซื่อพลางลูบจมูกป้อยๆ “คงจะรีบไปขึ้นเครื่องมั้ง”

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินไปนั่งต่อหน้าเขา “เออใช่ ฉันพูดกับเขาแบบนี้ ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “คุณกลัวเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบเอ่ย “คุณชายอย่างฉันมีอะไรต้องกลัวหรือไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้ม “งั้นคุณเป็นห่วงอะไรล่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “นี่ฉันเป็นห่วงแทนนายไม่ใช่หรือไงเล่า”

 

 

           “ทำไมคุณถึงมาหาผมที่บริษัทได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินแบบนี้ก็นึกถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมาวันนี้ขึ้นมาได้กะทันหัน เขารีบยิ้มเชิงอยากเอาใจอีกฝ่าย “อยากมากินข้าวกับนายไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างสงสัย “อยากมากินข้าวกับผมเนี่ยนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “อืม มากินข้าวกับนาย”

 

 

           “นอกจากกินข้าว ไม่มีเรื่องอย่างอื่นแล้วเหรอ” ซือเหยี่ยนถามต่ออีก

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาถามแบบนี้ก็ชักจะใจเสีย ถลึงตามองเขา “ตกลงนายจะกินไม่กิน ไม่กินฉันจะไปแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะ “คุณมาเชิญชวนด้วยตัวเอง ต้องไปอยู่แล้ว”

 

 

           “โอเค งั้นฉันจะรอนายที่นี่ เลิกงานแล้วจะได้ไปด้วยกัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งรอที่บริษัทของซือเหยี่ยนตลอดทั้งบ่าย รอจนซือเหยี่ยนทำงานเสร็จ ทั้งสองคนถึงได้ออกไปกินข้าวด้วยกัน

 

 

           เจียงมู่เฉินกินข้าวไปคิดไป จะทำอย่างไรให้ซือเหยี่ยนหมดสติอย่างแนบเนียน

 

 

           จนกระทั่งกินข้าวกันเสร็จ เจียงมู่เฉินถึงได้ออกปาก “ตอนนี้ยังไม่ค่ำเท่าไหร่ ไปนั่งกับฉันที่หลานเยี่ยไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนวางแก้วลง เลิกคิ้วมองเจียงมู่เฉินด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

 

 

           “ทำไม ไม่เต็มใจเหรอ” เจียงมู่เฉินมองจดจ่อ ถ้าซือเหยี่ยนไม่ยอม แล้วเขาจะยังทำให้ซือเหยี่ยนหมดสติได้อย่างไร

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นแววตาที่ฉายถึงแผนการจึงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ “จู่ๆ ผมเองก็อยากไปนั่งเล่นที่หลานเยี่ยขึ้นมาเหมือนกัน”

 

 

           เมื่อได้ยินเขาว่ามาเช่นนี้ เพียงชั่วครู่เดียวเจียงมู่เฉินก็กระตือรือร้นขึ้นมา “ไปกันเถอะ คุณชายจะพานายไปเที่ยวหลานเยี่ย”

 

 

           ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปหลานเยี่ย แล้วยังนั่งที่เดิมเมื่อก่อนนี้ด้วย ซือเหยี่ยนนั่งลงไม่ทันไรก็ลุกขึ้นมา “ผมจะไปห้องน้ำสักหน่อย”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า มองดูเขาเดินจากไป

 

 

           ทันทีที่ซือเหยี่ยนไป นัยน์ตาดอกท้อของเจียงมู่เฉินก็ลุกวาวเปล่งประกายเสียเดี๋ยวนั้น ซือเหยี่ยนเลือกเวลาออกไปได้เป็นงานจริงๆ ให้เวลาเขาก่อเหตุพอดี 

ตอนที่ 110 นายเป็นคนของคุณชาย

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “หมายความว่าไง”

 

 

           “นายอย่ามาทำไขสือ เมื่อกี้นายทำสงครามเย็นกับฉันใช่ไหม ฉันจะบอกนายนะซือเหยี่ยน มีอะไรไม่ชอบใจก็บอกกับฉันตรงๆ นายอย่าเก็บเอาไว้ซ่อนเอาไว้เลย”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขา แล้วยกมุมปากขึ้น “คุณอยากให้ผมพูดอะไร”

 

 

           “นายอยากพูดอะไรก็พูดอันนั้นแหละ”

 

 

           “งั้นก็คือ ตอนนี้คุณอยากจะทะเลาะกับผมเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “ใครแม่งไม่มีอะไรทำแล้วอยากทะเลาะกับนาย” เขามาหาเรื่องทะเลาะหรือไง เขามาแก้ปัญหาเคลียร์ใจต่างหาก!

 

 

         “อ่อ” ซือเหยี่ยนเอ่ยรับ เอนพิงโต๊ะมองดูเขา “งั้นคุณก็มาขอโทษเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้ถูกพูดความในใจออกมา หูแดงขึ้นทันที รีบโต้แย้งกลับไป “ฉันจะมาขอโทษอะไรนาย ฉันมีอะไรต้องมาขอโทษนายหรือไง”

 

 

           “งั้นผมก็ไม่มีอะไรอยากจะพูด” ซือเหยี่ยนหันหลังใส่เขา

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองแผ่นหลังของเขา ไฟในใจลุกโชนขึ้นมาในทันใด เขาคุมตัวซือเหยี่ยนไว้ “นายไม่มีอะไรจะพูด แต่ฉันมี”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วมองเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินรั้นจะถลึงตาใส่เขาอย่างเอาแต่ใจ “ซือเหยี่ยน แม่งเอ๊ย นายฟังฉันดีๆ นะ นายเป็นคนของคุณชาย คนของฉัน คนของฉันสนใจใส่ใจได้แค่ฉันเท่านั้น ต่อไปถ้ายังจะให้ฉันรู้อีก หลินเหวินฮุ่ยอะไรนั่น จางเหวินฮุ่ยอะไรนั่น คุณชายอย่างฉันจะลงทัณฑ์นายเดี๋ยวนั้นเลย”

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย จะเป็นแฟนผู้แสนดีอ่อนโยนอะไร เขาเจียงมู่เฉินไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย’

 

 

           แต่เล็กจนโต เขาก็ไม่รู้ว่าคำว่า ‘อ่อนโยน’ สองคำนี้เขียนอย่างไร

 

 

           ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น แล้วมองดูเขา ไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “คำที่ฉันพูดไป นายได้ยินไหม”

 

 

           “อืม ได้ยินแจ่มแจ้งชัดเจน”

 

 

           “นายไม่รู้จักแสดงท่าทีอะไรตอบกลับหรือไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มเบาๆ “ต้องการท่าทีตอบสนอง? ได้แน่นอนอยู่แล้ว”

 

 

           เสียงพูดของเขาเพิ่งจะหยุดลง เจียงมู่เฉินรู้สึกแค่ว่าโดนจับพลิกไปทั้งตัว กว่าจะรู้ตัวเห็นอะไรชัดเจน ตัวเองก็โดนซือเหยี่ยน พลิกจับมากดไว้แล้ว

 

 

           หัวเจียงมู่เฉินชักจะเริ่มชาๆ นี่ซือเหยี่ยนคงจะไม่ได้ยินอะไรไม่เข้าหูจนเตรียมจะใช้ความรุนแรงในครอบครัวหรอกใช่ไหม

 

 

           เขารีบเอามือยันซือเหยี่ยนเอาไว้ “นี่ พูดจากันดีๆ สิ นายอย่าลงไม้ลงมือนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนโน้มตัวเข้าใกล้เขา “เพื่อจะไม่ให้คุณลงทัณฑ์ผม แน่นอนว่าต้องฝากความคิดไว้ที่คุณ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเบิกตากว้างมองเขา คำตอบนี้ต่างกับไม่ตอบอยู่เหรอ

 

 

         “เมื่อเช้าคำที่ผมพูดไปยังรักษาไว้อยู่นะ” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว คิดทบทวนอย่างจริงจัง ว่าเมื่อเช้าพูดอะไรไป ในหัวขีดเส้นคำพูดที่ซือเหยี่ยนพูดอยู่ในห้องน้ำเมื่อเช้านี้

 

 

           แววตาเจียงมู่เฉินเปล่งประกายขึ้นมาชั่วพริบตา เขายกมือขึ้นโอบคอซือเหยี่ยน “จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าฉันควรจะทำตามสัญญาสักหน่อย”

 

 

           ซือเหยี่ยนคลายมือลง เพิ่มระยะห่างเอนพิงโต๊ะครึ่งตัวเล็กน้อย

 

 

           “อืม ผมเตรียมพร้อมแล้ว คุณเริ่มได้เลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินพินิจมองใบหน้าของซือเหยี่ยน ไล่ตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงกล้ามท้องกระชับแน่นของเขา ทันทีที่คิดว่าคืนนี้ตัวเองจะเปลี่ยนมาเป็นรุกได้ เพียงเสี้ยวเวลาอารมณ์ก็มาเป็นระลอกคลื่น

 

 

           เขายื่นมือกดซือเหยี่ยนเอาไว้ “วางใจเถอะ คุณชายจะทำให้นายได้สบายแน่นอน”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น รู้สึกว่าเจียงมู่เฉินในตอนนี้ เหมือนเติ้งถูจื่อ[1]ในสมัยโบราณที่ฉุดหญิงสาวมาขืนใจจริงๆ

 

 

           “ไม่ไปห้องนอน?” ซือเหยี่ยนเอนพิงอยู่ตรงนั้น ยอมให้เขาเล่นลวดลาย

 

 

           ‘ในห้องหนังสือเร้าใจจะตาย จะไปห้องนอนทำไม เปลี่ยนกลับเป็นรุกครั้งแรกต้องหาสถานที่เร้าใจหน่อยไม่ใช่เหรอ’

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบส่ายหัว “อย่าเลย ไปห้องนอนอะไร ฉันว่าห้องหนังสือก็ดีมากนะ”

 

 

           เมื่อคิดภาพซือเหยี่ยนนอนอยู่บนโต๊ะในห้องหนังสือ…เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเตรียมพร้อมที่จะลงมือบุกแล้ว

 

 

           เขาจ้องมองซือเหยี่ยน หน้าผากร้อนผ่าว มือไม้สะเปะสะปะไม่หมด

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินแล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ผมว่า ไม่งั้นผมเองดีกว่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องเขม็ง “นายนอนลงดีๆ อย่าขยับสะเปะสะปะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางดื้อรั้นเอาแต่ใจของเขา แล้วรู้สึกได้ใจขึ้นชั่ววูบ เอนกายนอนไม่สนใจเขา

 

 

           ครึ่งชั่วโมงผ่านไป…

 

 

           เจียงมู่เฉินร้องไห้แล้ว…

 

 

           “แม่งเอ๊ย นายบอกว่าให้ฉันเป็นฝ่ายทำไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ “ผมตกลงจะโดนคุณกดทับไง นี่ไม่ใช่การกดทับในแนวตั้งหรอกเหรอ”

 

 

           …เจียงมู่เฉินในใจขื่นขม ที่เขาบอกว่ากดไม่ใช่กดแบบนี้โอเคไหม

 

 

           ‘แม่งเอ๊ย คุยกันแล้วว่าจะให้ซือเหยี่ยนขยับเอง ตอนนี้กลายเป็นตัวเองขยับเองจนได้ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าการซื้อขายครั้งนี้ไม่คุ้มค่าเป็นที่สุด’

 

 

           ‘แล้วก็นะ ในห้องหนังสือไม่ดีเลยสักนิด’

 

 

 

 

[1] เติ้งถูจื่อ ขุนนางจอมกังฉินที่จักรพรรดิฉู่ตัดสินว่าเป็นคนที่มักมากในกาม ต่อมาในภายหลังเติ้งถู่จื่อจึงกลายเป็นคำสรรพนามใช้เรียกผู้ที่มักมากในกาม

 

 

 

 

ตอนที่ 111 มุขชวนคุยเก่าไปแล้ว

 

 

           เวลาสองทุ่ม ในหลานเยี่ยกำลังเป็นเวลาช่วงคึกคัก ไป๋จิ่งเอนกายพิงพนัก  ดื่มเหล้าฆ่าเวลาไปพลางๆ เขาอยากจะฉวยโอกาสหาความบันเทิงเริงใจสักหน่อยก่อนจะโดนเนรเทศไปแอฟริกา

 

 

           ไม่เช่นนั้นครึ่งเดือนที่เหลือ เขาจะเบื่อจนตายเอาได้

 

 

           ไป๋จิ่งใช้สายตาชอบจับผิดสังเกตมองไปรอบๆ รสนิยมเขาช่างเลือก คนเข้าตาจึงมีน้อยมาก

 

 

           มีเงาสะท้อนจากร่างร่างหนึ่งเดินผ่านเข้ามาในหลานเยี่ย แววตาไป๋จิ่งเปล่งประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ผิวกายขาวผ่อง เรือนร่างเพรียวบาง ดวงตากลมโต ที่สำคัญไปกว่านั้นทั้งร่างเขายังแฝงด้วยความถือตัว เหินห่าง ไม่ไยดีอีกด้วย

 

 

           กระต่ายน้อยหล่นลงมาโลกมนุษย์ ทั้งยังเป็นกระต่ายตัวหนึ่งที่เข้าใกล้ได้ยากเสียด้วย

 

 

           ในใจไป๋จิ่งมีความรู้สึกอยากเอาชนะกระต่ายน้อยเพิ่มขึ้นมาทันทีทันใด

 

 

           กระต่ายน้อยเดินเข้ามาหลานเยี่ยก็ตรงเข้าไปที่เคาน์เตอร์บาร์สั่งเหล้ามาแก้วหนึ่ง เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าด้านข้างดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความเหงาและอ้างว้าง

 

 

           ความคิดของไป๋จิ่งหมุนวนอย่างรวดเร็วในหัว ตัดสินใจคว้าโอกาส ให้ตัวเองและกระต่ายน้อยได้โอกาสบังเอิญพบกัน

 

 

           มั่วไป๋อยู่ที่คอนโดมินียมสักพักหนึ่ง ก็รู้สึกว่าคอนโดมินียมใหญ่โตเช่นนี้เงียบจนน่าตกใจ เขาอยู่ต่อไม่ได้แล้วจึงมาที่หลานเยี่ย

 

 

           เมื่อก่อนเวลาอยู่กับเจียงมู่เฉิน บางครั้งเขาก็จะลากตนมาหลานเยี่ยด้วย แต่เขาชอบความเงียบสงบ น้อยครั้งมากที่เขาจะมาด้วยกันกับเจียงมู่เฉิน

 

 

           ตอนนี้ความเคยชินกลับเปลี่ยนไป เงียบงันเกินไปกลับทำให้เขารู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย

 

 

           มั่วไป๋อยากได้เหล้าแก้วหนึ่ง นั่งอยู่เคาน์เตอร์บาร์ดื่มเหล้าตามสบายตามใจของตัวเอง คิดจะดื่มสักแก้วสองแก้วแล้วค่อยกลับบ้าน

 

 

           เขาตัวคนเดียว นอกจากทำแบบนี้ก็ไม่มีวิธีฆ่าเวลาอย่างอื่นแล้ว

 

 

           ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ด้านหลังเขามีเสียงโต้เถียงกันดังออกมา เสียงนั้นยิ่งเข้าใกล้เขามาเรื่อยๆ มั่วไป๋เพิ่งจะเตรียมตัวหันกลับไปมอง ก็เห็นขวดเหล้าลอยพุ่งมาใส่ตัวเอง

 

 

           จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาเตรียมหลบ แต่ร่างกายกลับถูกฉุดรั้งให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกอบอุ่น

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน อยากต่อต้านอยู่เต็มอก ยื่นมือเตรียมจะผลักอีกคนออกไป

 

 

           “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” เสียงทุ้มต่ำตกกระทบลงข้างหูของมั่วไป๋

 

 

           “ไม่เป็นไร ขอบใจ…” เขาพูดไป พลางเงยหน้าขึ้น ยามเห็นใบหน้าของคนที่กอดเขาไว้แล้วกลับเมินเฉยเสียอย่างนั้น

 

 

           สีหน้าดูถือตัวเหินห่าง เพียงพริบตาเดียวก็ฉายความสับสน เขาใช้มือผลักคนคนนั้นออกห่าง เอ่ยอย่างเย็นชา “ขอบใจ”

 

 

           ไป๋จิ่งจ้องมองดูคนตรงหน้า กว่าจะเป็นวีรบุรุษช่วยคนงามได้ไม่ใช่ง่ายๆ แต่ดูเหมือนจะทำให้อีกคนเกลียดแทนเสียแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งลูบจมูกป้อยๆ หน้าตาท่าทางเขาดูเป็นคนเลวร้ายมากเลยใช่ไหม

 

 

         “ไม่เป็นไร ผมเองก็เห็นพอดี อ้อใช่ คุณเป็นไรไหม”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “ไม่เป็นไรครับ ปกติดีมาก”

 

 

           “ผมชื่อไป๋จิ่ง คุณล่ะ” ไป๋จิ่งเป็นพวกหนังหน้าหนา ถึงแม้จะดูออกว่ามั่วไป๋มีท่าทีค่อนข้างจะต่อต้านเขา แต่ก็ยังแนะนำตัวเองให้เขารู้จักได้อย่างหน้าไม่อาย

 

 

           ‘ไป๋จิ่ง’ สองคำนี้ทำให้สีหน้าของมั่วไป๋ขาวซีดลง ใต้แสงมืดสลัวไม่ค่อยปรากฏให้เห็นชัดเจนเท่าไหร่

 

 

           ข้างหลังยังคงมีเสียงโต้เถียงกันอยู่ เหมือนว่าจะเป็นคู่รักคู่หนึ่งกำลังทะเลาะกัน ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายนั้นมีเสียงพนักงานของหลานเยี่ยปะปนเข้าไปด้วย

 

 

           “มั่วไป๋” เขาเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           ไป๋จิ่งนึกทวนชื่อเขารอบหนึ่ง รู้สึกค่อนข้างคุ้นหู เหมือนกับว่าเคยได้ยินจากที่ไหนสักที่อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           “เมื่อก่อนพวกเราเคยเจอกันหรือเปล่า” ไป๋จิ่งเอ่ยถามไปอย่างไม่ตั้งใจ

 

 

           แววตามั่วไป๋แฝงความตื่นตระหนก แต่ครู่เดียวเขาก็สะกดมันลงไป ยังรักษามาดถือตัวดูห่างเหินไว้เช่นเดิม “เพิ่งเจอกันครั้งแรก”

 

 

           “เหรอครับ” ไป๋จิ่งยกมุมปากขึ้น โปรยเสน่ห์ของตัวเองเล็กน้อย

 

 

           “อืม นายหน้าตาหล่อขนาดนี้ ถ้าฉันเคยเห็นนาย ต้องไม่ลืมนายอยู่แล้ว” มั่วไป๋ตอบแบบขอไปที

 

 

           “ผมช่วยคุณ คุณไม่คิดจะชวนผมดื่มสักแก้วเหรอ” ไป๋จิ่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

           มั่วไป๋หัวเราะ ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุม “คุณไป๋ วิธีชวนคุยของนายแบบนี้ ออกจะโบราณไปหน่อยนะ”

 

 

            รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋จิ่งแข็งค้างขึ้นมา

 

 

           “อีกอย่าง นายแก่ไปหน่อย ไม่เหมาะกับรสนิยมความงามของฉันหรอก”

 

 

           หลังจากมั่วไป๋พูดทิ้งทวนอย่างเย็นชาจบประโยคก็หันหลังเดินออกจากหลานเยี่ยทันที

 

 

           ไป๋จิ่งมองตามแผ่นหลังของเขาไป มุมปากอดกระตุกขึ้นมาไม่ได้ หลายปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่เขาโดนคนว่าแก่!

 

 

           ไป๋จิ่งมองตัวเองที่อยู่ตรงข้ามในกระจก เขาดูแก่มากเลย?

ตอนที่ 108 เนรเทศไปแอฟริกา

 

 

           หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล เจียงมู่เฉินก็เรียกรถนั่งไปหามั่วไป๋ ไฟโกรธที่ลุกโชนยังหาที่ปลดปล่อยไม่ได้ ไปหามั่วไป๋จะได้ระบายอารมณ์พอดี

 

 

           มุ่งหน้ามาจนถึงคอนโดมีเนียมของมั่วไป๋ เจียงมู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูเคาะประตูอยู่นานสองนานก็ไม่มีใครมาเปิด เขาจ้องมองประตูอย่างงงๆ กลางวันนี้มั่วไป๋ไม่อยู่บ้านไปไหนแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินเคาะประตูอีกครั้งก็ยังไม่มีใคร

 

 

           เขาจ้องมองประตูพร้อมจะถอนหายใจอย่างหัวเสีย คราวซวยเคราะห์หามยามร้ายเช่นนี้ โดนซือเหยี่ยนเล่นไม่ซื่อก็ช่างเถอะ ตอนนี้แม้แต่ประตูของมั่วไป๋ยังรังแกเขาอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินสลดใจคุกเข่าอยู่หน้าประตู ราวกับเด็กที่ถูกทอดทิ้งไม่มีผิด เห็นแบบนี้แล้วช่างน่าเวทนาทีเดียว

 

 

           ซือเหยี่ยนผู้ถูกเจียงมู่เฉินทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลโดยไม่ยอมให้ชี้แจงแก้ตัวใด ทั้งสิ้น มือประสานบีบเข้ากันแน่น ก่อนกดมือถือโทรหาไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งกำลังอยู่ในห้องทำงาน รับสายซือเหยี่ยนแล้วรีบเอ่ยถามทันที “ทำไมถึงมีเวลาโทรหาฉันได้ล่ะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนขบกรามแน่น “เรื่องที่ฉันไปโรงพยาบาล นายเป็นคนบอกเหวินฮุ่ยไปใช่ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งหยุดการกระทำในมือลง พยักหน้ารับ “เหวินฮุ่ยโทรหาฉันถามเรื่องนายพอดี ฉันก็เลยบอกเธอไป” เขาได้ยินความเงียบผิดปกติจากปลายสาย รู้สึกมีอะไรไม่ค่อยชอบมาพากล “มีอะไรหรือเปล่า นายไม่ได้ไปโรงพยาบาลดูเธอเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าดำคร่ำเคร่งจนไม่ไหว เขาได้ยินโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาล รู้ว่าวันนี้เจียงมู่เฉินต้องมาโรงพยาบาลตรวจดูอาการอีกรอบ ตั้งใจเลื่อนงานหนึ่งวันเพื่อมาโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเจียงมู่เฉิน สุดท้ายโดนไป๋จิ่งยื่นมือเข้ามายุ่งขนาดนี้ ทำเอาเจียงมู่เฉินโกรธจนไม่ให้เขาพูดอะไรสักคำ แล้วเดินหนีจากไปเลย

 

 

           “โครงการที่แอฟริกานั้น ฉันยังหาคนที่เหมาะสมไปไม่ได้มาตลอด” ซือเหยี่ยนกุมขมับ พูดต่อ

 

 

           “จะกำหนดกันจันทร์หน้าไม่ใช่เหรอ จะพูดเรื่องนี้ตอนนี้ทำไม”

 

 

           “ไม่ต้องถึงจันทร์หน้าหรอก ฉันกำหนดเรียบร้อยแล้ว”

 

 

           “กำหนดเรียบร้อยแล้วเหรอ ใครไป” ไป๋จิ่งยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับไป ทำไมซือเหยี่ยนกำหนดว่าเป็นใครแล้ว เขาถึงยังไม่รู้ล่ะ

 

 

         ซือเหยี่ยนทำหน้าเย็นชา เอ่ยเน้นคำต่อคำ “นายไป!”

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงันไปสักพัก รีบร้องออกไป “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเป็นฉันไปได้”

 

 

           “ไม่มีเรื่องอะไรหรอก จันทร์หน้าไปตรงเวลานะ ฉันจะให้คนช่วยนายจัดการ” พูดจบ ซือเหยี่ยนก็ตัดสายทิ้งทันที

 

 

           ในห้องทำงาน ไป๋จิ่งผู้ถือมือถือค้างไว้ด้วยความงุนงงครุ่นคิดทบทวนอย่างจริงจังว่ามีปัญหาตรงไหนกันแน่

 

 

           เขาฟุบลงกับโต๊ะท่าทางช่างน่าเวทนานัก ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไรกับซือเหยี่ยนเลยนะ ก็แค่บอกหลินเหวินฮุ่ยว่าวันนี้เขาจะมาโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ

 

 

           ‘…เดี๋ยวก่อน เขาทำอะไรผิดพลาดไปใช่ไหม’

 

 

           วันนี้ซือเหยี่ยนไปโรงพยาบาล คงจะไม่ได้ไปหาหลินเหวินฮุ่ยจริงๆ

 

 

           ‘งั้นวันนี้เขาไปโรงพยาบาลทำไม’

 

 

           คำว่า ‘ตามเมีย’ สองคำนี้วาบขึ้นมาในหัวของไป๋จิ่ง เขาอดจะอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาไม่ได้ คงจะไม่ใช่ว่าวันนี้ที่ซือเหยี่ยนไปโรงพยาบาลก็คือไปกับเมียคนนั้นที่เอ่ยออกมาจากปากเขาหรอกใช่ไหม ผลคือเขาบอกหลินเหวินฮุ่ยว่าซือเหยี่ยนไปเยี่ยมเธอ

 

 

           ‘แล้วหลินเหวินฮุ่ยก็โทรหาซือเหยี่ยนแล้ว?’

 

 

           ‘ผลคือทำให้คนคนนั้นในบ้านของซือเหยี่ยนโมโหงั้นเหรอ’

 

 

           ‘ดังนั้น เมื่อไม่ได้ดั่งใจซือเหยี่ยน จึงระบายความแค้นเคืองเอามันมาลงที่เขา? แล้วใช้อำนาจส่วนตัว จัดการส่งเขาไปแอฟริกาเลย?’

 

 

           คำถามวาบขึ้นมาเรียงต่อกันในหัวไป๋จิ่งไม่หยุด เขาฟุบลงกับโต๊ะอยากจะร้องไห้เสียจริง ไม่มีอะไรทำแล้วไปปากมากกับหลินเหวินฮุ่ยทำไม

 

 

           ‘ตอนนี้โดนเนรเทศไปแอฟริกาแล้วสินะ’

 

 

           ‘เขาไม่ชอบจีบหนุ่มน้อยชาวแอฟริกาเท่าไหร่นี่สิ’ …ไป๋จิ่งช้ำใจบ้างแล้ว

 

 

           …

 

 

           มั่วไป๋กลับมาจากข้างนอกก็เห็นหน้าประตูบ้านมีของก้อนหนึ่งวางอยู่ เขาชะงักงันไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าของชิ้นนี้ดูคุ้นตาไม่เบา

 

 

           เขาเดินเข้าไปตีสะกิดเรียกอีกฝ่าย “เจียงมู่เฉิน กลางวันแสกๆ นายมาหาฉันมีอะไร”

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งชันเข่ากอดขาเอาหัวซบลงบนขา มั่วไป๋เห็นท่าทางแบบนั้นของเขาช่างเชิดชูความอ่อนนิ่มของร่างกายเขาได้ทีเดียว

 

 

           เขาเงยหน้ามองมั่วไป๋ด้วยหน้าตาน่าสงสาร “นายไปตายไหนมา ฉันรอนายมาครึ่งชั่วโมงแล้ว”

 

 

           ถ้าไม่ใช่มั่วไป๋ เขาคงจะไม่มาทำตัวเป็นคนโง่รอที่หน้าประตูนานขนาดนี้

 

 

           “ทำไมไม่โทรหาฉัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขาอย่าง “นายรับอยู่เหรอ พี่ชาย”

 

 

           ‘มือถือเขาใกล้จะโทรจนระเบิดแล้วโอเคไหม’

 

 

           มั่วไป๋หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ลูบจมูกเงียบๆ “เหมือนว่าฉันจะลืมเปิดเครื่องเลย”

 

 

           

 

 

       ตอนที่ 109 คุณชายเจียงคนหยุมหยิม

 

 

           เจียงมู่เฉินคร้านจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับอีกฝ่าย เขาเป็นอัมพาตอยู่ตรงนั้น จ้องมองคนตรงหน้า “อย่ามากความเลย เปิดประตูสิ คุณชายรอนายมาค่อนวันแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋รีบเปิดประตู เห็นเจียงมู่เฉินคุกเข่าอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน จึงเลิกคิ้วขึ้น “เข้าไปสิ ยังจะอยู่ที่หน้าประตูทำไม”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบน “เท้าฉันเหน็บกินชาไม่ไหวนี่หน่า”

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจ ส่งมือไปช่วยประคองพยุงเขาขึ้นมา รอให้มานั่งที่โซฟาแล้ว มั่วไป๋ถึงเพิ่งเอ่ยถาม “พูดมาเถอะ เป็นอะไรไปอีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้มั่วไป๋ฟังครบถ้วนทุกประเด็น ไม่ตกหล่นสักคำ แม้กระทั่งเรื่องที่กดซือเหยี่ยนเข้าผนังซักไซ้ไล่เลียงก็เล่าอีกครั้ง

 

 

           หลังจากมั่วไป๋ฟังจนจบ แล้วมองเจียงมู่เฉินอย่างเงียบๆ “ฉันว่านาย คุณชายเจียงเคยจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับคนคนหนึ่งถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

           เจียงมู่เฉินเมื่อก่อนเป็นคนไม่คิดอะไรมากจนเคยตัว ต่อให้ใครมาทุบหัวต่อหน้า ก็จะไม่กะพริบตาดู ตอนนี้กลับคิดเล็กคิดน้อยมากมาย เพราะซือเหยี่ยน มั่วไป๋ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้เลยว่าดีหรือว่าไม่ดี

 

 

           มั่วไป๋พูดจบ เจียงมู่เฉินตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

           จู่ๆ เขาก็รู้ตัว คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะจุกจิกคิดเล็กคิดน้อยกับซือเหยี่ยนไม่ต่างจากผู้หญิงแบบนี้ ไม่ชอบให้ซือเหยี่ยนมองข้ามตัวเอง ไม่ชอบให้ซือเหยี่ยนใกล้ชิดกับหลินเหวินฮุ่ยเกินไป…

 

 

           เพียงชั่วครู่เดียวเจียงมู่เฉินค่อนข้างจะสับสนวุ่นวายในใจแล้ว

 

 

           “อีกอย่าง นายรู้ได้ยังไงว่าซือเหยี่ยนมาโรงพยาบาลก็เพื่อมาหาหลินเหวินฮุ่ย” มั่วไป๋ถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าเขารู้ว่าวันนี้นายจะไปโรงพยาบาล เลยตั้งใจจะอยู่ด้วยกันกับนาย”

 

 

           เจียงมู่เฉินกลอกตาไปมา ไม่หรอกมั้ง ซือเหยี่ยนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะไปโรงพยาบาลเวลาไหน

 

 

         เดี๋ยวก่อน เขานึกขึ้นมาได้กะทันหัน เมื่อคืนตอนรับสายโทรศัพท์จากโรงพยาบาล ซือเหยี่ยนอยู่ในห้องน้ำ เสียงพูดเขาก็ไม่ได้เบาๆ หรือว่าซือเหยี่ยนจะบังเอิญได้ยินเข้า?

 

 

           เจียงมู่เฉินยะเยือกจนเสียวสันหลังวาบ เหงื่อแตกตะลึงค้าง ถ้าซือเหยี่ยนตั้งใจจะอยู่ด้วยกันกับเขาจริงๆ สุดท้ายยังโดนเขาเขวี้ยงทิ้งอยู่โรงพยาบาล…

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ค่อยกล้าจะคิดต่ออีก ยิ่งคิดยิ่งปวดไข่

 

 

           เขาลุกยืนขึ้นจากโซฟากะทันหัน มั่วไป๋ที่มองอยู่ตกใจไปด้วย “เป็นอะไรไปอีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยต่อ “ฉันยังมีธุระอีก ไปก่อนนะ” เสียงพูดเพิ่งจะหยุดลง ตัวคงก็วิ่งออกไปไกลแล้ว

 

 

           มั่วไป๋มองตามแผ่นหลังเขาไป กุมขมับอย่างเสียไม่ได้ เจียงมู่เฉินไปแล้ว เขาถือโอกาสนอนชดเชยเพิ่มเสียเลย กลับมาไม่กี่วัน เขายังเจ็ตแล็กอยู่

 

 

           เจียงมู่เฉินกลับไปที่คฤหาสน์ ซือเหยี่ยนยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะถือแก้วน้ำยกดื่มพอดี เจียงมู่เฉินเห็นซือเหยี่ยนอยู่กับบ้านแบบนี้ จู่ๆ ก็ใจแป้วขึ้นมา

 

 

           เขายิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก เอ่ยถาม “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

           ซือเหยี่ยนวางแก้วลง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “หลังจากที่คุณไป”

 

 

           รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงมู่เฉินชะงักไป ยามนึกถึงตอนที่ตัวเองเดินจากไป ด้วยท่าทางอวดดี ทำเอาใจฝ่อแทบจะเดี๋ยวนั้น

 

 

           “ฉันแวะไปบ้านมั่วไป๋มา” เจียงมู่เฉินบอกอย่างกระอักกระอ่วน

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนรับคำนิ่งๆ ฟังอารมณ์เขาไม่ออกเลย

 

 

           “คือว่า…นายได้กินหรือยัง”

 

 

           ยังคง “อืม” รับคำอยู่แค่นี้

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกของซือเหยี่ยน ชักจะกระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว เขาเป็นแบบนี้ตกลงโกรธหรือไม่โกรธกันแน่

 

 

            เจียงมู่เฉินจนปัญญา เขาทายไม่ถูกอยู่แล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง เห็นเขาไม่มีอะไรจะพูด ก็หมุนตัวเดินขึ้นไปห้องหนังสือ

 

 

           เจียงมู่เฉินร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่กลับละอายใจที่จะพุ่งตัวขึ้นไปกะทันหัน ทำได้เพียงเบิกตามองซือเหยี่ยนที่เดินขึ้นข้างบนไป

 

 

           เจียงมู่เฉินคลุ้มคลั่งอยู่ข้างล่าง อยากจะข่วนผนัง

 

 

           ผ่านไปสิบนาที เจียงมู่เฉินผู้ข่วนผนังหยุดการกระทำของมือลง เขาพ่ายแพ้ต่อนิสัยหยุมหยิมของตัวเองแล้วจริงๆ  

 

 

           สับสนว้าวุ่นใจไปมีอะไรดี ในเมื่อซือเหยี่ยนโกรธแล้ว เขาขึ้นไปทำให้ซือเหยี่ยนหายโกรธอารมณ์ดีขึ้น ก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ

 

 

           เขาคุณชายเจียงใช้ชีวิตมานานหลายปี จะเคยมาสับสนว้าวุ่นใจขนาดนี้เมื่อไหร่กัน

 

 

           คิดถึงตอนแรกๆ เจียงมู่เฉินคนที่ให้คำมั่นหนักแน่นจริงใจว่าจะจีบซือเหยี่ยนคนนั้นไปไหนแล้ว

 

 

           ตัดสินใจดีแล้ว เจียงมู่เฉินมุ่งหน้าขึ้นชั้นสองไป ผลักเปิดประตูห้องหนังสือออก ประตูกระแทกกับผนัง แล้วเด้งคืนกลับมา

 

 

           เจียงมู่เฉินหน้านิ่งผลักประตูกลับไปอีก

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมมือมองดูเขาก่อความวุ่นวายอย่างสงบเงียบ

 

 

           “คือว่า…นายยังโกรธฉันอยู่ใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเดินเข้าไปอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยนเอ่ยถามเขาตรงๆ

ตอนที่ 106 ถือไพ่เหนือกว่าซือเหยี่ยน

 

 

           มั่วไป๋มองเขาแล้วหัวเราะเยาะใส่ “ใครจับกดใครยังไม่แน่นอนล่ะสิ แต่รูปร่างเล็กแบบนี้ของนายอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยนยังไงก็ดูไม่พอหรอก”

 

 

           เจียงมู่เฉินของขึ้นแล้ว เขาดูขวัญอ่อนขนาดนั้นเชียวเหรอ

 

 

           ‘แม้แต่ความเป็นไปได้จะกลับมาเป็นรุกก็ไม่มีเลย?’

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยเน้นคำต่อคำ “เจียงมู่เฉิน คนเราต้องยอมรับความเป็นจริง”

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดทบทวนอย่างจริงจัง ห่อมั่วไป๋ส่งกลับอเมริกาดีไหม จะได้ไม่กลับมาทิ่มแทงบาดแผลเขาอีก

 

 

           ยิ่งมั่วไป๋พูดมาแบบนี้ ในใจเจียงมู่เฉินยิ่งมีไฟคิดแผนการใหญ่แผนกลับมาเป็นรุก

 

 

           เมื่อคืนเป็นเขาเองที่พลาดไม่ระวังจนเสียเมือง

 

 

           แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหลังจากนี้ต้องเสียเมืองทุกครั้ง ไม่ช้าก็เร็วสักวันเขาจะถือไพ่เหนือกว่าซือเหยี่ยนได้

 

 

           …

 

 

           หลังจากที่กลับมาจากบ้านของมั่วไป๋ ซือเหยี่ยนก็กลับมาถึงแล้ว เจียงมู่เฉินปวดเอวจนไม่อยากสนใจเขา พาร่างตัวเองปะทะโซฟาแล้วนอนแน่นิ่ง

 

 

           ซือเหยี่ยนวางโน้ตบุ๊กลง เดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ “เป็นไง ยังไม่สบายเหรอ”

 

 

           ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ดีอยู่แล้ว เอ่ยถึงมาที เพียงพริบตาเดียวไฟแห่งอารมณ์โกรธของเจียงมู่เฉินก็ลุกโชนขึ้น “นายยังมีหน้ามาถามฉัน เมื่อคืนตอนที่ฉันบอกให้หยุด ทำไมนายยังไปต่ออีก”

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไขสือลูบปลายจมูกไปมา “เวลาแบบนั้น หยุดไม่ได้หรอก”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น กัดแขนเขาเข้าไปเต็มๆ เสียเลย ทิ้งรอยฟันใหญ่ๆ ไว้ดูต่างหน้า

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูคนขี้งอนจอมเย่อหยิ่งอย่างขำๆ ไม่ได้รู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ กลับส่งแขนไปให้อีก “คลายโมโหได้หรือยัง ถ้ายังกัดอีกไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นแขนที่เกือบจะถูกกัดจนเลือดจะไหลออกมา จู่ๆ ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมานิดๆ เอามือผลักแขนของเขาออก “ฉันเป็นหมาเหรอ ถึงได้ชอบกัดคนขนาดนั้น”

 

 

           มือใหญ่คลึงเคล้าอยู่บนเอวของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนช่วยเขานวดคลายอย่างเบามือ

 

 

           เจียงมู่เฉินสบายตัวจนทำเสียงฮัมในลำคอไปเรื่อยๆ ตาปรือปรอยเสพสุขอย่างพอใจ

 

 

           ซือเหยี่ยนหวนนึกถึงกฎเหล็กในการเลี้ยงแมวที่ตัวเองตั้งใจอ่านเป็นพิเศษอย่างเงียบๆ ที่แท้ก็เอามาใช้รับมือกับเจียงมู่เฉินได้แบบเดียวกันเลยจริงๆ

 

 

           นวดจนต่อมา เจียงมู่เฉินเริ่มจะง่วงแล้ว เขาพลิกตัวเอาหัวซบอิงแอบร่างกายของซือเหยี่ยน “คุณชายง่วงแล้ว ปรนนิบัติคุณชาย พาคุณชายไปนอนเถอะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่เอ่ยเป็นคำที่สอง เขาอุ้มร่างของเจียงมู่เฉินพาไปยังห้องทันที

 

 

           พาเขาไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำ เดิมทีก็อาบกันดีๆ ปรากฏว่าอาบไปอาบมา บรรยากาศในห้องน้ำก็อ่านไป

 

 

           เจียงมู่เฉินสบายอกสบายใจอยู่ข้างล่าง ซือเหยี่ยนนวดให้เขาทั้งตัว อยู่ในห้องน้ำที่มีไอน้ำอุ่นขนาดนี้ เพียงรู้สึกไร้เรี่ยวแรง

 

 

           ยามซือเหยี่ยนเห็นเขากำลังปรือตาสบายอารมณ์อยู่นั้น ก็ฉวยโอกาสจับกด กินฟาดราบเรียบไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินถูกซือเหยี่ยนอุ้มออกมาจากห้องน้ำ แม้กระทั่งนิ้วมือก็ไม่มีแรงแล้ว เจียงมู่เฉินผู้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้นอนบนเตียงแล้วก็ยังอดจะด่าทอต่อว่าซือเหยี่ยนไม่ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไม่รู้ไม่ชี้มองเขา “คุณบอกว่าให้ผมปรนนิบัติคุณเรื่องหลับนอนไม่ใช่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินแค้นเคืองใจ อยากจะกระโดดเข้าไปกัดเขาให้ตายไปข้าง

 

 

           เขาบอกว่า ‘ปรนนิบัติ’ ใช้กับซือเหยี่ยนแล้วคือการปรนนิบัติกันทางร่างกายถึงขนาดนี้ใช่ไหม

 

 

           …

 

 

           เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นครั้งแรกที่ซือเหยี่ยนไม่ลุกออกไปก่อน เจียงมู่เฉินได้ตื่นเช้าเห็นซือเหยี่ยนที่นอนหลับอยู่ข้างกาย ทันใดนั้นก็รู้สึกเข็ดฟันขึ้นมาหน่อยๆ

 

 

           เขามองดูใบหน้าของคนรู้หน้าไม่รู้ใจอย่างซือเหยี่ยน แล้วอารมณ์ก็ขึ้นกะทันหัน

 

 

           ยกเท้าขึ้นถีบอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด…

 

 

           เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง เจียงมู่เฉินประคองเอวนอนฟุบอยู่บนเตียง

 

 

           ซือเหยี่ยนลืมตาขึ้นมองเจียงมู่เฉินแล้วถอนหายใจ เมื่อครู่ที่โดนถีบไป เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บรู้สึกจั๊กจี้อะไร สุดท้ายเจียงมู่เฉินร้องระงมอยู่ข้างๆ ตัวเอง

 

 

           “ยังเจ็บอยู่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหายใจเจ็บ “โคตรพ่อง นายมาโดนฉันจับกดสองคืนต่อกันดูบ้างสิ นายจะเจ็บไหม!”

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูก ตัดสินใจไม่รับเอาหัวข้อนี้

 

 

           ถึงอย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตกมาเป็นฝ่ายถูกเจียงมู่เฉินจับกดแทนอยู่แล้ว

 

 

           ใช้เวลาอยู่สักพัก เจียงมู่เฉินถึงดิ้นรนตะเกียกตะกายขึ้นมาจากเตียงได้ ซือเหยี่ยนก็อุ้มเขาเข้าห้องน้ำไปนวดอีกครั้ง

 

 

           ทั้งห้องเต็มไปด้วยไอน้ำ เจียงมู่เฉินเอนตัวฟุบหันหลังอยู่ในอ่างอาบน้ำ

 

 

           ซือเหยี่ยนอยู่ข้างหลังช่วยบีบนวดเอวให้เขา เจียงมู่เฉินหรี่ตาลงเอ่ยถาม “เมื่อไหร่นายจะให้ฉันจับนายกดสักที”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ทำไม คุณไม่เจ็บเอวแล้วเหรอ”

 

 

           ‘จับซือเหยี่ยนกดได้ เอวเจ็บก็ช่างปะไร อย่างมากก็แค่ให้ซือเหยี่ยนขยับเองไป’

 

 

           เขารีบพูด “นายตอบฉันก่อน”

 

 

           ซือเหยี่ยนคิดทบทวนสักพัก “คืนนี้เหรอ”

 

 

           

 

 

 ตอนที่ 107 คุณชายเจียงของขึ้น

 

 

           เจียงมู่เฉินกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีทันใด “ได้ งั้นคืนนี้ ถ้านายเล่นลิ้น ฉันเอานายตายแน่”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้น “อืม ไม่เล่นลิ้น”

 

 

           เมื่อคิดว่าคืนนี้จะเปลี่ยนเป็นรุกได้ เจียงมู่เฉินก็อารมณ์ดีขึ้นทันตา แม้กระทั่งรู้สึกว่าซือเหยี่ยนดูหล่อขึ้นกว่าปกตินิดหนึ่ง

 

 

           กินอาหารเช้าแล้ว เจียงมู่เฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมย่องออกไปข้างนอก ซือเหยี่ยนั่งพิงอยู่ตรงนั้นมองเขา เจียงมู่เฉินโดนเขาจ้องแบบนี้ก็เริ่มจะหวั่นไหวบ้างแล้ว

 

 

           “นายเอาแต่จ้องฉันทำไม”

 

 

           “วันนี้ผมหยุดพัก ตั้งใจหยุดพักเป็นพิเศษ” ซือเหยี่ยนเน้นหนักคำว่า ‘ตั้งใจ’ สองคำนี้เป็นพิเศษ

 

 

           มุมปากเจียงมู่เฉินกระตุกขึ้นมา “ฉันทำให้นายตั้งใจเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ มีแฟนไม่รู้จักความโรแมนติกจะทำยังไงดี…

 

 

         “คุณไม่คิดจะอยู่กับผมเหรอ” ซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายพูดเอง

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบลงไปครู่หนึ่ง คิดว่า ในเมื่อซือเหยี่ยนพูดมาแบบนี้แล้ว ถ้าเขาไม่อยู่ด้วย ก็จะไม่ค่อยมีเหตุมีผลเท่าไหร่ใช่ไหมล่ะ

 

 

           “งั้นนายกับฉันด้วยกัน?” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสนอเสียงอ่อน

 

 

           “ได้” ซือเหยี่ยนรีบรับคำทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน รู้สึกว่า ซือเหยี่ยนตอบรับเร็วเกินไปไหม ไม่ลังเลสักหน่อยเหรอ

 

 

           ช่วงเช้าเจียงมู่เฉินต้องไปโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลโทรมาให้เขาไปตรวจดูอาการซ้ำอีกรอบ เดิมเขาคิดว่าหัวตัวเองอาการดีขึ้นมากพอควรแล้ว เหมือนว่าไม่จำเป็นต้องไปด้วยซ้ำ

 

 

           แต่ภายหลังคิดไปคิดมาก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไร จึงตกลงรับปากไป

 

 

           เมื่อขึ้นนั่งอยู่บนรถแล้ว เจียงมู่เฉินเอ่ยถามซือเหยี่ยน “นายรู้ไหมว่าฉันจะไปไหน ถึงมากับฉันแบบนี้”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “แล้วไงล่ะ ผมยังกลัวว่าคุณจะขายผมไปแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินกะพริบตาปริบๆ “ไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ทิ้งหรอก”

 

 

           “วางใจได้ ไม่มีความเป็นไปได้นี้”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “นายไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน” เขาใกล้จะโดนความมั่นหน้ามั่นโหนกของซือเหยี่ยนโจมตีจนแพ้แล้ว

 

 

           “คุณทำไม่ลง” ซือเหยี่ยนออกปากมาก็เป็นสี่คำนี้เลย

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าเจ็ดนิ้ว[1]ของตัวเองโดนซือเหยี่ยนไอ้หมอนั่นบีบไว้แน่น หนีไม่รอดมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

           เขาหันหน้าหนีตัดสินใจไม่ตอบปัญหาหน้าไม่อายนี้ของซือเหยี่ยน

 

 

           ทั้งสองคนมาถึงโรงพยาบาลแล้ว หลังจากตรวจดูอาการเสร็จสรรพ เจียงมู่เฉินอดจะเลิกคิ้วไม่ได้ “นายรู้หรือเปล่าว่าวันนี้ฉันต้องมาโรงพยาบาล”

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูก “ก็เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เอง”

 

 

           เจียงมู่เฉินกดซือเหยี่ยนติดผนัง “นายแม่งวางแผนไว้ล่วงหน้าใช่ไหม รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าฉันต้องไปโรงพยาบาล เลยจงใจไม่ไปบริษัท”

 

 

           เขารู้สึกมาตลอดว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ปกติวันธรรมดาซือเหยี่ยนเวลานี้ต้องไปที่บริษัทแล้ว จู่ๆ ก็มารอเขาอยู่บ้าน ยังอยากอยู่ด้วยกันกับเขาอีก

 

 

           ที่ทำมาตั้งนานคือมีแผนนี่เอง เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “ทำไม อยากจะมาโรงพยาบาลถือโอกาสมาดูแฟนสาวน้อยของนายใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนขยี้ปลายจมูก “ผมไม่ได้คิดจะมาหาเธอ”

 

 

           เสียงพูดเพิ่งจะหยุดลง มือถือของซือเหยี่ยนก็ดังขึ้นมา

 

 

           เจียงมู่เฉินคลายมือลงแล้วเลิกคิ้ว “รับสิ”

 

 

           ซือเหยี่ยนหยิบมือถือออกมา เป็นสายของหลินเหวินฮุ่ยโทรมา เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะอยู่ตรงนั้นมองดูเขาเล่นละคร

 

 

           “พี่ซือเหยี่ยน พี่ถึงโรงพยาบาลแล้วหรือยังคะ” เสียงของหลินเหวินฮุ่ยดังออกมาจากปลายสาย ขมับซือเหยี่ยนกระตุกแล้วกระตุกอีก

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดสายตามองเขา เมื่อก่อนเขาไม่ได้ค้นพบเลยว่าซือเหยี่ยนจะแสดงละครได้ขนาดนี้

 

 

           “ฉันรอมาสักพักก็เห็นว่าพี่ยังไม่มา ก็เลยเป็นห่วงพี่ อยากจะโทรถามพี่หน่อยน่ะค่ะ” หลินเหวินฮุ่ยไม่ได้ให้เวลาซือเหยี่ยนพักหายใจ เธอพูดต่อ

 

 

           ซือเหยี่ยนถือมือถือไว้แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ฉันไม่ได้มาโรงพยาบาล เธอพักผ่อนดีๆ นะ”

 

 

           พูดจบก็วางสายไปทั้งอย่างนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะมองท่าทางของซือเหยี่ยน “ไม่ได้มาโรงพยาบาลเหรอ แล้วที่นายยืนอยู่คือที่ไหนกัน”

 

 

           “ตรวจเสร็จแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ฉันไปก็ได้แล้ว นายอยู่ต่อซะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

           เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้เหวี่ยงเขา “ลงทุนทำมาตั้งขนาดนี้ จะไปกันซะดื้อๆ ไม่เหมาะเท่าไหร่หรอก ฉันใจกว้างพอ ให้อิสระนายนิดหน่อยได้”

 

 

           เขาหันกลับเดินออกไป ไม่ให้ซือเหยี่ยนเลยสักนิด

 

 

 

 

[1] เจ็ดนิ้ว มาจากสำนวนจีนว่า ตีงูต้องตีใหม่แม่นในตำแหน่งที่หลังหัว 7 นิ้วจีน งูถึงจะสยบทันที คนตีงูก็ย่อมพ้นอันตรายอย่างสำเร็จ 

ตอนที่ 104 ผู้ชายต่างเป็นพวกหลอกลวงกัน 

 

 

           เจียงมู่เฉินชักจะหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว “ซือเหยี่ยน พวกเราผู้ชายโตๆ กันแล้วทั้งคู่อย่าพูดต่อล้อต่อเถียงกันไม่หยุดเหมือนผู้หญิงกันจะได้ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนฟังเขาพูดไป พลางเล่นผมเขาไป 

 

 

           “นายอย่าเพิ่งเล่นก่อนได้ไหม” เจียงมู่เฉินปัดมือเขาลง 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง “เธอก็คือน้องสาว ส่วนคุณคือแฟนของผม ระหว่างเธอกับคุณ ผมเลือกคุณ” 

 

 

           สีหน้าเจียงมู่เฉินตกตะลึง เบนสายตาหนีทันทีหลังจากนั้น “ฉัน…ฉันต้องให้นายเลือกหรือไง” 

 

 

           ยามเขาพูดจา ใบหูก็ปรากฏสีแดงระเรื่อโดยไม่ได้ตั้งใจ 

 

 

           ท่าทางเล่นแง่ไม่ยอมรับของอีกฝ่ายอยู่ในสายตาของซือเหยี่ยนทั้งหมด เขาเข้าใกล้เข้าไปงับใบหูที่กำลังแดงขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

           “นายกัดฉันทำไม” 

 

 

           เสียงพูดของเจียงมู่เฉินเพิ่งจะหยุดลง ทั้งตัวก็โดนกกกอดไว้เต็มอก 

 

 

         ทั้งคืนราวกับกำลังจี่ขนมเปี๊ยะไปกับกระทะ ถูกเขาจับพลิกไปพลิกมา สุดท้ายขาท่อนล่างเจียงมู่เฉินเป็นตะคริวกันไปหมด 

 

 

           อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก… 

 

 

           เพราะคำพูดที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรของซือเหยี่ยน ทำใจตัวเองอ่อนยวบ จึงโดนเขาจับกดไปทั้งแบบนี้ 

 

 

           … 

 

 

           เช้าวันรุ่งขึ้น ร่างกายเจียงมู่เฉินปวดระบมไปทั้งตัว แทบอยากจะใช้กำลังจับกดอีกฝ่ายแทน  

 

 

           ‘ไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่มีประสบการณ์’ 

 

 

           ‘แล้วก็ไม่รู้จักจะอ่อนโยนบ้างเลย ผู้ชายต่างเป็นพวกหลอกลวงกันจริงๆ’ 

 

 

           นอนตัวแข็งทื่อราวกับศพอยู่บนเตียงต่อไป เจียงมู่เฉินไม่อยากขยับตัว รู้สึกเหมือนร่างกายถูกฉีกออกแล้วถูกประกอบเข้าไปใหม่ซ้ำใหม่อีกครั้ง 

 

 

           เขานอนไป ก่นด่าสาปแช่งซือเหยี่ยนไป ให้เขาถูกปลดจากตำแหน่งเพราะทำเกินกว่าเหตุจะดีที่สุดเลย 

 

 

         ถึงอย่างไรของตัวเองยังดี ไอ้หมอนั่นแค่นอนหงายก็ได้แล้ว เขารับประกันว่าเขาจะปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ อย่างสบายๆ 

 

 

           นอนต่ออีกสักพัก เจียงมู่เฉินถึงได้ยันกายขึ้นลุกไปอาบน้ำ วันนี้มั่วไป๋กลับมา เขายังต้องรีบไปสนามบินไปรับมั่วไป๋อยู่ 

 

 

           หลังจากเตรียมตัวทุกอย่างเสร็จสรรพ ยามคิดว่าจะออกไปแล้ว เจียงมู่เฉินถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ารถของเขาไม่ได้อยู่ที่บ้านของซือเหยี่ยน คงจะให้เขาเรียกรถไปรับมั่วไป๋ไม่ได้หรอก 

 

 

           เจียงมู่เฉินล้วงหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างเนือยๆ ก่อนต่อสายหาซือเหยี่ยน 

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ในห้องประชุม มือถือที่วางไว้อยู่บนโต๊ะสั่นขึ้นมากะทันหัน ซือเหยี่ยนเห็นชื่อบนหน้าจอก็ยื่นมือหยิบมือถือขึ้นมาทันที 

 

 

           เขาไม่ได้เดินออกไปข้างนอก แต่รับสายโทรศัพท์ในห้องประชุมทั้งแบบนี้เลย 

 

 

           “ซือเหยี่ยน บ้านนายมีรถอะไรสำรองสักคันไหม ฉันต้องไปรับมั่วไป๋” 

 

 

           “ในโรงรถยังมีอยู่อีกคันหนึ่ง” 

 

 

           “อ่อ รู้แล้ว ให้ฉันยืมใช้หน่อยนะ กลับมาแล้วฉันจะคืนนาย” เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยินว่ามีรถ เขาก็หาทางได้แล้ว 

 

 

           “ต้องการให้ผมกลับมา แล้วไปเป็นเพื่อนคุณไหม” เสียงซือเหยี่ยนอ่อนโยนเป็นพิเศษ 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเขาเอ่ยอย่างอ่อนโยนกะทันหันแบบนี้ ก็เริ่มรู้สึกเกรงใจ รีบเอ่ยตอบ “นายจะมาประสมโรงอะไรล่ะ ฉันไปเองก็ได้แล้ว นายทำงานต่อเถอะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “ได้ งั้นก็เดินทางปลอดภัย ระมัดระวังด้วย” 

 

 

           หลังจากวางสายไป คนทั้งห้องประชุมมองซือเหยี่ยนแบบไม่กล้าจะเชื่อหูตัวเอง ค่อนข้างตกใจพอควร 

 

 

           ได้ยินได้ฟังเสียงพูดนี้ น้ำเสียงช่างดูสนิทสนมกันเสียจริง 

 

 

           ‘มีปัญหา ต้องมีปัญหาแน่ๆ’ 

 

 

           ไป๋จิ่งจ้องซือเหยี่ยนเขม็ง อยากจะเห็นร่องรอยเบาะแสอะไรออกมาจากใบหน้าของเขา 

 

 

           ก็เห็นแค่ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย “ประชุมกันต่อ” 

 

 

           คางไป๋จิ่งใกล้จะโดนเขาแช่แข็งจนหักหลุดออกมาแล้ว เปลี่ยนหน้าเร็วเกินไปไหมเพื่อน  

 

 

           เจียงมู่เฉินเข้าไปในโรงรถ ที่แท้ข้างในก็มีรถจากัวร์คันสีดำจอดไว้อยู่คันหนึ่ง เจียงมู่เฉินยืนถอนหายใจอยู่หน้ารถ นี่มันความสง่าอะไรกัน ไม่เหมาะกับเขาเลย 

 

 

           เจียงมู่เฉินส่งข้อความหาซือเหยี่ยนเงียบๆ 

 

 

           มือถือบนโต๊ะสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ซือเหยี่ยนหยิบมือถือขึ้นมาดู [มีตาหามีแววไม่ เชยจริง] 

 

 

           ซือเหยี่ยนขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น แล้วพิมพ์ตอบ [ผมว่าแววตาของผู้ชายยังใช้ได้นะ] 

 

 

           ในห้องประชุมมีกลิ่นอายประหลาด ประธานซือผู้ไร้สีหน้าอารมณ์ไม่เพียงแต่จะประชุดไป เล่นมือถือไป ยังปรากฏรอยยิ้มหวานละมุนอีก… 

 

 

           โลกใบนี้ช่างเข้าใจยากและเหลือเชื่อเกินไปแล้ว… 

 

 

            เจียงมู่เฉินเห็นข้อความที่ซือเหยี่ยนส่งกลับมา มุมปากกระตุกจนอดเชิดขึ้นไม่ได้ 

 

 

           เห็นเขาว่ามาแบบนี้ เขาก็ไม่แยแสเรื่องรถเชยๆ ของซือเหยี่ยนแล้ว เจียงมู่เฉินเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าออกไปสนามบิน        

 

 

 

 

 

ตอนที่ 105 เป็นฝ่ายสารภาพเอง 

 

 

           ในสนามบินเจียงมู่เฉินยืนรออยู่หน้าทางออก ตั้งแต่มั่วไป๋ไปอเมริกา พวกเขาก็ไม่ได้เจอกันมาปีกว่าๆ แล้ว 

 

 

           เขานั่งบนเก้าอี้มองไปที่ทางออกตลอดเวลา กลัวจะตกหล่นไม่ทันเจอมั่วไป๋ 

 

 

           ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอด เจียงมู่เฉินเด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ ยืนรออยู่ตรงนั้น ผ่านไปประมาณสิบนาทีกว่าๆ ยามเจียงมู่เฉินเงยขึ้นมองด้วยความหวัง ในที่สุดก็เห็นมั่วไป๋เดินออกมาจากด้านใน 

 

 

           มั่วไป๋ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาใบเดียว ทั้งเนื้อทั้งตัวดูรัศมีเปล่งประกายดีกว่าตอนแรกๆ ที่จากไปมากทีเดียว 

 

 

           “เจียงมู่เฉิน นายกลายเป็นสภาพแบบนี้ได้ยังไง อกหักแล้วเหรอ” มั่วไป๋เห็นทรงผมเจียงมู่เฉิน ก็ชักจะงุนงงบ้างแล้ว ปลงไม่ตกถึงขนาดทำตัวเองเป็นแบบนี้เลยเหรอ 

 

 

           รอยยิ้มบนริมฝีปากของเจียงมู่เฉินชะงักงันไป เขาหมุนตัวแล้วเดินหน้าไป 

 

 

           มั่วไป๋เองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ถึงยังไงไม่ถึงสามวินาทีไอ้หมอนี่ก็ต้องกลับมา 

 

 

           เป็นไปตามคาด เขายังไม่ทันได้หยุดหัวเราะ เจียงมู่เฉินก็เดินกลับมาถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ทรงผมฉันทรงนี้ดูไม่ได้จริงๆ เหรอ” 

 

 

           มั่วไป๋คิดพิจารณาอย่างจริงจัง “ไม่ใช่ดูไม่ได้ ขี้เหร่จริงๆ ต่างหาก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินห่อเ**่ยวลงชั่วพริบตา เมื่อคืนซือเหยี่ยนยังพูดกับเขาอยู่เลยว่าดูดี ที่แท้กำลังหลอกเขาอยู่นี่เอง 

 

 

           เขาเชิดดวงตาเอ่ยถามอย่างจริงจัง “ไม่งั้นนายเรียกรถกลับไปเองแล้วกัน ฉันมีความรู้สึกไม่ค่อยอยากจะรับนายขึ้นมากะทันหันพอดี” 

 

 

           มั่วไป๋กะพริบดวงตากลมโตของเขาปริบๆ ทำหน้าทำตาน่าสงสารมองไปยังเจียงมู่เฉิน “นายทิ้งฉันลงเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ ส่งมือไปลากกระเป๋าเดินทางของเขามา “ช่างเถอะ ถือว่าคุณชายใจบุญสุนทานช่วยนายครั้งหนึ่งแล้วกัน” 

 

 

           สองคนเดินไปลานจอดรถของสนามบิน มั่วไป๋เห็นรถของเจียงมู่เฉิน แล้วมุมปากอดจะกระตุกไม่ได้ “แค่ปีกว่าๆ ปีเดียวเองที่ฉันไม่ได้เจอนาย รสนิยมนายก็ไม่น่าจะอะไรก็ได้ถึงขนาดนี้ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกกระเป๋าเดินทางยัดใส่ท้ายรถ “จะมากเรื่องอะไรขนาดนั้น” 

 

 

           “นายคงจะไม่อกหัก ได้รับการกระทบกระเทือน จนทำให้รสนิยมมองอะไรสวยๆ งามๆ ของนายเปลี่ยนไปหรอกใช่ไหม” 

 

 

           “มองฉันดีๆ หน่อยได้ไหม รถของซือเหยี่ยน ส่วนทรงผมนี่เป็นอุบัติเหตุ” 

 

 

           ระหว่างเดินทางไป มั่วไป๋สังเกตมองเจียงมู่เฉินพิจารณาอย่างจริงจัง “นายคบกับซือเหยี่ยนแล้วจริงๆ เหรอ” 

 

 

           “อืม จะปลอมได้อีกเหรอ” 

 

 

           “นายเป็นฝ่ายเริ่ม หรือว่าเขา” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยไป พลางลูบจมูกตัวเองป้อยๆ “ครึ่งครึ่งแหละ” 

 

 

           มั่วไป๋จ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อ “จริงเหรอ” 

 

 

           “ก็ได้ ฉันสารภาพเอง ฉันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน” เจียงมู่เฉินคิดถึงเรื่องในคืนนั้น “แต่ว่าซือเหยี่ยนก็ตอบรับตกลงทันทีเลย” 

 

 

           เขารู้สึกว่าต้องไว้หน้าตัวเองบ้างอะไรบ้าง 

 

 

           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น สีหน้าท่าทางมองอีกฝ่ายทะลุปรุโปร่ง 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเวลาอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋เหมือนกับว่าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอยู่อย่างไรอย่างนั้น ในดวงตากลมโตของเขาไม่ต่างจากการเข้าเครื่องเอกซเรย์ มองผ่านอะไรก็มองเห็นชัดเจนละเอียดจนหมด 

 

 

           “ครั้งนี้นายกลับมายังจะกลับไปอีกไหม” 

 

 

           “อยู่ที่นี่สักพักก่อนมั้ง ถ้าอาการดีขึ้นอาจจะไม่ต้องกลับไปแล้ว” 

 

 

           “อาการป่วยยังหนักมากอยู่เหรอ” เจียงมู่เฉินค่อนข้างจะเป็นห่วงเพื่อนคนนี้ของเขาอยู่ไม่เบา 

 

 

           “ไม่เป็นไร ฉันระวังเองได้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองมั่วไป๋ด้วยความกังวล เห็นเขาเอียงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ในใจยิ่งจมดิ่งลง 

 

 

           ถานโจว สำหรับมั่วไป๋แล้ว ไม่ได้มีความทรงจำอะไรดีเท่าไหร่นัก 

 

 

           ตอนแรกที่เขาส่งตัวมั่วไป๋ไปอเมริกา สถานการณ์ของมั่วไป๋แย่ถึงขั้นที่จะทรุดลงเมื่อไหร่ก็ได้ ดีที่หนึ่งปีกว่าๆ มานี้ ได้ผ่านการรักษา จึงดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก 

 

 

           ขับรถมาส่งมั่วไป๋ที่คอนโดมิเนียมเดิมที่เขาอาศัยอยู่ เพราะว่าข้างในไม่ได้มีคนมาอาศัยอยู่เป็นเวลานาน ทำให้ฝุ่นเกาะเต็มไปหมด 

 

 

           เขาไม่ชอบให้ใครมาเคลื่อนย้ายสิ่งของของเขา เจียงมู่เฉินครุ่นคิดตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋ทำความสะอาดคอนโดมิเนียม 

 

 

           ใช้เวลากว่าสองชั่วโมง ห้องในคอนโดมิเนียมถึงได้กลับคืนสภาพเดิม เขานอนหมดแรงเป็นอัมพาตอยู่บนโซฟา พร้อมก่นด่าซือเหยี่ยนขึ้นมาจนได้ 

 

 

           มั่วไป๋เทน้ำใส่แก้วสองใบ ส่งให้เจียงมู่เฉินใบหนึ่ง เจียงมู่เฉินนอนเอื่อยๆ บนโซฟา ไม่ค่อยอยากจะขยับตัวเท่าไหร่นัก 

 

 

           “นี่นายเป็นอะไรไป แค่ทำความสะอาดเองไม่น่าจะถึงเหนื่อยถึงขนาดนี้ไหม” มั่วไป๋มองดูท่าทางของเพื่อนที่เหมือนใกล้จะขาดใจแล้ว 

 

 

           “ฉันปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความต้องการมากเกินไป พอใจยัง” เจียงมู่เฉินฝากความคิดถึงไปหาซือเหยี่ยนด้วยความโมโห  

 

 

           “นี่พวกนายรวดเร็วกันปานนั่งจรวดขนาดนี้แล้วเหรอ” มั่วไป๋เลิกคิ้ว 

 

 

           “มีความรักก็ได้มีกันแล้ว ไม่จับกดกันเลย เสียของเสียหุ่นดีๆ ของซือเหยี่ยนไปเปล่าๆ” 

ตอนที่ 102 จู่ๆ ก็ประทับใจขึ้นมานิดหน่อย

 

 

           ซังจิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ถือแก้วสบายๆ ตามใจตัวเอง ก้มหน้าเอ่ย “แจ่มแจ้งชัดเจน”

 

 

           “ซังจิ่ง เจียงมู่เฉินคนนี้จัดการยากกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้เยอะทีเดียวนะ” เซวียยางเอ่ยเตือน ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึก แต่ตอนนี้ได้มาใกล้ชิดพูดคุยด้วยแบบนี้ เขาคิดว่าเจียงมู่เฉินนั้นจัดการยากทีเดียว

 

 

           “เป็นภารกิจ ยากมากๆ สิ ถึงจะท้าทาย” ซังจิ่งกลับไม่ได้ถือสาอะไรมากมาย

 

 

           “ถึงยังไงฉันก็เตือนนายจากใจนะ ที่เหลือนายดูเองแล้วกันว่าจะจัดการยังไง”

 

 

           “วางใจเถอะ ฉันมีแผนของฉันอยู่”

 

 

           หลังจากเซวียยางวางสายไป เขาก็เอนพิงกายไปกับพนักพิง นิ้วมือลูบแก้วเหล้าเบาๆ ในหัวอดคิดถึงท่าทีของเจียงมู่เฉินเมื่อครู่นี้ไม่ได้

 

 

           ตามนิสัยของเจียงมู่เฉิน คนที่จะทำให้เจียงมู่เฉินวางความเย่อหยิ่งนี้ลงได้ ในใจเขาควรจะแคร์คนคนนั้นมากพอ

 

 

           …

 

 

           กลับมาถึงคฤหาสน์ ซือเหยี่ยนนั่งอยู่กับโน้ตบุ๊กหน้าโต๊ะอาหาร ข้างๆ วางอาหารที่ไม่รู้ว่าทำเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ เจียงมู่เฉินคิดว่าเขายังอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่น่ากลับมาเร็วขนาดนี้

 

 

           “กลับมาแล้วเหรอ” หลังจากซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินก็ยื่นมือไปปิดโน้ตบุ๊กลง

 

 

           “นายมาอยู่นี่ได้ไง” เจียงมู่เฉินไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมาย

 

 

           “ทำไมกลิ่นเหล้าหึ่งทั้งตัวเลย”

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินเดินเข้าไป เพียงชั่วครู่เดียวกลิ่นเหล้าก็โชยออกมา

 

 

           เห็นซือเหยี่ยนที่ทำอาหารรอเขาอยู่ที่บ้าน เจียงมู่เฉินก็เริ่มรู้สึกผิดบ้างแล้ว เขาลูบจมูกตัวเองป้อยๆ “ไปหลานเยี่ยหาเฉิงฉี เลยถือโอกาสดื่มเหล้าไปสองแก้วด้วยน่ะ”

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนกวาดผ่านตั้งแต่ใบหน้าของเขาขึ้นไป เจียงมู่เฉินรีบพูดต่อ “ไม่ได้ไปเต้น”

 

 

           ได้ยินเขาพูดมาแบบนี้ ซือเหยี่ยนอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ “อืม ผมรู้”

 

 

           เจียงมู่เฉินยังสงสัยว่าทำไมเขาถึงรู้ ผลคือตอนเห็นว่าสายตาของซือเหยี่ยนมาหยุดที่บนหัวของเขา เพียงพริบตาเดียวก็ระเบิดลงทันที

 

 

           “นายคิดว่าตอนนี้ฉันน่าเกลียดซะจนถึงไปเต้นก็ไม่มีคนมาดูแล้วใช่ไหม”

 

 

           เขายังเสียขวัญเรื่องทรงผมของตัวเองไม่ทันหายก็โดนซือเหยี่ยนโจมตีมาแบบนี้ โกรธจนปวดตับปวดใจไปหมด

 

 

           ทันทีที่ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินระเบิดลงก็รีบเริ่มเอาน้ำเย็นเขาลูบ เขาเอามือยีหัวเจียงมู่เฉิน ผมสั้นตั้งตรงทิ่มอยู่บนฝ่ามือ รู้สึกคันยุบยิบนิดหน่อย แต่เพียงครู่เดียวก็ติดใจเสียแล้ว

 

 

           “ดูดีกว่าปกติ” ซือเหยี่ยนเข้าใกล้เข้าไปจูบเขา “จะแบบไหนคุณก็ดูดีไปหมดนั่นแหละ”  

 

 

           เจียงมู่เฉินเคืองใจจนขมวดคิ้ว ท่าทีที่ซือเหยี่ยนปลอบใจเขา ทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนกำลังปลอบใจผู้หญิงไม่มีผิด

 

 

           “นายไปให้พ้นเลย” เจียงมู่เฉินผลักเขาออก

 

 

           “กินข้าวแล้วหรือยัง”

 

 

           เจียงมู่เฉินดื่มเหล้าที่หลานเยี่ยจนอิ่ม ยังไม่รู้สึกหิว “ไม่อยากกิน”

 

 

           “กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย”

 

 

           ทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินว่าเขายังไม่กินข้าว เพียงเสี้ยวเวลาก็ใจอ่อนลงแล้ว “ทำไมจนป่านนี้ยังไม่กินข้าวอีก”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเบาๆ “รอคุณ ผมอยากกินข้าวด้วยกันกับคุณ” เขาจูงมือเจียงมู่เฉินมา “อยากกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งตรงข้ามซือเหยี่ยนยอย่างว่าง่าย อยู่เป็นเพื่อนเขากินข้าว ไม่ว่าจะมองซือเหยี่ยนอย่างไร เพียงเพื่อรอเขามาจนถึงตอนนี้ แม้แต่ข้าวก็ยังไม่กิน เจียงมู่เฉินหมดหนทางจะปฏิเสธจริงๆ

 

 

           อาหารบนโต๊ะเย็นไปหมดแล้ว เจียงมู่เฉินเพิ่งจะเตรียมหยิบตะเกียบกินข้าวก็ถูกซือเหยี่ยนห้ามเอาไว้ก่อน

 

 

           “เดี๋ยวก่อน อาหารเย็นหมดแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนหยิบเอาอาหารเข้าไปอุ่นในครัว เจียงมู่เฉินนั่งบนเก้าอี้มองดูซือเหยี่ยนที่อยู่ในครัว ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

           หลายปีมานี้ เขายังไม่เคยได้รับความรู้สึกอบอุ่นนี้จากคนอื่นมาก่อน

 

 

           รอบดวงตาเขารู้สึกอุ่นๆ ร้อนๆ ขึ้นมา เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้าห้องครัวไป สวมกอดซือเหยี่ยนเอาไว้

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่อุ่นอาหารอยู่ หยุดชะงักลง “เป็นไรไป”

 

 

           เจียงมู่เฉินแนบใบหน้าคลอเคลียไปกับแผ่นหลังของซือเหยี่ยน “ไม่มีอะไร จู่ๆ อยากกอดนายขึ้นมาน่ะ”

 

 

           เงียบไม่พูดไม่จากันไม่กี่นาที เจียงมู่เฉินถึงคลายมือออก แล้วเคาะโต๊ะ “เร็วหน่อยสิ ถ้ายังไม่เสร็จ คุณชายจะไม่กินข้าวเป็นเพื่อนนายแล้วนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “รู้แล้ว เดี๋ยวก็ได้แล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งหน้าโต๊ะอาหาร กินคำไม่หมดคำ มองดูซือเหยี่ยนนั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ จึงเอ่ยถาม “ทำไมวันนี้นายถึงกลับมาเร็วได้ ไม่ไปดูน้องเหวินฮุ่ยของนายแล้วหรือไง”

 

 

 

 

ตอนที่ 103 หึงแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนที่กินอาหารค่ำอยู่หยุดชะงักไป เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง

 

 

           เจียงมู่เฉินยักคิ้วใส่เขาโดยไม่หวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางยั่วโมโหของเขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา ท่ามกลางคนที่เขารู้จักมีเพียงเจียงมู่เฉินที่ถามคำถามแบบนี้ได้อย่างหน้าตาเฉยขนาดนี้

 

 

           “ผมไม่ได้ไปโรงพยาบาล” ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ

 

 

           “วันนี้ทั้งวันนายไม่ได้ไปโรงพยาบาลเลยเหรอ” งั้นตั้งแต่เช้าตรู่เขาไปไหนกัน

 

 

           “ที่บริษัทมีประชุมด่วน ตอนจะออกไปคุณยังไม่ตื่น ผมก็เลยไม่ได้เรียกคุณ” ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง “ดังนั้นคุณก็เลยคิดว่าที่ผมไม่บอกคุณก็เพื่อจะไปโรงพยาบาลเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบจมูกไปมา “ฉันจะสนใจนายมากมายขนาดนั้นไปทำไม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย”

 

 

           ซือเหยี่ยนวางตะเกียบที่กินข้าวลง แล้วมองเขาอย่างจริงจัง “เจียงมู่เฉิน”

 

 

           “มีอะไร” จู่ๆ ก็มาเสียงแข็งเรียกเขา ทำเอาเขาสะดุ้งตกใจทีเดียว

 

 

           “คุณหึงแล้วใช่ไหม” แววตาซือเหยี่ยนแฝงรอยยิ้ม

 

 

           “หึง หึงเหรอ นายบ้าไปแล้ว ฉันเจียงมู่เฉินเป็นคนที่จะนึกจะหึงก็หึงหรือไง”

 

 

           “อ๋อ?” ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ไม่ได้เพราะว่าหึงจริงๆ เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินชักจะระเบิดลงแล้ว เขาถลึงตามองซือเหยี่ยน “นายจะกินไม่กิน ไม่กินฉันจะไปแล้วนะ”

 

 

           สำหรับคนรักที่หึงกันชัดๆ แต่กลับค้านหัวชนฝาไม่ยอมรับแบบนี้ ซือเหยี่ยนหยิบตะเกียบกลับมาอย่างขำๆ ตัดสินใจอย่าถามต่อไปเลยดีกว่า ทำให้คนโกรธขึ้นมาจริงๆ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

 

 

           หลังกินอาหารค่ำเสร็จ ซือเหยี่ยนตรงเข้าห้องหนังสือทันที สิบนาทีให้หลังก็มีประชุมกันผ่านทางวิดีโอ

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ได้ไปรบกวนอีกฝ่าย เขาพุ่งตัวเข้าห้องนอนไปอาบน้ำ ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ เจียงมู่เฉินจ้องมองหัวตัวเองแล้วปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

           แค่คิดว่าต้องแบกทรงผมนี้ไปก็ร้อนใจไม่เป็นสุขแล้ว ไม่รู้ว่าผมเขาจะขึ้นเร็วหรือช้า แล้วเมื่อไหร่ถึงจะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้

 

 

           อาบน้ำอย่างรวดเร็วเสร็จสรรพ เจียงมู่เฉินดูเวลา พบว่ายังห่างจากเวลาเข้านอนอยู่มาก เขาเบื่อจึงไปหยิบมือถือมานอนคว่ำเล่นเกมบนเตียง

 

 

           รบราฆ่าฟันจนถึงด่านสุดท้าย ดวงตาจดจ่อจนแดงก่ำ แม้แต่ซือเหยี่ยนเดินเข้ามาก็ยังไม่รู้ตัว

 

 

เจียงมู่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง หัวเกรียนๆ ประจักษ์ตาชัดเจน ทันทีที่ซือเหยี่ยนเห็นหัวทุยๆ ของเขาก็อดที่จะอยากหัวเราะไม่ได้

 

 

           ปิดประตูแล้วเดินเข้าไป เขาโอบกอดอีกคนจากด้านหลัง

 

 

           เจียงมู่เฉินเพิ่งจะเล่นถึงด่านสุดท้าย มาโดนซือเหยี่ยนกอดเข้าให้แบบนี้ เขาสะดุ้งตกใจจนมือสั่น โดนคนอื่นฆ่าในเกมเรียบร้อย

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูตัวเองที่นอนอยู่กับพื้นในเกม อนาถใจตัวเองเหลือเกิน

 

 

           “ซือ! เหยี่ยน!”

 

 

         เขาโยนมือถือลงข้างตัว แล้วพลิกตัวหันมากดไหล่ของซือเหยี่ยนไว้ อยากจะซัดเขาฟาดสักป๊าบใหญ่ๆ

 

 

           “เวลาไหนไม่มา ดันมาเวลานี้” เจียงมู่เฉินโมโหจนเข็ดฟัน “โอ๊ย…อยากจะกัดนายให้ตายจริงๆ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยืดตัวขึ้น ไม่มีความเกรงกลัวเลยสักนิด เขายักคิ้วขึ้นอย่างเรียบเฉย “กัดเถอะ คุณลองดูว่าตรงไหนน่ากัดแล้วกัดได้เลยตามสบาย”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูลำคอเพรียวยาวของเขา แล้วกัดเข้าไปเต็มๆ ทันที

 

 

           “โอ๊ย…คุณเป็นหมาเหรอ” ซือเหยี่ยนเจ็บจนคิ้วขมวด

 

 

           “คราวหน้าถ้านายกล้ามากอดฉันกะทันหันแบบนี้อีก ฉันฟาดนายตายแน่” เจียงมู่เฉินขบกรามอย่างโหดเ**้ยม

 

 

           ใบหน้าซือเหยี่ยนแต้มรอยยิ้ม “งั้นคุณกอดผมก็ได้ เวลาไหนผมก็ให้คุณกอดได้หมด ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ”

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าของเขา รู้สึกว่ารอยยิ้มเขาช่างอวดดีไม่เบา

 

 

           เขาเขยิบตัวมาด้านข้าง วางขาพาดไว้บนขาของซือเหยี่ยนเสียเลย “นายจะไม่ไปดูหลินเหวินฮุ่ยจริงๆ เหรอ เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่เหมาะไม่ควรหรอกมั้ง”

 

 

           “ทำไม เป็นห่วงเธอเหรอ”

 

 

           “ฉันจะไปห่วงเธอทำไม หาเหตุผลที่จะห่วงเธอไม่เจอเลย”

 

 

           “แล้วที่คุณให้ผมไปดูเธอ”

 

 

           “ฉันแค่พูดถึงความมีมนุษยธรรมต่างหาก แค่รู้สึกว่าเธอไม่มีคนดูแลเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความรู้สึกส่วนตัวใดๆ ปนไปด้วย”

 

 

           ซือเหยี่ยนขยับตัวเอียงข้างมามองเขา “วางใจเถอะ ผมหาคนดูแลเธอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผมไป”

 

 

           “แต่ว่า เธอต้องอยากให้นายไปแน่เลย”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นทรงผมสั้นเกรียนของเขาก็อดจะยื่นมือไปลูบไม่ได้ ทิ่มแทงเหมือนนิสัยของเจียงมู่เฉินไม่มีผิด

 

 

           “คุณอยากให้ผมไปเหรอ”

ตอนที่ 100 โดนตะปู

 

 

           ราวกับเฉิงฉีมองเห็นสิ่งของแปลกประหลาดไม่มีผิด สังเกตดูพินิจพิเคราะห์อยู่นานสองนาน เจียงมู่เฉินโดนเขามองแบบนี้รู้สึกว่าหัวตัวเองไม่ต่างจากสินค้าที่ต้องขายอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           “ดูพอหรือยัง”

 

 

           เฉิงฉีกลั้นขำ “อย่าเพิ่งพูดสิ ยังมองไม่อิ่มเลย”

 

 

           “ขี้เหร่ขนาดนั้นจริงๆ เหรอ” ยามเจียงมู่เฉินเอ่ยถามประโยคนี้ออกไป ใจก็เริ่มแป้วแล้ว

 

 

           เฉิงฉีมองเขาอย่างจริงจังแวบหนึ่ง “ก็พอได้มั้ง ก็ขี้เหร่เป็นปกติทั่วไป”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอาหน้าซุกไปกับหมอน ตอนนี้เขาพุ่งตัวกลับไปเอาผมกลับคืนมา ยังทันอยู่ไหม

 

 

           “เกิดอะไรขึ้นกับนายถึงทำท่าทางหมดอาลัยตายอยากแบบนั้น”

 

 

           “ภาพลักษณ์คุณชายสลายไปหมดแล้ว ยังมีอะไรให้ต้องอาลัยอีก”

 

 

           “ที่จริงก็ไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น จริงๆ” เฉิงฉีกล่าวอย่างหนักแน่นและจริงใจ

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง รู้สึกว่าคำพูดรับประกันของอีกฝ่ายไม่มีค่าอะไรให้เชื่อถือได้เลย

 

 

           เขาเป็นทุกข์ได้ไม่นานก็ลืมเรื่องนี้ไป เฉิงฉีจ้องมองเขา “พักนี้นายหายไปไหนมา ตั้งแต่คืนนั้นที่นายออกไปก็ไม่มาให้เห็นหน้าอีกเลย”

 

 

           “อย่าพูดถึงเลย พ่อฉันให้ฉันไปช่วยเขาดูโครงการ เพิ่งจะไปดูงานก็โดนตีหัว เข้าโรงพยาบาล เมื่อวานเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมา”

 

 

           “พ่อนายให้นายไปช่วยงานที่บริษัทแล้วเหรอ” เฉิงฉีค่อนข้างแปลกใจทีเดียว

 

 

           “ก็ไม่ขนาดนั้น แค่ให้ฉันช่วยเขาสอดส่องสักหน่อย ฉันกะว่าอีกสองปีค่อยเข้าบริษัทเต็มตัว ยังไม่อยากรับช่วงต่อในตอนนี้”

 

 

           เฉิงฉีถอนหายใจ “คิดไม่ถึงว่าพ่อนายจะให้นายลงมาดูงานแล้ว ดูท่าว่าไม่ช้าก็เร็วนายจะเลี่ยงไม่ได้แล้ว แต่ว่าก็จริงนะ ตระกูลนายมีนายเป็นลูกชายคนเดียว ไม่ช้าก็เร็วนายก็ต้องรับช่วงต่อเจียงเฉินกรุ๊ปอยู่ดี”

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “ค่อยว่ากันเถอะ”

 

 

           หลังจากที่เฉิงฉีกลับไป เจียงมู่เฉินก็เอนกายบนโซฟามองออกไปนอกหน้าต่าง เรื่องที่เกิดขึ้นมาช่วงนี้เกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกับพ่อหรือเรื่องซือเหยี่ยน

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับใจร้อนรนไม่เป็นสุข

 

 

           เขาพิมพ์ข้อความหามั่วไป๋ คราวก่อนไอ้หมอนั่นบอกว่าจะกลับมา ก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่

 

 

           ส่งข้อความไปตั้งนาน ทางนั้นเพิ่งได้ตอบกลับมา

 

 

           [พรุ่งนี้บ่ายสองถึงถานโจว อย่าลืมมารับฉันด้วย]

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นข้อความนี้ก็เด้งตัวขึ้นมาทันที พรุ่งนี้ก็มาถึงแล้ว คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋จะยังไม่ได้บอกเขา ถ้าเขาไม่ถาม มั่วไป๋จะรอให้ถึงถานโจวก่อนแล้วค่อยบอกเขาใช่ไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบหาข้อมูลเที่ยวบินที่มั่วไป๋ให้เขามาอย่างรวดเร็ว จดจำเวลาในหัวเรียบร้อย แล้วถึงได้กลับไปเอนพิงโซฟา

 

 

           นอนหลับในหลานเยี่ย พอตื่นมาอีกทีท้องฟ้าก็มืดแล้ว เจียงมู่เฉินดูเวลาแล้วพุ่งตรงลงไปชั้นหนึ่ง ในไนต์คลับกำลังเป็นเวลาครึกครื้นกันอยู่พอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินมีเหล่าก๊วนเพื่อนกินอยู่รอบกายมาตลอด คราวนี้เฉิงฉีไม่อยู่หลานเยี่ยจึงเหลือเขาเพียงคนเดียว

 

 

           หาที่เงียบๆ นั่งกับหยิบขวดเหล้าหนึ่งขวดไป เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่เจียงมู่เฉินนั่งกินเหล้าเงียบๆ อยู่ตรงนั้น

 

 

           เซวียยางดื่มเหล้าอยู่หลานเยี่ยมาได้สักพัก กำลังจะเตรียมตัวออกไป ก็เห็นเจียงมู่เฉินนั่งดื่มเหล้าคนเดียวอยู่พอดี เขาชะงักฝีเท้าที่จะเดินออกจากหลานเยี่ยเอาไว้ หันหัวเรือเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย

 

 

           “คุณชายเจียงรู้จักผมไหมครับ” เซวียยางยืนอยู่หน้าโต๊ะ

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนพิงอยู่ตรงนั้น กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง รู้สึกคุ้นๆ หน้าอยู่นิดหน่อย “ไม่รู้จัก”

 

 

           จู่ๆ เซวียยางก็หัวเราะออกมา

 

 

           “คุณเป็นตะปู[1]ตัวแรกที่ผมโดน”

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งยืดตัวตรง รินเทเหล้าตามใจตัวเอง “อืม นายวางใจเถอะ ฉันจะไม่เป็นตัวสุดท้ายหรอก”

 

 

           ‘คุณชายเจียงนี่เย่อหยิ่งสมคำล่ำลือที่เขาได้ยินมาจริงๆ’

 

 

           เซวียยางนั่งลงตรงข้ามเจียงมู่เฉิน เอนกายพิงที่นั่งตามอำเภอใจ เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ฉันเชิญนายแล้วเหรอ”

 

 

           เซวียยางยักไหล่ “เปล่าครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นด้วยความเยือกเย็น “โอ้ รู้ตัวดีนี่”

 

 

           เซวียยางลูบปลายจมูกไปมา “กับคุณชายเจียงไม่จำเป็นต้องแกล้งทำตัวเรียบร้อยหรอกมั้งครับ”

 

 

           “ดื่มกันสักแก้วมั้ย” เจียงมู่เฉินเสนอ

 

 

 

 

[1] โดนตะปู สำนวนจีน เปรียบเปรยว่า ถูกปฏิเสธ ถูกบอกปัด ถูกตอกกลับมาจนหงายหลัง

 

 

 

 

ตอนที่ 101 เป้าหมายคืออะไร

 

 

           “หาได้ยากจริงๆ” เดิมทีเขาคิดจะคุยกับคุณชายเจียงแค่ไม่กี่คำ ไม่คิดว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้นี้จะไม่ไล่เขาไป ยังให้เขาอยู่ดื่มเหล้าด้วยอีก

 

 

           ‘ไม่พูดไม่ได้เลยออกจะเหนือความคาดหมายไปสักหน่อย’

 

 

           เจียงมู่เฉินให้คนไปเอาแก้วมาให้เซวียยาง แล้วยังรินเหล้าให้เขาอีก เซวียยางตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างคาดคิดไม่ถึง “ผมคงจะไม่ใช่คนแรกที่ได้ดื่มเหล้าที่คุณรินให้หรอกใช่ไหมครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินที่กำลังเทเหล้ารินลงแก้วชะงักไป เขาคิดไม่ค่อยจะออก พยักหน้าไปตามใจนึก “คงจะมั้ง”

 

 

           “คุณชายเจียงอารมณ์ไม่ดีเหรอครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง “นายคงจะไม่ใช่พวกชวนคุยปรับทุกข์อะไรหรอกนะ”

 

 

           เพียงครู่เดียวเซวียยางก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณชายเจียงนี่มีอารมณ์ขันไม่เบาเลยนะครับ”

 

 

           “นายเป็นเพื่อนกับซังจิ่งเหรอ”

 

 

           เซวียยางชะงักงันไปครู่หนึ่ง “เอ๊ะ คุณรู้จักผมด้วยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นายคิดจริงๆ เหรอว่าฉันจะมาดื่มเหล้ากับคนที่ฉันไม่รู้จักน่ะ” เขายังไม่ขี้แพ้ถึงขั้นนั้นหรอกนะ

 

 

           “ถ้าแบบนั้น คุณให้ผมมาดื่มเหล้ากับคุณ มีอะไรอยากถามเหรอครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเผยรอยยิ้มแรกของคืนนี้ออกมา “ฉันชอบคุยกับนาย” ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม

 

 

           “ให้ผมทายนะ” เซวียยางมองเขา “เรื่องซังจิ่งเหรอ”

 

 

           “ทำไมเขาถึงตามตอแยฉันไม่เลิกสักที อย่าบอกฉันนะว่าเขาชอบฉันเข้าแล้วจริงๆ น่ะ”

 

 

           เซวียยางเห็นแววตาของเจียงมู่เฉินเปลี่ยนไป เดิมทีเขาคิดว่าคุณชายน้อยผู้นี้มีใบหน้าเป็นที่ปรารถนาของใครต่อใคร ที่เหลืออย่างอื่นไม่ได้มีอะไรน่าดึงดูด

 

 

           เวลานี้มาพินิจดู คุณชายน้อยผู้นี้ไม่ได้เหมือนที่ใครๆ ว่ากัน เป็นเพียงแค่คนที่อยู่ใต้เงาของพ่อแม่ ไม่ได้เรื่องอะไร

 

 

           มีแค่เขาเท่านั้นที่สังเกตเห็นเรื่องนี้ คนธรรมดาทั่วไปมองไม่เห็น

 

 

           “ทำไมถึงไม่เชื่อเขาว่าเขาชอบคุณจริงๆ ล่ะ” เซวียยางค่อนข้างแปลกใจและอยากรู้

 

 

           “คนที่เจอหน้าฉันครั้งแรกแล้วพยายามเข้าใกล้ฉัน จะชอบฉันได้จริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินยังไม่ลืมครั้งแรกที่ได้เจอกับซังจิ่ง ได้เห็นแววตาคุกคามเขาอย่างชัดเจน ไม่มีทางจะเป็นแววตาที่มีต่อคนที่ชอบเด็ดขาด

 

 

           “ดังนั้น เป้าหมายของเขาคืออะไร หรือจะบอกว่าเป้าหมายของพวกนายคืออะไร”

 

 

           เซวียยางเห็นแววตาของเจียงมู่เฉินเริ่มจริงจัง “อ้อ คุณคิดว่าเป้าหมายของเขาจะเป็นอะไรได้ละครับ”

 

 

           “เจียงเฉินกรุ๊ปหรือว่าฉัน” สายตาสุขุมจริงจังของเจียงมู่เฉินจับจ้องมาที่ใบหน้าของเซวียยาง ราวกับอยากจะดูว่าเขาจะแสดงสีหน้าอะไรออกมาบ้าง

 

 

           ในใจเซวียยางบีบรัดยามเขามองมา นาทีนั้นคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะกำมือแน่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           “คุณชายเจียงคิดกังวลมากไปแล้ว บางทีตอนนี้ซังจิ่งอาจจะยังไม่ได้ชอบคุณ แต่ผมกล้ายืนยัน เลยว่าเขาชอบใบหน้าของคุณ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ใบหน้าของฉัน? ในถานโจวนี้คนที่หน้าตาดีกว่าฉันก็มีไม่น้อยหรอกมั้ง”

 

 

           นิ้วมือเซวียยางบีบแก้วเหล้าไว้เบา “แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คุณชายเจียง ไม่ใช่เหรอครับ”

 

 

           คนหน้าตาดีในถานโจวมีอยู่มากก็จริง แต่ไม่มีใครจะมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครเหมือนแบบเจียงมู่เฉินได้ แค่ร่างกายภายนอกใช้ได้จะมีความหมายอะไร

 

 

           เช่นคนเย่อหยิ่งอย่างเจียงมู่เฉิน หากเอาชนะได้คงจะรู้สึกภูมิใจไม่น้อยเลย

 

 

           “ช่วยฉันฝากไปบอกซังจิ่งที ถ้าเขาอยากจะเล่นเกมกับฉัน ฉันเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กล้าเล่น เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะแพ้ใครจะชนะ ยังระบุไม่ได้หรอกนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาเย็นชาเด็ดเดี่ยว

 

 

           เซวียยางหัวเราะ “ได้ครับ จะไม่ตกหล่นสักคำแน่นอน”

 

 

           เจียงมู่เฉินวางแก้วเหล้าลง “สิ่งที่ฉันควรจะพูดก็พูดไปหมดแล้ว คงไม่ได้นั่งดื่มเหล้าเป็นเพื่อนกันกับประธานเซวียต่อ ขอตัวก่อน”

 

 

           เซวียยางยกมุมปากขึ้น “ที่จริงผมกลับอยากจะเป็นเพื่อนกับคุณชายเจียงนะครับ”

 

 

           “บังเอิญน่าดู ฉันไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับนาย” เขาหยุดครู่หนึ่ง “รวมถึงซังจิ่งด้วย”

 

 

           เขาพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากหลานเยี่ย แผ่นหลังแสนเย่อหยิ่งทะนงตัวไม่ต่างจากตัวคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบ เซวียยางยกยิ้มมุมปาก เอ่ยกับมือถือที่เปิดเอาไว้ตลอด “ที่คุยกัน ได้ยินหมดแล้วหรือยัง”

ตอนที่ 98 ไม่มีกะจิตกะใจจะมาโกรธนาย

 

 

           ซือเหยี่ยนคว้ามือเขาเอาไว้ “นอกจากคุณ ผมก็ไม่คิดจะปลอบใจใครหน้าไหนทั้งนั้น”

 

 

           ความเย็นชาในแววตาเจียงมู่เฉินสลายลงบ้างเพียงเล็กน้อย เจียงมู่เฉินตีมึนเชิดคางมองซือเหยี่ยน “ฉันเป็นคนประเภทที่ฟังคำหวานแล้วเชื่อเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนช่วยเขาจัดแจงเสื้อผ้า “อืม งั้นตอนนี้คุณเชื่อผมไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วขึ้น “เชื่อนายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาขำๆ “งั้นก็เชิญคุณชายเจียงทางนี้”

 

 

 

 

           กลางดึก ซือเหยี่ยนรีบขับรถพาเจียงมู่เฉินมุ่งตรงไปที่คอนโดมีเนียมที่หลินเหวินฮุ่ยพักอยู่

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินอย่างทะมัดทะแมงถึงหน้าประตูคอนโดมีเนียมแล้วเคาะประตู

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางดูคล่องแคล่วคุ้นเคยของเขา แล้วเบ้ปากใส่ เห็นทันทีก็รู้ว่าเมื่อก่อนคงจะมาบ่อยครั้งทีเดียว

 

 

           รอสักพักใหญ่ๆ ประตูถึงถูกเปิดออก หลินเหวินฮุ่ยเอามือกุมท้องด้วยความเจ็บปวดจนยืดตัวตรงไม่ได้ “พี่ซือเหยี่ยน จู่ๆ ฉันก็ปวดท้องขึ้นมากะทันหันน่ะค่ะ”

 

 

           เธอเจ็บปวดจนใบหน้าซีดเผือด ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสงสารไม่น้อย

 

 

           “ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล” ไม่พูดต่อเป็นครั้งที่สอง ซือเหยี่ยนก็เข้าไปประคองตัวหลินเหวินฮุ่ยให้เดินออกมาข้างนอก

 

 

           เดินพ้นประตูไป หลินเหวินฮุ่ยถึงเพิ่งเห็นเจียงมู่เฉิน เพียงชั่วพริบตาที่พบหน้าเขา สีหน้าท่าทางของหลินเหวินฮุ่ยดูซับซ้อนทันที

 

 

            ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปวดท้องจนไม่มีแรงจะทักทายเจียงมู่เฉิน หรือเพราะเหตุผลอย่างอื่น เธอไม่พูดอะไรสักคำเอาแต่กุมท้องเอาไว้

 

 

           เจียงมู่เฉินมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง ทั้งสองคนสบตากัน ซือเหยี่ยนถึงได้เอ่ย “ช้าหน่อยนะ”

 

 

           ประคองพาคนเจ็บเข้ารถอย่างปลอดภัย เจียงมู่เฉินมานั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับด้วยตัวเอง ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ข้างๆ ในบางครั้งก็มีเสียงหายใจอย่างยากลำบากแสนทรมานของหลินเหวินฮุ่ยดังขึ้นมา

 

 

           บรรยากาศค่อนข้างแปลกทีเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่าง คิ้วย่นขึ้นเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน ดึกขนาดนี้อยู่เป็นเพื่อนซือเหยี่ยนส่งผู้หญิงไปโรงพยาบาลเนี่ยนะ

 

 

           แม่เขายังไม่ทำอะไรให้แบบนี้เลย

 

 

           แต่ว่าเหตุเกิดขึ้นฉุกเฉินเช่นนี้ เจียงมู่เฉินก็ไม่ได้พูดอะไรเอาแต่เดินตามอยู่ข้างหลัง กว่าจะส่งคนเข้าโรงพยาบาลไม่ใช่ง่ายๆ ทรมานอยู่สักพักถึงเพิ่งได้ถูกส่งตัวเข้าห้องผู้ป่วย

 

 

           ผู้หญิงยามไม่สบายขึ้นมาจะออดอ้อนมากว่าปกติ เธอกอดเกี่ยวมือของซือเหยี่ยนไว้ ไม่ยอมปล่อย ซือเหยี่ยนจะผละออกจากเธอ ไม่สนใจเธอก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำได้แต่อยู่เป็นเพื่อนเธอไม่กี่นาที รอจนเธอหลับแล้วถึงออกมา

 

 

           เจียงมู่เฉินพิงกายอยู่นอกประตู ก้มหัวลงไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           ซือเหยี่ยนก้าวเดินเข้าไปหา จับมือเจียงมู่เฉินเอาไว้ “กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินส่ายหัว ชักมือตัวเองออกมาจากมือของซือเหยี่ยนด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น “ไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อน”

 

 

           ซือเหยี่ยนคว้าตัวเขาเอาไว้ทันที “โกรธเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินฉีกมุมปากขึ้น “ได้ไงล่ะ ฉันจะโกรธอะไรได้เหรอ”

 

 

           “คุณโกรธได้” ซือเหยี่ยนกุมมือของเขาไว้หนักแน่น

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาขำๆ “ต่อให้ฉันโกรธแล้วจะมีความหมายอะไร นายจะผละออกจากเธอ ไม่สนใจเธอได้เหรอ ซือเหยี่ยนดึกจนป่านนี้แล้ว ฉันเหนื่อยมากนะ ไม่มีกะจิตกะใจเรี่ยวแรงอะไรมายุ่งเรื่องนี้กับนายหรอก”

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วมองเจียงมู่เฉิน

 

 

“เอาล่ะ นายก็อยู่ที่นี่ดูแลให้ดีๆ เถอะ ฉันไปนะ”

 

 

ซือเหยี่ยนยังไม่ยอมปล่อยมือ

 

 

เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “นายเป็นบ้าใช่ไหม นายไม่นอนยังจะไม่ให้ฉันนอนอีกหรือไง”

 

 

ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงต่ำ “ไม่ไปหลานเยี่ยเหรอ”

 

 

“ไปหลานเยี่ยน้องสาวนายสิ ฉันไม่มีอารมณ์ ฉันอยากกลับบ้านไปนอน” เจียงมู่เฉินสลัดมือของเขาออก

 

 

“ดูแลหลินเหวินฮุ่ยน้องสาวของนายให้ดีๆ เถอะ อย่ามัวแต่มาหาเรื่องฉัน”

 

 

เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป

 

 

‘นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน กว่าเขาจะออกจากโรงพยาบาลมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เตรียมตัวจะมาสวีทหวานกับซือเหยี่ยนสักหน่อย ตอนนี้ยังมียัยน้องสาว หลินเหวินฮุ่ยป่วยเข้าโรงพยาบาลไปอีก’

 

 

เจียงมู่เฉินอดจะคิดไม่ได้ว่า ช่วงเวลานี้เขามีดวงชงกับโรงพยาบาลหรือเปล่า

 

 

เดินมาจนถึงลานจอดรถ เจียงมู่เฉินเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขานั่งรถซือเหยี่ยนมา ตอนนี้ซือเหยี่ยนอยู่ในโรงพยาบาลเฝ้าไข้หลินเหวินฮุ่ยของเขาอยู่ คงจะไม่ได้นึกถึงเขาเลย

 

 

เจียงมู่เฉินโกรธจนทนไม่ไหว ยกเท้าขึ้นถีบรถของซือเหยี่ยน

 

 

เสียงเท้ากระแทกกับรถดังขึ้น ทันใดนั้นเสียงสัญญาณกันขโมยก็ดังขึ้นตามมา

 

 

เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงสัญญาณกันขโมยเสียงนั้น ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าห้องผู้ป่วย กระชากดึงตัวซือเหยี่ยนขึ้นมาฟาด   

 

 

 

 

ตอนที่ 99 ปลงไม่ตกขนาดนี้

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนเอาเท้าถีบใส่รถอีกครั้งเพื่อระบายไฟโทสะในใจ

 

 

           ถีบเสร็จครั้งนี้ เจียงมู่เฉินเตรียมจะออกไปเรียกรถกลับบ้านนอน ดึกๆ ดื่นๆ ขนาดนี้กลับมาถีบรถอย่างกับคนบ้าไม่มีผิด คุณชายเจียงผู้มีมาดผู้ดีแสนองอาจตั้งใจเปลี่ยนแนวเป็นคนบ้าแล้วจริงๆ

 

 

           “คุณคิดจะถีบรถผมจนพังไปเลยหรือไง” เสียงทุ้มต่ำของซือเหยี่ยนดังมาจากข้างหลัง

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตาไป มองเห็นซือเหยี่ยนยืนอยู่ข้างหลังตัวเอง

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ได้หวาดกลัวเรื่องที่ถีบรถเขา เขามองหน้าหาเรื่องอีกฝ่ายเต็มที่ “ทำไม ฉันถีบนายไม่ไหว มาถีบรถนายไม่ได้หรือไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนขำพร้อมยกยิ้มมุมปากขึ้น “ถีบได้อยู่แล้ว ต่อให้คุณอยากจะถีบผม ผมก็ยอม”

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ฉันฟังคำพูดไร้สาระของนายอยู่ต่างหาก” เขาพูดจบก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป

 

 

           “ดึกขนาดนี้คุณคิดจะกลับยังไง” ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงเรียบๆ

 

 

            “นายสนใจว่าฉันจะกลับยังไง ฉันคุณชายเจียงมีมือมีเท้านะ จะกลับไปเองไม่ได้หรือไง” เจียงมู่เฉินมองอีกฝ่ายอย่างกับคนโง่

 

 

           “ขึ้นรถสิ ผมจะไปส่งคุณ” ซือเหยี่ยนเปิดประตูรถ

 

 

           “ไม่ขึ้น ไม่จำเป็นต้องให้นายมาส่งฉัน” เขากำลังหงุดหงิด หน้าซือเหยี่ยนสักนิดก็ไม่อยากมอง

 

 

           “อย่าดื้อเลย ดึกมากแล้ว ผมจะส่งคุณกลับไปเอง” ซือเหยี่ยนโอ๋เจียงมู่เฉินอย่างอารมณ์ดี

 

 

           “นายกลับไปอยู่เป็นเพื่อนหลินเหวินฮุ่ยเลย ฉันไม่ต้องการนาย”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางดื้อรั้นของเขา ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ผมหาคนมาดูแลเธอแล้ว ผมจะส่งคุณกลับบ้าน”

 

 

           เจียงมู่เฉินตะลึงงัน “นายไปตอนนี้ ไม่เป็นห่วงเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนฉวยโอกาสที่เขายังงุนงง ดันตัวเขาเข้าในรถไป “เทียบกับเธอแล้ว ผมเป็นห่วงคุณมากกว่า”

 

 

           เจียงมู่เฉินที่ขนตั้งตรงพองตัวราวกับแมวยามขู่ศัตรู เพียงพริบตาเดียวก็ถูกลูบขนให้เรียบลงแล้ว นั่งในรถอย่างว่าง่ายให้ซือเหยี่ยนส่งเขากลับบ้าน

 

 

           ระหว่างเดินทาง เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา “ฉันไม่ได้บอกให้นายเมินเธอนะ”

 

 

           เขาโมโหอยู่ก็จริง แต่ว่าถึงยังไงเธอก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ผู้ชายอย่างเขาจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่

 

 

           “ผมมีเพื่อนเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ผมให้เขาช่วยผมดูแลเธอ ไม่เป็นไรหรอก วางใจเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินครุ่นคิดไม่ได้พูดอะไรออกไป สถานการณ์ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีความหมาย ไม่พูดยังจะดีเสียกว่า

 

 

           ขับมาตลอดทางจนถึงหน้าคฤหาสน์ของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินชะงักงัน “ไม่ใช่ว่าจะส่งฉันกลับบ้านหรอกเหรอ ทำไมถึงมาบ้านนายล่ะ”

 

 

           “ที่นี่ก็เป็นบ้านของคุณ ไม่กลับมาที่นี่แล้วคุณจะกลับไปที่ไหน”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ เดินเข้าประตูขึ้นชั้นสองไปอาบน้ำ ซุกตัวใต้ผ้าห่มแล้วนอนหลับไปทั้งอย่างนั้น ทั้งคืนเจอเรื่องวุ่นวายกวนใจขนาดนี้ เขาไม่มีอะไรอยากจะพูดแล้ว

 

 

           เช้าวันต่อมา ซือเหยี่ยนออกไปก่อนแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไปร้านทำผมร้านที่เคยไปเป็นประจำเมื่อก่อน ท้ายทอยถูกโกนผมออกเป็นบริเวณใหญ่ น่าเกลียดจนไปสู้หน้าใครไม่ได้

 

 

           “คุณชายเจียง วันนี้คุณอยากได้ทรงผมแบบไหนครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ได้คิดเอาไว้ “แล้วแต่แล้วกัน นายดูเองเลยว่าจะตัดทรงไหน”

 

 

           “งั้นก็ได้ครับ ผมจะตัดผมคุณให้สั้นขึ้นมาหน่อยแล้วกันนะครับ”

 

 

           สิบนาทีผ่านไป เจียงมู่เฉินดูตัวเองในกระจก หางตากระตุกแล้วกระตุกอีก เขายอมให้ช่างดูว่าจะตัดทรงไหนก็จริง แต่ไม่ได้ให้ตัดตามใจสบายๆ ขนาดนี้

 

 

           ทรงผมเดิมยาวถึงหลังหู โดนตัดมาอยู่บนหูแล้ว คุณชายเจียงหนุ่มเพลย์บอยรูปงามกลายเป็นผู้ชายหัวพระอาทิตย์เปล่งแสง…

 

 

           อารมณ์เจียงมู่เฉินชักจะซับซ้อนขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

           หลังจากจ้องมองทรงผมสั้นของตัวเองแล้วจากไป เจียงมู่เฉินก็มุ่งหน้าไปหลานเยี่ย เจ้าตัวเพิ่งจะเดินเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้รับสายตาตกตะลึงแปลกใจเรียงต่อกันอย่างไม่ขาดสาย

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นสายตาพวกเขามารวมกันอยู่ที่ทรงผมของตัวเอง ก็อดจะถอนใจไม่ได้ ทรงผมทรงนี้ของเขามันน่าเกลียดขนาดนั้นเชียวเหรอ

 

 

           ‘ไม่ได้หรอกมั้ง เขาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ต่อให้โกนผมจนหัวโล้นมา ก็ควรจะเป็นแบบนักบวชหนุ่มรูปงามสิ’

 

 

         เดินเข้าห้องรับรองได้ไม่นาน เฉิงฉีก็เดินตามเข้ามา หลังจากได้มองเจียงมู่เฉินชัดๆ เขาทำหน้างุนงงอยู่ในที

 

 

           “เกิดอะไรขึ้นกับนาย ปลงไม่ตกขนาดนี้เลยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้น

 

 

           “หัวโดนกระแทกจนเอ๋อ”

ตอนที่ 96 คืนนี้ชดเชยให้นาย

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกตัวเอง ถ้าว่าเจียงมู่เฉินเป็นขี้ตาก้อนนี้ ขี้ตาบดบังดวงตาสองข้างของเขาจริงๆ แล้ว

 

 

           อลหม่านกันอยู่พักใหญ่ เจียงมู่เฉินถึงได้ยอมแพ้ที่จะกอบกู้ทรงผมหลังท้ายทอยที่ไม่น่าดูสักเท่าไหร่ของตัวเองคืนมา ซือเหยี่ยนคว้ากระเป๋าเดินทางของเจียงมู่เฉินไว้ในมือ “ไปกัน ผมจะส่งคุณกลับบ้าน”

 

 

           ทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่ากลับบ้านก็รีบพูดขึ้นมาทันใด “ฉันไม่กลับ เห็นหน้าแม่ฉันแล้วอยากอาเจียน”

 

 

           “คุณเห็นน้าเจียงแล้วอยากอาเจียนอะไรกัน ท่านไม่ได้ทำให้คุณอาเจียนสักหน่อย”

 

 

           “ฉันเห็นหน้าแม่ฉันแล้วนึกถึงซุปที่แม่เคี่ยวมาน่ะ…อย่าพูดอีกเลย พูดอีกฉันก็อยากอาเจียนอีก”

 

 

           ซือเหยี่ยนจนปัญญา “งั้นคุณจะไปไหน”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างจริงจัง “นายคิดจะรับฉันไปเลี้ยงสักหน่อยไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “รับมาเลี้ยงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้”

 

 

           “ฉันจ่ายค่าเช่าบ้านได้นะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดไปสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “ขออภัย ผมรับแค่ร่างกาย”

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องมองเขา เอ่ยอย่างเริงร่า “ได้ ร่างกายก็ร่างกาย”

 

 

           ถึงเวลาจะฉวยโอกาสชิงนอนกับซือเหยี่ยนก่อน ถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่จะอยู่บ้านเขาได้ ยังได้นอนกับเจ้าของบ้านอีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวทีเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดหาประโยชน์เข้าข้างตัวเองอยู่ในใจ รู้สึกว่าการซื้อขายนี้ช่างคุ้มค่า ตัวเองเป็นอัจฉริยะในด้านการทำธุรกิจเสียจริง

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินทำหน้าทำตาเจ้าเล่ห์คิดแผนจากในกระจก เขายกยิ้มมุมปากขึ้น แววตาอันลุ่มลึกฉายสะท้อนรอยยิ้มบางๆ

 

 

           ตัวคนก็เป็นฝ่ายมาส่งถึงประตูเอง ครั้งนี้ไม่กินเข้าไปอีกก็ต้องขออภัยปณิธานอันแรงกล้าของเจียงมู่เฉินแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนตัดสินใจว่าคืนนี้จะมาเติมเต็มความปรารถนาของเจียงมู่เฉินให้อิ่มอกอิ่มใจสักหน่อย

 

 

           ระหว่างเดินทางกลับ ทั้งสองคนต่างพากันคิดแผนชั่วร้ายแสนมีเลศนัยกันอยู่ จนรถมาจอดที่หน้าคฤหาสน์ของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินถึงเดินเดินเปิดประตูเข้าบ้านไปอย่างคล่องแคล่ว ทำตัวตามสบายราวกับเป็นบ้านของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางของเจียงมู่เฉินแบบนั้นจึงเลิกคิ้วเงียบๆ

 

 

           ขลุกตัวอยู่บนโซฟาพักหนึ่ง เจียงมู่เฉินชักจะเริ่มเบื่อๆ จึงวิ่งแจ้นอย่างบันเทิงเริงใจไปจนถึงระเบียง เตรียมตัวจะเข้าไปแหย่แกล้งซือเหยี่ยนที่อ่านหนังสืออยู่

 

 

           เมื่อเขาสาวเท้าถึงระเบียงก็ดึงมือของซือเหยี่ยนขึ้นแล้วแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของซือเหยี่ยน

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับตัวไปมาหาท่าที่สบายตัว ทำราวกับซือเหยี่ยนเป็นหมอนพิงหลังไม่มีผิด

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางแสนทะมัดทะแมงของเขาก็อดจะยักคิ้วไม่ได้ เจียงมู่เฉินถอยหลังเอนพิง “นายอ่านหนังสือเถอะ ฉันนอนได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนอดทนอดกลั้นความคิดที่อยากจะเอาหนังสือหนีบความซุกซนอยู่ไม่สุขบนใบหน้าของเจียงมู่เฉิน

 

 

           เขายังคงนอนท่าเดิม ปล่อยให้เจียงมู่เฉินพิงหลังอยู่ตรงนั้น แสงแดดสาดส่องบนระเบียง ช่างผ่อนคลายสบายกาย เดิมทีเจียงมู่เฉินก็แค่พูดไปส่งๆ ใครจะรู้ว่านั่งพิงแบบนี้จะง่วงขึ้นมาได้จริงๆ

 

 

           จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาคลอเคลียแนบชิดอยู่ใต้คางของซือเหยี่ยนพอดี มือซือเหยี่ยนที่จับดูหนังสืออยู่หยุดชะงักไป ก่อนวางหนังสือลงข้างตัว

 

 

           เจียงมู่เฉินยามหลับใหลช่างน่าเอ็นดูว่าง่ายอย่างบอกไม่ถูก ดูไร้พิษภัยเป็นพิเศษ เหมือนกับเด็กอายุสิบกว่าขวบไม่มีผิด

 

 

           ความเย่อหยิ่งอวดดีและมากด้วยเล่ห์กลกับดักของเขาดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อย   

 

 

           ครู่ใหญ่ๆ ซือเหยี่ยนหยิบหนังสือข้างตัวขึ้นมาอีกครั้ง ทำหน้าที่เป็นหมอนอิงเวอร์ชันคนต่อไป พลางอ่านหนังสือไป เวลาทั้งช่วงบ่ายผ่านไปเร็วทีเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้นอนหลับยาวจนถึงตอนค่ำชักจะอยู่ไม่สุขแล้ว

 

 

           ยามกินข้าวก็เอาแต่ปลุกปั่นซือเหยี่ยนไม่เลิก ทำเอาซือเหยี่ยนเกือบจะไม่กินข้าว แล้วไปจัดการอุ้มคนตรงหน้าส่งกลับห้อง แล้วฆ่าหมกห้องเสียแทน

 

 

           อดทนอยู่นานสองนาน ถึงทำให้เจียงมู่เฉินกินข้าวเสร็จได้

 

 

           ซือเหยี่ยนตวัดหางตามองเจียงมู่เฉินที่ยั่วยวนใจคนจนแทบทนไม่ไหวแล้วเส้นเลือดบนหน้าผากกระตุกไม่หยุด ขายาวก้าวเข้าไปหาเจียงมู่เฉินผู้นั่งสบายใจเฉิบบนเก้าอี้ สอดมืออุ้มอีกคนขึ้นมา

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นโอบรอบคอของซือเหยี่ยนแล้วโน้มตัวจูบลงไป

 

 

           ต่างฝ่ายต่างแลกรสจูบอันร้อนแรงรัญจวนใจ ยากจะพรากจากกัน

 

 

           เจียงมู่เฉินแนบชิดริมฝีปากของซือเหยี่ยน เอ่ยเสียงต่ำ “อยากให้ชดเชยให้ไม่ใช่เหรอ คืนนี้ชดเชยให้นายดีไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินในอ้อมกอดยามนี้เป็นร่างปีศาจแสนยั่วเสน่ห์เต็มขั้น ล่อลวงจิตวิญญาณโดยเฉพาะ ชักนำดึงหัวใจทั้งดวงของซือเหยี่ยนให้มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น ซือเหยี่ยนงับเขาไปที พร่ำเสียงแหบพร่าเบาๆ “คุณพูดเองนะ”  

 

 

 

 

ตอนที่ 97 แค่จูบๆ กันสิ

 

 

           เจียงมู่เฉินหลุดขำออกมา “คุณชายเจียงอย่างฉันพูดคำไหนคำนั้น ไม่มีผิดคำสัญญาหรอก”

 

 

           เสียงพูดเจียงมู่เฉินเพิ่งจะหยุดลง ทั้งตัวก็โดนซือเหยี่ยนจับกดลงไป เขายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับก็โดนซือเหยี่ยนจับมือกดไว้อีกจนกระดุกกระดิกไม่ได้ โดนกดจูบลงไปทั้งอย่างนั้น

 

 

           ท่ามกลางริมฝีปากสัมผัสนั้น เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน แรงสักนิดก็ไม่มีแล้ว

 

 

           ยามตกเป็นเบี้ยล่าง เจียงมู่เฉินอดคิดไม่ได้ว่า ตอนเด็กซือเหยี่ยนคนนี้กินอะไรนะ ทำไมตัวเองถึงอ่อนแอกว่า สู้แรงกำลังของเขาไม่ได้เลย

 

 

           “นาย…นาย เดี๋ยวๆ …โอ๊ะ…” ซือเหยี่ยนยามปกติใบหน้านิ่งดูเย็นชา เวลานี้กลับจูบเขาเร่าร้อนเกินจะทน

 

 

           แม้แต่โอกาสจะเปิดปากยังไม่ให้เขาสักนิด

 

 

           คอเสื้อของเสื้อเชิ้ตไม่รู้ว่าถูกดึงออกตั้งแต่เมื่อไหร่ จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็เริ่มจะรู้สึกเหมือนจะงานเข้าแล้ว เดิมทีคิดมาดีแล้วว่าจะเป็นฝ่ายจับกดไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้กลายเป็นโดนซือเหยี่ยนจับกดไปได้

 

 

           โดนซือเหยี่ยนจับกดแบบนี้ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องนี้เลย

 

 

           “นี่…เดี๋ยวก่อนสินาย”

 

 

           “อะไร”

 

 

           “ฉันว่า แค่จูบกันก็ได้แล้วมั้ง” เจียงมู่เฉินหายใจหอบไปพูดไป

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว น้ำเสียงแอบแหบพร่าอย่างบอกไม่ถูก “คุณคิดว่า ห้ามกันได้เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมือร้อนผ่าวรีบสะบัดมือออก “อ้าวเฮ้ย นายนี่มัน…เกินไป” อะไรเกินไปวะ เจียงมู่เฉินตื่นตระหนกจนลืมไปแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนจับเจียงมู่เฉินกดลงไปอีกครั้ง “คุณพูดเองแล้วว่าจะชดเชยให้ผม”

 

 

           สิ้นเสียง ไม่รีรอให้เจียงมู่เฉินได้โต้ตอบอะไร ก็งับริมฝีปากของเขาซ้ำอีก ยามเห็นเสื้อเชิ้ตตัวบางๆ ของตัวเองกำลังจะกลายเป็นเศษผ้า มือถือที่วางข้างๆ ตัวก็ดังขึ้นมากะทันหัน

 

 

           เจียงมู่เฉินแววตาลุกวาว รีบเตะสะกิดเขา “เดี๋ยวก่อนสิ มือถือนายดังแล้ว”

 

 

           “ไม่สน” ซือเหยี่ยนเตรียมพร้อมจะจูบเขาต่อ

 

 

            เสียงเรียกเข้ามือถือดังประท้วงในอากาศไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ ดังต่อเนื่องไม่มีหยุด วนเวียนจนทำให้ซือเหยี่ยนหมดหนทางจะมองข้ามมันไปได้

 

 

           เขาสะกดอารมณ์รุ่มร้อนแสนฮึกเหิมที่อยากจะจับเจียงมู่เฉินกดเอาไว้ ยื่นมือหยิบมือถือ ยามเห็นชื่อปรากฏบนหน้าจอก็ชะงักค้างไป

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องซือเหยี่ยนตาไม่กะพริบ รู้สึกว่าเขาในมาดแบบนี้เซ็กซี่อยู่ไม่เบา

 

 

           “ฮัลโหล เหวินฮุ่ย มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า” ซือเหยี่ยนกดเสียงต่ำเอ่ย

 

 

           ทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินชื่อ ‘หลินเหวินฮุ่ย’ เพียงพริบตาเดียวเสียงในใจก็ดังเตือนขึ้นมา เขายังไม่ลืมเรื่องที่ซือเหยี่ยนตั้งใจเตรียมของขวัญวันเกิดให้เธอเป็นพิเศษเมื่อครั้งก่อน

 

 

           “ตอนนี้เหรอ” ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

           ไม่รู้ว่าปลายสายทางนั้นพูดว่าอะไร เห็นแค่ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “ได้ ฉันรู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้”

 

 

           หลังจากวางสายไป ซือเหยี่ยนยกมือขึ้นติดกระดุมที่ไม่รู้ว่าถูกเจียงมู่เฉินปลดออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           “นายจะไปทำอะไร ไม่คิดจะบอกอะไรฉันหน่อยเหรอ” เจียงมู่เฉินหรี่ตามองเขา

 

 

           “เหวินฮุ่ยปวดท้องขึ้นมากะทันหัน ผมจะไปดูสักหน่อย” ซือเหยี่ยนเอ่ยอธิบายเสียงต่ำ

 

 

           “งั้นนายจะไปตอนนี้เลยเหรอ” ดวงตาดำขลับของเจียงมู่เฉินเย็นชาขึ้นมาฉับพลัน

 

 

           ‘ทิ้งเขาไปกลางดึก แล้วไปหาผู้หญิงที่คิดไม่ซื่อกับเขานี่นะ…’

 

 

           “ข้างกายเธอไม่มีใคร ผมจำเป็นต้องไปดู”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ เขาจัดแจงสวมเสื้อผ้าที่ถูกซือเหยี่ยนปลดออกกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง “โอเค นายไปเถอะ ฉันไม่รบกวนนายแล้ว เวลานี้หลานเยี่ยคงจะคึกคักน่าดู ฉันไปนั่งเล่นที่นั่นก็ใช่ว่าจะไม่ได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดไป พลางเตรียมตัวจะออกไป

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาของเขา ก็ขมวดคิ้วขึ้น ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกตัวเองกระชากหลุดไป เผยให้เห็นผิวกายขาวผ่อง ดูเกียจคร้านมากเป็นพิเศษ

 

 

           เจียงมู่เฉินในสภาพแบบนี้ไปหลานเยี่ย…

 

 

           ซือเหยี่ยนปวดขมับ รีบคว้าตัวอีกคนไว้

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ยังมีธุระอยู่ไม่ใช่เหรอ นายมาจับฉันไว้ทำไม รีบไปสิ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับเอ่ยเสียงต่ำ “คุณไปด้วยกันกับผม”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาขำๆ “ฉันไม่สนใจจะนั่งมองนายกับเธอปลอบใจกันหรอกนะ”

ตอนที่ 94 นายคงจะไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกใช่ไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินกลัวซือเหยี่ยนจะใช้กำลังขู่เข็ญทำมิดีมิร้ายกับเขาจริงๆ ตอนนี้เขาเป็นแค่ผู้ป่วยคนหนึ่ง สู้แรงซือเหยี่ยนไม่ไหวอยู่แล้ว เจียงมู่เฉินรีบยอมยกธงขาว “อย่าเลยนะพี่ชาย ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลทำเรื่องแบบนั้นไม่เหมาะสมหรอก”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ไม่เหมาะสม? ผมว่าออกจะเหมาะสมมากทีเดียว”

 

 

           ถึงคราวที่หางตาของเจียงมู่เฉินจะกระตุกขึ้นบ้างแล้ว ซือเหยี่ยนรสนิยมยิ่งไม่เหมือนใครอยู่ด้วย ไหนจะชอบเล่นในห้องผู้ป่วยอีก คงจะไม่ถึงขนาดอยากให้เขาแสดงสมบทบาทตัวเองหรอกใช่ไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูร่างกายสูงใหญ่นั้นของซือเหยี่ยน แล้วมาดูเรือนร่างเล็กของตัวเอง ถ้าโดนซือเหยี่ยนจัดเข้าไปนี่ ไม่แน่ว่าชีวิตน้อยๆ คงต้องจบลงแค่ตรงนี้

 

 

           “ฉันยังเป็นคนไม่สบายอยู่นะ ไม่เหมาะหรอก”

 

 

           “ไม่เป็นไร คุณแค่นอนเฉยๆ ไม่ต้องขยับ” ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

 

 

           “โอ๊ย จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเจ็บแผลขึ้นมา เจ็บมากๆๆ เจ็บจนสมองฉันจะระเบิดอยู่แล้ว” เขาครวญครางไป พลางมองซือเหยี่ยนไป

 

 

           ซือเหยี่ยนวางนิตยสารในมือลง โน้มตัวมองเจียงมู่เฉินใกล้ๆ “เจ็บขนาดนี้เลยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบพยักหน้า “อืม เจ็บมากๆ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เฉินเฉิน คุณพยักหน้าด้วยแรงขนาดนี้ ถึงเวลาสมองระเบิดออกมา จะยัดกลับเข้าไปไม่ได้นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “……”

 

 

           ‘เป็นเขาที่เปิดตัวไม่ถูกวิธีเหรอ’

 

 

           ‘คนทั่วไปเห็นแฟนตัวเองบาดเจ็บทั้งที ควรจะเป็นใส่ใจห่วงเป็นใยกันไม่ใช่เหรอ ทำไมพอถึงคราวเขาก็เปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้’

 

 

           เฮือก…ตอนนี้เขาจะคืนสินค้ายังทันอยู่ไหม…

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินผู้แข็งเป็นหิน แล้วก้มหัวลงกัดเขาสักคำสองคำ “ขยับชิดในหน่อย จะเตรียมให้ผมนั่งบนเก้าอี้ทั้งคืนเลย?”

 

 

           เจียงมู่เฉินสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก จิตใจยังไม่ทันได้กลับมาจากเรื่องของสมอง แม้แต่ขยับยังไม่กล้าขยับเยอะ กลัวจะเป็นแบบนั้นแบบที่ซือเหยี่ยนว่า สมองจะเด้งออกมา

 

 

           เขาเคลื่อนตัวมาอยู่ข้างๆ เงียบๆ ซือเหยี่ยนผู้มองอีกคนอย่างระมัดระวังก็ชักจะอยากขำแล้ว

 

 

           “ผมล้อเล่น คุณคิดจริงๆ ไปได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “ไม่ๆ ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าด้านหลังตรงหัวฉันมีของไหลออกมาแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนตะลึงค้าง “อะไรนะ”

 

 

           “นายรีบช่วยฉันดูหน่อยสิ” เจียงมู่เฉินคว้ามือของซือเหยี่ยนเอาไว้ ใบหน้าตื่นตระหนก

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงข้างดูท้ายทอยของเขา ที่แท้ผ้าพันแผลแห้งๆ มีรอยเลือดซึมออกมา เลอะแดงกระจายบนผ้าพันแผลสีขาวเรียบร้อยแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนคุมตัวเจียงมู่เฉินผู้อยู่ไม่นิ่งไว้ “ข้างหลังตรงหัวคุณเลือดออกแล้ว เด็กดีอย่าขยับนะ”

 

 

           เขาคุมตัวเจียงมู่เฉินไว้ แล้วยื่นมือไปกดปุ่มเรียกฉุกเฉินข้างๆ ทรมานกันอยู่ครู่ใหญ่ๆ ต้องเย็บแผลตรงท้ายทอยใหม่ให้เจียงมู่เฉินอีกครั้ง ถึงได้ส่งกลับห้องผู้ป่วย

 

 

           กว่าจะผ่านความทรมานนี้ไปก็ปาเข้าไปค่อนคืนแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ “นายว่าคืนนี้ฉันคงจะไม่ทำแผลที่ท้ายทอยฉีกขาดอีกหรอกใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนนอนอยู่ด้านหลังของเจียงมู่เฉิน โอบกอดเขาเอาไว้ “วางใจเถอะ ผมจะดูคุณเอง”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ “นายผล็อยไปกลางดึก ก็ไม่รู้หรอกว่าฉันขยับหรือไม่ขยับ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนหลุดขำ กอดกระชับแขนเขาไว้แน่น “ผมไม่นอน ผมจะดูคุณเอง”

 

 

           “จริงเหรอ”

 

 

           “จริงสิ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบลงสักพัก จึงได้เอ่ยต่อ “ถ้าไม่งั้นนายนอนเถอะ ฉันระวังเองได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนสนุกแล้ว นึกอยากจะยีหัวของเขา แต่ทันทีที่เห็นบริเวณแผลที่เพิ่งจะพันผ้าไป จึงอดทนเอาไว้ก่อน เขาเปลี่ยนมางับหูเจียงมู่เฉินแทน “คุณนอนหลับเถอะ อย่ามากเรื่องเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบลงไปพักหนึ่ง ซือเหยี่ยนคิดว่าเขาหลับไปแล้ว เพิ่งจะเตรียมถอนหายใจ ก็ได้ยินเขาพูดขึ้นมา “นายอยากจะ ‘เล่น’ บนเตียงคนไข้ไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกอดกุมมือของเขาไว้ ชะงักไปครู่หนึ่ง “ใครยังจะอยาก ‘เล่น’ บนเตียงคนไข้กับคุณ”

 

 

           “นายบอกว่าให้ฉันชดเชยให้นาย แล้วยังให้แค่นอนเฉยๆ ไม่ต้องขยับอีกไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกว่าขมับชักจะปวดขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว “คุณหยุดชดเชยผมชั่วคราวก่อน รอคุณหายดีก่อน พวกเราค่อยมาต่อกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากพลิกตัวไปมองซือเหยี่ยน แต่พอจะหันไป ซือเหยี่ยนก็ดันเขากลับไปก่อน เจียงมู่เฉินทำได้แค่หันหลัง ถามซือเหยี่ยนอย่างจริงจัง “ซือเหยี่ยน นายคงจะไม่…ไม่ได้จริงๆ หรอกใช่ไหม”

 

 

           …ซือเหยี่ยนจ้องมองท้ายทอยของเขา คิดทบทวนอย่างจริงจังว่าจะโหดร้ายหน่อยดีไหม ส่งเขาไปเย็บแผลอีกรอบ

 

 

 

 

ตอนที่ 95 ขี้ตาบังตานายแล้ว

 

 

           ยามตื่นมา เจียงมู่เฉินยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม ไม่ขยับเคลื่อนตัวแม้แต่น้อย เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

 

 

           เมื่อก่อนท่านอนเขาก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก

 

 

           ‘หรือว่าเมื่อคืนจิตใต้สำนึกเขาควบคุมตัวเองไว้ ไม่ให้ตัวเองขยับซี้ซั้ว?’

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางปลื้มอกปลื้มใจตัวเองของอีกฝ่าย ก็ขบกรามแน่น เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน เอาแต่ปรับแก้ท่านอนแสนเฮงซวยของเจียงมู่เฉิน

 

 

           แล้วก็ไม่รู้ไปเลียนแบบใครมา ขอแค่มีคนอยู่ข้างๆ ก็พร้อมจะหันมากอดรัดคนคนนั้นเสมอ

 

 

           พักฟื้นอยู่โรงพยาบาลอยู่หลายวัน นอกจากซือเหยี่ยนแล้ว ยังมีคุณแม่เจียงที่มารายงานตัวทั้งวัน เสิร์ฟซุปให้แต่เช้าจรดเย็น เจียงมู่เฉินผู้เป็นคนกิน เห็นหน้าคุณแม่เจียงทีไรก็อยากอาเจียน

 

 

           เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จะตายเพราะบาดเจ็บ แต่จะตายเพราะแม่ตัวเองนี่แหละ

 

 

           ระหว่างนั้นซังจิ่งก็มาอยู่สองครั้ง เป็นช่วงที่ซือเหยี่ยนไม่อยู่ทั้งนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ได้ชอบหน้าซังจิ่งเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ถึงอย่างไรคนเขาก็เต็มใจช่วยมีน้ำใจให้ เจียงมู่เฉินจะทำหน้าเย็นชาใส่ตลอดก็ไม่ค่อยดีนัก

 

 

           อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตัวเองคือคนที่ต้องทำงานร่วมกัน ทำให้ความสัมพันธ์แข็งกระด้างเกินไปก็น่าเบื่อไปหน่อย

 

 

           ด้วยเหตุนี้เจียงมู่เฉินจึงตัดสินใจเป็นมิตรกับซังจิ่งขึ้นมานิดหนึ่ง

 

 

           “เรื่องอุบัติเหตุวันนั้น ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว หน่วยงานก่อสร้างจะรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้น ต่อไปเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ ถึงแม้ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้จะไม่ได้รุนแรงเกินไป แต่ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าครั้งหน้าจะโชคดีขนาดนี้หรือเปล่า จัดการความปลอดภัยพื้นฐานตั้งแต่ต้นให้ดี ดีกว่ามาเสี่ยงดวงเป็นไหนๆ

 

 

           “เรื่องของหลินไห่ต้องรบกวนประธานซังชั่วคราวไปก่อน รอแผลฉันหายดี ฉันถึงจะสอดส่องดูงานได้ตามปกติ”

 

 

           ซังจิ่งยิ้มร่า “ระหว่างพวกเราจะมาพูดรบกวนอะไรกัน คุณบาดเจ็บอยู่ ผมต้องใส่ใจงานมากขึ้นก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

           ซังจิ่งพูดต่อ “พวกเราต่างก็เป็นผู้รับชอบของโครงการนี้ ไม่มีใครอยากให้โครงการเกิดปัญหา ไม่ใช่เหรอ”

 

 

           “งั้นก็รบกวนประธานซังช่วยดูงานหน่อยแล้วกัน”

 

 

           ซังจิ่งอยู่ต่อได้ไม่นาน สักพักหนึ่งก็ถูกโทรศัพท์เรียกตัวกลับไป เจียงมู่เฉินย่นคิ้ว คิดใคร่ครวญตกลงแล้วซังจิ่งมีจุดประสงค์อะไรกันแน่

 

 

           ‘บริษัทของเขาเองก็ไปได้ดี ไม่ถึงขนาดต้องมาเพ่งเล็งเจียงเฉินกรุ๊ปด้วยซ้ำ’

 

 

            ‘ถ้าไม่ได้เพ่งเล็งเจียงเฉินกรุ๊ป แล้วเพ่งเล็งอะไร’

 

 

           ‘หรือว่าเขาจะเพ่งเล็งตัวเอง?’

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดถึงตอนที่เจอซังจิ่งครั้งแรก ยามซังจิ่งเผยความรู้สึกอยากคุกคามเขาออกมา จนถึงความเป็นห่วงเป็นใยจนผิดปกติในตอนนี้

 

 

           ถ้าพูดถึงเมื่อก่อนยังคิดว่าท่าทางที่ซังจิ่งพยายามเข้าใกล้ตัวเองดูแปลกๆ ชอบกล มาตอนนี้ก็คิดตกทุกอย่างได้แล้ว

 

 

           ‘เพราะว่าเขาเล็งตัวเองไว้ ถึงได้เป็นฝ่ายเข้าหาตัวเองแบบนี้’

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเข้าเล็กน้อย ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าจะทำอย่างไรถึงจะสลัดเผือกร้อนลวกมืออย่างซังจิ่งทิ้งไปได้

 

 

           หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในที่สุดแผลตรงท้ายทอยก็หายดี

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูท้ายทอยที่ตัดไหมออกแล้ว เพราะว่าต้องเย็บแผล ทำให้ต้องโกนผมออกเป็นบริเวณใหญ่ ดูแล้วน่าเกลียดจนน่าตกใจทีเดียว

 

 

           คิ้วผูกเป็นปมเบาๆ รู้สึกว่าแบบนี้ทำร้ายใบหน้าได้รูปงดงามของตัวเองไม่เบา

 

 

           จ้องมองดูตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ๆ เจียงมู่เฉินคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง จะต้องซื้อวิกผมปลอมมาใส่ไหม

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินเข้าประตูมา ก็เห็นเขาคิ้วขมวดยืนอยู่ตรงนั้น ขายาวเดินเข้าไป สวมกอดเจียงมู่เฉินตามสบายอย่างที่เคยชิน

 

 

           “คุณยืนส่องอะไรอยู่”

 

 

           “นายว่าฉันต้องซื้อวิกผมปลอมมาใส่ไหม ทรงผมนี้น่าเกลียดเกินไปแล้ว”

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนจดจ้องที่ท้ายทอยของเจียงมู่เฉิน สังเกตดูพิจารณาโดยละเอียด พูดถึงความสวยอะไรไม่ได้เลย แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ให้เขาเผ่นออกไปเต้นยั่วเสน่ห์เซ็กซี่อะไรที่หลานเยี่ยอีก

 

 

           เขาเข้าใกล้เข้าไปจูบตรงแผลที่ท้ายทอยของเจียงมู่เฉิน “ผมรู้สึกว่าดูดีมากเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบยื่นมือผลักเขาออก “ซือเหยี่ยน ขี้ตาบังตานายใช่ไหม น่าเกลียดขนาดนี้ นายยังมาทำเป็นพูดว่าดูดีอีก”

ตอนที่ 92 ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการแล้ว

 

 

“ผมอยู่ที่บริษัทของคุณอาพอดี ได้ยินข่าวว่าคุณได้รับบาดเจ็บ ก็เลยมาด้วยกัน” ซือเหยี่ยนเอ่ยอธิบายเสียงเรียบ

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอีกฝ่าย ก็ชักจะหงุดหงิดใจหน่อยๆ แล้ว เขายังเป็นที่รักของซือเหยี่ยนอยู่ไหม เขาบาดเจ็บแบบนี้แล้วยังไม่รู้จักเป็นห่วงเป็นใยเขาบ้าง

 

 

“หึ” เจียงมู่เฉินอดจะทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจออกมาไม่ได้ หลับตาลงก็เอะอะโวยวายทันที “ผมง่วงแล้วอยากนอน”

 

 

คุณแม่เจียงได้ยินก็รีบเอ่ยทันใด “ได้จ๊ะ ได้จ๊ะ ลูกพักผ่อนดีๆ นะ”

 

 

เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยินความเงียบงันในห้องผู้ป่วย เสียงประตูที่ถูกปิดลง เจียงมู่เฉินโมโหจนปวดใจ เขาก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่าซือเหยี่ยนจะไม่แม้แต่จะหันมองเขา เดินออกไปเฉยเลย

 

 

เขาโกรธจนปิดตาสองข้างลง แล้วนอนหลับลงไปทั้งอย่างนั้น

 

 

นอกห้องผู้ป่วย หลังจากคุณพ่อเจียงและคุณแม่เจียงเอ่ยกันไม่กี่คำ ก็ออกจากโรงพยาบาลไป

 

 

ซือเหยี่ยนกับซังจิ่งยืนอยู่ประตูห้องผู้ป่วย ทั้งสองคนมองสังเกตกันและกันแวบหนึ่ง

 

 

ซังจิ่งเห็นซือเหยี่ยนผู้ยืนตันอยู่หน้าประตู เขายิ้มแล้วเอ่ยถาม “ประธานซือไม่คิดจะออกไปเหรอครับ”

 

 

ซือเหยี่ยนย้อนถาม “ประธานซังล่ะครับ”

 

 

“ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้วก็ออกไปได้”

 

 

ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณที่ประธานซังพาเจียงมู่เฉินมาส่งโรงพยาบาลนะครับ”

 

 

ซังจิ่งเลิกคิ้ว “ไม่ทราบว่าประธานซือยืนอยู่ในฐานะอะไรถึงพูดประโยคนี้กับผม”

 

 

“ประธานซังควรจะรู้ว่าผมยืนอยู่ในฐานะอะไรนะครับ”

 

 

“อ้อ ดูท่าว่าผมจะเป็นเพื่อนกับประธานซือไม่ได้แล้วล่ะ”

 

 

ซือเหยี่ยนมองคนตรงหน้า “เป็นธรรมดา เดิมทีผมเองก็ไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับประธานซังอยู่แล้ว” เขากวาดสายตามองซังจิ่งแวบเดียว “เฉินเฉินของผมไม่สบาย ผมไม่ส่งประธานซังนะครับ”

 

 

เขาหมุนตัวหันกลับดึงประตูห้องเปิดออกแล้วเดินเข้าไป ซังจิ่งมองตามแผ่นของซือเหยี่ยนไป แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น

 

 

‘เฉินเฉินของผม…’

 

 

‘เรียกกันสนิทขนาดนี้ ไม่รู้เลยว่าจะเรียกได้อีกนานเท่าไหร่’

 

 

คบกันแล้วยังไง ในโลกนี้ไม่มีมุมกำแพงไหนที่ขุดแล้วจะไม่ล้ม ขอเพียงแค่เขาขุดดีๆ ไม่ช้าก็เร็วสักวันก็ต้องพลิกคว่ำลง

 

 

เพียงแต่ว่า เดิมทีเขาคิดว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองมีแค่เจียงมู่เฉิน ที่ไหนได้ตอนนี้ยังมีซือเหยี่ยนมาเพิ่มอีกคน

 

 

ถึงแม้ว่าระดับความยากจะเพิ่มขึ้นมาก

 

 

แต่เขาคนนี้เป็นคนชอบความท้าทายเสียด้วยสิ

 

 

 …

 

 

ซือเหยี่ยนเปิดประตูเข้ามาก็เห็นเจียงมู่เฉินนอนหน้านิ่วคิ้วขมวด เขานั่งลงข้างๆ มองดูท้ายทอยที่ได้รับบาดเจ็บของคนที่นอนอยู่แล้วถอนหายใจเบาๆ

 

 

เจียงมู่เฉินไม่เคยทำให้เขาสบายใจได้จริงๆ ไม่ระวังนิดระวังหน่อยก็ทำตัวเองบาดเจ็บแล้ว

 

 

เขาเอามือลูบหว่างคิ้วของเจียงมู่เฉิน แล้วนวดคลึงเบาๆ รอจนคิ้วอีกฝ่ายคลายปมลง ถึงได้ลดมือลง

 

 

เขานั่งพิงอยู่ตรงนั้นมองดูเจียงมู่เฉิน แล้วนึกเรื่องของซังจิ่งเมื่อครู่นี้ขึ้นมา

 

 

ซังจิ่งประกาศตัวชัดเจนว่าต้องการเปิดศึกสงครามกับเขาอย่างเป็นทางการ ไม่ปกปิดจุดประสงค์ที่มีต่อเจียงมู่เฉินเลยแม้แต่น้อย

 

 

เขาถอนหายใจเบาๆ ก้มหน้าลงงับเจียงมู่เฉินเข้าสักทีสองที

 

 

 ‘ไอ้นิสัยขี้อ่อยแบบนี้ เมื่อไหร่จะลดๆ ลงได้บ้างนะ’

 

 

เวลาพลบค่ำ ในที่สุดเจียงมู่เฉินผู้หลับใหลก็ตื่นขึ้นมาเสียที ในห้องเงียบสงัด ไม่มีใครสักคน เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองอนาถอยู่ไม่น้อย

 

 

คนบาดเจ็บทั้งคนกลับไม่มีแม้แต่คนดูแลสักคนอยู่ข้างกาย ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นไม่อยู่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้แม้กระทั่งพ่อแม่ก็ไม่สนใจเขาแล้ว

 

 

ทันใดนั้นเจียงมู่เฉินก็เห็นภาพตัวเองถูกไล่ออกจากบ้านลอยขึ้นมา

 

 

ประตูมีการเคลื่อนไหวเบาๆ เจียงมู่เฉินมองไปเห็นซือเหยี่ยนกำลังเข้ามาพอดี เขาชะงักไป ประหลาดใจทีเดียว

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นเขาตื่นแล้วจึงเอ่ยปากถาม “ตื่นแล้วเหรอ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

 

 

เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าของซือเหยี่ยนแล้วหันหน้าหนีไม่มองอีกฝ่าย

 

 

ความดูแคลนและไม่ใส่ใจของเขา เจียงมู่เฉินจำได้หมด ตอนนี้ยังจะมาทำเป็นคนดีต่อหน้าเขาอีก

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางโกรธฮึดฮัดของเขา ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “คุณนอนท่านั้น ไม่เจ็บหัวเหรอ”

 

 

“เจ็บจะตายยังไงก็ไม่ต้องให้นายมายุ่ง!”

 

 

‘เขายังรู้จักใส่ใจมาถามว่าตัวเองเจ็บอยู่หรือเปล่า’ เขายังคิดว่าถ้าตัวเองตายไป ไม่แน่ว่าซือเหยี่ยนคงจะทำหน้าเย็นชาไปปักธูปให้เขาแล้วก็จากไปแบบนั้นเลยก็ได้

 

 

เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น รู้สึกว่าคนที่ตกหลุมรักก่อนเป็นฝ่ายผิด ไม่ยุติธรรม ทั้งที่เขากระวนกระวายใจเป็นห่วงซือเหยี่ยน แต่ซือเหยี่ยนกลับไม่ใส่ใจเขาเลยสักนิด

 

 

 

 

ตอนที่ 93 ‘เล่น’ ห้องผู้ป่วย

 

 

         “เป็นไรไป ยังโกรธอยู่เหรอ” ซือเหยี่ยนโน้มตัวลงมามองเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “โกรธ? ฉันมีอะไรให้โกรธเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางปากไม่ตรงกับใจของเขา จึงตัดสินใจพูดจี้จุดโดยไม่เกรงใจออกไป “เพราะตอนเข้ามาทีแรก ผมไม่ได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยคุณ คุณถึงกับโกรธเลยไม่ใช่เหรอ”

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินได้แบบนั้น ก็ลุกขึ้นมานั่งทันที “นายยังมีหน้ามาพูดได้ไม่กระดากใจ ซือเหยี่ยน นายแม่งแกล้งฉันสินะ?”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงนิ่งพูดตามความเป็นจริง “พ่อแม่ของคุณอยู่ด้วย ถ้าผมแสดงออกชัดเจนมาก แล้วพ่อแม่คุณถามผม ผมจะตอบยังไง”

 

 

           “อยากจะตอบยังไง ก็ตอบไปเลย” เจียงมู่เฉินตอบแบบไม่คิดผ่านสมอง

 

 

           “จริงเหรอ บอกพวกท่านว่าพวกเราคบกัน เป็นคู่รักกันก็ไม่เป็นไร?” ซือเหยี่ยนเอ่ยเตือนสติให้คนตรงหน้าสงบใจลงทีละนิดๆ

 

 

           “พูดก็พูดสิ คุณชายอย่างฉันมีเวลาไหนที่กลัวอยู่เหรอ”

 

 

           “เจียงมู่เฉิน คุณบอกว่าคุณจริงจังกับผมไม่ใช่เหรอ”

 

 

           “ใช่สิ จริงจัง”

 

 

           “ผมเองก็จริงจัง จึงอยากคิดพิจารณาตัดสินให้รอบคอบ”

 

 

           เพียงชั่วพริบตาไฟน้อยๆ ในใจเจียงมู่เฉินก็สลายไปเพราะคำพูดเตือนใจของเขา เดิมทียังโกรธอยู่บ้าง ยามนี้ได้ฟังประโยคเมื่อครู่ของซือเหยี่ยน ความขุ่นเคืองใจก็ไม่หลงเหลือแม้แต่น้อยแล้ว

 

 

           ตรงกันข้าม กลับรู้สึกใจแป้วเกินจะเอ่ย

 

 

           ถูกเขาว่ามาแบบนี้ เหมือนว่าตัวเองขาดการไตร่ตรองมากไม่มีผิด

 

 

           “ยังโกรธอยู่เหรอ?” ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าที่ค่อยๆ คลายลงของเขา จึงถามขึ้น

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง “ฉันหิวแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนหลุดขำ เขาไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายพูดอะไรทำนองยอมอ่อนข้อให้ แต่พอได้ยินเจียงมู่เฉินพูดออกมาสามคำนี้ เขาก็อดจะขำออกมาไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเริ่มรู้สึกเสียหน้าแล้ว “ฉันมีอะไรน่าขำขนาดนี้เลยหรือไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “น่าขำนิดหน่อย”

 

 

           เจียงมู่เฉินยื่นมือขึ้นมาชูนิ้วกลางเงียบๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว โน้มตัวเข้าใกล้ดึงคนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแล้วกดจูบลงไป

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนจูบโดยไม่ทันตั้งตัว เกือบจะหอบหายใจเข้าเกือบไม่ทัน แต่ซือเหยี่ยนกลับยังจูบอยู่ตรงนั้นไม่ยอมปล่อย

 

 

           เขาหาจังหวะกัดซือเหยี่ยนคืนไป ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายละริมฝีปากออกมา เจียงมู่เฉินรีบสูดหายใจเข้าเต็มปอด

 

 

           “นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ นายเห็นฉันโดนของตกใส่หัวไม่ตาย เลยอยากทำให้ฉันขาดอากาศหายใจตายใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอามือถูริมฝีปากที่โดนเขากัด แล้วพูดเน้นคำต่อคำ “ใครใช้ให้คุณยกนิ้วกลางใส่ผมล่ะ ทำผมเกิดอารมณ์ขึ้นมากะทันหัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างเหยียดๆ ชูนิ้วกลางใส่นายก็ทำนายเกิดอารมณ์ได้ อะไรจะสามารถปานนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนจ้องมองมุมปากที่ถูกกัดจนแดงด้วยใบหน้าแสนภูมิใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องผู้ป่วยไปซื้อข้าวให้คุณชายน้อยกิน

 

 

           หลังจากกินข้าวเสร็จ เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างๆ นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว เขาก็ยังไม่กลับไปอีก

 

 

           เขามองกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้งหลายครา ซือเหยี่ยนก็ไม่มีท่าทีจะอยากออกไปเลยสักนิด เขาเริ่มร้อนใจแล้ว “นี่ นายยังไม่ไปอีกเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ไปไหน”

 

 

           “นายแม่งอยากไปไหนก็ไปสิ ยังจะมาถามฉันอีก”

 

 

           “ผมชอบอยู่ที่นี่ จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

 

 

           คำพูดเขาทำเอาเจียงมู่เฉินตกอกตกใจไม่เบา ความชอบของซือเหยี่ยนไม่ธรรมดามากจริงๆ ไม่มีอะไรทำก็ชอบอยู่โรงพยาบาล แปลกคนไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ

 

 

           “นายชอบอยู่ที่โรงพยาบาล ความชอบนี้มันก็เรื่องของนาย แต่นี่ก็ดึกขนาดนี้แล้ว นายไม่กลับไป เตรียมจะนอนที่นี่ทั้งคืนเหรอ”

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนไล่มองช้อนตั้งแต่ร่างกายเจียงมู่เฉินขึ้นไป จนไปหยุดที่เตียงที่เขานอนอยู่

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินมีเสียงเตือนขึ้นมารัวๆ “เฮ้ย นี่นายคงจะไม่เล็งเตียงของฉันไว้หรอกใช่ไหม” เขารีบกอดผ้าห่มผืนเล็กๆ ไว้แน่น ตีให้ตายยังไงก็ไม่ยอมให้เตียง

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเหมือนจะรู้ทันของเขา เพียงพริบตาเดียวสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น เขาขบกรามเค้นคำพูดออกมาทีละคำ “ผมเล็งคุณคนที่อยู่บนเตียง”

 

 

           “นายจะมาเล็งฉันได้ตามใจชอบเลยใช่ไหม” เจียงมู่เฉินโต้แย้งจบ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ทันที เขามองซือเหยี่ยนด้วยความสีหน้าหวาดกลัว “ไม่นะ ฉันเป็นคนไม่สบายคนหนึ่ง นายจะไม่ปล่อยไปเลยเหรอ”

 

 

           เส้นเลือดบนขมับของซือเหยี่ยนกระตุกและกระตุกอีก เขาเก็บกดความรู้สึกที่อยากจะเค้นเอาความคิดของเจียงมู่เฉินออกทิ้งเสีย เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนผมไม่ได้นอนทั้งคืน คุณไม่คิดจะชดเชยให้ผมหน่อยเหรอ?”

 

 

           ‘เล่น’ ห้องผู้ป่วย?

 

 

           ‘นี่มันเร้าใจไปไหม’

ตอนที่ 90 โครงการหลินไห่ 

 

 

เจียงมู่เฉินเดินเอ้อระเหยลอยชายเข้าไปห้องทำงานของคุณพ่อเจียง เขานั่งเก้าอี้มองคุณพ่อเจียง “พ่อ เรียกผมมาทำไมอีก” 

 

 

“โครงการหลินไห่ คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” 

 

 

เจียงมู่เฉินชะงักไปสักพัก “คืบหน้า?” 

 

 

คุณพ่อเจียงเปลี่ยนสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที “แกเจ้าเด็กแสบ ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอว่าโครงการหลินไห่แกเป็นคนรับผิดชอบ” 

 

 

เจียงมู่เฉินทำท่าทำทางแคะหู “ไม่ใช่มั้ง พ่อเอาจริงดิ” 

 

 

“ฉันจะบอกแกไว้นะ โครงการนี้ถ้าแกจัดการไม่ได้ แกหอบผ้าหอบผ่อนออกไปได้เลย ตระกูลเจียงไม่เลี้ยงคนว่างงาน” 

 

 

“พ่อ พ่อไม่เป็นไรใช่ไหม พ่อมองผมยังรู้จักว่าผมเป็นใครอยู่ไหม” 

 

 

คุณพ่อเจียงโกรธเขาจนไม่ไหวแล้ว “พ่อแกยังไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ ไม่ได้ลืมแกสักหน่อย” 

 

 

“พ่อรู้ว่าผมเป็นลูกชายพ่อ พ่อยังจะให้ผมหอบผ้าหอบผ่อนออกไปอีกเหรอครับ” 

 

 

“เรื่องนี้ไม่ต้องต่อรอง ไปหาแม่แกก็ไม่มีประโยชน์ ฉันให้เวลาแกแค่สองเดือน จะอยู่ตระกูลเจียงต่อไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าแกจะจัดการโครงการหลินไห่นี้ได้หรือเปล่า” 

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางจริงจังไม่ล้อเล่นของพ่อตัวเอง ก็รีบจ้องเขาเขม็ง แล้วถามต่ออีก “พ่อแน่ใจ?” 

 

 

คุณพ่อเจียงยิ้มเยาะ “ไม่เคยแน่ใจขนาดนี้มาก่อน” 

 

 

ตอนเจียงมู่เฉินยังเด็ก เขาตามใจลูกชายเกินไป ดังนั้นโตมาจนถึงตอนนี้ถึงไม่เป็นโล้เป็นพายสักอย่าง เรียนรู้อะไรผิดๆ มาก็ไม่ใช่น้อยๆ  

 

 

ฉวยโอกาสตอนนี้ตอนที่ร่างกายเขายังนับว่าแข็งแรงอยู่ หาเรื่องให้เจ้าเด็กแสบเรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้น ให้เขาเดินทางที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ ภายหลังจะได้รับช่วงต่อบริษัทดีๆ ได้ 

 

 

เจียงมู่เฉินสลดใจมองหน้าคุณพ่อเจียงแล้วถอนหายใจเงียบๆ “พ่อครับ พ่อเปลี่ยนไปแล้ว” 

 

 

“ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แกก็รีบไปซะ อย่ามาอยู่ที่นี่ขวางหูขวางตาฉัน” 

 

 

“งั้นผมไปนะ พ่ออย่าคิดถึงผมเกินไปล่ะ” เจียงมู่เฉินพูดจบก็จะไปทันที 

 

 

“ใช่แล้ว ตอนบ่ายแกไปดูงานที่หลินไห่ด้วย วันนี้ที่นั่นเริ่มก่อสร้างกันแล้ว แกไปดูทำความเข้าใจก่อน มีอะไรไม่เข้าใจก็ไปถามเหล่าอู๋” 

 

 

เจียงมู่เฉินพยักหน้า “รู้แล้วครับ พ่อวางใจเถอะ รับรองภารกิจสำเร็จ” 

 

 

หลังจากออกจากเจียงเฉินกรุ๊ป เจียงมู่เฉินเรียกรถนั่งกลับไปบ้านตระกูลเจียง เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วถึงขับรถไปสำรวจสถานที่ก่อสร้างโครงการหลินไห่ 

 

 

หลินไห่เป็นที่ดินเขตชานเมืองใกล้ถานโจว ที่ดินผืนนี้ดึงดูดบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไม่น้อยให้กระหายอยากได้ แต่สุดท้ายก็ถูกซังจิ่งคว้ามาครองไว้จนได้ 

 

 

ต่อมาซังจิ่งเป็นฝ่ายเข้าหาเจียงเฉินกรุ๊ป บอกว่าต้องการให้เป็นผู้บุกเบิกร่วมกัน โครงการที่เขาเสนอจะทำให้ทั้งสองบริษัทได้ประโยชน์ทั้งคู่ 

 

 

ดังนั้นคุณพ่อเจียงจึงยอมตกลงจะเป็นผู้บุกเบิกที่ดินผืนนี้ร่วมกัน รวมทั้งลงนามเซ็นสัญญาแสดงเจตจำนงยินยอมจะเป็นพันธมิตรทำงานร่วมกันในโครงการนี้ 

 

 

เพราะเรื่องนี้ถึงได้มีการปรากฏตัวในวันนั้นของซังจิ่งและเซวียยางที่เจียงเฉินกรุ๊ป อีกอย่างคือความบังเอิญที่โครงการหลินไห่มอบหมายให้เจียงมู่เฉินดูแลพอดี 

 

 

เจียงมู่เฉินขับรถมาจอดที่หน้าทางเข้าสถานที่ก่อสร้างตามใจชอบ 

 

 

เขามองไปรอบๆ ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย หลายปีมานี้น้อยมากแทบจะนับครั้งได้ที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจของพ่อ ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้คิดยังไงถึงได้ให้เขารับผิดชอบโครงการนี้ 

 

 

เขากำลังเตรียมจะเดินเข้าไปข้างใน ก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังออกมาจากข้างใน 

 

 

เจียงมู่เฉินชะงักไปพักหนึ่ง รู้สึกคุ้นหูกับเสียงพูดคุยกันข้างใจ เขาหยุดเดิน คนข้างในก็เดินออกมาพอดี 

 

 

หน้าผากเจียงมู่เฉินกระตุกเกร็ง ไม่ต้องบังเอิญขนาดนี้ได้ไหม ทำไมเจอซังจิ่งคนนี้อีกจนได้ 

 

 

“บังเอิญจริงๆ ไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่” ซังจิ่งเห็นเขา น้ำเสียงเจือความดีใจ 

 

 

“ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเจอนายที่นี่” เจียงมู่เฉินเอ่ยขัดไปตรงๆ 

 

 

‘ถ้ารู้ว่าซังจิ่งอยู่ที่นี่ ยังไงเขาก็ไม่มีทางจะมาหรอก’ 

 

 

“วันนี้โครงการเริ่มก่อสร้างเป็นวันแรก ต้องมาดูงานเป็นธรรมดา” ซังจิ่งหยุดสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “คุณชายเจียงเองก็มาเพราะเรื่องนี้?” 

 

 

เจียงมู่เฉินสีหน้าไม่สบอารมณ์ พยักหน้ารับ “ในเมื่อนายดูมาแล้ว ไม่มีอะไรฉันไปก่อนแล้วกัน” 

 

 

ซังจิ่งรีบพูด “ผมเองก็เพิ่งมาถึง ยังไม่ได้ดูอะไรสักอย่าง” เขามองคนข้างๆ แวบหนึ่ง “ในเมื่อคุณชายเจียงก็มาแล้ว พวกเราจะได้ไปดูด้วยกันพอดี” 

 

 

ผู้รับผิดชอบโครงการที่ยืนอยู่ข้างๆ หางตากระตุก เมื่อกี้ดูไปแล้วรอบหนึ่งไม่ใช่เหรอ 

 

 

ซังจิ่งกวาดสายตามองเขา 

 

 

ผู้รับผิดชอบรีบพยักหน้า “ตอนนี้ผมจะพาทั้งสองท่านเข้าไปชมด้วยกันครับ” 

 

 

เจียงมู่เฉินหยุดไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็เดินตามเข้าไป 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 91 เจียงมู่เฉินบาดเจ็บ 

 

 

ผู้รับผิดชอบโครงการพาเจียงมู่เฉินและซังจิ่งเดินวนชมไปรอบๆ อีกครั้ง เจียงมู่เฉินไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกับซังจิ่งที่ดูมารอบหนึ่งแล้วกลับสนใจเป็นพิเศษ 

 

 

กว่าจะดูจบไม่ใช่ง่ายๆ ซังจิ่งถามเขา “เป็นไงบ้าง มีอะไรต้องการทำความเข้าใจต่ออีกไหม” 

 

 

เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่มีแล้ว ส่วนใหญ่ก็เคยเห็นแล้ว” 

 

 

“ตอนนี้ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว ผมอยากชวนประธานเจียงกินของว่างกัน?” ซังจิ่งไม่ปล่อยแม้แต่โอกาสเดียวที่จะนัดเจียงมู่เฉินให้ได้ 

 

 

นักธุรกิจอย่างเขาเรื่องฉวยเอาโอกาสและหาจังหวะเวลาไว้เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นพิเศษ 

 

 

เจียงมู่เฉินสังเกตดูซังจิ่งอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า ซังจิ่งคนนี้รูปร่างหน้าตาใช้ได้ ยังมีความสามารถมากอีกด้วย คนรอบตัวเขาที่ชอบเขามีนับไม่ถ้วน แล้วทำไมยังเข้ามาพัวพันเกาะแกะเขาไม่เลิก หมายความว่าไงกัน 

 

 

“ประธานซัง นายว่างเป็นพิเศษเลยใช่ไหม” 

 

 

ซังจิ่งเลิกคิ้วขึ้นมาเงียบๆ 

 

 

“ต่อให้นายว่างจนเบื่อจริงๆ ก็อย่ามารบกวนหาเรื่องฉันเรื่อยๆ เลย” เขาไม่มีเวลามาเสียเวล่าโง่ๆ กับเขาต่อไปจริงๆ ซือเหยี่ยนเองเขายังไม่ได้จัดการให้อยู่หมัดเลย 

 

 

ซังจิ่งโดนเขาพูดใส่ยังยิ้มออกมา เขายกมุมปากขึ้นมองเจียงมู่เฉิน “ผมว่าคุณไม่คิดจะเก็บความรู้สึกนิดหนึ่งบ้างหน่อยเหรอ จะว่ายังไงพวกเราก็เป็นคู่ทำงานร่วมกันอยู่ดี” 

 

 

เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ขอโทษนะ ฉันไม่มีนิสัยนี้” 

 

 

เขาพูดจบก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป “ฉันยังมีธุระต่อ ไม่รบกวนประธานซังแล้ว” 

 

 

ด้านหลังมีเสียงร้องตกใจโวยวายดังขึ้นมา เจียงมู่เฉินยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองกลับไป รู้สึกแค่ว่าท้ายทอยเจ็บแปลบกะทันหัน แล้วคนทั้งคนก็หมดสติไป 

 

 

ก่อนจะสลบไสล เจียงมู่เฉินอดคิดไม่ได้ว่านี่คงจะไม่ใช่เพราะพูดแตกหักกับซังจิ่ง แล้วโดนอีกฝ่ายอัดจนน็อคหมดสติไปหรอกใช่ไหม 

 

 

 

 

 

ฟื้นมาอีกครั้งที่โรงพยาบาล ท้ายทอยเจ็บจนทนไม่ไหว เจียงมู่เฉินมองเพดานสีขาวแล้วทวนความทรงจำเงียบๆ เขาอยู่ที่สถานที่ก่อสร้าง เขาปฏิเสธคำชวนกินข้าวของไป๋จิ่ง แล้วเตรียมจะออกไป หลังจากนั้นท้ายทอยก็เจ็บจนเป็นลมไป… 

 

 

เรื่องต่อจากนั้น เขาคิดต่อไม่ออกว่าสรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น 

 

 

ประตูห้องผู้ป่วยถูกผลักออก เจียงมู่เฉินดิ้นขลุกพยายามมองไปที่ประตู 

 

 

“คุณฟื้นแล้ว?” ซังจิ่งดูค่อนข้างจะตื่นเต้นไม่เบา 

 

 

เจียงมู่เฉินกดหัวลง “ทำไมฉันมาเข้าโรงพยาบาลล่ะ” 

 

 

“คุณโดนของตกใส่ แล้วหมดสติไปที่สถานที่ก่อสร้าง” 

 

 

เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่ต้องอนาถขนาดนี้จะได้ไหม ไปสำรวจสถานที่ก่อสร้างยังโดนของตกใส่ ถ้าซือเหยี่ยนรู้เข้า จะไม่หัวเราะเขาแย่เหรอ 

 

 

“พ่อแม่ฉันยังไม่รู้ใช่ไหม” เจียงมู่เฉินรีบเอ่ยถาม 

 

 

“ผมยังไม่ทันได้บอกครับ” 

 

 

เจียงมู่เฉินวางใจลงทันที ถ้าแม่เขารู้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่แน่ว่าจะร้องไห้หนักขนาดไหน 

 

 

“อย่าบอกพวกเขาเด็ดขาดเลยนะ” 

 

 

ซังจิ่งลูบจมูกตัวเองป้อยๆ “เกรงว่าถึงผมไม่พูด คุณพ่อคุณก็ควรจะรู้เรื่องแล้ว” 

 

 

เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “นายหมายความว่าไง” 

 

 

“ตอนที่คุณเกิดเรื่อง มีคนไม่น้อยอยู่ที่เกิดเหตุด้วย ตามความรวดเร็วในกระจายข่าว คุณพ่อของคุณควรจะกำลังเดินทางมาแล้ว” 

 

 

เสียงพูดเพิ่งจะหยุดลง ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออก “ลูกแม่ ลูกยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม” 

 

 

คุณแม่เจียงดวงตาแดงก่ำพุ่งตัวเข้ามา ข้างหลังตามด้วยพ่อเขา…แล้วก็ซือเหยี่ยน… 

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นคนสุดท้ายที่เข้ามาเป็นซือเหยี่ยนก็ตกใจจนสะดุ้ง ซือเหยี่ยนมากับพ่อแม่เขาด้วยกันได้ยังไง 

 

 

นัยน์ตาแห่งความสงสัยยังไม่ได้ส่งถือซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินก็โดนแม่เขากอดเข้าไปเต็มๆ คุณแม่เจียงร้องไห้สังเกตดูอาการเจียงมู่เฉิน “ลูกแม่ ไม่เป็นไรใช่ไหม รอดตายแล้วใช่ไหม” 

 

 

เจียงมู่เฉินขมับกระตุก “แม่ครับ แม่ถามผมขนาดนี้ ไม่ตายก็ถูกแม่ทำอกแตกตายแทนแล้ว” 

 

 

เข้ามาก็ถามเลยว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เจียงมู่เฉินหัวเราะแห้งๆ แม่เขาคงจะไม่ได้มีลูกคนที่สองหรอกใช่ไหม ถึงได้ไม่ให้ความสำคัญเขาแล้ว 

 

 

“แม่ผิดเอง แม่ไม่ถามแล้ว” คุณแม่เจียงมองมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของตัวเองด้วยความรักความสงสาร 

 

 

“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็เห็นซือเหยี่ยนได้สักที 

พาตัวเขาออกไปที

 

 

ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง “หืม”

 

 

“ยอมตกลงจะคบกับฉันไง” เจียงมู่เฉินก้มหัวลงเอ่ยถามอย่างไม่รู้ตัว

 

 

มือที่ทำอาหารของซือเหยี่ยนหยุดชะงัก “คุณชายเจียงก็มีช่วงเวลาไม่มั่นใจได้ด้วย”

 

 

เจียงมู่เฉินมองบน “ฉันไม่ได้ไม่มั่นใจ ฉันก็แค่สงสัย”

 

 

ซือเหยี่ยนคีบไข่ดาวขึ้นมาวางใส่จานข้างๆ แล้วทำขนมปังทอดต่อ “ผมคิดว่าคุณจะรู้สึกว่าที่ผมยอมตกลงรับปากเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว”

 

 

ถึงอย่างไรเจียงมู่เฉินก็มีความอวดดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

 

 

เจียงมู่เฉินวางแก้วในมือลง เดินไปหาซือเหยี่ยน ยืนพิงแนบอิงอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน “ฉันจริงจังนะ”

 

 

ซือเหยี่ยนจ้องมองคนข้างกาย

 

 

เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น “ถ้านายคิดจะเล่นๆ ฉันก็อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับนายไม่ได้”

 

 

ซือเหยี่ยนพลิกขนมปังไปอีกด้าน “ผมไม่ได้คิดจะเล่นกับคุณ”

 

 

เจียงมู่เฉินยืดตัวเดินออกจากห้องครัวไป “ประธานซือ วันนี้นายทำอาหารเช้าช้ากว่าปกติมากนะ”

 

 

ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะมองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆ เดินจากไปไกล

 

 

 

 

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เดิมทีเจียงมู่เฉินเตรียมจะไปหลานเยี่ย ถามไถ่ว่าเมื่อคืนมีเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า คนยังไม่ทันจะออกจากคฤหาสน์ของซือเหยี่ยน ก็ถูกโทรตัวเรียกให้กลับไปแล้ว

 

 

“จะไปไหน” ซือเหยี่ยนเอ่ยถาม

 

 

“กลับบริษัท พ่อเรียกหาฉันแล้ว” เจียงมู่เฉินเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ช่วงนี้ไม่รู้พ่อเป็นอะไรถึงได้เรียกหาแต่เขา

 

 

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

 

 

“ไม่รู้สิ เข้าไปดูก่อนแล้วกัน”

 

 

ซือเหยี่ยนไม่ถามมากความอีก เขาพาอีกคนไปส่งที่ใต้ตึกเจียงเฉินกรุ๊ป เจียงมู่เฉินปลดสายเข็มขัดเตรียมจะเปิดประตูออกไป

 

 

จู่ๆ ซือเหยี่ยนก็คว้ามือเขาเอาไว้

 

 

เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วใส่เขา “มีอะไร”

 

 

“ไม่คิดจะจูบผมหน่อยเหรอ”

 

 

เจียงมู่เฉินอมยิ้มมองเขา “นายบ้าไปแล้วใช่ไหม ในที่คนเยอะแยะแบบนี้ ให้ฉันจูบนาย”

 

 

ซือเหยี่ยนยักคิ้ว “ผมไม่ถือสา”

 

 

เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าแสนอวดดีของเขา แล้วโน้มเข้าใกล้ไปกัดริมฝีปากเขาสักที แอบด่าใส่ทิ้งทวน “เด็กน้อย”

 

 

ซือเหยี่ยนเอามือขึ้นลูบริมฝีปาก ยังคงคุกรุ่นด้วยความอบอุ่นของเจียงมู่เฉิน เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่สักพักกว่าจะขับรถออกไปได้

 

 

เจียงมู่เฉินเดินเร็วราวจะบินพุ่งขึ้นไป เพียงชั่วเวลานั้น เขาไม่คาดคิดว่าจะยังเขินอายอยู่

 

 

เขารีบส่ายหัว เขาคือเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินผู้ปกปิดตัวเองมาหลายปี ไม่คาดคิดว่าจะรู้สึกเขินอายได้

 

 

 

 

ซือเหยี่ยนเพิ่งจะเข้าห้องทำงานมาก็เห็นไป๋จิ่งวางมาดจริงจังลากโซฟามานั่งตรงทางเข้า ท่าทางเหมือนกำลังรอเขาอยู่

 

 

ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “เช้าขนาดนี้ นายมาทำอะไรที่ห้องฉัน”

 

 

“เมื่อวานนายยังไม่ได้คุยกับฉันชัดเจนเลยนะ” ไป๋จิ่งจำฝังใจจนไม่ได้นอนทั้งคืน “เมียนายมาจากไหนกัน”

 

 

ซือเหยี่ยนทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ “เมื่อวานฉันพูดเหรอ”

 

 

ไป๋จิ่งกัดฟันถลึงตาใส่เขา “ซือเหยี่ยน นายอย่าคิดมาแถข้างๆ คูๆ ต่อหน้าฉัน เมื่อวานฉันได้ยินเต็มๆ สองหู”

 

 

“อืม” ซือเหยี่ยนรับคำนิ่งๆ

 

 

ไป๋จิ่งจ้องเขาทันที “อืมของนายหมายความว่าไง ยอมรับหรือไม่ยอมรับ”

 

 

ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขา รีบคว้ามือถือขึ้นมาโทรศัพท์ “เสี่ยวหลิว เข้ามาพาตัวประธานไป๋ออกไปให้ฉันที”

 

 

ไป๋จิ่งตะลึงงัน “นาย…ไม่คิดว่านาย…จะให้ฉันออกไป”

 

 

ซือเหยี่ยนเปิดคอมพิวเตอร์ เตือนเพื่อนด้วยความหวังดี “คนลงมือคือผู้ช่วยของนาย ไม่ใช่ฉัน”

 

 

ไป๋จิ่งถอนหายใจด้วยความขมขื่นใจ “นายมัน หมาป่าใจโฉด เสียแรงที่หลายปีมานี้ฉันซื่อสัตย์กับนายสุดชีวิต”

 

 

เสี่ยวหลิวปรากฏตัวอยู่หน้าประตูพอดี มองเห็นใบหน้าแสนเจ็บปวดของไป๋จิ่งเข้า เริ่มไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว

 

 

“ประธานไป๋…จะให้ผมพาคุณออกไป หรือคุณจะออกไปเองครับ” เสี่ยวหลิวถามเสียงอ่อน

 

 

“ฉันไปเอง นายไม่ต้อง” ไป๋จิ่งถลึงตาใส่ซือเหยี่ยน เดินฮึดฮัดฟึดฟัดออกจากห้องทำงานของซือเหยี่ยน

 

 

เสี่ยวหลิวมองประธานซือผู้นิ่งเฉยอย่างงุนงง ไหนจะเห็นไป๋จิ่งผู้เดินกระฟัดกระเฟียดออกไปไกลแล้วอีก เขาลูบหัวอย่างช่วยไม่ได้ เดินออกจากห้องตามไป๋จิ่งไป

 

 

ในที่สุดในห้องทำงานก็เงียบสงบลงสักที ซือเหยี่ยนอารมณ์ดีเปิดดูเมล พร้อมจัดการทำงานอย่างจริงจัง

 

 

อีกฝั่งหนึ่ง ไป๋จิ่งยังคงคิดทบทวนอย่างจริงจัง ซือเหยี่ยนมีแฟนสาวแล้วจริงๆ ใช่ไหม

 

 

‘ถ้ามีแฟนสาวแล้วทำไมไม่บอกฉัน ไหนจะมาทำท่าลับๆ ล่อๆ ขนาดนี้อีก’

 

 

ไป๋จิ่งดึงคางตัวเอง เริ่มจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว

นายใช้ไม่ได้ใช่ไหม

 

 

เจียงมู่เฉินนอนหลับสบายทั้งคืน ได้พูดสิ่งที่อัดแน่นในใจออกมา เขาสบายใจเป็นบ้า เจียงมู่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย บิดขี้เกียจยืดเหยียดเอวบางดิ้นขลุกอยู่ใต้ผ้าห่ม

 

 

เขาเพิ่งจะยันกายขึ้นมานั่ง แล้วเหลือบไปเห็นซือเหยี่ยนอยู่ข้างกายพอดี ทำเอาใจเกือบหล่นทีเดียว

 

 

เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยสีหน้างงงวย “เช้าแล้วนายยังไม่ไปทำงานอีก อยู่นี่ทำอะไร”

 

 

เขาเกือบจะตกใจจนฉี่ราดแล้ว คิดว่าซือเหยี่ยนไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว ใครจะไปรู้ว่าลืมตามาจะเจอรูปปั้นหินนั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าไร้อารมณ์ไม่แม้แต่จะขยับตัว

 

 

ซือเหยี่ยนลืมตามองเขา ขอบตาค่อนข้างดำคล้ำ มองแวบเดียวเหมือนคนไม่ได้นอนหลับดีๆ มา

 

 

“เมื่อคืนนายออกไปปล้นมาหรือไง ทำไมขอบตาดำแบบนี้”

 

 

ซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดของเขา ก็แสยะยิ้มใส่ “ของผมนี่เรียกว่าความต้องการไม่เติมเต็ม”

 

 

มีเจียงมู่เฉินนอนข้างกาย ทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน เจ้าหมอนี่ดันชอบมากอดก่ายเขา ดึงยังไงก็ดึงไม่ออก

 

 

‘เจียงมู่เฉินเห็นเขาเป็นคนตายจริงๆ แล้วใช่ไหม’

 

 

‘โดนกอดก่ายขนาดนี้ จะไม่ให้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรแล้วนอนหลับลงได้เหรอ’

 

 

สุดท้ายเขาจนหนทางทำได้แค่ยันตัวขึ้นมานั่ง มองเจียงมู่เฉินนอนหลับสนิทแล้วขบกรามกัดฟันตัวเองทั้งคืน หลายครั้งที่อดใจไม่ได้อยากจะพุ่งเข้าไปกัดคอระบายอารมณ์

 

 

เจียงมู่เฉินชะงักงันไป อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้

 

 

ซือเหยี่ยนหางตากระตุก คิดทบทวนอย่างจริงจัง จะกัดเขาสักคำสองคำระบายไฟแค้นดีไหม

 

 

“ประธานซือ โตจนป่านนี้ ไม่รู้จักพึ่งลำแข้งตัวเองเหรอ”

 

 

เจียงมู่เฉินถากถางไปด้วย ลงจากเตียงไปด้วย เผยให้เห็นเรือนร่างสูงเพรียวเปลือยเปล่า เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้รีบร้อนปกปิดอะไร ยิ่งกว่านั้นยังไม่กลัวเวลาซือเหยี่ยนอยู่ข้างกายด้วยซ้ำ

 

 

ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนก็เห็นเขาเปลือยกายมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว จะให้ดูอีกครั้งไม่เห็นจะเป็นไร เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

 

 

เขาเดินผึ่งผายไปยังหน้าตู้เสื้อผ้าของซือเหยี่ยน เลือกเสื้อเชิ้ตตามใจออกมาหนึ่งตัว ค่อยๆ สวมเข้าไป ท่าทางการใส่เสื้อผ้าของเขาช้ามากๆ ติดกระดุมไม่เสร็จสักที

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางของเขา แล้วเลิกคิ้วขึ้นมาเงียบๆ “มืออ่อน?”

 

 

เจียงมู่เฉินทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ “ตื่นเต้นต่างหาก”

 

 

เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง ก็สวมเสื้อเชิ้ตเสร็จเดินลงไปชั้นล่าง

 

 

ซือเหยี่ยนมองตามแผ่นหลังของเขาไป หากางเกงจากในนั้นออกมา แล้วเดินตามลงไป

 

 

ที่ชั้นหนึ่ง เจียงมู่เฉินยืนพิงเคาน์เตอร์บาร์ แล้วรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ดื่มน้ำอย่างช้าๆ สบายๆ แก้วใสในมือขาวผ่องของเจียงมู่เฉินคาดไม่ถึงว่าภาพนี้จะสวยงามอย่างบอกไม่ถูกได้

 

 

ซือเหยี่ยนเดินลงถึงชั้นล่างก็เห็นท่าทางเงยหน้าดื่มน้ำของเจียงมู่เฉินพอดี

 

 

ยามลูกกระเดือกแสนเซ็กซี่ขยับขึ้นลงเบาๆ นาทีนั้น นึกไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะกลืนน้ำลายตามโดยไม่รู้ตัว

 

 

ซือเหยี่ยนรีบเก็บอาการบนใบหน้า เจ้าปีศาจจอมยั่วนี่นะ เผยกายที แม้แต่เขาก็ใกล้จะคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว

 

 

เขายื่นกางเกงส่งให้เจียงมู่เฉิน “ใส่ให้เรียบร้อย”

 

 

เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว มองขาเรียวยาวของตัวเอง แล้วยิ้มเอื่อยๆ “นายช่วยฉันสิ”

 

 

มือซือเหยี่ยนที่จับกางเกงอยู่เกร็งขึ้นมา สุดท้ายก็ยังพยักหน้าจนได้ “ได้ ฉันเอง”

 

 

เขาอุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์บาร์ จากนั้นค่อยๆ ใส่กางเกงให้ เจียงมู่เฉินนั่งเนือยๆ อยู่ตรงนั้น ยกขาให้อีกฝ่ายสวมกางเกงให้ตัวเองได้ตามใจ

 

 

เจียงมู่เฉินสังเกตใบหน้ามุมข้างของซือเหยี่ยนไป พลางถามอย่างจริงจัง “ซือเหยี่ยน นายคงจะไม่…ใช้ไม่ได้หรอกใช่ไหม”

 

 

ทั้งอาบน้ำ ทั้งปลุกปั่น ทั้งช่วยเขาใส่เสื้อผ้า

 

 

นี่ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป คงคุมตัวเองไม่ไหวไปนานแล้ว แต่ทุกครั้งซือเหยี่ยนกลับเป็นสุภาพบุรุษขนาดนี้ เจียงมู่เฉินอดจะเอ่ยปากถามไม่ได้

 

 

มือซือเหยี่ยนที่ช่วยเขาติดกระดุมหยุดชะงักไปสักพัก

 

 

เขารีบติดกระดุมอย่างรวดเร็ว มองดูใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเจียงมู่เฉิน แล้วยกมุมปากขึ้น “ใช้ได้ไม่ได้ เดี๋ยวลองคุณก็รู้เอง”

 

 

แววตาเจียงมู่เฉินลุกวาว รีบกระโดดลงมาจากเคาน์เตอร์บาร์ “ฉันลองฝีมือทำอาหารของนายดีกว่า”

 

 

“อะไรกัน ตอนนี้แค่คิดจะลองฝีมือทำอาหารเหรอ” ซือเหยี่ยนอดจะแซวเล่นไม่ได้

 

 

เจียงมู่เฉินขบกราม “หิวจะตายอยู่แล้ว นายรับผิดชอบเลย รีบไปสิ”

 

 

เห็นเขาเริ่มจะระเบิดลง ซือเหยี่ยนถึงเพิ่งเข้าห้องครัวไปทำอาหารเช้าให้เจียงมู่เฉิน กว่าจะชิงตัวมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ ยังไงก็ตามจะปล่อยให้เขาหิวตายไม่ได้

 

 

เจียงมู่เฉินยืนพิงเคาน์เตอร์บาร์จับแก้วมาเล่นไป พลางเอ่ยถาม “ทำไมนายถึงยอมตกลงกับฉัน”

ผมส่งตัวผมให้คุณ 

 

 

รออีกไม่กี่นาที ซือเหยี่ยนก็โน้มตัวลงอยากจะจูบเจียงมู่เฉินอีกครั้ง เจียงมู่เฉินรีบใช้มือผลักเขาออก “ฉันยังพักไม่พอ” 

 

 

เสียงซือเหยี่ยนเจือความแหบ “พักพอแล้ว” 

 

 

เขาพูดจบอยากจะจูบอีกรอบ เจียงมู่เฉินเห็นการกระทำของเขา ก็ฉวยโอกาสตอนซือเหยี่ยนเตรียมจะจูบเขา ดันตัวเขาออก เพิ่มระยะห่างของทั้งสองคนมากขึ้น 

 

 

“คุณชายอย่างฉันบอกแล้วไง ไม่พอก็คือไม่พอ” เจียงมู่เฉินทำหน้าเย็นชา ไม่มีท่าทางอารมณ์เร่าร้อนเมื่อครู่เลยสักนิด 

 

 

เขาเชิดตาขึ้นเล็กน้อย แสดงท่าทางอวดดีออกมาอย่างไม่คาดคิด 

 

 

ซือเหยี่ยนปรับลมหายใจระงับสติอารมณ์ เขาเห็นท่าทีของเจียงมู่เฉินแบบนี้ก็เข้าใจในทันใด เขายกมือขึ้นกุมขมับอย่างเสียไม่ได้ แล้วเอ่ย “คุณจงใจสินะ” 

 

 

เจียงมู่เฉินยิ้มร่า “ชัดเจนมากเลยเหรอ” 

 

 

ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้น 

 

 

เจียงมู่เฉินใช้มือเพียงข้างหนึ่งจับคางของซือเหยี่ยนเชิดขึ้น แล้วเข้าไปพูดใกล้ๆ “นายคิดว่าคุณชายอย่างฉันหลอกง่ายขนาดนั้นเชียว? ซือเหยี่ยน ในเมื่อนายรับปากยอมตกลงคบกับฉันแล้ว ยังจะมีหน้ามาคบกับคนอื่นลับหลังฉันตอนเราคบกันอีกนะ… 

 

 

…นายเห็นฉันเจียงมู่เฉินแค่คบกันเล่นๆ หรือไง” 

 

 

เขาเชิดคางอีกฝ่ายขึ้นเบาๆ การกระทำอ่อนโยน แต่คำพูดหนักแน่นไม่เกรงใจใคร 

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นนัยน์ตาแข็งกระด้างของเขา แล้วยกมุมปากขึ้นมาทันที 

 

 

เดิมเจียงมู่เฉินคิดว่าตามนิสัยไม่เห็นหัวใครหัวสูงของซือเหยี่ยนแล้ว โดนตัวเองแกล้งขนาดนี้ต้องโมโหจนระเบิดลงแน่ๆ 

 

 

แต่รอมาตั้งนานก็ไม่เห็นซือเหยี่ยนโกรธ ตรงกันข้ามกลับยังทำหน้าระรื่นอยู่ได้ 

 

 

“นายยิ้มอะไร” เจียงมู่เฉินอดจะเตะใส่เขาไม่ได้ 

 

 

ซือเหยี่ยนยื่นมือไปคว้าข้อเท้าเขาเอาไว้ ออกแรงเพียงนิดดึงอีกฝ่ายเข้ามาหา คนที่เมื่อครู่หนีจากอ้อมอกลับมาอยู่ในอ้อมกอดอีกจนได้ 

 

 

ซือเหยี่ยนใช้ฟันงับเข้าที่คางของเจียงมู่เฉิน ยิ้มแล้วเอ่ย “ได้ ผมรับปากคุณจะไม่ไปคบกับคนอื่น” 

 

 

คำพูดนี้ในหูเจียงมู่เฉินมีเพียงความรู้สึกพูดแบบขอไปทีเท่านั้น ไม่ได้จริงใจอะไร เขาถลึงตามองซือเหยี่ยน “นายอย่าคิดมาเล่นละครตบตาฉันยังไงก็ได้นะ” 

 

 

ซือเหยี่ยนกัดเขาเข้าอีกครั้ง “ผมไม่เคยเล่นละครตบตาคุณเลย” 

 

 

“โคตรพ่อง เลิกกัดฉันได้แล้ว” เจียงมู่เฉินเอามือป้องคางตัวเอง “ถ้ามีรอยขึ้นมา ซือเหยี่ยน ฉันกับนายได้เห็นดีกันแน่” 

 

 

ซือเหยี่ยนขำกับท่าทางเย่อหยิ่งนั้นจริงๆ ไม่ให้กัดคาง งั้นเขาเปลี่ยนที่กัดก็ได้ ด้วยเหตุนี้ซือเหยี่ยนจึงย้ายสนามรบไปที่ติ่งหูแทน 

 

 

“นายอย่าคิดว่าแบบนี้แล้วจะสอบปากคำนายไม่ได้นะ” เจียงมู่เฉินยังจำเรื่องเมื่อตอนเช้าได้ไม่ลืม 

 

 

ซือเหยี่ยนกัดใบหูเขาไป พลางอธิบายไป “ระหว่างผมกับเธอไปมาหาสู่กันเปิดเผย ไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้น” 

 

 

“นายอยู่กับฉันยังรู้ว่าต้องเตรียมของขวัญรุ่นลิมิเต็ดให้เธออีก” เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาอีก “แล้วทำไมฉันถึงไม่เห็นนายเตรียมของขวัญรุ่นลิมิเต็ดอะไรให้ฉันเลย” 

 

 

ซือเหยี่ยนหัวเราะเบาๆ เขาเข้าใกล้ไปกัดริมฝีปากของเจียงมู่เฉิน “ผมส่งตัวผมให้คุณ ลิมิเต็ดยิ่งกว่าของรุ่นลิมิเต็ดอีก ทั่วโลกมีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น” 

 

 

เจียงมู่เฉินอารมณ์ขึ้นจนยกเท้าเตรียมจะถีบ แต่ยังไม่ทันได้ยกก็โดนซือเหยี่ยนคว้าไว้ได้ก่อน 

 

 

“เฉินเฉิน คุณบอกเองว่าจะนอนกับผมไม่ใช่เหรอ” เสียงซือเหยี่ยนเจือความเซ็กซี่ แม้แต่ดวงตาดำขลับคู่นั้นยังดำดิ่งหยั่งลึกลงไปอีก 

 

 

เจียงมู่เฉินแสยะยิ้ม เขาเอามือป้องริมฝีปากที่ซือเหยี่ยนใช้มือลูบอยู่ พูดเน้นคำต่อคำ “นอนกับน้องสาวนายสิ” พูดจบ เท้าอีกข้างก็ถีบเข้าไป 

 

 

ซือเหยี่ยนผู้ไม่ได้ทันระวัง โดนเจียงมู่เฉินถีบไปลงด้านข้าง มองเจียงมู่เฉินเอาผ้าห่มห่อตัวนอนลงไปด้วยความงุนงง 

 

 

“อยากทำไม่ใช่เหรอ” ซือเหยี่ยนชักจะน้อยใจบ้างแล้ว 

 

 

เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ ไม่แม้แต่จะมองเขาสักนิด “นายทำเองเถอะ เรื่องนี้คุณชายไม่ขอยุ่งด้วย” 

 

 

เห็นอีกฝ่ายหันหลังพูดด้วยแบบนี้ ซือเหยี่ยนกุมขมับอย่างเสียไม่ได้ ก้มหน้ามองน้องชายผู้น่าสงสาร ดันแข็งขันคึกคักขึ้นมาผิดปกติ เขาทำได้แค่เพียงว่าง่ายยอมลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ พูดคุยเรื่องความรู้สึกกับน้องชายของตัวเองเท่านั้น

ฉันมาเพื่อนอนกับนาย  

 

 

สุดท้ายซือเหยี่ยนต้องเอาผ้าขนหนูเช็ดตัวให้เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ตกหล่นสักบริเวณ เช็ดให้สะอาดหมดจด แม้แต่เส้นผมสักเส้นก็ไม่เว้น 

 

 

“ใส่เสื้อผ้า แล้วกลับห้องไปนอน” 

 

 

เจียงมู่เฉินไม่แม้แต่จะมองเสื้อผ้า เอาแต่ยื่นมือออกไป “ไม่ใส่ อุ้มฉันออกไป” 

 

 

ซือเหยี่ยนขมับกระตุก จิตใต้สำนึกบอกให้รู้ทันทีว่าตัวเองดูท่าจะผ่านคืนนี้ไปไม่ได้ง่ายๆ แล้ว 

 

 

เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด อารมณ์โกรธของคุณชายน้อยตระกูลเจียงอยู่ตรงนี้ ตอนเช้าที่โกรธจนเป็นขนาดนั้น ยังไม่รู้จะแก้เผ็ดเอาคืนเขายังไงนี่เอง 

 

 

เขาสอดแขนอุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นมา ยามผิวกายเย็นนิดๆ สัมผัสโดนตัวเอง มือซือเหยี่ยนที่กอดเจียงมู่เฉินไว้อดจะเกร็งขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

ไม่กล้าคิดอะไรมากไปกว่านี้ รีบอุ้มคนวางลงบนเตียง เขาดึงผ้าห่มมาปิดร่างของเจียงมู่เฉินไว้ “ดึกแล้ว รีบนอนเถอะ” 

 

 

เขาพูดจบก็เตรียมจะปิดไฟเดินออกไป 

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางนั้นของเขา ก็อดจะขำขึ้นมาไม่ได้ “ซือเหยี่ยน นายคงจะไม่คิดว่าที่ฉันกลับมากับนายวันนี้ ก็เพื่อมานอนกับเตียงของนายใช่ไหม” 

 

 

เจียงมู่เฉินหัวเราะมองหน้าอีกฝ่าย “ฉันมาเพื่อนอนกับนาย” 

 

 

สีหน้าซือเหยี่ยนคร่ำเคร่ง เขารู้สึกว่าไม่ช้าก็เร็วตัวเองต้องโดนคุณชายน้อยตระกูลเจียงเล่นงานจนตายเข้าสักวัน 

 

 

“แน่นอน ถ้านายไม่อยากจะนอนกับฉันก็ไม่เป็นไร จากนี้ทางใครทางมัน คำพูดวันนั้นถือว่าฉันไม่ได้พูดก็แล้วกัน” 

 

 

เจียงมู่เฉินเอียงเอนพิงบนเตียง นัยน์ตาดอกท้อฉายแววจริงจังขึ้นมาทันที ดูเยือกเย็นเอาเรื่อง 

 

 

เวลาแต่ละวินาที แต่ละนาที ผ่านไปเร็วดังสายน้ำ… 

 

 

ซือเหยี่ยนถอนหายใจ เอ่ยเสียงต่ำ “รอผมก่อน ผมจะรีบไปอาบน้ำ” 

 

 

เขาทำแบบนี้ถือว่าประนีประนอมแล้ว เจียงมู่เฉินฟังออกในทันใด ใบหน้านิ่งขรึมปรากฏรอยยิ้มเบาๆ  

 

 

“ได้สิ ไม่รีบนายค่อยๆ อาบ ฉันจะรอนาย” 

 

 

หลังจากซือเหยี่ยนเข้าไปอาบน้ำ เจียงมู่เฉินก็นอนสบายๆ บนเตียงรอเขา ยื่นมือไปหยิบหนังสือบนตู้มาพลิกเปิดดูไปมา 

 

 

เขาดูผ่านๆ ตาไปรู้สึกไม่มีอะไรน่าสนใจ จึงวางกลับไปที่เดิม แล้วนอนพิงบนเตียง 

 

 

ดีที่ซือเหยี่ยนไม่ได้ปล่อยให้เขารอนานเกินไป 

 

 

ประมาณสิบนาทีกว่าๆ ซือเหยี่ยนเดินออกมาจากห้องน้ำ ร่างกายเต็มไปด้วยหยาดไอน้ำ 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินได้เห็นซือเหยี่ยนที่เพิ่งอาบน้ำออกมากับตาตัวเองจะจะ รู้สึกเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก 

 

 

ซือเหยี่ยนหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมที่ยังเปียกชื้นอยู่ แล้วเดินไปยังหน้าตู้เสื้อผ้าเตรียมจะใส่เสื้อผ้า เจียงมู่เฉินเห็นการกระทำของซือเหยี่ยนก็เอ่ยเตือน “ถึงยังไงอีกสักพักก็ต้องถอด ไม่จำเป็นต้องใส่แล้วมั้ง” 

 

 

มือซือเหยี่ยนที่กำลังเช็ดผมอยู่ชะงักไป สุดท้ายก็ไม่ได้หยิบแล้ว เขาหมุนตัวหันกลับไปเดินเข้าหาเจียงมู่เฉินทีละก้าวๆ 

 

 

เขานอนพิงบนเตียงตามสบาย ช่วงเอวมีมุมของผ้าห่มเกี่ยวเอาไว้ เผยให้เห็นทั้งแขนทั้งขาเปลือยเปล่าอยู่ข้างนอก เรียวขายาวคู่นี้ไขว้ซ้อนกัน 

 

 

เจียงมู่เฉินในสภาพแบบนี้ ทั่วเรือนร่างมีแรงดึงดูดร้ายแรง ถึงขั้นทำให้ซือเหยี่ยนละสายตาแม้แต่วินาทีเดียวไปไม่ได้ 

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใบหน้าได้รูปที่ดูดีไม่แพ้ใคร ดวงตาเชิดขึ้นนิดๆ ดูเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม 

 

 

ซือเหยี่ยนพยายามจะประคับประคองสติสัมปชัญญะของตัวเอง เอามือดึงผ้าห่มข้างตัวเจียงมู่เฉิน แล้วแทรกตัวเข้าไป 

 

 

เขาเพิ่งจะนั่งลง เจียงมู่เฉินก็พลิกตัวตะกายขึ้นไปหาซือเหยี่ยน คนทั้งคนนั่งอยู่บนตัวของซือเหยี่ยน 

 

 

มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกี่ยวคอของซือเหยี่ยน เขาโน้มตัวลงมาเล็กน้อยกัดริมฝีปากของซือเหยี่ยน “ซือเหยี่ยน ฉันนอนกับนายดีไหม” 

 

 

สติสัมปชัญญะในหัวสมองซือเหยี่ยนขาดลง เพียงชั่วพริบตาเขาคิดแค่จะกอดกกเจ้าปีศาจจอมยั่วยวนนี้ไว้ในอ้อมกอดด้วยแรงปรารถนาที่มี โอบรัดให้กายแนบกายจนประสานเป็นหนึ่งเดียว 

 

 

แขนเขาออกแรงเพียงนิด ดึงใบหน้างามเข้ามาประทับจูบบนริมฝีปากฉ่ำ 

 

 

คนสองคนต่างพันธนาการกันและกัน ไม่มีใครยอมใคร 

 

 

จูบครั้งนี้ จูบแห่งความปรารถนาโหยหา และอาวรณ์ใจมากล้นเกินบรรยาย 

 

 

 

 

 

เจียงมู่เฉินหอบหายใจ เอาฝ่ามือดันซือเหยี่ยนออก “เดี๋ยวก่อน ให้ฉันหายใจหน่อย” 

 

 

ซือเหยี่ยนได้ยินเขาพูดมาแบบนี้ ในที่สุดก็หยุดการกระทำลง เส้นเลือดใหญ่บนแขนปูดขึ้นมาชัดราวกับจะระเบิดออกมา หน้าผากแกร่งเหงื่อไหลท่วม 

 

 

เขามองดูเจียงมู่เฉิน ดวงตาร้อนดั่งไฟเผาเกินจะทน 

ถอดเสื้อผ้าเอง  

 

 

เจียงมู่เฉินเอามือพาดไหล่ของซือเหยี่ยน จนโดนอุ้มเข้ามาในห้องน้ำ ซือเหยี่ยนวางเขาลงบนเก้าอี้ “ถอดเสื้อผ้าเองนะ” 

 

 

เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “นายไม่คิดจะช่วยฉันถอดหน่อยเหรอ” 

 

 

สายตาซือเหยี่ยนมองเอวเพรียวบางอย่างไม่อาจจะหักใจจากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนไปที่อื่น “คุณถอดเองดีกว่า” 

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นเขาพูดแบบนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ทำให้ลำบากใจอีก เขาพยักหน้ารับคำ “ได้ ฉันทำเอง” 

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นเขาพูดแบบนี้ ถึงเพิ่งจะโล่งใจไปที ค่อยยังชั่วโชคดีที่เจียงมู่เฉินไม่ได้ให้เขาถอดให้จริงๆ 

 

 

เจียงมู่เฉินลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ยืนอยู่บนแผ่นกระเบื้อง เขายืนเท้าเปล่าอยู่บนแผ่นกระเบื้องสีเทาเข้ม ข้อเท้าขาวผ่องภายใต้แสงไฟเหลืองสลัวๆ ช่างยั่วยวนใจอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

เขาทุกอย่างช้ามาก เหมือนมือไร้เรี่ยวแรงอย่างไรอย่างนั้น แก้มาตั้งนานก็ปลดกระดุมกางเกงช่วงเอวไม่เสร็จสักที 

 

 

“ซือเหยี่ยน นายไม่คิดจะช่วยฉันจริงๆ เหรอ? ยืนแบบนี้ยิ่งหนาว” เสียงเจียงมู่เฉินเจือความน่าสงสาร 

 

 

ถึงแม้จะรู้ดีแก่ใจว่าเขาจงใจ แต่ซือเหยี่ยนยังคงแข็งใจไม่ค่อยได้ 

 

 

กว่าเจียงมู่เฉินจะแก้ปลดกระดุมตรงเอวได้ไม่ง่ายนัก ค่อยๆ รูดซิปลงเรื่อยๆ เสียงรูดซิปท่ามกลางห้องน้ำแสนเงียบวังเวง ซือเหยี่ยนฟังจนหัวชักจะเริ่มชาๆ บ้างแล้ว 

 

 

เจียงมู่เฉินดันทำเหมือนจงใจ รูดลงช้ามาก 

 

 

ซือเหยี่ยนขบกรามแน่น ยื่นมือไปรูดซิปกางเกงของเจียงมู่เฉินจนถึงสุดปลายทาง แล้วจับคนอุ้มขึ้นมา ฉุดกางเกงสีดำของเขาออก 

 

 

“โอ๊ย…” เจียงมู่เฉินร้องด้วยความเจ็บปวด 

 

 

ซือเหยี่ยนเงยหน้ามองเขา “เป็นไรไป” 

 

 

เจียงมู่เฉินลุกขึ้นยืนจากน้ำรวดเดียว หยดน้ำไหลไปตามร่างขาวผ่องทันที เขาชี้รอยแดงที่เอวให้ซือเหยี่ยนดู “ดูสิ บาดเจ็บแล้วนี่” 

 

 

จิตใต้สำนึกบอกให้ซือเหยี่ยนยื่นมือไปนวดเบาๆ สักทีสองที “โอเค ความผิดผมเอง” 

 

 

เจียงมู่เฉินเจอเขาพูดแบบนี้ไป ถึงได้ยอมกลับไปนั่งในอ่างอาบน้ำอย่างว่าง่าย เขาหันหลังให้ซือเหยี่ยน ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง “นายช่วยฉันนวดหน่อยสิ เมื่อกี้เต้นไปปวดเอว” 

 

 

เส้นเลือดบนหน้าผากของซือเหยี่ยนกระตุกแล้วกระตุกอีก แทบจะอยากห่อเจ้าปีศาจจอมยั่วยวนไปทิ้งบนเตียงแล้วเอาผ้าห่มพันอีกรอบ ชอบมาทรมานเขาต่อหน้าต่อตาดีนัก 

 

 

แต่เสียดาย คุณชายน้อยตระกูลเจียงไม่ใช่คนที่จะยอมให้เขาเอาไปจับไปบีบเล่นได้ตามใจชอบ 

 

 

เขารอจนสองนาที ซือเหยี่ยนก็ไม่ทำอะไร จึงอดจะหันไปหาเขาไม่ได้ “จะยืนงงทำไม ลงมือสิ” 

 

 

ซือเหยี่ยนขบกรามแล้วขบกรามอีก พยายามเก็บกดอารมณ์ที่อยากจะจัดการคนตรงหน้าปางตาย 

 

 

มือใหญ่ทาบลงกับผิวหายขาวผ่องของเขา ซือเหยี่ยนพยายามเก็บกดความคิดที่ไม่ควรจะมีไว้ ค่อยๆ นวดคลึงให้อีกฝ่าย เจียงมู่เฉินหลับตาร้องครางอย่างสบายอารมณ์ 

 

 

ซือเหยี่ยนสีหน้าเริ่มไม่พอใจ “คุณเงียบหน่อยได้ไหม” 

 

 

เจียงมู่เฉินยิ้มร่า “ประธานซือ ปฏิกิริยาร่างกายแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉันควบคุมได้ นายโตมาจนป่านนี้ แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหรอ” 

 

 

มือซือเหยี่ยนที่วางบนตัวเจียงมู่เฉินเกร็งขึ้นมา เขามองดูคอระหง พยายามกดเก็บไฟที่สุมในใจ 

 

 

ด้วยเหตุนี้ ประธานซือจึงบีบนวดหลังเจียงมู่เฉินไป พลางท่องคัมภีร์ตรีอักษร[1]เงียบๆ เพื่อดับกองไฟในใจให้ตัวเอง 

 

 

ไม่เช่นนั้นเขากลัวตัวเองจะอดใจทักทายคอระหงของเจียงมู่เฉินไม่ได้ 

 

 

อุณหภูมิในห้องน้ำสูงขึ้น สูงกว่าข้างนอกแล้ว เจียงมู่เฉินถูกนวดอยู่ตรงนั้นก็เริ่มรู้สึกง่วงหงาวหาวนอนบ้างแล้ว 

 

 

เขาปัดมือซือเหยี่ยนที่กำลังนวดอยู่ออก “ได้แล้ว ขืนให้นายนวดต่อฉันต้องเผลอหลับไปแน่ๆ” 

 

 

จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา ร่างกายสมส่วนเพรียวสูงเผยกายต่อหน้าซือเหยี่ยนเพียงชั่วอึดใจ เขาขยับตัวเล็กน้อย มองหน้าซือเหยี่ยน 

 

 

“ช่วยฉันเช็ดตัวด้วยแล้วกัน” 

 

 

ซือเหยี่ยน “…” 

 

 

เขาหยิบผ้าเช็ดข้างๆ ตัวโยนให้เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินโยนทิ้งลงข้างตัว เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “ถ้าฉันจำไม่ผิด เมื่อกี้มีคนบอกว่าเขาขอโทษ” เขาเชิดตาขึ้น นัยน์ตาไหวสั่น “จะขอบคุณกันแค่นี้?” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] คัมภีร์ตรีอักษร เป็นแบบเรียนขั้นพื้นฐานสำหรับการหัดอ่านเบื้องต้นสำหรับเยาวชน มีทั้งหมด 1722 ตัวอักษร เนื้อหาประกอบด้วยจารีตโบราณทางการศึกษาของจีน ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จริยธรรม และคุณธรรมรวมถึงตำนานพื้นบ้านบางเรื่อง 

ปีศาจจอมยั่วเสน่ห์ในรถ  

 

 

ใบหน้าแสนเย็นชาของซือเหยี่ยน สายตาเย็นยะเยือกกวาดมองพวกเขาแวบหนึ่ง รังสีความเย็นสะท้านแผ่กระจายออกมาชัดเจน คนที่โหวกเหวกโวยวายทันใดก็ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก 

 

 

ถึงอย่างไรฐานะของซือเหยี่ยนในถานโจวล้วนไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาทั่วไปจะมาเทียบได้ จะมากจะน้อยก็ยังชวนให้คนหวาดกลัวอยู่ดี 

 

 

พอเห็นไม่มีใครกล้าขัดขวางแล้ว ซือเหยี่ยนจึงอุ้มเจียงมู่เฉินออกไปข้างนอก 

 

 

“ประธานซือไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ จะพาอีธานออกไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ อีธานยังไม่ได้บอกตกลงจะไปกับนายสักหน่อย” จู่ๆ ก็มีคนข้างหลังพูดประโยคนี้ขึ้นมา 

 

 

ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำทุกอย่าง เขาโน้มตัวลงมองคนในอ้อมกอด เสียงอ่อนโยนเอ่ยถามขึ้น “คุณอยากจะไปกับผมไหม” 

 

 

ในไนต์คลับเงียนงันอีกครั้ง ทุกสายตาจดจ้องมาที่ซือเหยี่ยนกันเป็นจุดเดียว แค่เห็นเขายกมุมปากเบาๆ ก็โอบคอของซือเหยี่ยน เอ่ยตอบกลับ “ได้สิ ไปกับนาย” 

 

 

ทุกคนตกใจจนลูกตาแทบจะหลุดออกมา คาดไม่ถึงว่าอีธานจะยอมตกลงแล้ว 

 

 

กว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ซือเหยี่ยนก็อุ้มเจียงมู่เฉินออกไปเรียบร้อยแล้ว 

 

 

รถของเขาจอดไว้ข้างนอก ซือเหยี่ยนวางเจียงมู่เฉินลงตรงที่นั่งข้างคนขับ ส่วนตัวเองเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับ 

 

 

รถยังไม่ทันได้สตาร์ท เจียงมู่เฉินก็ขยับตัวเบียดกันอย่างไม่สบายตัว เขาเบิกตากว้างมองซือเหยี่ยนด้วยแววตาน่าสงสาร บอกเสียงต่ำว่า “หนาว” 

 

 

ซือเหยี่ยนเปิดแอร์ในรถ เพียงไม่นานอุณหภูมิในรถก็อบอุ่นขึ้น 

 

 

เจียงมู่เฉินกลับยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ “ยังหนาวอยู่” 

 

 

ซือเหยี่ยนโน้มตัวลงมอง ก็เห็นเพียงแค่เจียงมู่เฉินเอามือไต่บนคอของซือเหยี่ยน “นายอยากจะกอดฉันไหม” 

 

 

เส้นเลือดบนหน้าผากของซือเหยี่ยนอดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้ ในรถมีปีศาจทรงเสน่ห์ แถมยังเป็นฝ่ายอ่อยเขาอีก… 

 

 

เขากดเก็บอารมณ์ไว้ ไม่แสดงสีหน้า พาตัวคนกลับที่เดิม “เด็กดี กลับบ้านค่อยกอดนะ” 

 

 

สิ้นเสียง รถถูกสตาร์ททันที รถจากัวร์คันสีดำขับด้วยความเร็วราวกับจะบินพุ่งขึ้นไปตามถนน มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของซือเหยี่ยน 

 

 

เขาใช้ความเร็วมากกว่าเวลาปกติเป็นเท่าตัวในการขับรถพาเจียงมู่เฉินกลับคฤหาสน์ เมื่อรถจอดสนิทก็ห่อตัวคนมิดชิดอุ้มออกมาจากรถ 

 

 

อากาศในห้องอบอุ่นมาก ซือเหยี่ยนอุ้มเจียงมู่เฉินตรงขึ้นไปชั้นสอง เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม “อยากจะอาบน้ำก่อนไหม ผมจะไปรินน้ำร้อนมาให้” 

 

 

เจียงมู่เฉินดึงคอเสื้อของซือเหยี่ยนเข้าหาตัว “ฉันอยากให้นายช่วยฉันอาบ” 

 

 

ซือเหยี่ยนชะงักมือไป ผ่านสักพักหนึ่งยังไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี 

 

 

เจียงมู่เฉินยังดึงไว้ไม่ปล่อย ในแววตาสะท้อนความเศร้าเสียใจ “เมื่อกี้นายยังพูดว่าอยากจะขอโทษฉันอยู่เลยนะ” 

 

 

ซือเหยี่ยนเกร็งไปทั้งตัว พยักหน้ารับปาก “ได้ ผมจะไปเปิดน้ำให้คุณ” 

 

 

หลังจากเข้าห้องน้ำไป เจียงมู่เฉินผู้นั่งอยู่บนเตียงแววตาเป็นประกายขึ้นมา กล้าทำให้คุณชายผิดใจ คืนนี้ฉันจะเอาคืนนายทบต้นทบดอกเลย 

 

 

เขายอมกลับมากับซือเหยี่ยน ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่คิดเล็กคิดน้อยซือเหยี่ยน 

 

 

เจียงมู่เฉินนอนอยู่เฉยๆ บนเตียง เพียงแต่ว่าเขาคิดได้แล้วว่าวิธีไหนทรมานซือเหยี่ยนได้ดีกว่าการเต้นเปลื้องผ้า 

 

 

เขารับรองว่าจะทำให้ซือเหยี่ยนจำเอาไว้ คนที่เขาเจียงมู่เฉินชอบ จะจับปลาสองมือไม่ได้ ไม่มีวันที่จะอยู่กับเขาแล้วยังยักคิ้วหลิ่วตาส่งผ่านความรักให้คนอื่นได้ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่ชอบแล้วเท่านั้น 

 

 

ข้างในห้องน้ำ ซือเหยี่ยนปรับน้ำอุ่นเรียบร้อย เติมน้ำลงอ่างเสร็จถึงได้ออกมา เขาเห็นเจียงมู่เฉินเอนกายพิงเตียง ผิวขาวผ่องใต้แสงไฟยิ่งสว่างตา เขามองหลบไปทางอื่นเล็กน้อย “น้ำเรียบร้อยแล้ว ไปอาบน้ำกันเถอะ” 

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นท่าทีของเขาก็ยิ้มเบาๆ คำพูดที่พูดออกมากลับดูซื่อๆ มาก “เพิ่งจะเต้นมาเหนื่อยๆ อยากได้อุ้ม” 

 

 

สันกรามซือเหยี่ยนอดจะเกร็งไม่ได้ เขามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง สบตาเข้ากับแววตาน้อยใจของอีกฝ่ายพอดี คิดไปคิดมาสุดท้ายก็เดินเข้าไปหา 

 

 

เขาประคองอุ้มเจียงมู่เฉินขึ้นมาอย่างนิ่มนวล ค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องน้ำ 

 

 

ในห้องน้ำปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของน้ำร้อน ซือเหยี่ยนอุ้มเจียงมู่เฉินเดินไปทางอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่มากๆ ข้างในมีหมอกและควันจางๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีกลิ่นอายของห้วงความรักขึ้นมาทีละนิด 

ถูกพาตัวไปต่อหน้าสาธารณชน

 

 

เพล้ง! ซือเหยี่ยนบีบแก้วแตกคามือ เขาคลายแก้วในมือออก สายตาจับจ้องมาที่เจียงมู่เฉินไม่ละไปไหน ขบกรามแน่นจนเห็นสันกรามชัดตา เขาแทบจะอยากกระโดดขึ้นเวทีไปฉุดปีศาจแสนยั่วเสน่ห์ตนนี้แบกขึ้นบ่ากลับบ้านไปให้รู้แล้วรู้รอด

 

 

สีหน้าดำคร่ำเคร่งของซือเหยี่ยนทำให้บริกรที่ยืนอยู่ข้างๆ พอดีตกใจกลัว เห็นกับตาตัวเองทั้งหมดแบบนี้ หนาวคอขึ้นมายังไงชอบกล สองคนสบตากัน ค่อยๆ ถอยออกห่างอย่างเงียบๆ

 

 

เจียงมู่เฉินที่อยู่บนเวทีโยนเสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวทิ้งไปเรียบร้อย บรรยากาศร้อนแรงขึ้นทันตา มือของเจียงมู่เฉินวางไว้ตรงกางเกงสีดำที่เหลือเพียงตัวเดียว

 

 

ยามเขาใช้มือปลดกระดุมกางเกงเม็ดแรกเม็ดนั้นลงมา คนทั้งไนต์คลับหายใจติดขัดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ทุกคนมองเอวเพรียวบางของอีธานตาไม่กะพริบ

 

 

เสียงดังโครมดังสนั่นมาจากข้างหลัง

 

 

เนื่องจากในไนต์คลับเงียบลงกะทันหัน เสียงดังนั้นจึงดังชัดเจนเป็นพิเศษ

 

 

ทุกคนพร้อมใจกันหันมามองหาต้นตอของเสียง แต่เห็นเพียงแค่โต๊ะที่พลิกคว่ำลงไป ซือเหยี่ยนนั่งหน้าตายอยู่โซฟาข้างๆ

 

 

บรรยากาศถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ แม้แต่ความรุ่มร้อนในไนต์คลับก็เย็นลงไปเพียงชั่วพริบตา

 

 

แววตาเจียงมู่เฉินฉายรอยยิ้มขึ้นมาวาบหนึ่ง เขาไม่กลัวเดินเท้าเปล่าลงเวทีไปทันที คนรอบข้างชะงักงัน ต่างหลีกทางให้อัตโนมัติ

 

 

เจียงมู่เฉินเดินตรงไปอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน เขานึกสนุกเอามือโอบไหล่ของซือเหยี่ยน ทั้งตัวแนบชิดไปกับร่างของซือเหยี่ยน

 

 

ทุกคนตะลึงงันกับภาพตรงหน้า ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

 

 

ซือเหยี่ยนยังคงสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม เพียงแต่กลิ่นอายแสนเย็นเฉียบราวกับว่าเพียงชั่วเวลานั้นค่อยๆเลือนลางจางลงไปอย่างช้าๆ

 

 

เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าของซือเหยี่ยน เขาโน้มตัวลงมากัดหูชายหนุ่มตรงหน้าเบาๆ

 

 

‘นี่ นี่เขาคือซือเหยี่ยนคนนั้น’

 

 

คิดไม่ถึงว่าอีธานจะพอใจในตัวซือเหยี่ยน มิหนำซ้ำยังทำเรื่องแบบนี้กับเขาอีก เวลานี้คนในไนต์คลับต่างก็มองมาที่ทั้งสองคน

 

 

ส่วนหนึ่งพากันอิจฉาซือเหยี่ยน

 

 

อีกส่วนหนึ่งพากันเป็นห่วงอีธาน กลัวซือเหยี่ยนปฏิเสธไม่ไว้หน้าเขา

 

 

เพียงครู่เดียวบรรยากาศก็ดูน่าระทึกขึ้นมา

 

 

เจียงมู่เฉินกัดหูซือเหยี่ยนเบาๆ ใช้เสียงต่ำที่มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่จะได้ยิน เอ่ยกระซิบ “ทำไม ฉันยังเต้นไม่เสร็จเลย นายก็ทนไม่ได้แล้วเหรอ”

 

 

ซือเหยี่ยนใช้มือโอบเอวเปลือยเปล่ากักตัวคนตรงหน้าเอาไว้ อดทนกอดร่างขาวบางไว้ในอ้อมอกของตัวเอง “ลงโทษจบหรือยัง”

 

 

เจียงมู่เฉินยกยิ้มเบาๆ “ไฟยังมอดไม่หมด แต่เห็นประธานซือรอฉันมาทั้งบ่ายแบบนี้ ต้องไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนายอยู่แล้ว”

 

 

เขาพูดไป พลางฉวยโอกาสกัดมุมปากซือเหยี่ยนไปทีหนึ่ง

 

 

ซือเหยี่ยนรัดเอวเขากระชับแน่นขึ้น เขากดหน้าลงกัดฟันพูด “ผมขอโทษ”

 

 

เจียงมู่เฉินมองเขาขำๆ “ไม่ใช่มั้ง ซือเหยี่ยน พวกเราเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะต้องมาขอโทษให้มากความที่ไหนกันล่ะ”

 

 

“คุณจะให้ผมทำยังไง”

 

 

“ประธานซือ นายก็ทำอย่างนั้นสิ” เจียงมู่เฉินจูบเขาเบาๆ กดเสียงต่ำเอ่ยเตือน

 

 

เสียงเจียงมู่เฉินเพิ่งจะหยุดลงก็มีเสื้อคลุมมาปกปิดเรือนร่าง ทั้งร่างก็ถูกอุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาว

 

 

เขามองดูเสื้อสูทของซือเหยี่ยน ไม่รู้ว่าถอดออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเอามาคลุมตัวเขาแบบนี้

 

 

ซือเหยี่ยนอุ้มเขาขึ้นมาแล้วจะเดินออกไปข้างนอก เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ทั้งร่างอยู่ในอ้อมอกของซือเหยี่ยนอย่างว่าง่าย

 

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

 

 

“ใครอนุญาตให้นายเอาตัวอีธานไป”

 

 

พนักงานในไนต์คลับยังคงตะลึงค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตรงหน้า หันมาสบตากันเลิกลั่กถามกันว่าจะต้องไปชิงตัวคนกลับมาไหม

 

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เฉิงฉีปรากฏตัวออกมา เขามองผู้จัดการไนต์คลับแวบหนึ่ง แล้วส่ายหัวไปมา

 

 

พนักงานในไนต์คลับถึงได้พากันหยุดการกระทำไม่เข้าไปยุ่งแล้ว ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ยอมให้พาตัวเจียงมู่เฉินออกไป

 

 

แต่…เจียงมู่เฉินถูกพาตัวไปต่อหน้าสาธารณชน ต่อให้พนักงานในไนต์คลับจะไม่เข้าไปยุ่ง พวกแขกที่ตั้งใจมาดูอีธานเป็นพิเศษก็ไม่มีทางยอม

 

 

ทุกคนจ้องซือเหยี่ยนเขม็งราวกับต้องการให้เขาปล่อยคนลงเดี๋ยวนั้น

นักแสดงนำอีธาน

 

 

“รบกวนเอาน้ำร้อนมาให้ฉันหน่อย” ซือเหยี่ยนเอ่ยปากอีก

 

 

“ได้ครับ จะไปเตรียมมาให้นะครับ” ผู้จัดการไนต์คลับลูบหน้าผากที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ รีบไปรินน้ำมาให้ซือเหยี่ยน

 

 

หลังจากเขาออกไป ซือเหยี่ยนนั่งเชิดมุมปากขึ้นเล็กน้อย เป็นนิสัยเคยตัวของเจียงมู่เฉินจริงๆ เหมือนกับที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด

 

 

ซือเหยี่ยนนั่งพิงโซฟาเอาขายาวไขว้ซ้อนกัน นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเจียงมู่เฉินขึ้นมา เป็นไปตามจริงอย่างที่เขาพูด เมื่อคืนไม่มีเจียงมู่เฉินอยู่ข้างกาย ยังไม่ค่อยชินแล้วจริงๆ

 

 

ซือเหยี่ยนหลับตาลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงอะไรอยู่ ใบหน้าแสนเย็นชาแต่แฝงความรู้สึกพะเน้าพะนอเกินจะเอ่ยได้

 

 

 

 

นอนหลับยาวจนถึงหกโมงเย็น เจียงมู่เฉินเพิ่งจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา นอนเอ้อระเหยอยู่บนเตียงอยู่สองสามนาทีถึงลุกออกจากเตียง

 

 

เวลาหกโมงครึ่ง เจียงมู่เฉินถึงเดินเอื่อยๆ ลงมาชั้นล่าง

 

 

คืนนี้ไนต์คลับหลานเยี่ยคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนจำนวนไม่น้อยตั้งใจรีบมา ทั้งหมดก็เพื่อราชา อีธาน

 

 

เป็นที่รู้กัน อีธานคือบุคคลลึกลับที่สุดคนหนึ่งของถานโจว ทุกครั้งจะสวมหน้ากากมา เห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน ยามเต้นรำกลับมีเสน่ห์เย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก หากได้สบตา แม้แต่วิญญาณก็ถูกกระชากไปได้

 

 

อีกอย่างโชว์ของเขาไม่ใช่ว่าอยากจะดูก็ดูได้

 

 

การแสดงของอีธานขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา บางครั้งในหนึ่งเดือนก็ปรากฏกายสามครั้ง บางคราครึ่งปีหนึ่งปีก็ไม่ปรากฏกายมาเลยสักครั้ง

 

 

ดังนั้น เอ่ยถึงหลานเยี่ยไม่มีใครไม่รู้จัก ‘อีธาน’

 

 

“ได้ยินว่าคืนนี้อีธานจะโชว์ระบำเปลื้องผ้า” คนข้างๆ คุยซุบซิบเรื่องนี้ด้วยความตื่นเต้นดีใจไม่หยุดปาก

 

 

“ฉันมาหลานเยี่ยตั้งหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นเขาระบำเปลื้องผ้า”

 

 

“ทันทีที่ทราบข่าวว่าคืนนี้อีธานจะมา ฉันก็รีบมาทันที ใครจะรู้ว่าถ้าพลาดครั้งนี้ ครั้งต่อไปจะมาเมื่อไหร่”

 

 

ซือเหยี่ยนนั่งฟังได้ยินข้างหูอยู่ตลอดเวลา เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ลางสังหรณ์บอกเขาว่าจะมีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้น

 

 

 

 

เวลาหนึ่งทุ่มตรง ผู้คนอุ่นหนาฝาคั่งเต็มหลานเยี่ยคึกคักจนถึงขีดสุด ทุกคนจดจ้องไปยังเวทีเต้นรำ ตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

ทันใดนั้นเงาคนๆ หนึ่งก็เดินออกมาอย่างช้าๆ แสงไฟสาดส่องกระทบเรือนร่างของเขา เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาหลวมโคร่งคลุมเรือนกาย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กระดุมสองเม็ดบนถูกปลดออก ทั่วร่างฉายความกรีดกรายออกมา

 

 

ทันทีที่เขาปรากฏกาย คนทั้งหลานเยี่ยก็เสียการควบคุม ถ้าไม่ใช่ว่าได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า คาดว่าคงจะมีคนพุ่งตัวขึ้นไปอย่างไม่คิดชีวิต

 

 

เจียงมู่เฉินสวมหน้ากากที่ทำมาพิเศษ ไม่ค่อยจะเหมือนกันกับคราวก่อนที่ขึ้นไปเต้นตามสบายแล้วแต่จะเต้น หน้ากากครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของอีธาน เผยให้ใบหน้าเพียงครึ่งที่แต่งเติมเพิ่มสีสันเข้าไป

 

 

ไม่ว่าใครก็ดูไม่ออก ไม่มีใครคาดคิดว่าปีศาจแสนยั่วเสน่ห์ในร่างคนบนเวทีนี้จะคือคุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้เย่อหยิ่งคนนั้น

 

 

เท้าเปล่าก้าวขึ้นไปบนเวที ผิวขาวบริสุทธิ์ย่ำเหยียบบนพื้นหลากสี ช่างเย้ายวนใจไม่ธรรมดา

 

 

ก่อนอีธานจะเดินถึงฟลอร์เต้นรำ กวาดสายตาเล็กน้อยมองไนต์คลับที่มืดสลัว ณ มุมๆ หนึ่งพบเงาอันคุ้นเคยของใครบางคน เขาอดที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นไม่ได้

 

 

สายตาซือเหยี่ยนจับจ้องการปรากฏกายของอีธานเพียงชั่วพริบตา ม่านตาหดเกร็งรุนแรง

 

 

นึกไม่ถึงว่าอีธานคนนี้ก็คือเจียงมู่เฉิน ไม่ว่าเจียงมู่เฉินปกปิดอำพรางแค่ไหน ซือเหยี่ยนก็จะมองออกตั้งแต่คราแรก

 

 

เขากำแก้วในมือแน่น แรงมหาศาลราวกับจะบีบให้แก้วนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนสีทีละนิดของเขา แล้วยกยิ้มยั่วยุให้

 

 

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เสียงเพลงดังขึ้น เจียงมู่เฉินร่อนร่ายเรือนกาย ทุกอณูผิวเปล่งปลั่งเสริมเสน่ห์เฉพาะตัวของเจียงมู่เฉิน

 

 

มือเรียวยาวขาวผ่องวางบนเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านหน้า วนอ้อยอิ่งไปมาไม่หยุด คว้าสายตาของทุกคนไว้แน่นสนิท ท่ามกลางการรอคอยของผู้ชม เขาได้ปลดกระดุมลง

 

 

เรือนผิวขาวผ่องเผยออกมา เขายิ้มเบาๆ พลางเปลื้องเสื้อผ้าบนกายออก ทีละนิดตั้งแต่ไหล่มนลงมายังแผ่นหลัง

 

 

จนค่อยๆ เผยหน้าท้องแสนแบนราบ…

ระบำเปลื้องผ้า

 

 

เจียงมู่เฉินหลังจากออกจากซือกรุ๊ปก็นั่งรถตรงไปยังหลานเยี่ยทันที ในร้านมีแขกไม่กี่คนอยู่กระจัดกระจายกัน

 

 

เขาตรงขึ้นชั้นสองด้วยความชินทาง พุ่งตัวเข้าห้องรับรองที่ตัวเองไปประจำ แล้วเอนกายพิงโซฟา โทรศัพท์ให้คนขึ้นมาส่งเหล้า

 

 

เจียงมู่เฉินพุ่งตัวเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ ต่อจากนั้นก็สวมชุดคลุมอาบน้ำตัวหลวมโคร่งเดินออกมา เผยให้เห็นขาเรียวยาวแสนขาวผ่อง วับๆ แวมๆ ผ่านเนื้อผ้าออกมาตามจังหวะการเดิน

 

 

เหล้าที่สั่งมาส่งเรียบร้อย เขายื่นมือเปิดขวดเหล้าเทรินใส่แก้ว คนทั้งคนเอนหลังพิงโซฟา นั่งไขว้ขาเผยมัดกล้ามเนื้อออกมา

 

 

ยามนี้เจียงมู่เฉินดูน่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ เรือนกายเผยให้เชยชมโดยไม่ทันระวังของเขาช่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจสะดุดตาเหลือเกิน นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องประคองถือแก้วเบาๆ 

 

 

ท่าทีของเขาดูเลื่อนลอยอย่างบอกไม่ถูก ท่าทีเรียบๆ นิ่งๆ ดึงดูดสายตาคนโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ละสายตาไปไม่ได้

 

 

เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ดื่มเหล้าไปสองแก้วอย่างช้าๆ

 

 

มีคนเคาะประตูห้องจากข้างนอกเข้ามา เจียงมู่เฉินถือแก้วไว้ครึ่งใบ เอ่ยถามเสียงเรียบ “ใคร?”

 

 

“คุณชายเจียง ข้างมีคนต้องการพบคุณครับ”

 

 

“ใคร?”

 

 

“คุณซือเหยี่ยนครับ”

 

 

มือข้างที่ถือแก้วเหล้าของเจียงมู่เฉินชะงักไป เผยอมุมปากขึ้นอย่างตามใจ “ให้เขารอก่อน”

 

 

คนนอกประตูเงียบลงสักพัก อยากพูดอะไรสักอย่าง

 

 

“ถ้าซือเหยี่ยนไม่ยอมรอ เขาก็จะออกจากที่นี่ไปเอง” หลังจากเจียงมู่เฉินพูดประโยคนี้จบ ในห้องก็เงียบลงทันที

 

 

คนข้างนอกถึงได้เอ่ยตอบ “ได้ครับคุณชายเจียง”

 

 

รอจนเสียงฝีเท้าห่างไกลออกไป เจียงมู่เฉินถึงค่อยๆ วางแก้วเหล้าในมือลงแล้วลูบไปมา

 

 

คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่หลานเยี่ย แล้วยังเป็นฝ่ายมาหาเขาเองอีก

 

 

หนึ่งชั่วโมงกับอีกสามนาที

 

 

รวดเร็วไม่เบา เจียงมู่เฉินใคร่อยากรู้จริงๆ ว่าซือเหยี่ยนไปรับลูกสาวของอาจารย์เขามาได้ยังไง

 

 

‘เป็นเขาเจียงมู่เฉินที่พูดเพ้อเจ้อไปเอง หรือซือเหยี่ยนไปหยอดคำหวานใส่หลินเหวินฮุ่ยหลอกให้เธอกลับไป’

 

 

เจียงมู่เฉินยกยิ้มมุมปาก ต่อสายโทรศัพท์หาเฉิงฉี

 

 

“คืนนี้ช่วยฉันจัดโชว์หน่อยนะ”

 

 

“มันเรื่องอะไรกัน?” เฉิงฉีตกใจจนฉี่เกือบราด

 

 

“ไม่มีอะไร อารมณ์ดี เรียกแขกให้นายฟรีๆ ไม่หักเปอร์เซ็นต์นายด้วย”

 

 

หลังเฉิงฉีฟังจบก็ถามต่อ “เต้นอะไร?”

 

 

เจียงมู่เฉินยกมุมปาก “ระบำเปลื้องผ้า”

 

 

“เปลื้องผ้า…แค่กแค่กแค่ก…ระบำเปลื้องผ้า” เฉิงฉีเกือบจะกัดลิ้นตัวเองแล้ว “นายไม่ได้พูดผิดหรอกใช่ไหม”

 

 

เจียงมู่เฉินวางแก้วประทับแนบริมฝีปากเบาๆ เขาจิบเหล้าเข้าไปคำหนึ่ง ก่อนเอ่ย “ฉันมีลิมิตของตัวเองอยู่”

 

 

เขาพูดจบก็ตัดสายทิ้งไป

 

 

เจียงมู่เฉินยันกายขึ้นมานั่ง เดินเท้าเปล่าไปยังฝั่งหน้าต่าง เขาเป่าลมใส่กระจกแล้วเขียนลงไปสองคำ เขามองตัวอักษรบนกระจกใสแล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ

 

 

‘ซือเหยี่ยน จะสู้กับฉัน มันยังห่างชั้นกันไกล’

 

 

เขาเจียงมู่เฉินต่อให้ชอบคนอื่นเข้าแล้ว ก็จะไม่มีทางลดชั้นตัวเองลง

 

 

เชิดมุมปาก แก้สายชุดคลุมอาบน้ำออกสบายๆ ปล่อยให้ชุดคลุมอาบน้ำที่ไม่ได้ผูกสายไว้ เลื่อนหล่นไปตามเรือนร่างจนตกลงพื้น

 

 

เจียงมู่เฉินนอนลงบนเตียงสีเทาเข้มหลังใหญ่ หลับตาลงเบาๆ

 

 

กว่าจะหนึ่งทุ่ม ยังเหลืออีกห้าชั่วโมง เขาจะได้นอนชดเชยพอดี

 

 

 

 

ที่ชั้นล่างซือเหยี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้หนัง ผู้จัดการที่ขึ้นไปแจ้งเรื่องเมื่อครู่ยืนอยู่หน้าเขา รายงานคำสั่ง “คุณชายเจียงบอกว่าให้คุณรอก่อนครับ”

 

 

ซือเหยี่ยนผู้นั่งในมุมมืด มองสีหน้าอารมณ์ไม่ได้ชัดเจนนัก

 

 

เขาคิดไปคิดมา ก่อนจะเสริมต่ออีกประโยค “คุณชายเจียงบอกว่า ถ้าคุณไม่ยอมรอ ก็กลับไปก่อนได้ครับ

 

 

ผู้จัดการไนต์คลับในใจอดจะกังวลไม่ได้ ทั้งซือเหยี่ยนและคุณชายเจียงรับมือยากด้วยกันทั้งคู่ ใครจะรู้ว่าวันนี้ลมอะไรหอบสองเซียนใหญ่มาเจอกันได้

 

 

“อืม รู้แล้ว” ซือเหยี่ยนนั่งบนเก้าอี้ เอ่ยเสียงเรียบ

 

 

ผู้จัดการไนต์คลับตกใจจนสะดุ้ง ‘รู้แล้ว’ คืออารมณ์ไหนกัน นี่คือโกรธหรือไม่โกรธ อยากไปหรือไม่ไป

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 80 อ่านนิยาย


เวลา เจียงมู่เฉิน ได้เห็นหน้าของ ซือเหยี่ยน ก็จะต้องรู้สึกหงุดหงิดใจไปเสียทุกครั้ง เพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือรูปร่างที่ชวนให้ผู้หญิงหลงใหล กระทั่งผู้ชายด้วยกันยังต้องอิจฉา ไหนจะท่าทางเย็นชาที่มองเขานั่นอีกล่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ไม่เคยเอาชนะซือเหยี่ยนได้เลย กระทั่งพ่อแม่ยังเอาแต่ชื่นชมอีกฝ่าย แต่คุณชายจอมเอาแต่ใจอย่างเจียงมู่เฉินมีหรือจะยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อแผนการชั่วร้ายผุดขึ้นมาในหัว แผนการจีบซือเหยี่ยนเพื่อหักอกอีกฝ่ายจึงเริ่มต้นขึ้นและผู้ชนะครั้งนี้ต้องเป็นเขา! หึหึ ซือเหยี่ยนเอ๋ย นายเตรียมตัวนอนร้องไห้เพราะถูกฉันทิ้งได้เลย และครั้งนี้ฉันไม่แพ้แน่!

Options

not work with dark mode
Reset