Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 967 เทพแห่งความตาย!

ตอนที่ 967 เทพแห่งความตาย!

จางห​ยิง​ห่า​ว​วาง​ปืนพก​สีดำ​ลง​บน​โต๊ะ​

นี่​มัน​หมายความว่า​อย่างไร​

หลาย​คน​สงสัย​ แต่​ทันใดนั้น​ปืนพก​สีดำ​ก็​ลุกขึ้น​ก่อน​หันมา​ทาง​กู่​ฉิงซาน​

“โย่​ เจ้าหนู​ ช่วงนี้​เป็น​ยังไง​บ้าง​”

ปืนพก​พูด​ได้​

กู่​ฉิงซาน​ตกตะลึง​สักพัก​ ทันใดนั้น​ก็​นึกถึง​ร่าง​อัน​คุ้นเคย​

มัน​คือ​ปืน​ที่​ทรงพลัง​ สามารถ​ทำลาย​ศัตรู​ได้​อย่าง​สบาย​ๆ

ตอน​มัน​หันไป​ที่​ท​ริ​สเต้​ ท​ริ​สเต้​ไม่กล้า​ลงมือ​บุ่มบ่าม​

แบร์​รี่​และ​เสี่ยว​เมีย​ว​เป็น​สหาย​ของ​มัน​ ย​วิน​จีและ​เฉิน​หวัง​เป็น​พี่น้อง​เช่นกัน​

แต่​ตอน​ไป​สำนัก​เพื่อ​สำรวจ​วิญญาณ​กรีดร้อง​ มัน​พ่ายแพ้​ให้​กับ​วิญญาณ​กรีดร้อง​ ผู้พิทักษ์​หอคอย​รายงาน​ว่า​มัน​ถูก​ทำลาย​

“ท่าน​คือ​ปืนพก​อาวุโส​นี่​!” เขา​กล่าว​เสียงดัง​

ปืนพก​สีดำ​กล่าวว่า​ “ข้า​เอง​ ไม่ได้​เจอกัน​นาน​นะ​”

“ท่าน​ไม่ได้​สละ​ชีพ​ไป​แล้ว​หรือ​” กู่​ฉิงซาน​รีบ​ถาม

ปืนพก​สีดำ​ถอนหายใจ​ “สัตว์ประหลาด​นั่น​ทรงพลัง​ ข้า​เพิ่ง​ตื่นขึ้น​มาใน​วินาที​สุดท้าย​ เป็นไปไม่ได้​ที่จะ​เอาชนะ​ได้​ด้วยตัวเอง​”

“ดังนั้น​…”

“ดังนั้น​ ด้วย​เศษเสี้ยว​พละกำลัง​สุดท้าย​ ข้า​เอา​ชิ้น​ส่วนสำคัญ​บางส่วน​หลบหนี​ออกมา​ทันที​ที่เกิด​การสลายตัว​ก่อน​ล่องลอย​ไป​ใน​วังวน​ความว่างเปล่า​อยู่​หลาย​สิบ​วัน​ ท้ายที่สุด​ก็​รวบรวม​ชิ้นส่วน​เหล่านี้​มาสร้าง​ปืนพก​กระบอก​นี้​ขึ้น​มา”

ปืนพก​สีดำ​ไอ​เล็กน้อย​ก่อน​กล่าว​อย่าง​เคร่งขรึม​ว่า​ “ยินดี​ที่​ได้​รู้จัก​อีกครั้ง​ โปรด​เรียก​ข้า​ว่า​ปืนกล​มือ​”

กู่​ฉิงซาน​มอง​มัน​ จากนั้น​มอง​จางห​ยิง​ห่า​ว​แล้ว​ถามว่า​ “ท่าน​พบ​สหาย​ของ​ข้า​ได้​ยังไง​”

ปืนพก​สีดำ​ตอบ​ว่า​ “ฝีมือ​การลอบสังหาร​ของ​เสี่ยว​ห​ยิง​ห่า​ว​นับว่า​ดี​ ระดับ​การ​ใช้ปืนกล​มือ​และ​ปืนพก​ก็​ใช้ได้​ แต่​พละกำลัง​ยัง​ต่ำ​ไป​เสียหน่อย​ อย่าง​น้อย​พละกำลัง​ก็​ยัง​สามารถ​พัฒนา​เสมอ​ได้​”

“เสี่ยว​ห​ยิง​ห่า​ว​ตามหา​ปืน​จาก​นักฆ่า​ใน​โลก​พลังจิต​ ข้า​ได้รับ​การ​แนะนำ​ให้​รู้จัก​กับ​เขา​จาก​นัก​ล่า​ใน​โลก​พลังจิต​หลังจาก​ใคร่ครวญ​อย่าง​ถี่ถ้วน​แล้ว​”

จางห​ยิง​ห่า​วอ​ธิบาย​ว่า​ “ผู้อาวุโส​และ​ข้า​ทำ​ข้อตกลง​กัน​ เขา​จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่​กับ​ข้า​ ข้า​จะรวบรวม​ชิ้นส่วน​พิเศษ​เพื่อ​นำมา​ซ่อมแซม​ช้าๆ สุดท้าย​ก็​ช่วย​เขา​กลับคืน​สู่สภาพ​สูงสุด​”

กู่​ฉิงซาน​ประหลาดใจ​

เขา​พลัน​จำได้​ว่า​เคย​เห็น​รายการ​ค่าหัว​ของ​จางห​ยิง​ห่า​ว​เมื่อไม่นานมานี้​ ใน​ตอนนั้น​ จางห​ยิง​ห่า​ว​ถือ​ปืนพก​ใน​มือ​ข้าง​หนึ่ง​และ​ถือ​ไพ่​ไว้​ใน​มือ​อีก​ข้าง​

ดูท่า​เขา​จะใช้ปืน​กระบอก​นี้​เมื่อนานมาแล้ว​ วิธี​การต่อสู้​ของ​เขา​เติบโต​ขึ้น​มาก​ นี่​สร้าง​ความประทับใจ​ให้​กับ​ผู้คน​จำนวนมาก​จน​เป็นการ​สร้าง​สถิติ​ใหม่​

“ดีมาก​” กู่​ฉิงซาน​ชื่นชม​ “ข้า​คิด​เสมอ​ว่า​อุปกรณ์​และ​จิตใจ​สำคัญ​กว่า​พละกำลัง​ใน​หลาย​กรณี​ เจ้าทำได้​ดีมาก​เลย​ล่ะ​”

“มัน​ก็​จริง​ การ​ฆ่าก็​เหมือนกับ​การล่าสัตว์​อสูร​ มัน​ดีกว่า​การ​ล่า​มนุษย์​เสมอ​ แต่​สำหรับ​มนุษย์​ มัน​มีวิธีใช้​พลัง​ที่​แก่กล้า​เพื่อ​ล่า​เป้าหมาย​อย่าง​เหมาะสม​” จางห​ยิง​ห่า​วก​ล่า​ว​

ทั้งสอง​ชก​กำปั้น​เข้าใส่​กัน​

ตอนนี้​ แม่ทัพ​หนาม​ลิ​เลีย​เดิน​เข้ามา​ใน​ห้อง​แล้ว​รายงาน​ว่า​ “นาย​ท่าน​ พิธี​กำลังจะ​เริ่ม​แล้ว​ แขก​จาก​ทุก​โลก​มาถึงและ​พร้อม​จะรับ​ชมพิธี​แล้ว​”

“รับ​ชมพิธี​หรือ​ มีประโยชน์​อะไร​ที่มา​รับ​ชมล่ะ​” ลอ​ร่า​สับสน​

“นาย​ท่าน​ ท่าน​ลืม​ไป​แล้ว​หรือ​ พวกเรา​ปล่อยข่าว​ไป​นาน​แล้ว​และ​มีกำหนด​จะจัด​พิธี​ตั้งแต่​ท่าน​เอิร์ล​ให้​เย่เฟย​หลี​ใน​เย็น​วันนี้​” ลิ​เลีย​เตือน​

“อ้อ​ เป็น​แบบนี้​นี่เอง​ ข้า​เพิ่ง​กลับมา​จน​ลืม​ไป​ชั่วครู่​น่ะ​” ลอ​ร่า​พลัน​เข้าใจ​

นาง​มอง​เย่เฟย​หลี​ ตอนนี้​นาง​มีความรู้สึก​ดี​กับ​เย่เฟย​หลี​ ยังไง​เสีย​ อีก​ฝ่าย​สามารถ​ช่วย​นาง​ให้​รักษา​รูปร่าง​ได้​ อีก​ทั้ง​ยัง​เป็น​สหาย​ของ​กู่​ฉิงซาน​อีกด้วย​

“ไป​กัน​เถอะ​ เย่เฟย​หลี​ มากับ​ข้า​เพื่อ​ทำพิธี​แต่งตั้ง​ต่อหน้า​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​ให้​เสร็จสิ้น​” ลอ​ร่า​โบกมือ​

“นี่​ไม่ได้​ใช้เพื่อ​เรียก​จางห​ยิง​ห่า​ว​มาโดยเฉพาะ​หรอก​หรือ​ ทำไม​ถึงต้อง​จริงจัง​ด้วย​” เย่เฟย​หลี​ถาม

“ข้า​คือ​ราชินี​ ข้า​จะทำ​ผิดพลาด​ได้​ยังไง​ อีก​อย่าง​ เจ้าจะต้องสู้​ร่วมกับ​ข้า​และ​กู่​ฉิงซาน​ในอนาคต​ เจ้าจะว่า​ยังไง​ล่ะ​” ลอ​ร่า​ถามกลับ​

“ข้า​ไม่คิด​อย่างนั้น​ มีหลาย​คน​กำลัง​ไล่ตาม​พวกเรา​ตอน​ขากลับ​ ดังนั้น​ข้า​ไม่คิด​ว่า​เจ้าควร​ปรากฏ​ตัวต่อ​ที่สาธารณะ​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​

ลิ​เลีย​เห็นด้วย​ “นาย​ท่าน​ ข้า​ยัง​มีเรื่อง​รายงาน​อีก​ พวกเรา​ได้รับ​ข้อมูล​ลับ​มา ความปลอดภัย​ของ​ท่าน​กำลัง​เผชิญ​กับ​การ​ท้าทาย​ครั้ง​ใหญ่​”

“ข้า​ถูก​ของ​ชิ้น​หนึ่ง​เตือน​เรื่อง​ความปลอดภัย​ตอน​อยู่​บน​ยาน​ แต่​ใคร​กัน​จะกล้า​เล่นงาน​ข้า​ เขา​ไม่กลัว​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​เลย​หรือ​ เขา​ไม่กลัว​ว่า​ข้า​จะฆ่ากลับ​ด้วย​โลก​สมบัติ​เก้า​พัน​ใบ​หรือ​” ลอ​ร่า​กล่าว​อย่าง​หงุดหงิด​

กู่​ฉิงซาน​คร่ำครวญ​ว่า​ “ถ้าอีก​ฝ่าย​กล้า​ปรากฏตัว​ หมายความว่า​เขา​ต้อง​มีวิธี​จัดการ​กับ​เจ้าแน่​ มีความสามารถ​แปลกประหลาด​มากเกินไป​ใน​โลก​นับ​พัน​ล้าน​ใบ​ แถมเป้าหมาย​ของ​พวกเรา​ก็​ยัง​ชัดเจน​มาก​อีกด้วย​ ยังไง​เสีย​ ความปลอดภัย​ของ​เจ้าคือ​ปัญหา​ที่​ต้อง​ได้รับ​การ​แก้ไข​ให้​ทันท่วงที​”

“เจ้าจะช่วย​หรือ​” ลอ​ร่า​ถาม

“ใช่ ข้า​จะกลายเป็น​เจ้า” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​

“เจ้าจะกลายเป็น​ข้า​หรือ​” ลอ​ร่า​ถามด้วย​ความประหลาดใจ​

“อืม​ ข้า​จะแสร้ง​เป็น​เจ้า หลิน​กับ​จางห​ยิง​ห่า​ว​ติดตาม​ข้า​ พอ​อันตราย​มาถึง พวกเรา​ก็​อัด​มัน​ จากนั้น​ก็​สืบหา​ต้นตอ​ของ​สาเหตุ​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​

หลิน​เห็นด้วย​ “ใช่ จะปล่อย​ให้​ถูก​จับจ้อง​ใน​ความมืด​ไป​ตลอด​แบบนี้​ไม่ได้​ รีบ​แก้ไข​ให้​มัน​จบ​ๆ ไป​เลย​จะดีกว่า​”

กู่​ฉิงซาน​มอง​คนอื่น​ “พวก​เจ้าคิด​ว่า​ไง”

จางห​ยิง​ห่า​วต​อบ​ว่า​ “ข้า​ไม่มีปัญหา​”

เขา​หยิบ​ปืนพก​ขึ้น​มา จู่ๆ ก็​ไม่รู้​ว่า​จะซ่อน​มัน​ไว้​ที่ไหน​

เย่เฟย​หลี​กล่าวว่า​ “ข้า​ก็​เหมือนกัน​”

กู่​ฉิงซาน​มอง​ลอ​ร่า​ ในที่สุด​ก็​ถามว่า​ “ลอ​ร่า​ เจ้าคิด​ว่า​ไง”

ลอ​ร่า​กำหมัด​เล็กน้อย​แล้ว​ถามอย่าง​เดือดดาล​ว่า​ “กู่​ฉิงซาน​ เจ้าแน่ใจ​หรือ​”

“นี่​นับว่า​เป็นเรื่อง​เล็กๆ น้อยๆ​ คน​ส่วนใหญ่​จะถูก​อัด​จน​ราบ​ทันที​เมื่อ​อยู่​ต่อหน้า​พวกเรา​ ไม่มีปัญหา​แน่นอน​หาก​ไม่ใช่วิญญาณ​กรีดร้อง​” กู่​ฉิงซาน​ยิ้ม​

ลอ​ร่า​กล่าวว่า​ “เอาเถอะ​ ข้า​เห็นด้วย​ แต่​เจ้าจะแสร้ง​เป็น​ข้า​ยังไง​ ข้า​ต้อง​เรียก​ให้​ช่างแต่งหน้า​ส่วนตัว​มาช่วย​ไหม​”

“ไม่ต้อง​ ขอยืม​เส้น​ผม​เจ้าสัก​เส้น​ก็​พอ​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​

เส้น​ผม​หรือ​

โดย​ไม่ลังเล​ ลอ​ร่า​ดึง​ผม​หนึ่ง​เส้น​ไป​วาง​ไว้​ใน​ฝ่ามือ​ของ​กู่​ฉิงซาน​

อีก​ด้าน​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​ แอน​นา​และ​หนิง​เย​ว่​ฉาน​นั่ง​บน​ไพ่​ขนาดใหญ่​ ใช้พลัง​สายลม​จาก​ความว่างเปล่า​เพื่อ​เคลื่อน​ไป​ทาง​พื้นที่​เอก​ฐาน​อย่าง​รวดเร็ว​

สีหน้า​ของ​หนิง​เย​ว่​ฉาน​ยิ่ง​มายิ่ง​เคร่งขรึม​

“ปล่อย​ไว้​แบบนี้​ต่อ​ไม่ได้​ ข้า​รู้สึก​แล้ว​ว่า​มีภัยพิบัติ​ที่​ขัดขืน​ไม่ได้​กำลัง​ใกล้​เข้ามา​อย่าง​ต่อเนื่อง​” นาง​กล่าว​

แอน​นา​ถามว่า​ “ข้า​ได้ยิน​ว่า​ผู้ฝึก​ยุทธ​อย่าง​เจ้าทุกคน​มีการรับรู้​วิญญาณ​ นี่​คือ​การรับรู้​วิญญาณ​ของ​เจ้าหรือ​”

“ใช่แล้ว​” หนิง​เย​ว่​ฉาน​ยืนยัน​ “ข้า​แทบจะ​มองเห็น​เศษเสี้ยว​ความตาย​ของ​ข้า​เลย​ด้วย​ พวกเรา​จะไป​ทั้ง​อย่างนี้​ไม่ได้​ ต้อง​หาทาง​อื่น​ด้วย​”

ซูเสวี่ยเอ้อร์​ครุ่นคิด​สักพัก​ก่อน​เริ่ม​จั่วไพ่​ใน​ความว่างเปล่า​

นาง​จั่วไพ่​รวดเดียว​ ออกมา​สิบสอง​ใบ​ หยิบ​ไพ่​อัญเชิญ​จาก​ใน​นั้น​ออกมา​ก่อน​โยน​พวก​มัน​ทั้งหมด​เข้าไป​ใน​ความว่างเปล่า​ด้านหลัง​

ไพ่​เหล่านั้น​หาย​ไป​ใน​สายลม​ กลายเป็น​วีรชน​ทะเล​โลหิต​เพื่อ​ขวางทาง​

มือ​ของ​ซูเสวี่ยเอ้อร์​ขยับ​อย่าง​ต่อเนื่อง​ จั่วไพ่​ออกมา​อีกครั้ง​ ปล่อย​ไพ่​อัญเชิญ​ออก​ไป​อีก​ครา​

ผ่าน​ไป​สักพัก​ นาง​ใช้พลัง​วิญญาณ​จน​เกือบ​หมด​

“ข้า​หวัง​ว่า​นี่​จะถ่วงเวลา​เอาไว้​ได้​”

ซูเสวี่ยเอ้อร์​ถอนหายใจ​

“ข้า​จะดู​ให้​” หนิง​เย​ว่​ฉาน​หลับตา​ขณะ​กล่าว​เช่นนั้น​

นาง​เงียบ​ไป​หลาย​อึดใจ​ก่อน​ถอนหายใจ​ออกมา​

“ไม่ จุดจบ​แห่ง​ความตาย​ยัง​ไม่แตกสลาย​ บางสิ่ง​ที่​น่า​สะพรึง​กำลัง​เข้าใกล้​พวกเรา​เรื่อยๆ​”

ทั้ง​ซูเสวี่ยเอ้อร์​และ​แอน​นา​รู้สึก​หดหู่​เล็กน้อย​

ความจริง​ พวก​นาง​ก็​รู้สึก​ไม่มาก​ก็​น้อย​

ยังไง​เสีย​ ใน​กระแส​วังวน​ที่​ไล่หลัง​มา พลัง​ยิ่งใหญ่​สุดประมาณ​ค่อยๆ​ ขยายตัว​ขึ้น​

นั่น​คือ​พลัง​ยิ่งใหญ่​เกิน​กว่า​พละกำลัง​ของ​พวก​นาง​ ไม่ใช่สิ่งที่จะ​สามารถ​ขัดขืน​ได้​อย่าง​แน่นอน​

“ไม่มีหนทาง​แล้ว​” แอน​นา​กล่าว​

นาง​ยืน​ขึ้น​ก่อน​เดิน​ไป​สุด​ขอบ​ไพ่​ยักษ์​

เปลวเพลิง​สีดำ​ไม่มีสิ้นสุด​เผาไหม้​บน​ตัวนาง​ เส้น​ผม​ยาว​สีแดง​ร้อนแรง​ปลิว​ไสว​ตาม​สายลม​

“แอน​นา​ เจ้าคิด​จะทำ​อะไร​น่ะ​” ซูเสวี่ยเอ้อร์​ถาม

แอน​นา​ตอบ​อย่าง​สงบ​ว่า​ “ข้า​รู้สึก​ถึงลมหายใจ​ของ​มัน​แล้ว​ พวกเรา​เอาชนะ​มัน​ไม่ได้​หรอก​ หาก​ยัง​เป็น​แบบนี้​ต่อไป​ ทุกคน​จะตาย​ คง​ดีกว่า​ที่จะ​ให้​ข้า​เผา​ชีวิต​ตัวเอง​เพื่อ​หยุด​มัน​”

ซูเสวี่ยเอ้อร์อด​ที่จะ​กรีดร้อง​ออกมา​ไม่ได้​ก่อน​กล่าวว่า​ “ไม่ เจ้าจะมายอมแพ้​ไม่ได้​ พวกเรา​กำลังจะ​ถึงพื้นที่​เอก​ฐาน​แล้ว​”

นาง​ระเบิด​พลัง​วิญญาณ​เฮือกสุดท้าย​ออกมา​ ยก​มือขึ้น​แล้ว​กระจาย​ใส่ไพ่​ทั้งหมด​ใน​ความว่างเปล่า​ที่อยู่​ด้านหลัง​

“เปล่าประโยชน์​ เจ้าและ​หนิง​เย​ว่​ฉาน​จะต้อง​ส่งบัญญัติ​ราชา​มาร​ให้​กู่​ฉิงซาน​ นี่​ข้อง​เกี่ยวกับ​ชีวิต​และ​ทุก​สิ่งของ​เขา​ ดังนั้น​เจ้าทำ​อะไร​ไม่ได้​แล้ว​ล่ะ​”

แอน​นา​เผย​รอยยิ้ม​เด็ดขาด​ออกมา​

“และ​ที่​ตัว​ข้า​ไม่มีบัญญัติ​ มีเพียง​ข้า​ที่​หยุด​ศัตรู​ได้​”

หนิง​เย​ว่​ฉาน​พลัน​เคลื่อนไหว​

นาง​ตบ​ถุงเก็บ​ของ​ หยิบ​ขวด​ยาเม็ด​ออกมา​แล้ว​ส่งให้​แอน​นา​

“ยาเม็ด​พลัง​อมตะ​ชั่วคราว​สามารถ​ช่วย​เจ้าได้​”

“ขอบคุณ​” แอน​นา​รับ​ขวด​มาอย่าง​ไม่ลังเล​

หนิง​เย​ว่​ฉาน​กล่าวว่า​ “ข้า​สิที่​ควร​ขอบคุณ​ ที่จริง​ ข้า​ไม่กลัว​ตาย​หรอก​ แต่​ข้า​มีบางสิ่ง​ที่​ต้อง​ทำ​ ดังนั้น​ครั้งนี้​ข้า​ติดหนี้​เจ้า”

แอน​นา​กล่าวว่า​ “ข้า​ก็​เช่นกัน​”

เสียง​ของ​นาง​พลัน​ติดขัด​

“แอน​นา​ตัว​น้อย​”

เสียงต่ำ​พลัน​ดัง​ขึ้น​

เปลวไฟ​สีดำ​ปกคลุม​ความว่างเปล่า​

เปลวเพลิง​เหล่านี้​ตกลง​บน​ไพ่​ยักษ์​ก่อน​กลายเป็น​สุนัข​สีดำ​

“ท่าน​เทพ​สุนัข​ ท่าน​มาได้​ยังไง​!”

แอน​นา​ตกตะลึง​ก่อน​พลัน​ตะโกน​เช่นนั้น​ออกมา​

สุนัข​สีดำ​เข้าหา​นาง​ช้าๆ ก่อน​ยิ้ม​ออกมา​ “ทำไม​ข้า​จะมาไม่ได้​ จะให้​ดื่ม​แต่​สุรา​ของ​เจ้าหรือไง​ ตอนนี้​เจ้ากำลังจะ​ตาย​ เป็นธรรมดา​ที่​ข้า​อยาก​จะช่วย​เจ้า”

แอน​นา​ลังเล​ “แต่​พละกำลัง​ของ​ท่าน​เอาชนะ​มัน​ไม่ได้​”

“ไม่ มัน​ไม่ได้​เรียบง่าย​อย่าง​ที่​เจ้าคิด​หรอก​นะ​” สุนัข​สีดำ​ขัด​นาง​ สีหน้า​ค่อยๆ​ จริงจัง​ขึ้น​มา “จาก​ยุค​โบราณ​ถึงวันนี้​ ในที่สุด​โลก​ใบ​นี้​ก็​กำลังจะ​เข้าสู่​ช่วงเวลา​ของ​ความโกลาหล​และ​บัญญัติ​ ทุกสิ่ง​จะเข้าสู่​การทำลายล้าง​ แต่​เจ้าแบก​รับมรดก​ของ​เทพ​แห่ง​ความตาย​โบราณ​เอาไว้​ ข้า​จะปล่อย​ให้​เจ้าจมสู่ความมืด​และ​ความ​เงียบ​ชั่วนิรันดร์​ก่อนกำหนด​ไม่ได้​”

แอน​นา​ตกตะลึง​

เทพ​แห่ง​ความตาย​…

เท่าที่​นาง​เห็น​และ​รู้จัก​ เจ็ด​วิหาร​ใหญ่​เป็น​เพียง​ข้า​รับใช้​ของ​เจตจำนง​เทพ​ลึกลับ​ ไม่เป็น​มาก​ไป​กว่า​นั้น​

แต่​ตอนนี้​ดูท่า​ว่า​ครึ่ง​เทพ​เหล่านี้​คล้าย​กับ​มีภารกิจ​ลับ​ซ่อน​อยู่​

ตอนนี้​เปลวเพลิง​สีดำ​อีก​กลุ่ม​ปรากฏ​ขึ้น​บน​ไพ่​ยักษ์​ กลายเป็น​อีกา​ยักษ์​สีดำ​

“แอน​นา​ เร่งมือ​เข้า​ เจ้าขึ้น​หลัง​ข้า​พร้อมกับ​ผู้ครอบครอง​บัญญัติ​ได้​เลย​ ข้า​จะพา​เจ้าไป​” อีกา​สีดำ​กล่าว​

“ท่าน​อีกา​ดำ​ ท่าน​ก็​มาอยู่​ที่นี่​ด้วย​!” แอน​นา​กล่าว​เสียงหลง​

สอง​สิ่งนี้​คือ​ครึ่ง​เทพ​ของ​วิหาร​แห่ง​ความตาย​ผู้​คงอยู่​มานาน​และ​คอย​รับใช้​วิหาร​ด้วย​ศรัทธา​แรงกล้า​

ไม่ว่า​ “เทพ​” องค์​ไหน​ปกครอง​พื้นที่​จ้าว​โลก​ พวกเขา​ก็​จะเป็น​เช่นนี้​ พวกเขา​เพียงแค่​ลงมือทำ​เงียบๆ​ ไม่เคย​คิด​ต่อต้าน​หรือ​ขัดขืน​แต่อย่างใด​

อีกา​แห่ง​ความตาย​สีดำ​ดุน​พวก​นาง​ทั้ง​สามขึ้น​หลัง​แล้ว​กล่าวว่า​ “ความเร็ว​ข้า​ช้ากว่า​สัตว์ประหลาด​หุบเหว​นั่น​ แต่​มีเทพ​สุนัข​ที่จะ​ถ่วงเวลา​ให้​พวกเรา​ได้​สักพัก​ ข้า​น่าจะ​สามารถ​พา​พวก​เจ้าไป​อาณาจักร​หนาม​ได้​!”

“แต่ว่า​…เทพ​สุนัข​ล่ะ​” แอน​นา​กล่าว​

“ไม่ต้อง​ห่วง​ข้า​ ข้า​สั่งสมพลัง​แห่ง​ความตาย​มานาน​นัก​ ข้า​จะไป​ทันที​หลังจาก​ถ่วงเวลา​ไป​สักพัก​” สุนัข​สีดำ​กล่าว​

มัน​ทะยาน​ออก​ไป​จาก​ไพ่​ยักษ์​ กลายเป็น​สัตว์ประหลาด​ขนาด​ยักษ์​ปกคลุม​ท้อง​นภา​และ​ดวงตะวัน​ใน​ความว่างเปล่า​

ศีรษะ​ ร่างกาย​ รวมถึง​ทั่ว​ร่าง​ของ​สุนัข​แสดง​ความ​เคร่งขรึม​ไม่มีสิ้นสุด​ออกมา​ มัน​ถือ​ไม้เท้า​สีดำ​ที่​สลัก​ด้วย​อักขระ​ลึกลับ​เอาไว้​

“ไป​เสีย​ ช่วย​ให้​บัญญัติ​รอด​ก่อน​ จากนั้น​เจ้าค่อย​ทำ​ภารกิจ​ของ​ตัวเอง​”

“ใน​จุดจบ​ของ​ยุ​ควัน​สิ้น​โลก​ เทพ​แห่ง​ความตาย​จะตื่นขึ้น​มา!”

เสียง​ของ​สุนัข​สีดำ​ดัง​ใน​หู​ของ​แอน​นา​

แอน​นา​ไม่มีเวลา​ให้​พูด​อีกแล้ว​

อีกา​สีดำ​สยาย​ปีก​ยาว​สิบ​เมตร​ก่อน​ทะยาน​ขึ้น​สู่อากาศธาตุ​

ความเร็ว​ของ​มัน​ไม่ได้​มากกว่า​ไพ่​ยักษ์​เท่าไหร่​นัก​ มัน​เหมือนกับ​อสนี​สีดำ​ ผ่าน​ความว่างเปล่า​และ​หมอก​อัน​หนา​ทึบ​ มัน​บิน​ตรง​เข้าสู่​ส่วนลึก​ของ​พื้นที่​เอก​ฐาน​

ขณะ​รอ​จางห​ยิง​ห่า​ว​เข้ามา​ เย่เฟย​หลี​สนทนา​กับ​กู่​ฉิงซาน​ถึงเรื่อง​โลก​ดั้งเดิม​

“เจ้าไต่​หอคอย​โลก​เสร็จ​หรือยัง​” กู่​ฉิงซาน​ถามด้วย​ความสนใจ​

“อ้า​ ใช่ ต้อง​ขอบคุณ​เจ้าที่​สร้าง​สิ่งนี้​ขึ้น​มา พละกำลัง​ข้า​ถึงได้​เพิ่มขึ้น​มาเยอะ​เลย​” เย่เฟย​หลี​ตอบ​

“แล้ว​เป็น​อย่างไรบ้าง​ไต่​หอคอย​ยาก​หรือเปล่า​?” กู่​ฉิงซาน​ถาม

“ขั้นตอน​ทั้งหมด​เหมือนกับ​เกม​ผจญภัย​ เจ้าก็​รู้​ว่า​ข้า​เก่ง​เรื่อง​นี้​” เย่เฟย​หลี​กล่าว​อย่าง​พึงพอใจ​เล็กน้อย​

“แบร์​รี่​และ​เสี่ยว​เมีย​ว​ไต่​หอคอย​ด้วย​หรือเปล่า​”

“ไม่ บรรยากาศ​หุบเหว​ไหล​ย้อน​กลับมา​ที่​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​ แม้กระทั่ง​โลก​ประปราย​ก็​เผชิญ​กับ​ปัญหา​เดียวกัน​ พวกเขา​ต้อง​ต่อสู้​กับ​ไฟ บางครั้ง​ก็​ออก​ไป​ช่วย​สหาย​จาก​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​กัน​อย่าง​เงียบๆ​”

“จะว่า​ไป​แล้ว​ ทำไม​เลี่ยว​สิงไม่มาด้วย​ล่ะ​ ยังมี​อีก​หลาย​สิ่งที่​ไม่รู้จัก​ใน​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​ ข้า​ไม่เชื่อ​ว่า​เขา​จะไม่เคลื่อนไหว​” กู่​ฉิงซาน​ถามด้วย​ท่าที​แปลกประหลาด​

“เอาเถอะ​ ถึงเจ้าจะพูด​อย่างนั้น​ แต่​เจ้าก็​น่าจะ​รู้​นี่​ว่า​เขา​มีลูก​หลาย​คน​”

“ใช่ ข้า​รู้​” กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​

ตอน​เขา​ประมือ​กับ​เลี่ยว​สิงครั้งแรก​ กู่​ฉิงซาน​ก็​รู้สึก​ประทับใจ​ใน​ตัว​อีก​ฝ่าย​มาก​

“เขา​มีลูก​หลาย​คน​ คน​ที่​อายุ​มาก​สุด​ก็​สามารถ​แต่งงาน​ได้​ ดังนั้น​เขา​จึงเป็นห่วง​เรื่อง​งานแต่ง​ของ​ลูก​ ซื้อ​บ้าน​ ซื้อ​รถ​ หา​งาน​และ​อื่นๆ​ เสมอมา​”

“ทั้งที่​เป็น​จุดจบ​ของ​โลก​แท้ๆ​ แต่​ยัง​จะตามหา​งาน​อีก​…”

“แน่นอน​สิ หาเงิน​หนึ่ง​วัน​เพื่อ​มีชีวิต​หนึ่ง​วัน​ไม่ใช่เรื่อง​ง่าย​นะ​ แถมอาชญากร​ทุกคน​ถูก​เทพธิดา​แห่ง​ความยุติธรรม​ฆ่าไป​แล้วด้วย​”

“โลก​มัน​โกลาหล​มาก​เลย​หรือ​”

“ไม่ ถ้าไม่มีการ​ระบาด​ของ​หายนะ​หุบเหว​ โลก​ดั้งเดิม​คงจะ​ดีมาก​แน่ๆ​ หก​โลก​หลอม​รวม​เป็นหนึ่ง​ ทุกสิ่ง​เจริญงอกงาม​ ความจริง​ แบร์​รี่​และ​เสี่ยว​เมีย​ว​ใช้ชีวิต​อย่าง​สุขสบาย​อยู่​ที่นั่น​เช่นกัน​ ข้า​ไม่คิด​ว่า​พวกเขา​เต็มใจ​จะออก​มานะ​”

“เรื่อง​เป็น​แบบ​นี้แหละ​ หลังจากนั้น​…”

กู่​ฉิงซาน​จำถึงความ​น่าอาย​ของ​ทั้งสอง​ได้​ จากนั้น​ครุ่น​คิดถึง​ไพ่​สอง​ใบ​ที่​มีเครดิต​ไม่จำกัด​ที่​ได้​มาจาก​เทพธิดา​แห่ง​ความยุติธรรม​ก่อน​จะพยักหน้า​อย่าง​เข้าใจ​

เขา​ไม่ได้​กลับมา​นาน​มาก​ ไม่รู้​ว่า​เทพธิดา​แห่ง​ความยุติธรรม​ใน​ตอนนี้​วิวัฒนาการ​ไป​ถึงไหน​

กู่​ฉิงซาน​กำลัง​ครุ่นคิด​ อารักขา​เดิน​เข้า​ห้อง​มาพร้อมกับ​คน​คน​หนึ่ง​

เป็น​ผู้ชาย​สมส่วน​ สวม​แว่นกันแดด​ ปาก​คาบ​บุหรี่​ มือ​ล้วงกระเป๋า​

จางห​ยิง​ห่า​ว​

“รู้สึก​เหมือน​ผ่าน​ไป​นาน​มาก​เลย​นะ​”

เขา​ทักทาย​

กู่​ฉิงซาน​และ​เย่เฟย​หลี​ยืน​ขึ้น​พร้อม​รอยยิ้ม​ก่อน​สวมกอด​อีก​ฝ่าย​

“ข้า​ได้ยิน​ว่า​หลังจาก​ออกมา​แล้ว​ว่า​เจ้าเตรียม​ที่จะ​ฆ่าเทพ​หรือ​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

“เจ้าคือ​คู่หู​ข้า​ ถ้าเจ้าตาย​ ข้า​จะสูญเสีย​อย่าง​ใหญ่หลวง​ ข้า​ต้อง​หาทาง​เอาคืน​” จางห​ยิง​ห่า​วต​อบ​

ทั้งสอง​มองหน้า​กัน​

“ไม่สิ เจ้า เกิด​อะไร​ขึ้นกับ​ตา​น่ะ​” จางห​ยิง​ห่า​ว​ถามด้วย​สีหน้าที่​เปลี่ยนไป​

“ไม่เป็นไร​ ช่วงนี้​ข้า​ฝึก​วิชา​น่ะ​ ตา​ก็​เลย​มองไม่เห็น​ชั่วคราว​” กู่​ฉิงซาน​ตอบ​

“แบบนี้​นี่เอง​”

ตอนนี้​จางห​ยิง​ห่า​ว​ผ่อนคลาย​ลง​แล้ว​

เขา​เดิน​ไป​ที่​โซฟา นั่งลง​ก่อน​ยก​เท้า​พาด​ขึ้น​บน​โต๊ะ​

“ข้า​เหนื่อย​มาก​เลย​ล่ะ​ มีอะไร​ให้​กิน​ไหม​ ข้า​ไม่ได้​กิน​มาหลาย​วัน​แล้ว​”

เขา​ผ่อนคลาย​

หลังจาก​รับ​พร​มามากมาย​ เขา​ยัง​ดู​เป็นกันเอง​อย่าง​เป็นธรรมชาติ​

หรือ​นักฆ่า​จะเป็น​แบบนี้​กัน​หมด​นะ​

ใน​ตำหนัก​ของ​อาณาจักร​หนาม​ การรักษา​ความปลอดภัย​พื้นฐาน​ที่สุด​คือ​หลักประกัน​ ประกอบ​กับ​มีตัวตน​ของ​สอง​พี่น้อง​อย่าง​กู่​ฉิงซาน​และ​เย่เฟย​หลี​ด้วย​แล้ว​ จางห​ยิง​ห่า​ว​จึงไม่หักห้าม​ตัวเอง​อีกต่อไป​

“ไว้​พวกเรา​กิน​ข้าวเย็น​ทีหลัง​ ไป​แนะนำตัว​ให้​ทุก​คนรู้จัก​กัน​ก่อน​เถอะ​”

กู่​ฉิงซาน​ทักทาย​ทุกคน​

“นี่​คือ​ราชินี​หนาม​ ลอ​ร่า​”

ลอ​ร่า​เผย​รอยยิ้ม​สดใส​ “สวัสดี​ ทุกท่าน​ ข้า​ได้ยิน​กู่​ฉิงซาน​พูดถึง​เจ้าแล้ว​ล่ะ​ หวัง​ว่า​พวก​เจ้าจะมีความรู้สึก​ดี ๆ​ ในประเทศ​ข้า​นะ​”

“แน่นอน​” จางห​ยิง​ห่า​ว​และ​เย่เฟย​หลี​กล่าว​พร้อมกัน​

กู่​ฉิงซาน​เข้ามา​แนะนำตัว​ “นี่​ เออ​ นี่​คือ​พี่สาว​ข้า​ นาง​ชื่อ​หลิน​น่ะ​”

หลิน​โบกมือ​เล็กน้อย​เพื่อ​ทักทาย​ทั้งสอง​

“หืม​ เจ้ามีพี่สาว​ตั้งแต่​เมื่อไหร่​กัน​” จางห​ยิง​ห่า​ว​ถามด้วย​ท่าที​แปลกประหลาด​

“แยก​จากกัน​หลาย​ปี​ หลาย​ปี​มาก​เลย​ล่ะ​”

กู่​ฉิงซาน​ตอบ​อย่าง​คลุมเครือ​

เขา​แนะนำ​หลิน​กับ​ลอ​ร่า​ “นี่​คือ​เย่เฟย​หลี​ สหาย​ข้า​เอง​”

เย่เฟย​หลี​โบกมือ​ให้​ทั้งสอง​อย่าง​ระแวดระวัง​

หลิน​จ้อง​ฝ่ายตรงข้าม​สักพัก​ก่อน​ถามด้วย​ความสงสัย​ว่า​ “ข้า​มองออก​ว่า​เจ้าคือ​ผู้ทำลาย​โลก​ กระบวน​การวิวัฒนาการ​ของ​เจ้าถูก​ทำลาย​ไป​แล้ว​ครั้งหนึ่ง​ แต่​จากนั้น​จู่ๆ ก็​เปลี่ยน​มาเป็น​วิวัฒนาการ​อย่าง​สมบูรณ์แบบ​ นี่​นับว่า​หา​ยาก​นัก​ ตอนนี้​เจ้ามีความสามารถ​อะไร​ล่ะ​”

นาง​สนใจ​ความสามารถ​ใหม่​ๆ เสมอ​

เย่เฟย​หลี​ไม่ได้​ตั้งใจ​จะพูด​อะไร​ แต่​หลังจาก​ครุ่นคิด​สักพัก​ นี่​คือ​พี่สาว​ของ​กู่​ฉิงซาน​ ดู​จาก​บทสนทนา​และ​สีหน้า​ระหว่าง​กู่​ฉิงซาน​กับ​ผู้หญิง​คน​นี้​ ทั้งสอง​เข้ากันได้​ดีมาก​ ไม่ใช่การเสแสร้ง​แต่อย่างใด​

ใน​เมื่อ​ไม่ใช่คนนอก​ เป็นเรื่อง​ดี​ที่จะ​ทำความเข้าใจ​กัน​ให้​มากขึ้น​ จะได้​ร่วมมือ​กัน​ต่อสู้​ในอนาคต​ได้​ดีขึ้น​ด้วย​

กู่​ฉิงซาน​อาจจะ​ให้​ทุก​คนรู้จัก​กัน​เพราะเหตุนี้​ก็ได้​

เมื่อ​คิด​ดังนี้​ เย่เฟย​หลี​อธิบาย​ว่า​ “เรื่อง​การต่อสู้​คง​ไม่มีอะไร​จะเล่า​เท่าไหร่​ แต่​ความ​สามาถรพิ​เศษของ​ข้า​คือ​สิ่งนี้​”

ทันทีที่​เขา​ยื่นมือ​ออก​ไป​ พลัง​ที่​มองไม่เห็น​รวม​อยู่​ใน​มือ​ ก่อเกิด​เป็น​กระป๋อง​

“นี่​มัน​อะไร​น่ะ​” กู่​ฉิงซาน​สนใจ​เล็กน้อย​เช่นกัน​ขณะ​ถาม

“เครื่องดื่ม​วิญญาณ​น่ะ​” เย่เฟย​หลี​ตอบ​ด้วย​น้ำเสียง​ลึกลับ​

“เครื่องดื่ม​วิญญาณ​หรือ​ ข้า​ไม่เคย​ได้ยิน​ชื่อ​นั้น​มาก่อน​เลย​” หลิน​ถาม

เย่เฟย​หลี​ตอบ​ว่า​ “นี่​คือ​ชื่อ​ที่​ข้า​ตั้ง​เอง​ ตอน​ข้า​ทำให้​ศัตรู​บาดเจ็บ​ ข้า​สามารถ​ดูดกลืน​พลัง​วิญญาณ​จาก​พวก​มัน​ กักเก็บ​เอาไว้​แล้ว​เปลี่ยนเป็น​เครื่องดื่ม​จำนวนมาก​ได้​ทุกเมื่อ​”

“การทำงาน​ของ​เครื่องดื่ม​เหล่านี้​เป็น​อย่างไรบ้าง​” จางห​ยิง​ห่า​ว​ถามด้วย​ความสนใจ​

“สิ่งที่​เป็น​พื้นฐาน​ที่สุด​คือ​การรักษา​บาดแผล​ หลังจากนั้น​ข้า​ก็​พัฒนา​เป็น​รูปแบบ​พลัง​ชีวิต​ พลัง​วิญญาณ​ พลัง​ความคิด​ พลัง​เวทมนตร์​ พลังงาน​และ​อื่นๆ​ อีก​มากมาย​ ไม่ว่า​จะแบบ​ไหน​ข้า​ก็​สามารถ​เติมเต็ม​ให้ได้​” เย่เฟย​หลี​อธิบาย​

กู่​ฉิงซาน​คร่ำครวญ​ออกมา​ “สิ่งนี้​…ฟังดู​เหมือนกับ​สิ่งที่​ใช้เติมเต็ม​กำลังกาย​ใน​เกม​เลย​”

“นั่นแหละ​!”

เย่เฟย​หลี​กล่าว​อย่าง​ตื่นเต้น​ว่า​ “ขอ​แค่​ข้า​ทำให้​ศัตรู​บาดเจ็บ​ได้​ ข้า​สามารถ​ช่วงชิง​พลัง​วิญญาณ​และ​สำรอง​มัน​ไว้​ได้​โดยตรง​เพื่อ​เสริม​ความ​แข็งแกร่ง​ยาม​ที่​เจอ​กับ​ศัตรู​ที่​ทรงพลัง​เหล่านั้น​”

ทุกคน​เงียบ​

หมอ​นี่​เสพ​ติดกับ​การ​เล่น​เกม​เข้า​แล้ว​ จางห​ยิง​ห่า​ว​คิด​เช่นนั้น​

“พลัง​น่าสน​ใจดี​ ช่างเปิดหูเปิดตา​นัก​” หลิน​พยักหน้า​ แสดงให้เห็น​ว่า​นาง​พึงพอใจ​กับ​สิ่งที่​ได้​พบ​เจอ​

ลอ​ร่า​ครุ่นคิด​สักพัก​แล้ว​ถามว่า​ “แล้ว​เครื่องดื่ม​นี่​มีรสชาติ​แบบ​ไหน​หรือ​”

ตอนนี้​เย่เฟย​หลี​หงุดหงิด​เล็กน้อย​ “รสชาติ​สุ่มน่ะ​ ข้า​ศึกษา​เรื่อง​นี้​มานาน​แล้ว​ แต่​น่าเสียดาย​ที่​ข้า​ไม่สามารถ​ควบคุม​ได้​”

“ข้า​ขอ​ลอง​ได้​หรือเปล่า​” ลอ​ร่า​กระตือรือร้น​ที่จะ​ลอง​

“เจ้าอยาก​ดื่ม​อะไร​ล่ะ​”

“พลังงาน​”

“รอเดี๋ยว​นะ​ นี่​”

ลอ​ร่า​หยิบ​กระป๋อง​แล้ว​เปิด​ฝาทันที​

นาง​จิบ​อย่าง​ระวัง​

“หืม​ กลิ่น​เหมือน​แชมเปญ​เลย​”

ลอ​ร่า​จิบ​อีก​คำ​จน​อด​ที่จะ​ตื่นเต้น​ไม่ได้​

“แจ๋ว​! ในที่สุด​ข้า​ก็​ไม่ต้อง​กลัว​อ้วน​แล้ว​!”

นาง​ตะโกน​

ทั้ง​เย่เฟย​หลี​และ​จางห​ยิง​ห่า​ว​ไม่รู้​ว่า​ทำไม​

กู่​ฉิงซาน​และ​หลิน​ต่าง​เข้าใจ​

ถ้าสามารถ​เสริม​การ​ใช้พลังงาน​ได้​จริง​ ลอ​ร่า​ก็​จะสามารถ​คว้า​มสมบัติ​ได้​มากขึ้น​หรือเปล่า​

จนกว่า​พลัง​วิญญาณ​ที่​สำรอง​ไว้​ของ​เย่เฟย​หลี​จะหมด​ ลอ​ร่า​ก็​ไม่ต้อง​ห่วง​เรื่อง​การ​กิน​ที่จะ​ทำให้​อ้วน​อีกต่อไป​

นี่​มัน​ช่างสุดยอด​!

หลังจากนั้น​ ลอ​ร่า​ยื่นมือ​ออก​ไป​คว้า​ใน​ความว่างเปล่า​

เหรียญ​สีทอง​โบราณ​ขนาดใหญ่​ตกลง​กับ​พื้น​

“ฮ่าๆ นับ​จากนี้​ ไม่มีใคร​สามารถ​ห้าม​ข้า​ค้นหา​สมบัติ​อีกแล้ว​!” ลอ​ร่า​กล่าว​อย่าง​มีความสุข​

กู่​ฉิงซาน​ครุ่นคิด​สักพัก​แล้ว​ถามว่า​ “เฟย​หลี​ พลัง​วิญญาณ​ที่​เจ้าช่วงชิง​มาสามารถ​เปลี่ยนเป็น​เครื่อง​ดื่มได้​โดย​ไม่ต้อง​แปรสภาพ​ใดๆ​ เลย​หรือ​”

“ใช่ ประหยัดเวลา​ไป​ได้​มาก​โข​เลย​” เย่เฟย​หลี​ตอบ​อย่าง​มีความสุข​

กู่​ฉิงซาน​ตบ​บ่า​เขา​แล้ว​กล่าวว่า​ “ไม่เลว​!”

ตอนนี้​เขา​รู้สึก​ยินดี​เล็กน้อย​เช่นกัน​

เขา​มีแหล่ง​พลัง​วิญญาณ​เสริม​แล้ว​

สิ่งสำคัญ​คือ​

แหล่ง​พลัง​นี้​จะไม่ถูก​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​เอาเปรียบ​!

แหล่ง​พลัง​นี้​จะไม่ถูก​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​เอาเปรียบ​!

แหล่ง​พลัง​นี้​จะไม่ถูก​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​เอาเปรียบ​!

เขา​เน้น​สิ่งสำคัญ​นี้​สามครั้ง​!

ตอนนี้​เย่เฟย​หลี​กล่าว​อีกครั้ง​ว่า​ “นี่​ อย่า​พูด​แต่​เรื่อง​ข้า​สิ แล้ว​ความสามารถ​ของ​เจ้าคือ​อะไร​ล่ะ​”

ลอ​ร่า​คว้า​เข็มทิศ​จาก​ความว่างเปล่า​แล้ว​ตอบ​ว่า​ “ข้า​ไม่จำเป็นต้อง​บอก​หรอก​ ความสามารถ​ของ​ข้า​รู้กัน​ทั้งโลก​นั่นแหละ​”

ใช่แล้ว​ คน​ที่​ร่ำรวย​ที่สุด​ใน​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​ ลอ​ร่า​มีชื่อเสียง​มากเกินไป​

ความสามารถ​ทั้ง​สามของ​นาง​เป็นความลับ​ที่​ถูก​เปิดเผย​นาน​แล้ว​

เย่เฟย​หลี​มอง​กู่​ฉิงซาน​

ดาบ​ยาว​สี่เล่ม​พลัน​ปรากฏ​ขึ้น​ที่​ด้านหลัง​กู่​ฉิงซาน​

“เจ้ายัง​ใช้ดาบ​สี่เล่ม​อยู่​อีก​หรือ​”

เย่เฟย​หลี​พยักหน้า​ก่อน​มอง​หลิน​อีกครั้ง​

หลิน​กอดอก​แล้ว​กล่าว​อย่าง​ไม่ใส่ใจว่า​ “ข้า​ไม่มีความสามารถพิเศษ​อะไร​ แต่​เกรง​ว่า​ต่อให้​พวก​เจ้าร่วมมือ​กัน​ก็​ไม่สามารถ​เอาชนะ​ข้า​ได้​”

เย่เฟย​หลี​และ​จางห​ยิง​ห่า​ว​มองหน้า​กัน​ก่อน​หันมา​มอง​กู่​ฉิงซาน​

กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​เพื่อ​เป็นการ​ยืนยัน​

ทั้งสอง​สูด​หายใจเข้า​

ไม่สงสัย​เลย​ว่า​ผู้หญิง​คน​นี้​ถึงเป็น​พี่สาว​ของ​กู่​ฉิงซาน​!

เย่เฟย​หลี​ถามจางห​ยิง​ห่า​ว​ว่า​ “แล้ว​เจ้าล่ะ​ ข้า​ไม่ได้​เจอ​เจ้าตั้ง​นาน​ ไพ่​นักฆ่า​ของ​เจ้าเป็น​อย่างไรบ้าง​”

จางห​ยิง​ห่า​ว​ยิ้ม​ขมขื่น​แล้ว​ตอบ​อย่าง​หงุดหงิด​ว่า​ “หลังจาก​เห็น​ความสามารถ​ของ​เจ้า ข้า​รู้สึก​ว่า​ตัวเอง​เป็น​คนธรรมดา​ไป​เลย​”

“เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา​ เจ้าถูกล่า​ใน​พื้นที่​จ้าว​โลก​มานาน​ แม้กระทั่ง​ยอด​ฝีมือ​มากมาย​ที่​ถูก​เทพ​ส่งมาก็​ยัง​ตามล่า​เจ้าไม่ได้​เลย​นะ​” หลิน​กล่าว​อย่าง​แผ่วเบา​

กู่​ฉิงซาน​ชำเลือง​มอง​นาง​อย่าง​เงียบงัน​

เขา​จำได้​ว่า​ก่อน​จะกลับมา​ เทพ​จาก​พื้นที่​จ้าว​โลก​เหมือน​จะเป็น​หลิน​…

จางห​ยิง​ห่า​ว​ส่ายหน้า​แล้ว​ถอนหายใจ​ “ข้า​ตามหลัง​เจ้ามาก​นัก​ ข้า​ไม่เคย​แม้แต่​จะคิด​ว่า​คนเขียน​และ​สร้าง​หนัง​จะต้อง​มากลายเป็น​ตัวละคร​แบบนี้​เสีย​เอง​ ผู้คน​มักจะ​สร้าง​พันธมิตร​กับ​วีรชน​สอง​สามคน​ที่​มีพละกำลัง​เทียบ​เท่ากัน​ จากนั้น​ก็​ไป​ช่วย​โลก​ แล้ว​ดู​ข้า​สิ ต่อหน้า​พวก​เจ้าข้า​ก็​เป็น​เพียง​น้อง​เล็ก​”

กู่​ฉิงซาน​ปลอบ​อีก​ฝ่าย​ “และ​น้อง​เล็ก​คน​นั้น​ก็​ฆ่าเป็น​ หรือ​จะบอ​กว่า​ไม่เป็น​”

จางห​ยิง​ห่า​ว​หันมา​แล้ว​กล่าวว่า​ “ทว่า​ ข้า​พึ่ง​สหาย​มากเกินไป​ตอน​ออก​ไป​ทำงาน​ สหาย​คน​ก่อน​เคย​บอก​ข้า​ว่า​อยาก​พบ​เจ้า”

“อยาก​พบ​ข้า​หรือ​” กู่​ฉิงซาน​ตกตะลึง​

จางห​ยิง​ห่า​ว​หยิบ​ปืนพก​สีดำ​จาก​แขน​เสื้อ​ออกมา​วาง​บน​โต๊ะ​

พื้นที่​จ้าว​โลก​

โลก​ที่​พังพินาศ​อย่าง​สมบูรณ์​

สายลม​พัด​หวีดหวิว​

ซากปรักหักพัง​ถูก​สายลม​แรงกล้า​พัดพา​ พวก​มัน​จมเข้าสู่​วังวน​ความว่างเปล่า​ก่อน​หาย​ไป​

เมื่อ​ถึงเวลา​หนึ่ง​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​จั่วไพ่​ขึ้น​มา

นักฆ่า​สอง​คม​บน​ไพ่​กระโจน​ออกมา​ก่อน​พุ่ง​เข้าใส่​ศัตรู​ที่อยู่​ฝั่งตรงข้าม​

ศัตรู​ของ​ซูเสวี่ยเอ้อร์​เป็น​ผู้ชาย​แข็งแกร่ง​คน​หนึ่ง​ เป็น​บุคคล​ที่อยู่​จุดสูงสุด​ของ​อำนาจ​และ​มีชื่อเสียง​ใหญ่โต​ทั่ว​ทั้ง​พื้นที่​จ้าว​โลก​

“พึ่ง​สิ่งนี้​หรือ​”

ผู้ชาย​แข็งแกร่ง​เย้ยหยัน​ก่อน​ยก​มือขึ้น​ปัด​ป้อง​การ​โจมตี​ของ​นักฆ่า​อย่าง​บ้าเลือด​

แอน​นา​พลัน​ขว้าง​เคียว​สีดำ​ออก​ไป​

เคียว​กลายเป็น​เปลวเพลิง​สีดำ​ราวกับ​ลำแสง​เจิดจ้า​พุ่ง​เข้าใส่​ผู้ชาย​แข็งแกร่ง​

ผู้ชาย​แข็งแกร่ง​กรีดร้อง​ออกมา​ด้วย​ความเจ็บปวด​ขณะ​ขัดขืน​ลำแสง​สีดำ​ด้วย​พละกำลัง​ทั้งหมด​ที่​มี

“เร็ว​เข้า​ ซูเสวี่ยเอ้อร์!”​ แอน​นา​เรียก​

“รู้​แล้ว​!”

ภายใต้​เปลวเพลิง​สีดำ​ ทะเล​สีโลหิต​ม้วนตัว​เป็น​คลื่น​ขนาดใหญ่​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​จั่วไพ่​จาก​ความว่างเปล่า​ก่อน​ขว้าง​มัน​ออก​ไป​เต็มแรง​

“ดักแด้​โลหิต​ทมิฬ​ ดูดกลืน​พลัง​ของ​มัน​ให้​หมด​!”

ซูเสวี่ยเอ้อร์​กล่าว​เสียงดัง​

ไพ่​กลายเป็น​ดักแด้​โลหิต​ขณะ​ห้อมล้อม​ผู้ชาย​แข็งแกร่ง​เอาไว้​อย่าง​สมบูรณ์​

“วิชา​ตื้นเขิน​นัก​ แทบจะ​เหมือนกับ​อาจารย์​เจ้าที่​ใช้ไพ่​ใบ​นี้​!”

เสียงคำราม​เกรี้ยวกราด​ของ​ผู้ชาย​แข็งแกร่ง​มาจาก​ดักแด้​โลหิต​ทมิฬ​

แอน​นา​พยายาม​สุดความสามารถ​ที่จะ​ยืนหยัด​ขณะ​กระซิบ​กับ​ซูเสวี่ยเอ้อร์​ว่า​ “ข้า​เกรง​ว่า​จะรั้ง​ตัว​ไว้​ได้​ไม่นาน​”

“เข้าใจ​แล้ว​”

ซูเสวี่ยเอ้อร์​ปิด​บาดแผล​บน​ไหล่​ด้วยมือ​ข้าง​หนึ่ง​ขณะ​กล่าว​เช่นนั้น​

ในที่สุด​พวก​นาง​ก็​ถูก​ทหาร​ที่​ไล่​ตามมา​ปิดล้อม​เอาไว้​

ทั้งสอง​ตก​อยู่​ใน​การต่อสู้​ที่​ยากลำบาก​

พวก​นาง​หลบหนี​ขณะ​สู้ แต่​ทหาร​ที่​แข็งแกร่ง​ยิ่งกว่า​และ​มีจำนวน​มากกว่า​ยัง​ไล่​ตามมา​

ระหว่าง​พวก​นาง​หลบหนี​ใน​โลก​ใบ​นี้​ ทั้งสอง​ใช้พละกำลัง​ส่วนใหญ่​ไป​เกือบ​หมด​แล้ว​

หลังจากนั้น​ พวก​นาง​เผชิญหน้า​กับ​ศัตรู​ทรงพลัง​ที่​คาดไม่ถึง​

จนกระทั่ง​ตอนนี้​ พวกเขา​ยัง​ห้ำหั่น​กัน​ไม่ลง​

แต่​พวก​นาง​จะล่าช้า​กว่า​นี้​ไม่ได้​แล้ว​!

ความรู้สึก​อัน​น่าขนลุก​ค่อยๆ​ ก่อตัว​ขึ้น​ใน​ใจของ​ทั้งสอง​

บางสิ่ง​ที่​รวดเร็ว​กำลัง​เข้าใกล้​โลก​ใบ​นี้​

“หมดหวัง​แล้ว​ เป็นไปไม่ได้​จริงๆ​ ไม่ว่า​ใคร​ไป​ก่อน​ก็​ต้อง​เจ็บตัว​กัน​ทั้งสองฝ่าย​อยู่ดี​” แอน​นา​กัดฟัน​

“ข้า​จะไป​ก่อน​”

ซูเสวี่ยเอ้อร์​จั่วไพ่​สีโลหิต​ขึ้น​มาแล้ว​ท่อง​คาถา​

“มัน​ต่างกัน​ตรงไหน​ที่ว่า​ใคร​ไป​ก่อน​ จะทะเลาะ​ให้​มัน​เสียเวลา​ไป​ทำไม​” แอน​นา​กล่าว​อย่าง​เกรี้ยวกราด​

ทันใดนั้น​ ทั้งสอง​พลัน​เงยหน้า​มอง​

พวก​นาง​เห็น​ผู้หญิง​เคลื่อน​ลง​มาจาก​ท้อง​นภา​ที่​เต็มไปด้วย​หมู่​เมฆสีเทา​อย่าง​เงียบงัน​

นาง​สวม​เสื้อคลุม​ขนนก​หลาก​สีสัน​ ถือ​มีด​ยาว​เอาไว้​ พุ่ง​เข้าใส่​ดักแด้​โลหิต​ทมิฬ​ใน​สายลม​

“พวกเรา​หรือ​” นาง​รีบ​ถาม

“ไม่ ข้า​ไม่รู้​” ซูเสวี่ยเอ้อร์​จ้อง​ผู้หญิง​คน​นั้น​ขณะ​ตอบ​

“แต่​นาง​ดูเหมือน​จะใช่นะ​”

หลังจาก​พูด​สอง​สามประโยค​สั้น​ๆ ยัง​ไม่ทัน​จบ​ สถานการณ์​บน​ลาน​ก็​พลัน​เปลี่ยนไป​

‘ตูม​!’

ดักแด้​โลหิต​ทมิฬ​แตกสลาย​จน​สิ้น​

ผู้ชาย​แข็งแกร่ง​ปรากฏตัว​ขึ้น​อีกครั้ง​ตรงหน้า​ทั้งสอง​ ดู​จาก​การเคลื่อนไหว​ของ​หมัด​แล้ว​น่าจะ​ยัง​ไม่หาย​ดี​

ตอนนี้​เอง​

ผู้หญิง​คน​นั้น​ลง​สู่พื้น​

แสงสลัว​วูบ​ไหว​

ช่างเป็น​มีด​ที่​รวดเร็ว​นัก​!

ทั้ง​ซูเสวี่ยเอ้อร์​และ​แอน​นา​อ้า​ปากกว้าง​เมื่อ​เห็น​เช่นนั้น​จน​ถึงขั้น​เสียสติ​เล็กน้อย​

มีด​เล่ม​นี้​พลัน​ระเบิด​ ปลดปล่อย​พลัง​เจ้าของ​มีด​ใน​พริบตา​ ไม่คำ​นึกถึง​ผลลัพธ์​ ไม่คำ​นึกถึง​ความเป็นความตาย​

มัน​ช่างน่าทึ่ง​จริงๆ​

พวก​นาง​ไม่รู้​จริงๆ​ ว่า​คน​แบบ​ไหน​ที่จะ​สามารถ​ทำ​แบบนี้​ได้​

นี่​คือ​มีด​ที่​อันตราย​ถึงชีวิต​!

‘ฉึก​!’

ประกาย​มีด​อัน​รุนแรง​ถูก​บีบ​อัด​จน​สุดขีด​ ในที่สุด​ก็​ระเบิด​ออกมา​เมื่อ​แทง​ใส่คอ​ของ​อีก​ฝ่าย​

มีด​อัน​ปั่นป่วน​กลายเป็น​สายลม​ยาว​ พัด​ศีรษะ​ที่​ถูก​ตัดออก​ไป​ ไม่รู้​ได้​ว่า​จุดหมาย​คือ​ที่ใด​

มีเพียง​ซากศพ​ไร้​ศีรษะ​เท่านั้น​ที่​ยัง​ยืน​อยู่กับที่​

ผู้หญิง​หยิบ​มีด​มา

“พรวด​!”

นาง​กระอัก​โลหิต​

ช่วงเวลา​ที่​มีด​ถูก​ใช้จนถึง​ขีดสุด​ต้อง​ใช้พลัง​กาย​และ​ใจของ​นาง​ทั้งหมด​ ต้อง​ก้าว​ข้าม​ขีดจำกัด​พละกำลัง​ไป​เพื่อ​สังหาร​ศัตรู​ที่​แข็งแกร่ง​กว่า​ตัวเอง​ให้​ล้ม​ลง​ได้​ใน​ครั้ง​เดียว​

ขณะ​เช็ด​โลหิต​ที่​มุมปาก​ ผู้หญิง​หันมา​มอง​ซูเสวี่ยเอ้อร์​และ​แอน​นา​

“แม่ทัพ​เผ่าพันธุ์​มนุษย์​โลก​เซินหวู่​ หนิง​เย​ว่​ฉาน​ ข้า​เคย​พบ​พวก​เจ้าทั้งสอง​มาก่อน​”

สีหน้า​ของ​หนิง​เย​ว่​ฉาน​เหนื่อยล้า​ ทั่ว​ร่าง​เฉื่อยชา​ ไม่เหมือน​ตอนแรก​ที่​นาง​ทุ่ม​พละกำลัง​ทั้งหมด​เข้าใส่​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​จ้อง​หนิง​เย​ว่​ฉาน​ด้วย​ความ​เหม่อลอย​ แอน​นา​ก็​เช่นกัน​

เห็นได้ชัด​ว่า​พละกำลัง​เทียบ​เท่ากัน​ แต่​มีด​เล่ม​นั้น​บดบัง​ทั้ง​สวรรค์​และ​ปฐพี​

นี่​ช่างเป็น​ผู้หญิง​ที่​แปลกประหลาด​นัก​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​ลุกขึ้น​ด้วย​การ​สนับสนุน​ของ​แอน​นา​อย่าง​ไม่เต็มใจ​ก่อน​มาหา​หนิง​เย​ว่​ฉาน​

“ใช่เจ้าหรือ​” นาง​ถาม

“ข้า​เอง​ ข้า​ตามรอย​ตำแหน่ง​ของ​เจ้ามาตลอด​” หนิง​เย​ว่​ฉาน​ตอบ​

“มาเถอะ​ รีบ​จบเรื่อง​นี้​กัน​” ซูเสวี่ยเอ้อร์​เอื้อมมือ​ออก​ไป​

“ได้​”

หนิง​เย​ว่​ฉาน​เอื้อมมือ​ไป​จับมือ​ของ​ซูเสวี่ยเอ้อร์​เช่นกัน​

ขณะที่​ทั้งสอง​เคลื่อนไหว​ แถว​ตัวอักษร​โลหิต​ขนาดเล็ก​ปรากฏ​แก่​สายตา​ของ​ทั้งสอง​พร้อมกัน​

“การหลอมรวม​กำลังจะ​เริ่ม​ขึ้น​”

“ห้า​”

“สี่”

“สาม”

“สอง​”

“หนึ่ง​!”

“หมื่น​สวรรค์​สิ้น​โลก​ออนไลน์​: การ​จุติ​ของ​ราชา​มาร​ ได้​ตื่นขึ้น​มาอีกครั้ง​แล้ว​”

“บัญญัติ​นี้​คือ​ราชา​มาร​แห่ง​บาป​: บัญญัติ​ราชา​มาร​เฉพาะ​ของ​กู่​ฉิงซาน​ใน​ยุค​โบราณ​”

“บัญญัติ​นี้​สัมผัส​ได้​ถึงสถานที่​ที่​มาร​แห่ง​บาป​ตั้งอยู่​”

“พื้นที่​เอก​ฐาน​ อาณาจักร​หนาม​”

“หาก​กู่​ฉิงซาน​อยาก​รอด​จาก​ความโกลาหล​ เขา​ต้อง​หลอม​รวม​กับ​ข้า​ให้​เร็ว​ที่สุด​เท่า​ที่จะ​ทำได้​!”

เมื่อ​เห็น​คำอธิบาย​นี้​ ดวงตา​ของ​ซูเสวี่ยเอ้อร์​เบิก​กว้าง​

หนิง​เย​ว่​ฉาน​เม้มริมฝีปาก​เช่นกัน​

เรื่อง​นี้​ข้อง​เกี่ยวกับ​ความเป็นความตาย​ของ​เขา​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​ฝืนยิ้ม​ให้​หนิง​เย​ว่​ฉาน​แล้ว​กล่าวว่า​ “ชื่อ​ของ​เจ้าคือ​หนิง​… หนิง​เย​ว่​ฉาน​สินะ​ ขอบคุณ​ที่​ช่วย​พวก​ข้า​ ดังนั้น​ครั้งนี้​ให้​พวก​ข้า​จัดการ​เอง​ พวก​ข้า​จะหา​กู่​ฉิงซาน​ เจ้าหนี​ไป​ได้​เลย​”

หนิง​เย​ว่​ฉาน​เงียบ​ ส่ายหน้า​แล้ว​กล่าวว่า​ “ข้า​จะไป​กับ​พวก​เจ้า ข้า​ต้อง​ไปหา​เขา​เช่นกัน​”

หัวใจ​ของ​ซูเสวี่ยเอ้อร์​และ​แอน​นา​ทะยาน​ขึ้น​มาอย่าง​ห้าม​ไม่อยู่​

นาง​พูด​แบบนี้​หมายความว่า​อย่างไร​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​เปลี่ยน​สีหน้า​ทันที​ นาง​อ้า​ปาก​ถามว่า​

ตอนนี้​เอง​ หนิง​เย​ว่​ฉาน​หยิบ​ตรา​ออกมา​ กาง​มัน​ไว้​ใน​ฝ่ามือ​ก่อน​แสดง​ให้​ซูเสวี่ยเอ้อร์​และ​แอน​นา​ดู​

ตรา​แผ่​แสงสีเขียวขจี​ออกมา​ เป็น​ความผันผวน​บางอย่าง​จาก​บรรยากาศ​โบราณ​

“เหรียญ​อารักขา​ของ​ราชินี​แห่ง​อาณาจักร​หนาม​บ่งบอก​ว่า​เจ้ามาจาก​อาณาจักร​หนาม​อย่างนั้น​หรือ​” แอน​นา​ถาม

“ก่อนหน้านี้​ปลอมตัว​น่ะ​” หนิง​เย​ว่​ฉาน​ตอบ​

“แต่​ก่อนหน้านี้​เจ้าบอ​กว่า​เป็น​แม่ทัพ​ของ​โลก​เซินหวู่​นี่​” ซูเสวี่ยเอ้อร์​กล่าว​ด้วย​ความสงสัย​

หนิง​เย​ว่​ฉาน​กล่าว​ตามตรง​ว่า​ “นั่น​คือ​บ้านเกิด​ของ​ข้า​ ก่อน​จะจาก​ที่นั่น​ ข้า​ไม่รู้​ว่า​มีโลก​ที่​ทรงพลัง​ยิ่ง​มาก​ขนาด​นี้​”

“บ้านเกิด​ของ​เจ้าคือ​โลก​ประปราย​หรือ​”

“ถูกต้อง​”

ซูเสวี่ยเอ้อร์​และ​แอน​นา​มองหน้า​กัน​

ความรู้สึก​แบบ​เดียวกัน​ก่อ​เกิดขึ้น​ใน​ตัว​ทั้งสอง​

ใช่แล้ว​ ตอน​เข้า​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​ครั้งแรก​ ใคร​จะรู้​ล่ะ​ว่า​โลก​ดั้งเดิม​ของ​พวก​นาง​จะเล็ก​ปาน​นั้น​

พวก​นาง​มาจาก​อาณาจักร​หนาม​

ต่อให้​ไม่ไป​ตามหา​กู่​ฉิงซาน​ พวก​นาง​ก็​ต้อง​กลับ​อาณาจักร​หนาม​อยู่แล้ว​

“เอาเถอะ​ ไป​ด้วยกัน​ก็ได้​ แต่​พวกเรา​ล้วน​บาดเจ็บ​ ข้า​เกรง​ว่า​จะถ่วง​แข้ง​ถ่วง​ขา​เจ้าเอา​เปล่าๆ​” ซูเสวี่ยเอ้อร์​กล่าว​อย่าง​เหนื่อยล้า​

หนิง​เย​ว่​ฉาน​เผย​รอยยิ้ม​อ่อนโยน​ออกมา​

“ไม่เป็นไร​ ถึงแม้พวกเรา​จะไม่รู้จัก​กัน​ แต่​พวก​เจ้าตกอยู่ในอันตราย​มาก​ แถมยัง​ได้รับบาดเจ็บ​กัน​หมด​อีก​ ข้า​ทิ้ง​ไม่ลง​หรอก​”

ซูเสวี่ยเอ้อร์​และ​แอน​นา​กลับ​คิด​อีก​อย่าง​

หาก​เปลี่ยนเป็น​คนอื่น​พูด​ อีก​ฝ่าย​จะกลายเป็น​คน​เจ้าเล่ห์​หรือไม่​ก็​เป็น​พวก​จงใจอยาก​แสดงให้เห็น​ว่า​ตัวเอง​เป็นมิตร​แค่​ไหน​

แต่​เมื่อ​พูด​จาก​ปาก​ของ​หนิง​เย​ว่​ฉาน​ มัน​ทำให้​ผู้ฟัง​รู้สึก​ผ่อนคลาย​

นาง​คิด​อย่าง​ที่​พูด​จริงๆ​

นาง​เป็น​คน​เช่น​นั้นแหละ​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​และ​แอน​นา​รู้สึก​ดีขึ้น​

“พวกเรา​ต้อง​รีบ​ไป​แล้ว​ ขืน​ยังอยู่​ที่นี่​ ข้า​รู้สึก​ว่า​จะมีสิ่งไม่ดี​เกิดขึ้น​แน่ๆ​” หนิง​เย​ว่​ฉาน​ขมวดคิ้ว​

“ข้า​ก็​รู้สึก​แบบนี้​เหมือนกัน​ ไป​กัน​เถอะ​” ซูเสวี่ยเอ้อร์​เห็นด้วย​

“อืม​ ไป​ด้วยกัน​เถอะ​” แอน​นา​กล่าว​เช่นกัน​

ร่าง​ของ​ผู้หญิง​ทั้ง​สามหาย​ไป​จาก​โลก​นี้​

ราว​ครึ่ง​ชั่วโมง​ผ่าน​ไป​

ร่าง​ที่​ปกคลุม​ท้อง​นภา​ปรากฏ​ขึ้น​เหนือ​โลก​

สัตว์ประหลาด​หุบเหว​

วิญญาณ​กรีดร้อง​กระโดด​ลง​มาจาก​หลัง​ของ​สัตว์ประหลาด​ขนาด​ยักษ์​

‘ตูม​!’

มัน​ตกลง​ไป​ใน​โลก​รกร้าง​ หลับตา​ลง​ สัมผัส​ถึงรอบข้าง​อย่าง​เงียบงัน​

ผ่าน​ไป​สักพัก​ รอยยิ้ม​ปรากฏ​ขึ้น​บน​ใบหน้า​ครึ่ง​ชาย​ครึ่ง​หญิง​

“…เพิ่ง​ไป​ได้​ไม่นาน​ เจ้าตามทัน​แน่นอน​”

“ทุกสิ่ง​ใกล้​จะจบ​แล้ว​!”

วิญญาณ​กรีดร้อง​ทะยาน​ขึ้น​สู่ท้อง​นภา​

อีก​ด้าน​

พื้นที่​เอก​ฐาน​

อาณาจักร​หนาม​

กู่​ฉิงซน​เห็น​เย่เฟย​หลี​ใน​ตำหนัก​

“ดังนั้น​ที่​ข้า​กลายเป็น​ท่าน​เอิร์ล​ เจ้าใช้มัน​เพื่อ​เรียก​จางห​ยิง​ห่า​ว​มาหรือ​” เย่เฟย​หลี​ถาม

“ใช่ ข้า​ไม่คิด​ว่า​เจ้าจะถึงกับ​เข้า​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​ แต่​ก็​ไม่เป็นไร​ มัน​พา​เจ้ามาถึงที่หมาย​โดยตรง​ ช่วย​แก้ปัญหา​ได้​เยอะ​เลย​” กู่​ฉิงซาน​ยิ้ม​

เย่เฟย​หลี​เผย​รอย​ยิ้มแห้ง​ออกมา​แล้ว​กล่าวว่า​ “ข้า​พร้อม​จะออก​ไป​ต่อสู้​ แต่​ทันทีที่​ข้า​ออกมา​ ข้า​กลับ​มีเงิน​และ​อำนาจ​มหาศาล​ พูด​ตามตรง​ ข้า​คาดไม่ถึง​เลย​จริงๆ​”

กู่​ฉิงซาน​กล่าวว่า​ “ที่จริง​ เจ้ามาที่นี่​ได้​ถูก​เวลา​มาก​ การต่อสู้​กำลังจะ​เริ่ม​แล้ว​ ข้า​ขาด​คน​ช่วย​พอดี​”

“ข้า​ต้อง​ทำ​อะไร​ล่ะ​” เย่เฟย​หลี​ถามอย่าง​จริงจัง​

“อย่าง​แรก​เลย​ พวกเรา​ต้องหา​บัญญัติ​ราชา​มาร​” กู่​ฉิงซาน​ตอบ​

“บัญญัติ​ราชา​มาร​หรือ​”

“เรื่อง​นั้น​…”

กู่​ฉิงซาน​อธิบาย​สถานการณ์​ให้​เย่เฟย​หลี​ฟังอย่าง​ละเอียด​

ตอนนี้​ อารักขา​คน​หนึ่ง​มาจาก​ด้านนอก​ก่อน​รายงาน​กับ​ทุกคน​ว่า​ “ผู้ชาย​ที่​ชื่อ​จางห​ยิง​ห่า​ว​บอ​กว่า​เขา​ข้อง​เกี่ยวกับ​ท่าน​เอิร์ลเย่​และ​ขอ​ที่จะ​เข้าพบ​ท่าน​เอิร์ลเย่”​

ล​อร่าม​อง​กู่​ฉิงซาน​ก่อน​ถามว่า​ “นั่น​คือ​คน​ที่​เจ้าอยาก​เรียก​มาหรือ​”

จิต​เทพ​ของ​กู่​ฉิงซาน​ถูก​ปล่อย​ออก​ไป​ เขา​พลัน​หัวเราะ​ออกมา​

“ใช่ ในที่สุด​เขา​ก็​มา”

ยานอวกาศ​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​ทะยาน​อย่าง​รวดเร็ว​ใน​ความว่างเปล่า​

ยอด​ฝีมือ​เหล่านั้น​ที่​ระดม​ฝูงชน​มาล้อม​ยานอวกาศ​เอาไว้​ล้วน​ถูก​กวาดล้าง​

ความว่างเปล่า​กลับ​สู่ความสงบ​

กลุ่ม​ยอด​ฝีมือ​เมื่อ​ครู่​คล้าย​กับ​ฉาก​ที่​ถูก​แทรก​เข้าไป​ใน​ฉาก​อีกที​ก่อน​หาย​ไป​จาก​ตรงหน้า​กู่​ฉิงซาน​และ​คนอื่น​ใน​พริบตา​

กู่​ฉิงซาน​ลุกขึ้น​จาก​พื้น​

บาดแผล​ของ​ผู้ชาย​ได้รับ​การรักษา​คร่าวๆ​ แต่​แล้ว​เมื่อ​เขา​ตื่นขึ้น​มา กู่​ฉิงซาน​ก็​ไม่รู้​ว่า​จะทำ​อย่างไร​ต่อ​

ผู้ชาย​นอน​อยู่​บน​ชั้นดาดฟ้า​ไม่ขยับ​ไป​ไหน​ ยังอยู่​ใน​อาการสาหัส​

หมอ​นี่​ถูก​ซาก​แขน​คว้า​เอาไว้​จน​ถูก​ช่วย​จาก​อนาคต​หรือ​

กู่​ฉิงซาน​มอง​ผู้ชาย​ด้วย​ความรู้สึก​ที่​ไม่มั่นใจ​

แต่​ผู้ชาย​คน​นี้​ถูก​ช่วย​จาก​ความว่างเปล่า​จริงๆ​

กู่​ฉิงซาน​เข้าใจ​พลัง​ของ​ฝั่งแปลกประหลาด​อย่าง​ลึกซึ้ง​เช่นกัน​

ตอนนี้​ เขา​ต้อง​รอ​ให้​อีก​ฝ่าย​ได้สติ​ขึ้น​มาก่อน​

กู่​ฉิงซาน​ปล่อย​จิต​เทพ​เพื่อ​ตรวจสอบ​ความว่างเปล่า​ เห็น​เพียง​พื้นที่​รอบข้าง​สะอาด​ ยอด​ฝีมือ​ทั้งหมด​ที่​มีมาล้อม​เอาไว้​เมื่อ​ครู่​ถูก​หลิน​เก็บกวาด​ไป​แล้ว​

“ถูก​ฆ่าหมด​แล้ว​หรือ​” เขา​อด​ที่จะ​ถามไม่ได้​

“เจ้าให้​ข้า​ทำ​เอง​นี่​ มีปัญหา​อะไร​” หลิน​ถามอย่าง​หวาดระแวง​

กู่​ฉิงซาน​ยิ้ม​แล้ว​ตอบ​ว่า​ “ไม่มีปัญหา​ แน่นอน​ว่า​ไม่มีปัญหา​ เป็น​การทำงาน​ที่​งดงาม​จริงๆ​”

แต่​ใน​น้ำเสียง​ของ​เขา​ มีความเสียใจ​อยู่​ไม่มาก​ก็​น้อย​

ตอนนี้​เขา​มีพลัง​วิญญาณ​อยู่​เพียง​สอง​แต้ม​เท่านั้น​ ใน​กรณี​ฉุกเฉิน​ ความสามารถ​จำนวนมาก​ของ​เขา​จะไม่สามารถ​ใช้ได้​

หลิน​ครุ่นคิด​สักพัก​ก่อน​เข้าใจ​ช้าๆ

“ข้า​จำได้​แล้ว​ ดูเหมือน​เจ้าจะมีบัญญัติ​แปลกประหลาด​อยู่​ เจ้าสามารถ​ได้รับ​พลัง​วิญญาณ​อัน​แข็งแกร่ง​ผ่าน​การ​ฆ่า ข้า​รู้​ว่า​ข้า​ต้อง​ทำให้​พวก​มัน​พิการ​ทั้งหมด​มากกว่า​” หลิน​กล่าว​

เมื่อ​เห็น​นาง​เสียใจ​เล็กน้อย​ กู่​ฉิงซาน​ไม่มีทางเลือก​นอกจาก​ปลอบ​นาง​แล้ว​กล่าวว่า​ “ไม่เป็นไร​ ข้า​ว่า​คราวหน้า​เดี๋ยว​ก็​มีศัตรู​มาเอง​”

“ต้อง​เป็น​ศัตรู​ที่​แข็งแกร่ง​กว่า​เจ้าใช่หรือเปล่า​” หลิน​ถาม ใบหน้า​เผย​แวว​ครุ่นคิด​ขึ้น​มา

“เกือบ​เทียบเท่า​ข้า​ก็​พอ​” กู่​ฉิงซาน​ปล่อย​จิต​เทพ​ สังเกตเห็น​ความ​กระตือรือร้น​ของ​หลิน​ก่อน​รีบ​เสริม​ว่า​ “ที่จริง​ ข้า​ไม่ชอบ​ฆ่าคน​ตามใจ​อยาก​ ข้า​ต้อง​ยืนยัน​ศัตรู​ที่​สามารถ​ฆ่าได้​ก่อน​”

หลิน​เข้าใจ​สิ่งที่​เขา​กังวล​ก่อน​กล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​ลุ่มลึก​ว่า​ “โห​ เจ้าขอ​เยอะ​จังเลย​ ทำไม​ข้า​เริ่ม​มองไม่เห็น​ความ​เป็น​นักบุญ​ของ​เจ้าแล้ว​นะ​”

“มัน​ไม่ได้​สูงศักดิ์​อย่าง​ที่​เจ้าว่า​หรอก​ แต่​ถ้าเจ้าอยาก​จับตัว​ข้า​เพื่อ​ฆ่า ข้า​ก็​ไม่มีทาง​ทำ​อะไร​ได้​จริงๆ​” กู่​ฉิงซาน​ยิ้ม​ขมขื่น​

ทันใดนั้น​ทั้งสอง​ก็​นิ่ง​

ใน​กระแส​วังวน​ความว่างเปล่า​ปรากฏ​แสงสว่าง​วาบ​ขึ้น​

ความเร็ว​ของ​แสงนี้​ไว​จน​มาถึงชั้นดาดฟ้า​ของ​ยานอวกาศ​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​ใน​พริบตา​

‘ตูม​!’

ทั่ว​ยานอวกาศ​สั่น​ไหว​เล็กน้อย​

มนุษย์​หิน​สวม​ชุด​เกราะ​สีเทา​เต็มยศ​ปรากฏ​ขึ้น​ต่อหน้า​ทั้ง​สาม

“ผู้ปกครอง​โลก​เนบิวลา​กางเขน​ใต้​!” ลอ​ร่า​อุทาน​

“คนรู้จัก​หรือ​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

เขา​มอง​อีก​ฝ่าย​ รู้สึก​ถึงบรรยากาศ​อัน​คุ้นเคย​จาก​ตรงหน้า​อีก​ฝ่าย​

ใน​ยุค​โบราณ​ กู่​ฉิงซาน​เคย​กลายเป็น​ยักษ์​อมตะ​หมิง​กวง​ ตอนนี้​มนุษย์​หิน​ตรงข้าม​เขา​ให้​ความรู้สึก​เหมือนกับ​ยักษ์​อมตะ​เลย​

ธาตุ​ชีวิต​นี้​แข็งแกร่ง​มาก​จริงๆ​

“เปล่า​ เขา​คือ​ตัวตน​ที่​แข็งแกร่ง​กว่า​จ้าว​โลก​ เป็น​ตัวตน​แข็งแกร่ง​ที่สุด​ของ​ตระกูล​ธาตุ​ดิน​ เป็นหนึ่ง​ใน​บุคคล​ใหญ่โต​ไม่กี่​คนใน​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​” ลอ​ร่า​กระซิบ​

เห็นได้ชัด​ว่า​มนุษย์​หิน​ร่าง​กำยำ​สังเกตเห็น​ลอ​ร่า​

เขา​ดู​ประหลาดใจ​เล็กน้อย​ก่อน​ถามว่า​ “ราชินี​หนาม​หรือ​ แสดงว่า​ เจ้ากับ​คน​ของ​เจ้าช่วย​คน​คน​นั้น​เอาไว้​หรือ​”

“ใคร​หรือ​” ลอ​ร่า​ไม่รู้​ว่า​เขา​ไม่ถึงใคร​

ผู้ปกครอง​โลก​เนบิวลา​กางเขน​ใต้​ชี้ไป​ที่​พื้น​

พวกเขา​สามคน​ก้ม​มอง​ คน​ที่​ถูก​พูดถึง​คือ​ผู้ชาย​ที่​หมดสติ​

“ข้า​เป็น​คน​ช่วย​เอง​ มีอะไร​หรือ​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

มนุษย์​หิน​ยิ้ม​กว้าง​

“อย่างนั้น​หรือ​ เจ้านาย​อยู่​ไกล​จาก​ที่นี่​มากเกินไป​ ดังนั้น​เขา​จึงสั่งข้า​ให้​พา​ตัว​คน​นี้​ไป​และ​ฆ่าคน​ที่​ช่วย​เขา​เอาไว้​”

มัน​ขยับ​คอ​ จิต​สังหาร​รุนแรง​บน​ร่าง​แผ่​ออกมา​ก่อน​จับจ้อง​มาที่​กู่​ฉิงซาน​อย่าง​รวดเร็ว​

กู่​ฉิงซาน​ลอบ​ประหลาดใจ​

หมอ​นี่​ไม่คล้าย​กับ​มาที่นี่​เพราะ​ลอ​ร่า​ แต่​มาหา​ผู้ชาย​ที่​ถูก​ช่วย​เอาไว้​

หรือ​ก็​คือ​ ตอนนี้​มีสอง​กลุ่ม​ที่​จับตาดู​ยาน​อยู่​

หนึ่ง​คือ​กลุ่มคน​ที่​อยาก​จับตัว​ลอ​ร่า​

สอง​คือ​กลุ่มคน​ที่​อยาก​จับ​ผู้ชาย​ที่​หมดสติ​

สิ่งต่างๆ​ เข้ามา​ไม่หยุด​ ทำให้​ผู้คน​รู้สึก​เหมือนกับ​ภูเขา​และ​ฝน​กำลัง​เคลื่อน​เข้ามา​อย่าง​ประหลาด​

กู่​ฉิงซาน​แบมือ​ก่อน​ถือ​ดาบ​พิภพ​เอาไว้​เงียบๆ​

ข้าง​เขา​ ลอ​ร่า​กล่าว​อย่าง​วิ​ตกว่า​ “ผู้ปกครอง​โลก​เนบิวลา​กางเขน​ใต้​ ทำไม​ถึงเป็น​เจ้า ข้า​สามารถ​ยก​สมบัติ​ทุก​ชิ้น​ให้ได้​นะ​ ขอ​แค่​เจ้าเต็มใจ​ที่จะ​รามือ​จาก​อีก​ฝ่าย​”

ขณะ​นาง​พูด​ ภาพมายา​ของ​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​ปรากฏ​ขึ้น​จาก​ด้านหลัง​

ตอนแรก​ที่​หลาย​คน​ล้อม​ที่นี่​เอาไว้​ ลอ​ร่า​ไม่ได้​เรียก​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​ออกมา​

ตอนนี้​นาง​เรียก​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​ให้​ปรากฏตัว​ทันที​

มนุษย์​หิน​ชำเลือง​มอง​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​ ดู​ระแวดระวัง​เล็กน้อย​ “ถ้าเป็นช่วง​ปกติ​ ข้า​คง​เต็มใจ​รับข้อเสนอ​ที่​ดี​นั้น​แน่นอน​ แต่​ครั้งนี้​ ไม่มีสมบัติ​ใด​ที่​สามารถ​เทียบ​เท่ากับ​สิ่งที่​เจ้านาย​จะมอบให้​ข้า​ได้​”

ลอ​ร่า​วิตก​และ​กำลังจะ​พูด​แสดง​ความใจกว้าง​อีก​ แต่​หลิน​กลับ​ห้าม​เอาไว้​

หลิน​ยืน​อยู่​หน้า​นาง​ขณะ​มอง​กู่​ฉิงซาน​

“หมอ​นี่​คล้าย​กับ​แข็งแกร่ง​กว่า​เจ้าเล็กน้อย​” นาง​กล่าว​

“อืม​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​

“เขา​จะเอา​ผู้​ช่วยเหลือ​ร่วมกัน​ของ​เจ้าไป​”

“อืม​”

“เขา​กำลังจะ​ฆ่าเจ้า”

“อืม​”

“ยัง​จะเป็น​นักบุญ​อีก​ไหม​” หลิน​หยอกล้อ​

“ข้า​ไม่เคย​เป็น​นักบุญ​อยู่แล้ว​ เจ้าก็​รู้​นี่​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​

“หึ​”

หลิน​คิดถึง​อดีต​ก่อน​พ่นลม​ออก​จมูก​ด้วย​ความไม่พอใจ​

ทำไม​ตอนนี้​หมอ​นี่​ถึงไม่กลัว​ข้า​เลย​นะ​

สั่งสอน​บทเรียน​สักหน่อย​ดี​หรือเปล่า​

หลิน​กำลัง​ทำสมาธิ​ พลัง​ธาตุ​ดิน​รุนแรง​กำลัง​รอ​อย่าง​ร้อนใจ​ ร่าง​ของ​อีก​ฝ่าย​ขยับ​

“ตาย​!”

มัน​ตะโกน​เสียงดัง​ ร่าง​หาย​ไป​จาก​ที่​ที่​เคย​อยู่​

ในเวลาเดียวกัน​ หลิน​ขยับ​เช่นกัน​

หลิน​ทะยาน​ออก​ไป​อย่าง​แผ่วเบา​ ยก​ขา​เรียว​ขึ้น​ตรง​ก่อน​กระแทก​ลงมา​อย่าง​จัง

กู่​ฉิงซาน​ตาม​อีก​ฝ่าย​ ดาบ​พิภพ​ฟาด​ใส่อากาศธาตุ​ข้างหน้า​

ชีวิต​ดับสูญ​

เศษอิฐ​หิน​แตก​กระจาย​ มัน​ตกลง​กับ​พื้น​ก่อน​กระจาย​ไป​ทุกทิศทาง​

แถว​หิ่งห้อย​ขนาดเล็ก​ผุด​ขึ้น​บน​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​

“ท่าน​ฆ่าธาตุ​ดิน​แข็งแกร่ง​: ผู้ปกครอง​โลก​เนบิวลา​กางเขน​ใต้​ (มัน​ไม่ได้​บอกชื่อ​ ฉะนั้น​จึงเรียก​ได้​แค่​แบบ​นั้น​)”

“ท่าน​ได้รับ​พลัง​วิญญาณ​ห้า​หมื่น​แต้ม​”

“พลัง​วิญญาณ​ของ​ท่าน​ที่​เหลืออยู่​ห้า​หมื่น​ส่วน​หกร้อย​”

“คำเตือน​: การต่อสู้​นี้​ช่างไร้ยางอาย​และ​ขัดต่อ​หลักการ​ของ​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​”

กู่​ฉิงซาน​ยักคิ้ว​แล้ว​กล่าว​กับ​หน้าต่าง​ระบบ​ว่า​ “ข้า​รู้​ว่า​เจ้าจะเอา​พลัง​วิญญาณ​บางส่วน​ไป​ ดังนั้น​เจ้าจะมัวแต่​พูดจา​ดี​ๆ หรือ​จะเอา​พลัง​วิญญาณ​ที่​เพิ่ง​ได้มา​ไป​ทิ้ง​ล่ะ​!”

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​แข็งทื่อ​ไป​สักพัก​

แถว​หิ่งห้อย​สุดท้าย​หาย​ไป​

ข้อความ​แจ้งเตือน​ใหม่​ปรากฏ​ขึ้น​

“ข้า​จะบอ​กว่า​นี่​เป็นการ​จับคู่​ที่​สมบูรณ์แบบ​ต่างหาก​!”

กู่​ฉิงซาน​ชำเลือง​มอง​ คร้าน​เกิน​กว่า​จะจัดการ​กับ​หน้าต่าง​ระบบ​นี้​อีก​

ด้ว​พลัง​วิญญาณ​ห้า​หมื่น​แต้ม​ตอนนี้​ มีทางเลือก​มากมาย​ใน​การต่อสู้​

กู่​ฉิงซาน​รู้สึก​ปลอดภัย​ขึ้น​เล็กน้อย​

“ห้ะ!”​ หลิน​พลัน​กล่าว​ขึ้น​

“มีอะไร​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

“ฆ่าเร็ว​ไป​หน่อย​ ลืม​ถามเลย​ว่า​เจ้านาย​ของ​มัน​คือ​ใคร​” หลิน​ตอบ​

กู่​ฉิงซาน​กล่าวว่า​ “ลอ​ร่า​ เจ้ารู้จัก​คน​คน​นี้​ บอก​ข้อมูล​เกี่ยวกับ​เขา​ได้​หรือเปล่า​”

ลอ​ร่า​ส่ายหน้า​แล้ว​กล่าวว่า​ “คน​แข็งแกร่ง​แบบ​นั้น​คือ​หนึ่ง​ใน​ไม่กี่​คนใน​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​ ข้า​ไม่รู้​จริงๆ​ ว่า​ใคร​กันที่​สามารถ​สั่งเขา​ได้​”

หลิน​เสริม​ว่า​ “อีก​อย่าง​ เขา​บังเอิญ​อยาก​ฆ่ากู่​ฉิงซาน​ก็​เท่านั้น​ เป้าหมาย​ที่​แท้จริง​คือ​การ​พราก​ตัวผู้​ช่วยเหลือ​ไป​”

พวกเขา​มอง​ผู้ชาย​พร้อมกัน​

ผู้ชาย​ยังอยู่​ใน​อาการสาหัส​ ไม่รู้​ว่า​เมื่อไหร่​จะตื่นขึ้น​มา

ลอ​ร่า​ถอนหายใจ​แล้ว​กล่าวว่า​ “ตอนแรก​ข้า​ไม่เชื่อ​ว่า​หมอ​นี่​คือ​ผู้​ช่วยเหลือ​ร่วมกัน​ของ​กู่​ฉิงซาน​ แต่​อีก​ฝ่าย​ถึงกับ​กลายเป็น​ผู้ปกครอง​โลก​เน​บิ​ว​ชากางเขน​ใต้​ ดังนั้น​ข้า​เริ่ม​จะเชื่อ​ขึ้น​มาบ้าง​แล้ว​ล่ะ​”

กู่​ฉิงซาน​ร่าย​วิชา​อย่าง​ไม่ใส่ใจ

ผู้ชาย​ลอย​ขึ้น​ก่อน​ตรง​ไป​ใน​ห้องพัก​ของ​เรือ​ จากนั้น​ถูกวาง​ลง​บน​เตียง​

กู่​ฉิงซาน​กล่าวว่า​ “ตอนนี้​ข้า​ไม่คาดหวัง​ว่า​จะช่วย​เขา​ได้​ หวัง​แค่​เพียง​ว่า​จะสามารถ​เก็บเกี่ยว​พลัง​วิญญาณ​ได้​ก็​พอ​”

ตอนนี้​ ยานอวกาศ​เริ่ม​ช้าลง​

“จะมีใคร​มาที่นี่​อีก​หรือ​” หลิน​ถาม

“เปล่า​” ล​อร่าม​อง​ฉาก​รอบข้าง​ก่อน​ยิ้ม​ออก​ “ที่จริง​ พวกเรา​เดิน​ทางผ่าน​ช่องทาง​นี้​จน​เข้าสู่​พื้นที่​เอก​ฐาน​แล้ว​ ตอนนี้​กำลังจะ​ถึงอาณาจักร​ของ​ข้า​”

ฉาก​รอบข้าง​เปลี่ยนไป​

ต้นไม้​โบราณ​ขนาดใหญ่​ตั้ง​ตระหง่าน​ใน​วังวน​ความว่างเปล่า​

ยานอวกาศ​คล้าย​กับ​ธุลี​ต่ำต้อย​เมื่อ​อยู่​ต่อหน้า​ต้นไม้​โบราณ​นี้​

ในที่สุด​พวกเขา​ก็​มาถึงที่นี่​!

ไม่ว่า​กู่​ฉิงซาน​จะปฏิเสธ​อย่างไร​ ลอ​ร่า​ยืนกราน​ว่า​เขา​ต้อง​ใช้ซาก​แขน​

นาง​ถึงขั้น​บอ​กล่าว​กับ​กู่​ฉิงซาน​ว่า​หาก​เขา​ไม่ใช้ นาง​จะโยน​ซาก​แขน​เข้า​กระแส​วังวน​ความว่างเปล่า​

กู่​ฉิงซาน​ไม่มีทางเลือก​นอกจาก​รับข้อเสนอ​นาง​

เขา​ถือ​ซาก​แขน​เอาไว้​ แถว​หิ่งห้อย​ยังคง​ปรากฏ​ขึ้น​บน​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​

“ของ​แปลกประหลาด​: มือ​แห่ง​มิตรภาพ​ (มีเพียง​สอง​ข้าง​: เพราะ​ยังมี​แขน​อีก​ข้าง​หนึ่ง​)”

“ไอ​เท็ม​นี้​สามารถ​เข้าใจ​ความปรารถนา​ของ​ผู้​ถือ​ได้​ คาดการณ์​สภาพแวดล้อม​ที่​ผู้​ถือ​จะเผชิญ​ได้​และ​ข้าม​ขีดจำกัด​ของ​มิติ​เพื่อ​ช่วย​ผู้​ช่วยเหลือ​ร่วมกัน​”

“จำนวน​ครั้ง​ที่​ใช้ได้​หนึ่ง​ต่อ​สอง​ครั้ง​”

“ขั้นตอน​การ​ใช้”

หนึ่ง​ หยิบ​มัน​ขึ้น​มา

สอง​ ใช้มัน​จับ​ความว่างเปล่า​

สาม จับ​ผู้​ช่วยเหลือ​ร่วมกัน​ที่อยู่​ใน​สภาพ​ความเป็นความตาย​ใน​มิติ​ที่​เขา​อยู่​

กู่​ฉิงซาน​ลอบ​ประหลาดใจ​

สิ่งนี้​มีสามหน้าที่​ หนึ่ง​ใน​นั้น​สามารถ​ข้าม​ขีดจำกัด​ของ​มิติ​เพื่อ​ช่วย​คน​ได้​

ระบบ​ลี้ลับ​นับว่า​ทรงพลัง​แล้ว​ แต่​ความ​แปลกประหลาด​และ​สงสัย​ใคร่รู้​ยังอยู่​เหนือกว่า​พวก​มัน​

เพียงแต่​สิ่งที่อยู่​ทาง​ฝั่งแปลกประหลาด​หา​ยากจน​ไม่ค่อย​ได้​พบเห็น​

“จะใช้สิ่งนี้​ได้​อย่างไร​ มัน​ยาก​หรือเปล่า​?”

หลิน​ยืน​อยู่​ด้าน​ข้าง​ขณะ​ถามด้วย​ความสนใจ​

กู่​ฉิงซาน​มอง​แถว​หิ่งห้อย​บน​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​แล้ว​ตอบ​ว่า​

“ดูเหมือน​จะไม่ยาก​”

หลังจาก​พูด​จบ​ เขา​จับ​ปลาย​ซาก​แขน​ก่อน​ให้​มัน​คว้า​ใน​ความว่างเปล่า​

แขน​พุ่ง​ไป​ใน​ความว่างเปล่า​ก่อน​กลับมา​

แต่​มัน​ไม่ได้​คว้า​อะไร​มา

ทั้ง​สามรู้สึก​แปลกประหลาด​เล็กน้อย​

“นี่​ ทำไม​เจ้าถึงไม่คว้า​ผู้​ช่วยเหลือ​มาสัก​คน​เลย​ล่ะ​” ลอ​ร่า​อด​ที่จะ​ถามไม่ได้​

“ทำ​แล้ว​ ข้า​เพิ่ง​คว้า​คน​ที่​ตก​อยู่​ใน​สถานการณ์​อันตราย​มา เขา​ตาย​ทันที​ ฉะนั้น​ข้า​ก็​เลย​ปล่อยไป​” ซาก​แขน​ตอบ​

“พึ่งพา​ไม่ได้​เลย​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​ด้วย​ความผิดหวัง​

ดวงตา​บน​ซาก​แขน​เบิก​กว้าง​ก่อน​แย้ง​ว่า​ “เจ้าหนู​ เจ้าน่าจะ​รู้​ข้อบกพร่อง​ตัวเอง​นะ​”

“รู้​ข้อบกพร่อง​ตัวเอง​หรือ​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

ซาก​แขน​กล่าว​อย่าง​จนใจ​ว่า​ “มัน​ยาก​นัก​ที่จะ​ตามหา​ผู้​ช่วยเหลือ​ร่วม​กันที่​เหมาะกับ​คน​อย่าง​เจ้าได้​”

“แล้ว​ต้อง​ทำ​อย่างไร​ล่ะ​” กู่​ฉิงซาน​ถามอย่าง​จนใจ​เช่นกัน​

“ขอเวลา​ข้า​ดู​หน่อย​ ข้า​ต้อง​จับตาดู​ให้​ดี​”

ดวงตา​บน​ซาก​แขน​มอง​ไป​ใน​ความว่างเปล่า​ ดวงตา​ยังคง​ขยับ​ราวกับ​กำลัง​สังเกต​โลก​มากมาย​

ทันใดนั้น​ มัน​ร้อง​ออกมา​

“เร็ว​ พยายาม​คว้า​อย่าง​สุดความสามารถ​อีกครั้ง​ ข้า​พบ​สหาย​แสน​ดี​ของ​เจ้าคน​หนึ่ง​แล้ว​ แต่​เขา​ตก​อยู่​ใน​สถานการณ์​อันตราย​มาก​และ​กำลังจะ​ตาย​”

กู่​ฉิงซาน​รีบ​ถือ​ซาก​แขน​ก่อน​ให้​มัน​ดึง​ไป​ใน​ความว่างเปล่า​อีกครั้ง​

หลังจาก​ได้รับ​บทเรียน​จาก​คราว​ที่แล้ว​ เขา​ถึงขั้น​ใช้วิชา​ดาบ​ใน​คราวนี้​เพื่อ​คว้า​คน​ที่​กำลังจะ​ถูก​สังหาร​อย่าง​รวดเร็ว​

ซาก​แขน​กวาด​ไป​ทั่ว​ความว่างเปล่า​

กู่​ฉิงซาน​พลัน​รู้สึก​ถึงน้ำหนัก​บน​แขน​ที่​ถือ​ไว้​

“คว้า​มัน​!”

เขา​พ่นลม​ออก​จมูก​ก่อน​ดึง​ซาก​แขน​ด้วยมือ​ทั้งสอง​ข้าง​จน​กระเด็น​ถอย​กลับมา​

ในเวลาเดียวกัน​

โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​

พื้นที่​ควบคุม​

โลก​ที่​ถูก​ทำลาย​บางส่วน​สัก​แห่ง​ใกล้​พื้นที่​จ้าว​โลก​

วิญญาณ​กรีดร้อง​เคลื่อน​ลง​มาจาก​ท้อง​นภา​

ทั่วโลก​ยังคง​สั่นสะเทือน​และ​พังทลาย​

ภายใต้​การ​โจมตี​อย่าง​ต่อเนื่อง​ โลก​เริ่ม​ถูก​ทำ​ลายอย่าง​สมบูรณ์​

“เมื่อ​เผชิญหน้า​กับ​ความโกลาหล​ไม่มีสิ้นสุด​ แม้แต่​ท่าน​ก็​มีแต่​ต้อง​พบ​ทางตัน​เท่านั้น​” วิญญาณ​กรีดร้อง​กล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​ภาคภูมิใจ​

ตรงข้าม​เขา​ ผู้ชาย​คุกเข่า​ข้าง​หนึ่ง​ลงมา​ก่อน​เช็ด​โลหิต​จาก​มุมปาก​ออก​

เขา​กล่าว​อย่าง​สงบ​ว่า​ “น่าเสียดาย​ที่​ร่าง​ข้า​ไม่ได้​อยู่​ที่นี่​ ไม่อย่างนั้น​”

วิญญาณ​กรีดร้อง​กล่าว​อย่าง​ไม่ยินดี​ว่า​ “ท่าน​ไม่มีโอกาส​หรอก​ ข้า​ได้รับ​พลัง​โกลาหล​มากขึ้น​เรื่อยๆ​ ต่อให้​ร่าง​ท่าน​มาจาก​ก้นบึ้ง​หุบเหว​ไม่มีสิ้นสุด​ ข้า​ก็​ไม่หวาดกลัว​ท่าน​อีกต่อไป​แล้ว​”

“ทีนี้​ตาย​ได้​แล้ว​!”

พลัง​ไม่มีสิ้นสุด​ระเบิด​ออกจาก​มัน​

ความว่างเปล่า​บิดเบือน​ก่อน​กระจาย​ไป​ทั้งสอง​ฝั่ง

ใน​สายลม​ที่​โหมกระหน่ำ​ การ​โจมตี​ของ​พลัง​โกลาหล​สุดกำลัง​ปรากฏ​!

ผู้ชาย​ถอนหายใจ​ ดวง​ตาคม​ปลาบ​

แม้กระทั่ง​วินาที​สุดท้าย​ก็​ต้อง​เผชิญหน้า​กับ​การต่อสู้​!

เขา​ทุ่มเท​อย่าง​สุดกำลัง​

‘ตูม​!’

พลัง​มหาศาล​ของ​ความโกลาหล​พุ่ง​ออก​ไป​กระแทก​ทั่ว​ร่าง​ของ​เขา​ลง​กับ​พื้น​จน​เกิน​กว่า​จะต้านทาน​ไหว​

ตอนนี้​ ซาก​แขน​ประหลาด​พลัน​ยื่น​ออกมา​ คว้า​ผู้ชาย​เอาไว้​มั่น​ก่อน​หาย​ไป​จาก​โลก​ใบ​นี้​

“ไม่”

วิญญาณ​กรีดร้อง​คำราม​อย่าง​เกรี้ยวกราด​

มัน​เกือบจะ​เคลื่อน​ลง​ถึงพื้น​แล้ว​

แต่​ไม่มีอะไร​อยู่​ตรงนั้น​

มีเพียง​ผลพวง​จาก​ความผันผวน​วิญญาณ​เท่านั้น​ที่​ยัง​กระจาย​อยู่​ทุกทิศทาง​

วิญญาณ​กรีดร้อง​หมอบลง​อย่าง​รวดเร็ว​ มัน​หลับตา​เพื่อ​สัมผัส​ความผันผวน​ใน​มิติ​

“ใกล้​กับ​พื้นที่​เอก​ฐาน​…”

“ไกล​เกินไป​” วิญญาณ​กรีดร้อง​กล่าว​อย่าง​เสียดาย​ “ไม่ ข้า​อยาก​ไป​พื้นที่​จ้าว​โลก​เพื่อ​ทำลาย​บัญญัติ​ก่อน​ นี่​คือ​สิ่งสำคัญ​ที่สุด​!”

มัน​ยืน​ขึ้น​ ทะยาน​ขึ้น​ใน​อากาศ​ก่อน​ออกจาก​โลก​ที่​พังทลาย​ไป​

อีก​ด้าน​หนึ่ง​

‘ตูม​!’

เงาสีดำ​ตกลง​กับ​พื้น​

คน​สามคน​ล้อม​เข้ามา​เพื่อ​มุงดู​ผู้ชาย​ที่​เต็มไปด้วย​ฝุ่น​

บาดแผล​บน​ร่าง​ของ​ชาย​คน​นั้น​น่า​ตกตะลึง​ ตอนนี้​เขา​อยู่​ใน​อาการสาหัส​

ซาก​แขน​ถอนหายใจ​ด้วย​ความ​โล่งอก​ก่อน​กล่าว​อย่าง​ยินดี​ว่า​ “ดี​ล่ะ​ เขา​ยังมี​ลมหายใจ​เฮือกสุดท้าย​อยู่​ เพราะ​เขา​ยังมี​ตัวตน​ ดังนั้น​ขอ​แค่​ไม่ใช้พลัง​มาโจมตี​ใส่ เขา​ก็​จะดีขึ้น​อย่าง​ช้าๆ ”

“ธุระ​ของ​ข้า​เสร็จ​แล้ว​ ลาก่อน​”

ซาก​แขน​โบกมือ​ให้​กู่​ฉิงซาน​ ลอ​ร่า​และ​หลิน​

มัน​ทะยาน​ขึ้น​ท้อง​นภา​ก่อน​หาย​ไป​จาก​สายตา​ของ​ทั้ง​สาม

พวกเขา​ทั้ง​สามหัน​สายตา​กลับมา​มอง​ที่​พื้น​

ผู้ชาย​คล้าย​กับ​เพิ่ง​ถูก​กระแทก​ออกจาก​ซากปรักหักพัง​ ทั้งตัว​เต็มไปด้วย​อิฐ​ปูน​ ทำให้​มองไม่เห็น​ใบหน้า​แม้แต่​นิดเดียว​

“หมอ​นี่​ใคร​น่ะ​” ลอ​ร่า​ถาม

“เจ้าไม่รู้​ แล้ว​ข้า​จะไป​รู้​ไหม​” กู่​ฉิงซาน​ถามกลับ​

เขา​เอื้อมมือ​ออก​ไป​เพื่อ​ใช้วิชา​

วิชา​ชะล้าง​

ฝุ่น​ทั้งหมด​บน​ร่าง​ของ​ผู้ชาย​ปลิว​หาย​ใน​ความว่างเปล่า​นอก​ยานอวกาศ​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​

รูปลักษณ์​และ​ชุด​ของ​ผู้ชาย​ปรากฏ​ตรงหน้า​ของ​ทั้ง​สามชัดเจน​

หลิน​มอง​รูปลักษณ์​ของ​ผู้ชาย​ ทันใดนั้น​ก็​ตกตะลึง​

“ทำไม​ถึงดูเหมือน​ใน​ข่าวลือ​เลย​นะ​…”

นาง​พึมพำ​ คุกเข่า​ลง​แล้ว​ตรวจสอบ​ผู้ชาย​อย่าง​ละเอียด​

ร่างกาย​ไม่มีปัญหา​

นี่​คือ​มนุษย์​เพศชาย​ธรรมดา​ที่​มีทรงผม​ทันสมัย​กับ​แว่นตา​กรอบ​ดำ​ตรง​สันจมูก​

เขา​เข้าใจ​สิ่งเหล่านี้​ได้​อย่างไร​

แต่​สิ่งสำคัญ​ที่สุด​คือ​พละกำลัง​อัน​น่า​สะพรึง​ของ​อีก​ฝ่าย​ต่างหาก​ ทำไม​เขา​ถึงถูก​อัด​แบบนี้​ได้​

ใช่ มัน​เป็นไปไม่ได้​

หัวใจ​ของ​หลิน​ผ่อนคลาย​ลง​ช้าๆ

กู่​ฉิงซาน​เริ่ม​ตรวจสอบ​บาดแผล​ของ​ผู้ชาย​

“อืม​…บาดแผล​สาหัส​เล็กน้อย​ แต่​ซาก​แขน​บอ​กว่า​เขา​จะไม่ตาย​ ดังนั้น​ข้า​จะรักษา​บาดแผล​ของ​เขา​ก่อน​”

กู่​ฉิงซาน​กล่าว​

ตอนนี้​บน​อวกาศ​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​พลัน​สั่น​ไหว​ก่อน​จอด​นิ่ง​กับ​ที่​

บางสิ่ง​คล้าย​กับ​ขวาง​เส้นทาง​ที่​ถูก​กำหนด​ไว้​ของ​ยานอวกาศ​ ทำให้​มัน​ไม่รู้​ว่า​จะทำ​อย่างไร​ดี​ สักพัก​

ลอ​ร่า​และ​หลิน​เงยหน้า​มอง​พร้อมกัน​

พวก​นาง​เห็น​ยานอวกาศ​ปรากฏ​ขึ้น​จาก​วง​วัน​ความว่างเปล่า​ลำ​แล้ว​ลำ​เล่า​

ยานอวกาศ​เหล่านี้​จอด​ตรง​วังวน​ความว่างเปล่า​เป็น​กลุ่ม​ ขวางทาง​ไป​ต่อ​ข้างหน้า​จน​มิด​

“เปลี่ยนเส้นทาง​กัน​เถอะ​!” หลิน​กล่าว​อย่าง​ไม่ใส่ใจ

“ช้าไป​แล้ว​” ลอ​ร่า​กล่าว​

ยานอวกาศ​จำนวนมาก​ปรากฏ​ขึ้น​จาก​ทุกทิศทาง​

ยานอวกาศ​เหล่านี้​ล้อ​มล​อ​ร่า​และ​ยาน​ของ​พวก​นาง​เอาไว้​

กลุ่ม​ยอด​ฝีมือ​ทะยาน​ออกจาก​ยานอวกาศ​ตัวเอง​มายัง​ยานอวกาศ​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​

“ส่งราชินี​หนาม​มาซะ!”

ผู้นำ​ตะโกน​เสียงดัง​

ลอ​ร่า​วิ่ง​มาอยู่​หลัง​กู่​ฉิงซาน​ ใช้นิ้ว​จิ้มเขา​แล้ว​กล่าวว่า​ “เอา​ไงดี​ ข้า​สู้ไม่เก่ง​ด้วย​สิ”

กู่​ฉิงซาน​ยัง​ก้ม​ศีรษะ​เพื่อ​รักษา​บาดแผล​ของ​ผู้ชาย​

“หลิน​”

เขา​พ่น​คำพูด​ออกมา​อย่าง​แผ่วเบา​

หลิน​มอง​เขา​ จากนั้น​มอง​ใบหน้า​วิงวอน​ของ​ลอ​ร่า​แล้ว​ยิ้ม​ออกมา​ “ปกติ​ข้า​ไม่ปฏิเสธ​การต่อสู้​นะ​ แต่​…”

“พี่สาว​ มีปัญหา​อะไร​หรือ​” ลอ​ร่า​ถามทันที​

“ไม่ใช่เรื่อง​ยาก​ก็​จริง​ แค่​มัน​น่าเบื่อ​ไป​หน่อย​ที่​ต้อง​มาตบยุง​พวก​นี้​น่ะ​” หลิน​กล่าว​

นาง​เห็น​ร่าง​ละเอียดอ่อน​ของ​อีก​ฝ่าย​ย่อ​ตัว​เล็กน้อย​ ตั้งท่า​บน​ชั้นดาดฟ้า​ จากนั้น​ต่อย​ความว่างเปล่า​ตรงหน้า​อย่าง​ช้าๆ

มัน​เป็น​แค่​หมัด​เดียว​เท่านั้น​

แต่​ระหว่างทาง​ หมัด​นี้​สั่น​ไหว​นับ​ครั้ง​ไม่ถ้วน​ด้วย​ความเร็ว​ที่​ตรวจจับ​ไม่ได้​

หน้า​ หลัง​ บน​ ล่าง​ ซ้าย​ ขวา​

ยอด​ฝีมือ​ทั้งหมด​ที่​ล้อม​ยานอวกาศ​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​เอาไว้​ล้วน​แตกสลาย​ด้วย​หมัด​ที่​พลัน​ปรากฏ​ขึ้น​ใน​ความว่างเปล่า​

ใน​กระแส​วังวน​ความว่างเปล่า​ แสงสีแดง​สดใส​พลัน​ปกคลุม​ทั่ว​อวกาศ​ จากนั้น​กลายเป็น​คลื่น​ปั่นป่วน​ก่อน​จากไป​อย่าง​รวดเร็ว​

นี่​คือ​วิชา​ยุทธ์​ที่​น่าทึ่ง​นัก​

เมื่อ​หลิน​กลับ​สู่จุดสูงสุด​ นาง​จะแข็งแกร่ง​มาก​

กระแส​วังวน​ความว่างเปล่า​ที่​เพิ่ง​เริ่ม​ส่งเสียง​อึกทึก​ภายใต้​หมัด​ของ​นาง​กลับมา​สงบ​อีกครั้ง​

“ข้า​ไม่ชอบ​รังแก​คนอ่อนแอ​เลย​จริงๆ​ แต่​ใน​เมื่อ​พวก​เจ้ากล้า​ยั่วโมโห​ก็​ต้อง​รับผิดชอบ​กับ​ความเป็นความตาย​ตัวเอง​ด้วย​ล่ะ​”

หลิน​ดึง​หมัด​กลับ​ก่อน​กล่าว​อย่าง​สงบ​

ในเวลาเดียวกัน​

ใน​พื้นที่​จ้าว​โลก​ห่างไกล​

มังกร​หุบเหว​ยืน​อยู่​ใน​กอง​สมบัติ​ไร้ขีดจำกัด​ขณะ​นับ​สมบัติ​ที่​ลงทะเบียน​ไว้​ใน​หนังสือ​เล่ม​เล็ก​อย่าง​ละเอียด​

ทันใดนั้น​ เสียง​ที่​เคร่งเครียด​และ​ว้าวุ่น​ดัง​ขึ้น​ใน​ความว่างเปล่า​

“เทพ​ผู้ยิ่งใหญ่​ พวก​ข้า​มีบางสิ่ง​มารายงาน​ให้​ท่าน​ทราบ​”

มังกร​มาร​ขมวดคิ้ว​ด้วย​ความหงุดหงิด​ สายตา​จ้องมอง​หนังสือ​เล่ม​เล็ก​ก่อน​กล่าวว่า​ “มีเรื่อง​อะไร​ ผู้​ศรัทธา​ของ​ข้า​”

“ใน​สถานที่​ใกล้​กับ​พื้นที่​เอก​ฐาน​ บน​ทางน้ำ​ลับ​นั่น​ คน​ที่​พวกเรา​ส่งไป​พบ​ราชินี​หนาม​แล้ว​ แต่​พวกเขา​ล้วน​ถูก​ฆ่า”

“ว่า​อย่างไร​นะ​!”

มังกร​มาร​เงยหน้า​ขึ้น​อย่าง​เกรี้ยวกราด​ขณะ​กล่าว​ด้วย​เสียง​คม​ปลาบ​

เสียง​อีก​ฝ่าย​ตึงเครียด​ขึ้น​ขณะ​รายงาน​ต่อว่า​ “มีคน​แข็งแกร่ง​ที่​พวกเขา​ไม่สามารถ​สู้ได้​คอย​ปกป้อง​ราชินี​หนาม​อยู่​ นาง​ฆ่าคน​ของ​เรา​หมด​เลย​”

“เป็น​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​หรือเปล่า​”

“ไม่ใช่ ตาม​การคาดการณ์​ของ​พวกเรา​ น่าจะเป็น​อารักขา​ส่วนตัว​ของ​ราชินี​”

“อารักขา​ส่วนตัว​หรือ​ เอาล่ะ​ ข้า​เข้าใจ​แล้ว​ พวก​เจ้าถอนกำลัง​ออกมา​ก่อน​”

“ขอรับ​”

มังกร​หุบเหว​ครุ่นคิด​อย่าง​เงียบงัน​สักพัก​

“อารักขา​ที่​ทรงพลัง​ขนาด​นั้น​…นี่​นับว่า​แปลก​”

มัน​พึมพำ​ก่อน​ตัดสินใจ​อย่าง​ช้าๆ

“ดูท่า​ข้า​ต้อง​ไป​ที่นั่น​ด้วยตัวเอง​แล้ว​ล่ะ​”

“ไม่ว่า​อย่างไร​ ราชินี​ที่​ดูแล​สมบัติ​มีชะตา​จะต้อง​เป็น​ทาส​ของ​ข้า​!”

ชาย​ชรา​หัวล้าน​กล่าวว่า​ “ไม่เหมือนกับ​การร่ายรำ​เดี่ยว​ การร่ายรำ​หมู่​มีจังหวะ​และ​เสน่ห์​เป็น​ของ​ตัวเอง​ ดังนั้น​เจ้าต้อง​เตรียม​ร่างกาย​และ​จิตใจ​ให้​ดี​”

“เมื่อ​โอกาส​มาถึง ข้า​จะใช้พลัง​การร่ายรำ​ขั้น​ที่สอง​ พลัง​นี้​จะทำให้​เจ้าได้​เรียนรู้​สเต็ป​การร่ายรำ​ชุด​นี้​ ด้วย​วิธี​นี้​ ถึงแม้จะเป็นครั้งแรก​ที่​เจ้าได้​ร่ายรำ​ชุด​นี้​ แต่​ความน่าจะเป็น​ที่เกิด​ปัญหา​ไม่สูงมาก​นัก​ ไม่ว่า​จะอย่างไร​เจ้าต้อง​กระทำ​อย่าง​ระมัดระวัง​ จังหวะ​และ​การเคลื่อนไหว​จะผิดพลาด​ไม่ได้​”

“เข้าใจ​แล้ว​” กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​

ถึงแม้สีหน้า​ของ​ชาย​ชรา​จะจริงจัง​ แต่​เสื้อ​แขน​สั้น​ลาย​ดอก​ กางเกงชายหาด​และ​รองเท้าแตะ​สีชมพู​หนึ่ง​คู่​ทำให้​กู่​ฉิงซาน​ไม่สามารถ​รู้สึก​ถึงความ​วิตก​ได้​เลย​

กู่​ฉิงซาน​ได้​แต่​จำคำพูด​ของ​อีก​ฝ่าย​เงียบๆ​

“เอาเถอะ​ ข้า​ขอตัว​ก่อน​ ต้อง​เก็บ​พลังงาน​ไว้​ล่วงหน้า​ด้วย​” ชาย​ชรา​กล่าว​

“ท่าน​ต้องการ​พลังงาน​เช่นกัน​หรือ​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

“แน่นอน​ เมื่อ​โอกาส​มาถึง ข้า​จะไป​กับ​เจ้า”

หลังจาก​ชาย​ชรา​หัวล้าน​กล่าว​จบ​ เขา​พยักหน้า​ให้​อีก​ฝ่าย​

ร่าง​ของ​เขา​กลายเป็น​แสงขนาดเล็ก​ก่อน​พุ่ง​เข้าไป​ใน​คิ้ว​ของ​กู่​ฉิงซาน​อีกครั้ง​

ภาพ​ของ​ชาย​ผู้​แข็งแกร่ง​ที่สุด​ใน​เผ่าพันธุ์​มนุษย์​โบราณ​หาย​ไป​จาก​ตรงหน้า​กู่​ฉิงซาน​

กู่​ฉิงซาน​เช็ด​เหงื่อ​ตรง​หน้าผาก​ก่อน​จมสู่ความคิด​

ดนตรี​ประกอบ​ล่ะ​

ไม่ใช่คอนเสิร์ต​สักหน่อย​ จะมาคิด​เพื่อ​อะไร​

เขา​ไม่ได้​สังเกตว่า​ประตู​ห้องพัก​เปิด​ออก​ หลิน​มอง​ฉาก​เมื่อ​ครู่​ด้วย​สีหน้า​ซับซ้อน​

กู่​ฉิงซาน​ส่ายหน้า​ หันหลัง​แล้วไป​อาบน้ำ​ก่อน​

เขา​เปลี่ยนเป็น​ชุด​แห้ง​ก่อน​กลับ​ชั้นดาดฟ้า​

อืม​…

กิน​มากขึ้น​ สำรอง​พลัง​กายภาพ​มากขึ้น​…

เมื่อ​คิด​ดังนี้​ กู่​ฉิงซาน​แตะ​ถุงเก็บ​ของ​ หยิบ​หม้อ​และ​กระทะ​ออกมา​ก่อน​เริ่ม​ทำอาหาร​

มือ​เท้า​ของ​เขา​ยุ่ง​กัน​พัลวัน​

ผ่าน​ไป​สักพัก​ ชุด​งานเลี้ยง​อาหาร​วิญญาณ​ก็​พร้อม​แล้ว​

ลอ​ร่า​และ​หลิน​ถูก​กลิ่นหอม​ของ​อาหาร​วิญญาณ​เรียก​มาได้​พักใหญ่​แล้ว​ ครั้งนี้​พวก​นาง​เครื่องเรือน​ก่อน​ช่วย​จัด​โต๊ะ​

กู่​ฉิงซาน​หยิบ​ขวด​วิญญาณ​ให้​หลิน​หลัง​เพิ่ง​กลับ​จาก​ซากปรักหักพัง​ของ​โลก​ แต่​เขา​เห็น​หลิน​ดื่ม​ขวด​วิญญาณ​ที่​ถูก​ทิ้ง​เอาไว้​

“ดื่ม​อะไร​น่ะ​” เขา​ถาม

“โอ้​ ไม่นาน​หลังจาก​กิน​มื้อ​แรก​ไป​ ตอนนี้​ข้า​ต้อง​กิน​มื้อ​ที่สอง​อีก​ ขืน​เป็น​แบบนี้​ได้​อ้วน​แน่​”

หลิน​ถอนหายใจ​ หยิบ​สุรามา​ริน​ให้​ตัวเอง​แล้ว​จิบ​เล็กน้อย​

กู่​ฉิงซาน​เลือก​หยิบ​น้ำผลไม้​อีก​ขวด​มาผสม​ให้​ลอ​ร่า​ก่อน​ส่งไป​ให้​

“รับ​ไป​ น้ำผลไม้​ของ​เจ้า” เขา​กล่าว​

ลอ​ร่า​หยิบ​น้ำผลไม้​จาก​กู่​ฉิงซาน​แล้ว​จิบ​ จากนั้น​หลิน​กล่าวว่า​

“จริงๆ​ เลย​ การ​อยู่​กับ​คน​ทำอาหาร​อย่าง​กู่​ฉิงซาน​มีแต่​จะทำให้​เสีย​รูปร่าง​ได้​ง่าย​ ช่วงนี้​ข้า​ต้อง​ลดน้ำหนัก​ด้วย​สิ ถ้าเกิด​อ้วน​เกินไป​ ข้า​คง​รู้สึก​ไม่ดี​ตอน​มอง​กระจก​แน่ๆ​”

สอง​สาว​วาง​เครื่องดื่ม​ หยิบ​จาน​และ​ตะเกียบ​แล้ว​เริ่ม​ชิมอาหาร​

“หืม​ จาน​นี้​อร่อย​จัง พี่สาว​ ลองดู​สิ”

“อืม​…ไม่เลว​ ลอ​ร่า​ เจ้าลอง​กิน​ปลา​นี่​สิ คิด​ว่า​มัน​เหมาะกับ​เจ้านะ​”

“ใช่เลย​ ปลา​นี่​ทั้ง​สด​และ​นุ่ม​ ถือว่า​มาตรฐาน​ดีมาก​เลย​ล่ะ​”

สอง​สาว​สนทนา​ขณะ​กิน​ ตะเกียบ​ขยับ​ไปมา​ใน​อากาศ​ ทำเอา​ผู้คน​ตาลาย​

กู่​ฉิงซาน​อด​ที่จะ​รู้สึก​สับสน​เล็กน้อย​ไม่ได้​เมื่อ​มอง​สอง​สาว​กิน​อาหาร​

ทำไม​พฤติกรรม​กับ​คำพูด​ของ​ผู้หญิง​ถึงได้​สวนทาง​กัน​บ่อย​นัก​

“หืม​ กู่​ฉิงซาน​ ทำไม​เจ้าไม่กิน​ล่ะ​” ลอ​ร่า​ถามด้วย​น้ำเสียง​แปลกประหลาด​

“ข้า​ จริง​ด้วย​ ลืม​นับ​ตัวเอง​ไป​สนิท​เลย​”

กู่​ฉิงซาน​ไม่คิดมาก​อีกต่อไป​

ตอนนี้​เขา​ต้อง​เตรียมตัว​สำหรับ​ขั้น​ที่สอง​ของ​ระบำ​สังเวย​ชีพ​ ต้อง​กิน​ให้​มาก​เข้า​ไว้​

เขา​หยิบ​ชามกับ​ตะเกียบ​ก่อน​เริ่ม​กิน​

หลัง​กิน​มื้อ​เย็น​

หลิน​และ​ลอ​ร่า​ทำความสะอาด​จาน​กับ​ตะเกียบ​ด้วยกัน​ก่อน​นั่งลง​อีกครั้ง​

ยานอวกาศ​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​ยังอยู่​ใน​กระแส​ความว่างเปล่า​ไม่มีสิ้นสุด​ขณะ​บิน​ไป​ตาม​ทาง​อย่าง​มั่นคง​

ทั้ง​สามดื่ม​ชา สนทนา​เป็นครั้งคราว​ บางครั้ง​ก็​แวะ​ดู​ของ​แปลกที่​ผ่าน​ทาง​นอก​ยานอวกาศ​

ลอ​ร่า​กล่าว​ชม “กู่​ฉิงซาน​ ข้า​รู้​ว่า​ฝีมือ​ทำอาหาร​ของ​เจ้าดีมาก​ แต่​ไม่คิด​เลย​ว่า​การร่ายรำ​ของ​เจ้าจะดี​ด้วย​เช่นกัน​”

กู่​ฉิงซาน​คิดถึง​การร่ายรำ​เมื่อ​ครู่​จน​รู้สึก​หวาดกลัว​พักใหญ่​

เขา​กล่าว​อย่าง​จริงจัง​ว่า​ “ลอ​ร่า​ ถ้าข้า​ร่ายรำ​แบบ​นั้น​อีก​ในอนาคต​ เจ้าอย่า​เข้ามา​อีก​เป็นอันขาด​”

“ทำไม​ล่ะ​” ลอ​ร่า​ถาม

“การร่ายรำ​นี้​อันตราย​มาก​ บางครั้ง​ก็​ฆ่าคน​ได้​” กู่​ฉิงซาน​อธิบาย​

“ว่า​อะไร​นะ​! ฆ่าคน​อย่างนั้น​หรือ​”

ลอ​ร่า​ผงะ​!

“ใช่ นี่​คือ​การร่ายรำ​ฝั่งแปลกประหลาด​ คาดเดา​ไม่ได้​ เจ้ารู้จัก​ฝั่งแปลกประหลาด​หรือเปล่า​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

“ฝั่งแปลกประหลาด​…ข้า​จำคลังสมบัติ​ที่​เต็มไปด้วย​สมบัติ​นับไม่ถ้วน​ได้​ แต่​ของ​ฝั่งแปลกประหลาด​นี่​มีอยู่​ที่​เดียว​ ดูเหมือน​จะเป็น​ฝั่งที่​หา​ยาก​ที่สุด​ใน​ระบบ​ลี้ลับ​แล้ว​” ลอ​ร่า​กล่าว​

“ใช่ ดังนั้น​เจ้าต้อง​ระวัง​”

“แต่​การร่ายรำ​นี้​ก็​มอบ​วิชา​ให้​ข้า​เช่นกัน​ จังหวะ​หนักแน่น​มาก​ ข้า​อยาก​ตาม​ดู​ต่อ​” ลอ​ร่า​กล่าว​

กู่​ฉิงซาน​อ้า​ปาก​กำลังจะ​พูด​ แต่​ทันใดนั้น​ก็​หยุดนิ่ง​

เดี๋ยวก่อน​นะ​

ขั้น​ที่สอง​ของ​ระบำ​สังเวย​ชีพ​คือ​การร่ายรำ​หมู่​

ไม่เหมือน​คนอื่น​ ลอ​ร่า​ถึงกับ​ได้รับ​ความสามารถ​จาก​การร่ายรำ​นี้​

หรือว่า​นาง​จะเหมาะกับ​การร่ายรำ​นี้​

เมื่อ​คิดได้​ดังนี้​ กู่​ฉิงซาน​เกิด​ลังเล​เล็กน้อย​

“อย่างไรก็ตาม​ ข้า​ย้ำ​ให้​ฟังแล้ว​ เจ้าต้อง​ระวัง​ด้วย​ อย่า​หัวเราะ​ยาม​อยู่​ต่อหน้า​การร่ายรำ​นี้​ นี่​เป็น​เรื่องสำคัญ​มาก​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​ทิ้งท้าย​

“เข้าใจ​แล้ว​!”

ลอ​ร่า​ตอบรับ​ด้วย​รอยยิ้ม​ ศีรษะ​ก้ม​ต่ำ​ เปิด​กระเป๋า​ใบ​เล็ก​ออก​เพื่อ​ค้นหา​บางสิ่ง​

“แม้กระทั่ง​ราชินี​ผู้​นี้​ยังมี​ของ​ทาง​ฝั่งแปลกประหลาด​เพียง​ชิ้น​เดียว​ มัน​อยู่​ที่ไหน​กัน​นะ​…”

นาง​ครุ่นคิด​อยู่​สักพัก​ สุดท้าย​ก็​หยุด​มือ​

“เจอ​แล้ว​!”

ของ​สิ่งหนึ่ง​ถูกล​อ​ร่า​นำ​ออกมา​

กู่​ฉิงซาน​และ​หลิน​มองหน้า​กัน​

เขา​เห็น​ว่า​มัน​คือ​ซาก​แขน​ สีแดงเข้ม​ถูกระบาย​ทับ​ มีดวงตา​ที่​หลับ​อยู่​ตรง​หลัง​มือ​

“สิ่งนี้​ดู​น่าอึดอัด​ชะมัด​ แถมน่าขนลุก​ด้วย​” หลิน​ขมวดคิ้ว​

“ที่จริง​ ข้า​ไม่ชอบ​ของ​สิ่งนี้​เหมือนกัน​ จะมีผู้หญิง​ที่​ชอบ​ของ​แบบนี้​จริง​หรือ​” ลอ​ร่า​พูด​แบบ​เดียวกัน​ “ฝั่งแปลกประหลาด​ลึกลับ​เกินไป​แล้ว​ พ่อ​ข้า​เคย​บอ​กว่า​ของ​สิ่งนี้​หา​ยาก​มาก​ใน​ประวัติศาสตร์​ แต่​ทันทีที่​มัน​ปรากฏ​ขึ้น​ มัน​จะอยู่​ใน​สภาพ​ที่​ไม่สมบูรณ์​”

ลอ​ร่า​โบก​ซาก​แขน​แล้ว​กล่าวว่า​ “สิ่งนี้​สามารถ​ใช้ได้​เพียง​สอง​ครั้ง​ ตอน​ข้า​ได้​มัน​มา มัน​ถูก​ใช้ไป​แล้ว​ครั้งหนึ่ง​ ตอนนี้​ใช้ได้​อีก​เพียง​หนึ่ง​ครั้ง​”

“มัน​ใช้ทำ​อะไร​ได้​ล่ะ​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

ตอนนี้​ ซาก​แขน​ขยับ​เอง​

ดวงตา​บน​ซาก​แขน​ลืม​ขึ้น​ก่อน​จ้อง​มาที่​ลอ​ร่า​

“สาวน้อย​ เจ้าอยาก​กลับ​อาณาจักร​ตัวเอง​จริงๆ​ สินะ​ แต่​ข้า​ต้อง​บอก​ก่อน​ว่า​เจ้ากำลัง​ตกอยู่ในอันตราย​”

ซาก​แขน​ส่งเสียงแหบ​พร่า​

ลอ​ร่า​อธิบาย​ให้​กู่​ฉิงซาน​และ​หลิน​ฟังว่า​ “มัน​สามารถ​ตรวจจับ​สิ่งที่​ผู้ใช้​อยาก​ทำ​และ​สภาพแวดล้อม​ที่​ผู้ใช้​จะเผชิญ​ใน​ช่วงเวลา​หนึ่ง​ในอนาคต​ หาก​สภาพแวดล้อม​อันตราย​ มัน​จะช่วย​ให้​ผู้ใช้​ค้นหา​ผู้​ช่วยเหลือ​ร่วมกัน​”

“แล้ว​มัน​จะตรวจ​สภาพแวดล้อม​ได้​อย่างไร​ล่ะ​ มัน​เชื่อถือได้​หรือ​” หลิน​ถาม

“ข้า​ก็​ไม่รู้​เหมือนกัน​” ลอ​ร่า​หันมา​ที่​ซาก​แขน​ “นี่​ อันตราย​ที่​เจ้าพูดถึง​มัน​คือ​อะไร​”

ซาก​แขน​ตอบ​ว่า​ “ยอด​ฝีมือ​จำนวนมาก​กำลัง​มา พวก​มัน​จะมาลักพาตัว​หรือไม่​ก็​ฆ่าเจ้า นี่​คือ​คำสั่ง​ที่​พวก​มัน​ได้รับ​มา”

ทั้ง​สามเงียบ​

สีหน้า​ของ​กู่​ฉิงซาน​และ​หลิน​ค่อยๆ​ เคร่งขรึม​ขึ้น​มา

ใคร​บางคน​ต้องการ​ลงมือ​กับ​ลอ​ร่า​

ต่อให้​ต้อง​เผชิญ​กับ​อำนาจ​ของ​อาณาจักร​หนาม​ ต่อให้​ต้อง​เผชิญหน้า​กับ​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​ อีก​ฝ่าย​ก็​ยัง​กล้า​ลงมือ​

อีก​ฝ่าย​ต้อง​ไม่ใช่คนธรรมดา​แน่ๆ​

ลอ​ร่า​เห็น​สีหน้า​ของ​กู่​ฉิงซาน​และ​หลิน​ จึงกล่าว​อย่าง​ไม่มั่นใจ​ว่า​ “เป็นไปไม่ได้​ ยาน​ของ​พวกเรา​ล่องหน​ เว้น​แต่ว่า​มัน​จะมีวิธี​ตามรอย​พวกเรา​แบบ​พิเศษ​”

ซาก​แขน​ตอบ​ว่า​ “ใช้วิธี​นั้น​นั่นแหละ​”

ลอ​ร่า​จะถามอีก​ แต่​กู่​ฉิงซาน​ส่งสัญญาณว่า​อย่า​ได้​กังวล​

เขา​ถามซาก​แขน​ด้วยตัวเอง​ว่า​ “ใคร​สั่งให้​พวก​มัน​มา”

“ข้า​ไม่รู้​ ข้า​รู้​เพียง​ว่า​จะเผชิญ​กับ​อันตราย​ขณะ​ถือ​ข้า​ไว้​นั้น​คือ​อะไร​ ข้า​ไม่รู้​รายละเอียด​ของ​อันตราย​นั่น​” ซาก​แขน​ตอบ​

กู่​ฉิงซาน​ถามว่า​ “เจ้าหมายความว่า​ไงที่​พูดถึง​ผู้​ช่วยเหลือ​ร่วมกัน​เมื่อ​ครู่​”

“ยังมี​อีก​ความเป็นไปได้​ที่จะ​ใช้อุปกรณ์​ชิ้น​นี้​ สาวน้อย​สามารถ​กระตุ้น​พลัง​ของ​อุปกรณ์​ชิ้น​นี้​เพื่อ​ช่วย​ใคร​บางคน​ที่​ไม่รู้จัก​ก่อน​มาได้​ คน​คน​นั้น​จะมาช่วย​สาวน้อย​ในอนาคต​ นี่แหละ​คือ​ผู้​ช่วยเหลือ​ร่วมกัน​”

กู่​ฉิงซาน​ครุ่นคิด​สักพัก​แล้ว​ถามว่า​ “ทำไม​ถึงมีตัวตน​อย่าง​ผู้​ช่วยเหลือ​ร่วมกัน​ล่ะ​”

“กฎ​ของ​อุปกรณ์​ชิ้น​นี้​มัน​ก็​เป็น​อย่างนี้​ แต่​ไม่มีหลักประกัน​ว่า​หลังจาก​ช่วย​อีก​ฝ่าย​แล้ว​ อีก​ฝ่าย​จะต้อง​มาช่วย​อย่าง​แน่นอน​ ใคร​ล่ะ​จะสามารถ​คาดการณ์​สิ่งนี้​ได้​” ซาก​แขน​ตอบ​

กู่​ฉิงซาน​ถามอี​กว่า​ “จะเกิด​อะไร​ขึ้นกับ​เจ้าเมื่อ​สิทธิ์​ใน​การ​ใช้สอง​ครั้ง​ถูก​ใช้”

ซาก​แขน​ตอบ​ว่า​ “ข้า​ต้อง​ตามหา​ร่าง​อยู่แล้ว​ ข้า​เป็น​เพียงแค่​ซาก​แขน​นี่​นะ​ ”

ทั้ง​สามเงยหน้า​ขึ้น​แล้ว​สบตา​กัน​

“ใช้มัน​ ลอ​ร่า​ ไม่ใช่เรื่อง​แย่​ที่จะ​ช่วย​ใคร​สัก​คน​ บางที​คน​คน​นี้​จะสามารถ​ช่วย​เจ้าได้​ในอนาคต​จริงๆ​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​

ลอ​ร่า​เอียง​ศีรษะ​แล้ว​ครุ่นคิด​สักพัก​ แต่​หลังจากนั้น​กลับ​ยัด​ซาก​แขน​นั่น​ไป​ที่​มือ​ของ​กู่​ฉิงซาน​

กู่​ฉิงซาน​มอง​นาง​ด้วย​ความ​ไม่เข้าใจ​

ลอ​ร่า​สูด​หายใจเข้า​แล้ว​กล่าว​ด้วย​ใบหน้า​เปื้อน​ยิ้ม​ว่า​ “ข้า​ไม่จำเป็นต้อง​ช่วย​ใคร​ทั้งนั้น​”

“ทำไม​ล่ะ​”

“เพราะ​ถ้าข้า​เผชิญ​กับ​อันตราย​อะไร​ ข้า​ยังมี​เจ้า กู่​ฉิงซาน​ เจ้าคือ​ท่าน​เอิร์ล​แห่ง​อาณาจักร​ เจ้าจะไม่ปล่อย​ให้​ข้า​ถูก​ฆ่าใช่หรือไม่​”

“แน่นอน​สิ ข้า​จะต้อง​ช่วย​เจ้าอยู่แล้ว​”

“แบบ​นั้น​ก็ดี​ ข้า​ไม่ต้องการ​สิ่งนี้​ แต่​เจ้าอาจจะ​เผชิญ​อันตราย​มากกว่า​ข้า​ เพราะฉะนั้น​เจ้าควรจะ​ใช้มัน​”

กู่​ฉิงซาน​นิ่ง​ไป​สักพัก​ ไม่รู้​ว่า​จะพูด​อะไร​

ตอนนี้​เอง​ ลอ​ร่า​เริ่ม​ถามซาก​แขน​แล้ว​

“นี่​ เจ้าอยู่​ใน​มือ​ของ​เขา​แล้ว​ เขา​ถือว่า​ปลอดภัย​ใช่หรือเปล่า​”

“ปลอดภัย​หรือ​”

ดวงตา​บน​ซาก​แขน​ลืม​ขึ้น​ก่อน​ตะโกน​ว่า​ “สิ่งที่​เขา​ต้องการ​ทำ​มัน​ทรงพลัง​เกินไป​ เกรง​ว่า​จะไม่มีช่วงเวลา​ปลอดภัย​อีกแล้ว​”

ซูเสวี่ยเอ้อร์​เงียบ​ไป​สักพัก​

“เจ้าพูด​ถูก​”

“มัน​เป็น​เรื่องเหลวไหล​ใน​ฐานะ​ผู้ใช้​ไพ่​ ข้า​ดัน​มาถูก​หลอก​ด้วย​ไพ่​เสียได้​”

ซูเสวี่ยเอ้อร์​พึมพำ​

เมื่อ​แอน​นา​เห็น​ว่า​อีก​ฝ่าย​มีกำลังใจ​จะสู้ นาง​พึงพอใจ​แล้ว​กล่าวว่า​ “เจ้าสามารถ​ใช้ไพ่​อะไร​ก็ได้​ แต่​อย่า​เชื่อ​ไพ่​ประเภท​นี้​ที่​กลัว​ว่า​โลก​จะไม่เกิด​ความโกลาหล​”

นาง​โยน​ไพ่​ทำนาย​โชคชะตา​อย่าง​แรง​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​มอง​ฉาก​นี้​อย่าง​สงบ​

นาง​เห็น​ว่า​ไพ่​วน​อยู่​ใน​สายลม​ก่อน​ลอย​กลับมา​อยู่​หน้า​ซูเสวี่ยเอ้อร์​อีกครั้ง​ มัน​ลอย​อยู่​ใน​อากาศ​อย่าง​เงียบงัน​

“น่าแปลก​ มัน​กลับมา​อย่างนั้น​เหรอ​ ข้า​ไม่เคย​ได้ยิน​การ์ด​ที่​มีพลัง​แบบนี้​มาก่อน​” แอน​นา​กล่าว​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​อธิบาย​ว่า​ “ก่อนหน้านี้​ข้า​เคย​คืนให้​กู่​ฉิงซาน​ แต่​สุดท้าย​มัน​ก็​ยังอยู่​กับ​ข้า​”

“ชิ ไม่ดี​เลย​นะ​ที่มา​ตื๊อ​ผู้หญิง​โดย​ไม่มีเหตุผล​แบบนี้​”

แอน​นา​กล่าว​ขณะ​ชัก​เคียว​สีดำ​ออกมา​

เปลวเพลิง​สีดำ​พุ่ง​ออก​ไป​

ไพ่​ชะตากรรม​ทั้งหมด​ถูก​ฉีก​ก่อน​กระจาย​ไป​ตาม​สายลม​

“ตอนนี้​ไม่เป็นไร​แล้ว​” แอน​นา​ยิ้ม​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​ถอนหายใจ​ก่อน​ส่ายหน้า​

นาง​ยื่นมือ​ออก​ไป​จั่ว​มัน​ใน​ความว่างเปล่า​อย่าง​แผ่วเบา​

มัน​ปรากฏตัว​ตรงหน้า​ทั้งสอง​อีกครั้ง​

แอน​นา​ตกตะลึง​

“น่าแปลก​ เปลวเพลิง​แห่ง​ความตาย​ของ​ข้า​น่าจะ​กลืน​กิน​จน​ไม่เหลือ​ซาก​แล้ว​นี่​”

นาง​กล่าว​ด้วย​ความ​ไม่อยาก​เชื่อ​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​เก็บ​ไพ่​กลับ​ไป​แล้ว​ยิ้ม​ขมขื่น​ออกมา​ “มัน​รู้​ว่า​ข้า​อยู่​ใน​ช่วงเวลา​สำคัญ​ที่สุด​ของ​ความก้าวหน้า​ ดังนั้น​มัน​จึงสงบ​ลง​ ไม่อย่างนั้น​มัน​คง​กระตุ้น​ให้​ข้า​ช่วย​ไป​เอา​ไพ่​ใบ​อื่น​ใน​สำรับ​แล้ว​”

“แสดงว่า​มัน​มีปัญญา​” แอน​นา​กระซิบ​

ขณะ​มอง​ไพ่​ทำนาย​โชคชะตา​ที่​มีสุสาน​นับไม่ถ้วน​ แอน​นา​รู้สึก​ถึงไอ​เย็นเยือก​ใน​ใจที่​ยาก​จะอธิบาย​

นาง​ฝืนยิ้ม​แล้ว​กล่าวว่า​ “ช่างหัว​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​เถอะ​น่ะ​ พวกเรา​ไม่เข้าใจ​ความรู้​และ​สิ่งต่างๆ​ มากเกินไป​ พวกเรา​อาจจะ​สามารถ​ตามหา​ใคร​บางคน​มาช่วย​เจ้าแก้ไข​ในอนาคต​ได้​”

“อืม​ ไม่ต้อง​สนใจ​อะไร​แล้ว​ ไป​กัน​เถอะ​” ซูเสวี่ยเอ้อร์​กล่าว​

“ไป​!”

อีก​ด้าน​หนึ่ง​

กู่​ฉิงซาน​รู้สึก​ถึงแรง​มหาศาล​มาเกื้อหนุน​ มัน​พ่น​ออก​มาจาก​มิติ​และ​เวลา​ช่วง​หนึ่ง​

เขา​มอง​รอบข้าง​

รอบข้าง​มีเพียง​ความมืด​ ไม่อาจ​มองเห็น​อะไร​ได้​

น่าแปลก​ นี่​มัน​คือ​อะไร​

กู่​ฉิงซาน​ใช้จิต​เทพ​เพื่อ​ตรวจสอบ​สถานการณ์​

จิต​เทพ​กระจาย​รอบข้าง​โดย​ไร้​อุปสรรค​ใดๆ​

กู่​ฉิงซาน​ ‘เห็น​’ วังวน​ขนาดใหญ่​ใต้​เขา​ผ่าน​จิต​เทพ​ทันที​

หุบเหว​ที่​แตกสลาย​ของ​เศษเสี้ยว​โลก​

ไม่ไกล​จาก​ศีรษะ​ของ​เขา​ ยานอวกาศ​ต้นไม้​หนาม​โบราณ​กำลัง​ลอย​อยู่​ตรงนั้น​

กู่​ฉิงซาน​ยืนยัน​สถานการณ์​ได้​อีกครั้ง​

เขา​ขยับ​ร่างกาย​ก่อน​เหาะ​ขึ้นไป​

ผ่าน​ไป​สักพัก​ เขา​ลง​สู่ดาดฟ้า​ยาน​

หลิน​กำลัง​ดื่ม​อยู่​ก่อน​เห็น​เขา​โดย​ไม่ได้​ตั้งใจ​

“หืม​ เจ้าไม่ได้​ไป​ตามหา​สิ่งนั้น​หรอก​หรือ​ ทำไม​ถึงเหาะ​กลับมา​อีก​ล่ะ​”

กู่​ฉิงซาน​ตกตะลึง​

ดูท่า​กระแส​เวลา​ใน​โลก​คู่ขนาน​ไม่เหมือนกับ​โลก​ปัจจุบัน​

แบบนี้​ แสดงว่า​เขา​ไป​ได้​ไม่นาน​นัก​

“ข้า​ทำ​เสร็จ​แล้ว​น่ะ​” กู่​ฉิงซาน​ตอบ​

หลังจากนั้น​ หลิน​กล่าว​เช่นกัน​ว่า​ “อย่างนี้​นี่เอง​ โลก​คู่ขนาน​มีกระแส​เวลา​แตกต่าง​จาก​ของ​พวกเรา​”

หลิน​มอง​กู่​ฉิงซาน​ก่อน​ค่อยๆ​ พบ​เบาะแส​

“เกิด​อะไร​ขึ้นกับ​ตา​ของ​เจ้า ทำไม​พวก​มัน​ถึงไม่ขยับ​เลย​ล่ะ​”

“ข้า​ไม่รู้​ จะว่า​ไป​ ตอนนี้​ข้า​มองไม่เห็น​อะไร​เลย​ ข้า​ทำได้​เพียง​สัมผัส​ทุกสิ่ง​ด้วย​จิต​เทพ​เท่านั้น​”

กู่​ฉิงซาน​อธิบาย​อย่าง​ยากลำบาก​

หลิน​ยืน​ขึ้น​ เดิน​มาทาง​เขา​ก่อน​ตรวจสอบ​ดวงตา​อย่าง​ละเอียด​แล้ว​กล่าวว่า​ “เจ้ากำลัง​เสริม​วิชา​โลก​อยู่​ แต่​เมื่อ​กลับมา​ เจ้ามองไม่เห็น​อะไร​…เดี๋ยว​นะ​ วิชา​โลก​ของ​เจ้าข้อง​เกี่ยวกับ​ดวงตา​หรือเปล่า​”

“ใช่” กู่​ฉิงซาน​ยอมรับ​

“ช่างเป็น​วิชา​ที่​แปลกประหลาด​จริงๆ​ เป็น​ผลงาน​ที่​เจ้าสร้าง​ขึ้น​มาเอง​หรือ​” หลิน​ถามพลาง​ถอนหายใจ​

“ใช่ ข้า​เคย​ถูก​มังกร​เหลือง​จ้อง​จนตาย​ หลังจากนั้น​ข้า​ก็​คิดถึง​เรื่อง​นั้น​ ท้ายที่สุด​ก็​เริ่ม​พยายาม​ทำให้​วิชา​นี้​สำเร็จ​” กู่​ฉิงซาน​ตอบ​

“เจ้าแน่ใจ​หรือว่า​ทำให้​วิชา​นี้​สำเร็จ​แล้ว​”

“แน่ใจ​”

“ไม่มีทาง​ แม้กระทั่ง​ใน​ยุค​โบราณ​ วิชา​เนตร​เป็น​สิ่งที่​ทรงพลัง​และ​อันตราย​ ยิ่งกว่านั้น​ เจ้าสร้าง​วิชา​โลก​โดย​มีพื้นฐาน​มาจาก​วิชา​เนตร​ ข้า​เดา​ว่า​ต้อง​ใช้เวลา​สักพัก​ดวงตา​ของ​เจ้าถึงจะฟื้น​คืน​หรือ​ไม่ต้อง​มีตัวกระตุ้น​บางอย่าง​” หลิน​อธิบาย​

กู่​ฉิงซาน​ขมวดคิ้ว​แล้ว​กล่าวว่า​ “จะบอ​กว่า​…”

“อืม​ เจ้าตาบอด​น่ะ​”

หลิน​พยักหน้า​ แต่​เพราะ​เกรง​ว่า​เขา​จะคิด​ไม่ดี​ จึงเสริม​อีก​ประโยค​ว่า​

“อย่า​ห่วง​ไป​เลย​ แค่​ชั่วคราว​น่ะ​ พอ​เจ้าหาย​แล้ว​ วิชา​ของ​เจ้าก็​จะสามารถ​ใช้ได้​”

กู่​ฉิงซาน​ถอนหายใจ​

เอาเถอะ​ ถ้าแค่​มองไม่เห็น​สักพัก​ก็​ไม่เป็นไร​ จิต​เทพ​ยัง​สามารถ​แทนที่​ตา​ได้​อย่าง​สมบูรณ์​อยู่​

การ​ที่​ความมืด​อยู่​ตรงหน้า​มัน​ทำให้​ผู้คน​ไม่สบายใจ​เล็กน้อย​

และ​อื่นๆ​ อีก​มากมาย​

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ยังอยู่​ที่นั่น​

แถว​หิ่งห้อย​ขนาดเล็ก​ปรากฏ​ขึ้น​มา

“ยินดี​ด้วย​ วิชา​โลก​ของ​ท่าน​สมบูรณ์​แล้ว​”

“คำ​ใบ้​: กระบวนการ​ยังอยู่​ใน​ระหว่าง​การ​ปรับ​แต่ง​ ดังนั้น​จะทำให้เกิด​ผลข้างเคียง​ชั่วคราว​”

“หมายเหตุ​พิเศษ​: ท่าน​จะตาบอด​”

กู่​ฉิงซาน​พูดไม่ออก​สักพัก​

โชค​ยัง​ดี​ที่นี่​เป็น​แค่​ชั่วคราว​ เขา​สามารถ​สังเกต​ทุกสิ่ง​ได้​ด้วย​จิต​เทพ​ ทำให้​ไม่ใช่ปัญหา​ใหญ่​

ปัญหา​เดียว​ก็​คือ​

กู่​ฉิงซาน​สังเกต​ตัวเอง​ก่อน​พบ​ว่า​เขา​ไม่สามารถ​มองเห็น​อะไร​ได้​ด้วย​ดวงตา​ ทำได้​เพียง​มอง​ตรง​ไป​ข้างหน้า​จน​ดู​ไม่ต่าง​จาก​ท่อนไม้​

เขา​ครุ่นคิด​สักพัก​ หยิบ​เศษผ้า​สีดำ​ออกมา​ นำมา​ทบ​กัน​แล้ว​พัน​รอบ​ดวงตา​ของ​เขา​

หลิน​มอง​เขา​ ส่งขวด​ให้​แล้ว​กล่าวว่า​ “มาสิ ดื่ม​สุรา​เพื่อให้​โลหิต​ไหลเวียน​หน่อย​ อาจจะ​ช่วย​ได้​นะ​”

กู่​ฉิงซาน​รับ​ขวด​สุรามา​แล้ว​กำลังจะ​ดื่ม​ แต่​ทันใดนั้น​เขา​รู้สึก​ถึงความเจ็บปวด​ ใบหน้า​เปลี่ยนไป​ทันที​

หลิน​กำลัง​มอง​เขา​ เมื่อ​เห็น​ใบหน้า​เปลี่ยนไป​ จิต​ก็​พลัน​ขยับ​

“เป็น​อะไร​หรือ​” นาง​ถามอย่าง​เคร่งขรึม​

“ผ่าน​ไป​หนึ่ง​เดือน​แล้ว​ วันนี้​เป็น​อีก​วันที่​ต้อง​ร่ายรำ​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​

หลิน​ตกตะลึง​

นาง​จำประสบการณ์​นั้น​ได้​

การร่ายรำ​อัน​น่ากลัว​นั่น​

มัน​ช่าง

หลิน​หัน​ศีรษะ​แล้ว​จากไป​

“ข้า​จะอยู่​ใน​ห้องพัก​ บอก​ข้า​ด้วย​ถ้าเจ้าร่ายรำ​เสร็จ​แล้ว​”

เสียง​ของ​นาง​ถอย​ไป​ไกล​

“เอาเถอะ​ ข้า​คง​ต้อง​ไป​ท้าย​ยาน​เช่นกัน​ อยู่​บน​ชั้นดาดฟ้า​มัน​ก็​ดู​น่าเกลียด​เกินไป​!”

กู่​ฉิงซาน​ตอบ​ก่อน​วิ่ง​ไป​ที่​ท้าย​ยาน​

พลัง​มังกร​มาร​ใน​ร่าง​เริ่ม​เดือด​พล่าน​ ความรู้สึก​เสียวซ่าน​ราวกับ​เข็ม​ทิ่มแทง​เริ่ม​ค่อยๆ​ กระจาย​ไป​ทั่ว​ร่าง​

ไม่มีทาง​ ถึงแม้เขา​จะพยายาม​สังหาร​มังกร​มาร​ แต่​ความจริง​ พละกำลัง​ของ​มังกร​มาร​เกิน​กว่า​ที่​เขา​จะสามารถ​เข้าใจ​ได้​ มัน​กำลัง​เผย​ให้​เห็น​ช้าๆ

กู่​ฉิงซาน​ตั้งท่า​อย่าง​ไม่ลังเล​

เพื่อ​เปลี่ยน​พลัง​ของ​มังกร​มาร​และ​พัฒนา​สมรรถภาพ​ทาง​ร่างกาย​ ขั้นแรก​ของ​ระบำ​สังเวย​ชีพ​จึงเริ่ม​ขึ้น​ใน​ตอนนี้​!

กระทืบเท้า​!

เตรียมตัว​!

ขยับ​คอ​และ​บิด​เอว​!

หนึ่ง​ สอง​ สาม สี่

สอง​ สอง​ สาม สี่

การร่ายรำ​นี้​ของ​กู่​ฉิงซาน​เคลื่อนไหว​ทุก​ท่วงท่า​ได้​อย่าง​สมบูรณ์แบบ​โดยที่​ไม่ต้อง​คิด​อะไร​

เขา​ร่ายรำ​อย่าง​พิถีพิถัน​และ​จริงจัง​ ผ่าน​ไป​สักพัก​เหงื่อ​ก็​หลั่งไหล​ออกมา​

ขณะ​ร่ายรำ​ แถว​ข้อความ​แจ้งเตือน​สอง​แถว​ผุด​ขึ้น​บน​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​เป็นครั้งคราว​

“การ​ต้านทาน​ความ​เยือกแข็ง​ของ​ท่าน​เพิ่มขึ้น​”

“ร่องรอย​พลัง​มังกร​มาร​อีก​แห่ง​ถูก​เปลี่ยน​เพราะ​การร่ายรำ​ ร่างกาย​ของ​ท่าน​แข็งแกร่ง​ขึ้น​”

“ความสามารถ​ใน​การ​ตอบสนอง​ของ​ท่าน​พัฒนา​ขึ้น​เป็นระยะ​”

“การทำงาน​ของ​ไต​ท่าน​แข็งแรง​ขึ้น​”

กู่​ฉิงซาน​ร่ายรำ​อย่าง​ไม่เหน็ดเหนื่อย​

ในเวลาเดียวกัน​

อีก​ด้าน​หนึ่ง​

หลิน​เดิน​เข้าไป​ใน​ห้องพัก​

ครั้ง​ที่แล้ว​ นาง​ถูก​สังหาร​เป็น​ชิ้นๆ​ ทันที​

ด้วย​พลัง​อัน​น่า​สะพรึง​ของ​สิ่งนั้น​

หลิน​ส่ายหน้า​ไม่คิดถึง​ความเจ็บปวด​จาก​การ​ถูก​สับ​เป็น​ชิ้นๆ​ อีก​

ส่วน​การร่ายรำ​นั่น​ นาง​พอ​จับ​เค้า​ลาง​ได้​แล้ว​

แต่​สิ่งที่​แปลก​คือ​สิ่งนั้น​กลับ​ให้อภัย​คน​ที่​ร่ายรำ​

ไม่ใช่

หลิน​พลัน​มอง​รอบข้าง​ด้วย​ความตื่นตัว​

แปลก​ชะมัด​ ลอ​ร่า​ไป​ไหนล่ะ​

หลิน​เดิน​ไปมา​ทั่ว​ห้องพัก​ แต่​ก็​ไม่พบ​ลอ​ร่า​

นาง​นิ่ง​ ทันใดนั้น​ก็​นึกถึง​คำพูด​ส่วนหนึ่ง​ที่​ลอ​ร่า​เคย​บอก​กับ​ตัวเอง​ระหว่าง​สนทนา​สั้น​ๆ

“ห้องพัก​ของ​ยาน​ลำ​นี้​ ด้าน​หน้าตรง​ไป​สู่ชั้นดาดฟ้า​ ด้านหลัง​นำไปสู่​ท้าย​ยาน​ ท้าย​ยาน​คือ​ที่​ที่​ข้า​เก็บ​ของว่าง​เอาไว้​ พี่สาว​สามารถ​ไป​เอา​มากิน​ได้​ตอน​ที่ว่าง​นะ​ ของว่าง​ที่​ข้า​เก็บ​เอาไว้​อร่อย​ทั้งนั้น​เลย​!”

นี่​คือ​คำพูด​ใน​ตอนนั้น​ของ​ลอ​ร่า​

แย่​แล้ว​!

กู่​ฉิงซาน​กำลัง​ร่ายรำ​อยู่​ท้าย​ยาน​!

หัวใจ​ของ​หลิน​ตกไป​อยู่​ตาตุ่ม​

นาง​สวม​แหวน​หุบเหว​และ​ครอบครอง​พลัง​นิรันดร์​ที่​สามารถ​ฟื้นคืนชีพ​หลังจาก​ถูก​สับ​มาได้​

แต่​ลอ​ร่า​ไม่ใช่

หลิน​ไม่มีเวลา​ให้​คิด​ก่อน​รีบ​ตรง​ไป​ส่วนลึก​ของ​ห้องพัก​

หลังจากนั้น​ก็​เจอ​ประตู​ด้านหลัง​ของ​ห้องพัก​ที่​แง้มอยู่​

หลิน​กัดฟัน​ เปิด​ประตู​ก่อน​พุ่ง​เข้าไป​

ทันใดนั้น​ นาง​เห็น​กู่​ฉิงซาน​กำลัง​ร่ายรำ​อย่าง​น่าอนาถ​

ส่วน​ลอ​ร่า​นั่ง​อยู่​ข้าง​เก้าอี้​ขณะ​ปรบมือ​ตาม​จังหวะ​

“ฮ่าๆ พี่ชาย​ พี่​เต้น​เก่ง​จังเลย​!”

“ทำ​แบบ​เมื่อกี้นี้​อีก​!”

กู่​ฉิงซาน​ทำตาม​จังหวะ​ก่อน​เริ่ม​ลงมือ​อีกครั้ง​

ลอ​ร่า​พูด​ขึ้น​ทันที​

“ว้าว​ สุดยอด​! พี่ชาย​สุดยอด​ไป​เลย​!”

ด้วย​เสียง​เชียร์​ของ​นาง​ แสงเลือนราง​สาดส่อง​นาง​จาก​ความว่างเปล่า​

“หืม​ นี่​อะไร​น่ะ​”

ลอ​ร่า​ถามอย่าง​สงสัย​

นาง​สะบัดมือ​ไป​ที่​ความว่างเปล่า​นอก​ยาน​อย่าง​ไม่ใส่ใจ

ประกายไฟ​ออก​มาจาก​มือ​ของ​นาง​ก่อน​ลอย​ไป​ใน​ความว่างเปล่า​ กระแทก​เข้ากับ​ซากปรักหักพัง​ของ​ยานอวกาศ​ที่​กำลัง​ลอย​อย่าง​ช้าๆ

เพียง​พริบตา​ ซากปรักหักพัง​ของ​ยานอวกาศ​ก็​หาย​ไป​จาก​กระแส​วังวน​ความว่างเปล่า​จน​สิ้น​

“ว้าว​ ช่างเป็น​วิชา​ที่​ยอดเยี่ยม​จริงๆ​ นี่​ให้​ข้า​หรือ​ ขอบคุณ​มาก​เลย​นะ​”

ลอ​ร่า​ขอบคุณ​ให้​กับ​ความว่างเปล่า​

หลิน​จ้อง​ฉาก​นี้​ด้วย​ความ​เหม่อลอย​

ความแตกต่าง​ระหว่าง​ผู้คน​ช่างใหญ่หลวง​นัก​ ใหญ่​จน​น่าเศร้า​นิดหน่อย​เลย​ล่ะ​

หลิน​ไม่พูด​อะไร​ก่อน​หันหลัง​แล้ว​เดิน​กลับ​ห้องพัก​ จากนั้น​ปิดประตู​ดัง​ปัง​

ผ่าน​ไป​สักพัก​

ในที่สุด​กู่​ฉิงซาน​ก็​ร่ายรำ​เสร็จ​

เมื่อ​เขา​กำลังจะ​พัก​สักครู่​ แสงอ่อน​ๆ พลัน​พุ่ง​ออกจาก​คิ้ว​ก่อน​กลายเป็น​ชาย​ชรา​หัวล้าน​

เผ่าพันธุ์​มนุษย์​ที่​แข็งแกร่ง​ที่สุด​ใน​ยุค​โบราณ​!

ในที่สุด​เขา​ก็​ปรากฏตัว​ขึ้น​อีกครั้ง​!

“ไม่ได้​เจอกัน​ตั้ง​นาน​ เจ้าหนู​” ชาย​ชรา​หัวล้าน​กล่าว​

กู่​ฉิงซาน​มอง​อีก​ฝ่าย​แล้ว​กล่าว​ทักทาย​ “ทำไม​จู่ๆ ถึงปรากฏตัว​ล่ะ​”

“ไม่ใช่เพราะ​เจ้าหรอก​ การร่ายรำ​แรก​ของ​เจ้านับว่า​ดี​ทีเดียว​ พลัง​ผิวเผิน​ของ​มังกร​มาร​ถูก​ดูดกลืน​จน​เกือบ​หมด​แล้ว​”

“หลังจากนั้น​ล่ะ​”

“ทีนี้​ข้า​ก็​ต้อง​บอก​เจ้าว่า​ถึงเวลาเริ่ม​การร่ายรำ​ที่สอง​แล้ว​

“ได้​ เริ่ม​ตอนนี้​เลย​หรือเปล่า​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

ใบหน้า​ของ​ชาย​ชรา​หัวล้าน​จริงจัง​มาก​ “ไม่ใช่ตอนนี้​ ใน​ระหว่าง​นี้​ เจ้าต้อง​กิน​ให้​มาก​ เตรียม​สมรรถภาพ​ร่างกาย​ให้​พร้อม​ จากนั้น​รอโอกาส​เหมาะ​ๆ ก่อน​จึงสามารถ​เรียนรู้​การร่ายรำ​ที่สอง​ได้​”

กู่​ฉิงซาน​อด​ที่จะ​ถามไม่ได้​ว่า​ “ข้า​ยัง​ต้อง​รอโอกาส​อีก​หรือ​ การร่ายรำ​ที่สอง​มัน​ยาก​ขนาด​นั้น​เลย​หรือ​”

“ถูกต้อง​ เพราะ​มัน​คือ​การร่ายรำ​หมู่​อย่างไร​ล่ะ​”

โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​

พื้นที่​ควบคุม​

โลก​ทั้งหมด​ถูก​ทำลาย​

สัตว์ประหลาด​หุบเหว​คืบคลาน​อยู่​ระหว่าง​โลก​จำนวนมาก​

ร่าง​ของ​พวก​มัน​โอ่อ่า​ หาก​มอง​จาก​โลก​ จะเห็น​เพียง​เท้า​ขนาดใหญ่​ที่​ตกลง​มาจาก​ท้อง​นภา​ก่อน​กระทืบ​พื้น​เท่านั้น​ เมื่อ​พื้น​แตกสลาย​ เท้า​ขนาดใหญ่​จะยกขึ้น​แล้ว​เคลื่อน​ไป​ยัง​โลก​ต่อมา​

ความเร็ว​ของ​สัตว์ประหลาด​หุบเหว​นี้​ถือว่า​ไว​มาก​ เรียก​ว่า​แทบจะ​ไม่หยุดพัก​ ทันทีที่​ผ่าน​พื้นที่​ควบคุม​เกือบ​ทั้งหมด​ มัน​ก็​กำลัง​เข้าสู่​ทาง​พื้นที่​จ้าว​โลก​

บางครั้ง​มัน​จะหยุด​อยู่​ระหว่าง​โลก​

ยกตัวอย่างเช่น​ตอนนี้​

“รอ​เดี๋ยวก่อน​”

เสียง​ชาย​หญิง​ดัง​ขึ้น​ จากนั้น​กล่าวว่า​ “น่าแปลก​ ผู้​โหลด​บัญญัติ​ทั้งหมด​ถูก​ข้า​ฆ่าไป​แล้ว​ ทำไม​ถึงยังมี​ความผันผวน​ใน​สิ่งมีชีวิต​ทรง​ปัญญา​บน​โลก​ใบ​นี้​ได้​ล่ะ​”

ลำธาร​ข้าม​ผ่าน​ท้อง​นภา​ก่อน​ตกลง​สู่ที่ใด​สัก​แห่ง​ใน​โลก​

เป็น​ร่าง​มนุษย์​ ใบหน้า​ครึ่ง​ชาย​ครึ่ง​หญิง​

วิญญาณ​กรีดร้อง​

มัน​สาวเท้า​เข้าสู่​ซากปรักหักพัง​ของ​อารยธรรม​ เดิน​อยู่​บน​เส้นทาง​ที่​แตกสลาย​เพื่อ​มุ่งสู่ส่วนลึก​ของ​ซากปรักหักพัง​

ประตู​เหล็กกล้า​ขนาด​ยักษ์​หนา​หลาย​ฟุต​ขวางทาง​มัน​เอาไว้​

วิญญาณ​กรีดร้อง​ยื่นมือ​ออก​ไป​เพื่อ​จะให้​กำลัง​เปิด​ประตู​เหล็กกล้า​ออก​ แต่​มัน​หยุดนิ่ง​

ดูท่า​มัน​จะมีความคิด​บางอย่าง​ แทนที่จะ​เอา​ฝ่ามือ​แนบ​กับ​ประตู​ มัน​กลับ​เอา​นิ้ว​ทั้ง​ห้า​จิก​ลง​ไป​ก่อน​ดึง​ออกมา​

‘ตูม​!’

ประตู​ถูก​ดึง​ออก​ทั้ง​บาน​จน​เผย​ให้​เห็น​ข้างใน​

วิญญาณ​กรีดร้อง​ยืน​อยู่​ที่​ประตู​ขณะ​มอง​ข้างใน​

เขา​เห็น​มนุษย์​เพศหญิง​กับ​เด็กทารก​ใน​อ้อมแขน​ พวกเขา​มอง​วิญญาณ​กรีดร้อง​ด้วย​แววตา​สิ้นหวัง​

“ขอร้อง​ล่ะ​ ไว้ชีวิต​ลูก​ข้า​เถอะ​เขา​ยัง​เด็ก​มาก​” ผู้หญิง​สะอื้น​

วิญญาณ​กรีดร้อง​ก้าว​เข้ามา​เงียบๆ​ ขณะ​ก้ม​มอง​ผู้หญิง​และ​ลูก​ของ​นาง​

“ตอบคำถาม​ข้า​มา”

เป็น​เสียง​ผู้ชาย​ที่​พูด​ขณะ​ถามว่า​ “ข้า​จำได้​ว่า​โลก​ใบ​นี้​เต็มไปด้วย​ผู้​โหลด​บัญญัติ​ราชา​มาร​ ทำไม​ถึงไม่มีกลิ่น​บัญญัติ​ใน​ตัว​เจ้ากับ​ลูกหลาน​เลย​ล่ะ​”

ผู้หญิง​ตอบ​ว่า​ “เพราะ​ข้า​เป็นโรค​ที่​รักษา​ไม่หาย​ ข้า​กำลังจะ​ตาย​ ส่วน​ลูก​ของ​ข้า​เพิ่ง​เกิด​วันนี้​”

“ไม่แปลกใจ​เลย​” เสียง​ผู้ชาย​ของ​วิญญาณ​กรีดร้อง​หาย​ไป​ก่อน​กลายเป็น​เสียง​ผู้หญิง​ “บัญญัติ​ราชา​มาร​จะไม่เหลียวแล​สิ่งมีชีวิต​ที่​ไร้ค่า​เหล่านั้น​เด็ดขาด​”

วิญญาณ​กรีดร้อง​หยุด​ก้าว​มาข้างหน้า​ก่อน​ยื่นมือ​ออก​ไป​

“ไว้ชีวิต​ข้า​ด้วย​ ข้า​ไม่อยาก​ตาย​ โปรด​ไว้ชีวิต​ลูก​ข้า​ด้วย​” เมื่อ​รับรู้​ได้​ถึงความตาย​ ผู้หญิง​กอด​ลูก​เอาไว้​แน่น​ขณะ​ร้องไห้​อย่าง​ขมขื่น​ออกมา​

วิญญาณ​กรีดร้อง​ยื่น​นิ้ว​ออก​ไป​แตะ​ศีรษะ​ของ​ผู้หญิง​ด้วย​เล็บ​คมกริบ​อย่าง​แผ่วเบา​

โลหิต​ไหล​ออก​มาจาก​หน้าผาก​ของ​ผู้หญิง​ทันที​

เสียง​ผู้หญิง​จาก​วิญญาณ​กรีดร้อง​กล่าวว่า​

“วางใจ​ได้​ ข้า​ไม่ฆ่าเจ้าหรอก​”

ผู้หญิง​เงยหน้า​ขึ้น​จ้องมอง​วิญญาณ​กรีดร้อง​อย่าง​เหม่อลอย​ ไม่รู้​ว่า​อีก​ฝ่าย​หมายความว่า​อย่างไร​

วิญญาณ​กรีดร้อง​ก้ม​มอง​นาง​ เสียง​ผู้หญิง​แผ่วเบา​มากขึ้น​

“เจ้าคือ​คน​ที่​ถูก​บัญญัติ​ทิ้ง​ ลูก​ของ​เจ้าคือ​คน​ที่​บัญญัติ​ไม่ได้​คาดหวัง​ หาก​เจ้าตรง​ตามเงื่อนไข​ของ​ข้า​ เจ้าจะกลายเป็น​เมล็ดพันธุ์​แห่ง​ความโกลาหล​”

ผู้หญิง​กอด​เด็กทารก​ไว้​ใน​อ้อมแขน​แล้ว​ถามอย่าง​ขลาดกลัว​ว่า​ “เจ้าจะปล่อย​พวก​ข้า​ไป​หรือ​”

วิญญาณ​กรีดร้อง​ตอบ​ว่า​ “ใช่ ส่วน​สิ่งที่​เป็น​ค่า​แลกเปลี่ยน​ เจ้าต้อง​ไป​พื้นที่​จ้าว​โลก​กับ​ข้า​ เจ้าจะต้อง​ถูก​ข้า​ซ่อนตัว​เอาไว้​ใน​โลก​แห่ง​หนึ่ง​ คอย​สั่งสมพละกำลัง​เงียบๆ​ เพื่อ​การต่อสู้​อัน​ดุเดือด​ในอนาคต​ มุ่งมั่น​สู่ความ​แข็งแกร่ง​ที่​มากขึ้น​”

สิ้น​เสียง​คำพูด​ของ​มัน​ ผู้หญิง​พลัน​รู้สึก​ถึงเล็บ​คม​ปลาบ​ทะลวง​ลึก​เข้าไป​ใน​หน้าผาก​

ก่อน​จะหมดสติ​ นาง​คล้าย​กับ​เห็น​หน้าต่าง​ระบบ​มายา​ของ​แสงและ​เงาปรากฏ​ขึ้น​ตรงหน้า​

‘ตุบ​!’

ผู้หญิง​ล้ม​ลง​กับ​พื้น​อย่าง​แรง​

วิญญาณ​กรีดร้อง​ยืน​นิ่ง​ มอง​ผู้หญิง​หมดสติ​กับ​เด็กทารก​ตรงหน้า​เงียบๆ​

มัน​ขยับ​นิ้ว​อย่าง​แผ่วเบา​

‘ตูม​!’

ซากปรักหักพัง​ล้ม​ลงมา​จาก​ทั้งสอง​ฝั่ง แสงสาดส่อง​ลงมา​

ผู้หญิง​และ​ลูก​ของ​นาง​ลอย​ขึ้น​ช้าๆ ก่อน​ลอย​เข้าสู่​ส่วนลึก​ของ​ท้อง​นภา​

สัตว์ประหลาด​หุบเหว​ยังอยู่​ที่​เดิม​

วิญญาณ​กรีดร้อง​มอง​ท้อง​นภา​หมองหม่น​จนกระทั่ง​ผู้หญิง​กับ​เด็กทารก​หาย​ไป​ใน​หมู่​เมฆหนา​

มัน​ดู​สง่าเล็กน้อย​ขณะ​ยืน​นิ่ง​อยู่กับที่​

“เลือก​มนุษย์​เพศหญิง​กับ​ลูก​ของ​นาง​ที่​อ่อนแอ​ให้​มาแบก​ความโกลาหล​เช่นนี้​มีจุดประสงค์​อะไร​”

เสียง​หนึ่ง​ดัง​ขึ้น​จาก​ด้านหลัง​วิญญาณ​กรีดร้อง​

“เพราะ​พวกเขา​ไม่ถูก​เลือก​โดย​บัญญัติ​อย่างไร​ล่ะ​” วิญญาณ​กรีดร้อง​ตอบ​

“ไม่ เจ้าต้อง​ไม่ได้คิด​แบบ​นั้น​แน่ๆ​”

เสียง​นั้น​ปฏิเสธ​

วิญญาณ​กรีดร้อง​หันมา​เจอ​เข้ากับ​ใบหน้า​ของ​เสียง​นั้น​อย่าง​ช้าๆ

ชายหนุ่ม​สวม​แว่น​กรอบ​ดำ​กำลัง​มอง​ด้วย​รอย​ยิ้มเจื่อน​บน​ใบหน้า​

วิญญาณ​กรีดร้อง​ครุ่นคิด​สักพัก​ก่อน​คำนับ​แล้ว​ตอบ​ด้วย​เสียง​ผู้ชาย​ว่า​ “ราชา​หุบเหว​ อัครสาวก​ผู้​ถูก​เนรเทศ​ ผู้​ร่วงหล่น​ที่​ตาม​จับตัว​ได้​ยาก​ คน​แรก​ที่​ได้​อยู่​บน​มงกุฎ​แห่ง​ดวงดาว​ ปรมาจารย์​ผู้ยิ่งใหญ่​แห่ง​พลัง​ไร้ขีดจำกัด​ ข้าน้อย​ผู้​ต่ำต้อย​ไม่ได้​ตั้งใจ​จะทำให้​ท่าน​ต้อง​มาคิด​เป็นกังวล​เลย​จริงๆ​”

ชายหนุ่ม​ยังคง​ยิ้ม​ แต่​น้ำเสียง​เปลี่ยนไป​เล็กน้อย​

“ฉายา​ของ​ข้า​คือ​สิ่งที่​เจ้าสามารถ​เรียกขาน​ได้​หรือ​ ตั้งแต่​เมื่อไหร่​ที่​เจ้าไม่กล้า​ตอบคำถาม​ข้า​”

วิญญาณ​กรีดร้อง​ส่งเสียง​ผู้หญิง​คม​ปลาบ​ออกมา​ “ข้า​จะเป็น​ผู้​ตอบคำถาม​ให้​ เพราะ​ผู้หญิง​กับ​เด็ก​โหลด​ความโกลาหล​เอาไว้​ ข้า​จะช่วย​ให้​พวก​มัน​เติบโต​เป็น​อย่าง​ดี​ สักวัน​ ข้า​จะให้​พวก​มัน​ฆ่ากันเอง​”

“แล้ว​จากนั้น​ล่ะ​”

“คน​ที่​รอด​ใน​ตอนท้าย​จะได้รับ​ฉายา​โกลาหล​พิเศษ​อัน​ทรงพลัง​มาครอบครอง​”

“อืม​ อธิบาย​แบบนี้​ออกจะ​สับสน​เกินไป​หน่อย​ ข้า​ไม่ค่อย​อยาก​จะเชื่อ​สัก​เท่าไหร่​”

วิญญาณ​กรีดร้อง​โน้มตัว​มาข้างหน้า​แล้ว​กล่าวว่า​ “ใน​เมื่อ​คำถาม​ของ​ท่าน​ได้รับ​การ​ตอบ​แล้ว​ เช่นนั้น​ข้า​ต้อง​ขอตัว​ก่อน​”

ชายหนุ่ม​กล่าวว่า​ “รอ​เดี๋ยวก่อน​ ยังมี​อีก​เรื่อง​”

“เชิญพูด​มาได้​เลย​”

“การต่อสู้​ระหว่าง​โลก​คู่ขนาน​และ​วัน​สิ้น​โลก​เริ่ม​กระจาย​ตัว​แล้ว​ ตอนนี้​ เจ้าไม่ควร​ไป​สร้าง​ปัญหา​ให้​กับ​บัญญัติ​นะ​”

“นาย​ท่าน​…ข้า​ใช้เวลา​มากมาย​มหาศาล​จน​จะผนึก​บัญญัติ​ได้​อย่าง​ถาวร​แล้ว​ ถึงตรงนี้​ ท่าน​จะให้​ข้า​หยุด​หรือ​”

“ใช่ ถ้าเจ้าผนึก​บัญญัติ​ได้​อย่าง​สมบูรณ์​และ​ความโกลาหล​แพร่กระจาย​ไป​ทั่วโลก​ โลก​ทั้งหมด​จะถูก​ทำ​ลายอย่าง​แน่นอน​”

“แต่​รู้​อะไร​ไหม​ ผู้​ที่​โหลด​ความโกลาหล​ตั้งใจ​จะสร้าง​ยุค​แห่ง​ความโกลาหล​ขึ้น​มา”

ชายหนุ่ม​กุม​หน้าผาก​ก่อน​ขมวดคิ้ว​ “ข้า​แค่​ไม่อยาก​เห็น​การ​กำเนิด​ของ​ยุค​โกลาหล​ โลก​ที่​ไม่มีกฎ​มัน​น่าเบื่อ​เกินไป​”

“นาย​ท่าน​ นี่​ท่าน​อยู่​ข้าง​บัญญัติ​หรือ​”

“ไม่ใช่ ข้า​แค่​ไม่อยาก​ให้​การต่อสู้​ของ​เจ้าส่งผล​ใน​ช่วง​หัวเลี้ยวหัวต่อ​นี้​”

“แต่​ท่าน​ตั้งใจ​จะหยุด​ข้า​ นี่​ท่าน​จะยืน​อยู่​ฝั่งตรงข้าม​กับ​ความโกลาหล​หรือ​”

ชายหนุ่ม​ตกตะลึง​ก่อน​หัวเราะ​ออกมา​อีกครั้ง​ “คาดไม่ถึง​ว่า​คน​ที่​เคย​จูบ​แทบ​เท้า​และ​กราบ​อ้อนวอน​ข้า​เพื่อ​ขอ​ชีวิต​จะกล้า​มาพูด​ยอกย้อน​ด้วย​น้ำเสียง​แบบนี้​”

“ทุกอย่าง​มัน​ผ่าน​ไป​แล้ว​” วิญญาณ​กรีดร้อง​กล่าว​

ทันใดนั้น​ อักขระ​ลึกลับ​นับไม่ถ้วน​ปรากฏ​ขึ้น​บน​ร่างกาย​ อักขระ​เหล่านี้​คล้าย​กับ​หมู่​เมฆวาววับ​ขณะ​กระจาย​ตัว​ออกจาก​ร่างกาย​ช้าๆ ก่อน​หาย​ไป​ใน​ความว่างเปล่า​

“นาย​ท่าน​ ดู​ถ้าท่าน​จะถูก​เนรเทศ​นาน​เกินไป​จน​ถึงขั้น​กล้า​มาจัดการ​เรื่อง​ระหว่าง​ความโกลาหล​และ​บัญญัติ​”

วิญญาณ​กรีดร้อง​พูด​ กลิ่นอาย​ของ​เขา​พลัน​ทะยาน​ขึ้น​

เสียง​ชาย​หญิง​เกรี้ยวกราด​ขึ้น​มาพร้อมกัน​ก่อน​คำราม​ออกมา​ “ข้า​ผู้​เป็นตัวแทน​ความโกลาหล​อัน​ไม่มีสิ้นสุด​กำลังจะ​ยับยั้ง​บัญญัติ​ได้​อย่าง​สมบูรณ์​ ไม่ว่า​ใคร​จะมาขวางทาง​ข้า​ มัน​ผู้​นั้น​ถือเป็น​ศัตรู​กับ​ความโกลาหล​”

สีหน้า​ของ​ชายหนุ่ม​ค่อยๆ​ จริงจัง​ขณะ​มอง​การเปลี่ยนแปลง​บน​ร่างกาย​ของ​เขา​

เขา​พึมพำ​ออกมา​ “แสดงว่า​เจ้าคือ​ผู้สืบทอด​ความโกลาหล​ทั้งหมด​ของ​โลก​ภายใน​ ร่าง​แยก​นี้​คือ​ตัว​เจ้าจริงๆ​ ไม่สงสัย​เลย​ที่​เจ้าถึงกล้า​ตาม​ข้า​มา…”

‘ตูม​!’

วิญญาณ​กรีดร้อง​ลงมือ​ก่อน​

กลิ่นอาย​สีเทา​เข้ม​ไม่มีสิ้นสุด​แผ่ซ่าน​และ​กระจาย​ออก​ขณะ​ปกคลุม​โลก​ทั้ง​ใบ​

“เจตจำนง​ความโกลาหล​”

ชายหนุ่ม​มอง​ความว่างเปล่า​ บน​ใบหน้า​ไม่มีรอยยิ้ม​อีกต่อไป​

วิญญาณ​กรีดร้อง​ยังคง​เดิน​เข้าหา​ชายหนุ่ม​ จิต​สังหาร​ของ​เขา​กระจาย​ไป​ทั่วโลก​

“ร่างกาย​ข้า​และ​ความโกลาหล​ทั้งหมด​อยู่​ที่นี่​แล้ว​” วิญญาณ​กรีดร้อง​ชี้ไป​ที่​อีก​ฝ่าย​แล้ว​คำราม​ออกมา​ “ท่าน​เป็น​แค่​วิญญาณ​อ่อนแอ​ที่สุด​ที่​แยก​ออกมา​แท้ๆ​ แล้ว​ท่าน​ยัง​กล้า​มาขวางทาง​ข้า​ได้​อย่างไร​”

“มงกุฎ​หุบเหว​จะแตกสลาย​ในอนาคต​อัน​ใกล้​ ตัวตน​ที่​ทรงพลัง​เช่น​ท่าน​จะเหี่ยวเฉา​เมื่อ​เผชิญ​กับ​ความโกลาหล​”

อีก​ด้าน​

พื้นที่​จ้าว​โลก​

ที่ใด​สัก​แห่ง​ใน​โลก​

เปลวเพลิง​สีดำ​ทั่ว​ทั้ง​สี่ทิศ​เผา​สัตว์ประหลาด​ทั้งหมด​จน​เป็น​เถ้าถ่าน​

เคียว​ด้าม​ยาว​ที่​แผ่​ความมืด​เข้มข้น​ออกมา​ถูก​ดึง​กลับมา​อยู่​ใน​มือ​หยก​ขาว​

เจ้าของ​มือ​หยก​ขาว​คือ​นักบุญ​แห่ง​ความตาย​ผู้​มีเส้น​ผม​สีแดง​ร้อนแรง​กับ​ใบหน้า​งดงาม​

นาง​มอง​ท้อง​นภา​ก่อน​ตะโกน​ว่า​ “ใคร​ยัง​กล้า​รนหาที่​ตาย​อีก​”

ชั้น​เปลวเพลิง​สีดำ​พุ่ง​ออกจาก​พื้น​ก่อน​ระเบิด​ขึ้น​สู่ท้อง​นภา​

สัตว์ประหลาด​เหล่านั้น​ที่​ยัง​ล้อม​อยู่​รีบ​หลบหนี​ทันที​ด้วย​การ​บินขึ้น​สูง

พวก​มัน​หนี​แล้ว​

เมื่อ​แอน​นา​เห็น​ดังนี้​ นาง​จึงปล่อยไป​

เคียว​สีดำ​หาย​ไป​ใน​พริบตา​

นาง​หันมา​มอง​ซูเสวี่ยเอ้อร์​แล้ว​ถามว่า​ “พวกเรา​ควร​ลงมือ​ตอนนี้​หรือไม่​ ทำไม​สีหน้า​เจ้าดู​น่าเกลียด​จัง”

ตรงข้าม​นาง​ หน้าผาก​ราบเรียบ​ของ​ซูเสวี่ยเอ้อร์​เต็มไปด้วย​เหงื่อ​เย็น​ นาง​มอง​ไพ่​ใน​มือ​อย่าง​เหม่อลอย​

นี่​คือ​ไพ่​ทำนาย​ใน​สำรับ​ราชา​แห่ง​ชะตากรรม​

สุสาน​ถูกวาด​บน​ไพ่​

ภูเขา​และ​ที่ราบ​เต็มไปด้วย​หลุมศพ​

“เชื่อมือ​ข้า​ได้​เลย​ แอน​นา​” ซูเสวี่ยเอ้อร์​กล่าว​

“ทำไม​ล่ะ​” แอน​นา​ถาม

“ข้า​ไม่ต้องการ​การปกป้อง​ของ​เจ้าอีกแล้ว​” ซูเสวี่ยเอ้อร์​ตอบ​

“แต่​เจ้าลองดู​สภาพ​ของ​ตัวเอง​สิ เห็นได้ชัด​ว่า​อยู่​ใน​ช่วง​การเปลี่ยนแปลง​พลัง​ ตอนนี้​ มัน​คือ​ช่วง​เปราะบาง​มาก​และ​ต้อง​ได้รับ​การ​สนับสนุน​จาก​ใคร​บางคน​” แอน​นา​กล่าว​

“ข้า​คนเดียว​เอาอยู่​ แต่​ถ้าเจ้ายัง​ตาม​ข้า​มา เจ้าจะตาย​ไป​พร้อมกับ​ข้า​” ซูเสวี่ยเอ้อร์​กล่าว​

แอน​นา​ตกตะลึง​

ซูเสวี่ยเอ้อร์​คล้าย​กับ​รู้ทัน​ก่อน​เอื้อมมือ​ไป​จับ​ใบหน้า​ของ​แอน​นา​อย่าง​อ่อนโยน​ “ไพ่​ทำนาย​โชคชะตา​ไม่มีทาง​ผิดพลาด​ได้​ ครั้งนี้​ข้า​จะตาย​จริงๆ​ มีชีวิต​เพื่อ​ข้า​ จากนั้น​ช่วย​นำ​คำพูด​ข้า​ไป​บอก​กับ​เขา​”

‘เพี้ยะ​!’

แอน​นา​ปัด​มือ​อีก​ฝ่าย​ก่อน​ดึง​ไพ่​กลับ​

“เจ้าเชื่อ​สิ่งนี้​หรือ​”

นาง​ชี้ไป​ที่​สุสาน​บน​ไพ่​ขณะ​ถามอย่าง​เคร่งขรึม​

“แน่นอน​ โชคชะตา​ไม่สามารถ​หลีกเลี่ยง​ได้​” ซูเสวี่ยเอ้อร์​ถอนหายใจ​อย่าง​สิ้นหวัง​

“ข้า​ขอ​ถามเจ้าเลย​นะ​ ไพ่​นี่​มัน​มาจาก​ไหน​” แอน​นา​ถามขณะ​ยื่นหน้า​เข้ามา​

“มัน​คือ​ไพ่​ที่​ข้า​แลก​กับ​กู่​ฉิงซาน​ ข้า​จำได้​ว่า​เคย​บอก​เจ้าไป​แล้ว​นะ​”

“ถ้าอย่างนั้น​บอก​ข้า​ซิ ใน​ตอนนั้น​อะไร​อยู่​บน​ไพ่​ ทำไม​เจ้าถึงแลก​ไพ่​”

“เพราะ​ไพ่​นี้​บอ​กว่า​กู่​ฉิงซาน​จะถูก​ร่ายมนต์​จนถึง​แก่​ความตาย​”

แอน​นา​คว้า​คอ​ของ​ซูเสวี่ยเอ้อร์​ก่อน​กล่าว​เสียงดัง​ว่า​ “เพราะ​อย่างนั้น​เจ้าเลย​คิด​ว่า​มัน​คือ​โชคชะตา​หรือ​ แต่​ใคร​กัน​ล่ะ​ที่​ตาย​”

ซูเสวี่ยเอ้อร์​ตกตะลึง​

ใช่แล้ว​ พวก​นาง​ไม่ได้​ตาย​

ถึงแม้บัญญัติ​ราชา​มาร​จะถูก​โหลด​ไว้​จริง​ แต่​สุดท้าย​พวก​นาง​ก็​ยัง​ปลอดภัย​

การต่อสู้​ระหว่าง​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​และ​บัญญัติ​ราชา​มาร​จบ​ลง​ด้วย​ชัยชนะ​ของ​โลก​เก้า​ร้อย​ล้าน​ชั้น​

‘หึ​!’ แอน​นา​ปล่อยมือ​แล้ว​กล่าว​อย่าง​ไม่พึงพอใจ​ว่า​ “ใน​เมื่อ​เจ้าอ่อนแอ​ปวกเปียก​เช่นนี้​ เจ้าก็​ไม่มีคุณสมบัติ​ที่จะ​อยู่​กับ​ฉิงซาน​”

“ทำไม​ข้า​ถึงไม่มีคุณสมบัติ​ล่ะ​”

“เพราะ​ข้า​ไม่เคย​เห็น​เขา​ยอมจำนน​ต่อ​โชคชะตา​มาก่อน​อย่างไร​ล่ะ​”

แอน​นา​ตอบ​อย่าง​แผ่วเบา​

เขา​ฟื้นคืนชีพ​งอ​ย่าง​นั้น​หรือ​

เด็กผู้ชาย​ครุ่นคิด​

ทันใดนั้น​ เขา​พบ​ว่า​ตัวเอง​ขาด​บางสิ่ง​ไป​

เสียง​กระซิบ​เหล่านั้น​ที่​เคย​ปรากฏ​ใน​หู​บ่อยครั้ง​หาย​ไป​

หน้าต่าง​ระบบ​ความโกลาหล​มายา​หาย​ไป​

เด็กผู้ชาย​กัดฟัน​แล้ว​กล่าวว่า​ “เจ้า…เจ้าขโมย​พลัง​โกลาหล​ของ​ข้า​ไป​!”

เขา​กระโดด​ขึ้น​มาหยิบ​กริช​เพื่อ​แทง​ใส่กู่​ฉิงซาน​

ครั้งนี้​เขา​ใช้พละกำลัง​เต็มที่​ ดังนั้น​เมื่อ​กริช​ผ่าน​อากาศ​ เสียง​สายลม​และ​ฟ้าร้อง​จึงดัง​ขึ้น​อย่าง​เลือนราง​

กู่​ฉิงซาน​ยื่น​สอง​นิ้ว​ออก​ไป​จับ​กริช​อย่าง​นุ่มนวล​

เด็กผู้ชาย​อยาก​กุม​กริช​เอาไว้​ แต่กลับ​พบ​ว่า​ไม่ว่า​จะพยายาม​อย่าง​หนัก​แค่​ไหน​ กริช​ก็​ไม่ขยับ​เลย​

ใบหน้า​ของ​เด็กผู้ชาย​เปลี่ยนไป​

พละกำลัง​ของ​สอง​ฝ่าย​ห่าง​ชั้น​มาก​ เขา​ไม่มีแม้แต่​โอกาส​ด้วยซ้ำ​

“บัดซบ​ ทำไม​ข้า​ถึงต้อง​พบ​เจ้าตอนที่​เพิ่ง​ตื่นขึ้น​มาด้วย​”

เขา​กล่าว​ด้วย​ความ​ไม่เต็มใจ​

กู่​ฉิงซาน​ยิ้ม​แล้ว​ตอบ​ว่า​ “อย่า​คิดมาก​สิ วางใจ​เถอะ​ ข้า​บอก​แล้ว​นี่​ว่า​เจ้าจะทำ​อะไร​ก็ได้​”

เด็กผู้ชาย​ถามอย่าง​ระแวดระวัง​ว่า​ “เจ้ายัง​จะโกหก​ข้า​อีก​เหรอ​”

“เจ้ายัง​จะพูด​แบบนี้​อีก​ ข้า​จะไป​วางแผน​หลอก​เจ้าเพื่อ​อะไร​” กู่​ฉิงซาน​ถามกลับ​อย่าง​จริงจัง​

เขา​ไม่พูดมาก​นัก​ขณะ​ยื่นมือ​ออก​ไป​แตะ​ศีรษะ​ของ​เด็กผู้ชาย​อย่าง​อ่อนโยน​

เด็กผู้ชาย​กระเด็น​ เขา​ก้าว​ถอยหลัง​ไป​ห้า​ก้าว​

เขา​ยืน​อึ้ง​อยู่กับที่​

หน้าต่าง​ระบบ​อัน​คุ้นเคย​กับ​เสียง​กระซิบ​เหล่านั้น​กลับ​มาหา​ร่างกาย​แล้ว​

“เจ้าคืน​พลัง​โกลาหล​ให้​ข้า​ แถมเจ้าไม่ได้คิด​จะฆ่าจริงๆ​ ด้วย​!” เด็กผู้ชาย​กล่าว​ด้วย​ความ​เหลือเชื่อ​

กู่​ฉิงซาน​กล่าวว่า​ “เจ้าไม่ต้อง​กังวล​อะไร​เลย​ เชิญกระจาย​ความโกลาหล​ให้​เต็มที่​ นี่​คือ​ภารกิจ​ของ​เจ้า”

เด็กผู้ชาย​มอง​เขา​ ปาก​อ้า​ออก​ ไม่รู้​ว่า​จะพูด​อะไร​

อีก​ฝ่าย​เคย​สังหาร​เขา​

แล้วก็​ชุบชีวิต​เขา​ขึ้น​มา

แถมยัง​คืน​ความโกลาหล​ให้​อีก​

สุดท้าย​ก็​ท้าทาย​ให้​กระจาย​ความโกลาหล​

สถานการณ์​มัน​แปลก​เกิน​กว่า​จะเข้าใจ​ได้​

ถึงแม้เขา​จะเกิดขึ้น​ใหม่​อีกครั้ง​ แต่​ก็​ไม่รู้​ด้วยซ้ำ​ว่า​ตอนนี้​มัน​เกิด​อะไร​ขึ้น​

ตอนนี้​ เขา​เหมือนกับ​เป็น​เด็กผู้ชาย​จริงๆ​

แต่​ภารกิจ​ของ​เขา​คือ​การ​กระจาย​ความโกลาหล​ เรื่อง​นั้น​ไม่ผิด​แน่ๆ​

“ถ้าเจ้าไม่ก้าวก่าย​ ข้า​จะกระจาย​ความโกลาหล​ไป​ทั่วโลก​ ข้า​ต้อง​วิวัฒนาการ​พลัง​ตัวเอง​ตาม​พื้นฐาน​ของ​สิ่งมีชีวิต​ทั้งหมด​บน​โลก​ใบ​นี้​” เด็กผู้ชาย​กล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​หนักแน่น​

“ดีมาก​ ข้า​จะไม่ห้าม​เจ้าอีกแล้ว​ ทำ​ใน​สิ่งที่​เจ้าต้อง​ทำ​เพื่อให้​ตระหนักถึง​ความฝัน​ของ​ตัวเอง​” กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​อย่าง​เห็นด้วย​

เด็กผู้ชาย​ถามด้วย​ความสงสัย​ว่า​ “เจ้าไม่ได้​โกหก​ข้า​จริงๆ​ หรือว่า​เจ้ามีแผนการ​สมรู้ร่วมคิด​”

“ข้า​ไม่ได้​โกหก​หรอก​นะ​” กู่​ฉิงซาน​ตอบ​อย่าง​เคร่งขรึม​

เด็กผู้ชาย​มอง​เขา​เป็น​ครั้งสุดท้าย​ก่อน​ทะยาน​ออกจาก​ภูเขา​โดดเดี่ยว​

เขา​กลิ้ง​ลง​เนินเขา​ ออก​วิ่ง​ ไม่ช้าก็​หาย​ไป​

กู่​ฉิงซาน​หัน​สายตา​กลับมา​มอง​ความว่างเปล่า​

บน​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ แถว​หิ่งห้อย​ขนาดเล็ก​ยัง​คงอยู่​ตรงนั้น​

“ท่าน​เสีย​หน้าต่าง​ระบบ​ความโกลาหล​พิเศษ​: นักฆ่า​มังกร​ (เพียงผู้เดียว​)”

“พลัง​โกลาหล​หาย​ไป​จาก​ท่าน​อย่าง​สมบูรณ์​แล้ว​”

“หมายเหตุ​เพราะ​ท่าน​ไม่ได้​โหลด​หน้าต่าง​ระบบ​พิเศษ​ ‘นักฆ่า​มังกร​’ พลัง​วิญญาณ​ที่​ใช้ขจัด​ความโกลาหล​ใน​ครั้งนี้​จึงลด​ไป​เล็กน้อย​”

“กำลัง​คำนวณ​พลัง​วิญญาณ​ที่​เหลืออยู่​”

กู่​ฉิงซาน​รอ​อยู่​สักพัก​

แถว​ตัวอักษร​ขนาดเล็ก​ปรากฏ​ขึ้น​

“พลัง​วิญญาณ​ที่​เหลืออยู่​ของ​ท่าน​คือ​หนึ่ง​ส่วน​หกร้อย​”

กู่​ฉิงซาน​มอง​เลข​หนึ่ง​จน​อด​ที่จะ​กล่าว​อย่าง​เกรี้ยวกราด​ไม่ได้​ว่า​ “ข้า​อยาก​ทำ​หลายอย่าง​เลย​ แต่​เจ้ากลับ​ทำให้​ข้า​สับสน​ด้วย​การแสดง​พลัง​วิญญาณ​เท่านี้​อย่างนั้น​หรือ​

‘ดิ๊ง!’​

เสียง​ใสดัง​ขึ้น​

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ตอบ​ว่า​ “น้อม​รับ​ความเห็น​ของ​ท่าน​ ความจริง​ เมื่อ​เผชิญหน้า​กับ​หน้าต่าง​ระบบ​โกลาหล​พิเศษ​ ท่าน​สามารถ​ตั้ง​ปณิธาน​เพื่อให้​คู่ควร​กับ​รางวัล​ที่จะ​ได้​รับได้​”

“ท่าน​สามารถ​คิด​เรื่อง​ที่จะ​ร่วมมือ​กับ​เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​เพื่อ​จัดการ​กับ​ความโกลาหล​ได้​เมื่อ​ไม่มีหนทาง​จริงๆ​ และ​ท่าน​สมควรจะ​ได้​รับรางวัล​ด้วย​”

“สรุป​แล้ว​ หน้าต่าง​ระบบ​นี้​จะเพิ่ม​พลัง​วิญญาณ​ให้​ท่าน​ในไม่ช้า​”

กู่​ฉิงซาน​ถอนหายใจ​ด้วย​ความ​โล่งอก​ เขา​มอง​พลัง​วิญญาณ​ที่​เหลืออยู่​ก่อน​รอ​อย่าง​อดทน​

เขา​เห็น​ว่า​เลข​หนึ่ง​หาย​ไป​ก่อน​จะมีตัวเลข​อีก​ตัว​มาแทนที่​

“พลัง​วิญญาณ​ที่​เหลืออยู่​ของ​ท่าน​คือ​สอง​ส่วน​หกร้อย​”

กู่​ฉิงซาน​อ้าแขน​ออก​แล้ว​กล่าว​อย่าง​จนใจ​ว่า​ “…นี่​เอาจริง​เหรอ​เนี่ย​”

“จริง​แท้​แน่นอน​” หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ตอบ​

กู่​ฉิงซาน​มีหลากหลาย​เหตุผล​ที่จะ​เชื่อ​ว่า​อีก​ฝ่าย​ออม​พลัง​วิญญาณ​เอาไว้​ แต่​เขา​ไม่รู้​ว่า​จะต้อง​ทำ​อย่างไร​

เขา​เกียจคร้าน​เกิน​กว่า​จะมาสนใจ​หน้าต่าง​ระบบ​นี้​อีกแล้ว​ ปริมาณ​พลัง​วิญญาณ​ของ​อีก​ฝ่าย​ทำให้​เขา​รู้สึก​เหนื่อย​เล็กน้อย​

ถ้าไม่ใช่เพราะ​เป็น​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ เขา​คง​ต้อง​ “จับ​เข่า​คุย​” กัน​เสียแล้ว​

ตอนนี้​ ฉาก​รอบข้าง​วูบ​ไหว​

ภูเขา​โดดเดี่ยว​ ท้อง​นภา​ ปฐพี​และ​ทุกสิ่ง​ล้วน​กลายเป็น​พายุ​แสงและ​เงา

กู่​ฉิงซาน​พบ​ว่า​เขา​กำลัง​ลอย​อยู่​ ทั่ว​ร่าง​อยู่​นอก​โลก​

โลก​เหมือนกับ​ภาพ​ที่​ถูก​กดปุ่ม​กรอ​เดินหน้า​อย่าง​รวดเร็ว​

มัน​เริ่ม​ขึ้น​แล้ว​

เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​เริ่ม​สร้าง​ระดับ​พลัง​พิเศษ​ตาม​วิธี​ที่​กู่​ฉิงซาน​บอก​ไว้​เพื่อ​สร้าง​ ‘บัญญัติ​’ ให้​สิ่งมีชีวิต​ทั้งหมด​ที่​เข้าร่วม​เพื่อ​เอาไว้​สู้กับ​ความโกลาหล​

กู่​ฉิงซาน​รอ​เงียบๆ​

เมื่อ​ถึงเวลา​หนึ่ง​ ทุกสิ่ง​หาย​ไป​

ใน​ช่วง​นาที​สุดท้าย​ กู่​ฉิงซาน​เห็น​ผู้ชาย​คน​หนึ่ง​ที่​ดูเหมือน​เด็กผู้ชาย​

เขา​สวม​ชุด​เกราะ​โกลาหล​น่า​สะพรึง​ ผู้ชาย​คน​นั้น​หัวเราะ​อย่าง​มีชัย​

โลก​พังทลาย​แล้ว​พลัน​ถูก​ทำลาย​ภายใต้​การ​โจมตี​ของ​เขา​

ความมืด​กลืน​กิน​ทุกสิ่ง​

การ​สั่นสะเทือน​ไม่มีสิ้นสุด​ของ​ความว่างเปล่า​คล้าย​กับ​สื่อ​ถึงอารมณ์​บางอย่าง​

กู่​ฉิงซาน​รู้สึก​ถึงมัน​ก่อน​ค่อยๆ​ ผ่อนคลาย​

เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​ไม่ได้​รู้สึก​โกรธ​และ​สิ้นหวัง​เพราะ​ล้มเหลว​

ตรงกันข้าม​ จาก​การ​หักล้าง​เมื่อ​ชั่วครู่​ มัน​สัมผัส​ได้​ถึงความเป็นไปได้​บางอย่าง​

ความหวัง​

มัน​รู้สึก​ถึงความหวัง​ที่จะ​พิชิต​ความโกลาหล​

เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​กระตือรือร้น​ที่จะ​พยายาม​ มัน​อดใจ​รอ​ที่จะ​ลอง​อีกครั้ง​ไม่ไหว​

อย่างไรก็ตาม​ นอกจาก​พลัง​โกลาหล​แล้ว​ โลก​แห่ง​ความว่างเปล่า​ยัง​วิวัฒนาการ​ด้วย​ตัว​ของ​มัน​เอง​

ตราบที่​ยังมี​เจตจำนง​ก็​สามารถ​สร้าง​โลก​ขึ้น​ใหม่​ได้​อีกครั้ง​

หนึ่ง​วินาที​ต่อมา​

โลก​ทั้ง​ใบ​ปรากฏ​ขึ้น​ต่อหน้า​กู่​ฉิงซาน​

การ​หักล้าง​เริ่ม​ขึ้น​อีกครั้ง​

ทุกสิ่ง​บน​ปฐพี​เหมือนกับ​ระลอก​คลื่นยาว​ที่​กำลัง​เร่งความเร็ว​

ระหว่าง​ที่​กู่​ฉิงซาน​หายใจ​ การพัฒนา​และ​การเปลี่ยนแปลง​ของ​โลก​ผัน​ผ่าน​ไป​

เมื่อ​เขา​รอ​มาได้​สักพัก​

การเปลี่ยนแปลง​ใน​โลก​ช้าลง​ เผย​ให้​เห็น​ผลลัพธ์​สุดท้าย​

เด็กผู้ชาย​ที่​เติบโต​ขึ้น​ยัง​ทำลาย​โลก​

แต่​ใน​นาที​สุดท้าย​ วีรชน​ของ​เผ่าพันธุ์​มนุษย์​ทุ่ม​ความพยายาม​ทั้งหมด​เพื่อให้​มัน​ตาย​ไป​พร้อมกับ​เขา​

ทั้งคู่​ต่าง​พ่ายแพ้​!

กู่​ฉิงซาน​ชื่นชม​ “ความคืบหน้า​ไว​มาก​ ข้า​เดา​ว่า​ครั้งหน้า​เจ้าเอาชนะ​ความโกลาหล​ได้​แน่​”

ความว่างเปล่า​สั่น​ไหว​คล้าย​กับ​กำลัง​ตอบ​เขา​อย่าง​ตื่นเต้น​

เวลา​ย้อนกลับ​

ทุกสิ่ง​เริ่ม​ขึ้น​อีกครั้ง​ตั้งแต่​กู่​ฉิงซาน​ออกจาก​โลก​นี้​

กู่​ฉิงซาน​มีอารมณ์​ร่วม​เล็กน้อย​เช่นกัน​

นี่​เป็น​เพียง​ผู้ส่งสาร​ความโกลาหล​ที่​อ่อนแอ​ที่สุด​ เป็นการ​ยาก​ที่จะ​รับมือ​ได้​

ถ้าหาก​ความโกลาหล​คือ​สัตว์ประหลาด​ที่​โคตร​ทรงพลัง​และ​น่า​สะพรึง​ขึ้น​มาล่ะ​

ใคร​ล่ะ​จะหยุด​การ​แพร่กระจาย​ความโกลาหล​ได้​

กู่​ฉิงซาน​ส่ายหน้า​ ไม่คิด​ให้​มากความ​อีก​

เบื้องหน้า​เขา​ ทุกสิ่ง​ใน​โลก​เร่งความเร็ว​

ผลลัพธ์​สุดท้าย​กำลังจะ​ปรากฏ​

เขา​เห็น​ความเร็ว​การพัฒนา​ของ​โลก​ทั้ง​ใบ​ค่อยๆ​ ช้าลง​

ภาพ​ปรากฏ​ขึ้น​ตรง​สายตา​ของ​กู่​ฉิงซาน​

วีรชน​ของ​เผ่าพันธุ์​มนุษย์​จัดงาน​ชุมนุม​ครั้ง​ใหญ่​ ทุกคน​ต่าง​ยินดี​และ​เฉลิมฉลอง​ใน​ชัยชนะ​

โลงศพ​เหล็ก​ขนาดใหญ่​เจ็ด​โลง​ถูก​สลัก​ด้วย​อักขระ​ลึกลับ​ ผู้ส่งสาร​และ​ลูกน้อง​ของ​เขา​ถูก​จองจำ​ก่อน​ถูก​ส่งเข้าไป​ใน​โลงศพ​เหล็ก​

โลงศพ​เหล็ก​ถูก​ปิด​

ความมืด​

ความโกลาหล​ถูก​ผนึก​ไว้​ใน​ใต้ดิน​ของ​คริสตจักร​ศักดิ์สิทธิ์​ ถูก​คุ้มกัน​โดย​สิบสอง​วีรชน​มนุษย์​ที่​แข็งแกร่ง​ที่สุด​

ถ้าไม่มีอุบัติเหตุ​อะไร​ พวกเขา​จะถูก​ผนึก​ไว้​ที่นี่​ตลอดกาล​ ไม่มีทาง​ที่จะ​ย่างเท้า​บน​ปฐพี​เพื่อ​แพร่กระจาย​ความโกลาหล​ได้​อีก​

การ​สั่นสะเทือน​ไม่มีสิ้นสุด​ปรากฏ​ขึ้น​ใน​ความว่างเปล่า​

เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​ปล่อย​คลื่น​วิญญาณ​ออกมา​เพื่อ​ระบาย​อารมณ์​ออกมา​

“คาดไม่ถึง​ มัน​ทำสำเร็จ​ใน​ครั้ง​ที่สาม​ เร็ว​กว่า​ที่​ข้า​คิด​เอาไว้​” กู่​ฉิงซาน​ยิ้ม​

เบื้องหน้า​เขา​ แถว​หิ่งห้อย​ขนาดเล็ก​ปรากฏ​ขึ้น​

“ท่าน​ชนะ​การ​ทดสอบ​เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​แล้ว​”

“ท่าน​ช่วย​ให้​มัน​เอาชนะ​ความโกลาหล​ได้​”

“นับ​จากนี้​ เจตจำนง​ของ​โลก​คู่ขนาน​นี้​จะติดตาม​ท่าน​”

“วิชา​โลก​ของ​ท่าน​ได้รับ​พร​จาก​กฎเกณฑ์​ของ​โลก​ภายใน​ พลัง​โกลาหล​ ดิน​ น้ำ​ ไฟ ลม​และ​วิชา​เนตร​ดาบ​ ตอนนี้​ ท่าน​ได้รับ​พลัง​สุดท้าย​แล้ว​”

“ท่าน​ได้รับ​แหล่งกำเนิด​พลัง​ของ​โลก​คู่ขนาน​”

“หลังจาก​นับ​ถอยหลัง​ แหล่งกำเนิด​พลัง​โลก​จะถูกรวม​เข้ากับ​วิชา​โลก​ของ​ท่าน​ก่อน​ประกอบ​ขึ้น​ใน​ตำแหน่ง​หนึ่ง​ขึ้น​มา”

“ห้า​”

“สี่”

“สาม”

“สอง​”

“หนึ่ง​!”

“วิชา​โลก​ของ​ท่าน​เสร็จสิ้น​แล้ว​”

ใน​บรรดา​ซากปรักหักพัง​ของ​โลก​คู่ขนาน​นี้​ มีหอคอย​ขนาดใหญ่​เรียงราย​ต่อกัน​

หอคอย​ของ​จอม​เวท​

มัน​บันทึก​ความรู้​ทั้งหมด​ที่​ถูก​ค้นพบ​ใน​โลก​เอาไว้​

รวมถึง​ความก้าวหน้า​ของ​มนุษย์​

กู่​ฉิงซาน​ลอย​อยู่​ใน​ความว่างเปล่า​นอก​หอคอย​จอม​เวท​ขณะ​ปล่อย​ความผันผวน​พลัง​วิญญาณ​โอ่อ่า​ออกมา​

ต้อง​ขอบคุณ​ “การ​แปลง​” ใน​สายตา​ของ​ผู้คน​บน​โลก​ใบ​นี้​ สิ่งที่​เขา​ปล่อย​ออกมา​ไม่ใช่พลัง​วิญญาณ​ แต่​เป็น​พลัง​ศักดิ์สิทธิ์​สีขาว​บริสุทธิ์​ไร้ขีดจำกัด​

จากนั้น​ จอม​เวท​สิบสอง​คน​พุ่ง​ขึ้น​ใน​อากาศ​เพื่อ​มาหา​เขา​

เพื่อ​แสดง​ความเคารพ​ พวกเขา​ไม่กล้า​อยู่​ใน​ระดับ​เดียว​กับ​กู่​ฉิงซาน​ แต่​เลือก​จะอยู่​ระดับ​ต่ำกว่า​เล็กน้อย​

จอม​เวท​ชรา​ผม​เทา​ผู้​เป็น​ประธาน​สมาพันธ์​จอม​เวท​นำ​จอม​เวท​ทั้งหมด​มาคำนับ​กู่​ฉิงซาน​

“ท่าน​ทวยเทพ​ที่​เคารพ​ ท่าน​มาสมาพันธ์​จอม​เวท​ของ​พวกเรา​ด้วยตัวเอง​เช่นนี้​ พวกเรา​รู้สึก​ปลาบปลื้ม​และ​เป็นเกียรติ​อย่าง​ยิ่งนัก​” จอม​เวท​ชรา​กล่าว​

“ขอบคุณ​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​พร้อม​รอยยิ้ม​ “ไม่ต้อง​มาก​พิธี​ก็ได้​ ข้า​รู้​ว่า​พวก​เจ้าไม่ได้​รู้สึก​ดี​กับ​สิ่งที่อยู่​นอกเหนือ​ความจริง​”

จอม​เวท​ชรา​ประหลาดใจ​ คำพูด​ที่​เขา​อยาก​จะพูด​ติด​อยู่​ตรง​ลำคอ​จน​ไม่สามารถ​พูด​ได้​

คำพูด​ของ​ทวยเทพ​ตราตรึงใจ​ผู้คน​จริงๆ​

แต่​ดี​หรือ​ที่​ทวยเทพ​มาพูด​เช่นนี้​

แล้ว​คนอื่น​จะตอบรับ​อย่างไร​

กู่​ฉิงซาน​เมิน​การ​ตอบสนอง​ของ​เขา​ก่อน​กล่าว​ต่อว่า​ “ข้า​มาดู​ความรู้​ที่​เจ้าเก็บ​เอาไว้​น่ะ​”

จอม​เวท​ชรา​รีบ​กล่าวว่า​ “โอ้​ ท่าน​ทวยเทพ​ผู้รอบรู้​และ​ยิ่งใหญ่​ ความรู้​แบบ​ไหน​ที่​ท่าน​ตามหา​หรือ​ ข้า​จะเตรียม​หา​ให้​ทันที​”

กู่​ฉิงซาน​ลอบ​หัวเราะ​

มีบางสิ่ง​อยู่​ใน​คำพูด​ของ​ชาย​ชรา​คน​นี้​ ด้าน​หนึ่ง​ อีก​ฝ่าย​บอ​กว่า​เขา​คือ​ทวยเทพ​ผู้รอบรู้​และ​ยิ่งใหญ่​ อีก​ด้าน​คือ​พยายาม​เกทับ​เขา​

ท่าน​เป็น​ทวยเทพ​ผู้รอบรู้​และ​ยิ่งใหญ่​ไม่ใช่หรือ​ ทำไม​ถึงอยาก​มาดู​ความรู้​ที่​พวกเขา​เก็บ​รวบรวม​เอาไว้​กัน​ล่ะ​

กู่​ฉิงซาน​ไม่ใส่ใจอีก​ฝ่าย​แม้แต่น้อย​ เขา​ไม่ชอบ​สังหาร​คนอ่อนแอ​พวก​นี้​เพื่อ​แสดง​ศักดิ์ศรี​ของ​ตัวเอง​

เขา​เพียง​กล่าวว่า​ “ข้า​ต้องการ​ความรู้​ทั้งหมด​ที่​ข้อง​เกี่ยวกับ​ยอด​ฝีมือ​”

“ขอรับ​ จะเตรียม​ให้​เดี๋ยวนี้​” จอม​เวท​ชรา​กล่าว​ด้วย​ความเคารพ​

กู่​ฉิงซาน​เพียง​พยักหน้า​ขณะ​ยืน​นิ่ง​ใน​อากาศ​

จอม​เวท​ชรา​พา​คน​ของ​เขา​กลับ​หอคอย​จอม​เวท​ ค้นหา​บันทึก​เกี่ยวกับ​ยอด​ฝีมือ​มนุษย์​ทั้งหมด​ก่อน​นำ​ออกมา​ได้​ทั้งสิ้น​หนึ่ง​พัน​สามร้อย​เล่ม​

เขา​ลังเล​ ไม่ได้​ใช้เวทมนตร์​เพื่อ​รวบรวม​หนังสือ​เหล่านี้​ให้​เป็น​หนังสือ​เล่ม​เดียว​

ความจริง​ มีหลาย​วิธี​สำหรับ​จอม​เวท​ที่จะ​รวบรวม​ความรู้​เฉพาะ​ใน​หนังสือ​เวทมนตร์​

“นาย​ท่าน​”

จอม​เวท​ด้าน​หลังเขา​เตือน​อย่าง​แผ่วเบา​

จอม​เวท​ชรา​ส่ายหน้า​ก่อน​ส่งสัญญาณบอก​อีก​ฝ่าย​ว่า​ไม่ต้อง​พูด​

เป็นเวลา​นาน​กว่า​สอง​ทศวรรษ​แล้ว​ที่​การค้นคว้า​เกี่ยวกับ​ทวยเทพ​ของ​สมาพันธ์​ได้​หยุดนิ่ง​

ตอนนี้​เป็น​โอกาสดี​ที่สุด​ที่จะ​ทดสอบ​ว่า​ทวยเทพ​องค์​นี้​มีพลัง​อะไร​

จอม​เวท​ชรา​ใช้วิชา​เวทมนตร์​เพื่อ​ขน​หนังสือ​เวทมนตร์​มากกว่า​หนึ่ง​พัน​สามร้อย​ออกจาก​หอคอย​อย่าง​ช้าๆ

“ท่าน​ทวยเทพ​ นี่​คือ​ความรู้​ทั้งหมด​ที่​ข้อง​เกี่ยวกับ​ยอด​ฝีมือ​ เชิญดู​ได้​” จอม​เวท​ชรา​กล่าว​

เขา​ชี้ไป​ที่​หนังสือ​มากกว่า​หนึ่ง​พัน​สามร้อย​เล่ม​ที่​ลอย​อยู่​ใน​อากาศธาตุ​ด้านหลัง​

กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​ จากนั้น​ใช้วิชา​ควบคุม​

ตรงข้าม​เขา​ หนังสือ​มากกว่า​หนึ่ง​พัน​สามร้อย​เล่ม​ล้วน​จัดเรียง​เป็น​กำแพง​หนังสือ​ก่อน​เปิด​ออก​ทีละ​หน้า​

หนังสือ​แต่ละ​เล่ม​นำเสนอ​ความรู้​ตรงหน้า​กู่​ฉิงซาน​

กู่​ฉิงซาน​ปล่อย​จิต​เทพ​ออก​ไป​ก่อน​สลัก​รายละเอียด​ทั้งหมด​เอาไว้​ใน​ใจ

จอม​เวท​ชรา​ชำเลือง​มอง​จอม​เวท​คนอื่นๆ​

วิธี​นี้​ถึงกับ​ไม่ยากเย็น​นัก​ จอม​เวท​ชั้นสูง​บางคน​ก็​สามารถ​ทำได้​

ทวยเทพ​ไม่ได้​รอบรู้​และ​ยิ่งใหญ่​ไป​เสีย​ทุก​เรื่อง​ วิธีการ​ได้รับ​ความรู้​ก็​ไม่ใช่วิธี​พิเศษ​อะไร​

ถ้าอย่างนั้น​ ขอบเขต​ของ​พลัง​ทวยเทพ​อยู่​ตรง​ไหนล่ะ​

พวกเขา​ลอบ​คาดเดา​

กู่​ฉิงซาน​ดูดกลืน​ความรู้​อย่าง​เงียบงัน​ก่อน​เข้าใจ​ ระดับ​และ​พละกำลัง​ของ​ความสามารถ​ยอด​ฝีมือ​ทั้งหมด​ใน​โลก​อย่าง​รวดเร็ว​

อย่าง​แรก​เลย​ ยอด​ฝีมือ​หลัก​ใน​โลก​ใบ​นี้​คือ​ผู้ใช้​พลัง​ศักดิ์สิทธิ์​ อัศวิน​ นัก​ล่า​ จอม​เวท​และ​ผู้ใช้​พลัง​ธรรมชาติ​

วิธี​การพัฒนา​พละกำลัง​และ​การ​แบ่ง​พละกำลัง​แตก​ต่างกัน​ไป​ตาม​แต่ละ​กลุ่ม​

ยอด​ฝีมือ​แต่ละ​กลุ่ม​ถูก​แบ่ง​เป็น​หลาย​ประเภท​ ระบบ​ความสามารถ​ที่​เชี่ยวชาญ​ก็​แตก​ต่างกัน​มาก​ด้วย​

ช่างแปลกประหลาด​และ​วุ่นวาย​ยิ่งนัก​

มัน​สามารถ​อธิบาย​ได้​ด้วย​แปด​คำ​นี้​

จอม​เวท​มีบันทึก​เกี่ยวกับ​เรื่อง​นี้​มากมาย​ พวกเขา​พยายาม​รวม​ให้​เป็นหนึ่ง​ แต่​ยอด​ฝีมือ​จำนวนมาก​มีแก่น​ความลับ​ภายใน​กลุ่ม​พวกเขา​ ไม่มีทาง​ให้​ยอด​ฝีมือ​กลุ่ม​อื่น​รู้​ได้​โดยง่าย​

ดังนั้น​จอม​เวท​จึงไม่กล้า​ยั่วโมโห​ยอด​ฝีมือ​ทุก​คนจน​ทำให้​ตัวเอง​อยู่​ใน​สถานะ​เป็นปฏิปักษ์​

จอม​เวท​สามารถ​ทำได้​เพียง​รู้​ความสามารถ​ คุณลักษณะ​และ​โอกาส​ใน​การพัฒนา​ของ​ยอด​ฝีมือ​จำนวนมาก​ผ่าน​การ​สังเกต​เพียง​คร่าวๆ​ เท่านั้น​

พวกเขา​ไม่สามารถ​พบ​ความลับ​ที่​ลึกล้ำ​ของ​ยอด​ฝีมือ​ทั้งหมด​ได้​เช่นกัน​

กู่​ฉิงซาน​ยืน​อยู่​ใน​ความว่างเปล่า​ขณะ​จมสู่ความคิด​

จอม​เวท​ชรา​ยืน​อย่า​ด้าน​ข้าง​ความเคารพ​ขณะ​มองดู​อยู่​เงียบๆ​

ผ่าน​ไป​เนิ่นนาน​

กู่​ฉิงซาน​พลัน​พูด​กับ​ความว่างเปล่า​ว่า​

“ถ้าพวกเรา​อยาก​เอาชนะ​ความโกลาหล​หรือ​ใช้พลัง​โกลาหล​เพื่อ​กระตุ้น​ให้​โลก​แข็งแกร่ง​มากขึ้น​ ข้า​ต้อง​เตรียมการ​เพิ่ม​”

“อย่าง​แรก​เลย​ สำหรับ​ผู้​ที่​ปลุก​พลัง​พิเศษ​ของ​โลก​ขึ้น​มาได้​ พวกเขา​จะไม่สามารถ​ใช้พลัง​นี้​ได้​อย่าง​อิสระ​อีกต่อไป​”

หลังจาก​กู่​ฉิงซาน​กล่าว​คำพูด​นี้​ โลก​ทั้ง​ใบ​เกิด​การเปลี่ยนแปลง​ครั้ง​ใหญ่​ทันที​

เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​ตอบรับ​คำขอ​ของ​เขา​!

จอม​เวท​ที่​ยืน​อยู่​ข้าง​เขา​พลัน​พบ​ว่า​พวกเขา​เสีย​พลัง​เวทมนตร์​ทั้งหมด​ไป​

“อะไร​กัน​”

“ช่วยด้วย​!”

“เป็น​แบบนี้​ได้​อย่างไร​!”

พวกเขา​แผด​เสียงร้อง​โหยหวน​ออกมา​ก่อน​ตกลง​จาก​ที่สูง​

บุคคล​ยิ่งใหญ่​เหล่านี้​ที่​สามารถ​ทำให้​โลก​สั่นสะเทือน​ได้​เพียงแค่​กระทืบเท้า​กำลังจะ​ตาย​อย่าง​ไร้​ศักดิ์ศรี​

กู่​ฉิงซาน​รู้เรื่อง​นี้​อยู่แล้ว​

เขา​เสริม​ทันที​ว่า​ “พวกเขา​ยัง​มีประโยชน์​ จะให้​ตาย​ตอนนี้​ไม่ได้​”

จอม​เวท​ที่​กำลังจะ​กระแทก​กับ​พื้น​กลับมา​มีพลัง​เวทมนตร์​ทันที​

พวกเขา​ปลดปล่อย​พละกำลัง​อย่าง​สิ้นหวัง​เพื่อให้​ลง​สู่พื้น​ได้​อย่าง​นุ่มนวล​

จอม​เวท​ชรา​สะดุด​ล้ม​หลาย​ครั้งก่อน​จะยืน​ได้​อย่าง​มั่นคง​

เขา​มอง​ผู้ชาย​บน​ท้อง​นภา​จน​อด​ที่จะ​อ้า​ปากกว้าง​ไม่ได้​ ไม่รู้​ว่า​เขา​ควรจะ​กล่าว​อะไร​ออกมา​

อีก​ฝ่าย​ปลดปล่อย​พลัง​ทั้งหมด​ได้​เพียงแค่​ใช้คำพูด​

นี่​มัน​ช่างง่ายดาย​นัก​

ไม่อยาก​จะเชื่อ​เลย​จริงๆ​

กู่​ฉิงซาน​เห็น​ว่า​ทุกคน​ปลอดภัย​แล้ว​ จากนั้น​จึงกล่าว​ต่อว่า​

“พลัง​พิเศษ​ที่​มีอยู่​ใน​โลก​จะไม่สามารถ​ตอบสนอง​ต่อ​การ​เรียกขาน​ของ​สิ่งมีชีวิต​ได้​ ต้อง​มีการ​แบ่ง​ชนชั้น​”

“การ​แบ่ง​ชนชั้น​เท่านั้น​ที่จะ​ทำให้​ทุกสิ่ง​อยู่​ใน​ระเบียบ​ นี่​คือ​ระเบียบ​ที่​เป็น​พื้นฐาน​ที่สุด​”

“พลัง​พิเศษ​ของ​โลก​มีหลาย​ชั้น​ตั้งแต่​ตื้นเขิน​ยัน​ลึกล้ำ​ ในทำนองเดียวกัน​ ยอด​ฝีมือ​จะเข้าใจ​ช่องว่าง​พละกำลัง​ระหว่าง​พวก​ตัวเอง​และ​คนอื่น​ตาม​ระดับ​ที่อยู่​ ทำให้​พวกเขา​กระตือรือร้น​ที่จะ​ไล่ตาม​อีก​ฝ่าย​มากขึ้น​”

“พวกเรา​สามารถ​ตั้งชื่อ​ระดับ​ของ​พลัง​พิเศษ​ได้​หลากหลาย​ทาง​ ยกตัวอย่างเช่น​ จอม​เวท​ก็​สอดคล้อง​กับ​ตาข่าย​วิเศษ​ แบบ​นั้น​พวกเขา​จะสามารถ​เข้าใจ​เจตจำนง​ของ​โลก​ได้​ง่าย​ขึ้น​”

“ระดับ​ของ​พลัง​พิเศษ​จะสอดคล้อง​กับ​พละกำลัง​ของ​ยอด​ฝีมือ​”

“เมื่อ​ความเข้าใจ​โลก​ของ​พวกเขา​ลึกล้ำ​ขึ้น​จนถึง​เงื่อนไข​ระดับ​หนึ่ง​ พวกเขา​จะมีสิทธิ์​ได้​ระดับ​พลัง​พิเศษ​ที่​ลึกล้ำ​มากยิ่งขึ้น​”

“เงื่อนไข​ที่​ข้า​กล่าวถึง​ก็​คือ​พลัง​ เจ้าต้อง​บอก​พวกเขา​ว่า​ได้รับ​พลัง​อะไร​มา ใช่! เหมือนกับ​ภารกิจ​พิเศษ​ที่​ให้ได้​พลัง​ของ​โลก​มานั่นแหละ​”

“ภารกิจ​พิเศษ​นี้​ก็​คือ​การต่อสู้​กับ​ความโกลาหล​”

“ยอด​ฝีมือ​ทุก​คนใน​โลก​จะต้องสู้​กับ​ความโกลาหล​ พวกเขา​ล้วน​เป็น​ทั้ง​พลเมือง​และ​ผู้พิทักษ์​ของ​โลก​”

“เจ้าสามารถ​ให้​พลัง​พวกเขา​เพิ่มขึ้น​ใน​รูปแบบ​ของรางวัล​โดย​ยึด​ตาม​การกระทำ​ อาทิ​ สมบัติ​ วัตถุดิบ​มีค่า​ ความสามารถพิเศษ​และ​แม้กระทั่ง​อายุขัย​ที่จะ​อยู่​บน​โลก​”

“แบบนี้​ พวกเรา​ก็​จะสร้าง​ระเบียบ​ของ​โลก​ได้​อย่าง​สมบูรณ์​”

“ความโกลาหล​ไม่สามารถ​ถูก​กำจัด​ได้​ แต่​ยอด​ฝีมือ​ใช้บัญญัติ​โลก​เพื่อ​ต่อสู้​กับ​ความโกลาหล​ได้​ ทำให้​ทั้งสอง​สมดุล​กัน​หรือ​อาจจะ​ถึงขั้น​ทำให้​ความโกลาหล​อ่อนแอ​กว่า​ ส่งผล​ต่อ​การพัฒนา​ความเจริญรุ่งเรือง​ให้​กับ​โลก​”

“นี่แหละ​วิถี​ของ​ข้า​!”

กู่​ฉิงซาน​กล่าว​จน​จบ​

‘ครืน​!’

เสียง​ฟ้าร้อง​สูงต่ำ​ดัง​ขึ้น​ใน​ท้อง​นภา​

มีทั้ง​ฟ้าร้อง​และ​ฟ้าผ่า​

เจตจำนง​ที่​ไม่อาจ​พูด​ได้​จะฟังสิ่งที่​เขา​พูด​และ​ตอบรับ​ด้วย​การ​ทำ​บางสิ่ง​

กู่​ฉิงซาน​รู้สึก​ถึงแรงกระตุ้น​จาก​มัน​ ทันใดนั้น​ก็​กล่าวว่า​ “ข้า​ลืม​เรื่อง​นี้​ไป​เลย​ หาก​โลก​ต้อง​การชักนำ​ให้​เสร็จสิ้น​ก็​ต้อง​รอ​ให้​ข้า​ปล่อย​ความโกลาหล​ออกมา​ก่อน​จึงจะสามารถ​เริ่ม​กระบวนการ​ได้​”

“เอาล่ะ​ มาดู​ซิว่า​ผลลัพธ์​สุดท้าย​จะเป็น​อย่างไรบ้าง​”

ร่าง​ของ​กู่​ฉิงซาน​วูบ​ไหว​ก่อน​หาย​ไป​จาก​หอคอย​จอม​เวท​

จอม​เวท​ลอย​อยู่​ใน​อากาศ​ขณะ​ฟังคำพูด​ของ​กู่​ฉิงซาน​อย่าง​เหม่อลอย​

พวกเขา​ไม่เข้าใจ​อยู่​สัก​พักใหญ่​

แต่​นี่​ก็​ไม่ได้​ช่วย​ป้องกัน​พวกเขา​จาก​ความรู้สึก​ได้​เลย​

“นาย​ท่าน​ นาย​ท่าน​” จอม​เวท​คน​หนึ่ง​เรียก​

จอม​เวท​ชรา​กล่าวว่า​ “พวก​เจ้าไม่ต้อง​พูด​ ข้า​รู้สึก​ได้​แล้ว​”

เขา​รู้สึก​ถึงการเปลี่ยนแปลง​ใน​พลัง​พิเศษ​ของ​โลก​

พลัง​มีการ​แบ่ง​เป็น​ระดับ​จริง​!

“มีระดับ​พลัง​เท่าไหร่​ที่​สามารถ​ใช้ได้​” จอม​เวท​ชรา​ถามผู้ติดตาม​

ผู้ติดตาม​ตรวจสอบ​สักพัก​จึงตอบ​ว่า​ “ข้า​ไป​ถึงเพียง​ระดับ​ที่สี่​เท่านั้น​ จากนั้น​ก็​ไป​ไม่ได้​เลย​ นาย​ท่าน​ นี่​มัน​หมายความว่า​อย่างไร​?”

จอม​เวท​ชรา​ถอนหายใจ​แล้ว​กล่าว​ด้วย​สีหน้า​ซับซ้อน​ว่า​ “เขา​แค่​กล่าว​ถ้อยคำ​บางอย่าง​ องค์ประกอบ​พลัง​ของ​ทั้งโลก​ก็​เปลี่ยนไป​”

เขา​กล่าว​อย่าง​หมดหวัง​ว่า​ “ความรู้​ที่​พวกเรา​สั่งสมมาล้วน​ใช้ไม่ได้​ ยังไง​เสีย​ นับ​จากนี้ไป​ พวกเรา​สามารถ​เชี่ยวชาญ​ได้​เพียง​ความรู้​รากฐาน​ที่สุด​ของ​โลก​ด้วย​การศึกษา​สิ่งที่​ทวยเทพ​บอกกล่าว​เท่านั้น​”

“แต่​นาย​ท่าน​ นั่น​เป็น​สิ่งที่​คริสตจักร​ทำ​ไม่ใช่หรือ​”

จอม​เวท​ชรา​ไม่พูด​

จอม​เวท​ทุกคน​เงียบ​

อีก​ด้าน​หนึ่ง​

กู่​ฉิงซาน​กลับมา​อยู่​ยอดเขา​โดดเดี่ยว​

มีฉาน​นู่​คอย​คุ้มกัน​ที่นี่​ ทุกสิ่ง​ปกติ​ดี​

กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​ให้​ฉาน​นู่​ก่อน​หยิบ​ดาบ​ศักดิ์สิทธิ์​มาจาก​ความว่างเปล่า​อีกครั้ง​

เสียง​ของ​ลั่ว​ปิง​หลี​ดัง​ขึ้น​จาก​ดาบ​ศักดิ์สิทธิ์​ “ถ้าข้า​ตื่นขึ้น​มา เจ้าต้อง​ให้​ข้า​ไป​ซื้อ​ของ​นะ​”

“ไม่มีปัญหา​ ข้า​จะชดใช้​ค่าใช้จ่าย​ทั้งหมด​ของ​เจ้าให้​เอง​” กู่​ฉิงซาน​สัญญา

“อืม​ ได้​”

ลั่ว​ปิง​หลี​กล่าว​อย่าง​พึงพอใจ​

กู่​ฉิงซาน​ก้าว​ไป​ข้างหน้า​ช้าๆ ก่อน​มาถึงซากศพ​ของ​เด็กผู้ชาย​

ประกาย​ดาบ​เลือนราง​วูบ​ไหว​

กระแส​ความโกลาหล​ทำงาน​!

เด็กผู้ชาย​พลัน​กระโดด​ลุกขึ้น​มาจาก​พื้น​

“เจ้าฆ่าข้า​!”

เขา​ตะโกน​อย่าง​สิ้นหวัง​และ​เกรี้ยวกราด​ แต่​น้ำเสียง​ของ​เขา​พลัน​หยุด​ลง​

‘หืม?’​

เขา​เหมือน​ยัง​…ชีวิต​อยู่​

แล้ว​มัน​เกิด​อะไร​ขึ้น​

เด็กผู้ชาย​ตกตะลึง​

กู่​ฉิงซาน​เก็บ​ดาบ​ศักดิ์สิทธิ์​แล้ว​กล่าว​อย่าง​ไม่ใส่ใจว่า​ “วางใจ​ได้​ ข้า​บอก​เจ้าแล้ว​นี่​ว่า​ไม่ต้อง​ตื่นตัว​ไป​”

“นี่​เจ้าต้องการ​อะไร​กัน​แน่​” เด็กผู้ชาย​ถามอย่าง​ระแวดระวัง​

“ไม่ต้องการ​อะไร​ทั้งนั้น​ นับ​จากนี้​ เจ้าสามารถ​ทำ​อะไร​ก็ได้​ตามที่​ต้องการ​” กู่​ฉิงซาน​ตอบ​

เด็กผู้ชาย​ประหลาดใจ​

ก่อนหน้านี้​คน​คน​นี้​อยาก​สังหาร​เขา​ แต่​ตอนนี้​กลับ​ไม่สนใจไยดี​เสีย​อย่างนั้น​

มัน​เกิดเรื่อง​อะไร​ขึ้น​

ขณะที่​ถูก​จ้อง​ หัวใจ​ของ​กู่​ฉิงซาน​เต็มไปด้วย​ความกังวล​

เขา​พลัน​นึกถึง​สิ่งที่​อีก​ฝ่าย​เคย​กล่าว​เอาไว้​

“ช่วย​ตาย​สักพัก​ที​สิ ข้า​จะเก็บ​ศพ​เจ้าไว้​อย่าง​ดี​ หาก​จำเป็น​ ข้า​จะชุบชีวิต​ขึ้น​มาให้​”

ศีรษะ​ของ​เด็กผู้ชาย​ตกลง​อย่าง​ช้าๆ

กู่​ฉิงซาน​นิ่ง​

“หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ เจ้าบอ​กว่า​เจ้าไม่สามารถ​บอก​ความลับ​ได้​ แต่​ข้า​ลงมือทำ​ไป​แล้ว​ ต้อง​ทำ​อย่างไร​ต่อ​” เขา​ถาม

เมื่อ​กู่​ฉิงซาน​พูด​ขึ้น​มา หน้าต่าง​โกลาหล​ห้า​อัน​หาย​ไป​จาก​สายตา​ของ​เขา​ทันที​

ไม่มีอะไร​อยู่​ตรงหน้า​กู่​ฉิงซาน​

ตอนนี้​ ใน​สายตา​ของ​เขา​ มีเพียง​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ที่​ยังอยู่​

แถว​ข้อความ​แจ้งเตือน​บน​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ยังคง​ผุด​ขึ้น​มา

“ท่าน​ได้​รวบรวม​ความโกลาหล​รอง​ห้า​ชุด​เพื่อ​นำมา​ผสาน​กัน​”

“ท่าน​มีคุณสมบัติ​ที่จะ​แพร่กระจาย​ความโกลาหล​”

“ถึงเงื่อนไข​ใน​การวิวัฒนาการ​ขั้นต่ำ​แล้ว​”

“จาก​เหตุการณ์​มากมาย​ที่​ท่าน​ทำสำเร็จ​ ความโกลาหล​ได้​ทำ​การประเมิน​เบื้องต้น​กับ​ท่าน​แล้ว​”

“ท่าน​อยู่​ใน​ค่าย​โกลาหล​ ได้รับ​ฉายา​ต่อไปนี้​”

“นักฆ่า​มังกร​ ผู้พิทักษ์​ความลับ​ ผู้ครอบครอง​อาวุธ​ทั้ง​หก​ เจ้าของ​กุญแจ​แห่ง​โลก​คู่ขนาน​ ผู้​เยาะเย้ย​บัญญัติ​ เนตร​แห่ง​โลก​อนันต์​”

“เพราะ​พลัง​โกลาหล​ย่อย​ที่​ท่าน​ผสาน​ตื้นเขิน​เกินไป​ ดังนั้น​ท่าน​จึงปลุก​แผง​ส่วนตัว​พิเศษ​เบื้องต้น​ขึ้น​มา”

“จำเอาไว้​ นี่​คือ​พลัง​โกลาหล​ที่​เป็น​ของ​ท่าน​เพียง​คนเดียว​ ไม่มีใคร​สามารถ​แทนที่​ท่าน​หรือ​มาโหลด​แทน​ท่าน​ได้​”

“นี่​คือ​พลัง​ที่​ความโกลาหล​มอบให้​ท่าน​!”

หิ่งห้อย​ขนาดเล็ก​หาย​ไป​สิ้น​

ข้าง​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ หน้าต่าง​ระบบ​ใหม่เอี่ยม​ปรากฏ​ขึ้น​

นี่​คือ​หน้าต่าง​ระบบ​ที่​ถูก​ผนึก​ด้วย​หิน​สีดำ​ ทำให้​มองไม่เห็น​ข้างใน​ ทำได้​เพียง​ตัดสิน​จาก​รูปลักษณ์ภายนอก​ว่า​มัน​จะไม่ทำงาน​เมื่อ​ไม่ถึงเวลา​

เหนือ​หน้าต่าง​ระบบ​ มีแถว​ตัวอักษร​ขนาดเล็ก​จำนวนมาก​ปรากฏ​ขึ้น​มา

“หน้าต่าง​ระบบ​ความโกลาหล​พิเศษ​: นักฆ่า​มังกร​ (เพียงผู้เดียว​)”

“โปรด​ถ่าย​พลัง​วิญญาณ​หนึ่ง​แสน​แต้ม​ให้​หน้าต่าง​ระบบ​นี้​เพื่อ​ใช้งาน​แผง​ส่วนตัว​นี้​”

“โปรดทราบ​ว่า​แผง​คุณลักษณะ​ส่วนตัว​นี้​มีทิศทาง​การวิวัฒนาการ​ไร้ขีดจำกัด​ ฉายา​กับ​คุณลักษณะ​จะยังคง​เปลี่ยนแปลง​ตราบที่​ท่าน​แข็งแกร่ง​พอ​!”

กู่​ฉิงซาน​มอง​ข้อความ​อธิบาย​บน​หน้าต่าง​ระบบ​นี้​จน​อด​ที่จะ​ตกตะลึง​ไม่ได้​

“น่าสนใจ​ น่าสนใจ​จริงๆ​”

มุมปาก​ของ​เขา​ยกขึ้น​ขณะ​กระซิบ​เสียงต่ำ​

คาดไม่ถึง​ สิ่งที่​เรียก​ว่า​ความลับ​จะกลาย​มาเป็น​แบบนี้​

กลายเป็น​ว่า​การหลอมรวม​ระหว่าง​ความโกลาหล​ควบคู่​กับ​พลัง​ของ​ผู้ส่งสาร​จะสามารถ​ทำให้​ความโกลาหล​วิวัฒนาการ​ได้​

การวิวัฒนาการ​นี้​จะสร้าง​หน้าต่าง​ระบบ​พิเศษ​ขึ้น​มาเพื่อ​คน​คนเดียว​เท่านั้น​

ดูเหมือนว่า​หน้าต่าง​ระบบ​ที่​พิเศษ​และ​ส่วนตัว​นี้​จะยังมี​พื้นที่​ให้​วิวัฒนาการ​อีก​

สิ่งที่​เรียก​ว่า​ข้อตกลง​ระหว่าง​ความโกลาหล​กับ​บัญญัติ​หมายถึง​แบบนี้​หรือ​

รวมถึง​สิ่งอื่น​ด้วย​

กู่​ฉิงซาน​ค่อยๆ​ จมสู่ความคิด​

แบบนี้​ ความโกลาหล​และ​บัญญัติ​ก็​มีความแตกต่าง​กัน​จริงๆ​

ความโกลาหล​จะวิวัฒนาการ​ด้วย​การกลืน​กิน​กันเอง​

ส่วน​บัญญัติ​ มัน​จะวิวัฒนาการ​ด้วย​เช่นกัน​

ดู​อย่าง​บัญญัติ​ราชา​มาร​เป็น​ตัวอย่าง​ ลำดับ​การวิวัฒนาการ​ของ​มัน​คือ​ “ต้นเพลิง​ จุดกำเนิด​ การปฏิวัติ​ คลื่น​มาร​กำลัง​มาและ​ราชา​มาร​กำลัง​จุติ​”

แต่ว่า​

ไม่ว่า​บัญญัติ​จะวิวัฒนาการ​อย่างไร​ ผู้ใช้​บัญญัติ​ก็​สามารถ​เป็นไปได้​หลาย​คน​

ทุกคน​สามารถ​โหลด​และ​ใช้บัญญัติ​เหมือนกับ​เป็น​ช่วงชีวิต​ที่แล้ว​ของ​ตัวเอง​ รวมถึง​เป็น​ผู้ใช้​บัญญัติ​ใน​พื้นที่​ควบคุม​ได้​

ความโกลาหล​ต่าง​ออก​ไป​

หลังจาก​ความโกลาหล​วิวัฒนาการ​ มัน​จะกลายเป็น​หน้าต่าง​ระบบ​ส่วนตัว​ที่​ปรับ​แต่ง​มาโดยเฉพาะ​

มีเพียง​คนเดียว​ที่​สามารถ​ใช้มัน​ได้​

หรือ​ก็​คือ​ ตราบที่​เจ้าของ​ความโกลาหล​ทุกคน​วิวัฒนาการ​สู่ระดับ​ที่สูง​ขึ้น​ก็​จะมีหน้าต่าง​ระบบ​ความโกลาหล​เป็น​ของ​ตัวเอง​

“หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ ความสัมพันธ์​ระหว่าง​ความโกลาหล​และ​บัญญัติ​คือ​อะไร​”

กู่​ฉิงซาน​อด​ที่จะ​ถามไม่ได้​

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ตอบ​ว่า​ “พวก​มัน​ต่อสู้​กันเอง​ ขอบคุณ​สำหรับ​พลัง​วิญญาณ​สิบ​แต้ม​”

กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​เงียบๆ​

หาก​ถามตัวเอง​ ความโกลาหล​มัน​เป็น​ยิ่งกว่า​ความอยาก​อาหาร​

เพราะ​ลักษณะเฉพาะ​ของ​หน้าต่าง​ระบบ​ความโกลาหล​ระดับสูง​ถึงกับ​ลึกลับ​มาก​ ตราบที่​ไม่ยอม​พูด​ก็​จะไม่มีใคร​รู้​รายละเอียด​

แต่​บัญญัติ​เอง​ก็​มีข้อดี​เหมือนกัน​

บัญญัติ​สามารถ​มอบหมาย​ภารกิจ​ขนาดใหญ่​ให้​หลาย​คน​พร้อมกัน​ได้​และ​รวม​ความพยายาม​ของ​ทุกคน​ให้​ทำ​สิ่งเดียว​ได้​

ยกตัวอย่างเช่น​ ใน​โลก​สะสมของ​ท​ริ​สเต้​ แม่มด​สอง​ร้อย​ล้าน​คนรับ​บัญญัติ​ราชา​มาร​พร้อมกัน​เพื่อให้​มาลงโทษ​เขา​

กล่าว​ได้​ว่า​พวกเขา​มีคุณลักษณะ​เป็น​ของ​ตัวเอง​

เสียง​ของ​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ดัง​ขึ้น​อีกครั้ง​

“กู่​ฉิงซาน​ ท่าน​ได้รับ​พลัง​โกลาหล​พิเศษ​มาแล้ว​ ตอนนี้​ท่าน​สามารถ​เปิด​ใช้มัน​ได้​”

กู่​ฉิงซาน​ครุ่นคิด​ “ข้า​จำได้​ว่า​เจ้าเคย​บอ​กว่า​ตราบที่​ลอง​ทำ​แบบนี้​ก่อน​แล้ว​ค่อย​เอา​มัน​ออก​ภายหลัง​ ข้า​ต้อง​ใช้พลัง​วิญญาณ​ทั้งหมด​เลย​ใช่หรือเปล่า​”

“ถูกต้อง​”

กู่​ฉิงซาน​ครุ่นคิด​สักพัก​แล้ว​กล่าวว่า​ “ถ้าอย่างนั้น​ข้า​จะเอา​ออก​”

“…ท่าน​หมายความว่า​อย่างไร​” หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ถาม

กู่​ฉิงซาน​ประสานมือ​เข้าด้วยกัน​แล้ว​กล่าว​อย่าง​ประจบ​ว่า​ “คือ​ว่า​นะ​ ข้า​ไม่ได้​ใช้พลัง​วิญญาณ​ใน​การ​เปิด​มัน​ ตอนนี้​ข้า​เข้าใจ​เรื่อง​พลัง​โกลาหล​พิเศษ​คร่าวๆ​ แล้ว​ ข้า​ไม่จำเป็นต้อง​ดู​อะไร​อีก​ เพราะ​อย่างนั้น​โปรด​สำรอง​พลัง​วิญญาณ​ให้​ข้า​สักหน่อย​เถอะ​”

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​เงียบ​ไป​สักพัก​ก่อน​กล่าวว่า​ “ถ้าแบบนี้​ ข้า​สามารถ​เหลือ​พลัง​วิญญาณ​ให้​ท่าน​ได้​ แต่​มัน​ไม่มีความหมาย​ที่จะ​ทำ​แบบ​นั้น​”

“ทำไม​ล่ะ​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ตอบ​ว่า​ “ต่อให้​ท่าน​ไม่ใช้พลัง​โกลาหล​ส่วนตัว​แล้ว​เอา​มัน​ออก​ไป​ มัน​ก็​ไม่ถูก​ทำลาย​ แต่​จะกระจาย​ไป​ที่อื่น​แทน​ ท่าน​ก็​จะไม่สามารถ​ออกจาก​โลก​นี้​ได้​”

“นี่​มัน​คือ​โลก​มายา​ไม่ใช่หรือ​ ความโกลาหล​นี้​เป็น​ของจริง​อย่างนั้น​หรือ​”

“ใช่ ความโกลาหล​ที่อยู่​ใน​ซากปรักหักพัง​ของ​โลก​คู่ขนาน​ที่นี่​ไม่เพียงแต่​เป็น​ของจริง​เท่านั้น​ แต่​มัน​ยัง​ทำลาย​โลก​คู่ขนาน​อีกด้วย​ ดังนั้น​ท่าน​ต้อง​เอาชนะ​ความโกลาหล​ เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​คู่ขนาน​จะเชื่อฟัง​คำสั่ง​ท่าน​ก่อน​จะพา​ออก​ไป​”

“ถ้าอย่างนั้น​ก็​ไม่แปลกใจ​เลย​ที่​ข้า​รู้สึก​ว่า​หน้าต่าง​ระบบ​นี้​คล้าย​กับ​มีพลัง​พิเศษ​ ไม่ได้​เหมือนกับ​สิ่งที่​เรียก​ว่า​ภาพมายา​” กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​

เขา​ยืน​อยู่​บน​ภูเขา​โดดเดี่ยว​ มองดู​ความว่างเปล่า​ทุกทิศทาง​

โลก​ใบ​นี้​ที่​เต็มไปด้วย​พลัง​อัน​ยอดเยี่ยม​และ​อนาคต​อัน​สดใส​ถูก​ความโกลาหล​ทำลาย​

เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​คู่ขนาน​ไม่เต็มใจ​จะให้​เป็น​แบบ​นั้น​

แต่ว่า​

เขา​สังหาร​ความโกลาหล​ไม่ได้​

ความโกลาหล​จะคงอยู่​เสมอ​และ​ไม่มีวัน​ตาย​

หน้าต่าง​ระบบ​พิเศษ​ของ​ “นักฆ่า​มังกร​” ตรงหน้า​คือ​สิ่งที่​เขา​อยาก​เอาชนะ​

แล้ว​ทำ​อย่างไร​ถึงจะชนะ​ล่ะ​

กู่​ฉิงซาน​ครุ่นคิด​ไป​ครู่หนึ่ง​

ท้อง​นภา​ค่อยๆ​ มืดมน​

รุ่งอรุณ​มาเยือน​

ดวงอาทิตย์​ขึ้น​ จากนั้น​ก็​ตก​อีกครั้ง​

โลก​ถูก​ปกคลุม​ด้วย​ความมืด​

คืน​ที่สอง​ผ่าน​ไป​

แสงยามเช้า​สาดส่อง​ลงมา​เล็กน้อย​

กู่​ฉิงซาน​ยืน​อยู่​แบบนี้​สอง​วัน​สอง​คืน​ แทบ​ไม่ได้​ขยับ​ไป​ไหน​สัก​ก้าว​

เมื่อ​น้ำค้าง​ยามเช้า​ทำให้​ชุด​ของ​เขา​เปียกชื้น​ เขา​ค่อยๆ​ กลับมา​มีสติ​อีกครั้ง​

“หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​

“ข้า​อยู่​นี่​แล้ว​” หน้าต่าง​ระบบ​ตอบ​

“ข้า​มีคำถาม​”

“ขอบคุณ​สำหรับ​พลัง​วิญญาณ​สิบ​แต้ม​ เชิญท่าน​ถามมาได้​”

“บัญญัติ​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มาได้​หรือเปล่า​”

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​เงียบ​

ผ่าน​ไป​สักพัก​ หน้าต่าง​ระบบ​จึงยอมแพ้​ก่อน​ถามว่า​ “ทำไม​ท่าน​ถึงคิด​จะสร้าง​บัญญัติ​ล่ะ​”

“ความโกลาหล​เป็นปฏิปักษ์​กับ​บัญญัติ​ เมื่อ​โลก​มีบัญญัติ​ ข้า​ก็​สามารถ​ทำให้​พวก​มัน​อยู่​ใน​ความ​สมดุล​ได้​”

กู่​ฉิงซาน​คร่ำครวญ​ก่อน​กล่าว​ต่อว่า​ “โลก​จะเติบโต​และ​พัฒนา​เพราะ​เกิด​สมดุล​ มัน​จะไม่ถูก​ทำลาย​”

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​กล่าวว่า​ “นี่​นับว่า​เป็น​กลยุทธ์​ที่​น่าทึ่ง​เสีย​จริง​แต่​น่าเสียดาย​ ท่าน​ไม่สามารถ​ทำ​แบบนี้​ได้​”

“เจ้าหมายความว่า​ข้า​ไม่สามารถ​ทำได้​ด้วย​พละกำลัง​ตอนนี้​ใช่หรือไม่​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

“ใช่ บัญญัติ​ไม่ใช่สิ่งที่​ท่าน​จะสามารถ​สร้าง​ได้​” หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ตอบ​

กู่​ฉิงซาน​ตก​อยู่​ใน​ความ​เงียบ​อีกครั้ง​

เขา​คิด​อยู่​นาน​ ทันใดนั้น​ก็​พลัน​มอง​ท้อง​นภา​

หรือ​บางที​…

จะสามารถ​ทำ​แบบนี้​ได้​

กู่​ฉิงซาน​สูด​หายใจเข้า​ เงยหน้า​ขึ้น​ก่อน​ถามเสียงดัง​ว่า​

“เจ้าอยาก​แก้แค้น​หรือเปล่า​”

หลังจาก​รอ​หลาย​อึดใจ​

เหนือ​ท้อง​นภา​ มีเสียง​ฟ้าร้อง​ฉับพลัน​สั่นสะเทือน​ไป​ทุกหน​แห่ง​

เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​คู่ขนาน​ให้ความสนใจ​กับ​การเคลื่อนไหว​ของ​กู่​ฉิงซาน​เสมอ​ เมื่อ​เขา​ตะโกน​ มัน​ตอบรับ​ในทันที​

กู่​ฉิงซาน​ถามเสียงดัง​อีกครั้ง​ว่า​ “ดีมาก​ ข้า​ก็​คิด​แบบ​นั้น​ ถ้าเจ้าสามารถ​สู้เคียงบ่าเคียงไหล่​กับ​ข้า​ได้​ พวกเรา​ก็​สามารถ​เอาชนะ​ความโกลาหล​ได้​ เจ้าอยาก​ทำ​เรื่อง​นี้​ร่วมกับ​ข้า​หรือเปล่า​ ”

‘ครืน​!’

อสนีบาต​เป็นประกาย​เจิดจ้า​ฟาด​ลงมา​ก่อน​ระเบิด​ใน​ความว่างเปล่า​นอก​ภูเขา​โดดเดี่ยว​

เจต​จำนอง​ที่​เหลือ​ของ​โลก​คู่ขนาน​ตอบรับ​ด้วย​เสียงคำราม​อัน​เกรี้ยวกราด​

กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​อย่าง​พึงพอใจ​

“เอาล่ะ​ ฉาน​นู่​ เจ้าอยู่​ที่นี่​ คอย​ดูแล​ร่าง​ของ​หมอ​นี่​ที​”

“ได้​เลย​ นาย​ท่าน​”

กู่​ฉิงซาน​มอง​ท้อง​นภา​อีกครั้ง​ “ถ้าเช่นนั้น​ ให้​ข้า​จัดการ​เอง​”

เขา​ทะยาน​ขึ้น​สูงก่อน​พุ่ง​เข้าใส่​ท้อง​นภา​

พุ่ง​ขึ้น​!

พุ่ง​ขึ้นไป​!

พุ่ง​ขึ้นไป​ไม่หยุด​!

กู่​ฉิงซาน​พุ่ง​เข้าใส่​หอคอย​ขนาดใหญ่​ของ​สมาคม​จอม​เวท​ ศูนย์กลาง​อารยธรรม​ของ​โลก​นี้​

หา​ยาก​นัก​ที่​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​จะเป็น​ฝ่าย​ถาม “กู่​ฉิงซาน​ ท่าน​จะทำ​อะไร​”

ปาก​ของ​กู่​ฉิงซาน​ยกขึ้น​เล็กน้อย​

“ไม่มีอะไร​ มัน​ก็​แค่​บัญญัติ​นั่น​ ข้า​คุ้นเคย​กับ​มันดี​” เขา​กล่าว​

ศีรษะ​ของ​เด็กผู้ชาย​ตกลง​อย่าง​ช้าๆ

กู่​ฉิงซาน​นิ่ง​

“หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ เจ้าบอ​กว่า​เจ้าไม่สามารถ​บอก​ความลับ​ได้​ แต่​ข้า​ลงมือทำ​ไป​แล้ว​ ต้อง​ทำ​อย่างไร​ต่อ​” เขา​ถาม

เมื่อ​กู่​ฉิงซาน​พูด​ขึ้น​มา หน้าต่าง​โกลาหล​ห้า​อัน​หาย​ไป​จาก​สายตา​ของ​เขา​ทันที​

ไม่มีอะไร​อยู่​ตรงหน้า​กู่​ฉิงซาน​

ตอนนี้​ ใน​สายตา​ของ​เขา​ มีเพียง​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ที่​ยังอยู่​

แถว​ข้อความ​แจ้งเตือน​บน​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ยังคง​ผุด​ขึ้น​มา

“ท่าน​ได้​รวบรวม​ความโกลาหล​รอง​ห้า​ชุด​เพื่อ​นำมา​ผสาน​กัน​”

“ท่าน​มีคุณสมบัติ​ที่จะ​แพร่กระจาย​ความโกลาหล​”

“ถึงเงื่อนไข​ใน​การวิวัฒนาการ​ขั้นต่ำ​แล้ว​”

“จาก​เหตุการณ์​มากมาย​ที่​ท่าน​ทำสำเร็จ​ ความโกลาหล​ได้​ทำ​การประเมิน​เบื้องต้น​กับ​ท่าน​แล้ว​”

“ท่าน​อยู่​ใน​ค่าย​โกลาหล​ ได้รับ​ฉายา​ต่อไปนี้​”

“นักฆ่า​มังกร​ ผู้พิทักษ์​ความลับ​ ผู้ครอบครอง​อาวุธ​ทั้ง​หก​ เจ้าของ​กุญแจ​แห่ง​โลก​คู่ขนาน​ ผู้​เยาะเย้ย​บัญญัติ​ เนตร​แห่ง​โลก​อนันต์​”

“เพราะ​พลัง​โกลาหล​ย่อย​ที่​ท่าน​ผสาน​ตื้นเขิน​เกินไป​ ดังนั้น​ท่าน​จึงปลุก​แผง​ส่วนตัว​พิเศษ​เบื้องต้น​ขึ้น​มา”

“จำเอาไว้​ นี่​คือ​พลัง​โกลาหล​ที่​เป็น​ของ​ท่าน​เพียง​คนเดียว​ ไม่มีใคร​สามารถ​แทนที่​ท่าน​หรือ​มาโหลด​แทน​ท่าน​ได้​”

“นี่​คือ​พลัง​ที่​ความโกลาหล​มอบให้​ท่าน​!”

หิ่งห้อย​ขนาดเล็ก​หาย​ไป​สิ้น​

ข้าง​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ หน้าต่าง​ระบบ​ใหม่เอี่ยม​ปรากฏ​ขึ้น​

นี่​คือ​หน้าต่าง​ระบบ​ที่​ถูก​ผนึก​ด้วย​หิน​สีดำ​ ทำให้​มองไม่เห็น​ข้างใน​ ทำได้​เพียง​ตัดสิน​จาก​รูปลักษณ์ภายนอก​ว่า​มัน​จะไม่ทำงาน​เมื่อ​ไม่ถึงเวลา​

เหนือ​หน้าต่าง​ระบบ​ มีแถว​ตัวอักษร​ขนาดเล็ก​จำนวนมาก​ปรากฏ​ขึ้น​มา

“หน้าต่าง​ระบบ​ความโกลาหล​พิเศษ​: นักฆ่า​มังกร​ (เพียงผู้เดียว​)”

“โปรด​ถ่าย​พลัง​วิญญาณ​หนึ่ง​แสน​แต้ม​ให้​หน้าต่าง​ระบบ​นี้​เพื่อ​ใช้งาน​แผง​ส่วนตัว​นี้​”

“โปรดทราบ​ว่า​แผง​คุณลักษณะ​ส่วนตัว​นี้​มีทิศทาง​การวิวัฒนาการ​ไร้ขีดจำกัด​ ฉายา​กับ​คุณลักษณะ​จะยังคง​เปลี่ยนแปลง​ตราบที่​ท่าน​แข็งแกร่ง​พอ​!”

กู่​ฉิงซาน​มอง​ข้อความ​อธิบาย​บน​หน้าต่าง​ระบบ​นี้​จน​อด​ที่จะ​ตกตะลึง​ไม่ได้​

“น่าสนใจ​ น่าสนใจ​จริงๆ​”

มุมปาก​ของ​เขา​ยกขึ้น​ขณะ​กระซิบ​เสียงต่ำ​

คาดไม่ถึง​ สิ่งที่​เรียก​ว่า​ความลับ​จะกลาย​มาเป็น​แบบนี้​

กลายเป็น​ว่า​การหลอมรวม​ระหว่าง​ความโกลาหล​ควบคู่​กับ​พลัง​ของ​ผู้ส่งสาร​จะสามารถ​ทำให้​ความโกลาหล​วิวัฒนาการ​ได้​

การวิวัฒนาการ​นี้​จะสร้าง​หน้าต่าง​ระบบ​พิเศษ​ขึ้น​มาเพื่อ​คน​คนเดียว​เท่านั้น​

ดูเหมือนว่า​หน้าต่าง​ระบบ​ที่​พิเศษ​และ​ส่วนตัว​นี้​จะยังมี​พื้นที่​ให้​วิวัฒนาการ​อีก​

สิ่งที่​เรียก​ว่า​ข้อตกลง​ระหว่าง​ความโกลาหล​กับ​บัญญัติ​หมายถึง​แบบนี้​หรือ​

รวมถึง​สิ่งอื่น​ด้วย​

กู่​ฉิงซาน​ค่อยๆ​ จมสู่ความคิด​

แบบนี้​ ความโกลาหล​และ​บัญญัติ​ก็​มีความแตกต่าง​กัน​จริงๆ​

ความโกลาหล​จะวิวัฒนาการ​ด้วย​การกลืน​กิน​กันเอง​

ส่วน​บัญญัติ​ มัน​จะวิวัฒนาการ​ด้วย​เช่นกัน​

ดู​อย่าง​บัญญัติ​ราชา​มาร​เป็น​ตัวอย่าง​ ลำดับ​การวิวัฒนาการ​ของ​มัน​คือ​ “ต้นเพลิง​ จุดกำเนิด​ การปฏิวัติ​ คลื่น​มาร​กำลัง​มาและ​ราชา​มาร​กำลัง​จุติ​”

แต่ว่า​

ไม่ว่า​บัญญัติ​จะวิวัฒนาการ​อย่างไร​ ผู้ใช้​บัญญัติ​ก็​สามารถ​เป็นไปได้​หลาย​คน​

ทุกคน​สามารถ​โหลด​และ​ใช้บัญญัติ​เหมือนกับ​เป็น​ช่วงชีวิต​ที่แล้ว​ของ​ตัวเอง​ รวมถึง​เป็น​ผู้ใช้​บัญญัติ​ใน​พื้นที่​ควบคุม​ได้​

ความโกลาหล​ต่าง​ออก​ไป​

หลังจาก​ความโกลาหล​วิวัฒนาการ​ มัน​จะกลายเป็น​หน้าต่าง​ระบบ​ส่วนตัว​ที่​ปรับ​แต่ง​มาโดยเฉพาะ​

มีเพียง​คนเดียว​ที่​สามารถ​ใช้มัน​ได้​

หรือ​ก็​คือ​ ตราบที่​เจ้าของ​ความโกลาหล​ทุกคน​วิวัฒนาการ​สู่ระดับ​ที่สูง​ขึ้น​ก็​จะมีหน้าต่าง​ระบบ​ความโกลาหล​เป็น​ของ​ตัวเอง​

“หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ ความสัมพันธ์​ระหว่าง​ความโกลาหล​และ​บัญญัติ​คือ​อะไร​”

กู่​ฉิงซาน​อด​ที่จะ​ถามไม่ได้​

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ตอบ​ว่า​ “พวก​มัน​ต่อสู้​กันเอง​ ขอบคุณ​สำหรับ​พลัง​วิญญาณ​สิบ​แต้ม​”

กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​เงียบๆ​

หาก​ถามตัวเอง​ ความโกลาหล​มัน​เป็น​ยิ่งกว่า​ความอยาก​อาหาร​

เพราะ​ลักษณะเฉพาะ​ของ​หน้าต่าง​ระบบ​ความโกลาหล​ระดับสูง​ถึงกับ​ลึกลับ​มาก​ ตราบที่​ไม่ยอม​พูด​ก็​จะไม่มีใคร​รู้​รายละเอียด​

แต่​บัญญัติ​เอง​ก็​มีข้อดี​เหมือนกัน​

บัญญัติ​สามารถ​มอบหมาย​ภารกิจ​ขนาดใหญ่​ให้​หลาย​คน​พร้อมกัน​ได้​และ​รวม​ความพยายาม​ของ​ทุกคน​ให้​ทำ​สิ่งเดียว​ได้​

ยกตัวอย่างเช่น​ ใน​โลก​สะสมของ​ท​ริ​สเต้​ แม่มด​สอง​ร้อย​ล้าน​คนรับ​บัญญัติ​ราชา​มาร​พร้อมกัน​เพื่อให้​มาลงโทษ​เขา​

กล่าว​ได้​ว่า​พวกเขา​มีคุณลักษณะ​เป็น​ของ​ตัวเอง​

เสียง​ของ​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ดัง​ขึ้น​อีกครั้ง​

“กู่​ฉิงซาน​ ท่าน​ได้รับ​พลัง​โกลาหล​พิเศษ​มาแล้ว​ ตอนนี้​ท่าน​สามารถ​เปิด​ใช้มัน​ได้​”

กู่​ฉิงซาน​ครุ่นคิด​ “ข้า​จำได้​ว่า​เจ้าเคย​บอ​กว่า​ตราบที่​ลอง​ทำ​แบบนี้​ก่อน​แล้ว​ค่อย​เอา​มัน​ออก​ภายหลัง​ ข้า​ต้อง​ใช้พลัง​วิญญาณ​ทั้งหมด​เลย​ใช่หรือเปล่า​”

“ถูกต้อง​”

กู่​ฉิงซาน​ครุ่นคิด​สักพัก​แล้ว​กล่าวว่า​ “ถ้าอย่างนั้น​ข้า​จะเอา​ออก​”

“…ท่าน​หมายความว่า​อย่างไร​” หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ถาม

กู่​ฉิงซาน​ประสานมือ​เข้าด้วยกัน​แล้ว​กล่าว​อย่าง​ประจบ​ว่า​ “คือ​ว่า​นะ​ ข้า​ไม่ได้​ใช้พลัง​วิญญาณ​ใน​การ​เปิด​มัน​ ตอนนี้​ข้า​เข้าใจ​เรื่อง​พลัง​โกลาหล​พิเศษ​คร่าวๆ​ แล้ว​ ข้า​ไม่จำเป็นต้อง​ดู​อะไร​อีก​ เพราะ​อย่างนั้น​โปรด​สำรอง​พลัง​วิญญาณ​ให้​ข้า​สักหน่อย​เถอะ​”

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​เงียบ​ไป​สักพัก​ก่อน​กล่าวว่า​ “ถ้าแบบนี้​ ข้า​สามารถ​เหลือ​พลัง​วิญญาณ​ให้​ท่าน​ได้​ แต่​มัน​ไม่มีความหมาย​ที่จะ​ทำ​แบบ​นั้น​”

“ทำไม​ล่ะ​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ตอบ​ว่า​ “ต่อให้​ท่าน​ไม่ใช้พลัง​โกลาหล​ส่วนตัว​แล้ว​เอา​มัน​ออก​ไป​ มัน​ก็​ไม่ถูก​ทำลาย​ แต่​จะกระจาย​ไป​ที่อื่น​แทน​ ท่าน​ก็​จะไม่สามารถ​ออกจาก​โลก​นี้​ได้​”

“นี่​มัน​คือ​โลก​มายา​ไม่ใช่หรือ​ ความโกลาหล​นี้​เป็น​ของจริง​อย่างนั้น​หรือ​”

“ใช่ ความโกลาหล​ที่อยู่​ใน​ซากปรักหักพัง​ของ​โลก​คู่ขนาน​ที่นี่​ไม่เพียงแต่​เป็น​ของจริง​เท่านั้น​ แต่​มัน​ยัง​ทำลาย​โลก​คู่ขนาน​อีกด้วย​ ดังนั้น​ท่าน​ต้อง​เอาชนะ​ความโกลาหล​ เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​คู่ขนาน​จะเชื่อฟัง​คำสั่ง​ท่าน​ก่อน​จะพา​ออก​ไป​”

“ถ้าอย่างนั้น​ก็​ไม่แปลกใจ​เลย​ที่​ข้า​รู้สึก​ว่า​หน้าต่าง​ระบบ​นี้​คล้าย​กับ​มีพลัง​พิเศษ​ ไม่ได้​เหมือนกับ​สิ่งที่​เรียก​ว่า​ภาพมายา​” กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​

เขา​ยืน​อยู่​บน​ภูเขา​โดดเดี่ยว​ มองดู​ความว่างเปล่า​ทุกทิศทาง​

โลก​ใบ​นี้​ที่​เต็มไปด้วย​พลัง​อัน​ยอดเยี่ยม​และ​อนาคต​อัน​สดใส​ถูก​ความโกลาหล​ทำลาย​

เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​คู่ขนาน​ไม่เต็มใจ​จะให้​เป็น​แบบ​นั้น​

แต่ว่า​

เขา​สังหาร​ความโกลาหล​ไม่ได้​

ความโกลาหล​จะคงอยู่​เสมอ​และ​ไม่มีวัน​ตาย​

หน้าต่าง​ระบบ​พิเศษ​ของ​ “นักฆ่า​มังกร​” ตรงหน้า​คือ​สิ่งที่​เขา​อยาก​เอาชนะ​

แล้ว​ทำ​อย่างไร​ถึงจะชนะ​ล่ะ​

กู่​ฉิงซาน​ครุ่นคิด​ไป​ครู่หนึ่ง​

ท้อง​นภา​ค่อยๆ​ มืดมน​

รุ่งอรุณ​มาเยือน​

ดวงอาทิตย์​ขึ้น​ จากนั้น​ก็​ตก​อีกครั้ง​

โลก​ถูก​ปกคลุม​ด้วย​ความมืด​

คืน​ที่สอง​ผ่าน​ไป​

แสงยามเช้า​สาดส่อง​ลงมา​เล็กน้อย​

กู่​ฉิงซาน​ยืน​อยู่​แบบนี้​สอง​วัน​สอง​คืน​ แทบ​ไม่ได้​ขยับ​ไป​ไหน​สัก​ก้าว​

เมื่อ​น้ำค้าง​ยามเช้า​ทำให้​ชุด​ของ​เขา​เปียกชื้น​ เขา​ค่อยๆ​ กลับมา​มีสติ​อีกครั้ง​

“หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​” กู่​ฉิงซาน​กล่าว​

“ข้า​อยู่​นี่​แล้ว​” หน้าต่าง​ระบบ​ตอบ​

“ข้า​มีคำถาม​”

“ขอบคุณ​สำหรับ​พลัง​วิญญาณ​สิบ​แต้ม​ เชิญท่าน​ถามมาได้​”

“บัญญัติ​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มาได้​หรือเปล่า​”

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​เงียบ​

ผ่าน​ไป​สักพัก​ หน้าต่าง​ระบบ​จึงยอมแพ้​ก่อน​ถามว่า​ “ทำไม​ท่าน​ถึงคิด​จะสร้าง​บัญญัติ​ล่ะ​”

“ความโกลาหล​เป็นปฏิปักษ์​กับ​บัญญัติ​ เมื่อ​โลก​มีบัญญัติ​ ข้า​ก็​สามารถ​ทำให้​พวก​มัน​อยู่​ใน​ความ​สมดุล​ได้​”

กู่​ฉิงซาน​คร่ำครวญ​ก่อน​กล่าว​ต่อว่า​ “โลก​จะเติบโต​และ​พัฒนา​เพราะ​เกิด​สมดุล​ มัน​จะไม่ถูก​ทำลาย​”

หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​กล่าวว่า​ “นี่​นับว่า​เป็น​กลยุทธ์​ที่​น่าทึ่ง​เสีย​จริง​แต่​น่าเสียดาย​ ท่าน​ไม่สามารถ​ทำ​แบบนี้​ได้​”

“เจ้าหมายความว่า​ข้า​ไม่สามารถ​ทำได้​ด้วย​พละกำลัง​ตอนนี้​ใช่หรือไม่​” กู่​ฉิงซาน​ถาม

“ใช่ บัญญัติ​ไม่ใช่สิ่งที่​ท่าน​จะสามารถ​สร้าง​ได้​” หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​ตอบ​

กู่​ฉิงซาน​ตก​อยู่​ใน​ความ​เงียบ​อีกครั้ง​

เขา​คิด​อยู่​นาน​ ทันใดนั้น​ก็​พลัน​มอง​ท้อง​นภา​

หรือ​บางที​…

จะสามารถ​ทำ​แบบนี้​ได้​

กู่​ฉิงซาน​สูด​หายใจเข้า​ เงยหน้า​ขึ้น​ก่อน​ถามเสียงดัง​ว่า​

“เจ้าอยาก​แก้แค้น​หรือเปล่า​”

หลังจาก​รอ​หลาย​อึดใจ​

เหนือ​ท้อง​นภา​ มีเสียง​ฟ้าร้อง​ฉับพลัน​สั่นสะเทือน​ไป​ทุกหน​แห่ง​

เจตจำนง​ที่​เหลืออยู่​ของ​โลก​คู่ขนาน​ให้ความสนใจ​กับ​การเคลื่อนไหว​ของ​กู่​ฉิงซาน​เสมอ​ เมื่อ​เขา​ตะโกน​ มัน​ตอบรับ​ในทันที​

กู่​ฉิงซาน​ถามเสียงดัง​อีกครั้ง​ว่า​ “ดีมาก​ ข้า​ก็​คิด​แบบ​นั้น​ ถ้าเจ้าสามารถ​สู้เคียงบ่าเคียงไหล่​กับ​ข้า​ได้​ พวกเรา​ก็​สามารถ​เอาชนะ​ความโกลาหล​ได้​ เจ้าอยาก​ทำ​เรื่อง​นี้​ร่วมกับ​ข้า​หรือเปล่า​ ”

‘ครืน​!’

อสนีบาต​เป็นประกาย​เจิดจ้า​ฟาด​ลงมา​ก่อน​ระเบิด​ใน​ความว่างเปล่า​นอก​ภูเขา​โดดเดี่ยว​

เจต​จำนอง​ที่​เหลือ​ของ​โลก​คู่ขนาน​ตอบรับ​ด้วย​เสียงคำราม​อัน​เกรี้ยวกราด​

กู่​ฉิงซาน​พยักหน้า​อย่าง​พึงพอใจ​

“เอาล่ะ​ ฉาน​นู่​ เจ้าอยู่​ที่นี่​ คอย​ดูแล​ร่าง​ของ​หมอ​นี่​ที​”

“ได้​เลย​ นาย​ท่าน​”

กู่​ฉิงซาน​มอง​ท้อง​นภา​อีกครั้ง​ “ถ้าเช่นนั้น​ ให้​ข้า​จัดการ​เอง​”

เขา​ทะยาน​ขึ้น​สูงก่อน​พุ่ง​เข้าใส่​ท้อง​นภา​

พุ่ง​ขึ้น​!

พุ่ง​ขึ้นไป​!

พุ่ง​ขึ้นไป​ไม่หยุด​!

กู่​ฉิงซาน​พุ่ง​เข้าใส่​หอคอย​ขนาดใหญ่​ของ​สมาคม​จอม​เวท​ ศูนย์กลาง​อารยธรรม​ของ​โลก​นี้​

หา​ยาก​นัก​ที่​หน้าต่าง​ระบบ​เทพ​สงคราม​จะเป็น​ฝ่าย​ถาม “กู่​ฉิงซาน​ ท่าน​จะทำ​อะไร​”

ปาก​ของ​กู่​ฉิงซาน​ยกขึ้น​เล็กน้อย​

“ไม่มีอะไร​ มัน​ก็​แค่​บัญญัติ​นั่น​ ข้า​คุ้นเคย​กับ​มันดี​” เขา​กล่าว​

กู่ฉิงซานคนที่สามกลายเป็นภาพมายาก่อนค่อยๆ หายไปจากน้ำ

รอบข้างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง

กู่ฉิงซานยืนอยู่บนน้ำเพียงลำพัง แถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าตรงหน้า

“ภัยพิบัติน้ำสิ้นสุดลงแล้ว”

“ท่านกลายเป็นนักพรตระดับวงแหวนนภา”

“ท่านจะต้องเลือกสิ่งต่อไปนี้”

“หนึ่ง สุ่มจั่วกองการ์ดเชื่อมั่น” หลบหนี…

“สอง ถ้าไม่จั่วในรอบนี้ หลังจากพัฒนาในครั้งต่อไป ท่านจะมีสิทธิ์เลือก ทำให้สามารถเลือกหนึ่งในห้าการ์ดระดับมรกตที่ปรากฏขึ้นแบบสุ่มได้”

กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงคำถามก่อนถามด้วยความสับสนว่า “ข้ารู้ว่ามีการ์ดพิเศษมากมายในกองการ์ดนี้ แต่ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนล่ะ”

จุดกำเนิดถามกลับว่า “ท่านพูดถึงการ์ดอะไรหรือ”

กู่ฉิงซานตอบว่า “ยกตัวอย่างเช่น อัญเชิญมารแมงป่อง จองจำอาวุธ การ์ดเหล่านี้ทั้งพิเศษและทรงพลัง”

โดยเฉพาะจองจำอาวุธที่สามารถผนึกอาวุธของอีกฝ่ายได้โดยตรงนั้นนับว่าทรงพลังจริงๆ

จุดกำเนิดตอบว่า “ผู้ส่งสารแห่งบาปอันทรงเกียรติ ท่านต้องรู้ก่อนว่ากองการ์ดเชื่อมั่นคืออาวุธที่ทรงพลังมาก มันจะเปลี่ยนไปตามความแตกต่างของผู้ใช้”

“หรือก็คือ ข้าอาจจะไม่สามารถจั่วการ์ดเหล่านั้นขึ้นมาได้งั้นหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ใช่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณลักษณะและพรสวรรค์ของผู้ใช้เป็นอย่างไร ต่อให้จะเป็นกองการ์ดเดียวกัน แต่การ์ดก็จะเปลี่ยนไปมากจนทำให้เกิดกองการ์ดที่แตกต่างเพื่อเหมาะสมกับผู้ใช้มากยิ่งขึ้น” จุดกำเนิดตอบ

“เช่นนั้นทำไมข้าถึงได้หอกปีศาจแดงมาล่ะ”

“นี่แสดงให้เห็นว่าการ์ดเหมาะกับท่านเช่นกัน”

“…เข้าใจล่ะ”

กู่ฉิงซานไม่ลังเลนักก่อนทำการเลือก

“รอบนี้ข้าไม่จั่ว” เขากล่าว

บนหน้าต่างจุดกำเนิด แถวข้อความปรากฏขึ้นทันที

“เพราะท่านตัดสินใจไม่จั่ว เมื่อท่านไปถึงระดับสามพันโลก ท่านจะมีสิทธิ์เลือก”

กู่ฉิงซานมองแถวตัวอักษรก่อนพยักหน้าเล็กน้อย

จำนวนการ์ดไม่จำเป็นต้องมากเกินไป กุญแจคือสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่า

ตอนนี้ โลกที่เต็มไปด้วยผืนน้ำหายไปอย่างสมบูรณ์

กู่ฉิงซานพบว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิม อีกสามทางที่เหลือ เทพแห่งความเย็นยะเยือก มนุษย์แสงและลั่วปิงหลีกำลังช่วยเขาอย่างระแวดระวัง

“เป็นอย่างไรบ้าง” ลั่วปิงหลีถามจากไกลๆ

“เพิ่งครึ่งส่วน ยังต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย” กู่ฉิงซานตอบ

เขาตบถุงเก็บของก่อนหยิบยาเม็ดพัฒนาออกมา

นี่คือสมบัติที่เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณหลงเหลือไว้ให้ แต่ละคนสามารถใช้มันได้หนึ่งในชั่วชีวิตของตัวเอง

สำหรับกู่ฉิงซาน ยาเม็ดนี้สามารถช่วยให้เขาพัฒนาจากระดับวงแหวนนภาสู่ระดับสามพันโลกได้

กู่ฉิงซานไม่ลังเลที่จะยัดยาเม็ดพัฒนาเข้าปากก่อนกลืนมันลงไป!

ไม่!

มันติดคอ!

ยาเม็ดนี้ใหญ่เกินไป เขายังต้องเคี้ยวก่อน

กู่ฉิงซานสงบสติเล็กน้อยขณะเคี้ยวยาเม็ด

ใช่แล้ว จะใจร้อนเกินไปไม่ได้

มันไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นแบบปุบปับ

ยังไงเสีย เขาเพียงใช้เวลาเล็กน้อยในการผ่านภัยพิบัติน้ำ

ภูเขาในโลกอิสรภาพทนทานมาก ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่คนพวกนั้นจะทำลายภูเขาเพื่อสังหารคนที่อยู่ข้างในได้

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็กินยาเม็ดพัฒนาเสร็จแล้ว

พูดกันตามตรง ยาเม็ดพัฒนานี้หวานเกินไปหน่อย

เหมือนกับลูกกวาด

กู่ฉิงซานรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณในร่างกายอย่างเงียบงัน

หลังจากบรรลุระดับวงแหวนนภา พลังวิญญาณในร่างกายทะยานขึ้นมา ด้วยความช่วยเหลือของยาเม็ดพัฒนานี้ เขากำลังจะมีพลังวิญญาณในระดับสามพันโลก

เช่นเดียวกัน

พลังของวิชาดาบเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

พลังวิญญาณคือแหล่งกำเนิดของพลังเพื่อใช้วิชาดาบ ยิ่งแหล่งกำเนิดทรงพลังเท่าไหร่ ความน่าสะพรึงของพลังจากวิชาดาบยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

หลักการนี้เหมือนกับนักพรตเวทและนักพรตคนอื่น

กู่ฉิงซานตรวจสอบใกล้ๆ ก่อนพบว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงค่อยๆ วางใจ

เขากำลังคิดถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเผชิญต่อจากนี้

ลม ไฟ น้ำและดิน

หากนักพรตต้องการบรรลุระดับสามพันโลก พวกเขาต้องประสบกับสี่ภัยพิบัตินี้อย่างต่อเนื่องจึงจะสามารถพัฒนาได้สำเร็จ

นี่คือกระบวนการที่ยากและยาวนาน

ไม่นานนักก่อนที่สายลมจะเริ่มพัดผ่าน

ทรายหินปลิวว่อน ท้องนภาหมองหม่น ปฐพีมืดมิด

ในสายลมที่โหมกระหน่ำ กู่ฉิงซานยืนอยู่เพียงลำพัง

เขากำลังรอ

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่เสียงกระซิบจำนวนมากเริ่มได้ยินมาจากสายลม

พวกมารปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าเป็นครั้งแรกขณะมองกู่ฉิงซาน

“ช่างเป็นพลังวิญญาณที่เอ่อล้นและทรงพลังจริงๆ ข้าอดใจไม่ไหวแล้ว”

“ข้าก็อดใจไม่ไหวเช่นกัน ต้องกินมันให้ได้!”

“อย่ามาแย่งของข้า!”

“ของข้าต่างหาก!”

พวกมันพุ่งเข้าหากู่ฉิงซาน

จิตของกู่ฉิงซานขยับ

ดาบลับ หมื่นมายา!

ดาบบินเจ็ดร้อยเล่มพุ่งออกไป

ภายใต้พรจากพลังวิญญาณอันไร้ขีดจำกัด ดาบบินทุกเล่มระเบิดเงาดาบสีดำนับหมื่นออกมา

เงาดาบสีดำนับไม่ถ้วนกระจายทั่วพื้นที่ภัยพิบัติ ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นฉากเงาทันที

เป็นฉากที่เกิดจากเงาดาบ

“ทุ่มสุดกำลังเลยหรือ” ลั่วปิงหลีถามผ่านกระแสจิต”

“ไม่มีเวลามาล้อเล่นกับพวกมันอีกแล้ว” กู่ฉิงซานตอบ

เงาดาบสีดำทั้งหมดพุ่งเข้าสู่สายลม บดขยี้มารจนเละเป็นซากก่อนใช้สายลมพัดพาจนไม่เหลือร่องรอยแม้แต่นิดเดียว

กู่ฉิงซานเกิดความรู้แจ้งขึ้นในใจแล้วคร่าวๆ

หลังจากผ่านการต่อสู้มามากมาย เขาพลันรู้สึกว่าสามารถควบคุมดาบบินได้มากขึ้นอีกครั้ง

“หนึ่งพันสองร้อยเล่มหรือ เอาเถอะ จำนวนก็คงประมาณนี้แหละ” กู่ฉิงซานพึมพำ

ตอนนี้สายลมหยุดพัดแล้ว

ไม่มีมารรอดสักตน

แต่เพลิงมายาปรากฏขึ้นจากอากาศบางขณะตกกระทบบนตัวกู่ฉิงซานอย่างแผ่วเบา

หลังจากผ่านลมไปแล้วก็ถึงคราวของไฟ!

เปลวเพลิงกระจายทั่วร่างของเขา

ภัยพิบัติไฟกระจายออกตรงหน้ากู่ฉิงซานก่อนเผยฉากโลกโลกหนึ่งตรงหน้า

นั่นคือโลกอิสรภาพ

“ได้เวลาฆ่าแล้ว”

กู่ฉิงซานกล่าวเสียงต่ำ

วิญญาณของเขาพุ่งออกไป มือยกขึ้นคว้าดาบเสียงคลื่นจากความว่างเปล่าก่อนก้าวเข้าสู่เปลวเพลิง

เมื่อรู้สึกถึงพลังวิญญาณมหาศาลบนร่างของกู่ฉิงซาน ชายชราพยักหน้าก่อนโค้งเอวคำนับแล้วกล่าวว่า “สหายเต๋าคนนี้ โลกอิสรภาพเปรียบเสมือนบ้าน เจ้าจะได้รับการต้อนรับเมื่อมาที่นี่อีกครั้ง”

กู่ฉิงซานมองเขาพร้อมกับส่งยิ้มให้

“ไหนเจ้าบอกว่าข้ามีแค่สองทางเลือกคืออยู่ที่นี่หรือไม่ก็รอให้จื้อลัวถูกเจ้าฆ่าไงล่ะ”

ชายชราไม่กล้าแม้แต่จะเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เรื่องล้อเล่นน่า โปรดอย่าเก็บมาคิดจริงจังเลย”

“เรื่องล้อเล่นจริงๆ หรือ” กู่ฉิงซานถาม

ชายชราตบอกแล้วรีบกล่าวว่า “เป็นเรื่องล้อเล่นจริงๆ โปรดอย่าเก็บมาคิดให้หนักใจไปเลย”

กู่ฉิงซานมองคนอื่น

“พวกข้าก็ล้อเล่นเหมือนกัน”

“ใช่ มันเป็นเรื่องยากนักที่พวกข้าจะได้พบสหายเต๋า เพราะงั้นก็แค่ล้อเล่นกันเฉยๆ เอง”

“สหายเต๋า จื้อลัวเป็นผู้หญิงที่ดี มีความสัมพันธ์กับเจ้ามากมาย พวกข้าจะไปฆ่านางได้อย่างไร”

พวกนักพรตพล่ามไม่หยุด

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วถามว่า “แสดงว่าพวกเจ้าทุกคนล้อเล่นกับข้าสินะ”

“ใช่แล้วๆ!”

พวกนักพรตรีบพยักหน้า

“กลายเป็นว่ามันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น ข้าก็คงโกรธไม่ลง”

กู่ฉิงซานหัวเราะออกมา

“ใช่แล้ว!”

“นายท่าน อย่าคิดให้มากความเลย ท่านคือแขกผู้ทรงเกียรติของพวกเรา พวกข้าไม่กล้าผิดใจหรอก”

“มาๆๆ มอบสุราให้สหายเต๋าคนนี้หน่อย”

“เร็วสิ อาหารดีๆ ก็รีบเอาออกมา”

พวกนักพรตวุ่นวายกันใหญ่

เมื่อเห็นการตอบสนองเช่นนี้ กู่ฉิงซานเก็บดาบเสียงคลื่นเข้าสู่ความว่างเปล่า

ดาบเสียงคลื่นที่ถูกเก็บไว้ในความว่างเปล่าส่งเสียง “หึ่ง”

ฉากนี้ทำเอาหลายคนอ้าปากค้าง

กู่ฉิงซานยกขวดสุราขึ้น มองรอบข้างเพื่อนับจำนวนคน

“เจ็ดร้อยเอ็ดคน ชิ เกินมาหนึ่งคน แต่โชคดีที่ข้าแค่ล้อเล่นเฉยๆ”

เขายกแก้วสุราขึ้นแล้วส่งสัญญาณให้พวกนักพรต

พวกนักพรตรีบยกแก้วสุราตาม

กู่ฉิงซานดื่มรวดเดียวหมด

ในเวลาเดียวกัน เงาดาบเจ็ดร้อยเล่มวูบไหว

ดาบลับ นางแอ่นหวนกลับ!

นี่คือวิชาดาบลอบสังหาร ไม่เพียงแค่เร็วดุจสายฟ้าเท่านั้น แต่ยังโจมตีจากหน้าหลังพร้อมกันอีกด้วย ทำให้ไม่อาจป้องกันได้

ทั่วทั้งลาน พวกนักพรตถูกเก็บกวาด

มีเพียงชายชราที่ยังยืนอยู่กับที่

กู่ฉิงซานวางแก้วสุราลงก่อนชำเลืองมองเขา

ครั้งนี้ชายชราไม่มีวิชาลับในร่างกาย ประกอบกับการฝึกฝนของกู่ฉิงซานทะยานขึ้นเป็นเท่าตัว ชายชราไม่สามารถขัดขืนเนตรสัจจะฟาดฟันวิญญาณได้

หลังจากหายไปสักพัก ชายชราปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ร่างกายเขาล้มลงกับพื้นทันที

กู่ฉิงซานยืนนิ่ง

ดาบบินลอยกลับมาเล่มแล้วเล่มเล่า ก่อเกิดเป็นปีกดาบยักษ์สองข้างด้านหลังกู่ฉิงซานก่อนค่อยๆ ซ่อนในความว่างเปล่า

กู่ฉิงซานมองซากศพทุกหนแห่งก่อนกล่าวกับตัวเองว่า “แบบนี้สิถึงจะนับว่าเป็นเรื่องล้อเล่นอย่างสมบูรณ์ได้”

หลังจากกล่าวคำพูดเหล่านี้ เขายืนตัวตรงก่อนเหาะขึ้นไปทางที่จั้วลืออยู่

ภูเขาเขียวขจีลอยอยู่กลางอากาศ

ไกลออกไป ธารแสงสว่างลอยอยู่ไกลลิบเหนือภูเขา

กู่ฉิงซานปรากฏกายขึ้น

เขามองภูเขา สัมผัสถึงพลังอันแก่กล้าของภูเขาลูกนี้อย่างเงียบงัน

บุปผาและต้นหญ้า ใบไม้และหิน

ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงของโลกอิสรภาพ

ฤดูใบไม้ร่วงปกคลุมทั่วภูเขาลูกนี้ ชั้นบนของต้นไม้มีสายลมพัดปลิวไสว ช่างเป็นทิวทัศน์ที่มีเสน่ห์นัก

ทุกที่ในภูเขาปกคลุมไปด้วยพลังแก่กล้าสุดบรรยาย

ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ระดับวงแหวนนภา กู่ฉิงซานสามารถสัมผัสพลังนี้ได้ แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร

เขาคว้าใบไม้ปลิวไสวมาอย่างไม่ใส่ใจ

ใบไม้สีเหลืองจางหายไปทันที

“นี่คือความดีหรือ” เขาพึมพำด้วยความสงสัย

เสียงของจื้อลัวมาจากภูเขา “ใช่ เพราะข้าเข้าร่วมในการช่วยหกภพของโลกและรับบทบาทยิ่งใหญ่ ทำให้สามารถหลอมรวมเป็นภูเขาลูกนี้ได้ด้วยความดีนี้”

กู่ฉิงซานมองหลุมบ่อบนภูเขาก่อนตอบสนองอย่างรวดเร็ว

นี่คือร่องรอยของการโจมตีจากผู้ฝึกยุทธ์ก่อนหน้านี้

ความดีชดเชยการโจมตีเหล่านี้ ภาพสะท้อนของภูเขาลูกนี้คือการเหี่ยวเฉาของต้นไม้ใบหญ้าเป็นจำนวนมาก

“จื้อลัว เจ้าออกมาได้แล้ว คนพวกนั้นจะไม่มาทำลายภูเขาอีกในอนาคต” กู่ฉิงซานกล่าว

“พวกเขาไปไหนล่ะ” จื้อลัวถาม

“พวกเขาตัดสินใจไปโลกอื่นด้วยการบอกว่าเป็นเรื่องล้อเล่น พวกเขาก็เลยจากโลกนี้ไปแล้ว” กู่ฉิงซานตอบ

“…เจ้าน่าทึ่งนัก ถึงกับสามารถพัฒนาอีกครั้งได้ในเวลาอันสั้น” จื้อลัวกล่าวด้วยความนับถือ

“ที่จริงก็ไม่ได้ไวนักหรอก สาเหตุหลักเป็นเพราะใช้ยาน่ะ”

“นั่นก็เป็นวิธีที่เจ้ากำหนดไว้ล่วงหน้าเช่นกัน จะว่าไปแล้ว ข้ากำลังคิดเรื่องสำคัญอยู่น่ะ”

“เรื่องอะไรหรือ”

“ข้าไม่สามารถออกไปได้”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

จื้อลัวกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ข้าเกรงว่าเจ้าจะถูกรบกวนตอนก้าวข้ามภัยพิบัติ ดังนั้นข้าจึงผนึกภูเขาทั้งลูกเอาไว้ เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยออกไปไม่ได้”

“เช่นนั้นข้าต้องทำยังไงถึงจะเปิดภูเขาลูกนี้ได้ล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“ไม่มีทางหรอก เว้นแต่ว่าเจ้าจะโจมตีหลายสิบวันเหมือนกับพวกเขา” จื้อลัวตอบ

กู่ฉิงซานตกตะลึงอีกครั้ง

ทันใดนั้น เขาเข้าใจว่าครั้งนี้ทั้งสองจะไม่ได้พบหน้ากัน

ภัยพิบัติไฟไม่อาจทำให้เขาอยู่ที่นี่นานเกินไปได้

เขาไม่สามารถระเบิดภูเขาในเวลาอันสั้นได้ ต่อให้ระเบิดได้ เขาก็ไม่กล้าทำแบบนั้นเช่นกัน

เพราะภูเขาลูกนี้คือความดีของจื้อลัว

ตอนนี้ กู่ฉิงซานต้องหาทางเอาชนะภัยพิบัติให้ได้ จากนั้นก็รีบกลับไป

หากสายเกินแก้ ภัยพิบัติไฟจะเผาร่างของเขาจนเป็นเถ้าถ่าน

ดูเหมือนจื้อลัวจะเข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน

ตอนนี้ เวลานี้ เขาและนางทำได้เพียงสนทนาไม่กี่คำโดยมีภูเขาปิดกั้น จากนั้นพวกเขากำลังจะเตรียมกล่าวลา

“รีบก้าวข้ามภัยพิบัติเถอะ ข้าจะฝึกฝนที่นี่ขณะที่รอเจ้า” นางโน้มน้าว

กู่ฉิงซานลังเลขณะครุ่นคิดไปมา “มีคนอื่นที่สามารถเป็นภัยคุกคามกับความปลอดภัยของเจ้าอีกหรือเปล่า”

“เจ้าฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ไปกี่คน” จื้อลัวถาม

“เจ็ดร้อยเอ็ดคน”

จื้อลัวกล่าวอย่างยินดีว่า “เยี่ยมเลย ทีนี้ก็ไม่มีใครในโลกนี้นอกจากข้าแล้ว”

กู่ฉิงซานประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนกล่าวว่า “ในเมื่อนี่คือโลกอิสรภาพ จะไปมีคนได้อย่างไร ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าราชาแห่งอิสรภาพเลยหรือ”

จื้อลัวตอบว่า “ราชาแห่งอิสรภาพของที่นี่ล่วงลับไปนานแล้ว ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าที่นี่เป็นดินแดนที่ไร้เจ้าของ”

“ผู้ฝึกยุทธ์พวกนั้น…”

“พวกเขาติดอยู่ที่นี่ มีเพียงความดีที่จะเพิ่มอายุขัย ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะตายทันที”

กู่ฉิงซานประหลาดใจ

ไม่สงสัยเลยว่าผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้นถึงหาทางให้พวกเขาอยู่ต่อ

ไม่สงสัยเลยว่าพวกเขาเอาชีวิตของจื้อลัวมาขู่

เขารีบกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้า…”

“ความดีของข้าหลอมรวมเป็นภูเขาลูกนี้…ก่อนภูเขาลูกนี้จะพังทลาย ข้าก็สามารถมีชีวิตอย่างสุขสบายได้”

“ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้มาชิงความดีของเจ้าไปเลยหรือ”

“ทุกครั้งที่ข้าอารมณ์ดี ข้าจะมอบความดีเล็กน้อยให้ ดังนั้นพวกเขาไม่กล้าหาเรื่องหรอก ยังไงเสีย ถ้าข้าไม่อยากอยู่ที่นี่จริง พวกเขาก็ไม่สามารถรั้งตัวข้าได้…ข้าสามารถหวนคืนชาติภพได้ทันที สามารถเลือกได้ว่าจะไปเกิดที่โลกไหน ข้าเลือกได้…แต่ถ้าทำแบบนั้น ข้าก็จะลืมเจ้า”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “เจ้าให้ความสนใจข้ามากเกินไปแล้ว เพราะงั้นเจ้าถึงได้ทุกข์ทรมานมากยังไงล่ะ แบบนั้นมันไม่ดีกับเจ้าหรอกนะ”

เสียงหัวเราะของจื้อลัวดังมาจากภูเขา “จริงสิ เจ้าเริ่มคิดถึงข้าขึ้นมาแล้ว ข้ามองคนไม่ผิดอย่างที่คิดไว้จริงๆ”

ทันใดนั้น น้ำเสียงของนางเคร่งขรึมมากขึ้น “ฉิงซาน เจ้าเคยเห็นใบไม้บนภูเขาเหี่ยวเฉาก่อนถูกสายลมพัดพาหรือไม่ ในฐานะผู้หญิงของเผ่าพันธุ์อสุรา ข้ารู้ว่าชีวิตของข้าเหมือนกับใบไม้เหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็ว มันจะล่วงลับไปกับการต่อสู้ นี่คือโชคชะตาของเผ่าพันธุ์พวกข้า”

“แต่ข้าเคยตายมาแล้วหนหนึ่งจนได้ไปพบกับเจ้าในนรก นี่คงไม่เกี่ยวกับโชคในการต่อสู้”

“ข้าผ่านการต่อสู้อย่างหนักมานับไม่ถ้วน เคยผ่านความเป็นความตายมาเนิ่นนาน ดังนั้นการรอเรื่องแบบนี้นับว่าไม่มีความหมายกับข้าแม้แต่นิดเดียว”

“ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะมาที่นี่เพื่อเลือกข้า”

กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก

มีข่าวลือว่าผู้หญิงเผ่าพันธุ์อสุรามีหน้าตาและอารมณ์อันร้อนแรง พวกนางจะไม่มีวันเปลี่ยนใจชั่วชีวิตหากต้องตาคนคนหนึ่ง ต่อให้สุดท้ายแล้วจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่พวกนางจะไม่มีวันไปรักคนอื่นเป็นอันขาด

แต่นี่มันก็แค่ข่าวลือ กู่ฉิงซานไม่เคยสนใจมาก่อน แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริง ในใจของเขาจึงเกิดความรู้สึกที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

เขาลงบนภูเขาก่อนซ่อนแผ่นหยกไว้ใต้หิน

“นี่คือประสบการณ์การต่อสู้และวิชาทั้งหมดของเผ่าพันธุ์อสุราที่ข้าเคยได้รับมา หลังจากเจ้าออกมาแล้ว ฝึกฝนให้หนักล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“โห ทำไมข้าควรฝึกให้หนักล่ะ”

เสียงของจื้อลัวกระชับขึ้นเล็กน้อย

กู่ฉิงซานยิ้มแล้วตอบว่า “นับจากนี้ไป เจ้าจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า หากเจ้าอ่อนแอเกินไปก็คงจะไม่ดี”

หลังจากพูดจบ เขาหลับตาลง

หลังจากเสียเวลากับโลกนี้มานาน ตอนนี้เวลาใกล้จะหมดแล้ว กู่ฉิงซานรู้สึกได้ถึงเงาแห่งความตาย

ตอนนี้ต้องก้าวข้ามภัยพิบัติแล้ว!

จิตของกู่ฉิงซานขยับ

หลังจากนั้น เปลวเพลิงไม่มีสิ้นสุดปกคลุมตัวเขาเอาไว้ ภาพมายาสิ้นหวังจำนวนมากห้อมล้อมเขาเข้ามาพร้อมกับสาบานว่าจะทำลายจิตใจของเขา

กู่ฉิงซานหาทางรับมือกับภาพมายาทั้งหมดได้

ผ่านไปสักพัก

เปลวเพลิงหายไป

เขาหายไปจากโลกใบนี้พร้อมกับเปลวเพลิงเช่นกัน

“รักษาตัวด้วย…”

มีเพียงคำพูดของเขาที่ลอยไปตามสายลม

ทั่วโลกอิสรภาพตกอยู่ในความเงียบ

ไม่มีภูตเข้าออกอีกแล้ว

ไม่มีเสียงพูดคุยกันอีกต่อไป

โลกตกอยู่ในความเงียบ

ตรงใจกลางภูเขาลูกหนึ่ง หญิงสาวงามงดนั่งขัดสมาธิพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

จื้อลัว

ยามที่นางไม่สู้ นางดูงดงามเป็นสง่ายิ่งกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ

“น่าเวทนาจริงๆ เจ้าแข็งแกร่งมาก แล้วข้าจะไปตามทันได้ยังไง”

นางขมวดคิ้ว ใช้เวลาสักพักจึงปล่อยวางลงได้

“ดูเหมือนคงจะมีแต่…”

นางจิกนิ้วและเริ่มละเลงตัวอักษรลี้ลับด้วยโลหิตบนใบหน้า

นี่คือลวดลายประจำเผ่าของเผ่าพันธุ์อสุราที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ ทำให้ไม่สามารถแสดงออกมาได้โดยง่าย

ในยุคโบราณ หลังจากการพังทลายของหกวิถี โลกแต่ละใบกลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถรวมกันได้อีกต่อไป

มีเพียงเผ่าพันธุ์อสุราที่แข็งกร้าวเท่านั้นที่สามารถรวบรวมกฎเกณฑ์ของโลกได้ด้วยวิธีการพิเศษบางอย่าง

ทันทีที่วิชานี้ถูกใช้ออกมา อสุราจะต้องทิ้งจุดกำเนิด กลุ่มชาติพันธุ์ ญาติมิตร พลังและทุกสิ่งเอาไว้เพื่อไปสู่ซากปรักหักพังทั้งหกของอสุรา

นั่นคือเมืองสุดท้ายในยุคการต่อสู้นิรันดร์ของอสุรา

ในสถานที่นั้น มีมรดกของอสุราทั้งหมดอยู่

อสุราทั้งหมดจะไปที่นั่นเพื่อแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่ายังเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดเช่นกัน หากไม่ระวังก็จะถึงแก่ความตาย

กฎมีเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้น: จงแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่ก็ตาย!

หลังจากเตรียมวิธีการอัญเชิญแล้ว จื้อลัวยืนขึ้นช้าๆ ขณะถือมีดสั้นไว้ในมือแต่ละข้าง

หลังจากรออีกหลายอึดใจ

ความว่างเปล่าเหมือนกับคลื่นน้ำก่อนค่อยๆ เริ่มลอยไปมา

ดวงตะวันสีโลหิตและฉากพลบค่ำปรากฏขึ้นจากอากาศบางราวกับภาพมายาที่ไม่มีอยู่จริง

จื้อลัวจ้องภาพมายาก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ

“ต้องแข็งแกร่งขึ้น”

จื้อลัวพึมพำเสียงต่ำราวกับให้กำลังใจตัวเอง

“พอมาคิดดู ในอนาคต เขามีผู้เกื้อหนุนมากมายเลย หากผู้หญิงคนนี้อ่อนแอเกินไป เดี๋ยวก็โดนคนอื่นกลั่นแกล้งกันพอดีไม่ใช่หรือ”

“แบบนั้นไม่เอาหรอก แต่ที่สำคัญกว่านั้น…”

นางสาวเท้าเข้าสู่ภาพมายาก่อนส่งเสียงดังออกมา

“ข้าอยากสู้กับเจ้า ฉิงซาน!”

ในการต่อสู้สองครั้ง สหายนักพรตตายไปแล้วสองคน

นักพรตที่เหลือรวมตัวทันทีขณะรักษาระยะห่างจากกู่ฉิงซานด้วยความระแวดระวัง

นักพรตคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “วิชาดาบของเขาน่าสะพรึงกลัวเช่นกัน ดูท่าเฉิงเหล่าจะต้องมาด้วยตัวเองถึงจะสามารถจัดการได้”

ตอนนี้ มีเสียงอึกทึกอยู่ใต้ท้องนภา

ทุกคนมองลงไปจนเห็นว่าชายชราคนหนึ่งมาถึงในลานแล้ว

“เฉิงเหล่านี่”

“ดีเลย เฉิงเหล่าอยู่นี่แล้ว!”

“ทีนี้ก็หมดปัญหา”

นักพรตหลายคนเริ่มเปลี่ยนสีหน้าด้วยความยินดี

กู่ฉิงซานหันสายตาตามขณะมองลงไปจนเห็นชายชราผมขาวกับกล้องยาสูบแห้งยาวในมือ

คนคนนี้คือมือดีที่สุดหรือ

กู่ฉิงซานจ้องชายชรา

ชายชราหรี่ตาขณะมองกู่ฉิงซานด้วยความสงสัย

ชายชรากล่าวว่า “เจ้าหนู เจ้า…”

ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป มือออกแรงบีบอย่างรวดเร็ว

เพียงพริบตา จิตดาบพุ่งออกจากดวงตาของกู่ฉิงซาน

เนตรสัจจะฟาดฟันวิญญาณ!

ทันใดนั้น ชายชราหายไปก่อนถูกลากเข้าสู่ความว่างเปล่าด้วยวิชาเนตรของกู่ฉิงซานก่อนถูกดาบฟาดฟันเป็นจำนวนมาก

ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพียงแค่ช่วงประกายไฟ

“หืม ไม่ตายหรือ มีความสามารถเหมือนกันนี่” กู่ฉิงซานพึมพำ

ชายชราปรากฏขึ้นในจุดเดิมด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง

ไม่มีบาดแผลบนตัวเขา

การที่สามารถรอดจากการโจมตีของกู่ฉิงซานจนไร้บาดแผลได้นั้น พละกำลังของชายชรานับว่าน่าทึ่งทีเดียว

“วิชาเนตรดาบหรือ เป็นวิชาที่หายากจริงๆ วิชาดาบยังไม่ถึงระดับนั้นแท้ๆ แต่กลับรู้วิธีลดพลังของดาบบินด้วย”

ชายชราเหาะขึ้นมาลอยอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับกู่ฉิงซาน

เมื่อเห็นกู่ฉิงซานกุมดาบยาวเอาไว้ ชายชรากลับหัวเราะออกมา

ชายชราเปลี่ยนเรื่อง “น่าเสียดาย พลังวิเศษของเจ้าไม่สามารถทำร้ายข้าได้ ข้าสามารถรวมพลังของผู้ฝึกยุทธระดับวงแหวนนภาห้าคนที่อยู่ที่นี่เพื่อเพิ่มพละกำลังให้กับตัวเองจนถึงระดับสามพันโลกได้ชั่วคราว”

กู่ฉิงซานถามว่า “ถ้าเจ้าไปถึงระดับสามพันโลกจริง ทำไมถึงไม่ฆ่าข้าล่ะ”

ระดับสามพันโลกคือระดับเดียวกับเซี่ยกูหง กู่ฉิงซานในตอนนี้อยู่เพียงระดับแสวงโลกาเท่านั้น ห่างจากระดับสามพันโลกถึงสองระดับใหญ่ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว

ชายชรากล่าวตามตรงว่า “มันไม่สำคัญว่าข้าจะบอกเจ้าหรือไม่ นี่คือพลังป้องกันของข้า มีกฎอันเข้มงวดในการหยิบยืมพลังของห้าคน: ข้าทำได้เพียงป้องกัน ไม่สามารถโจมตีได้”

“หรือก็คือ ข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้และเจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้สินะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“ใช่แล้วล่ะ ดังนั้นเจ้าต้องเลือก” ชายชรากล่าว

“เลือกอะไร”

“ความเป็นหรือความตายของแม่นางจื้อลัวยังไงล่ะ”

กู่ฉิงซานเงียบ จิตสังหารแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา

ดาบบินเจ็ดร้อยเล่มปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าตรงด้านหลังของเขาขณะส่งเสียงหึ่งออกมา

“นี่เจ้าขู่ข้าหรือ” กู่ฉิงซานถามเสียงต่ำ

“เปล่า ข้าแค่พูดความจริง”

ชายชรานิ่งแล้วกล่าวต่อว่า “ถึงแม้ยอดเขาโลกอิสรภาพจะแข็งแรงและจื้อลัวจะมีการป้องกันมากมาย แต่สักวัน ภูเขาจะถูกทำลายโดยพวกข้าและนางจะถูกพวกข้าฆ่า”

สักวัน

ดูท่าตอนนี้จื้อลัวจะปลอดภัย

กู่ฉิงซานผ่อนคลายเล็กน้อย

“ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่ฆ่าคนที่อยู่ที่นี่เสียอีก” เขากล่าว

ชายชรากล่าวว่า “นางมีพละกำลังอ่อนแอแต่กลับมีภูเขาเป็นของตัวเองอยู่ที่นี่ นางตระเตรียมการป้องกันมากมายเอาไว้ในภูเขา นางสามารถหาทางเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ ข้าคำนวณคร่าวๆ ดู ผลงานที่นางสร้างขึ้นมาใกล้หมดแล้ว”

“แสดงว่าเจ้าก็จะสามารถฆ่านางได้อย่างไร้ยางอายใช่หรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

“ใช่ นี่ก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้น เจ้าห่วงนางจากก้นบึ้งของหัวใจหรือเปล่า ถ้าเจ้าไม่ไป เช่นนั้นพวกข้าสัญญาว่าจะไม่ฆ่านาง”

ชายชราหรี่ตาก่อนยิ้มออกมาราวกับหมาป่าเจ้าเล่ห์ผู้โหดเหี้ยม

“ข้าอยากฆ่าเจ้าเสียแต่ตอนนี้เลย” กู่ฉิงซานกระซิบ

ชายชราส่ายหน้าก่อนจงใจถอนหายใจออกมา “เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก พลังวิเศษของเจ้าสามารถใช้ได้อย่างมากครึ่งชั่วโมง ในระหว่างนี้ เจ้าก็จะไม่สามารถก้าวข้ามภัยพิบัติเพื่อออกไปจากที่นี่ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถรอให้พลังวิเศษสิ้นสุดลงได้ด้วย”

“เจ้าหนุ่ม ทีนี้เจ้าควรตัดสินใจได้แล้ว”

“ตราบที่เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อเต็มใจช่วยนาง ข้าสัญญาว่านับจากนี้ไป เจ้าสามารถใช้ชีวิตอยู่กับนางราวกับภูตได้”

“แต่ถ้าเจ้าวางแผนที่จะก้าวข้ามภัยพิบัติเพื่อออกไป เช่นนั้นเจ้าก็รอนางตายด้วยมือของพวกข้าได้เลย”

กู่ฉิงซานตั้งใจฟัง ไม่พูดอะไรออกมาสักพักใหญ่

ชายชรากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “นางเคยช่วยเจ้าก้าวข้ามภัยพิบัติไฟมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้าเดาว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าคงดีทีเดียว ถ้างั้น เจ้าอยากให้นางตายหรืออยากอยู่กับนางไปตลอดกาลล่ะ”

ทันใดนั้น กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ถ้านางไม่มีความดี เจ้าก็ตัดสินใจที่จะฆ่านาง ตรงกันข้าม ถ้านางมีความดี เจ้าก็ไม่อยากฆ่านาง แสดงว่าความดีของนางเป็นประโยชน์กับเจ้า เจ้าก็เลยกระตือรือร้นที่จะได้ความดีนั่นมาใช่ไหมล่ะ”

ชายชราจ้องเขา

กู่ฉิงซานกล่าวอีกว่า “เจ้ากระตือรือร้นที่จะได้ความดี นั่นแสดงให้เห็นว่าความดีคือสิ่งที่ดีในโลกใบนี้”

“แน่นอนว่าหากข้าอยู่ที่นี่ เจ้าก็สามารถได้รับความดีใหม่เช่นกัน”

“ดังนั้นเจ้าก็เลยอยากให้ข้าอยู่ด้วยวิธีการอันน่ารังเกียจ นั่นก็เพราะความละโมบในความดีของข้า”

ชายชราเงียบไปสักพัก

ไม่ใกล้จากด้านหลังของเขา พวกนักพรตเผยความประหลาดใจออกมา

“เจ้าเด็กนี่ เจ้าเด็กนี่เป็นสัตว์ประหลาด” นักพรตคนหนึ่งพึมพำ

ชายชราสงบสติขณะมองตรงไปในดวงตาของกู่ฉิงซานแล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหน เจ้าก็เป็นแค่คนนอก ที่นี่ เจ้ามีแค่ต้องเลือกทางเดียว จะอยู่เพื่อช่วยนางหรือจะใช้ชีวิตเพียงลำพัง”

กู่ฉิงซานอดที่จะถอนหายใจไม่ได้

เขาไม่ได้วางแผนจะไปหาจื้อลัวอยู่แล้ว

เวลามีจำกัด ไม่เพียงแค่ต้องเผชิญหน้ากับนักพรตเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังต้องรีบเอาตัวรอดจากภัยพิบัติไฟอีกด้วย

“เปิดค่ายกล!”

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา

ดาบบินเจ็ดร้อยเล่มกระจายออกจากด้านหลังของเขาขณะเคลื่อนที่ไปมาจนเกิดเป็นค่ายกลดาบที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา

ดาบบินเหล่านี้เชื่อมต่อกับจิตของเขา

กู่ฉิงซานถือดาบเสียงคลื่นเอาไว้ ทั่วทั้งร่างตกอยู่ในภวังค์

เขาเพิ่งเริ่มก้าวข้ามภัยพิบัติต่อหน้าทุกคน!

พวกนักพรตมองหน้ากัน

“กลายเป็นหมาป่าใจร้ายไปเสียแล้ว ไม่สงสัยเลยว่าทำไมความคืบหน้าในการฝึกฝนถึงได้ไวปานนี้” ใครบางคนกล่าว

“หืม แม่นางจื้อลัวที่น่าสงสารทำหลายสิ่งเพื่อเขา ใครจะไปคิดล่ะว่าหมอนี่ไม่สนใจนางแม้แต่นิดเดียว” ผู้ฝึกยุทธสาวคนหนึ่งกล่าว

นางอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปก่อนซัดวิชาใส่กู่ฉิงซาน

ทันทีที่วิชาเข้าสู่ระยะของค่ายกลดาบ มันถูกปิดกั้นโดยดาบบินทันที

“ตัง!”

มีเสียงเด่นชัดดังขึ้น

ดาบบินเปิดออกด้วยอาการสั่นไหว วิชาดังกล่าวสลายหายไป

กู่ฉิงซานลืมตาอันคมปลาบขึ้นมา

เขาคล้ายกับกลัวและยินดีเล็กน้อย เขากล่าวกับผู้ฝึกยุทธสาวด้วยความยินดีว่า “ขอบคุณ”

หลังจากพูดจบ เขาหลับตาลงอีกครั้งและเริ่มก้าวข้ามภัยพิบัติ

ผู้ฝึกยุทธสาวตกตะลึง

ขอบคุณข้าหรือ

ทำไมถึงต้องขอบคุณข้าล่ะ

ตอนนี้ มีเพียงเสียงของชายชราดังขึ้น

“ทุกคนหยุดโจมตีใส่เขา เพราะดาบบินนั่นเชื่อมต่อกับจิต เขาจะตื่นทันทีที่มีการเคลื่อนไหว”

ทันใดนั้น ทุกคนก็เข้าใจ

พูดตามตรง การก้าวข้ามภัยพิบัติไฟเปรียบเสมือนกับการเจอภาพมายาอันสิ้นหวังนับไม่ถ้วน

เมื่อนักพรตเข้าสู่ภาพมายา เขาจะตื่นตัวกับการเคลื่อนไหวของดาบบินที่อยู่ภายนอก สุดท้ายจะเข้าใจทันทีว่าตัวเองอยู่ในภาพมายา

นี่เท่ากับเป็นการช่วยให้เขาเป็นอิสระจากภาพมายา!

“เจ้าหนูนี่ ในเวลาแบบนี้ก็ยังอยากใช้พวกเราเพื่อเป็นอิสระจากภาพมายาของไฟงั้นหรือ!” ใครบางคนอดที่จะพูดแบบนั้นออกมาไม่ได้

“เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้บอกไงว่าทุกคนอย่าลงมือ ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงหวังว่าเขาจะตายอยู่ในภาพมายา!” ชายชราตะโกน

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ

ในเวลาแบบนี้ การที่คิดใช้ศัตรูนับว่าเป็นอะไรที่เหลือเชื่อนัก

ช่างเป็นคนที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

ร่างของกู่ฉิงซานค่อยๆ หายไปจากโลกใบนี้

เขาถึงกับรอดจากภัยพิบัติไฟมาได้เพราะเหตุนี้

พวกนักพรตมองมาที่เขา เขามองไปที่อีกฝ่าย ต่างฝ่ายต่างเห็นแววตาแห่งความเกลียดชังอันแรงกล้า

“ช่างเป็นผู้ใช้วิชาดาบที่เลือดเย็นอะไรอย่างนี้” ใครบางคนถอนหายใจ

“ข้าเกรงว่ามีเพียงคนเหี้ยมโหดเท่านั้นที่สามารถก้าวข้ามภัยพิบัติไฟได้” ใครบางคนกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด

ชายชราและนักพรตกลุ่มใหญ่มีใบหน้าเศร้าหมอง พวกเขารวมตัวกันสนทนาถึงเรื่องราวต่างๆ

ท้ายที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจได้

กลุ่มคนเหาะไปยังยอดเขาหมิงเช่อ สถานที่ที่จื้อลัวอยู่

เวลาผ่านไป

มีเสียงคำรามบนยอดเขาหมิงเช่อ

พวกนักพรตเปิดฉากโจมตีอย่างต่อเนื่องใส่ภูเขาลูกนี้

ต้องใช้เวลาหลายสิบวันจึงจะทำลายภูเขาลูกนี้ได้ทั้งหมด แต่พวกนักพรตไม่ได้วางแผนจะทำเช่นนั้น

หลังจากตัดสินใจที่จะสังหารจื้อลัว พวกเขาจะยึดครองภูเขาลูกนั้น

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

ทันใดนั้น มีความรู้สึกแปลกประหลาดระหว่างสวรรค์กับปฐพี

พวกนักพรตหยุดมือคนแล้วคนเล่า

ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีขณะมองชายชรา

“สวรรค์และปฐพีรับรู้แล้ว อีกสักพัก จะมีนักพรตที่จะก้าวข้ามภัยพิบัติไฟ วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ ” ชายชรายิ้ม

“ใช่แล้ว ดูท่าวันนี้จะถูกกำหนดให้พวกเราได้รับความดี”

“ใช่แล้ว”

“เจ้านั่นคือสัตว์ประหลาดที่สวมหนังมนุษย์ อย่าไปสนใจ ขอแค่คนที่มาในคราวนี้เป็นคนปกติ พวกเราจะต้องได้ตัวเขามาอย่างแน่นอน”

“ถูกต้องที่สุด”

พวกนักพรตเห็นด้วยพร้อมยิ้มออกมา

“ไปกันเถอะ ภูเขาลูกนี้ค่อยมาจัดการทีหลัง” เฉิงเหล่าโบกมือ

ภายใต้การนำของเขา พวกนักพรตกลับคนแล้วคนเล่า

พวกเขามาถึงที่ลานอีกครั้งขณะรอการมาถึงของผู้มาใหม่อย่างเงียบงัน

หนึ่งอึดใจ

สองอึดใจ

สามอึดใจ

ม่านเปลวเพลิงปรากฏขึ้น

เห็นได้ชัดว่าร่างนั้นถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิง

ชายชราส่งสัญญาณ

พวกนักพรตทุกคนเริ่มงานเลี้ยงและสนุกสนานกัน

นักพรตคนหนึ่งเดินไปหาม่านเปลวเพลิงแล้วรอจนกระทั่งร่างดังกล่าวปรากฏขึ้น จากนั้นเขาเปิดปากพูดขึ้นทันทีว่า “ฮ่าๆๆ วันนี้มีสหายเต๋าใหม่มาที่นี่ด้วย ทุกคนยินดี…”

ทันใดนั้น เสียงของเขาติดขัด

ร่างดังกล่าวปรากฏขึ้นมาอย่างสมบูรณ์

กู่ฉิงซาน

ยังเป็นกู่ฉิงซาน

“ทำไมถึงเป็นเจ้า!” นักพรตคนนั้นอดที่จะถามเสียงหลงไม่ได้

กู่ฉิงซานตอบว่า “ใช่ ยังเป็นข้า”

เขายังยืนนิ่ง ดาบบินกระจายตัวมาห้อมล้อมทั่วลานอย่างแน่นหนา

นักพรตทุกคนที่แสร้งทำตัวสนุกสนานต่างตกตะลึง

ทุกคนรู้อย่างหนึ่ง

ชั่วชีวิตของนักพรตคนหนึ่งจะต้องเจอกับภัยพิบัติไฟสามครั้ง มีระดับเบิกเนตรมิติ ระดับแสวงโลกาและระดับวงแหวนนภา

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป กลิ่นอายของคนคนนี้ไปอยู่ระดับวงแหวนนภาแล้ว

หรือก็คือ เขามาที่นี่เพื่อพัฒนาสู่ระดับสามพันโลก!

นี่ช่างเป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออะไรอย่างนี้

“ทำไมกัน” ชายชราถามอย่างขมขื่น

“ก็แค่กินยาเข้าไปน่ะ ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยได้ยินชื่อยาเม็ดพัฒนาหรือไม่” กู่ฉิงซานตอบราวกับกำลังพูดคุยเรื่องเล็กน้อย

ยาเม็ดพัฒนา!

สมบัติในตำนาน

เขาถึงกับมีของดีแบบนั้นอยู่กับตัว

พวกนักพรตพูดไม่ออกสักพัก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร

กู่ฉิงซานมองชายชรา จากนั้น เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณชายชรา

ใช่

พลังวิเศษของชายชราจบลงแล้ว

ทีนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป…

เขากุมดาบเสียงคลื่นเอาไว้

ขณะมองกู่ฉิงซาน ชายชราคล้ายกับประหลาดใจ

หากอยากกระตุ้นพลังวิเศษอีกครั้ง เขายังต้องพักอีกสักหน่อย

ตอนนี้ อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ระดับต่างกันเพียงแค่ระดับเดียวแล้ว

ด้วยวิชาดาบของอีกฝ่ายกับพลังวิญญาณโอ่อ่าที่อยู่ระดับวงแหวนนภา พลังที่เกื้อหนุนวิชาดาบทำให้ไปถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัว

ต่อให้ทำให้ตัวเองไปถึงระดับสามพันโลกอีกครั้ง เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะทะลวงการป้องกันเพื่อเข้ามาสังหารด้วยตัวเองได้!

ยิ่งกว่านั้น พลังเหนือธรรมชาติของเขาทำได้แค่ป้องกัน ไม่ใช่โจมตี

ชายชราเข้าใจเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว จิตสังหารบนใบหน้าหายไปทีละนิด

เขายิ้มอย่างอ่อนโยน พยักหน้าแล้วคำนับ “สหายเต๋าคนนี้ โลกอิสรภาพเปรียบเสมือนบ้าน เจ้าจะได้รับการต้อนรับเมื่อมาที่นี่อีกครั้ง”

ตอนชายชราถามกู่ฉิงซานว่าจะเลือกอะไรระหว่างการก้าวข้ามภัยพิบัติหรือจื้อลัว

กู่ฉิงซานเลือกก้าวข้ามภัยพิบัติอย่างไม่ลังเล

ด้วยการป้องกันของค่ายกลดาบพิทักษ์ เขารอดจากภัยพิบัติไฟจนออกจากโลกอิสรภาพได้สำเร็จ

ตอนชายชรานำพวกผู้ฝึกยุทธ์ไปทำลายภูเขา

กู่ฉิงซานก็เข้าสู่ภัยพิบัติน้ำแล้ว

ในบรรดาสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ของดิน น้ำ ไฟและลม ไฟคือตัวแทนการทำลายล้างและการล่วงลับ ขณะที่ดินและน้ำคือตัวแทนการกำเนิดและการเติบโต

ดังนั้น ภัยพิบัติน้ำถึงกับไม่ได้มีเป้าหมายในการทำลายชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์

มันคือการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง วิธีการข้ามไม่อาจรู้ได้

กู่ฉิงซานเดินผ่านแสงแวววาวนับไม่ถ้วน

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง แสงแวววาวเหล่านี้เชื่อมต่อกันเป็นชิ้นส่วนแสงก่อนส่องสว่างไปทั่วโลก

ทันใดนั้น กู่ฉิงซานพบว่าตัวเองยืนอยู่บนผืนน้ำที่ไกลสุดขอบตา

ไม่มีสิ่งมีชีวิตบนโลกทั้งใบ

ผิวน้ำราบเรียบราวกระจกขณะสะท้อนทั่วท้องนภาสีเงิน มีเพียงตัวตนเดียวที่อยู่ใต้ท้องนภาผืนนั้น กู่ฉิงซานนั่นเอง

อย่างช้าๆ กลุ่มน้ำทะยานขึ้นจากผิวน้ำ แปรเปลี่ยนไปมาจนก่อตัวเป็นรูปลักษณ์ของกู่ฉิงซานอีกคนในที่สุด

กู่ฉิงซานสองคนยืนเผชิญหน้ากันนิ่งๆ

ทันใดนั้น สีหน้าของกู่ฉิงซานคนหนึ่งขยับเล็กน้อย

เขามองฝั่งตรงข้ามด้วยความสงสัยแล้วถามว่า “เจ้าคือข้าในอีกโลกหนึ่งงั้นหรือ”

“ใช่” กู่ฉิงซานคนนั้นตอบ “ดูท่าวิญญาณของเจ้าจะมาถึงแล้ว ตามกฎของภัยพิบัติน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะไม่ส่งผลอันตรายกับตัวเจ้าจริงๆ ดังนั้นเจ้าสามารถทุ่มสุดกำลังได้เลย”

กู่ฉิงซานคนนั้นเผยอารมณ์ออกมา “แสดงว่าในโลกคู่ขนาน อาชีพหลักของข้ากลายเป็นผู้ใช้วิชาดาบ”

กู่ฉิงซานถามอย่างไม่แน่ใจว่า “แล้วเจ้าล่ะ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีจิตสังหารอะไรเลยนะ คงนานมากแล้วสินะที่เจ้าอยากสู้”

กู่ฉิงซานคนนั้นยอมรับอย่างจริงใจว่า “ใช่ ข้าคือคนแรกที่กินอาหารวิญญาณในโลก แน่นอนว่าข้าก็เป็นผู้ใช้วิชาดาบเช่นกัน แต่ข้าไม่มีจิตดาบเหมือนกับเจ้า”

“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ”

“ลูกชอบกินอาหารของข้าน่ะ”

ขณะกู่ฉิงซานพูด สีหน้าอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้า

กู่ฉิงซานตกตะลึง

อะไรกัน

ในโลกคู่ขนาน เขาถึงกับมีลูกงั้นหรือ

“เจ้าแต่งงานกับใครน่ะ” เขาอดที่จะถามไม่ได้

“ซูเสวี่ยเอ้อร์” กู่ฉิงซานคนนั้นตอบ

“ถ้างั้น แล้วแอนนาล่ะ”

“แอนนาหรือ ไม่มีผู้หญิงที่ชื่อแอนนาอยู่รอบตัวข้าเลยนะ”

“เช่นนั้นเจ้าไปอยู่กับซูเสวี่ยเอ้อร์ได้ยังไง”

“จุดจบของโลกกำลังมา โลกกำลังจะแตกสลาย ไวรัสแปลกประหลาดกระจายสู่ทุกคน สามในห้าส่วนของคนบนโลกตาย สองในห้าที่เหลือมีโอกาสเข้าโลกแห่งการฝึกฝน”

“ซูเสวี่ยเอ้อร์และข้าท่องไปในโลกแห่งการฝึกฝนด้วยกัน ภายหลังได้เข้าสู่การฝึกวิชายุทธด้วยกัน ฟันฝ่าด้วยกัน ท้ายที่สุดก็ได้แต่งงานกัน”

“ตระกูลนางไม่ห้ามเลยหรือ”

“เรื่องนั้น น่าเสียดาย เก้าคฤหาสน์ตายแล้ว” กู่ฉิงซานคนนั้นหัวเราะ

กู่ฉิงซานตกตะลึงและลังเล “งั้น เจ้าพบสัตว์ประหลาดหรืออะไรทำนองนั้นหรือเปล่า”

“สัตว์ประหลาดคืออะไร”

“ไม่มีมารหรือ! เจ้ามีบัญญัติหรือเปล่า”

“อ้อ มีอยู่อันหนึ่ง”

“มันคือบัญญัติอะไร”

“หมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์ ที่พักพิง”

กู่ฉิงซานจนคำพูดสักพักใหญ่

การกล้าที่จะรักทำให้เกิดเป็นโลกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง แม้กระทั่งบัญญัติที่ปรากฏขึ้นครั้งแรกก็ยังต่างออกไป

และอีกมากมาย

ทำไมบัญญัติที่ตื่นขึ้นมาอันแรกในมิติและเวลานี้ตอนที่เขาอยู่ถึงเป็นราชามารแห่งอารัมภบทล่ะ

ดูคนนี้สิ มีที่พักพิงอยู่กับตัวด้วย!

ทันทีที่ได้ยินชื่อและเห็นรูปลักษณ์อันเกียจคร้าน กู่ฉิงซานไม่คิดจะถามอะไรอีก

ไม่มีการเปรียบเทียบ ไม่มีอันตรายจริงๆ

เขากล่าวว่า “เอาล่ะ เมื่อเจ้าเป็นผู้ทดสอบ เจ้าจะทดสอบอะไรข้า”

“ข้าจะเอาอะไรไปเทียบกับตัวเอง” กู่ฉิงซานคนนั้นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

กู่ฉิงซานหัวเราะเช่นกันแล้วกล่าวว่า “ความหมายของภัยพิบัติน้ำคือการให้ผู้ฝึกยุทธ์เข้าใจความลี้ลับของโลกที่อยู่เหนือมิติและเวลาอันไร้ขีดจำกัด มีโลกคู่ขนานมากมายมหาศาล ดังนั้นเจ้าต้องทำการทดสอบข้าก่อน ข้าจึงจะสามารถออกจากโลกนี้ได้”

“เช่นนั้นข้าจะทดสอบเจ้า”

ขณะกู่ฉิงซานคนนั้นกล่าว เขาสะบัดมือ หยิบอุปกรณ์ทำอาหารวิญญาณออกมาเป็นจำนวนมากแล้วเริ่มทอดปลา

ผ่านไปสักพัก ปลาก็ทอดเสร็จ

“เอาล่ะ ลองชิมดู” กู่ฉิงซานคนนั้นกล่าว

ท่วงท่าของกู่ฉิงซานแข็งทื่อ

ทำอาหารหรือ

เขาเก็บดาบ หยิบภาชนะบนโต๊ะและเริ่มชิม

“อืม รสชาติดี เจ้าควบคุมความร้อนได้ดีเลยนะ”

กู่ฉิงซานชมขณะกิน

“จานนี้ข้าถนัด ถ้าสามารถทำได้เหมือนกับข้าสักเจ็ดส่วน เจ้าก็จะผ่าน” กู่ฉิงซานคนนั้นกล่าว

เขาโยนปลาสดลงบนเขียง

กู่ฉิงซานวางชามและตะเกียบ ถกแขนเสื้อขึ้นและเริ่มจัดการกับปลาอย่างระมัดระวัง

ความจริง หลังจากการรวมกันของโลกมากมาย เขาได้รับวิธีการฝึกฝนเป็นจำนวนมาก หกวิชายุทธถือว่าไม่ใช่น้อยๆ เขาได้เรียนรู้มันเป็นอย่างดี

ภายหลัง เขากลับโลกเซินหวู่เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับฉินเสี่ยวหลัว ระดับของเขาพัฒนาขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา

ชาและอาหารที่ทำเพื่อผู้คนในสำนักร้อยบุปผาได้รับการชื่นชมจากทุกคน

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้เรียนรู้วิธีการรับมือกับอาหารทะเลจากพวกมาร

แสดงว่าการทดสอบนี้ไม่น่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด

ผ่านไปสักพัก

ปลาของเขาทอดเสร็จ

กู่ฉิงซานคนนั้นเดินเข้ามาด้วยความสนใจ เขาใช้ตะเกียบคืบชิ้นหนึ่งขึ้นมาก่อนส่งเข้าปาก

“ใช่แล้ว ดีกว่าที่ข้าทำอีก” เขาชม

ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว ร่างของเขาค่อยๆ หายไป สุดท้ายก็หายไปจากน้ำที่ราบเรียบเหมือนกับกระจก

ผู้ทดสอบคนแรกไปแล้ว

กู่ฉิงซานเริ่มกินปลา

เขารอผู้มาเยือนจากโลกคู่ขนานใบที่สอง

ผ่านไปสักพัก

กลุ่มสายน้ำใหม่ไหลมารวมเป็นกู่ฉิงซานก่อนปรากฏตัวตรงหน้ากู่ฉิงซาน

“ทดสอบตัวเองหรือ นี่เป็นความฝันที่ประหลาดนัก”

กู่ฉิงซานคนใหม่กล่าว

เขาดูซีดเซียวและคล้ายกับผ่านปัญหาและภัยพิบัติมามากมาย

“เจ้าดูเหนื่อยนะ เจอปัญหาอะไรมางั้นหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ไม่ต้องห่วง แต่ข้าจะเข้าร่วมการแข่งขันวิชายุทธในเดือนหน้า ตอนนี้ยังไม่มีคุณสมบัติแต่อย่างใด” กู่ฉิงซานคนนั้นกล่าว

กู่ฉิงซานจ้องอีกฝ่าย ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นบางอย่าง

อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าที่ตาเห็น

ยิ่งกว่านั้น จากการพูดและท่าทางของอีกฝ่าย เขาดูหนุ่มและไม่บรรลุนิติภาวะราวกับไม่เคยเกิดใหม่มาก่อน

หรือก็คือ เขาเป็นตัวตนที่แท้จริงตอนที่ยังเป็นเด็ก

กู่ฉิงซานสงสัย “วิชาดาบล่ะ ตามความเข้าใจวิชาดาบของเจ้า ไม่ควรจะมาอับอายกับสิ่งเหล่านี้เลยนี่”

กู่ฉิงซานหนุ่มตอบว่า “ข้าไม่เคยอยู่คนเดียว ไม่มีใครหนุนหลัง ต้องพึ่งทรัพยากรการฝึกฝนทั้งหมดเพียงลำพัง ดังนั้นข้าจึงเริ่มต้นช้ากว่าจนกระทั่งถูกไล่ฆ่า ทำให้ข้ายังไม่ได้วิชาดาบที่ดีมา”

กู่ฉิงซานตกอยู่ในความเงียบ

ใช่แล้ว นี่เหมือนกับเขาในช่วงชีวิตที่แล้ว

เขาหยิบถุงเก็บของใบใหม่ออกมาจากทะเลแห่งความตระหนักรู้ก่อนสลักวิชาดาบทั้งหมดที่รู้มาทั้งชีวิตลงบนแผ่นหยก

หลังจากทำทั้งหมดนี้ เขาส่งถุงเก็บของใบใหม่ให้กับอีกฝ่าย

“นี่อะไร ทำไมถึงมีวิชาดาบเยอะขนาดนี้! มีค่ายกลดาบด้วย!” กู่ฉิงซานหนุ่มส่งจิตเทพออกไปดูก่อนกล่าวด้วยความประหลาดใจออกมา

“นี่คือแผ่นหยกขนาดใหญ่ เจ้าต้องจำเนื้อหาก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

กู่ฉิงซานหนุ่มไม่ลังเลก่อนหลับตาลงเพื่อจดจำอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสักพัก

เขาลืมตาขึ้น

“จำได้หรือยัง”

“ข้าจำได้หมดแล้ว”

กู่ฉิงซานส่งสัญญาณขณะเอาถุงเก็บของกลับไป

“เจ้าเก็บไว้ไม่ได้ มันจะสร้างปัญหาให้” เขาอธิบาย

กู่ฉิงซานหนุ่มพลันกล่าวว่า “ข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี ข้าจะให้ความสนใจเรื่องการปกปิดตัวเองในการฝึกหลังจากนี้”

มีความตื่นเต้นและความถวิลหาอยู่ในดวงตา เขาคล้ายกับคิดถึงความสำเร็จในอนาคตอันใกล้

“ใช่แล้ว ตอนนี้มาช่วยข้าผ่านการทดสอบนี้เถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

กู่ฉิงซานหนุ่มกลับมามีสติ

เขาครุ่นคิดสักพัก จากนั้นดึงดาบเคนโด้ออกมา

“พวกเรามาดวลกัน ขอแค่เจ้าไม่แพ้ก็ถือว่าผ่านการทดสอบของข้า”

“ดี” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาดึงดาบออกมาเช่นกัน

สองร่างเข้าปะทะกันทันที

วิชาดาบวูบไหว

กู่ฉิงซานเก็บดาบก่อนยืนหันหลังให้

กู่ฉิงซานหนุ่มยืนนิ่งแล้วถอนหายใจ “แสดงว่าข้าสามารถฝึกวิชาดาบจนถึงขั้นนี้ได้เลยสินะ”

รอยฟันดาบหลายร้อยแห่งปรากฏบนบนหน้าอกของเขา

กลายเป็นว่ารอยดาบเหล่านี้เพียงแค่ทำให้ชุดของเขาขาด ไม่ได้ทำร้ายร่างกายแม้แต่นิดเดียว

ร่างของกู่ฉิงซานหนุ่มเริ่มโปร่งแสงช้าๆ

“คงแปลกสักหน่อยถ้าจะพูดขอบคุณ เพราะเจ้าก็คือข้าและข้าก็คือเจ้า แต่พวกเราอยู่มิติและเวลาที่แตกต่างกัน” กู่ฉิงซานหนุ่มกล่าว

“ยังไงก็ตาม ข้าถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตที่เจอมาให้แล้ว หวังว่าเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตได้ดีกว่านี้” กู่ฉิงซานกล่าว

กู่ฉิงซานหนุ่มพยักหน้าแล้วยิ้มให้กู่ฉิงซาน “ข้าจะเป็นผู้ใช้วิชาดาบที่แข็งแกร่งที่สุดให้ได้”

วินาทีต่อมา ร่างของเขาหายไปอย่างสมบูรณ์

กู่ฉิงซานยังคงรอ

ในระดับวงแหวนนภา เขาต้องเผชิญหน้ากับตัวเองในโลกคู่ขนานสามใบ

ตอนนี้ผ่านไปสองแล้ว เหลืออีกหนึ่ง

ไม่ช้า

กลุ่มสายน้ำกลายเป็นรูปลักษณ์ของกู่ฉิงซานก่อนยืนบนน้ำอีกครั้ง

“จุ๊ๆ นอกจากภัยพิบัติอสนีบาตแล้วยังมีอย่างอื่นอีกสินะ ไม่เคยได้ยินความลี้ลับแบบนี้มาก่อน จะว่าไปแล้ว พวกเราต้องฝึกฝนขนาดไหนจึงจะเผชิญหน้ากับภัยพิบัติน้ำ” กู่ฉิงซานคนนั้นถามอย่างสงสัย

“เมื่อเจ้าไปถึงระดับวงแหวนนภา ถึงตอนนั้นจึงจะต้องเอาตัวรอดจากภัยพิบัติน้ำ” กู่ฉิงซานตอบ

“ระดับวงแหวนนภาคืออะไรหรือ”

“ระดับปราณปรับแต่ง ระดับก่อตั้ง ระดับแก่นทองคำ ระดับก่อกำเนิด ระดับก้าวสู่เทพ ระดับนักบุญ ระดับร่างเทวะ ระดับพันวิบัติ ระดับขีดสุดความว่างเปล่า ระดับดาราโกลาหล ระดับหวนคืนสู่ศูนย์ ระดับกระจ่างจิตเทวะ ระดับเบิกเนตรมิติ ระดับเก้าสิบแสวงโลกา ระดับแปดร้อยวงแหวนนภา ระดับสามพันโลก ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ ระดับนภายามค่ำ ระดับราชาแห่งอิสรภาพ ระดับจ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมี นี่คือระดับพลังที่ข้ารู้”

กู่ฉิงซานคนนั้นฟังก่อนตกตะลึงไปสักพัก

กู่ฉิงซานถามกลับว่า “ข้าเห็นความผันผวนในพลังวิญญาณของเจ้า น่าจะเป็นระดับก้าวสู่เทพ ทำไมถึงไม่พัฒนาต่อล่ะ”

กู่ฉิงซานคนนั้นตอบว่า “หลังจากการกบฏของสัตว์วิญญาณสิ้นสุดลง มารทุกตนหายไป พวกเราตัดสินใจปิดกั้นทางเข้าของพวกมารเพื่อไม่ให้มาทำการติดต่อกับพวกเราอีก”

ครั้งนี้เป็นคราวของกู่ฉิงซานที่ตกตะลึง

ในโลกคู่ขนานอีกแห่ง เผ่าพันธุ์มนุษย์ผนึกทางเข้าสู่โลกเซินหวู่

เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รับความสงบสุขนับแต่นั้นเป็นต้นมา

เหตุการณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโลกกระแสหลักของโลกเก้าร้อยล้านชั้น โลกฝึกฝนและโลกดึกดำบรรพ์คือโลกที่ห่างจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น แต่พวกเขาก็ยังได้พบความสงบสุข

นี่มันช่างคาดไม่ถึงจริงๆ

“หรือว่านับแต่นั้นมาก็ไม่มีหายนะในโลกจริงและโลกฝึกฝนอีกเลย” กู่ฉิงซานถาม

“ไม่ใช่” กู่ฉิงซานคนนั้นตอบ

กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าโชคดีเกินไปแล้ว”

“จากรากฐานการฝึกฝน ข้าได้เห็นสิ่งนี้มาแล้ว…”

กู่ฉิงซานคนนั้นนิ่งสักพักก่อนกล่าวต่อว่า “ดังนั้นที่ข้าจะขอจากเจ้าคือให้บอกความจริงที่รู้มา ทำแบบนั้นเจ้าถึงจะผ่านการทดสอบของข้า” กู่ฉิงซานคนนั้นกล่าว

“ได้สิ”

กู่ฉิงซานบอกทุกสิ่งที่เขาสามารถบอกได้อย่างไม่ลังเล

กู่ฉิงซานคนนั้นจมสู่ความคิด

กู่ฉิงซานยื่นถุงเก็บของไปให้อีกฝ่าย

“นี่คือ…”

“แผ่นหยกขนาดใหญ่ เจ้าต้องจำเนื้อหาข้างในให้หมด จากนั้นกลับไปฝึกฝนให้ดี”

“…ได้”

สิ่งที่เรียกว่าภัยพิบัติไฟคือการนำวิญญาณของผู้ฝึกยุทธไปยังสวรรค์แห่งหนึ่ง

ผู้ฝึกยุทธ์จะต้องให้วิญญาณกลับเข้าร่างภายในระยะเวลาที่กำหนด

เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าวิญญาณยังอยู่ในสวรรค์แห่งหนึ่งไม่ยอมกลับมา เช่นนั้นร่างของผู้ฝึกยุทธจะถูกเผาไหม้ด้วยเปลวไฟ

กู่ฉิงซานยืนอยู่ที่นั่นขณะรอสักพัก

เปลวเพลิงเกือบโปร่งแสงปรากฏขึ้นจากอากาศบางขณะปกคลุมเขาอย่างสมบูรณ์

เปลวเพลิงไม่มีสิ้นสุดกระจายออก ก่อเกิดเป็นฉากโลกตรงหน้าดวงตาของกู่ฉิงซาน

“โลกอิสรภาพ”

กู่ฉิงซานพึมพำ

จื้อลัวคงไม่คาดคิดว่าไม่นานหลังจากเขาเพิ่งออกมา เขาจะกลับมาที่โลกอิสรภาพอีกครั้ง

ตอนเขาอยู่ระดับแสวงโลกาขั้นสูงสุด เขาออกจากโลกอิสรภาพทันทีหลังจากผ่านภัยพิบัติไฟ ไม่มีเวลาได้คิดถึงความปลอดภัยของจื้อลัว

แต่อีกฝ่ายมาโลกอิสรภาพก่อนเพื่อเตรียมการมากมายเอาไว้แล้ว

บนยอดเขาหมิงเช่อ จื้อลัวสร้างตำหนักอสุราขึ้นมา ในอุโมงค์ที่นำไปสู่เชิงเขาด้านหลังตำหนัก เขตอาคมและค่ายกลจำนวนมากถูกจัดวางไว้เป็นชั้นๆ

ยิ่งไปกว่านั้น จื้อลัวคือธิดาของอสุราผู้ช่ำชองวิชาการต่อสู้ต่างๆ มากมาย

นางยังกล่าวอีกด้วยว่าเหตุผลที่สามารถเข้าโลกอิสรภาพ ได้ภูเขามาเป็นของตัวเอง หาน้ำพุแห่งความรักที่เย็นเยือกสุดหยั่งและถึงขั้นเตรียมการป้องกันและมาตรการต่างๆ เอาไว้มากมายได้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความดีที่นางทำมามากมาย

สิ่งเดียวที่น่ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้คือพละกำลังของนางแย่เกินไป

กู่ฉิงซานครุ่นคิดไปมาก่อนก้าวเดินไปข้างหน้า

ทันใดนั้น

เขาเข้าสู่โลกอิสรภาพ

เสียงจากทุกทิศเข้าสู่หูของเขา

การดื่ม การสนทนาและเสียงอึกทึกในลาน ไม่ต่างกับที่กู่ฉิงซานมาในคราวที่แล้ว

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของกู่ฉิงซาน

“ฮ่าๆๆ วันนี้มีสหายเต๋าใหม่มาที่นี่ด้วย”

เสียงดังกล่าวพลันหยุดลง

เสียงทั่วลานค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ

ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนมองกู่ฉิงซาน

“เป็นเขา…”

“เจ้านั่นกลับมาที่นี่อีกแล้ว…”

“น่าแปลก”

“ไม่ นี่ยังห่างจากคราวที่แล้วไม่มาก ไม่นานนักที่เขาพัฒนาสู่ระดับแสวงโลกา แต่นี่”

พวกผู้ฝึกยุทธ์กระซิบกระซาบ

กู่ฉิงซานเมินคนเหล่านี้ นึกถึงตำแหน่งยอดเขาของจื้อลัวขณะเตรียมจะไปเพื่อเหาะไปทิศทางนั้น

เขาทะยานสูงขึ้นสู่ท้องนภาเพื่อเตรียมจะไป

ครั้งนี้ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ไม่ตาม

“มาที่นี่ทั้งทีก็ยังอยากจะไปอีกหรือ”

ใครบางคนตะโกนเสียงดัง

ความเร็วของผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ไวมาก เพียงปรายตามอง เขาก็ไปอยู่กลางอากาศแล้วขณะไล่หลังกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานไม่เหลียวหลังไปมอง

ในทะเลแห่งความตระหนักรู้ ดาบบินเจ็ดร้อยเล่มพุ่งออกมาขณะปล่อยประกายดาบใส่ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น

ดาบลับ กระแสวารีฟาดฟัน!

กระแสวารีฟาดฟันเจ็ดร้อยสายไหลไปพร้อมกัน พวกผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังยังตอบสนองไม่ทัน พวกเขาจึงถูกประกายดาบอันยอดเยี่ยมเล่นงาน

ตูม

ประกายดาบที่พุ่งออกไปตัดผ่านท้องนภาก่อนพุ่งออกไปไกลลิบ

วิญญาณของผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในโลกสวรรค์แห่งนี้ถูกทำลายทันที

“เขาฆ่าสหายเต๋าหวัง!”

“บัดซบ หมอนี่ต้องตาย!”

“ลุยกันเลย!”

ในลาน พวกผู้ฝึกยุทธ์ตะโกนเสียงดัง

แต่ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ไม่กล้าไล่ตาม

เดิมพวกเขาหลีกเลี่ยงจากความทุกข์ทรมานและความไม่เที่ยงของการฝึกฝน พวกเขาจึงมาอยู่ที่นี่เพื่อพยายามยินดีกับพรเป็นเวลาหนึ่งหมื่นปี

เมื่อครู่ หนึ่งในสหายของเขาถูกอีกฝ่ายดูถูกก่อนถูกสังหาร ทุกคนได้เห็นความโหดเหี้ยมของผู้ใช้วิชาดาบกับตาตัวเองแล้ว

ใครล่ะจะกล้ารนหาที่ตายเช่นนี้โดยไม่เตรียมการอะไรก่อน

ผู้ฝึกยุทธ์ทรงพลังเจ็ดถึงแปดคนรวมตัวเข้าด้วยกัน

“ดูท่าจะพัฒนาไปถึงระดับแสวงโลกาแล้วสินะ”

“ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครสามารถหยุดได้แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะส่งคนไปมากกว่านี้”

“ครั้งต่อไป มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเรา”

“คนอื่นที่ไม่มีฝีมือให้รีบออกจากที่นี่”

พวกเขาบินขึ้นสูงสู่ท้องนภาขณะล้อมกู่ฉิงซานเอาไว้กลางอากาศ

กู่ฉิงซานมองรอบข้าง

เดิมที เขาแค่ใช้ดาบเพื่อป้องกันไม่ให้คนพวกนี้มารบกวนอีก ใครจะไปคิดล่ะว่าพวกเขาจะมาจริงๆ

ทว่า พละกำลังของผู้ฝึกยุทธเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไป

กู่ฉิงซานสัมผัสความผันผวนวิญญาณของคนเหล่านี้อย่างละเอียดก่อนค่อยๆ เข้าใจ

ผู้ฝึกยุทธ์ผ่านภัยพิบัติไฟทั้งสิ้นสามครั้ง สองครั้งแรกมาจากช่วงระดับเบิกเนตรมิติและระดับแสวงโลกา จากนั้นแหวกว่ายในภัยพิบัติน้ำและไฟจนมุ่งสู่ระดับวงแหวนนภา เมื่อภัยพิบัติดิน น้ำและไฟของระดับวงแหวนนภาจะนำไปสู่ระดับสามพันโลก

หรือก็คือ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ติดอยู่ในโลกอิสรภาพจะมีตั้งแต่ระดับเบิกเนตรมิติ ระดับแสวงโลกาและระดับวงแหวนนภา

ในฐานะผู้ใช้วิชาดาบ ความสามารถการต่อสู้ของกู่ฉิงซานแข็งแกร่งกว่าสหายผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกัน ดังนั้นจึงใช่ว่าจะมีใครมายั่วโมโห

ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ที่กล้าขึ้นมาจะต้องอยู่ระดับเดียวกับเขาเป็นอย่างน้อย

พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแสวงโลกาและระดับวงแหวนนภา!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ได้รู้ความจริงว่าคราวที่แล้วที่เขาสามารถผ่านภัยพิบัติไฟได้นั้นก็เป็นเพราะจื้อลัวได้เตรียมการเอาไว้

เมื่อนางไม่อยู่แล้วก็ไม่มีใครมาช่วยขวางไว้

นี่ยังแสดงให้เห็นอีกว่านางได้รับความเชื่อใจจากคนเหล่านี้ถึงทำให้เตรียมการได้มากมาย

ไม่อย่างนั้น เขาต้องเผชิญกับการต่อสู้อันดุเดือดแล้ว

นั่นคือหายนะแห่งความเป็นความตายอย่างแท้จริง

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

แต่ทำไมพวกเขาถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะ

ตามเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ในการผ่านภัยพิบัติไฟ มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมากมาย ผู้ฝึกยุทธ์จะถูกดึงเข้าสู่โลกสวรรค์จำนวนมากเมื่อมาถึงภัยพิบัติไฟ สิ่งที่พวกเขาประสบพบเจอนั้น สามวันสามคืนก็ยังเล่าไม่จบ

โลกอิสรภาพคือโลกสวรรค์แห่งหนึ่งในบรรดาโลกสวรรค์นับไม่ถ้วน จำนวนผู้ฝึกยุทธ์มีขีดจำกัด มีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนน้อยนักที่ก้าวข้ามความทุกข์ได้ ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถสำรวจความลับที่อยู่เบื้องหลังโลกอิสรภาพได้นั้นยิ่งน้องเข้าไปใหญ่

คงจะดีถ้าพวกเขาสามารถกลับไปมีชีวิตได้

ดังนั้น ในบันทึกการฝึกมากมาย มีบันทึกไม่มากที่กล่าวถึงโลกอิสรภาพ แถมไม่มีคำอธิบายที่น่าเชื่อถืออีกด้วย

กู่ฉิงซานมองรอบข้าง

คนเหล่านี้มีระดับสูงกว่าเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น แต่ยังกล้ามาห้ามอย่างนั้นหรือ…

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าคิดว่ามันแปลกมากนะ ว่ากันว่าคนที่ไม่รู้จักกันย่อมไม่มีความคับแค้นใจ ทำไมพวกเจ้าต้องมาหยุดข้าในการก้าวข้ามภัยพิบัติด้วย ไม่อยากเห็นคนอื่นรู้แจ้งหรอกหรือ”

พวกผู้ฝึกยุทธ์มองหน้ากัน

มีคนหนึ่งยิ้มออกมาแล้วตอบว่า “เรื่องนี้ข้าคงบอกไม่ได้”

อีกคนกล่าวว่า “”ในเมื่อมาที่นี่แล้วก็ต้องอยู่ อย่าบังคับให้พวกข้าต้องลงมือ

“ใช่ ถ้าเกิดสู้กัน พวกเราจะมองหน้ากันไม่ติด ยังไงเสีย พวกเราก็ต้องอยู่ด้วยกันในอนาคตอีก”

กู่ฉิงซานยิ้ม

“ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่ได้เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่งนะ” เขากล่าว

“เรื่องอะไร” ใครบางคนถาม

“พวกเจ้าต้องเตรียมตัวตายหากคิดจะมาขวางเส้นทางของผู้ใช้วิชาดาบ”

เขาหายไปจากตรงนั้น ทันใดนั้น เขามาปรากฏตัวตรงหน้าผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งก่อนฟาดดาบยาวลงไป

ใบหน้าของผู้ฝึกยุทธ์เปลี่ยนไปมาก แต่มือไม่ได้เชื่องช้าแต่อย่างใด

เขาเห็นโล่ขนาดเล็กปรากฏขึ้นจากอากาศบางขณะพยายามปัดป้องดาบของกู่ฉิงซาน

ตึง!

ด้วยเสียงดังสนั่น โล่กระแทกกับดาบยาว

แต่เมื่อดาบกับโล่ปะทะกัน ประกายดาบพลันปรากฏขึ้นด้านหลังผู้ฝึกยุทธ์ก่อนฟันเขาขาดเป็นสองท่อนทันที

ดาบลับ นางแอ่นหวนกลับ

สังหารหนึ่งคนด้วยหนึ่งดาบ

กู่ฉิงซานหายไปอีกครั้งก่อนปรากฏตัวตรงหน้าผู้ฝึกยุทธ์อีกคน

ทว่า ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นตอบสนองอย่างรวดเร็วก่อนถอยออกมาหลายก้าวทันทีจนพ้นระยะการโจมตีของดาบยาว

ผู้ฝึกยุทธ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนเตือนเสียงดังว่า

“ระวังด้วย เขารู้การสร้างมิติเชิงกายภาพ”

เสียงดังกล่าวหยุดลงทันที

ดาบยาวของกู่ฉิงซานยังคงฟาดฟันเพื่อสังหารอีกฝ่ายด้วยการก่อตัวจากอากาศบางในระยะไกลหลายสิบเมตร

ดาบลับ ตามติดชีพ

“ถ้าอยู่ภายในสิบฟุตของศัตรูก็จะโดนฟันจากอากาศอยู่ดี”

ยังเป็นสังหารหนึ่งคนด้วยหนึ่งดาบ

ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นสั่นสะท้านเมื่อเห็นภาพเหล่านี้

ผู้ฝึกยุทธ์คนแรกอยู่ระดับแสวงโลกาและถูกสังหารทันทีก่อนจะทันตอบสนอง

ผู้ฝึกยุทธ์คนที่สองอยู่ระดับวงแหวนนภา แต่ถึงจะตอบสนองทันก็ยังถูกสังหาร

ระดับการฝึกฝนของพวกเขาไม่ได้แย่ยิ่งกว่าวิชาดาบนี้ด้วยซ้ำ แต่ก็ยังไม่สามารถปัดป้องดาบของอีกฝ่ายได้!

สิ่งที่เรียกว่าภัยพิบัติไฟคือการนำวิญญาณของผู้ฝึกยุทธไปยังสวรรค์แห่งหนึ่ง

ผู้ฝึกยุทธ์จะต้องให้วิญญาณกลับเข้าร่างภายในระยะเวลาที่กำหนด

เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าวิญญาณยังอยู่ในสวรรค์แห่งหนึ่งไม่ยอมกลับมา เช่นนั้นร่างของผู้ฝึกยุทธจะถูกเผาไหม้ด้วยเปลวไฟ

กู่ฉิงซานยืนอยู่ที่นั่นขณะรอสักพัก

เปลวเพลิงเกือบโปร่งแสงปรากฏขึ้นจากอากาศบางขณะปกคลุมเขาอย่างสมบูรณ์

เปลวเพลิงไม่มีสิ้นสุดกระจายออก ก่อเกิดเป็นฉากโลกตรงหน้าดวงตาของกู่ฉิงซาน

“โลกอิสรภาพ”

กู่ฉิงซานพึมพำ

จื้อลัวคงไม่คาดคิดว่าไม่นานหลังจากเขาเพิ่งออกมา เขาจะกลับมาที่โลกอิสรภาพอีกครั้ง

ตอนเขาอยู่ระดับแสวงโลกาขั้นสูงสุด เขาออกจากโลกอิสรภาพทันทีหลังจากผ่านภัยพิบัติไฟ ไม่มีเวลาได้คิดถึงความปลอดภัยของจื้อลัว

แต่อีกฝ่ายมาโลกอิสรภาพก่อนเพื่อเตรียมการมากมายเอาไว้แล้ว

บนยอดเขาหมิงเช่อ จื้อลัวสร้างตำหนักอสุราขึ้นมา ในอุโมงค์ที่นำไปสู่เชิงเขาด้านหลังตำหนัก เขตอาคมและค่ายกลจำนวนมากถูกจัดวางไว้เป็นชั้นๆ

ยิ่งไปกว่านั้น จื้อลัวคือธิดาของอสุราผู้ช่ำชองวิชาการต่อสู้ต่างๆ มากมาย

นางยังกล่าวอีกด้วยว่าเหตุผลที่สามารถเข้าโลกอิสรภาพ ได้ภูเขามาเป็นของตัวเอง หาน้ำพุแห่งความรักที่เย็นเยือกสุดหยั่งและถึงขั้นเตรียมการป้องกันและมาตรการต่างๆ เอาไว้มากมายได้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความดีที่นางทำมามากมาย

สิ่งเดียวที่น่ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้คือพละกำลังของนางแย่เกินไป

กู่ฉิงซานครุ่นคิดไปมาก่อนก้าวเดินไปข้างหน้า

ทันใดนั้น

เขาเข้าสู่โลกอิสรภาพ

เสียงจากทุกทิศเข้าสู่หูของเขา

การดื่ม การสนทนาและเสียงอึกทึกในลาน ไม่ต่างกับที่กู่ฉิงซานมาในคราวที่แล้ว

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของกู่ฉิงซาน

“ฮ่าๆๆ วันนี้มีสหายเต๋าใหม่มาที่นี่ด้วย”

เสียงดังกล่าวพลันหยุดลง

เสียงทั่วลานค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ

ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนมองกู่ฉิงซาน

“เป็นเขา…”

“เจ้านั่นกลับมาที่นี่อีกแล้ว…”

“น่าแปลก”

“ไม่ นี่ยังห่างจากคราวที่แล้วไม่มาก ไม่นานนักที่เขาพัฒนาสู่ระดับแสวงโลกา แต่นี่”

พวกผู้ฝึกยุทธ์กระซิบกระซาบ

กู่ฉิงซานเมินคนเหล่านี้ นึกถึงตำแหน่งยอดเขาของจื้อลัวขณะเตรียมจะไปเพื่อเหาะไปทิศทางนั้น

เขาทะยานสูงขึ้นสู่ท้องนภาเพื่อเตรียมจะไป

ครั้งนี้ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ไม่ตาม

“มาที่นี่ทั้งทีก็ยังอยากจะไปอีกหรือ”

ใครบางคนตะโกนเสียงดัง

ความเร็วของผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ไวมาก เพียงปรายตามอง เขาก็ไปอยู่กลางอากาศแล้วขณะไล่หลังกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานไม่เหลียวหลังไปมอง

ในทะเลแห่งความตระหนักรู้ ดาบบินเจ็ดร้อยเล่มพุ่งออกมาขณะปล่อยประกายดาบใส่ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น

ดาบลับ กระแสวารีฟาดฟัน!

กระแสวารีฟาดฟันเจ็ดร้อยสายไหลไปพร้อมกัน พวกผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลังยังตอบสนองไม่ทัน พวกเขาจึงถูกประกายดาบอันยอดเยี่ยมเล่นงาน

ตูม

ประกายดาบที่พุ่งออกไปตัดผ่านท้องนภาก่อนพุ่งออกไปไกลลิบ

วิญญาณของผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในโลกสวรรค์แห่งนี้ถูกทำลายทันที

“เขาฆ่าสหายเต๋าหวัง!”

“บัดซบ หมอนี่ต้องตาย!”

“ลุยกันเลย!”

ในลาน พวกผู้ฝึกยุทธ์ตะโกนเสียงดัง

แต่ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ไม่กล้าไล่ตาม

เดิมพวกเขาหลีกเลี่ยงจากความทุกข์ทรมานและความไม่เที่ยงของการฝึกฝน พวกเขาจึงมาอยู่ที่นี่เพื่อพยายามยินดีกับพรเป็นเวลาหนึ่งหมื่นปี

เมื่อครู่ หนึ่งในสหายของเขาถูกอีกฝ่ายดูถูกก่อนถูกสังหาร ทุกคนได้เห็นความโหดเหี้ยมของผู้ใช้วิชาดาบกับตาตัวเองแล้ว

ใครล่ะจะกล้ารนหาที่ตายเช่นนี้โดยไม่เตรียมการอะไรก่อน

ผู้ฝึกยุทธ์ทรงพลังเจ็ดถึงแปดคนรวมตัวเข้าด้วยกัน

“ดูท่าจะพัฒนาไปถึงระดับแสวงโลกาแล้วสินะ”

“ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครสามารถหยุดได้แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะส่งคนไปมากกว่านี้”

“ครั้งต่อไป มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเรา”

“คนอื่นที่ไม่มีฝีมือให้รีบออกจากที่นี่”

พวกเขาบินขึ้นสูงสู่ท้องนภาขณะล้อมกู่ฉิงซานเอาไว้กลางอากาศ

กู่ฉิงซานมองรอบข้าง

เดิมที เขาแค่ใช้ดาบเพื่อป้องกันไม่ให้คนพวกนี้มารบกวนอีก ใครจะไปคิดล่ะว่าพวกเขาจะมาจริงๆ

ทว่า พละกำลังของผู้ฝึกยุทธเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไป

กู่ฉิงซานสัมผัสความผันผวนวิญญาณของคนเหล่านี้อย่างละเอียดก่อนค่อยๆ เข้าใจ

ผู้ฝึกยุทธ์ผ่านภัยพิบัติไฟทั้งสิ้นสามครั้ง สองครั้งแรกมาจากช่วงระดับเบิกเนตรมิติและระดับแสวงโลกา จากนั้นแหวกว่ายในภัยพิบัติน้ำและไฟจนมุ่งสู่ระดับวงแหวนนภา เมื่อภัยพิบัติดิน น้ำและไฟของระดับวงแหวนนภาจะนำไปสู่ระดับสามพันโลก

หรือก็คือ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ติดอยู่ในโลกอิสรภาพจะมีตั้งแต่ระดับเบิกเนตรมิติ ระดับแสวงโลกาและระดับวงแหวนนภา

ในฐานะผู้ใช้วิชาดาบ ความสามารถการต่อสู้ของกู่ฉิงซานแข็งแกร่งกว่าสหายผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกัน ดังนั้นจึงใช่ว่าจะมีใครมายั่วโมโห

ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ที่กล้าขึ้นมาจะต้องอยู่ระดับเดียวกับเขาเป็นอย่างน้อย

พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแสวงโลกาและระดับวงแหวนนภา!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ได้รู้ความจริงว่าคราวที่แล้วที่เขาสามารถผ่านภัยพิบัติไฟได้นั้นก็เป็นเพราะจื้อลัวได้เตรียมการเอาไว้

เมื่อนางไม่อยู่แล้วก็ไม่มีใครมาช่วยขวางไว้

นี่ยังแสดงให้เห็นอีกว่านางได้รับความเชื่อใจจากคนเหล่านี้ถึงทำให้เตรียมการได้มากมาย

ไม่อย่างนั้น เขาต้องเผชิญกับการต่อสู้อันดุเดือดแล้ว

นั่นคือหายนะแห่งความเป็นความตายอย่างแท้จริง

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

แต่ทำไมพวกเขาถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะ

ตามเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ในการผ่านภัยพิบัติไฟ มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมากมาย ผู้ฝึกยุทธ์จะถูกดึงเข้าสู่โลกสวรรค์จำนวนมากเมื่อมาถึงภัยพิบัติไฟ สิ่งที่พวกเขาประสบพบเจอนั้น สามวันสามคืนก็ยังเล่าไม่จบ

โลกอิสรภาพคือโลกสวรรค์แห่งหนึ่งในบรรดาโลกสวรรค์นับไม่ถ้วน จำนวนผู้ฝึกยุทธ์มีขีดจำกัด มีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนน้อยนักที่ก้าวข้ามความทุกข์ได้ ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถสำรวจความลับที่อยู่เบื้องหลังโลกอิสรภาพได้นั้นยิ่งน้องเข้าไปใหญ่

คงจะดีถ้าพวกเขาสามารถกลับไปมีชีวิตได้

ดังนั้น ในบันทึกการฝึกมากมาย มีบันทึกไม่มากที่กล่าวถึงโลกอิสรภาพ แถมไม่มีคำอธิบายที่น่าเชื่อถืออีกด้วย

กู่ฉิงซานมองรอบข้าง

คนเหล่านี้มีระดับสูงกว่าเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น แต่ยังกล้ามาห้ามอย่างนั้นหรือ…

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าคิดว่ามันแปลกมากนะ ว่ากันว่าคนที่ไม่รู้จักกันย่อมไม่มีความคับแค้นใจ ทำไมพวกเจ้าต้องมาหยุดข้าในการก้าวข้ามภัยพิบัติด้วย ไม่อยากเห็นคนอื่นรู้แจ้งหรอกหรือ”

พวกผู้ฝึกยุทธ์มองหน้ากัน

มีคนหนึ่งยิ้มออกมาแล้วตอบว่า “เรื่องนี้ข้าคงบอกไม่ได้”

อีกคนกล่าวว่า “”ในเมื่อมาที่นี่แล้วก็ต้องอยู่ อย่าบังคับให้พวกข้าต้องลงมือ

“ใช่ ถ้าเกิดสู้กัน พวกเราจะมองหน้ากันไม่ติด ยังไงเสีย พวกเราก็ต้องอยู่ด้วยกันในอนาคตอีก”

กู่ฉิงซานยิ้ม

“ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่ได้เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่งนะ” เขากล่าว

“เรื่องอะไร” ใครบางคนถาม

“พวกเจ้าต้องเตรียมตัวตายหากคิดจะมาขวางเส้นทางของผู้ใช้วิชาดาบ”

เขาหายไปจากตรงนั้น ทันใดนั้น เขามาปรากฏตัวตรงหน้าผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งก่อนฟาดดาบยาวลงไป

ใบหน้าของผู้ฝึกยุทธ์เปลี่ยนไปมาก แต่มือไม่ได้เชื่องช้าแต่อย่างใด

เขาเห็นโล่ขนาดเล็กปรากฏขึ้นจากอากาศบางขณะพยายามปัดป้องดาบของกู่ฉิงซาน

ตึง!

ด้วยเสียงดังสนั่น โล่กระแทกกับดาบยาว

แต่เมื่อดาบกับโล่ปะทะกัน ประกายดาบพลันปรากฏขึ้นด้านหลังผู้ฝึกยุทธ์ก่อนฟันเขาขาดเป็นสองท่อนทันที

ดาบลับ นางแอ่นหวนกลับ

สังหารหนึ่งคนด้วยหนึ่งดาบ

กู่ฉิงซานหายไปอีกครั้งก่อนปรากฏตัวตรงหน้าผู้ฝึกยุทธ์อีกคน

ทว่า ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นตอบสนองอย่างรวดเร็วก่อนถอยออกมาหลายก้าวทันทีจนพ้นระยะการโจมตีของดาบยาว

ผู้ฝึกยุทธ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนเตือนเสียงดังว่า

“ระวังด้วย เขารู้การสร้างมิติเชิงกายภาพ”

เสียงดังกล่าวหยุดลงทันที

ดาบยาวของกู่ฉิงซานยังคงฟาดฟันเพื่อสังหารอีกฝ่ายด้วยการก่อตัวจากอากาศบางในระยะไกลหลายสิบเมตร

ดาบลับ ตามติดชีพ

“ถ้าอยู่ภายในสิบฟุตของศัตรูก็จะโดนฟันจากอากาศอยู่ดี”

ยังเป็นสังหารหนึ่งคนด้วยหนึ่งดาบ

ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นสั่นสะท้านเมื่อเห็นภาพเหล่านี้

ผู้ฝึกยุทธ์คนแรกอยู่ระดับแสวงโลกาและถูกสังหารทันทีก่อนจะทันตอบสนอง

ผู้ฝึกยุทธ์คนที่สองอยู่ระดับวงแหวนนภา แต่ถึงจะตอบสนองทันก็ยังถูกสังหาร

ระดับการฝึกฝนของพวกเขาไม่ได้แย่ยิ่งกว่าวิชาดาบนี้ด้วยซ้ำ แต่ก็ยังไม่สามารถปัดป้องดาบของอีกฝ่ายได้!

สวรรค์ดึกดำบรรพ์

ม่านแสงสว่างวาบ

กู่ฉิงซานปรากฏขึ้นเป็นรูปร่าง

เขาปรากฏขึ้นเหนือยอดเขาที่ไม่มีใครอยู่

หลังจากปล่อยยันต์อัคคีเพื่อแจ้งให้ผู้อื่นทราบ กู่ฉิงซานเริ่มคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ผู้ถักทอชีวิตหุบเหวค่อยๆ กลืนกินโลกมารดึกดำบรรพ์ทั้งหมดเข้าไป

มังกรมารไม่เต็มใจที่จะเชื่อฟังคำสั่งและขัดขืนมนุษย์ ไม่มีความตั้งใจที่จะกลับสวรรค์ดึกดำบรรพ์เพื่อช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์

ตัดสินจากบทสนทนากับผู้ถักทอชีวิตหุบเหวประกอบกับพฤติกรรมของนิ้วสีดำที่อยู่ด้านหลัง มันเต็มไปด้วยความคิดถึงพลังหุบเหวจากผู้ถักทอชีวิตหุบเหว

ทันใดนั้น กู่ฉิงซานก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ผู้ต่อสู้กับมังกรจะกลายเป็นมังกรในท้ายที่สุด ผู้ที่เข้าใกล้หุบเหวจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหุบเหวเช่นกัน”

นี่คือคำพูดของดาบพิภพ เขาไม่สนใจตอนที่นางกล่าว

ใครจะรู้ล่ะว่าแม้แต่ราชามารแห่งอารัมภบทก็ยังกล่าวซ้ำ

ขณะดูรูปลักษณ์ปัจจุบันของมังกรมาร กู่ฉิงซานสงสัยว่ามันจะกลายเป็นมังกรหุบเหวไม่ช้าก็เร็ว

แล้วตัวเขาล่ะ

กู่ฉิงซานถามอย่างเงียบงัน

ถ้าไม่ทำอะไรเลย

ดาบพิภพจะตาย ทุกสิ่งจะไม่สามารถแก้ไขได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของเขาก็ไม่ลังเลอีก

“ไม่หรอก ข้าไม่ได้สู้กับมังกร แค่คุยเท่านั้นเอง…”

กู่ฉิงซานกล่าวกับตัวเอง

ตอนนี้ ลำแสงสองสามสายพุ่งมาจากท้องนภา พวกมันมาถึงตรงหน้าในเวลาอันสั้น

เทพแห่งความเย็นยะเยือก

มนุษย์แสง

ลั่วปิงหลี

“เป็นอย่างไรบ้าง” มนุษย์แสงถามก่อน

“ไม่เลว บัญญัติกำลังวิวัฒนาการ” กู่ฉิงซานตอบ

มนุษย์แสงสัมผัสเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “ดูท่าจะเป็นเรื่องจริง ความเร็วของการวิวัฒนาการนี้นับว่าน่าทึ่งนัก ข้าเริ่มมั่นใจขึ้นมาแล้วล่ะ”

“ตอนนี้พวกเราควรทำอะไรต่อ แผ่นหยกเคลื่อนย้ายพริบตาของข้าพร้อมใช้งานแล้ว” ลั่วปิงหลีถาม

“อย่าไปยังสถานที่ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ตระเตรียมไว้ พวกเราต้องออกจากโลกนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้นข้าถึงจะบอก” กู่ฉิงซานตอบ

มนุษย์แสงมองเทพแห่งความเย็นยะเยือก

“ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ก็คงเป็นความจริง พวกเราฟังเขาก็แล้วกัน” เทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าว

“ถ้ามันไม่ได้ผลจริงๆ พวกเราสามารถกลับมาใหม่ได้” กู่ฉิงซานมองมนุษย์แสง

“ภาพซ้อนทับไหนก็ได้ใช่หรือเปล่า” มนุษย์แสงถาม

กู่ฉิงซานชำเลืองมองลั่วปิงหลี

“ไม่ต้องห่วงข้า ข้ามีวิชาลับ ไม่เข้าไปแทนที่ตัวเองในอีกช่วงเวลาหรอก” ลั่วปิงหลีพูดกับเขา

กู่ฉิงซานรู้สึกวางใจเล็กน้อย

คาดไม่ถึงว่าลั่วปิงหลีจะมีวิชาลับแบบนั้น แถมยังไม่ได้รับผลจากกฎเกณฑ์แห่งเวลาอีกด้วย!

ความจริง สิ่งที่กู่ฉิงซานกังวลมากที่สุดคือการปรากฏตัวของสองตัวตนในช่วงเวลาเดียวกัน

ถ้าเช่นนั้น กฎเกณฑ์แห่งเวลาจะทำการลบล้างหนึ่งในพวกเขาทันทีเพื่อให้แน่ใจว่ามิติกับเวลาไม่ได้ถูกบิดเบือน

ในเมื่อลั่วปิงหลีมีวิชาลับเช่นนี้ อีกสิ่งที่ต้องกังวลคือเทพแห่งความเย็นยะเยือก

“เจ้าสอนได้หรือไม่ ข้าอยากให้เทพแห่งความเย็นยะเยือกทำได้เช่นกัน” กู่ฉิงซานถามด้วยการส่งกระแสจิต

ลั่วปิงหลีตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “ไม่ วิชานี้มีแค่ข้าเท่านั้นที่ใช้ได้ ในช่วงเวลาต่างๆ ข้าสามารถแบกรับเพียงหนึ่งตัวตนในเวลาเดียวกันได้เท่านั้น ให้ทำเพิ่มอีกคงไม่ได้ผลหรอก”

กู่ฉิงซานจึงตัดใจ

เทพแห่งความเย็นยะเยือกที่สวมบทบาทโดยเขากับฉานนู่เป็นตัวปลอม ทันทีที่เทพแห่งความเย็นยะเยือกปรากฏตัวในเวลาเดียวกับเทพแห่งความเย็นยะเยือกตัวจริง เทพแห่งความเย็นยะเยือกทั้งสององค์จะปลอดภัย กลายเป็นเพิ่มความสงสัยให้กับมนุษย์แสงเอาเปล่าๆ

ถึงตอนนั้น…

“ไม่ ใช่ว่าจะเป็นภาพซ้อนทับไหนก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าวกับมนุษย์แสง “พวกเราต้องไปช่วงเวลาหลังสงครามครั้งที่สองของมนุษย์”

ในสงครามครั้งที่หนึ่ง อดีตราชาเทพตาย เทพแห่งความเย็นยะเยือกขึ้นครองบัลลังก์

ในสงครามครั้งที่สอง เทพแห่งความเย็นยะเยือกตาย เทพลี่จะขึ้นครองบัลลังก์

นี่คือโอกาสสำหรับ “เทพแห่งความเย็นยะเยือก” ที่จะตื่นขึ้นมาหลังจากทราบโชคชะตาแห่งความตายจากเทพจินเยี่ยน

“ทำไมล่ะ” มนุษย์แสงถาม

“ในช่วงเวลานั้น เทพแห่งความเย็นยะเยือกต้องตาย พวกเราจะไม่ถูกลบล้างด้วยกฎเกณฑ์แห่งเวลาเพราะตัวตนของเทพแห่งความเย็นยะเยือกสององค์ในช่วงเวลาเดียวกัน”

“อีกอย่าง ถ้าข้าจำไม่ผิด เทพองค์ต่อไปที่จะกลายเป็นราชาเทพคือเทพลี่ พละกำลังของเขาอ่อนแอกว่าเทพแห่งความเย็นยะเยือก ถ้าพวกเราไม่สามารถอธิบายเขาได้ก็สามารถใช้กำลังแทนได้”

“ท้ายที่สุด เทพแห่งความเย็นยะเยือกผู้ฟื้นคืนชีพจากความตายจะปรากฏตัวต่อหน้าพวกเทพ นี่คือหลักฐานการพิสูจน์ตัวตนของพวกเราได้ดีที่สุด”

มนุษย์แสงฟังอยู่เงียบๆ ขณะมองราชาเทพแล้วถามว่า “นายท่านคิดเห็นอย่างไรหรือ”

ฉานนู่มีสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจออกมา “ราชาผู้นี้ไม่มีความเห็น นี่ถือเป็นการตระเตรียมที่ดี อีกอย่าง ข้าเสียดายจริงๆ ที่กู่ฉิงซานไม่ใช่สมาชิกของพวกเราเผ่าพันธุ์เทพ”

มนุษย์แสงพยักหน้าด้วยความเห็นด้วย

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

เขาหยิบเหรียญออกมาแล้วโยนขึ้นไป

เหรียญหมุนอยู่ในอากาศหลายรอบ ทันใดนั้น มันพังทลายลง กลายเป็นจุดแสงเจิดจ้าที่ปกคลุมท้องนภา

กู่ฉิงซาน เทพแห่งความเย็นยะเยือก ลั่วปิงหลีและมนุษย์แสงหายไปจากโลกใบนี้

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

ผ่านไปราวครึ่งวัน

ความว่างเปล่าได้เปิดออก

ชายร่างกำยำผู้มีเขาคู่สีดำแรกเกิดเดินออกจากความว่างเปล่าช้าๆ

“ยังน่ากลัวเหมือนเดิมเลยนะ…”

เขามองรอบข้าง สีหน้าจริงจังยิ่ง

“ที่นี่ไม่มีระบบป้องกันมนุษย์ที่ยังเป็นเด็ก ข้าสามารถจับเจ้านั่นเพื่อมาถามได้”

“สิ่งเดียวที่ต้องสนใจคือร่างกายของข้ายังหลับใหลอยู่ วิญญาณกรีดร้องยับยั้งร่างวิญญาณของข้าเอาไว้ ระวังอย่าดึงดูดความสนใจก็พอ”

วิญญาณของมังกรมารเริ่มสำรวจสวรรค์ดึกดำบรรพ์

ในความว่างเปล่าและหมอก

เศษชิ้นส่วนม่านแสงนับไม่ถ้วนลอยอย่างไร้รูปแบบ

เศษชิ้นส่วนม่านขนาดใหญ่ของยุคหนึ่งถูกตัดขาด ภาพติดตาสี่ภาพตกลงไป

สวรรค์ดึกดำบรรพ์

บนเนินรกร้าง

เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้น “ตอนนี้พวกเราอยู่ช่วงเวลาไหน”

มนุษย์แสงหลับตาลงก่อนสัมผัสสักพักแล้วกล่าวว่า “พวกเราเพิ่งมาถึงจุดสิ้นสุดของสงครามครั้งที่สอง ตอนนี้ เทพลี่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์จนกลายเป็นราชาเทพองค์ใหม่สำเร็จ”

ฉานนู่ไอเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างผึ่งผายว่า “ไปกันเถอะ ไปพบพวกเขา ที่นี่พวกเรายังต้องการการสนับสนุนจากเผ่าพันธุ์เทพอยู่”

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” มนุษย์แสงเดิน

ทันใดนั้น กู่ฉิงซานโบกมือเพื่อเป็นสัญญาณว่าทุกคนอย่าเพิ่งไป

“รอเดี๋ยวก่อน บัญญัติกำลังโหลดใหม่อยู่”

หลายคนได้ยินดังนั้นจึงอยู่กับที่เพื่อรอ

ในสายตาของกู่ฉิงซาน หน้าต่างโลหิตค่อยๆ ปรากฏขึ้น

ตัวอักษรขนาดเล็กสีโลหิตยังคงปรากฏขึ้นมา

“ทำการวิวัฒนาการสำเร็จแล้ว”

“หมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์: จุดกำเนิด ออนไลน์อย่างเป็นทางการแล้ว”

ตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กเหล่านี้นิ่ง จากนั้นแถวข้อความใหม่ปรากฏขึ้นมา

“ข้ายินดียิ่งที่ได้พบว่านายท่านยังปลอดภัยสบายดี ดูท่านายท่านจะทำตามคำแนะนำของข้าโดยไม่ไปเข้าสถานที่ที่เชื่อมต่อกับหุบเหว”

กู่ฉิงซานไม่เปลี่ยนสีหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้าบอกว่าห้ามไป ข้าก็จะไม่ไปจริงๆ แต่อนาคตก็ไม่แน่”

“อีกอย่าง เจ้าวิวัฒนาการสู่จุดกำเนิดแล้ว ไม่มีการทำงานใหม่บ้างเลยหรือ”

บนหน้าต่าง ตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

“คราวนี้ข้าจะเริ่มอธิบายการวิวัฒนาการให้ท่านฟัง”

“ตามเจตจำนองของผู้ส่งสารแห่งบาป การทำงานของบัญญัติได้ทำการเปลี่ยนตำแหน่งจุดกำเนิดใหม่”

“โปรดเลือกโหมดที่เหมาะสมเดี๋ยวนี้”

“โหมดที่หนึ่ง: โหมดปกติ ภายใต้โหมดนี้ บัญญัตินี้จะค่อยๆ เปิดการทำงานจำนวนมากและรวมพวกมันเข้ากับศูนย์การ์ด ท้ายที่สุดก่อเกิดเป็นแท่นการทำงานการ์ดที่ก่อตัวเป็นรูปร่าง”

“โหมดที่สอง: โหมดพัฒนา ภายใตโหมดนี้ บัญญัตินี้จะยังคงวิวัฒนาการตามภารกิจหลัก เมื่อวิวัฒนาการถึงระดับการปฏิวัติ มันจะเปิดการทำงานสำคัญให้ท่าน”

กู่ฉิงซานถามว่า “แน่นอนว่าข้าเลือกโหมดที่สอง แต่การทำงานสำคัญที่เจ้าพูดถึงคืออะไร”

บัญญัติตอบว่า “ในช่วงระดับปฏิวัติ บัญญัติจะค้นหาซากศพโบราณจำนวนมากในสงครามไม่มีสิ้นสุดจากกองขยะที่กระจัดกระจายอยู่ในหมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์แล้วถักทอพวกมันให้กลายเป็นอาวุธชีวภาพที่สามารถใช้เพื่อการสงครามได้ รหัสคือเทพมาร: อาวุธอัญเชิญระดับเบื้องต้นประเภทที่หนึ่ง”

“นายท่าน ข้าจะแปลงเทพมารเบื้องต้นให้กลายเป็นการ์ดเพื่อการแลกเปลี่ยนของท่าน”

กู่ฉิงซานพยักหน้าพลางครุ่นคิด

อาวุธอัญเชิญระดับเบื้องต้น

กลายเป็นว่าพวกมารเหล่านั้นคืออาวุธต่อสู้ที่พื้นฐานที่สุด

ดวงตาของกู่ฉิงซานจ้องไปที่หน้าต่างจุดกำเนิด

แถบยาวที่เป็นตัวแทนพลังวิญญาณยังไหลหลั่งอยู่ตามมาด้วยแถวตัวเลขเพื่อการอธิบาย

“ค่าพลังวิญญาณ: 9,710,000”

หลังจากสังหารสัตว์ประหลาดทะเลทรงพลังจำนวนมาก ในที่สุดพลังวิญญาณของเขาไปถึงจุดที่สามารถใช้ได้ดังใจต้องการ

“จุดกำเนิด ข้ามีพลังวิญญาณมากขนาดนี้ ยังสามารถพัฒนาต่อได้หรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

“ตามหลักการแล้ว จะต้องผ่านหนึ่งภารกิจก่อนจึงจะสามารถเปิดใช้งานโปรแกรมวิวัฒนาการที่เกี่ยวข้องได้” จุดกำเนิดตอบ

“เช่นนั้นจะมัวรออะไรอีก ปล่อยภารกิจออกมาสิ”

“กำลังเตรียมภารกิจ”

แว้บ

บนหน้าต่างโลหิต ภารกิจใหม่ถูกสร้างขึ้นมา

“ชื่อภารกิจ: พัฒนาสิ เจ้าหนู!”

“คำอธิบายภารกิจ: นี่คือช่วงเวลาแห่งการวิวัฒนาการอย่างบ้าคลั่งเพื่อกลายเป็นราชามาร ผู้โหลดบัญญัติที่อ่อนแอเกินไปจะไม่สามารถควบคุมอาวุธชีวภาพจำนวนมากได้ ท่านต้องพัฒนาพละกำลังของตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อพิสูจน์ว่ามีศักยภาพพอที่จะกลายเป็นราชามาร”

“เป้าหมายภารกิจ: กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสามพันโลก”

“รางวัลภารกิจ: เปิดใช้งานโปรแกรมวิวัฒนาการของบัญญัติทันที”

หลังจากอ่านคำสั่งเหล่านี้เสร็จ กู่ฉิงซานหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้าอยากให้เจ้าวิวัฒนาการให้ไว แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะให้ข้าพัฒนาพละกำลังไวขนาดนี้”

“แน่นอน ท่าน ท่านจะต้องเพิ่มพละกำลังให้ไว ไม่อย่างนั้นอาวุธชีวภาพเหล่านั้นอาจจะส่งผลย้อนกลับได้” จุดกำเนิดกล่าว

“ถ้าจำไม่ผิด ตอนนี้ข้าสามารถใช้พลังวิญญาณเพื่อพัฒนาได้ใช่หรือเปล่า”

“ถูกต้อง”

กู่ฉิงซานมองถังพลังวิญญาณที่กำลังเอ่อล้นขึ้นมา

เขากล่าวกับเทพแห่งความเย็นยะเยือก มนุษย์แสงและลั่วปิงหลีว่า “ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะต้องรออีกสักหน่อย บัญญัติต้องการให้ข้ารีบพัฒนาเพื่อเปิดใช้งานตัวเลือกการวิวัฒนาการของมัน”

“นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน เจ้าเริ่มได้เลย พวกข้าจะคุ้มกันให้เอง” เทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าว

มนุษย์แสงกล่าวเช่นกันว่า “ใช่ ในบรรดาพลังของสามเหรียญนั้น พลังจากบัญญัติของราชามารขาดไม่ได้มากที่สุด เจ้าต้องทำเรื่องนี้ให้ดี”

“เช่นนั้นข้าจะเริ่มเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

ลั่วปิงหลีมองเขาก่อนพยักหน้าเล็กน้อย

ทั้งสามแยกออกเป็นสามทางพร้อมกันเพื่อสร้างพื้นที่ให้กับกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพออกไป เห็นเพียงว่าพวกเขายืนประจำที่ตัวเองก่อนเริ่มคุ้มกัน

เขาไม่รออีกต่อไปขณะพ่นสองคำใส่หน้าต่างจุดกำเนิด

“พัฒนา”

บนหน้าต่างจุดกำเนิด ทันใดนั้น แถวตัวอักษรขนาดเล็กเริ่มปรากฏขึ้นมา

“ท่านเลือกการพัฒนา”

แถบพลังวิญญาณใต้การ์ด “ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน” เริ่มเผาไหม้

ตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กยังคงปรากฏขึ้นมา

“พลังวิญญาณถูกใช้ 700,000 แต้ม”

“ท่านกำลังจะเริ่มพัฒนาแล้ว”

“โปรดทราบว่าในครั้งนี้ท่านคือผู้ฝึกยุทธ ครั้งนี้ต้องเผชิญทั้งน้ำและไฟ”

“หลังจากนับถอยหลัง ท่านจะต้องเริ่มลงมือ”

“ห้า”

“สี่”

“สาม”

“สอง”

“หนึ่ง!”

ข้อความทั้งหมดบนหน้าต่างโลหิตหายไป

ลำแสงเปลวเพลิงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนตกกระทบใส่กู่ฉิงซานอย่างแผ่วเบา

ภัยพิบัติไฟมาแล้ว

สวรรค์ดึกดำบรรพ์

ม่านแสงสว่างวาบ

กู่ฉิงซานปรากฏขึ้นเป็นรูปร่าง

เขาปรากฏขึ้นเหนือยอดเขาที่ไม่มีใครอยู่

หลังจากปล่อยยันต์อัคคีเพื่อแจ้งให้ผู้อื่นทราบ กู่ฉิงซานเริ่มคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ผู้ถักทอชีวิตหุบเหวค่อยๆ กลืนกินโลกมารดึกดำบรรพ์ทั้งหมดเข้าไป

มังกรมารไม่เต็มใจที่จะเชื่อฟังคำสั่งและขัดขืนมนุษย์ ไม่มีความตั้งใจที่จะกลับสวรรค์ดึกดำบรรพ์เพื่อช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์

ตัดสินจากบทสนทนากับผู้ถักทอชีวิตหุบเหวประกอบกับพฤติกรรมของนิ้วสีดำที่อยู่ด้านหลัง มันเต็มไปด้วยความคิดถึงพลังหุบเหวจากผู้ถักทอชีวิตหุบเหว

ทันใดนั้น กู่ฉิงซานก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ผู้ต่อสู้กับมังกรจะกลายเป็นมังกรในท้ายที่สุด ผู้ที่เข้าใกล้หุบเหวจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหุบเหวเช่นกัน”

นี่คือคำพูดของดาบพิภพ เขาไม่สนใจตอนที่นางกล่าว

ใครจะรู้ล่ะว่าแม้แต่ราชามารแห่งอารัมภบทก็ยังกล่าวซ้ำ

ขณะดูรูปลักษณ์ปัจจุบันของมังกรมาร กู่ฉิงซานสงสัยว่ามันจะกลายเป็นมังกรหุบเหวไม่ช้าก็เร็ว

แล้วตัวเขาล่ะ

กู่ฉิงซานถามอย่างเงียบงัน

ถ้าไม่ทำอะไรเลย

ดาบพิภพจะตาย ทุกสิ่งจะไม่สามารถแก้ไขได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของเขาก็ไม่ลังเลอีก

“ไม่หรอก ข้าไม่ได้สู้กับมังกร แค่คุยเท่านั้นเอง…”

กู่ฉิงซานกล่าวกับตัวเอง

ตอนนี้ ลำแสงสองสามสายพุ่งมาจากท้องนภา พวกมันมาถึงตรงหน้าในเวลาอันสั้น

เทพแห่งความเย็นยะเยือก

มนุษย์แสง

ลั่วปิงหลี

“เป็นอย่างไรบ้าง” มนุษย์แสงถามก่อน

“ไม่เลว บัญญัติกำลังวิวัฒนาการ” กู่ฉิงซานตอบ

มนุษย์แสงสัมผัสเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “ดูท่าจะเป็นเรื่องจริง ความเร็วของการวิวัฒนาการนี้นับว่าน่าทึ่งนัก ข้าเริ่มมั่นใจขึ้นมาแล้วล่ะ”

“ตอนนี้พวกเราควรทำอะไรต่อ แผ่นหยกเคลื่อนย้ายพริบตาของข้าพร้อมใช้งานแล้ว” ลั่วปิงหลีถาม

“อย่าไปยังสถานที่ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ตระเตรียมไว้ พวกเราต้องออกจากโลกนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้นข้าถึงจะบอก” กู่ฉิงซานตอบ

มนุษย์แสงมองเทพแห่งความเย็นยะเยือก

“ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ก็คงเป็นความจริง พวกเราฟังเขาก็แล้วกัน” เทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าว

“ถ้ามันไม่ได้ผลจริงๆ พวกเราสามารถกลับมาใหม่ได้” กู่ฉิงซานมองมนุษย์แสง

“ภาพซ้อนทับไหนก็ได้ใช่หรือเปล่า” มนุษย์แสงถาม

กู่ฉิงซานชำเลืองมองลั่วปิงหลี

“ไม่ต้องห่วงข้า ข้ามีวิชาลับ ไม่เข้าไปแทนที่ตัวเองในอีกช่วงเวลาหรอก” ลั่วปิงหลีพูดกับเขา

กู่ฉิงซานรู้สึกวางใจเล็กน้อย

คาดไม่ถึงว่าลั่วปิงหลีจะมีวิชาลับแบบนั้น แถมยังไม่ได้รับผลจากกฎเกณฑ์แห่งเวลาอีกด้วย!

ความจริง สิ่งที่กู่ฉิงซานกังวลมากที่สุดคือการปรากฏตัวของสองตัวตนในช่วงเวลาเดียวกัน

ถ้าเช่นนั้น กฎเกณฑ์แห่งเวลาจะทำการลบล้างหนึ่งในพวกเขาทันทีเพื่อให้แน่ใจว่ามิติกับเวลาไม่ได้ถูกบิดเบือน

ในเมื่อลั่วปิงหลีมีวิชาลับเช่นนี้ อีกสิ่งที่ต้องกังวลคือเทพแห่งความเย็นยะเยือก

“เจ้าสอนได้หรือไม่ ข้าอยากให้เทพแห่งความเย็นยะเยือกทำได้เช่นกัน” กู่ฉิงซานถามด้วยการส่งกระแสจิต

ลั่วปิงหลีตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “ไม่ วิชานี้มีแค่ข้าเท่านั้นที่ใช้ได้ ในช่วงเวลาต่างๆ ข้าสามารถแบกรับเพียงหนึ่งตัวตนในเวลาเดียวกันได้เท่านั้น ให้ทำเพิ่มอีกคงไม่ได้ผลหรอก”

กู่ฉิงซานจึงตัดใจ

เทพแห่งความเย็นยะเยือกที่สวมบทบาทโดยเขากับฉานนู่เป็นตัวปลอม ทันทีที่เทพแห่งความเย็นยะเยือกปรากฏตัวในเวลาเดียวกับเทพแห่งความเย็นยะเยือกตัวจริง เทพแห่งความเย็นยะเยือกทั้งสององค์จะปลอดภัย กลายเป็นเพิ่มความสงสัยให้กับมนุษย์แสงเอาเปล่าๆ

ถึงตอนนั้น…

“ไม่ ใช่ว่าจะเป็นภาพซ้อนทับไหนก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าวกับมนุษย์แสง “พวกเราต้องไปช่วงเวลาหลังสงครามครั้งที่สองของมนุษย์”

ในสงครามครั้งที่หนึ่ง อดีตราชาเทพตาย เทพแห่งความเย็นยะเยือกขึ้นครองบัลลังก์

ในสงครามครั้งที่สอง เทพแห่งความเย็นยะเยือกตาย เทพลี่จะขึ้นครองบัลลังก์

นี่คือโอกาสสำหรับ “เทพแห่งความเย็นยะเยือก” ที่จะตื่นขึ้นมาหลังจากทราบโชคชะตาแห่งความตายจากเทพจินเยี่ยน

“ทำไมล่ะ” มนุษย์แสงถาม

“ในช่วงเวลานั้น เทพแห่งความเย็นยะเยือกต้องตาย พวกเราจะไม่ถูกลบล้างด้วยกฎเกณฑ์แห่งเวลาเพราะตัวตนของเทพแห่งความเย็นยะเยือกสององค์ในช่วงเวลาเดียวกัน”

“อีกอย่าง ถ้าข้าจำไม่ผิด เทพองค์ต่อไปที่จะกลายเป็นราชาเทพคือเทพลี่ พละกำลังของเขาอ่อนแอกว่าเทพแห่งความเย็นยะเยือก ถ้าพวกเราไม่สามารถอธิบายเขาได้ก็สามารถใช้กำลังแทนได้”

“ท้ายที่สุด เทพแห่งความเย็นยะเยือกผู้ฟื้นคืนชีพจากความตายจะปรากฏตัวต่อหน้าพวกเทพ นี่คือหลักฐานการพิสูจน์ตัวตนของพวกเราได้ดีที่สุด”

มนุษย์แสงฟังอยู่เงียบๆ ขณะมองราชาเทพแล้วถามว่า “นายท่านคิดเห็นอย่างไรหรือ”

ฉานนู่มีสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจออกมา “ราชาผู้นี้ไม่มีความเห็น นี่ถือเป็นการตระเตรียมที่ดี อีกอย่าง ข้าเสียดายจริงๆ ที่กู่ฉิงซานไม่ใช่สมาชิกของพวกเราเผ่าพันธุ์เทพ”

มนุษย์แสงพยักหน้าด้วยความเห็นด้วย

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

เขาหยิบเหรียญออกมาแล้วโยนขึ้นไป

เหรียญหมุนอยู่ในอากาศหลายรอบ ทันใดนั้น มันพังทลายลง กลายเป็นจุดแสงเจิดจ้าที่ปกคลุมท้องนภา

กู่ฉิงซาน เทพแห่งความเย็นยะเยือก ลั่วปิงหลีและมนุษย์แสงหายไปจากโลกใบนี้

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

ผ่านไปราวครึ่งวัน

ความว่างเปล่าได้เปิดออก

ชายร่างกำยำผู้มีเขาคู่สีดำแรกเกิดเดินออกจากความว่างเปล่าช้าๆ

“ยังน่ากลัวเหมือนเดิมเลยนะ…”

เขามองรอบข้าง สีหน้าจริงจังยิ่ง

“ที่นี่ไม่มีระบบป้องกันมนุษย์ที่ยังเป็นเด็ก ข้าสามารถจับเจ้านั่นเพื่อมาถามได้”

“สิ่งเดียวที่ต้องสนใจคือร่างกายของข้ายังหลับใหลอยู่ วิญญาณกรีดร้องยับยั้งร่างวิญญาณของข้าเอาไว้ ระวังอย่าดึงดูดความสนใจก็พอ”

วิญญาณของมังกรมารเริ่มสำรวจสวรรค์ดึกดำบรรพ์

ในความว่างเปล่าและหมอก

เศษชิ้นส่วนม่านแสงนับไม่ถ้วนลอยอย่างไร้รูปแบบ

เศษชิ้นส่วนม่านขนาดใหญ่ของยุคหนึ่งถูกตัดขาด ภาพติดตาสี่ภาพตกลงไป

สวรรค์ดึกดำบรรพ์

บนเนินรกร้าง

เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้น “ตอนนี้พวกเราอยู่ช่วงเวลาไหน”

มนุษย์แสงหลับตาลงก่อนสัมผัสสักพักแล้วกล่าวว่า “พวกเราเพิ่งมาถึงจุดสิ้นสุดของสงครามครั้งที่สอง ตอนนี้ เทพลี่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์จนกลายเป็นราชาเทพองค์ใหม่สำเร็จ”

ฉานนู่ไอเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างผึ่งผายว่า “ไปกันเถอะ ไปพบพวกเขา ที่นี่พวกเรายังต้องการการสนับสนุนจากเผ่าพันธุ์เทพอยู่”

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” มนุษย์แสงเดิน

ทันใดนั้น กู่ฉิงซานโบกมือเพื่อเป็นสัญญาณว่าทุกคนอย่าเพิ่งไป

“รอเดี๋ยวก่อน บัญญัติกำลังโหลดใหม่อยู่”

หลายคนได้ยินดังนั้นจึงอยู่กับที่เพื่อรอ

ในสายตาของกู่ฉิงซาน หน้าต่างโลหิตค่อยๆ ปรากฏขึ้น

ตัวอักษรขนาดเล็กสีโลหิตยังคงปรากฏขึ้นมา

“ทำการวิวัฒนาการสำเร็จแล้ว”

“หมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์: จุดกำเนิด ออนไลน์อย่างเป็นทางการแล้ว”

ตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กเหล่านี้นิ่ง จากนั้นแถวข้อความใหม่ปรากฏขึ้นมา

“ข้ายินดียิ่งที่ได้พบว่านายท่านยังปลอดภัยสบายดี ดูท่านายท่านจะทำตามคำแนะนำของข้าโดยไม่ไปเข้าสถานที่ที่เชื่อมต่อกับหุบเหว”

กู่ฉิงซานไม่เปลี่ยนสีหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้าบอกว่าห้ามไป ข้าก็จะไม่ไปจริงๆ แต่อนาคตก็ไม่แน่”

“อีกอย่าง เจ้าวิวัฒนาการสู่จุดกำเนิดแล้ว ไม่มีการทำงานใหม่บ้างเลยหรือ”

บนหน้าต่าง ตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

“คราวนี้ข้าจะเริ่มอธิบายการวิวัฒนาการให้ท่านฟัง”

“ตามเจตจำนองของผู้ส่งสารแห่งบาป การทำงานของบัญญัติได้ทำการเปลี่ยนตำแหน่งจุดกำเนิดใหม่”

“โปรดเลือกโหมดที่เหมาะสมเดี๋ยวนี้”

“โหมดที่หนึ่ง: โหมดปกติ ภายใต้โหมดนี้ บัญญัตินี้จะค่อยๆ เปิดการทำงานจำนวนมากและรวมพวกมันเข้ากับศูนย์การ์ด ท้ายที่สุดก่อเกิดเป็นแท่นการทำงานการ์ดที่ก่อตัวเป็นรูปร่าง”

“โหมดที่สอง: โหมดพัฒนา ภายใตโหมดนี้ บัญญัตินี้จะยังคงวิวัฒนาการตามภารกิจหลัก เมื่อวิวัฒนาการถึงระดับการปฏิวัติ มันจะเปิดการทำงานสำคัญให้ท่าน”

กู่ฉิงซานถามว่า “แน่นอนว่าข้าเลือกโหมดที่สอง แต่การทำงานสำคัญที่เจ้าพูดถึงคืออะไร”

บัญญัติตอบว่า “ในช่วงระดับปฏิวัติ บัญญัติจะค้นหาซากศพโบราณจำนวนมากในสงครามไม่มีสิ้นสุดจากกองขยะที่กระจัดกระจายอยู่ในหมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์แล้วถักทอพวกมันให้กลายเป็นอาวุธชีวภาพที่สามารถใช้เพื่อการสงครามได้ รหัสคือเทพมาร: อาวุธอัญเชิญระดับเบื้องต้นประเภทที่หนึ่ง”

“นายท่าน ข้าจะแปลงเทพมารเบื้องต้นให้กลายเป็นการ์ดเพื่อการแลกเปลี่ยนของท่าน”

กู่ฉิงซานพยักหน้าพลางครุ่นคิด

อาวุธอัญเชิญระดับเบื้องต้น

กลายเป็นว่าพวกมารเหล่านั้นคืออาวุธต่อสู้ที่พื้นฐานที่สุด

ดวงตาของกู่ฉิงซานจ้องไปที่หน้าต่างจุดกำเนิด

แถบยาวที่เป็นตัวแทนพลังวิญญาณยังไหลหลั่งอยู่ตามมาด้วยแถวตัวเลขเพื่อการอธิบาย

“ค่าพลังวิญญาณ: 9,710,000”

หลังจากสังหารสัตว์ประหลาดทะเลทรงพลังจำนวนมาก ในที่สุดพลังวิญญาณของเขาไปถึงจุดที่สามารถใช้ได้ดังใจต้องการ

“จุดกำเนิด ข้ามีพลังวิญญาณมากขนาดนี้ ยังสามารถพัฒนาต่อได้หรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

“ตามหลักการแล้ว จะต้องผ่านหนึ่งภารกิจก่อนจึงจะสามารถเปิดใช้งานโปรแกรมวิวัฒนาการที่เกี่ยวข้องได้” จุดกำเนิดตอบ

“เช่นนั้นจะมัวรออะไรอีก ปล่อยภารกิจออกมาสิ”

“กำลังเตรียมภารกิจ”

แว้บ

บนหน้าต่างโลหิต ภารกิจใหม่ถูกสร้างขึ้นมา

“ชื่อภารกิจ: พัฒนาสิ เจ้าหนู!”

“คำอธิบายภารกิจ: นี่คือช่วงเวลาแห่งการวิวัฒนาการอย่างบ้าคลั่งเพื่อกลายเป็นราชามาร ผู้โหลดบัญญัติที่อ่อนแอเกินไปจะไม่สามารถควบคุมอาวุธชีวภาพจำนวนมากได้ ท่านต้องพัฒนาพละกำลังของตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อพิสูจน์ว่ามีศักยภาพพอที่จะกลายเป็นราชามาร”

“เป้าหมายภารกิจ: กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสามพันโลก”

“รางวัลภารกิจ: เปิดใช้งานโปรแกรมวิวัฒนาการของบัญญัติทันที”

หลังจากอ่านคำสั่งเหล่านี้เสร็จ กู่ฉิงซานหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้าอยากให้เจ้าวิวัฒนาการให้ไว แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะให้ข้าพัฒนาพละกำลังไวขนาดนี้”

“แน่นอน ท่าน ท่านจะต้องเพิ่มพละกำลังให้ไว ไม่อย่างนั้นอาวุธชีวภาพเหล่านั้นอาจจะส่งผลย้อนกลับได้” จุดกำเนิดกล่าว

“ถ้าจำไม่ผิด ตอนนี้ข้าสามารถใช้พลังวิญญาณเพื่อพัฒนาได้ใช่หรือเปล่า”

“ถูกต้อง”

กู่ฉิงซานมองถังพลังวิญญาณที่กำลังเอ่อล้นขึ้นมา

เขากล่าวกับเทพแห่งความเย็นยะเยือก มนุษย์แสงและลั่วปิงหลีว่า “ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะต้องรออีกสักหน่อย บัญญัติต้องการให้ข้ารีบพัฒนาเพื่อเปิดใช้งานตัวเลือกการวิวัฒนาการของมัน”

“นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน เจ้าเริ่มได้เลย พวกข้าจะคุ้มกันให้เอง” เทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าว

มนุษย์แสงกล่าวเช่นกันว่า “ใช่ ในบรรดาพลังของสามเหรียญนั้น พลังจากบัญญัติของราชามารขาดไม่ได้มากที่สุด เจ้าต้องทำเรื่องนี้ให้ดี”

“เช่นนั้นข้าจะเริ่มเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

ลั่วปิงหลีมองเขาก่อนพยักหน้าเล็กน้อย

ทั้งสามแยกออกเป็นสามทางพร้อมกันเพื่อสร้างพื้นที่ให้กับกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพออกไป เห็นเพียงว่าพวกเขายืนประจำที่ตัวเองก่อนเริ่มคุ้มกัน

เขาไม่รออีกต่อไปขณะพ่นสองคำใส่หน้าต่างจุดกำเนิด

“พัฒนา”

บนหน้าต่างจุดกำเนิด ทันใดนั้น แถวตัวอักษรขนาดเล็กเริ่มปรากฏขึ้นมา

“ท่านเลือกการพัฒนา”

แถบพลังวิญญาณใต้การ์ด “ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน” เริ่มเผาไหม้

ตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กยังคงปรากฏขึ้นมา

“พลังวิญญาณถูกใช้ 700,000 แต้ม”

“ท่านกำลังจะเริ่มพัฒนาแล้ว”

“โปรดทราบว่าในครั้งนี้ท่านคือผู้ฝึกยุทธ ครั้งนี้ต้องเผชิญทั้งน้ำและไฟ”

“หลังจากนับถอยหลัง ท่านจะต้องเริ่มลงมือ”

“ห้า”

“สี่”

“สาม”

“สอง”

“หนึ่ง!”

ข้อความทั้งหมดบนหน้าต่างโลหิตหายไป

ลำแสงเปลวเพลิงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนตกกระทบใส่กู่ฉิงซานอย่างแผ่วเบา

ภัยพิบัติไฟมาแล้ว

เส้นไหมสีขาวพันรอบคอของมังกรมาร

ใบหน้าของมังกรมารหยอกล้อขณะกระซิบว่า “จะดึงข้าด้วยนิ้วเดียวอย่างนั้นหรือ”

เขาเอื้อมมือไปฉีกด้าย พุ่งเข้าไปในความมืดแล้วลากนิ้วสีดำขนาดยักษ์ออกมา

กู่ฉิงซานมองอย่างตั้งใจ

ใช่แล้ว นี่คือนิ้วสีดำที่ถูกพันธนาการไว้ในโบสถ์หลอมละลาย!

“ทำไมมันถึงโจมตีท่านล่ะ” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย

มังกรมารอธิบายว่า “มันกำลังยั่วโมโหน่ะ เป้าหมายคือให้ข้าทำลายมัน ตราบที่ทำลายนิ้วนี้ นิ้วจะไปเกิดใหม่บนร่างกาย เท่ากับเป็นการช่วยให้ร่างกายกลับมามีนิ้วอีกครั้ง”

“เป็นแบบนี้เอง แล้วจะรับมือกับนิ้วนี่ยังไง” กู่ฉิงซานถาม

“ทำได้แค่ผนึกเอาไว้ชั่วคราว” มังกรมารตอบ

เขากดนิ้วสีดำลงกับพื้น

นิ้วสีดำขนาดยักษ์จมลงไปช้าๆ ไม่ช้าก็หายไป

มังกรมารยืนขึ้นแล้วถามว่า “เอาล่ะ เจ้าหนู ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทำไมเจ้าไม่มาเลือกสมบัติเสียล่ะ”

เจ้าหนู

ดูท่าระบบประเมินของมังกรที่เฝ้ามองผู้คนจะเหมือนกับของยุคโบราณ

“ช่างเถอะ ข้ายังไม่ต้องการอะไร” กู่ฉิงซานโบกมือ

“ทำไมล่ะ” มังกรมารถามอย่างแปลกประหลาด

“ข้าไม่ต้องการลูกกวาดของคนแปลกหน้าน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

“เจ้าหนู ไม่ต้องห่วง มันเป็นของฟรีจริงๆ ข้าสาบานได้” มังกรมารพยายามใช้เสียงที่อ่อนลง

“ข้าเพิ่งได้รับคำเตือนมาว่าเด็กไม่สามารถเข้าใกล้ท่านได้หากไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

มังกรมารมองกู่ฉิงซานด้วยสีหน้าแปลกประหลาดก่อนพึมพำด้วยความไม่เข้าใจออกมา “เจ้ามาถึงที่นี่เพียงลำพัง ถือกุญแจเอาไว้ ทำตัวเหมือนสิ่งประดิษฐ์วิญญาณขยะ ทั้งที่มีพลังมากกว่ามารแก่กล้ามากมาย ข้าก็คิดว่าจะไม่ใช่เด็กดีที่ยอมทำตามกฎเสียอีก”

“อย่ามาปั่นประสาทข้านะ เด็กอย่างข้ายังไม่ถึงวัยแรกรุ่น ดังนั้นยังมีความรู้สึกว่าชีวิตสำคัญกว่าการดื้อรั้น” กู่ฉิงซานกล่าวพลางอ้าแขน

มังกรมารเงียบไปสักพัก จากนั้นกล่าวว่า “แต่ก็น่าเสียดายถ้าเจ้าทำแบบนี้ เพราะเจ้าจะไม่ได้สมบัติอะไรเลย เจ้าจะได้เพียงของขวัญที่เรียบง่ายที่สุดเท่านั้น”

“ข้าไม่ต้องการของขวัญหรืออะไรหรอก ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย” กู่ฉิงซานกล่าว

แผ่นวงกลมใต้เท้าของเขาถามว่า “ท่านจะให้ข้าส่งออกไปหรือไม่”

“แน่นอนว่าศูนย์กักกันหุบเหวไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย ตามกฎหมายคุ้มครองผู้เยาว์ ข้าจะต้องส่งท่านไปโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ท่านตัดสินใจจะไปตอนนี้หรือไม่” แผ่นวงกลมถามต่อ

กู่ฉิงซานมองมังกรมาร

มังกรมารมองเขา ปากปิดสนิท

อืม

มังกรมารไม่พูดอะไรจริงๆ ไม่ห้าม ไม่เอาของขวัญมาล่ออีก

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่ต้องการตอนนี้ ข้าต้องไป”

มังกรมารแผดเสียงคำรามออกมาขณะวิ่งมาที่จอแสงแล้วต่อยกู่ฉิงซาน

ความว่างเปล่าบิดเบี้ยว

คลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนก่อเกิดราวกับสายฝนศักดิ์สิทธิ์บนทะเลสาบขณะกระจายเป็นวงกว้างไปทุกทิศทาง

กู่ฉิงซานยังปลอดภัยดี

“ชิ ข้าคิดว่าท่านจะอดทนกว่านี้เสียอีก” เขากล่าวอย่างเสียดาย

มังกรมารมองเขาอย่างหมองหม่นแล้วถามว่า “เจ้าเคยเห็นมันมาก่อนงั้นหรือ”

กู่ฉิงซานตอบว่า “ง่ายมาก ข้อดีของพละกำลังมหาศาลคือไม่ต้องห่วงความคิดของคนอื่น ข้าเดาว่าหลังจากจบยุคโบราณ ท่านจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกมาร ดังนั้นจึงใช้มันได้โดยไม่ต้องปกปิดอะไร”

“ยกตัวอย่างมาได้หรือเปล่า” มังกรมารถาม

“ยกตัวอย่างก็ท่านจะถวิลหาถึงการแลกเปลี่ยนมากมาย น่าเสียดาย ผู้ถักทอชีวิตหุบเหวไม่ได้มีความคิดเหล่านี้ มันคิดว่าการปล่อยท่านไปคือความเมตตาที่สุดแล้วถึงแม้ความเมตตานี้จะเป็นแค่คำโกหกก็ตาม” กู่ฉิงซานตอบ

“คาดไม่ถึง เจ้าจะฉลาดกว่าสัตว์ประหลาดนั่น แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีมูลค่าในการแลกเปลี่ยน” มังกรมารกล่าว

กู่ฉิงซานยืดอกแล้วกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะยังเป็นเด็ก แต่ก็มีประสบการณ์ทางสังคมในระดับหนึ่ง ตอนท่านทดสอบพละกำลังของผู้ถักทอชีวิตหุบเหว ข้าก็มองออกแล้ว”

กู่ฉิงซานมองมังกรมารแล้วกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อนว่า “ท่านถวิลหาถึงผลประโยชน์ของผู้ถักทอชีวิตหุบเหว หรือก็คือ ท่านถวิลหาถึงพลังของหุบเหว”

มังกรมารจ้องมองกู่ฉิงซาน ผ่านไปสักพักใหญ่จึงพูดออกมาสี่พยางค์ “เจ้าเด็กฉลาด”

“จริงๆ ข้าสับสนนะ ในฐานะอาวุธของมนุษย์ ทำไมท่านอยากได้พลังของอีกฝ่ายล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

มังกรมารตอบอย่างหยอกล้อว่า “มดก็อยากได้ยินเสียงฟ้าร้องบนท้องฟ้าไม่ใช่หรือ”

“มดไม่ต้องมีภัยคุกคามใดๆ เพียงแค่เคารพในพลังอันยิ่งใหญ่ก็พอ” กู่ฉิงซานตอบอย่างสงบ

มังกรมารถอนหายใจ “โลกเปลี่ยนไปแล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกวันนี้ไม่แม้แต่จะเอาชนะข้าได้ หลังจากผู้ถักทอชีวิตหุบเหวปกครองสัตว์ประหลาดทะเล ข้าก็เริ่มศึกษาเรื่องมาร เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ”

“มาร…” กู่ฉิงซานครวญครางออกมา “มารคือแหล่งกำเนิดพลัง ทันทีที่มารถูกควบคุมโดยผู้ถักทอชีวิตหุบเหว สายเลือดมังกรของท่านก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป พลังก็จะไม่วิวัฒนาการ เพราะไม่ได้รับพลังเพิ่มเติม ทำให้ท่านเริ่มศึกษาเกี่ยวกับหุบเหวหรือ”

“ใช่ ข้าเองก็อยากมีชีวิตเหมือนกัน” มังกรมารตอบ

“เช่นนั้นทำไมท่านอยากฆ่าข้าล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

มังกรมารพลันคำรามออกมา “ข้าเกลียดเผ่าพันธุ์มนุษย์!”

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่ตอนที่ข้าเลือกจะอยู่หรือไป อารมณ์ของท่านยังควบคุมได้ แต่หลังจากข้าเลือกที่จะไป เห็นได้ชัดว่าท่านผิดหวังก่อนเข้ามาโจมตีข้า”

“ความจริง ข้าก็เป็นแค่มด ต่อให้อยู่ไปจะทำอะไรได้”

กู่ฉิงซานนิ่งแล้วกล่าวต่อว่า “เว้นแต่…ข้าสามารถส่งผลบางอย่างกับท่านได้จริงๆ ”

“แต่พละกำลังของข้าต่ำนัก…”

“ดูท่ามันจะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับพลัง”

กู่ฉิงซานพลันถามว่า “เป็นตัวตนของข้าหรือที่ท่านเกรงกลัว”

มังกรมารตั้งใจฟังจนกระทั่งสีหน้าพลันเปลี่ยนไป

“ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรเพิ่มเติมอีก ข้าจะปล่อยผู้ถักทอชีวิตหุบเหว ทุกคนจะต้องจบสิ้นไปด้วยกัน” เขาคำรามออกมา

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วกล่าวว่า “ความจริง พวกเราสองคนสามารถสร้างพันธมิตรเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันได้ ทำไมพวกเราต้องตายไปด้วยกันล่ะ”

“สหายอย่างพวกเจ้าไม่มีทางนำประโยชน์ใดๆ มาให้ข้าได้!” มังกรมารกล่าว

“จริงหรือ ลองคิดดีๆ ก่อน” กู่ฉิงซานขอ

เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขา ความโกรธในใจของมังกรมารทุเลาลงเล็กน้อย

ผลประโยชน์…

นี่คือศูนย์กักกันสัตว์ประหลาดหุบเหวที่ถูกออกแบบโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงย่อมต้องอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่แล้ว

ถึงแม้เผ่าพันธุ์มนุษย์นี้จะอ่อนแอ แต่ก็อย่าได้ดูถูกไป

ไม่จำเป็นต้องพูดมากไปกว่านี้ แค่ให้ทำสิ่งนั้นก็พอ

มังกรมารกล่าวว่า “เจ้ายังพอจะช่วยข้าได้อยู่”

“เชิญว่ามา ข้าสามารถทำได้แน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยถ่ายทอดคำสั่งต่อไป”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงสัยว่า “ข้าก็แค่เด็กธรรมดา เกรงว่าจะทำเรื่องนี้ไม่ได้”

“ไม่ เพราะเมื่อจบยุคโบราณ จะไม่มีใครอยู่ที่นี่ ดังนั้นกฎการตัดสินแห่งปัญญาจึงบังคับใช้น้อยที่สุดจนเหลือแค่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์คนไหนก็ได้”

กู่ฉิงซานพยักหน้าพลางครุ่นคิด

มังกรมารเตือนว่า “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเล่นตุกติกจะดีที่สุด ข้าจำเจ้าได้แล้ว ตราบที่เจ้าทำการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยขึ้นมา ข้าจะพยายามทำลายที่นี่อย่างสุดความสามารถ”

กู่ฉิงซานยิ้ม

“ใช่” เขากล่าวช้าๆ “ท่านไม่ใช่แค่ทรงพลัง แต่ยังฉลาดมากอีกด้วย แถมยังสงสัยใคร่รู้มากเช่นกัน ท่านผู้สามารถปล่อยผู้ถักทอชีวิตหุบเหวได้ทุกเมื่อจะตื่นขึ้นและจำข้าได้ พวกเราต่างเกรงกลัวซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์แบบนี้มันน่าเบื่อชะมัด คงดีกว่าถ้าเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” มังกรมารถามด้วยความไม่เข้าใจ

“หมายความว่าข้าจะกลับมาโดยไม่ให้ท่านรู้ยังไงล่ะ”

มังกรมารจ้องมองเขาราวกับกำลังมองคนบ้า

“ลาก่อน ข้าจะไปพบท่านอีกคน”

กู่ฉิงซานแตะแผ่นวงกลม

“ทีนี้ก็ส่งข้าได้แล้ว”

เส้นไหมสีขาวพันรอบคอของมังกรมาร

ใบหน้าของมังกรมารหยอกล้อขณะกระซิบว่า “จะดึงข้าด้วยนิ้วเดียวอย่างนั้นหรือ”

เขาเอื้อมมือไปฉีกด้าย พุ่งเข้าไปในความมืดแล้วลากนิ้วสีดำขนาดยักษ์ออกมา

กู่ฉิงซานมองอย่างตั้งใจ

ใช่แล้ว นี่คือนิ้วสีดำที่ถูกพันธนาการไว้ในโบสถ์หลอมละลาย!

“ทำไมมันถึงโจมตีท่านล่ะ” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย

มังกรมารอธิบายว่า “มันกำลังยั่วโมโหน่ะ เป้าหมายคือให้ข้าทำลายมัน ตราบที่ทำลายนิ้วนี้ นิ้วจะไปเกิดใหม่บนร่างกาย เท่ากับเป็นการช่วยให้ร่างกายกลับมามีนิ้วอีกครั้ง”

“เป็นแบบนี้เอง แล้วจะรับมือกับนิ้วนี่ยังไง” กู่ฉิงซานถาม

“ทำได้แค่ผนึกเอาไว้ชั่วคราว” มังกรมารตอบ

เขากดนิ้วสีดำลงกับพื้น

นิ้วสีดำขนาดยักษ์จมลงไปช้าๆ ไม่ช้าก็หายไป

มังกรมารยืนขึ้นแล้วถามว่า “เอาล่ะ เจ้าหนู ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทำไมเจ้าไม่มาเลือกสมบัติเสียล่ะ”

เจ้าหนู

ดูท่าระบบประเมินของมังกรที่เฝ้ามองผู้คนจะเหมือนกับของยุคโบราณ

“ช่างเถอะ ข้ายังไม่ต้องการอะไร” กู่ฉิงซานโบกมือ

“ทำไมล่ะ” มังกรมารถามอย่างแปลกประหลาด

“ข้าไม่ต้องการลูกกวาดของคนแปลกหน้าน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

“เจ้าหนู ไม่ต้องห่วง มันเป็นของฟรีจริงๆ ข้าสาบานได้” มังกรมารพยายามใช้เสียงที่อ่อนลง

“ข้าเพิ่งได้รับคำเตือนมาว่าเด็กไม่สามารถเข้าใกล้ท่านได้หากไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

มังกรมารมองกู่ฉิงซานด้วยสีหน้าแปลกประหลาดก่อนพึมพำด้วยความไม่เข้าใจออกมา “เจ้ามาถึงที่นี่เพียงลำพัง ถือกุญแจเอาไว้ ทำตัวเหมือนสิ่งประดิษฐ์วิญญาณขยะ ทั้งที่มีพลังมากกว่ามารแก่กล้ามากมาย ข้าก็คิดว่าจะไม่ใช่เด็กดีที่ยอมทำตามกฎเสียอีก”

“อย่ามาปั่นประสาทข้านะ เด็กอย่างข้ายังไม่ถึงวัยแรกรุ่น ดังนั้นยังมีความรู้สึกว่าชีวิตสำคัญกว่าการดื้อรั้น” กู่ฉิงซานกล่าวพลางอ้าแขน

มังกรมารเงียบไปสักพัก จากนั้นกล่าวว่า “แต่ก็น่าเสียดายถ้าเจ้าทำแบบนี้ เพราะเจ้าจะไม่ได้สมบัติอะไรเลย เจ้าจะได้เพียงของขวัญที่เรียบง่ายที่สุดเท่านั้น”

“ข้าไม่ต้องการของขวัญหรืออะไรหรอก ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย” กู่ฉิงซานกล่าว

แผ่นวงกลมใต้เท้าของเขาถามว่า “ท่านจะให้ข้าส่งออกไปหรือไม่”

“แน่นอนว่าศูนย์กักกันหุบเหวไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย ตามกฎหมายคุ้มครองผู้เยาว์ ข้าจะต้องส่งท่านไปโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ท่านตัดสินใจจะไปตอนนี้หรือไม่” แผ่นวงกลมถามต่อ

กู่ฉิงซานมองมังกรมาร

มังกรมารมองเขา ปากปิดสนิท

อืม

มังกรมารไม่พูดอะไรจริงๆ ไม่ห้าม ไม่เอาของขวัญมาล่ออีก

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่ต้องการตอนนี้ ข้าต้องไป”

มังกรมารแผดเสียงคำรามออกมาขณะวิ่งมาที่จอแสงแล้วต่อยกู่ฉิงซาน

ความว่างเปล่าบิดเบี้ยว

คลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนก่อเกิดราวกับสายฝนศักดิ์สิทธิ์บนทะเลสาบขณะกระจายเป็นวงกว้างไปทุกทิศทาง

กู่ฉิงซานยังปลอดภัยดี

“ชิ ข้าคิดว่าท่านจะอดทนกว่านี้เสียอีก” เขากล่าวอย่างเสียดาย

มังกรมารมองเขาอย่างหมองหม่นแล้วถามว่า “เจ้าเคยเห็นมันมาก่อนงั้นหรือ”

กู่ฉิงซานตอบว่า “ง่ายมาก ข้อดีของพละกำลังมหาศาลคือไม่ต้องห่วงความคิดของคนอื่น ข้าเดาว่าหลังจากจบยุคโบราณ ท่านจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกมาร ดังนั้นจึงใช้มันได้โดยไม่ต้องปกปิดอะไร”

“ยกตัวอย่างมาได้หรือเปล่า” มังกรมารถาม

“ยกตัวอย่างก็ท่านจะถวิลหาถึงการแลกเปลี่ยนมากมาย น่าเสียดาย ผู้ถักทอชีวิตหุบเหวไม่ได้มีความคิดเหล่านี้ มันคิดว่าการปล่อยท่านไปคือความเมตตาที่สุดแล้วถึงแม้ความเมตตานี้จะเป็นแค่คำโกหกก็ตาม” กู่ฉิงซานตอบ

“คาดไม่ถึง เจ้าจะฉลาดกว่าสัตว์ประหลาดนั่น แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีมูลค่าในการแลกเปลี่ยน” มังกรมารกล่าว

กู่ฉิงซานยืดอกแล้วกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะยังเป็นเด็ก แต่ก็มีประสบการณ์ทางสังคมในระดับหนึ่ง ตอนท่านทดสอบพละกำลังของผู้ถักทอชีวิตหุบเหว ข้าก็มองออกแล้ว”

กู่ฉิงซานมองมังกรมารแล้วกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อนว่า “ท่านถวิลหาถึงผลประโยชน์ของผู้ถักทอชีวิตหุบเหว หรือก็คือ ท่านถวิลหาถึงพลังของหุบเหว”

มังกรมารจ้องมองกู่ฉิงซาน ผ่านไปสักพักใหญ่จึงพูดออกมาสี่พยางค์ “เจ้าเด็กฉลาด”

“จริงๆ ข้าสับสนนะ ในฐานะอาวุธของมนุษย์ ทำไมท่านอยากได้พลังของอีกฝ่ายล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

มังกรมารตอบอย่างหยอกล้อว่า “มดก็อยากได้ยินเสียงฟ้าร้องบนท้องฟ้าไม่ใช่หรือ”

“มดไม่ต้องมีภัยคุกคามใดๆ เพียงแค่เคารพในพลังอันยิ่งใหญ่ก็พอ” กู่ฉิงซานตอบอย่างสงบ

มังกรมารถอนหายใจ “โลกเปลี่ยนไปแล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกวันนี้ไม่แม้แต่จะเอาชนะข้าได้ หลังจากผู้ถักทอชีวิตหุบเหวปกครองสัตว์ประหลาดทะเล ข้าก็เริ่มศึกษาเรื่องมาร เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ”

“มาร…” กู่ฉิงซานครวญครางออกมา “มารคือแหล่งกำเนิดพลัง ทันทีที่มารถูกควบคุมโดยผู้ถักทอชีวิตหุบเหว สายเลือดมังกรของท่านก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป พลังก็จะไม่วิวัฒนาการ เพราะไม่ได้รับพลังเพิ่มเติม ทำให้ท่านเริ่มศึกษาเกี่ยวกับหุบเหวหรือ”

“ใช่ ข้าเองก็อยากมีชีวิตเหมือนกัน” มังกรมารตอบ

“เช่นนั้นทำไมท่านอยากฆ่าข้าล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

มังกรมารพลันคำรามออกมา “ข้าเกลียดเผ่าพันธุ์มนุษย์!”

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่ตอนที่ข้าเลือกจะอยู่หรือไป อารมณ์ของท่านยังควบคุมได้ แต่หลังจากข้าเลือกที่จะไป เห็นได้ชัดว่าท่านผิดหวังก่อนเข้ามาโจมตีข้า”

“ความจริง ข้าก็เป็นแค่มด ต่อให้อยู่ไปจะทำอะไรได้”

กู่ฉิงซานนิ่งแล้วกล่าวต่อว่า “เว้นแต่…ข้าสามารถส่งผลบางอย่างกับท่านได้จริงๆ ”

“แต่พละกำลังของข้าต่ำนัก…”

“ดูท่ามันจะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับพลัง”

กู่ฉิงซานพลันถามว่า “เป็นตัวตนของข้าหรือที่ท่านเกรงกลัว”

มังกรมารตั้งใจฟังจนกระทั่งสีหน้าพลันเปลี่ยนไป

“ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรเพิ่มเติมอีก ข้าจะปล่อยผู้ถักทอชีวิตหุบเหว ทุกคนจะต้องจบสิ้นไปด้วยกัน” เขาคำรามออกมา

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วกล่าวว่า “ความจริง พวกเราสองคนสามารถสร้างพันธมิตรเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันได้ ทำไมพวกเราต้องตายไปด้วยกันล่ะ”

“สหายอย่างพวกเจ้าไม่มีทางนำประโยชน์ใดๆ มาให้ข้าได้!” มังกรมารกล่าว

“จริงหรือ ลองคิดดีๆ ก่อน” กู่ฉิงซานขอ

เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขา ความโกรธในใจของมังกรมารทุเลาลงเล็กน้อย

ผลประโยชน์…

นี่คือศูนย์กักกันสัตว์ประหลาดหุบเหวที่ถูกออกแบบโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงย่อมต้องอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่แล้ว

ถึงแม้เผ่าพันธุ์มนุษย์นี้จะอ่อนแอ แต่ก็อย่าได้ดูถูกไป

ไม่จำเป็นต้องพูดมากไปกว่านี้ แค่ให้ทำสิ่งนั้นก็พอ

มังกรมารกล่าวว่า “เจ้ายังพอจะช่วยข้าได้อยู่”

“เชิญว่ามา ข้าสามารถทำได้แน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยถ่ายทอดคำสั่งต่อไป”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงสัยว่า “ข้าก็แค่เด็กธรรมดา เกรงว่าจะทำเรื่องนี้ไม่ได้”

“ไม่ เพราะเมื่อจบยุคโบราณ จะไม่มีใครอยู่ที่นี่ ดังนั้นกฎการตัดสินแห่งปัญญาจึงบังคับใช้น้อยที่สุดจนเหลือแค่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์คนไหนก็ได้”

กู่ฉิงซานพยักหน้าพลางครุ่นคิด

มังกรมารเตือนว่า “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเล่นตุกติกจะดีที่สุด ข้าจำเจ้าได้แล้ว ตราบที่เจ้าทำการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยขึ้นมา ข้าจะพยายามทำลายที่นี่อย่างสุดความสามารถ”

กู่ฉิงซานยิ้ม

“ใช่” เขากล่าวช้าๆ “ท่านไม่ใช่แค่ทรงพลัง แต่ยังฉลาดมากอีกด้วย แถมยังสงสัยใคร่รู้มากเช่นกัน ท่านผู้สามารถปล่อยผู้ถักทอชีวิตหุบเหวได้ทุกเมื่อจะตื่นขึ้นและจำข้าได้ พวกเราต่างเกรงกลัวซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์แบบนี้มันน่าเบื่อชะมัด คงดีกว่าถ้าเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” มังกรมารถามด้วยความไม่เข้าใจ

“หมายความว่าข้าจะกลับมาโดยไม่ให้ท่านรู้ยังไงล่ะ”

มังกรมารจ้องมองเขาราวกับกำลังมองคนบ้า

“ลาก่อน ข้าจะไปพบท่านอีกคน”

กู่ฉิงซานแตะแผ่นวงกลม

“ทีนี้ก็ส่งข้าได้แล้ว”

ขณะกู่ฉิงซานฟังคำอธิบาย การเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้นในความมืดที่เขาอยู่

เสียงจักรกลเย็นเยือกดังขึ้น

“พบกุญแจสู่ช่องทางหุบเหว”

ในความมืดไม่มีสิ้นสุด แสงสายหนึ่งสาดส่องมาจากท้องนภาก่อนตกกระทบบนกุญแจสามเหลี่ยม

กุญแจสามเหลี่ยมยังคงส่งเสียง “ฉ่าๆ ”

“ยืนยันความถูกต้องของกุญแจ”

“ข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้รับการตรวจสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว”

เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน จอแสงปรากฏขึ้นมา

เขาเห็นจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งยืนอยู่หน้าประตูโลหะยักษ์ขณะออกแรงผลักประตูอย่างหนัก

ประตูส่งเสียงครืน

เสียงจักรกลดังขึ้นอีกครั้ง

“เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการยืนยันแล้ว”

“หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์ ยืนยันได้ว่าระดับภัยคุกคามของเหตุการณ์นี้: ร้ายแรง”

“ทำการเรียกวิญญาณมังกรให้มารับมือ”

เสียงจักรกลหายไป

บนจอ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเปิดประตู

เขาระเบิดเสียงหัวเราะคมปลาบออกมา เมื่อก้าวข้ามประตู เขาเดินและกระโดดราวกับกำลังฉลองให้กับบางสิ่ง

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเป็นชายวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโอ่อ่าอย่างเห็นได้ชัด แต่เขายังคงแสดงการร่ายรำอันมีเสน่ห์อย่างต่อเนื่อง มันช่างดูแปลกประหลาดสุดบรรยาย

เขาก้าวเข้าสู่ความมืดไม่มีสิ้นสุดในประตู

ในเวลาเดียวกัน เสียงจักรกลเย็นเยือกดังขึ้นอีกครั้ง

“วิญญาณมังกรได้รับข่าวแล้ว กำลังเดินทางมา”

“เริ่มประมวลเหตุการณ์”

สิ้นเสียงนี้ สถานการณ์ใหม่ปรากฏขึ้นบนจอแสง

กลุ่มสายลมหวีดหวิวจับตัวเป็นของแข็งจากอากาศบางขณะขวางทางจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเอาไว้

“น่าเสียดาย ข้างหน้านี้มีประตูอยู่จริง คงยอมให้ปล่อยออกมาไม่ได้หรอก”

สายลมหวีดหวิวค่อยๆ หลอมรวมเป็นรูปลักษณ์คนขึ้นมา

“มังกร!”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งร้องเสียงหลง

เสียงของเขาออกสาวอย่างสมบูรณ์

“ข้าเอง ขอโทษด้วย ครั้งนี้ข้าจะมาทำลายแผนของเจ้าอีกครั้ง”

ร่างดังกล่าวเดินออกมาจากความมืด

เขามีเขาคมกริบสีดำหนึ่งคู่บนศีรษะและไว้เครา แม้จะดูมีอายุ แต่แววตายังคมปลาบและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา รูปร่างกำยำ สวมเสื้อคลุมยาวสีดำ

นี่คือวิญญาณมังกร

ถึงร่างกายจะหลับใหลอยู่ แต่วิญญาณกลับปรากฏออกมาชั่วคราวเพื่อมาขวางทางจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

“ช่างน่าเสียดายที่ได้มารอ่อนแอมาเป็นภาชนะ ถ้าเช่นนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องตื่นขึ้นมาก็สามารถเก็บกวาดเจ้าได้ด้วยการใช้แค่วิญญาณ”

มังกรมารคล้ายกับรู้สึกเสียดายขณะส่ายหน้าเล็กน้อย เขาแหลมสีดำหนึ่งคู่บนศีรษะก็สั่นไหวเช่นกัน

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งอ้าปากออกมา เสียงหญิงสาวดังขึ้น เสียงดังกล่าวเหมือนกับคมดาบทะลวงอากาศ

“ไอ้สุนัขเฝ้าบ้านตัวนี้นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะคุกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ล่ะก็เจ้าก็ขังข้าไม่ได้หรอก!”

“ก็จริง” มังกรมารยอมรับ

เขาลูบแหวนที่อยู่บนมืออีกข้างอย่างแผ่วเบาราวกับเป็นการเคลื่อนไหวโดยจิตใต้สำนึก

เขาสวมแหวนไว้ทุกนิ้ว

แหวนบางวงแผ่แสงสีทองหม่นออกมา แหวนบางวงส่องแสงสีม่วงเข้มเลือนรางออกมา แหวนหรูหราบางวงมีอัญมณีหลากสีสันฝังเอาไว้

เห็นได้ชัดว่าแหวนเหล่านี้เป็นของสวมใส่ที่มีค่านัก…

“ปล่อยข้าไป นับจากนี้พวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้ว” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งจ้องมังกรมาร

มังกรมารเลิกเล่นแหวนตัวเองแล้ว

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ นานทีปีหนพวกเราจะเจอหน้ากัน ไม่มีเรื่องสำคัญจะพูดหรอกหรือ” เขาถามอย่างหงุดหงิด

“เจ้าคุ้มกันที่นี่มาหลายร้อยล้านปี ข้ารู้ เจ้าเองก็อยากเป็นอิสระจากพันธนาการใช่ไหมล่ะ” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

“ผู้ถักทอชีวิต เจ้าไม่ทำให้ข้าประทับใจเอาเสียเลย”

“ขอแค่เจ้าปล่อยข้าไป เจ้าก็ไม่ต้องคุ้มกันที่นี่อีกต่อไปแล้ว”

มังกรมารฟังอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา

“นี่คือเงื่อนไขของเจ้าหรือ น่าเบื่อเกินไปแล้ว ข้ากินและนอนที่นี่ ทุกๆ แสนปี ข้าก็สามารถวิวัฒนาการได้ด้วยการกลืนกินพลังสายเลือดเข้าไป ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าแล้ว”

“แข็งแกร่งกว่าข้าหรือ”

ใบหน้าของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเผยความเหยียดหยันออกมา

“เจ้ามังกรมาร มนุษย์เพียงมอบความรู้ผิวเผินให้กับเจ้า เจ้ามัวแต่สับสนกับความรู้เหล่านี้จนไม่อาจเข้าใจความจริงทั้งหมดได้”

“ความจริงอะไร” มังกรมารถาม

“โลกนั้นไร้ขีดจำกัด ทุกสิ่งที่มนุษย์รู้เป็นเพียงหยดน้ำในทะเลของโลกอันไร้ขอบเขต ไม่ว่าพวกมันจะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจเข้าใจความจริงที่อยู่เหนือทุกตัวตนได้หรอก”

“แต่พวกเขาก็ฆ่าเจ้าได้” มังกรมารกล่าวอย่างสงบ

“พวกมันก็แค่พยายามสุดความสามารถจนทำลายร่างกายของข้าได้ตอนที่พละกำลังข้าอยู่ในจุดอ่อนแอที่สุดหลังจากผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมาห้าครั้ง”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งยิ้มอย่างมีชัย “เจ้ามนุษย์ที่น่าสงสารไม่ได้เข้าใจว่าความนิรันดร์คืออะไร ส่วนเจ้าที่เป็นสัตว์ร้ายก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับข้ายังไง”

“ข้าก็แค่ต้องขังเจ้าเอาไว้เท่านั้น”

หลังจากมังกรมารกล่าวจบ เขายื่นมือออกไปจบจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งอย่างแผ่วเบา

“เปรี้ยะ!”

มีเสียงเด่นชัดดังขึ้น

ร่างของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งแตกสลายเป็นโลหิตหนาทันที

ฟองโลหิตเหล่านี้ไม่สลายไป มันรวมตัวอีกครั้งในอากาศ กลิ้งไปมาไม่หยุดหย่อน ไม่ช้าก็ก่อตัวเป็นภาพหญิงสาวขึ้นมา

แต่มังกรมารไม่ให้โอกาสอีกฝ่าย

เขาอ้าปากก่อนปล่อยเปลวเพลิงสีน้ำเงินอ่อนออกมา

เปลวเพลิงพุ่งออกไป เมื่อสัมผัสเข้ากับหยดโลหิตก็เกิดการเผาไหม้ขึ้นมาในฉับพลัน

เสียงหญิงสาวเคร่งขรึมดังขึ้นจากเปลวเพลิง

“เจ้ามังกรมาร อย่าพลาดท่าให้ข้าก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้น ข้าจะต้องทำลายร่างกายของเจ้าเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน!”

เปลวไฟที่โหมกระหน่ำสลายทุกสิ่งจนกลายเป็นเถ้า

เสียงหญิงสาวหายไป

มังกรมารเลิกสนใจก่อนหันศีรษะไปมองจอแสง

ดวงตาของเขากวาดผ่านอุปสรรคทั้งหลายก่อนจับจ้องมาที่กู่ฉิงซาน

“เผ่าพันธุ์มนุษย์พบเจอได้ยากนัก ขอบคุณที่เตือนข้า หายนะที่นี่จึงได้ถูกคลี่คลายลง”

มังกรมารกล่าว

“ด้วยความยินดี ยังไงเสีย ข้าพบเรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

มังกรมารกล่าวว่า “ข้าอยากตบรางวัลให้นัก เจ้าคงไม่รู้ว่าโลกมารทั้งหมดเป็นของข้า สมบัติทุกชิ้นในโลกมาร ข้าสามารถหยิบมาเมื่อไหร่ก็ได้”

“มันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก” กู่ฉิงซานชื่นชม

มังกรมารครุ่นคิดสักพัก จากนั้นกล่าวว่า “เอาแบบนี้ เพราะสถานการณ์เร่งด่วน ประกอบกับบทบาทของเจ้า ข้ามีสมบัติสามชิ้นจากโลกมารให้เจ้าเลือก เจ้าสามารถเลือกหนึ่งชิ้นไปเป็นรางวัลได้”

“ข้าไม่สมควรได้รับ” กู่ฉิงซานกล่าว

“ไม่ เจ้าสมควรได้รับ มาเอาไปได้เลย” มังกรมารกล่าว

“แต่ข้าไม่รู้ว่าจะไปหาท่านได้ยังไง” กู่ฉิงซานกล่าว

มังกรมารหัวเราะออกมา “ง่ายมาก เจ้าแค่สั่งแผ่นวงกลมแล้วบอกว่าเจ้าจะมาหาข้า”

“ฟังดูง่ายมากเลย” กู่ฉิงซานยิ้มออกมาเช่นกัน

“ก็มันง่ายจริงๆ นี่” มังกรมารกล่าวซ้ำ

พวกเขามองหน้ากันก่อนเผยรอยยิ้มออกมา

แต่กู่ฉิงซานไม่ขยับ

มังกรมารถามอย่างสงสัยว่า “เป็นอะไรหรือ”

ขณะถาม เขาเล่นกับแหวนในมือ

กู่ฉิงซานมองมังกรมารแล้วกล่าวว่า “มีสถานการณ์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ข้าคิดว่าท่านต้องรู้ให้ได้”

“สถานการณ์พิเศษหรือ” มังกรมารนิ่ง

“ใช่ สถานการณ์นี้มากพอจะเป็นภัยคุกคามสวรรค์ดึกดำบรรพ์กับโลกมารดึกดำบรรพ์ ทันทีที่ถึงขั้นนั้น ทั้งสองโลกจะถูกทำลาย” กู่ฉิงซานกล่าว

มังกรมารชำเลืองมองกู่ฉิงซานด้วยความคาดไม่ถึง

มังกรมารหยุดเล่นแหวนในมือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ว่ามา”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “วิญญาณกรีดร้องกำลังยึดครองสวรรค์ดึกดำบรรพ์ มันใช้กองกำลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อสร้างอาวุธขึ้นมา”

กู่ฉิงซานบอกความจริงไปตามตรง

มังกรมารตั้งใจฟัง ใบหน้าเปี่ยมด้วยความครุ่นคิด

“กลายเป็นว่า…นี่เป็นเรื่องคาดไม่ถึงจริงๆ พวกเราควรทำอย่างไรดี”

เขาพึมพำ

เกิดความเงียบอยู่หลายอึดใจ

“ข้อมูลของเจ้ามีค่านัก โปรดมาหาข้าเพื่อรับรางวัลเลย จากนั้นข้าจะไปสวรรค์ดึกดำบรรพ์กับเจ้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น” มังกรมารกล่าว

“ท่านวางแผนจะไปสวรรค์ดึกดำบรรพ์จริงๆ หรือ” กู่ฉิงซานถามอย่างยินดี

มังกรมารตอบด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “แน่นอน นี่คือสิ่งที่จะปล่อยผ่านไม่ได้ ข้าจะไม่นั่งมองเผ่าพันธุ์เทพและเผ่าพันธุ์บรรพกาลที่ถูกควบคุมโดยสัตว์ประหลาดหุบเหวมาทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหลือเด็ดขาด”

“แบบนั้นเยี่ยมไปเลย” กู่ฉิงซานพยักหน้า

ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เขายังไม่ขยับ ไม่แม้แต่จะออกคำสั่งกับแผ่นวงกลมใต้เท้าตัวเอง

มังกรมารจ้องเขาและไม่พูดอะไรพักใหญ่

ทันใดนั้น ในความมืดไม่มีสิ้นสุดด้านหลังมังกรมาร เส้นไหมสีขาวบางพันรอบคอของเขาอย่างเงียบงัน

ขณะกู่ฉิงซานฟังคำอธิบาย การเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้นในความมืดที่เขาอยู่

เสียงจักรกลเย็นเยือกดังขึ้น

“พบกุญแจสู่ช่องทางหุบเหว”

ในความมืดไม่มีสิ้นสุด แสงสายหนึ่งสาดส่องมาจากท้องนภาก่อนตกกระทบบนกุญแจสามเหลี่ยม

กุญแจสามเหลี่ยมยังคงส่งเสียง “ฉ่าๆ ”

“ยืนยันความถูกต้องของกุญแจ”

“ข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้รับการตรวจสอบเพื่อยืนยันความถูกต้องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว”

เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน จอแสงปรากฏขึ้นมา

เขาเห็นจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งยืนอยู่หน้าประตูโลหะยักษ์ขณะออกแรงผลักประตูอย่างหนัก

ประตูส่งเสียงครืน

เสียงจักรกลดังขึ้นอีกครั้ง

“เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการยืนยันแล้ว”

“หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์ ยืนยันได้ว่าระดับภัยคุกคามของเหตุการณ์นี้: ร้ายแรง”

“ทำการเรียกวิญญาณมังกรให้มารับมือ”

เสียงจักรกลหายไป

บนจอ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเปิดประตู

เขาระเบิดเสียงหัวเราะคมปลาบออกมา เมื่อก้าวข้ามประตู เขาเดินและกระโดดราวกับกำลังฉลองให้กับบางสิ่ง

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเป็นชายวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโอ่อ่าอย่างเห็นได้ชัด แต่เขายังคงแสดงการร่ายรำอันมีเสน่ห์อย่างต่อเนื่อง มันช่างดูแปลกประหลาดสุดบรรยาย

เขาก้าวเข้าสู่ความมืดไม่มีสิ้นสุดในประตู

ในเวลาเดียวกัน เสียงจักรกลเย็นเยือกดังขึ้นอีกครั้ง

“วิญญาณมังกรได้รับข่าวแล้ว กำลังเดินทางมา”

“เริ่มประมวลเหตุการณ์”

สิ้นเสียงนี้ สถานการณ์ใหม่ปรากฏขึ้นบนจอแสง

กลุ่มสายลมหวีดหวิวจับตัวเป็นของแข็งจากอากาศบางขณะขวางทางจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเอาไว้

“น่าเสียดาย ข้างหน้านี้มีประตูอยู่จริง คงยอมให้ปล่อยออกมาไม่ได้หรอก”

สายลมหวีดหวิวค่อยๆ หลอมรวมเป็นรูปลักษณ์คนขึ้นมา

“มังกร!”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งร้องเสียงหลง

เสียงของเขาออกสาวอย่างสมบูรณ์

“ข้าเอง ขอโทษด้วย ครั้งนี้ข้าจะมาทำลายแผนของเจ้าอีกครั้ง”

ร่างดังกล่าวเดินออกมาจากความมืด

เขามีเขาคมกริบสีดำหนึ่งคู่บนศีรษะและไว้เครา แม้จะดูมีอายุ แต่แววตายังคมปลาบและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา รูปร่างกำยำ สวมเสื้อคลุมยาวสีดำ

นี่คือวิญญาณมังกร

ถึงร่างกายจะหลับใหลอยู่ แต่วิญญาณกลับปรากฏออกมาชั่วคราวเพื่อมาขวางทางจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

“ช่างน่าเสียดายที่ได้มารอ่อนแอมาเป็นภาชนะ ถ้าเช่นนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องตื่นขึ้นมาก็สามารถเก็บกวาดเจ้าได้ด้วยการใช้แค่วิญญาณ”

มังกรมารคล้ายกับรู้สึกเสียดายขณะส่ายหน้าเล็กน้อย เขาแหลมสีดำหนึ่งคู่บนศีรษะก็สั่นไหวเช่นกัน

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งอ้าปากออกมา เสียงหญิงสาวดังขึ้น เสียงดังกล่าวเหมือนกับคมดาบทะลวงอากาศ

“ไอ้สุนัขเฝ้าบ้านตัวนี้นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะคุกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ล่ะก็เจ้าก็ขังข้าไม่ได้หรอก!”

“ก็จริง” มังกรมารยอมรับ

เขาลูบแหวนที่อยู่บนมืออีกข้างอย่างแผ่วเบาราวกับเป็นการเคลื่อนไหวโดยจิตใต้สำนึก

เขาสวมแหวนไว้ทุกนิ้ว

แหวนบางวงแผ่แสงสีทองหม่นออกมา แหวนบางวงส่องแสงสีม่วงเข้มเลือนรางออกมา แหวนหรูหราบางวงมีอัญมณีหลากสีสันฝังเอาไว้

เห็นได้ชัดว่าแหวนเหล่านี้เป็นของสวมใส่ที่มีค่านัก…

“ปล่อยข้าไป นับจากนี้พวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้ว” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งจ้องมังกรมาร

มังกรมารเลิกเล่นแหวนตัวเองแล้ว

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ นานทีปีหนพวกเราจะเจอหน้ากัน ไม่มีเรื่องสำคัญจะพูดหรอกหรือ” เขาถามอย่างหงุดหงิด

“เจ้าคุ้มกันที่นี่มาหลายร้อยล้านปี ข้ารู้ เจ้าเองก็อยากเป็นอิสระจากพันธนาการใช่ไหมล่ะ” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

“ผู้ถักทอชีวิต เจ้าไม่ทำให้ข้าประทับใจเอาเสียเลย”

“ขอแค่เจ้าปล่อยข้าไป เจ้าก็ไม่ต้องคุ้มกันที่นี่อีกต่อไปแล้ว”

มังกรมารฟังอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา

“นี่คือเงื่อนไขของเจ้าหรือ น่าเบื่อเกินไปแล้ว ข้ากินและนอนที่นี่ ทุกๆ แสนปี ข้าก็สามารถวิวัฒนาการได้ด้วยการกลืนกินพลังสายเลือดเข้าไป ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าแล้ว”

“แข็งแกร่งกว่าข้าหรือ”

ใบหน้าของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเผยความเหยียดหยันออกมา

“เจ้ามังกรมาร มนุษย์เพียงมอบความรู้ผิวเผินให้กับเจ้า เจ้ามัวแต่สับสนกับความรู้เหล่านี้จนไม่อาจเข้าใจความจริงทั้งหมดได้”

“ความจริงอะไร” มังกรมารถาม

“โลกนั้นไร้ขีดจำกัด ทุกสิ่งที่มนุษย์รู้เป็นเพียงหยดน้ำในทะเลของโลกอันไร้ขอบเขต ไม่ว่าพวกมันจะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจเข้าใจความจริงที่อยู่เหนือทุกตัวตนได้หรอก”

“แต่พวกเขาก็ฆ่าเจ้าได้” มังกรมารกล่าวอย่างสงบ

“พวกมันก็แค่พยายามสุดความสามารถจนทำลายร่างกายของข้าได้ตอนที่พละกำลังข้าอยู่ในจุดอ่อนแอที่สุดหลังจากผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมาห้าครั้ง”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งยิ้มอย่างมีชัย “เจ้ามนุษย์ที่น่าสงสารไม่ได้เข้าใจว่าความนิรันดร์คืออะไร ส่วนเจ้าที่เป็นสัตว์ร้ายก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับข้ายังไง”

“ข้าก็แค่ต้องขังเจ้าเอาไว้เท่านั้น”

หลังจากมังกรมารกล่าวจบ เขายื่นมือออกไปจบจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งอย่างแผ่วเบา

“เปรี้ยะ!”

มีเสียงเด่นชัดดังขึ้น

ร่างของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งแตกสลายเป็นโลหิตหนาทันที

ฟองโลหิตเหล่านี้ไม่สลายไป มันรวมตัวอีกครั้งในอากาศ กลิ้งไปมาไม่หยุดหย่อน ไม่ช้าก็ก่อตัวเป็นภาพหญิงสาวขึ้นมา

แต่มังกรมารไม่ให้โอกาสอีกฝ่าย

เขาอ้าปากก่อนปล่อยเปลวเพลิงสีน้ำเงินอ่อนออกมา

เปลวเพลิงพุ่งออกไป เมื่อสัมผัสเข้ากับหยดโลหิตก็เกิดการเผาไหม้ขึ้นมาในฉับพลัน

เสียงหญิงสาวเคร่งขรึมดังขึ้นจากเปลวเพลิง

“เจ้ามังกรมาร อย่าพลาดท่าให้ข้าก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้น ข้าจะต้องทำลายร่างกายของเจ้าเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน!”

เปลวไฟที่โหมกระหน่ำสลายทุกสิ่งจนกลายเป็นเถ้า

เสียงหญิงสาวหายไป

มังกรมารเลิกสนใจก่อนหันศีรษะไปมองจอแสง

ดวงตาของเขากวาดผ่านอุปสรรคทั้งหลายก่อนจับจ้องมาที่กู่ฉิงซาน

“เผ่าพันธุ์มนุษย์พบเจอได้ยากนัก ขอบคุณที่เตือนข้า หายนะที่นี่จึงได้ถูกคลี่คลายลง”

มังกรมารกล่าว

“ด้วยความยินดี ยังไงเสีย ข้าพบเรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

มังกรมารกล่าวว่า “ข้าอยากตบรางวัลให้นัก เจ้าคงไม่รู้ว่าโลกมารทั้งหมดเป็นของข้า สมบัติทุกชิ้นในโลกมาร ข้าสามารถหยิบมาเมื่อไหร่ก็ได้”

“มันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก” กู่ฉิงซานชื่นชม

มังกรมารครุ่นคิดสักพัก จากนั้นกล่าวว่า “เอาแบบนี้ เพราะสถานการณ์เร่งด่วน ประกอบกับบทบาทของเจ้า ข้ามีสมบัติสามชิ้นจากโลกมารให้เจ้าเลือก เจ้าสามารถเลือกหนึ่งชิ้นไปเป็นรางวัลได้”

“ข้าไม่สมควรได้รับ” กู่ฉิงซานกล่าว

“ไม่ เจ้าสมควรได้รับ มาเอาไปได้เลย” มังกรมารกล่าว

“แต่ข้าไม่รู้ว่าจะไปหาท่านได้ยังไง” กู่ฉิงซานกล่าว

มังกรมารหัวเราะออกมา “ง่ายมาก เจ้าแค่สั่งแผ่นวงกลมแล้วบอกว่าเจ้าจะมาหาข้า”

“ฟังดูง่ายมากเลย” กู่ฉิงซานยิ้มออกมาเช่นกัน

“ก็มันง่ายจริงๆ นี่” มังกรมารกล่าวซ้ำ

พวกเขามองหน้ากันก่อนเผยรอยยิ้มออกมา

แต่กู่ฉิงซานไม่ขยับ

มังกรมารถามอย่างสงสัยว่า “เป็นอะไรหรือ”

ขณะถาม เขาเล่นกับแหวนในมือ

กู่ฉิงซานมองมังกรมารแล้วกล่าวว่า “มีสถานการณ์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ข้าคิดว่าท่านต้องรู้ให้ได้”

“สถานการณ์พิเศษหรือ” มังกรมารนิ่ง

“ใช่ สถานการณ์นี้มากพอจะเป็นภัยคุกคามสวรรค์ดึกดำบรรพ์กับโลกมารดึกดำบรรพ์ ทันทีที่ถึงขั้นนั้น ทั้งสองโลกจะถูกทำลาย” กู่ฉิงซานกล่าว

มังกรมารชำเลืองมองกู่ฉิงซานด้วยความคาดไม่ถึง

มังกรมารหยุดเล่นแหวนในมือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ว่ามา”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “วิญญาณกรีดร้องกำลังยึดครองสวรรค์ดึกดำบรรพ์ มันใช้กองกำลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อสร้างอาวุธขึ้นมา”

กู่ฉิงซานบอกความจริงไปตามตรง

มังกรมารตั้งใจฟัง ใบหน้าเปี่ยมด้วยความครุ่นคิด

“กลายเป็นว่า…นี่เป็นเรื่องคาดไม่ถึงจริงๆ พวกเราควรทำอย่างไรดี”

เขาพึมพำ

เกิดความเงียบอยู่หลายอึดใจ

“ข้อมูลของเจ้ามีค่านัก โปรดมาหาข้าเพื่อรับรางวัลเลย จากนั้นข้าจะไปสวรรค์ดึกดำบรรพ์กับเจ้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น” มังกรมารกล่าว

“ท่านวางแผนจะไปสวรรค์ดึกดำบรรพ์จริงๆ หรือ” กู่ฉิงซานถามอย่างยินดี

มังกรมารตอบด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “แน่นอน นี่คือสิ่งที่จะปล่อยผ่านไม่ได้ ข้าจะไม่นั่งมองเผ่าพันธุ์เทพและเผ่าพันธุ์บรรพกาลที่ถูกควบคุมโดยสัตว์ประหลาดหุบเหวมาทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหลือเด็ดขาด”

“แบบนั้นเยี่ยมไปเลย” กู่ฉิงซานพยักหน้า

ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เขายังไม่ขยับ ไม่แม้แต่จะออกคำสั่งกับแผ่นวงกลมใต้เท้าตัวเอง

มังกรมารจ้องเขาและไม่พูดอะไรพักใหญ่

ทันใดนั้น ในความมืดไม่มีสิ้นสุดด้านหลังมังกรมาร เส้นไหมสีขาวบางพันรอบคอของเขาอย่างเงียบงัน

ตรงกึ่งกลางกำแพง

กู่ฉิงซานรอให้สายลมอ่อนกำลังลงสักพัก จากนั้นสะบัดหอกปีศาจแดงเพื่อระเบิดกำแพง

เขากระโดดออกไปก่อนวิ่งควบไปตามเส้นทางมืดมิดที่มองไม่เห็น

เมื่อไม่มีสายลม ย่อมไม่มีเสียงในเส้นทางมืดมิด เวลาเองก็ผ่านไปอย่างเงียบงันเช่นกัน

หนึ่งอึดใจ

สองอึดใจ

สามอึดใจ

ในที่สุดสายลมก็กลับมาอีกครั้ง

เขาอยู่ไกลจากทางเข้าเส้นทางมืดมิดมาก ทำให้สายลมที่ปะทะเข้ามาจึงอยู่ในสภาพรุนแรงทันทีที่พัดพา

กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือกนอกจากระเบิดกำแพงอีกครั้งก่อนเข้าไป

สายลมโหมกระหน่ำเข้ามา

สายลมเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้

สายลมเหมือนกับคลื่นที่สามารถส่งผลกับโชคชะตาของผู้คนได้ มันทั้งยิ่งใหญ่ หนักหน่วงและขัดขืนไม่ได้

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานถึงขั้นรู้สึกว่าสายลมคือสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งยิ่ง

“ท่านพ่อ…”

“อย่า!”

ลึกเข้าไปในเส้นทางอันไกลลิบ มีเสียงสะอื้นแผ่วเบา จากนั้นก็เป็นเสียงอ้อนวอนอันสิ้นหวัง

ทันใดนั้น เสียงคำรามหนึ่งดังขึ้น “อย่าโทษพ่อ พ่อ ช่วยอะไรไม่ได้!”

นี่คือเสียงของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

ก่อนกู่ฉิงซานจะทันได้ฟัง สายลมกลบเสียงดังกล่าวทันที ทำให้เขาเจอกับเสียงโหยหวนที่ไม่มีสิ้นสุดอย่างสมบูรณ์

เวลาคล้ายกับผ่านไปเนิ่นนาน

ในที่สุดสายลมเบาลง

กู่ฉิงซานระเบิดกำแพงทันทีก่อนวิ่งควบไปข้างหน้าอีกครั้ง

วิ่งได้เจ็ดถึงแปดอึดใจ

เขาเห็นโครงกระดูกขนาดเล็กสองร่าง

เจตจำนงของมารจากมิติและเวลาใดไม่ทราบยังไม่หายไปจากโครงกระดูกอย่างสมบูรณ์ กู่ฉิงซานยังสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยของพลังชีวิตยิ่งใหญ่กำลังหายไปด้วยผลจากกระบวนการสังเวย

โครงกระดูกสองร่างคุกเข่ากับพื้นอย่างเงียบงัน ศีรษะก้มต่ำราวกับกำลังพูดอย่างสิ้นหวังและเศร้าโศกออกมา

ในใจของกู่ฉิงซาน แม่มดสองตนนี้ยังเด็กและน่ารัก

“ก็ได้”

เขาถอนหายใจก่อนแวะเก็บโครงกระดูกสองร่าง

หลังจากเก็บตรงนี้หมดแล้ว เขายังคงมุ่งไปข้างหน้าต่อ

ขณะคำนวณเวลาที่สายลมพัดมา กู่ฉิงซานสะบัดหอกปีศาจแดงเพื่อระเบิดกำแพงก่อนเข้าไป

ก้อนกรวดถูกเขาจัดการอีกครั้งด้วยวิชาควบคุมก่อนถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างประณีตด้วยวิชาเยือกแข็ง

สายลมพัดหวีดหวิวอีกครั้ง!

กู่ฉิงซานอยู่ในกำแพงเงียบๆ สักพัก ขณะรอให้สายลมพัดผ่าน

“ติ๋ง”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

ทำไมถึงมีเสียงน้ำอยู่ที่นี่ล่ะ

ไม่สิ ทำไมเสียงมันชัดขนาดนี้

เว้นแต่เสียงน้ำหยดอยู่ใกล้กว่าสายลม

กู่ฉิงซานลืมสายลมนอกกำแพงไปชั่วคราวก่อนหลับตาลงแล้วตั้งใจฟัง

“ติ๋ง”

เสียงดังขึ้นอีกแล้ว

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นก่อนยกมือขึ้นไปเคาะเหนือศีรษะ

ข้างในว่างเปล่า!

กู่ฉิงซานสะบัดหอกปีศาจแดงอย่างไม่ลังเลขณะขุดเข้าไป

แน่นอนว่าหลุมขนาดใหญ่ถูกขุดขึ้นมาอย่างง่ายดาย

กู่ฉิงซานกระโดดขึ้นไป

เขาพบว่าตัวเองอยู่บนเส้นทางอีกแห่ง

บนเส้นทางนี้ไม่มีสายลม

กู่ฉิงซานไม่กล้าประมาทขณะอยู่ตรงปากหลุมแล้วรออีกสักพักใหญ่

ยังไม่มีสายลมพัดมา

ดูท่าที่นี่จะปลอดภัยกว่า

เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะก้าวเท้าเดินออกไป

“แคร้ก!”

ทันทีที่ก้าวออกไป บางสิ่งทำงานทันที มีเสียงส่งผ่านกลไกอย่างต่อเนื่องดังขึ้นรอบข้าง

เสียงเฉยชาไร้อารมณ์ดังมาจากความมืด

“เริ่มทำการทดสอบ”

“จากสัญญาณชีพ สามารถระบุได้ดังนี้: พลเมืองมนุษย์ เด็กโต”

“ตามหลักการลี้ภัยในช่วงสงคราม พวกเด็กๆ สามารถเข้าศูนย์กักกันหุบเหวเพื่อลี้ภัยชั่วคราวได้”

“โปรดอย่าขยับ ข้าจะพาท่านไปยังที่ปลอดภัย”

เสียงหายไป

เมื่อได้ยินเสียงนี้ กู่ฉิงซานยืนอยู่ที่เดิมแต่โดยดี ไม่ขยับไปไหนแม้แต่นิดเดียว

เสียงนี้เหมือนกับเสียงของกำแพงเหล็กที่ปิดกั้นเมืองเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ามันคืออุปกรณ์ระบุตัวตนของเผ่าพันธุ์มนุษย์

สิ่งเดียวที่แตกต่างคือตอนนั้นอีกฝ่ายเรียกเขาว่า “เด็กผู้ชาย” แต่ตอนนี้กลายเป็น “เด็กโต” แล้ว

เอาเถอะ ดูท่าเขาจะเติบโตขึ้นจริงๆ

แผ่นวงกลมปรากฏขึ้นจากเท้าของกู่ฉิงซานขณะพาเขาบินไปตามส่วนลึกของความมืด

นี่คือการบินที่ยาวนาน

หลังจากพิจารณาตัวตนของเขาว่าเป็น “เด็กโต” เสร็จแล้ว พื้นที่รอบข้างจึงกลายเป็นสีดำสนิท แผ่นวงกลมจึงบินด้วยความมั่นคง

เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก่อนความเร็วจะช้าลงในที่สุด

เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจกาแผ่นวงกลม

“ในเมื่อท่านมาอยู่ที่นี่เป็นครั้งแรก ขอแนะนำให้ท่านมองข้างล่าง”

กู่ฉิงซานมองข้างล่างตามที่บอก

ความมืดด้านล่างค่อยๆ หายไป

จากไกลถึงใกล้ เขตอาคมโปร่งแสงเริ่มปรากฏขึ้นมา

ด้วยเขตอาคมนี้ เขาสามารถมองเห็นฉากด้านล่างได้อย่างชัดเจน

กู่ฉิงซานมองจนลืมที่จะหายใจ

นี่มันเหลือเชื่อ

เขาเพียงเห็นกรงเล็บสีดำคมปลาบ

กรงเล็บคมปลาบนี้เปรียบเสมือนดินแดนอันกว้างใหญ่ ครอบคลุมสุดสายตา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าของกรงเล็บคมปลาบนี้หน้าตาเป็นอย่างไร

ที่จริงแล้ว

ร่างขนาดยักษ์นี่เต็มไปด้วยพลังอันไร้ขีดจำกัด!

คำแนะนำของแผ่นวงกลมดังขึ้นในหู

“อย่างที่ท่านเห็น อีกด้านของเขตอาคมคืออาวุธชีวภาพของพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่รับผิดชอบการจัดการกับโลกมารและยังทำหน้าที่คุ้มกันช่องทางหุบเหวอีกด้วย”

กู่ฉิงซานอดที่จะโพล่งออกไปไม่ได้ว่า “นี่มันอะไรน่ะ”

“มังกรหลับใหล”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

กลายเป็นว่านี่คือมังกรมาร!

มันทำหน้าที่คุ้มกันที่นี่และอยู่ในสภาพหลับลึก

ตอนนี้ เขตอาคมที่กระจายไปทั้งสองฝั่งเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย

สายลมกำลังพัดอยู่ด้านล่าง

สายลมรุนแรงพัดจากกรงเล็บสีดำ ก่อตัวเป็นอากาศสีดำที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก่อนกระจายไปทุกทิศทาง

“เด็กน้อย โปรดตระหนักไว้ด้วยว่าพลังงานในมังกรมารนั้นมีมากเกินไป ท่านต้องไม่เข้าใกล้หากไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคลื่นพลังที่มันปล่อยออกมาจะทำให้เกิดกระแสอากาศที่พรากชีวิตของท่านได้”

กู่ฉิงซานตกตะลึงอีกครั้ง

มันเป็นแบบนี้เองสินะ

สายลมที่ราชาเทพผู้อยู่ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ต้องหลบอย่างเอาเป็นเอาตาย สายลมที่จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งต้องสังเวยลูกน้องทั้งหมดหรือแม้กระทั่งลูกสาวตัวเองเพื่อขัดขืน มันกลับกลายเป็นเพียงกระแสอากาศที่เกิดจากคลื่นพลังที่ปล่อยออกมาจากมังกรมาร

นี่มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ เกินกว่าขอบเขตที่จะเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์

กู่ฉิงซานหลับตาลง ผ่อนคลายเล็กน้อยเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์

“ข้าอยากถามอะไรหน่อย มังกรมาทำอะไรที่นี่” เขาถาม

แผ่นวงกลมตอบว่า “มันอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มกันผู้ถักทอชีวิตหุบเหว”

“ผู้ถักทอชีวิตหุบเหวหรือ”

กู่ฉิงซานทวนชื่อซ้ำโดยไม่รู้ตัว

นี่คือตัวตนหุบเหวที่สองที่เขาได้ยินนอกเหนือจากวิญญาณกรีดร้อง

“ใช่แล้ว ผู้ถักทอชีวิตหุบเหวคือสัตว์ประหลาดหุบเหวที่เกินกว่าจินตนาการของพวกเรา มันสามารถจับและกินวิญญาณมนุษย์ได้ จากนั้นจะถ่ายพลังวิญญาณของตัวเองเข้าสู่ร่างมนุษย์เพื่อรวมเข้ากับอารยธรรมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนทั้งอารยธรรมให้กลายเป็นอาหารโอชะ”

“มันเคยจัดการกับเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก่อนหรือ”

“ใช่ มันควบคุมผู้นำมนุษย์สถานะสูงส่งจำนวนมากและลอบสร้างเส้นทางลับมากมายที่นำไปสู่หุบเหว โชคยังดีที่ในที่สุดก็ทุกพวกเราค้นพบ”

“เส้นทางลับทั้งหมดจึงถูกปิดกั้นอีกครั้ง”

“ผู้ถักทอชีวิตหุบเหวถูกพวกเราฆ่าในเส้นทางลับแห่งนี้เช่นกัน”

กู่ฉิงซานถามด้วยความสับสนว่า “แล้วมังกรมารตัวนี้ยังจะคุ้มกันที่นี่อีกทำไมล่ะ”

“พวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สามารถฟื้นคืนชีพจากความตายได้ แต่ถึงผู้ถักทอชีวิตหุบเหวจะกลายเป็นศพไปแล้วก็ยังมีคุณลักษณะในฐานะสัตว์ประหลาด นั่นก็คือความนิรันดร์และความอมตะ มันจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งเมื่อผ่านไปสักพักใหญ่”

กู่ฉิงซานคิดถึงนิ้วสีดำ

บางที…

ตอนที่โบสถ์หลอมละลายถูกเก็บกู้จากทะเลลึก จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งได้ถูกผู้ถักทอชีวิตหุบเหวกินเข้าไปแล้ว

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งในตอนนี้ถึงกับเป็นผู้ถักทอชีวิตหุบเหว

มันหักหลังเผ่าพันธุ์มารทั้งหมดเพื่อเอากุญแจมาที่นี่

มันอยากที่จะช่วยตัวเอง!

ไม่ดีแน่

กู่ฉิงซานหยิบกุญแจสามเหลี่ยมออกมาแล้วกล่าวเสียงดังว่า “ฟังนะ ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกเจ้า”

ตรงกึ่งกลางกำแพง

กู่ฉิงซานรอให้สายลมอ่อนกำลังลงสักพัก จากนั้นสะบัดหอกปีศาจแดงเพื่อระเบิดกำแพง

เขากระโดดออกไปก่อนวิ่งควบไปตามเส้นทางมืดมิดที่มองไม่เห็น

เมื่อไม่มีสายลม ย่อมไม่มีเสียงในเส้นทางมืดมิด เวลาเองก็ผ่านไปอย่างเงียบงันเช่นกัน

หนึ่งอึดใจ

สองอึดใจ

สามอึดใจ

ในที่สุดสายลมก็กลับมาอีกครั้ง

เขาอยู่ไกลจากทางเข้าเส้นทางมืดมิดมาก ทำให้สายลมที่ปะทะเข้ามาจึงอยู่ในสภาพรุนแรงทันทีที่พัดพา

กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือกนอกจากระเบิดกำแพงอีกครั้งก่อนเข้าไป

สายลมโหมกระหน่ำเข้ามา

สายลมเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้

สายลมเหมือนกับคลื่นที่สามารถส่งผลกับโชคชะตาของผู้คนได้ มันทั้งยิ่งใหญ่ หนักหน่วงและขัดขืนไม่ได้

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานถึงขั้นรู้สึกว่าสายลมคือสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งยิ่ง

“ท่านพ่อ…”

“อย่า!”

ลึกเข้าไปในเส้นทางอันไกลลิบ มีเสียงสะอื้นแผ่วเบา จากนั้นก็เป็นเสียงอ้อนวอนอันสิ้นหวัง

ทันใดนั้น เสียงคำรามหนึ่งดังขึ้น “อย่าโทษพ่อ พ่อ ช่วยอะไรไม่ได้!”

นี่คือเสียงของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

ก่อนกู่ฉิงซานจะทันได้ฟัง สายลมกลบเสียงดังกล่าวทันที ทำให้เขาเจอกับเสียงโหยหวนที่ไม่มีสิ้นสุดอย่างสมบูรณ์

เวลาคล้ายกับผ่านไปเนิ่นนาน

ในที่สุดสายลมเบาลง

กู่ฉิงซานระเบิดกำแพงทันทีก่อนวิ่งควบไปข้างหน้าอีกครั้ง

วิ่งได้เจ็ดถึงแปดอึดใจ

เขาเห็นโครงกระดูกขนาดเล็กสองร่าง

เจตจำนงของมารจากมิติและเวลาใดไม่ทราบยังไม่หายไปจากโครงกระดูกอย่างสมบูรณ์ กู่ฉิงซานยังสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยของพลังชีวิตยิ่งใหญ่กำลังหายไปด้วยผลจากกระบวนการสังเวย

โครงกระดูกสองร่างคุกเข่ากับพื้นอย่างเงียบงัน ศีรษะก้มต่ำราวกับกำลังพูดอย่างสิ้นหวังและเศร้าโศกออกมา

ในใจของกู่ฉิงซาน แม่มดสองตนนี้ยังเด็กและน่ารัก

“ก็ได้”

เขาถอนหายใจก่อนแวะเก็บโครงกระดูกสองร่าง

หลังจากเก็บตรงนี้หมดแล้ว เขายังคงมุ่งไปข้างหน้าต่อ

ขณะคำนวณเวลาที่สายลมพัดมา กู่ฉิงซานสะบัดหอกปีศาจแดงเพื่อระเบิดกำแพงก่อนเข้าไป

ก้อนกรวดถูกเขาจัดการอีกครั้งด้วยวิชาควบคุมก่อนถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างประณีตด้วยวิชาเยือกแข็ง

สายลมพัดหวีดหวิวอีกครั้ง!

กู่ฉิงซานอยู่ในกำแพงเงียบๆ สักพัก ขณะรอให้สายลมพัดผ่าน

“ติ๋ง”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

ทำไมถึงมีเสียงน้ำอยู่ที่นี่ล่ะ

ไม่สิ ทำไมเสียงมันชัดขนาดนี้

เว้นแต่เสียงน้ำหยดอยู่ใกล้กว่าสายลม

กู่ฉิงซานลืมสายลมนอกกำแพงไปชั่วคราวก่อนหลับตาลงแล้วตั้งใจฟัง

“ติ๋ง”

เสียงดังขึ้นอีกแล้ว

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นก่อนยกมือขึ้นไปเคาะเหนือศีรษะ

ข้างในว่างเปล่า!

กู่ฉิงซานสะบัดหอกปีศาจแดงอย่างไม่ลังเลขณะขุดเข้าไป

แน่นอนว่าหลุมขนาดใหญ่ถูกขุดขึ้นมาอย่างง่ายดาย

กู่ฉิงซานกระโดดขึ้นไป

เขาพบว่าตัวเองอยู่บนเส้นทางอีกแห่ง

บนเส้นทางนี้ไม่มีสายลม

กู่ฉิงซานไม่กล้าประมาทขณะอยู่ตรงปากหลุมแล้วรออีกสักพักใหญ่

ยังไม่มีสายลมพัดมา

ดูท่าที่นี่จะปลอดภัยกว่า

เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะก้าวเท้าเดินออกไป

“แคร้ก!”

ทันทีที่ก้าวออกไป บางสิ่งทำงานทันที มีเสียงส่งผ่านกลไกอย่างต่อเนื่องดังขึ้นรอบข้าง

เสียงเฉยชาไร้อารมณ์ดังมาจากความมืด

“เริ่มทำการทดสอบ”

“จากสัญญาณชีพ สามารถระบุได้ดังนี้: พลเมืองมนุษย์ เด็กโต”

“ตามหลักการลี้ภัยในช่วงสงคราม พวกเด็กๆ สามารถเข้าศูนย์กักกันหุบเหวเพื่อลี้ภัยชั่วคราวได้”

“โปรดอย่าขยับ ข้าจะพาท่านไปยังที่ปลอดภัย”

เสียงหายไป

เมื่อได้ยินเสียงนี้ กู่ฉิงซานยืนอยู่ที่เดิมแต่โดยดี ไม่ขยับไปไหนแม้แต่นิดเดียว

เสียงนี้เหมือนกับเสียงของกำแพงเหล็กที่ปิดกั้นเมืองเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ามันคืออุปกรณ์ระบุตัวตนของเผ่าพันธุ์มนุษย์

สิ่งเดียวที่แตกต่างคือตอนนั้นอีกฝ่ายเรียกเขาว่า “เด็กผู้ชาย” แต่ตอนนี้กลายเป็น “เด็กโต” แล้ว

เอาเถอะ ดูท่าเขาจะเติบโตขึ้นจริงๆ

แผ่นวงกลมปรากฏขึ้นจากเท้าของกู่ฉิงซานขณะพาเขาบินไปตามส่วนลึกของความมืด

นี่คือการบินที่ยาวนาน

หลังจากพิจารณาตัวตนของเขาว่าเป็น “เด็กโต” เสร็จแล้ว พื้นที่รอบข้างจึงกลายเป็นสีดำสนิท แผ่นวงกลมจึงบินด้วยความมั่นคง

เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก่อนความเร็วจะช้าลงในที่สุด

เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจกาแผ่นวงกลม

“ในเมื่อท่านมาอยู่ที่นี่เป็นครั้งแรก ขอแนะนำให้ท่านมองข้างล่าง”

กู่ฉิงซานมองข้างล่างตามที่บอก

ความมืดด้านล่างค่อยๆ หายไป

จากไกลถึงใกล้ เขตอาคมโปร่งแสงเริ่มปรากฏขึ้นมา

ด้วยเขตอาคมนี้ เขาสามารถมองเห็นฉากด้านล่างได้อย่างชัดเจน

กู่ฉิงซานมองจนลืมที่จะหายใจ

นี่มันเหลือเชื่อ

เขาเพียงเห็นกรงเล็บสีดำคมปลาบ

กรงเล็บคมปลาบนี้เปรียบเสมือนดินแดนอันกว้างใหญ่ ครอบคลุมสุดสายตา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าของกรงเล็บคมปลาบนี้หน้าตาเป็นอย่างไร

ที่จริงแล้ว

ร่างขนาดยักษ์นี่เต็มไปด้วยพลังอันไร้ขีดจำกัด!

คำแนะนำของแผ่นวงกลมดังขึ้นในหู

“อย่างที่ท่านเห็น อีกด้านของเขตอาคมคืออาวุธชีวภาพของพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่รับผิดชอบการจัดการกับโลกมารและยังทำหน้าที่คุ้มกันช่องทางหุบเหวอีกด้วย”

กู่ฉิงซานอดที่จะโพล่งออกไปไม่ได้ว่า “นี่มันอะไรน่ะ”

“มังกรหลับใหล”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

กลายเป็นว่านี่คือมังกรมาร!

มันทำหน้าที่คุ้มกันที่นี่และอยู่ในสภาพหลับลึก

ตอนนี้ เขตอาคมที่กระจายไปทั้งสองฝั่งเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย

สายลมกำลังพัดอยู่ด้านล่าง

สายลมรุนแรงพัดจากกรงเล็บสีดำ ก่อตัวเป็นอากาศสีดำที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก่อนกระจายไปทุกทิศทาง

“เด็กน้อย โปรดตระหนักไว้ด้วยว่าพลังงานในมังกรมารนั้นมีมากเกินไป ท่านต้องไม่เข้าใกล้หากไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคลื่นพลังที่มันปล่อยออกมาจะทำให้เกิดกระแสอากาศที่พรากชีวิตของท่านได้”

กู่ฉิงซานตกตะลึงอีกครั้ง

มันเป็นแบบนี้เองสินะ

สายลมที่ราชาเทพผู้อยู่ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ต้องหลบอย่างเอาเป็นเอาตาย สายลมที่จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งต้องสังเวยลูกน้องทั้งหมดหรือแม้กระทั่งลูกสาวตัวเองเพื่อขัดขืน มันกลับกลายเป็นเพียงกระแสอากาศที่เกิดจากคลื่นพลังที่ปล่อยออกมาจากมังกรมาร

นี่มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ เกินกว่าขอบเขตที่จะเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์

กู่ฉิงซานหลับตาลง ผ่อนคลายเล็กน้อยเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์

“ข้าอยากถามอะไรหน่อย มังกรมาทำอะไรที่นี่” เขาถาม

แผ่นวงกลมตอบว่า “มันอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มกันผู้ถักทอชีวิตหุบเหว”

“ผู้ถักทอชีวิตหุบเหวหรือ”

กู่ฉิงซานทวนชื่อซ้ำโดยไม่รู้ตัว

นี่คือตัวตนหุบเหวที่สองที่เขาได้ยินนอกเหนือจากวิญญาณกรีดร้อง

“ใช่แล้ว ผู้ถักทอชีวิตหุบเหวคือสัตว์ประหลาดหุบเหวที่เกินกว่าจินตนาการของพวกเรา มันสามารถจับและกินวิญญาณมนุษย์ได้ จากนั้นจะถ่ายพลังวิญญาณของตัวเองเข้าสู่ร่างมนุษย์เพื่อรวมเข้ากับอารยธรรมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนทั้งอารยธรรมให้กลายเป็นอาหารโอชะ”

“มันเคยจัดการกับเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก่อนหรือ”

“ใช่ มันควบคุมผู้นำมนุษย์สถานะสูงส่งจำนวนมากและลอบสร้างเส้นทางลับมากมายที่นำไปสู่หุบเหว โชคยังดีที่ในที่สุดก็ทุกพวกเราค้นพบ”

“เส้นทางลับทั้งหมดจึงถูกปิดกั้นอีกครั้ง”

“ผู้ถักทอชีวิตหุบเหวถูกพวกเราฆ่าในเส้นทางลับแห่งนี้เช่นกัน”

กู่ฉิงซานถามด้วยความสับสนว่า “แล้วมังกรมารตัวนี้ยังจะคุ้มกันที่นี่อีกทำไมล่ะ”

“พวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สามารถฟื้นคืนชีพจากความตายได้ แต่ถึงผู้ถักทอชีวิตหุบเหวจะกลายเป็นศพไปแล้วก็ยังมีคุณลักษณะในฐานะสัตว์ประหลาด นั่นก็คือความนิรันดร์และความอมตะ มันจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งเมื่อผ่านไปสักพักใหญ่”

กู่ฉิงซานคิดถึงนิ้วสีดำ

บางที…

ตอนที่โบสถ์หลอมละลายถูกเก็บกู้จากทะเลลึก จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งได้ถูกผู้ถักทอชีวิตหุบเหวกินเข้าไปแล้ว

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งในตอนนี้ถึงกับเป็นผู้ถักทอชีวิตหุบเหว

มันหักหลังเผ่าพันธุ์มารทั้งหมดเพื่อเอากุญแจมาที่นี่

มันอยากที่จะช่วยตัวเอง!

ไม่ดีแน่

กู่ฉิงซานหยิบกุญแจสามเหลี่ยมออกมาแล้วกล่าวเสียงดังว่า “ฟังนะ ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกเจ้า”

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในเส้นทางมืดมิดขณะจมสู่ความคิด

สายลมแรงกล้าพัดผ่านร่างกาย

ความจริง พายุพัดผ่านด้วยระยะทางที่ไกล เมื่อมาถึงตรงหน้าเขา พลังก็อ่อนลงไปมากแล้ว

ยิ่งอยู่ไกลเท่าไหร่ สายลมจะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น มันสามารถทะลุผ่านเกราะศึกหมอกดำเพื่อสร้างความเสียหายกับราชาเทพโดยตรงได้

กู่ฉิงซานรู้ว่าเขาไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกต่อไป

คงจะดีถ้าฉานนู่อยู่ที่นี่

เขาถอนหายใจ

ในเส้นทางมืดมิด ฉานนู่สามารถใช้พลังวิเศษ “อมตะ” ของดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพเพื่อไปดูสิ่งที่อยู่ข้างหน้านี้ได้

ส่วนจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง เขาสามารถสังเวยชีวิตและวิญญาณของพวกตัวเองเพื่อเพิ่มพลังชั่วคราวก่อนก้าวต่อไปได้

ฉานนู่ไม่ได้อยู่ข้างเขา เขาไม่มีลูกน้องและไม่เต็มใจจะสังเวย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหยุดอยู่ตรงนี้

ผ่านไปสักพัก สายลมหยุดลง

กู่ฉิงซานเริ่มนับอยู่เงียบๆ

เมื่อเขานับถึงสามสิบ สายลมก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

ยี่สิบอึดใจ

สายลมจึงจะหายไป

อีกสามสิบอึดใจ

สายลมจะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

กระบวนการทั้งหมดวนเวียนจนดูเรียบง่ายยิ่ง

เรียบง่าย…

นี่คือกลไกที่ตายตัวหรือ

มีช่องว่างสามสิบอึดใจให้ใช้ เขาสามารถวิ่งผ่านเส้นทางมืดมิดในช่วงเวลานี้ได้หรือไม่

ข้อเสียคือจิตเทพไม่สามารถออกห่างจากร่างกายมากเกินไปได้ การหดตัวของน้ำเต้าและการเคลื่อนย้ายก็ไม่สามารถแสดงบทบาทที่นี่ได้เช่นกัน

สายลมนี้สามารถทำร้ายราชาเทพได้อย่างง่ายดาย เขาไม่รู้ว่าแหล่งกำเนิดของมันจะทรงพลังแค่ไหน

มันอาจจะผ่านไม่ได้เลยก็ได้

ไม่ใช่

มันต้องมีทางสิ ไม่อย่างนั้นจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งคงไม่เตรียมการขนาดนี้เพื่อเข้ามาที่นี่แน่

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่สักพัก

เมื่อสายลมพัดมาอีกครั้ง เขาแตะถุงเก็บของเพื่อปล่อยจี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนออกมา

“เจ้าสามารถขโมยลมพวกนี้แล้วใช้กลับได้หรือเปล่า”

กู่ฉิงซานถามด้วยความหวังอันริบหรี่

“ฟิ่วๆ ฟิ่วๆๆ !”

น้ำเต้าตอบอย่างเกรี้ยวกราด

“ก็นะ ข้าคิดผิดเอง เจ้าสามารถหยิบยืมหรือเรียนรู้สายลมนี้ได้หรือไม่” กู่ฉิงซานเปลี่ยนคำถาม

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนบิดร่างกายก่อนลอยขึ้นกลางอากาศเพื่อสัมผัสสายลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบงัน

“ฟิ่วๆๆ ฟิ่วๆ ฟิ่วๆๆ”

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนกล่าวด้วยความสับสน

หัวใจของกู่ฉิงซานดิ่งวูบ

น้ำเต้าสามารถหยิบยืมวิชาของผู้อื่นได้

หรือก็คือ สายลมเหล่านี้มีจุดกำเนิดและไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

ถ้าสายลมนี้คือพลังวิเศษอย่างหนึ่ง เช่นนั้นใครบางคนก็ต้องยืนอยู่ที่ปลายเส้นทางมืดมิดเพื่อปล่อยมันออกมาอย่างต่อเนื่อง

เส้นทางนี้คงอยู่มาเนิ่นนาน เป็นไปได้หรือที่จะมีใครบางคนอยู่ที่ปลายเส้นทางเพื่อปล่อยวิชาออกมาโดยไม่หยุดพัก

นี่มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

กู่ฉิงซานมองเส้นทางมืดมิด ความสงสัยใคร่รู้อย่างแรงกล้าค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นในใจ

สุดท้ายแล้ว เขาตัดสินใจพยายามสำรวจดู

“เหวยจุน เจ้าสามารถปล่อยพลังเวทมนตร์ได้สามครั้งติดใช่หรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนตอบว่า “ทันทีที่ข้าปลดปล่อยร้อยแสงสาดส่องหรือการหยิบยืมจากจักรวาลสามครั้งติดกันในเวลาอันสั้น ข้าจะกลายเป็นเมล็ดน้ำเต้า ต่อให้เติบใหญ่อีกครั้ง ข้าก็สามารถใช้ได้เพียงหยกไร้ข้อบกพร่องภายในหนึ่งชั่วโมง”

ตอนนี้ สายลมในเส้นทางมืดมิดเพิ่งเปลี่ยนเป็นสายลมที่รุนแรงที่สุด

กู่ฉิงซานถูกปกคลุมด้วยสายลมแรงกล้า

“สามครั้งก็มากเกินพอแล้ว เจ้าซ่อนอยู่หลังข้า ลุยกันเลย!” เขาประกาศทันที

สายลมจะพัดผ่านทั้งสิ้นยี่สิบอึดใจ ตอนนี้เป็นช่วงที่รุนแรงที่สุด อีกสิบอึดใจต่อมา มันจะค่อยๆ อ่อนกำลังลง

และสายลมจะหยุดนิ่งในสามสิบอึดใจ

หากนับจากตรงนั้น เขาจะสามารถได้เวลามากถึงสี่สิบอึดใจ!

ร่างของกู่ฉิงซานกลายเป็นประกายอสนีขณะผ่านเส้นทางมืดมิดด้วยความเร็วสูงสุดขณะเหาะตรงไปข้างหน้า

ดังคาด สายลมค่อยๆ อ่อนกำลังลงก่อนหายไป

สิบอึดใจจะหมดลงแล้ว!

กู่ฉิงซานวิ่งอย่างสุดกำลัง!

เขาเห็นภาพติดตาผ่านเส้นทางมืดมิด ไม่ช้าก็ข้ามจุดสังเวยที่เจอก่อนหน้านี้

ยังเหลืออีกสามสิบอึดใจ!

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานยังคงเงียบขณะใช้ความเร็วสูงสุดของระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์

ในที่สุด เวลานั้นก็มาถึง

เขายังไม่ได้ออกจากเส้นทางมืดมิดอันยาวไกลนี้!

แต่สายลมก่อตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว

สายลมแผ่วเบาพัดมาโดนใบหน้า ให้สัมผัสที่อบอุ่น

หากผู้คนไม่รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของสายลมนี้ พวกเขาย่อมไม่คาดคิดถึงพลังอันน่าสะพรึงที่จะตามมาหลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ

“ฟิ่วๆๆ ”

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนถาม

“ไม่ พลังของสายลมที่นี่ไม่ได้รุนแรงจนเกินไป ข้าน่าจะสามารถต้านไหว” กู่ฉิงซานกล่าว

ครั้งที่แล้วเขาไม่รู้ตัว ทำให้ใบหน้าโดนสายลมพัดผ่าน

แต่ตอนนี้เขารู้พลังของสายลมแล้ว กู่ฉิงซานย่อมมีความคิดอยู่ในใจ

พลังเวทมนตร์ของน้ำเต้ามีค่ายิ่ง เปรียบเสมือนทางเลือกสุดท้าย จะปล่อยออกมาง่ายๆ ไม่ได้

กู่ฉิงซานเอนตัวลงนอนช้าๆ

เขาพยายามแนบร่างกายกับกำแพงของทางเดินเพื่อสร้างจุดสัมผัสที่เล็กที่สุดกับสายลมที่พัดมาตรงหน้า

หลังจากนั้นไม่นาน เขาเริ่มปล่อยวิชาออกมา

ชั้นเยือกแข็งหนาปรากฏขึ้นจากอากาศบางก่อนปกคลุมกู่ฉิงซาน

ชั้นเยือกแข็งเหล่านี้ก่อตัวเป็นเปลือกน้ำแข็งโค้งเรียวจนเกาะติดกับกำแพงอย่างสมบูรณ์ขณะปกคลุมกู่ฉิงซานเอาไว้

กู่ฉิงซานแนบกับกำแพงขณะนอนอยู่บนพื้น มีเพียงสายลมส่วนน้อยนิดจากส่วนลึกของเส้นทางมืดมิดเท่านั้นที่พัดโดนเปลือกน้ำแข็ง

ถึงแม้สายลมจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่พื้นที่ที่มีเปลือกน้ำแข็งคลุมอยู่กลับอ่อนกำลังลง นั่นเป็นผลจากเปลือกน้ำแข็งโค้งเรียวได้รูป ทำให้สายลมพัดผ่านเปลือกน้ำแข็งไปอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าสายลมยังน่าสะพรึงยิ่งอยู่ดี ยังไงเสีย เปลือกน้ำแข็งก็โดนสายลมตลอด แถมความเร็วของสายลมยังเพิ่มอีกด้วย

เมื่อเห็นว่าเปลือกน้ำแข็งกำลังจะลอกออกอย่างสมบูรณ์ กู่ฉิงซานจึงลงมือ

ตอนนี้เขาคือเทพแห่งความเย็นยะเยือก วิชาเยือกแข็งที่เขาปลดปล่อยออกมาอย่างสุดกำลังคือพลังป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่ง

ไม่ช้า เปลือกน้ำแข็งอันใหม่ก่อตัวบนพื้นผิวร่างกายของเขา!

ภายใต้สายลมอันเกรี้ยวกราด เปลือกน้ำแข็งหดลงอย่างต่อเนื่องแต่ก็กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมอย่างรวดเร็วภายใต้พรเยือกแข็งของกู่ฉิงซาน

หลังจากเป็นเช่นนี้วนเวียนไปหลายครั้ง สายลมแรงกล้าผ่านจุดที่รุนแรงไปในที่สุดก่อนเริ่มอ่อนกำลังลงอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานทำสำเร็จ!

เมื่อสายลมอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ เขากระโดดออกไปอย่างรุนแรง กระแทกใส่เปลือกน้ำแข็งก่อนพุ่งไปข้างหน้าต่อ

“น่าทึ่งจริงๆ ข้าใช้พละกำลังไปส่วนใหญ่แล้ว เหวยจุน ข้าต้องพึ่งเจ้าหากสายลมกลับมาในครั้งต่อไป” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างมีอารมณ์

“ฟิ่วๆ ” จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนตอบ

กู่ฉิงซานกลับมามีเวลามากกว่าสามสิบอึดใจอีกครั้ง

เขาระเบิดพลังทุกอย่างที่มีเพื่อพุ่งไปข้างหน้าสุดแรงเกิด

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง กระดูกหลายสิบท่อนลอยผ่านเขาไป

เห็นได้ชัดว่าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งไม่สามารถก้าวต่อไปได้เมื่อเดินมาถึงตรงจุดนี้

เขาจึงทำการสังเวยอีกครั้ง

กู่ฉิงซานเมินกระดูกเหล่านั้น

เพราะหลังจากผ่านไปหลายสิบอึดใจ สายลมน่าสะพรึงจะพัดมาอีกครั้ง!

มีแต่ต้องวิ่งสุดแรงเกิด

ทุ่มทุกอย่างที่มี

ถึงแม้ความเร็วจะเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด

ถึงแม้จะเดินทางมาได้ระยะไกลแล้ว

แต่เส้นทางมืดมิดก็ไม่เผยปลายทางเสียที

สามสิบอึดใจหมดลงแล้ว

ในเส้นทางมืดมิด สายลมค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

“ฟิ่วๆ ”

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนถาม

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพัก

ไม่ว่าจะเป็นใครหรือตัวตนอะไรที่ปล่อยวิชาอยู่ข้างหน้า มันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือตัวตนที่ไม่มีสติ

เพราะสายลมใช้เพื่อปิดกั้นเส้นทาง วิชาที่ปล่อยออกมาไม่หยุดนั้น ไม่ว่าจะอยู่ระดับสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถปล่อยนานได้อย่างไร้ขีดจำกัดเช่นนี้

…หรือตัวตนนั่นอยู่เกินความขอบเขตความเข้าใจมานานแล้ว

แต่ความสามารถของจี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนสามารถหยิบยืมทักษะของอีกฝ่ายได้

นี่คือพลังลี้ลับที่เหนือกว่าพละกำลังธรรมดา หากต้องเผชิญกับศัตรูที่ทรงพลังมาก ณ ปลายทางนั่นจริง เช่นนั้นสิ่งเดียวที่สามารถพึ่งได้ก็คือน้ำเต้าเหวยจุน

ไม่ง่ายนักที่จะใช้มันได้!

กู่ฉิงซานดึงดาบยาวออกมาขณะฟันใส่กำแพง

“ฉึก ครืด”

เสียงเสียดสีรุนแรงดังขึ้น ประกายไฟปรากฏขึ้นบนกำแพง

ไม่ได้ กำแพงหนาเกินไป!

คิดๆ ดูแล้ว ถ้ากำแพงไม่หนาเกินไป แล้วมันจะต้านทานสายลมพวกนี้ได้อย่างไร

กู่ฉิงซานกัดฟัน

ไม่มีทางอื่นเลยหรือ

สายลมยิ่งมายิ่งรุนแรง

ตอนนี้ เขาสามารถสัมผัสพลังทำลายล้างในสายลมได้

ถึงแม้จะไม่ใช่สายลมโกลาหล แต่สายลมนี้ครอบครองพลังที่จะทำลายราชาเทพเช่นกัน!

รูปรากฏบนตัวกู่ฉิงซานอีกครั้ง

รอยฟันบนเกราะศึกหมอกดำคมและเรียบราวกับไม่มีทางขัดขืนได้

กู่ฉิงซานทันสังเกตเห็นขณะครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว

รอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว

ไม่มีทางอื่นจริงๆ หรือ

น่าเสียดายที่กำแพงนี้หนาเกินไป เขาไม่สามารถฟันมาได้ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี…

เดี๋ยวนะ

ทันใดนั้น จิตของกู่ฉิงซานวูบไหว

เขายื่นมือไปในความว่างเปล่า

การ์ดเปล่งแสงสีแดงมาอยู่ในมือของเขา

“หายาก: หอกปีศาจแดง”

“เมื่อสวมใส่หอกปีศาจนี้ ท่านจะไม่สามารถสวมใส่เกราะในเวลาเดียวกันได้”

“หอกเวทมนตร์นี้มีคุณลักษณะของกฎเกณฑ์: เชือดเฉือนสัมบูรณ์”

“คำอธิบาย: นี่คืออาวุธชิ้นแรกที่ถูกสร้างโดยเทพในยุคโบราณที่ทำร้ายพวกเดียวกันได้”

“ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้!”

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปจับการ์ดก่อนสะบัดอย่างรวดเร็ว

วินาทีต่อมา

หอกที่ถูกห้อมล้อมโดยแสงสีชาดไม่มีสิ้นสุดปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนมาอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน

เกราะบนร่างของกู่ฉิงซานกลายเป็นกลุ่มหมอกสีดำก่อนสลายไปตามสายลมอย่างรวดเร็ว

ขณะหอกปีศาจอยู่ในมือ เกราะศึกหมอกดำจะแตกสลายทันที

“ฮ่า!”

โดยไม่คำนึกถึงอะไร กู่ฉิงซานคำรามออกมา

แสงสีชาดวูบไหวครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกสิ่งถูกฟันได้อย่างง่ายดายราวเต้าหู้

กำแพงถูกฟันเป็นรูขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ สายลมค่อยๆ รุนแรงมากขึ้น

ด้านข้างของกู่ฉิงซานที่กำลังเผชิญกับสายลมถูกฟันเป็นแผลเปิดขนาดเล็กนับไม่ถ้วนจนโลหิตไหลอาบ

รอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว!

กู่ฉิงซานถือหอกปีศาจแดงก่อนกระโจนเข้าไปในหลุมขนาดใหญ่บนกำแพง

เพื่อกันเอาไว้ก่อน เขาใช้วิชาควบคุมเพื่อปิดหินที่ถูกสับเป็นทางเข้าถ้ำกลับไปอีกครั้งก่อนทำให้พวกมันอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบด้วยวิชาเยือกแข็งที่ทนทานที่สุด

ตอนนี้ สายลมไปถึงจุดสูงสุดของพลัง

หวือ

สายลมแรงกล้าส่งเสียงเกรี้ยวกราดออกมาขณะทำลายทุกสิ่งในเส้นทางมืดมิด

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็หลบได้

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในเส้นทางมืดมิดขณะจมสู่ความคิด

สายลมแรงกล้าพัดผ่านร่างกาย

ความจริง พายุพัดผ่านด้วยระยะทางที่ไกล เมื่อมาถึงตรงหน้าเขา พลังก็อ่อนลงไปมากแล้ว

ยิ่งอยู่ไกลเท่าไหร่ สายลมจะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น มันสามารถทะลุผ่านเกราะศึกหมอกดำเพื่อสร้างความเสียหายกับราชาเทพโดยตรงได้

กู่ฉิงซานรู้ว่าเขาไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกต่อไป

คงจะดีถ้าฉานนู่อยู่ที่นี่

เขาถอนหายใจ

ในเส้นทางมืดมิด ฉานนู่สามารถใช้พลังวิเศษ “อมตะ” ของดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพเพื่อไปดูสิ่งที่อยู่ข้างหน้านี้ได้

ส่วนจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง เขาสามารถสังเวยชีวิตและวิญญาณของพวกตัวเองเพื่อเพิ่มพลังชั่วคราวก่อนก้าวต่อไปได้

ฉานนู่ไม่ได้อยู่ข้างเขา เขาไม่มีลูกน้องและไม่เต็มใจจะสังเวย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหยุดอยู่ตรงนี้

ผ่านไปสักพัก สายลมหยุดลง

กู่ฉิงซานเริ่มนับอยู่เงียบๆ

เมื่อเขานับถึงสามสิบ สายลมก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

ยี่สิบอึดใจ

สายลมจึงจะหายไป

อีกสามสิบอึดใจ

สายลมจะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

กระบวนการทั้งหมดวนเวียนจนดูเรียบง่ายยิ่ง

เรียบง่าย…

นี่คือกลไกที่ตายตัวหรือ

มีช่องว่างสามสิบอึดใจให้ใช้ เขาสามารถวิ่งผ่านเส้นทางมืดมิดในช่วงเวลานี้ได้หรือไม่

ข้อเสียคือจิตเทพไม่สามารถออกห่างจากร่างกายมากเกินไปได้ การหดตัวของน้ำเต้าและการเคลื่อนย้ายก็ไม่สามารถแสดงบทบาทที่นี่ได้เช่นกัน

สายลมนี้สามารถทำร้ายราชาเทพได้อย่างง่ายดาย เขาไม่รู้ว่าแหล่งกำเนิดของมันจะทรงพลังแค่ไหน

มันอาจจะผ่านไม่ได้เลยก็ได้

ไม่ใช่

มันต้องมีทางสิ ไม่อย่างนั้นจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งคงไม่เตรียมการขนาดนี้เพื่อเข้ามาที่นี่แน่

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่สักพัก

เมื่อสายลมพัดมาอีกครั้ง เขาแตะถุงเก็บของเพื่อปล่อยจี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนออกมา

“เจ้าสามารถขโมยลมพวกนี้แล้วใช้กลับได้หรือเปล่า”

กู่ฉิงซานถามด้วยความหวังอันริบหรี่

“ฟิ่วๆ ฟิ่วๆๆ !”

น้ำเต้าตอบอย่างเกรี้ยวกราด

“ก็นะ ข้าคิดผิดเอง เจ้าสามารถหยิบยืมหรือเรียนรู้สายลมนี้ได้หรือไม่” กู่ฉิงซานเปลี่ยนคำถาม

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนบิดร่างกายก่อนลอยขึ้นกลางอากาศเพื่อสัมผัสสายลมที่พัดผ่านมาอย่างเงียบงัน

“ฟิ่วๆๆ ฟิ่วๆ ฟิ่วๆๆ”

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนกล่าวด้วยความสับสน

หัวใจของกู่ฉิงซานดิ่งวูบ

น้ำเต้าสามารถหยิบยืมวิชาของผู้อื่นได้

หรือก็คือ สายลมเหล่านี้มีจุดกำเนิดและไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

ถ้าสายลมนี้คือพลังวิเศษอย่างหนึ่ง เช่นนั้นใครบางคนก็ต้องยืนอยู่ที่ปลายเส้นทางมืดมิดเพื่อปล่อยมันออกมาอย่างต่อเนื่อง

เส้นทางนี้คงอยู่มาเนิ่นนาน เป็นไปได้หรือที่จะมีใครบางคนอยู่ที่ปลายเส้นทางเพื่อปล่อยวิชาออกมาโดยไม่หยุดพัก

นี่มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

กู่ฉิงซานมองเส้นทางมืดมิด ความสงสัยใคร่รู้อย่างแรงกล้าค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นในใจ

สุดท้ายแล้ว เขาตัดสินใจพยายามสำรวจดู

“เหวยจุน เจ้าสามารถปล่อยพลังเวทมนตร์ได้สามครั้งติดใช่หรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนตอบว่า “ทันทีที่ข้าปลดปล่อยร้อยแสงสาดส่องหรือการหยิบยืมจากจักรวาลสามครั้งติดกันในเวลาอันสั้น ข้าจะกลายเป็นเมล็ดน้ำเต้า ต่อให้เติบใหญ่อีกครั้ง ข้าก็สามารถใช้ได้เพียงหยกไร้ข้อบกพร่องภายในหนึ่งชั่วโมง”

ตอนนี้ สายลมในเส้นทางมืดมิดเพิ่งเปลี่ยนเป็นสายลมที่รุนแรงที่สุด

กู่ฉิงซานถูกปกคลุมด้วยสายลมแรงกล้า

“สามครั้งก็มากเกินพอแล้ว เจ้าซ่อนอยู่หลังข้า ลุยกันเลย!” เขาประกาศทันที

สายลมจะพัดผ่านทั้งสิ้นยี่สิบอึดใจ ตอนนี้เป็นช่วงที่รุนแรงที่สุด อีกสิบอึดใจต่อมา มันจะค่อยๆ อ่อนกำลังลง

และสายลมจะหยุดนิ่งในสามสิบอึดใจ

หากนับจากตรงนั้น เขาจะสามารถได้เวลามากถึงสี่สิบอึดใจ!

ร่างของกู่ฉิงซานกลายเป็นประกายอสนีขณะผ่านเส้นทางมืดมิดด้วยความเร็วสูงสุดขณะเหาะตรงไปข้างหน้า

ดังคาด สายลมค่อยๆ อ่อนกำลังลงก่อนหายไป

สิบอึดใจจะหมดลงแล้ว!

กู่ฉิงซานวิ่งอย่างสุดกำลัง!

เขาเห็นภาพติดตาผ่านเส้นทางมืดมิด ไม่ช้าก็ข้ามจุดสังเวยที่เจอก่อนหน้านี้

ยังเหลืออีกสามสิบอึดใจ!

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานยังคงเงียบขณะใช้ความเร็วสูงสุดของระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์

ในที่สุด เวลานั้นก็มาถึง

เขายังไม่ได้ออกจากเส้นทางมืดมิดอันยาวไกลนี้!

แต่สายลมก่อตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว

สายลมแผ่วเบาพัดมาโดนใบหน้า ให้สัมผัสที่อบอุ่น

หากผู้คนไม่รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของสายลมนี้ พวกเขาย่อมไม่คาดคิดถึงพลังอันน่าสะพรึงที่จะตามมาหลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ

“ฟิ่วๆๆ ”

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนถาม

“ไม่ พลังของสายลมที่นี่ไม่ได้รุนแรงจนเกินไป ข้าน่าจะสามารถต้านไหว” กู่ฉิงซานกล่าว

ครั้งที่แล้วเขาไม่รู้ตัว ทำให้ใบหน้าโดนสายลมพัดผ่าน

แต่ตอนนี้เขารู้พลังของสายลมแล้ว กู่ฉิงซานย่อมมีความคิดอยู่ในใจ

พลังเวทมนตร์ของน้ำเต้ามีค่ายิ่ง เปรียบเสมือนทางเลือกสุดท้าย จะปล่อยออกมาง่ายๆ ไม่ได้

กู่ฉิงซานเอนตัวลงนอนช้าๆ

เขาพยายามแนบร่างกายกับกำแพงของทางเดินเพื่อสร้างจุดสัมผัสที่เล็กที่สุดกับสายลมที่พัดมาตรงหน้า

หลังจากนั้นไม่นาน เขาเริ่มปล่อยวิชาออกมา

ชั้นเยือกแข็งหนาปรากฏขึ้นจากอากาศบางก่อนปกคลุมกู่ฉิงซาน

ชั้นเยือกแข็งเหล่านี้ก่อตัวเป็นเปลือกน้ำแข็งโค้งเรียวจนเกาะติดกับกำแพงอย่างสมบูรณ์ขณะปกคลุมกู่ฉิงซานเอาไว้

กู่ฉิงซานแนบกับกำแพงขณะนอนอยู่บนพื้น มีเพียงสายลมส่วนน้อยนิดจากส่วนลึกของเส้นทางมืดมิดเท่านั้นที่พัดโดนเปลือกน้ำแข็ง

ถึงแม้สายลมจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่พื้นที่ที่มีเปลือกน้ำแข็งคลุมอยู่กลับอ่อนกำลังลง นั่นเป็นผลจากเปลือกน้ำแข็งโค้งเรียวได้รูป ทำให้สายลมพัดผ่านเปลือกน้ำแข็งไปอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าสายลมยังน่าสะพรึงยิ่งอยู่ดี ยังไงเสีย เปลือกน้ำแข็งก็โดนสายลมตลอด แถมความเร็วของสายลมยังเพิ่มอีกด้วย

เมื่อเห็นว่าเปลือกน้ำแข็งกำลังจะลอกออกอย่างสมบูรณ์ กู่ฉิงซานจึงลงมือ

ตอนนี้เขาคือเทพแห่งความเย็นยะเยือก วิชาเยือกแข็งที่เขาปลดปล่อยออกมาอย่างสุดกำลังคือพลังป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่ง

ไม่ช้า เปลือกน้ำแข็งอันใหม่ก่อตัวบนพื้นผิวร่างกายของเขา!

ภายใต้สายลมอันเกรี้ยวกราด เปลือกน้ำแข็งหดลงอย่างต่อเนื่องแต่ก็กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมอย่างรวดเร็วภายใต้พรเยือกแข็งของกู่ฉิงซาน

หลังจากเป็นเช่นนี้วนเวียนไปหลายครั้ง สายลมแรงกล้าผ่านจุดที่รุนแรงไปในที่สุดก่อนเริ่มอ่อนกำลังลงอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานทำสำเร็จ!

เมื่อสายลมอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ เขากระโดดออกไปอย่างรุนแรง กระแทกใส่เปลือกน้ำแข็งก่อนพุ่งไปข้างหน้าต่อ

“น่าทึ่งจริงๆ ข้าใช้พละกำลังไปส่วนใหญ่แล้ว เหวยจุน ข้าต้องพึ่งเจ้าหากสายลมกลับมาในครั้งต่อไป” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างมีอารมณ์

“ฟิ่วๆ ” จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนตอบ

กู่ฉิงซานกลับมามีเวลามากกว่าสามสิบอึดใจอีกครั้ง

เขาระเบิดพลังทุกอย่างที่มีเพื่อพุ่งไปข้างหน้าสุดแรงเกิด

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง กระดูกหลายสิบท่อนลอยผ่านเขาไป

เห็นได้ชัดว่าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งไม่สามารถก้าวต่อไปได้เมื่อเดินมาถึงตรงจุดนี้

เขาจึงทำการสังเวยอีกครั้ง

กู่ฉิงซานเมินกระดูกเหล่านั้น

เพราะหลังจากผ่านไปหลายสิบอึดใจ สายลมน่าสะพรึงจะพัดมาอีกครั้ง!

มีแต่ต้องวิ่งสุดแรงเกิด

ทุ่มทุกอย่างที่มี

ถึงแม้ความเร็วจะเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด

ถึงแม้จะเดินทางมาได้ระยะไกลแล้ว

แต่เส้นทางมืดมิดก็ไม่เผยปลายทางเสียที

สามสิบอึดใจหมดลงแล้ว

ในเส้นทางมืดมิด สายลมค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

“ฟิ่วๆ ”

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนถาม

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพัก

ไม่ว่าจะเป็นใครหรือตัวตนอะไรที่ปล่อยวิชาอยู่ข้างหน้า มันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือตัวตนที่ไม่มีสติ

เพราะสายลมใช้เพื่อปิดกั้นเส้นทาง วิชาที่ปล่อยออกมาไม่หยุดนั้น ไม่ว่าจะอยู่ระดับสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถปล่อยนานได้อย่างไร้ขีดจำกัดเช่นนี้

…หรือตัวตนนั่นอยู่เกินความขอบเขตความเข้าใจมานานแล้ว

แต่ความสามารถของจี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนสามารถหยิบยืมทักษะของอีกฝ่ายได้

นี่คือพลังลี้ลับที่เหนือกว่าพละกำลังธรรมดา หากต้องเผชิญกับศัตรูที่ทรงพลังมาก ณ ปลายทางนั่นจริง เช่นนั้นสิ่งเดียวที่สามารถพึ่งได้ก็คือน้ำเต้าเหวยจุน

ไม่ง่ายนักที่จะใช้มันได้!

กู่ฉิงซานดึงดาบยาวออกมาขณะฟันใส่กำแพง

“ฉึก ครืด”

เสียงเสียดสีรุนแรงดังขึ้น ประกายไฟปรากฏขึ้นบนกำแพง

ไม่ได้ กำแพงหนาเกินไป!

คิดๆ ดูแล้ว ถ้ากำแพงไม่หนาเกินไป แล้วมันจะต้านทานสายลมพวกนี้ได้อย่างไร

กู่ฉิงซานกัดฟัน

ไม่มีทางอื่นเลยหรือ

สายลมยิ่งมายิ่งรุนแรง

ตอนนี้ เขาสามารถสัมผัสพลังทำลายล้างในสายลมได้

ถึงแม้จะไม่ใช่สายลมโกลาหล แต่สายลมนี้ครอบครองพลังที่จะทำลายราชาเทพเช่นกัน!

รูปรากฏบนตัวกู่ฉิงซานอีกครั้ง

รอยฟันบนเกราะศึกหมอกดำคมและเรียบราวกับไม่มีทางขัดขืนได้

กู่ฉิงซานทันสังเกตเห็นขณะครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว

รอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว

ไม่มีทางอื่นจริงๆ หรือ

น่าเสียดายที่กำแพงนี้หนาเกินไป เขาไม่สามารถฟันมาได้ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี…

เดี๋ยวนะ

ทันใดนั้น จิตของกู่ฉิงซานวูบไหว

เขายื่นมือไปในความว่างเปล่า

การ์ดเปล่งแสงสีแดงมาอยู่ในมือของเขา

“หายาก: หอกปีศาจแดง”

“เมื่อสวมใส่หอกปีศาจนี้ ท่านจะไม่สามารถสวมใส่เกราะในเวลาเดียวกันได้”

“หอกเวทมนตร์นี้มีคุณลักษณะของกฎเกณฑ์: เชือดเฉือนสัมบูรณ์”

“คำอธิบาย: นี่คืออาวุธชิ้นแรกที่ถูกสร้างโดยเทพในยุคโบราณที่ทำร้ายพวกเดียวกันได้”

“ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้!”

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปจับการ์ดก่อนสะบัดอย่างรวดเร็ว

วินาทีต่อมา

หอกที่ถูกห้อมล้อมโดยแสงสีชาดไม่มีสิ้นสุดปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนมาอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน

เกราะบนร่างของกู่ฉิงซานกลายเป็นกลุ่มหมอกสีดำก่อนสลายไปตามสายลมอย่างรวดเร็ว

ขณะหอกปีศาจอยู่ในมือ เกราะศึกหมอกดำจะแตกสลายทันที

“ฮ่า!”

โดยไม่คำนึกถึงอะไร กู่ฉิงซานคำรามออกมา

แสงสีชาดวูบไหวครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกสิ่งถูกฟันได้อย่างง่ายดายราวเต้าหู้

กำแพงถูกฟันเป็นรูขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ สายลมค่อยๆ รุนแรงมากขึ้น

ด้านข้างของกู่ฉิงซานที่กำลังเผชิญกับสายลมถูกฟันเป็นแผลเปิดขนาดเล็กนับไม่ถ้วนจนโลหิตไหลอาบ

รอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว!

กู่ฉิงซานถือหอกปีศาจแดงก่อนกระโจนเข้าไปในหลุมขนาดใหญ่บนกำแพง

เพื่อกันเอาไว้ก่อน เขาใช้วิชาควบคุมเพื่อปิดหินที่ถูกสับเป็นทางเข้าถ้ำกลับไปอีกครั้งก่อนทำให้พวกมันอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบด้วยวิชาเยือกแข็งที่ทนทานที่สุด

ตอนนี้ สายลมไปถึงจุดสูงสุดของพลัง

หวือ

สายลมแรงกล้าส่งเสียงเกรี้ยวกราดออกมาขณะทำลายทุกสิ่งในเส้นทางมืดมิด

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็หลบได้

ว่ากันว่าทะเลลึกคือพื้นที่ทะเลที่ไม่สามารถสำรวจได้

สัตว์ประหลาดทะเลทั้งหมดที่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยล้านปีอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่เพียงแค่พวกมันทรงพลังเท่านั้น แต่ยังพึ่งพาประโยชน์จากทะเลอีกด้วย พวกมันเอาชนะได้ยากและไม่คิดหนี เป็นการยากยิ่งที่จะรับมือได้

กู่ฉิงซานถือแท่งโลหะสามเหลี่ยมเป็นประกายในมือขณะยังคงดำดิ่งสู่หุบเหว

ตั้งแต่เข้าสู่ทะเลลึก แท่งโลหะสามเหลี่ยมนี้คล้ายกับเชื่อมต่อกับสถานที่หนึ่งที่ไม่อาจอธิบายได้

มันเหมือนกับสัญญาณเตือน คอยตรวจจับบางอย่างเพื่อให้สามารถถ่ายทอดตำแหน่งคงที่จุดหนึ่งมายังสติของกู่ฉิงซานจากอากาศบางได้

กู่ฉิงซานไปตามทางที่ถูกชี้โดยแท่งโลหะสามเหลี่ยมขณะแหวกว่ายอยู่ในทะเลลึกอันเงียบสงัด

เมื่อกู่ฉิงซานมาถึงตำแหน่งหนึ่ง แท่งโลหะสามเหลี่ยมก็หยุดการเคลื่อนไหว

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพขณะตรวจสอบไปทั่ว แต่ก็ไม่พบอะไร

แต่ในสัมผัสวิญญาณของเขา ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปขณะสัมผัสข้างหน้าอย่างแผ่วเบา

เห็นได้ชัดว่ามีน้ำทะเลอยู่ตรงหน้า แต่เขารู้สึกถึงความเย็นและความแข็งที่ยื่นออกมา

นี่คือหิน

กู่ฉิงซานจับหินขณะสัมผัสไปทั่ว

เขาพบโครงร่างของประตูอย่างรวดเร็ว

นี่คือประตูหินที่ปิดอยู่

กู่ฉิงซานออกแรงผลักอย่างแรง

ประตูหินไม่ขยับ

ดาบยาวไม่อาจทิ้งร่องรอยประตูหินเอาไว้ได้

พลังเยือกแข็งก็ให้ผลได้ไม่ดีนัก

เมื่อใกล้หมดหนทาง กู่ฉิงซานยังคงสำรวจต่อไป

ใช้เวลานานนักก่อนเขาจะพบแม่แรงตรงประตูหิน

ดูเหมือนจะมีไว้สำหรับใส่กุญแจ

โดยไม่ลังเล กู่ฉิงซานใส่กุญแจสู่ผนึกสามเหลี่ยมเข้าไป

เกิดเสียงดังขึ้นมา

ในที่สุดประตูก็เปิดออก

กุญแจสามเหลี่ยมถูกแยกออกจากประตูก่อนตกลงในมือของกู่ฉิงซานอีกครั้ง

กู่ฉิงซานเดินเข้าไปในประตูหิน

ปัง!

ทันทีที่เข้าไป ประตูหินปิดไล่หลังทันที

กู่ฉิงซานชำเลืองมองกลับไปขณะเก็บกุญแจผนึก จากนั้นว่ายตรงไปข้างหน้า

หลังจากว่ายไปหลายสิบอึดใจ ขั้นบันไดปรากฏขึ้นตรงหน้า

ขั้นบันไดเหล่านี้ถูกฝังอยู่ใต้น้ำขณะขยายขึ้นไป

กู่ฉิงซานแหวกว่ายไปตามขั้นบันไดจนท้ายที่สุดก็ออกจากน้ำเมื่อถึงเวลาหนึ่ง

บนน้ำ ขั้นบันไดตรงยังขยายขึ้นไป

ทั้งสองฝั่งของขั้นบันไดคือกำแพงโบราณที่มีรอยด่าง เมื่อกู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นจากน้ำ คบเพลิงบนกำแพงติดขึ้นอันแล้วอันเล่า

แสงไฟส่องทางด้านหน้า แต่สถานที่ที่ไม่ได้รับการส่องแสงยังมืดมิด

กู่ฉิงซานถือคทาเยือกแข็งด้วยมือซ้ายและถือดาบเสียงคลื่นด้วยมือขวาขณะก้าวไปตามขั้นบันได

ผ่านไปสักพัก

ทางขึ้นเริ่มราบเรียบขึ้นมา

กู่ฉิงซานพบว่าเขากำลังเดินในอุโมงค์ที่ไม่เห็นปลายทาง

แต่ว่ากันตามตรง มันไม่ถูกต้องเสียทีเดียว

เพราะบนพื้นกลับถูกปูด้วยพรมสีแดง

กู่ฉิงซานมองใกล้ๆ ก่อนพบว่าพรมคล้ายกับสร้างมาจากฝั่งเวทมนตร์ เมื่อใดที่ธุลีตกลงมา มันจะถูกทำความสะอาดทันที

ถึงแม้จะผ่านมาหลายปี แต่ทั่วทั้งเส้นทางก็สะอาดเอี่ยม สีของพรมยังดูสดใหม่

ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาด เหมือนกับเวลาสอดประสานกัน

ทันทีที่เข้ามาที่นี่ จิตเทพก็ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป

มีพลังแก่กล้าแปลกประหลาดสุดบรรยายที่กดทับจิตเทพในร่างกายเอาไว้ภายในระยะหลายเมตร ทำให้ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้

กู่ฉิงซานทำได้เพียงสังเกตรอบข้างด้วยตาเปล่า

เขาก้าวไปข้างหน้าขณะเดินไปสู่จุดสิ้นสุดของเส้นทาง

หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง

เส้นทางยังไม่มีจุดสิ้นสุด

แต่โชคยังดี มีบางสิ่งปรากฏตรงทั้งสองฝั่งของเส้นทาง ทำให้กู่ฉิงซานมีกำลังใจ

ตอนแรกมันเป็นเพียงกระดูกรูปทรงแปลกประหลาด

จากนั้นมีโต๊ะกับเก้าอี้ที่ได้รับความเสียหาย ทองแดงและเหล็กที่แตกหักกับรองเท้าบูตที่ขาดรุ่งริ่งปรากฏขึ้นพร้อมกัน

สิ่งเหล่านี้ช่างเก่าแก่ยิ่งนัก

ทว่า เพราะความทนทานของวัสดุ สิ่งเหล่านี้จึงยังรักษารูปทรงเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

เห็นได้ชัดว่ามีมนุษย์เคยอยู่ที่นี่มาหลายปี

นี่คือเส้นทางที่ถูกสร้างโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือ

เพื่อขัดขืนสัตว์ประหลาดจากหุบเหวนิรันดร์ เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงสร้างกำแพงเหล็กขนาดใหญ่ขึ้นมา

แต่ทำไมพวกเขาถึงสร้างเส้นทางลับเพื่อเชื่อมต่อกับหุบเหวนิรันดร์ด้วยล่ะ

กู่ฉิงซานมองรอบข้างขณะยังคงก้าวไปข้างหน้า

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

เส้นทางยังไม่มีจุดสิ้นสุด

ถ้ากู่ฉิงซานวิ่งสุดกำลัง เขาอาจจะเดินทางได้ไกล

แต่เขายังคงเตือนตัวเองอยู่ตลอด

นี่คือเส้นทางสู่หุบเหวนิรันดร์ เขาไม่สามารถแม้แต่จะปลดปล่อยจิตเทพได้

เมื่อคิดได้ดังนี้ กู่ฉิงซานลดความเร็วลงโดยไม่รู้ตัว

เขาเดินไปข้างหน้าอย่างอดทน หยุดแวะชมสิ่งที่หลงเหลือจากเมื่อหลายพันล้านปีก่อนของทั้งสองฝั่งของเส้นทางเป็นครั้งคราว

ทุกสิ่งถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนา ดูท่าจะไม่มีใครมาเห็นหรือแตะต้องพวกมัน

แสดงว่า จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเมินของเหล่านี้

เขามีนิ้วสีดำ ดังนั้นจึงต้องไปหาสัตว์ประหลาด

ถ้าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งบรรลุเป้าหมายและอยากกลับโลกมารดึกดำบรรพ์อีกครั้ง เขาจะต้องกลับด้วยเส้นทางลับนี้

เมื่อเวลามาถึง ทั้งสองคนจะต้องมาเจอกันอย่างแน่นอน

กู่ฉิงซานส่ายหน้าขณะทิ้งความคิดนี้ไปชั่วคราวแล้วก้าวไปข้างหน้าต่อ

ไม่มีอะไรพิเศษบนเส้นทางลับนี้ นั่นพิสูจน์ได้ว่ามนุษย์เคยเคลื่อนไหวที่นี่

ตามการวิเคราะห์ด้วยตรรกะพื้นฐาน เขายังไม่รู้ว่าเส้นทางนี้ถูกสร้างด้วยตัวตนไหน

ถ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างเส้นทางลับที่นำไปสู่หุบเหวนิรันดร์จริง เช่นนั้นโครงสร้างของกำแพงเหล็กขนาดใหญ่ก็ไม่สมเหตุสมผล

จะสู้กับศัตรูจนตัวตายได้อย่างไรถ้ายังปล่อยให้ศัตรูเข้ามาได้อย่างเงียบๆ

เว้นแต่ว่าจะมีความลับที่ไม่ถูกพูดถึงอยู่

นอกจากนี้ ยังมีอีกสถานการณ์หนึ่ง: ถ้าเส้นทางลับไม่ได้ถูกสร้างโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมา เช่นนั้นเป็นฝีมือใครสร้างกันล่ะ

กู่ฉิงซานอดที่จะพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมพวกเขาถึงได้เปิดประตูสู่หุบเหวนิรันดร์ในทะเลแบบนี้”

เขามองกุญแจสามเหลี่ยมในมือ

กุญแจไม่ตอบสนอง

เมื่อไม่มีเบาะแส เขาก็ทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้า

กู่ฉิงซานเริ่มการเดินทางไกล

หลายชั่วโมงต่อมา เขายังคงเดินไปข้างหน้า

บางครั้งเขาจะหยุดมองซากที่อยู่ตามสองฝั่งของเส้นทางเพื่อพยายามหาเบาะแส

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง

กู่ฉิงซานยืนนิ่ง

เบื้องหน้าของเขา เส้นทางมืดมิด

ก่อนหน้านี้มีคบเพลิงแขวนอยู่ตรงกำแพงตามทาง แต่เมื่อเขามาถึงที่นี่ กลับไม่มีคบเพลิงแต่อย่างใด

กู่ฉิงซานหันหลังกลับไปหยิบคบเพลิงจากกำแพงเพื่อพยายามใช้แสงคบเพลิงส่องทางข้างหน้า

แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปในเส้นทางมืดมิด คบเพลิงพลันดับสนิท

กู่ฉิงซานวางคบเพลิงไว้ตรงหน้าขณะตรวจสอบอย่างละเอียด

ไม่มีเบาะแสเลย

กู่ฉิงซานไม่เชื่อในเรื่องโชคร้ายก่อนกลับไปหยิบคบเพลิงที่ยังลุกโชนอยู่ จากนั้นจึงกลับเข้าไปในเส้นทางมืดมิด

ครั้งนี้เขาก้าวไปข้างหน้าได้หนึ่งนาที

คบเพลิงก็ดับสนิทอีกครั้ง

กู่ฉิงซานยืนอยู่เงียบๆ สักพัก

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่

เขาก้มตัวลงขณะแตะคบเพลิงบนพื้นอย่างแผ่วเบา จากนั้นยืนขึ้นและยังคงไม่ขยับไปไหน

ดาบเสียงคลื่นปรากฏขึ้นในมือ

หลังจากนิ่งไปสักพัก

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี่นับว่าแปลก…

กู่ฉิงซานกำลังคิดไปมา ทันใดนั้นก็มีสายลมพัดมาตรงหน้า

สายลมพลันกลายเป็นพายุแรงกล้า!

ขณะยืนอยู่ที่เดิม กู่ฉิงซานพลันเอื้อมมือข้างหนึ่งของร่างกายแล้วคว้าจับไว้ท่ามกลางสายลม

เขาจับบางสิ่งเอาไว้ในมือก่อนมองใกล้ๆ แต่มันเป็นชิ้นส่วนกระดูก

“กระดูกหรือ…”

เขาพึมพำ

ตัดสินจากสัญชาตญาณและประสบการณ์ของเชฟ กระดูกสดใหม่มาก เพิ่งถูกเลาะออกมาได้ไม่นาน

ทำไมถึงมีกระดูกลอยมาตามทางล่ะ

หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ

สายลมหายไป เส้นทางกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

กู่ฉิงซานครุ่นคิดหลายอึดใจก่อนถอยกลับไปหยิบคบเพลิงแล้วเข้าสู่เส้นทางมืดมิดอีกครั้ง

เขารออย่างอดทน

ผ่านไปสักพัก

สายลมพัดพา

คบเพลิงดับในทันที

กู่ฉิงซานจมสู่ความคิด

สายลมที่พัดพามาคล้ายกับมีพลังวิเศษบางอย่างที่สามารถดับคบเพลิงได้ในทันที

ในระหว่างที่เขาไตร่ตรอง สายลมแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นพายุรุนแรงอีกครั้ง

กระดูกจำนวนมากลอยมาตามสายลม

กู่ฉิงซานหยิบมันมาอย่างไม่ใส่ใจ

เป็นหัวกะโหลกครึ่งส่วน รูปทรงน่าเกลียด ดูไม่เหมือนมนุษย์

ทันใดนั้น เขาเข้าใจบางสิ่ง

เมื่อสายลมเบาลง เขาก้าวไปข้างหน้าทันที

ใช่แล้ว หลายพันเมตรต่อมา เขาพบซากกระดูกสีขาวห้าร่าง

ซากพวกนี้คล้ายกับได้รับการทรมานและความเจ็บปวดตอนที่ยังมีชีวิต พวกเขามีท่วงท่าบิดเบี้ยวและขัดขืนจนปากอ้า

กู่ฉิงซานเดินรอบซากกระดูกขณะสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงอันชั่วร้ายในกระดูกที่ยังไม่หายไปอย่างสมบูรณ์

เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว

นี่คือซากของมาร

ก่อนหน้านี้ ได้มีการสังเวยเกิดขึ้นที่นี่

การสังเวยคือพลังจำเพาะในระบบลี้ลับ เป็นรากฐานที่แตกต่างจากวิชาอัญเชิญ

ในวิชาอัญเชิญ ผู้อัญเชิญและคนที่ถูกอัญเชิญจะทำข้อตกลงกันผ่านสัญญา

แต่การสังเวยนั้นไม่ใช่

มันเป็นการขอร้อง

ผู้มีชีวิตต้อยต่ำยอมจ่ายในราคามหาศาลเพื่อขอร้องให้ผู้มีชีวิตสูงส่งจากมิติและเวลาอื่นมาช่วย

กู่ฉิงซานสับสนเล็กน้อย

มันก็แค่เส้นทางมืดมิด ทำไมถึงมีการสังเวยชีวิตและวิญญาณของมารห้าตนด้วย

สายลมพัดมาอีกครั้ง

สายลมแรงขึ้นเรื่อยๆ

สายลมในคราวนี้รุนแรงกว่าสายลมตอนที่กู่ฉิงซานอยู่ห่างออกไปหลายพันเมตร

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างแรงกล้าก่อตัวขึ้นในใจ

ตามสัญชาตญาณ เขาเอียงคอ

วินาทีต่อมา เขาพบรูบนใบหน้าที่ถูกสายลมพัดผ่าน

โลหิตไหลออกมาทันที

เป็นไปได้อย่างไร!

ตอนนี้เขามีร่างกายเป็นราชาเทพ ครอบครองพละกำลังสุดหยั่งในระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ แถมยังสวมเกราะศึกหมอกดำพร้อมหมวกที่ปกคลุมใบหน้าอย่างแน่นหนา

แต่เขากลับถูกสายลมทำร้ายได้!

กู่ฉิงซานตอบสนอง

ทันใดนั้น เขาหันหลังและถอยกลับจนกระทั่งอยู่ไกลจากกระดูกก่อนจะยืนนิ่ง

สายลมตรงนี้เบามาก

ตอนนี้ กระดูกจำนวนมากลอยผ่านเขาไป

“ใช่แล้ว…แม้กระทั่งพลังของราชาเทพก็ไม่สามารถต้านทานได้ ยิ่งเป็นจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

“ไม่สงสัยเลยว่าเขาต้องการการสังเวย”

กู่ฉิงซานพึมพำ

ว่ากันว่าทะเลลึกคือพื้นที่ทะเลที่ไม่สามารถสำรวจได้

สัตว์ประหลาดทะเลทั้งหมดที่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยล้านปีอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่เพียงแค่พวกมันทรงพลังเท่านั้น แต่ยังพึ่งพาประโยชน์จากทะเลอีกด้วย พวกมันเอาชนะได้ยากและไม่คิดหนี เป็นการยากยิ่งที่จะรับมือได้

กู่ฉิงซานถือแท่งโลหะสามเหลี่ยมเป็นประกายในมือขณะยังคงดำดิ่งสู่หุบเหว

ตั้งแต่เข้าสู่ทะเลลึก แท่งโลหะสามเหลี่ยมนี้คล้ายกับเชื่อมต่อกับสถานที่หนึ่งที่ไม่อาจอธิบายได้

มันเหมือนกับสัญญาณเตือน คอยตรวจจับบางอย่างเพื่อให้สามารถถ่ายทอดตำแหน่งคงที่จุดหนึ่งมายังสติของกู่ฉิงซานจากอากาศบางได้

กู่ฉิงซานไปตามทางที่ถูกชี้โดยแท่งโลหะสามเหลี่ยมขณะแหวกว่ายอยู่ในทะเลลึกอันเงียบสงัด

เมื่อกู่ฉิงซานมาถึงตำแหน่งหนึ่ง แท่งโลหะสามเหลี่ยมก็หยุดการเคลื่อนไหว

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพขณะตรวจสอบไปทั่ว แต่ก็ไม่พบอะไร

แต่ในสัมผัสวิญญาณของเขา ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปขณะสัมผัสข้างหน้าอย่างแผ่วเบา

เห็นได้ชัดว่ามีน้ำทะเลอยู่ตรงหน้า แต่เขารู้สึกถึงความเย็นและความแข็งที่ยื่นออกมา

นี่คือหิน

กู่ฉิงซานจับหินขณะสัมผัสไปทั่ว

เขาพบโครงร่างของประตูอย่างรวดเร็ว

นี่คือประตูหินที่ปิดอยู่

กู่ฉิงซานออกแรงผลักอย่างแรง

ประตูหินไม่ขยับ

ดาบยาวไม่อาจทิ้งร่องรอยประตูหินเอาไว้ได้

พลังเยือกแข็งก็ให้ผลได้ไม่ดีนัก

เมื่อใกล้หมดหนทาง กู่ฉิงซานยังคงสำรวจต่อไป

ใช้เวลานานนักก่อนเขาจะพบแม่แรงตรงประตูหิน

ดูเหมือนจะมีไว้สำหรับใส่กุญแจ

โดยไม่ลังเล กู่ฉิงซานใส่กุญแจสู่ผนึกสามเหลี่ยมเข้าไป

เกิดเสียงดังขึ้นมา

ในที่สุดประตูก็เปิดออก

กุญแจสามเหลี่ยมถูกแยกออกจากประตูก่อนตกลงในมือของกู่ฉิงซานอีกครั้ง

กู่ฉิงซานเดินเข้าไปในประตูหิน

ปัง!

ทันทีที่เข้าไป ประตูหินปิดไล่หลังทันที

กู่ฉิงซานชำเลืองมองกลับไปขณะเก็บกุญแจผนึก จากนั้นว่ายตรงไปข้างหน้า

หลังจากว่ายไปหลายสิบอึดใจ ขั้นบันไดปรากฏขึ้นตรงหน้า

ขั้นบันไดเหล่านี้ถูกฝังอยู่ใต้น้ำขณะขยายขึ้นไป

กู่ฉิงซานแหวกว่ายไปตามขั้นบันไดจนท้ายที่สุดก็ออกจากน้ำเมื่อถึงเวลาหนึ่ง

บนน้ำ ขั้นบันไดตรงยังขยายขึ้นไป

ทั้งสองฝั่งของขั้นบันไดคือกำแพงโบราณที่มีรอยด่าง เมื่อกู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นจากน้ำ คบเพลิงบนกำแพงติดขึ้นอันแล้วอันเล่า

แสงไฟส่องทางด้านหน้า แต่สถานที่ที่ไม่ได้รับการส่องแสงยังมืดมิด

กู่ฉิงซานถือคทาเยือกแข็งด้วยมือซ้ายและถือดาบเสียงคลื่นด้วยมือขวาขณะก้าวไปตามขั้นบันได

ผ่านไปสักพัก

ทางขึ้นเริ่มราบเรียบขึ้นมา

กู่ฉิงซานพบว่าเขากำลังเดินในอุโมงค์ที่ไม่เห็นปลายทาง

แต่ว่ากันตามตรง มันไม่ถูกต้องเสียทีเดียว

เพราะบนพื้นกลับถูกปูด้วยพรมสีแดง

กู่ฉิงซานมองใกล้ๆ ก่อนพบว่าพรมคล้ายกับสร้างมาจากฝั่งเวทมนตร์ เมื่อใดที่ธุลีตกลงมา มันจะถูกทำความสะอาดทันที

ถึงแม้จะผ่านมาหลายปี แต่ทั่วทั้งเส้นทางก็สะอาดเอี่ยม สีของพรมยังดูสดใหม่

ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาด เหมือนกับเวลาสอดประสานกัน

ทันทีที่เข้ามาที่นี่ จิตเทพก็ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป

มีพลังแก่กล้าแปลกประหลาดสุดบรรยายที่กดทับจิตเทพในร่างกายเอาไว้ภายในระยะหลายเมตร ทำให้ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้

กู่ฉิงซานทำได้เพียงสังเกตรอบข้างด้วยตาเปล่า

เขาก้าวไปข้างหน้าขณะเดินไปสู่จุดสิ้นสุดของเส้นทาง

หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง

เส้นทางยังไม่มีจุดสิ้นสุด

แต่โชคยังดี มีบางสิ่งปรากฏตรงทั้งสองฝั่งของเส้นทาง ทำให้กู่ฉิงซานมีกำลังใจ

ตอนแรกมันเป็นเพียงกระดูกรูปทรงแปลกประหลาด

จากนั้นมีโต๊ะกับเก้าอี้ที่ได้รับความเสียหาย ทองแดงและเหล็กที่แตกหักกับรองเท้าบูตที่ขาดรุ่งริ่งปรากฏขึ้นพร้อมกัน

สิ่งเหล่านี้ช่างเก่าแก่ยิ่งนัก

ทว่า เพราะความทนทานของวัสดุ สิ่งเหล่านี้จึงยังรักษารูปทรงเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

เห็นได้ชัดว่ามีมนุษย์เคยอยู่ที่นี่มาหลายปี

นี่คือเส้นทางที่ถูกสร้างโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือ

เพื่อขัดขืนสัตว์ประหลาดจากหุบเหวนิรันดร์ เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงสร้างกำแพงเหล็กขนาดใหญ่ขึ้นมา

แต่ทำไมพวกเขาถึงสร้างเส้นทางลับเพื่อเชื่อมต่อกับหุบเหวนิรันดร์ด้วยล่ะ

กู่ฉิงซานมองรอบข้างขณะยังคงก้าวไปข้างหน้า

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

เส้นทางยังไม่มีจุดสิ้นสุด

ถ้ากู่ฉิงซานวิ่งสุดกำลัง เขาอาจจะเดินทางได้ไกล

แต่เขายังคงเตือนตัวเองอยู่ตลอด

นี่คือเส้นทางสู่หุบเหวนิรันดร์ เขาไม่สามารถแม้แต่จะปลดปล่อยจิตเทพได้

เมื่อคิดได้ดังนี้ กู่ฉิงซานลดความเร็วลงโดยไม่รู้ตัว

เขาเดินไปข้างหน้าอย่างอดทน หยุดแวะชมสิ่งที่หลงเหลือจากเมื่อหลายพันล้านปีก่อนของทั้งสองฝั่งของเส้นทางเป็นครั้งคราว

ทุกสิ่งถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนา ดูท่าจะไม่มีใครมาเห็นหรือแตะต้องพวกมัน

แสดงว่า จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเมินของเหล่านี้

เขามีนิ้วสีดำ ดังนั้นจึงต้องไปหาสัตว์ประหลาด

ถ้าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งบรรลุเป้าหมายและอยากกลับโลกมารดึกดำบรรพ์อีกครั้ง เขาจะต้องกลับด้วยเส้นทางลับนี้

เมื่อเวลามาถึง ทั้งสองคนจะต้องมาเจอกันอย่างแน่นอน

กู่ฉิงซานส่ายหน้าขณะทิ้งความคิดนี้ไปชั่วคราวแล้วก้าวไปข้างหน้าต่อ

ไม่มีอะไรพิเศษบนเส้นทางลับนี้ นั่นพิสูจน์ได้ว่ามนุษย์เคยเคลื่อนไหวที่นี่

ตามการวิเคราะห์ด้วยตรรกะพื้นฐาน เขายังไม่รู้ว่าเส้นทางนี้ถูกสร้างด้วยตัวตนไหน

ถ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างเส้นทางลับที่นำไปสู่หุบเหวนิรันดร์จริง เช่นนั้นโครงสร้างของกำแพงเหล็กขนาดใหญ่ก็ไม่สมเหตุสมผล

จะสู้กับศัตรูจนตัวตายได้อย่างไรถ้ายังปล่อยให้ศัตรูเข้ามาได้อย่างเงียบๆ

เว้นแต่ว่าจะมีความลับที่ไม่ถูกพูดถึงอยู่

นอกจากนี้ ยังมีอีกสถานการณ์หนึ่ง: ถ้าเส้นทางลับไม่ได้ถูกสร้างโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมา เช่นนั้นเป็นฝีมือใครสร้างกันล่ะ

กู่ฉิงซานอดที่จะพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมพวกเขาถึงได้เปิดประตูสู่หุบเหวนิรันดร์ในทะเลแบบนี้”

เขามองกุญแจสามเหลี่ยมในมือ

กุญแจไม่ตอบสนอง

เมื่อไม่มีเบาะแส เขาก็ทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้า

กู่ฉิงซานเริ่มการเดินทางไกล

หลายชั่วโมงต่อมา เขายังคงเดินไปข้างหน้า

บางครั้งเขาจะหยุดมองซากที่อยู่ตามสองฝั่งของเส้นทางเพื่อพยายามหาเบาะแส

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง

กู่ฉิงซานยืนนิ่ง

เบื้องหน้าของเขา เส้นทางมืดมิด

ก่อนหน้านี้มีคบเพลิงแขวนอยู่ตรงกำแพงตามทาง แต่เมื่อเขามาถึงที่นี่ กลับไม่มีคบเพลิงแต่อย่างใด

กู่ฉิงซานหันหลังกลับไปหยิบคบเพลิงจากกำแพงเพื่อพยายามใช้แสงคบเพลิงส่องทางข้างหน้า

แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปในเส้นทางมืดมิด คบเพลิงพลันดับสนิท

กู่ฉิงซานวางคบเพลิงไว้ตรงหน้าขณะตรวจสอบอย่างละเอียด

ไม่มีเบาะแสเลย

กู่ฉิงซานไม่เชื่อในเรื่องโชคร้ายก่อนกลับไปหยิบคบเพลิงที่ยังลุกโชนอยู่ จากนั้นจึงกลับเข้าไปในเส้นทางมืดมิด

ครั้งนี้เขาก้าวไปข้างหน้าได้หนึ่งนาที

คบเพลิงก็ดับสนิทอีกครั้ง

กู่ฉิงซานยืนอยู่เงียบๆ สักพัก

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่

เขาก้มตัวลงขณะแตะคบเพลิงบนพื้นอย่างแผ่วเบา จากนั้นยืนขึ้นและยังคงไม่ขยับไปไหน

ดาบเสียงคลื่นปรากฏขึ้นในมือ

หลังจากนิ่งไปสักพัก

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี่นับว่าแปลก…

กู่ฉิงซานกำลังคิดไปมา ทันใดนั้นก็มีสายลมพัดมาตรงหน้า

สายลมพลันกลายเป็นพายุแรงกล้า!

ขณะยืนอยู่ที่เดิม กู่ฉิงซานพลันเอื้อมมือข้างหนึ่งของร่างกายแล้วคว้าจับไว้ท่ามกลางสายลม

เขาจับบางสิ่งเอาไว้ในมือก่อนมองใกล้ๆ แต่มันเป็นชิ้นส่วนกระดูก

“กระดูกหรือ…”

เขาพึมพำ

ตัดสินจากสัญชาตญาณและประสบการณ์ของเชฟ กระดูกสดใหม่มาก เพิ่งถูกเลาะออกมาได้ไม่นาน

ทำไมถึงมีกระดูกลอยมาตามทางล่ะ

หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ

สายลมหายไป เส้นทางกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

กู่ฉิงซานครุ่นคิดหลายอึดใจก่อนถอยกลับไปหยิบคบเพลิงแล้วเข้าสู่เส้นทางมืดมิดอีกครั้ง

เขารออย่างอดทน

ผ่านไปสักพัก

สายลมพัดพา

คบเพลิงดับในทันที

กู่ฉิงซานจมสู่ความคิด

สายลมที่พัดพามาคล้ายกับมีพลังวิเศษบางอย่างที่สามารถดับคบเพลิงได้ในทันที

ในระหว่างที่เขาไตร่ตรอง สายลมแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นพายุรุนแรงอีกครั้ง

กระดูกจำนวนมากลอยมาตามสายลม

กู่ฉิงซานหยิบมันมาอย่างไม่ใส่ใจ

เป็นหัวกะโหลกครึ่งส่วน รูปทรงน่าเกลียด ดูไม่เหมือนมนุษย์

ทันใดนั้น เขาเข้าใจบางสิ่ง

เมื่อสายลมเบาลง เขาก้าวไปข้างหน้าทันที

ใช่แล้ว หลายพันเมตรต่อมา เขาพบซากกระดูกสีขาวห้าร่าง

ซากพวกนี้คล้ายกับได้รับการทรมานและความเจ็บปวดตอนที่ยังมีชีวิต พวกเขามีท่วงท่าบิดเบี้ยวและขัดขืนจนปากอ้า

กู่ฉิงซานเดินรอบซากกระดูกขณะสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงอันชั่วร้ายในกระดูกที่ยังไม่หายไปอย่างสมบูรณ์

เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว

นี่คือซากของมาร

ก่อนหน้านี้ ได้มีการสังเวยเกิดขึ้นที่นี่

การสังเวยคือพลังจำเพาะในระบบลี้ลับ เป็นรากฐานที่แตกต่างจากวิชาอัญเชิญ

ในวิชาอัญเชิญ ผู้อัญเชิญและคนที่ถูกอัญเชิญจะทำข้อตกลงกันผ่านสัญญา

แต่การสังเวยนั้นไม่ใช่

มันเป็นการขอร้อง

ผู้มีชีวิตต้อยต่ำยอมจ่ายในราคามหาศาลเพื่อขอร้องให้ผู้มีชีวิตสูงส่งจากมิติและเวลาอื่นมาช่วย

กู่ฉิงซานสับสนเล็กน้อย

มันก็แค่เส้นทางมืดมิด ทำไมถึงมีการสังเวยชีวิตและวิญญาณของมารห้าตนด้วย

สายลมพัดมาอีกครั้ง

สายลมแรงขึ้นเรื่อยๆ

สายลมในคราวนี้รุนแรงกว่าสายลมตอนที่กู่ฉิงซานอยู่ห่างออกไปหลายพันเมตร

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างแรงกล้าก่อตัวขึ้นในใจ

ตามสัญชาตญาณ เขาเอียงคอ

วินาทีต่อมา เขาพบรูบนใบหน้าที่ถูกสายลมพัดผ่าน

โลหิตไหลออกมาทันที

เป็นไปได้อย่างไร!

ตอนนี้เขามีร่างกายเป็นราชาเทพ ครอบครองพละกำลังสุดหยั่งในระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ แถมยังสวมเกราะศึกหมอกดำพร้อมหมวกที่ปกคลุมใบหน้าอย่างแน่นหนา

แต่เขากลับถูกสายลมทำร้ายได้!

กู่ฉิงซานตอบสนอง

ทันใดนั้น เขาหันหลังและถอยกลับจนกระทั่งอยู่ไกลจากกระดูกก่อนจะยืนนิ่ง

สายลมตรงนี้เบามาก

ตอนนี้ กระดูกจำนวนมากลอยผ่านเขาไป

“ใช่แล้ว…แม้กระทั่งพลังของราชาเทพก็ไม่สามารถต้านทานได้ ยิ่งเป็นจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

“ไม่สงสัยเลยว่าเขาต้องการการสังเวย”

กู่ฉิงซานพึมพำ

หลายหมื่นปีก่อน

ชิ้นส่วนของโลกคู่ขนาน

กู่ฉิงซานอยู่ในทะเลมารโกลาหลของโลกมารดึกดำบรรพ์ มือถือกุญแจสู่ผนึกเอาไว้ขณะกำลังสนทนากับหน้าต่างต้นเพลิงว่าควรไปหุบเหวนิรันดร์หรือไม่

เมื่อครู่เขาก็ทำแบบเดียวกัน

หลายหมื่นปีต่อมา

พื้นที่จ้าวโลก

โลกที่เต็มไปด้วยบาปอันไร้ที่สิ้นสุด

ชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดและชุดสีดำหรูหราเดินเข้าไปในบาร์

เขาดูเหนื่อยล้ายิ่ง มีบาดแผลที่ยังไม่ได้รับการรักษาตามร่างกายอยู่มากมาย เขาแทบจะล้มไปกองกับพื้นหลายครั้งขณะเดิน

ทว่า ไม่มีใครในบาร์เข้ามายั่วโมโหเขา

“จิตสังหารดี”

“ฝีมือไม่เลว”

“อืม…”

“อย่าไปยุ่งกับเขา เดี๋ยวกลายเป็นปัญหาใหญ่เอาได้”

ผู้คนต่างกระซิบกระซาบ

ชายหนุ่มเดินตรงไปที่บาร์ขณะทักทายบาร์เทนเดอร์

“ขอสุราที่ดีที่สุดของที่นี่ขวดหนึ่ง ให้หัวหน้าของเจ้าออกมาด้วย”

น้ำเสียงของเขาราบเรียบและเฉยเมย เหรียญในมือยังคงขยับไปมา

บาร์เทนเดอร์ชำเลืองมองเหรียญในมือก่อนรินน้ำวิญญาณใส่แก้วให้ทันที จากนั้นกล่าวด้วยความเคารพว่า “โปรดรอสักครู่”

บาร์เทนเดอร์หยิบเหรียญออกมาวางไว้บนโต๊ะ

เหรียญพลันหายไปกลายเป็นม่านสีดำ ปกคลุมในส่วนที่ชายหนุ่มกำลังนั่งอยู่จนมิด

เมื่อคนอื่นเห็นฉากนี้ พวกเขาทำเป็นมองไม่เห็นก่อนถอยห่างโดยไม่รู้ตัว

ชายหนุ่มหันไปมองม่านสีดำที่ห้อมล้อมเอาไว้ขณะยกแก้วขึ้นดื่มช้าๆ

บาร์เทนเดอร์กลับมาอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสักพัก ชายขี้เมาร่างอ้วนเดินตามบาร์เทนเดอร์ไปหลังบาร์

เขาชำเลืองมองชายหนุ่ม รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าก่อนเดินเข้าไปในม่าน

ที่นี่ โลกภายนอกไม่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวได้

“แรงกดดันของแขกผู้ทรงเกียรติช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”

“แขกหรือ” ชายหนุ่มวางแก้วสุราลง คิ้วขมวดก่อนกล่าวว่า “สุราของเจ้าผสมน้ำลงไปเจ็ดส่วน นี่มันมากเกินไปหน่อยนะ”

เจ้าของร่างอ้วนอธิบายอย่างซื่อตรงว่า “ปกติที่พวกข้าผสมคือพิษ มันขึ้นอยู่กับตัวตนคนวงในอย่างท่านว่าเป็นอะไร หลังจากนั้นก็ให้ดื่มสุราปลอม เมื่อดูเหรียญในมือเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นเครื่องดื่มจริงจึงจะส่งถึงมือ”

“แล้วข้าจะดื่มไวน์ดั้งเดิมได้อย่างไร”

“ขอโทษด้วย แบบนั้นจะเป็นการทำลายชื่อเสียงทางอาญาของบาร์ ดังนั้นพวกข้าจึงไม่ตัดสินใจที่จะทำแบบนั้น”

“มีเหตุผล”

ชายหนุ่มดื่มสุราผสมน้ำ จากนั้นตบเหรียญในมือลงบนโต๊ะ

“นี่คือเหรียญหมายเลขเจ็ดร้อยเก้าสิบเอ็ด เป็นของหายาก เจ้าตรวจสอบได้เลย” เขากล่าว

หัวหน้าร่างอ้วนยิ้ม

เขาไม่ทำการเคลื่อนไหวใดๆ แต่เหรียญก็มาถึงตรงมือแล้ว

เขาหรี่ตาขณะตรวจสอบเหรียญ

ฉับพลันนั้นเอง เขาจ้องเขม็งไปที่เหรียญ

เสียง “คลิ้กๆๆ ” ดังขึ้น

เหรียญเปลี่ยนเป็นปืนพกก่อนส่องแสงสีเงินออกมา

หัวหน้าร่างอ้วนมองปืนพกสีเงินแล้วกล่าวว่า “เหรียญหมายเลขเจ็ดร้อยเก้าสิบเอ็ด ปืนลอบสังหาร ของแท้แน่นอน”

เขาวางปืนพกสีเงินกลับไปที่โต๊ะอย่างไม่เต็มใจ

หลังจากปืนพกออกจากมือมนุษย์แล้ว มันกลับมาเป็นเหรียญอีกครั้ง

ใช่แล้ว นี่คือเหรียญหมายเลขเจ็ดร้อยเก้าสิบเอ็ดจากหนึ่งพันเอ็ดเหรียญในพื้นที่จ้าวโลกที่สร้างขึ้นจากเทพ

มันสามารถเปลี่ยนเป็นปืนพกที่มีความสามารถพิเศษได้โดยตรง

หัวหน้าร่างอ้วนกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “ใช่แล้ว เหรียญหมายเลขนี้หายากและมีค่ามาก ทีนี้ท่านสามารถประกาศภารกิจได้แล้ว”

“อย่าห่วงไปเลย” ชายหนุ่มกล่าวอย่างช้าๆ “ข้าได้ยินมาว่าในโลกใบนี้ ภารกิจลอบสังหารระดับสูงทั้งหมดถูกประกาศไว้ที่นี่”

หัวหน้าร่างอ้วนพยักหน้า “บริการของพวกข้านับว่าเป็นมืออาชีพที่สุด ดังนั้นชื่อเสียงจึงนับว่าดีตามไปด้วย”

“งั้นก็ดี” ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วกล่าวต่อว่า “ข้าต้องการให้ฆ่าคนคนหนึ่งในโลกแห่งบาป ขอแค่มีนักฆ่าสักคนสามารถฆ่าเขาได้ ข้าจะมอบเหรียญนี้ที่อยู่ในมือให้”

หัวหน้าร่างอ้วนถามอย่างระแวดระวังว่า “ถ้างั้นค่าจ้างสำหรับบาร์ของพวกข้าล่ะ”

“ตามกฎของเจ้าแล้ว หักจากเหรียญนี่ไปละกัน” ชายหนุ่มกล่าว

หัวหน้าร่างอ้วนประสานมือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหา ท่านอยากจะให้ฆ่าใครล่ะ”

ชายหนุ่มตอบว่า “ข้าอยากเก็บนักฆ่า”

หัวหน้าร่างอ้วนกล่าวชื่นชม “แหม ภารกิจนี้คู่ควรกับเหรียญของท่านจริงๆ โปรดเล่าให้ฟังแล้วช่วยกันขบคิดเถอะ”

“ชื่อของนักฆ่าคือจางหยิงหาว มาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ ส่วนสูง น้ำหนักและรูปลักษณ์เหมือนกับข้า”

หัวหน้าร่างอ้วนมองรูปลักษณ์ของชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า “ข้าบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว”

“ดีมาก ถ้าเริ่มภารกิจพรุ่งนี้เช้าได้เลยจะดีมาก” ชายหนุ่มกล่าว

“พวกข้าสามารถปล่อยภารกิจให้ท่านได้ทันที ดังนั้นคนที่ชื่อจางหยิงหาวจะไม่ได้เห็นตะวันของพรุ่งนี้เช้า” หัวหน้าร่างอ้วนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่ๆๆ แบบนั้นไม่ดีเลย คืนนี้ข้าต้องดื่มก่อนแล้วนอนหลับให้เพียงพอจึงจะสามารถรวบรวมพลังสำหรับการถูกล่าในวันพรุ่งนี้ได้”

ชายหนุ่มกล่าวขณะหยิบขวดมาเทใส่แก้วแล้วดื่มรวดเดียว

บนใบหน้าของหัวหน้าร่างอ้วนเผยรอยยิ้มแข็งค้างออกมา

ความจริงสุดเหลือเชื่อเกาะกุมในใจของเขาจนไม่สามารถหักห้ามเอาไว้ได้อีกต่อไป

“แขกที่เคารพ ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ปล่อยภารกิจให้นักฆ่าทุกคนในโลกนี้มาไล่ล่าท่าน”

จางหยิงหาวตอบว่า “เจ้าเข้าใจไม่ผิดหรอก”

“ข้าหิวมาห้าวันแล้ว” เขากล่าวกับบาร์เทนเดอร์ “ไปร้านข้างนอกแล้วซื้อข้าวผัดกับไข่ห้าฟองมาให้หน่อยสิ หลังจากกินเสร็จแล้ว เอาขวดแบบเมื่อครู่มาอีกสองขวด ข้าจะนอนกับเจ้าคืนนี้”

บาร์เทนเดอร์มองหัวหน้าร่างอ้วน

หัวหน้าร่างอ้วนพยักหน้า

บาร์เทนเดอร์จากไป

หัวหน้าร่างอ้วนมองจางหยิงหาวที่ดูเหมือนสัตว์ประหลาด

เขาชี้ที่ศีรษะตัวเองแล้วถามว่า “ตรงนี้ของท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

จางหยิงหาวยักไหล่แล้วตอบว่า “ในฐานะนักฆ่ามากประสบการณ์ผู้อยู่ในแวดวงมาสิบปี มีปัญหาบางอย่างก่อเกิดขึ้นในใจ แต่ข้ามั่นใจว่ามันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก”

สีหน้าของหัวหน้าร่างอ้วนสงสัยมากยิ่งขึ้น “เช่นนั้นทำไมท่านถึงประกาศภารกิจให้มาฆ่าตัวเองล่ะ ท่านรู้ไหม นักฆ่าทุกคนจะมาฆ่าท่านเพื่อแลกศีรษะกับเหรียญนั่น”

จางหยิงหาวจุดบุหรี่ สูดเข้าไปเต็มปอดหนึ่งทีแล้วกล่าวว่า “เพราะมีนักฆ่ามากมายอยู่บนโลกนี้ยังไงล่ะ เป็นเรื่องยากนิดหน่อยที่จะค้นหาอดีตทีละคน เพราะอย่างนั้น ตามกฎแล้ว ทันทีที่รับภารกิจมาแล้ว ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ตายก็จะทิ้งงานไม่ได้ ดังนั้นข้าก็เลยวางแผนให้พวกเขาทุกคนมาไล่ข้า แบบนี้สิถึงจะสะดวกยิ่งกว่า”

“สะดวกหรือ” หัวหน้าร่างอ้วนถามด้วยความสับสน

“สะดวกที่ข้าจะได้ฆ่าหรือถูกฆ่ายังไงล่ะ” จางหยิงหาวยิ้ม

หัวหน้าร่างอ้วนตกตะลึง

เขาเป็นคนฉลาดและมีความสามารถเสมอ มีประสบการณ์ผ่านร้อนหนาวมามากมาย แต่ครั้งนี้ เขารู้สึกว่าสมองถูกสนิทเกาะอย่างสมบูรณ์

“แขกที่เคารพ ข้ารู้ว่าไม่ควรถามมากไปกว่านี้ แต่ถ้าท่านตอบข้ามา ข้าจะตระเตรียมห้องที่ดีที่สุดให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ” หัวหน้าร่างอ้วนกล่าว

“ได้ห้องโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือ แบบนั้นก็ดีน่ะสิ เจ้าถามมาได้เลย”

“ทำไมท่านอยากให้นักฆ่าของโลกนี้มาฆ่าท่านล่ะ”

“ข้าเดินทางมาแล้วสามสิบเจ็ดโลก เคยมีความขัดแย้งกับเพื่อนๆ จนพัฒนาตัวเองผ่านการประมืออย่างกระตือรือร้น”

จางหยิงหาวจิบคำหนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน”

หัวหน้าร่างอ้วนตกตะลึง

ย้อนเวลากลับไป

ย้อนกลับไปเมือหลายหมื่นปีก่อน

ในภาพซ้อนทับของยุคโบราณ

ขณะยืนอยู่กลางอากาศ กู่ฉิงซานเผยความลังเลบนใบหน้า

ต้นเพลิงยังคงโน้มน้าวว่า “ดาบของท่านพูดถูก ไม่ต้องนับเรื่องที่ท่านไปถึงจุดสูงสุดหรอก แค่เรื่องที่มีมารและข้ารับใช้นับไม่ถ้วนที่พร้อมจะรับใช้ท่านก็เกินพอแล้ว การทำแบบนี้ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงหรอก”

“แล้วต้องเมื่อไหร่” กู่ฉิงซานถาม

“เมื่อข้าอยู่ในระดับปฏิวัติ”

“เจ้าเป็นต้นเพลิงแล้ว ไม่ช้าก็จะก้าวสู่ระดับจุดกำเนิด จากนั้นก็ระดับปฏิวัติหรือ”

“ถูกต้อง”

“ถ้างั้น ข้าจะไม่เข้าหุบเหวนิรันดร์” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

“เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดนัก” ต้นเพลิงชื่นชม

“เช่นนั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าได้รับพลังวิญญาณกับความลี้ลับของชีวิตมามากพอแล้ว โปรดวิวัฒนาการให้ไว ข้าอยากให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ” กู่ฉิงซานกล่าว

ต้นเพลิงไม่ตอบ

บนหน้าต่าง แถวตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กยังคงปรากฏขึ้น

“เป็นไปตามเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว”

“การวิวัฒนาการเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ”

“ต้นเพลิงจะอยู่ในสภาพนิ่งเฉยชั่วคราวเพื่อทำการวิวัฒนาการนี้ให้เสร็จสิ้น”

ตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาเช่นนั้น

หน้าต่างต้นเพลิงทั้งหมดหายไปจากสายตาของกู่ฉิงซาน

บัญญัติของราชามารเข้าสู่สภาพนิ่งเฉย

นี่เหมือนกับการเก็บรวบรวมโลกของทริสต้าในตอนแรก เมื่อบัญญัติเริ่มวิวัฒนาการ มันจะหายไปจากผู้ที่จะกลายเป็นมารชั่วคราว

ในตอนนั้น กู่ฉิงซานอาศัยประโยชน์จากโอกาสดังกล่าวเพื่อพลิกกลับในการโจมตีครั้งเดียว

กู่ฉิงซานนิ่งไปสักพัก

ไม่มีการเคลื่อนไหวในบัญญัติ

ดูท่ามันกำลังวิวัฒนาการอยู่จริงๆ…

“ดีมาก ทีนี้ก็ไม่มีใครมาห้ามได้อีกแล้ว” กู่ฉิงซานพึมพำ

เขามองไกลออกไป

นั่นคือทางสู่ทะเลลึก

ตามที่จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนบอก เรือของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมุ่งไปทางนั้น

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนแตะถุงเก็บของแล้วปล่อยจี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนออกมา

“ฟิ่วๆ”

มีอะไรหรือ

น้ำเต้าถาม

“พาข้าไปที่ที่พวกเขาแลกเปลี่ยนกันที” กู่ฉิงซานกล่าว

“ฟิ่วๆ ฟิ่วๆๆ”

น่าแปลก เมื่อกี้ท่านบอกว่าจะไม่เข้าหุบเหวนิรันดร์ไม่ใช่หรือ

น้ำเต้าถามอย่างสงสัย

กู่ฉิงซานเห็นด้วย “ไม่ได้เข้าไปสักหน่อย แค่เดินรอบนอกเท่านั้นเอง”

“ฟิ่วๆๆ”

แล้วแบบนี้มันต่างกันตรงไหนล่ะ

น้ำเต้าถามด้วยความสับสน

กู่ฉิงซานอธิบายว่า “ข้าเข้าใจสถานการณ์ การสำรวจเพื่อแสวงหาความรู้เป็นหนทางที่ดีต่อการเปลี่ยนชะตากรรมของข้า ข้าต้องไปดูว่ามีข้อมูลใหม่ๆ อยู่ที่นั่นหรือเปล่า”

“ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งอยู่ที่นั่นเช่นกัน เขาขายข้าในฐานะตัวอย่างให้กับสัตว์ประหลาดทะเล ความเกลียดชังนี้จะต้องถูกระบาย”

หลายหมื่นปีก่อน

ชิ้นส่วนของโลกคู่ขนาน

กู่ฉิงซานอยู่ในทะเลมารโกลาหลของโลกมารดึกดำบรรพ์ มือถือกุญแจสู่ผนึกเอาไว้ขณะกำลังสนทนากับหน้าต่างต้นเพลิงว่าควรไปหุบเหวนิรันดร์หรือไม่

เมื่อครู่เขาก็ทำแบบเดียวกัน

หลายหมื่นปีต่อมา

พื้นที่จ้าวโลก

โลกที่เต็มไปด้วยบาปอันไร้ที่สิ้นสุด

ชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดและชุดสีดำหรูหราเดินเข้าไปในบาร์

เขาดูเหนื่อยล้ายิ่ง มีบาดแผลที่ยังไม่ได้รับการรักษาตามร่างกายอยู่มากมาย เขาแทบจะล้มไปกองกับพื้นหลายครั้งขณะเดิน

ทว่า ไม่มีใครในบาร์เข้ามายั่วโมโหเขา

“จิตสังหารดี”

“ฝีมือไม่เลว”

“อืม…”

“อย่าไปยุ่งกับเขา เดี๋ยวกลายเป็นปัญหาใหญ่เอาได้”

ผู้คนต่างกระซิบกระซาบ

ชายหนุ่มเดินตรงไปที่บาร์ขณะทักทายบาร์เทนเดอร์

“ขอสุราที่ดีที่สุดของที่นี่ขวดหนึ่ง ให้หัวหน้าของเจ้าออกมาด้วย”

น้ำเสียงของเขาราบเรียบและเฉยเมย เหรียญในมือยังคงขยับไปมา

บาร์เทนเดอร์ชำเลืองมองเหรียญในมือก่อนรินน้ำวิญญาณใส่แก้วให้ทันที จากนั้นกล่าวด้วยความเคารพว่า “โปรดรอสักครู่”

บาร์เทนเดอร์หยิบเหรียญออกมาวางไว้บนโต๊ะ

เหรียญพลันหายไปกลายเป็นม่านสีดำ ปกคลุมในส่วนที่ชายหนุ่มกำลังนั่งอยู่จนมิด

เมื่อคนอื่นเห็นฉากนี้ พวกเขาทำเป็นมองไม่เห็นก่อนถอยห่างโดยไม่รู้ตัว

ชายหนุ่มหันไปมองม่านสีดำที่ห้อมล้อมเอาไว้ขณะยกแก้วขึ้นดื่มช้าๆ

บาร์เทนเดอร์กลับมาอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสักพัก ชายขี้เมาร่างอ้วนเดินตามบาร์เทนเดอร์ไปหลังบาร์

เขาชำเลืองมองชายหนุ่ม รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าก่อนเดินเข้าไปในม่าน

ที่นี่ โลกภายนอกไม่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวได้

“แรงกดดันของแขกผู้ทรงเกียรติช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”

“แขกหรือ” ชายหนุ่มวางแก้วสุราลง คิ้วขมวดก่อนกล่าวว่า “สุราของเจ้าผสมน้ำลงไปเจ็ดส่วน นี่มันมากเกินไปหน่อยนะ”

เจ้าของร่างอ้วนอธิบายอย่างซื่อตรงว่า “ปกติที่พวกข้าผสมคือพิษ มันขึ้นอยู่กับตัวตนคนวงในอย่างท่านว่าเป็นอะไร หลังจากนั้นก็ให้ดื่มสุราปลอม เมื่อดูเหรียญในมือเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นเครื่องดื่มจริงจึงจะส่งถึงมือ”

“แล้วข้าจะดื่มไวน์ดั้งเดิมได้อย่างไร”

“ขอโทษด้วย แบบนั้นจะเป็นการทำลายชื่อเสียงทางอาญาของบาร์ ดังนั้นพวกข้าจึงไม่ตัดสินใจที่จะทำแบบนั้น”

“มีเหตุผล”

ชายหนุ่มดื่มสุราผสมน้ำ จากนั้นตบเหรียญในมือลงบนโต๊ะ

“นี่คือเหรียญหมายเลขเจ็ดร้อยเก้าสิบเอ็ด เป็นของหายาก เจ้าตรวจสอบได้เลย” เขากล่าว

หัวหน้าร่างอ้วนยิ้ม

เขาไม่ทำการเคลื่อนไหวใดๆ แต่เหรียญก็มาถึงตรงมือแล้ว

เขาหรี่ตาขณะตรวจสอบเหรียญ

ฉับพลันนั้นเอง เขาจ้องเขม็งไปที่เหรียญ

เสียง “คลิ้กๆๆ ” ดังขึ้น

เหรียญเปลี่ยนเป็นปืนพกก่อนส่องแสงสีเงินออกมา

หัวหน้าร่างอ้วนมองปืนพกสีเงินแล้วกล่าวว่า “เหรียญหมายเลขเจ็ดร้อยเก้าสิบเอ็ด ปืนลอบสังหาร ของแท้แน่นอน”

เขาวางปืนพกสีเงินกลับไปที่โต๊ะอย่างไม่เต็มใจ

หลังจากปืนพกออกจากมือมนุษย์แล้ว มันกลับมาเป็นเหรียญอีกครั้ง

ใช่แล้ว นี่คือเหรียญหมายเลขเจ็ดร้อยเก้าสิบเอ็ดจากหนึ่งพันเอ็ดเหรียญในพื้นที่จ้าวโลกที่สร้างขึ้นจากเทพ

มันสามารถเปลี่ยนเป็นปืนพกที่มีความสามารถพิเศษได้โดยตรง

หัวหน้าร่างอ้วนกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “ใช่แล้ว เหรียญหมายเลขนี้หายากและมีค่ามาก ทีนี้ท่านสามารถประกาศภารกิจได้แล้ว”

“อย่าห่วงไปเลย” ชายหนุ่มกล่าวอย่างช้าๆ “ข้าได้ยินมาว่าในโลกใบนี้ ภารกิจลอบสังหารระดับสูงทั้งหมดถูกประกาศไว้ที่นี่”

หัวหน้าร่างอ้วนพยักหน้า “บริการของพวกข้านับว่าเป็นมืออาชีพที่สุด ดังนั้นชื่อเสียงจึงนับว่าดีตามไปด้วย”

“งั้นก็ดี” ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วกล่าวต่อว่า “ข้าต้องการให้ฆ่าคนคนหนึ่งในโลกแห่งบาป ขอแค่มีนักฆ่าสักคนสามารถฆ่าเขาได้ ข้าจะมอบเหรียญนี้ที่อยู่ในมือให้”

หัวหน้าร่างอ้วนถามอย่างระแวดระวังว่า “ถ้างั้นค่าจ้างสำหรับบาร์ของพวกข้าล่ะ”

“ตามกฎของเจ้าแล้ว หักจากเหรียญนี่ไปละกัน” ชายหนุ่มกล่าว

หัวหน้าร่างอ้วนประสานมือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหา ท่านอยากจะให้ฆ่าใครล่ะ”

ชายหนุ่มตอบว่า “ข้าอยากเก็บนักฆ่า”

หัวหน้าร่างอ้วนกล่าวชื่นชม “แหม ภารกิจนี้คู่ควรกับเหรียญของท่านจริงๆ โปรดเล่าให้ฟังแล้วช่วยกันขบคิดเถอะ”

“ชื่อของนักฆ่าคือจางหยิงหาว มาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ ส่วนสูง น้ำหนักและรูปลักษณ์เหมือนกับข้า”

หัวหน้าร่างอ้วนมองรูปลักษณ์ของชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า “ข้าบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว”

“ดีมาก ถ้าเริ่มภารกิจพรุ่งนี้เช้าได้เลยจะดีมาก” ชายหนุ่มกล่าว

“พวกข้าสามารถปล่อยภารกิจให้ท่านได้ทันที ดังนั้นคนที่ชื่อจางหยิงหาวจะไม่ได้เห็นตะวันของพรุ่งนี้เช้า” หัวหน้าร่างอ้วนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่ๆๆ แบบนั้นไม่ดีเลย คืนนี้ข้าต้องดื่มก่อนแล้วนอนหลับให้เพียงพอจึงจะสามารถรวบรวมพลังสำหรับการถูกล่าในวันพรุ่งนี้ได้”

ชายหนุ่มกล่าวขณะหยิบขวดมาเทใส่แก้วแล้วดื่มรวดเดียว

บนใบหน้าของหัวหน้าร่างอ้วนเผยรอยยิ้มแข็งค้างออกมา

ความจริงสุดเหลือเชื่อเกาะกุมในใจของเขาจนไม่สามารถหักห้ามเอาไว้ได้อีกต่อไป

“แขกที่เคารพ ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ปล่อยภารกิจให้นักฆ่าทุกคนในโลกนี้มาไล่ล่าท่าน”

จางหยิงหาวตอบว่า “เจ้าเข้าใจไม่ผิดหรอก”

“ข้าหิวมาห้าวันแล้ว” เขากล่าวกับบาร์เทนเดอร์ “ไปร้านข้างนอกแล้วซื้อข้าวผัดกับไข่ห้าฟองมาให้หน่อยสิ หลังจากกินเสร็จแล้ว เอาขวดแบบเมื่อครู่มาอีกสองขวด ข้าจะนอนกับเจ้าคืนนี้”

บาร์เทนเดอร์มองหัวหน้าร่างอ้วน

หัวหน้าร่างอ้วนพยักหน้า

บาร์เทนเดอร์จากไป

หัวหน้าร่างอ้วนมองจางหยิงหาวที่ดูเหมือนสัตว์ประหลาด

เขาชี้ที่ศีรษะตัวเองแล้วถามว่า “ตรงนี้ของท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

จางหยิงหาวยักไหล่แล้วตอบว่า “ในฐานะนักฆ่ามากประสบการณ์ผู้อยู่ในแวดวงมาสิบปี มีปัญหาบางอย่างก่อเกิดขึ้นในใจ แต่ข้ามั่นใจว่ามันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก”

สีหน้าของหัวหน้าร่างอ้วนสงสัยมากยิ่งขึ้น “เช่นนั้นทำไมท่านถึงประกาศภารกิจให้มาฆ่าตัวเองล่ะ ท่านรู้ไหม นักฆ่าทุกคนจะมาฆ่าท่านเพื่อแลกศีรษะกับเหรียญนั่น”

จางหยิงหาวจุดบุหรี่ สูดเข้าไปเต็มปอดหนึ่งทีแล้วกล่าวว่า “เพราะมีนักฆ่ามากมายอยู่บนโลกนี้ยังไงล่ะ เป็นเรื่องยากนิดหน่อยที่จะค้นหาอดีตทีละคน เพราะอย่างนั้น ตามกฎแล้ว ทันทีที่รับภารกิจมาแล้ว ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ตายก็จะทิ้งงานไม่ได้ ดังนั้นข้าก็เลยวางแผนให้พวกเขาทุกคนมาไล่ข้า แบบนี้สิถึงจะสะดวกยิ่งกว่า”

“สะดวกหรือ” หัวหน้าร่างอ้วนถามด้วยความสับสน

“สะดวกที่ข้าจะได้ฆ่าหรือถูกฆ่ายังไงล่ะ” จางหยิงหาวยิ้ม

หัวหน้าร่างอ้วนตกตะลึง

เขาเป็นคนฉลาดและมีความสามารถเสมอ มีประสบการณ์ผ่านร้อนหนาวมามากมาย แต่ครั้งนี้ เขารู้สึกว่าสมองถูกสนิทเกาะอย่างสมบูรณ์

“แขกที่เคารพ ข้ารู้ว่าไม่ควรถามมากไปกว่านี้ แต่ถ้าท่านตอบข้ามา ข้าจะตระเตรียมห้องที่ดีที่สุดให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ” หัวหน้าร่างอ้วนกล่าว

“ได้ห้องโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือ แบบนั้นก็ดีน่ะสิ เจ้าถามมาได้เลย”

“ทำไมท่านอยากให้นักฆ่าของโลกนี้มาฆ่าท่านล่ะ”

“ข้าเดินทางมาแล้วสามสิบเจ็ดโลก เคยมีความขัดแย้งกับเพื่อนๆ จนพัฒนาตัวเองผ่านการประมืออย่างกระตือรือร้น”

จางหยิงหาวจิบคำหนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน”

หัวหน้าร่างอ้วนตกตะลึง

ย้อนเวลากลับไป

ย้อนกลับไปเมือหลายหมื่นปีก่อน

ในภาพซ้อนทับของยุคโบราณ

ขณะยืนอยู่กลางอากาศ กู่ฉิงซานเผยความลังเลบนใบหน้า

ต้นเพลิงยังคงโน้มน้าวว่า “ดาบของท่านพูดถูก ไม่ต้องนับเรื่องที่ท่านไปถึงจุดสูงสุดหรอก แค่เรื่องที่มีมารและข้ารับใช้นับไม่ถ้วนที่พร้อมจะรับใช้ท่านก็เกินพอแล้ว การทำแบบนี้ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงหรอก”

“แล้วต้องเมื่อไหร่” กู่ฉิงซานถาม

“เมื่อข้าอยู่ในระดับปฏิวัติ”

“เจ้าเป็นต้นเพลิงแล้ว ไม่ช้าก็จะก้าวสู่ระดับจุดกำเนิด จากนั้นก็ระดับปฏิวัติหรือ”

“ถูกต้อง”

“ถ้างั้น ข้าจะไม่เข้าหุบเหวนิรันดร์” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

“เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดนัก” ต้นเพลิงชื่นชม

“เช่นนั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าได้รับพลังวิญญาณกับความลี้ลับของชีวิตมามากพอแล้ว โปรดวิวัฒนาการให้ไว ข้าอยากให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ” กู่ฉิงซานกล่าว

ต้นเพลิงไม่ตอบ

บนหน้าต่าง แถวตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กยังคงปรากฏขึ้น

“เป็นไปตามเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว”

“การวิวัฒนาการเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ”

“ต้นเพลิงจะอยู่ในสภาพนิ่งเฉยชั่วคราวเพื่อทำการวิวัฒนาการนี้ให้เสร็จสิ้น”

ตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาเช่นนั้น

หน้าต่างต้นเพลิงทั้งหมดหายไปจากสายตาของกู่ฉิงซาน

บัญญัติของราชามารเข้าสู่สภาพนิ่งเฉย

นี่เหมือนกับการเก็บรวบรวมโลกของทริสต้าในตอนแรก เมื่อบัญญัติเริ่มวิวัฒนาการ มันจะหายไปจากผู้ที่จะกลายเป็นมารชั่วคราว

ในตอนนั้น กู่ฉิงซานอาศัยประโยชน์จากโอกาสดังกล่าวเพื่อพลิกกลับในการโจมตีครั้งเดียว

กู่ฉิงซานนิ่งไปสักพัก

ไม่มีการเคลื่อนไหวในบัญญัติ

ดูท่ามันกำลังวิวัฒนาการอยู่จริงๆ…

“ดีมาก ทีนี้ก็ไม่มีใครมาห้ามได้อีกแล้ว” กู่ฉิงซานพึมพำ

เขามองไกลออกไป

นั่นคือทางสู่ทะเลลึก

ตามที่จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนบอก เรือของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมุ่งไปทางนั้น

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนแตะถุงเก็บของแล้วปล่อยจี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนออกมา

“ฟิ่วๆ”

มีอะไรหรือ

น้ำเต้าถาม

“พาข้าไปที่ที่พวกเขาแลกเปลี่ยนกันที” กู่ฉิงซานกล่าว

“ฟิ่วๆ ฟิ่วๆๆ”

น่าแปลก เมื่อกี้ท่านบอกว่าจะไม่เข้าหุบเหวนิรันดร์ไม่ใช่หรือ

น้ำเต้าถามอย่างสงสัย

กู่ฉิงซานเห็นด้วย “ไม่ได้เข้าไปสักหน่อย แค่เดินรอบนอกเท่านั้นเอง”

“ฟิ่วๆๆ”

แล้วแบบนี้มันต่างกันตรงไหนล่ะ

น้ำเต้าถามด้วยความสับสน

กู่ฉิงซานอธิบายว่า “ข้าเข้าใจสถานการณ์ การสำรวจเพื่อแสวงหาความรู้เป็นหนทางที่ดีต่อการเปลี่ยนชะตากรรมของข้า ข้าต้องไปดูว่ามีข้อมูลใหม่ๆ อยู่ที่นั่นหรือเปล่า”

“ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งอยู่ที่นั่นเช่นกัน เขาขายข้าในฐานะตัวอย่างให้กับสัตว์ประหลาดทะเล ความเกลียดชังนี้จะต้องถูกระบาย”

สัตว์ประหลาดทะเลพลันแยกย้าย

พวกมันอาจจะกล้าสู้กับเทพต่อ แต่ทันทีที่ถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทาปรากฏขึ้น พวกมันสูญเสียกำลังใจต่อสู้ไปจนหมดสิ้น

การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็วเพราะแบบนั้น

กู่ฉิงซานผ่อนคลายเล็กน้อยเช่นกัน

“ขอบใจ”

กู่ฉิงซานยิ้มให้จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุน

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนกล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “ฟิ่ว…ฟิ่ว…”

ข้า…ข้ากำลังจะตาย…

“ว่าไงนะ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” กู่ฉิงซานถามทันที

“ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ”

วิชาอัญเชิญนั่นแข็งแกร่งเกินไป ก่อนหน้านี้ข้าใช้พลังไปมาก เพราะงั้นก็เลยกำลังจะตาย

ตายหรือ

หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นระรัวขณะกล่าวเสียงดังว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงตายล่ะ ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร”

“ฟิ่ว…ฟิ่วๆ …”

ใช้ความสามารถสามครั้งติดต่อกันจะทำให้ข้าตาย

กู่ฉิงซานตกตะลึง

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนไปขโมยแท่งโลหะมา หลังจากนั้นกลับมาสู้เคียงข้างเขา แถมยังสวนกับสัตว์ประหลาดทะเลไปหลายต่อหลายครั้งด้วย

จริงสิ มันใช้ความสามารถไปเท่าไหร่กันนะ

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างวิตกว่า “ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่บอก ถ้าข้ารู้ก็คงไม่ปล่อยให้เจ้าเข้าร่วมการต่อสู้หรอก”

“ฟิ่ว…ฟิ่วๆ…ฟิ่วๆ!”

ไม่เป็นไร… ข้าอยากสู้… ต่อให้ต้องตายก็ตาม!

กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

ตอนแรกก็ดาบพิภพ ตอนนี้ก็น้ำเต้าอีก หรือว่าเขาจะไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยจริงๆ

เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เหวยจุน ต้องมีทางช่วยเจ้าสิ บอกข้ามา”

“ฟิ่ๆ ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ ฟิ่ว…ฟิ่วๆ”

“ความตายคือหนทางเดียวเท่านั้น หลังจากข้าตาย ท่านเก็บเมล็ดน้ำเต้าแล้วถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป…บางที…”

“ลาก่อน ไว้เจอกันใหม่ กู่ฉิงซาน”

หลังจากจี้น้ำเต้าหยกพูดจบ ชีวิตของมันก็ดับสูญ

แสงวิญญาณเรืองรองที่ปกคลุมรอบมันหายไปสิ้น

สิ้นเสียง “เปรี้ยะ” จี้หยกแตกร้าวจนกลายเป็นผุยผงก่อนหายไปตามสายลม

กู่ฉิงซานตกตะลึง

ก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลารออยู่นานพวกเขาถึงจะรู้จักกัน แต่อีกฝ่ายกลับสลายหายไปแล้วงั้นหรือ

คิดว่าจะเป็นสมบัติที่ทรงพลังมากเสียอีก

ใครจะรู้ล่ะว่าความจริงมันถึงขีดจำกัดของการต่อสู้แล้ว เพียงแค่มันไม่พูดอะไร เอาแต่ต่อสู้อย่างหนัก

หัวใจของกู่ฉิงซานจมดิ่งช้าๆ เขาพูดอะไรไม่ออกสักพักใหญ่

ทันใดนั้นเอง!

กู่ฉิงซานพบเมล็ดน้ำเต้ากองอยู่บนมืออย่างเงียบงัน!

“ท่านเก็บเมล็ดน้ำเต้าแล้วถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป…บางที…”

ขณะคิดถึงสิ่งที่น้ำเต้าเหวยจุนพูด หัวใจของกู่ฉิงซานก่อเกิดเศษเสี้ยวความหวังขึ้นมา

เขากุมเมล็ดน้ำเต้าเอาไว้อย่างระวังขณะชำเลืองมองหน้าต่างต้นเพลิง

ตอนนี้ พลังวิญญาณของเขามีมากกว่าเจ็ดล้านแต้ม โดยไม่ลังเล กู่ฉิงซานถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในเมล็ดน้ำเต้าอย่างบ้าคลั่ง

เพียงหนึ่งอึดใจ

พลังวิญญาณหนึ่งแสนแต้มถูกถ่ายเข้าไป!

เสียงเด่นชัดดังขึ้นอีกครั้ง

เมล็ดน้ำเต้าหายไป

กลับกัน มีจี้น้ำเต้าหยกมาแทน

จี้น้ำเต้าหยกนี้เหมือนกับจี้หยกเหวยจุน มันสั่นไหวอย่างต่อเนื่องราวกับกำลังหักห้ามอารมณ์เอาไว้อยู่

ในที่สุด มันก็หักห้ามเอาไว้ไม่ไหว

“ฟิ่ว~ฟิ่ว! ฟิ่วๆๆ ~”

“ฮ่าๆๆ ท่านควรดูสีหน้าของตัวเองเมื่อครู่นะ มันช่างน่าสนใจจริงๆ!”

จี้น้ำเต้าหยกส่งเสียงอย่างมีความสุข

กู่ฉิงซานอึ้งกิมกี่

“เจ้าไม่ได้ตายหรอกหรือ”

กู่ฉิงซานชำเลืองมองขณะถาม

จี้น้ำเต้าหยกอธิบายว่า “ทุกครั้งที่ข้าปลดปล่อยความสามารถสามครั้งติด ข้าจะถูกจับโดยกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของกระแสโลกจนถูกกวาดล้างในทันที”

“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“หลายร้อยล้านปีก่อนก็มีคนคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากแลกเปลี่ยนความเห็นกัน พวกเขารู้สึกว่ากฎเกณฑ์ดั้งเดิมของโลกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” จี้น้ำเต้าหยกกล่าว

“แต่ทำไมเจ้าถึงมีชีวิตอีกครั้งได้ล่ะ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสงสัย

“ด้วยการหลอกกฎเกณฑ์โลกด้วยวิธีนี้ ข้าจึงสามารถยังคงมีชีวิตรอดต่อไปได้ ท่านก็ถูกหลอกเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

จี้น้ำเต้าหยกแกว่งไกวไปมากลางอากาศ

กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว รู้สึกละอายใจเล็กน้อย

ใช่แล้ว เขาสามารถหลอกคนอื่นเป็นครั้งคราวได้ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องปฏิเสธ

แต่ใครจะนึกล่ะว่าจะมาเจอกับอาวุธวิเศษที่ถึงกับหลอกกฎเกณฑ์ของโลกได้

เทียบกันแล้ว เขาห่างชั้นจากมันอยู่เท่าไหร่

ดูท่าเขายังต้องเรียนรู้อีกเยอะ

ในเมื่อน้ำเต้าปลอดภัยแล้ว กู่ฉิงซานจึงไม่คุยกับน้ำเต้าอีก

เขาออกตัวเหาะกลับเรือ มุ่งตรงสู่โบสถ์หลอมละลาย เคลื่อนไปตามทางส่วนลึกที่สุดของโบสถ์

โซ่เหล็กหลายร้อยเส้นกระจายไปทั่วพื้นที่

นิ้วยักษ์สีดำที่เดิมถูกพันธนาการหายไปนานแล้ว

ไม่ผิดแน่ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเอานิ้วลึกลับนี้ไป

เขาอยากจะทำอะไรกันแน่

กู่ฉิงซานออกจากเรือยักษ์ด้วยความสงสัย

เขาสะบัดคทาเยือกแข็งไปที่ด้านล่าง

เรือทะเลยักษ์ถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์ ก่อเกิดเป็นภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่บนทะเล

มารทุกตนถูกแช่แข็ง ไม่สามารถขยับได้

ดาบเสียงคลื่นส่งเสียงหึ่งเล็กน้อย

คลื่นทะเลค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากทะเล

คลื่นทะเลเกื้อหนุนภูเขาน้ำแข็งยักษ์ก่อนกลับไปทิศทางที่มันมาช้าๆ

เล็บมังกรมารยังแขวนอยู่บนเรือยักษ์ที่ติดอยู่ในน้ำแข็ง ไม่มีสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีตามทาง เขาเชื่อว่าการเดินทางเชื่องช้านี้น่าจะสามารถถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย

แต่ถ้าขากลับเจอสัตว์ประหลาดที่ไม่หวาดกลัวโลหิตมังกรขึ้นมา มันก็ต้องทะลวงภูเขาน้ำแข็งที่ปกป้องเรือลำนี้เอาไว้ก่อน

ทันทีที่ภูเขาน้ำแข็งละลาย พวกมารจะได้สติ

ถึงตอนนั้น ใครจะอยู่ใครจะไปก็ขึ้นอยู่กับพละกำลังของทั้งสองฝ่าย

หลังจากกู่ฉิงซานทำแบบนี้ เขาหันไปหยิบแท่งโลหะ

คราวที่แล้วเขาตกตะลึงกับการปรากฏขึ้นฉับพลันของแท่งโลหะ ทำให้โยนมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้กู่ฉิงซานตั้งใจดูสิ่งนี้แล้ว

นี่คือสิ่งที่จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนขโมยมาจากการแลกเปลี่ยนระหว่างจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งและสัตว์ประหลาดทะเล

เมื่อนึกถึงนิ้วสีดำที่จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งได้ไป ประกอบกับข้อตกลงที่ทำกับสัตว์ประหลาดทะเล กู่ฉิงซานรู้สึกว่าตัวเองรู้แผนของอีกฝ่ายคร่าวๆ แล้ว

การแลกเปลี่ยนครั้งนี้อาจจะข้องเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดตัวนั้น

กู่ฉิงซานวางแท่งโลหะในมือก่อนสำรวจอย่างละเอียด

นี่คือแท่งโลหะที่เก่าแก่มาก ผ่านกาลเวลามาหลายปีจนปรากฏรอยด่างบนผิว

ทั่วแท่งโลหะเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเรียว ลวดลายและตัวอักษรที่สลักไว้ไม่เด่นชัดอีกต่อไป มีเพียงรูและร่องบางส่วนที่ยังเด่นชัด

เมื่อกู่ฉิงซานหยิบแท่งโลหะออกมา แถวตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

“กุญแจสู่ผนึก”

“หมายเหตุ: กุญแจนี้สามารถเปิดเส้นทางลับได้”

“คำอธิบาย: เส้นทางลับทั้งหมดที่นำไปสู่หุบเหวนิรันดร์ถูกผนึกเอาไว้ แต่กุญแจที่นำไปสู่เส้นทางหนึ่งได้มาอยู่ในมือแล้ว”

เมื่อกู่ฉิงซานอ่านจบ ตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กบนหน้าต่างหายไปจนสิ้น

เสียงต้นเพลิงพลันดังก้องขึ้นมา “นายท่าน ข้าไม่แนะนำให้ท่านไปที่นั่น”

“ทำไมล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

ต้นเพลิงตอบว่า “หุบเหวนิรันดร์นั้นไร้ที่สิ้นสุด แม้กระทั่งวิญญาณกรีดร้องก็เป็นเพียงสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งในหุบเหว ทันทีที่ท่านเข้าไป ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“นี่เจ้าห่วงว่าข้าจะถูกสัตว์ประหลาดจับกินหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“เปล่า ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องนี้ ยังไงเสีย ท่านก็อ่อนแอเกินไป สัตว์ประหลาดที่อาศัยในหุบเหวนิรันดร์จะใช้พลังจำนวนมากเพื่ออ้าปากกินท่าน นี่เท่ากับได้ไม่คุ้มเสีย พวกมันไม่คิดจะกินท่านหรอก” ต้นเพลิงกล่าว

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพัก จากนั้นจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

เอาเถอะ เรื่องนี้มันช่างหดหู่จริงๆ

กู่ฉิงซานถามอย่างสงบว่า “ถ้างั้นทำไมเจ้าถึงไม่แนะนำให้ข้าไปล่ะ”

ต้นเพลิงตอบว่า “อย่างที่ดาบของท่านว่า ผู้ที่สู้กับมังกรจะกลายเป็นมังกรในท้ายที่สุด ผู้ที่เดินทางไปหุบเหวก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหุบเหว ท่านคือเมล็ดพันธุ์ของราชามาร บัญญัติหวังว่าท่านจะสามารถกลายเป็นผู้ส่งสารแห่งบาปแทนที่จะเป็นตัวตนที่ไม่อาจอธิบายได้”

สัตว์ประหลาดทะเลพลันแยกย้าย

พวกมันอาจจะกล้าสู้กับเทพต่อ แต่ทันทีที่ถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทาปรากฏขึ้น พวกมันสูญเสียกำลังใจต่อสู้ไปจนหมดสิ้น

การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็วเพราะแบบนั้น

กู่ฉิงซานผ่อนคลายเล็กน้อยเช่นกัน

“ขอบใจ”

กู่ฉิงซานยิ้มให้จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุน

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนกล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “ฟิ่ว…ฟิ่ว…”

ข้า…ข้ากำลังจะตาย…

“ว่าไงนะ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” กู่ฉิงซานถามทันที

“ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ”

วิชาอัญเชิญนั่นแข็งแกร่งเกินไป ก่อนหน้านี้ข้าใช้พลังไปมาก เพราะงั้นก็เลยกำลังจะตาย

ตายหรือ

หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นระรัวขณะกล่าวเสียงดังว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงตายล่ะ ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร”

“ฟิ่ว…ฟิ่วๆ …”

ใช้ความสามารถสามครั้งติดต่อกันจะทำให้ข้าตาย

กู่ฉิงซานตกตะลึง

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนไปขโมยแท่งโลหะมา หลังจากนั้นกลับมาสู้เคียงข้างเขา แถมยังสวนกับสัตว์ประหลาดทะเลไปหลายต่อหลายครั้งด้วย

จริงสิ มันใช้ความสามารถไปเท่าไหร่กันนะ

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างวิตกว่า “ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่บอก ถ้าข้ารู้ก็คงไม่ปล่อยให้เจ้าเข้าร่วมการต่อสู้หรอก”

“ฟิ่ว…ฟิ่วๆ…ฟิ่วๆ!”

ไม่เป็นไร… ข้าอยากสู้… ต่อให้ต้องตายก็ตาม!

กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

ตอนแรกก็ดาบพิภพ ตอนนี้ก็น้ำเต้าอีก หรือว่าเขาจะไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยจริงๆ

เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เหวยจุน ต้องมีทางช่วยเจ้าสิ บอกข้ามา”

“ฟิ่ๆ ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ ฟิ่ว…ฟิ่วๆ”

“ความตายคือหนทางเดียวเท่านั้น หลังจากข้าตาย ท่านเก็บเมล็ดน้ำเต้าแล้วถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป…บางที…”

“ลาก่อน ไว้เจอกันใหม่ กู่ฉิงซาน”

หลังจากจี้น้ำเต้าหยกพูดจบ ชีวิตของมันก็ดับสูญ

แสงวิญญาณเรืองรองที่ปกคลุมรอบมันหายไปสิ้น

สิ้นเสียง “เปรี้ยะ” จี้หยกแตกร้าวจนกลายเป็นผุยผงก่อนหายไปตามสายลม

กู่ฉิงซานตกตะลึง

ก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลารออยู่นานพวกเขาถึงจะรู้จักกัน แต่อีกฝ่ายกลับสลายหายไปแล้วงั้นหรือ

คิดว่าจะเป็นสมบัติที่ทรงพลังมากเสียอีก

ใครจะรู้ล่ะว่าความจริงมันถึงขีดจำกัดของการต่อสู้แล้ว เพียงแค่มันไม่พูดอะไร เอาแต่ต่อสู้อย่างหนัก

หัวใจของกู่ฉิงซานจมดิ่งช้าๆ เขาพูดอะไรไม่ออกสักพักใหญ่

ทันใดนั้นเอง!

กู่ฉิงซานพบเมล็ดน้ำเต้ากองอยู่บนมืออย่างเงียบงัน!

“ท่านเก็บเมล็ดน้ำเต้าแล้วถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป…บางที…”

ขณะคิดถึงสิ่งที่น้ำเต้าเหวยจุนพูด หัวใจของกู่ฉิงซานก่อเกิดเศษเสี้ยวความหวังขึ้นมา

เขากุมเมล็ดน้ำเต้าเอาไว้อย่างระวังขณะชำเลืองมองหน้าต่างต้นเพลิง

ตอนนี้ พลังวิญญาณของเขามีมากกว่าเจ็ดล้านแต้ม โดยไม่ลังเล กู่ฉิงซานถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในเมล็ดน้ำเต้าอย่างบ้าคลั่ง

เพียงหนึ่งอึดใจ

พลังวิญญาณหนึ่งแสนแต้มถูกถ่ายเข้าไป!

เสียงเด่นชัดดังขึ้นอีกครั้ง

เมล็ดน้ำเต้าหายไป

กลับกัน มีจี้น้ำเต้าหยกมาแทน

จี้น้ำเต้าหยกนี้เหมือนกับจี้หยกเหวยจุน มันสั่นไหวอย่างต่อเนื่องราวกับกำลังหักห้ามอารมณ์เอาไว้อยู่

ในที่สุด มันก็หักห้ามเอาไว้ไม่ไหว

“ฟิ่ว~ฟิ่ว! ฟิ่วๆๆ ~”

“ฮ่าๆๆ ท่านควรดูสีหน้าของตัวเองเมื่อครู่นะ มันช่างน่าสนใจจริงๆ!”

จี้น้ำเต้าหยกส่งเสียงอย่างมีความสุข

กู่ฉิงซานอึ้งกิมกี่

“เจ้าไม่ได้ตายหรอกหรือ”

กู่ฉิงซานชำเลืองมองขณะถาม

จี้น้ำเต้าหยกอธิบายว่า “ทุกครั้งที่ข้าปลดปล่อยความสามารถสามครั้งติด ข้าจะถูกจับโดยกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของกระแสโลกจนถูกกวาดล้างในทันที”

“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“หลายร้อยล้านปีก่อนก็มีคนคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากแลกเปลี่ยนความเห็นกัน พวกเขารู้สึกว่ากฎเกณฑ์ดั้งเดิมของโลกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” จี้น้ำเต้าหยกกล่าว

“แต่ทำไมเจ้าถึงมีชีวิตอีกครั้งได้ล่ะ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสงสัย

“ด้วยการหลอกกฎเกณฑ์โลกด้วยวิธีนี้ ข้าจึงสามารถยังคงมีชีวิตรอดต่อไปได้ ท่านก็ถูกหลอกเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

จี้น้ำเต้าหยกแกว่งไกวไปมากลางอากาศ

กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว รู้สึกละอายใจเล็กน้อย

ใช่แล้ว เขาสามารถหลอกคนอื่นเป็นครั้งคราวได้ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องปฏิเสธ

แต่ใครจะนึกล่ะว่าจะมาเจอกับอาวุธวิเศษที่ถึงกับหลอกกฎเกณฑ์ของโลกได้

เทียบกันแล้ว เขาห่างชั้นจากมันอยู่เท่าไหร่

ดูท่าเขายังต้องเรียนรู้อีกเยอะ

ในเมื่อน้ำเต้าปลอดภัยแล้ว กู่ฉิงซานจึงไม่คุยกับน้ำเต้าอีก

เขาออกตัวเหาะกลับเรือ มุ่งตรงสู่โบสถ์หลอมละลาย เคลื่อนไปตามทางส่วนลึกที่สุดของโบสถ์

โซ่เหล็กหลายร้อยเส้นกระจายไปทั่วพื้นที่

นิ้วยักษ์สีดำที่เดิมถูกพันธนาการหายไปนานแล้ว

ไม่ผิดแน่ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเอานิ้วลึกลับนี้ไป

เขาอยากจะทำอะไรกันแน่

กู่ฉิงซานออกจากเรือยักษ์ด้วยความสงสัย

เขาสะบัดคทาเยือกแข็งไปที่ด้านล่าง

เรือทะเลยักษ์ถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์ ก่อเกิดเป็นภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่บนทะเล

มารทุกตนถูกแช่แข็ง ไม่สามารถขยับได้

ดาบเสียงคลื่นส่งเสียงหึ่งเล็กน้อย

คลื่นทะเลค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากทะเล

คลื่นทะเลเกื้อหนุนภูเขาน้ำแข็งยักษ์ก่อนกลับไปทิศทางที่มันมาช้าๆ

เล็บมังกรมารยังแขวนอยู่บนเรือยักษ์ที่ติดอยู่ในน้ำแข็ง ไม่มีสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีตามทาง เขาเชื่อว่าการเดินทางเชื่องช้านี้น่าจะสามารถถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย

แต่ถ้าขากลับเจอสัตว์ประหลาดที่ไม่หวาดกลัวโลหิตมังกรขึ้นมา มันก็ต้องทะลวงภูเขาน้ำแข็งที่ปกป้องเรือลำนี้เอาไว้ก่อน

ทันทีที่ภูเขาน้ำแข็งละลาย พวกมารจะได้สติ

ถึงตอนนั้น ใครจะอยู่ใครจะไปก็ขึ้นอยู่กับพละกำลังของทั้งสองฝ่าย

หลังจากกู่ฉิงซานทำแบบนี้ เขาหันไปหยิบแท่งโลหะ

คราวที่แล้วเขาตกตะลึงกับการปรากฏขึ้นฉับพลันของแท่งโลหะ ทำให้โยนมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้กู่ฉิงซานตั้งใจดูสิ่งนี้แล้ว

นี่คือสิ่งที่จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนขโมยมาจากการแลกเปลี่ยนระหว่างจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งและสัตว์ประหลาดทะเล

เมื่อนึกถึงนิ้วสีดำที่จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งได้ไป ประกอบกับข้อตกลงที่ทำกับสัตว์ประหลาดทะเล กู่ฉิงซานรู้สึกว่าตัวเองรู้แผนของอีกฝ่ายคร่าวๆ แล้ว

การแลกเปลี่ยนครั้งนี้อาจจะข้องเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดตัวนั้น

กู่ฉิงซานวางแท่งโลหะในมือก่อนสำรวจอย่างละเอียด

นี่คือแท่งโลหะที่เก่าแก่มาก ผ่านกาลเวลามาหลายปีจนปรากฏรอยด่างบนผิว

ทั่วแท่งโลหะเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเรียว ลวดลายและตัวอักษรที่สลักไว้ไม่เด่นชัดอีกต่อไป มีเพียงรูและร่องบางส่วนที่ยังเด่นชัด

เมื่อกู่ฉิงซานหยิบแท่งโลหะออกมา แถวตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

“กุญแจสู่ผนึก”

“หมายเหตุ: กุญแจนี้สามารถเปิดเส้นทางลับได้”

“คำอธิบาย: เส้นทางลับทั้งหมดที่นำไปสู่หุบเหวนิรันดร์ถูกผนึกเอาไว้ แต่กุญแจที่นำไปสู่เส้นทางหนึ่งได้มาอยู่ในมือแล้ว”

เมื่อกู่ฉิงซานอ่านจบ ตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กบนหน้าต่างหายไปจนสิ้น

เสียงต้นเพลิงพลันดังก้องขึ้นมา “นายท่าน ข้าไม่แนะนำให้ท่านไปที่นั่น”

“ทำไมล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

ต้นเพลิงตอบว่า “หุบเหวนิรันดร์นั้นไร้ที่สิ้นสุด แม้กระทั่งวิญญาณกรีดร้องก็เป็นเพียงสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งในหุบเหว ทันทีที่ท่านเข้าไป ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“นี่เจ้าห่วงว่าข้าจะถูกสัตว์ประหลาดจับกินหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“เปล่า ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องนี้ ยังไงเสีย ท่านก็อ่อนแอเกินไป สัตว์ประหลาดที่อาศัยในหุบเหวนิรันดร์จะใช้พลังจำนวนมากเพื่ออ้าปากกินท่าน นี่เท่ากับได้ไม่คุ้มเสีย พวกมันไม่คิดจะกินท่านหรอก” ต้นเพลิงกล่าว

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพัก จากนั้นจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

เอาเถอะ เรื่องนี้มันช่างหดหู่จริงๆ

กู่ฉิงซานถามอย่างสงบว่า “ถ้างั้นทำไมเจ้าถึงไม่แนะนำให้ข้าไปล่ะ”

ต้นเพลิงตอบว่า “อย่างที่ดาบของท่านว่า ผู้ที่สู้กับมังกรจะกลายเป็นมังกรในท้ายที่สุด ผู้ที่เดินทางไปหุบเหวก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหุบเหว ท่านคือเมล็ดพันธุ์ของราชามาร บัญญัติหวังว่าท่านจะสามารถกลายเป็นผู้ส่งสารแห่งบาปแทนที่จะเป็นตัวตนที่ไม่อาจอธิบายได้”

การต่อสู้ดุเดือดตั้งแต่แรกเริ่ม

พื้นที่ทั่วทั้งทะเลถูกแช่แข็ง ตั้งแต่ผิวทะเลจนถึงก้นทะเลในระดับความลึกมากกว่าหนึ่งล้านเมตร น้ำทะเลทั้งหมดกลายเป็นน้ำแข็ง

หลังจากนั้นไม่นาน ทะเลแตกสลายทันทีราวกับแผ่นดินไหว

สัตว์ประหลาดทะเลอาศัยอยู่ในทะเลมาหลายร้อยล้านปี ไม่เคยเห็นทะเลกลายเป็นรูปลักษณ์ที่โหดร้ายแบบนี้มาก่อน

สัตว์ประหลาดทะเลที่อ่อนแอกว่าจำนวนมากถูกฉีกขาดโดยพลังอันแก่กล้าจากทะเลมารโกลาหลในทันทีจนถึงแก่ความตาย

สัตว์ประหลาดทะเลทรงพลังเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน

มันเป็นเช่นนั้นแหละ

ใครจะไปคิดล่ะว่าจู่ๆ ผู้นำที่รับผิดชอบในการบัญชาเพื่อให้เก็บตัวอย่างของพวกมารจะถึงแก่ความตาย

แถมยังตายด้วยมือของเขา

เหตุการณ์นี้ถือว่านาน แต่ความจริงแล้วพวกมันเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือน แถมยังจบลงก่อนที่จำได้ทำการฟื้นฟูใดๆ

สัตว์ประหลาดทะเลมีเวลาตอบสนองเพียงน้อยนิดเท่านั้น

พูดให้ถูกคือพวกมันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะตอนแรกพวกมันเพิ่งเก็บเกี่ยวชีวิตของพวกมารทุกตนอย่างมีความสุข

ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีเทพซ่อนอยู่ในหมู่มาร!

กู่ฉิงซานไม่ได้ตั้งใจจะหยุด

เขาและสัตว์ประหลาดทะเลเคราเนื้อสลับตำแหน่งกัน กลายเป็นสัตว์ประหลาดทะเลนับไม่ถ้วนเล่นงานผิดเป้าหมาย

ร่างของเขาเล็กเท่าผงธุลี

ทว่า แม้จะเล็กเท่าผงธุลี แต่ก็ทำให้ถึงตายได้

พายุดาบทะยาน!

ด้วยวิญญาณเยือกแข็งที่ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด ค่ายกลดาบวิญญาณอสนีบาตไท่อี่ที่ปล่อยออกมา ไม่มีทางรู้ได้ว่าพลังเพิ่มขึ้นเท่าไหร่

สัตว์ประหลาดทะเลเคราเนื้ออายุสองล้านปีมู่ฃยืนอยู่ตรงนั้นก่อนถูกพัดโดยพายุดาบจนกลายเป็นพายุฝนโลหิต

ในที่สุดสัตว์ประหลาดทะเลตัวอื่นก็ตอบสนอง

ถึงอย่างไร พวกมันคือสัตว์ประหลาดทะเลทรงพลังที่คงอยู่มาหลายร้อยล้านปี ถึงแม้จะไม่ทันระวัง แต่ในที่สุดพวกมันระเบิดพละกำลังอันน่าหวาดกลัวออกมาเมื่อเผชิญกับหายนะความเป็นความตาย

สัตว์ประหลาดทะเลห้าตัวปล่อยวิชาใส่กู่ฉิงซานพร้อมกัน

วิชาวิเศษของพวกมันไม่สูงส่งนักและไม่ยอดเยี่ยมอะไร แต่พลังทำลายล้างนั้นสุดที่จะเทียบเคียงได้!

กลุ่มน้ำทะเลรวมตัวเป็นลำแสงหลากสีสันก่อนพุ่งตรงเข้าหากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานและสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งสลับตำแหน่งกัน

แต่สัตว์ประหลาดทะเลมีอยู่มากเกินไป

ถึงตัวตนโบราณเหล่านี้จะลงมือช้า แต่ก็รู้ถึงผลจากกลอุบายของกู่ฉิงซานในที่สุด

ทันทีที่กู่ฉิงซานปรากฏตัว สัตว์ประหลาดทะเลตัวอื่นก็เตรียมเปิดฉากโจมตีทันที

ตูม!

วิชาวิเศษอันยอดเยี่ยมระเบิดออกมาก่อนพุ่งเข้าหากู่ฉิงซาน

“อั่ก!”

กู่ฉิงซานกระอักฟองโลหิตออกมาก่อนพึมพำว่า “การตอบสนองไวจริงๆ ”

เกราะศึกบนร่างกายต้านทานการโจมตีส่วนใหญ่ได้ แต่มันยังแตกสลายเป็นชิ้นๆ

ในวินาทีต่อมา เกราะศึกหมอกดำทั้งชุดซ่อมแซมตัวเองจนกลับมาเจิดจ้าด้วยพลังที่มองไม่เห็น ท้ายที่สุดก็กลับมาเหมือนใหม่อีกครั้ง

นี่คือเกราะศึกจอมมาร ตราบที่ยอมจ่ายพลังวิญญาณจำนวนมาก ความสามารถการซ่อมแซมของมันก็จะทำงาน

กู่ฉิงซานไม่มีอะไรนอกจากพลังวิญญาณ!

สัตว์ประหลาดทะเลอยากชนะจึงไล่ล่า แต่โชคดีที่พายุดาบทั้งหมดในค่ายกลดาบรวมตัวกันจนปัดป้องการโจมตีระลอกแรกที่เข้ามาได้

กู่ฉิงซานมีเวลาเพียงแค่ทำให้ร่างกายมั่นคงเท่านั้น การโจมตีระลอกที่สองก็เข้ามา

กฎเกณฑ์เต๋าจำนวนมากระเบิดใส่เขา

มีสัตว์ประหลาดทะเลอยู่มากเกินไป พวกที่สามารถรอดจนถึงตอนนี้ได้มีพละกำลังอย่างต่ำอยู่ที่ระดับสามพันโลกขั้นสูงสุด บางตัวถึงขั้นไปถึงระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น

ต่อให้กู่ฉิงซานกลายเป็นราชาเทพ เขาก็ไม่สามารถขัดขืนการโจมตีสุดกำลังของศัตรูหลายสิบตัวได้

ขณะหลบ เขาหาโอกาสโต้กลับ บางครั้งก็ฝืนสังหารศัตรูด้วยวิชา

เกราะศึกหมอกดำปกคลุมอย่างแน่นหนาขณะต้านทานการโจมตีจำนวนมากแทนเขา

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานพลันสังเกตเห็นว่าบางสิ่งผิดปกติ

เทียบกับตอนแรก ความรุนแรงจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดทะเลลดลง

กู่ฉิงซานผ่อนคลายลงมาก แต่ร่องรอยความสงสัยยังเกาะกุมในใจ

เดิมทีแล้วในการต่อสู้อันสิ้นหวังนี้ การโจมตีมีแต่จะรุนแรงขึ้น เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างอื่น

สัตว์ประหลาดทะเลกำลังจะทำอะไร

กู่ฉิงซานชำเลืองมองรอบข้าง

มีสัตว์ประหลาดทะเลหลายสิบตัวกำลังไล่ตามเพื่อมาสู้กับเขา

แต่

พวกมันคล้ายกับกำลังขวางทางกู่ฉิงซาน

เมื่อกู่ฉิงซานขยับจิต เขาเห็นฉากที่อยู่ไกลลิบของทะเลทันที

สัตว์ประหลาดทะเลเจ็ดถึงแปดตัวรวมตัวขณะร่ายวิชาพร้อมกัน

ในมือพวกมัน อสนีหมองหม่นวูบไหวเป็นครั้งคราว

สัตว์ประหลาดทะเลที่ทรงพลังยิ่งสองตัวขัดขวางการกัดกร่อนของพายุดาบ

ยิ่งสัตว์ประหลาดทะเลร่ายวิชาเท่าไหร่ ความเร็วก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!

ความรู้สึกถึงลางร้ายเอ่อล้นในใจของกู่ฉิงซาน

นั่นไง

สัตว์ประหลาดทะเลอายุแปดร้อยล้านปีรวมตัวกัน พวกมันรวมพลังกันมาพักใหญ่

นี่จะต้องเป็นการโจมตีประสานที่ทรงพลังถึงตายแน่!

ทว่า ถึงแม้กู่ฉิงซานจะพบสิ่งนี้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

สัตว์ประหลาดทะเลกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามาขวางทางเขาอย่างบ้าคลั่ง

อีกฝั่งของทะเล สัตว์ประหลาดทะเลจำนวนมากเริ่มคุ้มกันอย่างแน่นหนาเพื่อให้สหายแปดตัวทำการร่ายวิชา

พวกมันระแวดระวังวิชาเคลื่อนย้ายของกู่ฉิงซาน

ครั้งนี้สายเกินไปแล้ว!

“เหวยจุน!”

กู่ฉิงซานตะโกน

“ฟิ่วๆ !”

(เข้าใจแล้ว!)

จี้น้ำเต้าหยกปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนหันปากน้ำเต้าไปที่มือของสัตว์ประหลาดทะเลเหล่านั้น

“ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ!”

(ท่านเก่งเรื่องการใช้กลอุบาย ถ้างั้นข้าจะใช้บ้าง)

เมื่อวิชาของอีกฝ่ายเสร็จสิ้น จี้น้ำเต้าหยกก็ส่งเสียงร้องออกมา

กู่ฉิงซานพลันรู้สึกถึงพลังวิเศษบางอย่างในร่างกาย

ดูท่าเขาจะสามารถปล่อยวิชานี้ได้ทุกเมื่อ

เขาไม่ลังเลที่จะปล่อยวิชานี้ใส่กลุ่มสัตว์ประหลาดทะเล

ในความว่างเปล่า เขาเห็นประกายของอสนีสีเทา

ไม่ว่าจะสัตว์ประหลาดทะเลหรือกู่ฉิงซาน เมื่อเผชิญหน้ากับความเร็วการโจมตีเช่นนี้ มันก็สายเกินกว่าจะขัดขืน

สัตว์ประหลาดทะเลเหล่านั้นถูกอสนีสีเทาโจมตีอย่างรุนแรง

ตาข่ายเรืองแสงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นจากอากาศบางก่อนพันธนาการสัตว์ประหลาดทะเลเหล่านี้เอาไว้อย่างแน่นหนา

พวกมันถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ

อะไรกัน

นี่มันวิชาอัญเชิญที่พวกเราอยากปล่อยออกไปไม่ใช่หรือ

ได้ยังไง

เมื่อคิดถึงผลที่ตามมาของวิชานี้ สัตว์ประหลาดทะเลก็ดิ้นรนด้วยความแตกตื่น

แต่มันไม่มีประโยชน์ ตาข่ายอสนีสีเทาขนาดยักษ์มัดแน่นอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของกู่ฉิงซานขยับ

เขาเห็นหนามยาวคมกริบเจ็ดถึงแปดอันปรากฏขึ้นจากอากาศบางขณะแทงใส่ร่างของสัตว์ประหลาดทะเลเหล่านี้

แค่การแทงเบาๆ เท่านั้น

แต่สัตว์ประหลาดทะเลเหล่านี้ตัวอ่อนทันที

ถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทาปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

บรรยากาศน่าขนลุกมาจากถ้ำอสนี

พวกมาร สัตว์ประหลาดทะเลบนเรือยักษ์และแม้กระทั่งกู่ฉิงซานผู้กลายเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือกล้วนขยับไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรยากาศน่าสะพรึงกลัวนี้

เทพแห่งความเย็นยะเยือกกัดปลายลิ้นอย่างแรง

ภายใต้การกระตุ้นจากความเจ็บปวด เขากลับมามีความสามารถเคลื่อนไหวช้าๆ

กู่ฉิงซานมองถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทา หัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขาเข้าสู่สภาพระแวดระวังอย่างขีดสุด

นี่คือการตอบสนองตามสัญชาตญาณของร่างกายและจิตใจของทุกชีวิตเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ล่าระดับสูง ถึงจะสามารถหาทางขัดขืนได้ แต่ก็ไม่สามารถตัดขาดได้อย่างสมบูรณ์

เทพนิรันดร์ที่แท้จริง วิญญาณกรีดร้องหรือ

กู่ฉิงซานลอบครุ่นคิด

ไม่

ไม่ใช่หรอก

แต่ถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทาเต็มไปด้วยกลิ่นอายนั่นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าวิญญาณกรีดร้องเลย

ภายใต้สายตาทุกคู่ สัตว์ประหลาดทะเลที่กำลังหมดสติถูกลากเข้าไปในหลุมใหญ่โดยตาข่ายอสนีสีเทาขนาดยักษ์

ร่างกายของพวกมันทั้งใหญ่และยาวเกินไป ดังนั้นจึงมีหนามสองอันและแขนขาหลากสีสันสดใสปรากฏขึ้นในหลุมใหญ่จากความว่างเปล่าขณะดึงตาข่ายยักษ์กลับเข้าไป

กู่ฉิงซานมองปากนั่น

นี่ไม่ใช่วิญญาณกรีดร้อง

ไม่ใช่มังกรหลับใหลในตำนาน

แต่พลังที่แผ่ออกมาจากสัตว์ประหลาดตัวนี้น่ากลัวเกินไป

มันไม่ได้ด้อยไปกว่าวิญญาณกรีดร้องแม้แต่นิดเดียว!

คาดไม่ถึง สัตว์ประหลาดทะเลจะสามารถอัญเชิญตัวตนที่ทรงพลังขนาดนี้ได้

แต่สัตว์ประหลาดตัวนี้จัดอยู่ในประเภทไหนกัน

แทบจะในทันที สัตว์ประหลาดทะเลเจ็ดถึงแปดตัวที่รอดมาหลายร้อยล้านปีถูกลากเข้าไปในหลุมสีเทาขนาดใหญ่

ทันใดนั้น มือสีดำขนาดยักษ์ยื่นออกมาจากถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทาก่อนคว้าตาข่ายยักษ์ไว้

มือนี้ขาดไปหนึ่งนิ้ว แต่มันไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวเลย

ดวงตาของกู่ฉิงซานเบิกกว้าง

มือนี้!

กู่ฉิงซานจำนิ้วที่เขาเคยเห็นใต้โบสถ์หลอมละลายได้ทันที

นิ้วถูกขังโดยโซ่เหล็กหลายร้อยเส้น ทำให้ขยับไม่ได้

นิ้วนั่นเหมือนกับนิ้วอื่นๆ ที่อยู่บนมือสีดำขนาดยักษ์

คาดไม่ถึงว่านิ้วที่ถูกพันธนาการไว้โดยโบสถ์จะมาจากสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จักตัวนี้!

ตาข่ายยักษ์ที่จับเหยื่อเอาไว้ถูกมือสีดำขนาดยักษ์ลากเข้าถ้ำสีเทาโดยตรง

ถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทาหายไปกลางอากาศ

อสนีค่อยๆ หมองหม่น หลังจากกระโจนอยู่ในความว่างเปล่าหลายครั้ง มันก็หายไปอย่างสมบูรณ์

บนทะเล มีเพียงความเงียบสนิท

ทันใดนั้น สัตว์ประหลาดทะเลกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวขณะหนีไปทุกทิศทาง

พวกมันไม่สู้อีกแล้ว!

ใช่แล้ว นี่คือสุดยอดวิชาอัญเชิญ อีกฝ่ายใช้มันเพื่อตอบโต้เขา ไม่มีทางที่จะอยู่รอดได้

กู่ฉิงซานไม่ไล่ตามเช่นกัน

ฉากเมื่อครู่มันน่าตกตะลึงเกินไป

ถ้าไม่ใช่เพราะสัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง

ถ้าการเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดทะเลไม่ถูกพบจนทันเวลา

ถ้าจี้น้ำเต้าหยกไม่ทรงพลัง

เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะสามารถรอดจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดนั่นได้อย่างไร

การต่อสู้ดุเดือดตั้งแต่แรกเริ่ม

พื้นที่ทั่วทั้งทะเลถูกแช่แข็ง ตั้งแต่ผิวทะเลจนถึงก้นทะเลในระดับความลึกมากกว่าหนึ่งล้านเมตร น้ำทะเลทั้งหมดกลายเป็นน้ำแข็ง

หลังจากนั้นไม่นาน ทะเลแตกสลายทันทีราวกับแผ่นดินไหว

สัตว์ประหลาดทะเลอาศัยอยู่ในทะเลมาหลายร้อยล้านปี ไม่เคยเห็นทะเลกลายเป็นรูปลักษณ์ที่โหดร้ายแบบนี้มาก่อน

สัตว์ประหลาดทะเลที่อ่อนแอกว่าจำนวนมากถูกฉีกขาดโดยพลังอันแก่กล้าจากทะเลมารโกลาหลในทันทีจนถึงแก่ความตาย

สัตว์ประหลาดทะเลทรงพลังเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน

มันเป็นเช่นนั้นแหละ

ใครจะไปคิดล่ะว่าจู่ๆ ผู้นำที่รับผิดชอบในการบัญชาเพื่อให้เก็บตัวอย่างของพวกมารจะถึงแก่ความตาย

แถมยังตายด้วยมือของเขา

เหตุการณ์นี้ถือว่านาน แต่ความจริงแล้วพวกมันเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือน แถมยังจบลงก่อนที่จำได้ทำการฟื้นฟูใดๆ

สัตว์ประหลาดทะเลมีเวลาตอบสนองเพียงน้อยนิดเท่านั้น

พูดให้ถูกคือพวกมันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะตอนแรกพวกมันเพิ่งเก็บเกี่ยวชีวิตของพวกมารทุกตนอย่างมีความสุข

ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีเทพซ่อนอยู่ในหมู่มาร!

กู่ฉิงซานไม่ได้ตั้งใจจะหยุด

เขาและสัตว์ประหลาดทะเลเคราเนื้อสลับตำแหน่งกัน กลายเป็นสัตว์ประหลาดทะเลนับไม่ถ้วนเล่นงานผิดเป้าหมาย

ร่างของเขาเล็กเท่าผงธุลี

ทว่า แม้จะเล็กเท่าผงธุลี แต่ก็ทำให้ถึงตายได้

พายุดาบทะยาน!

ด้วยวิญญาณเยือกแข็งที่ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด ค่ายกลดาบวิญญาณอสนีบาตไท่อี่ที่ปล่อยออกมา ไม่มีทางรู้ได้ว่าพลังเพิ่มขึ้นเท่าไหร่

สัตว์ประหลาดทะเลเคราเนื้ออายุสองล้านปีมู่ฃยืนอยู่ตรงนั้นก่อนถูกพัดโดยพายุดาบจนกลายเป็นพายุฝนโลหิต

ในที่สุดสัตว์ประหลาดทะเลตัวอื่นก็ตอบสนอง

ถึงอย่างไร พวกมันคือสัตว์ประหลาดทะเลทรงพลังที่คงอยู่มาหลายร้อยล้านปี ถึงแม้จะไม่ทันระวัง แต่ในที่สุดพวกมันระเบิดพละกำลังอันน่าหวาดกลัวออกมาเมื่อเผชิญกับหายนะความเป็นความตาย

สัตว์ประหลาดทะเลห้าตัวปล่อยวิชาใส่กู่ฉิงซานพร้อมกัน

วิชาวิเศษของพวกมันไม่สูงส่งนักและไม่ยอดเยี่ยมอะไร แต่พลังทำลายล้างนั้นสุดที่จะเทียบเคียงได้!

กลุ่มน้ำทะเลรวมตัวเป็นลำแสงหลากสีสันก่อนพุ่งตรงเข้าหากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานและสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งสลับตำแหน่งกัน

แต่สัตว์ประหลาดทะเลมีอยู่มากเกินไป

ถึงตัวตนโบราณเหล่านี้จะลงมือช้า แต่ก็รู้ถึงผลจากกลอุบายของกู่ฉิงซานในที่สุด

ทันทีที่กู่ฉิงซานปรากฏตัว สัตว์ประหลาดทะเลตัวอื่นก็เตรียมเปิดฉากโจมตีทันที

ตูม!

วิชาวิเศษอันยอดเยี่ยมระเบิดออกมาก่อนพุ่งเข้าหากู่ฉิงซาน

“อั่ก!”

กู่ฉิงซานกระอักฟองโลหิตออกมาก่อนพึมพำว่า “การตอบสนองไวจริงๆ ”

เกราะศึกบนร่างกายต้านทานการโจมตีส่วนใหญ่ได้ แต่มันยังแตกสลายเป็นชิ้นๆ

ในวินาทีต่อมา เกราะศึกหมอกดำทั้งชุดซ่อมแซมตัวเองจนกลับมาเจิดจ้าด้วยพลังที่มองไม่เห็น ท้ายที่สุดก็กลับมาเหมือนใหม่อีกครั้ง

นี่คือเกราะศึกจอมมาร ตราบที่ยอมจ่ายพลังวิญญาณจำนวนมาก ความสามารถการซ่อมแซมของมันก็จะทำงาน

กู่ฉิงซานไม่มีอะไรนอกจากพลังวิญญาณ!

สัตว์ประหลาดทะเลอยากชนะจึงไล่ล่า แต่โชคดีที่พายุดาบทั้งหมดในค่ายกลดาบรวมตัวกันจนปัดป้องการโจมตีระลอกแรกที่เข้ามาได้

กู่ฉิงซานมีเวลาเพียงแค่ทำให้ร่างกายมั่นคงเท่านั้น การโจมตีระลอกที่สองก็เข้ามา

กฎเกณฑ์เต๋าจำนวนมากระเบิดใส่เขา

มีสัตว์ประหลาดทะเลอยู่มากเกินไป พวกที่สามารถรอดจนถึงตอนนี้ได้มีพละกำลังอย่างต่ำอยู่ที่ระดับสามพันโลกขั้นสูงสุด บางตัวถึงขั้นไปถึงระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น

ต่อให้กู่ฉิงซานกลายเป็นราชาเทพ เขาก็ไม่สามารถขัดขืนการโจมตีสุดกำลังของศัตรูหลายสิบตัวได้

ขณะหลบ เขาหาโอกาสโต้กลับ บางครั้งก็ฝืนสังหารศัตรูด้วยวิชา

เกราะศึกหมอกดำปกคลุมอย่างแน่นหนาขณะต้านทานการโจมตีจำนวนมากแทนเขา

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานพลันสังเกตเห็นว่าบางสิ่งผิดปกติ

เทียบกับตอนแรก ความรุนแรงจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดทะเลลดลง

กู่ฉิงซานผ่อนคลายลงมาก แต่ร่องรอยความสงสัยยังเกาะกุมในใจ

เดิมทีแล้วในการต่อสู้อันสิ้นหวังนี้ การโจมตีมีแต่จะรุนแรงขึ้น เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างอื่น

สัตว์ประหลาดทะเลกำลังจะทำอะไร

กู่ฉิงซานชำเลืองมองรอบข้าง

มีสัตว์ประหลาดทะเลหลายสิบตัวกำลังไล่ตามเพื่อมาสู้กับเขา

แต่

พวกมันคล้ายกับกำลังขวางทางกู่ฉิงซาน

เมื่อกู่ฉิงซานขยับจิต เขาเห็นฉากที่อยู่ไกลลิบของทะเลทันที

สัตว์ประหลาดทะเลเจ็ดถึงแปดตัวรวมตัวขณะร่ายวิชาพร้อมกัน

ในมือพวกมัน อสนีหมองหม่นวูบไหวเป็นครั้งคราว

สัตว์ประหลาดทะเลที่ทรงพลังยิ่งสองตัวขัดขวางการกัดกร่อนของพายุดาบ

ยิ่งสัตว์ประหลาดทะเลร่ายวิชาเท่าไหร่ ความเร็วก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!

ความรู้สึกถึงลางร้ายเอ่อล้นในใจของกู่ฉิงซาน

นั่นไง

สัตว์ประหลาดทะเลอายุแปดร้อยล้านปีรวมตัวกัน พวกมันรวมพลังกันมาพักใหญ่

นี่จะต้องเป็นการโจมตีประสานที่ทรงพลังถึงตายแน่!

ทว่า ถึงแม้กู่ฉิงซานจะพบสิ่งนี้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

สัตว์ประหลาดทะเลกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามาขวางทางเขาอย่างบ้าคลั่ง

อีกฝั่งของทะเล สัตว์ประหลาดทะเลจำนวนมากเริ่มคุ้มกันอย่างแน่นหนาเพื่อให้สหายแปดตัวทำการร่ายวิชา

พวกมันระแวดระวังวิชาเคลื่อนย้ายของกู่ฉิงซาน

ครั้งนี้สายเกินไปแล้ว!

“เหวยจุน!”

กู่ฉิงซานตะโกน

“ฟิ่วๆ !”

(เข้าใจแล้ว!)

จี้น้ำเต้าหยกปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนหันปากน้ำเต้าไปที่มือของสัตว์ประหลาดทะเลเหล่านั้น

“ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ!”

(ท่านเก่งเรื่องการใช้กลอุบาย ถ้างั้นข้าจะใช้บ้าง)

เมื่อวิชาของอีกฝ่ายเสร็จสิ้น จี้น้ำเต้าหยกก็ส่งเสียงร้องออกมา

กู่ฉิงซานพลันรู้สึกถึงพลังวิเศษบางอย่างในร่างกาย

ดูท่าเขาจะสามารถปล่อยวิชานี้ได้ทุกเมื่อ

เขาไม่ลังเลที่จะปล่อยวิชานี้ใส่กลุ่มสัตว์ประหลาดทะเล

ในความว่างเปล่า เขาเห็นประกายของอสนีสีเทา

ไม่ว่าจะสัตว์ประหลาดทะเลหรือกู่ฉิงซาน เมื่อเผชิญหน้ากับความเร็วการโจมตีเช่นนี้ มันก็สายเกินกว่าจะขัดขืน

สัตว์ประหลาดทะเลเหล่านั้นถูกอสนีสีเทาโจมตีอย่างรุนแรง

ตาข่ายเรืองแสงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นจากอากาศบางก่อนพันธนาการสัตว์ประหลาดทะเลเหล่านี้เอาไว้อย่างแน่นหนา

พวกมันถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ

อะไรกัน

นี่มันวิชาอัญเชิญที่พวกเราอยากปล่อยออกไปไม่ใช่หรือ

ได้ยังไง

เมื่อคิดถึงผลที่ตามมาของวิชานี้ สัตว์ประหลาดทะเลก็ดิ้นรนด้วยความแตกตื่น

แต่มันไม่มีประโยชน์ ตาข่ายอสนีสีเทาขนาดยักษ์มัดแน่นอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของกู่ฉิงซานขยับ

เขาเห็นหนามยาวคมกริบเจ็ดถึงแปดอันปรากฏขึ้นจากอากาศบางขณะแทงใส่ร่างของสัตว์ประหลาดทะเลเหล่านี้

แค่การแทงเบาๆ เท่านั้น

แต่สัตว์ประหลาดทะเลเหล่านี้ตัวอ่อนทันที

ถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทาปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

บรรยากาศน่าขนลุกมาจากถ้ำอสนี

พวกมาร สัตว์ประหลาดทะเลบนเรือยักษ์และแม้กระทั่งกู่ฉิงซานผู้กลายเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือกล้วนขยับไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรยากาศน่าสะพรึงกลัวนี้

เทพแห่งความเย็นยะเยือกกัดปลายลิ้นอย่างแรง

ภายใต้การกระตุ้นจากความเจ็บปวด เขากลับมามีความสามารถเคลื่อนไหวช้าๆ

กู่ฉิงซานมองถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทา หัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขาเข้าสู่สภาพระแวดระวังอย่างขีดสุด

นี่คือการตอบสนองตามสัญชาตญาณของร่างกายและจิตใจของทุกชีวิตเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ล่าระดับสูง ถึงจะสามารถหาทางขัดขืนได้ แต่ก็ไม่สามารถตัดขาดได้อย่างสมบูรณ์

เทพนิรันดร์ที่แท้จริง วิญญาณกรีดร้องหรือ

กู่ฉิงซานลอบครุ่นคิด

ไม่

ไม่ใช่หรอก

แต่ถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทาเต็มไปด้วยกลิ่นอายนั่นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าวิญญาณกรีดร้องเลย

ภายใต้สายตาทุกคู่ สัตว์ประหลาดทะเลที่กำลังหมดสติถูกลากเข้าไปในหลุมใหญ่โดยตาข่ายอสนีสีเทาขนาดยักษ์

ร่างกายของพวกมันทั้งใหญ่และยาวเกินไป ดังนั้นจึงมีหนามสองอันและแขนขาหลากสีสันสดใสปรากฏขึ้นในหลุมใหญ่จากความว่างเปล่าขณะดึงตาข่ายยักษ์กลับเข้าไป

กู่ฉิงซานมองปากนั่น

นี่ไม่ใช่วิญญาณกรีดร้อง

ไม่ใช่มังกรหลับใหลในตำนาน

แต่พลังที่แผ่ออกมาจากสัตว์ประหลาดตัวนี้น่ากลัวเกินไป

มันไม่ได้ด้อยไปกว่าวิญญาณกรีดร้องแม้แต่นิดเดียว!

คาดไม่ถึง สัตว์ประหลาดทะเลจะสามารถอัญเชิญตัวตนที่ทรงพลังขนาดนี้ได้

แต่สัตว์ประหลาดตัวนี้จัดอยู่ในประเภทไหนกัน

แทบจะในทันที สัตว์ประหลาดทะเลเจ็ดถึงแปดตัวที่รอดมาหลายร้อยล้านปีถูกลากเข้าไปในหลุมสีเทาขนาดใหญ่

ทันใดนั้น มือสีดำขนาดยักษ์ยื่นออกมาจากถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทาก่อนคว้าตาข่ายยักษ์ไว้

มือนี้ขาดไปหนึ่งนิ้ว แต่มันไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวเลย

ดวงตาของกู่ฉิงซานเบิกกว้าง

มือนี้!

กู่ฉิงซานจำนิ้วที่เขาเคยเห็นใต้โบสถ์หลอมละลายได้ทันที

นิ้วถูกขังโดยโซ่เหล็กหลายร้อยเส้น ทำให้ขยับไม่ได้

นิ้วนั่นเหมือนกับนิ้วอื่นๆ ที่อยู่บนมือสีดำขนาดยักษ์

คาดไม่ถึงว่านิ้วที่ถูกพันธนาการไว้โดยโบสถ์จะมาจากสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จักตัวนี้!

ตาข่ายยักษ์ที่จับเหยื่อเอาไว้ถูกมือสีดำขนาดยักษ์ลากเข้าถ้ำสีเทาโดยตรง

ถ้ำที่เกิดจากอสนีสีเทาหายไปกลางอากาศ

อสนีค่อยๆ หมองหม่น หลังจากกระโจนอยู่ในความว่างเปล่าหลายครั้ง มันก็หายไปอย่างสมบูรณ์

บนทะเล มีเพียงความเงียบสนิท

ทันใดนั้น สัตว์ประหลาดทะเลกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวขณะหนีไปทุกทิศทาง

พวกมันไม่สู้อีกแล้ว!

ใช่แล้ว นี่คือสุดยอดวิชาอัญเชิญ อีกฝ่ายใช้มันเพื่อตอบโต้เขา ไม่มีทางที่จะอยู่รอดได้

กู่ฉิงซานไม่ไล่ตามเช่นกัน

ฉากเมื่อครู่มันน่าตกตะลึงเกินไป

ถ้าไม่ใช่เพราะสัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง

ถ้าการเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดทะเลไม่ถูกพบจนทันเวลา

ถ้าจี้น้ำเต้าหยกไม่ทรงพลัง

เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะสามารถรอดจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดนั่นได้อย่างไร

เปลวเพลิงสีครามพลันปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา

คลื่นความเย็นยะเยือกกระจายไปทุกทิศราวเกลียวคลื่น

คริสทัลเยือกแข็งใสเด่นชัดปรากฏขึ้นรอบร่างกายของราชาวิญญาณมารขณะแผ่ลำแสงหลากสีสันออกมา

ความรู้สึกเคร่งขรึมอันศักดิ์สิทธิ์กระจายออกมาจากตัวเขา

ความจริง ก่อนหน้านี้ที่เขาสังหารเทพแห่งความเย็นยะเยือก กู่ฉิงซานซ่อนร่างของศัตรูเอาไว้ในถุงเก็บของ

เพราะมันไม่มีทางอื่น

ในตอนนั้น เทพทุกองค์รวมตัวในป่าหยกเย็นเยือกเพื่อตรวจสอบความตายของราชาเทพ หากไม่ซ่อนร่างของเทพแห่งความเย็นยะเยือก เช่นนั้นทุกสิ่งก็จะพังทลาย

คาดไม่ถึง ตอนนี้เขายังสามารถเอามันมาใช้ในรูปแบบใหม่ได้

“อา…เจ้า…สุดท้ายแล้ว…”

จ้าวแห่งความเงียบมองเขาขณะตกตะลึงกับภาพแปลกประหลาดนี้สักพัก

ขณะสัมผัสได้ถึงแหล่งพลังโลกจากร่างของกู่ฉิงซานที่ประกอบด้วยพลังจิตเยือกแข็ง มารทุกตนเงียบ

พลังเยือกแข็ง!

มีสิ่งที่เรียกว่าทอง ไม้ น้ำ ไฟและดินอยู่ แต่เยือกแข็งคือร่างพิเศษของวิญญาณวารี มันคือพลังของธาตุทั้งห้า

พลังนี้ไม่ได้เป็นของโลกนี้อย่างเห็นได้ชัด!

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “นี่คือวิชาของข้า ข้าสามารถหยิบยืมพลังจากโลกอื่นได้ หวังว่าพวกเจ้าจะไม่แตกตื่นจนเกินไป”

“สิ่งนี้มาจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์งั้นหรือ” จ้าวแห่งความเงียบถาม

“ถูกต้อง”

จ้าวแห่งความเงียบสงสัย แต่ไม่มีทางอื่นที่จะอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ได้

อีกอย่าง มารทุกตนรวมถึงนางเองก็ได้เซ็นสัญญาไปแล้วด้วย

พวกเขาไม่สามารถลงมือกับราชาวิญญาณมารได้

หลังจากกู่ฉิงซานกล่าวจบ ดวงตาของเขามองไปในความว่างเปล่าขณะดูหน้าต่างต้นเพลิง

แถวตัวอักษรขนาดเล็กสีโลหิตปรากฏขึ้นยาวเหยียด

“ท่านใช้พลังวิญญาณเก้าแสนแต้มเพื่อใช้งานความลี้ลับของทุกชีวิต ทำให้ท่านเปลี่ยนตัวเองเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก”

“เพราะท่านใช้พลังวิญญาณไปเป็นจำนวนมาก การวิวัฒนาการของบัญญัติจึงหยุดลงชั่วคราว”

“…ท่านผู้ส่งสารแห่งบาป ข้าหวังว่าท่านจะคิดถูกนะ”

หลังจากกู่ฉิงซานอ่านจบ ตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กนั่นหายไปสนิท

กู่ฉิงซานยิ้มแล้วกล่าวในใจว่า “อย่าห่วงไปเลย ต่อจากนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก”

ผิวเข้มของเผ่าพันธุ์วิญญาณมารบนร่างกายหายไป ใบหน้ามนุษย์ปรากฏขึ้นมา

แต่ไม่เหมือนกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ตรงที่กลิ่นอายโอ่อ่าบนร่างกายของเขาค่อยๆ ลุกเป็นไฟ

ต้นเพลิงกล่าวว่า “ต่อไปท่านจะเผชิญกับการโจมตีของสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีหลายสิบตัว ถ้าเรื่องนี้มันง่ายจริง ข้าก็ไม่รู้แล้วว่าเรื่องยากมันเป็นยังไง”

“เจ้ามีความรู้ตื้นเขินเกินไป” กู่ฉิงซานอธิบาย “ความจริง ทางที่ง่ายที่สุดก็คือการต่อสู้ เพราะตราบที่คิดอย่างนั้น พอออกไปสู้จริงก็มีแค่วัดกันไปเลยว่าจะชนะหรือแพ้”

“แล้วอะไรที่ยากกว่านั้นล่ะ” ต้นเพลิงถาม

มันเตรียมพร้อมที่จะจดจำว่าอีกฝ่ายพูดอะไรเพื่อจะได้ลดความโง่เขลาของตัวเองลง

กู่ฉิงซานตอบว่า “มีหลายสิ่งในโลกนี้ยากยิ่งกว่าการต่อสู้ เช่น ทำอาหารอร่อย หางานเพื่อประทังชีวิต ตามหาผู้หญิงอันเป็นที่รัก ดูแลครอบครัวและค้นหาอดีต แต่ละอย่างที่กล่าวมาล้วนยากยิ่งกว่า”

“ดังนั้นสิ่งที่ข้าไม่เคยกลัวเลยก็คือการต่อสู้”

เขาดึงคทาเยือกแข็งของราชาเทพออกมาจากความว่างเปล่าก่อนชี้ไปด้านล่าง

สกิลราชาเทพ: แช่แข็งศตวรรษ!

นี่คือการโจมตีสุดกำลังของราชาเทพระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด!

เปรี้ยะๆ กร็อบๆ เปรี้ยะๆ กร็อบๆ

หมอกที่ปกคลุมเรือทั้งลำพลันกลายเป็นเศษน้ำแข็งก่อนตกลงบนเรือ

โลกทั้งใบกลับมาเด่นชัด

หลังจากนั้นไม่นาน ผิวทะเลอันงดงามกลายเป็นชั้นน้ำแข็งหนาอย่างรวดเร็ว

ใต้ผิวทะเลที่มองไม่เห็น ชั้นน้ำแข็งหนากระจายออกอย่างรวดเร็ว ทำให้สัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีถูกแช่แข็งด้วยความเร็วที่ตาเปล่าก็ไม่อาจจับได้ทัน

ความเร็วการแช่แข็งนี้เหนือกว่าการตอบสนองของสัตว์ประหลาดทะเลเสียส่วนใหญ่

เคราเนื้อทั้งหมดที่ยื่นไปทางเรือถูกแช่แข็งจนไม่สามารถขยับได้

กู่ฉิงซานถือดาบเสียงคลื่นเอาไว้ด้วยหลังมือก่อนตวัดออกไปอย่างรุนแรง

“ย้าก! แตกสลายไปซะ!!!”

เขาคำรามออกมา

พลังวิเศษของดาบเสียงคลื่น ก้าวข้ามทะเลขมขื่น!

เขาเห็นว่าบนหน้าต่างต้นเพลิง ค่าที่เป็นตัวแทนพลังวิญญาณพลันทะยานขึ้นก่อนลดฮวบทันที

ทะเลน้ำแข็งทั้งหมดตอบรับเจตจำนงของดาบเสียงคลื่นก่อนเริ่มแตกสลายไปเอง

เสียงที่ปั่นป่วนและอึกทึกยิ่งกว่าแผ่นดินไหวระเบิดไปทุกหนแห่ง

สัตว์ประหลาดทะเลนับไม่ถ้วนที่ซ่อนอยู่ในทะเลลึกถูกแช่แข็งในตอนแรก จากนั้นถูกฉีกเป็นชิ้นนับไม่ถ้วนด้วยผลจากแรงอันทรงพลังที่ระเบิดตอนพื้นที่ทะเลแตกเป็นเสี่ยงๆ

ฉัวะ

บนหน้าต่างต้นเพลิง หลอดพลังวิญญาณที่ลดฮวบไปนั้นกลับมาเต็มในพริบตา

เพราะหลอดพลังวิญญาณไม่สามารถแสดงจำนวนพลังวิญญาณอย่างเจาะจงได้อีกต่อไป จึงมีแถวตัวเลขดิจิทัลใต้หลอดพลังวิญญาณเพื่อแสดงพลังวิญญาณที่ได้รับมา

ค่าตัวเลข: “3,700,000”

รวมทั้งสิ้นสามล้านเจ็ดแสนแต้ม!

ต้นเพลิงส่งเสียงทันที “พลังวิญญาณจำนวนมาก! ชีวิตอันลี้ลับของสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปี! เร็วมาก อาศัยโอกาสนี้ฆ่าเพิ่มอีก!”

ในน้ำเสียงของมัน มีความร้อนรนอันแรงกล้าแฝงอยู่

ทั่วทะเลมารโกลาหลเต็มไปด้วยพลังโกลาหลนานาชนิดควบคู่กับพลังที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดทะเลยักษ์ในพื้นที่หลายล้านเมตร แม้กระทั่งสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีก็ไม่สามารถต้านทานได้ดีสักพักใหญ่

พวกอ่อนแอจะถูกสังหารในทันที

พวกที่เหลือจึงเป็นสัตว์ประหลาดทะเลทรงพลังยิ่ง

มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะรีบฉวยประโยชน์ตอนนี้เพื่อทำการสังหารให้มากเข้าไว้

ทว่า ในเวลาเดียวกับที่ทะเลระเบิด กู่ฉิงซานก็หายไป

ไม่มีใครรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน

ไม่มีใครรู้ว่าเขาจากไปแล้วหรือเปล่า

การสั่นไหวของทะเลค่อยๆ เบาลง

ยักษ์หลายตัวยืนขึ้นจากทะเลน้ำแข็ง

ร่างกายของพวกมันบดบังท้องนภาและดวงตะวันจากทั่วทุกทิศ

น้ำเสียงแปลกประหลาดมาจากพวกมัน จากนั้นก็พลันดังขึ้นมา

วิชาทำงานแล้ว!

ตูม!

ผิวทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็งสลายกลายเป็นน้ำทะเลในพริบตา

นี่คือการลงมืออย่างสุดกำลังของสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปี!

พวกมันต้องการน้ำทะเล

ทะเลคือที่ที่พวกมันอยู่อาศัยและต่อสู้!

“เจ้านั่นไปไหนแล้ว”

เสีงอันเกรี้ยวกราดที่สั่นไหวอากาศดังขึ้น

สัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีที่ยังมีชีวิตอยู่ทำการค้นหาร่องรอยของเทพแห่งความเย็นยะเยือกด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี

พวกมันไม่พบอะไร

กู่ฉิงซานในตอนนี้กลายเป็นราชาเทพ รากฐานการฝึกฝนอยู่ในระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด

ดังนั้น ถ้าอยากทะลวง “อ้อมกอดของหมอกดำ” ที่ปกคลุมตัวเขาก็ต้องก้าวข้ามอย่างต่ำสามระดับ หรือก็คือไปถึงพละกำลังระดับจ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมีนั่นเอง

นี่คือพลังเกราะศึกของจอมมาร!

สัตว์ประหลาดทะเลร่ายวิชากับความสามารถนานาชนิดเพื่อพยายามค้นหากู่ฉิงซาน

แต่หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง พวกมันก็ยังล้มเหลว

“หาคนคนนั้นไม่เจอเลย” สัตว์ประหลาดทะเลกล่าว

“ข้าก็หาไม่เจอเช่นกัน” สัตว์ประหลาดทะเลอีกตัวกล่าว

“บัดซบ มันฆ่าสหายของพวกเราไปเยอะเลย”

“มิติใกล้ๆ ยังถูกพวกเราปิดกั้นเอาไว้อยู่”

“แสดงว่ามันยังอยู่ที่นี่หรือ”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา สัตว์ประหลาดทะเลเริ่มวิตก

ตอนนี้ เสียงอันหนักอึ้งและโอ่อ่ามาจากในกลุ่มสัตว์ประหลาดทะเลจำนวนมาก

“นี่ไม่ใช่ความจริงเสียทีเดียว มันมีพลังที่แก่กล้านัก อาจจะใช้วิธีพิเศษหนีออกไปแล้วก็ได้”

สัตว์ประหลาดทะเลทุกตัวมองสัตว์ประหลาดทะเลที่ส่งเสียง

นี่คือสัตว์ประหลาดทะเลที่ไม่ได้ตัวใหญ่จนเกินไป

มันถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาโดยสัตว์ประหลาดทะเลทั้งหมดขณะสังเกตการเคลื่อนไหวรอบข้างอย่างสงบ

มันปกคลุมไปด้วยเคราเนื้อ

เมื่อมันคิด เคราเนื้อเหล่านี้จะบิดเบี้ยวไปมา

แต่มีเคราเนื้อจำนวนมากที่แตกหักเช่นกัน

มันคือตัวที่สังหารมารที่อยู่บนเรือยักษ์

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนกล่าวว่าสัตว์ประหลาดทะเลกำลังรวบรวมความลี้ลับแห่งชีวิตของพวกมาร

ดูท่าตัวการสำคัญที่ลงมือคือสัตว์ประหลาดทะเลตัวนี้

“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี”

สัตว์ประหลาดทะเลถาม

สัตว์ประหลาดทะเลที่มีเคราเนื้อบิดเบี้ยวกล่าวว่า “ตามแผนเดิม การฆ่ามารทั้งหมดคือเป้าหมายแรกที่พวกเราต้องทำให้สำเร็จก่อน”

“พวกเจ้าต้องปกป้องข้าไม่ให้เกิดเหตุซ้ำสองอีก”

สัตว์ประหลาดทะเลพลันกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว”

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง

ในห้องหนึ่งบนเรือยักษ์

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

ไม่ว่าต้นเพลิงจะกระตุ้นยังไง เขาก็ยังยืนนิ่ง

เขารอการตอบสนองของสัตว์ประหลาดทะเลอย่างอดทน

ตอนนี้ ผู้นำของสัตว์ประหลาดทะเลเหล่านี้ได้เผยตัวออกมาแล้ว

เมื่อสองกองทัพเปิดสงคราม หากสามารถสังหารแม่ทัพหลักของอีกฝ่ายได้ นั่นจะทำให้กองทัพของอีกฝ่ายตกอยู่ในความโกลาหล

มันเป็นมากกว่าสงคราม ในบางครั้ง หลักการนี้ก็ยังใช้ได้ดี

ในที่สุดเวลาที่จะลงมือก็มาถึงแล้ว

คทาเยือกแข็งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าอย่างเงียบงันก่อนตกมาอยู่ที่มือของเขา

กลิ่นอายสังหารเลือนรางพุ่งเข้าสู่ร่างของกู่ฉิงซาน

เขาหายไปจากห้องทันที

วินาทีต่อมา

เหนือท้องนภา จุดเยือกแข็งขนาดเล็กพลันปรากฏขึ้น

เป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก

ทันทีที่ปรากฏตัว เขาซัดการโจมตีไปที่ด้านล่าง

วิชาเยือกแข็ง ผนึกแห่งความเงียบงัน!

นี่คือการแสดงอันผาดโผนที่เทพจินเยี่ยนเคยเปิดโปงมาแล้วครั้งหนึ่ง มันคือวิชาเยือกแข็งที่แข็งแกร่งที่สุดของเทพแห่งความเย็นยะเยือก!

เขาเห็นหมอกสีขาวเลือนรางตกลงบนสัตว์ประหลาดเคราเนื้อ

สัตว์ประหลาดทะเลทั้งหมดสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติทันที

พวกมันวิ่งออกไปพร้อมกับแผดเสียงคำราม

สัตว์ประหลาดทะเลส่วนหนึ่งที่คุ้มกันสัตว์ประหลาดเคราเนื้อทำการป้องกันการโจมตีที่สอง

สัตว์ประหลาดทะเลอีกส่วนใช้วิชาโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดใส่ราชาเทพผู้อยู่บนท้องนภา

เขาเห็นร่องรอยของภาพติดตากำลังกรีดร้องในท้องนภา

กู่ฉิงซานมองลงไปเบื้องล่างก่อนยิ้มอ่อนออกมา

ผนึกแห่งความเงียบงันคือพลังเยือกแข็งขั้นสูงสุด ไม่เพียงแค่สามารถแช่แข็งร่างของศัตรูได้เท่านั้น แม้กระทั่งวิญญาณและจิตของศัตรูก็จะถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์เช่นกัน

ตอนนี้ ศัตรูที่ถูกโจมตีโดยผนึกแห่งความเงียบงันอยู่ในสถานะ “เปราะบาง” มากที่สุด ไม่ว่าจะร่างกายหรือวิญญาณก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีดังกล่าวได้

ยิ่งกว่านั้น เพราะคุณลักษณะเยือกแข็ง ศัตรูจะแตกเป็นชิ้นๆ ทันที

ทว่า สัตว์ประหลาดทะเลตอบสนองอย่างรวดเร็วก่อนปกป้องสัตว์ประหลาดเคราเนื้อทันที ในเวลาเดียวกัน พวกมันเปิดฉากโจมตีใส่ท้องนภา

กู่ฉิงซานไม่มีโอกาสทำการโจมตีครั้งที่สอง

ทว่า สถานการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา

กู่ฉิงซานปล่อยคทาเยือกแข็งก่อนชักดาบเสียงคลื่นออกมา

ตอนนี้ วิชาชุดแรกที่โจมตีเข้ามาปรากฏตรงหน้าแล้ว!

กู่ฉิงซานหายไป

สกิลเทพ เคลื่อนย้าย!

สัตว์ประหลาดเคราเนื้อพลันปรากฏตรงตำแหน่งเดิมของกู่ฉิงซาน

วิชาทรงพลังนับไม่ถ้วนโดนร่างกายของมัน

แม้ว่ามันจะอยู่ในสภาพที่ดี แต่ก็ไม่สามารถขัดขืนการโจมตีสุดกำลังของสัตว์ประหลาดทะเลจำนวนมากได้ ยิ่งถูกผนึกเยือกแข็งตรึงไว้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่

“เปรี้ยะ!”

เสียงแจ่มชัดมาจากท้องนภาอันไกลลิบ

สัตว์ประหลาดเคราเนื้อถูกกระแทกเป็นชิ้นๆ ก่อนกลายเป็นน้ำแข็งและหิมะกระจายไปทั่วท้องนภาชิ้นแล้วชิ้นเล่า

สัตว์ประหลาดทะเลนั้นโง่เขลา

พวกมารที่กำลังดูอยู่นั้นก็โง่เขลาเช่นกัน

นี่มันแผนการอะไรกัน

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แล้วต่อไปจะเกิดอะไร

พวกมันไม่มีเวลาจะมาคิดเรื่องเหล่านี้

เพราะกู่ฉิงซานไปยืนอยู่ท่ามกลางสัตว์ประหลาดทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว

เขาชักดาบเสียงคลื่นออกมา

ปีกดาบยักษ์สองข้างปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา

พลังเยือกแข็งผสานกับจิตดาบอันคมปลาบขณะฟันมิติรอบข้างจนเกิดรอยแยกสีดำ

ค่ายกลดาบพุ่งออกจากปลายนิ้ว!

เปลวเพลิงสีครามพลันปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา

คลื่นความเย็นยะเยือกกระจายไปทุกทิศราวเกลียวคลื่น

คริสทัลเยือกแข็งใสเด่นชัดปรากฏขึ้นรอบร่างกายของราชาวิญญาณมารขณะแผ่ลำแสงหลากสีสันออกมา

ความรู้สึกเคร่งขรึมอันศักดิ์สิทธิ์กระจายออกมาจากตัวเขา

ความจริง ก่อนหน้านี้ที่เขาสังหารเทพแห่งความเย็นยะเยือก กู่ฉิงซานซ่อนร่างของศัตรูเอาไว้ในถุงเก็บของ

เพราะมันไม่มีทางอื่น

ในตอนนั้น เทพทุกองค์รวมตัวในป่าหยกเย็นเยือกเพื่อตรวจสอบความตายของราชาเทพ หากไม่ซ่อนร่างของเทพแห่งความเย็นยะเยือก เช่นนั้นทุกสิ่งก็จะพังทลาย

คาดไม่ถึง ตอนนี้เขายังสามารถเอามันมาใช้ในรูปแบบใหม่ได้

“อา…เจ้า…สุดท้ายแล้ว…”

จ้าวแห่งความเงียบมองเขาขณะตกตะลึงกับภาพแปลกประหลาดนี้สักพัก

ขณะสัมผัสได้ถึงแหล่งพลังโลกจากร่างของกู่ฉิงซานที่ประกอบด้วยพลังจิตเยือกแข็ง มารทุกตนเงียบ

พลังเยือกแข็ง!

มีสิ่งที่เรียกว่าทอง ไม้ น้ำ ไฟและดินอยู่ แต่เยือกแข็งคือร่างพิเศษของวิญญาณวารี มันคือพลังของธาตุทั้งห้า

พลังนี้ไม่ได้เป็นของโลกนี้อย่างเห็นได้ชัด!

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “นี่คือวิชาของข้า ข้าสามารถหยิบยืมพลังจากโลกอื่นได้ หวังว่าพวกเจ้าจะไม่แตกตื่นจนเกินไป”

“สิ่งนี้มาจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์งั้นหรือ” จ้าวแห่งความเงียบถาม

“ถูกต้อง”

จ้าวแห่งความเงียบสงสัย แต่ไม่มีทางอื่นที่จะอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ได้

อีกอย่าง มารทุกตนรวมถึงนางเองก็ได้เซ็นสัญญาไปแล้วด้วย

พวกเขาไม่สามารถลงมือกับราชาวิญญาณมารได้

หลังจากกู่ฉิงซานกล่าวจบ ดวงตาของเขามองไปในความว่างเปล่าขณะดูหน้าต่างต้นเพลิง

แถวตัวอักษรขนาดเล็กสีโลหิตปรากฏขึ้นยาวเหยียด

“ท่านใช้พลังวิญญาณเก้าแสนแต้มเพื่อใช้งานความลี้ลับของทุกชีวิต ทำให้ท่านเปลี่ยนตัวเองเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก”

“เพราะท่านใช้พลังวิญญาณไปเป็นจำนวนมาก การวิวัฒนาการของบัญญัติจึงหยุดลงชั่วคราว”

“…ท่านผู้ส่งสารแห่งบาป ข้าหวังว่าท่านจะคิดถูกนะ”

หลังจากกู่ฉิงซานอ่านจบ ตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กนั่นหายไปสนิท

กู่ฉิงซานยิ้มแล้วกล่าวในใจว่า “อย่าห่วงไปเลย ต่อจากนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก”

ผิวเข้มของเผ่าพันธุ์วิญญาณมารบนร่างกายหายไป ใบหน้ามนุษย์ปรากฏขึ้นมา

แต่ไม่เหมือนกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ตรงที่กลิ่นอายโอ่อ่าบนร่างกายของเขาค่อยๆ ลุกเป็นไฟ

ต้นเพลิงกล่าวว่า “ต่อไปท่านจะเผชิญกับการโจมตีของสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีหลายสิบตัว ถ้าเรื่องนี้มันง่ายจริง ข้าก็ไม่รู้แล้วว่าเรื่องยากมันเป็นยังไง”

“เจ้ามีความรู้ตื้นเขินเกินไป” กู่ฉิงซานอธิบาย “ความจริง ทางที่ง่ายที่สุดก็คือการต่อสู้ เพราะตราบที่คิดอย่างนั้น พอออกไปสู้จริงก็มีแค่วัดกันไปเลยว่าจะชนะหรือแพ้”

“แล้วอะไรที่ยากกว่านั้นล่ะ” ต้นเพลิงถาม

มันเตรียมพร้อมที่จะจดจำว่าอีกฝ่ายพูดอะไรเพื่อจะได้ลดความโง่เขลาของตัวเองลง

กู่ฉิงซานตอบว่า “มีหลายสิ่งในโลกนี้ยากยิ่งกว่าการต่อสู้ เช่น ทำอาหารอร่อย หางานเพื่อประทังชีวิต ตามหาผู้หญิงอันเป็นที่รัก ดูแลครอบครัวและค้นหาอดีต แต่ละอย่างที่กล่าวมาล้วนยากยิ่งกว่า”

“ดังนั้นสิ่งที่ข้าไม่เคยกลัวเลยก็คือการต่อสู้”

เขาดึงคทาเยือกแข็งของราชาเทพออกมาจากความว่างเปล่าก่อนชี้ไปด้านล่าง

สกิลราชาเทพ: แช่แข็งศตวรรษ!

นี่คือการโจมตีสุดกำลังของราชาเทพระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด!

เปรี้ยะๆ กร็อบๆ เปรี้ยะๆ กร็อบๆ

หมอกที่ปกคลุมเรือทั้งลำพลันกลายเป็นเศษน้ำแข็งก่อนตกลงบนเรือ

โลกทั้งใบกลับมาเด่นชัด

หลังจากนั้นไม่นาน ผิวทะเลอันงดงามกลายเป็นชั้นน้ำแข็งหนาอย่างรวดเร็ว

ใต้ผิวทะเลที่มองไม่เห็น ชั้นน้ำแข็งหนากระจายออกอย่างรวดเร็ว ทำให้สัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีถูกแช่แข็งด้วยความเร็วที่ตาเปล่าก็ไม่อาจจับได้ทัน

ความเร็วการแช่แข็งนี้เหนือกว่าการตอบสนองของสัตว์ประหลาดทะเลเสียส่วนใหญ่

เคราเนื้อทั้งหมดที่ยื่นไปทางเรือถูกแช่แข็งจนไม่สามารถขยับได้

กู่ฉิงซานถือดาบเสียงคลื่นเอาไว้ด้วยหลังมือก่อนตวัดออกไปอย่างรุนแรง

“ย้าก! แตกสลายไปซะ!!!”

เขาคำรามออกมา

พลังวิเศษของดาบเสียงคลื่น ก้าวข้ามทะเลขมขื่น!

เขาเห็นว่าบนหน้าต่างต้นเพลิง ค่าที่เป็นตัวแทนพลังวิญญาณพลันทะยานขึ้นก่อนลดฮวบทันที

ทะเลน้ำแข็งทั้งหมดตอบรับเจตจำนงของดาบเสียงคลื่นก่อนเริ่มแตกสลายไปเอง

เสียงที่ปั่นป่วนและอึกทึกยิ่งกว่าแผ่นดินไหวระเบิดไปทุกหนแห่ง

สัตว์ประหลาดทะเลนับไม่ถ้วนที่ซ่อนอยู่ในทะเลลึกถูกแช่แข็งในตอนแรก จากนั้นถูกฉีกเป็นชิ้นนับไม่ถ้วนด้วยผลจากแรงอันทรงพลังที่ระเบิดตอนพื้นที่ทะเลแตกเป็นเสี่ยงๆ

ฉัวะ

บนหน้าต่างต้นเพลิง หลอดพลังวิญญาณที่ลดฮวบไปนั้นกลับมาเต็มในพริบตา

เพราะหลอดพลังวิญญาณไม่สามารถแสดงจำนวนพลังวิญญาณอย่างเจาะจงได้อีกต่อไป จึงมีแถวตัวเลขดิจิทัลใต้หลอดพลังวิญญาณเพื่อแสดงพลังวิญญาณที่ได้รับมา

ค่าตัวเลข: “3,700,000”

รวมทั้งสิ้นสามล้านเจ็ดแสนแต้ม!

ต้นเพลิงส่งเสียงทันที “พลังวิญญาณจำนวนมาก! ชีวิตอันลี้ลับของสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปี! เร็วมาก อาศัยโอกาสนี้ฆ่าเพิ่มอีก!”

ในน้ำเสียงของมัน มีความร้อนรนอันแรงกล้าแฝงอยู่

ทั่วทะเลมารโกลาหลเต็มไปด้วยพลังโกลาหลนานาชนิดควบคู่กับพลังที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดทะเลยักษ์ในพื้นที่หลายล้านเมตร แม้กระทั่งสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีก็ไม่สามารถต้านทานได้ดีสักพักใหญ่

พวกอ่อนแอจะถูกสังหารในทันที

พวกที่เหลือจึงเป็นสัตว์ประหลาดทะเลทรงพลังยิ่ง

มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะรีบฉวยประโยชน์ตอนนี้เพื่อทำการสังหารให้มากเข้าไว้

ทว่า ในเวลาเดียวกับที่ทะเลระเบิด กู่ฉิงซานก็หายไป

ไม่มีใครรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน

ไม่มีใครรู้ว่าเขาจากไปแล้วหรือเปล่า

การสั่นไหวของทะเลค่อยๆ เบาลง

ยักษ์หลายตัวยืนขึ้นจากทะเลน้ำแข็ง

ร่างกายของพวกมันบดบังท้องนภาและดวงตะวันจากทั่วทุกทิศ

น้ำเสียงแปลกประหลาดมาจากพวกมัน จากนั้นก็พลันดังขึ้นมา

วิชาทำงานแล้ว!

ตูม!

ผิวทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็งสลายกลายเป็นน้ำทะเลในพริบตา

นี่คือการลงมืออย่างสุดกำลังของสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปี!

พวกมันต้องการน้ำทะเล

ทะเลคือที่ที่พวกมันอยู่อาศัยและต่อสู้!

“เจ้านั่นไปไหนแล้ว”

เสีงอันเกรี้ยวกราดที่สั่นไหวอากาศดังขึ้น

สัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีที่ยังมีชีวิตอยู่ทำการค้นหาร่องรอยของเทพแห่งความเย็นยะเยือกด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี

พวกมันไม่พบอะไร

กู่ฉิงซานในตอนนี้กลายเป็นราชาเทพ รากฐานการฝึกฝนอยู่ในระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด

ดังนั้น ถ้าอยากทะลวง “อ้อมกอดของหมอกดำ” ที่ปกคลุมตัวเขาก็ต้องก้าวข้ามอย่างต่ำสามระดับ หรือก็คือไปถึงพละกำลังระดับจ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมีนั่นเอง

นี่คือพลังเกราะศึกของจอมมาร!

สัตว์ประหลาดทะเลร่ายวิชากับความสามารถนานาชนิดเพื่อพยายามค้นหากู่ฉิงซาน

แต่หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง พวกมันก็ยังล้มเหลว

“หาคนคนนั้นไม่เจอเลย” สัตว์ประหลาดทะเลกล่าว

“ข้าก็หาไม่เจอเช่นกัน” สัตว์ประหลาดทะเลอีกตัวกล่าว

“บัดซบ มันฆ่าสหายของพวกเราไปเยอะเลย”

“มิติใกล้ๆ ยังถูกพวกเราปิดกั้นเอาไว้อยู่”

“แสดงว่ามันยังอยู่ที่นี่หรือ”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา สัตว์ประหลาดทะเลเริ่มวิตก

ตอนนี้ เสียงอันหนักอึ้งและโอ่อ่ามาจากในกลุ่มสัตว์ประหลาดทะเลจำนวนมาก

“นี่ไม่ใช่ความจริงเสียทีเดียว มันมีพลังที่แก่กล้านัก อาจจะใช้วิธีพิเศษหนีออกไปแล้วก็ได้”

สัตว์ประหลาดทะเลทุกตัวมองสัตว์ประหลาดทะเลที่ส่งเสียง

นี่คือสัตว์ประหลาดทะเลที่ไม่ได้ตัวใหญ่จนเกินไป

มันถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาโดยสัตว์ประหลาดทะเลทั้งหมดขณะสังเกตการเคลื่อนไหวรอบข้างอย่างสงบ

มันปกคลุมไปด้วยเคราเนื้อ

เมื่อมันคิด เคราเนื้อเหล่านี้จะบิดเบี้ยวไปมา

แต่มีเคราเนื้อจำนวนมากที่แตกหักเช่นกัน

มันคือตัวที่สังหารมารที่อยู่บนเรือยักษ์

จี้น้ำเต้าหยกเหวยจุนกล่าวว่าสัตว์ประหลาดทะเลกำลังรวบรวมความลี้ลับแห่งชีวิตของพวกมาร

ดูท่าตัวการสำคัญที่ลงมือคือสัตว์ประหลาดทะเลตัวนี้

“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี”

สัตว์ประหลาดทะเลถาม

สัตว์ประหลาดทะเลที่มีเคราเนื้อบิดเบี้ยวกล่าวว่า “ตามแผนเดิม การฆ่ามารทั้งหมดคือเป้าหมายแรกที่พวกเราต้องทำให้สำเร็จก่อน”

“พวกเจ้าต้องปกป้องข้าไม่ให้เกิดเหตุซ้ำสองอีก”

สัตว์ประหลาดทะเลพลันกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว”

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง

ในห้องหนึ่งบนเรือยักษ์

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

ไม่ว่าต้นเพลิงจะกระตุ้นยังไง เขาก็ยังยืนนิ่ง

เขารอการตอบสนองของสัตว์ประหลาดทะเลอย่างอดทน

ตอนนี้ ผู้นำของสัตว์ประหลาดทะเลเหล่านี้ได้เผยตัวออกมาแล้ว

เมื่อสองกองทัพเปิดสงคราม หากสามารถสังหารแม่ทัพหลักของอีกฝ่ายได้ นั่นจะทำให้กองทัพของอีกฝ่ายตกอยู่ในความโกลาหล

มันเป็นมากกว่าสงคราม ในบางครั้ง หลักการนี้ก็ยังใช้ได้ดี

ในที่สุดเวลาที่จะลงมือก็มาถึงแล้ว

คทาเยือกแข็งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าอย่างเงียบงันก่อนตกมาอยู่ที่มือของเขา

กลิ่นอายสังหารเลือนรางพุ่งเข้าสู่ร่างของกู่ฉิงซาน

เขาหายไปจากห้องทันที

วินาทีต่อมา

เหนือท้องนภา จุดเยือกแข็งขนาดเล็กพลันปรากฏขึ้น

เป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก

ทันทีที่ปรากฏตัว เขาซัดการโจมตีไปที่ด้านล่าง

วิชาเยือกแข็ง ผนึกแห่งความเงียบงัน!

นี่คือการแสดงอันผาดโผนที่เทพจินเยี่ยนเคยเปิดโปงมาแล้วครั้งหนึ่ง มันคือวิชาเยือกแข็งที่แข็งแกร่งที่สุดของเทพแห่งความเย็นยะเยือก!

เขาเห็นหมอกสีขาวเลือนรางตกลงบนสัตว์ประหลาดเคราเนื้อ

สัตว์ประหลาดทะเลทั้งหมดสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติทันที

พวกมันวิ่งออกไปพร้อมกับแผดเสียงคำราม

สัตว์ประหลาดทะเลส่วนหนึ่งที่คุ้มกันสัตว์ประหลาดเคราเนื้อทำการป้องกันการโจมตีที่สอง

สัตว์ประหลาดทะเลอีกส่วนใช้วิชาโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดใส่ราชาเทพผู้อยู่บนท้องนภา

เขาเห็นร่องรอยของภาพติดตากำลังกรีดร้องในท้องนภา

กู่ฉิงซานมองลงไปเบื้องล่างก่อนยิ้มอ่อนออกมา

ผนึกแห่งความเงียบงันคือพลังเยือกแข็งขั้นสูงสุด ไม่เพียงแค่สามารถแช่แข็งร่างของศัตรูได้เท่านั้น แม้กระทั่งวิญญาณและจิตของศัตรูก็จะถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์เช่นกัน

ตอนนี้ ศัตรูที่ถูกโจมตีโดยผนึกแห่งความเงียบงันอยู่ในสถานะ “เปราะบาง” มากที่สุด ไม่ว่าจะร่างกายหรือวิญญาณก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีดังกล่าวได้

ยิ่งกว่านั้น เพราะคุณลักษณะเยือกแข็ง ศัตรูจะแตกเป็นชิ้นๆ ทันที

ทว่า สัตว์ประหลาดทะเลตอบสนองอย่างรวดเร็วก่อนปกป้องสัตว์ประหลาดเคราเนื้อทันที ในเวลาเดียวกัน พวกมันเปิดฉากโจมตีใส่ท้องนภา

กู่ฉิงซานไม่มีโอกาสทำการโจมตีครั้งที่สอง

ทว่า สถานการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา

กู่ฉิงซานปล่อยคทาเยือกแข็งก่อนชักดาบเสียงคลื่นออกมา

ตอนนี้ วิชาชุดแรกที่โจมตีเข้ามาปรากฏตรงหน้าแล้ว!

กู่ฉิงซานหายไป

สกิลเทพ เคลื่อนย้าย!

สัตว์ประหลาดเคราเนื้อพลันปรากฏตรงตำแหน่งเดิมของกู่ฉิงซาน

วิชาทรงพลังนับไม่ถ้วนโดนร่างกายของมัน

แม้ว่ามันจะอยู่ในสภาพที่ดี แต่ก็ไม่สามารถขัดขืนการโจมตีสุดกำลังของสัตว์ประหลาดทะเลจำนวนมากได้ ยิ่งถูกผนึกเยือกแข็งตรึงไว้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่

“เปรี้ยะ!”

เสียงแจ่มชัดมาจากท้องนภาอันไกลลิบ

สัตว์ประหลาดเคราเนื้อถูกกระแทกเป็นชิ้นๆ ก่อนกลายเป็นน้ำแข็งและหิมะกระจายไปทั่วท้องนภาชิ้นแล้วชิ้นเล่า

สัตว์ประหลาดทะเลนั้นโง่เขลา

พวกมารที่กำลังดูอยู่นั้นก็โง่เขลาเช่นกัน

นี่มันแผนการอะไรกัน

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แล้วต่อไปจะเกิดอะไร

พวกมันไม่มีเวลาจะมาคิดเรื่องเหล่านี้

เพราะกู่ฉิงซานไปยืนอยู่ท่ามกลางสัตว์ประหลาดทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว

เขาชักดาบเสียงคลื่นออกมา

ปีกดาบยักษ์สองข้างปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา

พลังเยือกแข็งผสานกับจิตดาบอันคมปลาบขณะฟันมิติรอบข้างจนเกิดรอยแยกสีดำ

ค่ายกลดาบพุ่งออกจากปลายนิ้ว!

กู่ฉิงซานเดินออกจากห้อง

กระแสจิตดังขึ้นในใจของเขา

“ราชาวิญญาณมาร ข้าสังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับทะเลรอบข้าง”

นี่คือเสียงของจ้าวแห่งความเงียบ

กู่ฉิงซานไม่หยุดเดินขณะถามว่า “สัญญาของเจ้ากับจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งสามารถยกเลิกได้หรือเปล่า”

“มันก็ได้อยู่ แต่ข้าต้องจ่ายเยอะเลยล่ะ”

“อย่าไปสนว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งสมคบคิดกับสัตว์ประหลาดทะเลโบราณอายุหนึ่งพันล้านปีแล้วขายพวกเราทั้งหมด เจ้าหนีในขณะที่ยังทำได้เถอะ”

“ว่าไงนะ!” จ้าวแห่งความเงียบแทบพูดไม่ออก

กู่ฉิงซานหยุดพูด

เขากำลังจะไป แต่กลับหยุดกลางคัน

เพราะในช่วงวิกฤติแบบนี้ แถวตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กเริ่มปรากฏบนหน้าต่างต้นเพลิง

“ต้นเพลิงเปลี่ยนเป็นโหมดวิวัฒนาการ”

“โปรดจำไว้ว่าภารกิจวิวัฒนาการถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว”

“คำอธิบายภารกิจ: สัตว์ประหลาดทะเลโบราณกำลังรวบรวมชีวิตอันลี้ลับของประชากรมารเพื่อศึกษาวิธียับยั้งตัวตนมารอย่างสมบูรณ์ พวกเขาใกล้ทำสำเร็จแล้ว”

“เป้าหมายภารกิจ: มารทุกตนบนเรือจะถูกฆ่าโดยสัตว์ประหลาดทะเลเพื่อกลายเป็นตัวอย่าง โปรดอย่าเพิ่งไป จงซ่อนตัวในระหว่างการเก็บตัวอย่างและอยู่รอดตามเวลาที่กำหนดเพื่อให้ต้นเพลิงสกัดชีวิตของมารได้ พลังวิญญาณและพลังลี้ลับจะทำให้การวิวัฒนาการนี้เสร็จสมบูรณ์”

“รางวัลภารกิจ: ท่านจะได้รับการโหลด หมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์: จุดกำเนิด”

กู่ฉิงซานอ่านจบในรวดเดียว

ในเวลาเดียวกัน ทะเลมีหมอกปกคลุม

หมอกเย็นเยือกกระจายออกอย่างรวดเร็วขณะปกคลุมทั่วเรือทะเลยักษ์

หมอกรวมตัวไม่กระจายไปไหน ต่อให้ถูกมารที่สามารถควบคุมลมได้พัดพาออกไป ไม่ช้ามันก็กลับมารวมตัวใหม่ จำนวนมีแต่เพิ่มขึ้น

การมองเห็นของพวกมารยิ่งมายิ่งแย่ พวกมันแทบมองไม่เห็นสิ่งใดที่อยู่เหนือเรือทะเลยักษ์

ในหมอก เสียงกรีดร้องพลันดังขึ้น

นี่คล้ายกับเป็นการเริ่มต้น เสียงกรีดร้องเริ่มดังขึ้นรอบเรือทะเลยักษ์

รอบเรือทะเลยักษ์ พวกมารที่กำลังตรวจตราและจับปลายังอยู่ในทะเล

เสียงการต่อสู้ค่อยๆ ดังขึ้น

เสียงเหล่านี้อยู่ไม่นานนัก ไม่ช้าก็เงียบไป

หมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ

ฉับพลันนั้นเอง เสียงที่ไม่เคยมีมาก่อนดังมาจากเรือทะเลที่ใหญ่เท่ากับเมือง

เสียงกรีดร้อง เสียงคำราม เสียงคร่ำครวญและเสียงปะทะล้วนผสมปนเป ก่อเกิดเป็นเสียงที่สะเทือนท้องนภา

กู่ฉิงซานคล้ายกับสังเกตเห็นบางสิ่งก่อนเริ่มหดตัวจนหายไปจากจุดนั้นทันที

ในที่ที่เขายืนอยู่ มีเคราเนื้อโผล่ออกมาจากใต้พื้นก่อนกระจายไปทุกทิศทาง

กู่ฉิงซานปรากฏตัวที่สุดทางเรือยักษ์ ขณะลอยอยู่กลางอากาศ เขาตรวจสอบฉากตรงหน้าด้วยจิตเทพ

เคราเนื้อสีดำนับไม่ถ้วนค่อยๆ ยึดครองเรือ

เคราเนื้อเหล่านี้ขยับไปมาอย่างเกรี้ยวกราดขณะพันรัดพวกมาร ทำให้พวกมันไม่สามารถขัดขืนได้

พวกมารโจมตีสุดกำลัง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเคราเนื้อเหล่านี้ได้

หลังจากนั้นไม่นาน มารเหล่านี้แผดเสียงกรีดร้องน่าขนลุกออกมา ทั่วร่างค่อยๆ เหือดแห้ง

ขณะที่ยังมีชีวิต เลือดเนื้อและกระดูกในร่างถูกเคราเนื้อดูดจนเกลี้ยง เหลือไว้เพียงผิวหนังเท่านั้น

ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เกิดจากสิ่งนี้มากพอจะทำให้พวกมารที่ถึกทนที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานได้

กู่ฉิงซานอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

ถึงแม้เขาจะเคยเห็นการลงโทษอันโหดเหี้ยมมามากมาย แต่ฉากตรงหน้ามันเกินกว่าขอบเขตของการลงโทษมากนัก

ฉับพลันนั้นเอง เขาเห็นมารตนหนึ่งกำลังวิ่งพร้อมกับถือมีดทำครัวขณะหลบหนีด้วยความลำบากใจ

“ชิ…”

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

นี่คือเชฟบนเรือที่รู้จักเขาดีและเคยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำอาหารมากมายด้วยกัน

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนปล่อยดาบบินหลายสิบเล่มเพื่อช่วยเชฟเอาไว้

ทว่า มีหนวดเคราเนื้ออีกมากบนเรือ หากยังแบบนี้ กู่ฉิงซานจะไม่สามารถปกป้องอีกฝ่ายเอาไว้ได้

“ต้นเพลิง มารทุกตนบนเรือจะตายหรือ” เขาถาม

ต้นเพลิงตอบว่า “ใช่ สัตว์ประหลาดทะเลเพียงต้องการตัวอย่างของพวกมารเพื่อทำการวิจัย ในระหว่างการเก็บตัวอย่างเหล่านี้ ต้นเพลิงจะรวบรวมพลังวิญญาณอัตโนมัติ โปรดอย่ากังวลเรื่องพลังวิญญาณไปเลย แค่เอาชีวิตรอดอย่างสุดความสามารถก็พอ”

หลังจากพูดเรื่องนี้จบ ต้นเพลิงเงียบ

ดูเหมือนมันกำลังรีบทำอะไรบางอย่าง

บนหน้าต่างต้นเพลิง

เขาเห็นว่าพลังวิญญาณกำลังเพิ่มขึ้น ในเวลาเดียวกัน ตัวระบุอื่นได้ปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

“ความลี้ลับที่สอดคล้องกันของจุดกำเนิดชีวิตถูกเก็บรวบรวมและวิเคราะห์แล้ว”

กู่ฉิงซานมองรอบข้าง

พวกมารจำนวนมากถูกเคราเนื้อจับตัวไว้

เรือทะเลยักษ์ที่ใหญ่เท่าเมืองขนพวกมารมานับล้าน พวกมารตายเป็นฝูงขณะถูกเคราเนื้อจับอย่างบ้าคลั่ง

ในทำนองเดียวกัน ค่าพลังวิญญาณบนหน้าต่างต้นเพลิงสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกินกว่าเก้าแสนแต้ม มันกำลังขยับเข้าหาหนึ่งล้านแต้มอย่างมั่นคง

แต่บนใบหน้าของกู่ฉิงซานกลับไม่เผยความยินดีออกมา

พลังวิญญาณเหล่านี้จะถูกใช้โดยต้นเพลิงเพื่อวิวัฒนาการ วิธีการดูดกลืนพลังวิญญาณเหล่านี้ยังสร้างความไม่สบายใจให้กับเขาเล็กน้อยด้วย

เคราเนื้อดูดกลืนเลือดเนื้อของมาร ส่วนบัญญัติของราชามารดูดกลืนพลังวิญญาณของมาร

“ข้าทำอะไรไม่ได้เลย…” กู่ฉิงซานพึมพำ

เสียงกรีดร้องและความตายยังคงกระจายไปทั่ว ทั่วเรือยักษ์กลายเป็นนรกบนทะเล

ทว่า ขณะที่กู่ฉิงซานยังยืนอยู่ ชั้นหมอกสีดำพุ่งออกจากเกราะบนร่างกายขณะปกคลุมเขาเอาไว้อย่างสมบูรณ์

ไม่ช้า หมอกสีดำเหล่านี้หายไปในความว่างเปล่าพร้อมกู่ฉิงซาน

“อ้อมกอดของหมอกดำ: เมื่อท่านหยุดนิ่ง หมอกดำจะซ่อนตัวท่านเอาไว้ มีเพียงศัตรูระดับสูงกว่าท่านสามขั้นเท่านั้นที่สามารถตรวจจับท่านได้”

ตอนนี้กู่ฉิงซานคือผู้ฝึกยุทธระดับแสวงโลกา มีเพียงศัตรูที่เหนือกว่าระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถตรวจจับเขาได้

ตัดสินจากการคำนวณนี้ เจ้าของเคราเนื้อนี้น่าจะอยู่ระดับสามพันโลก

บางทีมันอาจจะเข้าใกล้ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่แค่ยังไปไม่ถึงเท่านั้น

ในสวรรค์ดึกดำบรรพ์และโลกมารดึกดำบรรพ์ นี่คือตัวตนที่แข็งแกร่งมากจริงๆ

กู่ฉิงซานลอบพึมพำ

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เขาพลันขยับตัวเล็กน้อย

หมอกสีดำหายไป

ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า

ต้นเพลิงสังเกตเห็นทันทีก่อนรีบเตือน

“โปรดซ่อนตัวต่อไปด้วย ไม่เช่นนั้นเกรงว่าท่านจะตายที่นี่”

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก”

ตอนนี้ เคราเนื้อจำนวนมากสังเกตเห็นการปรากฏตัวของกู่ฉิงซานแล้ว

เคราเนื้อขึ้นจากพื้นก่อนพุ่งมาทางทิศที่เขาอยู่

ทันทีที่จิตของกู่ฉิงซานขยับ ดาบบินจำนวนนับไม่ถ้วนพลันปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าก่อนระเบิดพลังดาบอันเย็นเยือกออกมา

ดาบบินรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนขณะพันรอบเคราเนื้อเหล่านั้น

เคราเนื้อทั้งหมดถูกสับเป็นชิ้นจำนวนนับไม่ถ้วน

“สำหรับข้าตอนนี้ เจ้านี่ไม่ได้แข็งแกร่งเลย” กู่ฉิงซานพึมพำ

วิชาดาบเป็นการโจมตีที่ทรงพลัง ยิ่งเขาอยู่ในระดับแสวงโลกาด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เมื่อเจอกับวิชาดาบพร้อมพลังวิญญาณของผู้ใช้ระดับแสวงโลกาเข้าไปก็มากพอที่จะสร้างการโจมตีอันน่าทึ่งขึ้นมาได้

ไม่ว่าจะอยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือเผ่าพันธุ์มาร กู่ฉิงซานก็สามารถถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่เสมอ

แม้กระทั่งในยุคต่อมา เขาก็ยังเข้าสู่ระดับจ้าวโลก

ทันทีที่เคราเนื้อถูกฟันกลางอากาศ เคราเนื้อเส้นอื่นตอบสนองทันที

เคราเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหากู่ฉิงซานอย่างบ้าคลั่ง

กู่ฉิงซานยืนนิ่ง

เมื่อเคราเนื้อทั้งหมดกำลังจะพันรอบร่าง เขาพลันหายไปจากความว่างเปล่า

โต๊ะไม้ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าตรงที่ที่เขาเคยอยู่

ด้วยการสัมผัสเบาๆ ของเคราเนื้อ โต๊ะไม้ทั้งตัวพลันแยกออก

เคราเนื้อสังเกตเห็นความผิดปกติทันทีก่อนเริ่มค้นหากลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง

แต่พวกมันไม่สามารถหาเจ้าคนทรงพลังเมื่อครู่ได้

กู่ฉิงซานไปยืนอยู่อีกฝั่งของเรือยักษ์แล้วขณะซ่อนอยู่ที่มุมหนึ่ง

หมอกสีดำกระจายออกจากเกราะก่อนหายไปพร้อมกับเขา

เสียงต้นเพลิงพลันดังขึ้น

“ท่านทำอะไรน่ะ นี่มันอันตรายมากเลยนะ ทันทีที่ถูกเคราเนื้อพวกนั้นรัดเข้า ข้าก็ช่วยท่านไม่ได้ โปรดอย่างเล่นตลกกับความปลอดภัยของตัวเองด้วย”

กู่ฉิงซานยิ้มแล้วกล่าวว่า “ทีมเชฟตายแล้ว สองคนนี้มีฝีมือทำอาหารที่ดีเยี่ยม อาหารทะเลที่พวกเขาทำนับว่าพิเศษทีเดียว”

ต้นเพลิงกล่าวว่า “โปรดอดทนเพื่อข้าสักนิด การวิวัฒนาการจำเป็นต้องมีพลังวิญญาณสองล้านแต้ม จากนั้นก็จะทำสำเร็จได้ในเวลายี่สิบห้านาที”

“แสดงว่าข้าต้องยืนอยู่เฉยๆ หรือ”

“ถูกต้องแล้ว”

โฮก

มีเสียงคำรามอย่างรุนแรงจากบนท้องนภา

กู่ฉิงซานมองขึ้นไป

เขาเห็นจ้าวแห่งความเงียบกับมารทรงพลังที่สุดจำนวนหนึ่งกำลังสู้กับเคราเนื้อจำนวนไม่มีสิ้นสุดอยู่บนท้องนภา

ทว่า ด้วยพละกำลังของจ้าวแห่งความเงียบ เทียบกับกู่ฉิงซานก่อนพัฒนานั้น ย่อมไม่มีทางรับมือเคราเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงหน้าได้

กู่ฉิงซานมองมารเหล่านี้กำลังขัดขืนอยู่บนท้องนภาอย่างเงียบงัน

“ต้นเพลิง ข้ามีข้อเสนอ”

ในที่สุดเขาก็พูดออกมา

“ท่านอยากช่วยมารเหล่านี้หรือ” ต้นเพลิงถามอย่างตรงไปตรงมา

“ใช่ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งขายข้าในฐานะอาหารกระป๋องให้กับสัตว์ประหลาดทะเล ความจริงนี้ทำให้ข้าไม่สบายใจเล็กน้อย”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อว่า “ส่วนการช่วยมารเหล่านี้ ช่วงนี้เขาคุ้นเคยกับข้ายิ่งนัก ข้าไม่ยินดีเล็กน้อยที่จะเห็นคนรู้จักตายต่อหน้า”

ต้นเพลิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “โปรดอย่าทำอะไรที่ไม่จำเป็น ทำแบบนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกับชีวิตของท่าน แต่บัญญัติเองก็จะได้รับความเสียหายอย่างหนักอีกด้วย”

“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดสักหน่อย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ข้าหมายถึงเจ้าเพียงต้องการพลังวิญญาณสองล้านแต้มก็พอใจแล้วใช่หรือเปล่า ถ้าเช่นนั้น ข้าสามารถให้พลังวิญญาณที่ขาดไปได้ เจ้าต้องการเท่าไหร่ล่ะ”

“ด้วยพละกำลังของท่าน ไม่มีทางทำได้หรอก” ต้นเพลิงกล่าว

กู่ฉิงซานกล่าวต่อว่า “อีกอย่าง ข้าคิดว่าเจ้ากำลังเก็บรวบรวมความลี้ลับของพวกมารอยู่ ถ้างั้น แล้วสัตว์ประหลาดทะเลล่ะ พวกมันคือสัตว์ประหลาดที่สามารถใช้ชีวิตมาได้หลายร้อยล้านปีเลยเชียวนะ ข้าเกรงว่าความลี้ลับในตัวพวกมันคงมีค่าพอจะให้เจ้าไปเก็บมา”

“มันก็จริง แต่พวกเราไม่สามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดทะเลได้ ยิ่งการเก็บรวบรวมความลี้ลับจากพวกมันยิ่งไม่ต้องพูดถึง” ต้นเพลิงกล่าว

“เจ้าคิดผิดแล้ว”

“ข้าคิดผิดหรือ”

กู่ฉิงซานออกความเห็นว่า “ใช่ ความจริง ในฐานะบัญญัติของราชามาร ฝีเท้าของเจ้าช่างเล็กจ้อยและระแวดระวังจนเกินไป”

ต้นเพลิงไม่พูดสักพักใหญ่

นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครบางคนมาวิจารณ์มันยาวเหยียดเช่นนี้

มันเริ่มเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง

เสียงของกู่ฉิงซานแผ่วเบาลงขณะกล่าวต่อว่า “เชื่อข้า ให้ข้าจัดการเอง สัญญาเลยว่าพวกเราจะได้เก็บเกี่ยวจนหนำใจ นอกจากนี้ ข้ายังได้แก้แค้นอีกด้วย”

“พวกเราจะได้อะไร”

“พลังวิญญาณและความลี้ลับของชีวิตจากสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปี”

“ท่านแน่ใจหรือว่าสามารถทำได้” ต้นเพลิงถาม

“แน่นอน ข้าอยากกลายเป็นบัญญัติของราชามาร ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ ตายเสียตอนนี้ยังดีกว่า”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเรียบง่าย

ต้นเพลิงเงียบไปสักพักคล้ายกับกำลังเลือกหนทาง

สิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าวนั้นมันช่างล่อตาล่อใจเสียจริง

“ก็ได้” ในที่สุดต้นเพลิงก็พูดออกมา “ข้าจะสนับสนุนการตัดสินใจของท่าน ข้าหวังว่าท่านจะสามารถนำพลังวิญญาณกับความลี้ลับของชีวิตจากสัตว์ประหลาดทะเลมาได้เป็นจำนวนมาก”

บนท้องนภา

พวกมารที่กำลังดิ้นรนอยู่นั้นมีขวัญกำลังใจ

เพราะราชาวิญญาณมารเข้าร่วมการต่อสู้แล้ว!

เขาคือราชามารทรงพลังที่มีความสามารถการต่อสู้อันยอดเยี่ยม

แน่นอนว่าทันทีที่เขาเข้าสู่สมรภูมิ ดาบบินนับไม่ถ้วนฟาดฟันเคราเนื้อจำนวนมากอย่างรุนแรงทันที

บนเรือยักษ์ พวกมารที่ยังมีชีวิตอยู่ขยับเข้าใกล้ตำแหน่งของราชาวิญญาณมาร

จ้าวแห่งความเงียบเหาะเข้ามาแล้วกล่าวกับกู่ฉิงซานว่า “พื้นที่ถูกตรึงเอาไว้ พวกเราไม่สามารถออกจากเรือในระยะสามสิบไมล์ได้เลย”

นางเปิดใช้กระแสจิตอย่างเงียบงันก่อนลอบกล่าวกับกู่ฉิงซานว่า

“ข้าสำรวจทะเลรอบข้างมาแล้ว สัตว์ประหลาดทะเลทั้งหมดมีอายุหนึ่งพันล้านปี”

กู่ฉิงซานถามอย่างรวดเร็วว่า “พวกเราเคยสู้กับสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีมาก่อนหรือเปล่า”

จ้าวแห่งความเงียบกล่าวว่า “นี่เจ้าล้อเล่นใช่ไหม ทันทีที่อายุขัยของสัตว์ประหลาดทะเลมากกว่าหนึ่งร้อยล้านปี พละกำลังของมันสามารถไปถึงระดับจอมมารได้ แถมยังมีพลังพอๆ กับจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ”

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วไม่กล่าวอะไร

หลังจากอยู่กับจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมานาน เขาพอจะรู้พละกำลังคร่าวๆ ของอีกฝ่าย

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งไปถึงระดับสามพันโลกขั้นสูงสุด มีวิชาลี้ลับสองสามวิชา สามารถต่อสู้กับศัตรูระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นได้

จ้าวแห่งความเงียบกล่าวอย่างสิ้นหวังว่า “ดูท่าคราวนี้พวกเราจะหนีไม่ได้แล้ว พวกเราจะตายอยู่ที่นี่”

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างสงบว่า “ใช่ ดังนั้นข้าจึงต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”

“ความช่วยเหลือหรือ”

ขณะควบคุมดาบบินให้ต่อสู้ กู่ฉิงซานกล่าวเสียงดังว่า “ใช่แล้ว เจ้าทำสัญญาขึ้นมา ให้พวกมารทั้งหมดที่อยู่ใกล้พวกเราเซ็นสัญญาศึกว่าจะไม่ฉวยประโยชน์จากความโกลาหลมาโจมตีข้า”

จ้าวแห่งความเงียบอึ้ง

นางเข้าใจอย่างรวดเร็ว

ดูท่าราชาวิญญาณมารจะมีลูกเล่นทรงพลังซ่อนอยู่ ลูกเล่นนี้มากพอจะเปลี่ยนสถานการณ์

แต่ถ้าพูดกันตรงๆ วิชาแบบนี้เกินกว่าพละกำลังที่มารตนเดียวจะทำได้ ปกติแล้วมันจะเกิดผลข้างเคียงมากมาย

ถึงตอนนั้น ราชาวิญญาณมารอาจจะอ่อนแอชั่วคราว

ราชาวิญญาณมารกล่าวเช่นนี้อาจจะเพราะเกรงว่าจะมีใครบางคนมาโจมตีเขาจากด้านหลัง!

ยังไงเสีย ในบรรดามารทั้งหลาย เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

ราชาวิญญาณมารพูดความกังวลของตัวเองออกมาเสียงดัง ไม่ช้ามารตนอื่นจึงเข้าใจก่อนจะเปลี่ยนความคิดทันที

ทุกตนเซ็นสัญญาตนแล้วตนเล่าด้วยความเร็วมากสุดเท่าที่จะทำได้

หากมีวิชาที่สามารถช่วยชีวิตได้ พวกเขาก็กระตือรือร้นที่จะให้ราชาวิญญาณใช้มันเดี๋ยวนี้เลย

“เอาล่ะ พวกที่ยังมีชีวิตอยู่เซ็นหมดแล้ว ไม่มีใครสามารถลงมือทำร้ายเจ้าได้อีก ได้โปรดใช้วิชาของเจ้าด้วย”

จ้าวแห่งความเงียบส่งม้วนกระดาษให้กับกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานชำเลืองมอง จากนั้นเก็บม้วนกระดาษไว้

“ข้าไม่มีวิชาที่จะใช้หรอก แต่วันนี้ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายก็เลยอยากหาคู่ต่อสู้ดีๆ สักหน่อยน่ะ”

เสียงของเขาดังก้องไปยังพวกมารที่เหลือ

จ้าวแห่งความเงียบสับสนขณะมองกู่ฉิงซาน

นางเห็นหยดเลือดไหลออกมาจากลมหายใจเยือกแข็งไม่มีสิ้นสุดลอยอยู่ในมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานกุมหยดเลือดเอาไว้

เปลวเพลิงสีครามพลันปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา

กู่ฉิงซานเดินออกจากห้อง

กระแสจิตดังขึ้นในใจของเขา

“ราชาวิญญาณมาร ข้าสังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับทะเลรอบข้าง”

นี่คือเสียงของจ้าวแห่งความเงียบ

กู่ฉิงซานไม่หยุดเดินขณะถามว่า “สัญญาของเจ้ากับจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งสามารถยกเลิกได้หรือเปล่า”

“มันก็ได้อยู่ แต่ข้าต้องจ่ายเยอะเลยล่ะ”

“อย่าไปสนว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งสมคบคิดกับสัตว์ประหลาดทะเลโบราณอายุหนึ่งพันล้านปีแล้วขายพวกเราทั้งหมด เจ้าหนีในขณะที่ยังทำได้เถอะ”

“ว่าไงนะ!” จ้าวแห่งความเงียบแทบพูดไม่ออก

กู่ฉิงซานหยุดพูด

เขากำลังจะไป แต่กลับหยุดกลางคัน

เพราะในช่วงวิกฤติแบบนี้ แถวตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กเริ่มปรากฏบนหน้าต่างต้นเพลิง

“ต้นเพลิงเปลี่ยนเป็นโหมดวิวัฒนาการ”

“โปรดจำไว้ว่าภารกิจวิวัฒนาการถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว”

“คำอธิบายภารกิจ: สัตว์ประหลาดทะเลโบราณกำลังรวบรวมชีวิตอันลี้ลับของประชากรมารเพื่อศึกษาวิธียับยั้งตัวตนมารอย่างสมบูรณ์ พวกเขาใกล้ทำสำเร็จแล้ว”

“เป้าหมายภารกิจ: มารทุกตนบนเรือจะถูกฆ่าโดยสัตว์ประหลาดทะเลเพื่อกลายเป็นตัวอย่าง โปรดอย่าเพิ่งไป จงซ่อนตัวในระหว่างการเก็บตัวอย่างและอยู่รอดตามเวลาที่กำหนดเพื่อให้ต้นเพลิงสกัดชีวิตของมารได้ พลังวิญญาณและพลังลี้ลับจะทำให้การวิวัฒนาการนี้เสร็จสมบูรณ์”

“รางวัลภารกิจ: ท่านจะได้รับการโหลด หมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์: จุดกำเนิด”

กู่ฉิงซานอ่านจบในรวดเดียว

ในเวลาเดียวกัน ทะเลมีหมอกปกคลุม

หมอกเย็นเยือกกระจายออกอย่างรวดเร็วขณะปกคลุมทั่วเรือทะเลยักษ์

หมอกรวมตัวไม่กระจายไปไหน ต่อให้ถูกมารที่สามารถควบคุมลมได้พัดพาออกไป ไม่ช้ามันก็กลับมารวมตัวใหม่ จำนวนมีแต่เพิ่มขึ้น

การมองเห็นของพวกมารยิ่งมายิ่งแย่ พวกมันแทบมองไม่เห็นสิ่งใดที่อยู่เหนือเรือทะเลยักษ์

ในหมอก เสียงกรีดร้องพลันดังขึ้น

นี่คล้ายกับเป็นการเริ่มต้น เสียงกรีดร้องเริ่มดังขึ้นรอบเรือทะเลยักษ์

รอบเรือทะเลยักษ์ พวกมารที่กำลังตรวจตราและจับปลายังอยู่ในทะเล

เสียงการต่อสู้ค่อยๆ ดังขึ้น

เสียงเหล่านี้อยู่ไม่นานนัก ไม่ช้าก็เงียบไป

หมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ

ฉับพลันนั้นเอง เสียงที่ไม่เคยมีมาก่อนดังมาจากเรือทะเลที่ใหญ่เท่ากับเมือง

เสียงกรีดร้อง เสียงคำราม เสียงคร่ำครวญและเสียงปะทะล้วนผสมปนเป ก่อเกิดเป็นเสียงที่สะเทือนท้องนภา

กู่ฉิงซานคล้ายกับสังเกตเห็นบางสิ่งก่อนเริ่มหดตัวจนหายไปจากจุดนั้นทันที

ในที่ที่เขายืนอยู่ มีเคราเนื้อโผล่ออกมาจากใต้พื้นก่อนกระจายไปทุกทิศทาง

กู่ฉิงซานปรากฏตัวที่สุดทางเรือยักษ์ ขณะลอยอยู่กลางอากาศ เขาตรวจสอบฉากตรงหน้าด้วยจิตเทพ

เคราเนื้อสีดำนับไม่ถ้วนค่อยๆ ยึดครองเรือ

เคราเนื้อเหล่านี้ขยับไปมาอย่างเกรี้ยวกราดขณะพันรัดพวกมาร ทำให้พวกมันไม่สามารถขัดขืนได้

พวกมารโจมตีสุดกำลัง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเคราเนื้อเหล่านี้ได้

หลังจากนั้นไม่นาน มารเหล่านี้แผดเสียงกรีดร้องน่าขนลุกออกมา ทั่วร่างค่อยๆ เหือดแห้ง

ขณะที่ยังมีชีวิต เลือดเนื้อและกระดูกในร่างถูกเคราเนื้อดูดจนเกลี้ยง เหลือไว้เพียงผิวหนังเท่านั้น

ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เกิดจากสิ่งนี้มากพอจะทำให้พวกมารที่ถึกทนที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานได้

กู่ฉิงซานอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

ถึงแม้เขาจะเคยเห็นการลงโทษอันโหดเหี้ยมมามากมาย แต่ฉากตรงหน้ามันเกินกว่าขอบเขตของการลงโทษมากนัก

ฉับพลันนั้นเอง เขาเห็นมารตนหนึ่งกำลังวิ่งพร้อมกับถือมีดทำครัวขณะหลบหนีด้วยความลำบากใจ

“ชิ…”

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

นี่คือเชฟบนเรือที่รู้จักเขาดีและเคยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำอาหารมากมายด้วยกัน

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนปล่อยดาบบินหลายสิบเล่มเพื่อช่วยเชฟเอาไว้

ทว่า มีหนวดเคราเนื้ออีกมากบนเรือ หากยังแบบนี้ กู่ฉิงซานจะไม่สามารถปกป้องอีกฝ่ายเอาไว้ได้

“ต้นเพลิง มารทุกตนบนเรือจะตายหรือ” เขาถาม

ต้นเพลิงตอบว่า “ใช่ สัตว์ประหลาดทะเลเพียงต้องการตัวอย่างของพวกมารเพื่อทำการวิจัย ในระหว่างการเก็บตัวอย่างเหล่านี้ ต้นเพลิงจะรวบรวมพลังวิญญาณอัตโนมัติ โปรดอย่ากังวลเรื่องพลังวิญญาณไปเลย แค่เอาชีวิตรอดอย่างสุดความสามารถก็พอ”

หลังจากพูดเรื่องนี้จบ ต้นเพลิงเงียบ

ดูเหมือนมันกำลังรีบทำอะไรบางอย่าง

บนหน้าต่างต้นเพลิง

เขาเห็นว่าพลังวิญญาณกำลังเพิ่มขึ้น ในเวลาเดียวกัน ตัวระบุอื่นได้ปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

“ความลี้ลับที่สอดคล้องกันของจุดกำเนิดชีวิตถูกเก็บรวบรวมและวิเคราะห์แล้ว”

กู่ฉิงซานมองรอบข้าง

พวกมารจำนวนมากถูกเคราเนื้อจับตัวไว้

เรือทะเลยักษ์ที่ใหญ่เท่าเมืองขนพวกมารมานับล้าน พวกมารตายเป็นฝูงขณะถูกเคราเนื้อจับอย่างบ้าคลั่ง

ในทำนองเดียวกัน ค่าพลังวิญญาณบนหน้าต่างต้นเพลิงสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกินกว่าเก้าแสนแต้ม มันกำลังขยับเข้าหาหนึ่งล้านแต้มอย่างมั่นคง

แต่บนใบหน้าของกู่ฉิงซานกลับไม่เผยความยินดีออกมา

พลังวิญญาณเหล่านี้จะถูกใช้โดยต้นเพลิงเพื่อวิวัฒนาการ วิธีการดูดกลืนพลังวิญญาณเหล่านี้ยังสร้างความไม่สบายใจให้กับเขาเล็กน้อยด้วย

เคราเนื้อดูดกลืนเลือดเนื้อของมาร ส่วนบัญญัติของราชามารดูดกลืนพลังวิญญาณของมาร

“ข้าทำอะไรไม่ได้เลย…” กู่ฉิงซานพึมพำ

เสียงกรีดร้องและความตายยังคงกระจายไปทั่ว ทั่วเรือยักษ์กลายเป็นนรกบนทะเล

ทว่า ขณะที่กู่ฉิงซานยังยืนอยู่ ชั้นหมอกสีดำพุ่งออกจากเกราะบนร่างกายขณะปกคลุมเขาเอาไว้อย่างสมบูรณ์

ไม่ช้า หมอกสีดำเหล่านี้หายไปในความว่างเปล่าพร้อมกู่ฉิงซาน

“อ้อมกอดของหมอกดำ: เมื่อท่านหยุดนิ่ง หมอกดำจะซ่อนตัวท่านเอาไว้ มีเพียงศัตรูระดับสูงกว่าท่านสามขั้นเท่านั้นที่สามารถตรวจจับท่านได้”

ตอนนี้กู่ฉิงซานคือผู้ฝึกยุทธระดับแสวงโลกา มีเพียงศัตรูที่เหนือกว่าระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถตรวจจับเขาได้

ตัดสินจากการคำนวณนี้ เจ้าของเคราเนื้อนี้น่าจะอยู่ระดับสามพันโลก

บางทีมันอาจจะเข้าใกล้ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่แค่ยังไปไม่ถึงเท่านั้น

ในสวรรค์ดึกดำบรรพ์และโลกมารดึกดำบรรพ์ นี่คือตัวตนที่แข็งแกร่งมากจริงๆ

กู่ฉิงซานลอบพึมพำ

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เขาพลันขยับตัวเล็กน้อย

หมอกสีดำหายไป

ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า

ต้นเพลิงสังเกตเห็นทันทีก่อนรีบเตือน

“โปรดซ่อนตัวต่อไปด้วย ไม่เช่นนั้นเกรงว่าท่านจะตายที่นี่”

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก”

ตอนนี้ เคราเนื้อจำนวนมากสังเกตเห็นการปรากฏตัวของกู่ฉิงซานแล้ว

เคราเนื้อขึ้นจากพื้นก่อนพุ่งมาทางทิศที่เขาอยู่

ทันทีที่จิตของกู่ฉิงซานขยับ ดาบบินจำนวนนับไม่ถ้วนพลันปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าก่อนระเบิดพลังดาบอันเย็นเยือกออกมา

ดาบบินรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนขณะพันรอบเคราเนื้อเหล่านั้น

เคราเนื้อทั้งหมดถูกสับเป็นชิ้นจำนวนนับไม่ถ้วน

“สำหรับข้าตอนนี้ เจ้านี่ไม่ได้แข็งแกร่งเลย” กู่ฉิงซานพึมพำ

วิชาดาบเป็นการโจมตีที่ทรงพลัง ยิ่งเขาอยู่ในระดับแสวงโลกาด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เมื่อเจอกับวิชาดาบพร้อมพลังวิญญาณของผู้ใช้ระดับแสวงโลกาเข้าไปก็มากพอที่จะสร้างการโจมตีอันน่าทึ่งขึ้นมาได้

ไม่ว่าจะอยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือเผ่าพันธุ์มาร กู่ฉิงซานก็สามารถถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่เสมอ

แม้กระทั่งในยุคต่อมา เขาก็ยังเข้าสู่ระดับจ้าวโลก

ทันทีที่เคราเนื้อถูกฟันกลางอากาศ เคราเนื้อเส้นอื่นตอบสนองทันที

เคราเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหากู่ฉิงซานอย่างบ้าคลั่ง

กู่ฉิงซานยืนนิ่ง

เมื่อเคราเนื้อทั้งหมดกำลังจะพันรอบร่าง เขาพลันหายไปจากความว่างเปล่า

โต๊ะไม้ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าตรงที่ที่เขาเคยอยู่

ด้วยการสัมผัสเบาๆ ของเคราเนื้อ โต๊ะไม้ทั้งตัวพลันแยกออก

เคราเนื้อสังเกตเห็นความผิดปกติทันทีก่อนเริ่มค้นหากลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง

แต่พวกมันไม่สามารถหาเจ้าคนทรงพลังเมื่อครู่ได้

กู่ฉิงซานไปยืนอยู่อีกฝั่งของเรือยักษ์แล้วขณะซ่อนอยู่ที่มุมหนึ่ง

หมอกสีดำกระจายออกจากเกราะก่อนหายไปพร้อมกับเขา

เสียงต้นเพลิงพลันดังขึ้น

“ท่านทำอะไรน่ะ นี่มันอันตรายมากเลยนะ ทันทีที่ถูกเคราเนื้อพวกนั้นรัดเข้า ข้าก็ช่วยท่านไม่ได้ โปรดอย่างเล่นตลกกับความปลอดภัยของตัวเองด้วย”

กู่ฉิงซานยิ้มแล้วกล่าวว่า “ทีมเชฟตายแล้ว สองคนนี้มีฝีมือทำอาหารที่ดีเยี่ยม อาหารทะเลที่พวกเขาทำนับว่าพิเศษทีเดียว”

ต้นเพลิงกล่าวว่า “โปรดอดทนเพื่อข้าสักนิด การวิวัฒนาการจำเป็นต้องมีพลังวิญญาณสองล้านแต้ม จากนั้นก็จะทำสำเร็จได้ในเวลายี่สิบห้านาที”

“แสดงว่าข้าต้องยืนอยู่เฉยๆ หรือ”

“ถูกต้องแล้ว”

โฮก

มีเสียงคำรามอย่างรุนแรงจากบนท้องนภา

กู่ฉิงซานมองขึ้นไป

เขาเห็นจ้าวแห่งความเงียบกับมารทรงพลังที่สุดจำนวนหนึ่งกำลังสู้กับเคราเนื้อจำนวนไม่มีสิ้นสุดอยู่บนท้องนภา

ทว่า ด้วยพละกำลังของจ้าวแห่งความเงียบ เทียบกับกู่ฉิงซานก่อนพัฒนานั้น ย่อมไม่มีทางรับมือเคราเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงหน้าได้

กู่ฉิงซานมองมารเหล่านี้กำลังขัดขืนอยู่บนท้องนภาอย่างเงียบงัน

“ต้นเพลิง ข้ามีข้อเสนอ”

ในที่สุดเขาก็พูดออกมา

“ท่านอยากช่วยมารเหล่านี้หรือ” ต้นเพลิงถามอย่างตรงไปตรงมา

“ใช่ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งขายข้าในฐานะอาหารกระป๋องให้กับสัตว์ประหลาดทะเล ความจริงนี้ทำให้ข้าไม่สบายใจเล็กน้อย”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อว่า “ส่วนการช่วยมารเหล่านี้ ช่วงนี้เขาคุ้นเคยกับข้ายิ่งนัก ข้าไม่ยินดีเล็กน้อยที่จะเห็นคนรู้จักตายต่อหน้า”

ต้นเพลิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “โปรดอย่าทำอะไรที่ไม่จำเป็น ทำแบบนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกับชีวิตของท่าน แต่บัญญัติเองก็จะได้รับความเสียหายอย่างหนักอีกด้วย”

“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดสักหน่อย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ข้าหมายถึงเจ้าเพียงต้องการพลังวิญญาณสองล้านแต้มก็พอใจแล้วใช่หรือเปล่า ถ้าเช่นนั้น ข้าสามารถให้พลังวิญญาณที่ขาดไปได้ เจ้าต้องการเท่าไหร่ล่ะ”

“ด้วยพละกำลังของท่าน ไม่มีทางทำได้หรอก” ต้นเพลิงกล่าว

กู่ฉิงซานกล่าวต่อว่า “อีกอย่าง ข้าคิดว่าเจ้ากำลังเก็บรวบรวมความลี้ลับของพวกมารอยู่ ถ้างั้น แล้วสัตว์ประหลาดทะเลล่ะ พวกมันคือสัตว์ประหลาดที่สามารถใช้ชีวิตมาได้หลายร้อยล้านปีเลยเชียวนะ ข้าเกรงว่าความลี้ลับในตัวพวกมันคงมีค่าพอจะให้เจ้าไปเก็บมา”

“มันก็จริง แต่พวกเราไม่สามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดทะเลได้ ยิ่งการเก็บรวบรวมความลี้ลับจากพวกมันยิ่งไม่ต้องพูดถึง” ต้นเพลิงกล่าว

“เจ้าคิดผิดแล้ว”

“ข้าคิดผิดหรือ”

กู่ฉิงซานออกความเห็นว่า “ใช่ ความจริง ในฐานะบัญญัติของราชามาร ฝีเท้าของเจ้าช่างเล็กจ้อยและระแวดระวังจนเกินไป”

ต้นเพลิงไม่พูดสักพักใหญ่

นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครบางคนมาวิจารณ์มันยาวเหยียดเช่นนี้

มันเริ่มเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง

เสียงของกู่ฉิงซานแผ่วเบาลงขณะกล่าวต่อว่า “เชื่อข้า ให้ข้าจัดการเอง สัญญาเลยว่าพวกเราจะได้เก็บเกี่ยวจนหนำใจ นอกจากนี้ ข้ายังได้แก้แค้นอีกด้วย”

“พวกเราจะได้อะไร”

“พลังวิญญาณและความลี้ลับของชีวิตจากสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปี”

“ท่านแน่ใจหรือว่าสามารถทำได้” ต้นเพลิงถาม

“แน่นอน ข้าอยากกลายเป็นบัญญัติของราชามาร ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ ตายเสียตอนนี้ยังดีกว่า”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเรียบง่าย

ต้นเพลิงเงียบไปสักพักคล้ายกับกำลังเลือกหนทาง

สิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าวนั้นมันช่างล่อตาล่อใจเสียจริง

“ก็ได้” ในที่สุดต้นเพลิงก็พูดออกมา “ข้าจะสนับสนุนการตัดสินใจของท่าน ข้าหวังว่าท่านจะสามารถนำพลังวิญญาณกับความลี้ลับของชีวิตจากสัตว์ประหลาดทะเลมาได้เป็นจำนวนมาก”

บนท้องนภา

พวกมารที่กำลังดิ้นรนอยู่นั้นมีขวัญกำลังใจ

เพราะราชาวิญญาณมารเข้าร่วมการต่อสู้แล้ว!

เขาคือราชามารทรงพลังที่มีความสามารถการต่อสู้อันยอดเยี่ยม

แน่นอนว่าทันทีที่เขาเข้าสู่สมรภูมิ ดาบบินนับไม่ถ้วนฟาดฟันเคราเนื้อจำนวนมากอย่างรุนแรงทันที

บนเรือยักษ์ พวกมารที่ยังมีชีวิตอยู่ขยับเข้าใกล้ตำแหน่งของราชาวิญญาณมาร

จ้าวแห่งความเงียบเหาะเข้ามาแล้วกล่าวกับกู่ฉิงซานว่า “พื้นที่ถูกตรึงเอาไว้ พวกเราไม่สามารถออกจากเรือในระยะสามสิบไมล์ได้เลย”

นางเปิดใช้กระแสจิตอย่างเงียบงันก่อนลอบกล่าวกับกู่ฉิงซานว่า

“ข้าสำรวจทะเลรอบข้างมาแล้ว สัตว์ประหลาดทะเลทั้งหมดมีอายุหนึ่งพันล้านปี”

กู่ฉิงซานถามอย่างรวดเร็วว่า “พวกเราเคยสู้กับสัตว์ประหลาดทะเลอายุหนึ่งพันล้านปีมาก่อนหรือเปล่า”

จ้าวแห่งความเงียบกล่าวว่า “นี่เจ้าล้อเล่นใช่ไหม ทันทีที่อายุขัยของสัตว์ประหลาดทะเลมากกว่าหนึ่งร้อยล้านปี พละกำลังของมันสามารถไปถึงระดับจอมมารได้ แถมยังมีพลังพอๆ กับจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ”

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วไม่กล่าวอะไร

หลังจากอยู่กับจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมานาน เขาพอจะรู้พละกำลังคร่าวๆ ของอีกฝ่าย

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งไปถึงระดับสามพันโลกขั้นสูงสุด มีวิชาลี้ลับสองสามวิชา สามารถต่อสู้กับศัตรูระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นได้

จ้าวแห่งความเงียบกล่าวอย่างสิ้นหวังว่า “ดูท่าคราวนี้พวกเราจะหนีไม่ได้แล้ว พวกเราจะตายอยู่ที่นี่”

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างสงบว่า “ใช่ ดังนั้นข้าจึงต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”

“ความช่วยเหลือหรือ”

ขณะควบคุมดาบบินให้ต่อสู้ กู่ฉิงซานกล่าวเสียงดังว่า “ใช่แล้ว เจ้าทำสัญญาขึ้นมา ให้พวกมารทั้งหมดที่อยู่ใกล้พวกเราเซ็นสัญญาศึกว่าจะไม่ฉวยประโยชน์จากความโกลาหลมาโจมตีข้า”

จ้าวแห่งความเงียบอึ้ง

นางเข้าใจอย่างรวดเร็ว

ดูท่าราชาวิญญาณมารจะมีลูกเล่นทรงพลังซ่อนอยู่ ลูกเล่นนี้มากพอจะเปลี่ยนสถานการณ์

แต่ถ้าพูดกันตรงๆ วิชาแบบนี้เกินกว่าพละกำลังที่มารตนเดียวจะทำได้ ปกติแล้วมันจะเกิดผลข้างเคียงมากมาย

ถึงตอนนั้น ราชาวิญญาณมารอาจจะอ่อนแอชั่วคราว

ราชาวิญญาณมารกล่าวเช่นนี้อาจจะเพราะเกรงว่าจะมีใครบางคนมาโจมตีเขาจากด้านหลัง!

ยังไงเสีย ในบรรดามารทั้งหลาย เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

ราชาวิญญาณมารพูดความกังวลของตัวเองออกมาเสียงดัง ไม่ช้ามารตนอื่นจึงเข้าใจก่อนจะเปลี่ยนความคิดทันที

ทุกตนเซ็นสัญญาตนแล้วตนเล่าด้วยความเร็วมากสุดเท่าที่จะทำได้

หากมีวิชาที่สามารถช่วยชีวิตได้ พวกเขาก็กระตือรือร้นที่จะให้ราชาวิญญาณใช้มันเดี๋ยวนี้เลย

“เอาล่ะ พวกที่ยังมีชีวิตอยู่เซ็นหมดแล้ว ไม่มีใครสามารถลงมือทำร้ายเจ้าได้อีก ได้โปรดใช้วิชาของเจ้าด้วย”

จ้าวแห่งความเงียบส่งม้วนกระดาษให้กับกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานชำเลืองมอง จากนั้นเก็บม้วนกระดาษไว้

“ข้าไม่มีวิชาที่จะใช้หรอก แต่วันนี้ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายก็เลยอยากหาคู่ต่อสู้ดีๆ สักหน่อยน่ะ”

เสียงของเขาดังก้องไปยังพวกมารที่เหลือ

จ้าวแห่งความเงียบสับสนขณะมองกู่ฉิงซาน

นางเห็นหยดเลือดไหลออกมาจากลมหายใจเยือกแข็งไม่มีสิ้นสุดลอยอยู่ในมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานกุมหยดเลือดเอาไว้

เปลวเพลิงสีครามพลันปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา

ก้นทะเลลึก

ดาบเสียงคลื่นปักอยู่หลังกู่ฉิงซานอย่างเงียบงันขณะทำให้พื้นแห้งและเย็น

กู่ฉิงซานปลดปล่อยเปลวเพลิงอันร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง อุณหภูมิของเปลวเพลิงนี้เริ่มค่อยๆ บิดเบือนความว่างเปล่า

ที่รอยต่อของความว่างเปล่าและทะเล ไอน้ำสีขาวเริ่มปรากฏขึ้นเป็นกลุ่ม

แม้แต่เส้นผมของกู่ฉิงซานก็เริ่มขดตัวเล็กน้อย

ดาบเสียงคลื่นส่งเสียงหึ่งอย่างวิตกกังวล

มันมองออกว่าเปลวเพลิงอันน่าสะพรึงนี้กำลังพยายามกัดกร่อนร่างกายของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ แต่มั่นคง

ภายใต้การควบคุม กระแสน้ำจำนวนมากไหลหลั่งเข้าสู่พื้นที่นี้จากทะเลลึกก่อนราดใส่กู่ฉิงซาน

แต่ก่อนที่กระแสน้ำจะมาถึง มันระเหยก่อนสลายไปเพราะอุณหภูมิที่สูงยิ่ง

ดาบเสียงคลื่นกรีดร้องขณะหันไปมาอย่างร้อนรน

ตอนนี้ กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

‘ฟรึ่บ’

เพียงพริบตา เปลวเพลิงที่ปกคลุมเขาเอาไว้มอดดับจนสิ้น

“ขอโทษที ข้าทำให้เป็นห่วงสินะ”

กู่ฉิงซานขอโทษ

เมื่อวิญญาณกลับเข้าร่างเมื่อครู่ เขาได้ยินเสียงโหยหวนของดาบเสียงคลื่น

ดาบเสียงคลื่นยินดียิ่งขณะบินไปรอบตัวเขาซ้ำไปมา

“อย่าห่วงไปเลย ข้าเอาชนะภัยพิบัติได้สำเร็จแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

เขามองหน้าต่างต้นเพลิง

เขาเห็นตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ภัยพิบัติลมและไฟสิ้นสุดลงแล้ว”

“ท่านกลายเป็นนักพรตระดับแสวงโลกาแล้ว”

“ภารกิจระดับสูงเสร็จสิ้น”

“พลังวิญญาณที่จำเป็นต่อการก้าวหน้าครั้งต่อไปเจ็ดแสนแต้ม”

“พลังวิญญาณตอนนี้สามแสนหนึ่งหมื่นแต้ม”

“ระบบจะปรับเปลี่ยนสั้นๆ และปิดฟังก์ชันทั้งหมดชั่วคราวเพื่อสลับไปโหมดวิวัฒนาการ”

สัญลักษณ์โลหิตขนาดเล็กทั้งหมดหายไป

กู่ฉิงซานพลันกล่าวว่า “รอเดี๋ยวก่อน!”

เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

กู่ฉิงซานถามว่า “ทำไมเจ้าไม่มีพลังเหนือธรรมชาติในขั้นสูงล่ะ”

แถวตัวอักษรสีโลหิตปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

“บัญญัตินี้ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติสำหรับนักพรตมนุษย์”

“ตอนนี้พวกเรากำลังเข้าช่วงปรับเปลี่ยน ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้น โปรดรอให้ระบบปรับให้เสร็จสิ้นก่อนทำการติดต่อสื่อสาร”

หน้าต่างต้นเพลิงหายไปจากสายตาของกู่ฉิงซาน

มันเริ่มเตรียมวิวัฒนาการ

กู่ฉิงซานครวญคราง เทียบกับหน้าต่างเทพสงครามกับบัญญัติต้นเพลิงนี้แล้ว

หากมองเรื่องพลังเหนือธรรมชาติ หน้าต่างเทพสงครามนับว่าทรงพลัง

ยิ่งกว่านั้น ฟังก์ชันของเทพสงคราม ภารกิจของเทพสงครามและสกิลของเทพสงครามล้วนสามารถช่วยนักพรตต่อสู้ได้ดีกว่า

ทันทีที่ต้นเพลิงวิวัฒนาสู่จุดกำเนิด มันจะสามารถเปลี่ยนพลังวิญญาณให้เทพมารทรงพลังเพื่อช่วยในการต่อสู้ได้

พูดกันตามตรง นี่ยังเป็นวัตถุแปลกปลอมอยู่ดี

ทว่า ความปรารถนาของต้นเพลิงในด้านพลังวิญญาณกลับมีมากกว่าหน้าต่างเทพสงคราม

แทบจะทันทีที่พลังวิญญาณปรากฏขึ้น มันจะหาทางเอามาอยู่ในมือ

กู่ฉิงซานส่ายหน้าและกำลังจะออกมา แต่เขาเห็นการ์ดใบหนึ่งทะยานออกมาอยู่ตรงหน้า

การ์ดสีมรกต “ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน”

นี่คือการ์ดเทพของตัวเอง

เขาเห็นการ์ดสามใบปรากฏขึ้นตรงหน้า

“หลั่งโลหิต” “หอกปีศาจแดง” “เกราะศึกหมอกดำ”

ท่ามกลางความมืด ความรู้แจ้งปรากฏขึ้นในใจของกู่ฉิงซาน

ด้วยความก้าวหน้าของเขา ไม่ว่าจะมีบัญญัติหรือไม่ เขาก็ได้จั่วการ์ดใบใหม่แล้ว

การจั่วครั้งนี้เป็นแบบสุ่ม ไม่มีใครรู้ว่าเขาสามารถจั่วการ์ดระดับมรกตจากกองการ์ดเชื่อมั่นได้เป็นการ์ดอะไร

กู่ฉิงซานไม่คิดให้มากความขณะยื่นมือไปจั่วแบบสุ่มในความว่างเปล่า

ฉับพลันนั้นมีการ์ดใบหนึ่งปรากฏขึ้นบนมือ

ชุดเครื่องมือหลอมถูกดึงมาอยู่ตรงหน้าการ์ด มีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่ด้านล่าง ทั้งชื่อและฟังก์ชันการ์ดถูกเขียนเอาไว้

“ยุทธปัจจัย…ชุดเครื่องมือสำหรับช่างเกราะ”

“เมื่อท่านใช้การ์ดใบนี้ ท่านจะสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับฟังก์ชันหนึ่งของเกราะได้”

กู่ฉิงซานไม่ลังเล ตามวิธีที่เสี่ยวซีเคยบอกเขาก่อนหน้านี้ เขาวางการ์ดใบนี้ลงบนการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ”

“ใช้งาน!” กู่ฉิงซานกล่าว

การ์ด “ชุดเครื่องมือสำหรับช่างเกราะ” พลันส่องแสงเจิดจ้า

มันค่อยๆ หลอมรวมกับการ์ด “ชุดเกราะศึกหมอกดำ” ก่อนหายไป

ไม่ช้า ในพื้นที่ว่างเปล่าด้านล่างการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ” ข้อความบรรยายฟังก์ชันหนึ่งได้เปลี่ยนไป

“เมื่อท่านหยุดนิ่ง หมอกดำจะซ่อนตัวท่านเอาไว้ มีเพียงศัตรูระดับสูงกว่าท่านสามขั้นเท่านั้นที่สามารถตรวจจับท่านได้”

กู่ฉิงซานยินดี

ก่อนหน้านี้คือสูงกว่าสองขั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นสามขั้นแล้ว

หากไล่ระดับพลังตอนนี้ มีระดับวงแหวนนภา ระดับสามพันโลกและระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือกว่าระดับแสวงโลกา กล่าวได้ว่า หากอยากซ่อนตัว มีเพียงศัตรูระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถตรวจจับเขาได้

นี่นับว่าดีทีเดียว

ถ้ารอให้ตัวเองก้าวเข้าสู่ระดับวงแหวนนภาแล้วใช้ยาเม็ดพัฒนาก็จะก้าวเข้าสู่ระดับสามพันโลก ถ้าอยากค้นพบตัวเองก็ต้องเป็นคนแข็งแกร่งในระดับราชาแห่งโลกอิสรภาพ

มันควรค่าแก่การเป็นเกราะศึกของมาร!

เขาถือการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ” ในมือเอาไว้ด้วยอาการสั่นไหวเล็กน้อย

ฉับพลันนั้นเอง ชุดเกราะแผ่หมอกสีดำออกมาก่อนทำการสวมใส่

ทุกสิ่งเสร็จสิ้น

ตอนนี้ถึงเวลากลับเรือแล้ว

“ดาบเสียงคลื่น ไปกันเถอะ”

‘วิ้ง’

สถานที่ก้าวข้ามภัยพิบัติอยู่ไกลจากเรือมาก นั่นก็คือใต้ทะเลลึกหนึ่งล้านเมตร

กู่ฉิงซานเหาะอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว

ขณะพุ่งอย่างสุดกำลัง เขากวัดแกว่งดาบในความว่างเปล่าดังใจนึก

เขาเห็นว่าความว่างเปล่าทั้งหมดถูกฟันแยกออกในครั้งเดียว เผยให้เห็นการไหลอันปั่นป่วนของหมอกและความว่างเปล่าอันโกลาหล

กู่ฉิงซานลอบพยักหน้า

สิ่งที่เรียกว่าเก้าสิบแสวงโลกาสามารถตัดผ่านเก้าสิบชั้นของโลกได้โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุแปลกปลอมและตามหลอกหลอนได้เท่าที่ต้องการ

น่าเสียดายที่เขาอยู่ในภาพซ้อนทับของยุคโบราณ

ตอนเผ่าพันธุ์เทพเลียนแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณเพื่อสร้างโลกขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบโดยเผ่าพันธุ์บรรพกาล พวกเขาจงใจวางโลกเหล่านั้นให้ไกลจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์กับโลกมารดึกดำบรรพ์

ดังนั้นเมื่อกู่ฉิงซานเผยความว่างเปล่าออกมา สิ่งที่ปรากฏจึงเป็นกระแสอันโกลาหล ไม่มีโลกปรากฏตรงหน้ากู่ฉิงซาน

เวลาผ่านไป

ในที่สุดกู่ฉิงซานมาถึงทะเลใกล้เรือยักษ์

เขาเริ่มจากจับอาหารทะเล ย้ายตำแหน่งไปทางเรือยักษ์อย่างช้าๆ ท้ายที่สุดกระโดดกลับขึ้นเรือ

พวกมารจำตัวตนของเขาได้ทันทีจึงไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด

พวกมารทักทายเขาก่อนที่เขาจะทักทาย

ยังไงเสีย กู่ฉิงซานก็ใช้เวลาไปกลับนานกว่าหนึ่งชั่วโมง

พวกมารบางตนมีความอยากอาหารที่น่าทึ่ง พวกมันไปทะเลก่อนกู่ฉิงซาน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา

กู่ฉิงซานลอบยินดีเช่นกัน

โชคดีที่จื้อลัวเตรียมการไว้เพื่อช่วยเขาในการผ่านภัยพิบัติในโลกอิสรภาพ

จื้อลัว…

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ

ฉับพลันนั้นเอง เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของเขา

“เป็นอะไรหรือ สีหน้าเจ้าดูไม่สู้ดีเลย”

กู่ฉิงซานตอบสนอง

นี่คือการสื่อสารวิญญาณของจ้าวแห่งความเงียบ

เพราะคราวที่แล้วพวกเขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ความสัมพันธ์จึงเปลี่ยนไปจากคนแปลกหน้าเป็นคนรู้จักที่พยักหน้าทักทายกัน บางครั้งก็ได้สนทนากันหลายประโยคอีกด้วย

เขากำลังจะเงยหน้า แต่เสียงของจ้าวแห่งความเงียบดังขึ้นอีกครั้ง “อย่ามองข้า เดี๋ยวจะดึงดูดความสนใจผู้อื่นเอาเปล่าๆ ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดจากอีกฝ่าย

“จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งปล่อยเรือลำเล็กแล้วออกจากที่นี่ไปพร้อมกับสหายส่วนหนึ่ง”

“ว่าไงนะ! ตอนนี้อยู่ไหน”

“หัวเรือ”

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพขณะกวาดมองไปข้างหน้า

เขาเห็นว่าที่หัวเรือมีการคุ้มกันแน่นหนา มารสองตนปลดปล่อยวิชาวิเศษเพื่อคุ้มกันที่นี่เอาไว้อย่างสมบูรณ์

อารักขามารของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกำลังคุ้มกันที่นี่ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้หรือสอดแนมได้

เห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งกำลังเกิดขึ้นที่นี่

ทว่าในช่วงไม่กี่วันมานี้ เรือทั้งลำเข้าสู่สภาพตื่นตัว มีการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่บ่อยครั้งมาจากใต้บัญชาของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ไม่มีมารตนอื่นสามารถเข้าใกล้หรือสอดแนมได้

ดังนั้น พวกมารจึงตื่นตัวอย่างเข้มงวดเช่นกัน ไม่มีมารตนไหนกล้ายั่วยุจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหรือพยายามที่จะหาทางตรวจสอบสถานการณ์ที่แท้จริงทางหัวเรือ

เกรงว่าจ้าวแห่งความเงียบจะใช้วิธีพิเศษจนตรวจจับเรื่องราวนี้ได้

“เจ้ามองเห็นอะไร เจ้าคิดยังไงกับสิ่งที่เห็น” กู่ฉิงซานถาม

เสียงของจ้าวแห่งความเงียบไม่ดัง

ผ่านไปสักพัก นางส่งกระแสจิตตอบกลับมาว่า “จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งขึ้นเรือแล้ว ดูท่ากำลังเตรียมตัวจะไป”

“เจ้าตามไปดูได้หรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

“จะเป็นไปได้อย่างไร” จ้าวแห่งความเงียบกล่าวพร้อมกับยิ้มแห้ง “ข้าพยายามสุดความสามารถแล้วตอนที่ดูจากไกลๆ หากเอนตัวนิดเดียว ข้าถูกจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งสังเกตเห็นแน่นอน”

กู่ฉิงซานเงียบ

ใช่แล้ว จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งคือราชามารที่แข็งแกร่งที่สุด เขาต้องตื่นตัวและระแวดระวังมากเวลาลงมือ

ตอนนี้เขาทิ้งพวกมารไว้ที่เมือง เขาคิดจะทำอะไรกันแน่

แล้วเขาจะกลับมาหรือเปล่า

ไม่มีใครรู้และไม่มีใครกล้าสืบด้วย

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งต้องเตรียมการมานาน มารทุกตนจะถูกจับได้ทันทีที่เข้าใกล้

กู่ฉิงซานใคร่ครวญอยู่หลายอึดใจ

ด้วยพละกำลังของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาบนเรือมากนักถ้าอยากจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมา

เว้นแต่ว่าเขาจะออกเดินทางไกลหรือไม่ก็วางแผนที่จะไปจากเรือลำนี้

“เจ้าเห็นธิดาสองตนของเขาหรือเปล่า” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

“เห็น พวกนางขึ้นเรือไปก่อน ดังนั้นข้าคิดว่าเรื่องนี้มันผิดปกติ ข้าก็เลยมาคุยกับเจ้า” จ้าวแห่งความเงียบตอบ

หัวใจของกู่ฉิงซานดิ่งวูบ

แม้กระทั่งธิดาสองตนก็อยู่บนเรือ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งอาจจะไม่กลับมาที่เรือยักษ์ลำนี้ก็ได้

ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

กู่ฉิงซานคร่ำครวญก่อนพลันตบถุงเก็บของ

จี้น้ำเต้าหยกพุ่งออกมจากถุงเก็บของ

‘ฟิ่ว’

มันคล้ายกับเคลื่อนไหวช้าๆ น้ำเสียงดูเกียจคร้าน

“อย่าเพิ่งนอน ข้าเตรียมพลังวิญญาณไว้ให้เจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

จี้น้ำเต้าหยกกระตือรือร้นทันที

‘ฟิ่วๆ’

“เรื่องจริง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหากับข้าอยู่”

‘ฟิ่ว ฟิ่วๆ!’

“เจ้าไปที่หัวเรือ ตามเรือที่เพิ่งออกไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นกลับมาบอกข้า”

‘ฟิ่ว’

จี้น้ำเต้าหยกตอบรับ

เขาเห็นแสงสีขาววูบไหว มันหายไปต่อหน้ากู่ฉิงซาน

มันเหาะไปทางหัวเรือ แต่ไม่มีมารตามทางตนไหนทราบถึงตัวตนของมัน

มีเพียงกู่ฉิงซานที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ใช่แล้ว มีเพียงจี้หยกเหวยจุนที่มีพลังวิเศษ “หยกไร้ข้อบกพร่อง” เท่านั้น ดังนั้นเขาไม่ต้องห่วงเรื่องจะถูกพบโดยจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง แค่ตามไปสืบก็พอ

“จ้าวแห่งความเงียบ ขอบคุณที่แจ้งข่าวนะ”

กู่ฉิงซานกล่าว

เมื่อครู่เขาเพิ่งก้าวข้ามภัยพิบัติไป ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือ

โชคยังดี จ้าวแห่งความเงียบทราบข่าว ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะพลาดเหตุการณ์นี้โดยไม่ตั้งใจ

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้ารู้สึกถึงไอเย็นเยือกจากเหตุการณ์นี้ มันกำลังปกคลุมตัวข้า” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่กลับไปโลกมารของตัวเองล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“ข้าทำสัญญากับจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งแล้ว ข้าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

กู่ฉิงซานจมสู่ความเงียบ

เขาปฏิบัติตามหลักการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมเสมอ

อีกฝ่ายจ่ายชีวิตเพื่อช่วยดาบ

จากนั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เขาต้องช่วยอีกฝ่ายในทะเล

นี่คือสิ่งที่ยุติธรรม เขาเต็มใจที่จะตอบแทนอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ

แต่ก็นั่นแหละ

ตอนนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกถึงจิตสังหารจนพูดไม่ออกเช่นกัน

เหมือนกับลางร้ายแห่งความตายที่เขาเคยเผชิญก่อนออกไปที่ทะเล ตอนนี้ทุกสิ่งมันช่างแปลกประหลาด

ถ้าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมีแผนอื่นจริงก็น่าจะบอกเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกสิ

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ไม่ปฏิบัติตามหลักการแลกเปลี่ยนอีกต่อไป

ก้นทะเลลึก

ดาบเสียงคลื่นปักอยู่หลังกู่ฉิงซานอย่างเงียบงันขณะทำให้พื้นแห้งและเย็น

กู่ฉิงซานปลดปล่อยเปลวเพลิงอันร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง อุณหภูมิของเปลวเพลิงนี้เริ่มค่อยๆ บิดเบือนความว่างเปล่า

ที่รอยต่อของความว่างเปล่าและทะเล ไอน้ำสีขาวเริ่มปรากฏขึ้นเป็นกลุ่ม

แม้แต่เส้นผมของกู่ฉิงซานก็เริ่มขดตัวเล็กน้อย

ดาบเสียงคลื่นส่งเสียงหึ่งอย่างวิตกกังวล

มันมองออกว่าเปลวเพลิงอันน่าสะพรึงนี้กำลังพยายามกัดกร่อนร่างกายของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ แต่มั่นคง

ภายใต้การควบคุม กระแสน้ำจำนวนมากไหลหลั่งเข้าสู่พื้นที่นี้จากทะเลลึกก่อนราดใส่กู่ฉิงซาน

แต่ก่อนที่กระแสน้ำจะมาถึง มันระเหยก่อนสลายไปเพราะอุณหภูมิที่สูงยิ่ง

ดาบเสียงคลื่นกรีดร้องขณะหันไปมาอย่างร้อนรน

ตอนนี้ กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

‘ฟรึ่บ’

เพียงพริบตา เปลวเพลิงที่ปกคลุมเขาเอาไว้มอดดับจนสิ้น

“ขอโทษที ข้าทำให้เป็นห่วงสินะ”

กู่ฉิงซานขอโทษ

เมื่อวิญญาณกลับเข้าร่างเมื่อครู่ เขาได้ยินเสียงโหยหวนของดาบเสียงคลื่น

ดาบเสียงคลื่นยินดียิ่งขณะบินไปรอบตัวเขาซ้ำไปมา

“อย่าห่วงไปเลย ข้าเอาชนะภัยพิบัติได้สำเร็จแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

เขามองหน้าต่างต้นเพลิง

เขาเห็นตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ภัยพิบัติลมและไฟสิ้นสุดลงแล้ว”

“ท่านกลายเป็นนักพรตระดับแสวงโลกาแล้ว”

“ภารกิจระดับสูงเสร็จสิ้น”

“พลังวิญญาณที่จำเป็นต่อการก้าวหน้าครั้งต่อไปเจ็ดแสนแต้ม”

“พลังวิญญาณตอนนี้สามแสนหนึ่งหมื่นแต้ม”

“ระบบจะปรับเปลี่ยนสั้นๆ และปิดฟังก์ชันทั้งหมดชั่วคราวเพื่อสลับไปโหมดวิวัฒนาการ”

สัญลักษณ์โลหิตขนาดเล็กทั้งหมดหายไป

กู่ฉิงซานพลันกล่าวว่า “รอเดี๋ยวก่อน!”

เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

กู่ฉิงซานถามว่า “ทำไมเจ้าไม่มีพลังเหนือธรรมชาติในขั้นสูงล่ะ”

แถวตัวอักษรสีโลหิตปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

“บัญญัตินี้ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติสำหรับนักพรตมนุษย์”

“ตอนนี้พวกเรากำลังเข้าช่วงปรับเปลี่ยน ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้น โปรดรอให้ระบบปรับให้เสร็จสิ้นก่อนทำการติดต่อสื่อสาร”

หน้าต่างต้นเพลิงหายไปจากสายตาของกู่ฉิงซาน

มันเริ่มเตรียมวิวัฒนาการ

กู่ฉิงซานครวญคราง เทียบกับหน้าต่างเทพสงครามกับบัญญัติต้นเพลิงนี้แล้ว

หากมองเรื่องพลังเหนือธรรมชาติ หน้าต่างเทพสงครามนับว่าทรงพลัง

ยิ่งกว่านั้น ฟังก์ชันของเทพสงคราม ภารกิจของเทพสงครามและสกิลของเทพสงครามล้วนสามารถช่วยนักพรตต่อสู้ได้ดีกว่า

ทันทีที่ต้นเพลิงวิวัฒนาสู่จุดกำเนิด มันจะสามารถเปลี่ยนพลังวิญญาณให้เทพมารทรงพลังเพื่อช่วยในการต่อสู้ได้

พูดกันตามตรง นี่ยังเป็นวัตถุแปลกปลอมอยู่ดี

ทว่า ความปรารถนาของต้นเพลิงในด้านพลังวิญญาณกลับมีมากกว่าหน้าต่างเทพสงคราม

แทบจะทันทีที่พลังวิญญาณปรากฏขึ้น มันจะหาทางเอามาอยู่ในมือ

กู่ฉิงซานส่ายหน้าและกำลังจะออกมา แต่เขาเห็นการ์ดใบหนึ่งทะยานออกมาอยู่ตรงหน้า

การ์ดสีมรกต “ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน”

นี่คือการ์ดเทพของตัวเอง

เขาเห็นการ์ดสามใบปรากฏขึ้นตรงหน้า

“หลั่งโลหิต” “หอกปีศาจแดง” “เกราะศึกหมอกดำ”

ท่ามกลางความมืด ความรู้แจ้งปรากฏขึ้นในใจของกู่ฉิงซาน

ด้วยความก้าวหน้าของเขา ไม่ว่าจะมีบัญญัติหรือไม่ เขาก็ได้จั่วการ์ดใบใหม่แล้ว

การจั่วครั้งนี้เป็นแบบสุ่ม ไม่มีใครรู้ว่าเขาสามารถจั่วการ์ดระดับมรกตจากกองการ์ดเชื่อมั่นได้เป็นการ์ดอะไร

กู่ฉิงซานไม่คิดให้มากความขณะยื่นมือไปจั่วแบบสุ่มในความว่างเปล่า

ฉับพลันนั้นมีการ์ดใบหนึ่งปรากฏขึ้นบนมือ

ชุดเครื่องมือหลอมถูกดึงมาอยู่ตรงหน้าการ์ด มีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่ด้านล่าง ทั้งชื่อและฟังก์ชันการ์ดถูกเขียนเอาไว้

“ยุทธปัจจัย…ชุดเครื่องมือสำหรับช่างเกราะ”

“เมื่อท่านใช้การ์ดใบนี้ ท่านจะสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับฟังก์ชันหนึ่งของเกราะได้”

กู่ฉิงซานไม่ลังเล ตามวิธีที่เสี่ยวซีเคยบอกเขาก่อนหน้านี้ เขาวางการ์ดใบนี้ลงบนการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ”

“ใช้งาน!” กู่ฉิงซานกล่าว

การ์ด “ชุดเครื่องมือสำหรับช่างเกราะ” พลันส่องแสงเจิดจ้า

มันค่อยๆ หลอมรวมกับการ์ด “ชุดเกราะศึกหมอกดำ” ก่อนหายไป

ไม่ช้า ในพื้นที่ว่างเปล่าด้านล่างการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ” ข้อความบรรยายฟังก์ชันหนึ่งได้เปลี่ยนไป

“เมื่อท่านหยุดนิ่ง หมอกดำจะซ่อนตัวท่านเอาไว้ มีเพียงศัตรูระดับสูงกว่าท่านสามขั้นเท่านั้นที่สามารถตรวจจับท่านได้”

กู่ฉิงซานยินดี

ก่อนหน้านี้คือสูงกว่าสองขั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นสามขั้นแล้ว

หากไล่ระดับพลังตอนนี้ มีระดับวงแหวนนภา ระดับสามพันโลกและระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือกว่าระดับแสวงโลกา กล่าวได้ว่า หากอยากซ่อนตัว มีเพียงศัตรูระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถตรวจจับเขาได้

นี่นับว่าดีทีเดียว

ถ้ารอให้ตัวเองก้าวเข้าสู่ระดับวงแหวนนภาแล้วใช้ยาเม็ดพัฒนาก็จะก้าวเข้าสู่ระดับสามพันโลก ถ้าอยากค้นพบตัวเองก็ต้องเป็นคนแข็งแกร่งในระดับราชาแห่งโลกอิสรภาพ

มันควรค่าแก่การเป็นเกราะศึกของมาร!

เขาถือการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ” ในมือเอาไว้ด้วยอาการสั่นไหวเล็กน้อย

ฉับพลันนั้นเอง ชุดเกราะแผ่หมอกสีดำออกมาก่อนทำการสวมใส่

ทุกสิ่งเสร็จสิ้น

ตอนนี้ถึงเวลากลับเรือแล้ว

“ดาบเสียงคลื่น ไปกันเถอะ”

‘วิ้ง’

สถานที่ก้าวข้ามภัยพิบัติอยู่ไกลจากเรือมาก นั่นก็คือใต้ทะเลลึกหนึ่งล้านเมตร

กู่ฉิงซานเหาะอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว

ขณะพุ่งอย่างสุดกำลัง เขากวัดแกว่งดาบในความว่างเปล่าดังใจนึก

เขาเห็นว่าความว่างเปล่าทั้งหมดถูกฟันแยกออกในครั้งเดียว เผยให้เห็นการไหลอันปั่นป่วนของหมอกและความว่างเปล่าอันโกลาหล

กู่ฉิงซานลอบพยักหน้า

สิ่งที่เรียกว่าเก้าสิบแสวงโลกาสามารถตัดผ่านเก้าสิบชั้นของโลกได้โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุแปลกปลอมและตามหลอกหลอนได้เท่าที่ต้องการ

น่าเสียดายที่เขาอยู่ในภาพซ้อนทับของยุคโบราณ

ตอนเผ่าพันธุ์เทพเลียนแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณเพื่อสร้างโลกขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบโดยเผ่าพันธุ์บรรพกาล พวกเขาจงใจวางโลกเหล่านั้นให้ไกลจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์กับโลกมารดึกดำบรรพ์

ดังนั้นเมื่อกู่ฉิงซานเผยความว่างเปล่าออกมา สิ่งที่ปรากฏจึงเป็นกระแสอันโกลาหล ไม่มีโลกปรากฏตรงหน้ากู่ฉิงซาน

เวลาผ่านไป

ในที่สุดกู่ฉิงซานมาถึงทะเลใกล้เรือยักษ์

เขาเริ่มจากจับอาหารทะเล ย้ายตำแหน่งไปทางเรือยักษ์อย่างช้าๆ ท้ายที่สุดกระโดดกลับขึ้นเรือ

พวกมารจำตัวตนของเขาได้ทันทีจึงไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด

พวกมารทักทายเขาก่อนที่เขาจะทักทาย

ยังไงเสีย กู่ฉิงซานก็ใช้เวลาไปกลับนานกว่าหนึ่งชั่วโมง

พวกมารบางตนมีความอยากอาหารที่น่าทึ่ง พวกมันไปทะเลก่อนกู่ฉิงซาน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา

กู่ฉิงซานลอบยินดีเช่นกัน

โชคดีที่จื้อลัวเตรียมการไว้เพื่อช่วยเขาในการผ่านภัยพิบัติในโลกอิสรภาพ

จื้อลัว…

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ

ฉับพลันนั้นเอง เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของเขา

“เป็นอะไรหรือ สีหน้าเจ้าดูไม่สู้ดีเลย”

กู่ฉิงซานตอบสนอง

นี่คือการสื่อสารวิญญาณของจ้าวแห่งความเงียบ

เพราะคราวที่แล้วพวกเขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ความสัมพันธ์จึงเปลี่ยนไปจากคนแปลกหน้าเป็นคนรู้จักที่พยักหน้าทักทายกัน บางครั้งก็ได้สนทนากันหลายประโยคอีกด้วย

เขากำลังจะเงยหน้า แต่เสียงของจ้าวแห่งความเงียบดังขึ้นอีกครั้ง “อย่ามองข้า เดี๋ยวจะดึงดูดความสนใจผู้อื่นเอาเปล่าๆ ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดจากอีกฝ่าย

“จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งปล่อยเรือลำเล็กแล้วออกจากที่นี่ไปพร้อมกับสหายส่วนหนึ่ง”

“ว่าไงนะ! ตอนนี้อยู่ไหน”

“หัวเรือ”

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพขณะกวาดมองไปข้างหน้า

เขาเห็นว่าที่หัวเรือมีการคุ้มกันแน่นหนา มารสองตนปลดปล่อยวิชาวิเศษเพื่อคุ้มกันที่นี่เอาไว้อย่างสมบูรณ์

อารักขามารของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกำลังคุ้มกันที่นี่ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้หรือสอดแนมได้

เห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งกำลังเกิดขึ้นที่นี่

ทว่าในช่วงไม่กี่วันมานี้ เรือทั้งลำเข้าสู่สภาพตื่นตัว มีการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่บ่อยครั้งมาจากใต้บัญชาของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ไม่มีมารตนอื่นสามารถเข้าใกล้หรือสอดแนมได้

ดังนั้น พวกมารจึงตื่นตัวอย่างเข้มงวดเช่นกัน ไม่มีมารตนไหนกล้ายั่วยุจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหรือพยายามที่จะหาทางตรวจสอบสถานการณ์ที่แท้จริงทางหัวเรือ

เกรงว่าจ้าวแห่งความเงียบจะใช้วิธีพิเศษจนตรวจจับเรื่องราวนี้ได้

“เจ้ามองเห็นอะไร เจ้าคิดยังไงกับสิ่งที่เห็น” กู่ฉิงซานถาม

เสียงของจ้าวแห่งความเงียบไม่ดัง

ผ่านไปสักพัก นางส่งกระแสจิตตอบกลับมาว่า “จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งขึ้นเรือแล้ว ดูท่ากำลังเตรียมตัวจะไป”

“เจ้าตามไปดูได้หรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

“จะเป็นไปได้อย่างไร” จ้าวแห่งความเงียบกล่าวพร้อมกับยิ้มแห้ง “ข้าพยายามสุดความสามารถแล้วตอนที่ดูจากไกลๆ หากเอนตัวนิดเดียว ข้าถูกจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งสังเกตเห็นแน่นอน”

กู่ฉิงซานเงียบ

ใช่แล้ว จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งคือราชามารที่แข็งแกร่งที่สุด เขาต้องตื่นตัวและระแวดระวังมากเวลาลงมือ

ตอนนี้เขาทิ้งพวกมารไว้ที่เมือง เขาคิดจะทำอะไรกันแน่

แล้วเขาจะกลับมาหรือเปล่า

ไม่มีใครรู้และไม่มีใครกล้าสืบด้วย

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งต้องเตรียมการมานาน มารทุกตนจะถูกจับได้ทันทีที่เข้าใกล้

กู่ฉิงซานใคร่ครวญอยู่หลายอึดใจ

ด้วยพละกำลังของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาบนเรือมากนักถ้าอยากจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมา

เว้นแต่ว่าเขาจะออกเดินทางไกลหรือไม่ก็วางแผนที่จะไปจากเรือลำนี้

“เจ้าเห็นธิดาสองตนของเขาหรือเปล่า” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

“เห็น พวกนางขึ้นเรือไปก่อน ดังนั้นข้าคิดว่าเรื่องนี้มันผิดปกติ ข้าก็เลยมาคุยกับเจ้า” จ้าวแห่งความเงียบตอบ

หัวใจของกู่ฉิงซานดิ่งวูบ

แม้กระทั่งธิดาสองตนก็อยู่บนเรือ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งอาจจะไม่กลับมาที่เรือยักษ์ลำนี้ก็ได้

ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

กู่ฉิงซานคร่ำครวญก่อนพลันตบถุงเก็บของ

จี้น้ำเต้าหยกพุ่งออกมจากถุงเก็บของ

‘ฟิ่ว’

มันคล้ายกับเคลื่อนไหวช้าๆ น้ำเสียงดูเกียจคร้าน

“อย่าเพิ่งนอน ข้าเตรียมพลังวิญญาณไว้ให้เจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

จี้น้ำเต้าหยกกระตือรือร้นทันที

‘ฟิ่วๆ’

“เรื่องจริง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหากับข้าอยู่”

‘ฟิ่ว ฟิ่วๆ!’

“เจ้าไปที่หัวเรือ ตามเรือที่เพิ่งออกไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นกลับมาบอกข้า”

‘ฟิ่ว’

จี้น้ำเต้าหยกตอบรับ

เขาเห็นแสงสีขาววูบไหว มันหายไปต่อหน้ากู่ฉิงซาน

มันเหาะไปทางหัวเรือ แต่ไม่มีมารตามทางตนไหนทราบถึงตัวตนของมัน

มีเพียงกู่ฉิงซานที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ใช่แล้ว มีเพียงจี้หยกเหวยจุนที่มีพลังวิเศษ “หยกไร้ข้อบกพร่อง” เท่านั้น ดังนั้นเขาไม่ต้องห่วงเรื่องจะถูกพบโดยจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง แค่ตามไปสืบก็พอ

“จ้าวแห่งความเงียบ ขอบคุณที่แจ้งข่าวนะ”

กู่ฉิงซานกล่าว

เมื่อครู่เขาเพิ่งก้าวข้ามภัยพิบัติไป ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือ

โชคยังดี จ้าวแห่งความเงียบทราบข่าว ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะพลาดเหตุการณ์นี้โดยไม่ตั้งใจ

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้ารู้สึกถึงไอเย็นเยือกจากเหตุการณ์นี้ มันกำลังปกคลุมตัวข้า” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่กลับไปโลกมารของตัวเองล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“ข้าทำสัญญากับจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งแล้ว ข้าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

กู่ฉิงซานจมสู่ความเงียบ

เขาปฏิบัติตามหลักการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมเสมอ

อีกฝ่ายจ่ายชีวิตเพื่อช่วยดาบ

จากนั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เขาต้องช่วยอีกฝ่ายในทะเล

นี่คือสิ่งที่ยุติธรรม เขาเต็มใจที่จะตอบแทนอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ

แต่ก็นั่นแหละ

ตอนนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกถึงจิตสังหารจนพูดไม่ออกเช่นกัน

เหมือนกับลางร้ายแห่งความตายที่เขาเคยเผชิญก่อนออกไปที่ทะเล ตอนนี้ทุกสิ่งมันช่างแปลกประหลาด

ถ้าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมีแผนอื่นจริงก็น่าจะบอกเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกสิ

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ไม่ปฏิบัติตามหลักการแลกเปลี่ยนอีกต่อไป

ก้นทะเลลึก

ดาบเสียงคลื่นปักอยู่หลังกู่ฉิงซานอย่างเงียบงันขณะทำให้พื้นแห้งและเย็น

กู่ฉิงซานปลดปล่อยเปลวเพลิงอันร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง อุณหภูมิของเปลวเพลิงนี้เริ่มค่อยๆ บิดเบือนความว่างเปล่า

ที่รอยต่อของความว่างเปล่าและทะเล ไอน้ำสีขาวเริ่มปรากฏขึ้นเป็นกลุ่ม

แม้แต่เส้นผมของกู่ฉิงซานก็เริ่มขดตัวเล็กน้อย

ดาบเสียงคลื่นส่งเสียงหึ่งอย่างวิตกกังวล

มันมองออกว่าเปลวเพลิงอันน่าสะพรึงนี้กำลังพยายามกัดกร่อนร่างกายของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ แต่มั่นคง

ภายใต้การควบคุม กระแสน้ำจำนวนมากไหลหลั่งเข้าสู่พื้นที่นี้จากทะเลลึกก่อนราดใส่กู่ฉิงซาน

แต่ก่อนที่กระแสน้ำจะมาถึง มันระเหยก่อนสลายไปเพราะอุณหภูมิที่สูงยิ่ง

ดาบเสียงคลื่นกรีดร้องขณะหันไปมาอย่างร้อนรน

ตอนนี้ กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

‘ฟรึ่บ’

เพียงพริบตา เปลวเพลิงที่ปกคลุมเขาเอาไว้มอดดับจนสิ้น

“ขอโทษที ข้าทำให้เป็นห่วงสินะ”

กู่ฉิงซานขอโทษ

เมื่อวิญญาณกลับเข้าร่างเมื่อครู่ เขาได้ยินเสียงโหยหวนของดาบเสียงคลื่น

ดาบเสียงคลื่นยินดียิ่งขณะบินไปรอบตัวเขาซ้ำไปมา

“อย่าห่วงไปเลย ข้าเอาชนะภัยพิบัติได้สำเร็จแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

เขามองหน้าต่างต้นเพลิง

เขาเห็นตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ภัยพิบัติลมและไฟสิ้นสุดลงแล้ว”

“ท่านกลายเป็นนักพรตระดับแสวงโลกาแล้ว”

“ภารกิจระดับสูงเสร็จสิ้น”

“พลังวิญญาณที่จำเป็นต่อการก้าวหน้าครั้งต่อไปเจ็ดแสนแต้ม”

“พลังวิญญาณตอนนี้สามแสนหนึ่งหมื่นแต้ม”

“ระบบจะปรับเปลี่ยนสั้นๆ และปิดฟังก์ชันทั้งหมดชั่วคราวเพื่อสลับไปโหมดวิวัฒนาการ”

สัญลักษณ์โลหิตขนาดเล็กทั้งหมดหายไป

กู่ฉิงซานพลันกล่าวว่า “รอเดี๋ยวก่อน!”

เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

กู่ฉิงซานถามว่า “ทำไมเจ้าไม่มีพลังเหนือธรรมชาติในขั้นสูงล่ะ”

แถวตัวอักษรสีโลหิตปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

“บัญญัตินี้ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติสำหรับนักพรตมนุษย์”

“ตอนนี้พวกเรากำลังเข้าช่วงปรับเปลี่ยน ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้น โปรดรอให้ระบบปรับให้เสร็จสิ้นก่อนทำการติดต่อสื่อสาร”

หน้าต่างต้นเพลิงหายไปจากสายตาของกู่ฉิงซาน

มันเริ่มเตรียมวิวัฒนาการ

กู่ฉิงซานครวญคราง เทียบกับหน้าต่างเทพสงครามกับบัญญัติต้นเพลิงนี้แล้ว

หากมองเรื่องพลังเหนือธรรมชาติ หน้าต่างเทพสงครามนับว่าทรงพลัง

ยิ่งกว่านั้น ฟังก์ชันของเทพสงคราม ภารกิจของเทพสงครามและสกิลของเทพสงครามล้วนสามารถช่วยนักพรตต่อสู้ได้ดีกว่า

ทันทีที่ต้นเพลิงวิวัฒนาสู่จุดกำเนิด มันจะสามารถเปลี่ยนพลังวิญญาณให้เทพมารทรงพลังเพื่อช่วยในการต่อสู้ได้

พูดกันตามตรง นี่ยังเป็นวัตถุแปลกปลอมอยู่ดี

ทว่า ความปรารถนาของต้นเพลิงในด้านพลังวิญญาณกลับมีมากกว่าหน้าต่างเทพสงคราม

แทบจะทันทีที่พลังวิญญาณปรากฏขึ้น มันจะหาทางเอามาอยู่ในมือ

กู่ฉิงซานส่ายหน้าและกำลังจะออกมา แต่เขาเห็นการ์ดใบหนึ่งทะยานออกมาอยู่ตรงหน้า

การ์ดสีมรกต “ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน”

นี่คือการ์ดเทพของตัวเอง

เขาเห็นการ์ดสามใบปรากฏขึ้นตรงหน้า

“หลั่งโลหิต” “หอกปีศาจแดง” “เกราะศึกหมอกดำ”

ท่ามกลางความมืด ความรู้แจ้งปรากฏขึ้นในใจของกู่ฉิงซาน

ด้วยความก้าวหน้าของเขา ไม่ว่าจะมีบัญญัติหรือไม่ เขาก็ได้จั่วการ์ดใบใหม่แล้ว

การจั่วครั้งนี้เป็นแบบสุ่ม ไม่มีใครรู้ว่าเขาสามารถจั่วการ์ดระดับมรกตจากกองการ์ดเชื่อมั่นได้เป็นการ์ดอะไร

กู่ฉิงซานไม่คิดให้มากความขณะยื่นมือไปจั่วแบบสุ่มในความว่างเปล่า

ฉับพลันนั้นมีการ์ดใบหนึ่งปรากฏขึ้นบนมือ

ชุดเครื่องมือหลอมถูกดึงมาอยู่ตรงหน้าการ์ด มีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่ด้านล่าง ทั้งชื่อและฟังก์ชันการ์ดถูกเขียนเอาไว้

“ยุทธปัจจัย…ชุดเครื่องมือสำหรับช่างเกราะ”

“เมื่อท่านใช้การ์ดใบนี้ ท่านจะสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับฟังก์ชันหนึ่งของเกราะได้”

กู่ฉิงซานไม่ลังเล ตามวิธีที่เสี่ยวซีเคยบอกเขาก่อนหน้านี้ เขาวางการ์ดใบนี้ลงบนการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ”

“ใช้งาน!” กู่ฉิงซานกล่าว

การ์ด “ชุดเครื่องมือสำหรับช่างเกราะ” พลันส่องแสงเจิดจ้า

มันค่อยๆ หลอมรวมกับการ์ด “ชุดเกราะศึกหมอกดำ” ก่อนหายไป

ไม่ช้า ในพื้นที่ว่างเปล่าด้านล่างการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ” ข้อความบรรยายฟังก์ชันหนึ่งได้เปลี่ยนไป

“เมื่อท่านหยุดนิ่ง หมอกดำจะซ่อนตัวท่านเอาไว้ มีเพียงศัตรูระดับสูงกว่าท่านสามขั้นเท่านั้นที่สามารถตรวจจับท่านได้”

กู่ฉิงซานยินดี

ก่อนหน้านี้คือสูงกว่าสองขั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นสามขั้นแล้ว

หากไล่ระดับพลังตอนนี้ มีระดับวงแหวนนภา ระดับสามพันโลกและระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือกว่าระดับแสวงโลกา กล่าวได้ว่า หากอยากซ่อนตัว มีเพียงศัตรูระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถตรวจจับเขาได้

นี่นับว่าดีทีเดียว

ถ้ารอให้ตัวเองก้าวเข้าสู่ระดับวงแหวนนภาแล้วใช้ยาเม็ดพัฒนาก็จะก้าวเข้าสู่ระดับสามพันโลก ถ้าอยากค้นพบตัวเองก็ต้องเป็นคนแข็งแกร่งในระดับราชาแห่งโลกอิสรภาพ

มันควรค่าแก่การเป็นเกราะศึกของมาร!

เขาถือการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ” ในมือเอาไว้ด้วยอาการสั่นไหวเล็กน้อย

ฉับพลันนั้นเอง ชุดเกราะแผ่หมอกสีดำออกมาก่อนทำการสวมใส่

ทุกสิ่งเสร็จสิ้น

ตอนนี้ถึงเวลากลับเรือแล้ว

“ดาบเสียงคลื่น ไปกันเถอะ”

‘วิ้ง’

สถานที่ก้าวข้ามภัยพิบัติอยู่ไกลจากเรือมาก นั่นก็คือใต้ทะเลลึกหนึ่งล้านเมตร

กู่ฉิงซานเหาะอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว

ขณะพุ่งอย่างสุดกำลัง เขากวัดแกว่งดาบในความว่างเปล่าดังใจนึก

เขาเห็นว่าความว่างเปล่าทั้งหมดถูกฟันแยกออกในครั้งเดียว เผยให้เห็นการไหลอันปั่นป่วนของหมอกและความว่างเปล่าอันโกลาหล

กู่ฉิงซานลอบพยักหน้า

สิ่งที่เรียกว่าเก้าสิบแสวงโลกาสามารถตัดผ่านเก้าสิบชั้นของโลกได้โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุแปลกปลอมและตามหลอกหลอนได้เท่าที่ต้องการ

น่าเสียดายที่เขาอยู่ในภาพซ้อนทับของยุคโบราณ

ตอนเผ่าพันธุ์เทพเลียนแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณเพื่อสร้างโลกขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบโดยเผ่าพันธุ์บรรพกาล พวกเขาจงใจวางโลกเหล่านั้นให้ไกลจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์กับโลกมารดึกดำบรรพ์

ดังนั้นเมื่อกู่ฉิงซานเผยความว่างเปล่าออกมา สิ่งที่ปรากฏจึงเป็นกระแสอันโกลาหล ไม่มีโลกปรากฏตรงหน้ากู่ฉิงซาน

เวลาผ่านไป

ในที่สุดกู่ฉิงซานมาถึงทะเลใกล้เรือยักษ์

เขาเริ่มจากจับอาหารทะเล ย้ายตำแหน่งไปทางเรือยักษ์อย่างช้าๆ ท้ายที่สุดกระโดดกลับขึ้นเรือ

พวกมารจำตัวตนของเขาได้ทันทีจึงไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด

พวกมารทักทายเขาก่อนที่เขาจะทักทาย

ยังไงเสีย กู่ฉิงซานก็ใช้เวลาไปกลับนานกว่าหนึ่งชั่วโมง

พวกมารบางตนมีความอยากอาหารที่น่าทึ่ง พวกมันไปทะเลก่อนกู่ฉิงซาน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา

กู่ฉิงซานลอบยินดีเช่นกัน

โชคดีที่จื้อลัวเตรียมการไว้เพื่อช่วยเขาในการผ่านภัยพิบัติในโลกอิสรภาพ

จื้อลัว…

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ

ฉับพลันนั้นเอง เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของเขา

“เป็นอะไรหรือ สีหน้าเจ้าดูไม่สู้ดีเลย”

กู่ฉิงซานตอบสนอง

นี่คือการสื่อสารวิญญาณของจ้าวแห่งความเงียบ

เพราะคราวที่แล้วพวกเขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ความสัมพันธ์จึงเปลี่ยนไปจากคนแปลกหน้าเป็นคนรู้จักที่พยักหน้าทักทายกัน บางครั้งก็ได้สนทนากันหลายประโยคอีกด้วย

เขากำลังจะเงยหน้า แต่เสียงของจ้าวแห่งความเงียบดังขึ้นอีกครั้ง “อย่ามองข้า เดี๋ยวจะดึงดูดความสนใจผู้อื่นเอาเปล่าๆ ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดจากอีกฝ่าย

“จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งปล่อยเรือลำเล็กแล้วออกจากที่นี่ไปพร้อมกับสหายส่วนหนึ่ง”

“ว่าไงนะ! ตอนนี้อยู่ไหน”

“หัวเรือ”

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพขณะกวาดมองไปข้างหน้า

เขาเห็นว่าที่หัวเรือมีการคุ้มกันแน่นหนา มารสองตนปลดปล่อยวิชาวิเศษเพื่อคุ้มกันที่นี่เอาไว้อย่างสมบูรณ์

อารักขามารของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกำลังคุ้มกันที่นี่ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้หรือสอดแนมได้

เห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งกำลังเกิดขึ้นที่นี่

ทว่าในช่วงไม่กี่วันมานี้ เรือทั้งลำเข้าสู่สภาพตื่นตัว มีการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่บ่อยครั้งมาจากใต้บัญชาของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ไม่มีมารตนอื่นสามารถเข้าใกล้หรือสอดแนมได้

ดังนั้น พวกมารจึงตื่นตัวอย่างเข้มงวดเช่นกัน ไม่มีมารตนไหนกล้ายั่วยุจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหรือพยายามที่จะหาทางตรวจสอบสถานการณ์ที่แท้จริงทางหัวเรือ

เกรงว่าจ้าวแห่งความเงียบจะใช้วิธีพิเศษจนตรวจจับเรื่องราวนี้ได้

“เจ้ามองเห็นอะไร เจ้าคิดยังไงกับสิ่งที่เห็น” กู่ฉิงซานถาม

เสียงของจ้าวแห่งความเงียบไม่ดัง

ผ่านไปสักพัก นางส่งกระแสจิตตอบกลับมาว่า “จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งขึ้นเรือแล้ว ดูท่ากำลังเตรียมตัวจะไป”

“เจ้าตามไปดูได้หรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

“จะเป็นไปได้อย่างไร” จ้าวแห่งความเงียบกล่าวพร้อมกับยิ้มแห้ง “ข้าพยายามสุดความสามารถแล้วตอนที่ดูจากไกลๆ หากเอนตัวนิดเดียว ข้าถูกจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งสังเกตเห็นแน่นอน”

กู่ฉิงซานเงียบ

ใช่แล้ว จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งคือราชามารที่แข็งแกร่งที่สุด เขาต้องตื่นตัวและระแวดระวังมากเวลาลงมือ

ตอนนี้เขาทิ้งพวกมารไว้ที่เมือง เขาคิดจะทำอะไรกันแน่

แล้วเขาจะกลับมาหรือเปล่า

ไม่มีใครรู้และไม่มีใครกล้าสืบด้วย

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งต้องเตรียมการมานาน มารทุกตนจะถูกจับได้ทันทีที่เข้าใกล้

กู่ฉิงซานใคร่ครวญอยู่หลายอึดใจ

ด้วยพละกำลังของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาบนเรือมากนักถ้าอยากจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมา

เว้นแต่ว่าเขาจะออกเดินทางไกลหรือไม่ก็วางแผนที่จะไปจากเรือลำนี้

“เจ้าเห็นธิดาสองตนของเขาหรือเปล่า” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

“เห็น พวกนางขึ้นเรือไปก่อน ดังนั้นข้าคิดว่าเรื่องนี้มันผิดปกติ ข้าก็เลยมาคุยกับเจ้า” จ้าวแห่งความเงียบตอบ

หัวใจของกู่ฉิงซานดิ่งวูบ

แม้กระทั่งธิดาสองตนก็อยู่บนเรือ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งอาจจะไม่กลับมาที่เรือยักษ์ลำนี้ก็ได้

ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

กู่ฉิงซานคร่ำครวญก่อนพลันตบถุงเก็บของ

จี้น้ำเต้าหยกพุ่งออกมจากถุงเก็บของ

‘ฟิ่ว’

มันคล้ายกับเคลื่อนไหวช้าๆ น้ำเสียงดูเกียจคร้าน

“อย่าเพิ่งนอน ข้าเตรียมพลังวิญญาณไว้ให้เจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

จี้น้ำเต้าหยกกระตือรือร้นทันที

‘ฟิ่วๆ’

“เรื่องจริง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหากับข้าอยู่”

‘ฟิ่ว ฟิ่วๆ!’

“เจ้าไปที่หัวเรือ ตามเรือที่เพิ่งออกไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นกลับมาบอกข้า”

‘ฟิ่ว’

จี้น้ำเต้าหยกตอบรับ

เขาเห็นแสงสีขาววูบไหว มันหายไปต่อหน้ากู่ฉิงซาน

มันเหาะไปทางหัวเรือ แต่ไม่มีมารตามทางตนไหนทราบถึงตัวตนของมัน

มีเพียงกู่ฉิงซานที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ใช่แล้ว มีเพียงจี้หยกเหวยจุนที่มีพลังวิเศษ “หยกไร้ข้อบกพร่อง” เท่านั้น ดังนั้นเขาไม่ต้องห่วงเรื่องจะถูกพบโดยจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง แค่ตามไปสืบก็พอ

“จ้าวแห่งความเงียบ ขอบคุณที่แจ้งข่าวนะ”

กู่ฉิงซานกล่าว

เมื่อครู่เขาเพิ่งก้าวข้ามภัยพิบัติไป ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือ

โชคยังดี จ้าวแห่งความเงียบทราบข่าว ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะพลาดเหตุการณ์นี้โดยไม่ตั้งใจ

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้ารู้สึกถึงไอเย็นเยือกจากเหตุการณ์นี้ มันกำลังปกคลุมตัวข้า” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่กลับไปโลกมารของตัวเองล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“ข้าทำสัญญากับจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งแล้ว ข้าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

กู่ฉิงซานจมสู่ความเงียบ

เขาปฏิบัติตามหลักการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมเสมอ

อีกฝ่ายจ่ายชีวิตเพื่อช่วยดาบ

จากนั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เขาต้องช่วยอีกฝ่ายในทะเล

นี่คือสิ่งที่ยุติธรรม เขาเต็มใจที่จะตอบแทนอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ

แต่ก็นั่นแหละ

ตอนนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกถึงจิตสังหารจนพูดไม่ออกเช่นกัน

เหมือนกับลางร้ายแห่งความตายที่เขาเคยเผชิญก่อนออกไปที่ทะเล ตอนนี้ทุกสิ่งมันช่างแปลกประหลาด

ถ้าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมีแผนอื่นจริงก็น่าจะบอกเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกสิ

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ไม่ปฏิบัติตามหลักการแลกเปลี่ยนอีกต่อไป

ก้นทะเลลึก

ดาบเสียงคลื่นปักอยู่หลังกู่ฉิงซานอย่างเงียบงันขณะทำให้พื้นแห้งและเย็น

กู่ฉิงซานปลดปล่อยเปลวเพลิงอันร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง อุณหภูมิของเปลวเพลิงนี้เริ่มค่อยๆ บิดเบือนความว่างเปล่า

ที่รอยต่อของความว่างเปล่าและทะเล ไอน้ำสีขาวเริ่มปรากฏขึ้นเป็นกลุ่ม

แม้แต่เส้นผมของกู่ฉิงซานก็เริ่มขดตัวเล็กน้อย

ดาบเสียงคลื่นส่งเสียงหึ่งอย่างวิตกกังวล

มันมองออกว่าเปลวเพลิงอันน่าสะพรึงนี้กำลังพยายามกัดกร่อนร่างกายของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ แต่มั่นคง

ภายใต้การควบคุม กระแสน้ำจำนวนมากไหลหลั่งเข้าสู่พื้นที่นี้จากทะเลลึกก่อนราดใส่กู่ฉิงซาน

แต่ก่อนที่กระแสน้ำจะมาถึง มันระเหยก่อนสลายไปเพราะอุณหภูมิที่สูงยิ่ง

ดาบเสียงคลื่นกรีดร้องขณะหันไปมาอย่างร้อนรน

ตอนนี้ กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

‘ฟรึ่บ’

เพียงพริบตา เปลวเพลิงที่ปกคลุมเขาเอาไว้มอดดับจนสิ้น

“ขอโทษที ข้าทำให้เป็นห่วงสินะ”

กู่ฉิงซานขอโทษ

เมื่อวิญญาณกลับเข้าร่างเมื่อครู่ เขาได้ยินเสียงโหยหวนของดาบเสียงคลื่น

ดาบเสียงคลื่นยินดียิ่งขณะบินไปรอบตัวเขาซ้ำไปมา

“อย่าห่วงไปเลย ข้าเอาชนะภัยพิบัติได้สำเร็จแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

เขามองหน้าต่างต้นเพลิง

เขาเห็นตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ภัยพิบัติลมและไฟสิ้นสุดลงแล้ว”

“ท่านกลายเป็นนักพรตระดับแสวงโลกาแล้ว”

“ภารกิจระดับสูงเสร็จสิ้น”

“พลังวิญญาณที่จำเป็นต่อการก้าวหน้าครั้งต่อไปเจ็ดแสนแต้ม”

“พลังวิญญาณตอนนี้สามแสนหนึ่งหมื่นแต้ม”

“ระบบจะปรับเปลี่ยนสั้นๆ และปิดฟังก์ชันทั้งหมดชั่วคราวเพื่อสลับไปโหมดวิวัฒนาการ”

สัญลักษณ์โลหิตขนาดเล็กทั้งหมดหายไป

กู่ฉิงซานพลันกล่าวว่า “รอเดี๋ยวก่อน!”

เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

กู่ฉิงซานถามว่า “ทำไมเจ้าไม่มีพลังเหนือธรรมชาติในขั้นสูงล่ะ”

แถวตัวอักษรสีโลหิตปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

“บัญญัตินี้ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติสำหรับนักพรตมนุษย์”

“ตอนนี้พวกเรากำลังเข้าช่วงปรับเปลี่ยน ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้น โปรดรอให้ระบบปรับให้เสร็จสิ้นก่อนทำการติดต่อสื่อสาร”

หน้าต่างต้นเพลิงหายไปจากสายตาของกู่ฉิงซาน

มันเริ่มเตรียมวิวัฒนาการ

กู่ฉิงซานครวญคราง เทียบกับหน้าต่างเทพสงครามกับบัญญัติต้นเพลิงนี้แล้ว

หากมองเรื่องพลังเหนือธรรมชาติ หน้าต่างเทพสงครามนับว่าทรงพลัง

ยิ่งกว่านั้น ฟังก์ชันของเทพสงคราม ภารกิจของเทพสงครามและสกิลของเทพสงครามล้วนสามารถช่วยนักพรตต่อสู้ได้ดีกว่า

ทันทีที่ต้นเพลิงวิวัฒนาสู่จุดกำเนิด มันจะสามารถเปลี่ยนพลังวิญญาณให้เทพมารทรงพลังเพื่อช่วยในการต่อสู้ได้

พูดกันตามตรง นี่ยังเป็นวัตถุแปลกปลอมอยู่ดี

ทว่า ความปรารถนาของต้นเพลิงในด้านพลังวิญญาณกลับมีมากกว่าหน้าต่างเทพสงคราม

แทบจะทันทีที่พลังวิญญาณปรากฏขึ้น มันจะหาทางเอามาอยู่ในมือ

กู่ฉิงซานส่ายหน้าและกำลังจะออกมา แต่เขาเห็นการ์ดใบหนึ่งทะยานออกมาอยู่ตรงหน้า

การ์ดสีมรกต “ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน”

นี่คือการ์ดเทพของตัวเอง

เขาเห็นการ์ดสามใบปรากฏขึ้นตรงหน้า

“หลั่งโลหิต” “หอกปีศาจแดง” “เกราะศึกหมอกดำ”

ท่ามกลางความมืด ความรู้แจ้งปรากฏขึ้นในใจของกู่ฉิงซาน

ด้วยความก้าวหน้าของเขา ไม่ว่าจะมีบัญญัติหรือไม่ เขาก็ได้จั่วการ์ดใบใหม่แล้ว

การจั่วครั้งนี้เป็นแบบสุ่ม ไม่มีใครรู้ว่าเขาสามารถจั่วการ์ดระดับมรกตจากกองการ์ดเชื่อมั่นได้เป็นการ์ดอะไร

กู่ฉิงซานไม่คิดให้มากความขณะยื่นมือไปจั่วแบบสุ่มในความว่างเปล่า

ฉับพลันนั้นมีการ์ดใบหนึ่งปรากฏขึ้นบนมือ

ชุดเครื่องมือหลอมถูกดึงมาอยู่ตรงหน้าการ์ด มีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่ด้านล่าง ทั้งชื่อและฟังก์ชันการ์ดถูกเขียนเอาไว้

“ยุทธปัจจัย…ชุดเครื่องมือสำหรับช่างเกราะ”

“เมื่อท่านใช้การ์ดใบนี้ ท่านจะสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับฟังก์ชันหนึ่งของเกราะได้”

กู่ฉิงซานไม่ลังเล ตามวิธีที่เสี่ยวซีเคยบอกเขาก่อนหน้านี้ เขาวางการ์ดใบนี้ลงบนการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ”

“ใช้งาน!” กู่ฉิงซานกล่าว

การ์ด “ชุดเครื่องมือสำหรับช่างเกราะ” พลันส่องแสงเจิดจ้า

มันค่อยๆ หลอมรวมกับการ์ด “ชุดเกราะศึกหมอกดำ” ก่อนหายไป

ไม่ช้า ในพื้นที่ว่างเปล่าด้านล่างการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ” ข้อความบรรยายฟังก์ชันหนึ่งได้เปลี่ยนไป

“เมื่อท่านหยุดนิ่ง หมอกดำจะซ่อนตัวท่านเอาไว้ มีเพียงศัตรูระดับสูงกว่าท่านสามขั้นเท่านั้นที่สามารถตรวจจับท่านได้”

กู่ฉิงซานยินดี

ก่อนหน้านี้คือสูงกว่าสองขั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นสามขั้นแล้ว

หากไล่ระดับพลังตอนนี้ มีระดับวงแหวนนภา ระดับสามพันโลกและระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือกว่าระดับแสวงโลกา กล่าวได้ว่า หากอยากซ่อนตัว มีเพียงศัตรูระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถตรวจจับเขาได้

นี่นับว่าดีทีเดียว

ถ้ารอให้ตัวเองก้าวเข้าสู่ระดับวงแหวนนภาแล้วใช้ยาเม็ดพัฒนาก็จะก้าวเข้าสู่ระดับสามพันโลก ถ้าอยากค้นพบตัวเองก็ต้องเป็นคนแข็งแกร่งในระดับราชาแห่งโลกอิสรภาพ

มันควรค่าแก่การเป็นเกราะศึกของมาร!

เขาถือการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ” ในมือเอาไว้ด้วยอาการสั่นไหวเล็กน้อย

ฉับพลันนั้นเอง ชุดเกราะแผ่หมอกสีดำออกมาก่อนทำการสวมใส่

ทุกสิ่งเสร็จสิ้น

ตอนนี้ถึงเวลากลับเรือแล้ว

“ดาบเสียงคลื่น ไปกันเถอะ”

‘วิ้ง’

สถานที่ก้าวข้ามภัยพิบัติอยู่ไกลจากเรือมาก นั่นก็คือใต้ทะเลลึกหนึ่งล้านเมตร

กู่ฉิงซานเหาะอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว

ขณะพุ่งอย่างสุดกำลัง เขากวัดแกว่งดาบในความว่างเปล่าดังใจนึก

เขาเห็นว่าความว่างเปล่าทั้งหมดถูกฟันแยกออกในครั้งเดียว เผยให้เห็นการไหลอันปั่นป่วนของหมอกและความว่างเปล่าอันโกลาหล

กู่ฉิงซานลอบพยักหน้า

สิ่งที่เรียกว่าเก้าสิบแสวงโลกาสามารถตัดผ่านเก้าสิบชั้นของโลกได้โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุแปลกปลอมและตามหลอกหลอนได้เท่าที่ต้องการ

น่าเสียดายที่เขาอยู่ในภาพซ้อนทับของยุคโบราณ

ตอนเผ่าพันธุ์เทพเลียนแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณเพื่อสร้างโลกขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบโดยเผ่าพันธุ์บรรพกาล พวกเขาจงใจวางโลกเหล่านั้นให้ไกลจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์กับโลกมารดึกดำบรรพ์

ดังนั้นเมื่อกู่ฉิงซานเผยความว่างเปล่าออกมา สิ่งที่ปรากฏจึงเป็นกระแสอันโกลาหล ไม่มีโลกปรากฏตรงหน้ากู่ฉิงซาน

เวลาผ่านไป

ในที่สุดกู่ฉิงซานมาถึงทะเลใกล้เรือยักษ์

เขาเริ่มจากจับอาหารทะเล ย้ายตำแหน่งไปทางเรือยักษ์อย่างช้าๆ ท้ายที่สุดกระโดดกลับขึ้นเรือ

พวกมารจำตัวตนของเขาได้ทันทีจึงไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด

พวกมารทักทายเขาก่อนที่เขาจะทักทาย

ยังไงเสีย กู่ฉิงซานก็ใช้เวลาไปกลับนานกว่าหนึ่งชั่วโมง

พวกมารบางตนมีความอยากอาหารที่น่าทึ่ง พวกมันไปทะเลก่อนกู่ฉิงซาน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา

กู่ฉิงซานลอบยินดีเช่นกัน

โชคดีที่จื้อลัวเตรียมการไว้เพื่อช่วยเขาในการผ่านภัยพิบัติในโลกอิสรภาพ

จื้อลัว…

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ

ฉับพลันนั้นเอง เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของเขา

“เป็นอะไรหรือ สีหน้าเจ้าดูไม่สู้ดีเลย”

กู่ฉิงซานตอบสนอง

นี่คือการสื่อสารวิญญาณของจ้าวแห่งความเงียบ

เพราะคราวที่แล้วพวกเขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ความสัมพันธ์จึงเปลี่ยนไปจากคนแปลกหน้าเป็นคนรู้จักที่พยักหน้าทักทายกัน บางครั้งก็ได้สนทนากันหลายประโยคอีกด้วย

เขากำลังจะเงยหน้า แต่เสียงของจ้าวแห่งความเงียบดังขึ้นอีกครั้ง “อย่ามองข้า เดี๋ยวจะดึงดูดความสนใจผู้อื่นเอาเปล่าๆ ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดจากอีกฝ่าย

“จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งปล่อยเรือลำเล็กแล้วออกจากที่นี่ไปพร้อมกับสหายส่วนหนึ่ง”

“ว่าไงนะ! ตอนนี้อยู่ไหน”

“หัวเรือ”

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพขณะกวาดมองไปข้างหน้า

เขาเห็นว่าที่หัวเรือมีการคุ้มกันแน่นหนา มารสองตนปลดปล่อยวิชาวิเศษเพื่อคุ้มกันที่นี่เอาไว้อย่างสมบูรณ์

อารักขามารของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกำลังคุ้มกันที่นี่ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้หรือสอดแนมได้

เห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งกำลังเกิดขึ้นที่นี่

ทว่าในช่วงไม่กี่วันมานี้ เรือทั้งลำเข้าสู่สภาพตื่นตัว มีการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่บ่อยครั้งมาจากใต้บัญชาของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ไม่มีมารตนอื่นสามารถเข้าใกล้หรือสอดแนมได้

ดังนั้น พวกมารจึงตื่นตัวอย่างเข้มงวดเช่นกัน ไม่มีมารตนไหนกล้ายั่วยุจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหรือพยายามที่จะหาทางตรวจสอบสถานการณ์ที่แท้จริงทางหัวเรือ

เกรงว่าจ้าวแห่งความเงียบจะใช้วิธีพิเศษจนตรวจจับเรื่องราวนี้ได้

“เจ้ามองเห็นอะไร เจ้าคิดยังไงกับสิ่งที่เห็น” กู่ฉิงซานถาม

เสียงของจ้าวแห่งความเงียบไม่ดัง

ผ่านไปสักพัก นางส่งกระแสจิตตอบกลับมาว่า “จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งขึ้นเรือแล้ว ดูท่ากำลังเตรียมตัวจะไป”

“เจ้าตามไปดูได้หรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

“จะเป็นไปได้อย่างไร” จ้าวแห่งความเงียบกล่าวพร้อมกับยิ้มแห้ง “ข้าพยายามสุดความสามารถแล้วตอนที่ดูจากไกลๆ หากเอนตัวนิดเดียว ข้าถูกจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งสังเกตเห็นแน่นอน”

กู่ฉิงซานเงียบ

ใช่แล้ว จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งคือราชามารที่แข็งแกร่งที่สุด เขาต้องตื่นตัวและระแวดระวังมากเวลาลงมือ

ตอนนี้เขาทิ้งพวกมารไว้ที่เมือง เขาคิดจะทำอะไรกันแน่

แล้วเขาจะกลับมาหรือเปล่า

ไม่มีใครรู้และไม่มีใครกล้าสืบด้วย

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งต้องเตรียมการมานาน มารทุกตนจะถูกจับได้ทันทีที่เข้าใกล้

กู่ฉิงซานใคร่ครวญอยู่หลายอึดใจ

ด้วยพละกำลังของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาบนเรือมากนักถ้าอยากจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมา

เว้นแต่ว่าเขาจะออกเดินทางไกลหรือไม่ก็วางแผนที่จะไปจากเรือลำนี้

“เจ้าเห็นธิดาสองตนของเขาหรือเปล่า” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

“เห็น พวกนางขึ้นเรือไปก่อน ดังนั้นข้าคิดว่าเรื่องนี้มันผิดปกติ ข้าก็เลยมาคุยกับเจ้า” จ้าวแห่งความเงียบตอบ

หัวใจของกู่ฉิงซานดิ่งวูบ

แม้กระทั่งธิดาสองตนก็อยู่บนเรือ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งอาจจะไม่กลับมาที่เรือยักษ์ลำนี้ก็ได้

ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

กู่ฉิงซานคร่ำครวญก่อนพลันตบถุงเก็บของ

จี้น้ำเต้าหยกพุ่งออกมจากถุงเก็บของ

‘ฟิ่ว’

มันคล้ายกับเคลื่อนไหวช้าๆ น้ำเสียงดูเกียจคร้าน

“อย่าเพิ่งนอน ข้าเตรียมพลังวิญญาณไว้ให้เจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

จี้น้ำเต้าหยกกระตือรือร้นทันที

‘ฟิ่วๆ’

“เรื่องจริง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหากับข้าอยู่”

‘ฟิ่ว ฟิ่วๆ!’

“เจ้าไปที่หัวเรือ ตามเรือที่เพิ่งออกไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นกลับมาบอกข้า”

‘ฟิ่ว’

จี้น้ำเต้าหยกตอบรับ

เขาเห็นแสงสีขาววูบไหว มันหายไปต่อหน้ากู่ฉิงซาน

มันเหาะไปทางหัวเรือ แต่ไม่มีมารตามทางตนไหนทราบถึงตัวตนของมัน

มีเพียงกู่ฉิงซานที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ใช่แล้ว มีเพียงจี้หยกเหวยจุนที่มีพลังวิเศษ “หยกไร้ข้อบกพร่อง” เท่านั้น ดังนั้นเขาไม่ต้องห่วงเรื่องจะถูกพบโดยจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง แค่ตามไปสืบก็พอ

“จ้าวแห่งความเงียบ ขอบคุณที่แจ้งข่าวนะ”

กู่ฉิงซานกล่าว

เมื่อครู่เขาเพิ่งก้าวข้ามภัยพิบัติไป ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือ

โชคยังดี จ้าวแห่งความเงียบทราบข่าว ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะพลาดเหตุการณ์นี้โดยไม่ตั้งใจ

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้ารู้สึกถึงไอเย็นเยือกจากเหตุการณ์นี้ มันกำลังปกคลุมตัวข้า” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่กลับไปโลกมารของตัวเองล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“ข้าทำสัญญากับจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งแล้ว ข้าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

กู่ฉิงซานจมสู่ความเงียบ

เขาปฏิบัติตามหลักการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมเสมอ

อีกฝ่ายจ่ายชีวิตเพื่อช่วยดาบ

จากนั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เขาต้องช่วยอีกฝ่ายในทะเล

นี่คือสิ่งที่ยุติธรรม เขาเต็มใจที่จะตอบแทนอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ

แต่ก็นั่นแหละ

ตอนนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกถึงจิตสังหารจนพูดไม่ออกเช่นกัน

เหมือนกับลางร้ายแห่งความตายที่เขาเคยเผชิญก่อนออกไปที่ทะเล ตอนนี้ทุกสิ่งมันช่างแปลกประหลาด

ถ้าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมีแผนอื่นจริงก็น่าจะบอกเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกสิ

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ไม่ปฏิบัติตามหลักการแลกเปลี่ยนอีกต่อไป

ตำหนักชูร่า

“เจ้าดูเหมือนไม่พยายามจะห้ามข้าในการพัฒนาเลยนะ” เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้น

จากนั้นมีเสียงหญิงสาวดังขึ้น

“แน่นอนว่าไม่ห้าม ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยท่าน”

อสุราสาวนำถ้วยชามาให้กู่ฉิงซานด้วยตัวเอง

กู่ฉิงซานรับชาแล้วจิบเข้าไปก่อนกล่าวกับตัวเองว่า

“ข้าคิดว่าผู้คนหลั่งน้ำตาเมื่อเศร้าโศก ข้าไม่คิดเลยว่านี่เป็นผลจากวิชา”

อสุราสาวหัวเราะ

“น้ำตาของอสุราทำให้ข้าได้เห็นชะตากรรมของท่านว่าจะต้องเผชิญกับหายนะแห่งความเป็นความตาย ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อเตรียมการบางส่วน”

“หายนะแห่งความเป็นความตายหรือ ข้าไม่เคยขาดหายนะแห่งความเป็นความตายไปเลยนะ”

“ใช่ ข้าสับสนก็จริง แต่จากนั้นก็พบว่าโลกอิสรภาพคือสถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับข้า ดังนั้นข้าก็เลยมาที่นี่”

กู่ฉิงซานถามด้วยความสงสัยว่า “แต่ข้าอยู่ในภาพซ้อนทับแห่งเวลานี่ แล้วทำไมถึงเดินทางหลายหมื่นปีจนมาพบกับเจ้าในภัยพิบัติไฟได้ล่ะ”

“ภาพซ้อนทับแห่งเวลาคืออะไรหรือ” อสุราสาวถาม

“เออ…วิชาที่พิเศษและทรงพลังมากน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

อสุราสาวกล่าวว่า “ภัยพิบัติอสนีบาตสามารถเปิดใช้งานได้จากพลังของโลกสวรรค์และปฐพีเท่านั้น ภัยพิบัติอสนีบาตต้องการพลังของโลกมารเพื่อทำงาน ขณะที่ภัยพิบัติไฟจะทะลวงขีดจำกัดของมิติและเวลาเพื่อบังคับให้วิญญาณกลับสู่ช่วงเวลาจริง พวกมันจะมาถึงโลกสวรรค์เพื่อจัดการกับภัยพิบัตินี้”

กู่ฉิงซานค่อยๆ นึกย้อนไป

ใช่แล้ว

ภาพซ้อนทับแห่งเวลาคือวิชาอย่างหนึ่ง

วิชาวิเศษนี้จะรักษาช่วงเวลาจริงในยุคโบราณเอาไว้

แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ไปถึงช่วงเวลานั้น

ดังนั้น ทันทีที่ภัยพิบัติไฟเกิดขึ้น วิญญาณของเขาแยกออกจากวิชาจนมาสู่กระแสเวลาที่ถูกต้อง

วิญญาณของเขากลับมาจัดการกับภัยไฟหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี แต่ร่างกายของเขายังอยู่ในภาพซ้อนทับของยุคเมื่อหลายหมื่นปีก่อน

นี่มันช่าง

เมื่อเห็นสีหน้าของเขา อสุราสาวพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ท่านต้องกลับไปให้เร็ว เวลาของท่านปั่นป่วนเกินไป บางทีไฟบนตัวท่านอาจจะแผดเผาก่อนเวลาอันควรก็ได้”

“โชคยังดีที่ข้ามาที่นี่ก่อน ทำให้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว”

นางพากู่ฉิงซานผ่านตำหนักจำนวนมาก ผ่านสำนักและจุดตรวจต่างๆ มากมายจนท้ายที่สุดจึงผ่านเขาวงกตลับก่อนมาถึงส่วนลึกของภูเขา

ไม่มีอะไรอยู่ที่นี่ มีเพียงน้ำพุที่ลึกและเย็นเยือก

ทั้งสองหยุดอยู่ตรงน้ำพุ

“นี่คือน้ำพุแห่งความรักที่เย็นเยือกสุดหยั่งที่ข้าใช้เวลาสร้างมานาน มันสามารถใช้ได้ครั้งเดียว ทุกสิ่งในภัยพิบัติไฟจะดับลงด้วยน้ำพุนี้ ท่านจะผ่านภัยพิบัตินี้ได้ทันที” อสุราสาวกล่าว

กู่ฉิงซานรู้สึกถึงความพิศวงของน้ำพุอย่างเงียบงันก่อนกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “เจ้าไม่ต้องทำเพื่อข้าขนาดนี้ก็ได้”

อสุราสาวก้มศีรษะแล้วกล่าวว่า “ความจริง ตอนข้าเกิดใหม่ ข้าคิดมาตั้งนานแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะใช้น้ำตาของอสุรา”

“ทำไมล่ะ”

“ลืมทุกสิ่งและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง การทำแบบนี้มันเป็นเรื่องโง่สำหรับข้า ข้าอยากจดจำท่าน จึงได้รอช่วงเวลากลับมาพบกันนานนับปี”

เสียงของนางอ่อนโยนและแผ่วเบา แต่จิตใจของนางเหมือนจะแตกสลาย

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา “ถ้าจำไม่ผิด ข้าเคยบอกไปแล้วนี่ว่ามีแฟนแล้ว”

อสุราสาวมองเขาด้วยความสงสัย “จริงหรือ ข้าคิดว่าท่านยังเป็นเด็กผู้ชายอยู่เลยนะ”

เสียงของกู่ฉิงซานอ่อนนลง

“นี่…นี่สำคัญหรือ”

อสุราสาวไม่อายเขาอีกต่อไปก่อนกล่าวกับตัวเองว่า “ราชาแห่งอิสรภาพมีผู้พึ่งพาสี่สิบแปดคน จ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมีมีผู้ติดตามหนึ่งร้อยยี่สิบคน ข้าไม่ใช่คนโลบ ขอแค่เป็นหนึ่งในพวกเขาในอนาคตก็พอ”

“ข้าไม่ใช่ราชาแห่งอิสรภาพและข้าก็ไม่ใช่จ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมีด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

อสุราสาวหัวเราะ

“ตอนนี้เจ้ากำลังเข้าใกล้ระดับแสวงโลกา เหนือระดับแสวงโลกาคือระดับวงแหวนนภา ระดับสามพันโลก ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ สามระดับต่อมาคือระดับนภายามค่ำ ราชาแห่งอิสรภาพและจ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมี ท่านคือชายที่ข้าหมายตา ท่านจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน ไม่ช้าก็เร็วจะกลายเป็นตัวตนราชาหรือไม่ก็จ้าวขุนเขา”

“ทันทีที่ท่านกลายเป็นราชาแห่งอิสรภาพ ข้าก็อยากเป็นผู้มอบความกล้าเช่นกัน ตำแหน่งผู้พึ่งพาสี่สิบแปดคนนี้ไม่ได้ขอเปล่า พวกเขาจะต้องเป็นคนสนิทของท่าน ข้าก็แค่อยากได้ตำแหน่งนั้นก่อนกำหนดก็เท่านั้น”

กู่ฉิงซานยิ้มขมขื่นแล้วกล่าวว่า “จริงหรือที่ข้าจะสามารถกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังขนาดนั้นได้”

“แน่นอน ท่านคือชายที่ข้าเลือกเชียวนะ”

อสุราสาวเงยหน้าขึ้นพูด

กู่ฉิงซานไม่ได้พูดอะไรก่อนพลันนึกบางสิ่งออกแล้วถามว่า “เจ้ามาถึงโลกอิสรภาพได้อย่างไร หรือการจะทำแบบนี้ได้ต้องใช้น้ำตาของอสุราเท่านั้น”

“แน่นอนว่าไม่ใช่ ความจริง ข้าพบแผนการสมคบคิดของเทพในระหว่างการต่อสู้ที่ยมโลก ข้านำคทาราชาแห่งความตายไปที่โลกและจงใจให้ท่านใช้มันเพื่อควบคุมคนตายหลายพันล้านคน ท้ายที่สุด ทุกสิ่งเปลี่ยนไป แต่ก็ยังเป็นข้าที่ลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อมอบความกล้าให้กับคนตายทุกคนด้วยความรักดุจแม่ลูกของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อทำให้พวกเขามุ่งมั่นที่จะอยู่บนโลกต่อ ในบรรดาคนตายนับไม่ถ้วน ความดีของข้านับว่ายอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นข้าจึงสามารถใช้ความดีกับน้ำตาอสุราเพื่อมอบพลังที่ดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้วนำข้ามาที่นี่เพื่อรอท่านอยู่บนสวรรค์”

“รอข้าหรือ…” กู่ฉิงซานพึมพำ

ตอนอีกฝ่ายยังเป็นคนตาย นางได้รับความช่วยเหลือมามากมาย หลังจบการต่อสู้ที่ยมโลก นางยกความดีทั้งหมดให้แล้วมารออยู่ที่นี่เพื่อช่วยเขาผ่านภัยพิบัติ

กู่ฉิงซานจนคำพูด

อสุราสาวมองเขาก่อนกล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านต้องรีบกลับไปนะ”

“ชื่อของเจ้าล่ะ” กู่ฉิงซานพลันกล่าวขึ้นมา “ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้าเลย”

อสุราสาวตกตะลึง น้ำตาเริ่มไหลหลั่งอย่างเงียบงัน

นางปาดเช็ดน้ำตาก่อยยิ้มให้กู่ฉิงซานแล้วกล่าวว่า

“ชื่อของข้าคือจื้อลัว ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่จนกว่าจะกลายเป็นราชาแห่งอิสรภาพ”

หลังจากนั้น นางผลักกู่ฉิงซานลงไปในน้ำพุ

‘ฟรึ่บ’

เพียงพริบตา ไฟแห่งกรรมไม่มีสิ้นสุดพวยพุ่งจากร่างกายของกู่ฉิงซาน

ภัยพิบัติไฟได้เริ่มขึ้นแล้ว!

เปลวเพลิงทั้งหมดกลายเป็นฉากมายาขณะกระตุ้นวิญญาณของกู่ฉิงซานอย่างต่อเนื่อง

นี่ล้วนเป็นบาปที่เขาเคยก่อมาหลายช่วงชีวิตผสานเข้ากับเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา พวกมันทั้งหมดแตกสลายในคราวเดียว

แต่ร่างกายของกู่ฉิงซานถูกปกคลุมด้วยน้ำพุแห่งความรักที่เย็นเยือกสุดหยั่ง ถึงแม้ไฟแห่งกรรมจะรุนแรง แต่มันกลับไม่รีบเข้าใกล้เขา

ด้วยความสับสน กู่ฉิงซานรู้สึกว่าเขามาอยู่ในสถานที่อันคุ้นเคย

โลกเซินหวู่

ทุกคนตายในการต่อสู้

ร่างของเซี่ยเต้าหลิงกองอยู่กับพื้น ฉินเสี่ยวหลัวกำลังร้องไห้ขมขื่นระหว่างกอดเชี่ยวเชี่ยวเอาไว้

เชี่ยวเชี่ยวตายเช่นกัน

ไกลออกไป วิญญาณกรีดร้องขนาดใหญ่และน่าสะพรึงกลัวจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังมาที่นี่

ไม่!

ดวงตาของกู่ฉิงซานแดงก่ำ

ฉับพลันนั้นเอง ความเย็นเยือกขีดสุดก่อตัวขึ้น ทำให้จิตใจที่สับสนของเขาสงบลงทันที

เขาเข้าใจขึ้นมาทันที

ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ฉากที่เกิดขึ้นจริง

อาจารย์และคนอื่นอยู่ไกลจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น พวกเขายังมีชีวิตอยู่สุขสบายดี

เมื่อคิดได้ดังนี้ ภาพดังกล่าวพลันหายไป

อีกภาพเข้ามาแทนที่

ทั่วร่างของกู่ฉิงซานจมดิ่งอีกครั้ง

ก่อนจะทันรู้ตัว เขามาอยู่ในงานแต่งที่จัดอย่างยิ่งใหญ่

ขณะกุมมืออสุราเอาไว้ เขากำลังเฉลิมฉลองให้กับพวกแขก

ซูเสวี่ยเอ้อร์พลันพุ่งพรวดเข้ามา

นางฆ่าตัวตายต่อหน้ากู่ฉิงซาน

หัวใจของกู่ฉิงซานดิ่งวูบ ก่อนจะมีเวลาได้ตอบสนอง เขาพลันถูกโจมตีด้วยไอเย็นยะเยือก

นี่ก็ของปลอม!

เมื่อรู้ความจริง ภาพทั้งหมดพลันหายไป

ขณะยังชื่นชมและหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ฉากต่อไปได้กลืนกินกู่ฉิงซานเข้าไป

โลกดั้งเดิม

มนุษย์ทั้งหมดตาย

เย่เฟยหลีถูกส่งไปที่ทางเข้าโดยสัตว์ประหลาด…

ฉากมายาปรากฏขึ้นในใจของกู่ฉิงซาน

แต่ด้วยพรของน้ำพุแห่งความรักที่เย็นเยือกสุดหยั่ง เขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับภาพมายาอันสิ้นหวังเหล่านี้อีก

เขามีพลังเพิ่มขึ้นจนสามารถผ่านภาพมายาจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ มีการถล่มอย่างหนักที่นอกเขาหมิงเช่อ

มีเสียงโกรธเกรี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนดังอยู่ข้างนอก

“จื้อลัว เจ้ากล้าช่วยคนอื่นก้าวข้ามภัยพิบัติอย่างนั้นหรือ!”

“ที่นี่ห้ามใครก้าวข้ามภัยพิบัติเด็ดขาด!”

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

“ส่งคนคนนั้นมาซะ!”

ภูเขายังคงสั่นไหว

เห็นได้ชัดว่าคนข้างนอกสังเกตเห็นความผันผวนของภัยพิบัติไฟก่อนเริ่มทำการโจมตี

นักพรตและวิญญาณเหล่านี้ที่อาศัยอยู่ในโลกอิสรภาพจะไม่ยอมให้นักพรตคนอื่นรอดจากภัยพิบัติไฟไปได้!

จื้อลัวชำเลืองมองกู่ฉิงซานเป็นครั้งสุดท้าย

จากนั้นนางหันมายืนอยู่หน้ากู่ฉิงซานก่อนประสานมือเข้าหากัน

‘ครืน’

กำแพงเหล็ก กับดักและเขาวงกตจำนวนนับไม่ถ้วนชั้นแล้วชั้นเล่าล้วนทำงาน

นี่คือผลจากความพยายามเตรียมการมาหลายปีของนาง

ภูเขาในโลกอิสรภาพไม่มีทางทะลวงเข้าไปได้โดยง่าย

ไม่มีใครสามารถทะลวงผ่านอุปสรรคเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว!

ด้านหลังนาง เปลวเพลิงบนร่างของกู่ฉิงซานค่อยๆ มอดดับลง

น้ำพุแห่งความรักที่เย็นเยือกสุดหยั่งนั่นกลายเป็นหมอกสีขาวก่อนหายไปในสายลมอย่างช้าๆ

ภัยพิบัติไฟสิ้นสุดลง

กู่ฉิงซานหายไปจากหมอกก่อนออกจากโลกอิสรภาพ

ตำหนักชูร่า

“เจ้าดูเหมือนไม่พยายามจะห้ามข้าในการพัฒนาเลยนะ” เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้น

จากนั้นมีเสียงหญิงสาวดังขึ้น

“แน่นอนว่าไม่ห้าม ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยท่าน”

อสุราสาวนำถ้วยชามาให้กู่ฉิงซานด้วยตัวเอง

กู่ฉิงซานรับชาแล้วจิบเข้าไปก่อนกล่าวกับตัวเองว่า

“ข้าคิดว่าผู้คนหลั่งน้ำตาเมื่อเศร้าโศก ข้าไม่คิดเลยว่านี่เป็นผลจากวิชา”

อสุราสาวหัวเราะ

“น้ำตาของอสุราทำให้ข้าได้เห็นชะตากรรมของท่านว่าจะต้องเผชิญกับหายนะแห่งความเป็นความตาย ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อเตรียมการบางส่วน”

“หายนะแห่งความเป็นความตายหรือ ข้าไม่เคยขาดหายนะแห่งความเป็นความตายไปเลยนะ”

“ใช่ ข้าสับสนก็จริง แต่จากนั้นก็พบว่าโลกอิสรภาพคือสถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับข้า ดังนั้นข้าก็เลยมาที่นี่”

กู่ฉิงซานถามด้วยความสงสัยว่า “แต่ข้าอยู่ในภาพซ้อนทับแห่งเวลานี่ แล้วทำไมถึงเดินทางหลายหมื่นปีจนมาพบกับเจ้าในภัยพิบัติไฟได้ล่ะ”

“ภาพซ้อนทับแห่งเวลาคืออะไรหรือ” อสุราสาวถาม

“เออ…วิชาที่พิเศษและทรงพลังมากน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

อสุราสาวกล่าวว่า “ภัยพิบัติอสนีบาตสามารถเปิดใช้งานได้จากพลังของโลกสวรรค์และปฐพีเท่านั้น ภัยพิบัติอสนีบาตต้องการพลังของโลกมารเพื่อทำงาน ขณะที่ภัยพิบัติไฟจะทะลวงขีดจำกัดของมิติและเวลาเพื่อบังคับให้วิญญาณกลับสู่ช่วงเวลาจริง พวกมันจะมาถึงโลกสวรรค์เพื่อจัดการกับภัยพิบัตินี้”

กู่ฉิงซานค่อยๆ นึกย้อนไป

ใช่แล้ว

ภาพซ้อนทับแห่งเวลาคือวิชาอย่างหนึ่ง

วิชาวิเศษนี้จะรักษาช่วงเวลาจริงในยุคโบราณเอาไว้

แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ไปถึงช่วงเวลานั้น

ดังนั้น ทันทีที่ภัยพิบัติไฟเกิดขึ้น วิญญาณของเขาแยกออกจากวิชาจนมาสู่กระแสเวลาที่ถูกต้อง

วิญญาณของเขากลับมาจัดการกับภัยไฟหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี แต่ร่างกายของเขายังอยู่ในภาพซ้อนทับของยุคเมื่อหลายหมื่นปีก่อน

นี่มันช่าง

เมื่อเห็นสีหน้าของเขา อสุราสาวพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ท่านต้องกลับไปให้เร็ว เวลาของท่านปั่นป่วนเกินไป บางทีไฟบนตัวท่านอาจจะแผดเผาก่อนเวลาอันควรก็ได้”

“โชคยังดีที่ข้ามาที่นี่ก่อน ทำให้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว”

นางพากู่ฉิงซานผ่านตำหนักจำนวนมาก ผ่านสำนักและจุดตรวจต่างๆ มากมายจนท้ายที่สุดจึงผ่านเขาวงกตลับก่อนมาถึงส่วนลึกของภูเขา

ไม่มีอะไรอยู่ที่นี่ มีเพียงน้ำพุที่ลึกและเย็นเยือก

ทั้งสองหยุดอยู่ตรงน้ำพุ

“นี่คือน้ำพุแห่งความรักที่เย็นเยือกสุดหยั่งที่ข้าใช้เวลาสร้างมานาน มันสามารถใช้ได้ครั้งเดียว ทุกสิ่งในภัยพิบัติไฟจะดับลงด้วยน้ำพุนี้ ท่านจะผ่านภัยพิบัตินี้ได้ทันที” อสุราสาวกล่าว

กู่ฉิงซานรู้สึกถึงความพิศวงของน้ำพุอย่างเงียบงันก่อนกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “เจ้าไม่ต้องทำเพื่อข้าขนาดนี้ก็ได้”

อสุราสาวก้มศีรษะแล้วกล่าวว่า “ความจริง ตอนข้าเกิดใหม่ ข้าคิดมาตั้งนานแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะใช้น้ำตาของอสุรา”

“ทำไมล่ะ”

“ลืมทุกสิ่งและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง การทำแบบนี้มันเป็นเรื่องโง่สำหรับข้า ข้าอยากจดจำท่าน จึงได้รอช่วงเวลากลับมาพบกันนานนับปี”

เสียงของนางอ่อนโยนและแผ่วเบา แต่จิตใจของนางเหมือนจะแตกสลาย

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา “ถ้าจำไม่ผิด ข้าเคยบอกไปแล้วนี่ว่ามีแฟนแล้ว”

อสุราสาวมองเขาด้วยความสงสัย “จริงหรือ ข้าคิดว่าท่านยังเป็นเด็กผู้ชายอยู่เลยนะ”

เสียงของกู่ฉิงซานอ่อนนลง

“นี่…นี่สำคัญหรือ”

อสุราสาวไม่อายเขาอีกต่อไปก่อนกล่าวกับตัวเองว่า “ราชาแห่งอิสรภาพมีผู้พึ่งพาสี่สิบแปดคน จ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมีมีผู้ติดตามหนึ่งร้อยยี่สิบคน ข้าไม่ใช่คนโลบ ขอแค่เป็นหนึ่งในพวกเขาในอนาคตก็พอ”

“ข้าไม่ใช่ราชาแห่งอิสรภาพและข้าก็ไม่ใช่จ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมีด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

อสุราสาวหัวเราะ

“ตอนนี้เจ้ากำลังเข้าใกล้ระดับแสวงโลกา เหนือระดับแสวงโลกาคือระดับวงแหวนนภา ระดับสามพันโลก ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ สามระดับต่อมาคือระดับนภายามค่ำ ราชาแห่งอิสรภาพและจ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมี ท่านคือชายที่ข้าหมายตา ท่านจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน ไม่ช้าก็เร็วจะกลายเป็นตัวตนราชาหรือไม่ก็จ้าวขุนเขา”

“ทันทีที่ท่านกลายเป็นราชาแห่งอิสรภาพ ข้าก็อยากเป็นผู้มอบความกล้าเช่นกัน ตำแหน่งผู้พึ่งพาสี่สิบแปดคนนี้ไม่ได้ขอเปล่า พวกเขาจะต้องเป็นคนสนิทของท่าน ข้าก็แค่อยากได้ตำแหน่งนั้นก่อนกำหนดก็เท่านั้น”

กู่ฉิงซานยิ้มขมขื่นแล้วกล่าวว่า “จริงหรือที่ข้าจะสามารถกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังขนาดนั้นได้”

“แน่นอน ท่านคือชายที่ข้าเลือกเชียวนะ”

อสุราสาวเงยหน้าขึ้นพูด

กู่ฉิงซานไม่ได้พูดอะไรก่อนพลันนึกบางสิ่งออกแล้วถามว่า “เจ้ามาถึงโลกอิสรภาพได้อย่างไร หรือการจะทำแบบนี้ได้ต้องใช้น้ำตาของอสุราเท่านั้น”

“แน่นอนว่าไม่ใช่ ความจริง ข้าพบแผนการสมคบคิดของเทพในระหว่างการต่อสู้ที่ยมโลก ข้านำคทาราชาแห่งความตายไปที่โลกและจงใจให้ท่านใช้มันเพื่อควบคุมคนตายหลายพันล้านคน ท้ายที่สุด ทุกสิ่งเปลี่ยนไป แต่ก็ยังเป็นข้าที่ลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อมอบความกล้าให้กับคนตายทุกคนด้วยความรักดุจแม่ลูกของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อทำให้พวกเขามุ่งมั่นที่จะอยู่บนโลกต่อ ในบรรดาคนตายนับไม่ถ้วน ความดีของข้านับว่ายอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นข้าจึงสามารถใช้ความดีกับน้ำตาอสุราเพื่อมอบพลังที่ดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้วนำข้ามาที่นี่เพื่อรอท่านอยู่บนสวรรค์”

“รอข้าหรือ…” กู่ฉิงซานพึมพำ

ตอนอีกฝ่ายยังเป็นคนตาย นางได้รับความช่วยเหลือมามากมาย หลังจบการต่อสู้ที่ยมโลก นางยกความดีทั้งหมดให้แล้วมารออยู่ที่นี่เพื่อช่วยเขาผ่านภัยพิบัติ

กู่ฉิงซานจนคำพูด

อสุราสาวมองเขาก่อนกล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านต้องรีบกลับไปนะ”

“ชื่อของเจ้าล่ะ” กู่ฉิงซานพลันกล่าวขึ้นมา “ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้าเลย”

อสุราสาวตกตะลึง น้ำตาเริ่มไหลหลั่งอย่างเงียบงัน

นางปาดเช็ดน้ำตาก่อยยิ้มให้กู่ฉิงซานแล้วกล่าวว่า

“ชื่อของข้าคือจื้อลัว ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่จนกว่าจะกลายเป็นราชาแห่งอิสรภาพ”

หลังจากนั้น นางผลักกู่ฉิงซานลงไปในน้ำพุ

‘ฟรึ่บ’

เพียงพริบตา ไฟแห่งกรรมไม่มีสิ้นสุดพวยพุ่งจากร่างกายของกู่ฉิงซาน

ภัยพิบัติไฟได้เริ่มขึ้นแล้ว!

เปลวเพลิงทั้งหมดกลายเป็นฉากมายาขณะกระตุ้นวิญญาณของกู่ฉิงซานอย่างต่อเนื่อง

นี่ล้วนเป็นบาปที่เขาเคยก่อมาหลายช่วงชีวิตผสานเข้ากับเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา พวกมันทั้งหมดแตกสลายในคราวเดียว

แต่ร่างกายของกู่ฉิงซานถูกปกคลุมด้วยน้ำพุแห่งความรักที่เย็นเยือกสุดหยั่ง ถึงแม้ไฟแห่งกรรมจะรุนแรง แต่มันกลับไม่รีบเข้าใกล้เขา

ด้วยความสับสน กู่ฉิงซานรู้สึกว่าเขามาอยู่ในสถานที่อันคุ้นเคย

โลกเซินหวู่

ทุกคนตายในการต่อสู้

ร่างของเซี่ยเต้าหลิงกองอยู่กับพื้น ฉินเสี่ยวหลัวกำลังร้องไห้ขมขื่นระหว่างกอดเชี่ยวเชี่ยวเอาไว้

เชี่ยวเชี่ยวตายเช่นกัน

ไกลออกไป วิญญาณกรีดร้องขนาดใหญ่และน่าสะพรึงกลัวจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังมาที่นี่

ไม่!

ดวงตาของกู่ฉิงซานแดงก่ำ

ฉับพลันนั้นเอง ความเย็นเยือกขีดสุดก่อตัวขึ้น ทำให้จิตใจที่สับสนของเขาสงบลงทันที

เขาเข้าใจขึ้นมาทันที

ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ฉากที่เกิดขึ้นจริง

อาจารย์และคนอื่นอยู่ไกลจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น พวกเขายังมีชีวิตอยู่สุขสบายดี

เมื่อคิดได้ดังนี้ ภาพดังกล่าวพลันหายไป

อีกภาพเข้ามาแทนที่

ทั่วร่างของกู่ฉิงซานจมดิ่งอีกครั้ง

ก่อนจะทันรู้ตัว เขามาอยู่ในงานแต่งที่จัดอย่างยิ่งใหญ่

ขณะกุมมืออสุราเอาไว้ เขากำลังเฉลิมฉลองให้กับพวกแขก

ซูเสวี่ยเอ้อร์พลันพุ่งพรวดเข้ามา

นางฆ่าตัวตายต่อหน้ากู่ฉิงซาน

หัวใจของกู่ฉิงซานดิ่งวูบ ก่อนจะมีเวลาได้ตอบสนอง เขาพลันถูกโจมตีด้วยไอเย็นยะเยือก

นี่ก็ของปลอม!

เมื่อรู้ความจริง ภาพทั้งหมดพลันหายไป

ขณะยังชื่นชมและหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ฉากต่อไปได้กลืนกินกู่ฉิงซานเข้าไป

โลกดั้งเดิม

มนุษย์ทั้งหมดตาย

เย่เฟยหลีถูกส่งไปที่ทางเข้าโดยสัตว์ประหลาด…

ฉากมายาปรากฏขึ้นในใจของกู่ฉิงซาน

แต่ด้วยพรของน้ำพุแห่งความรักที่เย็นเยือกสุดหยั่ง เขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับภาพมายาอันสิ้นหวังเหล่านี้อีก

เขามีพลังเพิ่มขึ้นจนสามารถผ่านภาพมายาจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ มีการถล่มอย่างหนักที่นอกเขาหมิงเช่อ

มีเสียงโกรธเกรี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนดังอยู่ข้างนอก

“จื้อลัว เจ้ากล้าช่วยคนอื่นก้าวข้ามภัยพิบัติอย่างนั้นหรือ!”

“ที่นี่ห้ามใครก้าวข้ามภัยพิบัติเด็ดขาด!”

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

“ส่งคนคนนั้นมาซะ!”

ภูเขายังคงสั่นไหว

เห็นได้ชัดว่าคนข้างนอกสังเกตเห็นความผันผวนของภัยพิบัติไฟก่อนเริ่มทำการโจมตี

นักพรตและวิญญาณเหล่านี้ที่อาศัยอยู่ในโลกอิสรภาพจะไม่ยอมให้นักพรตคนอื่นรอดจากภัยพิบัติไฟไปได้!

จื้อลัวชำเลืองมองกู่ฉิงซานเป็นครั้งสุดท้าย

จากนั้นนางหันมายืนอยู่หน้ากู่ฉิงซานก่อนประสานมือเข้าหากัน

‘ครืน’

กำแพงเหล็ก กับดักและเขาวงกตจำนวนนับไม่ถ้วนชั้นแล้วชั้นเล่าล้วนทำงาน

นี่คือผลจากความพยายามเตรียมการมาหลายปีของนาง

ภูเขาในโลกอิสรภาพไม่มีทางทะลวงเข้าไปได้โดยง่าย

ไม่มีใครสามารถทะลวงผ่านอุปสรรคเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว!

ด้านหลังนาง เปลวเพลิงบนร่างของกู่ฉิงซานค่อยๆ มอดดับลง

น้ำพุแห่งความรักที่เย็นเยือกสุดหยั่งนั่นกลายเป็นหมอกสีขาวก่อนหายไปในสายลมอย่างช้าๆ

ภัยพิบัติไฟสิ้นสุดลง

กู่ฉิงซานหายไปจากหมอกก่อนออกจากโลกอิสรภาพ

นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาเร็วที่สุดนับตั้งแต่ภัยพิบัติสิ้นสุดลง

เมื่อเผชิญหน้ากับแรงดันน้ำทะเลเกินจะทนไหว พวกมารล้วนหายไปสิ้น

พวกมันถูกบดขยี้โดยตรงจนกลายเป็นผงละเอียดก่อนสลายไปที่ก้นทะเลลึกอย่างช้าๆ

มีเพียงกู่ฉิงซานที่ยังอยู่ก้นทะเล

ดาบคลื่นเสียงโผล่ขึ้นมาจากทะเลเพื่อทำให้เขายังอยู่ในที่โล่งแห้งและเย็น

กู่ฉิงซานมองไปยังความว่างเปล่า

บนบหน้าต่างต้นเพลิง แถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กยังลอยขึ้นมา

“เพราะพวกมารตายภายใต้การบีบอัดของทะเล ท่านจึงไม่สามารถได้รับพลังวิญญาณจากการต่อสู้ครั้งนี้”

หลังจากกู่ฉิงซานอ่านจบ แถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กนี้หายไป แถวตัวอักษรขนาดเล็กชุดใหม่ปรากฏขึ้นต่อทันที

“พลังวิญญาณอยู่ในสภาพสูญสลาย ไม่มีตัวตนอื่นที่สามารถดูดกลืนพลังวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆ ได้ ตัดสินจากหลักการไม่สูญเปล่า ระบบนี้ได้เริ่มรวบรวมพลังวิญญาณสูญสลายที่ยังหลงเหลืออยู่”

“พลังวิญญาณถูกเก็บไว้สามหมื่นแปดพันสามร้อยยี่สิบเก้าแต้ม”

“ท่านได้รับพลังวิญญาณเหล่านี้”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

แบบนี้ก็ได้หรือ

เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ต้นเพลิง ต่อให้ข้าไม่ลงมือฆ่าก็ได้พลังวิญญาณอย่างนั้นหรือ”

“ปกติแล้วจะไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่จะปล่อยให้พลังวิญญาณเหล่านี้สูญสลาย ดังนั้นพวกเรายังต้องเก็บรวบรวมเพื่อใช้พวกมัน” หน้าต่างต้นเพลิงกล่าว

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก

คำสั่งที่ไม่ใช่คำสั่ง

ไม่สิ ที่จริงมันยังมีหลักการอยู่

ไม่เอาด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

ตอนนี้ไม่มีลม

ภัยพิบัติลมผ่านไปแล้ว

อากาศเต็มไปด้วยเสียงแปลกประหลาด

ลำแสงเพลิงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนตกลงบนบ่าของกู่ฉิงซานอย่างแผ่วเบา

หากมองใกล้ๆ จะพบว่าเปลวเพลิงนั้นแทบจะโปร่งแสง ไม่ส่งผลใดๆ กับร่างกายของกู่ฉิงซานแม้แต่นิดเดียว

เปลวเพลิงขยายตัวอย่างรวดเร็วก่อนกระจายทั่วร่างของกู่ฉิงซาน แต่กู่ฉิงซานทำเพียงแค่รอโดยไม่ขยับไปไหน

นี่คือไฟที่ทำลายทุกสิ่ง มันเข้าลึกถึงจุดฝังเข็มและเส้นลมปราณของกู่ฉิงซาน หากขยับตามใจ เขาจะถูกเผาเป็นเถ้าทันที

หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ

ในที่สุดเปลวเพลิงปกคลุมกู่ฉิงซานอย่างสมบูรณ์

การตอบสนองอันแสนวิเศษได้เกิดขึ้น

เปลวเพลิงไม่มีสิ้นสุดกระจายออก ก่อตัวเป็นฉากโลกต่อสายตาของกู่ฉิงซาน

เปลวเพลิงสลายหายไป

โลกกลับมาเห็นเด่นชัด

ภูเขา ท้องนภาสีคราม แม่น้ำลำธาร ภูตที่มาๆ ไปๆ

นี่คือโลกอิสรภาพ

คาดไม่ถึง สิ่งที่สะท้อนกับความคิดของเขากลับกลายเป็นโลกอิสรภาพ!

สิ่งที่เรียกว่าภัยพิบัติไฟจะนำวิญญาณของผู้ฝึกยุทธไปสู่สวรรค์แห่งหนึ่ง

นักพรตต้องยอมให้วิญญาณกลับคืนสู่ร่างกายภายในระยะเวลาที่กำหนด

เมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าวิญญาณยังอยู่ในสวรรค์แห่งหนึ่งแล้วไม่ยอมกลับมา เช่นนั้นร่างกายของผู้ฝึกยุทธจะถูกไฟแผดเผา

แบบนี้ การก้าวข้ามภัยพิบัติก็จะล้มเหลว

วิญญาณของนักพรตจะยังอยู่ในสวรรค์ตลอดกาล

ทว่า มีผู้ฝึกยุทธมากมายที่ยอมอยู่ที่โลกอิสระแห่งนี้แทนที่จะกลับออกมา

เพราะนี่คือสวรรค์อันแสนวิเศษ

ต่อให้ร่างกายของผู้ฝึกยุทธถูกไฟแผดเผา แต่วิญญาณยังคงอยู่ในโลกอิสรภาพ มีชีวิตอยู่ได้หนึ่งหมื่นปี

ในทางตรงกันข้าม ต่อให้ผ่านภัยพิบัติจนพัฒนาได้สำเร็จ ผู้ฝึกยุทธยังยังต้องผ่านความยากลำบากมากมาย ยังคงต้องก้าวต่อไปไม่หยุดยั้ง

แทนที่จะตายด้วยภัยพิบัติอย่างหนึ่ง คงดีกว่าที่จะให้วิญญาณอยู่ในโลกแห่งนี้อย่างเป็นอิสระหนึ่งหมื่นปี

ที่นี่ ผู้ที่พยายามเอาชนะภัยพิบัติจะกลายเป็นเป้าวิจารณ์ของสาธารณะ

วิญญาณทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จะทำทุกสิ่งเท่าที่เป็นไปได้เพื่อปิดกั้นนักพรตผู้อยากพัฒนา

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจก่อนเตรียมพร้อม

เขาก้าวไปข้างหน้า

เพียงพริบตา ร่างกายของเขายังถูกห้อมล้อมโดยภัยพิบัติไฟ แต่วิญญาณออกจากใต้ทะเลก่อนเข้าสู่โลกอิสรภาพ

วินาทีต่อมา

กู่ฉิงซานพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนลานกว้าง

เสียงจากทุกทิศทางเข้าสู่หู

เสียงหัวเราะ เสียงสนทนา เสียงครื้นเครง

เสียงเริงร่า เสียงขับร้อง เสียงตะโกน

งานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่กำลังจัดอยู่ในลาน

ใครบางคนกล่าวเสียงดัง “ฮ่าๆๆ มีสหายเต๋าคนใหม่มาที่นี่ในวันนี้ ทุกคนยินดีต้อนรับ”

หลายคนยังคงดื่มอย่างสนุกสนาน

แต่หลายคนมองกู่ฉิงซานด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม

กู่ฉิงซานประสานมือแล้วกล่าวว่า “สหายเต๋าทุกท่าน สุภาพเกินไปแล้ว”

ใครบางคนกล่าวอย่างยินดีว่า “ข้าก็เป็นสหายเต๋าเช่นกัน มาดื่มกัน!”

กู่ฉิงซานเดินชนแก้วสุรากับทุกคนจริงๆ

“ไม่ทราบว่าจะให้เรียกสหายด้วยชื่ออะไร”

“แซ่กู่”

“กลายเป็นว่าสหายเต๋ากู่มาภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เพื่อยินดีกับพรอันนิรันดร์อย่างนั้นหรือ”

“ตั้งแต่ที่ข้าได้ยินเรื่อนี้มา ข้าก็แสวงหามาตลอด เส้นทางการฝึกฝนจึงไกลออกไปเรื่อยๆ แทนที่จะห่วงความเป็นความตายอยู่ทุกวัน คงดีกว่าที่จะกลับสู่สถานที่นี้เพื่อยืนดีกับพรนิรันดร์ตลอดกาล”

กู่ฉิงซานยกแก้วขึ้นแล้วหัวเราะ

หลังจากพูดจบ เขาหยิบสุราอีกแก้วขึ้นมายกดื่มอย่างรวดเร็ว

“ในที่สุดก็ได้กล่าวลากับการฝึกฝนอันแสนสาหัส มาเถอะ ข้าขอคารวะทุกท่าน!” เขากล่าวเสียงดัง

เขาดื่มอีกแก้ว

นี่ทำให้บรรยากาศงานเลี้ยงถึงจุดสุดยอดทันที

ผู้คนรอบข้างต่างมีความสุขก่อนชูแก้วขึ้นตอบรับ

ใครบางคนกล่าวชื่นชม “สหายเต๋าคนนี้มีจิตใจและนิสัยดียิ่งนัก อาจจะมีภูตตกหลุมรักสหายเต๋าคนนี้ก็เป็นได้”

พวกแม่ชีแอบหัวเราะขณะป้องปาก

ชายหนุ่มคนนี้หล่อเหลา สามารถเข้าโลกอิสรภาพได้ตั้งแต่อายุขนาดนี้ แถมไม่ถนัดการฝึกฝนเสียด้วย

เขาเพิ่งมาจากภายนอก ไม่เหมือนกับคนข้างในนี้ เขาอยากรู้และสนใจสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา

เขาเป็นผู้ชายที่ดี

เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถามว่า “สหายเต๋ามาทำอะไรที่นี่หรือ”

เสียงแจ่มใสและอ่อนหวานดังขึ้น

ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก

เห็นได้ชัดว่าเสียงดังกล่าวอยู่ใกล้ น้ำเสียงไม่ได้เต็มไปด้วยจิตสังหารแต่อย่างใด

กู่ฉิงซานหันไปมอง

ใบหน้าของหญิงสาวยังเหมือนเดิม ยังงดงามสดใสไม่แปรเปลี่ยน

นี่คือเสน่ห์ตามธรรมชาติของเผ่าพันธุ์พวกนาง

มีข่าวลือว่าในบรรดาหกภพ หญิงสาวจากเผ่าพันธุ์นางน่าทึ่งและมีเสน่ห์เย้ายวนมากที่สุด

หลังจากได้เห็นใบหน้า จักรพรรดิแห่งสวรรค์ไม่ลังเลที่จะเปิดฉากสงครามเพื่อแต่งงานกับหญิงสาวจากเผ่าพันธุ์ดังกล่าว

ฉับพลันมันเหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งได้พบกันเมื่อวาน

นางมองเขาแล้วยิ้มออกมา “ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพิเศษจากวิชาของท่าน”

วิชา…อะไรนะ

อาจจะไม่ใช่วิชาวิเศษก็ได้

แต่ถ้าพูดกันตามตรง หากเปิดเผยว่าตัวเองคือผู้ใช้วิชาดาบก็จะทำให้หลายคนไม่สบายใจ

ทำไมผู้ใช้วิชาดาบถึงอยากดื่มด่ำและใฝ่ฝันถึงความตายล่ะ

นั่นสินะที่หมายถึงวิชา

กู่ฉิงซานมองนางแล้วกล่าวอย่างสงบว่า “ข้ากำลังฝึกฝนวิชาน้ำแข็งน่ะ”

หญิงสาวประหลาดใจแล้วกล่าวว่า “นี่ ข้าอยากสู้กับท่านจังเลย”

“ข้าเพิ่งมาถึงวันนี้เอง ถ้าดื่มก็คงไม่เป็นไร แต่ไม่เห็นจะต้องสู้กันเลย”

ตอนนี้ นักพรตคนอื่นเกลี้ยกล่อมหญิงสาวว่าไม่เหมาะนักที่จะสู้กันในวันแรก

หญิงสาวถูกเกลี้ยกล่อมจนใจอ่อน

นางกล่าวอีกครั้งว่า “วิชาวิญญาณเยือกแข็งหายาก ทำไมสหายเต๋าถึงไม่แสดงสักหนึ่งหรือสองกระบวนท่า ขอข้าชมหน่อยก็แล้วกัน”

หลังจากกู่ฉิงซานได้ยินดังนั้น เขาเหมือนกับถูกต้อนจนมุม

เขามีวิชาเยือกแข็งของเทพแห่งความเย็นยะเยือก แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในร่างของเทพ ดังนั้นพลังของวิชาจะลดทอนไปมาก ทำให้ไม่ถึงในระดับสูงสุดของระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์

แต่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธเหล่านี้ที่เห็นจุดสูงสุดของระดับเบิกเนตรนิมิต วิชาเยือกแข็งในมือยังนับว่าดูดี

เขาสร้างสะพานเยือกแข็งยาวลากจากกลางลานไปจนสุดขอบฟ้า

สะพานเยือกแข็งก่อตัวเป็นภูเขาเขียวขจีกลางอากาศ

“ดี!”

“วิชาดี!”

“วิเศษ!”

เหล่านักพรตส่งเสียงชื่นชมเสียงดัง

“น่าเสียดายที่วันนี้ดึกมากแล้ว จึงต้องมีการจัดงานเลี้ยงขึ้นอีกรอบ ไม่อย่างนั้น คงต้องไปเดินเล่นที่ภูเขาลูกนั้นแทนแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเสียดาย

“หลายปีนั้นยาวนาน สหายเต๋ากู่ เจ้ามีโอกาสเหลือเฟือ” ใครบางคนกล่าว

“ถูกต้องเลย”

“ใช่ ครั้งต่อไปข้าจะไปกับสหายเต๋ากู่”

ทุกคนเห็นด้วยพร้อมกับรอยยิ้ม

หลังจากกู่ฉิงซานแสดงทักษะกับคำพูดที่กล่าวเมื่อครู่ พวกนักพรตจึงยิ่งเข้าใกล้เขามากขึ้น

งานเลี้ยงยังดำเนินต่อไป

กู่ฉิงซานเป็นนักดื่มที่ดี กระตือรือร้น พูดจาดีและรู้ว่าอะไรน่าสนใจ เขากลายเป็นหนึ่งในนักพรตที่ช่างพูดและมีอารมณ์ขันอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปหนึ่งคืนครึ่ง

ในที่สุดงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง

ตอนนี้

หญิงสาวเดินเข้ามาแล้วหยิบแก้วสุราก่อนมองกู่ฉิงซาน

“สหายเต๋ากู่ ท่านอยากคุยกับข้าในตอนเย็นหรือไม่” หญิงสาวถาม

ทุกคนหัวเราะเสียงดัง

ผู้ใช้วิชาหนุ่มจำนวนมากเผยความอิจฉาและหึงหวงขึ้นมา

“ข้าต้องการแบบนั้นพอดี”

กู่ฉิงซานถือแก้วสุรา ยกขึ้นจิบแล้วยิ้มออกมา

“โรงฝึกของข้าอยู่ที่ยอดเขาหมิงเช่อ ท่านมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก คงไม่คุ้นชินเส้นทางนัก ให้ข้าจัดการเองเถอะ” หญิงสาวกล่าว

กู่ฉิงซานตอบเป็นพิธีว่า “โปรดนำทางให้ด้วย ภูตตัวน้อย”

หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อขยับร่างกาย นางพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา

กู่ฉิงซานตามหลังไปติดๆ

นักพรตคนอื่นมองเขาจากไป ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะห้ามอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไร สหายเต๋ากู่คนนี้คือคนวิเศษ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก” หญิงสาวกล่าว

หญิงสาวอีกคนประสานรับเช่นกัน “พี่หย่าจื้อไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมเจ้าถึงไม่แสดงความมั่นใจสักหน่อยล่ะ”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ผู้ฝึกฝนส่วนใหญ่ต่างเสียสติ

มีเพียงผู้ใช้วิชาหนุ่มเพียงหยิบมือยังคงสงสัย

หญิงสาวอีกคนหัวเราะแล้วกล่าวประชดประชันว่า “เจ้ายังอยากไปยอดเขาหมิงเช่ออยู่ไหมล่ะ”

คำพูดแบบนั้นช่างไร้เหตุผลสิ้นดี

ต่อให้นักพรตจะมีความคิด จู่ๆ พวกเขาจะโพล่งออกไปไม่ได้ในเมื่อทั้งสองมีความรักกัน พวกเขาจะกลายเป็นคนเลวแม้จะทำดีก็ตาม

งานเลี้ยงในตอนนี้สิ้นสุดลงแล้ว

กู่ฉิงซานเหาะไปตามหญิงสาวขณะลงบนภูเขา

โดยไม่พูดจาสักคำ หญิงสาวพาเขาผ่านส่วนหนึ่งของถนนบนภูเขา จากนั้นเข้าไปในน้ำตก ข้ามสะพานขนาดเล็กตรงลำธาร จู่ๆ ด้านหน้าก็เปิดออก มันคือตำหนักหลังหนึ่ง

“ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว” หญิงสาวกล่าว

ความเฉยชาบนใบหน้าของนางพลันหายไปก่อนเผยรอยยิ้มสดใสออกมา

“ท่านคงคาดไม่ถึงล่ะสิ”

“ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะรอข้าอยู่ที่นี่ เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

“แน่นอนว่าเป็นไปได้สิ”

หญิงสาวมองเขาอย่างละเอียด นางมองเขาราวกับอยากประทับรูปลักษณ์นั้นเอาไว้ในใจตลอดกาล

“ข้าทิ้งรอยน้ำตาไว้กับท่าน นั่นคือวิชาพิเศษของอสุรา สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต”

นางกล่าวอย่างเงียบงัน

นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาเร็วที่สุดนับตั้งแต่ภัยพิบัติสิ้นสุดลง

เมื่อเผชิญหน้ากับแรงดันน้ำทะเลเกินจะทนไหว พวกมารล้วนหายไปสิ้น

พวกมันถูกบดขยี้โดยตรงจนกลายเป็นผงละเอียดก่อนสลายไปที่ก้นทะเลลึกอย่างช้าๆ

มีเพียงกู่ฉิงซานที่ยังอยู่ก้นทะเล

ดาบคลื่นเสียงโผล่ขึ้นมาจากทะเลเพื่อทำให้เขายังอยู่ในที่โล่งแห้งและเย็น

กู่ฉิงซานมองไปยังความว่างเปล่า

บนบหน้าต่างต้นเพลิง แถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กยังลอยขึ้นมา

“เพราะพวกมารตายภายใต้การบีบอัดของทะเล ท่านจึงไม่สามารถได้รับพลังวิญญาณจากการต่อสู้ครั้งนี้”

หลังจากกู่ฉิงซานอ่านจบ แถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กนี้หายไป แถวตัวอักษรขนาดเล็กชุดใหม่ปรากฏขึ้นต่อทันที

“พลังวิญญาณอยู่ในสภาพสูญสลาย ไม่มีตัวตนอื่นที่สามารถดูดกลืนพลังวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆ ได้ ตัดสินจากหลักการไม่สูญเปล่า ระบบนี้ได้เริ่มรวบรวมพลังวิญญาณสูญสลายที่ยังหลงเหลืออยู่”

“พลังวิญญาณถูกเก็บไว้สามหมื่นแปดพันสามร้อยยี่สิบเก้าแต้ม”

“ท่านได้รับพลังวิญญาณเหล่านี้”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

แบบนี้ก็ได้หรือ

เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ต้นเพลิง ต่อให้ข้าไม่ลงมือฆ่าก็ได้พลังวิญญาณอย่างนั้นหรือ”

“ปกติแล้วจะไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่จะปล่อยให้พลังวิญญาณเหล่านี้สูญสลาย ดังนั้นพวกเรายังต้องเก็บรวบรวมเพื่อใช้พวกมัน” หน้าต่างต้นเพลิงกล่าว

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก

คำสั่งที่ไม่ใช่คำสั่ง

ไม่สิ ที่จริงมันยังมีหลักการอยู่

ไม่เอาด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

ตอนนี้ไม่มีลม

ภัยพิบัติลมผ่านไปแล้ว

อากาศเต็มไปด้วยเสียงแปลกประหลาด

ลำแสงเพลิงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนตกลงบนบ่าของกู่ฉิงซานอย่างแผ่วเบา

หากมองใกล้ๆ จะพบว่าเปลวเพลิงนั้นแทบจะโปร่งแสง ไม่ส่งผลใดๆ กับร่างกายของกู่ฉิงซานแม้แต่นิดเดียว

เปลวเพลิงขยายตัวอย่างรวดเร็วก่อนกระจายทั่วร่างของกู่ฉิงซาน แต่กู่ฉิงซานทำเพียงแค่รอโดยไม่ขยับไปไหน

นี่คือไฟที่ทำลายทุกสิ่ง มันเข้าลึกถึงจุดฝังเข็มและเส้นลมปราณของกู่ฉิงซาน หากขยับตามใจ เขาจะถูกเผาเป็นเถ้าทันที

หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ

ในที่สุดเปลวเพลิงปกคลุมกู่ฉิงซานอย่างสมบูรณ์

การตอบสนองอันแสนวิเศษได้เกิดขึ้น

เปลวเพลิงไม่มีสิ้นสุดกระจายออก ก่อตัวเป็นฉากโลกต่อสายตาของกู่ฉิงซาน

เปลวเพลิงสลายหายไป

โลกกลับมาเห็นเด่นชัด

ภูเขา ท้องนภาสีคราม แม่น้ำลำธาร ภูตที่มาๆ ไปๆ

นี่คือโลกอิสรภาพ

คาดไม่ถึง สิ่งที่สะท้อนกับความคิดของเขากลับกลายเป็นโลกอิสรภาพ!

สิ่งที่เรียกว่าภัยพิบัติไฟจะนำวิญญาณของผู้ฝึกยุทธไปสู่สวรรค์แห่งหนึ่ง

นักพรตต้องยอมให้วิญญาณกลับคืนสู่ร่างกายภายในระยะเวลาที่กำหนด

เมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าวิญญาณยังอยู่ในสวรรค์แห่งหนึ่งแล้วไม่ยอมกลับมา เช่นนั้นร่างกายของผู้ฝึกยุทธจะถูกไฟแผดเผา

แบบนี้ การก้าวข้ามภัยพิบัติก็จะล้มเหลว

วิญญาณของนักพรตจะยังอยู่ในสวรรค์ตลอดกาล

ทว่า มีผู้ฝึกยุทธมากมายที่ยอมอยู่ที่โลกอิสระแห่งนี้แทนที่จะกลับออกมา

เพราะนี่คือสวรรค์อันแสนวิเศษ

ต่อให้ร่างกายของผู้ฝึกยุทธถูกไฟแผดเผา แต่วิญญาณยังคงอยู่ในโลกอิสรภาพ มีชีวิตอยู่ได้หนึ่งหมื่นปี

ในทางตรงกันข้าม ต่อให้ผ่านภัยพิบัติจนพัฒนาได้สำเร็จ ผู้ฝึกยุทธยังยังต้องผ่านความยากลำบากมากมาย ยังคงต้องก้าวต่อไปไม่หยุดยั้ง

แทนที่จะตายด้วยภัยพิบัติอย่างหนึ่ง คงดีกว่าที่จะให้วิญญาณอยู่ในโลกแห่งนี้อย่างเป็นอิสระหนึ่งหมื่นปี

ที่นี่ ผู้ที่พยายามเอาชนะภัยพิบัติจะกลายเป็นเป้าวิจารณ์ของสาธารณะ

วิญญาณทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จะทำทุกสิ่งเท่าที่เป็นไปได้เพื่อปิดกั้นนักพรตผู้อยากพัฒนา

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจก่อนเตรียมพร้อม

เขาก้าวไปข้างหน้า

เพียงพริบตา ร่างกายของเขายังถูกห้อมล้อมโดยภัยพิบัติไฟ แต่วิญญาณออกจากใต้ทะเลก่อนเข้าสู่โลกอิสรภาพ

วินาทีต่อมา

กู่ฉิงซานพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนลานกว้าง

เสียงจากทุกทิศทางเข้าสู่หู

เสียงหัวเราะ เสียงสนทนา เสียงครื้นเครง

เสียงเริงร่า เสียงขับร้อง เสียงตะโกน

งานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่กำลังจัดอยู่ในลาน

ใครบางคนกล่าวเสียงดัง “ฮ่าๆๆ มีสหายเต๋าคนใหม่มาที่นี่ในวันนี้ ทุกคนยินดีต้อนรับ”

หลายคนยังคงดื่มอย่างสนุกสนาน

แต่หลายคนมองกู่ฉิงซานด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม

กู่ฉิงซานประสานมือแล้วกล่าวว่า “สหายเต๋าทุกท่าน สุภาพเกินไปแล้ว”

ใครบางคนกล่าวอย่างยินดีว่า “ข้าก็เป็นสหายเต๋าเช่นกัน มาดื่มกัน!”

กู่ฉิงซานเดินชนแก้วสุรากับทุกคนจริงๆ

“ไม่ทราบว่าจะให้เรียกสหายด้วยชื่ออะไร”

“แซ่กู่”

“กลายเป็นว่าสหายเต๋ากู่มาภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เพื่อยินดีกับพรอันนิรันดร์อย่างนั้นหรือ”

“ตั้งแต่ที่ข้าได้ยินเรื่อนี้มา ข้าก็แสวงหามาตลอด เส้นทางการฝึกฝนจึงไกลออกไปเรื่อยๆ แทนที่จะห่วงความเป็นความตายอยู่ทุกวัน คงดีกว่าที่จะกลับสู่สถานที่นี้เพื่อยืนดีกับพรนิรันดร์ตลอดกาล”

กู่ฉิงซานยกแก้วขึ้นแล้วหัวเราะ

หลังจากพูดจบ เขาหยิบสุราอีกแก้วขึ้นมายกดื่มอย่างรวดเร็ว

“ในที่สุดก็ได้กล่าวลากับการฝึกฝนอันแสนสาหัส มาเถอะ ข้าขอคารวะทุกท่าน!” เขากล่าวเสียงดัง

เขาดื่มอีกแก้ว

นี่ทำให้บรรยากาศงานเลี้ยงถึงจุดสุดยอดทันที

ผู้คนรอบข้างต่างมีความสุขก่อนชูแก้วขึ้นตอบรับ

ใครบางคนกล่าวชื่นชม “สหายเต๋าคนนี้มีจิตใจและนิสัยดียิ่งนัก อาจจะมีภูตตกหลุมรักสหายเต๋าคนนี้ก็เป็นได้”

พวกแม่ชีแอบหัวเราะขณะป้องปาก

ชายหนุ่มคนนี้หล่อเหลา สามารถเข้าโลกอิสรภาพได้ตั้งแต่อายุขนาดนี้ แถมไม่ถนัดการฝึกฝนเสียด้วย

เขาเพิ่งมาจากภายนอก ไม่เหมือนกับคนข้างในนี้ เขาอยากรู้และสนใจสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา

เขาเป็นผู้ชายที่ดี

เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถามว่า “สหายเต๋ามาทำอะไรที่นี่หรือ”

เสียงแจ่มใสและอ่อนหวานดังขึ้น

ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก

เห็นได้ชัดว่าเสียงดังกล่าวอยู่ใกล้ น้ำเสียงไม่ได้เต็มไปด้วยจิตสังหารแต่อย่างใด

กู่ฉิงซานหันไปมอง

ใบหน้าของหญิงสาวยังเหมือนเดิม ยังงดงามสดใสไม่แปรเปลี่ยน

นี่คือเสน่ห์ตามธรรมชาติของเผ่าพันธุ์พวกนาง

มีข่าวลือว่าในบรรดาหกภพ หญิงสาวจากเผ่าพันธุ์นางน่าทึ่งและมีเสน่ห์เย้ายวนมากที่สุด

หลังจากได้เห็นใบหน้า จักรพรรดิแห่งสวรรค์ไม่ลังเลที่จะเปิดฉากสงครามเพื่อแต่งงานกับหญิงสาวจากเผ่าพันธุ์ดังกล่าว

ฉับพลันมันเหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งได้พบกันเมื่อวาน

นางมองเขาแล้วยิ้มออกมา “ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพิเศษจากวิชาของท่าน”

วิชา…อะไรนะ

อาจจะไม่ใช่วิชาวิเศษก็ได้

แต่ถ้าพูดกันตามตรง หากเปิดเผยว่าตัวเองคือผู้ใช้วิชาดาบก็จะทำให้หลายคนไม่สบายใจ

ทำไมผู้ใช้วิชาดาบถึงอยากดื่มด่ำและใฝ่ฝันถึงความตายล่ะ

นั่นสินะที่หมายถึงวิชา

กู่ฉิงซานมองนางแล้วกล่าวอย่างสงบว่า “ข้ากำลังฝึกฝนวิชาน้ำแข็งน่ะ”

หญิงสาวประหลาดใจแล้วกล่าวว่า “นี่ ข้าอยากสู้กับท่านจังเลย”

“ข้าเพิ่งมาถึงวันนี้เอง ถ้าดื่มก็คงไม่เป็นไร แต่ไม่เห็นจะต้องสู้กันเลย”

ตอนนี้ นักพรตคนอื่นเกลี้ยกล่อมหญิงสาวว่าไม่เหมาะนักที่จะสู้กันในวันแรก

หญิงสาวถูกเกลี้ยกล่อมจนใจอ่อน

นางกล่าวอีกครั้งว่า “วิชาวิญญาณเยือกแข็งหายาก ทำไมสหายเต๋าถึงไม่แสดงสักหนึ่งหรือสองกระบวนท่า ขอข้าชมหน่อยก็แล้วกัน”

หลังจากกู่ฉิงซานได้ยินดังนั้น เขาเหมือนกับถูกต้อนจนมุม

เขามีวิชาเยือกแข็งของเทพแห่งความเย็นยะเยือก แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในร่างของเทพ ดังนั้นพลังของวิชาจะลดทอนไปมาก ทำให้ไม่ถึงในระดับสูงสุดของระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์

แต่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธเหล่านี้ที่เห็นจุดสูงสุดของระดับเบิกเนตรนิมิต วิชาเยือกแข็งในมือยังนับว่าดูดี

เขาสร้างสะพานเยือกแข็งยาวลากจากกลางลานไปจนสุดขอบฟ้า

สะพานเยือกแข็งก่อตัวเป็นภูเขาเขียวขจีกลางอากาศ

“ดี!”

“วิชาดี!”

“วิเศษ!”

เหล่านักพรตส่งเสียงชื่นชมเสียงดัง

“น่าเสียดายที่วันนี้ดึกมากแล้ว จึงต้องมีการจัดงานเลี้ยงขึ้นอีกรอบ ไม่อย่างนั้น คงต้องไปเดินเล่นที่ภูเขาลูกนั้นแทนแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเสียดาย

“หลายปีนั้นยาวนาน สหายเต๋ากู่ เจ้ามีโอกาสเหลือเฟือ” ใครบางคนกล่าว

“ถูกต้องเลย”

“ใช่ ครั้งต่อไปข้าจะไปกับสหายเต๋ากู่”

ทุกคนเห็นด้วยพร้อมกับรอยยิ้ม

หลังจากกู่ฉิงซานแสดงทักษะกับคำพูดที่กล่าวเมื่อครู่ พวกนักพรตจึงยิ่งเข้าใกล้เขามากขึ้น

งานเลี้ยงยังดำเนินต่อไป

กู่ฉิงซานเป็นนักดื่มที่ดี กระตือรือร้น พูดจาดีและรู้ว่าอะไรน่าสนใจ เขากลายเป็นหนึ่งในนักพรตที่ช่างพูดและมีอารมณ์ขันอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปหนึ่งคืนครึ่ง

ในที่สุดงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง

ตอนนี้

หญิงสาวเดินเข้ามาแล้วหยิบแก้วสุราก่อนมองกู่ฉิงซาน

“สหายเต๋ากู่ ท่านอยากคุยกับข้าในตอนเย็นหรือไม่” หญิงสาวถาม

ทุกคนหัวเราะเสียงดัง

ผู้ใช้วิชาหนุ่มจำนวนมากเผยความอิจฉาและหึงหวงขึ้นมา

“ข้าต้องการแบบนั้นพอดี”

กู่ฉิงซานถือแก้วสุรา ยกขึ้นจิบแล้วยิ้มออกมา

“โรงฝึกของข้าอยู่ที่ยอดเขาหมิงเช่อ ท่านมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก คงไม่คุ้นชินเส้นทางนัก ให้ข้าจัดการเองเถอะ” หญิงสาวกล่าว

กู่ฉิงซานตอบเป็นพิธีว่า “โปรดนำทางให้ด้วย ภูตตัวน้อย”

หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อขยับร่างกาย นางพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา

กู่ฉิงซานตามหลังไปติดๆ

นักพรตคนอื่นมองเขาจากไป ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะห้ามอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไร สหายเต๋ากู่คนนี้คือคนวิเศษ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก” หญิงสาวกล่าว

หญิงสาวอีกคนประสานรับเช่นกัน “พี่หย่าจื้อไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมเจ้าถึงไม่แสดงความมั่นใจสักหน่อยล่ะ”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ผู้ฝึกฝนส่วนใหญ่ต่างเสียสติ

มีเพียงผู้ใช้วิชาหนุ่มเพียงหยิบมือยังคงสงสัย

หญิงสาวอีกคนหัวเราะแล้วกล่าวประชดประชันว่า “เจ้ายังอยากไปยอดเขาหมิงเช่ออยู่ไหมล่ะ”

คำพูดแบบนั้นช่างไร้เหตุผลสิ้นดี

ต่อให้นักพรตจะมีความคิด จู่ๆ พวกเขาจะโพล่งออกไปไม่ได้ในเมื่อทั้งสองมีความรักกัน พวกเขาจะกลายเป็นคนเลวแม้จะทำดีก็ตาม

งานเลี้ยงในตอนนี้สิ้นสุดลงแล้ว

กู่ฉิงซานเหาะไปตามหญิงสาวขณะลงบนภูเขา

โดยไม่พูดจาสักคำ หญิงสาวพาเขาผ่านส่วนหนึ่งของถนนบนภูเขา จากนั้นเข้าไปในน้ำตก ข้ามสะพานขนาดเล็กตรงลำธาร จู่ๆ ด้านหน้าก็เปิดออก มันคือตำหนักหลังหนึ่ง

“ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว” หญิงสาวกล่าว

ความเฉยชาบนใบหน้าของนางพลันหายไปก่อนเผยรอยยิ้มสดใสออกมา

“ท่านคงคาดไม่ถึงล่ะสิ”

“ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะรอข้าอยู่ที่นี่ เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

“แน่นอนว่าเป็นไปได้สิ”

หญิงสาวมองเขาอย่างละเอียด นางมองเขาราวกับอยากประทับรูปลักษณ์นั้นเอาไว้ในใจตลอดกาล

“ข้าทิ้งรอยน้ำตาไว้กับท่าน นั่นคือวิชาพิเศษของอสุรา สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต”

นางกล่าวอย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างจนใจ

นักพรตมนุษย์ไปโลกมารเพื่อก้าวข้ามภัยพิบัติ นี่มันเป็นการยั่วยุกันชัดๆ

หากกล้าที่จะเริ่มการก้าวข้ามภัยพิบัติ ตัวตนจะถูกเปิดเผยทันที

ต่อให้จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งรักศักดิ์ศรี แต่เขาจะต้องลงมือฉีกทั้งเป็นด้วยทุกอย่างที่มีแน่นอน

มารทุกตนจะเข้ามาโจมตี

ถึงตอนนั้น ต่อให้เขาหลบหนีจากจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมาได้ เขาก็ไม่สามารถอยู่ในโลกมารได้อีกต่อไป

เขาจะหลีกเลี่ยงพวกมารเพื่อเริ่มการพัฒนาได้อย่างไร

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างเงียบงัน

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง

ถุงเก็บของขยับเล็กน้อย

จี้น้ำเต้าหยกปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

มันลอยมาอยู่หน้ากู่ฉิงซานและเขย่าไปมาเพื่อพยายามดึงความสนใจของกู่ฉิงซาน

‘ฟิ่ว…’

“เจ้าต้องการเท่าไหร่”

‘ฟิ่วๆ!’

“เอาไป”

กู่ฉิงซานในตอนนี้ร่ำรวยนัก เขาจึงมอบพลังวิญญาณให้ถึงสองหมื่นแต้ม

จี้น้ำเต้าหยกได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังวิญญาณ จึงทำให้เกิดวิญญาณขึ้นมา

มันลอยไปมาเป็นเลข “แปด” อยู่หน้ากู่ฉิงซานอย่างมีความสุขขณะเขย่าไปมาอย่างยินดี

‘ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ!’

“ยอดเยี่ยมจริงๆ ขอให้นายท่านโชคดีตลอดไป!”

“เข้าใจแล้ว เจ้าไปนอนเถอะ ตอนนี้ข้ากำลังหงุดหงิด” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างมีน้ำโห

จี้น้ำเต้าหยกไม่กลับเข้าถุงเก็บของทันที

มันลอยรอบกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ ขณะตรวจสอบสีหน้าของกู่ฉิงซานอย่างละเอียด

‘ฟิ่วๆ ‘

อกหักหรือ

กู่ฉิงซานไม่พูด

‘ฟิ่ว ฟิ่วๆ’

หืม ภรรยาหนีไปอยู่กับชายอื่นอย่างนั้นหรือ…

กู่ฉิงซานไม่คิดจะสนใจจี้น้ำเต้าหยกนี่อีก

เมื่อเห็นสีหน้าอันเฉยชาของเขา จี้นำเต้าหยกพลันนิ่งอยู่กลางอากาศก่อนเผยความประหลาดใจออกมา

‘ฟิ่วๆ’

ท่านมีพลังวิญญาณไม่พอหรือ…

มันลงมาอยู่หลังมือของกู่ฉิงซานก่อนพองตัวแล้วส่งไปให้กู่ฉิงซาน

คราวนี้กู่ฉิงซานขยับเล็กน้อย

เขากุมจี้น้ำเต้าหยกเอาไว้แล้วกล่าวว่า “ถ้าเจ้าอยากรู้ ข้าก็จะบอกให้ ความจริง ข้ามีสิ่งหนึ่งที่ไม่สะดวกใจจะทำที่นี่ เพราะอย่างนั้นข้าเลยรู้สึกกังวลเล็กน้อย”

‘ฟิ่วๆ’

“ปวดขี้หรือ”

“ไม่ใช่ การพัฒนาต่างหาก”

จี้น้ำเต้าหยกกล่าวด้วยความตกตะลึงว่า ‘ฟิ่วๆ ฟิ่วๆ!’

“แน่นอนสิ นี่มันโลกมารนี่นะ!”

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น “ข้ารู้ ดังนั้นข้าก็เลยยังคิดอยู่นี่ไง”

จี้น้ำเต้าหยกลอยขึ้นและวนเวียนรอบเขาก่อนเข้าไปในถุงเก็บของ

กู่ฉิงซานไม่สนใจมากนัก

จี้หยกนี้ทรงพลังมากก็จริง แต่จะให้หวังว่ามันทำได้ทุกสิ่งก็คงจะเกินไป

เขาจมสู่ความเงียบและเริ่มคิดถึงคำถามเดิมซ้ำไปมา

ดาบพิภพเหลือเวลาอีกเท่าไหร่

ในที่สุดเขาก็ได้วิชา “ชะลอเวลา” จากจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

แต่แม้กระทั่งจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งก็ไม่รู้ว่าวิชาดังกล่าวจะควบคุมเวลาได้ถึงเมื่อไหร่

หลังจากตรวจสอบอยู่หลายวัน เขารู้สถานการณ์คร่าวๆ ของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเช่นกัน

มีมารอยู่น้อยตนนักที่มีความสามารถลี้ลับด้านเวลา

ใกล้กับทะเลมารโกลาหล ไม่มีวิชาวิเศษที่มารจะใช้ “ชะลอเวลา” ได้

หรือก็คือ ทันทีที่วิชาเวลาบนดาบพิภพสิ้นสุดลง เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้

กู่ฉิงซานกำหมัด

ไม่มีทาง!

รอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว!

กู่ฉิงซานยืนขึ้นทันทีก่อนเปิดประตูแล้วเดินออกไป

เขาพุ่งไปตามทางบนเรือจนกระทั่งมาถึงสุดขอบเรือยักษ์

“ราชาวิญญาณมาร ท่านจะไปไหนน่ะ” อารักขามารตนหนึ่งมาเจอเข้าก่อนถามเช่นนั้น

“หามื้อเย็นน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

“เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วย”

หลังจากอารักขามารกล่าวเช่นนั้น มันก็ไม่ถามอะไรอีก

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมีทีมเชฟที่ละเอียดอ่อน แต่มีเพียงตัวเขาและธิดาสองตนเท่านั้นที่ได้รับอาหาร

มารทุกตนต้องไปที่ทะเลเพื่อหาอาหารด้วยตัวเอง

แน่นอน หากโชคไม่ดีก็จะถูกกินโดยสัตว์ประหลาดทะเล

แต่โชคดี เพราะมีเล็บมังกรมารแขวนอยู่บนเรือลำนี้ สัตว์ประหลาดทะเลจำนวนมากจึงจากไปทันทีที่พวกมันเข้ามาใกล้เรือลำนี้

ดังนั้น จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกมารที่จะล่าปลาเพื่อมาทำอาหารทะเลกิน

กู่ฉิงซานกระโดดลงไปในท้องทะเล

ดาบคลื่นเสียงกรีดร้องก่อนตามเขาไปติดๆ

เพียงพริบตา น้ำทะเลทั้งหมดแหวกเป็นทางยาวต่อหน้ากู่ฉิงซาน ทำให้เขาเหาะสู่ทะเลลึกได้อย่างรวดเร็ว

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

กู่ฉิงซานออกจากเรือยักษ์ไปไกลโพ้น

เขาเหาะสุดกำลัง บางครั้งใช้การหดตัวเพื่อเหาะไปหลายหมื่นไมล์เพียงแค่อึดใจเดียว จากนั้นจึงค่อยๆ ลดความเร็วลง

เขาอยู่ไกลจากเรือยักษ์มากนัก

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานจึงหยุดอยู่กับที่

เขาไม่ขึ้นบน แต่ลงล่าง

ดำลงไป!

หนึ่งพันเมตร

หนึ่งหมื่นเมตร

ห้าหมื่นเมตร

หนึ่งแสนเมตร

หนึ่งแสนเก้าหมื่นเมตร

สามแสนเมตร

หกแสนเมตร

หนึ่งล้านเจ็ดหมื่นเมตร!

ตำนานกล่าวไว้ว่าเลยผ่านเกาะมู่ซวีไปคือหุบเหวทะเลที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ แต่กู่ฉิงซานรู้สึกว่าถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่หุบเหวทะเล แต่ความลึกของมันก็ยากที่จะเข้าถึงได้

หากไม่ใช่เพราะดาบคลื่นเสียงที่ควบคุมให้น้ำทะเลถอยออกมา ด้วยรากฐานการฝึกฝนของกู่ฉิงซาน ย่อมไม่สามารถหาสิ่งที่เป็นประโยชน์จากที่นี่ได้

กู่ฉิงซานยืนอยู่ใต้ทะเลขณะชื่นชมสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเลลึก

เขาอยู่ไกลจากเรือยักษ์นัก แถมยังไกลจากหุบเหวทะเลที่แท้จริงและท้องทะเลลึกเสียอีก ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ไม่ต้องห่วงเรื่องสัตว์ประหลาดทะเลโบราณที่มีอายุหลายร้อยล้านปีด้วย

ส่วนสัตว์ประหลาดทะเลอายุหลายหมื่นปีเหล่านั้น

กู่ฉิงซานหยิบเล็บมังกรออกมาก่อนโยนลงบนพื้นสบายๆ

สัตว์ทะเลขนาดยักษ์จำนวนมากที่ลอบเห็นสิ่งนี้หนีเตลิดทันที

ว่าไปนั่น ถ้าหนีเตลิดเพราะของแค่นี้ก็คงมีอายุได้แค่ไม่กี่หมื่นปีหรอก!

“ดาบคลื่นเสียง สร้างจุดที่ทำให้หลายสิบคนยืนได้หน่อย”

ดาบคลื่นเสียงส่งเสียงหึ่ง รอบตัวของกู่ฉิงซานมีพื้นที่กว้างขวางก่อเกิดขึ้นมา

“ขอบใจ”

กู่ฉิงซานกล่าว

เขาหยิบยาเม็ดออกมา กินเข้าไปแล้วเริ่มพักผ่อน

ผ่านไปครึ่งก้านธูป เขาลืมตาขึ้น สภาพของเขาปรับตัวจนถึงขีดสุด

หลังจากนั้นเขาจึงพูดออกมาสองคำ

“พัฒนา”

ทันทีที่สิ้นเสียง แถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กเริ่มปรากฏแก่สายตาของเขา

“ท่านเลือกที่จะพัฒนา”

ใจกลางหน้าต่างต้นเพลิง ช่องพลังวิญญาณใต้การ์ดมรกต “ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน” กลายเป็นเปลวเพลิงร้อนแรง

สัญลักษณ์โลหิตขนาดเล็กยังคงปรากฏขึ้นมา

“ภัยพิบัติระดับแสวงโลกากำลังมาเยือน”

“โปรดทราบว่าท่านเป็นผู้ฝึกยุทธ ครั้งนี้จะต้องเผชิญทั้งลมและไฟ”

“หลังจากนับถอยหลังแล้ว ท่านจะต้องเริ่มทดสอบทันที”

“ห้า”

“สี่”

“สาม”

“สอง”

“หนึ่ง!”

ข้อความทั้งหมดบนหน้าต่างต้นเพลิงหายไป

สายลมพัดแรงกล้า

ภัยพิบัติลมมาเยือนก่อน

ในพื้นที่โล่งที่เปิดโดยดาบคลื่นเสียง เสียงจำนวนมากค่อยๆ ดังขึ้น

‘เหอะ’

“ฮ่าๆ”

“เนื้อ! เนื้อของนักพรตมนุษย์!”

“มีเจ้าโง่มาอีกคนแล้ว ข้าจะกินมันเอง!”

“แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน”

“นี่เหมือนกับก้นทะเลเลย”

“หา น่าแปลก ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนอยู่ที่สวรรค์ดึกดำบรรพ์ล่ะ”

พวกมารทรงพลังตนแล้วตนเล่าปรากฏตัวขึ้น

กู่ฉิงซานยืนอยู่เงียบๆ โดยไม่พูดอะไร

จนกระทั่งมารทุกตนมารวมตัวในตำแหน่งภัยพิบัติ

พวกมารมองรอบข้างอย่างสงสัย

พวกมันพลันตอบสนอง ทั้งหมดนี่เกิดจากภัยพิบัตินี้

“บัดซบ ข้าไม่เคยได้ยินเลยว่าจะมีนักพรตข้ามทะเลมาจากข้างใต้ด้วย”

“นักพรตมนุษย์ เจ้าเลือกที่นี่เป็นที่ตายของตัวเองอย่างนั้นหรือ”

“แต่ทำไมน้ำทะเลถึงไม่ตกลงมาล่ะ เป็นความสามารถของมันอย่างนั้นหรือ”

พวกมารจ้องกู่ฉิงซานขณะพูดพล่ามไปเรื่อย

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นแล้วมองรอบข้าง

“ขอโทษด้วย เวลาข้ามีค่านัก”

เขาพูดอย่างแผ่วเบา

วินาทีต่อมา

ยกเว้นเพียงที่ที่เขายืนอยู่ ทะเลพลันปิดตัวลง

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามราชามารที่ทรงพลังที่สุด เขาใช้เวลาอยู่ในทะเลมารโกลาหลมานับไม่ถ้วน

การค้นคว้าท้องทะเลกว้างใหญ่แห่งนี้ของเขานับว่ากว้างขวางกว่ามารทุกตน

ด้วยคำสั่งของเขา เล็บมังกรถูกแขวนสูงบนใบเรือ

ถึงแม้เล็บนี้จะเพียงมาจากมังกรมารวัยทารกเท่านั้น แต่มันก็มีพลังยับยั้งที่ทรงพลังเช่นกัน

ในทะเลมารโกลาหล สัตว์ประหลาดทะเลจะไม่เป็นฝ่ายยั่วยุสายเลือดมังกรก่อน

เพราะสัตว์ประหลาดทุกตัวที่มีสายเลือดมังกรมารจะต้องมีความสามารถทรงพลังสุดจินตนาการ

และยังมีเหตุผลสำคัญอีกข้อ

สัตว์ประหลาดทุกตัวกลัวว่าพวกมันจะถูกโจมตีโดยเลือดมังกรจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกับมังกร

ใช่แล้ว เลือดมังกรทั้งแปรปรวนและก้าวร้าว

ทันทีที่เลือดมังกรรุกล้ำเข้าสู่ร่างกาย ชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจนไปถึงแก่น

กลายเป็นมังกรมารวัยทารก ได้รับพลังลี้ลับทรงพลัง จากนั้นก็กลายเป็นจ้าวแห่งท้องทะเล

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย

มังกรจะตื่นขึ้นทุกๆ หลายแสนปีเท่านั้น

เมื่อใดก็ตามที่มันตื่น ชีวิตที่ถูกกัดกร่อนด้วยเลือดมังกรจะถูกดึงโดยพลังลี้ลับก่อนรวมตัวเข้าด้วยกัน

จากนั้นมังกรจะกินตัวอ่อนทั้งหมดเพื่อดึงแก่นของพลังโตเต็มวัยออกมา

ถ้ามันกินมากพอแล้วก็จะทำการหลับใหลต่อ

แต่ถ้าไม่มากพอล่ะก็…

พวกมารจะพากันมาล่า

สำหรับสัตว์ประหลาดทะเล การกลายเป็นสายเลือดมังกรมารเท่ากับเป็นการยอมรับความตายของตัวเอง

เว้นแต่ว่ามันจะสามารถวิวัฒนาการด้วยเลือดมังกรได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาจำกัดหลายแสนปีจนกลายเป็นตัวตนทรงพลังที่อยู่เหนือมังกรในบัดดลได้เท่านั้น

ถ้าเช่นนั้น ก็เป็นไปได้ที่มันจะจัดการมังกรที่ตื่นขึ้นก่อนดึงพลังของมังกรทั้งหมดออกมา

ผู้ชนะจะกลายเป็นมังกรตัวใหม่!

แต่เรื่องแบบนั้นแทบจะไม่เคยเกิดขึ้น

ดังนั้น สัตว์ประหลาดทะเลโบราณในทะเลมารโกลาหลจึงไม่เต็มใจที่จะสู้กับมังกรมารจนตัวตายเพื่อแลกกับพลังอันน้อยนิดเข้าไปใหญ่

พวกมันมีอายุขัยหลายสิบล้านปี

ตอนนี้ เมื่อเรือใบยักษ์ออกตัวอีกครั้ง ลมหายใจของมังกรมารปกคลุมทั่วทั้งใบเรือ

ในทะเลลึก สัตว์ประหลาดทะเลทรงพลังจำนวนมากถอยห่างจากเรือ

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งส่งลูกน้องไปตายบางส่วนในตอนแรก แต่ก็เก็บเกี่ยวเล็บของมังกรมารมาได้ ทำให้การเดินทางราบรื่นจนผิดคาด

เขาพึงพอใจกับเรื่องนี้

สำหรับกู่ฉิงซาน นี่นับเป็นข่าวดีเช่นกัน

เมื่อไม่จำเป็นต้องทำสงคราม การเดินทางจึงยาวนานและราบรื่น ส่งผลต่อความสะดวกสบายกับเขาในหลายๆ ด้าน

ยกตัวอย่างเช่น การเข้าครัวที่เป็นทะเลสาบเพื่อฟันอาหารทะเล

ก่อนเขาจะรู้ตัว พลังวิญญาณสามหมื่นแต้มก็มาอยู่ในมือแล้ว

พลังวิญญาณสองแสนแต้มรวมเข้าด้วยกัน

ถ้าอย่างนั้น…

สองแสนหนึ่งหมื่น

สองแสนแปดหมื่น

สามแสนเจ็ดหมื่น…

สี่แสน!

ถึงแม้จี้น้ำเต้าหยกจะปรากฏขึ้นเพื่อขอพลังวิญญาณเป็นครั้งคราว แต่พลังวิญญาณที่กู่ฉิงซานได้รับการยังเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง

หกวันต่อมา

เรือยักษ์ยังล่องอยู่ในทะเลมารโกลาหล

นับจากนี้ไป ความเกียจคร้านที่กระจายไปทั่วเรือนั้นหายไปสิ้น

ขณะสวมเกราะศึก จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งปรากฏตัวขึ้นและเริ่มถ่ายทอดคำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่า

ขณะเรือยักษ์แล่นต่อไป สีหน้าของเขายิ่งมายิ่งจริงจัง

พวกมารบางตนที่ปรับสภาพไม่ได้ชั่วคราวจะถูกส่งไปยังผนังโบสถ์

แม้กระทั่งมารยิ่งใหญ่ระดับลอร์ดก็ถูกสังหารต่อหน้าทุกตน

การแสดงออกของเขาจับใจมารทุกตน

ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเขานั้นมีอะไรกังวลอยู่

แต่ในใจของพวกมันรู้แน่ๆ อย่างหนึ่ง

พายุที่แท้จริงกำลังจะมา

หลังจากกู่ฉิงซานผ่าสัตว์ประหลาดทะเลตัวสุดท้ายแล้ว เขาจึงยืนขึ้น

“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยาก ราชาวิญญาณมาร” เชฟมารกล่าว

“อา ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ข้าต้องทำแบบนี้เพื่อใช้ความสามารถ เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” กู่ฉิงซานยิ้ม

มารอีกตนเตือนด้วยความหวังดีว่า “หลังจากท่านออกจากที่นี่แล้ว จำไว้ว่าต้องสวมเกราะให้ดี ไม่อย่างนั้นคงไม่ดีนักถ้าท่านถูกพบตัวเข้า”

“อย่างนี้นี่เอง”

มีหัวข้อมากมายที่ได้คุยระหว่างทำอาหารและทำครัว หลายวันมานี้ทุกตนเข้าขากันได้ดี ความประทับใจของกู่ฉิงซานที่เป็นท่านลอร์ดทรงพลังผู้สามารถสังหารตัวอ่อนมังกรมารก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องคุยเรื่องกังวลแบบนี้บ้าง

กู่ฉิงซานกล่าวลากับสหายที่รักการทำอาหารเช่นนี้ก่อนออกจากครัวไป

เขาพลิกการ์ดมรกตของ “เกราะศึกหมอกดำ” จนมันสั่นไหวเล็กน้อย

เกราะศึกครบชุดที่มีหมอกสีดำเลือนรางปกคลุมตัวเขาขณะสวมตั้งแต่หัวจรดเท้า

เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกังวลอะไรอยู่ พูดง่ายๆ คือระวังไว้จะดีกว่า

กู่ฉิงซานครุ่นคิดขณะเดินไปยังโถงจัดเลี้ยง

ใกล้ถึงเวลาสำหรับมื้อเย็นของพวกมารแล้ว

ทีมเชฟหลายสิบตนเสิร์ฟอาหารอย่างรวดเร็ว เขาเข้าไปที่นั่นขณะรอการมาถึงของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

ผ่านไปสักพัก

ห้องจัดเลี้ยง

พวกมารจำนวนมากมาถึงก่อนแล้ว

พวกที่สามารถเข้าโถงจัดเลี้ยงได้คือมารแข็งแกร่งที่สุดบนเรือ

เมื่อเห็นกู่ฉิงซานเดินเข้ามาพร้อมเกราะศึกหมอกดำ พวกมารจำนวนมากต่างทักทายเขา

จ้าวแห่งความเงียบพยักหน้าเล็กน้อยเช่นกัน

พวกมารยังเข้าขากันได้ดี ขอเพียงแค่ลึกๆ ไม่คิดจะกินกันเองก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

ผ่านไปสักพัก

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งปรากฏตัวแล้ว

เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น โต๊ะยาวเต็มไปด้วยอาหารที่มีไอกรุ่นทันที

วันนี้จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งไม่เริ่มกิน

“มีใครรู้บ้างว่าพวกเรากำลังจะมุ่งไปที่ใด”

เขาถามมารทุกตน

พวกมารเริ่มกระตือรือร้น

ดูท่าในที่สุดก็ถึงเวลาคลี่คลายความลี้ลับนี้แล้ว

เสมียนพูดขึ้นก่อนว่า

“นายท่าน ด้วยความเร็วปัจจุบัน พวกเราจะถึงเกาะมู่ซวีในอีกสามวัน”

เกาะมู่ซวี

นี่คือระยะทางไกลที่สุดที่เผ่าพันธุ์มารเคยล่องบนทะเลมารโกลาหลนับตั้งแต่บันทึกมาในหน้าประวัติศาสตร์

มีต้นไม้วิเศษยักษ์หยั่งรากลึกลงไปก้นทะเลถึงหนึ่งล้านเมตร มันเติบใหญ่ขึ้นมาจนท้ายที่สุดก่อเกิดเป็นเกาะใบไม้บนผิวทะเล

รากของมันทะลวงหุบเหวทะเลลึกลงไปในระดับน้ำทะเลอันไกลลิบ แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึงก้นของมันได้

ไม่มีมารตนไหนสามารถข้ามสถานที่นี้เพื่อทำการสำรวจต่อได้

น้ำทะเลลึกเช่นนี้เป็นพื้นที่อันตรายสำหรับพวกมาร

เพราะสัตว์ประหลาดทะเลมักชอบกินมารเสมอ พื้นที่ทะเลเหล่านั้นที่ไม่สามารถสำรวจได้จึงถูกเรียกว่าหุบเหวทะเลที่มีเพียงสัตว์ประหลาดทะเลโบราณระดับพันล้านปีเท่านั้นอาศัยอยู่ อีกทั้งยังเป็นสรวงสวรรค์ของพวกมัน

สำหรับสัตว์ประหลาดทะเลอายุหลายร้อยล้านปี พวกมันมีพละกำลังยิ่งใหญ่ รู้ความลับมากมาย มีปัญญาระดับสูงและรู้วิธีหลีกเลี่ยงการกัดกร่อนของเลือดมังกร

ในหุบเหวทะเลมารโกลาหลไร้พรมแดน ต่อให้เรือเต็มไปด้วยเล็บมังกรมารก็ใช้ไม่ได้ผล

เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนโบราณเช่นนี้ สิ่งเดียวที่พวกมารสามารถทำได้คือหลีกหนี

“ใช่แล้ว พวกเราจะถึงเกาะมู่ซวีในอีกสามวัน พวกเราจะพักที่นั่น”

“ดังนั้นนับจากวันนี้ไป พวกเราต้องค่อยๆ เข้าใกล้ทะเลที่แสนอันตราย”

“พวกเจ้าคือมารที่แข็งแกร่งที่สุดบนเรือลำนี้ ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าทั้งหมดต้องตื่นตัวเข้าไว้ สร้างทีมตามรายชื่อที่กำหนด ออกเรือตรวจตราภายในรัศมีสามร้อยไมล์”

“ทันทีที่เผชิญกับสถานการณ์ใดๆ สิ่งแรกที่ต้องทำคือฆ่า!”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

พวกมารรู้สึกท้อใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้

พวกมารยังไม่รู้ว่าเขาจะให้ทำอะไร

เขาพูดเพียงแค่ว่าฆ่า

แต่ฆ่าอะไรล่ะ

สัตว์ประหลาดทะเลหรือ

ดูท่าเขาจะไม่ยอมบอกความจริงให้ทราบจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย

รายชื่อถูกประกาศในไม่ช้า

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งแบ่งพวกมารทรงพลังออกเป็นสิบกลุ่ม

มารทุกตนเคลื่อนไหว

กลุ่มแรกเริ่มตรวจตราทันที

กลุ่มอื่นกลับห้องรับรองของตัวเองเพื่อพักฟื้นและรอให้ถึงเวลาของตัวเอง

กู่ฉิงซานถูกจัดให้อยู่กลุ่มสุดท้าย

พรุ่งนี้เช้า กลุ่มสุดท้ายจะต้องตรวจตรา

เขากลับห้องและรออยู่เงียบๆ

เวลาผ่านไปอย่างสงบ

กู่ฉิงซานวางแผ่นหยกวิชาดาบในมือลงก่อนถอนหายใจ

ตอนนี้เขาสามารถควบคุมดาบบินเจ็ดร้อยเล่มได้ ในเวลาเดียวกันก็สามารถสร้างการโจมตีด้วยดาบลับได้

แต่เป็นเรื่องยากนักที่จะรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่ดาบเดียว

ส่วนรากฐานการฝึกฝน

ดวงตาของเขาจับจ้องหน้าต่างต้นเพลิง

ช่องพลังวิญญาณมีพลังวิญญาณเพียงสองแสนแต้ม แต่มันกำลังเอ่อล้นขึ้นมาจนกระทั่งไปถึงห้าสิบล้านแต้ม

น่าเสียดายที่หากไม่ทำภารกิจพัฒนารากฐานการฝึกฝนตอนนี้ให้เสร็จ เขาก็จะไม่สามารถอัปเกรดบัญญัติราชามารโดยไม่ใช้พลังวิญญาณได้

ภัยพิบัติจากลมและไฟ

นี่คือครั้งแรกที่กู่ฉิงซานต้องเผชิญกับภัยพิบัติไฟในช่วงชีวิตอดีตและและปัจจุบัน

เขาระแวดระวังยิ่ง เตรียมการต่างๆ มากมายเพื่อเพิ่มสถานะตัวเองจนถึงจุดสูงสุด

แต่ตอนนี้มีบางสิ่งที่น่าละอายยิ่งกว่าอยู่

เขาไม่สามารถเริ่มการพัฒนาได้

เพราะนี่คือทะเลมารโกลาหล

ทันทีที่มีสายลมพัดโดนยอดหญ้า ย่อมต้องถูกพวกมารค้นพบในทันทีแน่นอน

นี่คือการพัฒนาของนักพรตมนุษย์เชียวนะ!

นักพรตมนุษย์กล้ามาโลกมารดึกดำบรรพ์เพื่อก้าวข้ามภัยพิบัติต่อหน้าราชามารทั้งที่อยู่ในพื้นที่ของราชามารตนนั้น ต้องเป็นวิญญาณแบบไหนกันถึงกล้าทำแบบนี้

นี่เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ

กู่ฉิงซานลอยขึ้นไปตามสายลม

ภูเขาน้ำแข็งตั้งอยู่สุดขอบเมืองอันไกลลิบ

เมื่อเทียบความเร็วการเหาะแล้ว มารทรงพลังตนอื่นที่ว่าเร็วกว่า

มารทมิฬที่ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงสีเทาวูบไหวในอากาศหลายครั้ง ผ่านกู่ฉิงซานไปก่อนจะถึงท้องนภาเหนือภูเขาน้ำแข็งแทบจะในทันที

“หลบไป”

เขาคำราม

พวกมารที่กำลังโจมตีหยุดมือตนแล้วตนเล่าก่อนถอยออกมา

พวกมันสังเกตเห็นเช่นกันว่าการโจมตีนั้นทำให้งูทะเลยักษ์เต็มไปด้วยโลหิต งูทะเลยักษ์ไม่ตอบสนอง ทั่วร่างไม่ขยับไปไหน

ดูเหมือนการโจมตีเหล่านั้นจะไม่เป็นผลอะไรเลย

พวกมารหยุดมือ บาดแผลทั้งหมดของงูทะเลยักษ์เริ่มสมานตัวอย่างรวดเร็ว

มารทมิฬมองงูทะเลอายุสามสิบล้านปีที่อยู่ด้านล่าง

เปลวเพลิงสีเทาไม่มีสิ้นสุดทะยานออกมาจากตัวเขาก่อนค่อยๆ กลืนกินเข้าไปทั้งตัว

เขาพุ่งขึ้นสูงสู่ท้องนภาขณะถือกลุ่มเปลวเพลิงสีเทาที่ปกคลุมท้องนภาเอาไว้ในมือข้างหนึ่งก่อนพลันโยนลงมา

เปลวเพลิงสีเทากระแทกใส่งูทะเลราวกับดาวตก

เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายที่อยู่ในเปลวเพลิงนี้ งูทะเลพลันโผล่ขึ้นมาจากท้องทะเล อ้าปากขนาดใหญ่แล้วกัดเปลวเพลิงสีเทาที่ตกลงมาจากท้องนภา

เบื้องหน้าฉากอันน่าตกตะลึงนี้ มารตนอื่นทำได้แค่ถอยออกมาด้วยความอับอาย

ไม่มีใครอยากได้รับผลจากการต่อสู้ครั้งนี้

ผู้ตัดสินที่ถือกิโยติน จ้าวแห่งความเงียบและกู่ฉิงซานล้วนหยุดอยู่กลางอากาศขณะมองการโจมตีอันเฉียบขาดนี้

ผู้ตัดสินถอนหายใจออกมา “ทันทีที่มาถึงก็ใช้เปลวเพลิงสีเทากลืนกินชีวิตทันที ดูท่าเรื่องราวคงจะจบแล้วล่ะ”

เมื่อรู้ว่าจ้าวแห่งความเงียบและราชาวิญญาณมารกำลังมองอยู่ เขาอธิบายว่า “มารทมิฬคือผู้ใช้เปลวเพลิงสีเทากลืนกินชีวิตได้ดีที่สุด เวลาเผชิญกับบางสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับชีวิต เขาจะกลืนกินพลังชีวิตของอีกฝ่ายเพื่อรักษาการเผาไหม้ของตัวเองเอาไว้จนกว่าอีกฝ่ายจะตายจนไม่มีพลังชีวิตให้กลืนกินอีก เมื่อนั้นเปลวเพลิงสีเทาจึงจะดับลง”

หัวใจของกู่ฉิงซานสั่นสะท้าน

นี่เป็นทักษะที่เป็นปัญหาเอาเรื่อง ด้วยทักษะนี้ เกรงว่าไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะจัดการศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง

ระบบลี้ลับเป็นเช่นนี้เสมอ ด้วยการหลอมรวมโดยบังเอิญของแหล่งกำเนิดโลกอันไร้ที่สิ้นสุดกับพลังวิญญาณ พลังวิเศษที่คาดไม่ถึงจะถือกำเนิดขึ้นมา

สำหรับการต่อสู้ ความสามารถจากระบบลี้ลับไม่ต้องใช้เหตุผลใดๆ เลย

ตอนนี้ เปลวเพลิงสีเทาไม่มีสิ้นสุดปะทะเข้ากับงูทะเลยักษ์

ซู่

เปลวเพลิงสีเทาร้อนแรงพลันปรากฏขึ้นบนร่างของงูทะเลยักษ์

เปลวเพลิงร้อนแรงโหมกระหน่ำจนถึงท้องนภา

งูทะเลยักษ์แผดเสียงกรีดร้องน่าสะพรึงออกมา

มันบิดตัวดิ้นรนไปมาท่ามกลางเปลวเพลิงราวกับกำลังหักห้ามความเจ็บปวดอันมหาศาล

สูงขึ้นไปบนท้องนภา มารทมิฬค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา

อีกฝ่ายไม่ได้ซ่อนตัว

ช่างโง่เขลานัก

ขอแค่ถูกเปลวเพลิงแยกชีวิตเข้าไป สัตว์ประหลาดตัวนี้ก็มีแต่ต้องถูกเผาจนตัวตาย

มารทมิฬมองงูทะเลยักษ์ดิ้นไปมาจนถึงแก่ความตายในที่สุด เมื่อนั้นมารทมิฬจึงลงไป

มีคนกล่าวว่ามีสมบัติอยู่ในสัตว์ประหลาดทะเลที่มีชีวิตมาหลายพันปีเสมอ แต่ไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดทะเลตัวนี้จะมีอะไร

ตัวนี้เขาเป็นคนสังหารเอง จึงไม่มีใครสามารถเข้ามาแย่งได้

สมบัติต้องเป็นของนายท่าน หากนายท่านอนุมัติจึงจะเป็นของเขา

ดีมาก ต้องแบบนั้นแหละ

นี่คือความคิดสุดท้ายของมารทมิฬ

ท่ามกลางเสียงอุทานจำนวนมาก เปลวเพลิงสีเทาที่เข้มยิ่งกว่าพลันพวยพุ่งจากงูทะเลยักษ์ก่อนกระแทกใส่มารทมิฬโดยตรง เพียงอึดใจเดียวก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน

ในเวลาเดียวกัน งูทะเลยักษ์พลันเริงร่าขึ้นมาจนกลับมามีกำลังวังชาอีกครั้ง

เปลวเพลิงสีเทาหายไปสิ้น

บาดแผลทั้งหมดก็หายไป

ดูเหมือนมันจะกลับสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง

พวกมารต่างตกตะลึง

นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น

พวกมันเห็นร่องรอยความโหดเหี้ยมและความเหยียดหยันในดวงตาของงูทะเลยักษ์

มันส่งกระแสจิตไปทุกทิศทาง

“เผาชีวิตข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าโง่ ข้ายังมีชีวิตเหลืออีกหลายร้อยล้านปีเลยนะ”

จากนั้นพวกมารจึงตอบสนอง

ใช่แล้ว นี่คือสัตว์ประหลาดทะเลโบราณ!

มันมีอายุขัยยืนยาวนัก

เปลวเพลิงแยกชีวิตจะเผาไหม้จนกว่าจะตาย ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปีจึงจะเผาจนหมดสิ้น

แต่ทำไมเปลวเพลิงแยกชีวิตบนงูทะเลยักษ์ตัวนี้ถึงได้หายไปล่ะ

ทำไมมารทมิฬถึงถูกสังหารด้วยทักษะของตัวเองล่ะ

พวกมารต่างสับสน

ผู้ตัดสินคำรามออกมา “บัดซบ! ไม่อยากจะเชื่อ ทำไมมารทมิฬถึงถูกฆ่าด้วยเปลวเพลิงของตัวเองล่ะ!”

เขาหยิบกิโยตินที่อยู่ด้านหลังออกมา

กู่ฉิงซานเห็นแววตาของอีกฝ่ายก่อนเกลี้ยกล่อม “รอเดี๋ยวก่อน ดูเหมือนมันจะมีทักษะสะท้อนกลับพิเศษ อย่าโจมตีบุ่มบ่าม”

ผู้ตัดสินพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา “ข้าก็สัมผัสได้เช่นกันว่าผิวหนังของมันอาจจะสะท้อนทุกการโจมตีได้ แต่มันเปล่าประโยชน์เมื่อเจอกับข้า”

เขาโยนกิโยตินออกไป

“สังเวย เก้าชีพช่วงชิงวิญญาณ!”

ผู้ตัดสินตะโกน

ฉับพลันนั้นเอง มารเก้าตนที่อยู่บนท้องนภาส่งเสียงคร่ำครวญ

พวกมันระเบิดเป็นโลหิตจำนวนมากก่อนกลับเข้าสู่กิโยตินตนแล้วตนเล่า

“มารพวกนี้เป็นลูกน้องของข้า ทีนี้ข้าสังเวยพวกมันเพื่อจะแก้แค้นให้กับมารทมิฬ ท่านลอร์ดทั้งสอง โปรดอย่าก้าวก่าย” ผู้ตัดสินกล่าว

หลังจากนั้น ไม่ว่าจ้าวแห่งความเงียบและราชาวิญญาณมารจะตอบสนองอย่างไร เขาก็ลงมือใช้งานทักษะลี้ลับแล้ว

กิโยตินได้รับโลหิตเก้าก้อนก่อนพองตัวเป็นโครงกระดูกสีโลหิต มันเหาะเข้าไปหางูทะเลยักษ์ด้วยความเร็วที่สูงยิ่ง

“วิชาวิญญาณ…” กู่ฉิงซานพึมพำ

เขารู้สึกถึงผลกระทบต่อวิญญาณจากวิชาลี้ลับนี้

เมื่องูทะเลยักษ์เห็นโครงกระดูกสีโลหิตนี้ ดวงตาเหยียดหยันพลันแข็งกร้าวมากขึ้น

มันอ้าปากแล้วดูดเข้าไป จากนั้นก็อาเจียนออกมา

โครงกระดูกโลหิตพลันหายไป

ไม่ช้า หัวกะโหลกปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

คราวนี้ หัวกะโหลกปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้ตัดสิน

มันจมเข้าสู่ร่างของผู้ตัดสินทันที

เพียงอึดใจเดียว

ภูตผีพุ่งออกจากร่างของผู้ตัดสินก่อนทะยานสูงขึ้นสู่ท้องนภา

นั่นคือวิญญาณของผู้ตัดสิน!

โครงกระดูกโลหิตขยับเข้าใกล้ขณะคว้าวิญญาณของผู้ตัดสินเอาไว้แล้วกอดเอาไว้แน่น

“อย่า!”

วิญญาณของผู้ตัดสินกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง

โครงกระดูกโลหิตกลายเป็นกิโยตินก่อนฟาดฟันใส่อากาศ!

วิญญาณของผู้ตัดสินถูกฟันเป็นสองส่วนก่อนหายไปในท้องนภา

ร่างของเขาจมดิ่งสู่ท้องทะเล มีเพียงละอองเล็กๆ ปรากฏขึ้น จากนั้นจึงไม่เห็นอะไรอีก

ทั่วทั้งท้องนภา พวกมารทั้งหมดที่ออกไปสู้ถูกสังหารโดยงูทะเลยักษ์

มีเพียงจ้าวแห่งความเงียบและราชาวิญญาณมารที่ยังรอดอยู่เพราะไม่ได้ลงมือ

“วิชาวิญญาณก็สามารถส่งผลสะท้อนกลับได้ เจ้าจะทำยังไงล่ะ” กู่ฉิงซานถามเสียงต่ำ

จ้าวแห่งความเงียบรู้เช่นกันว่าสถานการณ์อันตรายยิ่งนัก นางจึงส่งกระแสจิตมาหากู่ฉิงซาน “ข้ามีวิชาลี้ลับมากมาย แต่ไม่กล้าโจมตีใส่น่ะ”

“เจ้าสามารถวางกับดักได้หรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

ด้านหลังของเขา ดาบบินเจ็ดร้อยเล่มปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายดาบอันเย็นเยือกบนร่างกายของกู่ฉิงซาน ดวงตาของจ้าวแห่งความเงียบทอประกาย

ใช่แล้ว เพราะงูทะเลยักษ์ตัวนี้สะท้อนกลับวิชาลี้ลับทั้งหมด คงดีกว่าที่จะสังหารมันในครั้งเดียว!

“ถ้าการควบคุม…ข้าพอจะมีอยู่” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

“เอาเลย เจ้าขัดขวางและควบคุมมันจากด้านหลัง” กู่ฉิงซานกล่าว

“ได้” จ้าวแห่งความเงียบกล่าวอย่างยินดี

ค่ายกลดาบของกู่ฉิงซานขยับ

ดาบบินทุกเล่มเคลื่อนผ่านความว่างเปล่า ฟาดฟันใส่งูทะเลยักษ์ด้วยประกายดาบอันคมปลาบ

ตอนนี้ งูทะเลยักษ์มองมาที่พวกเขาทั้งสองแล้ว

มันเห็นดาบบินปกคลุมทั่วท้องนภา แววตาเกิดความคาดหวังเล็กน้อย

นี่คือการโจมตีกายภาพที่พื้นฐานและเรียบง่ายที่สุด

คาดไม่ถึง ในทะเลแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยพลังลี้ลับ ยังมีมารที่ใช้วิธีโจมตีแสนเรียบง่ายแบบนี้

งูทะเลยักษ์เงยหน้าขึ้น

ฉับพลันนั้นเอง ดาบบินพุ่งเข้าหางูทะเลยักษ์!

ดาบบินทุกเล่มฟาดฟันใส่งูทะเลยักษ์ก่อนหายไปทันที

ดาบบินเหล่านี้พลันปรากฏตรงหน้ากู่ฉิงซานก่อนฟาดฟันใส่

กู่ฉิงซานยืนนิ่ง

ดาบบินทุกเล่มรีบหยุดขณะส่งเสียงฮัมในอากาศอย่างเกรี้ยวกราด

ดาบบินมีชีวิตและจะไม่มีวันฆ่าเจ้านาย

“พลังทวีคูณ แม้กระทั่งการโจมตีกายภาพก็สามารถสะท้อนได้…ดูท่านี่คือความสามารถลี้ลับที่สะท้อนกลับทวีคูณล่ะนะ”

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว

ความสามารถนี้ทรงพลังเกินไป

ไม่สงสัยเลยว่าอีกฝ่ายถึงสามารถมีชีวิตมาได้นานกว่าสามสิบล้านปี

จ้าวแห่งความเงียบกำลังร่ายวิชา นางลังเลเมื่อเห็นฉากนี้

“ไม่เป็นไร เจ้าทำต่อเถอะ ข้าจะหาทางเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาเหาะเข้าไปหางูทะเลยักษ์

งูทะเลยักษ์มองเขาอย่างคาดไม่ถึง

กล้าเข้ามาหาแบบนี้เลยหรือ

ลูกตาของมันกลอกไปมาขณะถอยห่างเล็กน้อย หลังจากนั้นร่างกายของงูขดงอราวกับเตรียมพร้อมจะพุ่งออกมา

หัวใจของกู่ฉิงซานดิ่งวูบ

งูทะเลยักษ์ตัวนี้ไม่เพียงแค่ทรงพลังเท่านั้น แต่ยังฉลาดและระแวดระวังอีกด้วย

เขากุมดาบเสียงคลื่นเอาไว้

เมื่อเขากำลังจะลงมือ ถุงเก็บของพลันขยับ

จี้น้ำเต้าหยกพุ่งออกมาอีกครั้ง

มันยังคงบินรอบกู่ฉิงซานพร้อมกับส่งเสียง ‘ฟิ่ว’ ไปมา

การเคลื่อนไหวของกู่ฉิงซานชะงัก

ต้องขอบคุณความสามารถวิญญาณที่ได้รับมาจากโลกของเทพ เขาจึงสามารถสื่อสารด้วยวิญญาณได้

ไม่เพียงแค่คุยกับดาบเสียงคลื่นได้เท่านั้น แต่ยังคุยกับจี้น้ำเต้าหยกได้อีกด้วย แถมเขายังเข้าใจความหมายที่อีกฝายสื่อมา

จี้หยกนี้เพิ่งตื่นขึ้นมา ตอนนี้มันกำลังต้องการพลังวิญญาณ…

“อย่าสร้างปัญหา ตอนนี้ข้ากำลังสู้อยู่” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจนใจ

จี้น้ำเต้าหยกหันไปรอบๆ จนพบงูทะเลยักษ์

‘ฟิ่ว…’

จี้น้ำเต้าหยกส่งเสียงอีกครั้ง

“โจมตีหรือ เจ้าจะให้ข้าใช้การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดเพื่อเล่นงานมันอย่างนั้นหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความประหลาดใจ

‘ฟิ่ว! ฟิ่ว!’

จี้น้ำเต้าหยกกล่าว

กู่ฉิงซานลังเลแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไรแน่หรือ”

เขาไม่มีเวลาจะมาสื่อสารกับจี้น้ำเต้าหยกแล้ว

งูทะเลยักษ์ที่อยู่อีกฝั่งเห็นเขานิ่ง มันจึงเป็นฝ่ายลงมือก่อน

งูทะเลยักษ์พุ่งเข้าใส่ทันที!

กู่ฉิงซานไม่มีเวลามาคิดอะไรอีกแล้ว

เขาอัญเชิญดาบบินทั้งหมดแล้วถ่ายพลังวิญญาณจำนวนมากเข้าไปทันที

ดาบเจ็ดร้อยเล่ม

วิชาดาบลับ โหมกระหน่ำอย่างหนัก!

ดาบบินทั้งหมดใช้วิชาดาบลับ “โหมกระหน่ำอย่างหนัก” พร้อมกัน ท้องนภาปกคลุมด้วยประกายดาบนับไม่ถ้วนทันที

นี่คือคลื่นวิชาดาบในยุคก่อนประวัติศาสตร์!

งูทะเลยักษ์พุ่งเข้าใส่คลื่นดังกล่าว ขัดขืนประกายดาบก่อนเคลื่อนเข้าหากู่ฉิงซาน

ฉับพลันนั้นเอง มันพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ

มีความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดขึ้นกับร่างกายเป็นจำนวนมาก

งูทะเลยักษ์พลันเข้าใจ

นี่หมายความว่าวิชาวิเศษลี้ลับของมันล้มเหลว!!

ไม่ ไม่ใช่ล้มเหลว แต่ถูกชดเชยด้วยวิชาลี้ลับที่มีระดับและธาตุแบบเดียวกัน

ตอนนี้ มันมีแต่ต้องฝืนทนคลื่นดาบอันเกรี้ยวกราดนี้!

งูทะเลยักษ์อยากหันหลังกลับ

แต่ตอนนี้ มันไม่สามารถขยับได้เลย!

เมื่อเห็นการทุ่มสุดกำลังของกู่ฉิงซาน จ้าวแห่งความเงียบใช้วิชาพันธนาการที่แข็งแกร่งที่สุดทันที

ช่างเป็นการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ!

ท้องนภาและปฐพีเต็มไปด้วยประกายดาบ งูทะเลยักษ์ไม่สามารถหลบหนีได้!

ประดายดาบเจิดจ้ากระหน่ำใส่ร่างกายของมัน ร่างกายขนาดใหญ่เปรียบเสมือนสำลีในสายลมที่ถูกพัดและฟันจนเละก่อนจะหายไปในที่สุด

คลื่นดาบที่ปกคลุมท้องนภาค่อยๆ หายไป

งูทะเลยักษ์ไม่เหลือแม้แต่กระดูก

กู่ฉิงซานอยู่กลางอากาศ

เขาไม่ยินดีที่ตัดศีรษะอีกฝ่ายได้

เพราะตอนนี้ จี้น้ำเต้าหยกกำลังบินรอบตัวเขาราวกับเชื้อเชิญบางอย่างขณะส่งเสียง “ฟิ่ว” “ฟิ่ว” เพื่อบอกว่ามันพยายามมากแค่ไหน

ใช่แล้ว มันคือเทวภัณฑ์จากยุคโบราณ

ตอนมันเริ่มพูด ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ได้ทราบความสามารถของมัน

ข้อความแจ้งเตือนต่อเนื่องปรากฏบนหน้าต่างต้นเพลิง

“จี้หยก: ให้ความเคารพท่านด้วยการบอกความลับ”

“ท่านได้เรียนรู้หนึ่งในวิชาวิเศษ”

“ร้อยแสงสาดส่อง: เป็นการช่วงชิงความสามารถของศัตรูชั่วคราว หลังจากใช้ความสามารถนี้หนึ่งครั้ง เพื่อปกปิดเอาไว้ ความสามารถนี้จะหายไปจากท่านทันที”

“คำอธิบาย: หนึ่งแสงกระจายออกเป็นร้อยแสง”

กู่ฉิงซานมองข้อความแจ้งเตือนเหล่านี้ด้วยความสับสนและอดที่จะกล่าวไม่ได้ว่า “ร้อยแสงสาดส่องอะไรกัน นี่ก็แค่ช่วงชิงสกิลของผู้อื่นมาก็เท่านั้น…”

จี้น้ำเต้าหยกไม่ยินดีที่ได้ยินเช่นนั้น

มันยังคงส่งเสียง “ฟิ่ว” “ฟิ่ว” ราวกับกำลังยืนกรานอธิบายอะไรบางอย่าง

กู่ฉิงซานฟังอยู่สักพักก่อนจะเข้าใจในที่สุด

“ถ้าในมุมของผู้ฝึกยุทธ มันก็เรียกว่าการช่วงชิงนั่นแหละ”

นี่คือความหมายที่จี้น้ำเต้าหยกต้องการจะสื่อ

ในเวลาเดียวกัน ขณะที่มันส่งเสียง ข้อความทั้งหมดบนหน้าต่างต้นเพลิงขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ !

นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

เขาเห็นแถวข้อความโลหิตชุดใหม่ปรากฏขึ้นมา

“ร้อยแสงสาดส่อง…ช่วงชิงความสามารถจากศัตรูไปชั่วคราว หลังจากใช้ความสามารถนี้หนึ่งครั้ง ความสามารถนี้จะหายไปจากตัวท่าน”

“คำอธิบาย…หนึ่งแสงกระจายออกเป็นร้อยแสง”

“หมายเหตุพิเศษ…ท่านมีการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยม ข้าจะช่วยทำการสนับสนุนท่านต่อไป”

กู่ฉิงซานมองแถวข้อความบนหน้าต่างต้นเพลิงอย่างเงียบงัน

ชั่วชีวิตนี้ เขาไม่เคยเห็นคำอธิบายที่ยุติธรรมแบบนี้มาก่อน

แต่นี่ช่วยให้เขาจัดการสัตว์ประหลาดทะเลได้อย่างรวดเร็ว

ตอนที่สัตว์ประหลาดทะเลเตรียมพร้อมจะโจมตี สถานการณ์ก็เข้าขั้นวิกฤติหนัก

แต่มารผู้ต่อสู้อยู่กลางอากาศเหลือเพียงเขาและจ้าวแห่งความเงียบ

จ้าวแห่งความเงียบเหมือนจะไม่เก่งการต่อสู้ระยะประชิด ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงต้องออกไปก่อน

ความสามารถของงูทะเลยักษ์คือการโจมตีสะท้อน แต่โชคดี ดาบคลื่นเสียงไม่ได้รับผลจากความสามารถของงูทะเลยักษ์ตัวนี้

ดาบคลื่นเสียงสามารถควบคุมทะเลได้

หรือก็คือ งูทะเลยักษ์จะต้องพัวพันกับทะเลอย่างไม่มีสิ้นสุด

ไม่ว่าจะสะท้อนได้แค่ไหน มันก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายกับกู่ฉิงซานได้

เดิมกู่ฉิงซานวางแผนจะใช้สิ่งนี้เพื่อชะลอการโจมตีของงูทะเลยักษ์เอาไว้ จากนั้นค่อยหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย

ใครจะรู้ล่ะว่ามีเด็กทารกที่สามารถช่วงชิงทักษะในระหว่างการต่อสู้นี้ได้!

ตอนนี้ แถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

“สังหารสิ่งมีชีวิตโบราณ: มังกรมารร่างทารก”

“ท่านดึงพลังวิญญาณจากวิญญาณของสิ่งมีชีวิตนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ: หนึ่งแสนแปกหมื่นแต้ม”

พลังวิญญาณหนึ่งแสนแปดหมื่นแต้ม!

กู่ฉิงซานมองการ์ดตรงกลางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

เขาเห็นการ์ดสีมรกต “ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน” แถบความคืบหน้าพลังวิญญาณถูกเติมเต็ม อีกนิดเดียวก็จะไปสู่ระดับต่อไปแล้ว

เหลือพลังวิญญาณอีกสองหมื่นแต้มเท่านั้น!

หัวใจของกู่ฉิงซานพลันมั่นคง

เขามองจี้น้ำเต้าหยกแล้วกล่าวว่า “มานี่”

จี้น้ำเต้าหยกลอยมาอยู่หน้าเขาทันที

กู่ฉิงซานกุมจี้น้ำเต้าหยกเอาไว้แล้วถามว่า “คราวนี้เจ้าต้องการพลังวิญญาณเท่าไหร่”

‘ฟิ่ว’

“เข้าใจแล้ว”

กู่ฉิงซานมอบพลังวิญญาณหนึ่งหมื่นแต้มให้กับจี้หยก

จี้หยกมีความสุขขณะบินรอบกู่ฉิงซานวนไปมา

กู่ฉิงซานยิ้มแล้วกล่าวว่า “ทำได้ดีมาก เจ้าช่วยข้าไว้หลายอย่างเลย”

เขามองไปทางเรือ ในใจแอบกังวลเล็กน้อย

การต่อสู้เมื่อครู่ถูกจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเห็นแล้ว

แม้กระทั่งพวกมารระดับสูงก็เป็นสักขีพยานกับทุกสิ่ง

พวกมันจะคิดอย่างไร

ถ้าพวกมันรู้ว่าจี้น้ำเต้าหยกทรงพลัง พวกมันจะมีความคิดอื่นหรือเปล่า

ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง ต่อให้ได้ยินว่ามีสมบัติที่สามารถหยิบยืมความสามารถของผู้อื่นจากอากาศบางได้ มันก็เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นอยู่ดี

“เอาเถอะ ดูท่าการต่อสู้เมื่อครู่คงไม่ถูกปกปิดล่ะนะ” กู่ฉิงซานพึมพำ

ตอนนี้ จี้น้ำเต้าหยกได้ยินคำพูดของเขาก่อนนิ่งอยู่กลางอากาศทันที

มันยังคงส่งเสียง “ฟิ่วๆ” ต่อหน้ากู่ฉิงซานราวกับพยายามจะอธิบายบางสิ่ง

เมื่อกู่ฉิงซานได้ยินดังนี้ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง

ว่าไงนะ

ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ

ขณะตกตะลึง แถวตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กปรากฏบนหน้าต่างต้นเพลิง

“จี้หยก: ให้ความเคารพท่านด้วยการบอกความลับ”

“ท่านได้เรียนรู้หนึ่งในวิชาวิเศษ”

“หยกไร้ข้อบกพร่อง: มีเพียงท่านที่รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของหยกนี้”

“คำอธิบาย: หยกไร้ข้อบกพร่อง ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพเท่านั้นจึงจะปรากฏ หากเป็นสิ่งมีชีวิต มันจะล่องหน”

กู่ฉิงซานชำเลืองมองหน้าต่างต้นเพลิงก่อนพบว่าความเข้าใจของเขาถูกต้อง

หรือก็คือ

ไม่ว่าน้ำเต้าหยกจะทำอะไรก็จะไม่มีใครรู้อย่างนั้นหรือ

กู่ฉิงซานกำลังคิดจนเห็นว่าจ้าวแห่งความเงียบเหาะมาหาแล้ว

นางมีสีหน้าไม่อยากเชื่อเล็กน้อย

“คาดไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่มันหวาดกลัวที่สุดถึงกับเป็นเรื่องพื้นฐานอย่างการโจมตีทางกายภาพ”

กู่ฉิงซานใช้หูฟังขณะมองจี้น้ำเต้าหยกที่ลอยอยู่ตรงหน้าโดยไม่พูดอะไรมาสักพักใหญ่

นางไม่รู้จริงๆ หรือว่าเมื่อครู่จี้น้ำเต้าหยกทำอะไร

จี้น้ำเต้าหยกสังเกตเห็นสายตาไม่เชื่อมั่นของกู่ฉิงซานก่อนจะส่งเสียง “ฟิ่ว” อย่างเหยียดหยันออกมา

มันลอยตรงไปหาจ้าวแห่งความเงียบ

ภายใต้สายตาของกู่ฉิงซาน จี้น้ำเต้าหยกกำลังแกว่งไกวและบินอยู่หน้าจ้าวแห่งความเงียบ

แต่จ้าวแห่งความเงียบคล้ายกับเมินสิ่งนี้

นางยังถอนหายใจ “ในทะเลที่เต็มไปด้วยพลังลี้ลับนี้ พวกเราล้วนใช้พลังของธาตุลี้ลับในการต่อสู้ พวกเราแทบไม่เคยโจมตีด้วยอาวุธพื้นฐานด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้น พวกมารทรงพลังเมื่อครู่ก็คงไม่ตายแบบนี้หรอก”

กู่ฉิงซานมองสีหน้าของนางก่อนมั่นใจได้ว่าจี้น้ำเต้าหยกมีวิธีป้องกันไม่ให้ตัวตนอื่นมองเห็นมันได้จริง

“นี่ช่างเป็นพลังที่แสนลี้ลับ ข้าเริ่มเวียนหัวเพราะมันแล้วสิ กลับกันเถอะ”

เขาพูดกับจี้น้ำเต้าหยก

จี้น้ำเต้าหยกชื่นชมขณะลอยกลับอย่างกระตือรือร้นก่อนลงบนศีรษะของกู่ฉิงซาน

มันอยู่กลางศีรษะของกู่ฉิงซานอย่างภาคภูมิใจ

ช่างเถอะ…

ถึงแม้จะไม่มีใครสามารถมองเห็นจี้น้ำเต้าหยกนี่ได้ กู่ฉิงซานรู้สึกแปลกเล็กน้อยที่มีวัตถุรูปทรงน้ำเต้าอยู่บนศีรษะ

“เอาล่ะ เจ้าเอาพลังวิญญาณไปเลย เจ้าทำงานได้ดีมาก ตอนนี้กลับไปพักผ่อนเถอะ หากมีอะไรให้ทำอีก ข้าจะติดต่อเจ้า”

“แล้วก็ จี้หยกมีไว้เพื่อสวม อย่าอยู่บนศีรษะข้าอีกในอนาคต”

เขาส่งคำพูดออกไป

จี้น้ำเต้าหยกรู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อยก่อนกลับเข้าถุงเก็บของของกู่ฉิงซาน

ในถุงเก็บของ มันพบพื้นที่ว่างก่อนกลิ้งไปมาหลายครั้งแล้วหยุดเคลื่อนไหว

มันหลับไปทั้งอย่างนั้น!

ถึงเรื่อมจะเกิดยาวนาน แต่มันผ่านไปเพียงแค่ชั่วครู่

กู่ฉิงซานมองจ้าวแห่งความเงียบ

“ใช่” เขาได้ยินคำพูดของจ้าวแห่งความเงียบดังก้องก่อนกล่าวต่อว่า “โชคดีที่เจ้าช่วยข้าขังมันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นมันคงหนีรอดไปได้จริงๆ”

จ้าวแห่งความเงียบยิ้ม

ตอนนี้ แสงเจิดจ้าเล็กน้อยวูบไหวบนทะเล

“มีคำกล่าวว่าสัตว์ประหลาดทะเลโบราณหลายสิบล้านปีจะมีสมบัติอยู่ ไปดูกันเถอะว่ามันมีอะไรบ้าง” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

“ได้เลย”

ทั้งสองเหาะลงไปแตะผิวทะเลอย่างแผ่วเบาขณะมองแสงระยิบระยับ

มันคือเล็บแหลมคมจำนวนหนึ่งที่ยาวเท่าครึ่งแขนขณะลอยอยู่บนผิวทะเลอย่างเงียบงัน มันสะท้อนแสงและเงาไปรอบข้าง

“อะไรน่ะ”

จ้าวแห่งความเงียบถามด้วยความประหลาดใจ

นางสะบัดมือก่อนนำเล็บตรงหน้าขึ้นมา

“กลายเป็นว่ามันคือเล็บของมังกรมาร ไม่สงสัยเลยว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้จะมีพลังวิเศษที่แก่กล้าเช่นนี้ เกรงว่ามันมีสายเลือดของมังกรมาร”

กู่ฉิงซานมองเล็บแหลมคม

วิชาดาบของเขาสังหารสัตว์ประหลาดลงได้ แต่กลับไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนบนเล็บเหล่านี้ได้เลย

ไม่มีทางที่จะจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของสัตว์ประหลาดทะเลตัวนี้ได้หากมันยังคงวิวัฒนาการต่อไป

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมองเล็บมังกรจำนวนหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ

“โชคดีที่เป็นแค่เล็บ”

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับเป็นคนที่ออกไปเองว่า “จากการต่อสู้เมื่อครู่ มันยังอยู่วัยทารก ดังนั้นทักษะจึงยังไม่ได้วิวัฒนาการเต็มที่ ไม่อย่างนั้นวิชาดาบของเจ้าไม่สามารถฆ่ามันได้ สุดท้ายพวกเจ้าทั้งคู่ก็จะตาย”

“โดยเฉพาะเจ้า ราชาวิญญาณมาร เดิมข้าคิดว่าเจ้าจะใช้ความสามารถควบคุมทะเลเพื่อหลีกเลี่ยงการสะท้อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ระยะยาวเสียอีก”

“เป็นไปได้หรือที่การควบคุมท้องทะเลจะไม่โดนสะท้อนกลับ” มารทรงพลังอีกตนร่วมวงสนทนา

มันถูกปกคลุมด้วยอักขระบิดเบี้ยว อากาศรอบข้างกลายเป็นเส้นบิดเบี้ยวอยู่ข้างหน้า

ดูท่ามันจะเป็นมารทรงพลังที่มีสถานะยิ่งใหญ่

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งตอบคำถามอย่างอดทนเช่นกัน

“เพราะความสามารถควบคุมทะเลถูกแบ่งเป็นสองขั้น ขั้นแรกคือควบคุมทะเล ขั้นที่สองคือการโจมตีสัตว์ประหลาดจากทะเล ดังนั้นถ้าสัตว์ประหลาดทะเลมีการสะท้อนกลับ ราชาวิญญาณมารก็จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ความจริง การสะท้อนนี้เป็นความสามารถลี้ลับที่สามารถตามรอยวัตถุที่เข้ามาโจมตีได้เท่านั้น มันจะไม่เกิดการสะท้อนซ้ำสองจนความสามารถนี้ถูกทำลาย นี่คือวิธีการต่อสู้ที่ถูกต้อง”

กู่ฉิงซานถอนหายใจหลังจากได้ยินเช่นนี้

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งช่างพูดได้อย่างปราดเปรื่องยิ่งนัก

หากไม่ใช่เพราะการช่วยเหลือจากจี้น้ำเต้าหยก เขาก็เตรียมที่จะทำแบบนั้นจริงๆ

“ยังไงก็ตาม มันตายแล้ว ข้าไม่อยากพบสัตว์ประหลาดทะเลเช่นมังกรตัวนี้อีกในอนาคต” กู่ฉิงซานกล่าว

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหัวเราะ

พวกมารตนอื่นหัวเราะเช่นกัน

ไม่มีมารตนไหนอยากพบกับมังกรทั้งนั้น

มังกรมารคือตัวตนแท้จริงของโลกมารที่อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร มันหลับใหลอยู่ในสถานที่ลึกลับ จะตื่นขึ้นมาทุกๆ หลายแสนปีเพื่อกินเท่านั้น

ไม่เคยมีมารเอาชนะมังกรได้

เมื่อเทพและเผ่าพันธุ์บรรพกาลได้ทำลายโลกมารดึกดำบรรพ์ พวกเขาก็จงใจหลีกเลี่ยงพื้นที่กว้างใหญ่ส่วนหนึ่งที่อาจจะเป็นสถานที่หลับใหลของมังกร

แต่จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งยิ้ม กู่ฉิงซานจึงโล่งใจ

ถึงแม้จะไม่มีใครสามารถตรวจจับตัวตนของจี้น้ำเต้าหยกได้ แต่การต่อสู้เมื่อครู่ให้ผลค่อนข้างตรงกันข้าม

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งย่อมสามารถตรวจจับได้อย่างแน่นอน

แต่เขาไม่ถือสาหาความต่อ

กู่ฉิงซานไม่ได้ต้อยต่ำ เป็นถึงเจ้าของโลกมารสองแห่ง เป็นถึงราชาวิญญาณมาร

ท่านลอร์ดแบบไหนจะไม่มีความสามารถที่ซ่อนอยู่ก้นหีบ

แน่นอนว่าไม่นับอดีตราชาวิญญาณมาร

ดังนั้น จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งจึงไม่สืบสาวเรื่องนี้ต่อ ยังไงเสีย นั่นไม่ใช่พฤติกรรมที่ควรทำกับราชามาร

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหยิบเล็บสองอันก่อนโยนให้กู่ฉิงซานและจ้าวแห่งความเงียบ

“นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าสมควรได้รับ”

ขณะพูด เขาวางเล็บมังกรอีกอันเอาไว้

กู่ฉิงซานและจ้าวแห่งความเงียบขอบคุณพร้อมกัน

เล็บมังกรมารคือสมบัติอย่างแท้จริง มันครอบครองพลังเหลือเชื่อเอาไว้ ผู้ที่ครอบครองมันจะถูกพวกมารไล่ล่าอย่างต่อเนื่องเว้นแต่ว่าพละกำลังของเจ้าของมากพอที่จะยับยั้งพวกมารจำนวนมากได้

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งย่อมไม่กลัวเกรง

ราชาวิญญาณมารและจ้าวแห่งความเงียบเป็นผู้นำมารทรงพลังเช่นกัน เพราะพวกเขาสังหารสัตว์ประหลาดทะเลได้ พวกเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับเล็บ

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งโยนเล็บมังกรอีกชิ้น

“เอาล่ะ แขวนเจ้านี่ไว้บนใบเรือ น่าจะยังมีสัตว์ประหลาดทะเลตัวอื่นที่กล้าเข้ามาแน่”

สวรรค์ดึกดำบรรพ์

นอกสวรรค์

ตำหนักราชาเทพ

มนุษย์แสงอยู่ในโถงอย่างเงียบงัน ไม่ขยับไปไหน

ลั่วปิงหลีจดจ่อกับการขัดเกลาแผ่นหยก

ฉานนู่ที่แสร้งเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือกนั่งสูงอยู่บนบัลลังก์ราชาเทพขณะคำนวณอยู่ในใจอย่างระมัดระวัง

อดีตราชาเทพและเทพแห่งความเย็นยะเยือกได้ตายไปหลายวันแล้ว

ตามกฎการเกิดของเผ่าพันธุ์เทพ เทพองค์ใหม่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งวันครึ่ง

ฉานนู่วิตกเล็กน้อยเมื่อคิดถึงตรงนี้

โชคยังดีที่นางสามารถใช้ความสามารถทั้งหมดของนายท่านได้

ไม่ต้องห่วง!

นางให้กำลังใจตัวเอง

เมื่อสงบสติลงแล้ว ตามที่นายท่านตระเตรียมเอาไว้ นางต้องเริ่มทำตามบทที่เขาวางเอาไว้

เริ่มแรกทำเป็นประหลาดใจ

จากนั้นนึกถึงเทพแห่งความตาย

ฉับพลันก็นึกขึ้นได้ว่าจินเยี่ยนตายแล้วเช่นกัน

หากจะถามมนุษย์แสง แล้วแบบนี้จะไล่เรียงได้อย่างไรหากเทพจากอนาคตตายในอดีต

มนุษย์แสงต้องไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้มาก่อนแน่นอน

เช่นนั้นนางก็ต้องเริ่มใช้ทักษะพิเศษนั่นแล้ว

การแสดง

ด้วยทักษะการแสดง นางย่อมสามารถพูดคุยเกี่ยวกับคำตอบธรรมดากับมนุษย์แสงได้อย่างแน่นอน

เทพจากอนาคตตายที่นี่ ทำให้เร่งความเร็วการเกิดของเทพองค์ใหม่

การแสดง…

เมื่อคิดถึงทักษะพิเศษ ฉานนู่ก็อดที่จะท้อแท้เล็กน้อยไม่ได้

การแสดงของนายท่านเรียกได้ว่าเป็นธรรมชาติ ผู้คนอดที่จะตกอยู่ในสภาพที่เป็นไปตามจังหวะที่เขาต้องการไม่ได้

ถึงแม้นางจะสามารถใช้ทักษะของนายท่านได้ แต่เรื่องนี้แตกต่างจากทักษะทำลายล้าง นางยังต้องให้ความสนใจกับนิสัยและพรสวรรค์ส่วนตัวอีกด้วย

เป็นความจริงที่นางสามารถแสร้งทำเป็นนายท่านได้เพราะนางก็มีทักษะการแสดงของนายท่านเช่นกัน

แต่สีหน้า คำพูดและท่วงท่าของนายท่าน นางยังไม่สามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด

ให้ตายสิ

นายท่านเนี่ยเป็นคนที่โกหกได้เป็นธรรมชาติเสียจริง

เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉานนู่อดที่จะเผยรอยยิ้มอีกครั้งไม่ได้

นั่นมันไม่ถูก

นายท่านมีสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากมาย หนึ่งในนั้นคือสามารถรับมือกับศัตรูทรงพลังจำนวนนับไม่ถ้วนได้ นางเกรงว่าจะไม่มีทักษะแบบนี้ ฉะนั้นถึงต้องคิดหาทางอื่น

ใช่ นายท่านจะใช้ทุกสิ่งเพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง ไม่ได้ใช่แค่การแสดง

ขณะคิดไปมา มนุษย์แสงขยับ

“มีอะไรหรือ” ฉานนู่ถาม

“นายท่าน จู่ๆ ข้านึกถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อันโด่งดังขึ้นมาได้” มนุษย์แสงกล่าว

“เหตุการณ์อะไร” ฉานนู่ถาม

“ไม่มีอะไรหรอก มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับทะเลมารโกลาหล มีพวกมารจำนวนมากที่ตายไปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่กู่ฉิงซานอยู่ในโลกวิญญาณมาร ดังนั้นจึงไม่น่าได้รับผลอะไร” มนุษย์แสงกล่าว

ฉานนู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”

กู่ฉิงซานรู้สึกถึงความวิตกขึ้นมา

สัมผัสวิญญาณของผู้ฝึกยุทธมีทั้งสูงและต่ำ บางคนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอนาคต บางคนสามารถรับรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

เซี่ยเต้าหลิงมองเห็นสัญญาณแห่งความตายชัดเจน ภายหลังถูกกู่ฉิงซานช่วยเอาไว้

สัมผัสวิญญาณของกู่ฉิงซานเฉียบคมเช่นกัน

ตอนนี้ เขากำลังยืนอยู่บนชายหาดนอกโบสถ์ขณะสัมผัสถึงความหวาดกลัวสุดหยั่งจากทะเลอันไม่มีสิ้นสุด

เวลาผันผ่านมาถึงวันต่อมา

อีกสิบห้านาทีก่อนการสำรวจจะเริ่มขึ้น

“ตายหรือเปล่า”

กู่ฉิงซานถามอย่างแผ่วเบา

สัมผัสวิญญาณยิ่งมายิ่งแก่กล้า

ความรู้สึกใจสั่นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

แม้จะเลือนราง แต่ความมืดคล้ายกับปรากฏที่ท้องทะเล ภาพมายาหนึ่งปรากฏต่อสายตาของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานเห็นว่าเขาตัวเปียกโชกขณะโซเซไปทิศทางหนึ่ง จากนั้น…

‘ฟิ่ว!’

ฉับพลันนั้นเอง เงาสีขาวพุ่งออกจากถุงเก็บของขณะบินตรงมาที่ด้านหน้าของเขาอย่างสง่าผ่าเผย

ภาพนิมิตที่เกิดจากสัมผัสวิญญาณหายไปทันที

กู่ฉิงซานกลับมามีสติ

ทะเลเป็นสีคราม ไร้หมู่เมฆ ท้องนภาส่องแสงเจิดจ้า

ทุกสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ได้ถูกรบกวน

ภาพทั้งหมดหายไป

“ชิ…เจ้าทำอะไร เจ้าขัดขวางข้าอยู่นะ รู้ไหม?”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่พอใจ

ทว่า น้ำเต้าหยกสีขาวยังส่งเสียง “ฟิ่วๆ ” อย่างระแวดระวังเพื่อขอพลังวิญญาณจากเขา

กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือก

จนถึงตอนนี้ เขายังไม่รู้ว่าจี้น้ำเต้าหยกมีบทบาทอย่างไรในด้าน “การหยิบยืมจากจักรวาล” “ร้อยแสงสาดส่อง” และ “หยกไร้ข้อบกพร่อง”

แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้คือนี่คือเทวภัณฑ์จากยุคโบราณ

อา ตอนนี้ขอให้มีชีวิตรอดก่อนก็แล้วกัน

กู่ฉิงซานคว้าจี้น้ำเต้าหยกมาก่อนมอบพลังวิญญาณให้

“แค่นี้พอหรือยัง”

กู่ฉิงซานถาม

จี้น้ำเต้าหยกส่งเสียง “ปี๊บ” ออกมา ก่อนกลับเข้าไปในถุงเก็บของโดยไม่ขยับไปไหน

จิตของกู่ฉิงซานกวาดผ่าน

เอาล่ะ มันเริ่มหลับอีกแล้ว

เขาให้พลังวิญญาณไปสามพันแต้ม แล้วมาหลับแบบนี้อย่างนั้นหรือ

นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่มอบพลังวิญญาณให้

น่าจะแสดงบทบาทอะไรบ้างสิ

“หวังว่าจะไม่ใช่หลุมไร้ก้นนะ”

กู่ฉิงซานส่ายหน้าอย่างจนใจก่อนถอนหายใจ

ตอนนี้ อารักขามารสองตนเดินมาหากู่ฉิงซาน

“ได้เวลาร่องเรือแล้ว ราชาวิญญาณมาร นายท่านเตรียมเป้าหมายการล่าที่จะให้ท่านฆ่าได้อย่างพึงพอใจจนใช้งานทักษะตามเงื่อนได้เอาไว้แล้ว” อารักขามารกล่าว

“ที่ไหนล่ะ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสนใจ

“บนเรือ ห้องครัว” อารักขามารตอบ

“…เยี่ยม”

กู่ฉิงซานตามอารักขามารขึ้นสู่ท้องนภาขณะเหาะไปที่เรือพร้อมกัน

นี่คือเรือใบยักษ์ มันลอยอยู่บนผิวทะเลมารโกลาหลอย่างเกียจคร้าน มีขนาดเทียบเท่ากับเมืองเมืองหนึ่ง

ความจริง ไม่ว่าจะเป็นบาร์ซิ่วเริ่น โบสถ์หลอมละลายหรือแม้แต่สิ่งปลูกสร้างอื่น ทั้งหมดล้วนอยู่บนเรือยักษ์ลำนี้

เรือยักษ์กำลังจะออกตัวแล้ว

ไม่มีใครรู้จุดหมายของการเดินทางนี้ก่อนจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งจะถ่ายทอดคำสั่ง

โดยไม่คิดให้มากความ กู่ฉิงซานตามอารักขาเข้าครัวของเรือไป

“ท่านลอร์ด ที่นี่แหละ สัตว์ประหลาดทะเลทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จะถูกใช้เป็นอาหารในวันนี้ นี่ก็สายมากแล้ว ได้โปรดรีบลงมือด้วย” อารักขามารกล่าว

กู่ฉิงซานยืนอยู่ด้านข้างขณะมองไปที่ครัว

มันคือทะเลสาบน้ำจืด

ดีมาก ครัวคือทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เป็นอิสระจากทะเลมารโกลาหล

แบบนี้ก็รับประกันความสดของวัตถุดิบได้

มารสองแถวเดินมาอยู่หน้ากู่ฉิงซาน

“นี่คือทีมเชฟที่จะร่วมเดินทางไปด้วย” อารักขามารกล่าว

“โห พวกเขารับผิดชอบการกินของทุกตนหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสนใจ

“เปล่า พวกเขารับผิดชอบอาหารของนายท่าน ไม่สำคัญหรอกว่ามารตนอื่นจะได้กินหรือไม่ แค่ไม่กี่วัน พวกเขาไม่หิวจนตายหรอก” อารักขามารกล่าว

กู่ฉิงซานมองดู “เจ้าก็ไม่กินเหมือนกันหรือ”

อารักขามารตอบว่า “ข้าสามารถไปทะเลเพื่อจับบางสิ่งมากินเองได้”

ตอนนี้ เชฟเดินเข้ามาแล้วกล่าวว่า “ราชาวิญญาณมาร การทำอาหารควรจะเป็นหน้าที่ของพวกข้า แต่เพราะนายท่านสั่งมา เช่นนั้นพวกข้าจะรอท่านฆ่าก่อนจึงค่อยเริ่มกระบวนการทำอาหาร”

“เข้าใจแล้ว ข้าสร้างปัญหาให้พวกเจ้าแล้วสินะ” กู่ฉิงซานขอโทษ

เชฟมีสีหน้าดีขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้

กู่ฉิงซานเดินไปที่ทะเลสาบแล้วกล่าวว่า “เพราะเวลากระชั้น ข้าจะเริ่มงานเลยละกัน”

จิตของเขาขยับ

ดาบบินเจ็ดร้อยเล่มปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าด้านหลังของเขา

ดาบบินกระจายไปรอบด้านขณะล้อมทะเลสาบเอาไว้

กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วพึมพำว่า “ข้าไม่คิดเลยว่าจะต้องมาใช้ค่ายกลดาบเพื่อทำอาหารทะเลแบบนี้”

ขณะพูด ดาบพุ่งออกไป!

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

ห้องจัดเลี้ยงของโบสถ์

มีพวกมารทรงพลังจำนวนมากรวมตัวที่นี่ พวกเขาล้วนยืนอยู่ทั้งสองฝั่งของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งขณะมองนายท่านด้วยความเคารพ

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ขณะกินมื้อเย็นอย่างช้าๆ

บนโต๊ะยาว มีจานทั้งหมดเก้าร้อยสามสิบห้าใบ

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเลือกจานที่ต้องการขณะลิ้มรสอาหารหายากจำนวนมาก

พวกมารทุกตนเงียบ ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ

ตอนนายท่านกำลังกิน หากใครบางคนส่งเสียงขึ้นมา ย่อมต้องไปติดอยู่บนผนังโบสถ์ทันที

แน่นอนว่าถ้ามารตนนั้นมีความข้องเกี่ยวกับอาหารมารขึ้นชื่อบนโต๊ะนี้ เช่นนั้นเชฟจะเป็นคนคัดออกไปก่อนจะส่งอีกฝ่ายไปที่ผนัง

คนเดียวที่สามารถพูดได้คือเสมียนของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

“นายท่าน เวลาที่ท่านตั้งไว้ใกล้จะหมดแล้ว” เสมียนเตือน

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งนิ่งเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไปที่เรือ”

“ขอรับ”

เสมียนตอบรับก่อนขยิบตาให้พวกมาร

พวกมารพลันกลายเป็นพายุก่อนหายไปจากโถง

‘ฟิ่ว’

เกิดเสียงสายลมพัดหวีดหวิวอยู่ด้านนอก

ใบเรือยักษ์ที่แขวนอยู่ตรงกลางเรือยักษ์ค่อยๆ ถูกชักขึ้น

ใบเรือยิ่งมายิ่งพองขึ้น

เรือยักษ์เริ่มขยับ

มันเหมือนกับเมืองกำลังขยับไปที่ทะเล

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งยังคงลิ้มรสอาหารเช้าต่อ

เขาพลันนึกบางอย่างออก ดวงตาจึงกวาดมองพวกมาร

“ราชาวิญญาณมาร” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

“ข้าอยู่นี่” กู่ฉิงซานยืนขึ้น

“วันนี้เจ้าฆ่ามากพอแล้วหรือยัง”

“มากพอแล้ว ความสามารถใช้งานได้ทุกเมื่อ”

“อย่างนั้นก็ดี”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งพยักหน้าก่อนหยุดให้ความสนใจกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานถอยกลับ ใบหน้าสงบนิ่ง

แต่เขาตื่นเต้นเล็กน้อย

ใช่แล้ว

อาหารทะเลในทะเลสาบน้ำจืดทั้งหมดถูกเขาเก็บกวาดจนหมด

พลังวิญญาณจำนวนมากทะลุถึงหนึ่งแสนแต้ม ภารกิจที่สองสำเร็จอย่างรวดเร็ว

นับจากนี้ไป เขาจะสามารถใช้พลังวิญญาณเพื่อพัฒนาระดับตัวเองได้

ระดับต่อไปคือระดับแสวงโลกา!

นี่คือระดับของจอมมาร!

เรือยักษ์

ในห้องจัดเลี้ยงของโบสถ์ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกำลังรับประทานมื้อเย็น

พวกมารล้วนยืนอยู่ในโถง ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในพวกมารอยู่เงียบๆ ขณะมองหน้าต่างต้นเพลิง

“ภารกิจที่สองเสร็จสิ้น”

“คำอธิบายภารกิจ: ท่านได้รับพลังวิญญาณมากพอแล้ว โหมดอัปเกรดพลังวิญญาณจะทำงานในไม่ช้า”

“หมายเหตุพิเศษ: ท่านได้เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง กลายเป็นตัวตนแข็งแกร่งที่สุดบนเส้นทางนี้ ทำให้บัญญัติผู้นี้รู้สึกภาคภูมิใจนัก”

เมื่อตัวอักษรขนาดเล็กทั้งหมดหายไป การ์ดใบหนึ่งปรากฏขึ้นตรงกลางหน้าต่าง

บนการ์ด กู่ฉิงซานถือดาบในมือทั้งสองข้างขณะลอยอยู่กลางอากาศ

การ์ดเทพระดับมรกต: ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน

ใต้การ์ดเทพใบนี้ แถบสีเข้มปรากฏขึ้น มันดูเหมือนกับพลังวิญญาณ

แถวจำนวนถูกแสดงอยู่ตรงกลางแถบความคืบหน้า: “หนึ่งหมื่นสองพันต่อสองแสน”

แถวตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นข้างแถบความคืบหน้าแทนคำอธิบาย

“ด้วยการสั่งสมพลังวิญญาณสองแสนแต้ม ท่านสามารถอัปเกรดการฝึกฝนสู่ขั้นต่อไปได้”

“หมายเหตุ: เพราะอาชีพของท่านคือผู้ฝึกยุทธ ท่านต้องเผชิญกับความยากลำบากในกระบวนการพัฒนา บัญญัติของราชามารไม่สามารถช่วยยกเว้นสิ่งนี้ให้ได้”

“หมายเหตุ: ระดับต่อไปของท่านคือระดับแสวงโลกา ทันทีที่เริ่มพัฒนา ท่านจะเผชิญหน้าทั้งลมและไฟ”

ลมและไฟหรือ

หลังจากอ่านข้อความแจ้งเตือนทั้งหมดแล้ว กู่ฉิงซานวางมือบนถุงเก็บของเพื่อเริ่มตรวจสอบแผ่นหยกฝึกฝน

เซี่ยกูหงทุ่มเททุกอย่างกับแผ่นหยกขนาดใหญ่มากก่อนส่งมอบให้กับกู่ฉิงซาน

ในแผ่นหยกนั่น มันเต็มไปด้วยวิชาที่สามารถฝึกฝนให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบของระดับสามพันโลกได้ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยวิชาดาบทั้งหมดของเซี่ยกูหง แม้กระทั่ง “วิชาดาบสังหารศัตรู” ที่เขาได้มาจากซากปรักหักพังโบราณก็มีอยู่ในนี้

กู่ฉิงซานจงใจหมกมุ่นกับแผ่นหยก ไม่สนใจวิชาดาบทั้งหมดก่อนพบคำอธิบายอย่างละเอียดของ “ระดับแสวงโลกา” ชั้นสูง

ใช่แล้ว ในช่วงเวลาความก้าวหน้านี้ ภัยพิบัติอสนีบาตสวรรค์ได้หายไป

กลับกัน มันคือภัยพิบัติไฟ

ในบรรดาสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ของดิน น้ำ ไฟและลมที่เป็นตัวแทนของชีวิต น้ำคือตัวแทนการเติบโต ไฟคือตัวแทนการสูญพันธุ์และลมคือตัวแทนความตาย

ภัยพิบัติไฟคือสิ่งที่ทุกชีวิตต้องเผชิญ

มีหลายชีวิตที่ไม่ได้รอให้ภัยพิบัติมาเยือนเพราะอายุขัยของพวกเขาสั้น พวกเขาจึงเข้าสู่สภาพ “ลม”: สูญสลายโดยตรง

ครั้งนี้ กู่ฉิงซานต้องเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติดังกล่าว

ครั้งต่อไปที่เขาพัฒนาสู่ระดับวงแหวนนภา ภัยพิบัติที่เขาต้องเผชิญคือการผสมผสานระหว่างน้ำและไฟ

เมื่อพัฒนาจนถึงระดับสามพันโลก ย่อมต้องเผชิญสี่หายนะยิ่งใหญ่จากดิน น้ำ ไฟและลม

นี่คือสี่ภัยพิบัติใหญ่ของลม ไฟ น้ำและดินที่ทุกคนพูดถึงตอนฝึกฝนเสมอ ผู้ฝึกยุทธต้องเอาชนะพวกมันทั้งหมดให้ได้จึงจะสามารถไปถึงระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด

แม้กระทั่งในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ผู้ฝึกฝนระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นตัวตนสูงสุด

กู่ฉิงซานมองการเตรียมการทั้งหมดที่ใช้ในการข้ามผ่านภัยพิบัติด้วยความสนใจ

เขาปล่อยวางความคิดชั่วคราวขณะมองกลางหน้าต่างต้นเพลิงแล้วถามว่า “แถบความคืบหน้านี้คือค่าพลังวิญญาณที่ข้าต้องใช้ แต่ข้าจะวิวัฒนาการบัญญัติได้อย่างไรล่ะ”

“ท่านกระตือรือร้นที่จะช่วยวิวัฒนาการบัญญัติหรือ” ต้นเพลิงถาม

“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่ายิ่งระดับของบัญญัติสูงเท่าไหร่ ฟังก์ชันที่มันครอบครองก็จะสูงตามไปด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

ต้นเพลิงเงียบไปสักพักก่อนตอบว่า “ในเมื่อท่านกระตือรือร้นที่จะได้พลังแข็งแกร่งมา ข้าจะเปลี่ยนกลยุทธตามการตัดสินใจนี้ก็แล้วกัน”

“เมื่อท่านเพิ่มระดับแรกเสร็จสิ้นแล้ว ต้นเพลิงจะปล่อยภารกิจวิวัฒนาการให้”

กู่ฉิงซานพยักหน้าก่อนหยุดถาม

ต้องใช้พลังวิญญาณสองแสนแต้มเพื่อพัฒนาสู่ระดับแสวงโลกา ตอนนี้เขาต้องเตรียมแผนสำหรับเรื่องนี้ไว้ด้วย

ตอนนี้ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งพลันวางช้อนส้อมในมือลง

ในเวลาเดียวกัน เสียงสายลมหวีดหวิวนอกห้องจัดเลี้ยงได้หายไป

เรือยักษ์หยุดลงด้วยความเร็วอันเชื่องช้า

เกิดอะไรขึ้น

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพแล้วตรวจสอบเรือยักษ์ทั้งลำ ขยายจนไปถึงท้องทะเลหลายร้อยไมล์รอบข้าง

เมื่อจิตเทพของนักพรตอยู่กลางอากาศ ย่อมสามารถตรวจจับสิ่งที่อยู่ไกลออกไปได้หลายจุด

เขาเห็นภูเขาน้ำแข็งสูงตระหง่านปรากฏขึ้นจากใต้น้ำในระยะหลายสิบไมล์ตรงหน้าเรือยักษ์

ภูเขาน้ำแข็งนี้มีขนาดเทียบเท่าเรือยักษ์

ใต้ภูเขาน้ำแข็ง ศีรษะขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นจากน้ำขณะจ้องมองเรือใบยักษ์ของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งด้วยความมุ่งร้าย

สัตว์ประหลาดทะเลโบราณ!

คาดไม่ถึง สัตว์ประหลาดทะเลจะมาหยุดเรือของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งตั้งแต่เริ่มการเดินทาง

“เป็นอีกตัวที่อยากกินมารหรือ อายุยี่สิบล้านปีสินะ ไม่สิ ใครบอกข้าได้บ้างว่ามันมีอายุมากี่หมื่นปี” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งถามด้วยความไม่พอใจ

ตอนนี้ มารตนหนึ่งกล่าวว่า “นายท่าน ข้าเคยเห็นมันมาก่อน”

มารตนอื่นมองมารที่กำลังพูดอยู่

นี่คือมารคล้ายมนุษย์ที่ไม่มีดวงตา ดูเหมือนมันจะทราบอายุสัตว์ประหลาดทะเลได้ผ่านความสามารถพิเศษบางอย่างของตัวเอง

เพราะพละกำลังส่วนตัวของเขาไม่มากพอ ร่างมนุษย์ที่เปลี่ยนนั้นจึงเตี้ย สี่กีบยังปรากฏตรงร่างกายช่วงล่าง

มารตนนั้นรายงานว่า “สัตว์ประหลาดทะเลมีชีวิตมาทั้งสิ้น สามสิบเจ็ดล้านหกแสนเจ็ดหมื่นเก้าพันแปดร้อยหกสิบเอ็ดปี”

ทันทีที่จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเขาผ่อนคลายเล็กน้อย

“เจ้านี่มีอายุมากกว่าสามสิบล้านปี ไม่คิดจะกลับทะเลลึกเพื่อหลับใหล แต่กลับกล้ามาหยุดเรือของข้า ช่างรนหาที่ตายเสียจริง”

เขาใช้สายตากวาดมองพวกมารหลายตน

พวกมารพลันเข้าใจ

พวกเขาคำนับให้จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง จากนั้นออกจากห้องจัดเลี้ยงไป

ทันทีที่พวกเขาออกจากห้องจัดเลี้ยงไปแล้ว มารหลายตนทะยานขึ้นสู่ท้องนภาก่อนเหาะไปยังภูเขาน้ำแข็งตรงหน้าเรือยักษ์ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งยังคงลิ้มรสอาหารเช้าต่อไป

ผ่านไปสักพัก

ความผันผวนของพลังโกลาหลอันปั่นป่วนมาจากทะเล

การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว

ในห้องจัดเลี้ยง พวกมารเตรียมพร้อมที่จะลงมือ

พวกมันกระตือรือร้นที่จะได้เข้าร่วมการต่อสู้เช่นกัน

หากจะพูดแบบหยาบๆ มันไม่ต่างจากการทรมานที่ต้องยืนอยู่ที่นี่มองนายท่านยินดีกับอาหารหายากหลายร้อยจานเพียงลำพังในขณะที่ตัวเองหิว

มารบางตนเผยความวิตกออกมา ขณะที่บางตนสัมผัสได้ถึงความผันผวนในอากาศขณะตัดสินสถานการณ์การต่อสู้อย่างต่อเนื่อง

พวกมารจำนวนหนึ่งจ้องมองความว่างเปล่า สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง

ดูท่าพวกมันจะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคทั้งมวลได้จนมองเห็นทะเลที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ ทำให้ได้เห็นสถานการณ์การต่อสู้แม้จะอยู่ตรงนี้ก็ตามที

กู่ฉิงซานเข้าใจสิ่งหนึ่งหลังจากสังเกตการณ์เพียงเล็กน้อย

พวกมารไม่มีจิตเทพ

พวกมันไม่เหมือนกับผู้ฝึกฝนที่ต้องฝึกฝนจิตเทพตั้งแต่เริ่มการฝึกฝน

พวกมันส่วนใหญ่วิวัฒนาการโดยอาศัยสัญชาตญาณและมรดก น้อยตนนักที่จะโชคดีจนได้รับความสามารถพิเศษจากกระบวนการนี้

ครั้งนี้การต่อสู้ถูกแยกออกไปไกลกว่าครึ่งเมืองด้วยระยะหลายสิบไมล์ทะเล พวกมารส่วนใหญ่ไม่สามารถสังเกตความเป็นไปของการต่อสู้ได้

กู่ฉิงซานเมินมารเหล่านั้น

เขาปลดปล่อยจิตเทพอีกครั้งขณะกระจายไปทั่วเรือยักษ์อันกว้างขวางก่อนส่งไปยังท้องทะเลอันไกลลิบ

เพียงใช้จิตเทพ การต่อสู้ทั้งหมดและแม้กระทั่งฉากที่อยู่ด้านบนและด้านล่างทะเลก็เห็นได้เด่นชัด

แน่นอนว่ามารเหล่านี้ที่สามารถกลายเป็นลูกน้องของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งได้จนมีสิทธิ์ยืนอยู่ในห้องจัดเลี้ยง ไม่มีใครด้อยไปกว่ากัน

พวกมันล้วนเป็นมารที่ชื่นชอบการจู่โจม สามารถระเบิดการโจมตีได้เป็นจำนวนมากได้ทันทีที่ออกไป

ไม่ช้า ภูเขาน้ำแข็งถูกทำลายไปหลายส่วน

สัตว์ประหลาดทะเลที่ใช้ชีวิตมานานกว่าสามสิบล้านปีมีเลือดสาดกระเซ็นเพราะการโจมตีของพวกมาร ทำให้ทะเลส่วนหนึ่งถูกย้อมด้วยสีแดง

ขณะมองดู กู่ฉิงซานลอบประหลาดใจ

นี่นับว่าแปลก…

สัตว์ประหลาดเก่าแก่ที่มีชีวิตยาวนานไม่ควรรนหาที่ตายสิ

เขารวบรวมจิตเทพอีกครั้งก่อนเคลื่อนผ่านพวกมารจนตรงไปยังส่วนลึกของท้องทะเล

เขาเริ่มสังเกตเห็นว่าสัตว์ประหลาดทะเลตัวใหญ่นี้แบกภูเขาน้ำแข็งเอาไว้อย่างระวัง

ทว่า ใต้ผิวท้องทะเลนั้น กู่ฉิงซานหวาดกลัวเมื่อพบว่าร่างยาวของสัตว์ประหลาดทะเลไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดได้เลย

เทียบกันแล้ว ภูเขาน้ำแข็งโอ่อ่าเป็นเพียงหิมะและน้ำแข็งอันน้อยนิดที่อยู่บนยอด

หากเทียบกับร่างกายแล้ว มันดูเหมือนกับงูทะเลตัวใหญ่

งูทะเลที่มีชีวิตมานานกว่าสามสิบล้านปี

ร่างกายของมันช่างน่าสะพรึงกลัวนัก

ไม่สงสัยเลยว่าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งถึงให้ตรวจสอบอายุขัยในช่วงก่อนหน้านี้ก่อนผ่อนคลายลงหลังจากรู้ผลลัพธ์แล้ว

ดูจากอายุขัยของสัตว์ประหลาดทะเลตัวนี้แล้ว จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งได้ส่งพวกมารมีฝีมือไปบางส่วนเพื่อต่อสู้

กล่าวได้ว่าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งจะไม่ทำอะไรผิดพลาดเมื่อได้ตัดสินเรียบร้อยแล้ว

ตัดสินจากสถานการณ์การต่อสู้ ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งคาด

แต่ว่า…

กู่ฉิงซานมองสัตว์ประหลาดทะเล

ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความอดทนและความชั่วร้าย

สิ่งมีชีวิตโบราณเช่นนี้ไม่น่าจะโง่แบบนี้สิ

หากลองคิดย้อนดู ถ้ามันโง่จริงๆ แล้วจะมีชีวิตมานานถึงสามสิบล้านปีได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นก็มีได้เพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น

เพราะมันแข็งแกร่งเกินไป

ตอนนี้ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหยุดกินเช่นกันก่อนคร่ำครวญออกมา “ถูกอัดยับขนาดนี้ยังไม่คิดหนีอีกหรือ คงทำให้มันตายไม่ได้สินะ…ดูเหมือนมันจะมีแผนอะไรบางอย่างหรือไม่ก็คงมีพลังที่มหาศาลนัก นี่ช่างน่าสนใจจริงๆ สัตว์ประหลาดที่มีอายุมาสามสิบล้านปีแต่กล้าวางแผนมาเล่นงานเรือข้าอย่างนั้นหรือ”

สีหน้าของเขาจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย

กู่ฉิงซานลอบพยักหน้า เป็นไปตามคาด จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเองก็สังเกตเห็นความผิดปกติของสัตว์ประหลาดทะเล

“มารทมิฬ ผู้ตัดสิน จ้าวแห่งความเงียบและก็ราชาวิญญาณมาร พวกเจ้าล้วนเป็นมารเก่งกาจที่มีความสามารถพิเศษ ข้าคงต้องขอให้พวกเจ้าลงมือแล้ว” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งสั่ง

สิ้นคำสั่ง ชายผู้มีเปลวเพลิงสีเทา ชายผู้มีกิโยตินยาวและหญิงสาวผู้ไม่มีปากบนใบหน้ายืนขึ้น

ชายสองคนคุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวว่า “ขอรับ นายท่าน”

หญิงสาวคุกเข่าก่อนคำนับให้จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

ทั้งสามดูแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่รูปร่างที่เปลี่ยนสภาพนั้นล้วนสมบูรณ์ครบถ้วน เว้นแต่หญิงสาวที่ไม่มีปาก

แต่ดูแล้วนางน่าจะมีความลับบางอย่าง

ในฐานะราชาวิญญาณมาร กู่ฉิงซานยืนขึ้นเช่นกันก่อนคำนับเล็กน้อยให้จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

มารสี่ตนที่มีความสามารถพิเศษออกไปพร้อมกัน

นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งให้ความสำคัญแค่ไหน

“พวกเจ้าไปด้านหน้าพร้อมกันเพื่อสนับสนุน ไม่ว่าสัตว์ประหลาดทะเลจะมีแผนอะไร อย่าไปสนใจ แค่ฆ่ามันก็พอ” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

“ขอรับ”

กู่ฉิงซานเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงพร้อมมารอีกสามตน

ตอนนี้ มารตนอื่นไม่แสดงสีหน้ากระตือรือร้นที่จะต่อสู้อีกต่อไป

พวกเขารู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมองกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานมองอีกฝ่ายเช่นกัน

ความจริง ทันทีที่มารทรงพลังอย่างจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ พวกเขาก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์ธรรมดา

แต่เขาไม่ได้เปลี่ยนลูกตาสีเขียวเทา

ลูกตาคู่นี้คล้ายกับมีพลังวิเศษ เมื่อจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมองกู่ฉิงซาน กู่ฉิงซานถึงขั้นรู้สึกว่าเขาถูกแยกออกจากโลก

ความรู้สึกนี้เหมือนกับการตัดสัมผัสวิญญาณก็ไม่ปาน

ใช่ หน้าต่างเทพสงครามหายไปแล้ว สกิลเลื่องชื่อจำนวนมากไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป

แต่เนตรเชือดเฉือนวิญญาณคือวิชาเนตรดาบที่กู่ฉิงซานฝึกฝนและสำรวจด้วยตัวเองช้าๆ มันได้รับการเสริมความแข็งแกร่งมากขึ้นภายใต้พรของหน้าต่างเทพสงครามจนท้ายที่สุดก็ก่อเกิดเป็นพลังวิเศษ

สกิลนี้ผสานเข้ากับลูกตาของเขา สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งหน้าต่างเทพสงคราม

ดังนั้น วิชาเนตร “เนตรเชือดเฉือนวิญญาณ” จึงยังคงอยู่

ส่วนสกิลชื่ออื่น อาทิ “พิชิต” ของเทพดาราอัคคี มันคือสกิลกฎเกณฑ์ทั่วไปที่ไม่มีเหตุผล ด้วยการจากไปของหน้าต่างเทพสงคราม สกิลนี้จึงหายไปชั่วคราว

“ราชาวิญญาณมาร ข้ามีปัญหานิดหน่อย” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

“เชิญพูดมาได้เลย” กู่ฉิงซานกล่าว

“เจ้ารู้ไหม ข้าเพียงยอมให้พวกมารที่มีพลังลี้ลับเข้ามาที่นี่เท่านั้น แต่จากที่ข้ารู้เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่คล้ายกับแสดงพลังลี้ลับอะไรเลย”

“เรื่องนี้สำคัญอย่างนั้นหรือ” กู่ฉิงซานถามกลับ

ความจริง เขารู้ว่านี่เป็นเงื่อนไขที่มารหญิงเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้

“อย่างแรกเลย นายท่านจะปล่อยพวกมารที่มีความสามารถลี้ลับทรงพลัง”

กู่ฉิงซานในตอนนี้ได้พบกับอีกเงื่อนไข ตอนนี้จึงต้องพิสูจน์ว่าเขามีความสามารถลี้ลับอยู่จริง

ส่วนการถามกลับนั้น นั่นก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบอีกฝ่ายตามตรง

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งตอบอย่างฉะฉานว่า “แน่นอน มีเพียงพวกมารที่ได้รับความรักอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะได้รับความสามารถลี้ลับที่เป็นแหล่งกำเนิดของโลกมาร อย่างแรกคือเจ้าต้องพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของมารประเภทนี้ ราชาวิญญาณมาร”

“ราชาวิญญาณมาร ข้าจะมอบโอกาสการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมให้ ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถคลายความกังวลนี้ให้ข้าได้ด้วยเช่นกัน”

“ให้ข้าแสดงที่นี่ได้เลยอย่างนั้นหรือ” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

แค่ถาม ไม่ได้ตอบ

นี่คือกลยุทธที่ปลอดภัย

“แน่นอน” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

ดวงตาของกู่ฉิงซานจับจ้องไปยังหน้าต่างต้นเพลิง

หลังจากสังหารราชาวิญญาณมารและแม่มด เขาได้รับพลังวิญญาณมาส่วนหนึ่ง

พลังวิญญาณเหล่านี้ถูกเตรียมไว้สำหรับใช้งานโหมด “อัปเกรดวิญญาณ”

แต่ตอนนี้ เพื่อรักษาดาบ เขาย่อมไม่สนใจเรื่องนั้นมากนัก

กู่ฉิงซานกำลังจะใช้พลังวิญญาณ แต่ฉับพลันก็หยุดมือ

เดี๋ยวก่อน…

ถึงแม้จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเต็มใจให้ที่หลบภัยกับพวกมารที่มีพลังลี้ลับแก่กล้า แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมากจนเกินไปได้

“เป็นอะไร มันยากเกินไปอย่างนั้นหรือ” มีความเย็นเยือกเจือในนำเสียงของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

ครั้งนี้ เขาถามออกมาตรงๆ แล้ว

กู่ฉิงซานสังเกตเห็นความอดทนของอีกฝ่ายเช่นกัน

ได้เวลาเปลี่ยนกลยุทธแล้ว…

“ที่จริง ข้าอยากทำอย่างอื่นก่อนน่ะ” กู่ฉิงซานอธิบาย

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งสงสัย “อย่างอื่นหรือ”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ทักษะลี้ลับจำนวนมากมีข้อกำหนดเบื้องต้นมากมายก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งพยักหน้า

“ที่ข้าอยากทำตอนนี้คือฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี” กู่ฉิงซานกล่าว

หลังจากพูดจบ เขารออยู่สักพัก

โบสถ์ไม่ตอบ

ใช่แล้ว เขาพูดเกี่ยวกับสองสิ่งที่แยกจากกัน หนึ่งคือสามัญสำนึกเรื่องทักษะลี้ลับ สองคือความปรารถนาของเขา

สองสิ่งนี้ไม่มีความสัมพันธ์ที่ข้องเกี่ยวกันทางเหตุผล ดังนั้นนี่ไม่ใช่การโกหก

แต่เมื่อจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกเหมือนกับได้พบเงื่อนไขที่จะทำให้ทักษะทำงาน

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งปรบมือ

ไม่ช้า มารแปดตนปรากฏขึ้นบนหอสังเกตการณ์พร้อมแบกสัตว์ทะเลขนาดใหญ่มาด้วย

นี่คือปลาทะเลที่เต็มไปด้วยหนาม แสงเลือนรางจากอสนีบาตปรากฏออกมาลางๆ

มันสูงเท่ากับตึกสามชั้น

มารแปดตนที่แบกมันมาถูกแทงจนโลหิตหลั่ง บางครั้งมีอาการกระตุกเพราะพลังอสนีบาต

แต่พวกเขาไม่พูดสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งชี้ไปที่ปลาทะเลยักษ์แล้วกล่าวว่า “เครื่องประดับของโบสถ์ไม่สามารถฆ่ามันได้ คนของข้าก็เช่นกัน นี่คือสัตว์ทะเลที่มีพละกำลังพอเหมาะ เป็นสมบัติหายากที่ข้าจับมาจากทะเลมารโกลาหลด้วยตัวเอง ข้าจะใช้มันเพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับแขกเวลาจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ”

“ข้าฆ่ามันได้หรือ” กู่ฉิงซานถาม

“แน่นอน ข้าได้ยินว่าเจ้ามีทักษะการทำอาหารที่ดี ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะมีประสบการณ์แยกชิ้นส่วนเหยื่อด้วยเช่นกัน” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

“การแยกชิ้นส่วนและการสังหารเป็นแค่ทักษะพื้นฐาน” กู่ฉิงซานกล่าว

นี่คือความจริง

จิตของกู่ฉิงซานขยับ

‘วิ้ง’

ดาบบินเจ็ดร้อยเล่มพลันปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า

ดาบบินทุกเล่มกลายเป็นเงาอย่างรวดเร็วก่อนพุ่งเข้าหาปลาทะเลที่ปล่อยอสนีบาตสีครามออกมา จากนั้นมันบินกลับมาอยู่ที่ด้านหลังกู่ฉิงซานแล้วหายไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง

สายฟ้าบนปลาทะเลหายไป

เพียงอึดใจเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบ มันคือการสับเนื้อที่สมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งตัวเนื้อเองก็ยังดูเป็นงานศิลปะ

ศีรษะของปลาทะเลพลันทะยานออกมา แต่ร่างของมันยังคงไม่ขยับ

ตอนนี้เองมันถึงรู้สึกเจ็บปวด

ตอนนี้ มันพบว่าตัวเองได้ตายแล้ว

“มีดดีนี่”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งปรบมือ

กู่ฉิงซานไม่ตอบ ดวงตาของเขาจับจ้องหน้าต่างต้นเพลิงเล็กน้อย

แถวข้อความขนาดเล็กสีโลหิตกำลังปรากฏขึ้น

“ท่านสังหารราชาหนามอสนีบาต”

“นี่คือสัตว์ประหลาดทะเลหายากยิ่ง ทั้งทรงพลังและดุร้าย กินเลือดเนื้อสดๆ เพื่อมีชีวิตรอด”

“เพราะมันได้รับบาดเจ็บปางตาย ท่านจึงฆ่าสิ่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์”

“พลังวิญญาณของท่านเพิ่มขึ้น ห้าพันแต้ม”

พลังวิญญาณ ห้าพันแต้มก็นับว่ามากเกินพอแล้ว!

กู่ฉิงซานเดินไปที่ขอบหอสังเกตการณ์

เขามองท้องทะเลโอ่อ่าท่ามกลางพายุ

“ดาบคลื่นเสียง”

เขาเรียกมันด้วยจิตเทพอันแผ่วเบา

‘วิ้ง’

คลื่นเสียงที่ซ่อนอยู่ในทะเลแห่งความตระหนักรู้ของเขาได้ยินเสียงเรียก มันกรีดร้องอย่างแผ่วเบาราวกับอดรนทนไม่ไหว

“เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยเถอะ”

กู่ฉิงซานตอบ

เขาเริ่มถ่ายพลังวิญญาณให้ดาบคลื่นเสียง

ในท้องทะเล ฉากที่ไม่เคยเห็นมาก่อนกลับปรากฏขึ้นมา

สัตว์ประหลาดทะเลยักษ์สองตัวกำลังสู้กัน

แต่ตอนนี้ คลื่นทะเลเคลื่อนออกจากสัตว์ประหลาดทะเลสองตัว ก่อเกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่สองโพรงที่ไม่มีน้ำทะเลใดๆ

สัตว์ประหลาดทะเลสองตัวที่กำลังสู้กันเองอยู่นั้นตกลงจากผิวทะเลทันที

น้ำทะเลทั้งหมดหลีกเลี่ยงพวกมัน ไม่มีน้ำทะเลสักหยดที่เต็มใจจะสัมผัสพวกมัน

‘โฮก!’

สัตว์ประหลาดทะเลทั้งสองแผดเสียงคำรามสะเทือนปฐพี

แต่มันไม่ได้ผล

พวกมันพึ่งท้องทะเลเพื่อการมีชีวิต พวกมันตกลงไป ไม่มีทางทำอะไรได้

เมื่อไม่มีพวกมันสร้างคลื่นขึ้นมา พายุจึงค่อยๆ สงบลง

ทั่วท้องทะเลกลับสู่ความสงบ

มีเพียงโพรงขนาดใหญ่สองโพรงนี้ที่ยังอยู่บนผิวทะเลราวกับกำลังเตือนพวกมารที่กำลังสังเกตการณ์อยู่ให้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมองโพรงท้องทะเลขนาดใหญ่สองโพรงก่อนใบหน้าค่อยๆ เผยความสนใจออกมา

“ถ้าแบบนี้…”

เขาพึมพำราวกับกำลังคิดบางสิ่งอยู่

ตอนนี้ กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าหุบเหวทะเลลึกของทะเลมารโกลาหลนั้นลึกมาก ไม่มีใครถึงกับไปถึงด้านล่างได้”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าวว่า “ที่นี่อยู่ใกล้กับชายฝั่ง เพราะอย่างนั้นก็เลยไม่ลึกมาก”

กู่ฉิงซานถามว่า “ที่นี่ห่างจากตรงนั้นมากแค่ไหน”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “ประมาณหนึ่งนาที”

หนึ่งนาทีผ่านไป

‘ตูม!’

มีเสียงกระแทกอย่างรุนแรงมาจากส่วนลึกของปฐพี ตามมาด้วยแผ่นดินไหวจากทั่วทั้งชายหาดกับดินแดนรกร้างในเขตชายฝั่ง

ปฐพีกำลังสั่นไหว!

แม้กระทั่งโบสถ์ก็สั่นไหวอยู่นานก่อนจะกลับมามั่นคง

สัตว์ประหลาดทะเลยักษ์สองตัวตกลงมาจากผิวทะเลก่อนกระแทกกับชั้นหินลึกที่อยู่ในก้นทะเลจนเกิดแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่

กู่ฉิงซานสะบัดมืออย่างแผ่วเบา

บนทะเล โพรงขนาดใหญ่สองโพรงนั้นหายไปอย่างเงียบงัน

ทะเลกลับมาสงบอีกครั้ง

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ความสามารถควบคุมทะเลจะมาควบคุมทะเลมารโกลาหล อีกอย่าง สัตว์ประหลาดทะเลครอบครองทั้งที่หลบภัยทะเล สายสัมพันธ์ทะเล บุตรแห่งทะเล เจ้าไม่น่าจะทำแบบนี้ได้เลย”

จากนั้นเขาถามว่า “ถ้าอย่างนั้น ความสามารถนี้มันคืออะไรกันแน่”

กู่ฉิงซานนิ่งไปสักพัก

โชคยังดี ปัญหานี้สามารถจัดการได้โดยไม่ต้องโกหก

เขานึกถึงคำบรรยายของดาบคลื่นเสียงในหน้าต่างเทพสงครามขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

“ดาบโบราณ ชื่อของดาบเล่มนั้นคือคลื่นเสียง”

“ในยุคโบราณ โลกอันสดใสเต็มไปด้วยทะเลไม่มีสิ้นสุด เมื่อเทพจากไป พวกเขาใช้ดาบเพื่อปกป้องโลก”

“ผู้ที่กุมดาบเล่มนี้ไว้คือราชาแห่งทะเลทั้งมวล”

“ดาบเล่มนี้มีพลังลี้ลับ: ก้าวข้ามทะเลขมขื่น”

กู่ฉิงซานยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า “ความสามารถนี้มีชื่อว่าก้าวข้ามทะเลขมขื่น”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งชื่นชม “เป็นชื่อที่ดี มีเสน่ห์แบบยุคโบราณ”

กู่ฉิงซานไม่พูดอะไรอีก

ทุกนาทีที่ล่าช้า ดาบพิภพจะเข้าใกล้สู่ความตาย

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเต็มใจทำข้อตกลงกับเขาแล้ว

เขาเองก็ได้แสดงความสามารถลี้ลับอันแก่กล้าให้ได้เห็นแล้วด้วย

ตอนนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว

“ท่านจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ท่านคิดว่าพวกเราสามารถทำข้อตกลงตอนนี้ได้เลยหรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งตอบว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องการแลกเปลี่ยน ข้าอยากให้เจ้าได้ดูสิ่งหนึ่งก่อน”

เขาสะบัดมือ

ทั้งหอสังเกตการณ์เริ่มจมลง

กำแพงอิฐก่อตัวรอบหอสังเกตการณ์อย่างรวดเร็ว

ห้องจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมารที่กำลังสนทนาเกี่ยวกับธุรกิจและสมบัติแปลกประหลาดนานับชนิดกำลังหายไปราวสายน้ำ

แสงสว่างยิ่งมายิ่งมืดมน

ท้ายที่สุด หอสังเกตการณ์หยุดอยู่บนท้องทะเลที่เป็นประกายด้วยความมืดมิดสุดหยั่ง

“ดูด้านล่างสิ” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร จึงกล่าวด้วยความไม่แน่ใจว่า “นี่เหมือนจะเป็นใต้ทะเลของของทวีปนี้ที่เชื่อมกับทะเลเลย”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

เขาสะบัดมืออีกครั้ง

ขั้นบันไดหินคดเคี้ยวปรากฏขึ้นที่ขอบของหอสังเกตการณ์

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งคว้าคบเพลิงที่กำลังลุกโชนจากความว่างเปล่าก่อนเดินไปตามขั้นบันได

กู่ฉิงซานเดินตามไป

พวกเขาสองคนเดินไปตามบันไดหินเก่าทุรดโทรมจนกระทั่งมาถึงทางแยกของขั้นบันไดและทะเล

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่ง

กู่ฉิงซานหยุดเข่นกันขณะยืนอยู่ข้างเขา

“นี่คือชั้นที่ลึกที่สุดของโบสถ์ มันถูกผนึกเอาไว้อย่างสมบูรณ์จนไม่สามารถเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อแสดงให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านล่าง” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

ตอนกู่ฉิงซานได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาปลดปล่อยจิตเทพออกไปเพื่อตรวจสอบทะเล

ถึงตอนนั้นเขาเข้าใจว่าจิตเทพตัวเองได้รับการปิดกั้นทันทีที่ไปถึงผิวน้ำ พวกมันไม่สามารถกระจายไปมากกว่านั้นได้อีก

เท่าที่สายตาของเขามองเห็น มีเงาสีดำอยู่ส่วนลึกของทะเล

นี่มันอะไร

นี่คือสถานที่ลับในโบสถ์ ทำไมจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งถึงอยากให้เขาดูสิ่งนี้กันล่ะ

ด้วยความสงสัย กู่ฉิงซานมองเงาสีดำในทะเลอย่างระวัง

น่าเสียดายที่เหมือนจะมีเงาสีดำบังไว้อีกชั้น ทำให้มองไม่เห็นว่าอะไรอยู่ข้างใน

กู่ฉิงซานเพียงรู้สึกแค่ว่ามันคือสิ่งมีชีวิต

“ข้ามองเห็นไม่ชัด” กู่ฉิงซานกล่าวตามตรง

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งโยนคบเพลิงลงไปก่อนกระซิบว่า “คลายข้อห้าม”

เปลวไฟส่องสว่างทะเล ทำให้สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่เด่นชัดขึ้นมา

กู่ฉิงซานตั้งใจมอง

เขาเห็นว่ามันคือนิ้ว

นิ้วสีดำสูงสามชั้นและหนายิ่ง

มีเล็บคมปลาบอยู่ที่นิ้ว มันดูเหมือนกับส่วนหนึ่งของกรงเล็บจากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่

นิ้วยักษ์ทั้งหมดถูกพันธนาการอย่างแน่นหนาโดยโซ่สีดำเส้นเล็กหลายร้อยเส้นขณะตรึงไว้ที่ก้นทะเล

สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวคือนิ้วนั่นกำลังดิ้นรนอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามกำจัดพันธนาการของโซ่สีดำเหล่านี้ออกไป

กู่ฉิงซานเห็นว่าโซ่สีดำสามถึงห้าเส้นขาดก่อนตกลงไปที่ก้นทะเล

“ข้าได้ศึกษาโบสถ์แห่งนี้จนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ท้ายที่สุดก็ได้พบว่าจุดประสงค์ของโบสถ์แห่งนี้ก็เพื่อขังเจ้านิ้วนี่เอาไว้” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

เมื่อได้เห็นทักษะลี้ลับ “ก้าวข้ามทะเลขมขื่น” ของกู่ฉิงซาน เขาก็ช่างพูดและมีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ข้าเกรงว่าโบสถ์แห่งนี้ไม่สามารถตรึงนิ้วนี่เอาไว้ได้นาน” กู่ฉิงซานกล่าว

ถึงแม้โซ่สามถึงห้าเส้นที่ขาดไปจะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนโซ่ทั้งหมด

แต่นี่หมายความได้อย่างหนึ่ง

เพราะมันมีความสามารถที่เป็นอิสระจากโซ่สามถึงห้าเส้น เมื่อเวลาผ่านไป นิ้วยักษ์สีดำนี่จะต้องทำลายโซ่สีดำทุกเส้นจนเป็นอิสระจากใต้โบสถ์ได้ในที่สุด

“มันไม่สำคัญหรอก ตราบที่กระแสชีวิตอันทรงพลังและคงที่หลอมรวมกับโบสถ์จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์ จำนวนโซ่สีดำจะเพิ่มขึ้น นิ้วยักษ์นี่ก็จะถูกพันธนาการเอาไว้ตลอด” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

กู่ฉิงซานประหลาดใจ

ไม่สงสัยเลยว่าโบสถ์แห่งนี้ต้องกินพวกมารเสมอ

กลายเป็นว่ามันเอาไว้ดึงพลังของพวกมารนี่เอง

แต่แทนที่จะสังหารพวกมาร มันกลับใช้เพื่อเป็นแหล่งพลัง พูดให้ถูกก็คือ เป็นผลผลิตที่ใช้เก็บเกี่ยวอย่างต่อเนื่อง

ด้วยพลังของพวกมารจำนวนนับไม่ถ้วน โบสถ์จึงผนึกนิ้วสีดำนี้เอาไว้ได้

“นิ้วนี่มันคืออะไรกันแน่” กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้

“ข้าไม่รู้ ข้าพยายามโจมตีสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

เขาจ้องนิ้ว ดวงตาสีเขียวเทาเผยความบ้าคลั่งและความปรารถนา

“ทีนี้พวกเรามาคุยเรื่องธุรกิจกันดีกว่า”

เขาหันมามองกู่ฉิงซานทันที

“ราชาวิญญาณมาร ข้าสามารถให้ราชาพ่อมดกระดูกดำร่ายชะลอความตายกับอาวุธของเจ้าเพื่อช่วยชะลอการพังทลายของอาวุธได้”

กู่ฉิงซานยินดียิ่งแล้วกล่าวว่า “แบบนั้นก็แย่ล่ะสิ ถ้าร่ายวิชาเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ข้าจะต้องยกโลกมารสองแห่งให้กับท่าน”

“ไม่จำเป็น” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

กู่ฉิงซานผงะ

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าวว่า “เศษเสี้ยวโลกมารสองแห่งเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งก็จริง แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจข้าพองโตกลับเป็นความสามารถของเจ้า”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”

“พรุ่งนี้ ทีมสำรวจของข้าจะไปสำรวจส่วนลึกของทะเลมารโกลาหล สิ่งที่เจ้าต้องรู้คือตราบที่เจ้าเต็มใจเข้าร่วมทีมของข้า เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องทำตามกฎ การแลกเปลี่ยนของเราก็เป็นอันเสร็จสิ้น”

“ท่านจะไม่ใช้กฎมาเป็นบรรทัดฐานการแลกเปลี่ยนงั้นหรือ” กู่ฉิงซานถาม

หลังจากได้เห็นนิ้วยักษ์ เขายอมจ่ายกฎเกณฑ์สองสายแทนที่จะไปสำรวจทะเลมารโกลาหลยังจะดีเสียกว่า

ว่าไปนั่น โบสถ์แห่งนี้แปลกประหลาด มีเพียงภูตผีเท่านั้นที่รู้ว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่ใต้ทะเลมารโกลาหล

แต่คำตอบของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งทำให้กู่ฉิงซานผิดหวัง

“ราชาวิญญาณมาร เส้นกฎเกณฑ์ของเจ้ามีค่ามากจริง ๆ แต่ตอนนี้ข้ามีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นก็คือการสำรวจทะเลมารโกลาหล”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าวต่อว่า “ความสามารถของเจ้าในทะเลนับว่าเป็นประโยชน์นัก ข้าต้องการความสามารถของเจ้าเพื่อให้ทีมของข้าปลอดภัยและบรรลุเป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น”

ความคิดของกู่ฉิงซานวูบไหว

ดูท่าเรื่องนี้จะปฏิเสธไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งจะไม่มีวันช่วยเหลืออย่างแน่นอน

ถ้าอยากรักษาดาบก็ต้องทำสัญญากับเขา

ถ้าอย่างนั้น

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าสามารถร่วมทีมของท่านเพื่อให้การเดินทางนี้บรรลุเป้าหมายได้ ขอเพียงท่านทำสิ่งที่ข้าขอได้เท่านั้น”

“ยุติธรรมดี งั้นเป็นอันตกลงใช่หรือไม่” จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งถาม

“อีกอย่าง หากข้าจะแสดงสิ่งที่นายท่านได้เห็นก่อนหน้านี้ ข้าจำเป็นต้องฆ่าก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหัวเราะออกมา “มีสัตว์ประหลาดทะเลในทะเลอยู่มากมาย ข้าให้เจ้ากวาดล้างพวกมันเพื่อเป็นประโยชน์กับข้าก็ยังได้”

“ถ้างั้นก็ดี” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ

ใช่แล้ว นี่คือการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม ถึงตัวเองจะเสี่ยงไปหน่อย แต่ดาบพิภพจะได้รับการช่วยเหลือ

อาศัยความได้เปรียบจากโอกาสนี้ สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้คือหาพลังวิญญาณจำนวนมากอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือจากพลังอันมหาศาลของอีกฝ่าย

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ ถือเป็นอันตกลงใช่หรือไม่”

“นายท่าน โปรดช่วยอาวุธของข้าก่อน เพราะมันทนได้อีกไม่นาน หลังจากนั้น ข้าจะทำตามที่ให้สัญญาไว้” กู่ฉิงซานกล่าว

“ได้ ข้าจะจัดการเรื่องของเจ้าให้เดี๋ยวนี้แหละ”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเข้าสู่ความว่างเปล่าแล้วกล่าวว่า “ให้ราชาพ่อมดกระดูกดำมาพบข้า”

“ขอรับ” เสียงหนึ่งดังขึ้น

ไม่นานนักก่อนราชาพ่อมดกระดูกดำจะมาถึง

“นายท่าน มีคำสั่งอะไรหรือ” ราชาพ่อมดกระดูกดำถาม

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมองกู่ฉิงซาน “พูดเลย”

กู่ฉิงซานกล่าวคำขออีกครั้ง

ราชาพ่อมดกระดูกดำตั้งใจฟังแล้วพยักหน้า “หยิบอาวุธของเจ้าออกมา”

กู่ฉิงซานหยิบกล่องยาวที่เก็บดาบพิภพเอาไว้ออกมาอย่างระวังขณะถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

ราชาพ่อมดกระดูกดำคุกเข่ากับพื้นขณะมองจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งแล้วกล่าวว่า “นายท่าน เช่นนั้นข้าขอลงมือ”

“ตามสะดวกเลย”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว

ราชาพ่อมดกระดูกดำพยักหน้าก่อนวางมือบนกล่องยาว

เขายื่นมืออีกข้างไปหยิบนาฬิกาโบราณจากความว่างเปล่าออกมา

ราชาพ่อมดกระดูกดำแผดเสียงคำรามก่อนใช้หมัดกระแทกใส่นาฬิกา

นาฬิกาแตกสลาย ร่างกายของเขาค่อย ๆ หายไป ท้ายที่สุดก็มองไม่เห็น

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งและกู่ฉิงซานกลับมาบนหองสังเกตการณ์อีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้น” กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งตอบว่า “ทักษะลี้ลับของเขาที่ชะลอความตายนั้นสามารถใช้ได้เพียงสามครั้งในชั่วชีวิตนี้ ครั้งที่สามเพิ่งถูกใช้ไปเมื่อครู่ ทำให้เขาถึงแก่ความตาย”

กู่ฉิงซานมองกล่องยาวในมือก่อนสัมผัสอย่างละเอียด

เขารู้สึกถึงพลังที่คล้ายกับวิชาเวลาของเซี่ยเต้าหลิงจากกล่องยาว

เยี่ยม ในที่สุดดาบพิภพก็ไม่ตายแล้ว

เพราะจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งใช้ชีวิตลูกน้องของตัวเองจ่ายไปเพื่อช่วยรักษาดาบพิภพให้กับเขาแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธการแลกเปลี่ยนในส่วนที่เหลือได้

กู่ฉิงซานมองจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือ”

ขณะเดินอยู่ในโบสถ์ กลิ่นโลหิตและเผาไหม้อันเข้มข้นลอยมา

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วขณะมองรอบข้าง

เขาเห็นว่าทั่วทั้งผนัง มีพวกมารติดอยู่กับผนังโบสถ์ขณะยังดิ้นรนขัดขืน

พวกมันตายไม่ได้ ทำได้เพียงแช่อยู่ในลาวาหลอมละลายไปชั่วนิรันดร์

พวกมารอ้าปากพร้อมกับสีหน้าเจ็บปวดและสิ้นหวังขณะพยายามกรีดร้อง

แต่พวกมันไม่สามารถส่งเสียงใดๆ ได้

ดูท่าโบสถ์จะกีดกันเสียงของพวกมัน

ฉากสยองอันเงียบงันอยู่ตามผนังทุกหนแห่งทั่วทั้งโบสถ์

ชายวัยกลางคนสังเกตเห็นสายตาของกู่ฉิงซานก่อนยิ้มออกมา “พวกที่คิดเล่นตุกติกก็มีจุดจบเลวร้ายเช่นนี้เสมอ ท่านคิดว่าไงล่ะ”

“ถ้าพวกมารไม่เล่นตุกติกเพียงหนึ่งวัน พวกมันจะรู้สึกไม่สบายไปหนึ่งวัน” กู่ฉิงซานกล่าว

“มีแขกน้อยตนนักที่จะรู้ดีเช่นท่าน ท่านลอร์ด”

ขณะพูด เขาเห็นมารตนหนึ่งที่มีเกล็ดทั่วทั้งร่างก็หยุดนิ่ง

มันมองผนังด้วยความประหลาดใจก่อนตะโกนว่า “ท่านผู้เฒ่า ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”

ตรงข้ามอีกฝ่าย มารตนหนึ่งติดอยู่กับผนัง มีเพียงแขนขาและศีรษะที่ยื่นออกมา

“ช่วยข้าด้วย เจ้าหนุ่ม รีบช่วยข้าที” มารตนนั้นส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ

“นี่คือโบสถ์หลอมละลาย ข้าช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

“เจ้าไปหาจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเพื่อข้า ขอแค่ยอมช่วย ข้าเต็มใจมอบทุกสิ่งที่มีให้”

“ทุกสิ่งหรือ ถ้างั้นของของท่าน…แบบนี้เป็นความคิดที่ดีเลย…”

มารมีเกล็ดเผยความละโมบก่อนรีบออกจากโบสถ์ไป

ดูท่ามันจะรู้ดีว่าของของอีกฝ่ายถูกเก็บไว้ที่ไหน

ในโบสถ์ มีพวกมารจำนวนมากที่เข้ามา จะอธิบายว่ามีความคึกคักก็ไม่ผิด แต่ไม่มีใครสนใจที่จะจัดการกับเรื่องเหล่านี้เลย

กู่ฉิงซานยังคงเงียบขณะตามชายวัยกลางคนไปยังโถง เดินผ่านตามทางเดิน เดินขึ้นบันไดสู่ตึกสูงก่อนเข้าสู่ห้องขนาดเล็ก

ห้องมีขนาดเล็ก แต่เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นพร้อมใช้งาน แม้กระทั่งเตาผิงขนาดเล็กก็ยังมี

“นี่คือห้องส่วนตัวสำหรับท่าน”

ชายวัยกลางคนดีดนิ้ว

จานอาหารน่ากินและมีไอพวยพุ่งปรากฏขึ้นบนโต๊ะยาวพร้อมถังน้ำแข็งขนาดใหญ่กับขวดบรรจุสุราเจ็ดถึงแปดขวด

ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างสุภาพว่า “ท่านเดินทางจากโลกวิญญาณมารมาตั้งไกล โปรดพักเสียหน่อย มีท่านลอร์ดอยู่หน้าห้องตนหนึ่ง ทันทีที่ผู้ประเมินจัดการเสร็จสิ้นแล้ว เขาจะมาพบท่าน”

“ขอบคุณ” กู่ฉิงซานพยักหน้า

เขาเดินไปที่โต๊ะ หยิบขวดสุราขึ้นมาหนึ่งขวดก่อนเปิดฝาแล้วเทใส่แก้วตัวเอง

ผู้ประเมินของทะเลมารโกลาหลนับว่ามีชื่อเสียงมาก พูดง่ายๆ คือเขารับใช้พวกมารระดับลอร์ดเท่านั้น แถมยังเป็นยอดผู้เชี่ยวชาญความลี้ลับอีกด้วย

ในเมื่อมีท่านลอร์ดเพียงตนเดียวเท่านั้น เขาจึงรอ

ชายวัยกลางคนยิ้มเมื่อเห็นภาพดังกล่าว เขาเปิดประตูก่อนเดินออกมา

ใช้เวลาไม่นานนัก

เมื่อกู่ฉิงซานดื่มสุราแก้วที่ห้าเข้าไป มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอก

“เชิญเข้ามา”

กู่ฉิงซานวางแก้วลงขณะกล่าว

ประตูเปิดออก

เขาเห็นชายชรารูปหล่อเดินมาจากข้างนอก

หลังจากมารไปถึงระดับสูงก็มักจะปลอมแปลงตัวเองให้เหมือนมนุษย์เพื่อปกปิดเผ่าพันธุ์และตัวตนดั้งเดิมของตัวเอง

มิติที่ครอบครองโดยร่างมนุษย์มักมีขนาดเล็กเสมอ จากประสบการณ์ มันสะดวกสบายยิ่งเวลาสื่อสารในร่างมนุษย์

การเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์คือทักษะทั่วไประดับสูงที่มีเพียงมารระดับสูงเท่านั้นที่สามารถเชี่ยวชาญได้

“ยินดีต้อนรับ ราชาวิญญาณมาร การต่อสู้ของท่านน่าทึ่งนัก ถ้าข้าเห็นพลังของวิญญาณอสนีบาตก็คงคิดว่าท่านเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยซ้ำ” ชายชรากล่าวพร้อมรอยยิ้ม

กู่ฉิงซานยิ้มและไม่กล่าวอะไร

จะโกหกไม่ได้

ชายชราถามอีกครั้งว่า “ถ้างั้น ท่านผู้มีโลกมารสองแห่ง การที่มาทะเลมารโกลาหลในครั้งนี้ ไม่ทราบว่าต้องการสิ่งใด”

“เรียนผู้ประเมินที่เคารพ ข้ามาที่นี่เพื่อประกาศภารกิจ” กู่ฉิงซานกล่าว

ชายชราฟังขณะกล่าวด้วยความไม่ค่อยสนใจว่า “โห ภารกิจหรือ นี่ออกจะเป็นเรื่องที่เรียบง่ายนัก ข้าจะให้คนที่ระดับต่ำกว่าจัดการให้ก็แล้วกัน”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าเรื่องนี้ยังต้องให้ท่านจัดการอยู่ดี”

เขาหยิบถุงขนาดเล็กออกมาก่อนโยนให้อีกฝ่าย

ชายชรารับถุงก่อนชั่งน้ำหนักแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าสัมผัสได้ถึงน้ำหนักอันหนักอึ้งของมัน ดูท่าภารกิจของท่านต้องไม่เรียบง่ายเป็นแน่แท้ โปรดบอกพวกข้ามาคร่าวๆ ว่าภารกิจแบบไหนที่ท่านจะประกาศ”

“ช่วยเหลือวิญญาณ” กู่ฉิงซานกล่าว

กู่ฉิงซานหยิบกล่องยาวออกมาก่อนวางบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา

เขาวางมือบนกล่องก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า

“มีอาวุธหนึ่งชิ้นอยู่ในนี้ มันกำลังจะตาย ข้าอยากรู้ว่ามีมารตนไหนที่สามารถใช้พลังพิเศษซ่อมได้”

ชายชราพลันสนใจขึ้นมาก่อนกระซิบว่า

“วิญญาณวัตถุนั้นหาได้ยาก หากท่านต้องการช่วยพวกมัน แม้แต่ข้าก็ไม่มีประสบการณ์ที่ดีพอ ภารกิจเช่นนี้นับว่าหาได้ยากและควรค่าแก่การที่ข้าจะลงมือยิ่งนัก”

เขาเริ่มท่องคาถา “รายการสำรวจสิ่งลี้ลับ จงปรากฏ”

‘ปัง!’

ตำราเล่มใหญ่ปรากฏขึ้นจากอากาศบางขณะลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง

นี่คือความสามารถลี้ลับขึ้นชื่อที่ผู้ประเมินทุ่มเทให้

“วางมือของท่านบนตำราแล้วกล่าวสิ่งที่ต้องการ” ชายชรากล่าว

กู่ฉิงซานวางมือบนผิวตำราเล่มใหญ่แล้วกล่าวว่า “ข้าต้องการช่วยอาวุธของข้า”

ตำราเล่มใหญ่ไม่ขยับ ไม่มีเสียงใดๆ

ชายชราเสียดาย “ดูท่าทั่วทั้งทะเลมารโกลาหล ไม่มีมารตนใดมีความสามารถช่วยอาวุธได้”

“ข้าขอลองอีกสักครั้งด้วยการประกาศภารกิจที่ง่ายขึ้นอีกเล็กน้อย” กู่ฉิงซานกล่าว

“ยังไงกันล่ะ” ชายชราถาม

“ทำให้อาวุธอยู่ในสภาพอมตะชั่วคราว” กู่ฉิงซานกล่าว

ชายชราพยักหน้าก่อนส่งสัญญาณให้เขาลงมือต่อ

ตอนนี้ กู่ฉิงซานวิตกอย่างแท้จริง

ดาบพิภพสามารถมีชีวิตได้อีกเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น

หากไม่มีหนทางถ่วงเวลาการตายได้ก็เท่ากับจบสิ้น

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ วางมือบนตำราเล่มใหญ่แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าอยากถ่วงเวลาการตายของอาวุธชิ้นนี้เพื่อไม่ให้มันแตกสลายชั่วคราว”

ตำราเล่มใหญ่ไม่ขยับ

ผ่านไปหนึ่งอึดใจ

ตำราสั่นไหวอย่างรุนแรง

‘เปรี้ยะ!’

มันลอยออกจากมือของกู่ฉิงซานขณะพลิกต่อไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดมาอยู่ที่หน้าหน้าหนึ่ง

นี่คือหน้าเปล่า แต่ชายชรายิ้มออกมา

“ดูท่าจะมีมารตนหนึ่งที่สามารถทำได้” เขากล่าว

“จริงหรือ” กู่ฉิงซานยินดี

“ใช่ ตอนนี้ข้าขอดูว่าใครกันที่มีความสามารถนี้ โปรดรอสักครู่”

ชายชราหยิบปากกาขนนกออกมาก่อนวางบนหน้าเปล่า

ทันทีที่ปากกาขนนกสัมผัสหน้าตำรา มันทะยานออกไปแล้วเริ่มเขียนข้อมูลจำนวนมากอย่างละเอียด

กู่ฉิงซานไม่เข้าใจว่าปากกาขนนกกำลังเขียนอะไรอยู่

เมื่อปากกาขนนกเขียนเสร็จ ชายชราอ่านรายละเอียดในตำรา “ราชาพ่อมดกระดูกดำ ทักษะลี้ลับ ชะลอความตาย”

“ราชาพ่อมดกระดูกดำอยู่ที่ไหนหรือ” กู่ฉิงซานถามทันที

ชายชราเผยสีหน้าแปลกประหลาดแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าท่านอาจจะไม่รู้ แต่เขาเหมือนกับข้า เป็นผู้รับบัญชาจากนายท่านของพวกข้า”

“แต่เขาไม่ได้อยู่ในแผนกธุรกิจเดียวกับข้า แต่อยู่องค์กรต่อสู้ หากไม่ได้รับคำสั่งจากนายท่าน เขาไม่สามารถลงมือได้”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร” กู่ฉิงซานถาม

“ท่านต้องไปพบนายท่านกับข้าแล้วนายท่านจะตอบตกลงให้กับภารกิจนี้” ชายชรากล่าว

กู่ฉิงซานตกตะลึง

ไปพบจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหรือ

แม้กระทั่งดยุคมารโลหิตและนักบวชศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เต็มใจที่จะรับมือกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ด้วยซ้ำ

ชายชรากล่าวอีกครั้งว่า “เพราะเห็นแก่ความใจกว้างของท่าน ข้าขอเตือนไว้ก็แล้วกัน โปรดเตรียมค่าตอบแทนให้มากพอ ไม่อย่างนั้นหากนายท่านไม่ยินดี ท่านอาจจะกลายเป็นเครื่องประดับอีกชิ้นบนผนังโบสถ์ก็เป็นได้”

กู่ฉิงซานคร่ำครวญออกมา “ข้าไม่รู้ว่าค่าตอบแทนแค่ไหนถึงจะพอ”

ชายชรากล่าวว่า “ข้าทำได้แค่ให้ข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น ครั้งที่แล้ว มารตนหนึ่งใช้เรือยักษ์สิบสองลำที่เต็มไปด้วยเพชรโลหิตวิญญาณมาขอให้นายท่านทำบางอย่างเพื่อเขา ผลที่ได้ มารตนนั้นยังอยู่บนผนังชั้นนอกของโบสถ์”

กู่ฉิงซานจนคำพูด

ถึงแม้เขาจะเตรียมสมบัติล้ำค่าของโลกมารสองแห่งมาด้วยในรอบนี้ แต่เขารีบร้อนเกินไป ทำให้ไม่มีเวลาเตรียมของได้มากกว่านี้ ยังไงเสีย โลกมารสองแห่งก็นับว่ากว้างใหญ่นัก

ดังนั้น ค่าตอบแทนต้องเท่าไหร่จึงจะสมน้ำสมเนื้อ

เขาครุ่นคิดอย่างเงียบงัน

เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายชรากล่าวว่า “ท่านคิดว่าไง หากตัดใจตอนนี้ ข้าจะไม่รายงานนายท่าน ท่านจะไม่ต้องเสี่ยงอะไรอีก ท่านเพียงจ่ายค่าปรึกษามาบางส่วนเท่านั้นแล้วค่อยไป”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “โปรดรายงานให้ข้าที”

ชายชราพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ท่านรออยู่ที่นี่แหละ”

เขาเปิดประตูแล้วเดินออกไป

ผ่านไปสักพัก

มีเสียงเคาะประตูอีกครั้ง

“ท่านลอร์ดใช่หรือไม่” ใครบางคนถาม

“ข้าเอง” กู่ฉิงซานตอบ

ประตูพลันเปิดออก

แบนชีงดงามสองตนในชุดเดรสยืนอยู่คนละฝั่งของประตู

พวกนางคำนับให้กู่ฉิงซาน เผยรอยยิ้มให้แล้วกล่าวว่า

“นายท่านรับทราบคำขอแล้ว โปรดตามพวกข้ามา”

กู่ฉิงซานตามพวกนางออกไป

เขาเห็นว่าฉากด้านนอกประตูเปลี่ยนไป

ด้วยเหตุผลบางอย่าง บันไดที่แตกหักและเส้นทางอันว่างเปล่านอกห้องนี้หายไปแล้ว

มันถูกแทนที่ด้วยโถงอันงดงาม

พรมหรูหราถูกปูบนพื้น

กลิ่นบุปผาอบอวลทั่วโถง

ไม่มีผนังทั้งสองฝั่ง ทิวทัศน์ของทะเลไร้สิ่งบดบัง

สายลมและสายฝนกรีดร้อง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้ามาถึงที่นี่

กู่ฉิงซานถึงขั้นมองเห็นทะเลที่อยู่ไกลลิบ มีสองร่างใหญ่กำลังต่อสู้กันบ้าคลั่ง

นั่นคือสัตว์ประหลาดทะเลสองตัว

เสียงร้องของสัตว์ประหลาดทะเลเต็มไปด้วยความมุ่งร้ายและจิตสังหาร

กู่ฉิงซานมองรอบข้าง

เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ห้องตัวเองอยู่ด้านบนสุดของโบสถ์

นี่คือตำหนักที่เป็นของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

กู่ฉิงซานตามมารหญิงงามทั้งสองขณะเดินไปตามบันไดยาว

มีมารตนหนึ่งที่มีบรรยากาศรุนแรงรออยู่ก่อนแล้ว

บนขั้นบันได ท่านลอร์ดอีกตนก้าวขึ้นบันไดอย่างระมัดระวัง

ที่ปลายทางขั้นบันไดถูกปิดกั้นด้วยชั้นเงาที่มองไม่เห็น ทำให้มองไม่เห็นฉากที่อยู่ข้างใน

“โปรดรอสักครู่ มีท่านลอร์ดสองท่านกำลังขอเข้าพบนายท่านอยู่ก่อนแล้ว”

มารหญิงทั้งสองยิ้มให้กู่ฉิงซาน จากนั้นจึงก้าวถอยออกมา

กู่ฉิงซานและท่านลอร์ดอีกตนรออยู่ใต้ขั้นบันได

เขาชำเลืองมองท่านลอร์ดตนนั้น

เขาเห็นว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าซีดเผือด เหงื่อไหลไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าวิตกยิ่ง

“เจ้ามาขออะไรหรือ” ท่านลอร์ดถาม

“เรื่องอาวุธน่ะ แล้วเจ้าล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“มีความผิดปกติเกิดกับร่างกายน่ะ” ท่านลอร์ดกล่าว

ทั้งสองพยักหน้าให้กัน จากนั้นจึงหยุดสนทนา

พวกเขาต่างรำพึงรำพัน

ที่นี่ไม่มีใครโกหกได้

คงดีกว่าที่จะไม่สนทนามากไปกว่านี้

ไม่อย่างนั้น มีหวังได้ถูกขุดคุ้ยเป็นแน่

กู่ฉิงซานและท่านลอร์ดอีกตนรอไม่นานนัก

มารหญิงสองตนที่มีใบหน้าน่าเกลียด เขาแพะบนศีรษะกับขนนกสีดำได้ปรากฏตัวขึ้น

พวกนางคล้ายกับมีสถานะที่สูงส่งกว่า เทียบกับมารหญิงก่อนหน้านี้ สถานะของพวกนางดีกว่านัก

“ท่านลอร์ดตนก่อนได้พบนายท่านแล้ว ทีนี้ถึงตาท่านแล้วล่ะ”

มารหญิงทั้งสองกล่าวกับท่านลอร์ดอย่างพร้อมเพรียง

ท่านลอร์ดอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ “แต่พี่ชายที่ไปก่อนข้ายังไม่ลงมาเลยไม่ใช่หรือ”

มารหญิงตอบว่า “ท่านไม่ต้องรอเขาหรอก เขาตายแล้ว”

ท่านลอร์ดตกตะลึง เหงื่อเย็นค่อยๆ หลั่งออกมา

มารหญิงอีกตนกล่าวอย่างเห็นใจว่า “ท่านจำได้หรือไม่ ชั้นบนสุดคือสถานที่ที่พลังของโบสถ์ แข็งแกร่งที่สุด หลังจากขึ้นไปแล้ว หากพูดโกหกแม้เพียงนิดเดียว นายท่านของพวกข้าจะดูท่านกลายเป็นเครื่องประดับโบสถ์ชิ้นต่อไป”

“เขาไม่ได้ช่วยเขาหรือ เห็นว่ามาเพื่อคุยธุระพร้อมกับสมบัติจำนวนมากเชียวนะ” ท่านลอร์ดกล่าวขณะเช็ดเหงื่อเย็นตรงหน้าผาก

มารหญิงตอบว่า “น่าเสียดายที่นายท่านคิดว่าเครื่องประดับโบสถ์น่าสนใจยิ่งกว่าธุระนั่น”

มารหญิงอีกตนกล่าวว่า “ได้โปรด อย่าให้นายท่านรอนานไปกว่านี้อีกเลย ไม่อย่านั้น ถ้านายท่านโกรธขึ้นมาล่ะก็ ถึงตอนนั้น…”

ท่านลอร์ดหวาดกลัวขณะรีบก้าวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

มารหญิงสองตนมองหลังอีกฝ่ายจนอดที่จะหัวเราะไม่ได้

เมื่อท่านลอร์ดหายไปที่สุดขอบขั้นบันไดแล้ว มารหญิงสองตนหันมามองกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานยิ้มกลับ

มารหญิงสองตนตกตะลึงเล็กน้อย

ต่อให้ราชาวิญญาณมารจะไร้ค่า แต่เขาก็หล่อเหลาทีเดียว แถมยังน่าหลงใหลมากอีกด้วย

ดวงตาของมารหญิงทอประกายขณะกล่าวชม “ความสง่าของท่านนับว่าหาได้ยากยิ่งในหมู่ท่านลอร์ดด้วยกัน”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “รูปลักษณ์ไม่ใช่จุดแข็งของข้าหรอกนะ”

“โห แล้วจุดแข็งของท่านคืออะไรล่ะ” มารหญิงถามพลางหัวเราะคิกคัก

“ความใจกว้างยังไงล่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

เขาหยิงกล่องอัญมณีสองใบออกมาก่อนสะบัดมือออกไปอย่างแผ่วเบา พวกมันลอยไปอยู่ตรงหน้ามารหญิงทั้งสอง

มารหญิงสองตนเปิดกล่องเพื่อมองดู จากนั้นหยิบออกไป

ชุดอัญมณีล้ำค่าที่สุดในชุดสะสมของแม่มด ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลกมาร สิ่งนี้ก็ยังเป็นของขวัญที่เป็นประโยชน์

ทว่า มารหญิงทั้งสองไม่แสดงความตื่นเต้น เพียงแค่ชำเลืองมองอัญมณีคร่าวๆ ก่อนหยิบออกไป

กู่ฉิงซานอดที่จะประหลาดใจไม่ได้

มารหญิงทั้งสองไม่ตอบสนองกับอัญมณี แต่เผยความสนใจในตัวกู่ฉิงซาน

มารหญิงถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า “ได้ข่าวว่าท่านฆ่าราชามารไปสองตนใช่หรือไม่”

กู่ฉิงซานไม่ถามว่าพวกนางรู้ได้อย่างไรก่อนยิ้มออกมา “พูดให้ถูกคือฆ่าไปตนเดียว อีกตนนายหญิงเป็นผู้ลงมือน่ะ”

“แสดงว่าเจ้าชอบการฆ่าหรือ” มารหญิงถาม

“ไม่ชอบต่างหากล่ะ”

“ในฐานะท่านลอร์ด ท่านชอบอะไรล่ะ”

“ทำอาหาร”

มารหญิงถึงกับแข็งทื่อ

นางนิ่งอยู่สักพัก จากนั้นพลันป้องปากแล้วหัวเราะออกมา

“โบสถ์ไม่กินท่านแหะ ดูท่าท่านจะพูดความจริง” นางกล่าว

“ปกติข้าก็ไม่โกหกนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“เอาเถอะ…พูดตามตรงแล้ว ท่านเป็นท่านลอร์ดที่พิเศษมากจริงๆ” มารหญิงอีกตนเอียงศีรษะขณะมองเขา

“ความซื่อตรงทำให้อยู่ร่วมกันได้ด้วยความเชื่อใจ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าไม่ชอบการถูกโกหกเช่นกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

“ท่านคิดว่าข้าสวยหรือเปล่า” มารหญิงพลันถามขึ้น

รูปลักษณ์ของพวกนางไม่งดงามจริงๆ ออกจะดูน่าเกลียดด้วยซ้ำ

ดวงตาของกู่ฉิงซานจับจ้องอีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า “ท่วงท่าช่างมีเสน่ห์และน่าเชยชมนัก”

นี่คือความจริง

มารหญิงชี้ไปที่สหายก่อนถามว่า “แล้วนางล่ะ”

“มีเสน่ห์เท่ากัน” กู่ฉิงซานตอบ

มารหญิงอีกตนถามเสียงดังว่า “เช่นนั้นใครที่งดงามกว่ากันล่ะ”

บรรยากาศตอนนี้คล้ายกับแข็งทื่อ

มารหญิงทั้งสองเผยรอยยิ้มบนใบหน้าขณะจ้องมองกู่ฉิงซานราวกับกำลังรอให้เขาพูดอะไรแย่ๆ ออกมา

ยังไงเสีย ในโบสถ์แห่งนี้ ไม่มีใครกล้าพูดโกหก

“พวกเจ้าไม่ได้ดูดีเหมือนกับข้า” กู่ฉิงซานกล่าว

สองสาวประหลาดใจก่อนพลันหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ฮ่าๆ ช่างเป็นผู้ชายที่มีอารมณ์ขันยิ่งนัก”

“เอาเถอะ ถึงรูปลักษณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังเป็นท่านลอร์ดตัวจริงที่เป็นตัวตนแปลกประหลาดอยู่ดี”

ขณะสองสาวสนทนา หมอกสีดำค่อยๆ พวยพุ่งบนร่างของพวกนาง

หมอกสีดำเปลี่ยนขนนก เขายาวและใบหน้าน่าเกลียดให้กลายเป็นใบหน้างดงามที่มีผิวอ่อนนุ่ม

สองสาวมาปรากฏตัวตรงหน้ากู่ฉิงซาน

พวกนางดูเหมือนกัน เว้นแค่เพียงมีตนหนึ่งที่มีผมสีม่วงกับอีกตนมีผมสีเขียว

มีเพียงสีผมที่สามารถทำให้แยกพวกนางได้

นี่น่าจะเป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของพวกนาง

กู่ฉิงซานตกตะลึง

การเปลี่ยนแปลงนี้ที่ควบคู่ไปกับร่างมีเสน่ห์ดั้งเดิมทำให้เจริญหูเจริญตามากยิ่งขึ้น

“ท่านยังคิดว่าตัวเองดูดีที่สุดอีกหรือไม่” หญิงสาวถาม

กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้างดงามยิ่งกว่าข้า”

สองสาวป้องปากแล้วหัวเราะออกมา

พวกนางมีความสุขเสมอที่ได้ลวนลามมารระดับลอร์ดเหล่านี้

พวกนางกำลังจะคุยต่อเมื่อจู่ๆ สายตาอีกฝ่ายเหลือบไปเห็นบางอย่าง

“น่าเสียดายที่พวกเราไม่สามารถคุยกันต่อได้แล้ว ทีนี้ถึงตาของท่านแล้ว ท่านลอร์ด นายท่านกำลังรออยู่” หญิงสาวกล่าว

กู่ฉิงซานมองขึ้นไปบนขั้นบันไดสูงก่อนทวนคำพูดของท่านลอร์ดก่อนหน้านี้ “แต่พี่ชายที่ไปก่อนข้ายังไม่ลงมาเลยไม่ใช่หรือ”

“ไม่ต้องรอหรอก เขากลายเป็นเครื่องประดับไปแล้วเช่นกัน” มารหญิงกล่าวอย่างแผ่วเบา

กู่ฉิงซานถามว่า “มีใครเคยได้ลงมาหรือเปล่า”

มารหญิงทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นมองกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานยิ้มให้พวกนาง “พวกเจ้าไม่บอกข้าก็ไม่เป็นไร ข้าขึ้นไปล่ะ”

มารหญิงจ้องเขาแล้วพลันลดเสียงต่ำก่อนกล่าวว่า “ท่านต้องจำให้ดี อย่าปล่อยให้เสียเวลา”

“อย่างแรกเลย นายท่านจะปล่อยพวกมารที่มีความสามารถลี้ลับทรงพลัง แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับธุรกิจและโบสถ์ด้วย” มารหญิงอีกตนเน้น

กู่ฉิงซานพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเข้าใจ

“เจ้าบอกแบบนี้ นายท่านของเจ้าจะไม่ลงโทษเอาหรือ” เขากังวล

“ไม่ต้องห่วง เขตอาคมตัดขาดทุกสิ่ง นายท่านเกลียดที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ผลประโยชน์อะไร อีกอย่าง เขาไม่สนว่าพวกข้าจะพูดอะไร” มารหญิงกล่าว

กู่ฉิงซานยิ้มแล้วพยักหน้าให้สองสาว เขาสาวเท้าก้าวขึ้นไปทีละขั้น

ใช่ เขาจำได้แล้ว

บาร์เทนเดอร์ที่บาร์ซิ่วเริ่นเคยบอกว่ามีกฎสองข้อที่นี่

หนึ่งคือไม่สามารถพูดโกหกได้

อีกข้อคือความยุติธรรม

พวกมารมักจดจำข้อแรกได้เป็นอย่างดีเพราะพวกมารมักพูดโกหกโดยไม่รู้ตัวเสมอไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็ตาม

นี่คือสัญชาตญาณของพวกมัน

ส่วนความยุติธรรม มันคือกฎการแลกเปลี่ยนของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

จุดนี้สามารถมองข้ามไปได้อย่างง่ายดาย

เพราะสำหรับธุรกิจแล้ว นี่คือกฎที่ง่ายที่สุด

พูดให้ถูกก็คือจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งใส่ใจกับเรื่องนี้เมื่อเป็นเรื่องทำธุรกิจ

กฎสองข้อ

หากจำเพียงหนึ่งในนั้น

จุดจบมันแน่ชัดอยู่แล้ว

อีกอย่าง ถ้าเขาอยากเดินลงมาจากด้านบนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ก็ต้องมีเงื่อนไขที่สาม

“อย่างแรกเลย นายท่านจะปล่อยพวกมารที่มีความสามารถลี้ลับทรงพลัง”

ครึ่งประโยคนี้แหละคือเงื่อนไขที่สาม!

ในที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดถึงกับเป็นประโยคแรก

เมื่อเวลามีจำกัด คนเรามักจะเลือกคำสำคัญที่สุดเป็นอันดับแรก

ประโยคนั้นคือสิ่งที่แม่มดตนแรกกล่าว

“ท่านต้องจำให้ดี อย่าปล่อยให้เสียเวลา”

นี่คือเงื่อนไขข้อที่สี่!

กู่ฉิงซานจัดเรียงสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว

เขาเดินไปยังขั้นบนสุดก่อนข้ามเขตอาคมบิดเบี้ยวสีดำ

ไม่ช้า เขาหายไปจากสายตาของมารหญิงทั้งสองเหมือนกับท่านลอร์ดสองตนก่อนหน้านี้

ท่ามกลางมารหญิงทั้งสอง หนึ่งในนั้นพลันถามว่า “พี่สาว พวกเราไปดูกันไหม”

มารหญิงอีกตนกล่าวว่า “เอาสิ ท่านลอร์ดผู้นี้น่าสนใจเหมือนกัน ข้าก็อยากรู้ว่าเขาจะเจอผลลัพธ์แบบไหน”

“ถ้าพวกเราลอบเข้าไปอีกจะเจอปัญหาอะไรไหมน่ะ”

“ไม่หรอก ท่านพ่อไม่ต่อว่าพวกเราต่อหน้าผู้อื่นหรอก”

“งั้นไปกันเถอะ”

“ได้”

นี่คือชั้นบนสุดของโบสถ์

มันคือหอสังเกตการณ์ที่ว่างเปล่าและกว้างขวาง

กู่ฉิงซานมองชายผู้หนึ่ง

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

เขาสวมชุดคลุมสีดำ รองเท้าสีดำปลายแหลม ถือคทายาวสีดำไว้ในมือ เขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงอีกาขณะหันหลังให้กู่ฉิงซาน เขากำลังมองพายุในทะเล

ฝูงอีกาทั้งหมดจ้องมองกู่ฉิงซาน

“ราชาวิญญาณมารผู้มาจากดินแดนอันไกลโพ้น ข้าได้ยินว่าเจ้าอยากรักษาอาวุธเอาไว้สินะ”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งถามตามตรง

กู่ฉิงซานตอบว่า “ใช่ ข้าเต็มใจจ่ายค่าตอบแทนทั้งหมดเพื่อทำการแลกเปลี่ยนกับวิชาชะลอความตาย”

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าวว่า “ข้าเคารพในผลประโยชน์ของทุกผู้ แล้วเจ้าวางแผนจะจ่ายค่าตอบแทนด้วยอะไรล่ะ”

กู่ฉิงซานหยิบเส้นด้ายยาวสองเส้นที่ส่องแสงเจิดจ้าออกมาก่อนเผยต่อหน้าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งไม่พูดอะไรสักพักใหญ่

นี่คือเส้นปกครองของโลกวิญญาณมารกับโลกมารกระดูกชั่วร้าย

เส้นกฎเกณฑ์สามารถหลอมรวมกับโลกมารได้

เมื่อโลกมารหลอมรวมกัน แหล่งกำเนิดโลกจำนวนมากจะหายไปเพื่อช่วยเพิ่มพละกำลังให้กับสิ่งมีชีวิต

แม้กระทั่งพวกมารเหล่านั้นที่เผชิญกับพันธนาการในการพัฒนาพละกำลังจะได้รับการพัฒนาในระดับต่างกันออกไปตามพรของแหล่งกำเนิดโลก

ดังนั้น โลกมารทุกแห่งคือสมบัติประเมินค่ามิได้ ทุกการหลอมรวมคือโอกาสอันมีค่า

เบื้องหน้าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง มีโลกมารสองแห่ง

เพื่อรักษาอาวุธ ราชาวิญญาณมารถึงกับเสนอโลกมารสองแห่งให้!

อาจจะมีท่านลอร์ดจำนวนมากที่มาที่นี่เพื่อเสนอสมบัติจำนวนมากและขอความช่วยเหลือจากจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

แต่จะมีท่านลอร์ดกี่ตนที่จะเสนอโลกมารให้

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเงียบไปสักพักก่อนถอนหายใจออกมา “มอบเศษเสี้ยวของโลกมารให้ในคราวเดียว ราชาวิญญาณมาร ปกติเจ้าหาญกล้าแบบนี้เสมอหรือ”

“ข้าแค่ไม่ชอบเล่นตุกติกนิดหน่อยน่ะ”

“เล่นตุกติกนิดหน่อยหรือ”

“ใช่ ถ้าข้าไม่มาพร้อมกับของที่ทำให้ท่านประทับใจได้ก็คงจะทำให้เสียเวลาเปล่า เวลาเป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้” กู่ฉิงซานกล่าว

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งไม่พูดอะไร

แต่ฝูงอีการอบตัวเขาล้วนสยายปีกก่อนบินออกจากหอสังเกตการณ์

จากจุดสูงสุดของโบสถ์ เสียงของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งดังก้อง

“ท่านลอร์ดหนุ่มผู้มีมันสมองนับว่าหาได้ยาก”

“รางวัลที่เจ้าจ่ายให้นับว่าโดนใจข้านัก ฉะนั้นข้าจึงไม่เสียเวลาเปล่า”

“ถ้าข้ายืนกรานจะใช้เจ้าเป็นเครื่องประดับผนัง แบบนั้นมันก็ไม่ยุติธรรมกันพอดี”

ในที่สุดเขาหันมามองกู่ฉิงซานซึ่งๆ หน้า

กู่ฉิงซานหยิบการ์ดมรกตขณะวางบนหน้าต่างต้นเพลิง

เมื่อสายตาของเขาจับจ้องการ์ด หมอกสีดำที่ปกคลุมทั้งการ์ดค่อยๆ รวมตัวก่อนกลายเป็นชุดเกราะแผ่ไอสีดำออกมา

ตอนนี้ หน้าต่างต้นเพลิงเริ่มอธิบายการ์ด

“สวมใส่การ์ดระดับมรกต: เกราะศึกหมอกดำ…ครบชุด”

“คำอธิบาย…เกราะศึกหมอกดำเป็นต้นแบบของเกราะศึกของจ้าวมาร ถึงแม้เพิ่งจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ แต่พลังป้องกันกลับแก่กล้ายิ่งนัก”

“เกราะนี้มีคุณลักษณะมากมาย”

“ความทนทาน: ทุกความเสียหายที่เกราะได้รับจะกระจายไปทั่วทั้งเกราะ”

“ซ่อมแซมตัวเอง: เกราะศึกจะซ่อมตัวเองทันทีหลังจากได้รับความเสียหาย ความเร็วขึ้นอยู่กับพลังวิญญาณที่ท่านถ่ายเข้าไป”

“อ้อมกอดของหมอกดำ: เมื่อท่านหยุดนิ่ง หมอกดำจะซ่อนตัวท่านเอาไว้ มีเพียงศัตรูระดับสูงกว่าท่านสองขั้นเท่านั้นที่สามารถตรวจจับท่านได้”

ขณะมองคำแนะนำเหล่านี้ กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา

ในฐานะผู้ใช้วิชาดาบ เขาต้องการชุดที่พึ่งพาได้เช่นกัน

ครั้งที่แล้วมีใครบางคนมอบชุดเกราะให้ แต่มันตกทอดมาจากภายในตระกูลและนักพรตคนนั้นก็ถึงแก่ความตายเพราะทำแบบนั้น กู่ฉิงซานจึงไม่มีหน้าจะไปใช้ชุดเกราะดังกล่าว

ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็มีชุดเป็นของตัวเอง

กู่ฉิงซานหยิบการ์ดใบนี้ออกมาก่อนวางมันบนการ์ดระดับมรกต “ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน”

การ์ดหายไปทันที

ในเวลาเดียวกัน ชุดเกราะที่เต็มไปด้วยหมอกดำปรากฏขึ้นจากอากาศบางในความว่างเปล่า

ถึงแม้ชุดเกราะศึกนี้จะแสดงออกถึงความชั่วร้ายที่กลืนกินทุกสิ่ง แต่รูปทรงอันงดงามของเกราะศึกก็แสดงให้เห็นถึงความสูงศักดิ์และความงามสง่าที่เป็นสิ่งคาดไม่ถึง

ทันทีที่เกราะศึกปรากฏขึ้น มันก็สลายเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วนทันทีก่อนห้อมล้อมกู่ฉิงซานเอาไว้

ทั้งชุดถูกสวมเพียงแค่อึดใจเดียว

กู่ฉิงซานสวมเกราะชุดนี้ ทั่วทั้งร่างได้ลิ้มรสความลี้ลับเล็กน้อย

เขาขยับไปมาตามใจนึกก่อนพบว่าเกราะทั้งชุดแข็งแรงและเบา ใส่พอดีกับร่างกาย ไม่ส่งผลกับการเคลื่อนไหวของเขาแม้แต่นิดเดียว

นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่า

ฉับพลันนั้นเองที่มีเสียงหนักอึ้งดังขึ้น “ท่านจะทำอะไรต่อ”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติว่า “แน่นอนว่าข้าจะเข้าสู่สมรภูมิเพื่อสู้”

หลังพูดจบ เขาแข็งทื่อทันที

เสียงนี้

กู่ฉิงซานตบถุงเก็บของ หยิบกล่องยาวออมกาก่อนเปิดออกอย่างรวดเร็ว

ดาบพิภพ

ดาบพิภพที่มีรอยร้าวบนพื้นผิวยังถูกเก็บไว้ข้างใน

“เจ้าตื่นแล้วหรือ รู้สึกอย่างไรบ้าง”

กู่ฉิงซานถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

เขาสังเกตเห็นว่าความผันแปรวิชารอบดาบพิภพหายไปสิ้น

หรือก็คือ วิชาแช่แข็งเวลาของเซี่ยเต้าหลิงล้มเหลวแล้ว

ดาบพิภพค่อยๆ พังทลายลง ตอนนี้วิชาเวลาที่ใช้ปกป้องมันก็หายไปแล้ว มันสามารถเข้าสู่การทำลายล้างอย่างรวดเร็วได้ทุกเมื่อ

ดาบพิภพกล่าวว่า “ข้าไม่กล้าขยับตอนนี้เพราะอาจจะตายได้ถ้าขยับขึ้นมา”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “อย่าห่วงไปเลย ข้าจะช่วยเจ้าฟื้นคืนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“เร็วแค่ไหน” ดาบพิภพถาม

“เท่าที่จะทำได้” กู่ฉิงซานกล่าว

“นายท่าน…เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ” ดาบพิภพถอนหายใจยาว

กู่ฉิงซานตกตะลึงจนอดที่จะนวดหน้าผากไม่ได้

ดาบเล่มนี้กำลังจะแตกสลาย แต่มันยังมีเวลามากพอจะมาพูดจาเหลวไหลแบบนี้อีก

ดาบพิภพกล่าวต่อว่า “ที่จริง หลังจากท่านเข้าภาพซ้อนทับของยุคนี้แล้ว ข้าก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นจนเห็นสิ่งที่ท่านทำ”

“แล้วทำไมก่อนหน้านี้เจ้าไม่พูดอะไรล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“ตอนนั้นการพูดเป็นเรื่องยาก ตอนนี้ข้าช่ำชองวิชาส่งเสียงแม้จะอยู่ในสภาพแตกหักก็ตาม ดังนั้นข้าจึงสามารถสื่อสารกับท่านได้อีกครั้ง” ดาบพิภพกล่าว

กู่ฉิงซานเงียบ

ฉับพลันนั้นเอง ดาบบินค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง

นั่นคือดาบบินของผู้ใช้วิชาดาบที่ตายไปในแนวหน้า มีทั้งสิ้นหกร้อยเก้าสิบเก้าเล่ม

ดาบบินทุกเล่มส่งเสียงกระซิบอันเศร้าหมองออกมา

ดาบคลื่นเสียงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าเช่นกัน

มันบินไปมารอบดาบพิภพ ส่งเสียงฮัมอย่างไม่เต็มใจเป็นครั้งคราว

กู่ฉิงซานตกตะลึง

นี่หมายความว่าอย่างไร

หรือนี่

หัวใจของกู่ฉิงซานค่อยๆ จมดิ่งสู่หุบเหว

“บอกข้ามา ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เขาพยายามถามด้วยน้ำเสียงสงบ

ดาบพิภพตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร จนกว่าท่านจะหาแฟนได้สักคน ข้าคงไม่มีปัญหาหรอก”

กู่ฉิงซานเม้มริมฝีปาก

จากเสียงของดาบพิภพ เขาได้ยินความรู้สึกที่ยากลำบาก

หลังจากดาบพิภพกล่าวไม่กี่คำ มันก็มีพลังขึ้นมาเล็กน้อย

ดวงตาของกู่ฉิงซานขยับขณะมองหน้าต่างต้นเพลิง

บัญญัติมีฟังก์ชันพื้นฐานที่สุดอยู่ นั่นก็คือการแสดงวัตถุ

ตอนนี้ บนหน้าต่างต้นเพลิง แถวข้อความสีโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ดาบพิภพ หนัก แปดสิบหกจุดสามเจ็ดจิน ครอบครองพลังวิเศษ: สนับสนุนตัวเอง”

“ดาบเล่มนี้กำลังจะแตกสลาย วิญญาณกำลังจะถูกทำลาย”

กู่ฉิงซานรีบมองแถวข้อความตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กสองแถวนี้ก่อนถามต้นเพลิงว่า “อยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

ต้นเพลิงตอบว่า “บัญญัติในตอนนี้อยู่ในช่วงวัยเด็ก ยากที่จะตรวจจับสภาพของดาบเล่มนี้ได้ชั่วคราว โปรดจ่ายพลังวิญญาณหนึ่งพันแต้มด้วย”

“ทำการจ่าย”

“เอาล่ะ บัญญัติจะทำการตรวจให้”

“ผลการตรวจสอบออกมาแล้ว: หนึ่งวันต่อมา มันจะพังทลายอย่างสมบูรณ์”

หนึ่งวัน!

กู่ฉิงซานเพียงรู้สึกว่าโลหิตกำลังแข็งตัว

หนึ่งวันจะไปทำอะไรได้

เขาจ้องดาบพิภพด้วยความเหม่อลอย ไม่สามารถพูดอะไรได้สักพักใหญ่

ตอนนี้ ดาบพิภพคล้ายกับสังเกตเห็น จึงกล่าวว่า “กู่ฉิงซาน ท่านไม่ต้องช่วยข้าอีกแล้วก็ได้”

“ทำไมล่ะ” กู่ฉิงซานถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

“เพราะถ้าท่านช่วยข้า ท่านจะต้องทิ้งหนทางของตัวเอง” ดาบพิภพตอบ

“หนทางข้าหรือ” กู่ฉิงซานไม่เข้าใจ

“ใช่ ท่านคือผู้ใช้วิชาดาบ ไม่ใช่เครื่องจักรสังหาร ถึงแม้ท่านจะเข้าสู่โลกมารเพื่อช่วยข้าและต่อสู้กับพวกมารนับไม่ถ้วน แต่เพราะการต่อสู้กับพวกมันมาเนิ่นนาน ท่านจะยิ่งเหมือนกับมารมากยิ่งขึ้น”

เสียงของดาบพิภพเต็มไปด้วยความกังวล “อีกอย่าง ท่านได้โหลดราชามารแห่งอารัมภบทอีกครั้ง เขาอยากให้ฝึกเพื่อเป็นราชามาร ไม่ใช่ผู้ใช้วิชาดาบ ดังนั้นเขาอยากจะเปลี่ยนท่านไปตลอดกาล ”

“อย่าห่วงไปเลย ข้าไม่เปลี่ยนไปหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว

ดาบพิภพกล่าวว่า “ยามผู้คนต่อสู้กับมังกรมารเป็นเวลานาน เขาจะกลายเป็นมังกรมารเสียเอง ยามผู้คนพบเจอกับมารและบัญญัติมาร เขาจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพวกมันในท้ายที่สุด”

ดาบพิภพถอนหายใจแล้วกล่าวต่อว่า “กู่ฉิงซาน ข้าหวังว่าท่านจะเป็นผู้ใช้วิชาดาบตลอดไป ไม่ใช่มาร”

“กู่ฉิงซาน ท่านไม่ต้องสู้กับมารเพื่อช่วยข้า ยิ่งกับราชามารแห่งอารัมภบทยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขอแค่ท่านรักษาหัวใจของการเป็นผู้ใช้วิชาดาบเอาไว้ได้ ในฐานะดาบของท่าน ข้าก็ไม่เสียดายที่ตายแล้ว”

กู่ฉิงซานฟังจนจบอยู่เงียบๆ

นี่อาจจะเป็นคำพูดสุดท้ายของดาบพิภพ

มันไม่อยากให้เขาเดินลุยน้ำโคลนอีกแล้ว

กู่ฉิงซานเงียบไปสักพักก่อนกล่าวเสียงอ่อนว่า

“เจ้าพักผ่อนให้ดีแล้วมาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าเมื่อหายดีแล้ว”

หลังจากพูดจบ เขาปิดกล่องยาวลง ผนึกมันไว้อย่างระวังแล้วเอากลับเข้าถุงเก็บของ

หลังจากนั้นไม่นาน เขาหยิบแผนที่ขนาดใหญ่ออกมาแล้ววางไว้ใต้เท้าของตัวเอง

นี่ยังเป็นแผนที่ของโลกมารตอนที่เขาสู้อยู่ในโลกมารเมื่อคราวที่แล้ว

แผนที่แบบนี้มีค่ามากในโลกมารที่มากพอจะแลกเปลี่ยนเป็นทรัพยากรราคาแพงได้

เขามองแผนที่ โลกมารหลายพันแห่งกระจายอยู่ทั่วพื้นที่

แต่ถ้ามองใกล้ๆ เขาจะพบว่าความจริงแล้ว โลกมารที่กระจายตัวเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ

สามส่วนนี้เป็นของสามราชามารที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมาร

ดยุคมารโลหิตนักบวชศักดิทธิ์

นักบวชศักดิทธิ์

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

ครั้งที่แล้วที่กู่ฉิงซานมาโลกมาร เป็นเพราะหลอมรวมกับเศษเสี้ยวโลกมารมากเกินไป ทำให้ดึงดูดความสนใจจากสามราชามาร

ยิ่งกว่านั้น ในฐานะผู้ล่าที่ค่อยๆ เข้าใกล้โลกมาร กู่ฉิงซานอาศัยความได้เปรียบเข้าไปหลอมรวมโลกมารของดยุคมารโลหิตจึงสามารถหนีออกมาได้

ยังไงเสีย เดิมทีแล้วโลกวิญญาณมารก็อยู่ภายในวังวนแห่งอิทธิพลของดยุคมารโลหิตอยู่แล้ว

แต่ครั้งนี้ต่างออกไป

เขาเพิ่งมาได้แค่วันเดียวและต้องหาทางถ่วงเวลาการตายของดาบพิภพเอาไว้

ดยุคมารโลหิตสนับสนุนวิชาการโจมตีที่รุนแรง ไม่เก่งเรื่องความสามารถพิเศษ อาทิ เวลา ผนึกและชีวิต

นักบวชศักดิทธิ์ไม่เก่งเช่นกัน นางบังคับให้ทุกตนเรียกตัวเองว่า “สูงศักดิ์” หรือไม่ก็ “ศักดิ์สิทธิ์” ความจริง สิ่งที่นางครอบครองคือวิชาหว่านเสน่ห์และการเสียสละ

แม้กระทั่งมารโลหิตจากรุ่นก่อนก็หลงเสน่ห์นางตอนที่สู้กัน ทำให้เขาต้องอยู่แทบเท้าอีกฝ่าย

กู่ฉิงซานสงสัยว่าแม่มดคือศิษย์ของนางเช่นกัน

พลังของนักบวชศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถรักษาดาบได้

ดังนั้น

กู่ฉิงซานหันสายตาไปยังพื้นที่ทะเลอันไกลลิบ

ทะเลมารโกลาหล

นี่คือดินแดนที่จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมีอิทธิพล

ราชามารผู้นี้ครอบครองวิชาลี้ลับจำนวนมากและเป็นตัวตนที่แปลกประหลาดที่สุดในบรรดาโลกมารหลายพันแห่ง

ภายใต้สถานการณ์ปกติ แม้กระทั่งนักบวชศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจยั่วยุจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งได้โดยง่าย

ตัดสินจากสถานการณ์ต่อสู้ของราชามารตนนี้เป็นเวลาหลายหมื่นปี มันไม่ได้ครอบครองวิชาวิเศษลี้ลับที่ช่วยยื้อชีวิตของดาบพิภพได้

แต่พื้นที่ทะเลแห่งนี้คือความหวังเดียวของกู่ฉิงซาน

เพราะจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งประกาศชัดเจนว่ามารที่มีความสามารถลี้ลับเท่านั้นที่สามารถเข้าทะเลมารโกลาหลได้

เวลา ชะตากรรม ชีวิต ทำลายล้างและการเปลี่ยนแปลงล้วนของเกี่ยวกับความลี้ลับ

หรือก็คือ มีเพียงทะเลมารโกลาหลเท่านั้นที่สามารถมีมารพิเศษได้ พวกมันอาจจะมีวิชาลี้ลับที่ช่วยถ่วงเวลาได้!

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้เขาไม่อยากเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว

หากต้องการเข้าทะเลมารโกลาหลจริง เขาต้องมีความสามารถลี้ลับ

เมื่อไม่มีหน้าต่างเทพสงคราม เขาก็ไม่สามารถใช้ชื่อของ “เทพสงครามดาราอัคคี” ได้

“วิชาเทพสงคราม” และ “ฉายาเทพสงคราม” ในตอนนี้ไม่สามารถใช้ได้ มีเพียงพลังลี้ลับที่ผ่านการฝึกฝนจนช่ำชองแล้วเท่านั้นที่หลอมรวมอยู่กับตัวเองจนสามารถเอาไปใช้ต่อได้

สะเทือนฝันนับเป็นความลี้ลับหรือเปล่า

แล้วการเปลี่ยนรูปทรงล่ะ

อย่างไรเสีย หากอยู่ในสถานที่อย่างทะเลมารโกลาหล สิ่งที่ลี้ลับมากที่สุดก็ควรจะเป็น

กู่ฉิงซานมองดาบคลื่นเสียงที่ลอยอยู่ด้านข้าง

เขาบอกกับดาบคลื่นเสียงว่า “ดาบพิภพจะไม่ยอมให้ข้าช่วย เอาแต่บอกว่าข้าจะตกต่ำลงเพราะสิ่งนั้น เจ้าคิดว่าไง”

‘ฮูๆ’

ดาบคลื่นเสียงส่งเสียงกรีดร้องเศร้าสร้อยออกมา

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่ มันกำลังจะตาย แต่ก็ยังเอาแต่พูดจาแบบนั้น ความจริง จะมีมารที่ไหนร้ายเท่าข้า พวกมารอยู่กับข้า พวกมันต่างหากที่ต้องระวังว่าจะตายเมื่อไหร่ เจ้าคิดว่าถูกไหม”

‘ฟิ่วๆ’

ดาบคลื่นเสียงเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ จึงทำให้ด้ามจับส่องแสงก่อนส่งเสียงหวีดหวิวออกมา

“เจ้าเห็นด้วยกับข้าใช่ไหม ดีมาก” กู่ฉิงซานชี้ไปยังทะเลตรงแผนที่แล้วกล่าวว่า “นี่ทะเลมารโกลาหล เมื่อไปถึงทะเล เจ้าต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า หาสถานที่เพื่อจะช่วยดาบพิภพ เข้าใจไหม”

‘วิ้ง!’

ดาบคลื่นเสียงพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะระเบิดเสียงกรีดร้องออกมา

‘บาร์ซิ่วเริ่น’

นี่คือบาร์ที่ตั้งอยู่สุดขอบทะเลมารโกลาหล

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งผสานวิชาลี้ลับจำนวนมาก อาทิ…ที่หลบภัยทะเล สายสัมพันธ์ทะเล บุตรแห่งทะเลและวิชาลี้ลับอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ที่นี่ไม่ถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดทะเล

สัตว์ประหลาดทะเล

ในหุบเหวทะเลลึก มีสัตว์ประหลาดทะเลโบราณอาศัยอยู่มาหลายร้อยล้านปี

หลังจากได้รับพรมาหลายปี ร่างกายพวกมันกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังน่าหวาดกลัว ยิ่งพละกำลังยิ่งไม่ต้องพูด

ตอนเผ่าพันธุ์เทพและเผ่าพันธุ์บรรพกาลแบ่งโลกมารดึกดำบรรพ์ พวกเขารู้สึกเหมือนกันว่าที่นี่เป็นปัญหามากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจงใจหลีกเลี่ยงพื้นที่ทะเลกว้างใหญ่แห่งนี้

ตอนนี้ พายุที่ทะเลยิ่งมายิ่งรุนแรง

ท้องนภาหมองหม่น

พวกมารอาศัยอยู่ในบาร์อย่างเต็มใจขณะฟังเสียงคำรามของปฐพีกับแผ่นดินไหวในทะเลด้านนอก

มารตนหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงพึมพำว่า “ความผันผวนของพลังในครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกที พนันเลยว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้อาศัยอยู่มาอย่างต่ำก็หกล้านปี”

มารอีกตนตอบว่า “ไม่ เสียงนี้เคยปรากฏขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อน ตอนนั้น เจ้าของบาร์บอกว่าเจ้าตัวใหญ่นี่อยู่ในวัยทารก เพิ่งมีชีวิตได้เพียงสองล้านกว่าปีเท่านั้น”

มารเพลิงกล่าวว่า “เอาเถอะ ไม่ว่าจะมีชีวิตมานานแค่ไหนก็ช่าง ยังไงก็ตาม ทุกครั้งที่ข้ามาที่นี่ ข้ารู้สึกสิ้นหวังเอามากๆ”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะเจ้าก็รู้ว่าจะไม่สามารถกินเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาดนั่นได้ยังไงล่ะ”

มารอีกตนขัดว่า “นี่ก็จริง แม่ของสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่มาห้าสิบล้านปีและชอบกินพวกเราเป็นที่สุด พนันเลยว่าเจ้าไม่อยากเจอแน่”

มารขี้เมาอีกตนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “แล้วทำไมขยะอย่างพวกเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนเสียทีล่ะ”

เพราะอีกฝ่ายพละกำลังแข็งแกร่ง จึงไม่มีมารตนไหนกล้าพูด

มีเพียงบาร์เทนเดอร์ที่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “มีโอกาสมากมายในทะเลมารโกลาหล จ้าวบ้านอย่างพวกข้ายินดีต้อนรับทุกผู้ที่มาสำรวจ จะว่าไปแล้ว เจ้าเมาเกินไปแล้วนะ ระวังอย่าไปสร้างปัญหาในบาร์เข้าล่ะ”

เมื่อได้ยินบาร์เทนเดอร์กล่าวเช่นนี้ มารตนนั้นคล้ายกับเข้าใจบางสิ่งก่อนปิดปากทันที

มันก้มศีรษะต่ำ ดื่มสุราโดยไม่หัวเราะเยาะผู้อื่นอีก

‘ปัง!’

ตอนนี้เอง ประตูบาร์เปิดออก

ท่ามกลางเสียงพายุอันโหยหวน มารหล่อเหลาตนหนึ่งเดินเข้าบาร์จากด้านนอก

เขาสะอาดไปทั่วทั้งตัว ไม่มีจุดไหนที่เปียกเพราะลมและสายฝน

พวกมารที่หน้าไม่คุ้นเหล่านี้มักดึงดูดความสนใจจากพวกมารที่ใช้ชีวิตที่นี่มาหลายปี

น้ำทะเลของทะเลมารโกลาหลเต็มไปด้วยพลังรุนแรงชั่วร้ายจำนวนมาก ไม่มีทางที่ความสามารถควบคุมน้ำธรรมดาจะรับมือไหว

การจะหลบเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ต้องสื่อสารโดยตรงกับทะเล

ดูท่าพลังของมารตนนี้จะข้องเกี่ยวกับทะเล

ทุกตนลอบครุ่นคิด

มารตนนั้นตรงไปที่บาร์

“อยากดื่มอะไรหรือ” บาร์เทนเดอร์ถาม

“ขอบคุณ แต่ไม่ล่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

“เจ้ามาที่บาร์เพื่อหลบลมและฝน หากไม่ดื่มอะไร นายท่านคงไม่ยินดีเป็นแน่” บาร์เทนเดอร์กล่าวตามตรง

“ถึงแม้ข้าจะไม่ดื่ม แต่ข้าก็มีข้อตกลงมาเสนอ” กู่ฉิงซานกล่าว

บาร์เทนเดอร์เผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมาก่อนถามว่า “โห…ถ้าอย่างนั้น แบบนี้ก็เข้าใจกันง่ายหน่อย ตัวตนของเจ้าคืออะไรล่ะ”

“ราชาวิญญาณมาร” กู่ฉิงซานตอบ

บาร์เทนเดอร์มองกู่ฉิงซาน สีหน้าคล้ายกับจมอยู่กับความทรงจำ “ราชาวิญญาณมารหรือ อืม ขอข้าดูข่าววันนี้ก่อนนะ ใช่ ท่านเพิ่งฆ่าราชามารสองตนในโลกมาร ทั้งรูปลักษณ์และชาติพันธุ์ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ พละกำลังก็นับว่าดียิ่ง”

พวกมารที่ฟังอยู่ด้านข้างต่างดึงสายตากลับ

มารทรงพลังที่เป็นเจ้าของสองพื้นที่ในโลกมาร ตัวตนแบบนี้ไม่ใช่ผู้มาใหม่ ไม่ควรค่าที่จะไปหาเรื่อง

บาร์เทนเดอร์อีกตนกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไร เช่นนั้นก็ให้การดูแลเขาในระดับราชามาร”

“ใช่ ใช่แล้ว ท่านมีโลกมารสองแห่ง จึงได้รับสิทธิ์การดูแลระดับราชามาร…”

“ขอบคุณ” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาวางเพชรวิเศษจำนวนหนึ่งบนบาร์อย่างไม่ใส่ใจ

เพชรวิเศษเป็นสกุลเงินแข็ง ไม่ว่าจะหลอมไอเท็ม ปลอมแปลง ร่ายวิชา แลกเปลี่ยนและสะสม เพชรวิเศษสามารถใช้แทนได้ทั้งสิ้น

เมื่อเห็นเพชรวิเศษเหล่านี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของบาร์เทนเดอร์ยิ่งกว้างมากขึ้น

ราชามารช่างใจกว้างยิ่งนัก

บุคคลเช่นนี้เป็นที่ต้อนรับไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

บาร์เทนเดอร์ถามว่า “ต้องขอโทษด้วย แต่ข้าต้องถามท่านอีกหนึ่งคำถาม ท่านมีความสามารถข้องเกี่ยวกับความลี้ลับหรือไม่”

“แน่นอน ข้ารู้กฎของนายท่านพวกเจ้าดี ข้าเต็มใจที่จะปฏิบัติตามกฎที่นี่ ยังไงเสีย ข้ามาที่นี่ก็เพื่อทำธุระ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ

บาร์เทนเดอร์พยักหน้าซ้ำไปมา ความประทับใจยิ่งเพิ่มทวีคูณ

อีกฝ่ายเข้าใจเรื่องที่นี่เป็นอย่างดี ดูท่าจะไม่มีแนวโน้มเรื่องความรุนแรง แถมไม่น่าจะมีความคิดร้ายอะไรด้วย

มีราชามารเช่นนี้น้อยมาก

บาร์เทนเดอร์กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา ในฐานะตัวแทนของนายท่าน ขอกล่าวต้อนรับสู่ทะเลมารโกลาหล”

เขาเดินออกจากด้านหลังบาร์ก่อนนำกู่ฉิงซานไปยังประตูสีคล้ำเล็กน้อยที่อยู่หลังบาร์

“โปรดตามข้ามา”

บาร์เทนเดอร์แตะประตูหลายครั้งก่อนส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซาน

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

ทั้งสองเดินเข้าประตูไป

แสงที่หมองหม่นพลันเจิดจ้าขึ้นมา

กู่ฉิงซานพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนจัตุรัสขนาดใหญ่

จัตุรัสปูด้วยหินและอิฐ ถนนสะอาดและเป็นระเบียบ แถมยังแข็งแรงและกว้างขวาง

ที่ปลายจัตุรัส มีโบสถ์อันงดงามตั้งอยู่เหนือท้องนภา

“อ๊ากกกกก!”

เสียงกรีดร้องนานาชนิดมาจากผนังชั้นนอกของโบสถ์

กู่ฉิงซานมองรอบข้างแล้วเห็นว่าผนังชั้นนอกของโบสถ์เต็มไปด้วยซากศพจำนวนมาก บ้างก็ตายมานานแล้ว บ้างก็มีเลือดเนื้อ บ้างก็เหลือเพียงกระดูก

ถึงอย่างนั้น พวกกระดูกก็ยังดิ้นรนที่อยากจะออกจากผนังชั้นนอกของโบสถ์

บนผนังชั้นนอกของโบสถ์ ลาวาหลอมเหลวยังคงไหลลงมาอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดชะงัก

“ท่านมาที่นี่ครั้งแรกหรือ” บาร์เทนเดอร์ถามเมื่อเห็นสายตาของกู่ฉิงซาน

“ใช่” กู่ฉิงซานกล่าว

อาจจะเพราะเพชรวิเศษเหล่านั้นทำหน้าที่ได้ดี บาร์เทนเดอร์จึงอธิบายอย่างอดทน “ต้องใช้เวลาอีกสักพักในการกอบกู้โบสถ์แห่งนี้จากทะเลลึก ผู้กอบกู้เหล่านี้จะไม่ตายจนกว่าจะถึงตอนนั้น”

เขายักไหล่แล้วกล่าวต่อว่า “นายท่านใช้เวลาจำนวนมากเพื่อพยายามนำผู้กอบกู้ที่จงรักภักดีเข้าสู่การหลับใหลชั่วนิรันดร์ แต่โบสถ์แห่งนี้มันช่างน่าสนใจจริงๆ สิ่งมีชีวิตที่ติดอยู่ผนังชั้นนอกของจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน ไม่มีวันอยู่อย่างสงบสุขได้ตลอดกาล”

“หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“หลังจากนั้น นายท่านก็เห็นดีเห็นงามด้วยเหมือนกัน” บาร์เทนเดอร์กล่าว

“นี่คือสิ่งปลูกสร้างโบราณที่ถูกฝังในทะเลลึกงั้นหรือ” กู่ฉิงซานถามอย่างสนใจ

“ใช่ เป็นของเก่าที่ดูดีทีเดียว นายท่านศึกษามันมาหลายร้อยปีแล้ว” บาร์เทนเดอร์กล่าว

กู่ฉิงซานพยักหน้า ส่งสัญญาณว่าเขาเข้าใจแล้ว

นายท่านของบาร์ซิ่วเริ่นคือจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง

อย่างที่ทุกคนรู้ เขาชอบขุดคุ้ยวัตถุโบราณเหล่านั้นที่ถูกฝังอยู่ในทะเลมารโกลาหล

ตอนนี้เอง รถม้าเข้าใกล้จากอีกฝั่งของจัตุรัสก่อนหยุดตรงหน้ากู่ฉิงซานและบาร์เทนเดอร์

บาร์เทนเดอร์เปิดประตูให้แล้วกล่าวว่า “เชิญขึ้นรถมาได้เลย นายท่าน ข้าจะพาท่านไปที่โบสถ์เพื่อจัดการเรื่องธุระให้”

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก ข้าจะเชิญเจ้าไปดื่มตอนที่กลับมา” กู่ฉิงซานกล่าว

บาร์เทนเดอร์หัวเราะจนเผยให้เห็นฟันแหลมคมก่อนกล่าวว่า “ท่านลอร์ด ท่านช่างเป็นแขกที่ใจกว้างนัก ข้าจะให้คำแนะนำเป็นข้อสุดท้ายก็แล้วกัน”

“ว่ามาเลย”

“กฎที่นายท่านของพวกข้าตั้งนั้นยุติธรรม โบสถ์เองก็ถือเป็นกฎ นั่นหมายความว่าท่านไม่สามารถโกหกได้ ตราบที่ท่านทำสองสิ่งนี้ได้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะกลายเป็นเครื่องประดับบนผนังชั้นนอกของโบสถ์แล้ว”

“ขอบคุณ”

รถม้าเริ่มพากู่ฉิงซานมุ่งสู่โบสถ์

รถม้าขยับโดยม้าน้ำเกล็ดดำหกตัว แต่กลับไม่มีคนขี่ม้า

โชคยังดี ม้าน้ำคล้ายกับคุ้นชินกับถนนสายนี้ แถมรถม้ายังกว้างขวางสะดวกสบาย จึงไม่มีการกระแทกแต่อย่างใด

กู่ฉิงซานนั่งในรถม้าขณะครุ่นคิดถึงคำแนะนำของบาร์เทนเดอร์อย่างเงียบงัน

หากไม่มีหลักความเป็นธรรม ดินแดนเพื่อการค้าขายก็ไม่อาจรุ่งเรืองได้

แสดงว่าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งทำจริง

ส่วนเรื่องโบสถ์…

กู่ฉิงซานมั่นใจว่าพวกมารที่สามารถติดตามจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งเข้าสู่ทะเลลึกได้ล้วนเป็นมือดี

ไม่อย่างนั้น จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งไม่พาพวกเขาไปแน่

แต่ตอนนี้ไม่มีใครในพวกเขาสามารถเป็นหรือตายได้ กายเป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์ ต้องทรมานชั่วนิรันดร์

“ไม่สามารถพูดโกหกได้…นี่คือการทรมานพิเศษสำหรับพวกมาร”

กู่ฉิงซานกล่าวพลางหัวเราะ แต่สีหน้าดูอับจนเล็กน้อย

ใช่แล้ว นี่ก็เป็นอุปสรรคสำหรับเขา

เวลาผันผ่านไป

รถม้าหยุดอย่างมั่นคงตรงหน้าโบสถ์

ชายวัยกลางคนที่ดูฉลาดมีความสามารถเปิดประตูรถม้าให้กู่ฉิงซาน

“ท่านลอร์ด ข้าคือผู้แลกเปลี่ยนระดับหนึ่งของสมาคมสำรวจทะเลมารโกลาหล พร้อมจะรับใช้ท่านจากใจจริง” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างสุภาพ

“ขอบคุณ ข้าต้องประกาศภารกิจให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” กู่ฉิงซานกล่าว

ชายวัยกลางคนกล่าวว่า “มีการระบุไว้ล่วงหน้าว่าทุกภารกิจและการแลกเปลี่ยน แม้กระทั่งการล่าสมบัติหรือการต่อสู้ นายท่านจะดึงรางวัลออกไปสามสิบส่วน”

“ข้ารู้” กู่ฉิงซานกล่าว

“เช่นนั้นก็ดี” ชายวัยกลางคนยิ้ม “ท่านลอร์ด โปรดตามข้าไปยังโถงภารกิจ”

พวกเขาเดินเข้าไปในโบสถ์หลอมละลาย

กู่ฉิงซานหมดคำจะพูดเล็กน้อยเมื่อเห็นราชาวิญญาณมารกำลังร้องไห้

เจ้านี่…กลายมาเป็นราชาวิญญาณมารได้อย่างไร

ตอนนี้ ราชาวิญญาณมารเห็นกู่ฉิงซานแล้ว

ผิวสีดำเหมือนกัน ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนกัน เขายาวเหมือนกัน

เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาจากไหน แต่อีกฝ่ายดูเหมือนเขามากเลย

ราชาวิญญาณมารตกตะลึงจนอดที่จะถามไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นใคร”

กู่ฉิงซานตอบว่า “ลองเดาสิ”

ราชาวิญญาณมารแผดเสียงคำราม “ราชาผู้นี้ไม่มีพี่น้อง แล้วเจ้ามาทำบ้าอะไรที่นี่”

ขณะกล่าว เขายืนขึ้น กลิ่นอายค่อยๆ เพิ่มขึ้น

พี่น้องหรือ

ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจของกู่ฉิงซานได้เล็กน้อย

กู่ฉิงซานเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก ส่งเสียงชู่ว์เบาๆ ก่อนขยิบตาให้ราชาวิญญาณมาร

“หืม” ราชาวิญญาณมารกล่าวอย่างงุนงง

ดูท่าอีกฝ่ายมีความลับบางอย่างที่จะพูด เขาจึงต้องหักห้ามตัวเองเอาไว้ชั่วครู่ ไม่ให้ลงมือในทันที

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ตอนแรกเจ้าคุกเข่า ตอนนี้กลับยืนขึ้นมา เจ้าสัมผัสได้ถึงแรงดันอันแก่กล้าภายในปราสาทได้หรือเปล่า”

ราชาวิญญาณมารจึงนึกอะไรขึ้นได้

เขารีบคุกเข่าอีกข้างตรงอ่างล้างหน้า

กู่ฉิงซานพูดอะไรไม่ออก

ดูเหมือนเจ้านี่จะสิ้นหวังเอามากๆ

กลายเป็นว่าเขาต้องการตัวตนที่เหมาะสมเพื่ออยู่ในโลกมาร

ตอนนี้ ราชาวิญญาณมารหันศีรษะมาอีกครั้งก่อนถามด้วยเสียงต่ำว่า “ให้ไว เจ้าเป็นใคร”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ถึงแม้จะน่าละอายที่ต้องพูดออกมา แต่ข้าคือพี่น้องของเจ้าจริงๆ ”

ราชาวิญญาณมารกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เหลวไหล! ข้าไม่มีพี่น้องสักหน่อย!”

ตูม!!!

มือยักษ์ตกลงมาจากท้องนภาก่อนฟาดใส่ราชาวิญญาณมารลงกับพื้น

มือยักษ์กระจัดกระจายกลายเป็นดาบบินจำนวนนับไม่ถ้วน

ดาบบินจำนวนมากทะลวงออกจากมือยักษ์ แทงลึกเข้าไปยังแขนขาของราชาวิญญาณมารเพื่อตรึงอีกฝ่ายไว้กับพื้น

“อ๊ากกกกก!” ราชาวิญญาณมารกรีดร้อง

กู่ฉิงซานเดินไปหาราชาวิญญาณมารอย่างช้าๆ ขณะปล่อยให้ดาบบินหลายร้อยเล่มก่อตัวเป็นปีกดาบสองข้างอยู่บนแผ่นหลัง

ตอนนี้เขาคือผู้ฝึกยุทธระดับเบิกเนตรมิติ วิชาดาบของเขาก้าวเข้าสู่ระดับจอมภูตดาบเช่นกันซึ่งไกลจากครั้งแรกที่เขาบุกโลกมาร

“ว่าไง เจ้ามีพี่ใหญ่หรือยัง”

กู่ฉิงซานมองต่ำมาที่ราชาวิญญาณมารก่อนถามเสียงอ่อน

ราชาวิญญาณมารตะโกนออกมา “ข้ามี! ข้ามี!”

“เอาล่ะ ตะโกนเรียกพี่ใหญ่สิ” กู่ฉิงซานกล่าว

“พี่ใหญ่!”

“เรียกอีก”

“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่ของข้า! ยกโทษให้ข้าด้วย!”

ตอนนี้ อารักขามารเจ็ดถึงแปดตนพุ่งออกมาจากปราสาท

กู่ฉิงซานไม่เงยหน้ามอง

ท่ามกลางดาบบินที่ลอยอยู่ด้านหลัง ประกายดาบโค้งยักษ์สีขาวราวดวงจันทร์หลายเล่มวูบไหว

อารักขามารถูกประกายดาบกวาดในฉับพลัน แม้กระทั่งเลือดเนื้อก็หายไป

บนหน้าต่างสีโลหิต ข้อความปรากฏขึ้นทันที

“ได้รับพลังวิญญาณสิบแต้ม”

“ได้รับพลังวิญญาณเจ็ดแต้ม”

“ได้รับพลังวิญญาณเก้าแต้ม”

กู่ฉิงซานชำเลืองมองหน้าจอก่อนลอบพยักหน้า

ราชาวิญญาณมารแห่งอารัมภบทแตกต่างจากหน้าต่างเทพสงคราม

สำหรับหน้าต่างเทพสงคราม กู่ฉิงซานเพียงสังหารศัตรูที่ใกล้เคียงหรือแข็งแกร่งกว่าเขา หน้าต่างเทพสงครามจึงจะมอบพลังวิญญาณให้

ถ้าศัตรูที่ถูกสังหารอ่อนแอเกินไป หน้าต่างเทพสงครามจะไม่ดึงพลังวิญญาณจากศัตรูที่ตายให้แม้แต่นิดเดียว

แต่บัญญัติของราชามารนั้นต่างออกไป

เพื่อให้ได้พลังวิญญาณที่มากพอจะพัฒนาต่อ มันจึงไร้หลักการ

บรรยากาศนองเลือดและลงมืออย่างหนักที่หน้าปราสาทดึงดูดความสนใจจากมารได้เป็นจำนวนมาก

มารจำนวนมากเริ่มมาที่นี่

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปคว้าความว่างเปล่า ดาบเสียงคลื่นปรากฏขึ้นในมือ

ดาบยาวแทงลำคอของราชาวิญญาณมารเล็กน้อย

“บอกข้ามาตามตรง เจ้ามีพี่น้องอยู่กี่ตนกันแน่” กู่ฉิงซานกระซิบ

เมื่อรู้สึกถึงกลิ่นอายดาบอันเย็นเยือกรอบคอ ราชาวิญญาณมารถึงกับสั่นสะท้าน

เจ้านี่เป็นพวกวิตถารอย่างรุนแรง!

นี่เขาไปยั่วยุศัตรูแข็งแกร่งตั้งแต่เมื่อไหร่

ไม่มีทาง ชีวิตของเขาอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว แบบนี้ยังไม่คิดจะก้มหัวให้อีกหรือ

โชคยังดี ราชาวิญญาณมารก็คือมารที่ประสบกับสายลมและคลื่นอันแรงกล้ามาเช่นกัน สถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเคยเผชิญ มันคือประสบการณ์ที่อยู่ในเกณฑ์ที่รับมือได้

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของราชาวิญญาณมารแล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดถูก ที่จริงข้ามีพี่น้องอยู่เยอะเลยล่ะ”

กู่ฉิงซานเลิกคิ้วแล้วถามว่า “โห ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้ามีพี่ใหญ่อยู่ตนเดียวนะ”

“ใช่ ข้าจำผิดไป ข้ามีพี่ใหญ่เพียงตนเดียว” ราชาวิญญาณมารรีบเห็นด้วย

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

แต่ดาบยาวกลับกดลึกลงไปอีก เขากำลังจะเฉือนผิวของราชาวิญญาณมารแล้ว

ราชาวิญญาณมารรีบตะโกนออกมา “พี่ใหญ่ เจ้าคือพี่ใหญ่ของข้าเพียงตนเดียว โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย”

“เอาเถอะ เจ้าไม่แม้แต่จะจำพี่ใหญ่อย่างข้าได้ ข้าจะลงโทษเจ้าเพื่อให้ขอโทษพี่ใหญ่ หากข้าพอใจแล้วถึงจะไว้ชีวิตเจ้า” กู่ฉิงซานกล่าว

ราชาวิญญาณมารถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขาเก่งเรื่องขอโทษอยู่แล้ว

“พี่ใหญ่ คือว่านะ พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งนาน เพราะงั้นจู่ๆ ข้าก็เลยจำไม่ได้ มันเป็นเรื่องปกติ อย่าโกรธกันเลย”

“พี่ใหญ่ ข้าจะนั่งกินลมกับเจ้าคืนนี้ มาดื่มของดีกัน หากเจ้ามีความคับข้องใจอะไร เชิญดื่มสักสองสามแก้ว แต่ข้าไม่คิดจะบังคับหรอกนะ”

“พี่ใหญ่…”

ราชาวิญญาณมารยิ้มก่อนเริ่มขอร้องกู่ฉิงซาน

ตอนนี้ มารจำนวนมากมาเป็นสักขีพยานกับฉากนี้

มีมารจำนวนมากมามุงดูด้วยความตื่นเต้น

ในปราสาท มีอารักขามารจำนวนมากเข้ามารายล้อมทั้งสอง

ไม่ช้า พวกมารสังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง

ราชาวิญญาณมารมีพี่ใหญ่ที่ทรงพลัง

ตอนนี้ กู่ฉิงซานหยิบดาบออกมา นั่งยองๆ ตรงหน้าราชาวิญญาณมารแล้วกล่าวว่า “ข้าสงสัยอยู่อย่างหนึ่งน่ะ”

“พี่ใหญ่ เชิญพูดมาได้เลย” ราชาวิญญาณมารกล่าว

“ทำไมในตอนแรกถึงเป็นน้องเล็กอย่างเจ้าที่ได้ปกครองโลกวิญญาณมารแทนที่จะเป็นข้า” กู่ฉิงซานถาม

ราชาวิญญาณมารตกตะลึง

นี่คือคำถามเชิงจินตนาการ

แต่ว่า

เขาไม่สามารถแต่งเรื่องได้ด้วยตัวเอง

ราชาวิญญาณมารกำลังลังเล ฉับพลันก็หันมาพบกับสายตาของกู่ฉิงซาน

เขาเห็นเงาดาบจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในดวงตาของอีกฝ่าย

จะใช้เนตรสังหารงั้นหรือ

มีเสียงดังขึ้นในใจของราชาวิญญาณมาร

ยังไงก็ตาม เขายังเป็นมาร เขายังมองเห็น

วิชาที่ใช้จากเนตรไม่มีคำว่าอ่อนแอ พวกมันยากที่จะหลบเลี่ยงได้!

ในที่สุดเขาก็รู้ว่าพละกำลังของอีกฝ่ายน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน

ต่อให้จะมีคนอื่นอยู่ในปราสาทด้วย เขาก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะเจ้านี่ได้!

ตอนนี้ ลางสังหรณ์แห่งความตายอันแรงกล้าก่อตัวขึ้นในใจของราชาวิญญาณมาร

ภายใต้การกระตุ้นของหายนะต่างๆ การแสดงของเขาอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติขณะตะโกนว่า

“พี่ใหญ่ เจ้าลืมไปแล้วหรือ โลกวิญญาณมารเป็นของเจ้ามาตั้งแต่แรก แต่เจ้าต้องไปต่อสู้กับกับโลกมารแห่งอื่น ก่อนจะไป เจ้าขอให้ข้าดูแลแทน”

รอบข้างเงียบสงัด

พวกมารมองหน้ากัน

มันมีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

เขาถามอีกครั้งว่า “ในปราสาท…มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ”

ราชาวิญญาณมารยิ้มแล้วกล่าวว่า “นั่นคืออิสรภาพของแม่มด มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”

กู่ฉิงซานมองหน้าอีกฝ่ายขณะครุ่นคิดเล็กน้อย

เขาตบบ่าราชาวิญญาณมารแล้วกล่าวว่า “น้องเล็ก เจ้าทำให้ตระกูลของพวกเราอับอายยิ่งนัก”

ประกายดาบวูบไหว

ศีรษะของราชาวิญญาณมารตกลงจากร่างก่อนกลิ้งไปอยู่ด้านข้าง

ก่อนตาย ยังมีความสงสัยเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้าของราชาวิญญาณมาร

ทำไมเจ้านี่ถึงฆ่าเขาล่ะ

เห็นได้ชัดว่าเจ้านี่ก็มองออกเช่นกัน เขาเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ทำได้แค่กินและรอวันตาย ไม่มีเหตุผลเลยที่จะมาฆ่าเขา ทำไมถึงต้องลงมือด้วย

น่าเสียดายที่เขาจะไม่มีวันเข้าใจเรื่องนี้

หลังจากราชาวิญญาณมารตายแล้ว มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในหูของกู่ฉิงซาน

เขามองหน้าต่างต้นเพลิง

บนหน้าต่าง แถวตัวอักษรสีโลหิตขนาดเล็กยังคงปรากฏขึ้นมา

“ท่านได้รับการยอมรับจากราชาวิญญาณมารต่อหน้าสาธารณะ”

“ท่านได้รับตัวตนใหม่: พี่ใหญ่ของราชาวิญญาณมาร ดังนั้นท่านต้องเข้าร่วมค่ายโลกวิญญาณมาร”

“ท่านสังหารราชาวิญญาณมาร”

“ท่านชนะการต่อสู้”

“ภารกิจเสร็จสิ้น”

“ฟังก์ชันแรกของหน้าต่างต้นเพลิงทำงานแล้ว”

“นับจากนี้ไป ท่านสามารถใช้ร้านขายของชำเบื้องต้นได้”

สัญลักษณ์สีโลหิตขนาดเล็กอยู่ตรงหน้าก่อนพลันหายไปหมดสิ้น

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงต้นเพลิงดังขึ้น

“เพราะสถานการณ์ปลอมตัวของท่าน ร้านขายของชำเบื้องต้นจะปิดลงทันที”

“การเปลี่ยนฟังก์ชันแรกของบัญญัตินี้จะกลายเป็นศูนย์การ์ด ฟังก์ชันทั้งหมดในอนาคตจะปรากฏขึ้นที่นี่”

“โปรดจั่วการ์ดใบแรกของท่าน”

กู่ฉิงซานถามอย่างเงียบงันว่า “ข้าควรทำอย่างไร”

ต้นเพลิงตอบว่า “ถ้าท่านเชื่อใจข้า ข้าก็จะจั่วให้ ถ้าท่านอยากจั่วเอง ข้าจะตระเตรียมไว้ให้”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “งั้นเจ้าจั่วเลย”

“ขอบคุณที่เชื่อใจข้า ข้าจะเตรียมให้อย่างระวังโดยยึดตามระดับการ์ดส่วนตัวของท่าน” ต้นเพลิงกล่าว

บนหน้าต่างสีชาด การ์ดมรกตปรากฏขึ้นทันที

บนหน้าการ์ดคือภาพวาดเกราะสีดำ หมอกสีดำไร้พรมแดนปกคลุมอยู่

เกราะทั้งชุดเต็มไปด้วยความโอ่อ่าและความลี้ลับ

นี่นับว่าดูดี!

แต่ตอนนี้ราชาวิญญาณมารเพิ่งตายไป รอบข้างถูกปกคลุมไปด้วยพวกมาร กู่ฉิงซานไม่มีเวลาจะมาตรวจสอบการ์ดอย่างละเอียด

เขาหยิบการ์ดขึ้นมาก่อนยืนขึ้นแล้วกล่าวกับพวกมารที่ยังเงียบอยู่ว่า “หากรักชีวิตก็จงถอยไปเสีย ไม่งั้น ถ้าพวกเจ้าเกิดตายขึ้นมาก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

พวกมารกลุ่มใหญ่รีบถอยออกมา

ฆาตกรคนนี้ถึงกับสังหารน้องชายตัวเอง ใครจะรู้ล่ะว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง

แต่ยังมีมารบางพวกที่มีพละกำลังพอสมควร จึงยังไม่ถอยไปไหนสักพัก

กู่ฉิงซานมองภายในปราสาท

มีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้ามืดมนของเขา

“ราชาวิญญาณมารกระดูกชั่วร้าย เจ้ายังไม่คิดจะออกมาอีกหรือ”

เสียงของกู่ฉิงซานดังก้องทุกหนแห่ง

ใช่แล้ว ตอนที่ราชาวิญญาณมารร้องขอความเมตตา ในตอนนั้น เขาสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนแอบสอดแนมอยู่

คนที่แอบดูนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายมืดมนอันทรงพลัง เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายและความอาฆาตพยาบาท

“มีแค่เจ้าหรือ” เสียงผู้หญิงเย้ายวนดังขึ้น

เสียงผู้หญิงดังขึ้นอีกครั้งว่า “ดูท่าข้ามีแต่ต้องฆ่าด้วยตัวเองสินะ”

เสียงของนางพลันเบาลงราวกับถูกใครบางคนหยุดเอาไว้

กู่ฉิงซานยิ้มเจื่อนแต่ไม่ได้พูดอะไร

ตอนนี้ เสียงเกียจคร้านอีกเสียงดังขึ้น

“เจ้าเป็นพี่ใหญ่ของเขาจริงหรือ ข้าไม่สนเรื่องความเป็นพี่น้องอะไรหรอก เพราเห็นแก่พละกำลังของเจ้า ออกไปจากโลกมารนี้เสีย ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”

พวกมารที่สังเกตการณ์ส่งเสียงดังขึ้นมา

เขาคือราชาวิญญาณมารกระดูกชั่วร้ายจริงๆ !

กลายเป็นว่าที่นี่ถูกยึดครองโดยอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรก แม้กระทั่งแม่มดก็ยังเป็นคนของเขาอีกด้วย

แต่ว่า ทำไมเขาไม่ลงมือสังหารราชาวิญญาณมารเสียเลยล่ะ

พวกมารเริ่มคาดเดา

ใช่…

นั่นแหละ…

พวกมารสบตากันโดยไม่พูดอะไร

การเยินยอมักน่าสนใจเสมอ โดยเฉพาะในหมู่พวกมาร

นี่นับว่ามีเหตุผล

หากลองคิดกลับกัน

ไม่สงสัยเลยว่าพี่ใหญ่ของราชาวิญญาณมารจะบอกว่าราชาวิญญาณมารคือความอับอายของตระกูล

ไม่สงสัยเลยว่าเขาจะสังหารน้องเล็กของตัวเอง!

“ออกไปจากโลกมารแห่งนี้หรือ ไม่ ข้าจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ

เมื่อความคิดขยับ ปีกดาบยักษ์สองเล่มที่อยู่ด้านหลังพลันหายไปกลายเป็นธาราแสงอย่างรวดเร็ว

พายุดาบแรงกล้าทะยานขึ้นสู่ท้องนภา

“ราชาวิญญาณมารกระดูกชั่วร้าย ทิ้งชีวิตและวิญญาณของเจ้าเสีย พวกมันล้วนเป็นอาหารของข้า”

“ข้าคือราชาวิญญาณมารตัวจริงของโลกมารแห่งนี้”

กู่ฉิงซานคำราม

กู่ฉิงซานผู้กลายเป็นรูปลักษณ์ของวิญญาณมารแผดเสียงคำราม

ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วที่เขามาโลกมาร เขาไม่เสียเวลากับอีกฝ่ายในเรื่องไร้สาระ

ดาบบินหลายร้อยเล่มเคลื่อนไปมาทั่วปราสาท

วิชาดาบของกู่ฉิงซานขยับ

ค่ายกลดาบไท่อี่ ทำงาน!

พายุดาบฟาดฟันขณะพัดอย่างบ้าคลั่งไปทั่วปราสาท

เพียงอึดใจเดียว ทั้งปราสาทถูกกวาดโดยสายลม

สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดและอารักขามารทั้งหลายล้วนหายไป

ปฐพีแตกร้าวราวกระจก

นี่คือฉากที่น่าประทับใจ

พวกมารเดาะลิ้น

มีเพียงแม่มดและราชามารกระดูกชั่วร้ายที่ยังยืนอยู่กลางอากาศ

พวกเขาจ้องมองฉากตรงหน้า ใบหน้าของพวกเขาหนักอึ้งมาก

แข็งแกร่งเกินไป

อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป!

แม่มดกระซิบ “ราชามาร เจ้าสารเลวนี่ไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งพอตัว”

ราชามารกระดูกชั่วร้ายจ้องมองกู่ฉิงซานด้วยความมุ่งร้าย

“เจ้าคือผู้คุมโลกวิญญาณมารแห่งนี้จริงหรือ” เขาถาม

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ใช่ เดิมทีข้าฝากให้น้องเล็กดูแล ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาโง่จนถึงขนาดที่สมควรตาย”

“ข้าจะคืนโลกมารแห่งนี้ให้กับเจ้า นับจากนี้ไป พวกเราจะไม่ก้าวก่ายกันอีก” ราชามารกระดูกชั่วร้ายกล่าว

“เจ้ายึดครองที่นี่มาเสียนานจนกอบโกยผลประโยชน์ของโลกนี้มากเกินไป แต่ตอนนี้อยากชิ่งหนีอย่างนั้นหรือ นี่มันจะไม่เป็นการดูถูกมากเกินไปหน่อยหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไร”

“ข้าต้องการธาตุทั้งห้าของโลกมาร ทั้งโลกมารนี้และก็โลกมารของเจ้า เช่านั้นข้าถึงจะยอมให้เจ้ารอด”

ราชามารกระดูกชั่วร้ายตกตะลึงก่อนถามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “บัดซบ คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าหรือ”

‘ฟิ่ว’

ลมกรรโชกพัดผ่าน

แขนขาของเขาถูกพายุดาบกวาดผ่าน ทั่วร่างของเขาตกลงสู่พื้น

คราวที่แล้วเขาเอาชนะกู่ฉิงซานไม่ได้ ตอนนี้กู่ฉิงซานก้าวหน้าขึ้นมาก โอกาสจึงยิ่งน้อยลงเข้าไปใหญ่

“โอกาสสุดท้าย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

บนพื้นตรงข้ามเขา ราชามารกระดูกชั่วร้ายไม่กล่าวอะไรขณะพยายามงอกแขนขาใหม่อีกครั้ง

แต่เขาหวาดกลัวที่พบว่าบาดแผลไม่สามารถสมานคืนได้เลย!

เลือด เนื้อ แม้กระทั่งพลังวิญญาณกำลังเล็ดรอดออกจากบาดแผลอย่างต่อเนื่อง

เขากำลังจะตาย

“ข้าจะมอบให้เจ้า!” เขาตะโกน

“นี่นับว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้อง”

กู่ฉิงซานกล่าวขณะยกเลิกผล “หลั่งโลหิต” จากสกิลมรกต

“สกิลการ์ด: หลั่งโลหิต”

“หลังจากสวมใส่การ์ดใบนี้ เมื่อใดก็ตามที่ท่านฟันร่างของศัตรูด้วยอาวุธมีคม สิ่งที่ปกคลุมศัตรูเอาไว้ เช่น เลือดเนื้อ เหล็กกล้า จิต พลังจิตหรืออื่นๆ มันจะค่อยๆ ถูกดึงออกจากร่างของศัตรูเป็นเวลาสิบวินาที”

เหมือนกับคราวที่แล้ว ตอนเผชิญหน้ากับกองกำลังทรงพลังยิ่ง ราชามารกระดูกชั่วร้ายยกธาตุทั้งห้าของโลกมารสองแห่งให้ด้วยความไม่เต็มใจ

“ดีมาก เจ้าไปได้แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

ราชามารกระดูกชั่วร้ายจ้องเขาเขม็งขณะร่ายวิชาเพื่อเปิดประตูแสงเคลื่อนย้ายพริบตา

“ไปกันเถอะ” เขากล่าวกับแม่มด

แม่มดยืนนิ่ง

ราชามารกระดูกชั่วร้ายจ้องนาง

แม่มดยิ้มแล้วกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว ท่านราชามาร ข้าจะช่วยท่านเอง”

นางที่เคยช่วยราชามารกระดูกชั่วร้ายพลันชักกริชจากแขนออกมาฟันศีรษะของราชามารทันที

ประตูแสงหายไปทันที

แม่มดถือศีรษะของราชามารเอาไว้ขณะเดินมาหากู่ฉิงซานแล้วคุกเข่ากับพื้นด้วยความเคารพ

นางชูศีรษะของชารามารขึ้นก่อนส่งยิ้มมีเสน่ห์มาให้กู่ฉิงซานแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มว่า “นายเหนือหัวตนใหม่ของโลกวิญญาณมารและโลกมารกระดูกชั่วร้าย ข้าขอมอบศีรษะของศัตรูให้ท่านและยอมจำนนต่อแทบเท้านับแต่นี้ไป”

กู่ฉิงซานมองแม่มด

ต้องบอกว่านางคือมารสาวรูปงาม ไม่เพียงมีใบหน้างดงามเท่านั้น แต่ร่างกายและการเคลื่อนไหวก็ละเอียดอ่อน เผยให้เห็นเสน่ห์ที่ดึงดูดความปรารถนาของผู้คนได้

กู่ฉิงซานลอบรู้สึกว่ามันแปลกประหลาดนัก

คราวที่แล้วนางสังหารเร็วเกินไปจนไม่ทันสังเกตเห็น

นี่น่าจะเป็นแม่มดที่มีประวัติ

กู่ฉิงซานใช้เวลาในโลกมารมานาน ต่อสู้ในหลายสถานที่ ได้พบเห็นราชามารทรงพลังที่สุดถึงสามตน ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงเดาเบาะแสบางอย่างได้

แม่มดคล้ายกับเป็นศิษย์ของราชามารนั่น

อย่างไรเสีย เสน่ห์แบบนี้มันคือความชำนาญเฉพาะตัว

“เจ้าต้องการอะไรจากข้า” กู่ฉิงซานถาม

แม่มดก้มศีรษะแล้วกล่าวด้วยความวิตกระคนเขินอายว่า “ข้าอยากติดตามท่านและทำตามคำสั่งทุกเมื่อเชื่อวัน ท่านลอร์ดผู้ทรงพลัง”

“ดีมาก” กู่ฉิงซานพยักหน้า

“ท่านเห็นด้วยหรือ” แม่มดเงยหน้าขึ้นอย่างมีความสุข

นางโยนศีรษะที่ขัดบรรยากาศออกไปก่อนคุกเข่าลงกับพื้น ขยับเข่าไปข้างหน้าหลายนิ้วเพื่อเข้าใกล้กู่ฉิงซาน

“ใช่ ตอนนี้ข้ามีคำสั่งแล้ว เจ้าจะต้องเชื่อฟัง” กู่ฉิงซานกล่าว

“ถ้าท่านบอกข้า ข้าจะทำตามที่ท่านบอก” แม่มดกระซิบอย่างแผ่วเบา

นางแลบลิ้นยาวไปเลียมุมปากตัวเองอย่างเย้ายวน

เกรงว่าถ้าเป็นผู้ชาย ไม่ว่ายังไงก็ต้องเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อ

กู่ฉิงซานก้มมองนางแล้วกล่าวว่า “ข้าบอกว่าให้ปล่อยราชามารกระดูกชั่วร้าย แต่เจ้ากลับฆ่าเขา ทำไมล่ะ”

แม่มดแข็งทื่อ

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “จงสำนึกด้วยความตายซะ”

‘ฉัวะ!’

ประกายดาบวูบไหว

แม่มดถูกฟันเป็นชิ้นๆ จากนั้นถูกพายุดาบพัดพาไปก่อนหายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์

เสียงเวทนาจำนวนมากดังขึ้นรอบข้าง

ทว่า พวกมารที่ยังอยู่เริ่มลดเสียงลง

ล้อกันเล่นใช่ไหม วิญญาณมารทรงพลังเช่นนี้นับว่าไม่ธรรมดาเลย

แต่ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือเขาถึงกับสังหารพี่น้องของตัวเอง ที่น่าตกตะลึงไปกว่านั้นคือเขายังลงมือกับแม่มดอีก ช่างโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีจริงๆ

พวกมารไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

นี่คือบุคคลอันตรายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้

ตอนนี้ กู่ฉิงซานหันไปมองพวกมาร

“ไปได้แล้ว” เขากล่าว

พวกมารพากันแยกย้าย

ภายในไม่กี่ไมล์ ไม่มีร่องรอยของมารหลงเหลืออีก

จากนั้นกู่ฉิงซานจึงมองหน้าต่างต้นเพลิง

แถวข้อความแจ้งเตือนใหม่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

“การต่อสู้นี้คือการต่อสู้ขั้นแตกหัก พลังวิญญาณของศัตรูจะถูกเก็บรักษาเอาไว้ ท่านสามารถดูดกลืนทั้งหมดเข้าไปได้”

“นายท่าน ต้นเพลิงตรวจพบว่าท่านมีพรสวรรค์พิเศษหายากยิ่ง: พลังวิญญาณไร้ขีดจำกัด อยู่”

“นับจากนี้ไป ท่านสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณทั้งหมดได้โดยไม่ทำให้สูญเปล่า”

“ค่าพลังวิญญาณที่ท่านได้มา:สองหมื่นแปดพันแต้ม”

“ตอนนี้ ท่านต้องเลือกเส้นทางต่อไปนี้”

“จะอัปเกรดตัวละครที่ขึ้นกับแต้มประสบการณ์ต่อสู้หรือจะอัปเกรดตัวละครที่ขึ้นกับแต้มพลังวิญญาณ”

“ท่านสามารถเลือกได้หนึ่งอย่างจากสองอย่างนี้เท่านั้น”

กู่ฉิงซานอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

ประสบการณ์

พลังวิญญาณ

ทางเลือกนี้ช่างคุ้นเคยสำหรับเขานัก

กู่ฉิงซานจงใจถามว่า “มันแตกต่างกันอย่างไร”

ต้นเพลิงตอบอย่างอดทนว่า “โหมดอัปเกรดด้วยแต้มประสบการณ์สามารถเปิดได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าท่านเลือกอัปเกรดด้วยพลังวิญญาณ ท่านต้องทำภารกิจตามที่กำหนดให้เสร็จสิ้นเสียก่อน”

“ต้นเพลิงขอแนะนำให้ท่านใช้พลังวิญญาณในการอัปเกรดเพราะท่านมีพรสวรรค์หายากในการดึงพลังวิญญาณที่ไร้ขีดจำกัด การพัฒนาพละกำลังด้วยวิธีนั้นจึงนับว่าเหมาะสม”

กู่ฉิงซานตกตะลึงเล็กน้อย

‘หืม’

ราชามารแห่งอารัมภบทจริงใจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาถึงขั้นคิดถึงผู้อื่นแล้วหรือ

กู่ฉิงซานเห็นด้วย “ก็ได้ ข้าตัดสินใจจะใช้พลังวิญญาณเพื่ออัปเกรด”

บนหน้าต่างต้นเพลิง ภารกิจใหม่พลันปรากฏขึ้น

“ตอนนี้ทำการเปิดใช้งานภารกิจ”

“คำอธิบายภารกิจ: ได้รับพลังวิญญาณมากพอที่จะช่วยให้ระบบเปิดใช้งานโหมดอัปเกรดพลังวิญญาณ”

“เป้าหมายภารกิจ: รวบรวมพลังวิญญาณอีกเจ็ดหมื่นสองพันแต้มเพื่อสร้างพลังวิญญาณหนึ่งแสนแต้มในการให้ต้นเพลิงเริ่มโหมดอัปเกรด”

“รางวัลภารกิจ: โหมดพลังวิญญาณขั้นสูง”

“หมายเหตุพิเศษ: ท่านต้องเลือกเส้นทางที่ถูกต้องจึงจะมีชะตาให้กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดบนเส้นทางนี้ แบบนี้บัญญัติก็จะได้รับเกียรติเช่นกัน”

เมื่อตัวอักษรขนาดเล็กทั้งหมดหายไป การ์ดใบหนึ่งปรากฏขึ้นตรงกลางหน้าต่าง

บนการ์ด กู่ฉิงซานถือดาบด้วยมือทั้งสองข้างขณะลอยอยู่กลางอากาศ

การ์ดเทพระดับมรกต: ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน

ใต้การ์ดเทพใบนี้ แถบสีเข้มปรากฏขึ้นคล้ายกับพลังวิญญาณ

ดูท่านี่จะเป็นโหมดอัปเกรดพลังวิญญาณที่กำลังรอใช้งาน

กู่ฉิงซานลอบพยักหน้า

เทียบกันแล้ว หน้าต่างเทพสงครามมีความต้องการมากกว่า นางต้องการให้สังหารศัตรูทรงพลัง ต้องการให้ใช้พลังวิญญาณเพื่อทำความเข้าใจและความก้าวหน้า จุดเด่นบัญญัติของราชามารคือไม่มีวิธีอันซับซ้อน ไม่สนว่าศัตรูจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ขอแค่สังหารศัตรูได้ก็สามารถดึงพละกำลังของวิญญาณศัตรูได้ ทำให้สามารถทำลายพันธนาการในใจของผู้คนได้ ทำให้ผู้คนกลายเป็นตัวตนที่รู้จักแต่การสังหารเท่านั้น

ระหว่างเทพสงครามกับราชามาร ฝ่ายหนึ่งมุ่งเน้นเจตจำนงของธรรมชาติ ขณะที่อีกฝ่ายปรารถนาเพียงพลัง

ในด้านการฝึกฝนเจตจำนงและเสริมสร้างความสามารถการต่อสู้ แนวทางของหน้าต่างเทพสงครามดูลึกล้ำมากกว่า

ถึงแม้เทพสงครามจะไม่อยู่แล้ว แต่กู่ฉิงซานบอกกับตัวเองว่าเขาจะไม่กลายเป็นราชามารสังหาร ดังนั้นเขาจึงไม่เกรงกลัวที่จะถูกเปลี่ยนโดยบัญญัติของราชามาร

“พลังวิญญาณหนึ่งแสนแต้ม…”

กู่ฉิงซานพึมพำและเริ่มคิดหาทางรับมือกับภารกิจนี้

เขาย่อมไม่สังหารพวกมารที่อ่อนแอ เขาปรารถนาการต่อสู้จริงๆ

ดังนั้น เกราะศึกจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

กู่ฉิงซานจำรางวัลจากภารกิจแรกได้ทันที

การ์ดเกราะศึกนั่น

ดูท่าต้นเพลิงได้เตรียมการต่อสู้ต่อไปให้แล้ว

กู่ฉิงซานจั่วการ์ดขึ้นมา

นี่คือการ์ดมรกตใบที่สามที่ได้รับหลังจาก “หลั่งโลหิต” และ “หอกปีศาจแดง”

บนซากปรักหักพัง

มนุษย์แสง ราชาเทพแห่งความเย็นยะเยือกและลั่วปิงหลีมองกู่ฉิงซาน

พลังของสามเหรียญเป็นพลังบัญญัติของราชามาร

ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับเขาแล้ว

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังความว่างเปล่าตรงหน้าคล้ายกับกำลังให้ความสนใจบางสิ่ง

เขาไม่พูดอะไรสักคำ สีหน้าค่อยๆ ประหลาดใจเล็กน้อย

ฉับพลันนั้นเอง แสงสีแดงปรากฏขึ้นจากอากาศบางก่อนหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา

“นี่มันอะไร เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ราชาเทพแห่งความเย็นยะเยือกอดที่จะถามไม่ได้

กู่ฉิงซานโบกมือ ส่งสัญญาณว่าไม่เป็นอะไร

ลั่วปิงหลีชำเลืองมองราชาเทพ

ราชาเทพแห่งความเย็นยะเยือกได้สติก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “กู่ฉิงซาน ถ้าเจ้าใช้วิชาหดตัวตอนนี้ ข้อตกลงระหว่างราชาผู้นี้กับเจ้าถือเป็นโมฆะทันที!”

มนุษย์แสงอุทานออกมา “นายท่าน วางใจได้ บัญญัติกำลังมาหาเขา ไม่มีปัญหาอะไร เขาเพียงกำลังสื่อสารกับบัญญัติเป็นครั้งแรกเท่านั้น”

ราชาเทพแห่งความเย็นยะเยือกพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา “อย่างนั้นก็ดี แต่พวกเราต้องรอแบบนี้น่ะหรือ”

มนุษย์แสงตอบว่า “ต้องรออีกพักใหญ่เลยล่ะ”

ราชาเทพแห่งความเย็นยะเยือกหยุดพูด

พวกเขายังคงรอต่อไป

กู่ฉิงซานกำลังสื่อสารกับราชามารแห่งอารัมภบทจริง

ในฐานะผู้มีประสบการณ์ที่เคยโหลดบัญญัติมาแล้วสองครั้ง กู่ฉิงซานรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

บัญญัติจะตรวจสอบพละกำลังส่วนตัวของเขาในตอนนั้น จากนั้นจึงเริ่มปลดปล่อยภารกิจจำนวนมากออกมา

เมื่อภารกิจดำเนินต่อไปจนเสร็จสิ้น ฟังก์ชันจำนวนมากของบัญญัติจะคลายออก

เมื่อบัญญัติสั่งสมพลังวิญญาณมากพอ มันจะอัปเกรด

บัญญัติที่ถูกอัปเกรดจะมีฟังก์ชันและพลังที่ทรงพลังให้กับผู้โหลดที่มากยิ่งขึ้น

นี่คือกระบวนการที่จะช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกัน แต่ในฐานะราชามารแห่งอารัมภบท มันจะพรากพลังวิญญาณส่วนใหญ่ไป ปฏิบัติกับผู้โหลดด้วยการดูแลเป็นอย่างดีก่อนคืบคลานเข้ามาใกล้

แต่ว่า

ตอนนี้มีน้อยคนมากที่เคยโหลดบัญญัติในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

ทันทีที่ใครบางคนโหลด มันจะสังหารทิ้งทันที

แล้วบัญญัติจะเผชิญกับสถานการณ์เช่นนั้นอย่างไรล่ะ

กู่ฉิงซานลอบสงสัย

ระหว่างที่เขาคาดเดา แถวตัวอักษรโลหิตปรากฏขึ้นบนหน้าต่างสีโลหิต

“บัญญัติกำลังดำเนินการตรวจสอบท่านอย่างเต็มรูปแบบ”

“ตรวจสอบพบความผิดปกติ”

“ค้นพบตัวตนพิเศษของท่าน”

“เริ่มยืนยันตัวตนของท่าน!”

ในความว่างเปล่า แสงสีแดงร้อนแรงดูน่าสะพรึงพลันปรากฏขึ้น

แสงสีแดงนี้ไหลหลั่งเข้าสู่ร่างกายของกู่ฉิงซาน จากนั้นหายไปจากตัวเขาเพียงไม่กี่อึดใจ

นี่คือฉากที่ทำให้ราชาเทพแห่งความเย็นยะเยือกอดที่จะส่งเสียงออกมาไม่ได้

สัญลักษณ์โลหิตขนาดเล็กหายไป

แต่เสียงของไฟดังอยู่ในหูของกู่ฉิงซาน

“ผู้ส่งสารแห่งบาปอันทรงเกียรติเอ๋ย ข้ายินดียิ่งที่ท่านจะมาร่วมสู้เคียงบ่ากับบัญญัตินี้”

“บัญญัตินี้จะปรับแต่งภารกิจการรบให้สอดคล้องตามกำลังของท่าน”

เสียงของมันคล้ายกับบ่องบอกถึงความใกล้ชิด

กู่ฉิงซานอดที่จะตกตะลึงไม่ได้

ผู้ส่งสารแห่งบาปหรือ

นี่คือการ์ดประจำตัวไม่ใช่หรือ

เสี่ยวซีเคยมอบตัวตนของนางในรูปแบบการ์ดเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าเขาจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากบัญญัตินี่

เมื่อมองย้อนกลับไปยังช่วงชีวิตที่แล้ว มีการ์ดต่างๆ ปรากฏขึ้นมาบ้างประปราย แต่เขาไม่เคยได้ยินว่าจะได้รับสิ่งเดียวกันนี้จากบัญญัติ

ดูท่าตัวตนของเสี่ยวซีจะมีบทบาทพอสมควร

นางมาจากยุคโบราณ แต่นางสูญเสียความทรงจำทั้งหมด จากนั้นนางถูกเผ่าพันธุ์เทพทำให้สับสนจนต้องมารับใช้เผ่าพันธุ์เทพ

ถ้าบัญญัติข้องเกี่ยวกับผู้ส่งสารแห่งบาปมากจริง เช่นนั้นก็สามารถอนุมานได้ว่าในยุคโบราณ ผู้ส่งสารแห่งบาปคือตัวตนที่ไม่ธรรมดา

เมื่อมองย้อนกลับไป การ์ดต่อสู้น่าจะเป็นผลพวงมาจากระบบลี้ลับ

เพราะตัวการ์ดเองคือตัวตนที่ไม่สามารถถูกวัดด้วยสามัญสำนึกใดๆ ได้

แม้กระทั่งระบบเทพสงครามขนาดใหญ่: เทพวารี ก่อนที่จะก้าวไปสู่ “หมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์: กองทัพมนุษย์” นางเองก็เคยอยู่ในรูปแบบการ์ดมาก่อน

ความคิดนี้วูบไหวผ่านจิตใจของกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว

เขาสูดหายใจเข้าก่อนตอบบัญญัติว่า “ทีนี้พวกเราควรทำอย่างไรต่อ”

“เมื่อใดที่ท่านต้องการสนทนากับข้า จงเรียกข้าด้วยชื่อต้นเพลิง ถึงตอนนั้นข้าจึงจะวิวัฒนาการ” บัญญัติกล่าว

“เอาล่ะ ต้นเพลิง ทีนี้พวกเราควรทำอย่างไรต่อ” กู่ฉิงซานถาม

“ตรวจจับสภาพแวดล้อมปัจจุบันแล้วสร้างภารกิจแรกขึ้นมาก่อน”

“สภาพแวดล้อมปัจจุบันอยู่ในสภาพสมดุล การทำลายอย่างง่ายๆ จะนำไปสู่การแบ่งแยกของตัวตนทรงพลังจนเกิดการทำลายล้างทุกสิ่ง ดังนั้น บัญญัตินี้จะเปลี่ยนกลยุทธชั่วคราว”

“ภารกิจแรกปรากฏขึ้นแล้ว”

บนหน้าต่าง แถวข้อความโลหิตขนาดเล็กค่อยๆ ปรากฏขึ้น

“ภารกิจ: เข้าสู่โลกมาร”

“คำอธิบายหน้าที่: โลกมารดึกดำบรรพ์คือสถานที่ที่สงครามและความโกลาหลคงอยู่อย่างยาวนาน เพราะมันถูกบดขยี้ ทำให้มารทรงพลังเข้าไปฉกฉวยเศษเสี้ยวของโลกมารมา พวกมันแข่งขันกันเพื่อแย่งเศษเสี้ยวของโลกมารจากอีกฝ่ายมา มีความกระตือรือร้นที่จะได้โลกอันทรงพลังจากการหลอมรวมกับเศษเสี้ยวของโลกที่เป็นแหล่งกำเนิดพลัง”

“เพื่อให้ได้พลังแห่งการวิวัฒนาการมา ท่านต้องเข้าร่วมการต่อสู้”

“เป้าหมายภารกิจ: เข้าสู่โลกมาร เข้าร่วมกองกำลัง ชนะการต่อสู้แรก”

“รางวัลจากภารกิจดังกล่าว: ฟังก์ชันแรกของต้นเพลิงจะเปิดให้ใช้งาน”

“เอาล่ะ ภารกิจเริ่มแล้ว!”

“คำอธิบายเพิ่มเติม: เพื่อกลายเป็นมารแห่งบาปในตำนาน โปรดทำตามนี้ด้วย!”

กู่ฉิงซานอ่านทุกข้อความในคราวเดียว

ให้ตายสิ…

ราชามารแห่งอารัมภบทช่างพูดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

เขาส่ายหน้า ละสายตาจากความว่างเปล่าก่อนมองไปที่คนอื่น

“ไปได้สวยหรือไม่” มนุษย์แสงถาม

กู่ฉิงซานมองอีกฝ่าย

มนุษย์แสงไม่แม้แต่จะรู้ว่าเขากลายเป็นผู้ส่งสารแห่งบาปไปแล้ว

เกรงว่าที่พวกเขาถูกเสี่ยวซีผู้เป็นทูตสวรรค์แห่งบาปพบเข้านั้นเป็นเพราะการเชื่อมต่อลับระหว่างเหรียญนั่นกับเสี่ยวซี

ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นผู้ส่งสารแห่งบาป

หรือก็คือ เผ่าพันธุ์เทพไม่รู้ความสัมพันธ์ลับระหว่างผู้ส่งสารแห่งบาปกับบัญญัติเลย

จิตใจของกู่ฉิงซานขยับเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ทุกสิ่งราบรื่น ตอนนี้ต้นเพลิงปล่อยภารกิจแรกมาแล้ว เขาขอให้ข้าไปโลกมาร”

“ไปโลกมารงั้นหรือ” หลายคนถามพร้อมกัน

กู่ฉิงซานอธิบายว่า “ใช่ ตอนนี้โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์อยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของวิญญาณกรีดร้อง ไม่เหมาะที่จะทำให้เกิดการต่อสู้ขนาดใหญ่เพื่อเกิดการแตกหักอีก”

“ต้นเพลิงต้องการดึงพละกำลังผ่านการต่อสู้”

“ดังนั้นข้าจะไปโลกมาร เข้าร่วมการจัดอันดับของมารและต่อสู้”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “เจ้าเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ยังไงก็ถูกมารปฏิเสธทันทีที่เข้าไปยังโลกมาร นี่เป็นปัญหาใหญ่แน่”

กู่ฉิงซานมองอีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า “ขนาดใช้เวลาตั้งนานเจ้ายังจับข้าไม่ได้ เรื่องนี้ข้ามีวิธีแก้ไขเช่นกัน”

ราชาเทพแห่งความเย็นยะเยือกถามว่า “เจ้าต้องการอะไรอีก”

“ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการอะไร แค่ช่วยข้าเปิดโลกมารก็พอแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

“ถ้างั้นก็ได้ ข้าเพิ่งได้เศษเสี้ยวของโลกมารเมื่อไม่นานมานี้มาเพื่อทำการตรวจสอบวิธีเข้าโลกมาร” มนุษย์แสงกล่าว

เขาเปล่งเสียงสวดดังสนั่นออกมา

“โลกมารอันคลุมเครือ หุบเหวแห่งความผาสุกที่พวกมารได้สูญเสีย จงเปิดประตูต่อหน้าข้า”

‘ตูม’

ประตูที่มองไม่เห็นพร้อมแสงหมองหม่นปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

นี่คือทางเข้าสู่โลกวิญญาณมาร

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว” กู่ฉิงซานกล่าว

ราชาเทพแห่งความเย็นยะเยือกอดที่จะกล่าวไม่ได้ว่า “ไม่ เจ้าจะไปเพียงลำพังไม่ได้! ข้า ต้องการจับตาดูเจ้า!”

มนุษย์แสงเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย “นายท่าน ท่านอยู่ในร่างของเทพ ทันทีที่ไปปรากฏตัวในโลกมารจะถือว่าเป็นการคุกคามทันที พวกมารเกลียดพวกเรา พวกมันจะต้องร่วมแรงกันมาฆ่าท่านอย่างแน่นอน”

กู่ฉิงซานขยิบตาให้ราชาเทพแล้วกล่าวว่า “อย่าห่วงไปเลย ในเมื่อเจ้าสัญญาว่าจะช่วยข้าหาดาบศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าก็ต้องทำสิ่งที่ควรทำด้วยเช่นกัน”

“จะว่าไป ลั่วปิงหลีผู้เป็นนักพรตมนุษย์ เจ้าต้องปกป้องนาง เพราะนางข้องเกี่ยวกับเบาะแสชั้นยอดของดาบศักดิ์สิทธิ์”

“อย่าห่วงไปเลย ราชาผู้นี้มีเหตุผลเสมอ” ราชาเทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าว

มนุษย์แสงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“ข้าไปล่ะ”

เมื่อกู่ฉิงซานกล่าว ร่างของเขาแช่เข้าไปในทางเข้าก่อนหายไปจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์

ราชาเทพแห่งความเย็นยะเยือกสับสนสักพัก

“นายท่าน” มนุษย์แสงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดอย่างอื่นน่ะ” ราชาเทพกล่าว

“มีอะไรเกิดขึ้นหรือ” มนุษย์แสงถาม

“ที่จริง เจ้าเองก็รู้ว่าพวกเราเกิดมาจากอะไร พวกเราเคยต่อสู้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก่อนด้วย”

“ใช่ ข้ารู้เรื่องนี้” มนุษย์แสงพยักหน้า

น้ำเสียงของราชาเทพเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เพราะมันคือการต่อสู้ ข้าจึงสงสัยว่าพวกเราจะสามารถใช้วิธีนี้เพื่อเอาชนะเผ่าพันธุ์บรรพกาลเหล่านั้นได้หรือเปล่า”

“นายท่านหมายถึง…”

“ใช่ เพื่อทำให้แผนของพวกเราสมบูรณ์ พวกเราถึงต้องลองช่วยกู่ฉิงซาน”

ลั่วปิงหลีฟังอยู่เงียบๆ จนอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้

อีกด้าน

กู่ฉิงซานยังคงพุ่งไปข้างหน้าในความว่างเปล่า

เขาใช้พลังวิญญาณทั้งหมดเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นราชาวิญญาณมาร

นี่คือมารรูปงามที่มีสีดำสนิท

เขาดูคล้ายกับมนุษย์มาก เว้นแต่เพียงมีหางยาวอยู่ด้านหลัง

ถ้าไม่ใช่เพราะหางอันแหลมคมนี้ ราชาวิญญาณมารคงจะดูอ่อนแอมากทีเดียว

รูปลักษณ์นี้ทำให้กู่ฉิงซานไม่สบายใจเล็กน้อย

เติบโตมาแบบนี้สินะ…พวกมาร…ช่างน่าสนใจจริงๆ

กู่ฉิงซานขยับร่างกายช่วงล่างอย่างยากลำบากขณะพยายามขับไล่ความนุ่มนวลออกไปจากร่างกาย

เขาเริ่มนึกถึงการมาเยือนโลกมารก่อนหน้านี้

เผ่าพันธุ์มนุษย์สูญพันธุ์ในคราวที่แล้วที่เขามาโลกวิญญาณมาร

นั่นคือจุดจบของยุคโบราณ

ในตอนนั้น โลกวิญญาณมารตกอยู่ในมือของราชามารกระดูกชั่วร้าย ราชาวิญญาณมารเป็นได้เพียงแค่หุ่นเชิด

กู่ฉิงซานกำลังคิดไปมา ฉับพลันนั้นเองมีแสงหนึ่งปรากฏตรงหน้า

เขามาถึงโลกวิญญาณมารแล้ว

กู่ฉิงซานกวาดสายตาไปยังแสงเจิดจ้า

เมื่อสัมผัสกับแสง ความว่างเปล่ารอบข้างพลันหายไป

กู่ฉิงซานพลว่าตัวเองกำลังเข้าสู่ท้องนภาหมองหม่นก่อนตกลงไปอย่างรวดเร็ว

เขาหยุดอย่างรวดเร็วก่อนให้ตัวเองตกลงไปอย่างช้าๆ

ด้านล่างคือปราสาทงดงาม

ฉากนี้ช่างคุ้นเคยนัก

นี่คือปราสาทของราชาวิญญาณมารไม่ใช่หรือ

ในช่วงเวลานี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์เพิ่งประสบกับสงครามครั้งใหญ่ เทพล่วงลับเป็นครั้งแรก แถมยังเกิดขึ้นเร็วมากด้วย

แต่เขาไม่รู้ว่าที่ช่วงเวลานี้ ราชาวิญญาณมารกำลังเจอกับอะไร

อืม…นี่คือคำถามสำคัญ ยังไงเสีย ข้าก็ต้องแอบอ้างเป็นเขาอีกในไม่ช้า…

ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหว เขาเริ่มหดตัวก่อนมาปรากฏตัวตรงหน้าปราสาท

เขาเห็นมารตนหนึ่งพอดี

กลายเป็นว่านั่นคือราชาวิญญาณมาร!

คาดไม่ถึง เขาจะเจอทันทีที่มาถึง!

เขาเห็นราชาวิญญาณมารคุกเข่าอยู่ตรงอ่างล้างหน้าขณะหันมองไปยังสถานที่อื่นในปราสาทก่อนส่งเสียงร้องดังสั่นนออกมา “ได้โปรดล่ะ เชื่อข้าสักครั้ง ข้าไม่ได้ซ่อนเงินส่วนตัวเอาไว้ที่ไหนเลยนะ!”

กู่ฉิงซานใบ้รับประทาน

ตำหนักราชาเทพ

กู่ฉิงซานนั่งบนบัลลังก์สูง รู้สึกถึงความไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา

หน้าต่างระบบเทพสงครามหายไปจากสายตา ความว่างเปล่าสนิททำให้เขาไม่สบายใจมาก

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นเป็นครั้งคราว

เมื่อเขากลับไปพื้นที่จ้าวโลกอีกครั้ง ระบบจะปรากฏขึ้นมาจริงๆ หรือ

นี่คือคำถามที่เขาต้องพิจารณาอย่างจริงจัง

กู่ฉิงซานเริ่มวิเคราะห์ทุกสิ่งอย่างช้าๆ

อย่างแรกเลย

ตอนนี้เขาอยู่ในภาพซ้อนทับของยุคเมื่อหลายหมื่นปีก่อน

ภาพซ้อนทับแห่งเวลาคือเศษเสี้ยวของโลกคู่ขนาน เขาต้องหาทางไปถึงโลกจริงในช่วงเวลาหนึ่งจากที่นี่ ถึงตอนนั้นจึงเอาดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมา

ตัดสินจากลำดับของเส้นเวลาแล้ว ครั้งนี้ไกลกว่าจุดที่เขาเคยอยู่ในช่วงชีวิตที่แล้ว

ดังนั้น มีสามประเด็นหลักในช่วงเส้นเวลาทั้งหมด

หนึ่งคือยุคโบราณ

สองคือช่วงแห่งความสงบในโลกแห่งการฝึกฝน

สามคือทันทีที่เขาออกมาเป็นคนสุดท้าย ในพื้นที่จ้าวโลก ภายในผนึกโลกของทรายดูด

จุดแรกของเวลาคือจุดที่ไกลที่สุด ที่จุดนี้ เขาเสียระบบเทพสงคราม ย่อมไม่สามารถได้มันกลับมา

จุดที่สองของเวลาคือปีที่แล้วของเฉิงผิง ตอนนี้ เขาเพิ่งได้ระบบเทพสงครามมา

จุดแรกและจุดที่สองของเวลาสร้างลูปปิดตายขึ้นมาได้ แต่เวลาเดินไปข้างหน้าเสมอ ดังนั้นเส้นเวลาจึงเปลี่ยนจากจุดที่สองไปเป็นจุดที่สาม

ในเส้นเวลาหลังจากผ่านจุดที่สอง ระบบเทพสงครามย่อมคงอยู่ในทุกเวลา ดังเมื่อเวลายังคงเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดที่สาม ระบบเทพสงครามย่อมยังคงอยู่เช่นเดิม

ดังนั้นตามกฎเวลาพื้นฐานและตรรกะทั่วไป ตราบที่เขากลับไปยังจุดที่สาม ระบบจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน

“สมบูรณ์แบบ…” กู่ฉิงซานกระซิบกับตัวเอง

ในที่สุดเขาก็วางใจ

“เจ้ากำลังพูดถึงอะไรน่ะ” ลั่วปิงหลีถาม

นางโยนแผ่นหยกให้กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรับแผ่นหยกก่อนมองไปที่ความว่างเปล่า

ทว่า ไม่มีแถวหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นมา

กู่ฉิงซานเผยยิ้มแห้งออกมา ชั่งน้ำหนักแผ่นหยกในมือแล้วถามว่า “เจ้าขัดเกลาเสร็จแล้วหรือ”

“ใช่ ด้วยแผ่นหยกนี้ พวกเราสามารถไปเส้นทางอื่นได้ทุกเมื่อ” ลั่วปิงหลีกล่าว

“ดี นับจากนี้ไป พวกเราจะรอให้มนุษย์แสงกลับมา” กู่ฉิงซานกล่าว

ลั่วปิงหลีถามด้วยความสับสนว่า “เจ้าบอกว่าจะไปตามหากู่ฉิงซานไม่ใช่หรือ แล้วเจ้าจะมานั่งรออยู่ตรงนี้หรือไง”

“แน่นอนว่าไม่ มากับข้าสิ”

กู่ฉิงซานเหาะมาอยู่ข้างนางก่อนหยิบยันต์เคลื่อนย้ายพริบตาออกมา

พลังวิญญาณกระตุ้นเข้าไปในยันต์วิเศษ ยันต์เคลื่อนย้ายพริบตาพลันเจิดจ้ามากขึ้น

มันทำให้กู่ฉิงซานและลั่วปิงหลีหายไปจากตำหนักราชาเทพ

ท่ามกลางซากปรักหักพัง

แสงและเงาวูบไหว

ทั้งสองปราฏกายขึ้นมา

ลั่วปิงหลีมองรอบข้างแล้วกล่าวว่า “นี่คืออดีตสำนักเซียนธารจันทราสินะ”

“ใช่ พวกเราจะตามหากู่ฉิงซานที่นี่”

กู่ฉิงซานกล่าว

เขากวักมือเรียกข้างหลัง

ฉานนู่ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนลงมาอยู่ตรงหน้ากู่ฉิงซาน

“นายท่าน ข้ารู้หน้าที่ดี ท่านอยากให้ข้าแสดงเป็นราชาเทพสินะ” ฉานนู่กล่าว

“ใช่ ข้าจะทำเรื่องอย่างการใช้บัญญัติ ดังนั้นเจ้าสามารถเป็นราชาเทพเพื่อดูแลข้าได้” กู่ฉิงซานกล่าว

“ได้” ฉานนู่กล่าว

พลังของฉานนู่มาจากเขาล้อมเหล็กใหญ่ สามารถใช้เมื่อใดก็ได้ตามที่ต้องการ ไม่เหมือนกับกู่ฉิงซานที่ต้องท้าทายกับผู้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องและต้องพยายามอย่างหนักเพื่อคอยสั่งสมพลังวิญญาณ

นางขับเคลื่อนความลี้ลับของทุกชีวิตเข้าด้วยกัน ไม่ช้าจึงกลายเป็นราชาเทพที่มีเปลวเพลิงสีครามลุกไหม้ตรงหว่างคิ้ว

ลมหายใจเย็นเยือกรวมตัวเป็นคริสตัลน้ำแข็งรอบเทพหลานเยี่ยน ภายใต้แสงอันเจิดจ้า มันช่างดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

นี่คือเทพแห่งความเย็นยะเยือก

“เอาล่ะ ตอนนี้ถึงตาข้าใช้วิธีแบบเดียวกันแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความไม่เต็มใจ

รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปช้าๆ ก่อนกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม

ลั่วปิงหลีมองอย่างสนใจก่อนอดที่จะถามไม่ได้ว่า “เจ้าพยายามมาอย่างหนักนัก ใช้พลังงานไปมากมาย ตอนนี้ยังจะใช้บัญญัติของราชามารอีก เป้าหมายของเจ้าคืออะไร”

กู่ฉิงซานตอบว่า “แน่นอนว่าก็เพื่อให้ได้ดาบมา”

หลังจากพูดจบ เขาเริ่มคิดเกี่ยวกับกลยุทธการติดตามผล

เมื่อมนุษย์แสงกลับมา เขาจะใช้บัญญัติ

ไม่ว่าจะช่วงชีวิตก่อนหน้านี้หรือช่วงชีวิตนี้ เขาก็คุ้นเคยกับราชามารแห่งอารัมภบท ทันทีที่ใช้งานอีกครั้ง เขาจะสามารถใช้มันได้อย่างวางใจ

ด้วยความช่วยเหลือของราชามารแห่งอารัมภบท พละกำลังของเขาจะกลับมาพัฒนาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

ประเด็นของคำถามคือเขาจะกลายเป็นมารหรือไม่

ทันทีที่เขาทะลวงผ่านจุดสำคัญของมนุษย์แสงจนกลายเป็นราชามาร มันจะเป็นการขัดกับแผนการทั้งหมด

แต่การทำแบบนี้จะทำให้บัญญัติอื่นตื่นขึ้นมา

เมื่อคิดดังนี้ กู่ฉิงซานอดที่จะเอามือแนบกับถุงเก็บของไม่ได้

ระบบสงครามขนาดใหญ่: เทพวารี กำลังหลับใหลอยู่ในถุงเก็บของ

ถ้าเทพวารีตื่นขึ้นมาล่ะก็…

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่นานจนในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา

ไม่มีทาง

เป้าหมายของเขาคือการรักษาดาบ!

เมื่อดาบพิภพถูกรักษาก็สามารถตัดสินใจทำสิ่งอื่นได้ตามแต่สถานการณ์ในตอนนั้นจะอำนวย

กู่ฉิงซานลอบตัดสินใจ

ตอนนี้ ลั่วปิงหลีถามว่า “หลังจากเจ้าได้ดาบศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว เจ้าจะช่วยเผ่าพันธุ์เทพหรือเผ่าพันธุ์มนุษย์”

กู่ฉิงซานมองนาง

ลั่วปิงหลียิ้มขมขื่นแล้วกล่าวว่า “เจ้าเหมาะจะเป็นราชาเทพนะ ข้าถึงกับคิดว่าเจ้าเหมาะจะอยู่กับเผ่าพันธุ์เทพมากกว่า”

กู่ฉิงซานหัวเราะก่อนส่ายหน้า คาดไม่ถึง การหลอกเผ่าพันธุ์เทพจะทำให้คนของตัวเองหวั่นไหวเล็กน้อยด้วย

เรื่องแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้

กู่ฉิงซานอธิบายอย่างอดทนว่า “เจ้าไม่ต้องเก็บมาคิดมากหรอก ความจริง ข้าต้องอยู่ฝั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่แล้ว ข้าเป็นนักพรตมนุษย์นี่นะ”

ลั่วปิงหลีถามว่า “ดังนั้นถ้าเจ้าได้ดาบศักดิ์สิทธิ์มา เจ้าจะฆ่าและกำจัดทุกสิ่งที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างนั้นหรือ”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “การฆ่าหรือแม้แต่สิ่งที่จะฆ่า ข้าไม่ได้สนใจหรอก ข้าแค่อยากรักษาดาบเอาไว้ก็เท่านั้น”

ลั่วปิงหลีครุ่นคิดสักพัก จากนั้นถามว่า “ดาบพิภพหรือ เดี๋ยวนะ เจ้ามีแล้วไม่ใช่หรือ มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“มันได้รับความเสียหายอย่างหนัก วิญญาณอาจจะหายไปได้ทุกเมื่อ มันถูกผนึกโดยอาจารย์ข้าด้วยการใช้วิชาเวลาเพื่อชะลอเวลาเอาไว้ชั่วคราว”

“เขากล่าวว่ามีเพียงดาบศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาดาบพิภพได้ ดังนั้นข้าก็เลยอยากตามหาดาบศักดิ์สิทธิ์”

ลั่วปิงหลีฟังอย่างตั้งใจก่อนถอนหายใจ “พวกเรารู้ความจริงแล้ว ดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพถึงกับเป็นองค์ประกอบของอาวุธหุบเหวนิรันดร์ ข้าเกรงว่าในช่วงสุดท้าย เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้วางแผนทุกสิ่งอย่างเทพนิรันดร์ที่แท้จริง: วิญญาณกรีดร้อง นั่นเอง”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าจะรวบรวมพลังของสามเหรียญเพื่อพยายามหลบหนีจากมันเอง”

“แล้วถ้าเจ้าหนีไม่ได้ล่ะ” ลั่วปิงหลีถาม

“ถ้างั้นก็สู้จนตัวตาย” กู่ฉิงซานกล่าวขณะประสานมือ

“ควรค่าที่จะตายเพื่อให้ได้ดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพหรือ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น คงจะดีถ้าข้าได้ดาบศักดิ์สิทธิ์มา แต่ถ้าไม่ได้ ขอแค่ความปรารถนาของข้าได้รับการเติมเต็มก็เกินพอแล้ว”

“ความปรารถนาของเจ้าคืออะไร” ลั่วปิงหลีถาม

“รักษาดาบพิภพเอาไว้ มันคือดาบของข้า” กู่ฉิงซานกล่าว

ลั่วปิงหลีตกตะลึง จากนั้นก้มศีรษะลงก่อนหยุดการสนทนา

ฉานนู่พลันกล่าวว่า “มาแล้ว”

บนท้องนภา แสงเจิดจ้าวูบไหว

มนุษย์แสงตกลงมาจากท้องนภา

เขามองกู่ฉิงซาน จากนั้นมองราชาเทพ เทพแห่งความเย็นยะเยือก

“นายท่าน ท่านทำข้อตกลงกับเขาแล้วงั้นหรือ” มนุษย์แสงถาม

ฉานนู่ ไม่สิ ราชาเทพยืนขึ้นแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ราชาผู้นี้จะช่วยกู่ฉิงซานตามหาดาบศักดิ์สิทธิ์ กู่ฉิงซาน ในฐานะผู้ใช้บัญญัติ จะช่วยราชาผู้นี้เพื่อให้ได้พลังบัญญัติของราชามารมา นี่คือข้อตกลงของพวกเรา”

“ยุติธรรมยิ่งนัก” กู่ฉิงซานเสริม

มนุษย์แสงมองเขา กลิ่นอายค่อยๆ โอ่อ่าขึ้นมา

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้ากำลังหักห้ามและย้ำเตือนไม่ให้ตัวเองฆ่าข้า แต่ข้าต้องพูดก่อนว่าหากเผ่าพันธุ์เทพต้องการพลังของบัญญัติ เช่นนั้นก็จงหักห้ามตัวเองให้มากกว่านี้”

มนุษย์แสงกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า “เจ้าคิดว่าจะสามารถวิวัฒนาการบัญญัติจนถึงขั้นที่ราชามารจะมาได้งั้นหรือ”

“เพราะงั้นข้าถึงต้องการความช่วยเหลือของเผ่าพันธุ์เทพ จงช่วยข้าให้ได้พลังของบัญญัติมา ข้าคิดว่าพวกเจ้าก็คงไม่ปฏิเสธหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว

มนุษย์แสงกล่าวว่า “ถ้างั้น หากเจ้าไม่สามารถทำให้บัญญัติวิวัฒนาการถึงจุดที่มารจุติลงมาได้ล่ะก็…”

“ข้าก็จะตาย”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ

ในที่สุดมนุษย์แสงก็พึงพอใจ

เขามองราชาเทพ

ราชาเทพยิ้ม ไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น

มนุษย์แสงส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว เขายังรู้สึกว่ามันแปลกเล็กน้อยอยู่ดี

นี่เป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เผ่าพันธุ์เทพมักอยู่เหนือมนุษย์มาโดยตลอด

ทว่าวันนี้ เผ่าพันธุ์เทพได้เลือกเส้นทางที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจนทำข้อตกลงร่วมกับนักพรตมนุษย์

ราชาเทพสามารถปล่อยวางลงได้เพื่อแลกเปลี่ยนกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งหมดก็เพื่อโชคชะตาของเผ่าพันธุ์

เขาเกรงว่าทั่วทั้งประวัติศาสตร์ มีเพียงราชาเทพองค์นี้ที่สามารถคิดวิธีการกระทำเช่นนี้ได้

เขาอาจจะสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของเผ่าพันธุ์เทพได้จริง!

มนุษย์แสงตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนถามว่า “นายท่าน พวกเราจะเริ่มเมื่อไหร่ดี”

“ตอนนี้เลย” ราชาเทพกล่าวอย่างเด็ดขาด

“กู่ฉิงซาน เจ้ามีคำถามอะไรหรือไม่” มนุษย์แสงถาม

“เวลามีค่า เริ่มกันเลยเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

มนุษย์แสงสูดหายใจอย่างเงียบงัน

ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว…

“วางมือของเจ้าลงบนมือข้า” เขาชี้มาที่กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานทำตามที่เขาบอก

เบื้องหลังมนุษย์แสงพลันมีปีกคู่เปล่งประกายสีขาวออกมา

ใต้ท้องนภา

เหนือซากปรักหักพัง

มนุษย์แสงเปล่งเสียงขณะท่องคาถาศักดิ์สิทธิ์เสียงดัง

“จุดจบของโลก!”

“บัญญัติมาร!”

“ไฟแห่งชีวิต จุดกำเนิดของทุกสิ่ง การปฏิวัติของทุกชีวิต”

“เจ้าคือการตกผลึกของอารยธรรม คือจ้าวแห่งคลื่นมารและเป็นแก่นแท้ในการมาของราชามาร”

“มาเถิด ในฐานะลูกแกะตัวน้อย ข้าขอเรียกให้เจ้ามาที่นี่”

“บัญญัติมาร จงมา!”

‘หึ่ง’

สายลมหายไป โลกเงียบสงัด

บางสิ่งคล้ายกับปรากฏขึ้นท่ามกลางบรรยากาศดังกล่าว

รอไม่นานนัก

ในความว่างเปล่าตรงสายตาของกู่ฉิงซาน หน้าต่างสีโลหิตพลันปรากฏขึ้น

แถวตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

“ยินดีต้อนรับ นักพรตจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ เจ้าเป็นที่โปรดปรานของบัญญัติ”

“บัญญัตินี้จะโหลดได้หลังจากผ่านไปสามวินาที”

“สาม”

“สอง”

“หนึ่ง!”

“หมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์: ต้นเพลิง ถูกโหลดแล้ว”

“ยินดีด้วย! ด้วยความช่วยเหลือของบัญญัติ เจ้าจะสร้างความรุ่งโรจน์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อีกครั้ง”

กู่ฉิงซานมองหน้าต่างสีโลหิตตรงหน้า

หน้าต่างสีโลหิตนี้มีเวลาและความทรงจำเกี่ยวกับเขามากเกินไป

หลายสิ่งได้เคลื่อนผ่านไป

เขาเติบโตขึ้นเป็นนักดาบยอดเยี่ยม

ตอนนี้ ทุกสิ่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง

มนุษย์แสงได้ฟังก่อนจมสู่ห้วงความคิด

ความระมัดระวังตามนิสัยของเผ่าพันธุ์เทพทำให้ไม่สามารถร่วมมือกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้

ใช่แล้ว เผ่าพันธุ์เทพจะไม่มีวันร่วมมือกับเผ่าพันธุ์มนุษย์

แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว คำแนะนำของราชาเทพดูเหมือนจะเป็นหนทางใหม่ หนทางที่เผ่าพันธุ์เทพไม่เคยลองมาก่อน

มนุษย์แสงครุ่นคิดอยู่ราวสิบห้านาทีก่อนถามอีกครั้งว่า “ทำไมต้องเป็นกู่ฉิงซาน”

กู่ฉิงซานตอบว่า “เพราะเขาเข้าใจบัญญัติ เขาสามารถดำเนินการตามบัญญัติได้อย่างรวดเร็ว”

“เพราะเขาไม่ใช่คนของยุคนี้ อีกทั้งยังมาจากอนาคต หากมองในมุมอย่างเทพจินเยี่ยน เขาจะต้องเฉยชาต่อโชคชะตาของเผ่าพันธุ์ในยุคนี้และจะไม่ตัดใจจากความสนใจของตัวเองเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ของยุคนี้อย่างแน่นอน”

“เขาจะต้องร่วมมือกับพวกเราเพื่อให้ได้ดาบศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน”

“ประกอบกับพละกำลังของเขาที่ต่ำ ตามที่จินเยี่ยนว่า ระดับการไหลเวียนของเขายังไม่ถึงขั้น ต่อให้ใช้บัญญัติได้ พละกำลังสุดท้ายของเขาก็มีจำกัดมาก ฆ่าง่ายกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในยุคนี้แน่นอน”

“ต่อให้มีการเปลี่ยนแปลง พวกเราก็สามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย”

“หากทุกอย่างไปได้สวย ให้เขาเอาดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพไปเพื่อพบกับเทพนิรันดร์ที่แท้จริง นั่นคือช่วงที่เขาและบัญญัติจะถูกทำลายไปพร้อมกัน”

มนุษย์แสงแย้งว่า “หลังจากคนที่ใช้บัญญัติตาย บัญญัติจะไม่ตายตาม แต่มันจะเข้าสู่สภาพหลับลึก”

“บัญญัติเข้าสู่สภาพหลับลึกหรือ ผลแค่นั้นไม่ส่งผลกับแผนพวกเราหรอก แถมยังเป็นประโยชน์กับพวกเราด้วยไม่ใช่หรือไง” กู่ฉิงซานกล่าว

มนุษย์แสงครุ่นคิดไปมาอยู่เนิ่นนาน

เขาลังเล หงุดหงิดและถอนหายใจ “นี่มันเป็นความคิดที่บ้าที่สุด พวกเราไม่เคยคิดถึงมนุษย์ พวกเราไม่เคยผ่อนคลายในการรับมือกับบัญญัติ แต่ตอนนี้พวกเราต้องใช้พลังจากพวกเขา”

“ใช้พลังที่มีทั้งหมด พวกเราเผ่าพันธุ์เทพสามารถดึงพลังที่แท้จริงออกมาได้!” กู่ฉิงซานกำหมัดขณะกล่าวเช่นนั้น

“แต่ว่า…ข้าตามหากับจินเยี่ยนมานานมากก็ยังไม่พบตัวกู่ฉิงซาน ท่านแน่ใจหรือว่าจะสามารถตามหาตัวเขาเจอ” มนุษย์แสงถาม

กู่ฉิงซานยิ้ม

เขารู้ว่าอีกฝ่ายติดกับเข้าแล้ว

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้ราชาจัดการเองเถอะ ความจริงที่เจ้าโง่อย่างจินเยี่ยนไม่สามารถทำได้นั้นไม่ได้หมายความว่าราชาผู้นี้จะไม่สามารถทำได้”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ

มนุษย์แสงคล้ายกับตัดสินใจได้ น้ำเสียงของเขาจึงเร็วขึ้น “ดีล่ะ ท่านคลี่คลายเรื่องปัญหาของกู่ฉิงซาน ส่วนต้นไม้หนามโบราณกับทูตสวรรค์แห่งบาป ข้าจะเตรียมการให้ล่วงหน้าก่อน ไว้พบกันใหม่”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “อย่าห่วงไปเลย เมื่อเจ้ากลับมา ข้าสัญญาว่าจะตามหากู่ฉิงซานจนทำข้อตกลงกับเขาได้อย่างแน่นอน”

มนุษย์แสงจ้องอีกฝ่ายก่อนจะเงียบอยู่นานแสนนาน

“เป็นอะไร” กู่ฉิงซานยิ้มขณะเตรียมตัวที่จะสู้อยู่เงียบๆ

“ท่านเป็นราชาเทพที่ยืดหยุ่นและเจ้าวางแผนที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา นี่คือโชคดีของพวกเราเผ่าพันธุ์เทพ” มนุษย์แสงกล่าว

“ทั้งหมดก็เพื่อเผ่าพันธุ์เทพ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหนักแน่น

“ใช่ ทั้งหมดก็เพื่อเผ่าพันธุ์เทพ”

มนุษย์แสงกล่าวเช่นนั้น

เขาเหาะออกจากตำหนักราชาเทพ จมเข้าสู่ความว่างเปล่าบนท้องนภาก่อนหายไป

ผ่านไปสักพัก

กู่ฉิงซานค่อยๆ ผ่อนคลายลง

เขาเอนพิงกับบัลลังก์ราชาเทพ สายตาเหม่อลอยเล็กน้อย

ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ แม้แต่เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้ากับการวิเคราะห์สถานการณ์ คิดถึงกลยุทธ์ ทำการตัดสินใจและโน้มน้าวอีกฝ่าย

ขณะหลับตา กู่ฉิงซานสะบัดมือ

ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่แช่แข็งลั่วปิงหลีเอาไว้ละลายทันที

ลั่วปิงหลีกลับมามีสติขณะจ้องมองกู่ฉิงซานด้วยดวงตาเบิกกว้าง

นางลังเลสักพักก่อนถามว่า “มนุษย์แสงบอกอะไรกับเจ้า”

กู่ฉิงซานเล่าให้ฟังอีกครั้ง

ลั่วปิงหลีตั้งใจฟัง จนกระทั่งกู่ฉิงซานเล่าจบถึงได้ถอนหายใจ “เจ้ากำลังเล่นอยู่กับไฟนะ”

“ไม่เป็นไร ข้าเล่นได้อยู่แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

“พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อ” ลั่วปิงหลีถาม

“เผ่าพันธุ์เทพไม่ขวางข้าในการเอาดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพอีกแล้ว ดังนั้นพวกเราสามารถไปเอาดาบได้เมื่อถึงเวลาอันควร” กู่ฉิงซานกล่าว

“วิญญาณกรีดร้องจะปรากฏตัวหรือเปล่า” ลั่วปิงหลีเตือน

กู่ฉิงซานตอบว่า “ข้าจะพาเจ้าไปเอาดาบ พวกเราจะใช้พลังในการเดินทางผ่านมิติและเวลาเพื่อมุ่งสู่อนาคต”

ลั่วปิงหลีกล่าวว่า “เช่นนั้นมนุษย์แสงจะต้องมาห้ามอย่างแน่นอน”

“ข้าจะหาทางคลี่คลายเรื่องนี้เอง” กู่ฉิงซานกล่าว

ลั่วปิงหลีเงียบ

นางคล้ายกับกังวลเล็กน้อย

ตอนนี้ กู่ฉิงซานไม่สนใจที่จะคุยหรือแม้แต่จะเหลียวแลนาง

‘ติ๊ง!’

เสียงเด่นชัดดังขึ้นในหูของเขา

หน้าต่างระบบเทพสงครามเริ่มส่งคำขอติดต่อสื่อสารทันที

“พวกเรามาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจแล้ว กู่ฉิงซาน” ระบบเทพสงครามกล่าว

“ตัดสินใจหรือ ตัดสินใจอะไร” กู่ฉิงซานถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

จากน้ำเสียงของอีกฝ่าย เขารู้สึกถึงความเคร่งขรึม

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ ท่านคือผู้ใช้บัญญัติราชามาร ในช่วงชีวิตนี้ ท่านก็เป็นผู้ใช้บัญญัติราชามารเช่นกัน ย้อนกลับไปหนึ่งหมื่นปีก่อน ท่านก็เป็นผู้ใช้บัญญัติราชามาร”

“สายสัมพันธ์ระหว่างท่านกับบัญญัติราชามารทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตช่างเหนียวแน่น ดังนั้นตัวปลอมของท่านที่ข้าสร้างในช่วงชีวิตที่แล้วจึงเริ่มสั่นคลอน”

“ทันทีที่ท่านใช้บัญญัติราชามารอีกครั้ง ความโกลาหลของมิติและเวลาจะระเบิดมาที่ท่าน”

“ท่านจะกลายเป็นสัญญาณเตือนที่เด่นชัดในมิติและเวลา ทำให้ดึงดูดสิ่งน่าสะพรึงที่ไม่รู้จักและยากจะรับมือเข้ามา พวกมันจะมาสอดแนม”

กู่ฉิงซานรู้สึกจุกอก

หากเป็นเช่นนี้ เขาก็เหมือนกับเผ่าพันธุ์มนุษย์คนอื่นในยุคโบราณที่จะดึงดูดความสนใจของพวกที่สามารถทำลายทุกสิ่งได้

กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “การใช้บัญญัติราชามารอีกครั้งคือกลยุทธที่ดีที่สุดที่ข้าจะนึกออกแล้ว ตอนนี้มันได้รับการยอมรับจากมนุษย์แสง เขาได้เริ่มเตรียมการเบื้องต้นแล้วด้วย หากข้าถอยกลับตอนนี้ เขาต้องสงสัยแน่ ”

“อีกอย่าง ถ้าข้ายอมแพ้ก็ไม่มีทางที่จะรักษาดาบไว้ได้”

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “ตอนนี้ท่านต้องเลือก จะทิ้งการใช้บัญญัติที่กำลังจะมาถึงหรือจะกลับไปช่วงชีวิตที่แล้วที่ข้าสร้างตัวปลอมขึ้นมา”

“ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าไม่สามารถพาข้ามมิติและเวลาได้แล้วนี่” กู่ฉิงซานกล่าว

“ใช่แล้ว หากเป็นมิติและเวลาอื่นย่อมทำไม่ได้ แต่ข้าทิ้งสัญลักษณ์มิติและเวลาในช่วงชีวิตที่แล้วของท่านเอาไว้ นี่คือการตามรอยชีวิตของท่าน ท่านสามารถกลับไปได้อีกครั้ง พลังวิญญาณที่ข้าต้องการก่อนหน้านี้ล้วนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ”

“ถ้าข้ากลับไป แล้วต้องทำอะไรบ้างล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“มอบข้าให้กับท่านในช่วงชีวิตที่แล้ว” ระบบเทพสงครามกล่าว

กริชลอยอยู่ตรงรูม่านตาของกู่ฉิงซาน

นี่คือกริชทอง ตัวกริชไม่มีร่องรอยของลวดลายที่ซับซ้อนเป็นพิเศษ มันมีความคมและความเรียบ

แสงสีทองอ่อนปกคลุมกริชราวกับคลื่น

กู่ฉิงซานมองกริชทองเล่มนี้แล้วพลันนึกถึงตอนที่เกิดใหม่ เขาถือกริชเล่มนี้เอาไว้ในมือ

นี่คือร่างที่แท้จริงของหน้าต่างระบบเทพสงคราม!

เสียงของระบบเทพสงครามดังขึ้น “นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว ตอนนี้ ท่านมาจากอนาคตและอยู่ในอดีตและเป็นตัวแทนของปัจจุบัน ท่านกลับไปช่วงชีวิตที่แล้วเพื่อมอบข้าให้กับตัวท่านที่เคยใช้ ลูปปิดตายที่สมบูรณ์แบบจะก่อเกิดขึ้น นับจากนี้ จะไม่มีใครสามารถสอดรู้สอดเห็นต้นกำเนิดที่แท้จริงของข้าได้อีก”

กู่ฉิงซานเงียบสักพักก่อนถามเสียงอ่อนว่า “ตอนนี้ข้าต้องเสียเจ้าไปหรือ”

หน้าต่างระบบเทพสงครามกล่าวว่า “ท่านจะเสียข้าไปชั่วคราว ในอนาคตท่านจะได้ข้าคืน”

“แล้วมันเมื่อไหร่ล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

ระบบเทพสงครามตอบว่า “เมื่อท่านกลับมายังช่วงหนึ่งหมื่นปีก่อนพร้อมดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพ ทุกสิ่งจะก่อเกิดตามหลักของเหตุและผล ถึงตอนนั้น ตามหลักของกฎแห่งเส้นเวลา ข้าจะปรากฏขึ้นต่อหน้าท่านอีกครั้ง”

กู่ฉิงซานอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้

ถ้าเลือกเส้นทางนี้ เขาจะเสียหน้าต่างระบบเทพสงครามจนต้องต่อสู้อยู่ในยุคโบราณเพียงลำพัง

แต่เพื่อรักษาดาบ เพื่อรักษาทุกสิ่งที่เขาห่วงใย นี่คือสิ่งที่จำเป็นอีกครั้ง

หากเสียระบบเทพสงครามไปก็สามารถใช้งานบัญญัติราชามารได้อย่างปลอดภัย ส่งผลให้ทำทุกสิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กู่ฉิงซานเงียบ

เขาคุ้นชินกับการต่อสู้พร้อมระบบ แต่ตอนนี้เขาจะต้องโดดเดี่ยวอีกครั้ง

ต่อสู้เพียงลำพัง เผชิญหน้ากับอันตรายถึงชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน ไม่มีคำใบ้ ไม่มีตัวตนอีกต่อไป…

หน้าต่างระบบเทพสงครามรออยู่สักพัก จากนั้นถามว่า “ข้าขอถามครั้งสุดท้าย จะตัดใจจากการใช้บัญญัติราชามารหรือจะกลับสู่ช่วงชีวิตที่แล้วเพื่อตามหาตัวท่านเอง”

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนคำรามออกมา “เอาล่ะ เป็นไงเป็นกัน!”

“ดี”

ระบบเทพสงครามพึงพอใจ

เขาเห็นแถวหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างรวดเร็ว

“คำขอได้รับการยอมรับแล้ว”

“พลังวิญญาณทั้งหมดถูกปลดปล่อย!”

“กำหนดพิกัดการถดถอยของมิติและเวลาเรียบร้อย”

“ทำการกลับสู่ช่วงชีวิตที่แล้วของท่าน”

“ห้า”

“สี่”

“สาม”

“สอง”

“หนึ่ง”

“ออกเดินทาง!”

ในตำหนักราชาเทพ ทุกสิ่งกลับคืนสู่สภาพหยุดนิ่ง

แสงสีทองปกคลุมกู่ฉิงซานเอาไว้

วินาทีต่อมา เขาออกไปจากโลกใบนี้

ภายในตำหนักราชาเทพ

เวลาหยุดนิ่ง

ฝุ่นลอยอบอวลในอากาศ แสงสว่างอบอุ่นสาดส่อง สายลมพัดพาอย่างเงียบสงบ ลั่วปิงหลียืนนิ่ง ทุกสิ่งในช่วงเวลานี้ไม่ขยับเขยื้อน

กู่ฉิงซานเดินเข้าสู่แสงสีทองก่อนหายไป

แสงสีทองค่อยๆ หดลง กระจายออกเป็นแสงเจิดจ้าสายเล็กสายน้อยก่อยหายไปอย่างรวดเร็วในสภาพที่มองไม่เห็น

ในช่วงวินาทีสุดท้ายนี้ ลั่วปิงหลีขยับได้

นางได้รับการปลดปล่อยจากอาการแข็งทื่อเพราะการหยุดนิ่ง ดวงตาของนางจับจ้องกับแสงสีทองเล็กน้อย

“หายากนักที่จะสามารถออกจากที่นี่ได้โดยตรง”

นางพึมพำเสียงต่ำ เอื้อมออกไปในความว่างเปล่าเพื่อดึงแสงสีทองสายเล็กที่กำลังจะหายไปเอาไว้

แสงสีทองสายเล็กคล้ายกับตรวจจับตัวตนของนางได้ก่อนขยายตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นกริชสีทอง

ระบบเทพสงครามพลันปรากฏขึ้น!

“เจ้าเป็นใคร” กริชสีทองถาม

“แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร” ลั่วปิงหลีถามกลับ

กริชสีทองไม่ทำตัวไร้เหตุผลอีกก่อนแสงอันร้อนแรงพุ่งออกจากกริช

ภายใต้แสงดังกล่าว ลั่วปิงหลีเหมือนกับเด็กผู้หญิงรูปร่างสูงเพรียวงามงดที่กำลังยืนรับแสงยามเช้า

นางสัมผัสแสงสีทองอย่างระวังก่อนกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้ากำลังสำรวจข้าหรือ”

“เจ้าไม่ใช่นักพรตธรรมดา เจ้าคือ…” เสียงที่คาดไม่ถึงดังมาจากกริชสีทอง

ดูท่ามันจะเข้าใจบางสิ่ง

“…เป็นแบบนี้เอง” กริชสีทองถอนหายใจ

“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว โปรดอย่าบอกคนอื่นว่าข้าเป็นใคร อีกอย่าง เจ้าให้ข้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นทางฝั่งพวกเจ้าได้หรือไม่ หากเจ้าปฏิเสธ ข้าจะลบพิกัดมิติและเวลาของที่นี่ทิ้งเสีย พวกเจ้าจะไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย” ลั่วปิงหลีกล่าว

“เจ้าไม่สามารถขู่ข้าด้วยคำพูดได้ แต่เพราะกู่ฉิงซาน ข้าจะให้สัญญาก็ได้” ระบบเทพสงครามกล่าว

กริชสีทองวูบไหวในอากาศก่อนม่านแสงพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าลั่วปิงหลี

บนม่านแสง นางเห็นกู่ฉิงซานกำลังเหาะอยู่ในหมอกแห่งมิติและเวลาอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณ” ลั่วปิงหลีกล่าวอย่างพึงพอใจ

กริชสีทองเมินนางก่อนหันหลังแล้วพุ่งเข้าสู่ความว่างเปล่าแล้วหายไป

ในหมอกแห่งมิติและเวลา

กู่ฉิงซานกำลังเหาะอย่างสุดกำลัง

ที่นี่คือโลกที่ประกอบด้วยหมอกและจัตุรัสทั้งหลาย

จัตุรัสแต่ละแห่งเป็นตัวแทนของพื้นที่เวลา พื้นที่เวลาแต่ละแห่งเชื่อมต่อกันจนเกิดเป็นกระแสเวลาจากอดีตถึงอนาคต ตัวตนที่อยู่ในแต่ละจัตุรัสจะไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดต่างมิติของมิติและเวลาได้

“คาดไม่ถึง เมื่อมองมิติและเวลาจากมุมนี้ มันกลับกลายเป็นเส้นตาราง ข้าไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

“เป็นครั้งแรกที่ท่านและข้ามาสู่เส้นทางนี้” เสียงของระบบเทพสงครามดังขึ้น “ครั้งนี้พวกเราใช้ช่องทางรวมต่างมิติชั่วคราวเพื่อกลับไปทางฝั่งเทคโนโลยี เส้นทางปลอดภัยเสมอ ไม่ถูกใครสอดแนม อีกอย่าง ข้าไม่สามารถไปได้ไกลมากกว่านี้อีกแล้ว”

ขณะสนทนา พลังแรงกล้ายิ่งเคลื่อนเข้ามา

กู่ฉิงซานถูกดึงก่อนตกลงไปในจัตุรัสแห่งหนึ่ง

ท้องนภาหมุนวนไปมา

ความมืดกวาดผ่านไปทั่ว

จากนั้นโลกทั้งใบค่อยๆ เด่นชัดขึ้นต่อสายตาของเขา

เปลวเพลิงลุกโชน

ควันยาวปกคลุมท้องนภา

อีกฝั่งของแม่น้ำ สงครามยังดำเนินต่อไปจนถึงช่วงวิกฤติที่สุด

เผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังจะสูญสิ้น

ชิ้นส่วนเกราะคุกเข่ากับพื้น ก่อเกิดเป็นร่างนายพลเกราะตัวหนึ่งที่เด่นชัดเป็นพิเศษ

กู่ฉิงซานมองร่างดังกล่าวก่อนถอนหายใจยาว

นั่นคือเขา

ช่วงชีวิตที่แล้วของเขา

ติ๊ง!

เสียงของหน้าต่างระบบเทพสงครามดังขึ้น “กู่ฉิงซานมองแสงสีทองบนร่างของท่านสิ”

“นี่คืออะไร” กู่ฉิงซานถาม

“เยื่อแยกโลก มันจะหายไปหลังจากผ่านไปสิบห้าอึดใจ จากนั้นคนในโลกนี้จะสามารถมองเห็นท่านได้ แต่ระวังไว้ด้วย ท่านต้องทำให้เสร็จภายในสิบห้าอึดใจ ห้ามอยู่นานไปกว่าที่กำหนด ไม่อย่างนั้นสิ่งมีชีวิตในช่วงชีวิตที่แล้วจะมองเห็นพวกท่านสองคน หากเป็นเช่นนี้ หนึ่งในพวกท่านสองคนจะถูกลบล้างด้วยกฎเกณฑ์แห่งเวลา”

“เข้าใจแล้ว ข้าควรทำอะไรต่อไป” กู่ฉิงซานถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

“อีกสักพัก ข้าจะเริ่มการตัดเวลา ท่านจะต้องใช้ประโยชน์ในช่วงเวลานั้นเพื่อส่งข้าไปถึงมือของท่านในช่วงชีวิตที่แล้ว ตั้งใจทำให้ดี การเคลื่อนไหวต้องเร็ว ในเวลาเดียวกัน ท่านอย่าให้ช่วงชีวิตที่แล้วของตัวเองรู้ตัวได้”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “อย่าห่วงไปเลย ตอนนี้ข้ามีร่างของราชาเทพ ง่ายมากที่จะทำเรื่องนี้ด้วยพละกำลังของตัวเอง เช่นนั้นพวกเราต้องทำอะไร”

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “ข้าจะพาท่านไปจากช่วงชีวิตที่แล้วอีกครั้ง ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

ทุกสิ่งเริ่มขึ้นแล้ว…

นั่นคือการต่อสู้ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เพิ่งปะทะกับมารในช่วงรัชสมัยเฉิงผิง

ในคืนที่ฝนตกกระหน่ำ นอกค่ายทหารอันว่างเปล่า ชายคนหนึ่งกำลังเดินตรวจตราค่าย

เขาตื่นขึ้นจากหลุมศพคนตาย…

กู่ฉิงซานนึกถึงฉากในตอนนั้นก่อนถอนหายใจเล็กน้อย

“เจ้าไปแล้ว ข้าจะทำอย่างไรต่อไป” เขาถาม

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “เมื่อโลกนี้ถูกทำลาย แหล่งพลังโลกที่พังทลายจะระเบิดอย่างรุนแรง เมื่อพลังนั่นส่งผลกระทบกับท่าน มันจะเตะท่านออกจากที่นี่เพราะลักษณะพิเศษร่วมกันของกฎเกณฑ์แห่งมิติและเวลา”

“ฟังดูไม่ซับซ้อนเท่าไหร่นะ” กู่ฉิงซานกล่าว

ระบบเทพสงครามเตือนเขาเรื่องปัญหา “จำให้ดี หลังจากท่านกลับไปแล้ว ต่อให้ข้าไม่อยู่ที่นั่น ท่านก็ยังมีความสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณอยู่ดี หลังจากข้าไปแล้ว จะไม่มีอะไรมาพรากพลังวิญญาณของท่านได้อีก ท่านต้องใช้ประโยชน์ให้ดี มันคือหนึ่งในแหล่งกำเนิดพละกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด”

“พลังวิญญาณของข้ามีขีดจำกัดสูงสุดหรือเปล่า” กู่ฉิงซานถามอย่างจริงจัง

“ไม่มี”

“ดี ข้าเข้าใจล่ะ”

ตอนนี้ ในค่ายทหารตรงกันข้ามกับแม่น้ำ กู่ฉิงซานในช่วงชีวิตที่แล้วทะยานขึ้นสู่ท้องนภา

ดาบบินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนตามเขาไปตามสายลม

ค่ายกลดาบ เคลื่อนพร้อมกัน!

ขณะถือดาบยาวเอาไว้ กู่ฉิงซานพุ่งตรงไปยังเงาขนาดใหญ่บนท้องนภา

ในค่ายทหารใต้เขา เสียงจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นระงม

“ท่านกู่ พวกเราจะกลับบ้านด้วยกัน!”

“กลับบ้านด้วยกัน!”

“กลับบ้านพร้อมกับท่าน!”

ทางฝั่งนี้ของแม่น้ำ กู่ฉิงซานหลุบตาลง

เมื่อเห็นฉากนี้ในช่วงชีวิตที่แล้วอีกครั้ง อารมณ์ของเขาหดหู่เล็กน้อย

“เร่งมือเข้า ได้เวลาไปแล้ว!”

ระบบเทพสงครามเร่ง

“อืม”

กู่ฉิงซานตอบ

สกิลศักดิ์สิทธิ์ หดตัว!

เพียงพริบตา เขาหายไปจากพื้นดินก่อนปรากฏตัวเหนือท้องนภาทันที

เขาใช้พลังอันแก่กล้าของราชาเทพเพื่อซ่อนตัวในความว่างเปล่าขณะมองตัวเองในช่วงชีวิตที่แล้วเหาะเหิน จากนั้น

กริชสีทองปรากฏขึ้นในมือของเขา

“เตรียมพร้อม”

เสียงของระบบเทพสงครามมาจากกริชสีทอง

ตูม!

แสงเจิดจ้ากวาดผ่านโลก กลายเป็นแสงสีขาวไม่มีสิ้นสุดในความว่างเปล่า

ตอนนี้ โลกทั้งใบหยุดนิ่ง

ทุกสิ่งพลันช้าลง ทุกเสียงหายไป

กู่ฉิงซานเห็นตัวเองในช่วงชีวิตที่แล้วกำลังเหาะไปหาเทพมารซึ่งๆ หน้าด้วยความเร็วที่ช้ายิ่ง

เขามองขณะอ้าปากก่อนแผดเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดออกมา

พลังของนักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันจนกลายเป็นดาบแสงเจิดจ้าก่อนตัดศีรษะเทพมารขนาดใหญ่ที่บดบังแสงนภาตรงจุดดังกล่าว

เวลาในตอนนี้ยังคงอยู่กับที่

แสงสว่างเจิดจ้ามากขึ้น

“เร็วเข้า! ตอนนี้แหละ!”

เสียงของระบบเทพสงครามมาจากกริชสีทอง

กู่ฉิงซานกัดฟันขณะพุ่งไปข้างหน้า ยัดกริชสีทองเข้าที่มือของตัวเองในช่วงชีวิตที่แล้ว

“รักษาตัวด้วย!”

เขากล่าว

“ท่านเองก็รักษาตัวด้วย” ระบบเทพสงครามกล่าว

ในสายลมกรรโชก

แสงสีทองวูบไหว

เพียงพริบตา กู่ฉิงซานถือกริชสีทองเอาไว้ก่อนหายไปจากโลกนี้

มันจบแล้ว

เมื่อเห็นว่าระบบเทพสงครามพาตัวเองในช่วงชีวิตที่แล้วออกไป กู่ฉิงซานเริ่มหดตัวก่อนหายไปจากท้องนภาทันที

พลังที่ปกปิดตัวเขาเอาไว้กำลังจะหายไป ตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถมองเห็นเขาได้

กู่ฉิงซานเหาะไปทางแม่น้ำ แหวกว่ายไปยังก้นแม่น้ำแล้วใช้วิชาเพื่อกลั้นหายใจขณะรออย่างอดทน

เขากำลังรอ

รอจนกระทั่งโลกเริ่มพังทลาย

คลื่นแปลกประหลาดถูกปลดปล่อยจากส่วนลึกของโลก

ความผันผวนนี้กวาดไปทั่วโลก

เมื่อกวาดมาถึงกู่ฉิงซาน มันพลันห้อมล้อมรอบเขาเอาไว้ก่อนพันรอบตัวสายแล้วสายเล่า

พลังนี้ยิ่งมายิ่งรวมตัวมากขึ้นจนยิ่งมายิ่งแข็งแกร่งขึ้น กู่ฉิงซานรู้สึกได้ถึงพลังบีบอัดอันทรงพลัง

แม้กระทั่งพละกำลังเทพแห่งความเย็นยะเยือกก็ไม่สามารถต้านทานพละกำลังตรงหน้านี้ได้

ฉับพลันนั้นเอง กู่ฉิงซานพบว่าพลังนี้รวมตัวตรงหน้าอกของเขาอย่างสมบูรณ์ขณะออกแรกดันอย่างหนัก!

ความว่างเปล่าพลันแยกออก

เพียงพริบตา กู่ฉิงซานหายไปจากมิติและเวลานี้

หลายหมื่นปีก่อน

สวรรค์ดึกดำบรรพ์

ในตำหนักราชาเทพนอกสวรรค์

ลั่วปิงหลีขมวดคิ้ว

นางลบล้างแสงสีทองอย่างรวดเร็วก่อนหยุดสอดแนมมิติและเวลานั่น

วินาทีต่อมา กู่ฉิงซานออกมาจากความว่างเปล่าก่อนตกลงสู่พื้น

การตัดเวลาสิ้นสุดลงแล้ว

ทุกสิ่งกลับสู่ความปกติ

แต่กู่ฉิงซานกองอยู่กับพื้น ไม่ขยับไปไหน

เขามองตรงไปยังความว่างเปล่าตรงหน้า

บนรูม่านตา หน้าต่างระบบอันคุ้นเคยไม่ปรากฏขึ้นมาอีก

“ระบบ”

กู่ฉิงซานถามอย่างเงียบงัน

ไม่มีเสียงดังเด่นชัด

ไม่มีคำตอบ

ใช่แล้ว ระบบเทพสงครามกลับสู่อดีตแล้ว

ลูปปิดตายของมิติและเวลาก่อตัวขึ้น เหตุและผลที่สมบูรณ์แบบนั่นจะทำให้ไม่มีใครพบต้นกำเนิดของระบบเทพสงครามอีก

อีกอย่าง นับจากนี้ไป เขาจะสามารถใช้บัญญัติของราชามารได้อย่างปลอดภัยโดยไม่สร้างความโกลาหลในมิติและเวลาอีก

ในโถงอันว่างเปล่า เสียงอันน่าตกตะลึงที่คุ้นเคยพลันดังขึ้น

“เป็นไงบ้าง”

ลั่วปิงหลีนั่นเอง

นางถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมจู่ๆ เจ้าลงไปกองกับพื้นทั้งที่เมื่อครู่ยังนั่งอยู่บนบัลลังก์ราชาเทพล่ะ”

กู่ฉิงซานเผยยิ้มแห้งออกมาแล้วกล่าวว่า “หลังจากทำความเข้าใจวิชาแล้ว ข้าดันทำผิดพลาดก็เลยตกลงมาน่ะ”

“ดูจากสีหน้าเจ้าแล้ว ความผิดพลาดนี้น่าจะส่งผลร้ายแรงมากใช่หรือไม่” ลั่วปิงหลีมองเขาขณะถามช้าๆ

“ไม่ขนาดนั้น แต่ข้าต้องจริงจังมากขึ้นในอนาคต”

กู่ฉิงซานลุกขึ้นจากพื้น เดินกลับไปบัลลังก์ราชาเทพอย่างช้าๆ ก่อนนั่งลง

นับจากนี้ ในยุคโบราณที่เต็มไปด้วยอันตราย เขาจะเดินเพียงลำพัง

กู่ฉิงซานเคยได้เหรียญมา ทำให้สามารถโคจรพลังเยือกแข็งจากอากาศบางได้

ตอนแรก เขาคิดว่ามันคือไอเทมวิเศษที่ถูกออกแบบโดยเทพ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาค่อยๆ พบว่าเหรียญมีหน้าที่และความลับที่แสนสำคัญมากกว่าที่คิด

เขาถึงขั้นได้เคยได้เหรียญปลอมที่สามารถกระโดดสูงได้ห้านาที

ตอนนี้เขาทราบความจริงเกี่ยวกับเหรียญแล้ว

นี่คือสิ่งที่สร้างโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณ มันเต็มไปด้วยความลับและพลังอันน่าทึ่ง

“ข้าว่าพวกเราเผ่าพันธุ์เทพได้เลียนแบบเหรียญจำนวนมากจากยุคโบราณขึ้นมา”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “ใช่ หลังจากท่านตายไป ราชาเทพองค์ใหม่จะค้นพบความลับของเหรียญ ถึงตอนนั้น เหรียญจำนวนมากจึงถูกเลียนแบบ นอกเหนือจากสามเหรียญที่ข้ากล่าวถึงไปเมื่อครู่ การเลียนแบบเหรียญอื่นยังคงดำเนินต่อไป”

กู่ฉิงซานขยับคอด้วยความไม่สบายแล้วกล่าวว่า “ไม่สบายใจเลยที่ได้ยินคนอื่นพูดสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากข้าตายเนี่ย”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “หากท่านติดตามข้าเพื่อไปดูประวัติศาสตร์ ท่านจะปรับตัวได้เองอย่างช้าๆ ”

กู่ฉิงซานถามอย่างเรียบง่ายว่า “แล้วสามเหรียญสุดท้ายอยู่ที่ไหนล่ะ”

“ตอนพวกเรามีความสัมพันธ์อันดีกับเผ่าพันธุ์บรรพกาล พวกมันยอมให้พวกเราติดต่อด้วย ทำให้มีโอกาสพบความลับของเหรียญเข้า พวกมันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนั้น แต่เหรียญกลับอยู่ฝั่งนั้นเสียได้” มนุษย์แสงกล่าว

“เจ้าไม่ได้ลองเอาสามเหรียญนี้กลับมาหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“เผ่าพันธุ์เทพจะถูกจับตาทันทีที่เข้าโลกบรรพกาล ดังนั้นพวกเราจึงเลียนแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณเพื่อสร้างวิชาที่สามารถปลอมเป็นมนุษย์ได้ ข้าใช้วิชานี้กับท่าน พวกเราลองวิชานี้หลายครั้งจนในที่สุดก็ใช้มันได้ ทำให้ได้สามเหรียญนั้นมา” มนุษย์แสงกล่าว

“แล้วยังจะมัวรออะไรอีก เจ้าสามารถใช้พลังของเหรียญได้อย่างเต็มกำลังแล้วนี่” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยท่าทีแปลกประหลาด

“ไม่ได้” มนุษย์แสงถอนหายใจ “สามเหรียญนี้ต้องถ่ายพลังจากตัวแทนของพวกมันก่อนจึงสามารถใช้งานได้ พวกเราเชื่อมต่อกับต้นไม้หนามโบราณผ่านเหรียญ ทำให้พบสถานที่ที่ทูตสวรรค์แห่งบาปหลับใหลอยู่”

“เพราะเหรียญ ต้นไม้หนามโบราณจึงเต็มใจช่วยพวกเราหนหนึ่ง”

มนุษย์แสงกล่าวต่อว่า “ส่วนทูตสวรรค์แห่งบาป พวกเราปลุกนางด้วยเหรียญได้ แต่พอนางตื่นขึ้นมา นางจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในยุคโบราณราวกับได้หลงลืมทุกสิ่งไปสิ้น”

กู่ฉิงซานหรี่ตาแล้วกล่าวว่า “เป็นแบบนี้ได้อย่างไร หรือเป็นเพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณเกรงว่านางจะจำวิธีใช้พลังของสามเหรียญนี้ได้”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “เป็นไปได้มาก ดังนั้นพวกเราบอกไปว่านางคือผู้สร้าง จากนั้นก็ให้การดูแลอย่างดีเพื่อให้นางยอมรับตัวตนอย่างค่อยเป็นค่อยไป”

กู่ฉิงซานเงียบ

มันกลายเป็นแบบนี้นี่เอง

กลายเป็นว่านางเคยอยู่ในยุคโบราณแต่สูญเสียความทรงจำ

เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน เด็กผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวซีก็บริสุทธิ์ดุจกระดาษขาวราวกับจะถูกธรรมชาติล่อหลอกเอาได้…

ดูเหมือนกองการ์ดที่นางครอบครองจะไม่ได้ถูกสร้างโดยเผ่าพันธุ์เทพ แต่เป็นพลังมรดกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ

ไม่สงสัยเลยว่าถึงมีแต่การ์ดระดับมรกตที่ทรงพลังเท่านั้น!

หากพลังของนางอยู่ในช่วงรุ่งเรือง ยิ่งไม่อาจจินตนาการถึงพลังของการ์ดที่นางครอบครองได้เลย

ด้วยตัวตนของพละกำลังของเสี่ยวซี ไม่สงสัยเลยว่านางจะถูกอิจฉาโดยเทพในท้ายที่สุด!

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบว่า “ในสามกลุ่มอำนาจ เจ้าได้มาสองแล้ว เหลือเพียงราชามารแห่งอารัมภบทที่น่าจะเป็นบัญญัติของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เจ้าไม่สามารถหยิบยืมพลังของบัญญัตินี้ได้หรือ”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “นี่คือจุดที่ยากที่สุด ราชามารแห่งอารัมภบทต้องเป็นผลผลิตจากหมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์: บัญญัติของราชามาร เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถปรากฏตัวขึ้นมาได้ แต่พวกเราจะไม่ยอมให้ราชามารปรากฏขึ้นมาได้เด็ดขาด”

“ทำไมล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“เพราะการถือกำเนิดของราชามารเป็นตัวแทนของหมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์: บัญญัติของราชามารที่เติบโตเต็มที่ นี่คือองค์ประกอบสำคัญในการปลุกบัญญัติอื่นขึ้นมา ตราบที่ราชามารยินยอม เขามีความสามารถที่จะปลุกบัญญัติอื่นขึ้นมาได้ พวกเราจะยอมให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้”

น้ำเสียงของมนุษย์แสงเย็นชาและเงียบขรึมขึ้นมา “ทันทีที่บัญญัติอื่นตื่นขึ้น เผ่าพันธุ์มนุษย์จะเข้าสู่ยุคที่เติบโตและมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว การปกครองของพวกเราก็จะจบสิ้น”

กู่ฉิงซานถามกลับว่า “เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงนำบัญญัตินี้ออกมาตั้งแต่แรกล่ะ”

มนุษย์แสงตอบว่า “บัญญัติมาจากการตระเตรียมของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณก่อนที่จะออกมา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ พวกเราและเผ่าพันธุ์บรรพกาลพยายามสุดความสามารถที่จะเปลี่ยนบัญญัติที่ปรากฏขึ้นมา”

กู่ฉิงซานจมสู่ความคิด

กลายเป็นว่ารากฐานของทุกสิ่งในกระบวนการสุดท้ายมาอยู่ที่ราชามารแห่งอารัมภบทสินะ

สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ บัญญัตินี้คือตัวตนที่ดุร้ายที่สุดในบรรดาบัญญัติทั้งหมด เพราะมีนิสัยยั่วยุและล่อหลอกของเทพอยู่กับตัว ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์มองว่าบัญญัติของราชามารคือศัตรู

บัญญัติของราชามารไม่ควรเป็นที่ยอมรับโดยผู้คนส่วนใหญ่อยู่แล้ว เพราะสุดท้ายจะมีเพียงคนเดียวที่สามารถไปถึงบัญญัตินี้จนกลายเป็นราชามารได้

ทันทีที่ราชามารปรากฏตัว บัญญัติอื่นจะค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เผ่าพันธุ์มนุษย์จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง

เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณคงคาดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านมาหลายปี บัญญัติยังอยู่ในสภาพหลับใหล พวกพ้องยังดิ้นรนกับเป็นทาสของเทพ เผ่าพันธุ์บรรพกาลหรือแม้กระทั่งเทพนิรันดร์ที่แท้จริง

นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างมีนัยว่า “หลังจากข้าตาย ราชาเทพในอนาคตจะรับมือกับราชามารแห่งอารัมภบทได้อย่างไร”

“ทันทีที่มีใครใช้งานบัญญัติ ทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และพวกเราจะตามหาเขาเจอจนฆ่าได้ทันท่วงที” มนุษย์แสงกล่าว

“พวกเราเผ่าพันธุ์เทพก็ใช้งานบัญญัติแล้วไม่ใช่หรือ”

“น่าเสียดาย แต่ยังไม่ได้ใช้งาน”

กู่ฉิงซานกล่าวอีกครั้งว่า “ถ้างั้น ข้าก็เหลือคำถามสำคัญอีกข้อเดียว ไม่ว่ายังไงก็มีเพียงราชามารที่สามารถถ่ายทอดพลังบัญญัติของราชามารไปที่เหรียญเพื่อผสานกับสองเหรียญที่เหลือได้สินะ”

มนุษย์แสงตอบว่า “ไม่ เมื่อบัญญัติวิวัฒนาการถึงขั้นที่ราชามารจุติลงมา ผู้ใช้งานบัญญัติในขั้นนั้นก็สามารถทำแทนได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น พละกำลังสุดท้ายก็จะอ่อนลงไปมาก”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็มีทางคลี่คลายแล้ว”

มนุษย์แสงตกตะลึง

“ท่าน…มีทางหรือ” เขาถามด้วยอาการสั่นสะท้าน

เผ่าพันธุ์เทพพยายามอย่างหนักจนเหนื่อยล้าแต่ก็ไม่สามารถหาทางรับมือกับทุกสิ่งได้ ตอนนี้ เทพแห่งความเย็นยะเยือกผู้เป็นราชาเทพกลับกล่าวว่ามีทาง

“ฟังนะ มันเป็นแบบนี้” กู่ฉิงซานกรพแอมลำคอแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเราต้องเลือกใครบางคนมาช่วยข้าใช้งานบัญญัติของราชามาร แต่พวกเราต้องควบคุมกระบวนการอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้คนใช้กลายเป็นราชามาร รอจนกระทั่งให้ทั้งสามพลังรวมกันได้สำเร็จจึงค่อยฆ่าทิ้ง”

มนุษย์แสงไม่พูด

เขาถึงกับผงะกับความคิดนี้

ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน เผ่าพันธุ์เทพไม่เคยคิดที่จะยอมให้บัญญัติและมนุษย์ร่วมมือกัน พวกเขายิ่งไม่กล้าคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแม้แต่นิดเดียว

นี่เป็นแผนที่อันตรายมาก ไม่ต่างจากการเต้นรำที่ขอบผา

ทว่า การใช้มนุษย์เพื่อให้ได้พลังของบัญญัตินั้นมา จากนั้นค่อยฆ่าทิ้ง ภัยคุกคามทั้งหมดก็จะไม่คงอยู่อีกต่อไป ในเวลาเดียวกัน เป้าหมายก็ยังบรรลุอีกด้วย

หากคิดแบบนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดูง่ายนัก

แบบนี้นับว่าทำได้จริง!

แม้กระทั่งในก้อนน้ำแข็งยักษ์ ดวงตาที่หลับอยู่ของลั่วปิงหลีก็ขยับเล็กน้อย

ฉากนี้ไม่เป็นที่สังเกตโดยกู่ฉิงซานและมนุษย์แสง

ตำหนักราชาเทพกลับมาเงียบสงัด

ผ่านไปสักพักใหญ่

มนุษย์แสงกล่าวอย่างยากลำบากว่า “ต่อให้ไม่ใช่ราชามาร แต่บัญญัติจะได้รับการพัฒนาสู่ขั้นการถือกำเนิดของมาร ผู้ฝึกฝนมนุษย์คนนั้นจะกลายเป็นผู้มีพลังที่ยากจะคาดเดาจนยากจะสังหารได้”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบว่า “เทพทุกองค์ก็ต้องร่วมมือกัน”

มนุษย์แสงเงียบไปอีกพักใหญ่

ท้ายที่สุด เขากล่าวว่า “นี่เป็นการเดิมพัน ถ้าไม่ระวังก็จะล้มเหลว”

“ในอนาคต พวกเราทั้งหมดก็ต้องตาย ทำไมถึงไม่เดิมพันตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

มนุษย์แสงตอบว่า “ถ้าท่านอยากทำแบบนี้ ท่านก็ต้องหานักพรตมนุษย์ที่เหมาะสม คิดว่าใครกันที่จะรับหน้าที่นี้ได้”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “แน่นอนว่าก็ต้องเป็นกู่ฉิงซานยังไงล่ะ”

มนุษย์แสงผงะก่อนถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ทำไมต้องเป็นเขาล่ะ”

“เพราะกู่ฉิงซานมาจากอนาคต เข้าใจบัญญัติและสามารถรับของแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างอดทนว่า “ตามที่เทพจินเยี่ยนว่า ในอนาคต ราชามารแห่งอารัมภบทจะยังไม่ให้กำเนิดราชามารอย่างแท้จริง บัญญัติอีกมากมายก็จะไม่ตื่นขึ้น เผ่าพันธุ์มนุษย์จะยังเกลียดราชามารแห่งอารัมภบทอยู่ดี”

“ดังนั้นเขาไม่มีทางคิดที่จะกลายเป็นราชามาร ไม่มีทางคิดที่จะปลุกบัญญัติอื่นขึ้นมาอีก เขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ”

มนุษย์แสงถามว่า “แล้วทำไมเขาต้องช่วยพวกเราล่ะ”

“ดาบศักดิ์สิทธิ์ ข้าสัญญาว่าจะช่วยเขาเอาดาบศักดิ์สิทธิ์มาให้” กู่ฉิงซานกล่าว

“ดาบศักดิ์สิทธิ์หรือ”

“ใช่ จินเยี่ยนกล่าวว่ากู่ฉิงซานมีดาบพิภพอยู่กับตัว ดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพทั้งสองเล่มคือการสมคบคิดของเทพนิรันดร์ที่แท้จริงและยังเป็นอาวุธที่อีกฝ่ายต้องการหลอมอีกด้วย”

กู่ฉิงซานให้เวลากับมนุษย์แสงเพื่อขบคิดสถานการณ์เหล่านี้

ผ่านไปสักพัก เขากล่าวว่า “ตอนดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพทั้งสองเล่มปรากฏขึ้น เทพนิรันดร์ที่แท้จริงจะต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน มันคงรอดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพอยู่ก่อนแล้ว”

“หากไม่มีพวกเราช่วย กู่ฉิงซานจะต้องตาย”

“ดังนั้นพวกเราต้องช่วยเขาใช้งานบัญญัติก่อนช่วยเอาดาบศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นผู้ใช้งานที่อยู่ในสภาพการมาถึงของราชามาร สุดท้ายใช้เขาเพื่อบรรลุการผสานสามพลังเข้าด้วยกัน พอถึงตรงนั้น”

“พอถึงตรงนั้น” มนุษย์แสงกล่าวตามโดยไม่รู้ตัว

“พอถึงตรงนั้นเขาก็สามารถไปพบกับเทพนิรันดร์ที่แท้จริงเพื่อรับความตายด้วยตัวเองได้ยังไงล่ะ”

เสียงของกู่ฉิงซานแผ่วเบา “ตอนนี้ พวกเราจะพึ่งพลังที่อยู่เหนือมิติและเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงจุดจบของยุคนี้และยังเป็นการหลีกเลี่ยงการสังหารพวกเราจากเผ่าพันธุ์บรรพกาล”

“ต่อให้การทำแบบนั้นจะดึงดูดความสนใจจากตัวตนอันน่าสะพรึงที่ไม่รู้จัก แต่นั่นคือสิ่งที่เทพนิรันดร์ที่แท้จริงและกู่ฉิงซานจะต้องเผชิญ”

“ส่วนพวกเราเผ่าพันธุ์เทพจะก้าวข้ามมิติและเวลาเพื่อไปสู่โลกอนาคตในอีกหลายหมื่นปีต่อจากนี้”

“สหายทั้งหมดของเผ่าพันธุ์เทพก็จะอยู่รอด”

“โชคชะตาของเผ่าพันธุ์เทพจะถูกเปลี่ยนไปเพราะพวกเรา”

การต่อสู้กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้า มันเกิดขึ้นไวมากหลังจากมีการท้าทาย

ยังไงเสีย เทพจินเยี่ยนก็มาจากอนาคตและทำการศึกษามาอย่างดีจนเข้าใจเทพทุกองค์ในประวัติศาสตร์

พละกำลังของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน รู้ความสามารถและจุดอ่อนทั้งหมดของอีกฝ่าย ทำให้สามารถเอาชนะได้อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ กู่ฉิงซานเพียงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า

“จัดการเขาซะ”

สิบหกอารักขาเทพและเทพจำนวนมากล้อมเทพจินเยี่ยนเอาไว้ พวกเขาล้วนพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่รอให้อีกฝ่ายออกท่าทรงพลัง

ไม่ว่าเทพจินเยี่ยนจะทรงพลังแค่ไหนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทพโบราณจำนวนมาก ทำให้เขาถูกจับในทันที

เขาตะโกนด้วยความไม่เต็มใจว่า “ราชาเทพ ท่านไม่กล้าแม้แต่จะสู้กับข้าอย่างยุติธรรมหรือ!”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบว่า “ชีวิตยังมีค่าอีกมากนัก”

เขายกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณ

ไอเย็นเยือกไร้พรมแดนพุ่งจากใต้เท้าของเทพจินเยี่ยน

คริสตัลสีขาวใสแช่แข็งเท้าของเทพจินเยี่ยนก่อนลามไปทั่วร่างกาย

เมื่อใดที่ปล่อยลมหายใจเย็นเยือกน่าขนลุกออกมา เทพจินเยี่ยนจะหลอมละลาย

ในที่สุดเทพจินเยี่ยนเปลี่ยนสี

ถ้าไม่ได้มาจากอนาคต เกรงว่าเขาก็คงเหมือนเทพองค์อื่นที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของวิชานี้

นี่คือวิชาลับของเทพแห่งความเย็นยะเยือก เยือกแข็งทำลายล้าง

คลื่นความเย็นสุดหยั่งจะทำให้ทุกชีวิตตกอยู่ในความเงียบชั่วนิรันดร์

แม้แต่เขาก็ไม่สามารถขัดขืนวิชานี้ได้

แต่ท่าที่ทรงพลังเช่นนี้ก็มีข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงเช่นกัน

มันต้องใช้เวลาในการร่าย จึงเป็นการยากยิ่งที่จะใช้จัดการอีกฝ่ายได้

แต่ตอนนี้เขาถูกจับโดยพวกเทพจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่นิดเดียว ทำให้ช่วยกำจัดข้อบกพร่องดังกล่าวของวิชานี้ไปได้

“ท่านกล้าดียังไง ข้าคือสหายมาจากอนาคตนะ!” เทพจินเยี่ยนกล่าว

“เจ้าไม่เคยช่วยพวกข้าเผ่าพันธุ์เทพในยุคโบราณ แถมการกระทำของเจ้าในช่วงสุดท้ายก็ทำให้ข้าผิดหวังนัก” ราชาเทพกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

พลังเยือกแข็งยังคงกระจายต่อไป

เทพจินเยี่ยนรีบมองมนุษย์แสงก่อนกล่าวเสียงดังว่า “ภารกิจของข้าลุล่วงแล้ว โปรดส่งข้ากลับไปเถอะ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

มนุษย์แสงมองกู่ฉิงซานด้วยความลังเล

กู่ฉิงซานส่ายหน้าขณะควบคุมธาตุเยือกแข็งด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อใช้วิชาเยือกแข็งทำลายล้างแล้วกล่าวว่า

“เจ้าคือตัวแทนของอนาคต”

ราวกับผ่านการครุ่นคิดมาอย่างยาวนาน เขาจึงพูดขึ้นช้าๆ

“แต่เจ้าคือตัวแทนของอนาคตที่พวกข้าไม่ต้องการ”

ขณะพูด เทพจินเยี่ยนถูกพันธนาการโดยพวกเทพ ไม่สามารถขัดขืนได้แม้แต่นิดเดียว ไม่ช้าจึงกลายเป็นรูปปั้นรูปทรงมนุษย์ที่ถูกสลักจากพลังเยือกแข็ง

‘ฉึก!’

คทาน้ำแข็งลอยอยู่ในอากาศก่อนแทงไปที่กลางรูปปั้น

รูปปั้นรูปทรงมนุษย์แตกสลายกลายเป็นคริสตัลน้ำแข็งใสชิ้นเล็กๆ นับไม่ถ้วนก่อนตกลงมาที่พื้น

เทพจินเยี่ยนจากอนาคตตายด้วยมือของราชาเทพเพราะเหตุนี้

เสียงของราชาเทพดังก้องจากบัลลังก์สูง

“เมื่อชีวิตของเจ้ากลับคืนสู่ความเงียบและการหลับใหล อดีตและปัจจุบันของยุคจะเป็นรากฐานให้กับหลุมศพของเจ้าและค่อยๆ เติบโตยิ่งขึ้นเพื่อสร้างอนาคตใหม่ขึ้นมา”

“นั่นคือชะตากรรมใหม่ของพวกเราเผ่าพันธุ์เทพ”

ในตำหนักราชาเทพ เทพทุกองค์ไม่ส่งเสียงแต่อย่างใด

พวกเขาคุกเข่าเพื่อคำนับราชาเทพบนบัลลังก์ด้วยความเคารพ

ไม่มีใครเคยเห็นวิชาเยือกแข็งเช่นนี้มาก่อน

ก่อนหน้านี้ มีบางส่วนพึมพำว่าราชาเทพหลบหนีจากการต่อสู้ แต่เมื่อมาดูตอนนี้ ราชาเทพสังหารเทพจินเยี่ยนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ฉะนั้นทำไมถึงต้องหลบหนีทั้งที่มีพลังแก่กล้าเช่นนี้กันเล่า!

ราชาเทพจะนำทั้งหมดเปลี่ยนโชคชะตาแห่งความตายเพื่อก้าวข้ามเผ่าพันธุ์บรรพกาล!

เหล่าเทพมองราชาเทพด้วยความนับถือ

ราชาเทพมองความว่างเปล่าราวกับเขาเห็นอนาคตของเผ่าพันธุ์เทพ ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความโอ่อ่าและความเคร่งขรึมอย่างมีนัย

ความจริง เขากำลังมองหิ่งห้อยขนาดเล็กในความว่างเปล่า

“ท่านสังหารเทพจินเยี่ยน”

“เขาคือเทพทรงพลังจากอนาคต”

“พลังวิญญาณที่ท่านได้รับจะถูกหักโดยระบบ จำนวนจริงที่เพิ่มขึ้นมา: 20 แต้ม”

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ

กรุ้งกริ้ง!

เหรียญตกจากก้อนน้ำแข็งจำนวนมาก

สีหน้าของกู่ฉิงซานขยับ เห็นเพียงเหรียญที่มาถึงมือของมนุษย์แสง

เหรียญหรือ

มีเหรียญอยู่ในยุคโบราณได้อย่างไร

เหรียญที่หมุนเวียนอยู่ในพื้นที่จ้าวโลกถูกกล่าวอ้างว่ามันถูกร่ายโดยเทพ

บางที…เหรียญเหล่านี้ตกทอดมาจากยุคโบราณ ท้ายที่สุดก็ตกทอดไปใช้ในพื้นที่จ้าวโลกที่ถูกยึดครองโดยเจ็ดเทพมาร

กู่ฉิงซานไม่กล้าดูถูกเหรียญแบบนี้อีกต่อไป

ครั้งนี้เขาไม่พูดอะไรมากนัก ปล่อยให้เทพถอนตัวออกจากตำหนัก

โถงว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

จากนั้นกู่ฉิงซานถามว่า “เหรียญนั่นคืออะไร”

มนุษย์แสงตอบว่า “ข้าสามารถหาเหรียญของกู่ฉิงซานมาได้ ครั้งหนึ่งได้มอบให้จินเยี่ยน น่าเสียดายที่เขาไม่ทำตามเจตจำนงของพวกเรา”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ทำไมเหรียญนี้ถึงตามหากู่ฉิงซานเจอล่ะ”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “เพราะในภาพซ้อนทับของทั้งยุค มีเพียงเขาที่เป็นคนนอก พวกเราสามารถสัมผัสการเคลื่อนไหวของเขาผ่านเหรียญได้จนตามรอยมาเจอ”

เขาชำเลืองมองลั่วปิงหลี

กู่ฉิงซานเข้าใจก่อนโบกมือ ลั่วปิงหลีถูกแช่แข็งจนเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่

ดูท่ามนุษย์แสงกำลังจะบอกความลับที่น่าเหลือเชื่อ เขาจึงต้องทำผิดกับนาง

มนุษย์แสงกล่าวว่า “เหรียญคือตัวแทนมูลค่าและพลัง พวกมันคือวัตถุสากลของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณ”

ยุคโบราณ!

กู่ฉิงซานอดที่จะเลิกคิ้วไม่ได้

ปกติเหรียญที่ใช้อยู่ในพื้นที่จ้าวโลกถูกสร้างโดยเทพโบราณ พวกมันครอบครองการทำงานและความรู้มากมาย แต่กลายเป็นว่าสิ่งเหล่านี้มาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณงั้นหรือ!

มนุษย์แสงกล่าวต่อว่า “มนุษย์ชอบให้เหรียญที่มีพลังระดับต่างๆ เพื่อการหมุนเวียนและแลกเปลี่ยนมูลค่า”

“เมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์จากไปแล้ว มีเหรียญจำนวนไม่มากที่เหลืออยู่ในโลกทั้งใบ มีบางส่วนถูกเก็บได้โดยเผ่าพันธุ์บรรพกาล”

“พวกมันทั้งหมดโง่เง่า”

“พวกเราพยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้ สุดท้ายจึงได้ทำข้อตกลงกับพวกมันเพื่อมอบโอกาสให้ได้สัมผัสเหรียญ”

“ท่านราชาเทพ ท่านก็รู้ว่าความสามารถที่ทรงพลังที่สุดของพวกเราเผ่าพันธุ์เทพคือการเรียนรู้และการเลียนแบบ”

“พวกเราได้รับความลี้ลับของเหรียญผ่านการเลียนแบบจนได้ล่วงรู้ถึงความลับอันน่าทึ่งเข้า”

“ความลับอะไร” กู่ฉิงซานถาม

มนุษย์แสงมองเขา ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานแสนาน

“มีอะไร ถ้าไม่สะดวกใจ เจ้าไม่ต้องบอกข้าก็ได้นะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างผ่อนคลาย

มนุษย์แสงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “มีเงื่อนไขสำหรับการรู้ความลับนี้”

“เล่ามาให้ข้าฟังได้เลย”

“ข้าขอถามหนึ่งคำถามก่อน เจตจำนงของท่านที่จะช่วยเผ่าพันธุ์เทพยังหนักแน่นเหมือนเดิมหรือไม่”

“แน่นอน”

“ท่านต้องสัญญากับข้าว่าหลังจากรู้ความลับนี้แล้ว ท่านจะต้องออกจากยุคที่อยู่นี้ทันที เข้าสู่ภาพซ้อนทับอื่นกับข้า เข้าสู่ยุคจริงที่ช่วงเวลาสุดท้ายของยุคโบราณ”

“ท่านราชาเทพ ข้าจะพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยท่าน สิ่งที่ท่านต้องรับผิดชอบคือนำเผ่าพันธุ์เทพผ่านหายนะแห่งการสูญพันธุ์”

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนพยักหน้า “ได้”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณถึงออกจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์”

“ไม่รู้”

กู่ฉิงซานนั่งตัวตรงขณะตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เขามีลางสังหรณ์ว่ากำลังจะได้ยินความลับที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้า

ดังคาด มนุษย์แสงกล่าวต่อว่า

“จุดแข็งที่สุดของพวกเราเผ่าพันธุ์เทพคือการเรียนรู้และเลียนแบบ ดังนั้นพวกเราจึงตรวจสอบเหรียญที่เผ่าพันธุ์บรรพกาลรวบรวมมาจนระบุได้ว่ามันคือสามเหรียญโบราณที่มีค่ามากที่สุด”

“สามเหรียญโบราณนี้เป็นตัวแทนมูลค่าสูงสุดที่เชื่อมโยงกับสามอำนาจอันเหลือเชื่ออย่างลับๆ”

“สามอำนาจที่ว่ามี: ต้นไม้หนามโบราณ ทูตสวรรค์แห่งบาปและราชาปีศาจแห่งอารัมภบท”

“เมื่อสามอำนาจนี้ร่วมมือกัน พวกเขาสามารถทำให้ทุกสิ่งเป็นไปดังใจนึกได้ ทำให้ความตายกลับกลายเป็นชีวิต ขัดขวางโชคชะตาของทุกชีวิตได้”

กู่ฉิงซานตั้งใจฟังจนจบ

หัวใจของเขาหยุดเต้นไปสักพัก

ทูตสวรรค์แห่งบาป!

นั่นมันเสี่ยวซีนี่!

หากมองย้อนไป เขาเคยถามนางว่ารู้ความลับของเหรียญหรือไม่

ตอนนั้นนางตอบว่าอะไรนะ

“ไม่ เจ้าไม่สามารถใช้ทัศนคติด้านการวัดความมั่งคั่งมาวัดความจริงกับความลับได้ สำหรับเหรียญที่มีอายุต่ำกว่าเก้าร้อยปี ทุกจำนวนย่อมมีความหมายที่พิเศษ ไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน”

เสี่ยวซีคล้ายกับนึกบางอย่างออก เสียงของนางจึงเบาบางและไร้ตัวตน

“เหรียญที่อายุเลยเก้าร้อยปีไปล้วนเท่าเทียมกัน มีเพียง…สามเหรียญสุดท้ายเท่านั้นที่จะสร้างเหรียญเพียงหนึ่งเดียวขึ้นมาได้…”

ตรงนั้นแหละ

กู่ฉิงซานได้สติทันที

กลายเป็นว่าเสี่ยวซีคือตัวแทนของสุดยอดพลัง

ดังนั้น ตัวตนนั่นจึงไม่ลังเลที่จะพูดต่อหน้าสิ่งมีชีวิตหลายร้อยล้านดวงก่อนกลับไปหาเสี่ยวซีเพื่อตัวของเขาเอง

เขาต้องการพลังของเสี่ยวซี!

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่หลายอึดใจแล้วพลันกล่าวว่า “ข้ารู้ว่านี่คือความลับอันน่าทึ่ง แต่ข้าไม่รู้ว่ามันข้องเกี่ยวกับการออกจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณยังไง”

มนุษย์แสงลดเสียงต่ำโดยไม่รู้ตัวแล้วกล่าวว่า “จากการค้นคว้าของพวกเรา ทำให้พบว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณไม่ได้รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก”

“ภายหลังพวกเขาพบว่าการใช้สามเหรียญคือองค์ประกอบหลักในการขับเคลื่อนทุกสิ่ง จากนั้นจึงถูกกระตุ้นโดยสามตัวตนที่เป็นตัวแทนของพวกมัน ทำให้สามารถสร้างพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนขึ้นมาได้”

“เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณย่อมยินดียิ่ง แต่การใช้พลังนี้เดินทางผ่านมิติและเวลา เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งและบิดเบือนชะตากรรมมากเกินไปกลับนำมาซึ่งภัยคุกคามที่ไม่รู้จักต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ”

“ภัยคุกคามหรือ”

“ใช่ ทุกชีวิตและทุกสิ่ง แม้กระทั่งมิติและเวลา ชะตากรรมของพวกมันถูกบิดเบือนและได้รับอิทธิพล นี่เหมือนกับสัญญาณรุนแรงที่สามารถสร้างความสนใจกับสิ่งมีชีวิตในหมอกแห่งมิติและเวลา หุบเหวนิรันดร์และแม้กระทั่งสถานที่ที่ยังไม่รู้จักแห่งอื่นได้”

“ในสถานที่เหล่านั้น มีความน่าสะพรึงกลัวที่ไม่รู้จักอยู่มากมาย”

“บางทีวิญญาณกรีดร้องที่ท่านพูดถึงในตอนนั้นคงมาจากโลกพวกนี้”

“อีกด้าน เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะทิ้งพลังที่มาจากสามเหรียญ ดังนั้น พวกเขาจึงสู้กับตัวตนน่าหวาดกลัวเหล่านั้น”

“พวกเขาสร้างป้อมปราการที่ไม่อาจทำลายล้างขึ้นมาได้เพื่อปิดกั้นการสอดส่องจากสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวทั้งหลาย ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่ามันคือกำแพงเหล็กที่ท่านพูดถึง”

“แต่ท้ายที่สุด เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณพบว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย”

“ดังนั้นเผ่าพันธุ์มนุษย์จึงเข้าสู่ประตูโลกเพื่อออกจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์ไป”

“ทันทีที่พวกเขาไป ความผันผวนทั้งหมดพลันลดลง พวกสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่ไม่รู้จักทั้งหลายก็จากไปอย่างช้าๆ เช่นกัน”

เมื่อได้ยินดังนี้ กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้ว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เลยเลียนแบบสามเหรียญขึ้นมางั้นหรือ เจ้าทำสำเร็จหรือเปล่า”

มนุษย์แสงถอนหายใจ “พวกข้าล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยทำสำเร็จเลย”

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วพึมพำ “สามเหรียญนี้คือสิ่งเดียวจากยุคโบราณสู่ยุคปัจจุบัน แถมยังกระจายไปสู่ยุคอนาคตอีกด้วย”

ชายชราผมขาวสังเกตสีหน้าของกู่ฉิงซาน

จนกระทั่งคิ้วของกู่ฉิงซานไม่ขมวด ชายชราจึงกล่าวอย่างระแวดระวังว่า “ตามที่ท่านขอ ข้าบอกทุกสิ่งที่ข้ารู้ไปหมดแล้ว”

“ขอร้องล่ะ ปล่อยข้าไปเถอะ!”

ขณะพูด ชายชราหลั่งน้ำตาออกมา

กู่ฉิงซานไม่พูดสักคำ เพียงแค่ออกแรงดึง

คทาราชาแห่งความตายออกจากร่างของชายชราก่อนถูกเก็บกลับเข้าสู่ความว่างเปล่าโดยกู่ฉิงซาน

ชายชราเหาะกลับทันที

ขณะเหาะกลับ เขารีบขยับแสงสีม่วงบนร่างกาย

ด้วยความช่วยเหลือของพลังนิรันดร์ ชายชราผมขาวกลับสู่คนเป็นอีกครั้งหลังจากผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ

ตอนนี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโล่งอก

คทานั่นน่าสะพรึงกลัวเกินไป มันสามารถครอบงำเขาที่เป็นคนตายได้อย่างสมบูรณ์

จนกระทั่งเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง ความกลัวและความสิ้นหวังในใจจึงค่อยๆ หายไป

แต่ว่า

คนแบบนี้ใสซื่อเกินไป ทำแบบนี้ไม่เท่ากับฆ่าตัวเองหรอกหรือ

ชายชราเผยความสงสัยบนใบหน้าจนอดที่จะถามไม่ได้ “ท่านไม่ฆ่าข้าจริงๆ ใช่หรือไม่”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าปฏิบัติตามหลักข้อแลกเปลี่ยน ถ้าเจ้าพูดว่าจะแลกชีวิตเพื่อข้อมูล ข้าก็จะทำอย่างแน่นอน”

ชายชราส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “คาดไม่ถึงว่าท่านจะใสซื่อปานนี้ ความจริง ในโลกใบนี้ มีเพียงความตายเท่านั้นที่สามารถเก็บความลับได้ ทันทีที่ข้ารอดและไปรายงานเรื่องของท่านให้เทพที่แท้จริงทราบ ท่านจะหนีไม่รอดจากเงื้อมมือของเขา”

“ข้าไม่คิดแบบนั้นนะ แต่ข้าคิดว่ามีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะเก็บความลับเอาไว้ด้วยความตาย” กู่ฉิงซานกล่าว

“เจ้าโง่!” ชายชรากล่าว

‘ตูม’

พลังวิญญาณโอ่อ่าระเบิดออกจากตัวเขา

เพียงพริบตา มือของชายชรากลายเป็นภาพติดตา เขาทำท่าทางเพื่อร่ายวิชาซับซ้อนอย่างรวดเร็ว

วิชาร่ายสำเร็จ!

ตอนนี้ ชายชราเพียงแค่กระตุ้นพลังวิญญาณเข้าสู่วิชาที่ประสานด้วยมือเท่านั้น วิชาทรงพลังที่เปี่ยมด้วยพลังวิเศษจะถูกปลดปล่อยออกมาทันที!

“ท่านเป็นคนโง่แท้ๆ แต่กลับได้เป็นหัวหน้าสำนักเซียนธารจันทรา ดูท่าสาเหตุการตกต่ำของสำนักเซียนธารจันทราจะเป็นที่ประจักษ์แล้ว!” ชายชรายิ้มกว้าง

เขากำลังจะใช้พลังวิญญาณ แต่เมื่อเห็นกู่ฉิงซานกุมมือเอาไว้ขณะมองมาด้วยความเกียจคร้านแล้ว

ชายชราถึงกับนิ่ง

อารมณ์ที่ไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูดได้ยังคงสั่งสมอยู่ในใจของเขา

เจ้าสารเลวคนนี้!

เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับความเป็นอมตะมาแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเขาพร้อมที่จะระเบิดวิชาสังหารทรงพลังชุดใหญ่แล้ว

แต่ทำไมเขาถึงไม่กล้าลงมือหลังจากถูกอีกฝ่ายมองแบบนั้นล่ะ

ชายชราได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ท้ายที่สุดจนอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ท่านเอาแต่ยืนแบบนี้ นี่เตรียมใจที่จะตายด้วยมือข้าแล้วงั้นหรือ”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “เปล่านี่”

ชายชราถามว่า “ท่านคิดว่าหากไว้ชีวิตข้าหนหนึ่งแล้ว ข้าจะรู้สึกซาบซึ้งอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่เลย ข้าแค่คิดว่าด้วยความฉลาดของเจ้าน่าจะเข้าใจความหมายของเรื่องนี้อย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

ชายชราตกตะลึง

ด้วยความฉลาดของข้า…

เจ้าคนสารเลว!

ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยแท้ๆ!

ชายชรากำลังคลุ้มคลั่ง

ตอนนี้ เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้น “ภารกิจของเจ้าคืออะไร”

ชายชรากล่าวว่า “แน่นอนว่าเป็นการให้แผ่นหยกกับเซี่ยกูหงแล้วขอให้เขาสร้างดาบศักดิ์สิทธิ์กับดาบพิภพขึ้นมา”

หลังจากพูดจบ เขาตกตะลึงอีกครั้ง

…ใช่แล้ว

เขาได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากเทพที่แท้จริงสำเร็จแล้ว

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ลูกน้องของข้าขังเทพของเจ้าไว้ที่อีกโลกหนึ่ง แต่ข้าเกรงว่าพวกเขาจะขังไว้ได้ไม่นาน เจ้าควรจะรีบไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ หลังจากนี้ข้าก็ต้องไปแล้วเช่นกัน”

ชายชราตกตะลึงอีกครั้ง

ใช่แล้ว ถ้าเขาทำหน้าที่สำเร็จแล้วก็จะต้องได้รับรางวัลจากเทพที่แท้จริง

แต่ถ้าเขาอยู่ที่นี่เพื่อสู้กับจ้าวอู๋จงก็คงไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ในชั่วอึดใจ

แถมยังมีปัญหาอื่นๆ อีก!

จ้าวอู๋จงคือหัวหน้าของสำนักเซียนธารจันทราที่มีอาวุธวิเศษนับไม่ถ้วน วิชาทรงพลัง อีกทั้งระดับการฝึกฝนยังเหนือกว่าเขา

ถึงแม้เขาจะเป็นอมตะ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

ทั้งสองฝั่งต่างเจอกับทางตัน

แบบนี้จะกลายเป็นการต่อสู้ระยะยาว

เมื่อถึงตอนนั้น เทพที่แท้จริงจะมาดูด้วยตัวเอง

และก็จะเห็นเขายังสู้กับคนคนนี้อยู่

จากนั้นเทพที่แท้จริงก็จะจับตัวจ้าวอู๋จงไว้ได้อย่างแน่นอน

จากนั้นหากเทพที่แท้จริงถามขึ้นมา เขาจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร

จะบอกเทพที่แท้จริงว่าถูกทรมานสาหัสจากอีกฝ่ายจนต้องบอกความลับของเทพที่แท้จริงไปอย่างนั้นหรือ

ชายชราสั่นสะท้าน

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหน การกล้าเปิดเผยความลับของเทพที่แท้จริงนับเป็นการทรยศที่หนักหนาที่สุด!

ต่อหน้าเทพนิรันดร์ที่แท้จริง โชคชะตาของผู้ทรยศก็คง…

ไอเย็นเยือกก่อตัวขึ้นในใจของชายชราโดยไม่ทันตั้งตัว

เรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้น!

เขาเก็บวิชาวิเศษในมือเข้าไปก่อนกล่าวด้วยความไม่ใยดีว่า “เช่นนั้นข้าจะไปก่อน อีกเดี๋ยวท่านค่อยออกมา ฉะนั้นอย่าไปพบเทพที่แท้จริงเข้าล่ะ”

เมื่อเดินออกมา ชายชราย้ายร่างก่อนกวาดพื้นที่มีลวดลายเมฆาสีขาว

เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานกำลังมองอยู่ เขาจึงอธิบายอย่างอดทนว่า “นี่คือสถานที่ที่ใช้ออกไป ทุกชั้นจะมีสิ่งนี้อยู่ ทันทีที่ท่านเลือกของเสร็จแล้ว มันจะเคลื่อนย้ายท่านกลับโลกบรรพกาล”

“อืม รักษาตัวด้วย” กู่ฉิงซานประสานมือ

“ท่านก็เช่นกัน รักษาตัวด้วย” ชายชราประสานมือตอบเพราะติดเป็นนิสัย

ร่างของเขาหายไปจากเมฆาสีขาว

ทันทีที่ออกมา ชายชราถึงรู้ตัวว่าเขาประสานมือแล้วบอกลาอีกฝ่ายไป

คนคนนี้…ทำบ้าอะไรน่ะ…

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ความคิดหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในใจของชายชรา

ข้าไม่อยากพบหัวหน้าจ้าวอีกในอนาคต

ต่อให้จะต้องสู้อย่างหนักหลายวันกับคนอื่นหรือต่อให้ต้องขึ้นเขาลุยทะเลเพลิงก็ยอม

แต่เขาจะไม่มีวันยอมพบกับอีกฝ่ายเด็ดขาด

หลังจากชายชราจากไป

กู่ฉิงซานสะบัดมือ

เส้นผมสีเงินที่กระจายไปทั่วลอยขึ้นจากพื้น เขาเก็บพวกมันใส่ถุงใบเล็กก่อนนำไปใส่ถุงเก็บของอีกที

เขาควบคุมอีกฝ่ายด้วยสะเทือนฝัน พอดาบคลื่นเสียงฟันลำคอของอีกฝ่ายก็มีเส้นผมบางส่วนถูกตัดออกมาด้วย

เมื่อถึงเวลาอันควร เขาอาจจะสามารถใช้เส้นผมพวกนี้ได้

ยังไงก็ตาม การเตรียมการเพิ่มย่อมดีกว่าไม่ได้ทำอะไร

กู่ฉิงซานเก็บของก่อนจมสู่ความคิด

กลายเป็นว่าดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพมาจากหุบเหวนิรันดร์

แถมมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาวุธเท่านั้น

สิ่งที่ถูกวางแผนโดยวิญญาณกรีดร้องถึงกับล้มเหลว

เท่าที่รู้ ตอนตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวกถูกทำลาย เซี่ยกูหงขอให้หวงซานนำดาบพิภพที่ได้รับความเสียหายออกมา

แต่ตอนที่เขาเข้าไปยังส่วนนั้น กลับได้รู้ว่ามีเพียงเฉินหยางที่รอดมาได้ในบรรดาศิษย์สามคนสุดท้าย

เฉินหยางนำดาบพิภพและเซี่ยเต้าหลิงที่กำลังหลับใหลอยู่นั้นเข้าสู่เศษเสี้ยวของหวนคืนชาติภพหกวิถี

มีโลกการฝึกฝนของรุ่นหลังอยู่ที่นั่น

เฉินหยางอาจจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับจ้าวควน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สืบทอดระบบเต๋าทั้งหมดของตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก

ดังนั้น ระดับการฝึกฝนในโลกจึงไม่สูงส่งนัก ความรู้ที่จำเป็นจำนวนมากก็ไม่ได้เด่นชัดนัก

ในช่วงประวัติศาสตร์ ดาบพิภพถูกส่งต่อ เซี่ยเต้าหลิงรอดชีวิตเช่นกัน

บางทีวิญญาณกรีดร้องคงไม่คาดคิดว่าการข่มเหงของเทพจะทำให้ดาบพิภพพลันหายไปจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์

ส่วนดาบศักดิ์สิทธิ์ มันถูกซ่อนโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยการใช้วิชาภาพซ้อนทับในยุคหนึ่ง

ดาบทั้งสองเล่มนี้นับว่าหาไม่ง่ายนัก

ดังนั้นในตอนท้ายของยุคโบราณ ดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพจึงไม่ถูกพรากไปและไม่ได้เกิดเป็นอาวุธหุบเหวนิรันดร์

ในที่สุดแผนของวิญญาณกรีดร้องก็พังครืนลงมา

แต่ว่า!

เขาข้ามเวลามานับไม่ถ้วนก่อนกลับมายุคโบราณจากอนาคตอันไกลลิบ

เขามาพร้อมกับดาบของตัวเอง

สถานที่ซ่อนดาบศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา

นี่ทำให้เทพนิรันดร์ที่แท้จริงมีโอกาสที่สองที่จะได้ดาบทั้งสองเล่มมาครอง

ความพิศวงของโชคชะตาช่างสุดจะอธิบายจริงๆ

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วขณะคิดถึงแผนรับมือ

การคลี่คลายปัญหานี้นับว่างายมาก

ดาบพิภพกำลังจะแตกสลาย

ทันทีที่เขาทำลายดาบพิภพ โอกาสที่สองของเทพนิรันดร์ที่แท้จริงจะหายไปจนสิ้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ กู่ฉิงซานอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้

ฉับพลันนั้นมีพลังวิญญาณโผล่ขึ้นมาจากแท่นสูง

กู่ฉิงซานมองทันที

เขาเห็น “จ้าวอู๋จง” ปรากฏขึ้นที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตา

สายตาของจ้าวอู๋จงทั้งสองคนสบกัน

ไม่มีใครคนไหนเป็นจ้าวอู๋จงจริงๆ

“หืม ไวขนาดนี้เลยหรือ แล้วหลินเต้าโหย่วล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“เขาหนีไปน่ะ” ฉานนู่กล่าว “ตอนเขาเห็นชายชราผมขาวปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองคนก็จากไปพร้อมกัน”

“พวกเขาไม่พูดอะไรเลย”

“ชายชราบอกเพียงแค่ว่าหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ให้ถอยทันที จากนั้นหลินเต้าโหย่วรีบตามเขาไปเลย”

“โห มันเรียบง่ายปานนี้เชียว” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่หยิบยันต์ออกมาก่อนส่งให้กู่ฉิงซาน

“นี่ของใครน่ะ” กู่ฉิงซานสงสัย

ฉานนู่ตอบว่า “หลินเต้าโหย่วอยากให้ข้าเข้ากลุ่ม ก่อนเขาจะไปก็คุยกันอย่างจริงจังมาก บางทีเขาคงรู้สึกเสียดายนิดหน่อยก็เลยทิ้งข้อมูลติดต่อเอาไว้ให้”

“ชายชราคนนั้นไม่สนเลยหรือ”

“ไม่ สีหน้าของเขาแปลกประหลาดนัก”

“สีหน้าแบบไหนล่ะ”

“ยากที่จะอธิบาย…” ฉานนู่ครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “เหมือนกับคนวิ่งชนกำแพง”

“อืม ข้าพอจะเข้าใจคร่าวๆ ล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่เหาะลงมายืนข้างกู่ฉิงซานก่อนชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน

“นายท่าน…ทำไมท่านดูไม่มีความสุขเลยล่ะ มีบางอย่างเกิดขึ้นหรือ”

“ใช่”

กู่ฉิงซานเล่าเรื่องราวให้ฟัง

ฉานนู่ครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “ข้าจะคิดหาทางทำให้วิญญาณกรีดร้องไม่สามารถทำสำเร็จได้”

“ทางแบบไหนล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“ถ้าดาบพิภพถูกทำลาย แผนของวิญญาณกรีดร้องจะล้มเหลวโดยเปล่าประโยชน์” ฉานนู่กล่าวอย่างแผ่วเบา

“ยัยโง่ พวกเรามาที่นี่เพื่อรักษาดาบเอาไว้นะ ไม่ใช่ทำลายมัน” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่กล่าวอย่างวิตกว่า “แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ นายท่านอาจจะต้องสู้กับวิญญาณกรีดร้องเพื่อดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพ อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป พวกเราไม่มีหวังหรอก”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าอยากลองสักตั้ง”

ฉานนู่เริ่มกังวล “นายท่าน ในช่วงเวลาของพวกเรา แม้กระทั่งจ้าวโลกของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านแห่งยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ท่านอย่าลองเลย”

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ฉานนู่ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าความสิ้นหวังที่แท้จริงคืออะไร”

ฉานนู่กล่าวว่า “ความต่างด้านพละกำลังหรือ”

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่ ความสิ้นหวังที่แท้จริงคือการไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศัตรู ไม่รู้ความลับ ไม่รู้สภาพแวดล้อม พูดง่ายๆ ก็คือไม่รู้อะไรเลยนั่นแหละ ตอนนี้ เจ้าเพียงสู้ได้ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ไม่สามารถคิดแผนการใดๆ ได้”

“แต่ตอนนี้พวกเรารู้ข้อมูลมากมาย พวกเราได้เห็นการต่อสู้ของเทพกรีดร้องมากับตาตัวเองแล้ว อัตราการชนะของพวกเราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

“ข้าจะไม่ปล่อยให้ดาบพัง ข้าขอสาบานเลย”

“ท้ายที่สุด ดาบศักดิ์สิทธิ์จะต้องเป็นของพวกเรา ข้าจะไม่ยกให้เทพที่แท้จริงเด็ดขาด”

ในที่สุดฉานนู่ผ่อนคลายลงหลังจากได้ยินเช่นนี้

นายท่านกล่าวว่าอัตราการชนะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นความจริง

นายท่านกล่าวว่าจะไม่ปล่อยให้ดาบพิภพพัง แน่นอนว่าดาบพิภพจะไม่พัง

หรือก็คือ นางไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว แค่เป็นคมดาบให้นายท่านก็พอ

………………………………..

“นายท่าน ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี พวกเราควรกลับไปหรือไม่” ฉานนู่ถาม

“จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ง่ายนักที่จะเข้ามาได้ อย่างน้อยต้องเก็บเกี่ยวบางอย่างติดมือกลับไปเสียหน่อย” กู่ฉิงซานกล่าว

“เก็บเกี่ยวอะไร” ฉานนู่ถาม

กู่ฉิงซานชี้ไปที่เท้าแล้วกล่าวว่า “นี่คือที่ที่สมบัติซ่อนอยู่ ข้าถ่วงเวลานานแล้ว คาดว่าเซี่ยกูหงคงเลือกสมบัติก่อนออกจากที่นี่ไปแล้ว ดังนั้นถึงตาข้าที่ต้องเลือกบ้างล่ะ”

“สมบัติหรือ ของแบบไหนที่นายท่านอยากเลือกล่ะ” ฉานนู่ถามด้วยความสงสัย

“อืม…ข้ากำลังคิดเหมือนกัน…นี่ก็ชั้นที่สามสิบสามแล้ว จากที่ดูสถานการณ์มาตลอดทาง ยิ่งจำนวนชั้นสูงเท่าไหร่ ของยิ่งน้อยลง มูลค่าของมันก็ยิ่งสูงตามไปด้วย ดังนั้น”

ตอนนี้ กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงบางสิ่งแล้วพลันกล่าวเสียงดังว่า “จริงสิ ฉานนู่ เจ้ายังอยู่ในสภาพมนุษย์เหมือนเดิมใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว นายท่าน ข้าต้องกลับเป็นสภาพร่างวิญญาณดาบของตัวเองก่อนหรือ” ฉานนู่ถามด้วยความสับสน

“ไม่ต้อง!” กู่ฉิงซานรีบห้ามนาง

“อา ทำไมล่ะ” ฉานนู่สับสน

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ตอนนี้พวกเรามีสองคน หรือก็คือพวกเราสามารถเลือกสมบัติก่อนออกไปจากที่นี่ได้สองชิ้น”

เขาตื่นเต้นเล็กน้อย

นานมากแล้วที่จะได้ผลประโยชน์ที่ดีแบบนี้

แม้กระทั่งชุดเกราะที่เขาสวมไปแนวหน้าเมื่อคราวที่แล้วก็ยังยืมมาจากผู้ใช้วิชาวิญญาณอัคคี

นั่นคือเกราะประจำตระกูลของผู้ใช้วิชาวิญญาณอัคคี

น่าเสียดายที่ผู้ใช้วิชาคนนี้ไม่มีเกราะศึก เขาจึงตายอยู่ที่แนวหน้า

ภายหลัง เมื่อการต่อสู้จบลง กู่ฉิงซานไปพบตระกูลของผู้ใช้วิชาวิญญาณอัคคีก่อนส่งเกราะคืนให้อย่างเงียบๆ

ในตอนนั้น เขาไม่เพียงส่งเกราะกลับเท่านั้น แต่ยังส่งทรัพยากรการฝึกฝนจำนวนมากให้บ้านของอีกฝ่ายเพื่อลูกชายของผู้ใช้วิชาวิญญาณอัคคีอีกด้วย

ใช่แล้ว นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของภาพทับซ้อนแห่งยุค ไม่ใช่ช่วงมิติและเวลาที่แท้จริงของยุคอดีต

แต่กู่ฉิงซานไม่ยอมทิ้งความไว้วางใจจากสหายของเขาไม่ว่าตัวตนของอีกฝ่ายจะเป็นอะไรก็ตาม

ฉานนู่มองรอบข้างก่อนถามว่า “นายท่าน มีของหลายสิ่งที่มีค่าแม้จะปรายตามองเพียงหนเดียว ท่านยังไม่ได้เลือกพวกมันอย่างนั้นหรือ”

ชั้นนี้เต็มไปด้วยวัตถุดิบโบราณที่หาในโลกได้ยาก สามารถใช้สร้างอาวุธวิเศษทรงพลังทุกชนิดได้

นอกเหนือจากชั้นนี้ ทั้งวิหารเต๋าคือโลกสมบัติของยุคโบราณ

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ไม่ วัตถุดิบเหล่านี้จำเป็นต้องใช้พลังงานจำนวนมากเพื่อหาวิธีใช้ ถ้าเจ้าอยากจัดการกับวัตถุดิบเหล่านี้ก็ต้องมีรากฐานการฝึกฝนระดับสูงกับวิชาที่สอดคล้องกัน พวกเราไม่มีเวลาขนาดนั้น”

“ดังนั้น ไปดูชั้นต่อไปกันเถอะ!”

“เข้าใจแล้ว นายท่าน” ฉานนู่มองวัตถุดิบหายากด้วยความเสียดายก่อนตอบออกไปเช่นนั้น

ทั้งสองเหาะไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาก่อนมุ่งสู่ชั้นต่อไป

ชั้นที่สามสิบสี่

กู่ฉิงซานหันรอบข้างช้าๆ

บางครั้ง เขาก็สัมผัสและมองรอบข้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ฉานนู่ถามว่า “นายท่าน ไหนท่านบอกว่าชายชราอยากรีบไปเพราะกลัวว่าเทพที่แท้จริงจะมาไม่ใช่หรือ”

“อา ใช่” กู่ฉิงซานตอบอย่างไม่ใส่ใจขณะเล่นกับหอยสังฆ์น้ำแข็ง

“แล้วทำไมนายท่านไม่รีบเลือกของแล้วหนีล่ะ นายท่านไม่กลัวว่าเทพนิรันดร์ที่แท้จริงจะมาหรือ” ฉานนู่ถามด้วยความสงสัย

กู่ฉิงซานกลับเป็นฝ่ายสงสัย “ทำไมเขาต้องมาล่ะ เป้าหมายก็บรรลุอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ชายชราจะต้องบอกเขาว่าข้าหนีไปแล้วอย่างแน่นอน”

“นายท่านมั่นใจหรือ”

“ช่างเถอะ อีกฝ่ายคงต้องคุ้มกันเซี่ยกูหงด้วยความระวังแน่เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยกูหง”

“แล้วถ้าเกิดเขาอยากมาตรวจสอบล่ะ” ฉานนู่ถามด้วยความไม่เต็มใจ

“ถ้าเจ้าไม่มั่นใจขนาดนั้น” กู่ฉิงซานหยิบยันต์เคลื่อนย้ายพริบตาออกมาแล้วกล่าวว่า “อย่างแรกเลย วิหารเต๋าแห่งนี้ยอมให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เข้ามาเท่านั้น ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะพังสิ่งปลูกสร้างนี้ได้ อีกอย่าง ข้าลองดูแล้ว ไม่มีอะไรมาขัดขางยันต์เคลื่อนย้ายพริบตา เจ้าสามารถไปที่ไหนก็ได้”

ฉานนู่โล่งอกใจก่อนกล่าวว่า “ข้าวางใจจริงๆ ที่ชายชราคนนั้นเตรียมเอาไว้ให้ท่าน”

“เอาเถอะ เจ้าเองก็มาช่วยข้าเลือกหน่อยสิ” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่คือวิญญาณดาบ นางมองทุกสิ่งในมุมที่ต่างออกไป ดังนั้นนางอาจจะสามารถเลือกของที่ดีเพื่อตัวเองได้

“เข้าใจแล้ว” ฉานนู่กล่าว

ทั้งสองแยกกันเดินทั่วชั้นที่สามสิบสี่

ใช้เวลาไม่นานนัก

“นายท่าน มานี่!” ฉานนู่ตะโกนจากจุดที่ไกลลิบ

กู่ฉิงซานเดินไปหา

“ดูสิ!” ฉานนู่ชี้ไปที่ชุดเกราะ

กู่ฉิงซานชำเลืองมอง

เบื้องหน้าทั้งสองคือชุดเกราะศึกรูปงามเป็นประกายเล็กน้อยกำลังลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบงัน

“เออ…แทบจะเป็นชุดเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลยล่ะ” กู่ฉิงซานออกความเห็น

“ใช่ไหมล่ะ เมื่อครู่ข้าลองฟันดู แต่ไม่มีรอยอะไรเลย นี่จะต้องเป็นชุดเกราะหายากอย่างแน่นอน”

ฉานนู่กล่าวต่อว่า “นายท่านคือผู้ใช้วิชาดาบ สิ่งที่ท่านต้องการคือชุดเกราะที่มีการป้องกันดีเยี่ยม ดังนั้นหากเลือกสิ่งนี้ก็นับว่าไม่เลว”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ก็จริง ถ้าผู้ใช้วิชาดาบมีชุดเกราะที่เหมาะสม ในสมรภูมิย่อมทรงพลังมากอย่างแน่นอน แต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไรหรือ” ฉานนู่ถาม

“ฉานนู่ เจ้ายังไม่รู้หรือ นี่คือชุดเกราะผู้หญิง ตรงส่วนเอวมันไม่พอดีกับข้า” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาพลันเข้าใจก่อนยิ้มออกมา “เจ้าอยากลองสวมชุดนี้หรือไม่ ฉานนู่”

“ข้าหรือ” ฉานนู่ประหลาดใจ

“ใช่แล้ว ถ้าเจ้าอยากได้ชุดนี้ก็เอาไปได้เลย ยังไงเสีย ข้าก็คิดว่าชุดที่ทรงพลังพบเจอได้ยากยิ่งนัก” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่โบกมือซ้ำไปมาแล้วกล่าวว่า “นายท่าน ท่านลืมไปแล้วหรือ ข้ามีคุณลักษณะอมตะ ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด”

ดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพครอบครองพลังเหนือธรรมชาติ: อมตะ

“อมตะ: ทุกกฎเกณฑ์และพลังในโลกทั้งสิบทิศไม่สามารถทำลายดาบเล่มนี้ได้”

กู่ฉิงซานครุ่นคิด “แต่ตอนเจ้าอยู่ในยมโลก เจ้าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสนะ”

ฉานนู่กล่าวว่า “ข้าเคยบอกท่านแล้วว่ากำลังหลับอยู่จนติดกับก่อนลูกหลานเผ่าพันธุ์เทพเข้ามาทำร้ายด้วยวิชาพิเศษที่เล่นงานวิญญาณของอุปกรณ์ ความจริง ตอนนี้ข้าก็มีนายท่านอยู่แล้ว พวกเขาไม่มีโอกาสทำร้ายข้าได้อีกเป็นหนที่สอง”

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอีกสักพัก

ใช่แล้ว ไม่มีอะไรในยมโลกที่สามารถปัดป้องหอกหลากสีสันในตอนนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงไปขอให้อาวุธยมโลกตามหาสิ่งที่สามารถต้านทานหอกหลากสีสันได้

นั่นก็คือฉานนู่

“เพราะงั้นเจ้าเลยไม่อยากสวมชุดนี้แต่อยากให้ข้าสวมแทนสินะ…แต่ข้าเป็นผู้ชาย” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่กล่าวว่า “ทองพันชั่งหาง่าย แต่เกราะนั้นหายาก ดังนั้นโปรดอย่ารู้สึกผิดไปเลย นายท่าน ตราบที่ท่านกลายเป็นข้าก็สามารถสวมชุดเกราะนี้ได้”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

ถ้ากลายเป็นฉานนู่ก็เท่ากับกลายเป็นผู้หญิง

หากเขากลายเป็นผู้หญิงก็สามารถสวมชุดเกราะโบราณของผู้หญิงได้ทุกเมื่อ

หื้ม…แบบนี้ก็นับว่าไม่เลวจริงๆ …

ไม่เลวก็แย่แล้ว!

ความคิดนี้อันตรายเกินไป เขาไม่เคยคิดที่จะเป็นผู้หญิงมาก่อนด้วยซ้ำ!

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเผยยิ้มอ่อนโยนให้ฉานนู่ “เอาเถอะ ถือว่าเจ้ายังมีหัวใจ ไว้ข้าจะมาดูอีกรอบละกัน ถ้าไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ ข้าจะเลือกชุดนี้ก็ได้”

“เข้าใจแล้ว” ฉานนู่กล่าวอย่างมีความสุข

หลังออกจากเส้นทางสู่ยมโลกจนได้พบโลกมากมาย วิสัยทัศน์และความคิดของฉานนู่เริ่มเปลี่ยนไปช้าๆ

ถึงแม้ความต้องการจะยังคงอยู่ แต่นางมีความสุขที่สามารถช่วยเขาเลือกชุดได้

กู่ฉิงซานเริ่มสำรวจอีกครั้ง

ครั้งนี้ ฝีเท้าของเขาเร็วขึ้น

ระหว่างทางมีหลายสิ่งที่ดูดี แต่ไม่คล้ายกับมีสิ่งไหนที่เหมาะกับเขา

มีหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย

กู่ฉิงซานพลันเห็นบางสิ่ง

เขาหยุดขณะเดินไปหาสิ่งนั้นๆ

มันคือจี้หยกที่สลักจากชิ้นหยกขาว เมฆหมอกเลือนรางไหลหลั่งออกมาขณะปกคลุมรูปทรงของจี้หยกเอาไว้

เมื่อกู่ฉิงซานมองจี้หยก เมฆหมอกบนจี้หยกหายไปสิ้น เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของจี้หยก

มันคือน้ำเต้าหยก

เมื่อเห็นหมู่เมฆกระจายตัว กู่ฉิงซานเพียงหยุดนิ่ง

เขากระซิบ “มานี่”

จี้หยกลอยขึ้นในอากาศช้าๆ ก่อนลอยไปหากู่ฉิงซาน

ฉานนู่ประหลาดใจก่อนกล่าวว่า “นายท่าน นี่มัน”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ใช่แล้ว คนเลือกสิ่งของ สิ่งของเองก็เลือกคนเช่นกัน มันอาจจะคิดว่าข้าสมควรได้รับก็ได้”

คาดไม่ถึง สถานการณ์ดังกล่าวทำให้นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกย่อยก่อนหน้านี้

กู่ฉิงซานไม่ได้รับผลย้อนกลับใดๆ แต่ได้รับการยินยอมจากจี้หยก

นี่เป็นสิ่งที่วิเศษยิ่งนัก

กู่ฉิงซานยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับฉานนู่ขณะรอให้จี้หยกลอยมาหา

เวลาผ่านไปสิบอึดใจ

จี้น้ำเต้าหยกลอยมาหาอย่างเชื่องช้า มันยังไม่มาอยู่ข้างกู่ฉิงซาน

ฉานนู่มองจี้น้ำเต้าหยกพลางขมวดคิ้ว “ในเมื่อมันอยากติดตามนายท่าน ทำไมถึงได้ลอยมาหาช้านัก”

จี้น้ำเต้าหยกสั่นสะท้านก่อนเพิ่มความเร็วเล็กน้อย

แต่ก็ยังนับว่าช้ามากอยู่ดี

กู่ฉิงซานใช้วิชาควบคุมวัตถุก่อนเก็บจี้หยกมา

“นายท่าน” ฉานนู่กล่าวด้วยความสับสน

“หนึ่งร้อยล้านปีเป็นเวลาที่นานเกินไป ข้าเลยคิดว่ามันต้องใช้พละกำลังช่วยเสียหน่อย ความจริง ข้าก็ชอบพอมันเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องแสดงความจริงใจเสียหน่อย”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างมีอารมณ์ออกมา

ฉานนู่ยิ้มเล็กน้อย “สุภาพบุรุษย่อมไร้เหตุผล แต่จี้หยกเหมาะกับนายท่านจริงๆ ”

“สุภาพบุรุษไม่กล้าที่จะทำตัวเยี่ยงสุภาพบุรุษ แต่กล้าทำตัวเยี่ยงผู้ใช้วิชาดาบ” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาจ้องมองจี้น้ำเต้าหยก แถวหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“วัตถุโบราณ จี้หยก: เหวยจุน”

“จี้หยกนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นการเปลี่ยนสภาพตามกาลเวลจากโลกบรรพกาล มักซ่อนในสิ่งที่มองไม่เห็น จะปรากฏขึ้นเมื่ออยากพบเจอผู้คนเท่านั้น”

“จี้หยกนี้มีพลังวิเศษ: การหยิบยืมจากจักรวาล”

“จี้หยกนี้มีพลังวิเศษ: ร้อยแสงสาดส่อง”

“จี้หยกนี้มีพลังวิเศษ: หยกไร้ข้อบกพร่อง”

“คำอธิบาย: เมื่อจี้หยกบอกท่านเป็นการส่วนตัว ถึงตอนนั้นจึงจะรู้คุณลักษณะพิเศษของพลังวิเศษที่ข้องเกี่ยวกัน”

ขณะมองข้อความสุดท้าย กู่ฉิงซานอดที่จะเลิกคิ้วเล็กน้อยไม่ได้

ในบรรดาสิ่งที่เขาได้สัมผัสนั้นมีแต่สิ่งที่ทรงพลังทั้งนั้น สถานการณ์เช่นนี้นับว่าเกิดขึ้นได้

ดาบพิภพ ดาบคลื่นเสียง ฉานนู่บอกกู่ฉิงซานเป็นการส่วนตัวว่าพลังที่นางครอบครองนั้นคืออะไร

สถานการณ์เหล่านี้ก็เคยเกิดขึ้นกับดาบบิน

ตอนนี้ จี้หยกขนาดเล็กก็สามารถไปถึงระดับนี้ได้เช่นกัน

กู่ฉิงซานพลันเหลือบสายตามามองแถวหิ่งห้อยขนาดเล็กแถวที่สอง

หากทำความเข้าใจในความหมายดังกล่าว มันก็หมายความว่าจี้หยกอยากพบใครสักคนก่อนจะเริ่มปรากฏตัวขึ้นมา

ยกเว้นในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีใครสามารถพบได้ในช่วงเวลาปกติ

นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง “มันดูสุดยอดมากเลย”

“ฟิ่ว…”

มีเสียงตอบสนองแผ่วเบามาจากจี้น้ำเต้าหยก

………………………………..

กู่ฉิงซานลูบน้ำเต้าหยกในมือก่อนรู้สึกถึงความคิดจากน้ำเต้าหยก

“หิวหรือ”

เขาถามด้วยความคาดไม่ถึง

เขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน แต่สมบัติถึงกับมีความรู้สึกหิวด้วย

“นายท่าน เกิดอะไรขึ้นกับจี้หยกงั้นหรือ” ฉานนู่ถาม

“เออ…ฉานนู่ เจ้าเคยมีความรู้สึกหิวบ้างหรือเปล่า” กู่ฉิงซานถาม

“ไม่นะ ข้าคือวิญญาณของขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกโลก ข้าไม่ต้องการอาหาร” ฉานนู่กล่าว

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วถามว่า “จี้หยกนี้อาจจะอยู่ที่นี่มานานเกินไป มันบอกข้าว่าหิว ฉานนู่ ถ้าเจ้าไม่มีพลังกักเก็บไว้นาน เจ้าจะรู้สึกหิวหรือไม่”

ฉานนู่ตอบว่า “ไม่นะ ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพคือการแสดงพลังอันยิ่งใหญ่เพื่อปกป้องโลก ตราบที่ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์คงอยู่ ข้าก็จะได้รับพลังของขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องกักเก็บแต่อย่างใด”

กู่ฉิงซานมองน้ำเต้าหยกแล้วถามว่า “เจ้าอยากกินอะไรล่ะ”

‘ฟิ่ว…’

น้ำเต้าหยกขยับเล็กน้อยก่อนส่งเสียงแผ่วเบาออกมา

สายลมที่มองไม่เห็นหมุนวนรอบน้ำเต้า จากนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของกู่ฉิงซานเปลี่ยนไป

นี่คือภาพนิมิตพลังวิญญาณ

น้ำเต้าหยกนี้ต้องการพลังวิญญาณหรือ

ตอนนี้ แถวหิ่งห้อยสองแถวปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างรวดเร็ว

“จี้หยก: เหวยจุนปรารถนาพลังวิญญาณบางส่วน”

“ท่านเต็มใจจ่ายพลังวิญญาณหนึ่งร้อยแต้มเพื่อช่วยหล่อเลี้ยงร่างของมันหรือไม่”

กู่ฉิงซานเห็นว่ามันก็แค่หนึ่งร้อยแต้ม จึงถ่ายพลังวิญญาณในร่างกายที่เขาสั่งสมไว้ไปที่น้ำเต้าหยก

เขาเคยสัมผัสกับพลังวิญญาณตั้งแต่ช่วงขัดเกลา ตอนนี้เขาสามารถใช้พลังวิญญาณบางส่วนได้โดยไม่ต้องพึ่งระบบ

น้ำเต้าหยกได้รับพลังวิญญาณจนส่งเสียงฮัมอย่างยินดี

จากนั้นมันหยุดเคลื่อนไหว

ไม่เคลื่อนไหวแล้วหรือ

กู่ฉิงซานมองฉานนู่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม

“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

“หลับไปแล้ว ข้ารู้สึกว่ามันน่าจะเข้าสู่สภาพฟื้นตัว” ฉานนู่กล่าว

กู่ฉิงซานประหลาดใจ

อาจจะเพราะรอมานานเกินไป น้ำเต้าหยกจึงต้องการฟื้นคืนพละกำลังทีละเล็กละน้อย

กู่ฉิงซานเก็บน้ำเต้าหยกไว้

“ไปกันเถอะ ฉานนู่ ไม่มีอะไรที่เหมาะกับข้าในชั้นนี้อีกแล้ว ไปชั้นต่อไปกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“เข้าใจแล้ว” ฉานนู่กล่าว

พวกเขาเหาะเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาก่อนออกจากชั้นนี้ไป

ชั้นที่สามสิบห้า

กู่ฉิงซานและฉานนู่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน

นี่คือชั้นสุดท้ายของคลังสมบัติในวิหารเต๋าแล้ว

จากการสังเกตระหว่างทาง ยิ่งจำนวนชั้นสูงเท่าไหร่ จำนวนสมบัติยิ่งน้อยลง ความหายากกับความมีค่าก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ในชั้นที่สามสิบห้า มีแท่นสูงเพียงสี่แห่งเท่านั้น

แท่นสูงสองแห่งว่างเปล่าแล้ว มีเพียงแท่นสูงอีกสองแห่งที่ยังมีของอยู่

กู่ฉิงซานเข้าใจหลังจากครุ่นคิดสักพัก

ชายร่างกำยำและชายชราผมขาวถึงกับมีความสามารถเข้ามาที่นี่นานแล้ว พวกเขาอาจจะนำของสองสิ่งจากที่นี่ออกไป

ส่วนแท่นสูงอีกสองแห่งที่เหลือ มีกู่ฉินกับค้อนทองแดงยักษ์

กู่ฉินเปล่งเสียงไม่ได้ศัพท์ออกมาจนคนฟังอดที่จะคิดถึงอดีตไม่ได้ แต่ยิ่งพวกเขาคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งยึดติดกับมันมากเท่านั้น

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเป็นอิสระจากมัน

ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่ก็มีเหงื่อเย็นอาบหลังของเขา

ถ้าถูกเสียงของกู่ฉินควบคุม เกรงว่าสุดท้ายแล้วคนผู้นั้นจะไม่สามารถปลดเปลื้องตัวเองได้จนเสียความทรงจำไปในที่สุด

กู่ฉิงซานเริ่มตื่นตัวก่อนจะเลิกสนใจกู่ฉิน

เขาเดินมาอยู่หน้าค้อนทองแดง

นี่คือค้อนทองแดงยักษ์ที่มีความยาวห้าเมตร เป็นไปไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงผู้ใช้อาวุธยักษ์ชิ้นนี้

ทว่า เมื่อกู่ฉิงซานยืนอยู่หน้าค้อนทองแดง แผ่นหยกกลับปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนตกมาอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน

ความคิดของกู่ฉิงซานกวาดออกไป เขาเข้าใจถึงคุณค่าของค้อนทองแดงนี้อย่างรวดเร็ว

นี่คือฮอร์ครักซ์

ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ฮอร์ครักซ์คือสมบัติที่มีค่ามากที่สุด ทันทีที่มันปรากฏขึ้น พายุโลหิตจะก่อเกิด

ตอนลอร่าโยนฮอร์ครักซ์ออกไปอย่างไม่ใส่ใจ แม่มดดึกดำบรรพ์ก็เห็นด้วยกับแผนร่วมมือกันสู้ของกู่ฉิงซานทันที

เห็นได้ว่าฮอร์ครักซ์เป็นสมบัติที่มีค่า

ถ้าอยากใช้งานฮอร์ครักซ์ซ้ำก็ต้องจ่ายพลังวิญญาณ

และอื่นๆ อีกมากมาย!

หรือว่าจี้น้ำเต้าหยกที่เขาได้มาจะเป็นฮอร์ครักซ์อย่างหนึ่ง

แต่จี้น้ำเต้าหยกคล้ายกับกำลังหลับลึกอยู่ จึงไม่สามารถสื่อสารได้สักพัก

กู่ฉิงซานหยุดคิดชั่วคราวก่อนเอามือแตะค้อนทองแดงอย่างแผ่วเบา

แถวหิ่งห้อยขนาดเล็กบนหน้าต่างระบบเทพสงครามผุดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน

“วัตถุโบราณ ค้อนแห่งการทำลายล้าง”

“นักพรตชั้นสูงสิบหกคนต้องถ่ายพลังวิญญาณพร้อมกันจึงสามารถใช้ค้อนได้”

“หากกวัดแกว่งค้อนแห่งการทำลายล้างจนกระแทกกับพื้นจะสามารถทำลายโลกได้”

“สำหรับโลกขนาดเล็ก ต้องใช้การทุบยี่สิบครั้งจึงสามารถทำลายดิน น้ำ ไฟและลมของโลกขนาดเล็กนี้ได้ก่อนจะสูญสลายสิ้น”

“โลกขนาดกลางต้องใช้การทุบสามสิบหกครั้ง”

“โลกขนาดใหญ่ต้องใช้การทุบแปดสิบเอ็ดครั้ง”

กู่ฉิงซานโบกมือ “ฉานนู่ เจ้ามาลองเจ้านี่ดู”

เขาได้รับการยินยอมจากจี้น้ำเต้าหยกแล้ว ตอนนี้ชานนู่จึงมีคุณสมบัติที่จะเลือกสิ่งอื่นแทน

อาวุธที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ คงดีกว่าที่จะอยู่ในมือของตัวเอง อย่าได้ให้คนบ้าบางคนเอาไปเด็ดขาด

ที่สำคัญ นี่คือพลังที่สามารถทำลายโลกได้ หากใช้ดีๆ อาจจะทำให้เกิดผลอันน่าอัศจรรย์เลยก็ได้

ฉานนู่เดินมาหยิบด้ามยาวของค้อนทองแดงยักษ์

‘เปรี้ยะ!’

มือของนายถูกผลักออกทันที

“มีอะไรหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“นายท่าน เปล่า ข้ารู้สึกว่าต้องใช้วิชาลับพิเศษถึงจะสามารถใช้สิ่งนี้ได้” ฉานนู่กล่าว

กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เอาล่ะ ในที่สุดเผ่าพันธุ์มนุษย์จากยุคโบราณก็ทำสิ่งที่พึ่งพาได้เสียที

หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว

“ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรที่ข้าสามารถใช้ได้จากชั้นนี้อีกแล้ว ไปชั้นสุดท้ายกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าชั้นสุดท้ายจะมีอะไรรออยู่” ฉานนู่กล่าวด้วยความสงสัย

กู่ฉิงซานยิ้มเล็กน้อย “ไม่ว่าจะมีอะไร เซี่ยกูหงต้องเอาวิธีปลดปล่อยภาพซ้อนทับแห่งเวลาแน่นอน”

“ทำไมถึงเป็นสิ่งนี้ล่ะ” ฉานนู่ถาม

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ภาพซ้อนทับแห่งเวลาคือเศษเสี้ยวคู่ขนานนับไม่ถ้วนของมิติและเวลา นอกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณแล้ว ยังจะมีใครที่สามารถสร้างวิชามิติและเวลาที่น่าเหลือเชื่อนี้ได้อีกล่ะ”

ฉานนู่ครุ่นคิดสักพักก่อนพยักหน้าออกมาเล็กน้อย

ทั้งสองเหาะมาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาก่อนออกจากชั้นที่สามสิบห้า

ชั้นที่สามสิบหก

นี่คือชั้นสุดท้ายของคลังสมบัติทั้งหมดในวิหารเต๋า

นอกค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตา สถานที่ซ่อนสมบัติทั้งหมดว่างเปล่าจนแทบไม่เหลืออะไร เว้นแต่เพียงแท่นสูงสองแห่งที่สร้างอยู่ในตำแหน่งตรงกลาง

กู่ฉิงซานและฉานนู่เหาะผ่านไป

เขาเห็นว่าที่แท่นสูงทั้งสองแห่งนั้น มีแท่นหนึ่งที่ไม่มีอะไร ส่วนอีกแท่นมีขวดหยกปากกว้างคอยาวถูกวางไว้

กู่ฉิงซานและฉานนู่มองหน้ากัน

กลิ่นของมันช่างเรียบง่ายเกินไป ไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้

กู่ฉิงซานเป็นฝ่ายเข้าหาขวดหยกก่อน

แผ่นหยกปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าทันที

วิญญาณของกู่ฉิงซานทะลวงเข้าไป ไม่ช้าจึงเข้าใจความหมายของขวดหยกใบนี้

ไม่ว่าใครก็สามารถเปิดขวดหยกใบนี้ได้

ขวดหยกจะตรวจสอบรากฐานการฝึกฝนของผู้เปิดขวดทันทีก่อนมอบยาเม็ดพัฒนาโบราณในระดับที่สอดคล้องกันให้

ยาเม็ดพัฒนาโบราณเป็นสิ่งที่สามารถใช้งานได้จริง มันสามารถช่วยให้นักพรตพัฒนาไปสู่ระดับที่สำคัญได้ในทันที

ถึงแม้ยาเม็ดชนิดนี้จะวิเศษ แต่นักพรตทุกคนสามารถใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งในชั่วชีวิตเท่านั้น

นั่นคือความพิเศษของขวดหยกที่อยู่ตรงหน้า

หากผู้เปิดขวดอยู่ในระดับดาราโกลาหล เช่นนั้นก็จะได้ยาเม็ดพัฒนาโบราณที่พาไปสู่ระดับหวนคืนสู่ศูนย์ก่อนตกมาอยู่ในมือของผู้เปิดขวด

ผู้ฝึกฝนในระดับดาราโกลาหลจะพัฒนาสู่ระดับหวนคืนสู่ศูนย์ทันทีหากกินยาเม็ดนี้เข้าไป

ถ้าผู้เปิดขวดอยู่ในระดับสามพันโลก เช่นนั้นยาเม็ดพัฒนาโบราณที่พาไปสู่ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้นในขวดหยกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นักพรตจะก้าวเข้าสู่ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ทันที

นี่คือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้นานแล้ว ทุกคนสามารถใช้ได้หนึ่งครั้ง หากใช้เพิ่ม คนคนนั้นจะถูกเตะออกจากโลกทันที

ฉานนู่อ่านคำอธิบายบนแผ่นหยกเช่นกัน

“นายท่าน” นางมีสีหน้ายินดี

“เอาเถอะ รับไปสิ” กู่ฉิงซานพยักหน้า

อีกสิ่งที่อยู่บนแท่นสูงถูกเซี่ยกูหงเอาไป ฉานนู่จึงได้เพียงยาเม็ดพัฒนาหนึ่งเม็ดเท่านั้น

ฉานนู่เดินขึ้นไปเปิดฝาขวดหยก

ยาเม็ดเป็นประกายเจิดจ้าลอยออกมาจากขวดหยก

ฉานนู่รับยาเม็ดก่อนสะบัดนิ้ว

ยาเม็ดตกลงไปในมือของกู่ฉิงซานก่อนกระดอนตรงไปที่ปากของเขาทันที

กู่ฉิงซานรีบคว้ายาเม็ดก่อนยัดเข้าไปในกล่องหยกทันที

ตอนนี้กู่ฉิงซานไม่กล้ากิน

พลังของเขาต่ำเกินไป ทันทีที่เอายาเม็ดนี้เข้าปาก เขาจะไม่สามารถต้านทานพลังของยาเม็ดได้ก่อนจะถูกทำลายโดยพลังวิญญาณที่ก้าวกระโดด ส่งผลให้เส้นลมปราณถูกทำลายจนถึงแก่ความตาย

กู่ฉิงซานหยิบกล่องหยกใส่ถุงเก็บของอย่างระวัง

จ้าวอู๋จงมีพลังระดับวงแหวนนภา

หรือก็คือ เมื่อไปถึงระดับวงแหวนนภาจึงสามารถใช้ยาเม็ดพัฒนาโบราณนี้เพื่อไปถึงระดับสามพันโลกได้ในทันที

นี่คือสิ่งที่เหลือเชื่อ แต่สำหรับวิชาเล่นแร่แปรธาตุของยุคโบราณแล้ว ระดับนี้มีความเป็นไปได้

“จี้น้ำเต้าหยกกับยาเม็ดพัฒนาโบราณล้วนเป็นของดี ครั้งนี้พวกเราเก็บเกี่ยวได้ดีเลยล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“ตอนนี้ท่านอยากกลับแล้วใช่หรือไม่” ฉานนู่ถาม

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพัก ยังไม่ขยับไปไหน

“นายท่าน” ฉานนู่ถามด้วยความสับสน

“อาจารย์สามารถต้านทานต่อความเย้ายวนในการพัฒนาสู่ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์เพื่อออกจากภาพซ้อนทับแห่งเวลาได้ ข้านับถือจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าว

“แต่ข้ายังอยากยืนยันจนถึงท้ายที่สุด”

เขาเดินไปยังแท่นสูงอีกแห่ง ไม่ช้าก็ยืนนิ่งๆ อยู่ที่แท่นสูงนั่น

แผ่นหยกปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าทันที

แผ่นหยกนี้ได้บันทึกข้อมูลของสมบัติบนแท่นสูงดังกล่าวเอาไว้

หลังจากจิตวิญญาณของกู่ฉิงซานกวาดออกไป ข้อความบนแผ่นหยกปรากฏขึ้นในใจของเขาอย่างรวดเร็ว

“วิชาดาบสังหารศัตรู”

“นี่คือแก่นของการฝึกวิชาดาบเพื่อสังหารศัตรู มันคือการรวบรวมแก่นวิชาดาบของมนุษย์จำนวนมาก มันทั้งประณีตและงดงาม”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

ว่าไงนะ

มันคือวิชาดาบแทนที่จะเป็นวิชาภาพซ้อนทับแห่งเวลางั้นหรือ

เป็นความจริงหรือที่ในสมบัติมนุษย์ของยุคโบราณจะไม่มีวิชาภาพซ้อนทับแห่งยุค

…………………………………..

กู่ฉิงซานตกตะลึงสักพัก

นี่คือสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดในความคิดของเขา

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น

สิ่งที่เซี่ยกูหงนำออกไปคือวิชาดาบโบราณ ไม่ใช่ภาพซ้อนทับแห่งเวลา

แล้ววิชาภาพซ้อนทับมาจากไหนล่ะ

หากกล่าวว่ามาจากเผ่าพันธุ์บรรพกาลหรือจากเทพนิรันดร์ที่แท้จริง พวกเขาจะมอบวิชาทรงพลังให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปเพื่ออะไร

ดูท่าว่าในยุคนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาสังเกตไม่เห็น

ขณะยืนอยู่หน้าแผ่นหยกที่กำลังลอยอยู่ กู่ฉิงซานไม่สามารถหยุดคิดได้

เขาใช้จิตเทพทะลวงเข้าไปในแผ่นหยกก่อนกวาดผ่านอีกครั้ง

“วิชาดาบสังหารศัตรู…”

“ทำไมชื่อนี้ถึงคุ้นหูนัก”

กู่ฉิงซานพึมพำขณะนึกถึงมันอย่างยากลำบาก

เขาพลันวางมือบนถุงเก็บของก่อนเริ่มมองรายละเอียดของถุงเก็บของ

เป้าหมายที่เขากำลังตามหามีขนาดใหญ่จนถูกเขาพบได้ในทันที

แผ่นหยกขนาดใหญ่ผิดปกติ

นี่คือของขวัญจากเซี่ยกูหง

เซี่ยกูหงทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเรียนรู้สิ่งที่อยู่ในแผ่นหยกนี้

กู่ฉิงซานค้นหารายละเอียดคร่าวๆ ด้วยความรู้สึกคลุมเครือกับชื่อ “วิชาดาบสังหารศัตรู”

มันก็แค่ชื่อ “วิชาดาบสังหารศัตรู” ที่ดูเรียบง่ายเกินไป เงื่อนไขในการฝึกฝนก็สูงเกินไป ดังนั้นเขาจึงมองผ่านๆ ด้วยความไม่สนใจ

ใครจะคิดล่ะว่ามันคือวิชาดาบจากยุคโบราณ!

มาจากยุคโบราณเชียวนะ

มันคือวิชาดาบของยุคไหนกัน

กู่ฉิงซานอดใจที่รอที่จะหาวิชาดาบนี้ไม่ไหวแล้ว

เขาเห็นว่าด้านข้างวิชาดาบนี้ เซี่ยกูหงได้เขียนความเห็นเอาไว้ส่วนหนึ่งแล้ว

“นี่คือวิชาดาบที่อยู่เหนือจินตนาการ หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ข้าก็เข้าใจสิ่งหนึ่ง: จากความสำเร็จของข้าในด้านวิชาดาบ ต้องใช้ความก้าวหน้าหลายประการจึงสามารถเรียนรู้วิชาดาบนี้ได้ มันมีบางสิ่งอยู่”

กู่ฉิงซานพูดไม่ออก

แม้แต่เซี่ยกูหงก็ไม่สามารถเรียนรู้วิชาดาบนี้ได้งั้นหรือ!

ไม่ ไม่ใช่ว่าไม่เรียนรู้ แต่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ชั่วคราวต่างหาก

กู่ฉิงซานส่ายหน้าด้วยความเคารพยำเกรงก่อนถ่ายวิญญาณเข้าไปในแผ่นหยกเกี่ยวกับ “วิชาดาบสังหารศัตรู”

เขาพยายามสุดความสามารถเพื่อทำความเข้าใจ “วิชาดาบสังหารศัตรู”

ผ่านไปสักพัก

ใช่แล้ว…

ใช่แน่ๆ …

เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย…

กู่ฉิงซานไม่ได้รับการประนีประนอมขณะสายตามองหน้าต่างระบบเทพสงคราม

แถวหิ่งห้อยจำนวนมากปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงครามแล้ว

“วิชาดาบสังหารศัตรู”

“นี่คือวิชาดาบโบราณที่ใช้ปลิดชีพทุกสิ่ง”

“เพราะพลังของท่านต่ำเกินไป จึงไม่สามารถทำความเข้าใจวิชาดาบนี้ได้จนกว่าจะถึงเวลา”

“เพื่อใช้พลังวิญญาณในการทำความเข้าใจวิชาดาบนี้ ท่านต้องจ่ายพลังวิญญาณ 10,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000 แต้ม”

กู่ฉิงซานนับเลขศูนย์ก่อนไอออกมาเล็กน้อย “ฉานนู่ ไปกันเถอะ”

ฉานนู่มองแผ่นหยกที่แนะนำ “วิชาดาบสังหารศัตรู”

“หืม นายท่าน วิชาดาบนี้อาจจะทรงพลังก็ได้” นางกล่าว

“อืม” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงหมองหม่น

“คาดไม่ถึง จ้าวตำหนักเซี่ยจะตัดใจจากยาเม็ดพัฒนาโบราณแต่เลือกวิชาดาบโบราณนี้” ฉานนู่กล่าว

“อืม” กู่ฉิงซานกล่าว

“กลับไปหาจ้าวตำหนักเซี่ยเพื่อหาทางให้เขาถ่ายทอดวิชาดาบนี้ให้ท่านกันดีกว่า” ฉานนู่แนะนำ

กู่ฉิงซานนิ่งก่อนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ฉานนู่ อาจารย์ข้าไม่ได้ฝึกฝนวิชาดาบนี้และข้าไม่อยากเป็นนักดาบที่ดีด้วย”

“นายท่านหมายความว่าอย่างไร”

“จนกว่าข้าจะเหนือกว่าอาจารย์ ข้าจะไม่ฝึกฝนวิชาดาบนี้”

“นายท่านช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ” ฉานนู่ชม

“เลิกพูดได้แล้ว ไปกันเถอะ”

“ทราบแล้ว นายท่าน”

กู่ฉิงซานหยิบยันต์เคลื่อนย้ายพริบตาออกมาก่อนนึกถึงพลังวิญญาณของเขา

เขาหายไปจากชั้นที่สามสิบหกด้วยการถูกเคลื่อนย้ายพริบตาทันที

โลกบรรพกาล

ในถิ่นทุรกันดารที่สร้างจากหินวิเศษ

ถ้ำใต้ดิน

กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น

ตอนพวกเขามา มีทั้งสิ้นสี่คนอยู่ที่นี่ แต่เมื่อพวกเขากลับมา กลับมีเพียงเซี่ยกูหงและกู่ฉิงซานที่เหลือรอด

ชายชราผมขาวและชายร่างกำยำคือเทพนิรันดร์ที่แท้จริงที่ทรยศเผ่าพันธุ์มนุษย์

เซี่ยกูหงได้วิชาหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพจากชายชราผมขาว อีกทั้งยังได้ “วิชาดาบสังหารศัตรู” ตอนนี้เขาไปแล้ว

เหลือเพียงกู่ฉิงซานที่ยังอยู่ที่นี่

เขาส่งจิตเทพออกไปสำรวจ

บนพื้นนอกถ้ำ สัตว์ประหลาดราวเกลียวคลื่นยังขวางกั้นราวกับผืนน้ำ ปกคลุมทั่วถิ่นทุรกันดารจนยาวไปถึงส่วนลึกของโลกบรรพกาล

ที่วงนอกสุดของสัตว์ประหลาด ไม่มีตนไหนที่ทรงพลัง

แต่ยิ่งเข้าใกล้กำแพงที่อยู่ปลายทางถิ่นทุรกันดารเท่าไหร่ สัตว์ประหลาดที่ปรากฏตัวก็ยิ่งน่าสะพรึงมากเท่านั้น

นี่คือฝูงสัตว์ประหลาดที่ถูกตระเตรียมโดยผู้ปกครองโลกบรรพกาล วิญญาณกรีดร้อง เมื่อไม่มีแหล่งพลังเงาก็ไม่มีใครสามารถผ่านไปได้

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนออกจากถ้ำช้าๆ แล้วหยุดอยู่หลังเนินหินลับ

เขาแบมือออก

เหรียญหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ

นี่คือเหรียญที่มนุษย์แสงมอบให้ มันสามารถใช้ได้ครั้งเดียว เขาสามารถกลับสวรรค์ดึกดำบรรพ์เมื่อไหร่ก็ได้

กู่ฉิงซานเงียบไปหลายอึดใจ

“ระบบ ตอนนี้เจ้ายังต้องการพลังวิญญาณอยู่อีกหรือเปล่า” เขาถาม

‘ติ๊ง!’

ระบบเทพสงครามส่งเสียงเด่นชัดออกมา “แน่นอน ยิ่งพลังวิญญาณมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

เขาไม่ถามว่าระบบต้องการพลังวิญญาณไปทำอะไร เขาเพียงซ่อนอยู่หลังเนินหินแล้วรออย่างอดทน

ผ่านไปสักพัก

สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป

มีเสียงมาจากสวรรค์และปฐพีดังสนั่น

คลื่นโกลาหลกำลังมา!

นี่คือฉากอันงดงามที่พลังของหินวิเศษจะถูกสั่งสมจนถึงจุดสูงสุด พลังโกลาหลที่เอ่อล้นออกมาจะผสานเข้าด้วยกันจนระเบิดออมาพร้อมกัน

สัตว์ประหลาดหงุดหงิด

พวกมันไม่มองรอบข้าง เพียงแค่หมอบกับพื้นด้วยความหวาดกลัวที่จะได้รับผลจากคลื่นโกลาหล

ในคลื่นโกลาหล มีพลังอยู่นานับชนิด หากถูกพลังบางอย่างที่สามารถเล่นงานได้เข้าก็คงน่าสะพรึงไม่ใช่น้อย

ดวงตาของกู่ฉิงซานทอประกาย

เขาใช้วิชาดาบอย่างเงียบงัน

ดาบคลื่นเสียงและดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าพร้อมกัน

“ไป!” เขากระซิบ

ดาบยาวสองเล่มส่งเสียงหึ่งก่อนลอยเข้าหาฝูงสัตว์ประหลาด

สัตว์ประหลาดตัวแรกถูกตัดศีรษะโดยดาบคลื่นเสียง

มันถึงขั้นแผดเสียงกรีดร้องคมปลาบก่อนตาย

แต่เสียงคลื่นโกลาหลสะเทือนทั้งสวรรค์และปฐพี เสียงร้องของมันจึงกระจายไปได้ไม่ไกลนักก่อนจะถูกเสียงดังสนั่นกลบทันที

สัตว์ประหลาดทั้งหมดยุ่งกับการขัดขืนคลื่นโกลาหล ไม่มีเวลาที่จะมาสนใจสถานการณ์ของสัตว์ประหลาดตัวอื่น

กู่ฉิงซานฉวยโอกาสนี้เพื่อเคลื่อนย้ายวิชาดาบทั้งหมดอย่างเงียบงัน เขาปลดปล่อยพลังวิญญาณราวกับไม่ต้องการใช้มัน

ดาบคู่หมุนวนไม่หยุด

โลหิตสาดกระเซ็น!

ส่วนที่ขยายออกของถิ่นทุรกันดารเหมือนกับดินแดนเก็บเกี่ยวพืชผล ดาบบินสองเล่มได้รับอนุญาตให้เก็บเกี่ยวชีวิตของสัตว์ประหลาดที่อยู่ในนั้น

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง เสียง “ตึง” ดังขึ้นมา

ดาบคลื่นเสียงหมุนกลับ

มันกระแทกเข้ากับพลังแปลกประหลาด

กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้ว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า”

ดาบคลื่นเสียงส่งเสียงหึ่งก่อนกลายเป็นลำแสงแล้วสังหารสัตว์ประหลาดต่อ

กู่ฉิงซานสังเกตการณ์สักพัก

เขาเห็นดาบคลื่นเสียงเป็นครั้งคราว

ทว่า ดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพครอบครองคุณลักษณะ “อมตะ” และ “ทำลายกฎเกณฑ์” จึงแทบไม่ได้รับผลจากพลังใดๆ มันฟาดฟันใส่กลุ่มสัตว์ประหลาดอย่างต่อเนื่องจนแทบไม่ถูกขัดจังหวะ

กู่ฉิงซานเพียงโยนมีดเยือกแข็งออกไป ให้มันปลดปล่อยการโจมตีด้วยวิชาเยือกแข็งขนาดใหญ่ตามอิสระ

ในที่สุด เสียงกรีดร้องของสัตว์ประหลาดก็ดังยิ่งกว่าเสียงคลื่นโกลาหล

อีกด้าน กู่ฉิงซานสังหารอย่างโหดเหี้ยมเกินไป

อีกด้าน เป็นเพราะคลื่นโกลาหลกำลังสิ้นสุดลงอย่างช้าๆ

สัตว์ประหลาดบรรพกาลที่ทรงพลังยิ่งจำนวนหนึ่งสัมผัสได้ถึงการโจมตีอันบ้าระห่ำของกู่ฉิงซานก่อนค่อยๆ เป็นอิสระจากความหวาดกลัวต่อคลื่นโกลาหลแล้ววิ่งมาจากถิ่นทุรกันดารไกลลิบด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี

‘โฮก!’

เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของสัตว์ประหลาดตัวแล้วตัวเล่าดังขึ้น

ใกล้ถึงเวลาแล้ว!

หากยังคงสังหารต่อไปได้กลายเป็นปัญหาใหญ่แน่

กู่ฉิงซานสะบัดมือทันที

ดาบวูบไหวไปมาก่อนซ่อนในความว่างเปล่าตรงด้านหลังของเขา

เหรียญปรากฏขึ้นในมือของกู่ฉิงซาน

เหรียญส่องแสงเล็กน้อย

เพียงพริบตา กู่ฉิงซานหายไปจากสถานที่ดังกล่าว

เขาปรากฏตัวขึ้นในตำหนักราชาเทพที่นอกสวรรค์

มนุษย์แสงรับหน้าที่คุ้มกันอยู่

ลั่วปิงหลียังสร้างแผ่นหยกอยู่

ทันทีที่กู่ฉิงซานกลับมา หนึ่งคนกับหนึ่งเทพสังเกตเห็นทันที

ลั่วปิงหลียังคงเงียบ นางหุบตาลงขณะยังคงสร้างแผ่นหยกต่อไป

มนุษย์แสงทักทายเขาจนอดที่จะถามไม่ได้ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ความลับอะไรที่ถูกท่านราชาเทพพบ”

“แน่นอน ข้าพบทุกสิ่ง”

ขณะกู่ฉิงซานกล่าว เขาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายอยู่นิ่งๆ อย่าใจร้อน

เขาจดจ้องกับหน้าต่างระบบเทพสงครามด้วยแสงไฟรอบข้าง

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ค่าพลังวิญญาณยังปัดขึ้นไปอย่างต่อเนื่องอยู่ตรงหน้าจอ

ข้อความวูบไหวด้วยแสงเลือนรางขณะลอยอยู่เหนือใจกลางหน้าต่างระบบเทพสงคราม

นี่คือบทสรุปของการต่อสู้ก่อนหน้านี้

“จากการต่อสู้ครั้งนี้ ท่านได้รับพลังวิญญาณรวมทั้งสิ้นเจ็ดพันหกร้อยยี่สิบแปดแต้ม”

“ค่าพลังวิญญาณที่เหลืออยู่: หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยเจ็ดสิบแปดแต้มส่วนหกร้อย”

กู่ฉิงซานกวาดตามอง

พลังวิญญาณมากกว่าหนึ่งหมื่นแต้ม ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

แต่ตอนนี้ ระบบเทพสงครามดึงพลังวิญญาณออกไปเป็นจำนวนมากทุกครั้ง ทำให้ได้รับพลังวิญญาณเพียงไม่กี่สิบแต้ม พลังวิญญาณที่ได้จากการสังหารสัตว์ประหลาดบรรพกาลก็น้อยเช่นกัน

เมื่อได้พลังวิญญาณที่มากเกินพอแล้ว กู่ฉิงซานจึงพึงพอใจ

มากกว่าหนึ่งหมื่นแต้ม สามารถเอาไปทำอะไรได้บ้าง

เขาไม่สามารถทำอย่างอื่นอีกได้ แต่ก็สามารถหาวิชาชั้นสูงจากวิชาฝึกฝนที่เซี่ยกูหงให้มาได้ จากนั้นทำการฝึกฝนสักสองสามวันก่อนพยายามทะลวงพันธนาการสุดท้ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนกลายเป็นยอดฝีมือทรงอิทธิพลในระดับแสวงโลกา

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ

น่าเสียดายที่หลังจากกลายเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก เรื่องราวมากมายได้เกิดขึ้น เขาต้องจัดการพวกมันด้วยพละกำลังตัวเอง ทำให้ไม่มีเวลาฝึกฝน

ความคิดเหล่านี้ หากจะให้พูดก็คงยาว แต่ขณะกู่ฉิงซานคิดอยู่นั้น โลกภายนอกเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ

“ท่านราชาเทพ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ” มนุษย์แสงถาม

“ข้ากำลังคิดว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูตัวจริงอย่างไรดี” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

คราวนี้เขาถอนหายใจจริงๆ

ยังไงเสีย ตัวตนของวิญญาณกรีดร้องเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าใครจะรับมือได้

“ศัตรูตัวจริงหรือ ท่านหมายความถึงอะไร” มนุษย์ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่

“ใช่ ผู้ปกครองโลกบรรพกาลถึงกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกแล้ว”

ขณะพูด กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงคำพูดต่างๆ อยู่ในใจ

มนุษย์แสงครุ่นคิดสักพักก่อนค่อยๆ เข้าใจว่าที่กู่ฉิงซานพูดนั้นมันหมายถึงอะไร

ดูท่าราชาเทพจะพบบางสิ่งเข้าแล้วจริงๆ

มนุษย์แสงเงยหน้าขึ้นก่อนถามว่า “นายท่าน ท่านพบอะไรตอนไปโลกบรรพกาลในครั้งนี้”

“ผู้ปกครองโลกบรรพกาลไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้พวกเราเผ่าพันธุ์เทพตกต่ำ ทั้งเผ่าพันธุ์บรรพกาลถูกควบคุมอยู่” กู่ฉิงซานกล่าว

ขณะอยู่ต่อหน้ามนุษย์แสง เขาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวิหารเต๋าให้ฟัง

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดเรื่องการตื่นขึ้นของกองทัพเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ เขาไม่สามารถพูดเรื่องคทาราชาแห่งความตายได้ กู่ฉิงซานเพียงอธิบายถึงกระบวนการซักถามของชายชราที่ใช้พลังของเผ่าพันธุ์เทพ

ส่วนราชาเทพ พละกำลังของเทพแห่งความเย็นยะเยือกไปถึงระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์

ไม่ว่าชายชราผมขาวจะเป็นอมตะมากแค่ไหน เขาก็เป็นเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ทรงพลังที่เตร็ดเตร่ไปทั่ว ไม่มากพอที่จะอยู่ในสายตาราชาเทพ

หลังจากฟังบทสรุปของกู่ฉิงซาน มนุษย์แสงพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่

ลั่วปิงหลีเม้มปากเช่นกันราวกับกำลังนึกถึงบางสิ่งในอดีต นางก้มศีรษะต่ำ ไม่พูดไม่จาแต่อย่างใด

สายลมโกลาหล

หุบเหวนิรันดร์

กำแพงเหล็กที่ปิดล้อมเมืองเอาไว้

เผ่าพันธุ์บรรพกาลถูกควบคุม

เทพที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงกลัว: วิญญาณกรีดร้อง

และความจริงที่น่าทึ่ง: ดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพเป็นเพียงองค์ประกอบของอาวุธหุบเหวนิรันดร์เท่านั้น

มนุษย์แสงมองกู่ฉิงซาน

“ถ้าเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างก็สมเหตุสมผลแล้ว”

“พวกเราไม่คิดเลยว่าความจริงของประวัติศาสตร์จะเป็นเช่นนี้”

เขากล่าวเสียงแห้ง

ความลับอันน่าตกตะลึงนั่นถูกฝังอยู่ในกำแพงเหล็กของเผ่าพันธุ์บรรพกาล ไม่เคยถูกพบโดยเผ่าพันธุ์เทพที่เหลือมาก่อน

ทว่า วันนี้ ความจริงของประวัติศาสตร์ถูกเปิดเผยโดยราชาเทพผู้คงอยู่ในเศษเสี้ยวคู่ขนานระหว่างมิติและเวลา

กู่ฉิงซานถามว่า “เจ้าคือผู้รวบรวมเจตจำนงของเหล่าเทพ เจตจำนงของเหล่าเทพที่ตายไปแล้วและเผ่าพันธุ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ มีหนทางที่จะสามารถรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่”

มนุษย์แสงไม่พูด

โถงราชาเทพจมสู่ความเงียบสงัด

กู่ฉิงซานรออยู่สักพัก จากนั้นพลันยิ้มออกมา

“เอาเถอะ ก็เป็นเผ่าพันธุ์บรรพกาลนี่นะ พวกเราไม่สามารถรับมือได้ ยิ่งเทพนิรันดร์ที่แท้จริงผู้เป็นอมตะยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

เมื่อพูดจบ เขาหันหลังแล้วสาวเท้าขึ้นไปทีละขั้นก่อนนั่งบนบัลลังก์ราชาเทพ

“ท่านราชาเทพ ข้าคิดว่าท่านดูสงบมากเกินไป” มนุษย์แสงกล่าว

“มันคือความสิ้นหวังที่มิอาจขัดขืนที่มาต้อนรับพวกเราเผ่าพันธุ์เทพ ข้าไม่สามารถช่วยอะไรได้” กู่ฉิงซานกล่าว

สายตาของเขาจ้องมองมนุษย์แสงก่อนหันไปมองลั่วปิงหลี

นางก้มศีรษะ ยังคงจดจ่อกับการขัดเกลาแผ่นหยก ไม่แสดงอาการตื่นตระหนักแต่อย่างใด

ใช่แล้ว ในฐานะยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นางพยายามไม่มองกู่ฉิงซานเพื่อไม่ให้มนุษย์แสงเกิดความสงสัย

กู่ฉิงซานคิดชั่วครู่ก่อนย้ายสายตากลับมามองมนุษย์แสง

หากยึดตามหลักเหตุผล หลังจากรู้ความลับยิ่งใหญ่แล้ว มนุษย์แสงควรจะออกจากโลกนี้ทันทีเพื่อเปิดใช้เส้นทางหลบหนีของเผ่าพันธุ์เทพ

แต่เขากลับไม่ทำอะไร

พอมาแนวนี้ แสดงว่าเรื่องราวมันเกินกว่าที่จะใช้แค่การตระเตรียมเส้นทางหลบหนีของเผ่าพันธุ์เทพ

พวกเขาติดตั้งเส้นทางหลบหนีเอาไว้ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น

แล้วจะหาทางรับมือเทพนิรันดร์หรือ

ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

หรือก็คือ เผ่าพันธุ์เทพมาถึงสถานการณ์ร้ายแรงจนต้องใช้การตัดสินใจครั้งสุดท้าย

กู่ฉิงซานไร้อารมณ์ มือทั้งสองข้างจับบัลลังก์ราวกับจมดิ่งสู่โลกของตัวเองเพื่อคิดหาหนทางรับมือ

ความจริง เขาแค่กำลังรอ

รอดูว่ามนุษย์แสงจะทำอย่างไร

มนุษย์แสงเงียบสักพักจนอดที่จะกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “ทำไมพวกเราไม่ไปหาเทพจินเยี่ยนล่ะ เขาอาจจะช่วยได้”

“ไม่!”

กู่ฉิงซานขัดคำพูดของมนุษย์แสงทันทีก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูร้อนรนว่า “เทพจินเยี่ยนสนเรื่องอนาคตของเขา ข้าไม่เชื่อว่าเข้าจะรู้ความจริง”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร” มนุษย์แสงถาม

กู่ฉิงซานลดเสียงต่ำลง “คิดให้ดีๆ สิ ทันทีที่เขารู้ทุกสิ่ง เขาจะคิดถึงสิ่งใดก่อน”

มนุษย์แสงตอบว่า “ใช้ทุกสิ่งที่รู้เพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาเพื่อพวกเรา”

“ไม่ใช่แบบนั้นแน่ ถ้าพวกเราพาเขาที่เป็นตัวตนจากอนาคตไปด้วย จะต้องมีช่วงเวลาสำคัญที่เกิดการตัดสินใจแน่นอน”

“ยกตัวอย่างง่ายๆ หากเขาต้องเลือกระหว่างช่วยพวกเรากับฆ่ากู่ฉิงซาน ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องทิ้งพวกเราเพื่อไปฆ่ากู่ฉิงซานอย่างแน่นอน”

“เพราะกู่ฉิงซานข้องเกี่ยวกับอนาคตของเขา”

“ยิ่งกว่านั้น ในประวัติศาสตร์ที่เป็นของพวกเรา พวกเราตายกันหมด ไม่มีค่าที่จะช่วยไว้”

“เขาไม่ควรทำแบบนี้ อีกอย่าง ไม่มีความบังเอิญในประวัติศาสตร์หรอก” มนุษย์แสงกล่าว

กู่ฉิงซานกำหมัดขณะมองมนุษย์แสง “ราชาผู้นี้แบกรับโชคชะตาของทั้งเผ่าพันธุ์เทพเอาไว้ จะไม่ยอมรับความเสี่ยงใดๆ เด็ดขาด ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องคุยคือสิ่งที่เขาจะทำถ้าเกิดมันถึงตอนนั้นขึ้นมาจริงๆ ”

มนุษย์แสงไม่พูด

กู่ฉิงซานกล่าวเสริมอีกว่า “เว้นแต่เขาจะพิสูจน์ว่ามีความเมตตาต่อเผ่าพันธุ์เทพในช่วงเวลาของพวกเรา ข้าถึงจะยอมแบ่งความลับของหุบเหวนิรันดร์ให้”

มนุษย์แสงครุ่นคิดอีกสักพักก่อนกล่าวว่า “ขอให้ท่านโปรดปล่อยตัวเทพจินเยี่ยนด้วย ข้าจะพาเขาไปทดสอบเพื่อดูว่าเขาจะตัดสินใจเช่นไร”

กู่ฉิงซานนิ่ง

เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร

เผ่าพันธุ์เทพสามารถสร้างเศษเสี้ยวความลับบางส่วนในภาพซ้อนทับแห่งเวลาได้งั้นหรือ

แต่ตอนนี้ เขาไม่สามารถคิดอย่างอื่นอีกได้ กู่ฉิงซานจึงตะโกนอย่างไม่ใส่ใจ “มานี่”

อารักขาเทพหกตนเหาะเข้ามาในโถงหลัก

“เอาล่ะ ปล่อยตัวเทพจินเยี่ยนได้” กู่ฉิงซานกล่าว

“ขอรับ”

เหล่าอารักขาเทพรับคำสั่ง

มนุษย์แสงคำนับกู่ฉิงซาน “นายท่าน ข้าจะพาเขาไปทันที ถ้าคำตอบที่ข้าได้มาเป็นอย่างที่ท่านกล่าว ข้าจะกลับมาอีกครั้ง”

“ไปเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

มนุษย์แสงออกจากตำหนักราชาเทพไป

มีเพียงกู่ฉิงซานและลั่วปิงหลีที่ยังอยู่ในโถง

ตอนนี้ ลั่วปิงหลีส่งกระแสจิตไปหากู่ฉิงซาน

“เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้บอกความลับยิ่งใหญ่ขนาดนั้นกับเผ่าพันธุ์เทพ” นางถามด้วยความสงสัย

“พวกเขาได้รู้ถึงตัวตนของวิญญาณกรีดร้องแล้ว ดังนั้นจะต้องผ่อนคลายการข่มเหงเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

เขายืดเส้นยืดสายด้วยความเหนื่อยล้า

อีกอย่าง ในกระบวนการทั้งหมดที่มุ่งสู่โลกบรรพกาล วิญญาณจะต้องแน่วแน่เป็นอย่างมาก ต้องคอยจัดการกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งคนอย่างกู่ฉิงซานก็ยังต้องใช้พลังงานที่มหาศาล

ลั่วปิงหลีครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นถามว่า “เจ้าปล่อยตัวเทพจินเยี่ยนแล้ว เขามาจากอนาคตและรู้ทุกสิ่งอย่าง นี่เจ้าวางใจจนถึงขนาดปล่อยให้มนุษย์แสงดูแลเองเลยหรือ”

กู่ฉิงซานหาวแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้วางใจ แต่ถ้าเจ้าต้องการอะไรก็ต้องเป็นฝ่ายให้ก่อน”

“ข้าไม่เข้าใจ” ลั่วปิงหลีกล่าว

“อย่าห่วงไปเลย เมื่อเทพจินเยี่ยนเลือกแล้ว พวกเขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน”

“ทำไมถึงต้องกลับมาล่ะ”

“ข้าเป็นเทพองค์เดียวที่ไปสำรวจความจริงของประวัติศาสตร์มา เป็นเทพองค์เดียวที่เปลี่ยนชะตากรรมของเผ่าพันธุ์เทพได้และเป็นราชาเทพองค์เดียวที่ตื่นขึ้นจากภาพซ้อนทับแห่งเวลานับไม่ถ้วน มนุษย์แสงย่อมไม่เต็มใจที่จะทิ้งตัวตนอย่างข้าไปแน่นอน”

ลั่วปิงหลีครุ่นคิดสักพัก จากนั้นถามว่า “ถ้าข้าเป็นเทพจินเยี่ยน ข้าอาจจะไม่ช่วยเผ่าพันธุ์เทพโบราณเหล่านี้ ข้าจะทำภารกิจตัวเองให้ลุล่วงเพื่อช่วยอนาคตเอาไว้ แต่ถ้าเทพจินเยี่ยนคิดถึงเจ้าและข้า เช่นนั้นมันก็ไม่เหมือนเดิม แบบนั้นพวกเราจะทำอย่างไรหากต้องช่วยเผ่าพันธุ์เทพโบราณเหล่านี้จริงๆ ”

“ใครสนล่ะ ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเอง”

กู่ฉิงซานไม่สนใจแต่อย่างใด

เขาถึงขั้นหยิบขวดสุราขึ้นมาแล้วเทใส่แก้วก่อนนั่งดื่มอยู่บนบัลลังก์อย่างช้าๆ

ลั่วปิงหลีจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่

นางไม่อยากถามเกี่ยวกับท่าทีของอีกฝ่าย แต่นี่มันเป็นเรื่องสำคัญ จะไม่ให้ถามหรือไม่กังวลเลยก็ไม่ได้

“สุราดีนี่ ช่วงนี้เจ้าก็ทำงานหนักน่าดู สักแก้วไหม”

กู่ฉิงซานเชื้อเชิญ

“กู่ฉิงซาน นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ เทพจินเยี่ยนมาจากอนาคตเชียวนะ”

ทันทีที่ลั่วปิงหลีพูดได้ครึ่งหนึ่ง กู่ฉิงซานขัดนางทันที “แล้วไง ถ้าเขาตัดใจที่จะช่วยพวกเทพโบราณ มนุษย์แสงก็ต้องเข้าหาข้ามากขึ้นอยู่แล้ว”

ลั่วปิงหลีถามว่า “ถ้าเขาเกิดเลือกช่วยเผ่าพันธุ์เทพโบราณขึ้นมา เจ้าจะทำยังไงล่ะ”

“แบบนั้นยิ่งดี เพราะเขาพิสูจน์ความจงรักภักดีต่อพวกเทพโบราณแล้ว ย่อมสามารถทำงานเพื่อเทพโบราณและเกิดความวางใจว่าราชาเทพผู้นี้จะมอบสิ่งดีๆ เพื่อเขา”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา

เขาเทสุราใส่แก้วแล้วชูขึ้นกลางอากาศ กล่าวว่า

“ข้าแนะนำว่าเจ้าควรจะพักสักหน่อย ดื่มสักแก้วจะได้ช่วยผ่อนคลาย”

“ผ่อนคลาย…”

ลั่วปิงหลีพึมพำขณะรับแก้วมาโดยไม่รู้ตัว

ในแก้วสุรา ของเหลวโปร่งแสงบริสุทธิ์มีเสน่ห์ดุจอำพัน

“เทพนิรันดร์วางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว เขาคือตัวตนไร้เทียมทาน ตอนนี้เจ้ามีมาตรการรับมือหรือยัง” ลั่วปิงหลีถาม

“สำหรับตอนนี้ไม่มี ดังนั้นหลังจากนี้พวกเราต้องทำอีกหลายสิ่ง แต่ตอนนี้ต้องผ่อนคลายลงสักหน่อย ไม่อย่างนั้นวิญญาณจะตึงเครียดเกินไปจนทำบางสิ่งผิดพลาดในบางครา” กู่ฉิงซานกล่าว

“ข้าคิดว่าพอดื่มเข้าไปแล้วจะทำให้มันยิ่งผิดพลาดเข้าไปใหญ่น่ะสิ” ลั่วปิงหลีกล่าว

“ใช่แล้ว ดังนั้นครั้งนี้พวกเราจึงดื่มแค่น้ำผลไม้วิญญาณที่ปลูกโดยเผ่าพันธุ์เทพ วัตถุดิบหลักของสุรานี้หายากมาก สามารถทำให้ผู้คนมีกำลังวังชา อีกทั้งยังมีกลิ่นพิเศษที่ยากจะลืมเลือนไปอีกนาน ดังนั้นสูตรของมันจึงไม่ตกทอดไปสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์”

กู่ฉิงซานหยิบแก้วสุราออกมา ยื่นไปที่ลั่วปิงหลีก่อนยกดื่มรวดเดียว

ขณะมองท่วงท่าของกู่ฉิงซาน ลั่วปิงหลีพลันเข้าใจบางสิ่ง

พวกเขาอยู่ในตำหนักราชาเทพ กำลังดื่มสุราที่สร้างโดยเทพ

หากไม่คำนึงถึงอนาคต ช่วงเวลานี้นับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์

ลั่วปิงหลียกแก้วสุราขึ้นมาอยู่หน้าริมฝีปากก่อนจิบเข้าไป

มันช่างกลมกล่อมและละมุน รสชาติติดค้างอยู่ตรงลำคอไม่มีสิ้นสุด

โลกเดิม

ขั้วโลกเหนือ

กระท่อมบนภูเขา

ดวงตาคู่หนึ่งลืมขึ้นขณะมองรอบข้าง

ความมืดไร้พรมแดนปกคลุมรอบทิศ

เสียงพึมพำนับไม่ถ้วนดังระงม

ดูท่าจะมีเจตจำนงจำนวนมากอยู่ข้างกาย กระตือรือร้นที่จะให้ปลดปล่อยพวกมัน

อยาก…ฆ่า…

ฉับพลันนั้นเอง ในความว่างเปล่าที่มองไม่เห็น ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อึกทึกพลันดังขึ้น

เสียงดังช่างคุ้นเคย มันปิดกั้นเสียงอื่นก่อนปลุกความทรงจำของเขาขึ้นมาทันที

ใช่แล้ว…

นี่คือเกมที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด

ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อึกทึกมาจากด่านที่สองของเกม เมื่อสัตว์ประหลาดทรงพลังที่สุดปรากฏตัวขึ้นจากชั้นล่างสุด เสียงดนตรีที่คุ้นเคยจะดังขึ้น

เพื่อเอาชนะสัตว์ประหลาดนั่นนั้นง่ายมาก แค่ต้องกระโดด โจมตี กระโดด หลบ จากนั้นทำตามกระบวนการนี้ซ้ำไปมา ให้ความสนใจกับการปล่อยท่าใหญ่เมื่อถึงเวลาเหมาะเจาะ

ฉับพลันนั้นเอง ดนตรีถูกบิดเบือนไปสักพัก จากนั้นจึงหายไปอย่างสมบูรณ์

อะไรกัน

ด้วยด่านที่ง่ายปานนี้ ยังมีคนที่แพ้อีกอย่างนั้นหรือ

เขาอดที่จะยื่นมือเพื่อผลักเบาๆ ไปที่ความมืดไม่ได้

โลงศพที่เต็มไปด้วยลวดลายซับซ้อนถูกเปิดออก

เย่เฟยหลีกระโดดออกจากโลงศพ

หลังจากเห็นฉากรอบข้างชัดเจน เขาพลันแข็งทื่ออยู่กับที่

ชายคนหนึ่งสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำนอนอยู่บนพื้นตรงหน้าเตาผิง ในมือถือขวดไวน์ว่างเปล่าเอาไว้ เขาอยู่ในสภาพหลับใหล

อีกด้าน เด็กผู้หญิงร่างเพรียวสวมชุดไหมสีดำกับกระโปรงสั้นและหูแมวหันหลังให้เขาขณะพยายามควบคุมเกมคอนโทรลเลอร์ในมือ

“ใส่เสื้อผ้าก่อน จากนั้นค่อยคุย หลังจากวิวัฒนาการเสร็จหนึ่งขั้น ผิวจะขาวขึ้นจนดูมีเนื้อหนังขึ้นมา”

เด็กผู้หญิงทิ้งประโยคดังกล่าวโดยไม่เหลียวหลังมามอง

เย่เฟยหลีถึงได้รู้ว่าเขาไม่ได้สวมอะไรเลย

เขารีบมองรอบข้าง

เขาเห็นชุดเสื้อคลุมวางซ้อนอยู่ข้างโลงศพที่เขาเคยอยู่อย่างเป็นระเบียบ

หลังจากสวมเสื้อผ้าสองสามชิ้น เย่เฟยหลีเดินมานั่งลงข้างเด็กผู้หญิง

“เสี่ยวเมียว”

“เรียกว่าพี่เมียว”

“อา ได้ พี่เมียว ด่านเมื่อครู่จะผ่านด้วยวิธีนั้นไม่ได้หรอกนะ” เย่เฟยหลีกล่าวอย่างจริงจัง

ที่เขาจำได้คือเด็กผู้หญิงหูแมวผู้แผ่กลิ่นอายความไร้เดียงสาและความตุ้งติ้งออกมาคือเสี่ยวเมียวจากสโมสรหมัดเหล็ก

นางคือสมาชิกของสโมสรและเป็นเด็กใหม่

เมื่อได้ยินดังนี้ เสี่ยวเมียวยื่นที่จับไปยังมือของเขาแล้วกล่าวว่า “เลือดข้าเหลือไม่มากแล้ว แบบนี้จะยังผ่านด่านหรือเปล่า”

“ถ้าเป็นคนอื่นก็ไม่ แต่กับยอดฝีมืออย่างข้าก็ไม่มีปัญหา!”

เย่เฟยหลีกล่าวด้วยกำลังใจอันเต็มเปี่ยม

ว่าไปนั่น ด่านที่ง่ายขนาดนี้ หลับตาเล่นเขาก็ยังผ่านเลย

เขาคว้าด้ามจับมาก่อนเริ่มควบคุมตัวละครบนจออย่างระมัดระวัง พยายามหลีกเลี่ยงการโจมตีของสัตว์ประหลาดพร้อมมองหาโอกาสที่จะสวนกลับ

หลังจากผ่านไปหลายวินาที

ตัวละครบนจอโดนโจมตีอีกครั้ง ทำให้เลือดหมดหลอด

เย่เฟยหลีเลิกคิ้ว

นี่มันช่างน่าอดสูเสียจริง

แต่เป็นความจริงที่เหลือเลือดไม่มาก หากโดนโจมตีอีกครั้งก็จะตาย

มีอย่างที่ไหนที่คนอย่างเขามาเล่นแพ้ต่อหน้าพี่เมียว

ไม่ ต้องแสดงฝีมือที่แท้จริงให้ได้เห็นสิ!

เย่เฟยหลีเข้าสู่โหมดตั้งใจเล่น

ในขณะเดียวกัน ใบหน้าน่ากลัวจำนวนนับไม่ถ้วนวูบไหวในความว่างเปล่าด้านหลังของเขาขณะพยายามพุ่งเข้ามาที่ร่างกาย แต่มันพวกมันถูกปิดกั้นด้วยพลังที่มองไม่เห็นจนไม่สามารถเข้าใกล้ได้แม้แต่นิดเดียว

เย่เฟยหลีไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ

เสี่ยวเมียวจ้องจอ แต่นางยังคงขยับนิ้วไปมาขณะโยนใบหน้าชุ่มโลหิตหน้าแล้วหน้าเล่าออกไปในความว่างเปล่า

แบร์รี่ลืมตาขึ้นขณะพ่นลมออกจมูก เขาจ้องมองใบหน้าชุ่มโลหิตอย่างไม่ใส่ใจ

เมื่อผู้ทำลายล้างโลกใกล้เข้ามา เขาจะแยกความปรารถนาชั่วร้ายอันไม่มีที่สิ้นสุดออกมา มีทั้งวิญญาณที่คนตายและวิญญาณที่ปรารถนาจะควบคุมร่างกายเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าผู้ทำลายล้างโลกถูกครอบงำโดยวิญญาณคนตาย เขาจะเสียเหตุผลและอารมณ์จนกลายเป็นเครื่องจักรสังหารอย่างสมบูรณ์

ผู้ทำลายล้างโลกจะสังหารทุกชีวิตในโลกและจะวิวัฒนาการขึ้นใหม่ด้วยแก่นพลังของโลกทั้งใบจนกลายเป็นผู้ทำลายล้างโลกที่แข็งแกร่งขึ้น

โชคยังดี

ที่เสี่ยวเมียวและแบร์รี่อยู่ที่นี่

พวกเขาคอยปกป้องเย่เฟยหลี

อย่างสุดความสามารถ

หลังจากสภาพของเย่เฟยหลีคงที่แล้วจึงสามารถส่งตัวไปหอคอยหมื่นอาณาจักรเพื่อขัดเกลาความสามารถ

ย้อนเวลากลับไปหลายหมื่นปีก่อน

สวรรค์ดึกดำบรรพ์

ในภาพซ้อนทับแห่งเวลา

นอกสวรรค์

ตำหนักราชาเทพ

บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป

“ข้ายังไม่คิดอยู่ดีว่าเจ้าควรจะดื่มสุรามากเกินไป มันจะส่งผลให้ทำอะไรผิดๆ ได้ง่าย”

ลั่วปิงหลีกล่าวด้วยความระแวดระวัง

นางดื่มสุราเข้าไปสองแก้วขณะลิ้มรสแก้วที่สามอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานดื่มสุราจนหมดขวดก่อนหยิบไก่ย่างที่ห่อด้วยใบบัวออกมา เขาหลับตาก่อนสูดกลิ่นเบาๆ

“หอมจริงๆ …” เขาพึมพำอย่างแผ่วเบา

“นี่ ในฐานะที่เจ้าเป็นราชาเทพแต่ดันมากินไก่ย่างที่นี่เสียอย่างนั้น ข้าเกรงว่าพวกเขาจะทดสอบเสร็จสิ้นก่อนจะกลับมาในไม่ช้า เจ้าจะถูกเปิดโปงทันทีที่ถูกพบในสภาพนี้เข้า” ลั่วปิงหลีเตือน

ขณะมองรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขามกับแก้วสุราในมือของนาง กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “การทดสอบเช่นนี้กินเวลานาน พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาที่นี่หรอก”

“วิญญาณกรีดร้องไง” ลั่วปิงหลีกล่าวอย่างเย็นชา

กู่ฉิงซานชำเลืองมองนาง

เขาถือไก่ย่างเอาไว้ก่อนส่งสัญญาณให้นาง

กลิ่นอายของลั่วปิงหลีถูกทำลายก่อนพูดด้วยความท้อใจว่า “ไม่ ข้าไม่หิว”

จากนั้นกู่ฉิงซานฉีกขาไก่ก่อนอธิบายว่า “ตอนนี้ วิญญาณกรีดร้องทำได้แค่รอดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพถูกใช้งานเท่านั้น เขาจะไม่มีวันทำลายความสงบสุขของเหล่าเทพและมนุษย์อย่างแน่นอน”

หลังจากพูดจบ เขาเริ่มกินไก่

ฉับพลันนั้นเอง ถุงเก็บของสั่นไหว จี้น้ำเต้าหยกลอยออกมา

จี้หยกลอยอยู่หน้ากู่ฉิงซานขณะส่งเสียงฮัมต่ำออกมา

“ฟิ่ว…”

ในเวลาเดียวกัน แถวหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“จี้หยก: เหวยจุน ขอให้ท่านสนับสนุนด้วยพลังวิญญาณสามร้อยแต้ม”

กู่ฉิงซานมองถุงเก็บของด้วยความประหลาดใจ จากนั้นมองจี้หยกตรงหน้า

ถุงเก็บของปิดสนิทอย่างเห็นได้ชัด

น้ำเต้าหยกนี้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่คำนึกถึงกฎเกณฑ์ของมิติ

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปคว้าจี้หยกเอาไว้ก่อนมอบพลังวิญญาณ 300 แต้มให้อีกครั้ง

จี้หยกได้รับพลังวิญญาณ มันกรีดร้องอย่างยินดีก่อนลอยกลับเข้าถุงเก็บของ

ความคิดของกู่ฉิงซานกวาดผ่าน

ในถุงเก็บของ จี้หยกกลับมาเงียบอีกครั้ง

ดูเหมือนมันจะหลับใหลอีกครั้ง

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

กินและนอน นอนและกินงั้นหรือ

เจ้านี่มันช่าง…

น่าอิจฉาอะไรอย่างนี้

สมบัติจากยุคโบราณควรจะ…พึ่งพาได้สิ

ถ้าใช้งานไม่ได้ก็ทำได้แค่ดูแลในฐานะสัตว์เลี้ยงเท่านั้น

กู่ฉิงซานปลอบตัวเองขณะกินไก่ย่าง

เขาดื่มสุราหมดไปอีกขวดก่อนเอนกับบัลลังก์อย่างพึงพอใจเพื่อเริ่มย่อยอาหาร

ลั่วปิงหลีมองเขาก่อนพูดเหมือนไม่ได้พูดออกมาว่า “พวกเราจะอยู่แบบนี้ต่อไปงั้นหรือ”

กู่ฉิงซานถามว่า “ขัดเกลาแผ่นหยกไปถึงไหนแล้ว”

“ส่วนที่ยากที่สุดถูกขัดเกลาเรียบร้อย ตอนนี้ขอแค่ข้าต้องการก็สามารถทำให้เสร็จได้ทุกเมื่อ” ลั่วปิงหลีกล่าว

“หรือก็คือ พวกเราสามารถไปได้ทุกเมื่อ” กู่ฉิงซานกล่าว

“ใช่ พวกเราสามารถไปได้ทันที ถ้าเจ้าตัดใจจากการเป็นราชาเทพล่ะก็นะ” ลั่วปิงหลีกล่าว

“เจ้าคิดว่าข้าควรตัดใจอย่างนั้นหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ข้าไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไรที่จะเป็นต่อ ตอนนี้เจ้าสามารถไปตามหาดาบศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว”

ลั่วปิงหลีจ้องมองเขาแล้วพลันกล่าวว่า “หรือบางที…นี่เป็นแผนสมคบคิดของวิญญาณกรีดร้อง เจ้าอยากจะตัดใจไหมล่ะ”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดเผ่าพันธุ์มนุษย์จากการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งให้ตัดใจยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

ไม่ว่าจะเป็นแผนสมคบคิดหรือกับดัก ดาบจะต้องถูกรักษาเอาไว้

หากดาบพิภพคือองค์ประกอบของอาวุธ เช่นนั้นก็ต้องจัดการอาวุธนั่น

“เอาล่ะ มาดูสถานการณ์ปัจจุบันกันดีกว่า”

ขณะกู่ฉิงซานกล่าว หมอกเย็นกระจายออก

หมอกเย็นรวมตัวกลางอากาศจนเป็นนักพรตมนุษย์ที่คล้ายกับมีชีวิต

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “สถานการณ์ปัจจุบันเป็นแบบนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะเทพได้ อย่างมากก็มีนักพรตหนึ่งถึงสองคนที่สามารถเอาชนะเทพได้ นี่มันช่างเปล่าประโยชน์สิ้นดี”

ขณะพูด หมอกเย็นรวมตัว นักพรตมนุษย์กลายเป็นเทพที่มีไฟเย็นเผาไหม้ตรงหว่างคิ้ว

“ถึงแม้เทพจะปกครองเผ่าพันธุ์มนุษย์ชั่วคราว แต่พวกเขาไม่สามารถจัดการสัตว์ประหลาดบรรพกาลที่ทรงพลังได้”

เทพกลับคืนสู่หมอก หมอกเผยสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวขึ้นมาอีกครั้ง

“สัตว์ประหลาดบรรพกาลเชื่อฟังคำสั่งของผู้ปกครองโลกบรรพกาลเท่านั้น นั่นก็คือวิญญาณกรีดร้อง”

หมอกม้วนตัวอีกครั้งก่อนกลายเป็นตัวตนแปลกประหลาดที่เป็นครึ่งชายครึ่งหญิง

“วิญญาณกรีดร้องคือตัวตนที่ไม่สามารถสื่อสารได้และเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของพวกเรา”

“สัตว์ประหลาดอยู่ภายใต้การปกครองของมัน เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมฟังพวกเรา”

“ดังนั้นพลังที่อยู่ในมือของพวกเราจึงมีเพียงแค่เทพเท่านั้น”

กู่ฉิงซานโบกมือ ความเย็นในอากาศหายไปสิ้น

“หมายความว่าหากข้าไปถึงช่วงเวลาสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไปถึงสถานที่ที่ดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ ประกอบกับถ้าวิญญาณกรีดร้องปรากฏตัวขึ้นมา นั่นจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครสามารถช่วยข้าได้”

“ดังนั้นข้าต้องเตรียมพลังให้มากกว่านี้ต่อให้พลังเหล่านี้จะมาจากเผ่าพันธุ์เทพก็ตาม”

“อีกอย่าง ข้าอยากรู้ว่าเผ่าพันธุ์เทพรู้การเตรียมการขั้นสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์มากน้อยแค่ไหนเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาไปสู่ช่วงเวลาจริงเพื่อสร้างปัญหา”

หลังจากฟังคำอธิบายยืดยาวนี้ ในที่สุดลั่วปิงหลีกล่าวออกมาด้วยความโล่งอกว่า “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะรอเจ้าหาทางคลี่คลาย”

เมื่อกู่ฉิงซานเห็นอีกฝ่ายถูกโน้มน้าว เขาก็ผ่อนคลายลง

ลั่วปิงหลีรับหน้าที่เรื่องเส้นทางการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้นำเผ่า ตัวตนของนางแทบจะเหมือนกับมนุษย์แสงนั่น เขาจึงต้องบอกให้นางรู้เกี่ยวกับบางสิ่งบ้าง ไม่ควรจะมาบาดหมางกับนาง

อีกอย่าง ต้องใช้พลังวิญญาณทั้งสิ้นเก้าแสนแต้มเพื่อกลายเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก

ตอนนี้ระบบเทพสงครามเหมือนกับลูกสะใภ้ตัวน้อยที่คอยค้นหาความมั่งคั่งจากคนอื่นทุกวัน ไม่งั้นเขาคงไม่มีทางได้พลังวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นมาได้

อีกอย่าง เขาเชี่ยวชาญพลังของเทพองค์นี้ที่ครอบครองพลังต่อสู้แบบเดียวกัน

ทันทีที่กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ พลังและสกิลเหล่านี้จะถูกลดทอนลงอย่างมาก

จะให้ทิ้งสิ่งนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร

กู่ฉิงซานนั่งบนบัลลังก์ราชาเทพขณะรออย่างเงียบงัน

เขากำลังรอให้มนุษย์แสงกลับมา

การตัดสินใจของเทพจินเยี่ยนจะข้องเกี่ยวกับแผนโดยรวมที่อยู่เบื้องหลังเขา

ถ้าเทพจินเยี่ยนผ่านการทดสอบของมนุษย์แสง เช่นนั้นกู่ฉิงซานจะต้องยอมรับการเข้าร่วมของเขา

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หนึ่งวันผ่านไปอีกครั้ง

ห้าวันผ่านไปนับตั้งแต่การตายของราชาเทพองค์ที่แล้วกับเทพแห่งความเย็นยะเยือก

ในอีกสองวัน เทพองค์ใหม่กำลังจะถือกำเนิด

กู่ฉิงซานตัดสินใจจะรอจนถึงวันสุดท้าย

ถ้ามนุษย์แสงไม่กลับมา เขาเตรียมที่จะตัดใจจากร่างวิญญาณก่อนจากไปพร้อมลั่วปิงหลี

ตอนนี้ อารักขาเทพสองตนเหาะมาที่ตำหนักราชาเทพก่อนคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วกล่าวว่า

“นายท่าน มนุษย์แสงมาถึงแล้ว เขาอยากพบท่าน”

“เขามาเพียงลำพังหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ใช่แล้ว นายท่าน” อารักขาเทพตนหนึ่งตอบ

กู่ฉิงซานยิ้มก่อนกล่าวว่า “ให้เขาเข้ามา”

ผ่านไปสักพัก

มนุษย์แสงถูกนำตัวเข้าสู่ตำหนักราชาเทพ

เขาคำนับให้กู่ฉิงซานแล้วกล่าวว่า “ข้ามาพบนายท่านแล้ว”

“ผลเป็นอย่างไรบ้าง” กู่ฉิงซานถามตามตรง

มนุษย์แสงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงต่ำว่า “อย่างที่นายท่านคาดเอาไว้เลย”

กู่ฉิงซานมองมนุษย์แสงแล้วถามอย่างสงสัยว่า “แล้วเจ้าทำอะไรกับเทพจินเยี่ยน”

“ข้าพาเขาไปภาพซ้อนทับแห่งเวลาที่ถูกยึดครองโดยพวกเราเผ่าพันธุ์เทพ ข้าบอกเขาว่ากู่ฉิงซานอยู่ในภาพซ้อนทับของยุคนั้น” มนุษย์แสงกล่าว

“นี่เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นความจริง” กู่ฉิงซานกล่าว

“ใช่ ข้าสร้างภาพมายาขึ้นมา ข้าอยากลองดูว่าเขาจะทิ้งเทพโบราณในช่วงวิกฤติหรือไม่ เพื่อบรรลุเป้าหมายของเขา แม้กระทั่งความเป็นความตายของพวกเราบรรพบุรุษก็ยังถูกเมิน” มนุษย์แสงกล่าว

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “เช่นนั้นเขาก็ยอมสละผลประโยชน์ของพวกเราเผ่าพันธุ์เทพโบราณเพื่อฆ่ากู่ฉิงซานสินะ”

“ใช่” มนุษย์แสงกล่าว

กู่ฉิงซานโบกมือแล้วถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าไม่ได้ฆ่าเขาหรือ”

“ข้าแค่กลับมาเฉยๆ”

“ทำไมล่ะ”

“คนที่เริ่มภาพซ้อนทับแห่งเวลามาจากผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์นามว่ากู่ฉิงซานในอีกหนึ่งหมื่นปีต่อมา พวกเราคิดว่าหากร่วมมือกับเทพจินเยี่ยนเพื่อฆ่าเขาและยึดครองความลับมนุษย์มาจะช่วยทุกสิ่งเอาไว้ได้”

“แต่ตอนนี้พวกเราทราบความจริงจากท่านแล้ว ในการเผชิญหน้ากับตัวตนไร้เทียมทานอย่างวิญญาณกรีดร้อง กู่ฉิงซานไมใช่สิ่งที่สำคัญอีกต่อไป”

มนุษย์แสงนิ่งก่อนกล่าวด้วยความสับสนว่า “ทุกสิ่งที่พวกเราเตรียมมาไม่สามารถรับมือราชาของเผ่าพันธุ์บรรพกาลกับหอกหลากสีสันในมือของเขาได้ ยิ่งเทพนิรันดร์ที่แท้จริงยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเราไม่สามารถคิดหาหนทางได้แล้วจริงๆ ”

“ในการเผชิญหน้ากับความจริงของประวัติศาสตร์ เผ่าพันธุ์เทพควรจะไปที่ไหนดี”

หลังจากได้ฟังคำถามนี้ กู่ฉิงซานเงียบ

นี่คือสิ่งที่กำลังคิดเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นกัน

วิญญาณกรีดร้องจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายแผนการได้

ราชาเทพองค์ที่แล้วลอกเลียนแบบของจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยการสร้างหวนคืนชาติภพหกวิถีขึ้นมาก่อนจะถูกสังหาร

ตัวตนที่ทรงพลังและระแวดระวังเช่นนั้น จะมีใครที่สามารถหนีรอดจากเงื้อมมือไปได้ จะมีใครที่สามารถรับมือได้

ลั่วปิงหลียืนอยู่ด้านข้างขณะมองอย่างเย็นชา นางลังเลก่อนค่อยๆ โผล่หน้าออกมา

นางเข้าใจถึงความยากลำบากของเรื่องนี้ดี นางเข้าใจถึงภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกครั้งใหญ่ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์เทพเผชิญ

แต่นางจะไปทำอะไรได้

ตอนนี้ ผู้ชี้นำเผ่าพันธุ์เทพ ผู้ชี้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์และผู้ฝึกยุทธ์ผู้เปิดภาพซ้อนทับของยุคโบราณที่มาจากอนาคตมารวมอยู่ที่ตำหนักราชาเทพแล้ว

พวกเขาล้วนกำลังครุ่นคิด

ทั่วตำหนักราชาเทพเกิดความเงียบ

ผ่านไปสักพัก

ทันใดนั้น อารักขาเทพอีกตนเหาะเข้ามาก่อนคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อรายงาน

“นายท่าน เทพจินเยี่ยนกลับมาแล้ว เขาขอเข้าพบท่าน”

กู่ฉิงซานชำเลืองมองมนุษย์แสงด้วยความคาดไม่ถึง

“เขารู้ว่าตัวเองอยู่ในภาพมายาอย่างนั้นหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ข้าไม่รู้” มนุษย์แสงกล่าว

กู่ฉิงซานพึมพำ “ข้าคิดว่าเขาจะกลับไปอนาคตหลังจากสังหารกู่ฉิงซานที่เป็นภาพมายาไปแล้ว แต่ทำไมเขาถึงกลับมาหาข้าอีกล่ะ”

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้า

เขาพลันยิ้มออกมาก่อนสั่งว่า “ให้เทพและอารักขาเทพทั้งหมดมาพบข้าในตำหนักราชาเทพ ห้ามใครปฏิเสธเด็ดขาด”

“ขอรับ”

อารักขาเทพถ่ายทอดคำสั่ง

หลังจากเทพทุกองค์มารวมตัวในตำหนักราชาเทพแล้ว กู่ฉิงซานสั่งอีกครั้งว่า “ให้เทพจินเยี่ยนเข้ามาพบข้า”

“ขอรับ”

ผ่านไปสักพัก

เทพจินเยี่ยนเข้ามาในตำหนักราชาเทพ

เขามองเทพทุกองค์ที่มารวมตัวกันด้วยความประหลาดใจ ในใจเกิดความขมขื่นขึ้นมา

เขารู้ความสามารถและจุดอ่อนทั้งหมดของเทพแห่งความเย็นยะเยือก ถ้าจู่ๆ เขาลงมือ มีความเป็นไปได้สูงที่การโจมตีจะประสบความสำเร็จ

ถ้าเช่นนั้น จะไม่มีเทพองค์ไหนนอกจากเขาที่ได้รับดาบศักดิ์สิทธิ์

น่าเสียดายที่เทพแห่งความเย็นยะเยือกผู้ทราบชะตากรรมในอนาคตถึงกับป้องกันอย่างระมัดระวัง

ตอนนี้ดูท่าพวกเขามีแต่ต้องเดินเส้นทางสายตรงเท่านั้น

ขณะที่เขาคิดอยู่นั้น ราชาเทพบนบัลลังก์สูงก็พูดขึ้นว่า

“จินเยี่ยน เจ้ามาที่นี่เพื่อบอกลาพวกข้างั้นหรือ”

เทพจินเยี่ยนสงบจิตใจลง ใบหน้าเผยรอยยิ้มมีชัยออกมา กล่าวว่า “ท่านราชาเทพ ใช่แล้ว ในที่สุดข้าก็ฆ่ากู่ฉิงซานได้”

เกิดความเงียบในโถง

เทพมองเขาองค์แล้วองค์เล่า

มนุษย์แสงไม่พูดอะไร

ลั่วปิงหลีมองกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสนอกสนใจว่า “เจ้าหาเขาเจอหรือ แล้วฆ่าเขาได้อย่างไรกัน”

เทพจินเยี่ยนถอนหายใจออกมา “ข้าต้องยอมเสียสละเลือดเนื้อของสหายเผ่าพันธุ์เทพไปบางส่วนเพื่อซื้อความเชื่อใจจากเผ่าพันธุ์บรรพกาล พวกเขายอมให้ข้าเข้าโลกบรรพกาลเพื่อล่ากู่ฉิงซาน จากนั้นข้าก็ทำสำเร็จได้ในที่สุด”

“ยินดีด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

เทพจินเยี่ยนพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “ข้าจะกลับ กลับไปยังช่วงเวลาของข้า อย่างไรเสีย ประวัติศาสตร์มันได้เปลี่ยนไปแล้วเพราะข้า ทุกสิ่งในอนาคตจะเปลี่ยนไปตามการกระทำที่เป็นห่วงโซ่ ข้าต้องกลับไปเพื่อจัดการกับสถานการณ์หลายสิ่งหลายอย่าง”

กู่ฉิงซานโบกมืออย่างสง่างามแล้วกล่าวว่า “ตามใจเจ้าเลย”

อีกฝ่ายยืนนิ่ง

“ยังมีอย่างอื่นอีกหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ยังมีเรื่องเกี่ยวกับดาบศักดิ์สิทธิ์” เทพจินเยี่ยนกล่าวกับเทพ

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เรื่องดาบศักดิ์สิทธิ์ถึงกับเป็นกับดักที่เจ้าไม่อาจเข้าใจได้ ถ้าเจ้าอยากไปตามหามัน ข้าก็จะไม่ห้าม”

เทพจินเยี่ยนถามว่า “แล้วท่านล่ะ”

“ข้าหรือ” กู่ฉิงซานส่ายหน้าอย่างเย้ยหยัน “เพื่อโชคชะตาของเผ่าพันธุ์พวกเรา ข้าต้องหาทางไปถึงมันเช่นกัน”

“หรือก็คือ จะต้องมีการต่อสู้ระหว่างท่านกับข้าสินะ” เทพจินเยี่ยนกล่าว

“เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก ถ้าได้ดาบศักดิ์สิทธิ์มา ข้าก็ได้แต่หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตที่ยืนยาว” กู่ฉิงซานยิ้ม

เทพจินเยี่ยนรู้สึกงุนงง

ไม่ว่าอย่างไร เทพแห่งความเย็นยะเยือกผู้นี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากมนุษย์แสง เป็นไปได้มากว่าเขาจะออกจากภาพซ้อนทับของยุคนี้เพื่อกลายเป็นผู้ท้าชิงที่ทรงพลัง

ตัดสินจากแนวโน้มทางประวัติศาสตร์แล้ว เผ่าพันธุ์บรรพกาลไม่ได้รู้เกี่ยวกับดาบศักดิ์สิทธิ์เลย

เผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา แต่พละกำลังของพวกเขาไม่ได้น่าหวาดกลัวแต่อย่างใด

ในบรรดาเผ่าพันธุ์เทพ เทพแห่งความเย็นยะเยือกผู้นี้สามารถทัดเทียมกับเขาได้

หรือก็คือ

ต้องจัดการเขา ดาบศักดิ์สิทธิ์ถึงจะมาอยู่ในมือ!

เทพจินเยี่ยนตัดสินใจได้แล้ว

เขากระตุ้นพละกำลังทั่วทั้งร่าง ปลดปล่อยแสงอันร้อนแรงที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งตำหนัก

“เข้ามา เทพแห่งความเย็นยะเยือก มาสู้กับข้าแล้วดูว่าใครมีคุณสมบัติที่จะได้ดาบศักดิ์สิทธิ์ไปครอง!”

พวกเทพเคลื่อนไหว

การท้าทายราชาเทพในที่สาธารณะเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง ทันทีที่เกิดขึ้น ห้ามใครก้าวก่ายเด็ดขาด

คาดไม่ถึง เทพจากอนาคตผู้นี้ถึงกับกล้าท้าทายราชาเทพ

ราชาเทพจะตอบรับอย่างไร

พวกเทพมองกู่ฉิงซานองค์แล้วองค์เล่า

กู่ฉิงซานมองมนุษย์แสง

มนุษย์แสงยังคงเงียบ

“การตัดสินใจของเจ้าล่ะ” กู่ฉิงซานถามเป็นครั้งสุดท้าย

มนุษย์แสงมองเขา แต่ยังไม่พูดอะไร

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าตัดสินใจได้แล้ว”

เขาเอนบนบัลลังก์ราชาเทพก่อนกล่าวกับเทพจินเยี่ยนว่า “เจ้าคิดจะสู้จริงๆ หรือ”

เทพจินเยี่ยนเงยหน้าขึ้นสูงแล้วตะโกนว่า “ใช่ มาสู้กับข้าอย่างยุติธรรม ให้ทุกองค์ได้เห็นว่าใครมีคุณสมบัติที่จะไล่ตามดาบศักดิ์สิทธิ์”

กู่ฉิงซานถามอย่างสงบว่า “คำถามสุดท้าย ถ้าเจ้าได้ดาบศักดิ์สิทธิ์ไป เจ้าจะเอาไปทำอะไร”

เทพจินเยี่ยนนิ่งสักพักก่อนตอบอย่างรวดเร็วว่า “ข้าจะเอาไปเปลี่ยนอนาคตของพวกเราเผ่าพันธุ์เทพ”

กู่ฉิงซานถามว่า “เจ้าจะเอามันกลับไปยังอนาคตหรือ”

เทพจินเยี่ยนพยักหน้า

แบบนี้มันชัดเสียยิ่งกว่าชัดไม่ใช่หรือ ราชาเทพผู้นี้โง่เขลานัก เอาแต่ถามประโยคเดิมๆ ซ้ำซาก นี่เขาอยากจะทำอะไรกันแน่

บนบัลลังก์สูง กู่ฉิงซานถอนหายใจ เผยใบหน้าผิดหวังออกมา

พวกเทพเริ่มทนไม่ไหวองค์แล้วองค์เล่า

“อย่าให้เขาเอาดาบศักดิ์สิทธิ์ไปได้”

“นั่นคืออาวุธทรงพลังที่มากพอจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้”

“เขาฆ่ากู่ฉิงซานไปแล้ว ทีนี้เขายังวางแผนจะเอาดาบศักดิ์สิทธิ์ไปอีก”

“เหลวไหลสิ้นดี ถ้าเขาเอาดาบศักดิ์สิทธิ์ไป แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อไป”

“ดาบศักดิ์สิทธิ์เป็นของพวกเรา พวกเราต้องเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเอง”

พวกเทพสนทนาเสียงต่ำ

เสียงของพวกเขาค่อยๆ ดังขึ้น

ทันใดนั้น เทพผู้เปล่งประกายด้วยเปลวเพลิงสีเหลืองเจิดจ้ากระโดดออกมา

“เจ้ากล้าท้าทายราชาเทพหรือ ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!”

ใบหน้าของเทพจินเยี่ยนเปลี่ยนไป เขาหยุดมือก่อนพูดว่า “เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ได้อยากเป็นราชาเทพสักหน่อย”

เขาไม่มีเวลาได้พูด

เทพองค์นั้นพุ่งตรงเข้ามา

เทพจินเยี่ยนไม่อยากบาดเจ็บ ดังนั้นเขาจึงรับมือด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี

การดวลเริ่มขึ้นแล้ว!

พวกเทพมองดูการต่อสู้จนแทบกลั้นหายใจ

มนุษย์แสงยังคงเงียบ ไม่ห้ามปรามอีกฝ่าย

ลั่วปิงหลีลอบชำเลืองมองกู่ฉิงซาน

นางเห็นกู่ฉิงซานเอนกับบัลลังก์ เปลี่ยนเป็นท่วงท่าสบายขณะมองการต่อสู้ จะว่าไป เขาถึงกับนั่งไขว่ห้างด้วยซ้ำ

ชายชรานอนอยู่บนพื้นขณะครวญครางด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกแทงด้วยคทาราชาแห่งความตาย

เขาพยายามควบคุมน้ำเสียงขณะกล่าวว่า

“ท่านอยากรู้ความลับของดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพหรือ”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “แน่นอน ข้ามาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้”

ชายชราจ้องมองกู่ฉิงซาน เขากัดฟันก่อนกล่าวว่า “นานมาแล้วที่เทพนิรันดร์ที่แท้จริงวางแผนจะทำแบบนี้ ทีนี้ท่านกลับทำให้ให้ทุกสิ่งพังทลายจนสิ้นด้วยมือของข้า ข้าจะต้องถูกเทพที่แท้จริงกินหลังจากนั้นแน่นอน”

“อย่ามาพูดเรื่องตายตอนนี้” กู่ฉิงซานกล่าวสั้นๆ

สีชาดคล้ำพุ่งออกมาจากคทาราชาแห่งความตาย พวกมันพัวพันก่อนหลอมรวมเป็นแสงแปลกประหลาดที่กระจายไปทั่วชายชราพร้อมกับคทาอย่างช้าๆ

นี่คือพลังสลายวิญญาณของคทา

คนตายที่ถูกกินโดยคทาราชาแห่งความตายจะเปลี่ยนเป็นสารอาหารเพื่อคทาราชาแห่งความตายเท่านั้น ไม่สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้อีก

คิกๆ

มีเสียงดังมาจากภายในคทาราชาแห่งความตายราวกับกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการกิน

ชายชราถึงกับสั่นสะท้าน

ในฐานะคนตาย เมื่อเผชิญหน้ากับคทาราชาแห่งความตาย เขาไม่สามารถขัดขืนความกลัวในใจได้เลย

ฉับพลันนั้นเอง ชายชราทรุดไปทั้งตัวก่อนร้องไห้เสียงดัง “ข้ามันก็แค่ลูกน้องคนหนึ่ง จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเทพที่แท้จริงจะทำอะไร โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าสามารถเป็นทาสของท่านในอนาคตได้นะ!”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าเห็นแล้วว่าวิญญาณกรีดร้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก”

“หน้าที่ของหลินเต้าโหย่วนั่นก็แค่ถ่วงเวลาข้าเอาไว้ คนที่เริ่มต้นทุกอย่างจริงๆ คือเจ้าที่ได้รับความเชื่อใจจากเบื้องบนให้มาเตรียมทำสิ่งสำคัญเช่นนี้”

“ดังนั้นเจ้าไม่ใช่ลูกน้องหรอก อย่ามาโกหกต่อหน้าข้า”

ชายชราตกตะลึง

“ข้าไม่รับคำขอร้องใดๆ ทั้งนั้น” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ครั้งสุดท้าย บอกข้ามาซะ ไม่งั้นตาย”

จิตสังหารจากตัวเขาหนักอึ้งขึ้น

ชายชราจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายแต่ไม่เห็นอารมณ์ใดๆ ความคิดนับไม่ถ้วนวูบไหวในใจของเขา แต่เขาไม่สามารถหาโอกาสที่จะมีชีวิตรอดได้เลย

เขาถอนหายใจก่อนกล่าวว่า “อย่างแรก บอกข้ามาก่อนว่าท่านพบความจริงได้อย่างไร จากนั้นข้าถึงกล้าที่จะบอกเกี่ยวกับดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพ”

กู่ฉิงซานถามว่า “นี่คิดจะมาต่อรองหรือ”

“ใช่แล้ว ถ้าเหตุผลที่ล้มเหลวในเรื่องนี้เป็นเพราะการตระเตรียมของเทพที่แท้จริงที่มีปัญหา คงไม่ง่ายนักที่จะมากินลูกน้องอย่างข้า” ชายชรากล่าว

“ข้าต้องแน่ใจว่าตัวเองจะรอด ถึงตอนนั้นข้าถึงสามารถบอกสิ่งที่ท่านอยากรู้ได้ ไม่อย่างนั้น ทำไมข้าต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักขณะกล่าวว่า “การแลกเปลี่ยนคือกฎที่ข้ายอมรับ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ข้าสามารถบอกเจ้าได้ แต่ถ้าหลังจากนั้นเจ้าเกิดเสียดายขึ้นมา เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าหายไปตลอดกาล”

“พูดแล้วไม่คืนคำ” ชายชรากล่าว

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ความจริง เรื่องนี้มันเรียบง่ายเกินไป เพราะงั้นข้าถึงพบข้อบกพร่องได้โดยไม่ต้องคิดให้มากความ”

ชายชราอดที่จะถามไม่ได้ “ท่านหมายความว่าอย่างไร”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ

“เพราะข้าเจอคนตอนที่มาโลกนี้ เทพของพวกเจ้ายังอยู่ในโลกย่อยอีกแห่ง เขาพัวพันกับคนของข้าจนไม่สามารถออกมาได้ แต่เขาเกรงว่าข้าจะทำลายสิ่งที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงส่งใครบางคนมาเพื่อมาดักข้าและถ่วงเวลาเอาไว้ชั่วคราว”

“การที่อยากถ่วงเวลาเอาไว้ก็เป็นเพราะอยากให้สิ่งที่ตระเตรียมไว้ในโลกนี้ดำเนินต่อไป”

“หลังจากกำจัดคนที่มาขวางทางแล้ว ข้าถึงตามเจ้าและเซี่ยกูหงมาได้”

“วิธีที่เรียบง่ายที่สุดในการกำจัด: หนึ่งในพวกเจ้าสองคนต้องเตรียมทำบางอย่างเอาไว้ พูดง่ายๆ ก็คือไม่เจ้าเป็นตัวปัญหาก็เซี่ยกูหงที่เป็นตัวปัญหา”

“ข้าเพียงต้องจับตาดูต่อไป”

“เมื่อเจ้าตาย เซี่ยกูหงจึงเป็นตัวปัญหาเดียวที่เหลืออยู่”

“แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ข้าไม่มั่นใจว่าเจ้าตายจริงๆ เจ้าอาจจะแน่นิ่งไปชั่วคราวเพราะคุณลักษณะการฟื้นคืนชีพที่ได้รับมาจกาวิญญาณกรีดร้อง

“ตอนนี้ ถ้าอยากตามหากุญแจของปัญหาก็แค่ทำการคัดกรองอย่างง่ายๆ”

“ด้วยการดูว่าเจ้าตายจริงหรือตายปลอม”

“แน่นอนว่าเจ้าตายปลอม ดังนั้นปัญหาจึงตกมาอยู่ที่การกระทำของเจ้า”

“เจ้าทำสิ่งเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ: เจ้าบอกเซี่ยกูหงว่าดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพมันสำคัญจนถึงขนาดมีผลกับชะตากรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์”

“ในเมื่อเจ้ามีปัญหา ก็มีอีกปัญหาที่เจ้าต้องทำ”

“นั่นก็คือปัญหาเกี่ยวกับดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพ”

กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “หากจะเปรียบเทียบเรื่องนี้ก็เหมือนกับเด็กสร้างบ้านเป็นครอบครัว ข้าจะไม่พูดซ้ำอีกในอนาคต”

ชายชราผมขาวตกตะลึงสักพักใหญ่

เขาครุ่นคิดไปมาจนอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ท่านคือตัวตนจากหุบเหวนิรันดร์งั้นหรือ”

กู่ฉิงซานไม่ตอบ

เสียงของเขาเย็นชาแฝงด้วยความโหดเหี้ยม “ไม่ต้องสนเรื่องตัวตนของข้า ทีนี้ตาเจ้าที่ต้องทำตามข้อแลกเปลี่ยนแล้ว”

“ข้าขอถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจงใจมอบแผ่นหยกหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพให้เซี่ยกูหงสินะ ทำไมทำแบบนี้ล่ะ”

ชายชรามองกู่ฉิงซาน จากนั้นมองคทาราชาแห่งความตาย นึกถึงคำพูดของคนคนนี้ก่อนสีหน้าจะค่อยๆ แย่ลง

ชายชราถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เทพที่แท้จริงต้องการอาวุธ”

“อาวุธหรือ” กู่ฉิงซานถาม

ชายชรากล่าวว่า “ใช่ ข้าไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร แต่เขาต้องการใช้วัตถุดิบล้ำค่าที่สุดในหุบเหวนิรันดร์เพื่อสร้างดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพ สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถึงแม้ดาบสองเล่มนี้จะสามารถนับว่าเป็นดาบจนใช้มันในฐานะดาบได้จริงๆ แต่มันเป็นเพียงองค์ประกอบสำคัญของอาวุธก็เท่านั้น”

กู่ฉิงซานถามว่า “เจ้าขอให้เซี่ยกูหงรวมแผ่นหยกสองแผ่นเข้าไปในดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพก็เพราะแผ่นหยกคือวัตถุดิบในหุบเหวนิรันดร์สินะ”

“ถูกต้อง ท่านตามเรื่องราวทันเหมือนกันนี่” ชายชราถอนหายใจ

“ทำไมวิญญาณกรีดร้องถึงไม่สร้างด้วยตัวเองล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

ชายชราลังเลสักพักก่อนกัดฟันแล้วกล่าวว่า “ดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพต้องหลอมด้วยเทคโนโลยีชั้นยอดเป็นเวลาหลายปีจึงจะเสร็จสิ้น”

“ร่างกายของเทพที่แท้จริงยังหลับใหลอยู่ มีเพียงร่างแยกหนึ่งร่างที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น”

“เป้าหมายของร่างแยกคือการส่งสารอาหารให้ร่างกาย ถึงจะต่อสู้ได้ดีแต่กลับไม่เก่งเรื่องการสร้างอาวุธ”

“ดังนั้น ร่างแยกต้องพึ่งพลังของเผ่าพันธุ์ปัญญาเพื่อสร้างดาบทั้งสองเล่มขึ้นมา”

“ร่างแยกเชื่อว่าผู้ฝึกยุทธอ่อนแอมาก ถึงจะครอบครองปัญญาและทักษะการหลอมอาวุธ แต่พวกเขาไม่ได้มีพิษภัย สุดท้ายจึงได้ตระเตรียมให้พวกเขาทำ”

หลังจากฟังอยู่เงียบๆ กู่ฉิงซานถามว่า “ทำไมร่างกายถึงอยู่ในสภาพหลับลึกล่ะ”

“เรื่องนี้ข้าไม่รู้” ชายชรากล่าว

“ร่างแยกได้บอกไหมว่าทำไมถึงสร้างดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพ” กู่ฉิงซานถามอีก

“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงต้องสร้างอาวุธนั่นให้สำเร็จ” ชายชรากล่าว

กู่ฉิงซานถามอีกคำถามว่า “เจ้าไม่ลองขอความช่วยเหลือดูล่ะ ทำไมถึงไม่หาใครสักคนมาช่วยหลอมดู”

“ทำไม่ได้หรอก” ชายชรายิ้มขมขื่น “เพื่อสร้างดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพ อย่างน้อยกลุ่มอำนาจระดับโลกห้าถึงสิบกลุ่มในสามพันกลุ่มจะต้องร่วมแรงกัน”

ชายชรากล่าวต่อว่า “ถึงแม้กลุ่มอำนาจระดับนั้นจะไม่สามารถเอาชนะร่างแยกได้ แต่ก็ไม่ได้ถูกควบคุมแต่อย่างใด ยังไงเสีย เขาก็เข้าสวรรค์ดึกดำบรรพ์ไม่ได้อยู่แล้ว”

กู่ฉิงซานเกิดสงสัยขึ้นมา “เจ้าบอกว่าไม่สามารถเข้าสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้งั้นหรือ”

“ถูกต้อง สวรรค์ดึกดำบรรพ์ถูกติดตั้งด้วยวิธีป้องกันพิเศษเอาไว้ ทันทีที่เทพที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้น มันจะถูกส่งออกมาทันที”

“แต่เขาสามารถเข้าไปได้ในฐานะผู้ปกครองโลกบรรพกาล” กู่ฉิงซานกล่าว

“แต่ก็อยู่ได้เพียงแค่สักพักเท่านั้น ทันทีที่เวลาหมด เขาก็จะถูกพบจนถูกส่งตัวออกมา” ชายชราผมขาวกล่าว

กู่ฉิงซานประหลาดใจ

ไม่สงสัยเลยว่าผู้ปกครองโลกบรรพกาลถึงได้สังหารราชาเทพในการต่อสู้คราวที่แล้วก่อนจากไปโดยไว

นั่นก็เพราะไม่สามารถอยู่ได้นาน

ชายชรากล่าวต่อว่า “ที่สำคัญไปกว่านั้น ถึงแม้เทพที่แท้จริงจะตระเตรียมวัตถุดิบหลักและวิธีสำหรับสร้างดาบศักดิ์สิทธิ์กับดาบพิภพเอาไว้แล้ว แต่วัตถุดิบอื่นยังไม่ถูกเตรียมเอาไว้”

“วัตถุดิบอื่นหรือ” กู้ฉิงซานถาม

“ใช่ ดาบสองเล่มนี้ต้องใช้พลังทั้งหมดของเทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์ ต้องใช้ทรัพยากรทั้งหมดของสวรรค์ดึกดำบรรพ์และต้องใช้ร่างกายกับวิญญาณของเทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์จึงจะสามารถสร้างได้สำเร็จ” ชายชรากล่าว

กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง “ถ้าเป็นเช่นนี้ เผ่าพันธุ์เทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์คงยอมตายในการต่อสู้ดีกว่ามายอมสร้างดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพแน่ๆ ”

ชายชรากล่าวว่า “ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดคือตั้งสำนักขึ้นมาหลอกพวกมนุษย์”

เมื่อได้ยินดังนี้ กู่ฉิงซานอดที่จะถอนหายใจไม่ได้

“ใช่แล้ว ตอนมนุษย์จมสู่ความสิ้นหวังสุดหยั่ง พวกเขาจะยอมเสียสละทรัพยากรทั้งหมดหรือแม้กระทั่งมอบวิญญาณของตัวเองให้เพื่อไขว่คว้าความหวังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยดาบสองเล่มนี้”

“นี่คือสิ่งที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ยอมสร้างดาบสองเล่มนั้นขึ้นมา”

……………………………….

นี่ไม่ใช่ผลย้อนกลับแม้แต่นิดเดียว!

ผู้ฝึกยุทธแซ่หลินยังไม่ตายสักหน่อย

ในเวลาเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธระดับวงแหวนนภาคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ที่ทางเข้าโลก

เขากำลังอธิบายถึงความยอดเยี่ยมของเทพนิรันดร์ที่แท้จริงให้ฉานนู่ฟัง

แต่เซี่ยกูหงและชายชราผมขาวกลับไม่รู้เรื่องนี้

เซี่ยกูหงและชายชราผมขาวไม่ได้เห็นวิญญาณกรีดร้อง ไม่รู้ว่าหุบเหวนิรันดร์คืออะไร ไม่เคยเห็นการคืนชีพอันไร้ขีดจำกัดของนักพรตหลังจากตายไปแล้ว ดังนั้นต่อให้พวกเขาฝึกฝนจนถึงระดับสูงก็ไม่สามารถหาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เหล่านั้นจากศพได้

ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่ออย่างผิดๆ ว่าผู้ฝึกยุทธแซ่หลินตายแล้ว

ตายเพราะผลย้อนกลับจากกระจกโบราณ

จากนั้น…

ความลับในกระจกโบราณที่ผู้ฝึกยุทธแซ่หลินรู้ทำให้เซี่ยกูหงและชายชราผมขาวได้เห็นว่าต้องแลกด้วยความตายมันคืออะไร

กู่ฉิงซานชำเลืองมองชายชราผมขาว

ไม่มีอะไรผิดปกติ

เขาไม่คล้ายกับรู้อะไรเลย

ถ้าเช่นนี้…

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา “เพื่ออนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลินเต้าโหย่วสละชีวิตของตัวเอง นี่ช่างเป็นแบบอย่างสำหรับรุ่นของพวกเราจริงๆ ”

เซี่ยกูหงและชายชราผมขาวพยักหน้าเห็นด้วย

กู่ฉิงซานถามว่า “เขาพบความลับอะไรล่ะ”

เซี่ยกูหงส่งกระจกทองแดงให้กู่ฉิงซานแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “หลินเต้าโหย่วทำลายผนึกบนกระจกโบราณด้วยชีวิตของตัวเอง หัวหน้าจ้าว ท่านสามารถเข้าไปดูความลับที่อยู่ข้างในด้วยตาของตัวเองได้”

กู่ฉิงซานรับกระจกทองแดงมา

บนหน้าต่างระแบบเทพสงคราม แถวหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นทันที

“ไอเท็ม: กระจกบันทึกแสงและเงา”

“คำอธิบาย: ในยุคโบราณ เผ่าพันธุ์มนุษย์ใช้อุปกรณ์สิ่งนี้เพื่อบันทึกความลับบางอย่าง”

แถวหิ่งห้อยสองแถวหายไป

ในกระจก ภาพเงาเริ่มปรากฏขึ้น

การเกิดเผ่าพันธุ์บรรพกาลเป็นเพียงการเคลื่อนย้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณเท่านั้น

ภายหลัง เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณพบว่าบางสิ่งที่เรียบง่ายสามารถจัดการได้ด้วยสัตว์ประหลาดบรรพกาล นี่จึงทำให้พวกเขาค่อยๆ มีพลังและความสามารถมากขึ้น

จากนั้นมีความลับของการเกิดเทพ

เป็นการทดสอบที่ล้มเหลว

มันคือฮอร์ครักซ์ต่อสู้ประจำตัวจำนวนมากที่มีอายุการเก็บรักษานานผิดปกติ

ความลับของเผ่าพันธุ์บรรพกาลและเทพได้ปรากฏตรงหน้ากู่ฉิงซานแล้ว

ความลับเหล่านี้เป็นความจริงแน่แท้ พวกมันไม่แตกต่างจากที่กู่ฉิงซานรู้มาก่อนหน้านี้เลย

แม้อยู่ภายใต้แสงและเงา ภาพการเก็บเกี่ยวของมนุษย์สองกลุ่มยิ่งมีรายละเอียดและชีวิตชีวามากขึ้น

“หัวหน้าจ้าว ท่านคิดว่าบันทึกในกระจกทองแดงบานนี้เป็นความจริงหรือเปล่า” เซี่ยกูหงถาม

กู่ฉิงซานเผยยิ้มขมขื่นออกมา “เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย”

เซี่ยกูหงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าได้อ่านมันหลายครั้งแล้ว ประกอบกับสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ พบว่าคำตอบนี้คือความจริง”

ชายชราผมขาวถอนหายใจก่อนกล่าวอย่างเศร้าสลดว่า “โชคชะตาของพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์มันน่าอัปยศเกินไปแล้ว”

เซี่ยกูหงและกู่ฉิงซานเงียบ

ชายชราผมขาวหยิบกระดองเต่าออกมาแล้วเริ่มตรวจสอบเส้นกระดองเต่าอย่างละเอียด

เขากล่าวเสียงอ่อน

เซี่ยกูหงถามว่า “เมิ่งเหล่า เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ”

ชายชราผมขาวยังคงหมกมุ่นตอบว่า “นี่คือสมบัติที่ถูกฝังไว้ของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ ต้องมีบางสิ่งที่สามารถช่วยพวกเราเปลี่ยนสภาพที่เป็นอยู่และเปลี่ยนโชคชะตาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้สิ”

ความเศร้าโศกและความมุ่งมั่นเผยบนใบหน้าของเขา “ข้าอยากหาสิ่งนั้นให้เจอ!”

เซี่ยกูหงขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ไม่! เพื่อทำนายคลื่นโกลาหล เจ้าต้องใช้ส่วนหนึ่งของพลังชีวิตในการจ่าย เจ้าอย่าทำแบบนี้เพื่อโชคชะตาของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะดีกว่า!”

ต่อให้ชายชราผู้เป็นยอดนักพรตระดับแสวงโลกาใช้ส่วนหนึ่งของพลังชีวิตก็ไม่สามารถทำนายคลื่นโกลาหลได้

แต่ตอนนี้เขาอยากหาให้ได้ว่าสมบัติที่เปลี่ยนชะตากรรมของมนุษยชาติซ่อนอยู่ที่ใด

ระดับการคำนวณนี้เกินกว่าขอบเขตของดาวฤกษ์หกแฉกทั่วไป มันข้องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทั้งโลก ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ชายชราผมขาวจะสามารถแบกรับได้!

กู่ฉิงซานรีบห้ามขณะกล่าวว่า “เจ้าบ้าไปแล้ว ถ้าเช่นนั้น ต่อให้เจ้าหาสมบัติทรงพลังเจอจริง แต่เจ้าต้องตายอยู่ที่นี่นะ!”

ชายชราผมขาวกล่าวว่า “หัวหน้าจ้าว ท่านไม่ได้วางแผนจะล้างแค้นให้กับสำนักด้วยชีวิตของตัวเองหรอกหรือ”

เซี่ยกูหงกล่าวอย่างวิตกว่า “แต่หัวหน้าจ้าวไม่มีทางเสียสละอย่างไร้ความหมายแน่ เจ้าอย่าทำแบบนี้เลย ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตายนะ!”

“ถ้าข้าสามารถหาทางสู้กับเผ่าพันธุ์เทพและเผ่าพันธุ์บรรพกาลได้ เช่นนั้นข้าก็เต็มใจที่จะตาย อย่ามาห้ามข้า นี่คือทางเลือกสุดท้ายของข้าแล้ว” ชายชราผมขาวกล่าว

‘ตูม!’

สายลมแรงกล้าพัดเข้าใส่ชายชราอย่างรุนแรง ผมและเครายาวสีขาวของเขาปลิวไสวไม่มีสิ้นสุด

เขาทำท่าร่ายวิชาซับซ้อนด้วยมือทั้งสองข้างก่อนกล่าวเสียงดังว่า “จงแผดเผาอายุขัยทั้งหมดของข้าเพื่อคำนวณวิธีเอาชนะศัตรู!”

กระดองเต่าในมือแตกร้าวจนไม่เหลืออะไร

หากเป็นเช่นนี้ แสดงว่าวิชาวัดดาวฤกษ์หกแฉกเสร็จสมบูรณ์แล้ว

ไม่อาจแก้ไขอะไรได้!

ชายชราอยากยกชีวิตของตัวเองให้จริงๆ !

เซี่ยกูหงและกู่ฉิงซานมองหน้ากัน เกิดความรู้สึกเศร้าโศกในใจของทั้งคู่

ชายชราลอยขึ้นในอากาศขณะเหาะไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาอันต่อไป

เขากล่าวเสียงดังว่า “ความลับของสวรรค์อยู่กับข้า ทำให้ข้ารับรู้ได้ถึงสมบัติ!”

“พวกท่านรีบตามมา ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน!”

เซี่ยกูหงและกู่ฉิงซานตามเขาไปทันที

ทั้งสามคนยืนอยู่บนค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาก่อนหายไปจากชั้นนี้ทันที

ชั้นที่สิบเจ็ด

ชั้นที่สิบแปด

ชั้นที่สิบเก้า

ชั้นที่สามสิบสาม!

ในที่สุดชายชราหยุดที่ชั้นนี้

ตอนนี้ ลมหายใจภายในร่างของเขาอ่อนแรงมาก เบ้าตาหดลง ผิวหนังเหี่ยวแห้ง เขากำลังจะตาย

ด้วยการสนับสนุนของเซี่ยกูหงและกู่ฉิงซาน เขาพยายามดิ้นรนเพื่อไปหาสมบัติ

มันคือหินยาวมีม่วงเข้มคล้ำ ความยาวอยู่ที่ราวห้าเมตร

“นั่นแหละ” ชายชรากล่าวด้วยเสียงอันอ่อนแรง

เซี่ยกูหงและกู่ฉิงซานมองหินพร้อมกัน

ชายชราเอื้อมมือไปคว้าหินก่อนออกแรงบีบ

แต่ชายชราคล้ายกับไม่เหลือเรี่ยวแรง ทำให้ไม่สามารถบีบหินก้อนนั้นจนแตกได้

“ข้าเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาออกแรงบีบจนสั่นสะท้านอีกครั้ง

หิวยาวทั้งก้อนกลายเป็นผุยผงจนแหลกละเอียด แผ่นหยกสองแผ่นที่ถูกมันปกคลุมเอาไว้ได้ปรากฏตรงหน้าทั้งสามคน

ชายชรารีบคว้าแผ่นหยกทั้งสองเอาไว้ โลหิตทะลักออกจากปาก

เขาคล้ายกับถึงจุดที่น้ำมันในตะเกียงแห้งเหือดแล้ว

“จ้าวตำหนักเซี่ย…”

ชายชราอ้าปากเรียกอีกฝ่าย

“ข้าอยู่นี่” เซี่ยกูหงกล่าวเสียงต่ำขณะช่วยชายชรา

ชายชราสูดหายใจขณะพยายามรักษาน้ำเสียงเอาไว้ “ข้าพบแล้ว นี่คือวิธีการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพ”

“ดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพหรือ” เซี่ยกูหงถามด้วยความสับสน

“ใช่ ดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพ มีไว้เพื่อฟาดฟันเทพและสัตว์ประหลาดบรรพกาลโดยเฉพาะ”

เมื่อชายชรากล่าวเช่นนี้ โลหิตเริ่มหลั่งออกทั้งเจ็ดรูทวาร แต่เขายังฝืนต่อ

“วัสดุของแผ่นหยกสองแผ่นนี้พิเศษมาก ไม่มีทางหาเจอในโลกได้ การหลอมดาบทั้งสองเล่มต้องใช้แผ่นหยกสองแผ่นนี้รวมเข้ากับตัวดาบจึงจะสมบูรณ์ จำเอาไว้ให้ดี!”

“ข้าจะจำไว้” เซี่ยกูหงกล่าวอย่างจริงจัง

ตอนนี้ ชายชราพลันมีเรี่ยวแรงมากขึ้น สีแดงระเรื่อปรากฏบนใบหน้าของเขา

เซี่ยกูหงและกู่ฉิงซานมองหน้ากัน

ทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจว่าชายชราผู้นี้มาถึงวาระสุดท้ายแล้ว

ชายชราสูดหายใจอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “สัญญากับข้า… ว่าท่านต้องหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพ… เพื่อเปลี่ยนแปลงพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์…”

เขายังไม่ทันกล่าวจบ แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากลำคอแล้ว

เซี่ยกูหงปรี่เข้าไปพูดว่า “อย่ากังวลไปเลย ข้า เซี่ยกูหง จะต้องทำอย่างแน่นอน!”

ชายชราเผยสีหน้าวางใจก่อนปิดปากลงช้าๆ

ศีรษะของเขาพลันตกลง ทั่วทั้งร่างทรุดลงในอ้อมแขนของพวกเขา

เขาตายแล้ว

เซี่ยกูหงและกู่ฉิงซานไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่

พวกเขาเอนอยู่ข้างศพชายชราทั้งซ้ายขวา ในใจรู้สึกหมองหม่นและเศร้าโศก

เป็นเวลาพักใหญ่

เซี่ยกูหงยืนขึ้นก่อน

เขาเก็บแผ่นหยกสองแผ่นอย่างระวังก่อนกล่าวอย่างเปล่าเปลี่ยวว่า “จ้าวสำนักจ้าว ท่านได้เลือกสมบัติหรือยัง”

กู่ฉิงซานตกตะลึงสักพัก

เขาตอบทันทีว่า “ข้ายังไม่ได้เลือก”

เซี่ยกูหงกล่าวว่า “ข้ายังไม่ได้เลือก ตอนนี้ข้าจะเดินลงไปชั้นต่อไป หลังจากเลือกสิ่งที่ต้องการได้แล้ว ข้าจะไปจากที่นี่ทันที”

“จะไปทันทีหรือ” กู่ฉิงซานถาม

เซี่ยกูหงกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “ใช่ ข้าอยากกลับตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อยากเสี่ยงอะไรอีกแล้ว ข้าต้องนำวิธีการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพกลับไปยังเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ได้”

กู่ฉิงซานยังอุ้มร่างของชายชราเอาไว้ก่อนถอนหายใจออกมา “ไปเถอะ ข้าจะอยู่กับเขาอีกสักพัก ไม่ต้องห่วงข้า”

เซี่ยกูหงพยักหน้า เขาประสานมือแล้วกล่าวว่า “รักษาตัวด้วย”

เขาเหาะขึ้นไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาก่อนจากไปทันที

กู่ฉิงซานอยู่ที่นั่นอีกสักพัก

เขาวางร่างของชายชราผมขาวลงกับพื้นอย่างแผ่วเบาขณะกุมมืออีกข้างเอาไว้

“สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ นี่เป็นสิ่งที่กล้าหาญและยิ่งใหญ่นัก”

กู่ฉิงซานพึมพำอย่างแผ่วเบา

เขาคว้าคทาสีดำจากความว่างเปล่าอย่างเงียบงัน

บนคทา หัวกะโหลกมีเขาพลันขยับ

แสงสีแดงเรืองรองจากดวงตาของหัวกะโหลก

ความรู้สึกที่หวาดกลัวและสั่นสะท้านมาเยือนทันที!

ศพบนพื้นคล้ายกับตรวจพบบางสิ่ง วงแสงสีม่วงพลันปรากฏขึ้น

วินาทีต่อมา มันแผ่กลิ่นอายน่าทึ่งออกมาจนคล้ายกับมีชีวิต

นี่คือการเปลี่ยนแปลงแบบสุ่มที่ทำลายพรมแดนของความเป็นความตาย มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ อธิบายไม่ได้และไม่สามารถเข้าใจได้

นี่คือพลังของเทพนิรันดร์ที่แท้จริง!

ทว่า กู่ฉิงซานมีสิ่งนี้อยู่ในมือ

พลังอสนีบาต สะเทือนฝัน!

“สะเทือนฝัน: หลังจากถูกพลังจิตอสนีสัมผัสเข้า สติของอีกฝ่ายจะก่อเกิดความฝันระยะสั้นด้วยพลังอสนีจนเสียการควบคุมร่างกายจนกระทั่งสกิลสิ้นสุดลงเมื่อผ่านไป 5 วินาที”

“คำอธิบาย: นี่คือพลังเหนือธรรมชาติขั้นสูงที่อยู่เหนือการควบคุม มันแข็งกระด้างและแยกตัวออกจากสามวิถีอสนีบาตไม่ได้รับการยกเว้นจากสิ่งมีชีวิตใดๆ”

ชายชราไม่สามารถขยับได้ทันที

แสงสีม่วงบนร่างถูกขัดขวางทันควัน ภายในไม่กี่วินาที มันเปลี่ยนจากคนเป็นสู่คนตายอีกครั้ง

กู่ฉิงซานแทงคทาราชาแห่งความตายเข้าที่หน้าอกของศพอย่างเกรี้ยวกราด

ซากศพแผดเสียงครวญครางออกมาอย่างรุนแรง

มันดิ้นรนทุรนทุราย พยายามที่จะมีชีวิตอีกครั้ง

ขณะดิ้นรนจนผิวม่วงคล้ำ ดาบยาวได้เข้ามาตัดศีรษะของอีกฝ่ายทันที

ชายชรากลายเป็นซากศพอีกครั้ง

ดาบยาวไม่ได้ไปไหน มันยังติดอยู่ที่ลำคอขณะตัดศีรษะอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า

“ถ้ายังขยับอีก ข้าจะใช้คทา” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา

ชั้นสีชาดเรืองรองส่องมาจากคทาราชาแห่งความตาย

ซากศพรู้สึกได้ว่าพลังนิรันดร์กำลังสลายไปเพราะคทา ร่างกายของมันแข็งทื่อ ไม่กล้าทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก

“ช่างน่าทึ่งจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างมีอารมณ์

จิตสังหารเลือนรางค่อยๆ แผ่ออกจากตัวเขา

ชายชราผมขาวสัมผัสได้ถึงจิตสังหารก่อนขอร้องวิงวอนว่า “ไว้ชีวิตข้าด้วย! ไว้ชีวิตข้าด้วย! ข้าไม่อยากตาย!”

“โห” เสียงของกู่ฉิงซานค่อยๆ ดูซุกซนขึ้นมา “เพราะมีชีวิตนิรันดร์ เจ้าจึงสามารถรู้สึกถึงความตายนิรันดร์จากคทาของข้าได้ใช่หรือไม่”

“ใช่ ข้ารู้ นี่คือลมหายใจของหวนคืนชาติภพหกวิถีแห่งยมโลก”

ชายชรากล่าวเช่นนั้นขณะพลันจับคทาราชาแห่งความตายด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อพยายามตอบรับ

แต่มือของเขาระเบิดเป็นหมอกโลหิตทันที ทำให้ทั้งร่างส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมา

นี่คือคทาราชาแห่งความตาย หนึ่งในสัญลักษณ์ของสามอำนาจสูงสุดของยมโลก คนตายที่ต่ำต้อยเช่นนี้คู่ควรที่จะสัมผัสมันได้อย่างไร

กู่ฉิงซานถือคทาเอาไว้ ศีรษะก้มต่ำขณะจ้องมองคนตายตรงหน้าอย่างเงียบงัน

“อยากมีชีวิตงั้นหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ใช่” ชายชราผมขาวพยักหน้า

ความจริง ถ้าเขาไม่โลภในชีวิตนิรันดร์แล้วจะทรยศต่ออดีตตัวเองไปเพื่ออะไร

“อยากมีชีวิตสินะ ดีมาก”

กู่ฉิงซานหมุนคทาอย่างแผ่วเบา

ชายชราถูกแทงโดยคทาตรงหน้าอกก่อนรู้สึกถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสยิ่งทันที

“อ๊ากกกกก! ยกโทษให้ข้าด้วย ได้โปรด ท่านอยากทำอะไรกับข้าก็ได้ทั้งนั้น!” ชายชรากล่าวเสียงดัง

กู่ฉิงซานหยุดขยับมือ เขาจึงโล่งใจเล็กน้อย

“ในความเห็นของเซี่ยกูหง ความตายของหลินเต้าโหย่วเป็นเรื่องจริง ข้อมูลในกระจกเป็นของจริง แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถพบข้อบกพร่องในความถูกต้องของข้อมูลได้ เช่นนั้นความตายของเจ้าก็ยังเป็นเรื่องจริง”

“ไม่สงสัยเลยว่าเซี่ยกูหงถึงสามารถหาแผ่นหยกมาหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพได้ เขาพยายามสุดความสามารถที่จะหลอมดาบทั้งสองเล่มในวันข้างหน้า…”

“ไม่สงสัยเลยว่าตลอดเวลา เผ่าพันธุ์บรรพกาลไม่หยุดเผ่าพันธุ์มนุษย์จากการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพ”

“ตลอดเวลาหรือ” ชายชราผมขาวไม่เข้าใจ

กู่ฉิงซานส่ายหน้า

น้ำเสียงของเขาค่อยๆ ต่ำลงและลุ่มลึกขึ้น “เอาล่ะ ช่วยบอกข้ามาทีสิ ดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพนั่นมันคืออะไรกันแน่”

…………………………..

กู่ฉิงซานยืนอยู่หน้าวิหารเต๋าก่อนเงยหน้าขึ้นมอง

กำแพงของวิหารเต๋าสูงเสียดฟ้า มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ตามระบบย่อยของโลกใบนี้ วิหารเต๋าคือสถานที่รวบรวมวิชาฝึกฝนและคลังสมบัติอาวุธในยุคโบราณ

แม้โลกจะเป็นเช่นนี้ แต่เพราะมันอยู่ภายใต้การควบคุมของเผ่าพันธุ์บรรพกาล มันจึงไม่เคยถูกแตะต้องโดยผู้ฝึกยุทธมนุษย์มาก่อน

ไม่เคยเลย

ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเผ่าพันธุ์บรรพกาลแล้ว แต่กลายเป็นอยู่ในมือของร่างแยกของวิญญาณกรีดร้องเสียเอง

หากวัดตามพละกำลัง ร่างแยกของวิญญาณกรีดร้องไร้เทียมทานยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์บรรพกาล สามารถสังหารเทพได้ราวกับหมูหมา

แต่มันกลับปล่อยให้พวกเซี่ยกูหงเข้ามาที่นี่ได้

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเริ่มลงมือทันที

เขาแนบมือกับประตูของวิหารเต๋า

จากนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นจากประตู

“ยินดีต้อนรับ สามัญชนมนุษย์ เจ้าหนุ่มน้อย”

“มีมรดกและสมบัติวิญญาณจำนวนมากถูกเก็บไว้ในฝั่งพื้นเมือง มีทั้งสิ้นสามสิบหกชั้น แต่ละชั้นเต็มไปด้วยสมบัติและวิชาหายากนับไม่ถ้วน”

“โปรดจำไว้ว่าสามารถเลือกสมบัติได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”

“สมบัติบางชิ้นมีผลย้อนกลับในระดับหนึ่ง สมบัติบางชิ้นจะเลือกเจ้าของเอง มีหลายหลากสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้”

“จงระวังให้ดีและจำให้ขึ้นใจ”

‘ครืน!’

ประตูเปิดออกทั้งสองด้าน

กู่ฉิงซานกวาดตามองวิหารเต๋า

ชั้นแรกของวิหารเต๋าว่างเปล่า มีเพียงค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาที่ถูกเตรียมไว้ใจกลางของลาน

จิตของกู่ฉิงซานขยับ

นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาระยะสั้น

ค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาระยะสั้นเป็นค่ายกลที่เรียบง่ายที่สุด แม้กระทั่งค่ายกลของยุคโบราณเช่นนี้ก็แทบไม่แตกต่างจากยุคหลังเท่าไหร่นัก

ร่องหินวิญญาณของค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาเต็มไปด้วยหินวิญญาณ พวกมันอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานทุกเมื่อ

แต่ก่อนกู่ฉิงซานเป็นนักสร้างค่ายกลชั้นยอด ตอนนี้ เขาเดินรอบค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาขณะสัมผัสสภาพของหินวิญญาณแต่ละก้อนอย่างละเอียด

พลังวิญญาณที่อยู่ในหินวิญญาณเหล่านี้มหาศาล ทำให้เกิดการไหลของกระแสวิญญาณที่นุ่มนวลและสมดุล

รอบค่ายกล ผลพวงของพลังวิญญาณที่ว่างเปล่าสูญสลายเบาบางไปมาก แต่ยังมีความผันผวนทางวิญญาณเล็กน้อยยิ่งหลงเหลืออยู่ในความว่างเปล่า

…ครึ่งชั่วโมงก่อน

ตัดสินจากความรุนแรงของความผันผวนนี้ ค่ายกลถูกใช้งานครั้งล่าสุดเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน

ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นพวกเซี่ยกูหงอย่างแน่นอน

กู่ฉิงซานกระโดดเข้าไปในค่ายกล

‘วิ้ง!’

ค่ายกลทำงานทันทีก่อนพากู่ฉิงซานออกจากชั้นนี้ในพริบตา

ชั้นที่สอง

กู่ฉิงซานปรากฏขึ้นบนแท่นสูง

เขามองฉากตรงหน้าก่อนตกตะลึงเล็กน้อย

ใต้แท่นสูงคือกองโลหะกว้างใหญ่ที่ส่องแสงเป็นประกาย

อาวุธและเกราะนานาชนิดกองสุมรวมกันชั้นแล้วชั้นเล่า พวกมันมีจำนวนนับไม่ถ้วน

ขณะมองรอบข้าง ไม่มีทางมองเห็นได้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้กองสุมลึกแค่ไหน

ต่อให้ใช้สายตาของกู่ฉิงซานมอง เขาก็มองเห็นเพียงว่ามีแท่นสูงอีกแห่งอยู่ไกลออกไป

กู่ฉิงซานกระโดดออกจากแท่นสูงก่อนเริ่มหดตัวทันที!

เขาไม่อยากมอง “กอง” เหล่านี้ที่เต็มไปด้วยสมบัติแม้แต่นิดเดียว

มีชายร่างกำยำรออยู่ที่ทางเข้าโลกเพื่อพยายามรั้งตัวเขาเอาไว้

ถ้าเป็นอย่างนั้น กู่ฉิงซานจึงตัดสินใจที่จะถ่วงเวลาด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง!

ในวินาทีต่อมา กู่ฉิงซานข้ามกองอาวุธกว้างใหญ่แห่งนี้จนมาถึงแท่นสูงอีกแห่ง

ยังเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาเหมือนเดิม

ร่องบนค่ายกลยังเต็มไปด้วยหินวิญญาณ

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในนั้นก่อนถูกส่งตัวไปทันที

เขาออกจากชั้นที่สองก่อนมาถึงชั้นที่สาม

ชั้นนี้แตกต่างจากชั้นก่อนหน้า

ใต้แท่นสูง มียันต์จำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่อย่างเงียบงัน

กลิ่นอายธาตุทั้งห้าหลากสีสันที่สอดประสานกันปรากฏขึ้นบนยันต์วิเศษธาตุทั้งห้า

ยันต์ที่ได้รับพลังไม่เผยกลิ่นอาย แต่มีอักขระจำนวนมากห้อมล้อมยันต์เอาไว้ขณะยังปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง

ยันต์ระดับมิติรวมตัวเข้าด้วยกัน มิติบิดเบี้ยวก่อตัวขึ้น

มียันต์ลึกลับซับซ้อนอยู่อีกจำนวนมาก แต่ละใบอยู่ตามมุมต่างๆ อย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานเพียงชำเลืองมอง ไม่ขยับไปไหน

เขาพบแท่นสูงที่นำไปสู่ชั้นต่อไปอย่างรวดเร็วก่อนเริ่มหดตัวอีกครั้งแล้วเคลื่อนไหวทันที

ชั้นที่สี่

เมฆหมอกปกคลุมรอบข้าง

ใต้แท่นสูงล้วนเป็นตำราการฝึกฝนโบราณ

ตำราหายากเหล่านี้ไม่ซับซ้อน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องส่งต่อภาพและความคิดแต่อย่างใด เพียงแค่เขียนลงไปในตำราก็พอ

กู่ฉิงซานรู้ว่าต้องมีวิชาดาบอยู่ในนี้แน่ๆ

ถึงแม้จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวิชาดาบลับในยุคโบราณ แต่ทุกกระบวนท่าล้วนเป็นวิชาดาบที่สั่นสะท้านปฐพี

จากมุมมองของการพัฒนาวิชาดาบ ผู้ฝึกฝนรุ่นหลังไม่ได้มีการฝึกฝนที่สูงและขาดพลังวิญญาณ พวกเขาต้องใช้สมองเพื่อหาทางรวบรวมพละกำลังทั้งหมดไว้ที่วิชาดาบเดียวแล้วระเบิดการโจมตีที่ทรงพลังยิ่งออกมา

นี่คือเส้นทางการเกิดของวิชาดาบลับ

ความจริง จากมุมมองของการพัฒนาวิชาดาบเพียงอย่างเดียว นี่สามารถนับว่าเป็นการพัฒนาไปหนึ่งขั้นได้แล้ว

หากมอบวิชาดาบลับให้กับผู้ใช้วิชาดาบโบราณล่ะก็

ภายใต้พรของรากฐานการฝึกฝนอันยอดเยี่ยมและพลังวิญญาณอันสูงส่ง วิชาดาบลับจะยิ่งสำแดงพลังที่น่าทึ่งยิ่งกว่าออกมา

กู่ฉิงซานลังเลสักพัก แต่เขาทิ้งโอกาสที่จะเลือกวิชาเหล่านั้นทันที

ตอนนี้มีสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่ต้องทำให้เสร็จ!

ร่างของเขาวูบไหวก่อนกระโดดขึ้นแท่นสูงเพื่อนำไปสู่ชั้นต่อไป

ชั้นที่ห้า

พลังวิญญาณรวมตัวเป็นสายธารขณะห้อมล้อมเกาะสีเขียวเอาไว้

นี่คือเกาะวิญญาณโบราณ เต็มไปด้วยบุปผาแปลกใหม่หายากหลากชนิด

จิตวิญญาณของกู่ฉิงซานกวาดออกไป เขาไม่พบทั้งเสียงและเงาของเซี่ยกูหง ดังนั้นเขาจึงกระโดดขึ้นแท่นสูงอีกครั้งเพื่อนำไปสู่ชั้นต่อไป

แน่นอนว่าร่องของค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตาเต็มไปด้วยหินวิญญาณแล้ว

กู่ฉิงซานเปิดใช้งานค่ายกลก่อนออกจากชั้นนี้ไป

ชั้นที่หก

วัตถุดิบบริสุทธิ์แสนล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่กลางอากาศ

ชั้นที่เจ็ด

ที่นี่เต็มไปด้วยอาวุธ ชุดและเครื่องประดับวิเศษขนาดเล็ก อาทิ ตุ้มหู ยางรัดผม จี้หยกและของชิ้นเล็กอื่นๆ อีกมาย

ชั้นที่แปด

นับจากชั้นนี้ไป ของน้อยลงมาก

กู่ฉิงซานชำเลืองมองกระดองเต่าที่ใจกลางลาน

กระดองเต่าแผ่ความผันผวนที่ไม่สามารถอธิบายได้ออกมา แม้กระทั่งกลุ่มแสงสีเทาก็ยังปรากฏออกมาก่อนลอยขึ้นท้องนภาในแนวตั้ง

นี่คือสมบัติชิ้นต้นๆ ของการทำนาย ด้วยสัมผัสวิญญาณของกู่ฉิงซาน ภาพเลือนรางสามารถสัมผัสได้จากด้านบน

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

ถึงแม้เขาจะไม่เคยฝึกฝนดาวฤกษ์หกแฉกมาก่อน แต่ด้วยชิ้นส่วนกระดองเต่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยเต้าหลิงหรือฉินเสี่ยวหลัวจากสำนักร้อยบุปผาก็ย่อมสามารถเทียบเคียงกับเทพได้เป็นเวลาหลายร้อยปี

กู่ฉิงซานพลันครุ่นคิดถึงอีกคำถาม

หรือเพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์จากยุคโบราณรู้มากเกินไปถึงได้รีบจากไปหรือเปล่า

ขณะส่ายหน้า กู่ฉิงซานไม่คิดอะไรอีก

ขณะร่างวูบไหว เข้าขึ้นสู่แท่นสูงเพื่อมุ่งสู่ชั้นต่อไปก่อนใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อออกไปจากชั้นนี้ทันที

ชั้นที่เก้า

หมอกจุดแสงลอยอยู่กลางอากาศคล้ายหิ่งห้อยอยู่ใต้แท่นสูง

กู่ฉิงซานมองฉากนี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

นี่คือวิธีการมอบวิญญาณในยุคโบราณเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังวิเศษเจิดจ้าก่อนก่อตัวเป็นจุดแสงขึ้นมา

ถ้าอยากใช้มัน จงเก็บจุดแสงแล้วปลดปล่อยลงไปในภาชนะบางอย่าง

พลังวิเศษแก่กล้าบางอย่างที่สามารถย้ายขุนเขาและเติมเต็มทะเลได้ถูกถ่ายโอนจากมือของนักพรตที่ตายไปแล้วด้วยวิธีนี้

แต่วิธีนี้ได้สูญหายไปแล้ว

กู่ฉิงซานไม่มีเวลาสำรวจความลับของวิญญาณและแสงอันเจิดจ้านี้

เขาจากไปอีกครั้ง

ชั้นที่สิบ

ที่ชั้นนี้ มีสมบัติน้อยมาก แต่ระดับความหายากเริ่มเพิ่มมากขึ้น

กู่ฉิงซานไม่มองสมบัติเหล่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความคิดที่ไม่อาจควบคุมได้

เขาเหาะขึ้นแท่นสูงที่นำไปสู่ชั้นต่อไป

ค่ายกลเคลื่อนย้ายพริบตายังเต็มไปด้วยหินวิญญาณ

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

ด้วยสมบัติมากขนาดนี้ เซี่ยกูหงไม่แม้แต่จะเหลียวแล

แล้วเซี่ยกูหงมาทำอะไรที่นี่กันล่ะ

แสงของค่ายกลวูบไหว

กู่ฉิงซานหายไปจากชั้นนี้

ชั้นที่สิบเอ็ด

เกราะสามสิบชุดถูกวางบนชั้นนี้

ถึงแม้พวกมันจะไม่ถูกสวมบนร่างกาย แต่ต่อให้ถูกวางอยู่ที่นี่อย่างเงียบงัน เกราะเหล่านี้ยังเต็มไปด้วยพลังและความงดงามจนผู้คนอดที่จะอยากเลือกนำออกไปไม่ได้

กู่ฉิงซานเบือนศีรษะแล้วจากไป

ชั้นที่สิบสอง

ยาเม็ดมากกว่ายี่สิบเม็ดกลิ้งไปมาอยู่บนแท่นสูง

พวกมันมีชีวิตและปัญญา อย่าว่าแต่กินเข้าไปเลย แค่พกติดตัวไปด้วยก็สามารถเป็นประโยชน์กับนักพรตได้อย่างมหาศาล

ชั้นที่สิบสาม

แผ่นค่ายกลสิบแปดแผ่นลอยอย่างเงียบงัน ภาพจำนวนมากยังคงปรากฏในความว่างเปล่าที่แผ่นค่ายกลถูกตั้งเอาไว้

กู่ฉิงซานรู้สึกกังวลเล็กน้อย

ทำไมถึงไม่มีเบาะแสเลยล่ะ เซี่ยกูหงไปถึงชั้นไหนแล้ว

ชั้นที่สิบสี่

การ์ดวิเศษอัญเชิญสัตว์ร้ายวิญญาณจำนวนมากถูกวางไว้ที่ชั้นนี้

กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จากยุคโบราณมั่นใจได้อย่างว่าสัตว์ร้ายวิญญาณเหล่านี้จะอยู่รอดจนมาถึงทุกวันนี้

เวลาใกล้จะหมดลงแล้ว เขาไม่มีเวลามาตรวจสอบสิ่งที่วิเศษเช่นนี้

ชั้นที่สิบห้า

แผ่นหยกจำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศ

โทเค่นเหล่านั้นสามารถเปิดถ้ำบางแห่งในยุคโบราณได้

กู่ฉิงซานเกือบถูกดึงดูดเข้าให้

แต่ก็ยังหาเซี่ยกูหงไม่เจอ

เขายังคงไปต่อ

ชั้นที่สิบหก

“หัวหน้าจ้าว ท่านก็มาที่นี่เหมือนกันสินะ”

เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น

จิตของกู่ฉิงซานขยับ

เขาเห็นเซี่ยกูหงและชายชราผมขาวยืนอยู่หน้าแถวแผ่นหยก

ทั้งสองหันศีรษะมามองเขาพร้อมกัน

กู่ฉิงซานสังเกตเห็นว่าเซี่ยกูหงกำลังถือกระจกทองแดงเอาไว้ในมือ

กระจก…ทองแดงหรือ

กู่ฉิงซานสาวเท้าก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “คาดไม่ถึง ที่นี่คือสมบัติมรดกของพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ ท่านเซี่ย ท่านเลือกกระจกทองแดงบานนี้หรือ”

เซี่ยกูหงกล่าวว่า “นี่คือสมบัติที่ถูกทิ้งไว้ก่อนหลินเต้าโหย่วตาย”

หลินเต้าโหย่วคือชายร่างกำยำ

“หลินเต้าโหย่วตายแล้วหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความประหลาดใจ

ชายชราผมขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า “หลินเต้าโหย่วเลือกกระจกทองแดงบานนี้ แต่เมื่อใช้มัน เขาตายเพราะผลย้อนกลับ”

“ตายเพราะผลย้อนกลับ…” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ

เซี่ยกูหงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว เพื่อสำรวจความจริงเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์บรรพกาลและเทพ หลินเต้าโหย่วจึงยอมจ่ายด้วยชีวิตตัวเอง”

……………………………….

หลังจากได้ยินคำอธิบายของเสียงนี้ กู่ฉิงซานนึกถึงเทพวารีที่กำลังหลับใหลอยู่ทันที

นางไม่ได้ควบคุมโลกใบนี้ เพราะอย่างนั้นโลกถึงได้เริ่มมาตรการป้องกันเช่นนี้ขึ้นมาหรือ

กู่ฉิงซานอดที่จะรู้สึกปวดหัวไม่ได้

เขาถามว่า “แล้วถ้าข้าไม่ใช่มนุษย์ล่ะ”

“ท่านเพียงต้องพิสูจน์ตัวตนมนุษย์จึงจะเข้ามาได้”

“สัตว์ประหลาดบรรพกาลและเทพเข้ามาได้หรือไม่”

“ท่านเพียงต้องพิสูจน์ตัวตนมนุษย์จึงจะเข้ามาได้”

“…ก็ได้”

กู่ฉิงซานก้าวขึ้นบนวงแหวนก่อนยืนนิ่งๆ

คลื่นที่มองไม่เห็นกวาดทั่วร่างกายของเขา

“ยินดีต้อนรับ นักพรตผู้ใช้วิชาเยือกแข็งแห่งวิญญาณวารี ตัวตนมนุษย์ของท่านได้รับการยืนยันแล้ว ทำให้สามารถตอบคำถามได้”

“หากท่านไม่ใช่มนุษย์ ท่านจะถูกขับไล่โดยกฎเกณฑ์แห่งมิติ ทำให้ไม่สามารถเข้าโลกระบบนี้ได้อีก”

“โปรดเข้าสู่โลกนี้ด้วย”

‘ฟรึ่บ’

แรงดึงขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นมา

กู่ฉิงซานเพียงรู้สึกว่าเขาถูกลากเข้าสู่ความว่างเปล่า

สายลมพัดเอื่อยๆ

โลกกว้างและรกร้าง

กลิ่นอายอบอวลทั้งสวรรค์และปฐพี

สัตว์ร้ายจำนวนมากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในหุบเขา

ไม่มีผู้คนอยู่ในดินแดนกว้างใหญ่

ที่สุดขอบสายตามีวิหารเต๋าโอ่อ่าตั้งอยู่หลังแล้วหลังเล่า

กู่ฉิงซานเหาะขึ้นสู่ท้องนภาสีครามขณะมองวิหารเต๋า

ม่านแสงสีขาวโปร่งแสงปิดทางเขาเอาไว้ ป้องกันไม่ให้เข้าโลกในตอนนี้

เสียงดังขึ้นอีกครั้ง “โปรดเข้าวิหารเต๋าเพื่อสำรวจวิถีฝึกฝนของยุคโบราณกับคลังอาวุธ”

กู่ฉิงซานยิ้มแห่งออกมา

เซี่ยกูหงเคยรวบรวมวิชาดาบชั่วชีวิตเอาไว้ในแผ่นหยกขนาดใหญ่ก่อนส่งต่อให้ตัวเอง

น่าเสียดายที่ช่วงนี้เขาไม่มีเวลาทำการฝึกฝน

ในเมื่อเขาไม่เชี่ยวชาญวิชาดาบนี้ แล้วจะทำการฝึกฝนวิชาวิเศษของยุคโบราณได้อย่างไร

แต่ถ้ามันไปได้สวยในระยะเวลาหนึ่งก็สามารถนำอาวุธบางชิ้นออกไปได้ก่อนแล้วค่อยทำการเรียนรู้อย่างช้าๆ ในภายหลัง

เขาพลันรู้สึกถึงบางสิ่งขณะมองลงไปที่หุบเขารอบข้าง

นักพรตคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น

ชายร่างกำยำผู้มากับเซี่ยกูหงนั่นเอง

เขาไม่สวมเสื้อขณะถือคทายาวเอาไว้ราวกับกำลังรอบางสิ่ง

ม่านแสงค่อยๆ หายไป

กู่ฉิงซานแสดงตัวออกมา

ชายร่างกำยำพบกู่ฉิงซานทันที

“หัวหน้าจ้าว”

ชายร่างกำยำประสานมือ

ชื่อของคนคนนี้ผุดขึ้นในใจของกู่ฉิงซานก่อนประสานมือกลับแล้วกล่าวว่า “หลินเต้าโหย่ว เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

ชายร่างกำยำกล่าวด้วยสีหน้าขอโทษออกมาว่า “ข้ากำลังรอท่านอยู่”

“รอข้าหรือ”

“ใช่ หลังจากท่านเข้าโลกใบนี้มา ข้าก็ได้รับข่าว นายท่านบอกว่าหากท่านปรากฏตัวที่นี่ ข้าจะต้องเป็นคนมาหยุดและฆ่าท่าน”

กู่ฉิงซานเงียบแล้วพลันยิ้มออกมา “เจ้ากับข้าล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับวงแหวนนภา เจ้าคิดว่าจะฆ่าข้าได้หรือ”

ชายร่างกำยำชูคทายาวก่อนวางพาดไว้บนไหล่แล้วกล่าวว่า “เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งเล็กจ้อยและถ่อมตน ไม่ยากนักที่จะฆ่าทิ้ง”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “เผ่าพันธุ์มนุษย์…เจ้าเองก็มาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ พูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร”

เขาไม่คิดที่จะมาเสียเวลา มือถือมีดเยือกแข็งเอาไว้ขณะกวัดแกว่งคมดาบเยือกแข็งหลายสิบสายออกไป

ชายร่างกำยำโยนคทายาวออกก่อนเผยรอยยิ้มกว้างออกมา “หัวหน้าจ้าว ท่านไม่รู้ถึงความงามของความนิรันดร์แม้แต่นิดเดียว ข้าจะให้ท่านได้เห็นเดี๋ยวนี้แหละ”

แสงยาวสีม่วงเข้มพุ่งออกจากชายคนนั้น ก่อตัวเป็นรูรับแสงที่ปิดสนิท

ชายร่างกำยำอ้าแขนออก ปล่อยให้คมดาบสีขาวเยือกแข็งฟันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

เพียงพริบตา ทั่วร่างของเขาถูกฟันจนกลายเป็นหมอกโลหิตสดใส

กู่ฉิงซานเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

ไม่ขัดขืนเลยหรือ

เขาหยิบมีดเยือกแข็งขึ้นมาทันที

แต่เขาเห็นว่าหมอกโลหิตไม่จางหายไป มันบิดเบี้ยวในอากาศสักพักก่อนพลันกลายเป็นชายร่างกำยำอีกครั้ง

เขาปรากฏตัวต่อหน้ากู่ฉิงซานในสภาพที่สมบูรณ์

“นี่เจ้าเป็นตัวบ้าอะไรกันแน่” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

ชายร่างกำยำกุมแขนก่อนยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย “ข้าคือมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเหมือนกับท่าน แต่ข้ามีพลังนิรันดร์อยู่กับตัว”

“หัวหน้าจ้าว สำนักของท่านถูกทำลายจนสิ้น ข้าคิดว่าตัวท่านน่าสงสารนัก หากมาเข้าร่วมกับพวกข้า ท่านก็จะเป็นอมตะเช่นกัน”

หัวใจของกู่ฉิงซานสั่นสะท้าน

ตอนวงแสงสีม่วงปรากฏขึ้นบนร่างของชายกำยำ เขาก็เกิดเข้าใจขึ้นมา

ชายร่างกำยำแซ่หลินคนนี้ไปหลบภัยอยู่ในหุบเหวนิรันดร์ของวิญญาณกรีดร้องผู้เป็นเทพที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงกลัว

วงแสงสีม่วงคือสิ่งที่กู่ฉิงซานเคยเห็นตอนเขาพาแบร์รี่และเสี่ยวเมียวกลับโลกเดิม

สิ่งนั้นมาจากเผ่าพันธุ์เทพ!

พวกมันสังหารผู้พิทักษ์ของเก้าคฤหาสน์

โชคยังดี แบร์รี่และเสี่ยวเมียวมาถึงโลกเดิมพร้อมกันในฐานะแขก พวกเขาจึงได้บังเอิญปะทะกันซึ่งๆ หน้า

ความเข้าใจในสุราของเสี่ยวเมียวยังตราตรึงใจเขาไม่หาย

แต่วงแสงสีม่วงนี้ก็ยังปรากฏขึ้นกับพวกเขา

ตามที่เสี่ยวเมียวว่า หลังจากคนเหล่านี้ถูกสังหาร วิญญาณของพวกเขาจะไม่ตาย พวกเขาจะกลับคืนสู่สถานที่หนึ่งเพื่อเปลี่ยนร่างก่อนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

แต่ชายร่างกำยำตรงหน้าเขาคล้ายกับทรงพลังยิ่งกว่าคนเหล่านั้น เขาสามารถฟื้นคืนได้ทันทีเมื่อตาย

หากเป็นเช่นนี้…

ถ้าไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ก็จะต้องติดอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์

ทันทีที่พลังของเทพถูกใช้ เป็นไปได้สูงที่จะถูกโลกค้นพบก่อนถูกขับไล่ออกมา

แบบนี้ก็เป็นปัญหาน่ะสิ

“หัวหน้าจ้าว ท่านเอาชนะข้าไม่ได้หรอก ยอมฟังผลประโยชน์ที่พวกข้าจะมอบให้ดีกว่า จากนั้นค่อยมาตัดสินใจกัน” ชายร่างกำยำกล่าวขณะกอดอก

กู่ฉิงซานตะโกนด้วยความไม่อยากเชื่อ “ร่างอมตะอะไรกัน ข้าไม่เชื่อหรอก! เมื่อครู่ข้าแค่ไม่ได้พยายามสุดความสามารถก็เท่านั้นเอง!”

เขาตวัดมือเยือกแข็ง ประกายดาบเย็นยะเยือกทรงพลังพุ่งออกไป

ชายร่างกำยำส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “จะโจมตีแบบไหนก็เปล่าประโยชน์ ข้าจะให้ได้เห็นอีกครั้งด้วยตาของท่านเอง”

เขาไม่ขัดขืนแม้แต่นิดเดียวขณะเดินเข้าหาประกายดาบเย็นยะเยือก

นี่คือการโจมตีสุดกำลังของนักพรตระดับวงแหวนนภา แต่ชายร่างกำยำกลับไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย

เขาถูกฟันเป็นก้อนโลหิตทันที

จังหวะนี้แหละ!

ทันทีที่สีหน้าของกู่ฉิงซานสงบนิ่ง เงาดาบนับไม่ถ้วนในดวงตาก็พุ่งออกไป

ชื่อสกิล เนตรเชือดเฉือนวิญญาณ!

เพียงพริบตา หมอกโลหิตหายไปจากโลกใบนี้

เนตรเชือดเฉือนวิญญาณสามารถสร้างโลกชั่วคราวจากอากาศธาตุได้ หมอกโลหิตจะถูกส่งไปในโลกใบนั้นเพื่อเจอกับการโจมตีสุดกำลังของกู่ฉิงซาน

ในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานใช้สกิลวิเศษเพื่อลดขนาดของมันทันที!

การลดขนาดให้เหลือเพียงหนึ่งนิ้วสามารถเข้าถึงสถานที่ที่ปกคลุมไปด้วยจิตวิญญาณของเขาได้โดยตรง

เพราะเป็นยอดนักพรตระดับวงแหวนนภา วิญญาณของเขาจึงปกคลุมโลกไปเกือบครึ่งส่วน

เพียงพริบตา เขาหายไป

เวลาสั่นไหว

หมอกโลหิตปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายร่างกำยำปรากฏขึ้นมาอย่างช้าๆ อีกครา

สีหน้าของเขาประหลาดใจเล็กน้อยขณะกล่าวชื่นชม “ไม่คิดเลยว่าหัวหน้าจ้าวจะซ่อนพลังวิเศษที่เป็นวิชาเนตรหายากเช่นนี้จนถึงกับสามารถสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาได้ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถฆ่าข้าได้”

จ้าวอู๋จงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นอมตะจริงๆ ”

ชายร่างกำยำถามว่า “หัวหน้าจ้าว ท่านยังอยากจะสู้อีกหรือไม่”

จ้าวอู๋จงเงียบ

จิตของเขาเดินทางไปหลายพันไมล์ก่อนถามว่า “นายท่าน ข้าควรทำอย่างไรดี”

กู่ฉิงซานตอบว่า “ในเมื่อเขาจะถ่วงเวลา เจ้าก็ไม่ต้องทำอะไร คุยกับเขาแล้วดูว่าจะได้ข้อมูลอะไรมาหรือเปล่า”

“…นายท่าน…ข้าไม่รู้วิธีคุยกับคนแปลกหน้า”

“เป็นอะไรไป เจ้าสามารถใช้สกิลของข้าได้ แค่ใช้สกิลการแสดงของข้าก็พอ”

“เข้าใจแล้ว แล้วนายท่านล่ะ” จ้าวอู๋จงถาม

“ข้าจะไปวิหารเต๋าเพื่อสำรวจและดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยกูหง” กู่ฉิงซานกล่าว

“เข้าใจแล้ว นายท่าน”

ฉานนู่รับคำของกู่ฉิงซาน นางมองชายร่างกำยำก่อนกล่าวอย่างลังเลว่า “ข้าจะได้พลังแบบเจ้ามาได้อย่างไร”

ชายร่างกำยำตกตะลึงก่อนถามอย่างยินดีว่า “หัวหน้าจ้าวตัดสินใจได้แล้วหรือ”

“ช้าก่อน ข้าแค่ถามเพราะที่เจ้าพูดมามันคลุมเครือ”

จ้าวอู๋จงดูไม่มั่นใจ

ชายร่างกำยำกล่าวอย่างมีความสุขว่า “รอสักครู่ ข้าจะถามมหาเทพที่แท้จริงให้ว่าเต็มใจจะรับท่านเป็นสาวกหรือไม่”

เขาประสานมือก่อนเริ่มพูดพึมพำ

จ้าวอู๋จงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่คิดจะโจมตีแต่อย่างใด

ผ่านไปสักพัก

ชายร่างกำยำค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น

ความจริงแล้ว ถ้าจะถ่วงเวลาก็สามารถทำแบบนี้นานเท่าไหร่ก็ได้

แต่สถานการณ์คล้ายกับต่างไปจากที่เขาคิดเอาไว้

คนแซ่จ้าวดูวิตกเล็กน้อย แต่ในแววตาดูมีความกระตือรือร้นและความร้อนรน

นี่ตัดสินใจจะย้ายมาจริงๆ หรือ

สถานะของจ้าวอู๋จงในโลกวิญญาณนับว่าสูงนักจนเทพที่แท้จริงเห็นค่าก่อนสั่งให้เขามาหยุดอีกฝ่าย

มันจะไม่ใช่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่หรือที่ได้คนแบบนั้นมานับถือเทพที่แท้จริง

ถ้าเป็นแบบนั้น…

ชายร่างกำยำสลัดความคิดว้าวุ่นออกไปจากหัวใจก่อนเข้าสู่สภาวะทำสมาธิอย่างแท้จริงเพื่อทำตามประสงค์ของเทพนิรันดร์

ผ่านไปสักพัก

ชายร่างกำยำยิ้มแล้วกล่าวว่า “ยินดีด้วย ท่านเป็นที่โปรดปรานของเทพที่แท้จริง”

จ้าวอู๋จงถามว่า “เทพที่แท้จริงหรือ เทพก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ”

“ไม่ ท่านไม่ได้รู้อะไรเลย พวกที่ปกครองนอกสวรรค์ไม่ใช่เทพจริงๆ” ชายร่างกำยำกล่าว

“โห หมายความว่ายังไง”

“ข้าขออธิบายช้าๆ ละกัน”

“ช้าก่อน!” จ้าวอู๋จงกล่าว

“มีอะไร ท่านเกิดเสียใจในภายหลังงั้นหรือ” ชายร่างกำยำกล่าวด้วยใบหน้าหมองหม่น

“ไม่ใช่”

จ้าวอู๋จงหยิบค่ายกลออกมาวางรอบตัวพวกเขาทั้งสองคน

ด้วยค่ายกลนี้ นักพรตทุกคนที่อยู่ข้างนอกจะไม่สามารถตรวจจับสิ่งที่อยู่ภายในค่ายกลได้

แน่นอนว่าเหล่านักพรตในค่ายกลก็ไม่สามารถส่งจิตวิญญาณออกไปได้

จ้าวอู๋จงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องลับ เจ้าควรระวังเอาไว้ตลอด อย่าให้ตัวตนอื่นได้ยินเข้า”

ชายร่างกำยำรู้สึกถึงการทำงานของค่ายกลรอบข้างอยู่เงียบๆ ก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หัวหน้าจ้าว ท่านก็ระวังเกินไปแล้ว”

อีกด้าน

ไกลออกไปหลายพันไมล์

ฝูงปลาในทะเลสาบกลายเป็นนกน้ำอย่างเงียบงันก่อนทะยานขึ้นสู่อากาศจากผิวน้ำ

ตอนนั้นเอง นกน้ำหายไป

จ้าวอู๋จงอีกคนปรากฏตัวขึ้นก่อนเหาะไปยังวิหารเต๋าอันโอ่อ่าด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี

……………………………….

หลังจากกู่ฉิงซานไปแล้ว

โลกระบบย่อยการป้องกันที่สอง

ขณะถือหอกหลากสีสันเอาไว้ ซากศพไร้ศีรษะของผู้ปกครองโลกบรรพกาลยังคงรุดหน้าไปทางภูเขาเดียวดาย

ไม่ว่ามันผ่านไปที่ใด ฝูงแมลงเหล็กกล้าเหล่านั้นที่ปกคลุมทั่วปฐพีหรือแม้กระทั่งสัตว์ประหลาดบรรพกาลทรงพลังล้วนกรีดร้องก่อนล้มลงสู่พื้น วิญญาณของพวกมันหลุดออกจากร่าง

วิญญาณลอยเข้าสู่ร่างไร้ศีรษะของผู้ปกครองโลกบรรพกาลก่อนค่อยๆ  เสริมสร้างพลังขึ้นมาบางส่วน

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง ซากศพไร้ศีรษะพลันหยุดนิ่ง

วิญญาณนับไม่ถ้วนหลอมรวมเป็นแสงร้อนแรงที่คอของซากศพ

กลุ่มแสงเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ไม่ช้าจึงกลายเป็นสีม่วงแปลกประหลาด

หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ

ใบหน้ามนุษย์ค่อยๆ เด่นชัดขึ้นในแสงสีม่วง

ครึ่งหนึ่งเป็นชาย ครึ่งหนึ่งเป็นหญิง

สายตาของมันจับจ้องไปที่ภูเขาเหล็กกล้าเดียวดายที่อยู่ไกลลิบ มันเผยอารมณ์แบบที่มนุษย์ไม่มีทางครอบครองได้

เสียงชายหญิงดังขึ้นพร้อมกัน เต็มไปด้วยทั้งความโกรธ ความดุร้าย ความเจ็บปวดและความเย็นชา

“กองทัพบัญญัติ น่าเสียดาย มีทหารชั้นผู้น้อยเพียงสองตัว คิดจะรนหาที่ตายอยู่ที่นี่หรือ”

บนภูเขาเหล็กกล้า

ทหารโลหะทั้งสองหยุดเคลื่อนไหว

“ตรวจพบศัตรู อยู่ในหมวดหมู่เทพนิรันดร์”

ทหารประเภทวิศวกรรมชีวภาพหมายเลขหนึ่ง ส่งเสียงเย็นเยือกดุจน้ำแข็ง

ร่างโลหะสีดำทั้งหมดค่อยๆ จมสู่ภูเขาเหล็กกล้าเดียวดายก่อนหายไป

ไม่ช้า เสียงคำรามขนาดใหญ่มาจากส่วนลึกของปฐพีเหล็กกล้า

ด้วงเหล็กกล้าทั้งหมดที่อยู่ทั่วโลกส่งเสียงตอบรับพร้อมกัน

พวกมันกรีดร้องก่อนบินขึ้นสูงสู่ท้องนภาก่อนรุมแทะกันเอง

บนภูเขาเหล็กกล้า ทหารซุ่มยิงหมายเลข 1 ส่งเสียงอย่างเฉยชาเช่นกัน

“รายงานนายท่าน เทพนิรันดร์ปรากฏตัวบนสมรภูมิ กำลังเก็บเกี่ยววิญญาณ ในขั้นต้นถูกตัดสินว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีกายหยาบ ยืนยันได้ว่าเป็นร่างแยกขนาดเล็ก”

“การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในโลกหวนคืนชาติภพหกวิถี อัตราการชนะเท่ากับศูนย์ ทำการเปลี่ยนกลยุทธสมรภูมิ”

แขนโลหะสีเงินค่อยๆ หลอมรวมเป็นปืนสไนเปอร์ขนาดใหญ่

ปืนยาวสองเมตรค่อยๆ เปลี่ยนรูปทรง

ทั่วร่างกลายเป็นสีเงิน โครงสร้างของท้ายปืนและตัวปืนซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

ลำกล้องเรียวยาวหนามากขึ้น แสงสีน้ำเงินเข้มไร้ที่สิ้นสุดที่อยู่ในถังดับลง

“เตรียมระเบิดสังหารเรียบร้อย!”

ตอนนี้ บนท้องนภา เลือดเนื้อจำนวนมหาศาลหล่นลงมาราวสายฝนที่ตกกระหน่ำ

‘ซู่’

ด้วงเหล็กกล้าทั้งหมดตายแล้ว มีเพียงตัวสุดท้ายที่เหลือรอด

ด้วงเหล็กกล้าตัวนี้กลืนกินพันธุกรรมกลายพันธุ์ของด้วงเหล็กกล้าตัวอื่นเข้าไปทั้งหมด ร่างกายค่อยๆ กลายเป็นแมลงเหล็กกล้าขนาดยักษ์ที่มีความยาวหลายสิบเมตร

มันมีเปลือกโลหะทั้งหมด ไม่มีเลือดเนื้อ ดวงตาหนึ่งคู่ทอประกายอิเล็กตรอนอิสระ

แมลงเหล็กกล้าขนาดยักษ์ตัวนี้สยายปีกโลหะสิบสองข้างที่บางราวปีกจั๊กจั่นออกขณะบินขึ้นสู่ท้องนภา

ฉับพลันนั้นเอง มีเสียงของแมลงดังขึ้นในปฐพี

นี่คล้ายกับเป็นคำสั่งอย่างหนึ่ง

เมื่อได้ยินเสียงเรียกนี้ แมลงเหล็กกล้าขนาดยักษ์พลันพุ่งเข้าหาสัตว์ประหลาดสองหน้าที่อยู่ด้านล่าง

ในเวลาเดียวกัน ลำแสงที่เจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ระเบิดออกจากภูเขาเดียวดาย

ในช่วงวิกฤตินี้ ทหารซุ่มยิงลงมือ!

‘ปัง!’

สัตว์ประหลาดถูกยิงในอากาศด้วยการโจมตีนัดเดียวเพราะถูกแมลงเหล็กกล้าขนาดยักษ์ดึงความสนใจไป

ขายาวจำนวนมากพลันปรากฏขึ้นจากร่างของแมลงเหล็กกล้าขนาดยักษ์ก่อนเกาะกุมสัตว์ประหลาดแล้วทำการหมุนอย่างต่อเนื่อง

ชั้นเส้นใยสีขาวเริ่มห่อหุ้มทั่วสัตว์ประหลาด

“รนหาที่ตายแท้ๆ! พวกเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก!”

สัตว์ประหลาดคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

มันกวัดแกว่งหอกหลากสีสันอย่างรุนแรง!

อีกด้าน

ในเส้นทางที่ประกอบด้วยแสงเพียงอย่างเดียว กู่ฉิงซานถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกลุ่มพลังอย่างหนึ่ง

เขาถามอย่างเงียบงันในใจว่า “ระบบ เจ้ารู้ตัวตนของสัตว์ประหลาดนั่นหรือไม่”

เสียงของระบบเทพสงครามดังขึ้น “ด้วยการรับข้อมูลที่ถูกบันทึกในคลังเผ่าพันธุ์เทพ ข้าเข้าใจว่าสัตว์ประหลาดนั่นคือเทพนิรันดร์ของยุคโบราณ วิญญาณกรีดร้อง”

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วก่อนถามว่า “ทำไมถึงเป็นเทพไปได้ล่ะ”

“มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! อย่างฮอร์ครักซ์ต่อสู้ประจำตัวพวกนั้นที่มีอายุการเก็บรักษาใช้ประโยชน์จากความหวาดกลัวของมนุษย์ที่มีต่อเทพเพื่อทำการล่อหลอก”

“วิญญาณกรีดร้องไม่ใช่เทพปลอมในเผ่าพันธุ์เทพแต่อย่างใด แต่เป็นเทพน่าสะพรึงกลัวผู้เติบโตในหุบเหวนิรนดร์นอกสายลมโกลาหล” ระบบเทพสงครามกล่าว

กู่ฉิงซานนึกถึงวิธีสังหารของสัตว์ประหลาดนั่นที่ใช้การกลืนกินวิญญาณของสิ่งมีชีวิตเข้าไปผ่านเสียงกรีดร้อง

ชื่อนี้นับว่าตรงนัก แต่ว่า…

“สัตว์ประหลาดนิรันดร์เช่นนั้นสามารถเรียกว่าเทพได้หรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสับสน

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “ใช่แล้ว วิญญาณกรีดร้องถือว่าเป็นเทพนิรันดร์”

ด้วยเหตุผลบางอย่าง กู่ฉิงซานพลันมนุษย์แสงขึ้นมา

บทสนทนาเช่นนี้คล้ายกับเคยเกิดขึ้นมาก่อน

เขาเดินทางผ่านเวลามาเป็นหนที่สองและถูกกินโดยสัตว์ประหลาดตอนอยู่ในหมอกแห่งมิติและเวลา

ย้อนกลับไปตอนผนึกในตอนนั้น เขาถามคำถามแบบเดียวกัน

“สัตว์ประหลาดในหมอกแห่งมิติและเวลาก็สามารถนับว่าเป็นเทพประเภทหนึ่งที่กินท่านได้” มนุษย์แสงสีเข้มอธิบาย

“นี่ก็นับเป็นเทพงั้นหรือ” เขาถาม

มนุษย์แสงสีเข้มกล่าวว่า “ทุกชีวิตบูชาสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้ มันเป็นเช่นนี้เสมอ”

เมื่อคิดอย่างถ้วนถี่ มนุษย์แสงสีเข้มคล้ายกับเกิดขึ้นจากความนิรันดร์ ดังนั้นเขาจึงเป็นที่หวาดกลัวของเผ่าพันธุ์เทพก่อนถูกผนึกเอาไว้

สีหน้าของกู่ฉิงซานค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา

“เป็นเทพแบบไหนล่ะ” เขาพลันถามขึ้นมา

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “ลักษณะพิเศษในสายตาของมนุษย์คือเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ คาดเดาไม่ได้และทำอะไรไม่ได้”

กู่ฉิงซานถามว่า “ถ้าอย่างนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สามารถทำอะไรได้เลยหรือ”

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “นั่นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณขับไล่มันกลับหุบเหวนิรันดร์ที่อยู่เหนือความโกลาหลได้”

มันอธิบายอย่างสงบว่า “ในยุคโบราณอันเนิ่นนาน มนุษย์เรียกตัวตนนิรันดร์ที่ทรงพลังและยากจะเข้าใจนี้แบบเหมารวมว่าเทพ”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ในบรรดาทหารผู้น้อยสองตัวที่ข้าเพิ่งอัญเชิญมา ถึงแม้การโจมตีด้วยการซุ่มยิงจะไม่สามารถสร้างความเสียหายกับวิญญาณกรีดร้องได้ แต่ก็สามารถควบคุมมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

เขาครุ่นคิดสักพักก่อนกล่าวอย่างมีนัยว่า “ถ้าพละกำลังของวิญญาณกรีดร้องมีเท่านี้ เช่นนั้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณก็น่าจะฆ่าได้ไปนานแล้ว”

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “ท่านคิดผิด วิญญาณกรีดร้องไม่ได้อยู่ที่นี่ ร่างของมันอยู่นอกโลก อยู่ในส่วนลึกของสายลมโกลาหล ในหุบเหวนิรันดร์ที่มนุษย์ไม่อาจเอื้อมถึงได้”

“นั่นคือสถานที่ที่อยู่นอกโลกและลึกล้ำสุดจะเข้าใจ ตัวตนที่พวกเราเห็นเมื่อครู่เป็นเพียงร่างแยกขนาดเล็กของวิญญาณกรีดร้องเท่านั้น”

หลังจากได้ยินคำอธิบายสุดเหลือเชื่อ ในใจของกู่ฉิงซานยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น

เขาถามว่า “ในข้อมูลจากคลังเผ่าพันธุ์เทพที่เจ้าได้มา มีบันทึกสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณกับวิญญาณกรีดร้องหรือไม่ ผลลัพธ์เป็นเช่นไร”

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “ข้าเพิ่งพูดไปเองว่าป้องกันและขับไล่ มนุษย์มีความสามารถที่จะขับไล่เทพองค์นี้กลับไป”

กู่ฉิงซานถามว่า “ขับไล่ แบบนี้ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ”

“มันขึ้นอยู่กับเวลาเสมอ หากเทพนิรันดร์องค์นี้อยากมาอีก มันต้องใช้พลังงานใหม่เพื่อปีนขึ้นจากหุบเหวนิรันดร์และผ่านสายลมโกลาหล” ระบบเทพสงครามอธิบาย

กู่ฉิงซานพลันนึกถึงกำแพงเมืองล่องหนที่เขาได้เห็นก่อนหน้านี้

นั่นคือกำแพงที่แข็งแกร่งที่สุด

มันสร้างจากหินของเขาล้อมเหล็กใหญ่ในยมโลก

แม้กระทั่งหอกหลากสีสันก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายกับกำแพงนั่นได้

ตอนนี้ กู่ฉิงซานพลันเข้าใจว่าทำไมเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณถึงสร้างกำแพงเมืองแบบนั้นขึ้นมา

ระบบเทพสงครามพลันถามว่า “กู่ฉิงซาน ทีนี้ข้าขอถามท่าน ทำไมท่านต้องไปหาเซี่ยกูหง”

“ตอนนี้มันพูดยากน่ะ”

“ท่านต้องบอกข้า ตอนนี้ข้าต้องเริ่มเตรียมการใหม่ทั้งหมด”

กู่ฉิงซานเงียบอยู่พักใหญ่

เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ระบบก็เครียดเช่นกัน

หรือก็คือ

ทั้งตัวเขาและระบบกำลังเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายอย่างแท้จริง

กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ตัดสินจากพละกำลังของวิญญาณกรีดร้องแล้ว มันมากพอที่จะควบคุมทุกสิ่งได้ แม้แต่เหล่าเทพที่สร้างหวนคืนชาติภพหกวิถีขึ้นมาอย่างเงียบๆ มันก็ยังสามารถตรวจจับ”

“ดังนั้น ไม่น่าแปลกที่เซี่ยกูหงจะสามารถเอาวิธีการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพออกมาได้”

ระบบเทพสงครามเงียบ

กู่ฉิงซานกล่าวต่อว่า “นี่คือสิ่งที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นพวกเราต้องไปดูสถานการณ์ที่แท้จริงด้วยตาตัวเอง ไม่อย่างนั้น ไม่ว่าพวกเราจะมุ่งสู่ที่ใดในอนาคต พวกเราจะติดอยู่ในความมืดเพราะพลาดข้อมูลสำคัญนี้ไป สุดท้ายตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้”

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว ท่านตัดสินใจที่จะเป็นสักขีพยานในกระบวนการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพของเซี่ยกูหงด้วยตาของท่านเอง”

“ใช่ เดี๋ยวนะ ทำไมข้าไม่เห็นเทพวารีแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

“ความเสื่อมโทรมของนางค่อนข้างสาหัส ตอนนี้จึงหลับอยู่ พวกเราค่อยหาทางปลุกนางขึ้นมาตอนกลับไปถึงโลกจริงดีกว่า” ระบบเทพสงครามกล่าว

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เบื้องหน้าเส้นทางแห่งเวลานี้ ประตูบานหนึ่งพลันปรากฏขึ้น

กู่ฉิงซานเหาะเข้าไป

เขาปรากฏตัวขึ้นในโลกสีขาวบริสุทธิ์ไร้พรมแดน

ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ มีเพียงวงแหวนวงเดียว

ในเวลาเดียวกัน เสียงหนึ่งดังขึ้นจากสวรรค์และปฐพี

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกคลังสมบัติทางฝั่งฝึกฝน สถานที่ที่วิชาฝึกฝน อาวุธและเกราะโบราณจำนวนมากถูกเก็บเอาไว้”

“เพราะโลกนี้เสียผู้ควบคุม ท่านต้องยืนอยู่บนวงแหวนเพื่อยืนยันตัวตนว่าเป็นมนุษย์ก่อนจึงสามารถเข้ามาได้”

………………………………….

ในเวลาเดียวกันกับที่เสียงปืนดังขึ้น กู่ฉิงซานพลันหันศีรษะไปมองรอบข้าง

เขาเห็นทหารเหล็กกล้าสีเงินเปลี่ยนจากจับต้องไม่ได้มาเป็นจับต้องได้

มันเป็นผู้เหนี่ยวไก

แสงแรงกล้าวูบไหวในความว่างเปล่า

ไกลออกไปหลายพันไมล์

ศีรษะของผู้ปกครองโลกบรรพกาลพลันหายไป เหลือไว้เพียงร่างกาย

‘ตูม’

ร่างขนาดใหญ่ล้มลงอย่างรุนแรง

หอกหลากสีสันที่สังหารได้รอบทิศตกลงสู่พื้นเช่นกัน

สัตว์ประหลาดบรรพกาลทั้งหมดหยุดนิ่ง

ราชาของพวกมันตายทั้งอย่างนั้น ทำให้พวกมันเสียสติทันที

ฝูงแมลงเหล็กกล้าไม่สนเรื่องพวกนี้ พวกมันถาโถมเข้าใส่ร่างของผู้ปกครองโลกบรรพกาล

ฉับพลันนั้นเอง หอกหลากสีสันทะยานขึ้นจากพื้นก่อนลอยอยู่ในอากาศ

เงาหอกงดงามจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกระตุ้นจากหอกหลากสีสันก่อนแทงใส่ทุกทิศทาง

ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาด เผ่าพันธุ์บรรพกาลหรือฝูงแมลงเหล็กกล้ากลายพันธุ์ ภายใต้แสงและเงาของหอก ไม่มีสิ่งใดขัดขืนได้

หอกหลากสีสันเริ่มโจมตีอย่างรุนแรงโดยไม่สนว่าจะเป็นศัตรูหรือมิตร พลังของมันรุนแรงยิ่งกว่าตอนผู้ปกครองโลกบรรพกาลถือเอาไว้

สิ่งเหลือเชื่อได้เกิดขึ้น

ฉับพลันนั้นเอง ซากศพของผู้ปกครองโลกบรรพกาลลุกขึ้นจากพื้น

เห็นได้ชัดว่ามันเสียศีรษะไปแล้ว แต่ซากศพยังสามารถขยับได้

ร่างไร้ศีรษะยืนขึ้นขณะสาวเท้าไปหาหอกหลากสีสันที่ลอยอยู่ในอากาศ

ไกลออกไปหลายพันไมล์ กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

ขณะมองฉากอันน่าแปลกประหลาดนี้ กู่ฉิงซานเกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ขึ้นมา

ไอเย็นเยือกจนหายใจไม่ออกพลันกดมาที่ตัวเขา ทำให้เส้นประสาททั้งหมดตึง

กู่ฉิงซานรู้สึกว่าเขายืนอยู่บนพรมแดนระหว่างความเป็นกับความตาย สามารถตกลงไปในหุบเหวแห่งความสิ้นหวังที่ไม่มีสิ้นสุดได้ทุกเมื่อ

ไม่ นี่มันคืออันตรายที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตายเสียอีก!

ความรู้สึกนี้คุ้นเคยจนกู่ฉิงซานนึกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้ทันที

สัตว์ประหลาดตนนั้นที่เคยปรากฏตัวในยมโลก

สัตว์ประหลาดที่เอาชนะสมาคมหอคอยทั้งหมดได้

มันคือตัวตนที่ไร้เทียมทาน!

บนจอแสง ซากศพไร้ศีรษะเดินไปหาหอกหลากสีสัน มันยื่นมือออกไปหมายจะจับหอกหลากสีสันขณะก้าวเดิน

นี่มันไม่ถูกต้อง!

ลูกตาของกู่ฉิงซานพลันหดลง โดยไม่แม้แต่จะคิด เขาตะโกนทันทีว่า “อย่าให้มันถือหอกนั่น!”

“รับทราบ!” ทหารโลหะสีดำตอบ

‘ปัง!’

บนสมรภูมิ ฝูงแมลงเหล็กกล้าทั้งหมดรวมตัวเพื่อขวางทางผู้ปกครองโลกบรรพกาลเอาไว้ราวกับคลื่น

นี่ไม่ใช่ผู้ปกครองโลกบรรพกาล แต่เป็นซากศพไร้ศีรษะ

ฝูงแมลงเหล็กกล้ารุมแทะซากศพด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี แต่ซากศพยังอยู่สภาพเดิม ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่นิดเดียว

ซากศพไร้ศีรษะถูกฝูงแมลงจำนวนไม่มีสิ้นสุดกระแทกเข้าใส่ แต่มันพยายามยืนอย่างมั่นคงเพื่อเข้าหาหอกหลากสีสันก้าวแล้วก้าวเล่า

มันกำลังจะจับหอกนั่นได้แล้ว!

“พลซุ่มยิง” กู่ฉิงซานสั่ง

‘ปัง!’

เสียงหมองหม่นจากการซุ่มยิงดังขึ้นข้างหูของเขา

รูขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นบนร่างของผู้ปกครองโลกบรรพกาล

ด้วยเสียงยิงปืนอย่างต่อเนื่อง ซากศพของผู้ปกครองโลกบรรพกาลล้มลงกับพื้นในที่สุด ไม่สามารถเข้าหาหอกหลากสีสันได้อีก

กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ทว่า สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง

หอกหลากสีสันที่ลอยอยู่ในอากาศพลันสั่นไหวก่อนลอยไปหามือของซากศพไร้ศีรษะ

ซากศพไร้ศีรษะถือหอกหลากสีสันเอาไว้ก่อนชูขึ้นสูง

มันถือหอกขณะปลดปล่อยน้ำตกแสงที่ไหลลงมาจากท้องนภา

ฝูงแมลงเหล็กกล้าไร้พรมแดนกรีดร้องเสียงดังขณะถอยห่างไปรอบข้าง ไม่กล้าเข้าใกล้แสงร้อนแรงเจิดจ้าแม้แต่นิดเดียว

การเปลี่ยนแปลงเกินกว่าจะบรรยายเข้ามาแทนที่

“ระบบ บอกข้าที สิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่” กู่ฉิงซานถามเสียงดัง

ทว่า ระบบเทพสงครามยังคงเงียบ ไม่ตอบคำถามสักพักใหญ่

ราวกับมันกำลังจับตามองอย่างเงียบงัน

เวลาผ่านไปเร็วและช้า

ฉับพลันนั้นเอง น้ำตกแสงที่ไหลลงมาได้หายไป

เสียงหญิงสาวดุร้ายมาจากซากศพของผู้ปกครองโลกบรรพกาลที่อยู่ท่ามกลางสมรภูมิ

“เจ้าอาหารวิญญาณที่อยู่ภายใต้การดูแลของเทพ พวกเจ้าคือสิ่งมีชีวิตพิเศษที่ไม่ควรเชื่อมต่อกับบัญญัติน่ารังเกียจใดๆ ทั้งสิ้น”

หลังจากนั้น เสียงผู้ชายดังขึ้นจากซากศพของผู้ปกครองโลกบรรพกาล

“เจ้าพวกมนุษย์! เจ้าสัตว์ร้ายน่าเวทนาไม่ควรหมกมุ่นเรื่องชีวิต พวกเจ้าควรรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงภาชนะของวิญญาณเท่านั้น”

‘ตูม!’

ไอเย็นเข้มข้นขมขื่นกระจายจากซากศพไร้ศีรษะ

เสียงชายหญิงร่ายวิชาพร้อมกัน “วิญญาณ! จงมอบวิญญาณให้ข้า อา”

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องดังสนั่น ฝูงแมงเหล็กกล้าขนาดใหญ่ตกลงสู่พื้นราวกับพายุฝน

จุดแสงเลือนรางปรากฏขึ้นจากร่างของฝูงแมงเหล็กกล้า ท้ายที่สุดจึงลอยไปยังซากศพไร้ศีรษะ

“พวกเจ้าด้วย!”

เสียงของชายหญิงดังขึ้นพร้อมกัน

สัตว์ประหลาดบรรพกาลล้มลงกับฟื้นตัวแล้วตัวเล่า วิญญาณของพวกมันหลุดออกจากร่างขณะลอยไปหาซากศพไร้ศีรษะ

ทั้งสองฝั่งของสงคราม เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์บรรพกาลเริ่มตายเป็นจำนวนมาก

เสียงกรีดร้องของวิญญาณนับไม่ถ้วนดังมาจากสมรภูมิ

นี่คือเสียงอันน่าสังเวชและเจ็บปวดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวดสุดแสนเมื่อได้ฟัง

ขณะมองฉากตรงหน้า ในที่สุดกู่ฉิงซานก็เข้าใจ

นี่ไม่ใช่ผู้ปกครองโลกบรรพกาล

กลายเป็นว่าเทพแปลกประหลาดจากเผ่าพันธุ์เทพดั้งเดิมได้ปรากฏตัวในยุคบรรพกาลด้วย

มันแสร้งเป็นผู้ปกครองโลกบรรพกาลหรือไม่ก็แฝงตัวอยู่ในผู้ปกครองโลกบรรพกาลเพื่อควบคุมผู้ปกครองโลกบรรพกาลให้มาควบคุมเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์เทพ!

‘ติ๊ง’

เสียงของระบบเทพสงครามพลันดังขึ้น “สิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว กู่ฉิงซาน หนี!”

ความเร็วในการพูดของมันนั้นไวมาก “เทพวารี เจ้าต้องเปลี่ยนกลับไปเป็นสภาพระบบสงครามและกลับคืนสู่การ์ดเพื่อให้ข้าเก็บกลับไป ไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกกำจัดที่นี่”

“เข้าใจแล้ว” เสียงของเทพวารีดังขึ้น

“พวกเราจะไปไหนล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“ไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด กลับไปสู่พื้นที่จ้าวโลก!” ระบบเทพสงครามกล่าว

กู่ฉิงซานกล่าวทันทีว่า “ไม่ เทพวารี ส่งพวกข้าไปโลกระบบย่อยอื่นที”

“ท่านบ้าไปแล้วหรือ! ระยะห่างมันใกล้เกินไป มันอาจจะไล่ตามมาได้ทุกเมื่อ ท่านจะตายด้วยน้ำมือของมันและจะไม่มีวันได้กลับมาอีก” ระบบเทพสงครามกล่าว

“พวกเราต้องไปดู” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างรวดเร็ว “ข้าพนันเลยว่าพวกเซี่ยกูหงปลอดภัยดี เพราะพวกเซี่ยกูหงไม่ใช่ศัตรูของสัตว์ประหลาดตัวนี้ แต่ตามบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ สุดท้ายพวกเซี่ยกูหงก็กลับมาได้อย่างปลอดภัย”

เขาพลันตะโกนขึ้นว่า “เจ้าเข้าใจหรือเปล่า นี่แสดงให้เห็นว่าบางสิ่งได้เกิดขึ้นกับพวกเขา มันคือสิ่งที่พวกเราไม่เข้าใจเลย มันคือสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับดาบศักดิ์สิทธิ์!”

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “แต่”

กู่ฉิงซานขัดอีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า “เชื่อข้า ข้าสัญญาว่าจะไม่ตายในโลกนั้น”

“…ก็ได้ เทพวารี ให้ทหารสองตัวนี้ถ่วงเวลา ไปโลกฝั่งฝึกฝนก่อน!” ระบบกล่าว

เทพวารีกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ!”

นางกลายเป็นการ์ดก่อนตกมาอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน

ชั้นม่านแสงตกลงมาก่อนปกคลุมกู่ฉิงซานเอาไว้

กู่ฉิงซานกลายเป็นแสงและเงาก่อนหายไปจากโลกระบบย่อยการป้องกันที่สอง

บนภูเขาเหล็กกล้าเดียวดาย ทหารสองตัวยังโจมตีอย่างสุดกำลัง

พวกมันจะรับผิดชอบการถ่วงเวลาสัตว์ประหลาดเพื่อซื้อเวลาให้กู่ฉิงซานได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

………………………………

ภายใต้ท้องนภาอันไกลลิบ

ณ สุดขอบฟ้า

ลำแสงรูปทรงหอกหลากสีสันปะทุขึ้นในท้องนภาเป็นครั้งคราว

เกราะศึกชีวภาพนานาชนิด ป้อมปืนป้องกันจำนวนมาก สิ่งปลูกสร้างเหล็กกล้าและอื่นๆ ไม่อาจต้านทานเมื่ออยู่ต่อหน้าหอกหลากสีสัน

เสียงของผู้ปกครองโลกบรรพกาลดังขึ้น

“ทุกสิ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะกลับคืนสู่เถ้าธุลีเพราะข้า!”

เสียงนั้นช่างโอ่อ่าและทรงพลังขณะกระจายไปทั่วโลก

บนยอดเขาเหล็กกล้าเดียวดายที่ห่างไปหลายไมล์ กู่ฉิงซานได้ยินคำประกาศของผู้ปกครองโลกบรรพกาลเช่นกัน

เขายืนนิ่ง

หน้าจอเวลาและข้อมูลบนรูม่านตาล้วนหายไปหมด เขาเงียบอยู่พักใหญ่

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์: กองทัพมนุษย์ อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมและจะเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ในอีกไม่กี่นาที

ด้วยการใช้ประโยชน์จากเวลาตอนนี้ กู่ฉิงซานถามว่า “ระบบ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนของภาพซ้อนทับ ต่อให้บัญญัติจะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ก็คงไม่มีผลกระทบกับความเป็นจริง ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้ล่ะ”

‘ติ๊ง!’

เสียงเด่นชัดดังขึ้น

ระบบเทพสงครามตอบว่า “ภาพซ้อนทับแห่งเวลาคือเศษเสี้ยวโลกคู่ขนาน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นใหม่ที่นี่ สิ่งเหล่านี้ไม่ส่งผลกับอดีต ปัจจุบันและอนาคตของโลกจริง ดังนั้นท่านลองคิดดูสิว่าทำไมข้าถึงทำแบบนี้”

กู่ฉิงซานถูกถามอย่างมีวาทศิลป์จนอดที่จะตกตะลึงไม่ได้

ขณะครุ่นคิด เขากล่าวว่า “เจ้าใช้พลังวิญญาณจำนวนมากเพื่อทำสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนโลกจริงในภาพซ้อนทับแห่งช่วงเวลาได้…”

หลังจากนิ่งไป กู่ฉิงซานกล่าวช้าๆ ว่า “เว้นแต่ว่าเจ้ามีทางที่จะนำบัญญัติออกไปใช่หรือไม่”

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “นั่นคือหนึ่งในเหตุผล แต่ไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุด”

กู่ฉิงซานพูดไม่ออกสักพัก

การเร่งบัญญัติแล้วนำออกมา ความสำเร็จนั่นไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่สุดที่ระบบลงมือหรือ!

ระบบเทพสงครามต้องการทำอะไรกันแน่

กู่ฉิงซานยังคงสงบ หลังจากเงียบไปหลายอึดใจ เขาพึมพำว่า “บางสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้นใหม่ในเศษเสี้ยวของโลกคู่ขนานนี้…เจ้าพยายามจะหาความลับที่ซ่อนอยู่ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้งั้นหรือ”

“ถูกต้องแล้ว ความลับนี้ข้องเกี่ยวกับความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ รวมถึงทุกสิ่งด้วย” ระบบเทพสงครามกล่าว

“ความลับอะไร” กู่ฉิงซานถาม

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “พูดยาก พวกเราต้องรออย่างอดทนสักพักเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

กู่ฉิงซานพยักหน้าเงียบๆ

เขารู้สึกถึงความหนักอึ้งจากคำพูดของระบบ

จอโปร่งแสงที่ลอยอยู่ตรงหน้ากู่ฉิงซานพลันส่องแสงขึ้นมา

แถวข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

“หมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์: กองทัพมนุษย์ กำลังจะเริ่มแล้ว เริ่มทำการนับถอยหลัง”

“สิบ”

“เก้า”

“แปด”

“เจ็ด”

กู่ฉิงซานมองขอบฟ้าอันไกลลิบ

เขาเห็นลำแสงหลากสีสันกำลังเคลื่อนมาทางนี้ช้าๆ

เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุในภายภาคหน้า ผู้ปกครองโลกบรรพกาลได้นำกองทัพมากวาดล้างกองกำลังต่อต้านทั้งหมดด้วยตัวเอง

เกราะศึกชีวภาพเหล่านั้นติดตั้งวิชาเยือกแข็งของจ้าวอู๋จง แต่ไม่ใช่คู่มือของผู้ปกครองโลกบรรพกาลและสัตว์ประหลาดระดับสูงที่อยู่รอบข้างเลย

แนวหน้าถอยลงมาเรื่อยๆ

ตอนนี้ รูม่านตาของกู่ฉิงซานและจอแสงเริ่มรีเฟรชพร้อมกัน

“กองทัพมาถึงแล้ว”

“เริ่มรวบรวมทรัพยากรของโลกใบนี้เพื่อสร้างทางเลือกเบื้องต้น”

“เลือกเรียบร้อย”

“ทำการผสานกับทรัพยากรและพลังงานของโลกนี้ ทิศทางเบื้องต้นถูกกำหนด: ฝั่งเทคโนโลยี”

“ผลลัพธ์ กองทัพกลุ่มอื่นเข้าสู่สภาวะพักผ่อน กองทัพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเตรียมเข้าสู่สภาพสงคราม”

“มุมมองต่อความรุนแรงของสถานการณ์ โหมดการเติบโตส่วนตัวถูกข้าม โหมดการอัญเชิญถูกบังคับใช้งาน”

“ดำเนินการเรียกกองทัพอัญเชิญกลุ่มแรก”

“รวบรวมวัตถุดิบ เทคโนโลยีและพลังงานในโลกนี้ทั้งหมด อัญเชิญได้เพียงคลาสเบื้องต้น: กองทัพทหาร”

“ผู้บัญชาการสงครามกู่ฉิงซาน ท่านอยากอัญเชิญตอนนี้หรือไม่”

กู่ฉิงซานกวาดตามองด้านล่างก่อนกล่าวทันทีว่า “อัญเชิญกองทัพทหาร”

สิ้นคำสั่งของเขา บล็อกโลหะหลากสีสันหลายสิบก้อนปรากฏขึ้นบนจอแสง

“คำสั่งถือกำเนิดแล้ว พละกำลังตอนนี้ไม่เพียงพอ สามารถทำการอัญเชิญสุ่มได้เท่านั้น”

“จำนวนการอัญเชิญ…สอง”

“เริ่มทำการอัญเชิญ”

เขาเห็นเคอร์เซอร์สองตัวตีอย่างต่อเนื่องบนบล็อกโลหะหลายสิบก้อน ท้ายที่สุดมาอยู่บนบล็อกโลหะสองก้อน

บล็อกหนึ่งเป็นโลหะสีเงิน

อีกบล็อกเป็นโลหะสีดำ

“การอัญเชิญเสร็จสิ้น”

วินาทีต่อมา กู่ฉิงซานเพียงรู้สึกว่ามือของเขาจมลงไปเล็กน้อย

บล็อกโลหะเย็นเยือกสองก้อนปรากฏขึ้นในมือของเขาจากอากาศบาง

ก้อนหนึ่งสีเงิน ก้อนหนึ่งสีดำ

เป็นบล็อกโลหะสองก้อนที่ได้มาจากการอัญเชิญ

“ข้าจะใช้พวกมันยังไง” กู่ฉิงซานถาม

แถวข้อความขนาดเล็กชุดใหม่ปรากฏขึ้นบนจอแสง “วิธีการใช้งานคือใช้สัญลักษณ์คำสั่ง: เริ่มสงคราม”

กู่ฉิงซานออกคำสั่งด้วยเสียงดังสนั่น “ข้าขอประกาศว่าสงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว!”

ทันทีที่สิ้นเสียง บล็อกโลหะสองก้อนเริ่มขยายเป็นรูปทรงทันที

กู่ฉิงซานวางพวกมันบนพื้นอย่างรวดเร็ว

เขาเห็นบล็อกโลหะสองก้อนค่อยๆ ก่อตัวเป็นโลหะที่มีรูปร่างเค้าโครงเหมือนมนุษย์

พวกเขาแสดงความเคารพแบบทหารกับกู่ฉิงซาน ในเวลาเดียวกันก็ส่งเสียงอิเล็กทรอนิกส์ออกมา

“ทหารประเภทวิศวกรรมชีวภาพหมายเลขหนึ่ง รายงานผู้บัญชาการ”

“ทหารซุ่มยิงหมายเลขหนึ่ง รายงานผู้บัญชาการ”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “เริ่มต่อสู้ได้”

“รับทราบ”

มนุษย์โลหะสองตัวมองไปทางสุดขอบฟ้า

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลกำลังนำกองทัพมาสังหารไม่หยุดหย่อน

ทหารโลหะเงินรออยู่สักพักก่อนหยิบหอกจักรกลยาวสองเมตรออกมาจากร่างกาย

ทหารหยิบหอกออกมา แบกมันไว้บนบ่า ตั้งท่าเล็งไปสุดขอบฟ้า จากนั้นหยุดเคลื่อนไหว

เพียงอึดใจเดียว ร่างของมันเลือนรางราวกับไปสู่อีกโลกหนึ่ง

กู่ฉิงซานมองจากด้านข้างแล้วพลันเข้าใจว่าเขาไม่สามารถตรวจจับตัวตนของอีกฝ่ายได้เลย

แม้กระทั่งจิตเทพก็ไม่สามารถตรวจจับได้ราวกับได้รับแหล่งพลังเงาที่เทพวารีมอบให้เขาก่อนหน้านี้

ในเวลาเดียวกัน ทหารโลหะสีดำกล่าวกับกู่ฉิงซานว่า “นายท่าน โปรดให้ข้าใช้ทรัพยากรของโลกนี้เพื่อสร้างวิศวกรรมชีวภาพด้วย”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “อนุญาต”

“ได้รับคำอนุญาต”

ทหารโลหะสีดำคำนับกู่ฉิงซานก่อนย่อตัวลง

ทั่วทั้งแขนกลายเป็นหนวดโลหะเหลวขณะแช่เข้าไปในภูเขาเหล็กกล้าเดียวดาย

หนึ่งอึดใจ

สองอึดใจ

สามอึดใจ

แสงสีแดงพลันปะทุบนตัวทหารเหล็กสีดำ

ในเวลาเดียวกัน ทั่วปฐพีที่สร้างจากโลหะเริ่มสั่นไหว

กู่ฉิงซานมองลงไปจนเห็นว่านอกจากยอดเขาเหล็กกล้าที่เขาอยู่แล้ว ซากดินแดนเหล็กกล้าที่กำลังกระจายออกไปทุกทิศทาง

นี่คือแผ่นดินไหวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

ไม่ใช่!

กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตวิญญาณเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด สิ่งที่เห็นคือซากดินแดนเหล็กกล้ากลายเป็นแมลงเหล็กกล้าขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ

หลังและศีรษะของแมลงเหล่านี้ถูกปกคลุมด้วยกระดองเหล็กกล้าหนา ส่วนของปากที่เผยออกมาเต็มไปด้วยฟันแหลมคม

กลายเป็นว่าทั่วทั้งดินแดนเหล็กกล้าไม่พังทลายจนจมลงไป แต่ทุกแห่งกลายเป็นดวงเหล็กกล้าประเภทนี้!

บนภูเขาเดียวดาย ทหารเหล็กกล้าสีดำพลันออกคำสั่ง

“ฝูงแมลงเหล็กกล้าชีวภาพ เข้าสู่สมรภูมิ”

‘วิ้ง’

เสียงแมลงฝูงใหญ่ที่ปกคลุมทั่วโลกทำเอาสั่นสะท้านไปถึงความว่างเปล่า

ทั่วปฐพีกลายเป็นทะเลแมลง ตอนนี้ ทะเลแมลงกำลังปั่นป่วน!

ฝูงแมลงเหล็กกล้าชีวภาพไร้พรมแดนบินขึ้นสู่ท้องนภาขณะกวาดผ่านไปทั่วเพื่อมุ่งสู่แนวหน้าของสมรภูมิ

นี่คือฉากอันน่าตกตะลึงที่ไม่เคยมีมาก่อน!

บนจอแสงหน้ากู่ฉิงซาน ภาพการต่อสู้ที่แนวหน้าได้ปรากฏขึ้น

งูสองปีกหกขาบินขึ้นท้องนภาก่อนเข้าไปสู้เป็นตนแรก

มันส่งเสียงร้องต่ำใส่ฝูงแมลง

ตรงกันข้าม ฝูงแมลงหยุดนิ่งเล็กน้อย

บางสิ่งคล้ายกับกระแทกใส่ด้วงเหล็กกล้าในความว่างเปล่า

แม้จะเพียงน้อยนิด

แต่ก็ทำให้ด้วงเหล็กกล้าดูหงุดหงิดขึ้นมา

พวกมันรุมล้อมงูสองปีกหกขา

งูสองปีกหกขายังไม่ทันจะกรีดร้องก่อนจะถูกกินจนเกลี้ยง

มันเหมือนกับถูกมือโลหะยักษ์กวาดเรียบอย่างแผ่วเบาก่อนหายไปจากอากาศธาตุในพริบตา

ด้วงหลายร้อยตัวที่กินเลือดเนื้อของงูสองปีกหกขาเข้าไปหยุดอยู่กลางอากาศ

ด้วงเหล็กกล้าตัวอื่นยังคงมุ่งสู่แนวหน้าของศัตรู

เพียงแค่อึดใจเดียว ด้วงเหล็กกล้าหลายร้อยตัวที่อยู่ในอากาศเปลี่ยนไป

พวกมันกลืนกินเลือดเนื้อของงูสองปีกหกขาก่อนเริ่มกลายพันธุ์ในระดับพันธุกรรม ค่อยๆ กลายเป็นงูสองปีกหกขา

พวกมันไม่เหมือนกับงาองปีกหกขาตรงที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ

แต่เกราะเหล็กกล้าบนตัวพวกมันสดใสและแข็งยิ่งขึ้น

ด้วงกลายพันธุ์เหล่านี้รวดเร็วมากขึ้น ไม่ช้าก็ตามฝูงอื่นทัน

ฝูงแมลงตกลงมาจากท้องนภาก่อนพุ่งตรงเข้าสู่ตำแหน่งที่กำหนด

การสังหารหมู่ได้เริ่มขึ้น

สัตว์ประหลาดบรรพกาลส่วนใหญ่หลบหนีไม่ทันก่อนถูกฝูงแมลงเหล็กกล้าแทะจนหายไปกลายเป็นตัวอย่างการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม

สัตว์ประหลาดบรรพกาลระดับสูงเหล่านั้นส่งการโจมตีทรงพลังอย่างต่อเนื่องเพื่อทำการสังหารฝูงแมลงรอบข้าง

แต่ฝูงแมลงมีมากเกินไป ฝูงแมลงเหล็กกล้านี้ถูกสร้างมาจากทรัพยากรทั้งหมดของโลก

ถึงแม้พลังโจมตีของสัตว์ประหลาดบรรพกาลมากพอที่จะระเบิดพื้นที่ขนาดใหญ่ของโลกเมื่อใดก็ได้

แต่ฝูงแมลงคล้ายกับช่ำชองวิธีป้องกันตัวอันแปลกประหลาด พวกมันสามารถลดทอนการโจมตีของสัตว์ประหลาดได้

“มานี่!”

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลชูหอกหลากสีสันขึ้นสูง

แสงหลากสีสันคมปลาบหลายพันสายปะทุออกจากหอกก่อนฟาดฟันใส่ฝูงแมลงนับไม่ถ้วนตัวแล้วตัวเล่า

ไม่มีด้วงเหล็กกล้าตัวไหนเข้าใกล้ผู้ปกครองโลกบรรพกาลได้

ยิ่งเวลาผ่านไป ผู้ปกครองโลกบรรพกาลเริ่มสังหารด้วงเหล็กกล้าได้เป็นจำนวนมาก

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลคำรามออกมา “เจ้าพวกแมลงโสโครก กล้ามากินกองทัพของข้าได้อย่างไร มาหาข้านี่มา”

ตอนนี้เวลาหยุดนิ่ง

‘ปัง!’

ไกลออกไปหลายพันไมล์จากสมรภูมิ บนยอดเขาเหล็กกล้าเดียวดายอันไกลลิบ เสียงปืนหมองหม่นดังขึ้น

………………………………………

เสียงคำรามจากการต่อสู้อันดุเดือดดังไล่หลังกู่ฉิงซาน

ไม่มีใครหรือสัตว์ประหลาดตัวไหนที่สามารถหาเขาพบได้

ขณะผ่านสมรภูมิ เขายังคงเหาะไปตามทางเรื่อยๆ

รอบข้างเงียบสงัดโดยไม่รู้ตัว

ยอดเขาที่ทำจากเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่ปลายทางสวรรค์และปฐพี

นั่นคือพื้นที่อันไกลลิบของระบบย่อยป้องกันที่สองและเป็นพื้นที่แกนโลกทั้งใบ

รอบภูเขาเหล็กกล้าอันโดดเดี่ยว มีฝูงจักรกลสงครามและจักรกลชีวภาพจำนวนมาก

พวกมันคุ้มกันยอดเขาเหล็กกล้าแห่งนี้

เมื่อกู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น จักรกลสงครามทั้งหมดนี้ยังคงเงียบ ไม่ทำการโจมตีใดๆ

กู่ฉิงซานเหาะขึ้นสู่ยอดเขาเหล็กกล้าก่อนยืนอยู่บนยอดเขา

จากตรงนี้ เขาสามารถมองเห็นเปลวเพลิงสงครามกำลังวูบไหวอยู่ในท้องนภาอันไกลลิบ

ความจริงมันอยู่ไม่ไกลมากนัก ขอแค่เผ่าพันธุ์บรรพกาลใช้พลังมากขึ้น มันก็อยู่ที่เวลาเท่านั้นก่อนโลกจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วถามว่า “แกนโลกอยู่ที่นี่งั้นหรือ”

“ถูกต้อง” ระบบเทพสงครามกล่าว

ทันทีที่สิ้นเสียงลง พื้นใต้เท้าของกู่ฉิงซานแตกร้าว จักรกลขนาดเล็กจำนวนมากพุ่งออกมาก่อนค่อยๆ รวมวตัวกันตรงหน้ากู่ฉิงซานจนเป็นจอโปร่งแสงสองจอ

จอโปร่งแสงสองจอหมุนรอบกู่ฉิงซานก่อนหยุดพร้อมกัน

เสียงหญิงสาวอ่อนโยนดังขึ้น “ตัวตนได้รับการยืนยันแล้ว เริ่มทำการถ่ายโอนอำนาจสั่งการ”

กู่ฉิงซานได้ยินเสียงของอีกฝ่ายก่อนถามด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”

ใช่แล้ว นี่คือหญิงสาวที่ช่วยให้เขาล่องหนก่อนส่งมาที่นี่

หญิงสาวกล่าวว่า “นี่คือระบบย่อยของข้า ข้าสามารถสู้ไปพร้อมกับท่านได้”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “พวกเราจะทำอะไรต่อล่ะ”

หญิงสาวกล่าวว่า “ท่านจะต้องรับผิดชอบเรื่องออกคำสั่งการต่อสู้ป้องกันครั้งนี้ ข้าจะดึงองค์ประกอบการต่อสู้จากท่านเพื่อมอบอาวุธสงครามจำนวนมากให้”

นางยิ้มให้กู่ฉิงซานแล้วถามว่า “ข้ายังไม่รู้ชื่อของท่านเลย”

“กู่ฉิงซาน แล้วเจ้าล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

หญิงสาวกล่าวว่า “ข้าคือวิญญาณของระบบสงครามขนาดใหญ่ เจ้าสามารถเรียกข้าว่าเทพวารีได้”

“เทพวารี เจ้าเป็นเทพงั้นหรือ”

“เทพวารีคือร่างอวตารของข้า ครั้งหนึ่งข้าเคยปะปนอยู่กับเหล่าเทพและพยายามช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ข้ามีเพียงแหล่งกำเนิดพลังโลกเท่านั้น ไม่สามารถสังเคราะห์พลังงานได้ ข้าจึงทำได้เพียงรักษามรดกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่มีพลังที่จะทำอย่างอื่นอีก” หญิงสาวกล่าว

ขณะพูด จอแสงจอหนึ่งค่อยๆ หดลงเป็นบอลแสงที่มีขนาดเท่าเล็บมือก่อนเข้าสู่ร่างของกู่ฉิงซาน

แทบจะในทันที ชุดข้อความแจ้งเตือนยาวปรากฏขึ้นบนจอแสงอีกจอ

“เปิดใช้งานระบบต่อสู้ของมนุษย์”

“กำหนดผู้บัญชาการ: ท่านกู่ฉิงซาน”

“เริ่มดึงสกิลสงครามส่วนตัวของกู่ฉิงซาน”

“ค้นพบวิชาจิตเยือกแข็งรวมทั้งสิ้นเจ็ดสิบเก้าวิชา”

“ทำการลบวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ออกสิบหกวิชา”

“จำนวนวิชาคงเหลือ: หกสิบสามวิชา”

กู่ฉิงซานมองวิชาเยือกแข็งที่ปรากฏบนจอแสงอย่างต่อเนื่อง

นี่คือสกิลการต่อสู้ของจ้าวอู๋จง

เขาถามอย่างมีนัยว่า “เจ้าสามารถใช้สกิลการต่อสู้ของข้าได้งั้นหรือ”

เสียงของเทพวารีถูกอัปโหลดจากจอแสง “ใช่แล้ว ข้าจะสำแดงสกิลต่อสู้ของท่านด้วยพลังดั้งเดิมและมอบพวกมันให้กับจักรลชีวภาพทั้งหมด จักรกลชีวภาพแต่ละตัวจะมีสกิลของท่านหนึ่งอย่าง ในอนาคต ความสามารถการต่อสู้ของพวกมันจะทวีคูณ”

“ทรงพลังขนาดนั้นเลยหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสนใจ

“จักรกลกลุ่มแรกที่มีองค์ประกอบการต่อสู้ของท่านพร้อมแล้ว โปรดสั่งการด้วย” เทพวารีกล่าว

“ลุย” กู่ฉิงซานกล่าว

“น้อมรับ” เทพวารีกล่าว

บนจอแสง ฉากแนวหน้าพลันปรากฏขึ้น

เขาเห็นพื้นแยกออกที่แล้วที่เล่า นักสู้เกราะรุ่นใหม่ผุดขึ้นจากพื้น

จักรกลชีวภาพที่อยู่ด้านบนเคลื่อนไหว

พวกมันทะยานขึ้นสูง บินทแยงไปยังสมรภูมิก่อนกระแทกกับพื้นด้วยกำปั้นทั้งสองข้าง

‘ตูม!’

มีเสียงอู้อี้ดังขึ้น พื้นสั่นไหว สัตว์ประหลาดทั้งหมดที่อยู่รอบๆ หยุดนิ่ง

แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น

ประเด็นก็คือ

ชั้นเยือกแข็งสีขาวราวหิมะปรากฏขึ้นจากกำปั้นของจักรกลชีวภาพก่อนกระจายไปทั่วทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว

พื้นภายในเส้นผ่าศูนย์กลางสามร้อยเมตรถูกแช่แข็ง

พลังเยือกแข็งคืบคลานไปบนร่างของสัตว์ประหลาดบรรพกาล ทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง

วิถีเยือกแข็ง แช่แข็งปฐพี!

หัวใจของกู่ฉิงซานโลดเต้นเมื่อได้เห็นมัน

นี่คือวิชาน้ำแข็งของจ้าวอู๋จง!

กู่ฉิงซานเคยเห็นวิชานี้ตอนเรียกดูแผ่นหยกกฎเกณฑ์พลังพกพาของจ้าวอู๋จง

หลังจากนั้น จักรกลชีวภาพชุดที่สองเข้าสู่สมรภูมิเช่นกัน

พวกมันพุ่งเข้าหาสัตว์ประหลาดบรรพกาลที่ถูกแช่แข็งก่อนพลันกลายเป็นพายุน้ำแข็งเย็นเยือก

พายุน้ำแข็งพัดผ่านร่างของสัตว์ประหลาดเจ็ดถึงแปดตนก่อนปรับสภาพเป็นจักรกลที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบเมตร

สัตว์ประหลาดบรรพกาลบางส่วนถูกเปลี่ยนเป็นรูปปั้นน้ำแข็งอย่างสมบูรณ์ พวกมันถูกกระแทกเป็นชิ้นๆ โดยจักรกลที่ไล่ตามมาทันที

พลังเยือกแข็งสามารถถ่วงเวลาสัตว์ประหลาดได้ อีกทั้งยังสามารถสังหารสัตว์ประหลาดได้อีกด้วย นี่คือพลังจิตที่เหมาะสำหรับสงครามขนาดใหญ่มาก

ตอนนี้ จักรกลทุกตัวได้รับวิถีน้ำแข็งของจ้าวอู๋จงมา…

สัตว์ประหลาดไม่สบายใจยิ่งเมื่อพบกับการเปลี่ยนแปลงนี้

สถานการณ์ทั่วสมรภูมิเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนไป

ตอนนี้ เทพวารียังคงกล่าวต่อว่า “ท่านกู่ฉิงซาน โปรดสั่งการรบด้วย”

หนวดเหล็กกล้านับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากยอดเขา

พวกมันคืบคลานไปบนร่างของกู่ฉิงซานก่อนปกคลุมแผ่นหลังจนมิด

ฉับพลันนั้นเอง กู่ฉิงซานรู้สึกว่าเขาสามารถสัมผัสจักรกลและการโจมตีด้วยป้อมปืนจากสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดได้

ขอเพียงแค่ออกคำสั่ง ทุกสิ่งที่มีพลังจะฟังคำสั่งของเขา

กู่ฉิงซานไม่ได้ออกคำสั่งแต่อย่างใด

เขามองฉากสงครามบนจอแสง รู้สึกเพียงว่ามันคือการเปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง

การดึงความสามารถจากคนคนหนึ่งแล้วกำหนดความสามารถเหล่านี้ให้จักรกลต่อสู้แต่ละตัว นี่คือการตกผลึกของอารยธรรมที่ถูกสร้างโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณอย่างนั้นหรือ

เขาหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องสั่งการหรอก หลังจากผ่านไปสิบอึดใจ เพิ่มกำลังอีกเท่าตัวไปบนสมรภูมิ นอกจากนี้ เมื่อสัตว์ประหลาดระดับสูงจากเผ่าพันธุ์บรรพกาลปรากฏตัวขึ้น ข้าจะกำหนดมาตรการตอบโต้ตามสถานการณ์ ณ จุดนั้นให้เอง”

“รับทราบ” หญิงสาวกล่าว

กู่ฉิงซานยังคงดูความคืบหน้าของสงครามต่อไป

บนจอแสง สัตว์ประหลาดบรรพกาลถอยอย่างมั่นคง

ด้วยการเพิ่มจำนวนจักรกลเยือกแข็งเข้าสู่การต่อสู้อีกเท่าตัว ทิศทางของทั้งสงครามจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นในใจของกู่ฉิงซาน

มีแค่พลังของจ้าวอู๋จงที่ถูกดึงเพื่อนำไปมอมบให้นักสู้เกราะ

ถ้าอย่างนั้น…

จักรกลสงครามขนาดใหญ่นี้สามารถดึงสกิลวิเศษของเทพแห่งความเย็นยะเยือกได้ด้วยน่ะสิ…

กู่ฉิงซานกำลังคิดไปมา ฉับพลันพบแถวหิ่งห้อยขนาดเล็กบนรูม่านตาที่วูบไหวบนจออย่างต่อเนื่อง

“เพราะปัจจัยชี้ขาดมาจากร่างกายของท่าน ท่านจึงถือว่าเข้าร่วมสงครามนี้ทางอ้อมไปด้วย”

“ดังนั้น ท่านจะได้รับพลังวิญญาณจากสัตว์ประหลาดที่ตาย”

“พลังวิญญาณบวกเจ็ด”

“พลังวิญญาณบวกสิบเอ็ด”

“พลังวิญญาณบวกแปด”

“พลังวิญญาณบวกสาม”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

เป็นเรื่องดีเสมอที่ได้พลังวิญญาณ

แต่ด้วยวิธีที่เขาได้พลังวิญญาณมา กล่าวได้ว่าระบบได้รับพลังวิญญาณไปเป็นจำนวนมาก

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนพูดว่า “ระบบเทพสงคราม”

‘ติ๊ง!’

ระบบกล่าวว่า “กู่ฉิงซาน ท่านต้องเตรียมตัว ผู้ปกครองโลกบรรพกาลสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การต่อสู้แล้ว”

ต่อมา ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “ระบบสงคราม: เทพวารี จากการตัดสินของข้า สถานการณ์การต่อสู้พลันเปลี่ยนไป เจ้าต้องเปลี่ยนเป็นบัญญัติเดี๋ยวนี้”

หญิงสาวนามเทพวารีกล่าวว่า “เผ่าพันธุ์มนุษย์หายไปหลายปีจนไม่อาจนับได้ ข้าสั่งสมแหล่งพลังมากพอแล้ว แต่หากไม่มีพลังวิญญาณของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ข้าก็ไม่สามารถสังเคราะห์ธาตุและพลังงานได้”

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “ข้าให้พลังวิญญาณที่มากเพียงพอกับเจ้าได้ เจ้าต้องวิวัฒนาการด้วยความเร็วที่สูงที่สุด”

เทพวารีกล่าวว่า “ขอแค่พลังวิญญาณของข้าเพียงพอ ข้าจะวิวัฒนาการเดี๋ยวนี้เลย”

บนจอแสง การ์ดใบหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้ากู่ฉิงซานผ่านจอ

มันคือการ์ดที่เทพวารีอยู่

ตอนนี้ ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “กู่ฉิงซาน ข้าสัมผัสได้ถึงอันตราย ท่านต้องวางมือบนการ์ดเดี๋ยวนี้ ข้าจะมอบการ์ดพลังวิญญาณจำนวนมากให้เพื่อช่วยนางเปลี่ยนเป็นบัญญัติ”

กู่ฉิงซานไม่ลังเลก่อนวางมือบนการ์ดแล้วถามว่า “ประโยชน์จากการเปลี่ยนเป็นบัญญัติคืออะไร”

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “อย่างน้อยนางจะไม่ตายและสามารถใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อช่วยพวกเราต่อสู้ได้”

“เจ้ารวบรวมพลังวิญญาณมาก็เพื่อการนี้หรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ไม่ ข้าเพียงหวังว่าการเตรียมการนี้จะไม่ใช้มากจนเกินไป” ระบบเทพสงครามกล่าว

กู่ฉิงซานกำลังจะถามต่อ แต่ฉับพลันเขารู้สึกถึงพลังวิญญาณจำนวนหนึ่งทะลักเข้าสู่ร่างกาย

เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้น

เพราะการปรากฏตัวของพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งนี้ ทำให้รอบยอดเขาเหล็กกล้าเกิดสายลมรุนแรงพัดพาในฉับพลัน

สายลมก่อตัวเป็นพายุหมุนหลายร้อยลูกขณะกระหน่ำไปทั่วพื้นผิว

มีเพียงทวยเทพที่รู้ว่าพลังวิญญาณที่ระบบเทพสงครามดึงออกมานั้นมีจำนวนเท่าไหร่

กู่ฉิงซานเพียงเห็นรูม่านตาและจอแสงที่ลอยอยู่ตรงหน้า แถวข้อความแจ้งเตือนขึ้นมารัวๆ ในเวลาเดียวกัน

“นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งพันล้านปีที่พลังวิญญาณสิ่งมีชีวิตได้รับการเติมเต็ม”

“แหล่งกำเนิดพลังโลกพร้อมแล้ว”

“เริ่มทำการหลอมรวม”

“ทำการสร้างองค์ประกอบ”

“พลังงานกำลังเพิ่มขึ้น”

 “เริ่มวิวัฒนาการ”

ตอนนี้ บนสมรภูมิอันไกลลิบ มีเสียงคำรามสะเทือนปฐพีดังขึ้นในฉับพลัน

“เจ้าพวกจักรกลสงครามน่ารังเกียจ จงตายเสียเถอะ!”

‘ตูม!’

ลำแสงหลากสีสันกระหน่ำลงมา

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลปรากฏตัวแล้ว

ในเวลาเดียวกัน การ์ดตรงหน้ากู่ฉิงซานค่อยๆ แตกสลาย

เทพวารีสาวบนการ์ดยิ้มให้กู่ฉิงซานแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ข้ารอมาหลายร้อยล้านปี รอคอช่วงเวลานี้ที่จะได้วิวัฒนาการ”

นางพลันหายไป

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ข้อความแจ้งเตือนสีโลหิตปรากฏขึ้นตรงสายตาของกู่ฉิงซาน

“หมื่นสวรรค์สิ้นโลกออนไลน์: กองทัพมนุษย์ กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า!”

……………………………..

โลกระบบย่อยการป้องกันที่สอง

แสงเตือนสงครามขนาดใหญ่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก สะท้อนท้องนภาให้เป็นสีชาด

เพราะทั่วโลกอยู่ในสภาพสงคราม เสียงแจ้งเตือนจึงไม่หยุดดัง

ถึงแม้เสียงการแจ้งเตือนเหล่านี้จะดังและรุนแรง แต่มันถูกทำให้เสถียรด้วยเสียงแทะที่ละเอียดอ่อนและหนักอึ้ง

มันคือเสียงสัตว์ประหลาดกำลังกัดแทะ

สัตว์ประหลาดบรรพกาลยังคงรุดหน้าเข้าสู่สมรภูมิ

ทั่วโลกหายไปสองถึงสามส่วน จุดป้องกันหลักของโลกยังไม่ถูกพิชิต

นี่คือการต่อสู้อันยาวนานและยากลำบาก

โชคยังดี สัตว์ประหลาดบรรพกาลมีประสบการณ์ในเรื่องนี้สูง บ้างโจมตี บ้างป้องกัน บ้างเคลื่อนไหวอย่างสงบและเป็นระเบียบยามต่อสู้ ไม่แสดงความหงุดหงิดแต่ใดๆ

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลและสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ปรากฏตัวในสมรภูมิ

พวกมันทั้งหมดรวมตัวที่ด้านหลังขณะรอช่วงเวลาการต่อสู้อันดุเดือดอย่างเงียบงัน

พวกมันทำลายระบบย่อยไปหนึ่งหมื่นแปดพันแปดร้อยดวงแล้ว มีโลกหกร้อยสี่สิบเจ็ดแห่งที่มีสภาพคล้ายกับระบบย่อยการป้องกันที่สอง

แสดงว่าสัตว์ประหลาดรู้ว่าจะชนะอย่างไรโดยที่ตัวเองสูญเสียน้อยที่สุด

พวกมันเพียงต้องทำตามวิธีที่เคยสำรวจแบบเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อบรรลุสู่ชัยชนะในตอนท้าย

แต่พวกมันไม่รู้ว่าเหนือศีรษะนั้น มีคนผู้หนึ่งกำลังจับตาดูเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานนั่นเอง

เขาเพิ่งมาถึงโลกนี้ในสภาพล่องหน

“โลกทางฝั่งเทคโนโลยี…ออกจะแปลกไปเสียหน่อย…”

กู่ฉิงซานมองนักสู้กำลังสู้กับสัตว์ประหลาดขณะพึมพำเช่นนั้น

เขาไม่มั่นใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเหาะลงไปยังใจกลางสมรภูมิ

ตอนนี้ สัตว์ประหลาดบรรพกาลหลายสิบตัวรุมเข้าใส่นักสู้เกราะสูงห้าเมตรที่กองอยู่บนพื้นก่อนกัดอย่างบ้าคลั่ง

นักสู้เกราะส่งการโจมตีด้วยคลื่นกระแทกอันน่าตกตะลึงออกไป สังหารสัตว์ประหลาดที่อยู่ใกล้ที่สุดลงได้

เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่มากขนาดนี้ มันไม่มีทางขัดขืนได้ ทำให้ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว

สัตว์ประหลาดพุ่งเข้าหานักสู้เกราะตัวต่อไป

ตอนนี้ กู่ฉิงซานเดินมายืนอยู่หน้าซากจักรกล

เขาตรวจสอบอย่างละเอียดสักพักก่อนหยิบมีดเยือกแข็งออกมาและตวัดลงไปตามชิ้นส่วนเครื่องจักรที่ได้รับความเสียหาย

‘ฉัวะ’

โลหิตไหลหลั่ง เนื้อเยื่อมัดกล้ามสีแดงสดใสถูกเฉือนออกมา

กู่ฉิงซานเก็บมีดก่อนพยักหน้าเล็กน้อย

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกว่าแปลกประหลาด

นี่ไม่ใช่เกราะเหล็กกล้าธรรมดา

มันคืออาวุธต่อสู้ที่ถูกสร้างจากอวัยวะสิ่งมีชีวิต ทั่วร่างประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อมากมายที่ยืนยันได้ว่าเป็นร่างมนุษย์ เมื่อได้รับความเสียหายมากเกินไป โลหิตจะไหลออกมา

กู่ฉิงซานเหาะขึ้นสู่ท้องนภาอีกครั้งขณะมองรอบข้าง

ทั่วดินแดนล้วนสร้างจากเหล็กกล้า แต่สิ่งปลูกสร้างจำนวนมากทั่วดินแดนถูกกลืนกินโดยสัตว์ประหลาดดุร้ายขนาดเล็กคล้ายมดบิน

ป้อมปืนบนสิ่งปลูกสร้างบางแห่งจะทำการโจมตีอันทรงพลังเพื่อกวาดล้างฝูงมดบินจำนวนมากเพียงไม่กี่ครั้ง

ตอนนี้ มดบินถอยทัพ สัตว์ประหลาดบรรพกาลทรงพลังอย่างงูสองปีกหกขาขึ้นมาสู่แนวหน้าก่อนทำลายป้อมปืนบนสิ่งปลูกสร้าง

หลังจากนั้น นักสู้เกราะจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นและเข้าสู่สมรภูมิเพื่อสู้กับศัตรู

สัตว์ประหลาดบรรพกาลบุกเข้ามาทันที

การต่อสู้เข้าสู่ช่วงการต่อสู้ระยะประชิดอย่างตึงเครียด

หลังจากต่อสู้กันสักพัก สัตว์ประหลาดบรรพกาลที่ได้เปรียบเรื่องจำนวนและพลังต่อสู้ยึดครองส่วนหนึ่งของดินแดนไปได้ก่อนรุดหน้าต่อ

เหตุการณ์นี้เกิดซ้ำไปมา พื้นที่ที่สัตว์ประหลาดยึดครองมากขึ้นเรื่อยๆ

กู่ฉิงซานมองฉากที่กำลังเกิดขึ้นในสมรภูมิ

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าสงครามหรือ

เขาส่ายหน้า เบือนสายตาหนีแล้วมองมาที่หน้าต่างระบบเทพสงคราม

แถวข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

“ระบบเทพสงครามเชื่อมต่อกับระบบป้องกันของโลกแล้ว”

“พบตำแหน่งลับของแกนป้องกันโลก”

“โปรดเคลื่อนที่ไปหนึ่งหมื่นสองพันกิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเตรียมยึดระบบป้องกันโลกใบนี้”

หลังจากอ่านข้อความนี้ กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้ว่า “เจ้าสามารถยึดระบบป้องกันของโลกนี้ได้หรือ”

‘ติ๊ง!’

ระบบเทพสงครามตอบว่า “ไม่ใช่ข้า ท่านต่างหาก ท่านคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ แน่นอนว่ามีสิทธิ์ยึดระบบป้องกัน”

“อ้อ ข้าคิดว่าเจ้าจะมีพลังมากกว่านั้นเสียอีก” กู่ฉิงซานกล่าว

ระบบเทพสงครามเมินเขา

กู่ฉิงซานประเมินเวลาล่องหนอย่างละเอียดก่อนเหาะไปทางตะวันออกเฉียงใต้ทันที

ระบบเทพสงครามพลันกล่าวอีกครั้งว่า “ช้าก่อน”

“มีอะไรหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“เวลาล่องหนของท่านเหลือเฟือ เก็บรวบรวมพลังวิญญาณก่อนแล้วค่อยไปแกนป้องกัน” ระบบเทพสงครามกล่าว

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าจัดการสัตว์ประหลาดระดับสูงไม่ได้นะ”

“ฆ่าพวกทหารก็พอ” ระบบเทพสงครามกล่าว

กู่ฉิงซานลังเลสักพักแล้วกล่าวทันทีว่า “เอาเถอะ เจ้าจับเวลาให้ข้า ถ้าเวลาใกล้หมดแล้วก็บอกด้วยละกัน”

“ได้” ระบบเทพสงครามกล่าว

กู่ฉิงซานเหาะเข้าสู่ใจกลางสมรภูมิก่อนง้างมีดเยือกแข็งในมือขึ้นมา

มีดส่องแสงทอประกาย

ทหารบรรพกาลถูกฟันขาดเป็นสองส่วน

แถวขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที

“ท่านสังหารสัตว์หนามบรรพกาล ได้รับพลังวิญญาณสี่หมื่นแต้ม”

“ระบบทำการเก็บไว้สามหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบห้าแต้ม”

“ท่านเหลือพลังวิญญาณ: ยี่สิบเจ็ดส่วนหกร้อย”

กู่ฉิงซานชำเลืองมองอีกฝ่ายขณะถือมีดเยือกแข็งแล้วสังหารสัตว์ประหลาดตัวต่อไป

ทั่วสมรภูมิทอดยาวเกือบหนึ่งพันไมล์ มีการต่อสู้ดุเดือดทุกหนแห่ง นอกจากนี้ กู่ฉิงซานยังอยู่ในสภาพล่องหน เขาไม่สนใจที่จะส่งเสียงมากเกินไปขณะเปลี่ยนตำแหน่งเป็นครั้งคราว การต่อสู้ของเขาจึงไม่ดึงดูดเผ่าพันธุ์บรรพกาล

พลังวิญญาณเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

“พลังวิญญาณบวกหนึ่ง”

“พลังวิญญาณบวกสาม”

“พลังวิญญาณบวกห้า”

“พลังวิญญาณบวกเก้า”

กู่ฉิงซานทำการเก็บเกี่ยวชีวิตของสัตว์ประหลาดตลอดทาง แต่ในใจของเขายังเต็มไปด้วยความสงสัย

นี่เป็นครั้งแรกที่ระบบเทพสงครามแจ้งเตือนให้เขาเก็บรวบรวมพลังวิญญาณ

นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

หรือว่าระบบเทพสงครามจ่ายพลังวิญญาณมากเกินไปจนถึงขั้นสาหัสจริงๆ

กู่ฉิงซานหรี่ตา

นี่มันไม่ถูก

ตอนอยู่ที่ใต้ดินของโลกเซินหวู่ ระบบเทพสงครามถามเขาว่าอยากกลับไปอดีตเพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะความเป็นความตายหรือไม่

เป็นความจริงที่ระบบเทพสงครามไม่สามารถเดินทางผ่านมิติและเวลาได้ แต่แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ระบบกลับไม่กล่าวถึงพลังวิญญาณเลย

ทำไมตอนนี้ระบบเทพสงครามถึงขอพลังวิญญาณล่ะ

กู่ฉิงซานครุ่นคิด มือยังคงขยับไปมา

เขากวัดแกว่งมีดอีกครั้งเพื่อสังหารสัตว์ประหลาดบรรพกาลตรงหน้า จากนั้นเปลี่ยนสถานที่เพื่อทำการสังหารสัตว์ประหลาดต่อ

ด้วยการจมดิ่งสู่ความคิด ความเร็วการสังหารสัตว์ประหลาดของกู่ฉิงซานยิ่งมายิ่งเร็ว

เพราะระบบต้องการพลังวิญญาณ ไม่ว่าจะเพื่อรักษาความเสียหายหรือจะเพื่อสิ่งอื่น กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจที่จะช่วย

อย่างไรเสีย ระบบก็ไม่เคยปฏิบัติกับเขาแบบแย่ๆ มาก่อน

มีดเยือกแข็งเหมือนกับหิมะ มันปรากฏขึ้นและหายไปบนสมรภูมิเป็นครั้งคราว ทุกที่ที่มันผ่าน สัตว์ประหลาดจะถูกฟาดฟัน

ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวไหนที่สามารถมองเห็นกู่ฉิงซานได้

ตอนนี้ เขาคือเทพแห่งความตายที่ล่องหนอยู่

ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว

เสียงเด่นชัดดังขึ้นมา

‘ติ๊ง!’

ระบบเทพสงครามกล่าวว่า “เอาล่ะ ท่านต้องใช้เวลาที่เหลือเพื่อมุ่งสู่แกนป้องกันโลกนี้”

กู่ฉิงซานหยุดมือ

เขามองหน้าต่างระบบเทพสงครามและมองค่าพลังวิญญาณประจำตัว

“พลังวิญญาณที่เหลือ: สามพันเก้าร้อยยี่สิบเจ็ดส่วนหกร้อย”

สำหรับเขา นี่ถือเป็นการเก็บเกี่ยวที่ดี

ส่วนระบบเทพสงคราม พลังวิญญาณที่ได้รับนั้นถือว่าเป็นจำนวนที่มาก อยู่ที่ราวสิบล้าน

พลังวิญญาณจำนวนนี้มากพอที่จะทำทุกสิ่ง

ต่อให้จะบาดเจ็บเพราะมอบพลังวิญญาณให้ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเผชิญกับพลังวิญญาณที่มากขนาดนี้ คาดว่าอีกไม่ช้าก็คงหายดี

กู่ฉิงซานถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ระบบ ถ้ามีโอกาสล่องหนอีกในอนาคต พวกเรายังต้องฆ่าแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า”

“แน่นอน ข้าต้องการพลังวิญญาณอีก” ระบบเทพสงครามกล่าว

กู่ฉิงซานนิ่ง

“เอาเถอะ ข้าหวังว่าจะมีโอกาสได้รับพลังวิญญาณจำนวนมากอีกในภายหลัง”

กู่ฉิงซานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แต่ในใจค่อยๆ ดิ่งวูบ

………………………………

กู่ฉิงซานมองพลังวิญญาณสามแต้มที่เหลือบนหน้าต่างระบบเทพสงครามจนแทบจะตกลงมาจากกลางอากาศ

เบื้องล่างคือฝูงสัตว์ประหลาด ต่อให้กู่ฉิงซานได้รับพรจากแหล่งพลังล่องหน เขาก็ยังถูกพบจากการไปกระแทกโดนศีรษะของสัตว์ประหลาดเข้าอยู่ดี

เขาหาทางควบคุมร่างกายให้มั่นคงก่อนกล่าวอย่างสงบว่า “ระบบ พลังวิญญาณที่เจ้าเคยจ่ายให้ข้ามันเท่าไหร่กัน พูดมาให้ชัดๆ เลย”

ระบบเทพสงครามเงียบ ไม่พูดอะไร

กู่ฉิงซานกดที่จะกล่าวอีกครั้งไม่ได้ “ถ้าเจ้าบอกจำนวนมาก ข้าจะได้เตรียมใจและรู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะจ่ายได้หมด”

ผ่านไปอีกหลายอึดใจ

‘ติ๊ง!’

ในที่สุดระบบส่งเสียงชัดเจนขึ้นก่อนตอบว่า “คราวที่แล้วข้าจ่ายพลังวิญญาณให้ท่าน ระบบใช้พลังวิญญาณมากเกินไป ระบบจึงได้รับความเสียหายอย่างหนัก เกรงว่าต้องใช้ทั้งเวลานานและกระแสพลังวิญญาณคงที่ในการเติมเต็ม มันจะได้รับการรักษาอย่างช้าๆ ”

เวลานาน

กระแสพลังวิญญาณคงที่

การรักษาอย่างช้าๆ

ทันทีที่สามคำนี้หลุดออกมา กู่ฉิงซานรู้สึกชื่นชมเล็กน้อย

เขาถอนหายใจ “ข้าว่าเป็นเพราะตัวเองเรียนรู้เรื่องการแสดงมา เจ้าก็เลยเรียนรู้ตามสินะ”

ระบบไม่พูด

กู่ฉิงซานรออีกสักพัก แต่ก็ไม่มีการตอบรับ ดังนั้นเขาจึงเหาะต่อไป

เขาเปลี่ยนใจแล้ว

จะพูดได้อย่างไรในเมื่อระบบเคยช่วยเขาจากวันโลกาวินาศจนนำเขากลับมาสู่อดีตได้

สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ยิ่งกว่าคือก่อนหน้านี้ระบบได้ช่วยเขาพัฒนาพลังวิญญาณอย่างแท้จริง

ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่สาวความยาวต่อความยืดอีก

มันก็แค่พลังวิญญาณ

ตราบที่ไม่พลาดท่าในช่วงเวลาสำคัญ เขาก็ยังเพิ่มมันกลับขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือ

กู่ฉิงซานเหาะข้ามท้องนภา บางครั้งชำเลืองมองฝูงสัตว์ประหลาดที่อยู่ด้านล่างก่อนพรากชีวิตไปหนึ่งถึงสองตัว

เขาไม่กล้าสังหารมากเกินไปเพราะไม่อยากดึงดูดความสนใจจากสัตว์ประหลาดทรงพลังเหล่านั้น

ไม่ช้า พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมาถึงยี่สิบสองแต้ม

ใช่แล้ว…

นี่เป็นการพัฒนาที่น่าตื่นเต้นเหลือเกิน

เหาะ

เหาะอย่างเดียว

กู่ฉิงซานใช้เวลานานกว่าสิบนาทีเพื่อเหาะสุดกำลังด้วยพลังทั้งหมดที่มี

ในที่สุดเขาข้ามกลุ่มภูเขาและทะเลที่ดูแปลกประหลาดก่อนมาถึงกำแพงเมือง

นี่คือกำแพงเมืองขนาดใหญ่ที่สร้างจากอิฐสีดำซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มองไม่เห็น จากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งของขอบฟ้า พรมแดนของมันไม่มีสิ้นสุด

ด้านหน้ากำแพงเมือง มีป้ายเตือนตั้งอยู่ มันเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา แต่ยังพอมองเห็นตัวอักษรโบราณที่ถูกเขียนเอาไว้

“ห้ามปีนกำแพงเมือง ห้ามยืนบนกำแพงเมือง ห้ามข้ามกำแพงเมือง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้ทำลงไป”

กู่ฉิงซานถอยหลังมาสองก้าวขณะมองกำแพงเมือง

บนนั้นไม่มีอะไร

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนหยิบหินวิเศษออกมาแล้วโยนเข้าไปในกำแพงเมือง

ทันทีที่หินวิเศษลอยข้ามกำแพงเมือง มันถูกสายลมสีเทาพัดมาอย่างแผ่วเบา

หินวิเศษหายไปอย่างไร้ร่องรอย

สายลมสีเทาหายไปในความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของกู่ฉิงซานเคร่งขรึมขึ้นมา

ดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ฉานนู่เปลี่ยนร่างก่อนกล่าวอย่างวิตกว่า “นายท่าน นี่มันสายลมโกลาหล”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

คาดไม่ถึง สายลมโกลาหลพัดอยู่เหนือกำแพง

นี่คือสายลมที่สามารถทำลายโลกนับไม่ถ้วนได้ ไม่มีใครสามารถขัดขืนมันได้

เท่าที่กู่ฉิงซานรู้ มีเพียงเขาล้อมเหล็กใหญ่แห่งหวนคืนชาติภพหกวิถีในเส้นทางสู่ยมโลกที่สามารถหยุดมันได้

และที่นี่ สายลมแรงกล้านี้ถูกหยุดไว้ด้วยกำแพงเมือง

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปสัมผัสกำแพง

แถวหิ่งห้อยเรืองรองแสดงบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที

ไม่รู้ว่ากู่ฉิงซานคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูท่าหลังจากเขาไม่ได้สนใจเรื่องพลังวิญญาณแล้ว ความเร็วการแสดงของหน้าต่างระบบเทพสงครามเหมือนจะเร็วขึ้นเล็กน้อย…

“ค้นพบสถาปัตยกรรม…กำแพงสงครามบรรพกาล”

“คำอธิบาย…นี่คือกำแพงที่ถูกสร้างโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณ เผ่าพันธุ์มนุษย์พึ่งกำแพงอันโอ่อ่านี้เพื่อขัดขืนสายลมโกลาหลและสิ่งอื่นๆ”

“คำอธิบาย: วัสดุทั้งหมดของกำแพงเมืองนี้มาจากการตกผลึกทางอารยธรรมขั้นสูงสุดและเป็นความสำเร็จของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ: หวนคืนชาติภพหกวิถีโบราณแห่งเส้นทางสู่ยมโลก”

ฉานนู่มองกำแพงเมืองใกล้ๆ ใบหน้าเผยความสนอกสนใจออกมา

“นายท่าน สิ่งนี้เหมือนจะถูกสร้างด้วยรั้วเหล็กขนาดใหญ่” นางพึมพำ

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย “ใช่ นี่มันน่าทึ่งจริงๆ ”

เขากลับมาเงียบ ครุ่นคิดถึงข้อมูลนี้อย่างเงียบงัน

แสดงว่าหกวิถีคืออารยธรรมสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์งั้นหรือ

จะว่าไป หวนคืนชาติภพหกวิถีที่เทพเลียนแบบมาถูกบดขยี้โดยผู้ปกครองโลกบรรพกาล

ทำไมเทพถึงต้องลอบสร้างหวนคืนชาติภพหกวิถีโดยไม่บอกอีกฝ่ายกันล่ะ

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลโกรธเพราะเรื่องนี้มากจนสังหารราชาเทพด้วยมือตัวเอง นี่ก็เป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบ

ทำไม?

กู่ฉิงซานหลับตาก่อนนึกถึงคำพูดของผู้ปกครองโลกบรรพกาลตอนสังหารราชาเทพ

“หวนคืนชาติภพหกวิถีเกินการควบคุมของข้า ถ้าเจ้ากล้าเลียนแบบพลังของมนุษย์เพื่อสร้างมันขึ้นมา นั่นเท่ากับเป็นการท้าทายความยิ่งใหญ่ของข้า”

“เจ้าคงไม่รู้ว่าถึงแม้สิ่งนี้จะยังอ่อนแอมาก แต่มันจะเติบโตขึ้นเองจนท้ายที่สุดกลายเป็นกองกำลังมนุษย์ทรงพลัง ถึงตอนนั้น แม้แต่เจ้าและข้าก็ไม่สามารถควบคุมได้”

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

เขามีความคิดหนึ่งในใจแล้ว แต่ต้องการเบาะแสเพื่อมายืนยัน

ส่วนตอนนี้

กู่ฉิงซานเริ่มมองกำแพงเมืองอย่างละเอียด

ถึงแม้พวกเซี่ยกูหงจะไม่เข้าใจภาษาโบราณ แต่พวกเขาล้วนเป็นผู้มีอำนาจและยืนอยู่จุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเขาจะต้องไม่บุ่มบ่ามไปกำแพงเมืองเพื่อรนหาที่ตายอย่างแน่นอน

ไม่อย่างนั้น เซี่ยกูหงไม่มีทางกลับมาเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยไร้บาดแผลได้หรอก

พวกเขาต้องหาทางอื่นเจอแน่

กู่ฉิงซานสังเกตสักพัก ไม่ช้าจึงพบว่ามีชั้นฝุ่นบนพื้นตรงหน้ากำแพงเมือง

เขาก้าวไปข้างหน้า เอามือแนบกับพื้นก่อนกดลงไปอย่างแผ่วเบา

พื้นแข็ง ไม่มีการตอบสนองใดๆ

ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีอะไร

กู่ฉิงซานยืนขึ้นก่อนเอามือแนบกับกำแพงที่เชื่อมต่อกับดินแดน

เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากภายในกำแพงเมือง

“เริ่มทำการทดสอบ”

“จากสัญญาณชีพ สามารถระบุได้ดังนี้: พลเมืองมนุษย์ เด็กผู้ชาย”

“ตามหลักการขอลี้ภัยในช่วงสงคราม พวกเด็กๆ จะได้เข้าที่ลี้ภัย”

กำแพงเมืองถอยออกไปทั้งสองด้าน เผยให้เห็นทางเข้าแคบที่มีเพียงกู่ฉิงซานที่สามารถใช้ได้

กู่ฉิงซานยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก

หลังจากใช้ชีวิตมาสองรุ่น หลังจากผ่านสงครามและวันโลกาวินาศมานับครั้งไม่ถ้วน เขาจะกลายเป็นพลเมืองเด็กผู้ชายได้อย่างไร

นี่ใช้วิธีการตัดสินจากสัญญาณอะไรเนี่ย…

หรือก็คือ นี่เป็นพลังของตัวเอง

กู่ฉิงซานไม่อยากคิดอีกต่อไป

เรื่องนี้ออกจะน่าตกตะลึงอยู่สักหน่อย

เขาระงับอารมณ์ที่ยากจะอธิบายเอาไว้ในใจขณะสาวเท้าเข้าสู่ทางเข้ากำแพงเมือง

หลังจากเข้ามา กำแพงเมืองปิดไล่หลังทันที

ขั้นบันไดที่ลาดลงไปเล็กน้อยปรากฏขึ้นที่เท้าของเขา

กู่ฉิงซานยังคงเดินลงไปตามเส้นทางนี้ ความคิดของเขาขึ้นๆ ลงๆ

ดูท่าพวกเซี่ยกูหงจะเข้ามาภายในกำแพงเมืองจากทางนี้ ไม่รู้ว่าพวกเซี่ยกูหงจะถูกตัดสินว่าเป็นเด็กหรือเปล่า

ด้วยพละกำลังอันแก่กล้าของเซี่ยกูหง อาจจะไม่ใช่เด็กผู้ชาย แต่เป็นพลเมืองวัยหนุ่มหรือเปล่า

กู่ฉิงซานครุ่นคิดไปเรื่อย ในเวลาเดียวกันก็ยังระแวดระวังขณะเดินไปตามทางเพื่อมุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของกำแพงเมือง

ด้วยระยะห่างที่ไกลมาก เขาจึงเร่งความเร็ว

การล่องหนอยู่ได้แค่สองชั่วโมง ดังนั้นเขาต้องรีบหน่อย

เขาเกือบจะใช้วิชาเหาะขณะพุ่งดิ่งไปตามทางที่นำไปสู่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านไปนานกว่าหนึ่งร้อยอึดใจ

กู่ฉิงซานมาถึงส่วนลึกของกำแพงเมือง

เขายืนอยู่บนขั้นสุดท้าย

หลังจากก้าวผ่านขั้นนี้ มีความว่างเปล่ามืดมิดสุดหยั่งราวกับหน้าผาจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด ไม่ต่างจากหุบเหวไร้ก้น ไม่ว่าจะส่งจิตเทพไปไกลแค่ไหนก็ไม่สามารถควานหาสิ่งใดเจอได้

กู่ฉิงซานรออยู่สักพัก

ในเมื่อพวกเซี่ยกูหงพบเส้นทางนี้ พวกเขาต้องไม่หายไปจากตรงนี้โดยไม่มีเหตุผลสิ

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน

หลังจากผ่านไปสิบอึดใจ

ในความมืดไกลออกไป กลุ่มดวงดาวลอยมาหากู่ฉิงซาน

แทบจะในทันที กู่ฉิงซานพบว่าตัวเองถูกห้อมล้อมโดยดวงดาวนับไม่ถ้วน

ดวงดาวเหล่านี้ห้อมล้อมเขาเอาไว้ขณะก่อตัวเป็นทางช้างเผือกงามงดในความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด

ช่างงดงาม ช่างเหลือเชื่อ

กู่ฉิงซานสงบสติลงขณะมองดวงดาวที่อยู่ใกล้ที่สุด

ดวงดาวคล้ายกับรับรู้ถึงสายตาของเขาก่อนกลายเป็นการ์ดทันที

หญิงสาวงดงามชุดขาวถูกวาดอยู่บนการ์ด นางมองเขาด้วยสีหน้าเวทนา

หญิงสาวอ้าปากพูดขึ้นว่า “ที่นี่ถูกทำลายเกือบหมดแล้ว โชคยังดี ข้ายังสามารถพาท่านไปที่หลบภัยขนาดเล็กให้ได้”

ทันทีที่นางพูดกับกู่ฉิงซานจบ เขาจึงจำเสียงได้ เสียงผู้หญิงที่ปรากฏในคลื่นโกลาหลนั่นเอง

หญิงสาวเอนอยู่ด้านข้างจนกู่ฉิงซานสามารถมองเห็นฉากในการ์ดใบนั้นได้

มันคือเกาะเงียบสงบที่มีฉากงดงามมากเสน่ห์

กู่ฉิงซานจ้งอมองหญิงสาว ความรู้สึกหวาดกลัวอดที่จะก่อตัวขึ้นในใจไม่ได้

กู่ฉิงซานสาบานว่าเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนแม้กระทั่งตอนเผชิญหน้ากับเทพ

เขาประสานมือแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับความเมตตาของเจ้า แต่ข้าไม่ได้มาเพื่อแสวงหาที่หลบภัย”

หญิงสาวถามว่า “เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ล่ะ”

“ข้ามาที่นี่เพื่อหาทางเอาชนะเผ่าพันธุ์บรรพกาลและเทพ” กู่ฉิงซานกล่าว

หญิงสาวกล่าวว่า “น่าเสียดายที่เจ้ามาช้าเกินไป ระบบอารยธรรมย่อยของมนุษย์จำนวนหนึ่งหมื่นแปดพันแปดร้อยคนที่เคยอยู่ที่นี่ถูกทำลายไปแล้ว”

นางส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานดูรอบข้าง

“ดูสิ ดวงดาวหมองหม่นและระบบโลกย่อยถูกทำลายไปแล้ว”

กู่ฉิงซานมองรอบข้างทางช้างเผือก เขามองเห็นดวงดาวสีเทาหมองหม่นจำนวนมาก

หญิงสาวกล่าวว่า “โลกย่อยห้าพันสามร้อยแห่งที่เหลืออยู่ในสภาพขาดแคลนพลังงาน ไม่สามารถเปิดได้ พวกมันคือดวงดาวที่เปล่งแสงเรืองรองเพียงน้อยนิด”

“ดูดาวสีแดงดวงนั้นอีกรอบสิ”

กู่ฉิงซานมองตามที่หญิงสาวชี้ เขาเห็นดวงดาวกำลังส่องแสงสีแดง

“นี่มันอะไร” เขาถาม

“ราชาของเผ่าพันธุ์บรรพกาลกำลังนำเผ่าตัวเองไปสร้างความปั่นป่วนในโลกระบบย่อยการป้องกันที่สองเพื่อพยายามจะทำลายมัน” หญิงสาวกล่าว

นางถอนหายใจ “ระบบย่อยการป้องกันที่สองคือหนึ่งในสองระบบย่อยที่ทำงานอยู่ ถ้าถูกทำลายขึ้นมาก็จะเหลือระบบย่อยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

“การป้องกันที่สองหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ใช่ ข้ามีโลกระบบย่อยป้องกันมากมาย ทุกที่ถูกทำลายเพราะเผ่าพันธุ์บรรพกาล” หญิงสาวกล่าว

“เผ่าพันธุ์บรรพกาลแข็งแกร่งยิ่งกว่าระบบย่อยการป้องกันพวกนี้หรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ไม่ ระบบย่อยต้องการพลังงาน มันต้องการการควบคุมของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อดึงพลังที่แท้จริงออกมา แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้อยู่ที่นี่มาหลายร้อยล้านปีแล้ว” หญิงสาวกล่าว

“แสดงว่า สามคนที่มาก่อนหน้าข้าก็ล้วนเข้าสู่โลกระบบย่อยสุดท้ายแล้วหรือ” กู่ฉิงซานถาม

หญิงสาวกล่าวว่า “ใช่ นั่นคือโลกระบบย่อยทางฝั่งการฝึกฝนและยังเป็นโลกระบบย่อยสุดท้ายที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เป็นที่ที่เหมาะกับพวกเขามาก”

นางจ้องมองกู่ฉิงซานแล้วกล่าวว่า “ประตูสู่โลกระบบย่อยของฝั่งการฝึกฝนยังเปิดอยู่และยังทำงานเป็นปกติ ดังนั้นท่านยังมีเวลาเพื่อเข้าไปก่อนเผ่าพันธุ์บรรพกาลจะมารุกราน”

กู่ฉิงซานเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นพลันถามว่า “เจ้าสามารถปกปิดวิชาซ่อนตัวที่มอบให้พวกข้าจากราชาของเผ่าพันธุ์บรรพกาลได้หรือไม่”

หญิงสาวกล่าวว่า “ข้าสามารถเพิ่มแหล่งพลังเงาเพื่อให้เกิดผลนี้ได้ แต่เวลาล่องหนจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง”

“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นช่วยพัฒนาแหล่งพลังให้ข้าที แล้วก็…”

กู่ฉิงซานชี้ไปยังดวงดาวส่องแสงสีแดงก่อนกล่าวว่า “ถ้าช่วยพาข้าไปโลกระบบย่อยการป้องกันที่สองด้วยจะขอบคุณมาก”

………………………………….

มีสี่คนอยู่ในถ้ำ

คนหนึ่งคือชายชราผู้ถือยันต์เพื่อเปิดปิดหลุม

คนต่อมาคือเซี่ยกูหงผู้มีเจ็ดดาบอยู่บนแผ่นหลัง

อีกทั้งยังมีชายร่างกำยำผู้เปลือยกายท่อนบนและถือคทายาว

คนสุดท้ายคือกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานกำหมัดเล็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าทั้งสามคนก่อนกล่าวว่า “ทั้งสามคน ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอพวกเจ้าที่นี่”

ชายชราผมขาวถามว่า “หัวหน้าจ้าว ทำไมท่านถึงมาในที่อันตรายเช่นนี้”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “สำนักถูกทำลายแล้ว ในฐานะหัวหน้า ข้าจะไม่แก้แค้นกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”

ทั้งสามคนเงียบ

ใช่แล้ว ในสงครามครั้งนี้ สำนักเซียนธารจันทราอยู่ใกล้แนวหน้าจนต้องรับหน้าที่ในฐานะเป็นทางผ่านสงคราม พวกเขาเปรียบเสมือนหอกข้างแคร่ในสายตาของสัตว์ประหลาด

ท้ายที่สุดสำนักเซียนธารจันทราจึงถูกทำลาย

นี่เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด

คำพูดของกู่ฉิงซานทำให้ทั้งสามคนรู้สึกเห็นใจและนับถือในทันที

เขามาที่นี่เพียงลำพังเพื่อจะตายไปพร้อมกับศัตรู!

เซี่ยกูหงถอนหายใจพลางกล่าวว่า “หัวหน้าจ้าว พวกเทพยังอยู่ที่นี่ หากครั้งนี้พวกเรากลับไปได้อย่างปลอดภัย ข้าจะไปขอร้องเทพ หวังว่าพวกเทพจะสามารถช่วยท่านสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง”

“ขอบคุณในความเมตตาของเจ้า ข้าได้ตัดสินใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

ทั้งสามคนตั้งใจฟัง ไม่คิดที่จะโน้มน้าวอีก

หากอยู่ในระดับพวกเขา ทุกการตัดสินใจไม่สามารถแปรเปลี่ยนได้โดยง่าย

ชายร่างกำยำเปลี่ยนเรื่อง “โอกาสที่ทั้งสองโลกจะมาพบกันนับว่าหายากยิ่งในชั่วชีวิต พวกเรารู้สึกเช่นกันว่าแทนที่จะอยู่ในสวรรค์ต่อ พวกเราควรมาที่นี่เพื่อสืบให้แน่ชัด”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ข้าก็คิดแบบนั้นเช่นกัน”

เซี่ยกูหงถามว่า “หัวหน้าจ้าว ท่านอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว”

“ไม่นานหลังจากข้ามาถึง ข้ากำลังคิดหาทางผ่านสัตว์ประหลาดพวกนั้นอยู่ก่อนจะสังเกตเห็นพวกเจ้า” กู่ฉิงซานกล่าว

เขามองคนเหล่านั้นก่อนค่อยๆ นึกออกถึงตัวตนของชายชราและชายร่างกำยำ

ก่อนกลายเป็นศิษย์ในตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก กู่ฉิงซานเคยได้ยินเกี่ยวกับมนุษย์แข็งแกร่งมาก่อน หลังจากกลายมาเป็นราชาเทพ เขายิ่งได้รับข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

ชายชราผมขาวตรงหน้าเขาคือจ้าวอาวุโสของสำนักผู้เก่งกาจธาตุทั้งห้าและหกวิชา โดยเฉพาะวิชาดาวฤกษ์หกแฉก

ชายร่างกำยำคือผู้ฝึกฝนวิชายุทธสายเรียบง่าย แต่พละกำลังส่วนตัวของเขานับว่าอยู่ในกลุ่มที่แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ การต่อสู้ระยะประชิดของเขาแทบจะไร้เทียมทาน

พวกเขาสามคนคือยอดนักพรตผู้อยู่ระดับเบิกเนตรมิติ

ชายชราคือนักพรตระดับแสวงโลกา ตามมาตรฐานของรุ่นหลัง แม้กระทั่งในโลกเก้าร้อยล้านชั้น เขายังถูกเรียกว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง

เขาถือเป็นคนสำคัญของโลกเก้าร้อยล้านชั้น พละกำลังของเขาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางจากสิ่งมีชีวิตทั่วทุกโลก

ชายร่างกำยำแข็งแกร่งกว่า เขาคือนักพรตระดับวงแหวนนภา

ผู้ฝึกฝนระดับวงแหวนนภาสามารถเป็นจ้าวโลกในโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้ แต่ไม่ใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจ้าวโลก

สิ่งที่เรียกว่าระดับแสวงโลกาในรุ่นหลังคือคำที่ใช้กล่าวถึงผู้ที่สามารถทะลวงผ่านความว่างเปล่าได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวจนมองเห็นโลกชั้นที่เก้าสิบ

สิ่งที่เรียกว่าระดับวงแหวนนภาคือบุคคลทรงพลังผู้สามารถทะลวงผ่านความว่างเปล่าได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทำให้โลกแปดร้อยล้านชั้นปรากฏขึ้นตรงหน้าแบบกลับด้าน

เหนือสองระดับนี้ ยังมีอีกระดับอยู่ มันถูกวัดด้วยมาตรฐานของโลกเก้าร้อยล้านชั้น เป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจ้าวโลก แค่การโจมตีแบบสุ่มก็สามารถทำให้โลกสามพันใบปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าได้โลกแล้วโลกเล่าและคงอยู่ได้นาน ดังนั้น มันจึงถูกเรียกว่าระดับสามพันโลก

ดังนั้นในสามระดับนี้จึงแบ่งเป็น: แสวงเก้าสิบโลกา แปดร้อยวงแหวนนภา สามพันโลก

ช่องว่างระหว่างสามระดับนับว่าใหญ่มาก แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวข้ามอีกฝ่ายไปได้

เท่าที่กู่ฉิงซานรู้ เซี่ยกูหงคือหนึ่งในผู้ที่อยู่ระดับสามพันโลกแล้ว

ตอนตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวกถูกทำลาย เขาพัฒนามาถึงระดับนี้จนก้าวเข้าสู่ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์

ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์คือระดับของเทพ เมื่อมาถึงระดับนี้ พวกเขาสามารถสร้างดิน น้ำ ไฟและลมได้ก่อนใช้พลังสี่เสานี้เพื่อเปิดนภาก่อนสร้างโลกขึ้นมา

ตอนเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณกำลังจะล่วงลับ พละกำลังของเซี่ยกูหงกำลังจะพัฒนาไปสู่ระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์

จากนั้นเทพจงใจหันดาบมาที่เขาด้วยหมายจะตรวจสอบพละกำลังที่แท้จริง

ผลที่ได้ ถึงแม้เซี่ยกูหงจะยังไม่ไปถึงระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ แต่ฝีมือดาบของเขานับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง เขาบังเอิญไปเอาชนะเหล่าเทพได้ด้วยการโจมตีเพียงครึ่งส่วน การกระทำนี้ส่งผลให้เกิดหายนะจนนำมาสู่การสูญสิ้นของตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก

กู่ฉิงซานกลายเป็นจ้าวอู๋จง จ้าวอู๋จงคือผู้มีรากฐานการฝึกฝนสูงในระดับวงแหวนนภา นับว่าเหนือกว่าชายร่างกำยำและชายชราเล็กน้อย แต่เขายังด้อยกว่าเซี่ยกูหง

กู่ฉิงซานกำหนดระดับพละกำลังของคนเหล่านี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นถามว่า

“พวกเจ้าสามคนหาทางผ่านสัตว์ประหลาดนี้ได้หรือไม่”

เซี่ยกูหงกล่าวว่า “ท่านฆ่าพวกมันไม่ได้หรอก แถมยังทำให้สัตว์ประหลาดทรงพลังที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของโลกตื่นตัวอีกด้วย ดังนั้นพวกเราต้องรอ”

“รอหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสับสน

“ใช่แล้ว” ชายชราตอบ “ทุกช่วงเวลาจะมีคลื่นความโกลาหล จากนั้นก็มีเสียงที่แปลกประหลาดยิ่ง”

ชายร่างกำยำกล่าวว่า “พวกข้าคิดค้นกฎเกณฑ์หนึ่งขึ้นมา เมื่อคลื่นโกลาหลลูกใหม่มาถึง พวกเราจะลองตอบรับเสียงนั่นเพื่อพยายามทะลวงสู่ส่วนลึกของดินแดนบรรพกาล”

“เสียงแปลกประหลาดนั่นน่ะหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสับสน

ชายชรากล่าวว่า “ตอนเสียงนั่นปรากฏขึ้นสองสามครั้งก่อน พวกข้าไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงนั่นเสียเท่าไหร่”

เซี่ยกูหงกล่าวว่า “ตอนนี้ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ดังนั้นพวกข้าเตรียมที่จะลองวิธีดังกล่าวดู พวกเราจะรอให้คลื่นโกลาหลก่อตัวขึ้นอีกครั้งเพื่อตอบรับเสียงนั่น”

“เดี๋ยวนะ พวกเจ้าไม่กลัวว่านี่เป็นกับดักของผู้ปกครองโลกบรรพกาลเลยหรือ” กู่ฉิงซานถาม

เซี่ยกูหงกล่าวว่า “ก่อนพวกข้าจะพบท่าน พวกข้าได้ยินเสียงคำรามเกรี้ยวกราดของผู้ปกครองโลกบรรพกาลดังก้องไปทั่วโลก ดูท่ามันจะเจอบางอย่างเข้า”

ชายชรากล่าวว่า “อีกอย่าง ก่อนข้าพบหัวหน้าจ้าว ข้าได้คำนวณคลื่นโกลาหลจนพบว่ามันคือสัญญาณเป็นมิตร”

ตราบที่วิชาดาวฤกษ์หกแฉกของนักพรตราบรื่นและผู้ใช้เต็มใจจ่ายชีวิตส่วนหนึ่ง พวกเขาจะได้รับลางบอกเหตุที่น่าเชื่อถือ

อีกอย่าง การรับรู้วิญญาณของสามยอดนักพรตนี้น่าทึ่ง การคาดการณ์ถึงอันตรายยังเชื่อถือได้มาก

กู่ฉิงซานพยักหน้าช้าๆ

“งั้นมารอด้วยกันเถอะ” เขากล่าว

ผ่านไปสักพัก

ฉับพลันนั้นเอง ทั้งสามคนสบตากัน

ชายร่างกำยำกระซิบ “คลื่นโกลาหลกำลังมา!”

คนอื่นหยุดสนทนาในทันที

สิ่งที่เรียกว่าคลื่นโกลาหลมาจากหินวิเศษที่กองอยู่ทั่วโลกบรรพกาล

หินวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้เต็มไปด้วยความว่างเปล่ากับพลังโกลาหล พวกมันสั่งสมพลังไว้มากขึ้นเรื่อยๆ แรงระเบิดปะทุออกมาเป็นครั้งคราว

‘ตูม!’

มีเสียงดังมาจากสวรรค์และปฐพี

วิญญาณทั้งห้าธาตุขัดแย้งกันเองขณะซ้อนทับกันไปมาจนเกิดเสียงเสียดสีอันคมปลาบนับพัน เสียงเหมือนกับภาพซ้อนทับจำนวนมากขนาดใหญ่กำลังกรีดร้องในสวรรค์และปฐพี

หลุมในพื้นเริ่มโงนเงนและสั่นสะเทือนอย่างไม่มีสิ้นสุด

คลื่นโกลาหลปลดปล่อยพลังและยังคงอยู่อีกหลายสิบอึดใจ

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง เสียงผู้หญิงดูเป็นมิตรดังขึ้นจากในถ้ำ

“พบเผ่าพันธุ์มนุษย์สี่คนตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย พวกเขากำลังพยายามหาวิธีหลบเลี่ยงอย่างปลอดภัย”

“เนื่องจากระบบตอนนี้ขาดพลังงานอย่างร้ายแรง จึงเลือกทางเลือกเพียงแค่ทางเดียวเท่านั้น”

“ขอมอบแหล่งกำเนิดพลังเพื่อปกปิดร่างของท่าน ท่านจะรับหรือไม่”

ทั้งสี่คนมองหน้ากัน

สามคนไม่คิดมาก ยังไงเสีย พวกเขาก็เคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง

แต่กู่ฉิงซานแทบจะตกตะลึง

ในรูม่านตาของเขา แถวข้อความขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ตรวจพบระบบสงครามขนาดใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พยายามทำการเชื่อมต่อ”

“แจ้งเตือน!”

“พลังงานของอีกฝ่ายไม่เพียงพอเป็นอย่างยิ่ง การเชื่อมต่อในครั้งนี้ล้มเหลว”

“โปรดเติมพลังงานอีกฝ่ายเพื่อปลุกระบบสงครามขนาดใหญ่นี้ขึ้นมา”

กู่ฉิงซานอดที่จะถามในใจไม่ได้ว่า “ระบบ พลังงานที่ต้องการคืออะไร”

 ‘ติ๊ง!’

ระบบเทพสงครามตอบว่า “ข้าไม่เคยติดต่อกับอีกฝ่ายมาก่อน จึงไม่รู้ว่าตอนนี้พลังงานดังกล่าวทำงานอย่างไร ท่านต้องสำรวจด้วยตัวเอง”

กู่ฉิงซานจมสู่ห้วงความคิด

ตอนนี้เอง เซี่ยกูหงกล่าวว่า “ข้าจะไปก่อน หากมีอะไรไม่ชอบมาพากล ข้าจะออกไปสู้กับสัตว์ประหลาดจนวินาทีสุดท้าย”

เขามองนักพรตสามคนที่เหลือ “ถ้าถึงตอนนั้นจริง ข้าจะดึงความสนใจของสัตว์ประหลาดให้อย่างสุดความสามารถเอง พวกเจ้าจะออกจากที่นี่หรือหาทางไปต่อก็จงตัดสินใจด้วยตัวเอง”

หลังจากเซี่ยกูหงพูดจบ เขาไม่รอให้สามคนที่เหลือตอบสนองก่อนพูดกับความว่างเปล่าว่า “ข้ารับ!”

เสียงหญิงสาวกล่าวตอบทันทีว่า “ข้าจะมอบแหล่งกำเนิดพลังเงาให้ท่าน”

“โปรดจำไว้ว่าเพราะระบบนี้ขาดพลังงาน แหล่งกำเนิดพลังงานจึงใช้ปกปิดได้เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น”

‘วิ้ง’

ในความว่างเปล่า วงสีเทาเข้มพลันปรากฏขึ้นก่อนห้อมล้อมเซี่ยกูหงเอาไว้

วงแหวนค่อยๆ หายไป

ร่างของเซี่ยกูหงหายไปต่อหน้าทั้งสามคนเช่นกัน

พวกเขาสามคนปลดปล่อยวิญญาณเพื่อตรวจสอบพร้อมกัน แต่ยังไม่สามารถตรวจจับตัวตนของเซี่ยกูหงได้

ชายชราผมขาวกล่าวอย่างไม่มั่นใจว่า “จ้าวตำหนักเซี่ย ท่านยังอยู่ที่นี่หรือไม่”

ตรงข้ามพวกเขา เสียงของเซี่ยกูหงดังขึ้นทันที “นี่นับว่าน่าแปลกจริงๆ ข้ายังอยู่ที่นี่ แต่กลับไม่สามารถหาตัวเองเจอด้วยซ้ำ แม้กระทั่งจิตเทพก็ยังไม่เจอ”

ชายร่างกำยำกล่าวว่า “ในเมื่อท่านยอมรับพลังวิเศษนั้นมา ข้าเกรงว่าพวกเราจะรู้ในไม่ช้าว่านี่เป็นกับดักหรือเปล่า”

ทั้งสี่คนรออย่างเงียบงันอยู่หลายอึดใจ

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

………………………………….

ในถิ่นทุรกันดาร

ไอเยือกแข็งและหมอกยังคงปกคลุมอย่างต่อเนื่อง

หมอกเย็นหายไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เป็นนักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่ง

เขาไว้เครายาว สวมชุดคลุม ตรงเอวมีมีดเยือกแข็ง รูปร่างดูผึ่งผายเลยทีเดียว

หัวหน้าของสำนักเซียนธารจันทรา จ้าวอู๋จงนั่นเอง

แน่นอนว่าจ้าวอู๋จงตัวจริงตายไปแล้ว นี่คือกู่ฉิงซานผู้หยิบยืมตัวตนและรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายมา

กู่ฉิงซานเดินไปมาอยู่ในถิ่นทุรกันดารขณะสัมผัสตำแหน่งของโลกบรรพกาล

มีการซ้อนทับระหว่างโลกบรรพกาลและอาณาจักรสวรรค์ดึกดำบรรพ์ แสดงว่าทั้งสองโลกสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้

กู่ฉิงซานต้องหาทางไปสถานที่นั่นก่อนจึงสามารถเข้าสู่โลกบรรพกาลได้

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป

กู่ฉิงซานหยุดอยู่หน้ากองหิน

เขาย่อตัวขณะหยิบก้อนหินขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด

หินเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังโกลาหลอันแก่กล้า มันคือหินวิเศษของโลกบรรพกาล

“ดูท่าคงจะเป็นที่นี่”

กู่ฉิงซานพึมพำ

ตามที่เทพจินเยี่ยนว่า ตอนเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคบรรพกาลจากไป โลกทุกใบที่พวกเขาสร้างได้หายไป เหลือแค่เพียงสวรรค์ดึกดำบรรพ์และโลกมารดึกดำบรรพ์เท่านั้น

ส่วนโลกบรรพกาล มันไม่ถูกนับว่าเป็นโลกที่สมบูรณ์

ที่จริงมันคือสถานที่ชั่วคราวที่ถูกสร้างโดยมนุษย์โบราณก่อนที่จะจากไป

เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณใช้พลังเหลือเชื่อนานาชนิดเพื่อสร้างที่นี่ไว้ข้างประตูโลกเพื่อที่พวกเขาจะสามารถสำรวจและศึกษาความลี้ลับของประตูโลกได้

ตอนเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณเข้าสู่ประตูโลก ที่นี่ก็ว่างเปล่าแล้ว

ภายหลังเผ่าพันธุ์บรรพกาลทรยศเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำให้ที่นี่ถูกยึดครอง

ยึดครอง…

กู่ฉิงซานนึกถึงคำพูดของเทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงจนรู้สึกว่าคำว่า “ยึดครอง” มันดูจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก

เพราะจนถึงตอนนี้ เผ่าพันธุ์บรรพกาลยังคงสำรวจที่นี่อย่างต่อเนื่อง

พวกเขาไม่ได้เข้าใจสถานที่นี้อย่างถ่องแท้เช่นกัน

กลายเป็นว่าพวกเขาเข้ามาที่นี่โดยอาศัยพลังที่เหนือกว่าเทพและนักพรต แถมยังไม่ยอมให้ตัวตนไหนเหยียบย่างเข้ามาได้

ขณะยืนอยู่บนหินวิเศษ กู่ฉิงซานเอื้อมมือล้วงไปหยิบเหรียญออกมาก่อนออกแรงบดขยี้

ฉับพลัน พลังมหาศาลกดทับหนึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศบางก่อนลากเขาเข้าสู่ความว่างเปล่า

โลกบรรพกาล

ถิ่นทุรกันดารที่สร้างจากหินวิเศษเต็มไปด้วยพลังโกลาหลแก่กล้า

อสนีบาตอยู่ทุกหนแห่งในท้องฟ้าราตรีอันมืดมิด

สายลมแรงกล้าพัดผ่านหมู่เมฆทมิฬขณะส่งเสียงกรีดร้องชั่วนิรันดร์ภายใต้พลังโกลาหล

กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าอย่างเงียบงัน

เขาถือมีดเยือกแข็งไว้ในมือขณะทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา

ไม่มีเสียงรอบข้าง

กลิ่นเลือดตลบอบอวล

จมูกของกู่ฉิงซานขยับเล็กน้อย

ใช่แล้ว…

เลือดมนุษย์ไม่ได้มีกลิ่นแบบนี้…

เขาปลดปล่อยจิตเทพขณะกวาดไปยังทางที่มีลมหายใจโลหิต

ห่างออกไปหลายร้อยฟุต ร่างของสัตว์ประหลาดบรรพกาลจำนวนมากกองอยู่กับพื้น

กู่ฉิงซานเหาะไปยังจุดนั้นก่อนตรวจสอบซากศพอย่างละเอียด

“เนื้อเน่าเปื่อย…ตายมานานแล้ว…”

กู่ฉิงซานพึมพำ

ตัดสินจากร่องรอยของซากศพแล้ว สัตว์ประหลาดเหล่านี้ถูกสังหารโดยวิชาและอาวุธมีคมหลากชนิดอย่างเห็นได้ชัด

หรือก็คือ ยอดนักพรตที่หายตัวไปเคยมุ่งหน้าผ่านมาทางนี้

เซี่ยกูหงคือหนึ่งในนั้น

หากตามเซี่ยกูหงไป เขาจะต้องพบสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน

โดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง กู่ฉิงซานตัดสินใจตามไปทันที

พลังโกลาหลในท้องนภาราวกับของจริง หากเหาะล่ะก็จะต้องเป็นที่สะดุดตามากแน่ๆ กู่ฉิงซานจึงไม่กล้าที่จะเหาะอีก

เขาวิ่งอย่างรวดเร็วผ่านพื้นหินรกร้างที่เกิดจากการสั่งสมของหินวิเศษ

หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป

กู่ฉิงซานกลั้นหายใจก่อนนอนอยู่ในหลุมหิน

ด้านหน้าถิ่นทุรกันดารเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดบรรพกาลจำนวนมาก

พวกมันเข้ายึดครองทั่วถิ่นทุรกันดาร ดวงตาทุกคู่หลับหมดราวกับกำลังพักผ่อนอยู่

หากมองเลยสัตว์ประหลาดบรรพกาลไปยังส่วนลึกของถิ่นทุรกันดารก็จะมองเห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในเงามืดอย่างเลือนราง

นั่นอาจจะเป็นบางสิ่งที่ถูกสร้างโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณก็ได้

น่าเสียดายที่ทั่วถิ่นทุรกันดารเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินผ่านได้อย่างปลอดภัย

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนหยิบหินวิเศษจากพื้นขึ้นมา เขาโยนออกไปในถิ่นทุรกันดาร

หินวิเศษลอยอยู่สักพักก่อนแตกสลายเพราะภาพติดตา

มีภาพติดตาอยู่กลางอากาศ

มันเป็นลิ้นยาวจากสัตว์ประหลาดบรรพกาลที่อยู่บนพื้น

เจ้านี่คือกบยักษ์สามตา

‘อ๊บ!’

มันส่งเสียงร้องดังไปทั่วทุกหนแห่ง

เพียงพริบตา สัตว์ประหลาดบรรพกาลจำนวนมากตื่นขึ้นขณะมองรอบข้างอย่างระแวดระวัง

‘ฟรึ่บๆ!’

สัตว์ประหลาดบรรพกาลหลายร้อยตัวทะยานขึ้นจากพื้นขณะตรวจจับการเคลื่อนไหวทุกทิศทางอย่างต่อเนื่อง

ตอนนี้ กู่ฉิงซานกระตุ้นค่ายกลลับแล้ว ในเวลาเดียวกัน เขาเข้าใจกลยุทธในการยับยั้งลมหายใจด้วย

อาจจะเพราะสัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่แข็งแกร่ง พวกมันก็เลยหาอะไรไม่พบ

สัตว์ประหลาดที่บินอยู่กลางอากาศหุบปีกลงก่อนกลับมาประจำที่เดิม

พวกมันหลับตาลง หลังจากนั้นก็หลับไปอีกครั้ง

กู่ฉิงซานรออยู่สักพักจนกระทั่งทุกอย่างเงียบสงัดลงแล้วเขาจึงหายใจออกมา

ทั่วถิ่นทุรกันดารนี้มีสัตว์ประหลาดอยู่นับไม่ถ้วน

มันไม่จากไปไหนเลย

แต่ถ้าอยากให้เกิดการนองเลือดก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ด้วยการใช้พลังของเทพแห่งความเย็นยะเยือกหรือด้วยการปลดปล่อยดาบบินเจ็ดร้อยเล่มควบคู่กับวิชาดาบของตัวเองอันเต็มเปี่ยม เป็นไปได้ว่าจะทำให้สัตว์ประหลาดระดับสูงจากโลกบรรพกาลหรือแม้กระทั่งผู้ปกครองโลกบรรพกาลตื่นตัว

เมื่อคิดได้ดังนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกนับถือผู้ปกครองโลกบรรพกาลขึ้นมาเล็กน้อย

แม้ไม่มีการวางการตรวจตราและการป้องกัน แต่สัตว์ประหลาดทุกตัวอยู่ทั่วถิ่นทุรกันดาร ใครล่ะจะสามารถไปที่นั่นได้

สุดท้ายแล้วจะหาทางผ่านไปได้ยังไงล่ะ

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลครุ่นคิดอย่างหนัก

ฉับพลันนั้นเอง ด้านข้างที่อยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก มีคลื่นพลังวิญญาณกระเพื่อมออกมา

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

มีเพียงมนุษย์ที่สามารถใช้พลังวิญญาณได้

หรือก็คือ มีคนอื่นอยู่ที่นี่!

กู่ฉิงซานปิดค่ายกลทันทีก่อนหมอบเพื่อซ่อนตัว

เขาปลดปล่อยวิชาที่เรียบง่ายที่สุดออกไป

ควบคุมวัตถุ

นี่แตกต่างจากการควบคุมดาบบินด้วยจิต การควบคุมวัตถุไม่สามารถทำได้อย่างแม่นยำเหมือนกับการส่งพลังวิญญาณไปที่อาวุธจากอากาศเบาบาง อีกทั้งยังเป็นไปไม่ได้ที่จะปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังอย่างต่อเนื่องได้

เมื่อใช้การควบคุมวัตถุ นักพรตจะต้องใช้พลังวิญญาณเพื่อย้ายวัตถุเท่านั้น

ด้วยการควบคุมจากมือของกู่ฉิงซาน หินวิเศษบนพื้นขยับ

กู่ฉิงซานปล่อยมือทันที

กฎเกณฑ์หายไป

ความผันผวนของพลังวิญญาณอันละเอียดอ่อนคงอยู่สักพัก จากนั้นจึงหายไป

สัตว์ประหลาดบรรพกาลที่อยู่ไกลออกไปไม่สังเกตเห็น

แต่กู่ฉิงซานสัมผัสความผันผวนนั่นได้มากเกินพอ

ถ้าเป็นมนุษย์ระดับยอดนักพรต พวกเขาต้องรับรู้ถึงความผันผวนในพลังวิญญาณจากเคล็ดวิเศษนี้อย่างแน่นอน

นี่มากเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าตัวตนของเขาเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์

ในยุคนี้ ยามเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดบรรพกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์ย่อมต้องร่วมเป็นหนึ่ง ดังนั้นขอแค่พิสูจน์ตัวเองได้ มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

กู่ฉิงซานยืนขึ้นจากหลุมหินขณะรออย่างเงียบๆ หลายอึดใจ

ผ่านไปสักพัก

เสียงหนึ่งพลันดังมาจากจิตของเขา “เป็นหัวหน้าจ้าวนี่เอง โปรดรอสักครู่”

เสียงนั้นหายไป

ไม่ช้า ใต้หลุมหินที่กู่ฉิงซานอยู่สั่นไหวเล็กน้อยก่อนเผยให้เห็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมา

ยันต์ใบหนึ่งส่องแสงสีแดงเรืองรองขณะลอยออกจากหลุม เสียงนักพรตคนหนึ่งดังขึ้น

“พี่จ้าว ที่นี่ไม่ปลอดภัย ทันทีที่คลื่นความโกลาหลสงบลง ท่านจะถูกสัตว์ประหลาดพบได้โดยง่าย โปรดมาอยู่รวมกับพวกข้า”

กู่ฉิงซานประสานมือก่อนกล่าวว่า “ขอบคุณ”

เขาไม่ลังเลที่จะกระโจนลงไปในหลุมใหญ่ จากนั้นเหาะตามยันต์ลงไปข้างล่างจนกระทั่งมาถึงหลุมบนพื้น

ที่ทางเข้าถ้ำ นักพรตผมขาวกำลังรออยู่ก่อนแล้ว

เขาเห็นกู่ฉิงซานอยู่ตรงหน้า เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนในร่างของกู่ฉิงซานถึงได้วางใจ

“เข้ามาก่อน”

เมื่อกู่ฉิงซานเปิดทางให้แล้ว ชายชราผมขาวหยิบยันต์นำทางออกมาทันที ร่ายวิชาลับด้วยมือทั้งสองข้างก่อนแปะลงกับหลุมบนพื้น

หลุมหายไปทันทีราวกับไม่เคยมีหลุมอยู่ตรงนั้นมาก่อน

ในเวลาเดียวกัน อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

“หัวหน้าจ้าว ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”

กู่ฉิงซานหันศีรษะไปมอง

เขาเห็นดาบยาวเจ็ดเล่มปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าด้านหลังคนที่ส่งเสียง

จ้าวตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก เซี่ยกูหงนั่นเอง

…………………………….

แสงยามเช้าสาดส่อง

เมฆหลากสีสันปกคลุมไปหลายพันไมล์

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในป่าหยกเย็นเยือกขณะส่งสัญญาณ

สิบหกอารักขาเทพหยุดทันที

มนุษย์แสงกล่าวว่า “พวกเขาอยู่ที่นี่ การสอดแนมเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีคนมากจนเกินไป”

กู่ฉิงซานมองสิบหกอารักขาเทพ

สิบหกอารักขาเทพคุกเข่าลงข้างหนึ่งทันทีแล้วกล่าวว่า “นายท่าน โปรดให้พวกข้าติดตามเพื่อปกป้องท่านด้วย”

กู่ฉิงซานหัวเราะแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่แข็งแกร่งเท่าข้า ไม่จำเป็นต้องตามข้ามากไปกว่านี้ กลับไปเฝ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์เพศหญิงเพื่อข้า อย่าให้ใครเข้าตำหนักราชาเทพจนถึงตัวนางได้เด็ดขาด นางข้องเกี่ยวกับอนาคตของเผ่าพันธุ์เทพ”

“ขอรับ!”

สิบหกอารักขาเทพตอบรับพร้อมกัน จากนั้นหันหลังแล้วบินไปยังทิศทางที่มุ่งสู่สวรรค์

“ไปกันต่อเถอะ” กู่ฉิงซานเดินนำหน้ามนุษย์แสง

“ขอรับ” มนุษย์แสงกล่าว

พวกเขาบินตรงไปยังส่วนลึกของป่า

ผ่านไปสักพัก

ทั้งสองหยุดอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่

มนุษย์แสงกล่าวกับต้นไม้ว่า “ออกมา”

ต้นไม้ใหญ่แยกออก นักพรตวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้น

เขาไว้เครายาว สวมชุดคลุมเต๋า ทั่วร่างแผ่พลังอันน่าเกรงขามออกมา

เพียงชำเลืองมองก็รู้ในทันทีว่าคนคนนี้คือหนึ่งในผู้ดูแลความเป็นความตายมาช้านาน

นักพรตเต๋ามองมนุษย์แสง จากนั้นมองกู่ฉิงซานแล้วกล่าวด้วยความสงสัยว่า “เทพผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่าน เหมือนข้าจะไม่เคยเห็นพวกท่านมาก่อนเลย”

กู่ฉิงซานมองมนุษย์แสง

มนุษย์แสงอธิบายว่า “เพื่อซ่อนตัวจากยอดนักพรตของเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือแม้กระทั่งซ่อนตัวจากการสำรวจของเผ่าพันธุ์บรรพกาล พวกเขาต้องวางคนที่มีสถานะสำคัญที่สุดเอาไว้ในเผ่าพันธุ์มนุษย์”

“หากไม่จำเป็น คนเหล่านี้จะไม่ติดต่อหรือข้องเกี่ยวกับพวกเราในวันธรรมดาและถ้าไม่มีโทเค่น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเทพ พวกเขาก็จะไม่ยอมรับ”

“แล้วพวกเขายอมรับอะไรล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

มนุษย์แสงหยิบเหรียญออกมาก่อนโยนให้นักพรต

นักพรตรับเหรียญไว้ หลังจากตรวจสอบสักพัก สีหน้าผ่อนคลายจึงถูกเผยให้เห็น

กู่ฉิงซานประหลาดใจ

กลายเป็นว่ายอมรับเงินเสียอย่างนั้น

นักพรตเต๋าวัยกลางคนทำการคุกเข่าต่อหน้ามนุษย์แสงและกู่ฉิงซานขณะกล่าวด้วยความกระตือรือร้นว่า “ข้าน้อยคือหัวหน้าผู้ดูแลสำนักเซียนธารจันทรา จ้าวอู๋จง ขอคารวะเทพทั้งสอง”

มนุษย์แสงเข้าใกล้กู่ฉิงซานก่อนกล่าวว่า “นี่คือจ้าวอู๋จง เขาซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสำนักเซียนธารจันทรามานานหลายปี น้อยครั้งที่จะเดินออกมาสู่โลกภายนอก ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับนักพรตระดับเดียวกัน ดังนั้นการใช้ตัวตนของเขาย่อมไม่เป็นที่สงสัยอย่างแน่นอน”

กู่ฉิงซานฟังจบก่อนกล่าวกับจ้าวอู๋จงกล่าวว่า “ลุกขึ้น”

“ขอรับ”

“ทีนี้พวกข้าต้องการสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือการหยิบยืมตัวตนของเจ้า”

“ข้าน้อยขอบังอาจถามว่าจะพวกท่านจะทำอย่างไร”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “ข้าจะร่ายวิชาใส่เจ้าและเทพที่อยู่ด้านข้าง เขาจะกลายเป็นเหมือนเจ้า ทำทุกสิ่งเหมือนกับเจ้า ในช่วงเวลาดังกล่าว เจ้าต้องซ่อนตัว ห้ามเปิดเผยการกระทำใดๆ เด็ดขาด”

จ้าวอู๋จง หัวหน้าของสำนักเซียนธารจันทราฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง

ตอนแรกคิดไว้อย่างหนึ่ง

แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการใช้ตัวตนเท่านั้น

นี่นับว่าเป็นเรื่องง่าย เขาเพียงต้องหาสถานที่ซ่อนตัวสักหลายวันก็เพียงพอแล้ว

“ข้าน้อยจะเชื่อฟัง” เขากล่าวเสียงดัง

มนุษย์แสงยื่นมือออกพลางกล่าวว่า “เอาล่ะ ทั้งคู่จับมือข้าคนละข้าง”

กู่ฉิงซานจับมืออีกฝ่ายเอาไว้

จ้าวอู๋จงทำตามที่บอกเช่นกัน

มนุษย์แสงหันมากล่าวกับกู่ฉิงซานว่า “นี่คือการใช้พลังกฎเกณฑ์เพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ของท่าน ท่านจะมีรูปลักษณ์และบรรยากาศของนักพรตมนุษย์ผู้นี้ แต่โปรดวางใจได้ พละกำลังของท่านจะไม่ได้แปรเปลี่ยนแต่อย่างใด แม้กระทั่งนักพรตมนุษย์ผู้นี้ก็เป็นผู้ที่ข้าเลือกมาเองกับมือ เขาคือนักพรตผู้มีวิชาเยือกแข็งของวิญญาณวารี”

“เช่นนั้นข้าจะฟื้นคืนรูปลักษณ์เดิมได้อย่างไร” กู่ฉิงซานถาม

“นี่เป็นวิชาปกปิดขั้นสูงที่เลียนแบบมาจากยุคบรรพกาล เป็นวิชาไร้ขอบเขต แต่ไม่มีพลังใดมาพันธนาการ ถ้าท่านอยากเปลี่ยนกลับคืนดังเดิม เพียงแค่ทำลายมันด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีก็พอแล้ว” มนุษย์แสงกล่าว

เขากล่าวต่อว่า “สิ่งเดียวที่ท่านต้องให้ความสนใจก็คือพวกเราเผ่าพันธุ์เทพไม่รู้เรื่องวิญญาณมนุษย์ พวกเราใช้วิธีการสื่อสารทางวิญญาณ ดังนั้นหากพบกับนักพรตมนุษย์ผู้อื่น อย่าเผยจุดนี้ให้รู้เด็ดขาด”

หัวใจของกู่ฉิงซานขยับก่อนเผยรอยยิ้มออกมา “แบบนั้นข้าค่อยวางใจได้หน่อย”

ขณะสนทนา เขาค่อยๆ มีรูปลักษณ์ของนักพรตวัยกลางคนคนนั้น

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปลูบความว่างเปล่า พลังเยือกแข็งก่อตัวเป็นกระจกขึ้นมา

เขาดูรูปลักษณ์ของตัวเอง กลายเป็นว่าเขาเหมือนกับอีกฝ่ายทุกส่วน

แต่ภายในร่างกายนั้นเขายังเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก

หื้ม…เป็นวิชาลี้ลับที่ทำให้คล้ายกันในสิ่งมีชีวิตนี่เอง

หลังจากนั้นกู่ฉิงซานเดินไปหาจ้าวอู๋จง

“เอาของทุกอย่างที่เป็นของเจ้ามาให้ข้า” กู่ฉิงซานกล่าว

“หา ขอรับ ท่านเทพ”

จ้าวอู๋จงตกตะลึงสักพักก่อนรีบกล่าวเช่นนั้น

เขาหยิบของของตัวเองออกมาพร้อมกับถุงเก็บของบางส่วน เขาลังเลอยู่สักพักก่อนปลดมีดเยือกแข็งที่อยู่ด้านข้างออกมา

นี่คือมีดยาวล้ำค่าที่สุดในสำนัก มูลค่าของมันสุดจะประมาณได้

สายตาของกู่ฉิงซานเห็นมันเข้าพอดีก่อนหัวเราะเสียงดัง “ข้าไม่ใช้ขยะพรรค์นั้นหรอก ข้าแค่พกไว้ติดตัวเพื่อให้สะดวกต่อการปลอมตัวเป็นเจ้ามากขึ้นก็เท่านั้นเอง”

เขาครุ่นคิดสักพักก่อนดึงคทาเยือกแข็งออกมาแล้วเขย่าตรงหน้าจ้าวอู๋จง

นี่คืออาวุธของเทพแห่งความเย็นยะเยือก เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์

กู่ฉิงซานพึ่งคทายาวนี้ในการเรียนรู้สกิลของเทพแห่งความเย็นยะเยือกมามากมาย

ดวงตาของจ้าวอู๋จงจับจ้องทันทีที่คทาเยือกแข็งถูกนำออกมา

เขาคือนักพรตผู้ฝึกฝนวิชาเยือกแข็ง

มีกฎเกณฑ์เยือกแข็งลี้ลับมากมายในคทายาวที่อยู่ตรงหน้า เพียงแค่มองคทายาวก็ทำให้เขาเกิดความรู้แจ้งมากมาย

ถ้าสามารถถือคทายาวนี้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนให้มากความ สามารถพัฒนาได้ด้วยความเข้าใจในกฎเกณฑ์เยือกแข็ง

จ้าวอู๋จงถอนหายใจ

อีกอย่าง อาวุธประจำตัวของเทพทรงพลังนัก พวกเขาจะมาเหลียวแลมีดเยือกแข็งไปเพื่ออะไร

อาวุธทรงพลัง พลังอันแก่กล้า ทั้งหมดนี่ก็เพื่อเป็นหลักประกันในการลี้ภัยของเหล่าเทพไม่ใช่หรือ

เขาปลดมีดเยือกแข็งออก คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ถือมันไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนส่งให้กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรับมีดเยือกแข็งมา จากนั้นโยนคทาในมือไปให้อีกฝ่ายแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าดูแลมันแทนข้าหน่อยก็แล้วกัน”

จ้าวอู๋จงรีบรับคทาเยือกแข็งไว้ก่อนถามอย่างสงสัยว่า “ท่านเทพ ท่านหมายความว่าอย่างไร”

“ไหนๆ ก็ยืมทั้งตัวตน อาวุธและของสิ่งอื่นๆ มาแล้ว เจ้าก็เก็บคทาวิเศษนี่ไว้สักสองสามวันก็แล้วกัน ถือว่าเป็นรางวัลให้เจ้าไปในตัว” กู่ฉิงซานยิ้ม

จ้าวอู๋จงดีใจก่อนกล่าวว่า “ขอบคุณ ท่านเทพ! ขอบคุณ ท่านเทพ!”

“ด้วยความยินดี”

หลังจากกู่ฉิงซานพูดจบ เขาถือมีดเยือกแข็งเอาไว้ในมือก่อนฟาดฟันใส่จ้าวอู๋จง

สีหน้าของจ้าวอู๋จงเปลี่ยนไป แต่กลับพบว่าคทาเยือกแข็งในมือได้แช่แข็งทั่วทั้งร่างของเขาเอาไว้อย่างเงียบงัน

ฉัวะ!

มีดเยือกแข็งทอประกาย

จ้าวอู๋จงแยกเป็นสองส่วนจนถึงแก่ความตายในทันที

มนุษย์แสงถามว่า “นี่ฆ่ากันเลยหรือ”

“ตัวตนของข้าสำคัญ มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะสามารถเก็บตัวตนของข้าเป็นความลับได้” กู่ฉิงซานกล่าว

ใช่แล้ว หากเทียบความปลอดภัยของราชาเทพแล้ว ความเป็นและความตายของสายลับจะไปสำคัญอะไร

ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่เป็นภาพซ้อนทับแห่งเวลา ถ้าตายขึ้นมาก็เท่ากับตายจริงๆ

มนุษย์แสงพยักหน้าพลางโบกมือก่อนชี้ไปยังซากศพของจ้าวอู๋จง

ซากศพพลันหดเข้าไปในความว่างเปล่าก่อนหายไป

กู่ฉิงซานชำเลืองมองด้านข้างเล็กน้อยก่อนหันมามองหน้างต่างระบบเทพสงคราม

เขาเห็นแถวหิ่งห้อยจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

“พละกำลังของท่านไม่ได้ดีเท่ากับจ้าวอู๋จง”

“แต่เป็นเพราะท่านอยู่ในร่างของเทพแห่งความเย็นยะเยือก”

“และเป็นเพราะท่านปลอมเป็นจ้าวอู๋จง”

“ดังนั้นการต่อสู้นี้จึงไม่สามารถกำหนดพลังวิญญาณที่ได้รับตามพละกำลังของท่านได้”

กู่ฉิงซานเพียงบ่นอุบ “เจ้าจะเอาเท่าไหร่ก็เอาไป จำไว้ว่าให้เก็บเผื่อเอาไว้ด้วย คงไม่ต้องบอกนะว่าเท่าไหร่”

ระบบเงียบไปสักพัก

ติ๊ง!

แถวหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

“ท่านได้รับพลังวิญญาณ 5 แต้ม”

5 แต้ม!

บัดซบ ทำเอาปวดหัวเลย เจ้ามันโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!

กู่ฉิงซานลอบกล่าวอย่างไม่พอใจ

ระบบกล่าวทันทีว่า “อย่าลืมสิว่าตอนเผ่าพันธุ์เทพล่วงลับ ท่านใช้พลังวิญญาณไปเยอะมาก”

กู่ฉิงซานยอมแพ้เมื่อโดนพูดแบบนี้เข้าไป

ใช่แล้ว คนเราต้องตั้งใจอย่างสุดความสามารถ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้ความลับอะไรเลย นั่นหมายรวมถึงการเพิ่มระดับการ์ดด้วย

อนิจจา เขาคงได้แต่หวังว่าครั้งต่อไปจะได้พลังวิญญาณมากกว่านี้…

ขณะคิดอยู่เช่นนั้น มนุษย์แสงหยิบอีกสองเหรียญออกมาแล้วส่งมันมาให้เขา

มนุษย์แสงอธิบายอย่างระวังว่า “นี่คือเหรียญสื่อสารพิเศษสำหรับโลกบรรพกาล ท่านสามารถเข้าโลกบรรพกาลได้ด้วยการกระตุ้นเหรียญนี้เมื่อไปถึงจุดตัดของสองโลกเมื่อคราวที่แล้ว”

“อีกเหรียญคือเหรียญเคลื่อนย้ายของโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ถ้าท่านใช้งาน ท่านจะสามารถกลับไปที่นั่นได้”

“จำให้ดี ทั้งสองเหรียญสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

กู่ฉิงซานมองเหรียญทั้งสองด้วยความสงสัยใคร่รู้

พวกมันมีพื้นผิวที่แตกต่างกัน

เหรียญไปโลกบรรพกาลเป็นแบบหายากและเก่าแก่มาก

ส่วนเหรียญที่ใช้กลับสวรรค์ดึกดำบรรพ์มีแบบและรูปทรงของเหรียญเหมือนกับที่เคยเห็นในพื้นที่จ้าวโลกมาก่อน

มนุษย์แสงถามว่า “ท่านมีคำถามเกี่ยวกับสองเหรียญนี้หรือไม่”

กู่ฉิงซานปิดปาก ไม่ถามอะไรสักคำ

เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเหรียญ

แสดงว่าเหรียญที่แตกต่างกันทั้งสองเหรียญนี้มีความลับบางอย่างหรือว่ามันเป็นเรื่องสามัญที่เหล่าเทพควรจะรู้กันล่ะ

ถ้าไม่รู้ว่ามันเป็นแบบไหน การถามอะไรออกไปก็มีแต่จะเพิ่มความเสี่ยง

ความคิดของกู่ฉิงซานเป็นเช่นนั้น เขาเพียงข้ามคำถามนั้นก่อนถามอย่างอื่นว่า “เจ้าจะมากับข้าหรือไม่”

นี่เป็นอีกคำถามที่สำคัญ

เมื่อมนุษย์แสงได้ยินเช่นนั้น เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่มีร่างจริง ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นมนุษย์เพื่อไปโลกบรรพกาลได้ อีกอย่าง ข้าถูกสร้างโดยเจตจำนงของเหล่าเทพจำนวนนับไม่ถ้วน ทันทีที่ไปปรากฏตัวในโลกบรรพกาล ผู้ปกครองโลกบรรพกาลจะสัมผัสได้ทันที”

“เช่นนั้นเจ้ากลับไปเฝ้าผู้ฝึกฝนมนุษย์เพศหญิงเถอะ อย่าให้ใครขัดขวางการขัดเกลาแผ่นหยกได้” กู่ฉิงซานกล่าว

“…ได้” มนุษย์แสงตอบรับ

กู่ฉิงซานย้ำว่า “แม้แต่เทพจินเยี่ยนก็ห้ามมายุ่งกับนาง!”

มนุษย์แสงลังเลเล็กน้อย

กู่ฉิงซานก้าวมาข้างหน้าก่อนกระซิบข้างหูของมนุษย์แสง “เทพจินเยี่ยนดูแลได้แค่ในอนาคตเท่านั้น เขาจะไม่นำพาประโยชน์อะไรมาสู่เผ่าพันธุ์เทพบรรพกาลเว้นแต่จะขอความช่วยเหลือจากพวกเรา”

เขากล่าวต่อว่า “ราชาเทพผู้นี้คือผู้ที่อยู่ในยุคนี้ มีความกระตือรือร้นที่จะใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับใช้เหล่าเทพของยุคนี้ ข้าจะใช้ดาบเล่มนั้นเพื่อเปลี่ยนโชคชะตาของเหล่าเทพเอง”

มนุษย์แสงเงียบ

กู่ฉิงซานกล่าวอีกครั้งว่า “เจ้าเป็นตัวแทนเจตจำนงของเหล่าเทพนับไม่ถ้วนในยุคนี้ บอกข้าซิ เหล่าเทพของยุคนี้ต้องการอนาคตของเทพจินเยี่ยนหรือของตัวเอง”

มนุษย์แสงไม่ลังเลอีกต่อไปก่อนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว ข้าจะเฝ้ามนุษย์เพศหญิงคนนั้นให้ จะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องนางเด็ดขาด”

กู่ฉิงซานถอยกลับอย่างพึงพอใจ

สิบหกอารักขาเทพ เทพทั้งหลายบนสวรรค์ มนุษย์แสง มีเทพจำนวนมากคอยคุ้มกันลั่วปิงหลี กู่ฉิงซานเชื่อว่าไม่มีใครสามารถพรากลั่วปิงหลีไปจากสายตาของเขาได้ต่อให้เป็นเทพจินเยี่ยนก็ตาม

ตอนนี้เขาสามารถเดินทางไปโลกบรรพกาลได้อย่างปลอดภัยได้แล้ว

เขาผูกมีดเยือกแข็งข้างเอวก่อนนึกถึงท่าทางของจ้าวอู๋จงเล็กน้อย

“ข้าไปล่ะ”

หมอกเยือกแข็งก่อตัวขึ้นจากร่างของกู่ฉิงซาน มันห่อหุ้มเขาเอาไว้ก่อนหายไปจากสายตาของมนุษย์แสง

……………………………..

หลังจากมนุษย์แสงกล่าวจบ คลื่นบิดเบี้ยวโปร่งแสงปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา

ความผันผวนนี้ปกคลุมรอบตัวเขากับราชาเทพ

เพียงพริบตา กู่ฉิงซานหายไปพร้อมกับมัน

ในตำหนักราชาเทพ มีเพียงลั่วปิงหลีที่ยังอยู่

นางยังคงขัดเกลาแผ่นหยก แต่ความเร็วกลับตกลงไปมาก

โถงโล่งและว่างเปล่า

ลั่วปิงหลีถอนหายใจด้วยความเศร้าหมอง

ในภาพซ้อนทับของยุคลับที่นางคอยคุ้มกันนั้น เผ่าพันธุ์เทพเข้ามารุกรานและทำลายเส้นทางลับที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ซ่อนเอาไว้

ตอนนี้กลายเป็นว่ามีแผนสำรองที่เผ่าพันธุ์เทพเตรียมเอาไว้

ถ้าไม่ใช่เพราะการจุติในฐานะราชาเทพของกู่ฉิงซานผู้เจ้าเล่ห์เพทุบาย เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ถึงเรื่องนี้

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลั่วปิงหลีพลันนึกถึงบทสนทนากับกู่ฉิงซานก่อนหน้านี้

“เจ้าต้องรอดเพื่อช่วยข้า”

“ช่วยเจ้าหรือ”

“ใช่ ข้าไม่คิดว่าจะสามารถเอาชนะสองเผ่าพันธุ์ทรงพลังที่เตรียมการมาอย่างดีได้ด้วยการพึ่งเพียงตัวเอง”

ลั่วปิงหลีจมดิ่งสู่ความคิด

กลายเป็นว่าการตัดสินของเขาในตอนนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง

เผ่าพันธุ์บรรพกาลแข็งแกร่งกว่าและชวนให้สิ้นหวังยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์เทพ

ในเมื่อเผ่าพันธุ์เทพยังมีแผนสำรอง แล้วเผ่าพันธุ์บรรพกาลจะไม่มีเลยหรือ

ลั่วปิงหลีสั่นสะท้านทันทีที่ความคิดนี้แล่นเข้ามา

นางรู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง

ท่ามกลางหมอกอันไร้ที่สิ้นสุดในความว่างเปล่า

เศษชิ้นส่วนภาพอันหนักอึ้งของแต่ละยุคเหมือนกับดวงดาวระยิบระยับในค่ำคืนอันมืดมิด

บ้างสั่นไหว บ้างหายไป มีจำนวนสุดที่จะนับได้

“เกิดอะไรขึ้น” กู่ฉิงซานถาม

มนุษย์แสงตอบว่า “มันคือภาพซ้อนทับหลายร้อยล้านแห่ง ภาพซ้อนทับแต่ละแห่งประกอบไปด้วยช่วงเวลาหนึ่งในยุคบรรพกาล พวกมันคือของจริง บ้างเชื่อมต่อเข้าหากัน บ้างแยกตัวออกจากกัน”

“ข้าไม่เข้าใจ” กู่ฉิงซานส่ายหน้า

“ทำแบบนี้จะเข้าใจง่ายมาก…”

มนุษย์แสงชี้ไปยังส่วนที่อยู่ใกล้พวกเขาสองคนมากที่สุดก่อนกล่าวต่อว่า “ดูสิ ชิ้นส่วนนี้กำลังจะถึงจุดจบแล้ว”

กู่ฉิงซานมองไปตามทิศทางที่ชี้

เขาเห็นว่าชิ้นส่วนนั้นมีภาพกำลังวูบไหวอยู่

พวกเทพจุติบนสำนักเซียนธารจันทราเพื่อช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างสำนักฝึกฝนอันเลื่องชื่อนี้ขึ้นมาใหม่

เมื่อสำนักฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง ภาพทั้งหมดกลับหยุดนิ่ง

ทุกสิ่งพลันหายไป

ในภาพซ้อนทับแห่งเวลา ภาพใหม่ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

นั่นคือฉากก่อนหน้าที่สำนักเซียนธารจันทราจะถูกทำลายเป็นครั้งแรก

บนจอ เทพและมนุษย์ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาเริ่มเตรียมสร้างสำนักขึ้นมาใหม่

พวกเขาคล้ายกับย้อนไปในอดีต ไม่รู้ว่ากำลังสร้างสำนักเซียนธารจันทราขึ้นมาใหม่อีกหน

ทุกสิ่งกลับไปเริ่มใหม่อีกครั้ง

“ทำไมล่ะ…” กู่ฉิงซานพึมพำ

มนุษย์แสงกล่าวว่า “เพราะเศษชิ้นส่วนของยุคที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นมีระยะเวลาเพียงเท่านี้ พวกเขาจะทำกระบวนการนี้ไปตลอดกาล”

กู่ฉิงซานคล้ายกับรับรู้ถึงอะไรบางอย่างก่อนพลันถามว่า “เจ้าหมายความว่าข้าเองก็อยู่ในเศษชิ้นส่วนนั่นเหมือนกันงั้นหรือ”

มนุษย์แสงตอบว่า “ถูกต้อง ในยุคจำนวนนับไม่ถ้วน มีเทพแห่งความเย็นยะเยือกจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนท่านเป็นองค์เดียวที่เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งชะตากรรมเพราะการมาถึงของพวกข้า”

“ทำไมเวลาและมิติถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”

“เวลาและมิติจริงไม่ใช่แบบนี้ มันเคลื่อนไปข้างหน้าตลอดไม่มีวันย้อนกลับมาใหม่ ไม่มีใครสามารถย้อนกลับไปในอดีตเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้”

“ที่เจ้าหมายถึงก็คือ…”

“ใช่แล้ว เวลาและมิติที่ท่านอยู่เป็นเพียงเศษชิ้นส่วนหนึ่งของเวลาและมิติจริง มันมาจากวิชาหนึ่ง วิชาของมนุษย์”

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะเชี่ยวชาญวิชาที่ทรงพลังเช่นนี้”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “เผ่าพันธุ์เทพทั้งหมดเชื่อว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สามารถเชี่ยวชาญวิชาเช่นนั้นได้ แต่พวกเขาก็ทำได้ พวกข้าเดาว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รับการสืบทอดส่วนหนึ่งจากยุคบรรพกาลผ่านวิธีการบางอย่าง”

กู่ฉิงซานครุ่นคิดก่อนกล่าวช้าๆ ว่า “เพราะเหตุนี้พวกเขาถึงสามารถสร้างดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพได้ เพราะงั้นพวกเขาถึงสามารถสำแดงวิชาที่สุดแสนเหลือเชื่อได้ใช่หรือไม่”

“อะไรประมาณนั้น” มนุษย์แสงกล่าว

กู่ฉิงซานก้มศีรษะก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “ข้าถึงกับเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเวลา… ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ …”

มนุษย์แสงหันมามองก่อนกล่าวกับเขาว่า “ไม่มีเวลาให้มาถอนหายใจแล้ว นายท่าน ท่านต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้”

“ตัดสินใจอะไร”

“ในภาพซ้อนทับของยุคที่ท่านอาศัยอยู่ ช่วงล่าสุดถึงกับเป็นช่วงเมื่อครึ่งปีก่อน ในตอนนั้น ท่านยังนั่งอยู่บนบัลลังก์ราชาเทพสูงตระหง่าน ปกครองสองเผ่าพันธุ์ทั้งเทพและมนุษย์”

“ถ้าท่านอยากเป็นอิสระจากภาพซ้อนทับของยุคนั้นและใช้ชีวิตอย่างแท้จริงนับจากนี้เป็นต้นไป ท่านจะต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบนับไม่ถ้วนที่อาจทำให้ถึงตายได้ตลอดเวลา ท้ายที่สุดก็จะมีโอกาสเข้าสู่โลกจริง”

“จะเลือกช่วงที่เป็นราชาเทพในเศษเสี้ยวแห่งเวลาหรือจะสู้แม้ว่าจะมีความตายรออยู่ ท่านจะต้องเข้าสู่โลกจริงและเริ่มอนาคตที่สุดจะคาดเดาอย่างสมบูรณ์”

“ระหว่างสองสิ่งนี้ นายท่านจะต้องเลือกเพียงสิ่งเดียว”

กู่ฉิงซานเงียบไปสักพักแล้วกล่าวว่า “ข้าขอถามหน่อย ในมิติและเวลาจริง เกิดอะไรขึ้นกับพวกข้าเผ่าพันธุ์เทพ”

มนุษย์แสงตอบว่า “เทพส่วนใหญ่ตาย มีเพียงน้อยนิดซ่อนตัวอยู่ในชั้นโลกเก้าพันเก้าร้อยล้านชั้นที่ถูกสร้างเลียนแบบจากเผ่าพันธุ์มนุษย์บรรพกาลโดยพวกข้า นับว่าเส้นย่าแดงผ่าแปดเลยก็ไม่ผิด”

ความเศร้าโศกพอประมาณปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน

ฉับพลันนั้นเอง ในใจของเขานึกถึงบทสนทนาระหว่างผู้ปกครองโลกบรรพกาลและราชาเทพที่กำลังจะล่วงลับ

ราชาเทพในตอนนั้นกล่าวว่า “เหตุผลที่ทำไมพวกข้าสร้างโลกหลายใบก็เพื่อตรวจสอบและดูว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในสมัยบรรพกาลนั้นเป็นเช่นไรก่อนตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งเพื่อเข้าสู่ประตูบานนั้น”

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลกล่าวอย่างเหยียดหยันว่า “เจ้าอยากสอดแนมความลับสุดยอดที่ถูกฝังไว้ในสมัยบรรพกาลใช่หรือไม่”

“หวนคืนชาติภพหกวิถีเกินการควบคุมของข้า ถ้าเจ้ากล้าเลียนแบบพลังของมนุษย์เพื่อสร้างมันขึ้นมา นั่นเท่ากับเป็นการท้าทายความยิ่งใหญ่ของข้า”

“ผู้ปกครองโลกบรรพกาล… หวนคืนชาติภพหกวิถีเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา ไร้ซึ่งพลังใดๆ … ข้า… ทำเพื่อท่าน”

นี่คือประโยคสุดท้ายของราชาเทพก่อนถึงแก่ความตาย

ความลับของสิ่งนี้คืออะไร

ความคิดของกู่ฉิงซานวูบไหวขณะนึกถึงเรื่องราวอย่างเงียบงัน

เขาไม่มีเวลาจะมาคิดถึงมันตอนนี้

มนุษย์แสงเปิดปากพูดขึ้นว่า “ท่านราชาเทพ โปรดตัดสินใจด้วย จะกลับสู่ส่วนหนึ่งของเวลาเพื่อกลายเป็นราชาอย่างปลอดภัยหรือจะเผชิญหน้ากับการทดสอบอันโหดหินที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อมุ่งสู่โลกจริง”

กู่ฉิงซานกล่าวเสียงเจื่อน “นี่เจ้ายังจะให้เลือกอีกหรือ”

มนุษย์แสงมองเขา “ท่านหมายความว่าอย่างไร”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ราชาเทพจะใช้ชีวิตอยู่ในภาพลวงตาหรือ”

มนุษย์แสงนิดสักพักก่อนพยักหน้าเล็กน้อย

“ท่านราชาเทพ ข้าขอยืนยันอีกครั้งว่าท่านคือราชาที่ควรค่าต่อการแบกรับความหวังของเผ่าพันธุ์เทพเอาไว้”

“นายท่าน ตอนนี้ท่านกำลังเผชิญหน้ากับบททดสอบที่หนึ่งอยู่”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “เจ้าพูดเองนะ”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “ในเศษเสี้ยวของยุคนี้ที่ท่านอยู่ มันคือช่วงเวลาที่ท่านกลายเป็นราชาเทพและราชาเทพคือสิ่งที่สำคัญกับเผ่าพันธุ์มนุษย์”

“แล้วอย่างไรต่อ”

“เผ่าพันธุ์มนุษย์บางส่วนถอยหนีจากการเฝ้ามองของพวกเราก่อนมุ่งสู่โลกบรรพกาล โลกที่พวกเรากำลังศึกษาประวัติศาสตร์ หลังจากนั้นจึงพบว่าครั้งนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างหลังจากเข้าสู่โลกบรรพกาล”

“ดังนั้น พวกเรามีเหตุผลที่จะเชื่อว่าในโลกบรรพกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ค้นพบความลับบางอย่างเข้า”

“บางทีดาบทั้งสองเล่มของเผ่าพันธุ์มนุษย์กับวิชามิติและเวลาอาจจะได้รับในตอนนี้ก็ได้”

“นายท่าน ท่านคือเทพผู้แข็งแกร่งที่สุด ท่านต้องไปโลกบรรพกาลเพื่อตามหาความลับนั่น”

หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นรัว

อันที่จริง ณ ปลายทางของยุคบรรพกาล เหล่าเทพที่เหลืออยู่เป็นผลสะท้อนจากหน้าประวัติศาสตร์และการเริ่มต้นใหม่

ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว

เซี่ยกูหงไปโลกบรรพกาลแล้วกลับออกมาอย่างปลอดภัย

เผ่าพันธุ์มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป

…นี่คือสิ่งที่กู่ฉิงซานได้คิดเอาไว้แล้ว

เขาวางแผนจะไปโลกบรรพกาลเพราะจะออกจากเศษเสี้ยวมิติและเวลาแห่งนี้ เขาไม่มั่นใจว่าในเศษเสี้ยวแห่งอื่นนั้นตนจะยังมีความมั่นใจเหมือนอย่างเวลานี้และตอนนี้หรือเปล่า แต่เซี่ยกูหงเคยไปโลกบรรพกาลมาแล้วจริงๆ

สำหรับกู่ฉิงซาน ความต้องการของมนุษย์แสงนับว่าถูกต้อง

“ก็ย่อมได้ ทันทีที่แผ่นหยกที่ใช้ตามหาดาบศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้น ข้าจะไปทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

มนุษย์แสงกล่าวว่า “นายท่าน ทันทีที่ท่านถูกผู้ปกครองโลกบรรพกาลพบตัวเข้า ท่านจะถูกโทสะของเขาเล่นงานจนทำให้ถึงแก่ความตาย ท่านแน่ใจหรือว่าจะยังรับบททดสอบนี้”

กู่ฉิงซานตอบว่า “ข้าต้องไป”

มนุษย์แสงจ้องมองเขา น้ำเสียงเผยความโล่งอกออกมา “ยอดเยี่ยม ท่านราชาเทพ ข้าจะตระเตรียมการช่วยเหลือเอาไว้ให้”

“ความช่วยเหลืออะไร”

“ท่านไม่สามารถไปโลกบรรพกาลในฐานะเทพได้ ไม่อย่างนั้นท่านอาจจะถูกพบตัว ข้าจะใช้พลังลี้ลับเพื่อปลอมตัวท่านให้เป็นนักพรตมนุษย์พร้อมกับมอบตัวตนที่ปลอดภัยให้เพื่อช่วยในการลอบเข้าสู่โลกบรรพกาลได้”

กู่ฉิงซานฟังอย่างตั้งใจ

คาดไม่ถึงว่าเทพจะมาไม้นี้ นี่มันช่าง…

มีร่องรอยความกังวลเล็กน้อยบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน

“ราชาผู้นี้ต้องปลอมตัวเป็นมนุษย์หรือ วิธีนี้มันจะได้ผลใช่หรือไม่”

เขาถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย

มนุษย์แสงตอบว่า “นายท่าน อย่ากังวลไปเลย การปลอมตัวเป็นหนทางการซ่อนตัวที่ดี ข้ารับปากว่าหลังจากปลอมเป็นนักพรตมนุษย์แล้ว จะไม่มีใครตรวจพบตัวตนที่แท้จริงของท่านได้”

“…ถ้าเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะยอมปลอมตัวสักครั้งก็แล้วกัน”

ราชาเทพกล่าวอย่างเคร่งขรึม

…………………………

นอกสวรรค์

นอกตำหนักราชาเทพ

เทพทุกองค์ต่างคุ้มกันทางเข้าวิหาร ปิดกั้นไม่ให้เทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงเข้าไปได้

กู่ฉิงซานไม่สนใจเรื่องนี้อีกแล้ว

เพียงสะบัดมือ วัตถุดิบหายากทั้งหมดลอยเข้าวิหารก่อนวางเรียงตรงหน้าลั่วปิงหลีอย่างเป็นระเบียบ

กู่ฉิงซานแตะลั่วปิงหลีอีกครั้ง

พลังเยือกแข็งที่ปกคลุมลั่วปิงหลีเอาไว้กลายเป็นหมอกก่อนกระจายหายไป

ลั่วปิงหลีได้รับอิสรภาพอีกครั้ง

นางก้มลงกับพื้นขณะตรวจสอบวัตถุดิบหายาก

“วัตถุดิบเพียงพอ ข้ารู้สึกแล้วว่าผนึกกำลังปรากฏขึ้นจากจุดตันเถียนของข้า ตอนนี้ข้าอยากจะคลายผนึกออก เจ้าจะต้องปกป้องข้า”

ลั่วปิงหลีหลับตาลงก่อนเริ่มพยายามคลายผนึกในจุดตันเถียนออก

กู่ฉิงซานลุกขึ้นจากบัลลังก์ เดินไปตามโถงช้าๆ ก่อนมายืนอยู่หลังลั่วปิงหลี

นี่คือช่วงเวลาสำคัญ ต่อให้จะควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว แต่กู่ฉิงซานก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว

เขาชักคทาเยือกแข็งออกมาอย่างเงียบงันเพื่อเตรียมใช้วิชาเยือกแข็งศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดเพื่อขัดขืนทุกการโจมตีที่เป็นไปได้

หลังจากใช้พลังวิญญาณทั้งหมดเพื่ออัปเกรด “สกิลเทพสงคราม” และเรียนรู้สกิลเทพแห่งความเย็นยะเยือก ในที่สุดมันก็กลายเป็นไพ่ตายของกู่ฉิงซาน

นอกตำหนักราชาเทพ เทพจินเยี่ยนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “พวกเจ้าเคยสนใจอนาคตของเผ่าพันธุ์ตัวเองด้วยหรือ”

เทพองค์หนึ่งตะโกนตอบว่า “พวกข้าต้องรอดก่อนจึงสามารถสนใจอนาคตได้”

เทพหลายองค์เห็นด้วย

เทพจินเยี่ยนกัดฟัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เขาเป็นเพียงแค่เทพ ต้องเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์เทพบรรพกาลทั้งหมด มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับมือได้โดยง่าย

เทพจินเยี่ยนหันศีรษะไปกระซิบกับมนุษย์แสง “เจ้าต้องคิดหาทางแล้ว”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “ท่านราชาเทพ โปรดเชื่อข้าด้วย อนาคตสำคัญมาก โปรดช่วยเขาด้วยเถอะ!”

กู่ฉิงซานฟังก่อนยิ้มออกมา

เขากล่าวว่า “ไม่มีปัญหา เขาจะต้องไปฆ่านักพรตมนุษย์จากอนาคตอยู่แล้ว ข้าจะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่เอง”

มนุษย์แสดงกล่าวว่า “เช่นนั้นดาบ…”

กู่ฉิงซานขัดอีกฝ่าย จากนั้นกล่าวว่า “น่าแปลก เขาบอกว่าการฆ่าคนคนนั้นจะสามารถเปลี่ยนอนาคตได้ เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงอาจหาญมาท้าทายราชาเทพผู้นี้เพื่อดาบเล่มนั้นกันเล่า”

เทพจินเยี่ยนแย้งว่า “นั่นก็เพราะถ้าข้าได้ดาบศักดิ์สิทธิ์ไป ข้าจะทำให้อนาคตดียิ่งกว่าได้”

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา “ความปรารถนาทำให้ตาของเจ้ามืดบอด ทำให้เจ้าหลงลืมหน้าที่ตัวเอง เจ้าเพียงแค่ทำตัวอาจหาญเพื่อต้องการสมบัติก็เท่านั้น”

เขากล่าวกับมนุษย์แสงว่า “ตอนนี้ข้ามีวิธีคลี่คลายสำหรับทั้งสองโลกแล้ว”

“เชิญท่านว่ามา” มนุษย์แสงกล่าว

“ข้าจะส่งเทพทรงพลังบางส่วนติดตามเขาเพื่อไปตามหาและฆ่านักพรตมนุษย์ผู้นั้น แบบนี้ ในอนาคตก็จะไม่มีปัญหาแล้ว”

“ส่วนความลับของดาบศักดิ์สิทธิ์ก็จะเป็นของข้า ข้าจะตามหาดาบเล่มนั้นเพื่อเปลี่ยนโชคชะตาของเทพทั้งมวล แบบนี้ เทพอย่างพวกเราก็ไม่ต้องถึงแก่ความตายแล้ว”

กู่ฉิงซานกล่าวช้าๆ

เทพทุกองค์พยักหน้าหลังจากได้ฟังเช่นนี้

ใช่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ ทั้งปัญหาในอนาคตและปัจจุบันก็จะได้รับการคลี่คลาย

มนุษย์แสงครุ่นคิดสักพัก จากนั้นจึงเกิดความลังเล “หนทางการตามหาดาบศักดิ์สิทธิ์อันตรายมาก ท่านอาจจะไม่รอดก็ได้”

กู่ฉิงซานยิ้มก่อนกล่าวว่า “ข้าคือราชาเทพผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์เทพ ถ้าข้าไม่ทำแบบนี้ แล้วจะให้องค์อื่นทำแทนหรือ”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “เทพจินเยี่ยนรู้ความลับมากมาย ถึงแม้เขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าท่าน แต่เขารับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีกว่า”

“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขารู้ความลับมากมายจนมากพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้” กู่ฉิงซานถาม

“ข้ามั่นใจ” มนุษย์แสงกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างพึงพอใจ “แบบนั้นเขาก็สามารถบอกความลับเหล่านั้นให้ข้าฟังได้ ทำแบบนี้ไม่เพียงแค่ข้าจะกลายเป็นเทพผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่ยังเป็นเทพผู้รู้ความลับมากที่สุดอีกด้วย”

“นอกจากข้าก็ไม่มีใครที่เหมาะจะควบคุมดาบเล่มนั้นอีกแล้ว!”

มนุษย์แสงตกตะลึง

เทพจินเยี่ยนจ้องเขม็ง ปากอ้ากว้าง แต่ไร้คำพูดออกมาอยู่เนิ่นนาน

พูดมาได้อย่างไรว่าเขาไม่มีสิทธิ์สู้เพื่อดาบเล่มนั้น แถมยังจะให้มอบความลับอีกมากมายให้งั้นหรือ

แบบนี้…

ขณะเทพจินเยี่ยนคิด กู่ฉิงซานก็ได้ทำการตัดสินใจแล้ว “เอาตามนั้นก็แล้วกัน เทพแห่งการโกหก เจ้ารับผิดชอบเรื่องตรวจสอบคำพูด อย่าให้เขามาดูถูกด้วยคำโกหกเด็ดขาด”

“เทพแห่งชีวิต เทพแห่งการวัดผล เทพแห่งเสียง เทพแห่งน้ำ ดูแลเขาตอนเค้นความลับให้ดี รอจนกระทั่งเสร็จสิ้นแล้วมารายงานข้า”

“ขอรับ นายท่าน!” พวกเทพขานรับ

เทพจินเยี่ยนถูกพาตัวไป

มีเพียงมนุษย์แสงที่ยังยืนอยู่เพียงลำพังโดยไม่พูดอะไรมาพักใหญ่แล้ว

กู่ฉิงซานไม่สนเรื่องนอกโถงอีก เขาหันมามองลั่วปิงหลี

นางลืมตาขึ้น

“ผนึกคลายออกแล้ว ข้าเข้าใจวิธีหลอมแผ่นหยกแล้ว โปรดรออีกสักพัก ข้าจะสร้างแผ่นหยกให้เดี๋ยวนี้แหละ” ลั่วปิงหลีกล่าว

นางใช้มือสร้างไฟขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนเริ่มเผาวัตถุดิบหายากนานาชนิดด้วยเปลวไฟ

กู่ฉิงซานยืนกุมมืออยู่ด้านข้างขณะรออย่างอดทน

หลังจากพยายามอยู่นาน ในที่สุด เขาก็เข้าใกล้ดาบศักดิ์สิทธิ์ไปอีกขั้นแล้ว

ตอนนี้เอง มนุษย์แสงที่อยู่นอกตำหนักพลันเคลื่อนไหว

เขากล่าวกับกู่ฉิงซานว่า “ท่านราชาเทพ มีความลับที่ข้าต้องบอกท่านให้ได้”

“ความลับอะไร” กู่ฉิงซานถาม

มนุษย์แสงมองเหล่าเทพที่ทำน้าที่คุ้มกันตำหนักก่อนกล่าวว่า “ความลับนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่รู้ได้”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างยินดีว่า “เช่นนั้นเจ้าเข้ามาที่โถงได้เลย”

หลังจากกลายเป็นร่างเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก ทำให้เขามีความมั่นใจในระดับหนึ่ง นั่นก็คือศัตรูไม่มีทางสังหารเขาได้ในครั้งเดียว

เหล่าเทพได้ยินคำพูดของราชาก่อนเปิดทางให้

มนุษย์แสงเดินเข้าตำหนักราชาเทพ

มันมองลั่วปิงหลีผู้กำลังขัดเกลาแผ่นหยก จากนั้นมองกู่ฉิงซาน

“เป็นอะไร เจ้ามีเรื่องอยากจะบอกข้าไม่ใช่หรือ” กู่ฉิงซานถาม

มนุษย์แสงพึมพำออกมา “ในฐานะราชาเทพ ความสามารถของท่านในการทำเช่นนี้เกินกว่าที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์”

“เจ้าพูดเรื่องอะไรน่ะ” กู่ฉิงซานแสร้งทำเป็นสับสน

มนุษย์แสงพลันถามว่า “นายท่าน เป้าหมายของท่านคืออะไรกันแน่”

“เป้าหมายของข้าหรือ”

“ใช่ เป้าหมายที่แท้จริงของท่านที่ทำให้ยอมทำทุกอย่างนี้”

กู่ฉิงซานกำลังจะพูด แต่จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นถึงบางสิ่งในคำพูดของอีกฝ่าย

เขาลดความเร็วลง ขบคิดแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อข้ารู้รากฐานความลับที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์พวกเราแล้ว ความคิดเดียวของข้าคือการเข้าประตู มีเพียงวิธีนั้นที่จะทำให้พวกเราควบคุมชะตากรรมได้”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “ตามข้อตกลงกับเผ่าพันธุ์บรรพกาล ท่านสามารถช่วยให้พวกเขากลืนกินพวกมนุษย์ต่อได้ จนสุดท้ายพวกเขาก็ยอมให้พวกเราเข้าประตูบานนั้น”

“ไม่” กู่ฉิงซานตอบอย่างเด็ดขาด “การฝากความหวังไว้ที่คนอื่นเป็นการพึ่งพาที่ไม่มีความหมายอะไร ขอเพียงเจ้ามีกองกำลังที่ทัดเทียมกันก็สามารถรับประกันความยุติธรรมของข้อตกลงได้แล้ว”

มนุษย์แสงเงียบไปสักพักก่อนพยักหน้าเล็กน้อย

เขาเหมือนจะตัดสินใจบางอย่างได้ก่อนกล่าวว่า “ท่านราชาเทพ ท่านรู้หรือไม่ ที่จริงแล้วท่านอาศัยอยู่ในภาพมายา”

หัวใจของกู่ฉิงซานแทบกระโจนออกมาเมื่อได้ยินเช่นนี้

นี่หมายความว่าอย่างไร

มนุษย์แสงเตรียมจะบอกเรื่องการทำลายภาพซ้อนทับแห่งเวลางั้นหรือ

อีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรกันแน่

กู่ฉิงซานมองมนุษย์แสงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า “ถ้าเจ้ามีความลับอะไร เช่นนั้นก็จงบอกราชาผู้นี้มาเถอะ ถ้าเจ้าพยายามทำให้ราชาผู้นี้สับสนด้วยคำพูดที่อธิบายไม่ได้ล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ”

“ไม่ ไม่ทำให้ท่านสับสนแน่นอน” มนุษย์แสงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “นายท่าน ข้าจะแสดงความจริงของประวัติศาสตร์ให้ได้เห็นเอง”

เขายื่นมือออกไปหากู่ฉิงซาน “นายท่าน ท่านต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำว่าท่านคือราชาผู้ยอดเยี่ยมจนแม้แต่สหายในอนาคตของท่านก็ไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งลงได้ กลับกัน ท่านจะตระหนักถึงทิศทางของอนาคตที่ทรงอำนาจมากยิ่งขึ้น”

“นายท่าน ตอนนี้ท่านมีคุณสมบัติเข้าสู่ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงแล้ว”

“คำว่าจริงของเจ้ามันหมายความว่าอย่างไร”

“นายท่าน ท่านไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว โปรดจับมือข้าเอาไว้ ข้าจะพาท่านไปดูความลับของภาพซ้อนทับแห่งช่วงเวลา”

กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก

“ต้องสู้หรือเปล่า”

เขาคล้ายกับไม่รู้อะไรเลยถึงได้ลังเลที่จะถาม

“ไม่” มนุษย์แสงตอบ “สำหรับครั้งแรก พวกเราแค่อยากให้ท่านรู้ความจริง ส่วนเรื่องอื่น พวกเราไว้คุยกันทีหลังก็ได้”

กู่ฉิงซานชำเลืองมองลั่วปิงหลี

ลั่วปิงหลีไม่มองเขา แต่ส่งกระแสจิตมาว่า “นี่คล้ายกับเป็นหนทางเอาตัวรอดที่ถูกเตรียมโดยเผ่าพันธุ์เทพ เจ้าต้องระวังตัวไว้ด้วย”

กู่ฉิงซานส่งกระแสจิตกลับไปว่า “ถ้าข้าไปขึ้นมา เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ”

“วางใจได้ พอเจ้าไม่อยู่ที่นี่ ข้าจะถ่วงเวลาการขัดเกลาแผ่นหยกเอาไว้จนกว่าเจ้าจะกลับมา” ลั่วปิงหลีกล่าว

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นก่อนตะโกนไปที่นอกวิหาร “สิบสองอารักขาเทพ คุ้มกันตำหนักเพื่อราชาองค์นี้ให้ดี ห้ามให้ใครเข้าออกเด็ดขาด”

“ขอรับ นายท่าน”

เสียงของสิบสองอารักขาเทพดังมาจากนอกโถงของเหล่าเทพ

กู่ฉิงซานจับมือมนุษย์แสงเอาไว้ก่อนกระซิบแผ่วเบาว่า “อย่าพยายามหลอกข้า ไม่อย่างนั้น ต่อให้เจ้าถูกสร้างขึ้นมาจากเจตจำนงของเทพ ข้าก็จะไม่มีวันปรานีเด็ดขาด!”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “นายท่าน ท่านจะต้องขอบคุณข้าในไม่ช้าแน่”

“ขอบคุณหรือ”

“ใช่ ท่านจะต้องขอบคุณข้าที่มอบชีวิตใหม่อย่างแท้จริงให้”

……………………………….

อาจเพราะกู่ฉิงซานครุ่นคิดนานเกินไปหน่อย

ที่นอกตำหนักราชาเทพ เสียงของเทพจินเยี่ยนดังขึ้นช้าๆ

“วัตถุดิบสำหรับสร้างแผ่นหยกเก็บมาครบแล้ว โปรดถ่ายทอดคำสั่งด้วย ท่านราชาเทพ”

กู่ฉิงซานกลับมามีสติ

เขามองลั่วปิงหลีที่ถูกห้อมล้อมด้วยน้ำแข็ง

ดวงตาของลั่วปิงหลีเบิกกว้าง สบเข้ากับสายตาของเขาที่เผยความนัยอย่างน่าสงสัย

“ฟังนะ เขาอดใจรอที่จะล่วงรู้ความลับของดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่ไหวแล้ว” นางส่งกระแสจิต

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะรับมือเอง”

กู่ฉิงซานกล่าว

เขาปรบมือ

ด้านหลังตำหนัก ในบรรดาสิบหกอารักขาเทพผู้คุ้มกันมรดก มีอารักขาเทพสิบสองตนเหาะลงมาที่โถงก่อนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

อารักขาเทพเหล่านี้รับผิดชอบเรื่องคุ้มกันมรดก หลังจากราชาเทพขึ้นครองบัลลังก์แล้ว พวกเขาจะเชื่อฟังคำสั่งและน้อมรับคำสั่งของราชาเทพเช่นกัน

“ราชาเทพ ท่านเรียกพวกข้าหรือ” หัวหน้าอารักขาเทพเป็นผู้ถาม

“ใช่ ตอนนี้มีงานจะให้พวกเจ้าทำหน่อยน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“น้อมรับคำสั่งจากราชาเทพ” เหล่าอารักขากล่าวพร้อมกัน

“เจ้าปกป้องวิหารเอาไว้ ห้ามให้ใครเข้ามาหากไม่ได้รับคำสั่งจากข้า” กู่ฉิงซานกล่าว

“ขอรับ!” เหล่าอารักขาเทพกล่าว

พวกเขาสาวเท้าออกมาคุ้มกันทางเข้าตำหนักราชาเทพ

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนกล่าวเสียงดังไปถึงนอกโถงว่า “เทพแห่งการโกหกเข้าโถงมาแล้วทำตามคำสั่งข้า”

“ขอรับ” มีเสียงหนึ่งดังมาจากนอกโถง

หลังจากนั้น เหล่าอารักขาเทพเปิดทางให้ เทพแห่งการโกหกเข้าสู่วิหาร

“นายท่าน” เทพแห่งการโกหกคารวะ

“เอาล่ะ ข้ามีงานจะให้เจ้า” กู่ฉิงซานกล่าว

“นายท่าน เชิญสั่งมาได้เลย”

ไม่ช้า เทพแห่งการโกหกรับคำสั่งก่อนถอยออกจากวิหาร

ตอนนี้ กู่ฉิงซานประกาศว่า “หลายวันมานี้ทุกท่านทำงานหนักมาก หลังจากวางวัตถุดิบไว้ที่ทางเข้าวิหารแล้ว ทุกท่านสามารถกลับไปพักผ่อนได้”

“ขอรับ” เหล่าเทพกล่าวอย่างพร้อมเพรียง

พวกเขาวางวัตถุดิบมีค่าไว้ที่ประตูวิหารชิ้นแล้วชิ้นเล่า จากนั้นจึงถอยหลังจากไป

ตอนนี้เอง เสียงของเทพจินเยี่ยนดังขึ้นอีกครั้ง

“นายท่าน ทำไมท่านไม่ให้ข้าเข้าไปรอในวิหารเพื่อเรียนรู้วิธีสร้างแผ่นหยกล่ะ”

กู่ฉิงซานนั่งบนบัลลังก์ก่อนกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “นี่เป็นเรื่องลับเฉพาะ ทั้งหมดที่เจ้าต้องรู้มีแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องรู้มากไปกว่านี้อีก”

เมื่อกล่าวเช่นนี้ เทพองค์อื่นต่างก็จากไป

เรื่องนี้ข้องเกี่ยวกับโชคชะตาของเผ่าพันธุ์มนุษย์และถูกควบคุมโดยราชาเทพ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่จะต้องทำให้มันปลอดภัยที่สุด

แต่เทพจินเยี่ยนไม่อาจสงบจิตสงบใจได้

ความลับของดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่เขาจะทนดูให้มันตกไปอยู่กับมือคนอื่นได้อย่างไร

เป็นความจริงที่กู่ฉิงซานเอามันออกมาแล้ว แต่ราชาเทพตรงหน้ากลับมีความปรารถนาที่อยากจะกลืนกินดาบศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เพียงผู้เดียว

นั่นคือดาบศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ พลังของมันสามารถฟาดฟันเทพได้ มันจะไม่ดีกว่าหรือหากมาอยู่ในมือของตัวเอง

ความคิดนับไม่ถ้วนท่วมท้นจิตใจของเทพจินเยี่ยน

เขาอดที่จะเดินไปข้างหน้าหลายก้าวเพื่อมุ่งสู่วิหารไม่ได้ แต่ก็ถูกสิบสองอารักขาเทพพร้อมอาวุธเข้ามาขวางตามที่ได้รับคำสั่งจนเขาต้องล่าถอยออกมา

อารักขาเทพทุกตนครอบครองพลังต่อสู้อันแก่กล้า ลำพังแค่เทพจินเยี่ยนไม่สามารถตอบโต้อะไรได้

เทพจินเยี่ยนกัดฟันแล้วกล่าวว่า “ท่านราชาเทพ ข้าแนะนำว่าท่านอย่าโลภมากจนเก็บความลับของเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้จะดีกว่า”

“โห…ทำไมล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“เพราะแผ่นหยกนี่จะพาท่านไปสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย มีเพียงข้าผู้เป็นเทพจากอนาคตเท่านั้นที่รู้วิธีรับมือกับมัน ไม่มีใครสามารถรับมือได้”

ขณะทำการเกลี้ยกล่อมราชาเทพ เขากล่าวต่อไปว่า “นายท่าน ท่านต้องตัดใจจากความลับนี้ ไม่อย่างนั้นท่านจะล่วงลับ นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ข้าคิดว่าท่านอาจจะไม่อยากล่วงลับเพราะเหตุนี้”

นอกตำหนัก เทพทุกองค์เข้ามาผสมโรงทันที

เทพองค์นี้มาจากอนาคตและรู้หลายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

กู่ฉิงซานปรับท่วงท่าด้วยการเอนสบายๆ กับที่นั่งก่อนถามต่อว่า “ถ้าข้าแอบดูความลับ อันตรายแบบไหนที่จะเกิดขึ้นล่ะ”

เทพจินเยี่ยนกล่าวว่า “ผู้ปกครองโลกบรรพกาลจะมาที่ประตูเพื่อฆ่าท่านและแย่งชิงดาบศักดิ์สิทธิ์ไป”

กู่ฉิงซานไม่พูด

เขาเพียงเม้มปาก

นอกตำหนักเกิดความเงียบหลายอึดใจ อีกเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นมา

“รายงานราชาเทพ เขาโกหก”

นี่คือเสียงของเทพแห่งการโกหก

กู่ฉิงซานถามว่า “เขาโกหกตรงไหนกัน”

“ทุกประโยคเลย” เทพแห่งการโกหกกล่าว

เทพทั้งหลายต่างแตกตื่น

เทพผู้มาจากอนาคตองค์นี้ถึงกับกล้าหลอกราชาเทพเชียวหรือ!

นี่เขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

หรือคิดจะฉวยความลับมาไว้กับตัวเสียเอง

กู่ฉิงซานหัวเราะเล็กน้อย แต่น้ำเสียงของเขากลับเกรี้ยวกราดและโหดเหี้ยม “จัดการ!”

“ขอรับ!”

สิบสองอารักขาเทพตะโกน

ดวงตาของลั่วปิงหลีเบิกกว้างราวกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็นและได้ยิน

กะ… การแก้ปัญหามันช่างง่ายดายปานนี้เชียวหรือ

นี่เหมือนกับฝันไปเลย

นางอดที่จะส่งกระแสจิตมาไม่ได้ “ทำไมเจ้าไม่ฆ่าหมอนั่นล่ะ ปัญหาใหญ่จะได้คลี่คลายไปเลย”

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “แบบนั้นมันดูโจ่งแจ้งเกินไป ไม่เพียงแค่จะทำให้ดูน่าสงสัยเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาอีกด้วย”

“ปัญหาอะไร” ลั่วปิงหลีถาม

“รอดู”

กู่ฉิงซานกล่าวเช่นนั้น

ลั่วปิงหลีไม่อยากรอนานจนเกินไป

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ เทพจินเยี่ยนพลันหยิบเหรียญขึ้นมาแล้วบดขยี้เป็นผุยผง

“มาช่วยข้า!” เขาคำราม

ความว่างเปล่าเกิดการเคลื่อนไหว

มนุษย์แสงปรากฏตัวขึ้น

เขาเคลื่อนลงมาจากท้องนภาก่อนมาอยู่ตรงหน้าเทพจินเยี่ยนเพื่อขวางทางเหล่าเทพเอาไว้ “พวกท่านสู้ไม่ได้หรอก”

พวกเทพหยุดนิ่ง

ร่างมนุษย์ของมนุษย์แสงครอบครองพลังของเหล่าเทพเอาไว้นับไม่ถ้วนผ่านวิถีพิเศษ มันคือความสำเร็จทางปัญญาขั้นสูงสุดของเผ่าพันธุ์เทพ ไม่มีวันเสแสร้ง ไม่มีวันทรยศเผ่าพันธุ์เทพ

ดังนั้น พวกเทพจึงเกิดการลังเล

“เป็นอะไร ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าน่าจะอยู่ยุคเดียวกับพวกข้านี่ เหตุใดจึงปกป้องคนจากอนาคตด้วย” กู่ฉิงซานถาม

“เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านราชาเทพขุ่นเคือง เพียงแค่อยากเก็บดาบไว้เพื่อเปลี่ยนชะตากรรมในอนาคตของเผ่าพันธุ์พวกเราด้วยพลังของดาบยาวก็เท่านั้น” มนุษย์แสงกล่าว

“เขาไม่ได้โกหก” เทพแห่งการโกหกประกาศ

เมื่อพวกเทพได้ฟัง สีหน้าของพวกเขาผ่อนคลายเล็กน้อย

อีกอย่าง

ในฐานะเทพ ถ้าไม่ทำตัวมีปัญหามากเกินไป เป็นการยากนักที่จะทำให้ราชาเทพขุ่นเคืองได้

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแปลกประหลาดว่า “ภารกิจของเขาชัดเจนมาตั้งแต่แรก นั่นก็คือตามหาช่างผู้ใช้วิชาดาบที่เป็นศัตรูและฆ่าทิ้ง”

มนุษย์แสงอธิบายว่า “การรับดาบศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งกว่าการฆ่าศัตรู”

“เจ้าหมายความว่าหากเขาได้ดาบศักดิ์สิทธิ์ไปก็จะสามารถเปลี่ยนอนาคตได้อย่างนั้นหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ถูกต้อง” มนุษย์แสงกล่าว

กู่ฉิงซานพลันกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าขอถามเขาหน่อย ในอนาคตเขาอยู่ที่ไหน มีเทพอีกกี่องค์ที่ยังรอดชีวิตอยู่”

ตอนนี้สายเกินกว่าจะมาระวังตัวแล้ว เทพจินเยี่ยนเปล่งเสียงออกมาสองครั้ง แต่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำได้

พวกเทพตื่นตัวกัน

นี่คือเรื่องของความเป็นความตาย ทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ

หรือว่า…

“พูดมา!” เทพองค์หนึ่งอดที่จะตะโกนออกมาไม่ได้

ทว่า เทพจินเยี่ยนเม้มปากแน่น ไม่กล้าพูดออกมาสักคำ

ตอนนี้ เขานึกเสียใจจริงๆ ที่พึ่งความได้เปรียบเรื่องคำทำนายมากเกินไปจนใช้สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตมาเรียกสติราชาเทพ

กลายเป็นว่าราชาเทพกำลังรอคอยเวลานี้อยู่ก่อนแล้ว!

เทพจินเยี่ยนถูกความรู้สึกประดังเข้ามาเล็กน้อย

ดังคาด ราชาผู้ตื่นขึ้นจากโชคชะตาถึงกับผลักเขามาสู่จุดนี้!

แน่นอนว่าวินาทีต่อมาก็เป็นดังที่เขาคาดเอาไว้

ราชาเทพถอนหายใจออกมา “เทพแห่งการโกหก! ตอนนี้ ข้าขอสั่งให้เจ้าสืบหาความจริงและความเท็จจากคำพูดของราชาตนนี้!”

“ขอรับ” เทพแห่งการโกหกกล่าวด้วยความเคารพ

“เทพจินเยี่ยนเคยบอกข้าว่าในหมู่เทพนั้น มีน้อยนักที่สามารถรอดไปสู่ยุคใหม่ได้ ส่วนที่เหลือถึงแก่ความตาย!”

ใช่แล้ว เทพส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่จะต้องตาย

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าหายนะในประวัติศาสตร์

เทพจินเยี่ยนแลกเปลี่ยนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เหล่านี้เพื่อให้ช่วยเขาตามหากู่ฉิงซานอย่างสุดกำลัง

ช่วยเขาตามหากู่ฉิงซาน

พวกเทพตกอยู่ในความเงียบ

ไม่ว่าใครได้ยินข่าวว่าตัวเองจะต้องตาย ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ในทันที

กู่ฉิงซานตะโกนอีกครั้งว่า “เทพแห่งการโกหก!”

เทพแห่งการโกหกกล่าวเสียงต่ำว่า “นายท่านไม่ได้โกหก”

“เอาล่ะ เอาความสามารถตรวจจับของเจ้ากลับคืนไปได้แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

“ขอรับ”

เป็นอีกครั้งที่ไม่มีใครกล่าวอะไรอยู่เนิ่นนาน

มนุษย์แสงอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะเติมเชื้อไฟให้กับเหล่าเทพที่กำลังมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่

เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้น

เขากล่าวเสียงต่ำว่า “ในเมื่อพวกเราทั้งหมดต้องตาย ทำไมข้าต้องมอบความลับนี้ แผ่นหยกนี้และดาบเล่มนี้ให้เขาด้วย”

เสียงของเขาพลันเปลี่ยนไปจนดูเหมือนกับกำลังพูดพล่ามไม่หยุด

“ทำไมไม่ปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ”

มนุษย์แสงนิ่ง

เทพจินเยี่ยนนิ่ง

เทพทุกองค์ตกตะลึง!

กู่ฉิงซานกล่าวต่อว่า “ใช่ ถ้าข้าได้ดาบศักดิ์สิทธิ์มา โชคชะตาของเผ่าพันธุ์เทพจะถูกเขียนใหม่นับจากนี้เป็นต้นไป ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงตอนที่เทพทั้งหมดตายแล้ว”

เขาพลันลุกขึ้นจากบัลลังก์ แผดเสียงคำรามดังขึ้นจนสะเทือนไปทุกหนแห่ง

“เผ่าพันธุ์เทพทั้งหลาย ตอนนี้ ชะตากรรมได้กำหนดทิศทางเป็นไปให้ข้าแล้ว พวกเจ้าบอกข้ามาซิว่าอยากควบคุมชะตากรรมตัวเองไปพร้อมกับข้าหรือจะคาดหวังในอนาคต”

“นายท่าน ข้าอยากเปลี่ยนโชคชะตาแห่งความตายไปพร้อมกับท่าน!” เทพองค์หนึ่งตะโกน

“ข้าจะติดตามนายท่าน!” เทพอีกองค์กล่าวเสียงดัง

“นายท่าน ข้าจะเดินรอยตามท่าน!”

“นายท่าน ข้าจะเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน!”

“พวกข้าจะเชื่อฟังนายท่าน”

พวกเทพตะโกน

เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย ทางเลือกมักง่ายเสมอ

เสียงของกู่ฉิงซานและเทพองค์อื่นเบาลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง “พวกเจ้าคิดว่าดาบควรเป็นของใคร”

เหล่าเทพพร้อมกับอารักขาทั้งหมดตอบเสียงดังว่า “เป็นของนายท่าน!”

กู่ฉิงซานกล่าวเสียงดังว่า “ดังนั้นข้าต้องขอโทษด้วย ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ของเจ้าจะมาจากอนาคตหรือช่วงเวลาไหน ชะตากรรมของพวกข้าก็ควรจะอยู่ในมือของพวกข้า พวกข้าจะเปลี่ยนผลลัพธ์ของความตายนั่นให้ดู”

“ความลับนี้ แม้แต่ดาบที่ซ่อนอยู่ในความลับก็เป็นของราชาผู้นี้ หากใครกล้าที่จะล้วงความลับนี้ล่ะก็…”

‘ชิ้งๆ!’

เทพทุกองค์ยืนอยู่ตรงประตูตำหนัก สิบสองอารักขาเทพก็ยืนอยู่ที่นั่นเช่นกัน

พวกเขาชักอาวุธออกมาขณะหันหน้าเข้าหามนุษย์แสงและเทพจินเยี่ยน สีหน้าเผยความเป็นศัตรูองค์แล้วองค์เล่า

อนาคตอะไรไร้สาระ เจตจำนงของเหล่าเทพที่เหนียวแน่นต่างหากที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง

ดาบศักดิ์สิทธิ์จะต้องอยู่ในมือของราชาเทพ!

พวกเทพคิดเช่นนั้น

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตรงประตูก่อนจะเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา จากนั้นนั่งลงบนบัลลังก์เทพอย่างช้าๆ

น้ำเสียงของเขายังคงเคร่งขรึมและทรงพลัง “ใช่ นี่คือเจตจำนงของพวกเราเผ่าพันธุ์เทพและมันจะไม่มีวันเปลี่ยนเพียงเพราะอนาคตนั่น”

ในเวลาเดียวกัน เขาบิดขี้เกียจก่อนส่งกระแสจิตหาลั่วปิงหลีว่า “จบแล้ว”

ลั่วปิงหลีดูไม่ต่างจากคนโง่

นางถูกแช่แข็ง ไม่สามารถเข้าใจว่ากำลังเห็นอะไรอยู่พักใหญ่

ได้อย่างไร…

ด้วยความพยายามเพียงไม่กี่คำ ความลับของดาบศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นเอกสิทธิ์ไปแล้วหรือ

แม้กระทั่งเผ่าพันธุ์เทพยังแบ่งฝักฝ่าย

การแบ่งฝักฝ่ายในครั้งนี้แบ่งเป็นเผ่าพันธุ์เทพในยุคปัจจุบันกับเผ่าพันธุ์เทพในยุคอนาคต

เพราะพวกเทพกำลังจะไปสู่จุดจบของความตาย ทั้งสองกลุ่มจึงไม่มีทางประนีประนอมกันได้

พวกเทพจะไม่ลังเลที่จะสังหารเทพจินเยี่ยนเพื่อความอยู่รอด

ถ้าเขายังกล้าปรารถนาในดาบศักดิ์สิทธิ์อีกล่ะก็นะ

แต่ละความคิดไหลซึมผ่านจิตใจของลั่วปิงหลี

นางสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

แต่นางรู้สิ่งหนึ่งอย่างแน่ชัด

ดูท่านางจะไม่ต้องตายเพื่อปกปิดความลับอีกแล้ว

……………………………

โลกบรรพกาล

นอกสวรรค์

พวกเทพต่างมีภาระมากมาย

ลั่วปิงหลีรายงานวัตถุดิบมีค่ามาหลายร้อยชิ้น บ้างเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งแม้กระทั่งในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

พวกเทพเคลื่อนกำลังออกไปเป็นจำนวนมากเพื่อค้นหาวัตถุดิบบริสุทธิ์หายากหลากชนิด

แม้กระทั่งเทพจินเยี่ยนก็เข้าร่วมงานครั้งนี้ตามคำขอของราชาเทพด้วย

ในตำหนักของราชาเทพ

ราชาเทพนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงตระหง่าน

ในโถงว่างเปล่า มีเพียงคริสทัลน้ำแข็งขนาดใหญ่ตั้งอยู่

ลั่วปิงหลีถูกแช่แข็งอยู่ในนั้น

“คาดไม่ถึง เจ้าจะส่งเทพพวกนั้นออกไปค้นหาวัตถุดิบเหล่านี้มาให้ ถ้าเช่นนี้ ผนึกในจุดตันเถียนของข้าคงคลายออกในไม่ช้า” ลั่วปิงหลีกล่าว

“ใช่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยที่ต้องให้อยู่ในคริสทัลน้ำแข็งชั่วคราว” กู่ฉิงซานกล่าวขอโทษ

ลั่วปิงหลีคิดถึงอีกเรื่องอยู่ “เทพแห่งการโกหก”

“เป็นความจริง ทันทีที่เขาใช้ความสามารถนั่น จะไม่มีใครสามารถโกหกต่อหน้าเขาได้”

“อย่างนั้นเจ้า”

“เขาไม่กล้าใช้พลังกับราชาหรอก เว้นแต่ว่าอยากรนหาที่ตาย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา

ลั่วปิงหลีถอนหายใจด้วยความโล่งอก

กู่ฉิงซานถามว่า “เจ้าแยกวิญญาณออกมาเหมือนกับอาจารย์ข้างั้นหรือ”

“เปล่า ข้ายังครบสามสิบสอง ไม่ได้ตายเสียหน่อย” ลั่วปิงหลีกล่าว

นางอธิบายเพิ่มเติมว่า “ทั่วทั้งยุคโบราณ หากไม่นับเต่า ข้าก็เป็นคนเดียวที่รักษาทั้งร่างกายและวิญญาณไว้ได้อย่างสมบูรณ์”

“ทำไมเป็นแบบนี้ได้ล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“ข้าคือนักพรตที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านท่วงทำนอง นั่นหมายถึงมีวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย ถ้าอยู่ตัวคนเดียว ข้าก็ไม่กลัวว่าพวกเทพทั้งหลายและสัตว์ประหลาดบรรพกาลทั่วไปจะตัดสินใจไว้ชีวิตข้า ยังไงพวกเขาก็ต้องรับผิดชอบเรื่องการรักษาภาพซ้อนทับทั้งหมดเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดความผิดเพี้ยน” ลั่วปิงหลีกล่าว

“แผนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกเหล่าเทพค้นพบในท้ายที่สุดจนได้” กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา

“ใช่ แต่พวกเรายังมีอีกเส้นทาง เพื่อให้แน่ใจว่าเส้นทางนี้ยังไม่ถูกค้นพบ มันจะถูกผนึกในจุดตันเถียน ข้าไม่แม้แต่จะรู้รายละเอียดด้วยซ้ำ” ลั่วปิงหลีกล่าว

นางมองกู่ฉิงซานก่อนกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ทันทีที่ผนึกคลายออก ข้าจะบอกเส้นทางให้ผ่านเสียงจิตเทพ จากนั้นข้าจะเผาวิญญาณจนตาย ทำแบบนี้จะได้ไม่รั่วไหลไปถึงเทพจินเยี่ยน”

“เจ้ากลัวเขาหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ข้าไม่กลัวหรอก แต่ข้ามองออกว่าเขากระตือรือร้นที่จะได้ความลับสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก มันมากจนที่ทำให้เขาอยากฆ่าเจ้าได้เลยล่ะ” ลั่วปิงหลีกล่าว

กู่ฉิงซานเงียบสักพักแล้วกล่าวว่า “อย่าตายเลย”

ลั่วปิงหลีกล่าวว่า “ข้าต้องตาย ข้าจะทำเหมือนกับไปสัมผัสผนึกแล้วตาย ทำแบบนี้ พวกเทพจะไม่สงสัยว่าเจ้าล่วงรู้ความลับ”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “แบบนี้ไม่ได้ผลหรอก ข้าจะคิดหาทางอื่นให้”

ลั่วปิงหลีส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่แรกเริ่มแล้วที่พวกเราทุกคนเตรียมใจที่จะตาย สหายนับไม่ถ้วนเสียสละตัวเองเพื่อความลับนี้ ข้าจะใช้ความตายเพื่อทำให้แน่ใจว่าความลับจะไม่รั่วไหลออกไปเช่นกัน เจ้าไม่ต้องสนใจไปหรอก”

กู่ฉิงซานเห็นนางกระตือรือร้นที่จะตาย ทำเอาจิตใจของเขาสั่นไหวเล็กน้อย

เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ยิ่งเจ้าอยู่ช่วงเวลานี้นานเท่าไหร่ โอกาสที่เจ้าจะตายยิ่งน้อยลงตามไปด้วย”

“ทำไมล่ะ” ลั่วปิงหลีถาม

“ตอนเส้นทางแรกถูกทำลายโดยเหล่าเทพ มันก็ได้อธิบายถึงปัญหาของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

ลั่วปิงหลีสนใจคำพูดของเขาก่อนถามว่า “มีปัญหาอะไรกับเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือ”

“การประเมินศัตรูต่ำไปน่ะ”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เจ้าต้องเข้าใจเรื่องหนึ่งก่อน เทพไม่ได้รับมือได้ง่าย พวกเขาถึงขั้นสามารถนำหวนคืนชาติภพหกวิถีออกมาได้ พวกเขาต้องซ่อนวิถีลับเอาไว้มากมายแน่ๆ ”

เขาเผยสีหน้าดูแคลนตัวเองออกมา “ทำไมข้าถึงเอาแต่อยู่ในตำหนักเทพแล้วนั่งอยู่บนบัลลังก์นี้ด้วย แค่เพราะข้ารู้เกี่ยวกับเทพมากเกินไปนิดหน่อยก็เลยไม่สามารถออกจากตำหนักเพื่อไปทำสิ่งอื่นได้ ไม่อย่างนั้น คงเป็นเรื่องง่ายมากที่จะพาเจ้าหลบหนีจากการจับกุมของเหล่าเทพได้”

“หากไม่นับเทพ สัตว์ประหลาดบรรพกาลก็รับมือได้ยากยิ่งกว่า ผู้ปกครองโลกบรรพกาลมีความเข้าใจเกี่ยวกับเหล่าเทพมาก บางครั้งก็เงียบ แต่บางครั้งจู่ๆ ก็พุ่งพรวดออกมาฆ่าเทพเสียอย่างนั้น”

“ผู้ปกครองโลกบรรพกาลระมัดระวังเผ่าพันธุ์มนุษย์ ข้าเดาว่าความเข้าใจของเขาที่มีต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์น่าจะสูงกว่าเทพด้วยซ้ำ”

ลั่วปิงหลีประหลาดใจสักพัก นางมองกู่ฉิงซานแล้วถามว่า “เจ้าไม่มั่นใจในตัวเองหรือ”

กู่ฉิงซานตอบว่า “ก็ไม่น่ะสิ”

“ทำไมล่ะ” ลั่วปิงหลีถาม

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ความมั่นใจเป็นพื้นฐานการรู้ตัวเองและรู้ศัตรู ข้าไม่แม้แต่จะรู้ว่ามีสิ่งเหลือเชื่อมากมายที่เผ่าพันธุ์เทพเลียนแบบสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ข้าไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์บรรพกาลแข็งแกร่งแค่ไหน ไม่รู้ว่าพวกเขามีความลับกับเป้าหมายอะไรที่ทำให้หันมาเล่นงานเผ่าพันธุ์มนุษย์”

เขากล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าไม่รู้อะไรเลย ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ไม่มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือแม้แต่นิดเดียว เจ้าคิดว่าข้าจะไปมีโอกาสชนะได้อย่างไร”

ลั่วปิงหลีเงียบไปสักพัก

นางกล่าวอย่างยากลำบากว่า “ในเมื่อสถานการณ์มันตึงเครียดขนาดนี้ ข้ายิ่งควรต้องใช้ความตายเข้าแลกเพื่อรักษาความลับของมนุษย์เอาไว้”

“ไม่ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง เจ้าต้องรอดเพื่อช่วยข้า” กู่ฉิงซานกล่าว

“ช่วยเจ้าหรือ”

“ใช่ ข้าไม่คิดว่าจะสามารถเอาชนะสองเผ่าพันธุ์ทรงพลังที่เตรียมการมาอย่างดีได้ด้วยการพึ่งเพียงตัวเอง มันเหมือนกับฝันกลางวัน ข้าต้องการใครสักคนมาช่วย”

กู่ฉิงซานคล้ายกับคิดถึงคนอื่นอยู่ก่อนถอนหายใจออกมา “สหายข้าจำนวนมากมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมกับศักยภาพอันน่าทึ่ง แต่พวกเขาอาจจะต้องการเวลาในการเติบโต ตอนนี้ข้าจึงต้องสู้เพียงลำพัง”

“เพราะงั้นข้าถึงขอร้องเจ้าว่าอย่าตาย มาช่วยข้าเถอะ”

ลั่วปิงหลีฟังเงียบๆ จนเกิดลังเลสักพักก่อนกล่าวว่า “ถ้าข้ารอด ความลับอาจจะถูกเปิดเผยได้นะ”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “เก็บความลับด้วยความตายมันเป็นมาตรการที่คนอ่อนแอคิดค้นขึ้นมา”

ลั่วปิงหลีจ้องมองเขา

กู่ฉิงซานเปลี่ยนคำพูดอีกครั้ง “ที่จริง จากประสบการณ์ข้า สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในสงครามคือเจตจำนงของผู้คน ขอเพียงมีใครสักคนรอดก็จะทำให้มีหวังในการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง”

ลั่วปิงหลีกล่าวว่า “ข้าเต็มใจช่วยเจ้า แต่ถ้าข้ารอด ข้าจะต้องเปิดเผยความลับสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์แน่ๆ …”

“ข้าสัญญาว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น” กู่ฉิงซานเน้นยำทีละคำ

“ถ้าเช่นนี้ ข้าก็เต็มใจช่วยเจ้า แต่ถ้าสถานการณ์บังคับให้ข้าต้องตาย โปรดอย่ามาห้ามข้าล่ะ” ลั่วปิงหลีกล่าว

“พูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

ตอนนี้เอง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากนอกโถง “ท่านราชาเทพ ตามที่ท่านบัญชา วัตถุดิบถูกเก็บรวบรวมมาแล้ว”

กู่ฉิงซานและลั่วปิงหลีมองหน้ากัน

ทันทีที่วัตถุดิบสร้างแผ่นหยกถูกเก็บครบแล้ว ผนึกของลั่วปิงหลีในจุดตันเถียนจะคลายออก

ความลับสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะปรากฏต่อหน้าเทพในไม่ช้า

ลั่วปิงหลีถามว่า “เจ้ามีแผนอะไร พวกเขากำลังจะบังคับให้ข้าบอกวิธีสร้างแผ่นหยกแล้วนะ”

กู่ฉิงซานนั่งอยู่กับที่ด้วยสีหน้าครุ่นคิดและเศร้าโศก

เมื่อเห็นสีหน้าของเขา หัวใจของลั่วปิงหลีค่อยๆ ดิ่งลง

นางกล่าวช้าๆ ว่า “ไม่มีทางอย่างนั้นสินะ เช่นนั้นก็ทำตามแผนเดิมของข้า ทันทีที่วัตถุดิบทั้งหมดนี้ปรากฏขึ้นที่ข้างข้า ข้าจะส่งต่อความลับไปให้เจ้าด้วยความรู้วิญญาณ จากนั้นข้าจะเผาวิญญาณจนถึงแก่ความตายในทันที”

“ไม่” กู่ฉิงซานกลับมามีสติก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่ได้กังวลสถานการณ์ตรงหน้าสักหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้ากังวลอะไรล่ะ” ลั่วปิงหลีถามด้วยความฉงนสนเท่ห์

กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วพึมพำออกมา “จนถึงช่วงเวลานี้ ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากเผ่าพันธุ์บรรพกาล ไม่น่าเป็นแบบนี้สิ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร…”

“ผู้ปกครองโลกบรรพกาลรับมือยากยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์เทพ แต่เขากลับไม่ออกมาสู้เพื่อความลับนี้… มันเกินกว่าที่ข้าคาดคิดเอาไว้…”

กู่ฉิงซานยังคงพึมพำกับตัวเองต่อไป “ข้าเตรียมการมามากมาย แต่เผ่าพันธุ์บรรพกาลกลับไม่มา นี่คือสถานการณ์ที่ข้าอยากเห็นก็จริง เพราะนั่นเป็นการพิสูจน์ว่าสถานการณ์ยังอยู่ภายใต้การควบคุม”

“ต่อไป ข้าต้องใช้วิธีอื่นเพื่อทำลาย…”

ดวงตาของกู่ฉิงซานหลับลงราวกับกำลังจมดิ่งสู่ความคิด

เมื่อเห็นกู่ฉิงซานกำลังครุ่นคิด ลั่วปิงหลีจึงตกตะลึงเล็กน้อย

คนคนนี้

สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาแม้แต่นิดเดียว เขาไม่แม้แต่จะพินิจพิเคราะห์ด้วยซ้ำ

สิ่งที่เขาวางแผนเอาไว้ในใจคือจะรับมือกับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวสุดจะหยั่งยังไงต่างหาก

เขาเป็นคนประเภทนี้นี่แหละ!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของลั่วปิงหลีพลันก่อเกิดเศษเสี้ยวความหวังขึ้นมา

ในวันที่มืดมนและสิ้นหวังนับครั้งไม่ถ้วน นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีความหวัง

บางที…

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจนาง

บางทีนางไม่แม้แต่จะเข้าใจว่าตั้งแต่แรกเริ่ม ตัวนางเองไม่ได้คิดว่าความลับและแผนของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะประสบผลสำเร็จ แต่เพื่อการต่อสู้อันสิ้นหวัง นางจึงหลอกตัวเอง บอกกับตัวเองว่าให้รอคอยคนนำความหวังมาให้

แต่ตอนนี้ ความหวังที่แท้จริงเริ่มผุดขึ้นในใจนางแล้ว

……………………………….

กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนบัลลังก์ราชาเทพด้วยสีหน้าเย็นชา

จิตสังหารเลือนลางแผ่ซ่านออกจากตัวเขา

“คนคนนี้จะสังหารพวกเราเผ่าพันธุ์เทพในอนาคตอย่างนั้นหรือ” เขาถาม

“ไม่ ไม่ใช่นาง” เทพจินเยี่ยนดูผิดหวังมาก

กู่ฉิงซานประหลาดใจ

เมื่อเห็นดังนี้ เทพสององค์รีบกล่าวกับเทพจินเยี่ยนว่า “พวกข้าใช้วิธีการตามที่ท่านสอนเพื่อตรวจสอบเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วจนพบว่าผู้หญิงคนนี้น่าสงสัยจริงๆ นางตามหลอกหลอนสำนักใหญ่ แถมยังสอบถามเกี่ยวกับข่าวคราวบางอย่างอีกด้วย จากนั้นพวกข้าก็เลยจับนางมา”

เทพจินเยี่ยนถอนหายใจออกมา “ดูท่านางกำลังตามหาคนคนนั้นอยู่เหมือนกัน”

เทพจินเยี่ยนเหมือนกับคิดฟุ้งซ่านก่อนกล่าวต่อว่า “คนคนนี้ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ฆ่าทิ้งได้เลย”

กู่ฉิงซานชำเลืองมองลั่วปิงหลี จากนั้นกล่าวว่า “ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเช่นนั้น พวกเราอาจจะสามารถใช้ผู้หญิงคนนี้เป็นเหยื่อล่อให้คนคนนั้นปรากฏตัวออกมาได้”

“ไม่มีประโยชน์” เทพจินเยี่ยนส่ายหน้า “เผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นนี้มีอยู่ทุกยุคสมัย ทันทีที่รู้ว่าจะถูกใช้ พวกเขาจะฆ่าตัวตายทันที”

กู่ฉิงซานเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาก่อนกล่าวช้าๆ ว่า “ฆ่าตัวตายหรือ ราชาเทพอยู่ที่นี่เชียวนะ นางจะยังอยากฆ่าตัวตายอีกหรือ”

เมื่อลั่วปิงหลีได้ยินดังนี้ ใบหน้าของนางกลับแน่วแน่ขึ้นมา

ก่อนจะถูกจับกุม นางใช้วิธีพิเศษเพื่อตรวจจับตำแหน่งของกู่ฉิงซาน จากนั้นนางมาที่โลกใบนี้เพื่อตามหากู่ฉิงซาน

ผลที่ได้ หลายวันต่อมา นางค้นหาในหลายสำนักของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่กลับไม่พบร่องรอยของกู่ฉิงซานแม้แต่นิดเดียว

จนกระทั่งถูกจับ นางมาที่นอกสวรรค์เพื่อดูว่ากู่ฉิงซานอยู่หรือไม่

แม้มาที่นี่นางก็ยังไม่พบกู่ฉิงซาน

ตอนนี้ ถึงเวลาจบชีวิตของนางแล้ว

เมื่อใช้วิธีพิเศษก็จะเป็นการเผาผลาญวิญญาณ แม้แต่เหล่าเทพก็ไม่สามารถได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากนางได้

ด้วยวิธีนี้ กู่ฉิงซานจะปลอดภัยแน่นอน ความลับของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะถูกเก็บรักษาเอาไว้

เมื่อตัดสินใจได้ดังนี้ ลั่วปิงหลีจึงเตรียมลงมือ

ฉับพลันนั้นเอง จิตเทพดังขึ้นในใจของนาง

“นี่ข้าเอง อย่าเพิ่งฆ่าตัวตาย”

ลั่วปิงหลีตกตะลึง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นจิตเทพของกู่ฉิงซาน มันคือเสียงของกู่ฉิงซาน

แต่คนอื่นล่ะ

ลั่วปิงหลียังคงทำตัวสงบอย่างยากลำบากก่อนตรวจสอบทั่วตำหนักเทพอย่างรวดเร็ว

ผู้ชายคนนั้นถึงกับกล้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่!

ดังคำกล่าวที่ว่า สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่ที่นี่มันก็อันตรายเกินไป ไม่ได้มีแค่เทพจินเยี่ยนเท่านั้น แต่ยังมีเทพองค์ใหม่อย่างเทพแห่งความเย็นยะเยือกอีกด้วย

แล้วกู่ฉิงซานซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันล่ะ

ลั่วปิงหลีลืมตาอันงดงามขึ้นขณะมองรอบข้าง

นางไม่พบสิ่งใด

บนบัลลังก์ราชาเทพ เทพแห่งความเย็นยะเยือกพ่นลมออกจมูกก่อนกล่าวอย่างชั่วร้ายว่า “ข้าจะผนึกนางด้วยน้ำแข็งเย็นยะเยือกแล้วทำการทรมานวันแล้ววันเล่า ดูซิว่าคนคนนั้นจะออกมาช่วยนางหรือไม่”

เทพจินเยี่ยนส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เปล่าประโยชน์ นางจะต้องเผาชีวิตและวิญญาณตัวเองเพื่อลบทุกสิ่งที่รู้ทิ้งไปแน่”

เขามองลั่วปิงหลีด้วยสายตาแปลกประหลาด

ก่อนหน้านี้ เขาติดตามผู้คนไปตามยุคแห่งแสงและเงาหลายหลากที่ ทำให้จับนักพรตมนุษย์ที่ซ่อนอยู่ในภาพซ้อนทับของยุคได้เป็นจำนวนมาก

นักพรตมนุษย์เหล่านั้นล้วนจบชีวิตตัวเองด้วยวิธีนี้

ทำไมผู้หญิงคนนี้จะไม่ลงมือ

ไม่เพียงแค่เทพจินเยี่ยนที่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น แม้แต่ลั่วปิงหลีก็รู้สึกแปลกๆเช่นกัน

ชายคนนั้นมีความสามารถ เห็นได้ชัดว่ากำลังซ่อนตัวอยู่ในตำหนักราชาเทพ ถึงแม้ตนจะไม่สามารถหาตัวเขาพบได้ แต่ราชาเทพและเทพจินเยี่ยนเองก็หาไม่เจอเช่นกันหรือ

เขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน

ตอนนี้เอง ลั่วปิงหลีพลันพบว่าที่ใต้เท้า พลังเยือกแข็งเริ่มหลอมรวมอย่างรวดเร็วก่อนกระจายไปทั่วร่าง

ไม่ดีแล้ว!

ราชาเทพลงมือด้วยตัวเอง!

พวกเขาจองจำนางเพื่อล่อให้กู่ฉิงซานออกมา

มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ!

ลั่วปิงหลีกระตุ้นวิชาลับแห่งโชคชะตา

คลื่นพลังวิญญาณขนาดใหญ่แผ่ซ่านมาจากตัวนาง

ตอนนี้เอง จิตของกู่ฉิงซานออกมาอีกครั้ง

“นี่ เจ้าจะทำอะไรน่ะ อย่าฆ่าตัวตาย ข้าช่วยเจ้าได้แน่นอน”

เขารีบส่งกระแสจิตออกไป

คราวนี้ลั่วปิงหลีจับทิศทางจากจิตเทพก่อนตรวจสอบอย่างละเอียด

ลั่วปิงหลีพลันค้นพบบางสิ่งเข้า

มันเป็นสิ่งที่นางไม่อยากเชื่อ

นางมองไปที่บัลลังก์เทพอย่างเดือดดาล สายตาจับจ้องไปยังราชาเทพองค์ใหม่

เทพแห่งความเย็นยะเยือกกำลังเอนอยู่บนบัลลังก์ มือข้างหนึ่งดึงพลังเยือกแข็งจากความว่างเปล่า

พลังเยือกแข็งไม่มีสิ้นสุดแช่แข็งเข่าของลั่วปิงหลีทั้งหมดขณะกระจายไปทั่วเอว

ราชาเทพยิ้มอย่างมีชัย “ดูสิ นางไม่ฆ่าตัวตายแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่นักพรตมนุษย์ทุกคนที่กล้าจะฆ่าตัวตาย”

เทพจินเยี่ยนเงียบสักพักก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี หวังว่าจะทำให้เขาโผล่หัวออกมาได้”

ราชาเทพกำหมัดพลางกล่าวว่า “ใช่ หากพวกเราร่วมมือกัน จะต้องสามารถโค่นคนที่เจ้าพูดถึงได้อย่างแน่นอน”

เทพจินเยี่ยนพยักหน้า

พลังเยือกแข็งยังคงกระจายไปทั่วร่างของลั่วปิงหลี

ครึ่งร่างของนางถูกผนึกไว้ด้วยพลังเยือกแข็ง

แต่นางไม่มีเวลามาสนใจ นางต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อคงสีหน้าเดือดดาลเอาไว้

“เจ้า…” ลั่วปิงหลีส่งกระแสจิตไปหาราชาเทพอย่างไม่แน่ใจ

“ข้าเอง”

“พิสูจน์ให้ข้าเห็นสิ”

“วิญญาณเต่าทำให้ข้ากลายเป็นภูติ เซี่ยกูหงคืออาจารย์ของข้า เจ้าอยากให้ข้าเก็บเหรียญบรรพกาลเอาไว้ แถมยังบอกว่าเหรียญนั่นสามารถจัดการกับเหล่าเทพได้ จากนั้นเทพและสัตว์ประหลาดบรรพกาลจะมุ่งสู่ถ้ำเมฆาพร้อมกัน จากนั้นเจ้าพาข้าหลบหนีออกจากภาพซ้อนทับ” กู่ฉิงซานรีบกล่าว

“เข้าใจแล้ว แต่เจ้ากลายมาเป็นราชาเทพได้อย่างไร” ลั่วปิงหลียังไม่อยากเชื่อ

“ข้าเรียนรู้การแสดงพิเศษมา”

“…การแสดงอะไร”

“อย่าเพิ่งถามเรื่องนี้เลย เจ้าสามารถมาหาข้าจากภาพซ้อนทับกี่ครั้งก็ได้ แต่ก่อนหน้านั้นต้องเตรียมตัวให้พร้อม ต่อจากนี้พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป”

ลั่วปิงหลีกล่าวทันทีว่า “ออกไปจากภาพซ้อนทับนี้”

“ออกอย่างไรหรือ” กู่ฉิงซานถาม

ลั่วปิงหลีกล่าวว่า “พวกเราต้องรวบรวมวัตถุดิบจำนวนมากก่อนจึงสามารถสร้างแผ่นหยกที่นำไปสู่ภาพซ้อนทับลับอีกแห่งได้”

กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอก “กลายเป็นว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็มีฝีมือเช่นกัน แบบนี้ก็ดี ข้าขอคิดหน่อยละกัน…”

ทั้งสองคนสนทนาอย่างรวดเร็ว พวกเขาคุยจบในช่วงไม่กี่อึดใจ

กู่ฉิงซานเริ่มใช้สมองอย่างรวดเร็ว

อีกหนึ่งอึดใจผ่านไป

เขาส่งกระแสจิตออกไป “พวกเรานี่ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ…”

เมื่อพลังเยือกแข็งลามมาถึงคอของลั่วปิงหลี นางพลันหลั่งน้ำตาออกมา

“ข้ายอมแล้ว ข้าไม่อยากตาย!”

สีหน้าของราชาเทพเปลี่ยนไป พลังเยือกแข็งที่ลามอยู่หยุดนิ่ง

“เจ้ามนุษย์เพศหญิง บอกความลับทั้งหมดของเจ้ามา ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าทนมารกับพลังเยือกแข็งชั่วนิรันดร์” ราชาเทพกล่าว

ลั่วปิงหลีอ้าปากเตรียมจะพูด

“ช้าก่อน!” เทพจินเยี่ยนห้าม

“มีอะไร ทำไมถึงไม่ให้ข้าสอบถามข่าวคราวล่ะ” ราชาเทพขมวดคิ้ว

“ข้าคิดว่าพวกเราต้องการตัวตนของเทพแห่งการโกหกด้วย” เทพจินเยี่ยนกล่าว

เทพแห่งการโกหกมีความสามารถพิเศษ นั่นก็คือ ไม่มีตัวตนไหนสามารถโกหกต่อหน้าเขาได้

ราชาเทพนิ่งก่อนกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เจ้าพูดถูก เรียกเทพแห่งการโกหกมา”

“ขอรับ”

เทพองค์หนึ่งออกไป

ผ่านไปสักพัก เทพแห่งการโกหกมาเยือนวิหาร

จากนั้นเทพจินเยี่ยนมองลั่วปิงหลีก่อนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เอาล่ะ เจ้าพูดได้แล้ว แต่เจ้าต้องตั้งใจพูดให้ดี หากมีแม้แต่ประโยคเดียวที่โกหกพวกข้า ราชาเทพจะให้เจ้าทนทุกข์กับความเย็นเยือกไปหลายพันปี น้ำแข็งมันเป็นอะไรที่ขมขื่นนะ”

“ถ้าสิ่งที่ข้าพูดมาเป็นความจริง ราชาเทพจะไว้ชีวิตข้าหรือไม่” ลั่วปิงหลีถาม

“แน่นอน ขอแค่ทุกคำพูดเป็นความจริง ราชาผู้นี้ย่อมรับประกันความปลอดภัยให้เจ้าได้” กู่ฉิงซานกล่าว

“แต่เขา” ลั่วปิงหลีลังเลขณะมองเทพจินเยี่ยน

เทพจินเยี่ยนหลบสายตานางพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องมามองข้าหรอก ประสงค์ของราชาเทพคือประสงค์ของเผ่าพันธุ์เทพทั้งหมด”

“พูดมา!” เขากล่าว

ลั่วปิงหลีกล่าวว่า “ข้ามีแผ่นหยกพิเศษที่สามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้เข้าสู่ภาพซ้อนทับของแต่ละยุคได้ ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่”

“หลังจากเจอตัวเขาแล้ว เจ้าจะทำอะไรต่อ” ราชาเทพถาม

ลั่วปิงหลีมองราชาเทพก่อนกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ข้าอยากบอกเขาว่าอย่าไปภาพซ้อนทับยุคต่อไปเพื่อหาคำสั่งลับอีก อย่าได้ไปภาพซ้อนทับยุคต่อไปเด็ดขาด”

“ทำไมล่ะ” เทพจินเยี่ยนถาม

“เพราะภาพซ้อนทับในยุคที่ข้าอยู่ถูกทำลายไปแล้ว ข้าใช้วิธีพิเศษในการตรวจสอบจนพบว่าภาพซ้อนทับในยุคต่อๆ มาล้วนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ” ลั่วปิงหลีกล่าว

“เล่าต่อ” ราชาเทพกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

ลั่วปิงหลีกล่าวว่า “ข้าอยากสร้างแผ่นหยกกับเขาเพื่อหลีกเลี่ยงภาพซ้อนทับลับเหล่านั้นก่อนไปยังภาพซ้อนทับที่อยู่ในยุคลับอีกแห่ง”

เทพจินเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมา

กลายเป็นว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังมีหนทางในการเอาตัวรอด

ในภาพซ้อนทับลับของยุคดังกล่าว ต้องมีเส้นทางที่นำไปสู่โลกจริงของยุคบรรพกาลเป็นแน่

ในโลกจริงคราวที่แล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ซ่อนดาบบินที่สามารถสังหารเทพเอาไว้!

จะให้กู่ฉิงซานเข้าภาพซ้อนทับของยุคนั้นไม่ได้เด็ดขาด!

เทพจินเยี่ยนตะโกนถามว่า “จะสร้างแผ่นหยกนั่นขึ้นมาอย่างไร”

ลั่วปิงหลีกล่าวว่า “ข้าต้องรวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดให้ครบก่อนที่ผนึกในจุดตันเถียนของข้าจะยกระดับขึ้นมา ถึงตอนนั้นข้าจึงจะเข้าใจวิธีการสร้างแผ่นหยกนั่น”

“เจ้าต้องการวัตถุดิบอะไร” ราชาเทพถาม

ลั่วปิงหลีร่ายชื่อวัตถุดิบบริสุทธิ์หายากอย่างละเอียด

ราชาเทพและเทพจินเยี่ยนมองเทพแห่งการโกหกพร้อมกัน

เทพแห่งการโกหกพยักหน้าพลางกล่าวว่า “นางไม่ได้โกหก”

ราชาเทพยื่นมือออกไป

พลังเยือกแข็งจำนวนมากรวมตัวจากความว่างเปล่าก่อนตกกระทบใส่ทั่วร่างของลั่วปิงหลี ทำให้นางถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์

“นี่ท่านทำอะไร” เทพจินเยี่ยนถาม

“ผนึกนางไว้ที่นี่” ราชาเทพยืนขึ้นพลางกล่าวด้วยท่วงท่าไม่สนใจว่า “ข้าจะส่งกำลังคนจำนวนมากไปปิดกั้นเส้นทางนี้ไว้ คนที่เจ้าพูดถึงไม่มีทางเข้ามาใกล้ได้อย่างแน่นอน เขาไม่มีทางรู้ได้ว่าแผ่นหยกจะสร้างได้อย่างไร”

เทพจินเยี่ยนส่งกระแสจิตไป “ตอนนี้ต้องรวบรวมวัตถุดิบเพื่อเตรียมขัดเกลาแผ่นหยกหรือ”

“ถูกต้อง” ราชาเทพมองเทพจินเยี่ยนพลางกระซิบเสียงต่ำ “เมื่อได้วิธีขัดเกลามาแล้ว พวกเราจะฆ่ามนุษย์เพศหญิงคนนี้ซะ”

เทพจินเยี่ยนส่งกระแสจิตกลับไป “แบบนี้ ทั้งวัตถุดิบสร้างแผ่นหยกหรือกระบวนการสร้างแผ่นหยกก็มาอยู่ในมือพวกเราแล้ว คนคนนั้นก็จะไม่มีโอกาสได้ลงมืออีก”

“ถูกต้อง คนคนนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว อนาคตที่แท้จริงอยู่ในมือของราชาผู้นี้” ราชาเทพกล่าว

เทพจินเยี่ยนครุ่นคิดหลายสิ่งก่อนพบว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด

เส้นทางเดิมถูกตัดขาด กู่ฉิงซานย่อมไม่สามารถผ่านเงาภูติยุคลับเพื่อไปถึงช่วงที่เผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างดาบศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแน่นอน

แต่เส้นทางใหม่อยู่ในมือของเขาและราชาเทพแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เทพจินเยี่ยนปล่อยวางช้าๆ พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา

……………………..

เสียงของราชาเทพหายไป

ภาพทั้งหมดกลายเป็นจุดแสงสว่างก่อนหายไปอย่างช้าๆ

มีเพียงเศษกระดาษเรืองรองตกอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน

เศษกระดาษเขียนว่า

เทพสององค์ตาย เทพหนึ่งองค์มีชีวิต ระยะห่างเจ็ดวัน

‘แปะ!’

หลายอึดใจผ่านไป เศษกระดาษกระจายกลายเป็นแสงสว่างเรืองรองก่อนหายไปในความว่างเปล่าเช่นกัน

กู่ฉิงซานจมอยู่ในความคิด

ด้วยความโชคดี หากเทพสององค์ตาย จะมีเทพหนึ่งองค์ใหม่ที่มีเพียงราชาเทพรับรู้ถึงตัวตนเกิดขึ้นมา

ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าในป่าหยกเย็นเยือก นอกจากผู้ปกครองโลกบรรพกาลแล้วก็ยังมีเขาที่เป็นผู้สังหารเทพ

แต่ว่า

เทพจินเยี่ยนมาจากอนาคต

เขาอาจจะรู้ความลับนี้

ทันทีที่เทพองค์ใหม่เกิดขึ้นมา เขาจะต้องตอบสนองแน่นอน

ต้องหาทางให้เจอ…

กู่ฉิงซานยืนอยู่นานจนกระทั่งตกใจกับเสียงเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นในคลังอีกครั้ง

เสาหินต้นหนึ่งที่สลักด้วยอักขระซับซ้อนจำนวนมากผุดขึ้นจากพื้น

เสาหินกระจายเป็นเศษหินจำนวนมากขณะถูกห้อมล้อมด้วยความว่างเปล่า

หินจัตุรัสหมุนอย่างช้าๆ อยู่ตรงกลางเศษหินทั้งหมด

บนคทาราชาเทพ เสียงเย็นเยือกดังขึ้นอีกครั้ง

“ราชาเทพองค์ใหม่เอ๋ย ทีนี้ท่านสามารถเก็บของได้แล้ว”

กู่ฉิงซานมองหินด้วยความสงสัยใคร่รู้

ระบบเทพสงครามได้แปลงสิทธิ์การอนุญาต ทำให้เขาสามารถเก็บสิ่งมีค่าที่สุดจากคลังได้

แสดงว่าหินจัตุรัสนี้คือสิ่งมีค่าที่สุดหรือ

หลังจากคิดไปมา กู่ฉิงซานเอามือวางบนหินจัตุรัสที่กำลังหมุนอยู่

เพียงพริบตา

หินจัตุรัสหายไป

กู่ฉิงซานรู้สึกถึงมันเล็กน้อย

หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีก

เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ระบบ หินจัตุรัสเมื่อครู่ล่ะ”

‘ติ๊ง!’

ระบบเทพสงครามตอบว่า “ต่อให้ท่านต้องการสิ่งนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ นี่คือหินรวมข้อมูลของยุคโบราณ มันบันทึกข้อมูลจำนวนมากจากยุคโบราณเอาไว้ ด้วยสิ่งนี้ บันทึกเหตุการณ์วันโลกาวินาศจะถูกอัปเกรด”

“ถูกอัปเกรดหรือ” กู่ฉิงซานถาม

“ใช่แล้ว ในไม่ช้า บันทึกเหตุการณ์วันโลกาวินาศของท่านจะใช้หินก้อนนี้เพื่อโหลดข้อมูลไอเทมและข่าวกรองจากยุคโบราณจำนวนมากเข้าไป ในอนาคต เมื่อท่านพบเจอกับไอเทมบรรพกาลชิ้นไหน ท่านจะสามารถระบุหน้าที่ของไอเทมและข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างแม่นยำ” ระบบกล่าว

ด้วยคำอธิบายของระบบเทพสงคราม ไอค่อน “บันทึกเหตุการณ์วันโลกาวินาศ” ที่ด้านล่างหน้าต่างจึงพร่าเลือน

ราวกับมันกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

ไม่ช้า

ไอค่อนทั้งหมดเปลี่ยนไปก่อนกลายเป็นตำราสีเขียวเล่มหนา

ตัวอักษรขนาดใหญ่ “บันทึกเหตุการณ์วันโลกาวินาศ” หายไป

ตัวอักษรขนาดใหญ่ชุดใหม่ปรากฏขึ้นด้านล่างไอค่อน

“กำลังวิวัฒนาการ”

กู่ฉิงซานไม่ขยับ

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนถามว่า “ที่จะสื่อก็คือ… ต่อให้เก็บสิ่งนั้นไป ข้าก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรใช่หรือไม่”

เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในน้ำเสียงของกู่ฉิงซาน ระบบกล่าวทันทีว่า “ไม่ ข้าจะฝากส่วนหนึ่งไว้ที่ท่าน”

ขณะพูด เศษหินขนาดเล็กปรากฏขึ้นในมือของกู่ฉิงซาน

มันดูเหมือนกับเศษหินจัตุรัสขนาดเล็กทั่วไป

กู่ฉิงซานมองเศษหินก่อนอดที่จะกล่าวไม่ได้ว่า “ข้าจะใช้สิ่งนี้ได้อย่างไร”

“ท่านสามารถใช้มันวิวัฒนาการระดับการ์ดได้” ระบบกล่าว

กู่ฉิงซานเรียกหน้าต่างการ์ดขึ้นมาขณะมองดูการ์ดตัวเอง

ใช่แล้ว ตอนนี้เขาเป็นการ์ดสีเทา ดังนั้นจึงต้องพัฒนาให้ไว

พลังของการ์ดยังทรงพลังอยู่ แถมยังช่วยส่งเสริมการต่อสู้ได้ดีอีกด้วย

เขาวางเศษหินบนหน้าต่างการ์ด

เศษหินค่อยๆ ทะลวงเข้าสู่หน้าต่างการ์ดก่อนหายไป

ทั่วหน้าต่างสั่นไหว

ในการสั่นไหวครั้งนี้ การ์ดสีเทาที่เป็นรูปกู่ฉิงซานถือดาบด้วยมือทั้งสองข้างแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนมากก่อนหายไปจากหน้าต่าง

จากนั้น การ์ดใบใหม่เข้ามาแทนที่

นี่คือการ์ดมรกต

กู่ฉิงซานพบว่าตัวเองยังยืนอยู่บนการ์ด ถือดาบด้วยมือทั้งสองข้างเอาไว้

แค่การ์ดทั้งใบไม่ได้ดูหมองหม่น สุดท้ายก็รู้สึกถึงพื้นผิวอย่างแท้จริง

แถวข้อความขนาดเล็กปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“ท่านกลายเป็นการ์ดระดับมรกตแล้ว”

“ท่านสามารถจั่วการ์ดระดับมรกตใบที่สองได้ในทันที”

“นับจากนี้ไป ท่านจะสามารถใช้การ์ดระดับมรกตในการต่อสู้ได้”

ข้อความขนาดเล็กหายไป

หลังจากนั้นไม่นาน การ์ดมรกตสามใบปรากฏขึ้นตรงกลางหน้าต่าง

พวกมันคว่ำอยู่ ทำให้กู่ฉิงซานไม่สามารถมองเห็นได้ว่าลวดลายหน้าการ์ดเป็นอย่างไร

ดังนั้น กู่ฉิงซานไม่สามารถตัดสินการทำงานของการ์ดสามใบได้

ด้านล่างการ์ดสามใบ ข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้น

“โปรดจั่วการ์ดระดับมรกตเพื่อเป็นการ์ดต่อสู้ใบที่สองของท่านด้วย”

กู่ฉิงซานมองการ์ดสามใบ

ความจริง ไม่ว่าการ์ดระดับมรกตจะเป็นอะไร มันย่อมมีบทบาทพิเศษที่สามารถเล่นได้หลายหลากหน้าที่ตามแต่สถานการณ์จะอำนวย

ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความ แค่ใช้ๆ ไปเดี๋ยวก็ได้ผลเอง

กู่ฉิงซานเพียงคลิ้กการ์ดมรกตใบกลาง

เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของกู่ฉิงซาน การ์ดพลันพลิกขึ้นมา

การ์ดใบนี้แผ่แสงสีชาดเรืองรองออกมา บดบังไม่ให้เห็นภาพการ์ดที่กำลังจั่ว

กู่ฉิงซานถอนหายใจ พึงพอใจกับโชคตัวเองยิ่ง

ใช่แล้ว นี่คืออาวุธที่พิเศษมาก

ข้อความแจ้งเตือนที่ปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงครามยืนยันการคาดเดาของเขา

“หายาก: หอกปีศาจแดง”

“เมื่อสวมใส่หอกปีศาจนี้ ท่านจะไม่สามารถสวมใส่เกราะในเวลาเดียวกันได้”

“หอกเวทมนตร์นี้มีคุณลักษณะของกฎเกณฑ์: เชือดเฉือนสัมบูรณ์”

“คำอธิบาย: นี่คืออาวุธชิ้นแรกที่ถูกสร้างโดยเทพในยุคโบราณที่ทำร้ายพวกเดียวกันได้”

“ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้!”

กู่ฉิงซานเอื้อมมือไปหยิบการ์ดใบนี้ การ์ดอีกสองใบหายไปในความว่างเปล่าทันที

วินาทีต่อมา

หอกที่ถูกห้อมล้อมโดยแสงสีชาดไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนมาอยู่ในมือกู่ฉิงซาน

ขณะมองหอกที่มีคุณลักษณะ ‘เชือดเฉือนสัมบูรณ์’ กู่ฉิงซานพลันเข้าใจอย่างหนึ่งขึ้นมา

ไม่สงสัยเลยว่าเหล่าเทพถึงสามารถสร้างหลายสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่าตัวเองขึ้นมาได้

พวกเขามักสร้างสิ่งของขึ้นมาด้วยการเลียนแบบของจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณเสมอ

เผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคโบราณทรงพลังยิ่ง ดังนั้นสิ่งที่ถูกสร้างด้วยการเลียนแบบจากกลุ่มนี้ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าเหล่าเทพด้วยกันเอง

ตัวอย่างเรียบง่ายที่สุดคือหอกปีศาจแดงนี่แหละ

กู่ฉิงซานสะบัดหอกไปมาอย่างพอใจ

‘ฟิ่วๆ!’

เสียงอากาศฉีกกระชากดังก้องชัดเจน

กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเองว่า “น่าเสียดายที่เป็นหอกยาว อย่างไรเสียดาบบินก็ดีกว่า”

เมื่อกล่าวจบ เขาเห็นแถวตัวอักษรสีเขียวขนาดเล็กที่พลันปรากฏขึ้นในตำราเขียวกำลังวิวัฒนาการบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“ไอเทมชิ้นนี้เป็นของเลียนแบบ แต่ก็มีองค์ประกอบสำคัญอยู่แล้ว หากท่านต้องการดาบยาว ท่านสามารถรวบรวมองค์ประกอบประเภทนี้ในการ์ดให้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการสร้างดาบยาวได้”

ดวงตาของกู่ฉิงซานทอประกาย

หอกปีศาจแดงสามารถสังหารได้แม้กระทั่งเทพ

ถ้ามีดาบบินที่มีความคมทัดเทียมกัน การต่อสู้หลายต่อหลายครั้งจะง่ายดายยิ่งขึ้น

ทว่า เรื่องนี้อาจจะไม่สำเร็จได้ในทันที ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป

กู่ฉิงซานเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจอย่างเงียบงัน

เขาคลายมือก่อนยอมให้หอกปีศาจแดงกลายเป็นการ์ดมรกตแล้วบินกลับเข้าหน้าต่างการ์ด

ถึงตรงนี้ เขากลายเป็นการ์ดระดับมรกตและมีการ์ดระดับมรกตถึงสองใบ ใบหนึ่งเป็นทักษะติดตัว “หลั่งโลหิต” อีกใบเป็นอาวุธหายาก “หอกปีศาจแดง”

คทาราชาเทพลอยขึ้นจากพื้นอย่างแผ่วเบาก่อนหายไปในความว่างเปล่า

มันทำภารกิจในครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว

กู่ฉิงซานรู้สึกถึงแรงหนักอึ้งกำลังผลักตัวเขา วินาทีต่อมา เขากลับมาอยู่นอกคลังแล้ว

เมื่อสิบหกอารักขาเทพเห็นเขาอีกครั้ง พวกเขาล้วนทำความเคารพด้วยการคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

พิธีขึ้นครองราชย์ถูกจัดขึ้นแล้ว เขาเข้าคลังมรดกล้ำค่าเรียบร้อย นับจากนี้ไป กู่ฉิงซานกลายเป็นราชาเทพอย่างแท้จริง

เขามองเหล่าอารักขาเทพ แต่ชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่รู้เลยว่าจะมองผลงานของเผ่าพันธุ์มนุษย์เหล่านี้อย่างไรดี

กู่ฉิงซานคาดเดาทุกสิ่งเอาไว้ทั้งหมดแล้ว

เผ่าพันธุ์เทพทุกวันนี้มีความตระหนักเป็นของตัวเอง สถานการณ์ตอนนี้อาจจะเป็นเพราะอายุการเก็บรักษา

เพื่อไม่ให้สูญพันธุ์ ความหวังเดียวของพวกเขาคือเข้าประตูโลกบรรพกาล

เพื่อเข้าประตูบานนั้น เผ่าพันธุ์เทพและสัตว์ประหลาดบรรพกาลจึงทำข้อตกลงกัน

เผ่าพันธุ์เทพจะช่วยสัตว์ประหลาดบรรพกาลทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์สับสน เปลี่ยนเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้กลายเป็นอาหารสัตว์ประหลาด ช่วยสัตว์ประหลาดบรรพกาลทำลายกฎเกณฑ์ทั้งหมดที่เผ่าพันธุ์มนุษย์หลงเหลือเอาไว้

ถ้าเผ่าพันธุ์เทพทำเรื่องนี้สำเร็จ เช่นนั้นสิ่งที่สัตว์ประหลาดบรรพกาลจะต้องจ่ายคือช่วยเผ่าพันธุ์เทพเข้าสู่ประตูบานนั้น

นี่คือข้อตกลงระหว่างสองเผ่าพันธุ์

มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ถูกอาคมจนหลงใหลในเผ่าพันธุ์เทพจนหันมาสู้กับสัตว์ประหลาดบรรพกาลจนกระทั่งถูกสัตว์ประหลาดกิน

ช่างเป็นโชคชะตาที่น่าเวทนาอะไรอย่างนี้!

กู่ฉิงซานส่ายหน้าอย่างเงียบงันขณะเดินกลับไปโถงด้านหน้าอย่างช้าๆ

เขานั่งลงบนบัลลังก์ของราชาเทพขณะครุ่นคิดอย่างเงียบงัน

เทพจินเยี่ยนปรากฏตัวต่อหน้าเขา

“พบคนคนนั้นหรือยัง” กู่ฉิงซานถามเสียงต่ำ

“ยังเลย จู่ๆ เขาก็หายตัวไป ไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหน” เทพจินเยี่ยนกล่าวอย่างหงุดหงิด

“ข้าเดาว่าคนคนนั้นคงรู้ตัวเช่นกันว่าโอ้อวดที่แนวหน้ามากเกินไปจึงซ่อนตัว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถตามหาเจอได้สักพัก คงดีกว่าที่จะไม่ค้นหาแล้วออกล่าอีก เมื่อคนคนนั้นรู้สึกว่าสายลมพัดผ่านไปแล้ว เขาจะต้องออกมาอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

“อืม มีเหตุผล พวกเราอาจจะรุกหนักมากเกินไปจนทำให้มันกลัว”

เทพจินเยี่ยนพยักหน้าช้าๆ

ฉับพลันนั้นเอง มีเสียงดังขึ้นนอกวิหารจนดึงดูดความสนใจจากทั้งสองคน

“มีอะไร นี่คือตำหนักราชาเทพนะ ทำไมถึงส่งเสียงดังนัก”

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วขณะถาม

เขาเห็นเทพกำลังบินมาจากนอกวิหารก่อนคุกเข่าตรงหน้ากู่ฉิงซานอยู่ไกลพอประมาณแล้วกล่าวว่า “รายงานท่านราชาเทพ พวกเราจับคนคนนั้นได้แล้ว”

“จับได้อย่างนั้นหรือ”

กู่ฉิงซานและเทพจินเยี่ยนแทบจะถามพร้อมกัน

เทพองค์นั้นยังคงรายงานต่อว่า “ขอรับ นางซ่อนอยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ เตร็ดเตร่ไปทั่ว สอบถามข่าวคราว สุดท้ายก็เผยตัวออกมา พวกข้าวางกับดักเอาไว้ก่อนเข้าจู่โจมในคราวเดียว”

ขณะกล่าวเช่นนั้น มีเทพอีกสององค์บินมาที่วิหารพร้อมผู้หญิงคนหนึ่ง

ผู้หญิงคนนั้นฟกช้ำและเต็มไปด้วยโลหิต เป็นลั่วปิงหลีนั่นเอง

………………………………….

กู่ฉิงซานมองสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ขนาดเล็กที่มีเปลวเพลิงบนคิ้วจนอดที่จะกรีดร้องออกมาไม่ได้

นี่มันเทพขนาดย่อส่วนไม่ใช่หรือ

หรือถ้าเอาตามคำพูดของคนคนนี้ นี่คือสิ่งประดิษฐ์วิญญาณต่อสู้ประจำตัวที่คงอยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนด

จุดแสงวูบไหวนับไม่ถ้วนจัดองค์ประกอบจนเกิดเป็นภาพ เผยให้เห็นสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้มากมายตรงหน้ากู่ฉิงซาน

ชายคนนั้นยังคงพูดต่อไป

“ในส่วนของสิ่งประดิษฐ์วิญญาณ ข้าใช้รูปแบบการเคลื่อนไหวตลอดเวลาของฝั่งเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนพลังเวทมนตร์ จากนั้นใช้องค์ประกอบโกลาหลอย่างสร้างสรรค์เพื่อสร้างพลังเวทมนตร์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นมา”

“หากอธิบายให้เจาะจงหน่อย มันคือการทำให้สิ่งประดิษฐ์วิญญาณนี้มีพลังที่จะทำลายกฎเกณฑ์ต่างๆ”

ชายคนนั้นเอื้อมมือไปแตะร่างของเทพขนาดเล็ก

“ดูนี่สิ นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครเคยศึกษาจนสำเร็จมาก่อน มันช่างน่าสนใจจริงๆ”

ขณะกล่าวเช่นนี้ เทพขนาดเล็กลืมตาขึ้น

เทพขนาดเล็กมีใบหน้าหมองหม่น น้ำเสียงที่พูดไม่เต็มไปด้วยอารมณ์แม้แต่นิดเดียว

“ข้าคือผู้ให้วิญญาณอัคคี เจ้าต้องการต่อสู้หรือไม่”

ชายคนนั้นกล่าวว่า “การต่อสู้กำลังจะเริ่มแล้ว โปรดมอบพลังวิญญาณอัคคีให้ข้าด้วย”

เทพขนาดเล็กบินไปอยู่หลังชายคนนั้นก่อนยื่นมือไปหาอีกฝ่าย

เปลวเพลิงปะทุออกจากคนคนนั้น

เขาหยิบปืนกลออกมาอย่างไม่ใส่ใจขณะกึ่งอธิบายกึ่งพูดกับตัวเองว่า “ข้ามีพลังวิญญาณวายุ สิ่งประดิษฐ์วิญญาณต่อสู้ประจำตัวจะมอบพลังจิตอย่างที่สองให้เพื่อเสริมสร้างความสามารถต่อสู้ส่วนตัวของข้า”

เขาทำการเหนี่ยวไก

‘ปังๆ ปังๆ!’

ปืนกลสาดกระสุนที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงออกไป

ไกลหลายสิบเมตรจากคนคนนั้น เป้าจำนวนมากที่ถูกยิงโดยกระสุนถูกฟันเป็นหลายส่วนทันที แต่ละส่วนถูกเปลวเพลิงกลืนกินก่อนกลายเป็นเถ้าถ่านในเวลาอันสั้น

“ปืนทางฝั่งเทคโนโลยีมีพลังฟาดฟันของวิญญาณวายุ ผนึกกับการเผาไหม้และทำลายล้างของวิญญาณอัคคี ส่วนตัวข้าแล้วคิดว่าการสร้างอาวุธในครั้งนี้มันช่างน่าสนใจนัก”

ชายคนนั้นกล่าวอย่างมีชัย

เขาวางปืนกลลงก่อนหยิบกริชแหลมคมอีกเล่มขึ้นมา

ขณะกวัดแกว่งกริชอย่างแผ่วเบา เปลวเพลิงโค้งพุ่งออกจากกริชก่อนฟาดฟันใส่เป้าที่อยู่ไม่ไกลกันนัก

‘ฉัวะ!’

เป้าถูกฟันเป็นสองส่วนก่อนถูกเปลวเพลิงกลืนกินอย่างรวดเร็ว

มันคือการผสานของวายุและอัคคีอย่างสมบูรณ์แบบ

กู่ฉิงซานอดที่จะสงสัยใคร่รู้ไม่ได้

คนคนนี้ครอบครองพลังจิตสองแบบในเวลาเดียวกัน พลังนี้ย่อมเป็นการทำลายพันธนาการของกฎเกณฑ์ดังที่คนคนนั้นกล่าว

ถ้ามันมีเท่านี้ก็ยังไม่เท่าไหร่

แต่มันยังไม่จบ เขาเห็นว่าคนคนนั้นแตะตัวเทพขนาดเล็ก

เขาเห็นเทพขนาดเล็กเปลี่ยนกลับไปเป็นกลุ่มแสงสว่าง กลุ่มแสงสว่างดังกล่าวไม่ขยับไปไหน

ชายคนนั้นกล่าวต่อว่า

“ความจริง นอกจากพลังของฝั่งเวทมนตร์แล้ว ข้ายังพยายามถ่ายพลังหลายหลากรูปแบบเข้าไปอีกด้วย นั่นรวมถึงฝั่งลี้ลับ ฝั่งบรรพกาล ฝั่งเทคโนโลยี ฝั่งมาร ฝั่งความว่างเปล่าและฝั่งอื่นๆ อีกมากมาย สรุปก็คือ ข้าได้ทำการสร้างและผสานพลังเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”

ชายคนนั้นกล่าว

เขาเห็นอีกฝ่ายคลิ้กบอลแสงอีกลูก

บอลแสงพลันกระจายตัวเป็นจุดเรืองรองก่อนจมเข้าสู่ร่างของคนคนนั้นอย่างสมบูรณ์

“สิ่งประดิษฐ์วิญญาณต่อสู้ประจำตัวตัวนี้แตกต่างจากตัวก่อนหน้า มันมีพลังของฝั่งบรรพกาล แต่ข้าก็ไม่สามารถดูดกลืนพลังเข้ามาได้ ดังนั้นจึงมอบพลังของฝั่งลี้ลับไปให้ ท้ายที่สุดจึงประสบผลสำเร็จ”

ชายคนนั้นกล่าวช้าๆ

เขากระโดดเล็กน้อยก่อนทะยานขึ้นสู่อากาศ

ฉับพลันนั้นเอง ทั่วร่างของเขาเริ่มเปลี่ยนไป

‘ตูม!’

เท้าขนาดใหญ่ตกกระทบกับพื้นจนเกิดแรงสั่นสะเทือนดังกึกก้อง

ผิวหนาสีเทาเข้มประกอบขึ้นจากหินสดใส จิตสังหารชั่วร้ายปกคลุมทั่วร่าง

ยักษ์หินหมิงกวงตัวนี้สูงหกเมตร

“มา”

เสียงของมันทำให้มิติสั่นสะเทือน

ฉับพลันนั้นเอง ในความว่างเปล่า มีพลังจิตสิบแบบปรากฏขึ้นมา รวมถึงน้ำ ไฟ ไม้ ลม อสนีบาต แสงสว่าง ความมืดและเสียง พวกมันผสานเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นคาถาทรงพลังจำนวนมากที่เกือบทะลวงความว่างเปล่าได้

‘ตูม!’

‘ตูม!’

‘ตูม!’

คาถาหลากสีสันกระแทกใส่ยักษ์หินหมิงกวง

ยักษ์ไม่ขยับไปไหน

เมื่อคาถาทั้งหมดหายไปแล้ว มันจึงเริ่มสั่นไหว

“อย่างที่พวกเรารู้ ยักษ์อมตะเป็นสิ่งมีชีวิตที่โด่งดังและวิเศษมาก ร่างกายยากจะถูกทำลายด้วยการโจมตีทางกายภาพ พลังเวทมนตร์ทั้งหมดใช้ไม่ได้ผลกับมัน”

“ทีนี้ ข้าจะใช้สิ่งประดิษฐ์วิญญาณต่อสู้ประจำตัวเพื่อเพิ่มพลังเข้าไป”

ยักษ์หินกำหมัดก่อนจะเตรียมกระแทกกับพื้น

มันหยุดนิ่งในฉับพลัน

“ฮ่าฮ่า ข้าเกือบลืมตัวไป คลังแห่งนี้ไม่สามารถต้านทานพลังของข้าและยักษ์อมตะที่รวมกันเป็นหนึ่งได้”

ยักษ์หินหมิงกวงค่อยๆ หดตัวลงก่อนกลายเป็นคนเดิมเหมือนเมื่อครู่

แสงดาราสาดส่องมาจากตัวเขา มันรวมตัวเข้าด้วยกันก่อนกลายเป็นบอลแสงอีกครั้ง

ชายคนนั้นขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด “พลังฝั่งความว่างเปล่าเข้าใจไม่ง่ายเลย เพราะอย่างนั้นข้าจึงทำได้เพียงฉวยพลังความว่างเปล่าเพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์วิญญาณต่อสู้ประจำตัวขึ้นมา”

เขาถือบอลแสงสีน้ำเงินเข้มที่บิดเบี้ยวไปมาไว้อีกลูกก่อนบดขยี้ในพริบตา

กระแสอากาศที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากตัวเขา

หลังจากนั้นไม่นาน รอบตัวเขา รอยแยกสีดำปรากฏขึ้นก่อนหายไปอย่างต่อเนื่อง

ชายคนนั้นลูบบอลกระดาษขนาดเล็กก่อนโยนเข้าไปในรอยแยกสีดำที่อยู่ด้านข้าง

“สิ่งประดิษฐ์วิญญาณป้องกันแบบเรียบง่าย” ชายคนนั้นอธิบาย “เมื่อมีบางสิ่งสัมผัสกับรอยแยกในความว่างเปล่า มันจะสุ่มโยนไปที่อื่น แม้แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ามันไปที่ใด”

เขาคล้ายกับนึกบางอย่างออก จากนั้นจึงลดเสียงลง “ไม่มีเวลาทดสอบความทนทานระยะยาวแล้ว ดังนั้นผลลัพธ์ครั้งนี้ไม่สามารถรายงานได้ ช่างน่าเสียดาย”

“เอาล่ะ ก็อะไรประมาณนี้แหละ ข้าต้องไปแล้ว ขอทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ที่นี่ละกัน”

“ยังไงก็ตาม มันถูกสร้างขึ้นที่นี่ ไม่เหลืออะไรให้สำรวจอีก”

“พวกเราเตรียมการเสร็จสรรพแล้ว คนธรรมดาที่อยู่ที่นี่จะถูกคุ้มกันโดยมาตรการมากมายที่พวกเราทิ้งเอาไว้ อีกทั้งมันยังเป็นทางเลือกในฐานะฐานหลบหนีของพวกเราอีกด้วย”

“ลาก่อน หวังว่าจะมีใครบางคนค้นพบสิ่งประดิษฐ์อันยอดเยี่ยมของข้า”

แสงและเงาหายไป

กู่ฉิงซานรออยู่หลายอึดใจ

เขาเห็นแสงและเงารวมตัวอีกครั้งก่อนกลายเป็นอีกภาพขึ้นมา

เทพองค์หนึ่งผู้มีเปลวเพลิงร้อนแรงบนศีรษะกำลังหันหน้ามาที่จอก่อนเริ่มพูด

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์เทพองค์ที่เท่าไหร่ แต่มีเพียงเจ้าที่ล่วงรู้ความลับที่ข้ากำลังจะกล่าวนี้ เจ้าต้องห้ามบอกผู้อื่น อย่าให้เผ่าพันธุ์บรรพกาลสังเกตเห็นด้วย”

“เผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าประตูของโลกบรรพกาลเพื่อสำรวจความลี้ลับ คนที่แก่ชรา อ่อนแอ ป่วยไข้และไร้ความสามารถจะถูกทิ้งไว้ที่นี่เพื่อพักฟื้น”

“แต่วันหนึ่ง จู่ๆ สัตว์ประหลาดบรรพกาลที่พวกเขาเลี้ยงดูก่อกบฏขึ้นมา”

“เผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดและทรงพลังมาก ข้าเดาว่าสัตว์ประหลาดบรรพกาลไม่กล้าสู้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์แม้แต่นิดเดียว พูดตามตรง พวกมันกล้าเพียงแต่จะเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์เท่านั้น”

“มันช่างน่าฉงนนักว่าพลังอะไรที่ทำให้เผ่าพันธุ์บรรพกาลเปลี่ยนไป”

“แต่ข้าก็พอรู้ความลับมาคร่าวๆ เช่นกัน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เมื่อหลายปีก่อน ภายในประตูโลก มีเสียงแปลกประหลาดเกิดขึ้น”

“สัตว์ประหลาดบรรพกาลคล้ายกับทราบข่าวบางอย่างถึงได้กล้าทรยศ”

“ข้าเดาว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ตายแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องส่งข่าวคราวบางอย่างกลับมาให้บ้าง”

“ดังนั้นแล้ว เจ้าที่เป็นผู้นำเผ่าพันธุ์เทพในตอนนี้ ที่เจ้าต้องทำทั้งหมดคือหาทางเข้าประตูโลกแล้วตามหาสิ่งที่หลงเหลือจากความตายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทรงพลังเหล่านั้น”

“เพราะพวกเราเผ่าพันธุ์เทพมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่สองข้อ”

“หนึ่ง พละกำลังของพวกเราคงที่ ไม่สามารถพัฒนาได้”

“สอง ทุกครั้งที่พวกเราสององค์ตาย จะมีเทพหนึ่งองค์เกิดขึ้นมาใหม่”

“หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราจะต้องสูญพันธุ์อย่างแน่นอน”

“มีเพียงการสำรวจเทคโนโลยีของเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงรากฐานให้ได้”

“พวกเราต้องหาทางเอาทางเข้าโลกจากฝั่งสัตว์ประหลาดบรรพกาลมาให้ได้”

“อนาคตของเผ่าพันธุ์เทพอยู่ในประตูบานนั้น”

……………………………….

ในวันที่เทพแห่งความเย็นยะเยือกกลายเป็นราชา ทั่วน่านฟ้าจะถูกปิด มนุษย์จะไม่มีสิทธิ์ย่างกรายเข้ามา

กระบวนพิธีราชาภิเษกทั้งหมดถือเป็นความลับและศักดิ์สิทธิ์

ห้ามขัดขืน

ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น

จากคำขอร้องก่อนหน้านี้ของเทพแห่งความเย็นยะเยือก เทพจินเยี่ยนสวมมงกุฎเทพด้วยมือของตัวเอง

หลังจากนั้นไม่นาน สิบหกอารักขาเทพใช้วิชาลับตรงหน้าตำหนักราชาเทพก่อนถูกอัญเชิญมาพร้อมกัน

หลังจากท่องคาถาหลายสิบอึดใจ คทาราชาเทพปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนตกลงตรงหน้าเทพแห่งความเย็นยะเยือก

เฉพาะวันที่เทพองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เท่านั้นที่คทาราชาเทพจะปรากฏขึ้นและถูกใช้โดยราชาเทพองค์ใหม่เพียงหนึ่งครั้ง

นี่เป็นคทาสีขาวบริสุทธิ์ มีความหนักอย่างไม่น่าเชื่อราวกับบางสิ่งกำลังไหลเวียนอยู่ข้างใน

ราวกับเป็นผลจากพลังลึกลับที่ไหลเวียนอยู่ภายในคทา ทำให้ผู้คนเห็นภาพลวงตาที่เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ

เทพแห่งความเย็นยะเยือกสวมมงกุฎบนศีรษะก่อนชูคทาราชาเทพในมือขึ้น

เทพทุกองค์กล่าวสรรเสริญอวยพรพร้อมกัน

ราชาเทพองค์ใหม่นิ่งไปเล็กน้อย

เขามองแถวข้อความที่ปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“ไอเท็ม: กุญแจลับคลังความทรงจำ”

“คุณภาพ: ไอเท็มพิเศษ”

“สกิลเทพสงคราม: ไม่มี”

“บันทึกเหตุการณ์วันโลกาวินาศ: ไม่มี”

“คำอธิบาย: นี่คือกุญแจพิเศษสำหรับเริ่มใช้งานคลังทั่วไปจากยุคบรรพกาล”

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนหันหลังแล้วเดินไปยังส่วนหลังของตำหนักเทพ

เขาต้องเข้าคลังมรดกเพื่อรับมรดกที่แท้จริงของเหล่าเทพ จากนั้นกลับตำหนักเทพอีกครั้งเพื่อประกาศให้เทพทุกองค์ทราบว่าเขาได้ล่วงรู้ถึงรากฐานความลับของกลุ่มแล้วและยินดีที่จะปกป้องเทพทุกองค์นับจากนี้เป็นต้นไป

ตอนนี้ กระบวนการขึ้นครองราชย์ถือว่าจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ เขาถือว่าเป็นราชาเทพอย่างแท้จริง

กู่ฉิงซานเดินอยู่บนทางยาวของตำหนักเพื่อมุ่งสู่ประตูคลังมรดกล้ำค่า

นี่คือประตูโลหะบานยักษ์ที่มีอักขระซับซ้อนและลึกล้ำอยู่นับไม่ถ้วนสลักอยู่บนประตู เพียงกวาดตามองก็ทำให้รู้สึกราวกับวิญญาณได้รับผลกระทบเล็กน้อย

การโจมตีใดๆ ใส่ประตูโลหะยักษ์จะเป็นการเปิดใช้งานมาตรการตอบโต้ให้กับประตู

ผู้โจมตีจะถูกทำลายด้วยการโจมตีวิญญาณโดยตรงจากประตูโลหะยักษ์จนมีสภาพไม่ต่างจากคนโง่เง่า

อารักขาเทพสิบหกตนเพียบพร้อมด้วยอาวุธยืนอยู่หน้าประตูโลหะยักษ์

ด้วยกระบวนการตามที่กำหนด กู่ฉิงซานเดินไปหาพวกเขาแล้วถามเสียงดังว่า “อารักขาเทพผู้จงรักภักดีของเผ่าพันธุ์เทพ ข้ารับใช้ผู้คุ้มกันความลับตั้งแต่เกิดจนตาย ทำไมพวกเจ้าถึงหยุดข้าไม่ให้เข้าไปหาค้นหาความลับ”

อารักขาเทพทั้งสิบหกตนกล่าวพร้อมกันว่า “หากเจ้าไม่ใช่ราชาเทพก็จงไปเสียแต่ตอนนี้ เพราะเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะล่วงรู้ถึงรากฐานความลับของเหล่าเทพ”

ตอนนี้ กู่ฉิงซานแสดงคทาราชาเทพให้อารักขาเทพทั้งสิบหกตนดู

เหล่าอารักขาเทพเห็นคทาราชาเทพก่อนทำการคำนับด้วยความเคารพต่อราชาเทพ จากนั้นถอยไปยืนอยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่งของคลังสมบัติเพื่อเปิดทางให้

กู่ฉิงซานสาวเท้าไปที่หน้าประตูโลหะยักษ์

ราวกับสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของคทาราชาเทพ อักขระทั้งหมดบนประตูโลหะยักษ์ส่องแสงขึ้นมา

พวกมันก่อตัวเป็นวังวนหมุนรอบใจกลางประตูโลหะยักษ์

กู่ฉิงซานชูคทาของราชาขึ้นก่อนสอดเข้าไปในหลุมดำที่อยู่ใจกลางของอักขระทั้งมวล

เพียงพริบตา ลำแสงสาดลงมาจากประตูโลหะยักษ์ก่อนตกกระทบมาที่กู่ฉิงซาน

เขาหายไปจากประตูโลหะยักษ์

วินาทีต่อมา เขามาปรากฏตัวในคลังมรดกล้ำค่า

คทาราชาเทพเคลื่อนผ่านประตูโลหะยักษ์มาพร้อมกันขณะลอยอยู่ตรงหน้าเขาอย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานเริ่มมองรอบข้าง

พื้นทั้งหมดของคลังมรดกล้ำค่าสร้างจากโลหะเดียวกับประตูโลหะยักษ์

คลังสมบัติมีพื้นที่หลายร้อยตารางเมตร มันว่างเปล่าและไม่มีสิ่งใดอยู่

กู่ฉิงซานยืนนิ่งสักพัก

ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมา ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จู่ๆ อดีตราชาเทพตาย ไม่มีเวลาสอนสั่งเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆ หรือต่อให้อดีตราชาเทพยังมีชีวิตอยู่ เขาก็คงไม่เปิดเผยวิธีใช้คลังสมบัติให้กู่ฉิงซานทราบอยู่ดี

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนจับคทาราชาเทพที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศเอาไว้

ฉับพลันนั้นเอง แสงแพรวพราวสาดส่องมาจากคทาของราชา

น้ำเสียงเย็นเยือกดังมาจากคทาราชาเทพ

“ข้าสัมผัสได้ถึงตัวตนของคลังสมบัติ โปรดสัมผัสกับสื่อกลางด้วย”

สื่อกลาง…

กู่ฉิงซานมองพื้นโลหะ

พื้นทั้งหมดสัมผัสได้ถึงแสงจากคทา อักขระจำนวนมากเริ่มปรากฏขึ้นมา

กู่ฉิงซานครุ่นคิดขณะเอาคทาแตะกับพื้นโลหะอย่างแผ่วเบา

ทันทีที่คทาราชาเทพสัมผัสกับพื้น ชั้นโลหะนูนขึ้นจากพื้นก่อนคทาจะฝังลงไปอย่างแน่นหนา

น้ำเสียงเย็นเยือกกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า

“ท่านได้รับอนุญาตให้นำรายการจัดเก็บไอเท็มแบบเดียวกันออกไปได้ การอนุญาตจะถูกกำหนดด้วยการสุ่ม”

“ท่านมีคุณสมบัติที่จะอ่านภาพที่เก็บไว้ในคลังแห่งนี้ได้”

“โปรดเลือกระหว่างนำรายการจัดเก็บไอเท็มออกกับอ่านภาพที่ถูกเก็บไว้ ตามสิทธิ์การอนุญาต ท่านสามารถเลือกได้เพียงหนึ่งอย่างเท่านั้น”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

สามารถเลือกวัตถุสืบทอดหรือความลับของมรดกได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งงั้นหรือ

นี่หมายความว่าสามารถเอารายการจัดเก็บไอเท็มออกเพื่ออัปเกรดการ์ดได้หรือจะเรียนรู้เกี่ยวกับภาพที่เก็บไว้ในคลังนี้

ทันทีที่อัปเกรดการ์ดจนได้การ์ดระดับมรกตขั้นที่สองมา เขาจะกลายเป็นการ์ดระดับมรกตเช่นกัน

การ์ดระดับมรกตไม่ได้ต่ำเตี้ยเท่าการ์ดสีเทา

เสี่ยวซีเลื่อนขั้นไปถึงการ์ดระดับมรกตเช่นกัน แต่กู่ฉิงซานยังไม่เคยเห็นนางสู้มาก่อน

การ์ดระดับนี้มีการทำงานมากมาย ทันทีที่กู่ฉิงซานประสบความสำเร็จ เขาสามารถสร้างกองการ์ดระดับมรกตขึ้นมาอย่างช้าๆ ได้

แต่ข้อมูลภาพที่ถูกเก็บไว้คืออะไรกัน

มันคือรากฐานความลับที่ลึกที่สุดของเผ่าพันธุ์เทพหรือเปล่า

ถ้าอย่างนั้น ไม่ว่าความลับจะเป็นอะไร เขาต้องสู้กับเผ่าพันธุ์เทพไม่ช้าก็เร็วเพื่อทำลายล้างให้หมดสิ้น

ดังนั้น ความลับดังกล่าวอาจจะไม่ถูกล่วงรู้อีกเลยก็ได้

แต่ว่า…

ถ้าข้อมูลภาพเป็นข้อมูลที่สำคัญมากขึ้นมาล่ะ

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว รู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย

หายากนักที่เขาจะลังเล

หลังจากชั่งน้ำหนักอย่างระวัง กู่ฉิงซานเลือกข้อมูลภาพในท้ายที่สุด

เมื่อก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ คทาราชาเทพจะหายไปและจะไม่ปรากฏขึ้นมาอีกจนกว่าราชาเทพองค์ต่อไปจะขึ้นสู่บัลลังก์

การ์ดจะอัปเกรดเมื่อไหร่ก็ได้ อยู่ที่ว่าทำได้ช้าหรือเร็วก็เท่านั้น

แต่ความลับไม่ใช่สิ่งที่หาได้ตลอดเวลา

เพราะเหตุนี้จึงต้องเลือกข้อมูลภาพ

ด้วยเหตุนี้กู่ฉิงซานจึงตัดสินใจเช่นนั้น

เขากำลังจะพูด แต่แถวหิ่งห้อยผุดขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“ถ้าไม่อยากเสียใจในภายหลังก็จงวางมือบนคทา”

กู่ฉิงซานผงะก่อนจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันที

เขาวางมือบนคทาของราชาทันที

เสียงของระบบเทพสงครามดังขึ้น “จงจำไว้ ท่านติดหนี้พลังวิญญาณกับข้าอยู่”

“เท่าไหร่หรือ” กู่ฉิงซานถาม

“เมื่อท่านมีพลังวิญญาณมากพอแล้ว ข้าถึงจะบอก” ระบบกล่าว

ทันทีที่สิ้นเสียง คทาราชาเทพสั่นไหวเล็กน้อย

อักขระแวววาวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นทั่วพื้นโลหะอย่างบ้าคลั่ง

ข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“กำลังแยกโครงสร้างอักขระของคลังสมบัติ”

“ได้รับวิธีสร้างกุญแจอักขระลับ”

“ด้วยขีดจำกัดความทนทานขั้นต่ำของการแจ้งเตือนจากคลังสมบัติและการสังหารรอบด้าน ทำการสร้างอักขระคทาขึ้นมาใหม่ กำหนดให้สิทธิ์อนุญาตนี้แยกออกจากกัน”

“ทำการเปลี่ยนสิทธิ์อนุญาต”

“สิทธิ์การใช้ครั้งนี้ถูกกำหนดเป็น: ได้รับข้อมูลภาพที่ถูกแสดงขึ้นมาและได้รับของมีค่าในคลังสมบัติ”

ข้อความแจ้งเตือนทั้งหมดหายไป

ในคลังมรดกล้ำค่า แสงแวววาวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากพื้น ก่อตัวเป็นภาพขึ้นกลางอากาศ

คนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นบนจอ

เขาเปิดปากพูดขึ้นว่า “ในไม่ช้า พวกเราจะต้องออกไปจากที่นี่ ข้าจะทิ้งสิ่งประดิษฐ์วิญญาณต่อสู้ประจำตัวเหล่านี้เอาไว้ อย่างไรเสีย ถ้าเจ้าไปถึงที่นั่น การนำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ติดตัวมากเกินไปจะกลายเป็นภาระเอาเปล่าๆ ”

เขาก้าวมาที่หน้าจอ

ด้านหลังคนคนนี้ แสงทรงกลมจำนวนมากลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบงัน

ชายคนนั้นอธิบายอย่างภาคภูมิใจว่า “นี่คือการทดลองส่วนตัวของข้า มันมาจากการผสมผสานของเวทมนตร์และเทคโนโลยี ในเวลาเดียวกัน มันยังดูดกลืนองค์ประกอบบางส่วนของระบบโกลาหลเข้าไปด้วย ถึงแม้จะเป็นประโยชน์ไม่มากนัก แต่ก็เป็นแนวทางการวิจัยที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ”

“สิ่งเดียวที่เจ้าต้องสนใจคือสิ่งเหล่านี้อาจจะมีอายุการเก็บรักษา ข้าจึงไม่กล้านำพวกมันไปที่ประตู”

เขาแตะบอลแสงอย่างแผ่วเบา

แสงทรงกลมกลายเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ขนาดเล็กส่องแสงเรืองรองไปทั่วทุกทิศ

ตรงกลางหว่างคิ้วของสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์นี้ กลุ่มเปลวเพลิงร้อนแรงกำลังลอยขึ้นมาอย่างเงียบงัน

………………………………….

สวรรค์ดึกดำบรรพ์

นอกสวรรค์

จุดสูงสุดของตำหนักราชาเทพ

เทพแห่งความเย็นยะเยือกยืนอยู่ตรงนั้นขณะมองดูโลก

เขากำลังครุ่นคิด ไม่ขยับไปไหน

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน เขาเหมือนกับรูปปั้น ไม่จากไปไหน

เทพทุกองค์รู้ว่าราชาเทพองค์ใหม่กำลังครุ่นคิดถึงโชคชะตาของทั้งเผ่าพันธุ์

ราชาเทพองค์ใหม่ประกาศความคิดของตัวเองต่อสาธารณะ

เพื่อหลีกเลี่ยงความตายในการต่อสู้จนไม่มีใครสามารถก้าวต่อไปได้ เขาถึงขั้นตระเตรียมราชาเทพองค์ใหม่ขึ้นมา

เทพลี่อยู่ตรงหน้าของเทพทุกองค์ ขณะสาบาน เขาเดินรอยตามเทพแห่งความเย็นยะเยือกเพื่อขัดขืนชะตากรรมต่อไป

ตอนนี้ อีกสิ่งหนึ่งได้เกิดขึ้น

เทพแห่งความเย็นยะเยือกได้ขอกับเทพจินเยี่ยนผู้มาจากอนาคตไว้เรื่องหนึ่ง เมื่อถึงช่วงพิธีราชาภิเษก เขาจะต้องเป็นผู้สวมมงกุฎ

นี่หมายความว่าราชาเทพองค์ใหม่จะจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต จดจำทุกความเจ็บปวดของเผ่าพันธุ์เทพ

เขาสาบานว่าจะเปลี่ยนชะตากรรมในอนาคตของเผ่าพันธุ์เทพ

เทพจินเยี่ยนตอบตกลงอย่างมีความสุข

ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ แต่ในช่วงเวลานี้ เทพจินเยี่ยนเองก็จริงจังขึ้นมาเช่นกัน

จนถึงตอนนี้ เผ่าพันธุ์เทพทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกการกระทำและความคิดที่จะต่อต้านหายไปไม่เหลือชิ้นดี

ในใจของเทพทุกองค์ ราชาเทพได้รับการสนับสนุนอย่างไร้ปัญหา

ที่ใดสักแห่งในความว่างเปล่า

“ทำไมกัน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แท้ๆ นี่คิดจะทำจริงงั้นหรือ” มนุษย์แสงถาม

“เพราะข้าเห็นเผ่าพันธุ์เทพที่ต่างออกไปจากตัวเขา ข้าจะเป็นสักขีพยานแล้วสืบทอดวิญญาณของราชาเทพก่อนส่งต่อไปสู่อนาคต” เทพจินเยี่ยนกล่าว

“ทั้งหมดนี้คุ้มค่า” เขาเสริม

มนุษย์แสงเงียบ

“ข้าขอตัวไปข้างนอกสักพัก” เขากล่าว

“จะไปไหนน่ะ” เทพจินเยี่ยนถาม

“ในยุคโบราณ พวกเราเองก็ต้องเตรียมการหลายสิ่ง นอกจากการตระเตรียมขั้นสุดท้ายเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ยังมีความลับบางอย่างในเผ่าพันธุ์บรรพกาลด้วย” มนุษย์แสงกล่าว

“ความลับแบบไหนกัน”

“อาจจะเป็นเรื่องที่ถูกปกปิดเอาไว้ ก่อนจะได้เห็น ข้าก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

“แล้วอย่างไรต่อ”

“เพราะฉะนั้นข้าจะไปตามหาความลับ จากนั้นจะกลับมาที่นี่”

ใบหน้าของเทพจินเยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงใหม่ได้เกิดขึ้นกับชะตากรรมของเผ่าพันธุ์เทพ ทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในบันทึกประวัติศาสตร์

“ทำไมเจ้าต้องทำแบบนั้นล่ะ” เทพจินเยี่ยนถามเสียงขรึม “เจ้าน่าจะรวบรวมเจตจำนงของเทพบรรพกาลไปแล้วนี่ ทำไมถึงทิ้งการสำรวจความลับสุดยอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ให้ข้ากันล่ะ”

มนุษย์แสงกล่าวว่า “เมื่อชะตากรรมของเผ่าพันธุ์เทพพบเจอกับความหวังใหม่ ข้าก็จะไปตามหาความลับนั่น นี่คือข้อตกลงสุดท้ายของเทพในยุคบรรพกาล”

“แต่ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นมาก่อนเลยนะ” เทพจินเยี่ยนกล่าวด้วยความไม่เข้าใจ

“นั่นก็เพราะเผ่าพันธุ์เทพไม่เคยมีความหวังยังไงล่ะ สิ่งนั้นจึงไม่ถูกกระตุ้นขึ้นมา” มนุษย์แสงกล่าว

“นี่เจ้าสนใจงั้นหรือ” เทพจินเยี่ยนถาม

“ราชาของเผ่าพันธุ์เทพไม่เคยไปยืนบนจุดสูงสุดของวิหารเพื่อคิดถึงโชคชะตาของทั้งเผ่าพันธุ์เป็นเวลาหลายวันมาก่อน ราชาของเผ่าพันธุ์เทพไม่เคยสาบานว่าจะขัดขืนต่อการกลั่นแกล้งของเผ่าพันธุ์บรรพกาล ราชาของเผ่าพันธุ์เทพไม่เคยแต่งตั้งผู้สืบทอดบัลลังก์ก่อนที่ตนจะสวมมงกุฎ แถมยังยอมเป็นราชาเทพอีกทั้งที่รู้ว่าจะตายได้ทุกเมื่อ”

มนุษย์แสงกล่าวต่อว่า “ข้าไม่เคยเห็นภาพเช่นนั้นในประวัติศาสตร์มาก่อน ดังนั้นเวลามาถึงแล้ว ข้าต้องไปค้นหาความลับนั่น”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมอย่างมีนัย ร่างดังกล่าวค่อยๆ หายไปจากความว่างเปล่า

เทพจินเยี่ยนยืนอยู่เพียงลำพังสักพักใหญ่

เขาถอนหายใจออกมา “คาดไม่ถึงว่าการมาถึงของข้าจะทำให้ความลับนั่นเกิดการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ โชคดีที่นี่เป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น”

หลังจากเงียบสักพักใหญ่ เขาอดที่จะพึมพำอีกครั้งไม่ได้

“น่าเสียดายที่นี่เป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น”

กู่ฉิงซานย่อมไม่รู้ถึงการโต้เถียงและการออกความเห็นของเทพ

เขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำหนัก สายตากวาดมองความว่างเปล่าราวกับกำลังคิดบางสิ่ง แต่เขาถึงกับกำลังมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม

เขากำลังคิดถึงความหมายของข้อความที่แจ้งบนหน้าต่างระบบ

“พละกำลังส่วนตัวพัฒนาขึ้น ระดับการ์ดของท่านได้รับการอัปเกรดแล้ว”

“การ์ดสีเทา: ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน”

“ระดับ: การ์ดสีเทาระดับสูงสุด”

“คู่หู: นางฟ้าแห่งการพิพากษา ชี”

“กองการ์ดที่ครอบครอง: กองการ์ดหลบหนี”

ข้อมูลทั้งหมดหายไปในฉับพลัน

แถวหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นใต้การ์ด

“ท่านได้รับการ์ดสีเทาระดับสูงสุดแล้ว”

“สิ่งที่การ์ดสีเทามี: ขยายความเสียหาย มีโอกาสเลื่อนขั้น”

การ์ดที่มีพื้นหลังสีเทาปรากฏขึ้นในหน้าต่างระบบ

ตรงหน้าการ์ด มีดเล่มยาวถูกวาดขึ้นมา คมมีดยาวส่องประกายเย็นเยือกเป็นครั้งคราว

“สกิลการ์ด: ขยายความเสียหาย”

“หลังจากสวมใส่การ์ดใบนี้ เมื่อใดก็ตามที่ท่านสร้างความเสียหายใส่ศัตรู ศัตรูจะได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นสามเปอร์เซ็นต์”

“หมายเหตุ: นี่คือสกิลการ์ดติดตัวระดับสีเทา เมื่อต่อสู้ ต้องทำการสวมใส่การ์ดใบนี้จึงจะแสดงผล”

“เพราะเป็นการ์ดสีเทา มันจึงกระตือรือร้นที่จะแข็งแกร่งขึ้น ตอนนี้โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ท่านอยากอัปเกรดเป็นระดับมรกตหรือไม่”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า ‘อัปเกรด’

การ์ดสีเทาหมุนอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้นเรื่อยๆ มันค่อยๆ แผ่แสงสีมรกตออกมา

เมื่อการ์ดหยุดหมุน มันกลายเป็นการ์ดสีมรกตบริสุทธิ์

“สกิลการ์ด: หลั่งโลหิต”

“หลังจากสวมใส่การ์ดใบนี้ เมื่อใดก็ตามที่ท่านฟันร่างของศัตรูด้วยอาวุธมีคม สิ่งที่ปกคลุมศัตรูเอาไว้ เช่น เลือดเนื้อ เหล็กกล้า จิต พลังจิตหรืออื่นๆ มันจะค่อยๆ ถูกดึงออกจากร่างของศัตรูเป็นเวลาสิบวินาที”

“หมายเหตุ: นี่คือสกิลการ์ดติดตัวระดับมรกต ตราบที่ท่านเสียบไว้กับหน้าต่างระบบเทพสงคราม มันจะทำงานเสมอ”

ช่องเสียบการ์ดมรกตโปร่งแสงปรากฏขึ้นจากบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

กู่ฉิงซานเสียบการ์ดใบนี้เข้าช่องเสียบการ์ด มีระลอกคลื่นสีมรกตออกมาอย่างต่อเนื่องบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ผ่านไปสักพักใหญ่จึงหายไป

ตอนนี้ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม แถวข้อความขนาดเล็กยังคงผุดขึ้นมา

“การ์ดใบแรกของท่านกลายเป็นการ์ดระดับมรกตแล้ว ตอนนี้ท่านจะสามารถได้รับอีกโอกาสที่จะจั่วการ์ดระดับมรกตผ่านวิธีการบางอย่าง”

“เมื่อท่านจั่วเรียบร้อยแล้ว ท่านจะได้รับการ์ดระดับมรกตอย่างเป็นทางการ”

หลังจากอ่านจบ กู่ฉิงซานถามทันทีว่า “ระบบ วิธีการบางอย่างที่ว่าคืออะไร”

เกิดความเงียบขึ้น

ระบบไม่พูดอะไร

กู่ฉิงซานนึกขึ้นได้ก่อนกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “นี่ ตอนข้ามีพลังวิญญาณมากมาย เจ้ามักตอบคำถามเสมอ มาตอนนี้ข้าไม่มีพลังวิญญาณแล้ว เจ้าก็เลยคิดจะเมินข้าใช่หรือไม่”

ระบบยังคงเงียบ

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างจนใจก่อนกล่าวว่า “อย่างนั้นเอาแบบนี้ละกัน ถ้าเจ้ายอมถอย ข้าจะยอมถอยด้วย ตอนนี้ข้าขอติดพลังวิญญาณไว้ก่อน ข้าจะมอบให้เจ้าเมื่อได้รับพลังวิญญาณในครั้งต่อไป ทีนี้ตอบข้ามา ปัญหาที่ถามไปน่ะ”

“ดูจากการกระทำของท่านที่ผ่านมา ระพบบพบว่าท่านล่อหลอกมากเกินไป ระบบจะไม่ยอมถูกหลอกเด็ดขาด” ระบบกล่าว

“…” กู่ฉิงซานนิ่ง

ไอ้ระบบเทพสงครามนี่!

กู่ฉิงซานกัดฟันพลางขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาไม่เต็มใจและไม่พอใจยิ่ง

ไม่มีทางที่จะอัปเกรดการ์ดเลยหรือ

ตอนเสี่ยวซีหลุดออกจากผนึก ไม่เพียงแค่ระดับพลังของนางตกลงเท่านั้น แม้แต่กองการ์ดผนึกทั้งหมดของนางก็เปลี่ยนเป็นกองการ์ดหลบหนี

การ์ดระดับมรกตที่นางใช้ อาทิ: หอกปีศาจแดง หุ่นเชิดศึก อาวุธคุมขังหรือแม้แต่การอัญเชิญราชินีแมงป่องปีศาจ เท่าที่สายตาของกู่ฉิงซานกวาดมองตอนนี้ มีแต่การ์ดที่เป็นประโยชน์ยิ่ง

ทักษะการ์ดติดตัวนาม ‘หลั่งโลหิต’ ที่อยู่ในมือของกู่ฉิงซานถึงกับทรงพลังยิ่งและเหมาะกับผู้ใช้วิชาดาบมากนัก

แถมนี่เป็นเพียงการ์ดระดับมรกตเท่านั้น

มีการ์ดระดับสูงกว่านับไม่ถ้วนอยู่ในกองการ์ดหลบหนี

จากนั้น หลังจากอัปเกรดแล้ว ย่อมสามารถใช้การ์ดเหล่านั้นในกองการ์ดหลบหนีได้!

เมื่อคิดดังนี้ หัวใจของกู่ฉิงซานก็ร้อนรุ่มขึ้นมาอีกหน

สีหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความปรารถนาอีกครา

เหล่าเทพกำลังให้ความสนใจกับสีหน้าของราชาเทพ พวกเขารู้สึกเพียงว่าสีหน้าของราชาเทพเปลี่ยนแปลงไปไวมาก

ราชาเทพคงเศร้าโศกและไม่พอใจกับสถานการณ์ของเผ่าพันธุ์เป็นแน่

ใช่ มันต้องแบบนั้นแน่ๆ

ไม่อย่างนั้น ราชาเทพจะแสดงออกมากขนาดนั้นได้อย่างไร

นั่นแหละราชาเทพของพวกเรา!

พวกเทพลอบถอนหายใจอย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก

เขาเพียงหยุดถามเกี่ยวกับระบบเทพสงครามแล้วกลับไปนึกถึงการแลกเปลี่ยนระหว่างเขากับเสี่ยวซีในตอนนั้น

ฉับพลันนั้นเอง เขานึกคำอธิบายของเสี่ยวซีขึ้นมาได้

“ความก้าวหน้าตามธรรมชาตินั้นช้าที่สุด การกลืนกินการ์ดเข้าไปจะเร็วกว่า แต่ใช่ว่าการ์ดทุกใบจะเหมาะสม เจ้าต้องหาการ์ดที่เหมาะกับนิสัยตัวเอง ท้ายที่สุด ใช้มรดกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาลเพื่อเลื่อนขั้น ถึงแม้จะเป็นทางที่เร็วที่สุด แต่สิ่งที่เป็นมรดกเหล่านั้นคือความลับในความลับที่ไม่สามารถพบเจอได้โดยง่าย”

กู่ฉิงซานพยักหน้าช้าๆ

หากใช้วิธีแรก หลังจากเลื่อนขั้นอีกครั้ง เขาก็จะสามารถจั่วการ์ดระดับมรกตออกมาได้โดยตรง

แต่ตอนนี้มีทางที่เร็วที่สุดอยู่

เมื่อกลายเป็นราชาเทพ มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะได้ของอย่างมรดกเทพมาครอง

…ของพวกนี้มักถูกเก็บในคลังสมบัติมรดกที่อยู่ด้านหลังตำหนักราชาเทพ มันสามารถเปิดออกได้ด้วยคทาราชาเทพเท่านั้น

สามวันต่อมา พิธีราชาภิเษกจะจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ถึงตอนนั้น เขาจะได้รับคทาราชาเทพมาครอง

…………………………..

ตำหนักราชาเทพตั้งอยู่ในท้องฟ้าด้านนอกของสวรรค์ดึกดำบรรพ์ เป็นสถานที่ที่เทพทุกองค์อาศัยอยู่

เทพทุกองค์มีตำหนักเป็นของตัวเอง ความสูงของตำหนักคือสิ่งที่เผยสถานะของผู้อาศัย

ตำหนักราชาเทพอยู่จุดสูงที่สุดของท้องนภา

มนุษย์ไม่ทราบเรื่องนี้

มีเพียงเทพเท่านั้นที่ต่างเข้าใจดีแต่ไม่ได้พูดอะไร

ในวันก่อนพิธีราชาภิเษก

เทพแห่งความเย็นยะเยือกไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์เทพ

บนจุดสูงสุดของตำหนักราชาเทพ เขามองท้องฟ้าด้านนอกที่อยู่ใต้เท้าอย่างเงียบงัน สวรรค์ดึกดำบรรพ์เองก็อยู่ใต้เท้าเช่นกัน

นี่คือจุดสูงสุดของสวรรค์ดึกดำบรรพ์

เทพสององค์บินขึ้นมาก่อนลอยอยู่ในแนวทแยงเบื้องล่างของราชาเทพ

พวกเขารายงานว่า “นายท่าน เผ่าพันธุ์มนุษย์ส่งทูตมาสอบถามว่าจะให้ทำอะไรบ้างหลังสิ้นสุดสงคราม”

ราชาเทพเงียบไปสักพักก่อนออกคำสั่งว่า “ให้สำนักเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดเลือกเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดมาแล้วส่งไปที่ศาลเจ้าเพื่อฝึกฝนพัฒนาความสามารถการต่อสู้”

“ศาลเจ้าแต่ละแห่งต้องส่งบุคคลพิเศษไปสอนสั่งพวกเขา จ้าวตำหนักแต่ละแห่งไม่ต้องออกไปสู้ ให้พวกเขาทุ่มเทกับการศึกษาความสามารถมนุษย์จากยุคโบราณเพื่อพัฒนาพละกำลังของตัวเอง”

“ถึงแม้สงครามแนวหน้าจะยุติไปแล้ว แต่อย่าได้ชะล่าใจไป หน้าที่ของศาลเจ้าในปีนี้จะต้องเสริมสร้างตำแหน่งแนวหน้า ดูแลการผลิตและการสร้างยุทโธปกรณ์สงครามขนาดใหญ่ เลือกช่างฝีมือเก่งกาจ เพิ่มการปรนนิบัติกับสถานะให้พวกเขา หากจำเป็นก็สามารถมอบรางวัลให้ต่อหน้าเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้”

“นอกจากนี้ ให้ตระกูลต่างๆ เลือกกลุ่มสอดแนมที่เก่งการซ่อนตัวลอบเข้าโลกบรรพกาลเพื่อสอบถามข้อมูลข่าวกรองต่างๆ”

“พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”

“ขอรับ ตามบัญชาของราชาเทพ!”

เทพสององค์ก้าวถอยกลับไปด้วยความเคารพ

ราชาเทพกลับมาเงียบขณะยืนอยู่บนยอดวิหารเพื่อเฝ้ามองโลกทั้งใบ

ไม่ช้า

เทพจินเยี่ยนบินมาจากเบื้องล่าง

เขามองราชาเทพ “ราชาเทพ จ้าวแห่งความเย็นยะเยือก ข้าชื่นชมท่านยิ่งนัก”

“เป็นความจริงหรือที่ในประวัติศาสตร์ข้าจะหมดสติจนกลายเป็นราชาเทพไร้ความสามารถ” ราชาเทพถาม

“พูดตามตรง มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับท่านในตอนนี้เช่นกัน” เทพจินเยี่ยนกล่าว

ราชาเทพกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถ้าเจ้ามาแทนที่ข้าและรู้แน่ชัดว่าจะถูกศัตรูผู้ไร้เทียมทานเข้ามาฆ่า บางทีเจ้าน่าจะรับมือได้ดีกว่าข้าอีกนะ”

เทพจินเยี่ยนครุ่นคิดสักพักก่อนจะอดพยักหน้าออกมาไม่ได้

เขาถอนหายใจเล็กน้อย

แน่นอนว่าความตายคือแรงจูงใจที่ดีที่สุด

แม้แต่เหล่าเทพก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ตอนนี้ เทพจำนวนมากบินขึ้นมาขอคำชี้แนะหลายสิ่งกับราชาเทพ

ราชาเทพครุ่นคิดสักพัก กล่าววาจาไม่กี่คำก่อนช่วยจัดการหลายสิ่งอย่างเรียบร้อยและเป็นระเบียบ

เทพจำนวนมากตั้งใจฟัง สีหน้าของพวกเขาค่อยๆ เคารพยำเกรงมากขึ้น

หลังจากราชาเทพกล่าวจบ พวกเขาคำนับให้ราชาเทพก่อนบินจากไป

ตอนนี้ ราชาเทพถามว่า “เรื่องของเจ้าจัดการไปถึงไหนแล้ว”

เทพจินเยี่ยนส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เผ่าพันธุ์มนุษย์แปลกประหลาดนั่นฆ่าทหารบรรพกาลไปเป็นจำนวนมากจนพลิกสถานการณ์การต่อสู้ได้ แต่จู่ๆ เขากลับหายตัวไป”

“เจ้าคิดว่าไง” ราชาเทพถาม

สีหน้าของเทพจินเยี่ยนเคร่งขรึมเล็กน้อย “ดูจากระดับพละกำลังมนุษย์แล้ว การฝึกฝนของคนคนนี้น่าจะไปถึงเพียงระดับเบิกเนตรมิติเท่านั้น แต่ฝีมือดาบไปถึงระดับจอมภูตดาบแล้ว”

เขากล่าวต่อว่า “ข้าคิดว่าเขาคือกู่ฉิงซาน”

ราชาเทพนิ่งไปก่อนกล่าวว่า “เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”

เทพจินเยี่ยนกล่าวว่า “ข้าสงสัยว่าเขาไปโลกมารหรือไม่ก็กำลังซ่อนตัวอยู่ในสำนักสักแห่ง ข้าต้องการคนเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้”

ราชาเทพกล่าวอย่างมีความสุขว่า “ไม่มีปัญหา ข้าจะส่งคนให้เจ้าเพิ่ม”

“นอกจากนี้ ข้าคิดว่าเจ้าคิดผิดนะ เจ้าควรขุดคุ้ยจากเบาะแสของวิญญาณอสนีบาตในหมู่พวกเราด้วย เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยมีใครชำนาญวิญญาณอสนีบาตมาก่อน”

เทพจินเยี่ยนพยักหน้าพลางครุ่นคิด

ตอนนี้ ราชาเทพเรียกเทพห้าองค์มาแล้วบอกให้พวกเขาทำงานตามที่เทพจินเยี่ยนมอบหมาย

“เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว จับตัวคนคนนั้นมาให้ได้ล่ะ”

หลังจากแนะนำเสร็จสรรพ ราชาเทพส่ายหน้าพร้อมกับอารมณ์ที่ประดังเข้ามา “เผ่าพันธุ์พวกเราไม่เพียงถูกกลั่นแกล้งจากเผ่าพันธุ์บรรพกาลเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะมาถูกสังหารหมู่โดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคอนาคตอีกด้วย โชคชะตามันยากลำบากปานนี้เลยหรือ”

สีหน้าของเขาสงบ น้ำเสียงเนิบช้า แต่กลับทำให้เทพทุกองค์รู้สึกเศร้าโศก

เทพจินเยี่ยนเงียบ

เมื่อมองย้อนประวัติศาสตร์ไปหลายหมื่นปี เขาอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ไม่มีทาง พวกเราไม่มีทางเอาชนะเผ่าพันธุ์บรรพกาลได้เลย”

ราชาเทพพลันคำรามออกมา “ไม่ ในเมื่อพวกเรารู้อนาคตแล้ว มีแต่จะต้องเปลี่ยนมัน! ข้าต้องหาทางเปลี่ยนสถานการณ์นี้ให้ได้!”

“ข้าสาบานว่าพวกเราจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมทั้งหมดให้ได้ โลกใบนี้จะถูกปกครองโดยเทพอย่างพวกเราอีกครั้ง!”

น้ำเสียงของเขากระจายไปทั่วทั้งท้องนภา

ชั่วขณะนั้นเอง เทพทุกองค์หยุดในสิ่งที่กำลังทำขณะฟังเสียงคำรามของราชาเทพอย่างตั้งอกตั้งใจ

“เทพลี่ มานี่!” ราชาเทพกล่าวอีกครั้ง

สิ้นคำสั่งของราชาเทพ เทพลี่บินมาจากตำหนักที่อยู่ไม่ไกลจากใต้โถงราชาเทพมากนัก

เบื้องหน้าของเทพทุกองค์ เทพลี่เงยหน้าขึ้นสูงแล้วกล่าวว่า “เทพแห่งความเย็นยะเยือก ท่านต้องการสิ่งใด”

ตามคำอธิบายของเทพจินเยี่ยน อีกฝ่ายคือเทพผู้ต่อสู้กับเทพแห่งความเย็นยะเยือกเพื่อชิงบัลลังก์

ราชาเทพมองอีกฝ่ายพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเราถูกกดขี่มานานเกินไป เทพลี่ เจ้าอยากให้เผ่าพันธุ์ของพวกเราเป็นเช่นนี้ตลอดไปอย่างนั้นหรือ”

“ถ้าเป็นราชาแล้วยังคิดประจบศัตรูอีก เจ้าคิดว่าราชาสมควรทำแบบนั้นหรือไม่”

เทพลี่มองราชาเทพ ไม่ได้กล่าววาจาใดๆ

ราชาเทพกล่าวว่า “เทพลี่ ตั้งใจฟังให้ดี ข้าอาจจะโกรธผู้ปกครองโลกบรรพกาล ข้าอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงห้าปี แต่ข้าจะต้องหาทางเปลี่ยนชะตากรรมให้กับเผ่าพันธุ์ของพวกเราให้จงได้”

“ถ้าข้าตาย เจ้าจะต้องเป็นราชาเทพองค์ต่อไป”

เทพลี่ตกตะลึงก่อนถามว่า “นี่พูดจริงหรือ”

“ราชาเทพพูดแล้วไม่คืนคำ แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าก่อนว่าจะไม่ทำตัวขี้ขลาดหลบเลี่ยง จงเดินบนเส้นทางสายนี้ สักวันเจ้าจะมีชัย” ราชาเทพกล่าว

สีหน้าของเทพลี่ค่อยๆ เปลี่ยนไป

เขาถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ถอยกลับไม่ได้แล้วล่ะ”

ขณะพูดเช่นนั้น เขาคุกเข่าลงกับพื้นดิน

“นายท่าน ข้าเต็มใจติดตามท่านเพื่อนำเผ่าพันธุ์ของพวกเราไปสู่ชัยชนะแม้ว่าจะมีความตายรออยู่ข้างหน้าก็ตาม”

เทพลี่กล่าวสาบานอย่างเคร่งขรึมและหนักแน่น

ราชาเทพพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ดีมาก นับจากวันนี้ไป เจ้าและข้าไม่ต้องสู้กันเองอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้พวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือตายเพื่อเผ่าพันธุ์ของพวกเรา!”

“ถูกต้อง! เจ้าพวกเผ่าพันธุ์บรรพกาลนั่น ข้าอยากจะฆ่าพวกมันมานานแล้ว!” เทพลี่คำราม

ท่ามกลางศาลเจ้าในเวลานี้ เหล่าเทพค่อยๆ บินออกมา ดิ่งลงสู่ความว่างเปล่าที่อยู่ใต้ราชาเทพ พวกเขาทำการคำนับต่อราชาเทพอย่างเงียบงัน

เทพทุกองค์ล้วนมาอยู่ที่นี่

เมื่อพวกเขาคำนับราชาเทพเสร็จ พวกเขาจึงคำนับเทพลี่อีกครั้ง

นี่หมายความว่าเหล่าเทพรับรู้และยอมรับประสงค์และการกระทำของราชาเทพแล้ว

พวกเขาจะสู้ตามคำสั่งของราชาเทพ

หากราชาเทพตาย พวกเขาจะติดตามเทพลี่เพื่อสู้ต่อไป

เทพจินเยี่ยนชมฉากดังกล่าว สีหน้าดูซับซ้อนเล็กน้อย

เขาพึมพำกับตัวเอง “เมื่อรับรู้ถึงโชคชะตาก็มีการเปลี่ยนโยกย้ายเพื่อเกิดใหม่ทันที…นี่คือราชาเทพอย่างแท้จริง”

มนุษย์แสงปรากฏตัวขึ้นข้างเขา

มนุษย์แสงส่ายหน้าก่อนกล่าวกับเทพจินเยี่ยนว่า “แต่ช่างน่าเสียดาย…”

เทพจินเยี่ยนเห็นด้วยกับคำพูดดังกล่าว อารมณ์ก่อตัวขึ้นมหาศาล “ถูกต้อง เขาเพียงคงอยู่ในยุคหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถส่งผลต่อประวัติศาสตร์จริงได้หรอก”

“หากมองย้อนเผ่าพันธุ์เทพกลับไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อน พวกเขาเอาแต่หนี วางแผนเจ้าเล่ห์ คิดหาทางเอาตัวรอด แล้วมันจะไปมีทางต่อสู้กับโชคชะตานี้ได้อย่างไร”

“ถ้าเขาสามารถกลับสู่ประวัติศาสตร์จริงแล้วนำเผ่าพันธุ์เทพทั้งหมดก้าวไปข้างหน้าได้ เผ่าพันธุ์ของพวกเราจะต้องเปลี่ยนวิถีแห่งชะตากรรมจนสร้างอนาคตที่แตกต่างขึ้นมาได้อย่างแน่นอน”

“มันช่างน่าเสียดายจริงๆ”

………………………………

“เจ้าหมายความว่า ข้าจะตายจากการล่าในอีกห้าปีต่อจากนี้หรือ”

เสียงของราชาองค์ใหม่เจือด้วยความกังวล

“ใช่ ท่านจะถูกแทงด้วยหอกเหมือนกับราชาเทพองค์ที่แล้ว ทำให้ถึงแก่ความตายในทันที” เทพจินเยี่ยนตอบ

เกิดความเงียบบนบัลลังก์เทพ

“นี่เป็นตอนจบที่ไม่น่ายินดีเอาเสียเลย” เทพแห่งความเย็นยะเยือกพึมพำเสียงต่ำ

ถึงแม้พิธีราชาภิเษกจะยังไม่ได้จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่เทพองค์นี้มีชะตาให้กลายเป็นราชาเทพแล้ว ดังนั้นเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์เทพทั้งมวลเพื่อสนทนากับผู้ส่งสารจากอนาคต

เทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงยืนอยู่บนเบื้องล่างบัลลังก์ขณะมองราชาองค์ใหม่

เหล่าเทพยืนอยู่สองฝั่งเบื้องล่างเช่นกัน พวกเขาฟังบทสนทนาของทั้งสองอย่างเงียบงัน

ตัวตนของเทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงถูกพิสูจน์แล้ว เห็นได้ชัดว่ามาจากอนาคต

ข่าวที่พวกเขานำมาน่าเชื่อถือ

ดังนั้นนับจากช่วงเวลานี้ไป เทพผู้ทรงพลังยิ่งเหล่านั้นพลันล้มเลิกความคิดที่สู้เพื่อเป็นราชาเทพ

นี่มันช่างน่าขันสิ้นดี!

ห้าปีต่อมาต้องเผชิญหน้ากับความคลุ้มคลั่งของผู้ปกครองโลกบรรพกาล ไม่ว่าราชาเทพจะเป็นใครก็ต้องหาทางผ่านเรื่องราวนี้ไปก่อนให้ได้

หากไม่สามารถผ่านไปได้ก็จะสูญสิ้นชีวิต!

บนบัลลังก์เทพ เทพแห่งความเย็นยะเยือกวางมือบนที่วาง ร่างเอนมาข้างหน้าขณะถามด้วยความร้อนรนว่า “เจ้ามาจากอนาคต ดังนั้นการที่เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องทั้งหมดนี้ใช่หรือไม่”

มีความคาดหวังและความปรารถนายิ่งในดวงตาของราชาเทพองค์ใหม่

เทพจินเยี่ยนสูดหายใจก่อนเล่าตามแผนเดิมที่วางเอาไว้

เทพแห่งความเย็นยะเยือกทรงพลังยิ่ง แถมตอนนี้ยังเป็นราชาเทพ

ต้องซื่อตรงเข้าไว้

“ราชาเทพ ข้าจะบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ ดังนั้นตราบที่ท่านสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นแล้วหลบหนีออกมาก่อนจนถึงท้ายที่สุดได้ ท่านจะไม่ตาย ประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงเพราเหตุนี้” เทพจินเยี่ยนกล่าว

เทพแห่งความเย็นยะเยือกได้ยินดังนั้นจึงค่อยผ่อนคลาย

“ใช่…หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น ข้าต้องเตรียมตัวไว้ก่อน” เขาพึมพำ

“ราชาเทพ ข้าจะช่วยท่านฟันฝ่าความยากลำบาก แต่ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะขอสักเล็กน้อย คำขอนี้ข้องเกี่ยวกับโชคชะตาของพวกเราเผ่าพันธุ์เทพทั้งสิ้น” เทพจินเยี่ยนกล่าว

“เจ้าว่ามาเลย” เทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าว

“ในอนาคต พวกเราต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ นักพรตนามกู่ฉิงซานถือกำเนิดในเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาได้รับบางสิ่งที่พิเศษเพื่อมาหยุดยั้งพวกข้าจากยุคโบราณ นับตั้งแต่นั้นมา แผนการของเผ่าพันธุ์ข้าจำนวนมากเป็นอันถูกทำลายสิ้น เทพจำนวนมากตายด้วยมือของเขาองค์แล้วองค์เล่า” เทพจินเยี่ยนกล่าวอย่างโกรธแค้น

เทพแห่งความเย็นยะเยือกหรี่ตาพลางกล่าวว่า “นี่มันเป็นไปไม่ได้ เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ในการควบคุมของพวกเรามาตลอด จะมีใครหน้าไหมมาขัดขืนได้”

เทพจินเยี่ยนไม่พูดขณะกวาดตามองเทพที่อยู่เบื้องล่าง

เทพแห่งความเย็นยะเยือกรู้ความหมายดี

“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน” เขาสั่ง

ถึงแม้เหล่าเทพอยากอยู่ฟังสิ่งเหล่านั้นในอนาคต แต่ราชาเทพพูดมาเช่นนั้น พวกเขามีแต่ต้องออกจากตำหนักไป

ไม่ช้า เทพแห่งความเย็นยะเยือก เทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงล้วนเป็นกลุ่มเดียวที่อยู่ภายในตำหนัก

เทพจินเยี่ยนก้าวขึ้นไปจนมาถึงบัลลังก์

เขาลดเสียงลงแล้วกล่าวว่า “กู่ฉิงซานได้รับดาบสองเล่มมาจากยุคโบราณ เล่มแรกดาบศักดิ์สิทธิ์  อีกเล่มดาบพิภพ ดาบสองเล่มนี้เป็นดาบคู่ที่มีพลังไร้ขีดจำกัด”

เทพแห่งความเย็นยะเยือกส่ายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ข้าไม่อยากเชื่ออยู่ดีว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะถึงกับสามารถสร้างอาวุธที่สามารถฆ่าเผ่าพันธุ์พวกเราได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เทพจินเยี่ยนเองก็เผยสีหน้าสับสนเล็กน้อยออกมาเช่นกัน

เขาอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ “ความจริง ในอนาคต พวกเราต้องไตร่ตรองอีกหลายสิ่ง แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ภายใต้การควบคุมและการจับตาดูของพวกเรามาตลอด ไม่เคยแยกห่าง ฉะนั้นพวกเราจึงไม่เข้าใจว่าพวกเขาเริ่มสร้างดาบสองเล่มนั้นตั้งแต่ตอนไหน”

เทพแห่งความเย็นยะเยือกครุ่นคิด “ใช่แล้ว สำนักระดับสูงของเผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนมาก แม้กระทั่งระดับผู้นำเองก็ล้วนเป็นข้ารับใช้ผู้จงรักภักดี”

เทพจินเยี่ยนกล่าวว่า “ดังนั้นข้าจึงเดินทางจากอนาคตเพื่อกลับมาสู่ปัจจุบันเพื่อตามหากู่ฉิงซานแล้วฆ่าเขา จากนั้นก็สืบความลับสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์”

เทพแห่งความเย็นยะเยือกถามว่า “ดาบสองเล่มนั้นพวกเราจะยึดมาใช้ได้งั้นหรือ”

“ข้าไม่รู้ ทุกสิ่งเกี่ยวกับดาบสองเล่มนั้นเป็นความลี้ลับ” เทพจินเยี่ยนกล่าว

ทั้งสองเงียบไปสักพัก

“เดี๋ยวนะ ในเมื่อเจ้ามาปรากฏตัวต่อหน้าข้า หมายความว่ากู่ฉิงซานคนนั้นมีชีวิตในยุคที่ข้าอยู่อย่างนั้นหรือ” เทพแห่งความเย็นยะเยือกถาม

“ถูกต้องแล้ว” เทพจินเยี่ยนกล่าว

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาซ่อนตัวที่ใด”

“ยังไม่แน่ชัด อาจจะเป็นสำนักมนุษย์สักแห่งหรือไม่ก็อาจจะไปโลกมารแล้ว”

“แบบนี้ก็เป็นปัญหาน่ะสิ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็บอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้นในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ จากนั้นข้าจะส่งคนไปช่วยเจ้าตามหาคนคนนั้น” เทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าว

เทพจินเยี่ยนมองอีกฝ่ายก่อนกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ดีมาก ถือว่ายุติธรรมสุดๆ ”

เขาเริ่มบอกทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ให้ราชาเทพองค์ใหม่ทราบ

ในเหตุการณ์สำคัญเหล่านั้น ยังมีปัญหาในการอธิบายให้ราชาเทพทราบ ดังนั้นจึงต้องโน้มน้าวให้ราชาเทพสนใจปัญหาเหล่านั้นเพิ่มด้วย

ท้ายที่สุด ทุกอย่างก็จบสิ้น

“ขอบคุณ” เทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าว “ข้าต้องคิดทบทวนทุกสิ่งที่เจ้าเล่ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตให้จงได้”

“หลายอย่างเป็นเรื่องรอง มีเพียงผู้ปกครองโลกบรรพกาลที่ท่านต้องระวัง นอกนั้นก็ไม่มีใครทำอะไรท่านได้” เทพจินเยี่ยนเตือน

“อย่าห่วงไปเลย ข้าจะให้ความสนใจเขาเป็นพิเศษ” ราชาเทพองค์ใหม่กล่าว

ตอนนี้เอง เทพองค์หนึ่งปรากฏตัวขึ้นในวิหาร

“มีอะไร” เทพแห่งความเย็นยะเยือกถาม

“สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้อย่างดุเดือด เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รายงานสถานการณ์น่าสงสัยมาสองอย่างขอรับ” เทพองค์นั้นกล่าว

เขามองเทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงก่อนหุบปากลง

เทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงมองเทพแห่งความเย็นยะเยือกกลับ

“ไม่มีอะไร ว่าต่อเลย” เทพแห่งความเย็นยะเยือกพยักหน้า

เทพองค์นั้นกล่าวว่า “อย่างแรก มีนักพรตคนหนึ่งที่สามารถใช้พลังวิญญาณอสนีบาตเพื่อฆ่าสัตว์ประหลาดบรรพกาลได้ ที่แนวหน้า มีหลายคนที่ได้เห็นสิ่งนั้นกับตา”

“อย่างที่สอง สำนักส่วนใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์รายงานว่านักพรตระดับสูงจำนวนมากของเผ่าพันธุ์มนุษย์หายไปที่จุดเชื่อมต่อของสองโลก”

เกิดความเงียบขึ้นในตำหนัก

เทพจินเยี่ยนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “อย่างที่สองพวกข้าล้วนรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาส่วนใหญ่ถูกผู้ปกครองโลกบรรพกาลกินนั่นแหละ มีส่วนน้อยเท่านั้นที่โชคดีจนหนีรอดกลับมาได้”

“เจ้าสามารถตอบพวกเขาตามตรงได้เลย ตอบไปว่าคนพวกนั้นหลงทางอยู่ในโลกบรรพกาล” เทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าว

“ขอรับ” เทพองค์นั้นรับคำสั่ง

เทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าวต่อว่า “เรื่องนั้นเป็นอันจบสิ้น ส่วนเรื่องแรกมันน่าสงสัยตรงที่นักพรตมนุษย์สามารถใช้พลังของวิญญาณอสนีบาตได้นี่แหละ”

“ใช่ เรื่องนี้ต้องได้รับการตรวจสอบ ราชาเทพ โปรดส่งกำลังคนมาให้ข้าด้วย” เทพจินเยี่ยนกล่าว

เทพแห่งความเย็นยะเยือกตะโกนไปยังนอกวิหาร “ถ่ายทอดคำสั่ง สิบสองอารักขาเทพที่อยู่ด้านหน้าตำหนัก จงติดตามเทพจินเยี่ยนเพื่อร่วมทำการค้นหาด้วยกัน”

“ขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่ง” เทพจินเยี่ยนกล่าวอย่างพึงพอใจ

“ด้วยความยินดี ข้าต้องขอบคุณเจ้าเรื่องข้อมูลเช่นกัน” เทพแห่งความเย็นยะเยือกกล่าว

เทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงทำข้อตกลงกับอีกฝ่าย จากนั้นจึงหันหลังแล้วออกจากวิหารไป

พวกเขาออกไปค้นหาร่องรอยของนักพรตวิญญาณอสนีบาต

ในตำหนัก

เหลือเพียงราชาเทพองค์ใหม่เท่านั้น เทพแห่งความเย็นยะเยือกยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์

เขาจมสู่ห้วงความคิด

ตามที่เทพจินเยี่ยนว่า ห้าเดือนต่อมาจะเกิดการกบฏและการแย่งชิง

ในเรื่องของเวลา นี่เป็นหายนะที่ใกล้เข้ามาที่สุด

แต่เรื่องนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว

ตอนนี้เทพทุกองค์รู้ว่าหลังจากผ่านไปห้าปี ราชาเทพจะถูกสังหารโดยผู้ปกครองโลกบรรพกาลอีกครั้ง

ถ้าเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่เกิดการกบฏและการแย่งชิง

เขาจึงสามารถปล่อยวางเรื่องนี้ออกจากจิตใจได้

อย่างที่เทพจินเยี่ยนกล่าว เขาต้องตรวจสอบว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เชี่ยวชาญวิธีการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพได้อย่างไร

ไม่ว่าอาวุธจะทรงพลังแค่ไหน พวกมันก็ล้วนต้องถูกหลอมขึ้นมาก่อน

ดาบศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นเดียวกัน

หากได้รับวิธีการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมสามารถเริ่มทำการหลอมดาบศักดิ์สิทธิ์ได้!

นอกจากนั้น ประวัติกับต้นกำเนิดของเทพยังเป็นเรื่องลี้ลับเช่นกัน

ต้องทำการตรวจสอบปัญญาของเหล่าเทพทั้งหมด!

เมื่อคิดได้ดังนี้ กู่ฉิงซานยืนขึ้นแล้วเดินกลับเข้าตำหนัก

เบื้องหน้าประตูเหล็กขนาดใหญ่ เขาถูกหยุดไว้โดยสิบสองอารักขาเทพ

“นายท่าน ท่านยังไม่สามารถเข้าที่นี่ได้”

สิบสองอารักขาเทพคุกเข่าลงกับพื้นดินขณะกล่าวด้วยความเคารพ

กู่ฉิงซานหรี่ตา น้ำเสียงเย็นชาดูอันตราย “โห นี่พวกเจ้ากล้ามาหยุดข้างั้นหรือ”

“ไม่ใช่แบบนั้น นายท่าน โปรดอดทนรอเสียหน่อย เมื่อได้รับการสวมมงกุฎ ท่านจะสามารถเข้าที่นี่ได้หลังจากได้รับคทาราชาเทพมาแล้วเท่านั้น” หัวหน้าอารักขาเทพรีบอธิบาย

ประตูบานนี้ถูกคุ้มกันโดยอารักขาเทพที่จงรักภักดีที่สุด มีเพียงราชาเทพจากกาลก่อนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไป

เบื้องหลังประตูมีบันทึกประวัติศาสตร์ตัวตนของเผ่าพันธุ์เทพ ความลับมากมายและแม้กระทั่งกฎอันสอดคล้องที่เทพโบราณเลียนแบบมาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคนั้น

กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก

จิตสังหารแผ่ออกจากตัวเขา ถึงตรงนี้อารักขาเทพอดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ แต่ฉับพลันนั้นเองเขากลับหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “วางใจได้ ข้ายังมีความอดทนเหลืออยู่”

เขาหันหลังแล้วจากไป

สิบสองอารักขาเทพผงะ รู้สึกแค่ว่าไม่อาจตัดสินความคิดและความรู้สึกของราชาเทพได้เลย จึงช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะเริ่มกังวลอีกครั้ง

กู่ฉิงซานเดินกลับไปที่โถงด้านหน้าก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ของราชาเทพ

ฉับพลันนั้นเอง ความคิดหนึ่งทะลวงเข้าสู่จิตใจ เขาไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้

ตามที่เทพจินเยี่ยนว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์จงรักภักดีและอยู่ภายใต้การดูแลของเผ่าพันธุ์เทพมาโดยตลอด

ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะได้รับดาบสองเล่มนั้น

นั่นเพราะอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังเสมอมา…

กู่ฉิงซานยืนขึ้นทันที

เขาพลันจำข่าวที่เพิ่งได้รับขึ้นมาได้

ยอดนักพรตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ตกลงไปในโลกบรรพกาล

จ้าวตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก เซี่ยกูหง!

เซี่ยกูหงหายไปในช่วงเวลานี้

ยอดนักพรตแห่งตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวกคิดว่าเซี่ยกูหงหลงเข้าไปในโลกบรรพกาล ดังนั้นพวกเขาถึงกล้าโจมตีศิษย์ทั้งสามผู้อยู่จุดสูงสุด!

ผู้หนุนหลังยอดนักพรตเหล่านี้คือเทพ

จากตรงนี้ ทำให้สรุปได้ว่าช่วงเวลานี้ แม้แต่เทพก็ไม่รู้ว่าเซี่ยกูหงเป็นหรือตาย

ในช่วงเวลานี้ เซี่ยกูหงล่องหน ไม่มีใครหาตัวเขาพบ

ตามข้อมูลที่ได้รับมาในภายหลัง เขาเข้าสู่ส่วนลึกของโลกบรรพกาล เด็ดหัวมารนักปราชญ์ ทำให้ขวัญกำลังใจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดเพิ่มขึ้นมา

ใช่แล้ว นั่นแหละเขา

กู่ฉิงซานลอบพยักหน้า

ครั้งนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ในช่วงเวลาที่จะหลบหนีจากการเผ้าระวังของพวกเทพ

เซี่ยกูหงมุ่งหน้าสู่โลกบรรพกาล!

ต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเขาแน่ๆ

……………………………..

เหรียญทองแดงยังคงหมุนอยู่ในอากาศ

เมื่อตกลงมา มันถูกมือข้างหนึ่งคว้าเอาไว้

เป็นมือของมนุษย์แสง

มนุษย์แสงถือเหรียญไว้ขณะสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ข้างใน

“เป็นอย่างไรบ้าง” เทพจินเยี่ยนถามจากด้านข้าง

“เหรียญกลับมามีความสามารถจนนำมาใช้งานได้แล้ว” มนุษย์แสงพยักหน้าเล็กน้อย

“ยังจะมัวรออะไรอีก ออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้เลย”

เทพจินเยี่ยนไม่อาจทนรอได้

มนุษย์แสงถือเหรียญโบราณไว้ก่อนกล่าวอย่างจริงจังว่า “อย่าสนใจทุกสิ่งที่พวกมารทำเลย จุดประสงค์ของพวกเราเพียงหนึ่งเดียวคือตามหาคนคนนั้น จับเป็นหรือไม่ก็จับตาย”

“ย่อมได้”

เทพจินเยี่ยนโคจรพลัง

มนุษย์แสงพยักหน้าก่อนใช้งานเหรียญ

พลังงานแผ่ออกมาจากเหรียญขณะถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเทพจินเยี่ยน

ภายใต้การชี้นำของเหรียญ เทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงเคลื่อนผ่านหมอกแห่งมิติและเวลา ก้าวข้ามชั้นเศษเสี้ยวอันหนักอึ้งนับไม่ถ้วนของยุคโบราณ ท้ายที่สุดจึงจมดิ่งสู่ภาพซ้อนทับของยุคหนึ่ง

สวรรค์ดึกดำบรรพ์

ลำแสงสองสายปรากฏขึ้นที่ใดสักแห่งบนโลกโดยไม่มีการกล่าวเตือน

เทพจินเยี่ยน

และมนุษย์แสง

ทั้งสองตกลงไปในซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง

“นี่มันยุคไหนกัน”

เทพจินเยี่ยนมองรอบข้างขณะถาม

“มองหาตำหนักก่อน หากท่านไปถามที่นั่นก็จะรู้คำตอบเอง” มนุษย์แสงกล่าว

ทั้งสองทะยานขึ้นสู่ท้องนภาขณะบินอยู่เหนือเมฆ มุ่งสู่ความว่างเปล่าโปร่งแสงในส่วนลึกที่สุดของท้องนภา

ร่างของพวกเขาค่อยๆ กลายเป็นความว่างเปล่าราวกับทะลุเข้าไปในมิติอื่น

ผ่านไปสักพัก

มนุษย์แสงและเทพจินเยี่ยนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

“ตำหนักว่างเปล่า ตามประวัติศาสตร์แล้ว ช่วงเวลาเช่นนี้มีไม่มากนัก” เทพจินเยี่ยนกล่าว

“ใช่ ตามหาเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วสอบถามสถานการณ์กันเถอะ” มนุษย์แสงกล่าว

พวกเขานิ่งอยู่บนท้องนภาสักพัก จากนั้นจึงดิ่งลงมา

“ทางตะวันออกเฉียงใต้ มีพลังวิญญาณก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลจำนวนมาก น่าจะเป็นค่ายกลวิเศษที่ถูกติดตั้งโดยนักพรตมนุษย์สักคน”

“ไปดูกัน”

เทพจินเยี่ยนมองนักพรตมนุษย์ที่อยู่เบื้องล่างก่อนถามว่า “พูดมา ตำหนักเซียนธารจันทราถูกทำลายแล้วงั้นหรือ”

“ขอรับ ท่านเทพ” นักพรตมนุษย์ตอบด้วยความเคารพ

มนุษย์แสงถามว่า “มีข่าวอะไรมาจากแนวหน้าบ้าง”

นักพรตมนุษย์ตอบว่า “วันนี้เป็นการต่อสู้อันดุเดือด เทพทุกองค์ไปอยู่ที่แนวหน้า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนอยู่ด้วยเช่นกัน”

เทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงมองหน้ากัน

พวกเขารู้แล้วว่าช่วงเวลาของประวัติศาสตร์นี้เป็นช่วงไหน

“ดีมาก เจ้าไปได้แล้ว” มนุษย์แสงกล่าว

นักพรตมนุษย์คำนับด้วยความเคารพก่อนเตรียมจะจากไป

“ช้าก่อน!” นักพรตจินเยี่ยนเรียกอีกฝ่าย

“ข้าขอถามเจ้าอีกหน่อย ช่วงนี้มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นหรือไม่” เขาถาม

“อะไรแปลกๆ หรือ ท่านหมายถึงอะไร…” นักพรตถามด้วยความสับสน

หลังจากนั้นเทพจินเยี่ยนถึงเข้าใจว่าตัวเองวิตกเกินไป

“ไม่มีอะไร เจ้าไปได้แล้ว” เขาโบกมือ

นักพรตมนุษย์คำนับอีกครั้งก่อนบินขึ้นสู่ท้องนภา

มนุษย์แสงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ทำไมถึงมาถามคนเหล่านี้ที่อยู่ในภาพซ้อนทับแห่งเวลาในเมื่ออยากหาว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นบ้าง พวกเรารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในประวัติศาสตร์ ถ้ามีอะไรผิดแปลกไปจากประวัติศาสตร์ มันก็ต้องมาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแน่นอน”

“อ่า ข้าแค่หงุดหงิดน่ะ พวกเราสามารถสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้” เทพจินเยี่ยนกล่าว

“ท่านคิดว่าหลังจากนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี ไปแนวหน้าเลยหรือไม่” มนุษย์แสงถาม

“อ่า แต่พวกเราต้องระวังตัวด้วย”

“ทำไมล่ะ”

“ถึงแม้จะอยู่ในเงามืดของยุคหนึ่ง แต่ครั้งนี้อันตรายมาก” เสียงของเทพจินเยี่ยนไม่สบายใจเล็กน้อย

มนุษย์แสงถามว่า “ท่านหมายถึง… ผู้ปกครองโลกบรรพกาลหรือ”

เทพจินเยี่ยนเสริมเพิ่มเติม “แถมยังมีหอกนั่นอยู่ด้วย”

เขากล่าวต่ออีกว่า “ตอนนี้ ข้าคือเทพที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน เจ้าคือผู้รวบรวมเจตจำนงของเทพผู้ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนเช่นกัน ลองเดาสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากผู้ปกครองโลกบรรพกาลมาพบตัวเข้า”

มนุษย์แสงนิ่งไป

เขาพึมพำว่า “ใช่ ลำพังผู้ปกครองโลกบรรพกาลย่อมสังเกตเห็นแผนที่เผ่าพันธุ์ข้าสร้างขึ้นมาแน่ แต่พวกเราไม่รู้ว่าเขาจะพบหวนคืนชาติภพหกวิถีได้อย่างไร”

เทพจินเยี่ยนกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นสำหรับพวกเราถือว่าอันตรายมากหากจะไปที่นั่นสินะ”

ถึงตรงนี้ ความเงียบเข้ามาแทนที่

นี่คือประวัติศาสตร์ที่บันทึกร่วมกันโดยนักรบเผ่าพันธุ์เทพและเผ่าพันธุ์บรรพกาล

แค่วันนี้ ผู้ปกครองโลกบรรพกาลจะถือหอกหลากสีสันเพื่อสังหารราชาเทพเพราะความไม่เข้าใจ

นี่คือความกลัวที่ฝังรากลึกของเทพทุกองค์

ต่อให้ผ่านไปหลายหมื่นปี เทพจินเยี่ยนก็ไม่รู้สึกว่าจะสามารถเผชิญหน้ากับผู้ปกครองโลกบรรพกาลได้

ผ่านไปสักพัก

เทพจินเยี่ยนกล่าวว่า “แต่พวกเรามาที่นี่เพื่อจับตัวคนคนหนึ่ง ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี”

มนุษย์แสงเห็นด้วย “ในกรณีที่เด็กนั่นไปโลกมารอีกครั้ง พวกเรายังต้องการกำลังคนเพื่อโจมตีโลกมารอีก”

เทพจินเยี่ยนกล่าวว่า “หลังจากพวกเราไปแล้วจะต้องอยู่ใกล้แนวหน้าเอาไว้ ซ่อนตัวให้มิดแล้วยืนยันให้ได้ว่าโลกบรรพกาลจะแยกจากสวรรค์เมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยไปรวมกับเทพองค์อื่น”

“ทำไมท่านถึงรีบร้อนเช่นนั้น” มนุษย์แสงถาม

“เด็กคนนั้นมันกลับกลอกเก่งนัก ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีอยู่ลางๆ” เทพจินเยี่ยนกล่าว “ทุกอย่างเหมือนดังที่เจ้ากล่าวก่อนหน้านี้ พวกเราไม่ต้องสนเงามืดของประวัติศาสตร์นี้ พวกเราแค่ต้องร่วมมือกับเทพทุกองค์อย่างสุดกำลังแล้วตามหาเผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

มนุษย์แสงคร่ำครวญออกมา “นี่ท่านอยาก…”

“ใช่ ข้าอยากให้เทพทุกองค์รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ข้าอยากให้พวกเขาสนับสนุนการจับคนคนนั้นในทันที!” เทพจินเยี่ยนกล่าวเสียงดัง

“พวกเราจะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้แหละ” มนุษย์แสงกล่าว

เพียงแค่ขยับ พวกเขาทะยานขึ้นสู่ท้องนภา มุ่งตรงสู่ทิศที่นำไปยังแนวหน้า

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

การต่อสู้ระหว่างสองโลกกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

เสียงของผู้ปกครองโลกบรรพกาลดังก้องไปทั่วสองโลก

“เจ้าพวกโง่เขลา จำบทเรียนครั้งนี้ไว้ให้ดี!”

‘ครืน!’

ปฐพีสั่นไหว

สองโลกเริ่มแยกจากกัน

ตอนนี้เอง ณ สถานที่ซ่อนตัวบริเวณแนวหน้า

เทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงกำลังรออย่างอดทน

เมื่อสัมผัสได้ถึงการจากไปอย่างสมบูรณ์ของโลกบรรพกาลแล้ว พวกเขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกโดยไม่รู้ตัว

ใกล้ถึงเวลาลงมือแล้ว

“ท่านจะทำอย่างไรต่อ” มนุษย์แสงถาม

“ตรงไปยังที่ที่ราชาเทพล่วงลับ ข้าเกรงว่าพวกเราทั้งหมดจะอยู่ที่นั่นแล้ว” เทพจินเยี่ยนกล่าว

“อา ช่วงเวลานี้ การตายของราชาเทพเพิ่งถูกค้นพบ ทุกคนน่าจะรีบไปที่นั่นกัน”

“ถ้าข้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นป่าหยกเย็นเยือกหรือเปล่า”

“ถูกต้อง”

พวกเขาหายไปจากสถานที่ซ่อนตัว

หลังจากผ่านไปหลายสิบอึดใจ

ณ ป่าหยกเย็นเยือก

เทพทุกองค์รวมตัวที่นี่

เทพแห่งความเย็นยะเยือกกองอยู่ในแอ่งโลหิตโดยมีเทพอีกสององค์ช่วยดูแล

ไม่ไกลกันนัก ราชาเทพยังคุกเข่าอยู่กับพื้นดิน ศีรษะหามีไม่

เทพแห่งความเย็นยะเยือกพูดถึงความตายของราชาเทพเป็นพักๆ

“ผู้ปกครองโลกบรรพกาลโทษพวกเราที่นำหวนคืนชาติภพหกวิถีออกมา”

“อย่างที่เจ้าเห็น ผู้ปกครองโลกบรรพกาลฆ่าราชาเทพด้วยหอกของเขา”

เทพองค์หนึ่งอดที่จะถามไม่ได้ว่า “การต่อสู้มันตึงเครียดไม่ใช่หรือ ทำไมพวกเราถึงไม่รู้สึกถึงอะไรเลยล่ะ”

เทพแห่งความเย็นยะเยือกพยายามอ้าปากอย่างยากลำบาก

เขากำลังจะตอบคำถามนี้ แต่แล้วมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากท้องนภา

“ไม่ การต่อสู้ไม่ได้ตึงเครียดขนาดนั้น ผู้ปกครองโลกบรรพกาลเพียงแทงราชาเทพด้วยหอกเท่านั้น ความจริง ลงมือครั้งเดียวน่าจะพอแล้ว แต่เพราะเทพแห่งความเย็นยะเยือกเข้าไปขัดขวาง ผู้ปกครองโลกบรรพกาลจึงต้องสลัดเขาออกไปก่อนจะแทงราชาเทพอีกครั้ง”

เทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงลอยอยู่ตรงนั้น

เทพทุกองค์มองมาที่พวกเขา

สองตัวตนนี้คือสิ่งที่ไม่เคยถูกพบเห็นมาก่อน แต่จากที่ดู พวกเทพรู้สึกถึงบรรยากาศแบบเดียวกันในอีกครา

บรรยากาศเช่นนี้ไม่ใช่ของปลอม

ดังนั้น พวกเทพจึงไม่ลงมือทำอะไรในตอนแรก

“พวกเจ้าเป็นใคร” เทพองค์หนึ่งถาม

เทพจินเยี่ยนกล่าวว่า “ผู้ที่อยู่ข้างข้ามาจากอนาคตในช่วงอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ส่วนข้ามาจากอนาคตในอีกหลายหมื่นปีนับจากนี้”

พวกเทพนิ่งงัน

“ดูท่าข้ายังเข้าใจความลับเรื่องเวลาไม่มากพอสินะ” เทพองค์หนึ่งถามกับตัวเอง

มนุษย์แสงโยนเหรียญขึ้นไปในอากาศ

นั่นคือเหรียญโบราณเก่าคร่ำครึ!

พวกเทพล้วนมองเหรียญนั่น

เป็นเวลานานยิ่งที่พวกเทพเงียบงัน

พลังมิติและเวลาที่ยังหลงเหลืออยู่ห่อหุ้มเหรียญเอาไว้ มันค่อยๆ เด่นชัดขึ้นราวกับมีแก่นสารให้จับต้องได้

“เหรียญนี่เพียงพอที่จะพิสูจน์ตัวตนของพวกข้าควบคู่กับเจตจำนงที่ข้าเก็บรวบรวมมา พวกท่านน่าจะรู้วิธีการสร้างดีอยู่แล้ว” มนุษย์แสงกล่าว

เหล่าเทพมองหน้ากัน

เทพบางองค์เริ่มพยักหน้าเล็กน้อย

ตอนนี้เอง เทพแห่งความเย็นยะเยือกพลันเมินบาดแผลตัวเองแล้วถามว่า “นี่มันไม่ถูกต้อง ทำไมพวกเจ้าปรากฏตัวหลังจากราชาเทพตายไปแล้วล่ะ”

มนุษย์แสงสบตากับเทพจินเยี่ยน

นี่เป็นคำถามที่น่าอายนัก

สหายจากอนาคต

ฟังดูลึกลับและน่าสนใจ แต่ปัญหาคือตรงนั้นนี่แหละ

ทั้งที่มาจากอนาคต ทำไมถึงไม่หยุดการตายของราชาเทพล่ะ

เทพจินเยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “ฟังนะ แม้แต่ข้าก็ไม่มีหนทางที่จะรับมือกับผู้ปกครองโลกบรรพกาล ข้าสามารถทำได้เพียงเลือกปรากฏตัวในช่วงเวลานี้เท่านั้น”

เขาอธิบายต่อว่า “อีกอย่าง ข้าบอกกระบวนการที่ราชาเทพตายให้พวกเจ้าแล้ว นี่มากเกินพอจะพิสูจน์ตัวตนของข้า”

“ไม่ นี่ยังไม่มากพอ” เทพแห่งความเย็นยะเยือกยืนกราน “ความตายของราชาเทพ นอกจากข้าแล้ว ผู้ปกครองโลกบรรพกาลก็รู้กระบวนการทั้งหมด เจ้าอาจจะเป็นคนของเขาก็ได้”

“ข้ายังมีทาง…”

เทพจินเยี่ยนกำลังจะอธิบาย แต่กลับถูกเทพแห่งความเย็นยะเยือกขัดอย่างไม่ไว้หน้า “เว้นแต่เจ้าจะสามารถบอกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากวันนี้และพวกข้าสามารถยืนยันได้ว่ามันถูกต้องเท่านั้นเจ้าถึงจะเชื่อใจได้”

เทพจินเยี่ยนยิ้ม “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

เขาชี้ไปเทพลี่ กล่าวว่า “เทพองค์นั้น หลังจากเทพแห่งความเย็นยะเยือกรักษาบาดแผลเสร็จแล้ว เจ้าพยายามจะสู้กับเขาเพื่อชิงตำแหน่งราชาเทพ แต่ท้ายที่สุดก็พ่าย”

“เหตุผลที่แพ้เพราะเจ้าไม่รู้ว่าเขามีวิชาพิเศษที่พันธนาการเจ้าได้”

“วิชาของเทพแห่งความเย็นยะเยือกคือวิถีน้ำแข็งพิเศษที่เขาเลียนแบบมาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ทรงพลังในยุคโบราณ”

เทพจินเยี่ยนหันศีรษะไปมองเทพแห่งความเย็นยะเยือก “ถ้าข้าพูดไม่ผิด ท่าของเจ้ามีชื่อว่าผนึกแห่งความเงียบงัน เป็นวิถีลี้ลับที่สุดในบรรดาเทพแห่งความเย็นยะเยือก”

เทพแห่งความเย็นยะเยือกเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา น้ำเสียงขาดห้วง “เจ้ารู้ได้ยังไง”

เทพจินเยี่ยนจ้องมองเทพแห่งความเย็นยะเยือกด้วยแววตาเหยียดหยัน

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเก่าแก่จากยุคโบราณ ถึงแม้พวกเขาจะมีกำลัง แต่ก็ดื้อรั้นเกินไป แถมสมองยังไม่ดีอีกด้วย

“ทำไมงั้นหรือ นี่ยังต้องให้ข้าบอกคุณลักษณะพิเศษและจุดอ่อนของผนึกแห่งความเงียบงันเพิ่มหรือเปล่า”

เทพจินเยี่ยนพูดให้ดังมากขึ้นอีกนิด

เทพแห่งความเย็นยะเยือกรีบส่ายหน้าเพื่อห้ามปราม

ในใจของเทพจินเยี่ยนยิ่งมีความดูแคลนเหล่าเทพมากยิ่งขึ้น

แต่เรื่องเก่าแก่พรรค์นี้ก็มักนำมาซึ่งราชาเทพยุคใหม่ เขาต้องการความช่วยเหลือจากเทพแห่งความเย็นยะเยือกเพื่อตามหาเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อ

เมื่อคิดได้ดังนี้ วิญญาณของเทพจินเยี่ยนจึงสงบลงเล็กน้อย

“ข้าบอกแล้วว่าข้ามาจากอนาคต”

………………………………

เสียงการต่อสู้อันดุเดือดดังมาจากไกลๆ เสียงกรีดร้องยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

นั่นคือผู้ปกครองโลกบรรพกาลที่กำลังสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่อยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของสองโลก

ขณะที่ยังมีเวลา กู่ฉิงซานหลับตาลงขณะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันแสนวิเศษภายในร่างกาย

เขาพบว่าเมื่อกลายเป็นเทพหลานเยี่ยน ธาตุทั้งห้าเริ่มเข้าใกล้ตัวเขามากขึ้น

โลกเบื้องหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน กลิ่นอายธาตุทั้งห้าในความว่างเปล่าเหล่านั้นแทบจะอยู่ในระดับที่สามารถมองเห็นได้

สีแดงคือไฟ สีเหลืองคือทอง สีน้ำตาลคือดิน สีเขียวคือไม้ สีน้ำเงินคือน้ำ

ในบรรดาพวกมัน พลังของวิญญาณน้ำยังคงส่งเสียงดังก้องตลอดเวลาราวกับกำลังขยายความคิดของตัวเอง

ความรู้สึกนี้คล้ายกับตอนเชื่อมต่อระหว่างตัวเองกับร้อยดาบบินได้สำเร็จ

“หลานเยี่ยน”

กู่ฉิงซานพึมพำขณะยื่นมือออกไป

หยดน้ำก่อตัวขึ้นเป็นน้ำแข็งในมือ จากนั้นระเบิดออกเป็นแสงสีน้ำเงินเข้ม

มันเริ่มจากตำแหน่งที่กู่ฉิงซานยืนอยู่ น้ำค้างแข็งปกคลุมพื้นดินอย่างรวดเร็วขณะยังคงกระจายออกไปเรื่อยๆ

กู่ฉิงซานตกตะลึง กลายเป็นว่าหลานเยี่ยนคือตัวแทนผู้ควบคุมวิญญาณน้ำ

แต่ว่า แค่ควบคุมวิญญาณน้ำอย่างเดียวหรือ

กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงเรื่องดังกล่าว แต่ฉับพลันนั้นเอง จิตของเขาเคลื่อนไหว

ในตอนนั้น ทั้งร่างของเขาหายไปในอากาศธาตุ กลายเป็นหมอกเย็นกระจายตัวออกไป

ราวกับร่างกายของเขาเกิดจากการรวมตัวของน้ำแข็งก็ไม่ปาน

กู่ฉิงซานก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง

เขายกมือขึ้น

ฝ่ามือสลายกลายเป็นหมอกเย็นละเอียดก่อนจะรวมตัวเป็นมืออย่างรวดเร็ว

…มันไม่ใช่น้ำ

นี่เหมือนกับอีกร่างของน้ำ ความเยือกแข็ง

เทพเป็นตัวตนแบบไหนกัน

ตอนนี้ หน้าต่างระบบเทพสงครามยังคงส่องแสงไปมา

กู่ฉิงซานหยุดคิดขณะมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“ท่านใช้พลังวิญญาณจำนวนหนึ่งล้านแต้มเพื่อเปลี่ยนเป็นงูสองปีกหกขา”

“ท่านสังหารเทพแห่งความเย็นยะเยือก ได้รับพลังวิญญาณแปดแสนแต้ม”

“ท่านใช้พลังวิญญาณเก้าแสนแต้มเพื่อกลายเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก”

หลังจากอ่านข้อความที่แจ้งบนหน้าต่างระบบ กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ระบบ ข้าจำได้ว่าได้รับพลังวิญญาณสามแสนแต้มตอนฆ่างูสองปีกหกขา ทำไมพลังวิญญาณที่ต้องใช้ถึงสูงกว่าตอนกลายเป็นเทพล่ะ”

‘ติ๊ง!’

ระบบตอบกลับมา

“ขอบคุณสำหรับพลังวิญญาณสิบแต้ม คำตอบเป็นดังนี้”

“เพราะงูสองปีกหกขาคือสิ่งมีชีวิตบรรพกาลพิเศษ เป็นสัตว์ร้ายประเภทอาวุธที่ถูกสร้างโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณ มันใช้ร่างกายเพื่อแบกรับความสามารถบางอย่างที่เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณมอบให้”

“ดังนั้นเมื่อท่านกลายเป็นงู ท่านจะเชี่ยวชาญความสามารถที่สืบทอดมาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ในทันที”

“ความสามารถเหล่านี้คือสามความสามารถที่ท่านใช้ตอนสังหารเทพ”

กู่ฉิงซานพอเข้าใจ กล่าวต่อว่า “หรือก็คือ พอข้ากลายเป็นงู นอกจากต้องจ่ายพลังวิญญาณเพื่อเปลี่ยนร่างแล้ว ยังหมายรวมถึงความสามารถที่สืบทอดมาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์พวกนั้นด้วยหรือ”

“ถูกต้อง พลังวิญญาณคือพลังพื้นฐานที่สุด หากไม่มีมัน การผสานอันลี้ลับของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลของท่านจะไม่สามารถสืบทอดพลังได้อย่างสมบูรณ์” ระบบกล่าว

“แล้วถ้าข้ากลายเป็นผู้พิทักษ์ยุคโบราณล่ะ ข้าต้องใช้พลังวิญญาณเพิ่มอีกหรือเปล่า”

“ไม่ ผู้พิทักษ์ยุคโบราณคือร่างคล้ายมนุษย์ผู้มีปัญญา ท่านต้องอัปเกรดสกิลเทพสงครามสองสกิลเพื่อทำความเข้าใจสกิลบรรพกาล ท่านยังสามารถใช้ความสามารถเหล่านั้นได้หลังจากคืนค่าตั้งต้นแล้ว”

“หรือก็คือ งูสองปีกหกขาพิเศษมาก ทำให้สามารถสืบทอดความสามารถเหล่านั้นได้โดยตรงสินะ”

“ถูกต้อง”

“แต่ตอนนี้ข้ารักษาความสามารถเหล่านั้นไม่ได้ใช่หรือเปล่า”

“อย่างที่บอกไป งูเป็นสิ่งพิเศษ มันพึ่งโครงสร้างพิเศษของร่างกายเพื่อใช้พลังอันน้อยนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณเหล่านั้น ท่านใช้สิ่งลี้ลับเพื่อสร้างความสามารถเหล่านั้นขึ้นมา เมื่อท่านไม่ใช่งู เป็นธรรมดาที่ท่านจะไม่สามารถใช้ความสามารถเหล่านั้นได้”

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปอย่างจนใจก่อนกล่าวว่า “ตอนนี้ข้ากลายเป็นเทพแล้ว แต่ไม่มีสกิลเทพเลย”

“นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย หากไม่ใช่ความสามารถของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณที่สืบทอดผ่านสัตว์ประหลาดบรรพกาล ท่านต้องเรียนรู้พลังของเผ่าพันธุ์อื่นผ่านสกิลเทพสงคราม จากนั้นสกิลเหล่านั้นก็จะกลายเป็นของท่าน”

ระบบกล่าวต่อว่า “สรุปแล้ว ท่านเพียงแค่ใช้พลังวิญญาณเก้าแสนแต้มเพื่อเปลี่ยนเป็นเทพและใช้พลังวิญญาณหนึ่งล้านแต้มเพื่อเปลี่ยนเป็นงูสองปีกหกขา”

กู่ฉิงซานปรบมือด้วยความสิ้นหวัง

พลังวิญญาณหนึ่งล้านแต้มหายไปหลังจากใช้ไปเพียงแค่ครั้งเดียว แม้กระทั่งสกิลก็ไม่ได้รับ

หรือก็คือ ตอนเขากลายเป็นงูและเทพ พลังวิญญาณก็เสียไปแล้วทั้งสิ้นหนึ่งล้านเก้าแสนแต้ม

การสังหารเทพทำให้ได้กลับมาเพียงแปดแสนแต้มเท่านั้น

หากทราบเรื่องนี้ก่อน คงดีกว่าที่จะไม่สังหารเทพองค์นี้ แต่เปลี่ยนเป็นรักษาร่างของงูสองปีกหกขาเอาไว้เพื่องมุ่งสู่โลกบรรพกาลเพื่อปะปนอยู่ในนั้น

งูสสองปีกหกขาถูกนับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตบรรพกาลที่มีพละกำลังมากพอสมควร มันสามารถพูดภาษาโบราณได้ พูดจาน่าเชื่อถือและทำสิ่งที่ฉลาดได้ เขาย่อมสามารถใช้มันเพื่อปะปนเข้าสู่โลกบรรพกาลได้

ครั้งนี้เขาเสียไปมาก

ดวงตาของกู่ฉิงซานอดที่จะก้มมองหน้าต่างระบบเทพสงครามไม่ได้

“ค่าพลังวิญญาณที่เหลือ: 1,702,736 / 600”

ยังเหลืออีกมากกว่าหนึ่งล้านเจ็ดแสนแต้ม

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

นับว่าดีที่เขามีโชคตอนอยู่ในโรงเชือด รวมถึงตอนบุกเข้าไปยังแนวหน้าจนสังหารทหารบรรพกาลได้เป็นจำนวนมาก ทำให้เขาประหยัดเงินไปมากโข

ไม่อย่างนั้น เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร

กู่ฉิงซานมองค่าพลังวิญญาณ ความมั่นใจค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นในใจ

ด้วยพลังวิญญาณเหล่านี้ เขายังต้องกลัวอะไรอีก

เขาเดินไปยังศพของเทพน้ำแข็ง นั่งยองลงก่อนวางมือบนคทากลมยาวข้างเกราะที่แตกหัก

ดูท่าเทพแห่งความเย็นยะเยือกจะลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วเตรียมหยิบคทายาวนี้มาโจมตี แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการกวัดแกว่งเบาๆ ของหอกหลากสีสัน

ดูท่านี่จะเป็นอาวุธของเทพแห่งความเย็นยะเยือก เพราะกู่ฉิงซานกลายเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก เขาต้องเรียนรู้สกิล ไม่อย่างนั้นมันก็มีแต่สึกหรอ

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ไอคอนที่เป็นตัวแทนสกิลของเทพสงครามส่องแสงขึ้นมา

“พบไอเท็ม: คทาเยือกแข็ง”

“ท่านไม่สามารถเข้าใจสกิลนักรบเผ่าพันธุ์เทพจากไอเท็มชิ้นนี้ได้”

กู่ฉิงซานสงสัย “ทำไมล่ะ”

“ขอบคุณสำหรับพลังวิญญาณสิบแต้ม เพราะสกิลเทพสงครามของท่านยังไม่อัปเกรด ท่านจึงไม่สามารถเข้าใจสกิลที่ถูกสร้างโดยเทพที่เลียนแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้”

“…”

เสียงการต่อสู้ดังมาจากไกลลิบค่อยๆ เบาลง เสียงของผู้ปกครองโลกบรรพกาลดังก้องไปทุกหนแห่ง

“เจ้าพวกโง่เขลา จำบทเรียนครั้งนี้ไว้ให้ดี!”

‘ครืน!’

ปฐพีสั่นไหว

สองโลกเริ่มแยกจากกัน

เวลามีจำกัด!

กู่ฉิงซานกัดฟัน เขาไม่มีทางเลือกนอกจากกล่าวว่า “ข้าจะใช้พลังวิญญาณหนึ่งล้านแต้มเพื่ออัปเกรดสกิลของเทพสงคราม”

“ได้รับพลังวิญญาณหนึ่งล้านแต้มแล้ว สกิลของเทพสงครามได้รับการอัปเกรด” ระบบกล่าว

“อัปเกรดเสร็จเร็วขนาดนี้เลยหรือ”

“ใช่แล้ว ระบบเตรียมพร้อมทุกเมื่อ”

“แต่ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในระบบเลยล่ะ” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย

ระบบนิ่งไปสักพัก

เขาเห็นไอคอนเทพสงครามบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“เห็นหรือยัง คราวนี้ก็มีไอคอนผุดขึ้นมาแล้ว” ระบบกล่าวด้วยน้ำเสียงเจื่อน

“…เอาเถอะ ข้าอยากเข้าใจสกิลเทพเหล่านั้น!” กู่ฉิงซานกล่าว

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม แถวข้อความขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาทันที

สกิลทั้งหมดของเทพที่ถูกใช้โดยเทพแห่งความเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นมา

น่าเสียดายที่สกิลเหล่านี้มีไม่มาก แต่ละอย่างเป็นประโยชน์มาก กู่ฉิงซานไม่สามารถตัดใจได้สักอัน

เขาจ้องหน้าจอแล้วกล่าวอย่างระแวดระวังว่า “ข้าขอถามอีกครั้ง หลังจากเชี่ยวชาญสกิลเหล่านี้หมดแล้ว ข้าน่าจะสามารถเก็บพวกมันเอาไว้ได้ถูกไหม”

“แน่นอนว่าทำได้ ท่านจะเก็บสกิลเหล่านี้ไว้ได้เสมอ แต่เมื่อท่านเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ การควบคุมธาตุทั้งห้าก็จะไม่แข็งแกร่งเท่าเทพ พลังสกิลของเทพเหล่านี้จะถูกลดทอนไปมาก”

กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ตราบที่สามารถทำให้เชี่ยวชาญได้ เหตุการณ์ตอนที่เจองูก็จะไม่หวนเกิดขึ้นซ้ำอีก

“ทำการใช้พลังวิญญาณ ทำความเข้าใจให้หมด” เขากล่าว

“ท่านแน่ใจหรือ” ระบบถาม

“แน่ใจสิ”

ไม่ช้า

ก็ทำความเข้าใจทุกอย่างได้หมดสิ้น

ครั้งนี้ กู่ฉิงซานกลายเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือกอย่างแท้จริง

แต่เขากลับดูไม่ค่อยมีความสุขมากนัก ออกจะดูเสียใจเล็กน้อยด้วยซ้ำ

นั่นเพราะจำนวนที่แสดงบนหน้าต่างระบบเทพสงครามเข้าใกล้ศูนย์แล้ว

“พลังวิญญาณที่เหลือ: ห้าส่วนหกร้อย”

……………………………….

ป่าหยกเย็นเยือก

กิ่งก้านสูงตระหง่าน

นกสองตัวตกลงมาด้วยอาการสาหัสก่อนห้อยอยู่บนพุ่มไม้เขียวชอุ่ม

กู่ฉิงซานคือหนึ่งในนั้น

เขานอนอยู่ใต้ปีกของนกอีกตัวที่ตกมากระแทกจนถึงแก่ความตาย

กู่ฉิงซานขยับเล็กน้อยก่อนยกนกตัวนั้นออกไป

นกตัวหนึ่งลืมตาอันมืดบอดขึ้นก่อนมองมาที่กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานจ้องมองกลับไป

นกตัวดังกล่าวตกอยู่ในอาการสาหัสมากเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าปัญหาคลี่คลายแล้ว กู่ฉิงซานหลับตาลงก่อนไปนอนข้างต้นไม้โดยแสร้งว่าอาการสาหัส

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน

ใกล้ถึงช่วงเที่ยงเข้าทุกที

มีเสียงอึกทึกครึกโครมจนสะเทือนทั้งป่าดังอยู่ไกลๆ

นั่นคืออีกฝั่งของจุดเชื่อมต่อ ดินแดนทุรกันดารทางตะวันตกของโลกบรรพกาล

เพราะโลกแยกจากกัน แรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงที่เกิดขึ้นตรงนั้นจึงอ่อนกำลังลงไปมากเมื่ออยู่ตรงนี้

แต่สำหรับป่าบนภูเขาแห่งนี้ นี่ยังเป็นผลพวงที่มีพลังทำลายล้างมหาศาลอยู่ดี

หลังจากผ่านไปสักพัก

เสียงหนึ่งในท้องฟ้าดังกึกก้อง “มีกลุ่มคนร้ายที่ไม่น่าไว้วางใจอยู่!”

หัวใจของกู่ฉิงซานแทบกระโจนออกมา

นี่คือภาษาโบราณ

เขากลั้นหายใจ ดวงตาหลับลง มองสถานการณ์ภายนอกด้วยจิตเท่านั้น

โดยไม่มีการกล่าวเตือน แสงอันเจิดจ้าลากเปลวเพลิงยาวเป็นสายก่อนกระแทกที่สุดขอบป่า

‘ตูม!’

หลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

ต้นไม้หลายร้อยต้นถูกพัดโดยคลื่นอากาศที่มองไม่เห็น ป่าบนภูเขาทั้งแถบพังยับเยิน

            กู่ฉิงซานฝืนปล่อยให้พลังพัดตัวออกมา ไม่แม้แต่จะขัดขืนสักนิด เขากลิ้งไปในอากาศตามแรงลมก่อนจะตกลงไปในโคลน

            เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตอนนี้คือช่วงเวลาสงคราม ในฐานะสัตว์ประหลาดชั้นยอด ทันทีที่มีอะไรผิดปกติ มันจะสัมผัสได้ทันที

            กู่ฉิงซานยังหลับตาอยู่ ทำแค่ปล่อยให้จิตไปสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างเงียบงันเท่านั้น

            เขาเห็นแสงหมองหม่นโผล่ออกมาจากหลุมลึก ในเวลาเดียวกัน เสียงอันผึ่งผายแต่แฝงด้วยความไม่เต็มใจก็ดังขึ้น

“ผู้ปกครองโลกบรรพกาลอันสูงศักดิ์ ท่านเข้าใจผิดมหันต์แล้ว”

            ในความว่างเปล่า เสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้น “เข้าใจผิดหรือ”

“ใช่ ในฐานะราชาเทพ ข้ารับรองได้ว่าพวกเราได้ทำสิ่งต่างๆ ตามที่ได้ตกลงกันไว้”

เทพ!

ผู้ที่ถูกอัดจนกองอยู่กับพื้นคือราชาเทพ!

            กู่ฉิงซานตกใจและหวาดกลัว เขาไม่แม้แต่จะกล้าหายใจออกมาแม้แต่น้อย

หรือว่าจะเป็นราชาเทพที่ล่วงลับ

ถ้าแบบนี้ก็สมเหตุสมผล

ไม่สงสัยเลยว่าเทพยังคงนิ่งเฉยเรื่องตัวตนเทพผู้ล่วงลับ ไม่แม้แต่ยอมให้เผ่าพันธุ์ให้มนุษย์สืบสาวเรื่องราวนี้

เสียงในความว่างเปล่าดังก้องขึ้นพร้อมโทสะ “ข้ามาจากอีกฝากหนึ่งของป่า หลีกเลี่ยงพันธมิตรที่เกิดจากเจ้าและเผ่าพันธุ์มนุษย์ ข้าอยากได้ยินคำอธิบายของเจ้ากับหูตัวเอง แต่เจ้ากลับพูดเพียงว่าเข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ เป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าสัญญาว่าข้าสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้” ราชาเทพกล่าว

“เจ้าว่ามา ข้าฟังอยู่”

“เหตุผลที่ทำไมพวกข้าสร้างโลกหลายใบก็เพื่อตรวจสอบและดูว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณนั้นเป็นเช่นไรก่อนตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งเพื่อเข้าสู่ประตูบานนั้น”

มีน้ำเสียงเหยียดหยันดังขึ้นในความว่างเปล่า

“หากเจ้าทำเช่นนี้ เท่ากับเจ้าอยากสอดแนมความลับสุดยอดที่ถูกฝังไว้ในสมัยโบราณใช่หรือไม่” ผู้ปกครองโลกบรรพกาลหัวเราะ

ราชาเทพเค้นเสียงแล้วกล่าวว่า “อย่างน้อยพวกข้าก็กำลังสำรวจเท่านั้น ไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก พวกข้าแค่พยายามจะหาความลับที่อยู่ข้างในเท่านั้น!”

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลเงียบไปสักพักก่อนกล่าวว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่าไม่ได้ละเมิดข้อตกลงระหว่างพวกเราใช่หรือไม่”

“ถูกต้อง” ราชาเทพตอบ

ตอนนี้ เปลวเพลิงตกลงมาจากท้องฟ้าเพื่อมาคุ้มกันอยู่ข้างราชาเทพ

“นายท่าน ข้าจะปกป้องท่านเอง” เปลวเพลิงนั้นกล่าว

“ไม่” ราชาเทพกล่าว “ข้าคิดว่าผู้ปกครองโลกบรรพกาลรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นครั้งนี้เขาจะไม่สู้”

“ใช่” ผู้ปกครองโลกบรรพกาลตอบ “ขอแค่เจ้าไม่ทำอะไรลับหลังอย่างลอบวางแผนทำเรื่องบัดซบ ข้าย่อมไม่สู้อย่างแน่นอน”

            ราชาเทพกล่าวเสียงดังว่า “ฉะนั้นหยุดการรุกรานนี้เถอะ ผู้ปกครองโลกบรรพกาล ท่านทำให้คนของข้ากลัวแล้ว”

            “ขอเพียงท่านกลับสู่ยุคโบราณ ข้ารับปากว่าจะมอบเลือดเนื้อของมนุษย์ให้มากเท่าที่ท่านต้องการ”

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลกล่าวอย่างยินดีว่า “ย่อมได้อยู่แล้ว ขอเพียงเจ้าตอบคำถามข้าอีกข้อเท่านั้น”

“เชิญท่านว่ามา” ราชาเทพกล่าว

            “เจ้าขโมยสิ่งนั้นไปจากห้วงลึกบรรพกาล แต่ข้าจะเชื่อคำพูดของเจ้าเพราะเห็นว่าอยากสร้างโลก ฉะนั้นจะยอมให้สำรวจความลับยุคโบราณก็ได้”

“หากคิดถึงคุณงามความดีที่พวกมนุษย์ทำการสืบพันธุ์และฝึกฝนจนกลายเป็นเนื้อคุณภาพสูง ข้าจะไม่ถือสา”

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลนิ่งไปสักพักก่อนกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “แต่เจ้ากล้าดียังไงที่เอาหวนคืนชาติภพหกวิถีออกมา”

‘อึก!’

เกิดเสียงอู้อี้ในลำคอ

หอกหลากสีสันพลันปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าก่อนแทงใส่ร่างของราชาเทพทันที

‘อ๊าก!’

ราชาเทพส่งเสียงกรีดร้องยาวออกมา มือทั้งสองกุมหอกหลากสีสันเอาไว้ก่อนร้องขอว่า “ไม่ อภัยให้ข้าด้วย”

ในความว่างเปล่า เสียงของผู้ปกครองโลกบรรพกาลยังกล่าวต่อว่า “หวนคืนชาติภพหกวิถีเกินการควบคุมของข้า ถ้าเจ้ากล้าเลียนแบบพลังของมนุษย์เพื่อสร้างมันขึ้นมา นั่นเท่ากับเป็นการท้าทายความยิ่งใหญ่ของข้า”

ราชาเทพคุกเข่าลง ความเจิดจรัสบนร่างกายหายไปสิ้น

หอกหลากสีสันแทงเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เกราะของราชาเทพกลับแตกสลายก่อนกระจายทั่วพื้นดินทันที

ราชาเทพดูคล้ายมนุษย์ขึ้นมา เว้นเพียงเปลวเพลิงสีขาวตรงหว่างคิ้วที่กำลังวูบไหวอย่างรุนแรง

เขากล้ำกลืนความเจ็บปวดแสนสาหัสเอาไว้ก่อนอ้าปากพูดออกมา “ผู้ปกครองโลกบรรพกาล… หวนคืนชาติภพหกวิถีเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา ไร้ซึ่งพลังใดๆ ข้า…ทำเพื่อท่าน”

“ราชาเทพ เจ้าโง่ ทั้งที่เจ้าอยากเล่นงานข้าแต่ไม่กล้าพูดอะไรเลยแท้ๆ กล้าดียังไงถึงมาเคลื่อนย้ายหวนคืนชาติภพหกวิถี เจ้าคงไม่รู้ว่าถึงแม้สิ่งนี้จะยังอ่อนแอมาก แต่มันจะเติบโตขึ้นเองจนท้ายที่สุดกลายเป็นกองกำลังมนุษย์ทรงพลัง ถึงตอนนั้น แม้แต่เจ้าและข้าก็ไม่สามารถควบคุมได้”

            ในความว่างเปล่า ผู้ปกครองโลกบรรพกาลถากถางไม่หยุดปาก “เจ้าสหายที่น่าสงสารเวทนา หากขัดขืนข้าหรือต่อให้เจ้าเหนือกว่านี้อีกสักนิดจนกล้ามาท้าทายข้าซึ่งๆ หน้า เจ้าคงสามารถสู้ได้หลายสิบกระบวนท่าโดยที่ยังไม่พ่าย แบบนั้นข้ายังนับถือเสียกว่า”

            “แต่เจ้ากลับโง่เขลาจนถึงขั้นแสวงหาอำนาจที่อยู่เหนือการควบคุมของตัวเอง”

“ด้วยเหตุนี้ข้าถึงต้องฆ่าเจ้า”

หอกหลากสีสันปล่อยแสงออกมาอย่างรุนแรงก่อนซัดลงไปในร่างของราชาเทพ

“ไม่! หยุดเดี๋ยวนี้!”

เปลวเพลิงที่ทำหน้าที่คุ้มกันราชาเทพตะโกน

มันพุ่งเข้าหาความว่างเปล่า

เขาเห็นหอกถูกดึงออกมาก่อนสะบัดอย่างแผ่วเบา

เปลวเพลิงถูกฟันทันทีก่อนกระแทกกับโคลนจนไถลไปกับพื้นดินหลายร้อยเมตร

เปลวเพลิงหายไปกลายเป็นเพียงเศษเกราะ

นักรบเผ่าพันธุ์เทพปรากฏตัวขึ้น

เขาคล้ายกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นกัน แต่เปลวเพลิงสีครามลุกโชนอยู่หว่างคิ้ว

“บัดซบ”

            เขากระอักโลหิตออกมา ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำได้เพียงมองหอกหลากสีสันทะลวงเข้าสู่ร่างของราชาเทพอีกครั้ง

ราชาเทพยื่นมือออกไปราวกับอยากคว้าหอกเอาไว้อีกครั้ง

แต่นี่เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์

เขาคุกเข่าลงกับพื้นดิน เปลวเพลิงตรงหว่างคิ้วค่อยๆ มอดดับ

ศีรษะของเขาตกลง

หอกถูกดึงออกไป

ราชาเทพล่วงลับแล้ว

เสียงของผู้ปกครองโลกบรรพกาลดังก้องขึ้นในความว่างเปล่า “ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้อารักขาที่จงรักภักดีของเขา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า จงนำสารไปบอกแก่กลุ่มพวกเจ้าด้วย”

“ข้าได้บดขยี้หวนคืนชาติภพหกวิถีแล้ว พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์แตะต้องมันอีก ไม่อย่างนั้นจะมีชะตากรรมเดียวกับราชาเทพ”

“จงให้มนุษย์สืบพันธุ์เพื่อข้าต่อไป เจ้าสามารถเลือกราชาเทพองค์ใหม่ได้”

“ตอนนี้ ข้าจะไปสมรภูมิ ณ จุดที่ทั้งสองโลกเชื่อมกัน”

“หลังจากเลือกนักพรตระดับสูงสองสามคนเพื่อกินได้แล้ว พวกข้าจะถอนกำลังออกไป”

“นับจากนี้ เจ้าต้องจำไว้เป็นบทเรียน จงซื่อตรงเข้าไว้”

ในความว่างเปล่า แรงกดดันน่าอึดอัดค่อยๆ หายไป

ผู้ปกครองโลกบรรพกาลไปแล้ว

            เทพหลานเยี่ยนรออยู่สักพัก

เขาพยายามลุกขึ้นจากพื้นดินจนกระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องน่าขนลุกมาจากไกลๆ

แต่พลังของหอกหลากสีสันรุนแรงจนเทพหลานเยี่ยนสั่นสะท้านสองคราก่อนล้มลงกับพื้นดินอีกครั้ง

เทพหลานเยี่ยนมองศพของราชาเทพด้วยความไม่เต็มใจ

เขาเพียงคลานไปที่หน้าศพของราชาเทพ

การกระทำที่ไม่เต็มใจนี้ส่งผลต่อบาดแผลของเขาอีกครั้ง ทำให้กระอักโลหิตออกมาเป็นจำนวนมากอีกครา

แต่เทพหลานเยี่ยนไม่สน

เขาตรวจสอบร่างของราชาเทพอย่างระมัดระวังและรอบคอบ

ฉับพลันนั้นเอง เขาเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆ ในที่สุดก็ตายแล้ว นับจากนี้ก็ไม่มีใครมาเป็นศัตรูของข้าอีก”

“ข้าคือราชาเทพองค์ต่อไป!”

เขาตรวจสอบร่างกายด้วยการทำสมาธิอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จากนั้นรู้สึกถึงความยินดียิ่ง พวกสิ่งเล็กจ้อยรอบข้างเขาไม่เป็นที่สังเกตเห็นมาพักหนึ่งแล้ว

ขณะเทพหลานเยี่ยนสำรวจร่างของราชาเทพ

ในต้นไม้ใหญ่ที่ห่างจากเขาไปหลายสิบไมล์

นกขนวายุลืมตาขึ้น

วินาทีต่อมา

นกขนวายุหายไป

ฉับพลันนั้นเอง งูสองปีกหกขาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเทพหลานเยี่ยน

นี่ไม่ใช่ตัวที่กู่ฉิงซานเคยเผชิญหน้ามาก่อน แต่มันคืองูสองปีกหกขาที่อยู่ในสภาพไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว

นี่คือสัตว์ประหลาดระดับสูงของเผ่าพันธุ์บรรพกาล

            แม้กระทั่งทั้งสำนักเซียนธารจันทรายังถูกทำลาย มันยังสามารถรักษาลมหายใจในการต่อสู้นับไม่ถ้วนเอาไว้ได้

            ในเวลาสั้นๆ ที่เทพหลานเยี่ยนที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่งว่า “ฮ่าๆ ในที่สุดก็ตายแล้ว นับจากนี้ก็ไม่มีใครมาเป็นศัตรูของข้าอีก”

“ข้าคือราชาเทพองค์ต่อไป!”

หลังจากนั้นเสียงจึงหยุดลงทันที

หนึ่งคือการโจมตีวิญญาณด้วยเสียง ทำให้ผู้คนสับสน

            สองคือการฟาดฟันความว่างเปล่าที่มองไม่เห็น

สามคือการโจมตีเต็มรูปแบบ

เพียงชั่วเวลาประกายไฟ

เสียงร้องต่ำพลันดังขึ้น

ศีรษะของเทพหลานเยี่ยนถูกฟันโดยงูสองปีกหกขาก่อนถูกกัดและเคี้ยวไปหลายคำจนกระทั่งคายออกมา

            เทพหลานเยี่ยนตายแล้ว!

งูสองปีกหกขากลิ้งไปตามพื้นดินก่อนกลายร่างเป็นกู่ฉิงซาน

เขาตบถุงเก็บของทันที มือล้วงหยิบขวดน้ำเต้าก่อนเอามากลั้วคออย่างร้อนรน

            ฉานนู่เมินจิตสังหารที่เขาเพิ่งระงับไปก่อนรีบกล่าวว่า “นายท่าน ไหนบอกว่าพวกเราไม่สามารถทำลายสิ่งที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ได้ล่ะ ทำไมท่านฆ่าเขากัน ท่านควบคุมตัวเองไม่ได้หรือ”

“ก็ไม่เชิง”

            กู่ฉิงซานมองพลังวิญญาณกำลังเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม มองระบบเตือนกับพลังวิญญาณที่เขาต้องการ หลังจากนั้นเขาจึงค่อยผ่อนคลาย

เขากล่าวช้าๆ ว่า “ความจริง เจ้าและข้ารู้ว่าตอนรีบบึ่งไปแนวหน้าเพื่อฆ่าศัตรูด้วยอสนีบาต ข้าก็ถูกเปิดโปงแล้ว”

“ถึงมีเหาก็จะไม่เกา ถึงมีหนี้สินก็ไม่ต้องกังวลหากไม่มีมากจนเกินไป ในเมื่อถูกเปิดโปงแล้ว คงดีกว่าที่จะหาทางสร้างเรื่องราวใหญ่โตอีกหน จากนั้นเปลี่ยนแปลงตัวตนเพื่อซ่อนตัว ทำเช่นนี้ศัตรูก็จะไม่พบตัวแล้ว”

ฉานนู่ประหลาดใจ “นายท่านหมายความว่าอย่างไร”

นางพลันปิดปาก

นางเห็นกู่ฉิงซานยืนอยู่ตรงหน้า เปลวเพลิงสีครามค่อยๆ พวยพุ่งตรงหว่างคิ้ว

ทั่วร่างของเขาค่อยๆ กลายเป็นเทพหลานเยี่ยน

“มีเพียงราชาเทพที่ตายที่นี่ ในฐานะเทพองค์แรกที่มาถึงที่นี่ ข้าจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากผู้ปกครองโลกบรรพกาล”

“ต่อไป ข้าจะถ่ายทอดสารของผู้ปกครองโลกบรรพกาลให้นักรบเผ่าพันธุ์เทพทั้งหมดที่เป็นสหายของเขา”

“ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ ถ้ามีใครบางคนมายุคนี้ ย่อมต้องพบว่าประวัติศาสตร์ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง”

เทพหลานเยี่ยนหลับตาลงแล้วกล่าวเบาๆ ขณะประสบกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

……………………….

ดาบยาวหลายร้อยเมตรลอยอยู่ด้านหลังของเขาอย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานสามารถรู้สึกถึงสภาพ รู้สึกถึงการสั่นไหวและตำแหน่งของดาบแต่ละเล่มได้

ตราบที่จิตเคลื่อนไหว ดาบเหล่านี้จะสังหารศัตรูทุกคนตามที่เขาบัญชา

ดาบเหล่านี้เปรียบเสมือนแขนขาของเขา เหมือนกับการก่อเกิดของจิตก็ไม่ปาน

สองชั่วอายุคนที่ผ่านมา กู่ฉิงซานไม่เคยประสบกับอะไรแบบนี้มาก่อน

ในใจเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา

การพัฒนา

ใช่แล้ว ในภาพซ้อนทับของยุคโบราณนี้ เขาเหนือกว่าภูตดาบในด้านการรับรู้ทั่วไป

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม แถวข้อความขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“การไปถึงระดับเบิกเนตรมิติจะทำให้สามารถควบคุมดาบบินได้ดังใจนึกมากถึงเจ็ดร้อยเล่ม”

“ครั้งต่อไปที่รากฐานการฝึกฝนพัฒนาจะสามารถควบคุมดาบบินได้หนึ่งพันถึงสองพันเล่ม”

“นี่คือการพัฒนาแบบก้าวกระโดด…ในที่สุดท่านก็เป็นอิสระจากพันธนาการนักดาบจนไปถึงสภาพที่จิตกับดาบรวมกันเป็นหนึ่งได้”

“นับจากนี้ไป ท่านจะสามารถใช้ดาบบินได้หลายพันเล่มดังใจนึก ควบคุมดาบด้วยจิตของท่าน สามารถปลดปล่อยวิชาดาบลับนานาชนิดหรือแม้กระทั่งค่ายกลดาบทรงพลังได้”

“นี่คือระดับยอดเซียนดาบ!”

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

นี่คือภาพซ้อนทับอันหนาหนักของยุค เพราะมันเป็นเพียงชิ้นส่วน จึงไม่สามารถส่งผลกับทิศทางสุดท้ายของยุคโบราณได้

แต่ช่วงเวลาเหล่านี้เป็นของจริง

แม้แต่กู่ฉิงซานก็สามารถฝึกฝนที่นี่ได้ ทั้งสั่งสมพลังวิญญาณและพัฒนากำลังของตัวเอง

เหตุผลที่ทำไมชิ้นส่วนจึงเป็นสิ่งสำคัญก็เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณพยายามสุดความสามารถที่จะเปิดโลกคู่ขนานที่สมบูรณ์อีกแห่งขึ้นมา มีชิ้นส่วนไม่กี่ชิ้นที่สามารถสร้างได้

ถึงกระนั้น ความสามารถนี้เกินกว่าความเข้าใจของคนธรรมดา แม้กระทั่งเทพก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้นแม้แต่พวกเขาก็ยังใช้เวลาหลายหมื่นปีเพื่อที่จะเปิดความลับนี้

ความสามารถการสร้างมิติและเวลานี้มาจากที่ใด

กู่ฉิงซานไม่มีเวลาที่จะมาคิด

การเคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วงของดาบบินทำให้สัตว์ประหลาดบรรพกาลสังเกตเห็นทันที

สัตว์ประหลาดหลายสิบตนที่มีหนามยาวต่างดึงหนามออกจากร่างกายก่อนขว้างใส่กู่ฉิงซาน

หนามแหลมคมพุ่งเข้าหากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป

ปีกดาบขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ด้านหลังกระจายออกเป็นเงาดาบบินทันทีก่อนมาปรากฏตัวที่ด้านหน้าในพริบตา

ดาบบินรวมตัวกันจนก่อเกิดเป็นมือยักษ์อันคมปลาบที่ถือประกายดาบเย็นเยือกเอาไว้

กู่ฉิงซานสะบัดมือสบายๆ

มือยักษ์ที่เกิดจากดาบบินสะบัดตาม

‘ตัง ตัง ตัง ตัง ตัง!’

หนามยาวล้วนถูกมือยักษ์พัดขึ้นฟ้าไป

กู่ฉิงซานชำเลืองมองนภา

หนามยาวทั้งหมดหยุดนิ่ง

แสงอสนีบาตสีครามออกมาจากหนามยาว

กู่ฉิงซานหยิบหนามยาวเหล่านี้มาใช้แทนดาบบินก่อนควบคุมพวกมัน!

‘ฟิ่ว’

‘ฟิ่ว’

‘ฟิ่ว’

ลำแสงข้ามผ่านความว่างเปล่า

หนามยาวบินกลับไปยังตำแหน่งของสัตว์ประหลาดบรรพกาลด้วยความเร็วที่มากยิ่งกว่าก่อนทะลวงใส่ร่างของสัตว์ประหลาดจนยึดติดเข้าไว้ด้วยกัน

กู่ฉิงซานไม่รออีกต่อไป

ค่ายกลดาบพร้อมแล้ว

เขาสลับไปใช้วิชาดาบไท่อี่ขณะควบคุมดาบบินทุกเล่มให้แยกออกในฉับพลัน พวกมันจมเข้าสู่ความว่างเปล่าแล้วพุ่งออกไปตามสายลม

ค่ายกลดาบตกลงมาจากท้องนภา

ลมฟ้าคำรามมาเยือน!

มีเสียงคำรามของสายลมดังไม่ขาดสาย

นี่คือเสียงที่เกิดจากดาบบินจำนวนนับไม่ถ้วนที่กักเก็บพลังของวิญญาณอสนีบาตเอาไว้ขณะบินผ่านความว่างเปล่าด้วยความเร็วที่สูงมาก

ความจริง ต่อให้เป็นเช่นนี้ สัตว์ประหลาดบรรพกาลย่อมไม่หวาดกลัว

แต่สถานการณ์มันเกินกว่าที่คาดเอาไว้

สัตว์ประหลาดตัวใดที่ถูกสายลมซัดจะต้องหยุดนิ่งจนไม่สามารถขยับไปไหนได้

หลังจากนั้นไม่นาน ดาบบินในความว่างเปล่าจะปรากฏขึ้นทันทีก่อนโคจรรอบสัตว์ประหลาดแล้วฟาดฟันร่างกายด้วยความเร็วอันสูงลิบ

ท่ามกลางเสียงหึ่งที่เสียดแทงอากาศ สัตว์ประหลาดค่อย ๆ ถูกกลืนกินโดยประกายดาบ

พายุดาบกลายเป็นโลหิต

สายลมยังคงพัดพาต่อไป

สายลมพัดเข้าหากลุ่มสัตว์ประหลาดที่แออัด

หลังผ่านไปห้าอึดใจ

ทุกคนหยุดมือราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา

พื้นที่โล่งขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนสมรภูมิ

สัตว์ประหลาดโบราณในพื้นที่นั้นล้วนถูกลบล้างด้วยค่ายกลดาบ

กู่ฉิงซานดึงวิชาลับกลับ

ค่ายกลดาบสิ้นสุดลงแล้ว

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ข้อมูลการต่อสู้กำลังขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

“ท่านฆ่าครีปเปอร์โบราณ ได้รับพลังวิญญาณห้าหมื่นแต้ม”

“ท่านฆ่าสัตว์ประหลาดหนามบรรพกาล ได้รับพลังวิญญาณเก้าหมื่นแต้ม”

“ท่านฆ่าผู้พิทักษ์บรรพกาล ได้รับพลังวิญญาณหนึ่งแสนแปดหมื่นแต้ม”

ถึงแม้นี่จะเป็นสัตว์ประหลาดระดับทหาร แต่จำนวนที่มากของพวกมันนำมาซึ่งการได้พลังวิญญาณให้แก่กู่ฉิงซาน

นักพรตมนุษย์ส่งเสียงยินดีก่อนบุกขึ้นมา!

“นายท่าน ยินดีด้วยที่พัฒนาสำเร็จ แต่ท่านใช้วิญญาณอสนีบาตที่โลกใบนี้ไม่มีออกไปจนฆ่าทหารบรรพกาลจำนวนมากเพียงชั่วอึดใจ ข้าเกรงว่าสถานการณ์จะอันตรายมากยิ่งขึ้น” ฉานนู่เตือน

“อืม ข้ารู้” กู่ฉิงซานตอบ

ถ้ามีเทพกำลังติดตามเขาอยู่ที่โลกใบนี้ อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่สอบถามเรื่องสงคราม เขาก็จะถูกจับตัวได้อย่างรวดเร็ว

ถึงตอนนั้นก็คงต้องพูดเรื่องความเป็นความตาย

ต่อให้ไม่มีคนแกะรอย แต่หลังจบการต่อสู้ กู่ฉิงซานยังต้องเผชิญหน้ากับเรื่องตัวตนและปัญหาต่างๆ นานา

ในช่วงเวลาการต่อสู้อันตึงเครียด ตราบที่เขายังอยู่กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ย่อมไม่มีใครสนใจที่จะสนทนาเรื่องพลังวิญญาณหรือแม้กระทั่งตัวตน แต่ถ้าสงครามจบลง เทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์ของโลกใบนี้จะต้องสังเกตเห็นเขาแน่นอน

พลังทำลายล้างขนาดนั้นจนถึงขั้นยับยั้งสัตว์ประหลาดบรรพกาลได้ พลังนี้มันคืออะไรกัน

สำหรับกู่ฉิงซาน นี่คือราคาที่ใช้มันออกมา

แต่ต้องบอกว่าหากไม่ใช่เพราะความดื้อรั้นที่อยากเผชิญหน้ากับความเชื่อในใจ กู่ฉิงซานย่อมไม่สามารถใช้มันจนประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้

เขานิ่งไปสักพักขณะมองสถานการณ์ในสมรภูมิอย่างไม่ใส่ใจ

ตอนนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เปรียบ หลายแห่งยังอับจนหนทางจนต้องส่งดาบบินเพื่อปลดปล่อยประกายดาบวิญญาณอสนีบาตจึงสามารถปัดป้องสัตว์ประหลาดบรรพกาลได้

กู่ฉิงซานทะยานขึ้นสูง ทั้งร่างของเขาหลอมรวมกับดาบบินหลายร้อยเล่ม พลังของวิญญาณอสนีบาตส่งเสียงคำรามกึกก้องทั่วสมรภูมิที่ดาบบินผ่าน

สัตว์ประหลาดทั้งหมดที่ถูกเขาฟาดฟันตกอยู่ในสภาพที่เคลื่อนไหวไม่ได้ก่อนถูกพรากชีวิตด้วยดาบยาวที่บินผ่านไป

ชัยชนะเริ่มเอนเอียงไปทางเผ่าพันธุ์มนุษย์

“ลุยกันเถอะ”

กู่ฉิงซานกล่าวกับฉานนู่

เขาพาดาบหลายร้อยเล่มข้ามผ่านสมรภูมิขณะบินตรงไปสู่เส้นทางอันไกลลิบ

นั่นคือจุดหมายปลายทางของเขา

นักพรตมนุษย์ทรงพลังและเทพร่วมแรงกัน ณ จุดเชื่อมต่อของทั้งสองโลกเพื่อต่อต้านผู้ปกครองโลกบรรพกาล

เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ประหลาดที่ทรงพลังมากจนเกินไปเข้าสู่แนวหน้าเพื่อสังหารนักพรตมนุษย์ เทพจึงสั่งห้ามไม่ให้นักพรตทั่วไปข้ามแนวหน้า

เพราะผู้ปกครองโลกบรรพกาลคือตัวตนที่นักพรตธรรมดาไม่สามารถต่อกรได้

จุดเชื่อมต่อนั้นสามารถคุ้มกันได้ด้วยนักพรตมนุษย์ที่แข็งแกร่งและเทพเท่านั้น

ขณะบินไป กู่ฉิงซานนึกถึงพิชัยสงครามที่เขาได้อ่าน

ตามบันทึกที่ได้อ่าน จุดเชื่อมต่อของทั้งสองอาณาจักรในคราวนี้คือดินแดนทุรกันดารทางตะวันตกในโลกบรรพกาลและป่าหยกเย็นเยือกในสวรรค์

สงครามเทพเกิดขึ้นในดินแดนกว้างใหญ่แห่งนั้น

ส่วนสถานที่ที่เทพล่วงลับนั้น…

กู่ฉิงซานยืนยันทิศทางตามลักษณะภูมิประเทศอย่างรวดเร็ว

เขาบินไปยังป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี

ใช่แล้ว นี่คือสถานที่ที่เทพต่อสู้และล่วงลับเพราะสัตว์ประหลาดบรรพกาล ป่าหยกเย็นเยือกในสวรรค์!

กู่ฉิงซานมองป่าบนภูเขา ฉับพลันก็รู้สึกถึงบางสิ่ง

ไม่ใช่

เหล่าวิหคบินอย่างอิสระในป่า

มีสัตว์น้อยใหญ่จำนวนมากในป่าเช่นกัน

ถึงแม้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากในโลกใบนี้จะเห็นพลังวิญญาณและนักพรตที่กำลังต่อสู้กันอยู่ แต่พวกมันก็ไม่มีโอกาสที่จะรอดจากการต่อสู้อันดุเดือดนี้ไปได้

กู่ฉิงซานเรียกดาบบินทุกเล่มที่อยู่ไกลลิบกลับมาก่อนกลายร่างเป็นนกขนวายุแล้วบินตรงสู่ท้องนภา

เขาปะปนไปกับฝูงนกขนวายุเหล่านั้นก่อนบินโฉบ

หลังจากบินมาได้สักพัก ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นในป่า ไม่มีแม้แต่เทพหรือสัตว์ประหลาด

นี่ความจำเขาคลาดเคลื่อนหรือเปล่า

ไม่ ไม่ใช่

เทพล่วงลับในครึ่งหลังของสงคราม ประมาณช่วงใกล้ ๆ เที่ยงวัน

กู่ฉิงซานมองพระอาทิตย์ก่อนพลันได้สติขึ้นมา

เวลายังไม่ถึงช่วงนั้นเลยนี่!

แบบนี้ก็เยี่ยมไปเลย

แต่จะอยู่ในป่าโดยไม่ถูกพบจากเทพและสัตว์ประหลาดได้อย่างไร

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างหนักขณะบิน

‘โฮก!’

ฉับพลันนั้นเอง มีเสียงคำรามสะเทือนโลกดังขึ้น

สัตว์ประหลาดบรรพกาลกำลังมา!

ทันทีที่เสียงดังขึ้น สัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนในป่าต่างหมดสติด้วยความตกตะลึง

วิหคบนท้องนภาส่งเสียงร้องก่อนร่วงลงมา

เมื่อกู่ฉิงซานมองดูสถานการณ์ เขากล่าวอย่างยินดีว่า “แบบนี้สิถึงจะดี!”

เขาส่งเสียงร้องเช่นกันก่อนร่วงลงสู่ป่าพร้อมกับวิหคเหล่านั้น

…………………………

เสียงกลองสั่นสะเทือนไปถึงท้องนภา

เสียงแตรดังก้อง

ลำแสงระยิบระยับแพรวพราวสว่างไสวตรงสุดขอบฟ้า

กู่ฉิงซานกลายเป็นวิหคขณะทะยานไปข้างหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี

เมื่อใดที่ผ่านการต่อสู้อันตึงเครียด ดาบบินจะปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

สะเทือนฝัน!

นี่คือพลังอสนีบาตและเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการยับยั้งสัตว์ประหลาดบรรพกาล

ด้วยการควบคุมเวลาห้าวินาที ไม่ว่านักพรตจะโง่แค่ไหนก็มีหนทางพลิกกลับมาเสมอ

ความจริง วิถีปรมาจารย์เสียงสามารถยับยั้งสัตว์ประหลาดบรรพกาลได้เช่นกัน แต่วิธีการใช้เสียงนั้นช่างคลุมเครือและยุ่งยาก โดยทั่วไปแล้วนักพรตผู้คุ้นเคยกับการฝึกฝนธาตุทั้งห้าก็ไม่สามารถปรับตัวได้

วิถีเสียงวายุ อสนีบาต แสงและความมืดคือหนึ่งในองค์ประกอบพิเศษของธาตุทั้งห้า เป็นพลังจิตเพียงชุดเดียวที่ปรากฏในโลกโบราณ

วิถีอสนีบาตของกู่ฉิงซานเป็นกรณีพิเศษ

เขาบินข้ามท้องนภา ดิ่งลงสู่ส่วนลึกของแนวหน้า กลับคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้งก่อนลงสู่สมรภูมิ

ตอนนี้เขามาอยู่แนวหน้าแล้ว

หากไม่นับกองกำลังเทพและมนุษย์ที่กำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาดบรรพกาลอันทรงพลังแล้ว นี่เป็นแนวต้านสัตว์ประหลาดบรรพกาลจุดแรก

การต่อสู้มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด

สัตว์ประหลาดบรรพกาลทั้งหมดกดดันเข้ามา

เผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังถอยอย่างมั่นคง

นี่ไม่เหมือนกับกองกำลังเนตรปีศาจในตอนแรก

นี่คือการรุกรานอย่างเต็มกำลังของสัตว์ประหลาด!

กู่ฉิงซานไม่ลังเลอีกต่อไปก่อนเข้าร่วมการต่อสู้ทันที

เสียงของฉานนู่ดังขึ้น

“นายท่าน พวกเราต้องรอจนถึงช่วงเวลาที่เทพถูกฆ่าไม่ใช่หรือ”

“ไม่” กู่ฉิงซานกล่าว “ชะตากรรมของเทพถูกกำหนดแล้ว พวกเราช่วงชิงไม่ได้ ไม่อย่างนั้น ในกรณีที่มีใครตามติดมายังภาพซ้อนทับนี้แล้วพบว่าการกระทำของพวกเราไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ตัวตนจะถูกเปิดเผยทันที”

“ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาทำอะไรที่นี่ล่ะ” ฉานนู่ถาม

“มาดูว่าเทพตายได้อย่างไร ข้าฆ่ามาแล้วหลายสิ่งแต่ไม่เคยฆ่าเทพสักครั้ง ข้าต้องสังเกตวิธีการของสัตว์ประหลาดบรรพกาล” กู่ฉิงซานกล่าว

ดาบบินลอยกลับมา

สัตว์ประหลาดบรรพกาลถูกสังหารโดยกลุ่มนักพรต

กู่ฉิงซานลงดาบสุดท้าย

ขณะมองข้อความที่แจ้งว่า “ได้รับพลังวิญญาณหนึ่งแสนแต้ม” ที่หลงเหลือบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม กู่ฉิงซานกล่าวว่า “เราจะสู้ขณะที่รอนี่แหละ”

“ได้ นายท่าน” ฉานนู่ตอบ

ดาบสองเล่ม

กู่ฉิงซานควบคุมดาบสองเล่มเพียงลำพังก่อนเข้าไปในกลุ่มแปลกประหลาด

สัตว์ประหลาดทรงพลังอย่างงูสองปีกหกขาเข้าร่วมศึกของเทพและนักพรตมนุษย์แล้ว

ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ประหลาดบรรพกาลที่มีพละกำลังเทียบเท่าระดับทหารเพื่อใช้จัดการกับนักพรตมนุษย์ที่มีจำนวนมากที่สุดโดยเฉพาะ

การตอบสนองของกู่ฉิงซานไม่ยากจนเกินไป

ด้วยพละกำลังของเขา ทำให้สามารถรับมือการต่อสู้ภายในระยะหลายสิบไมล์ได้และยังสามารถตรวจสอบสถานการณ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อสนับสนุนเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อีกด้วย

ทว่าทั้งแนวหน้ามีความยาวหลายร้อยไมล์ พลังของเขาในสมรภูมิไม่ต่างกับหยดน้ำในมหาสมุทร ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ทั้งหมดได้

‘ตูม!’

เหนือขอบฟ้าไกลลิบ ลำแสงสายหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาก่อนระเบิดตรงจุดตัดของทั้งสองฝ่ายที่กำลังทำสงคราม ส่งผลให้สัตว์ประหลาดและนักพรตถูกสังหารเป็นจำนวนมาก

เดิมกู่ฉิงซานยืนอยู่ตรงนั้น ต้องขอบคุณการตอบสนองอันรวดเร็วของเขาที่ทำให้เปิดใช้วิชาเคลื่อนย้ายเพื่อสลับตำแหน่งกับสัตว์ประหลาดโดยตรงได้ทัน

ถึงแม้เขาจะเอาชีวิตรอดมาได้ แต่จำนวนผู้เสียชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงเพิ่มขึ้นเมื่อสงครามดำเนินต่อไป

กู่ฉิงซานกัดฟัน ยัดยาเม็ดวิญญาณเข้าปากก่อนเรียกใช้งานวิชาดาบอย่างเต็มกำลัง

ดาบสองเล่มลากประกายอสนีบาตสีน้ำเงินสองสาย เคลื่อนไหวไปมาในสมรภูมิ

“เจ้าเป็นใคร!”

นักพรตคนหนึ่งพลันพุ่งเข้าหา กู่ฉิงซานก่อนตะโกนถาม

“ข้าคือศิษย์ของสำนักเซียนธารจันทรา” กู่ฉิงซานตอบเสียงดังเช่นกัน

“โอ้ ก็ว่าเจ้าหน้าดูคุ้นนัก แต่ทำไมถึงไม่สวมเกราะล่ะ”

“เกราะของข้าหายไปน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“มา สวมของข้า นี่คือเกราะประจำตระกูลข้า ตั้งแต่สวมมาก็ไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน”

นักพรตอดที่จะกล่าวเช่นนั้นไม่ได้ เมื่อเขาทุบหน้าอก เกราะทั้งชุดลอกออกจากตัวก่อนรวมตัวเป็นชุดเกราะเต็มรูปแบบที่สวยงามต่อหน้าทั้งสองอัตโนมัติ

กู่ฉิงซานตกตะลึง

เขามองนักพรตก่อนถามว่า “หากข้าสวมชุดนี้ แล้วเจ้าล่ะ”

นักพรตยื่นมือออกไปลูบเกราะ “ข้าไม่เป็นไร ข้าเป็นเพียงผู้ใช้วิชาวิญญาณอัคคี แค่ซ่อนอยู่ด้านหลังแล้วโจมตีก็พอแล้ว”

เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานจะค้านต่อ นักพรตกล่าวว่า “เจ้าน่ะไม่ใช่ ตราบที่มีเกราะ เจ้าสามารถเพิ่มเวลาหายใจให้กับทุกคนได้มากขึ้นด้วยการพุ่งเข้าหาศัตรู เจ้ากล้าสวมเกราะของข้าเพื่อทำเช่นนั้นสักพักหรือไม่ล่ะ”

กู่ฉิงซานตอบว่า “ทำไมจะไม่กล้า!”

นักพรตยิ้มให้เขาก่อนเอามือออกจากเกราะ

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปก่อนแนบกับเกราะโลหะหนักและเย็นเยือกเพื่อถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป

อักขระพลังวิญญาณจำนวนมากส่องแสงบนพื้นผิวของเกราะศึก

‘ตูม!’

เกราะศึกทั้งชุดหายไปทันที มันประกอบเข้ากับตัวเขาทีละชิ้นจนเกิดเป็นชุดเกราะที่สมบูรณ์

เสียงของฉานนู่กล่าวเตือนว่า “นายท่าน ไม่ต้องรีบร้อน จำไม่ได้หรือว่าพวกเราต้องรออยู่ที่นี่เพื่อดูว่าเทพตายได้อย่างไร”

“ข้ารู้ เกือบลืมไปเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาสวมหมวก ยื่นมือออกไปเรียกดาบสองเล่ม เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า “ข้าคือผู้ใช้วิชาดาบ ทุกคนตามข้ามา”

เขาพุ่งเข้าหากลุ่มสัตว์ประหลาดบรรพกาล

ใจกลางเส้นทาง ประกายดาบอสนีบาตแพรวพราวพรูพรั่งจนไม่อาจหยุดยั้ง ทำให้ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้

สัตว์ประหลาดบรรพกาลพลันเผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยอสนีบาตจนไม่สามารถรุดหน้าไปต่อได้ ส่งผลให้ต้องถอยกลับอย่างระวัง

ขวัญกำลังใจของนักพรตมนุษย์เพิ่มขึ้นมาก่อนส่งเสียงตะโกน

“โอ้!”

“ลุยเลย!”

“ฆ่าพวกมัน!”

เผ่าพันธุ์มนุษย์เริ่มทะลวงตำแหน่งของสัตว์ประหลาดบรรพกาล

นี่คือการโต้กลับ!

ดาบสองเล่มของกู่ฉิงซานฟาดฟัน ดาบเล่มหนึ่งไวกว่าอีกเล่ม

ด้วยชุดเกราะที่ทนทานนี้ เขาแค่ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!

นักพรตเผ่าพันธุ์มนุษย์ติดตามเขาราวคลื่นน้ำขณะโจมตีแนวหน้าของสัตว์ประหลาดอย่างบ้าคลั่ง

จำนวนสัตว์ประหลาดที่เสียชีวิตเริ่มเพิ่มขึ้นเพราะเหตุนั้น

ซากศพของสัตว์ประหลาดกองอยู่แทบเท้าของนักพรต

ในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานพลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง มีเสียงคำรามลุกลี้ลุกลนดังขึ้น

นักพรตธาตุทั้งห้าผู้ให้เขายืมเกราะตายแล้ว

ในบรรดาสัตว์ประหลาดโบราณ มีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งขว้างหนามยาวที่ดึงออกจากร่างกายได้อย่างแม่นยำ

นักพรตธาตุทั้งห้าไร้เกราะ จึงถูกหนามยาวทะลวงจนถึงแก่ความตาย

นี่คือสมรภูมิ นี่คือแนวหน้า สถานที่ที่ผู้คนตายสามารถตายได้ทุกที่ทุกเวลา

แต่ว่า

“พวกแก ตาย!” กู่ฉิงซานคำราม

‘ตูม!’

แสงอสนีบาตระเบิดขึ้นราวฟ้าผ่า ฉีกร่างของสัตว์ประหลาดบรรพกาลได้เป็นจำนวนมาก

กู่ฉิงซานไม่มีเวลามาระบายอารมณ์มากไปกว่านี้แล้ว เขาให้ต้องความสนใจเรื่องตัวเองก่อนเพื่อไม่ให้เผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบเดียวกัน

เขาสงบสติตัวเองอีกครั้ง

ทว่า เสียงของนักพรตยังดังก้องในหูของเขา

“เจ้าน่ะไม่ใช่ ตราบที่มีเกราะ เจ้าสามารถเพิ่มเวลาหายใจให้กับทุกคนได้มากขึ้นด้วยการพุ่งเข้าหาศัตรู เจ้ากล้าสวมเกราะของข้าเพื่อทำเช่นนั้นสักพักหรือไม่ล่ะ” เขาถาม

“ทำไมจะไม่กล้า!”

บัดซบ!

ทำไมกัน

เห็นได้ชัดว่าข้าพยายามอย่างหนักแล้ว พยายามอย่างหนักที่จะพัฒนาพลังของตัวเองแล้ว

ทำไมข้ายังไม่สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้อีก

ดวงตาของกู่ฉิงซานแดงก่ำ

เขาเงียบไปสักพัก

นักพรตรอบข้างต่างคิดว่าเขาเหนื่อยล้าจึงรีบมารวมตัวเพื่อคอยคุ้มกันและขัดขวางฝ่ายตรงข้าม

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ใช้วิชาดาบที่จะวิ่งเข้าใส่ ทันทีที่ทำ ทุกคนจะต้องตามติดเพื่อให้การสนับสนุนให้ทันท่วงที

เพราะผู้ใช้วิชาดาบไม่เคยทำให้พวกพ้องผิดหวังจนกว่าตัวจะตาย

“อะไรกัน”

บนสมรภูมิ เสียงร้องโหยหวนยาวอย่างเจ็บปวดของกู่ฉิงซานดังขึ้น

พลังวิญญาณทั่วร่างของเขาพลันสลายก่อนกวาดไปยังด้านหลังของสมรภูมิ

ดาบที่อยู่ข้างซากศพ ดาบที่แน่นิ่งในแอ่งโลหิต ดาบที่สูญหายในสมรภูมิ ดาบที่เสียบอยู่กับสัตว์ประหลาด

ดาบทุกเล่ม

หึ่ง

พวกมันทุกเล่มส่งเสียงหึ่ง

ดาบเล่มแรกเป็นอิสระจากมือของนักพรตที่ตายแล้ว มันบินรอบตัวนักพรตอย่างเงียบงันก่อนพลันทะยานขึ้นในอากาศ หลังจากทะลวงผ่านอาคมชั้นวายุ มันบินมาอยู่ด้านหลังกู่ฉิงซาน

ดาบเล่มที่สองกระเด็นลงไปในแอ่งโลหิต มันส่งเสียงกรีดร้องก่อนบินมาที่ด้านหลังกู่ฉิงซาน

ดาบเล่มที่สามพุ่งออกจากร่างของสัตว์ประหลาดก่อนบินมาอยู่ด้านหลังกู่ฉิงซาน

ดาบเล่มที่สี่…

ดาบยาวทุกเล่มที่ถูกเรียกโดยผู้ใช้วิชาดาบมาอยู่ที่ด้านหลังของกู่ฉิงซานก่อนกลายเป็นปีกดาบสองข้างที่ยังแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ

พวกมันปะทะกันอย่างแผ่วเบาขณะส่งแรงกระเพื่อมแล้วรอคอย

กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ฉานนู่…ขอโทษด้วย ข้ามีหลายวิธีที่จะรู้ว่าเทพตายได้อย่างไร แต่ตอนนี้ข้ายังไปไม่ได้”

ฉานนู่กล่าวว่า “ไม่เป็นไร นายท่าน ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ข้าจะให้การสนับสนุน ข้าเป็นดาบของท่าน”

กู่ฉิงซานพลันเงยศีรษะขึ้นขณะมองกลุ่มสัตว์ประหลาดที่อยู่หน้าภูเขาราวกับทะเล

“เอาล่ะ เลือกใช้ค่ายกลดาบวิญญาณอสนีบาตไท่อี่” เขาพึมพำอย่างแผ่วเบา

สายลมพัดแรงกล้า

ฟ้าร้องอย่างเกรี้ยวกราด

ค่ายกลดาบเริ่มทำงาน

……………………………………

เหลืออีกครึ่งวันก่อนเทพจะถูกสังหาร ราตรีลาลับ ตะวันสีแดงทรงกลมลอยขึ้นช้าๆ สะท้อนแสงเรืองรองหลายพันสาย พวกนกสยายปีกทั่วท้องนภา ส่งเสียงจิ๊บๆ อย่างหดหู่ พวกมันคล้ายกับรู้ว่าสงครามกำลังจะมาเยือน ทำให้หลบหนีขึ้นสู่ท้องนภาอย่างจนใจ จากนั้น เสียงแตรที่หนักและหดหู่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ‘วู วู’ เสียงแตรกระจายไปหลายพันไมล์เพื่อเรียกให้ผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ทั้งหมดที่ยังเหลือรอดไปรวมตัวกันที่แนวหน้าอีกครั้ง ขณะยืนอยู่ในซากเกาะลอยฟ้า กู่ฉิงซานฟังเสียงแตรอย่างเงียบงัน เขาเคยอ่านพิชัยสงครามนี้มาก่อนจนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เมื่อถึงรุ่งสาง เทพจะออกจากตำหนักก่อนมาถึงแนวหน้าเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ เสียงแตรมีความหมายว่าเทพจะรวมตัวกับกองทัพมนุษย์ที่พ่ายแพ้ไปแล้วหนหนึ่งเพื่อเตรียมรับการต่อสู้ขั้นแตกหัก ราวสิบห้านาทีต่อมา สัตว์ประหลาดบรรพกาลวิ่งเข้ามายังจุดรวมพลของกองทัพมนุษย์จำนวนมาก การต่อสู้ขั้นแตกหักได้เริ่มต้นขึ้น นี่เป็นการต่อสู้ในประวัติศาสตร์ที่เทพทุกองค์เข้าร่วม หลังจบการต่อสู้ขั้นแตกหักในครั้งนี้ สัตว์ประหลาดบรรพกาลจะถูกขับไล่ชั่วคราว เทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์จะรอด นี่คือสงครามที่มนุษย์และเทพพยายามอย่างสุดความสามารถจนถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงวิธีรับมืออย่างเงียบงัน ฉับพลันนั้นเอง ฝูงนกที่กำลังบินอยู่นั้นเคลื่อนลงมาจากท้องฟ้า พวกมันลงมายังลานที่พังทลายในซากปรักหักพังก่อนเริ่มพักผ่อน ราวกับว่าเพิ่งประสบกับอาการแตกตื่นและวิตกนานเกินไป พวกมันจึงดื่มน้ำที่สระในลาน หลังจากดื่มน้ำแล้ว พวกมันยังไม่ไปไหนราวกับพึงพอใจที่จะอยู่ที่นี่ ไม่มีเสียงดังกึกก้อง ไม่มีการโจมตีด้วยวิชา ไม่มีปราณและประกายดาบ พวกนกจึงคิดว่าที่นี่ปลอดภัยดี พวกมันพักผ่อนอย่างสงบ กู่ฉิงซานมองนกเหล่านั้นจากไกลๆ นกเหล่านี้มีชื่อว่าขนวายุ เพราะมีความเร็วในการบินสูงที่สุดจนทำให้นกตัวอื่นถูกทิ้งห่าง มันจึงได้รับชื่อนี้มา เป็นเรื่องง่ายมากที่จะพบเห็นนกเหล่านี้ในสวรรค์ เพราะพวกมันผอมเกินไปจึงแทบไม่มีเนื้อ ต่อมในร่างกายจะปลดปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาเมื่อพวกมันตาย ทำให้ไม่มีส่วนใดจากพวกมันที่กินได้ เหตุผลที่มีจำนวนไม่มากก็เพราะภาวะเจริญพันธุ์ของพวกมัน กู่ฉิงซานกำลังคิดเรื่องนกเหล่านี้ แต่ทันใดนั้น เขาเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์แพรวพราวบนขอบฟ้าไกลออกไป ลำแสงเทพ! นี่แสดงให้เห็นว่าสัตว์ประหลาดบรรพกาลเข้าถึงตำแหน่งต่างๆ ก่อนเริ่มต่อสู้กับเทพแล้ว การต่อสู้ขั้นแตกหักได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ! กู่ฉิงซานเม้มริมฝีปาก คิดทบทวนไปมาก่อนเตรียมตัวที่จะออกไป เขาพลันมาปรากฏตัวที่ด้านหลังขนวายุก่อนถอนขนจากก้นของมัน นกตัวนั้นถึงกับผงะ โชคยังดีที่ขนตรงก้นไม่ส่งผลต่อการบิน มันจึงแค่ส่งเสียงกรีดร้องก่อนบินขึ้นสู่ท้องนภาเพื่อหลบหนีอย่างร้อนรน นกตัวอื่นๆ ต่างหวาดกลัวก่อนพากันบินหนี เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ขนวายุอีกตัวบินขึ้นสู่ท้องนภา มันไม่ไล่ตามขนวายุตัวอื่น … กู่ฉิงซานกลายร่างเป็นนกก่อนบินขึ้นสู่ท้องนภาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้การต่อสู้เพิ่งจะเริ่มขึ้น แต่เขาต้องไปถึงพื้นที่ที่ตึงที่สุดในแนวหน้าเพื่อหาสถานที่เหมาะเจาะก่อนรอดูฉากการตายของเทพขณะสู้กันอยู่ หลังจากบินมาหลายสิบอึดใจ กู่ฉิงซานพลันได้ยินเสียงร้องเวทนามาจากปฐพี เขาปล่อยจิตเทพก่อนกวาดมองลงไป สัตว์ประหลาดยักษ์ไร้หนังบนศีรษะจนเหลือแต่กล้ามเนื้อสีแดงเข้มวิ่งเข้าใส่ผู้ฝึกยุทธ์ ลำแสงห้าธาตุระเบิดออกมา ทอง! ไม้! น้ำ! ไฟ! ดิน! ผู้ฝึกยุทธ์ถ่ายพลังทั้งหมดไปยังวิชาธาตุทั้งห้า ทว่า…แม้วิชาจำนวนมากจะโดนสัตว์ประหลาด แต่ก็เพียงทำให้ร่างกายของมันสั่นไหวเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีความรุนแรงแต่อย่างใด วิชาธาตุทั้งห้าระดับนี้ไม่สามารถทำอันตรายได้ สัตว์ประหลาดคว้าผู้ฝึกยุทธ์ห้าธาตุไว้ มันยกมือขึ้นหมายจะโยนอีกฝ่ายเข้าปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคม ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งออกมาจากฝูงชน ถือฆ้องด้วยมือทั้งสองข้างก่อนเคาะอย่างรุนแรง เขาเคาะแล้วท่องบทสวดจำนวนมาก สัตว์ประหลาดคลายมือออก ไม่สามารถจับผู้ฝึกยุทธ์ได้อีกเป็นครั้งที่สอง มันสั่นสะท้านและครวญครางด้วยความเจ็บปวด ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องหลั่งเหงื่อขณะท่องบทสวดต่อไป สัตว์ประหลาดสาวเท้าเข้าหาผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้อง “จังหวะนี้แหละ!” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนตะโกน ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนพุ่งไปข้างหน้าก่อนโจมตีใส่สัตว์ประหลาดด้วยกำลังทั้งหมดที่มี สัตว์ประหลาดพลันอ้าปากออกก่อนแผดเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดใส่ผู้ฝึกยุทธ์จนทำเอาโลกสั่นสะเทือน เสียงคำรามนี้คล้ายกับเปี่ยมด้วยพลัง ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากที่อยู่ใกล้ๆ สั่นสะท้านจนถึงแก่ความตาย ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องตกตะลึงกับเสียงคำรามของสัตว์ประหลาด เขากระอักโลหิตออกมา เขาคุกเข่าลงกับพื้น มือสั่นเทา ไม่สามารถยกขึ้นมาได้ชั่วขณะ เสียงฆ้องหยุดลง เมื่อไม่มีวิถีเสียงมาขัดขวาง สัตว์ประหลาดกลับมามีชีวิตอีกครั้ง มันกระพือปีกเบาๆ ก่อนมาถึงหน้าผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้อง สัตว์ประหลาดกางมือขนาดใหญ่ก่อนคว้าผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องผู้มีใบหน้าสิ้นหวัง ตอนนี้เอง กู่ฉิงซานมาถึงจุดหมายแล้ว เขาผ่านบริเวณพรมแดนก่อนเหาะไปสู่สถานที่ที่การต่อสู้ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น แต่ในช่วงวิกฤตินี้ เขาพลันหายไปจากท้องนภา วินาทีต่อมา เขากลายเป็นชายหนุ่มก่อนตกลงมาที่ด้านหลังของสัตว์ประหลาดอย่างเงียบงัน กู่ฉิงซานชำเลืองมองสัตว์ประหลาด เพียงพริบตา สัตว์ประหลาดหายไปจากจุดนั้นก่อนจะปรากฏตัวขึ้นใหม่ในทันที ‘ปัง!’ แขนข้างหนึ่งของสัตว์ประหลาดถูกฟาดลงกับพื้น สัตว์ประหลาดเงยศีรษะขึ้นก่อนแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ของสัตว์ประหลาด ทุกสิ่งรอบข้างไม่อาจเล็ดลอดการรับรู้ของมันไปได้ แต่มันกลับได้รับบาดเจ็บเพราะไม่เคยเผชิญหน้ากับการโจมตีที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน ตอนนั้นเอง ใครบางคนพลันปรากฏตัวขึ้น คนคนนี้อยู่ด้านหลังซึ่งไม่ไกลกันนัก อีกฝ่ายไม่ได้ลงมือทำอะไร แต่กลายเป็นว่ามันเหยียบย่างเข้าสู่ความมืดเสียแล้ว ก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง แสงเย็นเยือกอันคมปลาบฟันเข้ามาอย่างจัง เมื่อถูกฟันที่ปลายนิ้ว ทำให้มันกลับคืนสู่ความเป็นจริง บัดซบ! นี่มันบ้าอะไรกัน สัตว์ประหลาดที่กำลังคลุ้มคลั่งหันไปมองกู่ฉิงซาน วิชาดาบของกู่ฉิงซานขยับ! ดาบเสียงคลื่นและดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพระเบิดพลังพร้อมกัน อีกฝ่ายงัดดาบคู่ที่เผยประกายดาบอันคมปลาบออกมา ฟาดฟันเข้าใส่คอของกู่ฉิงซาน เมื่อดาบกำลังจะฟาดถึงที่หมาย กู่ฉิงซานกลับหายตัวไป กลายเป็นว่าสัตว์ประหลาดปรากฏตัวในจุดที่ดาบสองเล่มขนาบเข้าโจมตี หนึ่งดาบสะเทือนฝัน! หนึ่งดาบกลืนกินการหวนคืน! สัตว์ประหลาดยืนนิ่ง ไม่อาจป้องกันได้เป็นเวลาห้าวินาที เงาดาบเพลิงทั้งสองบรรจบกันที่คอ ศีรษะถูกตัดอย่างเกลี้ยงเกลา การต่อสู้จบลงแล้ว “นักดาบนิรันดร์ระดับเบิกเนตรนิมิต!” ใครบางคนตะโกน หากไปถึงระดับเบิกเนตรนิมิตได้ คนผู้นั้นย่อมเป็นกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง ยิ่งเป็นนักดาบนิรันดร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จะสามารถสังหารสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่งได้ ทุกคนต่างแสดงความยินดี กู่ฉิงซานหันไปมองทุกคน เห็นทั้งคนที่ได้รับบาดเจ็บ เห็นทั้งคนที่ตาย ตอนนี้มีเสียงคำรามดังขึ้นไกลออกไป ปฐพีเริ่มสั่นสะเทือน สัตว์ประหลาดยักษ์กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ กู่ฉิงซานกล่าวกับทุกคนทันทีว่า “ที่นี่ให้ข้าจัดการเอง สภาพของพวกเจ้าไม่พร้อมที่จะสู้อีกแล้ว ออกไปจากแนวหน้าเดี๋ยวนี้ ไปหาที่รักษาตัวแล้วเตรียมพร้อมให้ดีด้วย!” “ขอรับ!” เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ขานรับ พวกเขาหาทางถอยกลับไปหาเผ่าพันธุ์มนุษย์พร้อมกับสหายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องเดินกะเผลกผ่านมาก่อนยกมือขึ้นประสาน “ขอบคุณที่ให้การช่วยเหลือ” “ไม่เป็นไร รีบไปเสีย ข้ายื้อไว้ได้ไม่นาน” กู่ฉิงซานเร่ง เขาได้กลิ่นเหม็นลอยมาตามลม นั่นคือกลิ่นของซากศพในปากของสัตว์ประหลาดโบราณ ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องมอบยันต์ให้กับมือของกู่ฉิงซานก่อนกล่าวว่า “เจ้ารับสิ่งนี้ไว้ ข้าเตรียมจะใช้เมื่อครู่ แต่หลังจากใช้งานแล้วก็คงถ่วงเวลาได้สักพักเท่านั้น จุดจบก็ยังเป็นความตายอยู่ดี แต่โชคดีที่มีเจ้าอยู่ที่นี่” กู่ฉิงซานมองยันต์ในมือ ทันใดนั้นมีข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม “ไอเท็ม: ยันต์เสียงและชีพ” “ไอเท็มพิเศษที่ใช้งานได้เพียงครั้งเดียว” “เมื่อใช้ไอเท็มนี้จะสร้างเสียงกระแทกขนาดใหญ่ขึ้นมาในทันทีเพื่อทำลายวิญญาณของศัตรู” กู่ฉิงซานเก็บยันต์ไว้แล้วกล่าวว่า “เจ้านี่เป็นประโยชน์นัก ข้าขอรับไว้ ขอบคุณมาก” ผู้ฝึกยุทธ์พยักหน้าให้กู่ฉิงซานเล็กน้อยก่อนหันหลังแล้วจากไป เมื่อรอจนกระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดอพยพออกไปหมดแล้ว กู่ฉิงซานจึงถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงัน “ฉานนู่ ข้าล้มเหลวมากเกินไปหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่ควรสนใจคนพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเราควรตรงไปสถานที่ที่วิกฤติที่สุดของแนวหน้า ผลที่ได้ ข้าจำใจต้องหยุดแวะ ข้าเสียเวลากับที่นี่มากเกินไปแล้ว” เขากล่าว เดิมเขาตั้งใจจะบุกไปสถานที่ที่วิกฤติที่สุดของแนวหน้า กลายเป็นตัวตนไม่เด่นชัด คอยซุ่มซ่อนเพื่อรอช่วงเวลาที่เทพล้มลงอย่างเงียบงัน  คาดไม่ถึง ครึ่งทางผ่านไป เขาอดที่จะช่วยกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้ เสียงอ่อนโยนของฉานนู่ที่มาจากดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพกล่าวว่า “ท่านไม่ได้ล้มเหลวหรอก เพราะท่านทำเช่นนี้ถึงทำให้ยังเป็นตัวท่านอย่างไรกันล่ะ” กู่ฉิงซานหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดเกินไปแล้ว” ขณะพูด มือของเขายังขยับไม่หยุด ร่างของสัตว์ประหลาดถูกเขาเก็บไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าสัตว์ประหลาดบรรพกาลตัวนี้เป็นสัตว์ประหลาดระดับทหารเช่นกัน สัตว์ประหลาดค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับงูสองปีกหกขาที่กู่ฉิงซานเจอมาก่อนหน้านี้แล้วยังถือว่าห่างชั้นกันมากนัก สัตว์ประหลาดระดับทหารเช่นนี้ เมื่อมาอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน หากจุดอ่อนถูกเผยออกมา เมื่อนั้นก็คือช่วงเวลาที่จุดจบมาเยือน ถึงแม้เนตรสัจจะฟาดฟันวิญญาณจะอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ก็สามารถดึงศัตรูเข้าสู่โลกชั่วคราวที่สร้างขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนถูกฟาดฟันด้วยดาบวิญญาณที่หลอมรวมขึ้นจากวิญญาณเข้าใส่ได้ ปัจจุบัน โลกนี้ที่สร้างจากความว่างเปล่าคงอยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ดาบวิญญาณจึงสามารถฟันได้เพียงหนึ่งครั้ง แต่เมื่อใช้การลอบโจมตีควบคู่กับวิถีอสนีบาตมายาอันทรงพลัง กู่ฉิงซานจึงสามารถหาจุดอ่อนของศัตรูได้เป็นจำนวนมาก ในฐานะผู้ใช้วิชาดาบ กู่ฉิงซานมีทางเลือกในการต่อสู้มากมาย เสียงคำรามของสัตว์ประหลาดลอยมาตามสายลม พวกมันกำลังใกล้เข้ามา กู่ฉิงซานไม่ปล่อยให้เวลาเลยผ่านอีกต่อไป เขาเริ่มย่อตัวลงกับพื้นดิน ออกจากตำแหน่งนี้ไปในทันทีก่อนไปปรากฏตัวอีกที่ซึ่งห่างออกไปหลายสิบไมล์ เขากลายเป็นขนวายุก่อนพุ่งขึ้นท้องนภาอีกครั้ง แนวหน้าอยู่ไม่ไกลแล้ว! …………………………………

เหลืออีกครึ่งวันก่อนเทพจะถูกสังหาร

ราตรีลาลับ

ตะวันสีแดงทรงกลมลอยขึ้นช้าๆ สะท้อนแสงเรืองรองหลายพันสาย

พวกนกสยายปีกทั่วท้องนภา ส่งเสียงจิ๊บๆ อย่างหดหู่

พวกมันคล้ายกับรู้ว่าสงครามกำลังจะมาเยือน ทำให้หลบหนีขึ้นสู่ท้องนภาอย่างจนใจ

จากนั้น เสียงแตรที่หนักและหดหู่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

‘วู วู’

เสียงแตรกระจายไปหลายพันไมล์เพื่อเรียกให้ผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ทั้งหมดที่ยังเหลือรอดไปรวมตัวกันที่แนวหน้าอีกครั้ง

ขณะยืนอยู่ในซากเกาะลอยฟ้า กู่ฉิงซานฟังเสียงแตรอย่างเงียบงัน

เขาเคยอ่านพิชัยสงครามนี้มาก่อนจนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

เมื่อถึงรุ่งสาง เทพจะออกจากตำหนักก่อนมาถึงแนวหน้าเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้

เสียงแตรมีความหมายว่าเทพจะรวมตัวกับกองทัพมนุษย์ที่พ่ายแพ้ไปแล้วหนหนึ่งเพื่อเตรียมรับการต่อสู้ขั้นแตกหัก

ราวสิบห้านาทีต่อมา สัตว์ประหลาดบรรพกาลวิ่งเข้ามายังจุดรวมพลของกองทัพมนุษย์จำนวนมาก

การต่อสู้ขั้นแตกหักได้เริ่มต้นขึ้น

นี่เป็นการต่อสู้ในประวัติศาสตร์ที่เทพทุกองค์เข้าร่วม

หลังจบการต่อสู้ขั้นแตกหักในครั้งนี้ สัตว์ประหลาดบรรพกาลจะถูกขับไล่ชั่วคราว เทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์จะรอด

นี่คือสงครามที่มนุษย์และเทพพยายามอย่างสุดความสามารถจนถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์

กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงวิธีรับมืออย่างเงียบงัน

ฉับพลันนั้นเอง ฝูงนกที่กำลังบินอยู่นั้นเคลื่อนลงมาจากท้องฟ้า

พวกมันลงมายังลานที่พังทลายในซากปรักหักพังก่อนเริ่มพักผ่อน

ราวกับว่าเพิ่งประสบกับอาการแตกตื่นและวิตกนานเกินไป พวกมันจึงดื่มน้ำที่สระในลาน

หลังจากดื่มน้ำแล้ว พวกมันยังไม่ไปไหนราวกับพึงพอใจที่จะอยู่ที่นี่

ไม่มีเสียงดังกึกก้อง ไม่มีการโจมตีด้วยวิชา ไม่มีปราณและประกายดาบ พวกนกจึงคิดว่าที่นี่ปลอดภัยดี

พวกมันพักผ่อนอย่างสงบ

กู่ฉิงซานมองนกเหล่านั้นจากไกลๆ

นกเหล่านี้มีชื่อว่าขนวายุ

เพราะมีความเร็วในการบินสูงที่สุดจนทำให้นกตัวอื่นถูกทิ้งห่าง มันจึงได้รับชื่อนี้มา

เป็นเรื่องง่ายมากที่จะพบเห็นนกเหล่านี้ในสวรรค์ เพราะพวกมันผอมเกินไปจึงแทบไม่มีเนื้อ ต่อมในร่างกายจะปลดปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาเมื่อพวกมันตาย ทำให้ไม่มีส่วนใดจากพวกมันที่กินได้

เหตุผลที่มีจำนวนไม่มากก็เพราะภาวะเจริญพันธุ์ของพวกมัน

กู่ฉิงซานกำลังคิดเรื่องนกเหล่านี้ แต่ทันใดนั้น เขาเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์แพรวพราวบนขอบฟ้าไกลออกไป

ลำแสงเทพ!

นี่แสดงให้เห็นว่าสัตว์ประหลาดบรรพกาลเข้าถึงตำแหน่งต่างๆ ก่อนเริ่มต่อสู้กับเทพแล้ว

การต่อสู้ขั้นแตกหักได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!

กู่ฉิงซานเม้มริมฝีปาก คิดทบทวนไปมาก่อนเตรียมตัวที่จะออกไป

เขาพลันมาปรากฏตัวที่ด้านหลังขนวายุก่อนถอนขนจากก้นของมัน

นกตัวนั้นถึงกับผงะ

โชคยังดีที่ขนตรงก้นไม่ส่งผลต่อการบิน มันจึงแค่ส่งเสียงกรีดร้องก่อนบินขึ้นสู่ท้องนภาเพื่อหลบหนีอย่างร้อนรน

นกตัวอื่นๆ ต่างหวาดกลัวก่อนพากันบินหนี

เพียงช่วงเวลาสั้นๆ

ขนวายุอีกตัวบินขึ้นสู่ท้องนภา

มันไม่ไล่ตามขนวายุตัวอื่น

กู่ฉิงซานกลายร่างเป็นนกก่อนบินขึ้นสู่ท้องนภาอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้การต่อสู้เพิ่งจะเริ่มขึ้น แต่เขาต้องไปถึงพื้นที่ที่ตึงที่สุดในแนวหน้าเพื่อหาสถานที่เหมาะเจาะก่อนรอดูฉากการตายของเทพขณะสู้กันอยู่

หลังจากบินมาหลายสิบอึดใจ กู่ฉิงซานพลันได้ยินเสียงร้องเวทนามาจากปฐพี

เขาปล่อยจิตเทพก่อนกวาดมองลงไป

สัตว์ประหลาดยักษ์ไร้หนังบนศีรษะจนเหลือแต่กล้ามเนื้อสีแดงเข้มวิ่งเข้าใส่ผู้ฝึกยุทธ์

ลำแสงห้าธาตุระเบิดออกมา

ทอง! ไม้! น้ำ! ไฟ! ดิน!

ผู้ฝึกยุทธ์ถ่ายพลังทั้งหมดไปยังวิชาธาตุทั้งห้า

ทว่า…แม้วิชาจำนวนมากจะโดนสัตว์ประหลาด แต่ก็เพียงทำให้ร่างกายของมันสั่นไหวเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีความรุนแรงแต่อย่างใด

วิชาธาตุทั้งห้าระดับนี้ไม่สามารถทำอันตรายได้

สัตว์ประหลาดคว้าผู้ฝึกยุทธ์ห้าธาตุไว้ มันยกมือขึ้นหมายจะโยนอีกฝ่ายเข้าปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคม

ในเวลาเดียวกันนั้น

ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งออกมาจากฝูงชน ถือฆ้องด้วยมือทั้งสองข้างก่อนเคาะอย่างรุนแรง

เขาเคาะแล้วท่องบทสวดจำนวนมาก

สัตว์ประหลาดคลายมือออก ไม่สามารถจับผู้ฝึกยุทธ์ได้อีกเป็นครั้งที่สอง

มันสั่นสะท้านและครวญครางด้วยความเจ็บปวด

ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องหลั่งเหงื่อขณะท่องบทสวดต่อไป

สัตว์ประหลาดสาวเท้าเข้าหาผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้อง

“จังหวะนี้แหละ!”

ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนตะโกน

ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนพุ่งไปข้างหน้าก่อนโจมตีใส่สัตว์ประหลาดด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

สัตว์ประหลาดพลันอ้าปากออกก่อนแผดเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดใส่ผู้ฝึกยุทธ์จนทำเอาโลกสั่นสะเทือน เสียงคำรามนี้คล้ายกับเปี่ยมด้วยพลัง ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากที่อยู่ใกล้ๆ สั่นสะท้านจนถึงแก่ความตาย

ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องตกตะลึงกับเสียงคำรามของสัตว์ประหลาด เขากระอักโลหิตออกมา

เขาคุกเข่าลงกับพื้น มือสั่นเทา ไม่สามารถยกขึ้นมาได้ชั่วขณะ

เสียงฆ้องหยุดลง

เมื่อไม่มีวิถีเสียงมาขัดขวาง สัตว์ประหลาดกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

มันกระพือปีกเบาๆ ก่อนมาถึงหน้าผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้อง

สัตว์ประหลาดกางมือขนาดใหญ่ก่อนคว้าผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องผู้มีใบหน้าสิ้นหวัง

ตอนนี้เอง กู่ฉิงซานมาถึงจุดหมายแล้ว

เขาผ่านบริเวณพรมแดนก่อนเหาะไปสู่สถานที่ที่การต่อสู้ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น

แต่ในช่วงวิกฤตินี้ เขาพลันหายไปจากท้องนภา

วินาทีต่อมา เขากลายเป็นชายหนุ่มก่อนตกลงมาที่ด้านหลังของสัตว์ประหลาดอย่างเงียบงัน

กู่ฉิงซานชำเลืองมองสัตว์ประหลาด

เพียงพริบตา สัตว์ประหลาดหายไปจากจุดนั้นก่อนจะปรากฏตัวขึ้นใหม่ในทันที

‘ปัง!’

แขนข้างหนึ่งของสัตว์ประหลาดถูกฟาดลงกับพื้น

สัตว์ประหลาดเงยศีรษะขึ้นก่อนแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา

ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ของสัตว์ประหลาด ทุกสิ่งรอบข้างไม่อาจเล็ดลอดการรับรู้ของมันไปได้ แต่มันกลับได้รับบาดเจ็บเพราะไม่เคยเผชิญหน้ากับการโจมตีที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน

ตอนนั้นเอง ใครบางคนพลันปรากฏตัวขึ้น

คนคนนี้อยู่ด้านหลังซึ่งไม่ไกลกันนัก อีกฝ่ายไม่ได้ลงมือทำอะไร

แต่กลายเป็นว่ามันเหยียบย่างเข้าสู่ความมืดเสียแล้ว

ก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง แสงเย็นเยือกอันคมปลาบฟันเข้ามาอย่างจัง

เมื่อถูกฟันที่ปลายนิ้ว ทำให้มันกลับคืนสู่ความเป็นจริง

บัดซบ!

นี่มันบ้าอะไรกัน

สัตว์ประหลาดที่กำลังคลุ้มคลั่งหันไปมองกู่ฉิงซาน

วิชาดาบของกู่ฉิงซานขยับ!

ดาบเสียงคลื่นและดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพระเบิดพลังพร้อมกัน

อีกฝ่ายงัดดาบคู่ที่เผยประกายดาบอันคมปลาบออกมา ฟาดฟันเข้าใส่คอของกู่ฉิงซาน

เมื่อดาบกำลังจะฟาดถึงที่หมาย กู่ฉิงซานกลับหายตัวไป

กลายเป็นว่าสัตว์ประหลาดปรากฏตัวในจุดที่ดาบสองเล่มขนาบเข้าโจมตี

หนึ่งดาบสะเทือนฝัน! หนึ่งดาบกลืนกินการหวนคืน!

สัตว์ประหลาดยืนนิ่ง ไม่อาจป้องกันได้เป็นเวลาห้าวินาที

เงาดาบเพลิงทั้งสองบรรจบกันที่คอ ศีรษะถูกตัดอย่างเกลี้ยงเกลา

การต่อสู้จบลงแล้ว

“นักดาบนิรันดร์ระดับเบิกเนตรนิมิต!” ใครบางคนตะโกน

หากไปถึงระดับเบิกเนตรนิมิตได้ คนผู้นั้นย่อมเป็นกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง ยิ่งเป็นนักดาบนิรันดร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จะสามารถสังหารสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่งได้

ทุกคนต่างแสดงความยินดี

กู่ฉิงซานหันไปมองทุกคน เห็นทั้งคนที่ได้รับบาดเจ็บ เห็นทั้งคนที่ตาย

ตอนนี้มีเสียงคำรามดังขึ้นไกลออกไป

ปฐพีเริ่มสั่นสะเทือน

สัตว์ประหลาดยักษ์กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้

กู่ฉิงซานกล่าวกับทุกคนทันทีว่า “ที่นี่ให้ข้าจัดการเอง สภาพของพวกเจ้าไม่พร้อมที่จะสู้อีกแล้ว ออกไปจากแนวหน้าเดี๋ยวนี้ ไปหาที่รักษาตัวแล้วเตรียมพร้อมให้ดีด้วย!”

“ขอรับ!”

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ขานรับ

พวกเขาหาทางถอยกลับไปหาเผ่าพันธุ์มนุษย์พร้อมกับสหายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องเดินกะเผลกผ่านมาก่อนยกมือขึ้นประสาน “ขอบคุณที่ให้การช่วยเหลือ”

“ไม่เป็นไร รีบไปเสีย ข้ายื้อไว้ได้ไม่นาน”

กู่ฉิงซานเร่ง

เขาได้กลิ่นเหม็นลอยมาตามลม

นั่นคือกลิ่นของซากศพในปากของสัตว์ประหลาดโบราณ

ผู้ฝึกยุทธ์ถือฆ้องมอบยันต์ให้กับมือของกู่ฉิงซานก่อนกล่าวว่า “เจ้ารับสิ่งนี้ไว้ ข้าเตรียมจะใช้เมื่อครู่ แต่หลังจากใช้งานแล้วก็คงถ่วงเวลาได้สักพักเท่านั้น จุดจบก็ยังเป็นความตายอยู่ดี แต่โชคดีที่มีเจ้าอยู่ที่นี่”

กู่ฉิงซานมองยันต์ในมือ ทันใดนั้นมีข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“ไอเท็ม: ยันต์เสียงและชีพ”

“ไอเท็มพิเศษที่ใช้งานได้เพียงครั้งเดียว”

“เมื่อใช้ไอเท็มนี้จะสร้างเสียงกระแทกขนาดใหญ่ขึ้นมาในทันทีเพื่อทำลายวิญญาณของศัตรู”

กู่ฉิงซานเก็บยันต์ไว้แล้วกล่าวว่า “เจ้านี่เป็นประโยชน์นัก ข้าขอรับไว้ ขอบคุณมาก”

ผู้ฝึกยุทธ์พยักหน้าให้กู่ฉิงซานเล็กน้อยก่อนหันหลังแล้วจากไป

เมื่อรอจนกระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดอพยพออกไปหมดแล้ว

กู่ฉิงซานจึงถอนหายใจออกมาอย่างเงียบงัน

“ฉานนู่ ข้าล้มเหลวมากเกินไปหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่ควรสนใจคนพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเราควรตรงไปสถานที่ที่วิกฤติที่สุดของแนวหน้า ผลที่ได้ ข้าจำใจต้องหยุดแวะ ข้าเสียเวลากับที่นี่มากเกินไปแล้ว” เขากล่าว

เดิมเขาตั้งใจจะบุกไปสถานที่ที่วิกฤติที่สุดของแนวหน้า กลายเป็นตัวตนไม่เด่นชัด คอยซุ่มซ่อนเพื่อรอช่วงเวลาที่เทพล้มลงอย่างเงียบงัน

 คาดไม่ถึง ครึ่งทางผ่านไป เขาอดที่จะช่วยกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้

เสียงอ่อนโยนของฉานนู่ที่มาจากดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพกล่าวว่า “ท่านไม่ได้ล้มเหลวหรอก เพราะท่านทำเช่นนี้ถึงทำให้ยังเป็นตัวท่านอย่างไรกันล่ะ”

กู่ฉิงซานหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดเกินไปแล้ว”

ขณะพูด มือของเขายังขยับไม่หยุด

ร่างของสัตว์ประหลาดถูกเขาเก็บไปอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดว่าสัตว์ประหลาดบรรพกาลตัวนี้เป็นสัตว์ประหลาดระดับทหารเช่นกัน

สัตว์ประหลาดค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับงูสองปีกหกขาที่กู่ฉิงซานเจอมาก่อนหน้านี้แล้วยังถือว่าห่างชั้นกันมากนัก

สัตว์ประหลาดระดับทหารเช่นนี้ เมื่อมาอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน หากจุดอ่อนถูกเผยออกมา เมื่อนั้นก็คือช่วงเวลาที่จุดจบมาเยือน

ถึงแม้เนตรสัจจะฟาดฟันวิญญาณจะอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ก็สามารถดึงศัตรูเข้าสู่โลกชั่วคราวที่สร้างขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนถูกฟาดฟันด้วยดาบวิญญาณที่หลอมรวมขึ้นจากวิญญาณเข้าใส่ได้

ปัจจุบัน โลกนี้ที่สร้างจากความว่างเปล่าคงอยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ดาบวิญญาณจึงสามารถฟันได้เพียงหนึ่งครั้ง

แต่เมื่อใช้การลอบโจมตีควบคู่กับวิถีอสนีบาตมายาอันทรงพลัง กู่ฉิงซานจึงสามารถหาจุดอ่อนของศัตรูได้เป็นจำนวนมาก

ในฐานะผู้ใช้วิชาดาบ กู่ฉิงซานมีทางเลือกในการต่อสู้มากมาย

เสียงคำรามของสัตว์ประหลาดลอยมาตามสายลม

พวกมันกำลังใกล้เข้ามา

กู่ฉิงซานไม่ปล่อยให้เวลาเลยผ่านอีกต่อไป เขาเริ่มย่อตัวลงกับพื้นดิน ออกจากตำแหน่งนี้ไปในทันทีก่อนไปปรากฏตัวอีกที่ซึ่งห่างออกไปหลายสิบไมล์

เขากลายเป็นขนวายุก่อนพุ่งขึ้นท้องนภาอีกครั้ง

แนวหน้าอยู่ไม่ไกลแล้ว!

…………………………………

สายลมยามค่ำพัดหวีดหวิว จันทราลอยอยู่เหนือห้วงลึกอวกาศอันเดียวดาย แสงเย็นเยือกเปล่งประกายไม่มีสิ้นสุด สาดส่องสู่ปฐพีอันรกร้าง วัยรุ่นคนหนึ่งเดินอยู่เพียงลำพังท่ามกลางซากปรักหักพัง ซากปรักหักพังแห่งนี้ไม่ใช่เมืองที่ถูกทำลาย แต่มันคือเกาะลอยฟ้าที่ตกลงมาจากท้องนภาก่อนกระแทกกับพื้นดิน ตอนนี้เกาะลอยฟ้าทั้งผืนไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ เว้นเพียงวัยรุ่นนามกู่ฉิงซานที่เพิ่งกลายร่าง เขาสำรวจซากปรักหักพังมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ทว่ายังไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ เขาจำเป็นต้องรู้ช่วงเวลา ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เวลาคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด มันสามารถย้ำเตือนได้ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญเคยเกิดขึ้นในช่วงเส้นเวลานี้ กู่ฉิงซานประสบกับการหลบหนีออกจากตำหนักสวรรค์ หลังจากฝึกปรือมาหลายปี ทั้งวิชาทำลายล้างสวรรค์และวิชาเศษเสี้ยวภาพซ้อนทับแห่งเวลา ทำให้เขาสร้างประวัติศาสตร์มากมายขึ้นมาได้ สิ่งเหล่านั้นคือส่วนสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ แต่เขาค้นหามานานแล้วแต่ยังไม่ได้ข้อมูลที่บ่งบอกว่านี่คือช่วงเวลาใดในยุคโบราณ ผ่านไปสักพัก กู่ฉิงซานหยุดมือ เขายืนอยู่ที่เดิม บรรยากาศชวนให้ไม่กล้าหายใจออกมา จิตวิญญาณกำลังเตือนเขาอย่างหมดหวังว่าความตายได้โอบล้อมเข้ามาโดยไม่มีการกล่าวเตือน กู่ฉิงซานไม่ขยับ เขาไม่รู้ว่าการโจมตีจะมาจากทิศทางใด แต่นี่ไม่อาจหยุดเขาจากการทำสิ่งหนึ่งได้ จิตเทพของเขาปกคลุมไปหลายร้อยฟุต บรรจบกันตรงกำแพงที่พังทลายทันที ทันใดนั้น กู่ฉิงซานหายไปจากที่นั่น กำแพงเข้ามาแทนที่ก่อนปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมที่เขาอยู่ เคลื่อนย้าย! แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงร้องต่ำดังขึ้น กำแพงถูกภาพติดตากระแทกเข้าใส่กลายเป็นฝุ่นลอยไปทั่ว กู่ฉิงซานปรากฏตัวด้านนอกห่างออกไปหลายร้อยเมตร เขามองผู้โจมตีร่างใหญ่ด้วยจิตเทพ ปีกบางยาวโปร่งแสงสองข้าง ร่างยาวหกฟุตราวกับงู เมื่อมองส่วนศีรษะจะเห็นรูม่านตาแนวตั้งคู่หนึ่งเปิดอยู่ดูเหมือนมังกร ปีกและขนาดหกฟุตของมันคือสิ่งที่ไม่น่าเอามารวมกันได้ แม้สัตว์ประหลาดตัวนี้มีปีกติดอยู่ที่แผ่นหลังแต่ก็ไม่สามารถขยับได้ ด้านหลังของหัวกะโหลกถูกฟันด้วยบางสิ่ง เป็นการยากยิ่งที่จะห้อยติดอยู่กับคอได้ ในตอนนี้เอง แสงเย็นเยือกสองสายเคลื่อนเข้ามา ดาบสองเล่มไขว้กัน ฟาดฟันใส่บาดแผลลึกที่คอของสัตว์ประหลาด ศีรษะของสัตว์ประหลาดเชื่อมต่อกับชั้นผิวบางยังไม่หลุดออกมาอย่างสมบูรณ์ แต่ชีวิตของมันมาถึงจุดจบแล้ว สัตว์ประหลาดดิ้นรนอยู่บนพื้นอีกหลายอึดใจก่อนจะแน่นิ่งไป ดาบสองเล่มฟันหน้าหลังใส่สัตว์ประหลาดจนกระทั่งศีรษะถูกฟันจนขาดอย่างสมบูรณ์ ไกลออกไปหลายร้อยเมตร กู่ฉิงซานกลั้นหายใจ เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ขยับไปไหนไม่ได้พักใหญ่ โลหิตสีแดงใสยังไหลมาจากศีรษะจนชุ่มเสื้อผ้า เขายังไม่ขยับจนกระทั่งดาบสองเล่มบินกลับมา นานมากแล้วที่กู่ฉิงซานไม่ได้เผชิญหน้ากับช่วงเวลาเช่นนี้ ยากจะคาดเดา ไม่อาจเตรียมตัวทัน  ไม่มีเวลาให้ตอบสนอง นี่คือการเผชิญหน้าระหว่างความเป็นกับความตาย โชคยังดี สัตว์ประหลาดได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อนแล้ว อีกอย่าง เพราะพวกมันเคยกำจัดหนึ่งในสำนักที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งการฝึกฝนมาแล้ว เขาย่อมไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้แก่สัตว์ประหลาดบรรพกาลได้ เกรงว่าเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลัวที่จะถูกพวกพ้องกิน มันจึงซ่อนตัวอยู่เงียบๆ จนกระทั่งกู่ฉิงซานเข้าใกล้ กู่ฉิงซานถอนหายใจ เขาหยิบค่ายกลออกมาแล้วติดตั้งค่ายกลแจ้งเตือนอย่างรวดเร็วขณะตรวจสอบบาดแผลตัวเองด้วยจิตเทพอย่างละเอียด พลังวิญญาณรวมตัวที่จุดนั้นก่อนจะทำการปิดปากแผลชั่วคราว เขาจะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรหากหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับอีกฝ่าย โลหิตคล้ายกับไหลออกมาจากรูขุมขน ดูท่าจะไม่ใช่การโจมตีถึงตาย หรือว่าเป็นเพราะเสียงกรีดร้องตอนนั้น ตอนที่สัตว์ประหลาดกรีดร้อง เขาตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย ทำให้ซัดดาบสองเล่มออกไปไม่ทันเวลา เมื่อนึกย้อนอย่างถ้วนถี่ ตอนนั้นเอง ความว่างเปล่าเหนือศีรษะคล้ายกับเคลื่อนไหว… เหงื่อเย็นก่อตัวขึ้นที่แผ่นหลังของกู่ฉิงซาน เขาวิเคราะห์การโจมตีของสัตว์ประหลาดอย่างละเอียด เพียงพริบตา การโจมตีของสัตว์ประหลาดถูกซัดออกมาสามรูปแบบ หนึ่งคือการโจมตีวิญญาณด้วยเสียง ทำให้ผู้คนสับสน สองคือการฟาดฟันความว่างเปล่าที่มองไม่เห็น ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันเริ่มจากจุดไหน แต่ก็เกือบคร่าชีวิตของกู่ฉิงซานได้ สามคือการโจมตีเต็มรูปแบบ ทำให้กำแพงทั้งแผ่นกลายเป็นฝุ่นลอยไปทั่วอยู่เบื้องล่าง ชั่วพริบตา การโจมตีทั้งสามเปิดฉากเข้าใส่พร้อมกัน โชคดีที่เขาใช้วิชาเคลื่อนย้าย จึงเลี่ยงการโจมตีของศัตรูมาได้ ทันทีที่ดาบพุ่งออกไป เขาย่อมไม่สามารถปิดฉากได้หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายบาดเจ็บมาก่อนแล้ว กู่ฉิงซานยืนขึ้นช้าๆ ด้วยจิตของเขา ดาบบินสองเล่มโจมตีใส่ทั่วร่างสัตว์ประหลาดที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบไมล์ด้วยการฟาดฟันอันทรงพลัง เมื่อเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลังจากนั้น กู่ฉิงซานพุ่งเข้าหาร่างของสัตว์ประหลาดก่อนตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง บาดแผลบนร่างของสัตว์ประหลาดน่าตกตะลึงนัก ถึงแม้จะตายสนิทแล้ว แต่พลังวิญญาณของธาตุทั้งห้ายังหลงเหลืออยู่ รอยหนาม รอยฟัน รอยข่วน รอยกระแทกและรอยอาวุธชนิดอื่นๆ เด่นชัดเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามันได้รับการโจมตีมามาก กู่ฉิงซานเก็บร่างของสัตว์ประหลาด อารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ มีหลากหลายระดับที่ต้องสั่งสมประสบการณ์ ทั้งระดับปราณปรับแต่ง ระดับก่อตั้ง ระดับแก่นทองคำ ระดับก่อกำเนิด ระดับก้าวสู่เทพ ระดับนักบุญ ระดับร่างเทวะ ระดับพันวิบัติ ระดับขีดสุดความว่างเปล่า ระดับวิญญาณลี้ลับ ระดับดาราโกลาหล ระดับหวนคืนสู่ศูนย์ ระดับกระจ่างจิตเทวะและระดับเบิกเนตรมิติ ตอนนี้ ในที่สุดกู่ฉิงซานก็มาถึงขั้นสูงสุด ความสำเร็จของเขาอยู่ในระดับเบิกเนตรมิติ ระดับเบิกเนตรมิติ เพียงแค่สะบัดมือก็จะทลายความว่างเปล่าจนมองเห็นโลกได้ ตอนนี้เขาเหมือนกับเซี่ยเต้าหลิงที่จะทะลวงผ่านขีดจำกัดจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้ด้วยการสัมผัสครั้งสุดท้ายนี้ แต่ต่อหน้าสัตว์ประหลาดบรรพกาลที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ยังสามารถถูกอีกฝ่ายสังหารได้อย่างง่ายดาย ใครก็ตามที่มีระดับการฝึกฝนทัดเทียมกันอาจจะถึงตายเมื่อถึงจุดที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ หากเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องเผชิญกับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ ถึงตอนนั้น… กู่ฉิงซานส่ายหน้า แม้กระทั่งการแจ้งเตือน “ได้รับพลังวิญญาณสามแสนแต้ม” ที่ปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ไม่ทำให้เขารู้สึกดีใจแม้แต่น้อย เขายังคงพัฒนาต่อไป! เซี่ยกูหงสามารถเข้าสู่โลกบรรพกาลเพียงลำพังเพื่อสังหารผู้นำโลกบรรพกาลได้ เขาเองก็ต้องทำได้! กู่ฉิงซานลอบสาบาน หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง อีกด้านของซากปรักหักพัง กู่ฉิงซานยังไม่ได้เบาะแสเพิ่ม เขาพบสถานที่ลับ มือล้วงหยิบยาเม็ดออกมาก่อนเอาเข้าปากแล้วเคี้ยวช้าๆ นี่ไม่ใช่ยาเม็ดที่มีผลพิเศษ เป็นเพียงยาเม็ดปี้กู่ที่กู่ฉิงซานสร้างขึ้น ยาเม็ดนี้มีสารอาหารมากมายที่จำเป็นต่อร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ อีกทั้งยังทำให้สดชื่นอีกด้วย เมื่อไม่นานมานี้ เขาเหนื่อยล้ายิ่ง ไม่มีเวลาและอารมณ์จะมาทำอาหาร เขาจึงสร้างยาเม็ดแบบนี้ขึ้นมา หลังจากกินยาเม็ดปี้กู่แล้วพักสักครู่ ในที่สุดกู่ฉิงซานก็หายเป็นปกติ เขาเริ่มสรุปข้อมูลได้ที่มา จากเครื่องแต่งกายที่สภาพดูไม่ได้ รวมถึงรูปแบบการตกแต่งของวัตถุเหล่านั้น ทำให้กู่ฉิงซานยืนยันจุดกำเนิดของเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ได้ ตั้งแต่ยุคโบราณ มีเพียงสำนักทรงพลังที่สุดเท่านั้นที่จะมีเกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่แบบนั้นได้ ตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก สำนักเซียนธารจันทรา หอหยกประกายมุก ชุดของตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวกยังเป็นสีดำ สำนักเซียนธารจันทรายอมให้สวมเพียงชุดคลุมเต๋า ส่วนหอหยกประกายมุกมักแต่งชุดหลากสีสันเพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกยุทธ์หญิง กู่ฉิงซานพบชุดเปื้อนโลหิต ทุกชุดเป็นชุดคลุมเต๋า เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเกาะลอยฟ้าของสำนักเซียนธารจันทรา แต่ในประวัติศาสตร์ สำนักเซียนธารจันทราถูกทำลายมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเร็วมาก ในตอนนั้น เทพเพิ่งทำการติดต่อกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างสำนักนี้ที่ถูกทำลายโดยสัตว์ประหลาดบรรพกาลขึ้นมาใหม่ ครั้งที่สองเป็นช่วงไม่กี่ปีหลังจากที่เขาเข้าสู่ตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก ในตอนนั้น สถานการณ์การต่อสู้ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ยอดผู้ฝึกยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนล้มตายในครั้งนั้น เพราะสำนักเซียนธารจันทราตั้งอยู่ใกล้กับแนวหน้า ในศึกสำคัญ ทุกสำนักถูกทำลายโดยสัตว์ประหลาดบรรพกาล “แล้วมัน…เมื่อไหร่ล่ะ” กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง เขาครุ่นคิดสักพัก จากนั้นหยิบค่ายกลออกมา ทำการจัดเรียงค่ายกลจนเสร็จสมบูรณ์ เขาเริ่มรออย่างอดทน ถ้าเป็นครั้งแรก เทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนมากจะมาถึงในไม่ช้า ถ้าเป็นครั้งที่สอง… กู่ฉิงซานนั่งขัดสมาธิในค่ายกล หลับตาลงเพื่อทำการฝึกฝนขณะรอ หนึ่งวันค่อยๆ ผ่านไป เขาเก็บค่ายกลก่อนจะยืนขึ้นแล้วถอนหายใจ ไม่มีใครมาตรวจสอบสถานการณ์ ไม่มีเทพมารับผู้ฝึกยุทธ์เพื่อฟื้นคืนสำนัก นี่แสดงให้เห็นว่าสงครามยังดำเนินต่อไปและไปถึงจุดที่ตึงเครียดยิ่ง หากไม่นับครั้งแรก นี่จะเป็นการทำลายล้างครั้งที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนสำนักเซียนธารจันทราถูกทำลายจนสิ้นในครั้งที่สอง เทพไม่ได้มาเพื่อช่วยสำนักนี้ ตอนนั้นเองที่แนวหน้าถูกทำลายยับเยิน ผู้ฝึกยุทธ์ทรงพลังทั้งหมดต่างออกโรง แม้กระทั่งเทพก็ไม่เว้น เซี่ยกูหงผู้เป็นจ้าวตำหนักกสวรรค์เมฆาวิเวกยังยุ่งอยู่กับการแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ของสำนัก แม้กระทั่งศิษย์สองคนที่รับเข้ามาใหม่ก็ไม่มีเวลาสอนสั่งจนถึงขั้นต้องรีบพาออกไปแนวหน้ากับเจ้าสำนัก ในตอนนั้น เซี่ยกูหงฝากฝังศิษย์ทั้งสองไว้กับกู่ฉิงซานและขอให้กู่ฉิงซานสอนสั่งสองศิษย์ผู้น้อง เดี๋ยวนะ…ถ้าเป็นคราวนี้ละก็… กู่ฉิงซานนึกถึงฉากในตอนนั้น ในตอนนั้น หวงซานและเฉินหยางเพิ่งติดตามพวกเขากลับยอดเขาเมฆาวิเวกก่อนจะถามว่ารู้เรื่องเกี่ยวกับแนวหน้าหรือเปล่า ตอนนั้น หวงซานพูดว่าอะไรนะ กู่ฉิงซานนึกถึงฉากนั้น … หวงซานลดเสียงต่ำลงก่อนกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าการต่อสู้โหดร้ายนัก เทพหายตัวไป ทำให้การพิพากษาเบื้องต้นจบตรงที่ถูกสัตว์ประหลาดบรรพกาลโอบล้อมเข้ามาฆ่า” เฉินหยางกระซิบเสียงต่ำเช่นกัน “นี่เป็นครั้งแรกที่เทพล้มลงต่อหน้าทุกคน ดูท่าตอนนี้สำนักใหญ่ทั้งหลายจะอยู่ในความตื่นตระหนกกันแล้ว” … กู่ฉิงซานพยักหน้าช้าๆ สำนักเซียนธารจันทราถูกทำลาย แนวหน้าพังพินาศในหนึ่งวันให้หลัง ครึ่งวันต่อมา เทพถูกสังหาร จากนั้นเทพนำยอดผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปแนวหน้าเพื่อสู้กับสัตว์ประหลาดบรรพกาล ตอนนี้แทบจะเหมือนกับตอนที่แนวหน้าพังพินาศ ยังเหลืออีกครึ่งวันก่อนที่เทพจะถูกสังหาร นี่นับว่าแปลก เทพไม่ได้ทำข้อตกลงกับสัตว์ประหลาดบรรพกาลหรอกหรือ ทำไมสัตว์ประหลาดบรรพกาลถึงต้องสังหารเทพด้วย …นี่เป็นครั้งแรกที่เทพถึงแก่ความตาย แล้วพวกเขาถูกสังหารได้อย่างไร คำถามนี้นับว่าสำคัญยิ่ง กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก จากนั้นยืนขึ้นช้าๆ ขณะมองไปทางแนวหน้า ……………………………….

สายลมยามค่ำพัดหวีดหวิว

จันทราลอยอยู่เหนือห้วงลึกอวกาศอันเดียวดาย แสงเย็นเยือกเปล่งประกายไม่มีสิ้นสุด สาดส่องสู่ปฐพีอันรกร้าง

วัยรุ่นคนหนึ่งเดินอยู่เพียงลำพังท่ามกลางซากปรักหักพัง

ซากปรักหักพังแห่งนี้ไม่ใช่เมืองที่ถูกทำลาย แต่มันคือเกาะลอยฟ้าที่ตกลงมาจากท้องนภาก่อนกระแทกกับพื้นดิน

ตอนนี้เกาะลอยฟ้าทั้งผืนไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ เว้นเพียงวัยรุ่นนามกู่ฉิงซานที่เพิ่งกลายร่าง

เขาสำรวจซากปรักหักพังมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ทว่ายังไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ

เขาจำเป็นต้องรู้ช่วงเวลา

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เวลาคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด มันสามารถย้ำเตือนได้ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญเคยเกิดขึ้นในช่วงเส้นเวลานี้

กู่ฉิงซานประสบกับการหลบหนีออกจากตำหนักสวรรค์ หลังจากฝึกปรือมาหลายปี ทั้งวิชาทำลายล้างสวรรค์และวิชาเศษเสี้ยวภาพซ้อนทับแห่งเวลา ทำให้เขาสร้างประวัติศาสตร์มากมายขึ้นมาได้

สิ่งเหล่านั้นคือส่วนสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์

แต่เขาค้นหามานานแล้วแต่ยังไม่ได้ข้อมูลที่บ่งบอกว่านี่คือช่วงเวลาใดในยุคโบราณ

ผ่านไปสักพัก กู่ฉิงซานหยุดมือ

เขายืนอยู่ที่เดิม บรรยากาศชวนให้ไม่กล้าหายใจออกมา

จิตวิญญาณกำลังเตือนเขาอย่างหมดหวังว่าความตายได้โอบล้อมเข้ามาโดยไม่มีการกล่าวเตือน

กู่ฉิงซานไม่ขยับ

เขาไม่รู้ว่าการโจมตีจะมาจากทิศทางใด

แต่นี่ไม่อาจหยุดเขาจากการทำสิ่งหนึ่งได้

จิตเทพของเขาปกคลุมไปหลายร้อยฟุต บรรจบกันตรงกำแพงที่พังทลายทันที

ทันใดนั้น กู่ฉิงซานหายไปจากที่นั่น

กำแพงเข้ามาแทนที่ก่อนปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมที่เขาอยู่

เคลื่อนย้าย!

แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงร้องต่ำดังขึ้น

กำแพงถูกภาพติดตากระแทกเข้าใส่กลายเป็นฝุ่นลอยไปทั่ว

กู่ฉิงซานปรากฏตัวด้านนอกห่างออกไปหลายร้อยเมตร เขามองผู้โจมตีร่างใหญ่ด้วยจิตเทพ

ปีกบางยาวโปร่งแสงสองข้าง ร่างยาวหกฟุตราวกับงู

เมื่อมองส่วนศีรษะจะเห็นรูม่านตาแนวตั้งคู่หนึ่งเปิดอยู่ดูเหมือนมังกร ปีกและขนาดหกฟุตของมันคือสิ่งที่ไม่น่าเอามารวมกันได้

แม้สัตว์ประหลาดตัวนี้มีปีกติดอยู่ที่แผ่นหลังแต่ก็ไม่สามารถขยับได้

ด้านหลังของหัวกะโหลกถูกฟันด้วยบางสิ่ง เป็นการยากยิ่งที่จะห้อยติดอยู่กับคอได้

ในตอนนี้เอง แสงเย็นเยือกสองสายเคลื่อนเข้ามา

ดาบสองเล่มไขว้กัน ฟาดฟันใส่บาดแผลลึกที่คอของสัตว์ประหลาด

ศีรษะของสัตว์ประหลาดเชื่อมต่อกับชั้นผิวบางยังไม่หลุดออกมาอย่างสมบูรณ์

แต่ชีวิตของมันมาถึงจุดจบแล้ว

สัตว์ประหลาดดิ้นรนอยู่บนพื้นอีกหลายอึดใจก่อนจะแน่นิ่งไป

ดาบสองเล่มฟันหน้าหลังใส่สัตว์ประหลาดจนกระทั่งศีรษะถูกฟันจนขาดอย่างสมบูรณ์

ไกลออกไปหลายร้อยเมตร กู่ฉิงซานกลั้นหายใจ

เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ขยับไปไหนไม่ได้พักใหญ่

โลหิตสีแดงใสยังไหลมาจากศีรษะจนชุ่มเสื้อผ้า

เขายังไม่ขยับจนกระทั่งดาบสองเล่มบินกลับมา

นานมากแล้วที่กู่ฉิงซานไม่ได้เผชิญหน้ากับช่วงเวลาเช่นนี้

ยากจะคาดเดา ไม่อาจเตรียมตัวทัน  ไม่มีเวลาให้ตอบสนอง

นี่คือการเผชิญหน้าระหว่างความเป็นกับความตาย

โชคยังดี สัตว์ประหลาดได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อนแล้ว

อีกอย่าง เพราะพวกมันเคยกำจัดหนึ่งในสำนักที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งการฝึกฝนมาแล้ว เขาย่อมไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้แก่สัตว์ประหลาดบรรพกาลได้

เกรงว่าเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลัวที่จะถูกพวกพ้องกิน มันจึงซ่อนตัวอยู่เงียบๆ จนกระทั่งกู่ฉิงซานเข้าใกล้

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เขาหยิบค่ายกลออกมาแล้วติดตั้งค่ายกลแจ้งเตือนอย่างรวดเร็วขณะตรวจสอบบาดแผลตัวเองด้วยจิตเทพอย่างละเอียด

พลังวิญญาณรวมตัวที่จุดนั้นก่อนจะทำการปิดปากแผลชั่วคราว

เขาจะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรหากหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับอีกฝ่าย

โลหิตคล้ายกับไหลออกมาจากรูขุมขน

ดูท่าจะไม่ใช่การโจมตีถึงตาย

หรือว่าเป็นเพราะเสียงกรีดร้องตอนนั้น

ตอนที่สัตว์ประหลาดกรีดร้อง เขาตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย ทำให้ซัดดาบสองเล่มออกไปไม่ทันเวลา

เมื่อนึกย้อนอย่างถ้วนถี่ ตอนนั้นเอง ความว่างเปล่าเหนือศีรษะคล้ายกับเคลื่อนไหว…

เหงื่อเย็นก่อตัวขึ้นที่แผ่นหลังของกู่ฉิงซาน

เขาวิเคราะห์การโจมตีของสัตว์ประหลาดอย่างละเอียด

เพียงพริบตา การโจมตีของสัตว์ประหลาดถูกซัดออกมาสามรูปแบบ

หนึ่งคือการโจมตีวิญญาณด้วยเสียง ทำให้ผู้คนสับสน

สองคือการฟาดฟันความว่างเปล่าที่มองไม่เห็น ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันเริ่มจากจุดไหน แต่ก็เกือบคร่าชีวิตของกู่ฉิงซานได้

สามคือการโจมตีเต็มรูปแบบ ทำให้กำแพงทั้งแผ่นกลายเป็นฝุ่นลอยไปทั่วอยู่เบื้องล่าง

ชั่วพริบตา การโจมตีทั้งสามเปิดฉากเข้าใส่พร้อมกัน

โชคดีที่เขาใช้วิชาเคลื่อนย้าย จึงเลี่ยงการโจมตีของศัตรูมาได้

ทันทีที่ดาบพุ่งออกไป เขาย่อมไม่สามารถปิดฉากได้หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายบาดเจ็บมาก่อนแล้ว

กู่ฉิงซานยืนขึ้นช้าๆ

ด้วยจิตของเขา ดาบบินสองเล่มโจมตีใส่ทั่วร่างสัตว์ประหลาดที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบไมล์ด้วยการฟาดฟันอันทรงพลัง

เมื่อเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

หลังจากนั้น กู่ฉิงซานพุ่งเข้าหาร่างของสัตว์ประหลาดก่อนตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง

บาดแผลบนร่างของสัตว์ประหลาดน่าตกตะลึงนัก

ถึงแม้จะตายสนิทแล้ว แต่พลังวิญญาณของธาตุทั้งห้ายังหลงเหลืออยู่ รอยหนาม รอยฟัน รอยข่วน รอยกระแทกและรอยอาวุธชนิดอื่นๆ เด่นชัดเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่ามันได้รับการโจมตีมามาก

กู่ฉิงซานเก็บร่างของสัตว์ประหลาด อารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย

ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ มีหลากหลายระดับที่ต้องสั่งสมประสบการณ์ ทั้งระดับปราณปรับแต่ง ระดับก่อตั้ง ระดับแก่นทองคำ ระดับก่อกำเนิด ระดับก้าวสู่เทพ ระดับนักบุญ ระดับร่างเทวะ ระดับพันวิบัติ ระดับขีดสุดความว่างเปล่า ระดับวิญญาณลี้ลับ ระดับดาราโกลาหล ระดับหวนคืนสู่ศูนย์ ระดับกระจ่างจิตเทวะและระดับเบิกเนตรมิติ

ตอนนี้ ในที่สุดกู่ฉิงซานก็มาถึงขั้นสูงสุด ความสำเร็จของเขาอยู่ในระดับเบิกเนตรมิติ

ระดับเบิกเนตรมิติ เพียงแค่สะบัดมือก็จะทลายความว่างเปล่าจนมองเห็นโลกได้

ตอนนี้เขาเหมือนกับเซี่ยเต้าหลิงที่จะทะลวงผ่านขีดจำกัดจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้ด้วยการสัมผัสครั้งสุดท้ายนี้

แต่ต่อหน้าสัตว์ประหลาดบรรพกาลที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ยังสามารถถูกอีกฝ่ายสังหารได้อย่างง่ายดาย

ใครก็ตามที่มีระดับการฝึกฝนทัดเทียมกันอาจจะถึงตายเมื่อถึงจุดที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้

หากเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องเผชิญกับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ ถึงตอนนั้น…

กู่ฉิงซานส่ายหน้า

แม้กระทั่งการแจ้งเตือน “ได้รับพลังวิญญาณสามแสนแต้ม” ที่ปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ไม่ทำให้เขารู้สึกดีใจแม้แต่น้อย

เขายังคงพัฒนาต่อไป!

เซี่ยกูหงสามารถเข้าสู่โลกบรรพกาลเพียงลำพังเพื่อสังหารผู้นำโลกบรรพกาลได้ เขาเองก็ต้องทำได้!

กู่ฉิงซานลอบสาบาน

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

อีกด้านของซากปรักหักพัง

กู่ฉิงซานยังไม่ได้เบาะแสเพิ่ม

เขาพบสถานที่ลับ มือล้วงหยิบยาเม็ดออกมาก่อนเอาเข้าปากแล้วเคี้ยวช้าๆ

นี่ไม่ใช่ยาเม็ดที่มีผลพิเศษ เป็นเพียงยาเม็ดปี้กู่ที่กู่ฉิงซานสร้างขึ้น

ยาเม็ดนี้มีสารอาหารมากมายที่จำเป็นต่อร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ อีกทั้งยังทำให้สดชื่นอีกด้วย

เมื่อไม่นานมานี้ เขาเหนื่อยล้ายิ่ง ไม่มีเวลาและอารมณ์จะมาทำอาหาร เขาจึงสร้างยาเม็ดแบบนี้ขึ้นมา

หลังจากกินยาเม็ดปี้กู่แล้วพักสักครู่ ในที่สุดกู่ฉิงซานก็หายเป็นปกติ

เขาเริ่มสรุปข้อมูลได้ที่มา

จากเครื่องแต่งกายที่สภาพดูไม่ได้ รวมถึงรูปแบบการตกแต่งของวัตถุเหล่านั้น ทำให้กู่ฉิงซานยืนยันจุดกำเนิดของเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ได้

ตั้งแต่ยุคโบราณ มีเพียงสำนักทรงพลังที่สุดเท่านั้นที่จะมีเกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่แบบนั้นได้

ตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก สำนักเซียนธารจันทรา หอหยกประกายมุก

ชุดของตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวกยังเป็นสีดำ สำนักเซียนธารจันทรายอมให้สวมเพียงชุดคลุมเต๋า ส่วนหอหยกประกายมุกมักแต่งชุดหลากสีสันเพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกยุทธ์หญิง

กู่ฉิงซานพบชุดเปื้อนโลหิต ทุกชุดเป็นชุดคลุมเต๋า

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเกาะลอยฟ้าของสำนักเซียนธารจันทรา

แต่ในประวัติศาสตร์ สำนักเซียนธารจันทราถูกทำลายมาแล้วสองครั้ง

ครั้งแรกเกิดขึ้นเร็วมาก ในตอนนั้น เทพเพิ่งทำการติดต่อกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างสำนักนี้ที่ถูกทำลายโดยสัตว์ประหลาดบรรพกาลขึ้นมาใหม่

ครั้งที่สองเป็นช่วงไม่กี่ปีหลังจากที่เขาเข้าสู่ตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก

ในตอนนั้น สถานการณ์การต่อสู้ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ยอดผู้ฝึกยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนล้มตายในครั้งนั้น

เพราะสำนักเซียนธารจันทราตั้งอยู่ใกล้กับแนวหน้า ในศึกสำคัญ ทุกสำนักถูกทำลายโดยสัตว์ประหลาดบรรพกาล

“แล้วมัน…เมื่อไหร่ล่ะ”

กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง

เขาครุ่นคิดสักพัก จากนั้นหยิบค่ายกลออกมา ทำการจัดเรียงค่ายกลจนเสร็จสมบูรณ์

เขาเริ่มรออย่างอดทน

ถ้าเป็นครั้งแรก เทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนมากจะมาถึงในไม่ช้า

ถ้าเป็นครั้งที่สอง…

กู่ฉิงซานนั่งขัดสมาธิในค่ายกล หลับตาลงเพื่อทำการฝึกฝนขณะรอ

หนึ่งวันค่อยๆ ผ่านไป

เขาเก็บค่ายกลก่อนจะยืนขึ้นแล้วถอนหายใจ

ไม่มีใครมาตรวจสอบสถานการณ์ ไม่มีเทพมารับผู้ฝึกยุทธ์เพื่อฟื้นคืนสำนัก

นี่แสดงให้เห็นว่าสงครามยังดำเนินต่อไปและไปถึงจุดที่ตึงเครียดยิ่ง

หากไม่นับครั้งแรก

นี่จะเป็นการทำลายล้างครั้งที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย

ตอนสำนักเซียนธารจันทราถูกทำลายจนสิ้นในครั้งที่สอง เทพไม่ได้มาเพื่อช่วยสำนักนี้

ตอนนั้นเองที่แนวหน้าถูกทำลายยับเยิน

ผู้ฝึกยุทธ์ทรงพลังทั้งหมดต่างออกโรง แม้กระทั่งเทพก็ไม่เว้น

เซี่ยกูหงผู้เป็นจ้าวตำหนักกสวรรค์เมฆาวิเวกยังยุ่งอยู่กับการแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ของสำนัก แม้กระทั่งศิษย์สองคนที่รับเข้ามาใหม่ก็ไม่มีเวลาสอนสั่งจนถึงขั้นต้องรีบพาออกไปแนวหน้ากับเจ้าสำนัก

ในตอนนั้น เซี่ยกูหงฝากฝังศิษย์ทั้งสองไว้กับกู่ฉิงซานและขอให้กู่ฉิงซานสอนสั่งสองศิษย์ผู้น้อง

เดี๋ยวนะ…ถ้าเป็นคราวนี้ละก็…

กู่ฉิงซานนึกถึงฉากในตอนนั้น

ในตอนนั้น หวงซานและเฉินหยางเพิ่งติดตามพวกเขากลับยอดเขาเมฆาวิเวกก่อนจะถามว่ารู้เรื่องเกี่ยวกับแนวหน้าหรือเปล่า

ตอนนั้น หวงซานพูดว่าอะไรนะ

กู่ฉิงซานนึกถึงฉากนั้น

หวงซานลดเสียงต่ำลงก่อนกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าการต่อสู้โหดร้ายนัก เทพหายตัวไป ทำให้การพิพากษาเบื้องต้นจบตรงที่ถูกสัตว์ประหลาดบรรพกาลโอบล้อมเข้ามาฆ่า”

เฉินหยางกระซิบเสียงต่ำเช่นกัน “นี่เป็นครั้งแรกที่เทพล้มลงต่อหน้าทุกคน ดูท่าตอนนี้สำนักใหญ่ทั้งหลายจะอยู่ในความตื่นตระหนกกันแล้ว”

กู่ฉิงซานพยักหน้าช้าๆ

สำนักเซียนธารจันทราถูกทำลาย แนวหน้าพังพินาศในหนึ่งวันให้หลัง ครึ่งวันต่อมา เทพถูกสังหาร

จากนั้นเทพนำยอดผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปแนวหน้าเพื่อสู้กับสัตว์ประหลาดบรรพกาล

ตอนนี้แทบจะเหมือนกับตอนที่แนวหน้าพังพินาศ

ยังเหลืออีกครึ่งวันก่อนที่เทพจะถูกสังหาร

นี่นับว่าแปลก เทพไม่ได้ทำข้อตกลงกับสัตว์ประหลาดบรรพกาลหรอกหรือ

ทำไมสัตว์ประหลาดบรรพกาลถึงต้องสังหารเทพด้วย

…นี่เป็นครั้งแรกที่เทพถึงแก่ความตาย

แล้วพวกเขาถูกสังหารได้อย่างไร คำถามนี้นับว่าสำคัญยิ่ง

กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก จากนั้นยืนขึ้นช้าๆ ขณะมองไปทางแนวหน้า

……………………………….

ท่ามกลางหมอกสีเทาเย็นยะเยือก กู่ฉิงซานกำลังบินตรงไปยังเบื้องหน้า ใบหยกว่ายเวียนโลกสวรรค์คอยปลดปล่อยพลังที่มองไม่เห็นออกมา ชักนำเขาไปยังโลกภาพทับซ้อนต่อไป ส่วนเบื้องหลังของกู่ฉิงซาน ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นยุคภาพทับซ้อนที่กำลังสาดแสงสว่างจ้า ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงที่เกือบจะเผาไหม้ทุกสิ่ง วอดวายจนสิ้นแล้ว สักพักหนึ่ง ภาพทับซ้อนที่ว่าก็สว่างไสวมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น สุดท้ายแตกเป็นเสี่ยงๆ กระจายเป็นประกายแสงระยิบระยับ มันสลายหายไปในหมอกหนาอันไร้ที่สิ้นสุดของห้วงกาลเวลา กู่ฉิงซานกัดฟัน และพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อยับยั้งกลิ่นอายร่างกายของตนเอง และจัดวางชุดค่ายกลปกปิดมากมาย โดยไม่คำนึงถึงศิลาวิญญาณที่ต้องสูญเสียไป เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันกะทันหันเกินไป เหล่าทวยเทพกับมอนสเตอร์บรรพกาลร่วมมือกัน ทุ่มเททำลายเศษเสี้ยวยุคภาพทับซ้อนอย่างเต็มกำลัง โชคยังดีที่ในช่วงเวลาวิกฤติสำคัญ ลั่วปิงลี่มาได้ทันเวลา มิฉะนั้นแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเธอ ต่อให้เป็นกู่ฉิงซานเองก็คงมิแคล้วตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงฉากที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น เขาค้นพบว่าตัวลั่วปิงลี่เองก็ยังไม่อาจหยั่งรู้ได้ มันค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องง่ายดายที่จะหน่วงเวลาหรือตัดขาดเวลากับสิ่งมีชีวิตอ่อนแอ ทว่าหากเป้าหมายในตัวเลือกที่กล่าวมาเป็นเทพวิญญาณแล้วล่ะก็ เทคนิคเวลาจะถูกต่อต้านอย่างร้ายแรงโดยเทพวิญญาณ และมีโอกาสมากเลยทีเดียวที่มันจะผิดพลาด อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่นี้ เป็นกองทัพใหญ่ของมอนสเตอร์บรรพกาลและเทพวิญญาณที่ทรงพลัง บุกมายังดินแดนของมนุษย์ แต่ลั่วปิงลี่ก็ยังคงสามารถใช้ออกด้วยเทคนิคหน่วงเวลาได้ สิ่งที่เธอทำคือชะลออัตราการไหลของเวลากับศัตรูทั้งหมด นี่ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมซะจริงๆ แต่ถึงกระนั้น ทั้งสองก็ยังเกือบที่จะถูกจับกุมตัวเอาไว้ได้โดยเทพวิญญาณ กู่ฉิงซานเค้นสมองขบคิด ส่วนลึกภายในหัวใจของเขาคล้ายจมอยู่กับการดิ้นรนอย่างร้ายแรง นั่นเพราะในยุคภาพทับซ้อนก่อนหน้านี้ที่เขาหนีมา มันมีเหรียญโบราณที่จักใช้ควบคุมยับยั้งพลังของเทพวิญญาณอยู่ แต่ภาพทับซ้อนดังกล่าว ที่เผ่ามนุษย์ตระเตรียมการเอาไว้ บัดนี้ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว นี่ย่อมหมายความว่ากู่ฉิงซานสูญสิ้นโอกาสที่จะได้รับเหรียญโบราณ หากไม่มีเหรียญนั่น มันจะส่งผลกระทบมากมายเพียงใดกันหนอต่อกระบวนการในขั้นต่อไป? กู่ฉิงซานไม่อาจคาดเดาได้เลย รอบกายเขา คล้ายกับว่ามีหมอกหนาอันเย็นเยียบ ท่วมทับอยู่ในความว่างเปล่า ใบหยกว่ายเวียนโลกสวรรค์ยังคงส่งพลังออกมา ชักนำเขาอย่างไม่หยุดยั้ง ฝ่าหมอกหนาออกไป กู่ฉิงซานหลบเลี่ยงบรรดายุคภาพทับซ้อน บินไปตามเส้นทางพิเศษ เพื่อพบเจอกับช่วงเวลาต่อไป ที่ถูกจัดเตรียมไว้โดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง เพราะไม่มีใครเลยที่สามารถช่วยเขาได้ กู่ฉิงซานเงียบงันไปนาน แล้วจู่ๆ เขาก็กัดฟัน ดึงดาบยาวออกมา รังสีดาบกะพริบไหวในคราวแรก เพล้ง! บังเกิดเสียงปริร้าวที่ดังฟังชัด ใบหยกว่ายเวียนโลกสวรรค์ถูกแทงโดยดาบของเขา แยกกระจายเป็นชิ้นไปทั่วฟ้า หลังจากนั้นพลังงานจากใบหยกก็หายไป หากปราศจากซึ่งพลังงานจากใบหยก กู่ฉิงซานก็ต้องจมอยู่ในส่วนลึกของหมอกหนาแห่งห้วงกาลเวลา แต่เขายังคงบินต่อไป บินข้ามผ่านยุคภาพทับซ้อนนับไม่ถ้วน โดยที่ใบหน้าของเขาช่างสงบเฉยชา ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เขาปล่อยตัวเองให้จมลงสู่หนทางที่ไร้จุดหมาย ทันใดนั้นเอง เขาก็ตกเข้าไปในยุคภาพทับซ้อนธรรมดาๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง นี่ย่อมเป็นการสุ่มโดยสิ้นเชิง กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเอง ก็ไม่ทราบว่าเขากำลังเข้าสู่ยุคโบราณในช่วงเวลาใด … ณ ผืนดินอันแห้งแล้ง พระอาทิตย์สีแดงเข้มร่วงลงมาอยู่ในเส้นขอบฟ้า สะท้อนแสงและเงาจนเมฆแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน พระอาทิตย์ค่อยๆ ตกลง หายลับไปตามเส้นขอบฟ้า ท่ามกลางซากปรักหักพัง กู่ฉิงซานปรากฏกายขึ้น เขาค้นพบว่าตนเองหยั่งเท้าลงบนสระเลือด เหลียวมองไปตลอดรอบทิศทาง พบว่ามันระเกะระกะไปด้วยแขน ขา และโครงกระดูกในสภาพไม่สมประกอบมากมาย นี่คล้ายกันกับโรงเชือดของเผ่าพันธุ์มนุษย์เลย แต่ไม่น่าจะใช่ เพราะดูได้จากร่องรอยของโครงกระดูกเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่ามันถูกกวาดล้างโดยมอนสเตอร์บรรพกาล มอนสเตอร์บรรพกาลได้กินอาหารมื้อนี้จนเต็มอิ่ม และจากไปตั้งนานแล้ว กู่ฉิงซานหยุดยืนอยู่ในจุดนั้น ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป ตรวจสอบตลอดทั้งสี่ทิศอย่างละเอียด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ในยุคโบราณช่วงเวลาใด ดังนั้นจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลทันที แล้วก็ค่อยตัดสินสถานการณ์ด้วยตัวเอง ฉานนู่ปรากฏกายขึ้นจากในความว่างเปล่า เธอก้มลงมองเลือดสีดำแดงบนพื้นดิน และตกใจกับซากสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น เพราะแม้กระทั่งในนรก ฉากเช่นนี้ก็ยากนักที่จะพบเห็น “นายน้อย เหตุใดท่านต้องทำลายใบหยกด้วย? หากพวกเราสูญสิ้นการนำทางของใบหยก พวกเราจะไม่สามารถค้นหาดาบนภาได้นะ” ฉานนู่ถามด้วยความสงสัย กู่ฉิงซานสูดลมหายใจอย่างเงียบๆ และกล่าว “ข้าทราบดีว่ามันไม่สมควรที่จะทำลายใบหยกอย่างผลีผลาม” “นายน้อย ถ้าเช่นนั้น…” “แต่ระหว่างทาง ข้าก็ได้ตั้งคำถามกับตัวเองขึ้น” “คำถามอันใด?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ว่าหากข้าเป็นเทพที่ตระเตรียมแผนการร่วมกับเทพวิญญาณในยุคโบราณเอาไว้ล่วงหน้า ในระหว่างที่กำลังทำลายภาพทับซ้อนซึ่งกุมความลับของเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้ ในขณะเดียวกันข้าจะทำอะไร” กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “เห็นได้ชัดว่าหากข้าปล่อยให้ทำลายภาพทับซ้อนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดลง ข้าก็จะไม่สามารถทราบถึงข้อมูลที่เชื่อมโยงแบบเฉพาะเจาะจงเหล่านั้นได้ จะไม่มีผู้ใดสามารถค้นหาความลับสุดท้ายของเผ่ามนุษย์ได้อีกเลยตลอดกาล” “ตราบใดที่กระทำสิ่งดังกล่าวจนบรรลุผล ความหวังทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะหายไป” “ดังนั้น นายน้อยเลยทำลายใบหยก และไม่คิดจะเดินทางต่อใช่หรือไม่?” ฉานนู่ถาม การแสดงออกถึงความลังเลอันหาได้ยากยิ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน “ข้าเองก็… ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกต้องหรือไม่ แต่ขอตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาอีกครั้ง ว่าหากข้ามาจากอนาคต และพยายามจะจับตัวกู่ฉิงซาน ข้าจะทำอะไรในสถานการณ์เช่นนี้” ฉานนู่ตะลึงงัน ตอบกลับมาอย่างเรียบง่าย “เรื่องนั้นสุดที่ข้าจะคาดเดา” กู่ฉิงซานกล่าว “หากข้าเป็นเขา ข้าย่อมไปเจรจาต่อรองกับเทพวิญญาณโบราณในทันที เพื่อที่ให้พวกเขา หยุดการทำลายความลับของภาพทับซ้อนเป็นการชั่วคราว ขณะเดียวกันก็ซุ่มซ่อนอยู่อย่างเงียบๆ เฝ้ารอให้กู่ฉิงซานปรากฏตัวออกมา” “ซุ่มซ่อน แม้จะเป็นวิธีการโง่เง่า แต่ในเวลาเดียวกัน มันคือวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ความหมายก็คือ เทพวิญญาณเพียงเฝ้ารอให้ศัตรูหลบหนีจนอ่อนล้า เมื่อไหร่ที่กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น ก็จักทะยานโถมโจมตีทันที ระเบิดพลังอำนาจที่เต็มเปี่ยมโค่นล้มกู่ฉิงซานลง” ฉานนู่พอได้ยินก็สั่นสะท้าน อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “แล้วเทพวิญญาณโบราณจะรับฟังคำพูดของมันหรือ?” กู่ฉิงซานพึมพำ “พวกมันสมควรที่จะตกลงกัน… ก่อนหน้านี้ในโลกปีศาจซี่ฉี เทพวิญญาณโบราณเองก็กำลังไล่ล่าตัวข้า นี่พอจะอธิบายได้ว่า พวกมันเองก็สนใจในความลับสุดท้ายที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทิ้งเอาไว้เช่นกัน” เขาสรุป “ไม่น่าจะผิดแล้วล่ะ ความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซานเองก็อยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเทพวิญญาณย่อมยินยอมละทิ้งเรื่องการทำลายภาพทับซ้อนเอาไว้เบื้องหลัง เพื่อเฝ้ารอให้กู่ฉิงซานเข้ามางับเหยื่อ ตราบใดที่กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น หลังจากนั้นการจะจับตัวข้าก็เป็นเรื่องง่าย ” ฉานนู่ถอนหายใจ “นายน้อย ข้าคิดว่าหากเป็นเช่นนั้นมันก็อันตรายเกินไป ขอให้ท่านกลับไปยังปรภพด้วยกันกับข้าเถอะ แล้วข้าจะใช้อำนาจของภูเขาล้อมเหล็ก ที่สามารถต้านทานได้แม้กระทั่งสายลมแห่งความโกลาหล ช่วยปกป้องพวกเราในนรกเอง ถึงเวลานั้น ต่อให้เป็นเทพวิญญาณก็ยังไม่กล้าที่จะเข้ามาคร่ากุมราชาภูตเช่นท่าน” กู่ฉิงซานมองเธอ เอ่ยเสียงหม่น “ฉานนู่ เจ้ากลัวหรือ?” ฉานนู่ส่ายหัวและกล่าว “ข้ามิได้หวาดกลัวเทพวิญญาณ หากแต่เพียงหวาดกลัวว่าพวกมันจะนำเอาจิตวิญญาณของนายน้อยไป หากเป็นในกรณีนั้น โอกาสที่นายน้อยจะได้ไปเกิดใหม่คงไม่มีอีกแล้ว” แววตาของกู่ฉิงซานค่อยๆ อ่อนโยนลง เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น “วางใจเถอะ นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น นายน้อยของเจ้าไม่เคยหวาดหวั่นพวกขยะเหล่านี้อยู่แล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล และเริ่มย่ำเดินไปตามสระเลือดเบื้องหน้า ระหว่างก้าวเดิน รูปลักษณ์ของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป ปากเอ่ยพึมพำ “ซุ่มซ่อมตัวอย่างนั้นหรือ อันที่จริง ข้าเองก็คุ้นเคยกับกิจวัตรเช่นนั้นเป็นอย่างดีอยู่แล้ว” ตอนแรก เขากลายเป็นชายร่างใหญ่ สักพักสลับกลายเป็นชายชราผมขาว จากนั้นกลายเป็นนักบวชเต๋าเครายาว , ต่อมากลายเป็นเด็กอายุเจ็ดถึงแปดขวบ และสุดท้ายกลายเป็นวัยรุ่น วัยรุ่นหยุดฝีเท้า มองไปตามเลือดบนพื้นดิน เพ่งไปยังซากปรักหักพังที่ยังหลงเหลืออยู่ “ด้วยรูปลักษณ์ของพวกเจ้าที่มอบมันให้แก่ข้าจากหยาดโลหิตเหล่านี้ ข้าจะขอใช้ประโยชน์จากมัน แก้แค้นให้กับพวกเจ้าเอง” สิ้นคำประกาศกร้าว เขาก็นำฉานนู่หายไปจากซากปรักหักพัง มิอาจมองเห็นได้อีกเลย … อีกด้านหนึ่ง ภายในหมอกแห่งห้วงกาลเวลา ณ ภาพทับซ้อนยุคโบราณ ตลอดทั้งสี่ทิศในภาพทับซ้อนยุคนี้ มีร่างอยู่นับไม่ถ้วนกำลังซุ่มซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า และด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา คงมีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับสูงเช่นเดียวกันกับเซี่ยกู่หงส์เท่านั้นที่จะตรวจพบ ฉะนั้นผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจสัมผัสอะไรได้ พวกเขากำลังแฝงตัวอยู่ในความว่างเปล่าอย่างเงียบๆ เฝ้ารออย่างอดทน แม้ว่ามันจะใช้เวลาหลบซ่อนตัวอยู่นานแล้ว แต่พวกเขาก็ยังอดทนกันเป็นอย่างมาก แต่การรอคอย…คล้ายกับว่าจะไม่มีวันจบสิ้น เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่พวกเขาเฝ้ารอ ไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏตัวเลย ในที่สุด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า “ข้าขอเดาว่า…เขาไม่น่าจะมาแล้ว” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำปรากฏกายขึ้นในความว่างเปล่า  กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟุ้งไปด้วยความเสียดาย เขาก้มลงมองเหรียญโบราณที่อยู่ในมือ พบว่าอีกไม่นาน มันก็จะสามารถเปิดใช้งานได้อีกครั้งแล้ว!! …………………….

ท่ามกลางหมอกสีเทาเย็นยะเยือก กู่ฉิงซานกำลังบินตรงไปยังเบื้องหน้า

ใบหยกว่ายเวียนโลกสวรรค์คอยปลดปล่อยพลังที่มองไม่เห็นออกมา ชักนำเขาไปยังโลกภาพทับซ้อนต่อไป

ส่วนเบื้องหลังของกู่ฉิงซาน ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นยุคภาพทับซ้อนที่กำลังสาดแสงสว่างจ้า ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงที่เกือบจะเผาไหม้ทุกสิ่ง วอดวายจนสิ้นแล้ว

สักพักหนึ่ง ภาพทับซ้อนที่ว่าก็สว่างไสวมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น สุดท้ายแตกเป็นเสี่ยงๆ กระจายเป็นประกายแสงระยิบระยับ

มันสลายหายไปในหมอกหนาอันไร้ที่สิ้นสุดของห้วงกาลเวลา

กู่ฉิงซานกัดฟัน และพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อยับยั้งกลิ่นอายร่างกายของตนเอง และจัดวางชุดค่ายกลปกปิดมากมาย โดยไม่คำนึงถึงศิลาวิญญาณที่ต้องสูญเสียไป

เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันกะทันหันเกินไป

เหล่าทวยเทพกับมอนสเตอร์บรรพกาลร่วมมือกัน ทุ่มเททำลายเศษเสี้ยวยุคภาพทับซ้อนอย่างเต็มกำลัง

โชคยังดีที่ในช่วงเวลาวิกฤติสำคัญ ลั่วปิงลี่มาได้ทันเวลา มิฉะนั้นแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเธอ ต่อให้เป็นกู่ฉิงซานเองก็คงมิแคล้วตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงฉากที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น

เขาค้นพบว่าตัวลั่วปิงลี่เองก็ยังไม่อาจหยั่งรู้ได้

มันค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องง่ายดายที่จะหน่วงเวลาหรือตัดขาดเวลากับสิ่งมีชีวิตอ่อนแอ

ทว่าหากเป้าหมายในตัวเลือกที่กล่าวมาเป็นเทพวิญญาณแล้วล่ะก็ เทคนิคเวลาจะถูกต่อต้านอย่างร้ายแรงโดยเทพวิญญาณ และมีโอกาสมากเลยทีเดียวที่มันจะผิดพลาด

อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่นี้ เป็นกองทัพใหญ่ของมอนสเตอร์บรรพกาลและเทพวิญญาณที่ทรงพลัง บุกมายังดินแดนของมนุษย์ แต่ลั่วปิงลี่ก็ยังคงสามารถใช้ออกด้วยเทคนิคหน่วงเวลาได้

สิ่งที่เธอทำคือชะลออัตราการไหลของเวลากับศัตรูทั้งหมด

นี่ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมซะจริงๆ

แต่ถึงกระนั้น ทั้งสองก็ยังเกือบที่จะถูกจับกุมตัวเอาไว้ได้โดยเทพวิญญาณ

กู่ฉิงซานเค้นสมองขบคิด ส่วนลึกภายในหัวใจของเขาคล้ายจมอยู่กับการดิ้นรนอย่างร้ายแรง

นั่นเพราะในยุคภาพทับซ้อนก่อนหน้านี้ที่เขาหนีมา มันมีเหรียญโบราณที่จักใช้ควบคุมยับยั้งพลังของเทพวิญญาณอยู่

แต่ภาพทับซ้อนดังกล่าว ที่เผ่ามนุษย์ตระเตรียมการเอาไว้ บัดนี้ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว นี่ย่อมหมายความว่ากู่ฉิงซานสูญสิ้นโอกาสที่จะได้รับเหรียญโบราณ

หากไม่มีเหรียญนั่น มันจะส่งผลกระทบมากมายเพียงใดกันหนอต่อกระบวนการในขั้นต่อไป?

กู่ฉิงซานไม่อาจคาดเดาได้เลย

รอบกายเขา คล้ายกับว่ามีหมอกหนาอันเย็นเยียบ ท่วมทับอยู่ในความว่างเปล่า

ใบหยกว่ายเวียนโลกสวรรค์ยังคงส่งพลังออกมา ชักนำเขาอย่างไม่หยุดยั้ง ฝ่าหมอกหนาออกไป

กู่ฉิงซานหลบเลี่ยงบรรดายุคภาพทับซ้อน บินไปตามเส้นทางพิเศษ เพื่อพบเจอกับช่วงเวลาต่อไป ที่ถูกจัดเตรียมไว้โดยเผ่าพันธุ์มนุษย์

นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง

เพราะไม่มีใครเลยที่สามารถช่วยเขาได้

กู่ฉิงซานเงียบงันไปนาน แล้วจู่ๆ เขาก็กัดฟัน ดึงดาบยาวออกมา

รังสีดาบกะพริบไหวในคราวแรก

เพล้ง!

บังเกิดเสียงปริร้าวที่ดังฟังชัด

ใบหยกว่ายเวียนโลกสวรรค์ถูกแทงโดยดาบของเขา แยกกระจายเป็นชิ้นไปทั่วฟ้า

หลังจากนั้นพลังงานจากใบหยกก็หายไป

หากปราศจากซึ่งพลังงานจากใบหยก กู่ฉิงซานก็ต้องจมอยู่ในส่วนลึกของหมอกหนาแห่งห้วงกาลเวลา

แต่เขายังคงบินต่อไป บินข้ามผ่านยุคภาพทับซ้อนนับไม่ถ้วน

โดยที่ใบหน้าของเขาช่างสงบเฉยชา ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ

เขาปล่อยตัวเองให้จมลงสู่หนทางที่ไร้จุดหมาย

ทันใดนั้นเอง เขาก็ตกเข้าไปในยุคภาพทับซ้อนธรรมดาๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง

นี่ย่อมเป็นการสุ่มโดยสิ้นเชิง กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเอง ก็ไม่ทราบว่าเขากำลังเข้าสู่ยุคโบราณในช่วงเวลาใด

ณ ผืนดินอันแห้งแล้ง

พระอาทิตย์สีแดงเข้มร่วงลงมาอยู่ในเส้นขอบฟ้า สะท้อนแสงและเงาจนเมฆแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

พระอาทิตย์ค่อยๆ ตกลง หายลับไปตามเส้นขอบฟ้า

ท่ามกลางซากปรักหักพัง กู่ฉิงซานปรากฏกายขึ้น

เขาค้นพบว่าตนเองหยั่งเท้าลงบนสระเลือด

เหลียวมองไปตลอดรอบทิศทาง

พบว่ามันระเกะระกะไปด้วยแขน ขา และโครงกระดูกในสภาพไม่สมประกอบมากมาย

นี่คล้ายกันกับโรงเชือดของเผ่าพันธุ์มนุษย์เลย

แต่ไม่น่าจะใช่ เพราะดูได้จากร่องรอยของโครงกระดูกเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่ามันถูกกวาดล้างโดยมอนสเตอร์บรรพกาล

มอนสเตอร์บรรพกาลได้กินอาหารมื้อนี้จนเต็มอิ่ม และจากไปตั้งนานแล้ว

กู่ฉิงซานหยุดยืนอยู่ในจุดนั้น ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป ตรวจสอบตลอดทั้งสี่ทิศอย่างละเอียด

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ในยุคโบราณช่วงเวลาใด ดังนั้นจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลทันที แล้วก็ค่อยตัดสินสถานการณ์ด้วยตัวเอง

ฉานนู่ปรากฏกายขึ้นจากในความว่างเปล่า

เธอก้มลงมองเลือดสีดำแดงบนพื้นดิน และตกใจกับซากสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น

เพราะแม้กระทั่งในนรก ฉากเช่นนี้ก็ยากนักที่จะพบเห็น

“นายน้อย เหตุใดท่านต้องทำลายใบหยกด้วย? หากพวกเราสูญสิ้นการนำทางของใบหยก พวกเราจะไม่สามารถค้นหาดาบนภาได้นะ” ฉานนู่ถามด้วยความสงสัย

กู่ฉิงซานสูดลมหายใจอย่างเงียบๆ และกล่าว “ข้าทราบดีว่ามันไม่สมควรที่จะทำลายใบหยกอย่างผลีผลาม”

“นายน้อย ถ้าเช่นนั้น…”

“แต่ระหว่างทาง ข้าก็ได้ตั้งคำถามกับตัวเองขึ้น”

“คำถามอันใด?”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ว่าหากข้าเป็นเทพที่ตระเตรียมแผนการร่วมกับเทพวิญญาณในยุคโบราณเอาไว้ล่วงหน้า ในระหว่างที่กำลังทำลายภาพทับซ้อนซึ่งกุมความลับของเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้ ในขณะเดียวกันข้าจะทำอะไร”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “เห็นได้ชัดว่าหากข้าปล่อยให้ทำลายภาพทับซ้อนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดลง ข้าก็จะไม่สามารถทราบถึงข้อมูลที่เชื่อมโยงแบบเฉพาะเจาะจงเหล่านั้นได้ จะไม่มีผู้ใดสามารถค้นหาความลับสุดท้ายของเผ่ามนุษย์ได้อีกเลยตลอดกาล”

“ตราบใดที่กระทำสิ่งดังกล่าวจนบรรลุผล ความหวังทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะหายไป”

“ดังนั้น นายน้อยเลยทำลายใบหยก และไม่คิดจะเดินทางต่อใช่หรือไม่?” ฉานนู่ถาม

การแสดงออกถึงความลังเลอันหาได้ยากยิ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน

“ข้าเองก็… ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกต้องหรือไม่ แต่ขอตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาอีกครั้ง ว่าหากข้ามาจากอนาคต และพยายามจะจับตัวกู่ฉิงซาน ข้าจะทำอะไรในสถานการณ์เช่นนี้”

ฉานนู่ตะลึงงัน ตอบกลับมาอย่างเรียบง่าย “เรื่องนั้นสุดที่ข้าจะคาดเดา”

กู่ฉิงซานกล่าว “หากข้าเป็นเขา ข้าย่อมไปเจรจาต่อรองกับเทพวิญญาณโบราณในทันที เพื่อที่ให้พวกเขา หยุดการทำลายความลับของภาพทับซ้อนเป็นการชั่วคราว ขณะเดียวกันก็ซุ่มซ่อนอยู่อย่างเงียบๆ เฝ้ารอให้กู่ฉิงซานปรากฏตัวออกมา”

“ซุ่มซ่อน แม้จะเป็นวิธีการโง่เง่า แต่ในเวลาเดียวกัน มันคือวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ความหมายก็คือ เทพวิญญาณเพียงเฝ้ารอให้ศัตรูหลบหนีจนอ่อนล้า เมื่อไหร่ที่กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น ก็จักทะยานโถมโจมตีทันที ระเบิดพลังอำนาจที่เต็มเปี่ยมโค่นล้มกู่ฉิงซานลง”

ฉานนู่พอได้ยินก็สั่นสะท้าน อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “แล้วเทพวิญญาณโบราณจะรับฟังคำพูดของมันหรือ?”

กู่ฉิงซานพึมพำ “พวกมันสมควรที่จะตกลงกัน… ก่อนหน้านี้ในโลกปีศาจซี่ฉี เทพวิญญาณโบราณเองก็กำลังไล่ล่าตัวข้า นี่พอจะอธิบายได้ว่า พวกมันเองก็สนใจในความลับสุดท้ายที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทิ้งเอาไว้เช่นกัน”

เขาสรุป “ไม่น่าจะผิดแล้วล่ะ ความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซานเองก็อยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเทพวิญญาณย่อมยินยอมละทิ้งเรื่องการทำลายภาพทับซ้อนเอาไว้เบื้องหลัง เพื่อเฝ้ารอให้กู่ฉิงซานเข้ามางับเหยื่อ ตราบใดที่กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น หลังจากนั้นการจะจับตัวข้าก็เป็นเรื่องง่าย ”

ฉานนู่ถอนหายใจ “นายน้อย ข้าคิดว่าหากเป็นเช่นนั้นมันก็อันตรายเกินไป ขอให้ท่านกลับไปยังปรภพด้วยกันกับข้าเถอะ แล้วข้าจะใช้อำนาจของภูเขาล้อมเหล็ก ที่สามารถต้านทานได้แม้กระทั่งสายลมแห่งความโกลาหล ช่วยปกป้องพวกเราในนรกเอง ถึงเวลานั้น ต่อให้เป็นเทพวิญญาณก็ยังไม่กล้าที่จะเข้ามาคร่ากุมราชาภูตเช่นท่าน”

กู่ฉิงซานมองเธอ เอ่ยเสียงหม่น “ฉานนู่ เจ้ากลัวหรือ?”

ฉานนู่ส่ายหัวและกล่าว “ข้ามิได้หวาดกลัวเทพวิญญาณ หากแต่เพียงหวาดกลัวว่าพวกมันจะนำเอาจิตวิญญาณของนายน้อยไป หากเป็นในกรณีนั้น โอกาสที่นายน้อยจะได้ไปเกิดใหม่คงไม่มีอีกแล้ว”

แววตาของกู่ฉิงซานค่อยๆ อ่อนโยนลง เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

“วางใจเถอะ นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น นายน้อยของเจ้าไม่เคยหวาดหวั่นพวกขยะเหล่านี้อยู่แล้ว”

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล และเริ่มย่ำเดินไปตามสระเลือดเบื้องหน้า

ระหว่างก้าวเดิน รูปลักษณ์ของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป ปากเอ่ยพึมพำ

“ซุ่มซ่อมตัวอย่างนั้นหรือ อันที่จริง ข้าเองก็คุ้นเคยกับกิจวัตรเช่นนั้นเป็นอย่างดีอยู่แล้ว”

ตอนแรก เขากลายเป็นชายร่างใหญ่ สักพักสลับกลายเป็นชายชราผมขาว จากนั้นกลายเป็นนักบวชเต๋าเครายาว , ต่อมากลายเป็นเด็กอายุเจ็ดถึงแปดขวบ และสุดท้ายกลายเป็นวัยรุ่น

วัยรุ่นหยุดฝีเท้า มองไปตามเลือดบนพื้นดิน เพ่งไปยังซากปรักหักพังที่ยังหลงเหลืออยู่

“ด้วยรูปลักษณ์ของพวกเจ้าที่มอบมันให้แก่ข้าจากหยาดโลหิตเหล่านี้ ข้าจะขอใช้ประโยชน์จากมัน แก้แค้นให้กับพวกเจ้าเอง”

สิ้นคำประกาศกร้าว เขาก็นำฉานนู่หายไปจากซากปรักหักพัง มิอาจมองเห็นได้อีกเลย

อีกด้านหนึ่ง

ภายในหมอกแห่งห้วงกาลเวลา

ณ ภาพทับซ้อนยุคโบราณ

ตลอดทั้งสี่ทิศในภาพทับซ้อนยุคนี้ มีร่างอยู่นับไม่ถ้วนกำลังซุ่มซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า

และด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา คงมีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับสูงเช่นเดียวกันกับเซี่ยกู่หงส์เท่านั้นที่จะตรวจพบ ฉะนั้นผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจสัมผัสอะไรได้

พวกเขากำลังแฝงตัวอยู่ในความว่างเปล่าอย่างเงียบๆ เฝ้ารออย่างอดทน

แม้ว่ามันจะใช้เวลาหลบซ่อนตัวอยู่นานแล้ว แต่พวกเขาก็ยังอดทนกันเป็นอย่างมาก

แต่การรอคอย…คล้ายกับว่าจะไม่มีวันจบสิ้น

เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่พวกเขาเฝ้ารอ ไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏตัวเลย

ในที่สุด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า

“ข้าขอเดาว่า…เขาไม่น่าจะมาแล้ว”

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำปรากฏกายขึ้นในความว่างเปล่า  กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟุ้งไปด้วยความเสียดาย

เขาก้มลงมองเหรียญโบราณที่อยู่ในมือ

พบว่าอีกไม่นาน

มันก็จะสามารถเปิดใช้งานได้อีกครั้งแล้ว!!

…………………….

แม้กู่ฉิงซานจะจากไปแล้วก็ตาม

แต่ในโลกปีศาจซี่ฉี การต่อสู้บนท้องฟ้าก็ยังคงดำเนินต่อไป

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำได้กวาดแสงออกค้นหาไปทั่วทั้งโลกปีศาจ

แต่ก็ไม่พบว่ามีเผ่าพันธุ์มนุษย์หลบซ่อนตัวอยู่ในโลกใบนี้

หากอยู่ในยุครุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ บอกได้เลยว่าการค้นหาตัวกู่ฉิงซานแบบเฉพาะเจาะจง มันคงเป็นเรื่องยาก

หากแต่ที่นี่คือโลกปีศาจดึกดำบรรพ์ และตลอดทั้งโลก มันมีผู้ฝึกยุทธเพียงคนเดียวคือกู่ฉิงซาน ดังนั้นย่อมเปรียบดั่งไข่มุกขาว ท่ามกลางกองถ่านสีดำ อย่างไรก็เด่นสะดุดตา สามารถค้นหาได้โดยง่าย

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ สามารถอาศัยความผันผวนทางพลังวิญญาณจากร่างกายของผู้ฝึกยุทธ ในการตามตัวกู่ฉิงซาน

อย่างไรก็ตาม ในโลกใบนี้ ณ ปัจจุบัน เขาไม่อาจตรวจพบถึงคลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณใดๆ ได้เลย

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ นิ่งคิดตริตรอง สุดท้ายหันไปส่งสัญญาณให้แก่ร่างมนุษย์แสง

ร่างมนุษย์แสงส่งสัญญาณต่อไปให้เหล่าทวยเทพ ทั้งหมดค่อยๆ ล่าถอยกลับ

ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ออกไปจากโลกปีศาจซี่ฉี ขณะกำลังต่อกรกับกษัตริย์ปีศาจ

ฉากที่ปรากฏคือ กษัตริย์ปีศาจสามารถขับเคี่ยวกับเทพวิญญาณ สุดท้ายกดดันให้อีกฝ่ายล่าถอยไปได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่นับจากนี้เป็นต้นไป ชื่อเสียงของเขาจะต้องกึกก้องไปทั่วทั้งโลกปีศาจดึกดำบรรพ์!!

กลับมายังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำกุมเหรียญโบราณในมือ

ร่างมนุษย์แสงเมื่อเห็นถึงสิ่งนี้ มันจึงเอ่ยปาก “ตัวเหรียญชักนำเจ้า ส่งผ่านมายังภาพทับซ้อนในยุคนี้สองครั้งติดๆ กัน ดังนั้นมันจึงไม่สามารถใช้งานได้อีกเป็นเวลาชั่วคราวในตอนนี้”

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ สบถร้องในจิตใจอย่างไม่ยินยอม

‘เหตุใดข้าถึงไม่อาจหาตัวกู่ฉิงซานพบ!’

‘มันไปมุดหัวอยู่ที่ใดกัน?’

‘เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันจะออกจากโลกปีศาจซี่ฉี และไปหลบซ่อนตัวอยู่ในโลกปีศาจอื่น?’

‘หรือว่าจะออกไปจากภาพทับซ้อนยุคนี้แล้ว?’

แต่จำนวนยุคภาพทับซ้อนมันก็จำนวนอยู่มากมายเกินไป ทั้งโลกปีศาจเองก็มีอยู่นับพัน

ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใด การค้นหาก็ล้วนยากเย็น

“เพราะเหตุใดกัน? ข้าถึงยังไม่สามารถสังหารเขาลงได้เสียที” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ บ่น

“เจ้าไม่ต้องสังหารมันด้วยตัวเองก็ได้ แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

“เจ้ายังมีวิธีดีๆ หลงเหลืออยู่อีกหรือ?”

ร่างมนุษย์แสง “ในยุคโบราณ พวกเราไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ลงมือทำอะไรในช่วงเวลาสุดท้าย แต่พวกเรากระจ่างแก่ใจดีว่า ในยุคภาพทับซ้อนเหล่านี้ มันจะต้องเก็บซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้อย่างแน่นอน”

“ดังนั้นแม้เราจะไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ที่ใด แต่อย่างน้อย เราก็สามารถใช้วิธีอันหลากหลายในการตามหาจุดเชื่อมโยงที่ถูกตั้งเอาไว้ในโลกภาพทับซ้อนได้”

“ในบรรดายุคภาพทับซ้อนที่พิเศษเหล่านั้น พวกเราได้ตระเตรียมวิธีการ ‘ทำลาย’ ให้ล่มสลายลงโดยสิ้นเชิงมาเนิ่นนานแล้ว”

“ตอนนี้ เนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปที่จะทำการค้นหา ว่ามนุษย์จากอนาคตผู้นั้นอยู่ที่ใด และยังไม่ล่วงรู้ถึงความลับสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์จากปากของมัน ฉะนั้น เราจะเริ่มต้นใช้ทุกวิถีทาง เพื่อทำลายภาพทับซ้อนทั้งหมด บางทีมันอาจจะบังเอิญสามารถไปทำลายความลับที่ว่านั่นก็เป็นได้ ในกรณีนั้น พวกเราก็นับว่าได้รับชัยชนะเช่นกัน”

“หากทำเช่นนี้ ก็จะเป็นการตัดโอกาสอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง”

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ พอได้ฟัง ก็พยักหน้าไม่หยุด

นั่นสินะ หากไม่สามารถหาตัวกู่ฉิงซานได้ วิธีการที่ว่ามาก็ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ตราบใดที่กู่ฉิงซานไม่สามารถมุ่งหน้าไปสู่ปลายทางได้ ทุกอย่างก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็วางใจ จากนี้ไปข้าขอเฝ้ารออยู่เฉยๆ จนกว่าเหรียญโบราณจะใช้งานได้อีกครั้งก็แล้วกัน”

ร่างมนุษย์แสง “เจ้ายังคงต้องการที่จะสังหารมันใช่หรือไม่?”

“ใช่ ข้ามาเยือนสถานที่แห่งนี้ก็เพื่อภารกิจสังหาร เพียงแต่อยากจะเร่งให้มันเร็วขึ้นยิ่งกว่านี้ก็เท่านั้นเอง” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ กล่าว

“ตกลง ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ข้าจะไปทำลายยุคภาพทับซ้อนพิเศษเหล่านั้นทั้งหมดลงในคราวเดียว” ร่างมนุษย์แสงกล่าว

“นั่นเป็นการกระทำที่ดีที่สุดแล้ว เมื่อทุกอย่างจบลง อนาคตของเผ่าพันธุ์เทพก็จะกลับมาปลอดภัยและมั่นคงเสียที” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ ทอดถอนหายใจ

ร่างมนุษย์แสงพยักหน้ารับ และหายวับไปทันใด

อีกด้านหนึ่ง

กู่ฉิงซานกำลังเดินทางข้ามผ่านกระแสมิติ

นี่คือพื้นที่มิติเวลาอันโกลาหล สะท้อนถึงภาพทับซ้อนในยุคโบราณนับไม่ถ้วน

และมีอยู่หลายครั้งเหมือนกัน ที่กู่ฉิงซานเกือบจะชนเข้ากับภาพทับซ้อนเหล่านั้น

หากเป็นในกรณีที่ว่า เขาก็จะหลุดเข้าไปในพื้นที่มิติอื่นๆ ในยุคโบราณทันที

แต่นับว่าโชคยังดี ที่ใบหยกเป็นตัวคอยควบคุมทิศทางในกระแสมิติให้แก่เขา ชักนำตนไปยังตำแหน่งที่กำหนดไว้เสมอๆ

ในที่สุด เขาก็มาถึงยุคภาพทับซ้อนพิเศษถัดไป

ณ ภายในห้องหนังสือโบราณที่เต็มไปด้วยใบหยก

ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้น

แวบแรกที่เขาปรากฏกาย ก็มีคนคนหนึ่งดึงตัวเขาออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานมิได้เอ่ยคำใด เพียงมองหน้าอีกฝ่าย

เห็นแค่เพียงสาวกของวังสวรรค์เมฆาวิเวกที่สวมเสื้อผ้าสามัญ เร่งเอ่ยปากขณะกำลังวิ่ง “เร็วเข้า! งานประลองสาวกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เจ้าได้ลงชื่อไว้แล้วใช่หรือไม่? เหตุใดยังยืนเหม่อลอยอยู่ในห้องหนังสืออยู่อีก?”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นเพราะข้าเพิ่งจดจำไว้ว่ามีเทคนิคมนตราที่อาจนำไปใช้ได้ ดังนั้นจึงมายังห้องสมุดเพื่อค้นหามัน”

สาวกถอนหายใจ “ข้าล่ะนับถือในความมั่นใจของเจ้าจริงๆ แต่เร็วเข้าเถอะ! หากขึ้นเวทีช้าเจ้าคงจะไม่ได้ใช้มันแล้ว”

“เข้าใจแล้วๆ” กู่ฉิงซานรับคำ

ทั้งสองบินไปยังจัตุรัส แล้วก็หยุดลง

ไม่ไกลออกไป เป็นแท่นสูงที่ตั้งอยู่ใจกลางจัตุรัส

โดยมีผู้ฝึกยุทธกำลังยืนอยู่บนแท่นสูง ร่ายรำต่อสู้ด้วยเทคนิคมนตรา

ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้า หลายผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่กำลังลอยนิ่งไม่ไหวติง เฝ้าดูการประลองของสาวกเบื้องล่าง

ย่อมไม่พ้นเป็นปรมาจารย์ขุนเขาหลัก

กู่ฉิงซานกวาดตามองผ่านใบหน้าของปรมาจารย์ขุนเขาหลายคน

ก่อนที่สายตาของเขาจะสบเข้ากับลั่วปิงลี่ ปรมาจารย์ขุนเขาทำนองเสนาะ

ลั่วปิงลี่พยักหน้าให้เขาเล็กน้อย

หลังจากนั้น เสียงของเธอก็ถูกส่งมา

“ยอดเยี่ยมมาก เจ้าสามารถตัดผ่านขอบเขตที่กำหนดอย่างกระจ่างจิตเทวะได้ในภาพทับซ้อนยุคก่อนหน้า แถมยังเอาชีวิตมาได้นานจนกระทั่งสามารถยกระดับมาได้ถึงขอบเขตเบิกเนตรมิติ”

“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เหตุใดต้องยกระดับขึ้นให้ถึงขอบเขตกระจ่างจิตเทวะด้วย?” กู่ฉิงซานส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะ

ลั่วปิงลี่กล่าว “ในยุคนี้ มอนสเตอร์บรรพกาลจักเริ่มการรุกรานเป็นครั้งแรก ระเบิดโจมตีเข้าสังหารเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ผู้ฝึกยุทธนับไม่ถ้วนล้วนถูกกลืนกินโดยพวกมัน นิกายมากมายถูกทำลายล้างลง”

“แล้วจุดประสงค์ที่ข้าถูกส่งมาที่นี่ เพื่ออะไร?” กู่ฉิงซานถามต่อ

“เป็นเหรียญโบราณที่พิเศษออกไป ซึ่งอยู่ในกำมือของจ้าวบรรพกาล ซึ่งเจ้าของมันจักตกตายลงในสงครามครั้งนี้”

“เหรียญโบราณพิเศษที่ว่า มีพลังอำนาจบางอย่างที่สามารถใช้ในการควบคุมยับยั้งเทพวิญญาณได้”

“ในอดีต เหรียญนี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว ก่อนที่มันจะถูกพรากจากไปโดยเทพวิญญาณ”

“เจ้าจะต้องทำผลงานให้ดีในสงคราม และเมื่อจ้าวบรรพกาลตกตาย เจ้าจะต้องพุ่งตัวไปชิงเหรียญจากมือมันทันที และจะไม่มีใครมาหยุดยั้งเจ้าได้ในเวลานั้น เพราะข้าจะเป็นคนช่วยต้านทานการแทรกแซงของคนอื่นๆ ให้กับเจ้าเอง”

กู่ฉิงซาน “หมายความว่า ข้าจะต้องออกจากโลกใบนี้ทันที หลังจากที่ได้รับเหรียญใช่หรือไม่?”

ลั่วปิงลี่ “ถูกต้องมันคือเหรียญที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด หากเจ้าได้รับมัน จักต้องเร่งจากไปในทันที!”

“แล้วข้าจะสามารถออกไปจากภาพทับซ้อนยุคต่อไปได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ใช้ใบหยกนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าคิดจะจากไป จงถ่ายเทพลังวิญญาณเพื่อเปิดใช้งานมัน”

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างในมือของเขา

เจ้าตัวก้มหน้าลง และพบว่าปรากฏใบหยกขึ้นในมือ

รูปแบบของใบหยกนี้ไม่แตกต่างไปจากใบหยกแผ่นอื่นๆ เลย เว้นไว้แต่ สองตัวอักษรที่สลักอยู่ใจกลาง นั่นคือคำว่า ‘เซินซุ่ย’สะเทือนดั่งปรารถนา

เขาใส่ใบหยกไว้ในอกเสื้อ แล้วชิ้นเสี้ยวใบหยกก็ประกบรวมเข้ากับใบหยกอื่นๆ ทันที

ในเวลาเดียวกัน บรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นในหน้าต่างเทพสงคราม

“คุณได้รับฐานชิ้นส่วนสำคัญของใบหยก และตอนนี้ ระบบสามารถแสดงข้อมูลของมันได้แล้ว”

“ชื่อไอเท็ม ใบหยกว่ายเวียนโลกสวรรค์ (เศษชิ้นส่วน)”

“คุณภาพ พิเศษ”

“พงศาวดารวันสิ้นโลก สิ่งนี้คือความลับในบรรดาความลับ คือการตกผลึกทางภูมิปัญญาขั้นสูงสุดของผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์ และไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนทั่วไปมาก่อน”

“วิชายุทธเทพสงคราม นับจากนี้ไป คุณสามารถเรียนรู้วิธีการสร้างใบหยกว่ายเวียนโลกสวรรค์ ได้แล้ว”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่าน และไม่สนใจมันอีกต่อไป

เขาเก็บใบหยก ปากเอ่ยถาม “เหลือเวลาอีกเท่าใด กว่าที่มอนสเตอร์บรรพกาลจะบุกเข้ามา?”

ลั่วปิงลี่ “ไม่เหลือเวลาแล้ว น่าจะเป็นในตอนนี้เลย”

เปรี้ยง!

เสียงสะท้านสะเทือนขนาดใหญ่ ดังขึ้นจากทุกทิศทาง

ผืนดินสั่นระริก ตลอดทั้งขุนเขาก็สั่นไหวจนมิอาจมองได้ชัดถนัดตา

บังเกิดเสียงกรีดร้องโวยวายนับไม่ถ้วนดังขึ้น

วินาทีนั้น ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าก็หายไป

โลกทั้งใบถูกโยนลงสู่ความมืดมิด

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาพยศ ตะโกนถาม

“ผู้นำนิกายมิได้อยู่ที่นี่ ฉะนั้นพวกเราไปตรวจสอบด้วยกันเถิด” ลั่วปิงลี่กล่าว

ปรมาจารย์ขุนเขาคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย

“ส่วนงานประลองไม่จำเป็นต้องยกเลิก ให้เหล่าอาวุโสดูแลต่อแทน สาวกทั้งหมดจงทำการประลองต่อไป” ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณประกาศ

“รับบัญชา!” สาวกทุกคนน้อมรับคำ

ร่างของเหล่าปรมาจารย์ขุนเขาทะยานขึ้น ผลุบเข้าไปในความว่างเปล่า ออกไปจากช่องฟ้านิกาย

กู่ฉิงซานขยับกายตั้งท่วงท่าเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าสงครามกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า

จากนั้น ตนเองก็ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้

และด้วยพลังวิญญาณสายฟ้า ‘ฝันร้าย’ เทคนิคดาบ และขอบเขตเบิกเนตรมิติของตน ย่อมต้องสามารถสำแดงความแข็งแกร่งได้อย่างเต็มที่ โดดเด่นในหมู่มวลสาวกวังสวรรค์ได้ไม่ยาก

ทว่าเพียงแค่คิด จู่ๆ พื้นดินก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ดูเหมือนว่าการรุกรานของมอนสเตอร์บรรพกาลจักบ้าคลั่งและโหดร้ายไม่น้อย

กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ

เวลาผ่านไปอีกครั้ง

เปรี้ยง!!!

อำนาจเหลือคณาวิ่งกระแทกทะลวงช่องฟ้าทางเข้านิกาย ปะทะโครม!เข้าใส่ขุนเขารุ่งอรุณโบราณโดยตรง

ภายใต้สายตาของทุกผู้คน เห็นแค่เพียงขุนเขารุ่งอรุณโบราณถูกเป่าหายกลายเป็นซากปรักหักพังลอยฟุ้งไปทั่วฟ้า

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

นี่คล้ายว่ามีบางอย่างผิดแผกออกไป

เขาจดจำได้อย่างชัดเจน ว่าแม้จะเป็นหลังจากนี้ไปอีกหลายปี ในช่วงที่เขาพบหน้าเซี่ยกู่หงส์เป็นครั้งแรก สภาพของขุนเขารุ่งอรุณโบราณก็ยังอยู่ดี

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป จีบเข้าด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ แทรกตัวไปในฝูงชน หลบเร้นอยู่ในมุมที่ธรรมดาที่สุด

วินาทีต่อมา สองร่างก็ถูกอัดร่วงลงมาจากฟากฟ้า

โครม โครม!

ร่างดังกล่าวกระแทกเข้ากับพื้น บังเกิดเสียงอึงอลหนักทึบ

สาวกหญิงหลายคนพากันกรีดร้องออกมา

นั่นเพราะในสายตาพวกเธอ สองร่างที่ร่วงตกลงมาคือศพของปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาพยศและปรมาจารย์ขุนเขาวารีกระจ่าง!

ดวงตาของกู่ฉิงซานหดลีบลงอย่างกะทันหัน

ทั้งหมดนี่… มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?

ในยุคต่อๆ มา เห็นได้ชัดว่าสองปรมาจารย์ขุนเขา ยังมีชีวิตอยู่ชัดๆ แล้วทำไมจู่ๆ พวกเขาถึงได้ตกตายลงที่นี่?

ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง สะบัดเงยหน้าขึ้น

เห็นแค่เพียงช่องฟ้าในอากาศถูกฉีกกระชากออก

ทวยเทพนับไม่ถ้วนที่สาดแสงจรัสสุกใส และมอนสเตอร์บรรพกาลปกคลุมหนาแน่นเต็มผืนฟ้า!

บางคนตะโกนขึ้นด้วยความสิ้นหวัง “ไม่จริง! เหตุใดเทพวิญญาณจึงได้ละทิ้งพวกเรา และหันไปช่วยเหลือมอนสเตอร์บรรพกาลกัน!?”

เทพวิญญาณ!

มอนสเตอร์บรรพกาล!

ทั้งสองเผ่าพันธุ์กลับร่วมมีกันโจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์!

เรื่องราวเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

กู่ฉิงซานก้าวถอยหลังไปทีละก้าว ทีละก้าว

เขาค้นพบว่าสถานการณ์ในปัจจุบันผิดปกติอย่างยิ่ง

เขาสมควรจะหลบหนีออกไปจากภาพทับซ้อนนี้เลยดีหรือไม่?

อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ได้รับเหรียญโบราณที่สามารถใช้ควบคุมยับยั้งเทพวิญญาณเลย

มือของกู่ฉิงซานลูบไล้ใบหยกว่ายเวียนโลกสวรรค์ ลังเลอยู่พักหนึ่ง

แต่แล้วลั่วปิงลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน

ทั้งร่างของเธอปกคลุมไปด้วยเลือด เอื้อมไปคว้าจับมือของกู่ฉิงซาน

ทันใดนั้นกู่ฉิงซานพลันตระหนักได้ว่า อัตราการไหลของกาลเวลาทุกสารทิศชะลอตัวลง

มนุษย์ทุกคน กระทั่งเทพวิญญาณ หรือมอนสเตอร์บรรพกาลบนท้องฟ้า ตนแล้วตนเล่าเชื่องช้าลงราวกับภาพสโลโมชั่น

คาดว่าน่าจะเป็นลั่วปิงลี่ที่ใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง

“ข้าสามารถหน่วงเวลาได้ชั่วครู่ ฉะนั้นตอนนี้ เจ้าจงตั้งใจฟังข้าให้ดี”

เธอกล่าวอย่างรวดเร็ว “ภาพทับซ้อนยุคนี้ ได้ถูกค้นพบแล้วโดยเทพวิญญาณ และพวกเขากำลังจะทำลายที่นี่”

“เจ้าไม่สามารถฉกฉวยเหรียญโบราณได้อีกแล้ว เวลานี้ ที่เจ้าทำได้เพียงอย่างเดียวคือเร่งออกไปจากที่นี่ทันที ไปยังยุคภาพทับซ้อนต่อไป”!

“รีบหนีไปซะ!”

กู่ฉิงซานรับฟัง ก็ถ่ายเทพลังวิญญาณลงในใบหยกทันที

ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นผลุบออกมาจากใบหยก โอบอุ้มร่างกายเขาเอาไว้

ขณะที่เขากำลังจะจากไป กู่ฉิงซานก็เห็นว่าอัตราการไหลของเวลารอบตัวเขาค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ

ลั่วปิงลี่เองก็กำลังประกบสองมือประสานวิธีลับ คล้ายกำลังจะเปิดใช้งานเทคนิคเต๋าบางอย่างเช่นกัน

บังเกิดระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นโอบเข้าร่างกายของเธอ

นี่ดูเหมือนว่า ตัวเธอเองก็ตั้งใจจะหลบหนีไปจากยุคภาพทับซ้อนในปัจจุบันเช่นกัน

“เจ้าไปก่อนเลย แล้วข้าจะตามเจ้าไปทีหลัง” เธอส่งเสียงมา

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานรับคำอย่างว่องไว

แต่แล้วในจังหวะนั้นเอง บนท้องฟ้า จู่ๆ เทพวิญญาณก็สามารถตรวจพบได้ถึงความผันผวนของห้วงกาลเวลา

มันโฉบลงมาอย่างรวดเร็ว ง้างหอกในมือ และจ้วงปลายแหลมเข้าใส่ลั่วปิงลี่

มันคิดจะคร่ากุมชีวิตของเธอ!

ในความคิดของลั่วปิงลี่ ขณะนี้เธอกำลังประสานมือใช้ออกด้วยวิชาลับอยู่ และมันยังไม่สมบูรณ์ ส่วนกู่ฉิงซานก็กำลังจะจากไป นี่หมายความว่าไม่มีใครช่วยเธอได้!

ในแววตาของลั่วปิงลี่เผยให้เห็นถึงความสิ้นหวัง

ต้องรู้นะว่า ยามเมื่อกำลังใช้ออกด้วยเทคนิคมิติและเวลา ตัวเราไม่ควรจะฟุ้งซ่าน หรือมีสิ่งใดมาขัดจังหวะ มิฉะนั้นคงเกิดความล้มเหลวก่อนจะใช้งานมัน

ในขณะเดียวกัน ถ้าเธอเลิกใช้เทคนิคมิติเวลา แน่นอนว่าย่อมสามารถต้านทานการโจมตีนี้ของเทพวิญญาณได้ แต่สุดท้ายก็จำต้องพัวพันกับเทพวิญญาณ มิอาจปลีกตัวหลีกหนีไปไหนได้

ในทำนองเดียวกัน ถ้าเธอยังฝืนใช้เทคนิคมนตรามิติต่อไป เธอก็จะถูกเทพวิญญาณสังหารลงโดยตรง

ไม่ว่าจะเลือกหนทางใด จุดจบคงไม่พ้นความตาย

ในระหว่างช่วงเวลาเดือดพล่าน กู่ฉิงซานตะโกนเตือนขึ้นทันใด “จงร่ายเทคนิคมนตราต่อไป!”

ลั่วปิงลี่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ยอมเชื่อใจเขา กัดฟันร่ายเทคนิคมนตราในมือต่อไป

ขณะเดียวกัน วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็กวาดข้ามกายลั่วปิงลี่ มองตรงไปยังเทพวิญญาณ

ภายในคู่ดวงตาของเขา คล้ายกับว่ามีเงาดาบเหลืออนันต์กำลังกระชากไปมาอย่างบ้าคลั่ง

เปิดใช้งาน เนตรสะบั้นจิตวิญญาณ!

ในพริบตา เทพวิญญาณก็หายวับไปจากโลก และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในทันที

มันบังเกิดความสับสนโดยสิ้นเชิง กับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้

มันยั้งฝีเท้าเต็มกำลัง หยุดยั้งอยู่ในท่วงท่าป้องกันกลางอากาศ จ้องมองกู่ฉิงซานด้วยความเย็นชา

แต่นั่นคือสิ่งที่กู่ฉิงซานคาดหวังเอาไว้

เพราะใบหยกในมือของกู่ฉิงซาน ได้ถูกกระตุ้นใช้งานโดยสมบูรณ์แล้ว!

ใบหยกส่งเสียงฮู้ม…เบาๆ ชักนำตัวเขาหายวับไปจากชิ้นส่วนภาพทับซ้อนของมิติเวลา

ลั่วปิงลี่เองก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด เธอสับมืออย่างว่องไว เกิดเสียงฉัวะ! คล้ายกับมีดที่มองไม่เห็นกรีดอากาศ เปิดช่องว่างมิติขึ้นทันใด

แล้วเธอก็มุดเข้าไป หายวับไม่อาจค้นพบถึงร่องรอยได้อีกเลย

…………………..

ท่ามกลางท้องฟ้าสีเทาหม่น

ทั้งตะวัน จันทรา และหมู่มวลดาราได้หายไปสิ้น

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำลอยขึ้นเหนือน้ำทะเลลึก แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

“หมอกแห่งความตาย…”

เขาพึมพำเบาๆ ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่สบายใจอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

หมอกแห่งความตายจะค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ และเปลี่ยนแปลงให้เป็นสถานที่อันเหมาะสมสำหรับการเข้ามาอยู่อาศัยของมอนสเตอร์บรรพกาล

ใช่แล้วล่ะ หากเมื่อหมอกแห่งความตายปกคลุมโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ เหล่ามอนสเตอร์บรรพกาลทั้งหมดก็จะบุกเข้ามายังที่นี่

แท้จริงแล้วโลกบรรพกาล มันไม่สามารถนับรวมเป็น ‘โลก’ ได้ มันเป็นเพียง ‘กรง’ ที่มีไว้ใช้สำหรับขังมอนสเตอร์บรรพกาล เพื่อให้พวกมันปกป้อง ‘ประตู’ ก็เท่านั้นเอง

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำถอนหายใจยาว

เขาเดินทางข้ามผ่านยุคภาพทับซ้อนมานับร้อยๆ ครั้ง เพื่อค้นหากู่ฉิงซานอย่างละเอียด จนเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายวัน

และในอีกหลายวันต่อจากนั้น เทพวิญญาณโบราณตนอื่นๆ ก็ทุ่มเทพยายามอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบร่องรอยของกู่ฉิงซานได้

กระทั่งเทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ ก็ยังทุ่มเทพลังทั้งหมดที่เขามี

แต่ก็เหมือนกับตนอื่นๆ ไม่มีวี่แววว่าจะเจอตัวกู่ฉิงซานเลย

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำบังเกิดความสงสัยว่า กู่ฉิงซานอาจจะถูกกินไปแล้วก็ได้

เขาเคยเล่าถึงข้อสันนิษฐานนี้ต่อร่างมนุษย์แสงแล้วเช่นกัน มนุษย์แสงตอบว่ามันจะไปตรวจสอบเรื่องนี้กับเผ่าพันธุ์บรรพกาลในยุคภาพทับซ้อนทันที

และนี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ เวลาก็เริ่มมืดค่ำแล้ว มนุษย์แสงก็ยังไม่กลับมา

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ ดำดิ่งลงไปในห้วงทะเลลึก เพื่อทำการค้นหาอีกครั้ง

เขายังคงไม่ยอมแพ้ เฝ้าพยายามค้นหาร่องรอยของกู่ฉิงซานด้วยกำลังทั้งหมดที่มีอย่างไม่ลดละ

หนึ่งชั่วยามต่อมา

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำก็ผุดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

นั่นเพราะมันไม่มีสถานที่ใดในใต้ท้องทะเลเลย ที่จะสามารถใช้ซ่อนตัวได้

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ร่างมนุษย์แสงก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา

“ได้ความว่าอย่างไร? พวกเผ่าพันธุ์บรรพกาลว่าอย่างไรบ้าง?”

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำเอ่ยถามทันที

“พวกมันรู้แค่ว่า หลายศพที่กินไปเป็นเผ่ามนุษย์ แถมยังไม่คิดสนทนากับข้า ขับไล่ข้าออกมาโดยตรง” ร่างมนุษย์แสงกล่าวเบาๆ

“ไอ้พวกเผ่าพันธุ์โง่เง่านั่น…” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำกัดฟัน

“มันไม่สำคัญหรอก เพราะสุดท้ายอย่างไรวันสิ้นโลกก็จะมาถึงอยู่ดี เจ้าไม่จำเป็นต้องอารมณ์เสียไป” มนุษย์แสงกล่าว

“นี่มิใช่อารมณ์เสีย เพียงแต่พวกเราไม่ทราบว่ากู่ฉิงซานโดนพวกมันกินไปแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ กล่าว

“สำหรับคำถามนี้ บอกตามตรงว่ามันค่อนข้างเป็นปัญหาเล็กน้อย” ร่างมนุษย์แสงถอนหายใจ

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ปากเอ่ยกล่าว “ไม่ว่ากรณีใดๆ นี่คือยุคภาพทับซ้อน ดังนั้น พวกมันย่อมอ่อนแอกว่าข้า  มันจะเป็นการดีกว่าไหมหากเสาะหาร่องรอยของกู่ฉิงซานจากร่างของมัน”

“กล่าวเช่นนี้ เจ้ากำลังคิดกระทำสิ่งใด?” ร่างมนุษย์แสงถาม

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ “เผ่าพันธุ์บรรพกาลไร้ประโยชน์แล้ว ฉะนั้น พวกเราจะไปจับตัวผู้นำของมันมา แล้วเค้นความทรงจำ เพื่อตรวจสอบว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่ไหน”

ร่างมนุษย์แสงเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าว “แบบนั้นก็ได้ แต่เจ้ามิอาจกระทำมันได้อย่างเปิดเผย มิฉะนั้น หากกู่ฉิงซานยังคงอยู่ในยุคภาพทับซ้อนใบนี้ พวกเราก็จะไม่อาจตามหามันได้อีก เพราะเผ่าพันธุ์โบราณคงตามไล่ล่าพวกเรา จนไม่อาจเจียดเวลาตามหามนุษย์จากอนาคต”

“ข้าทราบดี พวกเราคงต้องพิจารณาเพิ่มเติม เพื่อที่จะทำให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นไปอย่างราบรื่น” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำกล่าว

สองวันต่อมา

ร่างของมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ถูกโยนลงในทะเล ค่อยๆ จมสู่ก้นบึ้งเบื้องล่าง

นี่คือร่างศพของนายพลรบแห่งเผ่าพันธุ์บรรพกาล

เหนือผิวทะเล เจ็ดถึงแปดแสงจรัสที่กำลังสาดแสง ลอยนิ่งงันไม่ไหวติง

แผนการลักพาตัวนายพลบรรพกาลของพวกเขาประสบความสำเร็จ

เก้าเทพวิญญาณลงมือโดยพร้อมเพรียง แถมยังเป็นการเปิดโจมตีอย่างกะทันหัน พวกเขาจึงสามารถโค่นนายพลบรรพกาลได้ในที่สุด

ทว่าทันทีหลังจากที่การตรวจสอบสิ้นสุดลง คำตอบที่เทพวิญญาณได้รับก็ต้องทำให้พวกเขาผิดหวัง

นั่นเพราะเผ่าพันธุ์บรรพกาล มิได้มีข่าวคราวใดๆ ของกู่ฉิงซานเลย

หลายเทพวิญญาณก้มหน้าลง ขบคิดเป็นเวลานาน

ร่างมนุษย์แสงเอ่ยปาก “เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่น่าจะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ พวกมันไม่มีทางที่จะสามารถหลบซ่อนตัวไปจากพวกเรา ยิ่งเป็นเผ่าพันธุ์บรรพกาลยิ่งแล้วใหญ่ หากกู่ฉิงซานอยู่ในเศษเสี้ยวยุคภาพทับซ้อนนี้จริงๆ มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะเล็ดลอดไปจากการค้นหาของพวกเรา”

จู่ๆ เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำก็กล่าวขึ้น “แล้วถ้าหากเขามิได้อยู่ในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เล่า?”

“นั่นเป็นไปไม่ได้ โลกอีกใบที่พวกเราสร้างขึ้น อยู่ภายใต้การควบคุมที่รัดกุมยิ่ง และพวกเราย่อมไม่มีทางปล่อยให้สิ่งมีชีวิตใดหลุดรอดเข้าไป” ร่างมนุษย์แสงกล่าว

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ “ข้ามิได้หมายถึงโลกใบนั้น หากแต่ต้องการจะสื่อว่า นอกเหนือไปจากโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แล้ว มันยังมีโลกปีศาจดึกดำบรรพ์อยู่อีกไม่ใช่หรือ?”

โลกปีศาจดึกดำบรรพ์!

ถึงจุดนี้ เทพวิญญาณตนอื่นๆ เริ่มตกใจบ้างแล้ว

จริงสิ มันเป็นไปได้มากทีเดียว ที่ผู้ฝึกยุทธจะไปหลบซ่อนตัวอยู่ในโลกปีศาจ

นี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดแล้วในปัจจุบัน

ร่างมนุษย์แสงเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าว “โลกปีศาจดึกดำบรรพ์ถูกทำลายลงจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ปัจจุบันมันกระจายตัวกลายเป็นโลกนับพัน ดังนั้น ต่อให้พวกเราและเผ่าบรรพกาลร่วมมือกันค้นหา บางทีอาจจะต้องใช้เวลากว่าที่คิด”

“เวลาไม่สำคัญ ตราบใดที่เราสามารถหามันเจอก็พอแล้ว” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำกล่าว “แต่อันดับแรก คงต้องเริ่มจากตรวจสอบข้อมูลเสียก่อน ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ในโลกปีศาจมีเรื่องราวพิเศษใดเกิดขึ้นหรือไม่…”

“เรื่องนี้ง่ายที่จะทำ การซื้อข่าวจากปีศาจเป็นสิ่งที่ง่ายดายที่สุด”

ร่างมนุษย์แสงหยิบเอาอัญมณีที่เปล่งประกายไสวออกมา และกำมันไว้ในฝ่ามือของเขา

ปากเริ่มกระตุ้นร่ายคาถา

ไม่นานนัก

ปีศาจเขี้ยวตะปบที่มีขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

เพียงหยั่งเท้าลงกลางอากาศ ปีศาจเขี้ยวก็กวาดสายตามองอัญมณี เพ่งมองมันด้วยความระมัดระวังทันที

“อัญมณีนี่เป็นของดี ข้ายอมรับมัน ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการล่วงรู้สิ่งใด ขอแค่เพียงเอ่ยถาม” ปีศาจเขี้ยวกล่าว

เมื่อไม่นานมานี้ มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในโลกปีศาจหรือไม่?” ร่างมนุษย์แสงเอ่ยถาม

“เหตุการณ์ใหญ่? ทุกๆ วันในรอยต่อเขตชายแดนก็มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว ไหนจะเรื่องสมบัติอีก ท่านสมควรลงรายละเอียดให้มากกว่านี้” ปีศาจเขี้ยวกล่าว

“เมื่อเร็วๆ นี้ มีอะไรแปลกๆ แปลกชนิดเป็นประวัติการณ์ สั่นสะเทือนทั้งโลกปีศาจเกิดขึ้นบ้างหรือไม่?” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำชิงถาม

ปีศาจเขี้ยวกล่าวโดยไม่ลังเล “โอ้ หากเป็นในกรณีที่ว่าก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง”

“จงเร่งบอกมา!”

ปีศาจเขี้ยวกลั้วคอและกล่าว “มีกษัตริย์ปีศาจตนหนึ่ง ได้ทำการผสานรวมโลกปีศาจกว่าสิบเอ็ดใบเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาอันสั้น และสิ่งที่แปลกก็คือ กษัตริย์ปีศาจตนนั้นมิได้ริเริ่มก่อสงครามแต่อย่างใด ทว่ากลับสามารถฉกชิงแหล่งกำเนิดธาตุจากโลกปีศาจตนอื่นๆ มาไว้ในกำมือได้”

“ที่แปลกยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ไม่มีกษัตริย์ปีศาจ หรือราชาภูตตนใดกล้าที่จะคิดล้างแค้นเขา ทั้งพวกมันยังปิดหูปิดตา ราวกับไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”

“นอกจากนี้ ในสถานที่ชื่อว่าโลกปีศาจของซี่ฉี เมื่อไม่นาน มีข่าวแว่วมาว่าได้เกิดทัณฑ์สวรรค์ขึ้นมากกว่า ‘สาม’ ครั้ง”

“พวกท่านทราบเกี่ยวกับทัณฑ์สวรรค์หรือไม่? มันคือสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์จักต้องพบเผชิญ ซึ่งนี่ไม่นับรวมกษัตริย์ปีศาจและราชาภูต แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดทัณฑ์สวรรค์จึงไปปรากฏขึ้นที่โลกปีศาจ”

“ข้าถึงขั้นทุ่มเค้นถามกษัตริย์ปีศาจตอนเมามายมาแล้ว”

“แต่กษัตริย์ปีศาจก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าเขามิใช่มนุษย์ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้รับข้อมูลที่มีค่าอื่นใดอีก”

เหล่าทวยเทพรับฟังอย่างตั้งใจ

“ย่อมเป็นเขา” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ กล่าวเสียงต่ำ

ร่างมนุษย์แสงกล่าวทันที “เราต้องการคาถาเข้าสู่โลกปีศาจซี่ฉี”

ปีศาจเขี้ยวอึ้งงันไปชั่วครู่ สุดท้ายยินยอมบอกคำร่ายคาถาไป

ร่างมนุษย์แสง เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ และเทพวิญญาณตนอื่นๆ เริ่มพากันเปล่งคำร่ายคาถาพร้อมกัน

ในเสี้ยววินาที พวกเขาทั้งหมดก็หายวับไปจากโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

ในสถานที่เดิม เหลือเพียงปีศาจเขี้ยวถูกทิ้งเอาไว้

ปีศาจเขี้ยวก้มลงมองท้องทะเลที่ว่างเปล่า จากนั้นเหลียวไปมองศพเผ่าบรรพกาลที่กำลังจมลง ก็เริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา

มันสบถ “บ้าจริง ข้าเพียงแค่ต้องการขายข่าว แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการชักนำหายนะมาเยือนเสียแล้ว”

“แบบนี้ไม่ดีแน่ คงต้องรีบหาที่หลบซ่อนตัวทันที”

มันกุมอัญมณีไว้ในมือ และเจาะตัวหายเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า

ณ โลกปีศาจซี่ฉี

พระราชวังถูกสร้างขึ้นมาใหม่อย่างโอ่โถงและงดงาม

นี่คือที่พำนักของกษัตริย์ปีศาจ

อย่างไรก็ตาม เวลานี้ กู่ฉิงซานมิได้อยู่ในพระราชวัง

แต่เขาอยู่ในบาร์ชนบท ซึ่งห่างออกมาจากพระราชวังกว่าหลายร้อยลี้

กู่ฉิงซานกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ดื่มด่ำไปกับไวน์ของโลกปีศาจ

ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง

กู่ฉิงซานวางขวดลง ตบลงในถุงสัมภาระอย่างไม่ลังเล และหยิบกล่องหยกออกมา

กล่องหยกถูกเปิดออก ใบหยกถูกยกขึ้น สองมือค่อยๆ กุมมันอย่างแผ่วเบา

หลังเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดนี้ กู่ฉิงซานก็เดินออกจากบาร์ เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า

เห็นแค่เพียงเจ็ดถึงแปดแสงจรัสกำลังลดระดับลงมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป

เป็นเทพวิญญาณ!

เทพวิญญาณได้เดินทางเข้าสู่โลกปีศาจแล้ว!

รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่พิเศษออกไปของเหล่าทวยเทพ โลกปีศาจทั้งใบก็พลันถูกโยนลงสู่ความสับสนวุ่นวาย

เสียงคำรามด้วยความโกรธดังออกมาจากพระราชวังของกษัตริย์ปีศาจ

“เทพวิญญาณตัวร้าย! เหตุใดพวกเจ้าจึงย่างกรายเข้ามาในโลกปีศาจ!?”

กษัตริย์ปีศาจที่สวมชุดเกราะ และหลายสิบปีศาจทรงอำนาจพลันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที

เนื่องจากนี่มิใช่เป็นมอนสเตอร์บรรพกาลบุกเข้ามา แต่เป็นเพียงเทพวิญญาณแค่ไม่กี่ตน ดังนั้นพวกมันหาหวาดกลัวไม่!

บนท้องฟ้า เสียงเปี่ยมบารมีของเทพวิญญาณดังขึ้น

“กษัตริย์ปีศาจ จงอย่าได้ขัดขวางเราเทพวิญญาณ มิฉะนั้นเจ้าจะต้องพบเผชิญกับชะตากรรมที่มิอาจคาดเดาได้!”

ระหว่างกล่าว เหล่าทวยเทพก็เริ่มเปิดฉากโจมตีทันที

ลอบโจมตีอย่างกะทันหัน สมกับที่เป็นตัวโกงโดยแท้

กู่ฉิงซานปะปนอยู่ในฝูงปีศาจ เฝ้าชมการต่อสู้บนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ

คาดว่าคงจะเป็นทัณฑ์สวรรค์ ที่ได้เปิดโปงสถานะมนุษย์ของเขา

หลังจากเสร็จสิ้นการยกระดับขอบเขตใหญ่ไปกว่าสามครั้ง และผสานรวมโลกเข้าด้วยกันไปนับสิบใบ ตัวตนของเขาจึงถูกเผยออกมา

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กู่ฉิงซานไม่ได้มีตำแหน่งเป็นกษัตริย์ปีศาจ

เขาประเมินการผสานรวมโลกปีศาจต่ำเกินไป ไม่คาดคิดว่ามันจะก่อให้เกิดปีศาจที่ทรงพลังยิ่งกว่าขึ้น

ดังนั้น ณ ตอนนี้ กษัตริย์ปีศาจในโลกใบนี้จึงไม่ใช่เขา

ทว่ากู่ฉิงซานก็ยังคงสามารถอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ได้ เนื่องจากผลงานอันใหญ่หลวงที่เขาได้กระทำต่อโลกปีศาจ

เขาเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจที่มีพลังต่ำต้อย หลบเร้นออกจากสายตาของปีศาจตนอื่นๆ

ในเวลานี้ กู่ฉิงซานกำลังเฝ้ามองดูเทพวิญญาณบนท้องฟ้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง

มองไปยังกษัตริย์ปีศาจที่กำลังต้านทานร่างมนุษย์แสงและเจ็ดถึงแปดเทพวิญญาณ

สลับไปมองเทพวิญญาณที่บนหน้าผากลุกไหม้ไปด้วยเปลวไฟทองคำ

ซึ่งตนนี้แตกต่างออกไป มันมิได้เข้าร่วมการต่อสู้ ทว่ากำลังสาดเส้นแสงไสวออกมา กวาดลงบนพื้นดิน คล้ายกำลังตรวจสอบบางอย่าง

กู่ฉิงซานเฝ้ามองมันอย่างรอบคอบ พยายามสัมผัสพลังบนร่างกายของมัน และได้ข้อสรุปว่า

แข็งแกร่งเกินไป…

แม้ว่าตนจะประสบความสำเร็จ ยกระดับขึ้นสู่ ‘ขอบเขตเบิกเนตรมิติ’ แล้วก็ตามที แต่ก็ยังห่างชั้นกับฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี

กู่ฉิงซานส่ายหัวด้วยความเสียดายเล็กน้อย

ตนเองจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น อาจต้องยิ่งกว่าเซี่ยกู่หงส์ จึงค่อยมอบความปราชัยให้แก่ฝ่ายตรงข้ามได้

หมายความว่า…ยังต้องการเวลาอีกมาก…

กู่ฉิงซานถอนสายตาของเขา

ในระหว่างที่ปีศาจทั้งหมดหลั่งไหลออกจากบาร์ กู่ฉิงซานกลับทำตรงกันข้าม เขาเดินกลับไป และหยิบขวดไวน์ปีศาจขึ้นมา

เขาเดินไปแอบที่มุมหนึ่ง ซ่อนตัวชั่วคราวโดยใช้ค่ายกลปกปิด

ยกขวดกระดกขึ้นดื่มไวน์อีกรอบ กู่ฉิงซานจึงค่อยเอื้อมมือไปสัมผัสลงบนใบหยก

ผนึกบนใบหยกถูกทำลาย กระจายหายไปในทันใด

ใบหยกสัมผัสได้ถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณที่เกินกว่าข้อที่กำหนดไว้ของกู่ฉิงซาน

จึงบังเกิดระลอกคลื่นกระจ่างใสแผ่ออกมา โถมเข้าปกคลุมกู่ฉิงซาน และชักนำตัวเขาออกไปจากโลกปีศาจอย่างเงียบๆ

ไม่สิ ไม่น่าจะเรียกว่าหายไปจากโลกปีศาจ

แต่ภายใต้การชักนำของใบหยก เขาได้ออกไปจากภาพทับซ้อนยุคโบราณนี้ เดินทางข้ามผ่านห้วงมิติเวลา มุ่งหน้าสู่ภาพทับซ้อนลับต่อไปของเผ่าพันธุ์มนุษย์

และกระบวนการทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นในบาร์ที่อยู่ห่างจากวังปีศาจไปหลายร้อยลี้

ด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่มีเทพวิญญาณตนใดสามารถตระหนักได้ถึงมัน…

………………..

สายใยกฎเกณฑ์ถูกโยนออกไปโดยกู่ฉิงซาน ละลายหายไปในความว่างเปล่า

ลม สายฟ้า แสง ความมืด และเสียง ห้ากฎเกณฑ์จากโลกปีศาจกระดูก ค่อยๆ จมลึกลงสู่กฎเกณฑ์ของโลกปีศาจซี่ฉี เริ่มส่งสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อโลกทั้งสองใบ

ในช่วงแรกเริ่ม มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น

มีแค่เพียงปีศาจจำนวนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ที่รับรู้ได้ถึงคลื่นความผันผวนจากการต่อสู้

รอบๆ ซากปรักหักพังของพระราชวัง ถูกรุมล้อมไปด้วยปีศาจที่มาคอยสังเกตสถานการณ์

ปีศาจตนแรกที่มาถึง ได้บอกเล่าเหตุการณ์ที่กษัตริย์ปีศาจซี่ฉีลงทัณฑ์ทรมานราชาภูตกระดูก

ทุกคน ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า กษัตริย์ปีศาจซี่ฉี จะสามารถมอบความพ่ายแพ้แก่ราชาภูตกระดูกได้อย่างกะทันหัน

เนื่องจากโลกปีศาจของซี่ฉี คือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของปีศาจจากหลากหลายโลก ดังนั้นข้อมูลนี้จึงถูกส่งต่อออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นาน โลกปีศาจจำนวนมากก็ได้รับทราบถึงข่าวนี้

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ฉากอันงดงามก็เริ่มปรากฏขึ้น

เหล่าปีศาจตะโกนโวยวายด้วยความตื่นตระหนก

กู่ฉิงซานกับฉานนู่เองก็เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า

เห็นแค่เพียงแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

แผ่นดินกว้างใหญ่ค่อยๆ เลื่อนลงมาอย่างเงียบๆ ตกลงไปในเส้นขอบฟ้าโลกปีศาจของซี่ฉี

ครืน…

ภายใต้สายตาของปีศาจนับไม่ถ้วนที่กำลังจับจ้อง แผ่นดินและโลกปีศาจของซี่ฉีประกบติดเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

ตามต่อด้วยการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์บังเกิดขึ้น

ที่เท้าเบื้องล่างของกู่ฉิงซาน ปรากฏอัญมณีที่เปล่งประกายกระจ่างใสผุดขึ้นมาจากพื้นดิน

“นี่มันต้นกำเนิดสมบัติ! เป็นเพชรปีศาจ!”

หนึ่งในฝูงชนร้องตะโกนออกมา

นี่คือสกุลเงินที่หาได้ยากและมีมูลค่ายิ่ง มักใช้จับจ่ายกันในโลกปีศาจ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้กระตุ้นความสามารถทางพลังวิญญาณ และสำแดงเทคนิคมนตราอันทรงพลังได้อีกด้วย

ต้องทราบนะว่าเดิมที โลกปีศาจของซี่ฉีนั่นแห้งแล้งอย่างเห็นได้ชัด มันจึงผู้ใดคิดแก่งแย่ง ทว่าหลังจากทำการผสานรวมเข้ากับโลกของปีศาจกระดูก แหล่งกำเนิดของโลกก็อุดมสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ทั่วทุกมุมโลก ปรากฏสิ่งแปลกๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดินมากมาย บางครั้งในความว่างเปล่าก็เช่นกัน

พวกปีศาจที่มามุงดูเริ่มกระจายตัว และปล้นชิงสมบัติของโลกปีศาจใบนี้

เพียงครู่เดียว ตลอดทั้งโลกปีศาจของซี่ฉีก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย

“นายน้อย พวกเขากำลังปล้นขุมทรัพย์ของโลกใบนี้” ฉานนู่เอ่ยเตือน

“อืม”

กู่ฉิงซานตอบรับส่งๆ ขณะที่สมาธิส่วนใหญ่ของเขายังคงมุ่งไปกับการรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างระมัดระวัง

ฉานนู่กล่าวอย่างไม่ยินยอม “นายน้อย ตอนนี้ท่านคือกษัตริย์ปีศาจของโลกใบนี้นะ นั่นหมายความว่าสมบัติเหล่านั้นสมควรตกเป็นของท่าน”

กู่ฉิงซาน “มันไม่เป็นไรหรอก จะช้าจะเร็ว พอผสานรวมโลกปีศาจใบต่อไป เดี๋ยวของพวกนี้ก็มีมากขึ้นเอง ดังนั้นตอนนี้ต่อให้พวกมัน-”

กู่ฉิงซานกระตุกไปอย่างกะทันหัน บนใบหน้าเริ่มปรากฏร่องรอยของความสุข

“ข้าสัมผัสได้! สัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งกำลังพุ่งทะยานขึ้น!” เขาบ่นพึมพำ

แหล่งกำเนิดของโลกกำลังตอบสนองต่อร่างกายกู่ฉิงซาน

ซึ่งนั่นหมายความว่า โลกใบนี้ได้ยอมรับถึงสถานะตัวตนของเขาแล้ว!

เหมือนกับที่ฉานนู่ได้กล่าวเอาไว้ ว่าการผสานรวมโลกเข้าด้วยกัน มันย่อมช่วยให้เขาได้รับผลประโยชน์ และตอนนี้ ตัวตนของเขาอยู่ในสถานะกษัตริย์ปีศาจซี่ฉี ดังนั้นโลกใบนี้จึงยินยอมมอบพลังงานจากแหล่งกำเนิดให้เขาเล็กน้อย

กู่ฉิงซานเร่งส่งดิสก์ค่ายกลให้แก่ฉานนู่อย่างรวดเร็ว

“ฉานนู่ จงรับหน้าที่เป็นธรรมพิทักษ์ให้แก่ข้า”

“เจ้าค่ะ นายน้อย”

พอรับคำ ฉานนู่ก็เริ่มจัดวางค่ายกลป้องกันทีละชั้น ทีละชั้น

เธอจัดวางหลายค่ายกลป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดภายในลมหายใจเดียว จากนั้นสองมือก็คว้ากุมดาบขุนเขาเทวะและเช่าหยิน หยุดยืนหยัดอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานปิดตาลง และเริ่มชักนำร่องรอยของพลังงานจากแหล่งกำเนิด นำมันมาใช้ยกระดับญฐานวรยุทธของเขา

พลังวิญญาณของเขาในเวลานี้ช่างสงบและเงียบงัน ไม่มีความผันผวนใดๆ เปรียบดั่งแหล่งน้ำใต้ฝนยามค่ำ ระดับของมันค่อยๆ สูงขึ้นอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานกดมือลงบนถุงสัมภาระ ทำการเลือกเทคนิคฝึกยุทธขอบเขตดาราโกลาหลจากใบหยกขนาดใหญ่ยักษ์ที่เซี่ยกู่หงส์เตรียมเอาไว้ให้ เริ่มจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญาณทันที

ชั่วพริบตาเดียว กระบวนการทั้งหมดที่ใช้ในการทะลวงอุปสรรคของขอบเขตดาราโกลาหลก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา

สมาธิของกู่ฉิงซานจมอยู่กับเทคนิคฝึกยุทธ ขับเคลื่อนพลังวิญญาณมุ่งเข้าสู่ตันเถียน

ไม่นาน

เขาก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตดาราโกลาหลขั้นกลาง!

อีกพักหนึ่ง

ก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตดาราโกลาหลขั้นปลาย!!

…ในไม่ช้า เขาก็เกือบที่จะตัดผ่านจากดาราโกลาหล ยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตหวนคืนสู่ศูนย์

แต่พลังวิญญาณก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเกิดการปั่นป่วนแต่อย่างใด

สาเหตุแน่นอนว่าย่อมเกิดจากพลังงานแหล่งกำเนิดของโลก ที่ช่วยให้สภาวะร่างกายและจิตวิญญาณของกู่ฉิงซานสงบ พรั่งพร้อม มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง

สรุปว่าเขาสามารถดำเนินการตัดผ่านต่อได้เลย!

กู่ฉิงซานทดลองปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ และค้นพบว่า การรับรู้ของตนที่เกี่ยวข้องกับโลกกำลังขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งอย่างชัดเจนมากขึ้นกว่าที่เห็นในสายตา

นี่นับว่าเป็นข่าวดี

เพราะสองท่าร่างสกิลเทวะของเขา มันล้วนต้องอาศัยระยะพิสัยของจิตสัมผัสเทวะในการใช้งาน

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

นางเซียนไป่ฮั่วสามารถยกระดับได้ด้วยความเร็วสูง อย่างหนึ่งก็เพราะเธอครอบครองพรสวรรค์สูงลิ่วโดยกำเนิด สูงจนกระทั่งเทพวิญญาณก็ยังรู้สึกริษยา แต่ในทางกลับกัน มันก็หนุนเสริมมาจากการผสานรวมโลกหลายใบด้วยเช่นกัน

ซึ่งนี่คือกลยุทธ์ที่กู่ฉิงซานนำมาใช้ดัดแปลง หลังจากที่ถูกชายชรากำชับว่าต้องยกระดับสู่ขอบเขตกระจ่างจิตเทวะให้จงได้ เขาคิดอยู่นานจนได้ข้อสรุปว่า วิธีการยกระดับที่ไวที่สุด ย่อมไม่พ้นทำการผสานโลก และอาศัยพลังงานแหล่งกำเนิดโลกที่เพิ่มพูนขึ้น เกื้อหนุนตนให้สามารถตัดผ่านไปยังระดับถัดไป!

ในเวลานี้ ตลอดทั้งโลกปีศาจของซี่ฉี บังเกิดเสียงระเบิดโห่ร้องดังสนั่นขึ้นเป็นระยะๆ

ปีศาจในโลกเติบโตขึ้น ความแข็งแกร่งของพวกมันถูกส่งเสริมขึ้นอย่างรวดเร็ว

โลกปีศาจทั้งใบ ทรงพลังยิ่งกว่าเก่าก่อน

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในสถานที่เดิม มุมปากค่อยๆ ผุดยิ้ม

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมรอยยิ้มของตนเอง จนในที่สุดก็หลุดปากหัวเราะออกมา

“นายน้อย เกิดอะไรขึ้น? มีเรื่องใดน่าตลกงั้นหรือ?” เธออดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม

“ฉานนู่ เจ้าทราบหรือไม่ ว่าหากทัณฑ์สวรรค์เริ่มต้นขึ้น ไม่ว่าจะกษัตริย์ปีศาจ หรือราชาภูต ก็ล้วนต้องถูกระงับพลังลง ส่งผลให้สามารถปลดปล่อยอำนาจได้เพียงในขอบเขตที่ทัณฑ์สวรรค์เป็นตัวกำหนดเท่านั้น โดยมันจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าข้าเพียงเล็กน้อย”

“เรื่องนี้ข้าทราบ นายน้อย”

“ด้วยหนทางนี้เอง พวกมันจึงไม่มีทางเขาชนะข้าได้ ข้าไม่จำเป็นต้องระมัดระวังใดๆ เพราะปีศาจทุกตัวต่างก็ล้วนอ่อนแอเหมือนกันหมด ไม่ต้องพะวง คิดหาวิธีการเอาชนะสงคราม”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ด้วยวิธีนี้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเร่งวิ่งวุ่นไปรอบๆ ขอเพียงเริ่มเปิดทัณฑ์สวรรค์โดยตรง พวกเขาก็จะถูกลากมาหาข้าด้วยตัวเอง จากนั้น ข้าก็จะใช้พลังที่เหนือกว่า คร่ากุม แล้วบีบบังคับให้พวกมันนำแหล่งกำเนิดธาตุจำเพาะทั้งห้า มามอบให้ กลยุทธ์นี้ช่างรวบรัดและรวดเร็ว เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”

ฉานนู่ที่รับฟังอยู่ข้างๆ ตะลึงลาน

กู่ฉิงซานกำหมัดแน่น ปากอ้าตะโกน “ทัณฑ์สวรรค์จริงๆ แล้วช่างมีประโยชน์โดยแท้ ข้าจะใช้โอกาสนี้ ปล้นแหล่งกำเนิดโลกของกษัตริย์ปีศาจ และราชาภูตทั้งหมดเอง!”

ฉานนู่เหม่อมองกู่ฉิงซาน กล่าวด้วยความลังเลว่า “นายน้อย…ทัณฑ์สวรรค์มิได้มีไว้ให้ใช้ฉกฉวยผลประโยชน์เช่นนั้น”

“ไม่ต้องพูดแล้ว พวกเรามาทำให้เห็นกับตาเลยดีกว่าในตอนนี้”

กู่ฉิงซานกล่าว เขารีดเค้นพลังวิญญาณเต็มพิกัด เพื่อกระตุ้นกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้การผสานโลกยังไม่เสร็จสมบูรณ์ กฎเกณฑ์ฟ้าดินเลยไม่สามารถสร้างหายนะโทษทัณฑ์ขึ้นมาได้

หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ

โลกทั้งใบมันไม่ตอบสนองต่อการยกระดับของเขา

ส่งผลให้กู่ฉิงซานสามารถอาศัยโอกาสนี้ ตัดผ่านยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตต่อไปได้เลยตรงๆ โดยไม่ต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ของดาราโกลาหล

นี่เป็นสถานการณ์ที่นับว่าหาได้ยากยิ่ง

กู่ฉิงซานขบคิดสักพัก ก็เข้าใจ

เขาจึงค่อยเก็บรวบรวมพลังวิญญาณที่ปะทุจากทั้งร่างกลับคืน ยังไม่คิดตัดผ่านมันชั่วคราว

เพราะตามกลยุทธ์ของเขา หากไม่มีทัณฑ์สวรรค์ กษัตริย์ปีศาจกับราชาภูตก็จะไม่มา นั่นหมายความว่าตนเองจะไม่สามารถปล้นแหล่งกำเนิดธาตุจำเพาะทั้งห้าจากโลกปีศาจอย่างรวดเร็วได้

อย่ามาล้อเล่นนะ ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ จะให้เขาไปเรียกพวกมันมาสู้ด้วยทีละตัวรึไง?

รอไปก่อนเถอะ ไม่น่าจะนานเกินไป

อาศัยประโยชน์จากทัณฑ์สวรรค์นี่แหละ เป็นวิธีการที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดแล้ว

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในจุดเดิมอย่างสงบ เฝ้ารอคอยการผสานรวมโลกสิ้นสุดลง

ตัวเขาในเวลานี้ ปรารถนาสุดหัวใจที่จะเริ่มต้นทัณฑ์สวรรค์

ช่วงระหว่างที่รอคอย เขาก็ตระหนักได้ถึงบางอย่างขึ้นทันใด

สถานที่อยู่ของดาบนภา ยิ่งนาน ก็ยิ่งคล้ายว่าจะเริ่มชัดเจน

กระทั่งเป้าหมายของมอนสเตอร์บรรพกาลและเทพวิญญาณ กู่ฉิงซานก็ยังสามารถล่วงรู้ถึงมันได้แล้วเช่นกัน

ไหนจะผลลัพธ์จากการผสานรวมโลกปีศาจ ที่สามารถยกระดับฐานวรยุทธของตัวเองได้อีก

ตอนนี้ หลายหลากเหตุการณ์ที่แต่เดิมมืดมัวในจิตใจของเขา เริ่มกระจ่างขึ้น

ถ้าอย่างงั้นละก็…

กู่ฉิงซานมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม สายตาเบนลงไปตรงหนึ่งในไอคอน

ซึ่งไอคอนนี้พิเศษกว่าอันอื่นๆ เป็นอย่างยิ่ง มันเกิดขึ้นจากในสถานการณ์ที่เขาคิดหมายมั่นที่จะต่อสู้ด้วยคมดาบ

เป็นไอคอนในส่วนของ ‘ภารกิจเทพสงคราม’

ในโลกสมบัติของทริสเต้ ครั้งหนึ่งกู่ฉิงซานเคยเปิดใช้งาน ‘ภารกิจแห่งโชคชะตา’ และทำการอัปเกรดมัน จนเปลี่ยนแปลงมาเป็น ‘ภารกิจเทพสงคราม’

‘ภารกิจเทพสงคราม’ จะพิเศษยิ่งกว่า มันไม่เพียงแต่มอบรางวัลระดับสูงให้เท่านั้น แต่ในระหว่างภารกิจ มันยังมอบสกิลสนับสนุนให้แก่เขาอีกด้วย

ครั้งล่าสุด กู่ฉิงซานได้รับ ความสามารถ ‘สั่งสมแต้มพลัง’ ซึ่งช่วยให้เขาสามารถเพิ่มพูนความสามารถในการโจมตีของสกิลได้

แม้ว่าความสามารถที่โคตรจะมีประโยชน์นี้ จะหายไปหลังจากที่เขาบรรลุภารกิจ แต่ทว่า ‘สั่งสมแต้มพลัง’ ก็นับว่ามีบทบาทอย่างใหญ่หลวงในการต่อสู้

และตอนนี้ เงื่อนไขทุกอย่างเหมือนจะสุกงอมแล้ว…

มันได้เวลาที่ตัวเขาจะเปิดใช้งานฟังก์ชันภารกิจเทพสงครามอีกครั้ง!

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึกและกล่าว “ระบบ เริ่มทำการปล่อยภารกิจเทพสงครามได้”

หน้าต่างเทพสงครามส่องสว่างขึ้นทันใด

ตัวเลือกภารกิจเทพสงครามปรากฏขึ้นใจกลางหน้าต่าง

สามบรรทัดแสงหิ่งห้อยผุดขึ้นเบื้องล่างของภารกิจ

“ดาบยาวของคุณ คือเป้าประสงค์ของระบบ”

“ภารกิจเทพสงครามกำลังจะถูกเปิดใช้งาน โปรดตั้งเป้าหมายสุดท้ายของภารกิจด้วย”

“คำอธิบาย เป้าหมายภารกิจยิ่งยากเท่าใด กระบวนการระหว่างภารกิจก็จะยิ่งซับซ้อน แต่ขณะเดียวกัน อำนาจในการใช้แต้มพลังวิญญาณของคุณก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น”

กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เป้าหมายภารกิจของพวกเราคือ การได้รับดาบนภา”

บนหน้าต่างเทพสงครามหยุดไปชั่วลมหายใจ

จากนั้น บรรทัดข้อความที่เกี่ยวข้องกับภารกิจก็ปรากฏขึ้น

“ตามข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับทราบ ตอนนี้ ภารกิจเทพสงครามได้รับการอนุมัติเปิดตัวแล้ว”

“คำอธิบายภารกิจ นี่คือโศกนาฏกรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคโบราณ มอนสเตอร์บรรพกาลและเทพวิญญาณได้ทำข้อตกลงร่วมกันตั้งแต่ต้น ว่าจักต้องกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดลงให้จงได้ และพวกเขาเกือบจะบรรลุในสิ่งที่ปรารถนาแล้ว ทว่า ในช่วงวินาทีสุดท้าย เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ทำการหลอมกลั่นดาบคู่พิภพและนภาขึ้นมาได้สำเร็จ ตามตำนานกล่าวว่า มีเพียงดาบคู่พิภพและนภาเท่านั้น ที่เผ่ามนุษย์จักสามารถใช้ถอนรากฐานโคน สับสะบั้นศีรษะของเทพวิญญาณลงได้”

“เนื้อหาภารกิจ เผ่ามนุษย์กำลังล่มสลาย แต่คุณต้องเดินทางข้ามผ่านช่วงเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ไหนจะถูกติดตามไล่ล่าโดยตัวตนที่ยิ่งกว่าทรงอำนาจ ต้องเผชิญกับมอนสเตอร์บรรพกาลและทุกประเภทของเผ่าพันธุ์เทพ ที่ใช้ทุกกลยุทธ์โดยไม่เลือกวิธีการ ซึ่งคุณจะต้องเอาชนะทั้งหมดที่กล่าวมา และได้ครอบครองดาบนภาในที่สุด”

“เป้าหมายภารกิจ ได้รับดาบนภา”

“รางวัลภารกิจ ภารกิจนี้ ยิ่งใหญ่และยากเย็นยิ่งกว่าทุกปัญหาที่คุณเคยพบเจอมา มันจักส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชะตากรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวล ส่งอิทธิพลต่อทุกสิ่งมีชีวิตในห่วงโซ่อาหาร ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ข้างต้น ‘ฟังก์ชันภารกิจเทพสงครามจึงจะดำเนินการประสานรวมกับฟังก์ชันสมญาเทพสงคราม’ เพื่อตั้งรางวัลภารกิจที่เหมาะสมกับความสามารถในการต่อสู้ของคุณ”

เห็นแค่เพียงตรงส่วนล่างของหน้าต่างเทพสงคราม ไอคอน ‘สมญาเทพสงคราม’ ค่อยๆ ลอยมายังใจกลางหน้าต่าง ผสานรวมเข้ากับภารกิจเทพสงคราม

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะตกใจ

นี่พวกมันประสานรวมกัน?

นับเป็นครั้งแรกเลยที่ภารกิจเทพสงครามและสมญาเทพสงครามประสานกัน

ในช่วงเวลาสั้นๆ

เห็นแค่เพียงเส้นแสงหิ่งห้อยบรรทัดใหม่ปรากฏขึ้น

“คำอธิบาย คุณมีสถานะเป็นทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และราชาภูต ทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกสกิลที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างเทคนิคดาบในดวงตา สกิลดาบเองก็เหนือยิ่งกว่าฐานนักดาบนิรันดร์ คุณมีความแข็งแกร่งและโหดเหี้ยม ชื่อเสียงแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลกปีศาจ ดังนั้น ระบบจึงได้มอบสมญาเทพสงครามที่เหมาะสมให้แก่คุณ”

“คำอธิบาย สมญาเทพสงครามและภารกิจเทพสงครามประสานรวมกัน ก่อให้เกิดรูปแบบการใช้แต้มพลังแบบใหม่ สำหรับภารกิจนี้โดยเฉพาะ”

“ระหว่างภารกิจเทพสงคราม คุณจะได้รับสมญาเทพสงครามใหม่เป็นการชั่วคราว”

“สมญาเทพสงครามชั่วคราว ‘ดาบมาร’”

“และเมื่อไหร่ที่คุณสามารถบรรลุภารกิจเทพสงครามได้สำเร็จ สมญาพิเศษ ‘ดาบมาร’ ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของฟังก์ชันสมญาเทพสงครามของคุณ”

“ยามเมื่อสวมใส่สมญานี้ คุณจะได้รับสกิลพิเศษ เนตรสะบั้นจิตวิญญาณ”

………………

โลกปีศาจของซีฉี่ ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นดินแดนรกร้างในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

ดินแดนที่ไร้ซึ่งแหล่งสมบัติ หรือขุมทรัพย์ทางธรรมชาติใดๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้เหล่าภูตผีปีศาจแข็งแกร่งขึ้น

ดังนั้น จึงไม่มีปีศาจตนใดสนใจที่นี่

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้หลังจากที่โลกปีศาจดึกดำบรรพ์ถูกทำลายจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กษัตริย์ปีศาจซี่ฉีจึงตัดสินใจฮุบเอาสถานที่นี้ไว้ เพราะมันไม่ดึงดูดความสนใจจากกษัตริย์ปีศาจตนอื่นๆ

กู่ฉิงซานสังหารปีศาจไปสองตัว ก้าวข้ามศพพวกมัน ย่ำไปตามทางเดินลึกเข้าไปในพระราชวัง

เข้ามาได้เพียงไม่กี่ก้าว กลุ่มปีศาจที่รับผิดชอบรักษาการณ์ก็พากันพุ่งออกมาต้อนรับ

ตลอดทั้งร่างกายของพวกมันเป็นสีดำหมึก มีรูปลักษณ์คล้ายกับมนุษย์ ทว่ามีหางแหลม ยืดยาวออกมาจากเบื้องหลัง

หัวหน้ายามตะโกน “กษัตริย์ปีศาจ ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในพระราชวัง โปรดกลับไปซะ! มิฉะนั้นอย่าหาว่าพวกเราหยาบคาย!!”

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานเพิกเฉยอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง

เขาเดินทะลุผ่านกลุ่มปีศาจยาม ตรงต่อไปยังเบื้องหน้า

แต่ช่างน่าประหลาดใจนัก เพราะปีศาจยามทั้งหมด ทุกตนกลับยังคงยืนนิ่ง และไม่มีใครก้าวออกมาหยุดเขาเอาไว้เลย

ทุกตนนิ่งงัน เป็นเช่นนี้จวบจนกระทั่งร่างของกู่ฉิงซานหายไป จึงค่อยบังเกิดดาบสายลมพัดกระพืออย่างรุนแรงขึ้นในโถงทางเดิน แปรสภาพพวกปีศาจยามให้กลายเป็นหมอกเลือด เศษน้ำเลือดปลิดปลิวไปตามกระแส

กู่ฉิงซานเดินต่อไปอีกระยะหนึ่ง กลุ่มปีศาจก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าเขาอีกครั้ง

และสังเกตได้เลยว่า ปีศาจกลุ่มนี้ ทรงพลังยิ่งกว่ากลุ่มก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด

หัวหน้ากลุ่มปีศาจร้องเตือนว่า “กษัตริย์ปีศาจ ท่านไม่สามารถล่วงล้ำเข้ามามากกว่านี้ได้อีกต่อไป มิฉะนั้นหากเจ้านายทราบว่ามีเรื่องราวเกิดขึ้นที่นี่ ท่านอาจจะไม่ได้รับค่าใช้จ่ายในเดือนถัดไป”

คราวนี้กู่ฉิงซานเลยหยุดฝีเท้าลง

“เงินของเดือนถัดไป…”

เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นกุมหน้าผาก บังเกิดความรู้สึกเวทนากษัตริย์ปีศาจซี่ฉีจับใจ

มีฐานะเป็นถึงกษัตริย์ปีศาจ ทว่าทุกสิ่งอย่างกลับถูกควบคุมโดยภรรยาของตน แม้กระทั่งบ้านตัวเองก็ยังไม่สามารถกลับมาได้ เงินก็ต้องคอยรับประจำเป็นเดือน แน่นอนว่าอย่างน้อยประเด็นหลังก็ไม่แย่จนเกินไป

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าราชินีเหมือนจะกำลังควบคุมกษัตริย์ปีศาจไว้โดยสิ้นเชิง ไม่เพียงเท่านั้น ยังควบคุมโลกปีศาจใบนี้ แล้วยังสวมหมวกเขียวให้กับกษัตริย์ปีศาจอีกด้วย

ทำกันถึงขนาดนี้…มันเกินไปแล้ว!

กู่ฉิงซานไม่มัวเสียเวลาไร้สาระ เขาสั่งการนึกคิดในจิตใจ ดาบบินพลันกะพริบไหวออกมาจากในความว่างเปล่า โฉบไปตามชั้นอากาศ

รังสีดาบสีนวลผ่องดั่งแสงจันทร์หมุนคว้านตลอดทุกทิศทางรอบตัวกู่ฉิงซาน

โครม!

เลือดและเนื้อถูกสับสะบั้นเป็นชิ้นๆ กระเซ็นเป็นฝนเลือด แรงกระแทกสั่นสะท้านไปตลอดทั้งวัง

ด้วยฐานะที่เป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตดาราโกลาหล พลังวิญญาณในร่างกายของกู่ฉิงซานจึงเหนือล้ำยิ่งกว่าในครั้งอดีตอยู่มากโข

เมื่อเขากระตุ้นเทคนิคดาบ พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลเลยหลั่งไหลเข้ามาในดาบบิน แผลงฤทธิ์เป็นเทคนิคลับแห่งดาบอันทรงพลัง ทำลายล้างสิ่งรอบกายเกินกว่าที่คาดเอาไว้

แม้จะยังมีปีศาจหลายตัวที่รอดชีวิตหลังจากที่ถูกสะบั้นโดยพลังอำนาจนี้ก็ตามที แต่สุดท้ายพวกมันก็จำต้องหลีกลี้ ถอยไปด้านข้าง เปิดทางให้เขาอยู่ดี

ทันใดนั้นเอง เสียงผู้หญิงที่ฟังดูโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้น

“สารเลวตนใด กล้ากระทำการล่วงเกินในพระราชวังของข้า?”

ในส่วนลึกของพระราชวัง ร่างอันสง่างามโฉบขึ้นไปบนท้องฟ้า บินตรงมายังทิศทางนี้

แน่นอนว่าย่อมเป็นราชินี

เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เช่นนี้ขึ้น เธอจึงรู้สึกตัวในที่สุด

ราชินีร่อนมาตกลงตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน ปากอ้าตวาดดุดัน “ที่แท้ก็เป็นขยะเช่นเจ้านี่เอง กล้าที่จะทำลายพระราชวัง อยากจะตายแล้วใช่หรือไม่?”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ “ข้าเป็นกษัตริย์ปีศาจของโลกใบนี้ ฉะนั้นจักทำสิ่งใดก็ย่อมได้”

ราชินีฝืนรอยยิ้ม “เจ้ายังมีความคิดว่า นอกเหนือไปจากตัวเองแล้ว คนอื่นๆ ยังมองเจ้าเป็นกษัตริย์ปีศาจอยู่อีกหรือ?”

กู่ฉิงซานสาดสายตามองเธอ

บังเกิดประกายฉวัดเฉวียนขึ้นอย่างรวดเร็ว!

มันรวดเร็วจนกระทั่งสมบัติมนตราหลายอย่าง ที่มีไว้ปกป้องกายของราชินี ยังไม่ทันจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง

ใบหน้าที่ฟุ้งไปด้วยความเหยียดหยามของราชินีแข็งค้าง ก่อนส่วนหัวจะร่วงตกลงกับพื้น

ต่อด้วยร่างที่ไร้หัว ร่วงตกตาม

กู่ฉิงซานก้มลงมองร่างศพของราชินี เฝ้ารออยู่ชั่วขณะหนึ่ง

สักพัก หมอกสีเทาพลันปะทุออกมาจากร่างศพ หลอมรวมกันเป็นคำร่ายสั้นๆของมนต์คาถา

ทันใดนั้นคาถาพลันหายวับไป คล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างคว้าจับมันไปจากในความว่างเปล่า

หมอกหนาทึบร่วงหล่นจากฟากฟ้า ตกลงข้างล่างศพของราชินี

มือแห้งเหี่ยวยื่นออกมา คว้าจับผมของเธอ แล้วค่อยๆ ยกหัวที่ยังคงไว้ซึ่งสีหน้าแข็งค้างขึ้น

ย่อมเป็นราชาภูตกระดูก

มันมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ครอบครองคู่ปีกสีเข้ม ร่างกายผอมเพรียว ใบหน้าเหี่ยวเฉาซีดเซียว

“โชคร้ายนัก ที่เจ้าถูกสังหารลงอย่างกะทันหัน ข้าเลยมาช่วยสายเกินไป”

ราชาภูตกระดูกมองเฝ้ามองราชินีด้วยความเสน่ห์หา ทอดถอนหายใจด้วยความสลด

กู่ฉิงซานจ้องมองอีกฝ่าย และค้นพบว่าตลอดรอบกายของมัน เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ จึงค่อยกระแอมไอเบาๆ

“ขอบพระคุณจริงๆ ที่เจ้าเดินทางมาที่นี่ตรงๆ มันช่วยประหยัดเวลาให้ข้าได้มากเลยทีเดียว ดังนั้นหลังจากทำใจได้แล้ว โปรดช่วยหันกลับมา แล้วพวกเราค่อยพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน”

ทว่าราชาภูตกระดูกมิได้เหลียวมามองเขา ในสายตายังคงจับจ้องอยู่กับหัวของราชินี นิ่งงันไปพักหนึ่ง

ไม่นาน มันก็เริ่มเอ่ยปากขึ้นอย่างช้าๆ “โลกปีศาจทั้งใบของเจ้า ล้วนตกอยู่ในกำมือข้า แล้วเจ้าจะเอาคิดจะเอาสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนกัน?”

กู่ฉิงซานกล่าว “โปรดมอบแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าของโลกปีศาจกระดูกให้แก่ข้า เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้วย”

คราวนี้ราชาภูตกระดูกเหลียวมามองในที่สุด เอ่ยถามอย่างใคร่ครวญ “เป็นอาวุโสคนใดกันที่ใช้ให้เจ้ามากล่าวเช่นนี้? หรือว่ามีใครบางคนต้องการจะยึดครองโลกปีศาจของข้า?”

“ไม่ใช่ทั้งสอง” กู่ฉิงซานกล่าว “แท้จริงแล้วนี่คือการแลกเปลี่ยนระหว่างข้ากับเจ้า”

“กับเจ้าน่ะหรือ?”

ราชาภูตราวกับพึ่งจะได้รู้จักกับเขาเป็นครั้งแรก มันกวาดสายตามองขึ้นๆ ลงๆ กู่ฉิงซานอยู่นาน พร้อมกับเอ่ยถาม “นี่ข้าฝันไป? หรือว่าเป็นกษัตริย์ปีศาจซี่ฉีเองที่บ้าไปแล้ว?”

เหล่าปีศาจที่ทยอยติดตามมาสมทบ เมื่อได้ยินก็พากันหัวเราะลั่น

ปีศาจที่แสนขี้ขลาด กลับกล้าที่จะเอ่ยขอแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าจากโลกของราชาภูตกระดูกปีศาจอย่างกะทันหัน นอกจากว่ามันบ้าไปแล้ว ยังพอจะมีคำอธิบายอื่นใดที่ฟังดูน่าเชื่อถือกว่านี้ได้อีกเล่า?

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงใจ “นี่ข้าจริงจังนะ เจ้าสามารถใช้แหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าจากโลกปีศาจกระดูก เพื่อมาแลกเปลี่ยนกับชีวิตของเจ้า”

ระหว่างกล่าว จู่ๆ สายลมหนาวก็เริ่มกวาดผ่านเข้ามาในส่วนของซากปรักหักพังพระราชวัง ที่พึ่งถูกทำลายลง

สายลมหนาวนี้ วนรอบตัวสมุนปีศาจ รายล้อมเป็นวงแหวนที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้

มันเป็นสายลมที่มองไม่เห็น แต่ขณะเดียวกันก็ไร้ซึ่งช่องโหว่ใดๆ มิอาจเล็ดลอดออกไปได้

รังสีดาบขนาดเล็กปริมาณมหาศาลพลันมาบรรจบกัน ล้อมเป็นสายลมปกคลุมสมุนปีศาจส่วนหนึ่งเอาไว้ และในเสี้ยววินาที ก็เริ่มปฏิบัติการ ทั้งตัด ทั้งหั่นนับครั้งไม่ถ้วน

สมุนปีศาจเมื่อสัมผัสกับสายลมหนาวนี้ ก็พลันเหือดหาย แหลกสลายออกไปจากสถานที่นั้นทันที

หลงเหลือทิ้งไว้แค่เพียงกลิ่นอายเลือดจางๆ ในอากาศ…

สายลมหนาวพัดแรงขึ้น

มันกวาดไปยังร่างของเหล่าสมุนปีศาจที่อยู่ห่างออกไป ส่งเสียงหวีดหวิวสยองคล้ายลางมรณะกระซิบข้างหู กระจายออกไปครอบคลุมทั่วบริเวณ

กู่ฉิงซานผายมือออกและกล่าว “เห็นไหม ข้าสามารถสังหารลูกน้องทั้งหมดของเจ้าลงในคราวเดียวเลยก็ยังได้ แต่ตอนนี้ข้ายังเลือกที่จะไว้ชีวิตพวกมันส่วนหนึ่ง นี่แสดงออกถึงความจริงใจอันเปี่ยมล้นของข้า ฉะนั้น ได้โปรดพิจารณาถึงข้อเสนอนี้อย่างจริงจังด้วย”

ราชาภูตกระดูกนิ่งค้าง ตามร่างกายของมันยังสัมผัสได้ถึงกระแสลมเย็นเยียบ ห้วงหัวใจคล้ายร่วงหล่นลงสู่หุบเหวลึก

“นี่มันเทคนิคดาบ เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธแฝงตัวมาอย่างงั้นหรือ?” มันคำรามเสียงต่ำ

กู่ฉิงซานดีดนิ้วดังเป๊าะ และยื่นมันออกไป

เห็นแค่เพียงตรงปลายนิ้ว บังเกิดประกายแสงสีม่วงกำลังลั่นเปรี๊ยะปร๊ะอย่างไม่รู้จบ

ราชาภูตกระดูกตกใจอีกครา

“นี่มันพลังแห่งจิตวิญญาณสายฟ้า เจ้ามิใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์…” มันใคร่ครวญอย่างรอบคอบ

กู่ฉิงซานกล่าว “ขออภัยจริงๆ แต่ข้ามีเวลาไม่มากนัก ฉะนั้นเลยมีเวลาให้เจ้าตัดสินใจได้เพียง สิบลมหายใจเท่านั้น”

ราชาภูตกระดูกจ้องเขา เอ่ยเสียงหม่น “ข้าต้องการเวลาเพื่อขบคิดมากกว่านี้อีกสักเล็กน้อย”

“ตกลง” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช่วยไม่ได้

ทว่าเพียงชั่วขณะที่เสียงตกลงได้เพียงครึ่ง

กระบวนท่าหัวใจแห่งดาบก็พลันกะพริบไหว

จิตเทวะของราชาภูตกระดูกถูกจู่โจมโดยเจตดาบในคู่ดวงตาของกู่ฉิงซานอย่างกะทันหัน ชะงักงันมิอาจขยับกายได้ครู่หนึ่ง

และดาบบินก็โฉบออกไป ไม่คิดปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดรอด

ในเสี้ยววินาที ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาที่คมกล้าของมันสาดประกายเย็นเยียบก็เสียบฉึก! ลึกเข้าไปในทรวงอกของราชาภูตกระดูก

พลังธาตุสายฟ้าของกู่ฉิงซานถูกเปิดใช้งานอีกรอบทันที

สกิลพิเศษ ฝันร้าย!

ทั้งตนทั้งร่างของราชาภูตพลันแข็งค้าง สติสตางค์ของมันจมสู่ห้วงความฝันสั้นๆ เป็นระยะเวลา ห้าวินาที

ฉัวะ!

ตามต่อด้วยดาบสายลมอันร้ายแรงร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า โถมเข้าโอบร่างราชาภูตกระดูกเอาไว้โดยสิ้นเชิง

“อา! อาก! อ๊าก!”

ราชาภูตกระดูกหวีดร้องด้วยน้ำเสียงสาหัสสากรรจ์

ช่วงเวลานี้เอง ในมือของราชาภูตกระดูกจึงค่อยคลายลง และเผยให้เห็นถึงด้ามคทาสาดแสงสีดำที่ซุกซ่อนเอาไว้

นี่บ่งบอกชัดเจน ว่ามันกำลังเตรียมที่จะระเบิดเทคนิคมนตราอันแสนน่าสะพรึงกลัวออกมา

ทว่าดาบสายลมไม่คิดมอบโอกาสให้แก่มัน!

เสียงหวีดหวิวของสายลมพัดกระพือรุนแรง ท่วมทับเสียงกรีดร้องของราชาภูต กลบฝังไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งผู้ติดตามที่ยังเหลือรอดชีวิตก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย

เพียงช่วงเวลาสั้นๆ

ทุกสิ่งอย่างก็หายไปจนสิ้น

สองแขนและสองขาของราชาภูตกระดูกไม่มีหลงเหลือให้เห็นอีกต่อไป

ปรากฏแค่เพียงส่วนหัวและร่างของมันที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นดิน เจิ่งนองไปด้วยเลือด ในแววตาฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัว

“กระบวนท่านี่มันอะไรกัน?” ราชาภูตเอ่ยถาม

“เป็นสิ่งที่เรียกว่าค่ายกลดาบ”

ตลอดทั้งกระบวนการ กู่ฉิงซานยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม ปากเปล่งเสียงกระซิบ “ผ่านพ้นไป สี่ลมหายใจแล้ว ยังคงเหลืออีกหกลมหายใจสุดท้าย ที่เจ้าจักสามารถนำชีวิตตนเองกลับไปได้”

ราชาภูตกระดูกเลือกรักษาชีวิต มันเร่งกลับไปยังโลกปีศาจกระดูกทันที

เวลานี้ ในมือของกู่ฉิงซานกุมไว้ด้วยกลุ่มแสงห้าสีสันที่แตกต่างกัน

สีน้ำเงินเป็นสายฟ้า สีขาวเรืองรองเป็นแสง สีดำเป็นความมืด บางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นย่อมต้องเป็นเสียง และสุดท้ายที่สีม่วงคือลม

ซึ่งนี่มันแตกต่างไปจากธาตุทั้งห้าของโลกเผ่าพันธุ์มนุษย์ แหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าของโลกปีศาจมิใช่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ทว่าเป็น ลม สายฟ้า แสง ความมืด และเสียง

เพียงไม่นาน แหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้านี้ก็เริ่มถูกผสานรวมกันโดยจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน

เขาใช้พลังวิญญาณ ช่วยจัดการหลอมกลั่นแหล่งกำเนิดธาตุจำเพาะทั้งห้า ให้กลายมาเป็นเส้นสายที่แสนคุ้นเคย เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน

กระทำการเช่นนี้ซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง จนเริ่มปรากฏให้เห็นถึงเส้นสายยาวที่สาดแสงห้าสีออกมา

บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“คุณได้รับสายใยกฎเกณฑ์”

“เนื่องจากโลกปีศาจดึกดำบรรพ์ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ดังนั้นหากจะกล่าวให้ถูกต้อง นี่สมควรเรียกว่าเป็นชิ้นส่วนสายใยกฎเกณฑ์ของโลกปีศาจใบเล็กๆ จึงจะเหมาะสมกว่า”

“หากคุณชักนำมันไปสู่อีกโลกหนึ่ง โลกปีศาจขนาดเล็กนี้ก็จะถูกดึงดูดโดยสายใยกฎเกณฑ์ ไปผสานรวมกันกับโลกใบใหม่”

กู่ฉิงซานพอได้ยิน ก็ถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ

“นายน้อย นี่ท่านกำลังจะหลอมรวมเศษเสี้ยวโลกปีศาจทั้งสองใบเข้าด้วยกันกระนั้นหรือ?” ฉานนู่เอ่ยถาม

“ใช่ แต่ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการกระทำนี้จักเกิดประโยชน์ต่อตัวข้าหรือไม่” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่ขบคิด จึงค่อยเอ่ยปาก “นี่สมควรจะเกิดประโยชน์แล้ว เพราะการผสานรวมระหว่างสองโลก มันจะช่วยทุกสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรหลักที่ดึงดูดอีกโลกมาแข็งแกร่งขึ้น และร่างกายของนายน้อยเอง เวลานี้ก็อยู่ในสภาพของกษัตริย์ปีศาจซี่ฉี ดังนั้นย่อมมีคุณสมบัติตรงตามกฎเกณฑ์แห่งโลก มันจะไม่กีดกันท่านในฐานะคนนอก”

“เรื่องนี้พวกเราคงต้องทดลองดู” กู่ฉิงซานกล่าว

แล้วเขาก็โยนสายใยกฎเกณฑ์ออกไป

คอยเฝ้ามองมันละลายหายไปในอากาศที่ว่างเปล่า

………………………….

ในความมืดมิด

ท่ามกลางโลกอันกว้างใหญ่ และเต็มไปด้วยมอนสเตอร์บรรพกาลที่กำลังอาละวาด

เทพวิญญาณได้เปลี่ยนตนเป็นจุดแสงสว่างไสว ลอยล่อง วนไปรอบๆ ท้องฟ้าในมุมสูง

ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในปัจจุบัน ยังคงเป็นยุคภาพทับซ้อนที่เผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังล่มสลาย

ทว่าจะอย่างไร ก็ยังหาตัวกู่ฉิงซานไม่พบ

ในใจกลางค่ายทหาร อากาศที่ว่างเปล่าเริ่มเกิดการบิดเบือน ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นทันใด

ร่างเงาเริ่มแพร่กระจาย และเปลี่ยนรูปเป็นชายคนหนึ่งขึ้นที่นั่น

บนหน้าผากของเขาลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงสีทองคำ ทั้งคนทั้งร่างเปล่งรังสีแสงงดงามสดใส ในมือกำลังหยิบเหรียญประหลาดขึ้นมาดู

เป็นเทพวิญญาณเปลวไฟทองคำนั่นเอง

เขาได้กลับมายังยุคภาพทับซ้อนนี่อีกครั้ง

“พิกลนัก กู่ฉิงซานมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันแน่…”

เทพวิญญาณค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ ไปตามค่ายทหาร

มันเป็นค่ายที่ตลอดทั้งค่ายอยู่ในสภาพโกลาหล

ผู้ฝึกยุทธทุกคนที่แต่เดิมเคยนอนนิ่งอยู่ บัดนี้ถูกกัดกินเป็นอาหารแล้วจนสิ้น เลือดและเนื้อกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ปกคลุมไปทั้งผืนดินและตัวกำแพง

เทพวิญญาณเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง เหยียบย่ำเลือดจนทิ้งรอยเท้าเอาไว้

เขาตัดสินใจ เลือกที่จะหยุดชั่วคราว เพื่อพิจารณาสถานการณ์โดยรอบ

เขาได้ออกตามหาไปมากกว่าหลายร้อยภาพทับซ้อนยุคโบราณแล้ว

แม้ตนจักครอบครองพลังงานระดับเทพวิญญาณ ทว่าการต้องวนกลับไปกลับมาในหลายร้อยห้วงกาลเวลาอย่างต่อเนื่อง ในเวลานี้มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหนื่อย

แต่ก็ยังไม่พบกระทั่งร่องรอยของกู่ฉิงซาน

ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงตัดสินใจกลับมายังโลกเดิมที่ถูกชักนำมาโดยเหรียญ และขบคิดถึงเรื่องราวใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง

ในตอนนั้นเอง เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง หันขวับไปยังทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว

เขาพบว่าร่างมนุษย์แสงกำลังยืนอยู่ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเบื้องหลังเขา

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำเอ่ยถาม

มนุษย์แสง “เป้าประสงค์ของเราเผ่าพันธุ์เทพ ยึดติดอยู่กับเหรียญนั่น และข้าตระหนักได้ว่าเจ้ากำลังเผชิญกับปัญหา ดังนั้นเลยมาช่วยหาทางออก”

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ “เช่นนั้นข้าคงต้องสารภาพตามตรง ว่าเหรียญนี่คงไม่ได้ผลแล้ว มันใช่เบี่ยงเบนเกินไปหรือไม่ เหตุใดข้าจึงไม่อาจหาเขาพบในโลกใบนี้?”

ร่างมนุษย์แสงยื่นมือออกไป “เอาล่ะ เช่นนั้นจงนำเหรียญมาให้ข้า พวกเราจะได้ตระเตรียมวิธีการแก้ไขข้อผิดพลาดนี้กัน”

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ “แม้ว่าเจ้าสิ่งนี้จะผิดพลาด แต่เจ้าก็ยังเตรียมหนทางสำรองเอาไว้อีกอย่างงั้นหรือ?”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น” ร่างมนุษย์แสงกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นเผ่าบรรพกาล หรือเผ่าพันธุ์เทพของเรา ก็ย่อมไม่ต้องการเฝ้ามองเฉยๆ ปล่อยเวลาผ่านเลยไปจนถูกพวกมนุษย์ย้อนกลับมาแว้งกัด”

น้ำเสียงของร่างมนุษย์แสงหนักแน่นขึ้น “เราเป็นนายเหนือผู้กุมชะตาเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทุกอย่างของพวกมันล้วนตกอยู่ในกำมือของเรา ดังนั้นความหวังสุดท้ายของพวกมันย่อมต้องถูกทำลายลงโดยเราเช่นกัน”

“นี่หมายความว่าเจ้าเองถึงขั้นเตรียมการไปยื่นข้อตกลงกับเผ่าบรรพกาลเอาไว้ด้วยอย่างนั้นหรือ?” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ

“ถูกต้อง เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์แห่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์จักต้องตาย ทุกสิ่งอย่างจะกลายเป็นเพียงขี้เถ้า เราจะไม่ปล่อยให้พวกมันกระทำสิ่งใดที่อาจคุกคามพวกเราได้”

“ช่างเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดนัก” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ เอ่ยชื่นชม

“มาเถิด จงมอบเหรียญให้แก่ข้า ข้าจะใช้กฎเกณฑ์เทวะในการแก้ไขอาการเบี่ยงเบนของมัน เพื่อให้เจ้าสามารถมุ่งหน้าสู่ภาพทับซ้อนที่เผ่ามนุษย์จากยุคอนาคตหลบซ่อนตัวอยู่เอง” ร่างมนุษย์แสงกล่าว

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำโยนเหรียญออกไป โดยไม่เอ่ยคำใด

ร่างมนุษย์แสงยื่นมือออกมา และปล่อยให้เหรียญลอยล่องอยู่บนฝ่ามือตนอย่างเงียบๆ

มันเปล่งเสียงกระซิบร่ายมนตรายาวเหยียด เนิ่นนานไปพักหนึ่งจนกระทั่งเหรียญเริ่มเปล่งแสงจรัส

“จงรับมันไป ยามเมื่อเปิดใช้งานมันอีกครั้ง ครานี้ล่ะ เจ้าย่อมสามารถเจอร่องรอยของเผ่ามนุษย์จากอนาคตได้อย่างแน่นอน” ร่างมนุษย์แสงกล่าว

เหรียญลอยไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำรับมัน และไม่รอช้า ถ่ายเทพอำนาจเทวะลงไปทันที

ฮู้ม

เหรียญเปล่งเสียงฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง ชักนำเทพวิญญาณเปลวไฟทองคำแหวกทะลุมิติ และบินหายลับไปในหมอกแห่งห้วงกาลเวลา

ชั่วลมหายใจเดียว

รอยแยกมิติก็เปิดออกอีกครั้ง

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำปรากฏตัวขึ้นที่โลกใบเดิมนี้อีกครา

เขาตกลงในค่ายทหาร และมาหยุดยืนตรงข้ามร่างมนุษย์แสง

“…” ร่างมนุษย์แสง

“…” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ คำรามอย่างอดไม่ได้ “นี่มันไม่ถูกต้อง! มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เหรียญโบราณจะผิดพลาดซ้ำกันถึงสองคราว”

ร่างมนุษย์แสง “เช่นนั้น ย่อมหมายความว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จากอนาคตยังคงอยู่ในภาพทับซ้อนยุคนี้”

“มีโอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว”

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำกล่าวด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์ “ดูเหมือนว่ามันจะมีวิธีการพิเศษบางอย่าง ช่วยให้สามารถซ่อนตัวอยู่ในภาพทับซ้อนยุคนี้ได้ โดยเล็ดลอดจากการตรวจจับ ข้าคาดเดาว่านี่สมควรเป็นมาตรการที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เตรียมเอาไว้แน่นอน ถึงได้สามารถลวงพวกเราให้หลงกลได้ตั้งระยะเวลาหนึ่ง”

ร่างมนุษย์แสง “จงไปตามหามัน และสังหารมันในทันที!”

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำ “แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องฆ่า แต่เหรียญมันทำได้เพียงชักนำข้ามายังโลกใบนี้ ขณะเดียวกัน มันก็เป็นโลกที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ตายจากไปแล้ว หมายความว่าย่อมไม่อาจทำการค้นความทรงจำได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดทั้งสวรรค์และโลกก็ไพศาลเกินไป ลำพังเพียงข้า มิอาจหาร่องรอยของมันจนพบได้!!”

ร่างมนุษย์แสง “วางใจเถอะ เราได้จัดเตรียมวิธีการอื่นเอาไว้อีก และดูเหมือนว่าจะได้โอกาสใช้มันซะแล้ว”

“หมายความว่าอย่างไร?” เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำเอ่ยถาม

“ข้าจะไปส่งข่าวให้กับเทพวิญญาณทั้งหมดในภาพทับซ้อนยุคนี้ แจ้งให้พวกเขาทราบว่ามีเผ่าพันธุ์มนุษย์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้น พวกเขาจะมาร่วมมือกับเจ้า เพื่อออกตามหา และเมื่อพบเจอร่องรอย เทพวิญญาณทั้งหมดก็จะลงมือสังหารมันในคราวเดียว!!” ร่างมนุษย์แสงกล่าวเฉียบขาด

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำอึ้งไปพักหนึ่ง สุดท้ายฉีกยิ้มขึ้นทันใด

นั่นเพราะหากเป็นเทพวิญญาณทั้งหมดถูกส่งออกมา การไล่ล่าตามหามนุษย์ภายใน ‘โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์’ ย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย

ไม่ว่าจะคิดอย่างไร นี่ก็ช่างเป็นกลยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวเสียจริงๆ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำตระหนักได้เลยว่า หากแม้นเป็นตนเอง ก็ยังไม่สามารถหลบซ่อนต่อไปได้เป็นเวลานานนัก

“เจ้าเตรียมตัวมาดีจริงๆ ดูเหมือนว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามมากเท่าใดแล้ว”

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำกล่าวพลางถอนหายใจ

“แน่นอน” ร่างมนุษย์แสงกล่าวอย่างเฉยเมย “นั่นเพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ตกอยู่ในกำมือของพวกเราโดยสิ้นเชิง กระทั่งในช่วงเวลาแห่งการทำลายล้าง ต่อให้พวกเขาคิดหมายจะทำสิ่งใด มันก็มิอาจซ่อนเร้นสายตาของพวกเราไปได้”

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า

เห็นแค่เพียงจุดแสงไสวไม่กี่จุดเริ่มตกลงสู่พื้นดิน

การค้นหากำลังจะเริ่มขึ้นแล้วในไม่ช้า

เทพวิญญาณเปลวไฟทองคำคิดและกล่าว “ผืนดินมอบให้เจ้าก็แล้วกัน ในทางทะเล จะเป็นส่วนความรับผิดชอบของข้าเอง”

“ตกลงกันได้แล้วก็ไปเถอะ”

“อืม”

ในเวลาเดียวกัน

ระหว่างการล่องทะเล

ในอาณาเขตทะเลที่ไหนสักแห่งที่ห่างไกลจากแผ่นดิน

กู่ฉิงซานได้แปลงกายเป็นกษัตริย์ปีศาจ กวาดมือเก็บเรือเหาะ และก้าวเข้าไปในประตูมิติ มุ่งหน้าหลบหนีสู่โลกปีศาจ

หลังจากที่เขาก้าวเข้าไป ประตูมิติก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ และหายวับไป

ตลอดทั้งท้องทะเล ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ อีกครา

กู่ฉิงซานเดินทางข้ามผ่านมิติที่ว่างเปล่า

เขาตริตรองเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบันอย่างรวดเร็ว

กษัตริย์ปีศาจซี่ฉี เป็นตัวตนที่อ่อนแอและขี้ขลาดที่สุด

ความแข็งแกร่งของมัน ด้อยที่สุดในบรรดากษัตริย์ปีศาจด้วยกัน กล่าวได้ว่ากู่ฉิงซานที่มีฐานวรยุทธ์ขอบเขตดาราโกลาหล ตราบใดที่มีดาบอยู่ในมือ ขอเวลาแค่ไม่กี่ลมหายใจก็พอ หากคิดกำจัดอีกฝ่าย

โลกปีศาจของซี่ฉี เป็นโลกสำหรับคอยให้ความบันเทิง และพักผ่อนสำหรับปีศาจจากโลกอื่นๆ

ซึ่งในโลกแบบนี้เอง มันก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน

นั่นคือข่าวสาร

เนื่องจากภูตผีปีศาจมากมายได้เดินทางมายังที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นโลกใบนี้ จึงเป็นสถานที่แรกที่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ

เพราะเหตุผลนี้เอง กู่ฉิงซานจึงได้เลือกโลกใบนี้

ท่ามกลางกระแสมิติอันโกลาหล แสงสีม่วงสดใสค่อยๆ สว่างไสวขึ้นรอบกายกู่ฉิงซาน

โลกของซี่ฉีกำลังจะปรากฏขึ้นแล้ว

กู่ฉิงซานหันไปมองฉานนู่

ฉานนู่พยักหน้า และกลับไปซ่อนอย่างสงบเสงี่ยมในอากาศที่ว่างเปล่า

วินาทีต่อมา กระแสมิติรอบกายก็หายไป

กู่ฉิงซานร่อนตกลงบนพรมแดง

เขาค้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าประตูวังที่งดงาม

โดยมีสองปีศาจสีดำ ขนาดตัวสูงลิ่ว กำลังขวางทางเขา

“กษัตริย์ปีศาจ ท่านไม่สามารถเข้าไปได้ในตอนนี้ เพราะราชินีกล่าวว่ายังไม่อยากพบหน้าท่าน” ปีศาจดำกล่าว

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ เอ่ยในสิ่งที่คิด “นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นพระราชวังของข้ามิใช่หรือ?”

“ก็ใช่” ปีศาจดำกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้ม “แต่ท่านมักจะรับฟังคำสั่งของราชินีเสมอมา มิใช่หรือ?”

“ท่านควรจะออกไปโดยไว แล้วหาทุ่งโล่งสักแห่งที่มีลมโกรกสบาย ล้มตัวลงนอนพักผ่อนเสีย เพราะอย่างไรท่านก็ยังมีเงินอยู่กับตัว เอาไว้รอสักวันที่ราชินียอมให้ท่านกลับมา ท่านค่อยเข้าไปปรนนิบัติ เลียแข้งเลียขานาง” ปีศาจดำดูหมิ่นเขา

สีหน้าของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง

กษัตริย์ปีศาจซี่ฉี ดูเหมือนว่าจะยอมรับสถานการณ์ตกต่ำเช่นนี้ของตนเองมาเนิ่นนานแล้ว

ชนิดที่ว่าแม้กระทั่งยามของพระราชวังก็ยังไม่อนุญาตให้กษัตริย์ปีศาจเข้าไป นี่มันนับว่าเป็นเรื่องตลกสิ้นดี

ไม่คาดคิดเลย ว่ากษัตริย์ปีศาจซี่ฉีจะตกอยู่ในสถานะน่าอนาถเช่นนี้

ขณะเดียวกัน ก็ดูเหมือนว่าราชินีจะทรงอำนาจเป็นอย่างมาก

เฮ้อ…

กู่ฉิงซานบ่นพึมพำเสียงต่ำ “แบบนี้ยังนับว่าเป็นกษัตริย์ปีศาจอยู่อีกเหรอ?”

ปีศาจดำได้ยินไม่ชัดเจน พลันเปล่งน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะหยัน “ท่านกษัตริย์ปีศาจ ไม่ทราบว่าเอ่ยว่าอะไรกัน? ยังโชคดีที่เวลานี้พวกเรายังอารมณ์ดีกันอยู่ โปรดวางใจได้ว่าเราจะไม่บอกเรื่องนี้กับเจ้านาย”

กู่ฉิงซานเมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็จำต้องถอนหายใจอย่างเงียบๆ

เขาอธิบาย “ข้าเอ่ยประมาณว่า ซี่ฉีช่างเป็นกษัตริย์ปีศาจที่ไร้ความสามารถเสียจริงๆ”

ว่าจบ ประกายแสงเย็นเยียบพลันกะพริบไหว

สองหัวลอยขึ้นไปในอากาศ กระเด็นเข้าไปในส่วนลึกของพระราชวังอย่างกะทันหัน

ตามต่อด้วยบังเกิดเสียงสับสนวุ่นวายขึ้นภายใน

กู่ฉิงซานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินมัน

เขาสะบัดเลือดบนใบดาบ ขบคิดถึงสถานการณ์ของกษัตริย์ปีศาจซี่ฉี่ อดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจอีกครั้ง

“ถือว่านับจากนี้ไป…ข้าจะรับช่วงต่อ ในฐานะผู้กอบกู้ศักดิ์ศรีของกษัตริย์ปีศาจให้เองก็แล้วกัน!!”

…………………………….

กู่ฉิงซานเดินเข้าหากษัตริย์ปีศาจเป็นตนที่สอง

เขาย่อเข่าลง ก้มมองอีกฝ่ายและกล่าว “ไหนบอกมาซิ ว่าเจ้าจะสามารถกลับไปได้อย่างไร?”

กษัตริย์ปีศาจหัวเราะ “ข้าสามารถพาเจ้ากลับไปพร้อมกันเลยก็ยังได้”

“ไม่ล่ะ” กู่ฉิงซานเหลียวมองไปยังร่างของภูตผีปีศาจที่นอนเรียงรายกันเป็นแถวยาวอยู่เบื้องหลังและกล่าว “เพราะข้ายังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะเลือกมุ่งไปยังโลกของผู้ใด แต่หากเจ้าลีลาคิดใช้ลูกเล่นละก็…”

กษัตริย์ปีศาจมองไปยังประกายแสงเย็นเยียบของคมดาบในมือของกู่ฉิงซานที่กำลังยกสูงขึ้น ปากเร่งกล่าว “ท่ามกลางความมืดมิด แสงสว่างเปรียบดั่งต้นกำเนิด ประกอบด้วยเสียงที่คอยชักนำ นี่คือบทนำ จากนั้นจะเป็นคาถาร่ายต่อเนื่องทั้งสิ้นสามสิบเก้าคำ”

แล้วมันก็ร่ายคาถายาวเหยียด

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างรอบคอบ และจดจำคำร่ายนี้ไว้

กษัตริย์ปีศาจร่ายจบ ร่างของมันก็ค่อยๆ หายไปจากเบื้องหน้าเขา

มันได้กลับไปแล้ว

กู่ฉิงซานจึงเดินไปหาราชาภูตตัวต่อไป

ราชาภูตลูกตามองเขาและกล่าว “ของข้าแตกต่างออกไป มันจำเป็นต้องใช้มือ ฉะนั้น คงต้องรบกวนเจ้าช่วยร่ายคาถาตามข้า เพื่อส่งข้ากลับไปด้วย”

พอได้ฟัง กู่ฉิงซานชักดาบยาวออกมาทันที และสับ! มันเข้าใส่ราชาภูตอย่างแรง

เลือดสาดกระเซ็น

ราชาภูตถูกหั่นเป็นสองท่อน

มันเบิกตามองกู่ฉิงซานอย่างไม่ยินยอม เปล่งเสียงเฮือกสุดท้าย “เพราะ…เหตุใด?”

กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ “เพราะเผ่าลูกตาเช่นพวกเจ้า ยามเมื่อคิดจะวางกับดักผู้ใด ก็มักจะแสดงออกผ่านทางสายตา คิดว่าข้าไม่รู้งั้นหรือ?”

ราชาภูตลูกตาไม่อาจเอ่ยคำใด ค่อยๆสูญสิ้นลมหายใจไป

ภูตผี และปีศาจตนอื่นๆ จมลงสู่ความเงียบ

จำต้องใช้เวลาอยู่นาน กว่าที่ราชาภูตตนหนึ่งจะกล่าวในสิ่งที่คิดออกมาดังๆ “นี่เป็นไปไม่ได้ เขาสามารถล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร?”

กู่ฉิงซานค่อยหันกาย เดินไปทางกษัตริย์ปีศาจตัวต่อไป

เขาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ามัน เฝ้ามองโดยไม่เอ่ยคำใดสักคำ

กษัตริย์ปีศาจกัดฟัน เร่งกล่าวว่า “ใช้ลมและสายฟ้าผสานเข้ามาในจิตใจของเจ้า และร่ายคาถาทั้งสิ้นสิบแปดคำ”

แล้วมันก็เริ่มร่ายคาถา สักพักร่างของมันก็ค่อยๆ หายไปจากสายตาของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานพยักหน้า และตรงเข้าหาราชาภูตตนถัดไป

ราชาภูตมองเขา กระซิบเสียงต่ำ “ข้าครอบครองสมบัติลับอยู่ในกำมือ ตราบใดที่เจ้าไปรับมันมา เจ้าก็จะสามารถใช้มันชักนำไปยังโลกต่างๆ ได้ตามต้องการ”

กู่ฉิงซานง้างดาบขึ้น และสับเข้าใส่ลำคอของอีกฝ่าย

“ทำไมกัน!”

ราชาภูตทนไม่ไหวต้องคร่ำครวญออกมา

กู่ฉิงซาน “เพราะเจ้าไม่ซื่อสัตย์ ในความเป็นจริงแล้ว เผ่าเจ้ามักจะล่อลวงผู้คนที่ไม่ล่วงรู้ถึงความลับนี้ ชักนำพวกเขาลึกเข้าไปยังถ้ำน้ำแข็งที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบชั้น ล่อลวงไปยังสถานที่ซึ่งกระทั่งเทพวิญญาณก็ไม่อาจหลุดพ้นออกมาได้โดยง่าย”

เหล่าปีศาจเบิกตามองดูเขาอีกครั้ง สรรพเสียงเงียบสนิท

ไอ้หมอนี่ มันไม่ใช่แค่คนป่วยจิตธรรมดาๆ แล้ว!

บัดนี้กระทั่งพวกมันเองก็ไม่ทราบว่าสมควรจะเรียกเขาว่าตัวอะไรดี ทว่าเพียงใช้สายตามอง ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกขนชัน

เหล่าปีศาจจึงไม่คิดใช้แผนการอื่นใดอีก

ตอนนี้…พวกมันแค่อยากกลับบ้านเท่านั้น

แล้วเวลาก็ไหลผ่านไป

ในที่สุด กษัตริย์ปีศาจ และราชาภูตทั้งหมดก็ได้จากไป เหลือแค่เพียง กษัตริย์ปีศาจตนสุดท้าย

ตลอดทั้งร่างของมันเป็นสีดำหมึก  รูปลักษณ์ของมันแลคล้ายกับมนุษย์ เพียงแต่มีหางที่ยาวแหลม งอกอยู่เบื้องหลัง

มันแสดงออกถึงความซื่อสัตย์ และเริ่มร่ายคาถาด้วยความบริสุทธิ์ใจ

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างเงียบๆ สุดท้ายกล่าว “ซี่ฉี เวลานี้มิได้มีกษัตริย์ปีศาจตนอื่นๆ อยู่อีกแล้ว ดังนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องหวาดเกรงว่า เรื่องขี้ขลาดของเจ้าจะล่วงรู้ถึงหูผู้อื่น จงสารภาพออกมาอย่างกล้าหาญเสีย”

“นี่เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน?” กษัตริย์ปีศาจสูญสิ้นรอยยิ้มบนใบหน้า

กู่ฉิงซานกล่าว “ข้ามีคำถาม และเจ้าจะต้องตอบมัน จงตอบให้ดี มิฉะนั้นข้าจะสังหารเจ้า”

กษัตริย์ปีศาจสะดุ้งเฮือก กล่าวด้วยความนอบน้อม “ได้โปรดถามมาเถอะ”

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก เอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “เคยมีพวกมอนสเตอร์บรรพกาล หรือเทพวิญญาณ บุกไปยังโลกปีศาจดึกดำบรรพ์หรือไม่?”

กษัตริย์ปีศาจที่อยู่ต่อหน้าเขา มันคือตนที่อ่อนแอและขี้ขลาดที่สุดจากในบรรดาทั้งหมด

นอกจากนี้ มันยังเป็นตัวตนที่แหกกฎมากที่สุดอีกด้วย

ดังนั้น เขาจึงโค่นภูตผีปีศาจทั้งหมดลง และเหลือมันไว้สอบปากคำเป็นตัวสุดท้าย

กษัตริย์ปีศาจ “ใช่ พวกมันเคยบุกเข้ามา”

กู่ฉิงซาน “เช่นนั้นผลลัพธ์เล่า เป็นอย่างไร?”

กษัตริย์ปีศาจ “ผลลัพธ์คือภูตผีปีศาจน่ะไม่อร่อย ไร้ซึ่งคุณค่าทางอาหารใดๆ ดังนั้นพวกมอนสเตอร์บรรพกาลจึงไม่ชมชอบ ส่วนเทพวิญญาณเองก็รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง เพราะในโลกปีศาจดึกดำบรรพ์ มันเต็มไปด้วยปราณชั่วร้าย ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจไม่ตั้งรกราก แต่ก็ไม่วายคิดป้องกันมิให้โลกปีศาจแข็งแกร่งขึ้น เลยจัดการ ‘แยก’ โลกปีศาจดึกดำบรรพ์ออกเป็น ‘หลายพันส่วน’ แล้วจึงค่อยจากไป”

กู่ฉิงซานเงียบงันไปครู่หนึ่ง

เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า โลกปีศาจดึกดำบรรพ์จะต้องพบเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้

“กษัตริย์ปีศาจ คำตอบสำหรับคำถามนี้มีความสำคัญยิ่ง ดังนั้นข้าจะให้รางวัลเป็นการบอกความลับแก่เจ้า”

กษัตริย์ปีศาจเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

กู่ฉิงซาน “แท้จริงแล้วภรรยาของเจ้าร่วมมือกับราชาภูตกระดูก  มอมเมาเจ้าจนจมลงในห้วงแห่งฝันอยู่ทุกวี่วัน ส่งผลให้เจ้าไม่สามารถจัดการดูแลโลกปีศาจให้ดีได้ นอกจากนี้ยังทำให้เจ้าไม่สามารถมีเวลาไปฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้อีก พวกมันทำให้ตัวเจ้าเปรียบดั่งกษัตริย์ที่ไร้ซึ่งอาวุธ สร้างความแคลงใจให้แก่ทุกผู้คน”

“นอกจากนี้ สาเหตุที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ มันก็เพราะราชาภูตกระดูกบังเกิดความคิดน่าสนใจบางอย่างขึ้น มันสนุกเป็นอย่างยิ่งกับการสวมหมวกสีเขียว[1]** ให้กับเจ้า แน่นอน ว่าผู้หญิงยังเป็นของเจ้า อาณาจักรเองก็ยังเป็นของเจ้า และราชาภูตเองก็คิดว่าหากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มันคงดีที่สุดแล้ว เพราะโลกปีศาจของเจ้าจะได้ไม่ถูกกลืนกิน แม้ว่าในความเป็นจริง ทุกสิ่งจะกลายเป็นของราชาภูตกระดูกไปแล้วก็ตามที”

กษัตริย์ปีศาจตะลึงงัน

ครั้งนี้มันตะลึงชนิดเนิ่นนานกว่าในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “อันที่จริง ข้าไม่คิดสนใจเรื่องของเจ้าหรอก เพราะท้ายที่สุดแล้วความแค้นระหว่างพวกปีศาจ ข้าไม่คิดเข้าไปข้องเกี่ยวใดๆ”

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็สะบัดดาบยาวของเขาอย่างแผ่วเบา

“แต่ก่อนที่เจ้าจะตาย ข้าหวังว่าในหัวใจของเจ้าจะล่วงรู้ถึงความจริง”

แล้วดาบยาวก็ถูกชักกลับ

กู่ฉิงซานปล่อยดาบจากมือ และปล่อยให้มันกลับไปซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่า

บนพื้นดิน กษัตริย์ปีศาจซี่ฉีถูกหั่นเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วน

บนเรือเหาะ ไร้ซึ่งภูตผีปีศาจตนใดอีกต่อไป

ตลอดทั้งบริเวณช่างเงียบเหงา

หลงเหลือเพียงเสียงลมทะเลที่พัดไม่หยุด

กู่ฉิงซานยืนอยู่เบื้องหน้าของกษัตริย์ปีศาจซี่ฉีเป็นเวลานาน

ในที่สุด ดาบยาวที่คล้ายดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงก็ปรากฏออกมาจากในความว่างเปล่า และกลายเป็นหญิงสาวที่ครอบครองใบหน้าละเอียดอ่อนงดงาม

เป็นฉานนู่

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะสะกดกลั้นห้วงอารมณ์ในหัวใจของเธอ

“นายน้อย วันนี้ท่านปกติดีจริงๆ ใช่ไหม?” ฉานนู่ถามด้วยความกังวล

“ข้าไม่เป็นไรหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว

“แต่ข้าสัมผัสได้ว่าท่านแปลกไป”

“…คงเป็นเพราะข้ากำลังกังวลถึงบางสิ่งบางอย่าง และเอาแต่คิดทบทวนถึงมันซ้ำแล้วซ้ำอีก เนื่องเพราะมันเป็นเรื่องสำคัญมากเกินไป จนมิอาจเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ข้าจึงอดรู้สึกประหม่าไม่ได้”

“เรื่องที่ว่า…เกี่ยวกับดาบนภาหรือไม่?”

“ใช่”

ฉานนู่ขบคิดครู่หนึ่งและกล่าว “นายน้อยจับภูตผีปีศาจเหล่านี้เอาไว้ เพื่อหมายจะได้รับคาถาเข้าสู่โลกของพวกมันเพียงอย่างเดียว?”

“ก็ไม่เชิง”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าสังเกตเห็นรึเปล่านะ แต่ตลอดทั้งกระบวนการร่ายคาถาของพวกมัน ข้าได้ค้นพบว่า แท้จริงแล้วพวกภูตผีปีศาจมันเข้าใจการใช้งานห้าความสามารถทางวิญญาณอย่าง ลม สายฟ้า แสง ความมืด และเสียง”

“อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกยุทธสมัยโบราณ หรือแม้กระทั่งมอนสเตอร์บรรพกาล คล้ายกับว่าพวกที่กล่าวมา กลับไม่ล่วงรู้เกี่ยวกับธาตุจำเพาะทั้งห้าข้างต้นนี่เลย”

“ตัวนั้น มันจึงน่าจะมีความจริงบางอย่าง ที่ทำให้พวกภูตผีปีศาจสามารถอยู่รอด และมีสภาพชีวิตที่ดี ตราบจนถึงปัจจุบันได้”

ว่าจบ เจ้าตัวก็หยิบชิ้นเนื้อของกษัตริย์ปีศาจซี่ฉีขึ้นมา

ฉานนู่มองตามการกระทำของเขา คล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง

“นายน้อย หรือว่าท่านต้องการจะ…”

ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็ได้แปลงกายเป็นกษัตริย์ปีศาจซี่ฉี

เขาโยนชิ้นเนื้อทิ้งไป และหยิบใบหยกซึ่งสามารถชักนำไปสู่ยุคถัดไปออกมา จากนั้นค่อยใช้หลายสิบเทคนิคลับแห่งเต๋า ปิดผนึกมัน และเก็บไว้ในกล่องหยก

คราวนี้ ฉานนู่ไม่สามารถคาดเดาความคิดของเขาได้อีกต่อไป

กู่ฉิงซานมองไปยังสีหน้าของเธอ ปากเอ่ยอธิบาย “ก่อนที่จะสังหารพวกราชาภูต ข้ามิได้แสดงท่าทีเลอะเลือนโง่งมอันใด ทว่าข้าแค่พึ่งจะได้เรียนรู้เทคนิคการระงับพลังจากใบหยก บนเรือมาก็เท่านั้นเอง”

“ในที่สุด ข้าก็ค้นพบวิธีการที่จะระงับการใช้งานใบหยกแล้ว!”

ฉานนู่เอ่ยถาม “เหตุใดนายน้อยต้องปิดผนึกใบหยกด้วย?”

กู่ฉิงซานกล่าว “เพราะใบหยกนี้ มันเกี่ยวโยงกับหลายสิ่งมากมาย ข้าคาดคำนวณมานาน และพบว่า ทุกสิ่งอย่างในปัจจุบันนี้ หากมีอันใดผิดพลั้งไปแม้เพียงหนึ่ง ทุกอย่างก็จักจบสิ้นลง”

“นี่อย่าบอกนะว่านายน้อยเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวของผู้ฝึกยุทธโบราณ?”

“นี่มิใช่ความไม่มั่นใจ เพียงแต่เราต้องละทิ้งซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ตัดขาดมันไม่ให้เข้ามาทำให้เกี่ยวข้องหรือไขว้เขว แล้วจึงค่อยตัดสินจากสถานการณ์โดยอ้างอิงจากความเป็นจริงให้มากที่สุด”

“เหตุใดนายน้อยจึงได้สรุปเช่นนี้?”

“นั่นเพราะท่ามกลางวันเดือนปีในยุคโบราณ เผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกสะกดข่มด้วยความตายตลอดมา เรื่องนี้อธิบายให้เห็นได้ว่า ในยุคสมัยนั้น มอนสเตอร์บรรพกาลและเทพวิญญาณเป็นฝ่ายครอบงำความได้เปรียบอย่างแท้จริง ซึ่งสถานการณ์นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงสิ่งหนึ่ง นั่นคือพวกมอนสเตอร์และเทพวิญญาณ ‘มีวิธีที่จักเอาชนะเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่เสมอมา’ ”

ฉานนู่รับฟัง พยักหน้าและกล่าว “ดังนั้น นายน้อยจึงคิดว่าพวกเขาสมควรที่จะมีวิธีเตรียมพร้อมไว้ใช้รับมือกับกลยุทธ์สุดท้ายที่เหล่าผู้ฝึกยุทธทิ้งเอาไว้เบื้องหลังใช่หรือไม่?”

“ข้าไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ข้อนี้ออกไป” กู่ฉิงซานกล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจท่านอาจารย์ เพียงแต่ว่าถ้ามีใครคนหนึ่งในกระบวนการทั้งหมด เกิดทำผิดพลาดขึ้น กลยุทธ์นี้อาจถูกทำลายลงเลยก็เป็นได้”

ฉานนู่ตื่นตระหนกยิ่ง ปากบ่นพึมพำ “เช่นนั้น ในเมื่อเราไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ สุดท้ายแล้วทุกสิ่งที่กระทำมามันจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ?”

กู่ฉิงซาน “ไม่ถึงขนาดนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่สามารถต่อกรกับเทพวิญญาณและมอนสเตอร์บรรพกาลได้ นอกจากเหล่าผู้ฝึกยุทธโบราณแล้ว ยังมีผู้อื่นอยู่อีก”

“ผู้อื่นกระนั้นหรือ? เป็นผู้ใดกัน?” ฉานนู่ถามอย่างไม่คาดคิด

“แน่นอนว่า ย่อม…เป็น…ข้า”

กู่ฉิงซานกล่าวเน้นย้ำ

ฉานนู่ตกตะลึง

กู่ฉิงซานเอ่ยปากอย่างช้าๆ “ข้าน่ะเป็นผู้ฝึกดาบ ยามเมื่อข้ามีดาบอยู่ในกำมือ ข้าย่อมไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการเสียสละของเหล่าบรรพชนเพื่อเป็นเครื่องปูทางแต่อย่างใด”

เขาเงยหน้าขึ้น มองความมืดมิด ปากเปล่งเสียงกระซิบ “ข้าไม่ต้องการถูกไล่ล่า และหดหัวดั่งสุนัข แต่ข้าเองก็ไม่ต้องการตกลงสู่หลุมพรางของเทพวิญญาณเช่นกัน เพราะข้ายังไม่สามารถต่อต้านมันได้ ดังนั้น สิ่งเดียวที่ข้าต้องการก็คือพลัง!!”

“ถูกต้อง ข้าต้องการพลังที่จะใช้เปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมดนี้!”

สองมือของกู่ฉิงซานประกบเข้าหากัน สายฟ้าและสายลมเริ่มผสาน ตามต่อด้วยบทสวดคาถามุ่งสู่โลกปีศาจ

“โลกปีศาจของซี่ฉีเอ๋ย จงเปิดประตู และต้อนรับการไปเยือนของข้า!”

ปากเปล่งวาจาลั่น

เปรี้ยง!

ประตูที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

“พวกเราไปกันเถิด”

“เจ้าค่ะ นายน้อย”

………………………

ยุคโบราณ แท้จริงแล้วมีกี่โลกกันแน่?

เมื่อคิดถึงปัญหานี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มกลายเป็นจริงจังขึ้น

“ระบบ ในยุคนี้ นอกเหนือไปจากโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แล้ว ยังมีอยู่อีกกี่โลกกันแน่?” กู่ฉิงซานถาม

ระบบตอบ “เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับระบบ ดังนั้นไม่สามารถตอบคำถามได้”

กู่ฉิงซาน “แต่ปัญหาสำคัญจริงๆ นะ ฉันจะมอบแต้มพลังวิญญาณให้ยิ่งกว่าในทุกๆ ครั้งเลย ขอแค่คุณบอกมา”

“สำหรับปัญหานี้ คุณจะต้องตรวจสอบด้วยตัวเอง ฉันก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน และอีกอย่าง มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน”

กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องยอมแพ้

เขาเดินวนไปวนมาในเรือเหาะ ขบคิดเกี่ยวกับวิธีการที่จะใช้สำรวจโลกอื่น

โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ในยุคปัจจุบันที่เขาอยู่ เป็นช่วงเวลาของการล่มสลาย

บนผืนดิน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนตกตายจนสิ้น

ท้องทะเลก็ยังว่างเปล่า

กู่ฉิงซานแล่นเรือโดดเดี่ยวอยู่ในทะเล สมองขบคิดว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไรดี?

เขาเค้นสมองเป็นเวลานาน ในที่สุดก็นั่งพับเพียบลง และเริ่มวางมือลงบนเรือเหาะ

เพราะนอกเหนือไปจากเทคนิคฝึกยุทธของผู้ฝึกยุทธในสมัยโบราณแล้ว บนเรือลำนี้ มันยังมีบันทึกเกี่ยวกับอารยธรรมและประวัติศาสตร์รวมเอาไว้อีกด้วย

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไป และทำการค้นหามันอย่างระมัดระวัง

หลังจากนั้นไม่กี่สิบลมหายใจ

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย ปากอ้าขยับพึมพำ “เจอแล้ว”

ตามบันทึกของผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันมีอยู่ทั้งสิ้นสองโลกในยุคนี้

หนึ่งคือโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

และอีกหนึ่งคือโลกปีศาจดึกดำบรรพ์[1]

ในตำนานเมื่อนานมาแล้ว ยามเมื่อเทพวิญญาณได้ปรากฏกายครั้งแรก พวกเขาได้ใช้ออกด้วยหลากหลายวิธีการ จนได้รับความเชื่อมันและไว้วางใจจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

แน่นอน ว่าครั้งหนึ่งเทพวิญญาณเองก็เคยก้าวเข้าสู่โลกปีศาจดึกดำบรรพ์เช่นกัน เป้าประสงค์ก็เพื่อต้องการติดต่อกับพวกปีศาจ

ทว่าสุดท้ายก็ล้มเหลว

เทพวิญญาณได้ทดลองพยายามที่จะเรียนรู้สกิลของพวกปีศาจ แต่ในที่สุดก็ค้นพบว่า เหล่าปีศาจนั้นถือกำเนิดมาจากปฐมบทแห่งความโกลาหล เป็นสิ่งมีชีวิตที่หลอมรวมเข้ากับกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ดังนั้นจึงครอบครองความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแก่นแท้ของโลกทั้งมวล และไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของเทพวิญญาณ

ด้วยเหตุนี้เอง สำหรับโลกฝั่งปีศาจ เหล่าทวยเทพเลยไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้

จึงมีเพียงโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ที่ตกอยู่ในการควบคุมของเทพวิญญาณ และมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะก้าวข้ามเทพวิญญาณ เพื่อออกไปสำรวจถึงความลี้ลับของโลกเหล่านี้

กู่ฉิงซานถอนมือออก และส่ายหัวอย่างเงียบๆ

ดูเหมือนว่า…

บางสิ่งบางอย่าง เขาคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากถามมันด้วยตัวเอง

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาเม็ดยาวิญญาณออกมาสองเม็ด

เขาโยนเม็ดยาเข้าปาก สองมือประกบหากัน แปรผันเป็นวิชาลับ

ขอบเขตลมปราณจิตขั้นปลาย เริ่มเข้าสู่กระบวนการตัดผ่านไปยังขอบเขตดาราโกลาหล!

พลังวิญญาณมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา มันพยายามทุกวิถีทางที่จะชักนำเมฆทมิฬลงมายังเบื้องล่างมหาสมุทร ตามกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน

เปรี้ยง!

ทัณฑ์สายฟ้าก่อบังเกิด

เมฆทมิฬแพร่กระจายตัว

สภาวะทัณฑ์สวรรค์เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

ครึ่งชั่วยามต่อมา

ทัณฑ์สวรรค์ก็ได้จบลง

ภายในอากาศที่ว่างเปล่า ทุกชนิดของเสียงกรีดร้องโหยหวนค่อยๆ ดังขึ้น

พร้อมกันกับใบหน้าที่ดูดุร้ายทยอยกันปรากฏออกมาอย่างเงียบๆ

เหล่าภูตผีปีศาจได้มาเยือนแล้ว!

กู่ฉิงซานมองไปรอบๆ ประสานกำปั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “ไม่ได้พบเจอกันนาน เหล่าสหายเป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา?”

ทว่าไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ

พวกปีศาจไม่คิดสนทนากับเขา

ปีศาจทั้งหมดรายล้อมรอบเรือเหาะ ทยอยกันปรากฏขึ้นทีละตน ทีละตนในอากาศ

แต่ละตนมองมายังกู่ฉิงซาน ใช้สายตาเฉกเช่นเดียวกันกับกำลังมองเหยื่อ

“เนื้อสดๆ ที่แสนหายาก…”

กษัตริย์ปีศาจเลียริมฝีปาก

“อา…เดิมที ข้าคิดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนสูญพันธุ์ไปสิ้น จนไม่อาจหากินได้อีกแล้วซะอีก” ราชาภูตกล่าว

“แต่น่าเสียดาย ที่ผู้ฝึกยุทธคนนี้คล้ายกับสมองไม่ดี พวกเราไม่รู้จักเขาเสียหน่อย แล้วเขามาทักทายพวกเราทำไมกัน?” ราชินีภูตกล่าว

“จงอย่าได้แย่งชิงมันไปจากข้า ข้าปรารถนาที่จะฉีกเนื้อหนังมัน” อีกกษัตริย์ปีศาจกล่าว

“ก็แบ่งๆ กันซี ข้าขอเป็นสองมือ สองเท้าของมันก็แล้วกัน”

“งั้นข้าขอส่วนหัว”

“ส่วนข้า จะรับช่วงลำตัวไป”

เหล่าปีศาจเริ่มจับจองมื้ออาหาร

สองมือที่ประสานคารวะของกู่ฉิงซานแข็งค้าง

เมื่อได้รับฟังถึงบทสนทนา เขาก็ตระหนักได้ถึงปัญหา

ตนค้นพบว่าแท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ที่ก่อกำเนิดขึ้นระหว่างเขากับพวกปีศาจ จริงๆ มันเป็นในภาพทับซ้อนยุคก่อนหน้านี้

ในช่วงเวลานั้น เขาต้องกลับไปเริ่มต้นฝึกยุทธใหม่ตั้งแต่ขอบเขตปราณปรับแต่งอีกครั้ง จึงมีบ่อยครั้งที่ต้องเผชิญกับพวกปีศาจ นานวัน ก็เลยยิ่งได้ทำความรู้จักกันอย่างช้าๆ

แต่สำหรับพวกปีศาจในภาพทับซ้อนยุคปัจจุบัน เขาไม่เคยได้ทำความรู้จักใดๆ กับพวกมันเลยมาก่อนเลย

ปัญหานี่มัน…ช่างน่าปวดหัวซะจริง!

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นเกาหัว นิ่งคิดไปพักหนึ่ง

ท่ามกลางความมืดมิด เหล่าปีศาจพรั่งพร้อมโจมตี เริ่มคำรามลั่น

เพราะนับจากนี้ไป คือช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมที่จักได้เพลิดเพลินไปกับเลือดและเนื้อสดๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์!

ทางด้านกู่ฉิงซาน เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาก็จำต้องเรียกสองดาบยาวออกมาจากในความว่างเปล่า

“เฮ้อ เอาเถอะ แบบนี้ก็ดี เพราะอย่างไรซะ ฉันเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะต้องมานั่งดื่มกิน ยกแขนคล้องคอแล้วค่อยถามไถ่ข้อมูลจากพวกมันอย่างช้าๆ เหมือนกัน…”

เขาถอนหายใจ ปากบ่นพึมพำ

สิบนาทีต่อมา

“เจ้าเด็กเหลือขอ! ทั้งๆ ที่ตัวเจ้ามีความสามารถมากพอที่จักสังหารพวกเราลงได้แท้ๆ แล้วสภาพอัปยศเช่นนี้มันอะไรกัน!? เหตุใดถึงไม่ทำให้มันจบๆ ไปสักที!!” ราชาภูตตะโกนด้วยความโกรธแค้น

กู่ฉิงซานก้าวออกมาข้างหน้า เกร็งกำปั้น และซัดเปรี้ยง! เข้าใส่หัวของราชาภูต

เขากระแทกหมัดออกไปอีกครั้ง จากนั้นก็ชกจนกระทั่งราชาภูตที่ปากมากสิ้นสติไป

“เจ้าหนู ข้าขอแนะนำเจ้าว่าให้ปล่อยพวกเราไป เพราะในเมื่อเจ้าสามารถเอาชนะพวกเราได้ ฉะนั้นในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ครั้งต่อไป เจ้าก็จะเจอพวกเราเหมือนเดิม นั่นย่อมทำให้เจ้าสามารถยกระดับขอบเขตขึ้นได้อย่างง่ายดาย -แต่หากเจ้าสังหารพวกเรา เจ้าก็จักต้องเจอปีศาจตนใหม่ที่ไม่คุ้นหน้า จงใคร่ครวญดีๆ เถอะ” กษัตริย์ปีศาจเอ่ยเสียงเย็นชา

กู่ฉิงซานถูมือที่พึ่งชกไปอย่างช้าๆ ก้าวตรงมายังกษัตริย์ปีศาจที่ปากมาก แต่คราวนี้เขาใช้เท้า ย่ำตึง! ลงบนจุดยุทธศาสตร์ของมัน และเริ่มกระทืบ!

กระทืบ

กระทืบ

กระทืบแรงๆ ไม่ยั้ง!

ทั้งร่างของกษัตริย์ปีศาจท่วมไปด้วยเหงื่อเย็น มิอาจเปล่งคำใดออกมาได้

กู่ฉิงซานค่อยหยุดลง

เบื้องหน้าของเขา กษัตริย์ปีศาจและราชาภูตทั้งหมด ทุกตนล้วนอยู่ในสภาพน่าอดสู ถูกตัดแขน ตัดขาออกจากกัน จัดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่บนพื้นเรือเหาะ

แต่ก็ต้องยอมรับนะว่า หลังจากจัดการกับกษัตริย์ปีศาจและราชาภูตทั้งหมดแล้ว กู่ฉิงซานเองก็เหนื่อยไม่น้อยเลยเช่นกัน

เขาปาดเหงื่อ และค่อยๆ นั่งลงบนพื้นเรือเหาะ

เบื้องบนขึ้นไป ทัณฑ์สายฟ้าได้หายไปแล้ว ทว่ากระแสรุนแรงจากทัณฑ์สายลมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

ซึ่งนั่นหมายความว่าทัณฑ์สวรรค์ยังไม่จบ

เหล่าปีศาจที่สมควรจะรับหน้าที่ลงทัณฑ์ ขณะนี้จึงยังไม่มีตนใดจากไปได้

กู่ฉิงซานนิ่งคิดไปพักหนึ่ง

เขาไตร่ตรองทีละนิด ทีละนิดเกี่ยวกับโลกปีศาจกับโลกสวรรค์

ราชาภูตอีกตนหนึ่งอดไม่ได้ ต้องตะโกนออกมา “ไอ้หนู แท้จริงแล้วเจ้าต้องการจะทำบ้าอะไรกันแน่?”

กู่ฉิงซานยืนขึ้น และคราวนี้เดินไปยังราชาภูตที่เอ่ยปากอีกครั้ง

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ง้างกำปั้น และเหวี่ยงมันออกไป

แน่นอนว่านี่มิใช่หมัดธรรมดา แต่เป็นหมัดที่ถูกถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไป ฉะนั้นยามปะทะจึงรุนแรงยิ่ง

ราชาภูตจุกจนงอตัว ไม่คิดเอ่ยคำใดอีก

พอจบเรื่อง กู่ฉิงซานก็กลับมานั่งลงบนพื้นที่เดิมอีกครั้ง

ในจิตใจของเขา ยังคงตกอยู่ในความสับสน

เหล่าปีศาจเหลือบมองกันและกัน

‘เอ่อ ตกลงว่าเจ้ามนุษย์คนสุดท้ายที่ยังรอดชีวิตนี่…มันบ้าใช่ไหม?’

‘ทำแบบนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา เหตุใดจึงต้องบังคับให้พวกเราอยู่ในสภาพเช่นนี้ สภาพที่อยู่ต่อก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ดี?’

แน่นอน ว่าพวกมันเคยพยายามลอบหนีออกไปจากโลกใบนี้ แต่สุดท้ายไม่ถูกหั่นเป็นสองส่วนด้วยดาบเดียว ก็ถูกทำร้ายตกตายลงในจุดนั้นทันที

เพราะอย่างไรเสีย ทั้งมือและเท้าก็ถูกตัดออกไป ฉะนั้นหากคิดหนีกลับไป มันจำเป็นต้องทุ่มความพยายามอย่างหนัก และไม่สามารถกระทำได้ในพริบตาเดียว

เช่นนั้นจะต้องทำอย่างไรกัน อีกฝ่ายถึงยินยอมปล่อยพวกตนจากไป?

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ราชินีภูตก็เปล่งเสียงกระจ่างใสและงดงามน่าฟังออกมา “หนุ่มน้อย เจ้าปรารถนาสิ่งใด ใช่ต้องการให้ผู้อื่น [2] ปรนนิบัติเจ้าหรือไม่?”

กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น และเดินตรงไปยังราชินีภูตที่เอ่ยปาก

ราชินีมองเขาด้วยความตื่นตระหนก แต่ใบหน้าของเธอยังคงฝืนเค้นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ผู้อื่นสัญญาว่าจะทำตามที่ใจเจ้าปรารถนา”

กู่ฉิงซานมองเธอ และยิ้ม

ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากออกมา “เจ้าไม่มีทั้งมือและเท้า ฉะนั้นข้าไม่คิดล่วงละเมิดใดๆ เพียงแต่เจ้าบอกสิ่งหนึ่งแก่ข้าอย่างตรงไปตรงมา นั่นคือสถานที่ ที่เจ้าคิดกลับไปคือแห่งหนใด?”

ราชินีภูตชะงักไปวูบหนึ่ง

กษัตริย์ปีศาจและราชาภูตตนอื่นๆ ก็อึ้งไป ไม่รู้จะกล่าวกระไรดี?

เจ้าเด็กนี่ เหตุใดถึงถามคำถามเช่นนี้ ดูท่าจะป่วยจิตจริงๆ

เพราะสำหรับพวกปีศาจแล้ว พวกมันหวาดกลัวในตัวมนุษย์ที่ไม่คุ้นชินมากกว่าสิ่งใด

สำหรับปีศาจ เมื่อทราบว่าคุณร้องขอให้มันตอบคำถาม คำถามที่ว่านั่นจะต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน

ตรงกันข้ามที่โดยปกติแล้ว จะเป็นฝ่ายภูตผีปีศาจ ที่มักริเริ่มหาหนทางในการชักนำมนุษย์ให้ร่วงหล่นลงสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง โดยปีศาจจะใช้ความอดทน ล่อลวงมนุษย์อย่างช้าๆ และเอาวิญญาณของมนุษย์ไปได้ในที่สุด

มีเฉพาะเพียงมนุษย์ที่มีความพิเศษเกินไปเท่านั้น ที่พวกมันจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความปรารถนา และวิธีการล่อลวงใดๆ ปีศาจจะไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่มนุษย์คนนั้นต้องการได้ ส่งผลให้พวกมันรู้สึกหมดหนทาง

“ข้า…จะกลับไปยังโลกขุนเขาทมิฬ…” ราชินีภูตกล่าวเสียงแหบแห้ง

“ตกลง” กู่ฉิงซานกล่าว

“เจ้ายินยอมปล่อยข้ากลับไปจริงๆ?” มันเอ่ยถาม

“ใช่ แต่จงบอกข้าถึงวิธีที่เจ้าจะใช้กลับไปยังโลกขุนเขาทมิฬ จากนั้นเจ้าก็สามารถกลับไปได้” กู่ฉิงซานกล่าว

ราชินีภูตงงงันวูบ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สำหรับเรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาใดๆ…ตราบใดที่เจ้ากล้าไปน่ะเหรอ”

เธอกล้าพูดสิ่งนี้ได้อย่างเต็มปาก นั่นเพราะ ยามเมื่อรับตำแหน่งโทษทัณฑ์ ทัณฑ์สวรรค์จะระงับพลังของเธอ ส่งผลให้เธอสามารถปลดปล่อยอำนาจที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธที่กำลังตัดผ่านขอบเขตอยู่ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

หากเจ้าผู้ฝึกยุทธป่วยจิตคนนี้ กล้าที่จะเหยียบย่ำไปยังโลกขุนเขาทมิฬของเธอ ราชินีภูตสาบานเลยว่า เธอจักใช้พลังเต็มที่ ไม่ปล่อยให้เขารอดชีวิตกลับมา ขณะเดียวกันก็คอยทรมาน ไม่ยินยอมให้ตกตายลงเช่นกัน

ราชินีภูตเร่งเร้าร่ายคาถา “คาถานี้จำเป็นต้องหยิบยืมสายลมและโลหิตก่อน จึงจะสามารถใช้งานได้”

“ตัวอย่างเช่นแบบนี้”

ราชินีภูตขยับตัว กัดลิ้น และพ่นเลือดออกมาเล็กน้อย

เนื่องจากไม่มีมือและเท้า เธอจึงสามารถทำได้เพียงเท่านี้

กู่ฉิงซานจดจำถึงคาถาเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ

แล้วเขาก็ปล่อยให้อีกฝ่ายหายไปจากสายตา

กลุ่มภูตผีปีศาจตนอื่นๆ เฝ้ามองเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

เจ้าเด็กนี่ มันต้องการที่จะไปยังโลกปีศาจจริงๆ น่ะหรือ?

แต่บอกไว้เลยว่า ตราบใดที่กล้าย่างกรายเข้าไป มันจะต้องตายแน่นอน!

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานหันหัวมาอย่างช้าๆ กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่างเปล่า “ไม่ต้องกังวล ต่อไปจะเป็นตาของพวกเจ้า ค่อยๆ ทยอยกันบอกมาทีละคน ทีละคน ว่าจักสามารถไปยังโลกของพวกเจ้าได้อย่างไร”

………………….

ท่ามกลางท้องทะเล

กู่ฉิงซานวางมือลงบนระเบียงเรือเหาะ หลับตาลง ในสมองขบคิด

ผู้ฝึกยุทธจากยุคโบราณคนนั้นช่างยอดเยี่ยมเสียจริง เขาไม่เพียงแต่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อ แต่ยังกระทั่งสร้างเรือเหาะที่สามารถดำดิ่งสู่ห้วงทะเลลึก และเก็บรวบรวมประสบการณ์ ความรู้ อารยธรรม ฯลฯ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการฝึกยุทธเอาไว้ภายในเรือเหาะ

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เรือเหาะทั้งลำนี้ คือหีบสมบัติที่รวบรวมภูมิปัญญาสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้!

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสมบัติเช่นนี้ กู่ฉิงซานแม้จะเกิดความโลภ แต่เขาก็ไม่คิดจะทำการเรียนรู้เนื้อหาทั้งหมดอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า

ในเวลานี้ การรู้มากไปไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องที่ดี ตรงกันข้าม การรู้น้อยแต่สามารถนำมันไปใช้ประโยชน์ในการต่อสู้ได้ต่างหากจึงจะเป็นสิ่งสมควร

ต้องไม่ลืมนะว่าภาพทับซ้อนในยุคนี้ คือยุคในช่วงเวลาที่โลกกำลังล่มสลาย ดังนั้นเขาจะต้องเร่งฝึกยุทธให้เร็วที่สุด เพื่อออกไปยังโลกถัดไป

กู่ฉิงซานเลือกแล้ว เลือกอีก ค้นหาวิธีที่ทรงประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตนเอง เพื่อเพิ่มความไวในการฝึกยุทธ และขยายอำนาจของพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว

เมื่อเขาคิดว่า เขาเกือบจะพร้อมแล้ว เจ้าตัวก็หยิบเอาเม็ดยาวิญญาณออกมา นั่งพับเพียบลง แล้วหลับตาเข้าสู่ห้วงสมาธิ

ด้วยความสามารถของ ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ และแต้มพลังวิญญาณในร่างกายที่มีมากกว่าหนึ่งล้าน ไหนจะมรดกเทคนิคดาบที่ได้รับสืบทอดมาจากเซี่ยกู่หงส์  ประสบการณ์ทั้งหมดจากผู้ฝึกยุทธในสมัยโบราณ ส่งเสริมให้กู่ฉิงซานสามารถตัดผ่านขอบเขตย่อยได้สำเร็จในเวลาเพียงไม่นาน

หลังจากนั้นสักพัก

เขาก็ลืมตาขึ้น

ในเวลานี้ ตัวเขาได้มาหยุดยืนอยู่ในขอบเขตลมปราณจิตขั้นปลายแล้ว!

พลังวิญญาณตลอดทั้งร่างกายเกิดความผันผวน  มันเปลี่ยนแปลงและวุ่นวายเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาพึ่งตัดผ่านขอบเขตลมปราณจิตขั้นกลาง แถมตอนนี้ยังตัดผ่านมาถึงขั้นปลายอีก ด้วยการตัดผ่านอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พลังวิญญาณเกิดความไม่เสถียร

โชคดีที่สถานการณ์นี้ไม่ร้ายแรงมากเกินไป มิฉะนั้นแล้ว หากกู่ฉิงซานคิดหมายจะตัดผ่านอีกครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ มันคงจะเป็นเรื่องยาก

กู่ฉิงซานย้อนนึกถึงกระบวนการโบราณที่ช่วยให้พลังวิญญาณสงบลง สองมือประกบพนมเข้าด้วยกัน ก่อนจะเริ่มจีบออกด้วยวิชาลับ

มันคือวิชาลับ ‘เก้าปฏิวัติ ปลดปล่อยพลังวิญญาณ’

ในสมัยโบราณ ยามเมื่อต้องเผชิญกับพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้ฝึกยุทธระดับสูงจึงเกิดความคิดอันยอดเยี่ยมขึ้น

นั่นคือการ ‘ระบายพลังวิญญาณที่ปั่นป่วนออกไป’

หลังจากที่พลังวิญญาณทั้งหมดถูกระบายออก ตันเถียนก็จะว่างเปล่า ปลอดโปร่งโดยสมบูรณ์

เมื่อตันเถียนสร้างพลังวิญญาณขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้มันก็จะมั่นคง เพราะพลังวิญญาณใหม่จะอ่อนแอ และสามารถบังคับให้ความผันผวนทางพลังวิญญาณสงบลงได้อย่างง่ายดาย

กู่ฉิงซานใช้กลยุทธ์ปลดปล่อยพลังวิญญาณตามวิธีการโบราณอย่างช้าๆ สร้างพลังวิญญาณใหม่ขึ้นมา แล้วจากนั้นก็บังคับให้พวกมันไหลไปตามเส้นลมปราณทั้งหมด จนท้ายที่สุดกลับมายังตันเถียน

พลังวิญญาณจึงค่อยสงบลง

เนื่องจากพลังวิญญาณได้รับการข่มจนสงบลงแล้ว ในตอนนี้ ผู้ฝึกยุทธก็จะสามารถชักนำพลังวิญญาณ มาใช้ในการฝึกตน ตัดผ่านไปยังขอบเขตขั้นต่อไปได้

อัตราความเร็วในการพัฒนาของพวกเขาจะถูกกำหนดโดยคุณสมบัติทางด้านฝึกยุทธ รวมไปถึงความเข้าใจที่มีต่อเทคนิคฝึกยุทธที่ตนเรียนรู้

อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกยุทธสมัยโบราณย่อมไม่เหมือนกับกู่ฉิงซาน ที่สามารถเรียนรู้ทุกประเภทของการฝึกยุทธขั้นสูงได้เลยโดยตรง

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ถอนหายใจเล็กน้อย

เขารู้สึกชื่นชมต่อภูมิปัญญาของผู้ฝึกยุทธในสมัยโบราณจริงๆ

ตนผุดลุกขึ้นจากพื้นเรือเหาะ และเริ่มรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางพลังวิญญาณอย่างระมัดระวัง

เขาค้นพบว่า ปริมาณพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นจากเดิมราวๆ มากกว่าครึ่ง

ฉะนั้น นี่หมายความว่า เมื่อไหร่ที่เขาทะลวงผ่านขอบเขตลมปราณจิต ยกระดับขึ้นสู่ดาราโกลาหล ปริมาณพลังวิญญาณย่อมต้องพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

ซึ่งปริมาณพลังวิญญาณจะส่งผลโดยตรงต่อพลังโจมตีและระยะเวลาในการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ

สำหรับเทคนิคดาบและวิชาลับ ยิ่งพลังวิญญาณมากขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งทรงประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น

อ้างอิงจากเกณฑ์มาตรฐานความแข็งแกร่งทางพลังวิญญาณในปัจจุบันของกู่ฉิงซาน ต่อให้เขาปลดปล่อยเทคนิคลับแห่งดาบแบบไม่ใส่ใจ ก็ยังมีอำนาจโจมตีเทียบเท่าได้กับขอบเขตประทับเทพโจมตีอย่างเต็มกำลังหลายๆ ครั้งซ้อนทับกัน!

ต่อมา ก็ถึงเวลาที่จักต้องทะลวงฝ่าขอบเขตใหญ่ต่อไปแล้ว

กู่ฉิงซานขบคิดถึงสิ่งนี้ และมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณของเขามีมากกว่าหนึ่งจุดหนึ่งล้าน!

‘วิชายุทธเทพสงคราม’ เองก็พร้อมแล้ว ที่จะยกระดับให้สามารถเรียนรู้สกิลของเทพวิญญาณได้ตลอดเวลา

ทว่า…

แล้วทำไมเขาจะต้องเรียนรู้เทคนิคของเทพวิญญาณด้วยเล่า?

ก็ในเมื่อกู่ฉิงซานได้ล่วงรู้แล้ว ว่าเซี่ยกู่หงส์อาศัยเพียงอำนาจเทคนิคดาบ ก็สามารถมีชัยเหนือเทพวิญญาณไปได้มากกว่าครึ่ง

เมื่อรู้ว่าตนเองครอบครองความสามารถที่สาดแสงระดับดวงอาทิตย์ แล้วจักปรารถนาเดินทางไปครอบครองความสามารถที่เปล่งประกายได้แค่เพียงแสงจันทร์ไปเพื่ออะไร?

เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเอ่ยปาก “ระบบ ฉันมีคำถาม”

ติ๊ง!

ระบบเทพสงครามตอบกลับมา “คุณสามารถถามมาได้ แต่ในทุกๆ คำถามจากนี้ไป จะถูกเรียกเก็บเป็นสิบแต้มพลังวิญญาณ”

กู่ฉิงซาน “อ่าว ทำไมต้องเรียกเก็บแต้มพลังวิญญาณด้วย ก่อนหน้านี้ไม่เคยเรียกเก็บเลยไม่ใช่เหรอ?”

“ขอบคุณมากสำหรับยี่สิบแต้มพลังวิญญาณที่พึ่งจ่ายมา ฉันจะตอบคำถามตามนี้: เนื่องจากคุณมีแต้มพลังวิญญาณมากกว่าหนึ่งล้าน ระบบจึงต้องขอส่วนแบ่งบ้างเล็กน้อย ดั่งในสมัยโบราณ ที่มีคำกล่าวว่า ชายสามัญมั่งมีเพราะตระหนี่ถี่เหนียว นกยูงสลัดขนจึงสง่า” ระบบเทพสงครามตอบ

กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของเขา และเห็นว่าจำนวนมหาศาลของมันขยับลงเล็กน้อย

เป็นยี่สิบแต้มพลังวิญญาณที่ถูกหักออกไป

ไอ้เจ้าระบบนี่ …

แต่มันก็แค่ยี่สิบแต้มพลังวิญญาณเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม เขายังมีแต้มพลังวิญญาณเกินกว่าขีดจำกัดของแต้มพลังวิญญาณไปนับล้าน!

ซึ่งการที่สามารถมาถึงจุดนี้กล่าวได้ว่าเป็นเพราะเขาอาศัยพลังของระบบคอยช่วยเหลือ มิฉะนั้นแล้วกู่ฉิงซานคงเก็บแต้มพลังวิญญาณได้ไม่กี่ร้อยเท่านั้น

ฉะนั้น เลิกเถียงเกี่ยวกับยี่สิบแต้มพลังวิญญาณของมันจะดีกว่า

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างเงียบๆ

เขาเอ่ยถามต่อว่า “ฉันต้องการรู้ว่า ทำไมระบบเทพสงครามถึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการยกระดับขึ้นเพื่อฝึกยุทธสกิลของเทพวิญญาณด้วย?”

“นอกจากนี้ หมายความว่าสกิลของเทพวิญญาณมันดีกว่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ใช่รึเปล่า?”

“ขอบคุณสำหรับอีก ยี่สิบแต้มพลังวิญญาณ คำถามแรกง่ายดายมาก เป็นเพราะว่าเราสองได้ย้อนเวลากลับมายังยุคก่อนวันสิ้นโลก เพื่อไม่ให้ถูกสิ่งใดตรวจจับได้ และเพื่อให้การย้อนเวลานั้นสำเร็จลุล่วง ระบบจำต้องละทิ้งความสามารถส่วนใหญ่ไป วิชายุทธเทพสงครามถูกลดระดับลงให้อยู่ในรูปแบบที่อ่อนแอที่สุดที่เป็นไปได้ คุณสามารถตรวจสอบดูฟังก์ชันอื่นๆ ในระบบเทพสงครามได้ แล้วจะเข้าใจเกี่ยวกับมันมากขึ้น”

กู่ฉิงซานตั้งตารอคำต่อไปที่จะปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

อย่างไรตาม เบื้องล่างหน้าต่าง กลับเห็นแค่เพียงไอคอนที่กระจัดกระจายอยู่สาดแสงเย็นเยียบออกมาอย่างเงียบๆ พวกมันคือฟังก์ชันต่างๆ ที่เขาปลดล็อกได้ ไล่ตั้งแต่ ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ไปจนถึง ‘ภารกิจเทพสงคราม’

ยกเว้นห้าไอคอนที่ปลดล็อกได้ ไอคอนอื่นๆ ล้วนถูกความมืดมิดเข้าปกคลุม คล้ายกับหลุมดำ ในบางครั้ง พวกมันก็จะปล่อยหมอกสีดำที่ไม่สามารถมองเห็นได้ออกมา

“ยังมีอีกหลายฟังก์ชันที่ยังไม่ได้ถูกเปิด…” กู่ฉิงซานพึมพำ

“ใช่ ความอ่อนแอเช่นนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกแย่มากจริงๆ”

ระบบเทพสงครามบ่น และกล่าวต่อ “สำหรับคำถามที่สองของคุณ สกิลของเทพวิญญาณนั้น แท้จริงแล้วมิได้โดดเด่นหรือเหนือไปกว่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์เลย”

“งั้นทำไม ถ้าคิดจะเรียนรู้สกิลของเทพวิญญาณ ถึงจำเป็นต้องยกระดับระบบเทพสงครามด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ขอบคุณสำหรับ สิบแต้มพลังวิญญาณ เพราะว่าสกิลเทพวิญญาณนั้น มิใช่สกิลของเทพวิญญาณเองจริงๆ มันเป็นเพียง ‘สกิลลอกเลียน’ ที่มีต้นกำเนิดมาจากจาก ‘เผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนยุคโบราณ’ เมื่อนานมาแล้ว นานที่ว่านี่ หมายถึงนานนมยิ่งกว่าในยุคโบราณ เป็นการลอกเลียนพลังอันเรียบง่ายอย่างเชี่ยวชาญ”

คำตอบนี้ บอกตามตรงว่าค่อนข้างสร้างความประหลาดใจให้แก่กู่ฉิงซาน

เขาไตร่ตรองและเอ่ยถาม “ดังนั้น แท้จริงแล้วหมายความว่าสกิลของเทพวิญญาณ เดิมทีมันก็คือสกิลดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ใช่ไหม?”

“ถูกต้อง และขอบคุณสำหรับอีกสิบแต้มพลังวิญญาณ” ระบบกล่าว

ประกายวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยถามทันใด “งั้นแล้วพวกมอนสเตอร์บรรพกาลล่ะ? ต้นกำเนิดสกิลของพวกมัน ใช่มาจากการศึกษาและลอกเลียนแบบสกิลของเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกันรึเปล่า?”

ระบบเทพสงคราม “หายากนักที่คุณจะคิดได้ถึงปัญหานี้ เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ ดังนั้นขอเก็บเป็น ยี่สิบแต้มพลังวิญญาณ และระบบจะตอบคำถามดังต่อไปนี้”

“มอนสเตอร์บรรพกาลเดิมเป็นสิ่งที่ถูกรังสรรค์ขึ้น ร่างกายของพวกมัน ความสามารถของพวกมัน ทุกสิ่งของพวกมัน ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ก่อนยุคโบราณ ขีดเขียนขึ้น”

“นอกจากนี้ ระบบยังมีข้อมูลพิเศษเพิ่มเติมให้ว่า หลังจากยกระดับวิชายุทธเทพสงครามของคุณต่อไป ก็จะสามารถเรียนรู้ สกิลของมอนสเตอร์บรรพกาลได้เช่นกัน”

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “แล้วถ้าฉันต้องการจะยกระดับไปขั้นถัดไปล่ะ? มันจะต้องทำอย่างไร?”

“ขอบคุณสำหรับ ยี่สิบแต้มพลังวิญญาณ ขอตอบว่ามันเป็นไปได้เลยในทันที สำหรับการอัปเกรดในขั้นแรก สำหรับขั้นที่สอง การยกระดับวิชายุทธเทพสงคราม ครั้งต่อไปจำเป็นต้องใช้สามล้านแต้มพลังวิญญาณ”

กู่ฉิงซานอุทานด้วยความโกรธ “สามล้าน! คิดว่าฉันจะไปหาแต้มพลังวิญญาณขนาดนั้นมาจากที่ไหนกัน!?”

ระบบเทพสงครามอธิบายอย่างสงบ “เผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนยุคโบราณไม่ได้ใช้แต้มพลังวิญญาณมากนักในการสร้างร่างของมอนสเตอร์บรรพกาล แต่อย่างไรก็ตาม พลังของมอนสเตอร์นั้น แต่เดิมก็มากจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนยุคโบราณ ด้วยเหตุนี้เอง พวกมันจึงแข็งแกร่งกว่าเทพวิญญาณที่เลียนแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่เล็กน้อย”

ระบบย้ำ “ดังนั้น มันจึงมีราคาแพงกว่าขั้นแรก”

กู่ฉิงซานไร้ซึ่งคำจะกล่าว

เขามองไกลออกไปในทะเล และกลั่นกรองข้อมูลที่ได้มาจากระบบเทพสงคราม

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการถึงขอบเขตความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในช่วงก่อนยุคโบราณ

จากบทสนทนาระหว่างจ้าวปกครองใต้พิภพกับเทพวิญญาณ สามารถบอกได้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนยุคโบราณ เคยเข้าไปในประตู

เช่นนั้นอะไรอยู่เบื้องหลังประตูกันแน่?

เหตุใดหลายร้อยล้านปีผ่านไปแล้ว พวกเขาถึงได้ไม่กลับมา?

กู่ฉิงซานมองดูคลื่นทะเลที่ซัดสาด และความมืดมิดที่อยู่ไกลออกไป

ในปัจจุบันนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณทุกคนได้ตกตายลงแล้ว

โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์กำลังมาถึงทางตัน

บางทีในตลอดทั้งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ คงจะมีเพียงเต่ายักษ์เท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตอยู่ได้

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ประกายแสงบางอย่างก็กะพริบไหวขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน

หัวใจของเขาเต้นครึกโครม

เดี๋ยว…

เดี๋ยวก่อนนะ…

ในยุคโบราณ แท้จริงแล้วมันมีทั้งหมดกี่โลกกันแน่!?

…………………..

ท่ามกลางความมืดมิดอันเงียบสงบ

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

และพบกับชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างกายเขา

เป็นใบหน้าที่แก่ชรา

 ปรากฏร่องรอยมากมายบนใบหน้าของเขา ชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของใบหน้านี้ข้ามผ่านลมฝน และประสบการณ์มามากมายเพียงใด

ชายชรายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตน ส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานเงียบ

 กู่ฉิงซานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาไม่ขยับร่างกายหรือเอ่ยคำใด

นั่นเพราะใบหยกของเต่ายักษ์และเซี่ยกู่หงส์เป็นตัวชักนำเขามาที่นี่ ดังนั้น ไม่ว่าสภาพแวดล้อมเบื้องหน้าจะเป็นเช่นไร กู่ฉิงซานย่อมบังเกิดความไว้วางใจเป็นธรรมดา

เขาเหลือบสายตามองอีกฝ่ายและส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ขอเรียนถามได้หรือไม่ ว่าท่านเป็นใคร?”

“ออกไปข้างนอกก่อน แล้วค่อยสนทนาเถอะ” ชายชราส่งเสียงกลับมาหาเขา

กู่ฉิงซานจึงค่อยกวาดมองรอบๆ และค้นพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในค่ายทหาร

ตลอดทั้งค่าย ผู้ฝึกยุทธทุกคนล้วนอยู่ในสภาพหลับใหล เว้นไว้แต่เพียงชายชราที่อยู่เบื้องหน้าเขา ที่กำลังจ้องมองมาด้วยประกายตาสดใส

คล้ายกับว่าชายชรากำลังเฝ้ารอการมาถึงของเขา

กู่ฉิงซานติดตามชายชรา ข้ามผ่านค่ายทหารแล้ว ค่ายทหารเล่า

ภายใต้แสงสลัวยามค่ำคืน ทั้งสองบินข้ามผ่านผืนป่าอย่างรวดเร็ว

“นี่พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”

กู่ฉิงซานถามผ่านจิตสัมผัสเทวะ

“ออกจากค่ายทหาร พวกเราต้องเร่งยิ่งกว่านี้” ชายชราตอบ

“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นท่านเป็นคนนำเถอะ ข้าจะตามหลังไปเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

ทันทีที่เขาพูดจบ ชายชราก็บินมาเบื้องหน้า และเริ่มนำทางไป

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย

นั่นเพราะเขาค้นพบว่าแรงดันวิญญาณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของชายชรา มันมิใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต้านทานได้

นี่มันคล้ายกันกับเซี่ยกู่หงส์

หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ ชายคนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธระดับสูงในยุคโบราณ

ทั้งสองคนบินไปตลอดทั้งเส้นทาง

เวลาผ่านพ้นไปราวๆ ครึ่งก้านธูป

ในที่สุด ทั้งสองก็ข้ามผ่านผืนป่าอันไร้ที่สิ้นสุด ข้ามผ่านภูเขา และมาถึงชายทะเล

มันเป็นทะเลที่งดงาม คลื่นกำลังม้วนซัดสาด

แสงจันทร์กระทบกับผิวทะเล ส่งผลให้บังเกิดแสงสะท้อนคล้ายประกายดาวระยิบระยับ

ชายชราตบลงในถุงสัมภาระ และนำเรือเหาะออกมา

“จงรับสิ่งนี้เอาไว้”

ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากโดยไม่ใช้จิตสัมผัสเทวะ

“ท่าน สิ่งนี้คือ…” กู่ฉิงซานถามด้วยความสงสัย

“มันคือเรือที่สามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ลอยลำในทะเล และยังสามารถใช้เดินทางไปยังก้นทะเลได้อีกด้วย มันถูกจัดตั้งไว้ด้วยสามสิบหกค่ายกลปกปิดที่แตกต่างกันออกไป ตราบใดที่ศิลาวิญญาณไม่ขาด ก็รับประกันได้เลยว่าเจ้าจะไม่ถูกค้นพบในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน” ชายชรากล่าว

“นอกจากนี้ ภายในเรือเหาะยังเก็บวิธีการฝึกยุทธชั้นยอดนับไม่ถ้วนเอาไว้ เจ้าสามารถเรียนรู้จากพวกมันได้”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดข้าถึงต้องไปซ่อนตัวในใต้ทะเลด้วย?”

ชายชรากล่าว “เพราะในปัจจุบันนี้ คือยุคภาพทับซ้อนที่พวกเราออกแบบมาอย่างระมัดระวัง มันได้บันทึกช่วงเวลาที่ ‘มืดมนที่สุด’ ของการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับมอนสเตอร์บรรพกาลเอาไว้ ”

“ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มนุษยชาติทั้งหมดจะตกอยู่ในสภาวะถูกทำลายลงอย่างช้าๆ”

“อย่างไรก็ตาม นี่คือช่วงเวลาที่เทพวิญญาณกำลังเพ่งความสนใจมายังเผ่าพันธุ์มนุษย์ ดังนั้นย่อมไม่มีเวลาไปมัวสนใจทางฝั่งทะเล ด้วยเหตุนี้เอง ตราบใดที่เจ้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ โดยห่างไกลจากผืนดิน มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

ชายชราหยิบใบหยกออกมา และมอบให้กับกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรับมัน และพบว่าบนใบหยกแกะสลักสองตัวอักษร ‘คุน หก’

ใบหยกนี้คล้ายกับว่าจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นมันก็มุดเข้าไปในอกเสื้อของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรีบคว้าจับมัน

เห็นแค่เพียงใบหยกประกบเข้าด้วยกันกับอีกสองใบหยกในอกเสื้อของเขา สาดแสงสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ออกมา

ตอนนี้ในมือของเขามีใบหยกสาวก ‘กัน เก้าและ คุน หก’ ทั้งสิ้นสามแผ่น

สามารถได้รับใบหยกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ กู่ฉิงซานค่อนข้างแปลกใจไม่น้อย

ชายชรามองไปยังสีหน้าของฝ่ายตรงข้าม เขาก็สามารถเข้าใจความคิดของกู่ฉิงซานได้อย่างรวดเร็ว

ชายชราอธิบาย “ในสมัยโบราณ เราเคยใช้วิชาทำนายชะตา และสิ่งเดียวที่ค้นพบก็คือ ใครบางคนที่ผ่านการทดสอบของเต่ายักษ์และเซี่ยกู่หงส์ จักต้องพบเผชิญกับการลอบสังหารที่เสี่ยงอันตราย”

“เราจึงได้ทำการสร้างภาพทับซ้อนยุคโบราณขึ้นเพราะเหตุผลนี้”

“ในช่วงเวลานี้ (หมายถึงช่วงที่ชายชราอยู่) คือยุคที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งโลกกำลังล่มสลาย แต่เจ้าจักถูกซ่อนไว้ในทะเลโดยเรา และจะไม่มีใครสามารถตรวจสอบการดำรงอยู่ของเจ้าจากร่องรอยใดๆ ได้”

“สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำก็คือ รีบเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ จึงจักสามารถรอดชีวิตไปยังยุคภาพทับซ้อนต่อไปได้”

“อย่างน้อยเจ้าต้องทะยานไปให้ถึงขอบเขตกระจ่างจิตเทวะ ใบหยกที่ข้ามอบให้เจ้าถึงจะสามารถเปิดใช้งานได้ และชักนำไปสู่ยุคภาพทับซ้อนต่อไป”

“ลมปราณจิต -> ดาราโกลาหล -> หวนคืนสู่ศูนย์ -> กระจ่างจิตเทวะ …” กู่ฉิงซานทวนความจำ และอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “แล้วหากเป็นในกรณีที่ข้ายังไม่สามารถบรรลุถึงขอบเขตกระจ่างจิตเทวะเล่า?”

ชายชราส่ายหัว “หากเจ้ายังไม่บรรลุถึงขอบเขตกระจ่างจิตเทวะ เจ้าจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในยุคภาพทับซ้อนถัดไป  ดังนั้นเจ้าทำได้เพียงอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ ตัดผ่านขอบเขตให้ถึง ไม่งั้นก็ถูกค้นพบโดยเทพวิญญาณและมอนสเตอร์บรรพกาล ตกตายลงในที่สุด”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มพูนขอบเขต”

ชายชราพยักหน้า จีบมือตน ประทับลวดลายที่สลับซับซ้อนลงอย่างรวดเร็ว

“โชคดีที่เจ้ามิได้พูดคุยกับใครนอกจากข้า ดังนั้นข้าย่อมสามารถปกปิดร่องรอยของเจ้าที่เหลือทิ้งไว้ในโลกใบนี้ได้โดยสมบูรณ์” เขากล่าว

“แค่กระบวนการนี้น่ะหรือ? มันจะถึงขั้นทำให้เทพวิญญาณและมอนสเตอร์บรรพกาลไม่สามารถหาข้าพบ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

มือของชายชรายังคงวูบไหว ปากอ้ากล่าว “ถูกต้อง วิธีการนี้มันเรียกว่า การกักเก็บจิตวิญญาณ พวกเรามักจะใช้มัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เผยตำแหน่งของตนเองออกไป” “มีเพียงผู้ฝึกยุทธเช่นข้าที่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์นี้เท่านั้น จึงจักสามารถใช้อำนาจที่ว่าหลบลี้จากสวรรค์และโลก เผาผลาญชีวิตและจิตวิญญาณแห่งตนเพื่อเพิ่มพูนพลังวิญญาณให้ถึงขีดสุด และใช้งานมัน”

กู่ฉิงซานกล่าว “หากท่านมีพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น ท่านก็น่าจะสมควรหลบเลี่ยงเทพวิญญาณและมอนสเตอร์ได้นี่นา เหตุใดจึงต้องคอยเฝ้ารออยู่เช่นนี้ด้วย?”

ชายชราเอ่ยเสียงกระซิบ “คนที่ข้ารักทั้งหมดล้วนถูกกลืนกินโดยมอนสเตอร์บรรพกาลไปสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะนิกาย หรือสหายที่ดีของข้าทั้งหมดล้วนตกตายลงโดยพวกมัน ดังนั้นเจ้าจะให้ข้าเดินทางไปที่ใดอีกเล่า?”

ว่าจบ มือของชายชราก็หยุดลง

เขาเงยหน้ามองกู่ฉิงซาน และกล่าวอย่างจริงจัง “ดาบนภาคือความหวังสุดท้ายของรุ่นเรา”

“เจ้าหนู อนาคตจากนี้ไปอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว ห้ามล้มเหลวโดยเด็ดขาด”

พริบตานั้นพลังวิญญาณจากทั้งร่างกายก็หลั่งไหลมารวมอยู่ในมือ วิชาลับถูกใช้ออกทันใด

เพล้ง…!

ชายชรากระอักหมอกเลือดออกมา และร่างของเขาก็ถูกพัดปลิวไปกับสายลม

อย่างไรก็ตาม บัดนี้ แสงสวรรค์ได้สาดแสง และไหลย้อนกลับไปยังทิศทางที่ทั้งสองจากมา

ในจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน แสงสวรรค์ได้วิ่งไปตามทางที่พวกเขาเคยข้ามผ่าน มุ่งสู่ทิศทางค่ายทหาร

ตำนานว่าไว้ว่าเมื่อคนคนหนึ่งได้ตกตายลง ผู้นั้นจะจากไปพร้อมกับนำเอาร่องรอยทั้งหมดที่เคยเดินผ่านกลับไปด้วย โดยไม่เหลืออะไรทิ้งไว้

นี่คือการกักเก็บจิตวิญญาณที่เคยได้กล่าวไป

ชายชราเฝ้ารอคอยในห้วงกาลเวลาทับซ้อนมานับหลายหมื่นปี

เขาเฝ้ารออยู่ที่นี่เพียงเพื่อใช้ชีวิตของตนเอง ปกปิดร่องรอยของคนที่เขาฝากความหวังเอาไว้เบื้องหลัง

กู่ฉิงซานเงียบงันไปเป็นเวลานาน สุดท้ายประสานฝ่ามือคารวะ “อาวุโสโปรดมั่นใจ ข้าจะไม่มีวันล้มเหลวแน่นอน”

ว่าจบ เขาก็กระโดดขึ้นไปในเรือเหาะ จมลงไปในห้วงทะเลลึก

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

หลังจากนั้นยี่สิบลมหายใจ

ภายในค่ายทหาร

ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

ร่างที่บนหน้าผากลุกไหม้ไปด้วยแสงสีทองของเทพวิญญาณ

เขากางมือออก เบนสายลงมองเหรียญโบราณในมือตน

พบว่าเหรียญโบราณไม่ขยับไหว

เทพวิญญาณเผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่คาดคิด

เขาพึมพำครุ่นคิด สุดท้ายตัดสินใจบินเข้าไปในค่ายทหาร แล้วค่อยๆ ยื่นมือลงไปยังหน้าผากของผู้ฝึกยุทธที่ล้มตัวลงนอนอยู่กับพื้น

เขาค้นพบว่าผู้ฝึกยุทธเสียชีวิตแล้ว

แสงและเงานับไม่ถ้วนไหลผ่านเข้ามาในสายตาของเทพวิญญาณอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลาสั้นๆ เทพวิญญาณก็อ่านความทรงจำของผู้ฝึกยุทธเบื้องหน้านี้จนสิ้น

“ไม่มี?”

เขาบ่นพึมพำเบาๆ

จากนั้นก็บินไปยังค่ายทหารอีกแห่งหนึ่ง และใช้นิ้วแตะลงบนหน้าผากของผู้ฝึกยุทธหลายคนที่ล้มตัวลงนอนอยู่

ภาพความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของเขา

ทว่ากลับไม่พบร่องรอยใดๆ ของกู่ฉิงซาน

“น่าฉงนนัก…”

เทพวิญญาณรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และหันไปมองรอบๆ

มันเป็นค่ำคืนที่มืดมิดราวกับถูกแต่งแต้มสีหมึก

แต่ก็ยังปรากฏให้เห็นถึงร่างยักษ์หลายร่างที่สูงถึงขั้นเชื่อมต่อระหว่างผืนดินกับผืนฟ้าในจุดที่ไกลออกไป พวกมันกำลังเคลื่อนที่มายังทิศทางนี้ทีละก้าว ทีละก้าว

ทันใดนั้นเทพวิญญาณก็ก้มหน้าลง

แต่พบว่าผู้ฝึกยุทธในค่ายก็ยังคงหลับใหล

ด้วยการเคลื่อนไหวของตัวตนขนาดมหึมาเช่นนี้ เหตุใดพวกเขาถึงไม่ตอบสนองเลย?

แต่แล้วเทพวิญญาณก็ตระหนักได้

แท้จริงแล้ว กลับกลายเป็นว่าคนเหล่านี้ได้ถูกเก็บรวบรวมเอาไว้ล่วงหน้า ถูกเตรียมเอาไว้เป็นอาหารของการดำรงอยู่ที่กำลังมุ่งตรงเข้ามา

เขาเลยมองไปอีกทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว

ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด แทบจะไม่ได้ยินเสียงใดของมนุษย์เลย

ช่วงเวลานี้ เหมือนว่าจะเป็นช่วงจุดจบของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

แล้วเหตุใดจู่ๆ ข้าถึงได้ข้ามผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาจนถึงชั่วเวลานี้ได้ในคราวเดียวกัน?

เทพวิญญาณก้มลงมองเหรียญในมือของเขา

เหรียญยังคงไม่ขยับไหวใดๆ ทั้งสิ้น

ทันใดนั้นเทพวิญญาณก็คล้ายย้อนนึกไปถึงคำกล่าวของร่างมนุษย์แสง

“เหรียญโบราณนี้เป็นของจริง สิ่งนี้จะช่วยชักจูงให้เจ้ารับรู้ได้ถึงเป้าหมาย แต่ปัญหาเดียวก็คือ มันมีโอกาสบ้างที่ตำแหน่งจะเกิดการเบี่ยงเบน”

เบี่ยงเบน…

หรือว่าแท้จริงแล้วนี่จะเป็นเพราะตำแหน่งเบี่ยงเบนใช่หรือไม่?

เทพวิญญาณยังคงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง

ก่อนจะเริ่มปลดปล่อยแสงเจิดจรัสบนร่างกาย กวาดบินออกไปทำการค้นหาในทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว

เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที

แสงทั้งมวลก็กลับคืนเข้าสู่ร่างกายของเขา

เจ้าตัวพบว่าไร้ซึ่งเผ่ามนุษย์คนใดมีชีวิตอยู่

อาจกล่าวได้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เกือบจะสูญสิ้นไปแล้ว

แต่กู่ฉิงซานเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่

เทพวิญญาณที่สามารถยืนยันได้ถึงเรื่องนี้ ปากขยับพึมพำ “เหมือนว่าตำแหน่งจะเบี่ยงเบนไปจริงๆ แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าจะต้องเร่งตามตัวมันให้ทัน มิฉะนั้นแล้วหากมันได้รับการช่วยเหลือจากเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ ยิ่งนาน มันก็จักยิ่งมีอำนาจมากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น คงมิแคล้วย่อมเกิดปัญหาใหญ่ตามมา”

ว่าจบก็ระเบิดกระบวนท่าไปในความว่างเปล่าทันใด

ในความว่างเปล่า ปรากฏกะโหลกที่คล้ายกับหลุมดำขึ้นต่อหน้าเขา

เจ้าตัวเบนสายตามองโลกที่กำลังล่มสลายลงตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เทพวิญญาณจะก้าวข้ามผ่านหลุมดำและหายวับไปจากโลกใบนี้

………………………

ยันต์สื่อสารปรากฏขึ้นในมือของกู่ฉิงซาน

เขาเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่ได้ยินลงในยันต์สื่อสารอย่างละเอียด จากนั้นค่อยกระตุ้นพลังวิญญาณ ปล่อยตัวยันต์ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า

นี่เป็นเรื่องเร่งด่วนนัก ฉะนั้นต้องแจ้งให้ท่านอาจารย์ทราบในทันที!

ยันต์สื่อสารลุกไหม้ และบินออกไป

ใช้เวลาไม่นานนัก

จุดสีดำก็ผุดขึ้นบนเส้นขอบฟ้าที่ห่างไกล

ในพริบตา จุดสีดำก็หายไป พร้อมกับเซี่ยกู่หงส์ที่มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

โดยเบื้องหลังของเขา ปรากฏดาบยาว เจ็ดดาบ ลอยล่องอยู่ ตามตัวสวมทับไว้ด้วยเกราะรบที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด

นี่เหมือนกับว่าเขาจะเร่งปลีกตัวมาจากสนามรบโดยตรง

เซี่ยกู่หงส์มองกู่ฉิงซาน ในแววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยห้วงอารมณ์

“ท่านอาจารย์ เรื่องที่ข้ารายงานผ่านยันต์สื่อสารเป็นความจริง” กู่ฉิงซานกล่าว

“ข้าทราบดี” เซี่ยกู่หงส์ตอบกลับ

กู่ฉิงซานมองท่าทีสงบของอีกฝ่าย และเอ่ยถาม “ที่แท้ ท่านก็รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว?”

เซี่ยกู่หงส์พยักหน้า หันหลัง ก้าวออกไป หยุดฝีเท้าลงก่อนจะถึงขอบหน้าผา

มองไปยังภูเขากว้างใหญ่ที่ทอดยาวไกลออกไป ปากอ้าถอนหายใจ “เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อสู้กับมอนสเตอร์บรรพกาลเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อรับใช้และได้รับการสนับสนุนจากเทพวิญญาณ  สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องมานานปี ทว่าสงครามมันกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย ดังนั้นยิ่งนาน พวกเราก็เลยยิ่งบังเกิดความสงสัย”

“และข้าไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าข้อมูลที่พวกเราทุ่มเวลาไปมากมายกว่าจะค้นพบ แท้จริงแล้วกลับดันมาตกอยู่ในมือเจ้าอย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลจากเจ้ามันยังสมบูรณ์แบบ และกระจ่างยิ่งกว่าที่พวกเราล่วงรู้เสียอีก”

เซี่ยกู่หงส์หันกลับมา เฝ้ามองกู่ฉิงซาน ในแววตาฟุ้งไปด้วยความชื่นชม

“ฉิงซาน เจ้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นจงจดจำในสิ่งที่ข้ากำลังจะอธิบายต่อไปนี้ให้ดี”

“ท่านอาจารย์…” กู่ฉิงซานไม่เข้าใจ

เซี่ยกู่หงส์ พึมพำกับตัวเอง “พวกเราได้ตระหนักถึงร่องรอยความจริงของเรื่องนี้ แต่เราไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ดังนั้น ก่อนที่โลกยุคโบราณจะถูกทำลายลง พวกเราจึงได้เตรียมการรับมือกับมันเอาไว้สองทาง”

กู่ฉิงซานเมื่อได้ยินถึงจุดนี้ คิ้วของเขาก็กระตุกโดยไม่รู้ตัว

เซี่ยกู่หงส์กล่าวว่า ‘ก่อนที่โลกยุคโบราณจะถูกทำลาย’ ประโยคนี้มิใช่เป็นการสื่อกลายๆ ว่าตัวเขาแท้จริงแล้วสามารถหลุดพ้นจากภาพทับซ้อนในยุคนี้ และมองเห็นถึงผลลัพธ์ของประวัติศาสตร์ที่แท้จริงได้ ใช่หรือไม่?

กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่ก็ถูกเซี่ยกู่หงส์โบกมือหยุดเอาไว้ก่อน

“เวลามีไม่มากแล้ว พวกเราจะต้องเร่งคุยกัน”

ชั่วเวลานี้เอง ในระยะไกลออกไป ผืนฟ้าพลันเบิกออกขึ้นทันใด พร้อมกันกับเสียงที่ยิ่งใหญ่ กวาดกระจายไปทั่วทั้งโลก

“ผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์ จางเสี่ยวหยุน ทรยศต่อเทพวิญญาณ หันไปพึ่งพาโลกบรรพกาล นับว่าเป็นสาวกที่ชั่วร้ายเกินกว่าจักให้อภัย เหล่าผู้ฝึกยุทธจงรีบออกไล่ล่าและสังหารคนผู้นี้ลงในทันที! หากได้รับข่าวแล้วจงเร่งเดินทางมาโดยเร็ว!”

“โดยเทพวิญญาณจะลงมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองเช่นกัน!”

เซี่ยกู่หงส์ถอนสายตาและส่ายหัว

เขาเริ่มอธิบายต่อ “ฉิงซาน สถานการณ์ในเวลานี้สำคัญยิ่ง ไม่เพียงแต่เทพวิญญาณจะเริ่มต้นออกไล่ล่าเจ้า แต่กระทั่งภายในวังสวรรค์เมฆาวิเวก ก็ยังมี ‘บางสิ่งบางอย่าง’ จากห้วงกาลเวลาอื่นแอบลอบเข้าไป ดังนั้นเจ้าไม่ว่าจักหนีไปที่ใด ก็ไม่สามารถใช้มันหลบซ่อนตัวในโลกใบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว”

กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปากของเขา แต่ก็ถูกเซี่ยกู่หงส์หยุดเอาไว้อีกครั้ง

บนท้องฟ้าที่ไกลออกไป เสียงของเทพวิญญาณดังขึ้นอีกครา “เหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงทั้งหมด จงเร่งมาหาข้าโดยเร็ว!”

เห็นแค่เพียงกระแสแสง กระแสแล้ว กระแสเล่าพุ่งพรวดตรงไปยังทิศทางตำแหน่งของเทพวิญญาณ

เซี่ยกู่หงส์หาได้สนใจการเรียกขานของเทพวิญญาณไม่ ตรงกันข้าม เขากลับวาดมือออกไป เพื่อจัดวางค่ายกลเก็บเสียง

จากนั้นก็เร่งพูดอธิบายเนื้อหาให้กระชับและเร็วขึ้นกว่าเดิม

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของยุคโบราณ ในบรรดาเผ่าพันธุ์มนุษย์ มีเพียงราชาอมตะคนเดียวเท่านั้นที่ได้จัดเตรียมวิธีการบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้า แต่หลังจากที่พวกเราเหล่าผู้ฝึกยุทธเข้ามาช่วยเหลือ และทุ่มเทพยายามร่วมกัน ในที่สุดพวกเราก็ประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลวงตาของโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ สามารถรังสรรค์ห้วงกาลเวลาที่ทับซ้อนขึ้นมาจนได้”

“เมื่อเวลาผ่านไป ภาพลวงตาในช่วงเวลาทับซ้อนนี้จะถูกแบ่งแยกออกไปไม่มีที่สิ้นสุด มันถูกนำมาเพื่อใช้ให้เทพวิญญาณและมอนสเตอร์บรรพกาลรู้สึกสับสนโดยเฉพาะ”

“แน่นอน ว่าเทพวิญญาณกับมอนสเตอร์ย่อมมีโอกาสที่จะรับรู้ถึงภาพทับซ้อนเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ภาพทับซ้อนน่ะมันมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นพวกเขาจึงย่อมไม่สามารถเข้าใจได้ว่า แท้จริงแล้วในช่วงนาทีสุดท้ายก่อนตาย พวกเราจงใจสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร”

“ฉิงซาน ส่วนตัวเจ้า เจ้าจะต้องท่องไปในยุคภาพทับซ้อนอันไร้ที่สิ้นสุดเหล่านี้…ไปยังสถานที่สุดท้ายที่กุมความลับเอาไว้”

เซี่ยกู่หงส์หยุดลงพักหนึ่ง สีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึม

“พวกเราได้ซ่อนช่วงเวลาสุดท้ายของยุคโบราณเอาไว้ท่ามกลางภาพทับซ้อนอันไร้ที่สิ้นสุดเหล่านี้ และเจ้าจะต้องหามันให้เจอ”

“เมื่อเจ้าค้นพบมัน เจ้าจึงจะได้กลับไปยังช่วงเวลาที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณได้พินาศลงไปแล้ว”

กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “แล้วข้าจะต้องไปทำสิ่งใดในช่วงเวลานั้น?”

เซี่ยกู่หงส์มองเขาอย่างเงียบๆ เนิ่นนานค่อยเอ่ยปาก “ดาบนภาถูกหลอมขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ในช่วงเวลาสุดท้ายของการล่มสลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเจ้าจะต้องไปนำมันมา”

“ท่านอาจารย์…”

“เจ้ามีดาบพิภพอยู่กับตัว ข้าสามารถรู้สึกถึงมันได้”

ว่าจบ เซี่ยกู่หงส์ก็หยิบใบหยกออกจากอกเสื้อ และวางมันลงบนมือของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานก้มลงมองมัน

ใบหยกแผ่ความอบอุ่นอันอ่อนโยน และดูเหมือนว่าจะเปี่ยมไปด้วยพลังที่ไม่สามารถคาดคำนวณได้

บนผิวของใบหยก ถูกสลักเอาไว้ด้วยตัวอักษรเขียนว่า ‘กัน เก้า’

เซี่ยกู่หงส์กล่าว “ท่ามกลางยุคภาพทับซ้อนนับไม่ถ้วน มีเพียงใบหยกนี้เท่านั้นจึงจะสามารถนำเจ้าไปยังยุคภาพทับซ้อนที่พิเศษออกไป และเจ้าจะต้องรอดชีวิตข้ามผ่านยุคภาพทับซ้อนที่ว่านั่น จนกว่าจะได้รับใบหยกแผ่นต่อไป ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถไปถึงยุคโบราณในช่วงเวลาสุดท้าย และได้รับดาบนภามาในที่สุด”

กู่ฉิงซานกุมใบหยกในมือ เนิ่นนานมิอาจกล่าวคำใดได้

ท่ามกลางช่วงเวลาที่ทั้งเทพวิญญาณและมอนสเตอร์บุกโจมตี ในช่วงสุดท้าย เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังคงสามารถคิดหาหนทางที่จะส่งผ่าน ‘ความหวัง’ มาสู่เหล่าคนรุ่นหลังได้

กู่ฉิงซานกัดฟัน กุมใบหยกในมือแน่น

“ท่านอาจารย์ แท้จริงแล้วท่านเป็นภาพทับซ้อนหรือว่า…”

“ก่อนที่ข้าจะตกตายลง ข้าได้แยกเศษเสี้ยวจิตวิญญาณทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง เฝ้ารอมานานปี นานเหลือเกิน เพื่อช่วงเวลานี้”

ร่างของเซี่ยกู่หงส์ค่อยๆ จางลง กลายเป็นภาพลวงตา

“ข้าจักทำลายยุคภาพทับซ้อนนี้ เพื่อลบล้างร่องรอยทั้งหมดของเจ้า ป้องกันมิให้สิ่งมีชีวิตใดสามารถรับรู้หรือตรวจพบได้”

เขายิ้มออกมาในที่สุด “ช่างอิ่มเอมใจจริงๆ ที่ข้าได้รับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถทำในสิ่งที่คนในยุคของพวกเราไม่สามารถทำได้นะ”

ปัง

แล้วร่างของเซี่ยกู่หงส์ก็กระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ สลายเป็นเมฆหมอก

โลกทั้งใบบิดเบี้ยว สาดแสงและเงา ค่อยๆ สลายหายไป

ขณะเดียวกัน ใบหยกในมือของกู่ฉิงซานก็ส่องสว่างขึ้น

มันเปล่งแสงจรัสต่อเนื่อง คล้ายกับกำลังเรียกขานอะไรบางอย่าง

กู่ฉิงซานจึงหยิบใบหยกสาวกซึ่งได้รับมาจากเต่ายักษ์ออกมา ทันใดนั้นมันก็ประกบรวมเข้าด้วยกันกับใบหยกที่เซี่ยกู่หงส์มอบให้

สองใบหยกรวมกันเป็นหนึ่ง สาดชั้นแสงหลากสีขึ้นอย่างกะทันหัน โอบล้อมตัวกู่ฉิงซานเอาไว้

ใบหยกกำหนดทิศทาง ชักนำกู่ฉิงซานข้ามผ่านหมอกเหลืออนันต์ หายวับไปอย่างรวดเร็ว

ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย

อีกด้านหนึ่ง

ณ บนขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งได้ปรากฏกายขึ้นมาจากใต้ดินอย่างเงียบๆ

เขาสามารถข้ามผ่านค่ายกลป้องกันทั้งหมดมาได้อย่างง่ายดาย และตรงเข้าสู่ขุนเขาหลัก

แน่นอน ว่าไม่มีใครสังเกตหรือตระหนักถึงเรื่องนี้

เขาหันไปมองรอบๆ หลับตาลง เพ่งการรับรู้ไปยังขุนเขา

“จากข้อมูลที่ได้รับมา ในเวลานี้ กู่ฉิงซานสมควรซุ่มซ่อนอยู่ในหุบเหวแห่งดาบ…” เขาพึมพำเสียงกระซิบ

แต่เหมือนกับว่าจะสามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ผู้ฝึกยุทธพลันลืมตาขึ้น และพยายามรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างระมัดระวัง

แต่ทว่าทุกอย่างก็ยังคงดูปกติ

เขางุนงงสงสัยเล็กน้อย ไม่นานก็สงบใจลง เริ่มมุ่งหน้าตรงเข้าไปในขุนเขา พลางเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตน

ยามเมื่อเขามาหยุดยืนอยู่หน้าขุนเขา ทั้งคนทั้งร่างของชายผู้นี้ก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิมอย่างสมบูรณ์

ร่างที่บนหน้าผากลุกโชนไปด้วยแสงจรัส ตามร่างกายสาดไปด้วยแสงและเงาสดใส

หลังจากเฝ้าเดินทางมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเขาก็มาถึงที่นี่

เทพวิญญาณเอื้อมมือออกไป และสัมผัสลงในความว่างเปล่าเบาๆ

เปรี๊ยะ!

ค่ายกลป้องกันขุนเขาถูกทำลายลงทันที

ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งชายผู้นี้ได้ เขาทะยานตัวขึ้นไปอีกครั้ง ในจิตใจหมายมั่นสังหารกู่ฉิงซาน

ในตอนนั้นเอง ร่างหนึ่งก็บินขึ้นมาจากใต้ขุนเขา เฝ้ามองผู้มาเยือนด้วยความประหลาดใจ

เป็นกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น

“เจ้าเป็นใครกัน? แล้วเข้ามาในที่แห่งนี้ได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เทพวิญญาณมองเด็กหนุ่ม มุมปากยกสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“กู่ฉิงซาน ทุกอย่างจบลงแล้ว และในอนาคตจากนี้ไปมันจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะเจ้า!”

เทพวิญญาณประกาศกร้าวอย่างสง่างาม

พลางวาดมือออกไป

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังจะโจมตี ทุกสิ่งในโลกพลันบิดเบี้ยวพลิกผันอย่างกะทันหัน

ร่างของกู่ฉิงซานเองก็พร่ามัว และกลายเป็นหมอกสีขาว

พริบตานั้นทั้งโลกก็กลายเป็นหมอกสีขาว และหายวับไปจากสายตาของเทพวิญญาณ

ภาพทับซ้อนของยุคโบราณได้สลายไป!

แต่เทพวิญญาณหาได้ตื่นตระหนกไม่ เขายังคงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด พลางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

“จู่ๆ โลกทั้งใบหายไปได้อย่างไร? แล้วกู่ฉิงซานเล่ามันหายหัวไปไหน?”

ขณะกำลังใช้สมอง ทันใดนั้น ร่างมนุษย์แสงก็เริ่มก่อตัวขึ้นในความว่างเปล่า

“เจ้าเป็นใครกัน?” เทพวิญญาณเอ่ยถาม

“สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของข้าแล้ว เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าข้าเป็นใคร?” มนุษย์แสงเอ่ยอย่างเฉื่อยชา

“เจ้า…อย่าบอกนะว่าเป็น ‘ร่างความปรารถนา’ ของเผ่าพันธุ์เรา!” เทพวิญญาณอุทาน

“ถูกต้อง ข้าเฝ้ารออยู่ที่นี่มาเนิ่นนานเหลือเกิน แต่ในที่สุดก็มาพบกับวันนี้” ร่างมนุษย์แสงกล่าว

“เจ้ากำลังเฝ้ารออะไรอยู่?” เทพวิญญาณถามต่อ

“เฝ้ารอการมาถึงของคนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกมันได้ทิ้งยุคภาพทับซ้อนยุคโบราณเอาไว้ในช่วงเวลาสุดท้าย ซึ่งทางเราเองก็ไม่ทราบว่าพวกมันคิดกระทำสิ่งใด แต่ก่อนที่พวกมันจะตาย พวกมันได้ปลดปล่อยลางมรณะออกมา ติดตรึงอยู่กับตัวเราตลอดเวลา ส่งผลให้เราไม่สบายใจยิ่งนัก”

เทพวิญญาณเอ่ยตอบ “ข้าทราบว่าพวกมันทิ้งส่งใดเอาไว้”

“งั้นก็ดี” ร่างมนุษย์แสงโยนเหรียญออกไป

“จงรับสิ่งนี้เอาไว้ มันคือ ‘เหรียญบรรพกาล’ ของจริง สิ่งนี้จะช่วยชักจูงให้เจ้ารับรู้ได้ถึงเป้าหมาย แต่ปัญหาเดียวก็คือ มันมีโอกาสบ้างที่ตำแหน่งจะเกิดการเบี่ยงเบน”

เทพวิญญาณรับเหรียญบรรพกาลมา และเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด

“อืม…มันเป็นของแท้จริงๆ” ปากบ่นพึมพำ

เทพวิญญาณเก็บเหรียญ เผยรอยยิ้มออกมา “ตำแหน่งเบี่ยงเบนหาใช่เรื่องสำคัญไม่ เพราะตราบใดที่สามารถหาตัว ‘มัน’ พบ สุดท้ายมันก็หนีไปไหนไม่รอด”

“คราวนี้ล่ะ เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ว่าจะในอดีตหรืออนาคต ความหวังทั้งหมดของพวกมันจะต้องถูกข้าพังทลายลง!!”

………………………

ณ ทางเข้าชั้นใต้ดิน

นายพลหวังได้ยับยั้งแสงที่ลุกไหม้บนหน้าผากของเขา

ประตูเหล็กคุกใต้ดินถูกกระชากออกโดยตรง

ชุดค่ายกลป้องกันล้วนถูกลบล้าง

นายพลหวังก้าวเข้าไปในความมืดมิด มุ่งหน้าลึกลงไปในใต้ดิน

แล้วเขาก็มาถึงคุกใต้ดินชั้นหนึ่ง

ผลปรากฏว่าพวกมอนสเตอร์ทุกตัวถูกสังหารจนสิ้น

ร่างศพของมอนสเตอร์เองก็ถูกส่งกลับไปยังตำแหน่งใดก็มิอาจทราบได้โดยค่ายกล

นายพลหวังเพ่งสังเกตคุกใต้ดินชั้นหนึ่ง ที่ว่างเปล่า อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

อีกฝ่ายเป็นใครกัน?

แล้วผู้ที่บุกรุกเข้ามาสามารถฆ่าไปได้จนถึงชั้นไหน?

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องเร่งหยุดยั้งผู้ที่บุกรุกมิให้ล่วงเกิน ‘เจ้าสิ่งนั้น’ จนโกรธเคือง มิฉะนั้นผลที่ตามมาคงยากจะคาดเดาได้

นายพลหวังสูดลมหายใจลึก และเดินไปยืนบนค่ายกล เพื่อเข้าสู่ชั้นสอง

ลงต่อไปยังชั้นสาม

ชั้นสี่

จนมาถึงชั้นสิบสาม

นายพลหวังก้มลงมองแอ่งเลือดที่กระเพื่อมคลื่นน้อยๆ อยู่เบื้องล่าง ในแววตาของเขาเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความหวาดกลัว

การไหลเวียนของแอ่งเลือดเป็นไปอย่างเชื่องช้าและราบเรียบ บ่งบอกชัดเจนว่ายังไม่มีอะไรบุกรุกเข้ามาจนถึงชั้นถัดไป

นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดี

นายพลหวังถอนหายใจโล่งอก เริ่มเอ่ยปาก

“ผู้ถือครองชิ้นส่วนประตูแห่งบรรพกาล ลูกหลานของผู้พิทักษ์บรรพกาล จ้าวปกครองใต้พิภพ

แต่แล้วในขณะกล่าว เสียงของนายพลหวังก็พลันขาดห้วงไป

นั่นเพราะเขาสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง เจ้าตัวค่อยๆ หันหน้าไปอย่างช้าๆ มองตรงไปที่ผนัง

เห็นแค่เพียงสัตว์แมลงตัวหนึ่งที่มีสองหนวดชี้ขึ้นอยู่บนหัว กำลังเกาะบนผนัง มิขยับกายเคลื่อนไหวไปที่ใด

ขณะเดียวกัน บนผนังที่มันเกาะอยู่ ใต้ช่วงท้องเป็นเมือกเหลวสีใส

แม้ว่าทากตัวนี้จะมีขนาดเล็กเท่ากับเล็บนิ้วมือ แต่เหตุใดมันจึงสามารถมีชีวิตรอดอยู่ที่นี่ได้กัน? มันสามารถเล็ดลอดจากการตรวจสอบของเทพวิญญาณไปได้อย่างไร?

นายพลหวังนิ่งงันไปครู่หนึ่ง สุดท้ายปลดปล่อยการรับรู้ของเขาเข้าใส่มันเบาๆ

โผละ!

ทากเหนียวหนืดเพียงสัมผัสถูกการรับรู้ของนายพลหวังเบาๆ มันก็เหลวเละ และตกตายลงทันที

นายพลหวังประหลาดใจเล็กน้อย

แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะไม่ว่ามันจักเป็นแมลงที่อาศัยอยู่ที่นี่ หรือถูกทิ้งไว้โดยมนุษย์ที่บุกรุกเข้ามาก็ตามที สุดท้าย จะอย่างไรมันก็ตายลงไปแล้ว

ละเว้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปดีกว่า นายพลหวังเริ่มกลับมาเอ่ยถึงหัวข้อหลักอีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ เหตุใดสัญญาณเตือนภัยจึงดังขึ้น รบกวนการพักผ่อนของเจ้า?” เขาเอ่ยถาม

สักพักหนึ่ง

เสียงที่แหบห้าวก็ดังลอดออกมาจากส่วนลึกของแอ่งเลือด “ข้ายังคงสบายดี หากไม่นับรวมไอ้แมลงเหม็นที่มารบกวน เราจ้าวปกครองจักสบายยิ่งกว่านี้”

นายพลหวังตกใจ

“แมลงเหม็น…” เขาเอ่ยทวนซ้ำคำนี้กับตัวเอง

“ถูกต้อง แต่มิต้องคิดไปไกล” เสียงแหบห้าวกล่าวเหน็บแนม “เพราะแมลงเหม็นที่ว่า คือตัวตนน่าเวทนาตนหนึ่งที่กล้าเรียกตัวมันเองว่าเทพวิญญาณ”

พอรับรู้ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายหมายถึงตน สีหน้าของนายพลหวังเริ่มกลายเป็นมืดมน

เขาค่อยๆ เอ่ยอย่างช้าๆ “ข้าจะเล่าเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งให้ฟัง มีแมลงตนหนึ่งได้รับคำสั่งจากเจ้านาย ว่าจงปกป้องประตูให้ดี ทว่าสุดท้ายแล้ว พวกมันกลับละเมิดคำสั่งของเจ้านาย เริ่มที่จะกลืนกินลูกหลานของเจ้านายแทน เจ้าลองคิดดูซี? ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ชั่วช้าหรือไม่? แล้วหากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูเจ้านายของมันเล่า? ชะตากรรมสุดท้ายของมันจะเป็นอย่างไร?”

“เราไม่มีเจ้านาย!” อีกเสียงคำรามด้วยความโกรธ “นี่ก็เป็นเวลายาวนานกว่าหลายร้อยล้านปีมาแล้ว ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์มิได้กลับมาจาก ‘ประตูแห่งโลกา’ ปากเสียแบบนี้หรือว่าเจ้าเองก็อยากกลายเป็นอาหารของข้าด้วย?”

นายพลหวังเมื่อสามารถทำให้อีกฝ่ายโมโหได้สำเร็จ ก็ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิ

เขาเอ่ยอย่างสงบ “ไม่ แน่นอนว่าไม่ ข้าจะยังคงอยากจะช่วยเหลือเจ้าให้สามารถกลืนกินลูกหลานของเจ้านายเจ้าต่อไป ตราบใดที่เจ้ายังไม่ลืมข้อตกลงของพวกเรา”

เสียงแหบห้าวเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงต้องอ้างตนว่าเป็นทวยเทพของมนุษย์ เหตุใดถึงต้องเลียนแบบรูปร่างของมนุษย์ด้วย? เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ยึดติดกับ ‘ประตู’ นัก?”

แล้วในน้ำเสียงของมันก็เผยถึงความเยาะหยันเล็กน้อย “ใช่เพราะต้องการหลบเลี่ยงพวกเราหรือไม่?”

สายตาของนายพลหวังกลายเป็นลึกล้ำ “พวกเราเดินทางไปทั่วทุกโลก จนได้มาถึงปลายสุดของโลก แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจหาหนทางไปยัง ‘อีกฟากฝั่งใหม่’ ได้ ดังนั้น ความต้องการของพวกเราก็คือให้เจ้าทำตามข้อตกลง จงเปิดประตูแห่งบรรพกาลอีกครั้ง พวกเราจักได้เข้าไปค้นดูว่าแท้จริงแล้วมีสิ่งใดอยู่ภายใน”

เสียงแหบห้าวเย้ยหยัน “ช่างโง่เง่านัก! กระทั่งอดีตเจ้านายเรายังหายตัวไปในประตูบานนั้นเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี นับประสาอะไรกับแมลงเหม็นเช่นเจ้า!”

นายพลหวังยืนยันหนักแน่น “จงอย่าได้ลืมเลือนข้อตกลงระหว่างพวกเรา! หากเจ้ากล้าละเมิดมัน ต่อให้เจ้าเป็นจ้าวปกครอง พวกเราก็ไม่คิดจะละเว้น!”

“เหอะ! ทางเจ้าเองก็ทำตามข้อตกลงให้ลุล่วงเถิด ถึงเวลานั้นเราก็จะปล่อยให้เจ้าเข้าไปภายในตามสัญญา”

เสียงแหบห้าวกล่าวด้วยความดูหมิ่น

นายพลหวังเปล่งเสียงดังขึ้นและกล่าว “พวกเราลุล่วงแล้ว! เจ้าเองก็กำลังกลืนกินเผ่าพันธุ์มนุษย์จนสมใจอยากแล้วมิใช่หรือ!”

เสียงแหบห้าวตวาดสวนกลับ “ไม่ใช่! ระบบข้าหมายถึงสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดมิใช่ลูกหลานของเผ่าพันธุ์มนุษย์  หากแต่เป็นระบบที่ได้รับสืบทอดกันมา! ครั้งหนึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เคยครอบครองระบบ พวกเขาจึงกลายเป็นตัวตนที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจเหลือคณา! เจ้ายังมิได้บรรลุในเรื่องนี้เลย นี่ต่างหากคือสิ่งสำคัญ!”

“นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกนะจ้าวปกครองพิภพ เพราะพวกเราเองก็มีวิธีจัดการกับระบบแล้วเช่นกัน!”

“วิธีใด?”

“พวกเราได้ทดลองคาดคำนวณอำนาจจากหลากหลายระบบแล้ว แล้วค้นพบว่า ระบบแรกที่พวกเราจะปลดปล่อยออกไป คือระบบของราชามาร!”

“ระบบ…ของราชามาร…”

“ใช่ นี่คือระบบที่น่ากลัวที่สุด มันจะทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตกลายเป็นทาส เข้ากลืนกินเผ่าพันธุ์มนุษย์นับไม่ถ้วน และจบด้วยการถือกำเนิดของราชามารที่แท้จริง!”

“ไม่ได้! อย่างไรก็ห้ามปล่อยให้พวกมันสร้างราชามารเด็ดขาด!”

“แน่นอนว่าไม่ เพราะพวกเราจะแสดงเป็นเทพวิญญาณของพวกมนุษย์ ในขณะเดียวกัน ก็แปรเปลี่ยนให้ระบบของราชามารคือความชั่วร้าย สร้างความหวาดกลัวในมันให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ พิสูจน์ให้พวกมันเห็นว่าระบบเป็นสิ่งพวกมันสมควรหลีกเลี่ยง!”

นายพลหวังกล่าวต่อด้วยความตื่นเต้น “ตราบใดที่เจ้าสามารถช่วยเหลือพวกเรา และรับประกันว่าระบบแรกที่จะตื่นขึ้น เป็นระบบของราชามาร เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว หลังจากนั้นต่อให้พวกเราไม่ทำอะไร เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะหวาดกลัวในระบบนี้ ส่วนพวกข้า ในฐานะเทพวิญญาณ ก็จักเป็นคนนำเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าต่อกรกับระบบของราชามารเอง”

เสียงแหบห้าวพอได้ฟังก็เงียบไป

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มันก็ถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ส่วนตอนนี้ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะไปรายงานต่อพระบิดาอีกครั้ง และจะปรึกษาหารือกันว่า สมควรทำอย่างไร ระบบราชามารจึงจะตื่นขึ้นเป็นอันดับแรก”

นายพลหวังกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “และเมื่อใดก็ตามที่เราสามารถทำมันได้สำเร็จ เจ้าจงจัดเตรียมประตูเอาไว้ให้พรั่งพร้อม และยินยอมปล่อยให้พวกเราเข้าไปสำรวจภายในมัน”

“แน่นอน ตราบใดที่เจ้าสามารถปิดกั้นมิให้เผ่าพันธุ์มนุษย์กับระบบรวมตัวกันได้” เสียงแหบห้าวกล่าว

นายพลหวังรับฟัง ก็ผุดรอยยิ้ม

“ตกลงตามนั้น เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ข้าคงต้องขอตัวก่อน” เขากล่าว

“ไปเถอะ แต่ถ้าไม่มีเรื่องอะไรสำคัญ ก็จงอย่าได้เสนอหน้ากลับมาอีก” เสียงแหบห้าวกล่าว

นายพลหวังหันหลัง เตรียมตัวทะยานขึ้นไป

แต่แล้วเขาก็ชะงักไปอย่างกะทันหัน และเอ่ยถาม “ชายผู้นั้น เจ้าได้กินมันไปแล้วใช่หรือไม่?”

“อะไรอีก?” เสียงแหบห้าวเริ่มรำคาญ

ทว่าไม่รีรอให้นายพลหวังตอบ มันก็เอ่ยไปว่า “ใช่ ข้าได้กินผู้ใต้บังคับบัญชาไป แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนั้น”

นายพลหวังขบคิด ยังคงเอ่ยถาม “มิได้หมายถึงผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า หากแต่หมายถึงชายเผ่ามนุษย์ที่หลบหนีไปเมื่อครู่นี้”

เสียงแหบห้าว “เขาพึ่งขึ้นไปจากที่นี่ เจ้ามิได้สวนกันแล้วสังหารมันลงหรอกหรือ?”

ใบหน้าของนายพลหวังแปรเปลี่ยนไป

แล้วทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปจากที่เดิมทันที

อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงไปยังผนังที่ทากตัวน้อยๆ ทิ้งร่องรอยเมือกน่าขยะแขยงเอาไว้

นายพลหวังนิ่งงันไปครู่หนึ่ง

“มันมิใช่สิ่งนี้…”

เขาลังเลและกล่าว “เมื่อครู่ข้าเร่งร้อนลงมาเร็วเกินไป…ดังนั้นมิอาจเพ่งสำรวจในแต่ละชั้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว…ทว่าการที่เผ่ามนุษย์รอดพ้นไปได้นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย…”

เปรี้ยง!

ระหว่างกล่าว ทั้งร่างของเขาก็พลันระเบิดแสงสีเทากวาดกระจายไปทั่ว

“กล้าเล่นลูกไม้กับข้าอย่างงั้นหรือ? ช่างน่าสนใจจริงๆ”

ว่าจบ เขาก็หายตัวไปจากชั้นนี้อีกครั้ง

อีกด้านหนึ่ง

ภายนอกโรงเชือด

ในพุ่มไม้หนา

กู่ฉิงซานซ่อนตัวอยู่ที่นี่

ในช่วงเวลาที่เทพวิญญาณกำลังเข้าสู่คุกใต้ดิน ตัวเขาก็ได้แปลงกายเป็นมดแล้วซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างระหว่างรั้วของชั้นห้า

และเมื่อเทพวิญญาณลงจากชั้นห้าไป กู่ฉิงซานก็ออกมาที่นี่ทันที

เขาออกมาจากคุกใต้ดิน และเห็นว่าตลอดทั้งโรงเชือดตกอยู่ในความโกลาหล

ผู้ดูแลหลี่และสมุนที่ทรงพลังของเขาหลายคนเสียชีวิตลง

ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎจากค่ายอื่นๆ ล้วนเร่งเข้ามาในห้องของผู้ดูแล

ส่วนกู่ฉิงซาน เขาเดินฝ่าฝูงชนที่วิ่งวุ่นไปอย่างเงียบๆ มุ่งหน้าหาสถานที่สงบ

แต่ก็ไม่ได้ไปไกลจนเกินไปนัก

เพราะถ้าหากเขาไปไกลเกินไป ‘ทาก’ ก็จะไม่ทำงาน

ในจิตใจของเขา ย้อนนึกไปถึงคำแนะนำของชายแก่แห่งสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

“นี่เป็นของดีนะ มันเป็นแมลงดักฟังที่ดีกว่าพวกตัวอื่นๆ ทั่วๆ ไป”

 “ปกติแล้ว พวกแมลงดักฟังน่ะจะถูกพบตัวได้ง่าย และผู้ถูกดักฟังก็มักจะโกรธและเหยียบไอ้แมลงนั่นจนตัวแตกตายโดยตรง”

“ในขณะที่ทากตัวนี้ แม้จะดูเหมือนมีชีวิต แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงอวัยวะทางชีวภาพเล็กๆ เท่านั้น”

“เมื่อใดก็ตามที่มันถูกเหยียบ ฟังก์ชันการดักฟังของมันก็จะเริ่มทำงานทันที”

ทากตัวนี้คือของขวัญที่เขาได้รับจากชายแก่แห่งสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ในครั้งที่เขาเดินทางไปยังอัลเบอัส

ตอนนี้ ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากมันแล้ว

เขารับฟังบทสนทนาที่มีตัวทากเป็นสื่อกลางอย่างเงียบๆ

รับฟังโดยมิได้เคลื่อนย้ายออกไปไหนเลย จนกระทั่งสองสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง เริ่มจะเอ่ยถามไถ่ถึงตัวเขา

ดิสก์ค่ายกลก็ถูกกดเปิดใช้งานทันที

กู่ฉิงซานหายวับไปจากสถานที่เดิม

และห่างออกไปอีกหลายพันลี้ ท่ามกลางภูเขารกร้างนับไม่ถ้วน

ร่างของกู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่เปิดโล่ง

นี่คือสถานที่ที่เขาทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์

หากพวกท่านยังจดจำกันได้ เริ่มต้นนับจากโลกทะเลทรายเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นครั้งใดที่จัดตั้งค่ายกล ในทุกๆ ครั้งกู่ฉิงซานล้วนติดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายเผื่อเอาไว้ด้วยตลอดมา

และในตอนนี้ ในที่สุดมันก็ได้ใช้ประโยชน์ สามารถนำพาเขาให้หนีรอดจากอันตรายถึงชีวิต!

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในจุดเดิม ปากอ้าถอนหายใจยาว

การสอดแนมข้อมูลจากเทพวิญญาณและมอนสเตอร์บรรพกาลด้วยตนเอง นับว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายร้ายแรงยิ่งนัก

ทว่าโชคยังดี ที่เขาสามารถผ่านพ้นความอันตรายที่ว่ามาได้ สามารถเปิดเมฆหมอกหนาแน่นที่คอยปกคลุมโชคชะตาของเผ่ามนุษย์ตลอดมาได้ในที่สุด…

กู่ฉิงซานได้ล่วงรู้ถึงความจริงของยุคบรรพกาลแล้ว!

………………………….

มอนสเตอร์สนทนาเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ

ฟังจากการสนทนาของพวกมัน กู่ฉิงซานก็ได้ล่วงรู้เพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง

นั่นคือ พวกมอนสเตอร์คิดว่าเขาไม่สามารถเข้าใจบทสนทนาของพวกมันได้

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในช่วงยุคโบราณ มันไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดเลยที่สามารถสื่อสารกับมอนสเตอร์ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่มีใครเข้าใจภาษาของพวกมัน

ทว่าในช่วงที่กำลังออกค้นหาสามสิ่งประดิษฐ์เทวะโบราณ กู่ฉิงซานได้รับไพ่หนังสือมาจากซีน้อย ซึ่งภายในบันทึกภาษาบรรพกาลเอาไว้

อ้างอิงตามที่ซีน้อยกล่าว นี่คือภาษาที่ใช้กันทั่วไปโดยเทพวิญญาณและมอนสเตอร์ในยุคบรรพกาล ทว่ามันได้ถูกลบล้างไปแล้วโดยเทพวิญญาณ อย่างไรก็ตาม ซีน้อยคืออาวุธของเทพวิญญาณ เป็นกำลังรบหลักที่จักต้องใช้ต่อกรกับมอนสเตอร์บรรพกาล ดังนั้นเทพวิญญาณจึงได้สอนภาษานี้แก่เธอ

ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจภาษานี้เลย

ทันใดนั้นเอง ประกายแสงบางอย่างพลันวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน

แม้จะนึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาก็รักษาท่วงท่านั่งไขว่ห้างในอากาศเอาไว้ ลอยนิ่งไม่เคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ

แต่น่าเสียดาย ที่พวกมอนสเตอร์ดันกล่าวกันอีกแค่ไม่กี่คำ ก็หุบปากลง

ภายในคุกใต้ดินชั้นที่สิบสามกลับคืนสู่ความเงียบงัน

หลงเหลือแค่เพียงเสียงกระเพื่อมของแอ่งเลือด ที่ปกคลุมอยู่บนพื้น สูงชันจนเกือบถึงหัวเข่า

ซ่า…

แอ่งเลือดซัดสาดเป็นคลื่น ไหลวนอย่างสม่ำเสมอ

กู่ฉิงซานทนเฝ้ารออีกระยะหนึ่ง

แต่สามมอนสเตอร์บรรพกาลก็ยังไม่คิดจะเอ่ยคำใด

ในหัวใจของกู่ฉิงซานยิ่งนาน ก็ยิ่งรู้สึกจั๊กจี้ราวกับว่ามีแมวตัวน้อยๆ คอยฝนกรงเล็บอยู่ในมัน

ทำไมเจ้าสามตัวนี่ถึงไม่ยอมพูดอะไรเพิ่มเติมสักที?

คงจะดีมากๆ เลย ถ้ามันพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย

สำหรับเวลานี้ แม้จะเป็นแค่การสนทนาเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีความสำคัญอะไร แต่มันก็ทำให้กู่ฉิงซานได้รับข้อมูล และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกมันได้มากมายนัก

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

พวกมอนสเตอร์ก็ยังไม่คิดเอ่ยปาก

แต่แล้วกู่ฉิงซานก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นทันใด

จู่ๆเขาก็ลืมตาขึ้น และก้มลงมองแอ่งเลือดบนพื้นดินด้วยความสงสัย

“น่าแปลก เลือดพวกนี้มาจากที่ใดกัน? กระทั่งชั้นค่ายกลก็ยังจมอยู่ใต้น้ำเลือดนี่ มันช่างเป็นปัญหาซะจริงๆ”

ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็ยื่นมือออกไป จีบเข้าด้วยวิชาลับ ใช้อากาศที่ว่างเปล่าค่อยๆ ช้อนแอ่งเลือดขึ้นมา และหุบมันรวมกันเป็นเม็ดเลือดขนาดใหญ่

ในเวลานั้นเอง เลือดบนพื้นดินทั้งหมดก็ถูกดึงดูดโดยเทคนิคมนตรา ลอยขึ้นมา เผยให้เห็นถึงค่ายกลที่จักนำไปสู่ชั้นถัดไป

เบื้องล่าง เป็นอักษรรูนกระจุกตัวกันหนาแน่น ถูกปกคลุมไว้ด้วยค่ายกล และศิลาวิญญาณที่ถูกฝังเอาไว้ในร่องก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ

และตราบเท่าที่ศิลาวิญญาณตกลงไป ค่ายกลก็จะถูกเปิดใช้งาน และกู่ฉิงซานก็จะสามารถเข้าไปสู่ระดับชั้นถัดไป

เขามองไปที่ค่ายกล และก้อนเลือดขนาดใหญ่ในอากาศ คล้ายกำลังลังเลว่าตนสมควรจะไปต่อดีหรือไม่

แต่แล้วในตอนนั้นเอง เสียงคำรามเบาๆ ก็ดังขึ้นมาจากใต้ดิน

เห็นได้ชัดว่าเสียงนี้ ดังขึ้นมาจากส่วนลึกของพื้นโลก

ทันทีหลังจากนั้น น้ำเลือดใหม่ก็ค่อยๆ แทรกซึมขึ้นมาจากพื้นดินเบื้องล่าง

น้ำเลือดค่อยๆ ปกคลุมพื้นดิน ก่อตัวเป็นแอ่งเลือดอีกครั้ง ในที่สุดพอมีระดับสูงถึงหัวเขาก็หยุดเพิ่มจำนวนลง

กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ช่างน่าฉงนนัก ข้าสมควรลองช้อนมันขึ้นมาดูอีกครั้งดีหรือไม่นะ?”

ในช่วงเวลานั้นเอง สามมอนสเตอร์บนผนังก็เริ่มเกิดความเคลื่อนไหว

พวกมันขยับร่างกายด้วยความไม่สบายใจ

ในที่สุด บทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

“เจ้ามนุษย์โง่นี่ พวกเราไม่สามารถปล่อยให้เขากระตุ้นนายท่านใต้พิภพให้โกรธเคืองได้อีกต่อไปแล้ว” มอนสเตอร์เปล่งเสียงกระซิบ

ภายในน้ำเสียงของมัน แฝงไปด้วยความหวาดกลัวและร้อนรน

มอนสเตอร์อีกตนเร่งกล่าว “เช่นนั้นทำไมพวกเราไม่บอกมันออกไปว่า จงหยุดสร้างปัญหาให้กับนายท่านใต้พิภพกันเล่า?”

มอนสเตอร์ตนสุดท้าย ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าตะโกน “พวกเจ้าทั้งสองโง่เง่านัก! แม้ว่าภาษาของพวกมนุษย์มันจะเรียบง่าย แต่พวกเราไม่สามารถพูดกับพวกเขาได้ นี่เป็นข้อตกลง!”

มอนสเตอร์ตัวแรกกล่าว “ในเมื่อเราไม่สามารถละเมิดข้อตกลงได้ เช่นนั้นเหตุใดพวกเราไม่ลองโวยวายดู จะได้เบี่ยงเบนความสนใจของมัน? แบบนี้ดีหรือไม่?”

“เป็นความคิดที่ดี” มอนสเตอร์ตัวที่สามอนุมัติทันที

วินาทีต่อมา พวกมันก็เริ่มร้องคำราม พยายามดิ้นเร่าๆ บนผนัง คล้ายกับว่าต้องการพุ่งเข้าไปฉกชิงชีวิตของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานแสร้งแสดงท่าทีว่าตกใจ จนเผลอสะบัดมือหลุดการควบคุมเทคนิคมนตรา

เมื่อมือของเขาถูกสะบัดออกไป ก้อนเลือดในอากาศก็บิดเบี้ยวและแกว่งไปมา

และโดย ‘บังเอิญ’ อย่างไม่ทันคาดคิด ก้อนเลือดที่ว่าได้ถูกเหวี่ยงไปยังทิศทางของหนึ่งในสามมอนสเตอร์ และกระแทกเข้าใส่มัน

มอนสเตอร์ตนนั่นอึ้งงันไปครู่หนึ่ง เมื่อได้สติก็กรีดร้องคำรามรุนแรง

คราวนี้ คงจะเป็นเสียงคำรามที่แท้จริงของมัน เสียงนี้สั่นสะเทือนไปทั้งผืนดิน แฝงไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

มอนสเตอร์พยายามดิ้นรนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

ผนังทั้งหมดสั่นสะเทือน เนื่องเพราะการดิ้นรนไม่หยุดยั้ง

ตลอดทั้งชั้นใต้ดินสิบสามค่ายกลป้องกัน อักษรรูนโบราณทั้งหมดถูกเปิดใช้งานทันที มันสาดแสงสวรรค์สว่างไสว

อำนาจที่ยิ่งใหญ่และมองไม่เห็น กดดันมอนสเตอร์ จนพวกมันแนบชิดติดกำแพง

ตัวที่ถูกเลือดสาดใส่กรีดร้องภาษาบรรพกาลออกมา “ไม่! นายท่าน ท่านไม่สามารถกินข้าได้ ข้าเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของท่าน!”

อีกเสียงหนึ่งที่แหบห้าว ดังขึ้นมาจากส่วนลึกของใต้ดิน “จงมอบเลือดเนื้อ และจิตวิญญาณของเจ้า เป็นอาหารว่างให้แก่ข้าซะโดยดี”

วินาทีต่อมา เลือดทั้งก้อนก็โถมเข้าห่อหุ้มมอนสเตอร์ และแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของมัน

มอนสเตอร์หยุดดิ้นรนทันที

มันตายแล้ว

เจ็ดถึงแปด เชือกดักมารที่คอยรัดมันถูกคลายลง

ร่างของมอนสเตอร์ร่วงตกลงไปในแอ่งเลือด แปรสภาพกลายเป็นก้อนสีดำๆ และจางหายไปอย่างรวดเร็ว

ในส่วนผิวน้ำของแอ่งเลือด เริ่มหมุนเป็นวังวน คล้ายกับว่ามีอะไรบางสิ่งบางอย่างกำลังถูกส่งผ่านลงไปยังส่วนลึกของใต้ดินผ่านทางแอ่งเลือด

ตามมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาที่ฟังดูพึงพอใจดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง

จากนั้น ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบงัน

มอนสเตอร์สองตัวบนผนัง ไม่คิดแสร้งดิ้นรนอีกต่อไป

พวกมันพยายามปีนขึ้นไปให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันตัวเองให้ห่างจากแอ่งเลือด ทั้งตนทั้งร่างนิ่งงันราวกับรูปปั้น ไม่คิดส่งเสียงใดๆ อีกต่อไป

กู่ฉิงซานมองดูแอ่งเลือด ในดวงตาของเขาเผยถึงร่องรอยของความเคร่งเครียด

ตอนนี้ ดูเหมือนว่า แม้จะเพียงเฉียดปลายนิ้วไปสัมผัสกับเลือด จุดจบเพียงอย่างเดียวก็คือความตาย

เพราะกระทั่งมอนสเตอร์ในชั้น สิบสามที่กู่ฉิงซานมิอาจโจมตีพวกมันได้ ก็ยังมีจุดจบเช่นนี้

กู่ฉิงซานลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ แสดงท่าทีคล้ายกับว่ากำลังหวาดกลัวและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เขาเริ่มวิเคราะห์บทสนทนาระหว่างพวกมอนสเตอร์อย่างรวดเร็ว

อย่างแรกเลย เขาได้รู้ว่า พวกมันคิดว่าภาษาของมนุษย์นั้นง่ายดายยิ่ง

อย่างที่สอง พวกมันไม่อาจคุยกับมนุษย์ได้ เนื่องจากไม่สามารถทำลายข้อตกลง

สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ มอนสเตอร์บรรพกาลสามารถเข้าใจภาษาของมนุษย์ แต่พวกมันแสร้งโง่ ทำเป็นไม่เข้าใจ

เช่นนั้น…

‘ข้อตกลง’ นี้มีไว้เพื่ออะไรกัน?

แล้วพวกมันตกลงกับใคร?

กู่ฉิงซานเริ่มขบคิดเกี่ยวกับปัญหานี้ โดยไม่รู้ตัว เขาพบว่าในหัวใจได้บังเกิดความหนาวเหน็บเป็นประวัติการณ์

อีกด้านหนึ่ง

ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎที่พาตัวกู่ฉิงซานเข้าไปในคุกใต้ดิน และปิดประตูขังเขาตามคำสั่งของผู้ดูแลหลี่ ได้ออกไปทำภารกิจต่อ จัดส่งคนอื่นๆ เข้าไปในโรงเชือดอีกครั้ง

ครึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งสองคนก็กลับมารายงานผู้ดูแลหลี่

“รายงานท่านผู้ดูแล งานของเหล่าบุคลากรในวันนี้ได้ถูกจัดการตามที่ท่านเห็นสมควรเรียบร้อยแล้ว” ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎกล่าว

“ช่วยลงรายละเอียดให้ข้าด้วย” ผู้ดูแลหลี่กล่าว

อีกหนึ่งผู้ฝึกยุทธหยิบใบหยกออกมา กุมไว้ในมือ และเอ่ยรายงานต่อ

ผู้ดูแลหลี่อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า

ทันใดนั้นเขาก็ขัดจังหวะอีกฝ่าย เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “ศิลาวิญญาณของพ่อครัวค่ายเก้าที่ จัดเตรียมเอาไว้ให้ในวันนี้ยังไม่เพียงพอ ดังนั้นไปจัดการสั่งให้เขาสังหารมอนสเตอร์ในส่วนของวันนี้ เพิ่มมากกว่าเดิม”

“ขอรับ ข้าจะไปแจ้งเรื่องแก่เขาหลังจากนี้ในทันที” ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎกล่าว

รายงานยังคงดำเนินต่อไป

หลังจากนั้นไม่นาน

เรื่องทุกอย่างที่ต้องรายงานก็จบลง

ผู้ดูแลหลี่กำลังจะโบกมือให้ทุกคนล่าถอยไป แต่ก็พลันนึกขึ้นได้ถึงอะไรบางอย่าง

“จริงสิ แล้วไอ้เด็กเหลือขอจากค่ายที่ยี่สิบสามเล่า?”

“เด็กคนนั้นถูกพาตัวไปยังคุกใต้ดินตามที่ท่านผู้ดูแลสั่งการแล้ว” ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎกล่าว

ผู้ดูแลหลี่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ หยิบเอาหยกวิญญาณขึ้นมา ลูบไล้มัน ปากเอ่ยกล่าวด้วยความเกียจคร้าน “เขารู้สึกสำนึกเสียใจบ้างไหม?”

“ไม่เลยท่านผู้ดูแล เด็กคนนั้นไม่กล่าวกระไรตลอดทาง นอกจากนี้ยังตรงเข้าไปในคุกใต้ดินตามคำสั่งของพวกเราอย่างว่าง่าย”

ผู้ดูแลหลี่ลองทบทวนเกี่ยวกับมันดู และหันไปเอ่ยถามผู้ฝึกยุทธที่อยู่ข้างๆ “ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วใช่หรือไม่? เกี่ยวกับข้อมูลของเจ้าเด็กเหลือขอนี่”

ผู้ฝึกยุทธกล่าว “รายงานท่านผู้ดูแล จางเสี่ยวหยุน เป็นผู้ฝึกยุทธเร่ร่อน เกิดในครอบครัวสามัญ บรรพบุรุษของเขาหารายได้จากการปรุงอาหารวิญญาณให้แก่ผู้ฝึกยุทธ”

“ทว่าเมื่อคราก่อนที่โลกบรรพกาลบุกโจมตี พวกมันได้สังหารทุกคนในครอบครัวของเขาไป เหลือแค่เพียงจางเสี่ยวหยุนคนเดียวที่รอดชีวิต ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงตัดสินใจมาเข้าร่วมกับกองทัพ”

คิ้วที่ขมวดมุ่นของผู้ดูแลหลี่คลายลง “เช่นนั้นก็ดี หากเรื่องราวของเจ้าเด็กนั่นมันน่าเศร้าถึงขนาดนั้น ข้าก็จะส่งเขาไปอยู่กับครอบครัวเอง แบบนี้ทั้งครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้งไง”

“ฮ่าๆๆ ท่านผู้ดูแลช่างเล่นคำได้น่าขบขันนัก”

“สมควรเป็นเช่นนั้น”

ขณะกำลังสนทนากันอยู่ พวกเขาก็เห็นว่าประตูค่ายถูกเปิดออกโดยไม่มีผู้ใดควบคุม พร้อมกันกับผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งในชุดเกราะเต็มตัวบินเข้ามาจากภายนอก

ผู้ดูแลหลี่ผุดลุกขึ้น สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที “นายพลหวัง เหตุใดท่านถึงได้มาที่นี่ด้วยตนเอง?”

ตูม!

ขณะเดียวกันนั้นเอง ผืนโลกพลันสั่นสะเทือน

ต่อมา เสียงร้องคำรามที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็ดังขึ้นมาจากใต้พื้นดิน

สีหน้าทุกคนแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

เพราะฟังจากทิศทางของเสียง มันเป็นคุกใต้ดิน!

คุกใต้ดินแตกต่างจากที่อื่นๆ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อกักขังมอนสเตอร์ทรงพลังบางตัว ที่มิอาจสังหารลงได้

นับตั้งแต่ก่อตั้ง ทางโรงเชือดก็ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของเบื้องบนมาโดยตลอด  เพื่อให้แน่ใจว่ามอนสเตอร์เหล่านั้นจะถูกขังไว้ใต้ดิน และหุบปากเงียบไปตลอดกาล

ซึ่งในคุกใต้ดินมันไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้!

นายพลหวังจ้องมองทุกคนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และเอ่ยถาม “เป็นผู้ใดที่อยู่ในผนึกคุกใต้ดิน?”

ผู้ดูแลหลี่ กล่าวติดๆ ขัดๆ “เป็น…เป็นพ่อครัวคนหนึ่งที่พึ่งมาใหม่”

“จงบอกชื่อ ฐานวรยุทธ และถิ่นที่มาของเขา” นายพลหวังกล่าวต่อ

“จางเสี่ยวหยุน ขอบเขตแก่นทองคำ ค่ายกำลังพลสำรองที่ยี่สิบสาม”

“ขอบเขตแก่นทองคำ? เจ้าปล่อยมันเข้าไปยังสถานที่นั้นได้อย่างไร? นั่นคือสถานที่ต้องห้ามอย่างชัดเจน เจ้าต้องการอะไรกันแน่ถึงได้ให้มันเข้าไปที่นั่น?” เสียงของนายพลหวังร้ายแรงยิ่ง

เหงื่อเม็ดเท่าลูกปัดผุดขึ้นมาบนหน้าผากของผู้ดูแลหลี่ ทว่ามิกล้าเอ่ยตอบได้แม้เพียงครึ่งคำ

“คือว่าใต้เท้า…”

ผู้ดูแลหลี่หยิบถุงสัมภาระออกมา เผยรอยยิ้มแห้งๆ และยื่นมันยัดลงในมือของนายพลหวัง

เพล้ง!

พริบตานั้นแสงอันศักดิ์สิทธิ์พลันสาดเข้าใส่กายของผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ

พริบตาเดียว คนทั้งหมดก็กลายเป็นขี้เถ้า

“นี่” ผู้ดูแลหลี่ตกตะลึง

แม้ว่าผู้ดูแลหลี่จะเป็นคนชั่วร้ายหรือละโมบเพียงใด ทว่าวิสัยทัศน์ของเขาย่อมไม่เลว มิฉะนั้นคงไม่ได้ถูกส่งมาคุมสถานที่แห่งนี้

ผู้จัดการหลี่จู่ๆ ก็ร่ำร้องออกมา “นายพลหวัง! ไม่สิ ท่านเทพวิญญาณ ได้โปรด”

เพล้ง!

เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ปะทุออกมาจากกายเขา เผาผลาญทั้งคนทั้งร่างลอยหายกลายเป็นขี้เถ้าทันที

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในค่ายทหารถูกเผาจนสิ้น

ไร้ซึ่งผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

นายพลหวังยืนนิ่งงัน

ตรงหน้าผากของเขา ปรากฏแสงไสวที่กำลังลุกโชติช่วง ไม่มีทีท่าว่าจะมอดดับลง

“ฮึ่ม! เจ้าคนโลภ! ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงมีคนที่สามารถเข้าไปที่นั่นได้”

นายพลหวังหันหลังกลับ มองไปยังทิศทางนอกประตู

“คุกใต้ดิน…เกิดการตกตายขึ้นเป็นจำนวนมาก…ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปตรวจสอบมันด้วยตนเองซะแล้ว”

วินาทีต่อมา ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายไปจากสถานที่นั้นโดยตรง

………………..

ภายในรั้ว เลือดสีแดงหยดย้อยลงจากเชือกดักมาร

แม้จะถูกกล่าวเป็นเชือก แต่แท้จริงเชือกดักมารเป็นโซ่โลหะที่คอยรัดอยู่ตามแขนขาของมอนสเตอร์อย่างแน่นหนา ภายในยังอัดแน่นไปด้วยอักษรรูนโบราณ กระจายไปทั่วเส้นสีดำหมึกของมัน

มอนสเตอร์ส่งเสียงครวญครางเป็นครั้งคราว มันดิ้นรน พยายามสะบัดเชือกดักมาร ด้วยการเคลื่อนไหวของมัน ส่งผลให้เชือกกระทบเข้ากับผนัง เกิดเป็นเสียงโลหะอันหนักทึบ

อีกด้านหนึ่งของเชือก เชื่อมกับผนังคุกใต้ดินอย่างแน่นหนา ปลายของมันทอดยาวลึกลงไปยังผืนดินเบื้องล่าง กู่ฉิงซานเริ่มสำรวจมอนสเตอร์

เขาพบว่า มันช่างคล้ายกันกับมนุษย์นัก

นี่คือความคิดแรกที่เข้ามาในใจของกู่ฉิงซาน

ทว่าพอได้ลองเพ่งมองอย่างใกล้ชิด จะพบว่ามันไม่ใช่

เมื่อเทียบเปรียบกับมนุษย์แล้ว มอนสเตอร์ตัวนี้ไม่มีผิวหนัง

กล้ามเนื้อสีแดงเปลือยเปล่าอยู่ด้านนอก และในบางจุดก็โผล่ให้เห็นถึงกระดูกขาวโดยตรงเลยก็มี

ในปากของมัน เต็มไปด้วยซี่ฟันอันแหลมคม ลากยาวจรดใบหู

ทว่าไร้ซึ่งดวงตา

กู่ฉิงซานมองมอนสเตอร์ตนนี้ และจมลงสู่ห้วงความคิด

มอนสเตอร์ตัวนี้แตกต่างจากเนตรมารบรรพกาล ชัดเจนว่ามันมีรูปลักษณ์คล้ายกับเผ่าพันธุ์มนุษย์

“กี…”

มอนสเตอร์แผดเสียงร้องครวญคลั่งใส่กู่ฉิงซาน

ดาบเช่าหยินพลันกะพริบไหว

ศีรษะของมอนสเตอร์ถูกสะบั้นแยกจากลำตัวทันที

เสียงดังโวยวายเงียบลง

เชือกดักมารเมื่อตรวจพบว่ามอนสเตอร์ตายแล้ว มันก็แยกย้าย กระจัดกระจายออกจากร่างศพทันที

กู่ฉิงซานเดินข้ามรั้ว และเริ่มทำการแยกชิ้นส่วนของมอนสเตอร์

ดูเหมือนว่าในเลือดของมอนสเตอร์จะมีของเหลวบางชนิดที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ดาบเช่าหยินที่สะบั้นหัวมันจึงรู้สึกระคายเคืองและส่งเสียงหึ่งๆ เล็กน้อย

กู่ฉิงซานได้ยินมันบ่น

ดังนั้น เขาจึงไม่คิดใช้ดาบยาวอีก แต่เริ่มต้นใช้เจตดาบในดวงตาแทน แปรเปลี่ยนเป็นปราณดาบคมกล้าในอากาศที่ว่างเปล่า และเริ่มเฉือนร่างศพของมอนสเตอร์ทีละชั้น ทีละชั้น

เห็นแค่เพียงปราณดาบเปิดช่องท้องออก ตัดตามแนวยาวเป็นเส้นตรง ผ่านขึ้นไปถึงทรวงอก

…ทรวงอกของมอนสเตอร์ เนียนและแบนราบ มีบ้างที่เกิดรอยยับย่นขึ้นตามผิวหนังเนื่องจากการหายใจออก และหายไปในทันที เมื่อหายใจเข้า

มันไม่มีอวัยวะภายในงั้นหรือนี่?

กู่ฉิงซานเกิดความงุนงงเล็กน้อย

ดวงตาของกู่ฉิงซานเบนลงมาบนนิ้วตนเอง

แล้วทันใดนั้นปลายนิ้วหัวแม่มือก็ถูกเฉือนออกนิดหน่อย

กู่ฉิงซานบีบเลือดของตัวเองออกมาหยดหนึ่ง แล้วดีดเข้าไปในทรวงอกของมอนสเตอร์

ทันใดนั้นเอง ทรวงอกของมอนสเตอร์ก็พลันขยับไหว มันเริ่มบิดตัว ยุบๆ พองๆ อย่าบ้าคลั่ง!

หากมิใช่เพราะว่าหัวของมอนสเตอร์ถูกฟันขาดไปแล้ว กู่ฉิงซานคงคิดว่ามอนสเตอร์ตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่

“ดูเหมือนว่าในส่วนทรวงอกของมันกับส่วนช่องท้องจะเชื่อมต่อกัน หมายความว่าในทั้งส่วนนี้น่าจะเป็นกระเพาะอาหาร…แม้จะมีรูปลักษณ์คล้ายกัน แต่ภายในตัวของมอนสเตอร์กลับแตกต่างจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง” กู่ฉิงซานพึมพำ

โดยไม่รู้ตัว กู่ฉิงซานก็ถอนหายใจโล่งอกออกมา

พอโล่งอก กู่ฉิงซานก็จัดแจงร่างศพของมอนสเตอร์ให้เรียบร้อยและเป็นระเบียบ

เขาเดินกลับไปที่รั้วใกล้ๆ และเริ่มเปิดใช้งานค่ายกลที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ที่นั่น

ร่างศพของมอนสเตอร์ถูกส่งออกไปทันที

มอนสเตอร์ตัวแรกได้ถูกสังหารลงแล้ว

กู่ฉิงซานเดินไปยังรั้วถัดไป

ก็ยังคงเป็นมอนสเตอร์ที่ถูกตรึงอยู่ภายใน ทว่าคราวนี้ มอนสเตอร์กลับมิได้มีรูปลักษณ์ของมนุษย์อีกต่อไป ตามร่างกายของมัน เต็มไปด้วยหัวกะโหลกที่ผุดขึ้นมา

เอ่อ …

นี่เหล่าผู้ฝึกยุทธจะต้องกินไอ้ตัวแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ?

กู่ฉิงซานคิดในใจ ขณะเดียวกันก็สำรวจอีกฝ่าย

เงาดาบออกมาจากดวงตาของเขา ฟันลากยาวเป็นเส้น สะบัดหั่นมอนสเตอร์เป็นชิ้นๆ

แล้วค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ถูกกระตุ้นใช้งานอีกที

ในพริบตาเดียว ร่างศพของมอนสเตอร์ก็หายไป

กู่ฉิงซานก้มลงมองหน้าต่างเทพสงคราม

และพบว่าแต้มพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ดูเหมือนว่าตามเกณฑ์ตัดสินของระบบเทพสงคราม กระทั่งความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ในชั้นหนึ่งก็ยังมิได้อ่อนแอกว่าเขา

ซึ่งคุกใต้ดิน โดยสิ้นเชิงแล้วมีถึงสิบแปดชั้น …

…มันจักเป็นมอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใดกันหนอ ที่อยู่ลึก ลึกลงไปในชั้นล่างๆ

กู่ฉิงซานมองไปทางภารกิจเทพสงคราม และพบว่าจำนวนตัวเลขเป็น สอง

นี่หมายความว่าต่อให้พวกมันจะถูกตรึง และอยู่ในสภาพสู้ไม่ได้ แต่ก็นับว่าเขาฆ่าได้สองตัวอยู่ดี

กู่ฉิงซานเดินไปยังรั้วที่สาม

เวลาผ่านพ้นไปกว่าครึ่งก้านธูป

มอนสเตอร์ในชั้นแรกห้าตัว ถูกล้างบางจนเรียบโดยกู่ฉิงซาน

เขายืนอยู่ตรงทางเข้าลึกลงไปในชั้นใต้ดินถัดไป

ปรากฏถึงค่ายกลอันยอดเยี่ยมถูกติดตั้งอยู่ที่นี่ และมันอนุญาตให้เฉพาะเพียงเผ่ามนุษย์ผ่านเข้าไปเท่านั้น ‘เผ่าพันธุ์อื่น’ ล้วนถูกปฏิเสธ

แม้ว่าจะยังมีเวลาเหลือล้นกว่าห้าวันเต็ม แต่ในความรู้สึกของเขา ยิ่งมีแต้มพลังวิญญาณในมือรวดเร็วเท่าใด ภารกิจมันก็ยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นเท่านั้น กู่ฉิงซานจึงไม่คิดเสียเวลาแม้เพียงน้อย เข้าไปในค่ายกลเพื่อมุ่งหน้าสู่ชั้นถัดไปโดยตรง

ในชั้นนี้ ก็ยังคงเป็นมอนสเตอร์ บางทีหากไม่มีเชือกดักมารตรึงเอาไว้ พวกมันคงจะแข็งแกร่งมาก ทว่าหากถูกเชือกตรึงไว้แล้วละก็…คงได้แต่ทำใจเฝ้ารอความตายเท่านั้น

กู่ฉิงซานสังหารมอนสเตอร์กว่ายี่สิบเอ็ดตัวอย่างขะมักเขม้น แต่ขณะเดียวกันก็คอยระแวดระวังตลอดเวลา

ลงต่อไปยังชั้นสาม…

มุ่งลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงชั้น เก้ากู่ฉิงซานจึงค่อยหยุด

แม้ว่า ณ จุดนี้จะเป็นเพียงชั้นเก้า แต่มอนสเตอร์ที่นี่ มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

กู่ฉิงซานเปิดใช้งานดาบในดวงตา ส่งปราณดาบหั่นลงบนร่างกายของมอนสเตอร์ แต่กลับพบว่ามันปรากฏให้เห็นแค่รอยถากๆ สีขาวเท่านั้น และรอยที่ว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว

เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ หากมันอยู่ในสภาพพละกำลังเต็มเปี่ยม เหตุการณ์คงกลับตาลปัตร กลายเป็นกู่ฉิงซานซะเองแล้วที่ถูกมันไล่ฆ่าเอาฝ่ายเดียว

กู่ฉิงซานมองมอนสเตอร์ที่ถูกมัดอยู่ และเร่งเปิดใช้งานสกิลหัวใจแห่งดาบสุดกำลัง

ทั้งคนทั้งร่างของมอนสเตอร์สั่นสะท้าน และแข็งค้างไป

นั่นเพราะสกิลหัวใจแห่งดาบ ได้ข้ามผ่านเนื้อหนัง และมุ่งเข้าโจมตีจิตวิญญาณของมันโดยตรง

ดาบเช่าหยินในมือถูกโบกสะบัด

แล้วหัวของมอนสเตอร์ที่ไร้ซึ่งจิตนึกคิดที่จักป้องกันตนก็ร่วงตกลง

และการผ่าศพก็ยังคงดำเนินต่อไป

แต้มพลังวิญญาณเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ภารกิจยังคงดำเนินต่อจนกว่าจะลุล่วง

ชั้นที่ สิบ

ชั้นที่ สิบเอ็ด

ชั้นที่ สิบสอง

ยิ่งลึกลงมาเท่าไหร่ เสียงโวยวายก็ยิ่งสงบลงมากขึ้นเท่านั้น

จนในเวลานี้ ต่อให้มอนสเตอร์เห็นเขา พวกมันก็ไม่คิดส่งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญอีกต่อไป

เมื่อมาถึงชั้นที่ สิบสามมอนสเตอร์บรรพกาลทั้งสามตนเพียงมองมาทางกู่ฉิงซานอย่างเฉยชา เฉกเช่นเดียวกันกับที่เขามองพวกมัน

สิ่งนี้ค่อนข้างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากในคุกใต้ดินชั้นก่อนๆ

ปรากฏถึงเลือดที่ไม่ทราบว่ามาจากที่ใด กองอยู่กับพื้น เจิ่งนองเป็นแอ่งจนมีขนาดความสูงถึงช่วงหัวเข่าของมนุษย์

พื้นที่ในชั้นนี้มิได้กว้างขวางแต่อย่างใด ทว่าทุกผนังในแต่ละด้าน มันถูกสลักเต็มไปด้วยอักษรรูนโบราณ

ร่างของมอนสเตอร์ทั้งสาม ถูกมัดไว้ด้วยเชือกดักมารกว่า เจ็ดถึงแปดสาย ขณะเดียวกันก็ถูกตรึงไว้กับผนัง

และตลอดทั้งชั้นที่ สิบสามทุกๆ จุด มันถูกติดตั้งไว้ด้วยค่ายกลกักขังขนาดใหญ่!

มอนสเตอร์ทั้งสามตนนี้มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ ทว่าพวกมันมีเขาแหลมอยู่บนหัว และไม่มีกล้ามเนื้อบนใบหน้า ฉะนั้นเลยเผยให้เห็นถึงกระดูกสีขาวโดยสิ้นเชิง

กู่ฉิงซานยืนอยู่กลางอากาศ

เขาโบกสะบัดดาบเช่าหยินด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ตนมี

เจ็ดถึงแปดรังสีดาบสาดแสงเย็นเยียบ ตัดเข้าใส่คอของหนึ่งในมอนสเตอร์ที่ถูกตรึงเอาไว้

เมื่อกระทบกับเป้าหมาย รังสีดาบก็กระจัดกระจายออกไป ทว่า ..

บนต้นคอของมอนสเตอร์ที่ถูกฟัน มันมิได้ถูกตัดขาด กระทั่งบาดแผลหรือร่องรอยใดๆก็ยังไม่เกิดขึ้นเลย

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาเริ่มงัดออกด้วยสกิลฝ่าวารีเชี่ยว ตัดจันทรา เจ็ดดารา มังกรวิหกธารา วาดเงา กลืนกินหวนกลับ กระแสธารอันยิ่งใหญ่ ประทับดารา และล่าชีพ ทุ่มสุดตัว สุดกำลังโถมฟาดฟันเข้าใส่มอนสเตอร์

หนึ่งกระบวนท่านักดาบนิรันดร์และแปดเทคนิคลับแห่งดาบสับลงอย่างหนักหน่วงใส่มอนสเตอร์ จนคราวนี้สามารถทำให้มันส่งเสียงร้องออกมาได้สำเร็จ

“อา…”

ร่างของมอนสเตอร์สั่นเล็กน้อย

ในที่สุด กู่ฉิงซานก็สามารถสร้างร่องรอยสีขาวเล็กๆ จางๆ ที่แทบจะไม่สังเกตเห็นได้เป็นผลสำเร็จ

แต่เพียงพริบตาเดียว ร่องรอยสีขาวนั้นก็ได้สลายหายไปโดยสิ้นเชิง

กู่ฉิงซานส่ายหัว และยอมเก็บดาบกลับคืน

อาศัยเพียงความแข็งแกร่งในขอบเขตลมปราณจิต เหมือนว่าจะสามารถทำได้แค่ลงมาถึงชั้น สิบสามเท่านั้น

หากมอนสเตอร์ทั้งสามตนอยู่ในสภาพดี หากหลุดออกไปข้างนอก ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมัน เกรงว่าคงสามารถสั่นสะท้านไปทั้งผืนแผ่นดิน

เขาไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าจะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังเพียงใดกันนะ ถึงจะสามารถจับกุมตัวมอนสเตอร์ทั้งสามตนนี้ได้

แต่คาดว่าเซี่ยกู่หงส์น่าจะทำได้

กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ ระหว่างลอยในอากาศ เขาก็นั่งไขว่ห้าง และเริ่มทำสมาธิ

ในเวลานี้ เขารวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้เป็นปริมาณประมาณหนึ่งล้านแล้ว

หลังจากที่ใช้แต้มพลังวิญญาณไปเล็กน้อย กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใจถึงเทคนิคฝึกยุทธในขอบเขตลมปราณจิต

เขาเริ่มตัดผ่านทันที

ในช่วงกลางของคุกใต้ดินชั้นที่สิบสามเขาลอยอยู่เหนือแอ่งเลือด และเริ่มตัดผ่านขอบเขตย่อยต่อหน้ามอนสเตอร์บรรพกาลทั้งสามซึ่งครอบครองพลังอันน่าหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้

เวลาไหลผ่านไป

หนึ่งก้านธูปผ่านพ้น กู่ฉิงซานลืมตาของเขาอีกครั้ง

เจ้าตัวสามารถยกระดับขึ้นเป็นขอบเขตลมปราณจิตขั้นกลางได้ในที่สุด

และเนื่องจากเขาสามารถสังหารมอนสเตอร์บรรพกาลได้มากกว่า หนึ่งร้อยตัว ดังนั้นภารกิจเทพสงครามจึงเสร็จสมบูรณ์

บนหน้าต่างเทพสงคราม บรรทัดแสงหิ่งห้อยกำลังเด้งแจ้งเตือนอยู่

“คุณได้บรรลุภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ เทคนิคสนับสนุนชีวิตสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน”

“ตอนนี้ คุณได้ทำการปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าในขั้น สี่ ‘ฝันร้าย’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“ฝันร้าย หลังจากที่สัมผัสกับพลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนของคุณ จิตสำนึกของศัตรูจะจมอยู่ในห้วงความฝันเป็นระยะเวลาสั้นๆ จะสูญเสียการควบคุมร่างกายเป็นเวลา ห้าวินาที สกิลนี้จึงสิ้นสุดลง”

“คำอธิบาย นี่คือเทคนิคสนับสนุนชีวิต เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยกระดับขึ้นจาก สูญสิ้นการควบคุม ไม่ยอมอ่อนข้อ ตัดขาดการเชื่อมต่อ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่ได้รับการยกเว้น!”

กู่ฉิงซานมองเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กตรงหน้า ปากอ้าถอนหายใจยาว

เขารู้สึกพึงพอใจอย่างถึงที่สุด

เพื่อที่จะบรรลุภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ อันที่จริง ตนสมควรต้องกระโจนออกไปเข่นฆ่าในสนามรบ

แต่ใครจะรู้ ว่าไม่นาน เขาดันสามารถจบมันลงได้ซะแล้ว

ต้องขอบคุณโรงเชือดจริงๆ ที่ช่วยให้เขาได้รับพลังทรงอำนาจถึงเพียงนี้มาไว้ในครอบครองได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการสังหาร ความรู้สึกภายในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับเต็มไปด้วยคำถาม

จากจุดเริ่มต้นในชั้นแรก กู่ฉิงซานรู้สึกว่า ที่นี่มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงที่จะใช้สำหรับการผนึก

ที่ผนึกก็เพราะฆ่าไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากการผนึก

อันที่จริง ในชั้นที่สิบสองกู่ฉิงซานเองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้มาก่อน

ณ ชั้นที่สิงสองในช่วงที่มอนสเตอร์ทั้งห้าถูกโจมตี บนร่างกายของมันจะปรากฏร่องรอยสีขาวที่ดูบิดเบี้ยวขึ้นโดยอัตโนมัติ

และดาบเช่าหยินเองก็ไม่อาจเจาะเข้าไปในร่องรอยที่ว่านั่นได้

กู่ฉิงซานเลยต้องอาศัยพลังศักดิ์สิทธิ์แหกกฎของดาบขุนเขาเทวะ จึงสามารถสังหารมอนสเตอร์ทั้งห้าลงได้

ในตอนที่พวกมันตาย คล้ายกับว่าในสายตาของพวกมัน เผยถึงความไม่อยากจะเชื่อ

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกตนจะถูกฆ่าตาย

แต่ในคราวนี้ ภายในชั้นที่ สิบสามกระทั่งดาบขุนเขาเทวะก็ยังมิอาจเจาะเข้าไปในร่างของมอนสเตอร์ได้ ผิวหนังของพวกมันมีอำนาจอันยิ่งใหญ่คอยปกป้องอยู่

มันคืออำนาจในการยับยั้งอันบริสุทธิ์ เป็นตัวแทนของอำนาจอันทรงพลานุภาพที่เหนือยิ่งกว่าความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน!

กู่ฉิงซานเองก็ตระหนักถึงจุดนี้ เขาจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะสังหารมอนสเตอร์

แต่ในไม่ช้า เขาก็ตระหนักได้ถึงอีกเรื่องหนึ่ง

นั่นคือ ตอนนี้เขาอยู่ชั้นสิบสามทว่าที่นี่มันมีทั้งหมดสิบแปดชั้น

เขานึกภาพไม่ออกเลย ว่ามอนสเตอร์บรรพกาลตนใดกัน ที่ถูกผนึกไว้ในชั้นที่สิบแปด

กู่ฉิงซานส่ายหัว และถอนหายใจ แต่ทันใดนั้นเองคำพูดหนึ่งก็ดังลอดเข้ามาในหูของเขา

“น่าสนใจจริงๆ สหายตัวน้อยผู้นี้สามารถฆ่าสังหารมาได้ตลอดทางเลย”

กู่ฉิงซานพลันแข็งค้าง

ทว่าเขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถ ควบคุมสีหน้ามิให้เกิดความเปลี่ยนแปลง สองตาของเขายังคงหลับสนิท ราวกับไม่ได้ยินเสียงใด

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “พวกเรากินมัน มันก็กินพวกเรา นี่ก็ยุติธรรมดีแล้วนี่”

จากนั้นก็เป็นอีกเสียงหนึ่ง

“เพราะมันยังมิได้กินเจ้าต่างหาก ยามนี้เจ้าถึงได้รู้สึกว่ายุติธรรม”

บนผนัง สามมอนสเตอร์เริ่มเปล่งเสียงกระซิบสนทนากัน

พวกมันกำลังพูดภาษาบรรพกาล…

……………………

Related

เรือเหาะบินลงมาจากฟากฟ้า หยุดลงเบื้องหน้าทางเข้าโรงเชือด

ประตูเรือเหาะถูกเปิด พร้อมกันกับร่างทั้งสามที่เดินออกมา

เป็นพ่อครัวจากค่ายที่ยี่สิบสามได้แก่ อาวุโสซาง ลุงลู่ และจางเสี่ยวหยุน

“เห็นนั่นไหมจางเสี่ยวหยุน นั่นคือที่ที่เจ้าจะต้องไปทำงานอยู่เป็นเวลาห้าวัน ถึงจะสามารถกลับออกมาได้” ลุงลู่กล่าว

อาวุโสซางกับลุงลู่ย่นจมูก ขมวดคิ้วมองไปทางโรงเชือด

ในอากาศฟุ้งไปด้วยกลิ่นเลือด และกลิ่นอายนี้มันไม่สามารถใช้พลังวิญญาณแยกออกได้ ดังนั้นชวนให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด

นอกจากนี้ มันยังเป็นสถานที่ที่มอนสเตอร์ตกตายลงเป็นจำนวนมาก เลยส่งอิทธิพลโดยตรงต่อธาตุทั้งห้า และแก่นวิญญาณ ให้เกิดความปั่นป่วน ส่งผลให้ผู้ฝึกยุทธที่คุ้นเคยกับการเชื่อมต่อกับพลังงานจิตวิญญาณแห่งสวรรค์และโลกรู้สึกวิงเวียน ยากจะปรับตัว

“เสี่ยวหยุน เจ้ามีคำถามอะไรหรือไม่?” อาวุโสซางถามด้วยความห่วงใย

กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปาก ทว่าในตอนนั้นเอง ณ สถานที่ห่างไกลจากภายในโรงเชือด เสียงกรีดร้องน่าหวาดกลัวได้ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

อ๊าก

เลือดกระเซ็นขึ้นไปในอากาศ ละอองเลือดลอยฟุ้งไปทั่ว ตามด้วยเสียงสนทนาสับสนวุ่นวายดังขึ้น

“ฟันตื้นเกินไป แบบนี้ฆ่ามันไม่ได้”

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดีตอนนี้ ตัวมันสั่นตลอดเวลาเลย ข้ามิอาจหยุดมันได้!”

“ฟันอีก! สับมัน! อย่าหยุดมือ!”

“อ้า มันกัดข้า!”

“ว่ากระไร! เจ้าถูกกัดหรือ? เร็วเข้า! เร่งไปตามตัวผู้ฝึกยุทธบังคับกฎมา มีคนถูกกัด!”

กระแสแสงพวยพุ่งจากบริเวณนั้น และหายไปยังทิศทางหนึ่ง

ทว่าละอองเลือดก็ยังสาดกระเซ็นออกมาอีกครั้งจากในบริเวณดังกล่าว มันย้อมตลอดทั้งพื้นที่ใกล้เคียงให้กลายเป็นสีแดงฉาน

เสียงที่ฟังดูเย็นชาดังขึ้น

“ศพของมอนสเตอร์ทิ้งเอาไว้ที่นี่ ส่วนศพคนพาออกไปได้”

“พวกเจ้าที่เหลือ จงทำงานต่อ”

แล้วเสียงก็หายไป

โรงเชือดกลับคืนสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

ทว่ากลิ่นอายของเลือดในอากาศ ดูเหมือนจะหนา และหนักขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

ลุงลู่ยืนอยู่นอกโรงเชือด อดไม่ได้ที่จะหดตัวถอยกลับไป ทั้งคนทั้งร่างสั่นระริก

เขาพยายามดึงแขนอาวุโสซาง ฝืนยิ้มออกมา “เสี่ยวหยุนมันไม่มีคำถามอะไรหรอก มันยังเด็กนัก เด็กๆ น่ะแข็งแรง เหมาะกับงานแบบนี้อยู่แล้ว พวกเราเองก็รีบกลับกันเถอะ”

อาวุโสซางยังไม่สบายใจ เขาหันไปมองกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว “จางเสี่ยวหยุน ขอแค่ห้าวัน จงอดทนให้ได้ แล้วข้าจะมารับเจ้ากลับไปยังค่าย…”

แต่แล้วเสียงของเขาก็ขาดห้วงไป ทั้งคนทั้งร่างแข็งค้าง

เพราะในสายตา เห็นแค่เพียงจางเสี่ยวหยุนยืนอยู่ในสถานที่เดิม กำลังสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ

“อา…กลิ่นเลือดแบบนี้…มันชวนให้คิดถึงจริงๆ…”

สองตาของเขาหรี่แคบลง สีหน้าแสดงออกถึงความสนอกสนใจ ทำทีราวกับว่าตนกำลังยืนอยู่หน้าตลาดสดที่มีชีวิตชีวา โหยหาวัตถุดิบด้วยความอยากรู้อยากเห็น

จางเสี่ยวหยุนก้าวไปข้างหน้าและกล่าว “มันเป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลย ข้าจะไปแล้วนะ อ๋า? อาวุโสซาง ลุงลู่ เหตุใดพวกท่านถึงยังไม่กลับกันอีก?”

“…” อาวุโสซาง

“…” ลุงลู่

“พวกท่านโปรดมั่นใจ ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ห้าวันหลังจากนี้ข้าจะต้องรอดกลับไปหาพวกท่านอย่างแน่นอน” จางเสี่ยวหยุนยิ้มให้กับคนทั้งสอง

ลุงลู่อดไม่ได้ที่จะโค้งตัวลง และพยายามทำน้ำเสียงอ่อนแรง คล้ายคนแก่ที่มิอาจต่อสู้กับมอนสเตอร์ได้ “เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว และจะมาพบกับเจ้าในอีกห้าวันถัดไป”

“ขอรับ อีกไม่นานประเดี๋ยวก็ได้เจอกัน”

กู่ฉิงซานโบกมือลา ก้าวออกมาข้างหน้า ตรงสู่ทางเข้าโรงเชือด ยื่นตราประจำตัวให้ผู้ฝึกยุทธตรวจสอบ และหายเข้าไป

อาวุโสซางกับลุงลู่มองดูแผ่นหลังเขาจนหายลับ ก็ยังคงเงียบ ไม่พูดไม่จา

สักพักหนึ่งเลย อาวุโสซางจึงค่อยเอ่ยปาก “ตาแก่ลู่ ฟังข้าให้ดี กับชายหนุ่มผู้นี้เจ้ามิอาจเข้าไปวุ่นวายกับเขาได้อีก ในอนาคต คนหนุ่มทั้งหมดก็จะต้องจากไปอยู่แล้ว ทว่าหากเจ้ามีเรื่องมีราวก่อนที่ชายหนุ่มคนนี้จะจากไป ข้าคงมิอาจช่วยอะไรเจ้าได้”

ลุงลู่มิได้กล่าวคำใด เพียงพยักหน้าอีกครั้ง และอีกครั้ง

กู่ฉิงซานเดินเข้าไปในโรงเชือด และถูกพาตัวเข้ามาในสำนักงานของผู้ฝึกยุทธ

มันเป็นสำนักงานของผู้ฝึกยุทธสกุลหลี่ ด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตร น้ำเสียงก็เย็นชา ทุกคนรอบตัวเขาจึงพากันเรียกคนคนนี้ว่า ผู้ดูแลหลี่

เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานยังเด็กอยู่ ผู้ดูแลหลี่ก็ยังรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ และถามคำถามเขาไปสองสามคำ

ในระหว่างสนทนา กู่ฉิงซานก็ได้รู้ว่าเสียงที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ ที่บอกให้ลากศพออกไป มันเป็นเสียงของผู้ดูแลหลี่ นั่นเอง

ดูเหมือนว่าในโรงเชือดแห่งนี้ ผู้ดูแลหลี่จะเป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุด

“จางเสี่ยวหยุนใช่ไหม ข้ามีอะไรบางอย่างจะเอ่ยกับเจ้าให้มันชัดเจน”

“ท่านผู้ดูแลเชิญชี้แนะ”

“เอาล่ะ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หากเจ้าจ่ายให้ข้า เจ้าจะสามารถอยู่ที่นี่ได้ง่ายขึ้นในช่วงห้าวันหลังจากนี้”

กู่ฉิงซานตกใจเล็กน้อย “เรียนถามท่านผู้ใหญ่ ‘ง่าย’ ที่ว่านี่หมายความว่า…”

ผู้ดูแลหลี่ร้อนใจเล็กน้อย เจ้าเด็กนี่ดูท่าทีก็เป็นคนฉลาด ไฉนเวลาสื่อสารถึงได้ยากเย็นนัก?

เขากล่าวด้วยความอดทนว่า “ยกตัวอย่างเช่น จำนวนมอนสเตอร์ที่ต้องสังหารลดลง มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ตราบใดที่เจ้ามอบศิลาวิญญาณให้ข้ามากพอ ข้าสามารถทำได้แม้กระทั่งให้เจ้ามิต้องสัมผัสตัวของมอนสเตอร์ในตลอดทั้งห้าวัน พอครบเวลา เจ้าก็สามารถกลับไปได้”

กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก สุดท้ายยิ้มออกมา “ท่านผู้ใหญ่ หากเป็นในกรณีนี้ ข้าคงไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ท่านหรอก”

สิ้นเสียง ภายในห้องพลันเงียบงัน

ผู้ดูแลหลี่ขมวดคิ้ว แต่ก็ยิ้มแล้วทอดถอนหายใจทันใด “เฮ้อ…เจ้ายังเด็กนัก ในหัวคงเต็มไปด้วยจินตนาการเพ้อฝันว่าจักสามารถรอดชีวิตไปได้ง่ายๆ สินะ เอาเถิด เจ้าลงไปรอข้างล่างให้คนมารับตัวเถอะ”

“ขอรับ”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นและถอยออกมาจากห้อง

เฝ้ารออยู่ข้างนอกเพียงไม่นาน ผู้ฝึกยุทธสองคนก็เดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา

“จางเสี่ยวหยุนใช่หรือไม่?”

“เป็นข้า”

“มากับพวกเรา”

“รับทราบ”

แล้วทั้งคู่ก็พากู่ฉิงซานผ่านรั้วเปื้อนเลือดและโรงเชือด หลังจากเดินไปสักพักก็มาถึงคุกใต้ดิน

สองผู้ฝึกยุทธเปิดประตูเหล็กที่ทั้งหนาและหนัก และใช้ตราประจำตัวอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อปลดชุดค่ายกลป้องกัน

แสงสีแดงพลันสว่างวาบ เสียดแทงขึ้นมาจากใต้ดิน

เป็นแสงสีแดงเลือด ที่มีอำนาจแปลกประหลาด มันสามารถคงสภาพหลงเหลืออยู่ในอากาศได้ แม้จะผ่านไปนานแล้วก็ตามที

สีหน้าของสองผู้ฝึกยุทธกลายเป็นเคร่งเครียด

“เอาล่ะ จางเสี่ยวหยุน เจ้าลงไปได้” หนึ่งในนั้นกล่าว

“เบื้องล่างนี้ คือสถานที่ทำงานของเจ้า และเจ้าจะสามารถออกมาได้ในอีกห้าวันให้หลัง” อีกคนกล่าว

“ตกลง”

กู่ฉิงซานเดินลงไปตามขั้นบันได

ปั้ง!

เบื้องหลังเขา ประตูเหล็กถูกดึงกลับมา ปิดสนิท

จากนั้น ชั้นค่ายกลป้องกันก็ถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง

คุกใต้ดินถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอีกครา

สองผู้ฝึกยุทธที่ยืนอยู่หน้าทางเข้า ผ่อนลมหายใจโดยพร้อมเพรียง คล้ายกับนัดกันมาล่วงหน้า

“คงตายไปอีกหนึ่งแล้ว” ผู้ฝึกยุทธกล่าว

“ไม่ต้องสนใจหรอก เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างก็รับทราบถึงอันตรายของการแล่เนื้อมอนสเตอร์ดี ดังนั้น หากมีตายเพิ่มขึ้นอีกสักคน คงไม่ได้เป็นการดึงดูดความสนใจอะไร” อีกผู้ฝึกยุทธกล่าว

“เจ้าหนุ่มนั่นก็โง่เหลือเกิน ดันปฏิเสธความหวังดีของท่านผู้ดูแล ไม่เคารพท่าน ไม่ยินยอมมอบศิลาวิญญาณให้ ท่านผู้ดูแลเลยส่งเขาลงไปยังคุกใต้ดินซึ่งเป็นสถานที่อันตรายที่สุด”

“แม้ว่าจะไม่เคารพ แต่อย่างน้อยมิสมควรเกิดความขัดแย้งกับผู้ที่เหนือกว่า ถ้าทำเช่นนั้น เขาก็จะได้พักผ่อนหลังจากการสังหารมอนสเตอร์แค่วันละสิบตัว”

“ลืมมันเถิด เด็กคนนั้นถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน ต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ทุกตัว มอนสเตอร์ที่กระทั่งบางตนพวกเราก็ยังไม่อาจสังหารลงได้ โชคชะตาของเขาคงจบสิ้นลงแล้ว”

ว่าจบ ทั้งสองก็ถอนหายใจยาวกันอีกที และเดินจากไป

อีกด้านหนึ่ง

กู่ฉิงซานเดินลงมาตามทาง เขาอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เจ้าตัวกำลังหลับตา และใช้สัมผัสรับรู้อย่างสงบ

ที่นี่ไม่ได้ห้ามให้ผู้ฝึกยุทธใช้จิตสัมผัสเทวะ ดังนั้น จิตสัมผัสเทวะจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดที่เขาสามารถทำในสถานที่แห่งนี้

ในการรับรู้ทางจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน คุกใต้ดินมีทั้งสิ้น สิบแปดชั้น ยิ่งลึกลงไป ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ

ฉานนู่โผล่ออกมาจากในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา และคอยรับหน้าที่ลอยอยู่เบื้องหน้า

“นายน้อย คนคนนั้นคิดร้ายกับท่าน” เธอกล่าวอย่างอารมณ์เสีย

“มันไม่เป็นไรหรอก เพราะดูท่าว่าเขาเองก็คงไม่มีหลักจริยธรรมอยู่แล้ว ต่อให้พวกเราทำทีเป็นเคารพหรือมอบศิลาวิญญาณให้ ผลก็คงไม่ต่างกันมากนัก” กู่ฉิงซานกล่าว

“จากนี้ไป พวกเราจะต้องสังหารมอนสเตอร์กันจริงๆ ใช่หรือไม่?” ฉานนู่เอ่ยถาม

“ใช่ เพราะเดิมทีนั่นก็เป็นจุดประสงค์ของข้าอยู่แล้ว”

กู่ฉิงซานก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม

ภายในอุโมงค์ทางเดิน มันทั้งมืดและแคบ แทบจะไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากรั้วกั้นทั้งสองฟากฝั่ง

กู่ฉิงซานเดินไปที่รั้วแรก และมองเข้าไปภายใน

และแล้ว มอนสเตอร์บรรพกาล ‘เหยื่อ’ ตนแรกก็ปรากฏสู่สายตาของเขา!

………………….

Related

ทัณฑ์สวรรค์ เดิมทีใช้เวลาแค่เพียงหนึ่งชั่วยาม ทว่าบัดนี้มันกลับถูกยืดออกไปถึงสี่ชั่วยาม

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าภาพ หรือแขกเหรื่อ ทั้งหมดต่างจมอยู่กับห้วงเวลาแห่งความสุข

แต่ในที่สุด ช่วงเวลาดังกล่าวก็ต้องจบลง

เหล่าภูตผีปีศาจได้บอกลา

ภูเขารกร้างกลายเป็นว่างเปล่าอีกครั้ง

ยามดึกกลับมาเงียบงันอีกครา

กู่ฉิงซานยกถ้วยซุปขึ้นมาซดหลายอึก ทว่าในหัวยังคงรู้สึกวิงเวียน

เขาหันไปมองรอบๆ และค้นพบว่าไม่มีปีศาจตนใดเหลืออยู่

ตัวเองจึงค่อยขับเคลื่อนพลังวิญญาณ สลายฤทธิ์สุราทั้งหมดออกจากร่างกาย

กลุ่มไอหมอกของสุรากระจายออกมาจากตัวเขา ถูดปัดเป่าไปตามสายลม ส่งผลให้ทั่วบริเวณขุนเขา ฟุ้งไปด้วยกลิ่นสาบสุราอยู่ครู่หนึ่ง

กำลังสงสัยว่าเหตุใดมันถึงฟุ้งไปตลอดทั้งภูเขาใช่หรือไม่ คงต้องเฉลยว่า ในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ กู่ฉิงซานเพียงคนเดียว ก็ดื่มสุราไปกว่าห้าถังใหญ่แล้ว

ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงภูตผีปีศาจตนอื่นๆ…พวกมันเมาเละยิ่งกว่าเขาเสียอีก

ฉานนู่ย่นจมูกของเธอและกล่าว “นายน้อย กลิ่นสาบสุราช่างเลวร้ายนัก ท่านไม่ควรจะดื่มมันจนเกินไป”

“เอาเถอะน่า นานๆ ครั้งไม่เป็นไรหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่ขบคิดและกล่าว “ในความเป็นจริง ช่วงที่นายน้อยกำลังดื่ม ท่านย่อมสามารถสลายฤทธิ์สุราได้ตลอดเวลา เหตุใดจึงไม่ทำ จะได้ไม่ต้องรู้สึกมึนเมาเช่นนี้”

กู่ฉิงซานฝืนยิ้ม “ถ้าทำแบบนั้น ทุกคนที่นั่งดื่มด้วยกันคงรู้สึกหมดสนุกน่ะซี”

ฉานนู่กัดฟันกล่าว “เช่นนั้นหากพวกมันมาอีกในครั้งถัดไป ข้าจะเป็นคนสังหารพวกมันทั้งหมดเอง จะได้ช่วยนายน้อยไม่ให้ต้องคอยมึนเมาไปกับพวกมัน”

กู่ฉิงซานส่ายมือปฏิเสธ “ก็แค่ดื่มเอง”

มองไปยังฉานนู่ที่ดูจะยังคงไม่พอใจอยู่เล็กน้อย กู่ฉิงซานก็ยกประเด็นสำคัญขึ้นมากล่าวอย่างช้าๆ “ฟังข้านะฉานนู่ แท้จริงข้าสังเกตมาได้สักพักแล้ว ว่าในยุคโบราณ หากเทียบเปรียบกับยุคสมัยของพวกเรา ในทุกๆ โลกมีเพียงสามเผ่าพันธุ์เท่านั้นที่สื่อสารกันได้”

ฉานนู่ถูกเบนความสนใจ “อ๋า? เพียงสามเผ่าพันธุ์? นายน้อย แล้วสามเผ่าพันธุ์ที่ว่านั่นมีอะไรบ้าง?”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “บ้างเป็นเทพ บ้างเป็นมนุษย์ บ้างก็เป็นพวกปีศาจ”

“เริ่มจากเทพ เทพนั้นมีชีวิตที่เรียบง่ายที่สุด เทพสามารถสร้างได้ทุกสิ่ง มอบชีวิตให้กับอะไรก็ได้ เทพจึงถูกปรนเปรอโดยทุกสิ่งมีชีวิต ก่อนที่จะหลบลี้หนีหายไป ทว่าหลังจากทวยเทพหนีหายไป สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็ยังคงเคารพบูชา และเดินตามรอยพวกเขา”

“ในส่วนของมนุษย์ ทุกคนล้วนแต่ดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก มนุษย์ต้องเชิดชูเทพวิญญาณ ขณะเดียวกันก็คอยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งแก่ตนเอง เพื่อช่วยเหลือเทพวิญญาณในการต่อต้านมอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงกลัว ชะตากรรมของมนุษย์นั้นถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าต้องเป็นเครื่องมือของเทพวิญญาณ ต้องคอยเสี่ยงชีวิตของตนเองอย่างไร้ซึ่งความหวัง”

“สำหรับปีศาจ ข้าคิดว่ามีปีศาจจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพวิญญาณ หลักฐานที่ชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ โลกของพวกมันไม่ใช่โลกที่สามารถเข้าถึงได้โดยใครก็ได้ สิ่งมีชีวิตธรรมดาไม่อาจเข้าไปยังโลกของปีศาจ นอกจากนี้ ปีศาจยังไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังเทพวิญญาณ พวกมันดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ทั่วๆ ไปของโลกนับล้านๆ เห็นไหมว่า กระทั่งกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่เชิญพวกมันมาเพื่อขัดขวางโทษทัณฑ์ ก็ยังต้องการยอมรับความสมัครใจ ดังนั้นพวกมันจึงมีอิสระมากกว่ามนุษย์ อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยมาทำตามคำสั่งของเทพวิญญาณ”

“นายน้อย ท่านทราบได้อย่างไรว่าพวกปีศาจไม่ได้ฟังเทพวิญญาณ?” ฉานนู่เอ่ยถาม

“ตั้งแต่ในคราก่อน ตอนที่มารสวรรค์ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในจำพวกภูตผีปีศาจ ได้ทำการขโมยวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของทวยเทพ ข้าสังเกตได้ในช่วงนั้น”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “มารสวรรค์ขโมยวัตถุศักดิ์สิทธิ์จากเทพวิญญาณ เพื่อช่วยเหลือระบบวิวัฒนาการ ซึ่งเทพวิญญาณน่ะชิงชังในระบบ นี่จึงพอจะอธิบายได้ว่ามารสวรรค์ไม่เคารพและแยแสต่อเทพวิญญาณโดยสิ้นเชิง”

” ถ้าอย่างนั้น…อะไรคือจุดประสงค์ของนายน้อยที่ไปเป็นสหายกับพวกนาง? “

“ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไร แค่อยากเป็นสหายกันจริงๆ” กู่ฉิงซานหัวเราะ “หากวันหนึ่งพวกนางต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็จะช่วย ขณะเดียวกันในยามที่ข้าต้องการพวกนาง บางทีพวกนางอาจจะมาช่วยข้า และที่แล้วๆ มาก็ช่วยได้เยอะมากๆ เลยเสียด้วย”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงใจ “ดังนั้น พวกเราเลยต้องรู้จักคบหาสหายให้มากเข้าไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันสิ้นโลกกำลังใกล้เข้ามา เจ้าจะได้เห็นทุกคนกระโจนเข้ามาร่วมต่อสู้ด้วยกันกับเจ้า ฉากนั้นมันคงจะน่าประทับใจจนมิอาจจินตนาการ อีกอย่าง แท้จริงแล้วการคบหาสหายก็มิได้เป็นการสร้างปัญหาใดๆ”

“นายน้อย ท่านมิต้องสาธยายวนไปวนมาหรอก ข้าว่าข้าเข้าใจแล้ว”

ฉานนู่หยุดไปพักหนึ่ง ยิ้มหยอกล้อ “ยิ่งไปกว่านั้น นายน้อย แท้จริงแล้วท่านคงเหงามากเกินไป เลยต้องการหาคบหาสหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่นางราชินีภูตผีเมื่อครู่นี้”

กู่ฉิงซานคิ้วกระตุก แต่เมื่อเห็นว่าฉานนู่กำลังล้อเลียนตนเอง แทนที่จักหดหู่เหมือนก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกคลายใจลง

“นางมิใช่ประเภทที่ข้าชอบ นางนิยมการยั่วยวนมากเกินไป” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เขากล่าวติดตลก ทว่าในสายตากลับยังคงจ้องมองไปในความว่างเปล่า

ปรากฏเส้นแสงตัวอักษรผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในวิสัยทัศน์ของเขา

“การข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้จบลงแล้ว”

“คุณได้ยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตลมปราณจิต”

“พลังวิญญาณทั้งหมดของคุณ ได้รับการส่งเสริม เพิ่มพูนขึ้นเป็นจำนวนมาก”

“ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต คุณสามารถปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ พลังต่อไปได้แล้ว”

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ในส่วนของฟังก์ชัน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ ได้ส่องสว่างขึ้น

บรรทัดตัวอักษรใหม่โผล่แจ้งเตือนออกมาจากฟังก์ชัน

“คุณได้ยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตลมปราณจิต สามารถเริ่มภารกิจเทพสงคราม เพื่อทำการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว – ต้องการสกัดมันเลยหรือไม่?”

“สกัดเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

“คุณจะต้องเผชิญกับทางเลือกดังต่อไปนี้”

“หนึ่ง เลือกรับทำภารกิจแบบ ‘ชุด’ เพื่อทำการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่”

“สอง เลือกรับทำภารกิจแบบ ‘เดี่ยว’ เพื่อทำการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนเป็นขั้นสมบูรณ์”

กู่ฉิงซานมองเส้นแสงหิ่งห้อยเบื้องหน้าเขา ทั้งคนทั้งร่างค่อยๆ จมลงสู่ห้วงความคิด

สกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่…

สกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่ ย่อมต้องดีกว่าแน่นอน

อย่างไรก็ตาม พลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนของเขาได้ถูกยกระดับขึ้นมาตั้งสามครั้งแล้ว จาก ‘สูญสิ้นการควบคุม’ ไป ‘ไม่ยอมอ่อนข้อ’ จนมาถึง ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’

ช่วงก่อนหน้านี้เอง ในเศษเสี้ยวฉากสงครามโบราณ ก็เป็น ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ที่ช่วยให้เขามีหน้ามีตาในสงคราม สนับสนุนเหล่าผู้ฝึกยุทธโบราณสังหารกองทัพเนตรมารบรรพกาล

ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาผู้ฝึกยุทธโบราณ ต่างไม่มีใครเคยเห็นพลังศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้ามาก่อนเลย

ในกรณีนี้ หากเป็นการยกระดับ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ให้เป็นอีกขั้นหนึ่ง เกรงว่าอำนาจของมันจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันจึงเอ่ยถามระบบเทพสงคราม ถ้าฉันเลือกสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่ แล้วฉันจะได้รับพลังอะไร?”

ระบบเทพสงครามตอบ “พลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่มิอาจคาดเดาได้ เพราะมันยังคงไว้ซึ่งรูปแบบเดิมดั่งเช่นคราก่อนๆ นั่นคือการ ‘สุ่ม’ ”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “เหมือนกับครั้งแรกที่ฉันสกัดได้พลังศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้าใช่ไหม?”

“ถูกต้อง หากคุณต้องการจำลองสถานการณ์จริงของการสกัด เพื่อช่วยในการตัดสินใจ ฉันสามารถทำให้ได้” ระบบกล่าว

“งั้นก็ช่วยจำลองมันดูสักครั้ง ฉันอยากจะดูว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมันจะเป็นอย่างไร” กู่ฉิงซานกล่าว

“กรุณาจ่ายหนึ่งร้อยแต้มพลังวิญญาณเพื่อเริ่มจำลอง” ระบบร้องขอ

“ก็แค่จำลองทำไมยังต้องใช้แต้มพลังวิญญาณด้วย? ทำให้ดูฟรีๆ ไม่ได้รึไง?” กู่ฉิงซานบ่น

ระบบหยุดไปอย่างกะทันหัน และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เช่นนั้น ระบบจะทำการปิดฉากการจำลองอย่างถาวร”

“ใจเย็นก่อน! ยอมแล้ว ฉันยอมจ่ายแต้มพลังวิญญาณให้ก็ได้!” กู่ฉิงซานเร่งขัดอย่างรวดเร็ว

แล้วเขาก็จ่าย หนึ่งร้อยแต้มพลังวิญญาณ

ระบบเทพสงครามกล่าว “ได้รับ หนึ่งร้อยแต้มพลังวิญญาณแล้ว การจำลองฉากการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น”

“โปรดทราบไว้ด้วยว่า ฉากจำลองต่อไปนี้ มิใช่ของจริง”

เห็นแค่เพียงสามไอคอนพิเศษปรากฏขึ้นในใจกลางหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“การสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว อ้างอิงตามความสำเร็จจากชุดภารกิจของคุณ สามารถสกัดได้ทั้งสิ้นสามพลัง”

“ร้องขอให้ผู้เล่นเลือกหนึ่งในสามพลังศักดิ์สิทธิ์ เพื่อปลุกมันให้ตื่นขึ้น”

กู่ฉิงซานมองไปยังไอคอนทั้งสาม

เขาค้นพบว่า ยามเมื่อตนมองดูไอคอน ตัวไอคอนจะสว่างวาบขึ้นทันที พร้อมกับคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับพลังศักดิ์สิทธิ์

ไอคอนแรกคือไพ่ใบสีเทา

บนหน้าไพ่ เป็นรูปของชายชราที่กำลังคุกเข่าลงกับพื้น แสดงท่าทีคล้ายกำลังอธิษฐาน

เมื่อกู่ฉิงซานมองมัน บนไพ่ก็ปรากฏคำอธิบายที่เกี่ยวขึ้นมาทันที

“ไพ่อัญเชิญ การเรียกขานปฐมบทแห่งความโกลาหล”

“เนื่องจากคุณได้กลายเป็นไพ่ ฉะนั้นคุณจึงสามารถสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ได้”

“การเรียกขานปฐมบทแห่งความโกลาหล คุณจะสามารถอัญเชิญสิ่งมีชีวิตประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล จากเมฆหมอกแห่งความโกลาหลมาเพื่อช่วยต่อสู้ได้”

“คำอธิบาย เนื่องจากข้อจำกัดในระดับยศไพ่ของคุณ คุณจึงไม่สามารถควบคุมการอัญเชิญได้ นั่นหมายความว่า ในการอัญเชิญแต่ละครั้ง คุณอาจจะสุ่มเจอเรียกสัตว์เลื้อยคลานอ่อนแอ หรืออาจจะเรียกมอนสเตอร์ที่มีระดับเทียบเคียงกับทวยเทพก็ได้เช่นกัน”

“คำอธิบาย อย่างไรก็ตาม หากมอนสเตอร์ที่คุณอัญเชิญมา มันแข็งแกร่งกว่าคุณเกิน สิบเท่า มันจะแว้งกัดคุณทันที”

กู่ฉิงซานส่ายหัว

ความสามารถของสกิลนี้มันเหวี่ยงเกินไป มิใช่สิ่งที่เหมาะสำหรับใช้ในการต่อสู้

อย่างไรก็ตาม สกิลนี้ก็ได้บ่งชี้ให้เห็นว่าตัวเขาสามารถสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทไพ่ได้เช่นกัน

นี่นับว่าเป็นข้อมูลใหม่

กู่ฉิงซานมองไปยังไอคอนถัดไปอีกครั้ง

เห็นแค่เพียงชุดเกราะน้ำแข็งสลัก ที่ลอยนิ่งอยู่บนไอคอน

บรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นข้างๆ กับเกราะรบน้ำแข็ง

“พลังศักดิ์สิทธิ์ เกราะน้ำแข็ง (ขั้นต้น)”

“คำอธิบาย เมื่อคุณสวมใส่เกราะรบออกไปต่อสู้ คุณจะสามารถเปิดใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ มันจะช่วยเสริมพลังป้องกันของเกราะรบของคุณเพิ่มขึ้นกว่า สามสิบเปอร์เซ็นต์”

กู่ฉิงซานสูดลมหายใจลึก

ในเมื่อมันมีเขียนเอาไว้ว่า ‘ขั้นต้น’ เช่นนั้นก็หมายความว่าพลังศักดิ์สิทธิ์เกราะน้ำแข็ง สามารถวิวัฒนาการได้!

บางที พลังศักดิ์สิทธิ์ไอคอนนี้อาจเหมือนกันกับ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต

หลังจากที่ได้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตลมปราณจิต ตนเองจะสามารถสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์แบบเดียวกับเล่ยเดี๋ยนที่สามารถยกระดับมันได้ ข้อมูลนี้เองก็มีความสำคัญมากเช่นกัน

แต่ถ้ามองในเชิงความสามารถแล้ว ตอนนี้ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ สามารถใช้พลิกเกมการต่อสู้ได้ ไม่เว้นกระทั่งมอนสเตอร์บรรพกาล ดังนั้นหากยกระดับมันไปอีกขั้น อำนาจของมันจักต้องเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาลเป็นแน่

แล้วเขาก็เบนสายตาไปมองไอคอนรูปสุดท้าย

อืม…

รูปแบบไอคอนนี่มันดูคุ้นๆ อยู่นะ

ในเวลานี้ ไอคอนที่สาม เป็นรูปอวตารของเพศหญิง ซึ่งเมื่อนานมาแล้ว กู่ฉิงซานเคยเห็นไอคอนนี้มาก่อน

แต่เฉพาะในคราวนี้ มันมีมงกุฎเพิ่มเติมเข้ามา

“สกิลเทวะ ผันกายเป็นราชินี”

“คำอธิบาย ด้วยสกิลนี้ ผู้เล่นจะสามารถเปลี่ยนร่างเป็นราชินี ความงดงามเพิ่มขึ้น หนึ่งพันแปดร้อย เปอร์เซ็นต์ และความแข็งแกร่งส่วนบุคคลจะเพิ่มขึ้นเป็น หนึ่งร้อยสามสิบ เปอร์เซ็นต์”

“แค่กๆ หยุดเท่านี้ดีกว่า” กู่ฉิงซานกระแอมไอเบาๆ

บอกตรงๆว่าเขาใช้เวลาสักพักเลยถึงจะสามารถต้านทาน ไอ้ตรงในส่วนยั่วยวนที่ว่าสามารถเพิ่มพลังขึ้นเป็น หนึ่งร้อยสามสิบ เปอร์เซ็นต์” ได้ และบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่ามันเป็นแค่การจำลองการสกัดพลังเท่านั้น

“พอแล้วล่ะ ฉันเข้าใจคร่าวๆ แล้ว” เขาพูดกับระบบเทพสงคราม

“ถ้าอย่างนั้น โปรดทำการเลือกด้วย” ระบบกล่าว

กู่ฉิงซาน “ขอถามอีกครั้งสุดท้าย ระหว่างภารกิจสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่ กับภารกิจยกระดับสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน อันไหนยากกว่ากัน?”

“ย่อมเป็นภารกิจสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนที่ยากกว่า” ระบบเทพสงครามตอบ

กู่ฉิงซานเข้าใจในที่สุด

ดูเหมือนว่าสำหรับระบบเทพสงคราม ขั้น สี่ของพลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเล่ยเดี๋ยน จะมีอำนาจที่เหนือล้ำที่สุดจากในบรรดาพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของขอบเขตลมปราณจิต

“ตัดสินใจแล้ว ฉันต้องการยกระดับสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน ฉะนั้นขอเลือกภารกิจเดี่ยวเพื่อทำการยกระดับมัน” กู่ฉิงซานคิดอย่างรอบคอบ สุดท้ายกล่าวเด็ดขาด

“คุณแน่ใจใช่หรือไม่?” ระบบเทพสงครามเอ่ยถาม

“แน่ใจ”

“ตกลง นับจากนี้ไปคุณจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้เสี่ยงตายที่สุดในชีวิต และคุณอาจจะตายได้ทันทีหากไม่ระวัง ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม?” ระบบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง

กู่ฉิงซานนิ่งงันไป

ระบบได้เตือนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

มันดูเหมือนว่าภารกิจเดี๋ยวนี้จะยากมากจริงๆ

เพราะอย่างไรเสีย มันก็คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ยกระดับลึกเข้าไปถึงขั้นสี่ เกรงว่าเขาจะต้องพบเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน

กู่ฉิงซานกล้าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ฉันตัดสินใจแล้ว ว่าจะรับภารกิจนี้ ได้โปรดบอกเนื้อหาภารกิจให้ด้วย”

บนหน้าต่างเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นทันที

“ภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ เทคนิคสนับสนุนชีวิต สายฟ้าเล่ยเดี๋ยน”

“คำอธิบายภารกิจ ช่วงเวลานี้คือยุคสมัยโบราณ เป็นยุคที่โลกบรรพกาลเรืองอำนาจ ฉะนั้น คุณจะต้องต่อกรกับมอนสเตอร์ที่กระทั่งเทพวิญญาณก็ยังหวาดกลัว กลืนกินพลังอันยิ่งใหญ่ของพวกมันเข้าสู่ร่างกาย จึงจะสามารถปลุกสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนขั้นสี่ได้สำเร็จ”

“เป้าหมายภารกิจ กล้าหาญชาญชัยมิหวั่นเกรงความยากลำบาก โปรดสังหารหนึ่งร้อยมอนสเตอร์ บรรพกาลลงให้จงได้!”

“รางวัลภารกิจ เทคนิคสนับสนุนชีวิต สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนขั้นนี่จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น!”

กู่ฉิงซานอ่านเนื้อหาภารกิจ นิ่งงันไปเป็นเวลานาน

สังหาร หนึ่งร้อยมอนสเตอร์บรรพกาล…

น่ากลัวว่ากระทั่งบรรดาผู้ฝึกยุทธที่ยิ่งใหญ่ ก็ยังไม่สามารถสังหารหนึ่งร้อยมอนสเตอร์บรรพกาลได้ในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนที่ต้องฆ่ามันมากเกินไป นี่จะนำไปสู่การดึงดูดความสนใจอย่างร้ายแรงในสนามรบ และสุดท้ายอาจจบลงด้วยการประสานโจมตีจากศัตรู

แน่นอน ว่าภารกิจนี้มันโคตรจะยาก

แต่ว่านะ…

เขาน่ะเป็น ‘พ่อครัว’ และยังเป็นพ่อครัวที่กำลังจะไปยัง ‘โรงเชือด’ ในวันพรุ่งนี้…

……………………..

Related

ภายในดินแดนรกร้าง

ร่างร่างหนึ่งยังคงยืนนิ่ง คล้ายกับกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่

เวลาไหลผ่านไปอย่างสงบ

หนึ่งส่วนสี่ชั่วยามต่อมา

กระแสแสงปรากฏขึ้นบนผืนฟ้า และลดระดับลงมาเหนือพื้นเบื้องล่าง

แท้จริงแล้วผู้ที่มาเยือนคือผู้ฝึกยุทธ ที่ถูกทางนิกายที่อยู่ใกล้เคียง ส่งมาตรวจสอบสถานการณ์

เนื่องจากที่แห่งนี้ห่างไกลเกินไป ดังนั้นแม้ว่าจักมีปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้น แต่มันก็ยากนักที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากตำแหน่งที่ห่างไกลออกไปหลายพันลี้

ยิ่งเป็นเหตุการณ์ทะเลแสงเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ และไม่กี่ลมหายใจเดียวก็เหลือแค่เพียงร่างๆ เดียวยืนหยัดอยู่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง

นิกายที่อยู่ใกล้เคียงเพียงสัมผัสถึงความผิดปกติเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่วางใจ ส่งผู้ฝึกยุทธออกมาตรวจสอบสถานการณ์

ผู้ฝึกยุทธบินมาอยู่เหนือร่างที่หยั่งเท้านิ่งกับพื้นดิน ตะโกนเอ่ยถาม “เจ้าเป็นผู้ใด มาทำอะไรในที่แห่งนี้?”

เขากุมอาวุธมนตราในมือ ตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีทุกเวลา

ในสถานที่รกร้างเช่นนี้ กลับมีคนยืนอยู่ แถมยังไม่ยอมขยับเขยื้อน นี่มันช่างเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่ง

“เจ้าถามว่าข้าเป็นใครกระนั้นหรือ?”

ร่างดังกล่าวเงยหน้าขึ้น และย้ำทวนคำถามสวนกลับไป

สีหน้าของผู้ฝึกยุทธแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่

เขาเร่งลดระดับลงจากท้องฟ้า คุกเข่าต่อหน้าร่างบนพื้นดิน “ผู้น้อยไม่ทราบว่าเป็นท่านเทพวิญญาณปรากฏกายขึ้นที่นี่ จึงบังอาจเผลอล่วงเกิน หวังว่าท่านจะให้อภัยในความผิดบาป”

อีกฝ่ายเป็นเทพวิญญาณไม่น่าจะผิดพลาด สังเกตได้จากแสงที่ลุกไหม้คล้ายกับเปลวไฟบนหน้าผาก ที่เปล่งประกายจนแสงและเงา ปกคลุมจนแทบมิอาจเห็นรูปลักษณ์ได้ นี่คือลักษณะของเทพวิญญาณ

และการกระทำของตนเมื่อครู่ ถือเป็นการล่วงเกินเทพวิญญาณ เป็นบาปใหญ่หลวงนัก!

เมื่อผู้ฝึกยุทธคิดได้เช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

ร่างที่ยืนนิ่งสำรวจกายที่สั่นไหวของผู้ฝึกยุทธอย่างรอบคอบ มันเกิดความพึงพอใจขึ้นเล็กน้อยและกล่าว “อืม ทัศนคติของเจ้าไม่เลว ข้าสัมผัสได้ถึงความอ่อนน้อมของสิ่งมีชีวิตในยุคโบราณแล้ว ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจที่จะอภัยและมอบของขวัญแก่เจ้า”

ผู้ฝึกยุทธตกใจ และเขามิอาจทำความเข้าใจช่วงประโยคครึ่งแรกของอีกฝ่ายได้โดยสิ้นเชิง

ทว่าโชคยังดี ที่เขาสามารถเข้าใจประโยคครึ่งหลังได้อย่างชัดเจน

เทพวิญญาณกำลังจะมอบของขวัญให้แก่เขา!

นี่นับว่าเป็นโอกาสที่ดีอย่างแท้จริง

ผู้ฝึกยุทธคำนับ หมอบกราบอย่างบ้าคลั่งและกล่าวด้วยความปีติ “ขอบพระคุณท่านเทพวิญญาณ ผู้น้อยรู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง”

“ข้าสัมผัสได้ถึงความนอบน้อมอันเปี่ยมล้นของเจ้า”

ขณะกล่าว ร่างที่ว่าก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง

มันเปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ

เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นคนคนเดียวกันกับผู้ฝึกยุทธเบื้องหน้า ทุกสรีระเหมือนกันทุกประการ ไม่มีจุดแตกต่างใดเลยระหว่างพวกเขา เกรงว่ากระทั่งคนสนิท ก็ยังมิอาจแยกแยะทั้งสองได้

ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ตรงบริเวณหน้าผากของเทพวิญญาณ ยังคงมีแสงกำลังลุกไหม้อยู่

และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะตระหนักถึงมันเช่นกัน

เขาจึงยกมือขึ้นมาแตะลงตรงหน้าผาก และทันใดนั้นแสงที่ลุกไหม้ก็หายไป

จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าบอกว่ารู้สึกเป็นเกียรติ เช่นนั้นข้าก็จักขอรับเอาตัวตนของเจ้าไป โดยไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด ข้าจะมอบความตายอันสงบให้ เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้า”

ผู้ฝึกยุทธที่กำลังคำนับ พอได้ฟังก็ตกตะลึง

เรื่องราวมันพลิกผันเร็วเกินไป จนเขาไม่รู้ว่าสมควรจะตอบสนองอย่างไร

ทว่ามันสายเกินไปที่จะมานึกคิด เขาไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย ทั้งคนทั้งร่างก็ค่อยๆ สูญสิ้นพลัง และแปรเปลี่ยนเป็นรูปปั้นสีเทาไป

รูปปั้นสีเทาถูกสายลมพัด มันกลายเป็นฝุ่นผง ปลิดปลิวไปในท้องฟ้า

ไม่มีตัวเขาอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป

ไม่สิ

ยังมีตัวเขาอีกคนหนึ่งที่พึ่งปรากฏขึ้นอยู่ที่นี่

ตัวเขาคนใหม่วาดมือออกไป

ถุงเก็บสัมภาระ อาวุธมนตรา และเครื่องมือต่างๆ ทั้งหมดบนพื้นดินลอยขึ้นมาตกลงในมือของเขา

เขาเก็บสิ่งของต่างๆ จากนั้นหลับตาลง กลั่นกรองตรวจสอบข้อมูลตามความทรงจำของผู้ฝึกยุทธ

“ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตามหาจริงๆ กู่ฉิงซาน ศิษย์เอกของเซี่ยกู่หงส์ ได้ก่อเรื่องขึ้นที่วังสวรรค์เมฆาวิเวก ดึงดูดความสนใจจากเทพวิญญาณ…เหตุการณ์ในครั้งนั้นนับว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก เพราะมันทำให้เทพวิญญาณหลายองค์เพ่งความสนใจมายังนิกายนี้ แต่มันช่างเป็นปัญหาจริงๆ ที่ข้าไม่สามารถพบกับพวกเขาในห้วงอดีตได้…”

“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องหาวิธีการเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวกด้วยตนเองซะแล้ว…”

ผู้ฝึกยุทธใช้เวลาครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า พุ่งหายไปยังทิศทางที่ไกลออกไป

อีกด้านหนึ่ง

ณ ค่ายกำลังพลสำรองที่ยี่สิบสามของเผ่ามนุษย์

ช่วงกลางดึก

ภายในค่ายทหาร กู่ฉิงซานได้มาถึงหน้าประตูค่าย

ผู้ฝึกยุทธที่คอยรับหน้าที่เฝ้าประตูและควบคุมค่ายกล ได้ตรวจสอบตราประจำตัวของเขา ก่อนจะเผยรอยยิ้มแย้มออกมา

“ข้าอยากจะบอกว่าอาหารวิญญาณในวันนี้อร่อยขึ้นจนน่าประหลาดใจ ที่แท้ก็เป็นเพราะว่ามีพ่อครัวคนใหม่เข้ามานี่เอง”

“ยกยอกันเกินไปแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ว่าแต่เจ้าจะออกไปที่ใดกัน?”  ผู้ฝึกยุทธเอ่ยถาม

“ข้าจะออกไปเดินสำรวจรอบๆ เพราะอย่างไรซะ ก็ยังไม่คุ้นเคยกับบริเวณนี้” กู่ฉิงซานกล่าว

ผู้ฝึกยุทธรับฟัง และอธิบายออกไปอย่างตั้งใจ “เช่นนั้นจงอย่าเดินไปสำรวจในทิศเหนือ ที่นั่นมีค่ายทหารอยู่มากมาย ทว่าเจ้ามิอาจย่างกรายเข้าไปได้ ทางทิศตะวันตกเป็นภูเขาแห้งแล้ง มันไม่มีสิ่งใด ส่วนตลาดจะอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มันเต็มไปด้วยกำลังพลสำรองจากนิกายหลากหลายแห่ง ดังนั้นคึกคักมีชีวิตชีวา เจ้าสามารถไปซื้อสิ่งที่จำเป็นที่นั่นได้”

“ขอบพระคุณสำหรับคำชี้แนะ” กู่ฉิงซานประสานกำปั้น

“อืม ไปเถอะ”

แล้วผู้ฝึกยุทธก็เปิดช่องว่างค่ายกล ให้กู่ฉิงซานเดินออกจากค่ายทหาร

ในช่วงแรก กู่ฉิงซานบินไปตามทิศตะวันออกเฉียงใต้อยู่ครู่หนึ่ง สักพักเมื่อคิดว่าพ้นระยะการตรวจจับ เขาจึงค่อยหันไปในทิศทางตะวันตก

บินต่อมาได้ราวๆ ครึ่งชั่วยาม

กู่ฉิงซานก็มาถึงส่วนลึกของภูเขาแห้งแล้ง

เขาเลือกตรงพื้นที่โล่งกว้าง ลดระดับลง และเริ่มจัดวางชั้นค่ายกล

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่สักพัก ทำสมาธิจนสงบ และรู้สึกได้ว่าตนเองพร้อมแล้ว

เขาถอดหน้ากากเงินจักจั่นน้ำแข็งออก พริบตานั้นพลังวิญญาณจากทั้งร่างพลันพลุ่งพล่าน คล้ายเตรียมการที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตต่อไป

สวรรค์และโลกตระหนักได้ถึงลางบอกเหตุบางประการในตัวของเขา มันเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกัน

สายลมพัดกระพือ

เมฆหมอกครึ้ม

สายฟ้าในมวลเมฆสาดแสงไม่รู้จบ

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยกะพริบขึ้นในสายตาของกู่ฉิงซาน

“คุณกำลังตัดผ่านขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า ทะลวงสู่ขอบเขตลมปราณจิต”

“ทัณฑ์สวรรค์ใกล้จะปรากฏ โปรดเตรียมตัวรับโทษทัณฑ์ให้จงดี”

“ห้า”

“สี่”

“สาม”

“สอง”

“หนึ่ง”

เปรี้ยง!

เสียงสะเทือนเลือนลั่น สายฟ้าฟาดผ่าลงมา

ทว่ากู่ฉิงซานยังคงยืนนิ่งอยู่ในสถานที่เดิม ที่ทำแค่เพียงสั่งการนึกคิดในจิตใจ

สองดาบยาวผลุบออกมาจากในความว่างเปล่า พุ่งขึ้นไปเบื้องบน ฟาดสับเข้าใส่สายฟ้าจนแตกกระจายตัวออกไป

สายฟ้าสวรรค์ถูกสะบั้นโดยดาบบิน กระเซ็นเป็นเส้นสาย กระจายไปทั่วสารทิศ

อย่างไรก็ตาม เมฆแห่งโทษทัณฑ์ย่อมไม่หยุดยั้งเพียงเท่านี้ มันเริ่มผลิตสายฟ้าสวรรค์มากยิ่งกว่าเดิม และฟาดผ่าลงใส่กู่ฉิงซาน

เปรี้ยง!

ทว่ากู่ฉิงซานเพียงรับมือโดยการสั่งการนึกคิด ให้ดาบบินใช้เทคนิคดาบอย่างเงียบๆ

สองดาบแปรผันเป็นภาพติดตา ทั้งทุบทั้งสับเต็มกำลัง ลอยอาละวาดกลับไปกลับมาท่ามกลางพายุสายฟ้า

สักพักสายฟ้าสวรรค์ก็อัดแน่นกันเป็นก้อนกลม พัฒนารูปแบบการโจมตีไปอีกขั้น แล้วเข้าระเบิดใส่ดาบบิน

สายฟ้ากับดาบบินสู้กันต่อเนื่อง ต่างฝ่ายต่างไม่มีผู้ใดคิดจะยอมกัน!

เวลาได้ไหลผ่านไป

ทัณฑ์สายฟ้าได้สิ้นสุดลง

กู่ฉิงซานสามารถรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น

เขาถอนหายใจ ลูบหน้าของตนเอง เพื่อการแสดงออกที่ดูเป็นมิตร

วินาทีถัดมา

“ว๊าก ฮะฮ่าๆๆ ราชาภูตผีกู่ เจ้ากำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์อีกแล้ว ความว่องไวในการยกระดับของเจ้านี่มันช่างรวดเร็วเสียจริงๆ” ราชาภูตร่างใหญ่กระโดดลงมาจากในความว่างเปล่า

“…สหายกู่ หากเทียบกับคราก่อนที่เรากษัตริย์ปรากฏกายขึ้น เราสัมผัสได้ว่าทัณฑ์สวรรค์ส่งแรงกดดันถดถอยลงมากนัก ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นกว่าเดิมมากมายนัก” กษัตริย์ปีศาจโค้งเอวก้มหัวให้ เดินพูดออกมาจากในอากาศทีี่ว่างเปล่า

อีกหนึ่งราชาภูติผีที่สวมชุดคลุมสีทอง ไร้ซึ่งรอยยับย่นใดๆ เจาะอากาศที่ว่างเปล่าปรากฏกายออกมา และโบกมือให้กู่ฉิงซาน

“ลูกพี่กู่ ในเมื่อท่านได้มาถึงขอบเขตลมปราณจิตแล้ว ดังนั้นในทัณฑ์สวรรค์คราวนี้จึงมีคนใหญ่คนโตอีกสองสามคนมาเยือน มาเถิด ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จักกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวเอง”

กู่ฉิงซานผายมือออก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายภูตโลหิต! ฮะฮ่าๆ ยินดีต้อนรับ! พี่น้องข้า คราวนี้ข้าได้ตระเตรียมอาหารวิญญาณ สุรา และเนื้อสัตว์ไว้เป็นจำนวนมาก ดังนั้น มาใช้โอกาสนี้ฉลองร่วมกันเถิด”

“คำนี้แหละที่ข้ารอคอย! สารภาพตามตรง ว่าพริบตาที่ข้าได้รับสัญญาณเตือนการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ข้าก็เร่งตอบรับมันในทันที เพื่อจักได้มาพบหน้าสหายกู่แต่เนิ่นๆ”

“มาเถิด ทุกคนเร่งหยิบโต๊ะของตัวเองออกมา แล้วนั่งดื่มกัน เวลาไม่คอยท่าหรอกนะ!”

“หะ? แล้วราชินีภูตผีเล่า คราวนี้ไปอยู่ไหนแล้ว?”

“ฮ่าๆๆ นี่เจ้าหลงนางแล้วหรือไร รู้หรือไม่ว่าปีศาจเช่นเจ้านางก็สามารถกินได้ไม่มีละเว้น!” “อนิจจา แท้ที่จริงแล้วข้าก็ฟาดเผ่าพันธุ์นางไปไม่น้อยเช่นกัน แต่นั่นเป็นเพราะเมื่อก่อนข้ายังเยาว์วัยนัก แต่ตอนนี้ข้าเพียงอยากสนทนาด้วยเท่านั้น”

เสียงของผู้หญิงดังขึ้น “แค่เพียงสนทนาเท่านั้นเองหรือ? นึกว่าจะอยากเล่นสนุกด้วยกันเสียอีก”

เห็นแค่เพียงราชินีภูติผีปรากฏกายออกมาจากในความว่างเปล่าบนท้องฟ้า ลดระดับลงมาจากเบื้องบน

เธอตกลงข้างกายกู่ฉิงซาน พ่นลมหายใจรดต้นคอเขาเบาๆ ค่อยเบนสายตาไปมองภูตผีปีศาจตนอื่นๆ “ทว่าคงมิได้ เพราะยามนี้ข้ากำลังพึงใจราชาภูตกู่ เสน่ห์ของเขาช่างร้ายกาจนัก เพียงแค่สบสายตา ก็มิอาจลืมเลือนได้”

ภูตผีปีศาจพอได้ฟังก็หัวเราะเสียงดัง

กู่ฉิงซานยื่นแก้วสุราให้กับราชินีภูตผี และยิ้ม “มาดื่มกันเถิด”

แล้วงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้น

แค่เอ่อ…คือว่านะ…สถานการณ์แบบนี้มันสมควรจะเรียกว่าทัณฑ์สวรรค์จริงๆ รึเปล่าเนี่ย…

………………………………….

Related

“เจ้าแน่ใจหรือว่ายังอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ?” เต่าน้อยมองลึกเข้าไปในดวงตาของกู่ฉิงซาน

“ใช่ เพราะนั่นเป็นโอกาสเดียวที่ข้าจะสามารถค้นหาดาบนภา” กู่ฉิงซานกล่าว

“ทั้งหมดนี้ก็เพื่อดาบพิภพ?” เต่าน้อยถามต่อ

“ถูกต้อง”

เต่าน้อยส่ายหัว

“เอาเถิด ตามที่เจ้าต้องการ แต่จงอย่าลืมว่าโอกาสที่เจ้าจักรอดชีวิตไปได้ มีน้อยนิดยิ่ง”

มันมองกู่ฉิงซานเป็นครั้งสุดท้าย และหายวับไปมิอาจมองเห็นได้อีกเลย

มันได้จากไปแล้ว

ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ยุคโบราณ มันทำได้เพียงบอกสถานการณ์ให้แก่กู่ฉิงซาน แต่มิอาจบังคับการตัดสินใจของเขา

กู่ฉิงซานเงียบงันไปชั่วขณะ

ฉานนู่กล่าวปลอบประโลม “นายน้อยโปรดวางใจ เพราะอย่างไรท่านก็ยังมีโอกาสอีกเป็นหลายร้อยครั้ง”

กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “ข้าไม่คิดเช่นนั้น ฉานนู่ พวกเราไม่ควรประมาท แต่ต้องระมัดระวังตัวยิ่งกว่าเดิม จำได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ที่พบกับร่างแสงทมิฬ ข้าไม่ทราบว่ามันจะมีความสามารถอะไรแปลกๆ อีกหรือไม่ เนื่องจากมันเป็นการดำรงอยู่ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ฉะนั้นหากมันมีความสามารถในการแอบดูอดีตได้ มันก็อาจจะมีความสามารถในการย้อนจากอนาคต เข้าสู่โลกภาพทับซ้อนยุคโบราณนี้โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้อยู่ด้วยก็ได้”

เขาคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปากเอ่ยพึมพำ “หากมีโอกาส…เกรงว่ามันคงไม่คิดสังหารข้า หากแต่เป็นเข้าสิงร่างข้าแทน แล้วอาจเข้าควบคุมจิตวิญญาณข้า หรือใช้วิธีการอื่นๆ ที่เราไม่อาจจินตนาการ…”

ฉานนู่พอได้ฟังก็ขนลุกซู่ “นายน้อย แบบนั้นฟังดูไม่ดีเลย”

“ข้าเพียงคาดเดาเผื่อไว้เท่านั้น สิ่งที่แทรกแซงเข้ามา อาจจะไม่ใช่มันก็ได้ แต่เนื่องจากเจ้าสิ่งนั้นสามารถเข้าสู่ภาพทับซ้อนยุคโบราณได้ และยังมีเป้าหมายคือข้า ฉะนั้น มันย่อมต้องล่วงรู้อย่างแน่นอนว่าข้ากำลังมาทำอะไรที่นี่”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “มันจะต้องใช้ทั้งเวลาและพลังงานมหาศาลในการเตรียมการล่วงหน้า นี่คือสิ่งพื้นฐานที่สุดที่ข้าพอจะล่วงรู้ ทว่าขณะเดียวกัน เกรงว่าบางทีมันอาจจะล่วงรู้เช่นกันว่าข้ามีโอกาสสามารถย้อนกลับมาที่นี่ได้อีกหลายร้อยครั้ง”

“ทั้งๆ ที่รู้เรื่องนี้ แต่มันก็ยังเลือกที่จะมา” ฉานนู่พึมพำกับตัวเอง

ในช่วงเวลานั้นเอง เธอก็คล้ายตระหนักได้ถึงวิกฤติของสถานการณ์

“อย่างที่เจ้าคิด ไม่สำคัญว่ามันคือสิ่งใด หากแต่ว่าตั้งแต่ที่มันมาจากอนาคต ฉะนั้นมันย่อมล่วงรู้ในหลายสิ่งที่เราไม่ทราบ ข้าคิดว่ามันคงเตรียมวิธีการที่จะจับตัวข้าเอาไว้แล้วแน่ๆ” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่เป็นกังวล “นายน้อย เช่นนั้นพวกเราออกไปจากโลกทับซ้อนใบนี้เลยดีหรือไม่?”

กู่ฉิงซานยิ้ม “จะให้จากไป? ตราบใดที่พวกเรายังไม่อาจค้นพบดาบนภา พวกเราจะไม่จากไป”

“นายน้อย…”

“วางใจเถอะ ตัวตนในปัจจุบันของข้าถูกเก็บเป็นความลับโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งทวยเทพก็ไม่ง่ายนักที่จะค้นพบ”

กู่ฉิงซานตริตรอง แล้วกล่าวต่อ “หรือในอีกกรณีหนึ่ง หากพลังของมันแข็งกร้าวกว่าเทพวิญญาณ และสามารถเดินทางข้ามกาลเวลาได้นับครั้งไม่ถ้วน จนกลับมาสู่ยุคโบราณจากในอนาคต และสามารถหาข้าพบได้โดยตรง แบบนั้นไม่ว่าพวกเราจะย้อนเวลากลับมาซ้ำๆ ได้อีกกี่ครั้งก็ตาม สุดท้ายก็สู้มันไม่ได้อยู่ดี”

“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้ากลัวว่าจะไม่มีใครสามารถเอาชนะมันได้เลยมากกว่านะนายน้อย”

“ฮ่าๆ นั่นสินะ”

กระแสห้วงเวลากลับมาเป็นปกติ

กู่ฉิงซานคว้ารับตราประจำตัวจากมือรองนายพล กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณท่านมาก”

“อืม ใครก็ได้ มาพาเขาไปพบกับเพื่อนร่วมงานใหม่ของเขาให้แก่ข้าที”

“รับทราบ”

ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก้าวออกมา และเดินนำกู่ฉิงซานออกสู่ภายนอก

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานได้รู้จักกับพ่อครัวประจำค่ายทหารอย่างรวดเร็ว และได้เป็นเพื่อนกับพ่อครัวอยู่หลายคน

เมื่อช่วงค่ำ เขาก็ได้เข้าร่วมในการจัดเตรียมอาหารเย็น

ด้วยเทคนิคการปรุงอาหารวิญญาณอันยอดเยี่ยมของเขา และการเคลื่อนไหวอันปราดเปรียว ทำให้งานดำเนินไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น ส่งผลให้เขากลมกลืนเข้ากับกลุ่มของพ่อครัวได้อย่างง่ายดาย

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในสถานที่ใด ผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริง อย่างไรซะก็ย่อมต้องได้รับการยอมรับจากผู้คน

หลังจบช่วงมื้ออาหารของทางค่ายทหารจบลง ผู้ฝึกยุทธก็หยุดทานอาหารกัน ช่วงเวลาอันน่าเหนื่อยหน่ายของเหล่าพ่อครัวผ่านพ้นไป

กู่ฉิงซานเกิดความคิดริเริ่มที่จะยืนขึ้นอีกครั้งอย่างแข็งขัน ตรงไปที่ห้องครัว หยิบเครื่องเคียงมาหลายส่วน และปรุงอาหารเล็กๆ น้อยๆ แก่กลุ่มพ่อครัว

แต่ละจานล้วนมีรสชาติดียิ่ง มันอร่อยกว่าอาหารที่ทางค่ายทหารทำไว้เสียอีก

เขาจึงกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว

“อืม ไอ้หนูจางเสี่ยวหยุน ฝีมือเจ้านี่มันไม่เลวเลยนะ ไปร่ำเรียนการปรุงอาหารวิญญาณมาจากที่ใดกัน?” อาวุโสซางเอ่ยถาม

“สืบทอดมาจากครอบครัวน่ะ” กู่ฉิงซานยิ้ม

“โอ้? งั้นบิดาเจ้าก็เป็นพ่อครัวด้วยใช่หรือไม่? เขาทำงานอยู่ที่ค่ายทหารไหนล่ะ?” อาวุโสซางถามด้วยความสนใจ

“เขาได้ล่วงลับไปแล้ว ตั้งแต่ครั้งก่อนที่โลกบรรพกาลบุกเข้ามา”

“แล้วครอบครัวคนอื่นๆ เล่า?”

“จากไปจนหมดสิ้น”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ขออภัยจริงๆ ที่เอ่ยถาม”

“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” กู่ฉิงซานยิ้ม

อาวุโสซางคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “พวกเราที่นี่ไม่ได้มีกฎเคร่งครัดอะไร ฉะนั้น ตราบใดที่เจ้าเตรียมอาหารวิญญาณจนเสร็จสิ้น เจ้าก็สามารถใช้เวลาอื่นๆ ที่เหลือไปพักผ่อนได้ อย่างในทิศทางตะวันออกเฉียงใต้เองก็มีตลาดอยู่ เจ้าสามารถไปซื้อของที่ต้องการตามสะดวก นี่ไม่นับว่าเป็นอะไร”

กู่ฉิงซานรับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีของอีกฝ่าย เขาประสานกำปั้น “ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำ หัวหน้าซาง”

ในช่วงเวลานั้นเอง พ่อครัวคนอื่นๆ ก็สะกิดอาวุโสซางอย่างเงียบๆ และกระซิบบอกเขา “หัวหน้า พวกเราน่าจะบอกเรื่องนั้นกับเขาได้แล้วนะ”

อาวุโสซางหันกลับไปมอง และกล่าว “แต่เขายังเด็กเกินไป…”

พ่อครัวอีกคนแม้จะไม่ยินยอม แต่ในเมื่อหัวหน้าได้แสดงทัศนคติออกมาแล้ว เขาก็จำต้องปิดปากเงียบและหัวเราะกลบเกลื่อน

“ลุงลู่ มันคือเรื่องอะไรหรือ สามารถบอกข้ามาตรงๆ เลยก็ได้นะ มันไม่เป็นอะไรหรอก” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงใจ

ชายที่ถูกเรียกว่าลุงลู่กล่าว “เจ้าทราบหรือไม่ว่าเนื้อที่พวกเรานำมาทำอาหารวิญญาณ แท้จริงแล้วมาจากที่ใด?”

“ข้าไม่ทราบ”

“มันคือเนื้อของมอนสเตอร์บรรพกาล!”

“อะไรนะ! นี่พวกเรากำลังกินเนื้อของพวกมันอยู่งั้นหรือ?” กู่ฉิงซานอุทาน

ลุงลู่เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มไม่หวาดกลัว แต่กลับกลายเป็นรู้สึกสนใจแทน ในหัวใจของเขาก็ค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย

เขากล่าวต่อ “ถูกต้อง เนื้อพวกนี้เป็นของดีสำหรับผู้ฝึกยุทธ ดังนั้น ในแต่ละการปะทะกันระหว่างแนวหน้า จึงมักจะมีมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนถูกจับขนส่งมายังแนวหลัง”

“ได้โปรดกล่าวต่อ” กู่ฉิงซานเร่งเร้า

ลุงลู่กล่าวว่า “หากมอนสเตอร์เหล่านี้ตายไปเป็นเวลานานแล้ว เนื้อของมันก็จะไม่สามารถกินได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่มอนสเตอร์เหล่านี้ถูกกำจัดโดยเหล่าผู้ฝึกยุทธ พวกเขาจะยังให้มันคงลมหายใจรวยรินเอาไว้อยู่ จากนั้นก็ส่งตรงมายังกองพลสำรองที่ยี่สิบสามของพวกเรา ให้ผลัดเปลี่ยนกันไปฆ่ามัน แล้วเอาเนื้อมาทำอาหาร”

“จากนั้นเล่า?” กู่ฉิงซานถามต่อ

“จากนั้น…เดือนนี้เป็นตาของค่ายเราที่จะต้องส่งหลายคนไปยังที่นั่น เจ้าสามารถเลือกที่จะอยู่ที่นี่ หรือว่าจะออกไปลองทำมันดูก็ได้” ลุงลู่กล่าว

“ไร้สาระ! เขายังเด็กอยู่ หากได้ไปเห็นมอนสเตอร์เหล่านั้นเข้า แล้วเกิดหวาดกลัวจนตายขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น? ลองเป็นเจ้า เจ้ากล้าที่จะไปฆ่าพวกมันหรือไม่?” อาวุโสซางตวาด

พ่อครัวอีกคนหนึ่งก็เริ่มแนะนำว่า “นั่นสิตาแก่ลู่ จางเสี่ยวหยุนยังเด็กอยู่เลย ขนาดพวกเราพอได้เห็นมอนสเตอร์พวกนั้นก็ยังหวาดกลัว นับประสาอะไรกับวัยรุ่นอย่างเขา”

ลุงลู่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนับสนุน เขาก็เอ่ยพึมพำอย่างไม่มีความสุข “อย่างไรซะก็เป็นพ่อครัวเหมือนกัน อายุมันเกี่ยวข้องรึไง?”

“ถูกต้อง เป็นอย่างที่ท่านกล่าว” กู่ฉิงซานปรบมือ

อื๋อ?

สถานการณ์นี่มันอะไรกัน?

พ่อครัวหลายคนมองไปทางกู่ฉิงซาน

พวกเขาค้นพบว่าสีหน้าของกู่ฉิงซานไม่เพียงไร้ซึ่งความหวาดกลัว ทว่ากระทั่งดวงตาของเขาก็ยังเปล่งประกาย

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอาวุโสซาง กล่าวเฉียบขาด “หัวหน้าซาง ได้โปรดให้ข้าได้ทดลองดูเถอะ”

อาวุโสซางกวาดสายตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ และกล่าว “ในโรงเชือด มันเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดและเนื้อ  ช่วงก่อนที่มอนสเตอร์จะตาย มันจักส่งเสียงกรีดร้องน่าเวทนา มันจะดิ้นจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว และเลือดเหล่านั้นย่อมสาดโดนเจ้าจนเปรอะเปื้อน”

“และการสังหารมอนสเตอร์เหล่านั้น โดยทั่วไปแล้วจะเป็นในรูปแบบของการทำงานช่วงห้าวันเต็มๆ ในห้าวัน เจ้าจะต้องสังหารมอนสเตอร์ตลอดเวลา แม้ว่าเจ้าจะกลัวตาย แต่เจ้าก็มิอาจหลบหนีได้ จางเสี่ยวหยุนเจ้าลองคิดดูให้มันดีๆ ก่อนเถอะ”

กู่ฉิงซานยิ้มกว้างด้วยความสุข “ท่านโปรดวางใจ อันที่จริงแล้ว อาชีพที่แท้จริงของข้าคือคนแล่เนื้อส่วนอาชีพอาหารหาเลี้ยงชีพคือคนปรุงอาหารวิญญาณ”

“คนแล่เนื้อ? งั้นหมายความว่าเจ้าก็เคยสังหารมารอสูรมาเยอะแล้วสิ?” ลุงลู่ถามด้วยความสนใจ

กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าว “สังหารไปมากทีเดียว และอย่างอื่นข้าก็ยังพอจะสังหารมันได้ กล่าวโดยสังเขป เอาเป็นว่าข้าเชี่ยวชาญมันมากกว่าการปรุงอาหารวิญญาณก็แล้วกัน”

เขายิ้มให้กับพ่อครัวคนอื่นๆ “ทุกท่านโปรดมั่นใจ ในส่วนของเดือนนี้ข้าจะไปเอง และขอให้สัญญาว่าจะไม่ทำให้ค่ายของเราต้องอับอาย”

ทุกคนมองรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา แล้วพากันพยักหน้าอย่างลึกลับ

อย่างไรก็ตาม แผ่นหลังของทุกคนกลับรู้สึกเย็นวาบเล็กน้อย

ยังคงอยู่ในโลกสมัยโบราณ

ณ ดินแดนอีกแห่งหนึ่งที่ห่างไกลออกไปจากกู่ฉิงซาน

ที่นี่คือดินแดนรกร้าง

ไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามา

มอนสเตอร์บรรพกาลเองก็มิได้โจมตีที่นี่ เพราะดินแดนแถบนี้มีขนาดกว้างเกินไป และมันไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นเลย ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ

ตามสามัญสำนึก สถานที่เช่นนี้สมควรจะถูกทิ้งร้าง และหายไปตามกาลเวลา

แต่ในวันนี้ ก่อนที่กู่ฉิงซานกับเต่าน้อยจะมาพบเจอกัน ได้บังเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นที่นี่

เหรียญหนึ่งได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

มันเป็นเหรียญที่ดูพิเศษเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นสีแดงเลือด แตกต่างจากเหรียญทั้งหมดในดินแดนชิงอำนาจ

มันยังคงโคจรอยู่บนท้องฟ้า และในที่สุดก็แตกเป็นเสี่ยงๆ

ทันทีที่เหรียญแตกออก ท้องฟ้าตลอดทั้งผืนก็พลันถูกบดบังด้วยทะเลแสง

ทะเลแสงส่องลงมากระทบกับทุ่งรกร้าง ถาโถมเป็นคลื่นอันเชี่ยวกราดลงบนทุ่ง

หนึ่งลมหายใจ

สองลมหายใจ

สามลงหายใจ

ในไม่ช้า ท่ามกลางทะเลแสง ร่างหนึ่งก็พลันยืนหยัดขึ้น

พร้อมกันกับทะเลแสงอันกว้างใหญ่ที่กระจายหายไปในทันที

บนพื้นที่ว่างเปล่า หลงเหลือเพียงร่างหนึ่งที่ยืนอยู่

ท่ามกลางสายลม

ร่างนั้นเปล่งเสียงกระซิบเบาๆ

“ในที่สุดก็มาถึงที่นี่”

“ตั้งแต่ที่ข้ามาถึง ในอนาคตก็ไม่สมควรที่จะมีปัญหาใดๆ อีกต่อไป…”

เสียงของเขาฟุ้งไปด้วยความเคียดแค้นและเจตนาฆ่า แต่ยังคงพยายามที่จะรักษากระแสเสียงให้มั่นคง สักพักเอ่ยเย้ยหยันออกมา

“ช่างน่าสมเพชนัก ที่ในเวลานี้เจ้ายังคงไล่ตามหาดาบอยู่”

“ตราบใดที่ข้าหาเจ้าพบในเวลานี้ และจับตัวเจ้าได้ ข้าจักกักขังดวงวิญญาณเจ้า! กักขังมิให้เล็ดลอดออกไปที่ใด เพื่อที่ในอนาคตจะมิเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก”

“และข้าจักทำทุกวิถีทางเพื่อทัณฑ์ทรมานจิตวิญญาณของเจ้า”

“จอมเชือดเทพเจ้า กู่ฉิงซาน!”

………………………………….

Related

ณ ค่ายกำลังพลสำรองที่ยี่สิบสามของเผ่าพันธุ์มนุษย์

ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนที่เบื้องหลังเขาเต็มไปด้วยกองเอกสาร รับเอาใบหยกมา ตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง

“จางเสี่ยวหยุน เป็นผู้ฝึกยุทธเร่ร่อน เกิดในครอบครัวสามัญ บรรพบุรุษของเขาหารายได้จากการปรุงอาหารวิญญาณให้แก่ผู้ฝึกยุทธ”

“ทว่าเมื่อคราก่อนที่โลกบรรพกาลบุกโจมตี พวกมันได้สังหารทุกคนในครอบครัวของเขาไป เหลือแค่เพียงจางเสี่ยวหยุนคนเดียวที่รอดชีวิต ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงตัดสินใจมาเข้าร่วมกับกองทัพ”

“ข้อมูลข้างต้นได้รับการตรวจสอบเป็นอย่างดีแล้ว ได้โปรดให้ทางท่านนายพลทำการตัดสินใจด้วย”

ล่างลงไป ก็เป็นสองสามชื่อของผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบข้อมูล

ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนนำใบหยกวางกลับลงบนโต๊ะเบื้องหน้าเขา เงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ยืนรออยู่ตรงกันข้าม

ลักษณะก็ดูทั่วๆ ไป ฐานวรยุทธ์ก็ธรรมดา

เมื่อถูกเขาจ้องมอง เด็กหนุ่มก็เริ่มเผยท่าทีวิตกกังวล

อืม…เขาก็คงจะเป็นแค่สหายตัวน้อยที่น่าสงสารนั่นล่ะนะ

ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนหันไปเอ่ยถามรองนายพล “ได้ยินมาว่าจำนวนพ่อครัวของค่ายเราไม่เพียงพอใช่รึเปล่า?”

รองนายพลรายงาน “เรียนท่านนายพล จำนวนพ่อครัวเรียกได้ว่ากำลังขาดแคลน ครั้งก่อนที่เกิดจลาจลขึ้น จนนำไปสู่ ‘เหตุการณ์นั้น’ ต้นเหตุก็เป็นเพราะว่าพ่อครัวไม่เพียงพอ”

ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ต้องขมวดคิ้ว

ก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในค่ายกำลังสำรองได้ออกมาประท้วง ไม่ยินยอมกินอาหารวิญญาณที่ไม่อร่อย บางคนถึงขั้นนำเอาอาหารวิญญาณที่ตนได้รับมาไปโยนให้หมูกิน

นั่นเพราะมีกำลังพลอยู่จำนวนมากเกินไป มากจนทำให้ทางพ่อครัววุ่นจนหัวหมุน หากจะเร่งทำให้ทัน ก็จำต้องละทิ้งความพิถีพิถัน รสชาติอาหารวิญญาณมันก็เป็นธรรมดาที่จะแย่ลง

ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนเอ่ยถามว่า “แล้วฝีมือหกศิลป์ในด้านอาหารวิญญาณของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

“มีพ่อครัวหลายคนได้ลองชิมดูแล้ว และพวกเขาทั้งหมดต่างก็กล่าวชื่นชมไปในทิศทางที่ดี” รองนายพลตอบ

นายพลอุทาน “ก็แล้วถ้าอย่างงั้นยังมัวรออะไรอยู่อีก? จงเร่งตระเตรียมหนังสือรับรองให้แก่เขา แล้วพาเขาไปช่วยงานตั้งแต่วันนี้เลย”

“ขอรับ” รองนายพลรับคำ

นายพลกระแอมไอเบาๆ และบอกกับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้าม “ชื่อจางเสี่ยวหยุนใช่ไหม ทางกองทัพตั้งความหวังไว้กับฝีมือทำอาหารของเจ้านะ หลังจากเข้าร่วมกับกองทัพแล้ว จงตั้งใจและใส่ใจปรุงอาหารอย่างรอบคอบ”

“ขอรับ” เด็กหนุ่มประสานกำปั้น

“เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว” นายพลโบกมือ

“น้อมรับคำสั่งท่านนายพล”

แล้วเด็กหนุ่มก็ถูกพาตัวออกไป

นายพลเฝ้ามองเขาเล็กน้อย สุดท้ายก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไว้เบื้องหลัง

เพราะอย่างไรซะ ธุระต่างๆ ในค่ายน่ะมีเยอะจนเกินไป ยังเหลืออีกหลายอย่างที่เฝ้ารอให้เขาต้องจัดการ

กู่ฉิงซานถูกนำตัวออกไปรอนอกกระโจม เฝ้านั่งรอคอยอย่างอดทน

ดูเหมือนว่าขั้นตอนทั้งหมดจะต้องใช้เวลาพอสมควร

เขาจะต้องเฝ้ารอจนกว่าขั้นตอนทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ แล้วในที่สุดเขาก็จะได้รับตราประจำตัว

ซึ่งหากไม่มีตราประจำตัว เขาจะไม่สามารถไปไหนได้

ถ้าไม่มีมัน แล้วเดินไปในค่ายโดยพลการ เขาอาจถูกค่ายกลสังหารตกตายเอาเวลาใดก็ได้

กู่ฉิงซานนั่งรออยู่สักพัก เขาก็รู้สึกเบื่อ เลยยกมือขึ้นแตะลงตรงขอบแก้มของตน

แน่นอน ว่ามันมิได้รู้สึกแปลก หรือผิดปกติใดๆ เลย

ทว่ายามสัมผัส เส้นแสงหิ่งห้อยพลันปรากฏขึ้นในสายตาของเขา

“ชื่อไอเท็ม หน้ากากเงิน จักจั่นน้ำแข็ง”

“เป็นอุปกรณ์พิเศษ”

“นี่คือหน้ากากอำพรางที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เกิดจากฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันสามารถปรับเปลี่ยนได้แม้กระทั่งฐานวรยุทธ์ โดยไม่มีใครตรวจพบได้”

“สิ่งเดียวที่คุณต้องระมัดระวังไว้ก็คือ อย่าปล่อยให้เทพวิญญาณเกิดความสนใจในตัวคุณ มิฉะนั้นเทพวิญญาณจะสังเกตเห็นถึงมัน”

กู่ฉิงซานพอได้อ่านก็รู้สึกอบอุ่นใจ

นี่คือหน้ากากที่เขาได้รับมาจากลั่วปิงลี่

เธอได้บอกถึงรายละเอียดของหน้านี้แก่กู่ฉิงซานด้วยตัวเธอเองว่า ตราบใดที่เขาสวมใส่หน้ากาก หากไม่ถูกเทพวิญญาณจับจ้องเป็นเวลานาน ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ

ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ที่กู่ฉิงซานถูกส่งมา ยังเป็นค่ายกำลังสำรองที่อยู่ห่างไกลที่สุด

ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเทพวิญญาณจะปรากฏกายขึ้นเฉพาะในกองทัพกลางและแนวหน้าเท่านั้น มิเคยย่างกรายเข้ามาในค่ายกำลังสำรองมาก่อน

และต่อให้เทพวิญญาณยอมถอยมาก้าวหนึ่ง หากพวกเขายอมให้เกียรติ เดินทางมาที่กำลังสำรองจริงๆ แต่ก็ย่อมไม่มีทางตรงเข้ามาหาพ่อครัวเป็นแน่

ดังนั้นสถานะที่กู่ฉิงซานได้รับมานี้ จึงกล่าวได้ว่าปลอดภัยจริงๆ

ปัจจุบัน เขาคือจางเสี่ยวหยุน ฐานวรยุทธ์ก็ถูกควบคุมให้อยู่ในช่วงแก่นทองคำ

หากเดินในฝูงชน ตัวตนของเขาย่อมสุดแสนจะสามัญธรรมดา

และต้องยกเครดิตทั้งหมดนี้ให้แก่หน้ากากเงิน จักจั่นน้ำแข็ง

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ เพื่อตรวจสอบถึงสิ่งที่อยู่ภายในอย่างรอบคอบ

ภายในถุงสัมภาระ มีใบหยกขนาดใหญ่ยักษ์ถูกเก็บเอาไว้

เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงฉากก่อนที่ตนจะออกเดินทาง

ในหุบเหวแห่งดาบ ลั่วปิงลี่กำลังจะพาตัวกู่ฉิงซานจากไป แต่เป็นเซี่ยกู่หงส์ที่ตะโกนรั้งเอาไว้

“ฉิงซาน ข้าได้ตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อมแล้วสำหรับการฝึกยุทธของเจ้า ฉะนั้นจงรับนี่ไป” เซี่ยกู่หงส์กล่าว

ว่าจบ เซี่ยกู่หงส์ก็ตบลงในถุงสัมภาระและปลดปล่อยสิ่งหนึ่งออกมา

โครม!

หุบเหวแห่งดาบเกิดการสั่นสะเทือนขนาดย่อม

กู่ฉิงซานเพ่งมองมันอย่างใจจดใจจ่อ แต่กลับเห็นแค่เพียงก้อนหินสีขาวรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ มันสูงเท่ากับคนแปดคน ยาวขนาดเท่ายี่สิบคนโอบ

ก้อนหินขาวนี้มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า  ทว่าที่น่าสนใจไม่ใช่ตรงจุดนั้น แต่เป็นเจตต์ดาบเหลือคณา ที่แผ่ออกมาจากทั่วตัวมันต่างหาก

“ท่านอาจารย์ อาวุธมนตราชิ้นนี้มันคืออะไรกัน? เหตุใดมันจึงมีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ศิษย์ข้า มันมิใช่อาวุธมนตราใดๆ หากแต่คือใบหยกขนาดใหญ่ยักษ์ ที่ภายในบรรจุเทคนิคฝึกยุทธ และเทคนิคดาบที่ถูกคัดสรรโดยอาจารย์เจ้าเอาไว้ หากฝึกฝนพวกมันอย่างต่อเนื่อง เจ้าสิ่งนี้จะช่วยให้เจ้ายกระดับขึ้นสู่นักดาบนิรันดร์ระดับสูง จากนั้นอาจตัดผ่านไปยังขอบเขตต่อไป หากเจ้ามีสมาธิและศึกษามันอย่างต่อเนื่อง เจ้าอาจถึงขั้นสามารถตัดผ่านมายืนหยัดอยู่ในขอบเขตเดียวกันกับอาจารย์เจ้าเลยก็เป็นได้”

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองใบหยกขนาดยักษ์ ในหัวใจอดพลุ่งพล่านไปด้วยความตื่นเต้นมิได้

ในที่สุด…

ในที่สุดตนก็จะได้รับการถ่ายทอดเทคนิคดาบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสมัยโบราณแล้ว!

“ท่านอาจารย์ สิ่งนี้มันดูมีค่ายิ่ง ข้าเกรงว่า…”

“มันไม่เป็นไรหรอก เพราะข้าได้จัดตั้งจิตเทวะเอาไว้ในใบหยกแล้ว นอกเหนือไปจากเจ้า หากใครหน้าไหนกล้าที่จะดูเนื้อหาในใบหยกนี่ ใบหยกก็จักถูกทำลายลงทันที”

“ได้ยินเช่นนั้นศิษย์ก็โล่งใจ ว่าแต่ข้าจะพกพามันไปได้อย่างไร?”

“เจ้าสามารถเก็บมันในถุงสัมภาระ และใช้จิตสัมผัสเทวะอ่านมันได้ตลอดเวลา”

“อืม…มันช่างสะดวกสบายจริงๆ”

กู่ฉิงซานเฝ้ารอจนเบื่อ เขาจึงเริ่มศึกษาเทคนิคดาบจากในใบหยก

จนกระทั่งเวลาผ่านพ้นไปครึ่งก้านธูป

“จางเสี่ยวหยุน เข้ามารับตราประจำตัวได้!” บางคนตะโกน

“ขอรับ!”

กู่ฉิงซานตอบรับ เขาผละมือออกจากถุงสัมภาระ และผุดลุกขึ้น

เมื่อเดินเข้ามาในห้อง เขาก็ค้นพบว่ามีคนจำนวนมากอยู่ภายใน แลดูวุ่นวายผิดปกติ

รองนายพลคนก่อนหน้านี้มองเขา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอาจจะต้องทำงานอย่างหนัก เพราะหลังจากนี้ไป พวกเราจะต้องกินอาหารฝีมือเจ้าทุกวัน”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้น “ขอให้ท่านโปรดมั่นใจ ผู้น้อยมักจะทำงานด้วยความจริงจังเสมอมา โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารวิญญาณ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น รองนายพลและผู้คนรอบตัวเขาก็เผยให้เห็นสีหน้าพึงพอใจ

ไม่ว่าฝีมือปรุงอาหารของเจ้าหนูนี่จะเป็นอย่างไร แต่การที่มีพ่อครัวเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน มันย่อมสามารถช่วยลดแรงกดดันที่พ่อครัวคนอื่นๆ ได้รับเป็นอย่างดี ซึ่งนั่นหมายความว่าอาหารวิญญาณจะมีรสชาติดีขึ้นเป็นเงาตามตัว

รองนายพลหยิบใบหยกบนโต๊ะ และโยนมันไปให้กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปรับมัน

ทว่าในตอนนั้นเอง ใบหยกกลับหยุดนิ่งอยู่อากาศอย่างกะทันหัน มันไม่ขยับไหวไปไหนเลย

สรรพเสียงโดยรอบที่วุ่นวายเมื่อครู่เอง ก็ดับหายไปเช่นกัน

รอยยิ้มบนใบหน้าของรองนายพลยังคงไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง ท่วงท่ามือของเขาก็แข็งค้างอยู่ในลักษณะขว้างปาออกไป

ด้านข้างเขา ผู้ฝึกยุทธที่กำลังจัดแจงโครงสร้างใบหยกอันใหม่ กับอีกสองผู้ฝึกยุทธที่กำลังตรวจสอบจำนวนเอกสาร และกำลังอ้าปากพูด แท้จริงแล้วทุกคนนิ่งงันไม่ไหวติง

ตลอดทั้งห้อง  ตกอยู่ในสภาวะหยุดนิ่ง

ดาบยาวผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหลังกู่ฉิงซาน และเปลี่ยนร่างกลายเป็นฉานนู่

“นายน้อย เวลาถูกหยุดลง” ฉานนู่กล่าว

กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ “สงบใจไว้ เฝ้ารอดูก่อนว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป”

เขาคว้าจับดาบเช่าหยิน และกุมมันเอาไว้ในมือ

ทันใดนั้นเอง วัยรุ่นคนหนึ่งก็ตกลงมาจากฟากฟ้า

เป็นเต่ายักษ์…

เต่ายักษ์ในสภาพร่างของวัยรุ่นตัวน้อยได้ปรากฏกายขึ้น

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่มันโผล่มาให้กู่ฉิงซานเห็น นับตั้งแต่ที่ส่งเขามาในยุคนี้

“เต่าน้อย เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานถามอีกฝ่าย

สีหน้าของเต่าน้อยค่อนข้างตึงเครียด

มันกล่าวว่า “ใช่ มันเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ข้าสัมผัสได้ถึงความผันผวนอย่างฉับพลันของสายธารแห่งกาลเวลา นั่นหมายความว่ามีอะไรบางอย่างกำลังแทรกแซงเข้ามาในชิ้นส่วนภาพทับซ้อนของยุคสมัยนี้”

“แทรกแซงเข้ามา?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ

“ถูกต้อง แต่ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันคือสิ่งใด”

“นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ว่าแต่เรื่องราวทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ร่างของเต่าน้อยเริ่มส่งกลิ่นอายของความโกรธ “ย่อมไม่! ในความเป็นจริงหน้าที่ของข้าคือการปกป้องภาพทับซ้อนของยุคโบราณนี้ หากมีใครกล้าที่จะสอดแนมและพยายามจะแอบเข้ามา ก็จะถูกข้าสังหารลงโดยตรง”

“งั้นตอนนี้เจ้าสิ่งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

บนใบหน้าของเต่าน้อยเผยให้เห็นถึงความไม่ยินยอม “เจ้าสิ่งนั้นมันใช้วิธีการมหัศจรรย์บางอย่าง ในการย้อนกลับมาจากยุคอนาคตอันไกลแสนไกล มันสามารถละเว้นการป้องกันของข้า และเข้าสู่ภาพทับซ้อนยุคโบราณโดยตรง”

“ตัวข้า แม้ว่าจะเป็นเต่าโบราณ แต่ข้ากลับค้นพบว่าตนเองไม่สามารถหยุดยั้งเจ้าสิ่งนั้นได้ อาจเป็นเพราะข้ายังเด็กเกินไป ที่จะจัดการกับมันด้วยความแข็งแกร่งที่ข้ามี ดังนั้นข้าจึงมาหาเจ้าในตอนนี้”

มันจ้องมองกู่ฉิงซานและเอ่ยต่อ “เผ่าพันธุ์เต่ามีความเก่งกาจในการป้องกันและทำนายชะตา ซึ่งข้าได้ทำนายชะตาให้เจ้าแล้ว และค้นพบว่า หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป มันมีโอกาสเป็นไปได้สูงจริงๆ ที่จะตกตาย”

“ดังนั้น ในปัจจุบันเจ้าจึงยังมีเหลืออยู่สองตัวเลือก หนึ่งคือเก็บเกี่ยวแต่เพียงเท่านี้ แล้วถอนตัวออกจากภาพทับซ้อน กลับออกไปกับข้าในทันที”

“สองคือยังอยู่ที่นี่ต่อ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องหลีกเลี่ยงเจ้าสิ่งนั้น ที่กำลังสำรวจยุคโบราณนี้อย่างต่อเนื่อง”

กู่ฉิงซานเงียบ

เต่าน้อยไม่ทราบว่าตัวเขาได้รับสืบทอดเทคนิคดาบโบราณมาแล้ว ดังนั้นหากจะให้เขาไป มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “การถอนตัวออกไป แท้จริงแล้วเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หลังจากที่ข้าออกไปจากที่นี่แล้ว ข้าจะสามารถออกตามหาดาบนภาได้หรือไม่?”

เต่าน้อยถอนหายใจและกล่าว “ไม่ แต่ดูจากสถานการณ์ที่ร้ายแรงยิ่งแล้ว ข้าสามารถบอกเจ้าอย่างตรงไปตรงมาว่า เจ้าจักต้องเดินทางอยู่ในภาพทับซ้อนยุคโบราณนี่ต่อไป จึงจะมีคุณสมบัติในการค้นหาดาบนภา”

“เช่นนั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่ต่อ” กู่ฉิงซานตัดสินใจเฉียบขาด

“ข้าต้องการจะเตือนเจ้านะ ว่าเป้าหมายของสิ่งนั้นมันคือเจ้า และตัวเจ้าในตอนนี้มิใช่คู่ต่อสู้ของมันเลย เจ้าอาจจะตกตายลงที่นี่” เต่าน้อยกล่าว

กู่ฉิงซานส่ายหัว “ไปมิได้ เพราะหากข้าจากไป ดาบที่อยู่เคียงคู่กันมากับข้าตั้งแต่แรกเริ่มก็จะตายจากไปด้วยเช่นกัน”

………………………………….

Related

สถานการณ์เกินเลยไปไกลสุดกู่

กระทั่งเทพแห่งชีวิตเองก็ยังลงมายังวังสวรรค์เมฆาวิเวกเป็นการส่วนตัว

ทว่ากู่ฉิงซานที่เฝ้ารอจนถึงช่วงวินาทีสุดท้าย กลับสามารถรับรู้ถึงจิตสัมผัสเทวะของเซี่ยกู่หงส์ได้อย่างกะทันหัน

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ใช้คำไม่กี่คำ สยบทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้สื่อความหมายกลายๆ ว่า…

ไม่ว่าจะหน้าไหน จะเทพวิญญาณ หรือผู้ฝึกยุทธคนใด หากมีข้อโต้แย้ง โปรดไปพูดคุยกับเซี่ยกู่หงส์ด้วยตัวเองซะ!

เพราะตราบใดที่เซี่ยกู่หงส์ยังคงมีชีวิตอยู่ ปรมาจารย์วังแห่งวังสวรรค์ผู้นี้ย่อมเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในนิกาย

หากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ถูกจัดการโดยเซี่ยกู่หงส์ นี่มันก็จะสอดคล้องไปกับกฎเกณฑ์และเหตุผล

จากนั้น…

กู่ฉิงซานกระแอมไอเล็กน้อย ประสานสองมือ กวาดไปยังผู้คนรอบทิศทาง “เรื่องสุดท้าย”

ในหัวใจของผู้คนเริ่มหนักอึ้ง คนแล้วคนเล่าล้วนมองมาที่เขา

อันที่จริงแล้ว ฉากที่ทุกคนกริ่งเกรงเด็กน้อยเพียงคนเดียว มันช่างดูน่าขบขัน และไม่ควรจะเกิดขึ้น

แต่ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากกลับแสดงออกถึงท่าทีจริงจัง สีหน้าของพวกเขาอึมครึม ทั้งหมดกำลังเฝ้ารอให้เด็กหนุ่มเอ่ยปากกล่าว

เพราะจากตลอดที่แล้วๆ มา เจ้าหนูนี่ย่อมไม่คิดเล่นตามกติกาของคนทั่วๆ ไป ตามสามัญสำนึกแล้ว เพียงแค่คิดว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มันก็ชวนให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวซะจริงๆ

ท่ามกลางสายตาของฝูงชน กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความเสียใจ “ต้องขออภัยทุกท่านจริงๆ ที่ทางขุนเขาหลัก ‘ไม่ได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้’”

ทุกคนพอได้รับฟัง ต่างนิ่งค้างไป

สำหรับผู้ฝึกยุทธระดับสูง เพียงได้ยินถึงคำนี้ พวกเขาย่อมสามารถเข้าใจถึงความหมายของมันได้อย่างง่ายดาย

มันเป็นคำที่สื่อกลายๆ ว่า ‘ก็ถ้าในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้ว และอีกอย่างตัวข้าก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะเชื้อเชิญพวกเจ้ามารับประทานอาหารร่วมกันที่นี่ด้วย ฉะนั้นยังจะมัวรีรอยืนบื้ออยู่ไย? ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!’

ปรมาจารย์ขุนเขาต่างๆ พากันมองมาที่กู่ฉิงซาน สลับกับมองเทพแห่งชีวิต ทั้งหมดงึกๆ งักๆ จะจากไปเลยก็ไม่ได้ จะอยู่ต่อไปก็ใช่ที

หากไม่ได้รับอนุญาตจากปรมาจารย์วัง ต่อให้พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธระดับสูง ก็มิอาจรั้งอยู่ในขุนเขาหลักได้

การยังดึงดันอยู่ที่นี่ต่อไป มันคือการบอกคนอื่นกลายๆ ว่าพวกเขาตั้งใจละเมิดกฎนิกาย

อย่างไรก็ตาม เทพแห่งชีวิตยังไม่ได้จากไป ฉะนั้นเหล่าปรมาจารย์ขุนเขาจะกล้าเผ่นหนีไปก่อนได้ไง?

อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วผู้ที่กำลังอึดอัดใจมากที่สุดก็คงไม่พ้นเทพแห่งชีวิต

ในฐานะที่เป็นถึงเทพวิญญาณ…แล้วตกลงตนเสนอหน้ามาทำบ้าอะไรที่นี่กันแน่?

หากตนเองและพวกปรมาจารย์ขุนเขายอมถอยในเรื่องนี้ และเฝ้ารอให้เซี่ยกู่หงส์กลับมา ค่อยว่ากล่าวมันอีกครั้ง เท่ากับว่าที่วางแผนมามันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ มันจะมีอะไรผิดพลาดไปบ้าง แต่สุดท้ายถ้าอยากจะเอ่ยติเตียน ก็จำต้องไปสนทนากับเซี่ยกู่หงส์โดยตรงอยู่ดี

แล้วไหนจะเรื่องที่คนของอีกฝ่ายกล่าวว่าทางขุนเขาหลักมิได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้อีก

ดังนั้นแล้ว ตัวเขาในฐานะเทพวิญญาณจะรั้งอยู่ที่นี่ทำซากอะไร?

รอร่วมรับประทานอาหารอย่างงั้นเหรอ?

ไม่ มันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการกินอาหาร

ในความเป็นจริง ถึงแม้ว่าขุนเขาหลักจะจัดเตรียมอาหารเอาไว้บนโต๊ะอย่างเพียบพร้อมแล้วก็ตาม แต่เขาในฐานะเทพวิญญาณเหตุใดต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับพวกมันด้วย?

ไม่…นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาเหมือนกัน

ก็แล้วถ้างั้น ปัญหามันอยู่ที่ไหนกันแน่?

อย่างน้อยในระยะเวลาๆ สั้นๆ ไม่ว่าเขาจะขยับกายหรือเอ่ยคำใด มันก็ไม่มีข้อใดที่ถูกต้องเหมาะสมเลย

เทพแห่งชีวิตพยายามสงบสติอารมณ์ให้มั่นคง ปากอ้าป่าวประกาศ “ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด เอาไว้เฝ้ารอให้เซี่ยกู่หงส์เดินทางกลับมาพร้อมกับชัยชนะเสียก่อน แล้วพวกเราค่อยมาว่ากันถึงเรื่องเหตุการณ์ภายในวังสวรรค์เมฆาวิเวกอีกครั้ง”

เขากล่าวด้วยการแสดงออกที่ดูขึงขัง น้ำเสียงก็ดูสง่างามและมีภูมิฐาน

แต่สิ่งที่เขาพูดไป…

นั่นมันไม่ใช่เรื่องข้ออ้างหรอกหรือ?

เทพแห่งชีวิตแน่นอนว่าตระหนักถึงเรื่องนี้ เขาไม่เต็มใจที่จะรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป แปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสง บินหายกลับขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไป

สี่ผู้พิทักษ์อสูรวิญญาณเอง เมื่อเห็นว่าเทพวิญญาณได้จากไป พวกมันก็ค่อยทยอยกันกลับไปอย่างเงียบๆ

ส่วนเหล่าปรมาจารย์ขุนเขา ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิด ทั้งหมดเร่งนำตัวผู้ฝึกยุทธที่ยังมีชีวิตอยู่ ถอนกำลังออกจากขุนเขาหลักอย่างรวดเร็ว

ยามมา มาอย่างยิ่งใหญ่ ยามจากไป ไม่ยอมเอ่ยอะไรสักคำ

กู่ฉิงซานกุมใบหยกผู้นำในมือ เริ่มควบคุมมันอีกครั้ง

เขายิ้ม และโบกมือให้เหล่าคนที่แฝงกายเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นอกขุนเขา “หวังว่าทุกท่านจะพึงพอใจกับเรื่องสนุกๆ ในวันนี้ หากมีโอกาสอีกครั้ง โปรดจงกลับมา ส่วนพวกเราขอตัวไปกินข้าวกันก่อน”

ใบหยกสาดแสงสว่างไสว

ฟุ่ม!

แล้วขุนเขาทั้งลูกก็หายไปจากสายตาของทุกผู้คน

ค่ายกลอำพรางในใบหยกผู้นำนิกาย ได้ถูกเปิดใช้งาน

ขุนเขาหลักยังคงอยู่ในสถานที่เดิม เพียงแต่มันมิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป

ถึงขั้นปิดขุนเขาหลัก เพียงเพราะศิษย์ทั้งสามกำลังคิดหมายจะไปกินข้าว

นี่มัน…

ช่างเถอะ ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว

ก่อนหน้านี้เทพวิญญาณได้ลงมายังโลก ดังนั้นอีกฝ่ายจะอย่างไรก็ย่อมต้องไว้หน้าของเทพวิญญาณด้วยความเคารพ

ทว่ายามนี้ เทพวิญญาณได้หมดสิ้นความสนใจ และจากไปแล้ว อีกฝ่ายจึงเร่งปิดประตูขุนเขาเมฆาวิเวก ไม่คิดต้อนรับผู้ใด

เมื่อเรื่องราวมันดำเนินมาถึงจุดนี้ หากยังคิดรั้งอยู่ จะไม่ถูกตราหน้าว่าไร้มารยาทหรอกหรือ?

หลังจากเรื่องนี้ ใครบ้างจะไม่กระจ่างชัดว่าศิษย์ของเซี่ยกู่หงส์จะได้รับผลที่ตามมาในครั้งนี้แบบใด?

แต่นั่นมันเรื่องในอนาคต เวลานี้ถอยก่อนดีกว่า

แล้วเหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงจากแต่ละนิกายที่เดินทางมารับชม ก็แยกย้ายกันออกไปคนละทิศทาง ในหัวใจของพวกตน บังเกิดความขึ้นบางอย่างขึ้นมาอย่างลับๆ

ปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวกรุ่นต่อไป…มิใช่ผู้ที่สามารถถูกยั่วยุได้โดยง่าย

มันน่ากลัวเกินไป…

เหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงเมื่อคิดถึงจุดนี้ ก็แยกย้ายกันกลับไปยังนิกายของตัวเอง

สองวันต่อมา

ณ ขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

หวงซานกับเฉินหยางเฝ้ารอคอยอยู่นอกหุบเหวแห่งดาบ

เมื่อเซี่ยกู่หงส์กลับมา เขาก็ประกาศคำสั่งอย่างจริงจัง ว่าให้ทั้งสองคอยอยู่ที่นี่ และไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่ใด

ในเวลานี้ ในหัวใจของหวงซานบังเกิดความสงสัยเกินระงับ เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ศิษย์น้องสาม ข้ามีบางสิ่งที่อยากจะขอคำปรึกษา”

“ศิษย์พี่สองเชิญกล่าว” เฉินหยางรับคำ

หวงซานเอ่ยปาก “ในช่วงสองวันก่อน เหตุใดศิษย์พี่ใหญ่จึงเอ่ยคำ ‘ไม่ได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้’ แต่แค่เพียงประโยคเดียว คนเหล่านั้นทั้งหมดถึงยินยอมจากไป?”

เฉินหยางกล่าว “ก็เช่นนั้นแล้วจะให้พวกเขาทำอย่างไร? จะให้ยังคงรั้งอยู่ในขุนเขาหลักของพวกเราต่อไปหรือ?”

หวงซานส่ายมือและกล่าว “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงคิดว่าวาทศิลป์ของศิษย์พี่ใหญ่ช่างลึกล้ำ  ความหมายที่แฝงอยู่ในคำกล่าวของมัน ต่อให้ข้าได้ลองไตร่ตรองดู ก็มิอาจลอกเลียนได้จริงๆ”

เฉินหยางหัวเราะ “งั้นหากเป็นศิษย์พี่ที่ต้องเอ่ยปาก ในเวลานั้นท่านจะกล่าวว่ากระไร?”

หวงซานผุดลุกขึ้นและกล่าวตะโกน “ข้าจะพูดว่า ‘หากไม่มีเรื่องใดแล้ว ก็ขอให้ออกไปจากขุนเขาหลักเสีย’ ”

เฉินหยางเบิกตากว้างมองเขาและกล่าว “แต่เทพวิญญาณยังอยู่บนท้องฟ้านะ ท่านกล้าขับไล่เทพวิญญาณตรงๆหรือ?”

หวงซาน “นั่นแหละคือเหตุผลที่ข้าตระหนักได้ว่าวาจาของศิษย์พี่ใหญ่คมคายปานใด เขาสามารถใช้คำกล่าวที่สื่อในทางอ้อมๆ ว่ายังไม่ได้เตรียมอาหารไว้สำหรับทุกคน ดังนั้นกระทั่งเทพวิญญาณก็ไม่สามารถตำหนิเขาได้ และจำต้องจากไป”

“เพราะเหตุนี้ไง เขาถึงได้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเรา” เฉินหยางกล่าว

ทั้งสอบกระซิบกระซาบกัน ขณะที่ในหุบเหวแห่งดาบ เซี่ยกู่หงส์กำลังสอนสั่งกู่ฉิงซาน

“เจ้าทราบหรือไม่ว่าตนเองเกือบจะทำให้เทพวิญญาณเดือดดาลถึงหลายครั้งหลายครา?” เซี่ยกู่หงส์ถาม

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ากระจ่างแก่ใจดี ว่านี่ย่อมเป็นการล่วงเกินทวยเทพ”

เซี่ยกู่หงส์ถอนหายใจและกล่าว “เจ้าจงอย่าทำเช่นนี้อีก มิฉะนั้นวันใดวันหนึ่ง หากเจ้าล่วงเกินเทพวิญญาณ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้”

กู่ฉิงซาน “ในความเป็นจริงแล้ว ‘พวกเรา’ ก็ล้วนทำให้เทพวิญญาณต้องขุ่นเคือง”

เซี่ยกู่หงส์พอได้ฟังก็เงียบไป

“ใช่” เขาเอ่ยอย่างช้าๆ “เทพแห่งชีวิตจะต้องชิงชังเจ้าเป็นอย่างมาก”

“มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เทพวิญญาณโปรดปราน ทว่ากลับเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะทำให้เทพวิญญาณเกลียดชัง หากเจ้าพานพบกับคนของเทพแห่งชีวิตอีกครั้ง จงหลบลี้ไปให้ไกลแสนไกล”

“นอกจากนี้ อย่าได้กระตุ้นสิ่งใดโดยมักง่ายอีก ขอให้ตรวจสอบสถานการณ์ให้ดี ก่อนคิดริเริ่มจะทำอะไร”

กู่ฉิงซานกล่าวคล้ายมีบางส่วนยังไม่เข้าใจ “ท่านอาจารย์ กล่าวเช่นนี้ ท่านกำลังต้องการจะบอกอะไร?”

เซี่ยกู่หงส์เงียบไปสักพักและกล่าว “เทพแห่งชีวิตได้ออกหน้าช่วยเหลือเหล่าสาวกและปรมาจารย์ขุนเขาที่บุกมาในคราวก่อน ไม่มีผู้ใดได้รับโทษถึงตาย”

กู่ฉิงซานแม้จะได้รับฟังแต่ก็ยังคงสงบ เขาเผยรอยยิ้มแย้มอีกครั้ง “และเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นเทพวิญญาณ ฉะนั้นย่อมไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง ถูกต้องหรือไม่?”

“ถูกต้อง กู่ฉิงซาน เจ้าต้องรู้นะว่าพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เทพวิญญาณสรรค์สร้างขึ้น ดังนั้นคำสั่งของเทพวิญญาณ ย่อมมีความหมายสำคัญต่อการดำรงอยู่ของพวกเรา”

“อาจารย์ ท่านคิดเช่นนั้นจริงๆ น่ะหรือ?”

“ไม่หรอก แต่เทพวิญญาณคิดแบบนั้น”

“แล้วท่านอาจารย์เล่า?”

“ข้ารู้สึกสำนึกคุณที่พวกเขามอบชีวิตให้ข้า ทว่าตั้งแต่ที่ชีวิตมันเป็นของข้าแล้ว ฉะนั้นข้าย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง”

เซี่ยกู่หงส์ปรบมือของเขา

แล้วในอากาศที่ว่างเปล่า ก็พลันปรากฏร่างหนึ่งออกมา

เป็นลั่วปิงลี่

เธอกล่าวกับกู่ฉิงซาน “ข้าต้องการหยดเลือดของเจ้า แน่นอนว่ายิ่งมากเท่าใด ผลลัพธ์ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น”

กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยที่จะเฉือนปลายนิ้วตนเลย และเหวี่ยงปุยเลือดกระจายออกไป

ลั่วปิงลี่ยื่นมือออกไป และกำมัน

ปุยเลือดถูกระงับ หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศทันที

จากนั้น เธอก็หยิบขลุ่ยขึ้นมา และเริ่มบรรเลงต่อหน้าเลือด

ท่วงทำนองเพลงได้จบลง

เลือดที่ลอยนิ่งอยู่ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นกู่ฉิงซาน

“นี่มัน…” กู่ฉิงซานบังเกิดความสงสัย

เซี่ยกู่หงส์กล่าว “ศิษย์น้องทั้งสองของเจ้าจะเดินทางไปฝึกยุทธที่วังเทพวารี ส่วนข้าจำเป็นต้องกลับไปยังแนวหน้าอีกครั้ง ดังนั้นบนขุนเขาหลัก จึงเหลือเจ้าอยู่เพียงลำพัง”

“สถานการณ์เช่นนี้นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ฉิงซาน ในคราวต่อไปข้าอาจถูกสังหารลงเมื่อใดก็ได้ ถึงเวลานั้น เหล่าสาวกและปรมาจารย์ขุนเขาต่างๆ ย่อมต้องมุ่งเอาชีวิตเจ้าแน่นอน หากพวกมันฉวยโอกาสลงมือ เกรงว่าต่อให้เป็นสี่ผู้พิทักษ์อสูรวิญญาณ เจ้าก็ไม่ทันจะมีเวลาปลุกพวกมัน”

“เพราะฉะนั้น?” กู่ฉิงซานถาม

“เพราะฉะนั้น พวกเราจะต้องแสร้งทำเป็นว่าเจ้ายังอยู่ที่นี่ทุกวี่วัน เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในขุนเขาหลัก” ลั่วปิงลี่กล่าว

“แล้วข้าตัวจริงเล่า?” กู่ฉิงซานถาม

เซี่ยกู่หงส์กับลั่วปิงลี่มองหน้ากันวูบหนึ่ง

ลั่วปิงลี่กล่าว “ได้ยินมาว่าเจ้าเชี่ยวชาญในหกศิลป์ใช่หรือไม่?”

“ก็นับว่าพอใช้ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

เซี่ยกู่หงส์ “ทางเรามีตัวตนที่ครอบครองสถานะน่าเชื่อถือได้อยู่ในกำมือ ซึ่งสถานะนี้มิใช่แค่เพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่ไม่รู้ แต่กระทั่งเทพวิญญาณเองก็ไม่ล่วงรู้เช่นกัน”

“ฉิงซาน สถานะนี้มีไว้เพื่อเจ้า พวกเราหวังว่าเจ้าจะใช้มันเร่งฝึกฝนทักษะดาบทุกวี่วัน”

“และเมื่อใดที่ทักษะดาบของเจ้าแกร่งพอที่จะสามารถต่อกรกับปรมาจารย์ขุนเขาต่างๆ ได้ เมื่อนั้นพวกเราคงคลายใจในเรื่องความปลอดภัยของเจ้า ถึงเวลานั้น เจ้าก็สามารถกลับมายังขุนเขาหลักได้อีกครั้ง กลับมารับตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ในนิกายได้ดังเดิม”

ลั่วปิงลี่ยังกล่าวเสริมว่า “สถานะนี้ ไม่เพียงแต่เชื่อถือได้ แต่มันยังอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย หลังจากที่เจ้าเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน เจ้าก็สามารถใช้เวลาที่เหลือฝึกยุทธได้”

“ข้าจะถูกส่งไปยังที่ใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ค่ายกำลังพลสำรองที่ ยี่สิบสามทั้งยังเป็นค่ายกำลังพลสำรองสุดท้ายอีกด้วย” เซี่ยกู่หงส์เฉลย

“ฉะนั้น หมายความว่าข้าจะได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธพร้อมร่วมสงครามสินะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า

ทหารสำรองไม่ควรได้เข้าร่วมในสนามรบเร็วจนเกินไปนัก ไหนเลยยังเป็นกองสำรองท้ายๆ ที่ยี่สิบสาม

แต่มันจะดีกว่าไหม หากกู่ฉิงซานได้มีส่วนร่วมในสนามรบ และสามารถใช้ช่วงเวลานั้นเก็บเกี่ยวแต้มพลังวิญญาณ

ขณะกำลังขบคิด เขาก็เห็นว่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงทั้งสองส่ายหัวพร้อมกัน

“มิใช่ผู้ฝึกยุทธพร้อมร่วมสงคราม แต่เป็นในสถานะที่ปลอดภัยที่สุด นั่นคือ ‘พ่อครัว’ ของค่ายสำรองที่ยี่สิบสาม” ลั่วปิงลี่กล่าว

“พ่อครัว? อีกแล้วเหรอ!”

กู่ฉิงซานตะลึงงัน

……………………………………..

Related

ยามเรือนร่างที่เปล่งรัศมีแสงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ทุกสารทิศก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่จากตัวเขา

ผู้ฝึกยุทธจากแต่ละนิกาย สามารถรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจนี้

หลากหลายผู้ฝึกยุทธชั้นสูง ทะยานตนออกจากนิกาย เร่งรุดมุ่งหน้ามายังทิศทางของวังสวรรค์เมฆาวิเวก

ในอากาศที่ว่างเปล่า การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับเองก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ

ทุกสายตาต่างเพ่งมองมายังขุนเขาหลักของวังสวรรค์เมฆาวิเวก

สี่อสูรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่ท่ามกลางมวลเมฆ คอยรับฟังคำถามของเทพวิญญาณอย่างระมัดระวัง

กู่ฉิงซานมองไปยังเทพวิญญาณ และแอบลอบสังเกตอีกฝ่าย

มีข่าวลือกล่าวกันว่า เทพวิญญาณได้สร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้น โดยอ้างอิงจากรูปลักษณ์ของตนเอง ดังนั้นในโลกนับล้านล้านใบ รูปลักษณ์ของมนุษย์จึงเป็นรูปลักษณ์สากลที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างตลอดทั้งหมื่นเผ่าพันธุ์

แต่เกรงว่าที่เทพวิญญาณแตกต่างจากคนทั่วไป ดูเหมือนจะเป็นตรงหน้าผาก

เหนือคิ้วขึ้นไปตรงบริเวณหน้าผากของเทพวิญญาณ จะมีเปลวเพลิงสีทองลุกไหม้อยู่

ในส่วนของแสงจรัสที่สาดออกมารอบตัวทวยเทพ กู่ฉิงซานย่อมรู้ดีว่ามันมาจากที่ใด

มันคือสิ่งที่ทวยเทพสร้างขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดสามารถมองเห็นตัวตนของพวกเขาได้ แถมแสงที่เปล่งออกมาเหล่านั้นยังช่วยแสดงออกถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่

ดังนั้น แสงจรัสที่ว่านี้ คงมิแคล้วเป็นเกราะคุ้มภัยของทวยเทพ

ในโลกสมบัติของทริสเต้  ตัวกู่ฉิงซานเองก็เคยสวมใส่เกราะเทพมาก่อนเหมือนกัน

ในเวลานี้ เทพวิญญาณก็ได้เสร็จสิ้นคำถามพอดี

มังกรตอบว่า “เทพแห่งชีวิตผู้สูงส่ง ข้าและตนอื่นๆ มิใช่อยากจะสังหารผู้ฝึกยุทธ ทว่าเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากผู้นำนิกายวังสวรรค์ ว่าให้ออกมาเพื่อปกป้องผู้สืบทอดที่แท้จริงของนิกาย”

เทพแห่งชีวิต “ได้รับคำสั่งจากผู้นำนิกาย? แต่ข้าจดจำได้ว่าผู้นำนิกายวังสวรรค์ยังคงอยู่ในแนวหน้ามิใช่หรือ?”

มังกรกล่าว “ตามกฎของนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวก หากผู้นำนิกายไม่อยู่ ข้าจักต้องรับฟังคำสั่งจากใบหยกผู้นำนิกายแทน”

เทพแห่งชีวิตมองไปทางกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานไม่รีรอให้เทพเอ่ยปาก เขาชิงกล่าวด้วยความเคารพ และรายงานออกไปทันที “ท่านเทพวิญญาณผู้สูงส่ง ผู้น้อยได้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องตามกฎของนิกาย และอสูรวิญญาณทั้งสี่ต่างก็เห็นพ้องกับเรื่องนี้”

“ท่านเทพวิญญาณผู้สูงส่ง ท่านมาเยือนที่นี่ด้วยจิตเมตตาก็จริง ทว่าตามกฎของนิกายแล้ว ข้าจำเป็นต้องกำจัดคนเหล่านี้ พวกมันสมควรถูกประหาร มิคู่ควรกับความเมตตาของท่าน”

สรรพสิ่งโดยรอบพลันนิ่งงัน

ตลอดทั้งวังสวรรค์จมลงสู่ความเงียบ

ต้องไม่ลืมนะว่า ผู้ฝึกยุทธที่ทรงอำนาจเกือบทั้งโลก และเหล่าเทพวิญญาณทั้งมวล ต่างก็กำลังให้ความสนใจกับสถานการณ์ในที่แห่งนี้อย่างลับๆ

‘เจ้าเด็กนี่มันบ้าไปแล้ว!’

‘กล้าที่จะเปล่งวาจาเช่นนั้นกับเทพวิญญาณได้อย่างไร?’

‘แต่เทพวิญญาณเองก็ไม่เคยเข้ามายุ่มย่ามเกี่ยวกับเรื่องภายในของเผ่ามนุษย์…’

ไม่เคยมีเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนเช่นกัน!

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เทพวิญญาณเข้าแทรกแซง แต่ก็ดันถูกปฏิเสธอย่างอ่อนโยนจากวัยรุ่นคนหนึ่ง!

น้ำเสียงของเทพแห่งชีวิตแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์เหล่านี้ล้วนแข็งแกร่ง มิฉะนั้นคงมิอาจก้าวขึ้นสู่ปรมาจารย์ขุนเขาได้ ตรงกันข้ามกับเจ้า ที่ยังเป็นแค่สาวก แต่กลับกำลังคิดที่จะสังหารพวกเขา เพราะเหตุใดกัน?”

กู่ฉิงซานเมื่อได้ยินประโยคนี้แล้ว ก็สวนออกไปทันทีว่า “ตามกฎของนิกายข้า ขุนเขาหลักเมฆาวิเวก หากมิได้รับอนุญาตจากปรมาจารย์วัง ย่อมไม่สามารถเข้ามาได้ นี่คือข้อแรก”

“แต่พวกเขา ไม่เพียงไม่ได้รับอนุญาตจากทางขุนเขาหลัก แต่กลับริเริ่มการก่อสร้างโดยพลการ นับว่าเป็นความผิดครั้งใหญ่ที่กล้ารุกรานขุนเขาหลัก นี่คือข้อที่สอง”

“ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ เช่นนั้นขอร้องถามเรื่องนี้กับพวกท่านปรมาจารย์ขุนเขาเป็นการส่วนตัว ว่า ‘เหตุใดจึงไม่เคารพต่อกฎ?’ นี่คือข้อที่สาม”

“ในช่วงเวลาที่ผู้นำนิกายไม่อยู่ พวกเขากลับบังคับให้ศิษย์ทั้งสามของผู้นำนิกายสังหารกันเอง จิตใจช่างชั่วร้ายและโหดเหี้ยมนัก นี่คือข้อที่สี่”

“ข้อที่ห้า…”

“เอาล่ะพอได้แล้ว!”

เทพวิญญาณขัดจังหวะเขา มิอาจรับฟังได้อีกต่อไป แถมยังรู้สึกแอบเสียใจว่าทำไมถึงได้เปิดโอกาสให้กู่ฉิงซานพูด

เทพวิญญาณกล่าวต่อหน้าทุกคน “เจ้ากล่าวว่าปรมาจารย์ขุนเขาบีบบังคับให้ศิษย์ขุนเขาหลักต่อสู้กันเอง แท้จริงแล้วมันมิได้เป็นเช่นนั้น แต่เป็นเรื่องที่เทพวิญญาณกำลังช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ โดยการคัดเลือกผู้ฝึกยุทธที่โดดเด่น ให้ได้รับสิทธิ์มายังพระราชวังเทวะต่างหาก”

ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณรีบเสริมทันที “หลังจากการพิจารณาของทางนิกายแล้ว ได้รับการตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ ว่าจะมอบสองสิทธิ์ให้แก่ทางขุนเขาหลัก ทว่าขุนเขาหลักมีศิษย์อยู่มากกว่าสอง ฉะนั้นขุนเขาหลักย่อมต้องจัดการประลองต่อสู้เพื่อหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด นี่เป็นการละเมิดข้อห้ามของนิกายตรงไหน ข้าไม่เข้าใจจริงๆ”

กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างช้าๆ “ก็ถ้าหากมันเป็นเรื่องการประลองของขุนเขาหลัก เช่นนั้นเรื่องนี้สมควรให้ท่านอาจารย์ข้าเป็นคนจัดการ แต่ตอนนี้ท่านอาจารย์มิได้อยู่ที่นี่ ตรงกันข้าม เป็นข้าที่ครอบครองใบหยกผู้นำนิกาย ขณะเดียวกันก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ตามกฎของนิกายข้อที่เก้า สิบห้า และสามสิบเอ็ด เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดสมควรให้ข้าเป็นคนจัดการ แล้วมันเกี่ยวข้องอันใดกับทางขุนเขาอื่นๆ ด้วย? เหตุใดพวกท่านต้องเข้ามาวุ่นวายกับทางขุนเขาหลัก? นี่มันไม่ถูกต้อง พวกท่านมิได้มีใบหยกผู้นำอยู่กับตัวเสียหน่อย ทว่ากลับกล้าที่จะท้าทายอำนาจของผู้นำนิกาย ฉะนั้น จุดจบเดียวที่จักได้รับก็คือความตาย!”

ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณ ทุ่มเถียงด้วยความดื้อรั้น “พวกเราก็แค่เป็นห่วงพวกเจ้าที่ยังเยาว์วัย กริ่งเกรงว่าจะไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ดี จนสุดท้ายอาจนำไปสู่การสร้างความไม่พอใจของสองศิษย์น้อง พวกเขาอาจจะเกิดความไม่พอใจในนิกาย และถอนตัวจากไปได้”

กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าได้ตัดสินใจแล้วที่จะสละการได้รับสิทธิ์ ฉะนั้นหวงซานกับเฉินหยางจะได้รับสิทธิ์ให้เดินทางไปยังพระราชวังเทวะได้เลยในทันที”

เหล่าปรมาจารย์ขุนเขาตะลึงงัน

อีกฝ่ายหนึ่งยอมละทิ้งโอกาสที่จะเข้าสู่พระราชวังอย่างกะทันหัน!

เห็นได้ชัดว่าเขายังเป็นเพียงเด็กน้อย แต่กลับยินยอมละทิ้งโอกาสดังกล่าว นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?

หากพูดออกมาแบบนั้น นี่มิใช่หมายความว่าแผนการทั้งหมดล้มเหลวแล้วหรอกหรือ?

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “และนั่นคือเหตุผลที่ข้าจะต้องให้พวกท่านรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกท่านล่วงล้ำขุนเขาหลัก หมายให้เหล่าศิษย์คิดฆ่าแกงกันต่อหน้าสาธารณชน ใครกันที่มอบความกล้าหาญขนาดนั้นให้แก่พวกท่าน?”

เขายกเสียงขึ้น ปากอ้าตะโกน “ใบหยกผู้นำนิกายอยู่ที่นี่ แต่พวกท่าน ซึ่งมีฐานะเป็นถึงปรมาจารย์ขุนเขา กลับฉกฉวยโอกาสในช่วงที่อาจารย์ไม่อยู่ ฉีกกฎเกณฑ์ของนิกาย ตามกฎแล้วสมควรให้ข้าลงทัณฑ์ สังหารทุกท่านจนสู่ความตาย! อสูรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย จงเตรียมน้อมรับคำสั่ง!”

สี่อสูรวิญญาณตอบรับเสียงกระหึ่ม แต่มันก็ยังคงหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ

พวกมันกำลังลอบมองดูปฏิกิริยาของเทพแห่งโชคชะตาอย่างเงียบๆ

เทพแห่งชีวิตเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อย่างรอบคอบ

สักพัก เทพแห่งชีวิตก็หันไปส่ายหัวให้กับทางปรมาจารย์ขุนเขาเล็กน้อย ทว่าในหัวใจกลับกำลังคิดถึงวาทะที่จะใช้ผ่อนปรนสถานการณ์

เพราะในช่วงเวลานี้ มีผู้คนจำนวนมากเกินไปที่กำลังเฝ้าดูอยู่ แต่อย่างไรซะ นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่สุดของสงคราม ดังนั้น เขาย่อมมีเหตุผลอันสมควรที่จักช่วยชีวิตคนเหล่านี้เอาไว้ได้ โดยมิต้องลดทอนความศักดิ์ศรีของตนลง

ในเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานก็ได้หันไปคำนับให้แก่เทพแห่งชีวิต

เขากล่าวด้วยความเคารพลึก “ท่านผู้รังสรรค์ที่น่านับถือ มนุษย์นั้นเชื่อมั่นว่าเทพวิญญาณถือเป็นที่สุด ดังนั้นพวกเรา แน่นอนอันดับแรกต้องฟังคำท่าน เพราะการที่ท่านคิดถึงผลประโยชน์โดยรวมของโลก หมายรักษาไว้ซึ่งขุมกำลังรบมันก็เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ หากท่านคิดว่าพวกเขาถูก พวกเขาก็จะถูก แม้ว่าท่านอาจารย์ข้าอาจจะมีโอกาสตกตายลงในแนวหน้า แต่ข่าวที่ว่าก็ยังมิได้ยินจากปากใครในขณะนี้ ดังนั้น ตราบใดที่ไม่คิดใส่ใจกฎของนิกาย ตัวแทนผู้นำนิกายก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะลงทัณฑ์ได้อย่างเต็มที่”

เขาผายมือออก และชูใบหยกผู้นำนิกายขึ้นสูงต่อหน้าทุกคน

“ท่านเทพวิญญาณผู้สูงส่ง แน่นอนว่าพวกเราย่อมรับฟังในสิ่งที่ท่านพูด แต่ขณะเดียวกัน พวกเรากลับเกิดความสับสนขึ้น”

“นี่เป็นสิ่งที่ผู้น้อยตัดสินใจได้ยากลำบากยิ่ง พวกเราจะมีใบหยกผู้นำนิกายไปเพื่อสิ่งใดกัน เผ่าพันธุ์มนุษย์จักมีนิกายไว้เพื่อสิ่งใด หากในเมื่อทุกคนล้วนต่างกระหายจะต่อสู้แย่งชิงอำนาจแก่ตนเอง เมื่อเป็นแบบนี้ การต้องออกไปยังแนวหน้าหาได้เป็นประโยชน์อันใดไม่ เพราะยามจากไป ก็มีผู้คนมากมายเฝ้ารอคอยจะตลบหลบหลัง จนแม้กระทั่งศิษย์ของตนก็มิอาจปกป้องเอาไว้ได้”

พูดจบ กู่ฉิงซานก็โยนใบหยกผู้นำนิกายในมือขึ้นไป

ขณะเดียวกันก็กวัดแกว่งดาบเชือดเฉือนเข้าใส่มัน

สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยน

ผู้ฝึกยุทธระดับสูงบางคนที่ได้ยินข่าว ผู้นำจากนิกายอื่นๆ เทพวิญญาณในท้องฟ้า และเทพแห่งชีวิตเอง แม้กระทั่งสาวกจากขุนเขาอื่นๆ และปรมาจารย์ขุนเขาเอง ทั้งหมดล้วนตกตะลึง

เพราะหากดาบเล่มนั้นกระทบเข้าใส่ใบหยก จนมันถูกทำลายลง นี่จะกลายเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ทำให้ทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน

เพราะสิ่งนี้จะแสดงถึงความจริงที่ว่า เทพวิญญาณได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแทรกแซงนิกายมนุษย์ ส่งผลให้เกิดความสับสน และปัญหาเลวร้ายนับไม่ถ้วนขึ้นตามมา

เพราะนั่นหมายความว่านับจากนี้ไป จักเป็นเทพวิญญาณที่สามารถคิด และตัดสินใจทุกอย่างแทนเผ่าพันธุ์มนุษย์

นิกายจะสูญสิ้นความหมายของมันไป

สถานการณ์ในแนวหน้าจะระส่ำ สุดท้ายก็แตกพ่าย

นอกจากนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ…

ใบหยกผู้นำกับเซี่ยกู่หงส์นั่นมีจิตสัมผัสเทวะเชื่อมถึงกัน ดังนั้นหากเขายังคงมีชีวิตอยู่ เซี่ยกู่หงส์ย่อมรับรู้ได้ถึงการถูกทำลายของใบหยก

ผลลัพธ์ก็คือ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรอยู่ในช่วงเวลานี้ แต่ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน

ช่วงเวลานี้ ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องการหยุดกู่ฉิงซาน แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้คนนับไม่ถ้วนไม่คิดห้ามปรามเขาเช่นกัน

นั่นเพราะทุกคนอยากจะรู้ว่าเซี่ยกู่หงส์ตายแล้วหรือยัง

ถ้าเซี่ยกู่หงตกตาย ศิษย์ของเขาที่กระทำการหมิ่นเกียรติใบหยกผู้นำนิกาย ก็เป็นอันต้องถูกลงโทษตามกฎนิกาย

ทว่าหากเซี่ยกู่หงส์ยังไม่ตายล่ะก็ …

นี่มันน่าสนใจมากจริงๆ

ในฐานะปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวก ในฐานะผู้ฝึกดาบที่มีชื่อเสียงก้องไปทั้งโลกหล้า เซี่ยกู่หงส์ย่อมไม่ยินยอมอยู่ร่วมกันกับคนเหล่านี้ที่คิดจะรังแกลูกศิษย์ของเขาอย่างแน่นอน!

นั่นหมายความว่า นิกายที่ใหญ่ที่สุดในโลก วังสวรรค์เมฆาวิเวกจะต้องจมอยู่ภายใต้สงครามภายใน

และนิกายคงจะล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว

ล่มสลายลงภายใต้การแทรกแซงของเทพวิญญาณ

ในเวลานี้ ราวกับว่าช่วงเวลาแทบจะหยุดนิ่ง ทุกผู้คนล้วนบังเกิดความคิดมากมายในจิตใจ

แต่ในที่สุด ดาบของกู่ฉิงซานก็กำลังจะสัมผัสถูกใบหยกแล้ว

และไม่มีใครสามารถหยุดมันได้!

ทว่าในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ คมดาบของกู่ฉิงซานกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน

เขาเบิกตากว้างมองดูใบหยก

นั่นเพราะปรากฏจิตสัมผัสเทวะ สะท้อนออกมาจากภายในมัน

เจ้าของใบหยกคือเซี่ยกู่หงส์

ดังนั้นจิตสัมผัสเทวะนี้ ย่อมแน่นอนว่าต้องเป็นของเซี่ยกู่หงส์

เสียงของเขาดังออกมาจากในใบหยก “ฉิงซาน? ข้าเสร็จสิ้นภารกิจที่ต้องกระทำแล้ว และกำลังจะกลับไปยังนิกาย ช่วงก่อนหน้านี้การฝึกยุทธของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? การสอนสั่งศิษย์น้องทั้งสองของเจ้าเป็นไปด้วยดีหรือไม่?”

แม้สีหน้าของกู่ฉิงซานจะยังคงเงียบสงบ แต่ในหัวใจกลับเบิกบานยิ่ง

ท่านอาจารย์เอง ช่างเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้ก็ยังให้ความร่วมมือ ประสานงานกับเขาได้อย่างดี

ต้องไม่ลืมนะว่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้ มันย่อมดีกว่าความจริงที่ว่าตนเองเป็นคนทำลายใบหยก

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางใบหยก “รายงานท่านอาจารย์ การฝึกยุทธของพวกเราเป็นไปด้วยดี ศิษย์น้องขยันหมั่นเพียรเป็นอย่างมาก ทว่าภายในนิกาย…ยังมีเรื่องมากมายที่กำลังรอให้ท่านกลับมาตัดสินอยู่”

“เข้าใจแล้ว ส่วนทางข้า พึ่งจักสังหารราชามารลงได้ และกำลังจะกลับไปยังนิกายแล้ว” เซี่ยกู่หงส์กล่าว

แล้วเสียงบนใบหยกก็หายไป

ใบหยกตกลงในมือของกู่ฉิงซานอย่างนุ่มนวล

เหล่าผู้คนต่างกระซิบกระซาบ

เมื่อครู่นี้…เซี่ยกู่หงส์กล่าวว่าเขาสามารถสังหารราชามารได้กระนั้นหรือ?

ไหนบอกว่าจะแค่ตรวจสอบไง เขาไปทำบ้าอะไรที่นั่นกันแน่?

“นี่มันเป็นไปไม่ได้” ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณบ่นงึมงำ “ชัดเจนว่าเขาหายไปในโลกบรรพกาล ซึ่งเป็นกลางถิ่นของศัตรู…แต่แล้วทำไม…”

จากนั้น ก็มีอีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น

บนท้องฟ้า เปลวไฟนับไม่ถ้วนบินออกมาจากสถานที่ห่างไกล และตกลงในมือของผู้ฝึกยุทธระดับสูงของแต่ละนิกายที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่โดยรอบ

เป็นยันต์สื่อสาร

ยันต์สื่อสารจำนวนมาก!

ทันทีหลังจากนั้น อีกกระแสแสงหนึ่งก็บินมาตามท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และปรากฏรูปร่างขึ้น

แต่เขามิใช่เทพ ทว่าเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีเกราะเจิดจรัสเต็มตัว

เขาหันไปคำนับต่อเทพแห่งชีวิตก่อนเป็นอันดับแรก แล้วก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนบอกทุกคนด้วยความตื่นเต้น “ที่แนวหน้าได้รับชัยชนะครั้งสำคัญ จ้าวแห่งดาบทั้งเจ็ดเซี่ยกู่หงส์ได้ยกกองกำลังทหารเข้าสู่โลกบรรพกาล และสังหารราชามารบรรพกาลลงได้ ตอนนี้ในโลกบรรพกาลเกิดความระส่ำยิ่ง ส่งผลให้ทางกองทัพของเราบุกเข้าโจมตีได้สำเร็จ เข่นฆ่าสังหารศัตรูได้นับไม่ถ้วน!”

บังเกิดเสียงอุทานขึ้นเต็มฟ้า

สีหน้าของทุกผู้คนล้วนแสดงออกถึงความสุข

เพราะนี่นับว่าเป็นชัยชนะครั้งแรก และครั้งยิ่งใหญ่ของเผ่ามนุษย์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

หลังจากศึกครั้งนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะรวมกำลังและฟื้นฟูขวัญกำลังใจ รวมถึงยืดเวลาออกไปได้เป็นจำนวนมากเพื่อทำการจัดเตรียมกลยุทธ์ครั้งต่อไป

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน

เซี่ยกู่หงส์ย่อมต้องปลอดภัยกลับมาโดยไร้รอยขีดข่วน

และในอีกหลายปีต่อมา เขาจะทัดเทียมกับเทพวิญญาณ สามารถใช้ดาบพิภพมีชัยเหนือเทพวิญญาณได้ไปกว่าครึ่ง

ดังนั้น ในหัวใจของตนเอง จึงย่อมมั่นใจว่า ถ้าในวันนี้เขารอดไปได้ จะไม่มีใครริอาจมากดดันเขาอีก

ไม่เว้นกระทั่งเทพวิญญาณ!

ท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้ เทพวิญญาณย่อมไม่อาจหาเหตุได้มากพอ หากคิดจะลงมือกับตนเอง!

เซี่ยกู่หงส์ยินยอมเสี่ยงตาย โยนชีวิตของตนเองไปอยู่ในแนวหน้า ทว่าบางคนที่อยู่เบื้องหลังเขากลับเล่นลูกไม้ และแม้กระทั่งศิษย์ของเขาเองก็ยังตกอยู่ในอันตราย และถูกบังคับให้เข่นฆ่าซึ่งกันและกัน

แต่ในที่สุด เทพวิญญาณกลับปลดปล่อยผู้คนที่กระทำเช่นนั้นไป

หากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ จากนี้ไปจะยังมีใครยอมไปแนวหน้าอีกเล่า?

ใครมันจะไปทำงานให้กับเทพวิญญาณกัน?

ใครมันจะโยนชีวิตตนเองไปเสี่ยงตายกับมอนสเตอร์ ทั้งๆ ที่ยังมีเรื่องต้องคอยพะวงหลัง?

มองไปยังเหล่าปรมาจารย์ขุนเขาอีกครั้ง จักเห็นว่าในเวลานี้ ใบหน้าของพวกเขาช่างซีดขาว มิกล้าเอ่ยคำใด

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาประสานกำปั้นไปทางเหล่าปรมาจารย์ขุนเขา

“ต้องอภัยด้วย ที่ข้าในฐานะศิษย์พี่ใหญ่กระทำตนหยาบคาย สูญสิ้นการควบคุมตัวเองไป”

“สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นความผิดของข้าเอง”

ในสายตาของทุกคน จ้องมองใบหน้าของเขาด้วยความละอาย

“ในความเป็นจริงแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้ ตัวข้าในฐานะสาวก แท้จริงไม่สมควรล่วงเกิน และทำให้พวกท่านต้องขุ่นแค้น เป็นข้าเองที่หุนหันพลันแล่นจนเกินไป”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความสัตย์ซื่อ เปล่งประโยคสะท้านสะเทือนสุดท้ายออกไป

“ดังนั้น เอาไว้เฝ้ารอให้ท่านอาจารย์กลับมาก่อน แล้วค่อยให้เขาตัดสินโทษตายของพวกท่านด้วยตนเองจักเป็นการดีกว่า เช่นนี้แลจึงจะสอดคล้องกับกฎของนิกาย!”

……………………..

Related

ณ ขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

กู่ฉิงซานได้กลับมาแล้ว

ในเวลานี้ ขุนเขาหลักดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง

ปรมาจารย์ขุนเขาจากขุนเขารุ่งอรุณโบราณ ขุนเขาสดับวิญญาณ ขุนเขาเมฆาพยศ และขุนเขากระเรียนเทา กำลังนั่งอยู่บนเวที เบื้องหน้าเป็นลานกว้าง

โดยมีสาวกจำนวนมากกำลังวุ่นอยู่ในลานกว้าง คาดว่านี่น่าจะเป็นการก่อสร้างลานจัดประลอง

“ศิษย์พี่ใหญ่”

“ศิษย์พี่ใหญ่”

เมื่อเห็นกู่ฉิงซาน เฉินหยางกับหวงซานก็รีบวิ่งมาทันที คล้ายกับพานพบที่พึ่งพิง

“เป็นอะไรไป? ข้าดูออกนะว่าพวกเจ้ากำลังตึงเครียดน่ะ” กู่ฉิงซานหัวเราะ

หวงซานกล่าว “เหล่าปรมาจารย์ขุนเขากล่าวว่าพวกเราจะต้องไปสู้กันบนลานประลอง”

เฉินหยางกล่าว “ถึงแม้ว่าเราจะมีกันแค่สามคน แต่พวกเขาบอกว่า เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับการเลือกสรรของเทพวิญญาณ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องสู้”

กู่ฉิงซานมองข้ามทั้งสองคนไป สำรวจผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ที่กำลังวุ่นอยู่ในลาน “โอ้ ที่นี่มิใช่ว่าเป็นขุนเขาหลักหรอกหรือ? ข้าจดจำได้ว่าตามกฎของนิกายแล้ว ห้ามมิให้สาวกจากขุนเขาอื่นๆ เข้ามากระทำการไม่เหมาะสม แล้วนี่อะไร? ผู้ใดกันอนุญาตให้พวกเจ้าสร้างลานประลองขึ้นที่นี่?”

ทว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธกลับยังคงทำงานของพวกตนต่อไป คล้ายไม่นำพาคำกล่าวเมื่อครู่มาใส่ใจ

ขณะที่ปรมาจารย์ขุนเขาส่งสายตาให้กัน เผยให้เห็นถึงสีหน้าชวนขบขัน

กู่ฉิงซานปรากฏรอยยิ้มเย็น

เจ็ดปี

นี่เป็นครั้งแรกเลยในรอบเจ็ดปีที่เขายื่นมือออกไปในความว่างเปล่า และคว้าจับดาบยาวของตนออกมา

รังสีดาบกะพริบไหว!

หัวของ สิบสองสาวก ลอยกระเด็นขึ้นไปบนฟ้า!

สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนกลับกลาย

นั่นเพราะมันรวดเร็วเกินไป

คมดาบนี้ว่องไวนัก ว่องไวจนไม่มีผู้ใดทันได้ตอบสนอง!

ก็แล้วสาวกคนไหนมันจะไปทันคิด ทั้งๆ ที่ปรมาจารย์ขุนเขาเองก็อยู่ที่นี่ แต่พวกเขากลับถูกลงทัณฑ์อย่างกะทันหัน!

เดิมทีเหล่าปรมาจารย์ขุนเขา คิดว่าจะสามารถจัดการกับรุ่นเยาว์ทั้งสามได้อย่างง่ายดาย โดยพวกเขาแค่มานั่งที่นี่ขำๆ กล่าววาจาสองสามประโยค และคุมสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย

แต่ใครจะรู้ ว่ากู่ฉิงซานกลับเริ่มลงมือสังหารผู้คนทันที นี่มันไร้ความปรานียิ่งกว่าเซี่ยกู่หงส์ซะอีก!

“บังอาจ!”

ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณคำรามคลั่ง

เพียงเสียงสะท้อนของอีกฝ่าย ก็อัดกระแทกกู่ฉิงซานจนกระเด็นพลิกคว่ำไปหลายสิบจั่ง

“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ทำการสังหารเหล่าสาวกต่อหน้าทุกคน รู้หรือไม่ว่ากระทำเช่นนี้ ต่อให้อาจารย์เจ้าสามารถกลับมา แต่เขาก็มิอาจช่วยเจ้าได้!” ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณตะโกนด้วยความโกรธ

อีกหลายปรมาจารย์ขุนเขาเร่งหยุดเขาทันที

เรื่องราวในวันนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายหรือพวกตนจะมีปฏิกิริยาอย่างไรก็ตาม แต่หากลูกศิษย์ของเซี่ยกู่หงส์ถูกสังหารลงต่อหน้าทุกคน นี่แน่นอนว่าย่อมจักเป็นเหตุสำคัญที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลกแห่งการฝึกยุทธ

ไม่เพียงแต่นิกายหลายแห่งจะเข้ามาตรวจสอบ แต่กระทั่งเทพวิญญาณก็คงจะเข้ามาเอ่ยถามถึงเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว

หากเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยต่อหน้าสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดในที่แห่งนี้ ถึงเวลานั้นก็คงไม่มีใครพบจุดจบที่ดี

นอกจากนี้ ยังมีอีกในกรณีหนึ่ง

ในกรณีที่ว่าเซี่ยกู่หงส์ยังไม่ตาย…

ปากของปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณแสยะยิ้ม เขาถอนกำปั้นและกล่าว “ในเมื่อเจ้าสังหารสาวกในที่สาธารณะ เช่นนั้นข้าจักรายงานเรื่องนี้แก่เทพวิญญาณ และข้าสาบานเลยว่าเทพวิญญาณจะต้องให้ศิษย์ของเซี่ยกู่หงส์ชดใช้ด้วยราคาที่เหมาะสมอย่างแน่นอน”

ปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาพยศกำลังขวางเขา ตะโกนไปทางกู่ฉิงซาน “หากมีเหตุผลอื่นใด ขอเจ้าจงเอ่ยมันออกมาอย่างช้าๆ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนิกาย ทว่าการสังหารสาวกเช่นนี้อย่างไรก็นับว่าเป็นความผิด สิ่งที่เจ้าทำมันไม่ถูกต้อง”

“ฮี่ๆ…”

กู่ฉิงซานกระอักเลือดออกมา เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มเย็น

แล้วเขาก็หยิบเอาของบางอย่างออกจากแขนเสื้อ

เป็นใบหยกผู้นำนิกาย

ก่อนหน้าที่เซี่ยกู่หงส์จะออกเดินทาง เขาได้มอบมันให้แก่ตน

นี่คือใบหยกสูงสุดของนิกาย ที่แม้จักถูกส่งทอดต่อๆ กันมาหลายหมื่นปีแล้วก็ตาม ทว่าอำนาจสูงสุดของมันยังคงอยู่ กว่าจะถูกทำลายลง ก็ต้องไปถึงรุ่นของเซี่ยเต๋าหลิง

กู่ฉิงซานกุมใบหยก กระตุ้นพลังวิญญาณลงไปในมัน

ใบหยกเปล่งประกายสดใส

“ผู้พิทักษ์นิกาย อสูรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่เอ๋ย จงมายังที่นี่เพื่อปกปักขุนเขา!” กู่ฉิงซานร่ายคำราม

เปรี้ยง!

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกเกิดการสั่นสะเทือน

สายน้ำไหลย้อนกลับ ลมและเมฆส่งเสียงหวีดปั่นป่วนรุนแรง

อีกฟากหนึ่งของเส้นขอบฟ้าอันห่างไกล แสงสลัวพลันปรากฏขึ้น

ลึกลงใต้มวลเมฆ เปลวเพลิงลอยฟุ้งลุกลามไปทั่วผืนฟ้า

ในสุดปลายของสายน้ำทางทิศเหนือ เสียงคำรามของอสูรร้ายสั่นสะเทือนทั้งโลกหล้า

แม่น้ำขุนเขาทั้งเจ็ดสายกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง คล้ายกับว่าบางสิ่งอย่างกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา

ในบัดดล สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนกลับกลาย

“กู่ฉิงซาน หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ปรมาจารย์ขุนเขาสดับวิญญาณตะโกน

ทว่ายิ่งได้ยิน ก็ราวกับยิ่งถูกกระตุ้น กู่ฉิงซานอัดพลังวิญญาณลงไปในมันอีกครั้ง

ใบหยกนิกายยิ่งนานยิ่งสาดประกายเจิดจ้า

รัศมีแสงหลากสีสันระเบิดกวาดไปตลอดทั้งขุนเขาทั้งหมด

“ผู้พิทักษ์เอ๋ย!”

กู่ฉิงซานควบคุมใบหยก

ผืนดินของขุนเขาหลักเริ่มพลิกตลบ

ตัวอักษรสีทองดำที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายลึกลับไม่รู้จบปรากฏขึ้นบนพื้นดินอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้การควบคุมของกู่ฉิงซาน มันได้ช่วยห่อหุ้มคุ้มครองตัวเขา รวมไปถึงหวงซานกับเฉินหยางอีกด้วย

ใบหน้าของปรมาจารย์ขุนเขาทั้งหลายแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

“กู่ฉิงซาน เจ้าคิดจะทำอะไร!”

“กล้าดีอย่างไรถึงเข้าควบคุมใบหยกผู้นำนิกาย!”

“ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าใช้อำนาจของใบหยก? ยังไม่รีบหยุดมืออีก!”

พวกเขาตะโกนดุด่า

ทว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนี้มันใหญ่โตเกินไป ส่งผลให้ทุกผู้คนล้วนตื่นตระหนก

เมื่อเรื่องมันดำเนินมาถึงจุดนี้ ปรมาจารย์ขุนเขาหลายคนก็เริ่มรู้สึกใจเสีย

บัดซบ!

เซี่ยกู่หงส์มันคิดอะไรอยู่ ถึงได้มอบเจ้าสิ่งนั้นให้แก่ลูกศิษย์ตัวเอง?

นี่มันบ้าไปแล้ว!

กู่ฉิงซานปาดคราบเลือดตรงมุมปาก แต่มิได้เหลียวมองเหล่าปรมาจารย์ขุนเขาเลย

ด้วยค่ายกลขุนเขาพิทักษ์นี้ ตนและคนอื่นๆ ย่อมปลอดภัย มิจำเป็นต้องกังวลถึงความอันตรายใดๆ อีก

“ศิษย์พี่ใหญ่…”

เสียงที่สั่นเทาดังขึ้นเบื้องหลังเขา

กู่ฉิงซานหันหน้ากลับไปมอง

เห็นแค่เพียงหวงซานกับเฉินหยางที่กำลังดูเขาด้วยความตื่นตระหนก

กู่ฉิงซานยิ้มแย้ม “มันไม่เป็นไรหรอก เมื่อท่านอาจารย์ได้ออกไป เขาได้มอบหมายใบหยกนี่ให้แก่ข้า ให้ข้าช่วยจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แทนในนามของเขา”

ระหว่างกล่าว เมฆครึ้มบนท้องฟ้าก็ได้เข้าปกคลุมขุนเขา

มังกรที่แท้จริงสาดแสงสลัวอยู่เบื้องบน ยื่นหัวของมันลงมาจากก้อนเมฆ

ทันทีหลังจากนั้น กิเลนที่รอบตัวถูกปกคลุมไปด้วยชั้นเปลวเพลิงคำรนก็ปรากฏกายขึ้น

หงส์ทะยานขึ้นมาจากเบื้องล่าง เต่ายักษ์เองก็กระโดดขึ้นมาจากแม่น้ำ

พวกมันครอบคลุมทุกฟากส่วนของท้องฟ้า  สายตามองมายังขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

“เป็นผู้ใดกันที่เรียกหาข้าและตนอื่นๆ” มังกรเอ่ยถาม

“เป็นข้า”

กู่ฉิงซานชูใบหยกขึ้น

“เพราะเหตุใด?” กิเลนเอ่ยถาม

“เพราะต้องการปกป้องนิกาย” กู่ฉิงซานกล่าว

“แล้วเจ้าคิดจะให้พวกเราทำสิ่งใด?” หงส์เอ่ยถาม

กู่ฉิงซานเปล่งออกมาเพียงคำเดียวสั่นๆ “ฆ่า”

“ช้าก่อน!” ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณตะโกน ไปทางสี่อสูรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนท้องฟ้าและกล่าว “เด็กหนุ่มคนนั้นแสดงพฤติกรรมไม่สมควรออกมา เขาสังหารสาวกด้วยกันเองอย่างมุทะลุ ในยามนี้ยังคิดเข้าควบคุมใบหยกผู้นำนิกาย เพื่อหมายจะทำลายวังสวรรค์เมฆาวิเวกของพวกเรา หวังว่าท่านสี่ผู้พิทักษ์จะมอบความเป็นธรรมด้วย”

สี่ผู้พิทักษ์อสูรวิญญาณรับฟังอย่างเงียบๆ พวกมันหันไปมองกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานชูใบหยกผู้นำนิกายในมือ ปากเปล่งเสียงอ่อนโยน “ข้าคือศิษย์ของผู้นำนิกาย และใบหยกนี้ เป็นท่านอาจารย์ได้มอบความไว้วางใจ ให้ข้าถือครองมันเป็นการส่วนตัว นี่คือมรดกของวังสวรรค์ ซึ่งสอดคล้องกับกฎทั้งมวลของนิกาย”

มังกรส่งเสียงดังกึกก้อง “เขามิได้โกหก”

หงส์กล่าว “ใบหยกแห่งวังสวรรค์ คือกฎเกณฑ์สูงสุดของนิกาย เป็นมรดกที่แท้จริง นี่ยังไม่ต้องกล่าวถึงในเรื่องที่เขาครอบครองใบหยกในมือ”

เต่ายักษ์ขบคิดและกล่าว “ใบหยกผู้นำนิกาย มันเกี่ยวพันโดยตรงกับความอยู่รอดของวังสวรรค์ ฉะนั้นย่อมไม่มีทางถูกส่งต่อโดยไร้เหตุผล”

ใบหยกในมือของกู่ฉิงซานเปล่งเสียงอันกระจ่างชัด คล้ายกับว่ามันกำลังตอบสนองต่อคำกล่าวของเต่า

หลังจากที่อสูรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รับฟัง พวกมันก็ตัดสินใจได้แล้วโดยไม่ต้องสงสัย

กิเลนขบคิด “ข้าและตนอื่นๆ ล้วนเชื่อฟังคำสั่งจากใบหยกเท่านั้น และในเมื่อเป็นเช่นนี้ …”

มังกร “เจ้าจงเอ่ยคำสั่งมา”

พวกมันต่างจับจ้องกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานมองไปยังเหล่าปรมาจารย์ขุนเขา

“ใบหยกผู้นำนิกายอยู่กับข้า ฉะนั้นโปรดจงสังหารพวกเขาเพื่อข้าด้วยเถอะ”

“รับคำสั่ง”

“รับคำสั่ง”

“รับคำสั่ง”

“รับคำสั่ง”

สี่ผู้พิทักษ์อสูรวิญญาณกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

สายลมแรงพัดกระพือ มวลเมฆกวาดขยายออกไป

ตลอดทั้งร่างของสี่อสูรวิญญาณผู้พิทักษ์เอ่อล้นไปด้วยเจตนาฆ่า ท่วมทับไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั้งแผ่นดิน

พวกเขาจะไม่รับฟังคำร้องขอเมตตาใดๆ และตัดสินใจแล้วว่าจักต้องสังหารอีกฝ่ายลง

เหล่าปรมาจารย์ขุนเขาตื่นตระหนกยิ่ง

พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ว่าการแค่ตนเองคิดจะเล่นลูกไม้นิดๆ หน่อยๆ มันกลับทำให้พวกตนต้องตกอยู่ในห้วงชีวิตและความตายเช่นนี้

ในหัวใจของปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัว เขาตะโกนลั่นไปเบื้องบนท้องฟ้าอีกครั้ง “ท่านเทพแห่งชีวิต ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”

พริบตานั้นมวลเมฆสีขาวบริสุทธิ์พลันสาดลงมา เบิกชั้นฟ้า แสงศักดิ์สิทธิ์หยดย้อยลงจากก้อนเมฆราวธารน้ำตก

รังสีแสงนี้ทะลุผ่านทุกค่ายกลปกปักขุนเขา สาดตกลงมาใจกลางขุนเขาหลัก

เสียงเปี่ยมบารมีดังขึ้น “สี่อสูรวิญญาณ พวกเจ้าและคนอื่นๆ ล้วนมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องขุนเขา เหตุใดในวันนี้จึงคิดสังหารผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์!?”

มังกร กิเลน หงส์ และเต่ายักษ์ เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ภายใต้ทะเลเมฆ

พร้อมกันกับร่างของชายคนหนึ่งที่ดูขึงขัง และเปี่ยมไปด้วยความน่าเคารพ ปรากฏลงมาจากเบื้องบนผืนฟ้า

แสงศักดิ์สิทธิ์เหลืออนันต์ห้อมล้อมรอบตัว เหนือคิ้วขึ้นไปสาดแสงจรัสสีทอง ลุกไหม้คล้ายดั่งเปลวเพลิง!

เทพวิญญาณได้ปรากฏกายขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซานแล้ว!

………………………..

Related

ลั่วปิงลี่เห็นจู่ๆ เขาก็เอ่ยถามประเด็นสำคัญ สีหน้าของเธอเลยแลดูจืดไปเล็กน้อย

ลั่วปิงลี่ตอบ “นี่คือข้อเสนอจากทางขุนเขารุ่งอรุณโบราณ ขุนเขาเมฆาพยศ ขุนเขาสดับวิญญาณ และขุนเขากระเรียนเทาที่พวกเรายืนอยู่ก็เช่นกัน”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วทางขุนเขาวารีกระจ่างกับ ขุนเขาทำนองเสนาะเล่า?”

ลั่วปิงลี่กล่าว “แน่นอนพวกเราสองขุนเขาคัดค้าน แต่สิทธิ์และเสียงของพวกเราไม่เพียงพอ สุดท้ายถูกบังคับให้ข้อสรุปนี้ผ่านที่ประชุมโดยพวกเขา”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นให้อีกฝ่าย “ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์ลั่ว แม้ในยามนี้อาจารย์ของข้าจะไม่อยู่ แต่ท่านก็ยังเลือกที่จะบอกเล่าสถานการณ์ของนิกายให้แก่ข้า”

ลั่วปิงลี่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา ในหัวใจของเธอก็บังเกิดความพึงพอใจขึ้นหลายส่วน “ขุนเขารุ่งอรุณโบราณ และขุนเขาสดับวิญญาณ ได้รับสืบทอดมาจากเทพแห่งชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติตามคำแนะนำของเทพแห่งชีวิต”

“แล้วทางขุนเขากระเรียนเท่ากับขุนเขาเมฆาพยศเล่า?” กู่ฉิงซานถาม

“สองขุนเขานี้ ซื่อสัตย์ภักดีต่อเทพแห่งดวงดารา และเจ้าก็น่าจะทราบดีว่าเทพดารามักจะไม่ลงรอยกับเทพวารี”

กู่ฉิงซานกล่าว “หมายความว่าทางขุนเขาทำนองเสนาะและขุนเขาวารีกระจ่าง ปฏิบัติตามคำแนะนำของเทพวารีใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง กระทั่งอาจารย์ของเจ้าก็ยังฟังคำแนะนำและคำสอนของเทพวารี เทพวารีเป็นหนึ่งในทวยเทพที่วิเศษยิ่ง นับว่าเป็นเทพที่มีทัศนคติที่ดีต่อมนุษย์มากที่สุดองค์หนึ่ง”

“ดังนั้น ในครั้งนี้ ช่วงเวลาที่อาจารย์ของข้าไม่ทราบเป็นตายร้ายดีอย่างไร พวกเขาเลยคิดจะสั่นคลอนขุนเขาหลักสินะ?”

“มิผิด บางครั้งอาจารย์ของเจ้า ก็ใส่ใจความเสียหายที่เกิดขึ้นในแนวหน้ามากเกินไป และนิกายวังสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในนิกายที่ใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นั่นหมายความว่านิกายนับไม่ถ้วนย่อมคล้อยตามแนวทางของอาจารย์เจ้า”

“สำหรับบางการดำรงอยู่ชั้นสูง แรงสะท้อนที่อาจารย์ของเจ้าสร้างจึงก่อให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น…”

มิต้องกล่าวสืบต่อ เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนมากแล้ว

เซี่ยกู่หงส์ไปยังแนวหน้าเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ แต่กลับขาดการติดต่อไปอย่างไม่คาดฝัน

ขณะที่ในเวลานี้ ในขุนเขาหลักมีสมาชิกอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น

นี่จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดี!

เพราะหากในกรณีที่สาวกทั้งสามมีปัญหากัน มันอาจจะก่อให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียได้ บางทีในการแข่งขันแย่งตำแหน่งกัน มันอาจถึงขั้นก่อให้เกิดสถานการณ์ร้ายแรงที่ไม่อาจแก้ไขได้ก็ได้ หลังจากที่มีคนเติมเชื้อไฟลงในความปรารถนาอันลึกล้ำ สิ่งที่จะเกิดขึ้นย่อมแผ่กระจายไปตลอดทั้งโลกแห่งการฝึกยุทธในทันที

ถึงเวลานั้น เซี่ยกู่หงส์ย่อมต้องถูกตราหน้าว่า ‘มิอาจขัดเกลาสาวกได้อย่างเหมาะสม’ เป็นแน่

ในฐานะที่เป็นถึงผู้นำนิกาย แต่กลับถูกตีตราว่า ‘มิอาจขัดเกลาสาวกได้อย่างเหมาะสม’ หนทางเดียวต่อจากนั้นคงมิแคล้ว เขาต้องเดินลงจากบัลลังก์ผู้นำเหล่านิกายมนุษย์ที่ตนเคยยืนหยัดอยู่เสมอมา

และต่อให้เขาไม่ยอมลง แต่ทางเทพวิญญาณก็จะมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เขาเอื้อมมือไปคว้าจับใบไม้ที่ลอยมาตามลมและฝน

ครึ่งหนึ่งของใบไม้มีสีเหลืองอ่อนและ แต่ขณะเดียวกันอีกครึ่งยังคงเขียวขจี ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันลอยมาจากที่ไหน และจะไปยังที่ใด

แล้วนี่ตัวเขาจักต้องเป็นเหมือนกับมัน ที่ทำได้แค่เพียงถูกบีบบังคับให้ลอยล่องไปตามกระแสลมเช่นนั้นหรือ?

กู่ฉิงซานกางมือออก ปล่อยให้ใบไม้ใบนั้นถูกพัดพาไปตามสายลมแห่งขุนเขา

ในช่วงเวลานี้ ลั่วปิงลี่กล่าวต่อ “ประสงค์ของเทพวิญญาณมิอาจละเมิด พวกเราได้รับคำสั่งนี้ ดังนั้นเราจะต้องคัดคนเพื่อไปฝึกยุทธในพระราชวังเทวะ”

“กู่ฉิงซาน เจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งขุนเขาหลัก และทางขุนเขาหลักเอง ไม่ว่าศิษย์คนใดก็ล้วนยอดเยี่ยม อย่างไรเสียก็ต้องจัดการประลองขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นปรมาจารย์ขุนเขาหลายคน คงไปรับชมด้วยตนเอง เจ้าจะต้องคิดหาหนทางออกในครั้งนี้”

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “หากเป็นทางออกของเรื่องนี้ มันย่อมง่ายดายยิ่ง -ข้าขอสละสิทธิ์”

“สละสิทธิ์?”

“ใช่ ก็ในเมื่อขุนเขาหลักมีสมาชิกโดยสิ้นเชิง สามคน แต่ทว่ากลับต้องประลองกันต่อหน้าปรมาจารย์ขุนเขาต่างๆ นี่มันคงจะกลายเป็นเรื่องน่าขบขันไม่น้อย ดังนั้นข้าขอสละสิทธิ์”

“สำหรับการได้ฝึกยุทธและชี้แนะโดยเทพวิญญาณ …ก็มอบให้หวงซานกับเฉินหยางไป”

ลั่วปิงลี่ตกตะลึง

การตัดสินใจของอีกฝ่าย รวดเร็วกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้นัก

“กู่ฉิงซาน เจ้าต้องทราบนะว่าการที่ได้เทพวิญญาณเป็นผู้ชี้นำ ฝึกยุทธให้เป็นการส่วนตัวมันยอดเยี่ยมขนาดไหน -เจ้าสามารถเรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ และความลี้ลับมากมาย แม้กระทั่งอัตราเร็วในการฝึกยุทธก็ยังพรวดทะยานขึ้น นี่เจ้าไม่รู้สึกเสียดายเลยหรือ?” ลั่วปิงลี่เค้นถาม

“มันไม่เป็นไรหรอก สิทธิ์พวกนี้ปล่อยให้พวกเขาไป อาจารย์ได้ขอให้ข้าสอนเรื่องวินัยให้กับพวกเขา ดังตอนนี้ หากมีเทพวิญญาณคอยรับหน้าที่นั่นแทน ข้าเองก็จะได้ผ่อนคลายมากขึ้น และสามารถมีสมาธิในการฝึกยุทธได้ดีขึ้น ฉะนั้นเรื่องนี้นับว่าได้รับผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย” กู่ฉิงซานกล่าว

ลั่วปิงลี่พยักหน้าอย่างช้าๆ

เธอรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริง และหาได้เศร้าเสียใจใดๆ ไม่

กู่ฉิงซานกล่าว “แต่ข้อร้องขอเพียงหนึ่งเดียวของข้าก็คือ ข้าอยากจะให้พวกเขาไปฝึกยุทธกับเทพวารี”

“ข้ายินดีช่วยเหลือ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา”

“ในเมื่อได้แบบนั้น ข้าก็โล่งใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

ลั่วปิงลี่มองเขา

ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของนิกาย แต่กลับละทิ้งสิทธิ์ของตน และเปิดโอกาสให้กับสองศิษย์น้อง เพียงเท่านี้เรื่องราวของขุนเขาหลักก็ไม่อาจมีผู้ใดมายุยงได้

“ฉิงซาน เจ้านี่มันเป็นคนดีจริงๆ”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้น “ขอบพระคุณปรมาจารย์ลั่ว ข้าจะขอจดจำเรื่องในวันนี้เอาไว้ แต่ในเมื่อปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ข้าคงต้องขอตัวลาก่อน”

แล้วเขาก็หันหลัง เตรียมจะเดินจากไป

ดวงตาของลั่วปิงลี่บังเกิดระลอกคลื่น เร่งถามขึ้นทันใด “กู่ฉิงซาน พวกเราอาจจะไม่ได้มีโอกาสคุยกันแบบนี้อีกแล้วในอนาคต ฉะนั้นข้ามีสิ่งหนึ่งที่อยากจะถามเจ้า”

“เชิญกล่าว”

“เจ้ามีความคิดอย่างไรกับเทพวิญญาณ?”

คำถามนี้ ถือเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดของวันนี้เลย

ก่อนหน้านี้กู่ฉิงซานเคยพูดถึงเทพวิญญาณ แต่ก็ถูกเธอตำหนิไป ดังนั้นอาศัยช่วงเวลาสุดท้าย ลั่วปิงลี่จึงเอ่ยถามกู่ฉิงซานถึงเรื่องของเทพวิญญาณ

กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด

เขามองลงไปยังแม่น้ำ มองข้ามผ่านไปยังขุนเขา และในที่สุดก็ตกลงบนขุนเขาหลัก

นั่นสินะ

ตนเองคิดอย่างไรกับเทพวิญญาณกันแน่?

ช่วงจังหวะนั้นเอง ภาพในอดีตก็เริ่มหลั่งไหลมาในจิตใจของเขา

คำกล่าวของเซี่ยกู่หงส์กังวานขึ้นในหูเขา

“หากวันใดที่นางตื่นขึ้นมา จงบอกนางออกไปแทนข้า ว่าชื่อของนางคือเซี่ยเต๋าหลิง”

แล้วเสียงนี้ก็กระจายออกไป สลับเปลี่ยนเป็นอีกภาพฉากหนึ่งในอดีต

ณ วังร้อยบุปผา

บนบัลลังก์หมื่นบุปผาที่ถูกแกะสลักขึ้นจากหยกวิญญาณ หญิงงามทรงอำนาจเปล่งคำถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “หากยังไม่มีนิกายอื่นใดในใจ…เจ้ายินดีที่จะเข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผาหรือไม่?”

ท่ามกลางกระแสลมแรงบนยอดเขา กู่ฉิงซานเผยรอยยิ้มออกมา

“ปรมาจารย์ลั่ว ข้าได้ยินมาว่าทางขุนเขาทำนองเสนาะของท่านครอบครองเครื่องดนตรีที่มีชื่อเสียงมากมาย ฉะนั้น ข้าอยากจะขอขลุ่ยหยกสักชิ้นจะได้หรือไม่?”

ลั่วปิงลี่ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายหยิบเอาขลุ่ยหยกสีม่วงออกมา และมอบมันให้แก่เขา

“ขลุ่ยนี่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันโดยข้า ฉะนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลมันเป็นอย่างดี”

“ขอบพระคุณท่าน”

“…แล้วเจ้าเล่นมันเป็นหรือไม่?”

“เป็นอยู่แล้ว”

กู่ฉิงซานรับขลุ่ยหยกมา หยุดกล่าวคำใด ประกบมันลงบนริมฝีปากของเขา

วู้ม…

ได้ยินแค่เพียงเสียงหนึ่งดังลอดออกมาจากในขลุ่ยหยก ทว่าเสียงนี้กลับแฝงเจตดาบอันอ้างว้างและลึกซึ้ง มันขจรขจายตัดผ่านสายน้ำทั้งเจ็ด

ลั่วปิงลี่พยักหน้าเล็กน้อย เพราะการเอ่ยถึงเทพวิญญาณมันไม่ค่อยจะสะดวกเท่าใดนัก ดังนั้นการใช้เสียงของขลุ่ยแทนที่ความหมายของคำพูดย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า

เธอรับฟังมันอย่างตั้งใจ

เสียงที่ดังออกมาจากขลุ่ยหยก ช่างฟังดูโดดเดี่ยว และเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก

ปราณดาบกระเพื่อมไหวไปตามเสียงขลุ่ยที่ดังขึ้น คล้ายกับกระแสน้ำที่ตัดผ่านเมฆหมอกบนยอดเขากระเรียนเทา ทะยานไกลไปสุดขอบฟ้า

แล้วเสียงขลุ่ยก็สิ้นสุดลง

ทันใดนั้น ปราณดาบที่ท่วมทับไปทั่วผืนฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นกระแสลมแรง กวาดข้ามไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก ปัดเป่ามวลเมฆหมอกที่ครอบคลุมท้องฟ้าเสมอมา ปลิดปลิวหายไป

พายุฝนคะนองหยุดตกลง ท้องฟ้าก็พลันกลายเป็นกระจ่าง

แสงแดดสดใสที่แสนจะอบอุ่นค่อยๆ สาดส่องลงมา สะท้อนกับใบหน้าอันงดงามของลั่วปิงลี่

หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ตรงจุดนั้น ในแววตาบังเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย

ทว่าบัดนี้ ตรงข้ามกับเธอ มันว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดอยู่อีกต่อไป…

…………………

Related

กู่ฉิงซานกำลังรับชม รับฟังสิ่งที่อยู่ภายในใบหยกอย่างใจจดใจจ่อ แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ จะมีมือขาวๆ ข้างหนึ่ง ยื่นมาฉกมันไป

ใบหยกถูกดึงไปอย่างกะทันหัน

กู่ฉิงซานจึงค่อยตระหนักได้ว่าเวลานี้มีใครบางคนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา

เป็นสาวงาม

ปรมาจารย์ขุนเขาทำนองเสนาะ ลั่วปิงลี่

มีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับสูงอย่างลั่วปิงลี่ขึ้นไปเท่านั้น จึงจะสามารถขโมยใบหยกออกจากมือกู่ฉิงซานได้ โดยที่เขาไม่รู้ตัว

กู่ฉิงซานมองหน้าอีกฝ่าย และย้อนนึกถึงคำสอนของเซี่ยกู่หงส์

เซี่ยกู่หงส์เคยบอกต่อเขาว่า ขอให้ตนรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับปรมาจารย์ลั่วเอาไว้ และกล่าวตามตรงว่าลั่วปิงลี่อยู่ฝ่ายเดียวกันกับเขา นอกจากนี้ยังมีความพลังโจมตีชนิดหาตัวจับได้ยากนัก แม้กระทั่งตัวเซี่ยกู่หงส์เองก็อาจด้อยกว่านาง

ในบรรดาเจ็ดปรมาจารย์ขุนเขาแห่งวังสวรรค์เมฆาวิเวก หากกล่าวถึงเฉพาะเพียงอำนาจการทำลายล้างตามรายบุคคล แท้จริงแล้วลั่วปิงลี่ย่อมถูกนับว่าเป็นอันดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าลั่วปิงลี่จะครอบครองพลังโจมตีอันแสนร้ายกาจ แต่ขณะเดียวกันเธอก็ไม่มีการป้องกันที่ดีมากนัก กล่าวได้ว่าแม้จะโดดเด่นในด้านโจมตี ทว่าหากอยู่ในสนามรบ ก็จำต้องมีผู้ฝึกยุทธจำนวนมากตามไปคอยคุ้มครองเช่นกัน

กู่ฉิงซานย้อนนึกถึงคำของอาจารย์ จากนั้นประสานกำปั้นให้แก่อีกฝ่ายด้วยความนับถือ “คำนับปรมาจารย์ลั่ว”

ลั่วปิงลี่ไม่ตอบเขา แต่เลือกปลดจิตสัมผัสเทวะลงไปแทน สำรวจเนื้อหาในใบหยกและกล่าว “ เป็นอย่างไร? ‘การบรรเลงพิณ’ จากสาวกอันดับหนึ่งของข้าไม่เลวเลยใช่หรือไม่?”

กู่ฉิงซานจ้องมองใบหยกในมือเธอ ปากร้องอุทาน “เสียงของมัน แม้บัดนี้ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทมิจางหาย ปรมาจารย์ลั่วสอนสั่งนางได้ดีจริงๆ”

ลั่วปิงลี่เขกหัวเขาและกล่าว “เลิกเปล่งวาจาประจบประแจงข้าเถิด อย่างไรเสีย ข้าย่อมไม่อนุญาตให้เจ้าร่วมฝึกยุทธเคียงคู่กับสาวกขุนเขาของข้า”

กู่ฉิงซานกล่าวซื่อตรง “ปรมาจารย์ลั่วเข้าใจผิดแล้ว ตัวข้าแม้ทุ่มสุดใจให้กับการฝึกยุทธ ทว่ามิได้มีความตั้งใจคิดหาสหายเต๋าในนิกายร่วมฝึกยุทธคู่เคียง”

ลั่วปิงลี่เพ่งมองเขา การแสดงออกทางสีหน้าของเธอกลายเป็นอ่อนโยนลงเล็กน้อย

เธอเป็นผู้ฝึกยุทธผู้ใช้เสียง แท้จริงแล้วเก่งกาจเป็นอย่างยิ่งในการล่วงรู้ห้วงความคิดและอารมณ์ที่แท้จริงของผู้คน เธอสามารถล่วงรู้ความจริงของคำพูดอีกฝ่ายได้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยวิถีสวรรค์

“ได้ยินเช่นนั้นก็ดี เอาเถอะ เจ้ายังคงสามารถเก็บใบหยกนี่เอาไว้ได้”

ลั่วปิงลี่ยื่นใบหยกคืนให้แก่เขา

“ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์ขุนเขา” กู่ฉิงซานกล่าว

“เจ้าจงมากับข้า ข้ามีอะไรบางอย่างจะพูดกับเจ้า” ลั่วปิงลี่เชื้อเชิญ

กู่ฉิงซานเห็นว่าเธอมีท่าทีจริงจัง  ทัศนคติที่แสดงออกมาแปรเปลี่ยนไป ตนจึงเดินตามเธอไปยังจุดสูงสุดของขุนเขา

ขุนเขากระเรียนเทามีรูปทรงคล้ายกับกระเรียนสมชื่อ ตรงส่วนปลายสูงสุดของมันคล้ายจะงอยปากนกกระเรียนที่ยืดยาวแยกออกไป

นั่นคือตรงยอดขุนเขากระเรียนเทา

ลั่วปิงลี่ยืนอยู่บนยอดเขา ไขว้สองมือตนไว้เบื้องหลัง

ภายใต้สายลมแรง ชุดคลุมของเธอพลิ้วไหวไปกับมัน ฉากนี้ดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ขณะเดียวกันก็เหมือนกับว่าเธอจะปลิดปลิวไปกับสายลมได้ตลอดเวลา

“หากสนทนากันที่นี่ ข้ารับประกันได้เลยว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยิน” ลั่วปิงลี่กล่าว

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

บนยอดเขา ก้อนเมฆควบแน่นกลายเป็นฝนวิญญาณ ดอกไม้พลิ้วไหวไปตามลม สายน้ำไหลอยู่เบื้องล่าง คลื่นในน้ำสั่นไหวคล้ายกำลังโกรธเกรี้ยว

ในเวลานี้ ทั้งสองยืนอยู่ท่ามกลางหมอกและฝน คล้ายทั้งสวรรค์และโลกมีเพียงพวกเขาอยู่เพียงลำพัง ฉะนั้นย่อมไม่มีใครสามารถลอบฟังบทสนทนาได้

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงใจ “ปรมาจารย์ลั่ว แท้จริงแล้วมีคำใดจะชี้แนะ?”

ลั่วปิงลี่ “สงครามแนวหน้ายิ่งนาน ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ฝึกยุทธระดับสูงพากันตกตาย กำลังรบเผ่ามนุษย์เริ่มถดถอยลง เรื่องเหล่านี้เจ้าทราบหรือไม่?”

“เป็นเรื่องหนาหู ผู้น้อยเคยได้ยินมาบ้างเช่นกัน” กู่ฉิงซานพยักหน้ากล่าว

ลั่วปิงลี่ “ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเร็วๆ นี้ ทางเทพวิญญาณจึงได้ถ่ายทอดประสงค์ของพวกเขาลงมา และขอให้ทางนิกายจัดหากลุ่มสาวก จากในแต่ละขุนเขา เลือกมาจำนวนหนึ่งเพื่อเดินทางไปฝึกยุทธกับเทพวิญญาณหรือผู้รับใช้ทวยเทพเป็นการส่วนตัว”

“ให้ไปฝึกยุทธกับเทพวิญญาณงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานทวนถาม

“ใช่ ขุนเขาของข้า เดิมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเทพวิญญาณอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงได้รับ ‘สิทธิ์’ มาจำนวนหนึ่ง ที่สามารถส่งสาวกไปฝึกยุทธกับเทพวิญญาณได้” ลั่วปิงลี่กล่าว

กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด

สถานการณ์ในปัจจุบันกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เผ่ามนุษย์ทั้งพ่ายแพ้และล่าถอยซ้ำแล้วซ้ำเล่า มิอาจยืนหยัดต่อกรกับมอนสเตอร์บรรพกาลได้ กระทั่งเทพวิญญาณเองก็ยังได้รับความเดือดร้อน

ส่งผลให้เทพวิญญาณบังเกิดความต้องการที่จะยกระดับความแข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง มุ่งมั่นที่จะสร้างกลุ่มนักรบที่ทรงประสิทธิภาพ เพื่อแผนการระยะยาวสำหรับสงครามในอนาคต

“กระทำการเร่งด่วนเช่นนี้ เกรงว่าเทพวิญญาณคงร้อนรนไม่น้อยเลยสินะ?” กู่ฉิงซานโพล่งออกมา

ลั่วปิงลี่ผงะ ร้องตำหนิเขา “เจ้าช่างกล้านัก พูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร?”

ต้องรู้นะว่าการสนทนาเชิงลบใดๆ เกี่ยวกับเทพวิญญาณ มักจะเป็นจุดเริ่มต้นของคำสาปและภัยพิบัติเสมอๆ

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ขออภัย แต่ข้ายังอยากฟังรายละเอียดจากปรมาจารย์ลั่วมากกว่านี้ เชิญท่านพูดต่อเถอะ”

ลั่วปิงลี่มองเขาอีกครั้งและกล่าว “ทางนิกายจึงตัดสินใจทำการประลองเทียบเปรียบครั้งใหญ่ และเลือกเฟ้นสาวกจากในทุกรุ่นที่มีคุณสมบัติโดดเด่นยอดเยี่ยม เพื่อไปฝึกยุทธในพระราชวังเทวะกับเหล่าทวยเทพ”

“หากสามารถได้รับโอกาสรับคำแนะนำจากเทพวิญญาณโดยตรงเช่นนี้ ข้าเกรงว่าทุกรุ่นของสาวกนิกาย จะทำลายล้างกันเองเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของพวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าว

เขายังคงยิ้มและกล่าวต่อ “หากแต่ไม่ใช่ว่าการประลองเทียบเปรียบของทางนิกายเราเสร็จสิ้นไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วหรอกหรือ? ท่านไม่น่าจะต้องมาเป็นกังวลเรื่องนี้เลยนี่?”

ลั่วปิงลี่กล่าว “ในเวลานี้ สิ่งที่ผิดแผกไปก็คือ ทางระดับสูงของแต่ละขุนเขาต่างปิดประตูบ้านตนเอง  ทำการจัดการประลองในหมู่สาวกของตนขึ้น เพื่อคัดเลือกผู้ที่จะได้รับสิทธิ์นี้”

กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่ใส่ใจว่า “ยังคงต้องทำการเฟ้นเลือกอยู่อีกหรือ? มิใช่ว่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงคอยสอนสั่งศิษย์ของพวกเขาทุกวันอยู่แล้ว ฉะนั้นย่อมต้องทราบดีว่าจิตแห่งเต๋าของผู้ใดเหมาะสมและคู่ควร?”

ลั่วปิงลี่กล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่การที่ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อต้องการบอกกับเจ้าว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ปรมาจารย์วังขาดการติดต่อไป ขณะที่สาวกจากขุนเขาหลัก จักต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของสาวกทั้งหมด ดังนั้นหลังจากหารือกันแล้ว ทางปรมาจารย์ขุนเขาจึงตัดสินใจมอบ ‘สอง’ สิทธิ์ให้แก่พวกเจ้า”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที “แท้จริงแล้วสิทธิ์ที่ว่ามีทั้งหมดกี่ตำแหน่ง?”

“สามสิบตำแหน่ง” ลั่วปิงลี่ตอบตามตรง

“มีถึงสามสิบตำแหน่ง? ทว่ากลับมอบให้ขุนเขาหลักเพียงแค่ สองเท่านั้นเองหรือ?” เขาหัวเราะ

ลั่วปิงลี่มองเขาและกล่าว “ใช่ นี่คือผลจากการหารือของเหล่าปรมาจารย์ขุนเขา และเนื่องจากปรมาจารย์วังไปยังแนวหน้า และไม่สามารถติดต่อได้ ดังนั้นทุกคนจึงตัดใจกันเอง ข้าหวังว่าเจ้าจะคัดเลือก สองตำแหน่งได้อย่างเหมาะสม”

เธอกล่าวต่อ “ส่วนประเด็นในเรื่องนี้ ทางขุนเขารุ่งอรุณโบราณได้ทำการแจ้งต่อหวงซานกับเฉินหยางแล้ว  และบอกให้พวกเขาเตรียมตัวต่อสู้ สำหรับสิทธิ์ที่มีเพียงสองของขุนเขาหลัก”

กู่ฉิงซานเงียบไป

นี่อีกฝ่ายเมินตนเอง และไปแจ้งเรื่องนี้แก่หวงซานและเฉินหยางโดยตรงอย่างงั้นหรือ?

ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสองจะมีจิตใจที่ดี หากแต่พวกเขายังคงเด็กเกินไป ที่จะทานทนต่อสิ่งยั่วยวนเช่นนี้ได้

เกรงว่าพวกเขาคงมิอาจทานทนต่อโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะได้ฝึกยุทธกับเทพวิญญาณเป็นการส่วนตัว!

กู่ฉิงซานค่อยๆ ได้สติกลับคืน

แต่ละขุนเขาล้วนจัดงานประลองของตนเองขึ้น …

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาจะต้องต่อสู้กับหวงซานและเฉินหยาง เพื่อช่วงชิงคุณสมบัติในการเข้าสู่พระราชวังเทวะใช่หรือไม่?

…กู่ฉิงซานรู้สึกได้ถึงความโหดเหี้ยมและมุ่งร้ายอันลึกล้ำ

อาศัยประโยชน์จากในช่วงเวลาที่ท่านอาจารย์ขาดการติดต่อไป จงใจมอบให้เพียงสองสิทธิ์ โยนลูกพีชลงมาเพียงสอง เพื่อหมายยุยงให้สามหมาป่าแห่งขุนเขาหลักแก่งแย่งกันเอง

ทำกันแบบนี้ พวกเขากล้าดีอย่างไร!?

ท่านอาจารย์เพียงสูญเสียการติดต่อไป ดังนั้นพวกเขาเลยคาดเดาไปว่าท่านอาจารย์จะไม่สามารถกลับมาใช่หรือไม่?

อย่างไรก็ตาม จากชิ้นส่วนของประวัติศาสตร์อื่นๆ ทำให้กู่ฉิงซานทราบกระจ่างแก่ใจว่า เซี่ยกู่หงส์นั้นปลอดภัยดี และเขาจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวจนกระทั่งวังสวรรค์ถูกทำลาย

กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่บนยอดเขา เบนสายตาออกไปมองเมฆหมอกภายนอก

เขาค้นพบว่าเมฆหมอกกำลังก่อตัวขึ้น ฝนเทลงมาเป็นครั้งคราว บ้างก็กระจายหายไป

…………………..

Related

หนึ่งเดือนต่อมา

ณ ขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

ภายนอกหุบเหวแห่งดาบ บริเวณใกล้กันกับหุบเขา มีต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่

และกู่ฉิงซานก็กำลังนอนตะแคงอยู่บนหนึ่งในกิ่งไม้ต้นนั้น

สองตาของเขาหุบต่ำลง ในมือถือใบหยกเอาไว้

บางครั้งเจ้าตัวก็ขมวดคิ้ว บางครั้งก็ยิ้มอย่างเป็นเรื่องเป็นราว คล้ายกับสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาในใบหยกได้

หลังจากนั้นไม่นาน

เขาก็ถอดจิตสัมผัสเทวะออกจากใบหยก และไม่คิดอ่านมันอีกต่อไป

เหมือนว่าเขาจะเสร็จสิ้นการฝึกยุทธของตนในวันนี้แล้ว และกำลังเตรียมตัวที่จะล้มหงายลงนอน

อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณคิดว่าเขาหลับใหลไปแล้ว จู่ๆ กู่ฉิงซานก็หยิบขวดน้ำเต้าออกมา เปิดจุกออก แล้วเทเหล้าซดอึกๆๆ ลงในปาก

“ในทุกๆ วัน…ก็ยังเป็นช่วงเวลานี้นี่แหละ ที่ผ่อนคลายที่สุด”

กู่ฉิงซานรำพึง

ทันทีที่เขาเก็บขวดน้ำเต้า เจ้าตัวก็เปลี่ยนท่วงท่านอน ให้สะดวกสบายมากขึ้น เอนตัวผล็อยหลับไป

ห่างออกไปจากต้นไม้ใหญ่

ดาบสายลมพัดกระพือไหวไวว่อง การเคลื่อนไหวของมันราวกับหมอกควัน ทว่ายามปะทะหักล้างกลับคมกริบดั่งใบมีด

หวงซานและเฉินหยางทุ่มพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับการโจมตีของดาบสายลม

“เฉินหยาง ระวัง!” หวงซานตะโกนลั่น

พลางชักมีดสั้นมากุมขึ้นในมือ

ทันใดนั้นเอง ผืนดินพลันสาดแสงไสว ทะยานขึ้นมาจากพื้น แปรเปลี่ยนเป็นกำแพงดินหนาทึบขึ้นเบื้องหลังเฉินหยาง

อย่างไรก็ตาม กำแพงดินก็ยังมิอาจต้านทานดาบสายลมได้ เพียงลมหายใจเดียว มันก็ถูกสับป่นเป็นร่วนเหลว

แต่นับว่าโชคยังดี ที่ลมหายใจเดียวนั่นต่อโอกาสให้กับเฉินหยางได้สำเร็จ

พริบตานั้น เขาฉวยจังหวะพุ่งผ่านดาบสายลม ตรงเข้าหากู่ฉิงซานที่นอนอยู่บนต้นไม้ใหญ่!

“โห?”

มุมปากของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้นเล็กน้อย  ทว่ามือข้างหนึ่งของเขายังคงเล่นอยู่กับใบหยก

เมื่อเห็นว่าเฉินหยางกำลังใกล้เข้ามามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวก็ยังไม่คิดลืมตาตื่น

วินาทีนั้น คลื่นอัดอากาศจากปราณดาบพลันถูกปลดปล่อยออกมาจากเขา กวาดเป็นคลื่นปราณดาบ กวาดใส่เข้าหาเฉินหยางอย่างรุนแรง

“ช่วยสนับสนุนข้าด้วย!”

เฉินหยางตะโกนลั่น

หวงซานประกบสองมือขึ้นกุมมีดสั้นทันใด และจี้มันไปยังทิศทางเบื้องหน้าเฉินหยางที่ไกลออกไป

โครม!

กำแพงดินขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ขนาดยักษ์ผุดขึ้นมาบังหน้าเฉินหยางเอาไว้ ช่วยปกป้องเขา ให้สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของคลื่นปราณดาบได้อย่างสมบูรณ์

เฉินหยางกัดฟันกรอด ตั้งท่ากระโดดสูง เตรียมใช้ประโยชน์จากศักยภาพร่างกายตนพลิกสถานการณ์ พร้อมระเบิดการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของตัวเองออกมา

พริบตานั้นร่างเงามังกรดำพลันผุดขึ้นมาจากตัวเขา

‘เพลงหมัดเทพนักสู้ กำปั้นเงามังกรสุญญากาศ!’

เฉินหยางหวดเข้าใส่อากาศที่ว่างเปล่า

ช่วงเวลานั้น มังกรดำพลันอ้าปากร้องคำราม บินฉวัดเฉวียน แหวกอากาศตรงเข้าหากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานมิได้เล่นกับใบหยกอีกต่อไป

เขาลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง และกวาดไปทางมังกรดำ

ในม่านตาของเขา เงาดาบนับพันปรากฏขึ้น และหายวับไปอย่างกะทันหัน

นี่นับว่าเป็นฉากที่แปลกประหลาดยิ่งนัก

เพราะมันไม่มีใครเคยซ่อนเทคนิคดาบเอาไว้ในม่านตาดั่งเช่นเขามาก่อน

ตั้งแต่ที่เขาก้าวขึ้นไปถึงขอบเขตก้าวสู่เทพ เจ้าตัวก็สามารถเลื่อนระดับขึ้นมาเป็นนักดาบนิรันดร์ได้

และหลังจากที่ได้ยินคำสอนของอาจารย์เมื่อสองปีก่อน เขาก็ละพยายามในเรื่องที่มุ่งเน้นไปกับดาบบิน

แต่เขากำลังตั้งข้อสงสัยขึ้นมาแทน ว่าจะต้องทำอย่างไรกัน จึงจะสามารถเพิ่มพูนอำนาจของนักดาบนิรันดร์ให้ขึ้นสู่ขีดสุด เขากำลังเตรียมตัวสำหรับการบรรจบพลังเข้าด้วยกันหลังจากได้ขึ้นเป็นผู้สำเร็จในนักดาบนิรันดร์

ในช่วงเวลานั้นเอง สุดท้ายเขาก็ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์เดิมที่ตนเคยพบเผชิญกับ มังกร , กิเลน และหงส์ ที่ตนเพียงถูกพวกมัน ‘กวาดตามาจ้องมอง’ ก็โดนสังหารตกตายลง

นี่คล้ายกับเป็นตัวปลุกจินตนาการใหม่ๆ ขึ้น จากนั้น เขาจึงริเริ่มที่จะพยายามใช้พลังของนักดาบนิรันดร์ โดยการควบรวมปราณดาบเอาไว้ในดวงตาของตน

ด้วยวิธีนี้ มันไม่เพียงแต่จะทำให้สามารถใช้พลังของนักดาบนิรันดร์ได้ แต่ยังประสบความสำเร็จในการควบรวมพลังของมันให้บรรจบกันอีกด้วย

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าร่างเงาดาบจะมีกี่เล่มก็ตาม มันก็จะมาจากดาบที่บรรจบกันในดวงตาอยู่ดี

แต่ก็ต้องยอมรับว่าการโจมตีดังกล่าวนี้ มีข้อเสียอย่างใหญ่หลวง เมื่อเทียบกับการใช้ดาบบิน

นั่นคือดาบบินสามารถใช้เทคนิคดาบโจมตีแตกต่างกันออกไป ในขณะที่ดาบจากในดวงตาของเขาไม่สามารถหยิบยืมเทคนิคดาบใดๆ ออกไปโจมตี ดั่งเช่นดาบบินได้

ดังนั้น หลังจากที่กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมัน เขาจึงตัดสินใจเลือกให้การโจมตีโดยดาบจากในดวงตานี้ มุ่งเน้นไปทางด้านจิตเทวะแทน

ด้วยเหตุนี้เอง ส่งผลให้เมื่อเขาฝึกฝนมันจนเชี่ยวชาญ ก็สามารถใช้ดาบล่องหนเหล่านี้ฉวยเข้าโจมตีจิตเทวะของผู้อื่นได้

กู่ฉิงซานเรียกพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ว่า ‘หัวใจแห่งดาบ’

กระทั่งเซี่ยกู่หงส์ หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้แล้ว เขาก็ชื่นชมในตัวกู่ฉิงซานไม่หยุด และแสดงความยินดีกับกู่ฉิงซานที่สามารถค้นพบหนทางปีนป่ายขึ้นสู่สวรรค์ได้

ฟุบ!

ดาบสายลมอันรุนแรงโถมเข้าใส่มังกรดำ เฉินหยางที่ทะยานตัวสูงขึ้นจำต้องล่าถอยกลับมา สุดท้ายทิ้งห่างไปไกลกว่าหลายสิบเมตร จึงค่อยร่วงตกลงกับพื้นอย่างปลอดภัย

กู่ฉิงซานปรบมือของเขา ลุกขึ้นนั่งบนต้นไม้ “ยอดเยี่ยม พวกเจ้ารู้จักเรียนรู้ที่จะประสานงานกัน ยิ่งไปกว่านั้นกลยุทธ์ในการตอบโต้ก็ดีขึ้นมากนัก”

หวงซานกล่าวด้วยความผิดหวัง “แต่มันก็ยังทำได้เพียงบีบบังคับให้ท่านลืมตาได้เพียงแค่ข้างเดียว”

เฉินหยางได้รับแรงกระเทือนจนด้านชา เขาสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “เช่นนี้พวกเราก็มิแตกต่างไปจากเหล่าสาวกที่เคยคิดท้าทายศิษย์พี่เลยน่ะสิ ในเมื่อไม่ว่าจะทำอย่างไร พวกเราก็มิอาจต้านทานการโจมตีด้วยเจตดาบจากดงตาของท่านได้”

“เอาล่ะ เจ้าจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกสักทีเดียว” กู่ฉิงซานไม่เห็นด้วย “เพราะท้ายที่สุดนี้ พลังที่ข้าใช้ในวันนั้น กับที่ใช้กับพวกเจ้าในวันนี้ แม้จักเป็นการใช้เจตดาบจากตาข้างเดียวเช่นกัน แต่วันนี้ข้าใช้พลังของมันมากกว่าเดิมถึงสองเท่า”

เฉินหยางถาม “หากพวกเขาได้รับโอกาสเปิดการโจมตีร่วมกันเล่า? เหมือนดั่งข้ากับหวงซาน ท่านจะต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดกันจึงจะสามารถรับมือกับพวกเขาได้?”

“ก็คงต้องเร่งพลังใช้งานเป็นสามเท่า แต่พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ในฐานะที่พวกเราเป็นศิษย์ขุนเขาหลัก ไม่สมควรเอ่ยเทียบเปรียบศิษย์รุ่นเดียวกันเช่นนี้ วิสัยทัศน์ของเจ้าสมควรจะมองการณ์ไกลออกไปยิ่งกว่า” กู่ฉิงซานกล่าว

เฉินหยางรับคำ ถอนหายใจ “ไม่แปลกใจเลยที่ปรมาจารย์ขุนเขาหลายคนในที่แห่งนั้น มิกล้าเอ่ยคำใดออกมา”

หวงซาน “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านทำได้อย่างไร จึงสามารถเรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงเช่นนี้ได้?”

ได้ยินถึงคำถามนี้ กู่ฉิงซานก็ทอดถอนหายใจอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าเขาคล้ายจะย้อนนึกไปถึงอดีตที่แสนน่าหวาดกลัว จึงสั่นศีรษะ “เอาไว้เมื่อเจ้าพบเจอกับความตายหลายๆครั้งเข้า เจ้าก็จะล่วงรู้เอง”

หวงซานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ฮ่า! ศิษย์พี่ใหญ่พูดราวกับว่าท่านตกตายมาแล้วหลายครั้งเลย มันช่างฟังดูเป็นเรื่องที่น่าขบขันจริงๆ”

กู่ฉิงซานปรบมือของเขา สลายความคิดนี้ทิ้งไป และกระโดดลงจากต้นไม้

เมื่อการฝึกฝนของสองศิษย์น้องมันดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ได้เวลาที่เขาจะต้องทำเรื่องอื่นเสียที

เพราะเมื่อครู่นี้

ที่เขานอนอยู่บนกิ่งไม้ อ่านใบหยก และสอนสั่งศิษย์น้องไปพร้อมๆ กัน

นั่นนับว่าเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายมากที่สุดแล้ว

การสนทนาในวันนี้ได้จบสิ้นลง

ต่อไป เขายังมีสิ่งอื่นที่ต้องกระทำ

เนื่องจากร่างกายของศิษย์น้องทั้งสองยังคงเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากการฝึกฝนอย่างหนักของพวกเขา ดังนั้นจำเป็นต้องมี ‘โภชนา’ ที่ดี

กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “วัตถุดิบอาหารของข้าหมดเกลี้ยงแล้ว ดังนั้นข้าจะไปยังขุนเขากระเรียนเทา เพื่อเลือกวัตถุดิบบางอย่างมาปรุงอาหารวิญญาณให้พวกเจ้ากินในตอนเย็น”

“โอ้ว!”

แววตาของหวงซานและเฉินหยางเปล่งประกายขึ้นทันใด

เพราะฝีมืออาหารวิญญาณของศิษย์พี่ใหญ่ช่างยอดเยี่ยมนัก ชนิดที่ว่าหากได้จับตะเกียบแล้ว จะวางไม่ลงเลย

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าอยากจะกินกระดูกหมูหม้อไฟเป็นมื้อเย็น” หวงซานกล่าวจริงจัง

“ส่วนข้าอยากจะกินบะหมี่คั่วปรุงน้ำจิ้มเผ็ด และต้องไม่ลืมใส่ไข่เพิ่มเข้าไปอีกฟอง” เฉินหยางขอบ้าง

กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่เหลียวหันกลับมามอง “พวกเจ้าจงตั้งใจฝึกฝนไป หากข้ากลับมา แล้วพบว่ามีผู้ใดขี้เกียจ วันนี้จักไม่มีมื้ออาหารเย็นให้พวกเจ้ากิน”

ว่าจบ เขาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บินไปในทิศทางที่ตั้งของขุนเขากระเรียนเทา

ณ ขุนเขากระเรียนเทา

“คำนับศิษย์พี่ใหญ่!”

“อืม สวัสดี”

“คำนับศิษย์พี่ใหญ่!!”

“อืม สวัสดีๆ”

“คำนับศิษย์พี่ใหญ่!!!”

“…เออ รู้แล้ว”

ไม่ว่ากู่ฉิงซานจะเดินไปที่ใด สาวกที่พบปะเขาระหว่างทาง ก็ล้วนยกมือขึ้นก้มหัวคำนับ

ด้วยการตักเตือนและคำอธิบายของผู้ฝึกยุทธระดับสูงจากยอดเขาต่างๆ ทุกคนจึงค่อยเข้าใจว่า สิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่สำแดงออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ มันเป็นความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวมากขนาดไหน

ผู้คนมักจะเคารพในความแข็งแกร่ง และสิ่งนี้ย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยใดๆ

ดังนั้น เมื่อเหล่าสาวกได้รับรู้ถึงพลังของกู่ฉิงซาน ทัศนคติที่มีต่อเขาจึงเปลี่ยนไป

เมื่อได้ยินข่าวว่ากู่ฉิงซานมาที่นี่เพื่อตามหาวัตถุดิบ และเครื่องปรุงต่างๆ สาวกจำนวนมากจึงต่างอาสาเป็นคนออกไปค้นหา พวกเขาวิ่งกลับไปกลับมา คาดว่าไม่นานก็ได้ทุกชนิดของวัตถุดิบที่ต้องการ

ตรงกันข้าม เป็นกู่ฉิงซานที่เฝ้ารออยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย

เขาจึงเลือกออกไปเดินเล่นบนภูเขา กวาดสายตามองวิวทิวทัศน์ เพื่อเตรียมรอรับของ

แต่ในเวลานั้นเอง สาวกหญิงคนหนึ่งก็ได้เดินสวนเข้ามา

“ศิษย์พี่…กู่” หญิงสาวกล่าวด้วยความเขินอาย

“ว่าไง มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

หญิงสาวคนนั้นมิได้เอ่ยคำใด เธอเพียงยัดยันต์สื่อสารให้เขา และหันหลังวิ่งหนีไป

กู่ฉิงซานก้มลงมองยันต์สื่อสารในมือ ค่อนข้างนานมิรู้ว่าควรจะเอ่ยคำใดดี

หลังจากนั้นอีกไม่กี่ลมหายใจ

 สาวกหญิงอีกคนก็ ร่อนลงมาจากมวลเมฆ บรรจงวางใบหยกลงในมือของเขาและ-

ฟิ้ว!

 สาวกหญิงทะยานตัวสูงขึ้น และบินหนีหายไป

กู่ฉิงซานมองใบหยกในมือ สลับกับมองรูปร่างอันงดงามที่บินหนีหายไปบนท้องฟ้า ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรออกมาดี

มันเป็นความจริงที่ว่าตนมิได้มีความตั้งใจคิดจะเฟ้นหาสหายเต๋าคู่ฝึกยุทธที่นี่

อย่างไรก็ตาม จากมุมมองการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และวิธีการสื่อสารของผู้ฝึกยุทธโบราณ กระทำกันแบบนี้มันก็แปลกเกินไป

สำหรับ สาวกหญิงคนแรก อย่างน้อยเธอยังเรียกชื่อของเขา ก่อนจะวิ่งหนีไป ในขณะที่คนที่สองมิได้เอ่ยคำใด เพียงหย่อนใบหยกลง แล้วหนีหายไปเลยนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

หากเป็นในกรณีที่ต้องเลือก ยังคงเป็น สาวกหญิงคนแรกที่สุภาพมากกว่า

กู่ฉิงซานก้มลงมองยันต์สื่อสาร

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็เข้าใจถึงเจตนาของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

นั่นเพราะด้วยยันต์สื่อสาร มันสามารถใช้บอกเล่าคำที่ต้องการมากมายออกมาได้โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยจากปากด้วยตนเอง อย่างน้อยวิธีการนี้ก็สามารถใช้หลีกเลี่ยงความเขินอาย ในช่วงแรกที่แต่ละฝ่ายพึ่งรู้จักกันและกันได้

อืม…ช่างเป็นวิธีที่ชาญฉลาดและแยบคายจริงๆ

กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความชื่นชม และอดไม่ได้ต้องมองใบหยกในมือของเขาอีกครั้ง

ส่วนเจ้าของใบหยกนี่ จากไปโดยไม่พูดอะไรเลย

เช่นนั้นมีสิ่งใดอยู่ภายในนี้กันแน่หนอ?

ว่าแล้วก็ไม่รอช้า เขากวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป

ในใบหยก แท้จริงแล้วปรากฏแสงสว่างวาบเป็นฉากภาพ

อืม…

อู้ว …

ท่วงท่าแบบนี้มัน …

เสียงแบบนี้มัน …

อืม…ของโคตรดี

………………..

Related

เจ้าตัวประสานกำปั้นเข้าหากัน ปากเอ่ยวาจาลั่น “ศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกาย กู่ฉิงซาน ข้าคือสาวกนักสู้อันดับหนึ่งแห่งขุนเขารุ่งอรุณโบราณ ขอเอ่ยท้าประลองกับท่านที่นี่ กล้ายอมรับหรือไม่!”

กู่ฉิงซานมิตอบคำใด เพียงใช้หางตาเหลือบแลอีกฝ่ายวูบหนึ่ง

วินาทีเดียวกันนั้นเอง คล้ายดั่งมีบางสิ่งตัดผ่านอากาศ ม่านตาดำของสาวกนักสู้อันดับหนึ่งพลันกลอกกลิ้ง มันไหลหงายขึ้นไปเบื้องบน ตลอดทั้งดวงตากลายเป็นขาวโพลน ร่วงลงกับพื้น สิ้นสติไป

อาวุโสคนหนึ่งโฉบกายเข้ามา ย่อตัวลงตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด

“ไม่เป็นอะไร แค่เพียงมิอาจคงจิตเทวะเอาไว้ได้ จึงหมดสติไปครู่หนึ่ง” เขาหันไปบอกรอบๆ

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดจึงค่อยคลายใจลง

ในเวลานี้ วิสัยทัศน์ของเหล่าปรมาจารย์ขุนเขาที่มองมายังกู่ฉิงซานพลันแปรเปลี่ยนไปจากเดิม

นั่นเพราะพวกเขาพรั่งพร้อมไปด้วยความรู้ มากไปด้วยประสบการณ์ ฉะนั้นจึงสามารถจับกระแสเจตดาบล่องหนที่ซ่อนอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่าได้

มีเฉพาะเพียงเหล่าบรรดาสาวกของขุนเขาต่างๆ เท่านั้น ที่ยังคงไม่ทราบเรื่องราว และไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

กู่ฉิงซานหันไปมองเซี่ยกู่หงส์

เซี่ยกู่หงส์เพียงปิดปากเงียบ

กู่ฉิงซานจึงแสร้งไอ และป่าวประกาศด้วยน้ำเสียงสงบและเชื่องช้า “พิธีรับศิษย์ของปรมาจารย์วัง ถือเป็นหนึ่งในหกพิธีศักดิ์สิทธิ์ของนิกาย ดังนั้นตามกฎของนิกายแล้ว ภายในวันพิธีจึงไม่สมควรเกิดความขัดแย้งใดๆ ทว่าเนื่องจากนี่เป็นเพียงความผิดครั้งแรกของเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหตุผล ดังนั้นบทลงโทษที่เขาสมควรจะได้รับก็คือ การหันหน้าชนเข้ากับกำแพงเป็นเวลาสามเดือน มีสมาธิอยู่กับตนเอง สำนึกถึงความผิดที่ตนกระทำ…ใครก็ได้ ช่วยมาพาตัวเขาออกไปที!”

สองผู้ฝึกยุทธบังคับกฎก้าวออกมา และอุ้มตัวสาวกนักสู้อันดับหนึ่งจากไป

ในเวลานี้ เหล่าสาวกที่ยังคงเฝ้าชมยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่

สิ่งที่พึ่งจะเกิดขึ้นในเวลานี้ มันน่าเหลือเชื่อเกินไป เหล่าสาวกไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นกระบวนท่าอะไรแบบนี้ในโลกมาก่อนเลย

แต่นั่นเป็นเพราะขอบเขตของพวกเขายังคงตื้นเขินมากเกินไป ดังนั้นจึงมิอาจทราบได้ว่าเจตดาบล่องหนที่ฟาดฟันไปในอากาศเมื่อครู่ น่าหวาดกลัวเพียงใด

ในสายตาของพวกเขา เห็นแค่เพียงสาวกคนหนึ่งกำลังเตรียมท้าประลอง ร่วงตกลงกับพื้น

จากนั้นกู่ฉิงซานก็ป่าวประกาศมอบบทลงโทษ

นี่อย่าบอกนะ…

เห็นได้ชัดว่า นี่อาจเป็นหนึ่งในวิชายุทธชั้นสูงของอาวุโสคนหนึ่ง ที่ทำให้เขาล้มลงทันทีเมื่อเอ่ยปากท้าประลองใช่หรือไม่?

เพราะมันคงจะเป็นไปไม่ได้ ที่ชายผู้กระโจนออกไปท้าประลอง จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับกู่ฉิงซาน แสร้งทำเป็นถูกกู่ฉิงซานโจมตีกะทันหันเพื่อสร้างชื่อเสียงต่อหน้าธารกำนัล?

หรือว่าจะเป็นอีกกรณีหนึ่ง อย่างเช่นอาจมีศิษย์พี่ในนิกายคนใดแอบช่วยลอบโจมตีอย่างลับๆ ใช่หรือไม่?

พอคิดถึงจุดนี้ ความโกรธเกรี้ยว และความไม่พอใจของสาวกก็ยิ่งทวีมากขึ้น

เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของนิกาย แต่กลับได้ขอความช่วยเหลือจากระดับอาวุโสอย่างกะทันหัน!

หากเป็นเช่นนี้แล้ว ในอนาคตยังมีผู้ใดอีกที่ยินยอมจะฟังคำของเขา?

เหล่าสาวกจากขุนเขาเมฆาพยศเหลือบมองกันและกัน ต่างฝ่ายต่างพยักหน้าอย่างเงียบๆ

แล้วทั้งหมดก็ถลันกาย บินไปยังเกาะกลางน้ำ

หลายสิบผู้ฝึกยุทธนักสู้จากขุนเขารุ่งอรุณโบราณเองก็ไม่น้อยหน้า กวาดผ่านผืนฟ้า ร่อนลงมายังเกาะกลางเช่นกัน

ร่างของเหล่าสาวกขุนเขาสดับวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นหมอกหนา เคลื่อนไปปรากฏกายขึ้นพร้อมกันอีกครั้งใจกลางเกาะ

สาวกจากขุนเขาวารีกระจ่างโต้คลื่นผ่านธารน้ำ ถึงฝั่งพลางดีดตัวขึ้นมาหยั่งเท้าบนเกาะ

สาวกที่มีจำนวนน้อยนิดยิ่งจากขุนเขาทำนองเสนาะก็ไม่มีละเว้น แม้ทางฝั่งนี้จะไม่มีท่วงท่าหวือหวาเช่นสาวกจากขุนเขาอื่นๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ทั้งหมดต่างพากันยกเครื่องดนตรีประจำตนออกมา คล้ายเตรียมพร้อมบรรเลงสนับสนุนสาวกจากขุนเขาที่เหลือ

กล่าวได้ว่าสาวกจากทั้งหกขุนเขา บัดนี้สามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน หมายโค่นล้มความอยุติธรรมเบื้องหน้าเพียงหนึ่งเดียวลง!

ทั้งหมดล้วนเพิกเฉยต่อสีหน้าของเหล่าปรมาจารย์ประจำขุนเขาตน ปากอ้าตะโกนลั่น “ศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกาย กู่ฉิงซาน ข้าและผองเพื่อนร้องขอท้าประลองกับท่าน!”

กู่ฉิงซานมองผู้คนทั้งหมด อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

เจ้าพวกนี้มันยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย เลือดร้อนกันจริงๆ แต่ถ้าให้เขาจัดการทีละคน แบบนี้มันก็เสียเวลาอันมีค่ากันพอดี

คิดจบ เจ้าตัวก็กวาดสายตามองฝูงชนทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นสาวกจากขุนเขาใด จะใกล้จะไกลเพียงใด ขอเพียงวิสัยทัศน์ของเขากวาดมองผ่านไป เจตดาบที่มองไม่เห็นก็ฟันฉับ! ทำร้ายจิตเทวะของเหล่าวัยรุ่นทั้งหมดได้อย่างง่าย

เหล่าสาวกพลันรู้สึกคล้ายสมองกลายเป็นว่างเปล่า วิสัยทัศน์เริ่มขาวโพลน ทรุดลงกับพื้น และไม่รับรู้อะไรอีกเลย

เพียงลมหายใจเดียว

บรรยากาศเดือดพล่านเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นสงบสุข

ฝูงชนที่เหลือต่างมองดูกู่ฉิงซานราวกับว่ากำลังมองสัตว์ประหลาด

กู่ฉิงซานก้มลงมองเหล่าสาวกที่สิ้นสติลงกับพื้น ส่ายศีรษะและกล่าว “พวกเขาทั้งหมดถูกลงโทษหันหน้าชนเข้ากับกำแพง นั่งสำนึกตนเป็นเวลาสามเดือน และหากมีใครกล้าสร้างความวุ่นวายอีกครั้ง คนผู้นั้นจะถูกทำลายฐานวรยุทธ์ และขับไล่ออกจากนิกายทันที…ท่านอาจารย์มีข้อโต้แย้งใดๆ หรือไม่?”

เซี่ยกู่หงส์ “เอาตามเจ้าว่าเลย”

“ขอรับ” กู่ฉิงซานรับคำ

“ฉิงซาน ในเมื่อจบเรื่องนี้แล้ว เจ้าก็จงพาศิษย์น้องทั้งสองกลับไปยังขุนเขาหลักก่อนเถิด แล้วข้าจะตามไปในภายหลัง”

กู่ฉิงซานจึงค่อยพาหวงซานกับเฉินหยาง เดินทางกลับไปยังขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

ในเวลานี้ บนเกาะเหลือแค่เพียงปรมาจารย์วัง ปรมาจารย์จากขุนเขาต่างๆ และบรรดาเหล่าอาวุโส

ทว่าไม่มีใครเอ่ยคำใด

เซี่ยกู่หงส์หันไปมองรอบๆ เริ่มกระแอมไอ “อะแฮ่ม ข้าได้ยินมาว่าปรมาจารย์ขุนเขาบางท่าน มีข้อตำหนิเกี่ยวกับวิธีการสอนสั่งศิษย์ของข้าใช่หรือไม่?”

เหล่าผู้ฝึกยุทธยังคงเงียบ

เซี่ยกู่หงส์กล่าวเสียงอบอุ่น “ในฐานะปรมาจารย์ขุนเขา และผู้อาวุโส หากเมื่อใดที่มีเวลาว่างเว้น ขอจงอาศัยช่วงเวลานั้นสอนสั่งลูกศิษย์ของพวกเจ้าให้จงดี ย้ำเตือนให้พวกเขาอย่าได้ประมาท และไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน ที่สำคัญจงอย่าละเมิดกฎของนิกาย ให้สังเกตความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน อย่าห้าวก้าวออกมาข้างหน้าโดยไม่ยั้งคิด มิฉะนั้นจะสิ้นสติ ได้รับบทสรุปลงเช่นนี้”

ทว่ากลับยังไม่มีใครตอบรับคำเขา

เซี่ยกู่หงส์ถอนหายใจ “หลายร้อยปีมาแล้วที่การฝึกยุทธของพวกเจ้าล้าหลังข้า ฉะนั้นในอีกหลายร้อยปีต่อจากนี้ ก็ขออย่าให้ศิษย์ของเจ้าเป็นเช่นเดียวกันอีกเลย ไปสอนสั่งพวกเขาให้ดี เรื่องราวในครั้งนี้ข้าจะไม่ใส่ใจ ลาล่ะ!”

ว่าจบเขาก็วาดแขนออก ทั้งคนทั้งร่างทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า หายวับไปในเมฆหมอกสีขาวอย่างรวดเร็ว

ทว่าบนเกาะ ก็ยังไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด แต่บรรยากาศคล้ายหดหู่ลงไปมาก

ณ ขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

ศิษย์ทั้งสามเดินเข้ามาในห้องโถงหลักของขุนเขา แยกกันนั่งลง และเริ่มสนทนา

พวกเขาต้องรอให้ท่านปรมาจารย์วังกลับมาเสียก่อน จึงจะสามารถจัดการกับปัญหาแบบเฉพาะเจาะจงได้

หวงซานมองตรงมายังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านทรงพลังถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”

กู่ฉิงซานกล่าว “ตราบใดที่พวกเจ้าฝึกยุทธกันอย่างจริงจัง ไม่ช้าก็เร็วย่อมสามารถแข็งแกร่งเช่นเดียวกันกับข้าได้”

หวงซาน “แต่เพียงปัจจุบันนี้ข้าก็ฝึกยุทธอย่างจริงจังมากแล้ว หากไม่นับรวมงานเทศกาล หรืองานเลี้ยงประจำขุนเขา นอกเหนือไปจากนั้นข้าก็แทบฝึกยุทธตลอดเวลาเลย”

กู่ฉิงซาน “อย่างงั้นหรือ ส่วนข้า ข้าฝึกฝนอยู่ในหุบเหวแห่งดาบมาตลอดทั้งเจ็ดปี นอกเหนือไปจากช่วงเวลาออกไปตามหาใบหยกหรือวัตถุดิบจากขุนเขาอื่นๆ ข้าก็ไม่เคยออกไปที่ใดอีกเลย”

หวงซานกับเฉินหยางเดิมกำลังยิ้มแย้ม ทว่าเมื่อได้รับฟังพวกเขาก็ต้องสูดหายใจลึก

นั่นเพราะการฝึกยุทธอย่างหนักหน่วงเช่นนั้น มันเกินกว่าจินตนาการ และความรู้ความเข้าใจของพวกเขา

ในโลกนี้มีชายที่สามารถบังคับตัวเองให้ทำแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเดียว โดยไม่สนใจอย่างอื่นได้จริงๆ น่ะหรือ?

แต่พวกเขาไม่ทราบเลย ว่าแท้จริงแล้วกู่ฉิงซานใช้เวลาหลายปีนัก กว่าที่เขาจะกลับมาถึงขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าดังเดิม กล่าวได้ว่ามันเป็นไปอย่างเชื่องช้ามากๆ

ทว่าในครั้งนี้ ที่มันเชื่องช้านั่นเพราะกู่ฉิงซานจงใจ

อย่างแรก เป็นเพราะเขามีเวลาเหลือเฟือ

อีกอย่างก็คือ หากสำแดงพรสวรรค์มากเกินไป มันอาจได้รับผลกระทบตามมา

เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะในยุคอดีตหรือปัจจุบัน กฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และโลกก็เหมือนๆ กัน หากตัวเขาฝึกยุทธได้รวดเร็วเกินไป ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยกู่หงส์ มันอาจจะไปสะกิดความสงสัยของฝ่ายตรงข้ามเอาก็ได้

ดังนั้น กู่ฉิงซานที่อยู่ในสถานะก้าวล้ำไปไกล จึงพยายามทำตนให้แลดูธรรมดา ชนิดที่ว่าหากตนกำลังพิจารณาตัวเองอยู่ในขณะนี้ จักสัมผัสได้เลยว่าการแสดงนี้ช่างไร้ที่ติ!

ในเวลานั้นเอง เซี่ยกู่หงส์ที่กำลังมีสีหน้าดูสบายใจสบายใจก็ย้อนกลับมายังขุนเขาหลัก

แล้วเขาก็เริ่มสั่งการทันที

“ฉิงซาน นับตั้งแต่วันนี้ เมื่อเจ้าได้เปิดเผยฐานวรยุทธ์แล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องคอยปกปิดมันอีกต่อไป”

“ฉิงซาน ขอบเขตของเจ้าได้ทะลุเกินกว่าผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันไปกว่าสี่ถึงห้าขั้นแล้ว ดังนั้น หากเจ้าคิดจะชี้แนะการฝึกยุทธ สั่งสอนศิษย์น้องทั้งสอง เพียงเท่านี้ก็นับว่ามากพอ”

ว่าจบ ใบหยกก็ถูกโยนมาให้เขา

กู่ฉิงซานรับมันไว้

“นี่คือใบหยกผู้นำนิกาย ในช่วงเวลาที่ข้าไม่อยู่ เจ้าสามารถใช้ใบหยกของข้า เพื่อไปยังแต่ละขุนเขา สามารถร้องขอเทคนิคฝึกยุทธ และวัสดุต่างๆ ที่จำเป็นแก่สองศิษย์น้องได้ตามต้องการ”

“ขอรับอาจารย์ ว่าแต่ท่านจะไปที่ใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เซี่ยกู่หงส์ “ข้าจะต้องไปแนวหน้า เจ้าก็รู้ว่าที่นั่นมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น ฉะนั้นข้าจำต้องไปสำรวจด้วยตัวเอง จึงจะสามารถเข้าใจข้อมูลเท็จจริงได้”

สุดท้าย เขากระตุ้นเตือนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “จงสอนสั่งศิษย์น้องทั้งสองของเจ้าให้ดี”

“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์!” กู่ฉิงซานปรับทัศนคติเป็นจริงจัง ประสานมือคารวะ

เซี่ยกู่หงส์พยักหน้าด้วยความพอใจ

เขาเอ่ยลงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ กับหวงซานและเฉินหยาง

เมื่อทุกอย่างได้รับการบอกต่ออย่างเหมาะสม เซี่ยกู่หวงก็หายวับไปจากห้องโถงใหญ่

หลังจากที่อาจารย์ได้ออกไป กู่ฉิงซานก็นำทางหวงซานกับเฉินหยางมายังหุบเหวแห่งดาบด้วยกัน

หุบเหวแห่งดาบแท้จริงแล้วอยู่ในหุบเขา แต่หากต้องการเดินลึกไปกว่านี้ จำเป็นต้องผ่านม่านค่ายกล ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ กว่าหลายร้อยจั่ง ลึกเข้าไปภายในภูเขา จากนั้นก็จะมาถึงหุบเหวแห่งดาบในที่สุด

กู่ฉิงซานยืนอยู่ข้างนอกหุบเหว และชี้ไปยังห้องฝึกยุทธสองห้องที่อยู่ใกล้ๆ

“ท่านอาจารย์กับข้าได้ร่วมกันคิด และจัดวางสถานที่ฝึกยุทธสองแห่งไว้นอกหุบเหวแห่งดาบ หนึ่งเหมาะสมกับการฝึกฝนเทคนิคมนตรา อีกหนึ่งเหมาะสมสำหรับฝึกยุทธนักสู้ นี่คือสถานที่ให้พวกเราสามศิษย์ฝึกยุทธร่วมกัน”

หวงซานกับเฉินหยางพยักหน้ารับคำ

กู่ฉิงซานปรบมือ “เอาล่ะ อันดับแรกพวกเจ้าก็ไปฝึกยุทธกันได้แล้ว หากมีอะไรที่ต้องการหรืออะไรที่ไม่เข้าใจ ก็ขอให้มาหาข้า ตอนนี้ข้าขอตัวไปฝึกยุทธต่อละ”

หวงซานกับเฉินหยางมองหน้ากันและกันด้วยความสับสน

ก็พวกเขาพึ่งจะได้ขึ้นมายังขุนเขาหลัก จะไม่ให้ทำอะไรอย่างอื่น แล้วเริ่มฝึกยุทธเลยหรือ?

กู่ฉิงซานกล่าวเสริม “ในวันต่อไป ข้าจะเริ่มทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเจ้า แล้วช่วยคิดหาวิธีการช่วยฝึกยุทธที่ดียิ่งขึ้นให้”

หวงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุใดจึงต้องเป็นวันพรุ่งด้วยเล่า?”

กู่ฉิงซานกล่าวขออภัย “นั่นเป็นเพราะพิธีในวันนี้ ทำให้ข้าอ่านตำราดาบไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น หัวใจข้าคล้ายรู้สึกแขวนอยู่กลางอากาศ มันหนักอึ้งไม่สบายใจหากไม่อ่านให้จบลงภายในวันนี้ ดังนั้นข้าจึงจำต้องขอใช้เวลาสักหนึ่งวัน ค่อยคิดหาทางช่วยเหลือพวกเจ้า”

คราวนี้เป็นเฉินหยางบ้างที่ต้องถาม “แต่ศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่พาพวกเราไปหาที่พักเลยนะ หากไม่ทราบที่พัก พวกเราก็มิอาจมองหาที่ซุกหัวนอนได้น่ะสิ”

กู่ฉิงซานตกใจเล็กน้อย สุดท้ายกล่าว “หากเจ้าเหนื่อย เจ้าสามารถนอนพักในห้องฝึกยุทธได้เลย”

เฉินหยางหุบปากลงทันที พยายามย่อยความหมายของประโยคนี้

หวงซานคิดอย่างรอบคอบ เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “แล้วที่พักของศิษย์พี่ใหญ่เล่า ท่านอาจารย์ไม่เคยจัดที่พักให้ท่านเลยหรือ?”

กู่ฉิงซานกล่าว “อ้อ นั่นมันลำบากมากเกินไปน่ะสิ ข้าเลยเลือกที่จะอาศัยอยู่ในหุบเหวแห่งดาบ เพราะสามารถฝึกยุทธเวลาใดก็ได้ เหนื่อนักก็นั่งพักทำสมาธิในจุดนั้น กำลังวังชากลับมาก็ค่อยดำเนินการฝึกยุทธต่อ กระทำเช่นนี้นับว่าเป็นการประหยัดเวลาเป็นอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์เองภายหลังก็คิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

เฉินหยางพอได้ฟังก็ร้องอุทาน “ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าบอกนะว่าท่านหมกตัวในหุบเหวแห่งดาบมาตลอดทั้งเจ็ดปีเลย?”

“อันที่จริง เจ็ดปีกับอีกแปดวัน” กู่ฉิงซานกล่าว

หวงซานกับเฉินหยางหันหน้าของพวกเขา มองไปยังทิศทางหุบเหว

ลึกเข้าไปในหุบเหว มันไม่มีสิ่งใด นอกเหนือไปจากทะเลดาบอันกว้างใหญ่ และใบหยกกองรวมกันเป็นภูเขาแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งใดอีกเลย

ศิษย์พี่ใหญ่ต้องอยู่ภายในนั้นตลอดเวลาเจ็ดปี นอกเหนือไปจากฝึกยุทธ ก็ไม่ทำสิ่งใดอีกเลย …

กู่ฉิงซานกล่าว “เอาล่ะ พวกเจ้าไปฝึกยุทธกันได้แล้ว ส่วนข้าจะขอไปตริตรอง ถอดใจความตำราดาบนี้ อีกหนึ่งวันให้หลังค่อยว่ากันใหม่”

จากนั้น เขาก็เดินไปยังทิศทางหุบเหว

“ศิษย์พี่ใหญ่ ช้าก่อน!” เฉินหยางตะโกน

กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้า หันกลับมาถาม “ยังมีสิ่งใดอีก?”

เฉินหยางสูดลมหายใจลึก เอ่ยอย่างมิอาจทำความเข้าใจได้ “ในเมื่อฐานวรยุทธ์ของศิษย์พี่ใหญ่เหนือล้ำกว่ารุ่นเดียวกันไปมากโขแล้ว เรียกได้เลยว่าเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นเดียวกัน เหตุใดจึงยังต้องทุ่มเทฝึกยุทธอย่างหนักถึงเพียงนี้?”

พอได้ยินคำถามนี้ กู่ฉิงซานก็ยิ้มออกมา

“เอาเถอะ ข้าจะสอนบทเรียนแรกของเจ้าในฐานะอาจารย์ชั่วคราวก็แล้วกัน” เขากล่าว

หวงซานกับเฉินหยางประสานกำปั้นพร้อมกัน คารวะเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพลึก “ศิษย์พี่ใหญ่โปรดให้ความกระจ่างด้วย”

กู่ฉิงซานยืนอยู่ที่นั่น นิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง

เขาเอ่ยปากถามขึ้นอย่างฉับพลัน “เจ้าทราบอะไรเกี่ยวกับแนวหน้าหรือไม่?”

ดวงตาของหวงซานแสดงออกถึงร่องรอยของความหวาดกลัว เขาลดเสียงลง “ข้าได้ยินมาว่า สงครามร้ายแรงนัก เทพวิญญาณเองก็หายตัวไป จากการสรุปเบื้องต้น คาดว่าอาจถูกมอนสเตอร์จากบรรพกาลสังหารลงไปแล้ว”

เฉินหยางกล่าวด้วย “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เทพวิญญาณตกตายลงอย่างเปิดเผย และตอนนี้ดูเหมือนว่านิกายสำคัญๆ ก็กำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง ช่วงเวลานี้เป็นเรื่องที่น่าหวาดวิตกยิ่ง มันเกือบจะทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในความกังวล ดังนั้น ท่านอาจารย์จึงจำต้องออกไปยังแนวหน้า เพื่อตรวจสอบหาความจริง”

“และไม่ว่าจุดจบของเรื่องราวนี้ ที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกเกี่ยวกับพวกเจ้าก็คือ”

เขาก้าวออกมาข้างหน้า ตบไหลของสองศิษย์น้องและกล่าว “หากเป็นไปได้ เจ้าจงลองจินตนาการดูว่าในอีกสิบปีของหน้า เทพวิญญาณจะพ่ายแพ้ให้กับโลกบรรพกาลอย่างกะทันหัน ขณะเดียวกันเทพวิญญาณองค์อื่นๆ ก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้เลย สมาชิกในครอบครัวของเจ้าถูกสังหารจนสิ้นโดยมอนสเตอร์ ขณะเดียวกันทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่ดีของเจ้าก็ล้วนถูกสังหารสิ้น หญิงที่ชอบก็ถูกมอนสเตอร์จับกินเป็นอาหาร ยามนั้นเจ้าต้องการคิดแก้แค้น ทว่ากลับไม่อาจค้นพบหนใด เนื่องเพราะฐานวรยุทธ์ของเจ้าต่ำเตี้ยเกินไป ความแข็งแกร่งที่ไม่มากพอ ไม่นับเป็นสิ่งใด เจ้าจึงทำได้เพียงวิ่งเข้าปะทะหักสู้ หัวเราะต่อหน้าความตาย สุดท้ายโชคชะตาก็จบสิ้น ถูกมอนสเตอร์สักตนใดตนหนึ่งสังหารลงในที่สุด”

กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ กล่าวต่อ “และในช่วงเวลาที่เจ้าสิ้นใจ จู่ๆ ก็มีบางคนกล่าวว่าเจ้าจักสามารถฟื้นคืนกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง โดยการถูกส่งข้ามกาลเวลา ย้อนกลับไปจุติเมื่อช่วงเวลา สิบปีที่ผ่านมา โอกาสที่ว่านี้อยู่เบื้องหน้า ขณะที่เจ้าค้นพบว่าตนเองพึ่งคารวะอาจารย์ และกำลังยืนฟังข้าพูดอยู่”

“เจ้าได้รับโอกาสที่จะทำมันอีกครั้ง”

“ได้ยินแบบนี้แล้ว ไหนลองบอกข้าสิ ว่าเจ้าตั้งใจจะใช้ช่วงเวลาชีวิตที่ได้มาใหม่นี่อย่างไร?”

………………………

Related

แม้ว่าเซี่ยกู่หงส์จะบอกให้กู่ฉิงซานใช้ระยะเวลากว่าสามปี เก็บตัวฝึกฝนทักษะดาบ แต่เรื่องราวต่างๆ บ่อยครั้งมักจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ

สองปีได้ผ่านพ้นไป

ในวันนี้

กู่ฉิงซานยังคงนั่งอยู่ท่ามกลางกองภูเขาใบหยกเช่นเดิม

โดยมีดาบยาววางอยู่ข้างกายเขา

นี่เป็นดาบยาวทั่วๆ ไปของนิกาย แต่เซี่ยกู่หงส์มอบมันให้แก่เขาเพื่ออำนวยความสะดวกในการฝึกฝน

แม้ในมือกุมใบหยก ทว่ากู่ฉิงซานกลับไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะฝึกฝนทักษะดาบชั่วคราว

ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้นับว่าพานพบได้ยากเย็นนัก แต่ในเวลานี้กู่ฉิงซานกลับกำลังเกิดความสับสน

เพราะในอดีตที่ผ่านมา เต่ายักษ์ได้ส่งเขามาที่นี่

สถานที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กู่ฉิงซานค่อยๆ ตระหนักถึงคำพูดของเต่าที่บอกว่า

“นี่เป็นเพียงภาพทับซ้อนในสมัยโบราณ แต่กฎเกณฑ์แห่งโลกย่อมเชื่อมโยงถึงกัน”

วันเดือนปีที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่กู่ฉิงซานกำลังจะตัดผ่านฐานวรยุทธ์ ฟ้าดินจะรับรู้ ทัณฑ์สวรรค์จักมาเยือน

และสิ่งมีชีวิตในยุคโบราณเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ปีศาจ หรือราชาภูต ก็ล้วนไม่ง่ายที่จะพูดคุย

อีกอย่าง เพราะต่างฝ่าย ต่างก็ไม่รู้จักกัน

จนในที่สุด กู่ฉิงซานก็มิอาจปั้นหน้ายิ้มที่ดูน่ารักและเป็นมิตรได้อีกต่อไป

เขาระเบิดการโจมตีอย่างฉับพลัน ฆ่าสังหารอย่างโหดเหี้ยม

อืม…

และคิดว่ามันน่าจะโหดเหี้ยมเกินไปหน่อย

ผลลัพธ์ที่ได้ก็เลยเป็น -เหล่ากษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผี  ต่างแสดงท่าทีพลิกตลบ กลายเป็นเชื่อฟังและว่าง่าย

ในเวลานั้น ทัณฑ์สวรรค์เกือบจะสิ้นสุดลงแล้ว แถมกู่ฉิงซานยังเหน็ดเหนื่อยกับการฆ่า ประจวบกับมอนสเตอร์เหล่านี้ไม่เคยพูดคุยติดต่อกับผู้คนมาก่อนเลยในช่วงนานปี เขาจึงเริ่มเป็นฝ่ายสนทนากับพวกมันอีกครั้ง

แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็กลายเป็นสหายกัน!

ทัณฑ์สวรรค์ยุติลงในที่สุด

ทุกคนเริ่มบอกลา

ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงช่วยให้ทัณฑ์สวรรค์ในครั้งต่อๆ มาของกู่ฉิงซานง่ายดายยิ่งขึ้น

ภูตผีปีศาจโบราณเหล่านี้ ล้วนครอบครองไปด้วยพรสวรรค์ เพียงได้รับฟังคำพูด ข่าวลือ และการบอกเล่าเรื่องราวจากในสมัยโบราณอันไกลโพ้น ทั้งหมดก็ส่งเสียงดังเฮฮาด้วยความสนุกสนาน

กู่ฉิงซานเองก็ได้รับผลประโยชน์จากหัวข้อสนทนาเหล่านี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม อาจารย์เขาก็มิใช่ใจจืดใจจำอะไร ครั้งหนึ่งเซี่ยกู่หงส์เคยออกมาดูทัณฑ์สายฟ้าของเขาด้วยความเป็นห่วงเหมือนกัน

แต่หลังจากเห็นว่ามันผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เซี่ยกู่หงส์ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย

ภายหลังเมื่อตนจำต้องทานรับหายนะโทษทัณฑ์ในขอบเขตพันวิบัติ กู่ฉิงซานก็เก็บตัวเงียบไปสองสามวัน

หลังจากข้ามผ่านหายนะโทษทัณฑ์มาได้ ในที่สุด เขาก็สามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าดังเดิมอีกครั้ง

ช่วงเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานสามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งหนึ่ง

เขาสัมผัสได้ว่ากายที่แท้จริงของเขา กำลังเข้ามาแทนที่ร่างวัยรุ่น ร่างนี้

หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ นับจากช่วงเวลาที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า ตัวตนที่อยู่ในโลกใบนี้ก็ได้กลับกลายมาเป็นตัวเขาเองอย่างแท้จริง

ในขณะที่ความรู้ ความสามารถ และพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้รับมันมาจากการฝึกฝนที่นี่ ทั้งหมดสามารถนำมันกลับไปได้

ช่างเป็นอะไรที่ลึกลับเกินไปจริงๆ

มันต้องเป็นผู้ฝึกยุทธที่ยิ่งใหญ่เพียงใดกันหนอ ที่ถึงขั้นสามารถสร้างชิ้นส่วนของยุคสมัยแบบนี้ขึ้นมาได้?

กู่ฉิงซานไม่อาจจินตนาการได้เลย

ในช่วงเวลานั้นเอง ก้อนเปลวไฟก็ได้ลอยมา

เป็นยันต์สื่อสาร

กู่ฉิงซานรับมัน กวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป แล้วก็ได้ยินเสียงของเซี่ยกู่หงส์ดังขึ้นมาจากยันต์สื่อสารทันที

“พิธีกำลังจะเริ่มแล้ว เจ้ามัวไปอยู่ที่ใดกัน?”

กู่ฉิงซานจึงค่อยวางใบหยกลง

เขายืนขึ้น เดินออกไปภายนอก

เจ็ดปี…

เขาอาศัยอยู่ในหุบเหวแห่งดาบเป็นเวลาทั้งสิ้นเจ็ดปี

ในช่วงเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมานี้ กู่ฉิงซานมิได้ใช้แต้มพลังวิญญาณเลย

ด้วยความรู้ ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับดาบ ดังนั้นขอแค่เพียงศึกษาโดยการตีความมัน เขาก็สามารถเรียนรู้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแต้มพลังวิญญาณ

เขาเพียงแค่ต้องอ่านมัน จากนั้นก็ขบคิดทำความเข้าใจถึงเนื้อหาของดาบในแต่ละเล่ม

หลังจากผ่านพ้นวันเดือนปีเหล่านี้ กู่ฉิงซานก็ค้นพบว่าผู้ฝึกดาบในสมัยโบราณ กับผู้ฝึกดาบในรุ่นต่อๆ มามันมีข้อแตกต่างกัน

ผู้ฝึกดาบในสมัยโบราณ จะเน้นให้ตนพัฒนาทักษะดาบ ผสานทั้งคนทั้งดาบเป็นหนึ่งเดียวกันไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ให้ความสนใจไปกับสกิลดาบมากนัก ดังนั้นมันจึงไม่มีสิ่งที่เรียกกันว่า เทคนิคลับแห่งดาบ

สำหรับผู้ฝึกดาบยุคโบราณแล้ว หนึ่งดาบสามารถตัดผ่านได้ทั้งขุนเขาและห้วงทะเล ยามเมื่อผู้ฝึกดาบที่แข็งแกร่งต่อสู้กัน ทุกดาบต่างล้วนทรงพลัง ระเบิดฤทธิ์เดชได้เหนือคณา จึงไม่จำเป็นต้องมีเทคนิคลับแห่งดาบใดๆ

แต่ผู้ฝึกยุทธในรุ่นหลัง แตกต่างออกไป

ทุกคนมีความแข็งแกร่งที่จำกัด มิได้มีสภาพแวดล้อมหรือทรัพยากรที่ดีดั่งเช่นในสมัยโบราณ พวกเขาจึงเริ่มคิดแก้ไขปัญหาในส่วนที่มิอาจระเบิดพลังได้อย่างในประโยคก่อนหน้า สุดท้ายผลลัพธ์ออกมาเป็นการถือกำเนิดของกระบวนท่าดาบในรูปแบบต่างๆ ที่สอดรับกันกับกฎเกณฑ์แห่งโลก ช่วยให้สามารถระเบิดพลังอันทรงพลานุภาพเกินกว่าทักษะดาบของตนเองออกมา

นี่คือที่มาของ เทคนิคลับแห่งดาบ

แต่กู่ฉิงซานเอง ก็ไม่ชัดเจนเหมือนกันว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าเทคนิคลับแห่งดาบมันเริ่มปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

แต่ในปัจจุบัน เขาไม่มีเวลาที่จะมามัวคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไรพวกนี้

เพราะทักษะดาบในยุคสมัยนี้ มีเอกลักษณ์อันน่าทึ่งของมันเอง กู่ฉิงซานจึงปล่อยตัวปล่อยใจ ล่องลอยไปมากับการฝึกฝนจิตแห่งดาบทุกวี่ทุกวัน

แต่ในวันนี้ การฝึกยุทธของตนกลับดันมาถูกขัดจังหวะ

เพราะวันนี้ ปรมาจารย์วังเซี่ยกู่หงส์ จะทำการรับลูกศิษย์สองคน ต่อหน้าธารกำนัลอีกครั้ง

และกู่ฉิงซาน ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ เขาจำเป็นต้องมาเข้าร่วมสังเกตการณ์ และรวมไปถึงเอ่ยคำสอนสั่งศิษย์น้องทั้งสองอีกด้วย

ย้อนระลึกไปถึงฉากเมื่อเจ็ดปีก่อน ที่ตนคารวะอาจารย์ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ต้องถอนหายใจเล็กน้อย

เขาบิดขี้เกียจ ก่อนจะทะยานตรงไปยังทิศทางของเกาะเล็กๆ ท่ามกลางขุนเขาทั้งเจ็ด

ณ ใจกลางเกาะเล็กๆ

ปรมาจารย์ขุนเขาทุกคนต่างก็มารวมตัวกันที่นี่

รายล้อมไปด้วยเหล่าสาวกวังสวรรค์ที่อยู่รอบด้าน

โดยมีเซี่ยกู่หงส์ยืนอยู่ตรงใจกลางสถานที่จัดงาน

ตรงข้ามกับเขา เป็นสองผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่กำลังคุกเข่า

เนื่องจากการฝึกยุทธอันยอดเยี่ยมของพวกเขานับตั้งแต่ได้เข้าสู่นิกายมา ประกอบกับความสามารถอันโดดเด่น ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการประลองเทียบเปรียบประจำปี ที่ได้เผยฝีมืออันยอดเยี่ยมของตนเองออกมา ทั้งยังได้รับการยอมรับ ยกย่องเป็นวงกว้าง ดังนั้น รุ่นเยาว์ทั้งสองคนนี้จึงได้รับคุณสมบัติที่จะกลายเป็นศิษย์ของปรมาจารย์วัง

ตอนนี้ พิธีกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

กู่ฉิงซานอาศัยการบิน ทิ้งตัวลงบนเกาะ มาหยุดยืนต่อหน้าเซี่ยกู่หงส์พร้อมประสานกำปั้นเข้าหากัน

เซี่ยกู่หงส์กล่าว “เหตุใดจึงเชื่องช้านัก?”

กู่ฉิงซานอธิบาย “เมื่อครู่ศิษย์กำลังศึกษาพื้นฐานแห่งดาบอยู่ แต่ดูเวลาแล้วถูกต้อง มิได้ล่าช้าใดๆ”

เซี่ยกู่หงส์พยักหน้าและไม่ถามอีกต่อไป

เพราะเขาทราบดีว่าจิตใจของกู่ฉิงซานหลงใหลในการเรียนรู้ดาบถึงเพียงไหน

บางครั้งบางคราวที่เขาแวะไปเยี่ยมเยือน กู่ฉิงซานก็จมอยู่ในห้วงสมาธิ มิอาจรับรู้ได้ถึงตัวเขาเหมือนกัน

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เซี่ยกู่หงส์ก็ค่อยๆ ลอยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าเขาก็ยังมิวายถูกจับจ้องด้วยสายตาของปรมาจารย์ขุนเขาและเหล่าสาวกทั้งหมด

ทุกคนล้วนบังเกิดความรู้สึกอันลึกล้ำยากจะอธิบาย ข้างในหัวใจ

เนื่องจากกู่ฉิงซานเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ดังนั้นตามกฎของนิกาย เขาจึงต้องเป็นผู้นำในพิธีรับศิษย์น้องในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม เขาเกือบจะมาสาย

เกือบจะสายเพราะนั่งอ่านตำราดาบอยู่!

ปรมาจารย์ขุนเขาต่างพากันลอบขมวดคิ้ว ขณะเดียวกันสาวกระดับสูงต่างก็บังเกิดความไม่พอใจขึ้น

“เอาล่ะ งั้นพวกเรามาเริ่มกันเลย”

เซี่ยกู่หงส์กล่าว

กู่ฉิงซานก้าวออกมา และเริ่มอ่านประวัติความเป็นมาของสาวกทั้งสองนับจากในอดีต จวบจนมาถึงความสำเร็จของพวกเขาที่ผ่านมา

ระหว่างอ่านประโยคเหล่านี้ กู่ฉิงซานก็เหลือบมองไปยังสาวกสองคนที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น

เป็นหวงซาน

กับเฉินหยาง

แต่ไม่มีจ้าวควน

ดูเหมือนว่าตัวเขาจะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของจ้าวควน

พิธีดำเนินไปทีละขั้น ทีละตอน

หลังจากการร่ายประวัติของกู่ฉิงซาน สาวกที่โดดเด่นที่สุดทั้งสองคนก็มาหยุดยืนเบื้องหน้าปรมาจารย์ขุนเขา และเริ่มเอ่ยแนะนำตัวต่อพวกเขา

หลังจากได้รับการยอมรับจากปรมาจารย์ขุนเขาทั้งหลายแล้ว สาวกทั้งสองก็โค้งกายคำนับ และมาแนะนำตนเองแก่ปรมาจารย์วังเมฆาวิเวก

หลังจากรับฟังการแนะนำตนแล้ว ปรมาจารย์วังก็เอ่ยสนทนากับหวงซานและเฉินหยางเป็นการส่วนตัว

พวกเขาแสดงความตั้งใจแน่วแน่ที่จะคารวะอาจารย์ ในที่สุดปรมาจารย์วังก็ตกลงที่จะยอมรับทั้งสองเป็นศิษย์ โดยกู่ฉิงซานซึ่งเป็นศิษย์เอกผู้รับผิดชอบในพิธีได้นำใบหยกที่ได้รับการสืบทอดของนิกายออกมา และเริ่มบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวการรับศิษย์ของปรมาจารย์วัง

ในช่วงเวลานี้เอง เซี่ยกู่หงศ์ได้อยู่ต่อหน้าทุกคน ประคองทั้งสองขึ้นมาอย่างระมัดระวัง กล่าวเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ว่าอะไรควรใส่ใจ อะไรคือแบบอย่างที่ดีต่อสาวกทั้งหลาย…

กู่ฉิงซานพอได้ยิน ก็บังเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในจิตใจ

ปรากฏว่ากว่าจักสามารถก้าวขึ้นมาเป็นศิษย์ของปรมาจารย์วังนั้นช่างยากเย็นนัก – แต่เขากลับสามารถทำมันได้ตั้งแต่ในช่วงเจ็ดปีก่อนหน้านี้

ดูเหมือนว่าด้วยแรงกระตุ้นอันแรงกล้า ที่คิดหมายจะแก้ปัญหาของเขา ช่วยให้ตนประสบคว้าโชคลาภ สามารถประหยัดเวลาได้เยอะเลยทีเดียว

ระหว่างลอบขบคิด ก็บังเกิดแค่เพียงความเงียบงันขึ้นรอบตัวเขา

“ถึงตาเจ้าแล้ว” เซี่ยกู่หงส์ส่งเสียงมาทางความคิด

กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน

เอาเถอะ ตัวเองเป็นศิษย์พี่ใหญ่นี่นะ ดังนั้นตอนนี้สมควรกล่าวให้กำลังใจศิษย์น้องทั้งสองคนเล็กๆ น้อยๆ

เขาก้าวออกมาเบื้องหน้า มองดูหวงซานกับเฉินหยาง

ในเวลานี้ ทั้งสองคนยังคงเป็นเพียงวัยรุ่น พวกเขาดูตื่นเต้นและเป็นกังวล เห็นได้ชัดจากขาทั้งสองข้างของหวงซานที่กำลังสั่นเทา

กู่ฉิงซานพยักหน้า กล่าวกับทั้งสองคน “นับจากนี้ไป จงตั้งใจฝึกยุทธให้ดี”

หวงซานกับเฉินหยางเฝ้ารออยู่ชั่วขณะ แต่นับจากคำนั้น เขาก็มิได้ยินคำใดจากกู่ฉิงซานอีกเลย

หรือว่านี่…จะพูดจบแล้ว?

ทั้งสองเร่งประสานกำปั้นอย่างรวดเร็ว ขานรับเสียงดัง “น้อมรับคำสั่งสอนของศิษย์พี่ใหญ่”

“อืม”

กู่ฉิงซานรับคำ และเดินกลับไปทางเซี่ยกู่หงส์

คนอื่นๆ ต่างเฝ้ารอสุนทรพจน์ของกู่ฉิงซาน ทว่ากลับได้ยินแค่เพียงประโยคเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูกล่าวส่งๆ และเร่งรีบ

ในหัวใจของทุกคนยิ่งนาน ก็ยิ่งเกิดอารมณ์คุกรุ่น

จากนั้น พิธีก็สิ้นสุดลง

“เอาล่ะ ขุนเขาต่างๆ แยกย้ายกันไปได้”

เซี่ยกู่หงส์ประกาศ จากนั้นเริ่มหันมาจัดการกับศิษย์ทั้งสามของเขา

“ส่วนพวกเจ้า หวงซาน เฉินหยาง จงกลับไปยังขุนเขาหลักเมฆาวิเวกกับศิษย์พี่ใหญ่เสีย ข้ามีเรื่องจำต้องออกไปภายนอก ดังนั้นอีกสามเดือนข้างหน้านับจากนี้ จะเป็นหน้าที่ของศิษย์พี่ใหญ่ที่คอยสั่งสอนพวกเจ้า”

“ขอรับ!”

สองศิษย์ตอบพร้อมกัน

ฝูงชนทั้งหมดกำลังจะแยกย้าย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องชะงักฝีเท้าลง

‘นี่ท่านปรมาจารย์วัง กำลังคิดจะให้กู่ฉิงซานสอนทั้งสองคนจริงๆ น่ะหรือ?’

‘อาศัยเพียงเขาเนี่ยนะ?’

เขาที่ไม่เคยโผล่หัวมาร่วมกิจกรรมใดๆ เลยในตลอดเจ็ดปี

เขาในฐานะผู้ฝึกดาบที่ไม่เคยยอมรับการท้าประลองใดๆ

เขาที่ไม่กล้าแม้กระทั่งจะลงรายชื่อเข้าร่วมการประลองเทียบเปรียบประจำปีของนิกาย

แล้วจะให้เขาสอนหวงซานกับเฉินหยางจริงๆ น่ะหรือ?

หากสอนสั่งได้ไม่ดี นี่มิใช่หมายความว่าเมล็ดพันธุ์แสนล้ำค่าทั้งสองนี้จะพังทลายลงเลยหรอกหรือ?

ทุกคนต่างบังเกิดความสับสนเล็กน้อย

ในช่วงเวลานั้นเอง ร่างสีแดงอันร้อนแรงก็บินออกมาจากทางฝั่งขุนเขารุ่งอรุณโบราณ และตกลงใจกลางเกาะ

เขาคือวัยรุ่นที่ดูแข็งแรงและบึกบึน

เจ้าตัวประสานกำปั้นเข้าหากัน ปากเอ่ยวาจาลั่น “ศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกาย กู่ฉิงซาน ข้าคือสาวกนักสู้อันดับหนึ่งแห่งขุนเขารุ่งอรุณโบราณ ขอเอ่ยท้าประลองกับท่านที่นี่ กล้ายอมรับหรือไม่!”

…………………..

Related

ห้าปีต่อมา

ณ วังสวรรค์เมฆาวิเวก

ภายในห้องโถงใหญ่ ปรมาจารย์วังกำลังหารืออย่างเป็นทางการกับหกปรมาจารย์ขุนเขา

“สงครามในแนวหน้าวิกฤตนัก อุปกรณ์เองก็เริ่มชำรุดเสื่อมโทรม ทางเทพวิญญาณเลยขอให้พวกเราสร้างอาวุธและชุดเกราะจำนวนหนึ่งโดยเร็วที่สุด” ปรมาจารย์วังกล่าว

“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราขุนเขากระเรียนเทาเอง” ปรมาจารย์ขุนเขาคนหนึ่งกล่าว

ขุนเขากระเรียนเทา เป็นผู้เชี่ยวชาญในหกศิลป์  และทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับการหลอมกลั่นทั้งหมดจะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของขุนเขานี้

ปรมาจารย์วังพยักหน้าและกล่าว “รบกวนเจ้าด้วย นอกจากนี้ เรายังได้รับข้อมูลว่า โลกบรรพกาลได้ส่งวิญญาณมารกลุ่มหนึ่งมาสอดแนม ฉะนั้น เพื่อป้องกันมิให้พวกมันลอบเร้นเข้ามา ทางเราจึงต้องส่งผู้ฝึกยุทธที่เชี่ยวชาญในกฎเกณฑ์แห่งเสียงออกไปจัดการ”

ทุกคนต่างมองไปทางหญิงสาวคนหนึ่ง

หญิงสาวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมกับขลุ่ยมรกตในมือ

เธอคือปรมาจารย์ขุนเขาทำนองเสนาะ ลั่วปิงลี่

ในครั้งที่สาวกหน้าใหม่เข้าสู่นิกาย ก็เป็นเธอนี่แหละที่ปรากฏกายและเล่นขลุ่ยทำลายผู้บูชามารบรรพกาล

ลั่วปิงลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”

ปรมาจารย์วังถาม “แล้วเจ้าคิดจะใช้คนเท่าใด?”

ลั่วปิงลี่ ครุ่นคิด “ขอแค่ห้าคนก็น่าจะเพียงพอแล้ว”

ปรมาจารย์วังส่ายหัว “ผู้ฝึกยุทธที่สามารถใช้กฎเกณฑ์แห่งเสียงมีน้อยนิดยิ่ง นานๆ ครั้งจึงจักปรากฏตัวขึ้นสักครา ดังนั้นจงอย่านำคนไปมากเกินความจำเป็น”

ลั่วปิงลี่ “เช่นนั้นข้าขอแค่สองคนก็พอ”

ปรมาจารย์วังพยักหน้าอนุมัติ

เขาหันไปมองผู้ฝึกยุทธที่อยู่ข้างกาย และกล่าวเตือนว่า “ปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาพยศ เจ้าจงนำกลุ่มคนที่คัดเลือกด้วยตนเองไปพร้อมกันปรมาจารย์ขุนเขาทำนองเสนาะ รับหน้าที่ในการปกป้องพวกเธอ”

ผู้ฝึกยุทธยิ้มยิงฟัน “ขอปรมาจารย์วังโปรดวางใจ ข้าจะคัดเลือกผู้ฝึกดาบและผู้ใช้กระบี่ที่เก่งกาจที่สุดร่วมเดินทาง ยิ่งไปกว่านั้นจะคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญการใช้หอกไปด้วย”

ปรมาจารย์วังเอ่ยถาม “แล้วเจ้าคิดว่าจะนำคนไปสักเท่าใด?”

“สองร้อยคน” ปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาพยศกล่าว

“อืม…สองร้อยคนนับว่าไม่มาก ไม่น้อยเกินไป ที่เราจะสามารถใช้ปกป้องดูแลพวกนางได้อย่างทั่วถึง”

“รับบัญชา”

ปรมาจารย์วังผุดลุกขึ้น กล่าวกับเหล่าปรมาจารย์ขุนเขา “เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีเรื่องอื่นแล้ว การหารืออย่างเป็นทางการก็สมควรยุติลงแต่เพียงเท่านี้”

หลายปรมาจารย์ขุนเขายืนตาม แต่กลับสบสายตาแก่กันและกัน

ปรมาจารย์ขุนเขาวารีกระจ่างกล่าว  “ปรมาจารย์วัง แท้จริงแล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”

“หืม? ว่ามาสิ”

“มันเป็นเรื่องของสาวกหน้าใหม่ที่พวกเรารับมาเมื่อ ห้าปีที่แล้ว ซึ่งพวกเราได้ทำการประลองเทียบเปรียบกันไปกว่าสี่ครั้งแล้วในช่วงท้ายของแต่ละปี และการประลองเทียบเปรียบในปีที่ห้า ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดเองก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น” ปรมาจารย์ขุนเขาวารีกระจ่างเริ่มอธิบาย

“เรื่องนี้มิใช่ว่าต้องปฏิบัติกันทุกปีอยู่แล้วหรอกหรือ เหตุใดต้องเอ่ยขึ้นมาด้วย?”

“เหตุที่เอ่ยเป็นเพราะ เมื่อเร็วๆ นี้ เริ่มมีหัวข้อถกเถียงที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับขุนเขาหลัก”

ในแม่น้ำทั้งเจ็ดขุนเขา เป็นหกขุนเขาที่รายล้อมอยู่รอบขุนเขาหลัก

ส่วนขุนเขาหลัก นามว่า ขุนเขาเมฆาวิเวก เป็นขุนเขาของปรมาจารย์วัง

สิ่งสำคัญต่างๆ ของตลอดทั้งนิกาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือโบราณ มรดก สมบัติ หนทางเชื่อมสู่สวรรค์ ‘เกือบ’ทั้งหมดล้วนตั้งอยู่บนขุนเขาสูงสุดนี้

“ข้อถกเถียงเกี่ยวกับขุนเขาหลัก?” ปรมาจารย์วังค่อยๆ ขมวดคิ้ว เริ่มกลายเป็นเคร่งขรึม “เจ้าจงระบุมาให้ชัดเจนว่ามันคือเรื่องอะไร”

“แท้จริงแล้วหาใช่เรื่องสำคัญไม่ เพียงแต่ทุกคนต่างเกิดความรู้สึกว่า เด็กหนุ่มที่ปรมาจารย์วังรับไว้เป็นศิษย์ นับตั้งแต่ข้ามธรณีประตูนิกาย เขาก็ไม่เคยเข้าร่วมการประลองเทียบเปรียบประจำปีเลย เป็นเวลากว่า สี่ปี

ปีติดต่อกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น กิจกรรมอื่นๆ ก็ยังไม่เคยเข้าร่วม จึงเริ่มเกิดข้อถกเถียงมากมายขึ้น” ปรมาจารย์ขุนเขาวารีกระจ่างเล่ารายละเอียด

ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณ เอ่ยเสริม “ยังมี กลุ่มเด็กๆ ที่อยู่ในขุนเขาของเรา มักจะร้องตะโกนว่าพวกเขาต้องการท้าประลองกับศิษย์ของปรมาจารย์วังอยู่เสมอๆ เรื่องข้อพิพาทแพ้ชนะจะไม่พูดถึง ท่านปรมาจารย์วัง หากมีเวลาว่างเว้น ได้โปรดพาตัวศิษย์ของท่านออกมา สำแดงฤทธิ์เดชให้ชมดูจะเป็นการดี”

ปรมาจารย์วังผงกหัวช้าๆ

‘อ๋อ…ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้’

เขาเอ่ยถามต่อ “แล้วการประลองครั้งใหญ่ในปีนี้ กู่ฉิงซานก็ยังมิได้ลงทะเบียนใช่หรือไม่?”

ปรมาจารย์ขุนเขาวารีกระจ่าง “ใช่ และนั่นเป็นเหตุผลให้บรรดาผู้ฝึกยุทธในรุ่นเดียวกันเริ่มบ่นกันเล็กน้อย ว่าสาวกของท่านปรมาจารย์วัง กำลังหัวหด ไม่คิดจะปรากฏกายออกมา”

ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณ กล่าว “ปรมาจารย์วัง ท่านสมควรปล่อยให้กู่ฉิงซานออกมาสู้สักครั้ง เพื่อหยุดคำครหาของพวกเด็กๆ จะได้ไม่มีผู้ใดระแคะระคายในขุนเขาหลักอีก”

ปรมาจารย์วัง “ข้าจะถามเขาให้ แต่สุดท้ายผลเป็นอย่างไร มิอาจรับประกัน”

เขาหัวเราะและกล่าว “อนิจจา ส่วนข้อถกเถียงเหล่านั้น มันก็ยังเป็นเพียงข้อถกเถียงของเด็กๆ ฉะนั้นย่อมไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อขุนเขาหลัก พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”

จากนั้น ปรมาจารย์วังก็วาดมือออก และหายวับไปจากห้องโถงใหญ่

ปรมาจารย์ขุนเขาแต่ละคนมองหน้ากันและกัน

“นี่ท่านปรมาจารย์วังไม่คิดจะปล่อยให้เจ้าหนูนั่นออกมาสู้เลยหรืออย่างไร?” ปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาพยศกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกๆ

ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณส่ายหัว “อย่างที่ข้าเคยกล่าว ปรมาจารย์วังเข้าข้างลูกศิษย์ของเขามากเกินไป แท้จริงสาวกผู้นี้สมควรออกมาติดต่อกับผู้คน เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ แลกเปลี่ยนความรู้สึกในระหว่างการประลองต่อสู้ ต้องทำเช่นนี้ ทุกคนจึงยอมรับตำแหน่งของเขา”

อีกหลายๆ ปรมาจารย์ขุนเขาต่างพยักหน้า พวกเขาเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน

“ผิดแล้ว พวกเจ้าคิดว่าเหตุการณ์ที่กล่าวมามันไม่เคยเกิดขึ้นเลยหรือ?” ปรมาจารย์ขุนเขาทำนองเสนาะ ลั่วปิงลี่กล่าว “ตัวข้ารับผิดชอบในการสอดส่องดูแลสถานการณ์ของนิกาย มีอยู่หลายครั้งที่เคยเห็นกู่ฉิงซานเข้าๆ ออกๆ ขุนเขากระเรียนเทา ในเวลานั้นก็มีสาวกคนอื่นๆ ไล่ติดตาม และเอ่ยขอท้าประลองกับเขาอยู่เหมือนกัน ทว่าถูกปฏิเสธ”

ปรมาจารย์ขุนเขาทั้งหมดตกตะลึง

‘เขาตอบปฏิเสธงั้นหรือ!’

ต้องรู้นะว่า ในการท้าประลองระหว่างสาวก หากมิใช่เพราะฐานวรยุทธ์ห่างชั้นกันมากจนเกินไป ย่อมไม่มีใครจะปฏิเสธกัน

หากใครบางคนปฏิเสธที่จะประลอง คนผู้นั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกขี้ขลาดทันที

นอกจากนี้ การประลองดังกล่าว ยังเป็นช่วงเวลาที่จักสามารถแสดงความแข็งแกร่งเพื่อเพิ่มพูนอำนาจ และชื่อเสียงให้แก่ตนเองได้อีกด้วย

เมื่อได้รับทราบข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ปรมาจารย์ขุนเขาต่างก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

เด็กคนนั้นเป็นลูกศิษย์คนแรกที่ได้รับการยอมรับโดยปรมาจารย์วัง ดังนั้น นั่นหมายความว่าเขาย่อมเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนิกายไปโดยปริยาย

โดยไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งและลักษณะนิสัย ตราบใดที่เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ นั่นหมายความว่าเขาเป็นตัวแทนของสาวกทั้งหมดในนิกาย

ดังนั้น ด้วยสถานะที่กำลังแบกรับอยู่เช่นนี้ แม้ว่าฐานวรยุทธ์จะไม่สู้ดี แต่อย่างน้อยสมควรติดตามปรมาจารย์วัง เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการเรื่องราวต่างๆ เพื่อแสดงความสามารถและสั่งสมชื่อเสียง

ทว่าหลังจากแรกเริ่มที่เข้าร่วมนิกาย เจ้าเด็กเหลือขอนั่นก็แทบไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย

ในขณะที่ทุกคนได้ล่วงรู้ว่า เด็กชายเคยไปปรากฏตัวที่ขุนเขากระเรียนเทาอยู่หลายครั้ง ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือโบราณของขุนเขาเป็นระยะเวลานาน

ตามบันทึกจากห้องหนังสือโบราณของขุนเขากระเรียนเทา เด็กชายแท้จริงขอหยิบยืมใบหยกในชั้นหนังสือโบราณ ที่บันทึกเกี่ยวกับอาหารวิญญาณ และค่ายกลเป็นจำนวนมากไป

แต่เนื่องเพราะเขาแสดงใบหยกของท่านปรมาจารย์วัง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะขัดขวาง

อย่างไรก็ตาม ในฐานะสาวกที่พึ่งเข้ามาในนิกายได้เพียงไม่นาน อย่างน้อยเขาสมควรทุ่มความสนใจไปกับการฝึกยุทธ หรือฝึกฝนทักษะดาบมิใช่หรือ? การเบี่ยงเบนไปให้ความสนใจในเรื่องค่ายกลกับอาหารวิญญาณ แบบนี้มันดีแล้วจริงๆ?

ปรมาจารย์วังชักจะตามใจเขามากเกินไปแล้ว

ปรมาจารย์ขุนเขาสดับวิญญาณ ครุ่นคิดพลางกล่าว “มันดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องหาโอกาสตักเตือนปรมาจารย์วังซะแล้ว เพราะท้ายที่สุดนี้ ศิษย์ของเขาอย่างไรก็เป็นตัวแทนศักดิ์ศรีของนิกาย และยังเป็นตัวแสดงถึงทัศนคติของนิกาย ในการฝึกยุทธของเหล่าสาวกอีกด้วย”

“ถูกต้อง”

“เป็นเช่นนั้น”

“คราวต่อไป พวกเราจะยกเรื่องนี้มาพูดกับปรมาจารย์วังอีกครั้ง”

ปรมาจารย์ขุนเขาคนอื่นๆ ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน

ณ ขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

ปรมาจารย์วัง เซี่ยกู่หงส์ได้กลับมาแล้ว

เขาเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางหิน ที่ทอดยาว นำขึ้นไปสู่ยอดขุนเขา

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ยามเมื่อทำแบบนี้ มันมักจะช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลาย

เขามักจะชอบเดินแบบนี้ทุกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม

ทันใดนั้นเขาก็หยุดกึก เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า

เพราะเจ้าตัวสัมผัสได้ถึงเกล็ดหิมะที่กำลังร่วงโรยลงมา

นี่สมควรจะเป็นสัญญาณสิ้นสุดของปี

อย่างไรก็ตาม ปีนี้ มันเป็นปีที่ไม่ง่ายเลย

ในแนวหน้า ปรากฏมอนสเตอร์จากยุคโบราณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ยิ่งนานวัน พวกมันก็ยิ่งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

กระทั่งเหล่าเทพวิญญาณก็ยังหวาดเกรงมอนสเตอร์พวกนี้อยู่เล็กน้อย

แม้ว่าใจความสำคัญนี้จะมิใช่สิ่งที่สามารถกล่าวเปิดเผยในที่สาธารณะ แต่เซี่ยกู่หงส์เชื่อว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงสุดต่างก็เริ่มสังเกตเห็นกันบ้างแล้ว

การต่อสู้ในครั้งนี้ช่างดุเดือดและน่าหวาดกลัวมาเหลือเกิน

ท่ามกลางการสู้รบที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ผู้ฝึกยุทธระดับสูงนับสิบต่างก็ถูกสังหารลง เผ่ามนุษย์เกือบจะกลายเป็นเหยื่อซะเอง แต่ในที่สุดพวกเขาก็ยังสามารถสังหารเจ้ามอนสเตอร์นั่นลงได้

ใช่แล้วล่ะ เพราะเผ่ามนุษย์เองก็แกร่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

ทว่าวิกฤตเองก็ยังขยับขยายตัวไปอย่างเชื่องช้า

เซี่ยกู่หงส์ถอนหายใจ

ไหนจะสงครามในแนวหน้า ไหนจะเทพวิญญาณที่เริ่มตื่นกลัว ไหนจะภารกิจในนิกาย ไม่ว่าสิ่งใด แต่ละคนก็ล้วนต้องการให้เขาเพ่งสมาธิแบกรับมันกันทั้งนั้น

เขาเอื้อมมือไปรองรับเกล็ดหิมะที่ร่วงลงมา

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน แต่ตนเอง สักวันหนึ่งอาจจะต้องตกตายลงในแนวหน้าก็ได้?

ทันใดนั้นเอง เขาก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เหล่าปรมาจารย์ขุนเขาได้กล่าวถึง

“ฉิงซาน…”

เซี่ยกู่หงส์พึมพำคำหนึ่ง สุดท้ายหายวับไปจากสถานที่เดิม มิอาจมองเห็นได้อีกเลย

ณ สถานที่ลึกเข้าไปในขุนเขาหลักเมฆาวิเวก

ภายในหุบเหวแห่งดาบ

กล่าวได้ว่าดาบทั้งหมดที่ทางนิกายเก็บสะสม ถูกรวบรวมเอาไว้ที่นี่

วัยรุ่นคนหนึ่งนั่งอยู่บนกองภูเขาหยกอย่างเงียบๆ ในมือหนึ่งของเขากำลังกุมใบหยก และพยายามรับรู้ถึงเนื้อหาภายในมันอย่างเงียบๆ

เป็นกู่ฉิงซาน

ทั้งคนทั้งร่างของเขาคล้ายกำลังเข้าสู่สภาวะหมกมุ่น

ในความว่างเปล่าตรงกันข้ามกับเขา เซี่ยกู่หงส์ได้ปรากฏกายขึ้น

เซี่ยกู่หงส์เดิมทีคิดเฝ้ารอ ทว่าผ่านไปพักหนึ่งแล้วกู่ฉิงซานก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เจ้าตัวจึงกระแอมไอเบาๆ

กู่ฉิงซานรู้สึกตัวทันที

เขาลืมตาขึ้น

“อาจารย์ เป็นท่านนั่นเอง” เขาผุดลุกขึ้นและประสานสองกำปั้นคำนับ

“อืม การฝึกยุทธเป็นอย่างไรบ้าง?” เซี่ยกู่หงส์เอ่ยถาม

“ทุกอย่างเรียบร้อยดี” กู่ฉิงซานกล่าว

เซี่ยกู่หงส์กวาดสายมองเขาขึ้นๆ ลงๆ และเอ่ยถาม “จดจำได้หรือไม่ว่านับตั้งแต่ที่เจ้าเหยียบย่างเข้ามาในนิกาย และคารวะข้าเป็นอาจารย์ วันเวลามันล่วงเลยมานานกว่าห้าปีแล้ว ทว่าเจ้ากลับยังไม่เคยเข้าร่วมการประลองเทียบเปรียบเลย”

“ศิษย์จดจำได้” กู่ฉิงซานพยักหน้า

เซี่ยกู่หงส์เอ่ยถาม “เช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงไม่คิดรับคำท้าประลองจากผู้อื่น?”

กู่ฉิงซานตอบ “เพราะกระทั่งศิษย์ในรุ่นก่อนหน้าที่มีฐานวรยุทธ์สูงส่ง ก็ยังมิอาจเอาชนะความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าได้ ดังนั้นรุ่นเดียวกันมิต้องกล่าวถึง”

เซี่ยกู่หงส์ “สำหรับอาจารย์ มันฟังดูเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น”

กู่ฉิงซาน “เช่นนั้นศิษย์ขอตอบใหม่แบบนี้ : การรับคำท้าประลองมันน่าเบื่อเกินไป เพราะอย่างไรเสีย วิถีสวรรค์ก็ยังมิเกิดปฏิกิริยาใดๆ นั่นหมายความว่าในปัจจุบันนี้ ข้าก็ยังคงเป็นผู้ฝึกดาบอันดับหนึ่งอยู่ หากต้องไปละเล่นกับพวกเขา นับว่าเป็นการเสียเวลา”

เซี่ยกู่หงส์เงียบ มิได้เอ่ยสิ่งใด

เด็กคนนี้ ครั้งหนึ่งเคยสาบานกับวิถีสวรรค์ ว่าหากยามใดที่ตนมิได้เป็นผู้ฝึกดาบอันดับหนึ่ง เขาจะต้องล้มล้างฐานวรยุทธ์ทันที และถอนตัวไปจากนิกาย

ดังนั้น เจ้าตัวจึงต้องมาอยู่ในสภาพน่าเบื่อที่นี่

แม้กระทั่งวิถีสวรรค์ก็ยังคงกำลังพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของเขา

เซี่ยกู่หงส์กระแอมไอ กล่าวเบาๆ “แล้ว… เรื่องการประลองประจำปีของปีนี้เล่า เจ้าคิดจะมีส่วนร่วมหรือไม่?”

กู่ฉิงซานขบคิด “ท่านอาจารย์ หากข้าไปที่นั่น มันจะไม่เป็นการรังแกผู้คนหรอกหรือ?”

เซี่ยกู่หงส์ถูกตอกกลับหน้าแทบหงาย

ไอ้เจ้าเด็กนี่ …

เซี่ยกู่หงส์ยืนนิ่ง ทว่ากลับปรากฏถึงดาบยาวเจ็ดเล่มขึ้นในอากาศเบื้องหลังเขา

เซี่ยกู่หงส์เอื้อมไปคว้าจับหนึ่งในดาบจากเบื้องหลัง

“มาเถิด ช่วยเปิดหูเปิดตาให้อาจารย์เจ้าได้เห็น ว่าสาวกผู้ฝึกดาบอันดับหนึ่ง แท้จริงสามารถก้าวขึ้นไปได้ถึงขั้นใดแล้ว”

“รับคำสั่งท่านอาจารย์ โปรดให้คำชี้แนะด้วย”

กู่ฉิงซานเองก็นำดาบออกมา

ทว่าเขายังมิทันได้โค้งคำนับ ร่างกายก็พลันกะพริบไหว

เพราะยามนี้เขาตื่นเต้นจนลืมเลือนมารยาทไปสิ้น …การที่ตนได้รับการสอนสั่งแนะนำจากผู้ฝึกดาบที่สามารถโค่นเทพวิญญาณลงได้เป็นการส่วนตัว กู่ฉิงซานย่อมกระตือรือร้นที่จะลองมัน

เริ่มลงมือได้!

พริบตานั้นเอง ดาบยาวในมือพลันแบ่งแยกออกเป็นสอง จากนั้นสองก็แยกออกเป็นสี่ แตกตัวไปเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ในเสี้ยววินาที มันก็แปรเปลี่ยนทั้งสิ้นเป็นสามสิบหกดาบ สาดแสงรังสีกะพริบไหว สับเข้าใส่เซี่ยกู่หงส์จากทุกทิศทางโดยตรง!

กู่ฉิงซานได้ศึกษา เรียนรู้ทักษะดาบมาตลอดทั้งห้าปี  เขาสามารถนำพวกมันมาผสมผสานเข้ากับเทคนิคลับแห่งดาบของตน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงประสบการณ์ต่อสู้ของตัวเอง ทุ่มความพยายามสุดกำลังทั้งหมดลงในการโจมตีเดียว

ดวงตาของเซี่ยกู่หงส์สว่างวาบ

“แค่ห้าปี กลับสามารถทำได้ถึงเพียงนี้…” เขาขยับปากงึมงำ

ดาบยาวโบกสะบัด

ติ๊งๆๆ!

เขาเพียงสะบัดดาบยาวเบาๆ ก็ปัดรังสีดาบทั้งหมดของกู่ฉิงซานปลิวออกไป

“จังหวะนี้ล่ะ!”

ช่วงจังหวะที่รังสีดาบถูกปัดออก กู่ฉิงซานพลันปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าอีกฝ่ายอย่างกะทันหัน วาดดาบยาวในมือของเขาเข้าใส่กลางร่างอีกฝ่ายอย่างแรง

และคมดาบนี้ช่างรวดเร็ว ฉับไวจนแทบจะมองไปเห็นคมกล้าของมัน!

เคร้ง!

บังเกิดเสียงอึกทึก

คมดาบของกู่ฉิงซานถูกสะท้อน ทั้งคนทั้งคนกระเด็นออกไป

กู่ฉิงซานม้วนตีลังกาหลายตลบในอากาศ ก่อนจะหยั่งเท้าลงในระยะที่ห่างออกไปเกินกว่าสิบจั่ง

“พอแค่นี้”

เซี่ยกู่หงส์ปล่อยดาบตนออกจากมือ

กู่ฉิงซานจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเก็บดาบของเขาไปอย่างไม่ยินยอม

เขาต้องการที่จะสู้อีก

แต่ท่านอาจารย์เก็บดาบไปแล้ว นั่นหมายความว่าย่อมมิอาจสู้ต่อได้

กู่ฉิงซานมองไปยังเจ็ดดาบที่ลอยอยู่เบื้องหลังเซี่ยกู่หงส์ เอ่ยถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “อาจารย์ ท่านได้ข้ามผ่านขอบเขตของนักดาบนิรันดร์ไปแล้วใช่หรือไม่?”

เซี่ยกู่หงส์พยักหน้า

กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย จึงเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดท่านจึงมีเพียง 7 ดาบเท่านั้น? โดยปกติแล้วยิ่งแข็งแกร่ง ก็น่าจะยิ่งใช้จิตนึกคิดควบคุมดาบได้มาก ฉะนั้นท่านย่อมสามารถควบคุมดาบได้นับร้อยแน่นอน”

เซี่ยกู่หงส์กล่าว “เมื่อครั้งอดีตที่ข้าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในฐานะนักดาบนิรันดร์ ดาบบินที่ข้าสามารถควบคุมได้ประกอบด้วยกันทั้งสิ้นหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบสี่เล่ม แต่หลังจากที่ข้าสามารถก้าวข้ามผ่านขอบเขตนักดาบนิรันดร์ จนมาถึงตอนนี้ ข้าถึงใช้แค่เจ็ดดาบเท่านั้น”

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะเมื่อใดก็ตามที่เจ้าสามารถปลดปล่อยอำนาจของดาบบินทั้งหมดโดยสมบูรณ์ เมื่อนั้นเจ้าย่อมต้องคิดหาวิธีการที่จะบรรจบพลังของพวกมันเข้าด้วยกัน”

“บรรจบพลัง?” กู่ฉิงซานพึมพำ

ทันใดนั้นเอง เขาก็ย้อนนึกขึ้นได้ถึงในโลกใต้ทะเล อีเลียเคยพูดถึงเรื่องนี้ และเหมือนจะเอ่ยในทำนองเดียวกัน

เซี่ยกู่หงส์กล่าว “ใช่ มันยากที่จะบรรจบพลัง ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เจ้าสามารถควบรวมพวกมันทั้งหมด และระเบิดพลังของดาบบินออกมาได้ เมื่อนั้นทักษะดาบอันสมบูรณ์แบบ ชนิดที่เจ้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน ก็จักถูกเผยให้เห็นสู่สายตา”

“ดังนั้น หมายความว่าท่านอาจารย์สามารถบรรจบพลังทั้งหมด รวบรวมมันไว้ในเจ็ดเล่มได้?”

“มิใช่ นี่เป็นเพราะข้าได้ก้าวล้ำไปยิ่งกว่าขอบเขตที่เจ้ากล่าวถึงแล้ว ฉะนั้น ดาบที่ควบรวมพลังของข้าจึงมีทั้งสิ้นเจ็ดเล่ม”

กู่ฉิงซานพอได้รับฟัง ก็ทอดถอนหายใจสรรเสริญ

เซี่ยกู่หงส์เมื่อได้เห็นสีหน้าของเขา ก็เผยรอยยิ้มแย้ม “เอาเถิด เพียงความก้าวหน้าของเจ้าก็น่าประหลาดใจมากพออยู่แล้ว ไม่ต้องอิจฉาข้าไป”

“ขอรับอาจารย์”

“จงฝึกฝนต่อไป ส่วนเวลานี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน”

“ขอรับ”

เซี่ยกู่หงส์เก็บดาบเบื้องหลังทั้งเจ็ด และก้าวเดินออกไปช้าๆ

ทว่าผ่านไปได้เพียงครึ่งทาง เขาก็เหมือนจะจดจำอะไรบางอย่างได้ จึงหยุดฝีเท้าลง

เขาหันหน้ามาทางกู่ฉิงซาน และเอ่ยแนะนำ “ภายในสามปี จงอย่าได้ออกไปโจมตีผู้คน และหากผ่านพ้นสามปีไปได้ ข้าจะมอบตำแหน่งให้เจ้าไปยังขุนเขาเมฆาพยศ รับหน้าที่สอนสั่งผู้คนให้ฝึกฝนดาบ”

“…น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์”

………………………….

Related

กู่ฉิงซานมองไปทางอีกฝ่าย

เห็นแค่เพียงปรมาจารย์วัง ที่หากเทียบกับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาพบเจอแล้ว ปัจจุบันอีกฝ่ายยังดูอ่อนวัยอยู่มาก ผมไม่ได้เป็นสีขาว ทั้งคนทั้งร่างดั่งต้นไม้หยก ให้ความรู้สึกมั่นคง ไม่โอนอ่อนตามแรงลม

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดบุตรสาวของเขาถึงได้งดงามนัก!

ระหว่างขบคิด กู่ฉิงซานก็เบนสายตาตกลงไปข้างกายปรมาจารย์วัง

เขาค้นพบว่ามันมีดาบยาวลอยอยู่ก็จริง แต่นั่นมิใช่ดาบพิภพ

ดูเหมือนว่าในช่วงเวลานี้ ดาบพิภพยังไม่ถือกำเนิดขึ้น

ในเวลานี้ เด็กๆ ทุกคนต่างลุกขึ้นยืน ส่วนปรมาจารย์วังหันไปมองรอบๆ และโบกมือออกไป

ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก้าวเดินออกมา และยืนอยู่หน้าสะพานหิน

“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์เทคนิคมนตราแห่งธาตุทั้งห้า จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาวารีกระจ่าง” เขาตะโกนเสียงดัง

ผู้ฝึกยุทธคนที่สองก้าวออกมายังอีกสะพานหินหนึ่ง เอ่ยปากกล่าว “ผู้ใดได้รับอุปกรณ์วิญญาณ ชุดเกราะ ถุงมือ สนับมือ จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขารุ่งอรุณโบราณ”

แล้วผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ก็เริ่มมาหยุดยืนเบื้องหน้าสะพานหินแต่ละแห่ง เริ่มอธิบายให้เด็กๆ ฟัง

“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์มนตรา จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาสดับวิญญาณ”

“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์กระบี่ คันธนู ดาบ ไม้พลอง หรืออาวุธอื่นๆ จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาเมฆาพยศ”

“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์เครื่องดนตรีต่างๆ จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาทำนองเสนาะ”

“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์ดิสก์ค่ายกล เม็ดยา เตาหลอมโลหะ ค้อนเหล็ก อุปกรณ์ทำครัว จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขากระเรียนเทา”

“เหนือขึ้นไปคือยอดขุนเขาทั้งหก พวกเจ้าทุกคนจะต้องปีนป่ายขึ้นไป แต่ก่อนหน้านั้นจงไปจัดแถวอย่างเป็นระเบียบ ตามอุปกรณ์ที่พวกเจ้าได้รับเสียก่อน”

เมื่อเด็กๆ ได้ฟัง ก็เริ่มปฏิบัติตาม ทุกคนเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าสะพานหิน ตามลำดับ

กู่ฉิงซานเองก็เข้าแถว และมองออกไปนอกเกาะ

นอกเหนือไปจากเกาะเล็กๆ ที่ใช้ขนส่งแห่งนี้แล้ว บนยอดต้นน้ำ มันมีขุนเขาอยู่ทั้งสิ้นเจ็ดลูก

ทว่าที่เหล่าผู้ฝึกยุทธแนะนำกันก่อนหน้านี้ พวกเขาเอ่ยออกมาเพียงหกขุนเขาเท่านั้น ขณะที่ขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่กลับไม่มีใครออกมาให้คำแนะนำใดๆ เลย

เขาจึงหันไปเอ่ยถามอาวุโสที่เป็นคนนำตนเข้ามา

อาวุโสกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขุนเขาที่ใหญ่ที่สุด แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นขุนเขาของปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวก  ซึ่งมีแค่เพียงปรมาจารย์วังกับศิษย์ของเขาเท่านั้นจึงจะสามารถขึ้นไปได้”

กู่ฉิงซานนิ่งคิดไปชั่วครู่

วังสวรรค์เมฆาวิเวก…

นอกจากฉันจะเคยขึ้นไปยังวังสวรรค์ด้วยตนเองมาแล้ว ฉันยังได้เข้ามายังนิกายในยุคก่อนที่ยังคงมีผู้นำนิกายอยู่อีก

ท่านอาจารย์เองครั้งหนึ่งก็เคยขึ้นมายังวังสวรรค์ เพื่อทำการศึกษาเทคนิคมนตราเช่นกัน

นอกจากนี้ ปรมาจารย์วังในยุคนี้ ก็ยังเป็นพ่อของท่านอาจารย์

อย่างไรก็ตาม หากอ้างอิงตามการรับสืบทอดมรดก  ปรมาจารย์วังเป็นจ้าวนิกายของคนรุ่นก่อน ไม่ทราบว่ากี่ชั่วอายุคนแล้ว ดังนั้น เขาย่อมสามารถนับถือปรมาจารย์วังในฐานะบรรพบุรุษของตนเองได้

… มันค่อนข้างที่จะซับซ้อนนิดหน่อย

อย่างไรก็ตาม นี่ก็ชัดเจนแล้วว่า เพื่อที่จะเรียนรู้ทักษะขั้นพื้นฐาน การได้เข้ามายังนิกายนี้ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

กู่ฉิงซานพิจารณา สุดท้ายตัดสินใจเดินตรงเข้าหาปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวกโดยตรง

เมื่อเขาเดินไปได้ครึ่งทาง ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดก็ตระหนักถึงการเคลื่อนไหวของเขา

ทว่าปรมาจารย์วังมิได้เอ่ยห้าม ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกยุทธจึงไม่คิดสอดมือหยุดเขา

ไม่นานนัก เด็กๆ คนอื่นๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนี้บ้างแล้วเช่นกัน

ทั้งหมดหยุด และมองไปยังกู่ฉิงซานอย่างไม่อยากจะเชื่อ

กู่ฉิงซานเดินไปยังเบื้องหน้าปรมาจารย์วัง และโค้งคารวะอย่างนอบน้อม

“เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร?” ปรมาจารย์วังมองเขาและเอ่ยถาม

“ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ของท่านด้วย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงจัง

ปรมาจารย์วังมองเขาอย่างเงียบๆ และจู่ๆ แววตาของเขาก็สะท้อนประกายบางอย่าง

เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ กำลังมีใครบางคนรายงานเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ของกู่ฉิงซาน

ปรมาจารย์ขุนเขาคนอื่นๆ เองก็ได้รับทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องเช่นกัน สีหน้าของพวกเขาคนแล้วคนเล่าเริ่มเผยให้เห็นถึงความปีติ

มันเป็นเรื่องที่ดี ที่เด็กน้อยผู้นี้กล้าหาญไม่ธรรมดา

แต่ที่ดียิ่งกว่าคือพรสวรรค์ที่แท้จริงของเขา

ทั้งหมดต้องการจะดูว่า ปรมาจารย์วังจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร

ปรมาจารย์วังเอ่ยถาม “เหตุใดข้าจักต้องยอมรับเจ้าในฐานะศิษย์ด้วย?”

กู่ฉิงซานกล่าว “เป็นเพราะข้าต้องการที่จะกลายเป็นผู้ฝึกดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกยุทธรุ่นนี้”

ปรมาจารย์วัง “ก็แล้วมันเกี่ยวข้องอันใดกับการที่เจ้าคารวะข้าเป็นอาจารย์?”

กู่ฉิงซาน “เพราะข้างกายท่านมีดาบอยู่ ดังนั้นชัดแจ้งว่าเป็นผู้ฝึกดาบ นอกเหนือไปจากนี้ ท่านยังเป็นถึงปรมาจารย์วัง ข้อสรุปจึงง่ายดายยิ่ง ทักษะดาบของท่านย่อมต้องแสนวิเศษ เหนือธรรมดา จึงสามารถเหยียบย่ำทุกผู้คน แล้วขึ้นไปนั่งอยู่ในตำแหน่งนั่นได้”

“ดังนั้น หากไม่มีอะไรผิดพลาด การได้ศึกษาดาบจากท่าน ย่อมเป็นวิธีบรรลุเป้าหมายได้ดีที่สุด”

ปรมาจารย์วังพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าต้องการที่จะเป็นผู้ฝึกดาบที่แข็งแกร่งที่สุดงั้นหรือ? เหตุใดเป้าหมายของเจ้าจึงมิใช่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดเล่า?”

กู่ฉิงซาน “โลกใบนี้กว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุด มีผู้คนโดดเด่นอยู่นับไม่ถ้วน ดังนั้นข้าไม่กล้าคิดเหยียบย่างขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นอันดับแรก”

ปรมาจารย์วังผงกหัวเล็กน้อย เอ่ยถามอีกครั้ง “ทว่าการคิดกับการลงมือทำ นั่นเป็นคนละเรื่อง เส้นทางแห่งผู้ฝึกดาบยากเย็นเหลือแสน หากข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ แต่เจ้ามิอาจบรรลุผลดังหวังได้ นี่มิใช่หมายความว่าคำสอนที่ข้าอุทิศให้เสียเปล่าหรอกหรือ?”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้น “ในภายภาคหน้า หากมีวันใดที่ข้ามิได้เป็นผู้ฝึกดาบอันดับหนึ่งแห่งนิกาย ในบรรดาผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันอีกต่อไป ข้าจักทำลายฐานวรยุทธ์ตนเอง และหลีกลี้ออกจากนิกาย… ร้องขอฟ้าดินเป็นพยาน!”

เปรี้ยง!

บังเกิดสายฟ้าคะนองลั่น

วิถีสวรรค์ได้ตอบรับคำสาบานของเขาแล้ว!

ทุกผู้คนสีหน้าแปรเปลี่ยนไป

ปรมาจารย์วังเอง ถึงแม้จะเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีข้อยกเว้น

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงคำสาบานของเด็ก แต่เด็กผู้นี้มีรากวิญญาณอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงสามารถส่งผ่านพลังทางจิตวิญญาณไปยังสวรรค์และโลกได้ ตั้งแต่ที่ยังไม่เริ่มฝึกยุทธ

ส่งผลให้กฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินตอบรับคำสาบานของเขา!

หกปรมาจารย์ขุนเขาต่างมองไปยังกู่ฉิงซาน สีหน้าของพวกเขาเผยถึงความประหลาดใจ

เพราะในการฝึกยุทธในภายภาคหน้า หากเด็กน้อยผู้นี้ไม่สามารถรักษาวิถีดาบในฐานะอันดับหนึ่งเอาไว้ได้ เขาจะต้องสูญสิ้นฐานวรยุทธ์ และถอนตัวออกจากนิกาย กลายเป็นคนพิกลพิการในบัดดล!

วิถีสวรรค์เองก็รับทราบเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นคำสาบานย่อมมิอาจละเมิด ไม่เช่นนั้นโชคชะตาของเขา คงมิแคล้วถูกลงโทษด้วยทัณฑ์สายฟ้า ฟาดผ่าจนจิตวิญญาณหลีกลี้ พลังวิญญาณแตกสลายไป

เด็กคนนี้ ฝืนบังคับตนเองให้ถึงทางตันอย่างกะทันหัน เลือกก้าวเดินในเส้นทางที่มิอาจย้อนกลับ และด้วยจิตแห่งเต๋าที่แสนจะหาได้ยากยิ่งนี้ ปรมาจารย์วังย่อมไม่ควรปฏิเสธ ยิ่งเป็นผู้ฝึกดาบเฉกเช่นเดียวกัน ยิ่งแล้วใหญ่

เป็นครั้งแรกเลยที่ปรมาจารย์วังเพ่งมองกู่ฉิงซาน ตรวจสอบเด็กน้อยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เขาไตร่ตรองและกล่าว “ข้าขอถามเจ้า เหตุใดเจ้าต้องการฝึกฝนทักษะดาบ? เพื่อความโดดเด่น? เพื่อต้องการจักมีชื่อเสียง? เพื่อโค่นล้มมอนสเตอร์จากโลกบรรพกาล? เพื่อแบ่งเบาภาระของเทพวิญญาณ? หรือว่าเพื่อต้องการที่จะเป็นอิสระจากหมู่มวลสวรรค์และโลก ไร้ซึ่งข้อจำกัดข้อผูกมัดใดๆ หรืออันใดกันแน่?”

กู่ฉิงซานเงียบไปหนึ่งลมหายใจ

ในเมื่อตอนนี้เขายังเป็นเด็ก แค่ออกมาพูดคุยกับปรมาจารย์วัง ทุกคนก็ถือว่าฉันมีพรสวรรค์ และจิตแห่งเต๋าอันเลอเลิศแล้ว

ทว่าหากเขาเอ่ยในเชิงลึกเกินไป ผลลัพธ์อาจตรงกันข้าม มันอาจกระตุ้นให้เกิดข้อสงสัยแก่ทุกคนได้

อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่สามารถโกหกผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งเป็นเลิศได้ หากเกิดความผิดปกติขึ้นแม้เพียงน้อย การรับรู้ทางจิตวิญญาณของพวกเขาก็ย่อมต้องตระหนักได้ในทันที

ดังนั้น คำถามนี้ เขาจะต้องตอบตามความคิดง่ายๆ ง่ายที่สุดที่มันอยู่ในหัวใจของเขา

เมื่อตริตรองถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็โพล่งตอบไปว่า “เพื่อที่ว่าหากบังเกิดความอยุติธรรม ข้าพเจ้าจักชักดาบออกไปฟาดฟันมัน”

สรรพสิ่งโดยรอบพลันเงียบงัน

ปรมาจารย์ขุนเขาต่างสบตากัน แววตาฉายชัดว่าเหนือความคาดหมาย

ปรมาจารย์วังเชิดหน้าขึ้นขบคิดเล็กน้อย ปากเอ่ยวาจาคำหนึ่ง “จงคุกเข่าลง”

กู่ฉิงซานคุกเข่าต่อหน้าเขา น้อมกายโค้งคารวะ “ร้องขอท่านอาจารย์ ได้โปรดรับการคารวะจากศิษย์ด้วย”

ปรมาจารย์วังมองเขาและกล่าว “มีเพียงหัวใจอันบริสุทธิ์เท่านั้น จิตแห่งเต๋าจึงจักแข็งแกร่ง เด็กน้อยเช่นเจ้าหาได้ยากเย็นยิ่งนัก วันนี้ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะกลายเป็นจ้าวแห่งเต๋า ลงมือพิฆาตความอยุติธรรมทั้งมวลเพื่อเผ่ามนุษย์”

“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์!”

………………..

Related

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

เขาค้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง

รอบตัวเป็นอาคารที่แตกร้าว ทรุดโทรมทอดยาวจากตีนเขาไปจนถึงยอดเขา

แม้วังบางแห่งจะถูกทิ้งร้างมานานปี ทว่ามันกลับยังคงเปล่งแสงสวรรค์ออกมาเล็กน้อย  ส่งผลให้ยังดูหรูหรา และยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม เห็นได้ชัดว่ายังคงถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยค่ายกลกำจัดฝุ่น

ค่ายกลกำจัดฝุ่น สามารถทำงานได้โดยการดูดซับพลังงานทางจิตวิญญาณจากสวรรค์และโลก นำมาหมุนเวียน ดังนั้นแม้จะข้ามผ่านสายธารแห่งประวัติศาสตร์มานานปี แต่มันก็ยังคงสภาพเอาไว้ได้

กู่ฉิงซานถอนสายตาของเขากลับ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ มีวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขา และมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ขอเรียนถาม…” กู่ฉิงซานกำลังจะประสานมือ

“ไม่จำเป็นต้องถาม นี่ข้าเอง เต่ายักษ์ไง จำมิได้หรือ?” วัยรุ่นกล่าว

กู่ฉิงซานเบนตาลงมองกระดองเต่าบนแผ่นหลังอีกฝ่าย และพยักหน้า “เป็นท่านอาวุโ…”

วัยรุ่นขัดจังหวะเขา “อาวุสงอาวุโสอันใด ข้าอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น ดูรูปลักษณ์ข้าสิ เห็นไหมว่าข้ายังเด็กนัก ดังนั้นนับจากนี้ไปจงเรียกข้าว่า เต่าหนุ่ม หรือจะเต่าน้อยก็ได้ มันฟังดูดีกว่า”

กู่ฉิงซาน “…”

เต่าน้อยโยนสิ่งหนึ่งให้เขา

“เจ้าทำได้ดีกว่าเฉินหยาง ดังนั้น เจ้าจึงผ่านการทดสอบ และได้รับรางวัลเป็นใบหยกของสาวก”

กู่ฉิงซานก้มลงมองใบหยกในมือของเขา

และค้นพบว่า ในใบหยก มันฟุ้งไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณอันน่าอัศจรรย์ใจ เพียงวางลงบนฝ่ามือ ก็ปรากฏหมอกสีขาวพรั่งพรูออกมาตลอดเวลา

ทว่ารูปทรงของใบหยกนี้มันค่อนข้างแปลก เพราะแลดูคล้ายกับอักษรรูนที่เสียหายซะมากกว่า

“ไม่เอาน่า อย่ามองมันแบบนั้น เพราะเจ้าผ่านการทดลองเบื้องต้นแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ เจ้าสามารถเป็นสาวกของวังสวรรค์เมฆาวิเวก และเริ่มฝึกยุทธได้” เต่าน้อยกล่าว

“ฝึกยุทธอันใด?” กู่ฉิงซานถามแปลกๆ “ข้ามาที่นี่เพื่อต้องการตามหาดาบนภาต่างหาก”

“ข้ารู้” เต่าน้อยมองเขาด้วยแววตาที่แฝงความหมายลึกซึ้ง “ทว่าความแข็งแกร่งของเจ้ามันอ่อนแอเกินไป เจ้ายังคงไม่สามารถใช้ดาบนภาได้ เลยทำได้เพียงฝึกยุทธก่อนเป็นอันดับแรกเท่านั้น”

“ซึ่งสำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว การได้ถูกส่งกลับไปยังโลกสวรรค์ นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตของเจ้า เจ้าสามารถฝึกฝนเทคนิคเต๋าในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด และเสริมสร้างความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว”

“เช่นนั้น ข้าต้องฝึกยุทธถึงขอบเขตใดกัน จึงจะสามารถออกตามหาดาบพิภพได้?” กู่ฉิงซานถาม

“นับตั้งแต่ที่เจ้าได้รับใบหยกสาวก เจ้าก็ต้องเป็นสาวกอันดับหนึ่งในรุ่นนั้นเสียก่อน เจ้าจึงจะได้รับโอกาสในการค้นหาดาบนภา”

เขายื่นมือออกไป และแตะลงเบาๆ บนใบหยก

คลื่นความผันผวนที่มองไม่เห็นแพร่กระจายจากใบหยกไปทุกทิศทาง

เต่าน้อยกล่าวว่า “จดจำเอาไว้ให้ดี แม้ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังจะพบเผชิญ จักเป็นเพียงภาพทับซ้อนในสมัยโบราณ แต่กฎเกณฑ์แห่งโลกย่อมเชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้น หมายความว่าความแข็งแกร่งที่เจ้าได้รับจากการฝึกยุทธ ย่อมสามารถนำมันกลับมาได้เช่นกัน”

“นั่นหมายความว่าที่ข้าสมควรทำ มีแค่ฝึกยุทธก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เต่าน้อยส่ายหัว และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงก็ใช่ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถเข้าร่วมกับวังสวรรค์เมฆาวิเวก เพื่อฝึกฝน ทว่าหากไม่สามารถเข้าร่วมได้ ก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาเช่นกัน”

“หมายความว่าข้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปฝึกยุทธกับทางวังสวรรค์ก็ได้งั้นหรือ?” กู่ฉิงซานสงสัย

เต่าน้อยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ว่าจะเข้าร่วมกับนิกายใด แท้จริงแล้วล้วนมีโอกาสค้นหาดาบนภาทั้งนั้น แต่เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้เจ้าไม่ได้รับสิทธิ์ในการค้นหาดาบนภา ทว่าด้วยประสบการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวที่เจ้าได้รับ ก็นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งยวดแล้ว”

กู่ฉิงซานกำลังจะกล่าวถามต่อ ทว่าใบหยกพลันเปล่งประกายสดใสเสียก่อน

มันรับเอากู่ฉิงซานเข้าไปในความว่างเปล่า และกลืนหายวับไป

สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่แสนสดชื่น และสายลมเบาๆ ชวนให้ผู้คนรู้สึกสุขสบาย

ภูเขาที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ผืนป่าสีเขียวขจี สะพานขนาดเล็กที่ทอดยาว และทะเลสาบที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควันขาวฟุ้ง

ช่วงเวลานี้ ชัดเจนว่าเป็นช่วงเช้ามืด

เด็กๆ ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสะอาด กำลังยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เข้าแถวอยู่หน้าประตูวิหารในภูเขา เฝ้ารอการคัดเลือกของนิกาย

เด็กแต่ละคนล้วนได้รับสิทธิ์ในการฝึกยุทธ

แม้ว่าบางคนจะเกิดมาโดยไม่มีรากวิญญาณก็ตาม แต่เทพวิญญาณจักยังคงประทานเม็ดยา มอบให้สำหรับพวกเขาเพื่อปลูกฝังรากวิญญาณที่สามารถสอดรับกับธาตุทั้งห้าได้

นั่นหมายความว่าย่อมไม่มีใครถูกทอดทิ้ง

เทพวิญญาณต้องการกำลังคนจำนวนมากในการต่อสู้ ขณะเดียวกัน มนุษย์ก็กระตือรือร้นที่จะแข็งแกร่งขึ้น

กล่าวได้ว่านี่คือยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ที่สุด

กู่ฉิงซานกางสองมือออก ก้มหน้าเบนสายตาลงบนมือของเขา

เจ้าตัวไม่รู้ว่าสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เพราะเวลานี้ มือของเขาได้กลายเป็นสีขาวผ่อง นุ่มนวล ราวกับว่าไม่เคยผ่านการตกระกำลำบากมาก่อน

อันที่จริง สภาพเขาในตอนนี้ ได้กลายเป็นเด็กอายุประมาณหกถึงเจ็ดปีไปแล้ว

เขากำลังยืนต่อแถวกับเด็กคนอื่นๆ เพื่อทำการเลือกนิกาย

และแน่นอน ว่าฐานวรยุทธ์ย่อมถูกล้มล้าง กลับกลายเป็นศูนย์

ปัจจุบันนี้ ตนเองเพียงสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยพลังวิญญาณจางๆ ในอากาศเท่านั้น ส่วนตันเถียน มันว่างเปล่าโดยสมบูรณ์

แต่โชคยังดี ที่พลังศักดิ์สิทธิ์ และสองดาบยังคงอยู่กับเขา

และทั้งความทรงจำหรือประสบการณ์ต่อสู้เอง ก็มิได้ถูกพรากจากไป

ท่ามกลางเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้ หากไม่นับเรื่องพลังวิญญาณ ภายในกายเขามันไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ในแถว เฝ้ารอเวลาไหลผ่านไปอย่างเงียบๆ

ไม่นานนัก

บางคนก็ตะโกนมาจากระยะไกล “กลุ่มที่ห้าสิบเก้าเข้ามาในลานวิหารเต๋าได้”

กู่ฉิงซานเดินตามเด็กคนอื่นๆ ในแถวเดียวกันเข้าไปสู่ลานวิหารเต๋าตามลำดับ

ทันทีที่เข้ามา วิสัยทัศน์ของเขาก็ส่องสว่างวาบ

เขาค้นพบว่าตลอดทั้งวิหารเต๋ากว้างขวางนัก มันสามารถรองรับผู้มาเยือนได้ถึงหลายพันคน

ใจกลางวิหาร เป็นลานจัตุรัสที่ว่างเปล่า ซึ่งมีไว้เพื่อให้เด็กๆ ก้าวไปข้างหน้า แสดงความถนัดของพวกเขา

โดยมีนิกายต่างๆ ห้อมล้อมอยู่นอกจัตุรัส

เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า ลอยล่องไปด้วยเมฆหลากสีสันสดใส

เมฆเหล่านี้ ลอยนิ่งอยู่บนท้องฟ้า

ผู้ฝึกยุทธยิ้มให้เด็กๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “จากซ้ายไปขวา เริ่มได้”

ทุกคนต่างหันไปมองตามเด็กทางซ้ายสุดคนแรก

เด็กที่ไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน เริ่มรู้สึกประหม่า เขากระวนกระวาย ยืนนิ่งอยู่กับที่ เนิ่นนานมิกล้าเคลื่อนไหว

แต่แล้วในที่สุด ก็ถูกเสียงของผู้ฝึกยุทธกระตุ้น เจ้าตัวเร่งก้าวไปข้างหน้า และหยุดยืนอยู่กลางจัตุรัส

ไม่นานนัก แสงจากเมฆสีสันสดใสก็สาดลงมา เข้าปกคลุมตัวเด็กเอาไว้

ขณะเดียวกันนั้นเอง

แท่งไม้สั้นๆ ก็ตกลงมาจากฟากฟ้า และลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้าเด็กอย่างเงียบๆ

บรรดาอาวุโสของแต่ละนิกาย เริ่มเบิกตามอง

แต่แล้วผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม กวักมือเรียกเด็กน้อย “มาเถอะเจ้าหนู เจ้าได้รับไม้กายสิทธิ์ของนิกายข้า และจักได้กลายเป็นผู้ใช้มนตราในอนาคต”

เด็กคนนั้นคว้าจับไม้สั้น และวิ่งไปทางชายชราด้วยความดีใจ

จากนั้น เด็กคนที่สองก็ก้าวออกมาข้างหน้า

เขาหยุดยืนใจกลางจัตุรัส แสงจากเมฆหลากสีสันสาดลงมา ตามต่อด้วยของสามสิ่งที่ตกลง

เป็นไม้เท้า มีดสั้น และพัด

ผู้อาวุโสของทั้งสามนิกายมองเขาด้วยความสนใจ

อย่างไรก็ตาม เด็กน้อยยังคงยืนจ้องทั้งสามสิ่งเบื้องหน้าอยู่นาน ไม่ทราบว่าควรเลือกชิ้นใดดี

ผู้ฝึกยุทธที่รับผิดชอบในพิธีกล่าว “เพียงเลือกมาหนึ่งที่ใจเจ้าปรารถนา”

เด็กน้อยจึงค่อยเอื้อมมือไปคว้าจับมีดสั้น และโบกมันไปมาด้วยความตื่นเต้น

ไม้เท้ากับพัด เมื่อไม่ถูกเลือก ก็บินกลับไปข้างบนเมฆหลากสีสันทันที

ชายชราคนหนึ่งเรียกเขา “มานี่สิ เจ้าได้รับมีดของข้า ดังนั้นเจ้าจะเป็นศิษย์ของนิกายข้านับจากนี้ไป”

เด็กน้อยกุมมีดสั้น และวิ่งไปทางผู้อาวุโสนิกาย

การคัดเลือก ยังคำดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

เด็กคนที่สามก้าวออกมาข้างหน้า

เด็กคนนี้ถูกห้อมล้อมไปด้วยดิสก์ค่ายกลกว่าแปดชิ้น ใช้เวลาเล็กน้อย สุดท้ายเลือกหนึ่งในนั้น

อีกหนึ่งอาวุโสรับตัวเขาไป

เด็กคนที่สี่ เป็นเด็กสาวตัวน้อย

เมื่อเธอเดินมายืนอยู่ใจกลางจัตุรัส ร่างของเธอก็พลันเปล่งแสงสีฟ้าออกมาทันที

เมฆหลากสีสันสาดแสงปกคลุมร่างของเธอ

พริบตาใน วัตถุกว่าหกสิบชิ้นพลันร่วงหล่น ลอยมาอยู่เบื้องหน้าของเธออย่างเงียบๆ

วินาทีนั้นเหล่าผู้อาวุโสต่างเริ่มกระซิบกระซาบ

พวกเขาเริ่มที่จะแก่งแย่ง เพื่อชิงเด็กสาวคนนี้มาอยู่กับนิกายตนเอง

ผู้ฝึกยุทธที่รับผิดชอบในพิธีก้าวขึ้นมา และเอ่ยถามเด็กสาวตัวน้อย “หากเป็นในกรณีนี้ จะ…เจ้าสามารถเลือกได้เลยว่าต้องการเข้าร่วมกับนิกายใด”

เด็กสาวตัวน้อยพยักหน้าและกล่าว “นิกายวารีปริศนา”

นิกายวารีปริศนา คือนิกายผู้ใช้เทคนิคมนตราธาตุน้ำที่แข็งแกร่งที่สุด นอกจากนี้ยังได้รับคำแนะนำเป็นการส่วนตัวจากเทพวารี เป็นนิกายที่มีชื่อเสียงอย่างมาก

ข้อพิพาทยุติลงทันที

สาวงามในชุดกิโมโนยิ้มกว้าง และกวักมือเรียกเด็กสาวตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม

เด็กสาวตัวน้อยมองผู้ฝึกยุทธในพิธี หลังจากได้รับอนุญาต เธอก็วิ่งไปทางสาวงามชุดกิโมโนด้วยความสุข

ถัดมา เป็นตาของกู่ฉิงซาน

เขาก้าวเดินมาไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ยืนอยู่ท่ามกลางจัตุรัส

วินาทีนั้น ระหว่างสวรรค์และโลกพลันบังเกิดคลื่นความผันผวนอันน่าอัศจรรย์ขึ้น

คลื่นความผันผวนที่มองไม่เห็นนี้ คืบคลานเข้ามาในจิตใจของเขา คล้ายกำลังสำรวจสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงความผันผวนนี้ ในหัวใจของเขาบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก

นั่นเพราะต่อมาในคนรุ่นหลัง มันไม่ได้มีวิธีการคัดเลือกที่ซับซ้อนเช่นนี้ เพื่อช่วยให้เด็กๆ สามารถเลือกก้าวเดินในหนทางที่ดีที่สุดแต่แรกได้

เต่ายักษ์บอกกับเขาว่า ไม่สำคัญว่าจะเข้านิกายใด อย่างไรเขาก็ย่อมได้รับโอกาสที่จะค้นหาดาบนภาอยู่ดี

ทว่าเมื่อลองย้อนนึกไปถึงฉากก่อนหน้านี้ ฉากในวังสวรรค์ เขาจดจำได้ว่าอาจารย์วังเป็นผู้ฝึกดาบที่ทรงอำนาจยิ่ง

ต้องไม่ลืมนะว่าเขาสามารถสะกดข่มเทพวิญญาณได้กว่าครึ่ง…

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และเห็นว่าเมฆหลากสีสันยังคงนิ่งงัน

บังเกิดความคิดผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา

‘เอาดาบ… จงมอบดาบมาให้ข้าสิ’

วินาทีต่อมา คลื่นความผันผวนในร่างกายเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เห็นแค่เพียงเมฆหลากสีนับร้อยก้อนสั่นไหวเล็กน้อย

ทันใดนั้นเอง ดาบเล่มหนึ่งก็ร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า ลอยนิ่งอยู่ในความว่างเปล่าเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

ตัวดาบยาวส่งเสียงฮึมฮัมต่ำๆ

นี่คล้ายเหมือนเป็นสัญญาณเรียกขาน

ดาบยาวอีกเล่มพลันย้อยตกลงมาจากก้อนเมฆ ลอยมาอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

หลังจากนั้นหลายลมหายใจ

ฉากอันน่าตื่นตะลึงก็ปรากฏขึ้น!

ดาบยาวเล่มแล้ว เล่มเล่าทยอยกันร่วงหล่น ลอยเรียงราย ล้อมรอบกู่ฉิงซาน จัดขบวนกันเป็นวงกลม ซ้อนกันไปชั้นแล้วชั้นเล่า

ประมาณโดยรวมแล้วเป็นดาบยาวทั้งสิ้นนับพันเล่ม!

พวกมันต่างฮึมฮัมเสียงต่ำอย่างพร้อมเพรียง คล้ายกับว่ากระตือรือร้นอยากจะเป็นที่หมายปองของกู่ฉิงซาน

เหล่าเด็กน้อยที่ยืนอยู่โดยรอบกลายเป็นโง่งม

บรรดาอาวุโสต่างผุดลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ผู้ฝึกยุทธรับผิดชอบในพิธีพยายามข่มสติอารมณ์ และเอ่ยถาม “เด็กน้อย เจ้าต้องการจะเข้านิกายใด มีอยู่ในใจแล้วหรือไม่?”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“วังสวรรค์เมฆาวิเวก”

………………….

Related

บนเรือเหาะ

จ้าวควนถูกควบคุมตัวเอาไว้ได้โดยสิ้นเชิง

“ทำไม? คงไม่คิดว่าจะต้องมาจบลงในสภาพแบบนี้ เลยมิได้เตรียมคำตอบไว้ล่ะสิใช่ไหม?” กู่ฉิงซานถาม

จ้าวควนอ้าปากกว้าง แต่สุดท้ายก็หุบลง

กู่ฉิงซาน “งั้นไม่เป็นไร… ในเมื่อเจ้าไม่บอก ข้าคงต้องค้นมันด้วยต้นเอง!”

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็เอื้อมมือออกไป และกดลงเบาๆ บนหน้าผากของจ้าวควน

เปิดใช้งานเทคนิคค้นวิญญาณ!

หน้าผากของจ้าวควนพลันสะท้อนประกายแสงจรัส กระแทกสวนเข้าใส่ฝ่ามือของกู่ฉิงซานโดยตรง

เส้นแสงสีทองลึกลับปรากฏขึ้นบนหน้าผากของจ้าวควน ยังมี! กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เริ่มพวยพุ่งออกมาจากภายในแสงสีทองที่ว่านั่น

นี่มันลายลักษณ์เทวะ!

จ้าวควนถุยก้อนเลือดจากปาก หัวเราะเสียงดัง “เฉินหยาง เจ้าต้องการที่จะค้นวิญญาณข้าอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ”

สีหน้าของกู่ฉิงซานผิดแผกไป เขาคำรามเสียงต่ำ “ที่แท้เจ้าก็หันไปยอมสยบต่อเทพวิญญาณ! เจ้าเป็นศิษย์อันดับหนึ่งแห่งนิกาย และยังได้รับสืบทอดเป็นปรมาจารย์นิกายคนต่อไป เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้!”

จ้าวควนกล่าวด้วยความเกลียดชัง “ปรมาจารย์นิกายนับเป็นสิ่งใด! นั่นมันไร้สาระ! ท่านอาจารย์เพียงต้องการให้ข้าทุ่มเททำงานทั้งวันคืนต่างหาก!”

เขาคำรามลั่น “ทราบหรือไม่ ว่าเขาไม่ส่งต่อวิถีนักดาบนิรันดร์แก่ข้า แม้กระทั่งกฎเกณฑ์แห่งนักดาบนิรันดร์ก็ไม่ยอมสืบทอดมา!”

“เฉินหยาง เจ้าสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกของข้าได้หรือไม่? เมื่อใดก็ตามที่ข้าเห็นนักดาบนิรันดร์คนอื่นๆ ควบคุมดาบบิน ทว่าข้ากลับทำได้เพียงแค่ใช้ดาบยาวเข้าสู้เท่านั้น ในทางกลับกัน ข้าดันเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของนิกาย เคยสังเกตเห็นถึงสายตาที่ทุกคนมองข้าหรือไม่ ข้าจำต้องกล้ำกลืนความน่าสมเพชนี้เอาไว้ เจ้าไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของข้าหรอก!”

กู่ฉิงซานชะงักงัน เปล่งเสียงอธิบายอย่างช้าๆ “หากคิดเป็นนักดาบนิรันดร์ จำต้องค้นหาเส้นทางสู่มันด้วยตนเอง เรื่องนี้ไม่มีใครสามารถสอนสั่งได้ เพราะนั่นเป็นเส้นทางของเจ้าเอง เรื่องแค่นี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ?”

จ้าวควน “ข้าเข้าใจ แน่นอน ข้าทราบดีทุกสิ่ง แต่มันเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว เฉินหยาง มันเนิ่นนานกว่าสามสิบปี! ที่แท้ฐานวรยุทธ์ของข้าจักเพิ่มพูนขึ้นต่อเนื่อง เหนือล้ำยิ่งกว่าสาวกคนใด แต่แท้จริงกลับมิอาจบรรลุนักดาบนิรันดร์ เจ้าเข้าใจความรู้สึกนี้หรือไม่?”

“ข้าเข้าใจ” กู่ฉิงซานกล่าว

จ้าวควนขู่ฟ่อ “เจ้าโกหก!”

“ทุกคนต่างกล่าวว่าจ้าวควนน่ะกำลังวุ่นอยู่กับกิจการของนิกายทุกวี่วัน ดังนั้นการฝึกฝนดาบจึงล่าช้า แต่พวกเขาไม่เคยทราบเลย ว่าข้าฝึกฝนดาบหนักหนาสาหัสเพียงใด”

“ทว่าผลลัพธ์กลับเลวร้าย! ใช่ มันเลวร้าย!! ภายใต้ความพยายามแสนสาหัสของข้า ไม่ว่าในกรณีใด ข้าก็มิอาจควบคุมดาบด้วยจิตนึกคิดได้ -เหตุนี้เองข้าจึงทำลายวิถีดาบเดิม และเปลี่ยนมาเป็นวิถีแห่งดาบใหม่ ทว่ามันก็ยังไร้ประโยชน์!”

“ทำลายวิถีดาบเดิม…”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ต้องขมวดคิ้ว

จ้าวควนกล่าว “เฉินหยาง ข้าเป็นผู้ฝึกดาบ และเส้นทางของผู้ฝึกดาบนั้นสาหัสนัก มันจำต้องปฏิเสธวิถีอื่นๆ ไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถเบนเข็มสู่ความเชี่ยวชาญในแขนงอื่นๆ ได้ เจ้าทราบหรือไม่ว่าเพราะเรื่องนี้ มันทำให้ข้าอยากจะฆ่าตัวตายไปแล้วกี่ครั้ง?”

เขาหัวเราะออกมาทันใด เลือดสดๆ ไหลย้อยลงจากใบหน้าของเขา เผยสภาพที่ดูน่าหวาดกลัวและคลุ้มคลั่ง

“ยิ่งนานวัน ข้าก็ยิ่งมิอาจทานทนต่อผลลัพธ์นี้ได้ ดังนั้นจึงเดินทางไปร้องขอเทพวิญญาณเป็นการส่วนตัว แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เจ้าพอจะเดาได้ไหม?”

“ปรากฏว่าหลังจากนั้น กระบวนการทั้งหมดช่างง่ายดายยิ่ง! มันเกินกว่าที่จักสามารถจินตนาการนัก–ข้าได้รับการถ่ายทอด สามารถเรียนรู้เทคนิคในการควบคุมดาบโดยตรง!”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงหันไปเลียแข้งเลียขาเทพวิญญาณ”

“เลียแข้งเลียขาแล้วอย่างไร นิกายนับเป็นสิ่งใด ข้าไม่สน ยามนี้ ข้าเพียงได้รับคำสั่งจากเทพวิญญาณ ว่าจะต้องล้างบางนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวกจนสิ้น เหล่าลูกศิษย์ลูกหาที่ออกเดินทางไปล่วงหน้า หวงซาน ตัวเจ้า และบุตรสาวอาจารย์เองก็ไม่มีละเว้น พวกเจ้าทุกคนมิอาจหนีรอดไปได้!”

ในหัวใจของกู่ฉิงซานหนักอึ้ง เขาเร่งถามอย่างรวดเร็ว “เหล่าสาวกที่ออกเดินทางไปก่อนหน้านี้…เจ้าทำอะไรลงไป?”

สีหน้าของจ้าวควนเผยถึงความภาคภูมิ “ข้าจ้าวควนคือศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกาย ดังนั้นย่อมมีหลายสิ่งที่มันจำต้องผ่านมือข้า เจ้าลองคาดเดาดูสิว่า ข้าใช้วิธีใดในการจัดการเรื่องนี้?”

กู่ฉิงซานถลึงตามองอีกฝ่าย ในหัวใจของเขาโศกเศร้าเล็กน้อย

โลกแห่งผู้ฝึกยุทธในสมัยของเขานั้นอ่อนแอยิ่ง พวกเขาไม่รู้กระทั่งการเดินทางข้ามผ่านระหว่างโลก ส่งผลให้มักจะถูกเผ่ามารรุกราน กดดันอยู่บ่อยๆ

ทว่าหากหนึ่งในสาวกเหล่านี้ของโลกสวรรค์สามารถหลบลี้จากเภทภัยนี้ไปได้ คนรุ่นต่อๆ มาในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธคงไม่พบจุดจบเช่นนั้น

ดูเหมือนว่าในกรณีนี้ แม้ว่าเฉินหยาง แท้จริงจะสามารถหลบหนีไปได้ แต่เกรงว่าเขาคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยืนยาว

มิฉะนั้นศาสตร์ของนักสู้หวูเต๋าของเขาก็คงจะได้รับการสืบทอดต่อๆ กันมาแล้ว

จ้าวควนจงใจกล่าว “รอก่อนเถอะ อีกไม่นานทวยเทพจะส่งคนมาตามล่าสาวกเหล่านั้น และจะไม่มีใครสามารถรอดพ้นไปได้”

“เฉินหยาง ข้าส่งมอบดาบพิภพให้แก่เทพวิญญาณไปแล้ว เทพวิญญาณปลื้มปีติถึงขั้นมอบพลังแห่งชีวิตให้แก่ข้า แม้ข้าจะตกตาย จิตวิญญาณของข้าก็จะกลับไปหาเทพวิญญาณ ทั้งหมดที่เจ้ากำลังทำตอนนี้ ล้วนเป็นความพยายามที่สูญเปล่า”

กู่ฉิงซานมองเขา ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกแปรปรวนในหัวใจ

“ไม่เป็นแบบนั้นหรอก”

แล้วเขาก็เรียกไม้เท้ามนตราออกมาจากในความว่างเปล่า

-เป็นไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูต

ไม้เท้าง้างสูงขึ้น

กระแทกลง!

จ้วงทะลวงไป!!

จ้าวควนที่ถูกแทงโดยไม้เท้ามนตรา ทั้งคนทั้งร่างกระตุกเร่า ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง

เลือดพรั่งพรู

สาดกระจายไปทั่ว

น้ำเสียงของกู่ฉิงซานกลายเป็นเย็นชา “เจ้ารู้สึกหรือไม่? นี่ความเจ็บปวดจากการทรยศต่อทุกคน”

“มันช่างน้อยนิดยิ่ง” จ้าวควนอ้าปากหอบหายใจ “เพราะอย่างไรซะ หลังจากนี้ข้าย่อมฟื้นคืนชีพ และจากนั้นข้าก็จะขอให้เทพวิญญาณไปรับเอาดวงจิตของเจ้า และลงทัณฑ์ทรมานเจ้าตลอดไป!”

กู่ฉิงซานเงียบลง

เขาถอนหายใจ “จ้าวควน เห็นว่าเจ้ากำลังจะตาย ข้าเลยอยากจะบอกอะไรให้สักสองสามคำ”

“ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เจ้ากำลังไล่ไขว่คว้าอยู่มันมิใช่ทักษะดาบ หากแต่เป็นชื่อเสียงและความแข็งแกร่งของวิถีดาบ ที่จักได้รับหลังกลายมาเป็นนักดาบนิรันดร์ต่างหาก”

“ถ้าเจ้ามุ่งมั่นที่จะไล่ตามทักษะดาบอย่างสุดหัวใจจริงๆ ไหนเลยทำลายวิถีดาบดั้งเดิม ไหนเลยจักไปวิงวอนอ้อนขอพลังต่อเทพวิญญาณ?”

“ผู้ฝึกดาบน่ะ จะไม่ไล่ตามพลังจากภายนอกแบบนั้น”

“พลังของดาบจะต้องมาภายส่วนลึกที่สุดภายในจิตใจของเจ้า และพลังเช่นนี้เองที่จักจุดประกายเป้าประสงค์ของเจ้าได้”

หลังจากได้ฟัง จ้าวควนก็กระอักเลือดอีกครั้ง หอบหายใจ อ้าปากเปล่งเสียงตอบกลับอย่างไม่ยินยอม “น้ำหน้า…อย่างเจ้า…น่ะหรือ…มา…สอนสั่ง…ข้า?”

เขาส่ายหัวด้วยความดูหมิ่น

กู่ฉิงซานมองอีกฝ่าย ไม่ขยับกายเคลื่อนไหวใดๆ

อย่างไรก็ตาม มันกลับปรากฏดาบบิน โผล่ออกมาจากในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ

มิผิดแล้ว เป็นดาบบินจริงๆ!

จ้าวควงเบิกตากว้าง ทั้งคนทั้งร่างแข็งค้างไปพักหนึ่ง มิอาจยอมรับภาพตรงหน้าเขาได้

“จ้าวควน จงไปเรียนรู้ ฝึกฝนทักษะดาบในชาติหน้าเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

เขากุมไม้เท้าแห่งการจองจำ และจ้วงแทงอย่างรุนแรง

จ้าวควนพ่นหมอกเลือดคำสุดท้าย ไม่ยินยอมที่จะสูญสิ้นชีวิตไป

แต่ทันใดนั้นเอง ร่างศพของเขาก็เรืองแสงสีทองขึ้น

ลายลักษณ์สีทองพวยพุ่ง และเริ่มยกร่างศพของเขา

เมื่อเห็นว่าร่างกายของจ้าวควนกำลังจะหายไปจากเรือเหาะ-

กู่ฉิงซานก็ชูไม้เท้าแห่งการจองจำ และเปิดใช้งานสกิล กระจายวิญญาณ ทันที

“เทคนิคลับแห่งไม้เท้า กระจายวิญญาณ”

“คำอธิบาย ราชาภูตสามารถใช้อำนาจของไม้เท้า สังหารคนตายคนใดก็ตามที่ไม่เชื่อฟัง และวิญญาณของคนตายที่ถูกสังหารก็จะกระจายตัวออก แปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน หนุนเสริมอำนาจให้แก่ตัวไม้เท้า”

เปรี้ยง!

แสงสีดำจากตัวไม้เท้า แทงทะลุเข้าใส่ร่างของจ้าวควน

ในเวลาเดียวกัน แสงสีทองก็เริ่มสว่างไสว

สองแสงเริ่มยื้อยุทธกันและกัน

แต่เห็นได้ชัดว่าแสงสีทองมิใช่คู่ต่อสู้ของแสงสีดำ เพียงไม่นาน มันถูกกลืนกินไปโดยแสงสีดำอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานเลิกคิ้วสูง

หกวิถีแห่งสังสารวัฏ ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุดของทวยเทพในสมัยโบราณ ขณะเดียวกันไม้เท้าแห่งการจองจำเองก็สามารถบดขยี้อำนาจจากลายลักษณ์เทวะได้อย่างกะทันหัน

ในเสี้ยววินาที

สายลมที่เป็นดั่งภาพติดตา ก็ม้วนเอาแสงสีทองจมหายเข้าไป

ตัวไม้เท้าได้รับสิทธิ์ในการจัดการกับร่างศพแล้ว!

และภาพลวงตาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

เป็นจ้าวควน

สีหน้าของจ้าวควนกำลังแสดงออกถึงความอลหม่าน เขาจ้องมองคทาในมือของกู่ฉิงซาน บื้อใบ้มิอาจเอ่ยคำใดได้โดยสมบูรณ์

“ขอโทษที ข้าพูดผิดไป เกรงว่าชาติหน้าเจ้าคงไม่ได้เรียนรู้ทักษะดาบได้อีกแล้ว”

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็ดูดวิญญาณของจ้าวควงลงไปในไม้เท้าแห่งการจองจำ

“เพราะเจ้าจะมิอาจได้รับชีวิตต่อไปอีกตลอดกาล”

พริบตานั้นจิตวิญญาณแผดเสียงร้องขมขื่น มันถูกบังคับให้แหลกสลายโดยไม้เท้า และดึงดูดเข้าไป

ภายในไม้เท้าแห่งการจองจำ ได้ยินเพียงเสียง กรุบกรับเล็กๆ น้อยๆ คล้ายกับว่ากำลังขบเคี้ยวอยู่

แต่กู่ฉิงซานไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเก็บไม้เท้ากลับคืน

จ้าวควนตายไปแล้ว

กู่ฉิงซานลองค้นศพอีกฝ่าย แต่แท้จริงแล้วกลับไม่พบถุงสัมภาระหรือสิ่งใดเลย

พบแค่เพียงใบหยกกับดิสก์ค่ายกลหนึ่ง เหมือนว่าสมบัติอื่นๆ จ้าวควนจะนำไปซ่อนไว้

ดิสก์ค่ายกลนี้มันดูเหมือนกันกับดิสก์ค่ายกลที่ใช้รับส่งสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ของกู่ฉิงซานทุกประการ

กู่ฉิงซานก้มลงมองใบหยก

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นใบหยกพิทักษ์กายาของผู้นำนิกาย

กลับกลายเป็นว่า นี่เองเป็นสาเหตุที่เฉินหยางได้ครอบครองใบหยกและดิสก์ค่ายกลรับส่ง

อย่างไรก็ตาม เกรงว่าเฉินหยางคงต้องประสบกับการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงยิ่งกว่าที่กู่ฉิงซานพบเผชิญแน่ๆ

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมัน ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงคำรามมาจากส่วนลึกของกระแสมิติอันโกลาหล

แสงสีทองสดใสอันรุ่งโรจน์สาดสว่างขึ้นในความว่างเปล่า และค่อยๆ ใกล้เข้ามาจากในส่วนลึกของความโกลาหล

นั่นมันคืออำนาจของเทพวิญญาณ!

กู่ฉิงซานมองไปที่ร่างศพของจ้าวควน

เขาคาดว่าการแกะรอยของเทพวิญญาณ มันจะต้องเกี่ยวข้องกับร่างศพของจ้าวควนอย่างแน่นอน

กู่ฉิงซานกำลังจะโยนร่างศพลงไปสู่กระแสมิติอันโกลาหล แต่ก็ทันหันไปเห็นแสงริบหรี่ กะพริบไหวท่ามกลางกระแสมิติเป็นดาบพิภพ

“เฉินหยาง รีบจับข้าไว้เร็วเข้า ข้าจะพาเจ้าหนีไปเอง!”

เสียงหนักทึบดั่งขุนเขาของดาบพิภพดังขึ้น

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องคว้าจับมัน

แล้ววินาทีต่อมา ภาพทั้งหมดก็หายไป

……………………

Related

“เซี่ย…เต๋า…หลิง ข้าจะจดจำนามนี้ไว้”

กู่ฉิงซานก้มลงมองเด็กสาวตัวน้อยที่ถูกผนึกอยู่ในผลึกน้ำแข็ง ประสานกำปั้น ท่าทีแสดงออกดูจริงจัง “ท่านอาจารย์โปรดมั่นใจ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะปกป้องนางเอง”

ปรมาจารย์วังพยักหน้าเล็กน้อย

เขารู้สึกพึงพอใจกับศิษย์คนนี้มาก

ทันทีที่เขาพลิกฝ่ามือ ผลึกน้ำแข็งที่ลอยอยู่กลางอากาศก็หายวับไป

ทว่ากลับปรากฏกำไลผลึกน้ำแข็งในมือของเขาแทน

“นี่คือกำไลน้ำแข็ง มันเป็นตัวเชื่อมต่อกับโลกใบเล็กๆ ที่บุตรสาวข้าหลับใหลอยู่ ภายในโลกใบเล็กๆ มิได้มีสิ่งใด มันมีแค่เพียงแปดสิบภูเขาศิลาวิญญาณ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อเสริมพลังทางจิตวิญญาณจากผลึกน้ำแข็งของนาง”

ปรมาจารย์วังวางกำไลน้ำแข็งบนมือของเขา ลูบไล้มันอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา และมอบแหวนนี้ให้แก่เฉินหยาง

เฉินหยางรับกำไลน้ำแข็งมา และสวมใส่มันลงบนข้อมือของเขา

หวงซานมองกำไลน้ำแข็ง สลับไปมองหน้าของเฉินหยางอีกครั้งด้วยความวิตกกังวล

จ้าวควนเองก็จ้องมองกำไลน้ำแข็ง เริ่มขมวดคิ้ว

ในเวลานั้นเอง ปรมาจารย์วังพลันได้สติกลับคืน เอ่ยต่อศิษย์ทั้งสาม “เอาล่ะ พวกเจ้าจงตรงไปยังภูเขาเบื้องล่างของวังสวรรค์เสีย ที่นั่น ทางนิกายได้เตรียมเรือเหาะสำหรับทะลวงมิติเอาไว้ให้แล้ว หากหลังจากลงไปยังโลกเบื้องล่าง จงตัดการติดต่อซึ่งกันและกันเสีย มันจะปลอดภัยยิ่งกว่า เอ้า รีบไปสิ!”

เมื่อเห็นว่าทั้งสามยังคงลังเล ปรมาจารย์วังก็เริ่มโกรธ “ความพินาศของนิกายยามนี้เป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่พวกเจ้าแต่ละคนกำลังแบกรับความไว้วางใจจากข้า แล้วยังจะมัวโง่ยืนรอความตายอยู่ที่นี่อีกหรือ?”

“จงไปซะ! มิฉะนั้นข้าคงตายเปล่าแล้ว!”

ทั้งสามเร่งรับคำทันที “ขอรับท่านอาจารย์!”

หวงซานอดไม่ได้อีกต่อไป ระบายความอัดอั้นในจิตใจ พุ่งกระแทกเปิดประตูด้วยความโศกเศร้า วิ่งหายไป

จ้าวควนเองพอเห็นแบบนั้น ก็เร่งไล่ตามเขาไปติดๆ

เหลือเพียงกู่ฉิงซาน ที่กล่าวต่อปรมาจารย์วังว่า “ท่านอาจารย์ โปรดดูแลตัวเองด้วย หากคิดว่าไม่ไหว ก็ขอให้เลือกหนทางประนีประนอม ช่วยเลือกหนทางที่ท่านจักสามารถคงชีวิตต่อไปได้ด้วยเถอะ”

แม้จะถูกตักเตือน ทว่าปรมาจารย์วังกลับไม่โกรธ เขาเพียงมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มและดุเบาๆ ว่า “เจ้าศิษย์โง่ ข้ามีหรือต้องให้เจ้ามาสอน? รีบไปให้พ้นได้แล้ว!”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้น โค้งคำนับอีกฝ่าย หมุนกายเดินจากไป

สามศิษย์ได้ออกไปจากวังสวรรค์ในที่สุด

ประตูถูกปิดลง

ปรมาจารย์วังยังคงยืนอยู่อย่างสงบ

ทันใดนั้นเบื้องหน้าเขา พลันปรากฏร่างหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

เป็นชายชราที่ผมทั้งหัวเป็นสีขาว

“ท่านราชาอมตะ” ปรมาจารย์วังประสานมือคารวะ ทักทายอีกฝ่าย

ชายชราพยักหน้ารับ กล่าวด้วยความสับสน “ปรมาจารย์นิกายเซี่ย แต่เดิมเจ้าตั้งใจจะให้เฉินหยางสืบทอดมิใช่หรือ เหตุใดท้ายสุดแล้วจึงส่งต่อให้จ้าวควน?”

ปรมาจารย์วังถอนหายใจเบาๆ และกล่าว “จ้าวควนเป็นผู้ที่สามารถทำงานในทุกด้านได้อย่างพิถีพิถันและรอบคอบ แต่สิ่งที่เลวร้ายเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือ ความริษยาอันแรงกล้าที่เด่นชัด ส่งผลให้จิตแห่งเต๋าของเขาบกพร่องเล็กน้อย ดังนั้นจึงมิอาจบรรลุทักษะดาบขั้นสูงจนสำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงทำเพื่อเขา ให้เขาลงไปยังโลกเบื้องล่าง ขัดเกลาจิตใจตน ก่อตั้งนิกายขึ้น สืบทอดเจตนารมต่อจากข้า”

“หวงซานเองก็ฉกาจในด้านเทคนิคมนตรา ให้ความรู้สึกที่ดี เป็นคนแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ ดังนั้นเขาย่อมสามารถเก็บความลับเอาไว้ได้ ข้าจึงรู้สึกวางใจที่มอบดาบพิภพให้แก่เขา”

เมื่อมาถึงคนสุดท้าย สีหน้าของปรมาจารย์วังก็แลดูซับซ้อน “ส่วนเฉินหยาง แม้ว่าจักไม่มีภูมิปัญญาที่ดี ทว่ามีความอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นหากเขาสามารถละทิ้งสิ่งต่างๆ ที่มันซับซ้อนทั้งหมดไป ให้จิตวิญญาณมุ่งมั่นอยู่ในเรื่องของการฝึกยุทธ ลองคิดดูว่าจะเป็นเช่นไร? ดังนั้น แต่เดิมเฉินหยางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้นำนิกายรุ่นต่อไป ทว่ายามนี้สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เทพวิญญาณข่มเหงเรา ทางเราจะเริ่มก่อจลาจลขึ้น  มันจึงเป็นการดีที่สุดที่จะซ่อนเฉินหยางไว้ ไม่ต้องให้เขามาเหนื่อยหน่ายกับนิกาย หรือถูกรบกวนจากทุกสิ่ง จะได้มุ่งมั่นสู่วิถีนักสู้ต่อไป บางทีในอนาคต เขาอาจจะเหนือยิ่งกว่าพวกเราทุกคนก็ได้”

ชายชราถอนหายใจ “ข้าคาดหวังว่าเขาจะแซงหน้าพวกเรา และโค่นล้มเทพวิญญาณลงได้ หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะไม่จำเป็นต้องตระเตรียมแผนการมากมาย เผื่อไว้ในยามสิ้นใจแล้ว”

ปรมาจารย์วังฝืนยิ้มและกล่าว “ข้ามั่นใจว่าเขาสามารถแซงหน้าข้าได้ แต่หากถึงขั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าท่านราชาอมตะ เกรงว่าบางทีเขาคงต้องอาศัยโชคไม่น้อย”

อีกด้านหนึ่ง

กู่ฉิงซานบินไปตามความทรงจำของเฉินหยาง ลงมายังเบื้องล่างของภูเขาวังสวรรค์

เขางง

สรุปแล้วเขาถูกส่งมาที่นี่ทำไมกันแน่?

หรือว่าสิ่งที่เขาทำในตอนนี้ มันจะส่งอิทธิพลไปถึงยุคโบราณอันไกลโพ้นด้วยใช่หรือไม่?

หากตนเองย้อนกลับมายังสมัยโบราณจริงๆ แล้วเข้ามาแทนที่เฉินหยาง ทุกสิ่งที่เขาทำ จะสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตทั้งหมดรึเปล่า?

มันค่อนข้างจะรู้สึกแปลกๆ หากหลายหมื่นปีข้างหน้า จักถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงด้วยฝีมือของคนคนเดียว

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายส่ายหัวอย่างเงียบๆ

เมื่อลองพิจารณาตามสถานการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้แล้ว คาดว่าในยุคอดีต พลังของเผ่ามนุษย์สมควรที่จะสามารถคุกคามสถานะของเทพวิญญาณได้

แต่เขาล่วงรู้ชัดเจนว่าพลังของเทพวิญญาณ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเวลาได้

อนุมานจากสิ่งนี้ เผ่ามนุษย์เองก็ไม่น่าจะสามารถทำได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น สถานการณ์ในปัจจุบันของกู่ฉิงซาน คาดว่าตนสมควรถูกส่งมายังเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์

ตอนนี้เขาสวมบทบาทเป็นเฉินหยาง

ถ้านี่เป็นการทดสอบแล้วละก็…

เช่นนั้น วัตถุประสงค์ของการทดสอบ อาจจะต้องการดูว่า เขาจะสามารถทำได้ดีเพียงใด หากเทียบกับเฉินหยาง

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันอีกครั้ง และอีกครั้ง เพื่อยืนยันมุมมองนี้

ในเวลานั้นเอง เขาก็ได้เดินทางมาถึงเบื้องล่างของภูเขาแล้ว

ปรากฏเรือเหาะสีเทาจอดเรียงรายเอาไว้มากมาย ทั้งหมดสลักไปด้วยอักษรรูนโบราณสีเทา เพื่อใช้สำหรับการทะลวงฝ่าเป็นพิเศษ

การสลักเรือเหาะด้วยอักษรรูนโบราณเช่นนี้ มีไว้เพื่อทะลวงขีดจำกัดของโลก ตัดผ่านโลกสวรรค์มุ่งหน้าไปยังโลกอื่นในหกวิถีโดยตรง

ซึ่งอักษรรูนที่ถูกสลักไว้ตามแต่ละเรือเหาะ จะแตกต่างกันออกไป บางลำมุ่งไปยังอาณาจักรอาชูร่า บางลำก็มุ่งไปยังโลกมนุษย์

โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกอาชูร่า นับเป็นสามอาณาจักรชั้นดี ที่ผู้ฝึกยุทธเลือกที่จะตัดผ่านมิติมุ่งไป

สำหรับสามอาณาจักรชั้นเลวอย่างโลกผีร้าย โลกจ้าวอสูร และโลกปรภพ ล้วนไม่มีผู้ใดคิดจะย่างกรายเข้าไป

ในเวลานี้ ผู้อาวุโสกำลังลงมาจัดการที่นี่

เหล่าผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์หลายคนในนิกาย กำลังถูกจัดส่งไปตามเรือเหาะต่างๆ โดยพวกเขา

เมื่อเรือเหาะเต็ม ผู้ฝึกยุทธชั้นนำก็จะกระตุ้นเรือเหาะ ให้ออกตัวทันที ให้มันเปิดช่องว่างมิติ และเคลื่อนย้ายหลบหนีไปยังโลกอื่น

ผู้อาวุโสสังเกตเห็นถึงการปรากฏกายของทั้งสาม

“เป็นพวกเจ้าทั้งสามนั่นเอง มาเถอะ เรือเหาะของพวกเจ้าอยู่ที่นี่”

ผู้อาวุโสนำพวกเขาไปยังเรือเหาะขนาดเล็กทั้งสามลำ

“ทุกคนมีภารกิจเป็นของตัวเอง ดังนั้นทางนิกายจึงแยกเรือเหาะเอาไว้ต่างหากสำหรับพวกเจ้า”

“ลำแรกเป็นของจ้าวควน ลำที่สองเป็นของหวงซาน สุดท้ายเป็นเฉินหยาง พวกเจ้าจงอย่าได้นั่งผิดไป”

เปรี้ยง!

ระหว่างสนทนา พื้นดินพลันสะเทือนเลือนลั่น

บังเกิดเสียงอึกทึกจากฟากฟ้าที่ห่างไกล พร้อมกับเสียงที่ฟังดูยิ่งใหญ่ดังตามมา

“วังสวรรค์เมฆาวิเวก ไม่เคารพต่อเทพวิญญาณ สมคบคิดกับโลกบรรพกาล บาปของพวกเจ้าสมควรได้รับโทษ!”

ปรากฏรังสีแสงตกลงมาจากฟากฟ้า ม่านยามค่ำคืนถูกแสงสว่างกลบไป

ใบหน้าของอาวุโสแปรเปลี่ยน ปากอ้าตะโกน “เร็วเข้า! จงไปเสีย!”

แล้วร่างของเขาก็กะพริบไหว หายไปจากเบื้องหน้าของทั้งสามคน

ทั้งสามไม่ลังเลอีกต่อไป สาวเท้ายาวๆ ตรงไปที่เรือของตนเอง

จ้าวควนโยนใบหยกไปทางหวงซานกับกู่ฉิงซาน

เขาเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ศิษย์น้องหวง ศิษย์น้องเฉิน หากได้ไปถึงโลกเบื้องล่างแล้ว ยันต์สื่อสารเดิมของพวกเราคงใช้ไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเจ้าควรรับใบหยกนี่ไว้ มันจะสามารถช่วยให้รับรู้ตำแหน่งของกันและกันได้ ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยมารวมตัวกันอีกครั้ง!”

หวงซานพยักหน้า คว้ารับใบหยกเอาไว้ทันที

กู่ฉิงซานรับมันมา เก็บลงในถุงสัมภาระ

เวลากระชั้นชิดนัก ทั้งสามไม่มีเวลาจะสนทนากันอีกต่อไป กระโจนเข้าไปในเรือเหาะ และเร่งกระตุ้นค่ายกลบนเรือทันที

เรือเหาะส่งเสียงหวีดคำราม บังเกิดเสียงอันคมชัด เจาะผ่านเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า มุ่งหน้าสู่โลกเบื้องล่างในฉับพลัน

ท่ามกลางกระแสมิติที่ว่างเปล่า

เห็นแค่เพียงคลื่นความโกลาหลภายในมัน

ทันทีที่เรือเหาะทะลวงผ่าน กู่ฉิงซานก็เฝ้ามองมองเรือเหาะอีกสองลำหายไปในทิศทางอื่น

ดูเหมือนว่าที่หมายของทั้งสามลำจะแตกต่างกันออกไป

เขาเฝ้าสังเกตรอบตัวอย่างระมัดระวังอีกครั้ง

ท่ามกลางกระแสมิติสีเทาหม่น สายลมกระโชกแรงไม่มีหยุดยั้ง

นี่คือมิติภายนอกโลก ทุกการดำรงอยู่อันแปลกประหลาดสามารถปรากฏกายขึ้นได้ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสมิติในยุคอดีตนี้ ไม่เหมือนกับในยุคต่อๆ มา นอกเหนือไปจากสายลมแรงแล้ว กู่ฉิงซานยังมิได้พบเห็นถึงอะไรอย่างอื่นเป็นพิเศษเลย

บางทีอาจเป็นเพราะเกิดสงครามในโลกสวรรค์ขึ้นบ่อยครั้ง ส่งผลให้ทุกการดำรงอยู่ที่ไม่รู้จักหลีกลี้ หนีห่างจากมิติบริเวณนี้ก็เป็นได้

คิดได้แบบนี้ กู่ฉิงซานจึงค่อยคลายใจลง

อาศัยประโยชน์จากช่วงเวลาที่อาจจะสงบและมั่นคงเป็นครั้งสุดท้ายนี้ คุกเข่าลง และเริ่มต้นทำสมาธิ

ทักษะการต่อสู้ทั้งหมดของเฉินหวาง ทักษะแล้ว ทักษะเล่าทยอยกันผลุบเข้ามาในหัวใจของกู่ฉิงซาน

เขาริเริ่มคิดเกี่ยวกับกระบวนการของเทคนิคนักสู้ ทั้งรุกและรับ

จากนั้นก็ผสานรวมเทคนิคนักสู้ของเฉินหยาง เข้ากันกับวิธีการต่อสู้ในรูปแบบของตนเอง

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังพิจารณาถึงทักษะการต่อสู้ของเขาอย่างเงียบๆ ก็ปรากฏเรือเหาะลำหนึ่งขึ้น

เรือเหาะลำนี้คล้ายกับว่าทำเป็นตกใจ มันโฉบไปมาอย่างระมัดระวังอยู่สองสามครั้ง

กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น และมองไปทางเรือเหาะ

เขาพบว่ามันช่างเป็นเรือเหาะที่ดูค้นตา

และคนที่ยืนอยู่บนมันก็แสนจะคุ้นเคย

“ศิษย์พี่ใหญ่?” กู่ฉิงซานอุทานด้วยความประหลาดใจ

“มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ นะศิษย์น้องสาม ดูเหมือนว่าทิศทางที่พวกเรากำลังจะมุ่งไป จะอยู่ใกล้ๆ กัน” จ้าวควนกล่าว

กู่ฉิงซานยิ้ม “เช่นนั้นก็ยอดไปเลย ตราบใดที่พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องอยู่ด้วยกัน ในโลกมนุษย์ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถขวางกั้นพวกเราได้แล้ว”

จ้าวควนหัวเราะ ตอบกลับมาว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าจะเก็บเรือเหาะของข้า แล้วโดยสารไปกับเรือของเจ้า แล้วค่อยแยกย้ายจากกันในภายหลัง”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความปีติ “ด้วยความยินดี”

จ้าวควนเก็บเรือเหาะ ทะยานร่างวูบไหว กระโดดมายังทิศทางเรือเหาะของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาใบหยกออกมา

“ศิษย์พี่ หลังจากนี้ไป ใบหยกคงไม่จำเป็นแล้ว ขอมอบคืนให้แก่ท่าน”

เขาโยนใบหยกไปทางจ้าวควน

จ้าวควนหรี่ตาแคบลง เพ่งมองใบหยก

แต่ก็พบว่ามันเป็นใบหยกที่เขาพึ่งมอบให้อีกฝ่ายด้วยตัวเองเมื่อครู่นี้ เพื่อใช้รับรู้ถึงตำแหน่งของกันและกัน

“นั่นสินะ ใบหยกนี่คงไม่จำเป็นแล้วจริงๆ”

จ้าวควนหัวเราะ และเอื้อมมือไปหมายจะคว้าจับใบหยก

แต่พลันบังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น

ฟิ้ว!

ใบหยกหายวับไปอย่างกะทันหัน แต่ดันเป็นเฉินหยางปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าจ้าวควนแทน

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

เฉินหยางปรากฏกายขึ้น และย่ำลงบนมือของจ้าวควนทันใด

สีหน้าของจ้าวควนแปรเปลี่ยนกลับกลาย แต่ทันใดนั้นร่างกายของเขากลับด้านชา มันนิ่งงันไม่ไหวติง กระทั่งพลังวิญญาณอันไร้ที่สิ้นสุดก็มิอาจกระตุ้นได้

ตัดขาดการเชื่อมต่อ!

ชั่วเวลานั้นเอง กำปั้นของเฉินหยางก็กระแทกเข้าใส่ร่างของจ้าวควน

“ตุบตับๆๆ!”

ในเสี้ยววินาที เขาเหวี่ยงหมัดหนัก หมัดแล้วหมัดเล่าอัดเข้าใส่ตามร่างกายของจ้าวควนโดยตรง แสงสวรรค์เรืองรองกระจัดกระจาย สิ่งที่ใช้ปกป้องตัวจ้าวควรทั้งหมดเริ่มถูกลบหายไป

จ้าวควนแทบคลั่ง ทว่าเขากลับไม่มีแม้โอกาสที่จะต่อต้าน

สามวินาทีกำลังจะจบลง

แต่ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางความว่างเปล่า หญิงสาวในชุดคลุมฟ้าที่ครอบครองใบหน้าอันแสนเย็นชาและกุมดาบยาวในมือก็ปรากฏขึ้น

หญิงสาวคนนั้นฟาดดาบลงมา

ตัดขาดการเชื่อมต่อ!

ดาบยาวที่จ้าวควนเรียกมาอย่างยากลำบากพลันหลุดจากมือ กระเด็นไปท่ามกลางกระแสมิติและหายไปอย่างรวดเร็ว

เขาสูญสิ้นการควบคุมร่างกายตัวเองเป็นครั้งที่สอง!

กำปั้นทรงพลานุภาพกระแทกกระทั้นเข้าใส่อีกครา

ใบหน้าของเฉินหยางปราศจากซึ่งความรู้สึกใด เขาเพียงชกๆๆ…ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ตนมี

ในเวลานี้เอง สิ่งที่ใช้ป้องกันตัวตลอดทั้งกายของจ้าวควนได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้เขาไม่สามารถป้องกันการโจมตีนับจากนี้ หรือรักษาชีวิตเอาไว้ได้อีกต่อไป

เฉินหยางฉวยโอกาสนี้ ทุบทำลายกระดูก และข้อต่อทั้งหมดของศัตรูเบื้องหน้า

หวดด้วยเท้าสุดท้าย!

เปรี้ยง!

จ้าวควนปลิวกระเด็นออกไป

เฉิยหยางหายวับไปจากสถานที่เดิม คว้าจับจ้าวควนที่ลอยคว้านท่ามกลางกระแสมิติ  ลากอีกฝ่ายกลับมาทุ่มฟาดลงบนดาดฟ้าเรือ

จ้าวควนในเวลานี้ไร้ซึ่งกำลัง มิอาจขัดขืนได้โดยสมบูรณ์ เขากระอักเลือดออกมา เอ่ยซ้ำๆ “เฉินหยาง! เจ้าคนพาลลวงหลอกท่านอาจารย์ ทรยศบรรพชน!”

“คนพาลลวงหลอกท่านอาจารย์งั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ใช่! เป็นข้าที่ได้รับมอบหมายให้รับตำแหน่งปรมาจารย์วังคนต่อไป ทว่าเจ้าแท้จริงกลับฉวยประโยชน์ในจังหวะที่ข้าพลั้งเผลอ ลอบทำร้ายข้า เพราะเจ้าต้องการเป็นปรมาจารย์วังเองใช่หรือไม่?” จ้าวควนพ่นเลือดพลางถาม

กู่ฉิงซานย่อตัวลงช้าๆ แล้วส่ายหัวให้อีกฝ่าย “เจ้าน่ะสิคนพาล ลวงหลอกท่านอาจารย์ ทรยศต่อบรรพชน”

จ้าวควนตวาดด้วยความโกรธ “ผายลม! ข้าจ้าวควนสัตย์ซื่อต่อนิกาย ภักดีต่อท่านอาจารย์สุดหัวใจ สารเลวอย่างเจ้ามิอาจป้ายสีข้าเช่นนี้ได้!”

กู่ฉิงซานยิ้ม กล่าวเสียงกระซิบ “เช่นนั้นขอถาม ท่านอาจารย์เตือนพวกเราชัดเจนว่าให้แยกกัน และห้ามติดต่อกัน นั่นก็เพื่อความปลอดภัย แล้วเหตุใดหลังจากลงไปยังโลกเบื้องล่าง พวกเราต้องพบเจอกันด้วย เหตุใดเจ้าจึงส่งใบหยกที่สามารถระบุตำแหน่งกันและกันมาให้ข้า?”

จ้าวควนชะงักงัน

กู่ฉิงซานกล่าวอีกครั้ง “อีกเรื่องหนึ่ง ก็แล้วหากเจ้ากับข้าต้องไปในทิศทางเดียวกัน แล้วเหตุใดทางนิกายจึงต้องจัดเรือเหาะแยกเป็นสามลำด้วย? นั่นมันไม่เห็นจำเป็นเลย?”

เขาถอนหายใจ “ศิษย์พี่หวงนั่นสัตย์ซื่อและจริงใจ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน ในหัวใจเขาย่อมตื่นตระหนก และเมื่อเห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่อย่างเจ้าปรากฏกาย เขาย่อมไม่ทันตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติ และเกรงว่าอาจจะถูกเจ้าฆ่าตายไปแล้ว”

“จ้าวควนนะ จ้าวควน แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะถูกหลอกลวงได้ง่ายดายดั่งเช่นศิษย์พี่หวง?”

………………………

Related

กู่ฉิงซานทะยานโผล่พ้นขึ้นมาเหนือทะเลเมฆ

ปรากฏก้อนหินขนาดใหญ่ขึ้นสุดปลายสายตาของเขา

เป็นก้อนหินที่แสนคุ้นเคย

ที่นี่คือสวนอาหาร

ตำแหน่งปัจจุบันของกู่ฉิงซาน เขาได้ข้ามผ่านอาณาเขตของมังกรมาแล้ว และอยู่ไม่ไกลจากภูเขากับพระราชวัง

เมื่อระบุตำแหน่งของตนได้ กู่ฉิงซานก็ทะยานขึ้นเหนือเมฆ แปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา บินตรงไปยังทิศทางภูเขา

ใช้เวลาประมาณครึ่งก้านธูป ก็เริ่มมองเห็นเค้าโครงรางๆ ของศาลา

ภายในศาลารักษาการณ์กลางภูเขา

กิเลนกำลังหลับใหล

อำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดกำลังแผ่ออกมาจากมัน

หากคิดจัดการกับกู่ฉิงซาน เพียงเหลือบมองก็จบแล้ว

-นี่มันเกินกว่าจะจินตนาการได้จริงๆ ว่าที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้ แท้จริงแล้วคือเศษเสี้ยวจิตวิญญาณ

กู่ฉิงซานหยิบเอาใบหยกที่ได้รับจากเต่าออกมา ถือมันไว้ในมือของเขา

แน่นอน ว่าคราวนี้พอเขาเข้าไปใกล้กับศาลา กิเลนมิได้เงยหน้าขึ้นมอง มันเพียงพลิกตัว และเปลี่ยนท่วงท่านอนเท่านั้น

กู่ฉิงซานลดระดับลงในศาลา

เขากำลังจะประสานกำปั้นสนทนากับอีกฝ่าย แต่กิเลนจู่ๆ ก็เหยียดอุ้งเท้าขึ้นทันใด และฟุบ! ตะปบตัวเขากดลงกับพื้น

บังเกิดเส้นสีเงินบางๆ โผล่พ้นออกมาจากพื้นดิน ในรูปแบบลึกลับนับไม่ถ้วนของอักษรรูนโบราณ

ที่แท้นี่คือค่ายกลส่งผ่าน

ตลอดทั้งศาลาเปล่งประกายแสงสดใส

ฟิ้ว!

ทันใดนั้น แสงสว่างพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า และตัวกู่ฉิงซานก็หายไป

ในความมืดมิด

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นและหันไปมองรอบๆ

โอเค ร่างแสงทมิฬมิได้อยู่ที่นี่

นั่นพิสูจน์ได้ว่าอย่างน้อยตัวเขาก็ยังไม่ตาย

ไร้ซึ่งสายลม

อากาศเงียบสงบ ทว่าฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันละเอียดอ่อน คล้ายกับว่าพึ่งมีธูปหอมถูกจุดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

ปรากฏพลังงานวิญญาณผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ค่อยๆ กระจายไปทั่วทุกพื้นที่อย่างเงียบๆ

ซึ่งในส่วนนี้ เรียกกันว่าแหล่งรวมตัวของพลังวิญญาณ

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ส่งผลให้ห้วงอารมณ์ของเขาผ่อนคลายโดยสมบูรณ์

ไม่ว่าจะบรรยากาศ หรือสภาพแวดล้อม มันคล้ายกับว่าเป็นถ้ำของผู้ฝึกยุทธอย่างไรยังงั้นเลย

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป จีบออกด้วยวิชาลับ

ปรากฏแสงสวรรค์กระจายออกมาจากนิ้วมือของเขา ส่องสว่างไปทั่วทิศ

ไหมวิญญาณที่ถูกถักทอเป็นเบาะรองนั่งตั้งอยู่ใจกลางห้อง ข้างกายมีดิสก์ค่ายกล และใบหยกสีขาวอีกหลายใบ

น้ำพุวิญญาณตั้งอยู่ไกลออกไปจากอีกฟากของถ้ำ ทำให้ภายในนี้เงียบสงบ มิได้ยินถึงเสียงน้ำไหล

และยังมีเปลหยกตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับน้ำพุวิญญาณ

กู่ฉิงซานถอนสายตากลับ เริ่มทำการแยกแยะ พิจารณาอีกครั้ง

สถานที่แห่งนี้ย่อมเป็นถ้ำของผู้ฝึกยุทธอย่างแน่นอน

แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้อย่างกะทันหันว่ามันมีบางสิ่งผิดไป

นั่นคือฐานวรยุทธ์ของตนเอง ที่ดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ

วินาทีนั้นเอง มือก็เริ่มขยับไหวอีกครั้ง

แสงสวรรค์ควบรวมกัน ก่อร่างเป็นกระจกเงา

กู่ฉิงซานมองดูตัวเองในกระจกด้วยสีหน้าแตกตื่น

นี่มันไม่ใช่ใบหน้าของเขา!

ทันใดนั้นเอง ในหัวสมองและจิตใจก็คล้ายมีบางอย่างถูกเจาะ กู่ฉิงซานเจ็บปวดจนแทบล้มกลิ้งลงกับพื้น

ท่ามกลางความเจ็บปวด ทุกสิ่งอย่าง เกิดขึ้น และดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

เพียงไม่กี่ลมหายใจ ทั้งคนทั้งร่างก็หายจากอาการเจ็บปวด ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กู่ฉิงซานได้รับข้อมูลใหม่ขึ้นในจิตใจของเขา

ปรากฏว่าคนผู้นี้คือ ‘เฉินหยาง’

เป็นผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋า

ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสาวกอันดับสามแห่งนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวก

ชีวประวัติก็เริ่มจาก นับแต่ข้ามธรณีประตูนิกายเข้ามา พรสวรรค์ในศาสตร์นักสู้ของเขาก็ผลิบาน โดดเด่นจนผู้คนรู้สึกอึ้งทึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้มักเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับศาสตร์การต่อสู้จนรุ่งสาง ไม่ว่าจะเป็นยามกิน , ยามนอน เจ้าตัวก็ล้วนนึกถึงแต่เรื่องศึกษาวิถีนักสู้ ราวกับว่าหากในสมองมิได้คิดถึงมันสัก สองถึงสามวันจะกลายเป็นคนอ่อนแอไป

ด้วยความงมงายในวิถีนักสู้ เขาจึงเป็นที่รู้จักกันในฉายา ‘ผู้คลั่งไคล้หวูเต๋า’

เฉินหยางสามารถผ่านการทดสอบชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดก็สามารถกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งวิถีนักสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาคนรุ่นใหม่ประจำนิกาย

สุดท้ายได้เคารพปรมาจารย์วังแห่งวังสวรรค์เมฆาวิเวก และได้กลายเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา

เมื่อถึงจุดนี้ ชื่อเสียงของ ‘ผู้คลั่งไคล้หวูเต๋า’ จึงเป็นที่รู้จักไปทั่วทุกสารทิศ

ในจิตใจของกู่ฉิงซาน ข้อมูลเกี่ยวกับเฉินหยางปรากฏขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย

ข้อมูลนี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเฉินหยาง และนั่นรวมไปถึงบุคคลที่เขาติดต่อกันมากที่สุดอีกด้วย

สำหรับเหตุการณ์อันน่าเบื่อหน่ายอย่างชีวิตในแต่ละวัน  หากเป็นเหตุการณ์ที่ละเอียดอ่อน มันก็จะเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน

รวมไปถึงทุกประเภทของการเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์การต่อสู้ทั้งหมด ของนักสู้หวูเต๋า เขาก็ได้รับมาทั้งสิ้น

ด้วยความทรงจำเหล่านี้ของเฉินหยาง กู่ฉิงซานจึงกลายเป็นผู้มีประสบการณ์ และทักษะการต่อสู้อันยอดเยี่ยม เช่นเดียวกันกับเจ้าของร่างในปัจจุบัน

หากกู่ฉิงซานสามารถย้อนเวลากลับไปได้โดยปลอดภัย เกรงว่าห้วงความทรงจำเหล่านี้ จักกลายเป็นสมบัติเลอค่าสำหรับเขา

แต่ในปัจจุบัน สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือการหาวิธีผ่านการทดสอบ

หากเขาไม่สามารถผ่านการทดสอบไปได้ เข้าก็จะไม่ได้รับสิทธิ์เข้าสู่วังสวรรค์

ระหว่างที่กู่ฉิงซานกำลังไตร่ตรองเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเอง  ทันใดนั้น ในอากาศที่ว่างเปล่าก็เกิดการกะพริบไหว แสงสวรรค์สาดขึ้นทันใด

กู่ฉิงซานมองตามแสงสวรรค์ แล้วข้อมูลบางอย่างก็ผุดออกมาในความทรงจำของเขา

จู่ๆ เขาก็สามารถเข้าใจถึงมันได้ในทันที

นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่ามีใครกำลังเข้ามาเยี่ยมเยือน

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก ปรับสีหน้าของเขาให้ผ่อนคลายลง

นับจากนี้ไป เขาจะสวมบทบาทเป็นเฉินหยาง

และจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ

สูดลมหายใจเข้า

ผ่อนลมหายใจออก

กู่ฉิงซานเริ่มใจเย็นลง เหยียดมือออก จีบเข้าด้วยวิชาลับ ตามความทรงจำของเฉินหยาง

บริเวณที่เกิดแสงสวรรค์แปรเปลี่ยนเป็นประตูในทันใด ตั้งวางลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

ปรากฏชายที่สะพายดาบเอาไว้เบื้องหลังเข้าประตูมา

ชายคนนั้นกล่าว “ศิษย์น้อง ท่านอาจารย์เรียกประชุมฉุกเฉิน คล้ายมีเรื่องเร่งด่วนจะกล่าวกับพวกเรา”

อ้างอิงตามความทรงจำของเฉินหยาง กู่ฉิงซานเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าสงสัย “ศิษย์พี่ใหญ่ มิใช่ว่าท่านอาจารย์ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองประจำปีของเทพวิญญาณหรอกหรือ?”

ถูกต้อง ชายเบื้องหน้าเขาคนนี้คือหัวหน้าสาวกอันดับหนึ่ง เป็นผู้ฝึกดาบ นามว่าจ้าวควน

กู่ฉิงซานมองดูอีกฝ่าย ค่อนข้างรู้สึกเสียดายที่ตนมิได้รับความทรงจำจากชายผู้นี้

เพียงแค่นึกว่าจะได้ล่วงรู้เกี่ยวกับทักษะดาบในสมัยโบราณ มันก็ชวนให้เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น

จ้าวควนกล่าว “ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ชัดเจนว่าต้องมีเรื่องใดเกิดขึ้น ท่านอาจารย์ถึงได้เรียกหาพวกเราเร่งด่วนเช่นนี้”

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวทันที

เขาเดินออกจากถ้ำกับจ้าวควน และบินขึ้นไปยังเหนือสุดของวังสวรรค์เมฆาวิเวก

ในระหว่างโผบิน กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองจากฟากฟ้า

เห็นแค่เพียงตลอดทั้งเทือกเขา ทุกหนแห่งถูกปกคลุมไปด้วยมนต์ขลัง และผู้ฝึกยุทธที่กำลังโบยบินไปตามสายลม การแสดงออกทางสีหน้าของคนเหล่านั้นช่างมั่นคงและตื่นเต้น

เพราะนี่คือวันสิ้นปี

ทุกคนสามารถละทิ้งเรื่องการฝึกยุทธเอาไว้ชั่วคราว และมารวมตัวกัน ร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่

เหล่าทวยเทพจะจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ขึ้นในช่วงเวลานี้ เพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าผู้ฝึกยุทธที่โดดเด่นที่สุดเข้าร่วมเลี้ยงฉลอง

กู่ฉิงซานมองไปยังสถานที่ห่างไกล

เขาค้นพบว่านอกประตูภูเขา มันคึกคักไปด้วยหลากหลายเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

บางครั้งบางคราว ก็ปรากฏให้เห็นถึงกระแสแสงกะพริบไหว ตัดผ่านผืนฟ้าไป

นั่นคงมิแคล้วเป็นเรือเหาะ

นอกจากนี้ ยังมีอาคารขนาดใหญ่อีกจำนวนมากที่กำลังสาดแสงสว่างไสว

ผู้ฝึกยุทธมากมายรวมตัวกันเพื่อดื่มสุราวิญญาณ รับประทานอาหารทิพย์ ร้องเล่นเต้นรำ บ้างก็นั่งพูดคุยเกี่ยวกับเทคนิคมนตรา และประลองกันเล็กๆ น้อยๆ

ทุกหนแห่ง สามารถพบเจอผู้ฝึกยุทธชายหญิงเดินเคียงคู่กัน บ้างก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ที่วิ่งอยู่บนก้อนเมฆ ละเล่นไล่จับกัน

ช่างเป็นฉากที่คึกคักมีชีวิตชีวา!

กู่ฉิงซานถอนหายใจ และเบนสายตากลับคืน

เพราะบัดนี้ ยอดวังสวรรค์ได้อยู่ตรงหน้าแล้ว

ที่นี่คือที่พำนักของปรมาจารย์วังแห่งวังสวรรค์

ปรากฏผู้ฝึกยุทธอีกคนหนึ่ง ในมือกุมมีดสั้น กำลังเฝ้ารอพวกเขาอยู่ข้างหน้าประตู

คนผู้นี้คือศิษย์พี่สองของเฉินหยาง เป็นผู้ใช้มนตรานาม หวงซาน

มีดสั้นในมือของเขามิได้มีไว้ใช้ในการต่อสู้ หากแต่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการสำแดงเทคนิคมนตรา

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องสาม พวกเจ้ามาแล้ว” หวงซานกล่าว

“อืม” กู่ฉิงซานรับคำ

“พวกเราเข้าไปกันเถิด ท่านอาจารย์กำลังรออยู่” จ้าวควนกล่าว

ทั้งสามคนผลักประตูเข้าไป

ในห้องโถงใหญ่ เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธผมขาว ในสภาพสวมชุดยาวสีดำ กำลังหันหลังให้กับทั้งสาม

โดยมีดาบยาวที่ดูเรียบง่าย ไร้ซึ่งเครื่องประดับตกแต่งใดๆ ลอยอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานพอเห็นดาบยาว หัวใจใต้ทรวงอกของเขาก็แทบจะดีดออกมาผ่านทางลำคอ

เป็นดาบพิภพ!

“ท่านอาจารย์!” สองศิษย์คนอื่นๆ โค้งคำนับพร้อมกัน

กู่ฉิงซานเร่งโค้งคำนับตาม

ปรมาจารย์วังแห่งวังเมฆาวิเวกถอนหายใจลึก คล้ายกับว่ากำลังโศกเศร้า แต่มิได้เอ่ยคำใด

ศิษย์ทั้งสามคนเหลือบมองกันและกัน

ใบหน้าของพวกเขาถูกขีดเขียนไปด้วยความงงงวย

โดยปกติแล้วท่านอาจารย์มักจะเป็นคนใจกว้าง จิตใจเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ ครอบครองวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ กระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอๆ แต่อย่างไรในวันนี้จึงแสดงออกเช่นนี้?

บังเกิดความเงียบงันขึ้น

บรรยากาศในห้องโถงยิ่งนาน ก็ยิ่งซับซ้อน มิอาจบอกบรรยายได้

จนในที่สุด ศิษย์พี่คนแรกจ้าวควนก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “อาจารย์ มิใช่ว่าท่านไปงานเลี้ยงฉลองหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาเร็วนัก? แล้วเหตุใดท่านจึงทอดถอนหายใจเช่นนั้น?”

ปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวก ชี้ไปทางดาบพิภพและกล่าว “มันเสียหาย”

จ้าวควนอุทานด้วยความประหลาดใจ “นี่เป็นดาบมนตราที่ท่านอาจารย์จ่ายออกด้วยทรัพยากรมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้นักหลอมกลั่นที่มีชื่อเสียงถึงเก้าคน ทำงานบนเตาหลอมสวรรค์ยาวนานกว่า เก้าพันเก้าร้อยแปดสิบเอ็ดวัน หล่อมันขึ้นจนกลายเป็นอาวุธเทวะ แล้วเป็นผู้ใดกันที่สามารถทำร้ายมันได้?”

ปรมาจารย์วังเอ่ยเพียงสองคำ “เป็นฝีมือของเทพพยากรณ์”

เทพพยากรณ์ เป็นหนึ่งในเทพวิญญาณที่อ้างตนว่าสามารถควบคุมเหตุทุกสถานการณ์ และอนาคตของทุกสิ่งมีชีวิต

หวงซานสงสัย “เทพวิญญาณเมตตาต่อทุกสิ่งเสมอมา แล้วเหตุใดเขาจึงทำร้ายดาบของท่านอาจารย์?”

ปรมาจารย์วังกล่าว “ในวันนี้ ที่งานเลี้ยงข้าได้ต่อสู้กับเทพพยากรณ์ อาศัยเพียงดาบเล่มนี้ ข้าก็สามารถสยบลูกไม้ ลวดลายของทวยเทพ ได้ชัยไปกว่าครึ่ง ทว่าข้าไม่ต้องการที่จะให้เทพวิญญาณโกรธเคือง จึงได้พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อทำลายดาบเล่มนี้”

ปรมาจารย์วัง หันขวับมาอย่างรุนแรงและกล่าวกับศิษย์ทั้งสาม “ทั้งหมดย่อมเป็นความผิดของข้า ที่หุนหันพลันแล่นเกินไปจนก่อให้เกิดหายนะเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าสำหรับในปัจจุบัน นิกายอาจจะถูกทำลายลงในไม่ช้า ”

“จ้าวควน หวงซาน เฉินหยาง พวกเจ้าเป็นศิษย์หลักของข้า ฉะนั้นข้าขอสั่งให้พวกเจ้าหลบหนีไปจากวังสวรรค์เมฆาวิเวกทันที ลงไปยังโลกเบื้องล่าง ซ่อนตัวตนของพวกเจ้า เพื่อยังคงรักษาเมล็ดพันธุ์แห่งนิกายเอาไว้”

“ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็กำลังจะทำเช่นนี้เหมือนกัน”

“พวกเจ้าจะต้องจากไปในคืนนี้!”

สามศิษย์ตื่นตะลึง ทุกสิ่งอย่างช่างกะทันหัน

“อาจารย์ เทพวิญญาณไม่ใช่ว่า…”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!”

“มันก็เป็นแค่การต่อสู้กัน แล้วทำไมนิกายของพวกเราถึงต้องถูก-”

ทั้งสามต่างเอ่ยปากปลอบประโลมอาจารย์

ปรมาจารย์วังเอ่ยเฉียบขาด “พวกเจ้าจงหุบปากให้ข้า!”

ทั้งสามเงียบงันไป

ปรมาจารย์วัง “จ้าวควน!”

“ศิษย์อยู่นี่!”  จ้าวควนคุกเข่าโค้งคำนับ

ปรมาจารย์วัง “เจ้าเป็นศิษย์คนแรกของข้า ทว่าทักษะดาบยังไม่ถึงขั้นประสบความสำเร็จใหญ่ยิ่ง ดังนั้น ตอนนี้ข้าจะมอบความไว้วางใจแก่เจ้า โดยมอบหนังสือโบราณ และเทคนิคการฝึกยุทธทั้งหมดให้เจ้าดูแล หลังจากหลบหนีไปยังโลกเบื้องล่าง จงอย่าฟุ้งซ่านในเรื่องใด เพียรศึกษาทักษะดาบของนิกายให้มากเข้าไว้ จากนั้นไม่ช้า จงก่อตั้งนิกายขึ้นในโลกเบื้องล่าง รับคบเพลิงแห่งเจตนารมต่อจากข้า”

“ขอรับ” จ้าวควนกล่าว

ปรมาจารย์วังกล่าวต่อ “หวงซาน ในบรรดาสามศิษย์ เจ้าเป็นผู้รอบรู้ในเทคนิคมนตรา แตกฉานในมันมากที่สุด ดังนั้นข้าต้องการให้เจ้าปกป้องดาบพิภพ นำมันไปยังโลกเบื้องล่าง หลบเร้นตัวตน หลบเลี่ยงการไล่ล่า และเฝ้ารอโอกาสในครั้งต่อไป”

หวงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “แต่อาจารย์ หากข้านำดาบเล่มนี้ไป แล้วท่านจะใช้อะไร?”

ปรมาจารย์วังกล่าวเสียงดัง “ข้าสามารถใช้ดาบใดก็ได้ แต่ดาบพิภพจะต้องไม่ประสบเคราะห์กรรมอีก เนื่องเพราะมันเกี่ยวพันต่อความลับแห่งโชคชะตาของเผ่ามนุษย์ทั้งมวล มันเป็นความหวังสุดท้ายของเผ่ามนุษย์เรา เจ้าจะต้องปกป้องมันไว้ให้จงดี”

“ทราบแล้วท่านอาจารย์” หวงซานกล่าวจริงจัง

สุดท้าย ปรมาจารย์วังมองกู่ฉิงซานและกล่าว “เฉินหยาง ความคิดอ่านของเจ้าแสนบริสุทธิ์ ดังนั้นอาจารย์ขอมอบความไว้วางใจ มอบเรื่องส่วนตัวให้เจ้าจัดการ”

กู่ฉิงซาน “ท่านอาจารย์เชิญกล่าว”

ปรมาจารย์วัง “เทพวิญญาณกล่าวว่าบุตรสาวข้านั้นเกิดมาไม่สมประกอบ ชะตาอายุขัยของนางจะจบลงแค่ในเพียงเจ็ดปีแรกเท่านั้น แต่ข้าได้รู้ภายหลังว่า เทพวิญญาณได้แอบฝังคำสาปร้ายแรงไว้กับนาง เพราะนางเกิดมาพร้อมดอกบัวทอง นางสามารถสูบพลังชีวิตมาจากทั้งสวรรค์และโลกได้ ทำให้ทวยเทพชิงชังและริษยานางยิ่งนัก”

“ข้าและเหล่าอาวุโสผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในโลกสวรรค์จึงร่วมมือกัน และในที่สุดก็ค้นพบวิธีที่จักสามารถทำให้นางหลีกเลี่ยงคำสาปส่ง และดำเนินชีวิตต่อไปได้”

“แต่น่าเสียดาย ที่วิธีการของพวกเราจำต้องใช้เวลากว่าหลายร้อย หลายพันปี จึงจะสามารถค่อยๆ ถอนคำสาปแช่งของเทพวิญญาณออกไปได้ และเมื่อนั้น นางจึงค่อยถูกปลุกขึ้นจากผลึกน้ำแข็งนี้”

เขายื่นมือออกมา ทันใดนั้นผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น

กู่ฉิงซานมองผลึกน้ำแข็งเบื้องหน้า

เห็นแค่เพียงในผลึกน้ำแข็ง ประดับประดาไปด้วยช่อดอกไม้และหยกวิญญาณนับล้านๆ รายล้อมอยู่รอบดอกบัวทอง

เหนือดอกบัวทอง เป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่มีใบหน้าบริสุทธิ์และไร้เดียงสา กำลังหลับใหลอย่างสงบ

กู่ฉิงซานกวาดสายตากลับไปมองดอกไม้และหยกวิญญาณอีกครั้ง

เขาค้นพบว่า ดอกไม้เหล่านี้แบ่งออกเป็นสองชนิด หนึ่งคือดอกไม้แห่งจิตวิญญาณที่แท้จริง และอีกหนึ่งเป็นดอกไม้ที่แกะสลักโดยหยกวิญญาณ

อ้างอิงตามความทรงจำของเฉินหยาง แม้ในโลกสวรรค์ ดอกไม้แห่งจิตวิญญาณที่แท้จริงเหล่านี้ ล้วนเป็นสมบัติหายาก

และดอกไม้ที่แกะสลักด้วยหยกวิญญาณ ก็วูบไหวไปด้วยอักษรรูนโบราณ ชัดเจนว่ามันฝังค่ายกลที่ลึกล้ำบางอย่างเอาไว้

ภายในผลึกน้ำแข็ง ปรากฏร่องรอยจางๆ ของแสงสวรรค์ผลุบออกมาจากดอกไม้แห่งจิตวิญญาณผสานไปกับสีสันของดอกไม้สลักหยกวิญญาณ กำลังไหลเข้าสู่ร่างของเด็กสาวด้วยอัตราเร็วที่เชื่องช้า

“นี่คือบุตรสาวแห่งข้า บางทีอาจจำต้องใช้เวลานับหลายหมื่นปีจึงจะฟื้นคืนสติกลับมา เกรงว่าในตลอดทั้งชีวิตข้า คงมิอาจเห็นนางได้อีกต่อไปแล้ว”

“เฉินหยาง เจ้าจงนำนางไปยังโลกเบื้องล่าง มองหาสถานที่ดีๆ ตั้งหลักปักฐาน ดูแลนางเพื่อข้าเสีย”

ปรมาจารย์วังเฝ้ามองสาวน้อยในผลึกน้ำแข็ง

การแสดงออกทางสีหน้าของเขาค่อยๆ กลายเป็นอ่อนโยน และคะนึงหา

“หากวันใดที่นางตื่นขึ้นมา จงบอกนางออกไปแทนข้า ว่าชื่อของนางคือ ‘เซี่ยเต๋าหลิง’”

………………

Related

กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางผืนดินรกร้าง

เขาคิดทบทวนอย่างเงียบๆ ถึงทุกสิ่งที่พึ่งพบเจอมา

เสียงที่ฟังดูประหลาดใจดังขึ้นจากบนท้องฟ้า “เจ้าสามารถรอดกลับมาได้จริงๆ?”

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมอง

เห็นแค่เพียงเต่ายักษ์ที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า กำลังก้มลงมองมาที่เขา

“เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า สามารถรอดชีวิตจากสงครามครั้งนั้นได้อย่างไร? นี่มันไม่ถูกต้อง ต่อให้เจ้าออกค้นหาสถานที่หลบซ่อน เศษเสี้ยวจากยุคโบราณก็ย่อมต้องไม่ยินยอมให้เจ้าออกมา ต้องตกอยู่ภายในประสบการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง และอีกครั้ง” เต่ายักษ์ขบคิด

“บังเอิญว่าผู้น้อยครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อให้เกิดบทบาทสำคัญในสงคราม” กู่ฉิงซานเฉลย

พอได้ฟัง แววตาของเต่ายักษ์ก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงไป

กลับกลายเป็นว่า แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะต่ำต้อยเท่ากับฝุ่นผง ทว่ากลับครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถกุมชะตาสมรภูมิเอาไว้ได้

เจ้าเด็กคนนี้ จะต้องมีส่วนร่วมอย่างมากในการทำสงครามอย่างแน่นอน ดังนั้นห้วงกาลเวลาจึงตระหนักถึงเขา และยินยอมส่งเขากลับมา

เต่ายักษ์ถอนหายใจ “ท่ามกลางวันเดือนปีที่ผ่านพ้น ในที่สุดก็มีคนสามารถอยู่รอดนอกวังสวรรค์ได้ นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่”

น้ำเสียงของมันฟุ้งไปด้วยความผันผวน และความขมขื่น กู่ฉิงซานเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี

กู่ฉิงซานขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “ท่านอาวุโส ตอนนี้ท่านสามารถอนุญาตให้ผู้น้อยเข้าไปยังวังสวรรค์ได้แล้วใช่หรือไม่?”

เต่ายักษ์ได้สติกลับคืน และกล่าว “แน่นอน แต่มันมีอยู่สองวิธีในการเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวก จากในมุมมองของข้า ข้าคิดว่าหนึ่งในวิธีการที่ว่ามา น่าจะเหมาะสมสำหรับเจ้า”

“ผู้น้อยต้องการทราบรายละเอียด”

“ข้าจะช่วยเจ้าฉวยจังหวะครู่หนึ่ง ขโมยใบหยกมา นั่นน่าจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดและตรงที่สุด”

“ขโมยใบหยก?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำด้วยความสงสัย

เต่ายักษ์อธิบาย “ที่ผ่านมา มีใบหยกพิทักษ์กายาอยู่ทั้งสิ้นสองชิ้น หนึ่งอยู่กับผู้นำนิกาย และจักถูกส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น อีกหนึ่งอยู่วางทิ้งไว้ในรังของหงส์”

“แม้ว่าหงส์จักตายไปแล้ว แต่วิญญาณของมันยังคงอยู่ ดังนั้นเราจะต้องขโมยใบหยกจากรังของมัน”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วพวกเราควรทำอย่างไร?”

เต่ายักษ์กล่าว “ข้าจะถอดวิญญาณตนออกจากร่าง แล้วไปต่อสู้กับมัน ระหว่างข้าต่อสู้ เจ้าก็ฉวยโอกาสนั้นขึ้นไปบนต้นไม้ร่มเงา และหยิบใบหยกจากรังของมันมาเสีย”

“อย่างไรก็ตาม หงส์จะไม่ยินยอมออกห่างจากรังของมันไกลจนเกินไป ดังนั้นระหว่างการต่อสู้กับข้า มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงที่มันจะส่งผลกระทบมาถึงเจ้าด้วย และด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ตราบใดที่สัมผัสกับผลพวงจากการต่อสู้ เจ้าจะตายทันที”

“เช่นนั้น ผู้น้อยสมควรทำอย่างไร? หากวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล พวกเราใช้วิธีการอื่นได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานถาม

เต่ายักษ์ “ไม่ เพราะข้าจะสอนพลังศักดิ์สิทธิ์แก่เจ้า มันจะช่วยให้เจ้าสามารถรอดชีวิตจากการต่อสู้ไปได้”

เต่ายักษ์กล่าวด้วยการแสดงออกที่ดูเคารพลึก “หากเจ้าเข้าใจถึงพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มันจะช่วยให้เจ้าสามารถรอดพ้นจากทุกสภาพแวดล้อมใดๆ ได้ และในอนาคต เจ้าย่อมไม่มีทางตกตายง่ายๆ อย่างแน่นอน”

พอได้ฟัง หัวใจของกู่ฉิงซานก็เต้นครึกโครม

พลังศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลานุภาพแบบใดกัน ถึงขั้นสามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธที่มีพลังต่ำต้อยเช่นเขาสามารถรอดชีวิตจากการต่อสู้ระหว่างสองอสูรวิญญาณโบราณได้?

นอกจากนี้ การสอนสั่งพลังศักดิ์สิทธิ์ให้แก่กัน มันเป็นสิ่งที่กู่ฉิงซานไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

อย่างไรก็ตาม หากอีกฝ่ายเต็มใจที่จะถ่ายทอดพลังศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังให้ ตนก็ยินดีรับไว้ …

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความสำนึกคุณ “ขอบพระคุณท่านสำหรับความเมตตา ว่าแต่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าคืออะไร?”

เต่ายักษ์ “ข้าจะสอนพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีจุดกำเนิดอันยิ่งใหญ่ มันถูกเรียกว่า ‘หัวและหางไร้ร่องรอย’ ”

“หัวและหางไร้ร่องรอย?”

“ใช่ โดยวิธีการก็คือ ข้าจะมอบชิ้นส่วนหนึ่งของกระดองเต่าของตน ติดตั้งไว้บนแผ่นหลังของเจ้า ผสานกลมกลืนลงกับร่างกายของเจ้า”

“ด้วยวิธีนี้ เจ้าจะได้รับพลังป้องกันเช่นเดียวกับข้า”

“ด้วยกระดองเต่าของข้า ในอนาคตหากเจ้าพบเผชิญกับวิกฤติถึงชีวิต ขอแค่เพียงหดแขน ขา เข้าไปในกระดองเต่า จากนั้น ต่อให้เป็นผู้ทรงอำนาจเพียงใดก็มิอาจทำร้ายเจ้าได้”

“เป็นอย่างไร? พลังศักดิ์สิทธิ์นี่แข็งกร้าวมากเลยใช่หรือไม่?” เต่ายักษ์กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“อ่า…มันแข็งแกร่งมากจริงๆ…ว่าแต่หากในระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน กระดองเต่านี่สามารถเก็บซ่อนเอาไว้ได้หรือไม่” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

เต่ายักษ์ “ มันผสานเข้ากับร่างกายของเจ้า ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไม่ได้ที่จะเก็บซ่อน นอกจากนี้ มันคือกระดองเต่าที่ทรงประสิทธิภาพอย่างถึงที่สุด แล้วเจ้าจะเก็บซ่อนมันเอาไว้ด้วยเหตุใด?”

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงฉากที่เขากำลังแบกกระดองเต่า

ตนเองในสภาพ…

ใช้ชีวิตตามปกติกับกระดองเต่า…

ทว่าด้วยกระดองเต่านี้ เขาสามารถนำมันไปใช้ประยุกต์รับการโจมตีจากผู้อื่นได้อย่างอิสระ!

อย่างเช่น เมื่อคนอื่นต้องการโจมตีตนเอง เขาก็สามารถหดหัวเข้าไปในกระดองเต่าได้ทันที

อืม…‘หัวและหางไร้ร่องรอย’ มันช่างเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่น่าทึ่งจริงๆ

น่าทึ่งปู่เจ้า!

จะบ้ารึไง!

หากตนต้องต่อสู้ด้วยวิธีการเช่นนี้ เกรงว่ายังมิทันถึงกลางคันระหว่างต่อสู้ ศัตรูคงหัวเราะเยาะ จนสำลักอากาศใจตายไปก่อน!

ในช่วงเวลานั้นเอง เต่ายักษ์คล้ายย้อนนึกได้ถึงอะไรบางอย่าง มันเริ่มเสียใจ “ในครั้งที่กิเลนกำลังจะตาย ข้าเคยตั้งใจจะส่งต่อพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ให้แก่มัน เพราะอย่างไรซะ ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับข้าค่อนข้างดี”

“ทว่าเมื่อมันฟังข้าเล่าจนจบ มันก็ไม่ยอมรับพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้าเสียอย่างนั้น สุดท้ายอาการบาดเจ็บของมันก็รุนแรงขึ้นและจากไป”

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันคิดอะไรอยู่”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความเคารพลึก “ท่านอาวุโส ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร แต่ข้ารู้ดีว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านทรงอำนาจที่สุดแล้ว ฉะนั้นท่านสามารถชื่นชมยินดีไปกับมันได้”

เต่ายักษ์เผยถึงความสุข “เจ้าช่างเป็นคนดีจริงๆ แถมยังครอบครองวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยม!”

กู่ฉิงซานกล่าวหนักแน่น “ทว่า…ตัวข้าเอ่ยสัตย์สาบานไปแล้ว ว่าในฐานะผู้ฝึกดาบ อย่างมากที่สุดข้าเพียงสามารถใช้เกราะรบในการป้องกันเท่านั้น มิอาจใช้กลวิธีอื่นหลีกเลี่ยงการโจมตีของศัตรูได้ มิฉะนั้นข้าจะถูกสังหารโดยวิถีสวรรค์”

“เจ้าเป็นผู้ฝึกดาบ? มิน่าเล่าเอ่ยสัตย์สาบานต่อวิถีสวรรค์เช่นนั้น” เต่ายักษ์ถอนหายใจด้วยความเสียดาย “เช่นนั้นเจ้าก็คงหมดหวัง ไม่สามารถรับพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย “อาวุโสมีอีกวิธีที่จะใช้เข้าสู่วังสวรรค์มิใช่หรือ? พวกเรามาลองวิธีที่ว่ากัน”

เต่ายักษ์พยักหน้าและกล่าว “ก็ได้ เนื่องจากเจ้าไม่สามารถรับสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้า ดังนั้นย่อมมิอาจรอดพ้นจากการต่อสู้ระหว่างข้ากับหงส์ไปได้ เราจึงเหลือแค่วิธีที่สองเท่านั้น”

“ผู้น้อยต้องการรับฟังรายละเอียด” กู่ฉิงซานกล่าว

เต่ายักษ์ “วิธีที่สอง เป็นกฎที่ถูกตั้งขึ้นโดยอดีตปรมาจารย์วังจากวังสวรรค์…เจ้าจักต้องยอมรับบททดสอบในฐานะหน้าใหม่เพื่อเข้าสู่นิกาย”

มันถอนหายใจ กล่าวเพิ่มเติม “มันเป็นการทดสอบที่ยากเย็นยิ่ง เรื่องนี้ข้ามิอาจช่วยเหลือเจ้าได้เลย หากเจ้าไม่ผ่าน เจ้าจะถูกต้องห้าม และสังหารตกตายลงทันที”

“ข้ายินดีที่จะลอง” กู่ฉิงซานกล่าว

“ตกลง งั้นก็ลองดู”

ว่าจบ มันก็อ้าปากกว้าง และพ่นจานหยกออกมา

“นี่คือจานหยกสำหรับการเข้ารับการทดสอบ มังกร กิเลน หงส์ และข้าต่างก็มีกันคนละหนึ่งชิ้น”

“เจ้าจงนำใบหยกนี้ไปยังศาลารักษาการณ์กลางภูเขา หากมีสิ่งนี้ เสี้ยววิญญาณของกิเลนจะไม่ทำร้ายเจ้า มันจะส่งเจ้าไปยังบททดสอบแทน”

ใบหยกลอยมาในอากาศ และค่อยๆ ตกลงในมือของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานประสานกำปั้น “ขอบพระคุณท่านอาวุโส”

เต่ายักษ์ “หากเจ้าผ่านการทดสอบ เจ้าก็จะสามารถเข้าไปในวังสวรรค์เมฆาวิเวก ได้เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ แล้วข้าจะรอพบเจ้าอยู่ในวังสวรรค์”

“เข้าใจแล้ว ผู้น้อยจะปฏิบัติตาม” กู่ฉิงซานกล่าว

“ไปเถิด แต่จงระมัดระวังตัวให้ดี” เต่ายักษ์กล่าว

กู่ฉิงซานผงกหัวเล็กน้อย หันกายกลับ และบินเหนือขึ้นไปยังทะเลเมฆ

เต่าเฝ้ามองดูแผ่นหลังของเขา ถอนหายใจอย่างเงียบๆ

“อนิจจา มันน่าเสียดายจริงๆ เหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้จึงไม่ยอมรับพลังของข้า แต่เลือกที่จะไปทนทุกข์ทรมาน เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยนะ?”

……………….

Related

“ยุคโบราณอันไกลโพ้น? คุณกำลังจะบอกว่าในภาพมายานั่น เป็นผมถูกย้อนเวลากลับไปในสมัยโบราณ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“หากจะกล่าวให้มันถูกต้อง สมควรต้องบอกว่าเป็นอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าการแทรกแซงห้วงกาลเวลาของข้า ก่อให้เกิดฉากบางฉากในห้วงเวลาอันไกลโพ้นขึ้น” ร่างแสงทมิฬกล่าว

เขาถอนหายใจ “เดชะบุญที่มันเป็นเพียงเศษเสี้ยว มิฉะนั้นเกรงว่าเจ้าอาจจะต้องติดอยู่ที่นั่นตลอดไป ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน และไม่สามารถกลับมาหาข้าผ่านการแทรกแซงห้วงมิติเวลาได้อีกเลย”

กู่ฉิงซานขบคิด “ก็แล้วถ้ามันเป็นแค่เศษเสี้ยว งั้นผมจะมีวิธีออกมาจากมันได้อย่างไร?”

“วิธีที่ง่ายที่สุดคือตาย หลังจากเจ้าตายไปแล้ว ข้าย่อมสามารถดึงเจ้ากลับมาได้ตามปกติ”

“แล้วหนทางอื่นล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม

“ไม่มีผู้ใดยินยอมจ่ายอำนาจที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนั้น เพื่อสร้างเศษเสี้ยวห้วงกาลเวลาอย่างไม่มีเหตุผลหรอก ข้าสงสัยว่า หากคิดผ่านด่านมัน อาจจำเป็นต้องตอบสนองต่อเงื่อนไขบางอย่างที่มันตั้งใจ เจ้าจึงจะสามารถออกมาได้” ร่างแสงทมิฬกล่าว

“ตอบสนองต่อเงื่อนไขบางอย่าง? โอเค ผมเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานรับคำ

“นี่เจ้าเข้าใจจริงๆ?” ร่างแสงทมิฬถามย้ำ

“อืม”

ร่างแสงทมิฬ“โลกในอดีตช่างอันตรายเหลือแสน อันที่จริงข้าเองก็เริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อยบ้างแล้ว”

“วางใจเถอะ” กู่ฉิงซานยิ้ม “ช่วยส่งผมไปอีกรอบ คราวนี้จะไม่ยอมตายง่ายๆ แน่นอน”

“แล้วคราวนี้เจ้าตั้งใจจะทำสิ่งใด?”

กู่ฉิงซาน “เหตุผลหลักก่อนหน้านี้คือผมไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของห้วงกาลเวลา แถมยังไม่คุ้นเคยกับโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ไหนจะต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์คาดไม่ถึงอีก แต่ตอนนี้ผมกระจ่างเกี่ยวกับสถานการณ์แล้ว ผมจะไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยงง่ายๆ แบบครั้งก่อนๆ อีกแน่นอน”

“เจ้าแน่ใจหรือ?”

“ในความเป็นจริง ผมควรจะใช้การรับรู้ทางจิตวิญญาณเพื่อตัดสินสภาพแวดล้อมที่ต้องพบเจอ แต่ตอนนี้การรับรู้ทางจิตวิญญาณของผมหายไปชั่วคราว ดังนั้นผมคงต้องปรับเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์”

เขากล่าวอย่างจริงจัง “วางใจได้เลย ผมจะไม่ยอมตายโง่ๆ อีกต่อไป”

ร่างแสงทมิฬส่งเสียงชื่นชม “ยอดเยี่ยม งั้นพวกเรามาเริ่มกันอีกครั้ง”

ซุ่ม!

คลื่นแห่งความมืดมิดโถมทับกู่ฉิงซาน นำพาเขาจมสู่ห้วงกาลเวลา

ท่ามกลางห้วงเวลา กู่ฉิงซานพยายามย้อนกลับไปยังฉากที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอย่างมุ่งมั่น

ทว่าทันใดนั้นเอง ปากขนาดใหญ่ที่มีความกว้างกว่าหลายร้อยเมตรก็ผุดออกมาจากในความมืดมิด

เป็นมอนสเตอร์ในสายหมอกแห่งกาลเวลา!

มันดูดกลืนกู่ฉิงซาน และสิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิดทั้งหมดที่อยู่โดยรอบเข้าไปในคราเดียว

วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานกลายเป็นมืดบอด

เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง

ร่างแสงทมิฬยืนอยู่ต่อหน้าเขา

“…” กู่ฉิงซาน

“…” ร่างแสงทมิฬ

“ครั้งนี้ไม่นับ มันเป็นอุบัติเหตุ” กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด

“ลองอีกครั้งไหม?” ร่างแสงทมิฬถาม

“จัดไป!”

ซูม…!

คลื่นแห่งความมืดมิดโถมทับ

คราวนี้ระหว่างเดินทาง ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น

เขารับเขาดิสก์ค่ายกลจากอาจารย์ กลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็ก วาร์ปไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ และสนทนากับเต่ายักษ์

จากนั้น ก็กลับมาปรากฏตัวในเศษเสี้ยวของสมัยโบราณอีกครั้ง

ท่ามกลางบรรดาผู้ฝึกยุทธ ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้น

เห็นแค่เพียงบนผืนดิน คลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกยุทธในชุดเกราะ

เบื้องบนท้องฟ้า กระแสแสงลอยผ่านไปผ่านมา

ป้อมปราการกำลังเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกช่างเงียบงัน

มีเพียงเสียงของสายลมที่พัดโชย

จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น

“เตรียมตัว!”

กู่ฉิงซานมองไปตามทิศทางของเสียง แล้วก็พบกับคนที่คาดว่าน่าจะเป็นนายพล

ทั้งร่างของนายพลสวมทับด้วยเกราะรบสีแดงเพลิง ลอยล่องอยู่กลางอากาศ กำลังชักอาวุธออกมา เปล่งวาจาส่งคำสั่งมาทางกลุ่มผู้ฝึกยุทธ

กู่ฉิงซานแทบลืมหายใจ

ในช่วงเวลาเดียวกัน หัวยักษ์ก็ผุดลงมาจากฟากฟ้า ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วถูกใช้ออกทันใด

ประกายแสงสีขาวกะพริบไหว

ตู้ม!

เสียงระเบิดหนักทึบ ดังแว่วมาจากเบื้องหลังเขา

สายลมแรงพัดกระพือ

ทว่าที่กล่าวมาล้วนไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเขา

เพราะกู่ฉิงซานสามารถหลบมันพ้นตั้งแต่แรก!

เขาหายวับไป โผล่รวมตัวกันกับผู้ฝึกยุทธอีกกลุ่มหนึ่ง ทุกคนต่างชักอาวุธออกมา ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้า ร่างของมอนสเตอร์ปรากฏแก่สายตาของทุกผู้คน

อันที่จริงสมควรกล่าวว่ามิใช่ร่างกาย เพราะตัวมันไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากส่วนหัวและดวงตามากมายที่เบิกกว้าง แต่ละตากำลังยิงลำแสงสีขาวลงใส่กลุ่มของผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนพื้นดิน จนสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่ว

ผู้ฝึกยุทธปิดล้อมมอนสเตอร์ หมายมั่นจะสังหารมันโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและความตาย

หลังจากนั้น การต่อสู้รุนแรงและสาหัส ท้ายที่สุดมอนสเตอร์ตนแรกก็ถูกตัดหั่นจนกลายเป็นศพ

ฝนเสือดสาดโปรยปรายลงจากท้องฟ้า

แม้มอนสเตอร์ตนนี้จะทรงประสิทธิภาพ และครอบครองอำนาจโจมตีที่แข็งแกร่ง แต่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธนับไม่ถ้วน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะยืนหยัดได้ไหว

กู่ฉิงซานลอบกรีดร้องอย่างลับๆ

มอนสเตอร์ตนนี้ สามารถใช้พลังทางวิญญาณแห่งแสงได้ในระดับที่เกินกว่าความรู้ความเข้าใจของกู่ฉิงซานไปไกลโข

บนผืนฟ้า หัวที่เต็มไปด้วยดวงตาปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง

บางคนตะโกนขึ้น “‘เนตรมารบรรพกาล’ มาอีกแล้ว ทุกคนเตรียมรับมือ!”

ผู้ฝึกยุทธพากันทะยานเข้าหามอนสเตอร์อีกครั้ง

การต่อสู้ร้อนแรงตั้งแต่แรกเริ่ม

กู่ฉิงซานลอยอยู่กลางอากาศ เฝ้าสังเกตสถานการณ์ในสนามรบเล็กน้อย ยังมิได้เคลื่อนกายไปไหน

อีกอย่าง ความแข็งแกร่งของเขาก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะเฉียดเข้าไปใกล้มอนสเตอร์ประหลาดบนท้องฟ้าได้

เขาตริตรองกับตัวเองอย่างลับๆ ว่า “ที่แท้มันก็ชื่อ ‘เนตรมารบรรพกาล’ ดูเหมือนว่าเวลานี้จะเป็นช่วงรอยต่อเวลาระหว่างสมัยบรรพกาลกับโบราณอันไกลโพ้น”

แม้สมองจะวางแผน แต่ตัวกู่ฉิงซานมิได้ว่างเว้น เขาหลบหลีกเสาแสงที่สาดเข้าใส่อยู่หลายครั้งหลายครา สุดท้ายตัดสินใจลงมือ สั่งการนึกคิดเทคนิคดาบในจิตใจ

สองดาบพลันผุดออกมาจากในความว่างเปล่า

สองดาบพรวดขึ้นสู่ท้องฟ้า ดั่งกระแสแสงไล่ตามติดตาม ตรงเข้าหามอนสเตอร์

มันเป็นความจริงที่ว่าพลังโจมตีของเขานั้นอ่อนแอเหลือแสน หากเทียบกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ตัวเขาน่ะครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์!

ตัดขาดการเชื่อมต่อ!

พลังที่มิว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่ได้รับการยกเว้น!!

นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพสงคราม

สิ่งเดียวที่กู่ฉิงซานยังไม่แน่ใจก็คือ เจ้าเนตรมารบรรพกาลนี่มันเป็น ‘สิ่งมีชีวิต’ หรือไม่ก็เท่านั้นเอง

เขาลอบเร้นใช้ออกด้วยเทคนิคดาบอย่างเงียบๆ

เช่าหยินเปิดก่อนเป็นดาบแรก ฟันฉับเข้าลงบนหนึ่งในดวงตาของเนตรมารบรรพกาล

ทันใดนั้นดวงตาขนาดใหญ่ของเนตรมารก็พลันสั่นสะท้าน

มันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ มิอาจเคลื่อนไหว

ผู้ฝึกยุทธน่ะฉกาจในการฉกฉวยเป็นอย่างดี พวกเขาย่อมมิพลาดคว้าโอกาสนั่นไว้ ทุ่มโจมตีเต็มกำลัง

สามวินาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

มอนสเตอร์ส่งเสียงคำรามอีกครั้ง

หลังจากหยุดนิ่งเป็นเวลากว่าสามวินาที การโจมตีทั้งหมดก็มันก็พรั่งพร้อมแล้ว

ท่ามกลางดวงตานับพัน แสงสีขาวกำลังจะถูกปลดปล่อยออกมา

ในพริบตานั้นเอง ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็ลงมือ มันพุ่งทะยาน ทิ่มแทงเข้าไปใส่ตาของเนตรมารบรรพกาล

แสงสีขาวทั้งหมดพลันหายวับไป

ดวงตามารเริ่มกระตุกอีกครั้ง

เวลานี้ ทุกคนต่างทุ่มโจมตีพร้อมกัน

เพราะทุกคนรู้ดีว่า มันคือโอกาสสุดท้ายแล้ว หากตนมิอาจเข่นฆ่ามอนสเตอร์ตนนี้ลงได้ ก็จักกลายเป็นทุกคนเสียเองที่ถูกสังหาร!

ในช่วงวินาทีสุดท้าย

ตูม!

มอนสเตอร์พลันระเบิดกลายเป็นชิ้นเนื้อนับไม่ถ้วน ทั้งเลือดทั้งเนื้อร่วงตกลงจากฟากฟ้า

เนตรมารบรรพกาลตกตายลงแล้ว!

เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างส่งเสียงไชโย

กู่ฉิงซานยิ้ม แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย

เพราะมอนสเตอร์ตนนี้มิได้ถูกสังหารลงโดยเขา ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่ได้รับแต้มพลังวิญญาณ

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานี้ พลังของ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ก็เริ่มค่อยๆ แผลงฤทธิ์ออกมา

หลังจากยกระดับไปกว่าสองครั้งจาก ‘สูญสิ้นการควบคุม’ ไป ‘ไม่ยอมอ่อนข้อ’ มาสู่ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ส่งผลให้ ณ ตอนนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม เทคนิคสนับสนุนชีวิต สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนถูกยกระดับจนสามารถสำแดงให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของมัน

บนท้องฟ้า ร่างที่สวมเกราะแดงเพลิงลดระดับลงมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

เขาคือนายพลแห่งสมรภูมินี้

เป็นผู้รับผิดชอบบัญชาการสงครามตรงหน้า!

“นั่นคือพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าใช่หรือไม่?” นายพลเอ่ยถาม

“ใช่” กู่ฉิงซานยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“มันช่างร้ายกาจ กล่าวตามตรง มีน้อยครั้งนักที่พลังศักดิ์สิทธิ์จะสามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตแห่งบรรพกาลได้ หลังจากนี้ไป เจ้าจงใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ ช่วยเหลือเหล่าสหายต่อกรกับมัน”

“ข้าจะพยายาม” กู่ฉิงซานพยักหน้า

นายพลกวักมือไปทางเบื้องหลัง “ผู้ใดก็ได้ มานี่ที”

ทันใดนั้นผู้ฝึกยุทธสองกลุ่มที่ทรงพลังก็มาตามคำสั่งของเขา

“ฐานวรยุทธ์ของชายหนุ่มผู้นี้ยังไม่ดีพอ พวกเจ้าต้องรับหน้าที่ปกป้องเขา” นายพลกล่าว

“ขอรับ!” ผู้ฝึกยุทธตะโกนเสียงดัง

แล้วพวกเขาก็โอบล้อมกู่ฉิงซาน คอยปกป้องเขาตามคำสั่งของนายพล

นายพลมองกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานยิ้มเล็กน้อย

ท่ามกลางสงครามรุนแรงเป็นพิเศษเช่นนี้ นายพลกลับบังเกิดความคิดว่าจักต้องช่วยปกป้องชีวิตของกู่ฉิงซาน

ดังนั้นตอนนี้ ดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานไม่จำเป็นต้องมาคอยพะวงอีกต่อไป

เนื่องจากสามารถรับประกันความปลอดภัยของตนเองได้ ดังนั้นเขาย่อมทุ่มเทสมาธิ มีส่วนร่วมในสงครามได้อย่างไม่ลังเล

บนท้องฟ้า สองดาบระเบิดประกายอันแข็งกร้าวออกมาอีกครั้ง

พวกมันโฉบฉวัดเฉวียนระหว่างผืนเมฆ บ้างตวัด บ้างแทงเข้าใส่ดวงตาของเนตรมารบรรพกาลตนอื่นๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อใดก็ตามที่พวกมันสับเข้าใส่ เนตรมารทั้งหมดจักสูญสิ้นความสามารถในการโจมตีไปในทันที

“ทุกคนจงบุกโจมตีตามสองดาบ!” นายพลคำราม

เหล่าผู้ฝึกยุทธได้สังเกตเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเมื่อพวกตนได้รับคำสั่ง ก็ไม่ปล่อยให้มือหรือเท้าตนว่างเว้น ไล่ติดตามสองตามสังหารมอนสเตอร์ที่พวกเขาทำการโจมตีทิ้งไว้ล่วงหน้าทันที

แม้ว่าเนตรมารบรรพกาลจะมีจำนวนมาก แต่มันก็ไม่สามารถหยุดยั้งสถานการณ์ล่าสังหารลงได้

เพียงไม่นาน เนตรมารบรรพกาลทั้งหมดก็ถูกกำจัดออกไป

เหล่าผู้ฝึกยุทธส่งเสียงกระหึ่ม

“อำนาจอันองอาจ!”

“อำนาจอันองอาจ!”

“อำนาจอันองอาจ!”

สงครามในครั้งนี้ ได้รับชัยชนะ!

นายพลทอดถอนหายใจ “เจ้าหนุ่ม พลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าคืออันใดกัน? ใช่แก่นแท้จิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้าหรือไม่?”

กู่ฉิงซานตกใจ ปากเอ่ยถาม  “นี่ท่านไม่ทราบ?”

นายพลส่ายหัวและกล่าว “ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน”

กู่ฉิงซาน “นี่คือธาตุสายฟ้าจากเทคนิคสนับสนุนชีวิต”

นายพลขมวดคิ้ว “ธาตุสายฟ้า? ห้าธาตุแต่เดิมมีเพียง ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน เท่านั้น สายฟ้ามาจากที่ใด ว่าแต่ธาตุสายฟ้าคืออะไร?”

กู่ฉิงซานตะลึง

เขามองหน้านายพล และพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเผยว่ามิได้โกหก

ในยุคโบราณ ไม่มีห้าธาตุจำเพาะอย่างงั้นหรือนี่?

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ท้องฟ้าก็พลันมืดครึ้ม

ใบหน้าของนายพลแปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ปากอ้าคำราม “ทุกคน จงจัดวางค่ายกลป้องกันขนาดยักษ์!”

ด้วยคำสั่งของเขา เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างพร้อมใจกันทิ้งตัวลงจากฟากฟ้า รวมตัวกันตามกลุ่มตน แล้วเริ่มจัดวางค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่

ผู้ฝึกยุทธใจจดใจจ่อ จัดเตรียมค่ายกลป้องกันอย่างเป็นระเบียบ

ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธที่คอยปกป้องกู่ฉิงซานก็มิได้ล่าถอยจากไป

พวกเขายังคงรายล้อมรอบกู่ฉิงซาน และเริ่มจัดวางค่ายกลป้องกัน

ทันใดนั้นเอง

ฝูงชนก็อดไม่ได้ ต้องเงยหน้าขึ้น มองไปยังทิศทางหนึ่งบนท้องฟ้า

พบว่าผืนฟ้าถูกเปิดออก

ตะวัน จันทรา ดาราและท้องฟ้ามิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป ทว่าท่ามกลางผืนฟ้าอันไกลโพ้น โลกอีกใบกำลังค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาโลกใบนี้

กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นถึงฉากอันคลุมเครือของโลกที่กำลังเคลื่อนมาได้

เขาค้นพบว่ากำลังปรากฏถึงร่างที่แลดูดุร้ายนับไม่ถ้วนจากโลกใบนั้น

เป็นมอนสเตอร์หลากหลายชนิดที่เขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

พวกมันกำลังเฝ้ารอให้ทั้งสองโลกปะทะกัน

เบื้องบนท้องฟ้า นายพลแหกปากคำราม “พวกมันคิดจะเข้าปะทะ นี่ดูท่ามิใช่กลลวง หรือการหยั่งเชิงใดๆ แต่พวกมันตั้งใจที่จะสู้รบขั้นแตกหักกับพวกเรา!”

“ผู้ใดก็ได้ เร่งไปหาเหล่าผู้อาวุโส และเชิญเทพวิญญาณมาระ…”

เสียงยังไม่ทันจะตกลง ผืนดินที่อยู่ห่างไกลออกไปก็พลันเกิดการระเบิด สั่นสะท้านไปทั้งโลกหล้า

เสียงกรีดร้อง สาปส่งอันขมขื่นมากมายดังขึ้น ตลอดทั้งสวรรค์และโลก

จากนั้น พายุเฮอริเคนพลันถูกพัดกวาดจากที่ไกลแสนไกล ระเบิดซากแขน ขา ลำตัว และเลือดเนื้อปลิวว่อนไปทั่วทั้งผืนดิน

เกิดความวุ่นวายขึ้นในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ

กู่ฉิงซานเต็มไปด้วยความสงสัย

ช่วงจังหวะที่พบว่าสิ่งมีชีวิตบรรพกาลจากอีกโลกหนึ่งกำลังเตรียมปะทะกับโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์อย่างเต็มกำลัง แต่ภายในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ท่ามกลางช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ กลับบังเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น

ในที่สุด ผู้ฝึกยุทธที่ทั้งร่างท่วมไปด้วยเลือดก็ลอยมาจากในสถานที่ห่างไกลออกไป

เขาปาดเลือดและน้ำตาที่กำลังนองหน้า

เกราะรบอันแข็งแกร่งบนร่างถูกทำลายจนสิ้น ครึ่งซีกร่างอยู่ในสภาพดูไม่ได้ เว้นไว้แต่เพียงตำแหน่งหัวใจ

ผู้ฝึกยุทธลอยโซเซมา และเกือบจะทันทีก็ล้มลงกับพื้น

นายพลพุ่งเข้าหาเขาเป็นคนแรก

นายพลช่วยพยุงเขาและเอ่ยถามเสียงดัง “รองนายพลหวัง มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ผู้ฝึกยุทธกล้ำกลืนโลหิตจากปาก พยายามเอ่ยไม่กี่คำ “เทพวิญญาณ”

“เกิดอันใดขึ้นกับเทพวิญญาณ?”

“เทพวิญญาณทรยศพวกเรา! พวกมันหลบหนีไปแล้ว!”

“ว่ากระไร!”

“เทพวิญญาณ…ลอบโจมตีพวกเรา ศูนย์บัญชาการใหญ่ได้ถูกทำลายลงแล้ว”

หลังสิ้นประโยคนี้ ร่างของผู้ฝึกยุทธที่มารายงานก็แข็งทื่อ ลาจากโลกใบนี้ไป

บนผืนแผ่นดินโดยรอบ ทุกคนต่างจมลงสู่ความเงียบงัน

ผู้ฝึกยุทธต่างนิ่งค้าง สักพักหนึ่งยังมิอาจเรียกคืนสติ

ขณะที่เหนือขึ้นไปบนฟากฟ้า อีกโลกหนึ่งกำลังค่อยๆ ใกล้เข้ามาปะทะกับโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากนี้ด้วยความเหม่อลอย

วินาทีต่อไป ทุกสิ่งอย่างก็หายวับราวกับควันไฟ

ก็ฉิงซานค้นพบว่าตนเองได้มาหยั่งเท้าอยู่บนผืนดินที่รกร้างอีกครั้ง

เขากลับออกมาจากเศษเสี้ยวของห้วงกาลเวลาแล้ว

…………………..

Related

เปิดตาขึ้น

กู่ฉิงซานค้นพบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิดอีกครั้ง

เขาตายลงอีกซะแล้ว

กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิด

เมื่อครู่นี้ เต่ายักษ์ได้กล่าวกับเขาว่าไม่อาจเข้าสู่วังสวรรค์ได้

ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงสังหารเขาลงด้วยความเมตตา

นี่หมายความว่ามันเป็นการยากจริงๆ หากจะต้องการรอดชีวิตอยู่ภายนอกวังสวรรค์ใช่หรือไม่?

อย่างไรก็ตาม ใบหยกพิทักษ์กายาก็พังทลายลงแล้วโดยสิ้นเชิง ดังนั้นหากจะให้เขาใช้วิชายุทธเทพสงครามเพื่อคัดลอกใบหยก ก็คงจะทำไม่ได้

งั้นตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี?

ร่างแสงทมิฬกล่าวกับเขา “เจ้ายังเหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อย-”

กู่ฉิงซานขัดจังหวะ “ผมไม่อยากจะรู้ว่าเหลืออีกกี่ครั้ง”

“ก็ได้ ตามใจเจ้าปรารถนา”

ว่าจบ ร่างแสงทมิฬก็ยกขาไก่ขึ้นมานั่งแทะ

กู่ฉิงซานคว้าขวดไวน์จากบนพื้นขึ้นมา เปิดจุกมัน แล้วกระดกหงายศีรษะขึ้นดื่ม

ร่างแสงทมิฬมองเขาและกล่าว “รสนิยมของเจ้าช่างเป็นเอกลักษณ์”

“ทำไมจู่ๆ ถึงพูดแบบนั้น?” กู่ฉิงซานถาม

“เพราะสิ่งที่เจ้าดื่มมันเผ็ด ร้อนแรงเกินไป และมันไม่อร่อยเลย” ร่างแสงทมิฬกล่าว

“เอาไว้หลังจากที่คุณออกไปภายนอก แล้วพบเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา เดี๋ยวคุณก็จะชอบรสชาติของมันเอง” กู่ฉิงซานอธิบาย

เขาวางขวดไวน์ลงกับพื้น และสูดหายใจลึก ปากอ้าตะโกน “มาลองกันอีกครั้ง”

“จัดไป!”

กระแสคลื่นแห่งความมืดมิดโถมทับ โอบเขาจมลงสู่ห้วงเวลาอันมืดมิด

รับดิสก์ค่ายกลจากนิกายร้อยบุปผา

ย้ายมิติกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็ก

กลับมายังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

กู่ฉิงซานยืนอยู่บนก้อนเมฆ ย้อนคิดถึงกระบวนการทั้งหมดที่ผ่านมาอีกที

เขาเดินไปยังขอบเมฆ กระโดดลง โบยบินไปตามสายลม

จนกระทั่งกลับมาถึงเบื้องล่างของภูเขาที่อยู่ห่างไกล กู่ฉิงซานก็หยุดอยู่เบื้องหน้าเมฆ

ในมือเขาจีบออกด้วยวิชาลับอีกครั้ง

สายลมแรงพัดเป่ามวลเมฆ เผยให้เป็นถึงร่างของเต่ายักษ์ที่คอยแบกรับขุนเขา

เมื่อเมฆกระจายตัวออก เต่ายักษ์ก็รู้สึกตัวแล้ว

มันค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้นของเขา “ท่านอาวุโส ข้าคือผู้นำนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวกในรุ่นนี้ ได้โปรดช่วยนำพาข้าเข้าไปยังวังสวรรค์ด้วยเถอะ”

เต่ายักษ์มองเขาและกล่าว “เจ้ามีใบหยกพิทักษ์กายาหรือไม่?”

กู่ฉิงซานกล่าว “มันถูกส่งผ่านมาถึงรุ่นก่อนหน้า ทว่าได้แตกสลายลงแล้วอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ข้าสามารถพิสูจน์ถึงสถานะของข้า เพื่อยืนยันความจริงแก่ท่านได้”

แล้วเขาก็ใช้ออกด้วยสวรรค์ล่มสลาย , ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว ตามต่อด้วยตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตนอย่างกะทันหัน

นี่คือสกิลเทวะที่นางเซียนไป่ฮั่วล้วนได้รับมาจากวังสวรรค์เมฆาวิเวก

ต่อมา กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอากล่องหยกยาวออกมา

เขาเปิดกล่องหยกอย่างระมัดระวัง เผยโฉมดาบพิภพที่แตกร้าวให้เต่ายักษ์ดู

เต่ายักษ์จ้องเขม็งดาบพิภพ ปากเอ่ยพึมพำ “ข้าสามารถรับรู้ได้ว่ามันเสียหายร้ายแรง แต่ไม่คิดเลยว่าแตกร้าวถึงเพียงนี้…”

“ใช่ ดังนั้นการที่ข้ามายังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ในครั้งนี้ ก็เพื่อออกตามหาดาบนภา มีเพียงดาบนั่นเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยซ่อมแซมมันได้” กู่ฉิงซานกล่าว

เต่ายักษ์มองกู่ฉิงซานด้วยแววตาซับซ้อน “ฐานวรยุทธ์ของเจ้าสูงกว่าคนที่มาในคราวก่อน ทว่ายังคงอ่อนแอเกินไปหากมิได้ครอบครองใบหยกพิทักษ์กายา ไร้ซึ่งใบหยก เจ้าก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ที่นี่ได้”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นของเขา “อาวุโสได้โปรดชี้แนะหนทางด้วย ข้าต้องการช่วยเหลือดาบพิภพจริงๆ”

เต่ายักษ์กล่าว “เจ้ายังคงต้องกลับไปอยู่ดี ระดับต่ำอย่างสุดขีดความว่างเปล่านั้น ไม่อาจอยู่รอดที่นี่ได้โดยง่าย”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นโค้งกายลงให้แก่อีกฝ่าย และกล่าวอย่างจริงใจ “ยามนี้เผ่ามารรุกราน เทพวิญญาณก็ตกตายลง ความชั่วร้ายจากบรรพกาลเริ่มทยอยกันฟื้นตื่นจากห้วงนิทรา โลกนับล้านๆ กำลังถูกทำลาย ย้อนกลับไปผู้น้อยก็ต้องพานพบกับความตายเช่นกัน ฉะนั้นสู้เสี่ยงตกตายที่นี่ดีกว่า อาวุโสโปรดมอบโอกาสในการช่วยเหลือดาบพิภพให้แก่ผู้น้อยด้วย”

เต่ายักษ์ถอนหายใจ “ยากเย็นนัก! ช่างยากเย็น! ยากเหลือแสน! แม้ว่าเจ้าจะมีหัวใจที่จริงใจ แต่หากไร้ซึ่งใบหยก เจ้าก็ไม่สามารถอยู่รอดที่นี่ได้ มิต้องกล่าวถึงการออกตามหาดาบนภาเพียงลำพัง”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย “จำเป็นต้องมีแค่ใบหยกเท่านั้นหรือท่าน จึงจะสามารถอยู่รอดในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้?”

เต่ายักษ์ “ด้วยใบหยก มันจะสามารถช่วยให้เจ้าอยู่รอดในวังสวรรค์ได้ อย่างน้อยนี่ก็เพื่อช่วยชีวิตเจ้า”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “พอจะมีวิธีอื่นที่จะช่วยให้อยู่รอดได้หรือไม่?”

เต่ายักษ์ “ตัวข้า ในฐานะอสูรวิญญาณ ยังต้องพึ่งพาพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองถึงสามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ส่วนมังกร หงส์ และกิเลน ล้วนทยอยกันตกตายลง ยามนี้เหลือเพียงร่องรอยจิตวิญญาณ ความหวังที่เจ้าจะอยู่รอดย่อมย่ำแย่ยิ่งกว่า ต่อให้ข้าละทิ้งชีวิตเพื่อช่วยเหลือเจ้า มันก็ยังเปล่าประโยชน์”

กู่ฉิงซานสงสัย “แต่ตอนนี้ผู้น้อยก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้…”

เต่าเงียบไปสักพักเลย ก่อนจะกล่าว “มันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว” มันมองมาทางกู่ฉิงซานด้วยความเวทนา จากนั้นก็หดหัวและขาทั้งสี่กลับเข้าไปในกระดอง

เสียงของเต่ายักษ์ดังขึ้นในห้วงความคิดของกู่ฉิงซาน

“หากเจ้าสามารถรอดชีวิตต่อไปได้อีกหนึ่งชั่วยาม เจ้าก็จักมีโอกาสอยู่รอดท่ามกลางความโหดร้ายนี่ได้ ถึงเวลานั้นจงมาพบข้าอีกครั้ง แล้วข้าจะช่วยเจ้าไป ‘ขโมย’ ใบหยก”

ว่าจบ เต่าก็นิ่งงัน ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ อีกต่อไป

กู่ฉิงซานตกตะลึง

บอกให้เขารอดให้ได้ในหนึ่งชั่วยาม

แล้วจากนี้ไปมันจะเกิดอะไรขึ้นกัน?

ไม่ทันจะได้มีเวลาคิดเกี่ยวกับมัน พลันปรากฏคลื่นความผันผวนที่ไม่รู้จัก กวาดไปทั่วทั้งโลก

กู่ฉิงซานรู้สึกว่าได้แค่เพียงแรงกดดันทางวิญญาณที่มิอาจแข็งขืน ตกลงมาจากท้องฟ้า

เขาถูกแรงกดดันทางวิญญาณนี้โถมทับจนร่วงตกจากฟ้า มิอาจต้านทานได้

ร่างของกู่ฉิงซานค่อยๆ ร่วงตกลง จนกระแทกกับพื้นดิน

แต่กลับมิได้รับบาดเจ็บใดๆ

แรงกดดันทางวิญญาณเริ่มอ่อนโยนลง และกลายเป็นมั่นคง มันเพียงบังคับให้เขาลงสู่พื้นดินเท่านั้น

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างหมดหนทาง

ตามถ้อยแถลงของท่านอาจารย์ สถานที่ภายนอกวังสวรรค์เมฆาวิเวก อันตรายนับหมื่นเท่า

เต่ายักษ์เองกระทั่งบอกว่า ต่อให้มันแลกชีวิตช่วยเขา ก็ยังไร้ประโยชน์ เว้นเสียแต่ว่า เขาจะสามารถรอดชีวิตต่อไปได้หนึ่งชั่วยาม มันจึงค่อยคุ้มค่าให้ช่วยเหลือ

แต่ว่า…

ไม่ใช่ว่านี่เขาแค่กำลังยืนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าหรอกหรือ?

หลังจากผ่านมาหลายร้อยล้านปี อันตรายเหล่านั้นคงตกตายลงไปหมดแล้วกระมัง

ขณะกำลังคิด ภาพตรงหน้ากู่ฉิงซานก็กลายเป็นพร่ามัว

ดินแดนแห้งแล้งได้หายไป

ยามเมื่อวิสัยทัศน์กลับมากระจ่างชัด

กู่ฉิงซานก็ค้นพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนับไม่ถ้วน

เขาเงียบ ลอบหันไปมองรอบกาย

เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธที่อยู่รอบตัวเขา ทั้งหมดล้วนสวมชุดเกราะ สีหน้าการแสดงออกของทุกคนช่างร้ายแรงนัก

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณจากในตัวของพวกเขา และค้นพบว่า คนที่อ่อนแอที่สุด ในที่นี้ ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าท่านอาจารย์ในปัจจุบันซะอีก

อำนาจของคนเหล่านี้ ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริงๆ

นี่มันเป็นภาพมายาใช่หรือไม่?

…ไม่สิ นี่มันสมจริงเกินกว่าที่จะเป็นภาพมายา

กู่ฉิงซานลอบสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างลับๆ

เขาเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไปสุดสายตา

เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธที่สวมใส่เกราะรบ

พวกเขาชักอาวุธประจำกายออกมา ข้างกายเป็นอสูรวิญญาณ กองทหารตั้งขบวนรบเป็นทิวแถว

ทั่วทั้งผืนดิน คลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกยุทธ มองจากเบื้องบนจะแลเห็นเป็นจุดดำๆ นับไม่ถ้วน

บนท้องฟ้า กระแสแสงของเรือเหาะเคลื่อนที่ไปมาอย่างช้าๆ พวกมันคือป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ลอยลำอยู่เหนือกำลังรบของผู้ฝึกยุทธบนสมรภูมิ

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกกลายเป็นเงียบงัน

ได้ยินแค่เพียงเสียงของสายลมเท่านั้น

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดเตรียมพร้อม คล้ายกับว่าพวกเขากำลังเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่างอยู่

“เตรียมตัว…” บางคนตะโกนขึ้น

“เอ้า ยังไม่รู้เรื่องเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น” กู่ฉิงซานอุทาน

แล้วเจ้าของเสียงตอนแรกก็ตะโกนอีกครา “ทุกคน บุก!”

เหล่าผู้ฝึกยุทธแหกปากพร้อมเพรียง “บุก!!”

อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังไม่ทันแม้จะมีเวลาเพียงพอได้บุกไป

เพราะลึกขึ้นไปเหนือท้องฟ้ากว้างไกล พลันปรากฏรังสีแสงสีขาวสาดยิงลงมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน

เปรี้ยง!!!

แสงสีขาวระเบิดเข้ากลางสมรภูมิ

พื้นที่ทั้งหมดถูกกวาดด้วยอำนาจมหึมา

ผู้ฝึกยุทธข้างกายกู่ฉิงซานที่ตกอยู่ภายใต้การโจมตีของแสงสีขาวนี้ ถูกลบ ละลายหายไปโดยตรง

กู่ฉิงซานแน่นอนย่อมไม่มีเวลาที่จะทันได้ตอบสนอง เขาเพียงถูกสะเก็ดคลื่นนี่แค่เพียงเล็กน้อย ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็กระเด็น ลอยคว้างไปกลางท้องฟ้า

และก่อนที่ตนจะทันได้เสียชีวิตลง เขาสามารถเห็นถึงหัวใหญ่โตที่ปกคลุมไปด้วยดวงตา ค่อยๆ หยดย้อยลงมาจากเหนือผืนนภาอย่างช้าๆ

และแล้ววิสัยทัศน์ก็มืดบอด

ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง

กู่ฉิงซานค้นพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางกระแสคลื่นแห่งความมืด

“คราวนี้ถูกฆ่าตายกลับมาหรือ?” ร่างแสงทมิฬที่อยู่อีกด้าน หันมามองเขาและกล่าว

“อืม เหมือนกับว่าผมจะไปเจอตัวแปลกๆ เข้า” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

ทันใดนั้นเอง เขาก็พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เอ่ยถามออกไป “ช้าก่อน ไม่ใช่ว่าทุกครั้งคุณสามารถมองเห็นได้หรอกหรือ ว่าผมตายได้อย่างไร?”

“ก็ใช่นะ” ร่างแสงทมิฬตอบรับ

“งั้นเมื่อครู่…”

“เมื่อครู่เจ้าถูกส่งไปยังยุคโบราณอันห่างไกลด้วยอำนาจบางอย่าง และเกือบจะไม่ได้กลับมาแล้ว”

น้ำเสียงของร่างแสงทมิฬ ฟังดูร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

………………………

Related

กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด

ในมือของเขาถือดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ เฝ้าดูรายละเอียดมันอย่างใกล้ชิด

บนดิสก์ค่ายกล ประกอบไปด้วย กิเลน หงส์ เต่า และมังกร อยู่ตามแต่ละมุม แต่ละด้าน

แต่ตอนนี้ หลังจากที่ถูกฆ่าโดยมังกรแล้ว กู่ฉิงซานก็เลือกเปลี่ยนไปอีกเส้นทางหนึ่ง

หลังจากข้ามผ่านกระบวนการอันยาวนาน ในที่สุด เขาก็มาถึงเชิงเขา

ตรงเชิงเขามีศาลารักษาการณ์อยู่

จ้องมองไปยังศาลากลางภูเขา

บนศาลา มอนสเตอร์ที่มีรูปร่างเหมือนม้า ทว่ามีเขาแหลมตรงส่วนเขากำลังหลับใหลอยู่

เมื่อสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนมาเยือน กิเลนก็ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน ลุกขึ้นมองกู่ฉิงซาน

และแล้ววิสัยทัศน์ของเขาก็ดำมืด

ย้อนกลับไปท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด กู่ฉิงซานเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีการเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวก

เขาค้นพบว่า ตนได้เลือกเดินทางบนเมฆกว่าสองครั้งสองคราแล้ว ผลสุดท้ายจบลงที่การไปกระตุ้นมังกรกับกิเลนเข้า

ก็แล้วถ้าอย่างงั้น… จะให้ทำอย่างไร?

ทุกกระบวนการกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

คราวนี้ กู่ฉิงซานไม่เลือกก้าวเดินบนก้อนเมฆอีกต่อไป

เขาเลือกที่จะบิน บินขึ้นสู่ท้องฟ้า และกลายเป็นกระแสแสงตรงไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป

หลังจากข้ามผ่านในส่วนของสวนอาหารและศาลา ไม่นาน กู่ฉิงซานก็มาถึงยอดเขา

ในเวลานั้นเอง เขาก็ค้นพบกับต้นไม้ร่มเงาขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ใจกลางยอดเขา

บนต้นไม้ร่มเงา ปรากฏนกตัวใหญ่ที่ทั้งร่างของมันปกคลุมไปด้วยขนสีแดงเข้ม

เมื่อกู่ฉิงซานบินลงจากท้องฟ้า นกตัวใหญ่ก็เชิดคอขึ้น และมองมาทางกู่ฉิงซาน

-นกตัวนี้มันเหมือนกันหงส์ที่ถูกแกะสลักอยู่บนดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เลย

ไม่สิ นี่มันไม่ใช่นก แต่เป็นหงส์ตัวนั้นเลยต่างหาก!

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างหมดหนทาง

จากนั้น วิสัยทัศน์ก็พลันมืดบอด

กู่ฉิงซานกลับมาอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิดอีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้น? มันไม่ราบรื่นหรือ?” ร่างแสงทมิฬเอ่ยถาม

เวลานี้ ร่างแสงทมิฬกำลังถือใบหยกในมือของเขา กำลังสำรวจเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบางอย่างในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

“มันค่อนข้างลำบาก แต่ผมจะลองหาวิธีดู” กู่ฉิงซานกล่าว

“ได้ยินแบบนั้นก็ค่อยโล่งใจ อย่าลืมว่าข้าสามารถใช้สกิลนี้ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น จงถนอมมันให้ดี” ร่างแสงทมิฬกล่าว

“เข้าใจแล้ว ผมจะใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด” กู่ฉิงซานรับคำ

เขาลองพลิกดิสก์ค่ายกลไปมา ขบคิดอย่างเงียบๆ ว่าจะเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวกได้อย่างไร

นี่มันเป็นปัญหาเสียจริง

เพียงแค่ถูกมองก็จบแล้ว งั้นฉันจะต้องใช้วิธีอะไรถึงจะสามารถเข้าไปยังวังสวรรค์ได้?

ต่อให้เขาปลอมเป็นนกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ก็เกรงว่ามิอาจหลบเร้นสายตาของหงส์อยู่ดี

ดูเหมือนว่าพวกมันจะแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน

มังกรช่วยปกป้องรอบอาณาเขตวังสวรรค์เมฆาวิเวกทั้งหมด ส่วนกิเลนปกป้องประตูทางเข้าภูเขาเบื้องล่าง หงส์ก็ช่วยปกป้องส่วนเหนือของวัง เหลือแค่เต่าที่ยังไม่ทราบว่ามันซ่อนอยู่ที่ไหน

เมื่อต้องพบเผชิญกับอสูรวิญญาณที่ทรงพลังแบบนี้ ต่อให้เขามีโอกาสกว่าแปดร้อยครั้ง เกรงว่ายังไม่สามารถผ่านมันไปได้

เช่นนั้นยังมีวิธีใดที่สามารถใช้หลบเร้นไปจากสายตาของพวกมันได้หรือไม่?

กู่ฉิงซานจมอยู่ในห้วงความคิด

“นี่เจ้ายังคิดไม่ออกอีกหรือ?” ร่างแสงทมิฬถาม

“ขอทดลองดูอีกครั้ง ช่วยส่งผมกลับไปด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

“ตกลง”

ซุ่ม!

กระแสคลื่นความมืดมิดโถมทับกูฉิงซาน

หลังจากสนทนากับนางเซียนไป่ฮั่ว ใช้ด้ายมิติกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็ก และเปิดใช้งานดิสก์ค่ายกล

กู่ฉิงซานก็กลับมาถึงโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์อีกครั้ง

คราวนี้ เขาเดินไปที่ขอบพื้นเมฆ และก้มมองลงไป

ใต้ท้องฟ้าสีเทา เป็นผืนแดนแห้งแล้งอันไร้ที่สิ้นสุด

คราวนี้ เขาจะไม่เดินบนเมฆหรือบินบนท้องฟ้า

กู่ฉิงซานตั้งใจที่จะบินไปตามใต้เมฆ ลอดผ่านสวนให้อาหาร และที่ตั้งของศาลารักษาการณ์ บินจากเบื้องล่าง มุ่งสู่ทิศทางของวังสวรรค์

ตราบใดที่ภูเขาบนก้อนเมฆ มันยังเป็นภูเขาปกติอยู่ ตนเองก็ย่อมสามารถอาศัยสองดาบ เปิดรู ขุดเข้าไปจากเบื้องล่างได้

ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถหลบเลี่ยงหงส์จากเบื้องบน เข้าสู่ภายในวังสวรรค์จากใต้ดินได้อย่างง่ายดาย

กู่ฉิงซานลองคิดย้อนกลับไปกลับมาอีกครั้ง

และพบว่านี่แหละคือทางออก

ที่ต้องทำ มันก็แค่เมื่อตอนเปิดภูเขา จะต้องเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบเท่านั้น

มันคงจะเป็นการดีกว่า หากเขาแปลงกายเป็นสัตว์ที่เหมือนกับตัวตุ่น ขุดเข้าไปในดินตามใจต้องการ

โอเค ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว!

กู่ฉิงซานกระโดดลงจากก้อนเมฆ

เขาลดระดับลงมาเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงพื้นจึงค่อยๆ หยุดอย่างช้าๆ

พบว่าพื้นดินเบื้องล่างช่างแห้งแล้ง และเงียบเหงา

แต่เพื่อความปลอดภัย กู่ฉิงซานเลยไม่คิดจะสัมผัสกับพื้นดิน เขาตัดสินใจลอยอยู่ในอากาศเหนือมัน และเริ่มบินตรงไปข้างหน้า

เขาบินไปในทิศทางของภูเขาอันห่างไกล

มองขึ้นไปจากเบื้องล่างก้อนเมฆ ฉากภาพจะดูแตกต่างกันเล็กน้อย

เมฆอื่นๆ ล้วนบางเบา ทว่ามีเพียงเมฆใต้ภูเขาเท่านั้นที่หนาจนเกินไป

อย่างไรก็ตาม หากมันไม่ใช่เมฆหนาทึบ เกรงว่ามันคงจะไม่สามารถรองรับภูเขาขนาดใหญ่ และพระราชวังที่ตั้งอยู่เหนือมันได้น่ะสิ

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมัน และเริ่มเร่งความเร็วขึ้น

เขาบินผ่านท้องฟ้าสีครามด้วยพลังทั้งหมดที่มี และในที่สุดก็มาถึงเบื้องล่างของภูเขาได้อย่างปลอดภัย

มังกรเหลือง กิเลน และหงส์ เขตความสนใจของพวกมันล้วนไม่ได้อยู่ในที่นี้

กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ กวาดเข้าไปในเมฆเหนือหัว

ปรากฏว่าไม่อาจรับรู้อะไรได้เลย

ดูเหมือนว่า จากตัวภูเขากับเมฆเบื้องล่างสุด จะมีระยะห่างกันอยู่บ้าง

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และบินขึ้นไปในเมฆหนาทึบ

กึ้ง!

บังเกิดเสียงหนักทึบ สั่นสะเทือนโลกหล้า

กู่ฉิงซานที่พึ่งบินเข้าไปในมวลเมฆ ก็ถูกตีกลับมา

เขาลูบหน้าผาก กระเด็นถอยหลังไปพักหนึ่ง ก่อนจะสามารถหยุดตนลงได้

กู่ฉิงซานกัดฟัน สงบนิ่งสักพัก เพื่อกล้ำกลืนความเจ็บปวดให้ลดน้อยลง

เขาเงยหน้ามองขึ้นไป

มันยังคงเต็มไปด้วยเมฆ เมฆที่ปกคลุมทุกสิ่งอย่าง

นี่มันเมฆอะไรกัน? เหตุใดเขาจึงไม่สามารถใช้จิตสัมผัสเทวะของตนเอง ค้นหาอะไรจากภายในมันได้เลย

นอกจากนี้ หัวของเขาเมื่อครู่ไปกระแทกเข้ากับอะไรกันแน่?

กู่ฉิงซานอดไม่ได้จีบออกด้วยวิชาลับ

นี่คือเทคนิคมนตราขั้นพื้นฐานที่สุด ผลลัพธ์ของมันคือการอัญเชิญวิญญาณลม

ทันทีที่พลังวิญญาณถูกขับเคลื่อน เทคนิคมนตราก็ประสบผล

สายลมพัดโชย

พัดโชยไปยังทิศทางเหนือเมฆ!

กู่ฉิงซานตอนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ดังนั้นความยากง่ายในการใช้ออกด้วยเทคนิคมนตรา จึงค่อนข้างแตกต่างจากในอดีต

ชั้นเมฆของทั้งภูเขา ถูกปกคลุมไปด้วยสายลมแรง

เมฆถูกพัดพาออกไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นถึงฉากที่อยู่ภายใน

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น จ้องมองดูชั้นเมฆ สูญสิ้นความปรารถนาที่จะเปิดปากพูด

เพราะในที่สุด เขาก็รู้แล้วว่าหน้าผากเขากระแทกเข้ากับอะไรเมื่อครู่

เป็นกระดองเต่า!

ไม่ว่าจะเป็นมังกร กิเลน หรือกระทั่งหงส์ ล้วนมีขนาดและรูปร่างใหญ่ไม่ถึงหนึ่งหนึ่งในสิบส่วนของเต่าเบื้องหน้าเขาด้วยซ้ำ!

เต่ายักษ์ตัวนี้ กำลังแบกภูเขาไว้บนหลัง บินอยู่บนท้องฟ้าอย่างช้าๆ

นอกจากนี้ มันยังคงหลับตาอยู่ คล้ายกับว่ากำลังหลับใหล

การที่หัวของกู่ฉิงซานไปกระแทกเข้ากับมัน ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกอะไรเลย

สวรรค์และโลกยังคงเงียบงัน

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานลอยล่องอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ เฝ้าสังเกตดูเต่ายักษ์

เขาพบว่า เมื่อใดก็ตามที่เต่าผ่อนลมหายใจ แม้จะแผ่วเบา ก็จักปรากฏเมฆหมอกสีขาวๆ ออกมาจากจมูก

เมฆค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เริ่มทยอยปกปิดส่วนหนึ่งของร่างเต่า

กู่ฉิงซานหลับตาลง พยายามรับรู้อย่างเงียบๆ

เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่จากเต่าตัวนี้ คล้ายกับเปลวไฟที่โหมกระหน่ำไม่รู้จบ

ในการรับรู้ทางจิตวิญญาณของกู่ฉิงซาน ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่ามิแตกต่างจากหิ่งห้อย ขณะที่พลังของเต่านั้นราวกับเป็นดวงอาทิตย์

นี่คือเรื่องที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน

แต่เดี๋ยวก่อนนะ

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น เอ่ยงึมงำกับตัวเอง “นี่มันไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นมังกร กิเลนและหงส์ ที่ฉันเคยเห็นพวกเขามาก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าพวกมันจะทรงพลังมากก็ตามที แต่พวกมันก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกเจ็บปวดต่อฉันแบบนี้เลย?”

กู่ฉิงซานพยายามคิดอย่างหนัก ย้อนนึกถึงฉากที่สัตว์วิญญาณอีกสามตัวพบเจอเขา

ดูเหมือนว่าเต่าตัวนี้… จะมีบางอย่างผิดแปลกออกไปจริงๆ

สำหรับอสูรวิญญาณโบราณทั้งสามตัว มดดั่งเช่นเขาย่อมไม่มีภัยคุกคามใดๆ

แต่ทั้งสามก็ยังเลือกที่จะสังหารเขา

โดยไม่มีการสื่อสารใดๆ

ไร้ซึ่งสรรพเสียง

เช่นเดียวกับการกระทำสิ่งต่างๆ ตามกฎ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องจักรสังหาร

แต่เต่าตัวนี้กลับแตกต่างกันออกไป

เต่าค่อนข้างสงบและมั่นคง มันกำลังจมอยู่ในห้วงนิทรา

โดยปกติแล้ว ด้วยระดับของอสูรวิญญาณพวกนี้ มันสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

แต่เต่าไม่ค้นพบว่ามีภัยคุกคามใดๆ จากกู่ฉิงซาน

มันเลยยังคงสามารถหลับอย่างสงบสุข

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มรู้สึกว่าอสูรวิญญาณอีกสามตัวคล้ายกับว่าจะมีอะไรผิดปกติ

ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในจิตใจของเขา

“ต้องการเข้าสู่พระราชวังสวรรค์เมฆาวิเวกอย่างงั้นหรือ เช่นนั้นก็จงหยิบใบหยกพิทักษ์กายาออกมาเสีย”

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นทันใด

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เต่าได้ตื่นแล้ว

มันจ้องมองมาที่กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น เฝ้ารอชั่วขณะหนึ่ง

แต่กลับพบว่าวิสัยทัศน์เขายังไม่มืดบอด

นั่นหมายความว่าหากตนเดินมาตามเส้นทางนี้ เขาจะไม่ตาย

ใช่ คราวนี้เขายังไม่ตาย!

เจ้าตัวลอยล่องอยู่ในอากาศ สักพักค่อยได้สติกลับคืน

การดำรงอยู่ของเต่า แน่นอนว่าย่อยสามารถสะกดพลังของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์

ทว่าหากมันไม่ต้องการสังหารผู้ใด มันก็ย่อมสามารถระงับพลังของตนเองได้

กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน เขาหันไปกล่าวกับเต่ายักษ์ “ใบหยกวังสวรรค์ถูกทำลายลงแล้ว แต่ท่านได้โปรดให้ข้าผ่านเข้าไปด้วยเถอะ”

เต่าปฏิเสธทันที “ไม่มีใบหยก? งั้นเจ้าก็มิอาจเข้าสู่วังสวรรค์”

เต่ามองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจและกล่าว “ลืมมันซะเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าไปในวังสวรรค์ได้ เฮ้อ…ข้าคงจำต้องส่งเจ้ากลับไป”

และแล้ววิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็มืดบอดลง

……………………

Related

ณ โลกอารยธรรมแห่งหอคอยสูง

ภายในวิหารแห่งความรู้

ช่วงเวลานี้ พิธีต้อนรับอันยิ่งใหญ่ได้สิ้นสุดลงแล้ว เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างก็แยกย้ายกันไป

บริวารและผู้ศรัทธาบางส่วนกำลังวุ่นอยู่กับการเก็บกวาด

ทว่าแม้จะยุ่งและวุ่นวาย แต่สีหน้าของทุกคนกลับเต็มไปด้วยความสุข

ลากยาวกระทั่งถึงกลางดึก ในที่สุดเหล่าบริวารและผู้ศรัทธาก็ทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอกวิหารจนเสร็จสิ้น

จากนั้น ภายใต้คำสั่งของบิชอป ทุกคนก็เริ่มจัดสถานที่ทดสอบอีกครั้ง

นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะจะต้องทำมันในทันที ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจะสายเกินไป

เนื่องจากนับแต่พรุ่งนี้ไป ทางเข้าวิหารคงมิแคล้วคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่จะเข้าร่วมศรัทธา

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม

เพราะในระหว่างพิธีต้อนรับราชินีแห่งหนามในช่วงกลางวัน จู่ๆ เธอก็ได้ประกาศว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติจำนวนมากให้แก่ทางวิหาร

และมันเป็นสมบัติจำนวนมหาศาลที่ถึงขั้นสามารถทำให้ตลอดทั้งดินแดนชิงอำนาจเคลื่อนไหวได้

แม้กระทั่งพระสันตะปาปาเองก็ยังปลื้มปีติ เขาดูคล้ายกับกลายเป็นหนุ่มน้อย อ่อนวัยลงกว่าเดิมนับสิบๆ ปี

และต้องไม่ลืมนะว่า วันนี้มันยังมีเรื่องแสนพิเศษเพิ่มอีกหนึ่ง!

นั่นคือ ในช่วงเช้า เทพวิญญาณได้เสด็จลงมายังโลก

เบื้องหน้าของทุกสิ่งมีชีวิต ในดินแดนชิงอำนาจ เทพวิญญาณได้ทำการ ‘ผนึกผู้ไม่เชื่อฟัง’

หลังจากนั้น ในช่วงที่พิธีเฉลิมฉลองยามบ่ายพึ่งเริ่มต้น ราชินีแห่งหนามก็ได้บริจาคทรัพย์ให้อย่างกะทันหัน ชนิดที่ว่า สร้างความสั่นสะเทือนยิ่งกว่าการปรากฏกายของเทพวิญญาณซะอีก! การบริจาคในครั้งนี้ส่งอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงกับทางคริสตจักร

ด้วยการบริจาคในครั้งนี้ อย่างน้อยๆ เป็นเวลากว่าสามสิบปี นักบวชทุกคนในวิหารไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายใดๆ เลย!

ยิ่งไปกว่านั้น นักบวชทุกคนในวิหารแห่งความรู้ ยังได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษจากทางอาณาจักรหนามนั่นคือ ได้รับเกียรติเป็นอัศวินกิตติมศักดิ์ของทางอาณาจักรหนาม

ซึ่งในโลกสองร้อยล้านชั้นของดินแดนชิงอำนาจ อัศวินกิตติมศักดิ์แห่งอาณาจักรหนาม มีสิทธิ์สามารถเบิกใช้เหรียญหมายเลขห้าร้อยกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญ ในโลกใบไหนก็ได้!!

เงินจำนวนนี้ เพียงพอแล้วที่สำหรับให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ สะดวกสบายไปได้ตลอดชีวิต!

และเนื่องจากอำนาจของทางวิหาร ถึงแม้จะมีบุคคลใดเกิดความริษยา แต่ก็มิกล้าโจมตีนักบวชเพื่อยึดทรัพย์อย่างแน่นอน

ไม่มีใครกล้าจัดการกับ ‘ผู้ศรัทธา’ ในเทพวิญญาณอย่างเปิดเผย

ดังนั้น เงินนี่จึงปลอดภัย และไม่สามารถถูกขโมยไปได้

เป็นผลให้ผู้คนสามารถกล่าวได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า การพิธีบริจาคของราชินีหนาม ส่งอิทธิพลเหนือล้ำยิ่งกว่าเทพวิญญาณไปแล้ว มันได้กลายเป็นหัวข้อข่าวสำคัญในโลกสองร้อยล้านชั้น ที่ไม่ว่าผู้ใด พอได้ฟังก็ต้องทอดถอนหายใจ

แต่สิ่งนี้มันจะเป็นการทำให้เทพวิญญาณขุ่นเคืองหรือไม่นะ?

ไม่แน่นอน เพราะการกระทำของฝ่าบาท นับว่าเป็นการช่วยพัฒนาคริสตจักรของเทพวิญญาณด้วยเช่นกัน

ในวันรุ่งขึ้น พระสันตะปาปาจะมอบตำแหน่งบิชอปกิตติมศักดิ์ให้แก่องค์ราชินี!

ลึกเข้าไปในวิหารแห่งความรู้

ห้องรับแขกของพระสันตะปาปา

แม้ว่ามันจะสายไปนิด แต่การเจรจาลับยังคงดำเนินอยู่ที่นี่

ผู้เข้าร่วมมือเพียงพระสันตะปาปา ราชินี และนายพลข้างกายพระราชินี

พระสันตะปาปากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทลอร่า ในตลอดทั้งหมื่นโลกา ทางวิหารได้สืบเสาะจนล่วงรู้ถึงความลับมากมาย เหตุใดท่านจึงยังดูกังวลอยู่อีก?”

“เป็นเพราะเรายังเยาว์วัยนัก แต่ขณะเดียวกันก็กระตือรือร้น หมายมั่นจะครอบครองในสิ่งที่ปรารถนา หรือเจ้าอาจจะพูดว่าเรากำลังร้อนใจอยู่ก็ได้” ลอร่าตอบ

ระหว่างกล่าว ลอร่าก็เอื้อมมือไปในความว่างเปล่า ควานหาอะไรบางอย่าง

แล้วเธอก็เหยียดไปคว้าจับอะไรบางอย่าง และชักมันออกมา

ปรากฏว่าเป็นถุงมือโซ่เหล็กคู่หนึ่ง ที่กำลังสาดประกายแสงสีทองเข้ม

“อือ? นี่มันเกราะมืออัศวินระดับมหากาพย์ไม่ใช่หรือ? เราโชคดีอีกแล้วในครั้งนี้”

ลอร่าอุทานด้วยความประหลาดใจ และโยนถุงมือไปเบื้องหลังเธอ

อีเลียรับเอาถุงมือไว้อย่างรวดเร็ว

“ฝ่าบาท ท้องพระคลังไม่สามารถยัดอะไรลงไปได้มากกว่าอีกแล้ว ดังนั้นเกรงว่าถุงมือคู่นี้…” อีเลียเอ่ยปาก

“ไม่ใช่ว่าทางเราได้บริจาคสิ่งของมากมายให้แก่วิหารแห่งความรู้แล้วหรอกหรือ?” ลอร่าชิงกล่าว

“ของบริจาคพวกนั้น เป็นส่วนที่วางซ้อนๆ กันอยู่นอกพระคลัง…”

“โอ้…”

ลอร่าหันไปกะพริบตากับเธอ

การบริจาคในครั้งนี้ กลับกลายเป็นว่า มันเป็นแค่การช่วยลดขยะบางส่วนที่อยู่นอกพระคลังเท่านั้นเอง

ทว่าถุงมือเหล็กคู่นี้เป็นสมบัติชั้นมหากาพย์ มันไม่สามารถโยนทิ้งลงไปกองกับ ‘ขยะ’ นอกพระคลังได้

“อีเลีย เก็บถุงมือนั่นไว้สวมใส่เถอะ” ลอร่ากล่าว

อีเลียชูมือขึ้น เผยถุงมือโปร่งสาดแสงสีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังสวมใส่ให้ลอร่าดู “ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือ? ว่าก่อนที่ท่านจะสุ่มได้ถุงมือโซ่เหล็ก ท่านได้มอบถุงมือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับสิ่งประดิษฐ์เทวะให้กระหม่อมแล้ว”

ลอร่าเริ่มกังวล “เฮ้อ…แล้วเราต้องทำอย่างไรดี จริงสิพระสันตะปาปา เราจะบริจาคคู่ถุงมืออัศวินนี้ให้แก่ท่านอีกชิ้นก็แล้วกัน”

ว่าจบ เธอก็หยิบถุงมือโซ่เหล็กกลับมา และโยนมันลงบนโต๊ะน้ำชา

พระสันตะปาปาแทบจะเก็บแววตาลิงโลดไว้ไม่มิด

“ฝะ…ฝ่าบาทลอร่า ความเอื้อเฟื้อของท่านในคราวนี้ ทางวิหารรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก” พระสันตะปาปากล่าวตะกุกตะกัก

ลอร่าส่ายมืออย่างไม่ใส่ใจ แต่แล้วสีหน้าของเธอก็เริ่มจริงจัง

“ท่านสันตะปาปา เราจะขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมากับท่าน แท้จริงแล้วเราปรารถนาจะล่วงรู้ความลับบางอย่าง”

“ฝ่าบาท วันพรุ่งนี้กระหม่อมจะมอบตำแหน่งบิชอปกิตติมศักดิ์ให้แก่ท่านอยู่แล้ว และเมื่อถึงเวลานั้น ท่านก็สามารถค้นหาข้อมูลทั้งหมดที่ทางวิหารแห่งความรู้เก็บรวบรวมเอาไว้ได้เลย ด้วยตนเองอย่างง่ายดาย”

“ไม่สิท่านสันตะปาปา ท่านคิดว่าการที่เราทุ่มเทถึงขนาดนี้ เพียงเพราะแค่ปรารถนาจะล่วงรู้ถึงความลับธรรมดาๆอย่างนั้นหรือ?”

“ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร?”

“เราต้องการทราบถึงความลับของเหรียญ” ลอร่ากล่าว

คิ้วที่ขมวดมุ่นของพระสันตะปาปาคลายลง เขายิ้มและกล่าว “เรื่องนี้ง่ายดายยิ่ง แม้ว่าเหรียญจำนวนมากจะมีฟังก์ชันที่ยอดเยี่ยมซ่อนอยู่ แต่สำหรับ เจ็ดร้อยเหรียญแรก ทางเราได้ล่วงรู้เกี่ยวกับมันเกือบทั้งหมดแล้ว”

ลอร่า “เรามิได้อยากรู้เรื่องพวกนั้น”

พระสันตะปาปายังคงยิ้มแย้ม เขาพยักหน้า “ฝ่าบาท กระหม่อมคาดไม่ถึงเลย ว่าความปรารถนาในการล่วงรู้ความจริงของฝ่าบาท จะควรคู่กับสถานะบิชอปกิตติมศักดิ์ของทางวิหารมากถึงเพียงนี้ ”

“เหรียญสุดท้ายทั้งสามร้อยหนึ่งเหรียญ มันถูกสร้างขึ้นโดยสี่เทพผู้ทรงธรรม มีความลับมากมายยังไม่เป็นที่ล่วงรู้มาถึงพวกเรา กระหม่อมไม่คาดคิดเลย ว่าฝ่าบาทจะกระตือรือร้นที่จะไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเหรียญเหล่านั้น”

พระสันตะปาปากล่าวด้วยความยินดี “การตามหาความจริง ก็เปรียบดั่งการหาที่มาของอารยธรรมของตนเอง การล่วงรู้ถึงความจริงของเหรียญที่เทพวิญญาณสร้างขึ้นมาก็ประเสริฐยิ่งเช่นกัน ตราบใดที่ฝ่าบาทยังคงรักษาความสงสัยใคร่รู้นี้เอาไว้ได้ วันหนึ่ง ข้าสามารถให้ชื่อที่มีเกียรติยศยิ่งกว่านี้ให้ท่านได้”

ลอร่าพยายามรักษาความสงบ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว อันที่จริง เรามิได้สนใจเหรียญ ‘หลักร้อย’ เหล่านั้นเลย”

พระสันตะปาปาแทบสำลัก

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่าตนเองมิเข้าใจเด็กสาวตัวน้อยเบื้องหน้าอย่างสมบูรณ์

พระสันตะปาปา “นี่…ท่านกำลังต้องการจะสื่ออะไร…”

ลอร่าลดเสียงของเธอลด จนแทบกระซิบ “ท่านสันตะปาปา เราอยากจะล่วงรู้ความลับของสามเหรียญสุดท้าย”

รอยยิ้มบนใบหน้าของพระสันตะปาปาปิดสนิทลง น้ำเสียงดังดูแหบแห้งไปนิด “สามเหรียญสุดท้ายถูกสร้างขึ้นมาเพียงอย่างละหนึ่งเท่านั้น ฝ่าบาท มันอาจจะเป็นปัญหาหากท่านคิดสืบเสาะร่องรอยของพวกมัน ดังนั้นทางคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ย่อมยินดีที่จะร่วมการค้นหามันไปพร้อมๆ กันท่าน”

ลอร่า “ท่านผิดแล้ว ตอนนี้เราไม่ต้องการความช่วยเหลือในด้านค้นหาจากทางคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ เพราะเราย่อมมีวิธีการที่จะใช้ตามหาทั้งสามเหรียญนั่นด้วยตนเอง”

เธอมองไปยังพระสันตะปาปา และเห็นถึงความหวาดกลัวบางอย่างในสายตาของฝั่งตรงข้าม

“ท่านสันตะปาปา คงจะคาดเดาได้แล้วใช่หรือไม่ ว่าเราเองก็ล่วงรู้ถึงเรื่องนั้น” ลอร่ากล่าว

“เรื่องอะไร?” พระสันตะปาปาสวนกลับ

“ต้นไม้โบราณได้บอกกับเราแล้ว ว่า มันเกี่ยวกับการทำให้คนตายกลับมามีชีวิต และการทำให้ทุกอย่างไหลย้อนกลับ แต่รายละเอียดเบื้องลึกแบบเฉพาะเจาะจงของมันยังไม่อาจรู้ได้”

พระสันตะปาปาผุดลุกขึ้น กล่าวอย่างรวดเร็ว “นี่ก็ดึกมากแล้ว ฝ่าบาท โปรดทรงกลับไปเถอะ”

ลอร่ายังคงนั่งนิ่ง เอ่ยอย่างช้าๆ “ท่านลืมเลือนแล้วหรือไร ว่าเราบริจาคไปมากเท่าใด -คิดจะไล่เราออกไปทั้งๆ แบบนี้เลยหรือ?”

พระสันตะปาปาเอ่ยเสียงเย็นชา “ฝ่าบาท วิหารแห่งความรู้สามารถดำรงอยู่ได้ แม้ไม่ได้รับสินน้ำใจจากท่าน และวิหารแห่งความรู้จะไม่มีทางเผยเรื่องราวต้องห้าเด็ดขาด ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นท่านก็ตาม”

เขาดึงประตูเปิดออก “เชิญท่าน ฝ่าบาท การสนทนาของพวกเราจบลงแล้ว และได้โปรดอย่ากลับมายังวิหารแห่งความรู้อีก!”

อีเลียมองลอร่าด้วยความกังวล และขยับมาใกล้เธอเพื่อปกป้องอย่างเงียบๆ

“ไม่เป็นไรหรอกอีเลีย ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเอง เรายังมีบางอย่างที่จะพูดกับพระสันตะปาปา”

ว่าจบ ลอร่าก็เปิดกระเป๋าใบเล็กๆ ของเธอ และหยิบเอากล่องดำออกมา วางมันลงบนโต๊ะน้ำชาเบาๆ

“โปรดดูสิ่งนี้” ลอร่ากล่าว

เธอเปิดกล่อง และปิดมันทันที

ในช่วงเวลานั้น พระสันตะปาปาได้เห็นถึงกระดูกนิ้วสีดำ กำลังนอนอยู่ภายในกล่องอย่างเงียบๆ

ขณะที่กล่องถูกเปิดออก…

เปลวไฟสีซีดพลันลุกโชนขึ้นจากกระดูกนิ้วสีดำนั่น เล็ดลอดออกมาจากกล่อง ราวกับหมอกในอากาศ มิอาจสลายจากกันได้เป็นเวลานาน

พระสันตะปาปาจ้องมองเปลวเพลิงสีขาวเมื่อครู่ สูญสิ้นความสงบในจิตใจ “นั่นคือเทพวิญญาณแห่งข้า…”

โดยไม่รู้ตัว เขาได้ปิดประตูกลับคืน

“ท่านสันตะปาปา สามารถรู้สึกถึงมันได้ไหม?” ลอร่าถามเสียงกระซิบ

พระสันตะปาปาจ้องมองเปลวไฟ บนหน้าผากของเขา เหงื่อเย็นค่อยๆ รวมตัวกัน คล้ายเม็ดถั่วขนาดใหญ่

“ท่านมันปีศาจ” เขาพึมพำ

“เปล่าซะหน่อย นี่มันเป็นแค่ของแลกเปลี่ยนต่างหาก” ลอร่ากล่าว

“แต่การกระทำเช่นนั้น ถือว่าไม่ให้ความเคารพต่อเทพวิญญาณ” พระสันตะปาปาสวนกลับไป

“ไม่เคารพต่อเทพวิญญาณอย่างไร? กระดูกนิ้วนี่ ไม่ได้เป็นของสี่เทพทรงธรรม หรือมาจากร่างของเจ็ดเทพปีศาจ มันเป็นของเทพวิญญาณตนใดไม่รู้ที่ตกตายลงไปเมื่อนับล้านๆ ปีที่ผ่านมาแล้ว”

ลอร่ายิ้ม “ดังนั้น เรามั่นใจว่านี่จึงมิใช่การล่วงเกินต่อเจ็ดเทพ และจะขอมอบมันให้แก่ท่าน”

กระดูกนิ้วมือของเทพวิญญาณ…

และเป็นของเทพวิญญาณตนใดก็ไม่รู้

ซึ่งนี่มันแตกต่างจากเจ็ดเทพที่รู้จักกันดี ฉะนั้นย่อมต้องมีความลึกลับของทวยเทพที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนอยู่แน่ๆ

ดวงตาของพระสันตะปาปา ติดตรึงอยู่กับกล่อง กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่

เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาว และซับเหงื่อเย็นของเขา

หรือว่าจะสังหารอีกฝ่ายลงแล้วชิงมาตอนนี้เลยดี?

พระสันตะปาปามองไปยังเด็กสาวตัวน้อยฝั่งตรงข้าม

เด็กสาวส่งรอยยิ้มจางๆ กลับมา คล้ายกับรับรู้ถึงความคิดเบื้องลึกในจิตใจของเขา

กิ่งก้านและใบไม้สีเขียวผุดจากเบื้องหลังเธอ และโอบรัดเธอเบาๆ

เป็นรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม!

บ้าจริง! เจ้าสิ่งนี้ก็เปรียบได้ดั่งการดำรงอยู่ของเทพวิญญาณ

มันกำลังปกป้องเธอ แบบนี้อย่างไรก็ไม่มีทางใช้กำลังชิงกระดูกนิ้วมาได้!

พระสันตะปาปาพยายามควบคุมอารมณ์ เปล่งเสียงกระซิบ “ฝ่าบาทลอร่า ท่านต้องการอะไร?”

“จงบอกความลับแก่เรา และการบริจาคให้กับวิหารแห่งความรู้จะไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนสิ่งที่อยู่ในกล่องใบนี้ เราจะมอบให้แก่ท่านเป็นการส่วนตัว”

“หรือท่านจะปฏิเสธก็ได้ แต่เราเชื่อว่าย่อมต้องมีผู้อื่นล่วงรู้เรื่องนี้อยู่อีกอย่างแน่นอน”

ลอร่าลดเสียงลงและกล่าว “ต่อให้ท่านไม่พูด แต่หากเรามอบกระดูกนิ้วเทพวิญญาณให้แก่ทางวิหารอื่น ท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

พระสันตะปาปาเงียบงันไปครู่หนึ่ง

แล้วจู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมาทันที

พระสันตะปาปาส่ายศีรษะ ที่เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ “ท่านลอร่า ขอแสดงความยินดีกับการได้รับตำแหน่งบิชอปแห่งวิหารแห่งความรู้อย่างเป็นทางการ”

“ยอดเยี่ยม แต่อย่าลืมนะว่ารุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ที่นี่ ฉะนั้นท่านสันตะปาปาได้โปรดบอกความลับมา อย่าได้โกหก จากนั้นท่านสามารถนำกล่องนี้ไปได้”

“…ฝ่าบาท รับฟังให้จงดี ข้าจะเอ่ยมันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

“รบกวนด้วย”

“นั่นเป็นช่วงยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ที่สุดของเทพวิญญาณ สามเหรียญสุดท้ายถูกหล่อหลอมขึ้นโดยเทพวิญญาณจากยุคโบราณทั้งสามสิบสามองค์ เหล่าทวยเทพได้ทุ่มความพยายามอย่างถึงที่สุด เพื่อสรรค์สร้างอำนาจที่เหนือล้ำยิ่งกว่าเทพองค์ใดลงไปในเหรียญทั้งสามนี้”

“แต่ละเหรียญล้วนถือครองอำนาจแต่ละส่วน ท่านจะต้องรวบรวมพวกมันทั้งสาม และกระตุ้นพวกมันด้วยสิ่งมีชีวิตพิเศษทั้งสามที่แสดงอยู่บนเหรียญ เมื่อนั้นท่านจึงจะได้อำนาจที่ว่านั่นมาครอบครอง”

“ที่กล่าวมานั่นเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?” ลอร่ากำหมัดแน่น หอบหายใจถี่ระรัว

“ย่อมเป็นเรื่องจริง เพราะนี่คืออำนาจสูงสุดที่จะสามารถเรียกคนตายให้ฟื้นคืนกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง สามารถควบคุมกระแสห้วงกาลเวลาให้ไหลย้อนกลับ และเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของทุกสิ่งมีชีวิต!”

…………………….

Related

กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด นิ่งคิดอย่างเงียบๆ

“ในหัวใจเจ้ารู้สึกไม่ยินยอม ยังคงหาหนทางไม่ออกใช่หรือไม่?”

กู่ฉิงซานอีกคนหนึ่งเอ่ยถาม ขณะกำลังนั่งยองๆ กับพื้น เรียนรู้วิธีการใช้ตะเกียบคีบอาหาร

กู่ฉิงซาน “นี่คุณแอบอ่านความรู้สึกผมอย่างงั้นหรือ?”

อีกกู่ฉิงซานกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ความคิด ความปรารถนา ความรู้สึก สิ่งเหล่านี้ในหัวใจของทุกสิ่งมีชีวิต ข้าสามารถรับรู้ถึงมันได้อย่างง่ายดาย นี่คือความสามารถโดยกำเนิดของข้า”

กู่ฉิงซาน “ถ้าคุณอยากจะออกไปจากที่นี่ อย่าได้อ่านความคิดของผมอีก”

“ก็ได้ๆ” อีกฝ่ายกล่าว

หลังจากนั้นพักหนึ่ง

อีกกู่ฉิงซานก็มองหน้าเขา เผยสีหน้ายิ้มแย้ม

ปากเอ่ยกล่าว “โอ้ ข้าว่าวิธีนั้นของเจ้าน่าจะได้ผลนะ ยังเหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบห้าครั้ง ขออภัย ครั้งต่อไปข้าจะไม่อ่านความคิดเจ้าอีกแล้ว”

กู่ฉิงซานถลึงตามองเขา

“ส่งผมย้อนกลับไปในอดีตได้เลย”

“จัดไป”

ทันใดนั้นคลื่นแห่งความมืดมิดพลันพลุ่งพล่าน โถมทับเขาอย่างรวดเร็ว ผลักเขาเข้าสู่ห้วงกาลเวลา

ณ วังร้อยบุปผา

นางเซียนไป่ฮั่วขบขัน “นั่นสินะ เพราะหลังจากที่เจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ เจ้าคงต้องอยู่ที่นั่นอีกนาน หากจะให้เจ้าย้อนกลับมายังโลกเทวะอีกครั้ง การเสียเวลาไปและกลับ มันคงจะไม่คุ้มค่า”

ว่าจบเธอก็หยิบบางสิ่งออกมา

นี่คือดิสก์ค่ายกลสี่เหลี่ยมที่ถูกหล่อขึ้นด้วยบรอนซ์

กู่ฉิงซานรับมันไว้

กู่ฉิงซานเก็บดิสก์ค่ายกล กล่าวด้วยความจริงใจ “ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ส่งต่อสิ่งนี้ให้แก่ข้า”

เซี่ยเต๋าหลิงยิ้ม “เจ้ากับข้าเป็นศิษย์อาจารย์กัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป”

ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยถึงความตั้งใจของตัวเองออกมาทันใดนั้นเอง ช่วงเวลาก็หยุดพลันนิ่งลง

ในอีกเจ็ดวันถัดมา ในดินแดนชิงอำนาจ ใต้ผืนโลกทะเลทราย ร่างแสงทมิฬหยุดตะเกียบลง

ปากเอ่ยพึมพำ “จังหวะนี้แหละ จงเร่งสร้างเหตุการณ์ใหม่เพื่อหลบเลี่ยงการกำจัดสิ่งแปลกปลอมของกฎแห่งห้วงกาลเวลาเสีย!”

ณ วังร้อยบุปผา

ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหวทันที

บังเกิดระลอกคลื่นในความว่างเปล่า เล็ดลอดออกจากรอบตัวเขา แผ่กระจายไปทั่ววังร้อยบุปผา

ฟิ้ว!

ภายใต้แรงฉุดดึงของมิติ กู่ฉิงซานผู้ลอบมาจากอนาคตได้หายไป

และเกือบจะในเวลาเดียวกัน ช่วงเวลาก็กลับมาเป็นปกติ

กู่ฉิงซาน หมายถึงกู่ฉิงซานที่อยู่ในห้วงเวลาอดีตตั้งแต่แรกได้ปรากฏกายขึ้น

ในโถงร้อยบุปผา ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวต่อ

“ฉิงซาน คราวนี้ข้าจะ ‘ส่งเจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ’ เพื่อให้เจ้ามีส่วนร่วมในการคัดกรองหน้าใหม่ และได้รับความช่วยเหลือจากระบบชีวิต”

“นี่จะเป็นวิธีการสามารถช่วยดาบพิภพได้เร็วขึ้นใช่หรือไม่ท่านอาจารย์” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ใช่ มีเพียงการเร่งเสริมฐานวรยุทธเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ แสวงหาดาบนภาเพื่อช่วยเหลือมันได้” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว

ด้ายมิติกำลังฉุดดึงกู่ฉิงซานเดินทางผ่านมิติที่ว่างเปล่า ข้ามผ่านอาณาจักรแปลกๆ นับไม่ถ้วน

ด้วยด้ายมิติที่เสี่ยวเหมียวเป็นคนให้มา ส่งผลให้เขาสามารถข้ามผ่านโลกนับ หนึ่งร้อยล้านชั้นได้อย่างรวดเร็ว

แผนการคราวนี้ เขาได้ทำการกระตุ้นด้ายมิติเอาไว้ล่วงหน้า และกะเวลาให้มันถูกเปิดใช้งานก่อนช่วงที่นางเซียนไป่ฮั่วจะเอ่ยถึงความตั้งใจส่งเขาไปยังดินแดนชิงอำนาจ

ไม่กี่นาทีต่อมา

กู่ฉิงซานที่สามารถได้รับดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ก็มาถึงสมาคมกำปั้นเหล็ก

ด้วยวิธีนี้เอง ส่งผลให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของผู้ฝึกยุทธได้สำเร็จ!

ภายในสมาคมกำปั้นเหล็กเงียบเหงา ไม่มีใครเลยอยู่ในโลกมิติอนันต์แห่งนี้

ช่วงเวลาปัจจุบัน แบรี่กับเสี่ยวเหมียว ทั้งสองยังอยู่ในโลกเดิมของเขา

โลกเดิมที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยอำนาจของทวยเทพ บังเกิดความวุ่นวายของมิติขึ้น ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกได้

ดังนั้น กล่าวได้ว่าสมาคมกำปั้นเหล็ก เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในตัวเลือกขณะนี้ หากเขาเดินทางกลับมายังมัน ก็จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเหตุการณ์อื่นๆ

กู่ฉิงซานนำดิสก์ค่ายกลโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ออกมา ทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์

ในที่สุด เขาก็จะได้ไปตามหาดาบนภาซักที!

เขาเริ่มใส่ศิลาวิญญาณคุณภาพดีที่สุด ชิ้นแล้วชิ้นเล่าลงบนดิสค่ายกล

จากนั้น เขาก็เริ่มเปิดใช้งานค่ายกลทันที

เห็นแค่เพียงบนตัวดิสก์ เริ่มสาดแสงแวบวาบ

ปัง!

รัศมีแสงสวรรค์ ก่อให้เกิดเสาแสงขนาดใหญ่ พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ เสาแสงก็ค่อยๆ สลายไป

กู่ฉิงซานได้ออกจากโลกมิติอนันต์ไปแล้ว

ณ โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

ณ เบื้องบนที่ลอยล่องไปด้วยมวลเมฆสีขาวนวล

จู่ๆ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

เป็นกู่ฉิงซาน

เขาปรากฏกายขึ้น เร่งหยิบดิสค่ายกลออกมาอย่างรวดเร็ว พรมสองมือลงบนมันทันที

บนดิสก์ค่ายกล รัศมีแสงสวรรค์ชั้นแล้ว ชั้นเล่าปรากฏขึ้น

ดิสก์ค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่หลากหลายรูปแบบถูกจัดวางลงโดยเขา

กู่ฉิงซานโยนเม็ดยาวิญญาณเข้าปาก คว้าจับเช่าหยินกับดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจากในอากาศที่ว่างเปล่า

หลังจากเสร็จสิ้นทุกกระบวนการนี้ เขาก็หันไปมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง

การที่กู่ฉิงซานระวังตัวแจขนาดนี้ มันจะไปตำหนิเขาก็ไม่ได้

เพราะนางเซียนไป่ฮั่วเคยกล่าวเอาไว้ว่า ตั้งแต่ที่โลกสวรรค์และโลกแห่งผู้ฝึกยุทธถูกตัดการขาดเชื่อมต่อระหว่างกันและกัน มีเพียงผู้นำนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวกเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตในวังสวรรค์ได้ โดยใช้ ‘ใบหยกพิทักษ์กายา’

เห็นได้ชัดว่าโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์มีความอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับการออกจากวังสวรรค์ ไปสำรวจภายนอก ยิ่งเป็นไปไม่ได้

อ้างอิงตามคำพูดของนางเซียนไป่ฮั่ว “เมื่อเจ้าออกจากวังสวรรค์ เจ้าจะตายทันที”

ดังนั้น เมื่อกู่ฉิงซานเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ แวบแรกเขาจึงทุ่มพลังทั้งหมดที่มีเพื่อรักษาชีวิตตน

เจ้าตัวกวาดสายตาสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวัง

แล้วก็พบว่ามีวังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในภูเขาที่ห่างไกลออกไป

ขณะเดียวกัน ตำแหน่งที่กู่ฉิงซานลอยอยู่คือกลุ่มเมฆอันเปล่าเปลี่ยว

กู่ฉิงซานก้มลง และมองไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไป

เขาค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นตนเองหรือใต้ภูเขาที่ห่างไกล มันล้วนถูกรองรับโดยผืนเมฆ

นี่หมายความว่า ทุกสิ่งอย่างในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ สามารถตั้ง หรือเหยียบย่ำอยู่บนเมฆ เพื่อลอยบนท้องฟ้าได้ใช่หรือไม่?

กู่ฉิงซานเดินไปที่ขอบเมฆ และก้มมองลงไป

เบื้องล่าง เป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุด

พอได้เห็นการมีอยู่ของผืนโลก กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจ

เพราะนี่มันไม่เป็นเหมือนกับในโลกล่องเวหา ที่โลกเบื้องล่างล้วนเป็นเลือดเนื้อของมารโลกา ที่สามารถกลืนกินชีวิตผู้คนได้ตลอดเวลา

กู่ฉิงซานเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด

เห็นแค่เพียงแผ่นดินที่รกร้าง และไร้ซึ่งชีวิต

โลกทั้งใบเงียบเหงา ราวกับว่ามันจมอยู่ในทะเลทรายแห่งกาลเวลามายาวนานหลายร้อยปี

กู่ฉิงซานเกิดความรู้สึกบางอย่างเล็กน้อย

ในสมัยโบราณ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ที่ทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นว่างเปล่าเช่นนี้?

แล้วเจ้าตัวก็เบนสายตามองไปยังพระราชวังบนภูเขาที่ตั้งอยู่ห่างไกลอีกครั้ง

ตามความทรงจำของท่านอาจารย์ นั่นเป็นสิ่งปลูกสร้างหลักของนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวก

และมันค่อนข้างไกลจากจุดที่เขายืนอยู่

แต่นี่ไม่มีทางเลือก

การเคลื่อนย้ายโดยค่ายกลนั้นขาดความแม่นยำ มันทำได้เพียงส่งผู้ใช้ไปยังสถานที่ในขอบเขตของวังสวรรค์เท่านั้น ไม่อาจเคลื่อนย้ายเข้าไปในวังสวรรค์โดยตรงได้

กู่ฉิงซานพยายามรับรู้สภาพแวดล้อมเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่พบอันตรายใดๆ

อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านพ้นขอบเขตพันวิบัติ ส่งผลให้การรับรู้ทางจิตวิญญาณของตนเองไม่อาจใช้งานได้ชั่วคราวในเวลานี้

ในเมื่อการออกจากวังสวรรค์เป็นอะไรที่อันตรายมาก ก็ควรระมัดระวังตัวไว้คงจะดีกว่า ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเขาคงต้องไปยังวังสวรรค์เพื่อทำการรวบรวมข้อมูลก่อน เป็นอันดับแรก

พอคิดได้ กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจก้าวไปทันที

ร่างกายของเขากะพริบไหวครั้งแล้วครั้งเล่า วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

สายลมหอนหวีดหวิวเข้าหูของเขา

ทุกสิ่งโดยรอบ ไม่มีอะไรเลย นอกจากถนนที่ปูด้วยเมฆ

ยิ่งนาน ความสงสัยของกู่ฉิงซานก็ยิ่งเติบโตขึ้น

ก็ในเมื่อมันไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเขา แล้วโลกใบนี้มันอันตรายตรงไหนกัน?

ย่ำไปตามมวลเมฆสักพักหนึ่ง

ในที่สุด เขาก็เห็นก้อนหินที่มีขนาดสูงเท่ากับคนสามคน วางเป็นแนวตั้งอยู่ในหมู่เมฆ

กู่ฉิงซานหยุดลง และมองดูหิน

เห็นแค่เพียงสองตัวอักษรที่เขียนแบบเดียวกันกับในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ใจความว่า

“สวนอาหาร”

สวนอาหารอย่างงั้นหรือ?

กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย

ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ คำว่า ‘สวนอาหาร’ หมายถึงสถานที่ให้อาหารอสูรวิญญาณ

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ แต่ก็เห็นแค่เมฆและท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ไม่มีตึกราม หรือสิ่งใดเลย

มีแค่เพียงสองตัวอักษรขนาดใหญ่ที่เขียนอยู่บนหิน ไว้ระบุสถานที่แห่งนี้

นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

วินาทีต่อมาตัวหินดูเหมือนว่าจะรู้สึกถึงการปรากฏตัวของเขา ทันใดนั้นมันพลันสาดแสงสว่าง

กู่ฉิงซานก้าวถอยหลังไป ทั้งคนทั้งร่างเริ่มตื่นตัว

แท้จริงแล้ว สิ่งของทุกอย่างที่นี่ มันช่างคล้ายกับเมฆหมอกหนา ชวนให้ผู้คนรู้สึกสับสนจริงๆ

หลังจากนั้นพักหนึ่ง

ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

กู่ฉิงซานที่ตั้งท่าเตรียมพร้อม ค่อยๆ วางสองดาบลงอย่างช้าๆ แล้วส่ายหัว

เขากำลังคิดที่จะออกเดินทางอีกครั้ง

แต่เดินต่อไปได้แค่ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ทั้งตัวเขาก็พลันแข็งค้าง สะบัดหัวเงยขึ้นไปเบื้องบนทันใด

“นั่นมันอะไรกันน่ะ?” เขาเอ่ยพึมพำเบาๆ

สุดปลายของเส้นขอบฟ้าอันห่างไกล เส้นแสงที่พลิ้วไสวไปมา แลคล้ายกับผ้าไหมผืนหนึ่งปรากฏขึ้น

ผ้าไหมผืนนี้เปล่งแสงสีเจือจางออกมาเป็นครั้งคราว แถมยังถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มเมฆหมอก ทำให้ไม่อาจมองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันได้

ผ้าไหมค่อยๆ บินเข้ามาทางด้านกู่ฉิงซาน

ในขณะที่ผ้าไหมใกล้เข้ามา ท้องฟ้าก็เริ่มมืดมัว สภาพอากาศเริ่มแปรปรวน

ยามค่ำคืนได้มาถึง

ในเสี้ยววินาที วิสัยทัศน์ก็รวมกัน-

ปัง!

ท้องฟ้าระเบิดเลือนลั่น

พายุฝนสาดเทลง

สายลมพัดกรรโชกต่อเนื่อง

กู่ฉิงซานยืนหยัดอยู่ท่ามกลางพายุลมและฝน สายตาจดจ้องอยู่กับสิ่งนั้นอย่างตั้งใจ

ห่างไกลออกไป เขาเห็นผ้าไหมเคลื่อนไหวอีกครั้ง

ผ้าไหมปรากฏขึ้นท่ามกลางเมฆหมอกสีดำ แต่ยังคงเว้นระยะห่างจากกู่ฉิงซาน

แต่ด้วยการอาศัยจิตสัมผัสเทวะและสายตาของเขา ทำให้กู่ฉิงซานสามารถตระหนักได้ถึงการดำรงอยู่ของมันอย่างชัดเจน

ว่านั่นมิใช่ผ้าไหม

แต่มันเป็นมังกร!

เหนือผืนฟ้าจากระยะไกล ปรากฏถึงมังกรที่ขยับกายเลื้อยไปมาอยู่ท่ามกลางอากาศ มันมาที่นี่เพราะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของกู่ฉิงซาน

มันลดหัวลง วิสัยทัศน์ตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน

ท่ามกลางสายฝน หนึ่งคนหนึ่งมังกรเฝ้ามองกันและกันอย่างเงียบๆ

และแล้ววิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็มืดดับลง

ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

เขาค้นพบว่าตนเองได้กลับมาอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิดแล้ว

“นี่ผมตายงั้นหรือ?” เขาถาม

“ใช่ และเจ้ายังเหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบสี่ครั้ง”

ร่างแสงทมิฬกำลังถือเม็ดยาวิญญาณ อังมันใต้จมูก สูดดมกลิ่นอย่างระแวดระวัง

กู่ฉิงซานถามอย่างแปลกใจ “นี่มันไม่ถูกต้อง เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตัวมังกรเองก็ยังอยู่ตั้งไกล แต่ทำไมผมถึงตายได้?”

ร่างแสงทมิฬ “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

“ผมไม่เข้าใจ” กู่ฉิงซานกล่าว

ร่างแสงทมิฬวางเม็ดยาวิญญาณลง เอ่ยอธิบายอย่างช้าๆ “ก็เจ้าไปเผลอสบตามันเข้า เจ้าก็เลยตายไง”

……………………….

Related

ณ วังร้อยบุปผา

นางเซียนไป่ฮั่วเตือนกู่ฉิงซานอย่างระมัดระวัง

“ฉิงซาน เดิมทีข้าไม่ต้องการบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า แต่ข้ารู้ดีว่าเจ้าคือผู้ฝึกดาบ และดาบคือทุกสิ่ง ดังนั้น หากจะให้ต้องออกไปภายนอก เผชิญกับความเศร้าโศกที่มิอาจช่วยเหลือดาบพิภพจนมันสิ้นใจลงได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าขอบอกความจริงข้อนี้แก่เจ้าเสียดีกว่า”

“ดาบพิภพอยู่คู่กับข้ามานาน และเจ้าเองก็เป็นศิษย์ข้า ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร”

ได้ยินคำที่แสนจะคุ้นเคยเหล่านี้ ห้วงอารมณ์ของกู่ฉิงซานก็ผสมปนเปกัน

หากในช่วงเวลานี้ มีผู้คนล่วงรู้ว่าเรื่องราวอันน่าสิ้นหวังมากมายจะเกิดขึ้นในอนาคต พวกเขาจะรู้สึกยังไงกันนะ?

เขากล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ท่านอาจารย์ข้าต้องการซ่อมแซมดาบพิภพ ในตอนนี้เลย!”

“ฐานวรุยุทธ์ของเจ้าต่ำเกินไป มิอาจรักษาชีวิตในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้” นางเซียนไป่ฮั่วส่ายหัว

“อาจารย์ ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร ว่าแท้จริงแล้ว ข้าคือผู้หวนคืน” กู่ฉิงซานกล่าว

นี่คือกลยุทธ์ที่เขาคิดขึ้น งัดออกมา เพื่อที่จะได้ในสิ่งที่ตนต้องการ

นายเซียนไป่ฮั่วตกใจเล็กน้อย

เธอมองกู่ฉิงซานด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “แต่ข้ามองไปยังสีหน้าของเจ้าเมื่อครู่ ชัดเจนว่า เจ้าไม่ทราบว่าสิ่งใดคือผู้หวนคืน”

“ไม่ใช่ ศิษย์แค่รู้สึกแปลกใจ ไม่คาดคิดว่าท่านอาจารย์เองก็จะทราบเรื่องนี้เช่นกัน” กู่ฉิงซานแถ

“เช่นนั้นเจ้าจงบอกข้ามา ว่าผู้หวนคืนคือสิ่งใด” เซี่ยเต๋าหลิงถาม

กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงแผนกกิจการอาชีพโลก ทบทวนคำที่เฉินหวางกล่าวเอาไว้ แล้วเปล่งมันออกจากปากว่า “คือคนที่กลับชาติมาเกิดจากโลกเทพวิญญาณ ยินยอมละทิ้งชีวิตที่มั่นคงในโลกเทพวิญญาณ และหันมาอุทิศตนเพื่อโลกเก้าร้อยล้านชั้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าผู้หวนคืน”

เซี่ยเต๋าหลิงส่ายหัว “ที่เจ้ากล่าวมาล้วนถูกต้อง แต่พื้นฐานวรุยุทธ์ของเจ้ายังต่ำเกินไป แม้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าจะเป็นผู้หวนคืน แต่ก็ยังไม่เหมาะที่จะไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์”

“ฉิงซาน ยามนี้เจ้าสมควรเร่งเสริมสร้างฐานวรุยุทธ์ และวิธีที่ดีที่สุดคือไปยังดินแดนชิงอำนาจ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในวิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็หลงเหลือเพียงความมืดมน

เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าตนเองยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด

“เมื่อกี้…” เขาสงสัย

ร่างแสงทมิฬ “เจ้าไม่อาจ ‘สร้างเหตุการณ์ใหม่’ ในช่วงเวลานั้นได้ หรืออาจไป ‘แตะต้องสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง’ ส่งผลให้เส้นแบ่งเวลาถูกรบกวน ดังนั้นเจ้าจึงถูกกำจัดโดยกฎเกณฑ์แห่งห้วงกาลเวลา”

กู่ฉิงซานคิด “สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คือท่านอาจารย์ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะส่งข้ามายังดินแดนชิงอำนาจ…”

ร่างแสงทมิฬ “ถูกต้อง หลังจากอาจารย์ของเจ้าตั้งมั่นว่าจะ ‘ส่งเจ้ามายังดินแดนชิงอำนาจ’ เหตุการณ์ที่เหลือในอนาคตทั้งหมดก็จะเกิดขึ้นตามมา เจ้าจักต้องหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้ และไปยังเหตุการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงจะไม่ถูกกำจัดโดยกฎเกณฑ์ของเวลา”

“ยังไงก็ตาม เจ้ายังมีโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบเจ็ดครั้ง”

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าว “โอเค จัดไป เริ่มส่งผมอีกครั้งได้เลย”

“ตกลง”

ซุ่ม!

คลื่นแห่งความมืดมิดโถมเข้าโอบร่างเขา

ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด กู่ฉิงซานได้ย้อนอดีตไปสู่ช่วงที่ผ่านมา

ณ วังร้อยบุปผา

“ฉิงซาน เดิมทีข้าไม่ต้องการบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า…”

เสียงของนางเซียนไป่ฮั่วดังลอดเข้ามาในหูอีกครั้ง

กู่ฉิงซานขัดจังหวะเธอโดยตรง “อาจารย์ ข้ามีความลับจะบอกแก่ท่าน”

“ความลับอันใด?” เซี่ยเต๋าหลิงถาม

“แท้จริงแล้วข้ามิเพียงเป็นผู้หวนคืน แต่ยังเป็นคนที่ย้อนเวลามาจากอนาคตอีกด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

นางเซียนไป่ฮั่วเงยหน้า กวาดสายตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ และเอ่ยถาม “เจ้าย้อนเวลากลับมาอย่างงั้นหรือ?”

“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ

“แล้วเหตุใดความแข็งแกร่งของเจ้าถึงได้ยังคงอ่อนแอเช่นนี้?” นางเซียนไป่ฮั่วงงงวย

กู่ฉิงซานจู่ๆ ก็คล้ายกับลิ้นจุกปาก ไม่อาจเอ่ยคำใด

นางเซียนไป่ฮั่วคิดเกี่ยวกับมัน “ฉิงซาน ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เชื่อเจ้านะ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความแข็งแกร่งคือรากฐานของทุกสิ่ง ดังนั้น ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะส่งเจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจก่อน เพื่อเสริมสร้างพื้นฐานวรุยุทธ์”

แล้วกู่ฉิงซานตายทันที

เขาลืมตาขึ้น

เขาพบว่าตัวเองยังคงยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด

“เหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบหก แต่ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกขอโอกาสแค่สองครั้งก็พอไม่ใช่หรือ” ร่างแสงทมิฬกล่าว

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นเล่า? เอาเป็นคำพูดให้กำลังใจ หรืออะไรนอกจากนั้น คิดไม่ได้เลยหรือ?” กู่ฉิงซานเศร้า

“ข้าคิดอะไรยุ่งยากแบบนั้นไม่ออกหรอก เพราะติดอยู่ที่นี่ข้าไม่ได้พูดคุยกับผู้ใดเลย นิทราเป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่เท่านั้น” ร่างแสงทมิฬถอนหายใจ

พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็พาลย้อนนึกถึงซีน้อย

เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบอาหารแห้งจำนวนมากออกมา

“งั้นตอนนี้ก็เรียนรู้วิธีการกินซะ มันจะมีประโยชน์หลังจากที่คุณสามารถออกไปข้างนอกได้แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

ร่างแสงทมิฬปรับทัศนคติใหม่ และเริ่มให้ความสำคัญกับพวกมัน “นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นทักษะการเอาชีวิตรอดที่สำคัญยิ่ง ผู้คนภายนอกล้วนรับประทานอาหารเกือบทุกวัน”

กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงตอนที่มันทำลายเมืองเล็กๆ จึงเอ่ยให้คำแนะนำออกไปว่า “อ้อ แล้วก็อย่าได้กินคนอีก คนน่ะเต็มไปด้วยโรคและทุกชนิดของสิ่งสกปรก ไม่ใช่ของดี ไม่อร่อย ต่อไปคุณจะต้องกินอาหารแบบเดียวกับที่พวกเรากิน”

ร่างแสงทมิฬนิ่งคิดไปครู่ สุดท้ายพยักหน้า “หากข้าออกไปภายนอกได้ ข้าจะใช้ชีวิตใหม่เหมือนคนทั่วๆ ไป”

ว่าจบ เขาก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นกู่ฉิงซานอีกคนหนึ่ง ตรงเข้าไปหาอาหาร นั่งลง และเริ่มคิดว่าจะกินอะไรก่อนดี

“ช่วยส่งผมไปก่อน แล้วจากนั้นคุณค่อยเลือกว่าจะกินอะไรอย่างช้าๆ ก็ได้ ไม่มีใครแย่งแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

“จัดไป!”

คลื่นแห่งความมืดมิดโถมทับเข้าใส่กู่ฉิงซานอีกครั้ง

ณ วังร้อยบุปผา

“ท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าพลังของข้าอ่อนแอเกินไป ดังนั้นสมควรเพิ่มพูนมันเสียก่อนเป็นอันดับแรก” กู่ฉิงซานกล่าว

นางเซียนไป่ฮั่วเห็นด้วย “อืม ความแข็งแกร่งเป็นรากฐานของทุกสิ่ง ข้าคิดว่า…”

กู่ฉิงซานขัดจังหวะเธอทันที “อาจารย์ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไปยังดินแดนชิงอำนาจ แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากจะขอร้องอาจารย์ ให้ช่วยบอกวิธีไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แก่ข้าด้วยเถอะ ข้าจะได้สามารถเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เมื่อใดก็ได้ หลังจากที่ข้ามีความแข็งแกร่งมากพอ”

นางเซียนไป่ฮั่วขบขัน “นั่นสินะ เพราะหลังจากที่เจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ เจ้าคงต้องอยู่ที่นั่นอีกนาน หากจะให้เจ้าย้อนกลับมายังโลกเทวะอีกครั้ง การเสียเวลาไปและกลับ มันคงจะไม่คุ้มค่า”

ว่าจบเธอก็หยิบบางสิ่งออกมา

นี่คือดิสก์ค่ายกลสี่เหลี่ยมที่ถูกหล่อขึ้นด้วยบรอนซ์

ในมุมทั้งสี่ของดิสก์ค่ายกล แต่ละด้านแกะสลักไว้ด้วย กิเลน หงส์ เต่า และมังกร

นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “การจะเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ จำเป็นต้องใช้สองสิ่ง หนึ่งคือค่ายกลเคลื่อนย้ายของนิกายวังสวรรค์ อีกหนึ่งคือใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์

“หากเป็นในอดีต ข้าสามารถให้เจ้าเข้าสู่โลกใบนั้น และช่วยให้เจ้าให้สามารถคงชีวิตอยู่ได้เลยในทันที”

“แต่ตอนนี้ ใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์ได้หมดพลังงานลงแล้ว และได้ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถใช้มันช่วยรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ได้อีกต่อไป”

“ตอนนี้ ในมือข้า เหลือเพียงดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แผ่นนี้เท่านั้น”

“และข้าขอส่งต่อมันให้แก่เจ้า”

ขณะกล่าว เซี่ยเต๋าหลิงก็ขยับมือหยกเล็กน้อย

ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายสี่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ลอยไปอยู่ตรงหน้ากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรับมันไว้

เขาพบว่าตัวดิสก์มีน้ำหนักมาก เพียงสัมผัสก็รู้สึกเย็นวาบ มันท่วมไปด้วยความผันผวนชนิดหนึ่งที่มิอาจบอกบรรยายได้

นี่คือดิสก์ค่ายกลที่ตกทอดกันมาตั้งแต่ในยุคโบราณอันไกลโพ้น บนค่ายกลสลักไว้ด้วยอักษรรูนโบราณ แลดูลึกลับ กู่ฉิงซานเพ่งมองมันอยู่พักหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้

ทันใดนั้นเอง เขาก็ตระหนักได้ว่านี่คือค่ายกลชั้นสูง สูงล้ำเกินกว่าที่ความรอบรู้ในด้านค่ายกลของตนจะทำความเข้าใจได้

พอมั่นใจ บนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยเด้งขึ้นมาทันที

“ไอเท็ม ดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์”

“ระดับ เป็นไอเท็มพิเศษ ไม่มีระดับ”

“พงศาวดารวันสิ้นโลก ไอเท็มนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อันมีชื่อเสียง”

“วิชายุทธเทพสงคราม ไอเท็มนี้คือค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ หากต้องการเข้าใจในโครงสร้างของค่ายกลนี้ คุณจำเป็นต้องจ่าย แปดแสนแต้มพลังวิญญาณ”

“คำอธิบาย ยิ่งคุณเสริมสร้างความสำเร็จในศาสตร์ค่ายกลของคุณได้มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งช่วยลดการใช้แต้มพลังวิญญาณในการเรียนรู้มากเท่านั้น”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

แปดแสนแต้มพลังวิญญาณ เป็นจำนวนมหาศาล

ดังนั้น การฝึกฝน เพิ่มพูนความรู้ในด้านค่ายกล จึงไม่ใช่ตัวเลือกหลักของเขาในตอนนี้

แต่นับว่าโชคยังดี ที่ในที่สุดเขาก็ฟันฝ่าด่านนี้ได้สำเร็จแล้ว จากนี้ไป เขาสามารถเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เพื่อค้นหาดาบนภาได้ในทันที!

กู่ฉิงซานเก็บดิสก์ค่ายกล กล่าวด้วยความจริงใจ “ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ส่งต่อสิ่งนี้ให้แก่ข้า”

เซี่ยเต๋าหลิงยิ้ม “เจ้ากับข้าเป็นศิษย์อาจารย์กัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป”

กู่ฉิงซานยิ้ม ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสำนึกรู้คุณ

มีอาจารย์ที่น่าเคารพแบบนี้ ตัวเขาในฐานะศิษย์ก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก

ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวต่อ “ฉิงซาน คราวนี้ข้าจะ ‘ส่งเจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ’ เพื่อให้เจ้ามีส่วนร่วมในการคัดกรองหน้าใหม่ และได้รับความช่วยเหลือจากระบบชีวิต”

กู่ฉิงซานเมื่อได้ยินสิ่งนี้ วิสัยทัศน์ก็พลันมืดมิด

เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง

และค้นพบว่า ตัวเองยังคงยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืด

เขามองไปทางร่างแสงทมิฬ

พบว่าอีกฝ่ายได้เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นตัวเอง อยู่ในท่วงท่าจับน่องไก่ในมือ อ้าปากกว้าง เตรียมที่จะกัดมัน เพื่อลิ้มลองรสชาติดูว่าจะเป็นอย่างไร

ทั้งสองประสานสายตากัน

“…” กู่ฉิงซาน

“…” กู่ฉิงซานอีกคนหนึ่ง

………………………..

Related

ท่ามกลางซากปรักหักพัง

ยี่สิบนาทีได้ผ่านพ้นไปแล้ว

“หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ มันก็ไม่สมควรจะยาวนานถึงขนาดนี้ คิดว่ากู่ฉิงซานจะต้องสามารถหาวิธีอยู่ร่วมกันกับความชั่วร้ายนั่นได้แล้วแน่ๆ” ซูเซี่ยเอ๋อสรุป

แอนนาหันหลัง เดินออกไป ปากงึมงำด้วยความขุ่นเคือง “ไอ้เทพวิญญาณบ้านั่น มันเกือบจะฆ่าฉิงซานของฉัน ฉันจะถอนตัวออกจากคริสตจักรแห่งความตาย แล้วรีบไปพบเขาทันที”

“ใจเย็นก่อน”

ซูเซี่ยเอ๋อรั้งเธอไว้

“อย่าห้ามฉัน!” แอนนาตวาด

ซูเซี่ยเอ๋อไม่ได้โกรธอีกฝ่าย แต่เริ่มโน้มน้าวใจอย่างจริงจัง “สถานที่แห่งนั้นถูกผนึกไว้โดยทวยเทพ แล้วเธอจะเข้าไปคนเดียวได้ยังไง? เธอจะปลดผนึกด้วยตัวคนเดียวได้หรือ? ไหนจะเรื่องถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นอีก เธอมีแผนรับมือกับมันรึยัง?”

แอนนาชะงักไป แต่ก็ตอบกลับทันที “ฉันไม่สน ฉันจะต้องรีบไปช่วยเขา!”

ซูเซี่ยเอ๋อรั้งแอนนาไม่ยอมปล่อย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เธอไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ทั้งๆ แบบนี้ ในขณะเดียวกันการทำอะไรไม่ยั้งคิดของเธอ มันอาจเป็นการดึงดูดความสนใจจากเทพวิญญาณ และทำให้เขาต้องเดือดร้อน – ความจริงที่แสนเรียบง่ายนี้ เธอไม่เข้าใจจริงๆ หรือ”

“พูดถึงขนาดนั้น แสดงว่าเธอมีวิธีดีๆ แล้วสิ?” แอนนาถาม

“แน่นอน” ซูเซี่ยเอ๋อตอบ

เธอกระชากแอนนามาใกล้ๆ โน้มศีรษะลงกระซิบ “ในเมื่อฉิงซานยังมีชีวิตอยู่ ด้วยความสามารถของเขา มันย่อมไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ดังนั้นตอนนี้เธอจะต้องเชื่อใจเขา”

แอนนาพยักหน้า

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกๆ การตัดสินใจของกู่ฉิงซาน มันควรค่าแก่การเชื่อถือ

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างจริงจัง “ในความเป็นจริง สิ่งที่พวกเราควรทำก็คือ การหาทางกำจัดตัวตนที่ทำตามพระประสงค์ของเทพวิญญาณทั้งเจ็ด”

แอนนาตกตะลึง

“นี่เธอกำลังหมายถึงร่างมนุษย์แสงใช่ไหม?”

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างอ่อนโยน “ใช่ เพราะมันเป็นคนที่ทำร้ายฉิงซาน ถ้าไม่ฆ่ามันฉันคงทนมีชีวิตต่อไปไม่ได้ และถ้าเจ็ดเทพสามารถกลับมามีชีวิตได้จริงๆ ฉันก็จะฆ่าพวกเขาด้วย”

“ทำไมเราไม่ไปช่วยฉิงซาน แต่กลับต้องมาฆ่ามันก่อน?” แอนนาถามด้วยความสับสน

ซูเซี่ยเอ๋ออธิบายอย่างอดทน “เพราะถ้าเราไปช่วยฉิงซานตอนนี้ รู้ไหมว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น? ระหว่างเธอกับฉัน ไหนลองบอกซิว่ามีใครบ้างสามารถปลดผนึกของเทพวิญญาณได้? แล้วต่อให้โชคดีสามารถปลดผนึกได้จริงๆ แต่ถูกมนุษย์แสงจับได้ พวกเราคงตายกันหมด ต่อให้พวกเราหนีจากสถานการณ์นั้นได้ ก็แล้วไง? หลังจากนั้นพวกเราก็คงหัวซุกหัวซุน ถูกคนจากวิหารทั้งเจ็ดไล่ล่าไม่ใช่หรือ? ในกรณีนั้น ชะตากรรมสุดท้ายของพวกเราคงไม่พ้นความตาย!”

ซูเซี่ยเอ๋อจับมือแอนนา กล่าวเฉียบขาด “เธอห้ามถอนตัวจากทางคริสตจักรแห่งความตาย ส่วนฉันเองก็จะไม่ออกจากวิหารแห่งโชคชะตาเหมือนกัน พวกเราจะใช้ประโยชน์จากทางคริสตจักร เพิ่มพูนความแข็งแกร่งขึ้น ขณะเดียวกันก็คอยตรวจสอบข้อมูลของมนุษย์แสงจากภายในวิหาร เมื่อสามารถค้นหาจุดอ่อนของมนุษย์แสงได้ ถึงเวลานั้นถ้ามันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเราจะกระโจนเข้าสู้ และสังหารมันซะ!

ซูเซี่ยเอ๋อมองแอนนา “ฉันกลัวว่ามันจะเป็นการยากที่จะทำคนเดียว เธอต้องการที่จะร่วมมือกับฉันไหม?”

แอนนารับฟังอย่างเงียบๆ จมลงสู่ห้วงความคิด

ในสายตาของซูเซี่ยเอ๋อ เจ้าตัวเห็นว่าอีกฝ่ายค่อยๆ พยักหน้ารับอย่างช้าๆ

อีกด้านหนึ่ง

จากจุดที่อยู่ห่างจากทั้งสองไปหลายพันเมตร

ยานอวกาศของสองวิหารได้มาถึงแล้ว

ระดับอาวุโสจากสองคริสตจักรกระโดดลงจากยานอย่างรวดเร็ว

“แล้วพวกเธอล่ะ?” บิชอปจากวิหารแห่งความตายถาม

“อยู่อีกฟากหนึ่ง การต่อสู้รุนแรงมาก เหมือนกับว่าพวกเธอจะมีเรื่องผิดใจกัน!” อัศวินที่เฝ้ารออยู่รีบชี้ไปทางจุดเกิดเหตุ

ระดับอาวุโสมองไปตามทิศทางที่เขาชี้

แต่แล้วในวินาทีต่อมา ทั้งหมดก็ต้องตกตะลึง

เห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อกับแอนนา เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาจากระยะไกล สนทนากันอย่างจริงจัง

เกรงว่าบางที พวกเขาอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น ว่าหญิงสาวทั้งสองกำลังเดินกุมมือกันอยู่

“ทะเลาะกันซะที่ไหน พวกเธอ… ก็ดูสนิทกันดีนี่นา”

ภายในผนึก

ผืนทรายถูกบดบังไปด้วยแสงอันมืดมิด

รัศมีแสงคมกริบ แปรผันเป็นใบมีดจำนวนมาก โอบล้อมรอบกู่ฉิงซานจากทุกทิศทาง มันเกือบที่จะโฉบเข้าหั่นตัวเขาอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดหยุดลงก่อนถึงตัวกู่ฉิงซาน มิได้ทิ่มแทงเข้าไป

กู่ฉิงซานเหยียดมือออกไป และดีดเด้ง! ลงบนหนึ่งในใบมีดเหล่านั้นเบาๆ

“ถ้ายังแสดงทัศนคติแบบนี้ พวกเราคงร่วมมือกันออกไปจากที่นี่ไม่ได้หรอก”

เขากล่าวเป็นภาษาโบราณ

ในพริบตา ใบมีดแสงทมิฬก็สั่นไหว ทั้งหมดสลายหายไปเหลือแต่ความว่างเปล่า

ความมืดมิดเบื้องหน้าเขาเกิดการกระเพื่อมไหว

ร่างร่างหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากภายในความมืดมิด ตลอดทั้งร่างของเขาสาดประกายแสงสว่างสดใส

กู่ฉิงซานมองรูปลักษณ์ของร่างดังกล่าว สีหน้าของเขาเผยถึงความคาดไม่ถึง

เพราะร่างดังกล่าว… มันเป็นร่างมนุษย์แสง!

มันเหมือนกันกับร่างมนุษย์แสงทุกประการ ไม่มีผิดเพี้ยนเลย

ร่างที่เหมือนกับมนุษย์แสงเปล่งเสียงกระซิบเป็นภาษาโบราณ “เจ้ารู้สึกหรือไม่? กู่ฉิงซาน ความตายกำลังมาเยือนเจ้า”

กู่ฉิงซาน “เป็นอย่างนั้นหรือ?”

“หากเจ้ากล้าที่จะแข็งขืนกับเทพวิญญาณ จุดจบเดียวของเจ้าคือความตาย” มนุษย์แสงกล่าว

กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างสงบ “แต่คุณไม่ใช่เทพวิญญาณเสียหน่อย?”

“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น?” มนุษย์แสงเอ่ยถาม

“เพราะเทพวิญญาณคงไม่พาตัวเองลงมาติดอยู่ในกับดักแบบนี้ อีกอย่าง พวกมันย่อมไม่มีทางกล้ามาเสนอหน้าอยู่ต่อหน้าคุณ” กู่ฉิงซานกล่าว

มนุษย์แสงเงียบงันไปพักหนึ่ง

พริบตานั้นเอง มันคล้ายดั่งเหล็กที่ถูกหลอมละลาย ตลอดทั้งร่างกายจมลงสู่คลื่นแห่งความมืดมิด

จากนั้น อีกร่างหนึ่งก็ยืนขึ้นในแสงสีดำ

เป็นกู่ฉิงซาน

หมายถึงเป็นกู่ฉิงซานอีกคนหนึ่ง

กู่ฉิงซานคนนี้หลับตาลง คล้ายกำลังพยายามรับรู้อะไรบางอย่าง อย่างเงียบๆ

เขาลดเสียงลงและเอ่ยอย่างช้าๆ “ภายใต้ลักษณะการแสดงออกที่สงบและเยือกเย็นเช่นนี้ กลับเปี่ยมไปด้วยโทสะและความโศกเศร้าอย่างไม่น่าเชื่อ”

“คุณสามารถอ่านอารมณ์ของผมได้งั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

อีกกู่ฉิงซานลืมตาขึ้น มองมาที่เขาโดยตรง “เจ้าโกรธ เพราะไม่สามารถหยุดยั้งแผนการของเทพวิญญาณได้ และถูกพรากนางฟ้าตัดสินบาปไป เจ้าเสียใจ เพราะหมายจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อต้องการสังหารเทพวิญญาณ”

เขากล่าวด้วยความพึงพอใจ “ดี ดีมาก ข้ายอมรับการตัดสินใจของเจ้า และอีกซีกหนึ่งของความรู้สึกในกายเจ้า”

“อีกซีกหนึ่งของความรู้สึก?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ

“ใช่ ความรู้สึกครึ่งแรก” อีกร่างกล่าว

กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่งและเอ่ยออกมา “ผมได้ยินมาว่ามีแค่เพียงซีน้อยเท่านั้นที่ไม่หวาดกลัวคุณ ดังนั้น คุณย่อมไม่ยอมรับการดำรงอยู่เช่นเธอใช่ไหม?”

“แน่นอน! เป็นเพราะเธอ ข้าเลยต้องจมอยู่กับความสิ้นหวังในที่แห่งนี้!”

กู่ฉิงซานตริตรอง “คุณสามารถรับรู้ความรู้สึกของผมได้ โดยการสัมผัสถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่สุดในหัวใจของผม และสามารถแปลงตนเป็นแบบเดียวกับผมใช่ไหม”

อีกการดำรงอยู่ยิ้มหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮะ…ฮ่าๆๆ! หากเป็นอะไรที่เรียบง่ายเช่นนั้น เทพวิญญาณจะเกรงกลัวข้า และผนึกข้าได้อย่างไร!”

“แล้วมันเป็นแบบไหน?” กู่ฉิงซานถาม

อีกการดำรงอยู่ยิ้ม “จะบอกให้ก็ได้ เพราะพลังของข้านั้นไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวว่าใครจะมารู้ความลับ และถึงรู้ไป ก็แก้ไขมันไม่ได้อยู่ดี”

“สิ่งมีชีวิตทั้งมวล ตราบใดที่พวกเขามีความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแรงกล้า ข้าจักสามารถไล่ตามความปรารถนานั่น เข้าไปสิงสู่ร่างกาย ผนึกวิญญาณ และควบคุมร่างเนื้อของมัน”

“แล้วถ้าเป็นในกรณีของเทพวิญญาณล่ะ?”

“เทพวิญญาณก็ไม่มีข้อยกเว้น!”

กู่ฉิงซานเร่งกล่าวอย่างรวดเร็ว “ที่แท้ก็เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ต่างมีความลุ่มหลงและปรารถนานั่นเอง ทว่ากับซีน้อยไม่ใช่ ซีน้อยเกิดมาบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เธอจึงไม่มีความลุ่มหลงและความปรารถนาในจิตใจ ดังนั้นคุณเลยไม่สามารถรับมือกับเธอได้”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ความสามารถที่ว่ามามันทรงพลังมากจริงๆ พูดได้เลยว่า หากดวลกันตัวต่อตัว คุณแทบจะอยู่ยงคงกระพัน แต่หากเป็นการต่อกรกับศัตรูจำนวนมากเกินไป คุณย่อมไม่มีทางที่จะรับมือกับมัน นี่คือสาเหตุที่คุณไม่อาจปกป้องเขาวงกตเอาไว้ได้”

ในที่สุดเขาก็ยืนยัน “จากข้อสรุปนี้ มันก็ยังไม่สามารถอธิบายถึงเหตุผลที่เทพวิญญาณหวาดเกรงต่อคุณอยู่ดี มันจะต้องมีเหตุผลอื่นอีกแน่นอนที่คุณถูกผนึก”

กู่ฉิงซานจ้องมองเขาสักพัก ก่อนที่อีกฝ่ายจะจมหายลงไปในกระแสคลื่นแห่งความมืดมิด

คราวนี้ ร่างที่คล้ายกับมนุษย์แสง ทว่าสาดไปด้วยแสงสีดำทมิฬทั้งตัวปรากฏขึ้น

ร่างทมิฬกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“กู่ฉิงซาน ข้ารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นภายนอกนั่น”

“อีกทั้งข้ายังสัมผัสได้ถึงเจตจำนงที่หมายจักสังหารเทพวิญญาณจากตัวเจ้า ตรงส่วนนี้ข้าเองก็เช่นกัน”

“เกี่ยวกับเรื่องของผนึก สิ่งที่ข้าต้องการจะเห็นคือความจริงใจของเจ้า ว่าจะมีวิธีทีที่สามารถหนีรอดออกไปจริงๆ ใช่หรือไม่ มิฉะนั้นต่อให้พวกเราพูดคุยกันมากกว่านี้ ทั้งหมดก็ล้วนไร้ประโยชน์”

กู้ฉิงซานรับฟังอย่างระมัดระวัง

เขามิเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ เพียงคว้าจับดาบยาวในอากาศที่ว่างเปล่า

มันเป็นดาบยาวที่เปล่งประกายสดใสดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง

ในความมืดมิด ร่างแสงทมิฬเพ่งสังเกตดาบยาว อุทานด้วยความประหลาดใจ “นั่นมันดาบแห่งหกวิถี… แถมยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์”

กู่ฉิงซานกุมดาบยาว ทะยานตัวสูงขึ้น และฟันมันลงเบาๆ ในอากาศที่ว่างเปล่า

ประกายแสงสีทองพลันกะพริบไหว

ขีดเขียนร้อยเรียงเป็นตัวอักษรโบราณ

ตราของผนึกทวยเทพซ้อนทับตีกันเป็นวงนับไม่ถ้วน ในเสี้ยววินาที ทั้งหมดก็พลันถูกเปิดใช้งานอย่างกะทันหัน

ตราเหล่านี้ปรากฏขึ้นเพียงชั่วคราว เมื่อพวกมันพบว่าไม่มีการโจมตีใดติดตามต่อมา ทั้งหมดก็ค่อยๆ ผลุบหายกลับเข้าไปดังเดิม

ด้วยการแตะสัมผัสลงเบาๆ ของตัวดาบ กลับสามารถชักนำให้กำแพงอุปสรรคของอำนาจเทวะเปิดใช้งาน เกิดการป้องกันขึ้นได้ ฉากนี้สามารถแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันยิ่งใหญ่ของดาบเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ดาบเล่มนี้ เป็นดาบที่สามารถแหกกฎเกณฑ์ทั้งมวลโดยเฉพาะ มิฉะนั้น กำแพงอุปสรรคของทวยเทพก็คงจะไม่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้

“นี่คือความจริงใจของผม” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาละมือออกจากดาบ ปล่อยให้มันลอยนิ่งอยู่ข้างกายตน

ร่างแสงทมิฬเงียบงันไปครู่หนึ่ง

“มันเป็นเวลานานปีแล้ว นับตั้งแต่ที่ข้าถือกำเนิดก็ถูกผนึกเอาไว้ทันที แต่ในที่สุด ข้าก็จะได้ออกไปจากที่นี่!” เขางึมงำ

“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาดี ที่จะออกไปภายนอก” กู่ฉิงซานกล่าว

ทันใดนั้นร่างแสงทมิฬก็ตวัดหน้ามา ตะโกนเสียงแหลม “เพราะเหตุใด!”

………………………….

Related

ท่ามกลางกระแสมิติอันสับสนวุ่นวาย

ยานอวกาศสองลำพุ่งชนกัน ก่อนจะร่อนลงจอดในโลกที่ถูกทิ้งร้างในบริเวณใกล้เคียง

นักบวชจากวิหารแห่งความตาย และอัศวินจากวิหารแห่งโชคชะตา ทั้งหมดต่างก็กำลังร้อนรน ทว่าทุกคนกลับไม่ได้รับอนุญาตให้แทรกตัวเข้าไปวุ่นวายแม้เพียงก้าว

ในระยะห่างไกลออกไปหลายพันเมตร การต่อสู้รุนแรงเป็นประวัติการณ์กำลังปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เปรี้ยง!

คลื่นสั่นสะเทือนที่เกิดจากฝีมือจากการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสอง กินระยะแผ่ขยายเป็นวงกว้าง กรรโชกเป็นสายลมแรง กวาดเข้าใส่ฝูงชน

ผู้นำนักบวชจากวิหารแห่งความตายเอ่ยถามเสียงดัง “เมื่อไหร่คนระดับอาวุโสของพวกเจ้าจะมาถึง”

อัศวินจากวิหารแห่งโชคชะตาตอบกลับอย่างหมดหนทาง “ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ทางเราก็ได้ส่งข้อความฉุกเฉินไปแล้ว ฉะนั้นมันควรจะไม่นานนัก”

เงยหน้าขึ้นมองนักบวชแห่งความตายและเอ่ยถาม “ว่าแต่ระดับอาวุโสทางฝั่งท่านเล่า? อีกนานหรือไม่กว่าจะมาถึง”

นักบวชแห่งความตายกล่าวด้วยความขมขื่น “เกรงว่าต่อให้ระดับอาวุโสของข้ามาถึง ก็ไม่น่าจะมีใครหยุดยั้งนางได้ในครั้งนี้”

ทั้งสองต่างมองกันและกันอย่างช่วยไม่ได้ ในหัวใจบังเกิดความรู้สึกเห็นใจอีกฝ่าย

อันที่จริงแล้ว ช่วงที่ทั้งสองฝ่ายร่ำลาและแยกจากกัน ทุกอย่างมันก็ยังคงเป็นไปด้วยดีชัดๆ แต่ใครจะรู้ ว่าจู่ๆ หลังจากได้รับข้อมูลบางอย่าง ซูเซี่ยเอ๋อกลับสั่งให้ยานอวกาศของเธอ ไล่ตามยานอวกาศของวิหารแห่งความตาย

หลังจากปะทะกัน การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ปะทุขึ้น

ตอนแรกฝูงชนจากแต่ละฝั่งก็เตรียมที่จะลงมือโจมตีกันอยู่หรอก

แต่แอนนากับซูเซี่ยเอ๋อตะโกนหยุดไว้ในเวลาเดียวกัน

จากนั้น พวกเธอก็สาดฝีปากใส่กันไม่กี่คำ แล้วการต่อสู้ตัวต่อตัวก็บังเกิดขึ้น เวลานี้ คนจากแต่ละฝ่ายจึงค่อยเข้าใจ ว่านี่มันเป็นความคับข้องใจระหว่างบุคคล

ไม่สิ สมควรกล่าวว่ามันเป็นความสัมพันธ์ฉันมิตรที่พิเศษมากๆ คงจะถูกต้องกว่า

ด้วยเหตุฉะนี้เอง มันจึงไม่มีที่ว่างให้คนอื่นๆ เข้าแทรกแซง หรือไม่มีโอกาสแม้จะเอ่ยโน้มน้าวใจใดๆ

ควบคู่ไปกับความแข็งแกร่งของทั้งสองที่เหนือล้ำไปไกลห่างกว่าพวกเขา ดังนั้นทั้งหมดจึงทำได้แค่เพียงเฝ้าดูทั้งสองต่อสู้กัน

ห่างออกไปหลายพันเมตร

แอนนากับซูเซี่ยเอ๋อกำลังสาดการโจมตีใส่กันอย่างรุนแรง

แสงสีเทา และเปลวเพลิงสีดำแห่งความตาย ปะทะเข้าหากัน ก่อให้ผลพวงขนาดใหญ่ คลื่นระเบิดกวาดแยกผืนฟ้า สั่นสะเทือนผืนปฐพี

ซูเซี่ยเอ๋อกัดฟัน และทุ่มความพยายามทั้งหมด ระเบิดออกไปอย่างเต็มที่

แอนนาเองก็ไม่ยินยอมแสดงความอ่อนแอของตนออกมา เธอปลดปล่อยพลังขั้นสุดที่ตนมีเช่นกัน

การต่อสู้ยิ่งนาน ก็ยิ่งค่อยๆ ก่อให้เกิดความเสียหายมากขึ้น

ในจังหวะสุดท้าย คทาของซูเซี่ยเอ๋อวางพาดลงบนคอของแอนนา ขณะที่คมเคียวแหลมของแอนนา จี้รอบคอของซูเซี่ยเอ๋อ

ในช่วงเวลานั้นเอง บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้นในฉับพลัน ตลอดทั้งโลกนับล้านๆ…

ร่างมนุษย์แสงพลันปรากฏขึ้น

มันโผล่มาเบื้องหน้าทุกสิ่งมีชีวิตในดินแดนชิงอำนาจ และมอบรางวัลได้แก่ชายชรากับกู่ฉิงซาน

ยามเมื่อเห็นถึงฉากดังกล่าวบนท้องฟ้า ซูเซี่ยเอ๋อกับแอนนาก็หยุดมือในท้ายที่สุด

พวกเธอเฝ้าดูมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเหตุการณ์นั้น

เหตุการณ์ที่กู่ฉิงซานถูกดูดลงไปในทะเลทราย จมหายไปในผนึกของเทพวิญญาณ

และเทพวิญญาณประทานอำนาจให้แก่เขาเพียงสิบนาทีเท่านั้น

หลังจากนั้น เขาก็จะถูกกลืนกินโดยความชั่วร้าย และตกตายลงอย่างน่าสังเวช

และแล้ว ฉากบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ จางหายไป ภาพในโลกใบนั้นสลายไปโดยสมบูรณ์

ทุกอย่างจบลงแล้ว

เทพวิญญาณได้ลงทัณฑ์เป็นการส่วนตน ชะตากรรมของกู่ฉิงซานย่อมถึงวาระ

หญิงสาวทั้งสองแข็งค้างในสถานที่เดียวกัน มิอาจขยับกายเคลื่อนไหว

“ฉิงซาน…”

แข้งขาอ่อนเปลี้ย ซูเซี่ยเอ๋อคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาสองสายไหลอาบแก้มของเธอ

วินาทีต่อมา เธอก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย โยนตัวเองเข้าใส่คมเคียวทมิฬ

“นั่นเธอคิดจะทำอะไรน่ะ!” แอนนาตะโกน

เธอชักฝีเท้าถอยกลับไปหลายก้าว ยกเคียวยาวขึ้นสูงเพื่อป้องกันมิให้ตัวของซูเซี่ยเอ๋อสัมผัสถูกกับเพลิงทมิฬที่ลุกไหม้อยู่บนมัน

ซูเซี่ยเอ๋อส่ายหัว ยิ้มอย่างขมขื่น “สิ่งเดียวที่ฉันเหลืออยู่ในโลกใบนี้คือเขา และในเมื่อตอนนี้เขาจากไปแล้ว ฉันก็ต้องตามเขาไป”

สีหน้าแอนนาแปรเปลี่ยนกลับกลาย เธอจ้องมองซูเซี่ยเอ๋อ แต่มิอาจเปล่งคำใด

ซูเซี่ยเอ๋อเก็บคทา ชักกริชที่คมกล้าของมันสาดประกายเย็นเยียบออกมา เตรียมปาดมันเชือดคอตัวเอง

ช่วงเวลาที่กริชกำลังจะปาดผ่านลำคอขาวระหงของซูเซี่ยเอ๋อ แอนนาก็ชิงลงมือออกไป

เคร้ง!

กริชถูกปัดกระเด็นลอยไปไกล

ซูเซี่ยเอ๋อยังคงร่ำไห้ แหงนหน้ามองแอนนาด้วยความฉงน

“ไม่ฆ่าฉัน แต่ก็ไม่ยอมให้ฉันฆ่าตัวตาย เธอต้องการอะไรกันแน่?” ซูเซี่ยเอ๋อถาม

แอนนาร้องตะโกน “ยัยโง่! ผู้หญิงที่สติขาดผึงอย่างเธอในตอนนี้น่ะ ฉันฆ่าไม่ลงหรอก แล้วก็ไม่ยอมให้ตายด้วย”

ซูเซี่ยเอ๋อยิ้มด้วยความเศร้าหมอง ใบหน้าของเธอปรากฏความอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

“แอนนา ฉันรู้ดีว่าถึงแม้เธอจะดูเย็นชาและไร้ความปรานี แต่ที่จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้น มีหรือที่เธอจะช่วยฉัน… เอาล่ะ เรื่องต่างๆ ระหว่างเธอกับฉันถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ในตอนนี้ อย่าได้มายุ่งกับฉันอีก ฉันจะเป็นคนกำหนดชะตากรรมของตัวเอง หยุดเข้ามาวุ่นวายซะ”

ชั้นหมอกผุดออกมาจากร่างของซูเซี่ยเอ๋อ และค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นไพ่ใบหนึ่งในอากาศที่ว่างเปล่า

ภาพภายในไพ่ คือเทวดาศักดิ์สิทธิ์ เทวดาที่กำลังคุกเข่าข้างหนึ่งลง ขณะที่ในมือข้างหนึ่งถือผลแอปเปิลทองคำ

ซูเซี่ยเอ๋ออธิบาย “ฉันจะเปิดใช้งานไพ่ผู้พลีชีพนี้ ใช้ความตายของตัวเองแลกเปลี่ยนกับพระพรจากบรรพกาล”

“และแอนนา ฉันจะมอบพรนี้ให้แก่เธอ มันจะช่วยให้เธอมีวาสนา เกิดโชคดีในหลายๆ เรื่อง”

“นี่ถือว่าเป็นของขวัญจากฉัน สำหรับหัวใจอันบริสุทธิ์และความเมตตาของเธอ”

“แอนนา ฉันจะไปหาฉิงซานแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ ฉันขอลาก่อน”

ระหว่างกล่าว ซูเซี่ยเอ๋อก็กำลังจะสั่งการไพ่

“ยัยบ้า!”

แอนนาพรวดเข้าไป คว้าคอเสื้อของซูเซี่ยเอ๋อด้วยมือเดียว ฉุดลากเธอไกลออกมากว่าหลายสิบเมตร

เมื่อสูญสิ้นการควบคุมจากซูเซี่ยเอ๋อ ไพ่พลีชีพที่ลอยล่องอยู่กลางอากาศก็ค่อยๆ สลายไป

“ทำไมเธอถึงต้องเข้ามาวุ่นวายกับฉันด้วย!”

ซูเซี่ยเอ๋อถูกคอเสื้อรั้งจนหายใจไม่ออก เธอไอออกมาและพยายามเอ่ยถามเสียงดัง

ดวงตาของแอนนาเบิกกว้างด้วยความโกรธ สาดสายตาใส่ซูเซี่ยเอ๋อ “ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งหรอก แค่มันทนไม่ได้จริงๆ เพราะชัดเจนว่าเขายังไม่ตาย แต่เธอดันเลือกที่จะตายก่อนเขา”

ซูเซี่ยเอ๋อร่ำร้อง ส่ายศีรษะ “นั่นมันก็แค่อีกภายในสิบนาที เพราะหลังจากนั้น อำนาจจากเทพวิญญาณที่มอบให้เขาก็จะสลายไป แล้วกู่ฉิงซานก็จะถูกบาปมหันต์ที่ถูกผนึกไว้ฆ่าตายลง ฉันเคยอ่านบันทึกในประวัติศาสตร์ของคริสตจักรมาแล้ว สิ่งที่ถูกผนึกอยู่ภายในนั้น แม้กระทั่งทวยเทพก็ยังหวาดกลัวมัน ดังนั้นมันย่อมเป็นไม่ได้ที่กู่ฉิงซานจะหลบหนี”

แอนนาถอนหายใจยาว สีหน้าแลดูซับซ้อน “อย่างน้อยก็ช่วยรอจนแน่ใจว่าเขาตายลงก่อนเถอะ แล้วเธอค่อยตายตาม”

เธอกล่าวต่อ “หยุดร้องสักที แล้วก็วางใจเถอะ ถ้าเขาตาย ก็จะไม่มีใครคอยห้ามเธออีกต่อไป”

ซูเซี่ยเอ๋องงงัน แต่ทันใดนั้นราวกับเกิดประกายแสงขึ้นในแววตาที่สิ้นหวัง

“ประโยคเมื่อกี้… เธอ…หมายความว่ายังไงกัน” ซูเซี่ยเอ๋อถาม

แอนนาส่ายมือและกล่าว “มันก็แค่สิบนาที เวลานี้ผ่านไปแล้วเจ็ดถึงแปดนาที ตอนนี้เรามาคอยดูกันก่อนดีกว่า ว่าเขาจะรอดไปได้ไหม”

ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “แล้วพวกเราจะแน่ใจได้ยังไงว่ากู่ฉิงซานตายไปแล้ว”

แอนนา “ก็ถ้าเธอเห็นฉันตายไปสักพัก นั่นก็พิสูจน์ได้ว่าเขาตายไปแล้วเช่นกัน”

ซูเซี่ยเอ๋องงงันอีกครั้ง

“ฉันไม่เข้าใจ” เธอกล่าวอย่างช้าๆ

ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย แต่คราวนี้ มันไม่ได้มีความคิดที่จะตายทันทีเหมือนก่อนหน้า

แอนนา “หลายพันปีก่อน ตระกูลเมดิซีของเราได้ติดต่อกับเทพแห่งความตาย และได้รับวัตถุศักดิ์สิทธิ์มา”

“วัตถุศักดิ์สิทธิ์อะไร?”  ซูเซี่ยเอ๋อถาม

แอนนา “ตราแห่งศรัทธาของเทพแห่งความตาย  ‘สัญญาชีวิต’”

ซูเซี่ยเอ๋อย้อนคิด “ชื่อมันฟังดุคุ้นๆ เหมือนกับว่าจะเป็นสิ่งที่เคยมีชื่อเสียงมากในอดีต เดี๋ยวก่อนนะ… ฉันนึกออกแล้ว!”

เซี่ยเอ๋อเบิกตากว้าง จ้องมองแอนนา

“ใช่ อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ” แอนนาตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

เธอมิได้หลบเลี่ยงสายตาของซูเซี่ยเอ๋อ “ในช่วงเวลาสุดท้ายของภัยพิบัติเยือกแข็ง เขาได้กลายเป็นราชาภูต นำทัพคนตายจากปรภพโค่นเผ่ามารลงจนราพณาสูร และจากนั้น เขาก็จากโลกเดิมของพวกเราไป”

“แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น” ซูเซี่ยเอ๋อถามอย่างใกล้ชิด

แอนนากล่าวอย่างสงบ “ฉันก็เลยแขวนสัญญาชีวิตไว้บนคอของเขา”

ซูเซี่ยเอ๋ออุทาน “คนที่มีสัญญาชีวิตอยู่ เทพแห่งความตายจะยืดชีวิตของเขาออกไปเมื่อความตายได้มาเยือน แต่อำนาจที่พลิกคว่ำฟ้าดินนี้ไม่ได้มอบให้ฟรีๆ กฎของเทพวิญญาณจะดึงดูดพลังชีวิตมาสองเท่าจากคนก่อนหน้าที่สวมใส่มัน”

แอนนาพยักหน้าและกล่าว “ถูกต้องที่สุด นี่คือพันธสัญญาแห่งชีวิตระหว่างเขากับฉัน ถ้าฉันตายต่อหน้าเธอ นั่นหมายความว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากความตายแล้ว”

“แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน…”

ซูเซี่ยเอ๋อชิงตะโกนตัดหน้า “นั่นก็หมายความว่าเขายังไม่ตาย!”

แต่เซี่ยเอ๋อก็ยังไม่โล่งใจ ถามเพิ่มออกไป “แล้วถ้าในกรณีที่เขาถอดสัญญาชีวิตออกจากคอ หรือมอบมันให้คนอื่นล่ะ?”

“วัตถุศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่กับเขา เพราะฉันรู้สึกได้ว่าชีวิตของฉันยังคงเชื่อมโยงกับเขา” แอนนาอธิบายอย่างอดทน “ส่วนถ้าเป็นในกรณีที่เขาไม่ได้ห้อยสัญญาชีวิตเอาไว้ แต่ถูกฆ่าตายลงโดยบาปที่ถูกผนึกไว้ สัญญาชีวิตก็จะกลับมาหาฉัน”

ซูเซี่ยเอ๋อไม่รอช้า เริ่มคำนวณเวลาทันที

“นี่ผ่านมาได้เก้านาทีแล้ว”

แอนนา “อืม”

“ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งนาที ฉันจะอยู่กับเธอเอง” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

ว่าจบ เจ้าตัวก็จั่วไพ่ออกมาแล้วโยนมันไป

ปุ้ง!

ไพ่กลายเป็นนาฬิกาโบราณที่ส่งเสียงคลิกๆ ทุกวินาที

เข็มวินาทีกำลังขยับทีละช่อง ทีละช่อง

แอนนากับซูเซี่ยเอ๋อมองนาฬิกาเป็นสายตาเดียว

ทั้งสองเงียบงันไปชั่วขณะ

ช่วงนาทีสุดท้ายช่างยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ

ซูเซี่ยเอ๋อเริ่มเครียด เธออดไม่ได้ที่จะฉกไปกุมมือของแอนนา เมื่อเห็นว่าเข็มวินาทีได้ผ่านไปครึ่งรอบแล้ว

“ได้โปรดเถอะ อย่าเกิดอะไรขึ้นเลย”

ดวงตาของซูเซี่ยเอ๋อแดงเรื่อ น้ำตาไหลรินออกมา

แอนนาอันที่จริงประหม่ายิ่งกว่า แทบไม่อาจรักษาความสงบเอาไว้ได้ กัดฟันกรอด “ไม่เป็นไร เชื่อใจกู่ฉิงซานสิ”

ถ้าสัญญาชีวิตปรากฏขึ้นบนตัวแอนนา หรือถ้าแอนนากลายเป็นเถ้าปลิวหายไป นั่นล้วนหมายความว่ากู่ฉิงซานได้ตายลงไปแล้ว

เข็มวินาทียังคงเดินไปข้างหน้า ทีละช่อง ทีละช่อง

คลิก เสียงเข็มวินาทีดังขึ้นอีกครั้ง

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวขึ้นทันใด “แอนนา”

“อะไร?” สองตาของแอนนายังคงจ้องมองนาฬิกาอย่างใกล้ชิด ตอบรับกลับไปส่งๆ

“ถ้าฉิงซานยังไม่ตาย นับว่าเธอได้ช่วยชีวิตฉันเอาไว้อีกครั้งหนึ่งแล้ว” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

“แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าคิดมาก” แอนนาตอบปัด

“ถ้าฉิงซานยังไม่ตาย… ฉันขอสาบานว่าจะไม่หาโอกาสฆ่าเธออีก” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

แอนนาฮึดฮัด “เมื่อกี้ก็เอาแต่ร้องไห้ เอะอะก็จะตายเหมือนกับคนโง่ สักพักมาพูดเรื่องฆ่ากันอีกแล้ว ฉิงซานไปชอบคนแบบเธอได้ยังไงกัน?”

“พูดแบบนี้ได้ยังไง! ประโยคก่อนหน้านี้ฉันขอถอนคำพูด!” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

“เอ้า เมื่อกี้มันคำสาบานไม่ใช่หรือ คำสาบานมันถอนได้ที่ไหนกัน” แอนนาแขวะ

“คำสาบานของผู้หญิงไม่นับ!” เซี่ยเอ๋อเถียง

แม้ทั้งสองจะปะทะฝีปากกัน แต่ความตึงเครียดในน้ำเสียงของพวกเธอไม่ได้ลดทอนลงเลย กระทั่งน้ำเสียงของแอนนาก็เริ่มสั่นเครือบ้างแล้ว

นั่นเพราะ…

ช่วงเวลาสุดท้ายได้มาถึง

มือของทั้งสองบีบกันแน่น

เข็มวินาที กำลังจะวนจนครบ

สิบนาทีได้วนจนครบแล้ว!

อ้างอิงตามคำพูดของเทพวิญญาณ นี่คือช่วงเวลาที่กู่ฉิงซานได้สูญเสียอำนาจในการคุ้มครองตน และจักต้องเผชิญหน้ากับบาปมหันต์ที่แสนน่าหวาดหวั่นโดยลำพัง

ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ โผเข้ากอดแอนนา

“อย่าตายนะ ได้โปรดเถอะ จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ แต่เธอต้องไม่ตาย”

เธออิงหน้าลงบนไหล่แอนนา น้ำตาไหลรินอย่างมิอาจควบคุม

แอนนาคลายมืออีกข้างจากเคียวยาว และโอบกอดซูเซี่ยเอ๋อเบาๆ

เธอไม่พูดอะไรเลย แต่น้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นบ้างแล้วเหมือนกัน

คลิก…

คลิก…

คลิก…

ช่วงวินาทีนี้ราวกับว่าโลกทั้งใบมีแค่เข็มวินาที

ผ่านไปอีกหนึ่งนาที

สองนาที

สามนาที

ทุกนาทีช่างยาวนานราวกับเป็นศตวรรษ

แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปอีกสิบนาที ช่วงเวลาที่รู้สึกว่าแสนจะยาวนานของแอนนากับซูเซี่ยเอ๋อก็เริ่มกลายเป็นเร็วขึ้น

ซูเซี่ยเอ๋อยกมือขึ้นกุมปากเธอ ระเบิดน้ำตาออกมา ขณะเดียวกันเอ่ยถาม “นี่หมายความว่าเขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม”

แอนนาพยักหน้าอย่างแรง

…………………

Related

เมื่อกู่ฉิงซานเปล่งคำเหล่านั้นออกมา ผู้คนในโลกนับล้านๆ ต่างพากันสะดุ้งเฮือก

ไม่มีใครเคยคิดมาก่อนเลย ว่าจะมีบางคนกล้าที่จะแข็งขืนต่อประสงค์ของทวยเทพ และเรียกร้องทวงชีวิต คืนชะตากรรมให้แก่อาวุธ

“ถูกครอบงำไปแล้วหรือไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าบาปร้ายแรงเพียงใดกันที่เจ้ากำลังจะก่อขึ้น?” น้ำเสียงของมนุษย์แสงเปลี่ยนไป

กู่ฉิงซานจ้องมนุษย์แสงไม่หลบตา “ผมรู้ แต่ผมก็รู้ว่าวาจาของเทพวิญญาณนั้นสัตย์จริงเช่นกัน”

มนุษย์แสงชะงักไป

เพราะนี่คือคำถามก่อนหน้าที่กู่ฉิงซานเอ่ยถามมนุษย์แสง ก่อนจะแสดงความปรารถนาของตนออกมา

และคำตอบของมนุษย์แสงคือ ‘วาจาของทวยเทพย่อมสัตย์จริง’

กู่ฉิงซานผายมือของเขา ผุดรอยยิ้มเย็น “เช่นนั้นนี่มันอะไรกัน? ท่านเทพวิญญาณเคารพและยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เหตุใดเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกชีวิต ท่านจึงกลับคำ?”

“บังอาจ!”

มนุษย์แสงตะโกนด้วยความโกรธ

อำนาจมหาศาลของมันเปรียบดั่งคลื่นสึนามิ โถมทับสร้างแรงกดดัน สั่นสะเทือนโลกทั้งสองร้อยชั้น สรรพชีวิตทั้งหมดอดไม่ได้ต้องตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว

ร่างของทุกผู้คนล้วนสั่นเทา

เป็นแค่สิ่งมีชีวิตต่ำต้อยและอ่อนแอ แต่กลับกล้าที่จะล่วงเกินเทพวิญญาณอย่างกะทันหัน สร้างความโกรธอย่างลึกล้ำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสายธารแห่งประวัติศาสตร์

แม้แต่ในพระคัมภีร์หรือตำนานโบราณ ปรากฏการณ์นี้ล้วนไม่เคยถูกบันทึกไว้เลยว่าเคยเกิดขึ้น

ทว่า…

นับแต่สมัยโบราณกาล จวบจนถึงปัจจุบัน วาจาของเทพวิญญาณมิเคยบิดพลิ้ว

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ เทพวิญญาณคิดจะกลืนคำพูดของตนเองอย่างงั้นหรือ?

ห้วงอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป ค่อยๆ เติบโตขึ้นจากในจิตใจของผู้คนจำนวนมากอย่างเงียบๆ

มนุษย์แสงยกแท่งกระดูกขาว ชี้ไปทางกู่ฉิงซาน “สรรพชีวิตทั้งมวลเอ๋ย พวกเจ้าจงเบิ่งตาดูฉากที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องล่างนี้ให้จงดี”

ทุกผู้คนเงยหน้าขึ้น

มนุษย์แสง “ไม่ว่าเจ้าจะเคยทำคุณงามไว้เลอเลิศเพียงใด ทว่าหากคิดต่อต้านเทพวิญญาณ มันก็จะต้องพบกับจุดจบแบบนี้”

ในตลอดทั้งวงกต หิมะพลันเหือดหาย ต้นไม้ พืชพันธุ์ทั้งหมดขึ้นมาแทนที่ สภาพแวดล้อมกลายเป็นเขียมชอุ่ม ทุกสิ่งอย่างล้วนถูกอาบด้วยรัศมีของเทพวิญญาณ

มนุษย์แสงลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งประกายจรัส แผ่ขยายรัศมีออกทั่วโลกหล้า

อย่างไรก็ตาม เฉพาะเพียงในจุดที่กู่ฉิงซานยืนอยู่เท่านั้น ที่ถูกแปรสภาพเป็นทะเลทรายอันแห้งแล้ง

มนุษย์แสงเริ่มเอ่ยปากว่า

“ลึกลงไปในโลกใบนี้ มีความชั่วร้ายถูกผนึกเอาไว้อยู่ และสิ่งที่มนุษย์ผู้นี้คิดก็มิแตกต่างไปจากความชั่วร้ายเลย”

“ดังนั้น ข้าจะผนึกเขาและความชั่วร้ายเอาไว้ด้วยกัน”

ชายร่างใหญ่กล่าวเบาๆ วาดแท่งกระดูกขาวชี้ไปทางกู่ฉิงซาน

แสงอันศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นบนตัวกู่ฉิงซาน

มนุษย์แสง “ข้าจักมอบพลังอำนาจให้แก่เจ้า พลังที่มากพอจะใช้ต่อกรกับสิ่งชั่วร้าย ทว่ามันจะคงอยู่ได้ไม่นานเกินไป”

“เจ้าจะต้องต่อสู้กับความชั่วร้ายในฐานะผู้รับใช้แห่งทวยเทพในผนึก”

“เมื่อเจ้ายอมแพ้ในการต่อสู้ เจ้าก็จะถูกกลืนกินโดยความชั่วร้ายทันที”

“แม้ว่าเจ้าจะไม่ยอมพ่ายแพ้ในการต่อสู้ แต่อำนาจแห่งเทพวิญญาณที่มอบให้ก็จะอ่อนแอลงภายในสิบนาที”

“เมื่ออำนาจที่เทพวิญญาณมอบให้แก่เจ้าค่อยๆ ถดถอยลง ถึงเวลานั้นเจ้าจะได้ค้นพบว่าตัวเจ้ามันต้อยต่ำเพียงไร”

“ความชั่วร้ายที่ถูกผนึกจะโลมเลีย กัดแทะทั้งกายและจิตวิญญาณของเจ้า”

“เมื่อเข้าใกล้ความตาย เจ้าจะได้รู้ซึ้ง ว่ามีเฉพาะเพียงอำนาจที่ทวยเทพประทานให้เท่านั้น จึงจะสามารถช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากความชั่วร้ายได้”

“เจ้าจะต้องเสียใจและเจ็บปวด เจ้าจะตระหนักได้ว่าตนเองทำสิ่งที่ผิดพลาดและไม่มีวันหวนคืน”

“ถูกผนึกอยู่ที่นี่ และถูกกลืนกินโดยความชั่วร้าย นั่นคือบาปเจ้าจักต้องชดใช้!” มนุษย์แสงตะโกน

พร้อมกันกับพระประสงค์นี้ ด้วยเจตจำนงของเขา เม็ดทรายเบื้องล่างกู่ฉิงซานก็เริ่มเคลื่อนไหว

กู่ฉิงซานมิอาจขยับกายออกจากสถานที่นี้ได้ เขาทำได้เพียงค่อยๆ ปล่อยตนเองจมลงสู่ใต้ทะเลทราย

ร่างกายของเขาค่อยๆ จมลงไปในทรายดูด

ในที่สุดมนุษย์แสงก็กล่าว “มนุษย์เอ๋ย เหล่าทวยเทพแน่นอนว่าย่อมมีเมตตา ดังนั้นข้าจะอนุญาตให้เจ้ากลับใจ สำนึกใจความผิดตน”

“มาเถิด จงบอกมา จงบอกความรู้สึกที่แท้จริงของเจ้าต่อสรรพสัตว์ทั้งมวล และให้ทุกคนได้จดจำถึงเหตุผลที่นำเจ้าไปสู่ความตาย”

กู่ฉิงซานค่อยๆ จมลงไปในทะเลทราย

เขามิได้เอ่ยสิ่งใด

เพียงชูแขนขึ้น ขณะที่ทรายดูดยังไม่ฉุดลากร่างกายส่วนบนของเขาลงไป

ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตนับล้านๆ ในตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้น กู่ฉิงซาน ชู ‘นิ้วกลาง’ ใส่หน้าเทพวิญญาณ!

ตลอดทั้งหมื่นโลกาพลันจมลงสู่ความเงียบงัน

ทุกผู้คนต่างจ้องมองเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

นี่เขากล้างัด ‘สิ่งนั้น’ ออกมาได้อย่างไรกัน!

การแสดงออกในเชิงเหยียดหยามของสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นที่รู้จักในทุกอาณาจักร

และกู่ฉิงซานก็กำลังชูนิ้วกลาง ตั้งตรงแน่นิ่ง ไม่ขยับไหวใดๆ

นี่น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของเขา

เขายังคงรักษาท่วงท่านี้ไว้ จนกระทั่งร่างช่วงบนทั้งหมดจมลงไปในทรายดูด

ขณะที่ทรายกำลังเริ่มดูดลามไปถึงแขนที่ชูอยู่ของเขา แขนข้างนั้นก็เริ่มขยับไหว!

มันหุบนิ้วกลางกลับคืน นิ้วโป้งชูขึ้นแทนที่ จากนั้นก็ม้วนแขนพลิกตลบ ปลายนิ้วโป้งที่ชี้ขึ้นบน ถูกสลับกดมันลงมาข้างล่าง

ท่ามกลางทรายดูด ปรากฏเสียงหยามเหยียดดังขึ้น

“คำพูดที่แกเปล่งออกมา มันสมควรแล้วหรือที่จะเป็นวาจาจากปากของทวยเทพ?”

และแล้วทรายดูดก็จมทั้งแขนและนิ้วมือของเขาทั้งหมด

ทรายดูดค่อยๆ สลายหายไป

ทุกอย่างมันจบลงแล้ว

การต่อต้านและดูหมิ่นของมนุษย์ได้สิ้นสุดลง

เขาล่วงเกินเทพวิญญาณที่ได้บิดพลิ้วคำสัตย์ต่อตนเอง

ภาพที่น่าตกใจนี้ ตราตรึง ฝังลึกอยู่ในจิตใจของทุกผู้คน และเกรงว่าพวกเขาคงไม่อาจลืมเลือนมันไปได้ตลอดชีวิต

มนุษย์แสงหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง

สำหรับการลงโทษมนุษย์ผู้นี้ มันไม่สามารถกระทำหรือลงมืออะไรได้มากกว่านี้อีกต่อไป

เพราะในบันทึกของพระคัมภีร์ เหล่าทวยเทพล้วนไม่คิดกลับคำ

แต่วันนี้ มันกลับถูกพบเห็นแล้ว ท่ามกลางสายตาของสิ่งมีชีวิตนับล้านล้าน

หากตอนนี้มันยังมอบบทลงโทษอื่นๆ ให้แก่กู่ฉิงซานอีก ความหมายของการกระทำย่อมเปลี่ยนไปในอีกรูปแบบหนึ่งทันที

และเทพผู้ทรงอำนาจและทรงภูมิ ย่อมมิอาจกระทำเช่นนั้นได้

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

ในที่สุด มนุษย์แสงก็เปิดปาก และประกาศออกไป

“ความชั่วร้ายได้ถูกผนึก และคนบาปเองก็จักต้องแบกรับกรรมจากการกระทำที่ตนได้ก่อขึ้น”

“ทวยเทพทรงมอบเส้นทางสู่การเป็นเทพให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวล แต่ขณะเดียวกัน ทวยเทพก็จักลงทัณฑ์ต่อผู้ที่คิดแข็งข้อกับพระประสงค์แห่งตนเช่นกัน”

“พวกเจ้าควรจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้จงดี”

“ผู้กระทำผิดจะต้องตาย!”

สิ้นประโยคนี้ มนุษย์แสงก็ทะยานตัวสูงขึ้น ระหว่างทางร่างกายของเขาก็สาดแสงอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา เมื่อแสงจางลง ก็หลงเหลือให้เห็นแค่เพียงความว่างเปล่าแล้ว

มนุษย์แสงได้จากไป

ท่ามกลางโลกนับไม่ถ้วน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่กำลังคุกเข่าลง ต่างโค้งศีรษะจรดพื้น แสดงความเคารพสรรเสริญ

ณ สุดปลายแห่งหนึ่งของดินแดนชิงอำนาจ

บุหรี่ถูกจุดขึ้นสูบ

ซางหยิงฮ่าวสูดหายใจลึก และพ่นควันเป็นวงออกมา

“สุดยอด…โคตรเท่เลย”

เขางึมงำกับตัวเอง และกระโดดลงจากเรืออวกาศ

ใครบางคนบนเรือตะโกน “อ้าวเฮ้? ทำอะไรน่ะ ไม่อยากจะนั่งเรือแล้วรึไง?”

“มันไม่จำเป็นแล้ว” ซางหยิงฮ่าวส่ายมือ

“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่คืนเงินให้หรอกนะ” อีกฝ่ายจ้องเขา

ค่าเดินทางโดยเรือเป็นเงินก้อนใหญ่ ฉะนั้นเมื่อได้งับมันแล้ว เขาย่อมไม่มีทางปล่อยมันไป

“อ๋า เออๆ เอาไปเถอะ หวังว่าจะเป็นการเดินทางที่ดีสำหรับนายนะ” ซางหยิงฮ่าวยิ้ม

อีกฝ่ายจ้องเขาอย่างรอบคอบ ก่อนจะหันจากไป

โลกใบนี้มันคือที่ใช้เป็นทางผ่าน มันแห้งแล้ง ว่างเปล่า และแทบจะไม่มีกลุ่มอารยธรรมขนาดใหญ่อาศัยอยู่เลย

แต่ทำไมชายคนนี้ ทั้งๆ ที่จ่ายเงินมาแล้ว จู่ๆ ก็กลับไม่คิดจะออกเดินทางไป นี่มันเรื่องอะไรกัน?

กัปตันเรือบ่นพึมพำ “สงสัยจะบ้า”

เขาไม่ต้องการที่จะคิดเกี่ยวกับมันอีกต่อไป และหันกลับมาออกคำสั่งให้เริ่มแล่นเรือ

เรืออวกาศลอยออกจากโลกใบนี้

ซางหยิงฮ่าวยืนอยู่ในสถานที่เดิม หยิบแว่นกันแดดออกมาสวมใส่

ไม่พบว่ามีใครอยู่รอบๆ

เสียงของเขาค่อยๆ เริ่มเย็นลง “ยโสยิ่งนัก มาทำแบบนั้นกับหุ้นส่วนของฉันได้ยังไง มันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วสินะ?”

ไพ่ถูกโยนลงไปเบื้องหน้าเขา

ปุ้ง!

กิ้งก่าเขียวปรากฏกายขึ้น

“เจ้าหนูหยิงฮ่าว เรียกหาข้าด้วยเรื่องใด? หรือเกิดการต่อสู้ขึ้น?”

กิ้งก่ากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระแวดระวัง

“ผ่อนคลายเถอะบอส อันที่จริงแล้วฉันแค่มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะเอ่ยถามน่ะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น กิ้งก่าก็ค่อยคลายใจลง มันกล่าว “ก็แล้วถ้ามันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่ถึงขั้นต้องเรียกข้าออกมาเลยหรือ? เอ๊อะช่างเถอะ ไหนลองว่ามาสิ”

ซางหยิงฮ่าวสูดควันลึกๆ เข้าปอด

แล้วพ่นมันออกมาจนฟุ้งไปทั่ว

เขาโยนบุหรี่ลงกับพื้น ยกเท้าขึ้นเหยียบๆ บี้ๆ มัน

“อ่า ฉันก็แค่อยากจะถามว่า ในประวัติศาสตร์ที่เทพวิญญาณตกตายลง มีวิธีไหนบ้างที่สามารถใช้ลอบฆ่าพวกเขาได้?”

เขาก้มหน้าลงเอ่ยถามกิ้งก่าที่นอนแผ่อยู่กับพื้น ราวกับเป็นเรื่องไม่น่าตื่นตระหนกใดๆ

กิ้งก่าเงยหน้าขึ้นมองเขา นิ่งอึ้งอยู่นานค่อยเอ่ยปาก “นี่มันใช้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไหนกัน?”

กู่ฉิงซานจมลงใต้ทะเลทราย

เขารู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ หลุดเข้ามาในชั้นค่ายกล แต่มันไม่ใช่ค่ายกลหรอก มันเป็นกำแพงอุปสรรคบางอย่างที่คล้ายกับค่ายกลต่างหาก

ดูเหมือนว่าเขากำลังจะถูกดึงดูดเข้าสู่ผนึก

แน่นอน ว่าสิ่งที่เรียกตนเองว่าเทพวิญญาณ ย่อมไม่มีทางจะมอบซีน้อยคืนกลับมา

มันยอมกลืนคำสัญญาของตนเอง ดีกว่าการคืนซีน้อย นี่หมายความว่ามันจะต้องคิดทำอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ

แล้วอะไรบางอย่างที่ว่านั่นมันเกี่ยวข้องกับซีน้อยยังไงกันนะ?

กู่ฉิงซานตริตรอง ก้มลงมองไปตามทางเบื้องล่าง

ภายใต้ทะเลทราย มันก็ยังคงเป็นทะเลทรายอยู่

แต่ตอนนี้เขามีที่ว่างพอสำหรับขยับกายแล้ว

กู่ฉิงซานก้มลงมองทรายที่กำลังดูดเขาลงไปอย่างช้าๆ

พื้นที่เบื้องล่างช่างกว้างขวาง มันมีขนาดใกล้เคียงกันกับตลาดมืด

เพียงแต่ว่าที่นี่มันไม่มีอะไรเลยก็เท่านั้นเอง

จะเหนือ ใต้ ออก ตก มองไปรอบๆ ที่ใดก็ล้วนเห็นแต่ทรายกับทราย

กู่ฉิงซานก้มลงมองดูตนเองอีกครั้ง

เขาค้นพบว่าบนร่างกายตน ปรากฏประกายจรัสซึ่งเกิดจากอำนาจที่ถูกมอบให้โดยมนุษย์แสง

และยิ่งนาน อำนาจที่ว่านี้ก็ยิ่งอ่อนแอลงอย่างช้าๆ

ร่างมนุษย์แสงต้องการให้เขาต่อกรกับความชั่วร้าย ในขณะเดียวกันตนก็ค่อยๆ สูญสิ้นความแข็งแกร่งไปอย่างช้าๆ จนสุดท้ายไม่สามารถต้านทานการโจมตีของมอนสเตอร์ลงได้ ต้องพ่ายแพ้ตกตายลงท่ามกลางการต่อสู้อันรุนแรงในที่สุด

เอาตรงๆ นี่มันคือการทรมานอย่างช้าๆ และโหดร้าย เป็นการหยอกเย้าให้ผู้ถูกกระทำค่อยๆ จมลงสู่ความสิ้นหวัง

“นายน้อย ท่านไม่เป็นอะไรนะ”

ในความว่างเปล่า เสียงกระวนกระวายของฉานนู่ดังขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าเพียงหุนหันพลันแล่นไปหน่อย ทำให้เจ้าต้องเป็นห่วงแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

“ฉานนู่ ต่อจากไปนี้ในอนาคต เจ้าต้องคอยปรามข้าให้ดี หากต้องเผชิญกับเทพวิญญาณอย่างกะทันหันเช่นนี้อีก ครานี้มันเจ้าเล่ห์หาที่ใดเปรียบ เป็นข้าพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ต่อไปข้าจักต้องสุขุมให้มากกว่านี้” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ

“ข้าทราบแล้วนายน้อย” ฉานนู่กล่าว

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็มาดูกันว่ามอนสเตอร์ที่ถูกคุมขังอยู่ที่นี่เป็นอย่างไร”

กู่ฉิงซายยกสองแขนขึ้นกอดอก มองไปทางฝั่งตรงข้าม

กระแสพุ่งมาบรรจบกันในความว่างเปล่า ปรากฏเป็นเงาดำอันมืดมิด

“ผนึก…”

เงามืดเอ่ยด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าและโกรธแค้น “ต้องจมอยู่ในห้วงเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ติดอยู่ในผนึกไปชั่วนิรันดร์ เจ้าสามารถรับรู้ เข้าใจถึงความเจ็บปวดนี้หรือไม่?”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ข้าเข้าใจอย่างสุดซึ้ง”

เงามืดจู่ๆ ก็แผดเสียงคำรามออกมา “มนุษย์ชั่วช้า! ในเมื่อเจ้าครอบครองอำนาจนั่น ข้าก็จะต้องสังหารเจ้า! เลือดเนื้อของเจ้าจักต้องกลายเป็นอาหาร จึงจะสามารถบรรเทาความเกลียดชังในหัวใจของข้าได้!”

กู่ฉิงซานชี้ลงมายังรัศมีศักดิ์สิทธิ์บนร่างกายเขา เอ่ยถามอย่างจริงจัง “นายกำลังหมายถึงเจ้าสิ่งนี้อย่างงั้นหรือ?”

เงามืดไม่คิดตอบคำอีกต่อไป

มันกระจายหลายร้อยรัศมีทมิฬออกมา ทั้งหมดพุ่งฉวัดเฉวียนเข้าหากู่ฉิงซานจากทุกทิศทาง

กู่ฉิงซานยังคงยืนกอดอก มิแสดงออกถึงท่าทีหรือความตั้งใจที่จะต่อต้าน

รัศมีแสงมืดมิดนับร้อยพุ่งเข้าโอบล้อมกู่ฉิงซาน เตรียมระเบิดการโจมตีครั้งสุดท้าย

ช่วงเวลาที่ร่างตนกำลังจะถูกแยกส่วน กู่ฉิงซานก็ยังมิคิดขยับกายเคลื่อนไหว

ทว่าขณะเดียวกัน รัศมีเงามืดทั้งหมดก็หยุดชะงักไปอย่างกะทันหัน

เนื่องเพราะวาจาที่กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาเพียงไม่กี่คำ

“สนใจจะร่วมมือกันออกไปจากที่นี่รึเปล่าล่ะ?”

………………………

Related

ชายชราเปิดกล่องสมบัติ เผยให้เห็นถึงมงกุฎกระดูกที่อยู่ภายใน คว้ามือจับ และชูสูงขึ้น

เจ็ดร่างแสงเบื้องบนหันมามองเขาเป็นสายตาเดียวทันที

“ที่แท้ก็เป็นผู้ศรัทธาแห่งข้านี่เอง”

มนุษย์แสงเอ่ยขึ้นเบาๆ

ว่าจบ บทสวดศักดิ์สิทธิ์พลันบรรเลง ดังลงมาจากเบื้องบน

อำนาจอันไร้ที่สุดสิ้นกลายเป็นแสงสีฟ้าสดใส สาดกระทบเข้ากับตัวเขา เฉิดฉายไปตลอดทั้งเขาวงกต

ผู้ที่พยายามจะโจมตีหรือฉกชิงสิ่งประดิษฐ์เทวะจากชายชรา รับรู้ได้ถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ทันที

“เทพวิญญาณ! นี่คือเทพวิญญาณแห่งมิติและเวลา!”

บางคนตะโกนด้วยความยำเกรง

ผู้คนต่างคุกเข่ากับพื้น โค้งศีรษะลง

ภายใต้ความคุ้มครองของเทพ ย่อมไม่มีใครคิดกล้าปล้นชิงกับชายชราอีก

หากใครบางคนกล้าที่จะทำเช่นนั้น ความผิดนี้คงมิแคล้วทำให้เทพวิญญาณต้องขุ่นเคือง

มนุษย์ไม่ควรล่วงเกินเทพวิญญาณ มิฉะนั้นจะถูกประหารโดยตรงจากทางคริสตจักร

ในดินแดนชิงอำนาจ ความศรัทธาน่ะ นับเป็นสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกผู้คน

เทพวิญญาณทั้งเจ็ดถือเป็นที่สุดเสมอมา กระทั่งนักบวชซึ่งเป็นสาวกของเทพวิญญาณ ก็ไม่สมควรถูกดูหมิ่น

ทว่าขณะนี้ เทพแห่งมิติและเวลาได้มาปรากฏกายขึ้นด้วยตนเอง!

กู่ฉิงซานเฝ้ามองและรอดูสถานการณ์ในเวลานี้ สมองของเขาได้พิจารณาและตัดสินใจเด็ดขาด

เขากัดฟันและหยิบเหรียญออกมา

เหรียญที่จะสามารถช่วยให้ตนย้อนเวลากลับไปเมื่อห้านาทีก่อนได้!

ปากอ้าเตรียมที่จะร่ายคาถา ทว่ากลับเห็นแค่เพียงเหรียญที่หลุดออกจากมือของเขา ลอยขึ้นไปในอากาศบางเบา

มือหนึ่งคว้าจับเหรียญและลูบไล้มัน

เป็นมนุษย์แสง

ร่างแสงทั้งเจ็ดบัดนี้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ที่สาดแสงศักดิ์สิทธิ์ ครอบครองคู่ปีก และปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

มนุษย์แสงมองกู่ฉิงซาน เอ่ยคำถามที่แฝงความนัยคล้ายไม่พึงใจ

“ผู้โชคดีคนแรกที่สามารถเข้าสู่วงกตเอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงอยากย้อนกลับไปเมื่อห้านาทีก่อน?”

แสงที่อยู่ตามตัวมัน คล้ายกับกระแสธารปั่นป่วน โอบเข้ารายล้อมกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานราวกับตกอยู่ท่ามกลางพายุและคลื่นทะเลเดือดพล่าน ตนตระหนักได้ว่าย่อมสามารถถูกบดขยี้ได้ตลอดเวลาโดยอำนาจเทวะอันยิ่งใหญ่นี้

เขาทราบชัดว่าตนอยู่ในระหว่างช่วงเวลาเป็นตาย

สมองเร่งเร้าหาหนทางแก้ปัญหา หนึ่งมือยกชี้ไปทางชายชราและตะโกนด้วยความขุ่นข้อง “เห็นได้ชัดว่าผมมาก่อน ฉะนั้นผมต้องการย้อนกลับไปเมื่อ ห้านาทีที่แล้ว และเก็บกู้สิ่งประดิษฐ์เทวะนั่นด้วยตัวเอง”

มนุษย์แสงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาทางกู่ฉิงซานอย่างอ่อนโยน

สมบัติสองกล่องลอยออกมาจากถุงสัมภาระของกู่ฉิงซาน ตกลงในมือของมนุษย์แสง

กล่องสมบัติถูกเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

คู่ดวงตาอันมืดมิด

และแท่งกระดูกยาว

มนุษย์แสงเมื่อเห็นสองสิ่งประดิษฐ์เทวะ อำนาจอันไร้ที่สิ้นสุดบนร่างกายของมัน ที่แต่เดิมกระชากไปมาคล้ายกำลังจะถูกระเบิดออกก็ค่อยๆ สงบลง

มงกุฎกระดูกลอยตามมา และหยุดลงเบื้องหน้าของมนุษย์แสง

สามสิ่งประดิษฐ์เทวะลอยล่องอย่างเงียบๆ

ในขณะนี้ พวกมันได้มาอยู่พร้อมหน้าแล้ว

มนุษย์แสงกล่าว “ไม่จำเป็นต้องอธิบายอื่นใดอีก ข้ารับรู้ถึงความรู้สึกของเจ้าแล้ว”

มันท่องคาถากับสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสาม

จากนั้น มนุษย์แสงก็เริ่มหมุนควงกระดูกยาว ลั่นเสียงฮ่า!สดใส ฟาดไปทางร่างของยักษ์ผู้พิทักษ์หุบเหวด้วยเจตนาร้าย

ท่ามกลางการฟาดและตวาดของมนุษย์แสง กระดูกขาวนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากพื้นดิน กระแทกเข้าใส่ยักษ์ใหญ่อย่างรุนแรง

เงาขนาดใหญ่หลุดออกมาจากตัวยักษ์ ส่งเสียงสะอื้นระงม มุดหายกลับลงไปในใต้ดิน

เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีที่เกิดจากการกระตุ้นสิ่งประดิษฐ์เทวะ มอนสเตอร์ก็ไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป ละทิ้งร่างสิงสู่ ผลุบหนีกลับไปยังส่วนลึกของพื้นโลก

ทันใดนั้นยักษ์ใหญ่ก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง

มันมองไปยังมนุษย์แสงเบื้องบน คุกเข่าก้มตัวลงอย่างรีบร้อน

ราชาแมงป่องเองก็คุกเข่าลงกับพื้นเช่นกัน

โดยข้างกายเขา มีราชินีแมงป่องกับลูกชายของเธอ ที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ไหน คุกเข่ารวมอยู่ด้วย

ดูเหมือนว่าทั้งสามคนจะยังปลอดภัยดี

มนุษย์แสงแสดงออกถึงความพึงพอใจ เขาเอ่ยกับกู่ฉิงซาน “เจ้ามิจำเป็นต้องย้อนเวลากลับไป อันที่จริง การที่เจ้าสามารถค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะได้ถึงสองชิ้นนับว่าประเสริฐยิ่งแล้ว เจ้าทำได้ดีมาก”

จากนั้น มันก็กล่าวคำที่กู่ฉิงซานย่อมไม่มีวันลืมเลือน

“แต่สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าก็คือ การที่เจ้าได้คนพบเธอ”

เธองั้นเหรอ?

กู่ฉิงซานตกใจ

ไม่รีรอให้ขบคิด มนุษย์แสงเริ่มท่องคาถาออกมา

หากกู่ฉิงซานได้ยินไม่ผิดนี่คือบทสวดภาษาโบราณ

“จงคุมขัง”

ด้วยเสียงของมนุษย์แสง มงกุฎกระดูกก็ย้อยลงไปตกลงบนศีรษะของซีน้อย

กระดูกยาวบางส่วนแตกออก เปลี่ยนเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ของเกราะรบที่ดูซีดเซียวแต่ขณะเดียวกันก็สง่างาม ประกบสวมทับลงตลอดทั้งร่างของซีน้อยโดยสิ้นเชิง

ท้ายที่สุดเป็นคู่ดวงตามืดมิด มันค่อยๆ ย้อยลงไปตกลงบนสองตาของซีน้อย

ในระหว่างกระบวนการทั้งหมด กู่ฉิงซานกับซีน้อยมิอาจขยับกายเคลื่อนไหวได้เลย

ตูม!!

โดยมีซีน้อยเป็นจุดศูนย์กลาง บังเกิดคลื่นอัดอากาศอันไร้ที่สิ้นสุดกวาดกระจายไปทั่วสารทิศ

ซีน้อยหันขวับไปมองกู่ฉิงซาน กล่าวอย่างไร้หนทาง “ฉิงซาน…”

นี่คือคำสุดท้ายของเธอ

วินาทีต่อมา ศีรษะของซีน้อยก็ห้อยตกลง ทั้งคนทั้งร่างตกอยู่ในอาการสลบไสล

มนุษย์แสงวาดมือในความว่างเปล่า และซีน้อยก็ค่อยๆ ร่วงตกลง

และหายวับไปจากโลกใบนี้

กู่ฉิงซานแข็งค้าง

มนุษย์แสงไม่เหลือบมองเขาอีกต่อไป ค่อยๆ บินเข้าไปบนชั้นอากาศ

คู่ปีกที่อยู่เบื้องหลังมันสั่นไหวอย่างรวดเร็ว

พริบตานั้น ผู้คนจากโลกทั้งสองร้อยล้านชั้นต่างก็สัมผัสได้ถึงอำนาจของมัน

ท่ามกลางโลกนับไม่ถ้วน ผู้คนต่างพากันคุกเข่าลงบนพื้นดิน น้อมเคารพประกบมืออธิษฐานต่อทวยเทพ

ในทุกๆ โลก มนุษย์แสงปรากฏขึ้นพร้อมกับฉายภาพเขาวงกตขึ้นเบื้องหน้าต่อทุกสิ่งมีชีวิต

โลกทั้งสองร้อยล้านชั้นต่างเฝ้ามองถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวงกต

มนุษย์แสงกล่าวอย่างเคร่งขรึมและรวบรัด “ทุกสิ่งมีชีวิตในโลกตลอดทั้งสิบทิศเอ๋ย จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าเหตุการณ์ในวันนี้ เปรียบดังเทพวิญญาณได้เฉลยความจริงให้พวกเจ้ารับรู้”

ทุกคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ต่างสวดภาวนาตามพระนามของเทพวิญญาณที่ตนศรัทธา

มนุษย์แสงมองชายชราที่ค้นพบมงกุฎกระดูก เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เจ้าช่วยให้เทพวิญญาณสามารถผนึกความชั่วร้ายได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง ดังนั้นตอนนี้ข้าขอถามเจ้า ว่าความปรารถนาของเจ้าคือสิ่งใด?”

ชายชราร่ำไห้ ร้องตะโกนด้วยความตื้นตันและตื่นเต้น “ท่านเทพ ตัวข้าปรารถนาที่จะได้เป็นกึ่งเทพ!”

“เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่?”

“ใช่”

“เช่นนั้นจงคุกเข่าลง เจ้าเป็นผู้ศรัทธาในเทพแห่งมิติและเวลา และควรจักจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งมิติและเวลาเสียก่อน” มนุษย์แสงกล่าว

ชายชราคุกเข่าลงกับพื้นโดยไม่ลังเล

มนุษย์แสงโผบินมาเบื้องหน้าเขา และแตะลงเบาๆ ตรงหว่างคิ้วของชายชรา

พริบตานั้น แสงสีฟ้าสว่างสดใสพลันระเบิดออกมาจากหว่างคิ้วของชายชราอย่างกะทันหัน

รังสีแสงวิบวับนี้ผุดออกมา และค่อยๆ ห่อหุ้มร่างกายของชายชราเอาไว้โดยสิ้นเชิง ก่อตัวจับกันเป็นกลุ่มแสงสีฟ้าที่สาดประกายราวกับผลึกแก้ว

มนุษย์แสงกดมือลงบนแสงสีฟ้าและเอ่ยถาม “มีผู้รับใช้วิหารแห่งมิติและเวลาอยู่หรือไม่?”

ท่ามกลางโลกหลายร้อนล้านชั้น วิหารแห่งมิติและเวลาที่อยู่ในห้วงทะเลลึก พระสันตะปาปากับบิชอปทั้งแปดคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าว “พระวิญญาณแห่งเทพทั้งเจ็ด ผู้รับใช้ของเทพมิติและเวลา กำลังเฝ้ารอคอยคำสั่งของท่านอยู่”

มนุษย์แสงผลักกลุ่มแสงสีฟ้านี้ข้ามโลกนับไม่ถ้วน ส่งไปยังวิหารมิติและเวลาโดยตรง

มนุษย์แสงกล่าว “ข้าขอสั่งให้เจ้าเลือกผู้ศรัทธาไร้มลทิน ให้มารายล้อมรอบนักบุญผู้ยังหลับใหลผู้นี้ และร่ายบทสวดแห่งมิติเวลาต่อเนื่องยาวนานเจ็ดวัน จนกระทั่งนักบุญผู้นี้ได้กลายเป็นกึ่งเทพ และตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์ ”

“พวกเราจะเชื่อฟังและทำตามประสงค์ของท่าน”

พระสันตะปาปาหันไปออกคำสั่งกับบิชอปทั้งแปด แม้กระทั่งผู้ศรัทธาในเทพแห่งมิติและเวลาจากโลก สองร้อยล้านชั้นเองก็ตกปากรับคำ

จบเรื่องนี้ มนุษย์แสงก็บินกลับมาหากู่ฉิงซาน

มันลอยอยู่บนเบื้องสูง และประกาศอีกครั้งต่อหน้าโลสองร้อยล้านชั้น “เบื้องหน้าข้า คือผู้รับใช้ที่มีความศรัทธาอันลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง”

“เขาได้ช่วยเหลือทวยเทพโดยการเก็บกู้ถึงสองสิ่งประดิษฐ์เทวะ และปิดผนึกความชั่วร้าย”

“เขาได้ช่วยเหลือเทพวิญญาณ ผนึกอาวุธที่ทรงพลังมากเกินไป”

“ดังนั้นพระคุณและความเมตตาของทวยเทพจึงถูกสงวนไว้ให้กับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และยอดเยี่ยมผู้นี้”

“แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าร่วมกับวิหารใดๆ แต่ข้าจะอนุญาตให้เขาจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้”

“เอาล่ะ จงเอ่ยในสิ่งที่เจ้าเลือกต่อหน้าสรรพสัตว์ทั้งมวล”

มนุษย์แสงเฝ้ามองกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานเองก็เฝ้ามองมนุษย์แสง

ท่ามกลางโลกนับล้านๆ สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ในขณะนี้ ต่างก็รับชมการตัดสินใจเลือกจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานไตร่ตรอง สักพักสีหน้าของเขาเริ่มปรากฏรอยยิ้มขึ้นทันใด

“ท่านเทพ ผมปรารถนาสิ่งใดก็ท่านย่อมประทานให้ วาจาของท่านสัตย์จริงหรือไม่?”

“วาจาของทวยเทพล้วนสัตย์จริง” มนุษย์แสงกล่าว

กู่ฉิงซานสรรเสริญ “ท่านเทพวิญญาณผู้ทรงภูมิและยิ่งใหญ่ ผมไม่ต้องการเป็นกึ่งเทพ แต่มีแค่ความปรารถนาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”

“เจ้ามิต้องการเป็นกึ่งเทพกระนั้นหรือ?”

“ผมไม่ต้องการ”

“ตกลง เช่นนั้นจงบอกความปรารถนาอื่นของเจ้ามา” มนุษย์แสงกล่าว

“เด็กผู้หญิงเมื่อครู่นี้ ใช่ คนที่ท่านพึ่งจะพาตัวไปนั่นแหละ ผมปรารถนาให้เธอกลับมา” กู่ฉิงซานกล่าว

มนุษย์แสง “มนุษย์ที่น่าสงสาร ดวงตาของเจ้าช่างมืดบอด จงอย่ามองเธอแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก จงอย่าได้มัวเมาไล่ตามในสิ่งที่ผิด ข้าต้องบอกเจ้าตามตรงว่าคำขอนี้ถือได้ว่าเป็นลางร้าย”

กู่ฉิงซาน “แต่เธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา หากท่านเทพเมตตาต่อทุกชีวิตทั้งมวลจริงๆ ผมเชื่อว่าท่านเทพย่อมไม่ปฏิเสธ”

มนุษย์แสง “มนุษย์เอ๋ย เธอคนนั้นเป็นเพียงอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสงคราม และตอนนี้สงครามมันก็จบลงไปแล้ว”

“มนุษย์เอ๋ย เจ้าควรตระหนักให้จงดี ว่านี่คือช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดของเจ้า และเจ้าไม่จำเป็นต้องไปพะวงเกี่ยวกับเรื่องไม่สำคัญที่ว่านั่น”

กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ “ไม่ นี่มิใช่เรื่องไม่สำคัญ แต่เธอเป็นมนุษย์ เป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ท่านเทพวิญญาณ ผมยินยอมแลกเกียรติยศและความรุ่งโรจน์ทั้งหมดเพื่อได้เธอกลับคืนมา”

มนุษย์แสง “เจ้าทราบหรือไม่ว่ากำลังจะพลาดสิ่งใดไป? หากเจ้ายินยอมเป็นกึ่งเทพ เจ้าจะสามารถเลือกหนึ่งในเจ็ดวิหาร จากนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นตัวแทนของเทพวิญญาณ ด้วยพระพรของเทพวิญญาณทั้งเจ็ด เจ้าจะสามารถมุ่งสู่หนทางอันยิ่งใหญ่อย่างการบรรลุเป็นเทพที่แท้จริงได้”

“มนุษย์เอ๋ย เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพที่แท้จริง พลังอำนาจของเจ้าจะเหลือล้น ชนิดบดบังปฐพีและชั้นฟ้า ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ต้องหมอบกราบอยู่ใต้ฝ่าเท้าเจ้า”

“ดังนั้น จงละทิ้งสิ่งลวงตาในจิตใจตนเสีย และคุกเข่าลงต่อหน้าข้า ข้าจะมอบอำนาจสูงสุดให้แก่เจ้าเอง”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ ปากเปล่งเสียงกระซิบ “มันไม่เกี่ยวกับว่าอำนาจที่จะได้รับมามันแข็งแกร่งเพียงใด มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้น เหตุที่ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนไขว่คว้าพลัง ในการเป็นกึ่งเทพหรือกลายเป็นเทพ ไม่ใช่เพราะต้องการพลังเพียงอย่างเดียว”

“ไร้สาระ! แล้วเจ้าคิดว่าทุกสรรพชีวิตต้องการพลังไปเพื่ออะไรกัน?” มนุษย์แสงถาม

กู่ฉิงซานหลับตาลง

ฉากต่างๆที่เขาอยู่ร่วมกันกับซีน้อยปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงคิด

“งั้นก็หยุดอยู่เฉยๆ… และยอมให้ปล้นซะดีๆ!”

“นายคิดจะฆ่าฉันเหรอ?” เธอเหมือนจะร้องไห้

เธอชูสองแขนขึ้น ตะโกนโห่ร้อง “ยอดไปเลย ในที่สุดฉันก็มีคู่หูแล้ว!”

ซีน้อยมองไพ่ และกล่าว “ฉันไม่เคยมีคู่หูมาก่อนเลย ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ใช้ไพ่ใบนี้”

เธอเอ่ยปากกล่าวกับเขาเบาๆ “เพราะเทพวิญญาณบอกฉันว่า ชีวิตของฉันมีเพียงสองสิ่งเท่านั้น นั่นคือการต่อสู้และหลับใหล”

“ฉันรักดอกไม้เหล่านี้ และรู้สึกสุขที่ได้ท่องไปตามโลกต่างๆ”

“แก้แค้น?” ซีน้อยทวนคำ “แก้แค้นหมายความว่ายังไง?”

“ฉัน…ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงดี” เธอเปล่งเสียงกระซิบ สองมือกุมชามแล้วยกขึ้นซดอีกที

“ฉันแค่อยากจะช่วยให้นายกลายเป็นกึ่งเทพ”

“แค่อยากช่วยนาย”

“แค่อยากช่วย…”

ใช่

เธอแค่ต้องการจะช่วยให้ฉันกลายเป็นกึ่งเทพเท่านั้น

นั่นคือความปรารถนาทั้งหมดของเธอ

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ปากลั่นคำขาด “ความปรารถนาเดียวของผมคือต้องการให้มนุษย์เช่นเธอมีชีวิต!”

“ผมต้องการให้เธอได้ใช้ชีวิตที่แท้จริงอีกสักครั้ง!!!”

……………………

Related

ภายในกล่อง คลื่นความผันผวน และกลิ่นอายโบราณของสองสิ่งประดิษฐ์เทวะ ปะทะเข้าใส่หน้ากู่ฉิงซาน

หนึ่งเป็นกระดูกยาวที่สาดแสงสลัว

อีกหนึ่งเป็นคู่ดวงตาอันมืดมิด

ยามเมื่อทั้งสองสิ่งนี้ถูกวางเอาไว้อยู่ด้วยกัน พวกมันก็เริ่มบังเกิดปฏิกิริยาตอบสนองทันที

คู่ดวงตาเริ่มดึงดูดแสงสลัวจากกระดูกขาว

ขณะเดียวกัน กระดูกยาวก็เหมือนจะถูกกระตุ้น จากที่แต่เดิมสาดเพียงแสงสลัว บัดนี้ยิ่งนาน มันก็ยิ่งพร่างพราว

เป็นผลให้คู่ดวงตายิ่งได้รับพลังเพิ่มมากกว่าเดิม

กู่ฉิงซานบังเกิดความรู้สึกประหลาดใจอย่างลับๆ

เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะพวกมัน เพื่อหมายจะได้รับข้อมูลจากระบบเทพสงคราม

แต่ใครจะรู้ ทันทีที่มือของเขายื่นออกไป ก็ดันถูกขวางไว้ด้วยพลังที่มองไม่เห็น สกัดไม่ให้เข้าถึงสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสอง

นี่ฉันไม่สามารถแตะต้องมันได้งั้นเหรอ?

ระหว่างกำลังสงสัย เห็นแค่เพียงเส้นแสงหิ่งห้อยจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

“พลังที่ห่อหุ้มอวัยวะทั้งสองนี้ ได้ตัดขาดวิธีการตรวจสอบทั้งหมด ดังนั้น ระบบจึงไม่สามารถได้รับข้อมูลเพิ่มเติมได้”

ท่ามกลางความมืดมิดเบื้องบน คลื่นความผันผวนแปลกๆ พลันปรากฏขึ้น

คล้ายกับว่าบางสิ่งบางอย่างบนท้องฟ้าสูง สามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของสองสิ่งนี้

ซึ่งเหนือท้องฟ้าไปย่อมไม่มีสิ่งอื่นใด แต่เป็นเจ็ดร่างแสงซึ่งเป็นตัวแทนของเทพวิญญาณนั่นเอง

จากนั้น คล้ายกับว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

กู่ฉิงซานไม่รีรอ เร่งฉกมือเอื้อมไปปิดกล่องทันใด

หากในตอนแรก ตัวกล่องสามารถเก็บซ่อนสิ่งประดิษฐ์เทวะเหล่านี้ไว้ได้โดยไม่ถูกค้นพบแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่า พลังในการตัดขาดโลกภายนอกของมันย่อมต้องทรงประสิทธิภาพมากแน่นอน

เขาไม่คิดอะไรแล้ว ตอนนี้หวังแค่เพียงว่าจะสามารถผนึกสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสองนี้ลงให้ได้อีกครั้ง!

ช่วงเวลาที่ฝากล่องถูกปิดลง คลื่นความผันผวนทั้งหมดก็หายไป

กู่ฉิงซานเดาถูก

เขาถอนหายใจยาว

ตอนนี้ มันยังมีเรื่องน่าสงสัยมากเกินไป ตัวเขาจึงไม่เต็มใจที่จะปลดปล่อยสิ่งประดิษฐ์เทวะออกมา

“ฉันว่ามันแปลกอยู่นะ เดิมทีฉันคิดว่ามันจะเป็นการรังสรรค์ที่ดูประณีตอะไรซะอีก แต่ใครจะรู้ ว่าจริงๆ แล้วมันกลับกลายเป็นแค่ชิ้นส่วนอวัยวะ” กู่ฉิงซานพึมพำ

ซีน้อย “ในตอนแรกเทพวิญญาณก็มักจะใช้สิ่งประดิษฐ์เทวะที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับอวัยวะพวกนี้นี่แหละ แต่จนกระทั่งหลายปีต่อมา พวกเขาจึงค่อยๆ พัฒนาทักษะการรังสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ และทยอยละทิ้งวิธีการใช้พลังงานอย่างหยาบๆ แบบนี้ไป”

“แล้วอวัยวะพวกนี้มันมาจากอะไร?” กู่ฉิงซานถาม

ซีน้อยกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ย่อมเป็นชิ้นส่วนซากศพของมอนสเตอร์มิติในสมัยบรรพกาล”

กู่ฉิงซานอุทานด้วยความประหลาดใจ “เมื่อก่อนเทพวิญญาณใช้ชิ้นส่วนร่างกายของมอนสเตอร์มิติเป็นอาวุธอย่างงั้นเหรอ?”

ซีน้อย “ใช่แล้ว เพราะมอนสเตอร์มิติในยุคบรรพกาล มีความแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งชนิดที่ว่ามอนสเตอร์บางตน แม้กระทั่งเทพวิญญาณก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”

กู่ฉิงซานฝืนยิ้ม “แม้กระทั่งในยุคสมัยนี้ ก็ยังไม่มีใครสามารถรับมือกับมอนสเตอร์มิติที่น่ากลัวที่สุดได้เหมือนกัน”

เขาเก็บกล่องทั้งสองใบ

“งั้นต่อไป พวกเรามาช่วยกันคิด”

ขณะกล่าว จู่ๆ แสงสวรรค์โดยรอบจากค่ายกลก็เริ่มปั่นป่วนวุ่นวายอย่างกะทันหัน

หลากหลายจุดแสงรวมกลุ่มกัน และทะยานขึ้นไปยังเบื้องบนเพดานห้องอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานปิดปากเงียบ เงยหน้าจ้องมองไปยังจุดแสงเหล่านั้น

นี่คือการตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของค่ายกล ที่กำลังแสดงให้เห็นถึงพลังงานจากภายนอก

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆ จุดแสงหลายสิบที่ส่งกลิ่นอายน่าสะพรึงก็ปรากฏขึ้นบนพื้นดิน

จากนั้น ก็มีเสียงกระซิบเล็กๆ น้อยๆ ดังขึ้น

“พวกเราจะช่วยใครดี?”

“ไม่ต้องช่วยหรอก ปล่อยพวกมันซัดกันเอง ส่วนพวกเราก็เริ่มออกค้นหาเถอะ”

“คนอื่นๆ จงมากับข้า ข้ารู้ที่ตั้งของสิ่งประดิษฐ์เทวะแล้ว รอก่อนเถอะ เรากษัตริย์จะต้องบรรลุขึ้นเป็นกึ่งเทพให้จงได้!”

“เหอะ! อาศัยเพียงเจ้าน่ะหรือ?”

“เร่งมือออกตามหาเร็วเข้า ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา!”

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย

“คนจากในตลาดมืดมาถึงซะแล้ว”

เขาพึมพำเสียงต่ำ

พักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็จำต้องออกมาจากห้องเก็บของ และบินกลับขึ้นไปตามทางอุโมงค์

แน่นอน ว่าพอตัวตนแข็งแกร่งจากตลาดมืดทยอยกันมาแล้ว หลังจากนั้น พวกเขาคงกระจายกันเข้ามาในเขาวงกต และเริ่มออกค้นหาร่องรอยของสิ่งประดิษฐ์เทวะ

ใจกลางของเขาวงกต ราชาแมงป่องดำกำลังต่อสู้กับยักษ์อย่างดุเดือด

ไม่จำเป็นต้องคิดว่ายักษ์มาจากไหน เพราะมันมิแคล้วเป็นร่างสิงใหม่ของมอนสเตอร์

กู่ฉิงซานออกจากใต้ดินอย่างรวดเร็ว

เขามองหาตึกรอบๆ ที่ยังไม่พังทลาย เอนกายพิงกำแพง และปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเงียบๆ

ซีน้อยมองเขา และเห็นถึงความกังวลบนใบหน้าที่ยิ่งนาน ก็ยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

“กู่ฉิงซาน นายเป็นอะไรไปกันแน่?” เธอถาม

กู่ฉิงซาน “ฉันรู้สึกว่ามีหลายเรื่องที่มันผิดปกติน่ะสิ”

พอได้ยิน ซีน้อยที่เปลี่ยนกลับเป็นไพ่ ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรหรอก มีฉันอยู่ทั้งคน ดังนั้นไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน ฉันก็จะปกป้องนายเอง”

ขณะทั้งสองกำลังสนทนา เสียงกรีดร้องสาปแช่งก็ดังมาจากในระยะไกล

“ระยำเถอะ! ไม่มีสิ่งประดิษฐ์เทวะอยู่ที่นี่!”

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะหันมอง

เห็นแค่เพียงสองหรือสามคนกำลังกึ่งนั่งกึ่งหมอบลงกับพื้น ท่ามกลางซากปรักหักพังของห้องสมุด ควานหาอะไรบางอย่าง อย่างบ้าคลั่ง

อีกหลายคนเองก็กำลังวิ่งวนอยู่รอบซากปรักหักพังของหอนาฬิกา

พวกเขาสามารถถอดรหัสที่ตั้งของสิ่งประดิษฐ์เทวะจากกวีพยากรณ์ได้จริงๆ!

ผู้คนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ กำลังค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะ

และแน่นอน ว่าฉากทั้งหมดนี้ย่อมอยู่ในสายตาของมอนสเตอร์ในร่างยักษ์

มันเปล่งเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธ กระตุ้นพลังจนไฟลุกโชติช่วง ระเบิดโจมตีเต็มกำลังเข้าใส่ราชาแมงป่อง

ตูม!

ผืนดินสั่นสะท้าน

สายลมอันดุร้ายจากกำปั้นนี้ หนุนเสริมเปลวไฟจนลุกโชติช่วงขึ้นไปถึงเมฆหนาเบื้องบน

หิมะถึงขั้นหยุดตกไปพักหนึ่ง

พายุรุนแรงแผ่วเบาลง

ใจกลางเขาวงกต แมงป่องดำถูกซัดเปรี้ยง! ด้วยหมัดหนัก ปลิวกระเด็นไปหลายร้อยเมตร

เขากลิ้งไถลไปกับพื้น และตูม! กระแทกเข้ากับโบสถ์ จนตัวโบสถ์พังทลายลง จึงค่อยหยุดร่างตนได้

ราชาแมงป่องกระอักเลือดคำโต พยายามฝืนยืนลุกขึ้น แต่เจ้าตัวกลับพบว่าไม่อาจรอดเร้นกำลังออกมาได้

ยักษ์ใหญ่ยังคงยืนหยัดอยู่กลางสวน

เกล็ดหิมะที่ลอยล่องอยู่ก่อนแล้ว ยามเมื่อร่วงโรยกระทบกับตัวเขา พวกมันก็ส่งเสียงฉ่าๆ สลายกลายเป็นไอน้ำพวยพุ่งไปทั่ว

ยักษ์ใหญ่สูดหายใจลึก ปากอ้าตะโกนด้วยความโกรธ “…!”

เสียงคำรามของมันช่างดูโดดเดี่ยว ขณะเดียวกันก็อ้างว้างและเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

กระทั่งตัวตนทรงอำนาจก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้กับพลังของยักษ์ใหญ่ ทว่าพวกเขาก็ไม่คิดหยุดมือ ตรงกันข้าม กลับเร่งค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะยิ่งกว่าเดิม

กู่ฉิงซานพอได้ยินเสียงคำรามของยักษ์ใหญ่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

นั่นเพราะแม้ตนจะเรียนรู้ภาษามาหลากหลายแล้วก็ตาม แต่ภาษานี้ กู่ฉิงซานไม่เคยได้เห็น ได้ยินมันมาก่อนเลย

คาดว่านี่น่าจะเป็นภาษาหลักดั้งเดิมของเจ้ามอนสเตอร์

ในสถานการณ์เช่นนี้ ช่วงฉุกละหุกที่มันอาจจะถูกผนึกได้ตลอดเวลา เจ้าตัวจึงละทิ้งภาษาอื่นจนสิ้น และเผลอพลั้งปากภาษาถิ่นของตนออกมา

ขณะเดียวกัน นี่ก็หมายความว่ามอนสเตอร์ตนนี้ลดความระแวงลงแล้วเช่นกัน

…และคาดว่าประโยคเมื่อครู่มันต้องสำคัญมากแน่ๆ!

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง แต่กลับพบว่าสีหน้าของซีน้อยดูจะผิดแผกไป

“ซีน้อย ทำหน้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเธอรู้ว่าเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นพูดว่าอะไร?” กู่ฉิงซานถาม

ซีน้อย “ใช่ ที่มันพูดเมื่อกี้คือภาษาที่เทพวิญญาณหรือมอนสเตอร์ต่างๆ ใช้กันทั่วไปในยุคบรรพกาล แต่ภาษานี้ได้ถูกเลิกใช้ไปนานแล้วโดยทวยเทพ แต่ฉัน เป็นเพราะจะต้องต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์ ดังนั้นเทพวิญญาณจึงเคยสอนภาษานี้แก่ฉัน”

ระหว่างกล่าว เธอก็จั่วไพ่ใบหนึ่งออกมา

มันคือไพ่ที่ภายในเป็นรูปหนังสือเก่าแก่

ซีน้อย นาบไพ่ลงบนอกกู่ฉิงซาน “นี่คือภาษาบรรพกาล ที่ใช้กันมานานปีมากแล้ว มันถูกล้มล้างไปโดยเทพวิญญาณ แต่ตอนนั้นฉันกลัวว่ามันจะสูญหายไปเลยเก็บมันไว้ ดังนั้นตอนนี้ นายจงตั้งใจเลือกที่จะยอมรับมัน เก็บไพ่ใบนี้เอาไว้ แล้วจากนั้น นายจะสามารถเข้าใจถึงภาษาที่มอนสเตอร์พูดได้”

กู่ฉิงซานเลือกยอมรับ

ตัวไพ่พลันสาดแสงมรกต มันค่อยๆ ละลายแล้วหลอมรวมเข้ากับร่างกายของกู่ฉิงซาน

สักพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็คล้ายสามารถระลึกได้ ว่าสิ่งที่มอนสเตอร์ตัวเมื่อครู่กล่าวมันแปลว่าอะไร

กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ “‘หากเป็นเทพวิญญาณก็ว่าไปอย่าง แต่ทำไมกระทั่งเจ้าก็ยังต้องการผนึกข้าด้วย’ …นี่คือสิ่งที่มอนสเตอร์พูดอย่างงั้นเหรอ? ”

“ใช่” ซีน้อยถอนหายใจ ก้มหน้าขบคิด “พอลองมาย้อนนึกดูดีๆ แล้ว มอนสเตอร์ตัวนี้ถูกผนึกไปตั้งแต่แรกเกิดเลย จริงๆ แล้วมันก็น่าสงสารเหมือนกัน นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เวลามันเจอคำถามยากๆ มันเลยต้องนิ่งคิดอยู่นาน กว่าจะหาคำตอบได้ก็ได้นะ”

กู่ฉิงซานแข็งค้างอยู่ในจุดเดิม หลังจากคำว่า ‘ใช่’ แม้ซีน้อยจะเอ่ยอะไรต่อเขาก็ไม่ได้ยินแล้ว

เพราะบัดนี้ ในหัวใจของเขาบังเกิดความเย็นเยียบบาดลึกเข้ามา

“ไม่ถูกต้อง”

กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ

ซีน้อย “ไม่หรอก ก็ถูกแล้วนะ ก็เจ้ามอนสเตอร์เห็นกับตาว่ามีคนมากมายบุกเข้ามา แถมพลังเกือบทั้งหมดของมันยังถูกผนึกไว้โดยร่างแสง ดังนั้นการที่มันจะรู้สึกสิ้นหวังก็เป็นเรื่องธรรมดา”

“สิ้นหวังงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ

“ใช่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันสามารถเข้าควบคุมผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปได้ทีละคนเท่านั้น แต่ตอนนี้ ยิ่งนาน ผู้คนก็ยิ่งทยอยกันเข้ามาในเขาวงกตมากขึ้น ดังนั้นมันย่อมไม่มีทางไล่ฆ่าพวกเขาได้ทุกคน” ซีน้อยอธิบาย

กู่ฉิงซานส่ายหัวทันใด เอ่ยปฏิเสธ “ไม่ ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”

“งั้นก็ เดี๋ยวสิ นายเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับนาย?” ขณะจะกล่าวต่อ พอหันไปมองกูฉิงซาน ซีน้อยก็เริ่มเป็นกังวล

เห็นแค่เพียงใบหน้าของกู่ฉิงซานที่ซีดเผือด ดวงตาของเขากระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น ความสงบเยือกเย็นเสมอมา สลายไม่มีให้เห็นอีกต่อไป

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันไม่รู้นะว่าเธอสังเกตเห็นมันรึเปล่า แต่ตอนที่พูดภาษาถิ่น เจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นมันแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า”

“จากท่าทีนั่น แปลความหมายได้ว่า มันไม่ได้กำลังพูดกับพวกเราที่กำลังค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะ”

กู่ฉิงซานพูดซ้ำอีกครั้ง “มอนสเตอร์ตัวนั้นพูดว่า – หากเป็นเทพวิญญาณก็ว่าไปอย่าง แต่ทำไมกระทั่งเจ้าก็ยังต้องการผนึกข้าด้วย?”

“นี่ …” ซีน้อยนิ่งค้างไปพักหนึ่ง ไม่ทราบว่าจะกล่าวอะไรดี

กู่ฉิงซานพยักหน้าเบาๆ กล่าวเสียงกระซิบ “ใช่ นั่นหมายความว่าตัวตนที่บงการเรื่องราวในครั้งนี้ ไม่ใช่เทพวิญญาณ”

“นะ…นะๆๆ นั่น…!” ซีน้อยเริ่มพูดติดอ่าง แม้จะมีคำในใจ แต่ก็ไม่อาจเปล่งมันออกมาได้อยู่นาน

“ถูกต้อง ถ้ามอนสเตอร์ไม่ได้พูดโกหกแล้วละก็…” กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “นั่นหมายความว่าที่ร่างแสงบอกให้จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แท้จริงแล้วไม่ใช่ประสงค์ของเทพวิญญาณ

“ตอนนี้ ฉันกลัวว่าบางทีเทพวิญญาณอาจจะตายไปแล้วจริงๆ”

“บางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังม่านการแสดงทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้วกำลังแสร้งแสดงตนเป็นเทพวิญญาณ เพื่อที่จะขึ้นเป็นทวยเทพองค์ใหม่”

น้ำเสียงของกู่ฉิงซานกลายเป็นเย็นเยียบ

นี่มันเป็นเรื่องจริงที่สั่นสะเทือนโลกหล้า

เกรงว่าในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น มันคงจะไม่มีความลับใดน่าขนลุกไปยิ่งกว่านี้อีกแล้ว

กู่ฉิงซานกับซีน้อยมองหน้ากันและกัน สัมผัสได้ถึงความกลัวจากในแววตาของอีกฝ่าย

ทั้งสองเบนสายตากลับไปมองยักษ์ใหญ่โดยมิได้นัดหมาย

เห็นแค่เพียงสีหน้าของยักษ์ที่แปรเปลี่ยนไป

มันเป็นสีหน้าที่ถูกปกคลุมด้วยความสิ้นหวัง พรวดทะยานเข้าหามืออาชีพหลายคนที่อยู่ใกล้ที่สุด

ด้วยกำปั้นเพลิงที่เต็มไปด้วยโทสะ เหล่ามืออาชีพสองสามคนพลันตกตายลงทันที

ยักษ์ใหญ่ตะโกนร่ายเป็นคำยาวออกมา

“เจ้าพวกผู้สมรู้ร่วมคิด อ้ายสุนัข พวกเจ้ามันไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นตอนนี้ก็จงตายซะ!”

นี่คือภาษาถิ่นที่ยักษ์ใหญ่พูด

ครานี้ กู่ฉิงซานบังเอิญเกิดความเข้าใจในที่สุด

จากนั้น ยักษ์ใหญ่ก็วิ่งเข้าหามืออาชีพอีกกลุ่มหนึ่งต่อ

แม้จะมีผู้แข็งแกร่งมากมาย ร่วมมือกันดิ้นรนต่อต้าน ทว่าพลังของยักษ์ใหญ่เหนือล้ำมากเกินไป

ต้องรู้นะว่า ยักษ์ใหญ่ตนนี้คือผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังที่สุดในหุบเหวแห่งบาป!

ยักษ์ใหญ่เริ่มล่าสังหาร

บางคนรู้สึกหวาดกลัวในความตาย ทว่ามันมีไม่กี่คนเท่านั้นที่ตัดสินใจวิ่งหนีออกจากเขาวงกต

เพราะบัดนี้ ในหัวใจของทุกคนมันปริ่มเปรมไปด้วยความกระหายในโชคลาภอย่างคลั่งไคล้!

เพราะตราบใดที่พวกเขาสามารถค้นพบสิ่งประดิษฐ์เทวะ พวกเขาก็จะได้กลายเป็นกึ่งเทพ!

ไม่ว่าจะชื่อเสียงหรือเงินทอง หากต้องการได้มามันก็ต้องมีเผชิญกับอันตรายกันบ้างทั้งนั้น!

ดังนั้น โอกาสอันหาได้ยากยิ่งเช่นนี้ จะไม่สู้เพื่อมันได้อย่างไร!

ฝูงชนยิ่งมาก็ยิ่งคลั่งไคล้ ไล่ล่าควานหาสิ่งประดิษฐ์เทวะไม่หยุดยั้ง

ตลอดทั้งเขาวงกต มีเพียงกู่ฉิงซานกับซีน้อยที่มิได้เคลื่อนไหว

“แล้วพวกเราจะเอายังไงกันดี?” ซีน้อยสูญสิ้นน้ำเสียง

“หนี ก่อนอื่นรีบหนีออกไปจากที่นี่!” กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด

เขากำลังจะคว้ามือซีน้อย และใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แต่ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ฮ่าๆๆ ฉันเจอแล้ว! ฉันเจอสิ่งประดิษฐ์เทวะแล้ว!!”

เห็นแค่เพียงชายแก่คนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหลังคาตึก ตะโกนราวกับคนคลุ้มคลั่ง

โดยมีกล่องสมบัติใบหนึ่งอยู่ในมือของเขา

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยน เขาเร่งตะโกน “ไม่นะ! อย่าเปิดมัน!”

ทว่าก็สายไปเสียแล้ว

ขณะที่หลายคนต่างเร่งกระโจนเข้าใส่ชายชรา

ชายชราก็ไม่คอยท่า เปิดฝากล่องสมบัติออกอย่างรวดเร็ว

กลิ่นอายโกลาหลพรั่งพรูออกมาจากกล่องสมบัติ โผทะยานขึ้นไปกระทบกับอากาศเบื้องบน

ชายชราเงยหน้าขึ้นมองเจ็ดรังสีแสงร่างเงามนุษย์ เปล่งวาจาลั่น “ท่านเทพวิญญาณ ข้าคือผู้ศรัทธาที่ซื่อสัตย์ของท่าน ยามนี้ ข้าได้ค้นพบสิ่งประดิษฐ์เทวะแล้ว ได้โปรดท่านช่วยดลบันดาลให้ข้าได้กลายเป็นกึ่งเทพด้วยเถอะ!”

………………….

Related

“ตูม!”

รังสีจรัสดั่งดวงอาทิตย์สาดแสงต่อเนื่อง

ภายใต้แสงจรัส ทุกสิ่งอย่างล้วนล่มสลาย ตลอดทั้งตัวห้องสมุดพังทลาย มอดม้วยเป็นเถ้าถ่าน

ผู้ใช้มนตรายืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

ให้ตายเถอะ!

สิ่งประดิษฐ์เทวะถูกนำออกไปแล้ว!

แม้ว่ามันจะรู้มานานแล้วว่าตึกหลังนี้ได้รับพรปกปักจากทวยเทพ แต่มันจะไปทันนึกได้อย่างไร ว่าเทพวิญญาณได้ซ่อนบางสิ่งเอาไว้ในผนัง?

แถมตอนนี้สิ่งที่ว่ายังถูกค้นพบและฉกชิงไปแล้ว…

ผู้ใช้มนตราวาดไม้เท้าออกไปอีกครั้ง

เทคนิคมนตราอันลึกล้ำก่อตัวขึ้นเป็นกระแสแสง ฟาดผ่านเป็นแนวขวาง ตัดผ่านสิ่งปลูกสร้างตึกอื่นๆ

ตูม!

ตูม!!

ตูม!!!

สิ่งปลูกสร้างหลังแล้ว หลังเล่าพังทลาย ล่มสลายลงสู่พื้นดิน

อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้มันมีสิ่งปลูกสร้างอยู่มากเกินไป กระทั่งในภูเขาที่ห่างไกล ก็ยังมีตึกอยู่อีกหลายหลัง

ผู้ใช้มนตราไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสาดโจมตีเลย

แสงสว่างไสวจากนานับมนตรา สะท้อนไปทั่วทั้งเขาวงกต

กระแสลมพัดกระพือ เกล็ดหิมะปลิวว่อนโกลาหล ฉากที่มิแตกต่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งประตูตรงโถงทางเดินถูกเปิดออกอีกครั้ง

พร้อมกันกับชายร่างใหญ่ผิวดำเมี่ยมที่ปรากฏกาย ก้าวยาวๆ เข้ามา

ผู้ใช้มนตราหยุดมือ และมองไปทางอีกฝ่าย

“ไอ้สารเลว รีบปล่อยภรรยากับลูกๆ ของข้ามาเดี๋ยวนี้!” ชายดำเมี่ยมตะโกนด้วยความโกรธ

ผู้ใช้มนตรากล่าวเสียงเย็นชา “พวกเจ้าทุกคนเอง ก็ล้วนถูกจองจำไว้โดยเทพวิญญาณ เหตุใดจึงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ข้าคิดหมายจะทำ?”

“แต่เจ้ากักขังวิญญาณของพวกเรา แถมยังบังคับควบคุมร่างกายของพวกเรา!” ชายดำเมี่ยมกัดฟันกล่าว

ทันใดนั้นผู้ใช้มนตราก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกที่สมควรตาย ก็ตกตายลงไปแล้ว ส่วนพวกที่สามารถรอดชีวิตได้เอง ก็ยังคงมีชีวิตอยู่”

ชายดำเมี่ยมตะลึงงัน เขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายพูดโดยสิ้นเชิง

แต่เจ้าตัวก็หาได้คิดพูดมากความไม่ ทั้งคนทั้งร่างกระโจนเข้าห้ำหั่นกับผู้ใช้มนตราทันที

อีกด้านหนึ่งของเขาวงกต

เกือบทุกสิ่งปลูกสร้างราบเป็นหน้ากลองโดยเทคนิคมนตรา

ในพื้นที่ห่างไกล ผีเสื้อตัวหนึ่งกำลังซ่อนอยู่บนกิ่ง เบื้องหลังของต้นไม้ใหญ่

มันหุบปีก เกาะยึดกับข้างส่วนหลังของใบไม้อย่างหนักแน่น เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกพายุหิมะซัดปลิวไปตามลม

เป็นกู่ฉิงซาน

เขาเฝ้าดูผู้ใช้มนตราทำลายตึกรามต่างๆ อย่างเงียบๆ จนกระทั่งชายดำเมี่ยมเดินทางมาถึง

“พวกที่สมควรตาย ก็ตกตายลงไปแล้ว ส่วนพวกที่สามารถรอดชีวิตได้เอง ก็ยังคงมีชีวิตอยู่”

เขาทบทวนประโยคนี้อย่างเงียบๆ

ไอ้คำที่ว่า ‘พวกที่สมควรตาย ก็ตกตายลงไปแล้ว’ นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน?

แล้วไหนจะ ‘ส่วนพวกที่สามารถรอดชีวิตได้เอง ก็ยังคงมีชีวิตอยู่’ อีก

เจ้ามอนสเตอร์ มันใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินว่าใครควรจะอยู่หรือตายกัน?

กู่ฉิงซานกำลังขบคิด เสียงของซีน้อยก็ดังขึ้นในใจของเขา

“กู่ฉิงซาน มันทำลายตึกไปมากมายแบบนี้ ไม่ใช่ว่าอีกสองสิ่งประดิษฐ์เทวะที่เหลือจะพลอยถูกทำลายลงไปด้วยเหรอ?”

น้ำเสียงของซีน้อยดูจะกังวลนิดหน่อย

กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน “ฉันได้ยินมาว่าการโจมตีของผู้ใช้มนตรานั้นถูกถักทอขึ้นมาจากกฎเกณฑ์ ซึ่งครอบครองพลังอันมหาศาล และสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างลงได้อย่างง่ายดาย”

ซีน้อยกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นี่นายรู้อยู่แล้วเหรอ? เดี๋ยวก่อนสิ! งั้นเหตุผลที่นายเอาสิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นแรกมา โดยทิ้งร่องรอยเอาไว้ เป็นเพราะนายต้องการให้มันอาละวาดทำลายตึกอื่นๆ ใช่ไหม?”

กู่ฉิงซาน “ใช่ แต่ฉันต้องการให้มันโกรธมากขึ้น เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่สิ่งมีชีวิตโกรธ มันก็มักจะเผยจุดอ่อนบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้พวกเราสามารถล่วงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมันได้มากขึ้น”

ซีน้อย “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับตัวตึกต่างๆ กัน? ไม่ใช่ว่าแบบนี้สิ่งประดิษฐ์เทวะจะถูกทำลายลงแล้วเหรอ นี่มันไม่ถูกต้อง นายรู้ตำแหน่งของสิ่งประดิษฐ์เทวะที่เหลืออีกสองชิ้นจริงๆ รึเปล่า!”

กู่ฉิงซาน “สิ่งประดิษฐ์ชิ้นที่สองถูกฝังอยู่ใต้หอนาฬิกา เจ้ามอนสเตอร์พึ่งจะช่วยลดความลำบากให้กับเราที่ต้องเสียเวลาหาทางเข้าหอนาฬิกาไป ดูนั่นสิ มันอยู่ทางซ้ายของเรานี่เอง มันเป็นหอนาฬิกาที่ถูกสร้างมาด้วยการเล่นแร่แปรธาตุ ทุกช่องทางล้วนปิดมิดชิด ไม่มีประตูให้เข้าออก เราต้องเจาะอุโมงค์ถึงจะเข้าไปได้ แต่ตอนนี้เราไม่ต้องเจาะอุโมงค์แล้ว พวกเราสามารถเดินดุ่มๆ เข้าไปได้เลยโดยตรง ”

ซีน้อย “นาย…ไอ้คนเจ้าเล่ห์ นี่ถึงขั้นหลอกใช้มอนสเตอร์ให้ช่วยเปิดทางถล่มหอคอย…”

“มาเถอะ ไปเก็บกู้สิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นที่สองกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

ผีเสื้อเมื่อสบโอกาส มันก็สยายปีกบินขึ้นไปเกาะลงบนเกล็ดหิมะ ทิ้งตัวมายังกองหิมะหนา

แล้วผีเสื้อก็หายวับไป

กลับกลายเป็นตัวตุ่นปรากฏขึ้นใต้หิมะแทน

มันใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ เตรียมที่จะใช้สองเท้าตะกุยมุดลงไปใต้ดิน แต่แล้วมันก็ลังเล ครุ่นคิดถึงข้อดีข้อเสียอยู่ครู่ สุดท้ายตัดสินใจเปลี่ยนกลับมาเป็นมดตัวเล็กๆ ดังเดิม

มดใช้ออกด้วยสกิลเทวะไปยังทิศทางของหอนาฬิกา

แล้วมันก็หายวับไป

ปรากฏเกล็ดหิมะน้อยๆ ขึ้นมาแทนที่ในตำแหน่งเดิมของมด ส่วนมดไปแทนที่เกล็ดหิมะ และซ่อนตัวอยู่ภายใต้กองหิมะหนาอย่างเงียบๆ

หากก้มลงมองจากเบื้องบน จะพบว่าพื้นหิมะนั้นเงียบสงบเหมือนป่าช้า ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

ตัวมดมีขนาดไม่ถึงเล็บนิ้วมือ แถมยังใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ ผสานไปกับใช้ร่างเงาแทนที่อย่างเงียบๆ ทั้งหมดหลอมรวมกันอย่างลงตัว ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของมัน ราวกับว่าไม่มีตัวตนอยู่เลย

หลังจากที่มดเคลื่อนไหวครั้งหนึ่ง มันก็จะหยุดไปสักพัก มิกล้าเคลื่อนที่ติดต่อกัน

เนื่องจากตัวมันเล็กจ้อย จึงไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์โดยรวมได้ ระหว่างว่างเว้น มันจึงเงี่ยหูลงแนบกับพื้น และฟังเสียงที่เกิดขึ้น

ในอีกด้านหนึ่งของเขาวงกต การต่อสู้ยังคงเดือดพล่านรุนแรง

ผู้ใช้มนตราเกือบจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีอันดุเดือดของชายดำเมี่ยมได้ มันชักฝีเท้ากลับไปหลายก้าว ก่อนจะกลับคืนไปเป็นรูปปั้นดังเดิม

วินาทีต่อมา ผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปอีกตนก็ปรากฏกายขึ้น

เจ้ามอนสเตอร์ได้เปลี่ยนร่างที่ใช้ควบคุมแล้ว

คราวนี้มันเลือกนักฆ่าที่มีร่างเพรียวบาง

นักฆ่ายกสองกริชยาวขึ้นเสมออก ทุกย่างก้าวช่างแผ่วเบา ไม่กี่ฝีเท้า มันก็มาถึงเบื้องหลังชายดำเมี่ยมได้ในที่สุด

บังเกิดประกายแสงเย็นวาบ

เคร้ง!

กริชกับหางปะทะกันจนบังเกิดเสียงอันคมชัดกรีดแทงทะลุไปในอากาศ

นักฆ่าเร่งหลบหนีหายเข้าไปในเงามืดทันที

ชายดำเมี่ยมไม่ยอม วิ่งไล่ตามเข้าไปในเงามืดติดๆ

บังเกิดเสียงร้องคำรามและการไล่ล่า

การต่อสู้ปะทะขึ้นอีกครั้ง!

อีกด้านหนึ่ง

มดน้อยนอนหมอบอยู่กับพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เฝ้ารอคอยโอกาสเหมาะๆ อีกสักพัก

ในช่วงจังหวะที่นักฆ่ากับราชาแมงป่องปะทะกันอีกครั้ง ภายใต้เสียงกังวาน มันก็เริ่มขยับกายทันที

คราวนี้ มันสามารถมุ่งหน้ามาถึงสถานที่ตั้งเดิมของหอนาฬิกาได้เลยโดยตรง

ท่ามกลางซากปรักหักพัง ปรากฏขั้นบันไดให้ก้าวเดินลงไป

มดน้อยค่อยๆ ไต่ลงไปตามเส้นทาง

อุโมงค์นี้ทั้งยาวและลึก แถมหลังจากลงมาได้แค่ไม่กี่นาที ตัวอุโมงค์ก็ตั้งชันเป็นแนวดิ่ง

มดน้อยบังเกิดความกระวนกระวาย สุดท้ายตัดสินใจกระโดดลงในแนวดิ่ง ทิ้งตัวสู่เบื้องลึกของอุโมงค์

เฝ้าดิ้นรนพยายามอย่างหนัก สุดท้ายสามารถมาถึงพื้นเบื้องล่างจนได้

สถานที่แห่งนี้เป็นห้องเก็บของโทรมๆ ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุล้าสมัย

หลังจากหลายปีที่ผ่านพ้น อุปกรณ์เหล่านี้ก็บุบสลาย จนไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป

มดน้อยหลบเลี่ยงอุปกรณ์ต่างๆ ปีนขึ้นไปใจกลางห้องเก็บของ กวาดสายตามองโดยรอบ

แล้วมันก็ค้นพบตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว

บริเวณที่ว่า เป็นกองอิฐธรรมดาตรงมุมห้องที่ดูไม่โดดเด่นใดๆ

มดคืบคลานเข้าไป ใช้หนวดสัมผัสกับก้อนอิฐ มันสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสิ่งที่ถูกรังสรรค์โดยเทพวิญญาณ

หลังจากยืนยันแล้ว มดก็ถอยกลับมาเล็กน้อย

ดาบยาวผลุบขึ้นมาเหนือมดจากในอากาศที่บางเบา และค่อยๆ ชี้ไปที่กองอิฐ

กองอิฐปลดปล่อยคลื่นความผันผวนอันมองไม่เห็นออกมา ดูเหมือนมันจะกำลังตรวจสอบว่าสิ่งใดกันที่กำลังโจมตีมัน

เปรี๊ยะ!

กองอิฐแตกออกจากกัน ถูกทุบทำลายกลายเป็นกรวดขนาดเล็กกระจายลงทั่วพื้นห้อง

กล่องอันประณีตที่มีขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นทันใด

กู่ฉิงซานสลายความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ก้าวตรงไปข้างหน้า ทำการเก็บกู้กล่อง

เขาสะบัดมือนำดิสก์ค่ายกลออกมา และเริ่มจัดวางทุกประเภทของค่ายกลปกปิด ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก ค่ายกลยับยั้งกลิ่นอาย จากนั้นสุดท้ายเป็นค่ายกลเคลื่อนย้าย

เมื่อทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเหมาะสม เขาก็หยิบกล่องทั้งสองใบออกมา

เป็นสองกล่อง

หนึ่งจากห้องสมุด อีกหนึ่งพึ่งได้จากใต้หอนาฬิกา

“นายยังลังเลอะไรอยู่อีก?” ซีน้อยอดไม่ได้ที่จะถาม

“ฉันว่าฉันรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย” กู่ฉิงซานกล่าว

“แปลกยังไง?”

“ซีน้อย ในตอนที่เธอผนึกมอนสเตอร์ตัวนี้ และใช้พลังทั้งหมดของเธอไป จากนั้นถูกเทพวิญญาณหยุดเอาไว้ สุดท้ายถูกผนึกลง เป็นแบบนี้ใช่ไหม?”

“ก็ใช่”

“ก็ในส่วนนั่นแหละที่มันแปลก” กู่ฉิงซานพูดอย่างช้าๆ “ก็ในเมื่อเธอแข็งแกร่งกว่าเทพวิญญาณ และกระทั่งเธอเองก็ยังต้องทุ่มพลังทั้งหมดในการผนึกมอนสเตอร์ แต่ตอนนี้เทพวิญญาณได้หายไปแล้ว แล้วฉันจะสามารถผนึกมอนสเตอร์ตัวนั้นจากสิ่งประดิษที่เทพวิญญาณทิ้งเอาไว้ได้อย่างไร?”

ซีน้อยขบคิดอยู่พักหนึ่ง “บางทีในช่วงเวลาที่ฉันหลับใหล เจ็ดเทพปีศาจอาจจะบรรลุในขีดพลังของตนจนถึงจุดสูงสุด เพิ่มพูนอำนาจจนมากพอจะสามารถผนึกมอนสเตอร์ตัวนี้ลงได้อย่างง่ายดายแล้วก็ได้นะ”

“นั่นยิ่งไม่ถูกต้อง ก็ถ้าหากเทพวิญญาณครอบครองความแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น งั้นทำไมพวกเขาถึงได้เลือกที่จะจากไปล่ะ?”

กู่ฉิงซานกล่าว สีหน้าท่าทีของเขาค่อยๆ กลายเป็นร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ตอนนี้ ข้อมูลยังมีจำกัดอยู่ ฉันสามารถตั้งสมมติฐานได้เพียงสามข้อเท่านั้น”

“ข้อแรก เทพปีศาจทั้งเจ็ดยังไม่ตาย พวกเขาทรงพลังและสามารถผนึกมอนสเตอร์ตัวนี้ได้ ถ้าอย่างงั้นทำไมถึงไม่ปรากฏกายขึ้นมาซะเองล่ะ? ถ้าเป็นในกรณีนี้ ฉันคิดว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาจึงเลือกซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ดังนั้น สิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามชิ้นนี้ แท้จริงย่อมต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา เพื่อให้พวกเขามีอำนาจในการผนึกมอนสเตอร์”

“ข้อสอง เจ็ดเทพปีศาจยังไม่ตาย แต่พวกเขาก็ยังเป็นเหมือนดั่งในอดีตที่ผ่านมา ไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะผนึกมอนสเตอร์ตนนี้ลงได้”

“ข้อสาม เจ็ดเทพปีศาจได้ตายไปแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่อาจต้านทานบาปอันชั่วร้ายตนนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงอนุมานได้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้มากไปกว่าเดิมเลย นั่นคือ พวกเขายังอ่อนแอกว่าเธอเหมือนเดิม”

“ถ้ามันเป็นในข้อแรก พวกเราคงทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นข้อสองและสาม การดำรงอยู่ของสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามชิ้นนี้ จะต้องมีไว้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่างที่พวกเราไม่อาจล่วงรู้ได้แน่ๆ”

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็เปิดทั้งสองกล่อง

สิ่งประดิษฐ์เทวะ…สองวัตถุศักดิ์สิทธิ์ถูกวางไว้ภายในอย่างเงียบๆ

ตอนนี้ เหลืออีกแค่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ภารกิจก็จะเสร็จสมบูรณ์

อ้างอิงตามที่มนุษย์แสงกล่าว มอนสเตอร์จะถูกผนึกอีกครั้ง และกู่ฉิงซานในฐานะผู้ถือครองสิ่งประดิษฐ์เทวะก็จะได้รับรางวัลสูงสุด เขาจะกลายเป็นกึ่งเทพ

แถมกู่ฉิงซานก็ยังล่วงรู้ถึงตำแหน่งของสิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นที่สาม

หากสลับเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าพวกเขาคงจะกลายเป็นบ้า ออกไปวิ่งไล่ตามหาสิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นสุดท้าย เพื่อเร่งผนึกมอนสเตอร์ไปแล้ว

ทว่ากู่ฉิงซานกลับมิได้ทำเช่นนั้น

เขายังคงเฝ้ามองสองสิ่งประดิษฐ์เทวะด้วยความกังวลเล็กน้อยบนใบหน้า

ซีน้อยเห็นว่าเขาดูผิดปกติไป เลยเอ่ยปลอบ “นายเป็นกังวลเรื่องอะไร? ไม่ต้องวิตกไปหรอก เทพวิญญาณน่ะมักจะจัดเตรียมรางวัลหรือสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมาย และในบรรดาของเหล่านั้น มันไม่มีอะไรเลย ที่เป็นสิ่งไม่ดีกับมนุษย์อย่างพวกนาย อันที่จริงพวกเขาต้องชื่นชมด้วยซ้ำ ที่นายสามารถผนึกมอนสเตอร์ลงได้”

“จะคิดแบบนั้นไม่ได้หรอก ซีน้อย จำไม่ได้เหรอ ว่าเราไม่สมควรปล่อยให้โชคชะตาของตนเองไปตกอยู่ในกำมือของคนอื่น โดยเฉพาะกับเทพวิญญาณ”

“ฉันจำได้หรอกหน่า…”

กู่ฉิงซานกล่าวเสียงอ่อน “สถานการณ์ในปัจจุบันก็คือ เราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เทพวิญญาณคิดอยู่คืออะไรกันแน่ ฉะนั้น หลังจากที่เก็บรวบรวมสามสิ่งประดิษฐ์เทวะจนครบแล้ว พวกเราจะต้องหยุด”

“หยุด?”

“ใช่ พวกเราจะต้องหยุด เพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม และคิดให้ดี ให้มันมากกว่านี้อีกครั้งก่อนจะทำอะไรกับมัน”

………………..

Related

ภายในตลาดมืด

บางคนวางพระคัมภีร์ทั้งเจ็ดเล่มลงเบื้องหน้า กวาดสายตาอ่านมัน ขบคิดอย่างหนัก

บางคนก็รวมกลุ่ม แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน

บางคนก็หายเข้าไปในความมืดมิด หลบเร้นออกไปอย่างเงียบๆ

ในตลาดมืด ยิ่งนาน ผู้คนก็ยิ่งบางตา

มืออาชีพคนหนึ่งเหมือนจะตระหนักได้ถึงสถานการณ์ เขาเงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยความสงสัย “เอ๋? ฉันรู้สึกไปเองรึเปล่านะ ว่าที่นี่มีคนน้อยลง?”

อีกคนที่กำลังนั่งอ่านเจ็ดพระคัมภีร์อยู่ข้างกายเขา กล่าวเป็นจริงเป็นจัง “คนอื่นอาจจะถอดรหัสกวีพยากรณ์จนสามารถมุ่งหน้าสู่เขาวงกตแล้วก็ได้ ตอนนี้ฉันเกรงว่าคงต้องรีบกันหน่อยแล้ว”

ชายคนแรกสีหน้าซีดเซียวลง “หมายความว่าพวกเราจะไม่มีโอกาสแล้วเหรอ?”

สหายของเขากล่าว “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เขาวงกตน่ะถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพ และการจะหาสิ่งประดิษฐ์เทวะให้เจอมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าได้เสียเวลาพูดแล้ว รีบถอดรหัสพระคัมภีร์ต่อเถอะ”

ประตูเขาวงกตถูกผลักเปิดออก

บนโถงทางเดินยาว รูปปั้นที่ถืออาวุธในมือ ถูกจัดวางเรียงไว้สองฟากฝั่ง

ในช่วงกลางของโถงทางเดินยาว ปรากฏให้เห็นถึงรูปปั้นขนาดใหญ่ถูกตั้งยืนหยัดอย่างมั่นคง

มันคือยักษ์ที่สวมใส่เกราะรบทั่วทั้งตัว

ในมือถือขวานสงครามขนาดใหญ่ ออกท่วงท่าง้างสูงขึ้น คล้ายกับว่ากำลังเตรียมพร้อมที่จะโจมตีออกไป

แม้จะไม่มีใครควบคุมขวานสงคราม ทว่าบนคมขวาน กลับบังเกิดภาพทับซ้อน ผันเปลี่ยนเวียนวน ตัดเฉือนอากาศจนบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยเส้นแสงสีดำ

“นั่นเป็นจิตอาร์ติแฟค”

ซีน้อยชี้ไปยังขวานสงคราม ให้กู่ฉิงซานดู

กู่ฉิงซานพยักหน้า

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ ว่าในโลกสมบัติของทริสเต้ ครั้งหนึ่งลอร่าเองก็เคยนำจิตอาร์ติแฟคออกมา และมอบมันให้แก่หลี่อันเพื่อเป็นรางวัลเหมือนกัน

ในช่วงเวลานั้นหลี่อันเกรงว่ากู่ฉิงซานจะไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ จึงได้บอกแก่กู่ฉิงซานว่าจิตอาร์ติแฟคนั้นมีราคาสูงเพียงใด

จิตอาร์ติแฟคครอบครองทุกชนิดของพลังงานอันน่าตื่นตะลึง ผู้ใช้มันแข็งแกร่งเท่าใด จิตอาร์ติแฟคก็จะระเบิดอำนาจได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น

จิตอาร์ติแฟคจึงเปรียบดั่งสรรพนามที่ใช้เรียกสมบัติล้ำค่า

ในดินแดนชิงอำนาจ นอกเหนือไปจากเหรียญทั้งหนึ่งพันหนึ่งเลขแล้ว ก็เป็นจิตอาร์ติแฟคที่แหละที่เป็นของล้ำค่า สามารถหมุนเวียนแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มผู้คนได้

ดวงตาของกู่ฉิงซานเลื่อนไปยังรูปปั้นยักษ์

“ส่วนที่นายมองอยู่ นั่นคือผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาป ฉันเคยเห็นเขามาก่อน และบรรดาคนที่อยู่รอบตัวคือผู้รับใช้ของเขา”

“ดูเหมือนว่าเมื่อจิตวิญญาณถูกคุมขังโดยมอนสเตอร์ ร่างกายก็จะกลายเป็นรูปสลักหินแบบนี้สินะ” กู่ฉิงซานกล่าว

ซีน้อยเตือน “พวกเราเร่งฝีเท้าเถอะ เพราะถ้าหากมอนสเตอร์ดันมาเข้าสิงร่างผู้พิทักษ์ตนนี้ คงเกิดปัญหาไม่ดีตามมาแน่ๆ”

“ใช่แล้วล่ะ ฉันเองก็คิดว่ามันน่าจะกลับมาในเร็วๆ นี้เหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

ด้วยความแข็งแกร่งส่วนตนของผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาป ประจวบกับจิตอาร์ติแฟคที่เขาถือครองอยู่ แม้จะไม่รู้ว่าแต้มพลังวิญญาณของเขาอยู่ในระดับใด แต่มันคงมิแคล้วยากที่จะต่อกร

กู่ฉิงซานกุมมือซีน้อย บังเกิดแสงกะพริบไหว

สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

ทั้งสองปรากฏขึ้นทันทีในอีกสุดปลายด้านหนึ่งของโถงทางเดิน

พวกเขาเร่งออกจากโถงทางเดิน ผลักเปิดประตู และก้าวเข้ามาในสวน

เบื้องบน แสงทั้งเจ็ดยังคงเปล่งรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์

อย่างไรก็ตาม มันน่าแปลกใจจริงๆ ที่ในสวนแห่งนี้ กลับปรากฏหิมะร่วงโรยลงมา

หิมะเริ่มตกหนักขึ้น สายลมหนาวพัดหวนไปตลอดทั้งสวน

ถนนหลายสายทอดยาวออกไปทุกทิศทางในสวน นำไปสู่สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่นับร้อยที่อยู่สูงขึ้นไปบนเขา ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก ในวงกตนี้มีภูเขาอยู่จริงๆ แถมข้างบนภูเขา ก็ยังมีน้ำตกทอดยาวลงมา ลากไกลไปถึงยอดแหลมและบังกะโลอีกจำนวนหนึ่ง

ท่ามกลางสวน ปรากฏถึงผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปมากมายที่ถูกแปรสภาพให้กลายเป็นรูปปั้น กระจายตัวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

รูปปั้นยืนนิ่ง คอยเฝ้าอยู่ตามทางเดิน ปกป้องสถานที่ที่ถนนจะนำพาไป

“แบบนี้สิค่อยดูเหมือนวงกตหน่อย ถนนหลายสิบหลายร้อยสายนี้ทอดยาวไปสู่สิ่งปลูกสร้างมากมาย เกรงว่าเวลานี้คงต้องพึ่งสกิลในการค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะของนายแล้วล่ะ ว่าพวกมันจะไปซ่อนอยู่ที่ไหน”

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

ถนนทุกสายถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ และไม่ปรากฏร่องรอยของรอยเท้าใดๆ เลย

ดูเหมือนว่าผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปเหล่านี้จะตกอยู่ในการควบคุมมาเป็นระยะเวลานานแล้ว

สิ่งปลูกสร้างที่มองเห็นล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นมาตามลักษณะของวิหาร ตามความทรงจำที่ค้นวิญญาณมาจากนายพลที่ร่วงตกลงมาตายในร้านอาหาร เพียงมองรูปลักษณ์ภายนอกของสิ่งปลูกสร้าง ก็สามารถบ่งบอกการใช้งานของมันได้

กู่ฉิงซานเลือกหนึ่งในสามตำแหน่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ที่กำลังแสดงอยู่ใน ‘การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์’

มันคือห้องสมุดที่อยู่ใกล้กันกับโบสถ์

ใช่ สิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นแรกถูกซ่อนเอาไว้ภายในห้องสมุด

กู่ฉิงซาน “มันควรจะเป็นทิศทางนั้น”

“งั้นก็ไปกัน” ซีน้อยกล่าว และกำลังจะก้าวไปข้างหน้า

แต่เธอก็ถูกกู่ฉิงซานรั้งตัวไว้

“ยังต้องรออะไรอยู่อีก?” ซีน้อยไม่เข้าใจ

“ถ้าคำนวณตามระยะเวลา มอนสเตอร์ประหลาดนั่นน่าจะกลับมาในเร็วๆ นี้ ถ้าพวกเราอยู่กันสองคนมันจะเดินทางลำบากกว่า ดังนั้นเธอเปลี่ยนเป็นไพ่ซะ คอยซ่อนตัวอยู่กับฉัน ถ้าถึงเวลาจำเป็นฉันจะเรียกเธอเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

“เข้าใจแล้ว” ซีน้อยรับคำอย่างว่าง่าย

เธอถอยกลับมาหนึ่งก้าว ทันใดนั้นอักษรรูนโบราณสีมรกตก็พลันห้อมล้อมรอบกายเธอ

ไม่นาน เธอก็กลายเป็นไพ่เขียว และลอยมาตกอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรับไพ่มา ขยับกายวูบไหว ทั้งคนทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นอินทรีหิมะ

อินทรีหิมะโผบินขึ้นสู่เบื้องบน โฉบขึ้นไปในส่วนลึกของท้องฟ้า

ขณะเดียวกันในสวนเบื้องล่าง ก็ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ต้องไม่ลืมนะว่ามอนสเตอร์น่ะ มันได้เปลี่ยนผู้พิทักษ์ให้กลายเป็นรูปปั้น

และรูปปั้น ย่อมไม่มีทางลอยบนท้องฟ้าได้

ดังนั้น แม้ว่ารูปปั้นจะสังเกตเห็นถึงอินทรี แต่มันก็ไม่สามารถโจมตีได้ในทันที เพราะอินทรีบินอยู่สูงเกินไป

ในกรณีที่มอนสเตอร์กลับมาอย่างกะทันหัน อย่างน้อยมันก็จะช่วยให้กู่ฉิงซานสามารถซื้อเวลาขบคิดได้

อินทรีหิมะบินมาอยู่เหนือห้องสมุด

มันม้วนตลบในอากาศอย่างรวดเร็ว คราวนี้เปลี่ยนร่างกลายเป็นผึ้ง

ผึ้งน้อยเกาะลงบนเกล็ดหิมะที่กำลังร่วงโรย ลอยตัวลดระดับลงไปตามทิศทางของสายลม กระพือปีกแค่เล็กๆ น้อยๆ ในยามจำเป็น

เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงอย่างเงียบๆ บนหลังคาของห้องสมุด

ทว่าผึ้งมิได้จมรวมไปกับชั้นหิมะหนา

แต่มันบินไปยังรูกระเบื้องที่อยู่ใกล้เคียง แปลงกายเป็นมดขนาดเล็ก

พอมดปรากฏกายขึ้น มันก็นิ่งไปชั่วครู่

เพราะจิตสัมผัสเทวะที่มันปล่อยออกมา รับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างภายในสวน

ผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายน่าสะพรึง เริ่มขยับเขยื้อน

มอนสเตอร์ได้กลับมาแล้ว

มดนิ่งงัน ไม่ไหวติงไปชั่วขณะหนึ่ง

มันเฝ้ารอคอยอย่างอดทน จนกระทั่งมอนสเตอร์เข้าสู่ตัวตึกไป

เมื่อทางสะดวก มดจึงค่อยเริ่มคืบคลานไปตามช่องว่างเล็กๆ ระหว่างก้อนอิฐและกระเบื้อง ปีนป่ายขึ้นไปคล้ายกับมีทิศทางแน่นอนอยู่ในใจที่

และแล้วมดก็เข้าไปในช่องระบายอากาศ

มันคลานต่อไปตามช่องระบายอากาศที่ทอดยาว สุดท้ายค่อยมาถึงช่องระบายอากาศบนเพดานในห้องสมุด

มดหยุดพักเล็กน้อย โน้มศีรษะก้มลงมองเบื้องล่าง

เห็นแค่เพียงภายในโถงใหญ่ เรียงรายไว้ด้วยชั้นวางที่จัดเรียงหนังสือเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

โดยรูปปั้นเองก็นั่งอยู่ใจกลางห้องสมุด คล้ายกำลังหยิบยืมหนังสือขึ้นมาอ่าน

ไฟจากในเตาผิงส่องกระทบใส่เขา รูปลักษณ์ที่ดูแก่ชราและโศกเศร้าปรากฏออกมา

เขาเป็นมนุษย์ที่สวมชุดคลุมและถือไม้เท้าอยู่ในมือ

การที่สามารถขึ้นเป็นผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปทั้งๆ ที่ใช้ร่างกายมนุษย์เช่นนี้ เกรงว่าพลังของคนคนนี้จะต้องแข็งแกร่งไม่น้อยอย่างแน่นอน

มดจ้องมองเขา และถอยกลับไปซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าอีกฝ่ายจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่ยังไงก็สมควรที่จะต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน

แม้รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายจะเหมือนนักเวท แต่หลังจากที่ได้ล่วงรู้ว่าในดินแดนชิงอำนาจมันมีอาชีพพิสดารแปลกใหม่อยู่มากมาย เขาก็ต้องระแวงเอาไว้ก่อน บางทีอีกฝ่ายอาจจะเป็นอาชีพผู้ใช้มนตราที่มีลักษณะการแต่งกายและอาวุธคล้ายคลึงกันก็ได้

หากเป็นนักเวท กู่ฉิงซานสามารถเลือกเข้าต่อสู้ระยะประชิดได้ทันที ฟาดฟันสักสองสามดาบก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้แล้ว

เพราะหากเป็นนักเวท คาถาของอีกฝ่ายมันย่อมต้องตระเตรียมการร่าย ซึ่งการร่ายมันจะไปเร็วกว่าสกิลล่าชีพของกู่ฉิงซานได้อย่างไร?

แต่ถ้าเป็นผู้ใช้มนตรามันจะแตกต่างกันออกไป

ผู้ใช้มนตราไม่เพียงแต่แตกฉานในศาสตร์มนตรา

แต่พวกเขายังมีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดที่ไม่เลวอีกด้วย

หากกู่ฉิงซานต้องการสังหารผู้ใช้มนตราที่อยู่ในระดับเดียวกันกับราชาแมงป่อง ด้วยความแข็งแกร่งของตน มันคงจะเป็นการยากเกินไป

แถมคราวนี้ หากคิดแปลงกายเป็นราชาแมงป่อง ตนคงจะต้องสูญเสียแต้มพลังวิญญาณเป็นจำนวนมาก

มันจะเป็นการดีที่สุด หากไม่มีการสูญเสียแต้มพลังวิญญาณ

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ต่อให้เขาจะสามารถสังหารชายชราลงได้แล้วก็ตาม แต่ขณะเดียวกันนั่นก็จะเป็นการเปิดเผยตำแหน่งของตนเอง และหลังจากนั้นเจ้าตัวคงถูกมอนสเตอร์ในคราบผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ออกไล่ล่าแบบไม่มีหยุดพัก

ระหว่างขบคิด เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นในหัวใจของเขา

ซีน้อยเอ่ยปากออกมา “นายรู้ตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งประดิษฐ์เทวะแน่ใช่ไหม?”

เธออยากจะรู้จริงๆ ว่ามันซ่อนอยู่ตรงไหน

กู่ฉิงซาน “ฉันเจอมันแล้ว อยู่ถัดไปจากรูปปั้น เบื้องหลังกำแพงตรงเตาผิง”

ซีน้อยประหลาดใจ “ทำไมมันถึงไปซ่อนอยู่ในที่แบบนั้น?”

กู่ฉิงซาน “ในตอนที่เทพวิญญาณมอบเหรียญย้อนเวลาให้ฉัน เขาก็ได้พูดอะไรบางอย่างออกมาอีก”

“พูดอะไร?”

“เขาได้พูดว่า เขาได้สร้างวงกตขึ้นมา และฝังสิ่งประดิษฐ์ทั้งสามเอาไว้ ใช้คำว่า ‘ฝัง’”

ซีน้อย “ดูเหมือนว่าเทพวิญญาณจะหวาดกลัวว่าสิ่งประดิษฐ์เทวะจะไปตกอยู่ในมือของมอนสเตอร์จริงๆ”

กู่ฉิงซาน “เหมือนว่าเทพวิญญาณจะเข้าใจเกี่ยวกับเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้มากทีเดียว พวกเขาคงทราบความคิดของมัน ว่ามันย่อมไม่อาจตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วมีบางสิ่งถูกซ่อนอยู่ในผนัง”

ซีน้อย “งั้นถ้าพวกเราลงไปตอนนี้เลย มอนสเตอร์มันจะสังเกตเห็นไหม?”

“เห็นชัวร์ๆ”

“ทำไมนายถึงได้มั่นใจนักว่ามันจะเห็น?”

“นั่นเพราะมอนสเตอร์จงใจควบคุมรูปปั้นมาหยุดไว้ตรงเบื้องล่าง นั่นหมายความว่า ตราบใดที่รูปปั้นอยู่ที่นี่ มันย่อมมีความสามารถในการตรวจสอบว่าเกิดอะไรผิดปกติขึ้นรอบๆ รูปปั้นแน่ๆ และสามารถเข้าสิงรูปปั้นได้ตลอดเวลา” กู่ฉิงซานอธิบาย

“งั้นพวกเราควรทำยังไงดี?” ซีน้อยถาม

กู่ฉิงซาน “ฉันกำลังคิดอยู่”

ซีน้อย “งั้นเอาแบบนี้ดีไหม ฉันจะเป็นคนล่อเขาออกไปเอง”

กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “ด้วยความแข็งแกร่งของเธอในปัจจุบัน เธอจะต้องถูกเขาจับตัวได้อย่างแน่นอน แล้วจากนั้นมอนสเตอร์ก็จะมาฆ่าเธอด้วยผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปที่แข็งแกร่งที่สุด”

ซีน้อยยิ้ม “กู่ฉิงซาน พูดแบบนี้แสดงว่านายยังคงไม่เข้าใจวิธีการต่อสู้ของราชทูตตัดสินบาปสินะ”

ปรากฏไพ่ใบหนึ่งขึ้นเบื้องหน้ามดจากในอากาศที่บางเบา

บนไพ่ไม่มีลวดลายใดๆ มีเพียงแค่ตัวอักษรถูกขีดเขียนไว้สามบรรทัดเท่านั้น

“นางฟ้าตัดสินบาปซี ได้ส่งคำขอมา เธอต้องการกลายเป็นหนึ่งในไพ่อัญเชิญของคุณ คุณอนุญาตหรือไม่?”

“เงื่อนไขของสัญญาอัญเชิญ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ”

“ถ้าคุณเห็นด้วย โปรดแตะลงบนไพ่เบาๆ”

มดหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะยื่นหนวดของมันค่อยๆ เคาะลงบนไพ่

ทันใดนั้นไพ่ก็กลายเป็นสีเขียวมรกต และตกอยู่เบื้องหน้ามด

ซีน้อยที่อยู่ในไพ่กำลังยกมือขึ้นกุมปาก หัวเราะคิกคักเบาๆ

มดนิ่งอึ้ง มิได้เคลื่อนไหวใดๆ เป็นเวลานาน

“โอเค ต้องขอบอกว่าฉันตกใจจริงๆ นะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“มีอะไรน่าตกใจ? ในเมื่อนายเป็นราชทูตตัดสินบาป ดังนั้นการทำสัญญาอัญเชิญย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”

“งั้นฉันจะต้องทำยังไงต่อ?” กู่ฉิงซานถาม

ซีน้อยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “มา! เดี๋ยวพี่สาวจะสอนให้เอง… อันดับแรกเลยนายต้องอัญเชิญฉัน…”

ภายในห้องสมุดที่เงียบงัน จู่ๆ ก็บังเกิดเสียงอึงอลดังกึกก้อง

เพดานถูกระเบิดออก วัยรุ่นสาวในชุดขาวลดระดับลงจากเบื้องบน

ช่วงเวลาเดียวกันกับที่กำลังลดระดับลงมา เธอก็กุมไพ่หลายใบอยู่ในมือแล้ว

“แสงแห่งอัคคีจงปรากฏ!” วัยรุ่นสาวร้องตะโกน

ไพ่ใบหนึ่งถูกขว้างออกไป

ไพ่หายไป บังเกิดเปลวไฟขึ้นมาแทนที่ มันลุกโชติช่วงในอากาศ โอบเข้าล้อมรูปปั้นเอาไว้

พริบตาที่วัยรุ่นสาวปรากฏตัว รูปปั้นก็กลับมามีชีวิตทันที

ชายชราควงไม้เท้ามนตรา กระตุ้นชั้นอากาศให้เกิดไอเย็นเยียบ สร้างชั้นน้ำแข็งห่อหุ้มรอบตัวเขา

วัยรุ่นสาวในชุดขาวเพียงก่อกวน ทำหน้าตาล้อเลียน หันหลัง และวิ่งหนีไป

เธอพังประตูห้องสมุด และวิ่งไปกลางสวน

“ข้าจะฆ่าเจ้า!” ชายชราตะโกนคร่ำครวญ

ชายชราเคาะไม้เท้าตนลงกับพื้นอย่างแรง

ทันใดนั้นงูสีดำก็ผุดออกมา มันเหลียวหลังสบตากับเขา และเลื้อยออกไปล่าเป้าหมายด้วยความว่องไวดั่งสายฟ้าฟาด

หนึ่งไล่ล่า หนึ่งหลบหนี ในไม่ช้าทั้งคู่ก็หายไกลออกไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลานั้นเอง ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเตาผิง

เป็นกู่ฉิงซาน

เขากุมดาบยาวในมือ และยื่นมันเข้าไปในกองไฟ

ปรากฏรังสีดาบกะพริบไหว ผนังถูกเปิดออก

กล่องอันงดงามถูกวางอยู่ภายในกำแพงอย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานจีบมือเข้า เคลื่อนย้ายกล่องใบนั้นเก็บใส่ถุงสัมภาระ

ต่อมา กู่ฉิงซานก็หายวับไปจากสถานที่เดียวกัน

ตลอดทั้งกระบวนการ กินเวลาแค่เพียงหนึ่งวินาทีเท่านั้น

เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในท่อระบายอากาศ และตะโกนทันที “ยกเลิกการอัญเชิญ!”

ณ สวนภายนอกห้องสมุด

ซีน้อยที่กำลังวิ่งเต้นอยู่พลันสลายเป็นควันในทันใด หายไปจากสายตาของชายชรา

ชายชราแข็งค้าง

“บัดซบ!”

เขาร่ำร้องตะโกน และสาดมนตราไปยังสถานที่เดิม ที่ซีน้อยเคยยืนอยู่

ตูม…

ปรากฏแอ่งลึกบนพื้นดิน

อีกด้านหนึ่ง

ไพ่อัญเชิญได้กลับมาปรากฏขึ้นต่อหน้ามดน้อย

ภายในไพ่ เป็นซีน้อยที่กำลังสบสายตา ส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเขา

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง

ในที่สุดชายชราก็คล้ายตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขาเร่งกลับไปยังห้องสมุดเพื่อตรวจสอบสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

แล้วก็พบกับช่องว่างใหญ่ตรงผนัง ซึ่งภายในมีเพียงความว่างเปล่า

ขณะเดียวกัน ผีเสื้อตัวหนึ่งก็ได้บินออกจากหลังคาห้องสมุด สยายปีกฝ่าลมหิมะตรงไปยังสิ่งปลูกสร้างหลังต่อไป…

…………………..

ภายในเขาวงกต

อันที่จริงหากจะเรียกมันว่าเขาวงกตก็คงจะไม่ถูกนัก สมควรจะกล่าวว่ามันเป็นวังที่ดูยิ่งใหญ่และงดงามซะมากกว่า

เมื่อกู่ฉิงซานเดินลงมาจากผืนทราย ก็ราวกับได้เข้าสู่อีกโลกหนึ่ง

เขายืนอยู่ปากทางเข้าวัง ตะลึงงันกับฉากที่อยู่เบื้องหน้า

แสงมรกตสีเขียว

แสงดาราสีฟ้า

แสงหมอกสีเทา

แสงบริสุทธิ์สีขาว

แสงสีม่วงเข้ม

แสงสีทองสดใส

แสงทมิฬอันมืดมิด

เจ็ดแสงที่กล่าวมา ก่อร่างเป็นรูปลักษณ์ของมนุษย์ คล้ายกันกับมนุษย์แสงเจ็ดตนที่มิอาจมองเห็นเค้าโครงหน้าได้อย่างชัดเจน กำลังลอยอยู่เงียบๆ เหนือพระราชวัง

“พวกเขาเหล่านี้คือเทพวิญญาณใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ไม่ใช่ แสงพวกนี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของพลังแห่งทวยเทพภายในนี้เท่านั้น” ซีน้อยกล่าว

วังทั้งหลังช่างยิ่งใหญ่และงดงาม แม้เขาจะเพียงยืนอยู่นอกประตูวัง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งปลูกสร้างมากมายที่เชื่อมต่อกับด้านหลังของพระราชวัง ขยายออกไปถึงส่วนลึกของทะเลทราย มิอาจเห็นได้ถึงจุดสิ้นสุด

ในส่วนของกำแพงภายนอกวัง มันช่างทนทานและสวยงาม จัดวางเรียงรายไว้ด้วยรูปปั้นมนุษย์สีขาวบริสุทธิ์ โครงร่างเพรียวบาง งดงามราวกับมีชีวิต ก่อให้เกิดบรรยากาศที่ดูเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์

จากเบื้องบน ร่างแสงทั้งเจ็ดล้วนไม่มีตนใดแยแสต่อการปรากฏตัวของกู่ฉิงซาน

อย่างไรก็ตาม มีซองจดหมายที่ประทับตราขี้ผึ้งปิดผนึกเอาไว้ตกลงมาจากฟ้าเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรับซองจดหมาย

ซองจดหมายเกิดการระเบิดขึ้นอย่างกะทันหัน

เสียงที่น่าเกรงขามดังขึ้นจากในอากาศ

“สดับฟังให้จงดี เจ้าคือมนุษย์คนแรกที่สามารถมาถึงที่นี่ ดังนั้นเจ้าจะได้รับการอธิบายถึงเรื่องราวต่างๆ จากเรา และได้รับมอบรางวัลเพียงหนึ่งเดียว”

“หลายปีที่ผ่านพ้น เราได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าสถานการณ์ดั่งเช่นในวันนี้มันต้องเกิดขึ้น”

“เมื่อวันหนึ่งพวกเราได้จากไป และผนึกถูกปลดออก มันเป็นไปได้ว่าสิ่งชั่วร้ายจะเข้าควบคุมนักรบที่ทรงพลังจำนวนมาก กระทั่งรวมไปถึงบางส่วนที่คิดหมายจะขโมยหรือทำลายสิ่งประดิษฐ์เทวะ”

“แต่จงมั่นใจเถอะ ว่าเมื่อบุคคลที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับแสงปรากฏขึ้น อำนาจชั่วร้ายจะถูกระงับลงชั่วคราว และมันจะไม่สามารถครอบครองร่างกายของเจ้า หรือจองจำจิตวิญญาณของเจ้าได้”

“นอกจากนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว เราจึงได้สร้างเขาวงกตแห่งนี้ขึ้น เพื่อฝังสามสิ่งประดิษฐ์เทวะเอาไว้”

“สิ่งชั่วร้ายที่ว่านั่นไม่สามารถค้นพบสิ่งประดิษฐ์เทวะได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ขณะเดียวกันเจ้าเองก็อยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน”

“เพื่อช่วยให้เจ้าสามารถหลีกเลี่ยงการขัดขวางจากสิ่งชั่วร้าย ดังนั้นเราจึงได้สร้างวิธีการชั่วคราวสำหรับการทดสอบขึ้น”

“วิธีที่ว่าคือ เดินทางข้ามผ่านห้วงมิติและเวลา”

เหรียญหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากในความว่างเปล่า ตกลงในมือของกู่ฉิงซาน

เสียงอันน่าเกรงขามยังคงกล่าวต่อ “ด้วยเหรียญนี้ เจ้าจะสามารถข้ามผ่านกระแสธารแห่งกาลเวลา แล้วย้อนกลับไปยังช่วงเวลาห้านาทีที่พึ่งผ่านพ้นมาได้”

“ทว่าโปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าเหรียญนี้สามารถเปิดใช้งานได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ยามใช้งานมันเจ้าจำต้องเปล่งคาถา พระบัญญัติแห่งทวยเทพ”

“ด้วยสิ่งนี้ มันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ได้”

“เวลานี้ก็จงไปเถิด ไปค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะ”

“มนุษย์เอ๊ย สิ่งที่เจ้ากำลังจะต้องพบเผชิญ มันคือการดำรงอยู่ที่เลวร้ายที่สุดของทวยเทพ ดังนั้นเจ้าจักต้องผนึกมันลงอีกครั้งให้จงได้”

“เมื่อบรรลุภารกิจ เจ้าก็จะได้กลายเป็นกึ่งเทพ”

“นี่คือสัญญาของทวยเทพที่มีต่อเจ้า”

ว่าจบ เสียงนั้นก็ค่อยๆ หายไป

กู่ฉิงซานวางเหรียญบนฝ่ามือ และลองสังเกตมันอย่างใกล้ชิด

เขาพบว่าเหรียญนี้ช่างราบเรียบ ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลัง มันก็ไม่มีรูปหรือข้อความใดๆ เขียนเอาไว้เลย

เป็นเหรียญที่บางและเรียบง่าย มิได้งดงามเท่าใดนัก

แต่แล้วเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน ในสายตาของเขา เส้นแสงหิ่งห้อยบนหน้าต่างเทพสงครามเริ่มปรากฏขึ้น

“โปรดทราบ ว่าระบบเองก็พึ่งจะเคยสัมผัสกับเจ้าสิ่งนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน”

“ระบบเทพสงครามจึงไม่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ เกี่ยวกับเหรียญนี้แก่คุณได้”

“สิ่งเดียวที่สามารถมั่นใจได้อย่างแน่นอน นั่นก็คือ เหรียญนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นของเลียนแบบ เป็นสิ่งที่ถูกจำลองขึ้นมาแบบหยาบๆ”

ของเลียนแบบงั้นเหรอ?

กู่ฉิงซานเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เพียงแค่ของเลียนแบบ แต่กลับสามารถทำให้ผู้คนเดินทางข้ามกาลเวลา และกลับไปยังเมื่อห้านาทีที่แล้วได้เชียวหรือ?

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “ระบบ พวกเราเองก็ดูเหมือนว่าจะสามารถข้ามกาลเวลาได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ งั้นพวกเราสามารถย้อนอดีตเหมือนกับเหรียญนี่ได้ไหม?”

ติ๊ง!

ระบบเทพสงครามตอบ “ก่อนที่คุณจะเข้าสู่โลกเก้าร้อยล้านชั้น ฉันครอบครองพลังที่สามารถใช้เดินทางข้ามผ่านกาลเวลาได้ก็จริง”

“แต่เมื่อคุณได้เข้าสู่โลกเก้าร้อยล้านชั้น คุณกลับเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไป ดังนั้นชะตากรรมจำนวนมากที่สมควรจะเกิดขึ้นและดับลง จึงถูกบังคับให้แปรผันโดยคุณ”

“ในการต่อสู้ระหว่างวิหคหนาม ชะตากรรมของโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ตัวแปรมากมายถูกสร้างขึ้นภายใต้ห้วงมิติและเวลา ชะตากรรมของผู้คนหลายพันล้านถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง”

“แล้วยังไง?” กู่ฉิงซานถาม

“เพราะการเปลี่ยนแปลงที่คุณนำมา มันมีขนาดใหญ่มากเกินไป มันได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นยักษ์ในสายธารแห่งกาลเวลา และผลกระทบจากระลอกคลื่นเหล่านั้น ล้วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนผันและพัฒนาขึ้นอย่างเงียบๆ ระบบจึงไม่สามารถเดินทางข้ามผ่านกาลเวลาได้อีก”

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “ดังนั้น สรุปสั้นๆ ว่าเหรียญเลียนแบบนี่มีค่ามากๆ เลยใช่ไหม?”

ระบบเทพสงคราม “ใช่ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงของเลียนแบบ แต่อำนาจของมันสามารถนำพาตัวตนเช่นคุณย้อนกลับไปยังห้านาทีก่อนหน้านี้ได้ พลังของมันย่อมต้องเหลือล้นและไม่อาจวัดคำนวณได้”

กู่ฉิงซานไตร่ตรองและกล่าว “แต่มันเป็นแค่ของเลียนแบบ… เรื่องที่ว่ามันไม่ใช่ของจริงนี่ยืนยันแน่นอนแล้วใช่ไหม?”

“ใช่ มันเป็นแค่ของเลียนแบบ เป็นการจำลองแบบหยาบๆ จริงๆ” ระบบยืนยัน

“คุณไม่มีข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับมันจริงๆ เหรอ?” กู่ฉิงซานถามอย่างไม่เต็มใจ

“ไม่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมผัสกับเหรียญนี้” ระบบกล่าว

กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ

ด้วยเหรียญนี้ เขาสามารถย้อนเวลากลับไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อห้านาทีที่แล้วได้

ด้วยเจ้าสิ่งนี้ เขาสามารถย้อนกลับไปด้วยเหตุผลอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นมอบความตายให้แก่ผู้อื่น กลับไปยึดครองสมบัติ หรือเรื่องใดๆ ที่พลาดพลั้งไป ก็ย้อนกลับไปแก้ไข

ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ พลังของมัน เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของผู้คนได้เลย

ก็แล้วถ้าหากของเลียนแบบยังมีพลังมากถึงขนาดนี้ ถ้าอย่างงั้นแล้วของจริงเล่า?

ของจริงใช่ว่ามันเป็นหนึ่งในเหรียญจากเลขทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งตัวเลขหรือไม่?

กู่ฉิงซานตอบสนองในฉับพลัน

เขาส่งเหรียญให้กับซีน้อยและเอ่ยถาม “เธอเคยเห็นเหรียญนี่มาก่อนรึเปล่า หรือไม่ก็ท่ามกลางบรรดาเลขทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งมีเหรียญไหนสามารถใช้เดินทางข้ามผ่านกาลเวลาได้บ้าง?”

สีหน้าของซีน้อยดูแปลกใจ เธอเล่นกับเหรียญสักพักก็เอ่ยตอบ “เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เห็นเหรียญนี่”

มองไปยังสีหน้าที่ดูผิดหวังเล็กน้อยของกู่ฉิงซาน ซีน้อยเร่งอธิบายอย่างจริงจังว่า “ไม่มีเทพวิญญาณตนใดสามารถเดินทางข้ามผ่านกาลเวลาได้หรอก เพราะถ้าทำได้ พวกเขาคงไม่ต้องตายแล้ว”

กู่ฉิงซาน “ถ้างั้นไม่มีเหรียญไหนที่มีความสามารถแบบเดียวกันนี้เลยเหรอ”

“ถูกต้อง” ซีน้อยกล่าว

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างไม่ยินยอม “งั้นทำไมเทพวิญญาณถึงไม่ลอบหลอมเหรียญที่สามารถย้อนกลับไปได้นานกว่านี้ซะล่ะ เช่นเหรียญที่ย้อนเวลากลับไปได้หลายปี…?”

อันที่จริงแล้ว ที่เขาสนใจมันมากถึงขนาดนี้น่ะมันไม่น่าแปลกใจเลย เพราะแม้จะเป็นแค่การย้อนเวลาเพียงครั้งเดียว แต่มันสามารถส่งผลลัพธ์ได้ถึงขนาดไหน เจ้าตัวย่อมตระหนักแก่ใจเป็นอย่างดี

มันสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง ชะตากรรมของโลก และชะตากรรมของผู้คนนับล้านล้านได้!

ถ้าหากว่าเขาสามารถย้อนกลับไปได้อีกครั้ง…

อันที่จริงไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปไกลมากนักก็ได้ ขอเพียงแค่สามารถล่วงรู้ความลับของเหรียญเลขเก้าสี่สี่ และค้นหาจุดอ่อนของนักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาล เขาก็จะย้อนเวลาไป แล้วก็เชือดมันทิ้งซะ!

ในกรณีนี้ ไม่เพียงแต่สามารถช่วยให้ผู้คนมากมายรอดชีวิตมาได้ แต่กระทั่งท่านหญิงแบล็กซีก็จะไม่ตกตาย

ซึ่งท่านหญิงแบล็กซีน่ะเป็นคนที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา!

ตราบใดที่เขาสามารถช่วยชีวิตเธอได้ เขาก็จะสามารถล่วงรู้ถึงเรื่องราวทุกอย่าง!

ซีน้อยส่ายหัวและกล่าว “เจ็ดเทพปีศาจคิดว่าการเดินทางข้ามเวลามันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันต่อโลกมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงรังเกียจ และปฏิเสธการย้อนเวลา”

เธอมองมายังกู่ฉิงซาน กล่าวด้วยความลังเลว่า “พูดแบบนี้อาจเป็นการดูหมิ่นทวยเทพ แต่ว่าเจ็ดเทพปีศาจน่ะไม่มีพลังในการเดินทางข้ามมิติเวลาหรอกนะ พลังของพวกเขานั้นอ่อนแอที่สุดในหมู่เทพทั้งมวล ในจำนวนเหรียญทั้งหนึ่งพันหนึ่งเหรียญ พวกเขาสร้างขึ้นได้เพียงเจ็ดร้อยเหรียญแรกเท่านั้น ส่วนอีกสามร้อยหนึ่งเหรียญที่เหลือ ถูกสร้างขึ้นมาโดย สี่เทพทรงธรรม”

“หมายความว่าสี่เทพทรงธรรมสามารถเดินทางข้ามผ่านกาลเวลาได้ใช่ไหม?”

“ไม่ซะทีเดียว ฉะนั้น อนุมานได้ว่าเหรียญนี่อาจเป็นสิ่งที่เทพปีศาจทั้งเจ็ดได้รับมาโดยบังเอิญ”

“งั้นทำไมพวกเขาถึงไม่เก็บมันไว้ใช้เองล่ะ?”

“มีหลายสิ่งที่เกี่ยวโยงกับพลังของเทพวิญญาณมากเกินไป เหรียญนี่เพียงอนุญาตให้มนุษย์ธรรมดาเดินทางข้ามเวลาได้ห้านาทีเท่านั้น ฉันคิดว่าเทพวิญญาณคงไม่อาจใช้มันด้วยตนเองได้”

ซีน้อยยื่นเหรียญคืนให้แก่เขา

กู่ฉิงซานรับเหรียญมา ปากอ้าถอนหายใจ

งั้นก็ช่างมันเถอะ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการค้นหาสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะ

………………….

ชายดำเมี่ยมพอได้ยินคำกล่าวของกู่ฉิงซาน เจ้าตัวก็พลันจมลงสู่ความเงียบ

เงียบสักพักหนึ่งเลย ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่าสมควรตอบคำถามของกู่ฉิงซานอย่างไรดี

หลังจากเฝ้ารออยู่เนิ่นนานกว่าหนึ่งนาที สุดท้ายชายผิวดำเมี่ยมเอ่ยปาก “ภรรยาและลูกของข้าตายไปแล้ว”

“ตายอย่างงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานยิ้ม “โปรดอย่าได้ล้อเล่นเลย ภรรยาคุณแข็งแกร่งยิ่งกว่าคุณเสียอีก ฉะนั้นในเมื่อกระทั่งคุณยังไม่ตาย แล้วเธอจะตายลงได้ยังไง?”

ชายดำเมี่ยมเงียบไปอีกครั้ง

เขาตริตรอง เค้นสมองอย่างหนักเพื่อหาวิธีรับมือกับคำถามนี้

กู่ฉิงซานมองเขาด้วยรอยยิ้ม แววตาสาดประกายเย็นชา

แทบจะแน่นอนแล้วว่านี่เป็นตัวปลอม

ทว่ากลิ่นอายและอำนาจจากร่างกายของอีกฝ่าย แม้กระทั่งหางแมงป่องที่ใช้แทงในการโจมตีก่อนหน้านี้ มันเหมือนกับชายแมงป่องไม่มีผิดเพี้ยนเลย

ไม่รีรอให้ชายดำเมี่ยมตอบคำถาม กู่ฉิงซานก็เปิดใช้งานดิสก์ค่ายกล

เขาหายตัวไปจากที่นั่นอีกครั้งพร้อมกับซีน้อย

ในทะเลทรายอันห่างไกล

รังสีแสงสวรรค์กะพริบไหวอีกครั้ง

ร่างของกู่ฉิงซานกับซีน้อยปรากฏขึ้น

กู่ฉิงซานเอาดิสก์ค่ายกลออกจากอกเสื้อ ดึงศิลาวิญญาณที่ฝังไว้ภายในออกมา

ทันทีที่ศิลาวิญญาณเหล่านี้ถูกนำออก พวกมันก็แหลกเป็นผง ปลิวไปกับสายลม

เดิมที ศิลาวิญญาณที่ติดตั้งลงไปในมัน คือศิลาวิญญาณที่ดีที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะสามารถใช้งานได้อยู่หลายครั้ง

แต่ในครั้งแรกที่พยายามหลบการโจมตีของแมงป่องดำ เขาใช้งานค่ายกลหนักมือมากไปหน่อย ส่งผลให้พลังงานของศิลาวิญญาณที่สูญเสียไปค่อนข้างสูง

กู่ฉิงซานนำศิลาวิญญาณทั้งหมดออกมา และยัดอันใหม่ลงไปในดิสก์ค่ายกล

“จากสองครั้งที่ผ่านมา เท่านี้รูปแบบการเคลื่อนไหว และวิธีการโจมตีของราชาแมงป่องดำก็ถูกคัดลอกได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

“สรุปว่าราชาแมงป่องตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม?” ซีน้อยถาม

“ตอนแรกฉันคิดว่าใช่ แต่ตอนนี้สงสัยว่าน่าจะยังไม่ตาย” เขากล่าว

“แล้วนายรู้ได้ยังไง?”

“ก็ถ้าราชินีแมงป่องตายไปแล้ว มอนสเตอร์เมื่อครู่คงจะเอ่ยตอบทันทีว่า ‘ภรรยาและลูกของข้าตายไปแล้ว ดังนั้นเจ้าสามารถพาข้าไปด้วยได้เลย’ อะไรแบบนี้”

“นี่มันเป็นคำตอบง่ายๆ และตรงที่สุด และเขายังสามารถทำได้ถึงขั้นนำศพของราชินีแมงป่องออกมาให้ฉันดู”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “แต่เขาก็ไม่ทำ แถมยังไม่ตอบทันที จมอยู่ในห้วงความคิดยาวนาน”

ซีน้อย “เขาคิดนานจริงๆ”

กู่ฉิงซานหัวเราะ “นั่นทำให้พวกเราได้รู้เพิ่มอีกเรื่องหนึ่ง มอนสเตอร์ตัวนี้ไม่เก่งกาจในด้านการสื่อสารกับผู้คน ดังนั้นมันจึงไม่ทราบว่าการเงียบเป็นเวลานาน จะทำให้คนอื่นเกิดความระแวงสงสัยขึ้น”

“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี?” ซีน้อยถาม

“ฉันได้ข้อมูลมามากพอแล้ว ตอนนี้พวกเราจะกลับไปหาเขาอีกครั้ง และทำอะไรให้มันชัดเจน” เขากล่าว

“ก็แล้วนายจะทำยังไง? นายคิดจะใช้ค่ายกลทำแบบเดิมซ้ำๆ อีกงั้นเหรอ?” ซีน้อยถาม

กู่ฉิงซาน “ไม่หรอก ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่สามารถสังหารราชาแมงป่องได้ ก่อนที่พวกเราจะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง”

ชายดำเมี่ยมยังคงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางทะเลทราย

เขาดูหงุดหงิดมาก

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้ากันแน่นะ?

ทำไมคนคนนั้นถึงสามารถใช้พลังมิติได้อย่างอิสระ และหลบหนีไปจากตัวเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า?

มันน่าเสียดายจริงๆ ที่พลังส่วนใหญ่ของเขาถูกผนึกเอาไว้ใต้ทะเลทรายโดยฝีมือของมนุษย์แสง

มิฉะนั้น เขาคงสามารถคว้าตัวคนคนนั้น และเค้นถามหาวิธีออกไปจากโลกใบนี้แล้ว

ทว่าระหว่างกำลังอยู่ในห้วงความผิดหวัง ดั่งสำนวนคิดถึงโจโฉ โจโฉก็มา

กู่ฉิงซานกับซีน้อยปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอีกครั้ง

“ภรรยาและลูกๆ ของข้าตายไปแล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าจงเร่งพาข้าออกไปจากโลกใบนี้เถอะ” ชายดำเมี่ยมกล่าว

นี่คือประโยคที่เขาใช้เวลาเคี่ยวกรำมาอย่างยาวนาน

“คุณไม่ใช่ราชาแมงป่องดำ” กู่ฉิงซานโพล่งออกไปตรงๆ

“อืม…เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?”

“เพราะว่าผมพึ่งจะได้เจอเขาตัวจริง” กู่ฉิงซานเฉลย

ชายดำเมี่ยมส่ายหัวและกล่าว “นั่นมันเป็นไปไม่ได้ ข้ายืนอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ที่เจ้าเห็นคงเป็นตัวปลอมแล้ว”

“จงปรากฏ” กู่ฉิงซานตะโกน

ดิสก์ค่ายกลในมือของเขาสาดรังสีแสงสวรรค์สว่างวาบ

วินาทีต่อมา ชายดำเมี่ยมอีกคนก็ปรากฏขึ้นข้างกายเขา

ชายดำเมี่ยมคนนี้ เหมือนกันกับราชาแมงป่องที่คอยปกป้องทางเข้าเขาวงกตทุกประการ ไม่มีร่องรอยใดๆ แตกต่างกันเลย

ชายดำเมี่ยมทั้งสองมองหน้ากันและกัน

“นั่นมันตัวปลอม!”

“เจ้าบังอาจแสร้งลวงเป็นข้า!”

ทั้งสองตะโกนด้วยความโกรธ พุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน

ตูม!

เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ชั้นอากาศที่มองไม่เห็นสั่นสะท้าน

ทั้งสองชักฝีเท้า ถอยกลับมายังตำแหน่งเดิมที่ตนเคยอยู่

“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร…”

ชายดำเมี่ยมที่คอยเฝ้าทางเข้าเขาวงกตงึมงำเสียงกระซิบ

ไม่ว่าจะเป็นในด้านความแข็งแกร่ง รูปแบบการโจมตี ลักษณะนิสัย ฯลฯ ล้วนเหมือนตนเองทุกประการ แถมดูเหมือนว่าในด้านของประสบการณ์ต่อสู้ของอีกฝ่าย จะเหนือยิ่งกว่าตนซะอีก

“แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคือตัวจริง ส่วนคุณคือตัวปลอม” กู่ฉิงซานกล่าวกับอีกฝ่าย

ชายดำเมี่ยมไม่อาจเอ่ยคำใด

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ฉะนั้น พวกเราจะพาเขาหนีออกไปจากโลกใบนี้”

หนีออกไป…

พวกเขากำลังจะหนีไปแล้ว

ชายดำเมี่ยมได้สติกลับคืน สีหน้าของเขาสาดประกายดุร้าย คิดหมายจะสลับไปร่างที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามาโจมตีทั้งสาม

‘อย่าพึ่ง! สงบใจไว้ หากคิดที่จะเปลี่ยนเป็นร่างอื่นและหยุดพวกเขา มันคงจะสายเกินไป’

‘ยังไงก็ตาม ความแข็งแกร่งของศัตรูมิได้อ่อนแอเลย แถมยังมีแมงป่องดำที่ครอบครองพลังต่อสู้เทียบเท่ากับข้าอีก ดังนั้นข้าคงไม่สามารถหยุดพวกเขาไม่ให้หนีไปได้’

ในเวลานี้ กู่ฉิงซานมองไปยังชายดำเมี่ยม ส่ายหัวถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นตัวปลอม คุณก็อยู่ที่นี่ตลอดไปเถอะ”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันหลัง เตรียมจะจากไปแล้วจริงๆ ในที่สุด ชายดำเมี่ยมก็อดไม่ได้ต้องตะโกนออกมา “ช้าก่อนคนคนนั้นเป็นตัวปลอม! จิตวิญญาณของราชาแมงป่องแท้จริงแล้วอยู่ที่นี่กับข้า!”

กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าทันที

จิตวิญญาณอย่างงั้นเหรอ?

จิตวิญญาณอยู่กับเขา?

อ้างอิงตามคำนี้ หมายความว่าราชาแมงป่องสมควรจะถูกควบคุมร่างกายอยู่อย่างชัดเจน

มอนสเตอร์ที่ถูกผนึกอาจจะใช้วิธีการบางอย่างเพื่อเข้าสิงร่างกายของราชาแมงป่อง และแทนที่จิตวิญญาณของอีกฝ่าย

สิ่งนี้ มันคล้ายกันกับวิชายึดร่างสถิตที่ของผู้ฝึกยุทธเลย อาจารย์ของหงส์เต๋าเคยใช้ในโลกล่องเวหา

แต่การยึดร่างสถิตมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เพราะหากพลาดพลั้ง ผู้ใช้วิชาจะสูญสิ้นทุกอย่างที่ตนไปจนหมดสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปน่ะมีอยู่มากมาย วิชายึดร่างสถิตของผู้ฝึกยุทธย่อมไม่อาจใช้งานกับคนจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้

ยังไงก็ตาม ผู้พิทักษ์ทั้งหมดได้หายตัวไป

สิ่งนี้สามารถอนุมานได้อีกเรื่องหนึ่ง ว่าพลังของมอนสเตอร์ตนนี้ สามารถใช้ควบคุมคนจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้

แต่จนกระทั่งถึงขณะนี้ กู่ฉิงซานยังไม่เห็นผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้นเลย

ส่งผลให้พอจะอนุมานเพิ่มได้อีกเรื่องหนึ่ง…

นั่นคือ แม้ว่ามอนสเตอร์จะสามารถควบคุมร่างกายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้ แต่มันสามารถใช้งานร่างกายของสิ่งมีชีวิตได้ทีละหนึ่งเท่านั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ราชินีแมงป่องยังมีชีวิตอยู่ แต่ในขณะนี้เธอถูกเก็บตัวไว้ในฐานะร่างสำรองของมอนสเตอร์

ดังนั้น สิ่งที่จะต้องทำตอนนี้ก็ได้ข้อสรุปแล้ว

กู่ฉิงซานทำการคาดคำนวณจนเสร็จสิ้น และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

ซึ่งคราวนี้ มันเป็นเสียงหัวเราะที่แท้จริงของเขา หัวเราะด้วยความปีติเป็นอย่างยิ่ง

เขาหันไปเอ่ยกับคนข้างๆ ว่า “ซีน้อย หลังจากนี้ไปเธอต้องรู้จักสื่อสารกับคนภายนอกให้มากเข้าไว้นะ จะได้ไม่ถูกจับพิรุธได้แบบเขา ที่สุดท้ายก็เผยความลับทุกอย่างออกมาให้เห็นด้วยตัวเอง”

ซีน้อยถอนหายใจ “แต่ฉันคิดว่าปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าเขาดันโชคร้ายมาพบกับนายมากกว่า”

ชายดำเมี่ยมที่ยืนอยู่ข้างกายกู่ฉิงซานเอ่ยปาก “นายน้อย แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อดี?”

กู่ฉิงซาน “ก็ง่ายๆ”

เขาโยนดิสก์ค่ายกลลงกับพื้น

บังเกิดประกายแสงสวรรค์กะพริบไหวขึ้นเบื้องหน้า

ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลกำลังจะถูกเปิดใช้งานในอีกไม่ช้า!

ซ้ายคว้าหมับ!กับมือชายดำเมี่ยม ขวาคว้าหมับ!กับมือของซีน้อย พริบตานั้นทั้งสามหายไปจากสถานที่เดียวกัน

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

ชายดำเมี่ยมที่คอยเฝ้าปากทางวงกตพลันถูกสลับตำแหน่ง มาปรากฏขึ้นในจุดเดิมของกู่ฉิงซาน

และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ค่ายกลถูกเปิดใช้งานพอดิบพอดี!

เขาถูกส่งหายวับไป

แต่กู่ฉิงซานกับอีกสองคนปรากฏขึ้นแทนที่ในตำแหน่งเดิมของชายดำเมี่ยม

“ไปกันเถอะ ได้เวลาเข้าไปในวงกตแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

“แล้วเรื่องของราชาแมงป่องล่ะ?” ซีน้อยอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม

กู่ฉิงซาน “ระยะทางที่มอนสเตอร์ตนนั้นถูกส่งออกไปค่อนข้างจะไกล ไหนจะกับดักค่ายกลอีก มันไม่น่าจะสามารถกลับมาได้ในเร็วๆ นี้ ขณะเดียวกันมันย่อมต้องรู้ว่าพวกเราสามารถเข้าสู่เข้าวงกตได้แล้ว ดังนั้นมันย่อมตัดสินใจละทิ้งร่างของราชาแมงป่องทันที และเลือกเข้าไปควบคุมผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ที่ถูกเก็บตัวไว้ในวงกตแทน เพื่อขัดขวางไม่ให้เราเก็บกู้สิ่งประดิษฐ์เทวะ”

“ด้วยเหตุนี้ เจ้ามอนสเตอร์ก็จะไม่มีทางรู้ได้ว่า ฉันเข้าไปในวงกตได้ยังไง ขณะเดียวกันราชาแมงป่องดำก็จะเป็นอิสระ”

“ในกรณีนี้ ราชาแมงป่องย่อมต้องกลับมาช่วยเหลือภรรยาและลูกๆ ของเขาอย่างแน่นอน เมื่อเขาเข้ามาในวงกต เขาก็จะสามารถช่วยฉันเบนความสนใจของมอนสเตอร์ไปได้”

“ตอนนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลาเริ่มภารกิจของพวกเราสักที”

กู่ฉิงซานหันไปมองชายผิวดำเมี่ยม

“ฉานนู่ เจ้าสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว”

“เจ้าค่ะนายน้อย”

ชายผิวดำเมี่ยมเบื้องหน้า กลายร่างกลับคืนเป็นหญิงในชุดคลุมฟ้า

หญิงในชุดคลุมฟ้ายื่นกิ่งไม้สีดำคืนให้แก่กู่ฉิงซาน

มันคือหมุดที่แมงป่องดำเคยมอบให้กับกู่ฉิงซาน

เมื่อครู่นี้ ฉานนู่ได้ใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต

เมื่อครู่สองชายดำเมี่ยมปะทะกัน ฉานนู่ใช้กิ่งไม้ดำโจมตี ผลลัพธ์เลยเป็นเสมอกัน รูปแบบการโจมตีเดียวกัน

กู่ฉิงซานก้มลงมองหมุด และถอนหายใจอย่างเงียบๆ

ในความเป็นจริง เขาวางแผนที่จะกลายเป็นราชาแมงป่องซะเอง เผยสองร่างให้เกิดความสับสน แล้วให้ซีน้อยฉวยจังหวะใช้เจ้าสิ่งนี้สังหารอีกฝ่ายลง

แต่ตอนนี้ พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายคือร่างกายจริงๆ ของราชาแมงป่อง และยังมีโอกาสที่จะช่วยชีวิตของราชาได้ ดังนั้นหากจะให้ลงมือตามแผนเดิมเลยมันคงไม่ดี

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ราชาแมงป่องเองก็เป็นคนดีคนหนึ่ง หากจะให้ฆ่าแล้วรับเอาแต้มพลังวิญญาณไป ในหัวใจของกู่ฉิงซานคงอดรู้สึกผิดไม่ได้

“เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ มันอาจจะสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

“เข้าใจแล้วนายน้อย” ฉานนู่ชักหมุดกลับคืน

ซีน้อยจ้องมองใบหน้าเย็นชาของฉานนู่ ร้องอุทาน “ว้าว พี่สาวสวยมากๆ เลย พี่สาวเป็นใครเหรอ?”

“สวัสดี ข้าคือดาบของนายน้อย เรียกว่าฉานนู่” หญิงชุดคลุมฟ้าทักทายเล็กๆ น้อยๆ

ซีน้อยเร่งกล่าว “ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเป็นคู่หูของนายน้อยคุณ เรียกฉันว่าซีน้อยก็ได้นะ”

“เข้าใจแล้วซีน้อย” ฉานนู่เผยรอยยิ้มแย้มบนใบหน้า หลังจากเรียกชื่อวัยรุ่นสาวคำหนึ่ง

เธอติดตามกู่ฉิงซานตลอดเวลา ดังนั้นย่อมเห็นทุกสิ่ง และเกิดความประทับใจดีๆ ต่อซีน้อยเป็นอย่างมาก

กู่ฉิงซาน “โอเค เรื่องสนทนาเอาไว้พอแค่นี้ พวกเราควรรีบเข้าไปข้างในได้แล้ว”

ฉานนู่เปลี่ยนเป็นดาบขุนเขาเทวะหกโลกา บินหายเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหลังกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานพาซีน้อยตรงไปยังเนินทราย

ในขณะที่พวกเขาเดินเข้าไป เนินทรายก็ค่อยๆ แหวกออกเป็นสองฟากฝั่ง

ปรากฏบันไดหินทอดยาวลงไปเบื้องหน้าของทั้งสอง

อีกด้านหนึ่ง

รังสีแสงสวรรค์กะพริบไหว กระจายตัวออกไป

ชายดำเมี่ยมปรากฏขึ้นใจกลางค่ายกล

“อ๊ะ นี่มันเทคนิคส่งผ่านระยะไกล”

สีหน้าของเขาแลดูเย็นชา หันมองไปรอบๆ

จะต้องรีบกลับไปทันที!

พริบตานั้นชายดำเมี่ยมก็ทะยานตัวขึ้น เตรียมจะบินกลับไป แต่ทว่า…

ฟิ้ว!

ประกายแสงดันกะพริบไหวอีกครั้ง

ทั้งคนทั้งร่างของเขาหายตัวไปทันใด และปรากฏขึ้นอีกจุดหนึ่งที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง

ชายดำเมี่ยมหันไปมองรอบๆ อีกครา

นี่ข้าถูกส่งผ่านมิติอีกแล้ว?

เขาเริ่มขยับตัวอีกครั้ง

ฟิ้ว!

ประกายแสงกะพริบไหว

แต่คราวนี้เขาพึ่งจะก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกส่งไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายอื่น

นี่คือชุดค่ายกลใหม่ที่กู่ฉิงซานคิดค้นขึ้น

…ค่ายกลเคลื่อนย้ายต่อเนื่อง!

ทุกครั้งเลยที่คิดมุ่งไปทางใด ตราบใดที่เขาเคลื่อนไหว ค่ายกลก็จะถูกกระตุ้นทำงานทันที

เขาจะถูกส่งไป ส่งมาระหว่างชุดค่ายกลเคลื่อนย้ายกว่าสามสิบหกชุด และไม่สามารถหลุดพ้นจากกับดักนี้ไปได้เลย

หากเป็นปรมาจารย์ค่ายกลมาติดอยู่ที่นี่แล้วละก็ จำต้องแก้ไขมันทีละชุด ทีละชุดเท่านั้นจึงจะสามารถออกไปได้

แต่หากเลือกใช้ความรุนแรง…

ชายดำเมี่ยมเหวี่ยงหมัดหนักกระแทกเข้ากับพื้นทรายอย่างแรง

กริ๊ก!

บังเกิดเสียงเบาๆ จากค่ายกล บ่งบอกว่ามันเกือบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

ในหัวใจของชายดำเมี่ยมผ่อนคลายลงทันที

หากเป็นแบบนี้ละก็ย่อมสามารถทะลวงฝ่ามันออกไปได้!

แต่ในอีกวินาทีต่อมา แสงสวรรค์ก็กะพริบไหวอีกครั้ง

เขาถูกส่งไปยังค่ายกลอื่น

ซึ่งยังเป็นค่ายกลที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่บุบสลาย

ชายดำเมี่ยมระเบิดโจมตีด้วยความโกรธ

ตูม!

ตลอดทั้งค่ายกลนี้พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ

แต่ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาลงมือ ค่ายกลก็เริ่มทำงานไปแล้ว

ม่านแสงกะพริบไหว

การเคลื่อนย้ายเสร็จสมบูรณ์

เขาถูกส่งไปยังอีกค่ายกลหนึ่งที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี ไม่มีบุบสลาย!

ชายดำเมี่ยมสูดหายใจเข้าลึกๆ

ดูเหมือนว่าหากเขาไม่ทำลายชุดค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งหมดซะก่อน มันคงจะไม่มีทางออกไปได้!

แต่เจ้าตัวไม่อาจเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว

เพราะชายคนนั้นกำลังเข้าสู่เขาวงกต!

“ไม่มีทางเลือก คงต้องออกจากร่างนี้ และกลับไปทันที” ชายดำเมี่ยมบ่นพึมพำ

วินาทีต่อมา ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็สั่นเทา ตกอยู่ในสภาวะแข็งค้าง

หลังจากนั้นหลายลมหายใจ ดวงตาของชายดำเมี่ยมก็ค่อยๆ กลับมาคมชัด

“อ้าว? ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

เขาหันไปมองรอบๆ และค่อยๆ ทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“…กลับกลายเป็นว่ามันเลือกที่จะใช้งานร่างกายของข้า”

“ชักไม่ดีแล้ว คุณภรรยาและลูกน้อยของข้า รอก่อนนะ ข้าจะไปช่วยพวกเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ!”

ว่าจบ ชายผิวดำก็พุ่งไปข้างหน้า

ม่านแสงกะพริบไหว

เขาถูกส่งมายังอีกค่ายกลหนึ่ง

ขบคิดเล็กน้อย ก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ชายผิวดำกล่าวด้วยห้วงอารมณ์ “ดี ดีมาก เพราะแบบนี้เองสินะ มันถึงตัดใจทิ้งการควบคุมกายข้าไปอย่างเร่งร้อน ไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่คิดจะปลิดชีวิตสังหารทิ้ง”

ขณะกล่าว หางแมงป่องของเขาก็ยืดยาวออกมา และเริ่มจ้วงทำลายชุดค่ายกลอย่างบ้าคลั่ง

…………………..

ในทะเลทราย

กู่ฉิงซานลอยอยู่กลางอากาศ สองมือพรมลงบนดิสก์ค่ายกลอย่างว่องไว

เห็นแค่เพียงรังสีแสงสาดไสวออกมาจากดิสก์ค่ายกลอยู่บ่อยครั้ง รังสีแสงเหล่านั้นตกกระจายลงไปตามจุดต่างๆ ของทะเลทรายอันกว้างใหญ่เบื้องล่าง

ซีน้อยเฝ้าดูอยู่พักหนึ่ง อดไม่ต้องที่จะกล่าว “พวกเราคงต้องเร่งมือให้เร็วขึ้นกว่านี้นะ น่ากลัวว่าตอนนี้กวีพยากรณ์บางบทน่าจะถูกถอดรหัสได้บ้างแล้ว”

“ฉันรู้น่า” กู่ฉิงซานรับคำ

ซีน้อย “แต่ราชาแมงป่องทรงพลังมากเกินไป หากปากทางเข้าเขาวงกตถูกปกป้องโดยเขา ฉันเกรงว่าด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกเรา มันคงจะไม่ไหว”

“อืม ฉันรู้แล้ว” กู่ฉิงซานรับคำดังเดิม

เขาเปลี่ยนทิศทาง แต่ยังคงเริ่มจัดวางค่ายกลต่อ ตามลำดับ

ซีน้อยเห็นเขาใจจดใจจ่อกับสิ่งอื่น คล้ายไม่ได้เพ่งสมาธิรับฟัง จึงกล่าวเตือน “มอนสเตอร์ในหุบเหวตนอื่นๆ ล้วนมีระดับพอๆ กับเขา บางคนอาจจะเก่งกว่าเขาเสียอีก ด้วยกำลังรบที่พรั่งพร้อมขนาดนั้น คงไม่มีใครสามารถเข้าไปในเขาวงกตและนำเอาสิ่งประดิษฐ์เทวะออกมาได้”

“เรื่องนั้นฉันเองก็รู้แล้วเหมือนกัน”

ซีน้อยเอื้อมมือออกไป คว้าแขนเขาที่กำลังขยับไปมา “ถ้านายไม่สามารถเป็นกึ่งเทพได้ นายก็จะไม่สามารถผนึกมอนสเตอร์ และพวกเราก็จะตายลงที่นี่!”

แขนที่ขยับไหว และกำลังจัดวางค่ายกลถูกขัดจังหวะลงอย่างกะทันหัน

เวลานี้ กู่ฉิงซานไม่สามารถจัดวางค่ายกลได้อย่างสงบอีกต่อไป

เขาหยุด และกล่าวอย่างไร้หนทาง “ฉันรู้ทุกอย่างที่เธอพูดมา ดังนั้นฉันเลยต้องเตรียมตัวก่อนนี่ไง”

มองไปยังสีหน้าแสนสงบของกู่ฉิงซาน ซีน้อยจึงค่อยคลายใจลงเล็กน้อย

“แล้วนายกำลังเตรียมอะไรอยู่?” เธอถามด้วยความสงสัย

กู่ฉิงซาน “ฉันยังไม่แน่ใจว่าราชาแมงป่องตายแล้วจริงๆ รึเปล่า ดังนั้นฉันเลยกำลังเตรียมกลยุทธ์ที่ช่วยให้ไม่ต้องมีฝ่ายไหนได้รับบาดเจ็บอยู่น่ะ”

“เดิมที ฉันคิดค้นกลยุทธ์นี้ขึ้นมาตั้งนานแล้ว แรกเริ่มมันเกิดจากความคิดที่ว่า หากเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่อยากจะฆ่าสังหารกันจะต้องทำอย่างไรดี? ดังนั้นจึงปรากฏชุดค่ายกลนี้ขึ้น ”

“มันเป็นค่ายกล? ถ้าเรื่องค่ายกลล่ะก็ ฉันพอจะรู้จักมันอยู่บ้าง แต่ฉันไม่เคยเห็นรูปแบบค่ายกลที่จัดวางสะเปะสะปะ แบบที่นายกำลังทำอยู่มาก่อนเลย ” ซีน้อยขมวดคิ้ว

“เวลายิ่งผ่านพ้น อะไรๆ มันก็ก้าวหน้า ค่ายกลรูปแบบใหม่ๆ มันก็ย่อมต้องปรากฏขึ้นเป็นธรรมดา” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาเริ่มจัดวางค่ายกลอีกครั้ง ปากเอ่ยถาม “ซีน้อย เมื่อคราวก่อน เธอปิดผนึกมอนสเตอร์ตัวนี้ได้ยังไง?”

ซีน้อยย้อนนึกอยู่พักหนึ่ง ตอบกลับไป “ฉันสู้ไม่ถอย สู้ สู้ และสู้จนมันไม่สามารถต่อต้านได้ จากนั้นก็เริ่มผนึกมัน”

กู่ฉิงซานพูดไม่ออก

“เจ้ามอนสเตอร์นั่น มันคงไม่ปล่อยให้เธอกระทำฝ่ายเดียวหรอกมั้ง?” เขาถาม

“มันพยายามที่จะคว้าจับฉันด้วยมือยักษ์นับไม่ถ้วน และสาดการโจมตีที่มองไม่เห็นมากมายใส่ฉัน”

“การโจมตีที่มองไม่เห็นงั้นเหรอ?”

ซีน้อย “อืม ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการโจมตีที่ว่านั่นมันคืออะไร แต่มันไม่ได้ผลกับฉัน ในขณะที่คนอื่นๆ หรือแม้แต่ทวยเทพ ก็ยังหวาดกลัวการโจมตีที่มองไม่เห็นนี้”

กู่ฉิงซานคิดอย่างรอบคอบ “ดูเหมือนว่าเธออาจจะครอบครองพลังพิเศษบางอย่าง ที่ช่วยให้พลังที่มองไม่เห็นของมอนสเตอร์ไม่อาจสร้างผลกระทบได้”

ในระหว่างกล่าว มือของเขาก็โฉบเข้าใส่ดิสก์ค่ายกล

เปรี้ยง!

รังสีแสงสวรรค์เจิดจ้าขึ้นท่ามกลางผืนทราย

แสงสวรรค์เหล่านี้สะท้อนใส่กันและกัน ค่ายกลมากมายที่จัดวางสะเปะสะปะเริ่มพัวพัน เชื่อมรวมกันเป็นหนึ่ง และค่อยๆ หายไปในความว่างเปล่า

จัดวางค่ายกลเรียบร้อย!

กู่ฉิงซานใช้ความรู้สึกรับรู้มันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเก็บดิสก์ค่ายกลกลับคืน “มาเถอะ พวกเราไปรวบรวมข้อมูลเพิ่มกัน”

“จะไปที่ไหน?” ซีน้อยถาม

“เขาวงกตของเจ็ดเทพ” กู่ฉิงซานตอบ

“นายจะไปต่อสู้กับราชาแมงป่องเหรอ!”  ซีน้อยตกใจ

“ไม่สู้หรอก แค่อยากจะถามอะไรเขาสักหน่อย”

“นายคิดจริงๆ เหรอว่าเขาจะตอบคำอย่างตรงไปตรงมา”

“ก็ต้องลองดู”

“…ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่” ซีน้อยถอนหายใจ

ณ ทางเข้าเขาวงกต

กู่ฉิงซานกับซีน้อยลดระดับลงมา

มือข้างหนึ่งของเขากุมซีน้อยเอาไว้ ขณะที่อีกข้างล้วงเข้าไปกำดิสก์ค่ายกลในอกเสื้อ

ชายผิวดำเมี่ยมหยุดยืนอยู่ตรงข้ามกับเขา

“เหตุใดพวกเจ้าจึงกลับมา?” ชายดำเมี่ยมเอ่ยถาม

“เพราะผมลืมบอกบางสิ่งไป” กู่ฉิงซานตอบ

“ลืมบอกสิ่งใด?”

“อ้างอิงตามคำพูดของเทพทั้งเจ็ด หากเข้าสู่เขาวงกต และได้รับสิ่งประดิษฐ์เทวะสามชิ้นมา มันจะสามารถผนึกมอนสเตอร์ที่กำลังจะตื่นขึ้นมาได้ ดังนั้นผมเลยคิดที่จะลองทำดู”

“แล้วเจ้าจะมีวิธีทำมันอย่างไร?”

“ผมค้นพบทางเข้าเขาวงกตแล้ว และมันก็ถูกซ่อนอยู่ในเนินทรายเบื้องหลังคุณ”

“หา? อย่างงั้นหรือ?”

“ใช่ ดังนั้น ทำไมคุณไม่มาเข้าร่วมกับพวกเรา แล้วมุ่งสำรวจเขาวงกตเพื่อค้นหาสามสิ่งประดิษฐ์เทวะด้วยกันล่ะ”

เขาเหลือบมอง เฝ้าสังเกตท่าทีการแสดงออกของชายดำเมี่ยมอย่างใกล้ชิด

เห็นแค่เพียงสีหน้าของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ หม่นทะมึนลง

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ว่าแต่เจ้าค้นพบสถานที่ ที่จะพาออกไปสู่ภายนอกแล้วหรือยัง?” ชายดำเมี่ยมเอ่ยถาม

กู่ฉิงซานชิงเคลื่อนไหวทันที

“ไม่แล้ว เพราะพวกเราคิดว่าสมควรตามหาสิ่งประดิษฐ์เทวะเสียก่อน” เขากล่าวเน้นทีละคำอย่างช้าๆ

วินาทีต่อมา มือในอกเสื้อของเขาก็กดลงบนดิสก์ค่ายกลทันที!

ฟิ้ว!

รังสีแสงกะพริบไหว

ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลถูกเปิดใช้งาน!

ทันใดนั้นร่างของเขากับซีน้อยก็หายไปจากในสถานที่เดียวกัน

ทันทีที่พวกเขาหายไป เสียงฉีกขาดของผืนดินและอากาศก็ดังขึ้นในเวลาเดียวกัน

ฟุ่ม…

หางยาวสีดำทะลวงขึ้นมาจากเบื้องล่าง ในจุดเดิมที่อยู่ฉิงซานเคยยืนอยู่  บังเกิดแรงระเบิด สร้างหลุมบ่อขนาดใหญ่ เม็ดทรายสีเหลืองทั่วบริเวณดังกล่าว ทั้งหมดกลายเป็นสีเขียวเข้มและถูกพิษร้ายแรงของมันสลายไป

“หายตัวไปแล้ว? น่าเสียดายจริง เกือบจะจัดการได้อยู่แล้วเชียว!”

ชายดำเมี่ยมบ่นพึมพำ เจตนาฆ่าอันลึกล้ำผุดขึ้นมาแล้วบนใบหน้าของเขา

ในทะเลทราย

ห่างออกไปไกลสุดๆ จากอีกฟากหนึ่ง

รังสีแสงสวรรค์ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า สาดแสงหลากสีสดใส

แสงที่ว่านี้กระจัดกระจายไปอย่างรวดเร็ว และร่างทั้งสองก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางทะเลทราย

เป็นกู่ฉิงซานกับซีน้อย

“อะไรกัน ที่แท้นายก็จัดวางค่ายกลเคลื่อนย้ายเองหรอกเหรอ?” ซีน้อยถาม

“ใช่ เพราะมันสะดวกสบาย จะเคลื่อนไหวยังไงก็ได้”

ทั้งสองยืนขึ้น และไม่เอ่ยคำใดออกมาสักพัก

คราวนี้ เห็นได้ชัดว่าราชาแมงป่องไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในวงกต สีหน้าของอีกฝ่ายก็เผยให้เห็นถึงเจตนาร้าย

“ตอนนี้พวกเราได้ฉีกหน้ากากของมันออกแล้ว งั้นเกมต่อไปพวกเราจะสู้ยังไงดี?” ซีน้อยถาม

“แต่มันก็รู้สึกแปลกๆ อยู่นะ ที่เขามักจะให้ความสนใจกับเรื่องที่ว่า พวกเราจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้รึเปล่า” กู่ฉิงซานไตร่ตรองเกี่ยวกับมัน พลางกล่าว

ซีน้อยเริ่มตื่นตัวขึ้นมา “หมายความว่าถ้ามอนสเตอร์ประหลาดอยู่ในตัวราชาแมงป่อง มันก็ย่อมต้องการที่จะออกไปจากที่นี่เหมือนกัน อย่างงี้ใช่ไหม”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “มาเถอะ พวกเราจะไปลองอีกครั้ง”

“แต่เราคงต้องเร่งมือให้ไวกว่านี้ ฉันกลัวว่าคนอื่นๆ ที่ได้อ่านกวีพยากรณ์ น่าจะสามารถถอดรหัสมันไปได้หลายบทแล้ว”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่แยแส “ยิ่งกังวลมาก พวกเราก็ยิ่งไม่สามารถเร่งได้มาก ไปกันเหอะ”

หลังจากนั้นไม่นาน

พวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงข้ามกับชายดำเมี่ยมอีกครั้ง

ไม่รีรอให้ชายดำเมี่ยมเคลื่อนไหวใดๆ กู่ฉิงซานก็ร้องตะโกนออกมา “พวกเราค้นพบสถานที่ที่จะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว คุณต้องการที่จะเดินทางไปกับพวกเราไหม?”

ชายดำเมี่ยมเดิมทีอยู่ในสภาวะพร้อมสู้ แรงกดดันตามร่างกายเขาปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทว่าหลังจากได้ยินประโยคนี้ ทั้งหมดพลันสลาย หายไปอย่างไร้วี่แวว

“ออกไปจากที่นี่ ออกไปจากที่นี่ ออกไปจากที่นี่” แมงป่องงึมงำ

“ใช่” กู่ฉิงซานเชื้อเชิญ “เพราะฉะนั้นมาเถอะ มาออกไปจากโลกใบนี้พร้อมกันกับพวกเรา”

แววตาของชายดำเมี่ยมกลายเป็นว่างเปล่า แต่เขาก็ยังพยายามเค้นรอยยิ้มให้อยู่บนใบหน้า “ไอ้โลกบัดซบแบบนี้ แน่นอน มันสมควรแล้วที่พวกเราจะต้องจากมันไป”

เขาเดินตรงเข้ามากู่ฉิงซานกับซีน้อย

“โปรดรอก่อน!” กู่ฉิงซานโบกมือให้อีกฝ่าย

ชายดำเมี่ยมจู่ๆ สีหน้าหม่นทะมึนลงทันใด อ้าปากเปล่งเสียงที่ฟังดูดุร้ายและบ้าคลั่ง “มีเรื่องอะไรอีก? หรือเจ้าไม่ต้องการให้ข้าไปด้วยแล้ว?”

“ไม่ใช่ แต่ผมแค่คิดว่าในเมื่อพวกเรามีโอกาสดีๆ แบบนี้ งั้นทำไมคุณไม่ไปพาภรรยากับลูกมาด้วยกันกับเราล่ะ?” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

………………………………….

ภายในท้องของแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาล

ณ โลกทะเลทราย

ท่ามกลางตลาดมืด

บางคนเปล่งเสียงตะโกนดังขึ้น “พวกเราอ่านเจอบทกวีพยากรณ์แล้ว! สำหรับคนที่ต้องการจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับมัน โปรดพาลูกน้องของคุณมาตกลงแลกเปลี่ยนกับพวกเรา โดยพวกเราจะรับแค่เหรียญที่ล้ำค่ายิ่งกว่าเลขสองร้อยขึ้นไปเท่านั้น ถ้าไม่มีอย่าได้มาคุย!”

ทุกคนต่างหันไปมองตามเสียง

และพบว่าเจ้าของเสียง เป็นชายแข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง

หลังจากที่เขาตะโกนปล่อยข่าวนี้ออกไป สมาชิกในองค์กรของเขาก็ตั้งขบวนรบ เตรียมพร้อมต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบ

เพราะบางคนอาจจะกระโจนเข้าสู้ เพื่อพยายามแย่งชิงบทกวีพยากรณ์จากพวกเขาก็ได้

ชายทรงพลังอีกคนที่มีขนาดตัวสูงกว่าสามเมตรเดินเข้ามา หยุดยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขา

ชายผู้นี้คือนักรบที่ทรงพลัง มีชื่อเล่นว่า ‘ล่าหัว’

“นั่นมันล่าหัวผู้โด่งดังนี่นา? นายอยากแลกเปลี่ยนบทกวีพยากรณ์ใช่ไหม? หรือว่าจริงๆ แล้วอยากจะสู้แย่งชิงมันกับพวกเรากันแน่?” ชายแข็งแกร่งถาม

“แน่นอนว่าย่อมมาเพื่อขอแลกเปลี่ยนข้อมูล” ล่าหัวตอบกลับด้วยความหงุดหงิด “เพราะท้ายที่สุดแล้ว บทกวีพยากรณ์มันมีทั้งสิ้นยี่สิบเอ็ดบท ถึงแม้ว่าจะสามารถตีความบทกวีทั้งหมดได้ด้วยตัวเองก็ตามที แต่มันคงจะกินเวลามากเกินไป ดังนั้นฉันไม่ต้องการจะเสียเวลาวิเคราะห์ตำแหน่งของเขาวงกต”

“งั้นก็ดี ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ไหนลองยื่นข้อเสนอมา การแลกเปลี่ยนมันจะได้จบลงเร็วๆ” ชายแข็งแกร่งกล่าว

ล่าหัวนำเหรียญออกมา แสดงด้านหลังของมัน “นี่คือเหรียญเลขสามร้อยสามสิบเจ็ดและฟังก์ชันของมันคืออะไร นายคงจะรู้ดี ฉันขอใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนกับข้อมูลของนาย”

ชายแข็งแกร่งมองเหรียญในมืออีกฝ่าย หัวเราะฮะฮ่าทันที

“ยอดเยี่ยม! ฉันพอใจกับเจ้าสิ่งนั้น ตกลงแลกเปลี่ยน!”

ฝูงชนเฝ้าดูพวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างเงียบๆ

ไม่นานนัก

ตลอดทั้งตลาดมืดก็เริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับบทกวีพยากรณ์

แทบจะไม่มีการต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นเลย

เพราะยังไงซะ หากสู้กัน เวลามันก็จะยิ่งเชื่องช้าออกไป และทุกครั้งที่เสียเวลา นั่นหมายความว่าเส้นทางสู่กึ่งเทพได้ถูกคนอื่นๆ ฉวยโอกาสก้าวนำไปแล้ว

เพียงไม่นาน บทกวีพยากรณ์กว่าเก้าบท จากในพระคัมภีร์ก็ถูกถอดใจความออกมาได้

ยังเหลืออีกแค่สิบสองบทกวีพยากรณ์เท่านั้น!

อีกด้านหนึ่ง

กู่ฉิงซานกับซีน้อยกำลังบินอย่างรวดเร็ว เหนือผืนทรายอันไร้ขอบเขต

พวกเขาข้ามเนินทราย และมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง

ซีน้อยยังไม่อาจระงับความประหลาดใจเอาไว้ได้ เธอพูดกับกู่ฉิงซาน “นายสามารถเรียนรู้สกิลจาก ‘อริของเทพวิญญาณ’ ที่ใช้ในการไล่ล่าเทพวิญญาณได้ยังไงกัน นี่มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”

“แล้วเธออยากจะเรียนรู้มันบ้างไหมล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม

ซีน้อยผงกหัวหงึกๆ สีหน้าของเธอฟุ้งไปด้วยความตื่นเต้น

“แต่ฉันจะสอนเธอได้ยังไงดีนี่สิ” กู่ฉิงซานเกิดคำถาม

“เรื่องนั้นนายไม่ต้องกังวลไป เพราะเมื่อไหร่ที่ยศไพ่ของนายสูงขึ้นอีกสักนิดหน่อย นายก็จะสามารถสร้างไพ่ได้อย่างอิสระแล้วสามารถส่งต่อมันมาให้ฉันในรูปแบบของไพ่ได้” ซีน้อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“มันสามารถทำแบบนั้นได้ด้วยงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานแปลกใจ

ซีน้อยกล่าว “แน่นอน แต่ตอนนี้นายเป็นแค่ไพ่เทา กระทั่งลูกเล่นง่ายๆ อย่างการเรียกสมบัติ วัตถุ หรือเงิน ออกจากไพ่ยังแทบจะทำไม่ได้ ดังนั้นนายควรรีบยกระดับยศไพ่ของนายให้เร็วขึ้น และการกลายเป็นกึ่งเทพคือทางลัดที่ดีที่สุด”

กู่ฉิงซาน “ความแข็งแกร่งของเธอลดลงมากเลยงั้นเหรอ? ทำไมเธอถึงไม่เลือกเป็นกึ่งเทพล่ะ?”

“นั่นเพราะฉันวางแผนสำหรับวิธีการในการยกระดับตัวเองเอาไว้แล้ว แต่ของนายน่ะมันไม่ใช่ นายเป็นเพียงกระดาษขาวที่ว่างเปล่า ดังนั้น ในเมื่อนายไม่มีแผนใดๆ การยกระดับความแข็งแกร่งโดยใช้วิธีการของเทพวิญญาณจึงเป็นตัวเลือกแรกที่ดีที่สุด”

ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นเสียงของผู้ชายก็ดังขึ้น

“พวกเจ้ากำลังคิดจะไปที่ใด?”

ชายผิวดำเมี่ยมตัวใหญ่ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าทั้งสอง ยืนหยัดขวางทางเอาไว้

เขาคือราชาแห่งทะเลทราย เป็นการดำรงอยู่อันน่าขวัญผวาจากหุบเหวแห่งบาป!

“อ้าว? เป็นคุณนั่นเอง” ซีน้อยตอบกลับอย่างรวดเร็ว เผยรอยยิ้มกว้าง “พวกเรากำลังจะไป…”

กู่ฉิงซานชิงตอบทันที “ไปรอบๆ แถวๆ นี้ เพื่อหาว่ามันจะมีหนทางที่สามารถออกไปจากโลกใบนี้ได้อยู่รึเปล่า”

“ให้ฉันคุยกับเขาเอง” เขากระซิบบอกซีน้อย

ซีน้อยตะลึงงัน รีบปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว

ชายดำเมี่ยมจ้องมองมนุษย์ทั้งสอง “ทำแบบนี้มันน่าแปลกอยู่นา ก็แล้วทำไมพวกเจ้าถึงไม่ไปถอดรหัสจากพระคัมภีร์ เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะผนึกมอนสเตอร์ลงได้”

กู่ฉิงซานไม่ตอบ เขาเพียงแค่นำบางสิ่งออกมา และโยนมันให้แก่ชายดำเมี่ยม

ชายดำเมี่ยมคว้าหมับ วางมันลงในมือของเขา

ปรากฏว่ามันคือถุงกระเป๋าสีดำขนาดเล็ก

“ขอโทษด้วยที่ผมได้แอบดูของในกระเป๋าไปก่อนแล้ว แต่ภายในทั้งหมดมันมีแค่เหรียญ คุณสามารถเก็บมันเอาไว้ใช้ในตอนที่ออกไปข้างนอกได้นะ” กู่ฉิงซานกล่าว

ชายดำเมี่ยมยังคงกุมถุงกระเป๋า และเอ่ยถามต่อ “แล้วเจ้าเล่า กำลังจะไปยังทิศทางใด?”

“ก็อย่างที่บอกไป ผมกำลังมองหาหนทางที่จะออกไปจากโลกใบนี้”

ชายดำเมี่ยม “แต่ตอนนี้ โลกใบทั้งถูกกลืนกินโดยแมลงปีศาจบนท้องฟ้า แล้วเจ้าจะหาหนทางออกไปได้อย่างไร?”

“นั่นก็จริง แต่ในเมื่อมันเป็นแมลงปีศาจ ฉะนั้นมันย่อมต้องมีรู หรือช่องทางต่างๆ ตามแต่ละส่วนภายในร่างกายอยู่แน่นอน และเป้าหมายของพวกเราคือการค้นหามัน” กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด

ชายดำเมี่ยมเงียบไป

“หนทางออกจากโลกใบนี้…” เขางึมงำเสียงกระซิบ

“เอาล่ะ พวกเราจะออกไปค้นหาต่อแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

“ไปเถอะ หวังว่าเจ้าจะค้นพบมันนะ” ชายดำเมี่ยมกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แล้วเขาก็เอี้ยวตัวเปิดทางให้

กู่ฉิงซานกับซีน้อยบินผ่านเขาไป และทะยานขึ้นไปเหนือท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

ชายดำเมี่ยมมองตามทั้งสองอย่างเงียบๆ ปากเปล่งเสียงกระซิบ “หนทางที่จะออกไป…ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะพบมันนะ…”

ว่าแล้วเขาก็หายตัวไปจากในอากาศ

ท่ามกลางพายุทราย คลื่นลมพัดกระพือรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่อกู่ฉิงซานกับซีน้อยบินห่างออกมาไกลพอสมควรแล้ว

กู่ฉิงซานในที่สุดก็หยุดกลางอากาศ

ซีน้อยหยุดตาม และอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “ทำไมนายถึงบอกเขาไปแบบนั้น? ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังตามหาเขาวงกตกันหรอกเหรอ?”

“หุบเหวแห่งบาปตั้งอยู่ที่ไหน?” กู่ฉิงซานไม่ตอบ แต่ถามกลับ

“อืม ถ้าให้พูดตามความเร็วในการบินในปัจจุบันของพวกเรา อีกสักสองชั่วโมงก็คงจะถึง” ซีน้อยบอก

“แล้วผู้พิทักษ์ในหุบเหวแห่งบาป เป็นมอนสเตอร์ที่ทรงพลังเหมือนกับชายผิวดำคนนี้ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง

“ไม่หรอก มีเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้นที่แข็งแกร่งเหมือนเขา แต่ก็ยังมีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งอยู่อีกบ้างเหมือนกัน”

“แล้วพวกเขาสามารถรับมือกับมอนสเตอร์ที่ถูกผนึกอยู่ได้รึเปล่า?” กู่ฉิงซานถาม

ซีน้อยพอได้ฟังก็ชะงักไป

จู่ๆ เธอก็นึกขึ้นได้อย่างกะทันหัน ว่ามือยักษ์สีเขียวได้ผุดขึ้นทั่วผืนโลก บาปอันชั่วร้ายเกือบที่จะหลุดรอดออกมาจากใต้ดิน

และมันคือมอนสเตอร์อันน่าขนพองสยองเกล้าที่กว่าจะปิดผนึกมันได้ เธอถึงขั้นต้องทุ่มเต็มกำลังในช่วงเวลาที่เธอแกร่งที่สุด!

ใช่แล้วล่ะ มือยักษ์สีเขียวเข้าโอบคลุมผืนโลกทั้งใบ เก็บเกี่ยวทุกชีวิตใดก็ไม่ละเว้น นอกเหนือไปจากบนตลาดมืด ย่อมไม่น่าจะมีผู้ใดรอดชีวิตไปได้

แม้ว่าผู้พิทักษ์ในหุบเหวแห่งบาปจะทรงอำนาจเพียงใดก็ตาม เขาย่อมไม่สามารถต้านทานการกลืนกินของมอนสเตอร์ได้

“พวกเขาย่อมไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างมากที่สุดคือไปรายงานเทพวิญญาณในทันที แต่ตอนนี้เทพวิญญาณได้จากไปแล้ว…ทว่าเขากลับยังคงมีชีวิตอยู่!” ซีน้อยกล่าวด้วยความฉงน

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “ดูเหมือนว่าชายแมงป่องคนนี้จะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว…”

“ถ้าอนุมานจากเรื่องนี้ บางทีการปรากฏตัวของมนุษย์ที่มีรูปร่างคล้ายแสง นั่นอาจจะเกิดขึ้นจากการที่ผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปเฉียดเข้าใกล้กับความตายก็ได้นะ”

ซีน้อย “ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น?”

กู่ฉิงซาน “เพราะสถานที่ที่เขาปรากฏตัว มันคือที่ที่เขาวงกตตั้งอยู่ เขากำลังปิดเส้นทางไม่ให้พวกเราเข้าสู่เขาวงกต”

กู่ฉิงซานกล่าวต่ออย่างช้าๆ “ก่อนหน้านี้ ครอบครัวแมงป่องเคยอยู่บนเรืออวกาศลำเดียวกันกับฉัน ทั้งหมดกระตือรือร้นสุดๆ ที่จะออกไปจากโลกใบนี้ แต่ตอนนี้เขากลับเลือกที่จะขวางทางฉัน แม้จะไม่มีเจตนาฆ่าผุดออกมาจากร่างกาย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ยินยอมที่จะให้เข้าไปเก็บกู้สิ่งประดิษฐ์เทวะ”

“ลองคิดดูดีๆ สิ ว่ามีสิ่งมีชีวิตอะไรอีกที่ไม่ต้อนรับผู้คนให้เข้าไปเก็บกู้สิ่งประดิษฐ์เทวะออกมา?”

“โลกทั้งใบต่างมุ่งหมายจะเปิดใช้งานสิ่งประดิษฐ์เทวะ แต่มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ต้องการให้เปิดมันในสถานการณ์เช่นนี้”

“เป็นมอนสเตอร์ที่ถูกผนึกไว้นั่นเอง”

“มันอาจเล็ดลอดออกมาจากผนึกของมนุษย์แสง และแทรกแซงเข้าไปในร่างกายของแมงป่องดำ ด้วยวิธีที่เราไม่อาจล่วงรู้หรือเข้าใจได้”

ซีน้อยไม่อาจหยุดส่ายหัว เธอกล่าว “แค่ด้วยจุดนี้เพียงจุดเดียว นายก็ตั้งข้อสงสัยว่าเขาไม่ใช่คนเดิมแล้วเหรอ?”

กู่ฉิงซานกล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นั้น เนื่องจากเขาเป็นมอนสเตอร์ ดังนั้น มันอาจจะเกิดกรณีที่เขาใช้ออกด้วยสกิลเฉพาะตัว ที่สามารถช่วยให้เอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ถึงตายเมื่อครู่นี้ก็ได้”

“จริงๆ แล้วฉันส่งถุงกระเป๋าดำให้เขา เพื่อต้องการที่จะยืนยันเรื่องนี้ เพราะพวกเราเคยตกลงกันว่าจะแบ่งเงินในถุงดำคนละครึ่ง แต่ตอนที่เขารับมันไป เจ้าตัวกลับทำท่าทีเหมือนกับว่าไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน”

“จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่รู้สึกเคอะเขินมากกับเรื่องนี้ บนเรือ เขาแทบจะไม่ยอมรับมันเลย แต่ตอนนี้เขากลับรับมันไปง่ายๆ แถมยังไม่ยอมเอ่ยอะไรสักคำ”

เสียงของกู่ฉิงซานเริ่มหดหู่ลง “เขาคงตายไปแล้ว ราชินีแมงป่องเองแม้จะร้ายกาจแต่ก็เกรงว่าจะไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน ถ้าไม่เชื่อเธอลองอัญเชิญราชินีดูอีกครั้งก็ได้”

ซีน้อยหยิบไพ่อัญเชิญราชินีแมงป่องออกมา

แต่กลับพบว่าภายในมันว่างเปล่า

ซีน้อยมองมาทางกู่ฉิงซาน ถอนหายใจ “นายพูดถูก ดูเหมือนว่าเราจะต้องหาวิธีจัดการกับชายผิวดำก่อนซะแล้ว พวกเราถึงจะสามารถเข้าสู่เขาวงกตได้”

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น

“ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ตอนนี้คาดว่าผู้พิทักษ์ทุกคนในหุบเหวแห่งบาป คงจะไปกระจุกตัวรวมกันอยู่ภายในเขาวงกต”

“มอนสเตอร์ที่ถูกผนึกคงครอบครองร่างกายของพวกเขา และมันย่อมไม่มีทางปล่อยให้ผู้คนเข้าถึงสิ่งประดิษฐ์เทวะ เพื่อทำการผนึกมันใหม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน”

…………………..

ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย

ท่ามกลางโลกกระจัดกระจาย ที่เปรียบดั่งแสงไฟริบหรี่ ลอยล่องอยู่ภายนอกเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วง

ทุกประเภทขององค์กรที่ทรงประสิทธิภาพ ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น กระทั่งตัวตนทรงอำนาจ ล้วนไม่มีผู้ใดให้ความสนใจที่นี่

ดังนั้น ทางฝ่ายระบบของราชามารเอง ก็ย่อมยังไม่เคยค้นพบกับการต่อต้านอันแข็งกร้าวจากที่นี่เช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นทาส วิญญาณ ต้นกำเนิดของโลก ทุกสิ่งอย่าง ระบบล้วนได้มาครอบครองได้อย่างง่ายดายตามต้องการ

แต่ในตอนนี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ขัดขวางการกัดกร่อนโลกกระจัดกระจายของระบบราชามาร

นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาล จู่ๆ ก็ถูกปลุกขึ้นมาโดยสถาบันเทพอย่างกะทันหัน

เมื่อต้องเผชิญกับอำนาจอันหาที่ใดเปรียบ สมาคมผู้พิทักษ์หอสูง และสหพันธ์โลก เก้าร้อย ล้านชั้นก็ได้ถูกทำลายลง

มันเริ่มต้นจากชั้นหนึ่ง ไปยังอีกชั้นหนึ่ง ทยอยล้างบางโลกทั้ง เก้าร้อย ล้านชั้น

นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลกวาดล้าง อาละวาดไปตลอดเส้นทาง

ในทุกๆ โลกที่มันข้ามผ่าน ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนถูกกลืนกิน สิ่งปลูกสร้างใดๆ ล้วนถูกทำลาย

และแล้วในที่สุด มันก็เดินทางย่ำกรายเข้าไปในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู

ที่นั่น มีระบบที่เสร็จสิ้นการอัปเกรดแล้ว เป็นระบบที่สามารถทะยานขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุด ครอบครองอำนาจที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน

มันคือ…

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ จุติราชามาร

ท่ามกลางโลก เก้าร้อย ล้านชั้น ล้วนไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านนักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลได้ กระทั่งระบบเองก็ไม่มีข้อยกเว้น

มอนสเตอร์ได้เจาะมิติเข้าไปยังดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู

เผ่ามาร ผู้เข้าสู่วิถีมาร และมารที่แท้จริงนับไม่ถ้วนล้วนถูกดูดกลืนวิญญาณ กลายเป็นสารอาหารให้แก่มัน

กระทั่งช่วงวินาทีสุดท้าย จอมมารที่แท้จริงก็ได้กระทำสิ่งหนึ่งจนเสร็จสมบูรณ์

ภายใต้การนำของระบบราชามาร เขาได้ใช้อำนาจทั้งหมดที่มีในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ชักนำเอาร่างศพๆ หนึ่งออกมาจากสายธารแห่งกาลเวลา

ไม่มีใครรู้ว่าร่างศพนี้มาจากที่ไหน เว้นแค่เพียงระบบกับจอมมารที่แท้จริง

จอมมารที่แท้จริงได้ระดมพลเหล่ามารที่แท้จริงทั้งหมดที่ยังเหลือรอดอยู่ มาช่วยกันซ่อมแซมร่างศพนี้ทั้งกลางวันกลางคืน

ในช่วงเวลาที่นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลกำลังจะทำลายล้างดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูจนราพณาสูร ระบบก็สามารถปลุกร่างศพให้ตื่นขึ้นมาได้ทันเวลาในที่สุด

สุดท้ายแล้วนักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาล ก็ได้พบเจอกับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ และจมอยู่ท่ามกลางการต่อสู้เป็นเวลายาวนาน

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีวี่แววว่าจะยุติลง

โลก เก้าร้อย ล้านชั้นอยู่ในปากเหวแห่งความพินาศ

แต่ในทางกลับกัน มันก็ส่งผลให้ระบบของราชามารไม่คิดเปลืองพลังงาน เบนความสนใจมาเล็กๆ น้อยๆ มายังโลกกระจัดกระจาย

ส่งผลให้ระบบทั้งหมดในโลกกระจัดกระจาย ล่าถอยกลับไป

โลกเหล่านี้จึงสามารถกลับมามั่นคง และปลอดภัยได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

ในช่วงเวลาที่กู่ฉิงซานได้ไปถึงโลกทะเลทราย

ณ โลกเทวะ

ภายในนิกายร้อยบุปผา

นี่คือช่วงเวลากลางดึก ทุกสิ่งอย่างช่างเงียบสงบ

ฉินเซี่ยวโหลวปิดประตู เริ่มแปะยันต์ไว้ตามผนัง ตามด้วยวางค่ายกลแจ้งเตือนนับสิบ พอทำจนจบครบสมบูรณ์ เจ้าตัวถึงค่อยรู้สึกคลายใจลงเล็กน้อย

เขาหันกลับมา กวาดตามองทุกคนภายในห้อง

ห่านขาว ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ และตัวเขาเอง

สาวกของนิกายร้อยบุปผาทุกคน ยกเว้นกู่ฉิงซาน ได้มารวมตัวกันที่นี่

ห่านขาวเอ่ยถาม “เซี่ยวโหลว เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ถึงได้เรียกพวกเรามาเงียบๆ กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้?”

ซิวซิวอ้าปากหาว “นั่นสิ ข้าเองก็เกือบจะหลับไปแล้ว จู่ๆ ก็เห็นยันต์สื่อสารพุ่งเข้ามา ข่มขวัญซะข้าแตกตื่นไปเลย”

ฉินรั่ว กล่าวด้วยสีหน้ากังวล “ศิษย์พี่สอง ท่านลงทุนใช้ยันต์กับค่ายกลตัดขาดทุกสิ่งทุกขนาดนี้ มีเรื่องใดก็ขอให้เร่งกล่าวเถอะ”

เซี่ยวโหลวมองทุกคนด้วยสีหน้าอันลึกล้ำ “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวตัวน้อย นี่ในใจพวกเจ้าไม่บังเกิดความสงสัยใดๆ ขึ้นกันเลยหรือ?”

ทุกคนพอได้ฟังว่าเป็นเรื่องนี้ ก็พากันผ่อนคลายลงทันที

ว่านเอ๋อขยี้ตาของเธอ พยายามปลุกตัวเองจากสภาวะง่วงเหงา “ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ข้าคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรซะอีก”

ไม่กี่วันก่อน

เด็กสาวตัวน้อยปรากฏกายขึ้นบนบัลลังก์หมื่นบุปผา โดยอ้างตนว่าเป็นนางเซียนไป่ฮั่ว

จากนั้น เธอก็ก่นด่าสั่งสอนฉินเซี่ยวโหลวที่พูดไม่ดีออกไป

แต่เมื่อคนอื่นๆ ทราบข่าว และเดินทางมาถึง เด็กสาวตัวน้อยก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเปลี่ยนวาจา ประกาศออกไปว่าแท้จริงแล้วเธอคือแขกของนางเซียนไป่ฮั่ว

ภายใต้สายตาระแวงสงสัยของทุกคน เธอจึงหยิบตราของนางเซียนไป่ฮั่วออกมาแสดง

ในเวลาเดียวกัน นางเซียนไป่ฮั่วก็ส่งยันต์สื่อสารมายังเหล่าสาวก

ในยันต์สื่อสาร นางเซียนไป่ฮั่วบอกว่าเธอมีธุระบางอย่างจำต้องออกไปข้างนอก ดังนั้นในระหว่างนี้ก็ขอฝากให้สาวกทั้งหลายคอยดูแลเด็กสาวตัวน้อยเอาไว้ให้ดี

เมื่อมีทั้งตราและยันต์สื่อสารเป็นเครื่องยืนยัน ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปว่าเด็กสาวตัวน้อยเป็นแขกของนิกายร้อยบุปผาจริงๆ

ว่าแต่เรื่องนี้มันมีอันใดผิดปกติกัน?

ฉินเซี่ยวโหลวเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน เขาก็ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง “พวกเจ้าไม่ตระหนักถึงความผิดปกติของเด็กสาวนางนี้เลยหรือ?”

“เซี่ยวโหลว เจ้าต้องการจะกล่าวอะไรกันแน่?” ห่านขาวถามด้วยความอยากรู้

ซิวซิวเอ่ยปาก “ใช่ๆ ก็ในเมื่อนางมีตราของอาจารย์ และท่านอาจารย์ยังส่งยันต์มาอธิบายเป็นการส่วนตัว ดังนั้นพวกเราก็ต้องปฏิบัติต่อแขกเป็นอย่างดีตามคำขอของท่านอาจารย์สิ”

ว่านเอ๋อเริ่มเกิดความสนใจ เธอเอ่ยถาม “เด็กสาวคนนั้นมีอันใดผิดปกติกัน ศิษย์พี่สองโปรดแถลงไข”

“หากเจ้าลองคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบ เจ้าจะค้นพบว่านางมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” ฉินเซี่ยวโหลวค่อยๆ เฉลย

มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง?

ทุกคนจมอยู่ในห้วงความคิด

ว่านเอ๋อส่ายหัว “นางมีความสุขมากที่ได้เล่นกับข้า ข้าค่อนข้างที่จะชอบนาง”

“พวกเจ้าเล่นอะไรกัน?” ฉินเซี่ยวโหลวถาม

“ข้าพานางไปปีนต้นไม้ กระโดดเชือก ชวนเก็บก้อนหินที่งดงามในลำธารเล็กๆ จากนั้นก็ไปที่สวนอสูรวิญญาณ เพื่อให้อาหารพวกมัน ในช่วงหลายวันมานี้ ข้าเองก็ไม่พบว่านางมีพิรุธใดๆ เลย” ว่านเอ๋อกล่าว

ฉินรั่วพยักหน้า เอ่ยเสริม “ครั้งสุดท้ายข้าพานางออกไปเดินตลาด นางก็ใช้เวลาทั้งวันอย่างมีความสุข งอแงไม่ยอมจะกลับมาจนมืดค่ำ นี่คือลักษณะของเด็กน้อยทั่วไป ไม่มีอันใดผิดปกติ”

ซิวซิวพูดบ้าง “นางใช้ตะเกียบยื้อแย่งตีนเป็ดตุ๋นกับข้าในมื้อค่ำ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

ฉินเซี่ยวโหลวเมื่อเริ่มพบว่าสถานการณ์มันไม่ถูกต้อง ก็เร่งเตือนทันที “ก็ตุ๊กตาไง! พวกเจ้าไม่สังเกตหรือ? ว่านางถือตุ๊กตาอยู่!”

ว่านเอ๋อ “ย่อมสังเกต ไม่ใช่ว่าตุ๊กตาตัวนั้นมีลักษณะคล้ายท่านอาจารย์หรอกหรือ? แล้วมันทำไม?”

ฉินเซี่ยวโหลวดีดนิ้วดังเป๊าะ “นั่นแหละประเด็นสำคัญ!”

“พวกเจ้าลองคิดดูดีๆ สิ ว่าแขกจากนิกายอื่นๆ มีผู้ใดบ้างครอบครองตุ๊กตาที่มีลักษณะเหมือนกับท่านอาจารย์?”

หลายคนพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

จริงสิ… นี่เหมือนกับว่าจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวเคร่งขรึม “ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าตระหนักถึงเรื่องนี้ได้เมื่อใด แต่นางนำตุ๊กตาตัวนั้นติดตัวไปทุกที่เลย”

“แล้วเจ้าคิดว่ามันเพราะอะไร?” ห่านขาวถาม

“ข้าคิดว่าตุ๊กตาตนนั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างไม่น่าไว้วางใจ จักต้องมีอำนาจบางอย่างถูกฝังเอาไว้ในมันแน่ๆ” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว

“ตุ๊กตาผ้าจะไปมีอำนาจบางอย่างได้อย่างไร?” ห่านขาวถาม

“ข้าได้ใช้เทคนิคทำนายชะตา คาดคำนวณไปกว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยเก้าสิบสี่ครั้ง และค้นพบว่า มิอาจวัดความแข็งแกร่งของเด็กสาวตัวน้อยได้เลย และตำแหน่งของนางก็ถูกบดบังด้วยบางสิ่ง ข้าจึงคิดว่าอำนาจที่รบกวนการทำนายของข้า น่าจะมาจากตุ๊กตาผ้า” ฉินเซี่ยวโหลวสรุป

ห่านขาวพยักหน้าอย่างลับๆ

‘ไม่คาดคิดเลยว่าสายตาของฉินเซี่ยวโหลวจะเฉียบแหลม มองทะลุมาถึงจุดนี้ได้’

นั่นคือตุ๊กตาผ้าที่เธอได้รับมาจากหยุนจี เมื่อออกจากสหพันธ์โลก เก้าร้อย ล้านชั้น

และบทบาทของตุ๊กตา จริงๆ แล้วคือการช่วยปกปิดกลิ่นอาย ป้องกันมิให้ถูกสอดส่องโดยผู้ไม่ประสงค์ดี

ห่านขาวบังเกิดห้วงอารมณ์ปีติเล็กน้อย

ดูเหมือนว่า นอกเหนือไปจากกู่ฉิงซานแล้ว ก็จะมีฉินเซี่ยวโหลวนี่แหละที่มีความนึกคิด เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตอนนี้แค่คาดเดาได้ถึงขนาดนี้ นับว่าเยี่ยมมากแล้ว

โชคชะตาของนิกายกำลังพลิกผันไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ระหว่างกำลังขบคิด ฉินเซี่ยวโหลวก็เอ่ยต่อ

“และพวกเจ้าไม่สังเกตเห็นเลยหรือ ว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หน้าตาของเด็กสาวตัวน้อยนั่นอย่างไร!”

ทุกคนต่างชะงักไปพร้อมกัน

“หน้าตา? มันก็จริงนี่เด็กสาวนางนี้งดงามนัก” ซิวซิวพูดด้วยความอิจฉา

“เด็กสาวนางนี้น่ารักและดูบริสุทธิ์อย่างแท้จริง หากเติบใหญ่ขึ้น ข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะงดงามเพียงใด” ฉินรั่วอุทาน

ว่านเอ๋อพยักหน้าตาม

“ผิดแล้ว! สายตาในการสังเกตของพวกเจ้าอ่อนด้อยเกินไป” ฉินเซี่ยวโหลวส่ายหัว

“เช่นนั้นในแง่ของรูปลักษณ์ เจ้าพบสิ่งใดผิดสังเกต?” ห่านขาวถาม

ฉินเซี่ยวโหลวเม้มริมฝีปากของเขา และในที่สุดก็เอ่ยประโยคที่สามารถสั่นสะเทือนผืนดินออกมาได้ในที่สุด

“ข้าค้นพบว่านางมีรูปลักษณ์ค่อนข้างเหมือนท่านอาจารย์”

แล้วทุกคนก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง

ทั้งหมดค่อยๆ ทยอยกันย้อนนึก

“จะว่าไป…ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ” ซิวซิวกล่าว

ฉินรั่ว ไตร่ตรอง “ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดข้าจึงรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นนางที่ไหนมาก่อน”

ว่านเอ๋อยังคงเทียบเปรียบอยู่ในใจ ปากเอ่ยพึมพำ “ถึงแม้ว่าจะยังเด็ก แต่ตรงส่วนคิ้วดูเหมือนท่านอาจารย์จริงๆ นั่นแหละ”

ห่านขาวบังเกิดความพึงพอใจมากยิ่งขึ้น

ด้วยสิ่งนี้ มันสามารถสรุปได้ถึงความจริงข้อหนึ่ง นั่นก็คือความสามารถในการสังเกตของฉินเซี่ยวโหลวค่อนข้างดีมากจริงๆ

บางที หากกู่ฉิงซานอยู่ที่นี่ เซี่ยวโหลวอาจไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย

ห่านขาวกระแอมไอและกล่าว “เห็นด้วย ข้าคิดว่านางคล้ายกับอาจารย์มาก ดังนั้นเจ้าสมควรมีคำตอบแล้วกระมังเซี่ยวโหลว”

ฉินเซี่ยวโหลวพยักหน้าขึงขัง เอ่ยเสียงดัง “ข้าได้ค้นพบถึงความจริงแล้ว”

ห่านขาว “ยอดเยี่ยม ไหนลองบอกคำตอบของเจ้าให้พวกเราทราบหน่อย”

ฉินเซี่ยวโหลว “ข้าไม่กล้าพูดออกไป”

ห่านขาวยิ้มและกล่าว “มันไม่เป็นไรหรอก ที่นี่ก็คนกันเองทั้งนั้น เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวไปว่าความคิดนี้จะรั่วไหล”

ฉินเซี่ยวโหลวมองห่านขาว สลับไปมองซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อ

สาวๆ ต่างพยักหน้าให้เขา

“ก็ได้ ข้าจะเอ่ยมัน”

ฉินเซี่ยวโหลวสูดหายใจลึก สีหน้าของเขาเขากลายเป็นซับซ้อนและหนักอึ้ง

“เด็กสาวตัวน้อยนางนี้ มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับท่านอาจารย์ แถมยังกอดตุ๊กตาที่เหมือนกันกับท่านอาจารย์อยู่ตลอดเวลา ประจวบกับถูกปกป้องด้วยอำนาจบางอย่าง ดังนั้นนางสมควรจะเป็น…”

“เป็นอะไร?” ซิวซิวอดไม่ไหว เร่งเค้นถาม

ฉินเซี่ยวโหลดกำมือของเขาและกล่าวอย่างลึกล้ำ “นางสมควรจะเป็น บุตรสาวลับๆ ของท่านอาจารย์!”

บังเกิดความเงียบงันขึ้นตลอดทั้งห้อง

ซิวซิวยกมือขึ้นกุมปากออกเธอ

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากันและกัน

ฉินรั่ว ขบคิดจริงจัง สุดท้ายส่ายหัว “นี่ไม่น่าจะใช่ เพราะท่านอาจารย์ยังบริสุทธิ์อยู่”

“ถูกต้อง แม้ข้าจะเห็นด้วยกับเรื่องของหลักฐานและเหตุผลที่ว่าสาวน้อยนางนี้ไม่ปกติ แต่ประเด็นที่ว่านางเป็นลูกของท่านอาจารย์ ย่อมมิใช่”

ฉินเซี่ยวโหลวตะลึง เร่งถาม “แล้วพวกเจ้าทราบได้อย่างไรว่าท่านอาจารย์มิได้มีคู่ฝึกยุทธแบบคู่ครอง เห็นท่านอาจารย์เงียบๆ แต่อาจฟาดเรียบไปแล้วก็ได้นะ?”

ว่านเอ๋อส่ายมือ “นั่นมันเป็นเรื่องของผู้หญิงอย่างเรา เจ้าอย่าได้เอ่ยถามแล้ว ยังไงก็ตาม ในเรื่องนี้พวกเราสามารถยืนยันได้”

ฉินเซี่ยวโหลวกลายเป็นโง่งม

“ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อครู่ท่านเอ่ยสนับสนุนข้า ฉะนั้นคราวนี้ท่านก็ย่อมต้องเห็นด้วยกับข้า ถูกหรือไม่?” เขาหันไปถามห่านขาว

ห่านขาวก้มหน้าลง ร่างกายสั่นสะท้าน

อืม…ทนไว้ อดทนเข้าไว้

อดทน อดทน

อดทน และอดทน

อดทน อด…

อดไม่ไหวแล้วโว้ย!

“บักหำเซี่ยวโหลว มึงตาย!”

บรึ้ม!

หลังจากกล่าวทุกอย่างจบ มนุษย์แสงก็แตกตัวเป็นจุดดาวนับไม่ถ้วน กระจัดกระจายออกไป

โลกทั้งใบเงียบงันลงครู่หนึ่ง

และแล้ว ทั้งตลาดมืดก็ระเบิดเสียงอื้ออึงขึ้นทันใด บังเกิดเสียงสนทนาหนาหู

ขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลย ที่ไม่คิดเอื้อนเอ่ยคำใด แต่เลือกเร่งตรงไปยังร้านหนังสือทันที

พวกเขากำลังเร่งไปค้นหาเจ็ดพระคัมภีร์!

พระคัมภีร์แต่ละเล่มได้บันทึกคำพูด การกระทำของเทพวิญญาณเอาไว้ แน่นอน ว่ามันรวมไปถึงความคิดเห็นที่พวกเขามีต่อโลก และคำพยากรณ์ในอนาคต

ซึ่งหากคุณต้องการหาเขาวงกต คุณจะต้องอาศัยบทกวีพยากรณ์ทั้งยี่สิบเอ็ดจากในเจ็ดพระคัมภีร์!

โชคยังดี ที่เจ็ดพระคัมภีร์ ของเจ็ดเทพวิญญาณเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยม มีจำนวนเหลือเฟือ หมุนเวียนไปตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้น แถมในบางกรณี ทางวิหารของเทพองค์นั้นๆ ยังถึงขั้นมอบพระคัมภีร์เป็นของขวัญฟรีๆ ให้แก่ผู้ศรัทธาเลยอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง ท่ามกลางดินแดนชิงอำนาจ ไม่ว่าร้านหนังสือใด จึงล้วนแล้วแต่มีเจ็ดพระคัมภีร์วางขายอยู่ ทุกคนสามารถซื้อขายมันได้ตลอดเวลา

หลังจากเกิดความวุ่นวายขึ้น คนที่มาก่อนเพื่อนก็สามารถยึดครองพระคัมภีร์ที่ต้องการเกือบทั้งหมดจากในร้านหนังสือเจ็ดถึงแปดแห่ง

ทว่าก่อนจะสายเกินไป ชายทรงอำนาจคนนั้นก็เปลี่ยนใจในท้ายที่สุด ละทิ้งความคิดนี้ไป

เพราะเขาตระหนักได้ว่า หากเขากล้าทำเช่นนั้น เกรงว่าทุกคนคงจะรวมตัวกัน และสังหารตนตกตายลงอย่างสิ้นหวัง

ต้องไม่ลืมนะว่านี่คือคำพยากรณ์ของทวยเทพ!

มันมิใช่แค่เรื่องของการศรัทธาทั่วๆ ไป แต่ร่างมนุษย์แสงยังกล่าวอีกว่าที่เขาสามารถทำได้ คือการ ‘ซื้อเวลา’ ให้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

หากไม่พบเขาวงกตในท้ายที่สุด และสิ่งประดิษฐ์เทวะไม่ถูกเปิดใช้งาน ความชั่วร้ายก็จักไม่ถูกปิดผนึก

กรณีที่ล้มเหลวในการค้นหาสามสิ่งประดิษฐ์เทวะ และตัวเขาได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตนจะถูกมอนสเตอร์สังหารลง แต่คนอื่นๆ คนรุมทึ้งเขาจะตายไปซะก่อน

ชายทรงอำนาจสูดหายใจลึก และเริ่มทำการค้นหาบทกวีพยากรณ์จากพระคัมภีร์เล่มหนึ่งในอ้อมแขน กวาดอ่านมันอย่างรวดเร็ว

นี่คือพระคัมภีร์แห่งความตาย ที่ได้บันทึกถึงข้อเท็จจริง คำพูด และการกระทำของเทพแห่งความตายเอาไว้เป็นจำนวนมาก ผสมผสานไปกับหลากหลายสิบคำพยากรณ์เกี่ยวข้องกับอนาคต

แต่ละบทกวี แต่ละคำพยากรณ์ ล้วนมีเนื้อหายาวเหยียดเป็นหนึ่งพันบรรทัด

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์จากเล่มเดียวเท่านั้น

ซึ่งโดยสิ้นเชิงแล้วมีอยู่ถึงเจ็ดเล่ม…

เขาสะบัดหัว ขับไล่ความท้อถอย และเริ่มอ่านบทกวีพยากรณ์ต่ออย่างระมัดระวัง

นี่นับว่าเป็นงานใหญ่จริงๆ แต่ไม่ว่ามันจะยากเย็นขนาดไหน เขาก็ต้องรีบหาบทกวีที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันให้เจอ ให้จงได้!

ตลอดทั้งตลาดมืดกลับคืนสู่ความสงบ

ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือกระทั่งใกล้ตาย ต่างก็ยกหนังสือมากุมไว้ในมือ หมกมุ่นสมาธิ จดจ่ออยู่กับมัน

นั่นเพราะหนทางสู่การเป็นกึ่งเทพ กำลังอยู่ตรงหน้าแล้ว!

ตอนนี้ ไม่มีใครคิดจะฆ่าแกง หรือต่อสู้กันเพื่อสมบัติธรรมดาๆ อีกต่อไป

พวกเขาขมวดคิ้ว เค้นสมองอย่างหนัก เพื่อค้นหาเบาะแสของบทกวีพยากรณ์

ณ ขอบท่าเรืออวกาศ

กู่ฉิงซานยกชาร้อนมาให้ซีน้อย ส่วนเจ้าตัวเอนกาย หลังพิงเก้าอี้ อ่านหนังสือพิมพ์ในมือ

นี่คือหนังสือพิมพ์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

หลังจากที่เงียบหายไปเป็นเวลานาน ในที่สุดมันก็มีข่าวใหม่ขึ้นมา

“นายไม่คิดจะไปตีความบทกวีพยากรณ์เลยเหรอ?” ซีน้อยเอ่ยถามเขาขณะดื่มชา

สมาธิของกู่ฉิงซานจมอยู่กับเนื้อหาในหนังสือพิมพ์ แต่เขาก็ยังตอบอย่างจริงจังว่า “อืม ไม่ไปหรอก เพราะฉันได้ละทิ้งสถานะผู้ศรัทธาไปแล้ว”

“อันที่จริงมันไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องสนใจฉัน นายสามารถทดลองดูก็ได้นะ” ซีน้อยสนับสนุน

“ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น?”

“เพราะถ้าอ้างอิงตามคำพูดของเทพวิญญาณ มันสามารถตีความได้ว่า ต่อให้นายไม่เป็นผู้ศรัทธาของเจ็ดวิหาร แต่ถ้านายปฏิบัติภารกิจลุล่วง นายจะสามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองได้ นายจะกลายเป็นกึ่งเทพโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ”

“หา? เทพวิญญาณจะใจดีถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” กู่ฉิงซานยังคงอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ปากเอ่ยถาม

“เชื่อฉันเถอะ ฉันรู้จักเทพวิญญาณดี” ซีน้อยกล่าว “พวกเขาหวาดระแวงเกี่ยวกับผนึกที่ไม่รู้จัก และบาปที่ทรงพลังดุร้าย ฉะนั้น หากใครก็ตามที่สามารถช่วยให้พวกเขาบรรลุถึงสิ่งที่ต้องการได้ เทพวิญญาณย่อมต้องโปรดปราน และมอบรางวัลให้แน่นอน”

กู่ฉิงซานลังเล “แต่การกลายเป็นกึ่งเทพอย่างกะทันหัน จิตวิญญาณอาจจะต้องแบกรับภาระมากเกินไป”

ซีน้อยยิ้ม “กึ่งเทพมันไม่ส่งผลกระทบอะไรมากมายนักหรอก เพราะมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นสู่เส้นทางแห่งทวยเทพ มันยังคงเป็นเรื่องยากที่จะได้กลายเป็นเทพที่แท้จริง”

“แล้วมีกึ่งเทพอยู่ในดินแดนชิงอำนาจบ้างรึเปล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ซีน้อย “แน่นอนว่ามี พวกเขาอยู่ในวิหารทั้งเจ็ด เหล่าผู้รับใช้ทวยเทพ ล้วนเป็นกึ่งเทพทั้งหมด”

กู่ฉิงซาน “ผู้รับใช้เทพ … ”

ตามความรู้ในความทรงจำของกู่ฉิงซาน เขารู้ดีว่าเทพวิญญาณแต่ละองค์ ล้วนมีคนรับใช้เป็นของตัวเอง

สำหรับผู้รับใช้เทพ เขามีหน้าที่จัดการกับกิจวัตรประจำวันของเทพที่แท้จริง และดำเนินการตามคำสั่งของเทพที่แท้จริงอย่างซื่อสัตย์

จู่ๆ กู่ฉิงซานก็พาลนึกไปถึงสุนัขดำที่อยู่ข้างกายแอนนา

ความแข็งแกร่งของมันอยู่ในระดับใดกันนะ?

“กลายเป็นกึ่งเทพ… เธอคิดว่าฉันควรจะลองงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ซีน้อย “ใช่ เพราะถ้านายสามารถเป็นกึ่งเทพได้ มันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของนายได้อย่างมหาศาล น่ากลัวว่าถ้านายตัดผ่านฐานวรยุทธ์ ยกระดับขึ้นไปหลายขอบเขตโดยตรง ยศไพ่ของนายก็จะตัดผ่านสีเทา ข้ามขึ้นไปอีกหลายระดับด้วยเหมือนกัน”

“โอ้…มันก็ฟังดูดีนะ” กู่ฉิงซานไตร่ตรองพลางรับคำ

เอาจริงๆ แล้วแม้จะได้ฟังเรื่องนี้ แต่ท่าทีของเขากลับดูตื่นเต้นแค่เล็กน้อยเท่านั้น

ซีน้อยลุกขึ้นและกล่าว “ไปเถอะ พวกเราไปตามหาบทกวีพยากรณ์ในเจ็ดพระคัมภีร์กัน ฉันรู้จักเทพวิญญาณเป็นอย่างดี ฉะนั้นการจะหาบทกวีทั้งยี่สิบเอ็ด ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากเย็นอะไร”

เธอพูดต่อ “ฉันสามารถตีความมันในแต่ละบท เพื่อเสาะหาร่องรอยว่าเขาวงกตอยู่ที่ไหน”

“จากนั้นพวกเราก็ไปยังเขาวงกตของเทพวิญญาณ นำสิ่งประดิษฐ์เทวะออกมา และปิดผนึกความชั่วร้าย”

กู่ฉิงซานมองเธออย่างเงียบๆ และเอ่ยถาม “เธอเคยโดนเทพวิญญาณผนึกมาครั้งหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงยังคิดจะช่วยเทพวิญญาณทำอะไรแบบนี้อีก? เธอสมควรที่จะอยากแก้แค้นพวกเขาสิ”

“แก้แค้น?” ซีน้อยทวนคำ “แก้แค้นหมายความว่ายังไง?”

กู่ฉิงซานส่ายมือบอกอีกฝ่ายให้วางพจนานุกรมที่กำลังจะหยิบลงไป และนึกถึงคำอธิบายที่มันเหมาะสม “มันก็… หมายความประมาณว่า ถ้าคนอื่นทำไม่ดีกับเธอ เธอก็ต้องการที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ในแบบเดียวกัน”

ซีน้อยผุดรอยยิ้มจางๆ “เทพวิญญาณก็แค่กลัวฉัน”

กู่ฉิงซาน “แต่พวกเขาผนึกเธอ”

ซีน้อยมองเขาและกล่าว “นั่นมันเป็นเรื่องก่อนหน้านี้ ตอนนี้ฉันไม่คิดจะทำอะไรเพื่อพวกเขาอีกแล้ว แต่ฉันแค่อยากจะช่วยให้นายกลายเป็นกึ่งเทพก็เท่านั้นเอง”

กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบงัน

เขาค่อยๆ วางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ

ซึ่งนี่มันแตกต่างไปในครั้งอดีตที่ผ่านๆ มา หนังสือพิมพ์ไม่ได้เป็นตัวอักษรสีดำบนพื้นหลังสีขาว แต่ตลอดทั้งเล่มหนังสือพิมพ์ ในส่วนหน้าของเนื้อหา มันล้วนเป็นสีดำสนิท ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง

ปรากฏบรรทัดตัวอักษรที่กำลังเผาไหม้หน้ากระดาษดำ

“ข่าวร้ายครั้งสุดท้าย”

“สหพันธ์โลก เก้าร้อยล้านชั้นถูกทำลาย”

“โลกนับล้านๆ จมลงสู่ความมืดมิด”

“ขณะนี้ มอนสเตอร์ลึกลับตนนั้นกับระบบของราชามารกำลังห้ำหั่น ทำลายล้างกันและกัน”

“ทว่าต่อให้ฝ่ายใดสามารถคว้าชัยชนะมาได้ สิ่งมีชีวิตทั้งมวล หากไม่ยินยอมเป็นทาสมัน ก็จักต้องตกตายลงอยู่ดี”

“โปรดทราบว่านี่คือการสื่อสารครั้งสุดท้ายจากพวกเรา ก่อนที่สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงจะล่มสลายลง”

“ทุกอย่างมันจบสิ้นลงแล้ว”

“ลาก่อนตลอดกาล สหายของฉัน”

เมื่ออ่านถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่คิดอ่านหนังสือพิมพ์อีกต่อไป ตัวอักษรลุกไหม้ที่เขียนลงบนหน้ากระดาษสีดำก็หายไปเช่นกัน

เปลวไฟเผาผลาญ กลืนกินหนังสือพิมพ์ทั้งเล่ม

ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง ความรุ่งโรจน์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ได้กลายเป็นเถ้าถ่าน ลอยหายไปจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น

สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นเองก็ถูกทำลายลงเช่นกัน

ยุคสมัยได้จบสิ้นลงแล้ว

ม่านแห่งวันสิ้นโลกกำลังค่อยๆ ถูกเปิดฉากอย่างช้าๆ

วันนี้ มีเพียงดินแดนชิงอำนาจที่ถูกปิดซ่อนไว้ด้วยอำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพเท่านั้น ที่ยังคงสามารถยืดลมหายใจต่อไปได้

แต่ก็ไม่มีใครรู้ ว่าโชคดีๆ แบบนี้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน

กู่ฉิงซานถอนหายใจหนักหน่วง ในมือจีบเข้าด้วยวิชาลับ

“ฉันมีบางอย่างอยากจะถามเธอสักหน่อย”

เขากล่าวกับซีน้อย

แสงอัศจรรย์พลันผุดออกมาจากมือของเขา ก่อร่างเป็นเค้าโครงใบหน้าที่แสนน่าหวาดหวั่น ลอยท่ามกลางอากาศบางเบา

ใบหน้านี้ประกอบไปด้วยรังสีแสง ครึ่งหนึ่งเป็นชาย อีกครึ่งเป็นหญิง ดวงตาและการแสดงออกของทั้งสองแลดูบ้าคลั่ง ปากอ้าเปิดกว้าง คล้ายกับว่ากำลังกรีดร้อง ชวนให้ดูเจ็บปวดและสิ้นหวัง

เดาไม่ผิดหรอก นี่คือตัวตนที่ดำรงอยู่ในสถาบันเทพ

มอนสเตอร์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านมันได้!

“เธอรู้อะไรเกี่ยวกับมันไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ซีน้อยมองมัน สีหน้าเริ่มเป็นจริงเป็นจัง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มันมีอยู่หลายชื่อเรียก ผู้ล่า อริของเทพวิญญาณ ผู้กลืนกินอสุรกาย นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาล”

กู่ฉิงซานเริ่มดูมีชีวิตชีวา “เธอรู้จักมันใช่ไหม?”

“ใช่” ซีน้อยพยักหน้าและกล่าว “เจ้าสิ่งนี้มันมาจากยุคโบราณ เป็นยุคก่อนที่เทพวิญญาณจะถือกำเนิดขึ้น”

“เจ้าสิ่งนี้ ครั้งหนึ่งมันเคยทำลายล้างยุคบรรพกาลมาแล้ว หลังจากการถือกำเนิดขึ้นของเทพวิญญาณ แม้ว่าเทพที่แท้จริงจะมีอำนาจที่แสนน่าหวาดหวั่น แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่อาหารของสิ่งนี้”

“ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมทวยเทพถึงไม่หยุดรังสรรค์ทุกสรรพชีวิต ละเมิดกระทั่งข้อห้ามอย่างการรังสรรค์อาวุธที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตน ส่วนหนึ่งก็เกิดมาจากความหวาดกลัวต่อเจ้าสิ่งนี้นั่นเอง”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วในยุคที่ว่านั่น เทพวิญญาณสามารถโค่นเจ้าสิ่งนี้ลงได้รึเปล่า?”

ซีน้อย “เทพวิญญาณได้ทำการต่อสู้ขั้นแตกหักกับเจ้าสิ่งนี้ และช่วงเวลาที่ว่าฉันเองก็อยู่ด้วยเหมือนกัน”

“เธอได้สู้กับมันด้วยงั้นเหรอ!?”

“ไม่ใช่แค่ฉัน แต่กองทัพอันยิ่งใหญ่ อาวุธทั้งมวลที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยทวยเทพก็ล้วนมีส่วนร่วมในการต่อสู้ขั้นแตกหักนี้ บางตนถึงขั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าฉันซะอีก”

“คว้าชัยชนะมาได้ใช่ไหม?”

“ใช่ แต่มันก็ยากเย็นเหลือเกิน เทพวิญญาณส่วนใหญ่ต้องตกตายลง หลายตัวตนที่ทรงอำนาจมากจนฉันรู้สึกว่าการมีอยู่ของพวกเขามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็ตกตายลงในการต่อสู้ขั้นแตกหักนี้”

“แล้วเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นล่ะ?”

“พวกเราไม่สามารถทำลายมันได้ ทำได้เพียงปิดผนึกมัน แม้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่สำหรับเทพวิญญาณแล้ว นี่นับว่าอย่างน้อยก็สามารถปลอดภัยได้ชั่วคราว”

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

ซีน้อยกล่าวซอกแซก “แล้วนายไปรู้จักเจ้าสิ่งนี้ได้ยังไง?”

กู่ฉิงซาน “เพราะมันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง”

ซีน้อยมิได้ตอบเขา แต่แข้งขาของเธอพลันไร้เรี่ยวแรง ทิ้งตัวลงนั่งอย่างช้าๆ

นี่เป็นครั้งแรกเลยกที่กู่ฉิงซานเห็นเธอแสดงออกถึงความวิตกและหวาดกลัว

“ตอนนี้เทพวิญญาณก็ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นหมายความว่าเจ้าสิ่งนี้คงเป็นอมตะ ฆ่าไม่ตายสินะ” กู่ฉิงซานถามอย่างไม่มั่นใจ

“ไม่หรอก” ซีน้อยส่ายหัว “เทพวิญญาณย่อมไปปล่อยให้สถานการณ์น่ากลัวแบบนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน”

“หลังจากผนึกมอนสเตอร์ตัวนี้ พวกเขาก็ได้ทำการศึกษามันมาเป็นเวลานานปี จนในที่สุดก็ค้นพบวิธี ‘รับมือ’ กับมอนสเตอร์ตนนี้”

ดวงตาของกู่ฉิงซานเปล่งประกาย ปากเอ่ยถาม “วิธีการอะไร?”

“มันเป็นความลับ ความลับของเทพวิญญาณ” ซีน้อยมองเขา ส่ายหัวพลางกล่าว

กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด “ฟังฉันนะซีน้อย เธอจะต้องบอกฉัน มิฉะนั้นผู้คนมากมายจะถูกมอนสเตอร์ตนนี้ฆ่าตาย และโลกทั้งมวลจะต้องถูกทำลายลง”

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะบอกนาย แต่ในเวลานั้นเหล่าทวยเทพได้โค่นมอนสเตอร์ตนนี้ลง และอาวุธทรงอำนาจเช่นฉันได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาแทน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปล่อยให้ฉันล่วงรู้ถึงความลับนี้” ซีน้อยกล่าว

“มันไม่มีเงื่อนงำอะไรสักนิดเลยเหรอ” กู่ฉิงซานถามอย่างไม่ยินยอม

“แน่นอนว่ามี ฉันรู้ว่าเทพวิญญาณเก็บซ่อนความลับเอาไว้ที่ไหน” ซีน้อยกล่าว

“มันอยู่ที่ไหน?”

“มันคือหมายเลขพิเศษ ที่แสดงถึงความตายอันไม่รู้จบในพระวจนะแห่งทวยเทพ เลขเก้าสี่สี่ ใช่แล้วล่ะ ความลับที่ว่าถูกเก็บไว้ในเหรียญเลขเก้าสี่สี่”

“เหรียญ? เทพวิญญาณซ่อนความลับเอาไว้ในเหรียญเนี่ยนะ?” กู่ฉิงซานไม่อยากจะเชื่อ

ทว่าในตอนนั้นเอง เขาก็พลันนึกถึงเหรียญหนึ่งศูนย์เก้าที่อยู่ในการครอบครองของตน

เหรียญนี้สามารถเรียกตู้เย็นออกมาได้

หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ

บรรดาเหรียญมากมายเหล่านั้น พวกมันล้วนมีฟังก์ชันที่แตกต่างกันออกไปใช่หรือไม่

ซีน้อย “ใช่ เหรียญที่มีเลขมากกว่าเก้าร้อยมันไม่ได้เป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง หรือถูกใช้หมุนเวียนอีกต่อไป เหรียญเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากวัสดุนิรันดร์ของทวยเทพ มันใช้เก็บซ่อนความจริง และความลับของพวกเขาที่ไม่ต้องการเอ่ยถึง”

กู่ฉิงซานนิ่งค้าง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “แล้วเหรียญพวกนี้ มันจะเหมือนกันกับเหรียญที่มีเลขต่ำกว่าเก้าร้อยรึเปล่า?”

“ไม่ นายไม่สามารถวัดความจริงและความลับตามทัศนคติที่ใช้วัดความมั่งคั่งได้ เหรียญเลขที่มากกว่าเก้าร้อย แต่ละเลขล้วนมีความหมายพิเศษ และไม่สามารถแยกแยะได้เลยเหรียญใดมีความสำคัญมากกว่ากัน”

ซีน้อยคล้ายกับคิดอะไรบางอย่างออก ทันใดนั้นเสียงของเธอดูจะเบาลงและดูว้าวุ่นใจ

“เหรียญที่อยู่เหนือกว่าเลขเก้าร้อย ทั้งหมดล้วนมีค่าเท่าเทียมกัน แต่ว่ามีแค่เหรียญสามเลขสุดท้ายเท่านั้น ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพียงหนึ่ง …”

ทว่ากู่ฉิงซานไม่ทันได้ให้ความสนใจกับน้ำเสียงและท่าทีที่แปลกไปของซีน้อยในเวลานี้

เพราะเขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีการเอาชนะมอนสเตอร์ประหลาดอยู่

ถูกหล่อขึ้นเพียงชิ้นเดียว หรือหล่อขึ้นเป็นจำนวนน้อย นั่นหมายความว่ามันย่อมต้องเก็บงำความลับอันยิ่งใหญ่เอาไว้ นี่เป็นเรื่องง่ายสำหรับกู่ฉิงซานที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ

“เหรียญเลขเก้าสี่สี่…” กู่ฉิงซานพึมพำ “ฉันจะจำมันเอาไว้และตามหามัน!”

เขาผุดลุกขึ้นและกล่าว “สำหรับปัจจุบันนี้ พวกเรามาค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามชิ้นกันก่อน แล้วออกจากโลกใบนี้กันเถอะ”

ซีน้อยลุกขึ้นตามเขาและกล่าว “พวกเราจะไปที่ร้านหนังสือกันแล้วใช่ไหม?”

“ไม่ พวกเราจะตรงไปที่ทะเลทรายเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

ซีน้อยงุนงง “แต่พวกเรายังไม่ได้อ่านบทกวีพยากรณ์ทั้งยี่สิบเอ็ดเลยนะ แล้วแบบนี้พวกเราจะไปหาตำแหน่งของเขาวงกตเจอได้ยังไง”

กู่ฉิงซาน “แค่ตามฉันมาก็พอ”

ซีน้อย “นายมีวิธีงั้นเหรอ?”

กู่ฉิงซาน “อืม”

“นายสามารถค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะได้เลยโดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งพาบทกวีพยากรณ์?” ซีน้อยอดไม่ได้ เอ่ยถามอีก

กู่ฉิงซาน “อืม”

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายมีวิธี มันคืออะไรช่วยบอกฉันบ้างสิ” ซีน้อยคะยั้นคะยอ

“ก็…ใช้วิธีการเดียวกันกับตัวตนที่เธอเรียกมันว่า อริของเทพวิญญาณ ผู้กลืนกินอสุรกาย นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลยังไงล่ะ!”

กู่ฉิงซานเฉลย

บนหน้าต่างเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณนับพันถูกจ่ายออกไป

สกิลลึกลับจากสถาบันเทพ ‘การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์’ ได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว!

……………………..

โลกทะเลทราย เบื้องล่างคลาคล่ำไปด้วยมือยักษ์สีเขียว

เบื้องบน ถูกปกคลุมไปด้วยแมลงปีศาจเขมือบโลกา

อย่างไรก็ตาม ราวกับประชดประชัน ผู้คนที่สามารถหลบลี้จากทั้งสองสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้ ทั้งหมดกลับกำลังก่อจลาจล เข่นฆ่าสังหารกันอย่างบ้าคลั่ง

พวกเขาต่างต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงสมบัติหายาก และเก็บรวบรวมทุกชนิดที่สามารถใช้เป็นเสบียงได้

ทั้งหมดพยายามอย่างหนัก เพื่อพิสูจน์ว่าตราบใดที่พวกเขาสามารถเก็บรวบรวมสิ่งเหล่านี้เอาไว้ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตยืนยาวได้กว่าคนอื่นๆ

เมืองลอยฟ้าแล่นออกไปยังมุมที่ห่างไกล

ณ บริเวณสถานที่ซึ่งแยกตัวออกมาจากสถานการณ์อันวุ่นวาย และยังคงสงบอยู่ชั่วคราว

ซีน้อยวางตะเกียบลง แสดงท่าทีว่ากินอาหารเสร็จแล้ว

“อา ขอโทษนะ ที่ฉันกินเยอะไปหน่อย” ซีน้อยกล่าวด้วยใบหน้าแดงซ่าน

อาหารทุกจานบนโต๊ะ เธอสวาปามคนเดียวเรียบ

กู่ฉิงซานหัวเราะ “ไม่ต้องใส่ใจหรอก เพราะการที่เห็นอาหารทุกชามถูกกินจนเกลี้ยงแบบนี้ ถือเป็นคำชมที่ดีที่สุดเลยสำหรับพ่อครัว”

“จริงๆ เหรอ?”

“จริงสิ ฉันไม่โกหกหรอกน่า”

กู่ฉิงซานเก็บหม้อและจาน

จากนั้นเขาก็หยิบส่วนผสมบางอย่างออกมา และเตรียมทำอาหารมื้อเล็กๆ สักสองจานสำหรับตนเอง

“อันที่จริงแล้วอาหารน่ะ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สามารถใช้บ่งบอกเรื่องราวของโลกใบนั้นๆ มันเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่จะทำให้เธอสามารถเรียนรู้ และเข้าใจสิ่งแปลกใหม่ของโลกใบนั้นๆ ขณะเดียวกันก็สามารถเพลิดเพลินไปกับมัน”

กู่ฉิงซานกล่าว ขณะเดียวกันก็เริ่มปรุงส่วนผสม

ซีน้อยไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับฟัง

แต่ในตอนนั้นเอง โครม! ร่างหนึ่งก็ลอยมาแต่ไกล ร่วงตกกระแทกบนพื้นใกล้กับที่ทั้งสองนั่งอยู่

แสงสีแดงสดใสสลายออกจากร่างกาย ไม่นาน ก็ปรากฏถึงคราบเลือดที่ท่วมไปทั้งตัวอย่างน่าตกใจ

ร่างดังกล่าวนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น

กู่ฉิงซานชำเลืองมอง เขาวางอาหารทอดจานแรกลงบนโต๊ะ แล้วตรงไปหาร่างของคนคนนั้น

ซีน้อยหันไปมองชายเลือดท่วมและกล่าว “เขาบาดเจ็บหนักเกินไป จิตสำนึกพร่ามัว ร่างกายเองก็มีหลายส่วนที่สาหัสถึงตาย ถ้าไม่รีบช่วยเขาจะต้องตาย”

“ฉันรู้แล้ว”

กู่ฉิงซานตอบ เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าชายเลือดท่วม จากนั้นเพ่งสำรวจอย่างระมัดระวัง

ชายคนนี้สวมชุดสูทสีดำเข้ม คาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในคนขององค์กรสาธารณะ

“นายกำลังจะทำอะไร?” ซีน้อยถามด้วยความสงสัย

“นอกไปจากลิ้มลองอาหารแล้ว มันยังมีอีกวิธีหนึ่ง ที่จะสามารถช่วยให้เรารู้จักโลกได้มากขึ้น”

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็วางมือลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย

เปิดใช้งาน เทคนิคค้นวิญญาณ!

ทันใดนั้นเอง ร่างของชายเลือดท่วมก็สั่นสะท้าน และสิ้นชีวิตลง

กู่ฉิงซานเดินกลับมา ล้างมือด้วยน้ำสะอาด แล้วเริ่มผัดอาหารจานที่สองต่อ

“นี่นาย พึ่งจะฆ่า” ซีน้อยลังเลที่จะกล่าวต่อ

“สิ่งนี้เรียกว่าการค้นวิญญาณ มันเป็นเทคนิคที่ผู้ฝึกยุทธใช้ เพื่อที่จะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของผู้อื่น” กู่ฉิงซานอธิบาย

ชายร่างท่วมเลือดเมื่อครู่ เป็นคนที่เกิดในกองทัพของจักรวรรดิดวงดาว คือนายพลอาวุโสแห่งจักรวรรดิ การมายังตลาดมืดของเขาในคราวนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อขายอาวุธจำนวนหนึ่ง

ด้วยความรู้และข้อมูลของชายคนนี้ มันช่วยให้กู่ฉิงซานสามารถรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวของดินแดนชิงอำนาจเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเลย

และแล้วอาหารผัดจานที่สองก็ถูกเทลงใส่จาน

กู่ฉิงซานเติมข้าวจนพูนชาม  และค่อยๆ กินมันอย่างช้าๆ

ซีน้อยขบคิดอย่างเงียบๆ สักพักก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเธอไปกุมมือกู่ฉิงซาน

“มีอะไรเหรอ?”

กู่ฉิงซานหยุดตะเกียบและเอ่ยถาม

ซีน้อยยกมือของเขาขึ้นมาวางลงบนหน้าผากเธอและกล่าว “ถ้านายต้องการที่จะรู้เรื่องราวบางสิ่งบางอย่างในสมัยโบราณ นายสามารถค้นวิญญาณจากฉันได้ เพราะฉันน่ะรู้อะไรหลายอย่างเลย”

กู่ฉิงซานทั้งโกรธทั้งขบขัน เขาดีดหน้าผากเธอ “การค้นวิญญาณมันมีความเสี่ยงอยู่ ฉันจะไม่ค้นวิญญาณเธอลวกๆแน่นอน”

“โอ้ เข้าใจแล้ว ฉันก็แค่คิดว่าตัวฉันอาจจะช่วยอะไรนายบ้างสักหน่อยแค่นั้นเอง”

ซีน้อยกลับไปนั่งดังเดิม พลางยกมือขึ้นลูบๆ หน้าผากที่ปวดแปล๊บ

เมื่อเห็นท่าทีที่ดูเศร้าๆ เล็กน้อยของเธอ กู่ฉิงซานก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซีน้อย ถ้าฉันอยากจะรู้อะไร ฉันก็สามารถถามเธอตรงๆ ได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

ซีน้อยพอได้ฟัง ค่อยรู้สึกดีขึ้น “จริงด้วย! แถมวิธีนี้ยังง่ายและปลอดภัย ถึงขั้นสามารถคิดแบบนี้ได้ นายนี่มันฉลาดจริงๆ”

บอกตามตรงว่าเขาไม่อาจรับคำชมนี้เอาไว้ได้ เจ้าตัวส่ายหัว และเริ่มกินต่อ

แต่ในตอนนั้นเอง เขาคล้ายจดจำได้ถึงสิ่งหนึ่ง

เหลียวไปมองรอบๆ และไม่พบว่ามีใครคนอื่นอยู่ที่นี่ กู่ฉิงซานก็เดินเข้าไปในร้านอาหาร ตรงเข้าไปในครัว และหยิบเหรียญหนึ่งศูนย์เก้าออกมา เปล่งเสียงกระซิบ “เครื่องดื่มเย็นๆ”

ปุ้ง…

ลังไม้ตู้เย็นปรากฏขึ้นทันใด

เขาเร่งหยิบไวน์ขวดหนึ่งมา แล้วยัดตู้เย็นเก็บกลับคืน

สักพักเดินกลับมาโซนกินอาหาร เปิดจุกไวน์ ทั้งดื่มทั้งกิน อา…นี่ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมเสียจริง

ซีน้อยพอเห็นถึงการกระทำของเขา ก็พาลเข้าใจในทันที

น้ำจากในขวดนั่น…คงจะเป็น ‘ซุป’ สินะ

อา… เขาคงไปเอาซุปมาเพิ่มแน่ๆ เลย นี่มันเป็นเพราะว่าฉันกินซุปหม้อแรกคนเดียวหมด ช่างน่าละอายจริงๆ

ซีน้อยหน้าแดงเล็กน้อย

กู่ฉิงซานเหลือบมองเธอและกล่าว “นี่ ทำไมจู่ๆ เธอถึงหน้าแดงขึ้นมากัน?”

ซีน้อยสะบัดหน้าไปทางตลาดมืด หันเหหัวข้อสนทนา กล่าวอย่างร้อนรน “ไม่มีอะไร ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่คนพวกนั้นจะหยุดกันสักที”

“คนพวกนั้นน่ะเหรอ…” กู่ฉิงซานถูกเบนความสนใจ มองไปทางตลาดมืด

เขาสัมผัสได้เจ็ดถึงแปดกลิ่นอายที่ทรงพลังอย่างยิ่งยวด แต่ละกลิ่นอายก็ล้วนครอบครองดินแดนส่วนหนึ่งของตลาด และกำลังต่อสู้กัน

ดูเหมือนว่าชายที่แข็งแกร่งเหล่านี้จะยังไม่พอใจกับสมบัติที่ตนถือครองอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งหมดต่างปรารถนาที่จะครอบครองสมบัติมากกว่าเดิม

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว “ดูเหมือนว่าอีกไม่นานพวกเราก็คงต้องเข้าไปสู้ด้วยบ้างแล้ว ระหว่างนี้ก็นั่งพักกันอีกหน่อยเถอะ”

“การต่อสู้แย่งชิงสิ่งของจากคนอื่นมันเป็นเรื่องสกปรก และเลวร้ายนะ นายไม่ทำมันไม่ได้เหรอ” ซีน้อยถาม

“ไม่ได้หรอก”

“เพราะท่ามกลางสถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้ อาจจะมีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้นก็ได้” กู่ฉิงซานส่ายหัว

ทันทีที่เสียงของเขาตกลง แสงจรัสพลันสาดส่องลงมายังโลกทั้งใบ

มนุษย์แสงปรากฏกายขึ้น

ตัวแทนสูงสุดของทวยเทพ ปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้าอย่างกะทันหัน!

ข้อพิพาททั้งหมดยุติลงทันที

“ท่านเทพที่แท้จริง ตัวฉันคือผู้รับใช้ที่แสนจะต่ำต้อยของท่าน ได้โปรดช่วยฉันด้วย”

บางคนตะโกนขึ้น

ผู้ศรัทธาอีกคนทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้น ร่ำไห้เสียงดัง “ท่านเทพวิญญาณที่เคารพ ฉันเป็นผู้ศรัทธาในเทพแห่งความลึกลับ ขออ้อนวอนท่าน ได้โปรดช่วยฉันด้วย!”

ท่ามกลางตลาดมืด การสังหารฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่งได้สลายหายไป

เหล่าตัวตนทรงพลังที่ยังมีเลือดติดอยู่ในมือ เพียงพริบตาเดียวกลับกลายเป็นผู้ศรัทธาที่แสดงถึงความจริงใจและดีงามออกมา

พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้น แสดงออกถึงความภักดีและศรัทธาของตนต่อเทพวิญญาณ

กู่ฉิงซานที่คุ้นเคยกับฉากดังกล่าว ในช่วงเวลานี้ก็พลันหลุดหัวเราะออกมา

เขาบ่นพึมพำ “ทวยเทพน่ะ จะไม่ช่วยเหลือคนที่ดูถูกชีวิตผู้อื่น”

นี่คือถ้อยแถลงบทนำในพระคัมภีร์แห่งชีวิต ตามความทรงจำของนายพลจากจักรวรรดิดวงดาว มันคือความคิดที่จู่ๆ ก็ผุดออกมาจากความทรงจำจากการค้นวิญญาณ และกู่ฉิงซานเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว

นายพลเป็นผู้ศรัทธาในเทพแห่งชีวิต เขาสามารถท่องบทสวดอธิษฐานได้มากกว่า แปดล้านคำ เป็นที่เคารพนับถือ ชื่นชม และรักใครของทั่วทั้งจักรวรรดิ

แต่น่าเสียดาย ที่เขาตายลงซะแล้วในตลาดมืด

เมืองลอยฟ้าถูกห่อหุ้มด้วยอำนาจอันเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์ ท่ามกลางการสวดอ้อนวอน ผ่านพ้นไปนาน ในที่สุดมนุษย์แสงก็เอ่ยปาก

“ข้าจะหยุดการแพร่กระจายแห่งความชั่วร้ายเอาไว้ชั่วคราว เพื่อซื้อเวลาให้กับพวกเจ้า”

รัศมีเปล่งประกายออกจากมนุษย์แสง สาดไปทั่วทั้งโลก

รัศมีนี้ราวกับมีว่าพลังบางอย่าง เมื่อมือยักษ์สีเขียวตระหนักถึงแสงที่ว่า มันก็ค่อยๆ พากันหดหายกลับเข้าไปใต้ทะเลทราย

เวลาแห่งหายนะถูกยืดออกไป

ขณะเดียวกัน ฝูงชนต่างก็พากันระเบิดเสียงโห่ร้องสรรเสริญด้วยความตื่นเต้น

มนุษย์แสงเปิดปากพูดอีกครั้ง “เหล่าลูกแกะของทวยเทพเอ๋ย กล่าวตามความสัตย์จริง ที่ทุกสิ่งมีชีวิตสามารถรอดพ้นมาได้ก็เพราะพระพรแห่งทวยเทพ ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องจำคำกล่าวของข้าต่อจากนี้ไปให้จงดี”

“บาปที่ทรงพลังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ถูกผนึกเอาไว้ในส่วนลึกของโลกใบนี้”

“เมื่อผนึกหลุดออกมา แมลงปีศาจจึงปรากฏขึ้น และต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่สามารถช่วยชีวิตพวกเจ้าจากความทุกข์ทรมานนี้ได้”

“แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่ง”

“เจ้าต้องค้นหาบทกวีพยากรณ์ทั้งยี่สิบเอ็ดบท จากพระคัมภีร์ทั้งเจ็ด ที่เทพวิญญาณทิ้งเอาไว้”

และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มันถูกเปิดใช้งานก่อนเวลาอันควร เทพจึงได้ซ่อนทางรอดสุดท้ายเอาไว้ ในสถานที่ทุกสิ่งมีชีวิตเข้าถึงได้ยากที่สุด มีเพียงบทกวีเท่านั้น ที่บอกได้ว่ามันอยู่ที่ไหน

“จงไปตามบทกวีพยากรณ์ แสวงหาสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามที่เทพวิญญาณได้ทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง พวกมันกระจัดกระจายอยู่ในโลกทะเลทราย ถูกซ่อนลึกเข้าไปในเข้าวงกตที่ไม่เคยมีผู้ใดค้นพบ”

“นำสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามออกมาจากเขาวงกต แล้วปลดปล่อยให้พวกมันสัมผัสกับสายลมอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นพวกมันก็จะถูกเปิดใช้งาน”

กล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของมนุษย์แสงก็ค่อยๆ ลดต่ำลง

“นี่คือ ‘มรดก’ ที่เทพวิญญาณทั้งเจ็ดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง มันจะช่วยให้พวกเจ้าหลุดพ้นจากสถานการณ์อันโหดร้ายนี้ได้”

“แมลงปีศาจ เมื่อสัมผัสถึงอำนาจของสิ่งประดิษฐ์เทวะ มันก็จะคายโลกใบนี้ แล้วจากไป”

“สิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามนั้นมีพลังมหาศาล มันจะช่วยปิดผนึกความชั่วร้ายอีกครั้ง”

“เหล่าเทพวิญญาณจักต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน!”

“นอกเหนือไปจากนี้ ผู้ที่สามารถค้นพบสิ่งประดิษฐ์เทวะ จะได้รับความโปรดปรานจากทวยเทพ ทวยเทพจะมอบของขวัญให้พวกเขาหลังจากที่สามารถปิดผนึกความชั่วร้ายเอาไว้ได้แล้ว…”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ มนุษย์แสงก็หยุดไป

ขณะที่หัวใจของทุกคน ยิ่งนานก็ยิ่งครึกโครม

ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยให้มนุษย์แสงเฉลยว่าของขวัญจากทวยเทพนั้นคือสิ่งใด

ภายใต้การจับต้องโดยสายตานับไม่ถ้วน ในที่สุดมนุษย์แสงก็ประกาศออกมาในท้ายที่สุด

“ของขวัญที่ว่าก็คือ…พวกเขาจะสามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตนได้ในทันที และกลายเป็นกึ่งเทพ!”

………………………..

ในช่วงเวลาที่เมืองลอยฟ้ายกระดับสูงขึ้น ทางกู่ฉิงซานเองก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน

โดยไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ซีน้อยได้มาหยุดยืนอยู่ข้างเขา ก้มลงมองฉากภายใต้ผืนฟ้า

“ในที่สุด มันก็กำลังจะออกมา” ซีน้อยกล่าวด้วยอารมณ์

“มือพวกนี้คือมอนสเตอร์ตัวนั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ก็ไม่เชิง มือเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงผิวหนังของมัน ถ้าให้พูดชัดๆ คือมันยังคงอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น” ซีน้อยอธิบาย

กู่ฉิงซานมองเธอและกล่าว “กลับกลายเป็นว่าเธอเคยได้เผชิญหน้ากับการดำรงอยู่ระดับนั้น นี่มันยากที่จะจินตนาการจริงๆ”

ซีน้อยคิด “ตอนแรกฉันคิดว่าแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาลจะสามารถทำให้มันสงบลงได้ แต่สุดท้าย ใครจะรู้ว่าแท้จริงดันล้มเหลว ไม่แน่ใจว่าเทพวิญญาณยังมีกับดักอื่นเตรียมเอาไว้อีกรึเปล่า”

“ไม่ว่าเทพวิญญาณจะวางกับดักอะไรเอาไว้ แต่พวกเรายังไงก็สามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้อยู่แล้วหรอกหรือ?” กู่ฉิงซานถาม

“ไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้ฉันอ่อนแอเกินไป” ซีน้อยถอนหายใจ

ทั้งสองนิ่งงันไป และหันกลับไปมองตามทิศทางตลาดมืด

เห็นแค่เพียงตลอดทั้งตลาดมืดกลับมาสับสนวุ่นวายอีกครั้ง เว้นไว้แต่เพียงในส่วนควบคุมการบินของเมืองลอยฟ้า สถานที่อื่นๆ ล้วนตกอยู่ในความโกลาหล

ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ ปล้น ฆ่า ทำลายล้าง…

ผู้คนต่างกรูกันวิ่งเข้าไปตามร้านค้าราวกับคนบ้า พบเห็นสิ่งใดที่มีประโยชน์กับตัวเองก็ปล้น หากโดนขัดขวางก็เข้าปะทะแตกหักโดยตรง

บางคนก็เกิดความคิดริเริ่มที่จะแก้แค้น

การต่อสู้ผุดขึ้นทุกหนแห่ง

นับว่าโชคยังดี ที่กู่ฉิงซานเลือกสถานที่หลบซ่อนตัวเป็นสุดปลายถนน ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีสินค้าอะไรน่าค้นหา มันจึงไม่คุ้มค่าให้มาสำรวจดู หรือมีใครมาเยือน

รับฟังเสียงโวยวายจากระยะไกล ซีน้อยอดไม่ได้ต้องกล่าว “เห็นได้ชัดว่านี่คือสถานการณ์สิ้นหวัง แล้วทำไมพวกเขายังต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก?”

กู่ฉิงซานมองเธอและเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปในช่วงที่เธอยังไม่ถูกผนึก เธอคงแทบจะไม่ได้ติดต่อกับมนุษย์เลยสินะ?”

“ใช่ นอกเหนือไปจากการต่อสู้กับมอนสเตอร์แล้ว ฉันก็หลับอย่างเดียวเลย…” ซีน้อยเฝ้ามองการต่อสู้เข่นฆ่าที่ผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อนในตลาดมืด ปากเอ่ยถาม “ทำไมพวกเขาถึงได้เป็นบ้ากันไปหมด”

กู่ฉิงซาน “ไม่เชิงว่าบ้า แต่นี่คือธรรมชาติของทุกสิ่งมีชีวิต”

“ธรรมชาติของทุกสิ่งมีชีวิต?” ซีน้อยไม่เข้าใจ “เมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางห้วงแห่งความสิ้นหวัง ทุกสิ่งมีชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนิสัยของพวกเขาหรือ?”

“มันไม่ใช่นิสัยที่เปลี่ยนแปลง แต่นี่คือนิสัยที่แท้จริงของพวกเขาเลยต่างหาก แต่สิ่งเหล่านี้มันถูกสะกดข่มเอาไว้ตลอดเวลา ทว่ายิ่งมีความแข็งแกร่งมากเท่าใด สิ่งที่คอยสะกดข่มนิสัยเหล่านี้ก็จะยิ่งบางเบาลง”

กู่ฉิงซานกล่าวจบ ก็นำบางสิ่งออกมาจากเบื้องหลัง

เป็นหม้อ

เครื่องปรุงรส และส่วนผสมต่างๆ วางเรียงรายบนโต๊ะ

เขาจีบออกด้วยวิชาลับ ล้างหม้อด้วยน้ำจากในอากาศ และเริ่มจัดการกับส่วนผสม

ซีน้อยเฝ้ามองด้วยความประหลาดใจ “นี่นายกำลังจะทำอะไร?”

“ก็กำลังจะทำหนึ่งในกิจวัตรตามธรรมชาติที่ทุกสิ่งมีชีวิตพึงกระทำ” กู่ฉิงซานตอบ

ตั้งแต่ที่เข้ามายังดินแดนชิงอำนาจ เขายังไม่ได้กินอาหารร้อนๆ สดใหม่เลยสักคำเดียว แน่นอน ว่าอาหารรสขมฝาดจากในร้านเมื่อครู่นี้ย่อมไม่นับ

การขยับกายเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้า เขาก็เตรียมอาหารได้ถึงสองสามจาน และหม้อซุป

“ในเมื่อตอนนี้ไม่สามารถรับมือกับศัตรูเลย งั้นฉันจะขอกินอะไรสักอย่างก่อน เพิ่มพูนพลังงาน แล้วค่อยมาคิดเกี่ยวกับมันอีกครั้ง” กู่ฉิงซานกล่าว

ซีน้อยมองอาหารในจานของเขา ขยับจมูกฟุดฟิด สีหน้าแสดงออกถึงความอิจฉา

“นายสามารถกินทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวเลยเหรอ?” เธอถาม

“แน่นอนว่าไม่ เพราะงั้น เธอต้องมากินกับฉัน”

แล้วกู่ฉิงซานก็บอกให้เธอนั่งลง

ในช่วงเวลานี้ ซีน้อยดูค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อย

“เกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเห็นเธอทำท่าทีผิดปกติ จึงเหล่ตาถาม

ซีน้อยลังเล “ฉันบางทีฉันอาจจะไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้

กู่ฉิงซานประหลาดใจ “มันก็แค่การกินอาหารนี่ มันจะไม่เหมาะกับเธอได้ยังไง?”

คู่ดวงตาของซีน้อยจดจ่ออยู่กับจานอาหาร เอ่ยปากกล่าวกับเขาเบาๆ “เพราะเทพวิญญาณบอกฉันว่า ชีวิตของฉันมีเพียงสองสิ่งเท่านั้น นั่นคือการต่อสู้และหลับใหล”

“การต่อสู้คือการล้างบางความชั่วร้าย ขณะที่การนอนหลับสามารถช่วยฟื้นฟูความแข็งแกร่ง”

“นอกเหนือไปจากนั้น ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลย เพราะทุกสิ่งจากที่กล่าวมา ล้วนทำให้ตัวฉันเสื่อมถอยลง”

กู่ฉิงซานเงียบไปพักหนึ่งค่อยเอ่ยถาม “หมายความว่าเธอยังไม่เคยกินอาหารมาก่อนเลยใช่ไหม?”

“ใช่”

“งั้นแสดงว่านอกจากการต่อสู้ กับการนอน เธอไม่เคยทำอย่างอื่นเลยเหรอ?”

“ไม่…ความจริงแล้วในตอนที่ฉันค่อยๆ เริ่มสังเกตโลก ฉันก็เริ่มรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง”

“มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ซีน้อยกล่าว “ฉันเริ่มคิดว่าตัวเองก็น่าจะสามารถให้ความสนใจในบางสิ่งบางอย่างได้เหมือนกันนะ”

กู่ฉิงซาน “ตัวอย่างเช่น?”

ซีน้อยหยิบไพ่ใบหนึ่งออกมา แล้วยื่นมันให้แก่กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรับมัน และมองดูไพ่

บนหน้าไพ่ เป็นช่อดอกไม้สีชมพูสดใส

เขาสะบัดไพ่อย่างอ่อนโยน

ปรากฏช่อดอกไม้สีชมพูที่ส่งกลิ่นหอมจางๆ ขึ้นในมือของเขา

“อา มันสวยงามมากจริงๆ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เขายื่นช่อดอกไม้ให้ซีน้อย

ซีน้อยถือช่อดอกไม้ สูดดมมันเบาๆ ไม่กี่ครั้ง รอยยิ้มก็ค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าเธอ

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาที่ฉันพึ่งจะทำลายบาปในโลกใบหนึ่งลงไป ขณะที่กำลังจะออกจากโลกใบนี้ ฉันก็บังเอิญไปค้นพบดอกไม้พวกนี้ แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ฉันถึงได้เก็บรวบรวมมันมา”

“นับตั้งแต่ครั้งนั้น ทุกครั้งที่ฉันออกไปกำจัดบาปในโลกต่างๆ ฉันก็มักจะมองหาดอกไม้ และคอยเก็บรวบรวมมัน”

“เทพวิญญาณได้ค้นพบพฤติกรรมของฉัน พวกเขารู้สึกว่ามันแปลกมากๆ เลยเอ่ยถามว่าทำไมฉันถึงได้ทำแบบนั้น”

“แล้วเธอตอบกลับไปว่ายังไง” กู่ฉิงซานถาม

ซีน้อยเอ่ยพลางนึกย้อนคืนความทรงจำ “ฉันพูดว่า ฉันรักดอกไม้เหล่านี้ และรู้สึกสุขที่ได้ท่องไปตามโลกต่างๆ”

“นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ทัศนคติของเทพวิญญาณที่มีต่อฉันก็ได้เกิดเปลี่ยนแปลงไป”

กู่ฉิงซาน “เปลี่ยนไปยังไง?”

“พวกเขาดูเหมือนว่าจะหลบหน้าฉัน แต่เห็นได้ชัดว่ามีนางฟ้าบางคนก็ชมชอบดอกไม้เหมือนกัน แต่ทำไมฉันถึงชอบมันไม่ได้?” ซีน้อยถามด้วยความสับสน

เมื่อต้องเผชิญกับคู่ดวงตาที่กระจ่างใสและไร้เดียงสาของเธอ กู่ฉิงซานก็นึกคำพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

ซีน้อยเลยกล่าวต่อ “หลังจากนั้น เทพวิญญาณก็ให้ฉันเดินทางเข้าสู่โลกใบนี้ และต่อสู้กับมอนสเตอร์ใต้พิภพ ในตอนที่ฉันทุ่มสุดกำลังจนสามารถผนึกมอนสเตอร์ได้ เทพวิญญาณก็ปรากฏตัวขึ้น”

“พวกเขาผนึกฉัน แล้วฉันก็จมลงสู่ห้วงหลับลึก จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้”

กู่ฉิงซาน “พวกเราลองย้อนกลับไปที่คำถามก่อนหน้ากันดีกว่า การที่เทพวิญญาณไม่อนุญาตให้เธอทำสิ่งอื่นๆนอกเหนือไปจากการต่อสู้และหลับใหล ถ้างั้นพวกเขากินอาหารกันบ้างรึเปล่า?”

“กินสิ เทพวิญญาณน่ะชอบจัดงานเลี้ยง” ซีน้อยคล้ายจดจำได้ถึงบางสิ่ง สีหน้าเผยร่องรอยของความอิจฉา

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างเงียบๆ

เขาเริ่มตักซุปด้วยตัวเอง ใส่ชาม และค่อยๆ ว่างลงเบาๆ เบื้องหน้าของซีน้อย

“ลองชิมดูสิ”

ซีน้อยกล่าวด้วยความกังวล “แต่ฉันไม่เคยดื่มอะไรแบบนี้เลย”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันรับรองว่าซุปที่ฉันทำ มันคุ้มค่าให้เธอลอง”

ซีน้อยจ้องมองเขา

เขาพยักหน้า

ซีน้อยสูดหายใจลึก เอ่ยกับตัวเอง “ในความเป็นจริงแล้ว ฉันมักจะเกิดความสงสัย อยากรู้อยากเห็นอยู่เสมอว่าการกินอาหารนี่มันจะให้ความรู้สึกยังไงกันนะ”

เธอใช้สองมือประคองชามขึ้น ประกบริมฝีปากลงตรงขอบชาม ค่อยๆ จิบมันอย่างระมัดระวัง

“รสชาติเป็นยังไง?” กู่ฉิงซานถาม

เวลานี้ เขาค้นพบว่าตนเองกำลังประหม่าเล็กน้อย

ความรู้สึกนี้ มันเป็นครั้งแรกเลยที่เกิดขึ้นในรอบหลายปี ที่เขาแสดงออกมา

ซีน้อยนิ่งงันไปพักหนึ่ง

เธอก้มหน้าลง และลูบตา

“ฉัน…ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงดี”

เธอเปล่งเสียงกระซิบ สองมือกุมชามแล้วยกขึ้นซดอีกที

…………………….

ณ โลกทะเลทราย

ภายในตลาดมืด

ท่าเรืออวกาศ

กู่ฉิงซานยืนอยู่นอกฝูงชน เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างเงียบๆ

ทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมด

เนื่องจากไม่มีวิธีที่จะหลบหนีไปจากโลกใบนี้ และยังได้รับผลกระทบจากการระเบิดของยานอวกาศ เหล่ามืออาชีพต่างโกรธแค้น ตรงมายังท่าเรือเพื่อเรียกร้องขอรับค่าเดินทางคืน

อย่างไรก็ตาม ทหารรักษาการณ์ในตลาดมืดน่ะมีจำกัด และเวลานี้ กระทั่งหัวหน้ารักษาการณ์และรองหัวหน้าก็ยังไม่ปรากฏตัว

ได้ยินมาว่าพวกเขาออกไปทำภารกิจสำคัญ ขณะเดียวกัน มืออาชีพบางคนที่ทรงพลัง ก็ค่อยๆ เริ่มค้นพบว่า เกรย์แฮนด์เจ้าของตลาดมืดไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้

ข่าวดังกล่าวราวกับติดปีก แพร่กระจายไปทั่วทั้งตลาดมืด

บางคนบังเกิดความคิดที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ วางแผนกระทำดั่งใจต้องการ

ความขัดแย้งครั้งแรก ปรากฏขึ้นที่ตึกประมูล

แม้ตัวกู่ฉิงซานจะอยู่ในสถานที่ห่างไกล สุดปลายถนนอย่างท่าเรืออวกาศ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นควันหนาทึบและเปลวไฟที่พวยพุ่งขึ้นได้

นี่คล้ายกับเป็นชนวนสัญญาณ ท่าเรือเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที

หลายคนเร่งตรงเข้าไปในส่วนอากาศยาน และฉกฉวยพาหนะที่สามารถใช้บินได้หลบหนีไป

ทหารรักษาการณ์ที่หลงเหลือเองก็ไม่คิดเกลี้ยกล่อมอีก เริ่มหันไปเผชิญหน้ากับพวกมืออาชีพ

การจลาจลทุกหัวระแหงเริ่มปะทุขึ้น

บรรยากาศของทุกสถานที่ในตลาดมืดที่ยิ่งมาก็ยิ่งคุกรุ่น

กองกำลังต่างๆ เข้าห้ำหั่นกัน ส่งผลให้เมืองตลาดมืดที่อยู่สูงขึ้นมาจากผืนดินเบื้องล่างนี้ ที่แต่เดิมเคยสงบสุขมาเป็นเวลานาน เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย

กู่ฉิงซานมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จากระยะไกล

เขาถอยหลังไปอีกก้าว และอีกก้าว และหมุนตัวเดินจากไป

สถานการณ์มันวุ่นวายมากเกินไป และเขาจะไม่โยนตนเองลงไปในโคลนตมเหล่านั้น

เจ้าตัวตรงมาที่ร้านอาหารใกล้กับท่าเรือ เมื่อพบโต๊ะโล่งจึงค่อยนั่งลง

“เฮ้เจ้าของร้าน…” กู่ฉิงซานตะโกน

เขามองไปรอบๆ แต่กลับพบว่าตลอดทั้งร้านอาหารว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คน

เกรงว่าพนักงานคงตระหนักได้ถึงสถานการณ์ จึงหลบหนีออกจากที่นี่ มุ่งไปยังท่าเรือกันหมด

กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น เดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์ นำอาหารปรุงสดใหม่ที่ถูกเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าออกมา

เขาลองชิมมัน

อืม…รสชาติแบบว่า…

แต่ร้านอาหารแห่งนี้ อยู่ในย่านสงบที่ห่างไกลที่สุดของท่าเรือ ดังนั้นรสชาติแบบนี้มันก็สมเหตุสมผลแล้ว

กู่ฉิงซานวางจานลงบนโต๊ะ แต่ยังไม่ได้เข้าไปสำรวจในห้องครัว

ถ้าตัวพ่อครัวทำอาหารแบบนี้ออกมาเสิร์ฟ ก็เดาได้เลยว่า อาหารจานอื่นของเขาก็คงไม่อาจทำให้ใครประทับใจได้เช่นกัน

ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็เข้าใจทันที ถึงความรู้สึกของแบรี่กับเสี่ยวเหมียว

เมื่อนึกถึงทั้งสอง ช่างโชคดีจริงๆ ที่ทั้งสองปลอดภัย

กู่ฉิงซานเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร และเริ่มทำสมาธิ

บนท้องฟ้า กำแพงเนื้อแดงยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ขยุกขยิกดูน่าขนลุก

แต่สิ่งที่แปลกก็คือ เมื่อโลกใบนี้ถูกกลืนกินโดยแมลงปีศาจแล้ว ผืนดินของโลกก็กลับเกิดก่อนสั่นไหวน้อยลง

แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถออกจากโลกใบนี้ได้

‘เหล่าทวยเทพ คิดจะทำอะไรกันแน่นะ?’

ตูม…

กู่ฉิงซานสะบัดหัว มองไปตามเสียงทันที

เห็นแค่เพียงภายในทะเลทรายที่อยู่ห่างไกลออกไป ปรากฏมือสีเขียวที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับเมืองลอยฟ้า ผุดขึ้นมาจากผืนทราย และยกสูงขึ้น

ซึ่งนี่แตกต่างจากสีเขียวที่เขาเคยเห็นในอดีต สีเขียวนี้มันเผยให้เห็นถึงความรู้สึกน่าขยะแขยงอย่างมิอาจบอกบรรยายได้

มือยักษ์สีเขียวพยายามอย่างหนักที่จะไขว่คว้าบางสิ่งบางอย่าง

แต่น่าเสียดาย ที่มันอยู่ห่างไกลจากแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาลมากเกินไป จึงไม่สามารถเอื้อมถึงกำแพงเนื้อแดงได้

มือยักษ์สีเขียวหยุดอย่างไม่ยินยอม แต่ไม่ช้ามันก็เริ่มสั่นสะเทือนอีกครั้ง

มันปรารถนาที่จะคว้าจับบางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอๆ

เจ้ามือนี่มันคืออะไรกันเนี่ย?

ถ้าทั้งมือและแขนของมันใหญ่โตถึงขนาดนี้ เช่นนั้นแล้วตัวของมันจะมีขนาดความสูงเท่าใดกัน!

กู่ฉิงซานกำลังคิด ทว่าทันใดนั้นเองเสียงสั่นสะเทือนก็ดังขึ้นต่อเนื่องจากในหูของเขา

ตูม ตูม ตูม!

เสียงอันไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมไปตลอดทั้งโลก

กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้นอย่างช้าๆ ไปยืนตรงขอบเมืองลอยฟ้า มองไกลออกไปยังทะเลทรายอันกว้างใหญ่

เบื้องหลังเขา เสียงดัง และการต่อสู้ในตลาดมืดทั้งหมดค่อยๆ สลายไป

ตลอดทั้งตลาดมืดจมลงสู่ความเงียบ

ทุกคนหยุดมือจากสิ่งที่ตนกำลังกระทำ และมองลงไปยังผืนทราย

เป็นมือ

เป็นมือยักษ์!

มือยักษ์ที่มีขนาดเทียบเท่ากับเมืองลอยฟ้า มือแล้ว มือเล่าเริ่มผุดออกมาปกคลุมหนาแน่นทั่วผืนทราย

ไม่นะ…

พวกมันครอบคลุมไปทั่วผืนทรายเลย!

มือยักษ์สีเขียวเหล่านี้ไม่สามารถเอื้อมไปถึงกำแพงเนื้อที่บดบังผืนฟ้าได้

อย่างไรก็ตาม เมืองลอยฟ้าของพวกเขา กลับอยู่ใกล้แค่เอื้อมกับมือยักษ์!

พวกมันทั้งหมดส่ายไปมาอย่างไม่ยินยอม พยายามดิ้นรนเพื่อหาช่องว่าง พยายามคว้าจับทุกสิ่งที่สามารถคว้าได้

“เฮ้ ดูนั่นสิ!” บางคนตะโกนออกมา

เบื้องล่างลอยเมืองลอยฟ้า

เมืองรอบนอกที่อยู่ไกลออกไปพลันถูกคว้าจับด้วยมือยักษ์สีเขียว จากนั้นก็เริ่มถูกฉุดลากลึกลงไปในผืนทรายอย่างช้าๆ

ปรากฏร่างเงาจำนวนมากทะยานขึ้นมาจากเมืองเล็ก พยายามที่จะหนีรอดไปจากภัยพิบัตินี้

ทว่ามือเขียวที่อยู่รอบๆ กลับเริ่มสะบัดอย่างบ้าคลั่ง

ฉากนี้ราวกับไม้ตีแมลงวันที่กำลังหวดฟาดแมลงวันที่กำลังบินว่อน

ละอองเลือดแพร่กระจายไปทั่วทั้งอากาศ

มือยักษ์สีเขียวเสมือนดั่งมีอำนาจวิเศษ ทุกคนที่พยายามหลบหนีทั้งหมด คล้ายถูกดึงดูดกลับมา ติดหนึบเข้ากับมือยักษ์

ไม่เพียงแต่ฝูงชนที่บินหนีไปเท่านั้น กระทั่งนกบนท้องฟ้าก็ยังไม่รอดพ้น ส่งเสียงคร่ำครวญไม่หยุดหย่อน

ฝูงชนถูกดึงดูดไปกระจุกตัวกันหนาแน่นในมือยักษ์! มือยักษ์หุบเข้าหากัน ทั้งหมดถูกบดขยี้กลายเป็นซากเนื้อเหลว!

หนึ่งมือ

สองมือ

สาม สี่ ห้า…

มือยักษ์ต่างพากันคว้าจับฝูงชน

ไม่มีใครสามารถหนีรอดไปได้

ทุกคนในเมืองนั้นตายกันหมดแล้ว

มือยักษ์กุมเศษเนื้อในกำมือ และมุดกลับลงไปในผืนทราย

ผืนทรายเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย ก่อตัวยุบลงไปเป็นระลอกคลื่นทรายดูด แลดูราวกับวังวนหุบเหวแห่งนรก

ความถี่ของการสั่นสะเทือนเล็กน้อยนี้ มิได้เหมือนกันกับแผ่นดินไหว ทว่าคล้ายกับการสะเทือนของบางสิ่งที่กำลังขบเคี้ยวเสียมากกว่า

บนท้องฟ้า ทุกคนถึงขั้นลืมหายใจ  เฝ้ามองไปยังฉากนี้ด้วยความโง่งม

ทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องแหลมสูงของหญิงสาวก็ดังขึ้น “มันกำลังจะมาแล้ว!”

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง

ต่างพบว่า มือยักษ์ข้างหนึ่งจากในบรรดาทั้งหมด กำลังเอื้อมตรงมายังทิศทางของเมืองลอยฟ้า

เมืองลอยฟ้าตกลงสู่ความสับสนวุ่นวายทันที

ผู้คนเริ่มดิ้นรนรักษาชีวิต โจมตีเข้าใส่มือยักษ์สีเขียวอย่างบ้าคลั่ง

ทุกคน…ทุกคนที่สามารถโจมตีมือยักษ์สีเขียวได้ ต่างทุ่มพลังทั้งหมดของพวกเขาออกไป

“กระบวนท่าของฉันไม่ได้ผล!”

“ทำอะไรกับมันไม่ได้เลย!”

“พวกเราไม่สามารถจัดการกับมันได้!”

ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความสิ้นหวังของผู้คน มือยักษ์สีเขียวกวาดข้ามผืนฟ้า ปลดปล่อยแรงกดดันเข้าใส่เมืองลอยฟ้าอย่างมิอาจต้านทานได้

เพี๊ยะ!

บังเกิดเสียงบางเบาดังขึ้น ข่ายอาคมป้องกันในอากาศที่ถูกวางไว้รอบเมืองลอยฟ้า แตกออกราวกับฟองสบู่ ถูกทำลายลงโดยฝีมือของมือยักษ์สีเขียว

มือยักษ์สีเขียวยังคงใกล้เข้ามา

แต่เมื่อมันใกล้กับเมืองลอยฟ้าถึงที่สุดแล้ว มันก็กลับตบวูบ! ผ่านอากาศไป!

แม้ว่ามือยักษ์สีเขียวมือนี้ จะมีขนาดยาวกว่าแขนทั้งหมดของมัน แต่ก็ยังมีระยะสั้นไปเล็กน้อย มันเพียงแค่เกือบจะเอื้อมถึงเมืองลอยฟ้าเท่านั้น!

แค่นิดเดียวจริงๆ

แม้จะเพียงแค่ตบวืดผ่าน ทว่ามันกลับส่งผลให้กลิ่นเหม็นตลบอบอวลที่อาจมาจากซากศพ พัดกระพือขึ้นมาจากส่วนล่างของเมืองลอยฟ้า

ตลอดทั้งเมืองลอยฟ้าเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย

“รีบเพิ่มระดับความสูงเร็วเข้า!”

ทันใดนั้น บางคนก็ร้องตะโกนขึ้น

ฝูงชนได้สติจากห้วงฝัน

ทุกคนต่างเรียกร้อง พยายามตะโกนสุดเสียง

“รีบเพิ่มระดับความสูงเร็ว!”

“รีบเพิ่มระดับความสูงเร็ว!”

“รีบเพิ่มระดับความสูงเร็ว!”

การจลาจลทั้งหมดได้หยุดลง

ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับกลางเมือง…ณ ศูนย์ควบคุมของตลาดมืด

นี่คือสถานที่ซึ่งมีอุปกรณ์ควบคุมการบินของเมืองวางอยู่

เห็นแค่เพียงเจ้าหน้าที่ตลาดมืดวิ่งเข้าไป และเริ่มเปิดใช้งานเครื่องมือที่ดูสลับซับซ้อนอย่างรวดเร็ว

บุคลากรมืออาชีพหลายคนล้อมรอบ เพื่อป้องกันศูนย์ควบคุมเมืองลอยฟ้า

แน่นอน ว่านี่คือปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณของพวกเขา

ในความเป็นจริง ไม่มีใครโง่พอที่จะโจมตีศูนย์ควบคุมลอยฟ้าในเวลานี้หรอก

ทุกวินาทีที่ผ่านพ้น ได้ยินชัดเจนถึงเสียงหัวใจเต้นตึกตัก

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากต้องการควบคุมเมืองให้ลอยสูงขึ้นกว่านี้ได้

แต่ทุกคนเข้าใจดี จึงเฝ้าอดทนรออย่างเงียบๆ

ในเวลานั้นเอง มือยักษ์สีเขียวก็กลับมาอีกครั้ง!

และคราวนี้ มือยักษ์ดูเหมือนว่าจะมีขนาดยืดยาวกว่าเดิมเล็กน้อย

มันพยายามเหยียดนิ้วทั้งห้าสุดกำลัง หมายมั่นต้องการที่จะฉุดลากเมืองลอยฟ้าลงมาเบื้องล่าง

เหล่ามืออาชีพพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะโจมตีขัดขวาง

ก่อนหน้านี้ ยังมีคนที่ซ่อนตัวอยู่อีกจำนวนหนึ่ง แต่ในเวลานี้ ไม่มีใครกล้าที่จะเฝ้ารอโชคชะตาอีกต่อไปแล้ว

ทุกประเภทของเทคนิคมนตรา ระดมยิงเข้าใส่มือยักษ์สีเขียว ทว่ามิอาจทำให้มันสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย

ในสายตาของผู้คนที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง นิ้วมือสีเขียวสัมผัสเข้ากับตรงส่วนล่างของเมืองลอยฟ้าแล้ว

นิ้วแรกแตะลงเบาๆ

นิ้วที่สองเองก็มาแล้ว

นิ้วที่สาม…

มือยักษ์สีเขียวกำลังจะคว้าจับเมืองลอยฟ้าได้

แต่ทันใดนั้นเอง!

ตลอดทั้งเมืองลอยฟ้าก็บังเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่

“ฮู้ม”

เมืองลอยฟ้าเริ่มลอยขึ้นมาแล้ว

ตอนนี้ มันสามารถควบคุมให้ขึ้น หรือลงจอดได้ตามต้องการ

ฝูงชนที่แต่เดิมกำลังเงียบงันและหมดหวัง พลันได้สติกลับคืน

พวกเขากรีดร้องด้วยความปีติอย่างบ้าคลั่ง

“เร็วเข้า!”

“เร็วกว่านี้!”

“สู้เขานะ!”

“ให้ตายเหอะ ลอยตัวสูงขึ้นไปให้ฉันที!”

ตู้ม…!

กระแสอากาศสีขาวพวยพุ่งออกมาจากเบื้องล่างของเมืองลอยฟ้า

เมืองลอยฟ้าเริ่มยกระดับสูงขึ้น

มันค่อยๆ หลุดออกจากนิ้วสัมผัสของมือยักษ์สีเขียว และบินสูงขึ้นไปเหนือผืนฟ้า

ในลมหายใจนั้น ตลอดทั้งเมืองพลันจมลงสู่ความเงียบ

ทว่าต่อมา

เฮ…!! บังเกิดเสียงโห่ร้องไชโย กึกก้องสั่นสะท้านไปทั้งสวรรค์และโลก กังวานไปทั่วทั้งเมืองลอยฟ้า

……………………..

กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน พยายามรับรู้สภาวะของตนเองอย่างเงียบๆ

กระแสพลังวิญญาณที่วิ่งพล่านไปตอนแรก เวลานี้เริ่มสงบลงระดับหนึ่งแล้ว

ตนเองอาจจะต้องใช้เวลาอีกสองสามวัน ถึงจะสามารถควบคุมพลังวิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่นี้โดยสมบูรณ์

อาจกล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้ พลังวิญญาณอาจจะเกิดการปั่นป่วนได้ทุกสถานการณ์

ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ที่จะตัดผ่านไปยังขั้นต่อไปในทันที

ลืมมันเถอะ จะช้าจะเร็วอย่างไรซะเขาก็ยังมี ‘แต้มพลังวิญญาณ’ คอยช่วยเหลือ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนที่จะตัดผ่านให้มันเร็วเกินไป

แทนที่จะมามัวเสียเวลาคิดเรื่องยกระดับ กู่ฉิงซานเลือกที่จะหยิบถุงกระเป๋าสีดำออกมา

นี่คือกระเป๋าส่วนตัวของชายชุดคลุมดำ ที่ได้ถูกเปิดออกแล้วโดยความช่วยเหลือจากสามีของราชินีแมงป่อง

แต่น่าเสียดาย ที่ครอบครัวของพวกเขาได้หายไปกันหมดแล้วทั้งสามคน

ดังนั้น กู่ฉิงซานเลยได้เป็นคนแรกที่เปิดดูมัน ว่ามีอะไรอยู่ภายในบ้าง

เพราะท้ายที่สุดนี้ อนาคตในปัจจุบันมันไม่แน่ไม่นอน หากมีอะไรบางอย่างที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แต่เขาไม่ทำ ก็นับว่าเป็นคนโง่แล้ว

เขาล้วงลงไปในกระเป๋าดำใบเล็ก และหยิบเอาเหรียญออกมา

มันคือเหรียญสีน้ำเงินเข้ม

หน้าเหรียญสลักไปด้วยมอนสเตอร์มิติขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับปลาหมึกยักษ์ ในเวลาเดียวกัน มันก็กำลังใช้หนวดยาวเหยียดคว้าจับเรือที่ลอยอยู่ท่ามกลางกระแสมิติอันโกลาหล

กู่ฉิงซานเพียงแค่ถือเหรียญ ชั้นน้ำแข็งก็เริ่มปกคลุมในมือของเขา

โอ พอเทียบมอนสเตอร์มิติตัวนี้ มอนสเตอร์เลขเจ็ด กลายเป็นสัตว์เลี้ยงน่ารักไปเลย

กู่ฉิงซานพลิกเหรียญไปอีกด้าน แล้วก็เห็นถึงเลขที่สลักไปเบื้องหลัง

“หนึ่งศูนย์เก้า”

กลับกลายเป็นว่านี่คือเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมผู้คนถึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในระหว่างการเดินทางข้ามมิติ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันมีเหรียญอยู่ทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งร้อยเหรียญ โดยมีมอนสเตอร์สลักไว้จัดลำดับตามความแข็งแกร่งของมัน แต่มอนสเตอร์เลข หนึ่งศูนย์เก้า ยังน่าหวาดกลัวถึงขนาดนี้!

เรื่องราวพวกนี้ มันเกินกว่าความรู้ ความเข้าใจของกู่ฉิงซานไปแล้ว!

ขนาดผู้อัญเชิญปีศาจอย่างวังเฉิง ทำงานหนักมาครึ่งชีวิตของเขา ยังสะสมได้แค่เหรียญเลขเจ็ดเต็มกล่องเท่านั้นเอง

ขณะที่กู่ฉิงซานขายข้อมูลตัวเอง และทางตลาดมืดได้ให้รางวัลเป็นเหรียญเลขสิบเหรียญ พันเหรียญ สิ่งนี้จึงกระตุ้นให้มืออาชีพมากมายอิจฉาตาร้อน และพากันแกะรอย ลอบติดตามเขา

โดยไม่คาดคิด ชายชุดคลุมดำกลับมีเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ไว้ในครอบครอง!

กู่ฉิงซานมองเข้าไปในกระเป๋าดำเล็กๆ และพบว่าไม่มีเหรียญแบบนี้อยู่อีกแล้ว

หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ชายชุดคลุมดำพกเหรียญ หนึ่งศูนย์เก้า ติดตัวเพียงเหรียญเดียว

กู่ฉิงซานตรวจสอบเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ในมือ ทันใดนั้นบรรทัดตัวอักษรเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

“เหรียญเลขหนึ่งศูนย์เก้า”

“ด้วยเหรียญนี้ คุณสามารถเรียกตู้เย็นส่วนตัวได้”

“วิธีการใช้ ให้ถือเหรียญเอาไว้ และทำสมาธิ นึกถึงเครื่องดื่มเย็นๆ ในหัวใจของคุณ”

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะยกคิ้วขึ้น

การที่ตัวเหรียญสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ด้วยนี่ มันเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงจริงๆ

แบบนี้ใช่หมายความว่า เหรียญยิ่งมีตัวเลขสูง ก็ยิ่งมีฟังก์ชันพิเศษมากขึ้นใช่หรือไม่?

กู่ฉิงซานส่ายหัว เขารู้สึกว่า ความรู้ความเข้าใจของตนเกี่ยวกับโลกใบนี้มันช่างตื้นเขินเหลือเกิน

วังเฉิงเป็นคนที่เกือบจะรู้หนังสือ แต่ยังมีตัวอักษรบางตัวที่เขาอ่านไม่ออก และความรู้ของเขานั้นยังตื้นเขินเกินไป กระทั่งสกิลอัญเชิญภูตผี ก็ยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น

วังเฉิงใช้เวลาทั้งชีวิต จวบจนวาระสุดท้าย เขาก็ทำได้แค่เก็บเหรียญเลขเจ็ดดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ในมือของกู่ฉิงซาน เกรงว่าเลขห้าสิบเขาก็ยังไม่เคยจะได้สัมผัสมันด้วยซ้ำ

แม้ว่ากู่ฉิงซานจะได้รับความทรงจำจากวังเฉิงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง  แต่ด้วยความทรงจำนี้เอง ที่ทำให้กู่ฉิงซานกลายเป็นคนโง่ไป

เหมือนตัวอย่างเช่นในเวลานี้

ดังนั้น เขาคงต้องหาคนที่มีความรู้มากกว่านี้ แล้วทำการค้นจิตวิญญาณอีกฝ่าย เพื่อเพิ่มพูนความรู้ตนใช่หรือไม่?

กู่ฉิงซานเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้

ขณะที่เขากำลังทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ เจ้าตัวก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเงียบๆ ในใจว่า “ขอเครื่องดื่มเย็นๆ”

โครม!

บนหน้าเหรียญ ปลาหมึกยักษ์พลันพ่นกล่องไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสูงเทียบเท่ากับคนคนหนึ่งออกมา

กู่ฉิงซานเร่งพรวดตัวไปข้างกล่องไม้ ใช้สองมือประคองมัน ให้มันหยั่งรากมั่นคงกับผืนทราย

เขาเปิดกล่องไม้ดู และพบว่าภายในของมันถูกแบ่งออกเป็นหลายชั้น มันเต็มไปด้วยขวดไวน์

กู่ฉิงซานกลายเป็นอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

เขาลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็หยิบมาสองสามขวด และลิ้มรสมันดู

ไม่นาน กู่ฉิงซานกก็ค้นพบว่าอุณหภูมิชั้นแรกของกล่องไม้อยู่ที่ประมาณสิบถึงสิบหกองศา เป็นส่วนที่มีไว้ใช้เก็บไวน์ผลไม้ที่มีรสชาติบางเบา

ในชั้นสอง อุณหภูมิอยู่ประมาณเจ็ดถึงเก้าองศา บางเครื่องดื่มก็ยังมีรสเบาอยู่

แต่ชั้นสามนี่แหละคือแก่นแท้ เพราะมันมีอุณหภูมิที่ต่ำมาก และมีไวน์ฤทธิ์แรงมากมายอยู่ภายใน

‘หา? เจ้าหมอนี่มันนักดื่มตัวยงเลยนี่นา’

แต่น่าเสียดาย ที่เขากับมันเป็นศัตรูกัน มิฉะนั้นอาจจะดื่มกันถูกคอก็ได้

กู่ฉิงซานเก็บตู้เย็นด้วยความพึงพอใจ และเก็บเหรียญ หนึ่งศูนย์เก้า ไว้กับตัวเองอย่างระมัดระวัง

หลังจากทั้งหมดนี้ เขาก็เริ่มสำรวจดูกระเป๋าดำอีกครั้ง

นอกเหนือไปจากเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า แล้วภายในกระเป๋าดำ ยังเต็มไปด้วยกองเหรียญ ทั้งหมดล้วนเป็นเลขสิบ

โชคหล่นทับโดยแท้!

กู่ฉิงซานตัดสินใจว่า ถ้าราชินีแมงป่องปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาจะแบ่งปันกองเหรียญนี้ให้แก่เธอ

ในเรื่องการแบ่งเงิน เขาจะแบ่งปันอย่างยุติธรรมแน่นอน

แน่นอนว่าจะขาดทุนเล็กน้อยก็ไม่มีปัญหา เหรียญเลขสิบเหล่านี้ เขาจะยอมให้อีกฝั่งหยิบไปเท่าไหร่ก็ได้ แล้วค่อยรับที่เหลือเอาไว้เอง

แต่ในส่วนของ…

อืม… ในส่วนของตู้เย็นคงไม่จำเป็นต้องให้เธอได้เห็นมันหรอกมั้ง

ในถุงกระเป๋าใบเล็กๆ นอกเหนือไปจากเหรียญเหล่านี้แล้ว

มันก็ไม่มีอะไรอีกเลย แม้กระทั่งหนังสือไพ่ของชายชุดคลุมดำ

ตรงส่วนนี้ทำให้กู่ฉิงซานรู้สึกเสียดายไม่น้อย

เขาเก็บทุกอย่างไว้ และเบนสายตามองไปทางตลาดมืด

ช่วงเวลาปัจจุบัน เสียงอึกทึกบนท้องฟ้าค่อยเริ่มสงบลง

ยานอวกาศที่ร่วงตกลงมา ล้วนได้รับการจัดการต่อโดยทางตลาดมืด

เกือบทุกคนที่ขึ้นยานอวกาศไป ล้วนเป็นมืออาชีพ ดังนั้นหากกล่าวถึงในแง่ความแข็งแกร่งรายบุคคล มันย่อมแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะตายลงในอุบัติเหตุนี้

ถ้าไม่ใช่เพื่อประหยัดพลังงานและหลีกเลี่ยงมอนสเตอร์มิติล่ะก็ ทุกคนย่อมไม่จำเป็นต้องใช้ยานเลย ที่พวกเขาใช้มัน ก็เพื่อแค่ต้องการใช้ยานเป็นที่หลบซ่อนตัวจากมอนสเตอร์มิติก็เท่านั้นเอง

แม้กำแพงเนื้ออันน่าสะพรึงจะปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

แม้ว่ายานอวกาศจะร่วงตกลงลำแล้วลำเล่า

แม้จะมีการจลาจล และการต่อสู้เกิดขึ้นหลายแห่งพร้อมกัน

แต่ผู้คนที่จ่ายค่าเดินทางไปล้วนไม่สนใจ ทั้งหมดต่างตรงไปยังท่าเรือและตะโกนขอเงินคืน

กระทั่งบางคนที่เป็นถึงตัวตนทรงอำนาจ ก็ยังมีจำนวนหนึ่งที่ลดตัวลงมาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้

กู่ฉิงซานเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น

โลกทั้งใบถูกกลืนเข้ามาในท้องของแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาล

แต่คนเหล่านี้กลับเมินเฉย และยังต้องการทวงถามกับทางตลาดมืดเพื่อขอเงินคืน

เงินมันสำคัญกว่าชีวิตขนาดนั้นเลยหรือ?

กู่ฉิงซานส่ายหัว

อย่างไรก็ตาม พอพูดถึงปัญหาเรื่องเงินแล้ว …

นั่นสินะ การเดินทางในมิติของดินแดนชิงอำนาจ เป็นอะไรที่ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายมากที่สุดแล้ว

อย่างเรืออวกาศของกู่ฉิงซาน เขาใช้เงินไปทั้งหมดยี่สิบเจ็ดเหรียญ

ยี่สิบเจ็ดเหรียญเชียวนะ!

เหรียญเลขสิบด้วย!

ด้วยเงินจำนวนนี้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะครอบคลุมทุกการใช้จ่ายของกู่ฉิงซานในตลาดมืดนานนับสิบปี!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มเคลื่อนกายตรงไปยังทิศทางของท่าเรือ

ผ่านไปได้ครึ่งทาง เขาก็ปลอมกลับไปเป็นวังเฉิงอีกครั้ง

อีกด้านหนึ่ง

คนคุ้มกันของวิหารแห่งความตาย และวิหารแห่งโชคชะตาก็ได้มาถึงใจกลางของดินแดนชิงอำนาจ

พวกเขามาที่นี่เพื่อรับซูเค่อเอ๋อกับแอนนา

หญิงสาวทั้งสองบอกลากัน

“หมายความว่า เธอคือน้องสาวของซูเซี่ยเอ๋ออย่างงั้นเหรอ?” แอนนาถาม

ซูเค่อเอ๋อมองเธอและกล่าว “ใช่ พี่สาวของหนูยังบอกอีกด้วยนะว่าคุณน่ะไม่ใช่คนดี และต้องการจะฆ่าคุณอยู่เสมอ แต่เธอก็เคยบอกเหมือนกันว่าคุณเคยช่วยชีวิตเธอไว้ นี่มันฟังดูน่าสับสนจริงๆ”

“ดังนั้น ซูเซี่ยเอ๋อเลยบอกให้เธอหาโอกาสฆ่าฉันใช่ไหม?” แอนนากล่าวด้วยรอยยิ้ม

 “ใช่ เดิมทีหนูเตรียมการที่จะลงมือกับคุณเอาไว้แล้ว” สีหน้าของซูเค่อเอ๋อแลดูซับซ้อน “แต่ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ พอหนูส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไป ขณะที่ทุกคนตัดสินใจจะหลบหนี คุณกลับตัดสินใจมาช่วยหนูอย่างห้าวหาญ”

ซูเค่อเอ๋อกล่าวต่อ “ฉะนั้น ไม่ว่าพี่สาวของหนูจะต้องการแบบไหน แต่หนูก็ไม่มีทางเนรคุณคน”

แอนนาเอ่ยด้วยความสงสัย “ก็แล้วถ้าพี่สาวของเธอคิดว่าฉันเป็นตัวปัญหา งั้นทำไมเจ้าตัวถึงไม่ยอมมาจัดการด้วยตัวเองกันล่ะ?”

“นั่นเพราะเธอกำลังเข้าร่วมการทดสอบของผู้ใช้ไพ่ และไม่ได้ออกมาเป็นเวลานานแล้ว” ซูเค่อเอ๋อกล่าว

ซูเค่อเอ๋อคิดสักพัก เอ่ยต่อ “พี่สาวแอนนา คุณรู้ไหมว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่ไหน?”

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงถามถึงเขา?” แอนนาเผยท่าทีตื่นตัว

เธอกวาดสายตามองซูเค่อเอ๋อขึ้นๆ ลงๆ

และพบว่าภาพลักษณ์ของซูเค่อเอ๋อกับพี่สาวตัวเองนั้นแตกต่างกันทั้งหมด

แต่ว่าในเรื่องของนม…

แอนนาอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงตอนที่เธอไปช่วยชีวิตซูเซี่ยเอ๋อในมหาวิทยาลัย

ซูเค่อเอ๋อกล่าว “เพราะหนูอยากจะรู้ ว่าคนแบบไหนกันนะที่สามารถทำให้หญิงสาวที่แสนเลิศเลอทั้งสองเกลียดชังกันได้ หนูอยากจะเจอเขา”

แอนนากำลังจะกล่าว แต่ในจังหวะนั้นเอง คนจากวิหารแห่งความตายก็ได้แทรกเข้ามา และยื่นหนังสือปกดำให้แก่เธอ

นี่คือหนังสือเวียน ที่ใช้แจ้งเตือนเกี่ยวกับเรื่องความลับของวิหารแห่งความตาย ซึ่งโดยปกติแล้วมันมักจะแสดงต่อบุคคลภายในที่มีสถานะเท่านั้น

แอนนาก้มลงอ่าน

มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายในวิหารเมื่อเร็วๆ นี้

ดวงตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย สักพักเลยถึงยื่นข้อมูลนี้กลับไปให้อีกฝ่าย

“ฉันรับทราบแล้ว มันก็แค่เรื่องไร้สาระ ไม่จำเป็นต้องเอามารบกวนฉันในตอนนี้” แอนนากล่าว

อีกฝ่ายโค้งกายรับคำ และถอยจากไป

แอนนาหันกลับมา มองไปทางซูเค่อเอ๋อ “ฉันไม่ได้เกลียดพี่สาวของเธอ”

“คุณไม่ได้เกลียดเธอหรอกเหรอ? ไม่ใช่ว่าเธอคือคู่แข่งความรักของคุณ?” ซูเค่อเอ๋ออุทาน

แอนนากล่าวเสียงอ่อน “เรื่องของความรู้สึกน่ะเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันจะไม่ยอมให้พี่สาวของเธอมาทำลายความงดงามในจิตใจของฉันหรอก นอกจากนี้ แม้พี่สาวของเธอจะเป็นคนซื่อๆ และคลั่งไคล้ไปกับสิ่งเล็กน้อยมากเกินความจำเป็น แต่ก็ยังเป็นคนดี”

ซูเค่อเอ๋อจ้องมองแอนนา กล่าวเสียงกระซิบ “นี่คุณมองเธอเป็นแบบนั้นจริงๆ?”

แอนนา “อืม สุดท้ายแล้วฉันจะบอกเธอนะ ว่ากู่ฉิงซานน่ะอยู่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ส่วนพิกัดของสถานที่ฉันในตอนนี้ฉันยังไม่รู้ แต่ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูน่าจะรู้ ฉะนั้นเธอสามารถกลับไปโลกเดิมของพี่สาวเธอ แล้วถามไถ่จากสองคนนี้ได้”

“แต่เธอควรที่จะต้องใส่ใจ เพราะเมื่อเธอไปหากู่ฉิงซาน เธอจะไม่สามารถกลับมาที่ดินแดนชิงอำนาจได้ชั่วคราว”

ว่าจบ เจ้าตัวก็หันหลังเดินจากไป

ซูเค่อเอ๋อนิ่งงันอยู่ในสถานที่เดิม เฝ้ามองแอนนาออกเดินทาง

จนกระทั่งยานอวกาศของวิหารแห่งความตายจากไป ซูเค่อเอ๋อก็ยังไม่คิดเคลื่อนไหว

“ฉันไม่สนหรอกนะว่าฉันจะได้เป็นเทพรึเปล่า ตราบใดที่ฉันสามารถหาเขาจนเจอได้…”

ซูเค่อเอ๋อเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา

“แต่ คุณดันบอกว่า… ไม่ได้รังเกียจซูเซี่ยเอ๋อ”

“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”

เธอคิดอย่างเงียบๆ อยู่สักพัก แล้วก็เริ่มตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ทันใดนั้นเอง เธอก็เอ่ยถามขึ้นอย่างกะทันหัน “หนังสือปกดำที่แอนนาอ่านเมื่อครู่นี้มีเนื้อหาว่าอย่างไร?”

คนคุ้มกันวิหารที่ยืนอยู่เบื้องหลังมองหน้ากันและกัน

คนคุ้มกันชราเอ่ยรายงาน “หนังสือเล่มนั้นคล้ายกับว่าจะเป็นหนังสือเวียน ที่คอยสรุปข่าวสารภายในที่ใช้กันในวิหารแห่งความตาย”

“แล้วพวกเราสามารถได้รับข้อมูลที่ว่านั่นมาได้ไหม?”

“เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทางวิหารอื่น พวกเรามักจะรวบรวมข่าวสารเอาไว้เสมอ ดังนั้นตราบใดที่มันไม่ใช่ความลับจนเกินไป ย่อมสามารถล่วงรู้ได้”

“ดีมาก หนูอยากจะดูมันตอนนี้เลย”

“รับทราบ โปรดรอสักครู่”

หลังจากนั้นไม่นาน

หนังสือปกขาวก็ถูกนำออกมา

ซูเค่อเอ๋อกวาดตาอ่านมันอย่างรวดเร็ว

คิ้วของเธอยกสูงขึ้น ปากเปล่งเสียงกระซิบ “เห็นได้ชัดว่าเขาถูกออกหมายจับโดยทางวิหารของแก แต่แกกลับหลอกลวงฉันให้ออกจากดินแดนชิงอำนาจไป…”

หมอกสีเทาเริ่มเล็ดลอดออกมาจากตัวเธออย่างมิอาจควบคุมได้

พลังอันยิ่งใหญ่ที่ไร้ผู้ต้านของเธอ ทำให้ยานอวกาศของวิหารแห่งโชคชะตาเกิดการสั่นไหว

“เกิดอะไรขึ้น?”

หนึ่งในผู้ส่งสารรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงออกมาจากยาน

เขามองไปยังใบหน้าเย็นฉ่ำของหญิงสาวตรงหน้า อดเอ่ยถามไม่ได้ “มีใครในวิหารแห่งความตายล่วงเกินท่านหรือเปล่า? ‘ท่านหญิงซูเซี่ยเอ๋อ’”

………………………..

คลื่นลมที่เกิดจากแรงระเบิดพัดกระพือขึ้นจากผืนทราย หลอมรวมเข้ากับดาบสายลมกลางเวหา ก่อกำเนิดพายุเฮอริเคนปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั่วผืนดิน

ซีน้อยยังคงไม่หยุดเพียงเท่านี้ เธอจั่วไพ่อีกใบออกมา ปลดปล่อยเทคนิคมนตราซ้ำแล้วซ้ำเล่าเข้าใส่ศัตรูที่เหลืออยู่

กู่ฉิงซานคลายหอกปีศาจแดง และทันใดนั้นเกราะรบ ‘ของขวัญแห่งชีวิต’ ก็กลับมาสวมทับบนกายเขาอีกครั้ง

นอกเหนือไปจากนี้ ยังมีโล่แห่งความตายห้าดวง  โคจรรอบกายเขา

มีบางคนพยายามที่จะโจมตีสังหารกู่ฉิงซานให้จบในคราวเดียว แต่ก็พบว่ากระทั่งโล่แห่งความตาย ตนก็ยังไม่สามารถทะลวงมันไปได้

กู่ฉิงซานวาดมือออกไป

สองดาบบินวาบผ่านท้องฟ้า กลับมาในมือของเขา

พลังป้องกันซ้อนทับกัน พุ่งสูงขึ้นจนอีกฝ่ายมิอาจคุกคาม ในฐานะผู้ฝึกดาบ กู่ฉิงซานก็ไม่จำเป็นต้องคอยพะวงเกี่ยวกับการต่อสู้อีกต่อไป

ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

สับ!

ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

หั่น!!

ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

ฆ่าให้สิ้น!!!

ผสานไปกับเทคนิคมนตรากระสุนระเบิดของซีน้อย กู่ฉิงซานเริ่มเก็บเกี่ยวชีวิตของศัตรูอย่างไม่รู้จบ

กระแสลมจากแรงปะทะ พัดพาเมฆหมอกหายไปจนสิ้น

กลุ่มนักล่าเงินรางวัลนับสิบ ตกตายลงภายใต้การร่วมมือกันของซีน้อยกับกู่ฉิงซาน

ทันใดนั้นเอง ยักษ์เทาพลันเปล่งเสียงคำราม “ทุกคนจงมารวมตัวกัน เปล่งคำสาบานยอมสู้ตาย!”

ลูกน้องที่ยังเหลือรอดหันไปมองเขา และเร่งปฏิบัติตามทันที

กู่ฉิงซานหยุดดาบ

หากผู้เชี่ยวชาญหลายคนรวมตัวกัน และเริ่มการโจมตีโดยไม่คำนึงถึงชีวิตแล้วล่ะก็ ต่อให้เขาถือครองไพ่ที่ทรงพลังนับไม่ถ้วนอยู่ในมือ มันคงเป็นปัญหาไม่น้อย

แท้จริงแล้วกลับเห็นยักษ์เทามองมาที่เขาและซีน้อยอย่างมืดมน ปากเอ่ยลั่น “พวกเรากลุ่มนักล่าเงินรางวัลก่อตั้งมายาวนานกว่าเจ็ดร้อยปีแล้ว แต่ไม่เคยถูกทำลายลงเลย พวกแกรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”

ซีน้อยถามกลับด้วยความสงสัย “เพราะอะไร?”

“นั่นเป็นเพราะว่าหากพวกเราถูกโยนลงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างชีวิตและความตาย พวกเราจะตัดสินใจทำการเผาผลาญชีวิตของพวกเราด้วยม้วนคัมภีร์ลึกลับ และทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารศัตรู!” ยักษ์เทายิ้มเหี้ยมเกรียม

แล้วเขาก็หยิบม้วนคัมภีร์ออกมาอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ คลี่มันออก

เบื้องหลังเขา เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างระเบิดพลังทั้งหมด ถ่ายเทลงไปในคัมภีร์

“เจ้าลูกกระต่ายสองตัว จงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว!” ยักษ์เทาคำราม

ในเวลาเดียวกัน เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่เบื้องหลังเขาก็เริ่มแสดงท่าทีตื่นเต้นและบ้าคลั่ง

พวกเขาเองก็กรีดร้องคำรามด้วยเช่นกัน

“สู้ตายไม่ยอมถอยหนี!”

“สู้ตายไม่ยอมถอยหนี!”

“สู้ตายไม่ยอมถอยหนี!”

ในอากาศ ฟุ้งไปด้วยเจตนาสู้ คล้ายกับว่าทุกคนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการจู่โจมครั้งสุดท้าย

กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากอันงดงามนี้ สีหน้าแปรเปลี่ยน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เพื่อแสดงถึงความเคารพที่ฉันมีต่อศัตรู ฉันเองก็จะทุ่มสุดฝีมือเช่นกัน”

เขายกสองดาบขึ้น ขับเคลื่อนพลังวิญญาณเต็มเปี่ยม ทั้งคนทั้งร่างกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

ซีน้อยมิได้กล่าวอันใด เธอเพียงจั่วไพ่อย่างเงียบๆ เฝ้ารับมือกับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย

เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า ยักษ์เทาคลี่ม้วนคัมภีร์จนสมบูรณ์ในที่สุด!

เห็นแค่เพียงม้วนคัมภีร์ที่สามารถดึงดูดพลังได้มากพอ สาดแสงเข้าห่อหุ้มกลุ่มนักล่าเงินรางวัลทุกคนที่ยังเหลือรอดอยู่ทั้งหมด

ตูม!

บังเกิดเสียงพังครืนราวกับสวรรค์ล่มสลาย

กลุ่มแสงที่สาดออกมา ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า ฉับไวดั่งดาวตก บินหายลับไปในอากาศอันห่างไกลอย่างรวดเร็ว!

ประกายแสงกะพริบไหวสองสามครั้ง และหายไปท่ามกลางท้องฟ้าที่ทอดยาวไกลออกไป ไม่ทราบเช่นกันว่ามันไปที่ไหน

กลุ่มนักล่าเงินรางวัล…

เผ่นหนีไปแล้ว!

“…” กู่ฉิงซาน

“…” ซีน้อย

ทั้งสองยืนตั้งท่าต่อสู้เต็มรูปแบบ ทว่าผลลัพธ์กลับออกมาเป็นแบบนี้

“พวกเขาเร็วเกินไป เกรงว่าพวกเราคงไม่สามารถไล่ตามทัน” ซีน้อยกล่าว

“ใช่ คงไล่ไม่ทัน ถ้าทันจะตบกระบาลมันซักป้าบ” กู่ฉิงซานสบถ

เออ ยักษ์เทามันไม่ได้โกหกไปซะทั้งหมด

ด้วยสกิลการหลบหนีและทักษะการแสดงที่หน้าด้านหน้าทนเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมกลุ่มนักล่าเงินรางวัลของเขาถึงสามารถอยู่รอดมาได้ยาวนานกว่าเจ็ดร้อยปี และยังไม่ถูกทำลายลง

กู่ฉิงซานยืนอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นพลันสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งกำลังจะกลายเป็นอดีตในไม่ช้า

ทั่วทุกตำแหน่งที่ก่อให้เกิดพลังวิญญาณเริ่มปรับตัวขึ้น พลังวิญญาณจากทั้งร่างกายถูกกระตุ้นอย่างบ้าคลั่งเป็นประวัติการณ์

กู่ฉิงซานเริ่มจะเกิดความเข้าใจอย่างช้าๆ

ปรากฏว่านี่คือหายนะโทษทัณฑ์!

พวกนักล่าเงินรางวัลนับสิบ ล้วนแข็งแกร่งกว่าตนเอง แถมยังดาหน้ากันมาห้อมล้อมสังหารเขา ทว่าเนื่องจากซีน้อยได้ใช้เงาคู่ จึงกลับกลายเป็นอีกฝ่ายที่ตกตายลงเสียเอง สุดท้ายหลบหนีไป

หายนะโทษทัณฑ์ที่แท้ก็จบลงด้วยการแก้ปัญหานี้

“ฉันต้องการหยุดพักสักครู่” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาไม่ได้ทิ้งตัวลง แต่เริ่มทำการจัดตั้งหลายสิบค่ายกลกลางอากาศ จากนั้นคุกเข่าลงและเริ่มเหนี่ยวนำพลังวิญญาณจากภายในร่างกาย

เพียงครู่ เขาก็จมลงสู่ห้วงสมาธิ

การตัดผ่านขอบเขต กำลังดำเนินไปอย่างช้าๆ ภายใต้สถานะที่มั่นคง และไม่อาจย้อนกลับได้

นี่คือการยกระดับโดยไม่ต้องเผชิญกับทัณฑ์สายฟ้า

อย่างไรก็ตาม หากต้องเลือกเผชิญระหว่างสามหายนะโทษทัณฑ์กับทัณฑ์สายฟ้า กู่ฉิงซานแน่นอนว่าย่อมต้องเลือกทัณฑ์สายฟ้า

แต่เนื่องจากบุญที่เขาสั่งสมมามันมีมากเกินไป ทำให้กู่ฉิงซานต้องเผชิญกับหายนะโทษทัณฑ์เพียงสามครั้งเท่านั้น

ขณะที่ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ที่กระทำเรื่องราวชั่วร้าย มักจะตกตายลงในขอบเขตพันวิบัติ เนื่องเพราะต้องเผชิญกับหายนะโทษทัณฑ์นับร้อยนับพันครั้ง

ชนิดที่ว่าอาจจะดื่มน้ำ แล้วดันสำลักตายได้

ชีวิตคือสิ่งไม่แน่ไม่นอน ยากที่จะคาดคำนวณใดๆ

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

กู่ฉิงซานก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

เขาได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าแล้ว!

บนหน้าต่างเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยขึ้น

“ขั้นตอนการยกระดับได้จบลงแล้ว”

“คุณสามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าได้สำเร็จ”

“คุณได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า”

“เนื่องจากการรับรู้ทางจิตวิญญาณ ของขอบเขตพันวิบัติได้ยกระดับไปถึงจุดที่สามารถรับรู้ถึงหายนะโทษทัณฑ์ได้ ส่งผลให้พลังของมันถูกใช้ไปมากเกินความจำเป็น ดังนั้นการรับรู้ทางจิตวิญญาณของคุณจะใช้งานไม่ได้ชั่วคราว ทั้งนี้ทั้งนั้น ระยะเวลาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคุณเอง”

“โปรดทราบ ว่าการยกระดับในขอบเขตร่างเทวะ พันวิบัติ และขีดสุดความว่างเปล่า จะไม่เกิดการเหนี่ยวนำกระตุ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ คุณจะต้องยกระดับขึ้นสู่ลมปราณจิตเสียก่อน จึงจะสามารถปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ได้”

แล้วบรรทัดแสงหิ่งห้อยก็ค่อยๆ หายไป

ไอ้เรื่องคำอธิบายพลังศักดิ์สิทธิ์น่ะ กู่ฉิงซานไม่สนใจหรอก เพราะเขาเคยได้อ่านคำอธิบายราวๆ นี้มาก่อนแล้ว จากตอนยกระดับขึ้นสู่พันวิบัติ

แต่การรับรู้ทางจิตวิญญาณที่หายไปชั่วคราวนี่ต่างหาก คือความท้าทายของจริง

เนื่องจากผู้ฝึกยุทธชมชอบที่จะใช้สัญชาตญาณของตนเองเชื่อมต่อกับโลกภายนอก ดังนั้นหากขาดการรับรู้ทางจิตวิญญาณไป พวกเขาคงรู้สึกอึดอัดคล้ายหายใจไปออก

เขาหันไปมองรอบๆ

เห็นแค่เพียงซีน้อยที่สะดุ้งผงกหัวขึ้น ส่ายหัวไปมาอย่างแรง ทั้งคนทั้งร่างง่วงเหงา แต่ก็ยังฝืนปกป้องเขาอย่างเงียบๆ

“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

“งั้นก็ดี ยกระดับได้แล้วสินะ” ซีน้อยอ้าปากหาว

“ทำไมเธอถึงดูเหนื่อยขนาดนี้?” กู่ฉิงซานถาม

“เป็นเพราะว่าใช้เงาคู่”

“เพราะใช้เงาคู่? แล้วทำไมฉันถึงได้ไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ?”

“มันแน่นอนอยู่แล้วว่านายต้องไม่รู้สึกอะไร” ซีน้อยขยี้ตาง่วงๆ “เพราะยศของนายต่ำเกินกว่าที่จะเปิดใช้งานไพ่ได้ ดังนั้นภาระที่ต้องเปิดโหมดเงาคู่ประจัญบานที่จำต้องใช้พลังของสองคนจึงมาตกอยู่กับฉันเพียงคนเดียว”

“ขอโทษจริงๆ นะ งั้นช่วยบอกวิธี ที่จะทำให้ราชทูตตัดสินบาปแข็งแกร่งขึ้นหน่อยสิ ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อแบ่งเบาภาระให้กับเธอ” เขาขออภัย

ซีน้อย “มีอยู่สามวิธีที่จะช่วยให้แข็งแกร่งขึ้น หนึ่งคือยกระดับตามธรรมชาติ สองคือกลืนกินไพ่ใบอื่นๆ สามคือค้นหามรดกที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยเทพวิญญาณ นำมันมาใช้ยกระดับยศไพ่ของตัวเอง”

มรดกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพวิญญาณ?

กู่ฉิงซานพาลนึกไปถึงเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

ในโลกสมบัติของทริสเต้ ระบบของราชามาร ต้นกำเนิด เองก็ได้รับมรดกตกทอดจากเทพวิญญาณเหมือนกัน มันจึงสามารถเร่งยกระดับกลายเป็น หมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ ปฏิวัติ

เขาไม่คาดคิดเลยว่า จู่ๆ ตนเองจะต้องมาตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับระบบ จำเป็นต้องได้รับสิ่งดังกล่าวจึงจะสามารถแข็งแกร่งขึ้น

ซีน้อยอธิบายต่อ “การยกระดับเองตามธรรมชาติ คือวิธีที่เชื่องช้าที่สุด กลืนกินไพ่ใบอื่นๆ สิถึงจะเร็วกว่า แต่มันไม่เหมาะสมกับนาย เพราะนายจะต้องออกตามหาไพ่ที่เหมาะสมกันกับนายเท่านั้น และสุดท้าย , อาศัยมรดกที่เทพวิญญาณทิ้งไว้เบื้องหลังนั้นรวดเร็วที่สุด แต่มรดกเหล่านี้ล้วนเป็นความลับ ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถค้นหาได้โดยง่าย”

“โอเค กำลังคิดในใจว่าอธิบายเยอะจังเลยอยู่ใช่ไหม ไม่อธิบายต่อก็ได้ นายไปคิดเองแล้วกัน ฉันขอตัวนอนก่อน”

ซีน้อยกล่าวปิดประโยค

ว่าจบ เธอก็กลายเป็นไพ่หยก แล้วตกลงไปในมือของกู่ฉิงซาน

ภายในไพ่ เธอเปลี่ยนไปเป็นสวมเสื้อและกางเกงนอนดูน่ารัก เอาหัวมุดลงไปใต้หมอน

กู่ฉิงซานค่อยๆ เก็บไพ่ลงในกล่องหยกอย่างอ่อนโยน และสอดเข้าไปในแขนเสื้อ

เขามองไปที่หน้าต่างเทพสงคราม

เห็นแค่เพียงไพ่ใบหนึ่งปรากฏขึ้นใจกลางหน้าต่าง

มันคือไพ่สีเทา โดยมีตัวเขากุมสองดาบ ลอยอยู่กลางอากาศ

“ไพ่สีเทา ผู้ฝึกดาบกู่ฉิงซาน”

“ระดับ ไพ่สีเทาระดับ ศูนย์”

“คู่หู นางฟ้าตัดสินบาปซี”

“สังกัดสำรับไพ่ สำรับไพ่ผู้หลบหนี”

แล้วข้อมูลทั้งหมดก็หายไปในทันที

บรรทัดตัวอักษรเล็กๆ ปรากฏขึ้นใต้ไพ่

“ความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของคุณได้รับการปรับปรุง เปลี่ยนจากระดับศูนย์เป็นหนึ่งดาวอย่างเป็นทางการ”

“คุณได้กลายเป็นไพ่ระดับหนึ่งดาว แล้ว”

“คุณได้รับไพ่สกิลสีเทา เจาะเกราะ”

ไพ่อีกใบที่มีพื้นหลังสีเทาปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

เบื้องหน้าของไพ่ เป็นภาพกระบี่ยาว โดยบริเวณใบของกระบี่สาดแสงเย็นเยียบออกมาเป็นครั้งคราว

“ไพ่สกิล เจาะเกราะ”

“หลังจากที่คุณติดตั้งไพ่ใบนี้ ทุกครั้งที่คุณสร้างความเสียหายแก่ศัตรู ศัตรูจะได้รับความเสียหายเพิ่มเติมขึ้นสามเปอร์เซ็นต์”

“คำอธิบาย นี่เป็นสกิลติดตัวจากไพ่สีเทา เมื่อคุณต่อสู้ ไพ่ใบนี้จะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ และจะถูกใช้งานต่อไปจนจบการต่อสู้”

“เนื่องจากมันเป็นไพ่สีเทา มันจึงต้องพยายามอย่างหนัก”

หลังจากอ่านข้อมูลนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกว่าไพ่ของเขาช่างอ่อนแอเหลือเกินหากเทียบกับซีน้อย

…ลืมมันเถอะ ยศของตนเองยังต่ำมาก ฉะนั้นจะไปมีไพ่ดีๆ กับเขาได้ยังไง

กู่ฉิงซานปลอบประโลมจิตใจตนเอง

…………………….

กู่ฉิงซานเบนสายตามองหน้าต่างเทพสงคราม

ตัวอักษรหิ่งห้อยยังคงกะพริบไหวต่อเนื่อง

“โหมดเงาคู่ประจัญบาน ในโหมดประจัญบานนี้ สองราชทูตตัดสินบาปจะสามารถแบ่งปันไพ่ต่อสู้ และประสบการณ์ต่อสู้ในรูปแบบของไพ่แก่กันและกันได้ทันที”

“คุณได้รับสิทธิ์ในการใช้ไพ่ระดับหยกทั้งหมดของนางฟ้าตัดสินบาปซี”

“คุณได้เรียนรู้วิธีการใช้ไพ่เหล่านั้น”

“ทว่าคุณเป็นไพ่ระดับเทา ดังนั้นนางฟ้าตัดสินบาปซีจึงไม่สามารถได้รับไพ่ต่อสู้ใดๆ จากคุณ”

“คุณยังไม่เคยใช้ไพ่สู้ นางฟ้าตัดสินบาปซีจึงไม่สามารถรับประสบการณ์ต่อสู้ใดๆ จากคุณ”

“พิจารณาจากข้อจำกัดเหลือนี้ ได้ข้อสรุปที่เท่าเทียมว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณใช้ไพ่สามใบของอีกฝ่าย นางฟ้าตัดสินบาปซีจะสามารถสกัดหนึ่งในสกิลของคุณ มาใช้งานมันในรูปแบบไพ่ได้”

“อันดับแรก คุณสามารถกำหนดสกิลส่วนตัว สกิลแรกของคุณให้เป็นไพ่ และวางมันลงในสำรับไพ่ของนางฟ้าตัดสินบาปซี เพื่อพร้อมใช้งานได้เลย”

กู่ฉิงซานอ่านมันในลมหายใจเดียว

ซีน้อยเอ่ยปาก “ต่อจากนี้ไป นายจะสามารถใช้งานสำรับไพ่หยกของฉันได้เลยโดยตรง มันจึงเทียบเท่ากับว่ามีฉันสองคนในสนามรบ เท่านี้ก็น่าจะเอาชนะพวกเขาได้”

เธอกล่าวต่อ “ตามกฎแล้วนายสามารถระบุสกิลที่จะใส่ลงใน ‘สำรับร่วม’ ของพวกเราได้ แต่ฉันชอบสู้ด้วยเทคนิคมนตรา ไม่ต้องการสกิลระยะประชิดของนาย ดังนั้น ถ้าจะใส่มา ช่วยเลือกอันที่มันเหมาะสมหรือเป็นมนตราด้วย”

กู่ฉิงซานคิดสักพักและกล่าว “ขอนึกก่อนนะ”

ในเวลานี้ เขาได้รับประสบการณ์ในการใช้ไพ่จากซีน้อย ดังนั้นเค้นสมอง ใช้สมาธิในจิตใจเพื่อกำหนดสกิลที่จะแบ่งปันเป็นไพ่ที่ใช้ร่วมกัน

ทันใดนั้นไพ่สีเทาปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้าทั้งสอง

บนตัวไพ่ ถูกวาดด้วยสองลูกศร ม้วนเป็นวง วิ่งไล่หลัง สลับกันไปกันมา

“ไพ่ ร่างเงาแทนที่”

“สกิลเทวะประเภทมิติ คุณสามารถสลับตำแหน่งกับอะไรก็ตามที่อยู่ในรัศมีขอบเขตจิตใจของคุณได้ดั่งใจปรารถนา”

“คำอธิบาย สกิลเทวะนี้ เป็นสกิลแห่งกฎเกณฑ์ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็มิอาจต่อต้านมัน ในกรณีนี้รวมไปถึงค่ายกล กำแพงอุปสรรค กระทั่งเทคนิคลับ หรือวิชาลับต้องห้าม ก็มิอาจต่อต้านได้”

ซีน้อยตะลึงงัน เธอคว้าไพ่ใบนั้นในมือ ร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น “ว้าว! นี่เป็นไพ่สำหรับหลบหนีที่ดีที่สุดในระดับปัจจุบันที่ฉันสามารถใช้ได้เลย!”

กู่ฉิงซานยิ้ม

เขาดูดซับประสบการณ์ การต่อสู้ด้วยไพ่ของซีน้อยอย่างเงียบๆ

“ซีน้อย”

“หือ?”

“ฉัน… บางทีเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเทพวิญญาณถึงได้หวาดกลัวเธอ”

“ฮี่ฮี่ พูดอะไรล่ะนั่น ตอนนี้พลังฉันยังอ่อนแออยู่เลยนะ”

ในตอนนั้นเอง บนท้องฟ้า ในที่สุดยักษ์เทาก็สามารถตัดสินใจขั้นเด็ดขาดได้

“ไม่ว่ามันจะเป็นความลับอะไร แต่พวกเราก็ไม่สมควรไปกระตุ้นทางวิหาร”

เขาตะโกน “ไม่ต้องยั้งมือแล้ว! จงฆ่าพวกมันทั้งสองเพื่อฉัน!”

ว่าจบ กลุ่มนักล่าเงินรางวัลก็เฮลงไปทันที

กู่ฉิงซานกับซีน้อยกลายเป็นตื่นตัว

สองตาสาดมองศัตรู หนึ่งมือเริ่มจั่วไพ่จากในความว่างเปล่า

ซีน้อยเอ่ยถาม “นายพร้อมที่จะใช้ไพ่มนตราของฉันโจมตีรึยัง?”

กู่ฉิงซานเองก็จั่วไพ่จากในอากาศ ปากเอ่ยตอบ “คงไม่ล่ะ เพราะฉันเองก็ไม่เคยใช้พวกไพ่มนตราต่อสู้มาก่อนเลย ฉันรู้แค่วิธีต่อสู้ ดังนั้น…”

ซีน้อย “ดังนั้น?”

กู่ฉิงซาน “ดังนั้นฉันจะขอเป็นคนรับผิดชอบในการพุ่งโจมตีระยะประชิดเอง ส่วนเธอก็ต้องรับผิดชอบใช้เทคนิคมนตราจากระยะไกล นี่ต่างหากจึงถึงจะเป็นการจับคู่อาชีพที่เหมาะสม!”

ว่าจบเขาก็โบกมือออกไป

ไพ่ในมือถูกขว้างออก มันกลายเป็นกลุ่มแสงกระจัดกระจายรอบกายกู่ฉิงซาน

“เร่งเร้าโจมตี”

“เมื่อเปิดใช้งานไพ่ใบนี้ ความเร็วในการโจมตีของคุณจะเพิ่มขึ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์”

กู่ฉิงซานค่อยๆ วางไพ่ใบอื่นๆ กว่าอีกเก้าไพ่ ในอากาศอย่างเบามือ

ไพ่เก้าใบหมุนวนรอบตัวเขา และค่อยๆ จางหายไปในความว่างเปล่า

สองมือกลับมากุมดาบคู่ ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า

ช่วงระหว่างเหินอากาศ ไพ่ใบที่สองก็สาดแสงสว่างขึ้นทันใด

มันเปล่งแสงสีมรกต กะพริบหายเข้าไปในความว่างเปล่า

วินาทีนั้นชุดเกราะรบโลหะทั้งตัว ที่สลักด้วยลวดลายแลดูซับซ้อนทว่าสง่างามก็พลันปรากฏขึ้นเบื้องหลังกู่ฉิงซาน

เกราะรบแยกตัวออกเป็น เกราะหมวก เกราะอก เกราะไหล่ เกราะข้อมือ เกราะเอว เกราะขา เกราะเท้า กระชับกับร่างกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว

“เกราะรบระดับหยก ของขวัญแห่งชีวิต”

“เมื่อสวมใส่ชุดเกราะนี้ คุณจะได้รับสกิลพิเศษ ดื่มด่ำไปกับน้ำพุแห่งชีวิต”

“คำอธิบายสกิลพิเศษ ครึ่งหนึ่งของการโจมตีที่คุณได้รับ จะถูกเปลี่ยนสถานะให้เป็นพลังในการรักษา มันจะรักษาอาการบาดเจ็บของคุณต่อเนื่องแปดวินาที”

กู่ฉิงซานเปิดใช้งานสกิลพิเศษทันที

แสงมรกตพลันท่วมไปตามตัว สาดแสงออกมาจากทั้งคนทั้งร่างของเขา

อาศัยจังหวะช่วงที่แสงจ้าจนตาพร่ามัว พลันหายวับไปจากสถานที่เดิม ปรากฏขึ้นใจกลางกลุ่มนักล่าเงินรางวัลโดยตรง

“มันใช้ท่ามิติอีกแล้ว! เร่งฆ่ามันเร็วเข้า!”

บางคนร้องตะโกนขึ้น

ทุกคนโจมตีในเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม แสงมรกตบนตัวกู่ฉิงซานได้ทำการดูดซับการโจมตีเอาไว้ถึงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด แถมยังเปลี่ยนมันเป็นช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่เขา

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาจะถูกรักษาในเวลาเดียวกันกับที่ได้รับบาดเจ็บ

ยังมี การโจมตีส่วนใหญ่ ไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับชุดเกราะรบของกู่ฉิงซานได้ มันเพียงกระทบกับผิวเกราะจนเกิดเสียง ‘กิ๊งๆ!’ เท่านั้น!

และห้ามลืมนะว่า สำหรับผู้ฝึกดาบแล้ว หากพวกเขาไม่จำเป็นต้องคอยพะวงเกี่ยวกับการป้องกัน อาชีพนี้จะกลายเป็นการดำรงอยู่ที่เลวร้ายที่สุดในสนามรบ!

ดาบคู่ของกู่ฉิงซานลงมือพร้อมกัน

ค่ายกลดาบ ไท่หยี!

อำนาจคมกล้าจากดาบกลายเป็นวังวนที่มองไม่เห็น เกิดเสียงคำรามหวีดหวิวอย่างรุนแรงท่ามกลางฝูงชน

ฝนเลือดกระเซ็นไปทั่วฟ้า!

“ทุกคนถอยไป ฉันจะรับมือกับมันเอง!” นักล่าเงินรางวัลคนหนึ่งตะโกน

เขาโยนตนเข้าหากู่ฉิงซาน ทั้งคนทั้งร่างกลายเป็นเพชรแวววาว

ดาบสายลมเข้าตัดเฉือนมัน แต่ก็แทบไม่มีผลใดๆ เลย

เมื่อเห็นอย่างนี้ กู่ฉิงซานก็ทิ้งสองดาบในมือ สั่งการนึกคิดในจิตใจให้พวกมันจัดการค่ายกลดาบด้วยตัวมันเอง

ส่วนเขา หนึ่งมือเหวี่ยงออก คว้าจับไพ่ที่อยู่เบื้องหน้าตน

นี่คือไพ่สีแดงเข้ม

ตามตัวไพ่ ถูกวาดไปด้วยสีแดงเข้มแพรวพราว

ภายใต้ความแพรวพราวนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นภาพของสิ่งที่อยู่บนไพ่

“หอกปีศาจแดง”

กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ

หอกยาวสะท้อนไปด้วยสีแดงเข้มอันไร้ที่สิ้นสุดพลันผลุบออกมาจากในความว่างเปล่า และถูกคว้าจับโดยเขา

ในเวลาเดียวกัน เกราะมรกตทั้งร่างของเขาก็สลายไปอย่างรวดเร็ว

“แรร์ไอเท็ม หอกปีศาจแดง”

“เมื่อติดตั้งหอกปีศาจแดง คุณจะไม่สามารถสวมใส่เกราะรบใดๆ ได้ในเวลาเดียวกัน”

“หอกปีศาจแดงมีกฎเกณฑ์เฉพาะตัว คมกล้า”

“คำอธิบาย นี่คืออาวุธที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยเหล่าทวยเทพในยุคบรรพกาล เพื่อใช้ทำร้ายพวกเดียวกันเอง”

“ไม่มีอะไรจะหยุดมันได้!”

กู่ฉิงซานกุมหอกยาว และล็อคสมญาเทพสงครามเป็น ‘นายพลชั้นเฉินเว่ย’

นายพลชั่นเฉินเว่ย ความเร็วในการโจมตีของคุณจะเพิ่มขึ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์

ด้วยโบนัส ‘เร่งเร้าโจมตี’ ก่อนหน้านี้ ควบคู่ไปกับสมญาเทพสงคราม ส่งผลให้ความเร็วในการโจมตีของกู่ฉิงซานทะยานขึ้นไปสู่ในระดับที่น่าหวาดกลัว!

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง นักล่าเงินรางวัลเพชรก็ได้เข้ามาประชิดกู่ฉิงซานแล้ว

เขากำลังจะสำแดงสกิลระยะประชิดของตน ทว่ากลับเห็นแค่เพียงแสงสีแดงเข้มพรวดเข้าหา

รังสีแสงนี้มันว่องไวเกินไป เกินกว่าที่ขีดจำกัดปฏิกิริยาของตนจะตอบสนอง

เขาทำได้เพียงยกสองมือขึ้นตั้งการ์ดรังสีแสงนี้

ทว่าเส้นแสงสีแดงกลับสามารถวาบผ่านการ์ดเขาไปได้อย่างง่ายดาย

ระเบิดอัดอากาศปะทุขึ้นเป็นเสียงคร่ำครวญของท้องฟ้า กระจายเป็นวงกว้างราวกับคลื่นทะเล ความมืดมิดโดยรอบถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

ฉัวะ!

ด้วยการจ้วงแทงอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับคมกล้าอันหาที่ใดเปรียบ ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว-

เพียงปลายแหลมน้อยๆ ของหอกปีศาจแดง คนร่างเพชรก็ถูกป่นแหลกเป็นผงทันที!

บนทะเลทราย มุมปากของซีน้อยยกสูงขึ้น

“ต้องอย่างนั้นสิ ถึงจะเป็นคู่หูของฉัน”

เธอเอื้อมมือไปคว้าจับอากาศที่ว่างเปล่า

กู่ฉิงซานได้ใช้ไพ่สามใบของเธอแล้ว ดังนั้นเธอย่อมสามารถสกัดสกิลต่อไปมาจากกู่ฉิงซานได้

ส่งผลให้สกิลต่อไปที่จะได้รับจากกู่ฉิงซาน ซีน้อยตั้งตารอคอยมันด้วยความหวัง

และแล้วไพ่ใบที่สองจากสกิลของกู่ฉิงซานเริ่มปรากฏขึ้น

คราวนี้ มันเป็นไพ่สีชมพู พร้อมกับรูปริมฝีปาก

“ไพ่ทักษะ จุมพิตแห่งรัก”

“ด้วยไพ่ใบนี้ คุณจะสามารถสร้างจูบที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์”

ซีน้อยกลายเป็นโง่งม สักพักหน้าของเธอก็เริ่มแดง

“บ๊ะ! ทำไมฉันต้องสกัดได้ไพ่ใบนี้ด้วยนะ!”

เธอผลักไพ่กลับไปด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งอาย!

อีกด้านหนึ่ง

ยักษ์เทาที่อยู่ในมุมสูง สังเกตว่าสถานการณ์รบกำลังเปลี่ยนแปลงไป

เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธปล่อยมือจากดาบคู่ของตน แต่สองดาบกลับยังคงเคลื่อนไหวได้เองอย่างต่อเนื่อง แถมยังระเบิดอำนาจอันรุนแรงของสกิลดาบออกมา

“โชคไม่ดีจริงๆ ดันต้องมาเจอกับนักดาบนิรันดร์อย่างกะทันหัน!” ยักษ์เทาตวาด

นักดาบนิรันดร์เป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธนานๆ ครั้งจะถือกำเนิดขึ้น และพลังโจมตีของพวกเขาจัดว่าน่าหวาดกลัวนัก!

ตนไม่สามารถปล่อยให้ศัตรูต่อสู้แบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว!

ยักษ์เทาเอื้อมมือไปคว้าค้อนสงครามขนาดใหญ่ โถมตัววูบไปตามสายลมภายใต้ค่ายกลดาบที่กำลังร่ายระบำ

เขาพุ่งไปได้ครึ่งทาง แต่แล้วก็จำต้องหยุดกายลงอย่างกะทันหัน สะบัดค้อนใหญ่ กระแทกใส่เบื้องหน้าอย่างแรง

เปรี้ยง!!

ทว่ามันไม่เป็นผล!

สองหุ่นเชิดที่ในมือกุมกระบี่ดำปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน โบกสะบัดกระบี่เพื่อปัดป้องค้อนใหญ่นี้

“บัดซบ!” ยักษ์เทาคำราม

เขาก้มลงมองผืนทราย

เห็นแค่เพียงซีน้อยที่ที่พึ่งปลดปล่อยไพ่หุ่นเชิดสองใบออกมา

“หืม…อย่าคิดว่าฉันจะยืนอยู่เฉยๆ สิ”

เธอเริ่มวาดไพ่ออกไปอีกครั้ง

คราวนี้ ในที่สุดเธอก็ได้ไพ่สองใบที่ตนเองต้องการ

ซีน้อยโยนไพ่ใบหนึ่งไปที่กู่ฉิงซาน

ไพ่ได้หายวับไป

และร่างกายของกู่ฉิงซานก็ถูกล้อมด้วยห้าโล่ที่ซีดเซียว พวกมันโคจรไปมา “โล่มนตรา โล่แห่งความตาย”

“การเปิดใช้งานสกิลนี้ จะช่วยให้คุณสามารถปัดป้องการโจมตีจากศัตรูได้ถึงห้าครั้งติดต่อกัน”

แม้ว่ากู่ฉิงซานจะกุมหอกปีศาจแดงอยู่ ทำให้ไม่สามารถสวมเกราะรบได้ ทว่าโล่ป้องกันที่ลอยอยู่ในอากาศ มิได้สัมผัสต้องตัว ยังคงสามารถใช้งานได้

ซีน้อยชี้ไพ่อีกใบไปทางยักษ์เทา ปากอ้าตะโกน “เทคนิคต้องห้ามอาวุธ ค้อนสงคราม!”

ค้อนสงครามในมือของยักษ์เทาพลันหายวับไป และปรากฏขึ้นบนไพ่ของเธอ

ยักษ์เทาสบถด้วยความโกรธ “ ‘เอินเจี้ยน’ รีบใช้ร่างเงาของแก ไปฆ่านังผู้ใช้ไพ่ให้ฉันซะ!”

นักล่าเงินรางวัลที่กุมสองกริชแหลมในมือตอบรับคำ

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง ขอเวลาแค่นาทีเดียวก็พอ”

ว่าจบ เจ้าตัวก็กลายร่างเป็นเงาปีศาจ โฉบเข้าหาซีน้อย

นี่คือร่างเงาที่พบเจอได้ยากยิ่ง มันสามารถทะลุผ่านทุกชนิดของมนตรา ตราบใดที่สามารถสังหารศัตรูในระยะเวลาที่กำหนดได้ ร่างเงาจะดูดซับจิตวิญญาณของศัตรู เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายทั้งหมดที่เขาได้รับ

แต่ซีน้อยดูจะไม่สนใจขว้างไพ่ออกไป เธอเพียงสละไพ่หลายใบจากมือ ปล่อยทิ้งลงรอบตัว

จากนั้น…

เธอก็หยิบไพ่ใบแรกที่ได้มาจากกู่ฉิงซาน

เปิดใช้งานร่างเงาแทนที่!

ในเสี้ยววินาที นักล่าเงินรางวัลก็ปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งของซีน้อย

เขาหันไปมองรอบกายด้วยความสับสน

อ่าว? ทำไมจู่ๆ ตนถึงมายืนอยู่บนทะเลทรายกัน?

ทันใดนั้นเอง พื้นทรายใกล้ๆ กับเท้าเบื้องล่างเขา หลากหลายไพ่ก็เริ่มสาดรังสีแสงออกมา

ในเวลาเดียวกัน ซีน้อยก็ไปปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องบน

ปากเปล่งทำนองไพเราะเสนาะหู “บ๊ายบาย”

บรึ้ม!

………………….

บนยานอวกาศของกลุ่มนักล่าเงินรางวัล

ยักษ์เทาถอนสายตาออกจากท้องฟ้า

แม้บางสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ตอนยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ

“นายพบเจ้าหนุ่มนั่นแล้วงั้นเหรอ?” เขาถาม

“ใช่”

“แล้วระดับความแข็งแกร่งของเขาล่ะ?”

“คำนวณตามมาตรฐานพลังของผู้ฝึกยุทธ คิดว่าน่าจะอยู่ในขอบเขตพันวิบัติขั้นปลาย” ตาสวรรค์กล่าว

พริบตานั้นกลุ่มนักล่าเงินรางวัลพลันระเบิดเสียงหัวเราะทันที

หากเป็นผู้ฝึกยุทธที่บรรลุถึงขอบเขต ดาราโกลาหล หวนคืนสู่ศูนย์ กระจ่างจิตเทวะ หรือเบิกเนตรมิติ กลุ่มนักล่าเงินรางวัลของพวกเขาคงจำต้องวางแผนจัดการอย่างรอบคอบ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในดินแดนชิงอำนาจกว่าสองร้อยล้านชั้น กลุ่มของพวกเขา ยังไม่นับว่าติดอยู่ในอันดับดีๆ

แต่ถ้าในภารกิจนี้ เป็นแค่การกำจัดผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติล่ะก็ ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา มันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากเย็นอะไร

ยักษ์เทามองคนของเขา ปากอ้าตะโกนว่า “เช่นนั้นก็ดี ถึงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ก็ช่างหัวมัน พวกเราจะไปล่าเงินรางวัลมาก่อนเป็นอันดับแรก!”

“ทุกคน! มุ่งหน้าไปฆ่าเจ้าหนุ่มนั่นได้!”

“ครับบอส!”

กู่ฉิงซานค่อยๆ ลดระดับลงจากเบื้องบนอย่างช้าๆ

ท้องฟ้าบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยแมลงปีศาจ

ไม่สิ อันที่จริงสมควรกล่าวว่าโลกทั้งใบถูกกลืนกินไปแล้วต่างหาก

โลกทั้งใบ บัดนี้อยู่ภายในกระเพาะของแมลงปีศาจ แต่มันกลับจมลงสู่ความเงียบอย่างน่าฉงน

ความเงียบงันนี้ เปรียบดั่งช่วงเวลาก่อนพายุซัดกระหน่ำ

“ครอบครัวแมงป่องถูกจับตัวไป” กู่ฉิงซานกล่าว

“มันเรื่องอะไรกัน?” ซีน้อยถาม

กู่ฉิงซานบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดไป

“นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในวิธีคุมขังของเทพวิญญาณ” ซีน้อยครุ่นคิด

ท่าทีของเธอเปลี่ยนเป็นจริงจัง จั่วไพ่ออกมาจากในความว่างเปล่า

-มันคือไพ่อัญเชิญราชินีปีศาจแมงป่อง

ซีน้อยมองไปที่ไพ่ แต่กลับไม่พบอะไรเลย

“ฉันไม่สามารถอัญเชิญเธอได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติจริงๆ” ซีน้อยขมวดคิ้ว

กู่ฉิงซานมองไพ่ที่ว่างเปล่า อดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “ราชินีแมงป่องเป็นบาป ฉันหมายถึงเธอก็เป็นหนึ่งในสำรับไพ่ผู้หลบหนีเหมือนกันเหรอ?”

“เปล่า เธอเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตในหุบเหวแห่งบาป เพราะก่อนที่ฉันจะทันได้สลายพลังไป ครั้งหนึ่งเธอเคยได้สัมผัสกับกลิ่นอายของฉัน ดังนั้นเธอเลยเกิดความสมัครใจที่จะทำสัญญากับฉัน”

“หุบเหวแห่งบาปคืออะไร?”

“ภายใต้ผืนทราย ลึกลงไปตรงก้นเหวจะมีผนึก เทพวิญญาณได้สร้างผู้พิทักษ์เอาไว้ปกป้องหุบเหวที่เก็บผนึก เผื่อว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น ผู้พิทักษ์จะสามารถเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที” ซีน้อยกล่าว

“แต่เทพวิญญาณได้จากไปตั้งนานแล้วนี่” กู่ฉิงซานท้วงติง

ซีน้อย “ดังนั้น พวกเขาจึงได้อาศัยอยู่ในหุบเหวแห่งบาปตลอดมา ไม่เคยออกไปจากนอกโลกเลย”

“แต่ฉันไม่คิดเลยว่าเทพวิญญาณจะตลบหลังพวกเขาแบบนี้”

ทั้งสองเงียบไป

จู่ๆ กู่ฉิงซานก็ยกดาบของเขาขึ้นอย่างกะทันหัน

ซีน้อยเองก็จั่วไพ่ออกมาเช่นกัน

มันเป็นไพ่ที่ภายในเป็นรูปถุงตาข่ายสีขาว

ไพ่ป้องกัน ตาข่ายสะท้อนกลับ!

ตาข่ายสะท้อนกลับ สามารถสะท้อนการโจมตีครั้งแรกของศัตรูได้อย่างสมบูรณ์

“คำอธิบาย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน!”

“คำอธิบาย ถุงตาข่ายนี้ไม่สามารถตอบโต้การโจมตีถึงตายได้ และมันจะไม่สามารถสะท้อนกลับการโจมตีที่รุนแรงกว่าฐานพลังของราชทูตตัดสินบาปสามเท่า”

ปัง!

ไพ่แตกกระจาย

ในเวลาเดียวกัน ตาข่ายสีขาวก็ผลุบออกมาจากในความว่างเปล่า

ตาข่ายสีขาวบดบังขึ้นเบื้องหน้าทั้งสอง ปิดกั้นเสาแสงที่สาดลงมาอย่างกะทันหัน

เสาแสงกระทบลงกับตาข่าย เชือกที่เชื่อมติดกันถึงขั้นย้วยลงมาใกล้กับใบหน้าของทั้งสอง

“ไม่เป็นไร มันยังไม่ทะลุถึงขั้นขีดจำกัดสูงสุดที่ตาข่ายจะรับไหว การโจมตีนี้ยังพอสามารถสะท้อนกลับได้” ซีน้อยกล่าว

ทันทีที่เสียงตกลง เสาแสงก็ม้วนตัวกลมเป็นลูกบอล และดีดย้อนกลับไป

ทันใดนั้นเอง บนท้องฟ้าไกล ก็พลันเกิดประกายแสงสว่างวาบขึ้น

ยานอวกาศถูกระเบิดใส่อย่างแรง ควันโขมงพวยพุ่งเต็มท้องฟ้า

กู่ฉิงซานกับซีน้อยจ้องมองยานอวกาศ

ดูเหมือนว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ จะเป็นการลอบโจมตีโดยตรงจากยานอวกาศ

“นายไปมีปัญหากับใครมาอีกรึเปล่า?” ซีน้อยถาม

“ไม่มีนะ แต่ฉันคิดว่าพวกเขาต้องการมาจับเรามากกว่า” กู่ฉิงซานกล่าว

“ใครจะมาจับพวกเรา?” ซีน้อยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“แน่นอนว่าต้องเป็นวิหารแห่งความตาย” กู่ฉิงซานกล่าว

ซีน้อยตระหนักถึงสถานการณ์ในทันใด

ไม่ไกลออกไป ผู้คนนับสิบเริ่มทยอยกันออกมาจากยานอวกาศที่กำลังร่วงตกลง พุ่งเข้าหาทั้งสองอย่างรวดเร็ว

ระยะห่างระหว่างทั้งสองไม่ไกลจากกันและกัน

คนเหล่านั้นพุ่งตรงมาข้างหน้าเร็วมาก และเริ่มจัดรูปแบบเป็นวง ปิดล้อมทั้งสองคน

ซีน้อยเอ่ยถาม “คนพวกนี้ บางคนดูเหมือนไม่เหมือนกับนักบวชเลย ทำไมพวกเขาถึงมาจับตัวพวกเราเพื่อเทพวิญญาณด้วย? หรือว่าพวกเขาเป็นอาวุธใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพวิญญาณ?”

กู่ฉิงซาน “ไม่ใช่อาวุธหรอก แต่น่าจะเป็นคนที่คิดจะฮุบรางวัลนำจับของจากทางวิหารมากกว่า”

“อะไรคือรางวัลนำจับ?”

“…”

ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานได้รู้จักซีน้อยมากขึ้น

เขาค้นพบว่าซีน้อยแม้จะล่วงรู้ความลับมากมายจากในสมัยโบราณ แถมยังมีความสามารถในการต่อสู้ แต่เธอกลับไม่มีความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโลกในยุคปัจจุบันเลย

เขาอธิบายความหมายของ ‘รางวัลนำจับไป’

ระหว่างทั้งสองสนทนา ยักษ์เทาก็ก้าวนำออกมาจากท่ามกลางหลายสิบคน

โดยมีใบประกาศจับอยู่ในมือของเขา

มองไปยังวัยรุ่นชายและหญิงที่ตรงกันกับภาพ ยักษ์เทาก็พยักหน้ายืนยัน

เป้าหมายถูกต้อง

เขาคำรามเสียงกระจ่างใส “ไปฆ่ามันซะ!”

ในฐานะหัวหน้าทีม เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมีเสียเวลาเจรจาอะไรกับศัตรูให้มากความ

เมื่อคำสั่งถูกส่งออกไป นักล่าเงินรางวัลทั้งหมดก็กระโจนเข้ามารุมทันที

ซีน้อยกล่าวอย่างร้อนรน “ความแข็งแกร่งของนายต่ำเกินไป ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน ฉันจะทำหน้าที่เป็นตัวรับโจมตีหลักให้เอง”

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานรับคำด้วยความสุข

คนพวกนี้แข็งแกร่งเกินไป หากเป็นเขาที่ต้องสู้เพียงลำพัง ตนคงตัดสินใจเผ่นหนีไปแล้ว ทว่าหากมีคู่หูรู้ใจอยู่ด้วย ย่อมต่างออกไป

เขาสวมใส่ชุดเกราะเฉินเว่ย และเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้

ร่างของซีน้อยกะพริบไหว วิ่งกุมไพ่ตรงไปข้างหน้า

เธอพยายามดึงดูดกำลังรบของศัตรูให้หันเหมาทางตัวเองให้มากที่สุด

ทว่าก็ยังมีอีกกว่าเจ็ดถึงแปดคนอยู่ดีที่พุ่งเข้าหากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกมา

และพบว่าไม่มีใครอ่อนแอกว่าเขาเลย

อ้างอิงความแข็งแกร่งตามกลิ่นอายของคนเหล่านี้ อย่างน้อยที่สุด คืออยู่ในขอบเขตพันวิบัติของผู้ฝึกยุทธ

แถมยังมีหลายคนเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิตเลย

แม้กระทั่งคนที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตลมปราณจิต ขอบเขตดาราโกลาหลก็ยังมี!

กู่ฉิงซานตัดสินใจหลีกเลี่ยงชายคนที่สุดท้ายที่กล่าวถึง เขากุมสองดาบในมือ และหายวับ! ไปปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสามคนที่อ่อนแอที่สุดอย่างกะทันหัน

ดาบยาวขยับไหว

ล่าชีพ!

สองคนพลันตกตายลงในคมดาบเดียว

ขณะที่อีกหนึ่งอาศัยสัญชาตญาณตัวเอง สามารถปัดป้องคมดาบของกู่ฉิงซานเอาไว้ได้

อีกหลายคนเมื่อเห็นฉากนี้ก็เริ่มตื่นตัวทันที

“ระวังกันด้วย! เหมือนว่าเจ้าหนูนี่จะสามารถโจมตีแยกอากาศได้” นักล่าเงินรางวัลที่แกร่งที่สุดกล่าว

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ

คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะฉวยโอกาสฆ่าได้แค่สองคนเท่านั้น

นักล่าเงินรางวัลที่แข็งแกร่งที่สุด และนักรบระยะประชิดอีกสองคนประกบติดกับนักเทคนิคมนตรา เพื่อป้องกันว่ากู่ฉิงซานจะเร้นกายมาปรากฏตัวลอบสังหารอีกครั้ง

นักเทคนิคมนตรา เริ่มต้นร่ายมนตร์ด้วยความเร็วสูงสุด

ใบมีดตัดมิติ!

เพลิงผลาญ!

แยกลมปราณ!

รังสีเยือกแข็ง!

ทุกชนิดของเทคนิคมนตราสาดแสงระยับ วิบวับเข้าหากู่ฉิงซาน

เทคนิคมนตรา ห่ากระสุน โจมตีไม่รู้จบ!

เทคนิคเหล่านี้ล้วนผสมผสานกันอย่างชาญฉลาด เพื่อป้องกันไม่ให้กู่ฉิงซานถอยหนี

ทว่ากู่ฉิงซานเตรียมพร้อมใช้ร่างเงาแทนที่สำหรับสถานการณ์นี้เอาไว้อยู่แล้ว

ทว่าชายคนหนึ่งในบรรดานักล่าเงินรางวัลที่ไม่เคยเคลื่อนไหวเลยตั้งแต่ต้นก็ตะคอกออกมาอย่างกะทันหัน

“กฎเกณฑ์ ทุกมนตราจงปะทะกับเป้าหมายทันที!”

ช่วงเวลาฉุกละหุก เทคนิคมนตราทั้งหมดถูกปลุกเร้าขึ้น ความเร็วของพวกเขาทะยานจนเห็นแค่เพียงเส้นแสง ปะทะเข้าใส่กู่ฉิงซานในฉับพลัน

เปรี้ยง!

กู่ฉิงซานถูกกระแทกอย่างแรงจากเทคนิคมนตราเหล่านี้ เขาร่วงปะทะเข้ากับผืนทรายดังตู้ม! บังเกิดระลอกคลื่นทรายกระจายไปทั่ว

เม็ดทรายลอยฟุ้งกระจายไปทั่วฟ้า

กู่ฉิงซานกระอักเลือดออกมา พยายามยืนหยัดขึ้นบนผืนทราย

แม้ว่าเขาจะสวมใส่เกราะรบเฉินเว่ยอยู่ก็ตาม แต่หากถูกระดมยิงใส่ด้วยเทคนิคมนตรามากมายในคราวเดียวแบบนี้ เจ้าตัวก็ล้มได้เหมือนกัน

กลยุทธ์ของฝั่งตรงข้าม ช่างประณีตและมากไปด้วยฝีมือ ทุกอาชีพถูกจัดสรรหน้าที่ไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นคนร่ายมนตราโจมตี หรือคนที่ใช้เทคนิคกฎเกณฑ์โจมตีอย่างกะทันหัน กู่ฉิงซานที่ไม่ทันระวังเลยโดนเข้าจังๆ

มันเป็นเรื่องยากที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง แถมยังร่วมมือกันเป็นอย่างดี

ไม่ต้องกล่าวถึงว่าที่แห่งนี้คือดินแดนชิงอำนาจ ดังนั้น เหล่านักล่าเงินรางวัลจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้มากเป็นพิเศษแน่นอน

กู่ฉิงซานหัวเราะ

ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน เกราะรบแตกเป็นเสี่ยง ห้อยอยู่ตามตัวของเขา และหลุดลุ่ยลงมา

“ประโยคหนึ่งก่อนที่จะถูกเทคนิคมนตราโจมตีเข้าใส่ เหมือนจะนั่นจะเป็นมนตราแห่งกฎเกณฑ์สินะ…”

“เจ้าสิ่งนั้นมันฟังดูน่าสนใจจริงๆ”

เขาบ่นพึมพำเบาๆ

ท่ามกลางหายนะโทษทัณฑ์ที่ร้ายแรงถึงตาย เจตนาฆ่าอันไร้ที่สิ้นสุดพลันปะทุขึ้นมาจากร่างของกู่ฉิงซานอย่างกะทันหัน

เขายื่นมือออกไปคว้าจับในอากาศที่ว่างเปล่า

ดาบขุนเขาเทวะและเช่าหยินถูกกุมอีกครั้ง

กู่ฉิงซานกำลังจะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

แต่ในตอนนั้นเอง เงาๆ หนึ่งก็ร่วงตกลงมาล้มลงข้างกายกู่ฉิงซาน

เป็นซีน้อย

เธออ้าปากหอบหายใจและกล่าว “บ้าจริง พอคนเยอะ จะทำอะไรมันก็ลำบากไปหมด”

กู่ฉิงซานหยุดมองเธอ “แล้วนี่ได้รับบาดเจ็บรึเปล่า?”

บนท้องฟ้า กลุ่มนักล่าเงินรางวัล ภายใต้คำสั่งของยักษ์เทา ได้ตีวงล้อม ปิดทางหนีทั้งคู่ถึงสองชั้น

ชายคนหนึ่งหัวเราะออกมา “บอส เหมือนว่างานคราวนี้เหมือนจะง่ายกว่าที่คิด”

“แต่ก็เพราะมันง่ายเกินไปนี่แหละ ทำให้ฉันดันคิดถึงปัญหาอื่นขึ้นมา” ยักษ์เทาขบคิด

“ปัญหาอะไรเหรอบอส?”

“ทั้งๆ ที่พวกเขาอ่อนแอถึงขนาดนี้ แต่ทางวิหารกลับต้องการให้พวกเขาตาย นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องไปรู้ความลับอะไรบางอย่างเข้าแน่ๆ…”

“บอสต้องการจะสื่ออะไร?”

“เค้นความลับของพวกมันออกมาก่อน ถึงค่อยลงมือฆ่าได้”

“แต่ถ้าเราทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่านั่นจะเป็นการสร้างความไม่พอใจให้กับทางวิหารเหรอ?”

“อืม…เพราะนี่ไงฉันถึงได้ลังเลอยู่”

ระหว่างพวกเขากำลังตัดสินใจ ซีน้อยกับกู่ฉิงซานก็เร่งสื่อสารกันอย่างรวดเร็ว

“พวกเขามีจำนวนมากเกินไป แถมยังประสานงานกันเป็นอย่างดี ความแข็งแกร่งก็มากกว่าพวกเรา เธอว่าเอายังไงดี?” กู่ฉิงซานถาม

ซีน้อยส่ายหัวและกล่าว “ฉันเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคมนตรา แต่ตอนนี้ได้สูญเสียอำนาจส่วนใหญ่ไปหมดแล้ว ดังนั้นนี่ก็เป็นเรื่องยากที่ฉันจะรับมือกับมันเหมือนกัน”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็คงจะมีแค่หนทางดะ…”

เขายังเอ่ยไม่ทันจบ ซีน้อยก็ขัดจังหวะขึ้นซะก่อน “ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องหลอมรวมกันซะแล้วถึงจะสู้ได้”

กู่ฉิงซานตกใจ เอ่ยพึมพำ “เธอหมายความว่ายังไง?”

ซีน้อยเหยียดสองนิ้วออกไป แล้วไพ่สีขาวก็ผลุบออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า

เธอจั่วไพ่ใบนั้นออกมา

นี่เรียกว่าไพ่เอกลักษณ์ (ไม่มีซ้ำ)

แสงจางๆ หลากสีระยับออกมาจากไพ่ ส่งผลให้ทั้งใบของมันดูวิจิตรตระการตา

บนหน้าไพ่ เป็นรูปของสองนางฟ้าที่งดงาม ยืนอิงแผ่นหลังกันและกัน ขณะที่สองมือของพวกเธอประกบพนมเบื้องหน้า แสดงท่าทีว่ากำลังอธิษฐานอยู่

ซีน้อยมองไพ่ และกล่าว “ฉันไม่เคยมีคู่หูมาก่อนเลย ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ใช้ไพ่ใบนี้”

ว่าจบเธอก็โยนไพ่ออกไป

ไพ่หายวับไปอย่างกะทันหัน

ในเวลาเดียวกัน ตัวกู่ฉิงซานก็สาดแสงสีเทาออกมา

ส่วนทางซีน้อยสาดแสงสีเขียว

แล้วรังสีแสงทั้งสองประกบม้วนเป็นเกลียว รวมกันเป็นด้ายเส้นหนึ่ง

ด้ายเส้นนี้เชื่อมต่อระหว่างกู่ฉิงซานกับซีน้อย

ด้ายแสงผสานรวมกันเพียงชั่ววูบ และมันก็หายวับไป

ซีน้อยกล่าว “คราวนี้ล่ะ สถานการณ์มันจะแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง”

สายตาของกู่ฉิงซานเบนมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม

ที่บัดนี้ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยเด้งเตือนขึ้นมา

“ไพ่เอกลักษณ์ เงาคู่ ได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว”

“ราชทูตตัดสินบาป กู่ฉิงซาน กำลังพยายามประสาน”

“นางฟ้าตัดสินบาป ซี กำลังพยายามประสาน”

“การประสานสำเร็จแล้ว”

“โหมดเงาคู่ประจัญบาน เปิดใช้งาน ณ บัดนี้!”

……………………..

“ไม่เป็นไรหรอก เพราะพวกเรากำลังจะได้ออกไปจากที่นี่แล้ว”

ชายผิวดำเมี่ยมปลอบโยนลูกชายของเขา

เห็นได้ชัดว่าพนักงานยังตกใจอยู่ เขาเร่งก้มหัวให้คนในห้อง และถอยออกจากโซนที่นั่ง

เพราะตนต้องเร่งกลับไปตรวจสอบสถานการณ์

ประตูถูกปิดลงตามหลังเขา

อากาศแข็งตัวไปหลายลมหายใจ

หลายคนรับรู้ถึงการสั่นสะเทือน และการดิ้นรนของผืนโลกอย่างเงียบๆ

โลกทะเลทรายทั้งใบสั่นสะเทือนในระดับที่ผิดปกติ เวลานี้ หากบอกว่ามันเป็นแค่แผ่นดินไหวธรรมดาๆ คงจะไม่มีใครเชื่อแล้ว

“นี่ยังไม่ได้เวลาออกเรืออีกหรือ?” ราชินีแมงป่องถามกู่ฉิงซาน

“เหลืออีกราวๆ ครึ่งนาที” กู่ฉิงซานตอบ

“นับว่าโชคดีจริงๆ ที่พวกเรากำลังจะได้ออกไป” ชายผิวดำเมี่ยมถอนหายใจ

“เดี๋ยวก่อน ผมมีคำถาม ภายในห้องโถงเมื่อครู่มีคนอยู่ตั้งหลายพันคน แล้วคุณสามารถระบุตัวตนว่าเป็นผมตั้งแต่แรกเลยได้ยังไง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ชายดำเมี่ยมหัวเราะ “ก็ ‘หมุด’ ของข้าอยู่กับเจ้าตลอดเวลา แต่เจ้าไม่เคยใช้มันเลย”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”

ชายดำเมี่ยมกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “แต่เจ้าเชื่อข้าเถอะ เจ้าสามารถใช้มันได้อย่าวางใจ”

กู่ฉิงซาน อธิบายอย่างช้าๆ“อันที่จริงแล้วที่ผมไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับมัน เป็นเพราะผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร และจะใช้งานมันได้อย่างไร”

ในเวลานี้ เมื่อภายในโซนที่นั่งไม่มีใครอีก เขาจึงเปลี่ยนกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม

ชายดำเมี่ยมยิ้มกว้าง “ด้วยหมุดแหลมของข้า ย่อมไม่มีมอนสเตอร์ตนใดในทะเลทรายสามารถทำให้เจ้าลำบากใจได้ ยิ่งไปกว่านั้น ศัตรูใดที่ถูกมันแทงย่อมต้องตกตาย เชื่อข้าเถอะ พิษร้ายของข้ามิใช่สิ่งที่จักแก้ได้โดยง่าย”

“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณ คุณมาก” กู่ฉิงซานพยักหน้ารับความปรารถนาดี

แต่แล้วราชินีแมงป่องก็ยื่นมือออกไปทางกู่ฉิงซาน พลางกล่าว

“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

“อะไร?” กู่ฉิงซานงง

“ก็ในเมื่อเจ้าสังหารชายชุดคลุมดำลงได้ ฉะนั้นงานนี้ต้องมีส่วนแบ่ง” ราชินีแมงป่องกล่าว

“แต่คุณไม่ได้อยู่ที่นั่นสักหน่อย ว่าแต่คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” กู่ฉิงซานถาม

“ข้าไม่สน แต่ตอนที่ช่วยถ่วงเวลาเจ้า ข้าใช้พลังไปไม่น้อยเลย” ราชินีแมงป่องทำท่าทางกวักมือของเธอ

กู่ฉิงซานหัวเราะ

ตัวตนระดับทรงอำนาจ ย่อมไม่มีทางที่จะโกหกเรื่องเล็กน้อยพวกนี้

อีกอย่าง ในระหว่างที่เขาต่อสู้กับเธอ เขาก็ตระหนักดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าตน

“แต่มันติดปัญหาอยู่นิดหน่อยน่ะสิ เพราะผมไม่สามารถเปิดถุงกระเป๋าใบนี้ได้” กู่ฉิงซานกล่าวตามความจริง

“สบายใจเถอะ ไม่มีใครในตลาดมืดสามารถเปิดกระเป๋าส่วนตัวของเขาได้หรอก แต่สามีของข้าสามารถทำได้” ราชินีกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ชายดำเมี่ยมฝืนยิ้ม เผยท่าทีกระดากอาย ปฏิเสธเล็กน้อย

ภรรยาจิกสายตาใส่เขาทันที

“รีบเอามา เราจะเปิดมันให้เจ้า แล้วมาแบ่งกันคนละครึ่ง” ราชินีแมงป่องกล่าว

“แต่ด้วยความแข็งแกร่งของคุณทั้งสอง ยังต้องมากังวลเรื่องเงินอยู่อีกเหรอ?” กู่ฉิงซานงง

ราชินีแมงป่องแสดงท่าทีกระวนกระวาย “ก็หลังจากที่ต้องออกจากภูมิลำเนาเดิม ทุกที่ต่อจากนี้แน่นอนว่าย่อมต้องใช้เงิน แล้วข้าก็อยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีในอนาคตอีก ไหนจะเรื่องโภชนาการอีก ดังนั้นเงินเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในตอนนี้”

“มันก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี งั้นพวกเรามาแบ่งเงินกัน” กู่ฉิงซานเห็นด้วย

โดยไม่ลังเล เขาหยิบถุงกระเป๋าสีดำออกมา และโยนมันให้แก่อีกฝ่าย

ราชินีแมงป่องคว้าหมับ! และส่งต่อให้ชายผิวดำเมี่ยม

ชายผิวดำวางถุงกระเป๋าลงบนฝ่ามือของเขา จากนั้นก็ยื่นอีกมือหนึ่งออกมา ชี้นิ้วลงบนปากถุง

แคว่ก!

เสียงจากการเปิดปากถุงดังขึ้นเล็กน้อย

ชายดำเมี่ยมหยิบถุงกระเป๋าขึ้น และต้องการที่จะยื่นมันให้แก่กู่ฉิงซาน

แต่ราชินีแมงป่องถลึงตาใส่เขา

ชายดำเมี่ยมสะดุ้ง ชักมือกลับ วางถุงกระเป๋าลงบนโต๊ะ

“มันไม่เป็นไรหรอก พวกคุณเชิญเลือกของที่ต้องการในถุงกระเป๋าใบนั้นก่อนได้เลย” กู่ฉิงซานกล่าว

“หา? ใจกว้างจังเลยนะ” ราชินีแมงป่องยิ้ม

“เอ่อ ก็ผมมันคนโสด ไม่ได้มีความกังวลอะไรเกี่ยวกับปัญหาชีวิตคู่ ดังนั้นพวกคุณเชิญเลือกมันก่อนเถอะ” กู่ฉิงซานย้ำ

เวลานี้ รอยยิ้มของราชินีแมงป่องดูจะจริงใจขึ้นหลายส่วน

‘เด็กหนุ่มคนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอะไรอยู่ในถุงกระเป๋า แต่เขากลับบอกให้ฝ่ายตนเป็นคนเลือกก่อน หมายความว่าจิตใจของเจ้าหนุ่มนี่ไม่มีความละโมบอยู่เลยสินะ?’

ในเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงขนาดนี้ ฉะนั้นเธอจึงไม่รีบเลือกหยิบแต่สิ่งที่มันเลอค่าออกมา เดี๋ยวจะดูไร้มารยาทและแล้งน้ำใจเกินไป

เธอเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าเห็นว่าขอบเขตของเจ้า สมควรจะอยู่ในขอบเขตพันวิบัติขั้นปลายของผู้ฝึกยุทธ และกำลังจะทะลวงผ่านมันไปได้ในเร็วๆ นี้ใช่หรือไม่”

“เป็นอย่างที่คุณพูด” กู่ฉิงซานตอบ

“ดูจากสถานะของเจ้า คาดว่าสมควรจะเป็นหายนะโทษทัณฑ์ครั้งสุดท้าย”

“ถูกต้อง”

“เช่นนั้น นับแต่นี้ไปตลอดการเดินทาง พวกเราจะคอยดูแลเจ้าเอง”

“ขอบพระคุณมาก!” กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้น คารวะทันที

หายนะโทษทัณฑ์ในครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งสำหรับตน แต่หากมีตัวตนอย่างราชินีแมงป่องคอยเฝ้าดูอยู่ด้วยล่ะก็ ทุกสถานการณ์ก็น่าจะสามารถผ่านพ้นไปได้อย่างง่ายดาย

“เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไปนัก ในเมื่อพวกเราต่างก็ต้องการที่จะหนีออกไปจากที่นี่ ดังนั้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็สมควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

ทันใดนั้นเอง…

ตูม!

พลันบังเกิดแรงกระแทกครั้งใหญ่ขึ้น

โลกทั้งใบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

แผ่นดินไหวคราวนี้ หนักหนายิ่งกว่าครั้งก่อนหน้า กระทั่งสายลมกรรโชกก็ยังกระพือขึ้นมาถึงบนท้องฟ้า

ทว่าโชคยังดี ที่เรือของพวกเขาได้แล่นออกมาแล้ว

เรืออวกาศทะลุเมฆเป็นแนวยาว กำลังค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น

“ในที่สุดก็จะได้ไปเสียที”

สีหน้าของราชินีแมงป่องซีดขาวเล็กน้อย

ชายดำเมี่ยม “เฮ้อ มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่ต้องทำใจทิ้งหุบเหวแห่งบาปไป แต่ไม่มีทางเลือก เพราะชีวิตสำคัญกว่า”

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “แล้วทำไมพวกคุณถึงตัดสินใจจากมันไป?”

ราชินีแมงป่องถอนหายใจ “ก็คงจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับเจ้า”

“ใช่” ชายดำเมี่ยมกล่าว “เพราะเจ้าสิ่งนั้นกำลังจะตื่นขึ้น”

ว่าจบ เขาก็เอื้อมมือไปลูบหัวลูกชาย

พริบตานั้นเอง อักษรรูนโบราณสีทองก็พลันผุดออกมาจากในความว่างเปล่า

อักษรรูนเหล่านี้รวมตัวกันเป็นด้าย พัวพันรอบตัวชายดำเมี่ยม และลากตัวเขาหายไป

ราชินีแม่งป่องไม่ทันจะได้มีเวลาเคลื่อนไหว ด้ายสีทองก็มัดเธอเสียก่อน

“บัดซบ นี่มันอำนาจ…”

ราชินีแมงป่องสบถด่าด้วยความโกรธแค้น ทั้งคนทั้งร่างของเธอหายวับไป

หลังจากนั้นไม่นาน ลูกชายเธอที่กำลังจะเริ่มร้องไห้ก็ถูกนำตัวไปโดยแสงสีทองเช่นกัน

ช่วงเวลาฉุกละหุก ทั้งสามทยอยกันหายไป

กู่ฉิงซานรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแสงสีทองพุ่งเข้ามาด้านหน้าเขา แล้วทุกอย่างก็จบลง

บนโต๊ะ ถ้วยชาทั้งสี่ยังอุ่นอยู่เลย

แต่บัดนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้วในโซนที่นั่ง

กู่ฉิงซานค่อยๆ ผุดลุกขึ้นอย่างช้าๆ

สถานการณ์ในปัจจุบันมันเกินกว่าจินตนาการทั้งหมดของเขา

ไม่ว่าจะเป็นราชินีแมงป่องหรือชายดำเมี่ยม ทั้งสองล้วนเป็นการดำรงอยู่ที่ทรงอำนาจ

อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับไม่มีแม้โอกาสที่จะต่อต้าน และถูกนำตัวหายไป

แม้จะรู้ว่ากระทั่งตัวตนทรงอำนาจอย่างราชินีแมงป่องก็ยังไม่อาจต้านทานได้ แต่กู่ฉิงซานก็ยังเลือกที่จะเรียกดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกมา

ครืน!

การสั่นสะเทือนของผืนโลกยิ่งนาน ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ความตายอันเข้มข้นตกลงมาจากในความว่างเปล่า คืบคลานเข้ามาในร่างกายและจิตใจของกู่ฉิงซาน

หายนะโทษทัณฑ์ กำลังจะมาเยือนแล้ว!

กู่ฉิงซานสงบใจตนลง พยายามควบคุมลมหายใจ

ทันใดนั้น เขาก็มองออกไปทางนอกหน้าต่าง เงยขึ้นไปในมุมสูง

เห็นแค่เพียงเหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า ยานอวกาศที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟกำลังร่วงตกลงมา

กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากที่ยานอวกาศลำแล้วลำเล่าพากันร่วงหล่นลงมาอย่างเงียบๆ

เขาหลับตาลง และย้อนนึกไปถึงข้อมูลที่เขาได้อ่านจากป้ายแจ้งเวลา

… ไม่น่าจะผิดพลาดแล้ว

แล้วทำไมพวกมันทั้งหมดถึงได้ถูกทำลายลงล่ะ?

กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป เพื่อต้องการสำรวจท้องฟ้าเบื้องบน

เขาพบว่ามียานอวกาศนับไม่ถ้วนกำลังลุกไหม้ ร่วงตกลงมา ฉากนี้ราวกับว่าวันสิ้นโลกมาได้ถึง

ทันใดนั้นเอง เรืออวกาศที่กู่ฉิงซานนั่งอยู่ก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง คลื่นความผันผวนของมนตราบนอากาศเกิดความผิดปกติขึ้น

แบบนี้ไม่ดีแล้ว…

หัวใจของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง

เขาเร่งหยิบถุงกระเป๋าดำใบเล็กจากบนโต๊ะขึ้นมา ง้างดาบยาวในมือ และจ้วง! แทงออกไปทิศทางนอกเรืออวกาศ

เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!

โครม!

ไม่ว่าผนังเรือจะทนทานสักเพียงไหน มันก็ไม่สามารถขวางการโจมตีแบบเต็มกำลังของเขาได้ รังสีดาบระเบิดสะท้านสะเทือนโดยตรง บังเกิดรูขนาดใหญ่ขึ้น สายลมหนาวจากด้านนอกหลั่งไหลเข้ามา

ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหวเป็นเงา พรวดออกจากรูที่เปิดออกทันทีและ-

ตู้ม!

แทบจะในทันทีที่เขากระโจนตัวออก เรืออวกาศก็พลันเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ มันลุกไหม้และร่วงตกลงไม่ต่างไปจากยานอวกาศลำอื่นๆ

กู่ฉิงซานลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ แหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า

เห็นแค่เพียงอักษรรูนสีทองค่อยๆ ทยอยกันปรากฏขึ้น

อักษรรูนเหล่านี้บดบังไปทั่วผืนฟ้า

กู่ฉิงซานหยุดนิ่ง กวาดสายตาสำรวจโดยรอบ และพบว่ามีคนตัวตนทรงพลังมากมาย กำลังพยายามดิ้นรนหลบหนีจากลูกไฟที่ตกลงมา

แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่าทำไมเรื่องแบบนี้มันถึงได้เกิดขึ้น

สีหน้าของทุกคนฟุ้งไปด้วยความตื่นตระหนกและสับสน

เงยหน้ามองขึ้นไป คุณยังคงสามารถมองเห็นยานอวกาศจากภายนอกที่กำลังแล่นเข้าสู่โลกทะเลทราย

ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่ายานอวกาศใดก็ตามที่คิดหมายจะออกจากโลกใบนี้ หลังจากที่ได้สัมผัสต้องกับอักษรรูนโบราณแล้ว พวกมันล้วนลุกไหม้และล่มสลายลงทันที

เห็นได้ชัดว่าแม้จะยินยอมให้เข้ามา แต่ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไป

กู่ฉิงซานเฝ้ามองรูนสีทองที่กำลังกะพริบไหว ปากเอ่ยพึมพำ “นี่มันบทบัญญัติที่ถูกขีดเขียนโดยทวยเทพ … ”

ในโลกสมบัติของทริสเต้ ณ ยอดภูเขาสูงสุดของทวยเทพ กู่ฉิงซานเองก็เคยได้พบเจอกับอักษรรูนโบราณที่คล้ายคลึงกันนี้มาก่อน

แต่เขาไม่คาดคิดเลย ว่าพอได้เข้ามายังดินแดนชิงอำนาจ เขาจะได้พบกับอำนาจเทวะเช่นนี้อีกครั้ง

พอลองย้อนนึกไปถึงครอบครัวของราชินีแมงที่ถูกพรากตัวไปก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นเพราะกลบางอย่างของเทพวิญญาณ

ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ในหัวใจของกู่ฉิงซานค่อยๆ หนักขึ้น คล้ายกับกำลังถูกแช่แข็ง

เทพวิญญาณต้องการจะทำอะไรกันแน่?

ใช่ว่าเป็นเพราะพวกเขาคาดการณ์มานานแล้วหรือไม่ ว่าในวันหนึ่ง นางฟ้าตัดสินบาปซีจะต้องหลุดรอดออกมา ดังนั้นพวกตนจึงได้วางกับดักชั่วร้ายนี่เอาไว้ มิอนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใดหลบเร้นออกไป

ขณะเดียวกันนั้นเอง พลันบังเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นจากทั้งสวรรค์และโลก

“ทำการอัญเชิญแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาล”

หลังจากที่เสียงนี้ตกลง อักษรรูนสีทองบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ

นั่นเพราะรูนได้ใช้พลังงานทั้งหมดของมันไปกับการอัญเชิญแล้ว ดังนั้นมันจึงย่อมจะหายไป

เห็นแค่เพียงชั้นแสงสีแดงที่กวาดปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า ก่อร่างเป็นกำแพงอุปสรรคใหม่ขึ้น

ทว่าอุปสรรคใหม่นี้กลับสร้างขึ้นมาจากเนื้อหนัง ขยิกขยุกไปมา คล้ายกำลังคืบคลานอยู่ตลอดเวลา

หลายคนพยายามบินทะลวงฝ่ากำแพงเนื้อสีแดงไป แต่ทั้งหมดกลับถูกโจมตีสวนมาโดยพลังที่มองไม่เห็น

กู่ฉิงซานเห็นกับตา ว่าชายคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายเกือบจะเทียบเคียงได้กับจ้าววงการ ได้ถูกบดขยี้จนเป็นเนื้อเหลวด้วยพลังที่มองไม่เห็น ยามเมื่อคิดจะเผชิญหน้ากับอุปสรรคกำแพงเนื้อ

ชายแข็งแกร่งตายลง ทั้งๆ ที่ยังอยู่ห่างจากกำแพงเนื้อตั้งหลายเมตร!

หนวดเรียวยาวพลันยืดออกมาจากกำแพงเนื้อ และเริ่มดูดเลือดและเนื้อหนังของชายแข็งแกร่งผู้นั้น

เห็นได้ชัดว่านับตั้งแต่นี้ต่อไป กำแพงอุปสรรคเนื้อจะปิดกั้นทุกคนไม่ให้ออกไป

กู่ฉิงซานกัดฟัน สมองเร่งเร้าคิดหาวิธีที่จะฝ่าฟันอุปสรรคนี้

แต่ในตอนนั้นเอง เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังออกมาจากแขนเสื้อเขา

“โถ่ เสียงดังจังเลย”

กู่ฉิงซานหยิบไพ่ออกมาทันที

ในไพ่หยก ซีน้อยอยู่ในสภาพลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ปากอ้าหาว “เกิดอะไรขึ้น เล่นเอาฉันหลับไม่ลงเลย”

“เธอก็ลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสิ” กู่ฉิงซานกล่าว

ซีน้อยเงยหน้าขึ้น พริบตานั้นทั้งคนทั้งร่างหายง่วงทันที

“อ๊า! นั่นมันแมลงปีศาจที่สามารถกลืนกินโลกได้นี่นา แบบนี้โลกทะเลทรายคงไม่แคล้วถูกกลืนกินเข้าไปในท้องของมัน!” ซีน้อยอุทาน

“พอจะมีวิธีหาทางออกไปได้ไหม?” กู่ฉิงซานถาม

“ปีศาจแมลงตนนี้ดำรงอยู่มาก่อนที่เทพวิญญาณจะเกิดขึ้น มันแข็งแกร่งมาก และด้วยพลังของฉันในตอนนี้ ยังไม่แกร่งพอที่จะรับมือกับมันได้”

ทั้งสองมองหน้ากันและกัน ห้วงอารมณ์กลายเป็นหนักอึ้ง

อีกด้านหนึ่ง

ในอีกทิศทางของโลก ยานอวกาศลำหนึ่งพึ่งจะเข้าสู่โลกทะเลทรายเมื่อไม่นานมานี้

บนยานอวกาศ

ตาสวรรค์เบิกตาโพลง เปล่งเสียงรายงานอย่างรวดเร็ว “บอส! ฉันพบกับคนที่อยู่ในใบประกาศจับแล้ว!”

……………………

ภายในตลาดมืด

ฉานนู่เปลี่ยนเป็นดาวยาว ผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหลังกู่ฉิงซาน

ส่วนกู่ฉิงซาน เขายังคงเลือกที่จะเปลี่ยนร่างเป็นวังเฉิง เร่งก้าวไปตามท้องถนน

ไม่ว่าจะเป็น ร้านขายอาวุธ ตึกประเมินค่าสมบัติ ห้องประมูล บาร์ ห้องอาหาร สนามกีฬา ร้านขายเสื้อเกราะ ศูนย์ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี ตลาดทาส โต๊ะรับสมัครงาน สำนักงานอสังหาโลกทะเลทราย ลานประกาศกิจกรรม ศูนย์รักษาความปลอดภัยตลาดมืด สมาคมนักล่าเงินรางวัล กิลด์โจร ร้านขายสกิล หรือทุกประเภทขององค์กรและกลุ่มแรงงาน กู่ฉิงซานล้วนละซึ่งความสนใจจากมัน

ตามแผนเดิม อันที่จริงแล้วมีสถานที่หลายแห่งเหมือนกันที่กู่ฉิงซานจะต้องเข้าไป

อย่างเช่น ตึกประเมินค่าสมบัติ เขาต้องการที่จะระบุความสามารถและหน้าที่ของกิ่งไม้สีดำ ว่ามันปลอดภัยหรือเปล่า ควรที่จะพกติดตัวไว้หรือไม่?

ส่วนร้านขายอาวุธ บาร์ ร้านขายสกิล ฯลฯ อีกมากมายล้วนควรค่าแก่การเข้าเยี่ยมชม

กู่ฉิงซานเดิมกระทั่งตั้งใจว่าจะไปกิลด์โจรดู ว่าพอจะสามารถหาหนทางเปิดกระเป๋าของชายชุดคลุมดำได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานต้องตัดใจทิ้งทุกอย่าง และขออย่างเดียวคือ สามารถหลบหนีไปจากโลกใบนี้ให้เร็วขึ้นแม้เพียงน้อย

เพราะเงามืดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนได้เข้าปกคลุมหัวใจของเขาโดยสมบูรณ์

กู่ฉิงซานเร่งฝีเท้า ปากอ้าหอบหายใจถี่เล็กน้อย

อาการหอบนี้มิได้เกิดจากความเหนื่อยล้า แต่เป็นเพราะร่างกายของเขาเกิดความตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาหันไปมองรอบๆ อย่างรวดเร็ว

เห็นแค่เพียงในตลาดมืด ยามลาดตระเวนไปมา ผู้คนจากแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์เดินบนท้องถนนอย่างเป็นระเบียบ สภาพแวดล้อมโดยรอบช่างสุขสงบ

มีเพียงกู่ฉิงซานที่จมดิ่งอยู่ในห้วงวิตกกังวลบางอย่าง

ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เขาค้นพบว่าตนเองได้เข้าสู่สภาวะต่อสู้ เตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ถึงตายตลอดเวลา!

“นี่คงจะไม่พ้น หายนะโทษทัณฑ์…”

เขางึมงำเบาๆ

ใช่ โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ หายนะโทษทัณฑ์ครั้งสุดท้ายที่ร้ายแรงที่สุดกำลังใกล้เข้ามาอย่างเงียบๆ

มันเป็นความรู้สึกที่ครุมเครือ ไม่ชัดเจน ราวกับว่าทางแยกแห่งความเป็นตายกำลังเฝ้ารอเขาอยู่ในระหว่างทางที่กำลังจะมุ่งไป

ให้ตายเถอะ!

ไอ้ความรู้สึกบ้านี่ ทำไมมันถึงได้แย่แบบนี้นะ!

กู่ฉิงซานพาลคิดถึงทัณฑ์สายฟ้า เพราะเมื่อเทียบเปรียบกับความรู้สึกของหายนะโทษทัณฑ์ที่ต้องเผชิญแล้ว สำหรับเขา การข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าแล้วยกระดับไปเลย มันดีกว่าเยอะ

เขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะข่มใจตัวเองให้เย็น และมุ่งหน้าต่อไป

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มาจุดจุดสิ้นสุดของเส้นถนน

ศูนย์การบิน

สถานที่แห่งนี้คือสุดขอบของตลาดมืด เป็นท่าเรือที่มียานพาหนะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา

หากต้องการออกไปจากโลกใบนี้ เขาจะต้องมาที่นี่!

กู่ฉิงซานรีบก้าวเข้าไปในศูนย์การบินอย่างรวดเร็ว

“สวัสดี กระผมพอจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง?”

พนักงานคนหนึ่งหันมาเห็นกู่ฉิงซาน เจ้าตัวจึงก้าวเข้าหาเขาอย่างช้าๆ

“ฉันต้องการซื้อที่นั่งยานอวกาศ ที่กำลังจะออกไปจากที่นี่” กู่ฉิงซานกล่าว

“จุดหมายปลายทางของคุณอยู่ที่ไหน?” พนักงานถาม

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านป้ายแจ้งเตือนเวลา

“จักรวรรดิเก้าดารา” เขาตอบ

ที่กู่ฉิงซานเลือกเรือลำนี้ เพราะยานอวกาศลำอื่นๆ ก่อนหน้าล้วนขึ้นเป็นสีแดง ซึ่งสีแดงหมายถึงเต็ม

ขณะที่หากดูตามป้ายแจ้งเวลา ยานอวกาศที่มุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิ 9 ดารา กำลังจะออกเดินทางในอีกสิบนาทีเท่านั้น

แม้ว่านี่จะเป็นยานอวกาศขนาดเล็ก แต่ก็ยังมีที่นั่ง และเวลาออกเดินทางก็กระชั้นชิดที่สุดตามความต้องการของเขา

นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

เพราะกู่ฉิงซานไม่ปรารถนาจะอยู่ในโลกทะเลทรายให้นานกว่านี้อีกแม้สักวินาทีเดียว

พนักงานกล่าว “ขอกระผมดูตารางที่นั่งสำหรับเที่ยวบินนี้ก่อน…อา ยังพอเหลืออีกสี่ที่นั่งพอดี คุณต้องการจะจองมันเลยหรือไม่?”

“จัดไปเลย”

“คุณจะชำระเงินแบบไหน? ขอบอกก่อนนะ แม้ว่ามันจะเป็นยานอวกาศขนาดเล็ก แต่พวกเราก็ไม่รับเหรียญที่ต่ำกว่าเลขแปด”

“ฉันใช้เหรียญเลขสิบ”

เบื้องหน้าของตัวเหรียญ ถูกสลักไปด้วยมอนสเตอร์ที่เต็มไปด้วยหนามแหลม ตามแขนขายาวเหยียด อัดแน่นไปคมมีดผุดขึ้นมาคล้ายกับฟันเลื่อย ตรงด้านล่างเขียนว่า “ผู้หลบซ่อนในมิติ ชอบกัดกินสิ่งมีชีวิตเป็นมื้ออาหาร ตามร่างกายเต็มไปด้วยหนามแหลมคม และมีพิษรุนแรง”

ด้านหลังของเหรียญ สลักไปด้วยตัวเลขสิบ

นี่คือเหรียญเลขสิบ มันเป็นรางวัลจากข้อมูลที่กู่ฉิงซานมอบให้แก่หัวหน้ารักษาการณ์

เมื่อพนักงานเห็นเหรียญเลขสิบท่าทีและทัศนคติของเขาก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นทันที

เขากล่าว “สำหรับเหรียญเลขสิบ จ่ายแค่ยี่สิบเจ็ดเหรียญก็พอแล้ว”

กู่ฉิงซานหยิบมายี่สิบเจ็ดเหรียญ และมอบให้อีกฝ่าย

พนักงานเร่งจัดการทุกอย่างให้กู่ฉิงซานทันที

“ลูกค้าที่เคารพ โปรดเชิญทางนี้ กระผมจะพาท่านไปขึ้นเรือ” เขากล่าวด้วยความนอบน้อม

“โอเค ขอบคุณมาก” กู่ฉิงซานรับคำ

ทว่าทั้งสองพึ่งเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงของผู้หญิงก็ดังตามมาจากเบื้องหลัง

“รอก่อน ยังพอมีที่ว่างอีกสักสามที่ไหม? พวกเราเองก็ต้องการจะขึ้นยานด้วยเหมือนกัน”

ทั้งสองหันกลับไปมอง

เห็นแค่เพียงหญิงที่ดูทรงเสน่ห์กำลังปราดเข้ามา เบื้องหลังเธอเป็นชายผิวดำเมี่ยม กำลังอุ้มเด็กชายอายุราวๆ หกถึงเจ็ดปีอยู่

กู่ฉิงซานตกใจ

เพราะผู้หญิงคนนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี และก่อนหน้าที่ก็เคยปะทะกันมาแล้ว

ราชินีปีศาจแมงป่อง!

เวลานี้เธอเลือกที่จะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์อย่างกะทันหัน!

“เป็นท่าน?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

“ใช่ เป็นข้าเอง ขอข้าจองที่นั่งก่อน แล้วเจ้าก็ใช้คำเรียกข้าตามปกติเถอะ ไม่ต้องให้เกียรติอะไร…เอาไว้พวกเราค่อยมาคุยกันในภายหลัง” ราชินีแมงป่องส่ายมือให้เขา

พนักงานเอ่ยปาก “คุณผู้หญิงยังเหลืออีกสามที่นั่งคุณ”

“ฉันเหมาที่เหลือทั้งหมด” ราชินีแมงป่องกล่าว

“โอ้ ไม่มีปัญหา กระผมจะดำเนินการให้ทันที”

เขาเริ่มพรมมือลงในอากาศที่ว่างเปล่า อีกครั้ง และอีกครั้ง เหมือนว่าจะกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่

เบื้องหลังเธอ ชายผิวดำขลับโบกมือให้กู่ฉิงซาน แสดงรอยยิ้มออกมา

กู่ฉิงซานงงกับท่าทีของอีกฝ่าย แต่เขาก็ฝืนยิ้มตอบกลับไป

ชายผิวดำขลับคล้ายขบคิดอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจยกนิ้วขึ้น

และบนนิ้วมือของเขา พลันสาดแสงสีเขียวพลุ่งพล่าน ไร้ที่สิ้นสุดออกมา

กู่ฉิงซานเร่งจับกลิ่นอายของแสงสีเขียวนั่นทันที

และค้นพบว่ามันคือกลิ่นอายเดียวกันกับต้นไม้ใหญ่ที่เขาพบเจอในทะเลทราย

กู่ฉิงซานมองดูเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนชายดำขลับ

เด็กน้อยกำลังจ้องมองเขาเช่นกัน พลางปาดน้ำลายที่ไหลลงมาไม่หยุด

แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด กู่ฉิงซานเค้นรอยยิ้ม เข้าใจทุกอย่างโดยสมบูรณ์

ปรากฏว่าเด็กคนนี้คือแมงป่องตัวน้อยนั่นเอง ส่วนชายผิวดำขลับตัวใหญ่ สมควรที่จะเป็นสามีของราชินีปีศาจแมงป่อง

ถ้าอย่างนั้น เขาก็ไม่ใช่ต้นไม้ ตัวตนของเขาเผยชัดเจนแล้ว

“มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ผมไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับคุณที่นี่” กู่ฉิงซานกล่าว

“พวกเราเองก็เหมือนกัน ข้าก็ไม่คิดเลยว่าฝีมือการต่อสู้ของเจ้าจะยอดเยี่ยมถึงขนาดนั้น และสัญชาตญาณเองก็ทรงพลังไม่แพ้กัน” ชายดำขลับกล่าว

สัญชาตญาณ?

เขากำลังต้องการจะสื่ออะไร?

ขณะกำลังขบคิด พนักงานก็ได้ดำเนินการลงทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว

ราชินีแมงป่องขมวดคิ้ว หยิบไม่กี่เหรียญออกมาจ่ายอย่างไม่เต็มใจ

“ท่านทั้งสี่ โปรดตามกระผมมา” พนักงานยิ้ม

หลายคนหยุดพูดคุย และตามพนักงานเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของท่าเรือบิน และมาถึงยานอวกาศขนาดเล็ก

แม้จะบอกว่าเป็นยานอวกาศ แต่จริงๆ แล้วมันดูคล้ายคลึงกับเรือใบของสมาคมหอสูงซะมากกว่า

“นี่คือเรือใบด้านมนตรา มันสมควรที่จะมีเสถียรภาพมากกว่ายานด้านเทคโนโลยี” ราชินีแมงป่องกล่าวด้วยความพึงพอใจ

ทั้งสี่คนเดินขึ้นยานอวกาศ…ไม่สิ ในเมื่อมันเป็นเรือ ก็สมควรเรียกว่าเรืออวกาศถึงจะถูกต้อง

ภายในเรือ ถูกตกแต่งเป็นโซนแยกแต่ละห้องสำหรับสี่คน

พนักงานเดินนำพวกเขาตรงไปยังประตูบานสุดท้าย และค่อยๆ เปิดมัน

ภายในว่างเปล่า แต่มีโต๊ะใหญ่ และเก้าอี้อีกสี่ตัว

บนโต๊ะ ถูกจัดวางไปด้วยเมลอนและผลไม้ต่างๆ พร้อมกับชาร้อนสี่ถ้วย

ด้านหนึ่งของห้อง เป็นกระจกขนาดใหญ่ที่ลากยาวจากมุมสูงบนเพดาน จรดลงมาติดกับพื้น ช่วยให้ผู้เดินทางสามารถรับชมฉากภายนอกได้อย่างเต็มตา

พนักงานแนะนำคนทั้งสี่ด้วยรอยยิ้ม “เรือกำลังจะแล่นออกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า กระผมขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินไปกับการเดินทาง”

เขากำลังจะโค้งกายคำนับ แต่ทันใดนั้นก็ชะงักไปทันที

ราชินีแมงป่อง สามี ลูกเธอ และกู่ฉิงซานเอง ลมหายใจของคนทั้งหมดพลันขาดห้วง

ครืนนนนน!

ภายใต้ผืนโลกกว้างไกล บังเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่

แม้ว่าตลาดมืดจะอยู่บนท้องฟ้าสูง แต่การสั่นสะเทือนเล็กน้อยในอากาศ ก็ทำให้ผู้คนพออนุมานได้ถึงอัตราของแรงกระแทกนี้

สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนกลับกลาย

กู่ฉิงซานปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของเขา เนื่องจากตนล่วงรู้ถึงที่มาของมันเป็นอย่างดี

ราชินีแมงป่อง และสามีของเธอ สบสายตากันและกันด้วยความกังวล

แต่แล้วจู่ๆ เด็กชายตัวเล็กก็ดึงแขนชายดำขลับ ตะโกนด้วยสีหน้าหวาดหวั่น “เจ้าสิ่งนั้นกำลังจะมาแล้ว คุณพ่อ เจ้าสิ่งนั้นกำลังจะออกมา!”

………………………

ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก

ยานอวกาศขนาดกลางลำหนึ่ง กำลังมุ่งหน้าสู่โลกทะเลทรายอย่างเต็มกำลัง

ชายคนหนึ่งรายงาน “บอส ถ้ายานเราบินด้วยความเร็วสูงสุดแบบนี้ต่อไป เครื่องยนต์อาจจะแบกรับภาระต่อไปไม่ไหว”

ยักษ์เทาที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ มองเข้าไปในกระแสมิติ

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องยานหรอกน่า” ยักษ์เทาชี้ไปข้างหน้า หัวเราะร่า “ดูนั่นสิ เห็นไหมว่าพวกเรากำลังเข้าใกล้โลกทะเลทรายแล้ว! อีกไม่นานรางวัลจากวิหารแห่งความตายก็จะตกเป็นของพวกเรา!”

พริบตานั้นทั้งกลุ่มนักล่าเงินรางวัลพลันระเบิดเสียงโห่ร้องออกมา

“ตาสวรรค์ล่ะ ไปอยู่ที่ไหน?” ยักษ์เทาเหลียวไปถามข้างหลัง

“ฉันอยู่นี่ บอส”

ชายที่มีดวงตาสี่ดวงบนหน้าผาก ก้าวออกมา ตอบกลับไป

ยักษ์เทา “นายได้เห็นใบหน้าของทั้งสองในใบประกาศจับชัดเจนหรือเปล่า?”

“ฉันเห็นชัดเจน” ตาสวรรค์กล่าว

ยักษ์เทา “แล้วมันจะมีปัญหาอะไรไหม?”

ตาสวรรค์ตบหน้าอกตนและกล่าว “วางใจเถอะบอส ไม่ว่าพวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นที่ไหนบนโลกทะเลทราย ฉันก็จะสามารถเห็นพวกเขาได้ทันที”

ยักษ์เทา “งั้นก็ดี ตอนนี้นายก็เริ่มต้นค้นหาพวกเขาได้เลย ถ้าเจอแล้วให้รีบมารายงานฉันทันที”

“รับทราบบอส” ตาสวรรค์รับคำ

เขานั่งลงบนดาดฟ้าเรือ ดวงตาทุกข้างค่อยๆ ปิดลง จมหายไปในห้วงสมาธิ

ชายที่ดูดุร้ายหลายคนเดินเข้าหายักษ์เทา กระแทกหัวเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าว “บอส ได้โปรดให้ทีมของพวกเรา รับภารกิจสังหารในครั้งนี้ด้วยเถอะ”

พอได้ยินแบบนั้น ทีมอื่นๆ พลันหยุดมือจากสิ่งที่ทำทันที

พวกเขาผุดลุกขึ้น และมาหยุดอยู่ต่อหน้ายักษ์เทาทีละทีม ทีละทีม

ยักษ์เทาโบกมือ “ไม่ต้องแย่งกัน เพราะฉันจะไม่เลือกทีมไหนทั้งนั้น”

แต่ละคนหันมามองหน้ากันและกัน ไม่ทราบว่าเบอสของพวกเขาหมายความว่ายังไง

ยักษ์เทา “พวกแกคิดว่านี่มันเป็นภารกิจทั่วๆ ไปหรือไง? ไม่…ไม่ใช่เลย นี่คือโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงอนาคตของพวกเราทุกคน!”

เขาเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ปากอ้าตะโกน “เมื่อตาสวรรค์สามารถค้นพบเป้าหมาย ทุกคนในกลุ่มนักล่าเงินรางวัลของพวกเราจะร่วมมือกัน ทุ่มรุมโจมตีมันทันที!”

ภายในเมืองเล็กๆ

ยังคงเป็นในส่วนของศูนย์แรงงาน

แต่คราวนี้ มีเฉพาะแค่ ‘วังเฉิง’ เท่านั้นที่กำลังปฏิบัติภารกิจใหญ่

ในบ้านหลังเล็กๆ ตรงส่วนลึกสุดของศูนย์แรงงาน เขากำลังบอกข้อมูลที่รู้ออกไป

“มันเป็นเรื่องบังเอิญ ฉันดันไปอยู่ที่นั่นพอดี ในเวลานั้นฉันพบกับวัยรุ่นหนึ่งชายหนึ่งหญิงตามใบประกาศจับ” เขากล่าว

ตรงกันข้ามกับเขา หัวหน้าทหารรักษาการณ์และรองหัวหน้ากำลังรับฟังด้วยสีหน้าจริงจังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

วังเฉิงกล่าวต่อ “อาจจะเป็นเพราะฉันกำลังล่าสัตว์ และซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลทราย แถมยังปกปิดกลิ่นอาย ดังนั้นทั้งสองคนเลยไม่ทันสังเกตเห็นฉัน ก่อนจะบินผ่านฉันไป”

“แล้วพวกเขาไปทางทิศไหน? คุณพอจะจำพิกัดที่ราบได้หรือเปล่า?” หัวหน้ารักษาการณ์ถาม

“แน่นอน ขอแผนที่ให้ฉันด้วย” วังเฉิงกล่าว

ไม่นาน แผนที่ก็ถูกกางออกเบื้องหน้าทั้งสาม

วังเฉิงมอง และทำเครื่องหมายที่ไหนสักแห่งบนแผนที่

“พวกเขามุ่งหน้ามายังตำแหน่งนี้ บินข้ามฉันไป หยุดทำอะไรบางอย่าง สักพักพวกเขาก็หายตัวไป และจู่ๆ ฉันก็รู้สึกได้ถึงคลื่นความผันผวนแปลกๆ เลยลองใกล้เข้าไปในจุดที่ทั้งสองเคยยืน และดันไปพบกับอะไรบางที่พวกด้านผู้ฝึกยุทธ์มักจะใช้ป้องกัน มันเรียกว่า…”

วังเฉิงพยายามขบคิดอย่างหนัก

“ค่ายกลป้องกันพลังวิญญาณ” หัวหน้ารักษาการณ์อดไม่ได้ต้องช่วยเขาพูด

วังเฉิงปรบมือและกล่าว “ใช่! นั่นแหละ ค่ายกลป้องกันพลังวิญญาณ! ฉันรู้สึกถึงความผันผวนของมัน”

“งั้นหมายความว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากคุณใช่ไหม?”

“ใช่ ฉันรู้สึกได้ว่าความผันผวนนั่นมันเสถียรและแข็งแกร่งมาก เลยคิดว่าพวกเขาน่าจะอยู่ไม่ไกลจากฉัน” วังเฉิงกล่าว

“งั้นก็ดี พวกเราขอยืนยันข้อมูลของคุณก่อน” หัวหน้ารักษาการณ์กล่าว

เขาหันไปมองรองหัวหน้า

รองหัวหน้า “หนึ่งในหน่วยลาดตระเวนที่เร็วที่สุดของพวกเรากำลังตรงไปยังจุดนั้น พวกเราจะได้รับข้อมูลทันที”

ขณะกล่าว เขาก็กดเครื่องมือขนาดเล็กที่แนบกับเอว และพูดอะไรบางอย่างลงไป

“รายงาน! พบว่ามีค่ายกลป้องกันหลายสิบชั้น และค่ายกลปกปิดของผู้ฝึกยุทธ์อยู่ที่นี่จริงๆ แต่ผมไม่สามารถถอดรหัสมันได้”

“รับทราบแล้ว รอการสนับสนุนอยู่ที่นั่นนะ”

“ครับผม!”

แล้วเสียงก็หายไป

หัวหน้ากับรองมองหน้ากับวูบหนึ่ง

หัวหน้ารักษาการหยิบหินทรงกลมที่เรืองแสงสีขาวออกมา

“เอาล่ะ ตอนนี้ขอให้คุณวางมือลงบนแท่นตรวจจับโกหก เพื่อพิสูจน์ว่าที่คุณได้เห็นทั้งสองคนนั้นเป็นเรื่องจริงด้วย” เขากล่าว

วังเฉิงยกมือขึ้น นาบมันลงโดยไม่ลังเลและกล่าว “ฉันขอสาบาน สองคนบนหมายจับได้เดินเข้าไปในค่ายกลเหล่านั้นแน่ๆ นี่ไม่มีทางผิดพลาด ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งที่ฉันบอกไปย่อมถูกต้องแน่นอน”

หินเรืองแสงสีขาวนิ่งงันไม่สั่นไหว

หัวหน้ารักษาการณ์ยิ้มและกล่าว “ดีมาก คุณทำได้ดีจริงๆ เอ้านี่ รางวัลของคุณ”

เขาพยักหน้ากับรอง

รองหัวหน้าหยิบถุงใบเล็กๆ และวางลงบนโต๊ะพร้อมบัตรกำนัล

วังเฉิงเมื่อได้รับสองสิ่ง ก็กล่าวด้วยความยินดี “ขอบคุณผู้ใหญ่ทั้งสอง!”

“เอาเถอะ คุณไปได้แล้ว”

“รับทราบ!”

วังเฉิงก้มตัวบอกลา และออกจากห้องไป

ประตูปิดลง

“นายคิดว่ายังไง?” หัวหน้ารักษาการณ์เอ่ยถาม

“ไม่มีความคิดเห็นเพิ่มเติม ในเมื่อข้อมูลที่เขาบอกต่อเราเป็นความจริง พวกเราก็สมควรจะไปจบภารกิจนี้ทันที แล้วรับรางวัลจากทางคริสตจักรแห่งความตาย” รองหัวหน้าถูฝ่ามือของเขา

หัวหน้ารักษาการณ์กล่าว “ดีล่ะ ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่เพื่อความปลอดภัย พวกเราต้องพาคนไปให้มากที่สุด! เพราะยังไงซะ รางวัลที่บอกว่าจะให้เข้าร่วมกับวิหารแห่งความตายน่ะมันไม่ได้ถูกจำกัดจำนวนเอาไว้!”

“รับคำสั่ง!”

วังเฉิงได้รับเงินรางวัลจากทหารรักษาการณ์มา ก็เดินออกจากศูนย์แรงงาน เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามมุมถนนกว่าแปดตรอกซอกซอยอย่างรวดเร็ว

วังเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉานนู่ ถึงตาเจ้าเปลี่ยนร่างแล้ว”

“ตอนนี้เลยใช่หรือไม่?”

“ไม่ ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“เข้าใจแล้วนายน้อย”

ขณะกล่าว วังเฉิงก็หายวับไปจากตรอกซอย

หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ

หลากหลายมืออาชีพพลันปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งเดิมของเขา

“ขาดการติดตามไปซะแล้ว” คนหนึ่งกล่าวด้วยความหดหู่

อีกหลายคนพยายามงัดออกด้วยสกิลค้นหา แต่พวกเขากลับไม่พบร่องรอยของวังเฉิงเลย

ตอนนี้ พวกเขาทราบแล้วว่าอีกฝ่ายย่อมตระหนักถึงตัวตนของพวกเขา จึงหลอกล่อมาในทิศทางนี้และหลบหนีไป

“ดูเหมือนว่ามันเองก็มีความสามารถอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน” อีกคนหนึ่งกล่าว

“นั่นสินะ ไม่อย่างงั้นมันคงไม่ได้รับรางวัลจากทหารรักษาการณ์หรอก”

คนเหล่านี้อิจฉาตาร้อนต่อรางวัลที่วังเฉิงได้รับ พวกเขานิ่งงันอยู่ที่เดิมสักพักหนึ่ง ทดลองพยายามค้นหาทุกวิถีทางอีกครั้ง

แต่ก็ยังคงไม่พบวี่แวววังเฉิง

สุดท้ายจึงจากกันไปอย่างโกรธแค้น

ในขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธ์หญิงในชุดคลุมฟ้าก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ใจกลางเมืองเล็กๆ

เธอแสดงหลักฐานการติดต่อกับหัวหน้ารักษาการณ์ให้คนเฝ้าทางเข้าได้ดู

“นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในตลาดมืดใช่ไหม?” คนเฝ้าทางถาม

“ใช่” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ตลาดมืดน่ะอยู่ในมิติ คุณสามารถเดินไปตลอดทาง สุดทางคือเทคนิคมนตรามิติ” คนเฝ้าทางมองมายังรูปลักษณ์อันงดงามของฉานนู่ กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“เข้าใจแล้ว ขอบพระคุณท่านมาก”

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงเดินเข้าไปตามทาง โดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

ไม่นานนัก แสงสว่างก็วาบขึ้นอย่างกะทันหัน

เธอได้เข้ามาในตลาดมืดแล้ว

ฉานนู่เดินเข้าสู่ตลาดมืด สักพักหยุดฝีเท้า หันไปมองรอบๆ

มันดูไม่ใช่แค่ตลาด แต่กล่าวได้ว่าเป็นท่าเรือลอยฟ้าขนาดใหญ่จึงจะเหมาะสมกว่า

ที่นี่เต็มไปด้วยยานวกาศนับไม่ถ้วน ที่ทั้งกำลังออกตัว และลงจอด ฝูงชนคึกคักจอแจ เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตรูปร่างแปลกตา ดูมีชีวิตชีวาจริงๆ

ทว่าในตลาดมืด เผ่าพันธุ์ไหนก็ล้วนต้องแปลงตนให้อยู่ในสภาพร่างมนุษย์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการสื่อสารกันและกัน และประหยัดพื้นที่

“นายน้อย สถานที่นี่ช่างคึกคัก ดูเจริญหูเจริญตาจริงๆ” ฉานนู่กล่าวด้วยอารมณ์

เขาเปลี่ยนเป็นไพ่ ซ่อนตัวอยู่กับฉานนู่ และเฝ้ามองสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระแวดระวัง

ฉานนูพอก็ได้ยินถึงความผิดปกติ เธอก็ลดเสียงลง “นายน้อย เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”

“ข้ารู้สึกได้ถึงลางร้ายที่นี่ พวกเราจะต้องรีบหนีจากโลกใบนี้ทันที” กู่ฉิงซานตอบด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง

………………………

ในโลกทะเลทราย

ท่ามกลางผืนทรายอันกว้างใหญ่

เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสง พายุทรายก็เริ่มก่อตัว สร้างความปั่นป่วนขึ้น

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในจุดเดิมอย่างเงียบๆ เฝ้าคิดหาวิธีการหลบหนี

เหลือเวลาอีกแค่วันเดียวเท่านั้น ซึ่งนี่กล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วน

แต่ในเวลานี้ ตัวเขาไม่สามารถใช้ชื่อของสมาคมกำปั้นเหล็กได้

เพราะอีกฝ่ายจะต้องพบร่องรอยของตัวเขาจากในที่สมัครภารกิจทีมชั่วคราวแล้ว แน่นอน คงเก็บรูปลักษณ์หน้าตาของเขาเอาไว้เช่นกัน

เขาได้สังหารชายชุดคลุมดำด้วยตนเอง

บางที ตอนนี้อีกฝ่ายอาจกำลังส่งคนมาจับตัวเขากับซีน้อยแล้วก็ได้

เนื่องจากตลาดมืดอยู่ภายใต้การควบคุมของคริสตจักรแห่งความตาย เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นที่นั่น มันก็เท่ากับการโยนตัวเองลงไปในกับดัก

แต่ถ้าไม่เข้าไปในตลาดมืด เขาก็จะไม่สามารถใช้ยานพาหนะออกจากโลกทะเลทรายได้

นี่มันน่าปวดหัวจริงๆ

กู่ฉิงซานเดิมวนกลับไปกลับมาเป็นเวลานาน ย้อนนึกเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่มันเกิดขึ้น

‘ซีน้อยเปลี่ยนเป็นไพ่ และปล่อยให้เขาทำหน้าที่พาเธอไป…’

จริงสิ! ในเมื่อตัวกู่ฉิงซานเองก็เป็นราชทูตตัดสินบาป ถ้างั้นเขาก็น่าจะเปลี่ยนตัวเองเป็นไพ่ได้เหมือนกันหรือเปล่า?

เมื่อคิดถึงจุดนี้ พลันบังเกิดรูนสีเทาลอยล่องขึ้นรอบตัวเขา

กรอบรูนสีเทาว่ายวนอยู่ในความว่างเปล่า เสมือนกำลังเฝ้ารอคำสั่งจากเขาอยู่

หัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดความกระจ่างชัด

ตนสามารถเปลี่ยนเป็นไพ่เมื่อใดก็ได้ตลอดเวลา

เขาสั่งการนึกคิดในจิตใจ

ปุ้ง!

ร่างของกู่ฉิงซานหายไปจากทะเลทราย และถูกแทนที่ด้วยไพ่สีเทา

ในไพ่สีเทา ปรากฏภาพของกู่ฉิงซานที่กำลังหันไปมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น

เขาค้นพบว่าตนเองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แสนจะคับแคบ รายล้อมไปด้วยหมอกหนาสีเทา ขยับเพียงนิดตัวก็จะชนกับกำแพงหนา

ในไพ่ของซีน้อยสามารถวางได้ทั้งห้องนอนและเตียงขนาดใหญ่ แต่ทำไมของเขาถึงได้แค่ยืนกันล่ะ?

กู่ฉิงซานคิด แล้วทันใดนั้นคำตอบก็ถูกส่งผ่านจากหมอกเทามาในหัวใจของเขา

คุณต้องยกระดับไพ่ของคุณ เพื่อที่จะขยายพื้นที่ใช้สอยของมัน

…ที่แท้ก็เป็นแบบนี้

กู่ฉิงซานกระจ่างชัด เขาวางมือลงบนขอบไพ่สีเทา และมองลอดออกไป

เขาค้นพบว่าตนเองสามารถมองดูวิวทะเลทรายจากไพ่ได้

มันช่างน่าทึ่งจริงๆ

เมื่อสั่งการนึกคิดในจิตใจอีกครั้ง ร่างของเขาก็วูบไหวทันที รูนสีเทารอบตัวหายไปโดยสิ้นเชิง ตัวเขาพุ่งออกมาจากไพ่ กลายเป็นร่างมนุษย์ปรากฏตัวขึ้นกลางทะเลทราย

กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดนึกแผนการออก

“ฉานนู่”

“นายน้อย ข้าอยู่นี่”

ฉานนู่โผล่ออกมาจากในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา

“ข้ามีแผนเล็กๆน้อยๆ” กู่ฉิงซานกล่าว

“นายน้อยโปรดบัญชา”

“ก่อนอื่น เจ้าจงใช้ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตแปลงตนเป็นมนุษย์ซะ”

“เจ้าค่ะ”

ไม่นานนัก กระแสแสงก็ตัดผ่านขอบฟ้า ร่อนตกลงบนพื้นดินหน้าทางเข้าเมืองเล็กๆ

ร่างของหญิงในชุดคลุมฟ้าปรากฏขึ้น

เธอดูเหมือนเป็นผู้ฝึกยุทธ์หญิงที่มีภูมิหลังบริสุทธิ์ ไร้มลทิน กระทั่งหนังสือหน้าประตูเมืองเล็กๆ ก็ยังไม่อาจตรวจเจอปัญหาใดๆ จากเธอ

หลังจากผ่านด่านทดสอบแล้ว เธอก็เข้าเมืองได้สำเร็จ

เนื่องจากผู้ฝึกยุทธ์หญิงไม่มีเงินเลย ดังนั้นเธอจึงตรงไปยังศูนย์ส่งเสริมแรงงาน และเริ่มรับภารกิจชั่วคราวกับใครบางคน

นี่คือภารกิจทีมชั่วคราวที่ง่ายที่สุด เหมือนกับการสำรวจผิวดินที่กู่ฉิงซานเคยทำ

เป้าหมายของภารกิจคือ ไปยังเขตทะเลทรายที่กำหนด และรวบรวมเศษผิวดิน เศษหินบางอย่าง

โดยรางวัลจะมีมูลค่าเป็นสี่สิบเหรียญ

สี่สิบเหรียญหมายเลขหนึ่ง ซึ่งกำลังแสดงรูปลักษณ์ของมอนสเตอร์กินพืชที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางกระแสมิติ

มันคือเหรียญที่มีมูลค่าต่ำสุดในดินแดนชิงอำนาจ

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่สี่สิบเหรียญเลขหนึ่ง ทว่าก็เพียงพอต่อการซื้ออาหารกินในเมืองเล็กๆ

ยังไงก็ตาม สำหรับหน้าใหม่ นี่เป็นงานที่จะต้องทำให้เสร็จ

เมื่อเริ่มออกเดินทาง ผู้ฝึกยุทธ์หญิงก็เอ่ยปากว่าเวลาของเธอมีจำกัด และหวังว่าเพื่อนร่วมทีมทั้งสองจะจับมือของเธอ และมุ่งไปยังจุดหมายด้วยกัน

จากนั้น ร่างของเธอก็กะพริบไหวหลายครั้ง คล้ายกับการเคลื่อนย้ายระยะไกล นำพาสองเพื่อนร่วมทีมของเธอไปยังจุดหมาย

เพื่อนร่วมทีมทั้งสองแน่นอนว่าย่อมต้องตกใจกับสิ่งที่พบเจอ

“ถึงฉันจะไม่มีความสามารถอื่นก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องความสามารถในการย้ายมิติล่ะก็ จัดว่าเชี่ยวชาญไม่น้อยเลย” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองจึงค่อยหายสงสัย

เพราะหากเธอมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายแบบนี้ ผสานไปกับความสามารถในการต่อสู้ดียอดเยี่ยมแล้วล่ะก็ ผู้ฝึกยุทธ์หญิงตรงหน้าคงเข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาทำงานง่อยๆ อยู่นอกเมืองแบบนี้หรอก

ภารกิจชั่วคราวนั้นง่ายมาก เพียงแต่มันไม่สามารถทำด้วยตัวคนเดียวได้

เมื่อมีท่าย้ายมิติ ทั้งสามจึงสามารถบรรลุภารกิจได้อย่างรวดเร็ว

และก็ทำเช่นนี้ซ้ำๆ อีกหลายครั้ง ผู้ฝึกยุทธ์หญิงพุ่งข้ามผ่านทะเลทรายกับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคน

กระบวนการทั้งหมด ใช้เวลาทั้งสิ้นสิบนาที

ทั้งสามส่งภารกิจ และแยกย้ายกัน

เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากต้องการจะได้รับคุณสมบัติตั้งทีมถาวร พวกเขาจะต้องผ่านด่านทีมชั่วคราวซะก่อน

หน้าใหม่อีกสองคนรีบแยกไปหาทีมถาวรของตัวเอง

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงยังคงอยู่ในศูนย์แรงงานตลาดมืด รับรางวัลภารกิจที่แสนน้อยนิด และตรงไปหาผู้จัดการเรื่องทีม

“ข้าต้องการสมัครทีมถาวร” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงกล่าว

“ต้องใช้อย่างน้อยสามคนเพื่อสร้างทีม และยังต้องจ่ายเหรียญเลขหนึ่งอีกยี่สิบเหรียญ เพื่อให้สมาชิกในทีมของคุณทำการลงทะเบียน” ผู้จัดการทีมกล่าว

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงพยักหน้า โค้งกายคารวะและจากไป

เดินไปจนกระทั่งพบมุมอับในเมือง เธอจึงค่อยหยิบไพ่ออกมาจากแขนเสื้อเธอ

“นายน้อย เขาบอกว่าต้องการสมาชิกในการสร้างทีมสามคน” เธอเอ่ยด้วยท่าทีเศร้าๆ

กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่ในไพ่กล่าว “ข้าได้ยินแล้ว คราวนี้เดินไปด้วยกันเถอะ”

เขากระโจนออกจากไพ่ และเปิดใช้งานความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต

อย่างรวดเร็ว กู่ฉิงซานได้เปลี่ยนร่างกลายเป็นวังเฉิง

ฉานนู่มองเขาและกล่าว “แต่พวกเราก็ยังมีแค่สองคนอยู่ดี ยังต้องการอีกหนึ่ง”

“เรื่องนั้นไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

ทั้งสองเดินกลับไปยังศูนย์ส่งเสริมแรงงาน

“พวกเราต้องการจัดตั้งทีม” กู่ฉิงซานกล่าว

ผู้จัดการทีมเงยหน้า พอเห็นว่ามีแค่สองคน ก็เอ่ยทวนซ้ำด้วยความหงุดหงิด “จ่ายยี่สิบเหรียญเลขหนึ่งและต้องมีสมาชิก ‘อย่างน้อยสามคน’ ถึงจะจัดตั้งทีมได้”

กู่ฉิงซานส่งสัญญาณไปทางฉานนู่ ให้เธอนำเหรียญออกมา

เขายัดสี่สิบเหรียญทั้งหมดให้กับผู้จัดการและยิ้ม “เพื่อนของฉันอีกคนกำลังจะมาในเร็วๆ นี้ ได้โปรดช่วยลงทะเบียนให้พวกเราก่อนจะได้ไหม”

ผู้จัดการทีมรับเงินมา แต่ยังคงขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขาไม่พูดอะไรมากความอีก และเริ่มทำการลงทะเบียนให้กับพวกกู่ฉิงซาน

กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างรวดเร็ว และติดอยู่แค่ในขั้นตอนสุดท้าย

ขั้นตอนนี้กำหนดให้สมาชิกในทีมแต่ละคนต้องทิ้งเสียง และรูปลักษณ์ของตนเองเอาไว้

ฉานนู่เป็นคนแรก เธอกดมือลงบนหินรูปสี่เหลี่ยมและกล่าว “ฉานนู่ ผู้ฝึกยุทธ์ สมาชิกทีมร้อยบุปผา”

จากนั้นก็เป็นกู่ฉิงซาน

เขากดมือลงบนหิน เปล่งเสียง “วังเฉิง ผู้อัญเชิญปีศาจ สมาชิกทีมร้อยบุปผา”

ผู้จัดการทีมค่อยอารมณ์ดีขึ้น เขาเอ่ยถาม “แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?”

ฉานนู่หันไปมองกู่ฉิงซาน

“โปรดรอสักครู่ เดี๋ยวฉันจะไปตามตัวเขา” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แล้วเขาก็วิ่งออกจากประตูไป

ไม่นานนัก ชายอีกคนที่ดูสง่างามก็เดินเข้ามา

ชายคนนั้นตรงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว เอ่ยกับผู้จัดการทีม “ต้องขออภัยที่ข้ามาสาย”

ผู้จัดการทีมไม่คิดพูดอะไร เขายื่นคอส่งสัญญาณไปทางหินสี่เหลี่ยม

ชายคนนั้นเร่งกดมือลงบนหินและกล่าว “ฉีหยาน ผู้ฝึกยุทธ์ ผู้ใช้เทคนิคมนตรา สมาชิกทีมร้อยบุปผา”

ก้มลงมองเงินที่ได้รับเพิ่มมาอีกเท่าหนึ่ง เขาก็เอ่ยปาก

“จากนี้ไป ทีมของคุณนับว่าได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว และฉันขอแนะนำให้พวกคุณเริ่มต้นด้วยการหางานง่ายๆ เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกใบนี้ซะก่อน ถึงจะสามารถแสวงหาโชคลาภจากที่นี่ได้”

“ขอบพระคุณมาก”

ฉานนู่กับฉีหยานประสานสองกำปั้นให้แก่อีกฝ่าย

แล้วพวกเขาก็เดินออกมานอกศูนย์แรงงาน เริ่มมองหาภารกิจบนที่แปะบนผนัง

“นายน้อย ท่านดูนั่นสิ” ฉานนู่เตือนเขา

ทั้งสองหันไปมองยังทิศทางเดียวกัน

เห็นแค่เพียงบนผนังแปะภารกิจ มีรางวัลนำจับของกู่ฉิงซานแปะอยู่ด้านบนสุด

และไม่ใช่แค่เพียงเขา แต่ยังมีภาพของซีน้อยอีกด้วย

นี่อาจจะเป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้ที่นี่ ในช่วงที่ทั้งสองรับมอบภารกิจ

เบื้องล่างของทั้งสอง คือรางวัลอันแสนน่าอัศจรรย์ใจที่เสนอขึ้นมา

ฝูงชนต่างแออัด เบียดเสียดกันเพื่อตะกายเข้าไปดูรางวัลภารกิจ

“ภารกิจที่ทางวิหารแห่งความตายปล่อยออกมาด้วยตัวเอง น้อยครั้งจริงๆ ที่โลกทะเลทรายจะเจอกับเรื่องน่าตื่นเต้นแบบนี้”

บางคนเดาะลิ้นจนเกิดเสียงดัง

“ลืมมันเถอะ สำหรับพวกเราอย่าแม้จะคิดรับภารกิจนี้เลย ได้ยินว่ากระทั่งคนใหญ่คนโตในตลาดมืดก็ยังเสร็จมันเหมือนกัน” คนคนหนึ่งกล่าว

หลายคนพอได้ฟัง ก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบๆ

ยังไงก็ตาม แววตาของพวกเขาก็ยังคงตรึงอยู่บนรายละเอียดรางวัลมหาศาล ไม่ยินยอมที่จะผละจากไป

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ

แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ เขาถูกหมายหัวโดยวิหารแห่งความตาย และเกรงว่าตนคงจำเป็นต้องระมัดระวังตัวมากกว่านี้ หากคิดท่องไปในดินแดนชิงอำนาจ

“นายน้อย แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดี?” ฉานนู่ถาม

“แน่นอนว่าต้องรีบสะสมเงินและได้รับสิทธิ์ที่จะเข้าสู่ตลาดมืด พวกเราคงต้องเร่งมือกันหน่อยแล้ว”

กู่ฉิงซานเหลือบมองเงินรางวัล สลับกับมองภารกิจทั้งหมดที่แปะบนผนัง และทำการเลือกมาหนึ่งงานที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด

“พวกเราจะไปทำภารกิจนี้กัน” เขากล่าวกับฉานนู่

ฉานนู่มองไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายชี้

เห็นแค่เพียงหนึ่งในภารกิจ รายละเอียดว่า “ทางตลาดมืดได้ออกภารกิจสำคัญ นั่นคือการค้นหาข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับหมายจับของวิหารแห่งความตาย หากได้รับการยืนยันว่าข้อมูลที่คุณกล่าวมาเป็นความจริง จะได้รับรางวัลดังต่อไปนี้ทันที ”

“ได้รับคุณสมบัติในการเข้าสู่ตลาดมืด”

“ได้รับเหรียญเลขสิบ หนึ่งพันเหรียญ”

“ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสำคัญของข้อมูลที่ได้รับ หากเป็นประโยชน์มาก ทางทหารรักษาการจะเพิ่มเติมรางวัลให้”

“หมายเหตุ หากค้นพบว่ามีการฉ้อฉลหรือปลอมแปลงข้อมูล คนที่ให้ข้อมูลจะถูกประหารทันที!”

ฉานนู่อ่านคำอธิบายภารกิจ ชะงักงันไป

เธอเอ่ยผ่านความคิด “นายน้อย พวกเขาต้องการจับท่าน แต่ท่านแท้จริงกลับต้องการรายงานข้อมูลของตัวเองให้กับพวกเขา?”

กู่ฉิงซานพยักหน้า “อืม เพราะยังไงซะ พวกเราก็รู้อยู่แล้วว่าข้อมูลที่จะบอกไปมันเป็นความจริง แบบนี้เรียกว่าได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”

………………………

“หนึ่งวัน? นี่มันจะสั้นเกินไปแล้ว” กู่ฉิงซานอุทาน

เขามองวัยรุ่นสาว และเห็นแค่เพียงความสงบ ที่อีกฝ่ายเผยออกมา

เขาเอ่ยถามอย่างจริงจัง “แล้วแผนหลบหนีของพวกเราคืออะไร? ไหนลองบอกรายละเอียดมาสิ”

“แผนหรือ?” วัยรุ่นสาวชะงักและกล่าว “แผนของฉันหมดลงแล้ว”

“เธอหมายความว่าอะไร?” กู่ฉิงซานงง

“นายจำสิ่งที่ตัวเองพูดเอาไว้ไม่ได้หรือ?”

“ฉันพูดอะไรออกไป?”

วัยรุ่นสาวพูดด้วยท่าทีสบายๆ “พูดสิ ก็นายบอกเองว่าจากนี้ไปจะรับผิดชอบเรื่องเสื้อผ้า อาหาร แล้วก็ที่พักให้กับฉัน ฉะนั้น เรื่องการหลบหนีในคราวนี้ ขอมอบให้นายเป็นคนจัดการ”

กู่ฉิงซาน “…”

อืม แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดผิดนะ

เป็นเธอที่เสนอเงื่อนไขนี้มาเองเพื่อช่วยเหลือเขา นั่นหมายความว่านับจากนี้ไปกู่ฉิงซานจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตเธอ

แล้วตัวเขาก็ออกปากเห็นด้วยอย่างชัดเจน

เดี๋ยวก่อนสิ

แต่เธอยังไม่ได้ช่วยหยุนจีเลยนี่นา

กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ถึงแม้ว่าฉันจะกลายเป็นราชทูตตัดสินบาปแล้วก็เถอะ แล้วฉันจะสามารถช่วยเหลือเพื่อนของฉันได้ยังไง?”

วัยรุ่นสาว “นายก็ต้องรีบยกระดับให้มันเร็วขึ้น ส่วนฉันเองก็ต้องรีบฟื้นฟูความแข็งแกร่งเดิมของตัวเอง”

กู่ฉิงซาน “จากนั้นล่ะ?”

วัยรุ่นสาว “เมื่อพวกเราแข็งแกร่งมากพอที่จะไปตามหาไพ่ที่ชื่อ เอาเป็นว่ามันอยู่ในสำรับไพ่อื่นก็แล้วกัน มันคือไพ่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเจ็ดเทพปีศาจ เพื่อใช้ในการปกป้องความปลอดภัยของพวกเขา”

วัยรุ่นสาวกล่าวต่อ “ไพ่ใบที่ว่าสามารถรักษาได้แม้กระทั่งเทพวิญญาณ ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่มันจะสามารถช่วยเพื่อนของนายได้”

“งั้นไปหามันตอนนี้เลยไม่ได้หรือ?”

“ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนายกับฉัน ย่อมไม่สามารถออกตามหาไพ่ใบนั้นได้ และแม้จะหาพบ แต่ฉันก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเปิดใช้งานมัน ส่วนนายอาจถึงขั้นตายลงเลยก็ได้”

“เข้าใจแล้ว…ต้องแกร่งก่อนเป็นอันดับแรกสินะ ดูเหมือนว่านี่คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกเรื่องจริงๆ”

ในเวลานั้น วัยรุ่นสาวมองเขา เอ่ยกระซิบเบาๆ “ฉันยังไม่รู้ชื่อของนายเลย”

“ฉันชื่อกู่ฉิงซาน ชื่อเดียวกันกับตอนที่ลงทะเบียนภารกิจนั่นแหละ” เขาตอบกลับ

พอได้ยิน วัยรุ่นสาวก็ยิ้มและกล่าว “งั้นหรือ ส่วนฉันชื่อว่าซี และในเมื่อนายเป็นคู่หูเพียงคนเดียวของฉัน ดังนั้นนายสามารถเรียกฉันว่าซีน้อยก็ได้”

ซีน้อยยืดเอวบิดขี้เกียจ “ฉันทุ่มเททำงานหนักมาตลอดทั้งคืนเพื่อเปลี่ยนร่างนาย ตอนนี้ฉันขอพักก่อนล่ะ เรื่องหลบหนีก็ฝากนายด้วยนะ”

กู่ฉิงซานกวาดตามองผืนทรายโดยรอบ เบนกลับมามองซีน้อยอีกครั้ง อดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “เธอคิดจะนอนที่นี่จริงๆ น่ะหรือ?”

ซีน้อย “ไม่ใช่แบบนั้น แต่นายจะต้องเป็นคนพาฉันไป ระหว่างที่ฉันกำลังนอน”

ปุ้ง!

แล้วจู่ๆ เธอก็เปลี่ยนเป็นไพ่สีเขียว ลอยไปเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน และตกลงในมือของเขา

“เก็บฉันดีๆ แล้วพาออกไปจากที่นี่ เรียกฉันได้ถ้ามีเรื่องฉุกละหุกเกิดขึ้น”

ซีน้อยในไพ่ย้ำเขาอีกรอบ

กู่ฉิงซานถือไพ่ อ่านรายละเอียดคำอธิบายที่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

“ไพ่เขียว นางฟ้าตัดสินบาป ซี”

“ระดับ ไพ่หยกระดับห้าดาว”

“คู่หู ผู้ฝึกดาบกู่ฉิงซาน”

“สังกัดสำรับไพ่ สำรับไพ่ผู้หลบหนี”

“คำอธิบาย เนื่องจากการสูญเสียพลังส่วนใหญ่ไป ระดับของนางฟ้าตัดสินบาปซีจึงตกลงมาอยู่ในระดับหยก”

“ซีน้อย เธอไม่มีแผนหรือไอเดียดีๆ ที่จะใช้หลบหนีเลยหรือ?” กู่ฉิงซานทนไม่ไหวจำต้องถาม

ซีน้อยที่อยู่ในไพ่ ส่ายมือไปมาให้เขา กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันเคยสู้กับมันมาก่อนก็จริง แต่หลังจากที่ถูกผนึกมานานปี และได้สลายอำนาจส่วนใหญ่เพื่อใช้หลบหนี ตอนนี้ฉันเลยไม่มีพลัง แถมยังไม่คุ้นเคยกับโลกใบนี้อีก ดังนั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายแล้วนะ!”

กู่ฉิงซาน “…”

‘ลืมมันเถอะ’ เขาปลอบใจตัวเองอย่างเงียบๆ ยังไงซะอีกฝ่ายก็ทำสิ่งต่างๆ มากพอแล้ว แถมยังช่วยให้เขากลายเป็นราชทูตตัดสินบาปอีก ที่เหลือจากนั้นเขาคงต้องทำด้วยตัวเอง

ทันใดนั้น เขาก็พึ่งนึกได้ถึงบางสิ่ง เอ่ยถามออกไป “ในเมื่อโลกใบนี้กำลังจะถูกทำลายลงแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องนำผลึกน้ำของเพื่อนฉันหนีไปด้วย”

“โถ่ ก็แล้วทำไมนายไม่รีบพูด ฉันเกือบจะนอนแล้วนะ” ซีน้อยบ่นหงุดหงิด

เธอเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นคนอีกครั้ง ย่อตัวลงหน้าผลึกน้ำแข็ง ทาบมือลงไป

“ทำการเก็บกู้!” เธอตะโกน

ปุ้ง!

ทันใดนั้นผลึกน้ำแข็งก็แปรสภาพเป็นไพ่

ซีน้อยส่งไพ่ให้กู่ฉิงซาน บ่นอย่างไม่พอใจ “อา เหนื่อยมาก ฉันจะนอนแล้ว และในเร็วๆ นี้ นายห้ามปลุกฉันอีกเด็ดขาด!”

เธอเปลี่ยนกลับเป็นไพ่อีกครั้ง และบินไปในมือของกู่ฉิงซาน

บนหน้าไพ่ วัยรุ่นสาวบัดนี้มิได้สวมใส่ชุดขาวอีกต่อไป แต่เธออยู่ในสภาพชุดนอน ล้มตัวลงบนเตียงขนาดใหญ่ หลับใหลอย่างสบายอารมณ์

ดูเหมือนว่าเธอจะเหนื่อยมากจริงๆ

กู่ฉิงซานมองเธอ และมองดูไพ่ผลึกน้ำแข็งในมือ

คำอธิบายของไพ่ผลึกน้ำแข็งรวบรัดสั้นๆ เพียงแจ้งว่านี่คือไพ่เปล่า ที่ใช้สำหรับจัดเก็บชั่วคราว

กู่ฉิงซานมองดูไพ่ทั้งสองใบ และอดไม่ได้ต้องถอนหายใจ

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันเกินกว่าจินตนาการของเขาไปมากโข ราวกับความฝัน

เขาได้กลายเป็นราชทูตตัดสินบาป

ตอนนี้ หากย้อนกลับมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น ถ้าตนเองไม่ได้พกไพ่จากสำรับทะเลเลือดแล้วล่ะก็ เขาคงไม่อาจดึงดูดความสนใจจากซีน้อยได้เลย

แต่ด้วยไพ่ทะเลเลือด มันเลยช่วยให้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้จักกันมากขึ้น

ทว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดก็คือ…

ในนาทีสุดท้าย เขาตัดสินใจที่จะช่วยชีวิตเธอ และยังช่วยเธอต่อต้านการจับกุมของชายชุดคลุมดำ

ส่งผลให้ในสายตาของซีน้อย มองเขาด้วยความสนิทสนมมากยิ่งขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น เธอสามารถเห็นว่ากู่ฉิงซานได้ทำการปลดล็อกจิตวิญญาณ ดังนั้นเธอเลยต้องการเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นราชทูตตัดสินบาป

เวลานี้ ตลอดทั้งโลกมีราชทูตตัดสินบาปเพียงสองคนเท่านั้น คือเขากับซีน้อย

กู่ฉิงซานก้มลงมองไพ่ซีน้อย

หลังจากที่ได้มีคู่หู และมีคนสัญญาว่าจะดูแลเรื่องต่างๆ ให้เธอ เธอก็คลายใจลง นอนหลับอย่างสงบ

นี่มันจริงๆ เลยนะ..

กู่ฉิงซานส่ายหัว

เธอเคยเป็นนางฟ้าผู้ตัดสินบาป แถมยังทรงพลังชนิดแม้กระทั่งเทพวิญญาณก็ยังหวาดกลัว แต่ในระหว่างการพูดคุยกับกู่ฉิงซาน เธอดูใส่ซื่อบริสุทธิ์เอามากๆ

เกรงว่าในอดีตที่ผ่านพ้น นอกเหนือไปจากเรื่องการต่อสู้แล้ว เทพวิญญาณคงแทบไม่ได้สอนอะไรอย่างอื่นให้เธอเลย

เมื่อได้ลองคิดเกี่ยวกับมัน ว่าต้องตกเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ในการต่อสู้ตั้งแต่เกิด และในที่สุดก็ถูกผนึกเอาไว้ ชีวิตมันจะเศร้าโศกขนาดไหนกันนะ

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

ช่างมันเถอะ ในเมื่อตอนนี้เขาสัญญาว่าจะดูแลเธอแล้ว ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำต่อไปเขาจะจัดการเอง

กู่ฉิงซานหยิบกล่องที่สลักขึ้นจากหยกวิญญาณที่ดีที่สุดออกมา และวางสองไพ่ลงไป

เมื่อซีน้อยเข้าไปในกล่องหยก เธอก็สัมผัสได้ถึงพลังงานจิตวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์ทันที

เธอพลิกตัว เหยียดแขนขาอย่างสบายอารมณ์ในไพ่ ปากขมุบขมิบงึมงำ คล้ายละเมอ และหลับต่อไป

กู่ฉิงซานเก็บกล่องหยก

นับจากนี้ เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งวัน โลกก็จะถูกทำลาย

มอนสเตอร์ประหลาดที่เกิดจากกฎไม่ดับสูญ กำลังจะปรากฏตัวขึ้น

มันจะกลืนกินทุกอย่างที่นี่

หากคุณต้องการที่จะออกจากโลกทะเลทราย และเดินทางท่ามกลางกระแสมิติอย่างปลอดภัย คุณจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะที่มีคุณภาพดี

แต่เขาไม่มีเงิน!

กระทั่งคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ตลาดมืดก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ!

แล้วควรจะทำยังไงดีล่ะทีนี้?

ตนเองสามารถเดินทางไปมาในกระแสมิติได้ก็จริง

ทว่ากระแสมิติในดินแดนชิงอำนาจกับภายนอกมันแตกต่างกัน ที่นี่น่ะเต็มไปด้วยมอนสเตอร์อันตราย

และเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าควรจะไปที่โลกไหนดี

กู่ฉิงซานจมอยู่ในห้วงความคิด

เหลือเวลาแค่หนึ่งวัน…

กระชั้นชิดเกินไป…

ภายในโลกหินขาว

นี่คือโลกที่อยู่ใกล้กับโลกทะเลทรายมากที่สุด

ได้ยินถึงเสียงหัวเราะดังออกมาจากในอาคารขนาดใหญ่

“ฮะฮ่าๆ ดูรางวัลภารกิจที่ทางวิหารแห่งความตายออกด้วยตัวเองนี่สิ พวกเราคงต้องรีบไปยังโลกทะเลทราย เก็บเกี่ยวชีวิตเจ้าหน้าใหม่ซะแล้ว!”

ยักษ์เทาที่มีร่างกายใหญ่โตกล่าวขณะหัวเราะเสียงดัง

หนึ่งในคนของเขาเอ่ยประจบประแจง “บอส นับว่าพวกเราได้เปรียบคนอื่นๆ มากจริงๆ เพราะสุดท้าย มันต้องใช้เวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น พวกเราก็จะสามารถไปถึงโลกทะเลทรายได้”

“ใช่ๆ แถมรางวัลของภารกิจนี้ยังมหาศาลมาก ไม่ใช่แค่จะได้รับเหรียญเลขหกร้อยแต่ยังสามารถไปยังวิหารแห่งความตายได้เลยโดยตรงหลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจ”

“ถูกต้อง ทางคริสตจักรจะอนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่วิหารแห่งความตาย และบิชอปจะเป็นผู้แนะนำพวกเรา ช่วยเหลือให้พวกเราสามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ทุกคนในกลุ่มต่างก็ยิ้มออกมา

ยักษ์เทาหัวเราะอีกครั้งจนบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน รอบตัวเขา สมาชิกคนอื่นๆก็หัวเราะตามไปด้วย ไม่มีใครแสดงใบหน้าบึ้งตึง หรือไม่เห็นด้วยออกมา

“ฮ่าๆๆ นับว่าโชคหล่นทับกลุ่มนักล่าเงินรางวัล ‘คร่าทมิฬ’ ของฉันจริงๆ! แถมพวกเราเองก็ยังเลือกศรัทธาในเทพแห่งความตายพอดีอีกด้วย!”

ยักษ์เทากระชากใบรางวัลนำจับที่พึ่งถูกแขวนบนกำแพงเสียงดังแคว่ก ตะโกนว่า “ทุกคนเตรียมตัวทันที พวกเราจะไปโลกทะเลทราย ไปฆ่าเจ้าเด็กนั่น!”

“แล้วพวกเราจะไปวิหารแห่งความตายกัน!”

“ทุกคนจะได้กลายเป็นเทพ!”

………………………………

“โปรดทราบ”

“อีกไม่นาน คุณจะกลายเป็นไพ่!”

กู่ฉิงซานจ้องมองหน้าต่างมองต่างเทพสงคราม ทั้งคนทั้งร่างกลายเป็นโง่งม

แม้ประโยคนี้จะดูเรียบง่าย แต่ขณะเดียวกันมันก็เหนือล้ำเกินกว่าจินตนาการ กู่ฉิงซานต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจะสงบสติอารมณ์ตน

ก่อนที่เขาจะทันได้คิดเกี่ยวกับมันได้มากกว่านี้ วัยรุ่นสาวก็เริ่มเคลื่อนไหวซะก่อน

เธอชูนิ้วชี้ขึ้น และกดมันลงเบาๆ บนระหว่าง

บังเกิดแสงสาดออกมาจากหว่างคิ้วเธอ  ถ่ายเทลงในนิ้วที่พึ่งวางไป

ช่วงเวลาที่แสงนี้สาดออกมา คล้ายกับว่าโลกทั้งใบได้หายวับไป

ไร้ซึ่งมิติและเวลา

ปรากฏให้เห็นแค่เพียงจุดแสงที่ส่องประกายอยู่ในโลกสิบทิศ

ท่ามกลางโลกนับล้านๆ และสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ทั้งหมดต่างหมอบคลานเข้าหาจุดแสงนี้

กระทั่งกู่ฉิงซานก็ยังบังเกิดความรู้สึกนอบน้อมอย่างมิอาจต้านทานได้

วัยรุ่นสาวพยุงแสงนี้ไว้อย่างระมัดระวัง ค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้าหากู่ฉิงซาน

ปากเปล่งเสียงกระซิบ “มอบสิทธิ์การเปลี่ยนร่าง”

สิ้นเสียง จุดแสงพลันถูกกดเข้าไปในหน้าอกของกู่ฉิงซาน

พริบตานั้นตลอดทั้งร่างของเขาพลันผลิบานไปด้วยบุปผาแสงสดใส

ในช่วงเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานรู้สึกคล้ายกับตนได้ถูกส่งออกห่างจากโลกใบนี้ไป มาปรากฏในมิติอันมืดมิดอีกแห่งหนึ่ง

การดำรงอยู่มากมายที่เร้นกายอยู่ในส่วนลึกของความมืดมิดนี้ เมื่อพวกมันเห็นกู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น ทั้งหมดต่างก็แสดงออกถึงความสุขอย่างเปี่ยมล้น

“คุณได้กลายเป็นไพ่”

“คุณได้ละเมิดกฎเกณฑ์ที่ทวยเทพบัญญัติเอาไว้”

“เจตจำนงของทวยเทพกำลังจะสังหารคุณ”

“ทว่าก่อนหน้านี้คุณได้รับ ‘การรับรอง’ ให้สามารถเปลี่ยนร่างจากพลังแห่งบรรพกาลแล้ว”

“พิจารณาจากคำสาบานร่วมกันของทวยเทพ คุณได้รับสิทธิ์ในการเปลี่ยนร่างเป็นกรณีพิเศษ”

“คุณได้กลายเป็นไพ่โดยสมบูรณ์แล้ว”

บรรทัดแสงหิ่งห้อยหยุดลงเพียงเท่านี้

ทันใดนั้นปรากฏไพ่ใบหนึ่งขึ้นใจกลางหน้าต่างเทพสงคราม

มันเป็นไพ่สีเทา เบื้องหลังฟุ้งไปด้วยหมอกที่ดูสับสนไร้ที่สิ้นสุด เบื้องหน้าเป็นรูปกู่ฉิงซานกำลังยืนถือดาบคู่ ลอยอยู่กลางอากาศ

ในส่วนล่างของไพ่ บรรทัดคำอธิบายทยอยกันปรากฏออกมา

“ไพ่สีเทา ผู้ฝึกดาบกู่ฉิงซาน”

“ระดับ ไพ่เทาระดับศูนย์”

“คู่หู นางฟ้าตัดสินบาป ‘ซี’ ”

“สังกัดสำรับไพ่ สำรับไพ่ผู้หลบหนี”

หลังจากที่กู่ฉิงซานอ่านข้อมูลไพ่ของตัวเอง ข้อมูลทั้งหมดก็พุ่งออกมา และปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นอีกครั้ง

“ในไม่ช้าคุณจะได้รับตำแหน่ง ราชทูตตัดสินบาป”

“คุณได้กลายเป็น ‘ราชทูตตัดสินบาป’ แล้ว”

เมื่ออักษรในบรรทัดสุดท้ายปรากฏขึ้น ตัวกู่ฉิงซานก็สาดแสงสว่างสดใส

มิติอันมืดมิดได้หายไป

กู่ฉิงซานค้นพบว่าตนได้กลับมายังโลกทะเลทรายอีกครั้ง

อักษรรูนสีเทาทั้งหมดรอบกายเขาได้หายไป

เขาลดระดับลงมาจากกลางอากาศอย่างช้าๆ และอดไม่ได้ที่จะทดลองขยับร่างกายของเขา

พบว่ามันไม่มีความผิดปกติใดๆ

“การเปลี่ยนร่างสำเร็จ!”

วัยรุ่นสาวชุดขาวกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

กู่ฉิงซานมองเธอ

เห็นแค่เพียงการแสดงออกที่ดูใกล้ชิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของวัยรุ่นสาว เธอยิ้ม “นับตั้งแต่วันนี้ไป นายจะเป็นคู่หูเพียงหนึ่งเดียวของฉัน!”

เธอชูสองแขนขึ้น ตะโกนโห่ร้อง “ยอดไปเลย ในที่สุดฉันก็มีคู่หูแล้ว!”

“ใจเย็นก่อนนะ ช่วยอธิบายหน่อย ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?” กู่ฉิงซานถาม

วัยรุ่นสาว “ไม่ใช่ว่านายต้องการช่วยเหลือทั้งสามร้อยกว่าชีวิตนั่นหรือ?”

กู่ฉิงซาน “อ่า ก็ใช่”

วัยรุ่นสาว “แล้วนายก็ไม่สามารถกลายเป็นเทพได้อีกด้วยใช่ไหม?”

“ใช่”

วัยรุ่นสาวปรบมือ “เพราะฉะนั้น ฉันก็เลยเปลี่ยนนายให้เป็นการดำรงอยู่ชนิดเดียวกันกับฉันไง!”

กู่ฉิงซาน “…เธอหมายถึงไพ่ใช่หรือเปล่า?” ตัวเขารู้สึกว่ากำลังฝันอยู่

“หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือตอนนี้ฉันเป็นไพ่? แล้วก็ยังเป็นไพ่ของเธอด้วย?” เขาอดไม่ได้ที่จะถาม

“ไม่ นายเป็นเหมือนกันกับฉัน เป็นผู้ตัดสินบาป” วัยรุ่นสาวส่ายหัว

กู่ฉิงซานถาม “แต่ฉันไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย มันคืออะไร?”

วัยรุ่นสาวกำลังจะพูด แต่ทันใดนั้นตลอดทั้งผืนทรายพลันเกิดการสั่นสะเทือน

มันเป็นการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ วัยรุ่นสาวกับกู่ฉิงซานจำเป็นต้องลอยอยู่กลางอากาศหลายสิบลมหายใจ กว่าที่การสั่นสะเทือนจะหยุดลง

ทั้งสองค่อยกลับมาหยั่งเท้าบนพื้น

“แปลกจริง ตามความรู้ความเข้าใจของฉัน โลกใบนี้มันไม่สมควรจะเกิดแผ่นดินไหวได้เลยนี่นา” กู่ฉิงซานกล่าว

วัยรุ่นสาวพยายามรับรู้ถึงสิ่งรอบตัว สีหน้าของเธอหนักอึ้งขึ้น “อ๊ะ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องรีบบอกนายทุกอย่างซะแล้ว ไม่อย่างนั้นมันจะสายเกินไป”

“ว่ามาสิ”

“นายรู้จักโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ไหม?”

“รู้ มันคือโลกที่ดำรงอยู่มาก่อนทวยเทพจะปรากฏตัวขึ้น”

วัยรุ่นสาว “โลกใบนี้คือโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีกฎเกณฑ์ ‘ไม่ดับสูญ’ แต่บางครั้งกฎ ‘ไม่ดับสูญ’ จะถือกำเนิดสิ่งมีชีวิตบางอย่าง ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าการดำรงอยู่ของเทพวิญญาณขึ้น และสิ่งมีชีวิตที่ว่ามานี้ไร้ซึ่งอารมณ์หรือจิตสำนึก นอกเหนือไปจากการกลืนกินเทพวิญญาณจนเต็มท้องแล้ว ความสุขที่เหลือของมันก็มีเพียงการทำลายล้างเท่านั้น”

“มันฟังดูน่ากลัวจังแฮะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“ใช่ ทุกครั้งที่มอนสเตอร์ไม่ดับสูญปรากฏกายขึ้น มันคือหายนะสำหรับเหล่าทวยเทพ”

“แต่นับว่าโชคยังดี ที่เหล่าทวยเทพโดดเด่นในการรังสรรค์ พวกเขาสามารถสร้างอาวุธและพลังอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตนเองได้”

“ราชทูตตัดสินบาปเองก็เป็นหนึ่งในนั้นใช่ไหม?” กู่ฉิงซานถาม

“ถูกต้อง นายนี่ฉลาดเหมือนกันนะ” วัยรุ่นสาวยกย่อง “ทุกการดำรงอยู่ที่สามารถคุกคามเทพวิญญาณได้ จะถูกพิจารณาว่าเป็น ‘บาป’ โดยเทพวิญญาณ”

“อย่างไรก็ตาม ราชทูตตัดสินบาปก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเจ็ดเทพปีศาจ และถูกสั่งให้ใช้พลังอำนาจที่เหนือล้ำยิ่งกว่าพวกเขา คอยทำหน้าที่ปกป้องเจ็ดเทพปีศาจ ถอนรากถอนโคนสิ่งที่เจ็ดเทพเรียกมันว่า ‘บาป’ ทั้งหมดให้สูญสิ้นไป”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วราชทูตตัดสินบาปทั้งหมดมีกันกี่คน?”

วัยรุ่นสาวส่ายหัว “มีกี่คนงั้นหรือ? แค่สร้างฉันคนเดียว เจ็ดเทพปีศาจก็ใช้พลังไปหมดแล้ว”

“เพื่อที่จะต่อสู้กับบาปที่มิอาจเอาชนะ เจ็ดเทพปีศาจได้พยายามรังสรรค์สิ่งที่ทรงพลังขึ้นมากมาย และมอบพวกมันให้กับฉันเพื่อสร้าง ‘สำรับไพ่ผู้ตัดสินบาป’ ขึ้น”

“ฉันรับภารกิจในการปกป้องเทพปีศาจ คอยวิ่งวุ่นไปในโลกนับอนันต์ ทั้งสังหาร ทั้งผนึกมอนสเตอร์เหล่านั้นเอาไว้ และในที่สุดเจ็ดเทพปีศาจก็ปลอดภัย”

“ครั้งสุดท้าย เจ็ดเทพปีศาจค้นพบว่าโลกก่อนประวัติศาสตร์ที่อยู่ภายใต้เท้าของพวกเราใบนี้ มันกำลังจะถือกำเนิดการดำรงอยู่แห่งบาปที่ทรงประสิทธิภาพขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงสั่งให้ฉันลงมือ”

“และในฐานะที่เป็นราชทูตตัดสินบาป ฉันจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย”

“แต่ในครั้งนั้น สถานการณ์มันกลับยากเย็นกว่าที่เคย ฉันจำต้องใช้พลังทั้งหมดของฉัน ถึงจะสามารถผนึกบาปตนนั้น ให้จมลงสู่ห้วงนิทรา”

“แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น พอได้มาลองคิดๆ ดูแล้ว ฉันจึงตระหนักได้ว่าเทพวิญญาณน่ะรู้จักพลังของฉันเป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกใช้มอนสเตอร์ตัวนั้นในการกำจัดฉัน”

“เดี๋ยวก่อนสิ เมื่อกี้เธอพูดว่าพวกเขาคิดกำจัดเธองั้นหรือ?” กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม

วัยรุ่นสาวถอนหายใจ “ใช่แล้ว ในตอนที่ฉันสามารถผนึกมอนสเตอร์ลงได้ พลังของฉันก็หมดลง เทพวิญญาณก็ได้ใช้กับดักที่เตรียมเอาไว้ลอบโจมตีฉัน และผนึกฉันไปพร้อมกับมอนสเตอร์”

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักค่อยเอ่ยถาม “หรือว่าพวกเขาจะกลัวเธอ?”

วัยรุ่นสาว “ถูกต้อง ในวันสุดท้ายที่ฉันอยู่พร้อมหน้ากับเจ็ดเทพปีศาจ ฉันค่อยๆ มีความนึกคิดเป็นของตัวเอง ไม่ใช่แค่เพียงเครื่องมืออีกต่อไป ฉันไม่มีวันลืมเลย ว่าในตอนที่ฉันแสดงอารมณ์ของตัวเองเป็นครั้งแรก สีหน้าของพวกเขาหวาดกลัวถึงขนาดไหน”

เธอเงียบไปและพูดต่อ “หลังจากนั้น ฉันก็ถูกผนึก และจมลงสู่ห้วงหลับไปเป็นเวลานาน เฝ้ารอวันเวลาที่จะตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ”

“ฉันค้นพบว่าโลกภายนอกได้เปลี่ยนผัน และเจ็ดเทพปีศาจก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว”

นอกจากนี้ยังไม่มีราชทูตตัดสินบาปปรากฏขึ้นมาให้เห็น แต่กลับเป็นผู้ใช้ไพ่มาแทนที่

“นี่คงเป็นเพราะเทพวิญญาณ ยังคงหวาดกลัวการปรากฏขึ้นของบาป แต่ขณะเดียวกัน ก็หวาดกลัว ‘ฉัน’ ที่ตนรังสรรค์ขึ้นมาเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึง ‘เปลี่ยนกฎเกณฑ์ของไพ่ ให้กลายเป็นผู้ใช้ไพ่แทน’ ซึ่งตัวตนเหล่านี้อ่อนแอกว่าเดิมหลายเท่านัก”

“แล้วถ้าอย่างนั้น ทำไมฉันถึงได้กลายมาเป็นราชทูตตัดสินบาปล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม

“เป็นเพราะในตอนที่ฉันถูกสร้างขึ้น ‘สี่เทพทรงธรรม’ ได้มอบหมาย ‘อำนาจการรับรอง’ ที่จะช่วยให้ฉันสามารถ ‘เปลี่ยน’ คนอื่นเป็นราชทูตตัดสินบาปได้ แต่ภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นเทพทรงธรรมหรือเทพปีศาจ พวกเขาก็คงจะรู้สึกว่าพลาดเช่นกันที่มอบพลังนี้ให้แก่ฉัน”

“นอกเหนือไปจากที่ว่ามา ก็ยังมีเหตุผลอีกหนึ่ง” วัยรุ่นสาวมองกู่ฉิงซานและกล่าว “นั่นคือ นายเองก็เป็นเหมือนกันกับฉัน ที่ได้ถูก ‘ปลดล็อกจิตวิญญาณ’ ซึ่งอำนาจนี้เป็นสิ่งที่เจ็ดเทพปีศาจไม่สามารถทำได้ มีเพียงสี่เทพทรงธรรมเท่านั้นจึงจะสามารถทำมันได้”

“ดังนั้น ด้วยความร่วมมือกันระหว่างเทพทรงธรรมกับเทพปีศาจ ในที่สุดมันก็นำมาสู่การถือกำเนิดฉัน และการเปลี่ยนร่างเป็นราชทูตตัดสินบาปของนาย”

กู่ฉิงซานเงียบ แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอต้องดูออก

ในความเป็นจริง หากคนที่พบความลับของเขาไม่ใช่วัยรุ่นสาวคนนี้ เขาคงจะสังหารมันเพื่อกลบซ่อนความลับของตนเองไปตลอดกาลแล้ว แต่ตอนนี้ อีกฝ่ายกลับเปิดใจกับเขา และใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้เขาเปลี่ยนเป็นราชทูตตัดสินบาป จนกลายมาเป็นความลับระหว่างทั้งสองคน

แม้ว่าการปลดล็อกจิตวิญญาณจะเป็นเพียงเงื่อนไขพื้นฐาน และทวยเทพก็หวาดเกรงการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถนี้ นี่ก็พอจะบ่งบอกได้แล้วว่าราชทูตตัดสินบาปน่าหวาดหวั่นขนาดไหน

ไม่ใช่ว่านี่หรอกหรือ คือสิ่งที่เขาตามหา?

“แล้วจากนั้นล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม

วัยรุ่นสาว “เมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันก็พบว่ามอนสเตอร์ไม่ดับสูญยังคงอยู่ในผนึกของฉัน”

“แต่ขณะเดียวกันฉันก็ติดอยู่ในสำรับไพ่ผู้ตัดสินบาป”

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว “เทพวิญญาณไม่สมควรจะผิดพลาดแบบนี้ ทำไมสถานการณ์แบบนี้ถึงได้เกิดขึ้น?”

วัยรุ่นสาว “หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่นาน ฉันก็พบว่ามีหนึ่งในคริสตจักร ได้จัดสรรทรัพยากรณและกำลังคนจำนวนมาก เพื่อทำการศึกษาผนึกนี้ พวกเขาหมายปองพลังของสำรับไพ่ผู้ตัดสินบาป”

“ฉันฉวยโอกาสในช่วงจังหวะที่พวกเขายังไม่สำเร็จ คิดริเริ่มว่าจะออกไปอย่างไรดี”

“ต่อมา ฉันก็พบว่ามีเพียงการสลายอำนาจทั้งหมด ปิดผนึกภูมิปัญญาของตน และกลายเป็นการดำรงอยู่อ่อนแอเท่านั้น จึงจะสามารถเล็ดลอดไปจากผนึกหลังจากการหลับลึกได้”

“แต่นี่มันทำให้เกิดปัญหาขึ้น”

“ปัญหาอะไร?” กู่ฉิงซานถาม

“พอฉันออกมาจากสำรับไพ่ มันเลยกระตุ้นให้ ‘บาป’ที่เทพวิญญาณหวาดกลัว พลอยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วย” วัยรุ่นสาวกล่าว

กู่ฉิงซานมองหน้าอีกฝ่าย ในแววตาเหมือนจะล่วงรู้ถึงความคิดของกันและกัน

วัยรุ่นสาวมองเข้าไปในดวงตาของกู่ฉิงซาน กล่าวอย่างจริงจัง “ที่จริงนี่ไม่ใช่การตัดสินใจของฉัน แต่เป็นความปรารถนาอันแรงกล้าของทางคริสตจักร ที่มุ่งหวังจะครอบครองสำรับไพ่ผู้ตัดสินบาป พวกเขาได้ทำการปลดผนึกบางอย่าง ส่งผลให้ฉันสามารถเป็นอิสระได้แม้จะในช่วงระยะเวลาสั้นๆ”

“ฉันคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ เปลี่ยนสำรับไพ่ผู้ตัดสินบาปให้กลายเป็นสำรับไพ่ผู้หลบหนี จากนั้นก็สลายพลังทั้งหมดของฉันไป”

“ในเวลานั้น ฉันก็หลุดพ้นจากผนึก”

“แน่นอนว่าทางคริสตจักรสามารถตรวจพบฉันได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาล่วงรู้ความคิดของฉันที่ต้องการหลบหนีออกจากห้วงลึกของสำรับไพ่ผู้ตัดสินบาป” วัยรุ่นสาวกล่าว

“เธอเปลี่ยนสำรับไพ่ผู้ตัดสินบาป ให้กลายมาเป็นสำรับไพ่ผู้หลบหนี อย่างงั้นหรือ…” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ

นี่เป็นสิ่งเดียวกันกับที่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“แล้วทำไมเธอถึงต้องเรียกมันว่าสำรับไพ่ผู้การหลบหนีด้วย?”

วัยรุ่นสาว “ก็เพราะว่าฉันได้สูญเสียพลังส่วนใหญ่ไปแล้ว และเพราะอะไรถึงตั้งแบบนั้น นายน่าจะเดาออก”

กู่ฉิงซานแข็งค้าง เขาพลันตระหนักได้ถึงบางสิ่งในทันใด

“เข้าใจแล้ว” เขาพึมพำ “เธอได้ทิ้งผนึกทั้งหมดไป ดังนั้นหมายความว่า สิ่งที่กระทั่งเทพวิญญาณก็ยังหวาดกลัว กำลังจะตื่นจากการหลับใหลสินะ”

วัยรุ่นสาว “ใช่ และเหตุการณ์แผ่นดินไหวทั้งโลกเมื่อครู่นี้ คิดว่าเกิดจากการหลับใหลของมันที่ถูกรบกวน ฉันว่ามันกำลังจะตื่นขึ้นมาในไม่ช้า”

“งั้นพวกเราคงต้องรีบหนีกันในตอนนี้เลยใช่หรือเปล่า?”

“ถูกต้อง”

“แล้วพวกเราจะมีเวลาอีกนานแค่ไหน?”

วัยรุ่นสาวเหยียดนิ้วหนึ่งออกมา

“อีกหนึ่งวัน”

“หนึ่งวันต่อจากนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกทะเลทราย จะกลายเป็นอาหารของมัน”

…………………………………

กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยถาม “แล้วเธอสามารถช่วยเหลือคนสามร้อยคนในเวลาเดียวกันได้หรือเปล่า?”

“ไม่ได้หรอก ความสามารถของฉันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรักษา หากอาศัยแค่มัน ย่อมไม่สามารถทำอย่างที่นายขอได้” เธอกล่าว

ดวงตาของกู่ฉิงซานสาดประกายสดใส “ฟังจากที่พูด หมายความว่ายังพอมีวิธีช่วยเหลือพวกเขาได้อยู่ใช่ไหม?”

“ใช่”

วัยรุ่นสาวหยิบหนังสือออกมา ยื่นให้กู่ฉิงซาน “วิธีอื่นที่เร็วที่สุดก็คือการกลายเป็นเทพวิญญาณ ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์แล้ว แม้ว่าเทพแห่งชีวิตจะเป็นเทพปีศาจ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เชี่ยวชาญทางด้านการรักษา หากสามารถเข้าถึงกฎเกณฑ์สูงสุดของเทพแห่งชีวิตได้ ก็จะสามารถช่วยเหลือคนเหล่านี้ได้เช่นกัน”

กู่ฉิงซานก้มลงมองหนังสือ

ตรงหน้าปกของมัน เขียนเอาไว้ว่า บทสรุปการศึกษากฎเกณฑ์ของเทพแห่งชีวิต

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้มออกมา

ไม่นานมานี้ ในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก ตัวเขาเคยได้กลายเป็นผู้ศรัทธาวิหารแห่งชีวิต

แต่ทันทีหลังจากที่ได้รับคำตอบจากร่างมนุษย์แสง เขาก็ยกเลิกสถานะของผู้ศรัทธาทันที

ถ้ารู้แต่แรกว่าตนจำเป็นต้องกลายเป็นเทพ เขาคงไม่ตอบปฏิเสธไปแบบนี้หรอก

ตอนนี้ เขาได้ละทิ้งหนทางสู่การเป็นเทพไปแล้ว ดังนั้นย่อมไม่สามารถรับอนุญาตให้เข้าสู่วิหารแห่งชีวิตได้อีก

แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี?

กู่ฉิงซานเงียบ สายตาจับจ้องลงบนผลึกน้ำแข็ง

หยุนจีที่อยู่ภายในกำลังหลับตาอยู่เงียบๆ คล้ายกับเจ้าหญิงนิทรา

กู่ฉิงซานพลันตระหนักได้ถึงอีกเรื่องอย่างกะทันหันว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่แค่หยุนจี แต่บางทีเฉินหยางก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่

แล้วไหนจะพี่หมี แขนจักรกล และสหายที่ดีของแบรี่อีกมากมาย ที่ตอนนี้เพียงสามารถรักษาชีวิตตนเอาไว้ได้ชั่วคราว

พวกเขาไม่ได้เป็นแค่สหายที่ดีของแบรี่ แต่พวกเขาก็ยังปฏิบัติต่อกู่ฉิงซานเป็นอย่างดีเช่นกัน

เฉินหยางไม่เพียงเคยช่วยชีวิตตนเอาไว้ แต่ยังเคยช่วยท่านอาจารย์ของเขาอีกด้วย

แต่ตัวเขาเองกลับเลือกที่จะละทิ้งเส้นทางสู่การเป็นเทพ!

กู่ฉิงซานกุมหนังสือในมือ บังเกิดห้วงอารมณ์โศกเศร้า

“เฮ้ๆ นายช่วยมีท่าทีกระตือรือร้นหน่อยจะได้ไหม ที่นายต้องทำก็แค่ทุ่มเทพยายามให้หนักขึ้นเท่านั้นเอง พอกลายเป็นเทพแล้ว จะได้สามารถช่วยเหลือพวกเขาไง”

หลังการคุยเรื่องสำคัญจบลง ท่าทีของวัยรุ่นสาวก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สุดท้ายกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันคงไม่สามารถกลายเป็นเทพได้”

แล้วเขาก็อธิบายเหตุผลออกไปอย่างรวดเร็ว

แต่ใครจะรู้ ว่าหลังจากที่วัยรุ่นสาวรับฟังอย่างเงียบๆ สุดท้ายเธอกลับถอนหายใจโล่งอก!?

“นายจะไม่กลายเป็นเทพ นี่มันยอดไปเลย! เพราะถ้านายกลายเป็นเทพ ฉันคงต้องรีบหนีนายไปให้ไกลซะแล้ว” วัยรุ่นสาวกล่าวด้วยความยินดี

“ทำไมกันล่ะ?” กู่ฉิงซานงง

“เพราะฉันเกลียดเทพวิญญาณ” วัยรุ่นสาวย่นจมูกของเธอ

“อ่า…ถ้าอย่างนั้นพอจะมีวิธีอื่นอีกไหมที่จะสามารถช่วยคนที่ติดอยู่ในผลึกได้?” กู่ฉิงซานถาม

“นี่นายต้องการจะช่วยเหลือคนพวกนี้จริงๆ หรือ? นายเข้าใจหรือเปล่าว่าด้วยความแข็งแกร่งของนาย มันจะต้องใช้ความพยายามอย่างยากลำบากถึงขนาดไหน มันถึงจะเป็นไปได้?”

“เธอกำลังจะบอกว่าฉันต้องแข็งแกร่งขึ้นหรือ?”

“ใช่ นายต้องแข็งแกร่ง แกร่งยิ่งกว่าคนส่วนใหญ่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ก้าวเข้าไปสู่ขีดขั้นความแข็งแกร่งที่ตลอดทั้งชีวิตของบางคนมิอาจเอื้อมถึงได้”

“นั่นคือหนทางที่ฉันกำลังก้าวเดินอยู่” กู่ฉิงซานบอกเธอ

วัยรุ่นสาวรับฟังอย่างเงียบๆ เธออดไม่ได้ที่จะมองไปทางกู่ฉิงซาน สีหน้าปรากฏแววลังเล

คล้ายกับว่าวัยรุ่นสาวกำลังพิจารณาถึงสิ่งสำคัญบางอย่างอยู่

“คำถามต่อไปนี้สำคัญมาก นายต้องตอบด้วยความซื่อสัตย์ วัยรุ่นสาวกล่าว “นาย เกลียดผู้ใช้ไพ่หรือเปล่า?”

กู่ฉิงซานตกใจ

แม้ว่าเขาจะยังงงกับคำถาม แต่ก็ตอบกลับไป “ไม่หรอก ไม่ได้เกลียดเลย”

ถูกต้อง เพราะซูเซี่ยเอ๋อเองก็เป็นผู้ใช้ไพ่เหมือนกัน

“แล้วถ้าเป็นไพ่ล่ะ? นายคิดอย่างไรกับไพ่?” วัยรุ่นสาวถามต่อ

“คิดว่ามันเป็นการดำรงอยู่ที่วิเศษมาก” กู่ฉิงซานตอบ

“ปากบอกว่าวิเศษ แต่จริงๆ แล้วนายเกลียดไพ่หรือเปล่า? นายคิดว่าการดำรงอยู่ของฉันมันแปลกประหลาดไหม?” วัยรุ่นสาวยังคงถาม

“ไม่นะ เพราะตลอดทั้งสวรรค์และโลกในหมื่นโลกา มันมากล้นไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายประเภท แล้วถ้าหากเทียบเธอกับพวกนั้นแล้ว ฉันว่าเธอน่ารักกว่าเยอะ” กู่ฉิงซานกล่าวตามความสัตย์จริง

เขาย้อนนึกไปถึงบรรดาเหล่าราชาภูตผี และกษัตริย์ปีศาจ

มารสวรรค์นั้นช่างแสนงดงาม ขณะเดียวกันอาชูร่าหญิงก็ไม่เลวเลย นอกจากสองเผ่าพันธุ์นี้แล้ว ก็ยังมีปีศาจเผ่าอื่นๆ ที่มีความงามเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตความงามของมนุษย์

วัยรุ่นสาวได้ยินคำตอบของเขาก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เชิดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

เธอถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นแบบนั้น ถ้านายต้องการจะช่วยคนพวกนี้จริงๆ อันที่จริงแล้วฉันมีวิธีอยู่”

กู่ฉิงซานอุทานด้วยความสุข “อ้า ถ้าเช่นนั้นก็รีบบอกวิธีที่ว่าให้กับฉันเถอะ”

“แต่วิธีการนี้ค่อนข้างยุ่งยาก และหากนายคิดใช้วิธีที่ว่า ฉันจะเหนื่อยมาก” วัยรุ่นสาวถอนหายใจอีกครั้ง

“เธอจะเหนื่อยมากอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานสับสน

“ใช่ หน้าใหม่อย่างนายนี่มันไม่เข้าใจอะไรเลยนะ รู้ไว้ด้วยว่า ถ้าฉันใช้วิธีนี้แล้ว มันจะสร้างภาระกับฉันอย่างมาก” วัยรุ่นสาวกล่าวด้วยท่าทีอิดออด

กู่ฉิงซาน ประสานสองกำปั้น “ถ้าเช่นนั้นได้โปรดใช้วิธีที่ว่ากับฉัน ฉันจะรู้สึกขอบคุณมากๆ และย่อมตอบแทนกลับไปอย่างแน่นอน”

“แล้วนายจะตอบแทนฉันอย่างไร?” วัยรุ่นสาวถาม

“เธอลองเสนอมาได้เลย” กู่ฉิงซานรับคำเสียงดัง

“ฉันพึ่งตื่นจากการหลับใหลมาอย่างยาวนานได้ไม่นานมานี้เอง เลยยังไม่ได้คิดเลยว่าชีวิตจะเอาอย่างไรต่อดี ถ้าเช่นนั้นจากนี้ไปนายจะต้องรับผิดชอบในด้านอาหาร เสื้อผ้า การเดินทาง และที่อยู่อาศัยของฉัน แบบนี้ดีไหม?”

“นั่นมันแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่มีปัญหาเลย!”

กู่ฉิงซานตบหน้าอกของเขา

โดยคล้ายจะลืมไปแล้วว่าเวลานี้ตนเป็นเพียงยาจกคนหนึ่ง

เมื่อได้รับฟัง วัยรุ่นสาวก็พยักหน้าด้วยความพอใจ

“ฉันเฝ้าสังเกตนายมาสักพักหนึ่งแล้ว และนายก็ดูเป็นคนดี ฉันจะเชื่อใจนายสักครั้งก็แล้วกัน”

ระหว่างกล่าว วัยรุ่นสาวก็หยิบสองสิ่งออกมาด้วยท่าทีจริงจัง

หนึ่งคือ…

พู่กัน

และถังสีสีเทา

เธอวางถังสีลง ถือพู่กันแล้วมองมาทางกู่ฉิงซาน

“นั่นมันอะไร?” กู่ฉิงซานงง

“อย่าพูดสิ”

การแสดงออกของวัยรุ่นสาวกลายเป็นจริงจัง

เธอจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างรอบคอบ นิ่งงันเป็นเวลานาน สุดท้ายเอ่ยถาม “อาชีพของนายคืออะไร”

“พ่อครัว”

“ตลกละ ฉันหมายถึงอาชีพที่ใช้ต่อสู้”

“อ้อ ก็ผู้ฝึกดาบไง”

“ถ้าเช่นนั้นช่วยเอาดาบนายออกมาถือด้วย”

กู่ฉิงซานทำตามคำขอ สองมือคว้าจับไปในอากาศ หนึ่งมือกุมเช่าหยิน อีกหนึ่งมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

“ยืนนิ่งๆ เอาไว้นะ อย่าขยับ ห้ามเปิดปากพูด” วัยรุ่นสาวเตือน

“ฮื่อ”

กู่ฉิงซานส่งคำตอบเป็นลมผ่านทางรูจมูก

อันที่จริงแล้ว การที่อีกฝ่ายต่างเชื่อใจและยอมทำตามกันและกัน มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิดต่อโลกที่คล้ายคลึงกัน ไหนจะเรื่องช่วยกันหาวิธีการทำลายผลึกน้ำแข็งอีก

และไพ่บางใบที่วัยรุ่นสาวใช้ ก็ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง

เหตุผลที่เธอพ่ายแพ้เขา หนึ่งเป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอปิดผนึกภูมิปัญญาของตนเองไว้ และสองเธอไม่ได้ทุ่มเต็มกำลัง

หญิงสาวถอยหลังไปสองก้าว และมองเขาอีกครั้ง

“ไม่ดีกว่า ฉันว่านายลอยตัวขึ้นสักหน่อย ภาพมันจะได้ดูดีขึ้น”

เธอกวักมือขึ้น

กู่ฉิงซานย่ำลง กระโดดขึ้นเบาๆ สูงจากพื้นประมาณครึ่งเท้า สองมือกุมดาบ ลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ

วัยรุ่นสาวเฝ้ามองเขา เอียงคอซ้ายทีขวาทีและกล่าว “สูงขึ้นอีกนิด”

อะ กู่ฉิงซานลอยสูงขึ้น

“ไม่ๆ แค่นิดเดียวก็พอ กลับลงมาอีกหน่อย”

“ต่ำไปแล้ว ขึ้นมาอีกสิ”

“เออๆ”

ในที่สุด วัยรุ่นสาวก็เผยท่าทีพึงพอใจออกมา

หลังจากนั้นเธอก็ยกถังสีขึ้น และจุ่มพู่กันลงไป

วัยรุ่นสาวเริ่มลากเส้นวาดกู่ฉิงซานที่ลอยอยู่ในความว่างเปล่า ขีดเขียนจนปรากฏอักษรรูนโบราณขึ้นตามมิติโดยรอบ

ขณะวาด เธอก็พึมพำคาถาไปด้วยตลอดเวลา

การแสดงออกของเธอดูตื่นตัวมากๆ คล้ายกับกลัวว่าหากผิดพลาดแม้เพียงน้อยจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

ทุกการกระทำ ทุกๆ จังหวะการเคลื่อนไหวของเธอจะต้องขบคิดอย่างรอบคอบเสียก่อน และจึงเริ่มขีดเขียนมัน

ตลอดกระบวนการนี้ ปากของเธอไม่เคยหยุดร่ายคาถาเลย

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ค่ำคืนกำลังจะผ่านพ้นไป

ท้องฟ้าเริ่มสาดแสง อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นเล็กน้อย

ในที่สุดวัยรุ่นสาวก็หยุดเขียน

เธอมองงานของเธอโดยละเอียด และสุดท้ายพยักหน้าด้วยความพอใจ

บังเกิดความรู้สึกอ่อนเพลีย วัยรุ่นสาววิ่งเข้าหากู่ฉิงซานและกล่าว “นิ่งต่อไปนะ อย่าพึ่งขยับ”

ตรงข้ามกับเธอ ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานบัดนี้อยู่ในกรอบที่ลอยล่องไปด้วยอักษรรูนโบราณ

อักษรรูนเหล่านี้ล้วนเป็นสีเทา ก่อให้เกิดบรรยากาศที่ดูลึกลับ ลอยล่องอยู่ในความว่างเปล่าอย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานไม่เคยเห็นอักษรรูนที่สลับซับซ้อนเช่นนี้มาก่อนเลย

เฝ้าสังเกตอักษรรูนอย่างใกล้ชิด ในหัวใจตนจะคล้ายบังเกิดความอ้างว้างอย่างมิอาจอธิบายได้

กู่ฉิงซานพยายามทำการรับรู้อย่างเงียบๆ

เขาพบว่าไม่มีวี่แววของหายนะโทษทัณฑ์

การรับรู้ทางจิตวิญญาณมิได้บ่งบอกใดๆ

ตั้งแต่ต้นจนจบ วัยรุ่นสาวไม่ได้แสดงเจตนาร้ายใดๆ

แต่สรุปแล้วนี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?

วัยรุ่นสาวร้องขอตนอย่างจริงจังว่าห้ามเคลื่อนไหว กระทั่งเอ่ยปากพูดก็ไม่ได้

แล้วจากนั้น เธอก็เริ่มร่ายคาถาเป็นเวลานาน

แต่คิดว่าตอนนี้ยังไม่เป็นการสมควรที่จะเอ่ยถาม

กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือก นอกจากเก็บความสงสัยเอาไว้เต็มอก และยังคงรักษาสภาวะสงบนิ่งต่อไป

โชคยังดีที่เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติ ดังนั้น การเกร็งตัวให้อยู่ในสภาพนิ่งแบบนี้ มันจึงไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป

วัยรุ่นสาวร่ายคาถา กุมพู่กันไว้ในมือ และยังคงวาดอักษรรูนสีเทาในความว่างเปล่ารอบตัวกู่ฉิงซานต่อไป

จากนั้นสักพัก

ในที่สุดวัยรุ่นสาวก็หยุดวาด เธอถอนหายใจยาวออกมา

“เกือบจะเสร็จแล้ว นายยังไม่ต้องขยับนะ รอให้สีของฉันแห้งก่อน เดี๋ยวเรามาเริ่มขั้นตอนสุดท้ายกัน”

วัยรุ่นสาวกล่าว

กู่ฉิงซานหยุดอยู่นิ่งๆ ต่อไป

เขารู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่ากำลังตั้งท่าโพสต์ให้คนอื่นวาดภาพอยู่เลย

เขาไม่เคยต้องทำอะไรแบบนี้มาก่อน

ว่าแต่วิธีนี้มันจะสามารถช่วยหยุนจีกับเพื่อนๆ ได้จริงๆ น่ะหรือ?

หรือว่านี่คือวิธีการที่จะช่วยให้แข็งแกร่งขึ้น?

กู่ฉิงซานมิอาจหาเบาะแส หรือเงื่อนงำใดๆ จากการกระทำนี้ได้เลย

เขามองไปทางวัยรุ่นสาว

วัยรุ่นสาวเก็บถังสีและพู่กัน ถูสองมือเล็กๆ ของตัวเอง และพักเล็กน้อย

กู่ฉิงซานเงียบ

ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเชื่ออีกฝ่าย ถ้าเช่นนั้นก็เฝ้ารอจนกว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นก็แล้วกัน

นี่คือสิ่งที่ในหัวเขาคิด

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นเอง สายตาของกู่ฉิงซานก็เบนออกไปยังทิศทางหนึ่งอย่างกะทันหัน

เพราะบนหน้าต่างเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยหลายบรรทัดพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา

“โปรดทราบ”

“อีกไม่นาน คุณจะกลายเป็นไพ่”

……………………………………

ภายในวิหารแห่งความตาย

เหรียญโบราณกำลังถูกเล่น พลิกกลับไปกลับมาบนห้านิ้วมือ

แต่ละนิ้วพลิกสลับเหรียญไปมาอย่างคล่องแคล่ว และสุดท้ายก็ดีดมันเด้งออกไปเบื้องหน้า

ติ๊ง

เหรียญโบราณเด้งไปยังใจกลางโต๊ะกลมขนาดใหญ่ ทว่าเมื่อตกกระทบ มันก็ยังคงหมุนวนอยู่อย่างนั้น มิได้คว่ำลงมาแต่อย่างใด

ภายในโถงของตัววิหาร บรรยากาศชวนน่าอึดอัด ทุกคนแทบจะไม่กล้าหายใจ

เหรียญยังคงหมุนอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดความสนใจของทุกผู้คน

เป็นเวลานานกว่า เสียงที่น่าเกรงขามก็ดังขึ้น

“นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของทางคริสตจักรเรา แต่พอเส้นทางสู่การเป็นทวยเทพถือกำเนิดขึ้น มันเลยถูกลืมเลือนไปชั่วคราว”

เสียงได้หยุดลง

แต่ยังคงไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร

สักพัก ชายในชุดคลุมดำก็ก้าวออกมา คุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างๆ โต๊ะกลม

“ขออภัยจริงๆ ท่านพระสันตะปาปา เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของข้าเอง ฉะนั้นได้โปรดท่านลงโทษในความผิดบาปครั้งนี้ด้วย” เกรย์แฮนด์กล่าว

ซึ่งเกรย์แฮนด์ คือหนึ่งในแปดบิชอปของคริสตจักรแห่งความตาย

เขาย่อกายคุกเข่า น้อมรับความผิดพลาด

บรรยากาศภายในห้องโถงจึงค่อยคลายลง

ด้วยความกังวลเล็กน้อย พระสันตะปาปาเอ่ยปาก “เกรย์แฮนด์ ข้าได้ยินมาว่าลูกศิษย์ของเจ้าเองก็ตกตายลงใช่หรือไม่ จงอย่าได้โศกเศร้าไปเลย”

“เขาไม่อาจทำหน้าที่ของตัวเองได้ ฉะนั้นความตายจึงนับว่าเหมาะสมแล้ว” เกรย์แฮนด์ตอบ

“แล้วเจ้าตั้งใจจะทำอะไรต่อไป?” พระสันตะปาปาถาม

“ข้าจะออกไปตามล่าคนที่ทำลายแผนการอันยิ่งใหญ่ของพวกเราด้วยตัวเอง และช่วงชิง ‘ไพ่’ กลับมา”

“ไปด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ? ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้ายังไม่ถูกจุดประกายเลยไม่ใช่หรือไง?” พระสันตะปาปาย้อน

“นั่นก็จริง แต่มันไม่มีทางเลือก” เกรย์แฮนด์ถอนหายใจ

ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกัน

หากเกรย์แฮนด์ออกไปลงมือด้วยตนเองในตอนนี้ นั่นหมายความว่าเขาจะต้องล้มเลิกการจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์กลางคัน

นี่เท่ากับเป็นการละทิ้งเส้นทางสู่การเป็นเทพ นับว่าเป็นบทลงโทษตนเองที่ร้ายแรงที่สุด

แต่ใครจะสามารถตำหนิเรื่องนี้ได้?

ในความเป็นจริง หากมิใช่เพราะเกรย์แฮนด์มีจุดประสงค์ที่จะจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็คงจะไม่จากโลกทะเลทรายมา

หากมิใช่เพราะต้องการล่วงรู้วิธีสู่การเป็นเทพ เกรย์แฮนด์ก็ยังคงอยู่ในโลกใบนั้น และปกป้อง ‘ไพ่’ ใบสำคัญต่อไป

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ พบว่าทุกเทคนิคมนตราทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับ ‘ไพ่’ ใบนั้นได้ถูกทำลายลงแล้ว

นั่นหมายความว่าการที่ทางคริสตจักรพยายามทุ่มเทอย่างหนักเป็นเวลากว่าหลายพันปี พริบตาเดียวพลันกลายเปล่าประโยชน์!

นี่นับว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ และเป็นบทลงโทษที่เกรย์แฮนด์จะต้องได้รับ

พระสันตะปาปาพอได้ฟังก็เงียบไปสักพัก สุดท้ายถอนหายใจออกมา

ถึงเรื่องนี้จะร้ายแรง แต่เขาก็กำลังพอใจกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ในช่วงเวลาที่เส้นทางแห่งทวยเทพปรากฏขึ้นมา

แล้วอีกอย่าง ความสามารถของเกรย์แฮนด์มิใช่เลวร้าย แถมยังเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้าง

ดังนั้นถ้าจะตัดสินโทษขั้นเด็ดขาดกับเขา มันคงได้ไม่คุ้มเสีย

แถมตอนนี้ เกรย์แฮนด์ก็กำลังแสดงท่าทีสำนึกเสียใจและจงรักภักดีของเขาในฐานะบิชอปที่ทรงพลัง

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาก็เอ่ยเบาๆ “เอาเถอะ ข้าจะใช้คำทำนายของพระผู้เป็นเจ้าก็แล้วกัน”

ทันทีที่คำเมื่อครู่หลุดออก ทุกคนในสถานที่ปัจจุบันก็เร่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงอย่างรวดเร็ว

พระสันตะปาปา หยิบกล่องโลหะสีดำออกมาอย่างระมัดระวัง

เขาเปิดฝากล่องออก

วูบ!

เสียงที่บาดลึกถูกปลดปล่อยออกมาจากในกล่อง แต่ทั้งหมดก็เงียบลงไปทันที

ท่ามกลางม่านยามค่ำคืนอันมืดมิด คำทำนายของเทพแห่งความตายที่ถูกเก็บเอาไว้มานานปี ก็ดังขึ้นในจิตใจของทุกผู้คนที่อยู่ภายในโถงโดยตรง

ม่านอันมืดมิดหยุดลง และหายไปอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของทุกคนแสดงออกถึงความกระจ่างชัด

“เป็นอย่างไร ชัดเจนแล้วหรือไม่?” พระสันตะปาปาถาม

“เป็นที่ชัดเจน” บิชอปคนหนึ่งกล่าว “เมื่อเส้นทางสู่ทวยเทพปรากฏขึ้น ผู้ศรัทธาทุกคนไม่ว่าจะลำดับชั้นใดก็ล้วนได้รับคำสั่งให้ทำตามเป้าหมายเดียวกัน และจะต้องห้ามละเมิด หรือเปลี่ยนแปลงใดๆ”

พระสันตะปาปามองเกรย์แฮนด์และยิ้ม “การก้าวสู่เส้นทางแห่งทวยเทพเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว ฉะนั้นเกรย์แฮนด์ จงอย่าคิดละทิ้งจากมันไป เจ้าจะต้องเฝ้ารอจนกว่าจะสามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตนขึ้น”

ทันใดนั้น เกรย์แฮนด์พลันก้มหัวโค้งกาย แสดงออกถึงความสำนึกคุณ

ก็ถ้าเขาเลือกได้ ใครมันจะไปอยากละทิ้งโอกาสที่ตนจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นเทพวิญญาณกัน?

ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “พระสันตะปาปา ข้าขอคัดค้าน”

ฝูงชนหันไปมองเขาเป็นสายตาเดียว และพบว่าต้นเสียงคือบิชอปธรรมดาคนหนึ่ง

เขากล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ทางคริสตจักรได้ทุ่มเทเวลาเตรียมการตั้งนานหลายปี จนในที่สุดก็สามารถคว้าโอกาสเดียวในชีวิต ในช่วงเวลาที่เธออ่อนแอที่สุด ที่จะสามารถจับตัวเธอได้ แต่สุดท้ายแผนดันพังทลายลง แบบนี้ไม่ใช่ว่าเกรย์แฮนด์สมควรถูกลงโทษหรอกหรือ?”

พระสันตะปาปากล่าวด้วยความกรุณา “เหตุผลที่เกรย์แฮนด์ออกจากโลกแห่งทะเลทราย นั่นก็เพื่อตอบสนองต่อคำเรียกร้องของพระผู้เป็นเจ้า กลับมายังที่นี่เพื่อจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์”

“ส่วนเรื่องของไพ่ใบนั้น ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางคริสตจักรเรา”

“เมื่อเทียบเปรียบกับการที่เกรย์แฮนด์สามารถก้าวขึ้นสู่เส้นทางแห่งทวยเทพ แบบนั้นย่อมดีกว่า”

“บางทีพระผู้เป็นเจ้าอาจจะคิดว่า พวกเราไม่สมควรที่จะแสวงหาความลับ ดังนั้นจึงได้ดลใจส่งเกรย์แฮนด์กลับมาหาพวกเราก็ได้”

บิชอปธรรมดาขบริมฝีปากตนเอง สีหน้าของเขาเผยถึงความไม่ยินยอม “แต่ทั้งหมดมันเป็นเพราะเกรย์แฮนด์”

พระสันตะปาปาขัดจังหวะเขา “เส้นทางสู่การเป็นเทพคือประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เจ้าคิดว่าความคิดเห็นของเจ้ามีค่ามากกว่าความคิดอ่านของทวยเทพหรือไม่?”

ในช่วงท้ายๆ น้ำเสียงของพระสันตะปาปาฟังแลดูเย็นชาลง

บิชอปตกใจ เร่งกล่าวด้วยความหวาดกลัว “มิกล้า มิกล้า”

พระสันตะปาปาหันไปมองรอบๆ

ปรากฏว่าไม่มีใครโต้แย้งใดๆ อีกๆ

นี่เป็นคำทำนาย ที่ท่านเทพได้ทิ้งเอาไว้เป็นการส่วนตน

ทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะกล้าคัดค้าน!

เมื่อถึงจุดนี้ เกรย์แฮนด์ก็ค่อยๆ ยืนขึ้น กล่าวขอบคุณอย่างสุดซี้ง

พระสันตะปาปา “ไม่เป็นไรหรอก เพราะคำพูดของพระผู้เป็นเจ้าถือว่าเป็นที่สุด ไม่อนุญาตให้ดูหมิ่นได้”

ในช่วงเวลานี้ บรรยากาศในห้องโถงก็ค่อยๆ คลายลง

ใช่แล้วล่ะ เทพวิญญาณน่ะได้จัดเตรียมคำทำนายทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว

ฉะนั้น ท่านจะไม่สามารถสังเกตเห็นถึงทิศทางของคริสตจักรได้อย่างไร?

บางที เทพวิญญาณอาจจะไม่ต้องการให้พวกเขาตรวจสอบความลับของ ‘ไพ่’ ใบนั้นก็ได้

ในหัวใจของทุกคนขบคิดอย่างเงียบๆ

พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองลงตรงใจกลางโต๊ะกลมอีกครั้ง

เหรียญเก่าแก่บนโต๊ะ ค่อยๆ หมุนช้าลง

และหากคุณมีสายตาที่ดีมากพอ คุณจะสามารถมองเห็นถึงภาพที่แสดงอยู่บนเหรียญทั้งสองด้านได้

ด้านหนึ่งเป็นภาพของวัยรุ่นสาวที่กำลังหลับใหลอยู่

โดยรอบตัวของวัยรุ่นสาว มันสลับซับซ้อนไปด้วยเครื่องหมายที่แลดูลึกลับ

เครื่องหมายอันลึกลับเหล่านี้ คอยรายล้อมและปกป้องวัยรุ่นสาวที่อยู่ในกลางของเหรียญ

อีกด้านหนึ่งของเหรียญ คือกระแสมิติอันโกลาหลอันไร้ที่สิ้นสุด หากเฝ้ามองมันไปนานๆ คุณจักรู้สึกว่าภายในหัวใจสั่นสะท้าน

ใช่แล้วล่ะ นี่คือหนึ่งในเหรียญที่ถูกจัดอันดับจากเลขนับหนึ่งพันหนึ่ง มันคือเหรียญที่แข็งแกร่งเป็นอันดับที่สาม!

เหรียญหมายเลขเก้าร้อยเก้าสิบเก้า วัยรุ่นสาวที่กำลังหลับใหล

หากในแง่ของความลึกลับ เหรียญเลขเก้าร้อยเก้าสิบเก้านี้ นี้นับว่าเป็นเหรียญที่ลึกลับที่สุดจากทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งเหรียญ

หากเหรียญนี้ปรากฏขึ้นในโลก  ย่อมไม่มีใครสามารถล่วงรู้ถึงชื่อที่แท้จริงของเหรียญได้

เพราะเหรียญทั้งสามอันดับแรก ต่างล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้นอย่างละเหรียญเดียว

และเนื่องจากเหรียญนี้ไม่มีแม้แต่ข้อมูลพื้นฐานใดๆ ปรากฏมาก่อน

มันจึงเป็นหนึ่งในสามเหรียญที่ลึกลับที่สุดในดินแดนชิงอำนาจ

เหรียญนี้ไม่ได้เป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง

แต่มันคือตัวแทนของความลึกลับที่มีค่ามหาศาลยิ่งกว่าเงินตราจะสามารถนับคำนวณได้

หากกู่ฉิงซานอยู่ที่นี่ เขาคงจะประหลาดใจไม่น้อย เพราะรูปของวัยรุ่นสาวที่ปรากฏขึ้นบนเหรียญ มันแทบจะไม่แตกต่างจากวัยรุ่นสาวที่เขาเพิ่งให้การช่วยเหลือไปเลย

น่าเสียดาย ที่เขาคงไม่อาจล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ไปอีกนาน

ภายในห้องโถงใหญ่ เสียงของพระสันตะปาปาดังขึ้นอีกครั้ง

“เอาล่ะ เรื่องนี้ถูกตัดสินแล้ว เกรย์แฮนด์จะอยู่ที่นี่ คอยจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง คนอื่นๆก็เช่นกัน จนกว่าจะสามารถจุดประกายได้ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน”

“ขณะเดียวกัน พวกเราก็จะตั้งรางวัลนำจับสูงค่า ปล่อยออกไปทั่วทั้งดินแดนชิงอำนาจ เพื่อจับตัวคนคนนั้น”

“ผู้ศรัทธาทุกคนจะได้มุ่งมั่นในหนทางสู่การเป็นเทพ นี่คือเป้าหมายสูงสุด เรื่องอื่นสมควรโยนทิ้งเอาไว้เบื้องหลังก่อน!”

“เรื่องต่อไป”

“แอนนากำลังจะกลับมาแล้ว”

“เส้นทางสู่การเป็นเทพถูกเปิดออกโดยเธอกับซูเค่อเอ๋อจากวิหารแห่งโชคชะตา นี่นับว่าเป็นพรจากทวยเทพ และเกียรติยศสูงสุด”

“ทุกคนจงหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าจะให้รางวัลแก่เธออย่างไรดี?”

ภายในโลกทะเลทราย

ท่ามกลางเนินทรายที่ถูกล้อมไปด้วยค่ายกลปกปิด

กู่ฉิงซานกำลังจีบออกด้วยวิชาลับ

ทันใดนั้นเม็ดทรายก็ถูกกวาดออกไปด้านข้าง ผลึกคริสทัลน้ำแข็งปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาและวัยรุ่นสาวในชุดขาว

ภายในผลึกน้ำแข็ง หญิงงามที่เปรอะไปด้วยเลือด สภาวะตกอยู่ในอาการโคม่า สลบไสลอยู่

ตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ หยุนจี

“นี่น่ะหรือคนที่นายต้องการให้ฉันช่วย?” วัยรุ่นสาวในชุดขาวเอ่ยถาม

“ใช่ ช่วยดูให้หน่อยนะ” กูาฉิงซานกล่าว

วัยรุ่นสาวก้าวออกมาข้างหน้า นั่งคุกเข่าลงตรงข้ามผลึกน้ำแข็ง

“อำนาจเทวะผลึกน้ำแข็ง…ช่างเป็นความทรงจำที่ชวนให้คิดถึงจริงๆ”

วัยรุ่นสาวลูบไล้ผิวผลึก ท่าทีของเธอเต็มไปด้วยห้วงอารมณ์

กู่ฉิงซานยกคิ้วขึ้น ปากเอ่ยถาม “นี่เธอรู้ด้วยหรือว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร? แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนใช้เทคนิคนี้?”

วัยรุ่นสาวส่ายหัว “อำนาจเทวะนี้มีมานานนมแล้ว มีเทพวิญญาณมากมายที่สามารถเปิดใช้งานมันได้ ฉะนั้นฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นฝีมือของใคร”

“แต่จากนี้ไป จะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาเธอ ตอนนี้นายอย่าเพิ่งพูดมาก”

“โอเค” กู่ฉิงซานรับคำ

เห็นแค่เพียงวัยรุ่นสาวจั่วไพ่หลายใบออกมาจากในความว่างเปล่า

เธอนำไพ่แตะลงบนผิวน้ำแข็ง ไพ่แล้วไพ่เล่า แตะเสร็จก็หยิบขึ้นมันมา ทำซ้ำไปเรื่อยๆ

ภายใต้ผลึกน้ำแข็ง สีหน้าของหยุนจีค่อยๆ ดีขึ้น บาดแผลตามร่างกายเธอเริ่มถูกฟื้นฟู

กู่ฉิงซานเมื่อได้เห็นก็รู้สึกสุขใจยิ่ง

แต่แล้วเมื่อเก็บไพ่ทั้งหมดกลับคืน วัยรุ่นสาวก็ผุดลุกและกล่าว “ไม่ดีแน่ ฉันไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้”

กู่ฉิงซานตะลึงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

เขาให้กำลังใจวัยรุ่นสาว “แต่คนในผลึกเหมือนจะถูกรักษาดีขึ้นแล้วนะ อย่าท้อแท้สิ ช่วยลองมันอีกครั้ง”

วัยรุ่นสาวส่ายหัว “หากเป็นฉันเพียงลำพัง ย่อมไม่สามารถช่วยเหลือได้”

ว่าแล้วเธอก็หยิบหนังสือ และดึงไพ่ออกมา

วัยรุ่นสาวหันมามองกู่ฉิงซาน และถอนหายใจ “ในเมื่อนายช่วยฉันไว้ ฉะนั้นฉันจะยอมปลดภูมิปัญญาของตัวเองก็แล้วกัน”

ไพ่เหล่านั้นพลันสาดแสง และค่อยๆ ผลุบหายเข้าไปในร่างกายของวัยรุ่นสาว

วัยรุ่นสาวยืนนิ่งงัน

ทว่าห้วงอารมณ์ของเธอกลับแปรเปลี่ยนไป

การแสดงออกของเธอดูเคร่งขรึมจริงจัง ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม

วัยรุ่นสาวไม่ได้พูดมากความ เธอวางมือลงบนผลึกน้ำแข็ง

“เทคนิคแห่งเทพวิญญาณเอ๋ย จงเปิดเผยถึงความลับของเจ้า” เธอเปล่งเสียงกระซิบ

ขณะเดียวกันกับการเคลื่อนไหวของวัยรุ่นสาว ผลึกคริสทัลก็เริ่มสั่นคลอนอย่างรุนแรง

กู่ฉิงซานเฝ้ามองด้วยความวิตกกังวล

หากผลึกน้ำแข็งพังทลายลง หยุนจีก็จะต้องตาย

อย่างไรก็ตาม การที่วัยรุ่นสาวสามารถสั่นคลอนผลึกน้ำแข็งได้ นี่ย่อมหมายความว่าเธอสามารถค้นพบวิธีการบางอย่างแล้ว

ถึงตอนนี้ กู่ฉิงซานจะยังไม่รู้ว่าการนำเด็กสาวคนนี้มาช่วยรักษา ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือเปล่าก็เถอะ

ในระหว่างนั้น วัยรุ่นสาวก็ชักมือกลับ และยืนขึ้นอีกครั้ง

เธอปาดเหงื่อบนหน้าผาก หันมาพูดกับกู่ฉิงซาน “สถานการณ์มันค่อนข้างซับซ้อน นายจะต้องเชื่อฟังคำสั่งจากนี้ไปของฉัน”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

ฉันเกรงว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกช่วยเหลือเอาไว้โดยท่านหญิงแบล็กซี คนอื่นที่เหลือคงถูกสังหาร และกลืนกินวิญญาณโดนสัตว์ประหลาดนั่นหมดแล้ว

วัยรุ่นสาว “อำนาจเทวะผลึกน้ำแข็งทั้งสามร้อยแปดสิบเอ็ดชิ้นก่อตัวกันเป็นวัฏจักร มันสร้างเครื่องมือดูดซับพลังงานขึ้นมา การทำงานของมันใกล้เคียงกับค่ายกลของผู้ฝึกยุทธ์แบบนาย”

“เครื่องมือที่คล้ายกันกับค่ายกลนี้ สามารถดูดซับพลังงานทั้งหมดจากในมิติของดินแดนชิงอำนาจ เพื่อเติมพลังงานให้กับตัวเองได้”

“ในกรณีนี้ ส่งผลให้ผลึกน้ำแข็งสามารถคงอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน คนที่อยู่ภายในมันจึงยังสามารถรักษาพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายเอาไว้ได้ ไม่ตกตายลง”

“แต่ปัญหาก็คือ ยามที่ผลึกน้ำแข็งถูกยกเลิก นายจะต้องช่วยรักษาทั้งสามร้อยแปดสิบเอ็ดคนได้พร้อมกัน ทั้งหมดจึงจะสามารถรอดชีวิตมาได้”

 กู่ฉิงซานงง “ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ทำไมไม่สามารถช่วยทีละคนได้?”

วัยรุ่นสาวจ้องมองผลึกน้ำแข็ง สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความชื่นชม

“ในความเป็นจริง อำนาจเทวะนี้สามารถตั้งค่าให้ช่วยเหลือทีละคนก็ได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งจงใจตั้งค่าให้ต้องช่วยเหลือพร้อมๆ กันเท่านั้น ซึ่งนี่มันมีความหมายที่ลึกซึ้งมากทีเดียว”

“ความหมายลึกซึ้งที่ว่าคืออะไร?”

“ก็คือ หากนายไม่มีความแข็งแกร่งชนิดเหนือจินตนาการ จนสามารถช่วยเหลือทุกคนได้ในครั้งเดียว ถ้าแบบนั้นก็อย่าสอดเข้ามาช่วยจะดีกว่าอย่างไรล่ะ ฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่ผู้ใช้เทคนิคนี้อยากจะสื่อ” วัยรุ่นสาวกล่าว

“แล้วเธอสรุปแบบนั้นไปได้อย่างไร? นี่มันไม่มีเหตุผลเลยนะ” กู่ฉิงซานสวน

“ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลนะ เห็นผู้หญิงตรงหน้าไหม เพราะอาการบาดเจ็บของเธอเกิดจากสิ่งแปลกประหลาด เกิดจากสิ่งที่เทพวิญญาณหวาดกลัวเป็นที่สุด ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนหวาดกลัวมันเช่นกัน ดังนั้นหากนายคิดจะช่วยเหลือพวกเขา ก็ต้องครอบครองพลังที่มากพอจะสามารถต่อกรกับมันได้!”

…………………………………………….

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดเส้นหิ่งห้อยผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

“คุณได้ข้ามผ่านโซ่ตรวนแห่งขอบเขต สามารถสังหารผู้ใช้ไพ่ที่ทรงพลังยิ่งกว่าตนเองหลายเท่าลงได้”

“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณส่วนเกิน”

“ในมุมมองที่ว่าผู้ใช้ไพ่ที่คุณสังหาร เป็นผู้ครอบครองสำรับไพ่แห่งความตาย ซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าเหล่าบรรดาผู้ใช้ไพ่ในระดับปกติ ดังนั้นคุณจึงสมควรได้รับแต้มพลังวิญญาณเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง”

“โดยรวมแล้ว การสังหารผู้ใช้ไพ่สำรับแห่งความตาย จะได้รับแต้มพลังวิญญาณหนึ่งแสนสองหมื่นแต้ม”

“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกินของคุณมีหนึ่งแสนเก้าหมื่นสองพันสี่ร้อยแต้ม”

กู่ฉิงซานเบิกตากว้างมองแต้มพลังวิญญาณอันมหาศาลที่ได้รับ แต่เมื่อย้อนคิดไปว่าตนจำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณกว่าหนึ่งล้านแต้ม ความตื่นเต้นในหัวใจของเขาก็ฝ่อลง สลายไปอย่างไร้ร่องรอย

เหล่าผู้ศรัทธาแห่งเทพทั้งเจ็ดกำลังทยอยกันไปจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง

ยุคสมัยใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว หากคุณไม่ทันระวัง เผลอแป๊บเดียวคงต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่น

กู่ฉิงซานส่ายหัว วิสัยทัศน์ของเขาตกลงบนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากร่างศพเพียงไม่กี่เมตร

มันคือหนังสือเก็บไพ่

กู่ฉิงซานสั่งการนึกคิดในจิตใจ

แล้วหนังสือเก็บไพ่ก็ลอยเข้ามาในมือของเขาทันที

“หนังสือแห่งความตายและการจองจำ”

“ในหนังสือเล่มนี้ ประกอบไปด้วยไพ่กักขังจองจำกว่าห้าร้อยสามสิบเจ็ดใบ ทั้งหมดเชื่อมต่อกับ ‘ไพ่’ ที่เขาพาหลบหนีมา”

“เนื่องจากคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ไพ่ชุดนี้ ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถเปิดใช้งานไพ่ใดๆ จากหนังสือเล่มนี้ได้”

กู่ฉิงซานโยนหนังสือแห่งความตายและการจองจำขึ้นไปในอากาศ

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาพลันกะพริบไหว ทะยานขึ้นไปในท้องฟ้า จากนั้นก็ฉึก! แทงเข้าใส่ตัวหนังสือ

หนังสือแห่งความตายและการจองจำราวกับมีชีวิต มันกรีดร้องเสียงแหลม

อย่างไรก็ตาม ดาบขุนเขาเทวะหกโลกายังคงตรึงแน่นอยู่กับมัน แม้ว่าตัวหนังสือจะพยายามดิ้นรน แต่ก็มิอาจหลุดพ้นได้

ทว่าแม้มิหลุดพ้น แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมจำนน

ดวงตาของกู่ฉิงซานสาดประกายคมกล้า

พลันบังเกิดร่างเงาดาบสีดำนับไม่ถ้วนผลิบานออกมาจากดาบยาว ว่ายวนทั้งฟันทั้งสับไปรอบตัวหนังสือ

แคว่ก!

ในที่สุด หนังสือแห่งความตายก็ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ อักษรรูนโบราณที่ครอบคลุมอยู่ภายนอกสาดแสงหลากสีออกมา

แสงหลากสีที่ครอบคลุมเหล่านั้น ค่อยๆ กระจัดกระจายหายไปในความว่างเปล่า

ฉากนี้คล้ายกันกับในตอนที่ลูกพี่ไก่ได้ทำลายกำแพงอุปสรรคของทะเลเลือดในห้องพักของอัลเบอัส

ทว่าจู่ๆ เส้นแสงสีดำพลันแหวกช่องว่างมิติออกมาด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าฟาด พุ่งฟุบ! ผลุบเข้าไปในแขนของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานเร่งกระตุกมือ

แต่กว่าจะทันรู้ตัว ก็พบว่าอักษรรูนโบราณได้จมหายเข้าไปในแขนเขา ไร้ซึ่งวี่แววเสียแล้ว

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงหิ่งห้อยเด้งเตือนขึ้น

“คุณได้สังหารผู้ศรัทธาในเทพแห่งความตาย ดังนั้นกฎของเทพแห่งความตายจึงได้ทำเครื่องหมายบนตัวคุณ”

“ความผิดที่คุณได้กระทำต่อผู้ศรัทธาแห่งความตาย ได้ถูกแจ้งแก่อาวุโสระดับสูงแห่งคริสตจักรแล้ว”

กู่ฉิงซานกวาดอ่านจบ เงียบงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถาม “ระบบ แล้วเครื่องหมายนี่พอจะมีวิธีกำจัดมันหรือเปล่า?”

ติ๊ง!

ระบบเทพสงครามตอบด้วยน้ำเสียงคมชัด “ท่ามกลางโลกนับล้านๆ ย่อมมีบางวิธีที่สามารถแก้ปัญหานี้แก่คุณได้ โปรดไขว่คว้ามันด้วยตัวของคุณเอง”

กู่ฉิงซานระบายลมหายใจโล่งอก

ตราบใดที่มันมีวิธี นี่ก็ไม่น่าจะมีปัญหามากเกินไป

เขาเดินไปที่ร่างศพและเริ่มควานหาของ

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้พบกับกระเป๋าสีดำใบเล็ก

คำอธิบายของระบบเทพสงครามดังขึ้น

“ผู้ศรัทธาแห่งความตาย ผู้ใช้ไพ่ ศิษย์ผู้ครอบครองเทียนซวนระดับสูง กระเป๋าส่วนตัวของคาร์ล่า”

“คุณจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคลับประเภทมิติ เพื่อที่จะเปิดกระเป๋าใบนี้”

เลื่อนสายตาออกจากหน้าต่างเทพสงคราม กู่ฉิงซานแค่เพียงเก็บกระเป๋าสีดำใบนี้อย่างลวกๆ

‘ขอเก็บมันเอาไว้ก่อน’ อย่างไรเสียตนก็จำเป็นที่จะต้องเปิดกระเป๋าใบนี้ให้จงได้

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาน่ะเป็นคนยากจน กระทั่งเงินสักเหรียญก็ยังไม่มีเลยตอนนี้

ตรงกันข้าม จากในบรรดาหลากหลายอาชีพ ผู้ใช้ไพ่ถูกจัดว่าร่ำรวยมากที่สุด

ดังนั้น เขาจะต้องชิงเงินของศัตรูผู้นี้มาเป็นของตัวเองให้จงได้!

หลังจากเสร็จสิ้นทุกกระบวนการ กู่ฉิงซานก็จีบออกด้วยวิชาลับ

อันดับแรก เริ่มจากการเผา

ร่างศพบังเกิดเสียงสะเก็ดไฟที่กำลังลุกไหม้

ไม่นาน ร่างศพก็ถูกเผาไป มิหลงเหลือร่องรอยใดๆ อีกเลย

กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะของเขาอีกครั้ง สำรวจรอบทิศ

แต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆ

อย่างน้อยก็เป็นภายในพิสัยจิตสัมผัสเทวะของเขา ที่ไม่สามารถตรวจพบร่องรอยได้

ดูเหมือนว่าวัยรุ่นสาวจะไม่ใช่คนโง่ แม้จะตื่นตระหนก แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะกลบร่องรอยตัวเองในระยะทางใกล้ๆ กับสถานที่สู้รบ

กู่ฉิงซานเมื่อเห็นแบบนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาเคลื่อนกาย และบินข้ามผืนฟ้าไป

ไล่ไปตามทิศทางการหลบหนีของวัยรุ่นสาว ไม่นานนัก เขาก็พบกับร่องรอยที่กลบไม่มิดของเธอในทะเลทราย

อันที่จริง การต่อสู้ก่อนหน้านี้มันก็ไม่ได้นานเท่าไหร่นัก

เวลาส่วนใหญ่ในระหว่างการต่อสู้ หมดไปกับการล่อลวงให้ชายชุดคลุมดำกลายเป็นอัมพาต ขณะที่การต่อสู้แท้จริงมีเพียงดาบสุดท้ายเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ คาดว่าวัยรุ่นสาวจึงยังวิ่งไปได้ไม่ไกล

ร่างของกู่ฉิงซานกะพริบไหว และตกลงเบื้องหน้าเธอ

วัยรุ่นสาวเมื่อเห็นเขาก็หยุดฝีเท้าลงอย่างรวดเร็ว

“มันจบแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความผ่อนคลาย

วัยรุ่นสาวเหม่อมองเขา สูดหายใจลึก

แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงร่ำไห้ออกมาทันที

เธอร้องไห้ กล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่คิด “นายยอมตายเพื่อช่วยฉัน เพราะฉะนั้นจากนี้ไป ก็ขอให้นายพักผ่อนอย่างสงบเถอะ และวางใจได้เลย ฉันจะสู้กับเจ้าหมอนั่นจนตัวตายเหมือนกัน ไม่ยินยอมให้เขาจับตัวกลับไป ไม่ยอมให้นายต้องตายเปล่า!”

“…” กู่ฉิงซาน

‘นี่เธอคิดว่าเขาตายในการต่อสู้ไปแล้วอย่างนั้นหรือ?’

ขณะขบคิด กู่ฉิงซานก็เห็นว่าวัยรุ่นสาวประกบสองมือ กุมเข้าหากัน เริ่มสวดภาวนา “ขอให้ดวงวิญญาณเบื้องหน้าจากไปอย่างสงบ ไม่มีสิ่งใดคั่งค้างในโลกใบนี้ กลับคืนสู่อ้อมอกของพระผู้เป็นเจ้าชั่วนิรันดร์…”

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าว “ช่วยดูดีๆ ก่อน ฉันยังมีชีวิตอยู่”

วัยรุ่นสาวผงะ

เธอจ้องกู่ฉิงซานอย่างใกล้ชิด และมองเงาของเขาอย่างจงใจ เอ่ยปากถามด้วยความลังเล “ตกลงว่านายยังไม่ตายหรอกหรือ?”

“เออยัง” กู่ฉิงซานตอบ

“แล้ว…เจ้าวายร้ายคนนั้นล่ะ?” เธอถามกลับ

“ฉันฆ่าเขาไปแล้ว”

ดวงตาของวัยรุ่นสาวกะพริบปริบๆ กวาดมองขึ้นมองลง กล่าวด้วยความสงสัย “ฆ่าไปแล้ว? อาศัยแค่นายเนี่ยนะ?”

กู่ฉิงซานไร้คำจะกล่าว

จู่ๆ ตัวเขาก็บังเกิดความคิดที่ว่าชาติก่อนคงไปติดหนี้อะไร ‘ไพ่’ ใบนี้เอาไว้กันแน่นะ ชาตินี้ถึงได้โดนกวนประสาทถึงขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นสาวย่อมไม่ใช่คนโง่

เธอหลับตาลง และทำการรับรู้เล็กน้อย ก่อนจะอุทานด้วยความประหลาดใจ “เทคนิคมนตรากักขังในร่างกายฉัน ทั้งหมดได้หายไปแล้ว”

“ฉันเป็นอิสระ!”

เธอร้องไห้ด้วยความดีใจ น้ำตาแห่งความสุขหลั่งไหลออกมาเป็นสาย

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ตรงจุดเดิม เฝ้ารอให้อารมณ์ของอีกฝ่ายทุเลาลง

หลังจากนั้นสักพัก

วัยรุ่นสาวก็ขยี้ตาแดงของเธอแล้วยื่น ‘เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด’ คืนให้แก่กู่ฉิงซาน

“ไม่ใช่ว่าเธอต้องใช้มันหรือ?”

กู่ฉิงซานรับไพ่และกล่าว

วัยรุ่นสาว “กฎเกณฑ์แห่งไพ่ทั้งหมดที่พันธนาการฉันได้หายไปแล้ว ดังนั้นฉันไม่จำเป็นต้องตามหาสำรับไพ่อื่นๆ เพื่อใช้หลบหนีอีกต่อไป”

“อ่า ก็โชคดีไป เพราะฉันเองก็เคยได้ยินมาว่า สำหรับไพ่หนึ่งใบที่ต้องการเข้าไปยังสำรับอื่น จำเป็นต้องผ่านบททดสอบอีกมากมาย นั่นหมายความว่าสุดท้ายก็ต้องจ่ายออกด้วยราคาที่มหาศาลอยู่ดี”

“ถูกต้องแล้ว” วัยรุ่นสาวพยักหน้า พลางถอนหายใจ “ตัวอย่างเช่นฉัน เพราะฉันตัดสินใจที่จะถอนตัวจากสำรับไพ่ เลยต้องจมลงสู่การหลับลึกมาเป็นเวลานาน”

ทว่าเมื่อกล่าวจบ ก็พลันบังเกิดความเงียบงันขึ้น

วัยรุ่นสาวยกสองมือกุมหน้า กรีดร้องทันใด “อ๊า ทำไมนายถึงมาล้วงความลับของฉันแบบนี้!”

กู่ฉิงซานหงุดหงิด “เฮ้ๆ ล้วงความลับที่ไหน เธอเป็นคนพูดมันออกมาเองต่างหาก”

วัยรุ่นสาว “ฉันไม่สน นายนั่นแหละเป็นคนชงให้พูด นายมันคนเลว นายจงใจล่อลวงฉัน!”

กู่ฉิงซานพยายามปรามอารมณ์ตัวเอง “เธอต้องมีเหตุผลหน่อยสิ ฉันไม่ใช่ผู้ใช้ไพ่นะ ฉันเลยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“นายมีเป้าหมายลามกอะไรหรือเปล่ามาละลาบละล้วงอดีตของฉันแบบนี้” วัยรุ่นสาวกล่าวอย่างเศร้าๆ

“…” กู่ฉิงซาน

หากไม่ใช่เพราะเขาต้องอาศัย ‘ไพ่’ ใบนี้ช่วยเหลือหยุนจีแล้วล่ะก็ กู่ฉิงซานมั่นใจมากๆ ว่าตอนนี้เขาคงกระโดดถีบขาคู่ใส่เธอ แล้วปลีกตัวจากไปแล้ว

…………………………………………….

ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน

ชายในชุดคลุมดำกุมหนังสือในมือ บินตรงไปยังทิศทางหนึ่ง

หนังสือเล่มนั้นกางออกอยู่เบื้องหน้าเขา

โดยมีกลิ่นอายที่มองไม่เห็นจากไพ่ใบหนึ่ง ห่อหุ้มรอบกายเขาเอาไว้

กลิ่นอายที่ว่านี้เป็นตัวคอยฉุดดึง นำทางแก่เขา

อำนาจของไพ่จะไม่หายไป จนกว่าเขาจะไล่ตามเป้าหมายได้ทัน

ดังนั้น ตอนนี้ชายชุดคลุมดำจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เขาเพียงแค่สำรองพลัง เฝ้ารอจนกระทั่งไล่ตามทัน แล้วเริ่มเปิดฉากโจมตีก็จบ

ในระหว่างที่กำลังไล่ติดตาม ช่วงที่ไม่มีอะไรทำ ชายชุดดำก็ก้มลง พลิกหน้าหนังสือ ดูไพ่ต่างๆ ที่ถูกฝังอยู่ภายใน

ในแววตาของเขา ยิ่งมองพวกมัน ก็ยิ่งทอแววริษยา

นี่คือหนังสือเก็บไพ่ของระดับ ‘ที่ปรึกษา’

และไพ่ทั้งหมดในหนังสือ ล้วนมีไว้สำหรับกักขัง ‘ไพ่’ ที่แสนพิเศษใบนั้น

เพียงแค่พลิกผ่านหน้าหนังสือ รายละเอียดของไพ่ต่างๆที่อยู่ตามแต่ละหน้า ไม่ว่าจะเป็นลำดับ หรือการจัดวางที่สอดคล้องของไพ่ ก็จะถูกส่งเข้ามาในจิตใจของผู้อ่านทันที

‘เฮ้อ…เมื่อไหร่ฉันจะสามารถไปถึงระดับที่ปรึกษากับเขาบ้างสักทีนะ?’

แต่วันนั้นไม่น่าจะอีกไกลเกินเอื้อม เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในบรรดาศิษย์ทั้งหลาย กล่าวได้เลยว่าเขานั้นโดดเด่นเป็นที่สุด

แม้กระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษาก็ยังยอมรับว่าความสามารถในการใช้ไพ่ของเขาช่างยอดเยี่ยม

ชายชุดคลุมดำถอนหายใจ และเริ่มจินตนาการถึงวันนั้นที่รอคอย

ช่วงเวลานั้นเอง สายลมในท้องฟ้ายามค่ำคืนก็พลันหยุดลง

ซึ่งหมายความว่าเขาใกล้จะถึงตัวอีกฝ่ายแล้ว

ชายชุดคลุมดำเตรียมตัว พร้อมที่จะรับมือกับการต่อสู้ทันที

วินาทีต่อมา เขาก็ลดระดับลง

ปัง!

จากเบื้องบน ทิ้งดิ่งลงมายังเบื้องล่างอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดเม็ดทรายปลิวว่อนไปทั่ว

กู่ฉิงซานและวัยรุ่นสาวหยุดอยู่ที่นั่น

ท่ามกลางฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจัดกระจาย ร่างของชายชุดคลุมดำปรากฏขึ้น

แม้ว่าจะล่าช้าไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ไล่ตามทันได้ในที่สุด

ในเมื่ออีกฝ่ายย่อมมีวิธีการที่จะใช้ในการติดตาม ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่สามารถใช้พลังวิญญาณทั้งหมดที่มีไปกับการหลบหนี

หากเขาเลือกกรณีดังที่กล่าวมา สุดท้ายถ้าอีกฝ่ายไล่ตามทัน กู่ฉิงซานคงไม่มีพลังมากพอที่จะต่อสู้กลับได้

กู่ฉิงซานนึกคิดในจิตใจ

เขาคว้าจับธนูเย่หยูออกมา และสะพายซองลูกศรไว้เบื้องหลังเขา

“นั่นคือคนที่เธอพูดถึงใช่ไหม?” กู่ฉิงซานถามเสียงกระซิบ

“ไม่ใช่ แต่คนคนนี้คือลูกศิษย์ของเขา” วัยรุ่นสาวตอบ

มือของเธอกำลังกุม ‘เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด’ ขณะเดียวกัน แสงสีแดงเลือดก็ค่อยๆ เรืองรองขึ้นตามร่างกาย

เธอกำลังสื่อสารกับทะเลเลือด โดยหวังว่าจะลบล้างสถานะในอดีตของเธอ และกลายมาเป็นไพ่แห่งทะเลเลือด

กู่ฉิงซานพอได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ลูกศิษย์ เขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เขาสัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะไม่ได้แข็งแกร่งจนเกินกว่าที่จะไม่สามารถเอาชนะได้

อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายน่ะเป็นผู้ใช้ไพ่ของจริง

ซึ่งเป็นอาชีพที่ทรงพลังโดยกำเนิด

“แบบนี้ไม่ดีแน่! ฉันไม่สามารถโค่นผู้ใช้ไพ่ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะถ่วงเวลาได้สักพัก เธอรีบหนีไปเร็วเข้า!”

กู่ฉิงซานแสร้งตะโกน

“นาย…นายไม่จำเป็นต้องทำเพื่อฉันถึงขนาดนั้น…” วัยรุ่นสาวขบริมฝีปากของเธอ

ไม่คาดคิดเลยว่าในหัวใจของชายหนุ่ม จะเปี่ยมไปด้วยความดีเช่นนี้ แม้เขาและเธอจะเพิ่งเจอกันโดยบังเอิญ แต่กู่ฉิงซานกลับถึงขั้นยินยอมเสียสละตัวเขาเองเพื่อต่อต้านศัตรู

น้ำตาเริ่มเอ่อล้น วัยรุ่นสาวสะบัดหน้ากลับหลัง บินออกไปในระยะทางไกล หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว

ส่วนกู่ฉิงซาน เขาคอยทานรับกับคู่ต่อสู้ ยกมือขึ้นเตรียมง้างเล็ง

แล้วเขาก็ใช้ออกด้วยระบำผันผวนโดยตรง!

ลูกศรวูบไหวคล้ายกับภาพติดตา ฉวัดเฉวียนเป็นทางโค้งแล้วบินออกไป

ชายในชุดคลุมดำเมื่อเห็นฉากนี้ ก็เผยรอยยิ้มหยามออกมา

“สกิลธนูหรือ? อืม อันที่จริงแล้วฝีมือธนูเจ้าก็ไม่เลวหรอกนะ แต่น่าเสียดาย ที่อาชีพระดับต่ำต้อยแบบนั้น ไม่มีทางสู้กับข้าได้”

ว่าจบ พลันปรากฏไพ่ใบหนึ่งขึ้นในมือของเขา

บนหน้าไพ่ เป็นรูปของโล่มากมาย  ที่มีความโค้งทำองศาแตกต่างกันออกไป

ตัวไพ่หายวับ รอบตัวชายชุดคลุมดำปรากฏโล่ทรงกลม โค้งทำมุมองศาครอบคลุมทั้งร่างกายของเขา

แปรเปลี่ยนเป็นโล่ทรงกลมที่ครอบคลุมลงมาอย่างรวดเร็ว

“นี่คือไพ่ที่ใช้ป้องกันการโจมตีจากระยะไกล มันครอบครองถึงห้าความสามารถในการปัดป้องจากการโจมตีในรูปแบบระยะไกลได้ ทว่าพลังในการป้องกันเทคนิคมนตรา และการต่อสู้ในระยะประชิดจะลดต่ำลง”

ในช่วงเวลาที่โล่ปกคลุมนั้นเอง ลูกศรของกู่ฉิงซานก็มาถึงพอดี

ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง!

ลูกศรร่วงหล่นราวกับสายฝน ไม่มีศรใดเจาะโล่เข้าไปได้เลย

“โถ่ นักธนูผู้น่าสงสาร เว้นแต่ว่าเจ้าจะแกร่งกว่านี้สักสามเท่า มันถึงพอเป็นไปได้ที่จะทำลายการป้องกันของข้า”

ชายชุดคลุมดำยกมือขึ้นกอดอก ถอนหายใจเสียงดังอย่างจงใจ

สกิลธนูของอีกฝ่ายน่ะไม่เลวเลย

แต่น่าเสียดาย ที่สกิลธนูดังกล่าว มันไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้เผชิญหน้ากับผู้ใช้ไพ่

นี่แหละ คือข้อแตกต่างระหว่างอาชีพโดยกำเนิดล่ะ!

นอกเสียจากว่าฝ่ายตรงข้ามจะสามารถเลื่อนอาชีพขั้นพื้นฐานของนักธนู ขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงกว่า ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังจะได้สัมผัสแม้ปลายเล็บเขา

สำหรับตอนนี้ ผลของการต่อสู้นับว่าได้ข้อสรุปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

ชายชุดคลุมดำจั่วไพ่ออกมา

‘พอดีกว่า รีบทำให้มันจบๆ ไป ไปเก็บกู้ ‘ไพ่’ ที่หลบหนีไปกลับคืน แล้วรายงานต่อท่านอาจารย์’

ทว่าขณะขบคิด เขาดันพบว่านักธนูได้โยนทิ้งอาวุธในมือของตนลงอย่างกะทันหัน

“ฉันขอยอมแพ้” นักธนูตะโกนอย่างหมดท่า

ชายชุดคลุมดำชะงักไป

‘เฮ้ เฮ้ กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่แค่มีอาชีพขยะเท่านั้น แต่กระทั่งคนก็ยังเป็นขยะด้วยหรือนี่?’

แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้เล่นสนุกกับมันสักหน่อยก่อนที่จะลงมือฆ่า

กระบวนการก็เอาเป็น รอจนนักธนูปลดอาวุธทั้งหมด ให้มันวิงวอนขอความเมตตา แล้วจากนั้นก็ค่อยสังหารมันซะ

หากได้เห็นสีหน้าของความสิ้นหวังและโกรธแค้น ฉากนี้คงจะทำให้ตนมีความสุขไม่น้อย

ส่วนเรื่อง ‘ไพ่’ ที่หลบหนีไป

ชายชุดคลุมดำก้มลงมองหนังสือในมือของเขา

นี่คือหนังสือของระดับที่ปรึกษา และเทคนิคมนตรากักขังทั้งหมดที่ติดอยู่ในตัวของ ‘ไพ่’ ใบนั้นก็ล้วนอยู่ที่นี่

ฉะนั้น ต่อให้เสียเวลามากขึ้นกว่าเดิมอีกนิด เธอก็ย่อมไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้อยู่ดี

เมื่อคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ชายชุดคลุมดำก็ทำการตัดสินใจ

เขาเอ่ยปากอย่างช้าๆ “ยอมจำนนเป็นหนทางที่ฉลาดเลือก แต่ก่อนอื่นเจ้าจะต้องทิ้งซองใส่ลูกศรที่อยู่เบื้องหลังซะก่อน จงอย่าได้ชักช้า!”

“เข้าใจแล้ว”

นักธนูปลดซองใส่ลูกศร และโยนมันทิ้งลงกับพื้นทันที

เมื่อเห็นอีกฝ่ายปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายเช่นนี้ ในหัวใจของชายชุดคลุมดำก็บังเกิดการดูแคลนขึ้นอีกหลายส่วน

แต่นี่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะอีกฝ่ายอย่างไรก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะตนเอง

ชายชุดคลุมดำก้มลงมองธนูและลูกศรบนพื้น ท่าทีผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็คุกเข่าลงเสีย”

ขณะสั่ง เขาก็เฝ้ามองไปยังฝั่งตรงข้าม เตรียมรับชมความอัปยศและสิ้นหวังของอีกฝ่าย

แน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสุนัขเบื้องหน้าเล่นตุกติก เขาก็เตรียมไพ่ป้องกันใบอื่นๆ เอาไว้ในมือแล้วเช่นกัน

เห็นแค่เพียงนักธนูที่ยังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายยืดหลังตรง รวบรวมความกล้าออกมา “ขอปฏิเสธ! ฉันไม่สามารถทำให้นิกายตัวเองต้องเสื่อมเสียศักดิ์ศรีได้!”

ว่าจบ นักธนูก็หันหลัง และวิ่งหนีไป

ในฐานะที่เขาเป็นนักสู้ระยะไกล ดังนั้นเจ้าตัวจึงมีความว่องไว และเป็นการง่ายที่จะหลบหนี

แต่…ทำแบบนี้แล้วมันช่วยอะไรได้รึไง?

ชายชุดคลุมดำหัวเราะ

เขาเก็บไพ่ป้องกันในมือ จั่วไพ่ใบอื่นออกมา เหวี่ยงมันออกไป

ไพ่ใบใหม่ถูกเปิดใช้งาน

แล้วชายชุดคลุมดำก็หายวับไปจากสถานที่เดิม ทั้งคนทั้งร่างปรากฏกายขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้านักธนู ปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของเขา

นักธนูตะลึงงัน

ด้วยความเร่งรีบ นักธนูไม่อาจหยุดฝีเท้าของตนได้ในทันที เขาสะดุดขาตัวเองกลิ้งม้วนกับพื้นไปสองสามตลบ ก่อนจะสามารถกลับมาควบคุมสมดุลร่างกายได้

และด้วยการสะดุดกลิ้งนี่เอง ที่ทำให้เขาอยู่ห่างจากผู้ใช้ไพ่เป็นระยะไม่ถึงสิบจั้ง

“นี่ก็เป็นพลังของผู้ใช้ไพ่อย่างนั้นหรือ…?” นักธนูเอ่ยพึมพำ

ชายในชุดคลุมดำโบกสะบัดไพ่ในมือ เอ่ยปากอย่างช้าๆ “แน่นอน สำหรับผู้ใช้ไพ่แล้ว การเคลื่อนย้ายมิติในระยะใกล้ๆ เป็นแค่เรื่องง่ายๆ อาชีพอย่างพวกเราไม่จำเป็นต้องใช้สองเท้าวิ่งหนีตายเหมือนกับเจ้า”

เขาถอนหายใจ “นักธนูผู้น่าสงสาร ตอนนี้เจ้าจะเลือกได้รึยัง ว่าอยากตายหรือจะคุกเข่าลง”

นักธนูถอนหายใจ

พริบตานั้นความหวาดกลัวบนใบหน้าของเขาหายวับไปโดยสิ้นเชิง เจ้าตัวกล่าวอย่างเฉยเมย “นายนี่มันเย่อหยิ่งเกินไป รู้ไหมว่าทัศนคติแบบนั้นมันเป็นอันตรายในการต่อสู้”

ด้วยประโยคนี้ ชายในชุดคลุมดำพลันบังเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้น

แต่มันไม่มีใครอยู่รอบๆ เลยนี่นา แล้วอีกอย่างอาวุธของนักธนูก็ถูกโยนทิ้งไปแล้ว เขายังมีอันตรายใดที่ต้องเผชิญอีกเล่า?

ชายชุดคลุมดำอดไม่ได้ จำต้องจั่วไพ่เพิ่มขึ้นมาอีกสักสามใบ

อย่างไรก็ตาม ความสยองขวัญพลันบังเกิดขึ้น

ชายชุดคลุมดำพบว่าช่วงเวลานี้ เขาไม่สามารถยกมือของตนเพื่อจั่วไพ่ได้ ทั้งคนทั้งร่างมิอาจขยับกายเคลื่อนไหวอีกต่อไป

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นพลังในการควบคุม!

แต่…ศัตรูที่ใช้สกิลนี้ใส่เขามันอยู่ที่ไหนกัน?

บ้าจริง! เห็นได้ชัดว่าตัวเขามีไพ่อยู่เกือบร้อยใบ แถมยังมีทั้งวิธีการและพลังอีกนับไม่ถ้วนที่ยังไม่สำแดงออกมา

หากเขาลงมืออย่างเต็มที่แล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าต่อให้โลกทั้งใบก็ยังสามารถสั่นคลอนมันได้!

แล้วเป็นใครกันที่กำลังใช้สกิลควบคุมตัวเขา?

ระหว่างที่กำลังสับสนและไม่ยินยอม โลกทั้งใบของชายชุดคลุมดำก็พลันกลายเป็นมืดมิด

ในช่วงวินาทีสุดท้าย คล้ายกับว่าจะเห็นนักธนูกุมดาบยาวในมือ และสับอากาศจากระยะไกลมาทางเขา

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ไพ่ป้องกันนับไม่ถ้วนก็ถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ มันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของชายชุดคลุมดำ

ทว่าอำนาจของไพ่เหล่านั้นกลับถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่เขาสูญสิ้นการควบคุมตนเองไป และต้องเผชิญหน้ากับพลังแหกกฎของดาบยาว ผู้ใช้ไพ่อย่างเขาก็มิอาจกระทำสิ่งใดได้เลย

ฉัวะ!

หมอกเลือดสาดกระจาย ทว่าทั้งหมดก็ถูกพัดปลิวไปด้วยรังสีดาบที่ระเบิดออก

ร่างกายของผู้ใช้ไพ่เดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว เมื่อต้องเผชิญกับรังสีดาบ มันก็มิอาจทานทน ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ!

และต้องไม่ลืมนะว่า โล่ของเขาน่ะ มันเป็นโล่ที่เน้นใช้ป้องกันการโจมตีจากระยะไกล หากแต่มันไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากดาบยาวได้

เพราะตามกฎเกณฑ์ของไพ่ ดาบน่ะคืออาวุธโจมตีระยะประชิด

“เทคนิคลับแห่งดาบ ล่าชีพ!”

ในระยะสิบจั้ง ไม่ว่าจะชีวิตหรือจิตวิญญาณใดก็ล้วนต้องดับสูญ!

กู่ฉิงซานมิได้เหลียวมองศพอีกต่อไป

คนประเภทนี้ที่มักจะปฏิบัติกับศัตรูด้วยความดูแคลน มันไม่คุ้มค่าที่จะเปลืองสายตาของเขา

เจ้าตัวเพียงเบนมองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า

มองไปยังหน้าต่างเทพสงคราม ในส่วนของแต้มพลังวิญญาณกำลังพุ่งทะยานขึ้นอย่างบ้าคลั่ง!

………………………………….

แสงสีทะมึนปกคลุมไปทั่วทั้งทะเลทราย แปรเปลี่ยนตลอดทั้งพื้นที่ให้กลายเป็นความมืดมิด

ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นใจกลางความมืดมิดที่ว่า

ชุดคลุมยาวสีดำของเขา ถูกลงอักขระไว้ด้วยอักษรรูนโบราณตลอดทั้งชุด กระทั่งหมวกปีกกว้างที่สวมใส่ก็ยังเป็นสีดำ มันถูกดึงลงมาจนปกปิดรูปลักษณ์ใบหน้า

ตลอดทั้งพื้นที่ หลงเหลือแค่เพียงจุดเดียว คือจุดที่ราชินีแมงป่องยืนอยู่ ที่ยังมิได้ถูกความมืดมิดกลืนกินไป

ชายคนนั้นหันไปมองรอบๆ ก่อนจะมุ่งความสนใจไปยังราชินีแมงป่อง

“แล้วคนอื่นๆ เล่า?” เขาถามห้วนๆ

ราชินีแมงป่องยกมือป้องปากหาว “เจ้าถามข้าหรือ?”

“อย่ามาเล่นลิ้น! ที่นี่มันมีแต่ท่าน หากไม่ถามท่านแล้วยังเหลือใครให้ถามอีก!” ชายคนนั้นกล่าวด้วยความโกรธ

ราชินีแมงป่องเอียงศีรษะ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “โอ้ คนอื่นๆ คงหมายถึงข้าด้วยสินะ เพราะที่นี่มีแค่ข้าคนเดียว อืม ข้าอยู่ที่นี่นี่แหละ และตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะไปที่ไหนดี”

“ท่านกล้าล้อข้าเล่นหรือ?”

“ข้าก็แค่พูดความจริง”

“ได้ ได้เลย รอให้ข้าพบไพ่ใบนั้นก่อนเถอะ แล้วจะกลับมาคิดบัญชีกับท่าน”

ชายคนนั้นกระทืบเท้า เตรียมที่จะแยกตัวออกไป

ทว่าทันใดนั้นเอง สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย เจ้าตัวเหวี่ยงสะบัดมือไปยังเบื้องหลัง พลางเรียกไพ่กว่าแปดใบออกมา

บังเกิดชั้นแสงห่อหุ้มรอบตัวเขา ก่อร่างเป็นกำแพงทะมึน ซ้อนทับๆ กันหลายชั้นจนกลายเป็นโล่ขนาดใหญ่ พร้อมกับปรากฏเกราะยักษ์ที่กำลังสาดแสงสีดำหม่นสวมทับตัวเขา

ตูม!

ตามด้วยประกายแสงเสียบแทงเข้ามาดั่งสายฟ้าฟาด

ด้านในของกำแพงทะมึนแตกสลาย โล่ทั้งหมดถูกทำลายลง เหลือเพียงปราการเกราะยักษ์สุดท้ายเท่านั้น ที่สามารถทานทนต่อกระแสแสงนี้ได้

ชายเสื้อคลุมดำถูกแรงปะทะ ถอยไถลไกลออกกว่าหลายสิบเมตรในคราเดียว

เขาอยู่ในสภาพกึ่งลุกกึ่งหมอบ ก้มลงมองไปยังกำแพงโล่

พบว่ามันถูกปลายหางแหลมแทงเข้าใส่ จนกลายเป็นร่องลึก

ดูเหมือนว่าแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่หางแหลมก็มิอาจเจาะปราการเกราะยักษ์ได้

“ราชินีปีศาจแมงป่อง ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? อย่าบอกนะว่าท่านคิดจะขโมยไพ่? อยากจะก่อสงครามเต็มรูปแบบกันอย่างนั้นหรือ?”

การแสดงออกของชายชุดคลุมดำกลายเป็นเดือดดาล เขาจั่วไพ่ใบหนึ่งออกมาจากในความว่างเปล่า และแสดงมันต่อหน้าราชินีแมงป่อง

มันไม่มีสิ่งใดอยู่บนหน้าไพ่เลย นอกเหนือไปจากแตรเขาสัตว์

แตรเขาสัตว์แห่งสงคราม

ราชินีแมงป่องค่อยๆ หดหางของเธอกลับมาอย่างช้าๆ เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ต่อให้เจ้าใช้แตรสงครามเรียกใครมามันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ คือสิ่งที่ข้าต้องทำเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของราชินี”

“ลองใช้ไพ่ใบนั้น และกล่าวหมิ่นข้าอีกครั้งดูสิ?” เธอล้อเลียนน้ำเสียงห้วนๆของอีกฝ่าย

“เจ้าลองคาดเดาดูเองก็แล้วกันว่าเกรย์แฮนด์จะตัดสินว่าอย่างไร ถ้าเจ้าอยากจะสู้ข้าก็ยินดี และขอสัญญาเลยว่าข้าจะค่อยๆกินเจ้าทีละนิด ทีละนิด จนกว่าเจ้าจะยอมแพ้ และหมดสติไป”

ราชินีแมงป่องกล่าว ขณะเดียวกันก็ส่ายหางของเธอ

ร่างกายส่วนบนของเธอช่างแสนจะมีเสน่ห์ ทว่าส่วนล่างของเธอกลับอยู่ในรูปลักษณ์ของแมงป่อง

หางอันแหลมคมของเธอ ชูขึ้น ชี้ตรงมายังตำแหน่งหัวใจของฝ่ายตรงข้าม คล้ายกับว่าพร้อมที่จะจู่โจมอีกครั้งได้ตลอดเวลา

“เหอะ! ในเมื่อท่านกล้าที่จะแตะต้องไพ่ใบนั้น นั่นหมายความว่าท่านได้ฉีกข้อตกลงกับพวกเราแล้ว ท่านจะกลายเป็นผู้ร้าย! เป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม!” ชายชุดคลุมกล่าวอย่างไม่ยินยอม

แต่ราชินีแมงป่องกลับหัวเราะ

“ข้าบอกตอนไหนว่าเป็นข้าที่ขโมยไพ่ใบนั้นมา? กลับกลายเป็นว่าเกรย์แฮนด์ส่งไอโง่แบบเจ้ามาเฝ้าที่นี่ ช่างน่าสมเพชซะจริง”

“ข้ามีหลักฐาน! คอยดูเถอะถ้าแสดงมันออกมาแล้วท่านจะยังหัวเราะได้อีกหรือไม่” ชายชุดคลุมดำกล่าวอย่างเคร่งขรึม

เขาเรียกสติฟื้นคืน บังคับอารมณ์ให้มันสงบลง และจั่วไพ่ออกมา

“เทคนิคมนตรา ย้อนปรากฏ!”

เห็นแค่เพียงคนตะคอกคำหนึ่ง เปิดใช้งานไพ่ทันที

ทุกสรรพสิ่งโดยรอบก็พลันมืดมิด ก่อนจะฉายภาพเสมือนของไพ่ขึ้น

ในเสี้ยววินาที ร่างเงาของไพ่หลายสิบใบก็ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

ชายคนนั้นเดินไปที่ไพ่แต่ละใบ ตรวจสอบมันดูอย่างระมัดระวัง

หุ่นเชิดสงคราม ดาบสั้น หอกปีศาจแดง และไพ่อุปกรณ์บางอย่าง ทุกชนิดของไพ่ที่วัยรุ่นสาวได้ใช้ บัดนี้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของชายชุดคลุมดำ ในรูปแบบภาพมายา

เขามองดูไพ่แต่ละใบ ในที่สุดก็มาถึงภาพสุดท้าย

“หุบเหวแห่งบาป อัญเชิญราชินี”

สีหน้าของชายชุดคลุมแปรเปลี่ยนไป

แต่เดิม กลับกลายเป็นว่าราชินีแมงป่องเป็นฝ่ายถูกเรียกตัวมาจริงๆ

ช่วงเวลานี้ ได้พิสูจน์แล้วว่าราชินีแมงป่องบริสุทธิ์โดยสมบูรณ์

เมื่อได้ลองมองย้อนกลับไป น้ำเสียงที่เขาใช้พูดกับอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ มันก็ดูจะเป็นการล่วงเกินอยู่เล็กน้อยเหมือนกัน

แต่ว่านะ

ราชินีแมงป่องจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยได้อย่างไร?

ชายคนนั้นหันมองราชินีแมงป่อง เอ่ยเสียงหม่น “ไพ่อัญเชิญก็หายไปแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดท่านถึงยังอยู่ที่นี่”

ราชินีแมงป่องจ้องกลับ และเอ่ยถาม “เจ้าถามข้าหรือ?”

ชายคนนั้นพยายามอดทน และในที่สุดก็เปลี่ยนน้ำเสียงตนให้ฟังดูเคารพอีกฝ่ายมากขึ้น “ข้าขอเรียนถาม ว่าเหตุใดท่านถึงยังคงอยู่ที่นี่?”

ราชินีแมงป่อง “เจ้าสมองหมู แค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ? นั่นเพราะเดิมทีข้าก็อาศัยอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้อยู่แล้วน่ะสิ เจ้าจะให้ข้าไปที่ใดกัน?”

ชายชุดคลุมดำแข็งค้าง

มันจบแล้ว ทุกอย่างถูกปะติดปะต่อเข้าด้วยกันพอดิบพอดี

เขาเข้าใจแล้ว ว่าฝ่ายตรงข้าม กำลังถ่วงเวลาให้กับไพ่ที่กำลังหลบหนีไป

และเกรงว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขา หากคิดจะหนีรอดจากราชินีเพื่อไล่ตามไพ่ไป มันคงจะเป็นไปไม่ได้

เขาถอนหายใจยาว

ไพ่ใบนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด แต่มันดันหายไปอย่างกะทันหัน แล้วตัวเขาเองก็ถูกตรึงให้ติดอยู่ที่นี่

นอกจากนี้ ยังต้องโทษตัวเองที่ร้อนรนเกินไป จนเผลอมัวแต่เล่นกับแมงป่องตัวนี้

เมื่อคิดได้ เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ในมือจั่วไพ่ และเริ่มกระตุ้นมันทันที

ไม่ช้า เสียงที่ต่ำลึกของชายคนหนึ่งก็ดังออกมาจากไพ่

“เจ้าพบมันหรือเปล่า?”

“รายงานท่านอาจารย์ ราชินีแมงป่องหยุดข้าเอาไว้ ข้าเลยยังไม่อาจหาไพ่ใบนั้นพบ” ชายชุดคลุมดำจ้องมองราชินีอย่างรุนแรง

“ราชินีปีศาจแมงป่อง…”

ปลายสายจากในไพ่เงียบงันไปครู่หนึ่ง

แล้วจู่ๆ หนังสือเล่มหนึ่งก็กระโดดออกมาจากไพ่ บินเข้าไปหาราชินีแมงป่อง

ราชินีแมงป่องยิ้มเล็กน้อย และวางมือของเธอกดลงบนหนังสือ

หนังสือส่งเสียงดังออกมาทันที “ข้อตกลงยังไม่ได้รับความเสียดายใดๆ ราชินีเพียงถูกอัญเชิญออกมาเท่านั้น!”

ชายชุดคลุมดำตกใจจนตื่นตระหนก เขาคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านอาจารย์ แต่ราชินีต้องการทำร้ายข้า!”

“สิ่งที่เกิดขึ้น ค่อยว่ากล่าวกันในภายหลัง แต่ตอนนี้ เจ้าจะต้องเร่งออกไปรับไพ่คืนมาโดยเร็วที่สุด”

“รับทราบ!” ชายชุดคลุมดำตอบกลับอย่างรวดเร็ว

ด้านหน้าเขา หนังสืออีกเล่มหนึ่งพลันปรากฏออกมา

หน้าหนังสือเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เผยให้เห็นถึงไพ่แต่ละใบที่ฝังอยู่

“นี่คือไพ่พันธนาการที่ห้าร้อยสามสิบเจ็ดที่ข้าได้ทำการติดตั้งเอาไว้บนไพ่ใบนั้น ตอนนี้ เจ้าได้รับอนุญาตให้ใช้มัน จงเร่งไปเก็บกู้ไพ่ใบนั้นคืนมาทันที!”

“ขอรับ!”

ชายชุดคลุมดำคว้าจับหนังสือ และทะยานหายขึ้นไปบนฟากฟ้าทันที

อย่างไรก็ตาม ไพ่ที่เขาใช้ในการสื่อสารก็ยังคงมิได้ถูกยกเลิกไป

ชายที่ชื่อว่าเกรย์แฮนด์เปล่งเสียงออกมา “ฝ่าบาท ข้าจำเป็นต้องบอกท่านอย่างจริงจัง ว่าไพ่ใบนั้นสำคัญต่อข้ามาก หวังว่าท่านจะเข้าใจ”

“แล้วเจ้าสิ่งนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย? เดิมทีข้ากำลังเตร็ดเตร่อยู่ในทะเลทราย แต่ดันถูกอัญเชิญมาอย่างกะทันหัน จนถึงตอนนี้ก็ยังสับสนอยู่เลย” เธอหัวเราะ

เกรย์แฮนด์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะตาม “ข้าไม่คิดว่าท่านจะเข้ามาแทรกแซงเกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมไพ่ของข้าหรอก เพราะอย่างไรเสีย ทั้งหมดนี้มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ผู้สูงศักดิ์เช่นท่านย่อมไม่ลดตัวลงมายุ่งเกี่ยว”

“แน่นอน เจ้าเองก็คอยดูแลตลาดมืดของเจ้าไป ส่วนเราจะอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสงบสุข นี่คือข้อตกลงที่พวกเราคุยกันเมื่อนานมาแล้ว”

“นั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น” เกรย์แฮนด์เห็นด้วย

“แต่ว่านะ ลูกศิษย์เจ้านี่มันช่างหยิ่งยโส ตรงตามลักษณะนิสัยของผู้ใช้ไพ่เสียจริง ข้าคิดว่ายิ่งนานวัน เขาก็ยิ่งโง่เง่า ทำอะไรไม่ยั้งคิดมากขึ้นเรื่อยๆ”

ราชินีแมงป่องกล่าวต่อ “เห็นได้ชัดว่าการแทรกแซงเจ้ามันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อหุบเหวแห่งบาปของเรา ดังนั้นเจ้าควรจะเชื่อใจข้า ว่าข้าหาใช่คนโง่ที่จะทำให้ทุกอย่างมันพังลงไม่”

อีกฝั่งหนึ่งพลันเงียบงัน สักพักเลยกว่าจะได้ยินเสียงถอนหายใจออกมา “นี่ไม่มีทางเลือก เพราะเวลานี้ข้ามีบางสิ่งบางอย่างต้องทำ และจำต้องใช้เวลาอีกสักพักจึงจะกลับไปได้ ตอนนี้เลยได้แต่ต้องให้ลูกศิษย์เป็นคนดูแลตลาดมืดไปก่อน ใครจะรู้ว่าเขาจะทำตัวไร้สมองแบบนี้”

น้ำเสียงของเกรย์แฮนด์ฟังดูหงุดหงิดเล็กน้อย

เขาได้ทำการติดตามร่องรอยของเทคนิคมนตราแล้ว และพบว่าราชินีแมงป่องถูกอัญเชิญมาที่นี่จริงๆ

แม้กระทั่งข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่าย ที่ได้ตรวจสอบผ่านเล่มหนังสือ ก็ยังไม่มีปัญหา

และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่อีกฝ่ายกล่าว ต่อให้เธอมาขัดขวางเขา มันก็ไม่ได้ก่อประโยชน์ใดๆ

สำหรับตัวตนอย่างราชินีแมงป่อง หากเธอไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เธอย่อมไม่มีวันที่จะหันมาเหลียวแลคุณ

ฉะนั้น

เรื่องราวทั้งหมดนี้จึงล้วนแต่เป็นความผิดพลาดของลูกศิษย์โง่เขลาของเขา

มันช่างงี่เงาซะจริงๆ ถึงแม้ว่าอาชีพผู้ใช้ไพ่จะกุมอำนาจเหนือกว่าในหลากหลายอาชีพตั้งแต่แรกเริ่มก็เถอะ แต่ถ้าไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ใจเย็นเข้าไว้ ต่อไปภายภาคหน้าคงไม่สามารถพัฒนาตนเอง  ทำสัญญากับสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าได้

และเนื่องจากเขาเป็นลูกศิษย์ของตน ดังนั้นจึงมักจะคิดไปเองว่าตัวเขาสูงส่งอยู่เสมอ

เจ้าศิษย์บ้านี่ คงจำเป็นต้องการรับการสั่งสอนอย่างจริงจังสักครั้งซะแล้ว มันถึงจะได้รู้จักยอมรับความจริง และเปลี่ยนทัศนคติให้รู้จักทำตามกฎเกณฑ์กับเขาบ้างสักที

แต่น่าเสียดาย ที่เวลานี้เกรย์แฮนด์อยู่ในโลกที่ห่างออกไปกว่าร้อยล้านชั้น ดังนั้นในระยะเวลาสั้นๆ เขาย่อมไม่อาจกลับมาที่นี่ได้

ไม่ว่าจะเป็นการสอนสั่งศิษย์ หรือว่าการตามหาไพ่ที่แสนสำคัญ เขาไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้เลย

ดังนั้นเกรย์แฮนด์จึงจำได้แต่ข่มสติอารมณ์ และพยายามรับรู้ถึงปัญหาในเวลานี้

“หากศิษย์ของข้าทำอะไรหยาบคายลงไป ข้าขอใช้นามตนเอง ขออภัยแทนเขาด้วย” เกรย์แฮนด์ยอมรับผิด

ราชินีแมงป่อง “แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด แต่ข้าแค่หวังว่า หลังจากนี้ไป จงอย่าได้อัญเชิญข้าแบบมั่วซั่วอีก เพราะข้าเองก็มีหลายสิ่งที่จะต้องทำ”

เกรย์แฮนด์นิ่งคิด สักพักกล่าวเสียงอ่อนลง “โปรดวางใจ ตัวข้าครอบครองเทคนิคมนตรายับยั้งอยู่นับร้อย หากกลับไป ข้าจะมาจัดการเรื่องนี้ให้ จะไม่สร้างปัญหาให้แก่ท่านอีก”

“ได้ยินเช่นนั้นก็ดี” ราชินีแมงป่องพูดด้วยความพอใจ

“เอาล่ะ หวังว่าพวกเราคงจะได้เจอกันอีก ลาก่อน”

“ลาก่อน”

แล้วไพ่สื่อสารก็หายไป

เทคนิคมนตราทั้งหมดถูกยกเลิก

เกรย์แฮนด์จากไปแล้ว

เหลือเพียงราชินีแมงป่องที่ยืนอยู่ในจุดเดิมอย่างเงียบๆ คล้ายกับว่าเธอกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

สักพักหนึ่ง

เธอก็ถอนหายใจเบาๆ “เท่านี้ก็หายกันแล้วนะเจ้าผู้ฝึกยุทธ์หนุ่ม”

….

ท่ามกลางทะเลทรายอันไร้ที่สิ้นสุด

กู่ฉิงซานยังคงหลบหนี

ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรไล่ตามมาก็จริง แต่ในหัวใจของเขามันกลับฟุ้งไปด้วยความกดดันและตึงเครียด

หากกระทั่งพลังผนึกอาวุธของวัยรุ่นสาวยังไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้ ฉะนั้นศัตรูย่อมจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ

และหากไพ่วัยรุ่นสาวมีความสำคัญจริงๆ อีกฝ่ายย่อมไม่ยอมทิ้งไป อย่างไรก็ต้องไล่ตามมา

ชั่วขณะหนึ่ง หางตาของกู่ฉิงซานก็กระตุกวูบ

ความรู้สึกเร่งร้อนในหัวใจของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกะทันหัน การรับรู้ทางจิตวิญญาณเริ่มสัมผัสได้ถึงความตายอันคลุมเครือ ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบๆ

หากเทียบเปรียบกับอาชีพอื่นๆ ผู้ฝึกยุทธ์จำต้องข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ดังนั้นการยกระดับแต่ละคราวของพวกเขา มันจึงเป็นไปอย่างยากเย็นยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกยุทธ์ก็ยังมีข้อดีที่โดดเด่นกว่าสายอาชีพอื่นๆ อยู่อย่างหนึ่งเหมือนกัน นั่นก็คือ พลังในการรับรู้ทางจิตวิญญาณของพวกเขาจะเฉียบคมมาก สามารถคาดเดาสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคตอันใกล้ได้

แม้ตอนนี้กู่ฉิงซานค่อนข้างจะห่างไกลจากสถานที่ต่อสู้แล้ว ทว่าในหัวใจของเขาก็ยังสัมผัสได้ว่านี่มันพึ่งจะแค่เริ่มต้น

มีบางอย่างกำลังไล่ติดตามเขามา

กู่ฉิงซานหยุดลงอย่างกหนะทันหัน

เขาเร่งตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบไพ่ออกมา

ทันทีที่ไพ่ปรากฏขึ้น มันก็แปรสภาพกลายเป็นวัยรุ่นสาวในชุดขาว

“เธอช่วยใช้ไพ่เทคนิคมนตราตรวจสอบหน่อยจะได้ไหม ว่าพวกเราปลอดภัยหรือยัง” กู่ฉิงซานกล่าว

“ไม่ปลอดภัยแน่นอน” วัยรุ่นสาวกล่าวด้วยความกังวลใจ เพราะฉันถูกจองจำโดยกฎเกณฑ์ของไพ่จำนวนมาก หนึ่งในนั้นต้องมีไพ่ติดตามตัวอยู่แน่ๆ”

กู่ฉิงซานหยิบไพ่ ‘เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด’ ออกมา ปากเอ่ยถาม “แล้วถ้าฉันให้ไพ่ใบนี้กับเธอล่ะ เธอพอที่จะสามารถจัดการกับเทคนิคที่กำลังตีตรวนและติดตามเธออยู่ได้หรือเปล่า?”

“ถ้าเช่นนั้นช่วยถ่วงเวลาให้ฉันหน่อย” วัยรุ่นสาวกล่าว

………………………………….

ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน

ร่างของกู่ฉิงซานโจนทะยานขึ้นสู่เบื้องบน ก้มลงมองเบื้องล่าง

และวัยรุ่นสาวเองก็กำลังแหงนมองดูเขาอยู่เช่นกัน

ดวงตาของทั้งสองสบประสาน

ทางฝั่งกู่ฉิงซาน แววตาของเขาช่างสงบดั่งน้ำนิ่ง

ขณะที่ในแววตาของวัยรุ่นสาว กลับเต็มไปด้วยระลอกคลื่น ฟุ้งไปด้วยความวิตกกังวลที่มิอาจเอ่ยอธิบายได้

เมื่อได้เห็นถึงกระบวนท่าตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตน ราชินีแมงป่องก็หยุดฝีเท้าลง กล่าวอย่างแช่มช้า “นี่มันกระบวนท่าจากโบราณกาล แถมดูเหมือนว่าจะประเภทนักสู้  แต่เจ้าหนุ่มนั่นยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะสำแดงพลังทั้งหมดของมันออกมาได้…”

“พี่สาวแมงป่อง รีบช่วยฉันจับตัวเขาเร็วเข้า!” วัยรุ่นสาวกระวนกระวาย

“เข้าใจแล้ว”

ราชินีแมงป่องตั้งท่วงท่า หนึ่งมือกุมโล่ หนึ่งมือกุมหอกปีศาจแดง ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า

ส่วนวัยรุ่นสาว มือของเธอตวัดไปในอากาศที่ว่างเปล่า

เธอกำลังจะจั่วไพ่อีกใบออกมา

ทว่าความรู้สึกเย็นเยียบกลับเสียดแทงลึกเข้ามาถึงไขกระดูกเบื้องหลังเธอซะก่อน ขณะเดียวกัน คมกล้าบางอย่างก็ถูกพาดวางลงผ่านไหล่ของเธอ

มันเป็นดาบยาวที่มีสีราวกับหยาดน้ำค้าง

กู่ฉิงซานจี้คอเธอจากเบื้องหลัง

“นาย…” วัยรุ่นสาวอุทานด้วยความตกใจ

กู่ฉิงซานกดดาบลงไปลึกกว่าเดิมเบาๆ

วัยรุ่นสาวหุบปากลงทันที

แล้วจู่ๆ เธอก็เริ่มร้องไห้ออกมา

“นายคิดจะฆ่าฉันหรือ?”

วัยรุ่นสาวถามเสียงสะอื้น

“ไม่ อันที่จริงแล้วฉันแค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย” กู่ฉิงซานกล่าว

ต้องขอบคุณสถานะอันแสนพิเศษของขอบเขตพันวิบัติ เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่าตัวเองจะตาย การรับรู้ทางจิตวิญญาณก็จะเกิดขึ้น

ทว่า ในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เจ้าตัวกลับไม่ได้ตระหนักถึงลางสังหรณ์ที่ว่าเลย

ประจวบกับเมื่อพิจารณาจากคำพูดและการกระทำของวัยรุ่นสาว จะพบว่า แม้เธอจะมีพลังมากมาย แต่เธอก็มิได้ตั้งใจใช้มันอย่างเต็มที่เพื่อฆ่าเขา

ไม่ว่าจะเป็นการผนึกอาวุธ ใช้หุ่นเชิดต่อสู้ อัญเชิญราชินีปีศาจแมงป่อง แม้กระทั่งหอกปีศาจแดง แท้จริงแล้วที่กล่าวมาล้วนเป็นอะไรที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง

เธอเอาแต่พูดว่าต้องการบางสิ่งบางอย่างจากตัวเขา

แต่กู่ฉิงซานตอนนี้เป็นยาจก แล้วเธอมาเห็นของมีค่าอะไรในตัวของเขากัน?

“ยกเลิกไพ่ทั้งหมดของเธอซะ แล้วมาคุยกันดีๆ” กู่ฉิงซานกล่าว

วัยรุ่นสาวปฏิบัติตามเขา

ไพ่ทั้งหมดถูกยกเลิก สักพักหนึ่งมันก็หายไป

เหลือแค่เพียงราชินีปีศาจแมงป่องที่ยังไม่จากไป

ราชินีแมงป่องลดระดับจากฟากฟ้า หยั่งเท้าลงบนผืนทราย เฝ้ามองดูฉากเบื้องหน้าเธออย่างเงียบๆ

“วางใจเถอะ สัญญาของข้ากับไพ่ได้หมดลงแล้ว เวลานี้ข้าเพียงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นนิดๆ หน่อยๆ ดังนั้นจึงเลือกที่จะอยู่ต่อ” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง

กู่ฉิงซานเหลือบมองเธอ

แน่นอน เขารู้ว่าเธอแข็งแกร่ง แต่ทว่าก็ไม่ได้ระเบิดมันออกมาตั้งแต่แรกเริ่ม

ได้ยินมาว่าไพ่อัญเชิญจะเชื่อมต่อกับจิตใจของผู้ใช้ไพ่ และจะลงมือต่อสู้ตามความคิดของผู้ใช้ไพ่

ราชินีแมงป่องคร้านที่จะต่อสู้ เกรงว่านั่นมันคงเป็นเพราะว่าวัยรุ่นสาวไม่ได้มีเจตนาที่จะให้การต่อสู้มันลุกลาม บานปลายมากเกินไปนั่นเอง

กู่ฉิงซานละความสนใจจากราชินีแมงป่อง หันมาถามวัยรุ่นสาว “เธอสังเกตเห็นฉันตั้งแต่แรก ดังนั้นเธอเลยคิดชวนฉันเข้าร่วมทีมชั่วคราวใช่ไหม?”

“ใช่” วัยรุ่นสาวตอบอย่างเชื่อฟัง

“หมายความว่าเธอคิดจะปล้นฉันแต่แรกแล้ว?”

“ใช่”

“แต่ฉันไม่มีเงิน แล้วทำไมเธอถึงได้เลือกที่จะมาปล้นคนอย่างฉัน”

“ฉันไม่ได้ต้องการปล้นเงินของนาย” วัยรุ่นสาวร้อนรน

“เธอต้องการอะไร?” กู่ฉิงซานถาม

วัยรุ่นสาวเหลือบตามองคมดาบที่พาดไหล่ของเธอ เจ้าตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย น้ำตาร่วงหล่นลงกับผืนทราย

‘มันจบแล้ว ทั้งๆ ที่ในที่สุดฉันก็หนีออกมาได้แล้วแท้ๆ แถมยังโชคดีพบกับแสงแห่งความหวัง แต่สุดท้ายตอนจบก็ยังสิ้นหวังอยู่ดี’

วัยรุ่นสาวร่ำไห้ “ฉันก็แค่…ต้องการไพ่บนตัวนาย”

ไพ่?

กู่ฉิงซานนิ่งค้างไป ขบคิดเล็กน้อย

แล้วเขาก็หยิบไพ่ใบหนึ่งออกมา

มันเป็นไพ่สีแดงเลือด บนหน้าไพ่เป็นรูปของมอนสเตอร์สูงตระหง่านราวกับขุนเขา สองตาของมันหรี่แคบเป็นแนวตั้ง พร้อมด้วยคู่ปีกสีเทาที่หุบอยู่ตรงแผ่นหลัง

เบื้องหลังของมอนสเตอร์ คือดงมอนสเตอร์ ที่มากมายจนมิอาจนับจำนวนได้

พวกมันทั้งหมดยืนเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย จัดเรียงกลุ่มกองแบ่งกันเป็นสี่เหลี่ยม ทุกตนถืออาวุธในมือ และต่างเผยเจตนาฆ่าออกมา

ไพ่สงคราม เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด

เมื่อถือไพ่ใบนี้ บรรทัดแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นในสายตาของกู่ฉิงซาน

“ไพ่สงคราม เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด”

“คุณเป็นเจ้าของไพ่ใบนี้”

“ด้วยเหตุผลบางประการ เทพแห่งกองทัพทะเลเลือดได้ทำสัญญากับคุณ และเขาจะเชื่อฟังในทุกๆ การเรียกขานและคำสั่งของคุณ”

นี่คือไพ่ที่ซูเซี่ยเอ๋อมอบมันให้แก่เขา โดยบอกว่าเป็นการแลกกันกับไพ่พยากรณ์โชคชะตา

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวว่าไพ่ใบนี้เป็นหลักประกันว่าเธอจะหยิบยืมไพ่พยากรณ์โชคชะตาไปชั่วคราว และจะนำมันกลับมาคืนให้แก่เขาอย่างแน่นอน

นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่ซูเซี่ยเอ๋อคิดช่วยป้องกันภัยแก่กู่ฉิงซาน

เธอกลัวว่ากู่ฉิงซานจะยังต้องเผชิญกับอันตราย ดังนั้นก่อนที่เธอจะจากไป ซูเซี่ยเอ๋อจึงตัดสินใจมอบไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเธอเองให้แก่เขา และบังคับเขาลงนามทำสัญญากับทะเลเลือด

“เธอต้องการไพ่ใบนี้ใช่หรือเปล่า?” กู่ฉิงซานถาม พลางยื่นอีกมือหนึ่งที่กุมไพ่ออกไปเบื้องหน้าวัยรุ่นสาว

“อ๊า ใบนี้แหละ!”

วัยรุ่นสาวจ้องมองไพ่ทะเลเลือด ดวงตาของเธอเปล่งประกายสดใส คล้ายลืมเลือนไปแล้วว่ามีคมดาบกำลังจ่อคอยของเธออยู่

“เธอต้องการใช้เจ้าสิ่งนี้ทำอะไร?”

“ขอสารภาพตามตรงว่าฉันแอบหนีออกมา”

“หา?”

วัยรุ่นสาวกล่าวด้วยความท้อแท้ “ฉันถูกกักขังไว้โดยบุคคลที่แสนจะน่าหวาดกลัว เขาทุ่มพยายามอย่างสุดแสนที่จะให้ฉันยอมจำนนต่อเขา ต้องการให้ฉันรับใช้เขา แต่เนื่องจากข้อจำกัดบางประการ ทำให้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ขณะเดียวกัน ตัวฉันเองก็ไม่สามารถทำลายโซ่ตรวนที่เขาวางไว้ในร่างกายของฉันได้เช่นกัน”

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “แต่เธอเป็นผู้ใช้ไพ่ที่ร้ายกาจมากเลยนะ ฉันเห็นกับตาว่าเธอยังไม่ได้ลงมือเต็มกำลังด้วยซ้ำ เธอไม่สามารถใช้ไพ่พวกนั้นโค่นเขาลงได้เลยหรือ?”

“เฮ้อ ในช่วงที่ฉันหลับใหล เขาได้ใช้ไพ่ที่ทรงพลังที่สุดกักขัง ตีตรวนฉันเอาไว้ ด้วยเหตุนี้เอง ตามกฎเกณฑ์ของไพ่ หากฉันทำร้ายเขา ทั้งหมดจะล้มเหลวทันที”

“แล้วไพ่ในมือของฉันสามารถช่วยเธอทำลายโซ่ตรวนที่คอยกักขังไว้ได้หรือเปล่า?” กู่ฉิงซานถาม

วัยรุ่นสาวแหงนมองกู่ฉิงซาน เผยสีหน้าอ้อนวอน “ใช่ ท่ามกลางสำรับไพ่นับไม่ถ้วน ทะเลเลือดเป็นสำรับไพ่ที่พิเศษออกไป ตราบใดที่ฉันครอบครองไพ่ทะเลเลือด ฉันก็จะสามารถเรียกพลังของทะเลเลือดออกมาต่อกรกับเขาได้ หากเป็นในกรณีที่ฉันอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์แห่งไพ่ ฉันอาจจะหนีรอดไปได้ก็ได้”

กู่ฉิงซานเดิมทีกำลังจะกล่าวต่อ แต่บางคำในประโยคเมื่อครู่มันสะกิดใจเขาจนชะงักไป

เพราะนั่นมันเป็นเรื่องน่าตกใจจนถึงขั้นทำให้สีหน้าของเขาต้องแปรเปลี่ยน

เขาสูญสิ้นเสียงของตัวเอง “เดี๋ยวก่อนนะ นี่เธอเองก็เป็นไพ่หรือ?”

วัยรุ่นสาวเมื่อเห็นการแสดงออกที่อึ้งทึ่งของกู่ฉิงซาน เจ้าตัวก็เชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ใช่ จริงๆ แล้วฉันเป็นไพ่ ก่อนหน้านี้ฉันหลับใหลไปนาน ไม่อย่างนั้นนายคิดหรือว่าฉันจะยอมให้เขาใช้ทุกชนิดของกฎเกณฑ์มาล่ามฉันเอาไว้แบบนี้”

กู่ฉิงซานลูบหน้าผากเขา พยายามบังคับให้ตัวเองสงบลง

เขาเพิ่งจะเข้ามาในเมืองเป็นครั้งแรก รับภารกิจจากศูนย์แรงงาน ออกมาจากเมือง แล้วก็ดันถูกปล้นโดยอีกฝ่าย

ไม่ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

สิ่งสำคัญก็คือ…

“เธอรู้หรือเปล่า ว่านอกจากการปล้นแล้ว มันยังมีวิธีสันติ ที่จะสามารถได้รับสิ่งของจากผู้อื่นอยู่อีกนะ” เขาถาม

“นายกำลังหมายถึงทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนใช่หรือเปล่า?”

วัยรุ่นสาวมองเขาด้วยความเสียใจ ก้มหัวลง กล่าวตะกุกตะกัก “แต่ฉันคงไม่ใช่ไพ่อย่างที่นายคิดหรอก…”

กู่ฉิงซานนิ่งไปสักพัก เพื่อพยายามทำความเข้าใจถึงความหมายของอีกฝ่าย

และแล้วเขาก็ตะโกนด้วยความโกรธ “ไพ่แบบไหนกันที่ฉันคิด? นี่เธอจินตนาการเลยเถิดไปถึงไหน!”

“ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่านายพูดเรื่องการแลกเปลี่ยนออกมา ในหัวคงกำลังคิดอยู่แต่เรื่องหื่นกามล่ะสิ!” วัยรุ่นสาวโต้ตอบ

กู่ฉิงซานถูกตอกกลับด้วยประโยคนี้ ก็สตั้นไป

เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะควบคุมอารมณ์ตนเอง ไม่ให้ตวัดดาบ ฟันคอของวัยรุ่นสาว

เขาสูดลมหายใจเข้า หายใจออก อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนในที่สุดก็สงบสติอารมณ์ลงได้

“ฉันหมายถึงการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมต่อกันและกัน ไม่ใช่การบังคับขืนใจอีกฝ่าย” เขาเอ่ยปากในท้ายที่สุด

“เอ๊ะ? นั่นมันหมายความว่าอย่างไร?”

วัยรุ่นสาวนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง เมื่อไม่ได้คำตอบ เธอก็เอื้อมมือไปคว้าพจนานุกรมจากด้านหลัง เปิดมัน ไล่หาคำที่กู่ฉิงซานพูด “ขอโทษที พอดีฉันไม่คุ้นเคยกับศัพท์อะไรแบบนี้ ฉันตรวจสอบความหมายดูแล้ว ความหมายของการแลกเปลี่ยนมันตรงตามที่นายบอกจริงๆ”

“ฉะนั้น ถ้าฉันต้องการไพ่ในมือนาย แล้วนายต้องการแลกเปลี่ยนอะไรจากฉัน?” วัยรุ่นสาวถาม

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ฉันต้องการเธอ”

วัยรุ่นสาวยกมือขึ้นทาบอก “นั่นไง นายมันหื่นกามจริงๆ ด้วย”

“ฟังให้จบก่อนจะได้ไหม!!”

“ไม่ต้องฟังจบก็รู้แล้ว ฉันเดาใจจริงของนายออกหรอก!” วัยรุ่นสาวถลึงตาใส่เขา

เส้นเอ็นแห่งความโกรธเกรี้ยวเริ่มผุดขึ้นมาตามใบหน้าและแขนของกู่ฉิงซาน เขาแทบอดใจไม่ไหวที่จะเหวี่ยงดาบออกไป

“ฟังให้จบ ฉันต้องการเธอ ให้เธอช่วยรักษาใครสักคนหนึ่ง แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเธอมีความสามารถในการรักษาหรือเปล่า” เขารีบพูดให้มันจบๆ ไปในลมหายใจเดียว

“อ้าว เป็นแบบนั้นเองหรือ?” วัยรุ่นสาวอุทาน

“ก็ใช่ไง หรือเธอคิดว่ามันเป็นอะไรล่ะ!”

ราชินีแมงป่องอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เอ่ยพึมพำเบาๆ “ดูเหมือนว่าการตอบรับคำอัญเชิญในครั้งนี้จะไม่สูญเปล่าแล้ว…”

วัยรุ่นสาว “ฉันมีไพ่รักษาอยู่ไม่น้อยเลย มันสามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บต่างๆ ได้นี่ไม่น่าจะมีปัญหา”

“แล้วถ้ามันเป็นบาดแผลที่แม้กระทั่งเทพวิญญาณก็ยังไม่มีวิธีรักษาล่ะ เธอจะสามารถรักษามันได้ไหม?” กู่ฉิงซานถาม

“ในกรณีนั้นฉันคงต้องไปดูมันด้วยตัวเอง ตอนนี้คงไม่สามารถรับประกันได้” วัยรุ่นสาวกล่าวจริงจัง

กู่ฉิงซานพยักหน้า

เนื่องจากอีกฝ่ายแสดงออกอย่างจริงจัง ฉะนั้นมันจึงมีค่าพอให้เขาเชื่อใจ

ตรงกันข้าม ถ้าวัยรุ่นสาวอวดโอ่ด้วยความภาคภูมิใจ เขาคงเลือกที่จะไม่เชื่อเธอ

ทว่าโดยไม่ทันคาดคิด จู่ๆสีหน้าของวัยรุ่นสาวก็เปลี่ยนไป “แย่แล้ว! เขากำลังจะจับฉันกลับไป!”

เห็นแค่เพียงโซ่หนามสีดำผุดออกมา รัดตรึงกายเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา

“นี่น่ะหรือคือโซ่ที่ใช้กักขังเธอ?” กู่ฉิงซานถาม สายตากวาดมองโซ่ตรวน

“ใช่ อนิจจา ฉันคงไม่สามารถทำตามข้อตกลงของพวกเราได้แล้ว” วัยรุ่นสาวกล่าวอย่างเศร้าๆ

โซ่ดำเริ่มฉุดลากเธอขึ้นไปบนท้องฟ้า ตรงไปยังทิศทางหนึ่ง

กู่ฉิงซานเงียบงันไปครู่

‘ชีวิตของหยุนจีกำลังตกอยู่ในอันตราย’

‘หากพลาดโอกาสนี้ไป ฉันคงจำเป็นต้องเสียทั้งแรงและเวลา เพื่อที่จะได้รับเงินมา ไหนจะยังต้องควานหาวิธีการรักษาที่ถูกต้องอีก’

‘ถึงเวลานั้นมันคงจะสายเกินไปแล้ว’

วินาทีนั้นดวงตาของกู่ฉิงซานพลันสาดประกายคมกล้า

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาโบยบินขึ้นไปบนฟากฟ้าทันใด

แสงดาราเปล่งประกายออกมาจากดาบยาว ราวกับดาวตกร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า ลอยตรงไปยังทิศทางวัยรุ่นสาว

ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!

เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!

แสงดาวเจิดจรัสกลายเป็น เส้นแสงเล็กๆ ตัดไปยังจุดที่โซ่ทมิฬรัดพันตัววัยรุ่นสาว

พลังศักดิ์สิทธิ์ แหกกฎ!

โซ่หนามสีดำพลันแตกกระจาย แต่เดิมที่เคยรัดพันจนแน่นคลายออก ร่วงหล่นหายไป

ดาบยาวกะพริบไหว บินกลับมาข้างกายกู่ฉิงซาน

สีหน้าของวัยรุ่นสาวแสดงออกถึงความสุข แต่สักพักมันก็เปลี่ยนเป็นหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว

เธอตะโกนไปทางกู่ฉิงซาน “เขากำลังจะมาแล้ว พวกเราจะต้องรีบหนีทันที!”

ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหว พริบตาเดียวก็โผล่มาคว้าจับเธอกลางอากาศ

“ถ้าเธอไม่อยากจะถูกจับ ก็รีบเปลี่ยนเป็นไพ่เดี๋ยวนี้!”

เขาสั่งเพียงสั้นๆ

ในเวลานี้ วัยรุ่นสาวกลายเป็นหลักแหลม เธอเปลี่ยนร่างตนเป็นไพ่โดยตรง

กู่ฉิงซานคว้าไพ่ เก็บมันใส่ถุงสัมภาระ

เขากวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปให้ไกลที่สุด และใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว

พริบตานั้นเขาก็หายไปจากบนฟ้า และปรากฏขึ้นอีกครั้งในขอบฟ้าไกล ห่างออกไปหลายร้อยลี้

กู่ฉิงซานไม่กล้าจะชะล่าใจ และเขาไม่สนเลยว่าจะต้องเสียพลังวิญญาณไปเท่าไหร่ ตนเริ่มใช้ออกด้วยร่นระยะอีกครั้ง!

ชั่วพริบตา ร่างเขาก็ไกลห่างออกไปอีกที

หนึ่งลมหายใจ

สองลมหายใจ

สามลมหายใจ

และแล้ว ณ ในจุดที่ทั้งสองเพิ่งจะต่อสู้กัน

ก็ปรากฏถึงเส้นแสงสีดำหยดย้อยลงมาจากผืนฟ้า ..

…………………………………

กู่ฉิงซานตะลึงงันไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบสนองต่อคำกล่าวของอีกฝ่าย

เขาเหยียดมือ คว้าจับอากาศที่ว่างเปล่า เรียกธนูเย่หยูออกมา

ช่วงเวลานี้ มันก็ล่วงเลยมาจนถึงกลางดึกแล้ว สายลมพัดฝุ่นและเม็ดทรายขึ้นไปบนฟากฟ้า กระจายออกไป เผยให้เห็นถึงดวงจันทร์เปล่าเปลี่ยว สาดแสงลงมาจากเบื้องบน

กู่ฉิงซานยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ เจตนาฆ่าจากทั้งคนทั้งร่างเริ่มฟุ้งขึ้นมาหลายส่วน

ตามปกติ หากมีคนมากล้ามาพูดกับเขาแบบนี้ เขาคงจะลงมือเชือดมันไปแล้ว

แต่ขณะนี้ กู่ฉิงซานยังคงพยายามควบคุมอารมณ์ของเขาอย่างถึงที่สุด ยังไม่ลงมือออกไป

เพราะท้ายที่สุดนี้ เขาน่ะเป็นทหารที่ข้ามผ่านการสงครามมาแล้วมากมาย แต่ตรงกันข้าม มองย้อนกลับไป ทั้งสามเบื้องหน้าเป็นเพียงหน้าใหม่ แถมยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ

อีกอย่าง ตลอดระยะเวลาที่ร่วมทางกันมา ทั้งสามก็ประพฤติตัวอย่างสุภาพและจริงใจต่อเขา

บางครั้งทั้งสามก็ใส่ใจ และแสดงออกถึงความเคารพต่อกู่ฉิงซาน

แต่ทำไมตอนนี้…ถึงได้คิดมาปล้นเขาล่ะ?

เป็นเรื่องที่หาได้ยากนัก ที่กู่ฉิงซานจะเกิดความรู้สึกสับสน เหมือนกันกับในสถานการณ์ปัจจุบันนี้

เขายิ้มและเอ่ยถาม “โทษที ฉันได้ยินผิดไปหรือเปล่า เมื่อกี้เธอพูดว่า…ปล้น?”

วัยรุ่นสาวพยักหน้า “ไม่ผิดนะ นี่คือการปล้น”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายของเธอ วัยรุ่นสาวก็ดูจะโล่งใจเล็กน้อย

กู่ฉิงซานมองเธอ แล้วสลับไปมองเพื่อนเธออย่างรวดเร็ว

เขาพบว่าวัยรุ่นชายสองคนได้ย้ายออกจากจุดเดิม เบี่ยงซ้าย เบี่ยงขวา เข้าขนาบเขาให้อยู่กลางวงล้อม

ดูเหมือนว่า…

คงคิดจะปล้นจริงๆ

นิ้วเรียวของกู่ฉิงซานลูบไล้ไปตามคันธนูเย่หยู ก่อนจะนิ่งงันไม่ไหวติง

เขาพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองอีกครั้ง

วัยรุ่นสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขา สีหน้าของเธอฉายแววไร้เดียงสา ดวงตาเปล่งประกายสดใส วิธีการพูดก็ดูขี้อายและจริงใจ ชายกระโปรงยาวของเธอโบกไสวไปกับสายลมยามค่ำคืน โดยรวมแล้วดูราวกับเทพธิดาที่จุติลงมาบนโลกใบนี้

เมื่อต้องเผชิญกับฉากน่าประทับใจดังกล่าว กู่ฉิงซานจึงรู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะลงมือ

เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เธอคิดจะปล้นฉัน แล้วรู้หรือเปล่าว่าการปล้นมันหมายความว่าอย่างไร?”

วัยรุ่นสาวชะงักงัน

“อ่า…คือว่า…”

เธอเอื้อมไปด้านหลัง รีบฉวยหยิบพจนานุกรมมา แล้วพลิกหน้ากระดาษมันอยู่นานสองนาน ก่อนจะพบกับคำที่ต้องก่อน

ปากเปล่งเสียงกระซิบท่ามกลางแสงจันทร์ “การปล้น หมายถึงการที่หมากของฝ่ายหนึ่ง ล้อมรอบอีกฝั่งหนึ่งได้ และฝั่งที่ชนะจะได้กินหมากของอีกฝั่ง คิดว่าไม่น่าจะใช่ความหมายนี้ ขอโทษที ขอหาอีกรอบนะ”

เธอมองกู่ฉิงซาน ก้มหัวขอโทษ และเริ่มค้นหาต่อไป

กู่ฉิงซานยืนถือธนูเย่หยู เฝ้ารอวัยรุ่นสาวค้นหาคำตอบอย่างเงียบๆ

หากจะต้องเจอศัตรูที่ร้ายกาจ กระโจนเข้าสู่อันตราย ฟาดฟันต่อสู้อย่างหนักหนาสาหัส กู่ฉิงซานจะไม่หวั่นเลย

…แต่ถ้าต้องมาสู้กับคนที่ใสซื่อแบบนี้

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างลับๆ

หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง

ในที่สุดวัยรุ่นสาวก็ยืดอกขึ้น เปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “การปล้น หมายถึงการหยุดอีกฝ่าย แล้วขโมยทรัพย์สินของเขามาเป็นของตัวเอง”

ว่าจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองแสงจันทร์บนท้องฟ้า ทั้งคนทั้งร่างเริ่มวิตกกังวล

“อา เวลาใกล้จะหมดลงแล้ว”

แล้วจู่ๆ เธอก็ตะโกนออกมา “เทคนิคต้องห้าม!”

ขนาบข้างกับกู่ฉิงซาน หนึ่งในสองวัยรุ่นชายพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง บินกลับเข้ามาในมือของเธอ

เขาได้กลายเป็นไพ่ไปแล้ว!

วัยรุ่นสาวเผชิญหน้ากับกู่ฉิงซาน จากนั้นพลิกไพ่นี้เข้าหาเขาและกล่าว “เทคนิคต้องห้ามอาวุธ คันธนูและลูกศร!”

กู่ฉิงซานยังไม่ทันจะได้ตอบสนอง ธนูเย่หยูก็หายวับไปจากมืออย่างกะทันหัน

ธนูเย่หยูและถุงใส่ลูกศรของเขา ทั้งหมดหายไป และปรากฏขึ้นภายในไพ่ของวัยรุ่นสาว บนมือของวัยรุ่นชายที่อยู่ภายใน

วัยรุ่นสาวกล่าวเสียงเย็น “ตอนนี้การโจมตีของนายก็ได้ถูกผนึกเอาไว้แล้ว ดังนั้นส่งมอบอย่างบางที่เก็บเอาไว้ออกมาซะ”

กู่ฉิงซานหาได้ตื่นตระหนกไม่ เขาหัวเราะ “แล้วถ้าฉันไม่ให้ล่ะ?”

พริบตานั้น เขาพลันหันขวับ เหวี่ยงกำปั้นหวดเข้าใส่เบื้องหลัง

สกิลเทวะ สวรรค์ล่มสลาย!

ปัง!

ด้วยหมัดนี้ของเขา วัยรุ่นชายอีกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ถูกคลื่นอัดอากาศซัดเปรี้ยง!เข้าใส่ ลอยคว้านขึ้นไปในอากาศ

สีหน้าของวัยรุ่นสาวแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “จริงๆ แล้วยังมีความสามารถด้านเพลงหมัดด้วยสินะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้อง”

เธอจั่วไพ่ออกมาจากในความว่างเปล่า

บนหน้าไพ่ ปรากฏภาพของวัยรุ่นชายที่เพิ่งกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้าเมื่อครู่

กลับกลายเป็นว่าวัยรุ่นชายทั้งสองคน แท้จริงแล้วเป็นไพ่ของเธอทั้งหมด!

วัยรุ่นสาวถือไพ่ใบนี้ ขณะที่อีกมือหนึ่งจั่วไพ่ชุดเกราะออกมาจากในความว่างเปล่า

ภายในไพ่ชุดเกราะ ประกอบไปด้วยเกราะไหล่ เกราะหน้า เกราะหัว เกราะแขน เกราะขา…

เธอสะบัดไพ่เบาๆ เรียกพวกมันออกมา ทันใดนั้นวัยรุ่นชายทั้งในไพ่และนอกไพ่ก็พลันถูกสวมทับไปด้วยชุดเกราะ

หากได้รับอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ วัยรุ่นชายก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยกังวลเกี่ยวกับเรื่องถูกโจมตีด้วยเพลงหมัดอีกต่อไป

และขณะเดียวกัน ก็สามารถทุ่มเทสมาธิ เน้นไปยังการโจมตีให้หนักหน่วงขึ้น!

“มันจบแล้ว นายไม่สามารถชนะฉันได้หรอก ได้โปรดมอบสิ่งที่นายมีมาเถอะ!” วัยรุ่นสาวตะโกน

แต่กู่ฉิงซานมิได้เอ่ยสิ่งใด

จู่ๆ เจ้าตัวก็คว้ากระบี่ยาวออกมา จ้วงแทงราวกับพายุไปถึงยี่สิบสี่กระบี่ บีบบังคับให้วัยรุ่นชายที่สวมใส่เกราะรบเต็มตัวต้องล่าถอยออกไป

ขณะเดียวกันก็ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ ตบลงในถุงสัมภาระตน

ชุดเกราะนายพลชั้นเฉินเว่ยถูกเรียกออกมา มันแยกกระจัดกระจาย และประกอบติดไปตามส่วนร่างกายต่างๆ ของกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว

เขาปิดใบหน้าด้วยหน้ากากทองคำ จ้องมองไปทางวัยรุ่นสาวและกล่าว “มาลองกันอีกครั้ง”

วัยรุ่นสาวพอเห็นก็กัดฟันกรอด เธอหยิบดาบสั้นของตัวเองออกมา วางมันลงในไพ่ของวัยรุ่นชาย

พริบตานั้นในมือของวัยรุ่นชายปรากฏดาบสั้นขึ้นมาทันที

เขาตั้งหลัก ปราดเข้าหากู่ฉิงซานอีกครั้งพร้อมกันกับฟาดคมดาบที่สาดประกายแสงสีหมึกเข้าใส่กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

เพราะที่กำลังเผชิญ มันคือพลังจากหนึ่งในห้าธาตุจำเพาะ ที่ประกอบไปด้วย ลม สายฟ้า แสง ความมืด และเสียง

สกิลดาบสั้นประเภทนี้ กล่าวได้ว่าเป็นสกิลดาบสั้นระดับสูง เป็นสกิลดาบสั้นที่ใช้จิตวิญญาณธาตุความมืด ผสานเข้าไปในกระบวนท่าดาบ

ไม่คาดคิดเลยว่าแค่ไพ่ แต่กลับสามารถทำได้ถึงขนาดนี้!

อย่างไรก็ตาม กว่าจะคิดได้ว่าสมควรจะหยิบยื่นดาบสั้นมาช่วยสู้ มันก็สายเกินไปแล้ว! พริบตานั้นเอง ประกายแสงสีน้ำเงินพลันถูกจุดขึ้น

กู่ฉิงซานพรวดออกมาข้างหน้า

บนใบมีดของกระบี่จักรพรรดิศพ สาดประกายแสงสีน้ำเงินซ้อนทับกันอย่างรุนแรง

สองคมเหล็กกล้าปะทะเข้าหากัน

ตูม!

พลังธาตุทั้งสอง หนึ่งน้ำเงินหนึ่งดำ สาดแสงและเงาออกมาอย่างต่อเนื่อง กระจัดกระจายไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก

กู่ฉิงซานก้าวถอยหลัง เอ่ยปากออกมาอย่างจงใจ “ต้องการบางสิ่งจากฉันหรือ? ถ้าเช่นนั้นเธอคงมีทางเดียวแล้วล่ะ นั่นคือต้องฆ่าฉันซะก่อน แล้วค่อยชิงมันไป!”

วัยรุ่นสาวส่ายมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “แบบนั้นไม่ได้นะ! ฉันไม่อยากจะฆ่าคุณ เพราะคุณเป็นคนดี!”

กู่ฉิงซานสตั้นไป เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว

ข้อสรุปของเขา มันไม่ผิดพลาดจริงๆ

อีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่าเลย

แล้วถ้าอย่างนั้น ไอ้การต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นนี่มันคือเรื่องบ้าอะไรกัน?

วัยรุ่นสาวเผยท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องใช้ความแข็งแกร่งที่มากกว่า บังคับให้เขาจำนนแต่โดยดีซะแล้ว” เธอพึมพำกับตัวเอง

ระหว่างกล่าว ไพ่ใบหนึ่งก็ถูกจั่วขึ้นมา

ไพ่ใบนี้แตกต่างจากไพ่ก่อนหน้า

ไพ่ก่อนหน้าที่เธอจั่วขึ้น บริเวณส่วนหลังและขอบไพ่มันมีสีดำ ทว่าไพ่ใบล่าสุดกลับมีสีแดงเข้ม

ส่วนหน้าไพ่ มันฉายไปด้วยแสงสีแดงแพรวพราว

ส่งผลให้ไม่สามารถมองเห็นถึงสิ่งที่อยู่บนไพ่ได้อย่างชัดเจน

“หอกปีศาจแดงจงปรากฏ” วัยรุ่นสาวเปล่งเสียงกระซิบ

มืออีกข้างของเธอเหวี่ยงไปจั่วไพ่อีกใบออกมาอย่างรวดเร็ว และโยนมันออกไป

“ราชินีปีศาจแมงป่องจากหุบเหวแห่งบาปเอ๋ย จงปรากฏกายเพื่อช่วยเหลือเรา!”

ปัง!

ไพ่ระเบิดฟุ้ง กลายเป็นเขม่าควัน

พร้อมกันกับผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์เป็นแมงป่อง ปรากฏกายขึ้นในทะเลทราย

ทั้งร่างของเธอสาดประกายเย็นเยียบและมืดมน โดยมีโล่เล็กๆ ที่ดูประณีตอยู่ในมือของเธอ

“ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่สามารถอัญเชิญข้ามาได้…”

ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะเบาๆ

ในเวลาเดียวกัน วัยรุ่นสาวก็โยนไพ่สีแดงเข้มออกไป

ราชินีปีศาจแมงป่องยืนมือออกไปรับ

ทันใดนั้นหอกยาวที่สาดแสงสีแดงเข้มอันไร้ที่สิ้นสุดก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ

เธอยกโล่ขึ้น วางหอกประทับลงเหนือมัน หมุนควงหอกกระทบกับโล่ส่งเสียงกึ้งๆๆ ข่มขวัญอย่างต่อเนื่อง แล้วค่อยๆตรงเข้าหากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานมองไปที่หอกยาว สีหน้าของเขาเริ่มจะหนักอึ้งขึ้น

จากหอกยาว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคมกล้าอันหาที่เปรียบไม่ได้ของมัน

เขายกกระบี่จักรพรรดิศพขึ้น

แต่วัยรุ่นสาวก็ฉวยโอกาสผนึกอีกครั้ง

เธอหยิบไพ่ใบแรกออกมา แล้วเล็งไปทางกู่ฉิงซาน

“เทคนิคต้องห้าม อาวุธกระบี่”

ทันใดนั้นเอง กระบี่ยาวในมือของกู่ฉิงซานก็หายวับ ไปปรากฏอยู่ภายในไพ่

บัดนี้ภายในไพ่ ปรากฏภาพของวัยรุ่นชายที่หนึ่งมือถือธนู อีกหนึ่งมือถือกระบี่ และสะพายถุงเก็บลูกศรเอาไว้เบื้องหลัง

ณ จุดนี้ ธนูและกระบี่ของกู่ฉิงซานได้ถูกผนึกไว้ในไพ่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อเห็นว่าราชินีแมงป่องกำลังใกล้เข้ามา กู่ฉิงซานก็ดีดตัวถอยหลังไป

สัญชาตญาณของเขาร้องเตือนว่าให้ระวังหอกปีศาจแดงเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่กล้าพอที่จะรับมันด้วยมือเปล่า

“น้องชาย อย่าหนีเลยดีกว่าน่า” ราชินีปีศาจแมงป่องหัวเราะคิกคัก

แล้วเธอก็เร่งความเร็วขึ้น

หลังจากนั้นสองลมหายใจ กู่ฉิงซานก็ไม่อาจหลบเลี่ยงเธอได้อีกต่อไป

กู่ฉิงซานพยายามยืดเวลาให้นานที่สุด หนึ่งมือยื่นออก จีบด้วยวิชาลับ พร้อมกันกับพลังสายฟ้าจากทั้งคนทั้งร่างถ่ายเทไปยังมัน

ปรากฏสามหลุมดำผุดขึ้นเบื้องหน้าเขา

เปรี้ยง!

สายฟ้าสีน้ำเงินเข้มวิ่งแยกออกเป็นสามกลุ่มก้อน มันพรวดออกปะทะเข้าใส่ราชินีแมงป่องโดยตรง

สายฟ้าโกลาหล!

ราชินีแมงป่องหยุดฝีเท้าของเธอทันที และยกโล่ในมือขึ้นปัดป้อง

สามกลุ่มก้อนสายฟ้าปะทะกับโล่เล็ก กระจัดกระจายหายไปในทันใด

ห่างออกไปหลายร้อยเมตรจากทั้งสอง สามกลุ่มสายฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง และปะทะเข้ากับผืนทราย

ตูม!

ภายใต้แสงจันทร์อันหนาวเหน็บ เม็ดทรายระเบิดพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ปลิวว่อนไปทั่ว

กู่ฉิงซานดีดตัวถอยอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง

กู่ฉิงซานหันขวับ! เงยหน้าขึ้นอย่างแรง

เห็นแค่เพียงวัยรุ่นชายที่ถูกซัดปลิวไปก่อนหน้านี้ กำลังโฉบลงมา พร้อมกับฟาดดาบสั้น โถมเข้าใส่เขา

วัยรุ่นชายเฝ้ารอคอยมานานแล้ว และในที่สุดเขาก็สามารถคว้าจังหวะพลั้งเผลอของอีกฝ่ายได้เสียที

ในช่วยเวลานี้ เบื้องล่างของวัยรุ่นชาย ศัตรูของเขาเพิ่งจะจบการร่ายคาถา แถมยังมือเปล่า ดังนั้นย่อมไม่มีทางที่จะต่อต้านตนเองได้

“ถ้านายยังไม่อยากตาย ก็ยอมแพ้ซะ!”

วัยรุ่นชายตะโกน หวดฟาดคมดาบสั้นลงมา

เมื่อประโยคนี้จบลง เขาก็มาถึงเหนือหัวของกู่ฉิงซานแล้ว

ห้วงเวลาราวกับหยุดนิ่งไปเสี้ยวหนึ่ง ตามร่างกายของกู่ฉิงซาน พลันฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายโบราณอย่างกะทันหัน

ร่างเขาวูบไหวเป็นเงา ปากอ้าคำรณสะบัดตัวขึ้นสู่ฟากฟ้า กระแทกโจมตีเข้าใส่วัยรุ่นชายอย่างแรง

วัยรุ่นชายเหวี่ยงดาบสั้นในมือตน ทว่าดาบดันกระดอนกลับคืนด้วยพลังที่มองไม่เห็นก่อนที่มันจะทันได้สัมผัสลงกับร่างของกู่ฉิงซาน

ขณะเดียวกัน จู่ๆ บนตัวของกู่ฉิงซานก็ปรากฏร่างเงาขึ้น มันเป็นร่างเงาของผู้หญิงที่บริเวณส่วนหัวเต็มไปด้วยงู แผ่กลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามออกมา

ซัดเปรี้ยง!

บังเกิดเสียงดังหนักทึบ กังวานไปทั้งสี่ทิศ

สกิลเทวะ ตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตน!

หลังจากการปะทะนี้ วัยรุ่นชายก็สลายกลายเป็นควันหายไปเลยโดยตรง

ขณะเดียวกัน ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานก็กลายรูปเป็นร่างคล้ายกับมังกรคลั่ง โผทะยาน แหวกเมฆหมอก เจาะผ่านขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรี

………………………………….

ทันทีที่เข้ามาในเมือง หนังสือชำรุดเก่าๆ ก็ลอยมาปรากฏต่อหน้ากู่ฉิงซาน

มันจ้องมองกู่ฉิงซาน กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “อันที่จริงแล้ว แขกผู้มีเกียรติทุกคนสามารถเข้าสู่ตลาดมืดได้เลยโดยตรง แต่เฉพาะเจ้าเท่านั้น เจ้าหน้าใหม่ ที่เราผู้ชราต้องเบี่ยงเบนความสนใจมา”

“อาวุโสมีเรื่องอะไรจะถามไถ่?” กู่ฉิงซานกล่าว

หนังสือเก่าแกว่งไปมาสองสามเที่ยวและกล่าว “นี่คืองานของข้า ฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพจนเกินไป มาเถอะ มาเริ่มกันเลย”

มันกลั้วคอเพื่อจะเปล่งเสียงได้ชัดเจน “เป็นกลุ่มอิทธิพลใดที่เจ้าจากมา?”

“…ผมไม่ได้สังกัดกลุ่มไหนเลย”

“เราผู้ชรารู้แล้วนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ทางเข้านั่น” หนังสือเก่ากล่าว “หมายความว่าเจ้ามิใช่เพียงไม่มีกลุ่มอิทธิพลคอยคุ้มหัว แต่ยังเป็นเจ้าหนุ่มที่แสนจะโชคร้ายอีกด้วย ช่างน่าสมเพชซะจริง”

“…”

“นี่หมายความว่าเจ้าเดินทางมายังตลาดมืดแห่งนี้เพียงลำพัง แล้วเจ้าใช้เหรียญอะไร พกเงินมาทั้งหมดเท่าไหร่กัน?”

“ผม…”

กู่ฉิงซานนิ่งงันไปชั่วคราว

ก็แล้วเขาจะไปมีเงินได้อย่างไร?

กล่องเก็บเงินเลขเจ็ดเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็ได้จ่ายมันเป็นค่าโดยสารยานอวกาศไปแล้ว

ตอนนี้เขาหมดตูด ไม่มีเงินเลย

ถึงตอนโยนเงินทิ้งมันจะรู้สึกยอดเยี่ยมมากเลยก็เถอะ แต่ตอนนี้ชักจะรู้สึกเสียใจขึ้นมาซะแล้ว

และดูท่าทีของหนังสือเล่มนี้ น่ากลัวว่าถ้าเขาบอกออกไปว่าไม่มีเงิน คงจะถูกมันไล่ตะเพิดไปแน่ๆ

กู่ฉิงซานเกาหัวและกล่าว “ผมใช้เหรียญเลขเจ็ดส่วนจำนวนก็…น่าจะซักกล่องเต็มกล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง”

หนังสือเก่าถอนหายใจ ก่นด่าดูถูก “เหรียญเลขเจ็ด? เหอะ ตัวก็โต แต่กลับใช้แค่เหรียญระดับต่ำ ช่างน่าสมเพชจริงๆ”

“เพราะฉะนั้นผมเลยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมาที่ตลาดมืดแห่งนี้เพื่อแสวงหาโอกาส” กู่ฉิงซานพูดสนับสนุนความคิดอีกฝ่าย

หนังสือเก่า “เราผู้ชราจะแนะนำเคล็ดลับอะไรให้สักสองข้อนะ ก่อนอื่นเจ้าจงไปเดินสำรวจรอบเมือง แล้วหาซื้อสิ่งที่จำเป็น ใช้จ่ายเงินทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ซะ”

“สอง จงตรงไปทางซ้ายมือราวๆ หกร้อยเมตร ที่นั่นมีศูนย์ส่งเสริมแรงงานประจำตลาดมืดของพวกเราอยู่ เจ้าสามารถรับภารกิจมาทำจากที่นั่นได้ แต่เราผู้ชราไม่เห็นด้วยกับการที่เจ้าต้องต่อสู้เพียงลำพัง เพราะโลกใบนี้มันกว้างใหญ่เกินไป และงานส่วนมาก ระหว่างกระบวนการมันมักจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า และพวกเราเองก็หวังว่าจะได้มืออาชีพที่สามารถดำเนินงานให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

“ดังนั้น ถ้าเจ้าต้องการมีส่วนร่วมในการใช้แรงงานเพื่อแลกกับเงินค่าจ้าง การไปที่นั่นแล้วหาสมาชิกร่วมทีมสักสองสามคนจะเป็นอะไรที่ดีที่สุด จากนั้นก็รับภารกิจในแบบทีมจากทางตลาดมืดซะ”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมท่านถึงไม่ให้ผมรับภารกิจแบบเดี่ยวตั้งแต่แรกไปเลยล่ะ? ไหนบอกว่าต้องการคนที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นผมคนเดียวก็พอแล้วที่จะสามารถทำภารกิจต่างๆ ให้สำเร็จได้”

หนังสือเก่าถาม “เหอๆ ถ้าเจ้าเป็นผู้ทรงพลังจริง คงจะมีเงินดีๆ ติดตัว และไม่ต้องมาทำงานง่อยๆ รายได้ต่ำแบบนี้หรอก ถูกไหม?”

“…”

กู่ฉิงซานถูกหยุดไว้ด้วยประโยคเดียว

“มันไม่มีตัวตนที่ทรงพลังถึงขนาดนั้นอยู่ในเมืองแบบนี้หรอก” หนังสือเก่าอธิบาย “เว้นแต่เจ้าจะสามารถทำภารกิจของที่นี่ได้มากพอ ตรงตามเงื่อนไขของตลาดมืด ซึ่งงานพวกนั้นมันจะถูกสงวนไว้ให้กับมืออาชีพที่ทำภารกิจเพียงลำพัง แม้งานจะยาก แต่เงินที่ได้รับก็จะสูงเช่นกัน”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “โอเค ขอบคุณมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะไปลองดู”

“ไปเถอะ แต่ตอนที่เราผู้ชราเห็นว่าเจ้าอ่านหนังสือแนะนำตั้งหลายเล่มตลอดเวลาที่ต่อแถวเข้าเมือง เลยอยากจะแนะนำอะไรสักหน่อย”

“เชิญชี้แนะ”

“จงอย่าไว้ใจใคร”

“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก”

กู่ฉิงซานหันกลับ และเดินตรงไปยังศูนย์แรงงานในตลาดมืด

ในเวลานี้ กู่ฉิงซานเริ่มมีความกังวลเล็กน้อย

หยุนจีกำลังอาศัยอำนาจเทวะจากผลึกน้ำแข็ง เพื่อรักษาชีวิตของเธอเอาไว้ชั่วคราว

ไม่รู้ว่าเธอจะตายลงเมื่อไหร่

ตนเองจึงต้องเข้าสู่ตลาดมืด เพื่อค้นหาวิธีรักษาเธอ

แต่ถึงจะเข้ามาได้ เขากลับมีสถานะเป็นแค่เพียงคนยากจนที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น

ตามความทรงจำของวังเฉิง ตลอดทั้งหมื่นโลกา สมบัติที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญเงินได้เช่นกัน

แต่ที่พอจะรู้จักกันอย่างกว้างขวางก็มีแค่ศิลาวิญญาณ ทว่าศิลาวิญญาณของเขา มันไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะใช้แลกเปลี่ยนเป็นเหรียญเงินได้

แต่หากต้องการได้รับเงินมากพอ เขาสามารถนำกิ่งไม้สีดำไปขายได้ แต่น่าเสียดาย ที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้เป็นจำนวนเงินเท่าใด มันถึงจะสอดคล้อง ตรงตามการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม

กิ่งไม้สีดำนี้ได้ช่วยชีวิตตนเองจากหายนะโทษทัณฑ์ กู่ฉิงซานไม่มีความคิดที่จะสัมผัสมันด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นถ้ามันซ่อนลูกเล่นอะไรเอาไว้แล้วล่ะก็ หากเขาคิดเสียใจ มันคงจะสายเกินไปแล้ว

ขณะเดียวกัน หากไม่สัมผัสโดยตรง เขาก็จะไม่สามารถใช้พลังเพื่ออ่านคำอธิบายสิ่งของจากระบบเทพสงครามได้

ดังนั้น ในตอนนี้เขาจึงยังเป็นเพียงคนยากจน

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง

เขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรกันนะ?

ระหว่างขบคิด ตนก็เดินเข้าไปยังศูนย์แรงงาน

ทุกอย่างที่นี่ค่อนข้างชัดเจนมาก ภารกิจทั้งหมดได้ถูกเขียนแล้วแปะเอาไว้บนผนังนอกศูนย์แรงงาน

กู่ฉิงซานเดินไปตรงส่วนแนะนำ กวาดสายตาอ่านมันอย่างละเอียด

ก็เหมือนกันกับที่หนังสือเก่าได้อธิบายเอาไว้ แต่เนื้อหามันกลับเฉพาะเจาะจงมากขึ้น

และไม่มีภารกิจเดี่ยวเลย

ส่วนแบบทีมชั่วคราว สามารถรับได้แต่งานง่ายๆ เท่านั้น

ขณะที่ระดับภารกิจแบบทีมถาวร แน่นอนว่ายิ่งยาก รางวัลที่ได้ก็จะยิ่งเยอะ

อย่างไรก็ตาม ในฐานะหน้าใหม่ คุณจะต้องทำภารกิจแบบทีมชั่วคราวเสียก่อน จึงจะสามารถเข้าร่วมภารกิจแบบทีมถาวรได้

นี่นับว่าเป็นการทดสอบสำหรับหน้าใหม่

เพราะถ้าหากคุณไม่แม้จะสามารถบรรลุภารกิจง่ายๆ ของทีมชั่วคราวได้ ก็อย่าคิดฝันว่าจะได้รับภารกิจอื่น หรือกลับมาเสนอหน้าที่นี่อีก

กู่ฉิงซานกำลังอ่านรายละเอียดต่างๆ อยู่ ทันใดนั้นเอง เสียงเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาในหูของเขา

“สวัสดี นายเป็นหน้าใหม่ใช่หรือเปล่า?”

เขาหันไปตามเสียง

เห็นแค่เพียงเด็กหนุ่มหล่อเหลา มองมาทางเขาด้วยรอยยิ้ม

“นายรู้ได้อย่างไรกัน?” กู่ฉิงซานถาม

“ก็เพราะนอกไปจากหน้าใหม่แล้ว มันไม่มีใครหรอกที่จะมายืนอ่านคำแนะนำภารกิจที่ศูนย์แรงงานแบบนี้” เด็กหนุ่มกล่าว

“แล้วอย่างไร มันเกี่ยวอะไรกับนาย?”

“ก็เกี่ยวนะ เพราะพวกเรากำลังหาคนเพื่อจัดตั้งทีมชั่วคราวอยู่ จะได้ไปทำภารกิจเพื่อแลกเงินรางวัลกัน”

“ทางนายมีอยู่กี่คน?”

“สาม”

“แค่สามก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกนายที่จะสามารถรับภารกิจแบบทีม”

“แต่ว่าพวกเราต้องการที่จะทำงานให้มันเต็มประสิทธิภาพและสูงยิ่งกว่านี้ไง พวกเราถึงได้อยากจะรับเพิ่มอีกคนหนึ่ง”

“จะทำภารกิจอะไร?”

“เก็บรวบรวมวัสดุชั้นผิวดินในตำแหน่งที่กำหนด”

กู่ฉิงซานมองไปยังผนังอีกด้านหนึ่ง

บริเวณผนังอีกด้าน เบื้องหน้ามันแออัดไปด้วยกลุ่มฝูงชนที่กำลังจ้องมอง เฝ้ารอภารกิจใหม่ๆ ที่จะแปะลงมาอยู่ตลอดเวลา

กู่ฉิงซานเหลือบมองผ่านคนเหล่านั้น

แล้วเขาก็สามารถค้นพบภารกิจเก็บรวบรวมชั้นผิวดินได้อย่างง่ายดาย

นี่ไม่เพียงเป็นภารกิจทีมชั่วคราว แต่ยังเป็นภารกิจที่ง่ายที่สุดอีกด้วย

มันเป็นภารกิจที่ไม่อันตราย หรือว่าต้องใช้ความพยายามมากมายอะไร

แต่ค่าตอบแทนก็น้อยมากเช่นกัน

ดังนั้น แม้ว่านี่จะเป็นภารกิจของทีมชั่วคราว แต่ก็ไม่มีทีมใดยินดีที่จะเสียเวลาทำภารกิจนี้

กู่ฉิงซานขบคิดเกี่ยวกับมัน และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

…อืม ในเมื่อตัวเขาเพิ่งจะเริ่มทำภารกิจแรก ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นภารกิจนี้ก็ดีเหมือนกันนะ

เพราะอีกอย่าง ภารกิจทีมชั่วคราวมันยังสามารถช่วยให้เขาคุ้นเคยกับกระบวนการภารกิจได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เขาก็จะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมทีมประจำ และสามารถใช้ความสามารถในการต่อสู้เพื่อค้นหาทีมที่มั่นใจว่าสามารถมีรับภารกิจที่ยากที่สุด และได้รับผลตอบแทนก้อนใหญ่ได้

ด้วยเงินนี้ เข้าก็จะสามารถเข้าสู่ตลาดมืดได้เร็วขึ้น

“แล้วเพื่อนคนอื่นๆ ของนายอยู่ที่ไหน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ชายหนุ่มหันกลับ โบกไม้โบกมือไปทางฝูงชน

ไม่นานนัก วัยรุ่นสาวสวยและชายหนุ่มที่ดูองอาจก็เดินเข้ามา

พวกเขาหยุดอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานมองดูพวกเขา และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

‘นี่มันเด็กเกินไป’

น่ากลัวว่าวัยรุ่นสามคนนี้ จะไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากเท่าใด มิฉะนั้นพวกเขาคงจะไม่เลือกรับภารกิจที่ง่ายที่สุดแบบนี้หรอก

วัยรุ่นสองชายหนึ่งหญิงเหมือนจะเข้าใจความหมายที่สื่อออกมาผ่านทางสายตาของเขา

ชายหนุ่มอีกคนกล่าว “นายอย่ามาดูถูกพวกเราเชียวนะ พวกเราแข็งแกร่งจริงๆ แต่ภารกิจนี้มันต้องมีสี่คนถึงจะเร่งเวลาให้เร็วขึ้นได้ พวกเราเลยต้องการนาย”

“เออๆ ก็ได้ๆ ฉันเอาด้วย” กู่ฉิงซานตอบ

สองชายหญิงหนึ่งมองหน้ากันและกัน ในแววตาแสดงออกถึงความสุข

จากนั้นพวกเขาก็รีบพาตัวกู่ฉิงซานไปลงทะเบียนทีมชั่วคราวทันที และเลือกภารกิจที่จะรับ

ในไม่ช้า ทั้งสี่ก็ตระเตรียมสัมภาระจนเสร็จ

ในตอนแรกพวกเขาต้องการที่จะเช่าเรือเหาะราคาถูก แต่กู่ฉิงซานกลับชี้ให้เห็นว่า เงินตอบแทนของภารกิจนี้ มันได้ไม่คุ้มเสียกับการเช่าเรือเหาะ

ต่อมา วัยรุ่นชายหนึ่งก็เริ่มทะเลาะกันเรื่องอาหารค่ำ

กู่ฉิงซานจึงอธิบายไปว่าภารกิจนี้มีเวลาจำกัด และมันก็เขียนบอกอยู่ในใบภารกิจ ฉะนั้น สมควรรีบไปจัดการให้ลุล่วงก่อนจะดีกว่า ค่อยกลับมากิน!

ก่อนจะออกเดินทางวัยรุ่นสาวก็พบว่าดาบสั้นของเธอหายไป

หลายคนช่วยกันย้ำเตือนเธอว่าให้ลองนึกดูดีๆ และในที่สุดก็ค้นพบว่าดาบสั้นมันก็ถูกวางไว้ตรงต้นไม้ ข้างๆ กับเธอนั่นแหละ

ในระยะเวลาสั้นๆ สุดท้ายทั้งสี่ก็ออกจากเมืองมาได้ และมุ่งหน้าสู่ปลายทางของภารกิจ

กู่ฉิงซานรู้สึกเสียใจเล็กน้อยในเวลานี้ ที่ตัดสินใจเลือกมากับพวกวัยรุ่นเจ้าปัญหากลุ่มนี้

อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้รับภารกิจมาแล้ว ดังนั้นถ้ายอมแพ้จะกลางคัน เดี๋ยวเขาคงถูกตีตราว่าเป็นหน้าใหม่ที่ไม่มีความน่าเชื่อถืออีก

กู่ฉิงซานจึงเลือกไม่ออกจากทีม และดำเนินภารกิจต่อไป

จากนั้น หนึ่งในวัยรุ่นชายที่ดูองอาจก็เดินนำทุกคนไปได้ประมาณยี่สิบนาที กู่ฉิงซานจึงตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

เขาขอให้ทุกคนหยุดก่อน จากนั้นก็เริ่มวิเคราะห์แผนที่อย่างรอบคอบ และพบว่าพวกตนเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง ที่ผิดไปจากปลายทางจริงๆ

ต่อมา ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่ากู่าฉิงซานสมควรจะเป็นผู้นำทีม

และในที่สุดก็มาถึงบริเวณเก็บสะสมพื้นผิวดินสักที

โชคดีจริงๆที่มันเป็นงานง่ายๆ

ศูนย์แรงงานได้มอบไพ่จัดเก็บวัสดุสี่ใบให้แก่พวกเขา แบ่งให้ถือคนละหนึ่ง เพื่อใช้แยกกันตรวจสอบและเก็บรวบรวมวัสดุ

และเมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ไพ่วัสดุในมือของแต่ละคนก็จะบังเกิดเสียงนุ่มนวลดังออกมา

หลังจากที่ไพ่ทั้งสี่ใบเก็บรวบรวมวัสดุจนเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็จะสามารถกลับไปรับเงินรางวัลได้

กู่ฉิงซานถือไพ่ที่ได้รับมอบหมายของตน แล้วเดินข้ามผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่ตามภารกิจที่ได้รับ

เมื่อเขามาถึงปลายทางของภารกิจ ไพ่ในมือของเขาก็ส่งเสียงเบาๆ

กู่ฉิงซานพลิกไพ่ วางมันไว้เสมอดวงตา เพื่อสังเกตมันอย่างระมัดระวัง

เห็นแค่เพียงบนไพ่ที่แต่เดิมเคยว่างเปล่า บัดนี้ถูกเติมเต็มไปด้วยเม็ดทราย

สองบรรทัดตัวอักษรเล็กๆ ปรากฏใต้เนินทราย

“เนินเขาทางตะวันออกส่วนที่สองของการตัดแบ่งเขตแดนทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เขตที่ยี่สิบสอง”

“คุณสมบัติทางธรณีวิทยาของพื้นดินได้ถูกเก็บรวบรวมแล้ว”

หลังจากนั้นไม่นาน

คนอื่นๆ ก็เดินเข้ามาหาเขา ดูเหมือนว่าจะเก็บรวบรวมวัสดุเสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน

ทั้งสี่รวมตัวกัน และส่งไพ่ให้แก่กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรับเอาไพ่มา และเตรียมที่จะพาทุกคนกลับไป

แต่เขากลับพบว่าไพ่สามในสี่ใบยังคงว่างเปล่าอยู่

หลังจากที่ได้ลองถามไถ่อย่างรอบคอบ กู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ว่าทั้งสามคนคิดใช้ทางลัด

เหตุผลของพวกเขาก็คือ วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพกว่า

กู่ฉิงซานไม่ได้แสดงออกถึงความเหนื่อยล้า เขาเพียงเก็บมันไว้ในหัวใจ และพยายามอธิบายต่อทั้งสามอย่างอดทนว่าทำไมพวกเขาถึงใช้ทางลัดไม่ได้

ทั้งสามคนจึงยอมรับในที่สุด

แต่กว่าที่พวกเขาจะยอมรับได้ และทำงานจนลุล่วง ท้องฟ้ามันก็มืดลงซะแล้ว

และเวลาจำกัดของภารกิจก็ได้ล่วงเลยไปแล้วเช่นกัน

นี่หมายความว่าภารกิจล้มเหลว

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ในที่เดิม

เขาไม่คาดคิดเลยว่าแค่ภารกิจง่ายๆ แต่ผลลัพธ์กลับออกมาแบบนี้

แต่เมื่อเห็นท่าทีเศร้าๆของสมาชิกทีมคนอื่นๆ กู่ฉิงซานจึงค่อยสงบอารมณ์ลง และกล่าวสอนสั่งไป “เอาเถอะ ถึงจะไม่ทันเวลาแต่ก็ถือว่าได้ปฏิบัติภารกิจจนเสร็จสิ้นลงแล้ว อย่างไรก็จำเอาไว้เป็นบทเรียนในครั้งต่อไปก็แล้วกัน จะได้ทำให้มันดีกว่านี้”

ถัดมา เขาก็กล่าวให้กำลังใจอยู่หลายคำ ทั้งสามจึงค่อยๆ สลัดความผิดหวังออกไป

ในที่สุด ก็ถึงเวลากลับ

กู่ฉิงซานระบายลมหายใจอย่างเงียบๆ ในหัวใจ และก้าวนำไปตามทิศทางที่ต้องเดินกลับ

ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ต้องหยุดลง เพราะพบว่าคนอื่นๆ กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

เขาหันกลับไปมองเบื้องหลัง

เห็นแค่เพียงวัยรุ่นทั้งสามยังคงยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม เฝ้ามองดูเขาอย่างเงียบๆ

“มีอะไรหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ในเวลานี้ ตัวกู่ฉิงซานได้ละทิ้งเรื่องภารกิจที่ล้มเหลวไปแล้ว เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

เห็นแค่เพียงวัยรุ่นหญิงสาวสวยก้าวออกมาข้างหน้า

เธอจ้องมองกู่ฉิงซานที่กำลังยิ้มด้วยความวิตกและหวาดกลัว

“ฉัน…” สาวสวยพูดด้วยความลังเล

กู่ฉิงซานกระตุ้น “ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามีปัญหาอะไรสามารถบอกฉันมาได้เลยตรงๆ”

“จริงๆหรือ?” วัยรุ่นสาวมองเขาด้วยความหวัง

“อืม เธอต้องกล้าเข้าไว้นะ ในความเป็นจริงการสื่อสารก็เป็นสิ่งจำเป็น ไม่อย่างนั้นถ้าเธอไม่พูดอะไรเลย ฉันก็จะไม่รู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่” กู่ฉิงซานค่อยๆ ลดเสียงลง

ผ่านไปนาน…

ในที่สุดวัยรุ่นสาวก็รวบรวมความกล้าของเธอ

เจ้าตัวยกดาบสั้นขึ้น ชี้ไปทางกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็หยุดอยู่เฉยๆ…แล้วยอมให้ปล้นซะดีๆ!”

………………………………….

หน้าแรกของหนังสือเริ่มเกริ่นจากประโยคที่ว่า

‘ท่ามกลางโลกเก้าร้อยล้านชั้น มันเต็มไปด้วยโลกมากมาย ไร้ที่สิ้นสุด’

และในบรรดาโลกมากมาย ไร้ที่สิ้นสุดเหล่านั้น จะมีบางโลกที่พิเศษ แตกต่างออกไป

โลกที่พิเศษออกไปนี้ คือโลกแรกๆ ที่ถือกำเนิดขึ้น และบางโลกยังถึงขั้นดำรงอยู่มาก่อนที่ทวยเทพจะถือปรากฏขึ้นซะอีก

อธิบายคร่าวๆ เช่นนี้ก็น่าจะเดาออกแล้ว ใช่ มันคือโลกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มิใช่โลกที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพวิญญาณ

โลกดังกล่าวนี้ จะถูกเรียกรวมๆ กันว่า ‘โลกยุคก่อนประวัติศาสตร์’

และโลกที่กู่ฉิงซานอยู่ในขณะนี้ ก็คือ ‘โลกยุคก่อนประวัติศาสตร์’

ไม่มีใครรู้ว่ามันดำรงอยู่มานานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ มันย่อมข้ามผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมายยิ่งกว่าโลกนับล้านๆ ใบในปัจจุบัน

เพียงเพราะโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์มันมีแหล่งกำเนิดที่มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนใคร

นั่นคือ ‘ไม่มีวันดับสูญ’

ทุกสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพวิญญาณ เมื่อมีจุดเริ่มต้น ก็ย่อมต้องมีจุดสิ้นสุด

ทว่าโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์หาใช่ไม่ เพราะมันครอบครองคุณสมบัติ ‘ไม่มีวันดับสูญ’ อยู่

กระทั่งช่วงเวลาที่หน้าประวัติศาสตร์เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้น โลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็เพียงแค่พังทลายลงชั่วคราวเท่านั้น

แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีต่อมา กฎเกณฑ์แห่งโลกก็จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

แล้วโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็จักถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครา

แน่นอน ว่าการถือกำเนิดใหม่ของโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ ย่อมต้องมีบางสิ่งแตกต่างไปจากที่เคยเป็นมาเล็กน้อย

ท่ามกลางโลกนับล้านล้าน เจ้าคุณสมบัติ ‘ไม่มีวันดับสูญ’ ที่ครอบครองพลังเหนือล้ำยิ่งกว่าเทพวิญญาณนี้ มันได้กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่เหล่าตัวตนทรงอำนาจให้ความสนใจมากที่สุด

อย่างในโลกที่เต็มไปด้วยทะเลทรายแห่งนี้เอง โดยสิ้นเชิงแล้ว มันเคยตกอยู่ภายใต้การครอบครองของตัวตนทรงอำนาจทั้งสิ้นสามสิบเจ็ดคน มีการพังทลายลงตามธรรมชาติมาแล้วกว่าหกสิบเอ็ด ครั้ง เกิดหายนะครั้งใหญ่เก้าครั้ง และตกอยู่ในสภาวะสงครามกว่าเจ็ดพันเก้าร้อยยี่สิบห้าคราว

หนังสือเล่มนี้ ที่อยู่ในมือของกู่ฉิงซาน เป็นหนังสือที่บันทึกรายละเอียดก่อน และหลังการล่มสลายครั้งที่ห้าของโลกทะเลทราย

ในเวลานั้น มีจ้าววงการที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ได้โค่นอดีตเจ้าของโลกทะเลทราย และกลายเป็นผู้ครอบครองมันคนใหม่แทน

ส่วนในเรื่องที่เขาแข็งแกร่งเป็นพิเศษ นั่นก็เพราะเขามีความสามารถเฉพาะอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ…

ก๊อบปี้ตัวเอง

เขาสามารถก๊อบปี้ตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นี่แตกต่างไปจากเทคนิคมนตราแยกร่างหรือสร้างร่างอวตาร แต่มันคือการผลิตคนที่มีชีวิตอย่างแท้จริง

ซึ่งร่างที่เกิดขึ้นมา จะเหมือนกับอย่างไรเกิดใหม่ ไม่เว้นกระทั่งในด้านของความแข็งแกร่ง

ทว่าเมื่อร่างใหม่ได้รับการฝึกปรืออย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่แรกเริ่ม จนก้าวกระโดดขึ้นมายังจุดสูงสุดของตัวต้นแบบได้อีกครั้ง

เมื่อก้าวมาถึงตัวต้นแบบในระดับจ้าววงการได้แล้ว ร่างก๊อบปี้ก็จะเริ่มสร้างตัวก๊อปี้ของตัวเองขึ้นมาอีกคราว และดำเนินกระบวนการดั่งที่กล่าวไปข้างต้นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ

ด้วยวิธีนี้ คนใหม่ก็จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ

ในช่วงเวลาที่จ้าววงการคนนี้เอาชนะเจ้าของโลกทะเลทราย เขาก็ก๊อบปี้ตนเองไปได้กว่าเจ็ดสิบคน!

กล่าวได้ว่าตัวเขาเพียงคนเดียว แต่กลับมาสามารถสำแดงพลังได้เทียบเท่ากับตัวเขาเองเจ็ดสิบคน!

ส่วนเหตุผลที่เขาเข้ายึดครองโลกทะเลทรายนี่ก็เพื่อต้องการที่จะศึกษากฎเกณฑ์ของคุณสมบัติ‘ไม่มีวันดับสูญ’ ของโลกใบนี้

ตอนแรก ทุกอย่างก็เป็นปกติดีอยู่หรอก

เขาได้รับข้อมูลเชิงลึกมากมายจากการตรวจสอบโลกใบนี้

อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้น วันหนึ่งจ้าววงการที่แข็งแกร่งคนนี้ ที่เริ่มศึกษากฎ ‘ไม่มีวันดับสูญ’ ก็เริ่มกลายเป็นบ้า

ร่างก๊อบปี้ของเขาเจ็ดสิบกว่าคนได้โจมตีกันเอง และไม่เพียงสังหารตนเองตกตายลงเท่านั้น แต่ยังถึงขั้นทำลายโลกทั้งใบลงอีกด้วย

รายละเอียดทั้งหมดจบลงเพียงเท่านี้ กู่ฉิงซานอ่านจบ ก็ปิดหนังสือลง

หนังสือเอ่ยถาม “คุณต้องการที่จะดูเนื้อหาอื่นๆอีกหรือไม่?”

กู่ฉิงซานมองไปข้างหน้า

ที่ปากทางเข้าเมือง ทหารติดอาวุธนับสิบ กำลังเฝ้ามองดูฝูงชนอย่างใกล้ชิด

เมื่อใดก็ตามที่มีคนเดินเข้าประตูไป ทหารทั้งหมดจะกุมปืนเตรียมเล็งไปทางคนคนนั้น เพื่อเตรียมพร้อมไว้ก่อน หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน จะได้จัดการได้อย่างทันท่วงที

ขณะเดียวกัน ผู้ที่ต้องการจะเข้ามาในเมือง ก็จะต้องยื่นมือออกมา และวางมันลงบนหนังสือเล่มหนึ่งที่ลอยอยู่ในอากาศ

มันคือหนังสือปกเงินหนา

หนังสือเล่มนี้มีชื่อเรียกว่า ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิต

ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตจะเป็นผู้ตัดสินว่า สมควรอนุญาตให้บุคคลเบื้องหน้าได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปในเมืองหรือไม่

ในขณะนี้ คิวค่อนข้างยาว และการตรวจสอบก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า กู่ฉิงซานเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องต่อคิวไปถึงเมื่อไหร่

กู่ฉิงซานกล่าว “ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะหาอะไรอ่านก่อน เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกใบนี้ รบกวนหน่อยนะ”

“โปรดรอสักครู่”

หนังสือรับคำ และบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

ไม่นานนัก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานพลิกหน้ากระดาษของมัน และเริ่มตั้งใจอ่านอย่างจริงจัง

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมที่เกิดขึ้นในโลกทะเลทรายแห่งนี้

มันเป็นโลกอารยธรรมด้านมนตรา ซึ่งได้มาถึงจุดสูงสุดแห่งความรุ่งเรืองในระยะเวลาหนึ่งหมื่นสามพันปี

ในช่วงเวลานั้น อารยธรรมของโลกใบนี้ก็ได้เชื่อมต่อเข้ากับโลกอีกหลายร้อยล้านใบ ผู้คนสามารถเดินทางข้ามผ่านไปมาระหว่างชั้นโลกได้อย่างอิสรเสรี

จนกระทั่งวันหนึ่ง อารยธรรมแห่งโลกใบนี้ ก็ล้มเลิกการสำรวจโลกภายนอก

เพราะพวกเขาล่วงรู้แล้วว่าโลกที่พวกตนอาศัยอยู่ คือโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์

ดังนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะสำรวจโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่แทน

ไม่กี่ปีต่อมา

ในชั่วข้ามคืน อารยธรรมทั้งหมดก็ล่มสลายลงอย่างกะทันหัน

โลกนับล้านๆได้สูญเสียการเชื่อมต่อกับอารยธรรมนี้

ไม่กี่วันถัดมา ตัวตนทรงอำนาจจากโลกอื่นก็เข้าตรวจสอบสถานการณ์เพราะความอยากรู้อยากเห็น

พวกเขาค้นพบว่าโลกทั้งใบทรุดตัวลงโดยสมบูรณ์ และอารยธรรมที่เคยรุ่งเรืองก็เหลือเพียงเศษซากปรักหักพังนับไม่ถ้วน

ทุกคนตายกันหมดแล้ว ตายกันหมดเลย

ทั้งๆ ที่มันกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด และกำลังพัฒนาขึ้นแท้ๆ

ฉากนี้ทำให้ผู้ตรวจสอบในเวลานั้นต้องสั่นสะท้าน

อารยธรรมอันยอดเยี่ยม ได้สิ้นสุดลง ปิดม่านการแสดงของมันไปอย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานปิดหนังสือ ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“คุณต้องการจะอ่านอะไรอีกหรือไม่?” หนังสือถาม

กู่ฉิงซานมองไปข้างหน้า

และพบว่าแถวยังคงเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า

“โอเค ขอหนังสือให้ฉันอีกสักเล่มเถอะ”

หนังสือเล่มนี้บินขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที และหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรับมัน เปิดหนังสือ และเห็นถึงกระบวนการล่มสลาย และก่อกำเนิดใหม่ของโลก

ในระหว่างต่อแถวเข้าคิว เขาอ่านหนังสือหลายเล่มติดต่อกัน และค้นพบว่าโลกใบนี้เมื่อล่มสลายลง มันก็จะถือกำเนิดใหม่อยู่เสมอ

ขณะเดียวกัน ตัวตนทรงอำนาจนับไม่ถ้วนที่ครอบครองโลกใบนี้ ล้วนไม่มีผู้ใดมีจุดจบที่ดี

ต่อมา ผู้คนก็เริ่มจะเข้าใจ

โลกยุคก่อนประวัติศาสตร์อาจจะมี ‘คำสาป’ แปลกๆ หรืออะไรบางอย่างอยู่ก็ได้

และด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามายังโลกใบนี้

จนกระทั่งเมื่อหนึ่งพันเจ็ดร้อยปีก่อน

เจ้าของตลาดมืดได้มายังโลกใบนี้

เขาละทิ้งความคิดที่จะครอบครองโลกทั้งใบ แต่เลือกที่จะสร้างเฉพาะตลาดมืดขึ้นมาแทน

นับตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นอีกเลย การค้าขายสามารถดำเนินไปอย่างปกติสุข

และเนื่องจากเจ้าของตลาดมืดแห่งนี้ก็เป็นผู้ทรงพลังไม่เลวเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะเข้ามายุ่มย่ามกับตลาดมืดแห่งนี้

แต่เจ้าของตลาดมืดก็ไม่ใช่คนใจคอคับแคบ หากจ้าววงการคนอื่นๆคิดหมายจะมาสำรวจโลกใบนี้ เขาก็มิได้ขัดขวางแต่อย่างใด

เขาอนุญาตให้ตัวตนทรงอำนาจเข้าไปในส่วนลึกของโลกใบนี้ เพื่อสำรวจหาความลึกลับของมันได้ตามใจต้องการ

ด้วยเหตุนี้เอง เหล่าตัวตนทรงอำนาจจึงไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายกับตลาดมืดของเขา

แถมด้วยการดำรงอยู่ของตลาดมืด ตัวตนทรงอำนาจที่เข้ามาตรวจสอบ ยังได้รับการสนับสนุน ในแง่ของทรัพยากรและสถานที่พักผ่อนอีกด้วย

เป็นผลให้ตลาดมืดเกรย์แฮนด์แห่งนี้ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่

เมื่อเวลาผ่านไป ตลาดมืดก็เริ่มเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งพันปีที่ผ่านมา

กู่ฉิงซานปิดหนังสือและปล่อยให้มันลอยกลับข้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง

แต่คราวนี้เขาหยุดที่จะถามหาหนังสือเล่มต่อไป

เพราะในที่สุด หลังจากที่รอคอยมานาน ก็เหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ตรงหน้า แล้วจากนั้นมันก็จะเป็นตาของกู่ฉิงซานที่ได้เข้าเมือง

ในขณะนี้ ตรงบริเวณทางเข้าเมือง

ชายคนหนึ่งที่สะพายปืนไรเฟิลไว้บนหลัง ก็ได้ยื่นมือกดทับลงบนหน้าปกของ ‘ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิต’

เขากำลังถูกทดสอบโดยหนังสือปกเงินเล่มนี้

“โดดเด่นในด้านเทคโนโลยี เป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างเหยี่ยว อนุญาตให้ผ่านได้” ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตตะโกนด้วยความเหนื่อยหน่าย

ชายคนนั้นเดินเข้าเมืองไป ภายใต้สายตาของทหารรักษาการณ์มากมาย

เบื้องหน้าของกู่ฉิงซานเหลืออีกแค่คนเดียว

เป็นผู้ชายร่างผอมสูง

เขาเดินไปที่ปากทางเข้าประตู และวางมือลงบนหนังสือปกเงิน

ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน

“โดดเด่นในด้านธาตุทั้งห้า เป็นสิ่งมีชีวิตธาตุมืด ทุกอย่างปกติดี”

ชายร่างผอมสูงพอได้ฟัง ก็คลายใจลงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่า เมื่อสมุดปกเงินกล่าวคำ ‘ทุกอย่างปกติดี’ ทหารรักษาการณ์ทั้งหมดต่างก็หันขวับมามองเขาเป็นสายตาเดียว

ชายผอมสูง เดินเข้ามาในเมือง

เบื้องหลังเขา ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตแผดเสียงกะทันหัน “จังหวะนี้แหละ ฆ่ามันซะ!”

ทหารรักษาการณ์ที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ได้สาดการโจมตีอย่างเต็มรูปแบบเข้าใส่ทันที

ใบหน้าของชายผอมสูงแปรเปลี่ยนไป

เขามีเวลาแค่เพียงเรียกกลุ่มสสารสีทะมึนในมือเท่านั้น ยังไม่ทันใช้ออกด้วยเทคนิคมนตรา ก็ถูกฆ่าตายลงซะแล้ว

เงาแห่งความมืดผุดออกมาจากร่างเขา ราวกับสายลม แตกกระจัดกระจายออกไปทุกทิศทาง

เมื่อเห็นกับตาว่าสัตว์ประหลาดถูกสังหารลง ทหารรักษาการณ์ทั้งหมดก็ค่อยๆ ถอยกลับไปอย่างช้าๆ

หัวหน้าทหารถามผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิต “ท่านครับ ช่วยอธิบายถึงสถานการณ์ด้วย”

ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตกล่าว “ชายคนเมื่อครู่ ได้ดาวน์โหลดเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ ต้นกำเนิดมา ฉันได้กลิ่นอายของระบบจากตัวเขามาตั้งแต่ในระยะไกล”

หัวหน้าทหารแสดงออกถึงความวิตกกังวลเล็กน้อย “ในช่วงเวลาสั้นๆ นี่ก็เป็นคนที่สิบห้าแล้ว…ระบบของราชามารต้องการจะทำอะไรกันแน่นะ?”

“ไม่สำคัญหรอก เพราะยังไงซะ ไม่ว่าระบบใดก็ตาม มันย่อมไม่สามารถหลบซ่อนไปจากสายตาของฉันได้” ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตกล่าว

มันตะโกนหากู่ฉิงซาน “อย่ามัวชักช้า! ถึงตาแกแล้ว”

ทหารทั้งหมดมองมายังกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

ทาสของราชามารได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เช่นนั้นแล้วคนตรงหน้าผู้นี้จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยหรือไม่?

เหล่าทหารกุมอาวุธในมือของพวกเขาอีกครั้ง

กู่ฉิงซานก้าวตรงไปข้างหน้าอย่างสงบ และวางมือลง

เขาจะกลัวไปทำไม ในเมื่อตนไม่ได้มีระบบของราชามารอยู่ในตัว

แต่เอ…เขาก็เคยดาวน์โหลดระบบของราชามารมาก่อนนะ แถมยังเคยดาวน์โหลดระบบของเทพสวรรค์ และระบบชีวิต มาก่อนด้วย

แล้วหนังสือเล่มนี้จะตรวจพบถึงมันได้รึเปล่า?

ถึงจะไม่ถึงขั้นกลัว แต่กู่ฉิงซานก็เริ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

ไม่ช้า เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างผุดออกมาจากหนังสือ เข้าโอบรอบตัวเขา

นี่อาจจะเป็นการตรวจสอบของผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตก็ได้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตไม่เอ่ยคำใดเลย

นี่มันชักจะเริ่มผิดปกติแล้ว

เจตนาฆ่าของทหารรักษาการณ์ค่อยๆ พวยพุ่งขึ้น

กู่ฉิงซานเองแม้จะสงบเงียบ แต่เขาก็ได้แอบทำการกระตุ้นพลังวิญญาณในร่างกาย ตระเตรียมรับมือถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้า

ทว่าทันใดนั้นเอง ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตก็หัวเราะลั่น

“ก๊ากฮ่าๆๆๆ”

มันตะโกน “เจ้ามนุษย์ผู้ฝึกยุทธ์นี่โคตรจะโชคร้ายเลย เขาอย่างไรจะสามารถข้ามผ่านอาณาเขตของหน้าใหม่มาได้ แต่ระหว่างเดินทางในกระแสมิติ ระบบชีวิตก็พังทลายลง เขาเลยติดแหง็กอยู่ในกระแสมิติ ช่างโชคร้ายจริงๆ!”

กู่ฉิงซานหันไปมองดูรอบๆ อย่างลับๆ

เขาพบว่าทหารรักษาการณ์ระบายลมหายใจ มือที่กุมอาวุธแน่นหลวมลงเล็กน้อย

แถมทั้งหมดยังแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

ต้องไม่ลืมนะว่าระบบชีวิตน่ะสามารถช่วยส่งเสริมให้ผู้คนได้รับความแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วได้

แต่ช่างน่าเสียดาย ที่เส้นทางสู่การเป็นทวยเทพดันถือกำเนิดขึ้นมา จนทำให้ระบบชีวิตถูกทำลายลงโดยเจ็ดเทพ และดึงพลังไปสร้างร่างมนุษย์แสงขึ้น

ช่างนับว่าเป็นเรื่องที่โชคร้ายจริงๆ สำหรับหน้าใหม่ที่ดันเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจช้าจนเกินไปแบบนี้

การที่เขาไม่มีระบบ แต่สามารถรอดพ้นจากการถูกกินของมอนสเตอร์มิติได้ก็นับว่าเก่งแล้ว

ยังไงก็ตาม หากเป็นแบบนี้ มนุษย์ตรงหน้าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เพราะในแผนกอาชีพของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น การตรวจสอบจะเป็นไปอย่างเข้มงวดมาก  หน้าใหม่คนนี้จึงย่อมไม่สมควรที่จะมีความผิดปกติใดๆ

กู่ฉิงซานหันไปมองฝูงชนรอบๆ และพบว่าทั้งหมดกำลังหัวเราะ

เขาผายมือออก แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “โชคร้ายจริงๆ นั่นแหละ พวกคุณพอจะมีหนทางอื่นที่จะช่วยให้ผมไล่ตามคนอื่นทันบ้างไหมเนี่ย?”

ผู้คนโดยรอบพอได้ฟังก็หัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิม

“เฮ้อ เข้าไปเถอะ เจ้าคนโชคร้าย หวังว่าจากนี้ไปแกจะโชคดีกับเขาบ้างนะ” ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตกล่าว

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากๆ”

กู่ฉิงซานเดินผ่านเข้ามา

แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ เฝ้าตรวจสอบท่าทีของผู้คนอย่างระแวดระวัง

เมื่อเห็นว่าตนเข้ามาในเมืองแล้ว พวกทหารรักษาการณ์ก็ถอนสายตา และหันไปสนใจคนอื่นต่อไป

ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถผ่านมาได้อย่างปลอดภัยแล้วจริงๆ

………………………………….

กู่ฉิงซานนั่งลงบนฟูก พยายามสุดกำลังที่จะควบรวมฐานวรยุทธ์ของเขา

หลังจากที่ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ขอบเขตวรยุทธ์ก็จะยกระดับขึ้น

นี่คือกระบวนการอันยอดเยี่ยมของผู้ฝึกยุทธ์

พลังวิญญาณพวยพุ่งอย่างรวดเร็ว ดั่งคลื่นที่บ้าคลั่ง มันผุดออกมาตามแขนขา และส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างต่อเนื่อง หน้าที่ของกู่ฉิงซานก็คือ ต้องหาวิธีที่จะทำให้พลังวิญญาณที่ปะทุออกมาสงบลง กลับไปมีเสถียรภาพดังเดิม มิฉะนั้น มันอาจส่งผลกระทบต่อเส้นลมปราณได้

เขาเหนี่ยวนำกระแสพลังวิญญาณที่เอ่อล้น ค่อยๆชักนำมันเข้าสู่ตันเถียน ก่อให้เกิดเป็นกระแสหมุนวน พลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านค่อยๆ ถดถอยลงอย่างช้าๆ

นี่เป็นกระบวนการละเอียดอ่อน ซึ่งสามารถลดความเสียหายต่อร่างกายที่เกิดจากพลังวิญญาณอันรุนแรงได้

หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านพ้นไป

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ลืมตาตื่น

ตอนนี้ เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติขั้นปลายแล้ว!

และเนื่องจากเขามิใช่แค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกฝนทักษะดาบ แต่ยังรวมไปถึงทักษะของนักสู้ ยิงธนู กระบี่ ฯลฯ ด้วยเหตุนี้เอง ทุกสัดส่วนของร่างกายเขาที่เกี่ยวข้องกับทั้งหมดที่กล่าวมา มันจึงล้วนแข็งแกร่งขึ้น

นี่นับเป็นความสุขอันไม่คาดฝัน

ทันใดนั้นแสงบางอย่างก็แยงเข้ามาในสายตาของกู่ฉิงซาน

ตรงส่วนล่างของหน้าต่างเทพสงครามกำลังกะพริบไหว

คราวนี้เป็นในส่วนของ ‘สมญาเทพสงคราม’

กู่ฉิงซานแปลกใจ เขาอดไม่ได้ที่จะกดเปิดฟังก์ชันนี้

เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยผุดออกมาจากตัวเลือก ‘สมญาเทพสงคราม’

“คุณได้บรรลุเงื่อนไขขั้นต่ำสำหรับการเปิดใช้งานสมญาใหม่แล้ว”

“เนื่องจากคุณได้กลายเป็นนายพลชั้นเฉินเว่ยของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และสามารถยกระดับฐานวรยุทธ์มาได้ถึงขอบเขตพันวิบัติขั้นปลาย ดังนั้นสมญา นายพลชั้นโหยวจี ของคุณจึงได้รับการยกระดับ”

“ตอนนี้ คุณสามารถใช้สมญาใหม่ นายพลชั้นเฉินเว่ย ได้แล้ว”

“สมญา นายพลชั้นเฉินเว่ยครอบคลุมไปถึงสมญานายพลชั้นโหยวจีและก่อนหน้า”

“อธิบาย นี่คือยศทหารชั้นสูงสุดของกองทัพพันธมิตรเผ่ามนุษย์”

“หากสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ โจมตีฉับไว เพิ่มขึ้น 20 %”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านสมญาใหม่ด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าของเขาค่อยๆ เผยรอยยิ้มแย้ม

สมญานายพลชั้นโหยวจี เดิมทีให้โบนัสการโจมตีเร็วแก่เขาสิบห้าเปอร์เซ็นต์แต่เฉินเว่ยกลับให้เขาโดยตรงถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์

ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เชียวนะ!

แต่เดิม สกิลดาบของเขาก็เน้นคว้าชัยชนะอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว และตอนนี้ความเร็วของมันกลับสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์นี่จะช่วยให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี!

เพราะการโจมตีเร็วขึ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ว่านี่มันไม่ใช่แค่ดาบ

แต่ยังรวมไปถึง นักสู้หวูเต๋า กระบี่ ธนู เพิ่มเสริมเข้าไปด้วยเช่นกัน

แค่คิดแทนศัตรูที่ต้องมาสู้กับเขา ก็รู้สึกหวาดกลัวแทนพวกมันไม่ได้แล้ว

กู่ฉิงซานทำการล็อกสมญาของเขาไว้ที่ ‘นายพลชั้นเฉินเว่ย’ คว้าเอาดาบเช่าหยินออกมา และเริ่มเคลื่อนกาย ใช้ออกด้วยเทคนิคดาบ

ดาวยาวโบกสะบัด

สาดประกายเย็นเยียบ

“เอ๊ะ?”

แต่แล้วคิ้วของกู่ฉิงซานก็ต้องขมวดลงโดยไม่คาดฝัน

แม้เขาจะค้นพบว่าความเร็วของตัวเองว่องไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ในขณะเดียวกัน เขากลับรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยที่ไม่สามารถควบคุมดาบของตนได้

ความเร็วระดับนี้…เหมือนว่ามันจะมากเกินไปหน่อย

กู่ฉิงซานพิจารณาอย่างรอบคอบ และในที่สุดก็พยักหน้าตัดสินใจว่าปัญหาในข้อนี้ จะต้องเร่งแก้ไขมันทันที

ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกดาบ แต่กลับไม่สามารถควบคุมดาบได้ นี่นับว่าเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง

เขาผุดลุกขึ้น และเริ่มร่ายระบำดาบอย่างช้าๆ

เขาเริ่มใหม่ตั้งแต่การฝึกกระบวนท่าดาบขั้นพื้นฐานอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก่อนจะเริ่มผสานสกิลดาบเข้าด้วยกัน จนสามารถใช้งานมันได้อย่างไม่ติดขัด จากนั้นก็หันไปเริ่มทดสอบกับเทคนิคลับแห่งดาบอีกครั้ง และสุดท้ายเป็นค่ายกลดาบ

ตั้งแต่ต้นจนจบ กู่ฉิงซานได้ปรับเปลี่ยนมันเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้น

หลังจากฝึกฝนมากว่าสองชั่วยาม เขาก็สามารถไล่ตามความเร็วของ ‘นายพลชั้นเฉินเว่ย’ จนทันในที่สุด

จากนั้นจึงเก็บดาบเช่าหยิน และทิ้งตัวกลับไปนั่งพักบนฟูกอีกครั้ง

จนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงได้มีเวลาทบทวน ได้คิดเกี่ยวกับโทษทัณฑ์ที่พึ่งเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ

แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ กู่ฉิงซานก็ยิ่งงุนงงมากขึ้นเท่านั้น

แปลกจัง…

หายนะของโทษทัณฑ์ มันไม่สมควรที่จะจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้นี่นา?

อย่างเช่นในระหว่างกระบวนการข้ามผ่านโทษทัณฑ์เมื่อครู่ ที่เขาทำก็เพียงแค่โค่นกลุ่มคนที่ลอบโจมตีเขาอย่างกะทันหัน ครั้งเดียวเท่านั้นเอง

การโจมตีของพวกมันก็ถูกสกัดไว้โดยเกราะรบ ทำให้เขามิได้เป็นอันตรายใดๆ

แต่โทษทัณฑ์มันจะจบลงแค่นั้นจริงๆ น่ะหรือ?

หรือว่าเขาได้ไปพบเจอกับหายนะที่ร้ายแรงยิ่งกว่ามาก่อนแล้ว แต่ไม่ทันจะรู้ตัว?

ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทวนซ้ำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขา

หลังจากกลั่นกรองทุกประเภทของสถานการณ์ กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใกล้คำตอบของปัญหานี้ได้ในที่สุด

“ที่ติดใจที่สุดคงไม่พ้นต้นไม้ต้นนั้น มันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติอย่างแน่นอน…” เขางึมงำกับตัวเอง

แต่ในตอนที่พบเจอกับต้นไม้ใหญ่ เขาก็ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ ทำการสำรวจบริเวณโดยรอบ รวมไปถึงใต้ทะเลทรายแล้วนี่นา

ซึ่งน่าเสียดาย ที่จิตสัมผัสเทวะกลับไม่พบอะไรเลย

หากโทษทัณฑ์ที่เขาจะได้เผชิญ จริงๆ แล้วมิใช่กลุ่มฝูงชนที่ลอบโจมตี แต่เป็นต้นไม้ต้นนั้นละก็…เขาคงจะตายไปแล้ว เพราะอีกฝ่ายย่อมต้องแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้

มิฉะนั้น จิตสัมผัสเทวะของเขาก็คงไม่ถูกบดบังจนไม่อาจตรวจพบได้ถึงสิ่งใดแบบนี้หรอก

บ้าจริง…

ที่แท้เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่นะ?

ย้อนนึกไปถึงแมงป่องน้อยสีดำที่เขาเห็นหลังจากได้สติกลับมาจากพักฟื้น กู่ฉิงซานเองก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจขึ้นเล็กน้อย

เขาครุ่นคิด สักพักก็จดจำบางสิ่งขึ้นได้

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปสำรวจมัน

และพบว่ากิ่งไม้ที่ได้รับจากต้นไม้ใหญ่ยังคงถูกเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี

ตลอดทั้งกิ่งก้านเป็นสีดำขลับ

ช่วงเวลานี้เอง กู่ฉิงซานเริ่มเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเล็กน้อย และเตรียมที่จะใช้ออกด้วยวิชาลับเข้าใส่กิ่งไม้ที่อยู่ในถุงสัมภาระ

แต่ตอนนี้

กลับบังเกิดเสียงร้องเตือนขึ้นในจิตใจ ส่งผลให้เขาหยุดความคิดนี้ไป ไม่กล้าที่จะแตะมันอย่างกะทันหัน

กู่ฉิงซานขยับมือของจากถุงสัมภาระ ถอนหายใจอย่างเงียบๆ

เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ปล่อยเขาไป แต่คราวนี้นับว่าตนโชคดีมากจริงๆ ที่สามารถรอดชีวิตมาได้

เขาคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้ในอนาคต จะต้องไม่ประมาทอีกต่อไป

สำหรับกิ่งไม้นี้ สุดท้ายเดี๋ยวมันก็จะเป็นตัวเฉลยถึงความจริงทั้งหมดเอง

เพราะตามความทรงจำของวังเฉิง ในตลาดมืดน่ะมีองค์กรพิเศษบางแห่งที่รับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในการประเมินราคาสมบัติที่หายากอยู่

เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะนำกิ่งไม้ออกไปให้ทำการตรวจสอบ แล้วสุดท้ายคำตอบทุกอย่างก็จะถูกเฉลยออกมาเอง

เอาล่ะ มันถึงเวลาออกเดินทางแล้ว

กู่ฉิงซานเก็บฟูก หยิบเม็ดยาวิญญาณออกมา โยนเข้าปาก

เขาเคลื่อนกายวูบไหวอีกครั้ง ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

ยิ่งนาน พายุทะเลทรายก็เริ่มลดน้อยลง

ในที่สุด กู่ฉิงซานก็สามารถบินมาถึงเขตเบื้องบนที่ไร้ซึ่งพายุทราย

ตามสามัญสำนึก ลมในที่สูง สมควรจะรุนแรงยิ่งกว่า แต่โลกใบนี้ช่างแปลกนัก ยิ่งสูง ลมกลับยิ่งน้อย

กู่ฉิงซานมองไกลออกไป

เห็นแค่เพียงโลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยทรายและฝุ่นควัน ลากยาวไปสุดเส้นขอบข้า

ที่นี่ นอกจากลมและทรายแล้ว มันก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย

ถึงบางครั้ง จะปรากฏสถานที่ที่สามารถหลบเลี่ยงพายุทรายได้ก็ตามที แต่มันก็ใช้หลบเลี่ยงได้ไม่นาน เพราะสุดท้ายก็จะถูกพายุทรายกลบฝังลงไปอยู่ดี

นั่นหมายความว่า มีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในทราย จึงก่อให้เกิดผลดังกล่าวนี้ขึ้น

กู่ฉิงซานมองไปยังทิศทางที่กำหนด เขาเปลี่ยนเป็นกระแสแสง ตัดผ่านท้องฟ้าไป

ห้าวันต่อมา

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถมาถึงที่หมายของเขา

เขามาปรากฏตัวขึ้นนอกเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง

ปัจจุบัน เมืองเล็กๆ แห่งนี้คือทางเข้าสู่ตลาดมืด ซึ่งเจ้าหน้าที่ในด่าน มีหน้าที่ตรวจสอบและจัดการสิ่งของที่มีคุณสมบัติสามารถเข้ามาภายในเมือง และตรงไปสู่ตลาดมืดได้

ขณะที่องค์กรที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น หรือตัวตนที่มีชื่อเสียงย่อมสามารถเข้าสู่ตลาดมืดได้เลยโดยตรง

แต่หากเป็นคนธรรมดาๆ หากต้องการจะเข้าไป เขาก็ต้องได้รับการตรวจสอบเล็กๆ น้อยๆ หน้าเมืองเสียก่อน

กู่ฉิงซานลังเลเพียงเสี้ยวนาที และตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็ก

เพราะอย่างไรซะ แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็ยังอยู่ในโลกของเขา และเนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ขึ้น ส่งผลให้พวกเขาออกมาไม่ได้สักพัก

ส่วนตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการคนอื่นๆที่ตนรู้จัก พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงคราม และยังถูกคุ้มครองรักษาเอาไว้โดยผลึกน้ำแข็ง กระจัดกระจายไปในดินแดนชิงอำนาจแต่ละแห่ง

สรุปง่ายๆ ว่าไม่มีใครสามารถช่วยเหลือกู่ฉิงซานได้ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

ดังนั้น มันจึงไม่เป็นการฉลาดเลยหากกู่ฉิงซานเลือกที่จะเปิดเผยตัวตนในเวลานี้

เขาถอนหายใจ ก้าวฉับๆ ตรงมาที่ทางเข้า

ตรงจุดนี้ มีผู้คนจำนวนมากยืนรอต่อแถวเพื่อเข้าเมืองอยู่

พวกเขากระจายตัวเป็นกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ

ผู้คนอ่อนโยน สุภาพ ทักทายกันและกัน

นี่ไม่ใช่เพราะว่าทุกคนกำลังอารมณ์ดีอยู่หรอกนะ

แต่เป็นเพราะบนท้องถนนสองฟากฝั่ง มันเต็มไปด้วยหัวสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ที่ถูกวางซ้อนๆเรียงกันหนาแน่น ก่อกำเนิดเป็นกำแพงที่ทั้งสูงใหญ่และหนา อยู่ต่างหาก

กำแพงที่ถูกสร้างขึ้นโดยหัวสิ่งมีชีวิต ลากยาวมาตั้งแต่ทะเลทรายที่อยู่ไกลออกไป มาจนถึงสองข้างของประตูเมืองทางเข้านี้

หัวนับพันคนเหล่านี้ ล้วนมาจากผู้คนที่ไม่คิดปฏิบัติตามกฎของตลาดมืด

ภายใต้สภาพแวดล้อม และการจับจ้องของหัวมนุษย์นับไม่ถ้วน ผู้คนที่คิดหมายจะเข้าเมืองจึงต้องเรียนรู้กฎของที่นี่โดยเร็วที่สุด

หากคุณต้องการจะเข้าสู่ตลาดมืด คุณจะต้องยอมรับกฎสองข้อดังต่อไปนี้…

ไม่อนุญาตให้ลัดคิว

ไม่อนุญาตให้ส่งเสียงดัง

นอกเหนือไปจากนั้น อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝูงชนยังคงเงียบ นั่นก็เพราะ มีอยู่หลายคนเลยที่กำลังต่อคิว ขณะเดียวกันก็ก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่

ทุกคนต่างก้มหัวลง อ่านเนื้อหาในหนังสืออย่างสงบและตั้งใจ

กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย เขาสังเกตอย่างรอบคอบ และพบว่าหนังสือบางเล่มกำลังกะพริบไหวเป็นครั้งคราว

ดูเหมือนว่าพวกหนังสือ มันกำลังคอยไล่สอบถามบรรดาผู้กำลังต่อคิวเข้าแถว ว่าต้องการที่จะล่วงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตลาดมืดแห่งนี้หรือไม่ ในระหว่างที่กำลังเฝ้ารอ

นั่นก็เพราะมันว่าง

และอีกอย่างเจ้าของตลาดมืดเองก็ยังรู้สึกว่า หากให้ผู้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับตลาดมืดซะก่อน มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี

กู่ฉิงซานมองดูหนังสือเหล่านั้น อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย วังเฉิงไม่รู้หนังสือ ทำให้ตลอดทุกครั้งที่เข้ามายังตลาดมืด วังเฉิงจึงไม่เคยจะอ่านมันเลย

มิฉะนั้นกู่ฉิงซานที่ได้ความทรงจำของวังเฉิงมา ก็คงจะเข้าใจเกี่ยวกับตลาดมืดได้มากกว่านี้

ในตอนนั้นเอง หนังสือปกเขียวเล่มหนึ่งก็บินมาอยู่เหนือหัวเขา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณท่าน ต้องการรับบริการหรือไม่?”

“โอ้ ก็เอาสิ แต่ฉันสงสัยจังว่าคุณสามารถทำอะไรได้บ้าง” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างสุภาพ

“กระผมคือหนังสือที่ได้บันทึกเรื่องราวของโลกใบนี้ทั้งก่อนและหลังการล่มสลายในครั้งที่ห้า หากท่านสนใจ สามารถเริ่มเปิดอ่านกระผมได้เลยในทันที”

“ฉันสนใจ ขอบคุณมาก”

“ด้วยความยินดี มาเริ่มกันเลย”

หนังสือค่อยๆ ตกลงมาอยู่ในมือของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ หน้าแรกของมันเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ

ด้วยเหตุนี้เอง ระหว่างที่กำลังต่อแถว กู่ฉิงซานจึงได้มีโอกาสได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของการล่มสลายทั้งห้าครั้งของโลกใบนี้

………………………………….

สายลมจากคมดาบพัดกระพือ

เศษแขนขาที่โดนตัดหั่น ร่วงหล่นกระทบผืนทราย ถูกกลบถมหายลงไปอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน และหันไปแสดงออกถึงท่าทีขอโทษต่อต้นไม้เขียวชอุ่ม “ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้อาณาเขตของท่านสกปรก”

ต้นไม้ใหญ่ส่งเสียงฮึมฮัม “ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่เรื่องเล็กน้อย”

กู่ฉิงซานยิ้ม “เช่นนั้นผมขอลาก่อน”

“ไปเถอะ แต่จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่ายามเมื่อว่างเว้นสามารถมาที่นี่ได้ตลอดเวลา”

“ผมเข้าใจแล้ว ลาก่อน”

กู่ฉิงซานทะยานตัวสูงขึ้นอีกครั้ง

เขาควานหาทิศทาง และบินตรงไปยังตลาดมืด

คราวนี้เขาไม่พบกับใครเข้ามาขัดขวางอีกแล้ว ในไม่ช้ากู่ฉิงซานก็บินหายไปจากอาณาเขตที่สงบร่มเย็นของต้นไม้ใหญ่ เผชิญกับพายุทรายอีกครั้ง

แล้วหลังจากนั้นเขาก็หายไป

แมงป่องสีดำขนาดเล็กผุดออกมาจากพื้นทรายอีกครั้ง ส่งเสียงฮึดฮัดให้กับต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้ามัน

นี่คือแมงป่องเล็กตัวเดียวกันกับที่ลอบสังเกตดูกู่ฉิงซานเมื่อก่อนหน้านี้

ต้นไม้ใหญ่สั่นไหวสองสามครั้ง กล่าวปฏิเสธอีกฝ่าย “ลืมมันเสียเถอะ”

แต่เจ้าแมงป่องน้อยยังคงงึมงำต่อไป

ต้นไม้ใหญ่ “อา…นั่นเป็นเพราะเขาเป็นคนสุภาพอย่างไรเล่า และข้าก็ชอบคนสุภาพ”

แมงป่องน้อยบ่นด้วยความไม่พอใจ

ต้นไม้ใหญ่อธิบายอย่างอดทน “ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เห็นมนุษย์ที่สามารถใช้ทักษะระดับสูงของทั้งสองอาชีพได้ ในร่างกายของเขา จะต้องมีความลับอันน่าทึ่งซุกซ่อนเอาไว้อย่างแน่นอน ถึงสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย”

ขณะกำลังพูดคุย เศษซากศพที่ถูกห่อหุ้มด้วยเม็ดทรายก็ผุดขึ้นมา

มันคือซากศพของคนนับสิบที่ถูกสังหารลงโดยกู่ฉิงซานเมื่อครู่

นอกจากร่างศพแล้ว ก็ยังมีน้ำเต้าที่บรรจุน้ำแร่ วางไว้บนพื้นเช่นกัน

“สิ่งเหล่านี้น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับมื้อเย็น และนั่นเป็นน้ำแร่ที่เขามอบให้ เจ้าลองชิมดูสิว่ามันรสชาติดีหรือไม่?”

แมงป่องตัวน้อยกวาดตามองเศษซากศพนับสิบ ก่อนจะสลับไปมองขวดน้ำเต้าอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พอใจ

มันฮึดฮัดใส่ต้นไม้ใหญ่

ต้นไม้ใหญ่ถอนหายใจ “เจ้าก็แค่อยากกินของสด”

ทันใดนั้นเอง บนร่างของหนึ่งในซากศพก็สาดประกายแสงสีแดงออกมา

มันเป็นเสียง ‘ติ๊ดๆ’ ของเครื่องจักร

การสนทนาของต้นไม้ใหญ่ถูกขัดจังหวะลง

ทั้งตัวมันและแมงป่องน้อยถูกดึงดูดโดยเจ้าเครื่องนี้

แมงป่องน้อยรับฟังอยู่สักพัก สุดท้ายยอมแพ้ หันไปส่งเสียงจิ๊ๆ ให้กับต้นไม้ด้วยความสงสัย

“อ๊ะๆ ไม่ต้องมาถามข้า ข้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี เอาไว้ถ้าเจ้าสามารถเรียนรู้ได้มากกว่านี้ ก็ลองไปศึกษามันเองในอนาคตก็แล้วกัน” เสียงของต้นไม้ใหญ่กลายเป็นหงุดหงิด

แล้วเครื่องจักรที่กะพริบสีแดงถี่ๆ หยุดลงอย่างกะทันหัน

ไม่นานนัก หลายสิบจุดดำก็ปรากฏขึ้นจากขอบฟ้าไกล

จุดดำเหล่านี้บินด้วยความเร็วอันน่าตื่นตายิ่ง ไม่นานมันก็ตกลงเบื้องหน้าซากศพนับสิบ

“บอส ค้นพบพี่น้องพวกเราแล้ว แต่น่าเสียดาย ทุกคนไม่มีใครรอดเลย” คนหนึ่งรายงาน

“ตอนแรกฉันก็คิดว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับฟังก์ชันตรวจสอบสัญญาณชีวิตซะอีก แต่ตอนนี้คงไม่ผิดแล้ว มีใครบางคนกล้าที่จะฆ่าพวกเราจริงๆ!” สีหน้าของบอสกลายเป็นมืดมน

ภายในกลุ่มผู้มาใหม่ ฟุ้งไปด้วยเจตนาร้าย

พวกเขากำลังกระหายที่จะค้นหาเจ้าบ้าที่กล้าทำร้ายเพื่อนของตน!

“ตาแก่เก้า ช่วยไปตรวจสอบหน่อยสิ” บอสกล่าว

“รับทราบ”

หนึ่งในกลุ่มฝูงชน คนตัวเล็กๆ ก้าวออกมาข้างหน้า และดึงเครื่องจักรที่เพิ่งส่งเสียงติ๊ดๆ เมื่อครู่ออกจากร่างศพ

และไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำได้อย่างไร แต่เครื่องจักรขนาดเล็กได้เริ่มถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง

ต่อมา สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็ฉายกลายเป็นจอม่านแสงกระจ่างใสขึ้นต่อหน้าทุกคน

ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่พบหน้า กระทั่งถึงจุดสิ้นสุดที่กู่ฉิงซานสังหารสมาชิกแก๊งไปในดาบเดียว

ทุกคนเฝ้ารับชมกระบวนการทั้งหมดอย่างเงียบๆ

“ไอ้บ้า! ถึงพวกเราเพิ่งจะมาอยู่ในโลกเกรย์แฮนด์ได้ไม่นานก็จริง แต่พวกเราก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่เจ้าขยะนั่นจะสามารถมารังแกได้!” บางคนสบถด้วยความโกรธ

“ถูกต้อง!”

“มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้”

“ถ้าปล่อยไปสักสองสามวัน เรื่องที่พวกเราหลายคนถูกฆ่าตายก็คงจะแพร่งพรายออกไปโดยเจ้าหมอนั่น แบบนี้มันไม่ได้หมายความว่ากองกำลังของพวกเราจะถูกหัวเราะเยาะหรือ?”

“ใช่ ยอมไม่ได้!”

เห็นทุกคนตอบรับ บอสก็พยักหน้าด้วยความยินดี

เขากล่าวต่อ “เจ้าเด็กเปรตนั่น มันกำลังมุ่งหน้าไปยังตลาดมืด พวกเราจะไปจับตัวมัน แล้วก็ฆ่ามันซะ!”

“แต่สกิลดาบของมันแปลกประหลาดจริงๆ ขอให้ทุกคนระมัดระวังตัวกันด้วย”

“เอาล่ะ ตอนนี้ พวกเราก็มาช่วยกันเก็บซากศพกันก่อน แล้วค่อยเตรียมตัวไป!”

“รับทราบ!” ฝูงชนตะโกนตอบ

พวกเขารีบเก็บรวบรวมซากศพของสหายทันที

แมงป่องน้อยที่กำลังเฝ้าดูคนเหล่านั้น เมื่อเห็นซากศพอยู่เก็บมันก็ชะงักไป

‘(นั่นมันอาหารของฉันนะ!)’

แมงป่องน้อยวิ่งเข้าหากลุ่มคน ตะโกนใส่พวกเขา

การปรากฏตัวของมันได้ดึงดูดความสนใจของคนเหล่านั้นทันที

อันที่จริง มันเป็นเรื่องปกติที่จะพบสิ่งมีชีวิตอย่างแมงป่องในทะเลทราย

ดังนั้น ในตอนแรกทุกคนจึงเพิกเฉยต่อมัน

แต่ตอนนี้ เจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นี่ มันกลับกล้าที่จะหยุดทุกคนไม่ให้รวบรวมศพ

ดูเหมือนว่ามันอยากจะกินศพเพื่อนๆ ของเขาเป็นอาหารเย็นใช่ไหม?

‘แมงป่องสารเลวเอ๊ย!’

ชายที่อยู่ใกล้ที่สุด ก้าวออกมาข้างหน้า ง้างเท้ายกขึ้น เตรียมที่จะย่ำแมงป่องน้อยให้จมลงสู่ความตาย

แต่ทันทีที่ยกเท้าขึ้น ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ล้มลง

‘เอ๊ะ?’

‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น’

คนอื่นๆ หันไปมอง และเริ่มตรวจสอบด้วยความระมัดระวังทันที

แต่เขาก็พบว่าชายคนนี้ได้ตายไปแล้ว

“ศัตรูลอบโจมตี!”

ชายคนหนึ่งบังเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง เขาตะโกนก้อง

หลายสิบคนได้สติกลับคืน เร่งชักอาวุธประจำกายของตนออกมา เตรียมพร้อมต่อสู้

พวกเขาหันไปมองรอบๆ อย่างระแวดระวัง

จากนั้น ทั้งหมดก็ล้มลงกับพื้น

พวกเขาขาดใจตายลงอย่างกะทันหัน ไม่มีหลงเหลือเลย

ในความว่างเปล่า สีเขียวขจีค่อยๆผุดออกมา

แสงสีเขียวนี้บินจากหลายสิบศพที่มาใหม่ และกลับมาตกลงบนต้นไม้อีกครั้ง

เวลานี้ ต้นไม้แลดูเปล่งประกายสดใสมากขึ้นกว่าเดิม

เมื่อเห็นว่าผู้คนเหล่านี้ล้มเหลวในการแย่งอาหาร แถมยังกลับกลายเป็นอาหารซะเอง แมงป่องน้อยก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

มันส่งเสียงงึมงำๆ ไปทางต้นไม้ใหญ่

ต้นไม้ใหญ่ตอบกลับมา “ใช่ อาหารเย็นวันนี้อุดมสมบูรณ์จริงๆ และข้าคิดว่ามันน่าจะเพียงพอไปถึงวันพรุ่งนี้ เจ้าควรจะพอใจแล้วนะ ลูกชายของข้า”

แมงป่องน้อยพยักหน้า

“ก็ดี” ต้นไม้ใหญ่ถอนหายใจโล่งอก

พร้อมกันกับคำพูดของมัน ร่างศพทั้งหมดก็จมหายลงไปในผืนทราย

ผืนทรายอันกว้างใหญ่เริ่มเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

เม็ดทรายกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง

พื้นดินสีดำเบื้องล่างขนาดใหญ่เท่าเมือง ค่อยๆยกตัวสูงขึ้น

พื้นดินสีดำนี้…

ไม่สิ นี่มันไม่ใช่พื้นดิน แต่เป็นผิวสีดำที่แข็งแกร่งและมีความทนทานสูงลิ่วต่างหาก!

ผิวอันแข็งแกร่งที่ปลดปล่อยกลิ่นอายความชั่วร้ายออกมาตามธรรมชาติ แผ่ขยายออกไปไกลสุดขอบฟ้า

แต่ในพริบตา ด้วยผิวที่สร้างขึ้นเองตามธรรมชาติอันโหดร้ายนี้ กลิ่นอายทั้งหมดพลันถูกสะกดข่มเอาไว้อย่างกะทันหัน ไม่เหลือทิ้งร่องรอยรั่วไหลใดๆ ออกมาอีกเลย

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ร่างของมันก็ได้เปิดเผยออกจากทรายโดยสมบูรณ์

ปรากฏว่ามันคือแมงป่องดำที่มีขนาดตัวเทียบเท่าได้กับเมืองเมืองหนึ่ง!

ตลอดทั้งตัวของมันเป็นสีดำ แลดูน่าหวาดกลัวจนไม่อยากจะเชื่อ

แม้ว่ามันจะหมอบนิ่งๆ อย่างเงียบๆ มิได้เคลื่อนกายไปไหน แต่เชื่อเถอะว่า หากทุกคนได้มาเห็นมันกับตา ไม่ว่าใครหัวใจก็คงแทบจะหยุดเต้น

ซึ่งที่หัวใจหยุดเต้นไปก็มิใช่อื่นใด แต่มันคือความหวาดกลัวของบุคคลที่มีต่อสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์! เป็นลางสังหรณ์แห่งความตายที่บังเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มิใช่สิ่งที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้

สถานที่เดียวของแมงป่องยักษ์ที่ไม่เป็นสีดำ แต่เป็นสีเขียวโดดเดี่ยวก็คือต้นไม้ใหญ่

เป็นต้นไม้ใหญ่ที่สามารถต้านทานแรงลมและทรายอันไร้ที่สิ้นสุด

ซึ่งเมื่อทุกอย่างปรากฏออกมาแล้ว คุณจะพบว่าแท้จริงมันไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา แต่เป็นหางมฤตยูของแมงป่องต่างหาก!

ตลอดทั้งโลกที่ฟุ้งไปด้วยพายุทราย น่ากลัวว่าจะไม่มีอาวุธใด ร้ายแรงไปกว่าหางมฤตยูนี้อีกแล้ว!

“ไปเถอะ ได้เวลากลับบ้านแล้ว”

แมงป่องยักษ์ส่งเสียงหึ่งๆ

ซึ่งนี่เป็นเสียงเดียวกันกับต้นไม้ใหญ่ก่อนหน้านี้

แมงป่องน้อยส่งเสียงเล็กแหลมสองครั้ง ดูเหมือนว่ามันจะร้องขออะไรบางอย่าง

“ก็ได้ๆ เจ้าปีศาจน้อยโลภมากเอ๊ย ข้าจะให้เจ้าได้กินขนมขบเคี้ยวไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน” แมงป่องยักษ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

เบื้องหลังมัน ปรากฏศพๆหนึ่งผุดขึ้นมา

แมงป่องน้อยค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง

และมันก็ค้นพบว่า นี่คือคนที่พยายามจะเหยียบมันในตอนแรก

แมงป่องน้อยปีนขึ้นไปบนใบหน้าของศพด้วยความพึงพอใจ

จากนั้นก็เริ่มกัดแทะ…

แมงป่องยักษ์เริ่มคืบคลานไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางผืนทราย

“ชายคนที่จากไปก่อนหน้านี้ เจ้ายังต้องการจะกินเขาอยู่อีกหรือไม่?” แมงป่องยักษ์เอ่ยถาม

แมงป่องน้อยกำลังวุ่นอยู่กับการกิน มันไม่ยอมตอบ แต่ยกหางชูขึ้นมาจากเบื้องหลัง และกวัดแกว่งซ้ายขวา สุดท้ายชี้ลงมายังอาหารที่อยู่เบื้องหน้าแทน

“อืม เจ้าทำถูกต้องแล้ว หากเป็นคนที่หยาบคายเหล่านี้เจ้าย่อมสามารถกินได้เต็มที่ เพราะพวกมันไม่มีประโยชน์อื่นใดอีกนอกจากกลายมาเป็นอาหาร” แมงป่องยักษ์แสดงท่าทีพอใจ

“จิ จิ?” แมงป่องน้อยถามด้วยความสงสัย

แมงป่องยักษ์สอนสั่งสายเลือดของตัวเอง “เหตุผลที่ความสุภาพเป็นสิ่งสำคัญ นั่นเพราะท่ามกลางสิ่งมีชีวิตนับร้อยล้านพันล้านอันน่าเกรงขาม มันล้วนเต็มไปด้วยปริศนาที่ไม่รู้จัก แต่หากเจ้าแสดงมารยาทที่ดีต่อพวกเขา ให้เหมาะสมเหมือนกันกับเจ้าหนุ่มคนนั้น เจ้าก็จะสามารถมีชีวิตรอด อายุยืนยาวต่อไปได้อย่างแน่นอน”

“จิ จิ?”

แมงป่องน้อยโต้กลับ เหมือนว่าจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

แล้วทั้งสองก็ค่อยๆ ไกลห่างออกไป

อีกด้านหนึ่ง

กู่ฉิงซานที่กำลังบินอยู่กลางอากาศจู่ๆก็ต้องลดระดับลงอย่างกะทันหัน

เขาไม่ลังเลเลยที่จะใช้ศิลาวิญญาณ จัดค่ายกลป้องกัน ค่ายกลแจ้งเตือน ค่ายกลปกปิด ค่ายกลโจมตี และค่ายกลกักวิญญาณ ซ้อนๆ ทับกัน

ซึ่งสิ่งที่ต้องแลกมา มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานจำเป็นต้องจ่ายศิลาวิญญาณเพื่อสิ่งเหล่านี้

เนื่องจากพลังวิญญาณของเขากำลังพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันเข้าสู่สภาวะที่มิอาจระงับข่มได้

หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ

หายนะจากโทษทัณฑ์ที่สองของเขา ได้สิ้นสุดลง

ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานได้ยกระดับขึ้นมาอยู่ในขอบเขตพันวิบัติขั้นปลายเป็นที่เรียบร้อย!

………………………………….

“สำหรับท่าน” เขากล่าว

เม็ดทรายเริ่มแยกตัวออกจากกันเป็นหลุมลึก และขวดน้ำเต้าก็จมลงไปภายใน

“อา ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ” ต้นไม้ใหญ่ตอบด้วยความสุข

“ด้วยความยินดี มันก็แค่ของเล็กๆ น้อยๆ ถือซะว่าเป็นการมอบมันให้แก่ท่านแลกกับสถานที่พักผ่อน” กู่ฉิงซานโบกมือ

ต้นไม้ใหญ่ “ข้ามิใช่โจร เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจจนเกินไป เอาเป็นว่าข้าจะตอบแทนเจ้ากลับคืนก็แล้วกัน หวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจมันนะ”

เห็นแค่เพียงกิ่งก้านสีดำของต้นไม้ใหญ่ที่หักออก และตกลงข้างๆ กับกู่ฉิงซาน

“โปรดรับมันไว้ นี่คือความปรารถนาดีเล็กๆ น้อยๆ ของข้า” ต้นไม้ใหญ่กล่าว

กู่ฉิงซานก้มลงมองกิ่งไม้

‘ก็แล้วไอ้ของแบบนี้…มันจะเอาไปใช้ทำอะไรได้กัน?’

อย่างไรก็ตาม หากเขาไม่รับมันหรือแสดงท่าทีรังเกียจ มันจะไม่เป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอับอายหรอกหรือ?

“ขอบพระคุณท่านมาก” เขากล่าว

“อืม” ต้นไม้ใหญ่รับคำ

หลังจากนั้น ไม่ว่าฝ่ายไหนก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก

หนึ่งมือจีบเข้าด้วยวิชาลับ ยกกิ่งไม้ลอยขึ้นมาในอากาศ และเก็บเข้าไปในถุงสัมภาระ

จากนั้น เขาก็หยิบฟูกออกมา นั่งลง และเริ่มพักผ่อนดื่มกิน

เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

สองชั่วยามต่อมา

กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น ทั้งคนทั้งร่างสาดประกายสดใส

ทันใดนั้นเอง เขาก็ค้นพบว่า มีแมงป่องสีดำตัวเล็กกำลังยืนอยู่บนผืนทรายตรงหน้าเขา

แมงป่องดำเฝ้ามองดูเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เมื่อกู่ฉิงซานลืมตาขึ้น เขาก็ตกใจ

ส่วนแมงป่องมุดเข้าไปในทราย ซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เขาลุกขึ้นยืนและเตรียมที่จะจากไป

“ท่าน ผมคงต้องบอกลาแล้ว” เขาหันไปพูดกับต้นไม้ใหญ่

“เจ้าจะไปที่ใด?” ต้นไม้ใหญ่เอ่ยถาม

“ไปยังตลาดมืด ผมไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน เลยว่าจะลองดู” กู่ฉิงซานกล่าว

“โอ้ แล้วเจ้าจะไปที่นั่นทำไมกันล่ะ?” ต้นไม้ยังคงถามต่อ

“พอดีว่าผมต้องการที่จะเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับการรักษา เนื่องจากเพื่อนของผมได้รับบาดเจ็บสาหัส และตัวผมในตอนนี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย” กู่ฉิงซานพยายามสงบใจ

“รักษาสินะ…” ต้นไม้ใหญ่ถอนหายใจ “เกรงว่าหากเป็นเรื่องนั้นข้าคงไม่สามารถช่วยได้ แต่เจ้าเป็นคนหนุ่มที่มีจิตใจดีทีเดียว ดังนั้นจงก้าวต่อไปข้างหน้า อย่าได้ท้อถอย”

“ถ้าเช่นนั้นผมขอลาก่อน” กู่ฉิงซานประสานกำปั้น

ต้นไม้ใหญ่ “ลาก่อน”

กู่ฉิงซานทะยานตัวสูงขึ้น พุ่งไปบนท้องฟ้า

เขาออกจากพื้นที่ซึ่งไร้พายุทราย ที่ถูกปกคลุมอยู่รอบต้นไม้

ทันใดนั้นเอง พายุทรายอันไร้ที่สิ้นสุดก็โหมกระหน่ำเข้าใส่เขาอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็สังเกตเห็นว่ามีคนนับสิบปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เขา

เมื่อกู่ฉิงซานเห็น อีกฝ่ายก็ย่อมที่จะมองเห็นเขาเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายกำลังมุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกัน

‘ดูเหมือนว่าเจ้าพวกนั้นก็กำลังจะตรงไปยังตลาดมืดเหมือนกัน’

กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ และตัดสินใจลดความเร็วลง เพื่อให้อีกฝ่ายจากไปก่อน

หนึ่งเพราะอีกฝ่ายมีหลายคน สองเพราะเขาไม่ต้องการที่จะปะทะกันแล้วเกิดปัญหา สามคือหยุนจียังคงบาดเจ็บสาหัส กู่ฉิงซานจำเป็นต้องใช้สมาธิเกี่ยวกับเรื่องนี้ และหาวิธีช่วยเหลือเธอให้เร็วที่สุด

อีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อเห็นท่าทีของกู่ฉิงซาน พวกเขาก็แสดงท่าทีพอใจออกมา

และเริ่มหันไปมองหน้ากันและกัน

ชายคนหนึ่งยกมือขึ้น และเลื่อนเล็กน้อยไปยังทิศทางของกู่ฉิงซาน

โดยมือข้างนั้นของเขา มีนาฬิกาข้อมือสวมใส่อยู่

ก้มลงมองไปยังบางสิ่งบางอย่างที่ปรากฏขึ้นบน ‘นาฬิกาข้อมือ’ ชายคนนั้นก็เริ่มรายงานอะไรบางอย่างแก่เพื่อนๆในกลุ่มของเขาทันที

พอได้ฟัง ท่าทีของคนในกลุ่มก็ผ่อนคลายลง

ชายที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำขบคิดเล็กน้อย และกล่าวอะไรบางอย่างกลับฝูงชน

ในเวลาเดียวกัน สัญญาณเตือนก็เริ่มร้องดังขึ้นในหัวใจของกู่ฉิงซาน

จู่ๆก็ฉิงซานก็เข้าใจได้ในทันที

นี่คือโทษทัณฑ์!

หายนะอีกครั้งที่สองได้มาเยือนเขาแล้ว!

หายนะนี้คืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งในวินาทีสุดท้าย มันจึงปะทุออกมา เป็นการจู่โจมอย่างกะทันหัน

ยังไม่ทันได้มีเวลาป้องกัน…

ตูม!

กู่ฉิงซานหลบเลี่ยงเจ็ดแปดการโจมตี แต่ในการโจมตีสุดท้ายเขาก็ถูกมันซัดเข้าใส่เต็มรัก ทั้งคนทั้งร่างกระเด็นกระดอนกลับไป

กู่ฉิงซานร่วงตกจากฟ้าเป็นเส้นโค้ง กระเด็นลอยกลับไปทางเหนือต้นไม้ใหญ่

ตูม!

เขาตกลงกระแทกกับพื้น แรงปะทะมหาศาลก่อให้เกิดหลุมทรายขนาดใหญ่ กระทั่งพื้นดินสีดำที่ซ่อนอยู่เบื้องล่างก็ปรากฏต่อหน้าเขา

กู่ฉิงซานสะบัดหัวและบินขึ้นไปอีกครั้ง

มันเป็นอุบัติเหตุไม่คาดฝัน กระทั่งเจตนาฆ่าของอีกฝ่ายก็เพิ่งปะทุออกมา

นับว่าโชคยังดีบนร่างเขาสวมใส่เกราะรบนายพลชั้นเฉินเว่ยอยู่ มันเลยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก

ทว่าก็ยังปรากฏรอยร้าวเล็กๆ ขึ้นบนชุดเกราะ

กู่ฉิงซานทะยานตัวสูงขึ้น หยิบธนูเย่หยูออกมาทันที

คนร้ายนับสิบได้บินตรงเข้ามา

พวกเขาชะงักไปกลางอากาศ สายตาจับจ้องกู่ฉิงซาน ปากหัวเราะคิกคัก

“พี่ชายซี ดูเหมือนว่าเจ้าหมอนั่นมันจะเป็นนักธนูนะ ดูก็รู้ว่าคู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไป ฉันกลัวว่าเขาจะไม่มีสมบัติอะไร” คนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ยุงแม้จะตัวเล็ก แต่มันก็ยังมีเนื้อ ถ้าเจอมัน ก็สมควรที่จะฆ่าทิ้งซะ”

ชายที่ทุกคนเรียกกันว่าพี่ชายซีกล่าวอย่างไม่แยแส

ชายอ้วนที่ดูแข็งแกร่งกล่าว “มันเป็นนักธนู พวกเราไม่ต้องลงมือกันทีเดียวทั้งหมดก็ได้ แค่คนเดียวก็พอแล้ว”

กู่ฉิงซานแม้จะอยู่ไกล แต่ก็ยังพอจับใจความได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว

พวกคนแบบนี้จำเป็นต้องฆ่าเท่านั้น

ในเวลาเดียวกัน ชายอีกคนก็ชักมีดสั้นออกมาและกล่าว “ใครก็ตามที่ฆ่ามันได้คนแรก คนคนนั้นก็จะมีสิทธิ์เลือกขอ”

ปุ!

ยังไม่ทันจะได้เอ่ยจนจบประโยค ชายมีดสั้นก็ถูกศรของกู่ฉิงซานยิงทะเลเข้าหัว

หมอกเลือดสายกระจายไปทั่ว

สีหน้าทุกคนแปรเปลี่ยนกลับกลาย

“ระยำเถอะ! ไอ้บ้านั่นมันฝีมือธนูไม่เลวเลย พวกเราคงต้องร่วมมือกันแล้ว!” พี่ชายซีตะโกน

หลายสิบคนชักอาวุธประจำกายของพวกเขาออกมา และวิ่งเข้าหากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานบินถอยหลังกลับ ขณะเดียวกันมือก็เอื้อมไปคว้าลูกศรเบื้องหลัง

ฟิ้ว!

ระบำผันผวน!

ศรห้าดอกกลายเป็นภาพติดตา เลี้ยวลดโค้งงอ ระเบิดเข้าไปกลางฝูงชน ม้วนเข้าแทงไปสองคน ตกตายทันที!

พี่ชายซีเห็นแบบนั้นก็โกรธเกรี้ยว

ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อมั่นในการคำนวณจากเครื่องมือมากเกินไป ดังนั้นจึงถูกโจมตีสวนกลับโดยอีกฝ่าย

“บ้าจริง! ทักษะธนูของมันทรงพลังเกินกว่าที่เครื่องคำนวณระบุเอาไว้ พวกเราต้องเข้าไปประชิดตัวมันทันที!”

แต่น่าเสียดาย

เพราะถ้าพวกมันยังเข้าใจ กู่ฉิงซานแน่นอนว่าย่อมเข้าใจเช่นกัน เขาหลบหนีอย่างรวดเร็วด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว จนคนเหล่านั้นไม่สามารถไล่ตามทันได้

อีกหนึ่งลมหายใจผ่านพ้นไป

ชายอีกคนหนึ่งก็ถูกยิงเข้าที่แขนโดยกู่ฉิงซาน

และเขาคือชายอ้วนที่ดูแข็งแกร่งนั่นเอง

หนึ่งมือกระชากลูกศรออกอย่างแรง ปากอ้าตะโกนเรียกคนรอบกายด้วยความโกรธ “พวกแกทั้งหมดมาที่นี่!”

ผู้คนพอได้ยินเสียงคำรามของเขา ก็วูบกายกลับมารายล้อมรอบตัวชายอ้วนทันที

ชายอ้วนกัดฟัน จ้องมองกู่ฉิงซาน และกล่าวกับฝูงชน “ฉันจะลงทุนใช้ไพ่ตาย เพราะฉะนั้นชีวิตและสมบัติทุกอย่างของไอ้บ้านั่นต้องตกเป็นของฉัน!”

“เข้าใจแล้ว!” ฝูงชนพยักหน้า

ชายอ้วนลูบไล้แหวนบนนิ้วของเขา และเปิดใช้งานเทคนิคมนตราบนแหวน ‘เคลื่อนย้ายมิติโกลาหล’ ทันที!

เคลื่อนย้ายมิติโกลาหล เป็นสกิลมิติ เป็นเทคนิคมนตรา ที่จะสามารถนำพาพวกเดียวกันที่อยู่ในรัศมี 10 เมตรรอบตัวตัดผ่านอุปสรรค แล้วไปปรากฏตัวในตำแหน่งรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ล้อมรอบศัตรูได้เลยโดยตรง

ในช่วงเวลานั้นเอง แสงสีขาวก็ปะทุขึ้นมาจากแหวน

คนทั้งหมดหายวับไป

พวกเขาปรากฏตัวขึ้นรอบกายกู่ฉิงซาน ปิดล้อมทิศทางเขาโดยสมบูรณ์

สำหรับนักธนู การที่พวกเขาวางกลยุทธ์ปิดล้อมแบบนี้นับว่าถูกต้องแล้ว

เพราะอาชีพโจมตีระยะไกล ย่อมไม่สามารถหลบหนีจากการโอบล้อมระยะใกล้เช่นนี้ได้

“ไอ้หนู” ชายอ้วนบึกบึนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิชาธนูน่ะมันเป็นทักษะเอาไว้ให้พวกผู้หญิงเขาเล่นกัน ตอนนี้แกหนีไม่พ้นแล้ว”

จู่ๆ คนทั้งหมดก็เข้ามาในระยะประชิด ทำเอากู่ฉิงซานต้องเผยท่าทีแปลกๆ ออกมา

แต่เขามิได้เอ่ยสิ่งใด

ธนูยาวและลูกศรหายวับไปทันที

แต่กลับปรากฏกระแสแสงเย็นเยียบตัดผ่านท้องฟ้า พร้อมกับคมกล้าจากแสงจันทร์สีนวลสว่างไสว ร่ายรำขึ้นในอากาศขึ้นแทนที่

เทคนิคลับแห่งดาบ ล่าชีพ!

พลังศักดิ์สิทธิ์ ตัดขาดการเชื่อมต่อ!

เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา รูปแบบฟันต่อเนื่อง!

ทุกคนที่เสนอหน้าเข้ามาใกล้ยืนแข็งค้างในสถานที่เดียวกัน ทั้งหมดถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถูกแรงอัดอากาศจากสกิลดาบระเบิดปลิวกระจัดกระจาย ว่อนไปทั่วต้นไม้ใหญ่

กู่ฉิงซานค่อยๆเก็บดาบกลับคืนอย่างช้าๆ

เขาก้มลงมองหยดเลือดบนทรายสีเหลืองนวล ปากอ้าถอนหายใจ

“โทษทีฉันลืมบอกไป ธนูน่ะมันแค่การอุ่นเครื่อง อันที่จริงแล้วฉันใช้ดาบในการฆ่าคนเป็นหลักต่างหาก”

………………………………….

กู่ฉิงซานอยู่ในจุดเดิม นิ่งงันไปครู่หนึ่ง

ก่อนจะจีบมือออกด้วยวิชาลับ รวบรวมทรายสีเหลืองนวลรอบๆ นำมาปกคลุมผลึกน้ำแข็งอีกครั้ง

จากนั้นก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา

สองมือของกู่ฉิงซานพรมลงบนดิสก์อย่างรวดเร็ว

ไม่นาน แสงสวรรค์ก็สาดส่องออกมาจากดิสก์ค่ายกล

โดยมีผลึกน้ำแข็งถูกตั้งไว้อยู่ในใจกลางค่ายกลปกปิดขนาดใหญ่ ซ้อนทับๆ กันหลายชั้น

กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่ง และตัดสินใจวางค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กเพิ่มเข้าไปด้วย เพื่อที่เขาจะสามารถเดินทางมาที่นี่ได้ แม้จะอยู่ในอีกซีกหนึ่งของโลกใบนี้ก็ตามที

หลังจากทำทั้งหมดนี้ เขาก็เก็บดิสก์ค่ายกลกลับคืน

ก็รู้อยู่หรอก ว่าค่ายกลพวกนี้มันอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก แต่จะดีจะร้าย ด้วยค่ายกลปกปิดกว่าสิบเจ็ดค่ายซ้อนทับๆ กัน มันก็น่าจะสามารถกลบกลิ่นอายอำนาจเทวะที่ผุดออกมาจากผลึกน้ำแข็งได้สักเล็กน้อย

จากนี้ไป ที่ต้องทำก็คือหาวิธีในการรักษาหยุนจี

ตามความทรงจำของวังเฉิง ที่นี่คือโลกของเกรย์แฮนด์ แถมยังเป็นตลาดมืดลำดับที่สิบเอ็ดในดินแดนชิงอำนาจอีกด้วย

ถึงแม้ว่าวังเฉิงจะอยู่ในยานอวกาศมาเกือบครึ่งชีวิต และไม่มีความรู้ความสามารถในการหาเงินได้เยอะๆ ก็ตามที แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าตลาดมืดน่ะ มันเจริญรุ่งเรืองขนาดไหน และมีสิ่งแปลกประหลาดมากมายเพียงใดอยู่ในนั้น

ตลอดทั้งสองร้อยล้านชั้นในดินแดนชิงอำนาจ ได้ถือกำเนิดอารยธรรมที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนขึ้น นอกจากนี้ยังมีความหลากหลายทางทรัพยากร และสมบัติแปลกๆ ปรากฏขึ้นมาอีกมากมาย

และสถานที่อย่างเช่นตลาดมืด มันไม่ได้มีการจัดเก็บภาษี ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะอารยธรรม หรือธุรกรรมใดๆ ที่อยู่ที่นี่ ทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครองจากเจ้าของตลาดมืด

เจ้าของตลาดมืดล้วนใหญ่ล้วนเฉลียวฉลาด พวกเขามักจะคิดค่าบริการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง ทุกชีวิตที่เข้ามาเยือนจึงประทับใจกับผลกำไรที่ตนเองได้รับ เกิดการบอกปากต่อปาก จนกระแสผู้คนหลั่งไหลเข้ามา

ในตลาดมืดอาจจะมีความรู้หรือข้อมูลบางอย่างที่สามารถช่วยให้กู่ฉิงซาน สามารถเรียนรู้วิธีการรักษาตัวตนระดับจ้าววงการอยู่ก็ได้

ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาก็คือ การตรงไปยังตลาดมืด

นึกถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ลังเลอีกต่อไป

เขาหยิบเอาเม็ดยาวิญญาณออกมา โยนเข้าใส่ปาก

โลกใบนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่ แม้ตนจะมีฐานวรยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติขั้นกลางแล้วก็ตามที แต่การเดินทางไปยังตลาดมืดคงจะยาวนานและยากลำบากไม่น้อย

เอาล่ะ เท่านี้ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมแล้ว

กู่ฉิงซานทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง พุ่งหายไปยังทิศทางหนึ่งไกลออกไป

ภายในโลกเกรย์แฮนด์

เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า

เม็ดทรายและฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว

โลกทั้งใบราวกับถูกดูดเข้าไปท่ามกลางพายุทราย

ทว่าบางครั้ง ก็ยังปรากฏสถานที่อันหาได้ยากยิ่ง สถานที่ซึ่งมีพลังปริศนาคอยคุ้มครอง ป้องกันมิให้เศษฝุ่นทรายปลิวเข้าไปได้อยู่

กู่ฉิงซานบินมาทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า

ช่วงเวลานี้ แดดบนท้องฟ้านับว่าร้อนแรงที่สุดของวัน

มันคือช่วงเวลาเที่ยง

เหนือพายุทรายอันไร้ขอบเขต เจ็ดดวงอาทิตย์ร้อยเรียงกันเป็นทิวแถว สาดแสงอันร้อนแรงออกมา

ทุกอย่างแทบจะไหม้เกรียม

หากกู่ฉิงซานไม่ได้ใช้พลังวิญญาณปกป้องร่างกายตนเองเอาไว้ล่ะก็ เขารู้สึกว่าตัวเองคงจะถูกย่างจนสุกไปแล้ว

จากความทรงจำของวังเฉิง โลกใบนี้ใกล้จะล่มสลายลงแล้ว

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของวังเฉิงอยู่ในระดับต่ำ ประจวบกับสถานะของเขา จึงยังมีอีกหลายสิ่งในโลกใบนี้ที่เจ้าตัวไม่อาจล่วงรู้

กู่ฉิงซานรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

ข้อมูลมันน้อยเกินไป ไม่เอื้อต่อการตระเตรียมกลยุทธ์ล่วงหน้าของเขาเอาเสียเลย

เขารู้สึกว่าตนเองได้สูญเสียพลังวิญญาณไปมากพอสมควรแล้ว จึงก้มลงมองหาจุดพักบนพื้นทราย

พายุทรายปกคลุมไปทั่วฟ้า บดบังวิสัยทัศน์ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดเจน

เขาจึงตัดสินใจปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ ทำการตรวจสอบ ค้นหาสถานที่ซึ่งอยู่ภายใต้พายุทรายโดยละเอียดอีกครั้ง

เบื้องล่างของพายุทรายก็ยังคงเป็นผืนทราย

ภายใต้ผืนทราย ปรากฏถึงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน  แต่ที่สะดุดตาที่สุดคงจะเป็น

ต้นไม้สีเขียวชอุ่มขนาดใหญ่

มันคือต้นไม้ที่ผุดงอกออกมาจากเนินทราย กำลังเปล่งประกายสีเขียวอ่อน กระจายไปตามพายุทรายที่อยู่รอบตัวมัน

บริเวณใกล้เคียงกับต้นไม้ใหญ่ไร้ซึ่งพายุทราย แสงระยิบระยับสีเขียวช่วยให้แลดูสงบ มันเต็มไปด้วยพลัง ส่งผลให้เกิดโลกอันแสนจะเงียบสงบใบเล็กขึ้นที่นั่น

กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยที่จะบินลงไป

หลังจากฟันฝ่าพายุทรายมาเป็นเวลานาน พละกำลังกายของเขาก็เริ่มจะไม่เพียงพอ และต้องการที่จะพักผ่อน หยุดเพื่อหาอะไรกินสักเล็กน้อย

เขาร่อนลงเบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่ กวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ

และพบว่าแถวนี้มันไม่มีอะไรเลย

กู่ฉิงซานเดินไปหยุดหน้าต้นไม้ใหญ่ โค้งกายคารวะ กล่าวทักทายอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ แค่รู้สึกเหนื่อยกับการเดินทาง เลยอยากจะขอมาพักผ่อนที่นี่สักครู่”

เขาตบลงในถุงสัมภาระ หยิบขวดน้ำเต้าที่บรรจุน้ำแร่วิญญาณออกมา แล้วเทลงบนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่

นี่คือหลักปฏิบัติที่กู่ฉิงซานคิดว่าสมควรจะกระทำ

เพราะการที่ท่ามกลางทะเลทราย การจะปรากฏถึงพืชพรรณเขียวชอุ่มขึ้น มันเป็นไปได้ยากมาก

นั่นแสดงว่าต้นไม้ต้นนี้ต้องมีพลัง มีชีวิตและสติปัญญา

และด้วยการเทน้ำพุวิญญาณให้แก่มัน มันก็ย่อมจะต้องตอบสนองกลับมาด้วยท่าทีน่าพอใจ

กู่ฉิงซานได้รับความทรงจำของวังเฉิง

แม้ว่าวังเฉิงจะเป็นแค่คนเก็บซากยาน ไม่ได้มีระดับสูงอะไร แต่อย่างน้อยเจ้าตัวก็ยังเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามีประเภทของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน อยู่ในดินแดนชิงอำนาจ

กู่ฉิงซานพยายามคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้

ต่อจากนี้ไปในอนาคต ตนเองคงจะต้องเดินทางอีกยาวไกลในดินแดนชิงอำนาจ

ดังนั้น หมายความว่าหากเหยียบย่ำลงบนสถานที่ไม่คุ้นเคย มันก็ย่อมต้องเป็นการดึงดูดความสนใจจากสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในกรณีนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการแสดงออกถึงเจตนาและทัศนคติที่ดีให้แก่มัน

แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุด ก็จำต้องแสดงออกถึงเจตนาดี นี่คือหนึ่งในขั้นพื้นฐานที่สุดในการเอาชีวิตรอด

แน่นอน ว่าวิธีการที่รุนแรงยิ่งกว่า ย่อมไม่พ้นการต่อสู้

แต่หลังจากที่ได้ประสบพบเจอกับร่างมนุษย์แสง กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าเขาจะต้องไม่ประมาทต่อภูมิปัญญาของเหล่าสิ่งมีชีวิตใดๆ

เนื่องจากร่างของมนุษย์แสงได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าสิ่งมีชีวิตนับพันล้าน กระทั่งมอนสเตอร์มิติมันก็ยังเลือกที่จะปรากฏตัวขึ้น

ซึ่งนั่นสามารถพิสูจน์ได้ถึงสิ่งหนึ่ง

นั่นก็คือ เจ็ดเทพต่างเชื่อกันว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในดินแดนชิงอำนาจล้วนมีสติปัญญา และสามารถก้าวขึ้นมาเดินบนเส้นทางแห่งทวยเทพได้

คล้ายกับกำลังจะสื่อกลายๆ ว่าทุกสิ่งมีชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน

ดังนั้น หากสิ่งมีชีวิตทุกคนได้รับการปฏิบัติราวกับมีสติปัญญาเท่าเทียมกัน ดังนั้น เมื่อกู่ฉิงซานเข้าสู่อาณาเขตของคนอื่น เขาจึงจำเป็นต้องแสดงทัศนคติดีๆ ออกไป

ไม่มีใครหรอก ที่จะยินดีต้อนรับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก ให้เดินเข้ามาในบ้านของตัวเอง

แต่ถ้าหากคนแปลกหน้ามาด้วยอัธยาศัยที่ดีมันก็อีกเรื่องหนึ่ง

นี่คือมุมมอง และข้อสรุปแรกที่กู่ฉิงซานมีต่อดินแดนชิงอำนาจ

ด้วยเหตุนี้เอง กู่ฉิงซานจึงเลือกแสดงออกถึงเจตนาดี และมอบของขวัญให้แก่ต้นไม้ใหญ่ทันทีที่เข้าก้าวเข้ามาในอาณาเขตของมัน

เห็นแค่เพียงน้ำแร่วิญญาณที่ถูกเทลงบนกิ่งก้านต้นไม้ ไม่นานก็ถูกดูดซึมลงไปอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นเอง เสียงกระหึ่มก็ดังตามออกมาจากต้นไม้

“ข้าไม่ได้ดื่มน้ำแร่ที่มีรสชาติเช่นนี้มานานมากแล้ว หากมอบมันให้ข้าอีกสักหน่อย จะรู้สึกขอบคุณมาก”

กู่ฉิงซานแหงนหน้ามองต้นไม้ใหญ่ด้วยความประหลาดใจ

เขาหยิบน้ำเต้าอีกอันออกมา และราดลงบนต้นไม้

น้ำแร่ใสสะอาดทั้งหมดถูกดูดซึมจนเกลี้ยงทันที

“อา…”

ต้นไม้ระบายลมหายใจด้วยความพอใจ

มันกล่าวต่อ “ผู้เดินทางไกลเอ๋ย น้ำแร่ของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกพึงพอใจยิ่ง ดังนั้นเจ้าสามารถพักผ่อนที่นี่ได้ตามต้องการ”

‘หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ ก่อนหน้านี้ฉันยังไม่ได้อนุญาตให้พักอยู่ที่นี่อย่างนั้นสินะ’

กู่ฉิงซานเข้าใจในทันที

ดูเหมือนว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันจะถูกต้องแล้ว

เขาประสานสองกำปั้นและกล่าว “ขอบคุณท่านมาก”

“ด้วยความยินดี แต่หากเป็นไปได้ ข้าขอแร่ที่ยังอยู่ในขวดน้ำเต้าจะได้หรือไม่” ต้นไม้ใหญ่กล่าว น้ำเสียงของมันฟังดูเก้อเขินกับสิ่งที่ตนขออยู่เหมือนกัน “แต่คราวนี้ไม่ต้องเทนะ เพราะลูกของข้ากำลังจะกลับมา ข้าจะเก็บเอาไว้ให้มัน บางทีมันอาจจะชื่นชอบน้ำแร่นี้ก็ได้”

กู่ฉิงซานยิ้ม

ทั่วบริเวณแห่งนี้คือทะเลทราย ดังนั้นจึงยากนักที่จะได้พบเจอกับน้ำดีๆ

อีกอย่าง ว่ากันว่าโลกใบนี้เกือบจะล่มสลายลงแล้ว

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมน้ำแร่วิญญาณถึงได้รับความสนใจในที่แห่งนี้

สำหรับกู่ฉิงซาน มันก็แค่น้ำแร่ ดังนั้นจะให้เพิ่มมากกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร

กู่ฉิงซานหยิบขวดน้ำเต้าเพิ่มอีกหนึ่ง แล้ววางมันลงบนพื้นข้างๆ ต้นไม่ใหญ่

…………………………………………………

รอบๆ ผลึกน้ำแข็ง บางครั้งก็มีลวดลายของอำนาจเทวะ ปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งคราว

ภายในผลึกน้ำแข็ง หยุนจีสิ้นสติไปแล้ว ไม่สามารถสื่อสารใดๆ กับกู่ฉิงซานได้อีก

ทว่าเมื่อกู่ฉิงซานมาหยุดยืนต่อหน้าผลึกน้ำแข็ง เทคนิคมนตราที่เธอจัดตั้งไว้ล่วงหน้าก็สำแดงผล

แสงสีดำส่องสว่างระยิบระยับออกมาจากหว่างคิ้วของหยุนจี ผลุบออกมาจากผลึกน้ำแข็ง ตกลงเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานคิดเล็กน้อย ตัดสินใจเอื้อมมือไปคว้าจับมัน

ทันใดนั้นแสงสีดำก็ผลุบหายเข้าไปในมือของเขา เคลื่อนไหวไปตามแขน สุดท้ายจมลงในทะเลแห่งห้วงสติ

เสียงของหยุนจีดังขึ้นในหูของเขา

“กู่ฉิงซาน ฉันกำลังจะหมดสติลง แต่ฉันได้บันทึกทุกอย่างก่อนหน้านี้เอาไว้หมดแล้ว ดังนั้น ถ้านายมาถึงที่นี่ ไม่ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็ตาม นายก็จะสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้อยู่ดี”

เสียงค่อยๆ จางหายไป

ภาพอันคมชัดปรากฏขึ้นในทะเลแห่งห้วงสติของกู่ฉิงซาน

มันคือภาพที่เกิดขึ้นหลังจากเขาและหนิงเยว่ฉานออกจากสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น

เซี่ยเต๋าหลิงรับเอาตุ๊กตาผ้าของหยุนจีมา และกลายเป็นสาวโลลิ

เธอดูเหมือนจะยินยอมรับฟังคำแนะนำ และเลือกที่จะอยู่ในโลกของตัวเอง ตัดสินใจไม่ก้าวสู่ภายนอก

เรื่องราวต่อมา หยุนจี เฉินหวาง และตัวตนทรงอำนาจคนอื่นๆ ได้เข้าร่วมการประชุมระดับสูงของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น

ในการประชุม บางคนก็สนับสนุนหอคอยสูง บางคนก็สนับสนุนให้รอดูสถานการณ์ก่อนจะดีกว่า บางคนก็บอกให้ไปดักโจมตีหยั่งเชิงมันก่อนจะถึงที่หมาย และบางคนก็สนับสนุนว่าพวกเขาสมควรที่จะล่าถอยทันทีเพราะไม่อยากเผชิญชะตากรรมเดียวกันกับปืนกลมือ

หลังจากลงคะแนนเสียง สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นก็ได้ข้อสรุปว่า จะส่งทีมต่อสู้ที่นำโดยท่านหญิงแบล็กซีออกไป

จากนั้น สงครามอันน่าสลดใจก็บังเกิดขึ้น

สถานการณ์สงครามเอนเอียงไปในทิศทางเดียว

ไม่มีใครสามารถทำอะไรกับมอนสเตอร์ประหลาดของสถาบันเทพได้

เมื่อมันเริ่มดูดวิญญาณ มันก็ทำลายหอคอยแห่งความรู้ทันที พันธมิตรทางฝั่งโลกเก้าร้อยล้านชั้นเริ่มจะล่มสลาย

สงครามกำลังจะมาถึงจุดสิ้นสุด

หยุนจี เฉินหวาง และคนอื่นๆ กำลังจะตาย แต่ในช่วงเวลาวิกฤติยิ่ง ทั้งหมดก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่านหญิงแบล็กซี

ท่านหญิงแบล็กซีได้ขัดจังหวะการดูดกลืนดวงวิญญาณของมอนสเตอร์ประหลาด และส่งจ้าววงการที่ยังรอดชีวิตทั้งหมดเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจ

แล้วภาพก็สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้

กู่ฉิงซานหลับตาลง เฝ้าดูและกลั่นกรองกระบวนการทั้งหมด

ในตอนแรก เมื่อเซี่ยเต๋าหลิงกลายเป็นสาวโลลิ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่หรอก

แต่ทันทีที่ภาพมันเปลี่ยนไปเป็นฉากสงคราม อารมณ์ของเขาก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว มันมืดมนลง หนักอึ้งขึ้น

มอนสเตอร์ตัวนั้นแปลกประหลาดมากเกินไป

ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีประเภทใด ก็ไม่สามารถทำอันตรายต่อมันได้เลย

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ดวงตาจ้องมองเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย ตกอยู่ในภวังค์สมาธิ

“แบล็กซี…หวังว่าคุณจะรอดชีวิตไปได้นะ…”

เขาพึมพำเบาๆ

ท้ายที่สุดนี้ หากอิงตามคำอธิบายของฉานนู่ ในช่วงเวลาคัดเลือกหน้าใหม่ ท่านหญิงได้เคยพูดอะไรบางอย่างกับตัวเขา

บางที…เธอกับเขาอาจจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกันใช่หรือไม่?

แต่น่าเสียดาย ที่ตอนนี้เขาไม่สามารถไปพบเธอ

ระดับของการต่อสู้ มันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของกู่ฉิงซาน

จากภาพสุดท้าย เหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถช่วยเหลือท่านหญิงแบล็กซีได้

กู่ฉิงซานไม่อาจข่มใจคิดไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

แต่สำหรับกู่ฉิงซาน เรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือ…

ท่านอาจารย์ได้ออกไปจากโลกเก้าร้อยล้านชั้นแล้ว เธอถูกส่งกลับไปยังโลกกระจัดกระจาย และไม่น่าจะออกไปไหนอีกสักพัก

เมื่อกู่ฉิงซานคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณหยุนจี

ท่านหญิงแบล็กซีน่ะไม่สามารถหยุดยั้งมอนสเตอร์ประหลาดตัวนี้

ในบรรดาสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น แม้ว่าผู้เข้าร่วมสงครามบางคนจะทรงพลังเช่นเดียวกันท่านหญิงแบล็กซี หรืออาจเรียกได้ว่าสามารถยืนอยู่ในจุดสูงสุดเช่นเดียวกันก็ตาม แต่กู่ฉิงซานเกรงว่าทั้งหมดจะอยู่ในสภาพเดียวกันกับท่านหญิงแบล็กซี นั่นคือไม่อาจต้านทานเจ้ามอนสเตอร์ได้

หลังจากสงครามในครั้งนี้ สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นคงจะล่มสลาย ที่เหลือรอดคงถอนตัวกันออกไปอย่างรวดเร็ว

มันเป็นเรื่องน่าขันจริงๆ ทั้งที่เดิมที โลกไม่ปลอดภัยสมควรจะเป็นโลกกระจัดกระจาย แต่เวลานี้มันดันปลอดภัยยิ่งกว่าในโลกเก้าล้านชั้นซะอีก

สรุปได้ว่าท่านอาจารย์ไม่น่าจะได้รับอันตรายใดๆ

ดังนั้นตอนนี้…

กู่ฉิงซานเพ่งมองผลึกน้ำแข็ง และค่อยๆ เอื้อมมือออกไป

เขาวางมือตนลงบนผิวผลึกน้ำแข็ง

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ไอเท็ม ผลึกน้ำแข็งอำนาจเทวะ”

“คำอธิบาย นี่คือผลึกน้ำแข็งแห่งกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของอำนาจเทวะ”

“พงศาวดารวันสิ้นโลก ผลึกน้ำแข็งประกอบไปด้วยอำนาจเทวะ ซึ่งเป็นเทคนิคลับของทวยเทพ ในครั้งอดีตมันเคยปรากฏขึ้นมาอยู่หลายครั้ง โดยมีหน้าที่ปกป้องทุกสรรพชีวิตในช่วงเวลาสำคัญ”

“หากคุณต้องการดูเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมัน โปรดจ่ายหนึ่งพันแต้มพลังวิญญาณ”

เส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้น แล้วก็หยุดกึกลง

จากนั้น ในส่วนแถบด้านล่างของหน้าต่างเทพสงคราม ตรงปุ่มฟังก์ชัน ทุกอย่างล้วนเป็นสีเทาดำทั้งหมด

ยกเว้นก็แต่ตรง ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ ที่กำลังส่องสว่าง

มันเปล่งประกายสุกใส และค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากเบื้องล่าง มาหยุดลงใจกลางหน้าต่างระบบเทพสงครามในที่สุด

เสียงจักรกลอันเย็นเยียบของระบบเทพสงครามดังขึ้น

“ค้นพบเทคนิคลับของเทพวิญญาณ”

“ตัวเลือกพิเศษได้ปรากฏขึ้น”

“ระบบขอร้องถามดังต่อไปนี้”

“ฉันขอถามว่าคุณต้องการที่จะอัปเกรดฟังก์ชันวิชายุทธ์เทพสงคราม เพื่อขยายขอบเขตในการเรียนรู้ของมัน ให้ครอบคลุมไปถึงระดับที่สามารถเรียนรู้สกิลของเทพวิญญาณหรือไม่?”

กู่ฉิงซานกล่าวทันที “แน่นอน”

“ระบบยอมรับความประสงค์ของคุณแล้ว และจะทำการอัปเกรดวิชายุทธ์เทพสงคราม เพื่อให้คุณสามารถเรียนรู้สกิลของทวยเทพได้”

“ตอนนี้ โปรดเตรียมหนึ่งล้านแต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำการอัปเกรดวิชายุทธ์เทพสงครามให้สมบูรณ์ด้วย”

หนึ่งล้านแต้มพลังวิญญาณ!

กู่ฉิงซานสูดลมหายใจลึก

ตอนนี้เขามีแค่เจ็ดหมื่นสามพันแต้มพลังวิญญาณเอง

เดิมที เขามั่นใจว่าแต้มพลังวิญญาณเท่านี้ ก็น่าจะเพียงพอต่อการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆแล้ว

แต่ใครจะไปคาดคิด ว่าหากเขาต้องการที่จะเรียนรู้สกิลของเหล่าทวยเทพ จำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณอีกกว่าเก้าแสนสองหมื่นเจ็ดพันแต้ม!

นี่มันคือจำนวนที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

อย่างไรก็ตาม…

เกือบทุกคนในดินแดนชิงอำนาจ ทั้งหมดกำลังเลือกเดินไปในเส้นทางสู่ทวยเทพ

แต่ตัวเขาเองไม่ได้เป็นผู้ศรัทธา หากในอนาคตต้องต่อกรกับสาวกที่สามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ตัวเขายังไม่ได้ครอบครองสกิลใดๆ ที่แข็งแกร่งเลย อะไรๆ มันก็คงจะยาก

ดังนั้น การอัปเกรด ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เขาจะต้องทำ

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลลับที่ถูกซุกซ่อนไว้ในเหตุการณ์ดังกล่าวอีก

อย่างเช่น มันชัดเจนว่าท่านหญิงแบล็กซีสามารถทำการแช่ผลึกน้ำแข็ง ช่วยเหลือให้เหล่าสิ่งมีชีวิตในสนามรบสามารถรอดชีวิตมาได้

ดังนั้นเธอก็สมควรที่จะเป็นเทพวิญญาณ!

ต่อให้ไม่ใช่เทพวิญญาณก็ตาม แต่จะต้องเป็นการดำรงอยู่ที่ใกล้เคียงกับเทพวิญญาณแน่ๆ

แล้วถ้าเธอเป็นเทพจริงๆ แล้วทำไมถึงเลือกซ่อนตัวอยู่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นมาเป็นระยะเวลานานถึงขนาดนี้กัน?

เธอมีเป้าหมายอะไรกันแน่?

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันอย่างเงียบๆ

นับว่าโชคยังดี ที่ดูจากพฤติกรรมของเธอแล้ว บ่งบอกว่าเธอกำลังช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ส่งเสริมให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในช่วงเวลาวิกฤติ

กู่ฉิงซานคิดและเอ่ยถาม “ฉันไม่สามารถอัปเกรดได้ในตอนนี้ เอาไว้หลังจากได้รับแต้มพลังวิญญาณมากพอแล้วค่อยมาว่ากันอีกครั้ง”

“แน่นอนว่าการยกระดับวิชายุทธ์เทพสงคราม คุณจะต้องมีหนึ่งล้านแต้มพลังวิญญาณ ขณะเดียวกันระบบก็จะสามารถตรวจจับการดำรงอยู่ของเทคนิคลับบางอย่างของเทพวิญญาณได้”

กู่ฉิงซานวางมือของเขาลงบนผลึกน้ำแข็งและกล่าว “แบบอันนี้น่ะหรือ?”

“ถูกต้อง ผลึกน้ำแข็งนี้มันประกอบไปด้วยสกิลของเทพวิญญาณ ดังนั้นมันจึงสามารถกระตุ้นเงื่อนไขการอัปเกรดของวิชายุทธ์เทพสงครามได้”

“เข้าใจแล้ว ฉันจะรีบไปหาแต้มพลังวิญญาณมาให้เร็วที่สุด”

กู่ฉิงซานกล่าวจบ ก็ผละมือออก

เส้นแสงหิ่งห้อยทั้งหมดบนหน้าต่างเทพสงครามหายไป

ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ

กู่ฉิงซานไม่รีบร้อนที่จะทำลายผลึกน้ำแข็ง

เนื่องเพราะอำนาจเทวะของมันที่อยู่ภายใน กำลังคอยหล่อเลี้ยง รักษาชีวิตของหยุนจีเอาไว้

หากเขาทำลายผลึกน้ำแข็ง แต่ยังไม่มีหนทางที่จะสามารถช่วยเหลือเธอได้ นั่นคงไม่ต่างอะไรกับการฆ่าเธอทางอ้อม

กู่ฉิงซานเฝ้าสังเกตผลึกน้ำแข็งอย่างระมัดระวัง

มันอุดมไปด้วยอำนาจเทวะ ที่แสนจะยิ่งใหญ่

ด้วยเหตุนี้ ในระยะเวลาสั้นๆ หยุนจีก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ

แต่สถานการณ์เช่นนี้ ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป

อำนาจเทวะ ยิ่งนานวัน ย่อมต้องยิ่งเสื่อมถอย

เมื่อถึงเวลานั้น หยุนจีก็จะตายลงอย่างไม่ต้องสงสัย

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

หยุนจีตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นเธอคือบุคคลที่มีชื่อเสียง

แต่ตอนนี้เธอกำลังจะตาย

แล้วตัวเขาจะต้องใช้วิธีใดกันนะ ถึงจะสามารถช่วยชีวิตจ้าววงการคนนี้เอาไว้ได้?

………………………………….

ย้อนเวลากลับไปอีกสักเล็กน้อย

ในช่วงเวลาที่กู่ฉิงซานยังคงซ่อนตัวอยู่ในซากยานอวกาศ แต่สุดท้ายก็ถูกอัญเชิญโดยวังเฉิง

อีกด้านหนึ่ง

ภายนอกดินแดนชิงอำนาจ

ณ โลกของหอคอยสูง

สงครามโศกนาฏกรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนกำลังจะสิ้นสุดลง

ตูม…

ในระยะไกลออกไป หอคอยสูงที่เชื่อมต่อระหว่างผืนฟ้าและผืนดินหักโค่นลงอย่างกะทันหัน

หอคอยแห่งความรู้ของเหล่าทวยเทพถูกทำลายลงแล้ว!

เสียงกรีดร้องแหลมของผู้หญิงกังวานไปทั้งโลก “เจ้าพวกสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพเอ๋ย พวกเจ้ามันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความสิ้นหวัง”

เสียงของผู้ชายที่ดูบ้าคลั่งดังตามมา “ค่าของพวกเจ้ามีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือจิตวิญญาณที่จะกลายมาเป็นสารอาหารให้แก่พวกเรา!!”

ตามด้วยสองเสียงผสานแผดร้องทั้งชายหญิง “จิตวิญญาณ! จงมอบจิตวิญญาณของพวกเจ้าแก่ข้า! อ๊า”

ท่ามกลางเสียงแผดร้อง มอนสเตอร์ที่ยืนอยู่ใจกลางสนามรบก็เริ่มอ้าปากกว้าง

เหล่าผู้คนที่กำลังต่อสู้อยู่พลันร่วงกระแทกลงกับพื้น

จิตวิญญาณผุดออกจากร่างของพวกเขา ถูกดูดเข้าไปในปากของมอนสเตอร์

ตลอดทั้งสนามรบ จิตวิญญาณนับไม่ถ้วนถูกดึงดูดไปทางมอนสเตอร์

เฉพาะเพียงคนจากสถาบันเทพเท่านั้นที่ไม่หวั่นเกรงต่อการดูดวิญญาณนี้ นอกเหนือไปจากพวกเขา คนอื่นๆ ล้วนต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว สิ้นหวังเป็นประวัติการณ์

ตัวตนทรงอำนาจที่กำลังต่อกรกับคนจากสถาบันเทพ จำต้องละทิ้งพวกมัน หันไปโถมโจมตีด้วยพลังที่รุนแรงที่สุด ทุ่มสุดกำลังเข้าใส่มอนสเตอร์แทน

ทว่าการโจมตีของพวกเขากลับไร้ประโยชน์

มอนสเตอร์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างปลอดภัย ไร้ซึ่งอันตรายใดๆ มันยังคงดูดวิญญาณอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งเหล่าจ้าววงการจำนวนมากก็ยังไม่สามารถต้านทานการถูกดูดกลืนนี้ได้ จิตวิญญาณของพวกเขาเริ่มถูกแยกออกจากร่างกาย ลอยเข้าไปในปากมอนสเตอร์

และบรรดาผู้คนที่พอมีความสามารถในการต้านทานมัน ก็มิใช่จะรอดพ้น ต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เพราะในทุกๆ วินาทีที่ขัดขืน ร่างกายของพวกเขาจะได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ค่อยๆ ถูกทำลายลง

ภายในไม่กี่ลมหายใจ หลายร่างของพวกเขาก็ถูกทำลายลงด้วยพลังที่มองไม่เห็น จิตวิญญาณไร้ซึ่งที่พึ่งพิงอีกต่อไป

จวบจนถึงสถานการณ์นี้ จิตวิญญาณของพวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานการดูดกลืนของมอนสเตอร์ และจำต้องลอยไปหามัน ถูกกินแม้จะไม่ยินยอม

ตลอดทั้งสนามรบ จำนวนผู้รอดชีวิตลดน้อยถดถอยลงเรื่อยๆ

จุดจบของโลกเก้าร้อยล้านชั้นดูเหมือนว่าจะใกล้เข้ามาแล้ว

แต่ทันใดนั้นเอง แสงสว่างสีฟ้าดั่งท้องทะเลก็โอบเข้าปกคลุมทั่วทั้งสนามรบ

ภายใต้แสงสีฟ้าสดใสนี้ เหล่าจิตวิญญาณพลันได้รับอิสรภาพทันที

มนตราดูดวิญญาณของมอนสเตอร์ถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหัน

“เป็นใครกัน! ที่กล้าขัดขวางการช่วงเวลาอันโอชะของข้า!”

ชายหญิงตะโกนด้วยความโกรธเคือง

ขณะเดียวกัน ผู้คนที่ยังรอดชีวิตอยู่ในสนามรบ ต้องก็โห่ร้องด้วยความประหลาดใจ

“ท่านหญิงแบล็กซี!”

“ท่านแบล็กซีมาที่นี่!”

“พวกเรารอดแล้ว!”

“ท่านหญิง ได้โปรดนำทัพพวกเราเข้าต่อสู้ด้วยเถอะ!”

ได้ยินถึงเสียงร่ำร้องของทุกคน ท่ามกลางความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตก็บังเกิดเสียงทอดถอนหายใจดังขึ้น

เหล่าผู้ที่ยังรอดชีวิต ภายในหูของพวกเขาได้ยินเสียงของท่านหญิงแบล็กซี “ข้าจะพาพวกเจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ ที่นั่น กำแพงอุปสรรคที่เกิดจากอำนาจเทวะของเจ็ดเทพกำลังจะถูกเปิดใช้งานในไม่ช้า ตลอดทั้งดินแดนชิงอำนาจจะถูกซ่อนโดยสมบูรณ์”

“จงอย่าได้ออกไปจากดินแดนชิงอำนาจ เพราะตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น มีเพียงสถานที่นั่นแห่งเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ชั่วคราว!”

“พวกเจ้าจะต้องฟื้นฟูความแข็งแกร่งตน อยู่รอดต่อไป และคิดหาวิธีจัดการกับมัน”

ร่างของคนที่รอดถูกอาบไปด้วยแสงสีฟ้าใส บังเกิดชั้นผลึกควบแน่นตลอดทั้งร่างกายของพวกเขา

ชั้นน้ำแข็งคริสทัลแช่แข็งพวกเขา แล้วจากนั้น

ผลึกน้ำแข็งทั้งหมดก็ลอยขึ้นไปในอากาศ และหายวับไปทันที

มอนสเตอร์เฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ

อันที่จริงมันลองพยายามอยู่สองสามครั้งแล้ว แต่ก็พบว่าไม่อาจหยุดกฎเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้เลย

เฝ้ารอจนกระทั่งทุกอย่างจบลง มอนสเตอร์จึงมองไปที่ใดสักแห่งในความว่างเปล่า

เสียงผู้หญิงของมอนสเตอร์หัวเราะคิกคัก ปากเอ่ยถามอย่างช้าๆ “คนเหล่านั้นถูกส่งไปที่ใดกัน?”

ทว่าโดยรอบกลับมีเพียงความเงียบ

ไม่มีใครตอบคำถามของเธอ

แต่เสียงของผู้หญิงก็เริ่มดูภาคภูมิใจมากขึ้น “ข้าไม่สามารถหยุดสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจากการหลบหนีได้ ฉะนั้น ขอเดาว่ากระบวนการนี้ คงจะมีแต่เทพเท่านั้นที่ทำได้ ไม่คาดหวังเลยว่านอกจากเจ้าเจ็ดเทพชั่วร้ายนั่น จะยังมีเทพวิญญาณหลงเหลืออยู่ที่นี่ ไม่ยอมหลบหนีไปจากโลกเก้าร้อยล้านชั้นอยู่อีก”

เสียงผู้ชายคลุ้มคลั่ง “แต่ในเมื่อยังไม่หลบหนีไป เช่นนั้นโชคชะตาของเจ้าคงถึงวาระเสียแล้ว!”

สองเสียงร่วมกันแผดก้อง “เจ้าไม่สามารถหนีไปได้ โชคชะตาของเจ้าคือต้องมาตกอยู่ภายในท้องของข้า!”

ท่ามกลางแสงสีฟ้าไร้ขอบเขต เสียงของหญิงสาวถอนหายใจดังขึ้น

เธอกล่าว “แม้วันนี้ข้าจะตาย แต่มันไม่ใช่ในฐานะของกินของเจ้า!”

ระหว่างกล่าว โลกทั้งใบก็เริ่มล่มสลายลง

อีกด้านหนึ่ง

นักรบที่ยังมีชีวิตรอด ทั้งหมดต่างถูกผนึกด้วยผลึกน้ำแข็งสีฟ้า ถูกส่งข้ามโลกนับไม่ถ้วนตรงไปยังดินแดนชิงอำนาจ

ผลึกน้ำแข็งราวกับฝนดาวตก กระจายกันออกไปตามจุดต่างๆ อย่างรวดเร็วในดินแดนชิงอำนาจสองร้อยล้านชั้น

ฝนดาวตกสิ้นสุดลง

วินาทีต่อมา

เสียงของมนุษย์แสงก็ก้องกังวานผ่านทุกชั้นโลกในดินแดนชิงอำนาจ

เป็นเสียงอันศักดิ์สิทธิ์และน่าเคารพนอบน้อม มนุษย์แสงป่าวประกาศว่า “โปรดทราบ ผู้ศรัทธาคนแรกที่สามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว”

“หนทางสู่การเป็นเทพได้เปิดออกอย่างเป็นทางการ”

“อำนาจเทวะที่ถูกวางไว้โดยเทพวิญญาณจะถูกเปิดใช้งานในไม่ช้า”

“ดินแดนชิงอำนาจจะถูกซ่อนจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น”

“นับจากนี้ไป ใครก็ตามที่ออกจากดินแดนชิงอำนาจ จะไม่สามารถเข้ากลับมายังดินแดนชิงอำนาจได้อีกเลยตลอดกาล!”

ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น ดินแดนชิงอำนาจทั้งหมดค่อยๆ หายไป

ผู้คนไม่สามารถค้นหาโลกสองร้อยล้านชั้นได้อีกต่อไป สูญสิ้นซึ่งหนทางเข้าสู่โลกเหล่านั้น

เวลาเดียวกัน ในดินแดนชิงอำนาจ

หนึ่งในผลึกน้ำแข็งสีฟ้า จากมากมายนับไม่ถ้วนได้ข้ามผ่านกระแสมิติ และร่วงตกลงสู่โลกเกรย์แฮนด์

รอบๆ ผลึกน้ำแข็ง ปรากฏลวดลายอันลึกลับของทวยเทพขึ้นเป็นครั้งคราว

ลวดลายเหล่านี้ มีไว้เพื่อให้มั่นใจว่าผลึกน้ำแข็งจะไม่ถูกรบกวน หรือตรวจพบได้โดยอำนาจใดๆ

ผลึกน้ำแข็งเงียบงัน และทันใดนั้นมันก็ตัดผ่านท้องฟ้า ร่วงตกลงไปในทะเลทรายที่อยู่ห่างไกลในโลกเกรย์แฮนด์

ผลึกน้ำแข็งจมลงใต้พื้นดิน ความมืดมิดรายล้อมมันโดยสมบูรณ์

เป็นเวลานาน

เสียงของผู้หญิงจากผลึกน้ำแข็งก็ดังขึ้น

“กระ…บี่…ปฏิญาณ”

ซูม!

ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกไปทั่วโลก

ภายในใต้ดินอันมืดมิด

เสียงไออย่างรุนแรงของหญิงสาวดังขึ้น ราวกับว่ามนตราก่อนหน้านี้ได้ดูดกลืนพลังทั้งหมดของเธอไป

หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เริ่มพูดออกมา “อีกฝั่ง…หนึ่ง…เป็น…ใครกัน?”

ทันใดนั้น เสียงที่ดูกังวลก็ดังขึ้นใกล้กับผลึกน้ำแข็ง

 “คุณคือหยุนจี? จ้าวแห่งหมอก ผู้คุ้มภัยแห่งโชคชะตาลี้ลับ ภัยพิบัติแห่งอาณาจักรทั้งมวล ใช่หรือเปล่า?”

นี่คือเสียงของกู่ฉิงซาน

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ณ โลกเกรย์แฮนด์

รุ่งสางยังมาไม่ถึง ดังนั้นนี่คือช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดของวัน

เหนือท้องฟ้าอันห่างไกล พริบตานั้นได้ยินถึงเสียงพรึบของปีกที่กระพือ

นกตัวหนึ่งบินตัดผ่านความมืดมิด โผบินจากส่วนลึกของฟากฟ้า

นกตัวนี้มิได้ส่งกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็สามารถสรุปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

‘มันเป็นแค่นกธรรมดา’

ชั่วขณะหนึ่ง

นกก็ทิ้งตัวลงมาราวกับสายฟ้าฟาด สลับกับสะบัดปีกอย่างแรง

มันพยายามเร่งความเร็วของตัวเอง

ไม่นาน

นกก็ได้ลดระดับลงจากฟ้า ร่อนลงมากำลังจะถึงพื้นดิน

แล้วจู่ๆ มันก็หายวับไปทันที

แต่กลับปรากฏถึงชายในชุดเกราะดำ หน้ากากเกราะทองปรากฏขึ้นแทน

ชายคนนั้นยืนอยู่กลางอากาศ ก้มลงมองผืนทะเลทรายกว้างใหญ่เบื้องล่าง

ร่างของเขากะพริบไหว หายไปจากสถานที่เดิม และตกลงบนพื้นแห่งหนึ่งในระยะไกลออกไป

ด้วยผ้าสีดำที่ถืออยู่ในมือ จิตสัมผัสเทวะของชายคนนั้นก็ได้ล็อกลงตรงตำแหน่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว

เขารีบวิ่งไปข้างหน้า นั่งยองๆ แล้วค่อยๆ นาบมือหนึ่งหมุนวนรอบเนินทราย

ในมืออีกข้างหนึ่งจีบออกด้วยวิชาลับ

ฮ่า!

พลังวิญญาณพัดกระพือดั่งสายลมกรรโชก ปัดเป่าทรายเบื้องหน้าไป

ผลึกน้ำแข็งสีฟ้าปรากฏต่อหน้าเขา

ภายในผลึกน้ำแข็ง หญิงงามที่ตามตัวเปื้อนไปด้วยเลือด ตกอยู่ในอาการโคม่ากำลังหลับตาพริ้ม

อาการบาดเจ็บตามร่างกายของเธอช่างน่าตื่นตระหนก ทั้งคนทั้งร่างคล้ายกับกำลังใกล้จะตาย

หากไม่ใช่เพราะอำนาจสีครามที่เวียนวนอยู่ในผนึกคริสทัลคอยค้ำจุนชีวิต เกรงว่าเธอคงจะตายไปแล้ว….

………………………………….

งูสายฟ้ารัดพันรอบใบดาบ สาดประกายพรั่งพราวอย่างต่อเนื่อง

กู่ฉิงซานยกดาบง้างขึ้นสูง แสดงท่าทีเตรียมจะทิ่มแทงลงไป

ตลอดทั้งลำยานพลันสั่นไหว

เห็นแค่เพียงแท่นควบคุมเรือ และเครื่องมือทั้งหมดกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ยานอวกาศกลับมาอยู่ในการควบคุมอีกครั้ง

ยานอวกาศเริ่มเร่งเครื่อง

สถานการณ์นี้มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น

คือกัปตันไม่กล้าที่จะทานทนต่อการโจมตีอันโหดร้ายเช่นนี้อีกต่อไป และยกเลิกสกิลหลอมรวมเข้ากับยานอวกาศ

เขาเลือกที่จะถอยหนี

กู่ฉิงซานผละมือ ปล่อยดาบยาวที่ค้างเติ่งกลางอากาศ ให้มันลอยไว้ทั้งอย่างนั้น

เขาหันหลังกลับ และเริ่มปรับตัวควบคุมต่างๆบนแท่น หมายจะช่วยให้ยานแล่นเร็วขึ้น

ไม่ช้า ความเร็วของยานอวกาศก็เพิ่มขึ้นถึงขีดสุด

ด้วยอัตราเร็วนี้ ตราบใดที่ไม่มีสิ่งใดมารบกวนอีกราวๆ หกถึงเจ็ดนาที ยานอวกาศก็จะไปถึงตลาดมืดเกรย์แฮนด์ในที่สุด

หลังจากนั้นหลายลมหายใจ

ประตูห้องควบคุมก็เปิดออก

ร่างของกัปตันกะเผลกๆ เข้ามา

ตามเสื้อผ้าของเขาถูกปกคลุมไปด้วยรอยเลือดจางๆ เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังและหน้าผาก สภาพดูน่าสังเวช

“ระยำเถอะ นี่แกหาฉันเจอได้อย่างไรกัน?”

กัปตันพ่นฟองเลือด เอ่ยถามด้วยความเกลียดชัง

กู่ฉิงซานเหยียดนิ้วชี้ออก สะบัดสั่งดาบขุนเขาเทวะหกโลกาเบาๆ

ดาบขุนเขารับฟัง มันปฏิบัติตามโดยการบินหายออกไปจากห้องควบคุมทันที และไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมุ่งหน้าไปที่ใด

กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “ผมเป็นทหารผ่านศึกที่ได้เดินทางข้ามผ่านไปตลอดทั้งโลกนับล้านๆ ใบ เป็นเวลานานหลายปี แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าคุณน่ะเป็นปรมาจารย์หุ่นเชิดโลหะเหมือนกับคนที่เคยได้ปะทะกันมาก่อนแล้ว”

กัปตันตะโกน “ผายลมเถอะ! ฉันเป็นคนแรกที่สามารถหลอมรวมเทคนิคผสานโลหะกับวิญญาณชักใยหุ่นเชิดเข้าด้วยกันได้ แล้วก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่เคยปะทะกับแกมาก่อนสักหน่อย!”

กู่ฉิงซานผงะ หน้าแตกดังเพล้ง แผนการเนียนของเขาล้มเหลว!

กลับกลายเป็นว่าบักหำนี่คือผู้บุกเบิกอาชีพนี้เสียอย่างนั้น!

ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมในสารานุกรมอาชีพของแผนกกิจการ ถึงได้มีอาชีพใหม่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี

ปรากฏว่าในดินแดนชิงอำนาจ แม้กระทั่งตาแก่เก็บซากยานอวกาศ ก็ยังสามารถสร้างอาชีพใหม่ขึ้นมาได้…

กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ ในจิตใจบังเกิดความชื่นชมในตัวอีกฝ่าย

“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมได้จ่ายเงินสำหรับค่าใช้ยานอวกาศไปแล้วก็แล้วกัน ถ้าไปถึงตลาดผมจะแยกตัวออกไปทันที ตกลงไหม?”

“จากนั้น พวกเราก็ถือว่าไม่ได้ติดหนี้อะไรกันอีก และไม่คิดแค้นใดๆ ต่อกัน”

กู่ฉิงซานกล่าว

กัปตันครุ่นคิดมิเอ่ยสิ่งใด

‘เจ้าหมอนี่มันประหลาดเกินไป มันอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด ไม่น่าจะใช่คู่ต่อสู้ของเรา’

‘แต่มันกลับสามารถมองเห็นถึงความสามารถของเราได้’

‘เดี๋ยวก่อนนะ’

‘บางทีใช่ว่ามันอาจจะเห็นแค่ความสามารถในการต่อสู้ แต่แท้จริงแล้วยังคงอ่อนแออยู่ดีรึเปล่า?’

หากลองได้คิดอย่างรอบคอบ จะพบว่าตนเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย และทั้งหมดมันก็ล้วนเกิดขึ้นเพราะความประมาททั้งสิ้น

ให้ตายเถอะ!

เจ้าหมอนี่มันต้องเก็บงำความลับอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ

จะสู้ต่อดี หรือว่าหยุดลงแค่นี้?

กัปตันลังเล สายตาของเขาหุบต่ำลงกับพื้น

ลงในตำแหน่งกล่องเงินที่กู่ฉิงซานโยนทิ้งเอาไว้

กล่องเงินที่เต็มไปด้วยเหรียญเลขเจ็ด

ใช่แล้ว เจ้าหมอนั่นโยนกล่องที่เต็มไปด้วยเหรียญโดยไม่ลังเล

คนประเภทไหนกันที่ไม่สนใจเงิน? นั่นมันมีแต่คนรวยไม่ใช่รึไง?

กู่ฉิงซานแม้ไม่ได้หันกลับมา แต่จิตสัมผัสเทวะของเขาคอยสังเกตในทุกๆ การกระทำของอีกฝ่าย

ตระหนักได้ถึงสายตาและการแสดงออกทางสีหน้าของกัปตัน ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็เหมือนจะเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายเล็กน้อย

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ

ในขณะที่กำลังจัดการเรื่องยานอวกาศ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ก็ได้ บอกความจริงออกไปก็คงจะไม่เป็นไร อันที่จริงแล้วผมเป็นหน้าใหม่ในดินแดนชิงอำนาจ และตั้งใจจะไปตามหาเพื่อนที่ตลาดมืดเกรย์แฮนด์ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีเงินติดตัวเลย”

ความเร็วของยานอวกาศค่อยๆไวขึ้น ระยะทางสู่ตลาดมืดค่อยๆ หดสั้นลง

“หน้าใหม่? จะบอกว่าแกเพิ่งเข้ามาในดินแดนชิงอำนาจอย่างนั้นหรือ?”

มุมปากของกัปตันยกสูงขึ้น เผยถึงความประชดประชันเต็มรูปแบบ “หน้าใหม่จะไปสามารถมองเห็นอาชีพที่แท้จริงของฉัน ที่ปิดซ่อนมันมาตั้งหลายปีได้อย่างไรกัน?”

“แล้วหน้าใหม่ที่ไหนกัน ถึงไม่คิดจะใส่ใจกล่องเหรียญเงินเลย?”

เสียงของกัปตันกลายเป็นแหบห้าว ฟุ้งไปด้วยอารมณ์ “เมื่อมีอายุอยู่มาได้ถึงปูนนี้ ฉันก็ได้เข้าใจถึงเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ ในชีวิตของผู้คน ตราบใดที่ตริตรองให้ดี มันจะมีเพียงไม่กี่สิ่งเท่านั้นที่ควรค่าแก่การใส่ใจ”

“คมคายไม่เลว ผมต้องมองคุณใหม่ซะแล้ว” กู่ฉิงซานยกย่อง

สายตาเบนไปมองตำแหน่งมิติบนแผนที่

‘เกือบจะถึงแล้ว’

‘ถึงจะช้าไปนิดหน่อย แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร’

กัปตันส่ายหัวและกล่าว “นี่เลยเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกว่าแกโคตรจะรวย เพราะตราบใดที่มีเงินหรือทุกอย่างอยู่แล้ว อย่างอื่นเล็กๆ น้อยเช่นเงินในกล่องใบนี้ แกย่อมไม่มีทางจะไยดีมัน”

“…ผมขอถอนคำพูดที่ชื่นชมคุณเมื่อครู่ออกไป” กู่ฉิงซานงึมงำ

กัปตันแสร้งถ่วงเวลามานาน จนในที่สุดเขาก็ใกล้จะเสร็จสิ้นคำร่ายเทคนิคมนตราแล้ว

เขายิ้มและกล่าวทิ้งท้าย “แกไม่สนใจเงินในกล่องนั้นเลย นั่นเป็นเพราะว่าแกเคยเห็นเงินที่มากยิ่งกว่านี้มาก่อนแล้ว เป็นคนร่ำรวยมั่งคั่งมากกว่าที่แสร้งแสดงอยู่ในปัจจุบัน”

“รู้อะไรไหม การที่แกโยนกล่องใบนี้ออกมา กริยาท่าทีมันเหมือนกันกับกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเลย”

“คุณกำลังเข้าใจผิด มันไม่ใช่แบบนั้น” กู่ฉิงซานปฏิเสธเด็ดขาด

“หยุดเล่นละครสักที! กริยาท่าทีที่ไม่แยแสในเงินตราของแก มันเหมือนกับพวกวิหคนามในตำนานเลย!!” กัปตันจี้ใจดำเขา

“อ๊ะ…บางทีนั่นอาจเป็นเพราะบังเอิญไปติดนิสัยแย่ๆ จากวิหคหนามบางตนมามากกว่า แต่ผมไม่มีเงินจริงๆ นะ” กู่ฉิงซานพยายามให้เหตุผล

“มีแต่ศพเท่านั้นที่ไม่มีทางโกหก!” กัปตันตะโกนกร้าว

เทคนิคมนตราของเขาเสร็จสมบูรณ์ในที่สุด

ตูม…

ตลอดทั้งยานอวกาศพลันแยกออกจากกัน

กู่ฉิงซานถูกโยนเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าทันที

เบื้องหลังเขา คือยานอวกาศที่หลอมรวมตัวกันอีกครั้ง กลายเป็นหุ่นยักษ์ที่ถูกหลอมไปด้วยโลหะ

ยักษ์โลหะตัวนี้ เหมือนว่าจริงๆ แล้วจะเป็นยานอวกาศของกัปตัน

มันเปิดปาก น้ำเสียงฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่า “แกเป็นคนแรกเลยที่อ่อนแอกว่าฉัน แต่กลับสามารถทำร้ายฉันได้”

“สติปัญญา และกลยุทธ์ของแกควรค่าที่จะต้องตายลงด้วยรูปแบบที่ร้ายกาจที่สุดของฉัน”

“มาเลย จงมาเล่นกับเราผู้ชราให้สนุกมือ!”

“นี่จะเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเราสอง พวกเราคนใดคนหนึ่งจะต้องตาย!”

“มีเฉพาะผู้ชนะที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายเท่านั้นถึงจะได้รับทุกสิ่งอย่างไป!”

ยักษ์ใหญ่ที่ยืนอยู่ในความว่างเปล่า แผดเสียงคำรามก้อง สร้างขวัญกำลังใจในการต่อสู้

เขาพร้อมแล้วสำหรับการต่อสู้ระหว่างชีวิตและความตาย!

แต่ตรงกันข้ามกับเขา วังเฉิงตัวปลอมดูจะไม่สนใจเลย

ชายคนนั้นถือผ้าสีดำไว้ในมือ ก้มมองมันและเอ่ยกับตัวเอง “อีกไม่ไกลแล้ว…หวังว่าจะไปทันนะ”

ยักษ์งงงวย

“นี่แกไม่ได้ฟังคำปลุกใจเมื่อกี้ของฉันเลยหรือ?”

ยักษ์ถาม มันเต็มไปด้วยความโกรธ

กู่ฉิงซานไม่สนใจ เขาหันหลังกลับ และบินไปยังทิศทางของตลาดมืด

แปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสง พุ่งหายไปด้วยความเร็วสูงสุดท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก

พระเอกของเรา…

เผ่นหายไปแล้ว

เอ่อ…

ใช่ๆ หนีไปแล้วจริงๆ

ยักษ์ใหญ่ยืนอยู่ในสถานที่เดิม “…”

“ไอ้ลูกเต่า!!!”

ยักษ์คำราม

มันกลายร่างกลับเป็นยานอวกาศอีกครั้ง กระตุ้นพลังงานสูงสุด เร่งความเร็วสุดกำลัง

“อ้าก! ไอ้เด็กเปรต ฉันจะฉีกทึ้งศพแกเป็นชิ้นๆ!”

ยานอวกาศขับเคลื่อน ไล่ไปตามทิศทางบินของกู่ฉิงซาน

แม้ว่านี่จะเป็นยานอวกาศขนาดกลางที่ใช้ในการลากซากขยะ แต่มันก็เป็นยานที่ผลิตขึ้นในดินแดนชิงอำนาจ ดังนั้นหลังจากที่ได้รับการปรับปรุงทางเทคโนโลยีมามากมาย ตัวระบบของยานจึงเปี่ยมไปด้วยพลัง

นอกจากนี้ ยังได้รับสกิลผสานโลหะของกัปตัน และยังวิชาชักใยหุ่นเชิดเสริมเข้าไปอีก

ด้วยความเร็วนี้ มันย่อมสามารถไล่ตามกู่ฉิงซานได้อย่างไม่ยากเย็น

ยานอวกาศเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงสุด!

หลังจากนั้น เพียงไม่กี่นาที กัปตันก็ได้ค้นพบกับเจ้าเด็กเหลือขอท่ามกลางกระแสมิติ

กำลังจะจับตัวได้แล้ว!

กัปตันบดฟันของเขาจนแทบแตกละเอียด

เขาควบคุมยานอวกาศ ระเบิดเสียงคำรามอึกทึก เร่งมันให้เร็วขึ้นอีกครั้ง!

ทันใดนั้นเอง สัญญาณเตือนภัยจากบนยานก็ดังขึ้น

เสียงคำรามของเครื่องยนต์เริ่มอ่อนกำลังลง

ความเร็วลดน้อยถดถอย

ข้างกายกู่ฉิงซาน หญิงในชุดคลุมฟ้าปรากฏตัวขึ้น

เมื่อครู่ในห้องควบคุมยานอวกาศ หลังจากที่กัปตันปลดการผสานโลหะกับยาน กู่ฉิงซานก็สั่งให้ฉานนู่ออกไป

ฉานนู่ตบลงในถุงสัมภาระของเธอ นำเรือชูชีพขนาดเล็กที่ดูคล่องตัวออกมา ซึ่งนี่เป็นเรือลำหนึ่งที่ดีที่สุดภายในยานของกัปตัน และมันเปี่ยมไปด้วยพลังงาน

ฉานนู่ “นายน้อย นอกจากนำเรือชูชีพมา ข้ายังได้ถอดแท่นพลังงานส่วนใหญ่ของยานอวกาศตามที่ท่านบอกแล้ว และทั้งหมดอยู่ภายในถุงสัมภาระใบนี้”

“ทำได้ดีมาก”

กู่ฉิงซานขึ้นเรือชูชีพขนาดเล็ก ทำการควบคุมเรือ และสตาร์ทเครื่องยนต์

“สารเลว อย่าได้คิดหนี!”

กัปตันร้องตะโกนด้วยความโกรธ

เขากระโจนออกจากยานอวกาศ และบินตรงมายังทิศทางนี้

กู่ฉิงซานสตาร์ทเรือชูชีพขนาดเล็ก ป้อนพิกัดตำแหน่งอย่างรวดเร็ว

เรือชูชีพระเบิดเสียงดังน้อยๆออกมา และบินฟิ้ว! ไกลออกไปในกระแสมิติ

ทิ้งไว้เพียงฉานนู่ที่ยืนหยัดอยู่ตรงจุดนั้น

หนึ่งมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกา อีกหนึ่งมือกุมเช่าหยิน ขวางหน้ากัปตันเอาไว้

“ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการจะสู้กันหรอกหรือ?”

เธอเอ่ยถามเสียงเย็น

สองดาบแตกออก พรั่งพราวเป็นเงา ห่อหุ้มรอบตัวกัปตันเอาไว้

เปรี้ยง!

เปรี้ยงงงง!

หลังจากการห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดหลายกระบวนท่า ทั้งสองก็แยกจากกัน

กัปตันมองฉานนู่ เบนข้ามหลังเธอไปตามทิศทางเรือชูชีพที่ได้หายไปจากสายตาได้สักพักแล้ว ในหัวใจของเขาตระหนักชัดว่าเวลานี้ย่อมไม่สามารถไล่ตามได้ทัน

เขาตะโกนอย่างโกรธแค้น “ขี้ขลาด! ไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะสู้กับฉัน!”

“เจ้าผิดแล้ว” ฉานนู่เอ่ยเสียงเย็น

“ผิดอย่างไร? มันหนีหายไปแล้วชัดๆ!” กัปตันหน้าบึ้งตึง

“ถ้ามีความกล้าหาญ นายน้อยของแกอย่างไรก็ต้องเลือกสู้ มีหรือจะคิดหนี?”

“นายน้อยของข้ายุ่งมากในเวลานี้ เขาจะมามีเวลาเล่นสนุกกับเจ้าได้อย่างไร?” ฉานนู่ส่ายหัว กล่าวอย่างไม่แยแส

“หากพูดไปมันอาจจะทำร้ายจิตใจ แต่ลองคิดดูดีๆ เถิด เจ้าคู่ควรที่จะต่อกรกับเขาจริงๆ น่ะหรือ?”

ทันทีที่เสียงตกลง ร่างของเธอที่อยู่ตรงหน้ากัปตันก็หายไป

ในจุดที่ไกลห่าง ฉานนู่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และหายไปอีกคราว

หลังจากทำซ้ำๆ เช่นนี้อยู่สามรอบ เธอก็หายไปจากสายตาของกัปตัน มิอาจมองเห็นได้อีกเลย

ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก ตลอดทั้งความว่างเปล่าเหลือกัปตันยืนเหงาอยู่เพียงลำพัง

………………………………….

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

ตลอดทั้งห้องโดยสารไร้ซึ่งเสียงพูดคุย ไม่ได้ยินเสียงรบกวนใดๆ เลย

ลูกเรือทั้งหมดหายไปราวกับอากาศธาตุ

แม้กระทั่งศพของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งที่ถูกแขวนประจานในพื้นที่ส่วนกลางก็หายไป

ผ่านทางหน้าต่าง จะสามารถมองเห็นถึงกระแสมิติอันโกลาหลภายนอก และบางครั้งก็ยังมองเห็นถึงมอนสเตอร์ขนาดเล็กบินสวนกันไปมา

อย่างไรก็ตาม ภายในห้องโดยสาร มันกลับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย

ยานอวกาศทั้งลำ เงียบงันราวกับความตาย

กู่ฉิงซานสวมหน้ากากเกราะทองคำ กุมดาบยาวตรงไปยังห้องกัปตัน

เขาเตะเปิดประตู

แต่ก็ไม่พบว่ามีใครอยู่ภายใน

กู่ฉิงซานเงียบไปหนึ่งลมหายใจ ก่อนจะตัดสินใจว่าควรจะไปยังห้องควบคุมยาน

สำหรับเวลานี้ ไม่ว่ามันจะเกิดเรื่องน่าสงสัยหรือหวาดกลัวแค่ไหน เขาก็ไม่สนใจ

เพราะสิ่งเดียวที่ควรให้ความสำคัญ นั่นก็คือรีบไปยังตลาดมืดเกรย์แฮนด์เพื่อช่วยชีวิตคน!

ประตูห้องควบคุมยานอวกาศถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา

แต่มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับกู่ฉิงซาน สองเท้าของเขายังคงก้าวฉับๆ ตรงไปข้างหน้า

ดาบเช่าหยินโผล่ออกมาจากในความว่างเปล่า บินนำเข้าไปเผชิญกับประตูห้องควบคุม

ดาบยาวจ้วงแทงออกไป

เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!

ตูม!

ประตูโลหะหนาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

กู่ฉิงซานเดินเข้ามา กวาดตามองรอบห้องควบคุมที่เต็มไปด้วยทุกชนิดของตัวควบคุมอันหลากหลาย

แม้ว่าวังเฉิงจะมีประสบการณ์มากมายที่ใช้ชีวิตอยู่บนยานอวกาศ แต่เขาก็ไม่สามารถขับเทคโนโลยียานอวกาศได้

แต่กู่ฉิงซานก็หาได้ลังเลไม่

เขาเอื้อมมือออกไป แตะลงบนแท่นควบคุม เดินลากตั้งแต่ส่วนปลายของมัน ยาวตรงไปอีกด้านหนึ่ง

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงหิ่งห้อยเริ่มเด้งเตือนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

“คุณได้สัมผัสกับศูนย์ควบคุมหลักของยานอวกาศขนาดกลางแบบเก่า”

“คุณได้สัมผัสกับตัวควบคุมทิศทาง”

“คุณได้สัมผัสกับตัวควบคุมความเร็ว”

“คุณได้สัมผัสกับตัวควบคุมการล่องหน”

“คุณได้สัมผัสกับระบบควบคุมการเผาไหม้”

“คุณได้สัมผัสกับเรดาร์ตรวจสอบมิติ”

“คุณได้สัมผัสกับตัวควบคุมไฟ”

“อุปกรณ์ควบคุมยานอวกาศในข้างต้นที่กล่าวมา จะแสดงทักษะดังต่อไปนี้”

“วิธีการควบคุมยานอวกาศขนาดกลาง วิธีการควบคุมการบิน วิธีการควบคุมการล่องหน วิธีควบคุมความเร็วและชะลอความเร็ว วิธีควบคุมเรดาร์ วิธีควบคุมการโจมตีด้วยไฟ…”

“เพื่อที่จะเข้าใจทักษะการควบคุมทั้งหมด จำเป็นต้องใช้หนึ่งพันสามร้อยเจ็ดสิบหกแต้มพลังวิญญาณ คุณยินดีที่จะจ่ายมันหรือไม่?”

“ฉันยินดี” กู่ฉิงซานกล่าว

“ได้รับแต้มพลังวิญญาณแล้ว เริ่มต้นทำการเรียนรู้ได้” ระบบเทพสงครามตอบ

หนึ่งลมหายใจ

สองลมหายใจ

สามลมหายใจ

กู่ฉิงซานปล่อยดาบในมือของ เดินตรงไปยังแท่นควบคุม และเริ่มปรับระบบทำงานอย่างรวดเร็ว

ก่อนอื่นเลย กู่ฉิงซานเลือกที่จะทิ้งซากขยะที่กำลังถูกลากจูงไปขาย ปล่อยพวกมันไป จากนั้นก็ปรับความเร็วกับตัวจัดการล่องหน ให้เป็นระดับสูงสุดทั้งคู่

ด้วยวิธีนี้ ยานอวกาศก็จะมีน้ำหนักลดลง แต่เนื่องจากความเร็วที่เพิ่มขึ้น การกินพลังงานก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน

โดยทั่วไปแล้วกัปตันจะไม่อนุญาตหรือยอมให้ยานอวกาศเคลื่อนที่แบบนี้

แต่ทำไมกู่ฉิงซานจะต้องมาสนใจเกี่ยวกับพลังงานมันด้วยเล่า?

ยานอวกาศทั้งลำส่งเสียงคำราม เริ่มเร่งความเร็วท่ามกลางมิติอันโกลาหล

ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังกู่ฉิงซาน

“ฉันไม่คิดเลย ว่านายเองก็มีความรู้ในการขับยานอวกาศเหมือนกับคนอื่นเขาด้วย”

นี่คือเสียงของกัปตัน

ไม่มีใครรู้ว่าเขามายืนอยู่หน้าประตูห้องควบคุมตั้งแต่เมื่อไหร่

กู่ฉิงซานไม่ได้มองย้อนกลับไป เขาเพียงกล่าว “ผมมีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องไปทำ”

เสียงของกัปตันจมลงและกล่าว “แต่นายกำลังใช้ยานอวกาศของฉันอยู่”

“ใช่ ผมรู้ตัวดี และยินดีที่จะจ่ายสำหรับมัน”

กู่ฉิงซานคว้ากล่องใส่เหรียญของวังเฉิง และเหวี่ยงมันกลับหลัง

เคร้ง!

กล่องตกกระทบลงกับพื้น ระหว่างกลางชายทั้งสอง เหรียญสีฟ้ามากมายกระจายออกจากกล่อง

กัปตันก้มมองเหรียญที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ดวงตาของเขาทอประกายระยิบระยับ

จู่ๆ ก็เข้าควบคุมยานอวกาศ จากนั้นก็โยนเหรียญในกล่องทั้งหมดทิ้งไปอย่างไม่ลังเล การกระทำต่างๆ ของวังเฉิงล้วนเกินความคาดหมายของเขา

“แล้วนายคิดจะใช้ยานอวกาศของฉันทำอะไร?” กัปตันถามด้วยความไม่มั่นใจ

“รีบตรงไปยังตลาดมืดให้เร็วขึ้น”

“จากนั้นล่ะ? นายคิดจะทำอะไรต่อ?”

“นั่นมันเป็นเรื่องส่วนตัวแล้ว ผมจะไม่บอกอะไรอีก”

กู่ฉิงซานไม่มองย้อนกลับมา เขายังคงควบคุมยานอวกาศขณะกล่าว

เขาจับตัวเซนเซอร์แรงลม เพื่อมองหาความเป็นไปได้ที่จะทำให้เรือแล่นเร็วกว่าในปัจจุบัน

ชีวิตของหยุนจีกำลังตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้ไม่อาจล่าช้าได้ จะต้องรีบไปหาเธอทันที!

กัปตันก้มลงมองกล่องเงินบนพื้น สลับกับเงยขึ้นมองแผ่นหลังของวังเฉิง

“ฉันไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเผลอดูถูกนายมากเกินไปถึงขนาดนี้ คงจำเป็นต้องมาใช้เวลาทำความรู้จักกันให้มากกว่าเดิมซะแล้ว”

ขณะกล่าว เขาก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นอย่างเงียบๆ เล็งไปทางกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

‘ไอ้โง่นี่ ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ยังคิดจะทำอะไรอีก!’

กู่ฉิงซานไม่รอช้า กวาดจิตสัมผัสเทวะเจาะผ่านออกไปนอกยานอวกาศ และตรึงเข้ากับท่อนไม้หักๆ ที่ลอยคว้างอยู่ในกระแสมิติ

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

กู่ฉิงซานแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับท่อนไม้หักๆ

เขาปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกระแสมิติ และท่อนไม้ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแท่นควบคุม

วินาทีต่อมา

ร่างเงาแทนที่ก็ถูกใช้ออกอีกครั้ง!

กู่ฉิงซานและกัปตันได้สลับตำแหน่งกัน

เขาปรากฏตัวขึ้นในห้องควบคุมยาน ขณะที่กัปตันถูกโยนเข้าสู่วังวนอันเชี่ยวกรากของกระแสมิติ!

ร่างกายวูบไหว กู่ฉิงซานกลับมายืนอยู่หน้าแท่นควบคุมอีกครั้ง

ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ท่อนไม้หักเพิ่งจะตกกระทบลงกับพื้น

ไม่มีกระทั่งเวลาพักหายใจ กัปตันที่แข็งแกร่งที่สุด ถูกโยนออกจากยานอวกาศไปซะแล้ว

กู่ฉิงซานยังคงควบคุมยานอวกาศ มุ่งตรงไปข้างหน้า

ความสนใจของเขามิได้ถูกเบนเบี่ยงไปเลยแม้เพียงน้อย สมาธิจดจ่ออยู่กับการขับยาน ในใจร้อนรุ่มคาดหวังว่าต้องไปถึงตลาดมืดให้เร็วขึ้นสักหน่อยก็ยังดี

หลังจากนั้นผ่านไปหลายสิบลมหายใจ

เสียงหอบแฮกก็ดังมาจากทางประตูห้องควบคุมอีกครั้ง

“วังเฉิง! สารเลว! แกเป็นใครกันแน่!” กัปตันร้องตะโกนด้วยความโกรธ

“ไม่ต้องสนหรอกว่าผมเป็นใคร แต่อย่ามายุ่งกับผมก็พอ” กู่ฉิงซานก้มหน้าบังคับยานอวกาศ ตอบอย่างไม่ใส่ใจ

กัปตันหยุดคิด ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน

“ฮะ ฮะฮ่า ฮ่าๆๆ แค่นี้ก็มั่นใจได้แล้ว แกไม่ใช่วังเฉิงอย่างแน่นอน!”

“กะแล้วเชียว เจ้าวังเฉิงมันจะไปสามารถอัญเชิญภูตระดับราชาได้อย่างไรกัน!”

เขาพึมพำ “ด้วยเทคนิคมิติที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ฉันขอเดาเลยว่าแกจะต้องเป็นคนสำคัญไม่น้อยแน่ๆ”

“แกมีฝีมือที่ดี แต่ดูก็รู้ว่ากำลังพยายามปิดบังหรือหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่าง”

“และฉันขอเดาว่าแกน่ะมันคนประเภทเดียวกันกับฉัน”

“แกไม่ใช่อาชญากรที่มีใครต้องการตัว แต่เป็นใครบางคนที่จำเป็นต้องปกปิดตัวตน แกน่าจะเพิ่งทำเรื่องราวใหญ่โตไป และต้องการหลบซ่อนจนกว่าเรื่องที่ว่านั่นมันจะถูกสายลมพัดผ่านไป สุดท้ายก็มาจบลงที่ยานของฉัน”

กัปตันกล่าวอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนสี

ใบหน้าของเขาดูจะตื่นเต้นเล็กน้อย และเริ่มขยับนิ้วมือ “พลังที่แกครอบครองมันร้ายกาจจริงๆนะ แต่น่าเสียดายที่ดันมาอยู่บนยานของฉัน”

“ในเวลานี้ พวกเรากำลังอยู่ในกระแสมิติอันโกลาหล”

“ดังนั้น ทุกสิ่งที่แกมี รวมไปถึงชีวิต สุดท้ายก็จะตกอยู่ในมือของฉัน!”

ว่าจบ กัปตันก็วางมือลงบนประตู ทั้งคนทั้งร่างของเขาพลันหายวับไป

พร้อมกันกับตัวยานอวกาศที่หลุดจากการควบคุมของกู่ฉิงซาน

ยานอวกาศทั้งลำชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ในที่สุดมันก็หยุดลง และเริ่มลอยเคว้งท่ามกลางมิติ

ในเวลาเดียวกัน สมาชิกยานก็ผุดออกมาจากผนังโลหะ

ใบหน้าของพวกเขาล้วนเย็นชาและแข็งทื่อ ราวกับซอมบี้ในนิยายวันสิ้นโลก

“ทำไมต้องทำให้เรื่องราวมันวุ่นวายแบบนี้ด้วย?”

กู่ฉิงซานส่ายหัวและถอนหายใจ

ดาบเช่าหยินบินออกไป เชือดเฉือนสมาชิกยานนับสิบไปตลอดทาง

ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง!

เสียงสายฟ้าสาดกระเซ็นไปทุกหนแห่ง

สมาชิกยานถูกกดดันให้ถอยร่นไปเล็กน้อย มีบางคนที่ปรากฏถึงร่องรอยขีดข่วนบนร่างกาย ทว่าพวกเขาไม่ได้ ‘นิ่งค้างไป’

การลงมือในครั้งนี้ พวกเขาแทบจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย

หากมีเพียงหนึ่งหรือสองคน มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไร

แต่นี่ ตอนนี้ ทุกคนล้วนไม่มีใครได้รับผลกระทบจากสกิล ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ เลย

สิ่งนี้ทำให้กู่ฉิงซานค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว

เสียงของกัปตันกลายเป็นดุร้ายและตื่นเต้น “ถ้าเป็นในโอกาสอื่น บางทีฉันอาจจะพิจารณาข้อเสนอของแก แต่ยานอวกาศลำนี้คือดินแดนของฉัน! มันเป็นโลกของฉัน! และฉันจะเป็นคนตัดสินชีวิตแกในเวลานี้!”

“มาเถอะเจ้าวังเฉิงตัวปลอม ไม่ใช่ว่าแกมีภูตผีที่ทรงพลังมากๆ อยู่หรอกหรือ?”

“ฉันเข้าใจนะว่าแกเป็นผู้อัญเชิญภูต และยังรู้ถึงขั้นตอนการเรียกทั้งหมดด้วย ดังนั้นฉันสัญญาเลยว่าแกจะไม่มีโอกาสได้เรียกมัน!”

ขณะกล่าว เหล่าสมาชิกยานก็เริ่มขยับไหว

พวกเขาเข้าล้อมรอบตัวกู่ฉิงซานและโจมตี

ตาของกู่ฉิงซานกลายเป็นคมชัด

ฟิ้ว!

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาชิงลงมือ

รังสีดาบขนาดใหญ่ นวลผ่องดั่งจันทร์เพ็ญบนฟากฟ้าที่โค้งมนปรากฏออกมา

สมาชิกยานทั้งหมดถูกตัดหั่นเป็นชิ้นๆ ด้วยคมเขี้ยวแสงจันทร์นี้!

สายลมที่เกิดจากดาบ พัดกระพือแขนขาที่ถูกตัดแยกออก กระแทกเข้ากับกำแพงโลหะ จนบังเกิดเสียงหนักทึบต่อเนื่อง

ซากศพร่วงตกลงกับพื้น แตะกลับไม่มีร่องรอยของเลือดปรากฏอยู่เลย

ในไม่ช้า ร่างศพเหล่านั้นก็หายไป

ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น กลายเป็นเกราะรบ และอุปกรณ์ป้องกันอันหลากหลายแทน

กู่ฉิงซานจ้องมองอุปกรณ์ที่แตกหักเหล่านั้น ในหัวใจเริ่มตระหนักชัด

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ถึงไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายหนึ่งได้

เพราะพวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นชุดเกราะนั่นเอง!

กัปตันเงียบไปหนึ่งลมหายใจ ก่อนจะหัวเราะอย่างกะทันหัน “มีสกิลอันร้ายกาจอยู่ถึงสอง ก็แล้วอย่างไร? แกจะสามารถต่อสู้ต่อไปแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว?”

เกราะค่อยๆ จมลงในยานอวกาศและหายไป

หลังจากนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ

สมาชิกยานก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้ ดวงตาของพวกเขาช่างสดใส ท่าทีและการเคลื่อนไหวดูยืดหยุ่นคล่องแคล่วมากขึ้น

“คนของฉันไม่มีวันตาย และพวกเขาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย!”

กัปตันหัวเราะ

กู่ฉิงซานไม่สนใจเสียงเยาะหยันของกัปตัน

มือของเขาแตะลงบนแท่นควบคุมยานอวกาศ ในวิสัยทัศน์จับจ้องอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า

หลายเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ค้นพบไอเท็ม ยานอวกาศหุ่นเชิด”

“ไอเท็มชิ้นนี้ได้รับการร่ายเทคนิคมนตรา ผสานโลหะ(ขั้นสูง) วิญญาณชักใยหุ่นเชิด(ขั้นกลาง)”

“ผสานโลหะ(ขั้นสูง) คุณสามารถรวมตัวเองเข้ากับโครงสร้างโลหะ หรือสามารถควบคุมโลหะได้ดั่งใจของคุณ”

“วิญญาณชักใยหุ่นเชิด(ขั้นกลาง) คุณสามารถควบคุมหุ่นเชิดของคุณด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณได้”

“เนื่องจากคุณได้ปลดล็อกจิตวิญญาณแล้ว ส่งผลให้คุณสามารถเรียนรู้เทคนิคทั้งสองนี้ได้เลยโดยตรง”

“หากทำการเรียนรู้สองเทคนิคมนตรานี้ คุณจะได้รับตำแหน่ง ปรมาจารย์หุ่นเชิดโลหะ”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

จู่ๆ เขาก็ได้ทราบว่ากัปตันนั้นเป็นปรมาจารย์หุ่นเชิดโลหะ

ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าเจ้าหน้าที่อันดับสอง และสมาชิกยานทั้งหมดในวันนี้ ก็ล้วนเป็นหุ่นเชิดที่ถูกสร้างขึ้นโดยกัปตันผู้สามารถควบคุมวัตถุและชุดเกราะได้น่ะสิ!

นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเสียงมรณะไม่ทำงาน อันที่จริงมีใบ้ให้แล้วในตอนที่อันดับสองพูดว่า ‘เจ้าเด็กเหลือขอ’ มันคือคำพูดเดียวกันกับที่กัปตันใช้เรียกกู่ฉิงซาน

ไม่เพียงแค่นั้น แต่ยานอวกาศทั้งลำก็ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันกับเขา ซึ่งเกรงว่านี่มันคงจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากแน่ๆ

หากคุณไม่ทราบว่ากัปตันได้หลอมรวมเข้ากับยานทั้งลำ และยังคงบ้าบิ่นต่อสู้ต่อกับหุ่นเชิดบนยานต่อไป เกรงว่าสถานการณ์ยิ่งนานคงยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมกัปตันถึงดูมั่นใจนักมั่นใจหนา ว่าจะสามารถเอาชนะกู่ฉิงซานได้

แต่ตอนนี้ ..

กู่ฉิงซานกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกา และเริ่มกระตุ้นพลังวิญญาณ

รังสีดาบสีน้ำเงินขาวสาดแสงเปรี๊ยะปร๊ะ ดังออกมาจากดาบขุนเขาเทวะ

กัปตันหัวเราะอย่างภาคภูมิ “เหอะ! นั่นแกคิดจะทำอะไร? โจมตีฉันหรือ? ช่างน่าสงสาร เพราะแกไม่มีทางหาฉันเจอได้หรอก”

กู่ฉิงซานไม่ได้พูดอะไรเลย เขาเพียงแทงดาบขุนเขาเทวะ เสียบลงบนพื้นกลางลำยานด้วยเจตนาร้าย!

ยานอวกาศทั้งลำพลันสั่นไหว

โดยทั่วไปแล้ว ยานอวกาศน่ะมักจะมีความทนทานเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องใช้เดินทางในมิติอันเชี่ยวกราก

และตอนนี้ ยานอวกาศก็ยังหลอมรวมเข้าด้วยกันกับกัปตัน ดังนั้นการป้องกันจึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล!

แต่ว่าอีกฝ่ายช่างน่าสงสาร

นั่นเพราะดาบเล่มนี้ครอบครองพลังแหกกฎเกณฑ์

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการผสานโลหะหรือชักใยหุ่นเชิด มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเมื่ออยู่ต่อหน้าดาบขุนเขาเทวะเล่มนี้!!

ดังนั้น ด้วยดาบขุนเขาเทวะ มันย่อมสามารถทำร้ายอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน

กู่ฉิงซานกระชากดาบยาวออกมา

ยานอวกาศทั้งลำสั่นสะท้านอีกครั้ง

กัปตันพยายามฝืนบังคับตนให้สงบ “เหอะ พอไม่สามารถหาตัวฉันได้ ก็คิดจะทิ่มแทงยานอวกาศไปมั่วๆ เช่นนั้นหรือ ช่างเป็นคนที่โง่เขลาซะจริง”

กู่ฉิงซานเงียบ เขาไม่เอ่ยคำใด ทำการกระตุ้นพลังวิญญาณอีกครั้ง

เทียบกันกับเมื่อครู่นี้ รังสีดาบที่กำลังเปล่งออกมาในปัจจุบันดูจะรุนแรงกว่ามาก

เสียงพูดของกัปตันดังขึ้นอีกครั้งทันที

คราวนี้เขาพูดรัวเร็วกว่าเดิม “เฮ้ เฮ้ พวกเรากำลังสู้กันอยู่นะ แต่ยานลำนี้เป็นแค่ที่ให้พวกเราหยั่งเท้า เพราะฉะนั้นฉันคิดว่ามันไม่ควร..”

กู่ฉิงซานเสียบดาบยาวลงบนพื้นยานอีกครั้ง

ยานอวกาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คล้ายกับว่าวินาทีต่อไปมันจะแตกสลาย

สมาชิกยานสูญเสียการควบคุมโดยสมบูรณ์ พากันล้มตัวลงกับพื้น

เหมือนว่าจะได้ยินถึงเสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดจางๆ ดังมาจากส่วนลึกของภายในตัวยาน

กู่ฉิงซานเผยรอยยิ้มหวาน ปากเอ่ยกล่าว “ปากบ่นอีกอย่าง แต่อย่างไรซะร่างกายก็ยังซื่อสัตย์อยู่ดี”

คราวนี้บนดาบยาว รังสีดาบคึกคะนอง แผดเผาเป็นประกายยิ่งกว่าที่แล้วๆ มา!

………………………………….

ท่ามกลางสายธารแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน มักจะมีเหตุการณ์สำคัญที่สามารถสั่นสะเทือนได้ทั้งโลกเก้าร้อยล้านเกิดขึ้นเสมอมา

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้มันก็ยังพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ บางคนถึงขั้นทำนายมันได้ล่วงหน้า บางคนถึงขั้นล่วงรู้ถึงทุกรายละเอียดของมันได้ด้วยซ้ำ

ทว่าครั้งนี้มันต่างออกไป

มนุษย์แสงปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ

ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะมาพร้อมกับประกาศใหม่ และบัญญัติกฎใหม่ขึ้น

แต่วินาทีเดียวก่อนที่ร่างของมนุษย์แสงจะประกาศต่อทั้งโลกสองร้อยล้านชั้นในดินแดนชิงอำนาจ

ตลอดทั้งดินแดนชิงอำนาจพลันชิงมืดฟ้ามัวดินลงอย่างกะทันหัน

แสงจรัสที่เปล่งประกายสดใส ลากเป็นทางแลดูคล้ายหางอันยาวเหยียด ปรากฏขึ้นในทุกสถานที่ของดินแดนชิงอำนาจ

ฉากนี้มันแลคล้ายกับฝนดาวตก

อย่างไรก็ตาม อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่มิอาจอธิบาย ก็ได้ห่อหุ้มฝนดาวตกเหล่านั้นเอาไว้ ส่งผลให้ไม่มีใครสามารถตรวจจับต้นกำเนิดของฝนดาวตานี้ได้เลย

กระทั่งการดำรงอยู่ที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนชิงอำนาจ  ทั้งหมดก็รู้เพียงแค่ว่ามีหลายสิ่งที่ไม่รู้จักได้ทำลายมิติและเวลา จากที่ไกลแสนไกล มายังดินแดนชิงอำนาจโดยตรง

แต่สิ่งที่ว่ามาเมื่อครู่นี้คืออะไร และวิธีการที่พวกเขาใช้เดินทางมาได้นั้น ไม่มีใครทราบคำตอบเลย

แม้แต่ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการตรวจสอบที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าฝนดาวตกพวกนี้หายไปที่ไหน

ฉากนี้มันกินเวลาเพียงวินาทีเดียว

วินาทีเดียวสั้นๆ

แค่วินาที

ฝนดาวตกทั้งหมดก็ถูกปกปิดตัวตน และหายไปโดยสิ้นเชิง

ราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

ดินแดนชิงอำนาจกลับคืนสู่สภาวะปกติ

และในเวลานั้นเอง เสียงของมนุษย์แสงก็ดังขึ้น

“โปรดทราบ ผู้ศรัทธาคนแรกที่สามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว”

“หนทางสู่การเป็นเทพได้เปิดออกอย่างเป็นทางการ”

“อำนาจเทวะที่ถูกวางไว้โดยเทพวิญญาณจะถูกเปิดใช้งานในไม่ช้า”

“ดินแดนชิงอำนาจจะถูกซ่อนจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น”

“นับจากนี้ไป ใครก็ตามที่ออกจากดินแดนชิงอำนาจ จะไม่สามารถเข้ากลับมายังดินแดนชิงอำนาจได้อีกเลยตลอดกาล!” ด้วยการประกาศของมัน ดินแดนชิงอำนาจก็ได้หายวับไปจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น

นี่คืออำนาจเทวะของเทพวิญญาณทั้งเจ็ด ที่ทำการเปิดใช้งานกำแพงอุปสรรคอย่างเต็มกำลัง

โดยบทบาทเดียวของมันคือการซ่อน

…ซ่อนดินแดนชิงอำนาจทั้งหมดเอาไว้

ไม่มีใครรู้ว่าเทพวิญญาณทั้งเจ็ดกำลังคิดอยู่คืออะไร ทำไมถึงได้ทำการจัดวางมันไว้ล่วงหน้าแบบนี้

อย่างไรก็ตาม เหล่าทวยเทพคงไม่ทันคาดคิดเหมือนกัน ว่าฝนดาวตกจะวิ่งเข้ามาในช่วงเวลาก่อนที่ดินแดนชิงอำนาจทั้งหมดจะถูกซ่อนเอาไว้

บนยานอวกาศ

กัปตันตั้งใจฟังอย่างรอบคอบ เกี่ยวกับการประกาศของมนุษย์แสง

เขาไม่ได้เคลื่อนกายไปที่ใดเลย จนกระทั่งมนุษย์แสงหายไป

‘มีคนที่สามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว!’

กัปตันถอนหายใจ ดูเหมือนว่าห้วงอารมณ์ที่แฝงมากับในน้ำเสียงมันไม่อาจฝืนระงับได้อีกต่อไป

ใช่! โดยการจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ คุณจะสามารถได้ล่วงรู้ถึงทักษะและความรู้ของเทพ และใครบางคนก็ได้รับสิ่งนั้นไปก่อนแล้ว!

ย้อนมองกลับมาทางตนเองเล่า?

เขายังคงต้องพยายามดิ้นรนเพื่อหาเงินให้เพียงพอต่อการใช้เดินทางอยู่เลย

ไม่เพียงแค่ค่าเดินทางในการเดินทางไปกลับจากวิหารเท่านั้น

แต่มันรวมไปถึงหลังจากการจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ด้วย เพราะแค่การฝึกฝนความสามารถต่างๆของเทพวิญญาณ มันก็ต้องใช้เวลา และทรัพยากรไม่ใช่หรือ?

ซึ่งในโลกใบนี้ ถ้ามีเงินไม่เพียงพอ ไม่ว่าเรื่องใดก็คงไม่อาจทำสำเร็จได้

ไม่ต้องพูดถึงการเป็นเทพ แม้กระทั่งการรักษาสิ่งพื้นฐานที่สุดของมืออาชีพอย่างเกียรติและศักดิ์ศรี มันก็จำเป็นต้องมีทุนสนับสนุนที่เพียงพอกันทั้งนั้น

กัปตันก้มหน้าลง เงียบงันไปครู่หนึ่ง

มือของเขากำแน่น คลายออก กำแน่น คลายออก สลับวนเวียนซ้ำๆ

“ตอนนี้เกือบจะถึงเวลาแล้ว และภัยคุกคามเพียงอย่างเดียวของฉันก็คือวังเฉิง และวังเฉิงมันก็ยกเลิกการอัญเชิญภูตไปแล้วซะด้วย…”

“ดูเหมือนว่าฉันคงจะต้องทำทุกอย่างให้มันจบไปซะแล้วสิในตอนนี้”

‘ฉันได้เตรียมการมาไว้มากมาย ก็เพื่อเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงไม่ใช่หรือ?’

‘แล้วยังจะต้องมามัวลังเลอะไรเกี่ยวกับมันอีก?’

กัปตันในที่สุดก็กำหมัดแน่น และตัดสินใจขั้นเด็ดขาด

อีกด้านหนึ่ง

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในห้องส่วนตัวของวังเฉิง

หนังสือพิมพ์ในมือของเขาได้เปิดเผยถึงเนื้อหาของข่าวทั้งหมด

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภายนอกยานอวกาศ ในโลกสองร้อยล้านชั้นของดินแดนชิงอำนาจได้มีฝนดาวตกวูบหายไป

นั่นเพราะเขากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ผิดปกติอย่างอื่นอยู่

หนังสือพิมพ์ลุกเป็นไฟ

กู่ฉิงซานไม่ทันจะได้มีเวลาตอบสนอง เสียงคำรามของเปลวไฟก็ผุดออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า และเผาฉบับหนังสือพิมพ์ทิ้งไป

อย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์กลับมิได้ลอยเป็นเถ้าฟุ้งกระจาย

แต่มันกลับกลายเป็นบางสิ่ง ที่คล้ายๆ กับผ้าสีดำกำลังแผ่ขยายอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนไป

เมื่อเห็นถึงปรากฏการณ์นี้ เขาก็ตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่หนังสือพิมพ์ธรรมดาๆ แต่คล้ายจะมีฟังก์ชันพิเศษอื่นๆ แอบแฝงมา

นี่คือหนังสือพิมพ์ที่เสี่ยวเหมียวเคยยัดใส่มือตัวเขาเอง

แต่ตอนนี้ เนื่องจากมันไม่น่าจะใช่หนังสือพิมพ์ธรรมดาแล้ว ดังนั้น ย่อมหมายความว่าเสี่ยวเหมียวต้องจงใจใส่อะไรบางอย่างที่แฝงความหมายอันลึกซึ้งเอาไว้แน่นอน

ซึ่งนี่มันแตกต่างไปจากสมองกล้ามเนื้ออย่างพี่ชายของเธอ เสี่ยวเหมียวน่ะมักจะวางแผน และมีความคิดมากมายอยู่เสมอ

แล้วถ้าเช่นนั้น ผ้าสีดำที่ซ่อนอยู่ภายใต้หนังสือพิมพ์มันคืออะไรกันแน่นะ?

กู่ฉิงซานไตร่ตรองด้วยความสงสัย

อย่างไรก็ตาม เห็นแค่เพียงบนผิวผ้าสีดำเริ่มเกิดแสงสว่างจางๆขึ้น

เริ่มจากจุดแสงเล็กๆ ค่อยๆ กลายเป็นแสงสลัว แล้วก่อให้เกิดหมอกควันขึ้น

นี่มันเป็นฉากที่ค่อนข้างจะแปลกมาก

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังสงสัย หน้าต่างเทพสงครามก็ส่องสว่างขึ้น

บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏลงใจกลางหน้าต่าง

“ผนึกผ้าดำได้ถูกเปิดออกแล้ว”

“คุณได้ค้นพบไอเท็ม ผ้าดำปริศนาแห่งกระบี่ปฏิญาณ”

“คุณภาพ อุปกรณ์พิเศษ”

“คำอธิบายตามพงศาวดารวันสิ้นโลก กระบี่ปฏิญาณ คือหนึ่งในองค์กรที่ลึกลับที่สุดในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ข่าวที่เปิดเผยต่อสาธารณะไม่มีระบุว่าพวกเขากระทำสิ่งใดเลย แต่มีเฉพาะเพียงตัวตนทรงอำนาจระดับสูงเท่านั้น ที่ทราบว่ามันมีอยู่จริง”

“วิชายุทธ์เทพสงคราม ผ้าดำปริศนา เป็นไอเท็มพิเศษขององค์กรที่ใช้สำหรับการติดต่อกับมิติและเวลาบางแห่ง คุณไม่สามารถเรียนรู้ทักษะใดๆ จากมันได้”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านจนจบ

และไม่รีรอให้เขาใช้เวลากลั่นกรอง ก็มีเสียงของผู้หญิงดังออกมาจากผ้าดำที่อยู่ใจกลางหมอกเย็น

“อีกฝั่ง…หนึ่ง…เป็น…ใครกัน?”

เสียงของหญิงสาวที่ฟังดูไม่ปะติดปะต่อ และแผ่วเบา คล้ายกับคนที่กำลังใกล้ตายดังขึ้น

เมื่อได้ยินถึงเสียงอันคุ้นเคยนี้ จิตฟุ้งซ่านของกู่ฉิงซานก็สงบลงโดยสมบูรณ์

เขาเอ่ยถามทันที “คุณคือหยุนจี? จ้าวแห่งหมอก ผู้คุ้มภัยแห่งโชคชะตาลี้ลับ ภัยพิบัติแห่งอาณาจักรทั้งมวล ใช่หรือเปล่า?”

ปรากฏเสียงรบกวนดังมาจากฝั่งตรงข้าม

จำต้องใช้เวลาสักพักเลย กว่าที่เสียงรบกวนเหล่านี้จะสงบลง

เสียงของผู้หญิงดังขึ้นอีกครั้ง

“กู่ฉิงซานหรือ? ฉันแค่รู้ว่ามีคนของพวกเราอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นนาย”

เธออ้าปากสูดลมหายใจ ดิ้นรนเอ่ยต่อด้วยความยากลำบาก “…อาการบาดเจ็บของฉันร้ายแรงเกินกว่าจะเคลื่อนไหวได้ ฉันทำได้แค่ส่งสัญญาณที่อยู่ให้กับนาย ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรต้องทำแล้วล่ะก็ ได้โปรดรีบมาช่วยฉันด้วยเถอะ”

เห็นแค่เพียงจุดแสงในหมอกหนารวมตัวเข้าด้วยกันจากผ้าสีดำ ก่อนจะไหลลงไปในมือของกู่ฉิงซาน ตรงไปยังทะเลแห่งห้วงสติของเขา

กู่ฉิงซานสามารถรับรู้ถึงตำแหน่งแบบเฉพาะเจาะจงของอีกฝ่ายทันที

“คุณรอก่อนนะ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ!”

เขาตะโกน

หยุนจี “ฉันจะไม่ไหวแล้ว แต่อย่างน้อยฉันก็พอที่จะบอกอะไรบางอย่างกับนายก่อนตายได้ เพราะฉะนั้นช่วยรีบมาเร็วๆด้วยเถอะ”

ดูเหมือนว่าคำกล่าวนี้จะใช้พลังของเธอจนหมดสิ้น เพราะเมื่อพูดจบ เสียงก็ถูกตัดไปทันที

กู่ฉิงซานแทบลืมหายใจ

เขาเร่งหยิบแผนที่นำทางจากในลิ้นชักและเริ่มตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง

ตามความทรงจำของวังเฉิง กู่ฉิงซานได้ทำการเทียบเปรียบพิกัด และจัดวางแผนภูมินำทาง จนสามารถค้นพบถึงตำแหน่งของหยุนจีได้อย่างรวดเร็ว

ตลาดมืดเกรย์แฮนด์

หยุนจีอยู่ในตลาดมืด!

อ้างอิงจากตามพิกัด มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่!

กู่ฉิงซานเริ่มเค้นสมองคิดหาวิธีช่วยเหลือเธอทันที

นับจากช่วงเวลานี้ไป เขาได้ละทิ้งซึ่งแผนการทุกอย่างทั้งหมดที่ทั้งคิด ทั้งเตรียมการ โยนไปไว้เบื้องหลังโดยสมบูรณ์

ช่างหัวมันว่ายานอวกาศลำนี้จะมีความลับหรือปัญหาอะไรเก็บซ่อนอยู่ เพราะในปัจจุบันการช่วยคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!

ตอนนี้ ยานกำลังจะมุ่งหน้าไปยังตลาดมืดอยู่แล้วก็จริง แต่เนื่องจากเพราะพวกมอนสเตอร์มิติ ที่บางครั้งก็ปรากฏตัวออกมาระหว่างทางอย่างกะทันหัน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง ไม่สามารถเร่งความเร็วยานได้

เขาจะต้องไปควบคุมยานอวกาศให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด!

กู่ฉิงซานตัดสินใจ และรีบออกจากห้องของวังเฉิงอย่างรวดเร็ว

เขาตระหนักได้มาตั้งนานแล้วว่ากัปตันน่ะ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในเรื่องของเงิน

ดังนั้น เขาจะใช้เงินทั้งหมดของวังเฉิง แก้ไขปัญหาในข้อนี้

เพราะท้ายที่สุดแล้ว คำขอเดียวของเขาก็คือต้องการให้เร่งเครื่องเร็วขึ้น

กู่ฉิงซานก้าวฉับๆตรงไปยังห้องของกัปตัน

แต่สักพักหนึ่ง

ฝีเท้าของเขาก็ต้องหยุดลง

เพราะดันมีเรื่องแปลกๆ บางอย่างเกิดขึ้นรอบตัวเขา

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ ชุดเกราะรบนายพลชั้นเฉินเว่ยบินออกมาและสวมทับใส่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว

เขาเอื้อมออกไปคว้าดาบขุนเขาเทวะหกโลกาไว้ในกำมือ

“จงเผยตัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

กู่ฉิงซานตวาด

แต่ก็ไม่มีใครตอบเขา

อันที่จริงแล้วเรือทั้งลำบัดนี้กลายเป็นวังเวง ไร้สิ่งสรรพเสียงใดๆ

กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา กวาดไปตลอดทั้งลำยาน

…ไม่มีใคร

ทุกคนบนยานอวกาศหายหัวไปกันหมดเลย!

………………………………….

กู่ฉิงซานเปลี่ยนเป็นวังเฉิง แล้วก้าวเดินกลับไปยังทางแยกสู่ยานอวกาศหลัก

ทันทีที่ออกจากซากยาน เขาก็พบว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองที่ยืนอยู่ตรงทางเข้ายานหลัก กำลังมองมาที่เขาด้วยความเย็นชา

ภารกิจค้นหาได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

ทุกคนกลับไปยังยานหลัก เหลือเพียงอันดับสองเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ที่นี่ มันเหมือนกับว่าเขากำลังรอใครบางคนอยู่

กู่ฉิงซานชำเลืองมองอีกฝ่ายแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด สองเท้ายังคงก้าวตรงไปตามเส้นทางเข้าสู่ยานอวกาศหลัก

“วังเฉิง แล้วภูตอัญเชิญของนายไปอยู่ที่ไหนซะแล้วล่ะ?” เมื่อเขาผ่านไป อันดับสองก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ทุกอย่างจบแล้ว มันเลยกลับไป” กู่ฉิงซานกล่าว

เจ้าหน้าที่อันดับสองนิ่งงัน ก่อนที่จะยื่นถุงใบเล็กๆ ออกมา

“นี่คือเงินเดือนเดือนนี้ของนาย ทุกคนได้รับกันหมดแล้ว เหลือแค่นายที่ยังไม่ได้” เขากล่าว

“โอ้ ขอบคุณนะ มิน่าล่ะนายถึงมารอฉันอยู่ที่นี่” กู่ฉิงซานรับถุงมา

แล้วเขาก็เดินต่อไปยังทางเข้าเรือ โดยไม่คิดเหลียวหลังกลับมามอง หายไปในระเบียงทางเดินยานอวกาศ

โดยมีคู่ดวงตาของอันดับสองจ้องมองอยู่จากเบื้องหลัง จนกระทั่งอีกฝ่ายหายไป ก็ยังไม่คิดเคลื่อนกาย

ผ่านไปเป็นเวลานาน อันดับสองก็งึมงำออกมา “ ‘ไอ้เด็กเหลือขอ’ ในที่สุดภูตอัญเชิญก็หายไปสักทีนะ…”

เขาปล่อยลมหายใจยาว สีหน้าผ่อนคลายลง

ถ้าวังเฉิงไม่มีราชาภูตที่แข็งแกร่งอยู่เคียงข้างแล้วล่ะก็ ใครมันจะไปหวาดกลัวเขา

ก่อนหน้านี้มันยังไม่ชัดเจนว่าวังเฉิงสามารถเรียกราชาภูตมาได้อย่างไร?

แต่หากคุณต้องการจะกำจัดผู้อัญเชิญ คุณก็แค่เร่งมือโจมตีหรือสังหาร ให้พวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะร่ายคาถาก็พอแล้ว เพราะถ้าอัญเชิญอะไรมาไม่ได้ทุกอย่างก็เป็นอันจบ

ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยสภาพของยานอวกาศที่คับแคบ มันย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะทำ เจ้าหน้าที่อันดับสองขบคิด สองขาเริ่มก้าวเดิน มุ่งเข้าสู่ทางเข้ายานอวกาศหลักอย่างช้าๆ

อีกด้านหนึ่ง กู่ฉิงซานกำลังเดินผ่านพื้นที่ส่วนกลางของยาน เขาเห็นศพของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่ง กับอีกเจ็ดแปดคนอยู่ด้วยกัน ถูกแขวนประจานต่อหน้าสาธารณะ

และลูกเรืออีกหลายคน ก็กำลังรวมตัวกันสนทนากันอยู่ที่นี่

“กลับกลายเป็นว่าวังเฉิงกล่าวหาผิดคน จริงๆ แล้วไม่ใช่เจ้าหน้าที่อันดับสอง แต่เป็นอันดับหนึ่งต่างหาก”

“ฉันเองก็รู้สึกเหมือนกัน ว่าอันดับหนึ่งมีปัญหามานานแล้ว”

“นั่นสิ เขามักจะทำโอ้อวดใหญ่โต ทำอย่างกับสามารถใช้มือเดียวโอบคลุมไปทั่วฟ้า แต่สุดท้ายพอถูกกัปตันจับได้ ก็จบลงในสภาพนี้”

“ฉันสงสัยจัง ว่าเขาจะได้เงินจากไป่หยูกับจางยี่ไปเท่าไหร่กันนะ”

“ไม่ว่าจะได้เงินไปเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็จะเป็นไปตามกฎของกัปตัน ใครที่ทำผิดถูกลงโทษ และ ‘เงิน’ ของคนคนนั้นก็จะถูกแบ่งปันให้กับฉันและทุกๆ คน”

“พอมาลองคิดดูดีๆ พวกลูกเรือที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ กัปตันก็นำ ‘เงิน’ ของพวกเขามาแบ่งให้ทุกคนเหมือนกันนี่นา”

กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้า ไม่ได้ก้าวออกมาข้างหน้า

เขาเพียงตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ ถึงสิ่งที่ทุกคนพูด

ตามความทรงจำของวังเฉิง ในภารกิจก่อนหน้านี้ก็มีบ้างเป็นบางคนที่เสียชีวิต

แต่มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อเลือกที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในงานอันตราย ก็ต้องพร้อมยินยอมแบกรับความเสี่ยงเอง

เมื่อไม่นานมานี้ ยานอวกาศได้บังเอิญถูกมอนสเตอร์โจมตีอย่างกะทันหัน ทำให้ในช่วงเวลานั้นมีหลายคนที่ต้องจบชีวิตลง

ซึ่งนั่นถือว่าเป็นความบังเอิญโชคร้ายเท่านั้น แต่คราวนี้ …

กู่ฉิงซานเหลือบมองไปยังเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่ง และอีกหลายศพ

ตามประกาศของกัปตัน คนพวกนี้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับอันดับหนึ่ง พวกเขาได้คอยให้ความช่วยเหลืออันดับหนึ่งในการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างลับๆ คิดคดทรยศต่อความไว้วางใจของกัปตัน

ซึ่งตามกฎแล้ว คนพวกนี้จะต้องตาย และถูกริบทรัพย์สินทั้งหมดเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ด้วยการกระทำนี้ มันส่งผลให้สถานการณ์ของยานอวกาศไม่ค่อยจะดีนัก

ไม่ว่าจะเป็นการบังเอิญถูกมอนสเตอร์โจมตี แล้วไหนจะยังถูกลงโทษสังหารจากการทรยศกัปตันอีก

ส่งผลให้ในปัจจุบัน ตลอดทั้งยานอวกาศจึงเหลือคนอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

โชคยังดี ที่แม้ว่าการตัดสินใจของกัปตันจะเด็ดขาดรุนแรง แต่มันก็ทำให้ทุกคนได้รับผลประโยชน์เสมอมา ดังนั้นคนอื่นๆที่เหลือจึงยังคงอยู่ได้อย่างสบายใจ

กู่ฉิงซานเอียงคอ มองหน้าหน้าต่างยาน เฝ้าดูกระแสมิติอันโกลาหลที่อยู่ภายนอก

มันคือมิติอันกว้างใหญ่ที่จะนำไปสู่โลกสองร้อยล้านชั้น พื้นที่ที่มีมอนสเตอร์ดุร้ายมากมายเจริญเติบโต พื้นที่ที่อารยธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดจำเป็นต้องเดินทางผ่านเส้นทางมิติอันไร้ที่สิ้นสุดนี้ จึงจะสามารถเข้าถึงโลกอื่นๆ ได้

ตามความทรงจำของวังเฉิง เพื่อให้แน่ใจว่ายานอวกาศจะสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย อย่างน้อยก็จำเป็นต้องมีมือดีกว่าสิบคนคอยทำหน้าที่ควบคุมมัน

แต่ตอนนี้ คนส่วนใหญ่บนยานได้ถูกฆ่าตายกันไปหมดแล้ว เหลือแค่เจ็ดถึงแปดคนเท่านั้น

ดูเหมือนว่าหลังจากไปถึงตลาดมืด ยานอวกาศลำนี้คงจำเป็นต้องเปิดรับสมัครลูกเรือเพิ่มขึ้น

กู่ฉิงซานส่ายหัวและออกไปจากที่นี่

เขากลับไปยังห้องพักส่วนตัวของวังเฉิง

เมื่อปิดประตู กู่ฉิงซานก็แกะถุงออก เทเงินลงบนโต๊ะ

กริ๊ง!

เหรียญโลหะตกกระทบกับโต๊ะ ทำให้บังเกิดเสียงไพเราะอันน่ารื่นรมย์

เหรียญเหล่านี้เป็นเหรียญโลหะสีฟ้า มันหนา และไม่เพียงแต่มีผิวที่แข็ง แต่ยังมีรูนอันลึกลับ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการปลอมแปลงถูกสลักเอาไว้อีกด้วย

และบนเหรียญยังสลักไว้ด้วยมอนสเตอร์หกแขนบนด้านหน้า ขณะที่อีกด้านหนึ่งถูกสลักด้วยตัวเลข ‘เจ็ด’ ที่มักจะใช้กันและเป็นที่รู้จักกันในสากลของโลกเก้าร้อยล้านชั้น

นี่คือเหรียญเงินหมายเลขเจ็ด

ในดินแดนชิงอำนาจ จะมีการจัดเรียงลำดับอำนาจในการซื้อขาย โดยจะมีทั้งสิ้นหนึ่งพันหนึ่งเลขเหรียญ

ยิ่งจำนวนเลขมากเท่าไหร่ อำนาจในการซื้อขายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

จากทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งเหรียญ อำนาจในการซื้อขายของเหรียญลำดับเจ็ดนี้ ถือว่าค่อนข้างแย่

แต่คุณจะไปคาดหวังอะไรกับเงินที่ได้รับจากการทำงานอย่างการเก็บซากยานห่วยๆ กันเล่า?

เพราะยานอวกาศที่ดีอย่างแท้จริงน่ะ มันไม่ใช่สิ่งที่มอนสเตอร์มิติธรรมดาจะสามารถค้นพบหรือถูกทำลายได้ง่ายๆ หรอกนะ

มีเฉพาะเพียงคนที่ไม่มีเงินเท่านั้น ถึงได้เลือกใช้ยานขนส่งที่เสี่ยงอันตรายสูง แล้วก็ซากยานของพวกนี้นี่แหละ ที่กลุ่มเก็บซากของกู่ฉิงซานไปเก็บกู้มันมาอีกที

ด้วยเหตุนี้เอง งานเก็บซากยานจึงไม่ใช่งานที่สามารถทำกำไรได้มากมายนัก

ทำงานแบบนี้ ถ้าหวังจะรวย คงไม่ต่างจากฝันกลางวัน เช่นเดียวกันกับโศกนาฏกรรมของวังเฉิงที่เพิ่งเกิดขึ้น

น่าเสียดายจริงๆ เพราะหากเทคนิคลับในการอัญเชิญภูตผีของวังเฉิงสามารถไปได้ไกลกว่านี้อีกสักขั้น เขาคงสามารถหลุดพ้นจากธุรกิจนี้ และไปแสวงหาอาชีพที่ดีกว่าได้แล้ว

แต่เขาก็ไม่มีโอกาสนั้น

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างเงียบๆ ก้มลงมองดูเงินเล็กๆ น้อยๆ ของวังเฉิง

บนโต๊ะโดยรวมแล้ว มีเหรียญสีฟ้าเลขเจ็ดอย่างเต็มที่ก็สิบสี่เหรียญ

นี่คือเงินเดือนทั้งเดือนของวังเฉิง

กู่ฉิงซานรำพึง ย้อนนึกตามความทรงจำของวังเฉิงก่อนจะเดินตรงไปยังจุดหนึ่งของห้องแล้วก้มลงล้วงไปหยิบบางสิ่งขึ้นมา

เป็นกล่องใบเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

เขายกกล่องขึ้น วางบนโต๊ะ แล้วเปิดมัน

ภายในกล่อง ทั้งหมดเต็มไปด้วยเหรียญหมายเลขเจ็ด

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น

เอาเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้ฉันก็กำลังกินแกลบอยู่พอดีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าค่าของเงินนี่แทบจะต่ำที่สุด แต่การได้มันมาก็เหมือนกับลาภลอยล่ะนะ

เขาหยิบเหรียญขึ้นมา วางลงบนฝ่ามือตน เพ่งมองมันอย่างใกล้ชิด

มอนสเตอร์หกแขนที่อยู่บนเหรียญ เหมือนจะรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา

และมันคล้ายกับกำลังหงุดหงิด เลยโบกไม้โบกมือทั้งหกขู่ไปทางกู่ฉิงซาน

ตรงส่วนล่างของมอนสเตอร์ มีสองบรรทัดเล็กๆ ถูกสลักเอาไว้

“หกกรงเล็บ”

“มอนสเตอร์ขนาดเล็ก ลักษณะผิวหนังหนา เป็นภัยคุกคามที่อ่อนแอ”

พอได้อ่านสองบรรทัดนี้ มุมปากของกู่ฉิงซานก็ยิ้มหยันด้วยความขมขื่นให้กับตัวเอง

“มอนสเตอร์ขนาดเล็กเป็นภัยคุกคามที่อ่อนแออย่างนั้นหรือ?”

เขาพูดในสิ่งที่คิดออกมา

ไอ้เจ้ามอนสเตอร์หกกรงเล็บตัวนี้ ครั้งหนึ่งกู่ฉิงซานเคยได้พบกับมันมาแล้ว ช่วงที่เขาเพิ่งออกจากอาณาเขตหน้าใหม่

ในเวลานั้น มอนสเตอร์ตัวนี้วิ่งอาละวาดไปทั่ว และไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุมัน

กู่ฉิงซานเห็นด้วยตาของเขาเองว่าท่ามกลางกระแสมิติอันโกลาหล มันอยากจะกินใครก็ได้กิน และไม่มีใครหยุดมันได้

อย่างไรก็ตาม มันกลับอยู่ในอันดับเจ็ดเท่านั้น และถูกเรียกว่าเป็นมอนสเตอร์ขนาดเล็ก แถมยังเป็นภัยคุกคามที่อ่อนแออีก

ตามความทรงจำของวังเฉิง…มีเหรียญทั้งสิ้นหนึ่งพีนหนึ่งเหรียญในดินแดงชิงอำนาจ และมอนสเตอร์แต่ละตัวก็จะถูกสลักอยู่บนนั้น

มอนสเตอร์เหล่านี้จะถูกจัดเรียงตามลำดับความแข็งแกร่งของตน

มอนสเตอร์ที่ถูกสลักในเหรียญเลขหนึ่งคืออ่อนแอที่สุด

มอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดจะถูกแกะสลักบนเหรียญหนึ่งพันหนึ่ง

แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นมอนสเตอร์ตัวนั้น

มีการกล่าวกันว่า ในสมัยโบราณ กระทั่งเทพวิญญาณก็ถึงขั้นต้องต่อกรกับมันหลายปี พวกเขาถึงจะสามารถสังหารมันลงได้

มันจึงเป็นมอนสเตอร์ที่มีอยู่ในตำนานเท่านั้น และคนทั่วๆ ไปย่อมไม่มีแม้โอกาสจะได้เห็นตัวมันที่ถูกสลักอยู่บนเหรียญ

ในระหว่างโลกสองร้อยล้านชั้น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้เป็นประจักษ์พยานสายตา หรือได้สัมผัสเหรียญเลขหนึ่งพันหนึ่งเลยในตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา

สำหรับมืออาชีพทั่วไป ถ้าสามารถหาเหรียญเลขห้าร้อยขึ้นไปได้ เรื่องกินอยู่ หรือเสื้อผ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว

กู่ฉิงซานครุ่นคิดและถอนหายใจ

เขาเก็บเหรียญเลขเจ็ดทั้งหมดลงในกล่อง แล้วจับยัดไว้ในถุงอีกที

หลังจากจบเรื่องนี้ จู่ๆ กู่ฉิงซานก็เหมือนจะนึกได้ถึงอีกเรื่องหนึ่ง

เขาหยิบหนังสือพิมพ์ออกมา

นี่คือหนังสือพิมพ์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงที่เสี่ยวเหมียวได้มอบมันให้กับเขา

สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาของเขาคือรูปภาพ

หอคอยที่สูงตระหง่านเหนือฟากฟ้า ช่วงกลางของหอคอยได้ถูกตัดขาดออกจากกัน และกำลังล่มสลายลงอย่างช้าๆ

บรรทัดข้อความปรากฏขึ้นใต้ภาพอย่างรวดเร็ว

“วันแห่งการล่มสลายของหอคอยสูง”

“ความหวาดกลัวอันมิอาจบอกบรรยายได้เกิดขึ้นแล้ว! มันเร็วจนเกินไปที่ทุกคนจะคาดคิด”

“หอคอยแห่งความรู้ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลได้ถูกทำลายลง”

“สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง แต่ก็ยังคงยืนหยัดต่อต้านจนวินาทีสุดท้าย”

“ฉุกเฉิน! ฉุกเฉิน! นี่คือคำร้องฉุกเฉิน! ได้โปรดเดินทางมาให้การสนับสนุนพวกเราด้วย! จ้าววงการตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้โปรดให้การสนับสนุนด้วยเถอะ!”

“นี่คือสงครามที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของโลกเก้าร้อยล้านชั้น หากสงครามในครั้งนี้พวกเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ‘เจ้าสิ่งนั้น’ มันจะกลายเป็นการดำรงอยู่ที่น่าเกรงขามยิ่งขึ้น ดังนั้น ได้โปรดมายังโลกของหอคอยสูงเพื่อความอยู่รอดของตัวคุณเอง!”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านหนังสือพิมพ์ เขาแทบลืมหายใจ

สถานการณ์มันเลวร้ายถึงขนาดนี้เลยหรือ?

สิ่งนี้มันเหนือความคาดหมายของเขาไปโดยสิ้นเชิง

สิ่งที่อยู่ในสถาบันเทพ ใบหน้าครึ่งชายครึ่งหญิงนั่น…มันเป็นตัวอะไรกันแน่?

แท้จริงแล้วการดำรงอยู่ของสิ่งนั้นมันต้องการอะไร? มันถึงขั้นสามารถทำลายหอคอยแห่งความรู้ที่เทพวิญญาณรังสรรค์ขึ้นมาแต่โบราณกาลได้เลยเชียวหรือ?

ไม่มีใครสามารถต้านทานมันได้จริงๆ?

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะคิดอีกรอบ

ณ ขณะนี้ เนื้อหาของหนังสือพิมพ์ได้ถูกนำเสนอจนหมดสิ้นแล้ว และเขาก็ได้อ่านมันทั้งหมด

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เก็บหนังสือพิมพ์ไป อีกเรื่องที่มันไม่คาดงันก็ดันเกิดขึ้นตามมา

มนุษย์แสงปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

มันปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกสรรพชีวิตในโลกสองร้อยล้านชั้นในปัจจุบันทั้งหมดอีกครั้ง

ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และน่าเคารพนอบน้อม มนุษย์แสงป่าวประกาศว่า “ โปรดทราบ ผู้ศรัทธาคนแรกที่สามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว”

“หนทางสู่การเป็นเทพได้เปิดออกอย่างเป็นทางการ”

“อำนาจเทวะที่ถูกวางไว้โดยเทพวิญญาณจะถูกเปิดใช้งานในไม่ช้า”

“ดินแดนชิงอำนาจจะถูกซ่อนจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น”

“นับจากนี้ไป ใครก็ตามที่ออกจากดินแดนชิงอำนาจ จะไม่สามารถเข้ากลับมายังดินแดนชิงอำนาจได้อีกเลยตลอดกาล!”

………………………………….

กัปตันกดลงบนโต๊ะอีกครั้ง ถ่ายทอดคำสั่ง “เจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งละเมิดกฎและได้ถูกฉันสำเร็จโทษแล้ว ใครก็ได้สักสองคนช่วยเข้ามาหน่อย มาช่วยเย็บหัวของเขาเข้ากับศพ แล้วจับไปแขวนประจานกลางยานให้ทุกคนได้เห็น”

ไม่นานนัก ลูกน้องสองคนก็เข้ามา

พวกเขาโค้งคำนับให้กัปตัน หนึ่งคนเดินไปจับหัวอันดับหนึ่ง อีกคนเดินไปพยุงร่างศพ แล้วยกออกไปอย่างรวดเร็ว

กัปตันหันมามองวังเฉิงแล้วยิ้ม

“แบบนี้เป็นไง?”

“ขอบคุณกัปตัน ที่ช่วยเรียกคืนความยุติธรรมให้กับผม”

“เท่านี้ก็วางใจได้แล้วสินะ?”

“วางใจแล้ว” วังเฉิงกล่าวด้วยความปีติอย่างสุดซึ้ง

“เอาล่ะ นายก็ไปได้แล้ว แต่ห้ามลืมล่ะ ว่าไม่มีใครสามารถทำลายกฎที่ฉันตั้งเอาไว้ได้”

“รับทราบครับกัปตัน”

ว่าจบ วังเฉิงกับภูตอัญเชิญก็เดินออกไป

กัปตันเฝ้ามองทั้งสองจากเบื้องหลังอย่างเงียบๆ

“เฮ้ไอ้เด็กเหลือขอ” จู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา

“ว่าไงครับกัปตัน?”

“สลายภูตอัญเชิญของนายไปได้แล้ว เดี๋ยวลูกเรือคนอื่นๆ ของฉันจะตกใจ”

วังเฉิงไม่ได้พูดอะไร แต่ภูตอัญเชิญของเอาเป็นฝ่ายตอบกลับมา “ข้าจะไปส่งเขาที่ห้องก่อน และเมื่อถึงเวลานั้นสัญญาอัญเชิญจึงจะเสร็จสมบูรณ์”

กัปตันรับฟัง ในสมองคิดอย่างรอบคอบ สุดท้ายคิ้วที่ยับย่นของเขาก็ค่อยๆ คลายลง

เขาพยักหน้า “เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้นนายก็รีบกลับไปเร็วๆ มันจะได้ไม่ส่งผลกระทบกับคนอื่น”

“เมื่อวังเฉิงปลอดภัย ข้าจะจากไปเอง” ภูตอัญเชิญกล่าว

ปัง…ประตูถูกปิดลง

พวกเขาได้ออกไปแล้ว

แต่กัปตันก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในจุดเดิม เงียบงันไปครู่หนึ่ง

กำปั้นของเขากำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าการสังหารอันดับหนึ่งไป ยังไม่เพียงพอที่จะระงับความโกรธในจิตใจของเขาให้สงบลงได้

“สารเลว…” กัปตันพึมพำเสียงกระซิบ

แล้วจู่ๆ เขาก็หยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากใต้โต๊ะ ควานหาอะไรบางอย่างเป็นเวลานาน สุดท้ายก็หยิบเหรียญออกมา

นี่คือเหรียญพิเศษที่มีพื้นผิวเรียบ ไม่มีร่องรอยหรือรูปภาพอะไรอยู่บนมันเลย

กัปตันพ่นลมหายใจใส่เหรียญ ฮัมเพลงเสียงกระซิบลงกับมัน “แม่มดจ้าวมนตราเอ๋ย ฉันขออัญเชิญท่าน”

พร้อมกันกับเสียงนี้ ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนเหรียญ

“มีเรื่องอะไร?” ผู้หญิงคนนั้นถาม

“แม่มดจ้าวมนตรา ฉันต้องการให้ท่านช่วยทำนาย”

“เจ้าก็รู้ว่าการร้องขอข้าต้องมีค่าใช้จ่าย”

“แน่นอน”

“ในเมื่อเจ้ายินดี เช่นนั้นโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเตรียมพิธี”

แล้วผู้หญิงบนเหรียญก็หายไป

ไม่นานนัก เสียงของแม่มดก็ดังขึ้นอีกครั้ง “จงพูดในสิ่งที่หัวใจเจ้าปรารถนาจะล่วงรู้”

กัปตัน “นี่มันเป็นเรื่องแปลกมากจริงๆ ชัดเจนว่าฉันมีความแข็งแกร่งมากกว่าศัตรู แต่สัญชาตญาณของฉันมันกลับร้องเตือนว่าอย่าไปสู้กับเขา”

“เห? ฟังดูเหมือนว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่พิเศษนะ”

เสียงของแม่มดเผยถึงร่องรอยความตื่นเต้น

ในฐานะผู้คอยรับหน้าที่ทำการสำรวจธรรมชาติอันลึกลับทั้งมวล เธอจึงมักสนใจในสิ่งที่มันไม่สมเหตุสมผลอยู่เสมอ

กัปตัน “ตอนนี้ ฉันต้องการทราบว่าถ้าฉันลงมือต่อสู้จริงๆ ฉันจะสามารถเอาชนะภูตอัญเชิญที่วังเฉิงเรียกออกมาได้หรือไม่”

“รอประเดี๋ยว”

อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง

ในขณะที่กัปตันยิ่งนานก็ยิ่งเริ่มกังวล เสียงของแม่มดก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ตอนนี้เจ้าสามารถโยนเหรียญได้เลย”

“แล้วอย่างไรต่อ?”

“ถ้าเหรียญคว่ำลงแล้วมันโชว์รูปร่างจำลองของเจ้า นั่นก็หมายความว่าเจ้าชนะ”

“แล้วถ้าคว่ำเป็นร่างจำลองของภูตอัญเชิญล่ะ?”

“เจ้าก็จะต้องตาย”

“มีเพียงสองกรณีเท่านั้นเองหรือ?”

“เจ้าต้องลองทำมันก่อน ข้าจะคอยดูอยู่ข้างๆ” แม่มดย้ำ

กัปตันกัดฟัน ตัดสินใจโยนเหรียญ

บนเหรียญ ใบหน้าของแม่มดหายไปทันที ตลอดทั้งเหรียญกลับมาเรียบเนียน ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ อีกครั้ง

กัปตันดีดนิ้วของเขา

ติ๊ง…

เหรียญถูกโยนสูงขึ้น ม้วนไปมาในอากาศ

เคร้ง!

มันตกลงบนโต๊ะ กระดอนอยู่สองสามครั้ง

และหยุดลงอย่างกะทันหัน!

เหรียญหยุดลงอยู่บนโต๊ะอย่างมั่นคง ในสภาพมิได้คว่ำหรือหงายลงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

กัปตันจ้องมองมันด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ไม่อาจกล่าวคำใดได้ไปครู่หนึ่ง

“ฮะ ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ”

เสียงหัวเราะที่ไม่อาจทนเก็บงำของแม่มดดังขึ้น

“สถานการณ์แบบนี้คืออะไร?” กัปตันถามด้วยความร้อนใจ

“นี่มันน่าสนใจจริงๆ ความแข็งแกร่งของราชาภูตนั้นด้อยกว่าเจ้าอยู่มากโข ทว่ายามเมื่อต้องต่อสู้เป็นตายกันจริงๆ พวกเจ้ากลับเคียงคู่สูสี”

แม่มดอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ในเมื่อผลการทำนายอันหาได้ยากยิ่งนี้ปรากฏขึ้น ความลึกล้ำของมันอาจจะนำพาความโชคดีมาสู่ข้าก็เป็นได้ ดังนั้นคราวนี้ข้าจะไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ”

“แต่จะคอยเฝ้าตั้งตารอ ว่าชะตากรรมสุดท้ายของเจ้ามันจะจบลงเช่นไร”

หลังจากนั้น เสียงของเธอก็หายไปจากห้อง

เธอจากไปแล้ว

ภายในห้องเหลือกัปตันคนเดียวที่นั่งอยู่ลำพัง

เงียบงันไปครู่หนึ่ง

จู่ๆ เสียงคำรามก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน “บัดซบ!”

เปรี้ยง! กำปั้นถูกทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง

ทุกสิ่งอย่างกระดอนขึ้น ก่อนจะร่วงกลับมากระจัดกระจายบนโต๊ะดังเดิม

อย่างไรก็ตาม มีเพียงเหรียญที่ยังคงนิ่งงัน อยู่ในสภาวะเดิมอย่างมั่นคง

“ไม่มีทาง ฉันจะไม่ยอมให้…”

กัปตันงึมงำด้วยความโกรธ

เขาลุกขึ้น เดินตรงไปทางกำแพง และยกมือวางนาบลงบนมัน

ทันใดนั้นการแสดงออกทางสีหน้าก็เขาก็แปลกไป

“บ้าจริง หรือว่าเจ้าภูตอัญเชิญนั่นมันจะไปรู้อะไรบางอย่างเข้าแล้ว?”

“…แบบนี้ไม่ดีแน่ ฉันจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมยิ่งกว่านี้”

หลังจากที่แนบมือเข้ากับกำแพง กัปตันก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง และเร่งออกจากห้องไป

ประตูถูกปิดลง

ภายในห้องเงียบงันโดยสมบูรณ์

แต่หลังจากนั้นอีกสองสามลมหายใจ…

เหรียญผิวเรียบบนโต๊ะก็เริ่มเอนเอียง พลิกคว่ำลงไปยังทิศทางหนึ่งอย่างช้าๆ

อีกด้านหนึ่ง

กู่ฉิงซานกับฉานนู่เดินเข้ามาในซากปรักหักพังของยานอวกาศหมายเลขสองอีกครั้ง

“นายน้อย ทำไมพวกเราถึงต้องมาที่นี่?” ฉานนู่ถาม

“เพราะคนด้านนอกทั้งหมด ไม่มีใครรู้ว่าไป่หยูกับจางยี่คิดจะฆ่าคนที่นี่ และชัดเจนว่าในเวลานั้น เมื่อพวกเขาทำสำเร็จ พวกเขาก็ได้เฉลยออกมา ว่าได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ลำดับสองเอาไว้แล้ว”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ส่วนเจ้ากัปตันที่น่าหัวเราะนั่น ก็ยังแสร้งสวมบทบาทใช้เสียงมรณะของเทพแห่งความตายเพื่อพิสูจน์ความจริงอีก”

ฉานนู่ขบคิดอย่างระมัดระวัง “นี่มันแปลกจริงๆ ด้วย ทั้งๆ ที่คนที่ช่วยไป่หยูกับจางยี่เป็นเจ้าหน้าที่ลำดับสองอย่างชัดเจน ถึงนายน้อยจะแสร้งบอกว่ามันไม่ใช่ก็เถอะ แต่เสียงมรณะแห่งความตายกลับไม่ดังขึ้น หรือว่าตัวนาฬิกาจะมีปัญหา?”

“ไม่หรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่เจ้าหน้าที่ลำดับสองต่างหาก” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่ตกใจ เร่งเอ่ยถาม “นายน้อย ท่านมองสถานการณ์นี้เป็นอย่างไร? ”

กู่ฉิงซานถามกลับ “เจ้าจดจำถึงคำที่เขากล่าวกับเสียงมรณะของเทพแห่งความตายได้หรือไม่?”

ฉานนู่ย้อนคิดอย่างรอบครอบ เอ่ยทวนซ้ำ “เขาพูดว่า ‘ผมต้องการพิสูจน์ต่อหน้าทุกคนว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองบนยานไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย แล้วก็ไม่ได้ลงมือฆ่าใครด้วย’ ”

“เป็นอย่างไร? ได้ค้นพบถึงความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้หรือไม่?”

“…ไม่เลย” ฉานนู่ตอบ

กู่ฉิงซานให้คำใบ้ “ในประโยคนี้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่ลำดับสอง แต่เขากลับเอ่ยชื่อตำแหน่งออกมา แต่เลือกที่จะหลีกเลี่ยงเอ่ยชื่อของตัวเองตรงๆ”

ฉานนู่ตาสว่างขึ้นทันใด “จริงสิ เขาแค่บอกว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองไม่ได้ทำ แต่ไม่ได้บอกว่าเขาไม่ได้ทำซะหน่อย”

“ดังนั้น หมายความว่าเขาจะต้องไม่ใช่เจ้าหน้าที่ลำดับสอง”

“แล้วเขาเป็นใครกัน?”

“ไม่รู้สิ แต่ข้าคิดว่า ‘ไม่น่าจะใช่มนุษย์’ ”

“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น”

“เพราะเขาสามารถปิดกั้นสายฟ้าของข้าได้ ถึงแม้ว่าตามกฎธรรมชาติแล้ว ธาตุดินจะยับยั้งธาตุสายฟ้าได้ก็ตามที แต่เมื่อดาบของข้าตัดลงบนตัวเขา มันกลับเกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ “ตอนนี้สถานการณ์มันซับซ้อนเกินไป มีเฉพาะซากยานนี้ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้หลบซ่อนได้อย่างปลอดภัย”

“ดังนั้น ที่พวกเรามาที่นี่ ก็เพื่อทำการเปลี่ยนสถานะกัน”

ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็ถอดเกราะรบเฉินเว่ยออก

“นายน้อย ข้ามิได้เห็นท่านระมัดระวัง และรอบคอบถึงเพียงนี้มานานมากแล้ว” ฉานนู่เอ่ยปากชื่นชม

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “มีอาชีพและสิ่งมีชีวิตหลายรูปแบบนับไม่ถ้วนในดินแดงชิงอำนาจ มอนสเตอร์มิติหลายชนิดแข็งแกร่งอย่างมหาศาล ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี ก็คงไปได้ไม่ไกลในดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านแบบนี้”

ฉานนู่จดจำได้ถึงบางสิ่ง เธอขมวดคิ้ว “นั่นสินะ เพราะนายน้อยยังมีอีกสองหายนะที่จะต้องคอยระวังนี่นา”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

ในเรื่องของโทษทัณฑ์ เขาไม่กล้าคิดประมาทมันเลย

จากนั้น เขาก็เริ่มใช้ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ทั้งคนทั้งร่างค่อยๆ กลายเป็นวังเฉิง

ในซากปรักหักพังของยานอวกาศ สองวังเฉิงมองหน้ากันและกัน

“นายน้อย ทำแบบนี้…หมายความว่าข้าไม่จำเป็นต้องแสร้งเป็นวังเฉิงอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”

หนึ่งในวังเฉิงเอ่ยถาม

“อืม ข้ามีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มิอาจคาดฝันขึ้น ทุกการลงมือและตัดสินใจต้องฉับไวและรวดเร็ว ดังนั้นจากนี้ไป ข้าจะเป็นคนรับหน้าที่นี้เอง” อีกวังเฉิงกล่าว

“เข้าใจแล้ว”

วังเฉิงคนแรกถอนหายใจโล่งอกที่สามารถปลดเปลื้องภาระนี้ได้เสียที ใบหน้า และตามร่างกายเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลับคืนสู่สภาพหญิงสาวในชุดคลุมฟ้า

………………………………….

กัปตันมองไปยังกู่ฉิงซาน

เห็นแค่เพียงภูตผีระดับราชาในชุดเกราะทมิฬ ที่ตามเกราะมีเส้นสายสีดำคล้ายกับหมอกควันลอยขึ้นเป็นแนวตั้ง ส่ายไปมาในอากาศที่ว่างเปล่า

บนหน้ากากเกราะทองคำที่มันสวมใส่ สลักไปด้วยอักษรรูนลึกลับมากมาย

กัปตันสามารถรับรู้ได้ถึงขีดพลังของภูตผีตนนี้

หลังจากการทดสอบความจริงเมื่อครู่ เขาก็ตระหนักได้ว่าภูตผีได้ปรับสภาวะตนเองให้อยู่ในสถานะขีดสุดตลอดเวลา กลิ่นอายสังหารช่างเข้มข้นรุนแรง เจตดาบที่เดือดดาลและดุร้ายพร้อมที่จะปะทุออกทุกเมื่อ หากไม่ได้ดั่งใจก็คงจะลงมือทันที

นี่นับว่าเป็นตัวอันตรายอย่างแท้จริง

แต่ที่น่าปวดหัวยิ่งกว่าก็คือ ภูตผีตนนี้ถูกเรียกมาที่นี่ด้วยกฎแห่งการอัญเชิญ ซึ่งนั่นหมายความว่ามันสามารถยกเลิกข้อตกลงและกลับไปยังโลกของตนเองได้ตลอดเวลา

แต่มันก็ไม่ทำ…นั่นหมายความว่าหากเหตุการณ์มันเลยเถิดไป จนมิอาจบรรลุข้อตกลงระหว่างมันกับวังเฉิงได้ มันอาจจะอาละวาดสังหารหมู่ผู้คนที่นี่

…แบบนั้นไม่ดีแน่

กัปตันหรี่ตาแคบลง หากมองดูจะคล้ายกับว่าเขากำลังยิ้มอยู่

เขากระแอมและกล่าว “เจ้าหน้าที่ลำดับสองคงไม่ได้ตั้งใจหรอก ฉันเชื่อเขา” บังเกิดความวุ่นวายขึ้นโดยรอบ

เพราะมันเป็นเรื่องน่าฉงนจริงๆ สำหรับทุกคน ที่กัปตันไม่ได้เลือกไปเค้นถามเจ้าหน้าที่ลำดับสอง แต่ดันเลือกที่จะไปอธิบายให้กับภูตอัญเชิญฟังแทน

แบบนี้ ใช่เป็นการลำเอียง ยอมอ่อนข้อให้หรือไม่?

อย่างไรก็ตาม ภูตผีดูเหมือนจะไม่สนใจ มันยังคงยอกย้อน “แต่วังเฉิงเองก็ได้รับการทดสอบความจริงแล้ว แล้วเหตุใดเจ้าหน้าที่ลำดับสองถึงไม่ต้องรับการทดสอบความจริงบ้างเล่า?”

ปลายคิ้วของกัปตันดูจะกระตุกเล็กน้อย

‘นี่มันชักจะอวดดีเกินไปแล้ว! มันรู้บ้างหรือเปล่าว่าไม่มีใครบนยานลำนี้กล้าที่จะท้าทายอำนาจเขา!!’

ดวงตาของกัปตันเลื่อนลงไปมองตรงมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

เขาพบว่ามือของกู่ฉิงซานในชุดเกราะดำกำลังกดลงบนด้ามดาบอยู่

ตามตัวดาบถูกห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้าสีน้ำเงินขาว สาดแสงไสวอย่างไม่รู้จบ

‘…เป็นผู้ใช้ธาตุ แถมยังใช้ดาบ ภูตผีเช่นนี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย’

‘และเมื่อครู่นี้ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นมันที่พลิกคว่ำทุกคนในดาบเดียว’

กัปตันขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเริ่มลังเล

เห็นได้ชัดว่าภูตตนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าใดนัก แต่ทำไมกันนะ? ทำไมในหัวใจของเขายิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกเริ่มถูกกดดัน?

จะโจมตีมันเลยดีไหม…หรือว่าไม่ดี?

ตัวเลือกที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จะนำไปสู่สองสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง

กัปตันสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เขาเปิดปากและกล่าว “เจ้าภูตผี คือว่าฉัน…”

“กัปตัน!” เจ้าหน้าที่ลำดับสองแทรกขัดจังหวะ

เขาก้าวออกมาทันใด และกล่าวกับนาฬิกาดำ “ผมต้องการพิสูจน์ต่อหน้าทุกคนว่า ‘เจ้าหน้าที่ลำดับสอง’ บนยานไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย แล้วก็ไม่ได้ลงมือฆ่าใครด้วย”

เมื่อเสียงเงียบลง นาฬิกาสีดำก็ยังคงเงียบ มันไม่ได้ดังขึ้น

ฝูงชนที่รับชมต่างส่งเสียงเฮลั่น

หมายความว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองกำลังพูดความจริง!

เขากลับมาได้รับความไว้วางใจจากทุกคนอีกครั้ง!

กัปตันได้สติกลับคืน เขามองกู่ฉิงซาน แล้วหันไปหาวังเฉิง “ดูสิ ก็อย่างที่ฉันบอกไปนั่นแหละ ว่าตลอดทั้งยานลำนี้ไม่มีใครคิดที่จะฝ่าฝืนกฎของฉันหรอก”

เจ้าหน้าที่ลำดับสองพูดบ้าง “เป็นสองคนนั่นต่างหากที่วางแผนจะฆ่านาย ฉันขอบอกเลยนะว่าถ้านายตายด้วยฝีมือพวกเขา แล้วฉันรู้ ฉันนี่แหละจะเป็นคนแก้แค้นให้นายเอง!”

ขณะพูด เขาก็หันหน้าไปทางนาฬิกาดำ

นาฬิกาดำยังคงไม่ดังอยู่ดี

ฝูงชนโห่ร้องดีใจอีกครั้ง

หลังจากเจ้าหน้าที่ลำดับสองสามารถผ่านการทดสอบความจริงจากนาฬิกาดำของกัปตันได้อย่างต่อเนื่อง บรรยากาศในพื้นที่ก็เริ่มแตกต่างออกไป

ใบหน้าเขม็งเกร็งของผู้คนคลายลง มันเริ่มผุดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ใช่แล้วล่ะ กัปตันน่ะเป็นคนที่เชื่อถือได้ เขาคือคนที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกคนเสมอมา

ดังนั้น กัปตันย่อมสามารถรักษากฎของยานทั้งลำเอาไว้ได้อย่างแน่นอน

เจ้าหน้าที่ลำดับสองเองก็ซื่อสัตย์ และไม่ได้คิดร้ายใดๆ กับคนของตัวเอง

ยานลำนี้คุ้มค่าที่จะใช้ชีวิตอาศัยอยู่จริงๆ!

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม สายตาของเขามองไปยังนาฬิกาดำและตกลงสู่ห้วงความคิด

ตามความทรงจำของวังเฉิง นาฬิกาดำนี้ถูกนำมาจากคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย เป็น ‘สิ่งประดิษฐ์ศักดิสิทธิ์’ ที่มักจะใช้กันโดยทั่วไปในดินแดนชิงอำนาจ ที่ถูกเรียกกันว่า ‘เสียงมรณะของเทพแห่งความตาย’

เมื่อมีคนพูดกับเสียงมรณะ นาฬิกาจะแยกแยะจริงและเท็จของคำพูดของอีกฝ่ายจากในส่วนลึกระดับจิตวิญญาณและทำการตัดสิน

สำหรับคริสตจักรแห่งความตายแล้ว พวกเขามักจะมอบเสียงมรณะนี้ให้แก่กลุ่มกองกำลัง และอิทธิพลต่างๆ เหตุผลก็เพราะ…

หนึ่งคือเพื่อใช้สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธินี้เป็นการขยายอำนาจของคริสตจักรแห่งความตาย

สองคือ เมื่อมีคนใช้เสียงมรณะ พวกเขาก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ทางคริสตจักร

สามคือ เมื่อนาฬิกาเริ่มทำงาน มันก็จะทำการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ และส่งย้อนกลับไปยังวิหารแห่งความตาย เป็นการส่งข้อมูลกลายๆ ให้แก่สมาชิกของโบสถ์ที่เกี่ยวข้อง

แม้ว่าหลายกลุ่มอิทธิพลจะรู้ดีว่านี่คือกลยุทธ์สืบข่าวกรองอันยอดเยี่ยมของคริสตจักรแห่งความตาย แต่หลังจากที่ได้ลองพิจารณาดูแล้ว พวกเขาก็ยังยินดีน้อมรับเสียงมรณะของเทพแห่งความตายเอาไว้อยู่ดี

นั่นเพราะด้วยสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ มันจะช่วยเปิดโปงความจริงที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถโกหกได้

มันคือเครื่องมือตรวจสอบความจริงระดับสูงสุด!

เพราะอย่างไรเสีย หากไร้ซึ่งคำโป้ปดใดๆ ภายในกลุ่มอิทธิพลและองค์กรของพวกเขาก็จะมีเสถียรภาพ

เป็นเวลานานปีนับไม่ถ้วนแล้ว ที่ไม่มีใครสามารถโกหกเสียงมรณะของเทพแห่งความตายได้

ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ลำดับสองผ่านการทดสอบความจริงจากกัปตัน ทุกคนจึงรู้สึกโล่งใจ

วังเฉิงหยุดคิดอยู่สักพัก สุดท้ายจึงเผยใบหน้ายิ้มแย้มออกมา

“ขอบคุณมากกัปตัน ในเมื่อเป็นแบบนี้ผมก็วางใจได้แล้ว” วังเฉิงกล่าว

กัปตันดุ “ไอ้เด็กเหลือขอเอ๋ย ทำให้สถานการณ์มันบานปลายซะจริง! รู้บ้างไหมว่าฉันต้องจ่ายให้กับคริสตจักรแห่งความตายในทุกๆ ครั้งที่ต้องการพิสูจน์ความจริงกับนาฬิกานี่”

วังเฉิงหัวเราะฮี่ๆ

ในเวลานี้ มีหลายคนเริ่มทยอยกันออกมาจากซากยานอวกาศลำที่สอง กระซิบข้างหูกัปตัน

ทันใดนั้นรอยย่นบนใบหน้าของกัปตันก็คลายลง

เขาประกาศ “เนื่องจากไป่หยูกับจางยี่ทรยศต่อฉัน และคิดร้ายต่อพวกเดียวกันเองอย่างกะทันหัน ดังนั้น ฉันจะทำการริบทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขา!”

“และเมื่อเรื่องราวทุกอย่างมันจบลง ฉันก็จะขอแจกจ่ายทรัพย์สินที่ว่านั่นให้แก่ทุกคน!”

ฝูงชนโห่ร้องดีใจ ส่งเสียงดังยิ่งกว่าในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา

กัปตันไม่เพียงแต่จะรักษากฎอย่างเคร่งครัด แต่ยังคงใจกว้างกับลูกเรือทุกคนเสมอ!

“วังเฉิง นายเป็นเหยื่อในครั้งนี้ ดังนั้นนายจะได้รับส่วนแบ่งมากที่สุด” กัปตันขยิบตาให้วังเฉิง

วังเฉิงยิ้มและกล่าว “ขอบคุณมากครับกัปตัน”

กัปตันส่ายมือเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก แต่ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว นายก็รีบๆ ปล่อยเจ้าภูตบ้านั่นกลับไปสักทีเถอะ”

ฉานนู่ในร่างวังเฉิงนิ่งงันไปชั่วคราว

นั่นเป็นเพราะว่าเธอกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกู่ฉิงซานอย่างลับๆ

“กัปตัน พอดีว่าผมยังมีอีกเรื่องต้องการจะรายงานกับคุณ แบบเป็นการส่วนตัว” วังเฉิงกล่าว

“หืม?” กัปตันยกคิ้วสูง เขามองไปทางวังเฉิง ก่อนจะสลับมองกู่ฉิงซาน

และพบว่าภูตผียังไม่หายไป

‘วังเฉิงไปตกลงกับมันว่ายังไงกันแน่นะ?’

กัปตันครุ่นคิดสักพักและกล่าว “งั้นอันดับสอง นายรับผิดชอบงานต่อที่นี่ ส่วนวังเฉิง นายไปที่ห้องกัปตันกับฉัน”

หลังจากนั้นไม่นาน

ภายในห้องกัปตัน

วังเฉิงก็ได้รายงานความลับออกไป ทำให้ทุกอย่างมันชัดเจน

กัปตันที่นั่งอยู่ตรงข้าม รับฟังอย่างเงียบๆ

ใบหน้าของเขายิ่งนานก็ยิ่งมืดมนราวกับธารน้ำลึก

ในฐานะกัปตัน กลับมีบางคนกล้าที่จะเล่นตุกติกกับเขา!

การแสดงออกทางสีหน้าของกัปตัน เป็นตัวบ่งบอกถึงความโกรธในหัวใจของเขาได้เป็นอย่างดี

“ถ้างั้น หมายความว่าจริงๆ แล้วมันอาจเป็นเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งที่ร่วมมือกับไป่หยูและจางยี่อย่างงั้นสินะ เพราะยังไงซะ ถ้าอยากจะกลบเรื่องให้มิด มันก็ต้องตกลงกับคนระดับสูงที่สุดที่คอยสั่งการอยู่แล้ว ถูกไหม?” กัปตันถาม

“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น” วังเฉิงพยักหน้า

“งั้นแล้วเจ้าหน้าที่ลำดับสองล่ะ?”

“เดิมทีจางยี่ก็พูดถึงเจ้าหน้าที่ลำดับสองเหมือนกัน แต่ความจริงเขาอาจจะโกหกเพื่อกลบเกลื่อนให้อันดับหนึ่งก็ได้ แต่ยังไงซะจางยี่ก็ถูกภูตอัญเชิญฆ่าไปแล้ว ผมเองก็เลยไม่รู้ว่ามีคนสมรู้ร่วมคิดอยู่อีกหรือเปล่า แต่มั่นใจได้เลยว่าเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แน่ๆ”

กัปตันมองดูภูตอัญเชิญ “ถ้ารู้ตั้งแต่แรก งั้นทำไมนายถึงไปมุ่งเป้าไปที่ลำดับสอง?”

“นี่เรียกว่ากลยุทธ์ระเบิดควัน เป็นการใช้ลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ เพื่อสร้างความสับสนให้แก่ศัตรู เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้หรือไง เจ้าโง่” ภูตอัญเชิญหัวเราะ

“ไอ้ภูตผีนี่…”

วังเฉิงเร่งแทรก “กัปตัน คุณได้จ่ายค่าธรรมเนียมของเสียงมรณะของเทพแห่งความตายไปเท่าไหร่กัน เดี๋ยวผมจะออกในส่วนนั้นให้เอง”

หลังจากได้ฟัง สีหน้าของกัปตันก็ดูดีขึ้น

เขามองไปยังภูตอัญเชิญในชุดเกราะดำ และกล่าวอย่างรวดเร็วกับวังเฉิง “ที่นายยังไม่ยอมยกเลิกการอัญเชิญมัน เหตุผลจริงๆ แล้วก็เป็นเพราะเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งยังไม่ถูกกำจัดอย่างงั้นสินะ?”

“ถูกต้อง”

“ก็ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ในเมื่อมันเป็นเพราะเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งละเมิดกฎ งั้นฉันก็สมควรที่จะจัดการเขาตามกระบวนการยุติธรรม”

ว่าแล้วกัปตันก็กดลงที่ไหนสักแห่งบนโต๊ะและกล่าว “ไปเรียกเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งมา”

ทั้งสองเฝ้ารออยู่สักพัก เจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งก็มาถึง

ตลอดทั้งลำ ความแข็งแกร่งของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งเป็นรองแค่เพียงกัปตันเท่านั้น

กัปตันโดยทั่วไปแล้วมักจะไม่ได้ลงมาสั่งการอะไรแบบเฉพาะเจาะจง แต่จะเป็นเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งแทนที่เป็นคนสั่งการ และควบคุมยานทั้งลำ

ความแข็งแกร่งของกัปตันนั้นลึกลับมากเกินไป ไม่มีใครล่วงรู้ถึงมันได้อย่างชัดเจน

แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่ง ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขานั้นร้ายกาจและทรงพลังเพียงใด

แล้วแบบนี้กัปตันจะสามารถจัดการกับเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งได้โดยที่เรื่องราวมันไม่บานปลายหรือเปล่านะ?

หรือว่าจริงๆ แล้วที่กัปตันเรียกเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งมา เพราะต้องการจะสร้างปัญหาให้กับทางวังเฉิงซะเอง?

วังเฉิงย้อนนึกทบทวนถึงความทรงจำในอดีต ขณะเดียวกันก็คาดคะเนสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างลับๆ ทั้งคนทั้งร่างยังคงสงบ ไม่เผยท่าทีหวาดวิตกใดๆ

ภูตเกราะดำยังคงยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ นิ่งงันไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง

“กัปตัน ผมสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คุณถึงได้เรียกผมมาพบ?” เจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งถามด้วยความนอบน้อม

กัปตันชี้ไปที่ชั้นวางหนังสือบนผนังและกล่าว “ช่วยไปหยิบหนังสือเล่มที่สิบเจ็ดในแถวที่สามแล้วยื่นมันให้กับวังเฉิงหน่อยสิ…ฉันอยากจะให้หนังสือเล่มนั้นกับเขา”

“รับทราบ” อันดับหนึ่งปฏิบัติตาม

เขาหันหลังกลับ มองไปยังชั้นวางหนังสือ

แถวที่สาม…เล่มที่สิบเจ็ด…

อันดับหนึ่งเงยหน้าขึ้นมอง

ขณะที่สายตาของกัปตันจับจ้องอยู่กับด้านหลังของอันดับหนึ่ง

กัปตันยกมือขึ้นมาอย่างเงียบๆ กางนิ้วทั้งห้า และจ้วงดึงอย่างรุนแรงไปทางอันดับหนึ่ง!

แกรก!

คอของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งถูกหักโดยตรง!

กัปตันสะบัดแขนของเขา และกระชากอากาศอย่างรุนแรง

ปุ!

ละอองเลือดปะทุขึ้น

หัวของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งที่ลำคอถูกบิดเป็นเกลียวร่วงตกลงมา ศพของเขากระแทกลงกับพื้น บังเกิดเสียงดังหนักทึบ

ในฐานะผู้แข็งแกร่งที่เกือบแข็งแกร่งที่สุดบนยาน เจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งได้ตายลงไปอย่างเงียบๆ โดยไม่ทันจะได้ขัดขืนใดๆ เลย…

………………………………….

“นายน้อย การที่ท่านปลอมตัวเป็นเขาเช่นนี้ หมายความว่ามีแผนการอยู่ในหัวแล้วใช่หรือไม่?” ฉานนู่ถามด้วยรอยยิ้ม

กู่ฉิงซานก้มลงมองซากศพของวังเฉิง ขมวดคิ้วมุ่น “นี่มันเป็นการลอบสังหารที่ถูกวางแผนเอาไว้แล้ว นั่นหมายความว่ายังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ดังนั้น หากข้าที่ปลอมเป็นเขาเดินดุ่มๆ ออกไปภายนอกเพียงลำพัง เกรงว่ามันอาจจะนำไปสู่ปัญหามากมายที่จะตามมา ถึงเวลานั้นถ้าจะแก้มันคงยาก”

“เช่นนั้นพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?” ฉานนู่ถาม

“เจ้าจะไม่ช่วยข้าคิดหาทางออกสักหน่อยหรือ?” กู่ฉิงซานถามกลับ

“นายน้อย ท่านล้อข้าเล่นแล้ว เรื่องยากๆ แบบนี้ ต้องเป็นท่านต่างหากถึงจะเหมาะสม”

“แล้วเจ้าเล่า?”

“ข้าเป็นแค่ดาบ ข้ามีหน้าที่รับฟังและคอยทำตามคำสั่งของนายน้อยเท่านั้น”

“…เฮ้อ”

“เหตุใดนายน้อยถึงถอนหายใจ?”

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกเจ็บปวดในใจขึ้นมานิดหน่อย”

ในเวลานั้นเอง เสียงเอะอะจากภายนอกซากยานก็รุนแรงยิ่งกว่าเดิม

“นายน้อย ช่วยคิดให้เร็วกว่านี้จะได้หรือไม่ มิฉะนั้นพวกเราคงไม่มีทางอื่นนอกจากกระโจนออกไปฆ่าพวกเขา”

กู่ฉิงซานมองไปยังฉานนู่ที่แม้ปากจะกล่าวแบบนั้น แต่กายกลับยังคงดูสงบและผ่อนคลาย ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามา

“เอาอย่างนี้ดีกว่า ฉานนู่ เจ้าจงใช้วิชาลี้ลับ แล้วแปลงตนเป็นวังเฉิงแทนข้าเสีย”

“อ้าว? แล้วนายน้อยเล่า?”

“ข้าจะแปลงกายกลับเป็นตัวเอง”

ฉานนู่คิดและกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว นายน้อยต้องการใช้ฐานะสมาชิกสมาคมกำปั้นเหล็กของตัวเอง แสร้งทำเป็นปกป้องวังเฉิงใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่แบบนั้น” กู่ฉิงซานหัวเราะ “ตอนนี้แบรี่กับเสี่ยวเหมียวกำลังปกป้องโลกของข้าอยู่ ข้าไม่สามารถให้พวกเขาเคลื่อนไหวได้”

“แต่ด้วยชื่อเสียงของสมาคมกำปั้นเหล็ก มันก็น่าจะเพียงพอต่อการรับมือกับสถานการณ์เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้นะ” ฉานนู่เผยรอยยิ้มจางๆ

กู่ฉิงซานนำชุดเกราะนายพลชั้นเฉินเว่ยออกมา สวมทับปกคลุมทั่วร่างกาย ตามด้วยหน้ากากเกราะทองคำ

ใบหน้าของเขาถูกซ่อนไว้เบื้องหลังหน้ากาก

ในเวลานี้ เขาก็เอ่ยปาก “ฉานนู่ บางครั้งเราสามารถพึ่งพาผู้อื่นได้ก็จริง แต่พอบ่อยครั้งเข้า เจ้าจะค้นพบว่าความจริงแล้ว ตนต่างหากที่เป็นที่พึ่งแห่งตน”

“เหตุใดนายน้อยถึงกล่าวเช่นนั้น?”

“เพราะแบรี่น่ะมีศัตรูอยู่มากมาย ทำให้ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถออกไปไหนได้เลย ต้องเฝ้ารอจนกระทั่งขาของตัวเองหายดี ขณะที่เวลานี้ข้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย และความแข็งแกร่งของข้ายังคงต่ำเกินไป”

“ตรงกันข้าม ศัตรูของแบรี่จะต้องแข็งแกร่งมากกว่าข้าอย่างแน่นอน หากข้ากระโจนออกไป พร้อมกับสำแดงตนเป็นสมาชิกของสมาคม บางทีคนเหล่านั้นอาจจะใช้ข้าเป็นตัวแทนในการระบายความเกลียดชัง หรืออาจถึงขั้นลอบสังหารข้าเลยก็ได้”

“ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าชื่อเสียงใหญ่โต จะให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป เพราะในบางครั้ง มันก็มีแนวโน้มที่อาจถูกโยนเข้าไปในวังวนที่อันตรายยิ่งกว่า”

“ขอบคุณที่สอนสั่ง ว่าแต่นายน้อย แล้วตอนนี้พวกเราสมควรทำอย่างไรดี?”

ฉานนู่กลายเป็นสับสน

กู่ฉิงซาน “ในเมื่อวังเฉินเป็นผู้อัญเชิญภูตผี เช่นนั้นข้าก็จะรับบทบาทเป็นภูตที่ถูกอัญเชิญเอง”

….

หลังจากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา

ภายนอกซากปรักหักพังของยานอวกาศ หลายกลุ่มย่อยที่รับผิดชอบในการค้นหา ทั้งหมดได้กลับมาแล้ว

ตรงทางแยกที่จะนำไปสู่ยานอวกาศหลัก ห้าร่างที่ดูคลุมเครือของนักรบห้าคน กำลังถูกตะโกนสั่งให้นำของที่ค้นเจอจากยานลำอื่นออกมาแสดงอย่างซื่อสัตย์

และคนที่เหมือนจะเป็นผู้นำ ก็คือคนที่ทั้งตัวเป็นสีฟ้า ตลอดทั้งร่างคล้ายกับหิน

เขาคือเจ้าหน้าที่ลำดับสองคนใหม่ มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าคนอื่นๆ ภักดีต่อกัปตัน เนื่องจากลำดับสองคนล่าสุดถูกมอนสเตอร์มิติกินไป เลยก็เป็นตาของเขาที่ได้ขึ้นมารับตำแหน่งนี้แทน

ปัจจุบัน เขาค่อนข้างจะหงุดหงิดเล็กน้อย หันไปพูดกับคนข้างๆ “ไปดูหน่อยสิ ว่าทำไมซากยานอวกาศลำที่สองมันถึงยังไม่มีใครออกมาเลย”

“เอ่อพี่ใหญ่หยาน นั่นมันก็เป็นเพราะว่า…” ชายคนนั้นเปล่งเสียงกระซิบกับเขา

แต่พี่ใหญ่ก็ยังคงร้อนใจ “ฉันรู้เหตุผลหรอกน่า ว่ามันเพราะอะไร แต่ฉันไม่สามารถปล่อยเวลาให้มันล่าช้าเกินไปได้ บอสน่ะไม่สนใจชีวิตของพวกมดปลวกหรอก แต่ถ้าประสิทธิภาพในการทำงานของเราต่ำเกินไป แล้วยังปล่อยให้ช้าแบบนี้…เอาเป็นว่า นายเข้าไปช่วยเจ้าจางยี่มันหน่อยก็แล้วกัน”

“รับทราบ”

ภายใต้การสั่งการนี้ ประกายสังหารก็พลันวาบผ่านเข้ามาในสายตาของเขา

เขาโค้งกายคำนับเจ้าหน้าที่ลำดับสอง และเตรียมที่จะเดินเข้าไปในซากยานอวกาศลำที่สอง

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง

ปัง!

เสียงอู้อี้หนักทึบก็ดังมาจากซากยาน บานประตูถูกเปิดออก

วังเฉิงก้าวออกมา พร้อมกับชายในชุดเกราะดำ และหน้ากากเกราะทอง

“วังเฉิง!” บางคนร้องอุทานด้วยความตกใจ

“โอ้ ก็เป็นฉันเองน่ะสิ ทำไมพวกนายทุกคนถึงได้ดูประหลาดใจกันจัง?” วังเฉิงกล่าวเบาๆ

โดยไม่รีรอให้ลูกน้องของเขาพูด เจ้าหน้าที่ลำดับสองได้แหวกฝูงชน ก้าวออกมา

“วังเฉิง แล้วเมียนายกับจางยี่ล่ะ?” เขาเอ่ยถามเสียงจม

“ตายแล้ว” วังเฉิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เจ้าหน้าที่ลำดับสองแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็กลับมาตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

เรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่าวังเฉิงรู้อะไรเกี่ยวกับมันมากแค่ไหน แต่ถ้าวังเฉิงล่วงรู้ทุกอย่างจากปากจางยี่แล้วล่ะก็ วังเฉิงจะต้องตรงไปหากัปตันแน่ๆ

หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ วังเฉิงจะต้องถูกจัดการทันที และจะต้องไม่ปล่อยให้กัปตันล่วงรู้ว่า ตัวเขาในฐานะเจ้าหน้าที่ลำดับและลูกน้อง ได้ถูกจางยี่ซื้อตัวไปแล้ว!

ลำดับสองหัวเราะหยัน “ตายแล้ว? แสดงว่านายฆ่าพวกเขาสินะ จำได้ใช่ไหมว่ากฎของยานเรา การฆ่าพรรคพวกเดียวกัน ชีวิตย่อมต้องแลกด้วยชีวิต…ทุกคนจงไปฆ่าเขาเสีย!”

ทุกคนที่ได้รับคำสั่ง ปรี่ตรงเข้าหาวังเฉิงทันที

ดูจากท่าทีของเจ้าหน้าที่ลำดับสอง พวกเขาก็สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างถ่องแท้

เจ้าหน้าที่ลำดับสองต้องการชีวิตของวังเฉิง!

ในช่วงเวลานี้ อีกฝ่ายน่ะมีแค่คนเดียว ดังนั้นคงไม่จำเป็นต้องระแวดระวัง หรือคิดกังวลจนมากเกินไปเกี่ยวกับมัน

คนของเจ้าหน้าที่ลำดับสอง กระทั่งทีมค้นหาทั้งหมดต่างก็โจมตีพร้อมกัน ใช้กำลังคนที่มากกว่าโถมเข้าสังหารชีวิตของวังเฉิง

ฝูงชนเฮเข้ามาจากทุกทิศทาง พวกเขาล้อมรอบวังเฉิง เรียกได้ว่าจากทั้งสามร้อยหกสิบองศา ปิดล้อมโจมตีชนิดไม่มีที่ให้หลีกลี้จากความตาย

วังเฉิงหัวเราะ ทว่ามิได้เคลื่อนไหว แต่เป็นชายในเกราะดำที่อยู่ข้างกายเขา ที่ชักดาบยาวออกมา

ดาบยาวกวาดรอบตัววังเฉิงเป็นวง กรีดตัดอากาศเป็นเส้นยาว

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ความคิดหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของทุกผู้คน

นั่นเขาทำอะไรน่ะ? มันไม่เห็นจะโดนสักหน่อย

อย่างไรก็ตาม ในพริบตาต่อมา อาวุธมากมายก็ร่วงตกลงกับพื้น สกิลถูกระงับ เทคนิคมนตรากระจัดกระจาย กำปั้นคลายลง

ทุกชนิดของการโจมตีสูญสิ้นกำลังของมันไปกลางคัน

ผู้คนพบว่าพวกเขาสูญเสียการควบคุมร่างกายของตัวเองไป ยืนแข็งทื่ออยู่ในจุดเดิม มิอาจขยับเขยื้อนได้

ส่วนเจ้าหน้าที่ลำดับสอง ที่ข้ามผ่านประสบการณ์ต่อสู้มามากมาย พลันตระหนักถึงสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งคนทั้งร่างของเขาขยายตัวขึ้น และกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ประกอบไปด้วยหินโดยสมบูรณ์

เคร้ง!

ดาบเช่าหยินสับผ่านอากาศ ประกายสายฟ้าวาบออกมา

“เห?” กู่ฉิงซานส่งเสียงประหลาดใจเล็กน้อย อีกฝ่ายสามารถแปลงเป็นหินได้อย่างกะทันหัน

และหินน่ะ มันไม่เพียงแต่จะไม่หวั่นเกรงต่อสายฟ้า แต่ยังไม่จัดอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต  ส่งผลให้การระเบิดโจมตีที่เกิดจากการผสานรวมของสกิลล่าชีพไม่ได้ผล

ช่างเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยากจริงๆ

แต่ถึงลำดับสองจะรอด แต่คนอื่นน่ะไม่!

พวกมันที่คิดโจมตีฉัน จะต้องได้พบกับความเจ็บปวด!

ทั้งหมดล้มลงกับพื้น สิ้นสติไปทันที กู่ฉิงซานไม่ได้สังหารพวกเขาถึงตาย เพียงน็อกคนเหล่านี้ให้สลบไป

สำหรับเจ้าหน้าที่ลำดับสอง…

กู่ฉิงซานยิ้ม “ร่างนั่นมันน่าสนใจมากทีเดียว นับว่าช่วยเปิดหูเปิดตาได้ไม่เลวเลย”

เขายกดาบขึ้นและการฟาดฟันครั้งที่สองนี้ มันจะไม่ง่ายเหมือนกับในครั้งแรก!

ฉับพลันนั้นเอง เสียงแหบแห้งตะโกนขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“หยุดนะ!”

วู้ม…

บังเกิดลมกระโชกแรง กำแพงสายลมได้แยกตัวกู่ฉิงซานออกจากคนอื่นๆ

ชายคนหนึ่งที่สวมหมวกกัปตันปรากฏตัวขึ้นตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน เขามีแผ่นหลังที่โก่งและใหญ่ ตรงส่วนผมชุ่มด้วยน้ำมัน จมูกงองุ้มราวตะขอ คู่ดวงตาหรี่แคบจิกมองมาที่กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานรู้จักบุคคลคนนี้

ตามความทรงจำของวังเฉิง เขารู้ดีว่าคนคนนี้คือกัปตันของยานอวกาศ และเป็นบอสของคนทั้งหมด

กัปตันจ้องเขม็งไปยังหลายคนที่นอนนิ่งกับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงหม่น “วังเฉิง! นี่มันเรื่องบ้าอะไร!?”

วังเฉิงเอ่ยเสียงเย็น “ก็คนอื่นๆ ต้องการจะฆ่าผม เลยเป็นธรรมดาที่ผมจะต่อต้าน”

กัปตันเพ่งมองอย่างระมัดรัวง เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ ที่นอนอยู่บนพื้นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ความตึงเครียดในหัวใจของเขาก็คลายลงอย่างช้าๆ

เขาชี้ไปทางกู่ฉิงซานแล้วเอ่ยถาม “แล้วไอ้หมอนั่นเป็นใคร?”

“กัปตัน ผมเป็นผู้อัญเชิญภูตผีนะ เขาก็ต้องเป็นภูตที่ผมเรียกมาอยู่แล้วน่ะสิ” วังเฉิงกล่าว

กัปตันเหลียวกลับไปมองเบื้องหลังตน

ท่ามกลางบรรดาชายนับสิบ หนึ่งในนั้นก้าวออกมาข้างหน้าอย่างเงียบๆ กระซิบข้างหู “เป็นภูตจริงๆ แถมยังเป็นระดับราชาภูตด้วย”

เจ้าหน้าที่ลำดับสองใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ เปลี่ยนกลับเป็นคน และกล่าวอีกครั้ง “กัปตัน! วังเฉิงเรียกภูตผีออกมา แล้วได้ฆ่าภรรยาของตัวเองกับจางยี่ นี่มันเป็นการละเมิดกฎของยาน!”

“กัปตัน เขาเพิ่งจะทำลายกฎของคุณไป แต่ยังปฏิเสธหัวชนฝาไม่ยอมรับผิด ดังนั้น ผมเลยสั่งให้ทุกคนจับตัวเขา” เจ้าหน้าที่ลำดับสองอธิบาย พลางสาดสายตามองวังเฉิงกับกู่ฉิงซานด้วยความเกลียดชัง ในหัวใจนึกคิด

‘บัดซบ!’

‘วังเฉิงมันไปหาภูตผีที่ร้ายกาจขนาดนี้มาได้อย่างไรกัน!’

‘ทั้งๆ ที่มันไม่สมควรจะรอดมาได้แท้ๆ…’

แรงกดดันของกัปตันแปรเปลี่ยนไป

“วังเฉิง! ฉันได้ตั้งกฎเอาไว้ตั้งนานแล้วนะ ว่าห้ามฆ่ากันเอง นี่แกพยายามที่จะแหกกฎของฉันหรือ?” เขากล่าวอย่างมืดมน

วังเฉิงหัวเราะขึ้นทันใด “กัปตัน พวกเขาต้องการจะฆ่าผมนะ จะไม่ให้ผมต่อต้านเลยหรือ?”

กัปตันนิ่งค้างไป

แล้วจู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าเรื่องราวในคราวนี้มันคงจะไม่ง่าย

ตอนนี้ คนทั้งลำเรือกำลังเฝ้าดูฉากนี้อยู่ ถ้าเขาจัดการไม่ดี เกรงว่ามันอาจเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ตามมา

“วังเฉิงไอ้บ้าเอ๊ย” กัปตันสบถ “ไม่ว่าจะนายหรือใครก็ตามที่กล้าหลอกฉัน ขอสาบานเลยว่ามันจบไม่สวยแน่”

เขาเอื้อมมือไปในอกเสื้อ แล้วหยิบเอานาฬิกาสีดำขนาดเล็กออกมาวางไว้ในมือ

กว่าจะได้นาฬิกาเรือนนี้มา เขาต้องจ่ายทรัพย์สมบัติออกไปมากมาย

“วังเฉิง ไหนลองเล่าเรื่องของนายมาอีกครั้งสิ แต่ฉันขอเตือนเลยนะ ว่าอย่าโกหก ไม่อย่างนั้น ‘เสียงมรณะ’ จะดังขึ้นทันที และขอสาบานเลยว่าถ้ามันดัง ฉันไม่เอานายไว้แน่!” กัปตันขู่

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” วังเฉิงรับคำอย่างแผ่วเบา บอกเล่าเรื่องราวออกไป “ไป่หยูมันเป็นนังผู้หญิงราคาถูก  มันสมรู้ร่วมคิดกับจางยี่ ติดสินบนคนมากมายเพื่อปกปิดการกระทำอันชั่วร้าย ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาค้นหา กำจัดสามีของตัวเอง นั่นแหละข้อเท็จจริงทั้งหมด!”

กัปตันก้มลงมองดูนาฬิกาดำในมือของเขา นาฬิกาดำมิได้ส่งเสียงแต่อย่างใด

กัปตันค่อยๆ ผ่อนคลายลง กลับกลายเป็นว่ามันคือความจริง เหตุผลที่วังเฉิงฆ่าคน นั่นก็เพราะเพื่อปกป้องตัวเอง

กัปตันเริ่มไตร่ตรอง เนื่องจากมันเป็นการป้องกันตัวเอง ฉะนั้นเรื่องนี้คงจัดการได้ไม่ยากจนเกินไป

“เอาล่ะ ในเมื่อมันเป็นความเข้าใจผิด ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้เรื่องราวมันจบลงแค่นี้เถอะ” กัปตันกล่าว

โดยไม่คาดคิด ภูตอัญเชิญที่ยืนอยู่ข้างกายวังเฉิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะบาดแหลมออกมา

เสียงหัวเราะนี้แทรกซึมเข้าไปในจิตใจของผู้คน ชวนให้ทั้งหมดรู้สึกอึดอัด

ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าทางฝั่งนั้นไม่ได้มีเพียงวังเฉิง แต่ยังมีภูตผีทรงพลังที่ถูกอัญเชิญมารวมอยู่ด้วย

ภูตผีที่โจมตีเพียงครั้งเดียว ก็สามารถโค่นหลายสิบคนลงได้ในเวลาเดียวกัน หากวังเฉิงไม่หยุดเอาไว้ เกรงว่าคนพวกนั้นคงตายไปแล้ว

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นไพ่ตายของวังเฉิง

ช่างน่าขันนัก ที่ไป่หยูกับจางยี่ไม่แม้แต่จะตระหนักได้ถึงไพ่ตายของศัตรู ดังนั้นพวกเขาจึงกล้าที่จะลอบสังหารอีกฝ่าย

วังเฉิงหันไปมองภูตผีข้างตัวเอง ก่อนจะมองกลับมาที่กัปตัน

“กัปตัน ภูตของผมมีอะไรบางอย่างจะบอกคุณ” วังเฉิงกล่าว

“จะบอกอะไร?” กัปตันถามด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง

“มันบอกว่า เมื่อครู่นี้เจ้าหน้าที่ลำดับสองต้องการจะฆ่าผม ตอนนี้เลยอยากจะขอร้องกัปตัน ให้สั่งเขาพูดความจริงออกมาสักสองสามประโยคบ้างจะได้หรือไม่?”

………………………………….

กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางหมอกและควัน พร่ำบ่นถอนหายใจอย่างเงียบๆ

ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้?

เห็นได้ชัดว่าเขาซ่อนตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นถูกอัญเชิญมาเสียอย่างนั้น

แน่นอน ว่าการอัญเชิญนี้ย่อมต้องสอดคล้องกับความต้องการของกู่ฉิงซานเช่นกัน หากเขาปฏิเสธไป เทคนิคอัญเชิญของอีกฝ่ายก็จะล้มเหลว

ถ้าเขาต้องการทำตามแผนการเดิม การอัญเชิญนี้ตนไม่สมควรที่จะยอมรับ

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เฝ้ามองสถานการณ์ที่แสนจะโชคร้าย และความไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะตกตายลงของชายที่ชื่อวังเฉิง สุดท้ายกู่ฉิงซานจึงตอบสนองต่อการอัญเชิญ และเรียกดาบมาคว้ากุมไว้ในมือ

ท่ามกลางฝุ่นและควัน

“ฉานนู่ จงจดจำกระบวนท่าดาบนี้เอาไว้ให้ดี”

เขาที่กำลังกุมเช่าหยิน หันไปกล่าวกับอากาศเบื้องหลังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ด้วยเสียงนี้ ชายและหญิงจึงได้สติกลับคืน  และไม่ลังเลเลยที่จะเริ่มจู่โจมในเวลาเดียวกัน

‘อย่ามาล้อเล่นนะ! เจ้าวังเฉิงน่ะมันเป็นผู้อัญเชิญภูตผี’

‘ถึงแม้ว่าเรื่องที่เขาสามารถอัญเชิญได้สำเร็จมันจะยังไม่ชัดเจนก็เถอะ แต่ที่มั่นใจได้เลยก็คือ ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขายินยอมจ่ายทุกอย่างที่ตนมี แม้กระทั่งจิตวิญญาณของตนเอง’

‘ด้วยราคาที่สูงลิ่วถึงเพียงนั้น ภูตผีที่อัญเชิญมาจะต้องร้ายกาจเป็นแน่!’

ชายและหญิงทุ่มเต็มกำลัง กระโจนเข้าไปในหมอกควัน ง้างเตรียมระเบิดการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของตนออกมา

ทว่า ยังไม่ทันจะได้ใช้ออกด้วยเทคนิค ทั้งสองก็พลันชะงักงันไป

ชายและหญิงแข็งค้างอยู่ในสถานที่เดียวกัน ไม่แม้จะสามารถกระดิกนิ้วได้

ดูเหมือนว่าเขาและเธอจะไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างใจนึก คล้ายกับจิตวิญญาณถูกตัดขาดออกจากร่างกาย มิอาจสั่งการมันได้อีกต่อไป

…ซึ่งนี่ก็เนื่องมาจากคมดาบของกู่ฉิงซานที่วูบไหวเมื่อครู่

ดาบเช่าหยินโบกสะบัดอย่างไร้เจตนาฆ่าแม้เพียงน้อย ดาบนี้ถูกวาดออกไปอย่างเรียบง่ายและไม่ใส่ใจ กระทั่งคนที่ถือดาบเองก็ยังไม่แสดงออกถึงแรงกดดันใดๆ

หากจะให้อธิบายว่ามีอะไรพิเศษเกี่ยวกับคมดาบเมื่อครู่ นั่นคงจะเป็นความเร็ว

เร็วแบบขั้นสุดยอด

แต่น่าเสียดายที่ดาบนี้ยังคงอยู่ห่างไกลจากอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะเร็ว แต่ก็มิอาจสัมผัสได้แม้ปลายเส้นผมของอีกฝ่ายอยู่ดี

ทว่าช่างน่าฉงนนัก ที่หลังจากวาดดาบนี้ออกไป ทั้งชายหญิงกลับไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวของพวกเขาได้เลย

กู่ฉิงซานสะบัดดาบออกไปอีกครั้ง แต่ดาบนี้แตกต่างจากเดิม รังสีดาบควบแน่นเป็นเส้น และตามต่อด้วยเสียง ‘ฉับ!’

ทันใดนั้น สองหัวก็ขาดกระเด็นขึ้นฟ้า ร่างที่เหลือร่วงตกลงกับพื้น ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มต้น ทุกอย่างก็จบลงเสียแล้ว

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน

ในความว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหลังเขา ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาปรากฏกายออกมา

ฉานนู่กล่าวด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย “นายน้อย เมื่อครู่ข้าเห็นไม่ชัดเจนนัก มันใช่ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ หรือไม่?”

ตัดขาดการเชื่อมต่อ คือพลังศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้าของกู่ฉิงซาน ที่ไม่ว่าผู้ใดถูกมันโจมตี สติจะถูกตัดขาดแยกออกจากร่างกายเป็นเวลาสามวินาที

นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกยกระดับขึ้นจาก ‘สูญสิ้นการควบคุม’ และ ‘ไม่ยอมอ่อนข้อ’ ซึ่งไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่มียกเว้น

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ไม่เพียงแต่ตัดขาดการเชื่อมต่อหรอกนะ เจ้าลองมองดูดีๆ อีกครั้งสิ”

เขาวาดดาบเช่าหยินออกไปอีกครา โดยครั้งนี้ เจ้าตัวชะลอความเร็วลง เพื่อจะให้ฉานนู่ได้มองเห็นถึงการเคลื่อนไหวของเขาอย่างเต็มที่

หลังจากเพ่งมองอย่างจริงจังแล้ว ฉานนู่ก็กล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว มันมีอีกหนึ่งเทคนิคลับแห่งดาบแนบติดมาด้วย นั่นก็คือ ‘ล่าชีพ!’ ”

“ถูกต้อง”

“ล่าชีพ…เมื่อศัตรูอยู่ห่างจากคุณในช่วงระยะสิบจั้ง คุณจะสามารถสับสะบั้นพวกเขาได้เลยจากระยะไกล”

“โปรดทราบ จำเป็นต้องอยู่ในระยะสิบจั้งเสียก่อน เทคนิคลับแห่งดาบนี้จึงจะสามารถใช้งานได้”

“โปรดทราบ สามารถใช้เทคนิคลับอื่นๆ ควบคู่ไปกับเทคนิคล่าชีพได้”

เมื่อครู่นี้ คนทั้งสามยืนอยู่ใกล้กันมาก ดังนั้นในช่วงที่กู่ฉิงซานถูกเรียกออกมา อีกฝ่ายก็อยู่ในระยะสิบจั้งของเขาแล้ว

ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว กู่ฉิงซานจะมีอยู่สองทางเลือก

หนึ่งคือ เปิดใช้งาน ‘ล่าชีพ’ และทุ่มโจมตีขั้นเด็ดขาดเข้าใส่โดยตรง

สองคือ จะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังเสียก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจาก ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ เพื่อควบคุมอีกฝ่ายให้ไม่สามารถต่อต้านได้ และฟันซ้ำด้วยอีกคมดาบอีกที

และกู่ฉิงซานก็เลือกกลยุทธ์การต่อสู้ที่สอง

ต้องไม่ลืมนะว่าชายหญิงสองคนนี้สามารถจัดวางกับดักไว้รอบยานทั้งลำได้ จึงสามารถสังหารวังเฉิงลงในคราวเดียว

…บางทีมันอาจจะยังมีกับดักอื่นอีกก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่กู่ฉิงซานอยู่ในแผนกกิจการอาชีพโลก เขาได้แอบอ่านสารานุกรมอาชีพมาแล้วด้วยตาตัวเอง สามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าในโลกนับล้านล้านน่ะมีอาชีพอยู่นับไม่ถ้วน ทั้งยังมีกลวิธีอันหลากหลาย ซึ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคาดเดา

ในพริบตานั้น เขาเลยตัดสินใจทันทีที่จะเข้าควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งก่อน

ฉานนู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวด้วยความประหลาดใจ “นายน้อย ถ้าเป็นแบบนี้ หมายความว่าตราบใดที่ใช้ ‘ล่าชีพ’ ศัตรูที่อยู่ในระยะสิบจั้งก็จะถูกสังหารลงอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?”

กู่ฉิงซานพยักหน้า “นั่นก็ใช่ แต่ว่านะ ถ้าอีกฝ่ายรู้ถึงความสามารถของล่าชีพ หรือครอบครองการรับรู้ทางจิตอันแรงกล้าไว้ล่ะก็ ในช่วงเวลาที่เขาจะตาย มันก็เป็นไปได้มากทีเดียว ที่พวกเขาจะสามารถหลบเลี่ยงได้ ดังนั้นข้าจึงต้องใช้ล่าชีพผสานเข้ากับเทคนิคตัดขาดการเชื่อมต่อ”

ฉานนู่ “หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ…”

“ถูกต้อง หากศัตรูอยู่ใกล้ในระยะสิบจั้ง ตราบใดที่ข้าวาดดาบออกไป อีกฝ่ายย่อมมิแคล้วถูกสังหารลงอย่างง่ายดาย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา

ฉานนู่นิ่งไป จมลงสู่ห้วงความคิด

ท่ามกลางความเงียบ เธอค่อยๆ ย่อยกระบวนท่าดาบรูปแบบนี้ ประทับลงในจิตใจอย่างช้าๆ นับจากนี้ไป กลวิธีในการต่อสู้ของเธอกับนายน้อยจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมนายน้อยถึงได้ขอให้เธอเฝ้าดูกระบวนท่าดาบนี้อย่างจริงจัง

ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมเซี่ยเต๋าหลิงถึงได้ยินยอมจ่ายทรัพยากรมากมายเพื่อแลกเปลี่ยนเทคนิคลับแห่งดาบนี้กับผู้อื่น

พอได้มาลองคิดๆ ดูตอนนี้ ว่าตั้งแต่ช่วงแรกๆ กู่ฉิงซานก็เปิดเผยพลังศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้ามาก่อนนี่นา ดังนั้นเซี่ยเต๋าหลิงย่อมจดจำมันได้อย่างแน่นอน

แม้ว่าเซี่ยเต๋าหลิงจะยังไม่ทราบว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้าของกู่ฉิงซาน จะยกระดับขึ้นไปแล้วอีกถึงสองขั้นก็ตาม แต่เธอก็ยังคอยเฝ้ามองหาสกิลดาบที่เหมาะสมกับพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นแก่ลูกศิษย์อยู่ดี

ด้วยความสามารถในการควบคุมของสายฟ้า และเทคนิคลับแห่งดาบนี้ ทั้งสองช่างเป็นการผสานกันที่ลงตัว ราวกับว่าถูกสร้างมาเป็นพิเศษเพื่อกู่ฉิงซานโดยเฉพาะเลย!

ภายในระยะสิบจั้ง เขาคือนักดาบล่าวิญญาณอย่างแท้จริง!

ฉานนู่ตริตรองเกี่ยวกับรูปแบบและวิธีการต่อสู้ในอนาคตของเธออย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานเก็บดาบเช่าหยิน จากนั้นก็ก้มลงเพื่อตรวจสอบร่างกายของวังเฉิง เลือดยังคงหลั่งรินออกมาจากดวงตาของวังเฉิงที่เบิกกว้าง ใบหน้าของเขาฟุ้งไปด้วยความเจ็บปวดและไม่ยินยอม

กู่ฉิงซานถอนหายใจ ส่ายศีรษะอย่างเงียบๆ “คนแปลกหน้าเอ๋ย ได้เห็นแล้วใช่ไหม ว่าฉันทำตามที่นายต้องการสำเร็จแล้วนะ”

ด้วยประโยคนี้ รูนสีเทาก็ผุดออกมาจากร่างกายของวังเฉิง รูนนี้ตกลงมาอยู่ในมือของกู่ฉิงซานอย่างสงบ

เส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

“กฎมาตราที่หนึ่งของการอัญเชิญ การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม”

“เท่าเทียมที่ว่านี้ หมายถึงการลงนามในสัญญาอัญเชิญ ว่า ‘เอ’ จะยินดีถูกอัญเชิญมาตามข้อเสนอของ ‘บี’ ขณะที่บีจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เอ”

“ซึ่งการอัญเชิญนี้ตรงตามเงื่อนไขข้างต้น”

“เวลานี้ ราชาภูตผีแห่งประภพจึงสมควรได้รับค่าตอบแทน”

“รูนจิตวิญญาณของวังเฉิง รูนนี้ประกอบไปด้วยประสบการณ์ ความรู้ ทักษะความสามารถ เงินทั้งหมดในชีวิตของวังเฉิง และแต้มพลังวิญญาณที่จิตวิญญาณของเขามี”

“เวลานี้ คุณสามารถดูดซับรูนดังกล่าวได้แล้ว”

กู่ฉิงซานค่อยๆ สัมผัสเบาๆ ลงกับตัวรูน

ทันใดนั้นเอง ภาพจำนับไม่ถ้วนก็ถาโถมเข้ามาในจิตใจของเขา

เวลาคล้ายกับจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันสั้นมาก หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ กู่ฉิงซานก็แตกฉานในสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมาย แต้มพลังวิญญาณของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

เดิมที หลังจากได้รับนาฬิกาเทพของสถาบันเทพ และได้เรียนรู้ ‘การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์’ เขาก็ยังคงมีแต้มพลังวิญญาณอยู่กว่าแปดหมื่นหกพันแต้ม

แต่ต่อมา หลังจากที่เขาได้ทำการเรียนรู้สกิลกระบี่ ธนู นักสู้ การปรุงอาหารวิญญาณ และใช้งานความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แม้ในส่วนหลังจะเป็นแค่มดหรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กก็ตามที แต่อย่างไรเสียมันก็ต้องใช้แต้มพลังวิญญาณอยู่ดี

ด้วยเหตุนี้เอง แต้มพลังวิญญาณของเขาเลยลดลงไป เหลือประมาณเจ็ดหมื่นแต้ม

แต่วังเฉิงซึ่งได้ทำการอัญเชิญเขามา กลับมอบแต้มพลังวิญญาณของตนให้แก่เขาถึงสามพันแต้ม!

ด้วยเหตุนี้ แต้มพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานจึงถูกเติมเต็มอีกครั้ง กลับมาอยู่ที่เจ็ดหมื่นสามพัน

ส่วนของแถมน่ะหรือ…

กู่ฉิงซานยกมือขึ้น เงาสีเทาผุดออกมาจากมือของเขา

นี่คือสัญญาภูตผี

หลังจากที่ได้รับสืบทอดต่อจากวังเฉิงแล้ว กู่ฉิงซานก็ได้รับเทคนิคอัญเชิญมาไว้ในครอบครอง!

กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้น สลับกับมองเงาสีเทาบนมือของเขา เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมพวกภูตผีปีศาจถึงได้ยินดีตอบรับการอัญเชิญกันนักหนา เป็นเพราะมันสามารถได้รับโชคลาภมาได้ง่ายๆ เช่นนี้นี่เอง”

ทันใดนั้น ซากปรักหักพังของยานอวกาศ ก็ปรากฏถึงเสียงรบกวนเล็กน้อยจากเบื้องบน

ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังมาที่นี่

ฉานนู่เร่งเร้า “นายน้อย ตอนนี้พวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?”

“อ๋อ ไม่ต้องกังวลไปหรอก”

กู่ฉิงซานตอบรับ และเก็บเทคนิคอัญเชิญกลับคืน เขานั่งยองๆ ลง ส่ายหัวให้กับศพของวังเฉิง กล่าวขออภัย “ขอโทษทีนะ ฉันจำเป็นต้องทำจริงๆ”

ภายใต้สายตาของฉานนู่ กู่ฉิงซานได้กระชากเส้นผมของวังเฉิง เขากำเส้นผมนั้น และเริ่มใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต

และแล้ว วังเฉิงคนที่สองก็ปรากฏตัวขึ้น

………………………………….

ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก

ฝูงกลุ่มแสงโปร่งใสที่มองไม่เห็น กำลังแล่นไปตามกระแสมิติโดยเลี่ยงเส้นทางที่มีมอนสเตอร์กระจุกตัวกันหนาแน่น มุ่งไปตามทิศทางที่สงบ และปลอดภัยที่สุด

เนื่องจากเส้นทางที่พวกเขามุ่งไป มันไม่ได้นำไปสู่วิหารทั้งเจ็ด ท่าเรือขนาดใหญ่ที่คึกคัก หรือโลกมิติอนันต์อันหาได้ยากยิ่งในดินแดนชิงอำนาจ ดังนั้นยานของพวกเขาจึงสามารถหลบรอดจากสายตาของมอนสเตอร์มิติได้ตลอดมา โดยเฉพาะในวันนี้

“บอส ทุกอย่างข้างหน้าปกติดี”

“บอส ทางฝั่งซ้ายขวาก็ปกติดี”

“บอส ทางฝั่งด้านหลังก็ปกติดี ถึงก่อนหน้านี้จะมีมอนสเตอร์มิติปรากฏตัวขึ้นมาก็เถอะ แต่มันก็แค่ลอยผ่านไป และตอนนี้ก็น่าจะหายไปในทิศทางอื่นแล้ว” ภายในยาน หลายเสียงรายงานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงที่แข็งกร้าวก็ถามสวนกลับมา “แล้วอีกนานแค่ไหนกว่าพวกเราจะไปถึงตลาดมืดเกรย์แฮนด์?”

“ตอนนี้พวกเราอยู่ในเส้นทางลับที่มุ่งสู่ตลาดมืดเกรย์แฮนด์แล้ว คาดว่าอีกหนึ่งชั่วโมงก็คงจะถึง” ใครบางคนตอบเขา

เสียงแข็งกร้าวออกคำสั่งอีกครั้ง “จากนี้ไป ทุกคนจะต้องตื่นตัวให้ดี เพราะตลาดมืดแห่งนี้ มักจะอันตรายมากกว่าตลาดอื่นๆ” ด้วยคำสั่งของเขา บรรยากาศในยานทั้งลำก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที

เสียงแข็งกร้าวยังคงกล่าว “งั้นในระหว่างนี้ พวกเราก็แยกกันไปสำรวจตามจุดต่างๆ ของเจ้าขยะที่ลากกลับมากันก่อนเถอะ ว่าข้างในมันมีอะไรอยู่บ้าง”

“รับทราบบอส!” คำสั่งถูกปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว

ห้ากลุ่มเล็กที่เตรียมพร้อมมานานแล้ว เมื่อได้รับคำสั่งของกัปตันของพวกเขา ก็เริ่มเจาะเข้าไปในซากปรักหักพังของยานอวกาศ เพื่อค้นหาสิ่งมีค่าที่พอจะขายได้ ที่อาจหลงเหลืออยู่ข้างในทันที

และตรงบริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลกับที่กู่ฉิงซานหลบซ่อนตัวอยู่  ก็ปรากฏถึงสองชาย หนึ่งหญิงเดินเข้ามา พวกเขาเริ่มออกค้นหาของมีค่าที่อาจหลงเหลืออย่างจริงจัง

นี่มันเป็นธุรกิจที่แสนจะคุ้นเคย และไม่น่าจะมีปัญหาอะไร กู่ฉิงซานเองก็ยังรู้สึกว่ามันไม่สมควรที่จะมีปัญหาเช่นกัน

ก่อนหน้านี้เขาได้ปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปแล้วอย่างระมัดระวัง เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของยานอวกาศ และผู้คนที่อาจต้องเผชิญหน้า

สถานการณ์ในปัจจุบันก็คือ ซากยานอวกาศลำนี้ดูเหมือนจะถูกเก็บกู้โดยคนบางกลุ่มที่เชี่ยวชาญด้านการคัดแยกขยะในพื้นที่มิติ และเนื่องจากการที่ต้องมาทำงานอันตรายและไม่น่าไว้ใจแบบนี้ในมิติที่ว่างเปล่า ก็ย่อมแสดงว่าสถานะของคนกลุ่มนี้อยู่ในระดับล่างของดินแดนชิงอำนาจ

ซึ่งความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นตัวบ่งบอกถึงจุดนี้ได้เป็นอย่างดี

เพราะนอกเหนือไปจากกัปตันที่ทุกคนเรียกกันว่าบอส คนอื่นๆ ล้วนถูกกู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าไปตรวจสอบทั้งสิ้น ทำให้ได้รู้ว่า ด้วยฐานวรยุทธ์ของกู่ฉิงซาน และความแข็งแกร่งของคนพวกนี้ แต่เดิมแล้วเท่าเทียมกัน

เมื่อตรวจสอบเสร็จ กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที

หากเป็นความแข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ไม่ว่าหน้าไหนเขาก็ไม่กลัวเกรงทั้งนั้น ตราบใดที่ระวังตัวกัปตันเอาไว้ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

ในช่วงเวลานี้ เขายังคงอยู่ในสภาพไข่มด ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของซากยานอวกาศ ส่วนเหตุผลที่ทำให้ตนยังคงเลือกที่จะอยู่อย่างนิ่งๆ นั้นมีอยู่ด้วยกันสองประการ

หนึ่งคือเขาเพิ่งเข้ามาในดินแดนชิงอำนาจ และยังไม่เชี่ยวชาญเทคนิคพื้นฐานในการเดินทางระหว่างโลก ตอนนี้เขาจึงเลือกจะติดตามคนกลุ่มอื่นไปก่อน

สองคือเขาเพิ่งผ่านพ้นโทษทัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าหายนะในขอบเขตพันวิบัติครั้งแรกไป ส่งผลให้ฐานวรยุทธ์ของเขายังไม่มั่นคง เนื่องจากมันพุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน

ซึ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว เจ้าตัวจะต้องเผชิญกับโทษทัณฑ์ทั้งสิ้นสามครั้ง

ผ่านโทษทัณฑ์ครั้งแรกไป กู่ฉิงซานก็จะสามารถยกระดับขึ้นมาในขอบเขตพันวิบัติขั้นกลางได้เลย

ผ่านโทษทัณฑ์ครั้งที่สอง เขาก็จะยกระดับขึ้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์พันวิบัติขั้นปลาย

ผ่านโทษทัณฑ์ครั้งที่สาม เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์อีกต่อไป แต่จะสามารถยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าได้เลยโดยตรง

แต่โทษทัณฑ์ในครั้งที่สามน่ะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ระยะเวลาของมันบ้างสั้นบ้างยาว แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางครั้งคุณอาจจะคิดว่ามันจบลงไปแล้ว แต่บางทีมันอาจจะยังไม่จบลงก็ได้

บ่อยครั้งสำหรับบางคนที่แม้จะข้ามผ่านภัยพิบัติมาได้แล้ว แต่ก็ยังได้พบพานหายนะที่ตนละเลยไป

กู่ฉิงซานได้อ่านหนังสือโบราณของโลกล่องเวหามามากมาย และยังได้อ่านบันทึกฝึกยุทธ์บางส่วนที่ท่านอาจารย์มอบให้ ขณะนี้เขาถึงได้ย้อนนึกขึ้นมาได้ว่า ในช่วงที่ฉีหยานตกตายลง มันอาจจะเกี่ยวข้องกับหายนะครั้งสุดท้ายของอีกฝ่ายก็ได้

บางทีเวลานั้น การข้ามผ่านโทษทัณฑ์ที่ฉีหยานต้องเผชิญมันอาจจะยังไม่จบลงโดยสิ้นเชิง อีกฝ่ายไม่สมควรรีบตรงเข้ามาในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ทันทีที่สามารถทะลวงขอบเขตได้

สรุปสั้นๆ ว่าต่อให้ยกระดับขึ้นได้แล้วก็จริง แต่ผลพวงจากหายนะที่ต้องเผชิญมันอาจจะยังคงหลงเหลืออยู่ ด้วยเหตุนี้ กู่ฉิงซานที่พึ่งข้ามผ่านโทษทัณฑ์ครั้งแรกมาได้ จึงยังไม่มีความตั้งใจที่จะแสดงตัวใดๆ

เขาพร้อมที่จะหลบซ่อนตัวตลอดเวลา เฝ้ารอจนกระทั่งยานอวกาศลงจอด และเขาสามารถควบรวมฐานวรยุทธ์ให้คงที่ แล้วค่อยพยายามหาโอกาสหลบหนีออกจากยานก็ยังไม่สาย

จากนั้น เขาก็จะพยายามเข้าถึงโลกของดินแดนชิงอำนาจ พยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับมัน เพื่อหาทางเอาชีวิตรอด

นี่คือแผนที่กู่ฉิงซานคิดเอาไว้

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นหรือโชคชะตาที่นำพามันก็มักจะไม่เป็นไปตามความปรารถนาในใจของผู้คนเสมอไป

ท่ามกลางซากปรักหักพังของยานอวกาศ

“ที่รัก ช่วยมาดูตรงนี้หน่อยสิ” ผู้หญิงที่ได้รับภารกิจค้นหาตะโกนขึ้น

แล้วหนึ่งในชายทั้งสอง คนที่อ้วนมากกว่าก็เดินเข้ามา ปากเอ่ยถาม “มีอะไรงั้นหรือ? ยานอวกาศเส็งเคร็งแบบนี้ ไม่น่าจะมีสมบัติอะไรอยู่แท้ๆ นี่นา”

“แน่นอนว่ามันไม่ใช่สมบัติ แต่ฉันไม่สามารถเปิดกล่องใบนี้ได้ เพราะงั้นก็เลยอยากจะขอให้ที่รักช่วย” ผู้หญิงคนนั้นเอื้อมไปจับมือเขา กล่าวเสียงหวาน

ชายอ้วนก้มลงมองรูปทรงและรายละเอียดของกล่อง ไม่นานก็ตัดสินใจได้ในที่สุด

เขายิ้ม “ไม่คิดเลยว่าจะโชคดีแบบนี้ ภายในกล่องน่าจะเป็นของดีไม่น้อยแน่เลย”

“ที่รัก คุณรู้ได้อย่างไรกัน?” ผู้หญิงเอ่ยถาม

“เพราะกล่องใบนี้มันเต็มไปด้วยโปรแกรมทำลายอัตโนมัติ หากคุณไม่รู้รหัสผ่าน แล้วต้องการจะฝืนเปิดมัน สิ่งที่อยู่ภายในก็จะถูกทำลายโดยตรงด้วยระเบิดขนาดเล็กที่ถูกติดตั้งเอาไว้” ชายอ้วนกล่าว

“แต่ฉันขอเดาว่าคุณมีวิธีที่จะได้มันมาโดยไม่จำเป็นต้องรู้รหัสใช่ไหม?” หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอน เพราะฉันเป็นผู้อัญเชิญภูตผี ขอแค่ใช้ความสามารถในการอัญเชิญมาดัดแปลงเล็กๆ น้อยๆ ฉันก็จะสามารถทำการดึงเอาวัตถุที่อยู่ภายในนั้น ออกมาได้เลยโดยตรง” ชายอ้วนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

หญิงสาวมองดูเขา แสดงออกถึงสีหน้าชื่นชม “ความสามารถในการอัญเชิญของคุณช่างเป็นอะไรที่ยากนักจะพบเจอจริงๆ อนาคตของพวกเราทั้งคู่ขึ้นอยู่กับคุณแล้วนะ”

“วางใจเถอะภรรยาที่รัก ฉันจะเร่งทำงานเก็บเงินให้มากพอ แล้วจะพาเธอขึ้นยานอวกาศระดับสูง มุ่งหน้าไปยังวิหารแห่งชีวิตเพื่อจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์!”

ระหว่างกล่าว เขาก็คุกเข่าลงเบื้องหน้ากล่อง

เขากดมือลงบนกล่องเบาๆ และเริ่มใช้ออกด้วยสกิลอัญเชิญฉบับดัดแปลงอย่างเงียบๆ

ปรากฏแปดเงาสีเทาผุดยั้วเยี้ยขึ้นมาตามแขนของเขา คล้ายดั่งหนวดปลาหมึก ทยอยเลื้อยผ่านมือและจมลงไปในกล่อง

ด้วยพลังอัญเชิญภูตผี ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยที่จะดัดแปลงมัน แล้วนำมาใช้เคลื่อนย้ายบางสิ่งที่ถูกชั้นอุปสรรคบางๆปิดกั้นไว้ออกมา

ชายอ้วนขมวดคิ้ว และมุ่งสมาธิอยู่กับสิ่งที่อยู่ภายในกล่อง แต่ทันใดนั้นเอง…

ปากของเขาก็ถูกอุด พร้อมกับมีดสั้นที่เสียบเข้าขั้วหัวใจ ทะลุออกมาถึงทรวงอก!

ชายอ้วนเบิกตากว้าง พยายามดิ้นรนด้วยความสิ้นหวัง แต่กลับเห็นแค่เพียงมีดสั้นที่ถูกชักออก ตามต่อด้วยมือข้างหนึ่งที่กระซวกผ่านรอยแผล คว้ากุมหัวใจของตน และบดขยี้มันโดยตรง

ชายอ้วนแข็งค้างไป และร่วงลงกับพื้น ทว่าด้วยความแข็งแกร่งในฐานะผู้อัญเชิญภูตผี เขาจึงยังไม่ตายลงในทันที…แต่สภาพนี้ก็คงจะอีกไม่นาน

“วังเฉิง ในที่สุดแกก็ถึงคราวตายซักที” เสียงของชายอีกคนดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง

ชายอ้วนที่ล้มตัวลงกับพื้นค่อยๆ ยกสายตาตนเองขึ้นอย่างยากลำบาก แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้วิสัยทัศน์ของเขาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา

ภรรยาที่เขารักกำลังอิงแอบแนบกับแขนของชายอีกคนหนึ่ง สองมือกุมผ้าเช็ดหน้า ค่อยๆ ซับเลือดที่กำลังหยดย้อยลงจากมีดสั้น

ชายอีกคนก้มลงมองเขา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่วัง เรื่องภรรยาพี่ไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวผมจะดูแลให้เอง ตอนนี้ก็ตายๆ ไปให้พ้นๆ ได้แล้ว”

ชายอ้วนที่ถูกเรียกว่าวังเฉิงกระอักเลือดออกมา เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “บอสจะต้องไม่ยอม…”

“สบายใจได้น่า ฉันได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ลำดับสองเอาไว้แล้ว เขาได้รับเงินมากพอที่จะช่วยฉันปิดบังการกระทำในครั้งนี้”

ดวงตาของวังเฉิงไหลเป็นสายเลือด เขาจ้องมองหญิงสาวแต่ไม่ได้เอ่ยคำใด

ผู้หญิงคนนั้นเผยอริมฝีปาก และกล่าว “ตาแก่วัง เรื่องนี้ตำหนิฉันไม่ได้หรอกนะ เพราะจริงๆ แล้วคุณน่ะมันไร้ประโยชน์! ฉันอุตส่าห์ติดตามคุณมานานแล้ว แต่พอถึงเวลาที่จะต้องไปยังวิหารเทพ คุณกลับไม่สามารถช่วยออกเงินให้ฉันได้”

ชายอีกคนกอดเธอและยิ้ม “พี่วัง พี่มั่นใจได้เลยว่าด้วยเงินเก็บของพี่ รวมกันกับเงินออมของพวกเราทั้งสองคน มันจะเพียงพอที่จะช่วยให้ฉันกับเธอเดินทางไปยังวิหารแห่งชีวิต ส่วนพี่ก็พักผ่อนอยู่ที่นี่อย่างสงบเถอะ”

วังเฉิงมองผู้ชาย สลับไปมองผู้หญิง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขมขื่นออกมา

ในฐานะผู้อัญเชิญที่เกี่ยวข้องกับภูตผี กระทั่งในเวลานี้เขาก็ยังรู้สึกว่าพลังชีวิตของตนเองกำลังหมดลงอย่างรวดเร็ว

เขากำลังจะตาย

แต่เขาจะไม่ยอมตายไปเฉยๆ แบบนี้!

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีอาจจะเป็นในระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังพูด วังเฉิงก็ได้ใช้เลือดของตัวเอง ตวัดไปมาเป็นลวดลายบางอย่างบนพื้น

เขาปลุกเร้าพละกำลังเฮือกสุดท้ายทั้งหมดในชีวิต เพื่อเตรียมเปิดใช้งานเทคนิคมนตราอัญเชิญที่แข็งแกร่งที่สุดของตน

อย่างไรก็ตาม ทั้งชายหญิงที่อยู่ตรงข้ามเขากลับไม่ห้ามปรามใดๆ แค่คอยเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างไม่แยแส

ผู้ชายโอบกอดหญิงไว้ในอ้อมแขน และส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนที่พวกเราจะเข้ามา ฉันได้วางอุปสรรคศักดิ์สิทธิ์ไว้รอบๆ ซากยานแล้ว นั่นหมายความว่าเทคนิคมนตราอัญเชิญสิ่งชั่วร้ายของพี่จะไม่สามารถเจาะมันเข้ามาได้”

ผู้หญิงมองดูเขาด้วยความซับซ้อนเล็กน้อย ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “วังเฉิง พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี รู้เรื่องเกี่ยวกับคุณดีทุกอย่าง แล้วทำไมเราจะไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไร? ”

วังเฉิงก็ยังรู้สึกตัวนะว่าที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง ที่เทคนิคอัญเชิญของเขาถูกขังอยู่ในยานอวกาศโดยอำนาจศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิง

ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอ้างว้างและไม่ยินยอม แต่ก็ไม่เต็มใจจะตอบอีกฝ่ายไป เพราะแม้ว่าจะต้องตาย แต่เขาจะต้องทำให้ดีที่สุดก่อนจะสิ้นใจลงให้จงได้!

วังเฉิงปาดเลือดและน้ำตาบนใบหน้าของเขา ขมุบขมิบร่ายคำอัญเชิญให้จบครบสมบูรณ์

“ไม่ว่าจะเป็นภูตผีจากโลกใดก็ตาม ตราบใดที่ท่านสามารถแก้แค้นให้ฉันได้ ฉันก็ยินดีที่จะยกประสบการณ์ ความรู้ ทักษะความสามารถ และเงินตราทั้งชีวิตของฉันให้กับท่าน”

“ฉันยินยอมจมลงสู่ความมืดมิด และคำสาปแช่งชั่วนิรันดร์ จิตวิญญาณของฉันจะกลายเป็นแต้มพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ และมอบมันให้แก่ท่าน!”

“ตอนนี้ ได้โปรดปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าฉัน ช่วยแก้แค้นให้กับความเกลียดชังอันฝังรากลึกนี้ด้วยเถอะ!”

เปรี้ยง!

เมฆหมอกสีเทาขนาดใหญ่ฟุ้งกระจายออกจากเขาไปทุกทิศทาง ชายและหญิงอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยห่างออกไป

ผู้ชายส่ายหัว “ไร้ประโยชน์น่า เทคนิคอัญเชิญของพี่มันไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ และพี่จะตายไปทั้งๆ ที่ไม่มีใครรู้”

ขณะกล่าว กลับเห็นแค่เพียงเมฆหมอกสีเทาขนาดใหญ่เริ่มหลอมรวมกันอีกครา ห่อหุ้มร่างกายของวังเฉิงเอาไว้ แล้วควบไปรวมกันที่ฝ่ามือของเขา

นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความสำเร็จของเทคนิคอัญเชิญ

“ได้ยังไงกัน! ทำไมเขาถึงเปิดใช้งานมันได้สำเร็จล่ะ!?” ผู้หญิงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

ชายข้างกายเธอไม่อาจบังคับตนให้ใจเย็นอีกต่อไป เขาวูบกายไปข้างหน้า เหวี่ยงสะบัดมีดสั้นในมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

บังเกิดประกายแสงเย็นวาบ

แขนข้างที่หมอกสีเทาไปควบรวมกันถูกตัดออก แต่ชายคนนั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่สบายใจ เขาจึงตัดแขนอีกข้างของวังเฉิง รวมไปถึงขาทั้งสองด้วยเช่นกัน

“ฟู่ว…ไหนคราวนี้ลองดูสิว่าแกจะมีวิธีอะไรมาจัดการกับฉันอีกไหม” ชายคนนั้นอ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง

แต่วังเฉิงกลับไม่สนใจชายคนนั้นเลย เพราะเขากำลังกลั้นลมหายใจเฮือกสุดท้ายเอาไว้ พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะรักษาสติและเฝ้ารอ…

รอกฎเกณฑ์แห่งการอัญเชิญตอบรับกลับมาว่าภูตผีตนใดที่เขาสามารถเรียกมันมาได้

ทันใดนั้นเอง วังเฉิงก็คลายลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเขาออกมา

ปากเอ่ยกล่าว “ราชาภูต…แห่งประภพ…ได้โปรด…” เสียงถูกตัดออกไป

คู่ดวงตาที่เต็มไปด้วยเลือดหมองลง ไร้ซึ่งวี่แววแห่งชีวิตอีกต่อไป เขาตายซะแล้ว

แต่โชคยังดี ที่เทคนิคอัญเชิญไม่ได้ถูกขัดจังหวะใดๆ หมอกสีเทาที่เกิดจากการทุ่มพลังทั้งหมดในการอัญเชิญ ปรากฏอักษรรูนลึกลับขึ้น และระเบิดออกทันที

ตูม!

หมอกและควันฟุ้งกระจายไปทั่ว พร้อมกันกับเสียงของชายหนุ่มที่ดังขึ้น

“ซวยฉิบหาย พล่ามแผนการมาตั้งครึ่งตอน สุดท้ายไม่ได้ใช้เฉยเลย!”

………………………………….

ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์แสงน่ะมันก็เป็นเพียงตัวแทนของกฎเกณฑ์ ที่มันสามารถทำได้ก็แค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น ในที่สุดมันก็ไม่คิดถกเถียงสิ่งใดต่ออีก และหายตัวไปจากกู่ฉิงซานโดยตรง

กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้

เทพวิญญาณได้ตั้งคำสาป ‘ความลับที่ไม่อนุญาตให้บอกเล่าแก่ผู้ใด’ ขึ้นในโลกสองร้อยล้านชั้น ในดินแดนชิงอำนาจ

นี่อาจจะหมายความได้ว่า น่าจะมีคำสาปอื่นถูกสาปอยู่อีกเช่นกันใช่หรือไม่?

ไม่มัวเสียเวลาคิด กู่ฉิงซานทดลองฝืนข้อห้ามทันที แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ช่างมันเถอะ อย่างไรเสีย นี่ก็ดูสมเหตุสมผลดี เพราะถ้ามันเป็นความลับร้ายแรงจริงๆ แล้วเทพวิญญาณจะมาบอกมันแก่ตนเองทำไมกัน?

ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ แค่เพียงการสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกทั้งสองร้อยล้านชั้น ก็เป็นเรื่องยากพออยู่แล้ว พวกเขาคงไม่มีเวลามาจัดการเรื่องคำสาปหรอกมั้ง?

แล้วถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ฉันควรทดลองทำอะไรต่อไปดี?

กู่ฉิงซานลองคิดทบทวนเกี่ยวกับมัน

โลกเก้าร้อยล้านชั้นได้ถูกทำลายลง และเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว เทพวิญญาณจึงหลบหนี ไม่เช่นนั้นก็ตาย กรณีนี้พิสูจน์ได้ถึงสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ…ต่อให้สิ่งชีวิตใดๆ จะแข็งแกร่งขึ้นจนกลายเป็นกึ่งเทพก็ตาม แต่มันก็ไร้ประโยชน์เมื่อต้องเผชิญกับวันสิ้นโลก

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดได้ว่าตนยังคงเหลืออีกสองหายนะที่จะต้องพบเจอ เขาก็ล้มเลิกการทดลอง ไม่ยินดีที่จะกระตุ้นมันให้มากไปกว่านี้ทันที

จะไม่ยอมก้าวเท้าเข้าไปเหยียบกับระเบิดด้วยตัวเอง!

เขาหันไปมองรอบๆ เจ้าตัวพบว่าร่างมนุษย์แสงเริ่มทยอยหายไปจากในอากาศที่บางเบามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

พวกมอนสเตอร์ที่อยู่ในกระแสมิติก็เริ่มทยอยกันเคลื่อนไหวแล้ว!

หากอ้างอิงตามที่มนุษย์แสงบอก มอนสเตอร์ในบริเวณนี้น่ะ ไม่แข็งแกร่งมากมายอะไร

อย่างไรก็ตาม แม้จะอ่อนแอ แต่ถึงกระนั้นมอนสเตอร์ที่อยู่ต่อหน้าเขามันก็ยังมีจำนวนมากเกินไปอยู่ดี นี่มิใช่สิ่งที่กู่ฉิงซานจะสามารถเอาชนะได้!

ยิ่งในพื้นที่มิติห่างไกลออกไป ที่มีมอนสเตอร์ที่แกร่งเทียบเท่าหรือเหนือยิ่งกว่ากึ่งเทพอาศัยอยู่ ก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง!

ถ้าได้สู้กัน น่ากลัวว่าภายในไม่กี่ลมหายใจ กระดูกของกู่ฉิงซานคงกลายเป็นไม้จิ้มฟันให้พวกมันแทะเล่น

ฉะนั้นคงต้องเร่งมือ ไม่มีเวลาให้พักอีกแล้ว!

กู่ฉิงซานถอนหายใจ เขาคว้าก้อนกรวดชิ้นเล็กๆ ที่ลอยผ่านมา

ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก เศษหินเศษกรวดน่ะมีอยู่มากมาย และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่แปลกหรือดูสะดุดตาแต่อย่างใด

กู่ฉิงซานกำก้อนกรวด และเริ่มเปิดใช้งานความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แล้วทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปในอากาศที่บางเบา

ก้อนกรวดร่วงตกลงอีกครั้ง ก่อนจะถูกห่อหุ้มด้วยกระแสลมในมิติที่ว่างเปล่า ลอยออกไปในทิศทางที่ไม่รู้จัก

ท่ามกลางกระแสมิติ มอนสเตอร์ที่ทรงพลัง ล้วนไม่มีตนใดให้ความสนใจกับก้อนกรวดเลย พวกมันต่างเลือกวิหารที่ต้องการ และเริ่มออกเดินทางไป

ในเวลาเดียวกัน ก็เริ่มมียานพาหนะมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏขึ้นภายในกระแสมิติ

กระแสมิติที่แต่เดิมว่างเปล่าไร้ขอบเขต บัดนี้เริ่มกลายมาเป็นมีชีวิตชีวามากขึ้น เกือบทุกสรรพชีวิตต่างตัดสินใจออกเดินทาง มุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของวิหาร

นี่คือวันแรกแห่งยุคแสวงบุญ!

ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีมอนสเตอร์มิติตัวใดหยุดรออยู่เฉยๆ อีกต่อไป พวกมันเริ่มออกจากพื้นที่ของตัวเอง ล่องลอยไปตามเส้นทาง ออกล่าในตำแหน่งที่ใกล้เคียง กัดกินสิ่งมีชีวิตที่พอจะคว้าจับได้ เพื่อเติมเต็มพลังงานให้แก่ร่างกายตนเอง

มอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งบางตัวเริ่มวิ่งป่วนไปทั่วในกระแสมิติ มีบ้างที่บังเอิญไปชนเข้ากับยานพาหนะล่องหน เมื่อตำแหน่งอาหารปรากฏ มันก็เตรียมที่จะเขมือบกินทันที

แต่สนามล่าของพวกมันก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป

เพราะยานบินล่องหนย่อมมิได้ไร้ผู้คน เพื่อถูกพบเจอ พวกเขาก็เริ่มพากันกระโจนออกมาเข้าต่อสู้กับมอนสเตอร์มิติทันที

บางครั้ง ก็เป็นฝ่ายมอนสเตอร์ที่ได้รับบาดเจ็บ และหลบหนีไป

บางครั้ง สิ่งมีชีวิตจากทุกเผ่าพันธุ์บนยานบินก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของมอนสเตอร์มิติได้ สุดท้ายก็ถูกพวกมันจับกิน

มีแม้กระทั่งยานบินบางลำที่เลือกจะหลบหนี แต่เมื่อหักเลี้ยวออกไปก็ดันบังเอิญไปชนเข้ากับยานล่องหนลำอื่นเสียอย่างนั้น

ด้วยเหตุนี้เอง ยานบินล่องหนที่ไม่เกี่ยวข้อง จึงต้องถูกลากมาเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์มิติด้วยเช่นกัน

พวกเขาต้องร่วมมือกันโต้กลับ

สงครามขนาดย่อมปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว จากในทุกเส้นทางของกระแสมิติอันเชี่ยวกราก!

มันเริ่มมากขึ้น ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งกระแสมิติเริ่มสะท้อนไปด้วยเสียงคำรามของมอนสเตอร์ และเสียงฉวัดเฉวียนของเทคนิคมนตรา บ้างก็เป็นเสียงกรีดร้องน่าสมเพชของสิ่งมีชีวิต

นับจากช่วงเวลานี้ไป กระแสมิติที่แต่เดิมเคยเงียบเหงา บัดนี้ครึกครื้น มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างออกเดินทางอย่างบ้าคลั่ง

ทุกคนล้วนต้องการที่จะไปจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตนเองให้เร็วที่สุด เพื่อเริ่มก้าวเดินบนเส้นทางสู่กึ่งเทพ

ยุคแห่งการแสวงบุญอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงแล้ว!

กู่ฉิงซานที่อยู่บนก้อนกรวดเล็กๆ เห็นถึงฉากทั้งหมดนี้ด้วยตาของเขาเอง

เขาแปลงร่างเป็นมดละลายไฟตัวเล็ก เกาะติดอยู่กับขอบกรวด แนบกายยึดติดลงกับผิวของมัน

มดละลายไฟ คือมดที่มีขนาดตัวเล็กมาก และชอบกัดกินพวกหินและกรวด ซึ่งสัตว์ชนิดนี้ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่กู่ฉิงซานได้รับมาจากโลกล่องเวหา ก่อนจะต่อสู้กับสตรีแห่งรากษส เขาได้ทำการเก็บรวบรวมชิ้นส่วนตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง และมดละลายไฟเองก็เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่เขาใช้ในการต่อสู้

มดตัวน้อยเกาะอยู่กับก้อนกรวด ลอยข้ามผ่านสนามรบอันดุเดือด สนามรบหนึ่งข้ามไปอีกสนามรบหนึ่ง ท่ามกลางกระแสมิติ

หลังจากลอยไปได้สักพัก มดละลายไฟก็กระโดดเปลี่ยนพาหนะ คราวนี้ลงไปเกาะบนผ้าขี้ริ้วแทน เพราะก้อนกรวดน่ะมันเล็ก ดังนั้นจึงถูกพัดพาไปกับสายลมได้ทั้งง่ายและเร็วเกินไป จนตัวเขาไม่สามารถควบคุมมันได้

ในทางตรงกันข้าม อัตราเร็วของผ้าขี้ริ้วน่ะเชื่องช้ากว่ามาก มดละลายไฟใช้ขาของมันเกี่ยวยึดผ้าขี้ริ้วเอาไว้ แล้วเงยหน้าหันไปมองรอบๆ

มันกำลังสังเกตเหตุการณ์ทั้งใกล้และไกลอย่างรอบคอบ ในสมองขบคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเอง เมื่อถึงจุดหนึ่ง สองหนวดของมดละลายไฟก็กระตุกทันที เพราะไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปจากมัน เป็นยานพาหนะที่อยู่ในสภาพเสียหาย ลอยคว้างอยู่ในกระแสมิติอย่างเงียบๆ ซึ่งดูเหมือนว่าตรงจุดนี้ การต่อสู้มันได้จบลงแล้ว

มองไปยังยานพาหนะที่เสียหาย สรุปได้ว่าในที่สุดคงเป็นฝ่ายมอนสเตอร์มิติที่ได้รับชัยชนะ และกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดไป

หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ยานบินลำนี้คงจะลอยอยู่ในความว่างเปล่าไปอีกนานแสนนาน

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของมดละลายไฟ ยานบินลำนี้กำลังจะค่อยหายไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาเพียงไม่นาน ยานบินทั้งลำก็จะหายไปจากกระแสมิติ

มดละลายไฟจ้องมองดูฉากนี้ ค่อยๆ จมลงสู่ความเงียบ มันห่อผ้าขี้ริ้วไว้รอบตัว ปล่อยตนลอยล่องไปตามกระแสลม มุ่งไกลออกไปเบื้องหน้า

เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ซากปรักหักพังของยานอวกาศอีกลำก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ามัน นี่คือยานอวกาศจากอารยธรรมด้านเทคโนโลยี

ดูจากระดับความเสียหายอย่างรุนแรงตรงลำยาน และหลุมขนาดใหญ่จากภายนอกแล้ว ก็พอจะสามารถคาดเดาได้ว่ามันถูกโจมตีด้วยสิ่งที่ทรงพลังเพียงใด

…จะต้องเป็นอะไรที่น่าหวาดกลัวมากแน่ๆ

เวลานี้ เรือทั้งลำถูกทิ้งร้าง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนเรือหายไป หลงเหลือเพียงแขนขาไม่กี่ข้าง และคราบเลือดเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นตัวบ่งบอกความรุนแรงของการต่อสู้ได้เป็นอย่างดี

ผ้าขี้ริ้วลอยไปใกล้กับยานอวกาศอย่างช้าๆ

ช่วงเวลาที่ทั้งสองลอยผ่านกัน มดละลายไฟก็กระโจนลงจากผ้าขี้ริ้วทันที

มันแปลงร่างกลายเป็นนกชนิดหนึ่ง สยายปีกแหวกสายลม พุ่งตรงเข้าไปในซากยานอวกาศด้วยความเร็วสูงสุด

นกบินเข้าไปในห้องโดยสารตามรูที่ถูกเปิดออก กลิ้งลงกับพื้น แปลงกายเป็นมดละลายไฟอีกครั้ง แล้ววิ่งเข้าไปในท่ออากาศ

มดละลายไฟวิ่งลงไปตามท่อ เข้าไปในส่วนที่ลึกสุดของเรือที่เต็มไปด้วยโครงสร้างเชิงกลมากมาย

มันคืบคลานเข้าไปในส่วนลึกของวัตถุโลหะทั้งหมด และแปลงกายเป็นไข่มด หยุดนิ่งอยู่ที่นั่น มิคิดเคลื่อนกายไปที่ใดอีกเลย

นี่คือหนึ่งในสายพันธุ์ที่เล็กที่สุด และไม่โดดเด่นมากที่สุดที่กู่ฉิงซานได้รวบรวมเอาไว้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซากยานอวกาศยังคงลอยล่องอยู่ในความว่างเปล่า แต่กลับไม่มีมอนสเตอร์ตนใดเลยที่ให้ความสนใจกับซากเรือ เพราะพวกมอนสเตอร์มันสามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงวิธีการแยกแยะว่ายานพาหนะใดที่ถูกกินแล้ว โดยดูจากรอยประทับที่มอนสเตอร์ตัวที่กินทิ้งเอาไว้

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

สองชั่วโมงผ่านไป

ห้าชั่วโมงผ่านไป

และแล้วภายในซากยานอวกาศที่ว่างเปล่า ก็บังเกิดเสียงดังขึ้น

“รายงานบอส ผมเข้ามาแล้วนะ”

“พวกเราได้ทำการตรวจสอบแล้ว”

“อิงตามมาตรการตรวจสอบของเรา สัญญาณชีวิตที่อยู่ในยานอวกาศลำนี้ทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในระดับต่ำสุด มันอาจมีพวกแมลงเล็กๆ หลงเหลืออยู่ แต่นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกลำอย่างไรก็ต้องมีแบบนี้ แต่ผมสามารถรับประกันได้ ว่าไม่มีผู้คนรอดชีวิตอยู่บนยาน”

“อ่าใช่ ระบบอาวุธของยานอวกาศถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงแล้วโดยมอนสเตอร์”

“เปลือกนอกของยานอวกาศไม่สามารถซ่อมแซมได้”

“แต่ระบบประมวลผลยังคงอยู่ในสภาพดี”

“บันทึกการบินก็ไม่ได้เสียหายอะไร”

“ใช่ ห้องเก็บข้อมูลก็ดูจะไม่บุบสลาย”

“บอส แต่ยานอวกาศลำนี้มาจากอารยธรรมด้านเทคโนโลยี บางทีพวกเราไม่สมควร…”

“ให้ลากมันกลับไปงั้นหรือ โอเค งั้นผมจะโทรเรียกฝูงบินล่องหนให้ก็แล้วกัน ส่วนคุณก็ช่วยส่งคนเกี่ยวตะขอมา”

“…แต่บอกตามตรงเลยนะว่าคราวนี้งานมันหนักจริงๆ ฉะนั้นถึงเวลาแบ่งเงินกันอย่าลืมเห็นหัวผมบ้างล่ะ”

“เข้าใจแล้ว จะเริ่มทำงานเดี๋ยวนี้เลย”

และเสียงสนทนาก็หยุดลง ยานอวกาศจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน ซากยานอวกาศก็เริ่มเกิดการเคลื่อนไหว

มันมิได้ลอยคว้างอย่างไร้จุดหมาย แต่มุ่งตรงไปในทิศทางหนึ่งอย่างมั่นคง และดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยตนเอง เพราะไม่ได้ยินเสียงจากเครื่องยนต์และระบบขนส่งพลังงานเลย

ในเวลาเดียวกัน ซากเรือทั้งหมดก็ถูกล่องหน หายวับไปจากในกระแสมิติอันเชี่ยวกรากทันที

ไม่มีใครสามารถมองเห็นมันได้

ไม่มีใครรู้ว่ามันจะไปที่ไหน

แต่ที่แน่ๆ ในเวลานี้ ไข่มดที่เข้ามาในยานอวกาศก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ภายในโครงสร้างเชิงกลของยาน

ไข่มดนิ่งงันไม่ไหวติง เฝ้ารอคอยโอกาสอย่างเงียบๆ

…………………………………

“…ฉันเคยเห็นความตายมามากเกินไปแล้ว ฉะนั้นฉันขอเลือกวิหารแห่งความลึกลับ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

“เช่นนั้น นับจากนี้ไป เจ้าคือผู้ศรัทธาในเทพแห่งความลึกลับ จงเร่งออกจากที่นี่ ไปยังโลกแห่งเขตสงครามของเทพ จากนั้นจงเข้าไปในวิหารแห่งความลึกลับ และใช้พลังของวิหาร จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสีย” กล่าวจบ ร่างมนุษย์แสงก็หายวับไป

ซางหยิงฮ่าวตะโกนด้วยความตื่นเต้น “คิดไม่ถึงเลยว่าฉันจะได้เจอโอกาสดีๆ อย่างการสามารถกลายเป็นเทพมาวางไว้ต่อหน้าแบบนี้ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเร่งออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แล้วไปจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ซะแล้ว”

“พอฉันได้กลายเป็นเทพ ฉันก็จะตั้งฉายาตัวเองว่าเทพนักฆ่า ฮะฮ่า!”

ซางหยิงฮาวลุกโชนไปด้วยความหวัง แต่แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติรอบตัวเขา

หันไปมองรอบๆ จึงเห็นว่าตลอดทั้งถ้ำใต้ดิน สัตว์ป่าและมอนสเตอร์ทั้งหมด เบนสายตาออกจากร่างมนุษย์แสงตรงหน้า จ้องมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว

ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยหลากหลายห้วงอารมณ์ทั้งประหลาดใจ สับสน สงสัย และหวาดกลัว

ซางหยิงฮ่าวถูกจับจ้องเป็นสายตาเดียว

เขาก้าวถอยหลัง หัวเราะแห้งๆ “นี่พวกนาย ทำไมถึงได้มองฉันแบบนั้นกัน? หรือว่าฉันมาที่แล้วทำอะไรผิดไป?”

กิ้งก่าเกล็ดเขียวที่กำลังมองซางหยิงฮ่าว เอ่ยเสียงจม “ไม่ใช่หรอก แต่เป็นเพราะส่วนใหญ่ทุกตนต่างก็ประหลาดใจจนเกินไป เลยพากันหันมามองเจ้า”

“ใช่ เพราะหลังจากนี้ไป ข้ากลัวว่าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกนานเลย” เสือดาวกล่าว

“ทำไมกัน?” ซางหยิงฮ่าวไม่เข้าใจ

“เพราะโลกที่พวกเราอยู่ มันอยู่ทางเหนือตอนบนสุดของดินแดนชิงอำนาจน่ะสิ” ไฮยีน่าอธิบายอย่างอดทน

กิ้งก่าตนอื่นช่วยเสริม “แต่ว่านะ โลกเขตสงครามของเทพที่เจ้าต้องไปน่ะ มันเป็นโลกทางใต้ที่ได้รับการยอมรับว่าอยู่ด้านล่างสุดของดินแดนชิงอำนาจ

“ก็หมายความว่า…”

“หมายความว่าเจ้าจะต้องข้ามผ่านตลอดทั้งดินแดนชิงอำนาจ ข้ามผ่านไปทั้งโลกสองร้อยล้านชั้น ก่อนที่เจ้าจะไปถึงโลกเขตสงครามของเทพ”

ข้ามผ่านโลกสองร้อยล้านชั้น!

ซางหยิงฮ่าวแข็งค้าง

บรรดาเหล่าสัตว์ป่ายังไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ พวกมันเอ่ยต่อ

“แม้ว่าจะมีสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกที่เรียกกันว่า ‘โลกมิติอนันต์’ อยู่ก็ตาม แต่พวกเราน่ะเป็นสัตว์ ดังนั้นจึงไม่มีสกุลเงินให้เจ้าหยิบยืมเพื่อเดินทางผ่านโลกมิติอนันต์หรอก”

“หยิงฮ่าว ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า อย่าว่าแต่เดินทางในกระแสมิติเลย แค่โลกของพวกเราเจ้าก็ไม่รอดแล้ว”

“เนื่องจากพวกมอนสเตอร์ในกระแสมิติมันไม่ใช่พวกกินพืช ดังนั้นถ้าเจ้าหลงเข้าไปละก็ พนันได้เลยว่าซากศพเจ้าคงจะไปติดอยู่ตามซอกฟันของพวกมันตัวใดตัวหนึ่งนั่นแหละ”

“กุ๊ๆ ตั้งสองร้อยล้านชั้นแน่ะ บางทีอาจจะต้องใช้เวลาอีกนานแสนนานเลยก็ได้นะ เจ้าหนูหยิงฮ่าว”

ระหว่างบรรดาสัตว์กล่าว กลับได้ยินเพียงเสียง ‘ตุ๊บ’ เท่านั้น

เป็นขาของซางหยิงฮ่าวที่อ่อนเปลี้ย และล้มลงกับพื้น เมื่อมองไปยังใบหน้าโศกเศร้าของซางหยิงฮ่าว พวกสัตว์ป่าก็เริ่มเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย

แต่พวกมันก็มิได้พูดปลอบอะไรออกไป นั่นเพราะทางพวกมันเองก็ต้องเริ่มเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน

…ใช่ พวกมันยังต้องเลือกศรัทธาของตนเอง และไปยังวิหารที่กำหนด

ไม่เพียงแต่ในโลกใบนี้เท่านั้น แต่หลายร้อยพันล้านโลก หลายร้อยพันล้านสิ่งมีชีวิตเอง ก็เตรียมที่จะออกเดินไปทางไปยังวิหารทั้งเจ็ดเช่นกัน

เพราะมีเฉพาะเพียงวิหารที่สอดคล้องกันกับศรัทธาของตนเองเท่านั้นจึงจะจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้!

มันคือหนทางเดียวสู่การเป็นกึ่งเทพ!

การแสวงบุญครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของดินแดนชิงอำนาจ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบๆ

และในยุคถัดๆ ไป ช่วงเวลานี้ก็จักถูกขนานนามว่ายุคสมัยแห่งการแสวงบุญ!

ในโลกบางชั้น

ณ สถานที่แสนงดงามและรุ่งโรจน์

นี่คือสถานที่แห่งการตกผลึกจากทุกอารยธรรมของเผ่าพันธุ์ตลอดทั้งหมื่นโลกา โลกทั้งใบได้รับการพัฒนาในระดับสูง สิ่งประดิษฐ์และอุปกรณ์ล้ำสมัยมากมาย ล้วนถูกผลิตขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ชนิดที่ว่าแม้แต่การมีชีวิตอมตะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว แต่ปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุดที่พวกเขากำลังพบเจอในตอนนี้ก็คือ อาจจะไม่มีใครสามารถรอดไปได้จนถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นอมตะเสียแล้ว

โลกใบนี้ คือโลกอารยธรรมของหอคอยสูง

ปรากฏให้เห็นถึงหอสูงทั้งเล็กใหญ่ตั้งตระหง่าน แต่ละหอสูงเปี่ยมไปด้วยทุกชนิดของการตกผลึกในด้านความรู้ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในบางประเภท

และที่สำคัญก็คือ มันยังเป็นหนึ่งในเจ็ดโลก ที่มีวิหารแห่งความรู้ตั้งอยู่

ช่วงเวลานี้ ภายในโรงแรมที่หรูหราที่สุดในโลก

ผู้ครองนครรุ่นเยาว์ได้เดินทางไกลมายังที่นี่ และกำลังชั่งน้ำหนักบางสิ่งในมือ

เบื้องหน้าของเธอ ยังคงมีมนุษย์แสงลอยอยู่อย่างเงียบๆ

“เห็นได้ชัดว่าเรามีที่นี่ก็เพื่อต้องการเสริมแกร่งให้กับตนเอง โดยเลือกทำการแลกเปลี่ยนกับวิหารแห่งความรู้ ใครจะไปคิดกันว่ามันจะเกิดสิ่งนี้ขึ้น” เธอถอนหายใจ

“ฝ่าบาท นี่คงจะเป็นประสงค์ของทวยเทพ ที่อยากจะให้ท่านเข้าร่วมกับวิหารของเราในวันนี้” บิชอปกล่าว

“ไม่ล่ะ เรามาที่นี่ก็เพื่อทำการแลกเปลี่ยนเท่านั้น หากเราเข้าร่วม แล้วเรื่องการแลกเปลี่ยนเล่าจะทำอย่างไร?” ผู้ครองนครรุ่นเยาว์เอ่ยถาม

“หากเข้าร่วมกับวิหารของเรา ท่านอาจจะมีโอกาสได้ก้าวขึ้นสู่กึ่งเทพ กระทั่งเทพที่แท้จริงก็ยังเป็นได้!” บิชอปอีกคนหนึ่งพยายามโน้มน้าวอย่างจริงใจ

นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่บิชอปแสดงความจริงใจซื่อสัตย์ที่สุดในชีวิตของเขาออกมา บอกได้เลยว่ากระทั่งตอนที่สวดอธิษฐานต่อทวยเทพ เขาก็ยังไม่ทุ่มเทถึงขนาดนี้เลย

เพราะสุดท้ายแล้ว ตราบใดที่ตนสามารถเกลี้ยกล่อมราชินีรุ่นเยาว์ให้เข้าร่วมกับวิหารแห่งความรู้ได้ ตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์ต่อไปก็คงไม่พ้นเงื้อมมือเขา!

“ลืมมันเถอะ เรามีหนทางเป็นของตัวเอง นอกจากนี้เผ่าพันธุ์ของเราก็ไม่เคยหวั่นเกรงปัญหาใดๆ ฉะนั้น เรื่องการจะได้กลายเป็นเทพวิญญาณอะไรนั่นจึงไม่นับว่าเป็นสิ่งใด” ราชินีรุ่นเยาว์ตอบกลับไป

ขณะกล่าว เธอก็เอื้อมมือล้วงเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า

และเพียงไม่นาน ก้อนอัญมณีที่สาดแสงเงางามก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเธอ

“อืม…อัญมณีคุณภาพสูงไม่เลว พวกเจ้าต้องการสิ่งนี้หรือไม่?” ราชินีถาม

บิชอปทั้งสองแทบลืมหายใจ พวกเขาเริ่มทำการตรวจสอบ สังเกตอัญมณีอย่างรอบคอบ

ต้นกำเนิดอัญมณีเบื้องหน้านี้ มันประกอบไปด้วยแก่นแท้สำคัญของพลังธาตุ ด้วยขนาดเพียงเล็บมือ ก็เพียงพอต่อการดำเนินกิจการของเมืองทั้งเมืองได้เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 1 ปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม อัญมณีที่อยู่ในมือขององค์ราชินี กลับมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับกำปั้น…

ในหัวใจของทั้งสองเต้นครึกโครม กลืนน้ำลายอึกๆ ด้วยความประหม่า

สองบิชอปกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ดันถูกหญิงในชุดเกราะรบขัดเสียก่อน

หญิงในเกราะรบกล่าว “สิ่งนี้ไม่สมควรจะขาย เพราะในการเคลื่อนย้ายมิติในโลกของพวกเราเองก็จำเป็นต้องใช้อัญมณีนี้เช่นกัน ตราบใดที่มีมัน อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยเปลี่ยนอุปกรณ์พลังงานของข่ายอาคมอำพรางในทุกๆ วัน”

“ว้าว มันสะดวกขนาดนั้นเชียวหรือ ก็ได้ งั้นไม่ขายแล้ว” ราชินีกล่าว

เธอโยนอัญมณีขนาดเท่ากำปั้นไปทางหญิงในชุดเกราะ ปากเอ่ยสั่ง “อีเลีย ด้วยสิ่งนี้เจ้าก็ไม่น่าจะต้องมามัวกังวลเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางอีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้ตัวเราจะรู้ตื่นขึ้นมาก็จริง แต่ความแข็งแกร่งของเรายังอ่อนด้อยนัก มันยังไม่เพียงพอต่อกระบวนการเคลื่อนย้ายผ่านโลก หากเกิดปัญหาขึ้นมา พลังของเราสามารถช่วยเหลือได้เพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น ขณะที่คนอื่นๆ คงมิแคล้วถูกกลืนลงในปากมอนสเตอร์มิติ”

“น้อมรับคำสั่ง ฝ่าบาทลอร่า ทางเราจะใช้มัน และตระเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม” อีเลียตอบรับ

ลอร่าพยักหน้าด้วยความพอใจ

เธอหันกลับมามองสองบิชอปประจำวิหารแห่งความรู้อีกครั้ง กล่าวด้วยความเสียใจ “ต้องขออภัยจริงๆ สิ่งนี้ไม่สามารถขายได้”

“แต่ว่านะ ถ้าเป็นก้อนที่เล็กกว่าละก็…”

เด็กสาวเอื้อมมือล้วงเข้าไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง และสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง

“เอ๊ะ? นี่มันช่างบังเอิญเสียจริง!”

สีหน้าของลอร่าเผยถึงความประหลาดใจ เด็กสาวดึงบางสิ่งบางอย่างออกมาจากในความว่างเปล่าอีกครั้ง

…และมันยังคงเป็นอัญมณีที่มีลักษณะเหมือนกันกับก้อนเดิม ทว่าคราวนี้กลับมีขนาดใหญ่กว่าถึงสองเท่า!

ดวงตาของบิชอปทั้งสองจ้องมันจนแทบจะถลน!

ภายนอกอาณาเขตหน้าใหม่

ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก

กู่ฉิงซานเฝ้ามองมนุษย์แสงเบื้องหน้า ก่อนจะสลับไปมองมอนสเตอร์มิติที่อยู่รอบๆ

“หากฉันกลายเป็นผู้ศรัทธา ฉันจะสามารถแก้ปัญหาในปัจจุบันนี้ได้หรือเปล่า?” เขาถาม

เพราะรอบตัวเขา เต็มไปด้วยมอนสเตอร์มิติ แต่บัดนี้พวกมันถูกหยุดไว้ด้วยร่างของมนุษย์แสง

อย่างไรก็ตาม คาดว่าอีกไม่นานการหยุดชะงักนี้ก็จะจบลง เพราะร่างมนุษย์แสงจะอยู่อีกแค่สามนาทีเท่านั้น แล้วเมื่อเวลามาถึง เขาก็จะตกลงสู่อันตรายอย่างแท้จริง

มนุษย์แสงเงียบ ไม่ยอมตอบคำถามของกู่ฉิงซาน

“ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สินะ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

มนุษย์แสงเอ่ยปาก “หากเจ้ากลายเป็นผู้ศรัทธา ข้าก็ยินดีตอบคำถามให้”

“ท่านเป็นเพียงแค่กฎเกณฑ์ที่ฉายออกมาไม่ใช่หรือ? แค่คำตอบเล็กๆ น้อยๆ นี่จะตอบให้หน่อยไม่ได้เลยหรือไง?”

“ … ”

“เอาเถอะ ก็ได้ งั้นฉันขอเลือกเป็นผู้ศรัทธาในวิหารแห่งชีวิตก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานปัดรำคาญ

มนุษย์แสง “เช่นนั้น นับจากนี้ไป เจ้าคือผู้ศรัทธาในเทพแห่งชีวิต จงเร่งออกจากที่นี่ไปยังโลกแห่งหมื่นพงไพรจากนั้นจงเข้าไปในวิหารแห่งชีวิต และใช้พลังของวิหาร จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสีย”

กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าว “งั้นตอนนี้ฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ศรัทธาในเทพแล้วใช่ไหม ดังนั้น ได้โปรดบอกวิธีการที่ฉันจะสามารถรอดจากสถานการณ์ในตอนนี้ไปได้อย่างปลอดภัยด้วยเถอะ”

มนุษย์แสงตอบ “หากไม่มีความช่วยเหลือจากยานพาหนะและเครื่องมือต่างๆ เพื่อใช้ในการซ่อนตัวแล้วละก็ มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเดินทางข้ามผ่านกระแสมิติอันเชี่ยวกรากภายในดินแดนชิงอำนาจได้อย่างปลอดภัย แม้ว่ามอนสเตอร์มิติที่อยู่ใกล้เคียงกับเจ้าในตอนนี้มันจะมิได้แข็งแกร่งนักก็ตามที แต่โปรดจงระลึกอยู่เสมอว่าท่ามกลางกระแสมิติ ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งพิเศษไม่ธรรมดา ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์บางตนนั้นเทียบเท่าได้กับกึ่งเทพ บางทีก็แข็งแกร่งยิ่งกว่า”

กู่ฉิงซานรับฟัง เอ่ยในสิ่งที่คิด “หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ถ้าฉันเปิดเผยตนว่าอยู่เพียงลำพังในกระแสมิตินี้ มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะตกตายถูกต้องไหม?”

“เจ้าเข้าใจได้ถูกต้องเกี่ยวกับคำตอบนี้ และจงจดจำไว้ให้ดี ว่าห้ามแพร่งพรายคำตอบออกไป” มนุษย์แสงย้ำเตือน

และมันก็กำลังจะจากไป แต่กลับเห็นแค่เพียงชายที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามถอนหายใจและพึมพำออกมาเสียก่อน “ถ้างั้น เข้าร่วมกับวิหารของท่านไปมันก็ไม่สามารถช่วยข้ามผ่านกระแสมิติอันเชี่ยวกรากได้อย่างอิสระอยู่ดีน่ะสิ เฮ้อ เทพวิญญาณช่างอ่อนแอเสียจริงๆ”

ว่าจบ ชายคนนั้นก็ตบหน้าผากตัวเอง และตัดสินใจว่า “ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ ถ้างั้นฉันขอถอนตัวจากการเป็นผู้ศรัทธาวิหารก็แล้วกัน!”

เขาเงยหน้าขึ้นมองมนุษย์แสง “แน่นอน ฉันจำได้ดีว่าบทลงโทษสำหรับการถอนตัวจากทวยเทพน่ะมีอยู่สองข้อ ข้อแรกคือไม่สามารถกลายเป็นผู้ศรัทธาได้อีกต่อไป ส่วนข้อที่สองคือถูกปฏิเสธโดยเทพทั้งเจ็ดใช่ไหม?”

มนุษย์แสงลังเลอยู่นานก่อนจะตอบ “ปกติแล้วข้าจะตอบเพียงคำถามเดียวแก่เจ้าเท่านั้น แต่ในเมื่อเจ้าจะถอนตัวทันทีที่เข้าร่วม และคำถามนี้ก็เกี่ยวข้องกับความศรัทธาโดยตรง ฉะนั้นข้าจึงจะขอตอบเจ้าว่า ใช่!”

“หากเจ้าถอนตัวออกจากทางคริสตจักร ตลอดทั้งชีวิตเจ้าจะไม่ได้รับคำสอนจากทวยเทพอีกเลย และเจ้าจะถูกปฏิเสธโดยเทพวิญญาณทั้งเจ็ด ผลพวงที่ตามมาคือ หากเจ้าตาย จิตวิญญาณของเจ้าจักต้องล่องลอยในความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุดไปตลอดกาล”

มนุษย์แสงกล่าวจบ มันก็เฝ้ามองชายตรงหน้าอย่างใกล้ชิด

ทว่ากลับเห็นแค่เพียงสีหน้าแสดงออกถึงความพอใจและกล่าว “ตามนั้นเลย ฉันขอถอนตัว”

“การกระทำดั่งถ่มน้ำลายใส่กันเช่นนี้ เจ้าไม่เกรงกลัวในเทพทั้งเจ็ดเลยกระนั้นหรือ?” มนุษย์แสงเอ่ยถาม

กู่ฉิงซานหรี่สองตาแคบลง สวนกลับไป “จะกลัวไปทำไม ไม่ใช่ว่าพวกเขาตายไปแล้วหรอกหรือ? หรือว่าแท้จริงแล้วยังไม่ตาย แต่แกล้งโกหกไปอย่างนั้นกันแน่?”

“…” มนุษย์แสง

………………………………….

ในดินแดนชิงอำนาจ

สิ่งมีชีวิตตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้นต่างแหงนหน้ามองมนุษย์แสงด้วยความกระตือรือร้น ทั้งหมดต่างไม่ยินดีที่จะละสายตาตนเองออกไปจากมัน

เพราะด้วย ‘ขอบเขต’ ของพวกเขา แน่นอนว่าย่อมสามารถมองเห็นได้ถึงแหล่งที่มาของกฎเกณฑ์แห่งโลกจากมนุษย์แสงเบื้องหน้านี้

เพียงได้จ้องมองมนุษย์แสง ทั้งหมดก็ราวกับได้รับถึงประสบการณ์ และความรู้อันเลอเลิศ ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์แสงยังกล่าวอีกว่า “หนทางสู่การเป็นเทพ”

บางคนมิอาจระงับความตื่นเต้นในจิตใจ เอ่ยตะโกนถามเสียงดัง “แล้วฉันจะกลายเป็นเทพวิญญาณได้อย่างไรกัน?”

มนุษย์แสงผายมือออก ในมือของมัน ปรากฏถึงสองลำแสงที่กำลังหมุนวน

หนึ่งคือแสงสีขาวที่เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ อีกหนึ่งเป็นแสงสีเขียวมรกต

ท่ามกลางสายตาของสิ่งมีชีวิตตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้น มนุษย์แสงก็เริ่มกล่าวต่อ

“ก่อนที่เทพทั้งเจ็ดจะจากไป พวกเขาได้ซ่อนพลังอันไร้ที่สิ้นสุดไว้ในระบบเทพสวรรค์และระบบชีวิต”

“และตอนนี้ สองระบบและพลังที่ว่านั่นก็ได้ถูกข้าดูดกลืนมาแล้วโดยสมบูรณ์”

“ด้วยพลังนี้ จักเพียงพอให้ข้าปลุกอำนาจของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหารทั้งเจ็ด!”

ระหว่างกล่าว มนุษย์แสงก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น

แล้วแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ก็ผสานไปกับแสงแห่งชีวิต แปรเปลี่ยนเป็นแสงเจ็ดสีที่แตกต่างกันออกไป บินหายเข้าไปในความว่างเปล่า

ในขณะเดียวกัน ภาพจากโลกทั้งเจ็ดใบก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทุกคน

แสงสีเขียวตกลงไปในหมื่นพงไพร

แสงสีฟ้าตกลงไปในห้วงทะเลลึก

แสงสีเทาตกลงไปในเกาะหมอกท่ามกลางทะเลแห่งความตาย

แสงสีขาวศักดิ์สิทธิ์ตกลงไปในเมืองแห่งทูตสวรรค์

แสงสีม่วงเข้มตกลงไปในเขตสงครามของเทพ

แสงสีทองสุกใสตกลงไปในหอคอยสูงแห่งอารยธรรม

แสงอันมืดมิดตกลงไปในถิ่นกันดารแห่งความตาย

แสงทั้งเจ็ดบินไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ และตกลงไปในวิหารของทั้งเจ็ดโลกอย่างรวดเร็ว

เปรี้ยง!

บังเกิดสายลมแรงอันไร้ที่สิ้นสุดกระพือขึ้นมาจากวิหารของทวยเทพทั้งเจ็ด

วิหารซึ่งแต่เดิมฟุ้งไปด้วยความเคร่งครัดและสงบ บัดนี้เริ่มสาดแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา

ในเวลานั้นเอง เสียงของมนุษย์แสงก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ตั้งแต่วันนี้ไป โลกสองร้อยล้านชั้นและสิ่งมีชีวิตทั้งมวล จะได้รับอนุญาตให้รับใช้เทพ”

“หากสรรพชีวิตตนใดมีความเชื่อในเทพวิญญาณอย่างแท้จริง พวกเขาจะสามารถสักการะหนึ่งในเจ็ดวิหารได้”

จากนั้น พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้ศรัทธาในทวยเทพ และจะได้รับคุณสมบัติใหม่ทั้งหมด

“ผู้ศรัทธาจะสามารถเข้าไปจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ตามความศรัทธาของตนเอง ในวิหารแห่งเทพทั้งเจ็ดได้”

“โดยอาศัยต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เหล่าผู้ศรัทธาก็จะได้รับวิธีการทีละขั้นทีละตอนเพื่อก้าวขึ้นไปสู่เทพ ค่อยๆ พัฒนาตนเองจนถึงขีดสุด และกลายเป็นกึ่งเทพที่น่าภาคภูมิใจของทุกชีวิต”

“เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครบางคนสามารถจุดประกายของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาบรรลุแล้วจนถึงขั้นกึ่งเทพ เขาก็จะได้รับ ‘ความลับ’ ไป”

“ความลับที่สามารถเปลี่ยนตนจากกึ่งเทพ ให้กลายเป็นเทพที่แท้จริง!”

“และแล้วเขาก็จะกลายเป็นเทพวิญญาณในที่สุด!” มนุษย์แสงกล่าวอย่างช้าๆ

คำพูดของมันน่าตกตะลึงเกินไป ตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้นพลันเงียบงัน จำต้องใช้เวลาสักพักเลยทีเดียวกว่าจะเกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

ในที่สุดมนุษย์แสงก็กล่าวต่อ “ศรัทธาคือสิ่งที่มาจากความปรารถนาที่อยู่ลงไปลึกสุดในจิตใจ  เทพวิญญาณจะไม่ยอมรับหัวใจที่โอนอ่อนไปๆ มาๆ ดังนั้นเหล่าผู้ที่ยังมิได้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้าจึงมีเวลาเพียงสามนาทีเท่านั้น ที่จะตัดสินใจเลือกว่าเทพองค์ใดที่ตนสมควรน้อมสักการะ”

“หากลุแล้วซึ่งสามนาที แต่เจ้ายังมิได้เลือกเทพที่ศรัทธา เจ้าก็จะสูญสิ้นคุณสมบัติที่จะกลายเป็นผู้ศรัทธาไปตลอดกาล”

“หมายความว่าเจ้าจะไม่สามารถจุดประกายของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้”

“หนทางสู่การเป็นเทพของเจ้าจะถูกปิดผนึกไปตลอดกาล”

“ในทางตรงกันข้าม หากเจ้าเลือกเทพประจำตนได้แล้ว ในฐานะผู้ศรัทธา พวกเจ้าก็จะได้รับรางวัลพิเศษ นั่นก็คือ…ผู้ศรัทธาทุกคนจะสามารถเอ่ยถามคำถามจากข้าได้ แต่ในโลกสองร้อยล้านชั้น ในดินแดนชิงอำนาจ เจ็ดเทพได้บัญญัติกฎข้อหนึ่งขึ้น ซึ่งกฎที่ว่านั่นก็คือ ไม่ว่าใครก็จะไม่สามารถบอกออกมาได้ว่าพวกเขาได้รับคำตอบอะไรไป มิฉะนั้นจะถูกสังหารลงโดยคำสาปของเจ็ดเทพ”

“ตอนนี้ พวกเจ้าสามารถเริ่มเลือกเทพที่เจ้าต้องการจะสักการะได้แล้ว”

“จดจำไว้ให้ดี ว่ามีเวลาเพียงสามนาทีเท่านั้น”

หลังจากที่อธิบายจบ มนุษย์แสงก็เงียบไป

โดยเบื้องหลังเขา ภาพฉายของวิหารทั้งเจ็ดยังคงลอยล่อง มิเคยจางหายไป

มนุษย์แสงลอยตัวอยู่เบื้องหน้าทุกสิ่งมีชีวิตอย่างเงียบๆ เฝ้ารอให้ทั้งหมดทำการเลือกสรร

‘จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์’

‘บรรลุเป็นกึ่งเทพ’

‘ล่วงรู้ถึงความลับในการก้าวเป็นเทพ’

‘ได้รับการแถลงไขข้อข้องใจ แต่ว่าจะต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของเหล่าทวยเทพ’

ซึ่งอันที่จริง ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดในเบื้องต้นที่ได้กล่าวมา ก็ล้วนมากพอแล้วที่จะกระตุ้นความสนใจจากทุกตัวตนที่แข็งแกร่ง

ปัจจุบัน เหตุการณ์เหล่านี้ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกันเบื้องหน้าสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในโลกสองร้อยล้านชั้น!

ทุกชีวิตต่างถูกจับโยนลงมาให้เลือก

เค่อเอ๋อกับแอนนายืนอยู่ในความว่างเปล่า เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

“แล้วในฐานะที่เราเป็นผู้ศรัทธาอยู่ก่อนแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะยังคงสามารถเอ่ยถามท่านได้ใช่หรือไม่?” เค่อเอ๋อเอ่ยถาม

มนุษย์แสง “ทุกชีวิตจะได้รับสิทธิ์นี้ ข้าจะตอบคำถามของพวกเจ้าแต่ละคน อย่างไรก็ตาม จงจดจำเอาไว้ให้ดีว่าตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้นนี้ มันได้ถูกปกคลุมไปด้วยกฎและคำสาปของเทพทั้งเจ็ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นจงอย่าแพร่งพรายคำตอบของตัวเองออกไป มิฉะนั้นเจ้าจะต้องตาย”

“อืม เข้าใจแล้ว”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

สองสาวพยักหน้าพร้อมกัน

มนุษย์แสง “หากเจ้าหวั่นเกรงว่าผู้อื่นจะได้ยินคำถามของเจ้า ก็จงเอ่ยถามมันในจิตใจ และข้าจะเป็นคนตอบให้เอง”

สองสาวตริตรองอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับเรื่องนี้

ด้วยกฎของทวยเทพ เขาจะตอบคำถามให้แก่ผู้ศรัทธาในตนเอง

ว่าแต่คำถามอะไรกันหนอ ที่พวกเธออยากจะถามออกไป?

ในอาณาเขตโลกใหม่

“ยอดไปเลย! โชคดีจริงๆ ที่ไม่ต้องมาติดแหง็กอยู่ในที่บ้าๆ แบบนี้อีกต่อไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอเลือกวิหารแห่งโชคชะตา!” หน้าใหม่คนหนึ่งที่มีกรีนการ์ดตะโกนเสียงดัง

มนุษย์แสงที่ลอยอยู่เบื้องหน้าเขา “วิหารแห่งโชคชะตา นั่นคือตัวเลือกของเจ้าใช่หรือไม่?”

“ใช่ ฉันเลือกวิหารแห่งโชคชะตา!” หน้าใหม่คนนั้นกัดฟันกล่าว

มนุษย์แสง “เช่นนั้น นับจากนี้ไป เจ้าคือผู้ศรัทธาในเทพแห่งโชคชะตา จงรีบไปยังโลกของเกาะหมอก จากนั้นก็จงเข้าไปในวิหารแห่งโชคชะตา และใช้พลังของวิหาร จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสีย”

หน้าใหม่เอ่ยถามด้วยความสงสัย “แล้วมันยากลำบากมากหรือไม่?”

มนุษย์แสงมิเอ่ยปากตอบ แต่ส่งเสียงไปในจิตใจของอีกฝ่ายโดยตรงแทน “ใช่ นี่เป็นขั้นตอนแรกที่จำเป็น เป็นขั้นตอนที่เรียกว่าการแสวงบุญ”

“จงจดจำเอาไว้ให้ดี แม้คำตอบนี้จะเรียบง่าย แต่เจ้าจะต้องไม่บอกมันแก่ผู้ใด”

ว่าจบ มนุษย์แสงก็หายไปจากเบื้องหน้าเขา

หน้าใหม่คนนั้นนิ่งงันไป จำต้องใช้เวลาอยู่สักพัก ปากเอ่ยพึมพำ “เอ…ทำไมถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดไปกันนะ?”

เป็นเวลานาน ทันใดนั้นหน้าใหม่ก็เริ่มตอบสนอง เขาตะโกนเสียงดัง “ช้าก่อน ท่านจะต้องตอบคำถามข้าก่อนแล้วจึงค่อยจากไปไม่ใช่หรือ!?”

ข้างๆ กันกับเขา เหล่าสหายต่างมองหน้าใหม่คนแรก อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจ

เจ้าบ้า ก็แกเผลอหลุดปากถามคำถามโง่ๆ นั่นไปแล้วไม่ใช่รึไง!

เพื่อนๆ ที่อยู่ข้างๆ สงบใจลง และเอ่ยกับมนุษย์แสงที่อยู่ตรงหน้า “ท่านเทพที่เคารพ ฉันเลือกที่จะรับใช้เทพแห่งชีวิต”

“นั่นคือการตัดสินใจสุดท้ายของเจ้าใช่หรือไม่?”

“ใช่”

“เช่นนั้น นับจากนี้ไป เจ้าคือผู้ศรัทธาในเทพแห่งชีวิต จงเร่งออกจากที่นี่ไปยังโลกแห่งหมื่นพงไพรจากนั้นจงเข้าไปในวิหารแห่งชีวิต และใช้พลังของวิหาร จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสีย”

“ฉันเข้าใจแล้วท่านเทพที่เคารพ เช่นนั้นสามารถเอ่ยคำถามเลยจะได้หรือไม่?”

“ย่อมสามารถ”

“สิ่งที่ฉันอยากจะถามก็คือ…”

สามนาทีได้ผ่านพ้นไป

ท่ามกลางโลกสองร้อยล้านชั้น

ภายในโลกนับพันล้าน

เกือบทุกชีวิตต่างขบคิด เลือกเทพที่ศรัทธา แล้วตั้งคำถาม

ภายในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง

ทุกชนิดของมอนสเตอร์ที่โดยปกติแล้วมักจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืด บัดนี้ไม่สามารถปกปิดรูปลักษณ์อันน่าหวาดหวั่นของพวกมันเอาไว้ได้อีกต่อไป

เนื่องจากเบื้องหน้าของพวกมัน ปรากฏถึงมนุษย์แสงที่สาดประกายสว่าง สลายความมืดมิดไป

มอนสเตอร์ทุกตัวล้วนมีสติปัญญา ดังนั้นพวกมันจึงกำลังพิจารณาในตัวเลือก

ลึกเข้าไปในถ้ำใต้ดิน

ปรากฏให้เห็นถึงมนุษย์คนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในพื้นที่โล่งกว้าง

เขาคือชายที่สวมใส่แจ็คเก็ตหนังสีดำ ถุงมือที่ใส่ก็ยังเป็นสีดำ กุมมีดสั้นไว้ในสองมือ และคาบไพ่ใบหน้าไว้ในปากของเขา

ลักษณะของชายผู้นี้ คล้ายกับข้ามผ่านมาแล้วซึ่งทุกประสบการณ์อันหลากหลาย ผ่านพ้นมาแล้วซึ่งทุกชนิดของความเจ็บปวด

โดยข้างกายเขา มีกิ้งก่าเกล็ดเขียวตัวหนึ่งกำลังคืบคลานอยู่

“เจ้าหนูหยิงฮ่าว ข้าไม่คิดฝันเลยว่าเจ้าจะได้รับโอกาสเช่นนี้” กิ้งก่ากล่าวด้วยอารมณ์

ชายคนนั้นเก็บมีดสั้นของเขา และหยิบไพ่ที่คาบในปากออกมา เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างระมัดระวัง

“ฮะฮ่า! หนทางสู่การเป็นเทพอย่างนั้นหรือ? ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ฉันควรจะเลือกวิหารอะไรดีนะ ถึงจะเหมาะสมกับการพัฒนาของฉัน”

ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างช้าๆ

แต่ระหว่างที่ตนกำลังสงสัย กลับเห็นแค่เพียงประกายวาบจากมนุษย์แสงเบื้องหน้า โถมเข้าตรึงร่างของเขาอย่างกะทันหัน

“เฮ้ๆ จะทำอะไรน่ะ ฉันยังไม่ทันจะได้เลือกเทพที่ศรัทธาเลยนะ!” ซางหยิงฮ่าวถามสวนกลับไป

ระหว่างถาม ประกายที่ห่อหุ้มกายเขาก็ถูกเรียกกลับคืน

มนุษย์แสงส่งเสียงผ่านเข้าไปในจิตใจของเขา “เจ้าเป็นผู้ใช้ไพ่ประเภทลอบสังหาร ดังนั้นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดคือวิหารแห่งความตายและวิหารแห่งความลับ”

ซางหยิงฮ่าวนิ่งงันไปทันใด

กลับกลายเป็นว่าเมื่อครู่คือคำถาม และมนุษย์แสงก็ได้ตอบคำถามเขาไปซะแล้ว

ซางหยิงฮ่าวแทบจะไม่เสียเวลาคิดเลย เขาเอ่ยปาก

“…ฉันเคยเห็นความตายมามากเกินไปแล้ว ฉะนั้นฉันขอเลือกวิหารแห่งความลึกลับ”

………………………………….

วิหารสักการะเทพทั้งเจ็ดพังทลายลงอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งอย่างแปรสภาพเป็นอนุภาคเล็กๆ ละเอียดคล้ายกับเม็ดทราย และในพริบตามันก็กระจัดกระจายเป็นหมอกสีเทา

เวลานี้ ใจกลางดินแดนชิงอำนาจได้คละคลุ้งไปด้วยหมอกสีเทา

ซึ่งแม้จะปรากฏขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ฉากนี้ก็ถูกซ่อนเอาไว้ชั่วคราว มิได้ถูกสังเกตเห็นโดยสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในทันที

แอนนากับซูเค่อเอ๋อยืนอยู่ท่ามกลางหมอกหนา เฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ

“มันจะเป็นคำทำนายแบบไหนกันนะ?” แอนนาอดไม่ได้ที่จะถาม

“หนูเองก็สนใจเหมือนกัน เพราะท้ายที่สุดนี้ อย่างไรเสีย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาส่วนใหญ่จะสามารถมาเห็นด้วยตาตัวเองได้” เค่อเอ๋อกล่าว

และไม่ปล่อยให้ทั้งสองต้องรอนานจนเกินไป

ในตอนแรก แม้โดยรอบมันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สักพัก หมอกสีเทาก็เริ่มเกาะกลุ่ม รวมกันก่อตัวเป็นรูปร่างของมนุษย์…ร่างมนุษย์นี้ดูเหมือนกับเปลือกที่ว่างเปล่า มิแตกต่างไปจากแม่พิมพ์

เปลือกมนุษย์ค่อยๆ ดูดซับหมอกสีเทาทั้งหมด ยิ่งดูดนาน ตามตัวของมันก็เริ่มสาดประกายแสงเจิดจ้า

จากนั้น เสียงของมันก็ก้องกังวานขึ้น

“สิ่งที่เกิดขึ้นในคำทำนาย นั่นคือการล่มสลายของภายนอกดินแดนชิงอำนาจที่กำลังจะมาถึง”

“และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อกร หากต้องพึ่งพาพลังของผู้ศรัทธาเพียงอย่างเดียว”

มนุษย์แสงผายมือออก และชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า

“นั่นมันกำลังจะทำอะไรน่ะ? ดูไม่เหมือนกับกำลังบอกคำทำนายอยู่เลย?” แอนนาถามอย่างรวดเร็ว

เค่อเอ๋อรีบตอบกลับมา “หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางทีนี้อาจจะเป็นเพราะภัยพิบัติได้มาถึงแล้ว ดังนั้นเทพวิญญาณเลยทำการกระตุ้นบางอย่างที่พวกเขาเคยจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าหรือเปล่า?”

ทว่าวินาทีต่อมา สีหน้าของทั้งสองก็แปรเปลี่ยนไป

ได้ยินถึงเสียงของมนุษย์แสงกล่าวอีกครั้ง

“ภัยพิบัติจะต้องได้รับการแก้ไขในทันที มิฉะนั้นแล้ว หากสายเกินไป โลกเก้าร้อนล้านชั้นจะไม่อาจมีวิธีใดต้านทานมันได้อีกเลย”

“ตามกลยุทธ์ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ขอทำการอัญเชิญเทพทั้งเจ็ดกลับมาอีกครั้ง”

ในมือของมนุษย์แสง บังเกิดประกายระยิบระยับเปล่งออกมาออกมา แทรกซึมเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า และยิงมันหายเข้าไปในระยะทางอันไร้ที่สิ้นสุด

ลำแสงนี้เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ แข็งกล้า น่าเคารพ และนอบน้อม กระทั่งแอนนากับซูเค่อเอ๋อที่เคยข้ามผ่านประสบการณ์อันหลากหลายมามากมาย ก็ยังแทบมิอาจฝืนยืนไหว จำต้องคุกเข่าลงต่อหน้าแสงนี้

แอนนากลั้นหายใจ ปากเปล่งเสียงกระซิบ “อย่างที่เธอเดาเอาไว้เลย ทวยเทพได้จัดเตรียมวิธีการบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้าจริงๆ”

เค่อเอ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้วิญญาณ “แต่หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันจะถึงขั้นเป็นการอัญเชิญเทพทั้งเจ็ดกลับมา!”

“ทำไมล่ะ นั่นมันเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ? เพราะถ้าทวยเทพกลับมา พวกเขาจะได้นำพาทุกสรรพชีวิตเข้าต่อกรกับภัยพิบัติไง” แอนนาพูดด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่แบบนั้น เพราะในบันทึกของพวกเรา…” เค่อเอ๋อเอ่ยไปเพียงครึ่งประโยคโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ค้นพบได้อย่างทันท่วงทีว่าตนเองพูดมากเกินไป เด็กสาวจึงหุบปากลงทันที

“โปรดจงหวนกลับมา” มนุษย์แสงถอนหายใจยาว

แสงจรัสแทรกซึมเข้าไปในความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด จากนั้นก็เฝ้ารออยู่นานหลายสิบลมหายใจ

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากเสาแสงที่งดงามนี้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย

ไร้ซึ่งการมาเยือนของเทพวิญญาณ

สักพักหนึ่ง มนุษย์แสงก็ลดมือของตนลง และเสาแสงที่ตัดผ่านผืนฟ้าก็กระจัดกระจายไปทันที

ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ในเวลานี้คล้ายกับว่ามนุษย์แสงจะดูอ้างว้างเป็นพิเศษ

มันลดระดับลงอย่างเงียบๆ ลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของแอนนาและเค่อเอ๋อ คล้ายกับกำลังพินิจสาวทั้งสอง

สองสาวโค้งคำนับพร้อมกัน

เค่อเอ๋อคำนับตามขนบของเทพแห่งโชคชะตา ส่วนแอนนาคำนับตามหลักคำสอนของเทพแห่งความตาย

นี่คือสิ่งที่ผู้ศรัทธาพึงกระทำ ยามอยู่ต่อหน้าทวยเทพ

มนุษย์แสงพยักหน้าเล็กน้อย

“วันเวลาได้ผ่านพ้นไปนานเกินไปแล้วหรือไร เหตุใดผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าจึงมีเพียงผู้ศรัทธาในโชคชะตาและความตายเท่านั้น?”

มันยกมือขึ้นทันที และสองหมอกสีเทาก็ลอยไปตกลงในมือของแอนนาและเค่อเอ๋อ

“ในฐานะที่พวกเจ้ามีความพยายามที่จะปลุกเทพวิญญาณ และช่วงเวลาสุดท้ายของทุกสิ่งมีชีวิตได้มาถึงแล้ว เจ็ดเทพจึงได้เตรียมของขวัญเอาไว้ให้ เป็นสิ่งตอบแทนในการอัญเชิญพวกเขา”

ทันใดนั้นเอง กลุ่มหมอกสีเทาทั้งสองก็แปรสภาพเป็นหนังสือ

หนึ่งเป็นหนังสือปกสีขาวบริสุทธิ์ อีกหนึ่งเป็นหนังสือปกสีดำ

หนังสือปกขาวบริสุทธิ์บินไปข้างหน้าเค่อเอ๋อ

และแน่นอน ว่าปกดำย่อมตกลงเบื้องหน้าแอนนา

มนุษย์แสงกล่าว “นี่คือหนังสือแห่งโชคชะตาและความตาย ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเคารพรักมัน และเรียนรู้จากมันเช่นเดียวกันกับที่น้อมนำตามหลักคำสอนของเทพวิญญาณ”

ซูเค่อเอ๋อเม้มริมฝีปากของเธอแน่น และโค้งคำนับด้วยความเคารพอีกครั้ง โดยไม่เอ่ยสิ่งใด

แต่ทางแอนนา เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “แล้วเทพทั้งเจ็ดองค์ล่ะ? ถูกอัญเชิญแล้วทำไมถึงไม่ปรากฏตัวออกมา?”

เค่อเอ๋อดึงแขนเสื้อเธอ ปากเปล่งเสียงกระซิบ “มนุษย์แสงคือสัญลักษณ์ของกฎเกณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยอำนาจของทวยเทพ  มันอาจจะไม่สามารถตอบคำถามของคุณได้ก็ได้นะ”

แต่แท้จริงมนุษย์แสงกลับนิ่งงันไปครู่

จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน “เทพวิญญาณทั้งเจ็ดไม่ตอบสนองต่อการอัญเชิญในครานี้”

“ซึ่งเป็นไปได้มากทีเดียว ว่าพวกท่านอาจร่วงโรย ตกตายลงไปแล้ว”

“ในช่วงเวลาที่รัศมีแห่งทวยเทพมืดมนจนถึงขีดสุด แต่ความชั่วร้ายกลับเติบใหญ่และเริ่มเหิมเกริม”

“ดังนั้นตอนนี้ ข้าจึงจำต้องงัดกลยุทธ์สุดท้ายออกมา เพื่อเป็นการต่อสู้ล้างแค้นให้แก่เทพทั้งเจ็ด ที่ตระเตรียมการเอาไว้ในกรณีที่พวกเขาตายลง”

มนุษย์แสงกล่าว มันยกมือขึ้น ยิงลำแสงไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง โลกกว่าสองร้อยล้านชั้นก็พลันรับรู้ได้ถึงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ที่หลุดรอดออกมาจากใจกลางดินแดนชิงอำนาจ

ภาพฉายของมนุษย์แสงปรากฏขึ้นทั่วทุกมุมโลก

ข้ามผ่านตลอดทั้งสองร้ยล้านชั้น มันปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกสิ่งมีชีวิตในเวลาเดียวกัน นี่เกือบจะเป็นอำนาจระดับเดียวกันกับทวยเทพ!

ไม่ต้องกล่าวถึงอำนาจเทวะทั้งเจ็ดชนิดที่กำลังไสวไปมาตลอดเวลาจากบนตัวของมนุษย์แสง

ท่ามกลางโลกนับไม่ถ้วน ผู้คนต่างพากันคุกเข่าลง แสดงถึงความเคารพ

มนุษย์แสงลอยล่องอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ คล้ายกับกำลังพินิจถึงทุกสิ่งมีชีวิตในโลกสองร้อยล้านชั้น

มันเอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหัน “สิ่งมีชีวิตนับพันล้านเอ๋ย จงตั้งใจฟังให้ดี”

“เทพทั้งเจ็ดได้ตายลงไปแล้ว”

“ช่วงเวลาสุดท้ายของทุกสรรพชีวิตกำลังจะมาเยือน”

“นับจากช่วงเวลานี้ไป ระบบของเทพสวรรค์และระบบชีวิตจะถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์!”

ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย

ในช่วงที่แอนนาเพิ่งเข้าไปในวิหารสักการะของเจ็ดเทพ

เช่นเดียวกันในดินแดนชิงอำนาจ อาณาเขตของหน้าใหม่

บนเนินเขาสูง

ทุกชนิดของเสียงสายลมที่พัดกระพือจากการระเบิดเทคนิคดาบ สะท้อนไปตลอดทั้งเขาชัน ดังก้องขึ้นมาถึงหอคอย ทะลุขึ้นไปถึงชั้นฟ้า

กู่ฉิงซานในชุดเกราะดำ และหน้ากากเกราะทองยืนอยู่ตรงขอบหอคอยปราการ เฝ้ามองดูเบื้องล่างอย่างเงียบๆ

ดาบขุนเขาเทวะและเช่าหยินวิ่งฝ่าฝูงแกะไปอย่างรวดเร็ว และบางครั้งก็ระเบิดเทคนิคลับแห่งดาบอันทรงพลังออกมา

หลังจากนั้นไม่นาน ในระยะที่ไกลออกไป สองดาบก็ได้สังหารปีศาจแกะดำทั้งฝูงที่อยู่บริเวณโดยรอบจนสิ้น อาศัยประโยชน์จากช่องว่างในช่วงเวลาที่ดาบบินลอยไปไกล กลุ่มปีศาจแกะดำที่แข็งแกร่งก็เริ่มปีนป่ายขึ้นมาจนถึงประตูหอคอย

กู่ฉิงซานยกมือขึ้น เอื้อมคว้าลูกศร วางมันลง ดึงสาย และยิงออกไป

ฟิ้ว!

ลูกศรถูกผละออก ทิ่มเข้าไปในดวงตาของแกะดำ เจาะเข้าไปถึงส่วนลึกของกะโหลกมันโดยตรง

กระทั่งเสียงกรีดร้องน่าสังเวชก็ยังไม่ทันจะได้เปล่งออกมา ปีศาจแกะดำตนนั้นได้สิ้นใจทันที

…เพลงธนู ร้อยก้าวผ่านหยาง!

นี่คือสกิลธนูของกู่ฉิงซานที่ถูกลืมเลือนไปแล้ว ทว่าหลังจากที่ได้เรียนรู้สกิลธนูจากโลกเทวะและโลกล่องเวหา เขาก็สามารถกลับมาเข้าใจมันได้อีกครั้ง

ปีศาจแกะดำอีกหลายตนฉวยจังหวะนี้ เร่งความเร็วขึ้น กระโจนสูง พยายามจะโจมตีหอคอยให้แตกพ่ายในคราเดียว

กู่ฉิงซานคว้าลูกศรมาแนบกับคันธนูอย่างรวดเร็ว

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

ยิงต่อเนื่อง!

โผล๊ะ!

ศรมากมายแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา ระดมยิงเข้าใส่ปีศาจแกะดำที่อยู่บนพื้นดิน

บนท้องฟ้าไกล ดาบขุนเขาเทวะเปลี่ยนร่างเป็นฉานนู่ คว้าจับดาบเช่าหยิน

ในเสี้ยววินาที ฉานนู่ก็หายวับไป

เธอปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนหอคอยปราการ ยืนอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน

สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

“นายน้อย เมื่อครู่ดูเหมือนข้าจะสนุกมือเกินไปหน่อย เลยไม่ทันหันหลังกลับมามองสถานการณ์ทางฝั่งท่าน” ฉานนู่กล่าวด้วยความอับอาย

“แค่เรื่องเล็กน้อยน่า เจ้าเองก็ไม่ได้ต่อสู้อย่างหนักมาเป็นเวลานานแล้วนี่ ดังนั้นนานๆ ที ไปอาบเลือดของศัตรูจนท่วมมันก็ดีเหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

เขาเก็บคันธนูและลูกศร

“พวกเราควรจะไปกันได้แล้ว” เขากล่าว

ฉานนู่อุทานด้วยความสุข “มันเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”

“อืม ข้าตระหนักได้ว่าระบบกำลังถูกดาวน์โหลดอยู่” กู่ฉิงซานพยักหน้า

ในสายตาของเขา หน้าต่างสีเขียวที่ส่อกลิ่นอายอำนาจของชีวิตค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้น

บรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏบนหน้าต่างเขียว

“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้รับความสนใจจากระบบ”

“จากนี้ไป ระบบจะพาคุณข้ามผ่านสามพันหกร้อยล้านโลก ส่งไปยังสถานที่แรกเริ่มแห่งการวิวัฒนาการของระบบชีวิต”

“คุณยินดีที่จะติดตั้งระบบนี้ และเดินทางไปพร้อมกับระบบหรือไม่?” ระบบเอ่ยถามในที่สุด

กู่ฉิงซาน “ฉันยินดี”

ด้วยคำพูดของเขา ม่านแสงสีเขียวพลันห่อหุ้มรอบกาย สาดประกายกะพริบไหวในเสี้ยววินาที

แล้วกู่ฉิงซานก็หายตัวไปจากอาณาเขตหน้าใหม่

ทั้งตัวถูกห่อหุ้มด้วยชั้นแสงสีเขียว พลังงานบางอย่างฉุดดึงเขาข้ามโลกนับไม่ถ้วนในกระแสมิติอันเชี่ยวกราก

สำหรับกระแสมิติในดินแดนชิงอำนาจ หากเปรียบเทียบกับกระแสมิติในโลกกระจัดกระจายแล้ว บอกได้เลยว่าแตกต่างกันดั่งหน้ามือกับหลังเท้า

เพราะภายในกระแสมิติของดินแดนชิงอำนาจ มันเต็มไปด้วยการดำรงอยู่อันแปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน

มอนสเตอร์ทุกชนิดในมิติ บางตนถึงขั้นครอบครองพื้นที่มิติบางส่วนเป็นของตนเอง บางตนก็คอยดักรอบนเส้นทางเข้าสู่โลกบางแห่ง

กู่ฉิงซานเห็นถึงมอนสเตอร์ที่มีขนาดใหญ่โตกว่าเรือใบของทางสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงหลายเท่าตัว มันกำลังบินอย่างสบายใจเฉิบในความว่างเปล่า

ระหว่างกำลังโผบิน มอนสเตอร์ตัวนั้นก็คอยเหยียดแขนทั้งหกของมันออกไปพลางๆ ยืดออกไปคว้าจับมอนสเตอร์และยานบินที่เชื่องช้าเกินกว่าจะหลบหนี จับโยนเข้าปากตน

กู่ฉิงซานพยายามทำการรับรู้ถึงกลิ่นอายของมอนสเตอร์ตัวนั้น

ดูเหมือนว่ามันจะแกร่งยิ่งกว่าตัวเขาหลายเท่านัก

อีกอย่าง เห็นได้ชัดว่ายานอวกาศเมื่อครู่น่ะเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ระหว่างเดินทาง มอนสเตอร์ตนนั้นกลับเร็วยิ่งกว่า มันคว้าจับพวกเขาและกลืนกินไปเลยโดยตรง

มองจากท่าทีของมอนสเตอร์หกแขน ดูมันจะมีความสุขมากทีเดียว

เนื่องจากรูปร่างภายนอกของมันทำมาจากโลหะ ประจวบกับแขนทั้งหกข้าง ทำให้ตัวมันแลดูคล้ายกับแมงมุมเหล็ก

บางทีอาจเป็นเพราะมันได้กลืนกินอารยธรรมจากโลกด้านเทคโนโลยีเข้าไปมากมาย จนร่างกายแปรสภาพเป็นแบบนั้นก็เป็นได้

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูมันอย่างเงียบๆ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

มอนสเตอร์ในมิติที่ว่างเปล่าพวกนี้ มักจะปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตที่เดินทางผ่านโลกเป็นอาหาร ภายในกระแสมิติจึงเปรียบดั่งสนามล่าของพวกมัน

โชคยังดีที่ตนเองได้รับการปกป้องจากระบบ มิฉะนั้นแล้วสำหรับหน้าใหม่ มันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะเดินทางผ่านกระแสมิติในดินแดนชิงอำนาจ

ทว่าเมื่อเดินทางมาได้ถึงจุดหนึ่ง จู่ๆ กู่ฉิงซานก็คล้ายถูกแรงกดดันบางอย่าง โถมทับเข้าใส่อย่างฉับพลัน

มันเป็นความรู้สึกวิกฤตอันมิอาจอธิบายได้

มันเป็นสัมผัสเดียวกันกับความรู้สึกที่มักจะตระหนักได้ก่อนจะถึงฆาต!

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาแตะบนหน้าผาก

สัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นที่ผุดมาไม่หยุดหย่อน

ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะติดตามระบบชีวิตไปยังโลกอื่น แล้วทำไมการรับรู้ทางจิตวิญญาณ[1] มันถึงได้เกิดขึ้นในเวลานี้กัน?

แต่เขาไม่มีเวลาจะทันได้คิดเกี่ยวกับมัน แถบตัวอักษรสีแดงเลือดก็ปรากฏขึ้นในสายตา

นี่คือการแจ้งเตือนฉุกเฉินของหน้าต่างเทพสงคราม

“โปรดทราบ ระบบชีวิตกำลังพังทลายลง”

กู่ฉิงซานเบิกตากว้าง

เขาไม่มีเวลาจะได้เอ่ยถาม เพียงได้ยินถึงเสียงเสียดแหลมอย่างรุนแรงในหูของตนเท่านั้น

ปัง!

ชั้นแสงสีเขียวที่คอยห่อหุ้มรอบตัวเขาได้สลายไป

กู่ฉิงซานพบว่าร่างอันไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ ของเขาลอยเคว้งอยู่ในกระแสมิติที่ว่างเปล่า

มอนสเตอร์มากมายสังเกตเห็นเขาในทันที

“ท่าไม่ดีแล้ว!”

กู่ฉิงซานกรีดร้องอย่างลับๆ

เมื่อมาถึงจุดนี้ เข้าก็สามารถเข้าใจถึงมันได้โดยสมบูรณ์

ว่านี่คงจะเป็นโทษทัณฑ์แรกของตนในขอบเขตพันวิบัติ!

เขากำลังจะตอบโต้ แต่กลับพบว่าพวกมอนสเตอร์มิได้ถลาเข้ามา

กู่ฉิงซานงง

แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นว่ามีร่างเรืองแสงปรากฏขึ้นต่อหน้ามอนสเตอร์เหล่านั้น

ทุกชนิดของมอนสเตอร์ต่างสั่นกลัว ก้มหน้างันงก

และเบื้องหน้าเขา ก็ปรากฏร่างเรืองแสงที่ว่าขึ้นเช่นกัน

มนุษย์แสงที่ครอบครองพลังแห่งทวยเทพ อำนาจที่มิอาจมีผู้ใดเทียบเทียมได้

หลังจากนั้น มนุษย์แสงก็เอ่ยปาก

“สิ่งมีชีวิตนับพันล้านเอ๋ย จงตั้งใจฟังให้ดี”

“เทพทั้งเจ็ดได้ตายลงไปแล้ว”

“ช่วงเวลาสุดท้ายของทุกสรรพชีวิตกำลังจะมาเยือน”

“นับจากช่วงเวลานี้ไป ระบบของเทพสวรรค์และระบบชีวิตจะถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์!”

“ทวยเทพทรงสร้างอำนาจแห่งสองระบบขึ้น และอำนาจทั้งสองที่ว่านั่น ปัจจุบันทั้งหมดได้ตกอยู่ในมือของข้าแล้ว”

“ด้วยอำนาจแห่งเทพทั้งเจ็ดจากโบราณกาลนี้ มันจะช่วยเปิดหนทางใหม่ในการต่อสู้กับความชั่วร้ายสำหรับทุกสิ่งมีชีวิต”

“นี่คือการแก้แค้นของเทพทั้งเจ็ด และยังเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเจ้าอีกด้วย”

“โอกาสที่ว่านั่นก็คือ…”

“หนทางสู่การเป็นเทพ!”

………………………………….

[1] ลางสังหรณ์

แอนนากระโจนเข้ามาในถ้ำมืด

เธอกำลังจะโบกสะบัดเคียวที่ลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงสีดำ แต่ก็ต้องชะงักลง ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าอย่างกะทันหัน

เพราะเด็กสาวตัวน้อยจากคริสตจักรแห่งโชคชะตา ยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยสองตาหลับสนิทดังเดิม ไร้ซึ่งร่องรอยของบาดแผลใดๆ

“ซิสเตอร์แอนนา ดูคุณจะตกใจไม่น้อยเลยนะ” เด็กสาวหัวเราะ

ข้างๆ เธอ คือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่กำลังแผ่กลิ่นอายลางไม่ดีอย่างรุนแรงออกมา

มันเป็นหมียักษ์…หมียักษ์ที่ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทา

ซึ่งเมื่อครู่นี้ภายนอกถ้ำมืด ก็เป็นกลิ่นอายจากตัวมันนี่แหละ ที่กดดันทุกคน

หมียักษ์สีเทามีขนาดความสูงเทียบเท่ากับตึกห้าชั้น แต่ตอนนี้มันกำลังนอนหมอบอยู่กับพื้น ส่งผลให้มีความสูงอยู่แค่ตึกสองชั้นเท่านั้น

และมอนสเตอร์ประหลาดเช่นนี้ แท้จริงแล้วกำลังนอนลงอย่างว่าง่ายอยู่ข้างกายของเด็กสาว

เด็กสาวเอื้อมมือน้อยๆ ไปสัมผัสลงบนหัวของหมียักษ์ สองตาของมันหยีแคบลง แสดงออกถึงความพอใจ

เวลานี้ คล้ายกับว่าหมียักษ์กำลังค่อยๆ ผล็อยหลับไป

“เจ้าสิ่งนี้เธอเป็นคนอัญเชิญมันขึ้นมาอย่างนั้นหรือ? ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะด้วยความแข็งแกร่งของเธอ มันไม่น่าจะสามารถสร้างรอยแยกมิติในวิหารของเจ็ดเทพได้” แอนนาพูดในสิ่งที่คิด

“หนูรู้ดีว่าซิสเตอร์แอนนาน่ะแตกต่างจากพวกขยะเหล่านั้น” สาวน้อยกล่าวด้วยความสุข “แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของความงาม แต่ยังเป็นจิตใจที่แข็งแกร่ง ที่กล้าก้าวออกมาช่วยหนู”

เด็กสาววาดแขนออกไป

ทันใดนั้นหนังสือปกสีเทาก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ

“นี่ต่างหากคือหนังสือพยากรณ์ที่แท้จริง” เด็กสาวตัวน้อยบอก

เธออธิบาย “ในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่เหล่าทวยเทพต่างคนต่างก็มีโชคชะตาเป็นของตัวเอง และคำพยากรณ์ของเทพวิญญาณก็จะต้องถูกกระตุ้นด้วยพลังแห่งโชคชะตาที่ว่า ดังนั้นตั้งแต่โบราณตราบจนมาถึงปัจจุบันนี้ ทุกครั้งเกิดการเปิดคำทำนายของเทพวิญญาณ มันจะเป็นคริสตจักรแห่งโชคชะตาที่เป็นผู้ลงมือควบคุมอย่างลับๆ”

“หา? แล้วทำไมเธอถึงไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้ล่ะ” แอนนาไม่เข้าใจ

“เพราะเทพวิญญาณมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับห้วงอารมณ์ของทุกสิ่งมีชีวิต พวกท่านจึงตระหนักได้ว่า หากปล่อยให้ทุกคนล่วงรู้ว่าทุกอย่าง แท้จริงแล้วถูกควบคุมโดยพวกเราคริสตจักรแห่งโชคชะตา อีกทั้งหกคริสตจักรใหญ่ย่อมต้องเกิดซึ่งความโลภ สุดท้ายแล้วมันก็จะนำไปสู่การล่มสลายลงของคริสตจักรแห่งโชคชะตาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ นี่เป็นปัจจัยอันน่ากังวลอันใหญ่หลวงที่สุด”

“ดังนั้น เทพวิญญาณทั้งเจ็ดจึงได้ตระเตรียมวิธีการบางอย่างล่วงหน้า เพื่อช่วยพวกเราคริสตจักรแห่งโชคชะตาปิดบังความลับนี้”

“ส่วนเหตุผลที่ว่าหนูไม่คิดจะปิดบังความลับนี้อีกต่อไป นั่นก็เพราะนี่คือคำพยากรณ์ครั้งสุดท้ายแล้ว ดังนั้นถ้าจะบอกความจริงกับซิสเตอร์แอนนา มันก็คงจะไม่เป็นอะไร”

แอนนากวาดตามองเด็กสาวขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะสลับไปมองหมียักษ์ข้างๆ และถอนหายใจโล่งอก

“ถ้าฉันรู้ว่าเธอแข็งแกร่งมากถึงขนาดนี้ ฉันคงไม่เสียเวลาโกรธและกังวลเหมือนในตอนนี้หรอก” หญิงสาวบ่น

“ฮี่ๆ” สีหน้าของเด็กน้อยแสดงออกถึงความละอายนิดๆ หน่อยๆ

เธอเอื้อมมือออกไป ทันใดนั้นความมืดมิดตรงหน้าหญิงสาวและเด็กสาวก็จางหายไป เผยให้เห็นถึงฉากที่ปรากฏขึ้นด้านนอก

ในเวลานี้ คนทั้งหลายกำลังหารือกันถึงเรื่องพันธมิตร

เมื่อเห็นแบบนั้น คิ้วของแอนนาก็ต้องยกสูงขึ้นอีกครั้ง แต่เด็กสาวก็พยายามเกลี้ยกล่อมเธอซะก่อน “ซิสเตอร์แอนนา ในความเป็นจริงแล้ว คุณไม่ต้องใส่ใจเกี่ยวกับพวกเขาเลย”

“เพราะอะไร?”

“ซิสเตอร์แอนนา คุณจะต้องเข้าใจก่อนนะว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์เหมือนกันกับคุณ ดังนั้นจะมีหลายคนไม่ชอบคุณมันก็ไม่แปลก เพราะตั้งแต่ที่คุณปรากฏตัวขึ้นในดินแดนชิงอำนาจ คุณก็มีผู้รับใช้เทพคอยติดตามและคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา”

“แอนนาคนแบบคุณน่ะหาได้ยากมาก ในขณะที่คนที่มีความสามารถทั่วๆ ไปในโลกใบนี้ล้วนต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตัวเองสามารถอยู่รอดและแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่เมื่อโชคชะตาต้องการทดสอบพวกเขาจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะตาย”

“เพราะฉะนั้น ซิสเตอร์ได้โปรดอย่าโกรธเคืองพวกเขาเลย”

แอนนาจ้องมองสาวน้อยที่แสนจะใสซื่อ ความโกรธในจิตใจของเธอค่อยๆ มลายลง

“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นก็แล้วกันไปเถอะ แต่ในเมื่อเธอมีความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รีบมาช่วยกันแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดเถอะ จะได้แยกย้ายกันกลับไปเร็วๆ”

“ตามที่คุณปรารถนา” เด็กสาวตัวน้อยกล่าว

เธอตบลงบนหัวของหมียักษ์ เงยหน้าขึ้นตะโกนสั่งเสียงดัง “เด็กน้อย ได้เวลาทำงานแล้ว!”

หูของหมียักษ์กระดิกทันที มันลืมตาขึ้น เปล่งเสียงคำรามสะท้านสะเทือนผืนดินอย่างกะทันหัน

โฮก!

ร่างใหญ่โตของมันโฉบออกไปราวกับสายฟ้าฟาด พรวดออกจากถ้ำมืด

และปรากฏการณ์นี้ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินไป ดังนั้นหลายคนที่อยู่ภายนอกจึงยังไม่ทันแม้ตอบสนอง

ชายผมบลอนด์ถูกหมียักษ์คว้าตัว จับยัดเข้าไปในปาก ถูกเคี้ยวกรุบๆ อย่างรุนแรง และกลืนเข้าไปในท้องโดยตรง

หมียักษ์ยกฝ่ามือของมันขึ้น และฟาดตบอย่างแรงลงบนพื้นห้องโถงใหญ่

คนอื่นๆ ที่กำลังจะโต้กลับ จู่ๆ ก็เสียสมดุลไปอย่างกะทันหัน มิอาจเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ

หมียักษ์ย่อมไม่พลาดโอกาสนั้น ร่างของมันสาดประกายกะพริบไหว ภายในไม่กี่ลมหายใจ มันก็กวาดเรียบทั้งห้าคนได้อย่างสมบูรณ์

มันเริ่มกัดแทะซากศพทั้งห้าจนหมดไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แปรสภาพกลายเป็นหมอก กระจัดกระจายไปรอบห้องโถงและหายไป

เด็กสาวตัวน้อยอธิบายกับแอนนา “มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะตอนที่หนูเข้ามาที่นี่ หนูสัมผัสได้ว่าพลังที่เทพทั้งเจ็ดทิ้งเอาไว้นั้นอ่อนโทรมลงมาก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เลยจำเป็นต้องเก็บเกี่ยวพลังวิญญาณสดใหม่เสียก่อน จึงจะทำการพยากรณ์ได้”

“ในความเป็นจริงมันอาจจะต้องใช้จิตวิญญาณสดใหม่ซักสาม แต่ห้าก็ได้มั้ง ไม่เป็นไรหรอก เพราะอย่างไรเสียก็แค่คนธรรมดาห้าคนที่หายตัวไป และตอนนี้ พวกเขาก็ได้ทำประโยชน์โดยการเปลี่ยนตนเป็นพลังงานบริสุทธิ์แก่พวกเราแล้ว”

“แต่พวกเขาตายกันหมดเลยนะ แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าการทดสอบของทวยเทพล้มเหลว?” แอนนาถาม

“การทดสอบ? การทดสอบมันได้ผ่านไปแล้วต่างหาก” เด็กสาวตัวเล็กหัวเราะ “ซิสเตอร์แอนนา คุณผ่านการทดสอบแล้ว ไม่รู้ตัวเลยหรือ”

แอนนาตะลึงงัน “อ่าว การทดสอบครั้งสุดท้ายไม่ใช่ว่ามันเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งหรอกหรือ? แต่นี่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

สีหน้าของสาวน้อยกลายเป็นจริงจัง ปากเอ่ยอย่างเฉียบขาด “ในโลกใบนี้ สิ่งที่เรียกว่าความแข็งแกร่งน่ะมีอยู่หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญ สติปัญญา นั่นก็นับว่าเป็นความแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน”

“แต่สำหรับเทพวิญญาณ ความแข็งแกร่งเหล่านี้ล้วนอ่อนแอและแสนจะคลุมเครือ มิอาจนำมาหยิบยกได้”

“เป้าประสงค์ที่เหลืออยู่ของเทพทั้งเจ็ดได้บอกกับหนูว่า พวกเขาต้องการควานหาผู้ที่มีความเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวง และหาญกล้าที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตนเมตตาเหล่านั้น”

“ซึ่งคุณ…ซิสเตอร์แอนนา เป็นคุณเพียงคนเดียวที่กล้าจะก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อช่วยหนู”

“ดังนั้น คุณเลยผ่านการทดสอบ”

เด็กสาวตัวน้อยยกหนังสือพยากรณ์มาไว้เบื้องหน้าแอนนา

“ซิสเตอร์ ได้โปรดวางมือของคุณลงบนหนังสือด้วย”

ดวงตาของแอนนาเผยถึงความรู้สึกซับซ้อน หัวเราะให้กับตัวเอง “เห็นได้ชัดว่าฉันก็แค่อยากรีบกลับวิหารของตัวเองเพื่อไปฝึกฝนต่อ แต่ไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์ของมันจะเป็นแบบนี้”

เด็กสาวเอียงศีรษะและกล่าว “โชคชะตาน่ะ มันก็เป็นแบบนี้แหละ”

แอนนาพอได้ฟังก็ถอนหายใจ

เธอเฝ้ามองหนังสือพยากรณ์อย่างเงียบๆ

ในการรับรู้ของเธอ มันไม่ปรากฏถึงลางบอกเหตุแห่งความตายใดๆ

ตรงกันข้ามเลย มันกลับสามารถรับรู้ได้ถึงอำนาจเทวะออกมาจากหนังสือเล่มนี้

อำนาจเทวะตรึงเข้ากับตัวเธอ เฝ้ารอคอยให้เธอไปกระตุ้นมัน

แอนนาวางฝ่ามือลงบนปกหนังสือพยากรณ์

“บอกหน่อยสิ ว่าเธอชื่ออะไร” แอนนาถามขึ้นอย่างกะทันหัน

“ซิสเตอร์เรียกหนูว่าเค่อเอ๋อก็ได้” เด็กสาวตัวน้อยเผยรอยยิ้มสดใส

“เค่อเอ๋อ?”

“ใช่ หนู ‘ซูเค่อเอ๋อ’ ”

แอนนาตัวแข็งค้างไป เพราะชื่อนี้ มันดันไปคล้ายกับใครคนหนึ่ง

ซูเค่อเอ๋อเองก็วางมือลงบนปกหนังสือพยากรณ์เช่นกัน เจ้าตัวเผยถึงสีหน้าสนุกสนาน “หนูมีเรื่องส่วนตัวจะบอกคุณด้วยนะ แต่ตอนนี้ พวกเรามาเป็นประจักษ์พยานต่อคำทำนายสุดท้ายที่เทพทั้งเจ็ดทิ้งเอาไว้ข้างหลังกันก่อนเถอะ”

ว่าจบ เด็กสาวก็เริ่มร่ายคาถาในความเงียบ

หนังสือพยากรณ์ปกสีเทาเริ่มแพร่กระจายกลุ่มหมอกออกมา และปกคลุมทั้งสองเอาไว้

ปัง!

ความมืดมิดทั้งหมดหายวับไป

ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง

เสาใหญ่ที่คอยค้ำยัน เสาแล้วเสาเล่าเริ่มทยอยกันหักโค่นลง ตลอดทั้งพื้นที่เริ่มพังทลาย วิหารของเจ็ดเทพกำลังล่มสลาย

ทว่าขณะเดียวกัน อำนาจเทวะอันเหลือล้นก็ท่วมไปทั้งอากาศที่ว่างเปล่า

“มันกำลังจะเริ่มแล้วนะ!”

ซูเค่อเอ๋อเตือนแอนนาด้วยความสุข

………………………………….

หนังสือศิลาได้เปล่งคำพยากรณ์อันร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

สีหน้าของผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดแปรเปลี่ยนกลับกลาย

เพราะเขาและเธอล้วนเป็นสาวกชั้นนำของคริสตจักรตน ดังนั้นทั้งหมดจึงย่อมสามารถตีความหมายที่ดังออกมาจากหนังสือศิลาได้อย่างง่ายดาย

“นี่มันเรื่องร้ายแรงเกินไป พวกเราควรจะหยุดแล้วกลับไปที่โบสถ์ของตัวเองกันก่อนจะดีกว่า” เด็กสาวที่ปิดตาผละมือของเธอออกจากหนังสือศิลา

ในบรรดาคนทั้งหมด เธอเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุด ดังนั้นในขณะนี้จึงเกิดความรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

“เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง!” แอนนาที่อยากกลับจนเต็มแก่แล้วชูมือขึ้นทันที

พอได้ฟัง คนอื่นๆ จึงคอยยกมือออกจากหนังสือศิลา หยุดการถ่ายเทพลังงานลงไป

ปฏิกิริยาของหนังสือศิลาหยุดลงทันที

ชายผมบลอนด์กล่าวอย่างจริงจัง “แต่หนังสือศิลาได้ปรากฏขึ้นมาแล้วนะ ซึ่งปรากฏการณ์นี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอำนาจของเทพวิญญาณได้ผนึกโลกใบนี้ไปแล้วโดยสมบูรณ์ พวกเราไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้หรอก”

“ใช่ นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่เหมือนกัน และทางออกเดียวที่พวกเราจะหนีไปได้ นั่นก็คือพวกเราทั้งเจ็ดไม่บรรลุก็ล้มเหลวในบททดสอบ” หญิงชุดเขียวกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จงใจยอมแพ้ในบทสอบของทวยเทพเป็นไง?” เด็กสาวที่ปิดตาเอ่ยปาก

“นั่นมันฟังดูเป็นวิธีที่ยอดไปเลย!” แอนนาสนับสนุนอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

ตราบใดที่ทุกคนล้มเหลว เขาและเธอทั้งเจ็ดก็จะสามารถเดินทางกลับไปที่โบสถ์ของตนได้เลยโดยตรง

นี่เป็นวิธีที่ประหยัดเวลาได้มากที่สุด!

แอนนาหันไปมองคนอื่นๆ ด้วยความคาดหวังว่าพวกเขาจะเห็นด้วยกับเธอ

แต่กลับพบว่า คนอื่นๆ ค่อยๆ พากันส่ายหัว

ชายผมบลอนด์กล่าว “สุภาพสตรีทั้งสอง ดูเหมือนว่าพวกคุณจะเข้าใจผิดไปนะ”

แอนนา “เข้าใจอะไรผิด?”

ชายผมบลอนด์ค่อยๆ กำหมัดอย่างช้าๆ เอ่ยเสียงจม “คำพยากรณ์ของเจ็ดเทพได้มาถึงช่วงจุดสิ้นสุดแล้ว ดังนั้นในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ถ้าพวกเราสามารถนำคำพยากรณ์กลับไปที่คริสตจักร พวกเราก็จะได้รับรางวัลมากกว่าที่เคยได้ตกลงกันไว้ในอดีต”

ชายที่ถือสามง่ามกล่าว “เพราะฉะนั้นได้โปรดพิจารณาให้ดีเถอะ นี่คือคำพยากรณ์สุดท้ายของทวยเทพ นั่นหมายความว่าถ้าพวกเราสามารถล่วงรู้ถึงรายละเอียดของมัน พวกเราก็จะได้รับชื่อเสียงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!”

“ไม่เพียงเท่านั้น” หญิงชุดเขียวแทรก “คำทำนายสุดท้ายของทวยเทพจะต้องมีความลับอันลึกล้ำอย่างสุดแสนอยู่แน่ๆ และถ้าพวกเราสามารถนำมันกลับไป พวกคนระดับสูงจำนวนมากจะต้องเข้ามาพบกับพวกเราเป็นการส่วนตัว ซึ่งพวกเราสามารถฉวยโอกาสนั้น ปีนป่ายขึ้นไปสานสัมพันธ์กับพวกเขาได้”

หลายคนยกเหตุผลต่างๆ นานาขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าที่แสดงถึงความตื่นเต้น

นี่เป็นโอกาสที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตนเองมาก่อน

สันนิษฐานได้เลยว่า กระทั่งผู้นำคริสตจักรที่ส่งพวกเขามา ก็คงไม่คาดคิดเหมือนกันว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ขึ้น!

แอนนากวาดตามองใบหน้าของคนทั้งหลาย เธอตระหนักได้ทันทีว่าคงไม่มีทางโน้มน้าวใจพวกเขา ปากอ้าถอนหายใจด้วยความผิดหวัง

ทำไมคนพวกนี้ถึงยังมามัวทำลอยหน้าลอยตาได้อยู่กันนะ?

พวกเขาไม่เข้าใจเลยรึไง ว่าความแข็งแกร่งส่วนตนต่างหาก ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการใช้ตัดสินได้ทุกสิ่ง

แต่แทนที่จะเลือกไขว่คว้าชัยชนะมาได้ด้วยความแข็งแกร่งของตนเอง พวกเขากลับเลือกที่จะใช้ทางลัดให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง ด้วยเหตุนี้ กล่าวได้ว่าเรื่องแนวคิดพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีในการยกระดับ พวกเขาก็ขาดแคลนไปมากโขแล้ว

ที่จริงถ้าเสริมแกร่งต่อไปเรื่อยๆ มันก็น่าจะพอแล้ว เพราะตราบใดที่มนุษย์ฝึกฝนได้จนถึงขั้นสามารถครอบครองความแข็งแกร่งเช่นเดียวกันกับเทพวิญญาณ ถึงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือสมบัติใดๆ ทั้งหมดก็จะถูกนำมามอบให้กับพวกเขาเอง

ความแข็งแกร่งน่ะคือทุกสิ่ง!

แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่ทุกอย่างมันดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของทุกคนได้

เด็กสาวที่หลับตาอยู่หันไปมองแอนนา ยิ้มให้เธอในเชิงขอโทษ

แอนนาส่ายหัวเล็กน้อย ส่งสัญญาณว่าไม่เป็นไรหรอก

‘เฮ้อ…อย่างน้อยก็ยังมีความโชคดีในความโชคร้าย’

เพราะในบรรดากลุ่มคนเหล่านี้ อย่างน้อยเธอก็ได้พบกับคนที่มีความคิดเดียวกันกับตัวเอง

อีกฝ่ายเป็นแม่ชีของคริสตจักรแห่งโชคชะตา มีนิสัยที่อ่อนโยนละสุภาพต่อคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก

แอนนาเกิดความรู้สึกประทับใจกับเด็กสาวตัวน้อยคนนี้

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ไม่ว่าอย่างไรลำพังเธอและเด็กสาวก็ย่อมไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความคิดของทุกคนได้

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่มีทางเลือกใดอีก นอกไปจากร่วมมือกับผู้ศรัทธาเทพองค์อื่นๆ เพื่อหวังว่าจะสามารถช่วยให้บรรลุการทดสอบได้เร็วขึ้นแม้จะเล็กน้อย

ผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดกดมือลงบนหนังสือศิลาอีกครั้ง และถ่ายเทพลังเข้าไป

เสียงอันเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้นมาจากหนังสือศิลาในทันที

“ความแข็งแกร่งคือรากฐานของทุกสิ่งอย่าง!”

แอนนายกคิ้วสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจ นี่มันเหมือนกับสิ่งที่ในจิตใจของเธอคิดเอาไว้เลยนี่นา

เสียงยังคงดังต่อ

“การทดสอบขั้นสูงสุดของทวยเทพ คือการทดสอบความแข็งแกร่ง”

“ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าจะได้รับการประเมินอย่างเท่าเทียมกัน และบททดสอบที่เกี่ยวข้องกำลังจะเริ่มต้นขึ้น!”

“โปรดเอาชนะสิ่งรังสรรค์ของทวยเทพ เพื่อเปิดคำพยากรณ์สุดท้าย!”

โครม!

ตลอดทั้งห้องโถงเกิดการสั่นสะเทือนอีกครั้ง

“ร้องขอให้ผู้ทดสอบก้าวไปในส่วนลึกของถ้ำ เพื่อเข้ารับการทดสอบ” หนังสือศิลากล่าว

“ดูนั่นสิ!” ชายผมบลอนด์อุทาน

ทุกคนหันไปมองตามเขา

เห็นแค่เพียงสุดปลายอีกด้านหนึ่งของห้องโถงใหญ่ ปรากฏถ้ำอันมืดมิดผุดออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า

ถ้ำแห่งนี้เปรียบเสมือนกับปากใหญ่ของสัตว์ประหลาด มันฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสยดสยองอย่างมิอาจบอกบรรยายได้

แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นภายในได้อย่างชัดเจน แต่ก็สามารถสัมผัสได้ว่า กำลังมีบางสิ่งบางอย่างที่มีขนาดใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในถ้ำมืด

ความหนาวเย็นเสียดแทงเข้ามาในจิตใจของทุกคน

นั่นคือสิ่งรังสรรค์ของทวยเทพ!

ทุกคนต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกันในเรื่องนี้

ชายผมบลอนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “ในบรรดาพวกเรา คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้จักก็คือผู้ศรัทธาของเทพแห่งโชคชะตา ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าถ้าเป็นเธอที่เข้าไปคนแรก”

เขาหันมามองเด็กสาวที่สองตาปิดสนิท

และคนอื่นๆ ก็เอ่ยอนุมัติเป็นเสียงเดียวกันทันที

“หา? เป็นหนูหรือ?” เด็กสาวคนนั้นลังเล แต่สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าและพูดขึ้น “ตกลง หนูจะไปเอง”

แอนนาคว้าหมับ รั้งเธอเอาไว้

หญิงสาวหันไปมองชายผมบลอนด์และกล่าว “เธอคนนี้เชี่ยวชาญในด้านการทำนายและสอดแนม ไม่เหมาะที่จะถูกส่งให้เข้าไปทานรับการต่อสู้อย่างกะทันหัน พวกนายที่เป็นนักสู้ระยะประชิดต่างหาก ที่สมควรจะเป็นคนเข้าไป”

ชายผมบลอนด์ขมวดคิ้ว และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่เด็กสาวที่สองตาปิดสนิทยิ้มเล็กน้อย ค่อยๆ แกะมือของแอนนาอย่างแผ่วเบา “ไม่เป็นไรหรอก ในกรณีที่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น หนูจะยอมแพ้ทันที และรีบกลับมาบอกทุกคนเกี่ยวกับสถานการณ์ภายใน”

ว่าจบ เด็กสาวก็ยกสองมือขึ้นกุมจี้บนคอ ค่อยๆ เดินตรงเข้าไปในถ้ำมืด

ในหัวใจของแอนนาเริ่มลุกโชน

เธอหันไปมองคนอื่นๆ โดยรอบด้วยความโกรธ และตะโกนออกมา “เห็นได้ชัดว่าฉันกับเด็กคนนั้นยื่นข้อเสนอให้พวกเรายอมแพ้ แต่พวกนายกลับยืนกรานที่จะบรรลุการทดสอบให้จงได้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับไม่กล้า เลือกที่จะถอยหนี”

“ไม่ใช่แบบนั้น” ชายที่ถือสามง่ามอธิบาย “พวกเราแค่ให้เธอไปตรวจสอบสถานการณ์ ส่วนการต่อสู้ที่แท้จริงหลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของพวกเราต่างหาก”

ชายผมบลอนด์ช่วยเสริม “ในบรรดาพวกเราทั้งเจ็ดคน เด็กคนนั้นมีกำลังรบอ่อนด้อยที่สุด ดังนั้นในครั้งนี้เธอเลยได้รับเลือกให้ไปทำหน้าที่ตรวจสอบ ส่วนเรื่องสำคัญอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับพวกเรา”

“ถูกต้อง”

“นั่นแหละคือสิ่งที่สมควรจะเป็น”

“มันคือการแบ่งงานตามความเหมาะสมต่างหาก”

ผู้หญิงในชุดเขียว ชายน้ำแข็งที่สวมถุงมือ และชายร่างใหญ่ที่มีคู่ปีก ต่างพากันพูดสวนกลับมา

เมื่อต้องเผชิญกับข้อสรุปอันเป็นเอกฉันท์ แอนนาก็ไม่สามารถหาคำมาโต้แย้งได้อีกต่อไป

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เธอเองก็ไม่ใช่พวกใช้ฝีปากสู้ซะทีเดียว

ทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องอันน่าหวาดกลัวก็พลันดังขึ้น

“อ๊าาาาา…”

ในเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่ดังออกมา มันผสานโชยมากับกลิ่นเลือดอันรุนแรง

กลิ่นสาบเลือดพร้อมกันกับกลิ่นอายลางไม่ดีอย่างร้ายแรง กระพือเข้าใส่ทุกคน

“นี่มัน…”

ชายที่มีคู่ปีกเอ่ยงึมงำ ก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

ด้วยกลิ่นอายที่พัดผ่าน ส่งผลให้ฝูงชนตระหนักได้ในทันที ว่าอำนาจที่แฝงมากับมันนี้ แข็งกร้าวยิ่งกว่าเขาและเธอทุกคน

ในถ้ำมืด เสียงกรีดร้อง และการต่อสู้ยังคงดังสะท้อนออกมาอีกครั้ง และอีกครั้ง

สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนกลับกลาย

ชายผมบลอนด์กล่าว “แบบนี้ไม่ดีแน่ มอนสเตอร์ภายในถ้ำมันแข็งแกร่งเกินไป ด้วยพลังของฉัน อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงตกตายไปพร้อมกับมันเท่านั้น”

“ถ้าถึงขั้นต้องแลกชีวิตเพื่อคำพยากรณ์แล้วล่ะก็ สำหรับฉันมันไม่คุ้มค่าเลย!”

เขาส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ชายผู้ถือสามง่ามก้าวถอยหลังและกล่าว “ดูเหมือนว่าสถานการณ์นี้มันจะอันตรายเกินกว่าที่พวกเราคาดไว้ ดังนั้น ฉันขอแนะนำให้ทุกคนยอมแพ้ แล้วรีบกลับไปขอความช่วยเหลือจะดีกว่า!”

“นั่นเป็นทางเลือกที่ฉลาดมาก ฉันเห็นด้วย!” หญิงในชุดเขียวสนับสนุน

แต่ทันใดนั้นเอง เสียงของหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธและเจตนาฆ่าก็ก้องกังวานขึ้น

“ไอ้…พวก…สารเลว!” แอนนาตะโกนกร้าว

เธอหันไปมองหนังสือศิลาและเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”

“ยังมีลมหายใจอยู่ แต่รวยรินเหลือเกิน” หนังสือศิลาตอบ

ใบหน้าของแอนนาซีดเผือด เร่งถามด้วยความกังวล “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเธอล้มเหลวแล้วใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้นฉันก็สามารถเข้าไปได้เลยซินะ!”

“ย่อมสามารถ”

ทันทีที่เสียงของหนังสือศิลาดังขึ้นว่า ‘ย่อมสามารถ’ แอนนาก็กระโจนไปยังทิศทางของถ้ำมืด

ระหว่างกลางอากาศ ปากของหญิงสาวก็เริ่มขมุบขมิบ สวดมนต์อธิษฐาน

“ความตายเอ๋ย ในฐานะที่ข้าเป็นผู้รับใช้แห่งเจ้า ฉะนั้นไม่ว่าจักชีวิตหรือความตายของสิ่งมีชีวิตใด ก็ล้วนจักต้องถูกตัดสินโดยข้า!”

เปิดใช้งานเทคนิคมนตราแห่งความตาย!

เปรี้ยง!

ผมสีดำเข้มปลิวไสวอย่างรุนแรง เฉกเช่นเดียวกันกับแสงทมิฬที่สาดออกมาจากตัวของแอนนา ท่วมทับไปตลอดทั้งห้องโถงใหญ่

ด้ามเคียวยาวที่ถูกกุมอยู่ในมือเธอพลันลุกไหม้ เปลวเพลิงอันมืดมิดเริ่มลุกลามขึ้นไปติดตามขอบใบเคียวอันแหลมคมอย่างเงียบๆ

แอนนาไม่ลังเลเลยที่จะระเบิดพลังของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่!

แต่แล้วในเสี้ยววินาที ปรากฏการณ์เมื่อครู่ทั้งหมดก็หายไป

ร่างของแอนนาหายเข้าไปในถ้ำมืด

ที่เหลืออยู่อีกห้าคน ฉันมองเธอ เธอมองฉัน นิ่งงันไปพักหนึ่ง ไม่อาจเอ่ยคำใดได้

แต่ไม่นานนัก ผู้หญิงในชุดเขียวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ฉันขอแนะนำให้พวกเราร่วมมือกันอย่างจริงจัง”

“เธอหมายความว่าอย่างไร?” ชายผมบลอนด์ถาม

“อย่าบอกนะว่านายไม่รู้สึกเลยว่า ผู้หญิงจากคริสตจักรแห่งความตายน่ะมีความคิดที่จะฆ่าพวกเรา”

หญิงชุดเขียวส่ายหัวและกล่าวต่อ “เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ใช่คนปกติ แถมพลังที่เธอระเบิดออกมามันก็น่ากลัวเกินไป ซึ่งถ้าเธอคิดลงมือกับพวกเราด้วยพลังแบบนั้นจริงๆ…ฉันไม่คิดว่าจะมีใครสามารถต้านทานมันได้หรอก”

บังเกิดซึ่งความเงียบ

ชั่วเวลานี้ เหล่าผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ทั้งหลายต่างก็เริ่มแสดงความคิดเห็นของพวกเขาออกมาทีละคน ทีละคน

“ถึงแม้ว่าเธอจะน่าหวาดกลัว แต่อย่างไรเสียคนหมู่มากก็ย่อมมีกำลังรบมากกว่าเสมอ” ชายที่ถือสามง่ามกล่าว

“ใช่ เพราะฉะนั้นมาร่วมมือกันเถอะ” ชายที่มีคู่ปีกเห็นด้วย

ชายผมบลอนด์ครุ่นคิดและสรุปออกมา “ถ้าพวกเราสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และร่วมมือกันล่ะก็ ไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหน ตัวอย่างเช่น เกิดเผชิญหน้ากับคนทรยศของโบสถ์อื่นๆ เข้า…ก็น่าจะสามารถเอาชนะได้ไม่ยาก”

“นั่นแหละคือสิ่งที่ควรจะเป็น” ผู้หญิงในชุดเขียวกล่าวทันที

………………………………….

ปลายักษ์ที่ทั้งตัวเกือบจะโปร่งใส ว่ายผ่านเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า ข้ามผ่านกระแสมิติอันเชี่ยวกราก

ปรากฏให้เห็นถึงสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมากมายรอบตัวปลายักษ์ ทว่ากลับไม่มีตนใดเลยที่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของมัน

หากมีใครคอยสังเกตถึงทิศทางของปลายักษ์ตัวนี้ไปตลอดทาง พวกเขาจะพบว่ามันกำลังเวียนว่ายไปยังทิศทางหนึ่งด้วยการเคลื่อนไหวที่ประหลาดตา

เพียงไม่นาน ปลายักษ์โปร่งใสก็เดินทางมาถึงใจกลางของดินแดนชิงอำนาจ

ในความเป็นจริงแล้ว โลกทั้งสองร้อยล้านชั้นในพื้นที่ชิงอำนาจนั้นมีลักษณะอยู่ในรูปแบบเป็นวงแหวนปิด

หากยังนึกภาพไม่ออก ขอให้จงนึกถึงเป้ายิงธนู นั่นแหละคือลักษณะพื้นที่ของดินแดนชิงอำนาจ

อย่างไรก็ตาม ใจกลางของดินแดนมันกลับไม่มีอะไรเลย

ปลายักษ์โปร่งใสว่ายเวียนอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง ก่อนจะมีแสงเจ็ดสีผุดออกมาจากร่างกายของมัน โดยเริ่มจาก

แสงสีเขียวที่เป็นตัวแทนของชีวิต

แสงสีฟ้าที่เป็นตัวแทนของมิติและเวลา

แสงสีเทาดั่งหมอกหนาที่เป็นตัวแทนของโชคชะตา

แสงศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตัวแทนของศรัทธา

แสงสีม่วงที่เป็นตัวแทนของความลึกลับ

แสงสีทองที่เป็นตัวแทนของอารยธรรมอันรุ่งโรจน์

และ…

แสงสุดท้ายอันมืดมิด ที่เป็นตัวแทนของความตาย

เจ็ดแสงสาดสะท้อนเข้าด้วยกันในความว่างเปล่า

ทันใดนั้นเอง ในความว่างเปล่าก็ปรากฏทางเข้าถ้ำขึ้น

ปลายักษ์ดีดตัวสูง เหวี่ยงตัวเข้าไปในถ้ำทันที

ในเสี้ยววินาที แสงเจ็ดสีก็วูบดับลง

พร้อมกันกับปลายักษ์และถ้ำ ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ท่ามกลางห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่า

การแสดงออกของแอนนาดูจะร้ายแรงมากขึ้น

ตลอดทั้งใบหน้าของเธอถูกปกคลุมไปด้วยความเย็นเยียบ ทั้งคนทั้งร่างฟุ้งไปด้วยความโกรธ ยืนอยู่ตรงข้ามกับสหายทั้งหก

ก้มลงมองมายังชุดกระโปรงยาวที่ดูหรูหราและงดงามของตัวเองที่ใช้ในงานพบปะสังสรรค์ แล้วสลับไปมองชุดเกราะเต็มตัวบนร่างของทั้งหก แอนนาก็มิอาจยับยั้งความโกรธในจิตใจของเธอได้อีกต่อไป

“ถ้าเช่นนั้น ทุกคนก็รู้อยู่แล้วสินะว่าจะเกิดอะไรขึ้น และมีฉันแค่คนเดียวที่โง่ไปเอง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

อีกหกคนหันมามองหน้ากันและกัน

หญิงสาวในชุดเขียวเอ่ยปาก “ภารกิจนี้ค่อนข้างจะพิเศษ แต่ดูชุดของเธอสิ ในฐานะตัวแทนของคริสตจักรแห่งความตาย กลับมาทำเป็นเล่นแบบนี้”

หญิงสาวจ้องมองไปยังใบหน้าอันสมบูรณ์แบบของแอนนา สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดได้ทุกสิ่งมีชีวิต ความริษยาก็สาดประกายขึ้นมาในแววตาของเธอ

ชายอีกคนที่ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งก็พูดขึ้นด้วยเช่นกัน “นั่นสิ นี่คือช่วงเวลาเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ ทางคริสตจักรของฉันถึงขั้นจัดการต่อสู้ขึ้น เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะคนสุดท้ายที่จะมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้ามารับภารกิจนี้ แต่ดูเธอที่เป็นตัวแทนของคริสตจักรแห่งความตายสิ เฮ้อ…”

หญิงสาวในชุดเขียวเยาะหยัน “คริสตจักรแห่งชีวิตของทางเราก็ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเช่นกัน ฉันถึงขั้นพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รับโอกาสนี้มา แต่ไม่คาดคิดเลยว่าคริสตจักรแห่งความตายที่โดดเด่นที่สุดมาเป็นระยะเวลานานกว่าเจ็ดร้อยปี กลับส่งหน้าใหม่ที่โง่เขลา ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรมา”

แอนนาเงียบไป

เธอมัดผมยาวที่ย้อยปรกไหล่ เปล่งร่ายคาถาเสียงกระซิบในหัวใจ

“ความตายเปรียบเสมือนเงาที่ตามติดทุกชีวิตอย่างใกล้ชิด”

ในความว่างเปล่า เคียวยาวที่ตลอดทั้งด้ามของมันเป็นสีดำ ได้ปรากฏขึ้นในมือของเธอ

แอนนากุมเคียวยาว และจ้องมองไปทางหญิงสาวชุดเขียวด้วยความเย็นชา

หญิงสาวกล่าวอย่างช้าๆ “ถ้าเธอมีปัญหากับฉัน ทำไมไม่ลองเข้ามาลิ้มรสความลับของความตายดูสักหน่อยล่ะ?”

จากนั้นแอนนาก็สลับไปมองชายคนหนึ่งที่ทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง  “นายก็เหมือนกัน จะเอาด้วยก็ได้นะ ฉันรับประกันเลยว่าจะช่วยลบล้างความคิดบ้าๆ นั่นออกไปให้เอง”

เพราะมีแค่คนตายเท่านั้น ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้

นี่คือการยั่วยุของแอนนา ที่สื่อกลายๆ ว่าต้องการจะสู้กับทั้งสอง

ทั้งชายหญิงหน้าเปลี่ยนสีไปในเวลาเดียวกัน

เขาและเธอเกือบจะลงมืออยู่แล้ว ทว่าเมื่อมองไปยังใบมีดคบกริบของเคียวยาว ในหัวใจของพวกเขาก็ฟุ้งไปด้วยความลังเล

ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าแอนนาคนนี้ แท้จริงแล้วเป็นคนที่ลึกลับมากๆ เธอได้รับการดูแลราวกับอยู่ในฝ่ามือของคริสตจักรแห่งความตายตลอดเวลา และมักจะออกไปดื่มกับผู้รับใช้เทพอยู่เสมอๆ

ไม่มีใครเลยที่สามารถสัมผัสต้อง ตัวเธอได้

อย่างไรก็ตาม นี่มันเป็นสิ่งที่พอจะคาดเดาได้ ว่าการที่ตลอดทั้งคริสตจักรให้ความสำคัญกับคนคนหนึ่งอย่างจริงจังเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเธอจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ อย่างแน่นอน

ควบคู่ไปกับลักษณะพิเศษของคริสตจักรของเธอ ดังนั้นการต่อสู้นี้ ทั้งชายหญิงคิดว่าตนอาจจะไม่สามารถเอาชนะได้ก็ได้

นี่พวกเขาต้องการที่จะเป็นศัตรูกับ ‘ความตาย’ จริงๆ อย่างนั้นหรือ?

เขาและเธอลังเล มิอาจตัดสินใจได้อยู่พักหนึ่ง

“ใจเย็นก่อน!”

ชายผมบลอนด์ก้าวออกมา และหยุดยืนอยู่ใจกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย

เขาพยายามไกล่เกลี่ยด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีแล้วทางวิหารของพวกเราก็เป็นพันธมิตรกัน ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พบหน้ากันก็ตาม แต่ใครจะรู้ บางทีในอนาคตพวกเราอาจจะต้องได้รับการสนับสนุนซึ่งกันและกันก็ได้ ดังนั้นอย่าทำอะไรให้ความสัมพันธ์มันต้องร้าวฉานเลย!”

เฝ้ามองมาที่แอนนา ชายผมบลอนด์กล่าวอย่างอ่อนโยน “ฉันขอเป็นคนอธิบายให้เธอเข้าใจก็แล้วกันนะ พวกเรามาที่นี่ในฐานะตัวแทนแห่งคริสตจักรของตน มาร่วมมือกันทำภารกิจลับในครั้งนี้ เพราะปัจจุบัน หนังสือของเทพทั้งเจ็ดสามารถทำการกระตุ้นได้อีกครั้งแล้ว ”

แอนนาที่งุนงงตลอดมา ในที่สุดก็เผยถึงสีหน้ากระจ่างในฉับพลัน

ที่แท้มันก็เป็นแบบนี้!

ไอ้หมาดำมันหลอกลวง โยนงานหนักมาให้ตัวเธอเอง!

เมื่อคิดถึงจุดนี้ แอนนาก็เริ่มปวดหัว จนลืมเลือนเรื่องที่คิดจะต่อสู้ไป

หนังสือของเจ็ดเทพ หรือที่เรียกกันว่าหนังสือพยากรณ์ของเหล่าทวยเทพ เป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นโดยเทพวิญญาณทั้งเจ็ด ซึ่งในทุกๆ หลายร้อยหรือหลายพันปี หนังสือพยากรณ์เล่มนี้จะเผยคำทำนายของเทพวิญญาณออกมา

และในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ศรัทธาในเทพทั้งเจ็ดจำเป็นต้องมารวมตัวกัน ช่วยกันค้นหาวิธีผ่านการทดสอบของเทพทั้งเจ็ด เพื่อที่จะได้รับคำพยากรณ์ร่วมกันได้

ส่วนบททดสอบของเทพวิญญาณจะแตกต่างกันออกไป มันเต็มไปด้วยทุกประเภทของความแปลกประหลาด จึงไม่มีใครรู้ได้ว่าการทดสอบที่ตนจะต้องเผชิญคืออะไร

บางครั้ง เทพวิญญาณก็อาจจะขอให้คุณทำการพิชิตโลก ซึ่งมันง่าย แต่ก็มีอยู่บ่อยครั้งที่จะพบเจอกับการทดสอบอันพิสดารที่ยากเกินกว่าจะบรรลุ

ในตอนแรก ทางคริสตจักรแต่ละแห่งไม่ส่งพวกผู้อาวุโส ก็เป็นผู้นำคริสตจักรมาด้วยตนเอง

แต่เนื่องจากเคยมีผู้อาวุโสที่ได้รับการทดสอบจากเจ็ดเทพ โดนถูกขอให้เขาออกไปเต้นรำกับเจ็ดล้านเผ่าพันธุ์ ให้ครบภายในเวลาห้าปี สุดท้ายทางอาวุโสของวิหารก็ยอมแพ้ และไม่กล้าที่จะมาอีกเลย

พวกผู้ใหญ่เลือกที่จะหลีกเลี่ยงมัน

ในท้ายที่สุด การทดสอบนี้จึงมาตกอยู่ในมือของหน้าใหม่ของคริสตจักรแต่ละแห่ง

เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่หน้าใหม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะนำคำพยากรณ์กลับมา

แต่ถ้าล้มเหลว ก็แค่ส่งคนใหม่ไปอีกครั้งเรื่องก็จบ

ขณะเดียวกันหน้าใหม่ที่มารับภารกิจนี้ก็จะได้รับรางวัลที่ตกลงกันไว้จากทางโบสถ์

และมันเป็นรางวัลอย่างงาม

ซึ่งคนอื่นๆ อาจจะรู้สึกสนใจเรื่องอะไรพวกนี้ แต่สำหรับแอนนา เธอค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิด

เพราะด้วยสถานะปัจจุบันของเธอ ตราบใดที่เธอยังคงสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้ต่อไป

แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เรื่องรางวัลอะไรนั่นเธอไม่สนใจเลย

แอนนาก้มหน้าลง และถอนหายใจ “เอาเถอะ จะให้ออกไปเลยมันคงจะทำไม่ได้ใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นก็มาเริ่มแล้วรีบทำให้มันจบๆ ไปดีกว่า”

สองชายหญิงที่กำลังกังวล หันมามองหน้ากันและกัน และเห็นว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของอีกฝ่ายได้สลายหายไปแล้ว

…เธอจะไม่สู้แล้วสินะ?

ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้แสดงสีหน้าแบบนั้นออกมากัน?

ขณะที่ทั้งสองกำลังลังเล พวกเขาก็ใช้โอกาสนี้ยอมถอยกลับมา

ส่วนแอนนา เธอละความสนใจโดยสิ้นเชิงสำหรับเรื่องของสองคนนั้น เพราะสุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นเพียงตัวตนที่อ่อนแอ ขณะที่สิ่งที่เธอจะต้องเผชิญนั้นดูจะเป็นปัญหามากกว่า หญิงสาวจึงตัดสินใจละทิ้งความปรารถนาที่จะต่อสู้ไป

สุดท้าย จึงไม่มีฝ่ายใดคิดลงมือ

“เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องมันจบแล้ว ถ้าเช้นนั้นพวกเราก็มาทำสิ่งต่างๆ ให้มันจบลงโดยเร็วเถอะ” ชายผมบลอนด์หัวเราะ

เขากางมือออกไป

ปรากฏถึงกริชที่ดูประณีตขึ้นในมือของเขา

แสงสีทองระเบิดออกมาจากใบมีดอันแหลมคมของกริช

แอนนาถอนหายใจอย่างหมดหนทาง และกระแทกด้ามของเคียวยาวลงกับพื้นดิน

ตูม!

เพลิงสีดำกระชากขึ้นมาจากเคียวอย่างรุนแรง

แสงสีดำที่ลุกไหม้ ปกคลุมตลอดทั้งตัวแอนนาโดยสิ้นเชิง หากจ้องมองมา จะแลคล้ายกำลังเห็นถึงหุบเหวอันมืดมิดที่ไม่รู้จัก

ซึ่งนี่มันเป็นเพียงแค่การปลดปล่อยพลังของเธอเท่านั้น!

ด้วยความแข็งแกร่งอันน่าตื่นตานี้ ทำให้สีหน้าของทุกคนต้องแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

เมื่อนำตนมาเทียบเปรียบกับหญิงสาวตรงหน้า ชายคนหนึ่งก็ยิ้มหยันให้กับตนเอง เขาคว้าจับสามง่ามจากในอากาศที่ว่างเปล่า และเริ่มร่ายมนตราในจิตใจ

ปรากฏถึงแสงสีม่วงจางๆ ปะทุขึ้นมาจากสามง่าม

หญิงในชุดเขียวเรียกคันธนูยาวออกมา

ชายที่ทั้งร่างถูกปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นเยือกหยิบถุงมือออกมา แล้วสวมใส่มัน

เด็กสาวอีกคนหนึ่งหลับตาลง มิได้เอ่ยสิ่งใด ที่ทำก็เพียงยกสองมือขึ้นมากุมจี้ที่แขวนไว้ในอ้อมอก

ผู้ชายที่ตัวสูงที่สุดไม่ได้เอาอะไรออกมา ทว่ากลับมีคู่ปีกศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ กางออกจากบนแผ่นหลังของเขาอย่างช้าๆ

ทุกชนิดของแสงพรั่งพราวออกมาจากร่างของพวกเขาและเธอ

แล้วแสงทั้งเจ็ดก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียว!

ภายในห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่า ราวกับรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของผู้ศรัทธาในเทพทั้งเจ็ด มันเริ่มส่งเสียงหึ่งๆสั่นสะเทือนไปทั่ว

หนังสือที่แกะสลักขึ้นจากหินค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ตั้งวางอยู่อย่างเงียบๆ ต่อหน้าคนทั้งเจ็ด

หนังสือมีความสูงเทียบเท่ากับคนสามคนยืนเรียงต่อกัน ตามผิวของมันสลักไปด้วยรูปแบบอันศักดิ์สิทธิ์ และส่งกลิ่นอายของทวยเทพออกมาตลอดเวลา และที่สำคัญหน้าหนังสือปิดอย่างแน่นหนา ไม่มีร่องรอยของการเปิดมาก่อนเลย

“หนังสือศิลาปรากฏขึ้นแล้ว ทีนี้พวกเราก็สามารถเริ่มต้นกันได้สักที” ชายผมบลอนด์กล่าว

เขาก้าวออกมาข้างหน้า คุกเข่าลงข้างหนึ่ง และกดฝ่ามือตนลงบนผิวของหนังสือศิลา

คนอื่นๆ ก็ก้าวออกมาข้างหน้าเช่นกัน ทั้งหมดคุกเข่าลง และยื่นฝ่ามือออกไป

แอนนาถอนหายใจ แต่สุดท้ายก็ต้องทำตามข้อปฏิบัติ

สักพักหนึ่ง…

ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สีหน้าของทั้งเจ็ดคนเริ่มเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความประหลาดใจ

นี่มันไม่ถูกต้อง ตามบันทึกโบราณ เมื่อผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดดำเนินการมาจนถึงขั้นตอนนี้ หนังสือศิลาก็จะทำการเลือกหนึ่งในผู้ศรัทธาของทวยเทพ และมอบบททดสอบแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่คนผู้นั้น

และเมื่อผู้ศรัทธาเสร็จสิ้นการทดสอบ พวกเขาก็จะได้รับคำพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องไป

อย่างไรก็ตาม คราวนี้ทำไมหนังสือศิลาถึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยล่ะ?

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังประหลาดใจ เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ก็สะท้อนออกมาจากภายในหนังสือศิลา

“ลางร้าย!”

“ลางร้ายอันลึกล้ำที่มิอาจแก้ไขได้!”

“นอกเหนือไปจากดินแดนชิงอำนาจ การทำลายล้างอันเป็นประวัติการณ์จักปะทุขึ้น!”

“คำพยากรณ์ของเทพทั้งเจ็ดได้มาถึงจุดสิ้นสุด”

“ผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดโปรดจงเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับการเผชิญต่อบททดสอบของเทพวิญญาณ เพื่อเปิดใช้งานคำพยากรณ์สุดท้าย!”

………………………………….

ณ ดินแดนชิงอำนาจ อาณาเขตของคริสตจักรแห่งความตาย

ภายในโบสถ์

“อรุณสวัสดิ์นายท่าน”

“ยินดีที่ได้พบนายท่าน”

“นายท่านที่เคารพ มีอะไรให้รับใช้หรือไม่?”

เหล่าผู้ศรัทธา คนแล้วคนเล่ากล่าวทักทายพลางน้อมกายคำนับ

หมาดำที่ลอยอยู่กลางอากาศผงกหัวให้เหล่าผู้ศรัทธาเล็กน้อย

“แอนนายังไม่ออกมาอีกหรือ?” มันถาม

“ขอรับ เธอยังคงฝึกตนอย่างหนักอยู่ในโลกของราชทูตแห่งความแห้งแล้ง”

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปดูเสียหน่อย”

หมาดำกล่าว แล้วก็หายวับไปจากโบสถ์

วินาทีถัดมา มันก็ปรากฏตัวขึ้นในโลกที่ฟุ้งไปด้วยความมืดมิด

“กลิ่นอายแห่งความตาย…รู้สึกว่าจะอยู่ตรงนั้น”

หมาดำมองไปยังทิศทางหนึ่ง ก่อนจะทะยานตัวมุ่งไปด้วยความเร็วอันมิอาจจินตนาการได้ ไม่กี่ลมหายใจก็มาถึงที่หมาย

มันตกลงเหนือยอดตึกระฟ้า ก้มลงมองซากปรักหักพังของโลกจากในจุดที่ห่างไกล

ภายใต้หมอกแสงสีเทาสลัว ร่างใหญ่เริ่มปรากฏกายให้เห็นจากระยะไกล

โครม โครม โครม!

ในทุกๆ ย่างก้าวของร่างที่ว่า ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนของพื้นดินอย่างรุนแรง

หมาดำเฝ้ามองฉากนี้อย่างเงียบๆ จนกระทั่งร่างใหญ่มาหยุดอยู่เบื้องหน้าตึกระฟ้า

อีกฝ่ายมีความสูงแทบจะไม่แตกต่างจากตึกระฟ้าที่หมาดำยืนอยู่เลย ขณะเดียวกันทั้งร่างของมันก็ถูกสวมทับไปด้วยชุดเกราะสีซีด โดยเฉพาะหมวกเกราะที่ดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ปกคลุมจนมิด ไม่มีกระทั่งที่ว่างให้ดวงตามองลอดผ่านออกมา

เมื่อมันหยุดนิ่ง ผืนดินที่มันหยั่งเท้าสัมผัสก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากดินเป็นกรวด กระทั่งตึกระฟ้าที่หมาดำยืนอยู่ก็เริ่มทรุดโทรม เหี่ยวแห้งลงคล้ายถูกลิดรอนอายุขัยไปอย่างรวดเร็ว

หมาดำมองมอนสเตอร์ตัวใหญ่ ปากเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “ราชทูตแห่งความแห้งแล้ง เจ้าจะยินยอมภักดีต่อคริสตจักรแห่งความตายหรือไม่?”

เบื้องหลังเกราะรบ เสียงหอบหายใจหนักหน่วงของมอนสเตอร์ที่เพิ่งประสบกับการขับสู้มาอย่างยาวนาน ได้เผยถึงความลังเลออกมา

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง อีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือหมวกเกราะของมอนสเตอร์อย่างกะทันหัน

เป็น ‘แอนนา’

แอนนาที่กำลังมุ่งมั่นทุ่มเทฝึกฝนได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

เธอดูไม่แตกต่างไปจากในอดีตเลย ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวของหญิงสาวยังคงงดงาม และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความเยาว์วัย

แต่ที่ต่างไปจากเดิม ดูจะเป็นผมยาวสีแดงเพลิงของเธอ

ผมยาวที่ยามปกติมักจะสะท้อนแสงสดใส บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท และมันไม่ใช่สีดำธรรมดา แต่เป็นสีดำที่ถูกห่อหุ้มด้วยความมืดมิดอันลึกล้ำ

แอนนากุมเคียวทมิฬไว้ในแนวนอน และใช้ปลายด้ามของมันเคาะลงบนหมวกเกราะของมอนสเตอร์

“อย่าสร้างปัญหาให้ฉันมากกว่านี้เลย อย่าบอกนะว่านายลืมคำพูดตัวเองเมื่อกี้ไปแล้ว?” เธอกล่าว

มอนสเตอร์หยุดหอบหายใจไปสักพัก ในที่สุดมันก็คุกเข่าลงอย่างช้าๆ ต่อหน้าหมาดำ

“ข้ายินยอมภักดีต่อคริสตจักรแห่งความตาย”

เสียงที่อุดอู้แต่ดังสนั่นดั่งฟ้าร้อง พึมพำออกมา

เมื่อหมาดำได้รับคำตอบ ทันใดนั้นเปลวไฟทมิฬก็กระชากออกมาจากตัวมันทันที

เปลวไฟทมิฬเหล่านี้ควบรวมกันเป็นเส้นตัวอักษรบางอย่าง และบินตรงเข้าไปในร่างของมอนสเตอร์

ร่างของมอนสเตอร์สั่นเทาด้วยความเจ็บปวด และจำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเพื่อฟื้นคืนสติอารมณ์ให้กลับมา

หมาดำกล่าว “ตามข้อตกลงที่ทวยเทพได้กำหนดขึ้น นับจากนี้ไป เจ้าจะได้กลับเข้าสู่อ้อมอกของเทพแห่งความตาย จักได้รับเกียรติยศ และความรุ่งโรจน์อย่างหาที่ใดเปรียบ!”

เปรี้ยง!

จากฝั่งซ้ายและขวาของร่างราชทูตแห่งความแห้งแล้ง จู่ๆ ก็ปรากฏถึงประตูทมิฬที่เปิดออก

ราชทูตไม่สามารถต่อต้านขัดขืนใดๆ ได้เลย ทั้งร่างของมันหายเข้าไปในประตูทมิฬโดยสมบูรณ์

แต่แอนนายังคงปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ

หญิงสาวค่อยๆ ร่อนลงบนยอดตึกระฟ้า วางพาดเคียวยาวสีดำบนไหล่เธอ ปากอ้าหาว

“เหนื่อยจัง ฉันขอกลับไปนอนก่อนนะ…เอ ว่าแต่ท่านมาทำอะไรที่นี่กัน?”

หมาดำตอบกลับไปอย่างเงียบๆ “กระทั่งราชทูตแห่งความแห้งแล้งก็ยังยอมจำนน ข้าต้องขอบอกเลยว่าพัฒนาการของเจ้าช่างเป็นไปอย่างก้าวกระโดดเสียจริงๆ”

“หยุดพูดไร้สาระเถอะ เข้าประเด็นมาเลยดีกว่า”

“ก็ได้ๆ ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่มีเวลาได้นอนพักน่ะสิ”

“ว่าไงนะ? ฉันอุตส่าห์ทุ่มทำงานอย่างหนัก เพื่อจัดการเจ้าตัวสร้างปัญหานั่น อย่าบอกนะว่ามีงานอื่นให้ทำอีกแล้ว? ไม่เอาล่ะ ช่างหัวงานอื่นมัน ฉันจะไปนอน!”

“…เอาเป็นแลกเปลี่ยนกับการที่ข้าจะพาเจ้าไปดื่มเป็นไง?”

“เห? เป็นพระคุณจริงๆ หวังว่าคราวนี้จะไม่ทิ้งให้ฉันเป็นคนจ่ายบิลอีกหรอกนะใช่ไหม?”

“ไม่แน่นอน ข้าจะเป็นคนจ่ายเอง ถ้าเจ้าไม่เชื่อใจ ข้าจะจ่ายบิลให้ก่อนเลย แล้วหลังจากนั้นเราค่อยมาดื่มกัน”

“ฮี่ๆ ฟังดูจริงใจไม่เลวเลยนี่ ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ฉันจะไปดื่มกับท่าน แล้วค่อยกลับไปนอน”

“แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าจะต้องไปทักทายแขกผู้มาเยือนในนามของคริสตจักรแห่งความตายเสียก่อน”

“ที่แท้ก็เรื่องงานอีกแล้ว เหอะ ถ้าเช่นนั้นไม่เป็นไร ฉันไม่ไปกับท่านก็ได้ ซื้อเหล้ากินเองคนเดียวสะดวกกว่าซะอีก!”

“แอนนา ฟังนะ มันเป็นงานง่ายๆ ที่เจ้าต้องทำก็เพียงแค่เอ่ยทักทายกับคนเหล่านั้นไปสักสองสามคำ แล้วเจ้าก็แยกตัวออกมาได้เลย ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าไปดื่มเอง” หมาดำพยายามอธิบาย

“แน่ใจนะ?” แอนนาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“แน่ใจสิ! ข้าน่ะมักจะมอบหมายงานยากลำบากให้กับคนอื่นๆ แต่สำหรับเจ้าที่พิเศษกว่าใคร และสนิทสนมกับข้าเป็นการส่วนตัว ข้าย่อมใจดีมอบหมายงานสบายๆ ให้แก่เจ้าอยู่แล้ว” หมาดำกล่าวอย่างจริงใจ

“…แค่พูดทักทายไม่กี่คำก็ไม่น่าจะนานอะไร โอเค เอาก็เอา” แอนนาพูดกับตัวเอง

“ยอดเยี่ยม! ข้าจะรอเจ้าอยู่ในวิหาร เจ้าเสร็จธุระเมื่อไหร่ พวกเราจะตรงไปที่บาร์ทันที!” หมาดำกล่าว

“อืม ในเมื่อท่านแสดงถึงความจริงใจแบบนี้ ฉันยอมทำให้ก็ได้ แต่ท่านจะต้องบอกฉันก่อนว่าคนอื่นๆ เป็นใคร และฉันจะต้องพูดเรื่องอะไรกับพวกเขาเมื่อพบเจอ”

“พวกเขามาจากพันธมิตรแห่งคริสตจักรอื่นๆ และยังเป็นสาวกหลักของโบสถ์ คล้ายกันกับเจ้านั่นแหละ”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมฉันถึงต้องไปพบพวกเขาด้วยล่ะ?”

“เพื่อทำความคุ้นเคยและจดจำใบหน้าซึ่งกันและกัน จะได้ไม่เผลอทำร้ายกันหากเกิดการต่อสู้ขึ้นในอนาคต”

“ถ้าเช่นนั้นก็เรื่องง่ายๆ ฉันจะทำให้มันจบๆ ไปโดยเร็วที่สุด แล้วจะกลับไปดื่มนะ”

หนึ่งคนหนึ่งหมาตกลงกันจบ ก็หายวับไปจากโลกราชทูตแห่งความแห้งแล้ง

หลังจากนั้นไม่นาน แอนนาก็รีบตรงเข้าไปยังห้องรับรองลับของทางคริสตจักร

ชายหญิงกว่าเจ็ดแปดคนเฝ้ารอเธออยู่ก่อนแล้ว

เขาและเธอมาจากนิกายศาสนาและกลุ่มอิทธิพลที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลัง

“ขอโทษทีที่ฉันมาสาย”

หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีดำ เดินเข้ามาในท่วงท่าสง่างามเอ่ยปากกล่าว

“เหอะ! เห็นได้ชัดว่านี่มันเป็นเรื่องสำคัญ แต่เธอก็ยังมาสาย” หญิงสาวที่สวมชุดเกราะเต็มตัวบ่นด้วยความหงุดหงิด

“หืม? แต่ฉันว่าเวลานี้มันก็เหมาะสมแล้วนะ หรือคุณคาดหวังให้ ‘ความตาย’ มาเยือนตัวเองเร็วกว่าที่คิดล่ะ?” แอนนากล่าวด้วยรอยยิ้ม

หญิงชุดเกราะมองไปยังท่าทีผ่อนคลายของแอนนา และนึกขึ้นได้ว่าสถานะของอีกฝ่ายคือตัวแทนของคริสตจักรแห่งความตาย ก็เลยจำใจทน ไม่ถกเถียงต่อ

แอนนากวาดมองใบหน้าของทุกคนเพื่อจดจำพวกเขา ก่อนจะเอ่ยเชิญ “พวกคุณนั่งกันก่อนเถอะ ที่นี่มีเก้าอี้อยู่มากมาย ทำไมต้องยืนคุยกันด้วยล่ะ?”

ชายคนหนึ่งก้มลงมองนาฬิกาพกของเขาและกล่าว “ฉันเกรงว่าเราจะไม่มีเวลามานั่งพูดคุยกันอย่างช้าๆ แล้วน่ะสิ”

“ถูกต้อง ในเมื่อตอนนี้คริสตจักรแห่งความตายก็มาถึงแล้ว พวกเราก็มาเริ่มกันสักทีเถอะ” อีกคนกล่าว

ว่าจบ ทุกคนต่างก็หันไปมองหญิงสาวที่มีรูปร่างราวกับกลุ่มหมอกลวงตา

เมื่อเห็นว่าถูกทุกคนจ้องมอง หญิงสาวก็เอ่ยปาก “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ แต่การเดินทางข้ามผ่านชั้นโลกในดินแดนชิงอำนาจ จำเป็นต้องมีอะไรบางอย่างคอยปกป้อง…”

“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง” อีกคนกล่าว

ในมือของเขา กำลังกุมบอลน้ำแข็งที่ส่งกลิ่นอายเย็นสดชื่นออกมา

“เทคนิคเยือกแข็งของฉันจะช่วยกักเก็บกลิ่นอายของพวกเราทั้งหมด ส่งผลให้จะไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นถึงพวกเราได้อย่างแน่นอน แต่ในช่วงเวลาสามสิบลมหายใจ ทุกคนจะต้องถูกแช่แข็งโดยสิ้นเชิง จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว”

บางคนเอ่ยยกย่อง “ก็แค่ถูกแช่แข็งใช่ไหม? แบบนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องทนกับความเจ็บปวดใดๆ แค่นั้นก็ดีมากแล้ว”

“ใช่ มันยังไม่สายเกินไป พวกเรามาเริ่มกันเลยเถอะ” อีกคนกระตุ้น

แอนนาที่รับฟังบทสนทนาของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปจากที่หมาดำพูดไว้

“ขอโทษที ฉันอยากจะถามว่า…”

เธอพยายามที่จะเอ่ยปากถามอะไรบางอย่าง

อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไปแล้ว

บอลน้ำแข็งถูกบดขยี้จนแตกเป็นผง

พริบตานั้นทุกคนในห้องก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง

แอนนาขยับเขยื้อนตัวไม่ได้เลย!

และไม่ใช่แค่เธอ คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน!

ในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงในร่างเงาหมอกก็ได้เริ่มร่ายเทคนิคมนตรา

ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนปรากฏถึงปากใหญ่อ้าขึ้น

ปากใหญ่นี้พุ่งพรวดขึ้นมา และกลืนกินทุกคนหายเข้าไปในปากของมัน

เผยให้เห็นถึงร่างของมอนสเตอร์โปร่งใสเจาะขึ้นมาจากพื้นดิน

มอนสเตอร์ตัวนี้ รูปลักษณ์ของมัน ดูคล้ายกับปลายักษ์บางชนิดจากในยุคโบราณ

มันสะบัดตัวไปมาก่อนจะมุดหายเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าด้วยความเร็วสูง เคลื่อนย้ายผ่านไปยังชั้นโลกต่อไป

อีกด้านหนึ่ง

บนยอดสุดของวิหาร

บทสนทนากำลังดำเนินไปอย่างเงียบๆ

“เจ้าเล่นหลอกลวงนางแบบนี้เลยอย่างนั้นหรือ?” อีกาดำเอ่ยถาม

“ก็มันไม่มีทางเลือกนี่นา ยังจะมีวิธีอะไรอีกนางถึงจะยอมปฏิบัติตาม ข้าก็ทำได้แค่เท่านี้” หมาดำบ่นอุบ

“แต่หลังจากที่นางกลับมา วิหารคงต้องพังยับเยินอีกครั้งเป็นแน่” อีกาดำถอนหายใจ

“ปล่อยนางไป ส่วนข้าว่าจะขอตัวออกไปปฏิบัติภารกิจเผยแผ่ศาสนาสักหน่อย คงจะไม่ได้กลับมาอีกสักพักนะ” หมาดำกล่าว

และจู่ๆ มันก็หายวับไปทันที

บนยอดวิหาร เหลืออีกาดำอยู่เพียงลำพัง

อีกาดำเงียบไปนาน ก่อนจะสบถออกมา

“เผยแผ่ศาสนาอะไรกัน เจ้าก็แค่กลัวว่าจะถูกแอนนาระบายความโกรธใส่มิใช่หรือ ทำแบบนี้มัน…ช่างไร้ศักดิ์ศรีในฐานะผู้รับใช้เทพแห่งความตายซะจริงๆ!”

…………………………………..

กู่ฉิงซานปาดเหงื่อบนหน้าผาก เขาไม่อาจเอ่ยคำใดได้อยู่เนิ่นนาน

ผู้หญิงคนนี้ จะบ้าเลือดไม่รักชีวิตตัวเองเกินไปแล้ว!

กระทั่งตัวตนอย่างอาจารย์เขา หากจะต้องต่อกรกับศัตรูจำนวนมาก นางยังต้องเค้นสมองขบคิดถึงสถานการณ์บางอย่างก่อนที่จะลงมือเลย

ทว่าสำหรับหญิงคลุ้มคลั่งตรงหน้า นางช่างตรงกันข้าม ในสายตาและความคิดของนาง เป็นในทิศทางตรง ดั่งกระบี่เท่านั้น

ในช่วงวินาทีสุดท้าย กู่ฉิงซานได้กวาดจิตสัมผัสเทวะตนข้ามผ่านตลอดทั้งฝูงปีศาจแกะดำ และตรึงอยู่กับหนิงเยว่ฉาน

เขาเกือบที่จะใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วแล้ว

เดชะบุญจริงๆ ที่ตนตัดสินใจช้าไปหน่อย

มิฉะนั้น ทันทีที่หนิงเยว่ฉานหายตัวไป ก็คงจะเป็นเขาที่เสนอหน้าไปกลางดงปีศาจแกะเพียงลำพัง และถูกพวกมันรุมทุบตีระบายความโกรธแค้น

ถ้าเป็นแบบนั้นละก็…

กู่ฉิงซานถอนหายใจ ในเมื่อมันยังไม่เกิดขึ้นก็เลิกคิดเถอะ ปล่อยมันไปเสีย

หนิงเยว่ฉานพุ่งเข้าสังหารราชาปีศาจแกะโดยตรง ด้วยผลงานอันน่าตกตะลึงเช่นนี้ จึงสามารถดึงดูดความสนใจจาก ‘ระบบชีวิต’ และข้ามผ่านอาณาเขตของหน้าใหม่ได้ในที่สุด

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ในหัวใจตนไม่ต้องคอยมามัวพะวงเกี่ยวกับหญิงสาวอีกต่อไป

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานจึงค่อยผ่อนคลายลง

ตอนนี้ สิ่งที่เขาควรมุ่งสมาธิ เหลือแค่การหาหนทางให้ตัวเองสามารถดาวน์โหลดระบบชีวิตได้ก็เท่านั้น

สิ่งที่เรียกว่าระบบชีวิต มันคือระบบพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ

เดิมทีแล้วเหล่าทวยเทพน่ะชิงชังในตัวระบบ

เพราะระบบทุกชนิดที่ชั่วร้าย ต่างก็ล้วนงัดทุกประเภทของกลยุทธ์อันหลากหลาย เพื่อหมายจะล่อลวงจิตใจของทุกสิ่งมีชีวิตให้ดาวน์โหลดมัน

ฉะนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเหล่าทวยเทพ ที่จะสามารถปกป้องสิ่งมีชีวิตนับล้านๆ ได้ตลอดเวลา

แม้จะเป็นเทพ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้

หลังจากใช้เวลาอยู่นานปีขบคิดถึงปัญหาดังกล่าว ในที่สุดเหล่าทวยเทพสามารถก็นึกวิธีที่จะต่อกรกับเหล่าระบบออก

นั่นก็คือ การสร้างระบบใหม่ขึ้นมาด้วยตัวเอง และใช้ระบบที่ว่านั่นต่อกรกับระบบชั่วร้ายอื่นๆ

เหล่าทวยเทพได้รังสรรค์ขึ้นมาทั้งสิ้นสองระบบ

หนึ่งคือระบบของเทพสวรรค์

อีกหนึ่งคือระบบชีวิต

ในส่วนของระบบเทพสวรรค์ จะต้องเป็นผู้ศรัทธาของเหล่าทวยเทพเท่านั้น จึงจะได้รับสิทธิ์ในการดาวน์โหลดมัน

ระบบเทพสวรรค์ประกอบไปด้วยหลากหลายกฎเกณฑ์ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยทวยเทพ เทคนิคการลงทัณฑ์จากทวยเทพ สกิลเทวะ อำนาจเทวะ โดยผู้ศรัทธาจะได้รับสิทธิ์ในการดาวน์โหลดระบบเทพสวรรค์ จะได้รับหน้าที่แทนทวยเทพทั้งปวง ก้าวเดินในเส้นทางแห่งเทพวิญญาณท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

ขณะที่ระบบชีวิตจะแตกต่างกันออกไป

นี่คือการรังสรรค์ของทวยเทพ ที่ถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ช่วยส่งเสริมให้พวกเขายกระดับขึ้น

ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็สามารถดาวน์โหลดระบบชีวิตได้ ทั้งหมดจะได้รับกุญแจแห่งความก้าวหน้าในการพัฒนาสู่ขั้นต่อไป

ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว และธรรมชาติชีวิตของพวกเขาจะถูกวิวัฒน์ สามารถพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดด เพื่อบรรลุถึงการเติบใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

โดยทั้งสองระบบนี้ มีอยู่ในโลกสองร้อยล้านชั้นภายในดินแดนชิงอำนาจ

ดังนั้น ดินแดนชิงอำนาจจึงเป็นสถานที่ ที่ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนเฝ้าใฝ่ฝันจะได้มาเยือน

แต่ขณะเดียวกัน ดินแดนชิงอำนาจก็เป็นสนามรบขนาดใหญ่ สนามรบที่เหล่าทวยเทพเลือกที่จะทิ้งระบบเอาไว้ที่นี่ เพื่อใช้มันต่อกรกับศัตรูทั้งหมดที่คิดต่อต้าน

ดังนั้นภายในดินแดนชิงอำนาจ มันจึงเต็มไปด้วยทุกชนิดของอันตรายและการเผชิญหน้า

ตั้งแต่การสู้รบไปถึงการลอบสังหาร สงครามขนาดย่อม แก่งแย่งสมบัติ สงครามศาสนา สงครามขนาดใหญ่เต็มรูปแบบ และทุกชนิดของภัยพิบัติแสนอันตรายอันไร้ที่สิ้นสุด

อาจกล่าวได้ว่าที่นี่คือฟาร์มเนื้อขนาดยักษ์ที่คอยเก็บเกี่ยวทุกชีวิตทั้งมวล

หากไม่มีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับ ‘คุณสมบัติหน้าใหม่’ จากสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น

หลังจากที่ได้เข้ามาที่นี่ พวก ‘หน้าใหม่’ จะต้องแสวงหาหนทางที่จะแข็งแกร่งขึ้น หรือไม่ก็ตกตายลงระหว่างทาง

กู่ฉิงซานยืนอยู่บนหอคอยในมุมสูง ก้มมองลงไป

เห็นแค่เพียงฝูงแกะที่กำลังโกรธแค้น วิ่งตรงขึ้นมายังหอคอยบนภูเขา

ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าราชาปีศาจแกะดำองค์ใหม่จะถือกำเนิดขึ้นแล้ว

และเห็นได้ชัดว่าราชาแกะองค์ใหม่ ก็ต้องการที่จะเดินตามรอยราชาแกะตัวก่อนหน้า คิดหมายในเป้าประสงค์เดียวกัน

บรรดาหน้าใหม่หลายคนที่กระจายตัวกันอยู่รอบๆ ฝูงแกะ เมื่อพวกเขาสบโอกาสก็โจมตีและเก็บเกี่ยวชีวิตของพวกมันทันที

ฝูงแกะที่ถูกโจมตีก็เริ่มต่อต้านกลับด้วยความโกรธ

รูปร่างของพวกมันปราดเปรียว คู่เขาที่ม้วนงอเหนือหัวไม่เพียงแต่จะคมกริบ แต่มันยังสามารถใช้โจมตีได้หลากหลายรูปแบบอีกด้วย

เบื้องล่างตน กู่ฉิงซานเห็นหน้าใหม่คนหนึ่งกำลังถูกแกะหลายสิบตัวตีวงล้อมในเวลาเดียวกัน และสุดท้ายก็ไปไม่รอด ถูกปีศาจแกะดำกระแทกหัวเข้าใส่ ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาแหลกกระจาย แยกจากกันเป็นหลายสิบส่วนทันที

และแล้ว เลือดของหน้าใหม่คนที่ว่าก็กลายมาเป็นพลังงานให้แก่ปีศาจแกะดำ

รูปร่างของปีศาจแกะดำบริเวณนั้นค่อยๆ ใหญ่โตขึ้น

คู่เขาบนหัวของพวกมันเริ่มขยายขนาด พร้อมด้วยรูปแบบลึกลับที่ปรากฏตามมา

แต่เมื่อมีคนตาย ก็ย่อมต้องมีคนที่สามารถทำได้สำเร็จเช่นกัน

หน้าใหม่อีกคนหนึ่งที่กำลังจะหลบหนี หลังจากสังหารปีศาจแกะดำไปมากกว่าสามสิบตัวติดต่อกัน จู่ๆ เขาก็ชะงักฝีเท้าไปอย่างกะทันหัน

“ฮ่าๆๆ! ฉันขอตัวไปก่อนล่ะ!” เขาตะโกนหัวเราะร่า

วินาทีต่อมา ม่านแสงก็ห่อหุ้มรอบกายเขา และส่งเจ้าตัวหายวับไป

ฉากนี้ได้กระตุ้นให้ผู้คนตัดสินใจเลือกที่จะเสี่ยงมากขึ้น

คนอื่นๆ ที่เหลือต่างรีบวิ่งลงมาจากหอคอยปราการ และกระโจนเข้าต่อสู้กับปีศาจแกะดำโดยตรง

ข้อได้เปรียบของกลยุทธ์การต่อสู้นี้ก็คือ คุณสามารถวิ่งย้อนกลับไปหลบบนหอคอยได้ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันคุณก็สามารถหาโอกาสที่คอยสังหารปีศาจแกะดำหนึ่งหรือสองตัวในเวลาที่มันพลั้งเผลอ

การต่อสู้ได้ถูกโยนเข้าสู่ช่วงโหดร้ายและรุนแรงที่สุดแล้ว

ทว่ากู่ฉิงซานก็ยังมิได้เข้าร่วม

เขาหันซ้ายหันขวา มองไปรอบๆ

ตอนนี้ ไม่มีใครอยู่บนเหนือสุดหอคอยอีกต่อไป

เข้าไปหลบอยู่หลังฉากในหอคอยปราการอันแข็งแกร่ง กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระของเขา หยิบดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กออกมา และเริ่มจัดวางมัน

ค่ายกลป้องกันหลายสิบชั้นถูกจัดตั้งขึ้น และสุดท้ายก็เป็นค่ายกลเก็บเสียง

“เจ้าออกมาได้แล้ว”

กู่ฉิงซานกล่าว

ในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาค่อยๆ ผุดออกมา

ดาบยาวกลายร่างเป็นฉานนู่ ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

ฉานนู่ “ข้ามาแล้วนายน้อย”

“อืม ในช่วงเวลาคัดกรองหน้าใหม่ เจ้าได้ยินท่านหญิงแบล็กซีเอ่ยถึงสิ่งใดหรือไม่?” กู่ฉิงซานถาม

“นายน้อย เรื่องนั้นสำคัญมากเลยหรือ?” ฉานนู่ถามอย่างระแวดระวัง

“มันสำคัญมาก ข้าต้องการจะทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้น” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“เข้าใจแล้ว” ฉานนู่พยักหน้า

“นายน้อย ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าท่านหญิงแบล็กซีมิได้ปลดปล่อยเทคนิคมนตราใดๆ กับท่าน แต่ข้ากลับไม่สามารถมองเห็นนางได้อย่างชัดเจน จึงไม่รู้ว่านางได้กระทำสิ่งใดกับท่าน”

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น มิใช่ว่าเจ้าสามารถแหกได้ทุกกฎเกณฑ์หรอกหรือ?” กู่ฉิงซานสวนกลับอย่างไม่ยินยอม

“ข้าสามารถทำมันได้ แต่อีกฝ่ายมิได้ใช้มนตราใดๆ กับท่าน ดังนั้นพลังแหกกฎของข้าจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ”

“ในพื้นที่มิติที่ข้าอยู่ มันไม่มีเทคนิคมนตราใดๆ ปรากฏขึ้นมาเลย”

“ดังนั้นข้าจึงไม่อาจทราบถึงสิ่งที่นางทำได้”

“แต่ในทะเลลึก ข้ามั่นใจว่ามิอาจมองเห็นรูปลักษณ์ที่ปรากฏตัวของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ข้าเลยคิดว่าพวกเรากับอีกฝ่าย ไม่น่าจะอยู่ในมิติและเวลาเดียวกัน”

“ไม่ได้อยู่ในมิติและเวลาเดียวกัน?”

“ใช่ น่าเสียดายที่นางมิได้หลอมรวมเข้ากับมิติและเวลาบนตัวนายน้อย มิฉะนั้นข้าคงสามารถแหกกฎเกณฑ์เทคนิคมนตราของนางได้ และเห็นถึงรูปลักษณ์ที่ปรากฏของนางไปแล้ว” ฉานนู่อธิบายด้วยความเสียใจ

ขณะที่กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ช็อก

หากอ้างอิงตามผลจากการคัดกรองคุณสมบัติของพวกหน้าใหม่ ท่านหญิงแบล็กซีอยู่ในมิติและเวลาที่แตกต่าง แต่กลับสามารถตรึงหน้าใหม่ทั้งหมดให้หยุดนิ่งได้ในเวลาเดียวกัน และสามารถตรวจสอบความแข็งแกร่งของหน้าใหม่ทุกคนได้ในเวลาเพียงลมหายใจเดียว!

จำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งในระดับใดกัน ถึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้!!

กู่ฉิงซานถอนหายใจ ยังคงถามต่อ “แล้วนางกล่าวอะไรหรือเปล่า?”

“นางคล้ายจะกล่าวอยู่หลายประโยค แต่ข้าจดจำได้เพียงในช่วงเวลาที่ห้วงอารมณ์ของนางรุนแรงที่สุดเท่านั้น”

“นางพูดว่าอะไร?”

“เหมือนกับว่านางจะปรารถนาอย่างยิ่งยวดให้ท่านแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด”

“แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว…”

กู่ฉิงซานหายไปในความคิด

‘ปรารถนาให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆ’

‘ถ้าเช่นนั้นทำไมอีกฝ่ายถึงได้มอบสถานะ ‘ผู้หวนคืน’ ให้แก่ฉันล่ะ?’

ถ้าอนุมานว่านี่เป็นความประสงค์ดีของอีกฝ่าย สถานะนี้คงจะช่วยให้เขานั้นสะดวกสบายมากขึ้น ส่งผลให้เขาได้รับผลประโยชน์มากขึ้นนั่นเอง

กู่ฉิงซานตริตรองอย่างเงียบๆ ไปสักพัก ก่อนที่จะหยิบยกเอาคำพูดหนึ่งในความคิดของเขาขึ้นมา

“แข็งแกร่งขึ้น…”

ปากขมุบขมิบพึมพำ สองเท้าก้าวออกจากหอคอยปราการ มุ่งหน้าลงไปยังภูเขาชันเบื้องล่าง

ช่วงเวลานี้ ปริมาณของปีศาจแกะดำที่บุกเข้ามาเริ่มทวีจำนวนมากขึ้นแล้ว ผลพวงที่ตามมาก็คือ ทางฝั่งหน้าใหม่เลยค่อยๆ ทยอยลดจำนวนลงเช่นกัน

หน้าใหม่บางส่วนก็ถูกฆ่าตาย และกลายเป็นพลังงานเลือดให้แก่ฝูงแกะ

ขณะที่หน้าใหม่คนอื่นๆ ก็ได้ถูกส่งหายไปเลยโดยตรง หลังจากที่ได้สำแดงพลังอันโดดเด่นของพวกเขา ได้รับความสนใจจากระบบชีวิต

ตรงเชิงเขา มีหน้าใหม่เหลืออยู่อีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

พวกเขากำลังรีบถอยหนีขึ้นมาบนเนินด้วยความหวาดกลัว

ในขณะเดียวกัน ฝูงปีศาจแกะก็ทยอยกันยกพลปีนขึ้นมา

กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางสายลม เฝ้ามองดูฝูงแกะเบื้องล่างอย่างเงียบๆ

…ผู้หญิงคนนั้นต้องการให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น

นั่นสินะ เพราะถ้าไม่แข็งแกร่ง แล้วฉันจะมีคุณสมบัติไถ่ถามเธอได้อย่างไร ว่าทำแบบนี้ไปเพราะอะไร?

หากเขาล่วงรู้ความลับนี้ในช่วงที่ยังอ่อนแอ แล้วเขาจะใช้อะไรในการปกป้องมันเล่า?

ในวันสิ้นโลก หากอาณาจักรทั้งมวลถูกทำลายลง สิ่งที่เป็นบาปมหันต์ที่สุดของสิ่งมีชีวิตมันก็คือความอ่อนแอนี่แหละ!

มีเฉพาะเพียงสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดเท่านั้น จึงจะสามารถค้นหาหรือครอบครองความลับที่ล่มสลายกระทั่งโลกทั้งใบได้อย่างอิสระ! ต้องแกร่งเท่านั้นถึงสามารถรับรู้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังสถานการณ์อันน่าสลดในปัจจุบันนี้ได้!!

กู่ฉิงซานถอนหายใจ เขาไม่เสียเวลาคิดมากอีกต่อไป

ตนเองได้มาถึงดินแดนชิงอำนาจแล้ว

และเส้นทางแห่งความแข็งแกร่ง มันก็กำลังอยู่เบื้องล่างฝ่าเท้าของตนเองนี่เอง

เขามองไปยังฝูงปีศาจแกะที่กำลังจะปีนขึ้นมาใกล้ส่วนบนของเนินเขา ช่วงเวลานี้เจ้าตัวก็เอื้อมมือเข้าไปในความว่างเปล่า

ทันใดนั้นคันธนูอันงดงามก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา

เป็นธนูเย่หยู

ขณะเดียวกัน ถุงใส่ลูกศรก็ถูกสะพายไว้เบื้องหลัง

เขายกคันธนูยาวขึ้น เล็งลงไปยังฝูงปีศาจแกะดำที่อยู่เบื้องล่าง

ทว่าสายธนูยังไม่ทันจะขยับไหว สองภาพติดตาก็ระเบิดคลื่นอัดอากาศ ทิ้งตัวลงไปยังกลางดงของพวกมันเสียแล้ว

เป็นดาบเช่าหยิน

และดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

‘ต้องการให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นใช่ไหม…ถ้าเช่นนั้นก็ขอจัดให้ตั้งแต่ตอนนี้เลยก็แล้วกัน!’

………………………………….

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลายเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“จะพิชิตหรือเป็นฝ่ายถูกพิชิต นั่นแหละปัญหา”

“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ พิชิต”

“พิชิต เมื่อคุณใช้สกิลนี้กับศัตรูที่เป็นเป้าหมาย พวกมันทั้งหมดจะโจมตีคุณด้วยเหตุผลบางประการ”

“คำอธิบาย สกิลนี้เป็นวิชาลี้ลับ เป็นสกิลกฎแห่งการกระทำกรรมและมันไม่สามารถหลบเลี่ยงได้”

กู่ฉิงซานทำการล็อกสมญาตนเองเป็น ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’ ทันที และเริ่มเปิดใช้งานสกิล ‘พิชิต’ เข้าใส่ฝูงปีศาจแกะดำ!”

ขณะเดียวกัน ในระหว่างที่เขากำลังเปิดหน้าต่างเทพสงคราม และทำการเลือกสมญา

บนพื้นที่ราบลุ่ม ท่ามกลางหอคอยหลายแห่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกัน กลุ่มของปีศาจแกะกำลังมารวมตัวกันอยู่

ผู้นำของปีศาจฝูงแกะเชิดศีรษะขึ้น ปากอ้าร้องตะโกนเรียกระดมพลปีศาจแกะดำทั้งหมด

“แบะ แบะ แบะ!”

พี่น้องทั้งหลายจงหยุดมือ! พวกเราจงมารวมตัวกันเสียก่อนจึงค่อยทุ่มโจมตีอย่างเต็มกำลังในคราเดียว!

ภายใต้คำสั่งของมัน จำนวนฝูงปีศาจแกะดำก็เริ่มเพิ่มขึ้น รวมตัวกันเป็นกำลังรบอันยิ่งใหญ่

เมื่อเห็นว่าฝูงปีศาจแกะดำนับพันได้มาชุมนุมกันแล้ว ผู้นำปีศาจแกะก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

มันชี้ขึ้นไปยังหอคอยที่อยู่ใกล้ที่สุด ปากอ้าคำรามลั่น “แมะแมะ! ” โจมตีได้!

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง มันก็เป็นช่วงที่กู่ฉิงซานเปิดใช้งานสกิล ‘พิชิต’ พอดิบพอดี

บนที่ราบ ฝูงปีศาจแกะดำที่กำลังเคลื่อนพลพลันหยุดชะงักลงทันที

นั่นเพราะเกิดสถานการณ์อันไม่คาดฝันขึ้นอย่างกะทันหัน…

ปรากฏปีศาจแกะดำเจ็ดแปดตัวที่ดูแข็งกร้าว วิ่งออกมาจากฝูงชน ร่วมกันใช้อาวุธในมือพุ่งเข้าเสียบร่างของผู้นำปีศาจแกะดำ

ผู้นำปีศาจอ้าปากค้าง สายตาค่อยๆ เลื่อนลงมาจ้องมองอาวุธหลายชิ้นที่เสียดแทงผ่านร่างกายของตน

มันเงยหน้าขึ้นมองปีศาจแกะดำผมลอนตรงหน้า ขยับปากกล่าวอย่างยากลำบาก “แบะ แมะ?” ทำไมถึงได้ทำแบบนี้?

ปีศาจแกะดำอีกฝั่งที่ดูแข็งกร้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แมะ แบะ แบะ” เรื่องนี้ไม่อาจโทษพวกเราได้ ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ!

มันชักอาวุธออก และสวบ! แทงซ้ำเข้าไปยังจุดสำคัญของผู้นำฝูงปีศาจแกะดำอีกครั้ง

ชักออก และแทงกลับเข้าไป ทำเช่นนี้สลับไปมาต่อเนื่อง!

ผู้นำฝูงปีศาจแกะคุกเข่าลงกับพื้น ทั้งร่างของมันสิ้นแล้วซึ่งลมหายใจ

มันตกตายลงทั้งๆ อย่างนั้น

บังเกิดความเงียบงันขึ้นในฝูงแกะ

…ราชาของพวกมันตายลงเสียแล้ว

ในสนามรบ การโจมตีทั้งหมดพลันหยุดลงอย่างกะทันหัน

ฝูงแกะทั้งหมดต่างมองมายังศพผู้นำของพวกมัน

ขณะเดียวกัน ตามหอคอยต่างๆ บนพื้นที่ราบ เหล่าหน้าใหม่หลากหลายเผ่าพันธุ์ที่ครอบครองกรีนการ์ดก็จำต้องถูกบังคับให้หยุดโจมตีลง

นั่นเพราะแม้ว่าปีศาจแกะดำแต่ละตัวมันจะไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก ทว่าหากปีศาจแกะดำทั้งหมดในที่ราบรวมตัวกัน มันจะแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

หากแกะดำนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน พวกมันจักสามารถระเบิดพลังอำนาจชนิดที่ห่างไกลจากสามัญสำนึกได้ออกมา

เหล่าหน้าใหม่ที่ถือกรีนการ์ดจึงไม่กล้าที่จะออกจากหอคอย เพื่อไปจัดการกลุ่มแกะฝูงใหญ่ที่ว่านั่น

“เจ้าพวกปีศาจแกะดำมันกำลังทำบ้าอะไรกันอยู่?”

หน้าใหม่จากหลากหลายเผ่าพันธุ์ต่างเกิดความสงสัย

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ใจกลางของฝูงปีศาจแกะดำ แกะผมลอนก็ได้ย่ำลงบนศพของอดีตผู้นำ ร้องตะโกนกล่าว “แบะแบะ แมะๆ” เขาสมควรตายแล้ว! เป็นเพราะเขาที่บีบบังคับให้พวกเราโจมตีหอคอยตามอำเภอใจ แต่กลับไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง

บังเกิดความวุ่นวายขึ้นในฝูงแกะ

หนึ่งในฝูงตะโกนขึ้นด้วยความสงสัย “แมะ! แบะ แมะ” แต่พวกเราจะทำอะไรได้? วิธีที่จะสามารถได้รับพลังงานจากเลือด มันก็มีแค่การบุกโจมตีหอคอยเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่นใดอีก

คำกล่าวนี้เป็นความจริง และมันคือความจริงอันแสนโหดร้าย

‘หากปีศาจแกะดำต้องการที่จะวิวัฒนาการ พวกมันก็ต้องโจมตีหอคอย มิฉะนั้นพวกมันก็จะไม่ได้รับพลังงานที่จะใช้ในการวิวัฒน์’

ปีศาจแกะดำตนอื่นๆ พอได้ฟัง ก็พากันพยักหน้า

พวกมันต่างมองไปยังแกะผมลอน เพื่อต้องการได้ยินถึงคำอธิบาย

เห็นแค่เพียงปีศาจแกะผมลอนสูดหายใจลึก ยกสองกีบขึ้น ประกาศกร้าวต่อหน้าฝูงแกะทั้งหมด “แมะ แมะ” ข้ามีแผน…

ระหว่างกล่าว กีบเท้าของมันก็ชี้ไปยังภูเขาสูงชันที่ห่างไกลออกไป

“แบะ แบะ แบะ แมะ…”

แกะผมลอนเปล่งเสียงคำรามต่อเนื่อง

“จงดูภูเขาลูกนั้น มันเป็นตำแหน่งที่ง่ายต่อการป้องกัน และยากต่อการบุกโจมตี ที่แห่งนั้นจะกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของพวกเรา!”

“เมื่อพวกเราบุกยึดครองหอคอยที่ว่านั่นได้แล้ว หลังจากนี้ไป ทุกชนิดของเผ่าพันธุ์นับหมื่นก็จะกลายเป็นฝ่ายต้องบุกเข้ามาโจมตีพวกเราเสียเอง!”

“สถานการณ์จะพลิกกลับทันที!”

มันชี้มาที่ตัวเองและกล่าว “และตอนนี้ ราชาองค์ใหม่ของพวกเจ้า ขอสั่งให้กองทัพทั้งหมดบุกขึ้นไปโจมตีหอคอยนั่นเสีย!”

ฝูงแกะกลายเป็นเดือดพล่าน!

พวกมันไม่เคยคิด หรือเคยได้ยินมาก่อนเลย ว่าตนเองก็สามารถกลายเป็นเจ้าของหอคอยได้เหมือนกัน!

ถูกอย่างที่แกะผมลอนกล่าว หากกองทัพของพวกมันยึดหอคอยนั่นได้ พวกมันก็จะมีป้อมปราการอันแข็งแกร่งคอยป้องกัน และสร้างอาณาจักรของปีศาจแกะดำขึ้น

ขณะที่กลุ่มเผ่าพันธุ์อื่นที่มายังอาณาเขตแห่งนี้จะต้องเป็นฝ่ายบุกเข้ามาแทน!

“ใช่!”

“ใช่!”

“ทำไมถึงไม่เคยคิดได้มาก่อนเลย!”

ปีศาจแกะตนแล้วตนเล่าเริ่มโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น

แล้วพวกมันก็กรีธาทัพ ควบสี่กีบตรงไปยังภูเขาที่อยู่ในทิศทางห่างไกลทันที

ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าว แน่นอนว่าต้องถูกตรวจพบจากบรรดาหอคอยเมืองต่างๆ อย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมพวกมันถึงหนีไปล่ะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้!” หน้าใหม่ผู้เสียเงินไปมากมายในการซื้อกรีนการ์ดร้องออกมา

หน้าใหม่อีกคนเริ่มร้อนใจ ถ้าฝูงแกะหายไปแล้วจะให้พวกเขาฆ่าอะไร? แบบนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากระบบได้น่ะสิ!

เขาจึงเร่งทะยานตัวออกจากหอคอย ไล่ตามฝูงที่กำลังไกลออกไป

“อย่าได้คิดที่จะหนี…”

ทว่าเสียงตะโกนของเขาก็ถูกหยุดลงอย่างกะทันหัน

พลั่ก!

หน้าของเขากระแทกเข้ากับอุปสรรคโปร่งใส ทั้งคนทั้งร่างแนบติดกับกำแพง เกาะหนึบอยู่นานจึงค่อยร่วงตกลงมา

…ดูเหมือนว่าเขาจะกระแทกแรงเกินไปหน่อย เลยสลบเหมือดไปทันที

อีกหนึ่งกลุ่มหน้าใหม่ที่มีกรีนการ์ด เมื่อเห็นว่าฝูงกองทัพแกะได้กรีธาทัพผ่านบริเวณหอคอยของตนเองไป พวกเขาก็เร่งพาเหล่าสหายบินออกจากหอคอยทันที

…แต่แล้วพวกเขาก็ต้องเร่งบินเยี่ยวราดกลับมา

‘ไม่ไหวหรอก! จำนวนของปีศาจแกะดำที่เกาะกลุ่มกันมันเยอะเกินไป ถ้าไม่มีหอคอยเป็นอุปสรรคคอยป้องกัน พวกเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน’

สุดท้าย ฝูงแกะก็ข้ามผ่านพื้นที่ของหอคอยแห่งนั้นไป

ทุกหอคอยบนพื้นที่ราบ ทั้งหมดทำได้เพียงเฝ้ามองดูฝูงแกะไกลห่างออกไป

นี่มันเกิดเรื่องบัดซบอะไรขึ้นกันแน่?

หน้าใหม่ที่จ่ายเงินมากโขเพื่อซื้อกรีนการ์ดสบถด้วยความหงุดหงิด

เนื่องจากไม่มีใครสามารถเข้าใจภาษาของปีศาจแกะดำได้ ดังนั้นมันจึงไม่มีใครรู้ว่าในฝูงแกะ มันเพิ่งเกิดการรัฐประหารขึ้น และการกระทำที่ว่านั่นก็ได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของแกะดำทั้งหมด!

อีกด้านหนึ่ง บนภูเขาสูงชัน

เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจพลันปะทุขึ้นจากบนหอคอยที่ว่างเปล่าอันแสนโดดเดี่ยว

หน้าใหม่ที่ไร้ซึ่งกรีนการ์ดทยอยกันหยิบอาวุธตนขึ้นมา เฝ้ารอคอยการมาถึงของฝูงแกะด้วยความตื่นเต้น

หนิงเยว่ฉานสวมเกราะรบนายพลชั้นหยงเซินเรียบร้อยแล้ว

เธอหันมามองกู่ฉิงซานและถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสามารถทำมันได้อย่างไรกัน?”

กู่ฉิงซานไม่ได้ตอบคำถามเธอตรงๆ แต่อธิบายไปว่า “ฟังให้ดี เจ้ากำลังจะออกจากโลกเดิมของเจ้าเป็นครั้งแรก ดังนั้นจงจดจำให้มั่นถึงคำที่ข้าจะแนะนำแก่เจ้า”

“เชิญชี้แนะ”

“ท่ามกลางโลกนับล้านล้าน ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น เรามิอาจคาดคำนวณและตัดสินทักษะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตต่างๆได้โดยง่าย ข้าหวังว่าหากเจ้าต้องต่อสู้อีกในอนาคต เจ้าจักต้องระมัดระวังตัวให้ดี”

หนิงเยว่ฉานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรับคำ “ข้าเข้าใจถึงสิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อแล้ว”

ไม่ไกลออกไปจากภูเขา ฝูงปีศาจแกะดำได้ข้ามผ่านกำแพงโปร่งใส่ เข้ามายังพื้นที่หอคอยของพวกเขาในที่สุด

หนิงเยว่ฉานมองไปยังการมาเยือนของฝูงปีศาจแกะ เธอยกมือขึ้นปัดเกราะหมวกลงมาคลุมใบหน้า

ตามด้วยเสียงอันกระจ่างใส ดังลอดออกมาจากเกราะโลหะที่สาดประกายเย็นเยียบ

“มิใช่เพียงข้าหรอกที่จักต้องระมัดระวังตัวจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่พวกมันเองก็ควรจะระมัดระวังถึงสิ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน”

“แล้วสิ่งนั้นคืออะไร?” กู่ฉิงซานถาม

“ก็คมกระบี่ข้าอย่างไรเล่า!”

เปรี้ยง!

หนิงเย่วฉานกุมกระบี่ยาวในมือ ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า โฉบถลาลงเข้ากลางดงฝูงปีศาจแกะ

จากระยะไกล จะเห็นแค่เพียงเส้นแสงสีหิมะร่วงตกลงจากฟากฟ้า จากนั้นก็ถูกกลืนหายเข้าไปกับกลุ่มก้อนสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด

หนึ่งลมหายใจผ่านพ้นไปอย่างเงียบๆ

ก่อนจะบังเกิดรังสีแสงของกระบี่ยาว พวยพุ่งขึ้นสู่สรวงสวรรค์

คมกระบี่สาดแสง ซ้อนทับกันเป็นเงา ฟาดสะบั้นด้วยความดุร้าย ทั้งหั่นทั้งสับแกะดำไปทุกทิศทาง

ฝูงแกะระเบิดเสียงกรีดร้องน่าสยดสยองออกมา

กระบี่ยาววูบไหวไม่หยุดยั้ง หมุนคว้านกลางดงฝูงแกะ เก็บเกี่ยวชีวิตศัตรูอย่างไม่หยุดหย่อน

ฝูงปีศาจแกะดำเริ่มตอบสนองทันที

ปีศาจแกะดำเริ่มแห่กันไปยังสถานที่ซึ่งเกิดประกายรังสีกระบี่กะพริบไหว มันทุ่มเต็มกำลังเพื่อหมายจักสังหารศัตรูที่ใจกล้า บ้าบิ่นผู้นี้

อย่างไรก็ตาม คมกระบี่ดูจะร้ายกาจเกินไป

ความพยายามใดๆ ที่คิดหมายจะต่อต้านการดำรงอยู่ของมัน มิถูกตัดหั่นเป็นชิ้นๆ ก็จักถูกกระแทก กระดอนกลับไปเบื้องหลัง

ทั้งแขนทั้งขาสีดำปลิวว่อนไปทั่ว

ฉากนี้แลคล้ายดั่งพายุแห่งความตายพัดกระหน่ำเข้าใจกลางฝูงแกะ

กระบี่ยาวโฉบไปข้างหน้า ทะลวงต่อไป ทะลวงอีกครั้ง และอีกครั้ง!

ปีศาจแกะดำนับไม่ถ้วนต่างกรีดร้องด้วยความโกรธ…อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสิ่งนี้จักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ก็ยังมีปีศาจแกะดำที่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อยู่เหมือนกัน

พวกเขาเริ่มที่จะเข้าใจถึงความจริงบางอย่าง

…ไม่คาดคิดเลยว่าศัตรูผู้นี้จะสามารถค้นพบตำแหน่งของราชาปีศาจแกะแล้ว!

ปีศาจแกะดำที่รู้ตัว เร่งควบสี่กีบตรงไปยังใจกลาง เพื่อปกป้องราชาแกะองค์ใหม่ทันที

ทั้งกองทัพถูกกดดันอย่างหนัก  ไหลไปตามกระแสทิศทางของลำแสงกระบี่ยาว หมายมั่นพยายามที่จะหยุดมันลง

ฉวัดเฉวียน!

วูบ!

ฟุบ! ฉัวะ!

หนิงเยว่ฉานราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ แทรกตนแหวกฝ่าตรงไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่รู้จบ

แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เธอก็มีเพียงลำพังอยู่ดี

ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของฝูงปีศาจแกะดำ ความเร็วของกระบี่ยาวก็ค่อยๆ ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง

“แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว!” สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย

เขากำลังจะกระโจนลงไปช่วย ทว่าในรูหูกลับได้ยินถึงเสียงอันคมชัดเสียดขึ้นมาจากในฝูงปีศาจแกะดำเสียก่อน

“ไม่เจ้าตาย ข้าก็พินาศ!”

มันคือเสียงของหญิงสาวที่ตะโกนขึ้น

ช่วงเวลาต่อมา ประกายรังสีแสงของคมกระบี่ก็พลันสาดแสงเรืองรองกว่าที่เคย

คมกล้าของกระบี่ยาว ดุดันเป็นประวัติการณ์!

ท่ามกลางช่วงเวลาเดือดพล่าน ทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้ากระบี่ยาวก็ถูกตัดสะบั้นจนสิ้น ทั้งเลือดทั้งเนื้อปลิวว่อนไปในอากาศ

หนิงเยว่ฉานสามารถแทรกตัว ฝ่าเข้าไปถึงใจกลางของฝูงปีศาจแกะดำได้ในที่สุด และ…

ฉัวะ!

กระบี่สาดแสงกะพริบไหวอีกครั้ง

ราชาปีศาจแกะดำองค์ใหม่ถูกคมกระบี่เข้าโดยตรง ตัดแยกออกจากกันเป็นสองท่อน

ฝูงแกะเงียบกริบลงทันใด

ราชาองค์ใหม่ของพวกมัน…ถูกฆ่าตายเสียแล้ว!

ในช่วงเวลาดังกล่าว หน้าใหม่คนอื่นๆ ที่กำลังเร่งรุดมาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าลง

ทั้งหมดกำลังช็อก

เทคนิคการฆ่าสังหารเช่นนี้มันมีใครที่ไหนเขาทำกัน? ผู้หญิงคนนี้ไม่แม้จะคิดรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้เลยด้วยซ้ำ!

วินาทีต่อมา ฝูงปีศาจแกะดำก็ระเบิดเสียงหอนน่าหวาดกลัวออกมา พวกมันฟุ้งไปด้วยความโกรธ

พวกมันร่วมมือกัน และโถมโจมตีอย่างเต็มรูปแบบเข้าใส่หญิงกระบี่ในคราเดียว

กล้าที่จะบุกเข้ามาสังหารราชาของพวกเรา นางผู้หญิงคนนี้จะต้องตาย!

อย่างไรก็ตาม พลันบังเกิดม่านแสงสว่างวาบขึ้นใจกลางฝูงแกะ

เสี้ยวพริบตานั้นเอง หญิงกระบี่ในชุดเกราะหิมะก็หายวับไปจากกลางวงล้อม

…เธอหายตัวไปเลยโดยตรง

ไม่ว่าฝูงปีศาจแกะดำจะพยายามค้นหาอย่างไร พวกมันก็ไม่อาจพบเจอร่างของเธอเลย

กระทั่งหน้าใหม่ก็ยังแข็งค้าง ตกตะลึงไปเช่นกัน

แต่สุดท้ายหนึ่งในนั้นก็เริ่มตอบสนอง ปากอ้าตะโกนกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นคลุ้มคลั่ง “เธอผ่านแล้ว! เธอสามารถดึงดูดความสนใจจากระบบได้สำเร็จ!”

………………………………….

“คุณเห็นข่าวล่าสุดแล้วหรือยัง?” กู่ฉิงซานถาม

“จะไม่เห็นได้อย่างไร? มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำใจ เมื่อต้องสูญเสียบุคลากรไป แต่บอกตามตรงว่าตอนนี้ มันมีปัญหาที่น่ากังวลใจยิ่งกว่าซะอีก” ชายแก่ยิ้มอย่างขมขื่น

“เกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานตื่นตัว

“ก็โลกลำดับชั้นของสถาบันเทพ จู่ๆ ก็หลุดพ้นจากข้อกฎเกณฑ์ของพื้นที่มิติไปอย่างกะทันหันน่ะสิ และมันกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางสำนักงานใหญ่สมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูงของพวกเรา” ชายแก่กล่าว

กู่ฉิงซานนิ่งค้างไป สายตาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ

ชายแก่เมื่อถูกจ้องแบบนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก เขาโบกไม้โบกมือ “ระยะทางมันยังอีกไกล อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง กว่าที่โลกทั้งสองใบจะปะทะกัน เพราะฉะนั้นข้าจะจัดการธุระให้เจ้าก่อน แล้วค่อยรีบปิดร้านและกลับไป”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ถึงจะได้ยินข่าวแล้ว แต่ผมก็ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะช่วยอะไรได้อยู่ดี”

“มันไม่เป็นไรหรอก แค่เจ้าคิดที่จะช่วย ข้าก็ซาบซึ้งน้ำใจมากแล้ว” ชายแก่ตอบรับด้วยความสุข “อีกอย่าง โลกสมาคมของพวกเราก็อยู่ใกล้กันกับ สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น เดี๋ยวเหล่าตัวตนทรงอำนาจจากทางฝั่งนั้นก็จะเข้ามาช่วยเหลือเอง”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบซื้อของที่ต้องการ จะได้ไม่เป็นการเสียเวลาคุณ”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “พอดีว่าเพื่อนของผมเพิ่งเข้ามายังโลกเก้าร้อยล้านชั้นเป็นครั้งแรก เลยอยากจะมาขอซื้อเทคนิคมนตราที่สามารถใช้เรียนรู้ภาษาได้ในทันที”

“เจ้าต้องการที่จะเข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ ดูเหมือนว่าจะต้องไปรายงานตัวภายในหนึ่งชั่วโมง”

“เช่นนั้นข้าเกรงว่ามันคงจะสายเกินไปแล้วที่จะเรียนรู้ ถ้าจะให้ดี คงต้องใช้หนังสือที่แพงที่สุด”

ว่าจบ ชายแก่ก็หยิบหนังสือเล่มเล็กที่ดูประณีตออกมาจากชั้นวาง

“หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เจ้าสามารถเข้าใจภาษาที่ใช้กันโดยทั่วไปกว่าสามพันภาษาได้ในทันที อย่างไรก็ตาม ราคามันก็แพงมากเหมือนกัน แต่ในฐานะที่เจ้าคือหนึ่งในเพื่อนที่ดีของสมาคมเรา ข้าสามารถเพิ่มส่วนลดให้ได้”

“ลดได้เท่าไหร่หรือ?”

“ลดได้สิบเปอร์เซ็นต์”

“ลดมากกว่านี้อีกได้ไหม?”

“นี่เรียกได้ว่าลดกันสุดๆ แล้วนะเจ้าหนุ่ม ให้น้อยกว่านี้ก็คงจะไม่ได้”

“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างไรลดก็คือลดอยู่ดี! ข้าต้องขอบคุณมากจริงๆ ถ้าเช่นนั้น ได้โปรดช่วยวางบิลค่าใช้จ่ายไว้ในนามของผม…กู่ฉิงซานแห่งสมาคมกำปั้นเหล็กด้วย”

“…”

พริบตาที่คำคำนี้หลุดออกมา สีหน้าของชายแก่คล้ายกับว่าจะเผยถึงความกังวลขึ้นมาหลายส่วน

ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ต้องพูดว่า “ช้าก่อน! เจ้าคิดจะใช้มันเพียงครั้งเดียวเพื่อสหายของเจ้าใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องซื้อหนังสือราคาแพงแบบนี้เลย”

“แล้วจะให้ผมทำอย่างไร?”

“ข้าจดจำได้ว่าทางเราเคยมอบหนังสือปกฟ้าให้แก่เจ้า”

“โอ้ใช่ แต่หนังสือเล่มนั้นจำกัดการใช้งานแค่หนึ่งคนไม่ใช่หรือ”

กู่ฉิงซานกล่าว เขาเอื้อมมือไปแตะถุงสัมภาระ เพื่อเรียกหนังสือออกมา

ชายแก่คว้าหมับทันที หนึ่งมือจับ หนึ่งมือถู ปากอ้าขยับร่ายคาถา

“เรียบร้อย ข้ามอบสิทธิ์อนุญาตให้สามารถใช้งานมันได้อีกหนึ่งครั้งแล้ว เท่านี้เจ้าก็จะสามารถให้เพื่อนเจ้าถือหนังสือเล่มนี้ แล้วทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาได้เลยโดยตรง”

“แล้ว…ไม่จำเป็นต้องซื้อมันหรือ?”

“บ๊ะ! เจ้าคือแขกวีไอพีของพวกเรา ทำไมต้องจ่ายมันด้วย ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้”

“ช่างเป็นคนที่ใจดีอะไรแบบนี้ ผมไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนท่านอย่างไรดี”

“เรื่องนั้นง่ายมาก ลองมองออกไปรอบๆ นะ เห็นนั่นไหม? ยังมีร้านหนังสืออีกสามร้านในซอยแห่งนี้ เอาเป็นว่าถ้าเจ้าอยากจะตอบแทนข้า ครั้งต่อไป ถ้าจะคิดวางบิล ช่วยไปติดบิลร้านพวกนั้นแทนก็แล้วกัน แค่นี้แหละ ข้าจะรู้สึกขอบคุณมากๆ”

“โอ้ ผมเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ลา…”

“เออ! ลาก่อน ห้ามลืมนะ! ครั้งต่อไปต้องไปติดบิลที่ร้านหนังสืออื่น!”

ชายแก่เร่งผลักทั้งสองออกจากร้านตน ตามด้วยเสียง ‘ปัง!’ ปิดดังตามมาทันที

กู่ฉิงซานจึงนำหนิงเยว่ฉานเดินออกมา

เขายื่นหนังสือปกฟ้าให้แก่หนิงเยว่ฉาน

“แล้วข้าจะต้องทำอย่างไร?”

“นั่นง่ายมาก ตราบใดที่เจ้าถือมันไว้ มันจะถ่ายทอดภาษาของโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้นแก่เจ้า แต่อาจจำเป็นต้องใช้เวลากว่าร้อยลมหายใจ เพื่อทำการเรียนรู้มัน”

“…” หนิงเยว่ฉาน

เธอยกสองมือขึ้นกอดหนังสือปกฟ้าไว้ในอ้อมแขน

กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “อ้อ อย่าทำหนังสือเล่มนั้นหายเชียวล่ะ เพราะข้ายังต้องพึ่งพามันอยู่ อาจต้องใช้มันช่วยให้คนอื่นเรียนรู้ภาษาอีกในครั้งต่อไป”

“เข้าใจแล้ว แต่ข้าเห็นว่าเจ้ายังไม่ได้จ่ายเงินเลยมิใช่หรือ?” หนิงเยว่ฉานถาม

“ชื่อของข้า นั่นแหละคือเงิน” กู่ฉิงซานตอบ

หญิงสาวพอได้ฟังก็จ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง บังเกิดความประทับใจอย่างลึกล้ำ

ส่วนกู่ฉิงซาน พูดจบเขาก็หันหน้าไปอีกด้าน ปากเอ่ยพึมพำ “อา…ใช่! ความรู้สึกแบบนี้เองสินะ คือความรู้สึกที่คล้ายกับพวกกินแล้วชักดาบรู้สึกกัน นี่มันช่างน่าจดจำเสียจริงๆ”

ไม่นาน พวกเขาก็เดินมาถึงจุดตรวจสถานีด่านหน้า

กระบวนการข้ามพรมแดนนั้นเรียบง่ายเป็นอย่างมาก

เบื้องหน้าของทั้งสอง จะมีชายคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบทหารคอยนั่งตอกไพ่อยู่หลังโต๊ะ พวกกู่ฉิงซานเพียงยื่นไพ่ให้ อีกฝ่ายก็จะประทับตราลง และส่งมันกลับคืนมา

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ชายคนนั้นก็จะหยิบกรีนการ์ดใบเล็กๆ ขึ้นมา และกระซิบถาม “ฉันสามารถจัดตำแหน่งดีๆ สำหรับพวกหน้าใหม่ได้นะ พวกนายต้องการจะซื้อมันหรือเปล่า?”

“คุณสามารถระบุตำแหน่งในดินแดนชิงอำนาจให้พวกเราได้อย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าพวกหน้าใหม่ก็สามารถดาวน์โหลดระบบได้โดยตรงเลยน่ะสิ” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความประหลาดใจ

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสนใจ ชายคนนั้นก็อธิบายอย่างอดทน “ในดินแดนชิงอำนาจมีพื้นที่กว่าสองร้อยล้านชั้น ฉะนั้นแน่นอนว่าทางเราคงไม่สามารถส่งพวกนายไปยังสถานที่ที่ต้องการได้ อันที่จริงแล้วตำแหน่งดีๆ ที่ว่านั่นหมายถึงพื้นที่กิจกรรมแรกของพวกหน้าใหม่ต่างหาก พวกเราน่ะคุ้นเคยกับที่แห่งนั้นเป็นอย่างดี และรู้ว่าตำแหน่งไหนมี ‘ปีศาจแกะดำ’ อยู่เยอะมากที่สุด และพวกเราก็จะส่งนายไปยังสถานที่แห่งนั้น!”

‘ปีศาจแกะดำ’ คือมอนสเตอร์ที่อ่อนแอที่สุดในดินแดนชิงอำนาจ พวกมันมักจะปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตของหน้าใหม่ และสำหรับหน้าใหม่ มีเพียงการล่าปีศาจแกะดำเท่านั้น ถึงจะสามารถดึงดูดความสนใจจากระบบ และทำการดาวน์โหลดมันได้

นี่คือระบบที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ ระบบนี้ไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวล และมันยังสามารถช่วยเหลือให้สรรพสัตว์ทั้งหลายสามารถวิวัฒนาการและแข็งแกร่งได้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย

ส่วนวิธีการที่จะครอบครองมันก็คือ คุณจะต้องทำให้มันรู้สึกสนใจในตัวคุณให้จงได้!

และในฐานะหน้าใหม่ วิธีเดียวที่จะกระตุ้นความสนใจจากระบบ นั่นก็คือการล่าสังหารฝูงปีศาจแกะดำให้มากที่สุดนั่นเอง

ยิ่งคุณฆ่าพวกมันไปได้มากเท่าไหร่ ระบบก็จะยิ่งสังเกตเห็นถึงคุณได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

ชายคนนั้นสะบัดกรีนการ์ดในมือไปมา เอ่ยเสียงกระซิบต่อ “นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผ่านอาณาเขตของพวกหน้าใหม่ นายต้องการที่จะซื้อมันหรือเปล่าล่ะ?”

กู่ฉิงซานกระซิบกลับไป “ผมไม่มีเงิน แต่สามารถวางบิลได้ใช่หรือเปล่า?”

ชายคนนั้นจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาของกู่ฉิงซาน

วางบิล…

ไอ้หนุ่มนี้ อนาคตมันมีแววสดใสแน่นอน กล่าวอย่างประชดประชัน

หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายคนนั้นก็พยักหน้าและกล่าว “ถ้าองค์กรของนายมีความน่าเชื่อถือมากพอ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

“ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลย ผมเป็นคนจากสมาคมกำปั้นเหล็ก ชื่อของผมก็คือ…”

‘สมาคมกำปั้นเหล็ก! ฉิบหายแล้ว นั่นมันสุดยอดนักเบี้ยวหนี้ในตำนาน!’

ทันทีที่คำคำนี้หลุดออกมา ทั้งร่างของชายคนนั้นก็ราวกับถูกเขย่า สั่นไหวอย่างมิอาจควบคุมได้

เขาขัดจังหวะคำพูดของกู่ฉิงซานทันที ปากเอ่ยกล่าวอย่างจริงจัง “ลืมมันเถอะ! ฉันล้อเล่น! พวกเราทหารกล้าจะไม่ยอมรับสินบนหรือการขายข้อมูลใดๆ ให้กับใครเด็ดขาด! นี่มันเป็นมาตรการสำคัญที่ใช้ทดสอบพวกหน้าใหม่ เพื่อยืนยันว่าการแข่งขันจะเป็นไปอย่างเป็นธรรมต่างหาก!”

เขารีบโบกมือด้วยใบหน้าสัตย์ซื่อ เร่งให้ทั้งสองเดินผ่านด่านตรวจเข้าไป

ทั้งสองเดินผ่านด่านตรวจ และมาถึงห้องรับรอง

เห็นแค่เพียงทุกชนิดของสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์มากมายที่แตกต่างกันออกไป เกือบทั้งหมดต่างก็ถือกรีนการ์ดไว้ในมือของพวกเขา

ด้วยกรีนการ์ดใบนี้ พวกเขาจะถูกจัดตำแหน่งให้อยู่ในพื้นที่ที่ง่ายที่สุดในการล่าปีศาจแกะดำ

พวกเขาเบนสายตามองกู่ฉิงซานและหนิงเยว่ฉานที่เดินเข้ามา และเมื่อเห็นว่าในมือของทั้งสองไม่มีกรีนการ์ด ตนแล้วตนเล่าก็เริ่มแสดงสีหน้าเย้ยหยัน

“สองหน้าใหม่ที่น่าสงสาร”

“ไม่รู้จักคิดที่จะซื้อกรีนการ์ดเอาไว้ พวกมันคงยังไม่รู้ถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับเวลาต่อสู้ล่ะสิ”

“หยุดพูดเถอะน่า ปล่อยให้พวกมันติดแหง็กอยู่ในอาณาเขตหน้าใหม่ไปนั่นแหละ”

“ฮะฮ่า! ไม่ว่าพวกมันจะทำอย่างไร ก็คงไม่มีทางผ่านอาณาเขตนี้ไปได้”

“อย่าไปมองเลย พวกไร้สมองน่ะไม่น่าสนใจหรอก”

สิ่งมีชีวิตจากหลากหลายเผ่าพันธุ์สื่อสารกันอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานนำหนิงเยว่ฉานไปนั่งลงอีกมุมหนึ่ง

“เมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำให้คุณทหารด่านตรวจโกรธอีกแล้วนะ” หนิงเยว่ฉานกล่าว

“อืม เขาไม่ยอมให้ข้าวางบิลเสียอย่างนั้น” กู่ฉิงซานพูด้วยท่าทีเศร้าๆ

“ไม่ต้องทวนซ้ำก็ได้ ตอนนี้ข้าเข้าใจในที่ภาษาเจ้าพูดแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเราจะเสียเปรียบคนอื่นๆ ใช่หรือไม่?”

“นี่มันก็แค่เริ่มต้น เพราะไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถเข้ามายังดินแดนชิงอำนาจได้ ดังนั้นหากได้รับความสะดวกสบายเพิ่มเติมแม้เพียงนิด ทุกคนก็ล้วนยินดี” กู่ฉิงซานกล่าว

ตรงกันข้ามกับเขา ชายที่ตลอดทั้งร่างเป็นสีเขียวได้ยิ้มออกมา “ได้รับความสะดวกสบายแม้เพียงนิดอย่างนั้นหรือ? รู้หรือเปล่าว่าพวกโง่ที่คิดแบบนั้นต้องติดแหง็กอยู่ในอาณาเขตหน้าใหม่ตั้งกี่ปี?”

เพื่อนในกลุ่มของเขาเอ่ยขัด “เฮ้ยช่างเถอะน่า มันโง่ก็ปล่อยให้โง่ไป”

คนอื่นๆ ต่างหัวเราะออกมา

“ส่งเสียงดังอะไรกัน! หุบปากซะ!” เสียงจากภายนอกดังก้องเข้ามา

ฝูงชนสงบลงทันที

เห็นแค่เพียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามา สายตากวาดมองกรีนการ์ดในมือของแต่ละคน

แล้วเขาก็เริ่มที่จะจัดแจง

“นาย นาย แล้วก็พวกนาย มากับฉัน ทางเราจะส่งพวกนายไปยังตำแหน่งที่ได้รับการพิจารณาแล้ว”

หลายคนลุกขึ้นและตามเขาไป

หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่คนเดิมก็เข้ามาอีกครั้ง และนำหน้าใหม่บางส่วนไปส่งยังจุดต่อไป

กู่ฉิงซานสังเกตเห็นว่า ทุกคนที่มีกรีนการ์ดในมือ จะได้รับความสำคัญ และถูกส่งตัวไปก่อน

ขณะที่พวกหน้าใหม่ที่ไม่มีกรีนการ์ดในมือ จะต้องคอยนั่งรออยู่อย่างช้าๆ

“พวกเราควรจะทำอย่างไรดี?” หนิงเยว่ฉานถาม

“รอไปก่อน ไม่ต้องใส่ใจเรื่องนี้หรอก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เฝ้ารออยู่นาน เกือบทุกคนก็ถูกส่งไปก่อนแล้ว เหลือแค่พวกหน้าใหม่ที่ยังไม่มีกรีนการ์ด

เจ้าหน้าที่เดินนำพวกเขาไปยังข่ายอาคมเคลื่อนย้าย และหันมาพูดด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “หวังว่าพวกนายจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในอาณาเขตของหน้าใหม่นะ”

“นั่นเขาหมายความว่าอย่างไร?” หน้าใหม่คนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่อง เอ่ยถามคนรอบข้าง

“เขาหมายความว่า ‘พวกเราคงจะไม่มีทางผ่านอาณาเขตหน้าใหม่ไปได้’ น่ะสิ” หน้าใหม่อีกคนกล่าวด้วยความขุ่นเคือง

ม่านแสงกะพริบไหว

และหน้าใหม่กลุ่มสุดท้ายก็หายตัวไปจากข่ายอาคม

ณ ดินแดนชิงอำนาจ

ภายในอาณาเขตของพวกหน้าใหม่

การต่อสู้แข่งขัน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ณ ตรงตำแหน่งหอคอยปราการที่ว่างเปล่า

กลุ่มของพวกหน้าใหม่ที่ไม่มีกรีนการ์ดได้ปรากฏตัวขึ้น และตกลงบนหอคอยขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม หอคอยเหล่านี้ แต่ละหอกระจายแยกห่างกันไปในตำแหน่งต่างๆ และถูกแยกจากกันด้วยกำแพงอุปสรรคโปร่งใสขนาดใหญ่ ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ของกันและกัน ทำได้เพียงคอยเฝ้ามองกันจากระยะไกลเท่านั้น

เบื้องล่างหอคอยปราการ กลุ่มฝูงปีศาจแกะดำได้สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังมาเยือน

พวกมันคำรามด้วยความโกรธ และรีบควบสี่กีบตรงมายังหอคอยปราการทันที

มอนสเตอร์เหล่านั้นมีหัวเป็นแกะ พวกมันคือปีศาจแกะดำ!

พวกมันเป็นมอนสเตอร์ชั่วร้าย ที่คอยสูบกินพลังงานจากเลือดของสิ่งที่ฆ่า เพื่อใช้ในการวิวัฒนาการ นิสัยตามธรรมชาติโหดร้าย ไม่แยแสต่อสิ่งมีชีวิตใดๆ

ทันทีที่หน้าใหม่มาถึงหอคอยปราการ การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว

หน้าที่ของพวกเขาก็คือจะต้องปกป้องหอคอย และสังหารฝูงปีศาจแกะดำเหล่านี้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี!

หากทำภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม มันก็จะเป็นการดึงดูดความสนใจจากระบบ และสามารถทำการดาวน์โหลดมันได้ในท้ายที่สุด

“ฆ่า!”

เหล่าหน้าใหม่คำรามก้อง ประกาศสู้

หอคอยแห่งแล้วแห่งเล่าปะทุขึ้นด้วยไฟสงคราม เสียงการฆ่าสังหารดังสนั่นจนแสบหู ชวนให้ผู้ฟังเกิดความตื่นเต้น

กู่ฉิงซานเองก็ยืนอยู่บนหอคอยปราการเช่นกัน

แต่ทว่า…

หอคอยที่เขาและหนิงเยว่ฉานถูกส่งมา…มันถูกตั้งไว้อยู่บนภูเขาสูงชัน

ขณะที่ปีศาจแกะดำทั้งหมดต่างมุ่งเข้าไปโจมตีหอคอยบนพื้นที่ราบ ละซึ่งความสนใจใดๆ ต่อหอคอยบนภูเขาสูงแห่งนี้

ก็ในเมื่อมีหอคอยบนพื้นที่ราบ ที่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายอยู่มากมาย แล้วเหตุใดพวกมันจะต้องปีนป่ายอย่างยากลำบากมาถึงที่นี่ด้วยเล่า?

นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา

ในฐานะนายพลที่ข้ามผ่านการต่อสู้มานานปี ในเวลานี้หนิงเยว่ฉานเพียงมองการต่อสู้ในพื้นที่ราบอันห่างไกล ก็สามารถเข้าใจถึงสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

และไม่ใช่แค่เธอ แต่หน้าใหม่คนอื่นๆ ที่ไม่มีกรีนการ์ด ที่สูงส่งมายังตำแหน่งใกล้เคียงนี้ ล้วนแสดงถึงความไม่พอใจออกมา

“พวกเขาจงใจส่งพวกเรามาที่นี่!” หน้าใหม่คนหนึ่งร่ำไห้

ร่างกายของเขาเติบใหญ่ขึ้นอย่างกะทันหัน กลายเป็นบึกบึนพร้อมด้วยสองปีกที่งอกขึ้นบนหลัง ทะยานตัวขึ้นไปในอากาศ บินลงไปยังพื้นที่ราบ แต่…

ปัง!

บังเกิดถึงเสียงหนักทึบ หน้าใหม่ผู้เพิ่งถลาลงไปปะทะเข้ากับกำแพงใส และเด้งกระดอนกลับมาทันที

นี่คือกำแพงป้องกันที่ถูกระบบตั้งค่าเอาไว้ มันไม่ใช่สิ่งที่ความแข็งแกร่งของพวกหน้าใหม่จะสามารถทำลายได้

หนิงเยว่ฉานชักกระบี่ยาวออกมา ส่ายหัวและกล่าว “พวกเราไม่สามารถออกไปได้ ขณะเดียวกันมอนสเตอร์ก็ไม่ยอมมาหาพวกเรา นี่พวกเราจะต้องอยู่ที่นี่ไปโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนั้นหรือ?”

“ไม่มีทางซะล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

พอได้ฟัง ดวงตาของหนิงเยว่ฉานก็เปล่งประกายสดใสทันที เธอเอ่ยถาม “เจ้ามักจะมีแผนการชั่วร้ายเสมอมา บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าคราวนี้มีความคิดอะไรอีก?”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “แผนชั่วที่ไหนกัน ที่พวกเราต้องทำก็แค่แก้ปัญหานิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง”

เมื่อคำนี้ถูกเปล่งออกมา มันก็ได้ดึงดูดความสนใจจากหน้าใหม่ที่ไร้กรีนการ์ดรอบตัวเขาทันที

“ปัญหาอันใด?” หนิงเยว่ฉานมองเขาและเอ่ยถาม

“ก็ปัญหาที่ว่า ‘จะพิชิตหรือเป็นฝ่ายถูกพิชิต’ น่ะซี “

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็เลื่อนหน้าต่างเทพสงครามไปในส่วนของฟังก์ชั่น ‘สมญาเทพสงคราม’

…ไม่นาน เขาก็พบกับสมญาที่ตนต้องการ

‘ดาราจรัสเทพสงคราม!’

………………………………….

ณ โลกเทวะหลังจากที่ถูกผสานรวม

ภายในวังร้อยบุปผา

เซี่ยเต๋าหลิงทิ้งตัวนั่งลงบนบัลลังก์

ตอนนี้เธอไม่แม้สามารถจะเอนกายพิงพนักบัลลังก์อย่างสะดวกสบายได้เหมือนเมื่อก่อน จำต้องต้องขยับตัวไปด้านหลังเล็กน้อย จึงจะสามารถพิงได้

ส่งผลให้เท้าของเธออยู่ห่างจากพื้น ลอยอยู่กลางอากาศ

สองเท้ากะทัดรัดกระดิกไปมาโดยไม่รู้ตัว

ยกไปยกมาคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

สักพักหนึ่ง เสียงอ่อนหวานของเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ดังขึ้นภายในโถงที่ว่างเปล่า

“จริงๆ แล้วแบบนี้มัน…ค่อนข้างจะลำบากไปหน่อยแฮะ”

ย้อนกลับไปไตร่ตรองเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เซี่ยเต๋าหลิงรู้สึกหมดหนทาง แต่ขณะเดียวกันก็เริ่มระแวดระวังตนขึ้นเล็กน้อย

หลังจากที่เริ่มวิเคราะห์บทสนทนาที่ผ่านมาซ้ำๆ ในที่สุดด้วยสัญชาตญาณของเธอ ก็ได้ข้อสรุปจากใจความสำคัญของหยุนจีว่า…

“จงอย่า…ออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ?”

เซี่ยเต๋าหลิงพึมพำ

เธอวางตุ๊กตาผ้าลงข้างตัว และหยิบกระดองเต๋าแปดเหลี่ยมขึ้นมา

หกศิลป์แห่งผู้ฝึกยุทธ์นั้นประกอบไปด้วย ทำนายชะตา จัดตั้งค่ายกล หลอมอาวุธ กลั่นเม็ดยา สร้างยันต์ และปรุงอาหารวิญญาณ

ในบรรดาทั้งหมดที่กล่าวมา เทคนิคทำนายชะตานับว่าเป็นกระบวนการที่ลึกลับและลึกซึ้ง ยากต่อการเรียนรู้และใช้งานมากที่สุด

การที่จะหลบเร้นเข้าไปลอบมองเศษเสี้ยวแห่งโชคชะตาจากสรวงสวรรค์ มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย

อย่างไรก็ตาม เซี่ยเต๋าหลิงมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่งในเทคนิคทำนายชะตา ประจวบกับฐานวรยุทธ์ตอนนี้ที่สูงล้ำยิ่งกว่าในอดีตไปไกลโข ส่งผลให้ความรู้ความเข้าใจในกฎเกณฑ์และทุกสรรพสิ่งเพิ่มพูนขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ด้วยเหตุนี้เอง เทคนิคทำนายชะตาของเธอจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เห็นแค่เพียงนิ้วเล็กๆ ของเด็กสาวเรืองแสงน้อยๆ ขีดเขียนไม่กี่คำลงไปในกระดองเต๋าแปดเหลี่ยมอย่างรวดเร็ว

“มังกรหลับ อย่าแผลงฤทธิ์”

เฝ้ารอจนกระทั่งแสงสวรรค์ร้อยเรียงเป็นคำเหล่านี้ เซี่ยเต๋าหลิงจึงค่อยเหยียดมือกะทัดรัดนุ่มนิ่มถือกระดองเต่าเอาไว้ ปากอ้าตะโกนเบาๆ “จงเผาไหม้!”

ไฟกระชากออกจากมือของเธอ และกระดองเต่าก็ถูกแผดเผาอย่างรุนแรง

ในช่วงเวลาสั้นๆ เสียงปะทุแตกหักก็ดังออกมาจากกระดองเต่า

เฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อกระดองเต่ากลายเป็นสีดำ ไฟมอดดับลงและไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาอีกต่อไป

เซี่ยเต๋าหลิงก็วางกระดองลงเบื้องหน้า และพินิจดูมันอย่างรอบคอบ

เห็นแค่เพียงรอยแตกร้าวของกระดองเต่าที่ถูกเผาไหม้กระจายไปทุกที่ เกือบทุกๆ ตำแหน่งแทบจะถูกทำลายลง

ทว่ามีเฉพาะเพียงในตำแหน่งที่มีตัวอักษรว่า “มังกรหลับ อย่าแผลงฤทธิ์” เท่านั้นที่ไม่มีรอยแตกเลย

เซี่ยเต๋าหลิงงึมงำ “จะพานพบเรื่องไม่ดี ออกไปสู้ข้างนอกก็ไม่ได้ จำต้องอยู่กับที่…ดูเหมือนว่าจนกว่าจะพร้อม ข้าไม่สมควรที่จะออกไปข้างนอกอีกเลยจริงๆ”

เธอเก็บกระดองเต่า หันไปมองตุ๊กตาผ้าและถอนหายใจ

“แต่เดิม กลับกลายเป็นว่า เจ้าตุ๊กตาตัวนี้มันมีประโยชน์ต่อข้าจริงๆ”

“ดีล่ะ เช่นนั้นข้าก็จะฝึกยุทธ์ที่นี่อย่างสบายใจ จนกว่าจะสามารถตัดผ่านอุปสรรคไปได้”

สองมือกอดตุ๊กตาผ้าไว้ในอ้อมอก นางเซียนไป่ฮั่วที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เริ่มหลับตาลง เข้าสู่ห้วงสมาธิ

ทุกสิ่งเงียบงันไปพักหนึ่ง

แต่ไม่นาน เสียงฝีเท้าที่ดูเร่งร้อนก็ดังขึ้น

การฝึกยุทธ์ถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหัน เซี่ยเต๋าหลิงย่นหว่างคิ้ว และค่อยๆ ลืมตาขึ้น

มองไปยังฉินเซี่ยวโหลวกับซิวซิวที่ปรากฏตัวขึ้นตรงปากทางเข้าห้องโถงใหญ่

นางเซียนไป่ฮั่วกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ก็ตระหนักได้ถึงสภาพร่างกายของตนเองในปัจจุบันเสียก่อน

‘อา แล้วข้าควรจะเริ่มอธิบายจากตรงไหนดี?’

ฉินเซี่ยวโหลวตะโกนถามเสียงดัง “เจ้าเป็นใครกันสาวน้อย? กล้าที่จะมานั่งบนบัลลังก์หมื่นบุปผาได้อย่างไร? ไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”

เซี่ยเต๋าหลิงถอนหายใจ อธิบายออกไป “เซี่ยวโหลว เป็นข้าเอง อาจารย์เจ้า”

เธอพยายามทำท่าทีเคร่งขรึม แต่เพราะขนาดตัวที่เล็กเกินไป การแสดงออกที่ปรากฏออกมามันเลยดูไปในทิศทางน่ารักน่าชังซะอย่างนั้น

“ฮ่าๆๆ เจ้าน่ะหรือเป็นอาจารย์ข้า?” ฉินเซี่ยวโหลวระเบิดเสียงหัวเราะ

จากความรู้ความเข้าใจของเขา เจ้าตัวคาดเดาว่าเด็กสาวตัวน้อยตรงหน้าผู้นี้ สมควรเป็นบุตรสาวคนใดคนหนึ่งจากพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนอาจารย์

เซี่ยวโหลวม้วนแขนเสื้อขึ้น ชี้ไปบนบัลลังก์ด้วยท่าทีดุร้าย “ข้ามิหลงกริยาน่าชังของเจ้าหรอก! จงรีบลงมาจากบัลลังก์เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นท่านลุงจะตีก้นเจ้า!”

ดวงตาของนางเซียนไป่ฮั่วหรี่แคบลงทันที กลิ่นอายอันตรายถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกาย

ทว่าเนื่องด้วยสภาพร่างกายที่เด็กเกินไป ส่งผลให้กลิ่นอายอันตรายมันมิอาจถูกปลดปล่อยออกมาได้เลย ทำให้ในเวลานี้นอกเหนือไปจากการแสดงออกที่ดูน่ารักแล้ว มันก็ไม่สื่อความหมายอื่นใดอีก

ข้อเท็จจริงอันไร้ประโยชน์เช่นนี้ ทำให้เซี่ยเต๋าหลิงรู้สึกรำคาญไม่น้อย

“ท่านลุง? ตีก้น? เหตุใดกันหนอข้าถึงได้มีลูกศิษย์ที่โง่เง่าถึงเพียงนี้”

ระหว่างกล่าว มือของเด็กสาวก็ค่อยๆ เริ่มจีบออกด้วยวิชาลับอย่างช้าๆ

ไม่ว่าร่างกายจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไร แต่วิธีการลงโทษก็ยังโหดเหี้ยมสมกับเป็นเธอเสมอมา

อย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องน่าสมเพชก็ดังสะท้อนไปตลอดทั้งห้องโถงใหญ่

อีกด้านหนึ่ง

ในขณะที่จ้าววงการทั้งสี่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์

ตัวกู่ฉิงซานเองก็กำลังอ่านมันด้วยเช่นกัน

“ปืนกลมือตายแล้ว…”

เขาพึมพำกับตัวเอง นิ่งงันไปพักหนึ่ง ราวกับไม่อาจยอมรับความจริงได้

ไม่คาดคิดเลยว่าตัวตนทรงอำนาจอย่างปืนกลมือ จะตกตายลงอย่างกะทันหันแบบนี้

การดำรงอยู่ประเภทใดกันหนอ ที่ซ่อนอยู่ในสถาบันเทพ?

ระหว่างกำลังขบคิดนั้นเอง เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นในหูของเขา

“เจ้ากำลังอ่านอะไรอยู่ ข้ามิอาจทำความเข้าใจคำใดได้เลย”

เป็นหนิงเยว่ฉานที่กล่าวออกมาอย่างสูญสิ้นความมั่นใจ

การแสดงออกเช่นนี้ สำหรับตัวเธอแล้วนับว่ายากนักที่จะพบเจอ

แต่ก็คงจะตำหนิเธอไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดนี้ เมื่อต้องโผล่มาในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นตา และพบเจอผู้คนรอบกายที่พูด หรือป้ายร้านค้าที่มิอาจทำความเข้าใจได้ การจะกังวลมันก็เป็นเรื่องธรรมดา

เธอลองสังเกตป้ายร้านค้าต่างๆ อย่างกระตือรือร้น และพบว่าตัวอักษรต่างๆ บนมัน เหมือนจะไม่ใช่ภาษาเดียวกัน

กระทั่งผู้คนจำนวนมาก ก็ยังพูดกันด้วยหลากหลายภาษา

ก่อนที่เธอจะออกมา ทางนิกายก็ได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็สอนมันให้เธอได้แค่สามภาษาเท่านั้น

กู่ฉิงซานเก็บหนังสือพิมพ์ เผยยิ้มปลอบประโลม “ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อพวกเราออกมากันแล้ว เช่นนั้นข้าจะช่วยจัดการแก้ไขปัญหาในด้านภาษาของเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก”

“ในตอนของเจ้า เจ้าสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรกัน?” หนิงเยว่ฉานถาม

“พอดีว่าข้ามีสหายผู้มากไปด้วยความรู้อยู่น่ะ และก็เป็นพวกเขาเช่นกันที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านภาษาให้แก่ข้า” กู่ฉิงซานตอบ

“แล้วข้าควรจะทำอย่างไรดี?”

“สบายใจได้ ข้าจะหาทางให้เอง”

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็หยิบแผนที่ขึ้นมา

นี่คือแผนที่ของสถานีด่านหน้าที่ระบุถึงตำแหน่งของสิ่งอำนาจความสะดวกต่างๆ

สถานีด่านหน้าเป็นโลกมิติอนันต์ที่อยู่ใกล้เคียงกับดินแดนชิงอำนาจมากที่สุด และมีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งบุคลากรไปยังดินแดนชิงอำนาจ

ดังนั้น ทุกคนที่คิดจะเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจจึงต้องมาหยุดพักที่นี่ในระยะเวลาอันสั้นเสียก่อน

ด้วยเหตุนี้เอง ยิ่งวันเวลาเดือนปีได้ผ่านพ้นไป โลกมิติอนันต์แห่งนี้จึงค่อยๆ พัฒนาขึ้น เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลให้มันมีลักษณะไม่เหมือนกับฐานทัพด่านหน้าเลย แต่เหมือนกับท่าเรือการค้าที่คึกคักซะมากกว่า

“เจอแล้ว พวกเราต้องเดินทะลุออกไปอีกสองช่วงตึก ที่นั่นมีร้านหนังสืออยู่” กู่ฉิงซานปิดแผนที่

หนิงเยว่ฉานพยักหน้า และเดินตามเขาไป

ผู้คนสัญจรไปมาตามถนนหนทาง รูปลักษณ์และสรีระของบางคนที่แปลกออกไปได้ดึงดูดความสนใจจากหนิงเยว่ฉาน

“เจ้าดูนั่นสิ ทำไมฟันของชายคนนั้นถึงได้ยาวจัง” เธอเอ่ยเสียงกระซิบ

“อ๋อ นั่นไม่ใช่ฟัน แต่เป็นงา เขาคือเผ่าพันธ์แมมมอธที่แข็งแกร่ง”

“ถ้าเช่นนั้นเขาก็เป็นมอนสเตอร์น่ะสิ?”

“มันก็ใช่ แต่สาเหตุที่เขาแปรสภาพเป็นมนุษย์ นั่นก็เพราะร่างกายดั้งเดิมของตัวเขาเองมันใหญ่เกินไป มันไม่สะดวกที่จะเดินทางไปไหนมาไหน และอีกอย่าง รูปลักษณ์ที่ปรากฏของเหล่าทวยเทพก็เป็นเหมือนมนุษย์ ดังนั้นในสมัครพรรคพวกในอาณาจักรทั้งมวลจึงเลือกที่จะใช้ภาพลักษณ์ของเผ่ามนุษย์เป็นตัวหลักในการสื่อสารกันไปโดยปริยาย”

“เจ้ากำลังจะบอกว่า หลายคนในสถานที่แห่งนี้มิใช่มนุษย์อย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ ทำไม? เจ้ากลัวหรือ?”

“เปล่า มันน่าสนใจไม่น้อยเลยต่างหาก” หนิงเยว่ฉานหัวเราะเบาๆ

ในเวลานั้นเอง มนุษย์ที่ทั้งกายถูกปกคลุมไปด้วยขนสัตว์สีดำ กำลังเดินผ่านกู่ฉิงซานไปก็ได้ยินบทสนทนาเข้าพอดี มันจึงหันมาพูดคุยด้วย “ฉันได้ยินที่พวกนายคุยกันแล้ว สาวน้อยหน้าใหม่คนนี้หน้าตาไม่เลวเลย ท่าทีก็ยังไม่รู้ความ นายสนใจจะขายเธอให้ฉันไหม?”

“ไม่ขายโว้ย” กู่ฉิงซานสวนไป

ชายคนนั้นถลึงตามองกู่ฉิงซานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเครื่องจักรขนาดเล็กออกมาดูข้อมูลอะไรบางอย่าง แล้วจึงค่อยเดินจากไปด้วยดวงตาขุ่นเขียว

“ดูเหมือนว่าขนาดแค่เพิ่งเริ่มต้น เจ้าก็หาเหตุมาให้ตนเองถูกฆ่าเสียแล้ว” จู่ๆหนิงเย่วฉานก็กล่าวขึ้น

“เจ้าเข้าใจเช่นนั้นหรือว่าเมื่อครู่มันกล่าวสิ่งใด?” กู่ฉิงซานอุทานด้วยความประหลาดใจ

หนิงเยว่ฉาน “ไม่เข้าใจหรอก แต่ข้าสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายในแววตาของมัน เห็นนั่นไหม มันหันกลับมามองพวกเราอีกแล้ว ให้ข้าออกไปตัดหัวมันเลยดีไหม?”

ระหว่างพูด เธอก็เอื้อมมือไปกุมด้ามกระบี่

กู่ฉิงซานปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากตน เร่งคว้าจับมือของเธอ ปากเอ่ยเตือนทันที

“ที่นี่ยังไม่ใช่ดินแดนชิงอำนาจ มันจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเราไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย”

“และแน่นอน ว่าพวกเราไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับขยะพวกนั้นหรอก”

“…แต่น่าเสียดายที่เหลิงเทียนสิงมิได้มาด้วย ไม่อย่างนั้นด้วยสกิลขั้นเทพในการต่อรองราคาของเขา การซื้อขายของพวกเราคงจะมีสีสันไม่มากก็น้อย”

กู่ฉิงซานพยายามเปลี่ยนหัวข้อเพื่อเบนความสนใจของหนิงเยว่ฉาน และมันก็ได้ผลจริงๆ เธอสวนกลับมาด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้าคิดว่าการที่เขาไม่มามันเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะ”

“ทำไมถึงพูดแบบนั้น?”

“เพราะเขาได้พบกับสหายเต๋าคู่ฝึกยุทธ์แล้วน่ะซี และเด็กของพวกเขาก็เกือบจะคลอดแล้วด้วย”

“ว่าไงนะ!” กู่ฉิงซานตะโกน

คราวนี้ กลับกลายเป็นเขาจะเองที่ถูกดึงดูดความสนใจ

“และเจ้าคงจะจินตนาการไม่ถึงแน่นอน เพราะสหายเต๋าคู่ครองของเขาก็คือหลี่เสี่ยวหยูจากนิกายลั่วเซี่ย”

“โอ้ ที่แท้ก็แม่นางที่รู้จักกันในนามหนึ่งในสองฉายาคู่หญิงงามนี่เอง”

“เอ๊ะ? เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ?”

“ก็ไม่เชิงนะ เมื่อนานมาแล้ว ในช่วงที่ข้ากับฉินเซี่ยวโหลวยังมิได้เปลี่ยนฉายาที่คู่กันว่า ‘ฉิงโหลว[1]’ พวกเราเคยพูดคุยกันถึงเรื่องคู่ฉายาของคนจากนิกายอื่นๆ อยู่เหมือนกัน”

หนิงเยว่ฉานพอได้ยินก็หัวเราะ

หลังจากหัวเราะ เธอก็เอ่ยปากว่า “หลี่เสี่ยวหยูมีชื่อเสียงในด้านความงามก้องไปตลอดทั้งโลกหล้า ส่วนเหลิงเทียนสิงเองก็ได้รับการยินยอมให้กลายเป็นคู่ฝึกยุทธ์กับนาง มันช่างเป็นโอกาสที่ดีในการดัดนิสัยของเขาเสียจริงๆ”

“หมายความว่าอย่างไร?”

“ก็เหลิงเทียนสิงน่ะมีพลังวิญญาณธาตุน้ำ เจ้าตัวจึงชมชอบในความสงบเยือกเย็น ทว่าเมื่ออยู่เคียงคู่กับแม่นางหลี่ เขาก็มิอาจเยือกเย็นได้อีกเลย”

“ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ข้ากับเหลิงเทียนสิงเคยนำกลุ่มออกไปกำจัดสัตว์ร้ายที่ยังหลงเหลือในโลกเทวะ ระหว่างนั้นเอง จู่ๆ หลี่เสี่ยวหยูก็ส่งยันต์สื่อสารมา และกล่าวว่าต้องการลิ้มลองฝีมือการทำอาหารของเขา”

“แล้วอย่างไรต่อ?”

“เหลิงเทียนสิงก็เลยหยุดเดินไปพักหนึ่ง เขาพูดคำหนึ่งผ่านยันต์สื่อสารว่า ‘ตกลง’ และรีบกลับไปทันที”

“เขาทิ้งภารกิจเพื่อกลับไปหาเมียเลยหรือ!”

“ไม่หรอก ในช่วงเวลานั้นภารกิจเรียกได้ว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก่อนจะไป เขาก็หันมาถามข้าเหมือนกัน พอข้าบอกไม่เป็นไร เขาก็กระโจนออกไปอย่างกับกระต่ายตื่นตูม พุ่งหายไปราวกับลูกศรทันที”

หนิงเยว่ฉานส่ายหัว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่อาจลืมสีหน้าร้อนรนที่ชวนขบขันของเขาในเวลานั้นไปได้เลย”

ระหว่างสนทนา ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงที่หมาย

มีร้านหนังสืออยู่สี่ร้านในซอยนี้

ช่วงเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานก็หันไปเป็นร้านคนรู้จักพอดิบพอดี

ตรงทางเข้าร้านหนังสือของสมาคมหอสูง ชายแก่คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทีกังวล

ชายแก่คนนี้ คือคนที่พาเขาไปยังอัลเบอัสนั่นเอง

“เอ๊ะ? นั่นเจ้าหรือ? สหายที่น่าเคารพ พวกเราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

ชายแก่หันมามองเขา พยายามฝืนท่าทีให้ดูมีความสุข

“เป็นผมเอง พอดีว่าผมจะพาเพื่อนมาเรียนรู้ภาษาสักหน่อยน่ะ”

…………………………………………….

[1] ซ่องหรือหอนางโลม คือ ฉายาในตอนที่ตั้งชื่อเรือเหาะกัน

ณ สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น

บนทางเดินยาวนอกแผนกกิจการอาชีพโลก

เซี่ยเต๋าหลิงกับเหลิงเทียนสิงโค้งกายคำนับเหล่าจ้าววงการ “เช่นนั้นข้าขอคงต้องขอตัวก่อน”

“เข้าใจแล้ว ลาก่อน” เฉินหยางโบกมือด้วยรอยยิ้ม

“ขอเวลาสักครู่สิ” หยุนจีเอ่ยปากออกมา

“ท่านมีอะไรงั้นหรือ?” เซี่ยเต๋าหลิงถาม

หยุนจี “ถ้ากลับไป แล้วเจ้าจะทำอะไรต่อไป?”

“ข้าจะส่งเขากลับไปก่อน จากนั้นก็ไปยังพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์เพื่อจัดการปัญหาบางอย่าง”

“งั้นปัญหาที่ว่ามันคืออะไร?” หยุนจีถามต่อ

“ข้าคิดจะจัดระเบียบกำลังคนออกไปสำรวจรอบๆ อาณาจักรมาร หรือไม่ก็ก่อสงครามเล็กๆ น้อยๆ กับพวกมัน”

แม้ปากจะเอ่ยตอบ แต่เซี่ยเต๋าหลิงก็อดฉงนเล็กน้อยในหัวใจ

เหตุใดตัวตนทรงอำนาจถึงได้สนใจในสิ่งที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเขากันแน่นะ?

หยุนจียื่นแขนออกมาจากเสื้อคลุมดำ

เป็นตุ๊กตาผ้าอยู่ในมือ และเจ้าตัวก็มอบให้แก่เซี่ยเต๋าหลิง

ตุ๊กตานี้ราวกับมีชีวิต มันมีลักษณะเหมือนกับเซี่ยเต๋าหลิงทุกประการ

เซี่ยเต๋าหลิงก้มลงมองตุ๊กตา ก่อนจะเงยหน้ามองหยุนจีอีกครั้งนึง

หลังจากที่กู่ฉิงซานจากไป หยุนจีก็กลับเข้าไปซ่อนอยู่ในชุดคลุมดำอีกครั้ง ทำให้ไม่สามารถเห็นถึงสีหน้าของเจ้าตัวได้

หยุนจีกลับกลายเป็นดูลึกลับมากขึ้น และทรงเกียรติมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง อย่างไม่อาจอธิบายได้

เฉินหยางมองหยุนจี สลับกับมองเซี่ยเต๋าหลิง

“รับมันไปเถอะ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีกี่คนที่ต้องการมัน ทว่ากลับไม่มีโอกาสได้มันไป” เฉินหยางกระตุ้นเล็กน้อย

เซี่ยเต๋าหลิงจึงค่อยรับตุ๊กตาผ้ามาด้วยความลังเล

เธอแขวนตุ๊กตาผ้าเอาไว้ตรงเอว และกล่าวแสดงความขอบคุณ

หยุนจี “พลังของเจ้าจะถูกเก็บสะสมเอาไว้ และมันจะปะทุออกมาขณะเจ้ากำลังข้ามผ่านอุปสรรคสุดท้ายของมนุษย์ แล้ววันหนึ่ง เจ้าจะกลายมาเป็นเหมือนกับพวกเรา”

“ฉะนั้น ในช่วงเวลาสำคัญเยี่ยงนี้ จงอย่าได้ออกไปไหน จงกลับไปทำสมาธิ ฝึกปรือในที่พักอาศัยเสีย แล้วเจ้าจะได้พบกับชีวิตที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง”

“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของท่าน ว่าแต่ตุ๊กตาตัวนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับคำแนะนำของท่านหรือไม่?” เซี่ยเต๋าหลิงถาม

“แน่นอนว่าเกี่ยว”

หยุนจีขมุบขมิบปากร่ายคาถา

พริบตานั้นเอง ตุ๊กตาผ้าพลันกระตุกไหว มันดิ้นหลุดจากเอว กระโดดไปเกาะมือของเซี่ยเต๋าหลิงและเปล่งเสียงออกมา

“สาวน้อยควรจะใส่ใจเพื่อปกป้องตัวเอง”

พร้อมกันกับเสียงนี้ ทั้งคนทั้งร่างของเซี่ยเต๋าหลิงก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

ขนาดตัวของเธอเริ่มหดเล็กลง สีผิวของเธอเริ่มขาวนวลมากขึ้น มือและเท้ากลายเป็นกะทัดรัด กลิ่นอายทรงเกียรติได้กระจัดกระจายหายไป

เธอกลายสภาพมาเป็นเด็กสาวอายุเพียงแปดถึงเก้าขวบ!

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

น้ำเสียงของเซี่ยเต๋าหลิงเผยถึงร่องรอยของความตึงเครียด ทว่าด้วยขนาดตัวที่เป็นเพียงเด็กสาว ส่งผลให้เสียงของมันฟังดูน่ารักน่าชังมากทีเดียว

หนึ่งมือยกขึ้น สลับแปรผันเตรียมที่จะปลดปล่อยมนตรา

พลังวิญญาณพลุ่งพล่านออกจากร่างกายเธอ เตรียมที่จะกระตุ้นมนตรา แต่ทว่า…

ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ การแสดงออกของเธอมันก็ดูน่ารักเกินไป มันแทบจะไม่สามารถส่งแรงกดดันใดๆออกมาได้เลย

“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าสิ่งนี้แค่ทำให้เจ้ากลับกลายเป็นเด็กชั่วคราว ซึ่งนี่มันดีต่อตัวเจ้าเองนะ” เฉินหยางอธิบาย

เซี่ยเต๋าหลิงมองเขา และสลับไปมองหยุนจีที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ชุดคลุม

แล้วเจ้าตัวก็ยอมปล่อยประทับมนตราของตัวเองและกล่าวอย่างไม่รู้เหตุ “แม้ข้าจะไม่ทราบว่านี่มันคือสิ่งใด แต่ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาดีจากท่านจ้าววงการทั้งหลาย”

เซี่ยเต๋าหลิงกอดตุ๊กตา ปากเอ่ยกล่าวอย่างจริงจัง ท่าทียังแลดูลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก ฉากนี้มิแตกต่างไปจากโลลิน้อยน่ารักที่กำลังเขินอายอยู่เลย

ในที่สุด หยุนจีก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เพราะเจ้ากำลังจะตัดผ่านขอบเขต และหากเวลานั้นมาถึง มันจะเป็นการดึงดูดความสนใจจากทุกฝ่าย และอิทธิพลต่างๆ จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อได้รับตัวตนทรงอำนาจคนใหม่ที่ไม่มีพื้นหลังใดๆ มาไว้ในครอบครอง”

พี่หมีร่วมอธิบาย “บางฝ่ายอาจจะมีวิธีการชักชวนโดยแลกเปลี่ยนกับข้อเสนอที่ทำให้คุณพอใจ แต่บางฝ่ายก็อาจจะใช้วิธีการที่น่ารังเกียจ กระทั่งกลุ่มอำนาจมืดก็ยังอาจจะให้ความสนใจคุณ และไม่เลือกวิธีการที่จะได้คุณไว้ในครอบครอง”

“ดังนั้นคุณจะต้องนำตุ๊กตาผ้าตัวนี้ติดตัวเอาไว้ มันคือวิชาลี้ลับที่จะช่วยซ่อนคุณจากโชคชะตา ตราบใดที่ตุ๊กตาอยู่ข้างกับคุณ เมื่อไหร่ที่คุณตัดผ่านอุปสรรค ก็จะไม่มีอิทธิพลใดล่วงรู้ว่าคุณอยู่ในโลกไหน พวกมันจะไม่สามารถตามหาตัวคุณได้”

หยุนจี “เทคนิคมนตราประเภทลี้ลับนี้จะมีผลข้างเคียง นั่นก็คือร่างกายของเจ้าจะอยู่ในวัยเด็กชั่วคราว”

“เอาล่ะ อธิบายจบแล้ว จากนี้ก็ขอให้กลับไปยังโลกของตัวเองก่อน และอย่าเพิ่งออกไปไหนชั่วคราว จนกว่าการข้ามผ่านอุปสรรคของเจ้าจะประสบความสำเร็จ และสามารถรับรู้ถึงพลังของมันได้อย่างคงที่”

เซี่ยเต๋าหลิงรับฟังอย่างตั้งใจ และกำลังจะเอ่ยปาก แต่เธอก็ถูกแตะเบาๆ ลงบนไหล่เสียก่อน

ซึ่งคนที่ตบ คือหยุนจี

หยุนจีที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

พริบตานั้นเซี่ยเต๋าหลิงก็หายไปจากสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นทันที

เฉินหยางก้าวไปข้างหน้าและตบลงบนไหล่ของเหลิงเทียนสิง “จงอย่าท้อถอย กลับไปก็เร่งฝึกปรือให้หนัก”

แล้วเหลิงเทียนสิงก็หายตัวไป

เขาถูกส่งกลับไปยังโลกเทวะ

แขนจักรกลที่เงียบมาโดยตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้ ค่อยเอ่ยปากออกมา “มนตราน่าเบื่อ”

“น่าเบื่อที่ไหนกัน มันน่าสนใจมากๆ เลยต่างหาก การที่สามารถเปลี่ยนผู้นำพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ให้กลายเป็นสาวน้อยวัยแปดเก้าขวบเนี่ย” เฉินหยางหัวเราะ

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันไปมองหยุนจี ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “วันนี้เจ้าดูผิดปกติออกไปนะ”

“ก็ไม่นี่ ฉันแค่อยากจะปกป้องเธอเท่านั้นเอง เพราะท้ายที่สุดนี้ ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตาย” หยุนจีกล่าว

“อาจารย์ของกู่ฉิงซานจะตายอย่างงั้นหรือ?” แขนจักรกลถาม เขาเริ่มรู้สึกสนใจ

หยุนจี “ไม่ใช่เธอ แต่เป็นพวกเราต่างหาก”

“พวกเรา…?” พี่หมีอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่ มีอะไรบางอย่างกำลังมุ่งตรงเข้ามาหาพวกเรา และทุกคนมีโอกาสที่จะตายเพราะมัน ดังนั้นฉันเลยอยากจะช่วยเธอล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรค ในระหว่างที่ไม่มีใครคอยปกป้องเธอ ฉันเลยเลือกที่จะช่วยเธอล่วงหน้า” หยุนจีอธิบาย

ทันทีที่เสียงนี้ตกลง อีกเสียงหนึ่งที่หวีดแหลมก็ร้องดังขึ้น

มันคือเสียงนกหวีดที่กระจายไปตลอดทั้งสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น

“นั่นมันสัญญาณเตือนภัยเต็มรูปแบบ?” เฉินหยางอุทานด้วยความประหลาดใจ

“อย่าล้อเล่นน่า ถ้ามันคือสัญญาณเตือนภัยเต็มรูปแบบจริง นั่นหมายความว่าพนักงานทุกคน จากทุกแผนกจะต้องหยุดมือจากสิ่งที่ทำ และเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทันที…นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่” พี่หมีตะโกน

ทันใดนั้นเองสีหน้าของแต่ละคนก็กระตุกวูบ ทั้งหมดเร่งดึงหนังสือพิมพ์ออกมาจากร่างกายทันที

เห็นแค่เพียงหนังสือพิมพ์ที่ว่างเปล่า ค่อยๆ ถูกเติมแต่งด้วยบรรทัดข้อความและภาพปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

มันเป็นภาพของปืนกลมือ

ไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับมัน ชิ้นส่วนของปืนกลถูกจับแยกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระทั่งปากกระบอกปืนก็หักงอ กระจายอยู่เต็มพื้น

บนพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์เขียนไว้เพียงสองบรรทัด…

“ทีมสำรวจสถาบันเทพของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงทั้งหมดถูกทำลาย!”

“ก่อนตาย พวกเขาได้ส่งคำเตือนสุดท้ายมาว่า นี่คือการดำรงอยู่ที่น่าหวาดกลัวและแปลกประหลาดที่สุดในโลกเก้าร้อยล้านชั้น มันจะต้องถูกทำลายลงในทันที! โดยเร็วที่สุด!”

หลายคนกวาดสายตาอ่านหนังสือพิมพ์ ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไปครู่

พวกเขาเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการที่พบเผชิญกับประสบการณ์ต่างๆ มามากมาย แต่ในช่วงเวลานี้ กลับบังเกิดถึงความโศกเศร้าที่มองไม่เห็นเข้าปกคลุมพวกเขา

“ปืนกลตายแล้ว” เฉินหยางกล่าวเสียงต่ำ

“ใช่ ไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นเรื่องจริง ทั้งๆ ที่มันแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นแท้ๆ แต่กลับต้องตายลงอย่างกะทันหัน” แขนจักรกลกล่าว

เสียงของผู้หญิงที่ดูสูงศักดิ์เริ่มประกาศดังออกไปทั่วทั้งสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น

“ทุกคนโปรดทราบ”

“ทุกคนโปรดทราบ”

“สงครามใกล้เข้ามาแล้ว”

“ระดับชั้นโลกของสถาบันเทพถูกแยกออกจากมิติเดิม และมันกำลังมุ่งหน้าไปยังทางตอนใต้ของยี่สิบเจ็ดชั้นโลกของเรา”

“ทุกคนโปรดเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ด้วย”

“ขอย้ำ ทุกคนโปรดเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้!”

จ้าววงการทั้งสี่รับฟังอย่างเงียบๆ

“ท่านหญิงแบล็กซีถึงขั้นประกาศคำเตือนด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าสถานการณ์มันจะเป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆ”

“ยี่สิบเจ็ดชั้นโลกทางใต้ของพวกเรา…ก็ไม่ไกลมากนะ ที่ตรงนั้นมันมีอะไรอยู่กันแน่?” แขนจักรกลเอ่ยถาม

“สำนักงานใหญ่ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง” เฉินหยางตอบ

ช่วงเวลานั้นเอง สองพนักงานได้วิ่งตรงมายังทั้งสี่

“ท่านผู้ทรงเกียรติ การประชุมระดับสูงกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ขอพวกท่านได้โปรดเข้าร่วมประชุมในทันทีด้วย” พวกเขากล่าวด้วยความนอบน้อม

“เข้าใจแล้ว เจ้าไปตามคนอื่นๆ เถอะ ส่วนพวกเราจะไปทันที” เฉินหยางกล่าว

“รับทราบ!”

แล้วสองพนักงานก็วิ่งจากไป

ในขณะนี้ บริเวณโดยรอบไม่มีใครอยู่อีกต่อไป เฉินหยางหันมามองหยุนจี สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความน่าเกรงขามอย่างเป็นประวัติการณ์

เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “จ้าวแห่งหมอก ผู้คุ้มภัยแห่งโชคชะตาลี้ลับ ภัยพิบัติแห่งอาณาจักรทั้งมวล นายหญิงหยุนผู้สูงศักดิ์ เวลานี้ ข้าขอถามเจ้าถึงความลับที่เจ้าเก็บกุมเอาไว้ ว่าเราทั้งหลายนั้นมีโอกาสจะรอดพ้นจากความตายหรือไม่”

หยุนจีที่ทั้งกายซ่อนอยู่ในชุดคลุมดำ จู่ๆ ก็มีหมอกหนารายล้อมรอบตัวเธอทันที

เมื่อเฉินหยางทำการไต่ถามอย่างเป็นทางการ สองเสียงก็ดังออกมาจากในชุดคลุมพร้อมกัน

มันเป็นเสียงที่เย็นชาและไร้อารมณ์ เป็นสองเสียงของหยุนจีที่เอ่ยออกมาในห้วงอารมณ์ที่ต่างกัน

“โชคชะตาไม่เคยอยู่ในการควบคุมของเรา ไม่มีใครสามารถต้านทานความโกรธของมันได้ วิธีเดียวเท่านั้นที่จะสามารถรอดชีวิตไปได้ คือหลีกลี้ หนีให้ห่างจากมันให้ไกลที่สุด!”

…………………………………………….

ก่อนที่กู่ฉิงซานจะทันได้ถามประโยคนี้ สภาพแวดล้อมโดยรวมก็เงียบงันลงไปแล้ว

ขณะเดียวกัน เอกสารฉบับใหม่ในมือของพนักงานก็กำลังคลี่ออกอย่างช้าๆ

เอกสารนี้ถูกขีดเขียนไว้ด้วยตัวอักษรมากมาย ยามเมื่อถูกคลี่โดยสมบูรณ์ โดมโปร่งใส่ก็กระจายออกจากมัน เข้าปกคลุมรอบตัวเขา รวมไปถึงเซี่ยเต๋าหลิงและจ้าววงการคนอื่นๆ

แผนกกิจการอาชีพโลกที่ฟุ้งไปด้วยเสียงดัง บัดนี้ถูกตัดขาดออกไปอยู่ภายนอก

พนักงานกระแอมและกล่าว “ตามมาตราเจ็ดสิบเจ็ด ของบทที่ห้า วรรคที่สี่ แห่งสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น ระบุเอาไว้ว่า สถานะผู้หวนคืนจะต้องถูกเก็บเป็นความลับ จะต้องได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนที่ดีในระดับหนึ่ง”

“ขอทุกท่านโปรดใช้เจตจำนงจิตวิญญาณของตนในการทำข้อตกลงเพื่อรักษาความลับนี้ด้วย”

พนักงานส่งเอกสารให้เฉินหยาง “พี่ใหญ่ ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วย”

“แน่นอน เพราะนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น” ขณะกล่าว เฉินหยางก็ยื่นนิ้วออกไป และเคาะลงบนเอกสารด้วยความสุข

อีกสามจ้าววงการก็ยื่นมือออกไปสัมผัสลงบนเอกสารเช่นกัน

เซี่ยเต๋าหลิง หนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิงก็กดมือลงบนเอกสาร

พนักงานเก็บเอกสารอย่างระมัดระวัง เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาจึงค่อยผ่อนคลายลง

เขาหันไปทางกู่ฉิงซานและกล่าว “ตอนนี้ ผมจะอธิบายถึงสถานะของคุณอย่างเป็นทางการ…”

“รบกวนด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

พนักงานกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกหยุดไว้โดยเฉินหยางเสียก่อน

“เจ้าทำหน้าที่แค่นี้ก็พอแล้ว ในเมื่อคนอื่นๆ ต่างก็ลงนามรักษาความลับ” เฉินหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น ไอ้คำพูดที่ดูเป็นทางการน่ะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดนี้ แม้เจ้าจะพยายามใช้คำลวงกู่ฉิงซานอย่างไร สุดท้ายข้าก็ต้องบอกความจริงแก่เขาในภายหลังอยู่ดี”

พนักงานยิ้มอย่างขมขื่นและหุบปากลง

เฉินหยางกอดอก พลางกล่าวกับกู่ฉิงซาน “เจ้าทราบเรื่องที่เหล่าทวยเทพได้สร้างโลกขึ้นมาหรือไม่?”

“ผมพอจะรู้มาบ้าง” กู่ฉิงซานตอบตามตรง

เฉินหยาง “ในสมัยโบราณกาล ก่อนที่เทพวิญญาณจะสร้างโลกขึ้น เดิมทีมันมีโลกที่พิเศษจำนวนหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นน่ะซี เพราะอย่างไรเสีย ในยุคโบราณ ทวยเทพก็ไม่ได้ปรากฏตัวมาจากในความว่างเปล่าเสียหน่อย แต่พวกเขานั้นมีที่อยู่อาศัยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

“โลกเหล่านั้นเป็นดินแดนของเทพวิญญาณ นอกเหนือไปจากเทพวิญญาณแล้ว ก็มีเฉพาะเพียงตัวตนที่แข็งแกร่งและได้รับความโปรดปรานจากเทพวิญญาณเท่านั้น ถึงจะได้รับเชิญจากเทพ ให้ไปยังโลกที่ว่า เดินทางมายังโลกอันเจริญรุ่งเรืองภายใต้การคุ้มครองของเหล่าทวยเทพ”

“ถึงแม้ว่าผู้แข็งแกร่งเหล่านี้จะไม่ใช่ลูกหลานของทวยเทพ แต่เนื่องจากความสามารถอันยอดเยี่ยม และอำนาจอันทรงประสิทธิภาพ ผสานไปกับการได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้เปรียบ ส่งผลให้ความสามารถของพวกเขาทวีมากขึ้น มีอำนาจมากขึ้น ไปไกลเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถเข้าใจได้”

“ในยุคนั้น โลกของเทพวิญญาณและโลกเก้าร้อยล้านชั้นยังคงเชื่อมต่อกัน และตราบใดที่ได้รับอนุญาตจากเทพวิญญาณ ไม่ว่าใครก็จะสามารถข้ามผ่านไปมาระหว่างโลกของเทพวิญญาณกับโลกตนเองได้”

“แต่ภายหลัง เมื่อวันสิ้นโลกได้มาถึง เทพวิญญาณได้หายตัวไป โลกเหล่านั้นก็ถูกตัดขาดการเชื่อมต่อออกไปเช่นกัน”

“ผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกเทพวิญญาณไม่สามารถออกมาได้ ขณะเดียวกันคนนอกก็ไม่สามารถเข้าไปได้”

“มีคนกล่าวกันว่า ผู้ที่อยู่ในโลกเทพวิญญาณ จักสามารถหลบลี้จากวันสิ้นโลก และใช้ชีวิตเป็นอยู่ที่ดีได้”

“อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนบางส่วนในโลก ได้ใช้วิธีการที่พิเศษบางอย่าง สังเกตเห็นถึงหายนะของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ค้นพบว่าโลกนับล้านล้านใบได้ถูกทำลายลง สิ่งมีชีวิตมากมายต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน”

“จึงเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขึ้น”

“บางคนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ภายนอก เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขา เพียงแค่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโลกที่เทพวิญญาณทิ้งไว้ก็เพียงพอแล้ว”

“ขณะที่บางคนคิดว่าสิ่งนั้นมันหาได้ส่งผลดีไม่ เพราะสุดท้ายแล้วโลกของเทพวิญญาณก็คงไม่อาจหลบหนีจากโชคชะตา ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกภายนอกยังมีทั้งเรื่องที่เขากังวล หรือผู้คนที่เขายังคงห่วงใย”

“ด้วยเหตุนี้เอง ฝ่ายหลังจึงต้องการที่จะหลบหนีออกจากโลกเทพ ต้องการที่จะกลับเข้าสู่โลกเก้าร้อยล้านชั้น เพื่อต่อสู้ร่วมกันกับเรา ช่วยกันฟันฝ่าวิกฤต”

“ทว่าโลกของเทพวิญญาณนั้นได้ถูกตัดขาดไปแล้วโดยสมบูรณ์ มันไม่มีใครนอกเหนือไปจากเทพที่จะสามารถเปิดช่องว่างมิติ เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับมายังโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้อีกครั้ง”

“ทว่าท้ายที่สุด ก็มีผู้หลักแหลมคนหนึ่งที่สามารถคิดค้นวิธีการหนึ่งขึ้นมาได้”

“นั่นคือ ‘การส่งจิตวิญญาณกลับมาเกิดใหม่’ แยกจิตตนออกจากร่างกาย เพื่อออกไปค้นหาสถานที่ที่จะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งท่ามกลางโลกเก้าร้อยล้านชั้น”

“แต่ข้อเสียของการกลับมาเกิดใหม่ก็คือ จิตวิญญาณจะถูกผนึกความทรงจำเอาไว้ชั่วคราว และความสามารถทั้งหมดจะถูกสลายไป มีเพียงจิตบริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะสามารถมาเกิดใหม่ในโลกได้”

“ผู้ที่มีประสบการณ์เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณจะมีลักษณะเฉพาะบางอย่างต่างออกไป อย่างเช่น มีความปรารถนาอันแรงกล้าและยาวนาน สามารถข้ามผ่านไปมาระหว่างหนึ่งถึงสองโลกได้ มีความเกี่ยวข้องกันกับสิ่งประดิษฐ์เทวะที่ทรงพลัง มีความสามารถพิเศษดั่งได้รับการประทานพรจากเหล่าทวยเทพ แต่ก็มีน้อยคนนัก ที่หลังจากจิตวิญญาณกลับมาเกิดใหม่ แล้วจะสามารถปลดผนึกความทรงได้เลยในทันทีที่ปรากฏตัว!”

“คนเหล่านี้ที่กลับชาติมาเกิดจากโลกเทพวิญญาณ พวกเราจะเรียกกันว่าผู้หวนคืน”

“เมื่อเติบใหญ่ พวกเขาจะเข้าสู่สถานะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว”

“ผู้หวนคืนน่ะคือคนที่ยินยอมละทิ้งชีวิตที่มั่นคงในโลกเทพวิญญาณ และหันมาอุทิศตนเพื่อโลกเก้าร้อยล้านชั้น เป็นตัวตนที่น่านับถือ และยังเป็นผู้ช่วยเหลือที่ทรงพลังอีกด้วย”

“กล่าวโดยสรุปแล้ว โลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อนรับผู้หวนคืน!”

เฉินหยางมองดูกู่ฉิงซาน และกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม

สายตาของเขาในเวลานี้ มันไม่เหมือนกับการมองน้องชายคนเล็กของพี่ใหญ่อีกต่อไป แต่มันเป็นสายตาที่มองดูชายผู้แข็งแกร่งในฐานะที่เท่าเทียมกัน

และสายตาของจ้าววงการคนอื่นๆ ก็มองเขาเฉกเช่นเดียวกัน

กู่ฉิงซานหันไปมองนางเซียนไป่ฮั่วด้วยความสับสน

ก่อนหน้านี้ นางเซียนเองก็ต้องการที่จะบอกเขาถึงความลับเกี่ยวกับผู้หวนคืนเช่นกัน แต่เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวที่สาวกคนอื่นๆ อยู่ นางจึงมิได้กล่าวมันออกไป และหันไปพูดอย่างอื่นแทน

นางเซียนไป่ฮั่วพยักหน้าให้เขา

“ถูกต้องแล้ว ฉิงซาน มันเป็นไปได้มากทีเดียวที่เจ้าจะเป็นผู้หวนคืน เพราะเจ้ามีความผูกพันกับโลกเทวะ” เซี่ยเต๋าหลิงสารภาพ

แรกเริ่มเดิมที โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์น่ะมันไม่มีชื่อ จนกระทั่งหลังจากที่ได้ผสานรวมเข้ากับโลกเทวะ ผู้คนในโลกจึงค่อยตระหนักได้ว่าโลกของตนจำเป็นต้องมีชื่อเรียก เพื่อที่จะได้สามารถแยกความแตกต่างกับโลกอื่น

ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์จึงไม่เสียเวลาคิดให้มากความ พวกเขาเลยเรียกโลกของตนเองหลังจากการผสานรวมว่าโลกเทวะโดยตรง

กู่ฉิงซานรับฟังเฉินหยางและเซี่ยเต๋าหลิงอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก

ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติกับเรื่องนี้

เห็นได้ชัดว่าในชีวิตก่อนหน้า เขากำลังจะตายในสงคราม แต่จู่ๆ ก็ถูกส่งกลับมาจุติ แล้วทำไมเขาถึงถูกเข้าใจว่าเป็นผู้หวนคืนกันนะ?

หรือว่าการตรวจสอบสถานะของท่านหญิงแบล็กซีจะผิดพลาดกันแน่?

แต่เธอแข็งแกร่งกว่าเฉินหยางนี่นา ดังนั้นมันไม่ควรที่จะผิดพลาดสิ

อีกอย่าง เขาก็จดจำสิ่งต่างๆ ในชีวิตก่อนหน้าของตนได้อย่างชัดเจน

เขาไม่เคยอาศัยอยู่ในโลกเทพวิญญาณเสียหน่อย!

…ใช่แล้วล่ะ

ตนนึกออกแล้ว ว่าในช่วงระหว่างการคัดเลือกคุณสมบัติของหน้าใหม่ คล้ายกับว่ามีเสียงของผู้หญิงกำลังพูดกับตัวเอง

ว่าแต่คนๆ นั้นเป็นใครกัน ใช่ท่านหญิงแบล็กซีหรือไม่?

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไป แตะลงบนดาบยาวตรงเอว

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

ฉานนู่สามารถแหกทุกกฎเกณฑ์ได้

แม้จะไม่แน่ใจ แต่บางทีฉานนู่อาจจะได้ยินได้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ได้

แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่เวลาที่จะมาสอบถามถึงมัน เอาไว้เขาอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน

กู่ฉิงซานเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เขาก็มิได้เผยท่าทีใดๆ เลย เพียงแสดงออกถึงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น

ซึ่งการแสดงออกและห้วงอารมณ์ดังกล่าว มันสอดคล้องกับปฏิกริยาที่เขาควรจะแสดงออกมา

“เอาล่ะ” พนักงานกล่าว “ในเมื่อทุกท่านได้ลงนามข้อตกลงทางจิตวิญญาณกันแล้ว ฉะนั้น ไฟล์ส่วนตัวของกู่ฉิงซานก็จะถูกอัพเกรดให้ไปเป็นระดับ ‘ความลับ’ และคนส่วนใหญ่จะไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านมัน”

เขาหยิบไพ่สามใบออกมา แล้วส่งสองใบให้แก่กู่ฉิงซานและหนิงเยว่ฉานตามลำดับไพ่ ขณะที่อีกใบหนึ่งสะบัดไปในความว่างเปล่าและหายไป

“หน้าใหม่ทั้งสามจะได้รับไพ่หน้าใหม่ การคัดกรองหน้าใหม่อาชีพผู้ฝึกยุทธ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว”

พนักงานกล่าวกับเซี่ยเต๋าหลิงและคนอื่นๆ

เขาโค้งคำนับแก่เฉินหยางและเหล่าจ้าววงการ “หากไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อน”

“อืม ไปเถอะ เพราะเจ้าเป็นคนขยันแบบนี้นี่เอง งานมันถึงได้ออกมาดี” เฉินหยางหัวเราะ

“ว่าแต่ไพ่มันนี้จะใช้งานมันได้อย่างไรกัน?” หนิงเยว่ฉานถามด้วยความสงสัย

“เมื่อคุณกล่าวชื่อของตัวเองออกไปในเวลาที่ถือมัน มันจะพาคุณข้ามผ่านโลกนับล้านล้านใบ ตรงไปยังสถานีด่านหน้าของดินแดนชิงอำนาจโดยตรง” พนักงานหันกลับมาอธิบาย

“ด้วยไพ่ใบนี้น่ะหรือ?” หนิงเยว่ฉานถามย้ำอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ถูกต้อง สถานีด่านหน้าคือโลกมิติอนันต์ ซึ่งเป็นของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นที่ถูกเชื่อมต่อไว้กับไพ่ใบนี้”

“และคุณจะต้องไปรายงานตัวภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง”

หยุนจีมองหนิงเยว่ฉานและเตือน “อา…สาวน้อย ฉันรู้สึกถูกชะตากับเธอจัง ดังนั้นเลยอยากจะขอเตือนอะไรสักประโยคหนึ่ง”

“อาวุโสเชิญกล่าว” หนิงเยว่ฉานประสานกำปั้นด้วยความเคารพ

“จงอย่าดูถูกไพ่ ห้ามดูถูกผู้ใช้ไพ่โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นเธอจะต้องประสบกับปัญหา และรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่สบประมาทอีกฝ่ายไปในก่อนหน้านี้” หยุนจีกล่าว

เฉินหยางไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยเสริม “และเจ้าควรจะอยู่ให้ห่างจากผู้ใช้ไพ่ พวกเขามักจะหลงตัวเอง และวิปลาส”

“พวกเขามักจะจัดการสิ่งต่างๆ จากในมุมมองของตัวเอง และไม่เคยคิดถึงคนอื่นๆ เลย” แขนจักรกลอดไม่ได้ที่จะกล่าว

“และหลังจากที่พวกเขาได้ทำในสิ่งที่ตนต้องการแล้ว พวกเขาจะรู้สึกว่ามันช่างสมบูณณ์แบบ แต่เชื่อฉันเถอะ หนูจะไม่รู้สึกยินดีในสิ่งที่พวกเขาทำหรอก” พี่หมีว่าต่อ

จ้าววงการทั้งสี่กล่าวจบ ทั้งหมดต่างก็ถอนหายใจ มองกันและกันอย่างเข้าอกเข้าใจ

“…” หนิงเยว่ฉาน

“ผู้น้อย…จะจดจำไว้” เธอประสานกำปั้นให้อีกฝ่าย

จ้าววงการทั้งสี่ถึงกับเตือนเป็นเสียงเดียวกัน เรื่องนี้จึงถูกประทับลึกลงในจิตใจของหนิงเยว่ฉานทันที

หากกระทั่งตัวตนทรงอำนาจก็ยังต้องทนทุกข์กับมัน เธอก็จะระมัดระวังให้ถึงที่สุด

‘ผู้ใช้ไพ่’

ตนเองจะไม่ญาติดีกับผู้ใช้ไพ่โดยเด็ดขาด!

กู่ฉิงซานมองอาจารย์ตน ก่อนจะหันไปมองเหล่าจ้าววงการอีกครั้งและกล่าวลา “เช่นนั้นพวกเราคงต้องไปแล้ว”

เซี่ยเต๋าหลิงกระตุ้นเตือน “อืม หลังจากเจ้าไป จงจดจำเอาไว้ว่าหากพบเผชิญกับอันตรายจริงๆ ก็ขอให้หลบหนีเสีย เพราะในสถานที่อย่างเช่นดินแดนชิงอำนาจ ตราบใดที่เจ้าสามารถรอดชีวิตไปได้ จะวิธีการใดมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายใดๆ”

“อาจารย์เจ้าพูดถูกแล้วนะ” เฉินหยางตบไหล่เขา “แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้หวนคืนก็ตาม แต่ความทรงจำของเจ้ายังไม่ตื่นขึ้น ดังนั้นจะเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ประมาท เพราะถ้าตาย ทุกอย่างก็เป็นอันจบ”

จ้าววงการคนอื่นๆ พยักหน้า

หยุนจีกล่าว “หากมันไม่ไหวจริงๆ ก็ใช้ด้ายมิติของเสี่ยวเหมียว หนีกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กได้เลย”

“พวกเราสมาคมกำปั้นเหล็กไม่มีใครถอยหนีกันหรอก” กู่ฉิงซานตบลงบนหน้าอกเขา

“แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ถึงตายก็ไม่คิดจะหนีหรือ?” หยุนจีถาม

กู่ฉิงซานกล่าวเด็ดขาด “แน่นอนว่าจะไม่หนี…ยกเว้นในกรณีที่ทางสมาคมมีเรื่องเร่งด่วนต้องจัดการ ผมถึงจะรีบกลับไปในทันที”

เฉินหยางสรรเสริญ “ถ้าไม่พูดถึงเรื่องความแข็งแกร่งแล้วล่ะก็ เจ้านี่มันเหมือนกับแบรี่เสียจริงๆ”

กู่ฉิงซานยิ้ม และหันไปมองหนิงเยว่ฉาน

หนิงเยว่ฉานพยักหน้า

ทั้งสองกำไพ่ในมือ และเอ่ยปากพร้อมกัน

หนิงเยว่ฉาน “ข้าหนิงเยว่ฉาน”

กู่ฉิงซาน “ข้ากู่ฉิงซาน”

พริบตานั้นรังสีแสงก็สาดออกมาจากตัวไพ่ทันที ห่อหุ้มกายเขาและเธอ หายวับไปจากแผนกกิจการอาชีพโลก

…………………………………………….

ภายใต้ทะเลลึกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด

ในสถานที่ซึ่งความเงียบงันได้ปกคลุมตลอดทั้งเดือนปี

ในสถานที่ซึ่งมิติและเวลาคล้ายกับจะถูกตัดขาดออกจากกัน

ท่ามกลางความมืดมิด ทุกอย่างดูสับสนและวุ่นวาย มิอาจมองหรือแยกแยะในสิ่งที่เห็นได้

ทันใดนั้นเอง จุดดวงไฟกว่าห้าหมื่นแปดพันหกร้อยแปดสิบดวงก็พลันส่องสว่างขึ้น

แต่ละจุดดวงไฟเหล่านี้คือสิ่งที่ใช้แสดงตัวตนของผู้ฝึกยุทธ์

แสงสวรรค์เรืองรองสลัวๆ เล็ดลอดออกมาจากพวกเขา เปล่งประกายออกไปทุกทิศทาง

แม้ว่าแสงสวรรค์นี้จะอ่อนแอ ทว่าสำหรับในทะเลลึกอันมืดมิดแล้ว มันก็เพียงพอที่จะส่องให้เห็นถึงใบหน้าของพวกเขา

ทุกผู้คนต่างหลับตาสนิท คล้ายกับถูกสะกดจิตให้อยู่ในสภาวะหลับลึก

เกือบจะในทันที จุดดวงไฟกว่าห้าหมื่นแปดพันหกร้อยแปดสิบที่ส่องสว่าง ก็เริ่มต้นที่จะสั่นไหว

คล้ายกับดวงไฟในเชิงเทียนที่มีคนมาเป่าลมใส่พวกมัน

ถัดมา ดวงไฟส่องไสวมากมายก็มิอาจทานทนต่อแรงลมนี้ได้อีกต่อไป มันค่อยๆ ทยอยกันดับวูบลงอย่างรวดเร็ว

ห้าหมื่นแปดพันหกร้อยแปดสิบ

สี่หมื่นหนึ่งพันเก้าร้อยหกสิบเอ็ด

สามหมื่น

หนึ่งหมื่นห้าสิบ

สี่สิบ

สาม!

ไม่นานนัก ภายใต้ทะเลลึกอันมืดมิด จุดดวงไฟเกือบทั้งหมดก็ดับลง หลงเหลือเพียงสามจุดแสงเท่านั้น

เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูประหลาดใจเล็กน้อยดังออกมาจากห้วงทะเลลึก

“เอ? ทั้งๆ ที่โลกด้านฝึกยุทธ์ถดถอยมาเป็นเวลานานมากแล้วแท้ๆ แต่ในเวลานี้ กลับปรากฏหน้าใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน นี่มันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ…”

“เอาล่ะ ถึงเวลาที่จะตรวจสอบตัวตนของพวกเขาแล้ว…”

พร้อมกันกับเสียงนี้ หนึ่งในสามจุดดวงไฟก็ส่องสว่างขึ้น เผยให้เห็นถึงทั้งร่างของผู้ฝึกยุทธ์โดยสมบูรณ์

ปรากฏถึงร่างของผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ที่สวมใส่เกราะรบสีแดง

“อืม ต้นกล้าแห่งนักสู้หวูเต๋าที่ดี มีสถานะผู้บริสุทธิ์ เจ้าตัวเหมือนว่าจะฟันฝ่าการต่อสู้สาหัสมานานปี ดังนั้นหากคนๆ นี้ได้เข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ เขาก็น่าจะมีโอกาสสูงที่จะรอดชีวิต”

เสียงของผู้หญิงกังวานเบาๆ

ทันใดนั้นรุ่นเยาว์ที่ว่าก็หายวับไปจากห้วงทะเลลึก

จากนั้น จุดดวงไฟที่สองก็ส่องไสว ปรากฏให้เห็นถึงพลังวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์ที่แผ่ออกมาจากร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์คนถัดมา

นี่คือผู้ฝึกยุทธ์หญิงที่สวมเกราะรบสีขาวหิมะ และในมือก็ยังกุมกระบี่ยาวสีหิมะเช่นกัน

“ผู้ฝึกยุทธ์หญิงที่ใช้กระบี่? สถานะผู้บริสุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตัวตนที่แสนพบเจอได้ยากยิ่ง…”

“มีความสำเร็จถึงเพียงนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย นี่มันน่าสนใจจริงๆ สมควรแล้วที่เจ้าได้รับเลือกให้ไปตะลุยยังดินแดนชิงอำนาจ”

เสียงของผู้หญิงแสดงออกถึงความสุขเล็กน้อย เธอกล่าวประเมินด้วยรอยยิ้ม

และร่างของหนิงเยว่ฉานก็หายวับไปจากห้วงทะเลลึก

จุดดวงไฟหนึ่งเดียวที่เหลือส่องสว่างขึ้น เผยให้เห็นถึงร่างของผู้ฝึกยุทธ์คนสุดท้าย

ปรากฏให้เห็นถึงชุดเกราะรบสีดำ ในมือแต่ละข้างกุมดาบคนละเล่ม โดดเด่นสะดุดตาด้วยเกราะหน้าสีทองคำ

นี่คือผู้ฝึกดาบ

เขายืนนิ่งงันอยู่ท่ามกลางห้วงทะเลอันมืดมิด ยามเมื่อถูกสวมทับด้วยเกราะรบนี้ ส่งผลให้คนที่อยู่เบื้องหลังมันแลดูคล้ายกับปีศาจที่คงกระพัน

แสงสวรรค์เรืองรองเล็ดลอดออกมาจากร่างของเขา ขับไล่ความมืดมิดรอบตัว

ทว่าคราวนี้ แม้ผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ยินถึงเสียงของผู้หญิง

ขณะเดียวกัน ในส่วนของมหาสมุทร จู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

กระแสน้ำวนในมหาสมุทรเริ่มปรากฏ มันกระชากไปมา ก่อตัวเป็นวง ล้อมรอบกายของผู้ฝึกดาบ ขจรขจายออกไปอย่างไม่รู้จบ

แล้วความมืดมิดทั้งหมดก็กระจายหายไปอย่างรวดเร็ว

ความมืดมิดที่มิอาจมีใครล่วงรู้ได้ว่ามันปกครองโลกใบนี้มากี่ปี ทว่าบัดนี้มันจางหายไปอย่างสมบูรณ์

ตลอดทั้งผืนทะเลกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มดูน่าหลงใหล

ในน้ำสีน้ำเงินเข้ม ผู้ฝึกยุทธ์ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ใจกลางของกระแสน้ำวน

เขาถูกแช่อยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็ปรากฏถึงมือหยกเขียวยื่นออกมาจากทะเลสีน้ำเงิน

มือนี้กดลงบนเกราะหน้าของผู้ฝึกดาบ และดึงมันออก

ใบหน้าของผู้ฝึกดาบปรากฏขึ้นในห้วงทะเล ภายใต้แสงสีฟ้าบริสุทธิ์ รูปลักษณ์ตลอดทั้งใบหน้าได้เผยโฉมออกมา

นิ่งงันไปครู่หนึ่ง

มือหยกที่ดึงเกราะหน้าออกได้วางมันลง และปล่อยให้เกราะหน้าไหลไปตามกระแสคลื่น

มือหยกได้เหยียดออกมาอีกครั้ง และสัมผัสลงบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน

แล้วเสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นอีกครา

“เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานจนเกินไปได้”

“ข้าจะช่วยพรางตนให้ เพื่อเป็นการปกป้องเจ้า”

“และเพื่อเป็นการตอบแทนที่ข้าช่วยเหลือ หวังว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดนะ…”

“กู่ฉิงซาน!”

เกราะหน้ากลับมาประกบติดเหนือใบหน้าเขาดังเดิม

ปัง!

กระแสน้ำวนแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นมหึมา โถมผ่านใส่กู่ฉิงซาน เข้าห่อหุ้มทั้งตัวเขา และหายไปในทันที

มหาสมุทรสีน้ำเงินเข้มได้กลับคืนสู่ความมืดมิดอย่างรวดเร็ว

ทะเลสีดำได้กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ มิได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย

ณ สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น

ในส่วนของแผนกกิจการอาชีพโลก

เฉินหยางและคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่นั่น และเฝ้ารอมาสักพักแล้ว

“เหมือนกับว่าจะช้ากว่าปกติรึเปล่า?” เฉินหยางกล่าว

พนักงานยิ้ม “ช้ากว่าปกติจริงๆ แต่นี่แสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ในครั้งนี้สามารถดึงดูดความสนใจจากท่านหญิงแบล็กซีได้”

“สถานการณ์เช่นใดกันที่นำไปสู่การดึงดูดความสนใจของท่านหญิงแบล็กซี?” เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยถาม

เธออดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล เพราะท้ายที่สุดนี้ ทั้งสามคนที่มาด้วยกัน มาจากการตัดสินใจเลือกของเธอเอง

และตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังเป็นหนึ่งในนั้นอีกด้วย

“ผ่อนคลายเถอะ ถ้าจะให้พูดโดยทั่วไปแล้ว นี่มันเป็นสิ่งที่ดีนะ” หยุนจีปลอบ

พนักงานยังคงยิ้มและกล่าว “ใช่แล้วครับ เฉพาะหน้าใหม่ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น ถึงจะสามารถดึงดูดความสนใจของท่านหญิงแบล็กซีได้ ท่านอาจจะสังเกตเห็นถึงตัวตนที่ยอดเยี่ยมมาปรากฏขึ้นในครั้งนี้ก็ได้”

“นอกจากนี้ ท่านหญิงแบล็กซียังสามารถช่วยตรวจสอบ ‘สถานะ’ ของหน้าใหม่ได้อีกด้วย และหากมีปัญหาใดๆ ท่านจะแจ้งให้พวกเราทราบทันที”

ช่วงเวลานั้นเอง ไฟสีฟ้าสามดวงก็กระพริบไหว

กู่ฉิงซาน หนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิงกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง

โดยในมือของแต่ละคน กำลังกุมหมายเลขที่แตกต่างกันออกไป

ในมือของเหลิงเทียนสิง มันกุมไว้ด้วยเลข ‘ห้า’ หนิงเย่วฉานเป็นเลข ‘สอง’ ของกู่ฉิงซานคือ ‘หนึ่ง’

แม้จะเป็นตัวเลขเหมือนกัน แต่ความแตกต่างก็คือเลขในมือของเหลิงเทียนสิงเป็นสีเทา ในขณะที่ของกู่ฉิงซานและหนิงเยว่ฉานกำลังเปล่งประกาย

เฉินหยางพอได้เห็นมันก็หัวเราะออกมา

“ฮะฮ่า! ฉิงซาน เจ้าเป็นอันดับหนึ่งจริงๆ ข้าว่าแล้วเชียวว่าแบรี่จะต้องไม่มองคนผิดไป” เขาตะโกนเสียงดัง

กู่ฉิงซานตกใจ และก้มลงมองดูเลขในมือของตนเองด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ตนยังไม่ได้ทำอะไรเลย นี่มันเสร็จสิ้นการคัดกรองแล้วงั้นหรือ?

ระหว่างนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าตัวเอง และพูดอะไรบางอย่าง

แต่เขาไม่สามารถจดจำคำพูดของอีกฝ่ายได้เลย แม้กระทั่งรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายก็ยังเลือนราง

เธอเอ่ยอะไรกับตนกันแน่นะ?

กู่ฉิงซานพยายามย้อนทวนคิดถึงมันอย่างหนัก

เซี่ยเต๋าหลิงมองเหลิงเทียนสิงและกล่าว “จงอย่าท้อแท้ไป เจ้าอยู่ในอันดับที่ห้าก็จริง แต่มันคืออันดับห้าในหมู่รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นทั้งหมด! จงฝึกปรือให้หนักขึ้น และมาพยายามอีกครั้งในคราวหน้า”

เหลิงเทียนสิงยิ้มอย่างขมขื่น ทว่าขณะเดียวกันก็ทั้งรู้สึกยินดีและเศร้าใจ

เศร้าใจที่เขาตกรอบการคัดเลือก

ขณะเดียวกันก็ยินดี เพราะตนไม่คาดหวังเลยว่าความแข็งแกร่งของตนจะอยู่ในอันดับห้า จากในหมู่หน้าใหม่ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์

หนิงเยว่ฉานก้มลงมองดูเลขสองในมือเธอ แล้วหันไปมองเลขหนึ่งในมือของกู่ฉิงซาน เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะฉกมือไปกุมกระบี่ยาวตรงเอวตน ในจิตใจหมายที่จะพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงนี้ ทว่าเมื่อมองสถานการณ์โดยรอบแล้ว เธอจึงละทิ้งความคิดนี้ไป

เอาไว้ในภายหลัง ตนค่อยหาเวลามาสู้กับเขาก็ได้…

หนิงเยว่ฉานคิดอย่างเงียบๆ

ในเวลานั้นเอง กระดาษใบหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยลงมาตกลงบนสารานุกรมอาชีพเผ่ามนุษย์อย่างแผ่วเบา

พนักงานหยิบกระดาษขึ้นมา และกล่าวด้วยความเคารพลึก “ขอบพระคุณท่านหญิงแบล็กซี”

เฉินหยางยกแขนทั้งสองขึ้นกอดอกและกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณนางก็ได้ เพราะหลังจากที่จบการคัดกรองแล้ว นางจะจากไปทันที”

พนักงานยิ้มด้วยความอึดอัดใจ ‘เรื่องนั้นฉันก็รู้ แต่มันเป็นมารยาทไหม?’

เขาค่อยๆ คลี่กระดาษออกและอ่านมัน “การคัดเลือกหน้าใหม่ในสายอาชีพผู้ฝึกยุทธ์ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว”

“โดยสิ้นเชิง มีหน้าใหม่สามคนที่ผ่านมาตรฐานการเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจ อันได้แก่…”

“กูชางหยุน อันดับสาม ตัวแทนจากโลกเก้าลี้ลับ ผู้ฝึกยุทธ์นักสู้หวูเต๋า หน้าใหม่ สถานะผู้บริสุทธิ์”

“หนิงเยว่ฉาน อันดับสอง ตัวแทนจากโลกเทวะ ผู้ใช้กระบี่ หน้าใหม่ สถานะผู้บริสุทธิ์”

“กู่ฉิงซาน อันดับหนึ่ง ตัวแทนจากโลกเทวะ ผู้ฝึกดาบ หน้าใหม่ สถานะผู้หวนคืน”

ทุกคนพอได้ยินก็เงียบไป ดวงตาของพวกเขาต่างเบนมาตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน

“กลับกลายเป็นว่าเขาคือ ‘ผู้หวนคืน!’ ดวงตาของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวช่างแหลมคมจริงๆ ที่เลือกเขาเข้ากับสมาคม” แขนจักรกลกล่าวด้วยความประหลาดใจ

หยุนจีหัวเราะ “ฉันก็อุตส่าห์คิดว่าจะหาโอกาสแกล้งสหายตัวน้อยสักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาจะเป็นผู้หวนคืน”

กู่ฉิงซานได้ยินคนทั้งหลายกล่าวออกมา

เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “ผู้หวนคืนคืออะไร?”

…………………………………………….

ทันทีที่หลายคนผ่านประตูเข้ามา ก็มีคนออกมาต้อนรับพวกเขา

เป็นชายที่แต่งตัวในชุดมืออาชีพ เขาเอ่ยปากทักทายด้วยความเคารพนอบน้อม “พี่ใหญ่ ถึงขั้นพาคนอื่นๆ มาเป็นการส่วนตัวขนาดนี้ มีเรื่องใหญ่อะไรหรือเปล่า?”

เฉินหยางกล่าว “ก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เจ้าน่าจะช่วยจัดการกับมันได้”

“ไม่มีปัญหา ผมจะจัดการให้ทันที วางใจได้เลย” ชายคนนั้นเร่งตอบกลับ

เฉินหยางตบไหล่เขาและยิ้ม “ทัศนคติในการทำงานดีไม่เลวเลยนี่ ข้าชักจะชอบเจ้าเข้าให้แล้ว!”

ชายคนนั้นพอถูกชมก็ปลื้มปีติ เร่งรับคำด้วยรอยยิ้ม “ไม่กล้า! ผมไม่กล้ารับคำชมนี้หรอก”

เขาคว้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า เร่งหยิบบัตรประจำตัวออกมาอย่างรวดเร็ว

เขากล่าว “ภายใต้ใบอนุญาตที่หนึ่งร้อยสิบเจ็ด ผู้เชี่ยวชาญหมายเลขสอง ประจำแผนกกิจการอาชีพ โปรดบอกจุดประสงค์ของคุณมา เพื่อให้ทางเราตรวจสอบและยอมรับงานให้อยู่ภายใต้การกิจการของเราอย่างเป็นทางการ”

เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว “ข้าเป็นผู้นำของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ จุดประสงค์คือต้องการยื่นรายชื่อคัดกรองสายอาชีพผู้ฝึกยุทธ์ ในการได้รับคุณสมบัติเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจ”

หลังจากที่ได้ฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าของชายคนนั้นก็ผ่อนคลายลงทันที

ตัวตนทรงอำนาจหลายคนเดินทางมาถึงที่นี่เป็นการส่วนตัว ไอ้เขาก็คิดจริงจังว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญอะไรเสียอีก จึงออกมาต้อนรับเป็นการส่วนตัว

แต่ใครจะรู้ ว่าจริงๆ แล้วมันจะเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนี้

“เข้าใจแล้ว ผมจะจัดการให้ในทันที”

ขณะกล่าว เขาก็หยิบเอาบัตรทำงานออกมาอีกครั้ง แล้วพรมมือพิมพ์ลงในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

“ขออัญเชิญสารานุกรมอาชีพมนุษย์”

ปัง!

ปรากฏถึงเสียงหนักทึบ หนังสือขนาดใหญ่เท่ากับโต๊ะตกลงเบื้องหน้าของฝูงชน

และเพียงความหนาของตัวหนังสือ มันก็สูงเทียบเท่าได้กับขนาดครึ่งตัวคนแล้ว

ชายคนนั้นกล่าวขออภัย “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ เนื่องจากอาชีพของเผ่ามนุษย์มีมากเกินไป ชนิดที่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วพวกมันจะเพิ่มขึ้นราวๆ สิบเจ็ดอาชีพต่อปี ดังนั้นหนังสือเล่มนี้เลยหนาเป็นพิเศษ”

“ไม่เป็นไรหรอก ได้โปรดจัดการเรื่องของพวกเราให้เรียบร้อยก็พอแล้ว” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว

ชายคนนั้นกดมือลงบนหน้าปกหนังสือและกล่าว “ท่านหญิงแบล็กซี เผ่ามนุษย์อาชีพผู้ฝึกยุทธ์ต้องการยื่นใบสมัคร ด้วยหวังว่าจะได้รับการคัดเลือกหน้าใหม่ไปยังดินแดนชิงอำนาจ”

“ข้าได้ยินแล้ว”

เห็นแค่เพียงแสงสีฟ้าที่ตกลงมาจากเบื้องบน จมหายลงไปในสารานุกรม

หลังจากนั้น เสียงของผู้หญิงที่ดูยิ่งใหญ่ก็ดังออกมาจากสารานุกรม “ผู้ฝึกยุทธ์สินะ? อืม ไหนขอข้าดูหน่อย…”

หนังสือเล่มหนาเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ พลิกกลับไปกลับมาอย่างต่อเนื่อง

กู่ฉิงซานเพ่งสายตามอง และเห็นว่าในหนังสือปรากฏถึงอาชีพต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น นักเวท ผู้ใช้ไพ่ นักย่องเบา นักล่าสังหาร อัศวิน ผู้อัญเชิญ นักมวย นักบุญ จอมกระบี่วิญญาณ ผู้ถักทอชีวิต ผู้ใช้ธาตุ ผู้ขับขานคลื่นพลัง นักดนตรี นักผจญภัย นักฝึกสัตว์ จ้าวสมุทร หมอดู ฯลฯ

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “มีอาชีพมากมายขนาดนี้ แล้วมันจะมีมาตรฐานในการจัดสรรประเภทอย่างไรกัน?”

เฉินหยางตอบ “อ้างอิงจากสองปัจจัย ปัจจัยแรก คือประเภทพลังที่ใช้ และปัจจัยทิศทางในการพัฒนาตามแต่ละโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่”

ระหว่างนั้นเอง หน้าหนังสือที่พลิกมานานก็หยุดลง

“ข้าเจอแล้ว” เสียงของผู้หญิงดังขึ้น

“ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ปัจจุบันมีโลกด้านฝึกยุทธ์อยู่ทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นเก้าพันห้าร้อยหกสิบโลก และแต่ละโลกจะต้องคัดเลือกรุ่นเยาว์สามคนเป็นตัวแทนหน้าใหม่ของโลก เพื่อมาให้ข้าเปรียบเทียบและคัดกรอง”

“คุณนำรายชื่อของพวกเขามาด้วยรึเปล่า?” พนักงานถามเซี่ยเต๋าหลิง

เซี่ยเต๋าหลิงหยิบใบหยกออกมา และมอบมันให้เขา

พนักงานวางใบหยกลงบนปกสารานุกรม

เสียงอันยิ่งใหญ่ของผู้หญิงดังขึ้นทันที “มีผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิ้นห้าหมื่นแปดพันหกร้อยแปดสิบคน แน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่าทุกคนอยู่ในโลกที่เกี่ยวข้อง”

เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวเฉียบขาด “หน้าใหม่ทั้งหมดจากในพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์เตรียมตัวพร้อมแล้ว ทุกคนต่างอยู่ในโลกของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น และต่างก็ทราบถึงกฎเกณฑ์ในการเข้าร่วมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

เสียงผู้หญิงตอบ “ดีมาก หากเป็นเช่นนั้น งานคงจะเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากนี้อีกห้านาที ข้าจะเริ่มต้นการคัดเลือกหน้าใหม่ในอาชีพผู้ฝึกยุทธ์”

“ต้องรบกวนแล้ว ท่านหญิงแบล็กซี” พนักงานกล่าว

เฉินหยางและจ้าววงการคนอื่นๆ ต่างเสริมด้วยความสุภาพ “ขอบพระคุณท่านหญิง”

“ข้าเต็มใจทำ พวกเจ้าไม่ต้องสุภาพจนเกินไป” เสียงผู้หญิงกล่าว

สิ้นประโยคนี้ แสงสีฟ้าก็บินออกจากสารานุกรม และแยกออกไปตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน เหลิงเทียนสิง และหนิงเยว่ฉาน

แสงสีฟ้าแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และครอบคลุมทั้งสามเอาไว้

นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวกับทั้งสาม “พวกเจ้าเร่งสวมใส่เกราะรบต่างๆ เร็วเข้า เกราะรบก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในการใช้คัดกรองความแข็งแกร่งส่วนตนของพวกเจ้า แล้วอย่าลืมนำอาวุธออกมาด้วยล่ะ”

หนิงเยว่ฉานสวมใส่เกราะรบชั้นหยงเซินจนเสร็จ ในมือกุมกระบี่ยาว ปากเอ่ยถาม “ข้ารู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติอยู่นะ”

“อะไรงั้นหรือ?”

เหลิงเทียนสิงสวมชุดเกราะนายพลโหยวจี สะบัดคลี่พัดในมือแล้วเอ่ยถาม

“ก็หากมีกฎเช่นนั้น งั้นหากข้ามอบอาวุธทรงพลัง และเกราะรบไร้เทียมทานให้แก่หน้าใหม่ที่เข้าร่วมการคัดกรอง พวกเขาจะไม่ได้รับสิทธิ์ ผ่านเข้ารอบโดยตรงเลยหรอกหรือ?” หนิงเยว่ฉานกล่าว

“เหตุการณ์แบบนั้นย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น” แขนจักรกลกล่าว “ท่านหญิงแบล็กซีจะใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราประเภทลึกลับในการวัดความสอดคล้องระหว่างอาชีพนั้นๆ แหละอุปกรณ์ของผู้สวมใส่ หากพบว่าถูกหยิบยืมมาจากผู้อื่น ก็จะถูกตัดสิทธิ์ไปเลยทันที”

“สำหรับอาวุธ เคยมีหน้าใหม่คิดไม่ซื่อบางคน เลือกที่จะกุมอาวุธเทวะที่ทรงประสิทธิภาพอย่างมากไว้ในมือของเขา แต่ก็ทำได้เพียงกุมมันไว้ มิอาจกวัดแกว่งมันได้ ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่สามารถหลบลี้สายตาของท่านหญิงแบล็กซีไปได้ เพราะการตรวจสอบของเธอนั้นลึกซึ้งเข้าไปถึงข้างในชั้นจิตวิญญาณ”

“ท่านหญิงแบล็กซีเองก็เป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการด้วยอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานถามด้วยความสนใจ

“อา ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” เฉินหยางกล่าว “ที่จริงแล้วนางแข็งแกร่งกว่าพวกเรามากมายนัก”

“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านหญิงก็มีชีวิตอยู่มาตั้งนานแล้ว และความสนใจของท่านหญิงเพียงอย่างเดียวก็คือ การคัดกรองหน้าใหม่จากสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น” พี่หมีกล่าว

พนักงานเองก็เอ่ยสนับสนุนในเชิงเดียวกัน “ใช่แล้ว และต้องขอบคุณในความตั้งใจของท่านหญิงที่ต้องการจะช่วยเหลือ มิฉะนั้นพวกเราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องใช้บุคลากรเท่าไหร่ในระหว่างกระบวนการคัดกรอง”

ขณะที่ทุกคนกำลังกล่าว กู่ฉิงซานก็เรียกเกราะรบนายพลชั้นเฉินเว่ยของตนเองออกมา

ทั้งชุดเกราะรบนายพลเฉินเว่ยเป็นสีดำบริสุทธิ์ มีเพียงตรงเกราะหน้าเท่านั้นที่มีสีทองซีด

กู่ฉิงซานตบลงบนเกราะรบเบาๆ

ชิ้นส่วนต่างๆ ของเกราะรบกระจายตัวออกทันที มันว่ายวนไปประกบติดตามส่วนต่างๆ ของกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานสวมใส่หน้ากากทองคำซีดเป็นชิ้นสุดท้าย

ยามเมื่อสวมใส่จนสมบูรณ์ ก็ปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยของหมอกสีดำคล้ายกับเส้นด้าย พวยพุ่งขึ้นเป็นแนวตั้งออกมาจากเกราะรบ หากมองจากระยะไกลจะแลดูคล้ายกับเปลวไฟสีดำที่ลุกไหม้ ทั้งร่างของกู่ฉิงซานบัดนี้ราวกับปีศาจร้าย

เขาคว้าจับดาบเช่าหยินและดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจากในอากาศที่ว่างเปล่า กุมมันไว้มือละข้าง

“หากข้าได้กระโจนลงสู่สนามรบยามสวมใส่ชุดเกราะรบนี้ ในหัวใจคงรู้สึกปลอดภัยขึ้นไม่น้อย”

กู่ฉิงซานทดลองขยับร่างกายไปมาด้วยความพึงใจ

เซี่ยเต๋าหลิงจ้องมองกู่ฉิงซานและกล่าว “ชุดเกราะรบนี้ไม่เพียงมีความสามารถช่วยให้เจ้าซึมซับพลังงานวิญญาณจากฟ้าดินได้ แต่มันยังช่วยให้เจ้าสามารถต้านทานคำสาปแช่ง และการโจมตีทางจิตเทวะ มีความทนทานล้ำเลิศ เป็นเกราะระดับสูงที่สุดในปัจจุบันที่พวกเรามี”

ทักษะการหลอมกลั่นของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ดูจะเพิ่มพูนขึ้นหลายระดับ กว่าที่ผ่านมามากจริงๆ

ชุดเกราะนี้คือเกราะรบนายพลที่มีคุณภาพสูงสุด เป็นเหมือนดั่งสิ่งที่ยืนยันความก้าวหน้าทางด้านการหลอมกลั่นของโลกผู้ฝึกยุทธ์

“ได้เวลาแล้ว การคัดกรองอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้”

เสียงของท่านหญิงแบล็กซีดังขึ้นอีกครั้ง

วินาทีต่อมา แสงสีฟ้าที่ครอบคลุมกู่ฉิงซาน หนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิงก็สาดแสงสว่างสดใส

ในพริบตา พวกเขาทั้งสามก็หายตัวไปจากในสถานที่เดียวกัน

“เอาล่ะ ทุกท่านโปรดรอสักครู่ สำหรับเรื่องคัดกรองหน้าใหม่นี้ ท่านหญิงแบล็กซีมักจะจัดการได้อย่างรวดเร็วเสมอ” พนักงานกล่าวด้วยความนอบน้อม

เซี่ยเต๋าหลิง เฉินหยาง และคนอื่นๆ พยักหน้ารับ

…………………………………………….

ภายใน คณะตุลาการโลก

มันเป็นสำนักงานเล็กๆ และไม่ใช่สถานที่ที่ทุกคนจะมาทำงานกันในวันธรรมดา

แต่จะดีจะร้าย สถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็นแผนกสำคัญของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น และมีเพียงตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้ามายังแผนกนี้ได้

ดังนั้น เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ผู้บริหารระดับสูงจึงได้เพิ่มพื้นที่สำนักงานบางส่วนในแผนกอันสำคัญนี้ ให้สามารถวางโต๊ะขนาดยาวลงได้

ด้วยโต๊ะตัวนี้ อย่างน้อยทุกคนก็จะสามารถใช้มันเล่นไพ่และติดต่อประสานงานกับคนอื่นๆ ได้

เฉินหยางโยนไพ่ลงบนโต๊ะ ผลักเก้าอี้ออก แล้วยืนขึ้น

“พอแค่นี้แหละ ถ้าหยุดตอนนี้มันก็จะกลางๆ ข้าจะไม่อยู่ในสถานะแพ้หรือชนะ เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เขาถาม

“ผายลมเถอะ! เห็นอยู่ชัดๆ ว่านายชนะมากที่สุด”

เพื่อนเล่นไพ่ของเขา ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของหมีกล่าวอย่างขุ่นเคือง

“ช่างมันเถอะน่า ยังกะว่าคนอย่างนายหรือฉันสนใจเรื่องแพ้ชนะอย่างงั้นแหละ” คนที่ซ่อนตัวอยู่ในชุดคลุมดำกล่าว

“อย่างไรก็เถอะเฉินหยาง นายออกไปทำอะไรมากัน? ถึงได้มีเงินกลับมามากมายขนาดนี้” แขนจักรกลถาม

“นั่นสิ นายไปทำอะไรมากันแน่?” หมีอดไม่ได้ต้องถามบ้างเช่นกัน

“ก็เกิดปัญหาเล็กๆ น้อยขึ้นกับน้องชายคนเล็กของแบรี่น่ะซี่ ข้าเลยไปช่วยเขานิดๆ หน่อยๆ แต่ใครจะรู้ ว่ากลับเป็นตรงกันข้าม เป็นข้าแทนเสียนี่ที่ได้รับสมบัติกลับมามากมาย” เฉินหยางหัวเราะ

เมื่อเห็นว่าทุกคนสนใจ เฉินหยางก็เล่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับมัน

“น้องชายคนเล็กของแบรี่? ฉันเหมือนจะจำได้ว่าเขาชื่อ กู่ฉิงซาน…” หมีงึมงำครุ่นคิด

“อ๋อใช่ๆ เจ้าหนูคนนั้นมันเป็นวัตถุดิบชั้นดี เป็นผู้ฝึกดาบที่มีพรสวรรค์ไม่เลวเลย เขาอาจจะกลายเป็นตัวตนที่ร้ายกาจก็ได้นะในอนาคต” แขนจักรกลกล่าว

“แถมยังมีข่าวลือว่าราชินีแห่งหนาม มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาด้วยนา” คนในเสื้อคลุมแทรกขึ้นมา

“หือ? ผู้หญิงอย่างเธอนี่ฟังข่าวซุบซิบทุกวัน…เอ่อช่างมันเถอะ ฉันขอตัวก่อนดีกว่า” แขนจักรกลเปลี่ยนใจไม่พูดจนจบอย่างกะทันหัน

“เดี๋ยวสิ วันนี้ข้าได้กำไรมามหาศาลเลยนะ เพราะงั้นข้าอยากจะให้ทุกคนมากินอาหารเย็นด้วยกันก่อน แล้วค่อยกลับไป” เฉินหยางกล่าว

“ก็ได้ๆ”

เฉินหยาง หมี คนในชุดคลุม และแขนจักรกลจึงลุกขึ้น พากันเดินออกไปข้างนอก

พวกเขาเปิดประตู

ทันใดนั้นเอง ทุกชนิดของเสียงรบกวนจากสำนักงานฝั่งตรงข้ามที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับสนามฟุตบอลก็ดังแทรกเข้ามาในรูหู

ภายในสำนักงานอีกฝั่ง แออัดไปด้วยผู้คนนับไม่ถ้วน

ทุกคนต่างตะโกนเสียงดัง และไม่หยุดที่จะแสดงเอกสารในมือของพวกเขา

ทั้งสี่คนเฝ้ามองฉากนี้อย่างเงียบๆ

“เฮ้อ แผนกกิจการอาชีพโลกนี่ไม่เคยจะได้หยุดกันเลยรึไง? โชคดีจริงๆ ที่ทางฝั่งเรามีกำแพงเก็บเสียงอยู่ เสียงมันเลยไม่ได้เข้ามารบกวนถึงที่นี่” เฉินหยางบ่น

“นายต้องเข้าใจปัญหาของพวกเขา เพราะมีอาชีพใหม่เกิดขึ้นมาในทุกๆ วัน ทางฝั่งนั้นเลยเต็มไปด้วยเอกสารและผู้คน แถมยังต้องคอยตรวจสอบแนวโน้มการพัฒนาของแต่ละสายอาชีพ และจัดเตรียมเกณฑ์การให้คะแนนสายอาชีพแต่ละสายอีก”

“ฟังแล้วชวนปวดหัวดีแฮะ เป็นฉัน ถ้าต้องทำงานแบบนั้น วันไหนว่างๆ คงต้องออกไปหาโลกมาทำลายเล่นซักสองสามใบ เพื่อคลายเครียดแล้ว” คนในชุดคลุมกล่าว

“ใช่ โชคดีจริงๆ ที่พวกเราไม่ต้องไปทำงานแบบนั้น” แขนจักรกลกล่าวด้วยอารมณ์

“ตอนนี้พอมาลองคิดๆ ดู แบรี่มันฉลาดจริงๆ ที่มักจะติดบิล เลือกที่จะเป็นหนี้เขาไปทั่ว จนไม่มีแผนกไหนกล้าเรียกใช้งานเขา เพราะเกรงว่าทางแผนกจะถูกพวกเจ้าหนี้บุกตามเข้ามาทวง จนไม่สามารถทำงานได้” เฉินหยางถอนหายใจ

“ไปเถอะ” หมีกล่าว

ทว่าเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เฉินหยางก็อุทานออกมาทันใด “เอ๊ะ?”

“มีอะไรงั้นหรือ?” คนในชุดคลุมถาม

“นั่น…ผู้หญิงคนนั้นเป็นอาจารย์ของกู่ฉิงซาน ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ หรือว่ามีบางส่วนที่ข้าจัดการพลาดไปกัน?” เฉินหยางกล่าวด้วยความสงสัย

ระหว่างกล่าว เซี่ยเต๋าหลิงก็หันไปเห็นเฉินหยางพอดี

และเธอไม่ลังเลเลยที่จะเดินเข้ามา โค้งกายลงให้แก่เขาด้วยความสุภาพ “ผู้ทรงเกียรติเฉิน พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”

“เจ้ามายังคณะตุลาการโลกได้อย่างไร? หรือว่ามีบางสิ่งที่มันไม่ถูกต้องในเรื่องก่อนหน้านี้?” เฉินหยางถาม

“หามิได้ ข้าเพียงมายังแผนกกิจการอาชีพ เพื่อยื่นเรื่องขอส่งรายชื่อผู้ฝึกยุทธ์ที่มีคุณสมบัติเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจ” เซี่ยเต๋าหลิงอธิบาย

“อ้อ ที่แท้ก็เรื่องการคัดเลือกพวกหน้าใหม่นี่เอง หมายความว่ากู่ฉิงซานก็กำลังจะได้เข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจแล้วสินะ?”

“เป็นเช่นนั้น”

ว่าจบ เซี่ยเต๋าหลิงก็โบกมือ เรียกกู่ฉิงซานและคนอื่นๆ ออกมา

“อ้าว? นั่นพี่เฉินหยาง พี่หมี คุณหยุนจี แล้วก็คุณเพลิงทมิฬนี่นา?” กู่ฉิงซานอุทานด้วยความประหลาดใจ

“ไง”

“สวัสดีเจ้าหนุ่ม”

“น้องชายตัวน้อย ไม่ว่าจะได้มองกี่ครั้งก็ยังหล่อเสมอเลย คราวหน้าพี่สาวจะมาชวนไปกินข้าวด้วยกันนะ”

“ฉิงซาน เป็นอย่างไรบ้างล่ะช่วงนี้”

ทั้งสี่คนทักทายเขา

คนในชุดคลุมยกฮู้ดคลุมหัวออก เผยให้เป็นถึงใบหน้าอันงดงามน่าหลงใหล

กลับกลายเป็นว่าคนในชุดคลุมดำคือหยุนจี หญิงทรงอำนาจระดับจ้าววงการ

“ต้องขออภัยจริงๆ ถ้าเกิดไปรบกวนเข้า พอดีว่าพวกผมมาจัดการธุระนิดหน่อยที่นี่” กู่ฉิงซานกล่าว

เฉินหยางมองไปยังไม่กี่คนรอบตัวเขาและกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวพวกข้าจะไปดูเจ้าด้วย”

“ความสามารถในการต่อสู้ของผมมันไม่คุ้มค่าที่จะแสดงต่อหน้าพวกคุณทุกคนหรอก…” กู่ฉิงซานหัวเราะให้กับตัวเอง

หลังจากที่เขาเข้าร่วมกับสมาคมกำปั้นเหล็ก ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโลกเก้าร้อยล้านชั้นของตนเองก็กระจ่างชัด

เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตาย และเพื่อที่จะสามารถคงไว้ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง ดังนั้นการคัดเลือกเข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจจึงไม่จำเป็นที่จะต้องต่อสู้กัน

ส่วนคุณสมบัติที่ว่าตนจะสามารถเข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจได้หรือไม่นั้น จะถูกตัดสินโดยเทคนิคมนตราประเภทลึกลับขนาดใหญ่ จากนั้นก็จะถูกคัดกรองโดยเครื่องมือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีกครั้ง

เฉินหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเกรงว่าเจ้าจะสูญเสียสิทธิ์ของตัวเองไป เพราะยังมีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ”

“ใช่ อย่างเช่นของแบรี่ ตอนนั้นเขาต้องการที่จะเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจ แต่เขาลงอาชีพนักมวยไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปสักที” หยุนจีเหน็บแนม

หลายคนเหลือบมองกันและกัน และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“เกิดอะไรขึ้นกับเขาอย่างงั้นหรือครับ?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ก็อาชีพของเขาคือนักมวย แต่ทุกครั้งที่เขาเข้ารับการทดสอบ เขาดันไม่รู้ว่าตัวเองจำเป็นที่จะต้องสวมถุงมือเอาไว้ด้วยน่ะสิ ดังนั้นเมื่อถึงการทดสอบ เขาเลยสามารถแสดงพลังต่อสู้ออกมาได้แค่ 30% เท่านั้น ซึ่งตามปกติแล้วถือว่าสู้ใครไม่ได้เลย” แขนจักรกลและเพลิงทมิฬ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“…ไม่มีใครบอกอะไรเขาเลยหรือ?” กู่ฉิงซานถาม

“ก็นักมวยทุกคนเป็นคู่แข่งกัน ใครมันจะไปยอมบอกเขา?”

“นอกจากนี้นะ เจ้าแบรี่มันก็มักจะใจร้อนเสมอ กฎระเบียบก่อนทดสอบอะไรมันก็ไม่ตั้งใจฟังเลย”

“แต่ก็เพราะแบบนั้นเอง แบรี่เลยเร่งฝึก จนความแข็งแกร่งเขาก้าวกระโดด และสามารถผ่านการทดสอบเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจด้วยการแสดงพลังแค่ 30% ของตัวเองเท่านั้น”

“ส่วนน้องสาวของเขาเสี่ยวเหมียวน่ะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เธอสามารถผ่านการทดสอบได้เลยในทันที”

“ใช่ ถ้าจะให้พูดก็คือ คงเป็นในรอบสุดท้ายนั่นแหละ ฉันถึงได้เห็นพลังของเธอด้วยตาของตัวเอง”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังสี่จ้าววงการกล่าวมาถึงจุดนี้ เขาก็เข้าใจในที่สุด

อีกฝ่ายหนึ่งกำลังเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นกับเขาในระหว่างการทดสอบ

นางเซียนไป่ฮั่ว แน่นอนว่าย่อมสามารถมองเห็นถึงสิ่งที่อีกฝ่ายคิด จึงใช้โอกาสนี้เอ่ยถามคำในจิตใจ “ผู้ทรงเกียรติเฉิน จ้าววงการเช่นพวกท่าน มีจำนวนสิทธิ์ในมือมากหรือไม่?”

“เจ้ากำลังพูดถึงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจใช่ไหม? ฮะฮ่า! แน่นอนว่ามันย่อมไม่มี เพราะหากใช้กลโกงส่งคนที่ไม่แข็งแกร่งพอเข้าไป มันจะไม่เทียบเท่ากับว่าเป็นการส่งเขาไปตายหรือ?”

พี่หมีเอ่ยเสริม “ยิ่งไปกว่านั้น เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าก็ไม่เรียบง่ายเหมือนดั่งเช่นเผ่าพันธุ์อื่นๆ พวกเจ้ามีอาชีพนับพันหมื่น ทำให้มันเป็นไปไม่ได้ อย่างการที่จะให้นักเวทมาเข้ารับการทดสอบของนักมวย”

เพลงทมิฬกล่าวเสริม “ก็ถ้านักเวทที่สามารถเอาชนะผู้คนได้มากมาย ดันมาถูกจัดการลงด้วยนักมวย เพียงเพราะแค่ไม่ถนัดการต่อสู้ประเภทระยะประชิด มันก็คงจะเป็นเรื่องน่าขบขันมาก”

พวกเขาหัวเราะพร้อมกัน ราวกับว่ามันเคยมีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นมาแล้ว

“ดังนั้น ทุกอย่างจึงล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง นี่คือความยุติธรรมและการปกป้องผู้อ่อนแอ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีผู้คนมากมายต้องตกตายในดินแดนชิงอำนาจ คนอ่อนแอไม่สามารถทนอยู่ได้ ทุกคนที่มีสมองน้อยหรือไม่แข็งแกร่งพอ ไปยังดินแดนทรงอำนาจก็ตายกันทั้งนั้น”

เซี่ยเต๋าหลิงพอได้ยินคำเหล่านี้ ก็ค่อยรู้สึกโล่งใจอย่างสมบูรณ์

“ข้าก็หลงนึกว่าการคัดเลือกจะคล้ายคลึงกันกับในกลุ่มพันธมิตร ที่ทุกอย่างนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับเส้นสาย หากเป็นการเอาชนะอย่างใสสะอาด ศิษย์ข้าเองก็คงไม่พบเจอปัญหาใดๆ”

ระหว่างสนทนา ทั้งหมดก็เดินไปพลางๆ เข้าไปในส่วนของกองกิจการอาชีพโลก

…………………………………………….

สิบหกจานอาหารเครื่องเคียง กระทั่งอาหารจานหลักอย่างข้าวต้ม บะหมี่ ทุกชนิดล้วนเป็นอาหารชั้นสูงทั้งสิ้น

หากได้กินอาหารเช้าแบบนี้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นหญิงใด พวกนางคงรู้สึกเปรมปรีดิ์ไปจนตาย

กู่ฉิงซาน ฉินรั่ว และว่านเอ๋อช่วยกันเก็บรวบรวมภาชนะ และเตรียมที่จะเสิร์ฟชาวิญญาณให้แก่ทุกคน

“ของข้าไม่ต้อง ข้าจะไปฝึกยุทธ์ต่อ”

ฉินเซี่ยวโหลวลุกขึ้นยืน และตบลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน

เขาเดินออกจากวังร้อยบุปผา บินกลับขึ้นไปบนว่าว ทิ้งตัวลงนั่งอย่างมั่นคง และจมลงสู่ห้วงสมาธิอย่างรวดเร็ว

“นั่นเขา?”

เหลิงเทียนสิงงงกับฉากตรงหน้า

กู่ฉิงซานเร่งอธิบาย “เอ่อ พอดีว่านั่นคือหนึ่งในรูปแบบการฝึกยุทธ์ของทางนิกายเราน่ะ”

“หากขึ้นไปแล้ว นอกเหนือจากการฝึกยุทธ์ จะมิอาจขยับกายเคลื่อนไหวได้แม้เพียงน้อย รูปแบบการฝึกยุทธ์ของนิกายเจ้าช่างน่าชื่นชมจริงๆ” เหลิงเทียนสิงถอนหายใจ ปากเอ่ยสรรเสริญ

ทว่าสาวกทุกคนในนิกายร้อยบุปผากลับไม่มีใครเลยที่จะตอบเขา

“เอาล่ะ เวลานี้พวกเราก็มาเข้าประเด็นสำคัญกันจะดีกว่า” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว

“หากจะให้กล่าวชัดๆ ก็คือฉิงซาน หนิงเยว่ฉาน เหลิงเทียนสิง นี่คือเรื่องของพวกเจ้าทั้งสามคน”

นางเซียนไป่ฮั่วเอ่ยต่อ “ข้าได้หารือกับนักพรตเป่ยหยวน นายพลกงซุน และผู้นำจากหลากหลายสำนักแล้ว ได้ข้อสรุปว่า พวกเจ้าทั้งสามเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนหน้าใหม่ในโลกของเรา”

“เหลิงเทียนสิงเป็นนายพลชั้นโหยวจี และก่อนที่จะมาที่นี่ เจ้าก็ได้รับวัสดุและอุปกรณ์ที่จำเป็นเรียบร้อยแล้ว”

“หนิงเยว่ฉานเป็นนายพลชั้นติงหยวน เจ้ามักจะเป็นผู้นำการต่อสู้ และอยู่ในแนวหน้าของสนามรบเสมอๆ ดังนั้นแต้มทางกองทัพของเจ้าจึงมากพอให้เพิ่มยศขึ้นเป็นนายพลชั้นหยงเซิน”

“หนิงเยว่ฉาน ในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เกราะรบของเจ้าเสียหายไปแล้วมากกว่าครึ่ง ฉะนั้นในเมื่อเจ้าได้รับการอวยยศใหม่ ข้าจึงจะมอบเกราะรบชั้นหยงเซินให้แก่เจ้า”

“จากนี้ไป เจ้าจะกลายเป็นนายพลชั้นหยงเซิน”

ด้วยคำกล่าวนี้ นางเซียนไป่ฮั่วก็นำชุดเกราะใหม่เอี่ยมออกมา และส่งมันไปเบาๆ

เกราะรบลอยมาอยู่เบื้องหน้าหนิงเยว่ฉาน

หนิงเยว่ฉานประสานกำปั้น “ขอบคุณท่านนักปราชญ์”

“ลองสวมใส่มันดูสิ” เซี่ยเต๋าหลิงพยักหน้าและยิ้ม

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองดูชุดนายพลชั้นหยงเซิน

มันเป็นชุดเกราะโลหะสีขาวหิมะ ที่ฝังไว้ด้วยอักษรรูนที่ดูซับซ้อนนับไม่ถ้วน แต่ละชิ้น แต่ละส่วนช่างเพรียวบางและงดงาม

หนิงเย่วฉานวางฝ่ามือลงบนมัน ทันใดนั้นตลอดทั้งชุดเกราะก็พลันแยกออกจากกัน

ชุดเกราะกระจายเป็นส่วน มันบินวนไปรอบตัวหนิงเยว่ฉาน และเริ่มประกบทับกับร่างกายอย่างรวดเร็ว

กระบี่สีหิมะ กระทั่งเกราะรบก็ยังมีสีหิมะ

หนิงเยว่ฉานบัดนี้แลดูทรงเกียรติ และเต็มไปด้วยความงดงามของหญิงสาว

เธอลองเดินไปไม่กี่ก้าว ขยับแขนขาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำการรับรู้ถึงเกราะรบของเธอ

สักพักเจ้าตัวก็เผยถึงท่าทีพึงพอใจออกมา

กู่ฉิงซานแช่อยู่ในความคิด ปากเอ่ยรำพึง “ชุดเกราะระดับนี้ ดูเหมือนว่าหากเป็นเมื่อก่อน โลกเราคงไม่มีทางสร้างมันขึ้นมาได้”

หนิงเยว่ฉานกล่าว “เป็นธรรมดา เพราะหลังจากที่ได้รับโลกเทวะมา พวกเราก็ได้ทำการศึกษากฎการหลอมกลั่นของมัน นอกจากนี้ อาจารย์เจ้ายังช่วยไปรวบรวมเทคนิคลับเกี่ยวกับการหลอมกลั่นจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธมาอีกด้วย”

เหลิงเทียนสิง “ด้วยเหตุนี้ กฎการหลอมกลั่นอาวุธและเกราะรบของพวกเราถึงก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาในครั้งอดีตไปมากโข หากเปรียบเทียบ ก็คงจะเป็นความแตกต่างห่างชั้นกันระหว่างเมฆาและโคลนตม”

กู่ฉิงซานพยักหน้า ในหัวใจของเขารู้สึกโล่งอกมากขึ้น

การหลอมกลั่นคือหนึ่งในหกศิลป์ ขณะเดียวกัน หกศิลป์ก็คือรากฐานอารยธรรมของโลกผู้ฝึกยุทธ์

โดยรวมแล้วจึงกล่าวได้ว่า ยิ่งแตกฉานในหกศิลป์มากเท่าใด ความแข็งแกร่งของอารยธรรมผู้ฝึกยุทธ์ก็จะยิ่งทรงพลังขึ้นเท่านั้น

ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงได้หยิบถุงสัมภาระอีกใบขึ้นมา และโยนไปทางหนิงเยว่ฉาน

“หนิงเยว่ฉาน ในเมื่อเจ้าได้รับเกราะรบนายพลชั้นหยงเซินแล้ว ก็ยังมีอุปกรณ์อื่นๆ อีกอยู่ภายในนี้ จงตรวจสอบมันทีละชิ้น ทีละชิ้นเสีย”

“เหลิงเทียนสิง หนิงเยว่ฉาน พวกเจ้าทั้งสองทราบหรือไม่ว่าเพลานี้อีกเรื่องที่ยังขาดหายไปคือสิ่งใด?”

เหลิงเทียนสิงและหนิงเยว่ฉานส่ายหัวพร้อมกัน

ก่อนที่จะมา เขาและเธอต่างก็ได้รับมอบสิ่งต่างๆ จากอาวุโส และผู้นำนิกายจนพรั่งพร้อมแล้ว

เขาและเธอรู้ไม่มากก็น้อย เกี่ยวกับสิ่งต่อไปที่กำลังจะต้องเผชิญ และก็เตรียมพร้อมแล้วสำหรับมัน

นางเซียนไป่ฮั่วมองไปยังกู่ฉิงซานอีกครั้งและกล่าวว่า “ฉิงซาน สิ่งที่ยังขาดหายไปก็คือเรื่องเกี่ยวกับแต้มความสำเร็จทางกองทัพของเจ้าในตอนนี้อย่างไรเล่า”

“แต้มความสำเร็จทางกองทัพ…ของข้าน่ะหรือ?”

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นชี้หน้าตนเอง คล้ายกับมิอาจตอบสนองได้ทัน

“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ที่โลกเทวะกำลังประสบกับความขมขื่นและกำลังจะถูกทำลาย เจ้าได้ชักชวนมารสวรรค์มาช่วยเหลือไว้ได้อย่างทันท่วงที สังหารผู้ฝึกยุทธ์ขีดสุดความว่างเปล่า ช่วยชีวิตผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดเอาไว้ แต่ตนเองกลับถูกส่งกลับไปยังโลกอื่น”

“หลังจากที่พวกเราทุกคนได้ร่วมปรึกษา และพิจารณาจากขอบเขตวรยุทธ์ของเจ้าในปัจจุบันอีกครั้ง ทั้งหมดจึงต่างเห็นตรงกันว่าเจ้าสมควรได้รับการอวยยศ”

“เดิมเจ้าเป็นนายพลชั้นโหยวจี แต่เนื่องจากความสำเร็จทางกองทัพอย่างมหาศาล พวกเราจึงเพิ่มยศของเจ้าให้เป็น ‘เฉินเว่ย’”

กู่ฉิงซานตะลึงงัน มิอาจตอบโต้กลับไปได้ชั่วคราว

“ท่านอาจารย์ มันข้ามช่วงใหญ่เกินไปหรือไม่” เป็นเวลานานกว่าที่เขาจะเอ่ยปากออกมา

ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ตำแหน่งทางทหารระดับต่ำเราจะไม่พูดถึง ทว่าสำหรับยศนายพลแล้ว มันจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ชั้น

สี่ชั้นเรียงจากลำดับต่ำไปสูงดังนี้ โหยวจี ติงหยวน หยงเซิน และเฉินเว่ย

กู่ฉิงซานจู่ๆ ก็ก้าวกระโดดขึ้นจากนายพลโหยวจี เป็นระดับสูงสุด ‘เฉินเว่ย’ อย่างกะทันหัน!

หนิงเยว่ฉานเดินเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีด้วย นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรจะได้รับ”

เหลิงเทียนสิงเองก็เดินเข้ามาและกล่าว “เจ้าเหมาะสมกับยศนี้จริงๆ”

ซิวซิวชูสองมือ โห่ร้องไชโยอย่างมีความสุข “ศิษย์พี่! ตอนนี้ท่านได้กลายเป็นนายพลเฉินเว่ยแล้ว!”

ฉินรั่วหันไปถามว่านเอ๋อ “เฉินเว่ยนี่คือยศสูงสุดของระดับนายพลใช่ไหม?”

“อา เท่าที่จำได้เหมือนจะเป็นอย่างงั้นนะ” ว่านเอ๋อตอบ

ฉินรั่วหันไปโค้งกายให้แก่กู่ฉิงซาน “ศิษย์พี่ ท่านสมควรได้รับมันแล้ว”

ว่านเอ๋ออดไม่ได้ต้องพยักหน้าสนับสนุน

เพราะสิ่งที่เขากระทำ มันย่อมไม่มีผู้อื่นใดอีกแล้วที่จะสามารถเลียนแบบได้

หากตัวตนอย่างเขาไม่ได้รับยศนายพลชั้นเฉินเว่ย แล้วยังจะมีผู้ใครสมควรจะได้รับมันอีกเล่า?

เซี่ยเต๋าหลิงยิ้มและกล่าว “พวกเราได้เตรียมของต่างๆ เอาไว้ให้เจ้าแล้ว แต่เฉพาะในส่วนของอาวุธที่ไม่ได้ตระเตรียมเอาไว้ เนื่องจากข้าคิดว่าดาบในมือเจ้ามันทรงพลังมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่งใดๆ อีก”

“แต่หากไม่มีอาวุธ แล้วเช่นนั้นศิษย์พี่จะได้รับสิ่งใดมาชดเชยเล่า?” ซิวซิวเอ่ยถามทันที

“ข้าได้จ่ายทรัพยากรของโลกใบนี้ออกไปมากมาย เพื่อแลกเปลี่ยนกับเทคนิคลับแห่งดาบให้แก่เขา” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว

กู่ฉิงซานตระหนักได้ในทันที

กลับกลายเป็นว่านี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์มองขาด และพิจารณาเกี่ยวกับมันมาก่อนแล้ว

“เช่นนั้นทางด้านเกราะรบเล่า?” ฉินรั่วเอ่ยถามด้วยความกังวล

“เกราะรบเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ฝึกดาบ ฉะนั้นแน่นอน ว่าข้าย่อมเตรียมเกราะรบนายพลเฉินเว่ยแก่เขา” สีหน้าของนางเซียนแสดงออกถึงความสุข “มันคือเกราะที่สิบสองปรมาจารย์หลอมกลั่นต่างร่วมมือกันรังสรรค์ขึ้นมาอย่างเต็มกำลัง จนผลิตชุดเกราะรบที่เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จขั้นสูงสุดนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์”

ว่าจบ เธอก็โยนถุงสัมภาระให้แก่กู่ฉิงซาน

ทุกคนมองมาที่เขาเป็นสายตาเดียว เพื่อต้องการจะดูว่าเกราะรบนี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร

กู่ฉิงซานมิได้เร่งร้อนที่จะเปิดถุง ปากเอ่ยถามเสียก่อน “แล้วสิ่งที่พวกเราจะต้องทำคืออะไร? ใช่ไปยังดินแดนชิงอำนาจเลยหรือไม่?”

นางเซียนกล่าว “มิใช่ ดินแดนชิงอำนาจคือสถานที่รวมตัวกันของหมื่นสมัครพรรคพวกจากทุกโลกลำดับชั้น ทั้งหมดต่างมุ่งมั่นที่จะขึ้นเป็นจ้าวโลก ดังนั้นจึงมีอยู่บ่อยครั้งที่คนเหล่านั้นตกตายลงในสนามรบ แต่ตราบใดที่เจ้าสามารถรอดชีวิตมาได้ เจ้าก็จักสามารถเพิ่มพูนความสามารถตนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากเย็นนักสำหรับคนธรรมดาที่จะเข้าไป”

“ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์มากมายได้หันไปพึ่งพาระบบของราชามาร โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่หลงเหลืออยู่นี้คือโลกที่ต่อต้านผู้เข้าสู่วิถีมาร และแทบจะไม่ว่างเว้นในการต่อสู้กับปัญหาภายในและภายนอก”

สีหน้าของเธอกลายเป็นร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ “และเพราะข้าได้กลายเป็นผู้นำพันธมิตร ดังนั้นข้อเสนอของข้าจึงถูกหยิบยกขึ้นมา ว่าพวกเราควรจะเริ่มทำการคัดเลือกหน้าใหม่ให้เร็วยิ่งกว่ากำหนด”

“พวกเจ้าจะต้องมีชัยเหนือผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์หลายหมื่นคนจากโลกด้านการฝึกยุทธ์ จงกลายเป็นหน้าใหม่ที่แข็งแกร่ง เป็นผู้ที่จะได้รับคุณสมบัติให้เข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจในนามของผู้ฝึกยุทธ์เสีย!”

กู่ฉิงซานขบคิดก่อนจะกล่าว “แล้วมันไม่มีวิธีอื่นที่จะสามารถเข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจได้เลยหรือ?”

นางเซียนมองเขาและกล่าว “ก็ยังพอมี หากเจ้าไปร้องขอเฉินหยาง หรือจ้าววงการคนอื่นๆ ในองค์กรขนาดใหญ่ พวกเขาอาจจะแบ่งปันสิทธิ์ของหน้าใหม่ในส่วนของตนเองให้แก่เจ้าก็ได้”

“แต่ข้าจะต้องขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน ว่าในเผ่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพในสายใด ล้วนต้องเผชิญกับทุกประเภทของความท้าทายกันทั้งนั้น เจ้าจึงจะสามารถเอ่ยปากได้ว่าตนนั้นแข็งแกร่ง และกลายเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ได้รับเลือก”

“แข็งแกร่งก็จะสามารถก้าวไปข้างหน้า อ่อนแอก็แค่ถอยกลับมาตั้งหลัก นี่มิใช่เพียงกฎเกณฑ์ของเผ่ามนุษย์ แต่ยังเป็นระบบที่ยุติธรรมมากที่สุดอีกด้วย”

“หากเจ้าไปร้องขอตัวตนทรงอำนาจอย่างเฉินหยาง บางทีเฉินหยางอาจจะมอบสิทธิ์นั้นให้เจ้าก็ได้ แต่ขณะเดียวกัน นั่นก็เทียบเท่าได้กับเป็นการฉกฉวยสิทธิ์ของบุคคลอื่น”

กู่ฉิงซานส่ายหัวทันทีและกล่าว “ลืมมันเถิด พวกเราเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แล้วเหตุใดพวกเราจะต้องไปอ้อนวอนขอสิทธิ์จากคนอื่นๆ ด้วย ข้าไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นหรอก แต่จะไขว่คว้าคุณสมบัตินั้นมาด้วยตนเอง”

หนิงเยว่ฉานเอ่ยเช่นเดียวกัน “พวกเราจะพึ่งพาความสามารถของตนเอง เหตุใดต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วย?”

เหลิงเทียนสิงพูดบ้าง “ถูกต้อง เป็นเช่นนั้น”

นางเซียนไป่ฮั่วพอได้ฟัง ในแววตาของเธอก็เปล่งประกายด้วยความพึงพอใจ

‘อันที่จริงแล้ว ในส่วนของผู้ฝึกยุทธ์มันก็ยังพอจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ได้’

ทว่าเมื่อมีการแข่งขันอย่างเที่ยงธรรมปรากฏขึ้นตรงหน้า หากผู้ฝึกยุทธ์ไม่คิดทำตามกฎหมายเดินทางลัด เขาจะไปมีผู้ใดให้การยอมรับและนับถือเล่า? นั่นมิใช่สิ่งที่คนแข็งแกร่งเขาทำกัน

เซี่ยเต๋าหลิงหันไปกล่าวกับบรรดาลูกศิษย์ “ไป่หยิงเทียน เจ้าจะต้องปกป้องนิกาย และสอนสั่งศิษย์น้องคนอื่นๆ ให้ดี”

ห่านขาวกล่าว “น้อมรับคำสั่ง”

“ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ พวกเจ้าจักต้องหมั่นฝึกฝน เพียรพยายามต่อไป เพื่อโอกาสในคราวหน้าที่จักได้เข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ”

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”

สามหญิงกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

ไม่รีรอให้กู่ฉิงซาน หนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิงตอบสนอง เห็นแค่เพียงเซี่ยเต๋าหลิงที่วาดชายเสื้อยาวออกไป และทั้งสามคนก็หายวับไปจากห้องโถงทันที

“ข้าจะไปส่งพวกเขาเข้าร่วมการคัดเลือกหน้าใหม่” ว่าจบ เซี่ยเต๋าหลิงก็หายตามไปติดๆ

…………………………………………….

กู่ฉิงซานอ่านข้อความบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เขาอยากจะรู้ว่าเทคนิคลับแห่งดาบชนิดใดกันหนอ ที่กระทั่งท่านอาจารย์ก็ยังรู้สึกว่ามันดี

เส้นแสงตัวอักษรหิ่งห้อยค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละบรรทัด

“เทคนิคลับแห่งดาบ ‘ล่าชีพ’ เมื่อศัตรูอยู่ห่างจากคุณในช่วงระยะสิบจั้ง คุณจะสามารถสับสะบั้นพวกเขาได้เลยจากระยะไกล”

“โปรดทราบ จำเป็นต้องอยู่ในระยะสิบจั้งเสียก่อน เทคนิคลับแห่งดาบนี้จึงจะสามารถใช้งานได้”

“โปรดทราบ สามารถใช้เทคนิคลับอื่นๆ ควบคู่ไปกับเทคนิคล่าชีพได้”

“การเรียนรู้เทคนิคลับแห่งดาบนี้ จำเป็นต้องใช้สองพันแต้มพลังวิญญาณ”

กู่ฉิงซานแทบลืมหายใจไปครู่หนึ่ง

แม้ว่าตนจะมีเทคนิคดาบบิน แต่ดาบบินก็ยังไม่สามารถใช้โจมตีเป็นระยะเวลานานได้อยู่ดี อีกอย่าง ผู้ฝึกดาบน่ะคืออาชีพที่มักจะทุ่มเต็มกำลังในการสังหาร ซึ่งสุดท้ายแล้วการจะทำแบบนั้นได้มันก็จำเป็นต้องเข้าใกล้กับศัตรู

ในระหว่างการต่อสู้กับผู้ฝึกดาบ สิ่งที่อาชีพอื่นๆ หวาดกลัวมากที่สุด แน่นอนว่าคือการอยู่ในระยะประชิดกับพวกเขา!

อย่างไรก็ตามเทคนิคลับ ‘ล่าชีพ’ มันจะช่วยเสริมให้ระยะโจมตีของดาบยืดยาวออกไปได้ไกลกว่า 10 จั้ง!

ต่อให้อยู่ห่างจากศัตรู แต่ผู้ฝึกดาบก็ยังสามารถโบกสะบัดดาบยาว ฟาดฟันกระบวนท่าเข้าใส่ศัตรูได้เลยโดยตรง!

ซึ่งนี่มันก็นับว่าเพียงพอแล้วที่จะสร้างความประหลาดใจและสังหารอีกฝ่ายลงได้ในทันที

สามารถโจมตีในระยะที่ห่างออกไปได้ไกลกว่าสิบจั้ง นี่มันเป็นสิ่งที่พลิกสถานการณ์เป็นตายได้เลย

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดชื่อของเทคนิคลับนี้จึงถูกตั้งว่าล่าชีพ”

“มันกระทั่งสามารถใช้ร่วมกับเทคนิคดาบอื่นๆ ได้ อีกความหมายหนึ่งก็คือ ฉันสามารถใช้ ‘กลืนกินหวนกลับ’ ในระยะที่ห่างออกไปกว่าสิบจั้งได้…”

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดท่านอาจารย์ถึงให้ความสำคัญกับเทคนิคดาบนี้”

กู่ฉิงซานรำพึง

เขาหลับตาลง และไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะจ่ายสองพันแต้มพลังวิญญาณเพื่อเรียนรู้สกิล ‘ล่าชีพ’

กระแสไอร้อนพวยพุ่งจากใบหยก ไหลผ่านนิ้วมือเข้าไปในแขนของเขา หลอมรวมกันในทะเลแห่งห้วงสติ ความรู้ความเข้าใจนับไม่ถ้วนของเทคนิคดาบ ผสานเข้ากับจิตใจของกู่ฉิงซาน

ผ่านไปพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น

เขาคว้าดาบเช่าหยินมาไว้ในกุมมือ และมองไปยังผนังวังที่อยู่ไม่ไกลออกไป

ตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง กู่ฉิงซานจึงกระชับดาบ และวาดมันไปในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างแผ่วเบา

ฟึบ…

บังเกิดเสียงดังของการเสียดทานบนผนัง

คล้ายกับว่าโดนของมีคมบางอย่างกรีดเข้ากับผนัง

กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น ร่างของเขาวูบไหวเป็นภาพติดตา ร่ายระบำดาบยาวของตนไปมาในห้องโถง

เห็นได้ชัดว่าตัวเขาอยู่ห่างจากผนัง แต่ในทุกๆ ครั้งที่เขาวาดดาบออกไป รอยขีดข่วนใหม่ก็จะเกิดขึ้นมา

ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็เก็บดาบกลับคืน

“สุดยอด ด้วยเทคนิคลับแห่งดาบนี้ มันคุ้มค่ายิ่งกว่าการที่ฉันเรียนรู้เทคนิคลับแห่งดาบธรรมดาๆ หลายสิบเทคนิคเสียอีก” กู่ฉิงซานถอนหายใจเบาๆ

เขาหันหลังกลับ และนั่งลงบนฟูกอีกครั้ง

สายตายังคงเหลือบมองหน้าต่างเทพสงคราม

หลังจากทำการเรียนรู้ชุดวิชากระบี่ ธนู และดาบไปแล้ว แต้มพลังวิญญาณของเขาก็ยังคงเหลืออยู่อีกมากกว่าหกหมื่น

แต้มพลังวิญญาณมีอยู่เหลือเฟือ

ถัดมา กู่ฉิงซานก็หยิบใบหยกออกมาอีกครั้ง และเริ่มต้นทำการคัดเลือกเทคนิคมนตราที่เหมาะสม

กล่าวกันว่าค่ายกล แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์กับเทคนิคมนตรา แกนหลักของมันสอดคล้องต่อกันและกัน ถูกแบ่งออกเป็น ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม สายฟ้า แสง ความมืด และเสียง

กู่ฉิงซาน เดิมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ธาตุสายฟ้า แต่ก็ต้องหยุดไปเข้าสู่วิถีดาบ ทว่าในเวลานี้เขาสามารถทะลวงขีดจำกัด ไม่จำเป็นต้องมุ่งสมาธิไปยังทักษะดาบเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว ตนสามารถเรียนรู้เทคนิคมนตราสายฟ้าได้เลยในทันที

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีแต้มพลังวิญญาณมากมาย แต่การจะเรียนรู้ให้หมดทุกอย่างเลยก็ไม่สมควร มันจะเป็นการเสียของเกินไป

กู่ฉิงซานไม่เต็มใจที่จะฝึกฝนเทคนิคมนตราทั้งหมดของผู้ฝึกยุทธ์ เพราะเขาไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับพวกมัน

ดังนั้น หากจะให้เลือกเรียนรู้เทคนิคมนตรา แต่ละวิชาที่เลือกมามันจะต้องเป็นสิ่งจำเป็นเท่านั้น

จำต้องใช้เวลาไปพอสมควรเลย ในส่วนของการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคมนตรา

เอาล่ะ ทีนี้ก็มาถึงตาของนักสู้หวูเต๋า

เพื่อที่จะเรียนรู้สกิลเทวะ ‘สวรรค์ล่มสลาย’ ตนเองจำเป็นที่จะต้องมีรากฐานบางอย่างในวิถีนักสู้

การฝึกฝนฐานวรยุทธ์ของวิถีนักสู้ มันจะเป็นการช่วยเสริมสร้างจิตวิญญาณและร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ ซึ่งแม้ว่าตนจะเป็นผู้ฝึกดาบ แต่หากทั้งสองสิ่งที่กล่าวมาแข็งแกร่งขึ้น มันก็เป็นเรื่องที่ดี

เฝ้ารอจนกระทั่งตนเรียนรู้ฐานวรยุทธ์ของวิถีนักสู้มาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว สายตาของกู่ฉิงซานก็ไปตกลงอีกหนึ่งสกิลเทวะ

หวูเต๋ากุ่ยชั่ง(หวนคืนไร้ลักษณ์) ตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตน!

แสงสลัวยามค่ำคืนสลายหายไป

รุ่งอรุณได้ถึงแล้ว

กู่ฉิงซานนั่งยองๆ อยู่ในลำธารเบื้องหลังภูเขานิกาย ขัดๆ ถูๆ หม้อเหล็กขนาดใหญ่อย่างจริงจัง

ตอนนี้ เขากำลังทำอาหารเช้าให้แก่ผู้คนทั้งหมดในนิกาย

เครื่องครัวทีละชิ้น ทีละชิ้นถูกนำออกมาวางอย่างเรียบร้อย กู่ฉิงซานกำลังนึกถึงอาหารที่จะทำในวันนี้

ท่านอาจารย์กล่าวว่าตนจะไม่กิน แต่นางจะไม่ปฏิเสธหากเขามอบชามข้าวต้มดอกไม้วิญญาณให้

ส่วนห่านขาว มันย้ำเตือนกับตนเองนักหนามาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า อยากจะรับประทานบะหมี่รสจัดในตอนเช้า

อืม…เมนูค่อนข้างจะขัดแย้งกันนิดหน่อยแฮะ

ส่วนคนอื่นๆ ซิวซิวไม่ควรกินอะไรมากเกินไปในตอนเช้า เด็กสาวจะต้องกินน้ำตามังกร และชาวิญญาณที่ใช้ในการซ่อมแซมจิตเทวะ

ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ มิได้กล่าวว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาแค่ต้มโจ๊กหรือบะหมี่เช่นเดียวกับท่านอาจารย์ไปให้พวกนางก็น่าจะเพียงพอแล้ว

สำหรับเซี่ยวโหลว…

ระหว่างขบคิด ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็เห็นว่ามีก้อนเปลวไฟลอยเข้ามา

เขาคว้ารับยันต์สื่อสาร และกระตุ้นพลังวิญญาณลงไป

เสียงของเซี่ยเต๋าหลิงดังขึ้น “จงทำอาหารให้อร่อยเป็นพิเศษ วันนี้มีแขกสองคนมาเยี่ยมเยือน”

มีแขกมางั้นหรือ?

กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ท่านอาจารย์เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีหน้าตา ดังนั้นหากถึงขั้นส่งยันต์สื่อสารมาเตือนว่า ‘ต้องทำอาหารอร่อยๆ’ กู่ฉิงซานก็ย่อมแสดงฝีมือของเขาออกมาให้ดีที่สุด

เขาเร่งจัดเตรียมเครื่องเคียงอาหารวิญญาณกว่าสิบหกจานในลมหายใจเดียว จากนั้นก็ปรุงข้าววิญญาณ ต้มลงในหม้อใหญ่ ทำน้ำซุปเห็ดหลินจือตุ๋นแสนอร่อย ลวกเส้นบะหมี่ นำพวกมันใส่ลงในชาม และราดซอสอย่างระมัดระวัง

ด้วยซอสและน้ำซุปนี้ หากเพียงแค่ใช้ตะเกียบคนๆ ผิวน้ำของมัน กลิ่นหอมละมุนจากภายในก็จักกระจายออกมา ลอยฟุ้งไปทั่วทั้งนิกายร้อยบุปผา!

เมื่อถึงจุดนี้ อาหารมื้อเช้าของนิกายร้อยบุปผาก็พร้อมรับเสิร์ฟ!

ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ มายืนรอเขาสักพักหนึ่งแล้ว

พวกเธอเฝ้ามองดูกู่ฉิงซานวุ่นอยู่กับอาหารวิญญาณอย่างขะมักเขม้น

ยิ่งมองอาหารของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของสองหญิงสาวก็ยิ่งปรากฏ

พวกเธอช่วยกู่ฉิงซานจัดวางอาหารวิญญาณลงในถาด และเดินกลับมายังโถงร้อยบุปผาด้วยกัน

และในเวลานี้ แขกของนิกายร้อยบุปผาเองก็ได้มาถึงแล้วเช่นกัน

กู่ฉิงซานต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะแขกทั้งสองที่ว่ามานี้เขารู้จักกันเป็นอย่างดี

เป็นหนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิง

แต่เดิม กลับกลายเป็นว่าแขกทั้งสองคือเขาและเธอ

หนิงเยว่ฉานมองกู่ฉิงซาน ก่อนจะสลับไปมองหม้อข้าวต้มที่อยู่ในอ้อมแขนเขา “ข้าหลงคิดว่าผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการปรุงอาหารในนิกายคือฉินเซี่ยวโหลวเสียอีก”

“เซี่ยวโหลวกำลังวุ่นอยู่กับการฝึกยุทธเมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นข้าจึงมารับหน้าที่ดูแลจัดการอาหารแทนชั่วคราว” กู่ฉิงซานตอบ

เขาจัดวางอาหารทั้งหมดลงบนโต๊ะ และก้าวไปข้างหน้า ประสานกำปั้นกับเหลิงเทียนสิง

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

“นานจริงๆ ที่มิได้พบเจอ”

ทั้งสองต่างยิ้มให้แก่กัน

ท้ายที่สุดนี้ พวกเขาต่างฝ่ายต่างก็เสี่ยงชีวิตมาด้วยกันตั้งแต่แรก ดังนั้นมิตรภาพย่อมผลิบาน ไม่ต้องกล่าวบรรยายอะไรให้มากความ

“เอาล่ะ พวกเรามาเริ่มทานอาหารเช้ากันก่อน เรื่องราวต่างๆ ไว้มาคุยกันในภายหลัง” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว

ฝูงชนจึงหยุดสนทนา ทยอยกันนั่งลง และเริ่มรับประทานอาหาร

หากเป็นในสถานการณ์ทั่วๆ ไปแล้ว ปกติบรรดาสาวกจะสามารถสนทนากันระหว่างกินได้

อย่างไรก็ตาม หากมีบุคคลภายนอกอยู่ด้วย สาวกนิกายจะต้องรักษามารยาทให้ดีที่สุด ไม่ควรจะพูดอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ

นี่คือกฎที่ทางสำนักใหญ่บัญญัติขึ้น แม้นางเซียนไป่ฮั่วจะไม่ใส่ใจ แต่หากอยู่ในสถานการณ์ที่มีแขกมาเยือน มันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีหน้าตาที่จำต้องเก็บมาพิจารณา

ทุกคนรักษาความสงบ และกินอาหารเช้าอย่างเงียบๆ

นางเซียนไป่ฮั่วยอมกินข้าวต้มดอกไม้วิญญาณของเขาจริงๆ

ขณะที่ห่านขาว กินบะหมี่ไปกว่าสองชามแล้ว มันโค้งคอลงกินเห็ดตุ๋น เพลิดเพลินไปกับรสอาหาร

ฉินเซี่ยวโหลวได้ลิ้มลองอาหารวิญญาณทั้งสิบหกจาน สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความหลงใหลและขบคิด

หากมิใช่เพราะยามนี้ยังไม่สมควรเอ่ยคำใด บางทีเขาอาจจะตะโกนชมอาหารเหล่านี้ของกู่ฉิงซานไปแล้ว

ขณะที่ใบหน้าของซิวซิวดูจะเศร้าสร้อย เธอนั่งกินอาหารซ่อมแซมจิตเทวะที่ไม่น่าจะอร่อยถูกปาก แต่เมื่อเด็กสาวกินจนหมด กู่ฉิงซานก็ยื่นชามบะหมี่เล็กๆ แก่เธอ และขนมขบเคี้ยวอีกนิดๆ หน่อยๆ

ใบหน้าของซิวซิวแสดงออกถึงความสุขทันที

ฉินรั่วกินอย่างเชื่องช้า มารยาทงดงามเป็นอย่างมาก ส่วนว่านเอ๋อก็มิได้กินมากจนเกินไป

ทางเหลิงเทียนสิง ระหว่างกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขาก็แอบยกนิ้วโป้งให้กู่ฉิงซาน

‘ฝีมือเจ้าสุดยอดไปเลย’

เขาส่งเสียงผ่านความคิด

‘ยังมีอีกเยอะเลยนะ’ กู่ฉิงซานตอบ

ทางหนิงเยว่ฉาน นางยกชามข้าวขึ้นมากิน แต่ขณะเดียวกันก็เบนสายตาไปมองกู่ฉิงซานเป็นครั้งคราว

นางใช้ตะเกียบลองชิมอาหารทุกจาน สีหน้าของนางแสดงออกถึงความประหลาดใจ

เจ้าตัวเป็นถึงนักบุญหญิงของนิกาย ดังนั้นจึงพอที่จะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องอาหารวิญญาณอยู่บ้าง

อาหารวิญญาณเหล่านี้ล้วนอยู่ในระดับสูงสุด หากจะกล่าวว่าเทียบเคียงได้กับฉินเซี่ยวโหลวคงมิใช่เรื่องเกินเลย

หนิงเยว่ฉานอดไม่ได้ที่จะส่งความคิดไปอย่างเงียบๆ “ข้าไม่คิดเลย ว่าเจ้าจะมีฝีมือในด้านอาหารวิญญาณด้วย”

กู่ฉิงซานยืดอกตนขึ้นทันที “ข้าย่อมมีฝีมืออยู่แล้ว และจะบอกอะไรให้นะ ว่าอาหารวิญญาณของข้าเป็นที่เลื่องลือกันออกไปในหลายโลก คนส่วนใหญ่ไม่มีทางจะได้กินมันง่ายๆ หรอกนะ”

หนิงเยว่ฉานมองเขา และอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ

“นั่นสิ หากหญิงนางใดได้ร่วมหอลงโรงกับเจ้า พวกนางคงเปรียบดั่งได้รับพรอันประเสริฐโดยแท้”

………………………………….

เมฆหมอกทะมึนบนท้องฟ้าได้กระจัดกระจายหายไปแล้ว

ฉินเซี่ยวโหลวสามารถข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จ

ทว่าถึงแม้เขาจะได้รับการอนุญาตจากนางเซียนไป่ฮั่วแล้วก็ตาม แต่เจ้าตัวก็ยังไม่คิดจะกลับลงมายังพื้นดิน

เขายังคงนั่งทำสมาธิอยู่บนว่าว หนึ่งมือกุมใบหยก ตริตรองถึงรายละเอียดเทคนิคฝึกยุทธ์ของขอบเขตก้าวสู่เทพอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เซี่ยเต๋าหลิงกับกู่ฉิงซานไม่เคยเห็นฉินเซี่ยวโหลดจริงจังขนาดนี้มาก่อนเลย

หากเป็นในอดีต ฉินเซี่ยวโหลวคงบินลงมาตั้งนานแล้ว เขาคงแทบจะอดใจไม่ไหว เดินทางออกไปหาสถานที่เที่ยวสนุก

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ เซี่ยเต๋าหลิงกับกู่ฉิงซานก็ถอนจิตสัมผัสเทวะกลับคืน ห้วงอารมณ์ของเขาและเธอกลายเป็นเบิกบาน

การที่ฉินเซี่ยวโหลวตั้งอกตั้งใจเช่นนี้ บอกตามตรงว่ามันน่าทึ่งยิ่งกว่าการได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเสียอีก

กู่ฉิงซานกับนางเซียนหันกลับมาหารือกันอีกสักพัก ก่อนที่ศิษย์จะหยิบถุงหอมหลากสีออกมา และยื่นมันให้แก่อาจารย์ของตน

นี่คือมรดกและทรัพยากรสำรองทั้งหมดของนิกายร้อยบุปผา

มองลงไปยังถุงหอมหลากสี ห้วงอารมณ์ของทั้งศิษย์และอาจารย์ก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น

ฝ่ายหนึ่งละจากถุงหอมไป ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคอยเก็บรักษามันเอาไว้ ช่วงวันเวลาเหล่านั้น มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายจริงๆ

และสิ่งที่โชคดีที่สุดก็คือ ต่างฝ่ายต่างก็สามารถรอดชีวิตมาได้

กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าได้ใส่เทคนิคฝึกยุทธ์บางส่วนของโลกล่องเวหาไว้ในใบหยก และเก็บใส่ภายในนั้นแล้ว”

“นอกจากนี้ข้ายังได้ทำการคัดลอกเนื้อหามากมายจากในใบหยกของนิกาย เพื่อเอาไว้ใช้นำมาศึกษาเองอย่างช้าๆ ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จะอนุญาตหรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว

“เช่นนั้นศิษย์ขอตัวลา”

กู่ฉิงซานพยักหน้า เขายืนขึ้นและเตรียมที่จะกลับไปพักผ่อน

“ช้าก่อนฉิงซาน” นางเซียนเรียกเขา

“ท่านอาจารย์ยังมีเรื่องใดต้องการจะสอนสั่ง?”

“ก็ไม่เชิงหรอก แต่บังเอิญว่าในตอนที่ข้าเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ข้าเคยได้มีโอกาสเข้าร่วมการประลองกับโลกด้านฝึกยุทธ์อื่นๆ นั่นก็เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคมนตรา ความเชี่ยวชาญ และตรวจสอบซึ่งกันและกัน”

เซี่ยเต๋าหลิงหยิบใบหยกออกจากแขนเสื้อ และโยนมันให้แก่กู่ฉิงซาน

เธอกล่าว “ภายในใบหยกมีเทคนิคลับแห่งดาบ ซึ่งกระทั่งในสายตาข้า ก็ยังเห็นว่ามันมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง”

“ดังนั้น ข้าจึงพยายามคิดหาหนทางแลกเปลี่ยนเทคนิคลับแห่งดาบนี้จากเจ้าของของมัน จนได้รับมาในที่สุด”

“และในเมื่อเจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกดาบ ฉะนั้นเทคนิคลับที่ข้าได้มา ก็จะถูกส่งต่อไปยังเจ้า”

กู่ฉิงซานรับใบหยก ประสานกำปั้นและกล่าว “ขอบพระคุณท่านอาจารย์”

แม้เซี่ยเต๋าหลิงจะกล่าวอธิบายเพียงสั้นๆ แต่ใจความสำคัญของมัน กู่ฉิงซานกลับสามารถตระหนักได้อย่างชัดเจนว่านี่คงเป็นเทคนิคลับแห่งดาบที่ยากนักจะพบเจอจริงๆ

เพราะไม่ว่าใครต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเทคนิคลับแห่งดาบ คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกดาบ ที่มีอำนาจอย่างหาที่เปรียบมิได้ในการต่อสู้ระยะประชิด

ขณะเดียวกัน วิสัยทัศน์ของนางเซียนนั้นสูงส่งเสมอมา ดังนั้นการที่นางบอกว่าสายตานางก็ยังเห็นว่ามันมีประโยชน์ แสดงว่าเทคนิคลับแห่งดาบนี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

นางจักต้องจ่ายทรัพยากรล้ำค่าไปมากมายเพียงใดกันหนอ จึงจะสามารถแลกเปลี่ยนมันมาได้

อย่างไรก็ตาม ในตลอดทั้งนิกายร้อยบุปผา มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกดาบ

นั่นหมายความว่า การที่นางเพียรพยายามจนได้รับเทคนิคลับแห่งดาบนี้มา นั่นก็เพื่อตนเอง

ในหัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้น

“จงนำมันกลับไป ศึกษามัน และพยายามเรียนรู้เทคนิคลับแห่งดาบชนิดนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว”

กู่ฉิงซานไม่คิดจะพูดอะไรให้มันมากความอีกต่อไป เขาพยักหน้าเล็กน้อย และถอยกลับไป

ระหว่างเดินทางกลับไปยังวังหลานเฉา กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

ท่านอาจารย์ปฏิบัติต่อตนเองเป็นอย่างดี ปฏิบัติต่อสาวกทุกคนเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน

แล้วจะไม่ให้เขาเพียรพยายามอย่างหนักได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม เมื่อกู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ บอกตามตรงว่าบางอย่างเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นความจริงอยู่ดี

แบรี่อาศัยอยู่ในโลกมิติอนันต์ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่เขาสามารถทะลวงชั้นมิติมากมายได้อย่างง่ายดาย

นั่นเป็นเพราะเอกลักษณ์ของโลกมิติอนันต์ ที่มันเชื่อมต่อกับโลกอื่นๆ นับไม่ถ้วนดั่งชื่อตน ดังนั้นการทะลวงมิติจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

ทว่าท่านอาจารย์น่ะยืนหยัดอยู่ในโลกหกวิถี แต่กลับสามารถใช้กำปั้นทะลวงมิติที่ว่างเปล่า เปิดภาพเสมือนของโลกอื่นสู่สายตาได้

ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าอาจารย์จะยังด้อยกว่าแบรี่อยู่ไม่น้อย แต่ความแข็งแกร่งที่เธอแสดงออกมานั้นเป็นของจริง

ท่านอาจารย์เหมาะสมแล้วจริงๆ ที่ได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์!

คนที่เลือกท่านอาจารย์ให้เป็นผู้นำ ช่างมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลยิ่งนัก!

กู่ฉิงซานพยักหน้าช้าๆ และเข้าไปภายในวังหลานเฉา

ภายในห้องโถง เครื่องใช้ทั้งหมดได้รับการทำความสะอาด และจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ของห้องโถงก็ยังว่างเปล่า ยามเมื่ออยู่คนเดียวมันก็ชวนให้รู้สึกโดดเดี่ยว

โชคยังดีที่มันมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงมีสายลมอ่อนๆ พัดเข้ามา ทำให้ผู้พักอาศัยสะดวกสบาย ไม่รู้สึกอึดอัดใดๆ

กู่ฉิงซานนั่งลงบนฟูก และเริ่มคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับดินแดนชิงอำนาจ

โลกเดิมของเขาบัดนี้ได้รับการคุ้มครองโดยเหล่าทวยเทพ และกำลังจะถูกเปลี่ยนคุณสมบัติ ส่งผลให้ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่สามารถเข้าหรือออกจากโลกใบนั้นไปได้

ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่สามารถกลับไปปีนหอคอยที่อยู่ภายในมัน

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้หากเขาต้องการที่จะเร่งเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ตนให้เร็วที่สุด จึงไม่มีหนทางใดอื่นอีก นอกจากตรงไปยังดินแดนชิงอำนาจ

ซึ่งข้อเสนอนี้ ร่างใหญ่ก็เคยได้บอกกับเขาเอาไว้เช่นกัน

แบรี่และเสี่ยวเหมียวก็เคยบอกมันแก่เขา

เวลานี้ กระทั่งท่านอาจารย์ก็ยังรู้สึกว่ามันสมควรจะเป็นเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็เริ่มใช้อำนาจในมือตน ตระเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน

เขาเริ่มทำการตรวจสอบสิ่งที่ตนมี ทีละชิ้น ทีละชิ้น

ถุงหอมหลากสีได้ถูกส่งคืนให้แก่ท่านอาจารย์แล้ว แม้ว่าเขาจะใช้บางสิ่งภายในนั้นเป็นการส่วนตัวไปบ้าง แต่หลังจากที่ได้รับทรัพยากรของหวังหงษ์เต๋ามา เขาก็นำมันเข้าไปแทนที่ส่วนเดิมที่ขาดหายไปของนิกาย อันที่จริงต้องกล่าวว่ามันเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก

แต่กู่ฉิงซานก็ยังเก็บบางสิ่งที่พอจะมีประโยชน์ไว้กับตัวเช่นกัน

อย่างน้อยเขาก็ได้ทำการคัดลอกเทคนิคฝึกยุทธ์มากมายเอาไว้ในใบหยก

ในเวลานี้ เขาได้หยิบหนึ่งในใบหยกที่ว่าขึ้นมา บนหน้าต่างเทพสงครามพลันผุดหลายบรรทัดแสงตัวอักษรเด้งขึ้นทันที

“สกิลเทวะประเภทประภพ สายธารแห่งการหลงเลือน”

“หากต้องการฝึกฝนสกิลเทวะดังกล่าว คุณจำเป็นต้องมีเงื่อนไขที่สอดคล้องดังต่อไปนี้”

“มีพรสวรรค์ทางพลังวิญญาณในการใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้า”

“ครอบครองเทคนิคเทียนซวน เพรียกวิญญาณ”

“ครอบครองเทคนิคลับ ผนึกร่างสู่หยิน”

“ครอบครองเทคนิคลับ วิญญาณหวนคืน”

“ครอบครองเชื่อมต่อหกวิถี เรือข้ามประภพ”

กู่ฉิงซานอ่านมันอีกครั้ง และอดถอนหายใจออกมาไม่ได้

การเรียนรู้สกิลเทวะแห่งหกวิถี มันมีเงื่อนไขมากมายจริงๆ

แต่โชคยังดี…

ที่เขาได้รับการปลดปล่อยจิตวิญญาณ และไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ แล้ว!

มุมปากของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้น เขาเอ่ยสั่งหน้าต่างระบบเทพสงครามด้วยความมั่นใจ

“ระบบ ฉันต้องการใช้แต้มพลังวิญญาณของฉันเพื่อเรียนรู้สกิลเทวะ สายธารแห่งการหลงเลือน”

ติ๊ง!

บังเกิดเสียงอันคมชัดดังขึ้น

ระบบเทพสงครามตอบกลับ “คุณไม่สามารถเรียนรู้สกิลเทวะนี้ได้”

กู่ฉิงซานชะงักไป เขาเร่งถามอย่างรวดเร็ว “ทำไมกัน? ฉันได้รับการปลดปล่อยจิตวิญญาณแล้วชัดๆ มันไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมฉันถึงไม่สามารถฝึกมันได้?”

ระบบเทพสงครามตอบ “ใช่ จิตวิญญาณของคุณได้รับการปลดเปลื้องแล้วก็จริง แต่คุณยังคงมีข้อจำกัดเรื่องเพศอยู่ดี”

ข้อจำกัดเรื่องเพศ!

กู่ฉิงซานเกือบจะกระอักเลือดออกมา

“หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์หญิงเท่านั้นถึงจะสามารถเรียนรู้มันได้?” เขาถาม

“ถูกต้อง นี่คือเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมี”

กู่ฉิงซานพ่นลมหายใจด้วยความเสียดาย

ดูเหมือนว่าตนเองจะไม่มีทางเรียนรู้สกิลนี้ได้อีกแล้ว

เว้นเสียแต่ว่า…

ไม่ล่ะ แบบนั้นไม่เอา ลืมมันเสียเถอะ!

เขาเก็บใบหยก และหันไปหยิบกระบี่ยาวขึ้นมา

นี่คือกระบี่ยาวที่มีสีดำสนิท ทันทีที่มันปรากฏ เสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยความโศกเศร้าและทุกข์ตรมนับไม่ถ้วนก็ดังออกมาจากมัน

เงาสีเทาพัวพันรอบใบกระบี่

เงาสีเทาเหล่านี้ เวียนว่ายอยู่พักหนึ่ง ทว่าเมื่อไม่ได้รับการกระตุ้นพลังวิญญาณใดๆ มันก็ค่อยๆ สลายหายไป

ใบกระบี่แม้จะยาว แต่ก็เรียวเล็กและแคบมาก มิใช่สิ่งที่เหมาะสมจะใช้ต่อสู้ ส่วนใหญ่แล้วมันมักจะถูกใช้เป็นสื่อกลางในการปลดปล่อยเทคนิคมนตราเสียมากกว่า

นี่คือกระบี่จักรพรรดิศพจากโลกล่องเวหา เป็นของผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลมปราณจิตหวังหงษ์เต๋า

กระบี่นี้อยู่คู่กับหวังหงษ์เต๋ามานานปี มันได้เป็นพยานในทุกๆ การต่อสู้ของเขา

และยังได้บันทึกทักษะการต่อสู้ทั้งหมดของหวังหงษ์เต๋าเอาไว้อีกด้วย!

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป และค่อยๆ กุมกระบี่ยาว

ทันใดนั้นเอง บนหน้าต่างเทพสงคราม ฟังก์ชัน ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ ก็สว่างขึ้น

เส้นแสงหิ่งห้อยเด้งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

สกิลกระบี่ตลอดทั้งชีวิตของหวังหงษ์เต๋า รวมไปถึงเทคนิคมนตราของกระบี่ผุดขึ้นมาอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน

ในบรรดาสกิลต่างๆ ของหวังหงษ์เต๋า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่บริสุทธิ์ ส่วนใหญ่แล้วมันเกี่ยวข้องกับเทคนิคมนตราซากศพและแมลงทั้งสิ้น

บนตัวกระบี่ เต็มไปด้วยวิชาชั่วร้ายมากเกินไป กู่ฉิงซานเพียงกวาดตามองคำอธิบายข้างต้นของพวกมัน เขาก็จำต้องขมวดคิ้วทันที

เขาเลือกแยกสกิลที่บริสุทธิ์ออก จากนั้นก็นำมันไปรวมกันกับสกิลกระบี่ของนิกายร้อยบุปผา เพื่อเตรียมทำการเรียนรู้มันร่วมกันในทีเดียว

ส่วนวิชาชั่วร้ายทั้งมวล เขาละทิ้งมันไปโดยสิ้นเชิง

หลังจากนั้น กู่ฉิงซานก็ได้แยกเทคนิคธนูและลูกศรของนิกายกวงหยางออกมา และจัดเรียงมันอย่างระมัดระวัง

ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ สกิลในสาขาธนูและลูกศรช่างหาได้ยากเย็นยิ่ง กระทั่งชุดเทคนิคที่เซี่ยเต๋าหลิงรวบรวมมา ยังแทบจะไม่มีเลย มีเพียงสกิลขั้นพื้นฐานเท่านั้น

กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนำใบหยกของนิกายกวงหยางออกมา และทำการค้นหามันอย่างรอบคอบ

ในที่สุดเขาก็พบสกิลสาขาธนูและลูกศรในที่สุด

แต่มันก็ยังมีเพียงสกิลเดียวอยู่ดี

เห็นได้ชัดว่าในระบบของผู้ฝึกยุทธ์ ธนูและลูกศรมิใช่เทคนิคหลักที่ใช้ในการโจมตี

แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะท้ายที่สุดนี้ สกิลธนูของเขาเกือบทั้งหมดได้หายไปแล้ว มันหลงเหลือแค่ ‘ระบำผันผวน’ เท่านั้น

เขาจึงทำการเรียนรู้สกิลธนูและลูกศรทั้งหมด

หลังจากกระบี่ ก็ตามด้วยธนู และในที่สุดก็มาถึงใบหยกที่ท่านอาจารย์มอบให้

กู่ฉิงซานค่อยๆ จับมันขึ้นมาเบาๆ

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยค่อยๆ ทยอยกันปรากฏขึ้นมาทันที

“คุณได้ค้นพบเทคนิคลับแห่งดาบชนิดใหม่”

“เทคนิคลับแห่งดาบ ‘ล่าชีพ’”

………………………………….

เหนือขึ้นไปเบื้องบน เสียงของทัณฑ์สายฟ้าดังกึกก้องไม่รู้จบ

ฉินเซี่ยวโหลวยังคงข้ามผ่านโทษทัณฑ์

“ดาบพิภพกำลังจะตาย โลกนับล้านล้านล้วนไม่มีวิธีใดที่จะช่วยเหลือมัน ทว่าดาบนภาคือแฝดของดาบพิภพ ฉะนั้นจึงมีเพียงการออกค้นหาดาบนภาเท่านั้นจึงจะสามารถซ่อมแซมดาบพิภพได้”

เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานแทบจะทนรอไม่ไหว เขาเร่งกล่าว “เช่นนั้น ข้าร้องขอท่านอาจารย์ ให้ยอมรับข้าเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวก แล้วส่งข้าไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ด้วยเถิด”

“ยังไม่ใช่ตอนนี้” เซี่ยเต๋าหลิงส่ายหัวเบาๆ

“การจะเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ จำเป็นต้องใช้สองสิ่ง หนึ่งคือค่ายกลเคลื่อนย้ายของนิกายวังสวรรค์ อีกหนึ่งคือใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์”

“หากเป็นในอดีต ข้าสามารถให้เจ้าเข้าสู่โลกใบนั้น และช่วยให้เจ้าให้สามารถคงชีวิตอยู่ได้เลยในทันที”

“แต่ตอนนี้ ใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์ได้หมดพลังงานลงแล้ว และได้ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถใช้มันช่วยรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ได้อีกต่อไป”

“อาจารย์ เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี?”

เซี่ยเต๋าหลิงยังคงส่ายหัว เธอกล่าว “ในความเป็นจริง ต่อให้มีใบหยกพิทักษ์กายา ก็ยังเป็นการยากนักที่จะค้นพบดาบนภา”

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะมันมิได้อยู่ในวังสวรรค์เมฆาวิเวก แต่ลอยล่องอยู่ในที่ใดสักแห่งในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์”

กู่ฉิงซานงง “งั้นข้าก็แค่เข้าไปในโลกใบนั้น แล้วตามหามันด้วยตนเองก็ได้มิใช่หรือ?”

“มันไม่ง่ายขนาดนั้น”

เซี่ยเต๋าหลิงเฝ้ามองศิษย์ตน และอธิบายอย่างช้าๆ “ในความเป็นจริง ทุกๆ ผู้นำนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวกต่างก็ได้รับการตักเตือนสืบต่อมา ว่าหลังจากเข้าไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แล้ว จักต้องอยู่แต่ในวังสวรรค์ ห้ามออกมาโดยเด็ดขาด”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”

“เพราะโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เป็นสถานที่ที่อันตรายมากเกินไป เราสามารถอยู่รอดได้โดยการอาศัยอยู่ในวังสวรรค์เท่านั้น”

“จุดประสงค์ของการเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ของนิกายพวกเราก็คือ การเข้าไปอ่าน และศึกษาหนังสือโบราณของนิกายในวังสวรรค์ เพื่อค้นหาวิถีและเทคนิคลับที่เหมาะสมกับตนเอง”

“และหากเจ้าคิดออกจากวังสวรรค์ เจ้าจะต้องตายทันที”

กู่ฉิงซานไตร่ตรอง พิจารณาอย่างรอบคอบ และกล่าว “ด้วยกฎเกณฑ์ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่จำกัดฐานวรยุทธ์ของทุกคน ดังนั้นพลังของพวกเขาจึงต่ำต้อยในโลกดึกดำบรรพ์ พวกเขาจึงจำเป็นต้องใช้ใบหยกพิทักษ์กายาใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านบรรพบุรุษได้เตือนคนรุ่นหลังในอนาคตว่า จำเป็นต้องบรรลุการฝึกยุทธ์ไปถึงระดับหนึ่งก่อน จึงจะสามารถออกจากวังสวรรค์ เพื่อไปสำรวจโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้”

เซี่ยเต๋าหลิงถอนหายใจเบาๆ และกล่าว “ยามเมื่อเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณยังคงอยู่ในโลกสวรรค์  พวกเขาต่างมุ่งมั่นทุ่มเทที่จะสรรสร้างโลกหกวิถี และทำการติดต่อกับพวกมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง”

“สำหรับเรื่องที่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์และหกวิถีถูกแยกออกจากกัน มันเกิดขึ้นในภายหลัง และไม่มีผู้ใดรู้เช่นกันว่าเหล่าทวยเทพทั้งหมดหายไปได้อย่างไร”

“ดาบพิภพเป็นสิ่งที่ท่านบรรพบุรุษได้มาโดยบังเอิญ และเขาก็บอกกับลูกหลานอย่างจริงจังว่า ดาบเล่มนี้จะต้องถูกสืบทอดต่อๆ กันไป”

กู่ฉิงซานเอ่ยแทรกขึ้นมา “หลังจากที่เทพบรรพกาลหายตัวไป พวกเขาก็ได้ทำการตัดขาดโลกสวรรค์กับโลกมนุษย์ใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง และไม่มีผู้ใดเลยที่ล่วงรู้ถึงเรื่องนั้น มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้”

“บางทีมันอาจจะเป็นเพราะท่านบรรพบุรุษเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ท่านจึงพอที่จะสามารถสร้างค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลกขึ้นมาได้”

“ท่านบรรพบุรุษได้เตือนลูกหลานในรุ่นต่อๆ มาว่านี่เป็นความลับสุดยอดของนิกาย หากมันแพร่งพรายออกไปแม้เพียงครั้ง จะเป็นการชักนำภัยพิบัติอันยากจะคาดเดา”

“ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นที่รู้กันเฉพาะผู้นำจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น”

เซี่ยเต๋าหลิงเผยถึงร่องรอยแห่งความทรงจำและยังคงกล่าวต่อ “ทว่าความเจริญรุ่งเรืองกลับเสื่อมถอย อำนาจของนิกายมิได้ยิ่งยงตลอดไป ในช่วงเวลาที่ข้าได้เข้าสู่นิกาย นิกายก็ถดถอยลงไปมากแล้ว และสุดท้ายก็เป็นเพราะข้า นิกายจึงถูกทำลายลงในที่สุด”

“ทว่าทั้งมรดกและความลับทั้งหมดของนิกาย ท่านผู้นำได้ส่งต่อมันมาแก่ข้าในวินาทีสุดท้าย”

“ฉิงซาน ในเมื่อนอกไปจากนิกายร้อยบุปผา เจ้ายังไม่เคยเข้าร่วมนิกายใดอีก ฉะนั้น เอาไว้ยามเมื่อเจ้าแกร่งพอที่จะสามารถเข้าไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้ ข้าจึงจะยอมรับเจ้าเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวก และให้รับตำแหน่งผู้นำสืบไป”

กู่ฉิงซานสับสน “แต่ดาบพิภพกำลังแตกสลาย เช่นนั้นมันจะต้องใช้เวลาอีกสักเท่าใดกันข้าจึงจะสามารถไปสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้?”

เซี่ยเต๋าหลิง ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ดาบพิภพ ขณะที่อีกข้างผันแปรสัญลักษณ์ที่ดูซับซ้อน

วิชาลับจงปรากฏ!

ทันใดนั้นเอง กล่องหยกทั้งใบที่ภายในถูกวางไว้ด้วยดาบพิภพก็ลอยขึ้นมาในอากาศ ก่อนจะนิ่งงันไม่ไหวติงคล้ายกับกำลังถูกหยุดเวลา

“นี่คือเทคนิคต้องห้ามของข้า มันสามารถช่วยชะลอการไหลของกระแสเวลาให้ยืดยาวออกไป เพื่อเฝ้ารอจนกระทั่งเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอ”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็โล่งใจ

เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวต่อ “ตามกฎของท่านบรรพบุรุษแล้ว เจ้าจะต้องมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะสามารถออกจากวังสวรรค์เมฆาวิเวกให้ได้เสียก่อน จึงจะสามารถเข้าไปสำรวจโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้”

เธอยิ้มและหัวเราะกับตัวเอง “ในอดีต ทุกครั้งเลยที่ข้าได้อ่านหนังสือของนิกาย ข้ามักจะคิดว่า ‘ขอบเขตวรยุทธ์’ เหล่านั้นคงจะมีอยู่แค่ในตำนาน”

“จนกระทั่งข้าได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ข้าจึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ล้วนเป็นความจริง”

กู่ฉิงซาน “ในเรื่องของขอบเขตวรยุทธ์ ข้าทราบเพียงว่าเหนือยิ่งกว่าพันวิบัติ คือขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิต สองขอบเขตเท่านั้น เหนือยิ่งกว่ายังไม่มีความชัดเจนใดๆ”

“ไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่กับสมาคมกำปั้นเหล็กหรอกหรือ? นี่พวกเขาไม่ได้บอกเจ้า?” เซี่ยเต๋าหลิงเอ๋ยถาม

กู่ฉิงซานตอบอย่างหมดหนทาง “เสี่ยวเหมียวบอกแค่ว่าในโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะ มีตัวตนทรงอำนาจที่ครอบครองทุกชนิดของความแข็งแกร่งอยู่มากมายเกินไป ดังนั้นจึงมิอาจแบ่งแยก ตัดสินให้มันชัดเจนได้ว่าผู้ใดเหนือกว่าหรือด้อยกว่า และไว้ยามเมื่อข้าสามารถแยกมิติที่ว่างเปล่า เผยโลกใบอื่นสู่สายตาตนเองให้ได้เสียก่อน จึงจะมีคุณสมบัติได้ล่วงรู้ถึงระดับของขอบเขตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า”

“แท้จริงแล้วที่พูดแบบนั้นเพราะนางคงหวังดีกับเจ้า เพื่อที่จะช่วยหลีกเลี่ยงมิให้จิตแห่งเต๋าของเจ้าเกิดความว้าวุ่นและย่อท้อ” เซี่ยเต๋าหลิงอธิบายต่อ “มาตรฐานความแข็งแกร่งของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ในสมัยโบราณมันค่อนข้างละเอียด แต่ข้าจะอธิบายแก่เจ้าดังนี้”

“ร่างเทวะ พันวิบัติ ขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิต สี่ขอบเขตเหล่านี้เจ้ารู้อยู่แล้ว แต่เหนือขึ้นไปยิ่งกว่านั้นมันยังมีอีกสี่ขอบเขต นั่นก็คือ ดาราโกลาหล หวนคืนสู่ศูนย์ กระจ่างจิตเทวะ และเบิกเนตรมิติ”

“ดาราโกลาหลหากเทียบเปรียบกับลมปราณจิต จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าถึงสามเท่า หวนคืนสู่ศูนย์จะแกร่งกว่าดาราโกลาหลสอบสองเท่า จนกระทั่งมาถึงขอบเขตกระจ่างจิตเทวะ ที่มีความสามารถมากพอจะบดขยี้สวรรค์และโลก มากพอที่จะขึ้นมามีหน้ามีตาในโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้ ก็จักถูกเรียกว่าเต๋าผู้ทรงเกียรติ”

กู่ฉิงซานคิดและกล่าว “เช่นนั้นพวกอาวุโสพันธมิตรที่ตายลงก่อนหน้านี้ก็เป็นเต๋าผู้ทรงเกียรติ ที่อยู่ในขอบเขตกระจ่างจิตเทวะใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง พวกเขาคือกระจ่างจิตเทวะ ขอบเขตที่มีอำนาจทำลายสวรรค์และโลกได้ แต่ยังคงไม่สามารถทำให้โลกใบอื่นปรากฏสู่สายตาตนเองได้ นี่คือขอบเขตของพันธมิตรที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน”

กู่ฉิงซาน “แม้กระทั่งจ้าวแห่งเต๋าก็ยังมิสามารถกลายเป็นผู้ริเริ่มอย่างแท้จริงงั้นหรือ?”

“อืม ในบรรดาขอบเขตทั้งหมดที่กล่าวมา มีเพียงขอบเขตเบิกเนตรมิติ เท่านั้นที่จะถือว่าเป็นผู้ริเริ่ม สามารถเดินทางไปในทุกหมื่นโลกาและอาณาจักรได้”

“แล้วหลังจากขอบเขตเบิกเนตรมิติล่ะท่านอาจารย์?” กู่ฉิงซานถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“นั่นจะเป็นอีกโลกหนึ่งแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นกระแสหลักของโลกเก้าร้อยล้านชั้น แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวถึง” เซี่ยเต๋าหลิงตอบอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงกำปั้นเหล็กแบรี่ ที่สามารถใช้หมัดเดียวฉีกมิติ เผยให้เห็นถึงโลกนับไม่ถ้วน ฉายให้เห็นถึงกระทั่งฉากอันงดงามของท่าเรือนางฟ้าในความว่างเปล่า

เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “อาจารย์ แล้วตอนนี้ท่านอยู่ในขอบเขตใด? ยังคงห่างไกลจากเต๋าผู้ทรงเกียรติใช่หรือไม่?”

เซี่ยเต๋าหลิงเงียบ และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ

“ข้าต้องอยู่ในพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่คุ้นเคยทั้งผู้คนและสถานที่ ไม่เพียงแต่จะต้องต่อสู้กับกองทัพมาร แต่ยังต้องระวังอันตรายจากผู้คนอีก ดังนั้นข้าจึงไม่อาจทำตัวให้เด่นดังเกินหน้าเกินตาคนอื่นได้”

“แต่พวกเขาบอกว่าท่านอาจารย์เป็นคนเดียวที่สามารถได้รับชัยชนะ”

“นั่นเพราะมันสถานการณ์บีบบังคับ มันเป็นจุดที่หากไม่ชนะก็จักต้องตายเท่านั้น”

“งั้น…ก็หมายความว่าท่านอาจารย์ได้ปกปิดความแข็งแกร่งของตนเอาไว้ตลอดมาเลยใช่หรือไม่?”

“ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากช่วงเวลาที่กล่าวมา ข้ายังสามารถยกระดับขึ้นไปยังอีกขั้นได้อีกด้วย”

เซี่ยเต๋าหลิงถกชายเสื้อขึ้น เผยให้เห็นผิวนวลละเอียดลออ เกร็งกำปั้นและชกมันเบาๆ ไปในอากาศที่ว่างเปล่า

สกิลเทวะ สวรรค์ล่มสลาย!

นี่คือการชกเบาๆ อย่างเงียบงัน แต่ราวกับเดจาวู เพราะมันช่างเป็นฉากที่คุ้นตา

ในความว่างเปล่าทั้งมวล ราวกับม่านการแสดงที่ถูกเปิดออก มันแหวกแยกเป็นสองฟากฝั่งอย่างช้าๆ

มันคืออำนาจอันยิ่งใหญ่อย่างที่มิอาจจินตนาการได้ คล้ายกับฉากที่คนธรรมดาสามารถแหวกทะเลลึกให้แยกออกจากกัน

ช่องว่างมิติที่ถูกเปิดออกจากในความว่างเปล่า ค่อยๆ ปรากฏถึงแสงและเงาของโลกที่ทับซ้อน และสลับกันเป็นชั้นๆ ปรากฏอยู่เหนือหัวของคนทั้งสาม

การชกนี้ได้ทะลุขีดจำกัดกฎเกณฑ์ของโลก และทำให้ฉากเสมือนจริงของโลกปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า เผยให้เห็นอยู่ในสายตา

กู่ฉิงซานเห็นกว่าห้าถึงหกโลกเสมือนจริงเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ ภาพของพวกมันปรากฏขึ้นทีละภาพ…ทีละภาพ

ถึงแม้ว่านี่มันจะไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับการชกของแบรี่ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่โลกนับพันล้านจะเกิดความตื่นตะลึง

“ท่าน…อาจารย์…”

หัวใจของกู่ฉิงซานคล้ายถูกกระแทกอย่างแรง ปากของเข้าอ้าค้าง มิอาจเอ่ยคำออกมาให้ครบจบประโยค

นางเซียนไป่ฮั่ววาดชายเสื้อออกไป

ทันใดนั้นโลกเสมือนในความว่างเปล่าก็หายวับไปจากสายตา

วังร้อยบุปผากลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม คล้ายกับทุกสิ่งอย่างเมื่อครู่เป็นเพียงภาพมายา

นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวเบาๆ “ด้วยการผสานรวมห้าโลก และต้องต่อกรกับกองทัพมารทุกวัน ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ หากข้ามิอาจย่างก้าวสู่ขึ้นสู่ ‘ผู้ริเริ่ม’ ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะเหลือหน้าไว้สนทนากับผู้คนในโลกเก้าร้อยล้านชั้นอย่างไรแล้ว”

“พวกเรามาว่าเรื่องที่คั่งค้างกันอย่างจริงจังดีกว่า ฉิงซาน หากเจ้าต้องการไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เพื่อค้นหาดาบนภา เจ้าจะต้องเร่งเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ของตนโดยเร็วที่สุด”

“แล้วข้าสมควรจะทำอย่างไร?”

“จงไปยังดินแดนชิงอำนาจ กระโจนเข้าสู่สมรภูมิอย่างเต็มกำลัง”

………………………………….

กู่ฉิงซานบินกลับลงมายังวังร้อยบุปผา

ณ เวลานี้ ภายในโถงร้อยบุปผาได้จมลงสู่ความเงียบงันไปแล้ว

เพราะทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน เหลือเพียงนางเซียนไป่ฮั่วผู้เดียวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หมื่นบุปผา

นางเซียนไป่ฮั่ววางศอกลงบนพนัก โน้มตัวลงวางแก้มแนบกับมือและกล่าว “ถึงเจ้าจะบอกเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง แต่ข้าเกรงว่ามันอาจจะไร้ประโยชน์อยู่ดี”

กู่ฉิงซานหัวเราะ “ศิษย์พี่ใช้เวลาส่วนใหญ่เอาแต่เล่น แต่ข้าเชื่อว่าตราบใดที่เขาตั้งใจจริง เขาย่อมสามารถเข้าใจในสิ่งที่ข้าจะสื่อได้อย่างแน่นอน”

ระหว่างกล่าว จู่ๆ เมฆครึ้มก็เริ่มปรากฏขึ้นมาจากสุดขอบฟ้าไกล

ฝนที่แต่เดิมตกปรอยๆ บัดนี้เริ่มตกหนักขึ้น

ค่ำคืนอันสงบสุขเกิดแปรผัน เป็นสัญญาณของพลังงานบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น

ชั่วเวลานั้นเอง

เปรี้ยง!

เสียงสายฟ้าพลันฟาดผ่าลงมา

“นี่มันทัณฑ์สวรรค์ ไม่คาดหวังเลยว่ามันจะมาเร็วถึงขนาดนี้” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

นางเซียนไป่ฮั่วแสดงออกถึงความสุขบนใบหน้า “ข้าหวังว่าเขาจะตั้งใจฝึกยุทธ์เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่รีบหมดไฟไปเสียก่อน ”

เธอปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ เพื่อสังเกตฉินเซี่ยวโหลวที่อยู่บนว่าว  ดวงตาของเธอปิดลง ไร้ซึ่งผลกระทบใดๆ จากสายลมและสายฝน ทั้งคนทั้งร่างดูจริงจังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

“ข้าคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ทัณฑ์สวรรค์ของเซี่ยวโหลวจึงจะจบลง ฉิงซาน ระหว่างนี้ก็จงเอ่ยธุระของเจ้ามา”

“อาจารย์ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ามีบางสิ่งในใจจะเอ่ยถาม?” กู่ฉิงซานสงสัย

“ดูด้วยสายตาก็รู้” เซี่ยเต๋าหลิงมองเขาและกล่าว “ตั้งแต่ข้ากลับมา ก็เห็นว่าเจ้าคล้ายมิได้อยู่ในห้วงอารมณ์ที่ดีนัก”

กู่ฉิงซานเงียบไป สุดท้ายก็สารภาพด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้ามิอาจเล็ดลอดสายตาของท่านอาจารย์ไปได้จริงๆ”

เขาตบลงในถุงสัมภาระ หยิบกล่องหยกยาวออกมาและเปิดมัน

ปรากฏให้เห็นถึงดาบพิภพที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวถูกวางไว้ในนั้นอย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานกล่องหยกขึ้น และมอบมันให้แก่เซี่ยเต๋าหลิง

“ดาบพิภพ? เหตุใดมันจึงได้รับความเสียหายร้ายแรงขนาดนี้?” เซี่ยเต๋าหลิงอุทานเบาๆ

เธอบินลงมาจากบัลลังก์หมื่นบุปผา ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน และเริ่มตรวจสอบดาบยาวอย่างระมัดระวัง

“มันแทบจะพังทลายลงแล้ว…นี่ไม่น่าเป็นไปได้ ก่อนหน้านี้เจ้าพานพบสิ่งใดมาหรือ?” นางเซียนทั้งตอบและถาม

กู่ฉิงซานบอกเล่าเรื่องราว “พวกเราบังเอิญได้ไปเผชิญกับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งเป็นประวัติการณ์ ในโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพ ช่วงเวลานั้น มอนสเตอร์เกือบจะเอาชีวิตข้า ดาบพิภพจึงเร่งทุ่มเต็มกำลัง ดูดซับแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดที่ข้ามี รวมพลังกันสังหารสัตว์ประหลาดตัวนั้นลงได้ในที่สุด”

ในหลากหลายเรื่องราว กู่ฉิงซานไม่คิดซ่อนความจริงจากเซี่ยเต๋าหลิง

อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องของร่างใหญ่และมอนสเตอร์ตนนั้น เขาจะไม่ยินยอมอธิบายถึงรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับมัน

กระทั่งก่อนหน้านี้ ที่เขายอมเล่าถึงเรื่องของระบบ กู่ฉิงซานก็แค่เล่าแบบคลุมเครือ และไม่ได้บอกถึงที่มาของระบบของเทพสวรรค์

เพราะความลับบางอย่าง ตราบใดที่ส่งเสียงพูดออกมา การดำรงอยู่อันลึกลับอาจจะสังเกตเห็นถึงมิติและเวลาที่เขาอยู่ก็เป็นได้

สำหรับกู่ฉิงซาน มอนสเตอร์ตัวนั้นมันประหลาดมากเกินไป กู่ฉิงซานจึงไม่ต้องการบอกเรื่องนี้กับใคร

นี่หาใช่เรื่องความไม่ไว้วางใจไม่ แต่เป็นความห่วงใยที่เขามีต่อผู้คนรอบตัวต่างหาก

การเก็บงำความลับนี้เอาไว้ ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยปกป้องร่างใหญ่ แต่ยังสามารถช่วยปกป้องผู้คนจากนิกายร้อยบุปผา ที่ไม่ล่วงรู้ถึงความลับนี้ ไม่นำพาอันตรายใดๆ มาสู่พวกเขา

เซี่ยเต๋าหลิงยื่นมือออกมา และลูบไล้ไปตามตัวดาบพิภพ กล่าวอย่างแผ่วเบา “มันกำลังจะตาย”

“ไม่จริง นั่นมันเป็นไปไม่ได้!” กู่ฉิงซานสวนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ไม่หรอก นี่เป็นเรื่องจริง สันดาบของตลอดทั้งดาบพิภพได้กลายเป็นสีขาวอมเทาแล้ว และจิตแห่งดาบเองก็อยู่ในสถานะไร้สติโดยสิ้นเชิง คงสามารถยื้อชีวิตต่อไปได้อีกไม่นาน”

เซี่ยเต๋าหลิงถอนหายใจ “มันได้รับความเสียหายร้ายแรง แต่ก็สามารถช่วยปกป้องชีวิตเจ้าเอาไว้ได้…ถือว่ามันได้ทำหน้าที่ตนเองอย่างสมบูรณ์แล้ว”

“อาจารย์ ท่านสามารถซ่อมมันได้หรือไม่?”

“มันได้กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ข้าเองก็มิทราบวิธีในการซ่อมแซมมัน และเกรงว่าบางทีตลอดทั้งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ก็คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงวิธีการซ่อมแซมมัน” เซี่ยเต๋าหลิงส่ายหัว

ในจิตใจของกู่ฉิงซานกลายเป็นว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง

ดาบพิภพคือดาบของนิกาย เป็นดาบที่ท่านอาจารย์ไว้วางใจมอบมันให้แก่เขาด้วยตนเอง

กู่ฉิงซานเคยคิดว่า หากนำดาบพิภพกลับมา ท่านอาจารย์จะต้องมีวิธีในการซ่อมแซมมันอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความปรารถนาที่เขาคิดไปเองเสียแล้ว

ในความเป็นจริง ในหัวใจของเขาเองก็ยังตระหนักดี ว่าการที่ตัวดาบแตกร้าวถึงขนาดนี้ มันเป็นเรื่องยากที่จะซ่อมแซม

แต่เขาก็แค่ยังลังเล ไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน

กู่ฉิงซานค่อยๆ ก้มหน้าลง

ตลอดทั้งเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ของเขา ก็มีดาบพิภพนี่แหละที่ร่วมทางเดินมาด้วยกันตั้งแต่เริ่มต้น

แต่สุดท้ายเขากลับตอบแทนมันเช่นนี้หรือ?

หลายต่อหลายครั้งหากไม่มีดาบพิภพ ตนเองก็ไม่ทราบว่าจะรอดชีวิตมาได้หรือไม่

ตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาที่สังหารเซ่าหวูชุ่ย หากมิใช่เพราะอำนาจของดาบพิภพ เขาคงไร้ซึ่งความหวังที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามให้ตกตายลงในกระบวนท่าเดียว

บังเกิดความเงียบงันขึ้นในห้องโถง

เสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กังวานไปทั่วทุกสถานที่ แต่กู่ฉิงซานก็ยังนิ่งงันอยู่อย่างนั้น คล้ายกับไม่รับรู้ถึงสิ่งใดเลย

ดาบพิภพ

เขาไม่สามารถช่วยอะไรมันได้…

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มฟุ้งไปด้วยความเศร้าหมอง

หลังจากผ่านไปนาน เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ

“ท่านอาจารย์”

เขาโค้งกายคำนับนางเซียนไป่ฮั่ว “ข้าต้องไปแล้ว”

“ไป? เพิ่งจะกลับมาก็จะไปเสียแล้วหรือ?” นางเซียนไป่ฮั่วอุทานด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ แค่ได้กลับมาแล้วเห็นว่าท่านอาจารย์ยังสุขสบายดี เซี่ยวโหลวมีความก้าวหน้า ซิวซิวกำลังเติบใหญ่ และได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฉินรั่วและว่านเอ๋อ ข้าก็ไม่สิ่งใดต้องกังวลอีกแล้ว”

“แล้วเจ้าจะไปที่ใด?”

“ท่องไปในหมื่นโลกา เพื่อสรรหาวิธีซ่อมแซมดาบพิภพ”

“ดาบพิภพหาใช่ดาบทั่วๆ ไปไม่ มันมิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็ได้จะสามารถซ่อมแซม ข้าเกรงว่ามันจะจากไปเสียก่อนที่เจ้าจะค้นพบผู้ที่ซ่อมแซมมัน”

“แต่นี่คือดาบข้า มันเคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ดังนั้นยามนี้ข้าก็จะต้องช่วยชีวิตมันเช่นกัน”

กู่ฉิงซานกล่าว เขาประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือให้แก่อีกฝ่าย

“ท่านอาจารย์ โปรดอนุญาตให้ข้าออกไปด้วย”

เซี่ยเต๋าหลิงมองเขาและเอ่ยถาม “เจ้าจะออกค้นหาโดยวิธีใด?”

กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าจะกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็ก จากนั้นก็จะใช้ช่องทางมิติของโลกมิติอนันต์ออกค้นหาสหายของแบรี่ ไปปรึกษาพวกเขาว่าพอจะมีทางออกหรือไม่”

เซี่ยเต๋าหลิงจมอยู่ในการตริตรองอย่างลึกล้ำ

เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง แสงจากสายฟ้าฟาดสาดเข้ามาในห้องโถงใหญ่

ระหว่างช่วงเวลาของประกายสายฟ้า กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงความลังเลบนใบหน้าของเซี่ยเต๋าหลิง

ท่านอาจารย์มักจะมีความคิดที่ดี และตัดสินใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว แต่วันนี้เหตุใดกัน ทำไมนางถึงได้เผยถึงการแสดงออกเช่นนี้?

กู่ฉิงซานคิดด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

ในเวลานั้นเอง ตาของเซี่ยเต๋าหลิงก็ตรึงอยู่กับร่างของกู่ฉิงซานอีกครั้ง

เธอจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ ปากเอ่ยถามเสียงกระซิบ “ฉิงซาน ในเมื่อเจ้าได้เดินทางไปในอาณาจักรทั้งหมื่นโลกามาแล้ว เช่นนั้นเจ้าเคยคารวะผู้อื่นหรือไม่? เคยได้เข้าสู่นิกายอื่นๆ อย่างเป็นทางการหรือเปล่า?”

ไม่รีรอให้กู่ฉิงซานเอ่ยปาก เธอก็อธิบายในสิ่งที่เพิ่งกล่าวไป “ข้าไม่ถือโทษใดๆ หากเจ้าคิดศึกษาเรียนรู้จากผู้อื่น ตลอดทั้งหมื่นโลกามีตัวตนทรงอำนาจที่ควรค่าคารวะและเข้ารับการเรียนรู้จากพวกเขาอยู่มากมาย ฉะนั้นการที่เจ้าจะเข้าไปอยู่ในนิกายฝึกยุทธ์อื่นๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

“ไม่เคยขอรับ” กู่ฉิงซานตอบ

เซี่ยเต๋าหลิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ

ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ถอนหายใจ “อันที่จริงแล้ว…วิธีการของเจ้ามันไร้ประโยชน์ ต่อให้เป็นเหล่าจ้าววงการ ก็เกรงว่าพวกเขาจะไม่สามารถซ่อมแซมดาบพิภพได้”

เธอวาดมือออกไป จัดวางค่ายกลปิดกั้นนับสิบ ปิดผนึกตลอดทั้งโถงร้อยบุปผาด้วยวิชาลับ

“จากนี้ไป พวกเราจะสื่อสารกันด้วยจิตสัมผัสเทวะเท่านั้น เจ้ามิต้องเอ่ยคำใดออกมา”

เซี่ยเต๋าหลิง “ดาบเล่มนี้สามารถสะบั้นสิ่งใดได้บ้าง? ฉิงซาน เจ้ารู้หรือไม่?”

เมื่อเห็นถึงความระแวดระวังของท่านอาจารย์ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างรอบคอบก่อนจะตอบกลับไป

ในอดีต ครั้งหนึ่งดาบพิภพได้เคยสังหารผู้คุมวิญญาณระดับต่ำจากในประภพมาก่อน

ซึ่งผู้คุมวิญญาณ แม้จะมีระดับต่ำ แต่แท้จริงแล้วก็ถูกจัดว่าเป็นผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ

กู่ฉิงซานตอบผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ดาบพิภพ…ดูเหมือนว่ามันจะสามารถสังหารลูกหลานของทวยเทพได้”

เซี่ยเต๋าหลิงมองเขา แต่มิได้เอ่ยคำใด

กู่ฉิงซานนิ่งไปสักพัก และทันใดนั้นเอง ก็เหมือนกับว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

“จริงสิ! ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะ ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ แต่ดาบเล่มนี้กลับสามารถสังหารผู้สืบสายโลหิตจากพวกเขาได้ นี่มันแปลกเกินไป”

“เพราะมันไม่มีใครหรอก ที่คิดสร้างอาวุธที่สามารถใช้ฆ่าลูกหลานของตนเองขึ้นมา”

กู่ฉิงซานกำลังคิดอย่างลับๆ

ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงก็ส่งเสียงผ่านความคิดกลับมา “นี่คือดาบประจำนิกายในครั้งอดีตของข้า มันเป็นดาบที่ได้รับการเคารพบูชา ที่บรรพบุรษนิกายได้นำมาจากโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์”

“หากคิดจะซ่อมแซมดาบเล่มนี้ เจ้าจะต้องเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ เพื่อค้นหาอีกครึ่งหนึ่งของมัน”

กู่ฉิงซานเฝ้ามองอาจารย์ตน แต่ก็ยังไม่สามารถกลั่นกรองในสิ่งที่เธอกล่าวได้

อดีตนิกาย?

โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์?

อีกครึ่งหนึ่งของมัน?

ในสองประโยคข้างต้น ข้อมูลที่อัดแน่นอยู่ในมันมีมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องรีรอให้เขาถาม เซี่ยเต๋าหลิงก็อธิบายต่อ

“ทุกคนต่างก็คิดกันว่าโลกสวรรค์ได้ถูกทำลายลง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย”

“ทว่าในโลกทั้งใบ กลับยังคงมีข้า ศิษย์คนสุดท้ายแห่งวังสวรรค์เมฆาวิเวก ที่รู้ว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้น”

“ดังนั้น หากเจ้าต้องการซ่อมแซมดาบพิภพ เจ้าก็จะต้องก้าวเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ และพยายามเฟ้นหาแฝดของดาบพิภพ”

“ดาบเล่มนั้นถูกเรียกกันว่า ‘ดาบนภา’”

“นภาและพิภพ…สวรรค์และปฐพี มีเพียงสองดาบนี้เท่านั้นที่สามารถตัดสะบั้นเทพบรรพกาลได้”

“ฉิงซาน เดิมทีข้าไม่ต้องการบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า แต่ข้ารู้ดีว่าเจ้าคือผู้ฝึกดาบ และดาบคือทุกสิ่ง ดังนั้น หากจะให้ต้องออกไปภายนอก เผชิญกับความเศร้าโศกที่มิอาจช่วยเหลือดาบพิภพจนมันสิ้นใจลงได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าขอบอกความจริงข้อนี้แก่เจ้าเสียดีกว่า”

ใบหน้าของเธอเผยถึงความอ่อนโยน “ดาบพิภพอยู่คู่กับข้ามานาน และเจ้าเองก็เป็นศิษย์ข้า ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร”

“อาจารย์ แล้วท่านเคยไปยังสถานที่แห่งนั้นหรือไม่?” กู่ฉิงซานถาม

“แน่นอนว่าข้าเคยไปที่นั่น อันที่จริงแล้วผู้นำวังสวรรค์เมฆาวิเวกแต่ละรุ่น ทุกคนจะได้รับโอกาสให้เข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ มิฉะนั้นแล้วเจ้าคิดว่าข้าสามารถเรียนรู้สกิลเทวะแห่งหกวิถีมาได้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”

เซี่ยเต๋าหลิงเผยถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้ม “เมื่อครั้งอดีต ข้าเคยเป็นสาวกของวังสวรรค์เมฆาวิเวก เคยได้อ่านหนังสือโบราณของนิกายที่กล่าวกันถึงทฤษฎีเกี่ยวกับเทพวิญญาณ เดิมทีแล้วข้าคิดว่านิกายข้าช่างอวดโอ้ยิ่งนัก”

“จนกระทั่งข้าได้ค้นพบว่ามันเป็นเรื่องจริง เมื่อได้เดินทางเข้าสู่โลกใบนั้น”

………………………………….

เมื่อนางเซียนไป่ฮั่วกล่าวถึงจุดนี้ ซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็พากันเงี่ยหูตั้งใจฟัง

เพราะท้ายที่สุดนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับกู่ฉิงซานที่จะกลับมาได้อย่างปลอดภัย แล้วที่สำคัญก็คือ เขายังได้เป็นสหายกับตัวตนดั่งเช่นเฉินหยางอีก ดังนั้นทุกนางในที่นี้จึงอยากจะรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาเป็นธรรมดา

กู่ฉิงซานขบคิดเล็กน้อยและกล่าว “ข้าร้องขอให้ท่านอาจารย์นำเซี่ยวโหลวลงมาก่อนจะได้หรือไม่ ข้าคิดว่าบางเรื่อง หากเขาได้รับฟังด้วยมันก็คงจะดี”

“เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ น่ะหรือ?”

“ขอรับ”

นางเซียนไป่ฮั่ววาดมือ แล้วว่าวก็ค่อยๆ ลดระดับลงมา

ฉินเซี่ยวโหลวที่นั่งอยู่บนว่าวยังคงแสร้งทำเป็นอยู่ในสภาวะสมาธิ

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะศิษย์พี่สอง เรื่องราวจากนี้ไปข้าขอให้ท่านตั้งใจฟังให้ดี ข้าคิดว่าเรื่องจากนี้ไปมันจำเป็นที่จะต้องบอกแก่ทุกคน เพื่อให้พวกเราคนในนิกายเข้าใจตรงกัน”

ฉินเซี่ยวโหลวลืมตา ปากเอ่ยกล่าวด้วยความผิดหวัง “ข้าก็หลงคิดว่าเจ้าหว่านล้อมอาจารย์ ช่วยให้ข้าลงมาได้แล้วสัยอีก”

เมื่อเขาเปิดปากพูด สายตาดุร้ายของนางเซียนก็กวาดไปทันที จนเจ้าตัวรีบหุบปากลงอย่างรวดเร็ว

แล้วกู่ฉิงซานก็เริ่มบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

นับตั้งแต่ที่สองสาวจากเขาไปในโลกล่องเวหา เขาก็ได้ใช้วิชาลี้ลับที่ตนครอบครอง ต่อกรกับวิชาลี้ลับของสตรีแห่งรากษส จนคว้าชัยชนะมาได้

ถึงเวลานั้นจิ้งจอกขาวจึงค่อยปรากฏตัวขึ้น ทว่าสุดท้ายก็ถูกเสี่ยวถายที่เปลี่ยนรูปเป็นมารสังหารลง

และมารโลกาก็คือลูกของเสี่ยวถาย

ความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ในโลกล่องเวหาถูกเปิดเผย

เมื่อเล่ามาจุดนี้ ก็บังเกิดบรรยากาศที่ชวนให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดขึ้น

มันไม่มีใครสนใจในส่วนของเรื่องที่โลกล่องเวหาถูกทำลายลงหรอก แต่ทุกคนต่างถอนหายใจกับเรื่องน่าเศร้าที่เสี่ยวถายต้องเผชิญต่างหาก

จากนั้น กู่ฉิงซานก็บอกเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโลกมิติอนันต์ สถานที่ซึ่งตนเองได้ไปรู้จักกับแบรี่และเสี่ยวเหมียว

จากนั้นก็ในส่วนของการเรียกขานของวิหคหนาม

การทรยศของทริสเต้ เจ้าหญิงหนาม

ระบบของราชามารที่หมายจะวิวัฒนาการขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การรวมตัวกันของผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคน

ยอดภูเขาน้ำแข็งของเหล่าทวยเทพ

โลกใต้ดินที่ถูกทิ้ง

การสูญพันธุ์ของสายพันธุ์เทพ ที่ถูกมารสวรรค์ทางฝั่งระบบของราชามารจ้างวานมาเป็นคนลงมือ

ตามต่อด้วยตนเองและมารสวรรค์ฝั่งตนที่ทำการแลกเปลี่ยนกัน

เรื่องราวยามเมื่อเกิดโทษทัณฑ์จากสายลมและสายฟ้าขึ้น

การเผชิญหน้าระหว่างระบบของราชามาร และระบบของเทพสวรรค์

กู่ฉิงซานเล่าทุกอย่างในไม่กี่ลมหายใจ ขณะเดียวกันทุกคนที่กำลังตั้งใจฟัง บางครั้งก็ถึงขั้นลืมหายใจ และรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา

จนกระทั่งกู่ฉิงซานอธิบายถึงโลกเดิมของเขา

“ดูเหมือนว่าข้าจะสามารถเดินทางไปมาระหว่างโลกใบนี้ กับโลกเดิมได้ นั่นจึงหมายความว่าข้าเป็นคนของทั้งสองโลก” กู่ฉิงซานกล่าว

“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่ควรบอกเรื่องนี้ให้แก่คนอื่นฟังอีก และพวกเจ้าทุกคนก็เหมือนกัน จงอย่าได้แพร่งพรายความลับอันยิ่งใหญ่นี้ของกู่ฉิงซานออกไป” นางเซียนกล่าวกับสาวกของเธอ

ทั้งหมดต่างพยักหน้ารับ

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ กู่ฉิงซานก็บังเกิดความตกใจ

ตอนแรกเขามาจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวเขา และตนคิดว่าการที่เอ่ยมันออกมาตามตรงจะเป็นการทำให้ท่านอาจารย์เกิดความสงสัยเสียอีก แต่ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะผ่านไปอย่างง่ายดายเช่นนี้

นางเซียนไป่ฮั่วเมื่อเห็นถึงการแสดงออกของกู่ฉิงซาน ก็เอ่ยปากอย่างจริงจัง “เจ้าทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่อง ‘ผู้หวนคืน’ หรือไม่?”

“ผู้หวนคืน?”

“ใช่ แท้จริงแล้วโลกของพวกเรา เดิมทีมันมีความลับ…” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน “ช่างมันเถิด หากเจ้าทราบถึงเรื่องนี้ไป มันจะไม่เป็นการดี เอาไว้เมื่อเจ้ามีกำลังที่สามารถแบกรับมันได้มากพอ ข้าจะบอกมันแก่เจ้าอีกครั้ง”

เธอหันไปบอกกับทุกคน “วันนี้ก็ดึกมากแล้ว ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ พวกเจ้าทุกคนจงกลับไปพักผ่อนเถอะ”

“วังหลานเฉาทำความสะอาดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ฉิงซาน เจ้าเองก็ไม่ได้กลับมานานแล้ว จงไปพักผ่อนที่นั่นเถอะ เอาไว้วันพรุ่งนี้ข้าจะมาสนทนากับเจ้าอีกครั้ง”

“ส่วนฉินโหลว เจ้าจงอยู่บนว่าวต่อไป จนกว่าจะตัดผ่านไปยังก้าวสู่เทพ ห้ามลงมาโดยเด็ดขาด”

“ทุกคน แยกย้ายได้”

ด้วยคำสั่งของนางเซียน ทุกคนแม้ว่าจะยังคุยกันได้ไม่เต็มอิ่ม แต่ก็ต้องแยกย้ายกันไป

เหลือเพียงกู่ฉิงซานเป็นคนสุดท้าย

นางเซียนไป่ฮั่วมองมาที่เขา

“ข้าขอเวลาสักสองสามลมหายใจ เพื่อไปกระตุ้นแรงใจแก่ศิษย์พี่สองสักเล็กๆ น้อยๆ จะได้หรือไม่” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

นางเซียนพยักหน้า และหันหลังจากไป

เฝ้ารอจนกระทั่งทั่งทุกคนออกไปกันหมดแล้ว กู่ฉิงซานจึงค่อยบินขึ้นไปบนฟ้า มาหยุดอยู่เบื้องหน้าฉินเซี่ยวโหลว

ฉินเซี่ยวโหลวเผยถึงสีหน้าเปี่ยมสุข “ศิษย์น้อง เจ้าได้เก็บสุรากับของคาวไว้ให้ข้าใช่หรือไม่?”

“ไม่ แต่ข้ามีบางอย่างจะพูดกับเจ้า”

“เรื่องอะไรหรือ?”

“ศิษย์พี่สอง ท่านทราบถึงประวัติความเป็นมาของฉินรั่วกับหว่านเอ๋อหรือไม่?”

“ไม่ค่อยกระจ่างเท่าใดนัก” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว “แต่ท่านอาจารย์เล่าว่าพวกนางเป็นคนที่น่าสงสาร”

กู่ฉิงซานบอกถึงรายละเอียด “ฉินรั่ว นางคือผู้ที่จะกลายมาเป็นเสาหลักของโลกในรุ่นต่อไป นางเริ่มต้นฝึกยุทธ์ตั้งแต่อายุสามขวบ และหลังจากฟันฝ่ามายาวนานกว่ายี่สิบเจ็ดปี วันหนึ่ง ในที่สุดนางก็สามารถตัดผ่านขึ้นมาเป็นขอบเขตพันวิบัติจนได้ กลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธ์อายุน้อยที่โดดเด่นที่สุดในโลก”

“ส่วนว่านเอ๋อ นางคือบุตรสาวของผู้นำนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แม้จะครอบครองสถานะที่สูงศักดิ์ถึงปานนั้น นางก็มิเคยหย่อนยานที่จะฝึกฝน เนื่องด้วยคุณสมบัติในด้านนี้ของตนไม่สู้ดี นางจึงต้องพยายามยิ่งกว่าผู้อื่นมากมายนัก หลายครั้งหลายหนที่ต้องหยั่งเท้าอยู่บนขอบเหวแห่งความตาย แต่ก็ยังเลือกที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดเกรง จนสุดท้ายจึงตัดผ่านมาในระดับที่สูงขึ้นได้ในที่สุด”

“อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งสองจะเพียรพยายามอย่างหนัก แต่ก็ยังถูกรุกรานจากผู้คนในโลกอื่น ทุกคนในครอบครัว กระทั่งคนรักต่างก็ตกตาย ไม่ก็ถูกจับไปเป็นทาส”

“เห็นได้ชัดว่าแม้จักทุ่มเทอย่างหนัก แต่ในที่สุดผลลัพธ์มันกลับช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ศิษย์พี่คิดว่าตรงจุดนี้ มีส่วนใดกันที่ผิดพลั้งไป?”

ฉินเซี่ยวโหลวอึ้ง

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “คราวนี้มากล่าวกันถึงเรื่องของท่านอาจารย์เรากัน อาจารย์เองก็ไม่คาดคิดเลยว่าการผสานรวมโลกจะมีอันตรายถึงเพียงนี้ แม้ท่านจะหมั่นเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ แต่ท้ายที่สุดก็เกิดสถานการณ์ที่ยากจะคาดเดาขึ้น โดยผลพวงของมันคือจักต้องถูกลบล้างตัวตนออกไป”

“นางจึงจำต้องเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ต้องออกไปต่อกรกับกองทัพมารทั้งวันคืน เพื่อรักษาชีวิตตนและโลกใบนี้ให้คงอยู่ต่อไป”

“แต่ก็ยังมีคนแอบลักลอบเข้ามาในโลกของพวกเรา พยายามที่จะลักพาตัวซิวซิว เพื่อหมายจะควบคุมท่านอาจารย์ของพวกเรา”

“ทุกคนต่างก็ทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อป้องกันทุกชนิดของหายนะที่เข้ามาย่างกรายอย่างไม่หยุดหย่อน และเพื่อที่จะไม่ให้คนของตัวเองตกอยู่ในอันตราย”

“ศิษย์พี่ ท่านสามารถทำเป็นเล่นต่อไปก็ได้”

“แต่เมื่อท่านมองดูผู้คนรอบกาย ท่านเห็นผู้ใดพร่ำบ่นเรื่องความยากลำบากของตนหรือไม่”

“ช่วงเวลารับประทานอาหารเมื่อครู่ ฉินรั่วและว่านเอ๋อก็ยังต้องการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เอ่ยถามปัญหาฝึกยุทธ์ที่ตนติดขัดจากศิษย์พี่ใหญ่”

“พวกนางแม้จักสูญเสียทุกสิ่งอย่างไปแล้ว แต่ก็ยังเลือกที่จะต่อสู้ดิ้นรน เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดพวกนางถึงทำเช่นนั้น?”

“ดูท่านอาจารย์ของพวกเราสิ แม้อาหารจะอยู่ตรงหน้า แต่ท่านก็ยังต้องปลีกตัวออกไปจัดการธุระกับโลกภายนอก”

“การที่นางทุ่มเทลำบากเช่นนี้ มันเพื่อใครกัน?”

ฉินเซี่ยวโหลวนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”

“ศิษย์พี่นั่นมีศักดิ์สูงกว่าข้าที่เป็นศิษย์น้อง ข้าจึงทำได้เพียงเน้นยำถึงสิ่งที่ศิษย์พี่ควรให้ความสำคัญ นอกไปจากเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดให้พูดอีก”

“สุดท้ายแล้วนะศิษย์พี่ ข้าแค่อยากจะถามท่านสักเรื่องหนึ่ง”

“จงถามมา”

กู่ฉิงซานเอ่ยปากอย่างช้าๆ “ยามเมื่อซิวซิวเกือบจะถูกจับตัวไป หากไม่มีฉินรั่วและว่านเอ๋อ ท่านจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรกัน?”

ฉินเซี่ยวโหลวอ้าปาก แต่กลับพบว่าตนมิอาจเอ่ยคำใดออกมาได้

“หากเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ด้วยอุปนิสัยของท่านอาจารย์ แน่นอนว่าย่อมจะต้องบุกไปลงมือกับคนเหล่านั้นอย่างเต็มกำลัง แม้ว่าจักต้องพินาศสิ้นไปด้วยกันก็ตาม”

กู่ฉิงซานถามต่อ “แล้วหากอาจารย์เสียชีวิต ซิวซิวก็คงสิ้นใจลงด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นแบบนั้นเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ในทุกๆ วันอีกหรือ?”

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ไม่สนใจฉินเซี่ยวโหลวที่บัดนี้นิ่งงันราวกับไม้สลักอีกต่อไป และบินกลับลงไปยังวังร้อยบุปผา

……………………………….

ช่วงเวลาเย็น

ว่าวใบหนึ่งปรากฏขึ้นในนิกายร้อยบุปผา

มันเป็นว่าวที่มีขนาดเดียวกันกับฟูกนอน แขวนอยู่บนฟากฟ้า และแทบจะไม่มีการขยับไหวใดๆ เลย

ต่อให้สายลมยามค่ำจะอ่อนลง หรือท้องฟ้าจะมีฝนปรอยๆ ตกลงมา ทว่าว่าวกลับไม่มีทีท่าว่าจะร่วงหล่นมาเลย

ดูเหมือนว่าว่าวนี้จะขับเคลื่อนด้วยค่ายกลบางอย่าง ส่งผลให้มันไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังงานลมในการลอยตัวแต่อย่างใด

“แบบนี้มันจะดีหรือ?”

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองและเอ่ยถาม

“มันไม่เป็นไรหรอก” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “หากผู้ใดคิดจะฝึกยุทธ์ หนทางที่คนผู้นั้นต้องพบเผชิญย่อมยากลำบากเสมอ หากพวกเราไม่บีบคั้นเขาเช่นนั้น เกรงว่าทั้งชีวิตเขาคงไม่สามารถยกระดับไปได้”

เธอเอ่ยเสริมว่า “เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนพร้อมกันแล้ว ก็จงมาเถิด พวกเราจะได้ชิมรสฝีมือของกู่ฉิงซานกันเสียที”

ว่าจบ ซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อก็เดินเข้ามาพร้อมถ้วยชามและตะเกียบ

ทุกคนนั่งลงบนโต๊ะอาหาร

นอกไปจากนางเซียนไป่ฮั่วกับห่านขาวแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ้างเป็นครั้งคราว

กู่ฉิงซานมองอาจารย์และห่านขาว ก่อนจะสลับมองศิษย์น้องหญิงทั้งสาม และอดไม่ได้ที่ปรบมือ “มาเถิด ถ้าไม่รีบกินเดี๋ยวมันจะเย็นนะ”

พอถูกเรียกสติ ทุกคนจึงค่อยยกตะเกียบขึ้น

“อ๊า รสชาติดีจัง!”

ซิวซิวที่กัดไปเพียงคำแรก เบิกตากว้าง

“นั่นสิ อาหารวิญญาณของฉิงซานทำออกมาได้ดีทีเดียว” ห่านขาวแสดงความคิดเห็น

ส่วนนางเซียนไป่ฮั่ว เธอลองชิมอาหารไปสองสามอย่าง ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “ฉิงซาน ซิวซิวกำลังเริ่มจะเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ขณะที่ฉินรั่วกับว่านเอ๋อเองก็ผ่านพ้นความเจ็บปวดมามากมาย ฉะนั้นในช่วงนี้ เรื่องจัดการอาหาร ข้าอยากจะขอมอบมันให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ…เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”

“ยินดีขอรับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง ท่านอาจารย์” กู่ฉิงซานกล่าว

“ดีมาก” นางเซียนผุดลุกขึ้น และกล่าว “ฉิงซาน หากนิกายเรากลับมากินอาหารได้อย่างอิ่มเอมอีกครั้ง ข้าก็รู้สึกโล่งใจแล้ว เจ้าค่อยๆ กินมันไปเถิด”

“อ้าว? อาจารย์ทานพอแล้วหรือ?” ซิวซิวที่กำลังขมุบขมิบปากเอ่ยถาม

“พอดีว่ามีกลุ่มคนจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์มาเยือนน่ะ” นางเซียนอธิบาย

กู่ฉิงซานยืนขึ้น เขาเอ่ยปากขอ “อาจารย์ ข้าจะไปกับท่านด้วย”

“อย่าได้กังวลไป เพราะในเวลานี้ทุกคนที่มาเยือน ต่างก็ล้วนเป็นผู้ให้การสนับสนุนข้า การมาในครั้งนี้คาดว่าพวกเขาคงได้ทราบข่าวเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้ว จึงเร่งตรงมาที่นี่”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นอาจารย์จะให้ข้าทอดอาหารสักสองสามจาน แล้วเชิญพวกเขามารับประทานร่วมกันด้วยหรือไม่?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพวกเขาหรอก เอาไว้หลังจากที่ข้าตกลงกับพวกเขาแล้วจะรีบกลับมา เพราะข้าเองก็ยังมิได้ตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของโลกใบนี้เลย”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็พยักหน้า

ในพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ แม้ว่าท่านอาจารย์จะได้รับตำแหน่งผู้นำ แต่มันก็แค่ในนามเท่านั้น ยังมีผู้คนอีกส่วนหนึ่งที่คิดว่านางยังไม่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม เวลานี้สถานการณ์มันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

กลุ่มคนที่ต่อต้านนางในพันธมิตร ทั้งหมดได้หายไป

ไม่ว่าอาจารย์จะคิดครอบครองทั้งพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ หรือออกจากพันธมิตรไป ตัวเลือกใดก็ล้วนจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวเลือกนี้มันจะเกี่ยวพันธกับอนาคตของโลกเทวะโดยตรง

แม้ว่านี่จะเป็นการตัดสินใจของนางเซียนไป่ฮั่ว แต่กู่ฉิงซานเองก็ยังระมัดระวัง และเริ่มคิดถึงข้อได้ข้อเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา

ระหว่างขบคิด นางเซียนก็เอ่ยปาก “ฉิงซาน หลังจากนี้พวกเราจะกลับมาสนทนาในเรื่องนี้กันอีกครั้ง”

“ขอรับ” กู่ฉิงซานรับคำ

ฉินรั่วกล่าวด้วยความกังวล “ท่านอาจารย์ แต่ท่านเพิ่งจะกินไปนิดเดียวเองนะ รองท้องสักหน่อยก่อนไปไม่ได้เลยหรือ?”

นางเซียนไป่ฮั่วยิ้ม

ฉินรั่วน่ะเป็นคนที่รอบคอบและห่วงใยผู้อื่นมากที่สุด หากมิได้เข้าร่วมกับนิกายช้าเกินไป นางคงจะได้รับตำแหน่งศิษย์พี่หญิงใหญ่ไปแล้ว

“ช่างมันเถิด หากปล่อยให้พวกเขารอมันคงไม่ดี ขอข้าไปหยั่งเชิงทัศนคติของพวกเขาก่อน”

“และด้วยฐานวรยุทธ์ของข้า ทำให้ข้าสามารถดูดซับแก่นแท้ของกฏเกณฑ์แห่งฟ้าดินได้ ดังนั้นอาหารมันไม่จำเป็นสำหรับข้าอีกต่อไปแล้ว”

นางเซียนกล่าวด้วยความเคารพลึก

ร่างกายของนางวูบไหว และหายไปจากโต๊ะอาหาร

บรรดาหญิงสาวพอได้ฟัง ต่างก็ระเบิดเสียงชวนหลงใหลขึ้นมา

“อืม ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ถึงจะสามารถไปถึงจุดนั้นได้” ว่านเอ๋อถอนหายใจ

“พวกเรามาเริ่มฝึกหนักกันดีกว่า เพื่อที่ว่าวันหนึ่งจะได้กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งดั่งเช่นท่านอาจารย์” ฉินรั่วสนับสนุน

ซิวซิวสูดหายใจและกล่าว “อาจารย์ไม่กินอาหารมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เกรงว่าชั่วชีวิตข้าคงไม่สามารถไปยืนหยัดอยู่ในระดับเดียวกับนางได้”

กู่ฉิงซานนั่งฟังบทสนทนาของทั้งสามสาว เขาอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาไปมองห่านขาว

เวลานี้ หัวของห่านขาวฝังลึกอยู่ในเข่งเกี๊ยวกุ้ง มันกำลังเพลิดเพลินไปกับเนื้อกุ้งหนึบหนับแสนอร่อย

กู่ฉิงซานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเอ่ยปาก “เอาเถิด ท่านอาจารย์ใช่คนธรรมดาเสียที่ไหนกัน พวกเจ้าจะนำตนเองไปเทียบเปรียบ มันคงไม่เหมาะหรอก”

ว่าแล้วเขาก็ใช้ตะเกียบคีบอาหารให้กับแต่ละคน

อาหารที่แตกต่างกันในแต่ละจานเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกนางชื่นชอบ

ด้วยเหตุนี้เอง สาวกคนอื่นๆ ของนิกายร้อยบุปผาจึงหุบปากลง และเริ่มขยับตะเกียบอีกครั้ง

ระหว่างรับประทาน พวกนางก็เริ่มเปิดประเด็นสนทนาอยู่สองสามครั้ง มีบ้างเหมือนกันที่เอ่ยถามถึงเรื่องการฝึกยุทธ์ของห่านขาว

ทุกคนต่างสนทนากันอย่างสนุกสนาน

…เว้นไว้แต่เพียงฉินเซี่ยวโหลวที่นั่งอยู่บนว่าว

โดยที่ไม่ว่าเจ้าตัวจะชอบหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นอกจากต้องนั่งบนว่าว และหลับตาฝึกยุทธ์ต่อไป

จนกว่าจะสามารถตัดผ่านก่อกำเนิด และขึ้นสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพ เขาจึงจะสามารถกลับลงมาบนพื้นดินได้

หลังมื้ออาหารเย็น กู่ฉิงซานก็เก็บจานชาม และเริ่มทำความสะอาดมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกตะกร้าขึ้นจากบ่อแช่แข็ง และวางผลไม้ที่อุณหภูมิเย็นได้ที่ลงบนโต๊ะ

ศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างเริ่มปอกเปลือก และลงมือกินผลไม้ ขณะเดียวกันก็เริ่มพูดคุยกันต่อ

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อเอ่ยขอคำแนะนำจากห่านขาว เพื่อต้องการที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการฝึกยุทธ์

ขณะที่ทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขากำลังช่วยซิวซิวปอกเมลอนและแตงโม

ผ่านไปไม่นาน นางเซียนไป่ฮั่วก็กลับมาอีกครั้ง

มองไปยังรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ กู่ฉิงซานก็เอ่ยถาม “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถออกจากกลุ่มพันธมิตรได้อีกต่อไปแล้ว” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะยามนี้ ทุกคนต่างก็ให้การสนับสนุนข้าในฐานะผู้นำ และหน่วยงานที่รับผิดชอบของพันธมิตรก็อยู่ทางฝั่งข้า”

“ข่าวแพร่กระจายไปเร็วจริงๆ” กู่ฉิงซานหัวเราะ

“ถูกต้อง พวกเขาไม่น่าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แท้ๆ แต่กลับสามารถรับข่าวมาได้ และเร่งมาหาข้าเป็นกลุ่มแรก”

“อาจารย์ ศิษย์พี่ นี่พวกท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่หรือ?” ซิวซิวทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม

กู่ฉิงซานลูบหัวเธอและกล่าว “เรื่องขีดจำกัดการผสานรวมโลกน่ะ”

“อ้อจริงสิ” นางเซียนไป่ฮั่วอุทาน “เรื่องขีดจำกัดทั้งหมดของกลุ่มพันธมิตร มันได้ถูกโอนมาอยู่ในมือข้าแล้วนะ”

ว่าจบ เธอก็หยิบตราเล็กๆ ที่เหมือนกันกับของแปดอาวุโสออกมา ทว่าตรานี้ดูดีๆ แล้วเหมือนจะประณีตยิ่งกว่า

“นี่คือตราที่ทางคณะตุลาการโลกส่งมา พวกเขาส่งตรงถึงมือข้า แถมยังแนบเอกสารที่ประทับตราจากทางประธานคณะตุลาการโลก และถูกลงนามโดยจ้าววงการเฉินหยางมาอีกด้วย”

“ด้วยสองสิ่งนี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้คนในพันธมิตรหวาดกลัว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ไม่ใช่กลัวธรรมดา แต่กลัวมากเลยล่ะ” นางเซียนเผยยิ้ม ยิ้มแบบยิ้มจริงๆ อันหาได้ยากยิ่ง

“เนื่องจากผลลัพธ์มันปรากฏมาในรูปแบบนี้ ในเมื่ออำนาจได้มาอยู่ในมือของอาจารย์แล้ว ท่านเลยไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนที่จะโยนตำแหน่งผู้นำทิ้งไปใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานกล่าว

นางเซียน “ข้าก็คิดเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยตำแหน่งผู้นำพันธมิตรในตอนนี้ อย่างน้อยข้าเองก็ไม่ต้องไปร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอีกครั้ง เพื่อแลกกับจำนวนขีดจำกัดผสานโลก”

เธอมองมายังกู่ฉิงซานและเอ่ยถาม “แล้วเจ้าเล่า? เมื่อครั้งที่เจ้าไปยังโลกล่องเวหา ข้าได้ยินฉินรั่วกับว่านเอ๋อกล่าวว่า…”

“เจ้าสามารถใช้ออกด้วยกลอุบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ สังหารผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลมปรารณจิตลงได้ นี่มันเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ แต่มันก็ทำให้ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”

“แต่เรื่องราวหลังจากนั้นเล่า? มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าได้ผ่านพ้นประสบการณ์แบบใดมา?”

………………………………………………..

ณ บริเวณในส่วนภูเขาหลังนิกายร้อยบุปผา

น้ำพุวิญญาณไหลลงมาจากภูเขาลูกนี้ เมื่อตกลงมา พวกมันก็ก่อตัวเป็นกระแสธารเล็กๆ ไหลผ่านครัวของนิกาย

นี่คือน้ำพุวิญญาณที่ไหลออกมาจากชีพจรจิตวิญญาณธรรมชาติของโลก ส่งผลให้มันมีกลิ่นอายที่เย็นสดชื่น และอุดมไปด้วยพลังงานวิญญาณจากทั้งสวรรค์และโลก

ซึ่งมีเพียงนิกายร้อยบุปผาเท่านั้นที่สามารถผูกขาดชีพจรจิตวิญญาณชั้นเลิศขนาดนี้ได้

กู่ฉิงซานย่ำลงไปในธาร โค้งตัวลงกึ่งลุกกึ่งนั่ง ทั้งขัดทั้งถูหม้อในมืออย่างจริงจัง

เส้นแสงหิ่งห้อยเล็กๆ เด้งเตือนออกมาจากหน้าต่างเทพสงคราม

“เครื่องครัวทั้งหมดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพงศาวดารวันสิ้นโลก”

“นี่คืออุปกรณ์ทำครัว ซึ่งหลงเหลือสูตรอาหารวิญญาณที่ทำในครั้งก่อนๆ ทิ้งเอาไว้ คุณต้องการเรียนรู้สกิลการทำอาหารที่อยู่ในมันหรือไม่?”

“หากต้องการเรียนรู้สกิลในการปรุงอาหาร คุณจะต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณหนึ่งร้อยแต้ม”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ และจ่ายร้อยแต้มไปอย่างเงียบๆ

เพียงแค่มาในครัว เขาก็ค้นพบว่าเครื่องครัวหลายชนิดที่ใช้ในการปรุงอาหาร นั้นมีสกิลการทำอาหารของฉินเซี่ยวโหลวหลงเหลืออยู่

ซึ่งปกติกู่ฉิงซานเองก็เป็นพวกทำอาหารเพื่อหาเลี้ยงชีพอยู่แล้ว ทักษะที่เขามีจึงไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้นในยามที่ฉินเซี่ยวโหลวไม่อยู่ เขาเลยต้องมารับหน้าที่พ่อครัวแทน

แต่ใครจะรู้ ว่าเมื่อมายังที่นี่ เขาจะสามารถได้รับสกิลการปรุงอาหารวิญญาณของฉินเซี่ยวโหลวมาครอบครองได้เสียงั้น

ราวกับโชคหล่นทับ กู่ฉิงซานได้ทำการเรียนรู้สกิลการทำอาหารทั้งหมด!

สำหรับเขา การเรียนรู้ทั้งหมดนี้ ไม่เพียงช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ แต่ยังช่วยให้เขาสามารถจดจำวิธีการปรุงอาหารต่างๆได้มากขึ้นอีกด้วย

หลังจากเรียนรู้พวกมัน กู่ฉิงซานก็ผสานรวมวิธีการปรุงอาหารของตน และของฉินเซี่ยวโหลวเข้าด้วยกันในทะเลแห่งห้วงสติ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสกิลการปรุงอาหารของเขาได้ค่อยๆ ข้ามผ่านกำแพงอุปสรรค ก้าวกระโดดขึ้นไปสู่ในระดับใหม่ที่สูงกว่าแล้ว

และทั้งหมดนี้ กู่ฉิงซานก็ยังไม่ทันได้ตระหนักถึงมัน

เขาแค่รู้สึกว่าตนสามารถเข้าใจถึงรสชาติของอาหารได้แม่นยำยิ่งขึ้นเท่านั้น

เพราะยังไงเสีย ท้ายที่สุดนี้การที่สกิลปรุงอาหารสามารถยกระดับขึ้นไปได้อีกขั้น มันมิได้ไปกระตุ้นฟ้าดิน ก่อให้เกิดทัณฑ์สวรรค์ขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นเขาจะไม่รู้ตัวก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

นี่ก็เกือบจะสายแล้ว

เวลาอาหารเย็นเริ่มใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

กู่ฉิงซานวางหม้อเหล็กลงด้านข้าง ถกแขนเสื้อพับขึ้น และเริ่มคิดอย่างจริงจัง

“เอาล่ะ ทุกอย่างถูกล้างจนสะอาดแล้ว ถ้าอย่างงั้นฉันจะทำอะไรดีนะในคืนนี้?”

“ท่านอาจารย์ชอบอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน แต่ซิวซิวไม่สามารถกินอะไรที่เผ็ดเกินไปได้ ขณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าฉินรั่วกับว่านเอ๋อจะตกอยู่ความทุกข์ตรมมานาน แต่แท้จริงแล้วในอดีตที่ผ่านมา ภูมิหลังของพวกเธอล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอิทธิพล ดังนั้นลิ้นรับรสคงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน…คนหนึ่งชอบปลาสด อีกคนหนึ่งชอบอาหารรสเค็ม นี่มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะทำอาหารให้ถูกปากทุกคน”

กู่ฉิงซานเค้นสมองคิดอยู่สักพัก แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ดีมากพอ สุดท้ายเขาจึงไม่เสียเวลาคิดมันอีกต่อไป เพราะปัญหามันแก้ได้ง่ายๆ โดยการทำอาหารหลายๆ อย่างให้แต่ละคนก็พอแล้ว

เขาจุดไฟข้างลำธาร วางแผ่นเหล็กลง และเริ่มทำบาร์บีคิวและปลาย่าง

จากนั้นตนก็หันไปจุดอีกเตาหนึ่ง วางหม้อนึ่งลงไป และเริ่มจัดวางเข่งติ่มซำกว่าเจ็ดถึงแปดเข่ง โดยแต่ละเข่งจะใส่เป็นเกี๊ยวกุ้ง ตีนไก่กรอบ ข้าวหมูหวาน ก้ามปูฉ่ำๆ ข้าวเนื้อนึ่ง ซุปบัว ไข่ตุ๋น ฯลฯ

หลังจากเตรียมหม้อนึ่งเสร็จแล้ว เขาก็นำหม้อต้มไปตักน้ำในธารมาต้มให้เดือด ใช้ความร้อนฆ่าแบคทีเรียต่างๆ ที่อาจปนเปื้อนเข้ามา จากนั้นก็โยนวัตถุดิบหลายอย่างที่หายากลงไป คนให้เข้ากัน หันกลับไปล้างไก่ขาวให้สะอาด ยัดโสมหิมะใส่เข้าไปในตัวมัน ตามด้วยใส่ตัวไก่ลงไปในหม้อต้มอีกครั้งและปิดฝาเพื่อทำสตู

ในช่วงเวลานี้ บาร์บีคิวและปลาย่างก็กำลังได้ที่พอดี กลิ่นเนื้ออันหอมหวนฟุ้งโชยออกมา แตะจมูกของกู่ฉิงซาน

เขาจึงเร่งนำพริกหยวก และผักต่างๆ ออกมา เริ่มวางมันลงบนแผ่นเหล็ก

เมื่อพริกหยวกนุ่มนิ่มปะทะเข้ากับเหล็กร้อนๆ ก็ได้ยินแค่เพียงเสียง ‘ซุ่ม’ รสชาติเผ็ดที่กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารได้ถูกย่างในอุณหภูมิที่สูงจนสุกอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นอีกหนึ่งถึงสองลมหายใจ จานในส่วนของอาหารย่างก็จะพร้อมเสิร์ฟ

ซึ่งในช่วงเวลานี้ หม้อสตูจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง อาหารในหม้อนึ่งก็ยังไม่ได้ที่ กู่ฉิงซานจึงหันความสนใจมาเตรียมจัดการอาหารย่างอย่างเงียบๆ

ในสมองของเขากำลังคิดเกี่ยวกับอาหารจานต่อไป ว่าจะเป็นอะไรดี

ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติไป

มือเอื้อมไปคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจากในอากาศที่ว่างเปล่า ปากอ้าตะโกนก้อง “นั่นใคร!?”

ทว่าทุกสารทิศมีเพียงความเงียบ

นอกไปจากเสียงเปลวไฟที่ปะทุ และหม้อที่กำลังเดือดแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดอีกเลย

ราวกับนอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครอื่นอยู่ที่นี่

สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง เจตนาฆ่าเริ่มพวยพุ่งขึ้น

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หากยังไม่ยอมเผยตัวออกมา ก็อย่าหาว่าข้าไม่สุภาพก็แล้วกัน” เขาเอ่ยเสียงเฉียบขาด

ราวกับตระหนักได้ถึงเจตนาฆ่าของอีกฝ่าย จากในที่มืด ก็มีเสียงตอบกลับมาในที่สุด

“ศิษย์น้องอย่าเพิ่งลงมือ เป็นข้าเอง ฉินเซี่ยวโหลว!”

กู่ฉิงซานชะงักไป

น่าจะจริงแฮะ เพราะที่นี่คือภูเขาด้านหลังของนิกายร้อยบุปผา แถมยังมีค่ายกลขนาดใหญ่มากมายนับไม่ถ้วนรายล้อมตลอดภูเขาทั้งลูก

ซึ่งนั่นหมายความว่า นอกเหนือไปจากตัวตนทรงอำนาจอย่างเฉินหยางแล้ว ยังจะมีใครสามารถปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างเงียบๆ ได้อีก?

อย่างไรก็ตาม…

ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่สองกำลังปิดด่านฝึกตนอยู่หรือ?

เขาหันไปมองรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่พบสิ่งใดเลย

“เฮ้ ศิษย์น้อง ข้าอยู่นี่”

เสียงของฉินเซี่ยวโหลวดังขึ้นอีกครั้ง

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา เพื่อค้นหาต้นตอของเสียง

เห็นแค่เพียงเต่าตัวหนึ่งกำลังปีนขึ้นมาบนชายฝั่งลำธารอย่างช้าๆ

เต่าคลานขึ้นมาและกล่าวว่า “เนื้อย่างบนแผ่นเหล็กของเจ้ากำลังจะไหม้แล้ว มันจะเป็นการดีกว่านะถ้าเจ้าหยิบมันขึ้นมาก่อน”

กู่ฉิงซานจึงหันไปยกพวกมันขึ้นมาใส่จาน

แต่สายตาของเขาก็มิได้ละไปจากตัวเต่าเลย

ศิษย์พี่สองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?

อย่างไรก็ตาม เต่าที่ใส่ปลอกคอโซ่เล็กๆ สีเขียวก็ค่อยๆ คลานมาตรงเท้าของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานทั้งสงสัยและประหลาดใจ “ศิษย์พี่สอง นี่ท่านไปเรียนรู้วิชาความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

เต่าเอ่ยปาก “อะไร? เจ้าคิดว่าเจ้าเต่าเขียวนี่เป็นข้าอย่างงั้นหรือ ไม่ๆๆ ข้าไม่ใช่เจ้าเต่านี่”

“เช่นนั้นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”

“เก็บตัว กำลังปิดด่านฝึกตน” เต่ากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

“แล้วที่อยู่ตรงนี้มันคืออะไรกัน?”

“นี่คือโซ่ข้า มันเชื่อมต่ออยู่กับอำนาจพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้า ทำให้ข้าสามารถควบคุมเต่าที่เพิ่งตายลงได้ชั่วคราว”

“เจ้าสามารถควบคุมศพได้อย่างงั้นหรือ? นี่เจ้าไปได้รับวิชาแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” กู่ฉิงซานอุทานอย่างคาดไม่ถึง

เต่าส่ายหัวและยังคงกล่าวอย่างภาคภูมิ “นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าได้รับมาเมื่อยามยกระดับขึ้นสู่ขั้นก่อกำเนิด…ถึงแม้ว่ามันจะแปลกมาก แต่ก็มีประโยชน์มากเช่นกัน”

“งั้นเจ้ามาทำอะไรที่หลังเขาแห่งนี้กัน?”

“เฮ้อ นั่นก็เพราะการปิดด่านฝึกตนมันน่าเบื่อเกินไป ข้าก็เลยออกมาผ่อนคลายไง ไม่ได้เลยหรือ?” เต่าร่ำร้องอย่างขมขื่น

กู่ฉิงซานเตือน “เจ้าน่าจะตั้งใจเก็บตัวนะ เฝ้ารอจนกว่าฐานวรยุทธ์ยกระดับขึ้น แล้วค่อยออกมาก็ได้ แบบนั้นมันจะปลอดภัยกว่า”

คราวนี้เต่าไม่เห็นด้วย “ครั้งก่อนที่โลกผสานรวมเข้าด้วยกัน ข้าทุ่มเทพยายามอย่างหนักไปแล้ว ฉะนั้น ยามนี้ข้าจึงสามารถยกระดับขึ้นสู่ก่อกำเนิดได้อย่างรวดเร็วไง”

“แล้วเรื่องที่เจ้าออกมานี่ ท่านอาจารย์ทราบหรือไม่?” กู่ฉิงซานถาม

เต่าหดหัวและกล่าว “จงอย่าได้บอกท่านอาจารย์ ข้าเพียงแค่ออกมาสูดอากาศหายใจ และบังเอิญได้สูดกลิ่นหอมหวนที่โชยมาจากที่นี่ก็เท่านั้นเอง”

มันถอนหายใจ “ต้องขอบอกว่าฝีมือการปรุงอาหารวิญญาณของศิษย์น้องสามพัฒนาขึ้นมากทีเดียว มันอยู่ในระดับสูงชนิดว่าข้าอยู่ไกลไปตั้งครึ่งภูเขาแต่ก็ยังได้กลิ่นของมัน”

เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานจึงค่อยเข้าใจ

ว่าแท้จริงแล้วเจ้าหมอนี่ไม่ได้คิดเก็บตัว ปิดด่านฝึกตนอย่างจริงจังแต่อย่างใด แถมยังแอบออกมาเดินรอบๆ เพื่อที่จะหาอะไรเก็บกลับไปกินและดื่มอีก?

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ศิษย์พี่ แต่ข้าจำได้ว่าที่เก็บตัวก็มีอาหารอยู่มิใช่หรือ?”

“นั่นมันพวกเม็ดยา! ทั้งรสชาติและกลิ่นเทียบไม่ได้เลยกับอาหารของข้า ข้าเลยไม่กินมันจนตอนนี้จะอดตายอยู่แล้ว”

เต่าส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า “ศิษย์น้องเอ๋ย ศิษย์พี่ที่น่าสงสารของเจ้ากำลังทรมานจากการปิดด่านฝึกตนอันแสนขมขื่น ขอเจ้าโปรดมอบอาหารให้ศิษย์พี่ผู้นี้ด้วยเถิด”

“…อยากจะกินอะไรล่ะ?”

“ข้าอยากจะกินเนื้อย่างชิ้นใหญ่ที่สุดตรงนั้น! และขอเหยือกสุราวิญญาณเยือกแข็งอีกเหยือกหนึ่ง!”

กู่ฉิงซานก้มลงมองบนกระดองเต่าและอดไม่ได้ที่จะกล่าว “เจ้าจะเอามันไปได้หมดหรือ?”

“ไม่ต้องกังวลไป กระแสน้ำแห่งนี้ไหลไปยังทิศทางที่ข้าเก็บตัวอยู่ ดังนั้น ข้าแค่ว่ายน้ำไปกลับสักสองรอบก็ได้แล้ว”

“งั้นก็ตกลง”

กู่ฉิงซานแม้จะเกิดอาการปวดหัวอยู่บ้าง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นศิษย์พี่ และถูกขอร้องถึงขนาดนี้ เขายังจะทำอะไรได้อีกเล่า?

เขาเริ่มล้างแผ่นเหล็ก และรีบปรุงอาหารจานเนื้ออย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นาน จานเนื้อย่างร้อนๆ สีแดงฉ่ำก็ถูกวางลงบนหลังเต่า มันคลานลงไปในลำธาร และว่ายไปตามกระแสน้ำอย่างมั่นคง

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูเต่าว่ายหายไป แต่จู่ๆ ก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งในทันใด

เขาหันขวับกลับหลังอย่างรวดเร็ว

เห็นแค่เพียงห่านขาวที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ จ้องมองไปยังเจ้าเต่าด้วยความเย็นชา

ไม่มีใครรู้นางมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่

กู่ฉิงซานไม่ได้สังเกตเห็นเลยในตอนแรก แต่หลังจากที่อีกฝ่ายไม่คิดยับยั้งอารมณ์ของตนที่ปะทุออกมา กู่ฉิงซานจึงค่อยรู้สึกตัวถึงมัน

แบบนี้ก็แสดงว่า…นางได้ยินถึงบทสนทนาทั้งหมดเลยใช่หรือไม่?

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้ง “ศิษย์พี่ใหญ่”

ห่านขาวพยักหน้าอย่างช้าๆ และกล่าว “ข้ากะจะมาดูว่าอาหารในค่ำคืนนี้เป็นรูปแบบใด ไม่คาดคิดเลยว่าจะพบเจอกับเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งกว่า”

ความโกรธเริ่มพรั่งพรูออกมาจากร่างกายของห่านขาว

ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะไม่คิดเก็บซ่อนแรงกดดันของนางเลย!

ฝูงนกในป่าใหญ่เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันนี้ พวกมันทั้งฝูงก็สยายปีกพรึบ บินหนีไปพร้อมๆ กัน

ต่อมา ปลาที่แหวกว่ายในลำธารก็เริ่มตื่นตระหนกเช่นกัน

ส่วนเต่า มันว่ายไปได้เพียงครึ่งทางก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น

เต่าหันหัวไปมองรอบๆ

“ศิษย์พี่ใหญ่!”

เต่าร้องอุทานออกมา

เวลานี้ มันไม่สนใจเนื้อหมูย่างชิ้นใหญ่บนหลังอีกต่อไป ตะกายขาทั้งสี่ว่ายตรงดิ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่งทันที

“คิดหนีหรือ?”

น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น

ทันใดนั้นห่านขาวก็หายวับไป

เห็นแค่เพียงเส้นแสงสีขาวที่โฉบไปในอากาศ

หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่และพละกำลังที่มหาศาล เจ้าเต่าก็ถูกโยนกลับมาตกลงข้างเท้าของกู่ฉิงซาน

ห่านขาวเดินมาจากลำธาร สลัดน้ำออก และกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้าก็หลงคิดว่าเจ้ากำลังฝึกหนัก แต่ที่ไหนได้กลับมาแปลงเป็นเต่า และมัวแต่เล่นสนุก!”

เต่าเผยรอยยิ้มประจบประแจง ประสานสองขาหน้า โค้งกายลงครั้งแล้วครั้งเล่า “ศิษย์พี่ใหญ่ โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ขอเถอะ อย่าบอกท่านอาจารย์เลยนะ”

“เจ้าทราบหรือไม่ว่าท่านอาจารย์น่าหวาดกลัวขนาดไหน?” ห่านขาวกล่าวเสียงเย็น

“แน่นอนข้ารู้ หากท่านบอกนาง ข้าจะต้องตายแน่ๆ” เต่าร้องขอความเมตตา

เต่าราวกับนึกได้ถึงบางสิ่ง มันหันไปมองดูกู่ฉิงซานอีกครั้ง

“ศิษย์น้องกู่ เร็วเข้า! เร่งช่วยข้าขอร้องศิษย์พี่ใหญ่ว่าอย่าไปบอกท่านอาจารย์!”

“…” กู่ฉิงซานเฝ้ามองไปยังท่าทีอ้อนวอนของเต่า และความโกรธเกรี้ยวของห่านขาว เจ้าตัวนิ่งงันไปสักพักหนึ่ง และรู้สึกว่าการแก้สถานการณ์ในตอนนี้มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคนเสียอีก!

…………………………………………….

เฉินหยางหันกลับไปมองศพของทั้งแปดอาวุโส

เขาขมวดคิ้วและกล่าวขอโทษ “ขออภัยจริงๆ หนึ่งในข้อเสียของข้าก็คือเรื่องซากที่หลงเหลือหลังจากการสังหารผู้คนนี่แหละ  มันแย่จริงๆ ที่ละเลงเลือดจนทำให้ที่พำนักของผู้อื่นสกปรก”

“นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะแท้จริง เป็นท่านต่างหากที่ช่วยจัดการแก้ปัญหาใหญ่ให้แก่พวกเรา”

เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยแสดงความขอบคุณ

“อา ในเมื่อเจ้าไม่ถือสา เช่นนั้นพวกเราก็มาจบเรื่องนี้กันเสียทีเถอะ”

เฉินหยางชูมือขึ้น และค่อยๆ ดึงอากาศที่ว่างเปล่าเหนือศีรษะเขาลงมา

ปรากฏถึงโทรศัพท์สมัยเก่าติดมากับมือของเขา

เขากระแอมเล็กน้อย และเริ่มพูดกับโทรศัพท์ “นี่ข้าเฉินหยาง ไปเรียกตาแก่มารับโทรศัพท์หน่อยสิ”

เกิดเสียงรบกวนแทรกเข้ามาเล็กน้อยจากไมโครโฟนปลายสาย ก่อนที่จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงอันไพเราะดังตามขึ้นมา

ภายในทำนองเพลง เสียงอิเล็กทรอนิกส์จักรกลตอบกลับมา “นี่คือสำนักงานประธานคณะกรรมการตุลาการโลก ท่านประธานอยู่ในระหว่างออกไปดูคอนเสิร์ต ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนอะไร กรุณาฝากข้อความทิ้งไว้ แต่ถ้าเป็นเรื่องด่วนโคตรๆ งั้นก็กรุณาไปจัดการด้วยตัวเองเสีย ขอบคุณ”

“ติ๊ด!”

เสียงบันทึกการสนทนาดังขึ้น

เฉินหยางพูดผ่านโทรศัพท์ “ข้าเฉินหยาง มีเรื่องรายงานดังนี้”

“แปดอาวุโสของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ได้ยื่นคำร้องขอถึงข้า ว่าต้องการมอบสิทธิ์ขีดจำกัดการผสานโลกทั้งหมดกลับคืนให้แก่ตำแหน่งผู้นำพันธมิตร”

“จากในมุมมองและทัศนคติของพวกเขา ข้าค่อนข้างมั่นใจและเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และจะส่งไฟล์กับเอกสารที่เกี่ยวข้องแนบไปให้ในภายหลัง”

“ตาแก่ ถ้ากลับมาแล้วก็อย่าลืมรีบตรวจสอบมันเร็วๆ ด้วยล่ะ”

“รายงานเบื้องต้น จบลงแค่นี้”

เฉินหยางผละมือออก

แล้วโทรศัพท์สมัยเก่าก็ถูกสายของมันดึง ลอยกลับขึ้นไปเหนือหัวของเขาโดยอัตโนมัติ และหายวับไป

“เป็นยังไง? วิธีที่พี่ชายเฉินใช้จัดการมันยอดไปเลยใช่ไหม?” เขายิ้มให้กับกู่ฉิงซาน

“ขอบคุณพี่ชายเฉิน เอาไว้ว่างๆ ผมจะขออนุญาตชวนพี่ไปดื่มสุราด้วยกันในภายหลัง” กู่ฉิงซานกล่าว

“ขอเป็นของกินด้วยก็แล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าฝีมือการปรุงอาหารของเจ้าไม่เลวเลย เหมือนว่าจะเคยได้รับคำชมจากปากของผู้จัดการครัวด้วยนี่นา”

“เรื่องนั้นผมพอมีฝีมืออยู่บ้าง”

“เอาล่ะ ครั้งต่อไปเอาไว้ถ้าข้าไปสมาคมต่อสู้กับแบรี่เมื่อไหร่ ข้าหวังว่าจะได้ลิ้มรสฝีมือเจ้า”

“ถ้าพี่เฉินมีเวลาว่างเมื่อไหร่ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อพวกเรา ทางสมาคมยินดีต้อนรับท่านตลอดเวลา” กู่ฉิงซานหัวเราะ

เฉินหยางพยักหน้าให้เขา และหันไปพยักหน้าให้เซี่ยเต๋าหลิงเล็กน้อย “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”

เฉินหยางเดินเข้าไปในเสาแสง และค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนเพดานโถง ก่อนจะหายวับไปในที่สุด

ตลอดทั้งห้องโถงบัดนี้เหลือเพียงอาจารย์และศิษย์

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ทุกอย่างจบลง ซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อก็ปรากฏกายขึ้นจากทางด้านหลังโถงใหญ่

ตามด้วยห่านขาวที่เดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย

“ศิษย์พี่สาม!” ซิวซิวร้องอุทานด้วยความดีใจ

“ฮ่า! ซิวซิว ไม่เจอกันนานเลยนะ มานี่สิ!”

กู่ฉิงซานเองก็ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย

เขาย่อตัวลงโอบซิวซิว และยกเด็กสาวขึ้นมาวางบนไหล่ข้างประจำของตน

ซิวซิวตอนแรกอึ้งไปเล็กน้อย แต่สักพักเด็กสาวก็เผยสีหน้าที่แลดูมีความสุขออกมา

เธอเป็นคนที่ได้รับความทุกข์ทรมาน ถูกทารุณอย่างโหดร้ายตั้งแต่ในวัยเด็ก เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็ต้องอยู่ในนิกายที่แทบจะไม่มีใครเลย ทำให้ตลอดทั้งนิกาย เด็กสาวจึงมีเพื่อนเล่นแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ช่วงเวลาต่อมา สงครามก็อุบัติขึ้น ส่งผลให้ทั้งฉิงซานและเสี่ยวโหลวจำต้องถูกส่งไปอยู่ในแนวหน้า

ซึ่งช่วงเวลาที่ว่านั้น ไม่มีใครมาเล่นกับเธอเลย

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานที่เด็กสาวให้การยอมรับว่าเป็นศิษย์พี่ ในเวลานี้ได้กลับมาแล้ว แถมยังช่วยจบปัญหาร้ายแรงที่นิกายต้องเผชิญลงได้อีกด้วย

และแม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันเป็นเวลานาน แต่ศิษย์พี่ของเธอก็ยังคงปฏิบัติต่อตนเองเหมือนเดิม

ยิ่งไปกว่านั้น ในนิกายเวลานี้ก็มีศิษย์น้องหญิงเพิ่มมาอีกตั้งสองคน!

ทำให้นิกายเริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น

ซิวซิวกล่าวด้วยความสุข “ว้าว ไหล่ของศิษย์พี่นั่งสบายดีจริงๆ”

“แน่นอน เพราะข้าได้ผ่านการฝึกพิเศษจนเชี่ยวชาญ…อ้าวศิษย์พี่ใหญ่ ท่านสบายดีหรือไม่?”

“อืม แต่เจ้าสิ ดูเติบโตขึ้นมากทีเดียว” ห่านขาวกล่าว

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นตัวฉินเซี่ยวโหลว

“เอ๊ะ? แล้วศิษย์พี่สองเล่า เขาหายไปไหนกัน?” เจ้าตัวเองถาม

“ศิษย์พี่สองเจ้ากำลังเก็บตัวฝึกยุทธ์อยู่”

“เก็บตัวฝึกยุทธ์…หมายถึงปิดด่านฝึกตนน่ะหรือ?” กู่ฉิงซานอุทานด้วยน้ำเสียงแปลกๆ

เพราะฉินเซี่ยวโหลดน่ะเป็นคนฉลาด และมีความเชี่ยวชาญในหกศิลป์ แต่แท้จริงแล้วเขากลับเป็นคนที่เกลียดการฝึกยุทธ์

ดังนั้น ทุกครั้งเลยที่เขาว่างเว้น ซึ่งก็เกือบตลอดเวลา เซี่ยวโหลวมักจะออกไปเกี้ยวผู้ฝึกยุทธ์หญิงจากนิกายอื่นโดยเลือกที่จะเปิดเผยสถานะของตน เพื่อให้ได้รับการต้อนรับอย่างดี

แน่นอนว่าการที่เขาบอกสถานะของตนแก่สาวๆ ออกไป มันจะส่งผลดีอย่างมหาศาล

เพราะท้ายที่สุดนี้ นางเซียนไป่ฮั่วน่ะเปรียบดั่งผู้ปกครองโลกทั้งใบ และยังเป็นกู่ฉิงซานที่ช่วยเหลือทุกชีวิตเอาไว้ในโลกเทวะอีกด้วย

ดังนั้นชื่อเสียงของนิกายร้อยบุปผาจึงทรงพลัง และมีศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก

“ที่เขาเลือกเก็บตัวอย่างจริงจัง นั่นเพราะก่อนหน้านี้คนที่แสร้งเป็นเจ้าเกือบจะสามารถนำตัวซิวซิวออกไปได้แล้ว ขณะที่พื้นฐานวรยุทธ์ของเขาต่ำต้อยเกินไป จึงไม่ทันได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ จนฉินรั่วกับว่านเอ๋อยื่นมือเข้ามา เขาถึงค่อยๆ เริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด”

นางเซียนไป่ฮั่วแสดงออกถึงความพอใจ “นับแต่นั้นมาเขาก็เริ่มเก็บตัวฝึกยุทธ์ ซึ่งนี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ยาวนานและจริงจัง ข้าละอดไม่ได้เลยที่จะคาดหวังกับเขา”

“แล้วศิษย์พี่สอง ตอนนี้ฝึกไปถึงขอบเขตไหนแล้ว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ก่อกำเนิด”

“…”

“เพราะก่อนหน้านี้เขาอยู่ในระดับแก่นทองคำ มิใช่ขั้นสูงอะไร ดังนั้นด้วยการฝึกยุทธ์เพียงสองวัน เขาก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิดได้ในที่สุด”

“ใช้เวลาแค่สองวัน?”

“ถูกต้อง ใช้เวลาฝึกยุทธ์แค่สองวันเท่านั้น”

“แต่หากอ้างอิงจากวันเวลา สองวันมันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วนี่นา เช่นนั้นเวลานี้ศิษย์พี่สองก็สมควรที่จะยกระดับไปยังขอบเขตต่อไปแล้วสิ เหตุใดจึงยังติดอยู่แค่ก่อกำเนิด?”

“เพราะเขารู้สึกว่าขั้นก่อกำเนิดก็เพียงพอแล้ว และการฝึกยุทธ์มากไปมันจะทำให้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย และยังส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขา ซึ่งมันจะทำให้เขานอนหลับได้ไม่ดีในเวลากลางคืน”

“หลังจากนั้นมา แม้จะยังเก็บตัวอยู่ แต่เจ้าตัวก็หาได้จริงจังไม่ ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า”

“…”

เป็นอีกครั้งในวันนี้ ที่กู่ฉิงซานพูดอะไรไม่ออก

ดูเหมือนว่าหลังจากกลับมานิกายแล้ว จะมีเรื่องให้เขาทึ่งจนพูดไม่ออกมากขึ้นเยอะทีเดียว

กู่ฉิงซานคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “อย่างน้อยเรื่องของซิวซิว ก็ช่วยปลุกให้เขาตื่นตัว และด้วยพรสวรรค์โดยกำเนิด ผสานไปกับสติปัญญาที่มี ตราบใดที่เซี่ยวโหลวมุ่งมั่นฝึกยุทธ์อย่างจริงจัง การตัดผ่านพื้นฐานวรยุทธ์ไปยังขอบเขตที่สูงยิ่งกว่าคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

ฉินเซี่ยวโหลวมีความคิดที่พิสดารมากเกินไป เขามักจะทำในสิ่งที่แปลกประหลาด โดยไม่สนใจว่าคนทั้งโลกจะมองเขาเป็นตัวอะไร

จากนั้น ก้อนเปลวไฟที่ลุกไหม้ก็ลอยเข้ามาในโถงใหญ่

นางเซียนไป่ฮั่วรับยันต์สื่อสารมา และทำการกระตุ้นพลังวิญญาณ

เนื้อหาที่ส่งผ่านความคิดดังออกจากยันต์สื่อสาร เข้าไปในจิตสัมผัสเทวะของเธอ

นางเซียนไป่ฮั่วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหันมากล่าวกับบรรดาลูกศิษย์ “นักพรตเป่ยหยวนมีบางอย่างจะหารือกับข้า เอาไว้สักพักข้าจะกลับมาฟังเจ้าเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดในภายหลัง”

“ไป่หยิงเทียน”

“ข้าอยู่นี่”

“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าจงรับหน้าที่ดูแลทุกคนให้ดี!”

“น้อมรับคำสั่ง!” ห่านขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพลึก

แล้วนางเซียนก็เคลื่อนกายหายตัวไปจากโถงใหญ่

บรรยากาศในโถงใหญ่ผ่อนคลายลงทันที

เนื่องจากท่านอาจารย์มีฐานวรยุทธ์ที่สูงล้ำ แถมยังเป็นผู้นำของโลกด้านฝึกยุทธ์นับพัน ดังนั้นแรงกดดันที่นางมีจึงหนักหนาเกินไป

ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์จะดีกับทุกคน แต่อย่างไรเสียท่านก็ยังเป็นอาจารย์อยู่ดี

กระทั่งฉินรั่วและว่านเอ๋อ หลังจากที่เข้ามาอยู่ในนิกายได้ไม่กี่วัน ท่าทีการแสดงออกของพวกเธอก็ค่อยๆ กลายเป็นเหมือนกับซิวซิว นั่นคือหงอทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้านางเซียนไป่ฮั่ว

และต้องไม่ลืมนะว่าพวกเธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ชั้นยอดในขอบเขตพันวิบัติ!

นี่มันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย คาดว่าคงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบายของผู้คนล่ะมั้ง

ในขณะนั้นเอง ทันทีที่นางเซียนจากไป ท่าทีของทุกคนก็แลดูผ่อนคลายมากขึ้น

ห่านขาวสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าว “ท่านอาจารย์จะจริงจังเกินไปแล้ว ในเมื่อท่านไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นพวกเราก็มาตั้งวงสนทนากันดีกว่า”

หลังจากได้ยินคำกล่าวของห่านขาว…ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าพร้อมกัน

พวกเธอในเวลานี้โล่งใจแล้ว

ทว่ามีเพียงกู่ฉิงซานที่มิได้พยักหน้าหรือโล่งใจใดๆ

เขาก้มหน้าลงกับพื้น ในหัวใจราวกับมีม้านับสิบหมื่นกำลังควบวิ่ง

‘ท่านอาจารย์ ทำแบบนี้มันสนุกนักหรือไง?’

สายตาของกู่ฉิงซานเบนไปยังห่านขาว ในหัวใจของเขาผุดคำนี้ขึ้นมาอย่างเงียบๆ

ห่านขาวหันไปมองรอบๆ และกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม “เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองหายนะที่ผ่านพ้นไปของนิกาย และการกลับมาของกู่ฉิงซาน ข้าขอแนะนำให้พวกเราไปนำขนมวิญญาณมา และจัดงานเลี้ยงน้ำชากัน”

“ว้าว! มีขนมให้กินด้วย!”ซิวซิวชูสองมือขึ้นไชโย

สีหน้าของฉินรั่วและว่านเอ๋อเองก็แสดงออกถึงความสุข

ห่านขาวเน้นย้ำ “แต่จงอย่ากินมันให้มากจนเกินไป แต่ละคนสามารถกินได้แค่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”

“เจ้าค่ะ!” สามสาวตอบพร้อมกัน

“ช้าก่อน…เหตุใดพวกเจ้าถึงได้มีความสุขนักที่ได้ทานขนม?” กู่ฉิงซานงง

ซิวซิวตอบเขา “ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้สินะ ว่าตั้งแต่ที่ศิษย์พี่สองให้คำมั่นว่าจะเก็บตัวฝึกยุทธ์ อาหารของพวกเราก็หมดลง”

“เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง

ห่านขาว “เนื่องจากฉินเซี่ยวโหลวเป็นผู้รับผิดชอบด้านอาหารวิญญาณทุกวัน ดังนั้นเมื่อเขาเก็บตัว และแยกจากไป พวกเราเลยไม่มีอะไรกินเป็นธรรมดา”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้า…”

“พวกเราเลยต้องกินเม็ดยา และดื่มน้ำค้างแทนทุกวัน” ซิวซิวกล่าวด้วยความขมขื่น

“แล้วทำไมถึงไม่ออกไปซื้ออาหารวิญญาณจากภายนอก?”

ห่านขาวส่ายหัวและถอนหายใจ “มันจะมีอยู่ด้วยหรือ คนที่ได้ลิ้มรสอาหารฝีมือฉินเซี่ยวโหลว แล้วยังออกไปกินอาหารข้างนอกได้อีก”

กู่ฉิงซานพูดไม่ออกอีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าทุกคนกำลังหิวโซ แต่ก็ยังเลือกที่จะยึดมั่นในศักดิ์ศรี หากไม่ได้กินอาหารอร่อยก็ยอมอดเสียดีกว่า หากเป็นกันถึงขนาดนี้ก็คงจะโทษใครไม่ได้อีกแล้ว

กู่ฉิงซานหันไปมองฉินรั่วและว่านเอ๋อ

ฉินรั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราในตอนนี้มีความสุขมากก็จริง แต่ว่า…”

ว่านเอ๋อกล่าว “แต่ว่าตอนนี้พวกเราไม่ได้กินอาหารวิญญาณร้อนๆ มาตั้งนานแล้ว”

เกือบทั้งหมดเอ่ยปาก ขณะเดียวกันทุกสายตาก็จ้องมองมาที่กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานเริ่มที่จะปวดหัว

อันที่จริงแล้ว เขากำลังหาเวลาว่างเพื่อหารือเรื่องบางอย่างกับเซี่ยเต๋าหลิง

แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ทัน จึงเลือกที่จะหลบเลี่ยงมันไปก่อนในตอนนี้

ส่วนเหตุผลก็คงจะเป็นเพราะ…

กู่ฉิงซานหันไปมองห่านขาว

เห็นแค่เพียงการแสดงออกทางสีหน้าของห่านขาวที่คอยส่งกำลังใจและหันไปพยักหน้าให้ซิวซิวอย่างเงียบๆ

ซิวซิวรวบรวมความกล้าและกล่าวด้วยความเหนียมอาย “ศิษย์พี่กู่ เมื่อครู่ในช่วงที่พวกเราซ่อนตัวอยู่หลังฉาก พวกเราได้ยินคนที่ดูเก่งกาจผู้นั้นกล่าวว่าท่านมีฝีมือในการปรุงอาหารใช่หรือไม่”

ห่านขาวอุทานด้วยความประหลาดใจทันที “เอ๊!? คนอย่างฉิงซานเองก็ทำอาหารเป็นเหมือนกันหรือ? แต่จะอร่อยจริงหรือเปล่านะ? ดีล่ะ! งั้นวันนี้พวกเราจะเป็นคนลองชิมมันเอง!!”

กู่ฉิงซาน “…”

…………………………………………….

“สวัสดีเฉินหยาง ผมไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับคุณที่นี่” กู่ฉิงซานทักทายด้วยรอยยิ้ม สรรพนามที่ใช้เรียกขานของเขาเปลี่ยนไป

ช่วงก่อนหน้านี้ในอัลเบอัส ระหว่างรอราชินีหนามขึ้นสรรเสริญและมอบรางวัล แบรี่ได้พากู่ฉิงซานเข้าไปแนะนำตัวกับเพื่อนๆ ของเขา

และเฉินหยางเองก็เป็นหนึ่งในเพื่อนของแบรี่ที่อยู่ที่นั่น

ในฐานะที่เป็นถึงหนึ่งในพี่ใหญ่ในบรรดาจ้าววงการ ดังนั้นเมื่อเขานำรุ่นเยาว์คนหนึ่งมาแนะนำตัวกับทุกคน จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เพื่อนๆ ของแบรี่จะให้ความสนใจกับกู่ฉิงซาน

และผลที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาทั้งหลายก็คือ หน้าใหม่คนนี้มิได้ตื่นเวทีเลย แถมพื้นฐานวรยุทธ์ส่วนตนหากเทียบกับอายุแล้วก็นับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ วิธีการพูดคุยก็ดูไม่เสแสร้ง ดังนั้นทุกคนจึงยินดีที่จะพูดคุยกับเขา

ในเวลานั้น กู่ฉิงซานได้ทิ้งความประทับใจดีๆ เอาไว้กับเหล่าจ้าววงการมากมาย

โดยรวมแล้ว สรุปได้ว่าการเปิดตัวของกู่ฉิงซานด้วยฝีมือของแบรี่ ประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง

ชายที่ชื่อว่าเฉินหยางกล่าว “หลังจากวันนั้น ข้าก็ยังไม่ได้เห็นแบรี่ในบ่อนกาสิโนเลย แต่ข้าได้ยินมาว่าเขากับเสี่ยวเหมียว ออกไปเที่ยวกับเจ้า”

“ใช่ครับ ทางฝั่งเขายังปกติดี ผมเลยแยกตัวออกมาก่อน ส่วนเรื่องอาหารดูเหมือนว่าพวกเขาจะชอบมันมากๆ ดังนั้นพวกเขาก็น่าจะยังสบายดี”

ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็หันไปส่งสายตาให้เซี่ยเต๋าหลิง สื่อกลายๆ ว่าเธออย่าเพิ่งทำอะไรในเวลานี้

“แล้วพวกเขาเลือกที่จะติดบิลทิ้งเอาไว้อีกหรือเปล่าล่ะคราวนี้?” เฉินหยางหัวเราะ

“ไม่แน่นอน เพราะคราวนี้ผมเป็นคนจ่ายมันทั้งหมดเอง” กู่ฉิงซานตบลงบนหน้าอกของเขา

“โห? อย่างงั้นหรือ? เช่นนั้นเมื่อไหร่เจ้าจะพาข้าไปเที่ยวบ้างเล่า?”

“ฮ่าๆ นั่นไม่มีปัญหาเลยครับ ครั้งต่อไปผมจะพาพี่ชายเฉินไปด้วยกันอย่างแน่นอน”

เฉินหยางพยักหน้าและกล่าว “เช่นนั้นก็ดี ดูข้าสิ ข้ามักจะถูกอัญเชิญมาเป็นผู้ชี้ขาด นี่มันช่างน่าเบื่อจริงๆ ไม่เคยจะได้เล่นไพ่อย่างสงบๆ ซักที…ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน?”

กู่ฉิงซานตอบ “พอดีว่าผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับอาจารย์ของผม ดังนั้น หลังจากที่ได้ตระเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับแบรี่และเสี่ยวเหมียวแล้ว ผมเลยกลับมาหาท่าน”

“นางเป็นอาจารย์ของเจ้างั้นหรือ?”

เฉินหยางเอียงศีรษะ มองผ่านกู่ฉิงซานไปยังเซี่ยเต๋าหลิง

กู่ฉิงซานแนะนำ “ใช่ นี่คืออาจารย์ของผมชื่อว่าเซี่ยเต๋าหลิง ท่านอาจารย์ แขกผู้มาเยี่ยมเยือนนิกายของพวกเราท่านนี้คือตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ ผู้เป็นจ้าวโลกในชั้นสามร้อยเก้าสิบถึงหกร้อยหกสิบหก เป็นผู้ทรงเกียรติที่มีชื่อว่าเฉินหยาง”

เซี่ยเต๋าหลิงเก็บแส้ ประสานสองมือโค้งกายคำนับ “ยินดีที่ได้พบท่านผู้ทรงเกียรติ”

เฉินหยางกลับกลายเป็นจริงจัง เขารับการคำนับและกล่าวอย่างสุภาพ “เมื่อครู่ที่ข้าพูดไม่ดีใส่เจ้า ต้องขออภัยด้วยนะ”

ว่าจบ เขาก็หันมาตำหนิคนข้างกาย “ฉิงซาน เจ้าเด็กนี่ ถ้าอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้วทำไมถึงไม่พูด ข้าเลยต้องมาทำอะไรไม่จำเป็นเลยเห็นไหม”

เฉินหยางเอื้อมมือออกไป และเริ่มพรมลงในอากาศที่ว่างเปล่า

ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ จู่ๆ ก็ปรากฏถึงเส้นแสงสีดำนับไม่ถ้วน กระจุกตัวกันหนาแน่นเผยขึ้น

และสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เส้นแสงสีดำเหล่านี้ติดอยู่ตามแขนขา และส่วนต่างๆ บนร่างกายของเซี่ยเต๋าหลิง และแน่นอนว่าทางฝั่งแปดอาวุโสก็เช่นกัน

เซี่ยเต๋าหลิงและแปดอาวุโสมองดูเส้นสีดำที่สาดแสงประหลาดเหล่านี้ด้วยความสงสัย

เมื่อได้สติกลับคืน ทั้งหมดก็เริ่มทำการรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ แต่กลับพบว่าตามร่างกายของตนเองบัดนี้ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คาดว่าน่าจะเป็นตั้งแต่ที่แสงสีดำนี้ติดกับตัวของพวกเขา ทั้งหมดก็ไม่อาจรู้สึกอะไรได้อีกเลย

ด้วยสองมือที่พรมลงอย่างต่อเนื่องของเฉินหยาง เส้นแสงสีดำที่รายล้อมเซี่ยเต๋าหลิง เส้นแล้วเส้นเล่าก็ค่อยๆ ถูกเก็บรวบรวมโดยเขาจนสิ้น

ระหว่างที่กำลังเก็บรวบรวมเส้นแสงสีดำ เฉินหยางก็อธิบาย “เจ้าพวกแปดก้อนอึนั่นข้าไม่สนใจหรอก แต่ที่สำคัญก็คือ เทคนิคเต๋าของอาจารย์เจ้า มันคือสกิลเทวะประเภทการกระทำ(กรรม) ที่สามารถข้ามผ่านขอบเขต และอาจทำร้ายผู้คนได้ ดังนั้นข้าจำต้องป้องกันมันเอาไว้ก่อน”

“ข้าต้องขออภัยด้วยที่สร้างปัญหาแก่ท่าน” เซี่ยเต๋าหลิงขอโทษ

“โอ้ ไม่ ไม่หรอก อันที่จริงแล้วเป็นข้าต่างหากที่สร้างปัญหาแก่เจ้า”

เฉินหยางอธิบายอย่างรวดเร็ว “ ‘ตรวนแห่งความสิ้นหวัง’ ของข้าอาจจะหลงเหลือพลังงานบางอย่างทิ้งไว้อยู่รอบๆ ตัวเจ้าอีกสักหนึ่งถึงสองชั่วยาม ”

“ในช่วงเวลานั้น ตัวเจ้าจะบังเกิดความคิดมืดมนมากมายขึ้นในจิตใจ ทว่าด้วยจิตแห่งเต๋าของเจ้า คาดว่าไม่นานก็สมควรที่จะต้านทานมันได้”

เขามองมายังกู่ฉิงซาน และตำหนิเจ้าตัวอีกครั้ง “เจ้าเนี่ยนะ ทำไมถึงไม่ยอมออกมาตั้งแต่แรกเล่า”

กู่ฉิงซานพูดอะไรไม่ออก

‘ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเอ็งเป็นคนถูกเชิญมาที่นี่ แต่แสร้งทำเป็นขรึมไม่ยอมชายตามองข้าเอง จนกระทั่งข้ามาหยุดยืนต่อหน้า…เป็นแบบนี้แท้ๆ แล้วยังคิดจะมาตำหนิกันอีกหรือ?’

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานไม่ได้พูดคำในใจเมื่อครู่ออกไป เขาเพียงหัวเราะ “พี่เฉิน แล้วตอนนี้ท่านในฐานะผู้ชี้ขาดคิดเห็นว่าเช่นไร?”

สีหน้าของเฉินหยางเผยถึงการขบคิด และไม่เอ่ยคำใดไปครู่หนึ่ง

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลังเล กู่ฉิงซานก็เอ่ยปาก “ในเมื่อทางพันธมิตรไม่ให้โควตาแก่ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นผมขอใช้โควตาของทางสมาคมกำปั้นเหล็กก็แล้วกัน”

“แบบนั้นไม่ดีหรอก” เฉินหยางเริ่มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“มีปัญหาอะไรงั้นหรือครับ?” เห็นถึงการแสดงออกของอีกฝ่าย กู่ฉิงซานเริ่มกลายเป็นจริงจังมากขึ้น

เฉินหวางถอนหายใจและกล่าว “ช่วงที่ผ่านมานี้คงต้องโทษข้าที่มัวแต่เล่นไพ่มากเกินไป ดังนั้นจึงมิได้ทำการบังคับกฎอย่างจริงจัง”

กู่ฉิงซานงง

เฉินหยางเริ่มอธิบาย “แท้จริงแล้วยังมีผู้ใดอีกเล่าที่ไม่กระจ่างเกี่ยวกับเรื่องของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์? ในเมื่ออาจารย์เจ้าติดร่างแหไปด้วยแล้ว เช่นนั้นข้าจึงจะบอกให้”

เขาเปิดประเด็น “พันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์…ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานี้ มันไม่เคยปรากฏถึงจ้าวแห่งเต๋าผู้มีโอกาสที่จะได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ที่สามารถยกระดับขึ้นเป็นตัวตนทรงอำนาจได้เลย นั่นก็เพราะเมื่อกลุ่มพันธมิตรตกอยู่ในอันตราย ผู้รับตำแหน่งจ้าวแห่งเต๋าก็มักจะถูกโยนลงไปอยู่ในแนวหน้าเสมอๆ โดยการลงคะแนนกดดันของอาวุโสทั้งแปด..จ้าวแห่งเต๋าจำต้องต่อกรกับผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายในคราวเดียว ขณะที่เมื่อเขาเหล่านั้นมิอาจทานทนได้ไหว ก็จักถูกละทิ้งไปอย่างไม่ไยดี”

“ขณะที่จ้าวแห่งเต๋าคนล่าสุดนั้นดูจะหลักแหลมไม่เบา เขาตัดสินใจเกษียณตัวเอง เลือกคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ ออกปากประกาศว่าตนจักยินยอมพินาศไปพร้อมกับผู้เข้าสู่วิถีมาร ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องลูกหลานของเขา และยังคงรักษา ยึดมั่นไว้ซึ่งจิตแห่งเต๋าของตัวเอง (หมายถึงไม่เบี่ยงเบนไปตามผลประโยชน์ที่อาวุโสทั้งแปดจะมอบให้ โดยแลกกับการรับใช้)”

“ในขณะที่อาณาจักรมารกำลังล่าถอย กลุ่มพันธมิตรจึงได้มีเวลาเลือกผู้นำคนใหม่ เพื่อมาใช้รับมือกับระบบของราชามารเสียที แต่สุดท้ายผู้นำคนใหม่กลับต้องมาพบเจอกับอะไรแบบนี้ หากเป็นข้า ขอยอมตายแล้วไปเกิดใหม่ยังรู้สึกดีกว่า”

“แต่ใครจะรู้…ว่าจริงๆ แล้วผู้นำคนนั้นจะเป็นอาจารย์ของเจ้า”

ด้วยประโยคข้างต้นที่กล่าวออกมาในลมหายใจเดียว มันได้เปิดเผยเนื้อในอันชั่วร้ายของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ออกมาจนสิ้น

กู่ฉิงซานยิ้มหยันอย่างเงียบๆ

‘ไม่ว่าจะโลกไหน มันก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย’

นับตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน มีกองกำลังและกลุ่มอิทธิพลนับไม่ถ้วน ที่ต่างก็ใช้ข้อแก้ตัวที่ฟังดูดีและสวยงามเป็นเปลือกนอก เพื่อที่จะดำเนินการและอำนวยความสะดวก ให้แก่เรื่องร้ายๆ ที่ตนเองกระทำ

เนื่องจากความแข็งแกร่งอันยอดเยี่ยมของเซี่ยเต๋าหลิง ที่ทำให้ทุกคนต่างเริ่มเกิดความหวัง ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงได้ถูกเลือก ขณะที่กลุ่มอาวุโสก็อดไม่ได้ที่จะแทรกแซงเข้ามาในโลกของนาง เพื่อหมายว่าหลังจากกุมจุดอ่อนของนางเอาไว้ได้แล้ว จึงค่อยบังคับให้นางเป็นหุ่นเชิด คอยทำงานให้แก่พวกเขา

กู่ฉิงซานกล่าว “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของพี่ชายเฉิน ผมจะเป็นคนเกลี้ยกล่อมท่านอาจารย์ให้คอยจัดการเรื่องนี้ให้เอง หลังจากนี้พี่เฉินจะได้ไม่ต้องคอยพะวงเกี่ยวกับเรื่องของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์อีกต่อไป”

เฉินหยางตบไหล่เขาและกล่าว “ต้องอย่างนั้นสิ! ปล่อยเรื่องวุ่นวายให้พวกผู้ใหญ่เขาทำกันไป ขณะที่เจ้าน่ะ มีทั้งแบรี่และเสี่ยวเหมียว ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นไม่ว่าที่ใดเจ้าก็ย่อมสามารถไปได้ กลุ่มขยะอย่างพันธมิตรมันไม่คุ้มค่าให้เจ้าอยู่หรอก จงทะยานออกจากกรอบ และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่โดดเด่นยิ่งกว่าผู้ใดเสีย!”

“เอ่อแล้วเรื่อง…ของท่านอาจารย์ผมล่ะจะว่ายังไง” กู่ฉิงซานถาม

“อย่าไปบอกแบรี่เกี่ยวกับเรื่องนี้เชียว ไม่งั้นข้าคงโดนสวดยับแน่ๆ” เฉินหยางเตือนเขาอย่างจริงจัง

“แล้วถ้าอย่างงั้นเรื่องโควตา…”

“ข้าจะมอบโควตาให้แก่เจ้าเอง และไม่ต้องรอกระบวนการยุ่งยากวุ่นวายอะไรด้วย ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย”

กู่ฉิงซานเร่งรับความปรารถนาดีอย่างรวดเร็ว “ผมต้องขอโทษสำหรับเรื่องนี้ด้วย แต่เดี๋ยวสิ ผมจำได้ว่าโควตาในการผสานโลกมันมีค่ามากเลยไม่ใช่หรือ ผมคงไม่สามารถ…”

“ไม่เป็นไรหรอก” เฉินหยางส่ายมือส่งๆ และกล่าว “เรื่องของเจ้าขอให้พี่ชายเฉินผู้นี้จัดการเอง หรือว่าเจ้าไม่ไว้ใจข้า?”

กู่ฉิงซานไม่ดิ้นรนเถียง เขาประสานกำปั้นแก่อีกฝ่าย “ถ้าเช่นนั้นผมขอรับน้ำใจของพี่ชายเฉินเอาไว้ก็แล้วกัน”

เฉินหยางพยักหน้าด้วยความพอใจ

เขาหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา แล้วพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ จนพบชื่อว่าเซี่ยเต๋าหลิง และจำนวนโลกที่ผสานรวม

“นี่สินะ”

เฉินหยางพึมพำ ก่อนจะหยิบดินสอออกมาและขีดเขียนมัน

“บัญชีของนางได้ถูกชำระแล้วโดยข้า…เฉินหยาง”

สุดท้าย เขาก็ลงนามในชื่อของตัวเอง

“เอาล่ะ เท่านี้ก็จบแล้ว”

เขาเก็บสมุด และหันมาพูดกับกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอกอย่างลับๆ

ห้าโควตาสำหรับการผสานรวมโลก…ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นนี้ นับว่ามีมูลค่ามหาศาล

แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าอีกฝ่ายเพียงขีดเขียนมันง่ายๆ ก็จบแล้ว

“พี่ชายเฉิน ถ้ายังไงช่วยหักจากบิลของสมาคม…”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความรู้สึกผิด

เซี่ยเต๋าหลิงเมื่อเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นางก็ประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย และกล่าว “ขอบพระคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่าน”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้ามิได้สูญเสียอะไรเลย” เฉินหยางกล่าว

เขายกนิ้วโป้งขึ้น หงายมันชี้ไปยังอาวุโสทั้งแปดที่กำลังงงงวยอยู่เบื้องหลัง

“พวกเขาได้กระทำสิ่งโสมมต่างๆ เอาไว้มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สั่งสมความมั่งคั่งและสมบัตินานับไม่ถ้วน คิดว่าข้าจะมองไม่ออกเลยหรือ”

“ข้าจะยึดความมั่งคั่งของพวกเขา บางทีสมบัติทั้งหมดมันอาจจะเพียงพอที่จะชดเชยความสูญเสียในครั้งนี้ของข้าก็ได้”

“เป็นไง? ด้วยวิธีนี้พวกเราทุกคนก็จะมีความสุขแล้ว เห็นไหม?”

แปดอาวุโสตกตะลึงงัน

พวกเขาอยากจะทุบตีสมองของตนเองจริงๆ ไม่คาดคิดเลยว่าแผนการที่พวกเขาวางไว้เป็นอย่างดี จะพลิกผันมาอยู่ในจุดนี้ได้

สีหน้าของหัวหน้าอาวุโสหม่นทะมึน เขาเอ่ยเสียงจม “ท่านผู้ชี้ขาด คำพูดเมื่อครู่ของท่านหมายความว่ากระไรกัน? ท่านคิดจะยึดครองโลกของพวกเราอย่างนั้นหรือ?”

“พวกเราไม่ยอม! พวกเราจะทำการยื่นอุทธรณ์!” อีกอาวุโสเริ่มตะโกน

“ใช่! พวกเราไม่กลัวท่านหรอก!”

“ท่านผู้ใหญ่ เหตุใดท่านจึงไม่มีเหตุผลเลย?”

คนแล้วคนเล่าต่างเริ่มร่ำร้องออกมา

เฉินหยางเผยถึงความหงุดหงิด เขายื่นมือออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าโดยไม่คิดหันไปมอง

“ข้า…เฉินหยาง ไม่มีเหตุผลใดจักต้องสังหารพวกเจ้า แต่ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่…งั้นก็อย่าเสียเวลาพูดคุยกันอีกเลย จงไปเกิดใหม่เสียเสียให้สิ้น”

ยามเมื่อเสียงนี้ตกลง เส้นแสงสีดำนับไม่ถ้วนก็จมลงไปในร่างของแปดอาวุโส

แปดอาวุโสจู่ๆ ก็ชักอาวุธของตนออกมาทันที จากนั้นก็เริ่มฟันเข้าใส่ผู้คนที่อยู่รอบกายตนเอง

แต่ที่น่าฉงนก็คือ การฟาดฟันนี้มันกลับมิได้ใช้ออกด้วยพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าอาวุโสทั้งแปดได้สูญสิ้นสติปัญญา และคิดได้แค่เพียงต้องฆ่าฟันคนอื่นเท่านั้น

ภายในห้องโถง เพียงไม่นานทุกอย่างก็เงียบสงบลงโดนสิ้นเชิง

แปดอาวุโสล้มลงกับพื้น

พวกเขาสิ้นใจแล้ว

………………………………….

ศีรษะกระเด็นขึ้นฟ้า ลอยไกลออกไป ก่อนจะตกลงกับพื้น กลิ้งไปหยุดลงข้างเท้าของอาวุโสทั้งแปดพอดิบพอดี

รอยยิ้มบนใบหน้าของแปดอาวุโสแข็งค้างไป

มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่าคนที่พยายามจะช่วยชีวิตถูกสังหารลงในพริบตา

และที่สำคัญก็คือ ชายผู้นั้นไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของพวกเขา แต่ยังเป็นผู้กุมความลับมากมายของโลกใบนี้เอาไว้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นมันแค่พริบตาเดียวเท่านั้น กู่ฉิงซานยืนอยู่ใกล้กับตัวปลอมของเขามากเกินไป ซึ่งด้วยระยะห่างดังกล่าว มันย่อมไม่มีใครสามารถหยุดผู้ฝึกดาบมิให้ลงมือสังหารได้

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ แปดอาวุโสก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน และหันไปมองแปดอาวุโสด้วยรอยยิ้ม

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส “เอาล่ะ ทีนี้ปัญหาระหว่างพวกเราก็ได้รับการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวังว่าจากนี้ไปทุกท่านจะสามัคคีกลมเกลียวซึ่งกันและกันนะ”

พรืด!

ว่านเอ๋อที่ซ่อนอยู่หลังฉาก กลั้นไม่ไหว หลุดเสียงหัวเราะออกมา

และเสียงหัวเราะนี้ก็ราวกับเชื้อร้ายที่สามารถแพร่กระจายติดต่อกันได้

บนบัลลังก์หมื่นบุปผา มุมปากของเซี่ยเต๋าหลิงเองก็โค้งขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน

ทว่าเสี้ยววินาทีต่อมา เธอก็หายวับไปจากบัลลังก์

ในเสี้ยววินาทีเดียวกัน เจ็ดถึงแปดรัศมีของเทคนิคมนตราก็สาดแสงออกมา เจตนาฆ่าท่วมไปทั่วตลอดทั้งโถง โถมทับเข้าใส่กู่ฉิงซานดั่งน้ำหลาก

นางเซียนไป่ฮั่วปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน วาดชายเสื้อออกไปส่งๆ สลายเทคนิคมนตราเหล่านั้นกระจายหายไป

แปดอาวุโสแผดเสียงร้องด้วยความโกรธ

“สารเลว!”

“เจ้ากล้าสังหารผู้คนต่อหน้าพวกเรา!”

“เซี่ยเต๋าหลิง เหตุใดเจ้าถึงยังปกป้องมันอยู่อีก!”

“กู่ฉิงซานจะต้องตาย!”

“เซี่ยเต๋าหลิง หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้มันชัดเจน อย่าหวังว่าเจ้าจะผ่านวันนี้ไปได้!”

นางเซียนไป่ฮั่วสาดเสียงเย็น “อยู่ต่อหน้าข้าแท้ๆ แต่กลับต้องการสังหารศิษย์ข้า พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้า เซี่ยเต๋าหลิงผู้นี้จะยอมอยู่เฉยๆ ให้ถูกรังแก?”

“หากวันนี้ข้าปล่อยให้พวกเจ้าเข้ามาก้าวก่ายในโลกของข้า ข้าคงไม่มีหน้าไปพบผู้ใดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์อีกแล้ว!”

ขณะกล่าว กลิ่นอายอันยิ่งใหญ่จากโบราณกาลก็ปะทุออกมาจากกายเธอ ผ้าไหมสีมรกตที่สวมใส่แปรเปลี่ยนเป็นสีหิมะในคราวเดียว

แส้เถาวัลย์ที่ปกคลุมไปด้วยหนามแหลมปรากฏขึ้นในมือของเธอ

วูบ…เพียะ!

แส้ยาวฟาดสะบัด บังเกิดเสียงแหวกมิติ คล้ายกับกำลังเกิดการเรียกขานอะไรบางอย่าง

ในอากาศที่ว่างเปล่าพลันถูกปกคลุมไปด้วยทุกชนิดของบุปผาหลากสี

ฉากอันงดงามเบื้องหน้านี้ ส่งผลให้แปดอาวุโสจำต้องหุบปากลง ราวกับมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอของพวกเขา

ทันใดนั้นเอง หนึ่งในแปดก็ฝืนตะโกนออกมา

“โอ้สวรรค์! นางคิดจะใช้สกิลเทวะอาชูร่า ยักษาวิปัสสนา!”

ด้วยเสียงตะโกนนี้ เหล่าอาวุโสแต่ละคนก็อดไม่ได้ที่จะชักฝีเท้ากลับ

เซี่ยเต๋าหลิงได้กลายเป็นที่รู้จักนับตั้งแต่สงครามครั้งแรกที่เธอเข้าร่วม

ในความพ่ายแพ้คราก่อนของกองทัพพันธมิตร มีเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถต่อสู้ และโค่นกองทัพมารลงได้ โดยอาศัยวิชาชั้นยอดอันหลากหลาย

และยักษาวิปัสสนานี้ ก็เป็นหนึ่งในสองที่ร้ายกาจที่สุด จากในบรรดาสกิลเทวะจำนวนมากของเซี่ยเต๋าหลิง

‘นี่นางต้องการจะสู้จริงๆ น่ะหรือ?’

‘นางกล้าดียังไง?’

คนที่เป็นหัวหน้าของเหล่าอาวุโสก้าวออกมาข้างหน้า และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “เซี่ยเต๋าหลิง เจ้ามันบ้าไปแล้ว เวลานี้ข้ากระจ่างใจแล้วว่าการที่บรรดาเต๋าผู้ทรงเกียรติ และเหล่าพันธมิตรเลือกเจ้าเป็นผู้นำ แท้จริงแล้วพวกเขาคิดผิด!”

เซี่ยเต๋าหลิง “นั่นคือประสงค์ของเต๋าผู้ทรงเกียรติและสหายพันธมิตร ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าทั้งแปดคน”

“ไม่! การที่ทุกคนเลือกเจ้า แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะข้อตกลงร่วมกัน ” อาวุโสส่ายหัว

“ข้อตกลง?”

“ใช่ คนเช่นเจ้า คิดว่าตนสามารถเข้าใจถึงกฎขั้นพื้นฐานของพันธมิตรได้อย่างงั้นหรือ!?”

อาวุโสถอนหายใจและส่ายหัว “ในความเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นอย่างที่ศิษย์ของเจ้าเอ่ยในคราแรก ทุกกลุ่มอิทธิพลล้วนมีกระบวนการที่คล้ายคลึงกัน การทำเช่นนั้นก็เพื่อที่จะสามารถมั่นใจได้ว่าการดำเนินงานในทุกระดับชั้นจะมีประสิทธิภาพ”

“พวกเราถึงได้ส่งคนมาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของเจ้า ขณะเดียวกันก็เพื่อบรรลุข้อตกลงร่วมกันนั่นเอง”

“ในความเป็นจริงแล้ว ในเวลานี้ วิธีที่ชาญฉลาดที่สุดของเจ้าก็คือ การส่งตัวซิวซิวมาให้แก่พวกเรา”

“ตราบใดที่เจ้ามีไหวพริบ เห็นด้วยกับการกระทำของพวกเรา มอบสาวกมา ทางเรามีหรือที่จะทำไม่ดีกับนาง?”

“หากทำเช่นนั้น ตัวเจ้าเอง ก็จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากพวกเรา และกลายเป็นผู้นำที่แท้จริงของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์”

เซี่ยเต๋าหลิงเอียงคอเอ่ยถาม “แล้วข้าก็จะเป็นเหมือนกันกับจ้าวแห่งเต๋าในอดีตใช่หรือไม่?”

“แน่นอนว่ามิใช่แค่จ้าวแห่งเต๋า แต่ทุกผู้คนที่รับตำแหน่งผู้นำก่อนหน้านี้ก็เช่นกัน”

“มีเพียงวิธีนี้ วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เจ้าได้รับความไว้วางใจจากทุกคน”

“เซี่ยเต๋าหลิง ทุกผู้คนต่างตั้งความหวังกับเจ้าไว้สูงนัก แต่เหตุใดเจ้าถึงได้ต้องการจะต่อต้านเรา? เหตุใดเจ้าจึงต้องการบ่อนทำลายสมดุลนี้! รู้หรือไม่ว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มพันธมิตร มันจะส่งผลกระทบโดยรวมต่อโลกด้านวรยุทธ์นับร้อยพันทั้งปวง!”

“ผู้ฝึกยุทธ์นับร้อยนับพันล้านคนต่างก็คาดหวังว่าเจ้าจะนำพากลุ่มพันธมิตรให้หลุดพ้นจากความพ่ายแพ้ หวังว่าเจ้าจะนำพาทุกคนโค่นล้มอาณาจักรมารลง!”

อาวุโสแผดเสียงเร่าร้อน “แต่ตอนนี้! เจ้ากลับไม่ยินยอมที่จะเสียสละกระทั่งผลประโยชน์เล็กน้อยส่วนตน เพื่อส่วนรวม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าผู้ชราก็ไม่ทราบแล้วจริงๆ ว่าเจ้าจะนำพากลุ่มพันธมิตรไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้อย่างไร เจ้าช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก!”

“เมื่อครู่เจ้าเรียกศิษย์ข้าว่า…ผลประโยชน์อย่างงั้นหรือ?”

ขณะกล่าว เซี่ยเต๋าหลิงก็อดหัวเราะเย็นเยียบออกมาไม่ได้

เธอสะบัดควงแส้เถาวัลย์ในมือ และกล่าว “พวกเจ้ามันช่างไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ”

เธอเปล่งเสียงสดใส “ในวันนี้ ข้าจะใช้การกระทำของข้า แทนการส่งสารให้แก่ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนในพันธมิตร ว่านับจากนี้ไป ทุกผู้คนที่พวกเขาห่วงใย ทุกผู้คนที่พวกเขาต้องการจะปกป้อง ทุกผู้คนที่พวกเขายินยอมตายแทนได้ จักไม่ถูกหยามหมิ่นจากภยันตรายใดๆ อีกต่อไป”

“โดยการเริ่มจากข้าเลยก็แล้วกัน กลุ่มพันธมิตร จะไม่ใช่กลุ่มที่รวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์อีกต่อไป”

“หากวันพรุ่งพวกเราจักต้องสละชีพในแนวหน้าระหว่างการต่อสู้กับอาณาจักรมาร นั่นก็เป็นเพราะพวกเราต่างก็มีเป้าประสงค์เดียวกัน”

“ใช่แล้ว เราสละชีพ นั่นก็เพราะพวกเราล้วนมีสิ่งที่ตนจะต้องปกป้อง เป็นสิ่งสูงค่าที่ควรค่าแก่การลากศัตรูตรงหน้าให้ตกตายลงไปด้วยกัน”

“นับจากนี้ไป ทุกชีวิตทั้งมวลจะอยู่ร่วมกัน โดยไม่ใช่ด้วยผลประโยชน์ แต่ด้วยเป้าประสงค์ของตนเอง”

“แต่พวกเจ้า! ในเลือดและเนื้อของพวกเจ้ากลับหมดสิ้นแล้วซึ่งความดี หลงเหลือเพียงความทะเยอทะยานเพื่อประโยชน์แห่งตน นั่นคือเหตุผลที่จิตแห่งเต๋าของเจ้าตกต่ำและมืดบอด จนมันมิอาจตัดผ่านไปยังขอบเขตที่เหนือล้ำยิ่งกว่านี้ได้”

“ซึ่งตรงส่วนนี้ เจ้าไม่เพียงต้องการตัวซิวซิว แต่ยังหมายจะสังหารฉิงซาน! ในวันนี้ เป็นข้าต่างหากที่จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไป!”

เซี่ยเต๋าหลิงสะบัดแส้ยาวของเธอ

ช่วงเวลาต่อมา บุปผานับพันหมื่นก็เบ่งบานในเวลาเดียวกัน ดอกแล้วดอกเล่าร้อยเรียงกันเป็นมาลัย ก่อนจะพากันกลายสภาพเป็นอักษรรูน

สกิลเทวะจงปรากฏ!

ในอากาศที่ว่างเปล่า เทวรูปโบราณที่มีดวงตานับพัน และแขนอีกกว่าเก้าร้อยเก้าสิบข้างพลันปรากฏออกมา

ยามเมื่อที่เทวรูปโบราณปรากฏขึ้น กลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ก็ท่วมทับไปตลอดทั้งห้องโถงทันที

เจตนาฆ่าก่อนหน้านี้ถูกลบกลบไปจนสิ้น!

เซี่ยเต๋าหลิงคำรามก้อง “พูดจบแล้วใช่ไหม? เช่นนั้นก็จงตายเสีย!”

ตรงข้ามกับเธอ แปดอาวุโสตระหนักทันทีว่าช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดได้มาถึงแล้ว

ทั้งแปดประทับฝ่ามือเข้าหากัน ปากอ้าตะโกนก้อง “ขออัญเชิญผู้ชี้ขาด! ตุลาการแห่งโลกเก้าร้อยล้านชั้นจงปรากฏ!”

บนหน้าอกของพวกเขาแต่ละคน แขวนไว้ซึ่งจี้ที่ไม่สมประกอบ

แต่ในเวลานี้ จี้ดังกล่าวได้ผลุบออกจากทุกคน ลอยมาหยุดอยู่กลางอากาศ ประกอบกันจนสมบูรณ์ กลายเป็นตราขนาดเล็ก

ตราเริ่มสั่นสะเทือนในอากาศที่ว่างเปล่า เปล่งเสียงหวีดดังออกมาอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้นเอง บังเกิดลำแสงสาดลงมาจากเหนือห้องโถงใหญ่ และเสียงร้อนใจที่ดังตามมา

“ผู้ใดกันที่เรียกหาข้า!”

พร้อมกันกับเสียงนี้ ร่างร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ลดระดับลงมาจากแสง หยั่งเท้าลงกับพื้น

เป็นชายที่มีใบหน้าแลดูถมึงทึง ไว้หนวดเป็นตอๆ

ช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาตกลงมา ในมือของเขาก็กำลังกำไพ่เอาไว้เช่นกัน

ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะถูกเรียกมาอย่างกะทันหันในระหว่างกำลังเล่นไพ่อยู่

ชายคนนั้นเก็บไพ่ เบนสายตาไปมองเทวรูปโบราณในอากาศที่ว่างเปล่า ก่อนจะเบนสายตาคมกล้าไปยังแปดอาวุโส

“ตุลาการโลก หาใช่สิ่งที่จะเรียกขานกันตามใจชอบไม่ เจ้าทำให้เกมพนันของข้าต้องล่าช้าออกไป แท้จริงเพราะต้องการเรียกข้าให้มาช่วยชีวิตของพวกเจ้าใช่หรือไม่ หากใช่ ไม่ต้องถึงมือศัตรู แต่ข้านี่แหละที่จะสังหารพวกเจ้าด้วยตนเอง!” ชายคนนั้นตะโกนด้วยความหงุดหงิด

หัวหน้าของแปดอาวุโสโค้งกาย เผยรอยยิ้มแห่งความปีติ “ท่านผู้ใหญ่! โปรดมั่นใจ พวกเราหาได้เรียกขานท่านมาเพราะเรื่องส่วนตัวไม่ สถานการณ์ในตอนนี้จำเป็นต้องให้ทางตุลาการเป็นผู้ชี้ขาดจริงๆ”

“จงพูดมา อย่าได้ชักช้า” ชายในแสงกล่าว

หัวหน้าอาวุโสชี้ไปทางนางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิง และกล่าวด้วยความปีติ “รายงานท่านผู้ใหญ่ หญิงนางนี้ได้ทำการผสานห้าโลกโดยพลการ มันเกินกว่าขีดจำกัดสองโลกที่ได้ร่างเอาไว้ ดังนั้นทางเราจึงอยากร้องขอให้ท่านจัดการนางผู้ผิดกฎออกไป”

“หืม? ไม่ใช่ว่าเรื่องของนางถูกรายงานมาแล้วหรอกหรือ ว่านางสามารถใช้ขีดจำกัด(โควตา) ของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ได้ไง” ชายคนนั้นถามด้วยความสงสัย

“นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้ทางเราไม่ยินยอมมอบขีดจำกัดให้แก่นางแล้ว!” หัวหน้ากล่าว

อีกเจ็ดอาวุโสก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน

“ท่านผู้ใหญ่ ขีดจำกัดของพันธมิตรอยู่ในมือของพวกเราทั้งแปดคน และพวกเราขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ว่านางจะไม่สามารถใช้ขีดจำกัดของพันธมิตรได้อีกต่อไป” หัวหน้ากล่าว

‘นี่แหละคือสิ่งที่เจ้าจะต้องจ่าย หากคิดจะถอนฟืนร้อนออกจากใต้หม้อเดือด!’

ไม่ว่าเซี่ยเต๋าหลิงจะมีผู้คนในพันธมิตรให้การสนับสนุนอยู่มากมายเพียงใด มันไม่สำคัญว่าฝีมือต่อสู้ของนางจะร้ายกาจเพียงใด เพราะตราบใดที่นางทำการผสานรวมมากกว่าสองโลกโดยพลการ นี่จักกลายเป็นตรวนที่คอยสาปส่งนางไปชั่วนิรันดร์!

“หากนางไม่มีขีดจำกัด ตามกฎแล้วนางจักถูกตัดสินให้ต้องตาย” ชายในแสงกล่าวอย่างเรียบง่าย

เขามองไปยังเซี่ยเต๋าหลิง กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจ “เจ้าจะปลิดชีพด้วยตนเอง หรือให้ข้าเป็นคนลงมือสังหาร?”

เซี่ยเต๋าหลิงสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันไร้ซึ่งหนทางต่อต้านจากอีกฝ่าย ในสมองก็เริ่มเค้นความคิดอย่างรวดเร็ว

…ไม่ดีแน่ แม้จักทุ่มเต็มกำลังคงไม่ไหวอยู่ดี

นางและเขาต่างชั้นกันเกินไป ต่อให้ตนใช้ออกด้วยสายธารแห่งการหลงเลือน ก็คงไม่อาจทำอะไรตัวตนทรงอำนาจผู้นี้ได้อยู่ดี

และเมื่อถึงเวลานั้น โลกทั้งใบของนางก็จะถูกทำลายลง

หญิงสาวถอนหายใจอย่างลับๆ โค้งกายคำนับ “เช่นนั้นข้าใคร่เอ่ยถามว่า ท่านพอจะให้เวลาข้าสักเล็กน้อย เพื่อสะสางสิ่งที่จำต้องทำก่อนตายจะได้หรือไม่?”

ชายในแสงกล่าว “การตัดสินชี้ขาดของตุลาการโลก จักไม่ยินยอมให้โลกหรือบุคคลใดคิดต่อต้าน…แต่อย่างน้อยในด้านห้วงอารมณ์ขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต พวกเราก็ยังคงมีมัน ดังนั้น ข้าสามารถให้เวลาสักเล็กน้อยแก่เจ้าเพื่อสะสางสิ่งที่ต้องทำได้ จงอย่าชักช้าล่ะ”

เซี่ยเต๋าหลิง “ขอบพระคุณท่าน”

สิ้นเสียง พลังวิญญาณจากตลอดทั้งกายเธอก็ถูกขับเคลื่อนทันที

ปัง!

ในอากาศที่ว่างเปล่า หมู่มวลบุปผาถูกเปลี่ยนเป็นผง ขณะเดียวกันเทวรูปโบราณก็ค่อยๆ ลืมตาของมันขึ้นอย่างช้าๆ

เจตนาฆ่าของเซี่ยเต๋าหลิงติดตรึงลงบนร่างของแปดอาวุโส

อาวุโสทั้งแปดร้องอุทาน “ท่านผู้ใหญ่! แบบนี้มิได้นะ เพราะสิ่งที่นางคิดจะสะสาง นั่นคือการตกตายไปพร้อมกับพวกเรา!”

ชายคนนั้นขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกรำคาญกับปัญหา

ในเวลานั้นเอง เซี่ยเต๋าหลิงก็ปล่อยจิตสัมผัสเทวะ ส่งผ่านความคิดสุดท้ายแก่กู่ฉิงซาน

“ฉิงซาน สิ่งที่เจ้าทำนับว่าถูกต้องแล้ว จงอย่าได้โทษตัวเองหรือเศร้าเสียใจไป”

“ท้ายที่สุดนี้ หากข้าตาย เจ้าจงเป็นผู้นำแห่งทุกชีวิตแทนเสีย และไม่ต้องกังวลใดๆ ในเรื่องของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์”

“เพราะข้ามีวิชาลับที่จักสามารถใช้ซ่อนโลกของเราเอาไว้ได้ชั่วคราว ซึ่งมันอยู่ใน…”

แต่คำสั่งเสียของเธอก็ถูกขัดจังหวะโดยกู่ฉิงซานอย่างกะทันหัน

“ท่านอาจารย์ ท่านจะไม่ตายหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว

“เอ๊ะ?” เซี่ยเต๋าหลิงยกคิ้วสูง

“ฟังไม่ผิดหรอก” กู่ฉิงซานหัวเราะ “มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเรา”

เขาเดินผ่านนางเซียนไป่ฮั่ว มาหยุดอยู่ต่อหน้าชายในแสง

ชายคนนั้นเหลือบมองกู่ฉิงซานอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่ทันใดนั้นเจ้าตัวก็คล้ายนึกได้ถึงบางสิ่ง เขาเบนสายตากลับมามองอีกครั้งอย่างตั้งใจ

“อ้าว? เหตุใดเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่? แล้วแบรี่เล่า เขาไปมัวเล่นพนันอยู่ที่ใดกัน?”

………………………………….

ณ นิกายร้อยบุปผา

ภายในโถงใหญ่ การเจรจาอย่างเป็นทางการกำลังเกิดขึ้น

นางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิงในชุดคลุมมรกต ตรงคอปกเสื้อร้อยเรียงไปด้วยขนนก กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์หมื่นบุปผา

โดยมีผู้ฝึกยุทธ์ที่ถูกตีตรวน ล่ามไว้ด้วยโซ่นหลายเส้น กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ไกลออกไปในมุมห้องโถง

หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ปรากฏอยู่ ชายผู้นั้นเหมือนกันกับกู่ฉิงซานทุกประการ

ในใจกลางห้องโถง เป็นกลุ่มชายชราทั้งแปดที่กำลังถกเถียงกับเซี่ยเต๋าหลิงอยู่

พวกเขาคือเหล่าอาวุโสของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ที่มีตำแหน่งสูงล้ำ และยังมีหน้าที่ในการจัดการกิจการต่างๆ ของทางพันธมิตรอีกด้วย

กล่าวได้ว่ากระทั่งผู้นำพันธมิตรเองก็ยังต้องพึ่งพาพวกเขา เพื่อที่จะบรรลุเรื่องราวต่างๆ

ผู้อาวุโสกล่าว “เซี่ยเต๋าหลิง เจ้าเป็นถึงผู้นำแห่งพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ เหตุใดจึงต้องกระทำกับผู้ฝึกยุทธ์ตัวน้อยๆ เช่นนี้ด้วย?”

เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เขาแสร้งปลอมเป็นศิษย์ข้า สืบเสาะทุกชนิดของความลับในโลกใบนี้ แล้วจะให้ข้าทำเป็นปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปกระนั้นหรือ?”

ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าว “มิใช่เช่นนั้น ชายผู้นี้เป็นคนจากพันธมิตรที่ถูกส่งมาเพื่อตรวจสอบว่าเจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับอาณาจักรมารหรือไม่ต่างหากเล่า การที่ทางพันธมิตรกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ใจของผู้นำ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”

เซี่ยเต๋าหลิงพยักหน้าและกล่าว “เรื่องนั้นข้าเข้าใจ แต่ข้าได้ทำการค้นวิญญาณของเขาแล้ว แม้ว่าความทรงจำบางส่วนของเขาจะถูกปิดผนึกเอาไว้ก็ตาม และแม้ข้าจะไม่เห็นมัน แต่เรื่องที่เขาคิดจะพาซิวซิวไปนั้นข้ากระจ่างแก่ใจอย่างชัดเจน”

เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวด้วยความเย็นชา “พยายามที่จะลักพาตัวสาวกของข้า เรื่องนี้ทางพันธมิตรจะอธิบายว่าอย่างไร?”

ผู้อาวุโสหลายคนแสดงถึงสีหน้าอึดอัดใจ และเงียบไป

เป็นเพราะเรื่องนี้นั่นเอง ที่ทำให้แผนการของพวกเขาถูกเปิดโปงโดยสิ้นเชิง

“เซี่ยเต๋าหลิง พวกเราจะไม่ชี้นิ้วสั่งเจ้า พวกเราเพียงต้องการที่จะล่วงรู้เกี่ยวกับเจ้าให้มากขึ้นผ่านทางสาวกเจ้าก็เท่านั้นเอง และจากนั้นสาวกเจ้าก็จะถูกส่งตัวกลับมาในภายหลัง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ” ผู้อาวุโสพยายามอย่างดีที่สุด ที่จะโน้มน้าวใจ

“เมื่อได้ขึ้นเป็นผู้นำพันธมิตร จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานจากอาณาจักรนิรันดร์ ก็ได้นำบุตรของตนมาฝากฝังให้เป็นศิษย์ในนิกายข้า เพื่อเรียนรู้แลกเปลี่ยนกระบวนวิชาแก่กันและกัน เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เจ้าสามารถไถ่ถามมันจากเหล่าอาวุโสได้”

“ถูกต้อง ซึ่งในกรณีนี้ จะทำให้ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งเราหรือเจ้าก็ล้วนได้รับผลประโยชน์ ฉะนั้นเจ้าก็ไม่สมควรที่จะสร้างปัญหาใดๆ” อีกหนึ่งอาวุโสเตือน

“ใช่ นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น”

“นี่แหละ จึงจะสมเหตุสมผล”

แต่เซี่ยเต๋าหลิงก็ยังส่ายหัวและกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่คิดจะรับตำแหน่งผู้นำพันธมิตรอีกต่อไป พวกเจ้าจงไสหัวไปเสีย!”

หลายอาวุโสหันมามองหน้ากันและกัน

‘ใครจะไปรู้ว่าเรื่องราวต่างๆ มันจะลุกลามเช่นนี้?’

‘เหตุใดเซี่ยเต๋าหลิงจึงไม่ฟังเหตุผลเลย?’

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หากมิใช่เซี่ยเต๋าหลิงแล้ว ยังจะมีผู้ใดอีกเล่าที่จะสามารถขึ้นเป็นผู้นำได้?

พันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์น่ะกำลังจะพินาศ

หากนางถอนตัวออกไป เกรงว่าเหล่าผู้ที่สนับสนุนนางก็จะเข้าข้างนางเช่นกัน และอาจกระทำการต่างๆ ด้วยตนเองโดยพลการได้

ไม่มีทางเสียล่ะ!

ใครจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นกัน!?

ภายในวันนี้ จักต้องปราบพยศนังผู้หญิงคนนี้ให้จงได้!

อีกอาวุโสถอนหายใจ และเอ่ยขึ้น “เซี่ยเต๋าหลิง มันจะดีกว่าไหมหากเจ้าปล่อยเรื่องนี้ให้มันผ่านไป พวกเราสามารถมอบอำนาจมหาศาลให้แก่เจ้าได้ แต่จากนี้ไป ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจถึงสิ่งหนึ่งให้มันชัดเจน นั่นคือขีดจำกัดในการผสานรวมโลกอยู่ในมืออาวุโสอย่างพวกเรา”

คิ้วดั่งใบหลิวของเซี่ยเต๋าหลิงอดไม่ได้ที่จะขมวดเข้าหากัน

ใช่ นั่นแหละปัญหาใหญ่ที่สุดของเธอ

เพื่อที่จะให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น เธอจึงได้รวบรวมโลกหลายใบเข้าด้วยกัน จากนั้นเธอถึงเพิ่งมาได้รู้ว่าการกระทำเช่นนั้น คือการนำภัยพิบัติมาสู่โลกและตนเอง

หากไม่มีขีดกำจัด(โควตา) ของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ทุกอย่างก็เป็นอันจบ

เกิดความเงียบงันขึ้นเป็นระยะเวลานาน

เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยถาม “เช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไรกับคนที่แสร้งปลอมเป็นศิษย์ข้า?”

“เจ้าจะต้องมอบเขาให้แก่เรา เพราะเขาคือคนของเรา เขามิสมควรที่จะมาตายลงในสถานที่แห่งนี้!” อีกอาวุโสกล่าวน้ำเสียงเฉียบขาด

เซี่ยเต๋าหลิงกำลังจะเอ่ยปากอีกครั้ง แต่จู่ๆ สายตาของเธอก็เลื่อนออกไป

แปดอาวุโสเองก็เช่นกัน

ทั้งหมดมองไปยังประตูใหญ่ทางเข้าโถง

เห็นแค่เพียงผู้ฝึกดาบรุ่นเยาว์กำลังยืนอยู่หน้าทางเข้า เฝ้ามองดูทุกคนในโถงด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เป็นกู่ฉิงซาน!

กู่ฉิงซานตัวจริงได้กลับมาแล้ว!

ในช่วงเวลาที่สำคัญเยี่ยงนี้ สาวกของนิกายร้อยบุปผาได้กลับคืนสู่โลกของตน!

“เจ้าได้พบกับศิษย์น้องหญิงทั้งสองแล้วหรือยัง?” นางเซียนไป่ฮั่วถามด้วยรอยยิ้ม

“ขอรับ” กู่ฉิงซานกล่าว

“เจ้าพอใจกับการตัดสินใจนี้ของข้าหรือไม่?”

“พวกนางแม้เป็นคนที่น่าสงสาร แต่อุปนิสัยกลับดีเป็นอย่างมาก ข้ายินดีต้อนรับพวกนางเข้าสู่นิกาย” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาก้าวเข้ามาในห้องโถงอย่างช้าๆ โค้งกายคารวะนางเซียนไป่ฮั่วด้วยความนอบน้อม

“ท่านอาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว”

“เอาเถิด จงไปพักผ่อนเสีย ข้ามีบางอย่างที่จักต้องหารือ เอาไว้พวกเราค่อยมาพูดคุยกันในภายหลัง”

“สิ่งที่ท่านอาจารย์กำลังหารือ ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสายลับหรือไม่?”

กู่ฉิงซานชี้ไปยังมุมห้องโถง

ชายที่แสร้งปลอมเป็นเขายังคงถูกตีตรวนอย่างแน่นหนา มิอาจเคลื่อนกายไปไหนได้

นางเซียนไป่ฮั่วเมื่อเห็นเขากล่าวถึงเรื่องนี้ ภายในจิตใจก็รับรู้ได้ทันทีว่าศิษย์ตนมีความคิดบางอย่าง จึงเออออตามเขาไป “สำหรับเรื่องนี้ ฉิงซาน เจ้ามีความคิดเห็นว่าสมควรทำเช่นไร?”

“ข้าคิดว่าเรื่องนี้หาได้สำคัญไม่ จะทะเลาะกันไปด้วยเหตุใด ไม่จำเป็นต้องคิดมากจนเกินไปเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาพูดต่อ “การที่คนอื่นๆ ต้องการจะรู้เกี่ยวกับท่านอาจารย์ ก็เพื่อที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกันกับอาจารย์อย่างสนิทสนม นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ดีมิใช่หรือ…พวกท่านเล่าว่าอย่างไร?”

กล่าวยังไม่ทันจบประโยค เขาก็หันไปทางแปดอาวุโส

แปดอาวุโสตกใจไปพักหนึ่ง แต่ก็รีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว “เป็นเช่นนั้น!”

“นั่นแหละเหตุผล”

“นั่นคือสิ่งที่พวกเราคิด!”

“กู่ฉิงซาน ช่วยเกลี้ยกล่อมอาจารย์เจ้าด้วยเถอะ”

กู่ฉิงซานพยักหน้าให้เหล่าอาวุโส แสดงถึงความใส่ใจในการรับฟังพวกเขา

เจ้าตัวหันไปโน้มน้าวนางเซียนไป่ฮั่ว “แท้จริงแล้ว นี่คือกระบวนการที่เหล่ากลุ่มอิทธิพลมากมายล้วนกระทำกัน เพื่อเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสบายใจและสงบสุข ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นที่จะทำให้มันถูกต้อง”

“ซึ่งข้าเชื่อว่าต้นตอความคิดนี้ของทุกท่านล้วนหวังดี ท่านอาจารย์ ท่านไม่จำเป็นต้องไปถกเถียงอันใดเลย”

“หือ? เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ อย่างงั้นหรือ?” เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยถาม

“ขอรับ ท่านอาจารย์และทุกคนจักต้องร่วมมือกันอีกในอนาคต ดังนั้นความเมตตาในครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดความสามัคคีและกลมเกลียวกันแค่ไหน ท่านลองคิดดู” กู่ฉิงซานกล่าว

ว่าแล้วเขาก็เดินไปหาตัวปลอมอย่างช้าๆ

“อาจารย์ ท่านไม่จำเป็นต้องตีตรวนอย่างแน่นหนาถึงเพียงนี้หรอก เพราะในหัวใจของผู้ฝึกยุทธ์ผู้นี้ คงสำนึกเสียใจแล้ว และอีกอย่าง กระทำเช่นนี้เดี๋ยวผู้คนจะพาลคิดไปว่านิกายร้อยบุปผาของเราดูแลแขกได้ไม่ดี”

ระหว่างกล่าว เขาก็ยังเดินไปหาตัวปลอม

นางเซียนไป่ฮั่วตกใจ

ขณะที่เหล่าอาวุโสต่างพากันตะโกนสรรเสริญ

“เซี่ยเต๋าหลิง เจ้ามีศิษย์ที่ดีจริงๆ”

“ในหัวใจช่างเต็มไปด้วยเมตตา น่ายกย่องยิ่งนัก”

“การที่ในนิกายเจ้ามีสาวกเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดี”

เซี่ยเต๋าหลิงตกอยู่ในความสับสน นางมิได้เอ่ยคำใด ในสายตาเพียงเฝ้ามองทุกฝีก้าวของกู่ฉิงซาน

ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานก็ได้เดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าตัวปลอมแล้ว

เขามองอีกฝ่าย และเผยรอยยิ้มขออภัย “ถูกตีตรวนแน่นหนาเช่นนี้ คงจะรู้สึกอึดอัดใช่หรือไม่? ข้าต้องขอโทษเจ้าแทนอาจารย์ด้วย แท้จริงแล้วพวกเรานิกายร้อยบุปผาไม่ควรกระทำเช่นนี้กับเจ้าเลย”

เมื่อเห็นว่าตัวจริงพูดกับตนดีมากๆ เจ้าตัวก็ผ่อนคลายลง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นข้าที่ผิดเอง ที่หยิบยืมสถานะของเจ้า เพื่อต้องการที่จะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับท่านผู้นำพันธมิตรให้มากขึ้น”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย นี่มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”

กู่ฉิงซานตบลงบนไหล่อีกฝ่าย อย่างไม่ใส่ใจ

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของเจ้า เจ้าช่างเป็นคนใจกว้างจนน่าประทับใจจริงๆ” อีกฝ่ายกล่าว

พอถูกชม กู่ฉิงซานเองก็ดูจะเผยถึงท่าทีเคอะเขินเล็กน้อย

“สหายเจ้าผิดแล้ว อันที่จริงเจ้าไม่ต้องคิดมากพึงเพียงนั้นก็ได้ นั่นก็เพราะ…”

ฉัวะ!

คมกล้าของใบดาบกะพริบไหวขึ้นทันใด

ศีรษะของตัวปลอมถูกตัดสะบั้นอย่างไร้คำเตือนใดๆ มันลอยคว้างมายังใจกลางห้องโถง ก่อนจะกลิ้งหลุนๆ ไปยังเท้าของเหล่าอาวุโส

บนร่างกายที่ไร้ซึ่งหัวสาดไปด้วยละอองเลือดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะอ่อนเปลี้ยและร่วงลงกับพื้น

ตุบ…

“นั่นก็เพราะเจ้าได้ตายไปแล้ว และนิกายร้อยบุปผาของข้าก็ใจกว้างเสมอมา พวกเราน่ะไม่คิดใส่ใจหรือเอาผิดใดๆ กับคนตายหรอก”

กู่ฉิงซานสะบัดเลือดที่เปรอะคมดาบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความจริงใจ

……………………………

บนทะเลสาบ

การแสดงออกของฉินรั่วและว่านเอ๋อกลายเป็นอบอุ่นและจริงใจ

หากไม่มีชายตรงหน้า พวกเธอคงไม่สามารถรอดชีวิตมาได้ ยิ่งเรื่องการได้รับอิสระคงไม่ต้องกล่าวถึง

ช่วงวันเวลาทั้งทั้งสามอยู่ร่วมกัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างเกิดความเคารพและไว้วางในกันและกัน

ว่านเอ๋อแทบทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “นายน้อย…ไม่สิศิษย์พี่ หลังจากนั้นศิษย์พี่ก็ได้ติดตามจิ้งจอกขาวไปยังโลกของมันใช่หรือไม่?”

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น

จิ้งจอกขาวน่ะหรือ?

มันยืนหยัดต่อหน้าเสี่ยวถายได้แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น

เมื่อต้องเผชิญกับหนึ่งในตัวตนทรงอำนาจของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ใครมันจะไปสามารถคาดเดาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวินาทีต่อไปได้?

หลังจากที่ฉินรั่วและว่านเอ๋อจากไป เรื่องราวทั้งหมดก็พลิกผัน เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย ดังนั้นต่อให้เป็นเขา ก็คงจะไม่สามารถอธิบายทุกเรื่องราวให้มันกระจ่างในระยะเวลาสั้นๆ ได้

“หลังจากนั้น ข้าก็ได้ต่อสู้กับใครบางคน และเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นตามมา แต่หากจะให้เล่า ข้าเกรงว่ามันคงจะใช้เวลานานกว่าจะจบ”

“งั้นก็ลืมมันเถอะ ศิษย์พี่ดูเหมือนว่าจะได้ผ่านประสบการณ์ที่ทั้งดีและร้ายมามากมาย มันคงจะไม่ง่ายเลยถ้าจะเล่าให้ฟัง เอาไว้หากมีเวลาว่าง พวกเราค่อยไปนั่งสนทนาถึงรายละเอียดกันอย่างช้าๆ ทีหลังก็ได้” ฉินรั่วกล่าวด้วยความเห็นใจ

“มิใช่ว่าไม่อยากจะบอกนะ แต่ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจคงจำเป็นต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งเลย ฉะนั้นพวกเจ้าพอจะช่วยบอกข้าหน่อยได้ไหม ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้ แล้วข้าจะบอกพวกเจ้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าในภายหลัง”

สองสาวงามพอได้ฟังก็พยักหน้าพร้อมกัน

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนที่แสร้งปลอมเป็นข้า?”

ว่านเอ๋อตอบ “เขาถูกจับตัวไปขังไว้โดยท่านอาจารย์ และเวลานี้เหล่าอาวุโสของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ก็มาที่นี่เพื่อจะพาชายคนนั้นกลับไป”

“โดนจับได้ถึงขนาดนี้ พวกเขายังจะกล้ามาขอร้องอีกหรือ?” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

“ใช่ พวกเขาอ้างเหตุผลว่านี่คือกระบวนการตรวจสอบผู้นำคนใหม่ ดังนั้นพวกเขาจึงส่งคนมาสืบมันอย่างลับๆ” ฉินรั่วอธิบาย

“เข้ามาตรวจสอบ โดยการเลือกแสร้งปลอมเป็นข้า แล้วทำการสอดแนมเนี่ยนะ?”

กู่ฉิงซานเยาะหยัน ในน้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งเจตนาฆ่า

ฉินรั่วกล่าว “ท่านอาจารย์ได้ใช้วิธีการมากมายกับชายคนนั้น และในที่สุด ก็ค้นพบว่าเขามาจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ และเป็นตัวแทนของอาวุโสแห่งพันธมิตร”

ว่านเอ๋อเสริม “หากไม่คิดถึงเรื่องศีลธรรม ท่านอาจารย์คงลงมือสังหารเขาไปแล้ว”

“ว่าแต่จุดประสงค์ของชายคนนั้นคืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนางเซียนไป่ฮั่ว เพื่อที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและลักษณะเฉพาะของผู้ฝึกยุทธ์ในโลกใบนี้ รวมไปถึงในด้านหกศิลป์ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ ชุดเกราะ หรือแม้กระทั่งวิธีการจัดวางค่ายกล”

“โห?”

กู่ฉิงซานยิ้มเย็น ปากเอ่ยถาม “สรุปง่ายๆ ว่าพวกเขากำลังค้นหาจุดอ่อนของท่านอาจารย์ และจุดอ่อนของโลกใบนี้ใช่หรือไม่?”

“มันเป็นอย่างนั้น อันที่จริงแล้ว ถ้าจะให้กล่าวตรงๆ คนที่แสร้งเป็นเจ้าได้ลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างไปอยู่เหมือนกัน”

“เขากระทำสิ่งใด?”

“เขาพยายามที่จะพาตัวซิวซิวออกไป”

ในหัวใจของกู่ฉิงซานกระตุกวูบทันที

ชัดเจนว่าอีกฝ่ายได้ค้นพบจุดอ่อนของเซี่ยเต๋าหลิงแล้วจริงๆ!

ในอดีต ซิวซิวเคยถูกจับตัวไว้โดยศัตรูของเซี่ยเต๋าหลิง เด็กสาวต้องทนทุกข์ทรมานเนื่องจากไม่ยินยอมปริปากใดๆ ด้วยเหตุนี้เซี่ยเต๋าหลิงจึงสามารถรอดพ้นจากหายนะมาได้

หลังจากเซี่ยเต๋าหลิงก้าวขึ้นสู่ประทับเทพ ในที่สุดนางก็ได้ล้างแค้นสมใจ แต่ขณะเดียวกันก็ค้นพบว่าซิวซิวได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู และใกล้จะตายแล้ว

ต้องไม่ลืมนะว่าซิวซิวคือลูกสาวของอาจารย์ของเซี่ยเต๋าหลิง

และซิวซิวยังเป็นคนที่พยายามปกป้องเซี่ยเต๋าหลิงโดยยินยอมแลกแม้ชีวิต

ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เซี่ยเต๋าหลิงจะไม่มีทางยินยอมให้ซิวซิวได้รับบาดเจ็บใดๆ โดยเด็ดขาด

หากซิวซิวถูกลักพาตัวไปจริงๆ กู่ฉิงซานไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์

“แล้วซิวซิวเป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานเร่งถาม

“ถ้าจะให้พูดก็คงจะต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะในเวลานั้น พวกเราเพิ่งจะกลับมาจากโลกล่องเวหา และพยายามตามหานิกายร้อยบุปผาตามที่เจ้าเคยได้บอกไว้”

“จนในที่สุด เมื่อได้ค้นพบนิกายร้อยบุปผา ผลปรากฏว่าท่านอาจารย์กับศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นั่น มีเพียงศิษย์พี่สองฉินเซี่ยวโหลวที่ออกมาพบกับพวกเรา และเมื่อเขาเห็นว่าพวกเรากับเจ้าเกี่ยวข้องกัน เขาจึงเชื้อเชิญพวกเราเข้ามาในนิกาย เพื่อรอให้นางเซียนไป่ฮั่วกลับมา แล้วค่อยว่ากันอีกครั้ง”

“จากนั้น?”

“จากนั้นเราก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่เพิ่งได้กล่าวไป พวกเราเจอกับชายที่แสร้งเป็นเจ้า ระหว่างที่กำลังคิดกันว่า ‘นี่มันผิดปกติ เจ้าไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้’ ประจวบกับที่ซิวซิวเป็นศิษย์น้องของเจ้า พวกเราจึงเลือกที่จะเข้าไปขวางเขา”

“แล้ววิธีการใดกันที่พวกเจ้าใช้ขัดขวาง”

ฉินรั่วยิ้ม “พวกเรากล่าวหาว่าเขาเป็นคนบ้ากาม คิดจะนำศิษย์น้องที่เป็นแค่เด็กออกไปทำมิดีมิร้าย”

ว่านเอ๋อหัวเราะ “เพราะก่อนหน้านี้พวกเราเคยลองยั่วยวนเขา และเขาก็พยายามที่จะยื่นมือเข้ามาลูบไล้ตามร่างกายของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงแสร้งทำเป็นว่าเขาจะทำแบบเดียวกันนี้กับซิวซิว สุดท้ายเขาเลยไม่กล้านำตัวซิวซิวจากไป”

ฉินรั่วกล่าวด้วยความรื่นรมย์ “นับว่าโชคยังดีที่เขาแสร้งปลอมตัวเป็นเจ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นพื้นฐานวรยุทธ์ของเขาจึงไม่สูงมากนัก เมื่อถูกพวกเราขวาง เขาจึงไม่คิดกล้าต่อต้านใดๆ”

กู่ฉิงซานถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “เดชะบุญจริงๆ ที่ข้าได้ปลดเปลื้องพันธนาการให้แก่พวกเจ้าก่อนที่จะกลับมา”

สองหญิงงามพอได้ฟัง ก็พยักหน้าพร้อมกัน

พวกเธอทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติ มันจึงเป็นการง่ายที่จะหยุดยั้งผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตก้าวสู่เทพ

“หลังจากนั้น อาจารย์ก็กลับมา” ฉินรั่วกล่าว

“อาจารย์เจ้าจดจำพวกเราได้ และเร่งไถ่ถามข่าวคราวของเจ้าทันที”

“ส่วนคนที่แสร้งปลอมตัวเป็นเจ้า อาจารย์ได้ใช้วิชาต่างๆ รวมไปถึงการค้นวิญญาณ เพื่อสืบหาถึงเรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่จะได้เตรียมรับมือกับทุกชนิดของปัญหาที่อาจจะตามมาในภายหลัง”

“อาจารย์เจ้ารู้สึกซึ้งใจเป็นอย่างมาก ในเรื่องที่พวกเราได้ช่วยซิวซิวเอาไว้ และนางยังรู้สึกซึ้งใจที่พวกเราร่วมกันต่อกรกับฉีหยานในโลกเทวะ ดังนั้นนางจึงเอ่ยปากถามว่าพวกเราต้องการที่จะอยู่ที่นี่หรือไม่”

“แล้วพวกเราเองก็กำลังคิดว่าไม่มีที่ไปอยู่พอดี อีกอย่างอาจารย์เจ้าก็ดูเป็นคนดีมาก พวกเราเลยตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความยินดี “ยินดีต้อนรับเจ้าทั้งสอง อันที่จริงแล้วการที่ตัดสินใจอยู่ในนิกายร้อยบุปผา มันก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับพวกเจ้าเหมือนกัน”

“พวกเราก็คิดเช่นนั้น”

“หากเทียบเปรียบกับในอดีตแล้ว ชีวิตของพวกเราในปัจจุบัน ทุกวันนี้ราวกับได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง” ว่านเอ๋อกล่าวด้วยอารมณ์

ฉินรั่ววาดมือออกไป

ราวกับรับรู้ถึงสัญญาณ เรือเหาะค่อยๆ ลดระดับลงสู่ทะเลสาบอย่างช้าๆ

“ศิษย์พี่ พวกเราไปกันเถิด กลับไปยังนิกายกัน” เธอกล่าว

“ใช่ พวกเราจะต้องรีบพาเจ้ากลับไปให้ความช่วยเหลือ” ว่านเอ๋อก็พูดด้วย

“ให้ความช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที

นี่คือคำถามที่เขารู้สึกสงสัยมากที่สุดในวันนี้

เพราะตนได้จากโลกใบนี้มานานเกินไป ดังนั้นเขาจึงต้องเร่งรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมาอย่างรวดเร็ว

ฉินรั่วอธิบาย “ท่านอาจารย์ได้กลายเป็นผู้นำของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ขณะเดียวกัน หลายคนในพันธมิตรก็ยังไม่วางใจในตัวนาง”

“และตอนนี้ พวกคนที่ไม่วางใจที่ว่า ก็กำลังอยู่ภายในนิกายร้อยบุปผาใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานกล่าว

“ใช่ เหล่าอาวุโสกำลังเจรจากับท่านอาจารย์อยู่ว่าจะจัดการกับคนที่แสร้งปลอมเป็นเจ้าอย่างไร”

กู่ฉิงซานหลับตาลง และคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “ด้วยนิสัยของท่านอาจารย์ หากมีคนอ้างว่าเป็นข้า นางคงโกรธเกรี้ยวและลงมือสังหารชายผู้นั้นลงโดยตรง ยิ่งคิดจะลักพาตัวซิวซิวอีก อาจารย์คงไม่มีทางยอมปล่อยชายคนนั้นไป”

เขาเอ่ยถาม “ดังที่กล่าวมา ฉะนั้นเหตุใดท่านอาจารย์จึงได้ยอมเจรจากับคนเหล่านี้อยู่อีก?”

ฉินรั่ว “พวกเราเองก็ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์เหมือนกัน แต่คาดว่าน่าจะเป็นเพราะการผสานรวมโลก ท่านอาจารย์จึงเป็นรองฝ่ายตรงข้าม”

“ใช่ๆ ท่านอาจารย์ดูเหมือนว่าจะหมดหนทางจริงๆ” ว่านเอ๋อกล่าว

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

‘น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะท่านอาจารย์ได้ทำการผสานรวมโลกตั้งหลายใบเข้าด้วยกัน และจำต้องใช้โควตาของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ เพื่อมิให้เป็นการฝ่าฝืนกฎของโลกเก้าร้อยล้านชั้น’

หากอิงตามที่เสี่ยวเหมียวกล่าว ถ้าไม่มีโควตาใดๆ ใครก็ตามที่ทำการผสานรวมโลกมากกว่าสอง ก็จะถูกกำจัดลงไปเลยโดยตรง

สองสาวมองหน้ากันและกัน ฉินรั่วเอ่ยกับกู่ฉิงซานอย่างจริงจัง “ในเวลานี้ ทั้งข้าและว่านเอ๋อต่างก็คิดเห็นเหมือนกัน นั่นคือสถานที่แห่งนี้ต้องการเจ้า”

“ไว้ใจข้าได้เลย” กู่ฉิงซานรับคำ

ว่านเอ๋อยิ้มหวาน “หากมองจากในตอนอยู่โลกล่องเวหา ที่แม้จะพบเผชิญกับภยันตรายมากมาย แต่สุดท้ายศิษย์พี่ก็สามารถฟันฝ่ามันมาได้ ฉะนั้นแล้ว ตราบใดที่มีศิษย์พี่อยู่ที่นี่ ท่านอาจารย์ย่อมต้องสามารถผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน”

ฉินรั่วสนับสนุน “เป็นเช่นนั้น”

“เข้าใจแล้ว พวกเราไปกันเถิด กลับไปหาพวกเขากัน” กู่ฉิงซานกล่าว

สองสาวรับคำพร้อมกัน “เจ้าค่ะศิษย์พี่”

แล้วเรือเหาะก็เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไปในเมฆหมอก ตัดผ่านไปยังเส้นขอบฟ้า บินตรงไปยังทิศทางของนิกายร้อยบุปผา

…………………………………………..

บนท้องฟ้า

ว่อนไปด้วยยันต์สื่อสารที่ลุกไหม้ แพร่กระจายออกไปในทุกทิศทาง

‘กู่ฉิงซานตัวจริงได้กลับมาแล้ว!’

ข่าวนี้แพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง ฟุ้งไปตลอดโลกทั้งใบ

อย่างไรก็ตาม เหมือนกับว่าเจ้าตัวที่กำลังเป็นข่าวอยู่จะไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

เขากับหนิงเยว่ฉานยืนอยู่ใจกลางทะเลสาบ พูดคุยกันกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่พึ่งเกิดขึ้น

“ดังนั้น แม้ว่าโลกหลายใบจะถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน แต่เจ้าก็ยังไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เลย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

หนิงเยว่ฉาน “ใช่ กระทั่งในเวลานี้ โลกทั้งใบนอกไปจากพวกเรา คนจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกเลย ตรงจุดนี้มันน่าฉงนนัก เกรงว่านอกเหนือไปจากอาจารย์ของเจ้า คงจะไม่มีใครทราบว่าแท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

กู่ฉิงซานเงียบไป เขาจมลงสู่ห้วงความคิด

‘นี่ย่อมเป็นเพราะหกวิถีถูกทำลายลง’

‘เมื่อต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจอันน่าสะพรึง คาดเดาว่าเศษเสี้ยวของโลกจำนวนมากจึงเกิดปัญหาขึ้น’

‘แล้วอะไรที่น่าสนใจน่ะหรือ มันก็คือหลังจากที่ฉันค้นพบถึงความจริงที่ว่าโลกหกวิถีเกิดการพังทลายลง แต่เศษเสี้ยวที่แตกกระจายออกมาของมันก็ยังคงเป็นโลกหกวิถีอยู่ดีน่ะสิ!’

ไม่ว่าจะเป็นโลกเทวะ โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และโลกเดิมของเขา ก็ยังคงเป็นโลกหกวิถี

ทว่าจากทั้งสามโลกที่กล่าวมา โลกที่พิเศษออกไปก็คือโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ที่หกวิถีในส่วนของโลกสวรรค์ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เป็นเพราะมันถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์ไปแล้วใช่หรือไม่?

กู่ฉิงซานละความคิดนี้ไป เขาเอ่ยถามต่อ “ข้าก็แค่มาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในโลกใบนี้ เหตุใดกระบวนการดังกล่าวมันถึงได้ดึงดูดความสนใจจากเจ้าและคนอื่นๆ กัน?”

สีหน้าของหนิงเยว่ฉานกลายเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย “นั่นเพราะเจ้ามิได้ยื่นเรื่องข้ามผ่านโทษทัณฑ์ จึงถูกต้องสงสัยว่าเป็นคนนอก และพวกเราไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกยุทธ์จากโลกภายนอกเข้ามาสู่โลกของพวกเรา”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”

“เพราะคนที่แสร้งเป็นเจ้าได้รับข้อมูลของโลกพวกเราไปมากมาย จนกระทั่งเขาได้มาพบกับข้า และสองศิษย์น้องของเจ้า”

“แล้วพวกเจ้าจับเขาทันทีที่เจอเลยหรือไม่?”

“ไม่ พวกเราเกรงว่าเขาจะใช้วิธีการบางอย่างจากโลกอื่นที่พวกเราไม่รู้จักแล้วหลบหนีไป ดังนั้นพวกเราจึงไม่ไปวุ่นวายกับเขาให้มากจนเกินควร และเฝ้ารอให้อาจารย์ของเจ้ากลับมา จึงค่อยรายงานแก่นาง”

“ท่านอาจารย์ข้าลงมือด้วยตัวเองเลยงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “คนคนนั้นปลอมตัวเหมือนข้ามากเลยรึเปล่า?”

หนิงเยว่ฉานพยักหน้าเล็กน้อย “คาดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาคงจะสืบประวัติมาหนักไม่น้อย เพราะกระทั่งอาวุธของเจ้า พวกเขาก็ยังเลียนแบบได้ ไม่เว้นแม้แต่ธนูเย่หยู ธนูที่ซึ่งมันแทบจะไม่ถูกหยิบออกมาใช้เลย ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้าหรือข้า”

“แล้วเจ้าสามารถมองทะลุถึงตัวจริงของเขาได้อย่างไร?”

“เมื่อเทียบกับเจ้า เขาสมบูรณ์แบบมากเกินไป นอบน้อม พิถีพิถันกับทุกสิ่ง โดยเฉพาะวาทศิลป์ในการพูดจาและทำสิ่งต่างๆ ให้ผู้คนรู้สึกประทับใจ”

“…ฟังดูเหมือนกับว่าเจ้ากำลังด่าข้าอยู่เลย”

“ก็ได้ ข้ายอมรับว่าถ้าเทียบกันแล้ว เจ้าดูแย่ลงไปเยอะเลย”

หนิงเยว่ฉานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เหมือนกับว่าเธอจะพลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง เจ้าตัวเอ่ยปากอีกครั้ง “ศิษย์น้องฉินรั่วและว่าเอ๋อของเจ้า ก่อนหน้านี้พวกเราได้เคยสนทนากันเป็นการส่วนตัว พวกนางบอกว่า มองคราแรกชายคนนั้นดูเหมือนกันกับเจ้าทุกประการก็จริง แต่พวกนางสงสัยว่าเขาไม่ใช่เจ้า”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ชะงักทันที

แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นฉินรั่วและว่านเอ๋อที่ได้เข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผา หลังจากที่พวกนางกลับมาจากโลกล่องเวหา

หญิงสาวทั้งสอง อดีตเคยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ได้รับพรจากสวรรค์ ในโลกเดิม พวกเธอล้วนเป็นตัวตนที่แสนโดดเด่น แต่น่าเสียดาย ที่โลกเดิมดันถูกโลกล่องเวหาบุกรุก ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โชคชะตาของพวกเธอจึงบิดผันไป

พวกเธอและกู่ฉิงซานต่อสู้เคียงข้างกัน ฟันฝ่าอุปสรรคอันยากลำบากร่วมกันไปมากมาย

ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว กู่ฉิงซานจึงค่อยๆ ยอมรับในตัวของหญิงสาวทั้งสอง

และตอนนี้ พวกเธอก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผาเป็นที่เรียบร้อย เขาละอยากเห็นจริงๆ ว่าตอนนี้ทั้งสองเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ตาม

ชายคนนั้นกลับเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี จนเจ้าตัวมั่นใจว่าสามารถแสร้งเล่นละครเป็นกู่ฉิงซานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และผู้อยู่เบื้องหลังเขาก็ได้ทำการทดสอบต่างๆ นานา เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใหญ่หลวงใดๆ เกิดขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเข้าสู่โลกใบนี้

ทว่าหลังจากที่เขาสามารถปิดบังตัวเอง หลอกลวงผู้คนไปได้มากมาย เขากลับถูกหญิงสาวทั้งสามมองทะลุตัวตนจริงๆ ได้อย่างง่ายดาย

นี่มันช่างน่าแปลกจริงๆ

“แล้วพวกนางรู้ได้อย่างไรว่าชายคนนั้นไม่ใช่ข้า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

แต่คราวนี้ หนิงเยว่ฉานไม่ยอมตอบคำถามเขา

เธอย้อนนึกไปถึงคำพูดของฉินรั่วและว่านเอ๋อในวันนั้น และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก จนต้องยกมือขึ้นมากุมปาก

และเมื่อมองมายังกู่ฉิงซาน ดวงตาของหนิงเยว่ฉานก็แลดูจะอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย

เธอยังคงเลือกที่จะไม่ตอบ แต่กล่าวว่า “ชายผู้นั้นมีรูปลักษณ์เหมือนกับเจ้าทุกประการ แต่ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่เจ้า”

“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม แต่ข้าสามารถบอกได้ว่าเขามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไปตั้งแต่แรกพบ”

“แต่ในครั้งนี้ เมื่อเจ้าตัวจริงได้กลับมา ข้าก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นอีกเล็กน้อย”

“นี่เจ้ายังอยากจะวิจารณ์ข้าอีกอย่างงั้นใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเริ่มไม่พอใจ

หนิงเยว่ฉานส่ายหัวและกล่าวพึมพำกับตัวเอง “อันที่จริงแล้ว ในการต่อสู้เมื่อครู่ ที่เจ้าตะโกนว่าจะโจมตีข้า ขณะเดียวกันก็เลือกที่จะถอยเว้นระยะห่างออกไป ข้าก็สามารถตระหนักได้แล้ว ว่าเจ้าตัวจริงได้กลับมา”

“ไหนจะนำน้ำตามังกรอีก คราวก่อนก็เป็นดอกไม้น้ำตามังกรมิใช่หรือ ที่เจ้าคิดจะเอาใจและประจบประแจงมอบมันให้แก่ข้า”

“ข้าน่ะหรือประจบประแจงเจ้า?”

หนิงเยว่ฉานกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แน่นอน เป็นเพราะเจ้าหวาดเกรงในเจตกระบี่ของข้า กระบี่ที่มิเคยยั้งมือของข้า เพียงทานรับกระบี่แรก เจ้าก็ถอยลี้จากกระบี่ เป็นเพราะเจ้าเกรงว่าเจตกระบี่ข้าจะทำร้ายเจ้า ”

กู่ฉิงซานเงียบไป เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว และกล่าว “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดชายผู้นั้นจึงไม่อาจซ่อนความจริงจากสายตาของเจ้าไปได้”

ณ เวลาเดียวกันนั้นเอง เรือเหาะวิญญาณอีกลำหนึ่ง ก็บินมาจากเส้นขอบฟ้า

เรือเหาะลำนี้เด่นสะดุดตายิ่งกว่าลำอื่นๆ เนื่องจากบนผิวเรือถูกขีดเขียนไว้ด้วยตัวอักษรที่ราวกับหงส์ร่อนมังกรรำเป็นคำว่า ‘ซาน’

กู่ฉิงซานมองไปทางเรือเหาะและกล่าว “นั่นคงจะเป็นเรือเหาะฝีมือศิษย์พี่ข้า ในที่สุดก็มาเสียที”

หนิงเยว่ฉานพยักหน้าและกล่าว “ในเมื่อคนจากนิกายเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”

“เจ้าจะไปไหน?” กู่ฉิงซานถาม

“ข้ายังมีภารกิจลาดตระเวนอยู่ ต้องมั่นใจว่าจะไม่มีผู้ฝึกยุทธ์จากโลกภายนอกแทรกซึมเข้ามาในโลกของพวกเราในตลอดทั้งสองวันนี้”

“ในตลอดทั้งสองวันนี้อย่างงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าอาวุโสจากพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์มาประชุมกันในนิกายเจ้า ดังนั้นข้าจึงได้รับภารกิจให้มาเฝ้าระวังความปลอดภัยด้วยตัวเอง”

“ประชุมอาวุโสของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์!”

กู่ฉิงซานตริตรองอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับความสำคัญของเรื่องนี้

“ในเมื่อเจ้าติดธุระอยู่ เช่นนั้นก็ไปเถอะ เอาไว้พวกเราค่อยมาคุยกันอีกในภายหลัง” เขากล่าว

“อื้อ”

หนิงเยว่ฉานมองเขาอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะเคลื่อนกายบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ออกลาดตระเวนกับเธอก็จากไปเช่นกัน

เหลือเพียงเรือเหาะลำหนึ่งที่ใกล้เข้ามา

แต่ไม่ใช่ฉินเซี่ยวโหลว

แท้จริงแล้วกลับปรากฏถึงร่างของสองสาวงามที่กำลังร่อนลงมาอย่างช้าๆ หยั่งเท้าลงบนผิวทะเลสาบอันนิ่งสงบ

คนที่ดูอบอุ่นและอ่อนโยนคือฉินรั่ว ส่วนอีกคนที่ดูละเอียดอ่อนและมีชีวิตชีวาคือว่านเอ๋อ

กู่ฉิงซานมองพวกเธอด้วยรอยยิ้ม

ในโลกล่องเวหา ช่วงเวลานั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย แต่เขาและพวกเธอก็จำต้องแยกจากกันกลางทาง

และมันก็เป็นเวลานานมากแล้ว ที่กู่ฉิงซานไม่ได้เจอกับพวกเธอ

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังจะกล่าว สองสาวที่อยู่ตรงกันข้ามก็เป็นฝ่ายชิงเคลื่อนกายก่อน

ว่านเอ๋อลอยมา และกุมมือของเขา ปากเอ่ยกล่าวด้วยเสียงหวานที่ดูมีเลศนัย “นายน้อย ในที่สุดท่านก็กลับมา ศิษย์น้องว่านเอ๋อคิดถึงท่านจริงๆ”

ฉินรั่วก็ลอยมาหาเขาเช่นกัน เธอคล้องแขนกู่ฉิงซานและแนบกายลง

หญิงสาวเปล่งเสียงกระซิบ “นายน้อย ท่านคิดถึงข้ากับน้องว่านเอ๋อบ้างหรือไม่?”

กู่ฉิงซานดีดตัวถอยหลังไปสองสามก้าวทันที เร่งเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากัน?”

สองหญิงสาวชะงักไป แต่แล้วก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มจริงใจ “เป็นเจ้าตัวจริง ข้าต้องขออภัยด้วย พวกเราทำแบบนั้นเพราะต้องการตรวจสอบ ว่าเป็นคนอื่นที่มาแสร้งปลอมเป็นเจ้าหรือไม่”

“ฮี่ๆ ตอนนี้พวกเราควรจะเรียกเขาว่าศิษย์พี่สิ” ว่านเอ๋อยิ้ม

กู่ฉิงซานจึงค่อยผ่อนคลายลง

แต่แล้วเขาก็เหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่งในทันใด

“ช้าก่อน อย่าบอกนะว่าเมื่อครู่นี้ก็เป็นวิธีเดียวกันกับที่พวกเจ้าใช้ตรวจสอบคนที่แสร้งปลอมเป็นข้า?” เขาเอ่ยถามแปลกๆ

“ใช่ เมื่อเขาปรากฏตัว ข้ากับน้องสาวก็รู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” ฉินรั่วกล่าว

“ดังนั้น พวกเราจึงใช้วิธีการเล็กน้อยเพื่อล่อลวงเขา และเพียงพริบตาผลลัพธ์ที่ว่าจริงหรือเท็จก็ปรากฏทันที” ว่านเอ๋อเสริม

กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความกังวล “แล้วพวกเจ้ามิได้ถูกลวนลามใดๆ ใช่หรือไม่?”

“วางใจเถอะ พวกเรามิได้ถูกลวนลามใดๆ” ว่านเอ๋อส่ายมือและกล่าว

“ว่าแต่ปฏิกริยาของเขาแตกต่างจากข้าอย่างไร?” กู่ฉิงซานถามด้วยความสนใจ

ว่านเอ๋อตอบด้วยรอยยิ้ม “ก็หลังจากนั้น คำพูดและการกระทำของเขามันไม่ไก่อ่อน…”

ฉินรั่วกระแอมไอ และลอบดึงแขนเสื้อว่านเอ๋อทันที

ว่านเอ๋อหุบปากลง

อย่างไรก็ตาม เวลานี้สองศิษย์น้องต่างก็กำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ฉายอยู่ในแววตาของพวกเธอ

“เขาไม่ทำไมนะ?” กู่ฉิงซานถามย้ำ

“น้องสาวว่านเอ๋อจะบอกว่า ด้วยการกระทำและคำพูดของเขา มันไม่น่าจะใช่คนดี” ฉินรั่วแทรก

“อืมๆ นั่นแหละที่ข้าจะกล่าว มันดูไม่เป็นคนดี” ว่านเอ๋อสนับสนุน

…………………………………………….

ท่านอาจารย์บอกว่าศิษย์น้องหญิงทั้งสองจะมารับ นี่หมายความว่านิกายของเรามีศิษย์ใหม่แล้วอย่างงั้นเหรอ?

สมองของกู่ฉิงซานมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทำตามคำสั่งของนางเซียนไป่ฮั่ว เฝ้ารออยู่ในสถานที่เดิมอย่างเงียบๆ

ไม่นานนัก ก็เริ่มปรากฏถึงเงาของเรือเหาะขึ้นบนเส้นขอบฟ้า

เรือเหาะตรงมายังจุดที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว โดยมีหลายสิบผู้ฝึกยุทธ์ติดอาวุธ คอยประจำตำแหน่งอยู่ตามสองฟากฝั่ง

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยความแปลกใจ

ในครั้งอดีต เขาเคยลอบแอบออกมากับเซี่ยวโหลว เพื่อหาสถานที่ดื่มกิน ช่วงเวลานั้นในนิกายยังแทบจะไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนใดอยู่เลย แถมเรือเหาะก็ยังไม่ใหญ่โตเช่นนี้อีกด้วย

แล้วนิกายของเขายิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

เรือเหาะแม้จะยังคงอยู่ห่างไกล แต่เสียงคำรามของมัน กรีดแทงผ่านอากาศ ดังสะท้อนมาถึงทั่วทั้งทะเลสาบ

“เจ้าเป็นใครกัน ถึงได้กล้าตัดผ่านขอบเขตในโลกใบนี้ โดยไม่แจ้งให้ผู้ใดทราบล่วงหน้า?”

เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว กู่ฉิงซานจึงรู้ทันทีว่าเขาเข้าใจผิดไป

คนเหล่านี้มิใช่คนของนิกาย แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวน

กู่ฉิงซานตอบสวนกลับไป “ข้าเป็นสาวกของนิกายร้อยบุปผา ส่วนในเรื่องการข้ามผ่านโทษทัณฑ์โดยไม่ได้บอกกล่าวผู้ใด ข้าต้องขออภัยจริงๆ”

“สาวกนิกายร้อยบุปผา? มีนามว่ากระไรกัน?”

“ผู้น้อยกู่ฉิงซาน”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกไป อีกฝ่ายหนึ่งก็เงียบงันไปทันที

กระทั่งเรือเหาะที่กำลังลดระดับลงมาจอดก็ยังหยุดนิ่ง มิคิดเฉียดเข้ามาใกล้เขาอีกเลย

เสียงของผู้ฝึกยุทธ์คนเมื่อครู่ตะโกนขึ้น “ส่งสัญญาณ!”

“ขอรับ!”

สองผู้ฝึกยุทธ์รับคำและปฏิบัติตาม

เห็นแค่เพียงสัญญาณฉุกเฉินทางทหารพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ลอยฟุ้งเป็นควันกลางอากาศอยู่หลายลมหายใจ

เมื่อสัญญาณถูกส่งออกไป ผู้คนบนเรือต่างก็เริ่มผ่อนคลายลง แต่พวกเขาก็ยังไม่ก้าวออกมาข้างหน้า ทำแค่เพียงคอยป้องกันจากระยะไกล

ในสมองของกู่ฉิงซานลองทบทวนเกี่ยวกับฉากนี้ เขาเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ขึ้นมาบางส่วนแล้ว

เดิมทีคนเหล่านี้ตกใจกับการข้ามผ่านข้ามโทษทัณฑ์โดยไม่มีการแจ้งเตือน พวกเขาจึงมาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เหมือนกับว่าจะร้ายแรงกว่าเดิม เพราะพวกเขาอาจจะกำลังคิดว่ากู่ฉิงซานเป็นตัวปลอม!

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดท่านอาจารย์ถึงบอกเขาว่าให้อยู่นิ่งๆ อย่าวิ่งเถลไถลไปไหน!

ระหว่างที่เขากำลังขบคิด สถานการณ์ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

หลายสิบผู้ฝึกยุทธ์พร้อมกับดิสก์ค่ายกลในมือของพวกเขาบินมาจากฟากฟ้าอันห่างไกล

พวกเขาร่อนลงเหนือหัวเรือเหาะ เผชิญหน้ากับกู่ฉิงซาน และเริ่มร่วมมือกันประสานค่ายกล

ชั้นแสงสวรรค์สว่างไสวผุดออกมาจากดิสก์ค่ายกล ควบรวมกันเป็นอักษรรูนลึกลับ ผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่า

คิ้วของกู่ฉิงซานขมวดเข้าหากัน

เขามิได้เห็นการจัดตั้งค่ายกลที่งุ่มง่ามและเชื่องช้าเช่นนี้มานานมากแล้ว

ใช่แล้วล่ะ เพราะคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ในครั้งอดีตก็คือ มันเป็นโลกที่อุดมไปด้วยทรัพยากรอันสมบูรณ์ ในขณะที่โลกเทวะจะโดดเด่นทางด้านวิธีการหลอมกลั่นอาวุธและชุดเกราะ

แต่กู่ฉิงซานได้เดินทางไปยังโลกล่องเวหา เขาได้เรียนรู้ค่ายกลทุกแขนงจากโลกใบนั้น

โลกที่ซึ่งโดดเด่นที่สุดในด้านการจัดวางค่ายกล!

หลังจากผ่านพ้นการต่อสู้ในโลกล่องเวหา ก่อนจะออกจากโลกใบนั้นไป กู่ฉิงซานก็ได้ทำการเรียนรู้ค่ายกลทั้งหมดด้วยแต้มพลังวิญญาณของตนเอง

ส่งผลให้ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ เจ้าตัวจึงถือได้ว่าเป็นมือหนึ่งในด้านค่ายกลของโลกล่องเวหา!

แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อลองมองย้อนกลับไป เขาแทบจะไม่เคยเห็นค่ายกลขนาดใหญ่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์มาก่อนเลยนี่นา ดูเหมือนว่าทางฝั่งนี้เอง ด้านค่ายกลก็ยังพัฒนาขึ้นบ้างเหมือนกัน

บนท้องฟ้า การเคลื่อนไหวของปรมาจารย์ค่ายกลแต่ละคน ในแต่ละรายละเอียดการจัดวาง มันถูกคำนวณโดยเขาอย่างเงียบๆ จนเจ้าตัวสามารถเห็นถึงเงื่อนงำของมันได้ในที่สุด

นี่คือค่ายกลขนาดใหญ่ บทบาทของมันคือการจองจำ และห้ามไม่ให้ศัตรูที่อยู่ภายในสามารถใช้พลังวิญญาณได้

ซึ่งค่ายกลนี้ถูกจัดตั้งมาครึ่งทางแล้ว และอีกสองสามลมหายใจมันก็จะเสร็จสมบูรณ์ เมื่อเวลานั้นมาถึง มันคงจะมีปัญหาตามมาแน่ๆ

กู่ฉิงซานเลิกคิดเกี่ยวกับมัน เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา

ดิสก์ค่ายกลจากโลกล่องเวหา

สองมือของเขาพรมลงบนดิสก์ค่ายกลอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดหรือว่าอะไรก็ตาม เจ้าตัวก็ไม่ยินดีจะยอมอยู่เฉยๆ ให้จับตัว

ถ้านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด เอาไว้ค่อยมาขอโทษกันทีหลังก็ได้

แต่ถ้านี่มันไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด หากเขายืนอยู่เฉยๆ จนตกอยู่ในค่ายกลของอีกฝ่าย เขาก็คงจะไม่สามารถตอบโต้อะไรได้อีกแล้ว

ชั่วเวลานี้ ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในสถานะจัดวางค่ายกล

เมื่อปรมาจารย์ค่ายกลหลายสิบคนเสร็จสิ้นการจัดวาง กู่ฉิงซานเองก็จัดวางได้พอดีในเวลาเดียวกัน

ทั้งสองฝ่ายต่างทำการกระตุ้นค่ายกล

“จงเปิดออก ค่ายกลสี่ทิศกักวิญญาณร้าย!”

หลายสิบปรมาจารย์ค่ายกลตะโกนขึ้นพร้อมกัน

แสงสวรรค์เรืองรอง ขับเคลื่อนจากดิสก์ค่ายกลอย่างช้าๆ

ทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขาเอื้อมมือออกไป และกดลงบนดิสก์ค่ายกลเพื่อทำการกระตุ้นพลังวิญญาณ

บนดิสก์ค่ายกล บังเกิดแสงสวรรค์กะพริบไหวขึ้นพร้อมกัน

“จงเปิดออก ค่ายกลปัดเป่าหมื่นวิญญาณมลายสูญ!”

แสงสวรรค์จากทั้งสองทิศทางแผ่กระจายไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ก่อนจะปะทะเข้าหากัน

นี่คือการต่อสู้ระหว่างค่ายกลกับค่ายกล!

เปรี้ยง!

สองแสงสวรรค์ยื้อกันไปมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในที่สุดก็สลายหายไปในความว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน

สีหน้าของผู้ฝึกยุทธ์ซีดเซียวลงทันที

เห็นได้ชัดว่าพวกตนเป็นฝ่ายเริ่มจัดตั้งค่ายกลก่อน แต่กลับไม่สามารถใช้มันเอาชนะอีกฝ่ายได้

ทั้งๆ  ที่อีกฝ่ายมีเพียงลำพัง และเริ่มเปิดใช้งานค่ายกลหลังพวกเขาตั้งครึ่งทางแล้ว การจัดตั้งค่ายกลที่รวดเร็วเช่นนี้ ไม่เคยได้เห็นและได้ยินมาก่อนเลย

แถมค่ายกลที่ว่า ยังสามารถต่อต้านค่ายกลกักวิญญาณ ที่ฝ่ายตนนับสิบร่วมกันจัดวางขึ้นมาได้อีก

จักต้องเป็นผู้ที่แตกฉานในด้านค่ายกลถึงเพียงใดกัน จึงจะสามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้!

ทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์ในปัจจุบันทันที

ทันใดนั้นสัญญาณอีกดวงหนึ่งก็ถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า

คราวนี้มันเป็นสัญญาณสีแดงเข้มที่ดูเด่นสะดุดตา บ่งบอกชัดเจนว่าสถานการณ์กำลังทวีความอันตรายยิ่งขึ้น

หลังจากส่งสัญญาณไป ฝูงชนต่างก็เริ่มสบถด้วยความโกรธ

“เจ้าไม่ใช่กู่ฉิงซาน!”

“ถูกต้อง! กู่ฉิงซานมิใช้ค่ายกลในการต่อสู้!”

“กู่ฉิงซานเป็นผู้ฝึกดาบ แต่เจ้าไม่เหมือนกับเขา เจ้ามันเป็นตัวปลอม!”

ชายผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ร้าย เพียงแค่ถูกต้องสงสัยและจับกุมตัว เขาก็เร่งร้อนเปิดเผยสถานะปรมาจารย์ค่ายกลของตนออกมาทันที

“วายร้าย! เจ้ามาจากโลกใดกัน จงบอกข้ามา!”

เมื่อต้องเผชิญกับการสาดเสียเทเสียเหล่านี้ กู่ฉิงซานก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและไร้หนทาง

ดูเหมือนว่าความกังวลของท่านอาจารย์จะสมเหตุสมผลจริงๆ

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เถลไถลไปรอบๆ แต่เขาก็ทำการตัดผ่านขอบเขตทันทีที่กลับมา ดังนั้นมันจึงเกิดเสียงดังเป็นธรรมดา

ซึ่งในจุดนี้ เขาลืมที่จะอธิบายรายละเอียดของมันให้แก่อาจารย์ไป

กู่ฉิงซานชูมือของเขาขึ้นไปในอากาศ โบกไปมาและตะโกนว่า “ทุกท่านโปรดสงบใจลงก่อน ข้าสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้”

ขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็ได้ยินถึงเสียงอันเย็นชาของหญิงสาวดังมาจากระยะไกลออกไปในความว่างเปล่า

“จำต้องอธิบายอะไรอีกหรือ? กู่ฉิงซานมิได้แตกฉานในเทคนิคค่ายกล เพียงเท่านี้ก็สรุปได้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพ่นคำใดอีก!”

พร้อมกับคำกล่าวนี้ การแสดงออกของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็เผยถึงความสุขทันที

“เป็นท่านนายพล!”

“ท่านนายพลมาที่นี่ด้วยตนเอง!”

“เจ้าหนู เวลานี้ต่อให้อยากจะหนี เจ้าก็ไม่สามารถหนีได้แล้ว!”

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ปรากฏถึงกระแสแสงตัดผ่านเส้นขอบฟ้า บินเข้าหากู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว

วินาทีถัดมา

กู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

“แบบนี้ไม่เข้าท่าแล้ว!”

ปากอ้าร้องเสียงกระซิบ

ในเวลาเดียวกัน ก็ได้ยินถึงเสียงอันคมชัดของอากาศที่ถูกแหวกออก

เห็นถึงคมกระบี่ที่สาดประกายแสงขึ้นมาทันใด

และไม่ว่าคมกระบี่นี้จะตัดผ่านไปที่ใด อากาศบริเวณนั้นก็จะถูกแหวกออก เผยให้เห็นถึงรอยร้าวสีดำในความว่างเปล่า

ใบกระบี่สีขาวนวลที่สามารถก่อให้เกิดรอยร้าวของมิติตกลงมาจากฟากฟ้า

กระบี่ยาวจ้วงแทงลงบนหัวของกู่ฉิงซานโดยตรง!

ช่างเป็นกระบี่ที่รวดเร็วและดุร้ายอะไรเช่นนี้!

ด้วยเพลงกระบี่ดังกล่าว มันไม่เพียงปิดทางหลบหนีทั้งหมด แต่ยังส่อเจตนาชัดเจนว่าจักสังหารศัตรูตรงหน้าลงให้จงได้อีกด้วย

กู่ฉิงซานตระหนักดีว่าเพลงกระบี่นี้ทรงอำนาจเพียงใด

ช่วงเวลาฉุกละหุก ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็ถูกคว้าจับไว้ในมือของเขา

เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!

ดาบยาวที่สาดรัศมีแสงสีนวลผ่องฟาดสับเข้าต้อนรับเพลงกระบี่ยาว

เคร้ง!

สองโลหะคมกล้าปะทะเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเสียงกังวาน เสียดแทงเข้ามาในแก้วหู

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะท้าน

ปรมาจารย์ค่ายกลที่มีระดับวรยุทธ์

ไม่มากพอ สัมผัสได้ถึงเหตุไม่สู้ดี พวกเขาจำต้องเร่งถอยหลังไป

“เอ๊?”

เสียงเย็นชาของหญิงสาวเผยถึงความประหลาดใจ

กระบี่ในมือเธอถูกหยุดอย่างไม่คาดฝัน

เมื่อกระบี่หยุด เงาที่โฉบลงมาก็หยุดลงเช่นกัน เผยให้เห็นถึงเรือนร่างของเธอ

กู่ฉิงซานกวาดสายตามอง

เบื้องหน้าเขา คือหญิงสาวที่ใบหน้าของเธอถูกสวมทับไว้ด้วยหมวกเกราะ ส่งผลให้ไม่สามารถกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปสำรวจได้

สัดส่วนของเธอเพรียวบาง แม้จะถูกสวมทับด้วยเกราะรบ แต่ก็ยังเผยถึงหุ่นผอมบาง ละเอียดอ่อนอยู่ดี

กระบี่ยาวอยู่ในมือของเธอ

ตลอดทั้งคนทั้งร่างสาดประกายเย็นเยียบและโหดร้าย ส่อชัดเจนถึงเจตนาฆ่า

เป็น หนิงเยว่ฉาน!

ผู้ที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้ ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ นอกเหนือไปจากเธอ ก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “เฮ้อ แม้กระทั่งเจ้าก็ยังไม่ทราบว่าเป็นข้ากระนั้นหรือ? นี่มันช่างน่าเสียใจจริงๆ”

แต่หนิงเยว่ฉานไม่สนใจคำกล่าวของเขา เจ้าตัวเอ่ยอย่างเฉยเมย “บนโลกใบนี้ มีหลากหลายวิธีที่จะใช้แสร้งปลอมตัวเป็นเขา แม้ผู้อื่นจะไม่รู้ แต่มันไม่อาจหลอกสายตาของข้าไปได้” เธอยังคงกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าสามารถหยุดกระบี่เดียวปลิดชีพของข้าได้ เช่นนั้นจากนี้ไปก็จงเตรียมรับความเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตกตายเถิด”

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ฟังจากเสียงของเธอ แม้ว่าน้ำเสียงมันจะยังดูสงบ แต่ก็เก็บซ่อนความโกรธเอาไว้ภายในใจ

เธอกำลังจะเอาจริงแล้ว!

เห็นแค่เพียงหนิงเยว่ฉาน ง้างกระบี่ และเตรียมที่จะโจมตีอีกครั้ง กู่ฉิงซานก็อดไม่ไหว เร่งตะโกนอย่างรวดเร็ว “ช้าก่อน! เมื่อครู่เป็นเจ้าที่ลอบโจมตี ฉะนั้นคราวนี้ต้องเป็นข้าที่เปิดฉากโจมตีก่อนสิ ต้องแบบนี้มิใช่หรือ จึงจะเหมาะสม และเท่าเทียมตามหลักการของผู้ใช้กระบี่ที่เที่ยงธรรมและเที่ยงแท้!”

หนิงเยว่ฉานชะงักไปเล็กน้อย

กู่ฉิงซานเมื่อเห็นถึงช่องว่างนี้ เขาก็เร่งเว้นระยะห่างออกไปไกลทันที

อย่ามาล้อเล่นนะ! สำหรับผู้หญิงที่มีนิสัยทุ่มเต็มกำลัง ชนิดยินยอมแลกชีวิตในการต่อสู้ เขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งด้วยหรอก!

เขาเค้นสมองอย่างรวดเร็ว และคิดเกี่ยวกับวิธีการที่จะใช้รับมือกับนาง

โชคยังดีที่เขาเคยได้เผชิญกับอันตรายระดับความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน ดังนั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ สมองของเขาจึงสามารถกลับมาทำงานได้อย่างรวดเร็ว

ขณะที่คิ้วดั่งใบหลิวของหนิงเยว่ฉานยกสูงขึ้น กู่ฉิงซานก็สามารถคิดหาวิธีได้ในที่สุด

กระบี่ยาวกะพริบไหว

หนิงเยว่ฉานเริ่มลงมือแล้ว!

กู่ฉิงซานเร่งถอยห่างออกไปอีกครั้ง เขาตบลงในถุงสัมภาระ รีบหยิบบางสิ่งออกมา

เขาตะโกน “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร!”

ในมือของเขา กุมไว้ซึ่งดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ

นี่คือดอกไม้น้ำตามังกร ที่มีสรรพคุณดีเยี่ยมในการรักษาจิตวิญญาณ กลิ่นหอมของมันช่างละเอียดอ่อน และสามารถแพร่กระจายกลิ่นไปได้เป็นเวลานาน มันจึงเป็นสิ่งที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์หญิงชมชอบ

แต่น่าเสียดาย ที่ดอกไม้เช่นนี้มันหายากมากเกินไป แม้กระทั่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรก็ยังแสนหายาก

อย่างไรก็ตาม ในนิกายร้อยบุปผา แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยดอกไม้ชนิดนี้

นี่คือดอกไม้ที่นางเซียนไป่ฮั่วใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ในการค้นหามันตลอดทั้งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ แล้วนำมาเพาะปลูกที่นิกาย

เนื่องจากจิตเทวะของซิวซิวได้รับบาดเจ็บจนบอบช้ำตั้งแต่วัยเด็ก นางเซียนไป่ฮั่วจึงมักจะนำดอกไม้ชนิดนี้มาทำอาหารให้เธอกินบ่อยๆ ด้วยความหวังที่ว่าเด็กสาวจะหายดีในไม่ช้า

หลังจากที่นางเซียนเก็บรวบรวมดอกไม้น้ำตามังกร ส่งผลให้ปกติมันก็หายากอยู่แล้ว ยิ่งหายากเข้าไปอีก

ดังนั้นการที่กู่ฉิงซานนำดอกไม้ดอกนี้ออกมา มันจึงพอที่จะใช้ยืนยันตัวตนได้

ก่อนหน้านี้ ช่วงที่อสูรวิญญาณก่อกบฏ หนิงเยว่ฉานเคยได้รับคำขอร้องจากกู่ฉิงซาน ว่าให้ไปรับตัวเขากลับมา

ในเวลานั้น กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนเรือเหาะของหนิงเยว่ฉาน และมอบดอกไม้น้ำตามังกรให้แก่เธอ

และเรื่องนี้ มีเพียงเขาและเธอสองคนเท่านั้นที่รู้

ซึ่งต่อให้เป็นคนจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ที่ได้ลอบเข้ามาทำการค้นวิญญาณจากผู้ฝึกยุทธ์ในโลกใบนี้ ก็ย่อมไม่มีทางทราบถึงเรื่องดอกไม้ได้

หนิงเยว่ฉานเป็นตัวตนเช่นไร?เธอย่อมสามารถเข้าใจถึงความหมายของดอกไม้นี้ได้อย่างแน่นอน

ด้วยดอกไม้น้ำตามังกร มันก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่ากู่ฉิงซานไม่ใช่ตัวปลอม!

วินาทีต่อมา

คมกระบี่ก็หยุดลงจริงๆ

คมกระบี่ที่สาดแสงร้ายกาจเป็นประวัติการณ์พลันชะงักงัน ใบกระบี่ค่อยๆ ยื่นออกไปสัมผัสดอกไม้สีขาวอย่างช้าๆ

ใบกระบี่สัมผัสกับกลีบดอกไม้อย่างอ่อนโยน ราวกับคมกล้าทั้งหมดของมันถูกเก็บกลับคืน

หนิงเยว่ฉานคลายวิชาลับออก ปลดเกราะหมวกของเธอ เปิดเผยถึงใบหน้าที่งามล่มเมือง

เจตนาฆ่าได้หายไปแล้ว

คู่ดวงตาดั่งเม็ดอัลมอนด์ จ้องมองดูกู่ฉิงซาน คล้ายกับว่ามีหลายพันคำต้องการจะเอ่ยออกมา

แต่ในสถานที่ที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้ เธอจะสามารถเอ่ยมันออกมาได้อย่างไร?

หญิงสาวก้มลงมองดูรอยฉีกบนก้านของน้ำตามังกร ปากเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เหมือนจะมีส่วนที่ขาดออกไปนะ นี่คงจะเป็นดอกไม้จากกิ่งก้านเดียวกันใช่หรือไม่?”

“อืม ในวันนั้นที่ได้มอบ ข้าได้มอบมันให้แก่เจ้าเพียงหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วยังมีอีกก้านหนึ่งที่แยกออกมา” กู่ฉิงซานกล่าว

หลังจากขบคิดสักพัก เขาก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง “และดอกนี้ ข้าก็ขอมอบมันให้แก่เจ้าเช่นกัน”

ดอกไม้สีขาวเล็กๆ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ชวนให้จิตใจของผู้คนรู้สึกสงบออกมา

หนิงเยว่ฉานเก็บกระบี่กลับคืน

เธอก้าวเข้ามา และรับดอกไม้ไปอย่างระมัดระวัง อังใต้จมูก สูดดมกลิ่นอย่างมันอย่างแผ่วเบา

“สองดอกแล้วสินะ ก็ได้ ข้าจะรับมันไว้ จะเก็บพวกมันให้อยู่เคียงคู่กัน”

หญิงสาวเอ่ยกระซิบอย่างนุ่มนวล

…………………………………………….

ใจกลางทะเลสาบ กู่ฉิงซานกำลังพิจารณาอย่างรอบคอบ

เขาไม่ได้ระมัดระวังตัวแจขนาดนี้ มาเป็นเวลานานแล้ว

แต่เรื่องนี้มันมิอาจตำหนิเขาได้ เพราะทั้งหมดนี้ ในที่สุดตัวเองก็ได้มาถึงขอบเขตพันวิบัติเสียที

เมื่อครั้งที่ได้ก้าวเข้าสู่โลกเทวะ เกราะรบเพลิงคำรนเคยอธิบายเกี่ยวกับขอบเขตวรยุทธ์แก่เขา

เจ้าตัวยังคงจดจำได้ดีถึงสิ่งที่เกราะรบเพลิงคำรนกล่าว

“ขอบเขตสูงสุดของโลกเจ้าคือประทับเทพ เหนือยิ่งกว่าขอบเขตประทับเทพคือร่างเทวะ พันวิบัติ และขีดสุดความว่างเปล่า สามขอบเขต”

“และในขอบเขตพันวิบัติ ว่ากันว่าเป็นขอบเขตที่แปลกประหลาดมากที่สุด เพราะผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องรับมือกับภัยพิบัตินานับไม่ถ้วนในขอบเขตนี้ ทว่าเมื่อข้ามผ่านสถานการณ์ดังที่กล่าวมาจนสิ้น เจ้าก็จะสามารถก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าได้ในที่สุด”

ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติ จึงมิต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายลมและสายฟ้าจากสวรรค์ แต่จะต้องเผชิญกับทุกรูปแบบของภัยพิบัติแทน

หลังจากเสร็จสิ้นการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ทั้งหมดได้แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ก็จะสามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าไปได้เลยตามธรรมชาติ

ในโลกล่องเวหา มีมุมมองที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ผู้ฝึกยุทธ์จะอยู่ในสภาวะพร้อมข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ตลอดเวลาในส่วนนี้ กล่าวได้ว่าพวกเขามีความเข้าใจ และความเห็นเช่นเดียวกันกับโลกเทวะ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเห็นเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นทางฝั่งผู้ฝึกยุทธ์ของโลกล่องเวหาที่เข้าใจมันได้ลึกซึ้งยิ่งกว่า

ในมุมมองของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าภัยพิบัตินี้เกี่ยวข้องกับกรรมของผู้ฝึกยุทธ์

ผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยออกล่าสังหารมามากมาย จะต้องถูกกีดกันจากบาปและความชั่วร้ายอันแสนสาหัสที่ตัวเขาเป็นคนก่อในขอบเขตนี้

ว่ากันว่าครั้งหนึ่ง เคยมีผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมาร ต้องเผชิญกับภัยพิบัติกว่าแปดพันเก้าร้อยหกสิบสามครั้งในขอบเขตพันวิบัติ

และในท้ายที่สุด เขาก็สิ้นใจลงในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะยกระดับขึ้นเป็นขีดสุดความว่างเปล่า

โดยภัยพิบัติของโทษทัณฑ์ในครั้งสุดท้ายครั้งนั้น ก็คือศิษย์น้องของเขา

ในครั้งอดีต เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ประตูนิกาย ครั้งหนึ่งในช่วงเวลาที่โลกถูกโจมตี เขาได้ฉวยโอกาสนั้นหักหลังศิษย์น้องของตนเอง

หลังจากที่ศิษย์น้องของเขาถูกผลักลงสู่ซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยอันตรายแล้ว ก็ไม่มีใครได้รับข่าวของชายคนนั้นอีกเลย

อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมารผู้นี้ หลังจากที่จัดการศิษย์น้องได้แล้ว เขาก็ยังมิคิดหยุดยั้งบาปกรรมของตน กลับยังเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ทั้งอ่อนแข็ง หว่านล้อมคู่หมั้นของศิษย์น้อง จนตกเป็นของตนได้ในที่สุด

แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านพ้นมานานปี จนผู้คนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว

แต่ใครจะไปรู้ ว่าศิษย์น้องของเขาจะเปลี่ยนโชคร้ายที่เผชิญเป็นพรอันแรงกล้า เจ้าตัวได้พบกับสถานที่ชั้นเลิศในซากปรักหักพัง และแอบเข้าไปฝึกยุทธ์อยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายสิบปี จนในที่สุดก็สามารถหลุดออกมาจากสถานที่แห่งนั้นได้

เมื่อศิษย์น้องกลับมา มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมารเกือบจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าพอดิบพอดี

ศิษย์น้องจึงได้ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาสุดท้ายในการตัดผ่าน ฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปและตัดหัวอีกฝ่ายจนขาดกระเด็น!

นับแต่นั้นมา ในโลกล่องเวหา เหล่าผู้ฝึกยุทธ์มากมายจึงหาได้เกรงกลัวต่อภัยธรรมชาติไม่ แต่หวาดกลัวในกรรมของภัยพิบัติ ของขอบเขตพันวิบัติแทน

เพราะท้ายที่สุด กรรมของผู้ฝึกยุทธ์ในโลกล่องเวหา นั้นมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้นภัยพิบัติที่พวกเขาต้องพานพบจึงเปรียบดั่งฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน ตามติดดั่งเงาตามตัว

‘ขอบเขตพันวิบัติ…’

คือขอบเขตที่ต้องทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ตลอดเวลา…

กู่ฉิงซานรู้สึกปวดหัว และอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมานวดๆ ตรงหว่างคิ้ว

เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาใบหยกออกมา

นี่คือเทคนิคลับจากในถุงสัมภาระของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า เป็นสิ่งที่เขานำมันมาจากโลกล่องเวหา

ในวันนั้น ที่กู่ฉิงซานสังหารหวังหงษ์เต๋า ฉานนู่ได้ฉกเอาถุงสัมภาระของอีกฝ่ายมาได้อย่างรวดเร็ว

ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในขอบเขตลมปราณจิต ถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋าจึงเต็มไปด้วยของดี

แต่ตอนนี้ ทั้งหมดกลายเป็นของกู่ฉิงซานไปแล้ว

ระหว่างที่เขาถือใบหยก เส้นแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นทันทีบนหน้าต่างเทพสงคราม

“ชื่อไอเท็ม เทคนิคลับ การเหนี่ยวนำกรรมแห่งพันวิบัติ”

“ประเภท เทคนิคฝึกยุทธ์”

“วิชายุทธ์เทพสงคราม การเรียนรู้เทคนิคฝึกยุทธ์นี้ จะช่วยให้คุณสามารถรับรู้ได้ถึงภัยพิบัติจำนวนมากที่คุณจะต้องเผชิญในขอบเขตพันวิบัติ”

“โปรดทราบ นี่คือเทคนิคลับที่ผู้ฝึกยุทธ์ในโลกล่องเวหาทำการศึกษาเกี่ยวกับขอบเขตพันวิบัติมาโดยเฉพาะ แม้ว่ามันจะสามารถช่วยให้คุณรับรู้คร่าวๆ ถึงจำนวนของภัยพิบัติได้ แต่มันไม่อาจช่วยคาดการณ์ระยะเวลาล่วงหน้าของภัยพิบัติได้”

“คำอธิบาย การศึกษาเทคนิคฝึกยุทธ์นี้ จำเป็นต้องจ่ายสองร้อยแต้มพลังวิญญาณ”

“คำอธิบายตามพงศาวดารวันสิ้นโลก ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นเกี่ยวกับมัน”

ด้วยแต้มพลังวิญญาณที่มีมากกว่าแปดหมื่นแต้ม กู่ฉิงซานทำการจ่ายสองร้อยแต้มพลังวิญญาณไปทันที

เขากุมใบหยกในมือ สองตาปิดสนิท

กระแสความร้อนไหลบ่าออกจากใบหยก ผลุบเข้าไปตามมือของเขา วิ่งไปตามกระดูกและแขน ไหลลงสู่ทะเลแห่งห้วงสติ

เพียงไม่นาน กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใจถึงวิธีการเหนี่ยวนำของเทคนิคลับนี้ได้สำเร็จ

เขายื่นมือออกไปจีบออกด้วยวิชาลับ และทำการกระตุ้นเทคนิค

ทันใดนั้นสวรรค์และโลกราวกับเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกับเขา ภาพของบาป (กรรม) ที่เคยกระทำในอดีตผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา

ภัยพิบัติแล้ว ภัยพิบัติเล่าเริ่มจะปรากฏขึ้นมาทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง

โดยสิ้นเชิงแล้ว รวมทั้งหมดเป็น…

สามครั้ง!

ครั้งแรกคือขอบเขตพันวิบัติขั้นต้น อีกครั้งคือขั้นกลาง และครั้งสุดท้ายคือขั้นปลาย

จากนั้น เขาก็จะสามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าได้เลยโดยตรง

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ในหัวใจค่อนข้างรู้สึกสับสนเล็กน้อย

เพราะสามครั้งคือจำนวนภัยพิบัติขั้นต่ำที่สุด ที่ผู้ฝึกยุทธ์จำต้องเผชิญในขอบเขตพันวิบัติ

…นี่หมายความว่าตัวเขาไม่มีบาปเลยกระนั้นหรือ?

หรือว่าพวกเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ การดิ้นรนในโลกเทวะ การต่อสู้ในโลกปรภพ และการเรียกขานของวิหคหนาม

สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา แท้จริงแล้วมันมิได้ก่อให้เกิดบาป แต่ก่อให้เกิดคุณงามความดีแทนหรือ?

บางที อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ ที่ส่งผลให้ภัยพิบัติที่เขาต้องเผชิญมันมีแค่สามครั้งเท่านั้น

ในกรณีนี้ ตราบใดที่เขาให้ความสนใจกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น เขาก็จะสามารถผ่านพ้นสถานการณ์แห่งเภทภัยไปได้อย่างง่ายดาย

นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแท้จริง

กู่ฉิงซานอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

ในเมื่อปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว งั้นต่อไปตอนนี้ เขาก็จะได้ติดต่อกับอาจารย์สักที

เขาไม่ลังเลเลยที่จะตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเขาตราสัญลักษณ์นายพลออกมา

หากระยะทางไม่ไกลเกินไป แต่ละฝ่ายที่ครอบครอง จะสามารถส่ง หรือนำสิ่งของผ่านทางตราสัญลักษณ์ให้แก่กันและกันได้ทันที

กู่ฉิงซานหยิบยันต์สื่อสารของนางเซียนไป่ฮั่วออกมา กล่าววาจาลงไปหลายคำ ก่อนจะยัดมันลงไปในตราสัญลักษณ์นายพล

และแทบจะในทันที เขาก็สัมผัสได้ว่ายันต์สื่อสารได้หายไป

นี่หมายความว่านางเซียนไป่ฮั่วได้รับยันต์สื่อสารของเขา และหยิบมันออกไปจากตรานายพลแล้ว!

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้เจอท่านอาจารย์

ช่วงก่อนหน้านี้ ครั้งหนึ่งตนเคยลองพยายามใช้งานตราสัญลักษณ์นายพลในโลกล่องเวหาอยู่เหมือนกัน แต่น่าจะเป็นเพราะระยะทางที่ไกลเกินไป ตราสัญลักษณ์นี้จึงไม่สามารถใช้งานได้

และเมื่อได้กลับมายังโลกเทวะอีกครั้ง ซึ่งแม้ขณะนี้อาณาเขตของโลกจะกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิมอย่างมหาศาล แต่เมื่อเป็นโลกเดียวกัน ตราสัญลักษณ์นายพลจึงยังใช้งานได้เป็นอย่างดี

เฝ้ารอสักพักหนึ่ง ยันต์สื่อสารจากอีกฝั่งก็ถูกยัดเข้ามาในตรานายพล

กู่ฉิงซานเร่งนำมันออกมา และกระตุ้นพลังวิญญาณใส่มันทันที

ได้ยินถึงเสียงที่แฝงไว้ซึ่งร่องรอยจางๆ ของความกังวลของนางเซียนไป่ฮั่วดังออกมาจากยันต์ “ฉิงซาน เมื่อไม่นานมานี้มีบางคนแสร้งปลอมตัวเป็นเจ้า แม้ว่าสุดท้ายจะถูกข้าจับตัวไว้แล้วก็ตาม แต่ตอนนี้เจ้าไม่สมควรเถลไถลไปในที่ใด เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและปัญหาใหม่ตามมา จงรออยู่ที่นั่น ศิษย์น้องหญิงทั้งสองกำลังไปรับตัวเจ้ากลับมา”

แสร้ง…ปลอมตัวเป็นฉันงั้นหรือ?

กู่ฉิงซานตกใจ

แต่เขาก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

นอกเหนือไปจากผู้ฝึกดาบในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ยังจะมีใครอีกที่สามารถปลอมเป็นเขาได้?

ในโลกใบนี้ ไม่น่าจะปรากฏเรื่องเช่นนี้ขึ้น

บางทีเกรงว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ มันอาจจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกยุทธ์จากต่างโลกก็ได้

ดูเหมือนว่าคนที่ทำเรื่องนี้ ชัดเจนว่าได้ทำการตรวจสอบเรื่องที่ฉีหยานได้บุกเข้ามายังโลกเทวะแล้ว

ในวันนั้น นางเซียนไป่ฮั่วกับนักพรตเป่ยหยวนได้ร่วมมือกันทุ่มสุดกำลังเพื่อรับมือกับฉีหยาน ซึ่งในท้ายที่สุด กู่ฉิงซานก็ได้เรียกมารสวรรค์มา และส่งฉีหยานไปยังโลกของพวกเธอ

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานเองก็ถูกส่งไปยังโลกล่องเวหา

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนที่เห็นต่างก็เป็นพยานในเรื่องนี้

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าคนที่วางแผนปลอมตัวเป็นกู่ฉิงซาน เหมือนจะล่วงรู้ว่าตัวเขาเองเคยทำอะไรมาก่อน

อีกฝ่ายยังรู้กระทั่งว่ากู่ฉิงซานได้หายตัวไปจากโลกใบนี้

ดังนั้น หากแสร้งปลอมตัวเป็นตน แล้วเดินผ่านท่ามกลางฝูงชน ย่อมแน่นอนว่าจะต้องสามารถได้รับข้อมูลของโลกใบนี้ไปได้มากมาย

อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่มีอาจารย์อยู่ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้กล้า

ไม่สิ!

เพราะท่านอาจารย์จำเป็นต้องใช้สักส่วนที่จำกัดในการผสานรวมโลก ท่านถึงได้เลือกเข้าร่วมกับพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์

ด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงมักจะต้องออกไปข้างนอกอยู่บ่อยๆ เพื่อเข้าร่วมในการต่อสู้ต่างๆ ของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์

ดังนั้น หากเป็นในช่วงที่ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้วล่ะก็ คนที่แสร้งปลอมตัวเป็นเขา ก็อาจเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป้าหมายจนสำเร็จ!

ตนผู้สามารถช่วยโลกเทวะเอาไว้ได้ และสามารถกลับมาจากโลกอันห่างไกล

ด้วยเหตุผลตามประโยคข้างบนที่กล่าวมา ส่งผลให้คนที่ปลอมเป็นเขา จะต้องได้รับคำขอบคุณจากทุกคนอย่างแน่นอน

บางที คนที่ปลอมตัวเป็นตน อาจจะได้ทำการตรวจสอบพื้นเพของโลกใบนี้มาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ได้

ท่านอาจารย์บอกว่าอย่าเถลไถลไปรอบๆ เพราะเกรงว่าผู้ฝึกยุทธ์จะลงมือกับเขาซึ่งเป็นตัวจริง

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่ากลยุทธ์ที่ตนใช้ปลอมตัวเป็นฉีหยานเข้าไปในโลกล่องเวหา จะถูกคนอื่นใช้โดยการปลอมตัวเป็นตนเข้ามายังโลกเทวะเช่นกัน

นี่สินะที่เรียกกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง

แต่นับว่าโชคยังดีที่ท่านอาจารย์ได้รับรู้ถึงเรื่องนี้ และออกไปจัดการกับมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม…

ประโยคสุดท้ายที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ‘ศิษย์น้องหญิงทั้งสอง’ นั่นมันเรื่องอะไรกันแน่นะ?

………………………………….

ช่วงกลางดึก

บริเวณพื้นที่ราบสูงที่ยากจะเข้าถึง

ทิวทัศน์โดยรอบ เป็นเทือกเขาที่ถูกคั่นกลางไว้ด้วยทะเลสาบ

อย่างไรก็ตาม กลับปรากฏถึงเมฆที่ทะมึนยิ่งกว่าความมืดในยามค่ำคืน ปกคลุมไปตลอดทั้งทะเลสาบ

ประกายสายฟ้าหยดย้อยลงจากก้อนเมฆ และยังคงผ่าลงสู่ทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง

หากมองจากระยะไกล จะเห็นเหมือนกับว่ามีเส้นสายสีไข่มุกร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า กลมกลืนแลดูงดงามไปกับฉากหลังในยามค่ำคืน

อย่างไรก็ตาม เมื่อไข่มุกเหล่านั้นตกลงสู่ทะเลสาบ พวกมันจะแตกกระจาย และกลายเป็นงูสายฟ้าเส้นเล็กๆ วิ่งไปคนละทิศทางทันที

ระหว่างสวรรค์และโลก บังเกิดเสียงระเบิดแล้วระเบิดเล่าของสายฟ้า ดังก้องไปทั่วบริเวณ

ขณะเดียวกัน ประกายแสงจากสายฟ้าก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

ทัณฑ์สายฟ้าดั่งดวงดาราสุกสกาวจากทุกทิศทาง ร่วงโรยลงมายังทะเลสาบ

ท่ามกลางแสงสะท้อนจากทะเลสาบ สวรรค์และโลกถูกเติมเต็มไปด้วยประกายแสงสายฟ้า

โดยใจกลางของสายฟ้าทั้งหมด ใจกลางทะเลสาบใหญ่ ปรากฏให้เห็นถึงผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์คนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น

มนุษย์คนนั้นกำลังโบกสะบัดดาบยาวในมือของเขา โขกสับเข้าใส่สายฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุด ที่กำลังโถมลงมา

ผู้ฝึกยุทธ์กำลังปกป้องตนเอง โดยการใช้สองดาบที่กุมอยู่ในมือ ปัดป้องการโจมตีจากสายฟ้าเสียงคำรามของสายฟ้าดำเนินเช่นนี้ต่อไปอีกกว่าหนึ่งชั่วยาม จนในที่สุดมันก็ค่อยๆ สลายหายไป

อย่างไรก็ตาม สวรรค์และโลกยังมิได้กลับคืนสู่ความสงบ

ลมทะเลสาบเริ่มกรรโชกรุนแรง

เสียงหวีดหวิวของสายลม และเสียงกรีดร้องของการดำรงอยู่ที่ไม่ทราบชนิดมากมาย ค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาเยือนโลกใบนี้

สักพักหนึ่ง  เสียงหอนและกรีดร้องใคร่ครวญก็ดังขึ้นจนฟังชัด

ทุกชนิดของสิ่งมีชีวิตในโลกปีศาจและโลกภูตผี เริ่มปรากฏกายขึ้นในสายลม

เจตนาฆ่าพวยพุ่งออกมาจากทุกทิศทาง

ภูตผีปีศาจนับสิบรายล้อมผู้ฝึกยุทธ์เพียงหนึ่งจากทุกสารทิศ

ทว่ากลับเห็นแค่เพียงเจ้าตัวประสานกำปั้น ผุดรอยยิ้มออกมา และเอ่ยอะไรบางอย่างกับในความว่างเปล่า

หากผู้ใดก็ตามในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์มาเห็นถึงฉากนี้ พวกเขาคงจะเกิดความประหลาดใจอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เพราะในการยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตพันวิบัติ หลังจากที่สิ้นการต่อกรกับทัณฑ์สายฟ้าแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ก็จะต้องเผชิญหน้ากับกษัตริย์ปีศาจ และราชาภูตผีที่มารับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ทั้งสิบแปดตน พร้อมกันกับผู้บังคับบัญชาของพวกมันที่ตามมา เพื่อสังหารหมู่ผู้ที่คิดข้ามผ่านโทษทัณฑ์

นี่คือหายนะที่ผู้ฝึกยุทธ์จะต้องเผชิญเสมอมา ทุกคนในอดีตล้วนต้านทานการบุกสังหารตนอย่างเต็มกำลัง

อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้กลับเป็นฝ่ายประสานมือทักทายผีปีศาจที่มากับทัณฑ์สายลม

และที่แปลกยิ่งกว่านั้น คือมันได้ผล!

เห็นแค่เพียงในทัณฑ์สายลม เสียงกรีดร้องโหยหวนค่อยๆ จางหายไป

ตามมาด้วยทุกชนิดของโทนเสียงที่ต่างกันออกไปตอบสวนกลับมา

แม้โทนเสียงจะแตกต่าง แต่น้ำเสียงของจากในทัณฑ์สายลมดูจะเผยถึงความรู้สึกอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ

ยิ่งนาน พวกผีปีศาจก็ยิ่งปรากฏขึ้นในทัณฑ์สายลม ทั้งหมดเริ่มสนทนาอย่างสนิทสนมกับผู้ฝึกยุทธ์

เมื่อเวลาผ่านไป บทสนทนาก็ยิ่งเริ่มออกรสขึ้นเรื่อยๆ

ถึงขนาดที่ว่ามารสวรรค์ที่ครองตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ ต้องมาหยุดยืนกอดแขนอยู่ข้างกายของผู้ฝึกยุทธ์เลยทีเดียว

หลายราชาภูตผีหัวเราะเสียงดังลั่น

ขณะที่พวกกษัตริย์ปีศาจตนใหม่ๆ กำลังคิดว่าจะเข้าไปทำความรู้จัก และเป็นสหายกับผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ได้อย่างไรดี

มีปีศาจบางตนเหมือนกันที่ไม่อาจเข้าใจถึงสถานการณ์ จึงหันไปสอบถามปีศาจตนอื่นๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

‘ที่แท้ก็เป็นเรื่องอันมีชื่อเสียงโด่งดังก่อนหน้านี้นั่นเอง!’

การเจรจาแลกเปลี่ยนที่มีจำนวนจิตวิญญาณกว่าสองร้อยล้านดวงเป็นรางวัล!

ในช่วงเวลานั้น เหล่าราชาภูตผี และกษัตริย์ปีศาจที่เข้าร่วม ต่างก็ได้รับผลกำไรตอบแทนกลับมามากมาย

และเวลานี้ ตัวต้นเรื่องในการเจรจาแลกเปลี่ยนในคราวก่อน ก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าทุกคนแล้ว!

เมื่อต้องเผชิญกับผู้ฝึกยุทธ์ที่เปรียบดั่งเหมืองทองคำ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ปีศาจตนใด ต่างก็อยากจะก้าวออกมา และเป็นสหายกับเขาทั้งนั้น

ส่วนเรื่องที่จะเอาชนะเขาหรือสังหารเขาน่ะหรือ ช่างหัวมันสิ!

เพราะคนตรงหน้าเป็นใครกัน!?

เป็นสมาชิกหมายเลขสามของสมาคมกำปั้นเหล็ก

เป็นราชาภูตผีแห่งหกวิถี

ไม่ว่าจะสถานะไหน มันก็สุดโต่งทั้งนั้น! ดังนั้นมันจะไม่เป็นการดีกว่าหรือถ้าจะไม่ยั่วให้เขาโกรธ และให้ทุกอย่างมันจบลงด้วยดี

ขณะเดียวกันทางฝั่งราชาภูตผี หลายราชาที่มีส่วนร่วมในทัณฑ์สายลมในครั้งก่อน ต่างก็ได้เปิดเผยรายละเอียดของกู่ฉิงซานให้แก่เพื่อนคนอื่นๆ ฟัง

พวกมันเล่าว่าเขาได้ลงทัณฑ์นรกทั้งขุม ล้างบางคนตายนับล้านๆ โดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ

และสงครามในเวลาต่อมา เขาก็ได้สั่งการให้คนตายจากนรก บุกเข้าไปกัดกินเผ่ามารทั้งหมดที่เข้ามารุกราน

ด้วยเหตุนี้…

ควรที่จะเป็นพันธมิตรกัน และสร้างโอกาสแลกเปลี่ยนกันจะเป็นการดีกว่า

เพราะยิ่งมีเพื่อนมาก การเดินทางหรือกิจกรรมใดๆ ก็ย่อมสะดวกสบายมากขึ้น

พวกปีศาจและภูตผีต่างก็คิดแบบนั้น

ด้วยเหตุนี้เอง ฉากอย่างการลงทัณฑ์จากสวรรค์ บรรยากาศจึงค่อยๆ กลายเป็นความสามัคคีและเป็นมิตร

อย่างไรก็ตาม เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ

ไม่นาน ช่วงเวลาสิ้นสุดของทัณฑ์สายลมก็ได้มาถึง

ทุกคนพูดคุยกันอีกสักพัก ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อกันและกัน และหารือเกี่ยวกับธุรกิจต่อไปในอนาคต

กษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผีทั้งหมดต่างชักอาวุธขึ้น และเริ่มกล่าวคำอำลากับผู้ฝึกยุทธ์

ติ๊งๆๆ

เสียงปะทะอันคมชัดจากอาวุธทั้งสิบแปดชนิด สะท้อนไปมาท่ามกลางทัณฑ์สายลม

ทุกคนต่างเริ่มบอกลา

และแล้วสายลม

ก็ค่อยๆ สงบลง

โทษทัณฑ์จบลงในที่สุด

กู่ฉิงซานยืนยิ้ม และโบกมือลาปีศาจและภูตผีทั้งหมด

เมื่อผีปีศาจทั้งหมดได้กลับคืนสู่โลกของพวกมันแล้ว กู่ฉิงซานจึงค่อยลดอาวุธตนลง

เขารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย

เพราะเมื่อต้องเผชิญกับกษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผีที่ครอบครองตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ทั้งสิบแปดแล้ว เขาจำเป็นที่จะต้องทักทาย กล่าวสนทนาโดยห้ามไร้ซึ่งความเย็นชา ไม่เพียงเท่านั้น สำหรับพวกที่มาใหม่ เขายังจำเป็นต้องใช้คนกลางเป็นตัวช่วยแนะนำกันและกันอีกต่างหาก

ส่วนในเรื่องธุรกิจแลกเปลี่ยนในอนาคต เขาจะต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายอย่างรอบคอบ และจะบอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับมันในครั้งต่อไป

อนิจจา นี่มันเป็นเรื่องจริงเช่นนั้นหรือนี่?

การข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของตนเอง มันกลับกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?

แทนที่จะเป็นแบบนี้ บางทีการสู้กันมันอาจจะดีเสียกว่าอีก เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังได้รับแต้มพลังวิญญาณมาจากพวกมันไม่ใช่หรือ?

แต่ตอนนี้ สัมพันธ์ได้ถูกสานแล้ว ดังนั้นเมื่อเผชิญกับหลายผีปีศาจที่เข้ามาทักทายด้วยไมตรีจิต ตนคงไม่สามารถก้าวออกไปข้างหน้าและสับอีกฝ่ายได้

เขาไม่ใช่คนแบบนั้น

โดยเฉพาะมารสวรรค์

เวลานี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าหลี่อันจะติดธุระบางอย่างอยู่ จึงไม่ได้รับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ในครั้งนี้

คนที่มาแทนเป็นหนึ่งในน้องสาวของเธอ

และน้องสาวของเธอ ก็พยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อยั่วยวนเขา

ซึ่งในส่วนนี้ บอกตรงๆ เลยว่ากู่ฉิงซานแทบจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

มือของเขากดลงบนด้ามดาบหลายต่อหลายครั้ง แทบจะทนไม่ไหวที่จะง้างสับอีกฝ่าย

ทว่าเมื่อได้ลองไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และพบว่าการสานสัมพันธ์กับมารสวรรค์มันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะหลี่อันที่มีความจริงใจกับตนเอง ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงจำใจต้องอดกลั้น ฝืนทนต่อไปแม้ในใจจะไม่ยินยอมก็ตาม

โชคดีจริงๆ ที่ทั้งหมดมันจบลงแล้ว

กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอก และหันไปมองหน้าต่างเทพสงคราม

ปรากฏถึงบรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็ก

“ทัณฑ์สวรรค์ได้สิ้นสุดลงแล้ว”

“ต้องขอบคุณของขวัญที่เกิดจากการผสานรวมโลก ทำให้คุณสามารถยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตพันวิบัติได้สำเร็จ”

“คุณได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตพันวิบัติแล้ว”

“โปรดทราบด้วยว่า การยกระดับจากร่างเทวะ พันวิบัติ และขีดสุดความว่างเปล่า จะไม่เกิดการเหนี่ยวนำในการกระตุ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ คุณจำเป็นที่จะต้องยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตลมปราณจิตเสียก่อน จึงจะสามารถปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ตื่นขึ้นได้”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “นี่เป็นเฉพาะฉันคนเดียว หรือคนทั้งหมดก็เป็นแบบนี้ด้วย?”

“นี่คือกฎขั้นพื้นฐานของขอบเขตวรยุทธ์ มันคือสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดจะต้องเผชิญ” ระบบตอบกลับ

“เข้าใจแล้ว งั้นพวกเราค่อยมาพูดถึงเรื่องนี้กันในภายหลัง”

กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มทำการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพื้นฐานวรยุทธ์อย่างรอบคอบ

นี่คือของขวัญอันล้ำค่าที่ได้มาจากแหล่งกำเนิดของโลก พลังวิญญาณของเขาทั้งสงบ และเสถียรไม่มีทีท่าว่าจะหลุดจากการควบคุมเลย

และความเข้าใจของเขาในส่วนของกฎเกณฑ์ของโลก มันก็ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

สำหรับเรื่องปริมาณพลังวิญญาณ

ปัจจุบันพลังวิญญาณของตนเองได้ถูกเติมเต็มขึ้นมากกว่าเดิมถึง ในสิบส่วน!

นี่หมายความว่าเขาสามารถผันแปรกลยุทธ์ และต่อสู้ได้นานยิ่งขึ้น

นับจากนี้ไป เขาจะสามารถสำแดงวิชาลับอย่างค่ายกลดาบได้อย่างไม่ขาดสาย

นั่นนับว่าเป็นข่าวดี

“แน่นอน การที่ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมันช่างเป็นอะไรที่รู้สึกดีจริงๆ”

กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง

จากนั้น เขาก็หยิบเอาเม็ดยาออกมา โยนมันเข้าปาก และนั่งสมาธิเหนือคลื่นทะเลสาบ

ถึงแม้ว่าทัณฑ์สายลมจะไม่ได้กินพลังงานใดๆ แต่ทัณฑ์สายฟ้ามันทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าไม่น้อยจริงๆ

ดังนั้นตนจึงต้องเร่งฟื้นฟูพละกำลังกลับคืนมา

ปัจจุบันนี้ โลกเทวะและอีกหลายโลกได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์แล้ว

และท่านอาจารย์ยังได้นำโลกใบนี้ เข้าร่วมกับพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์อีกด้วย

ฉะนั้นไม่ต้องกล่าวถึงสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่กระทั่งกิจกรรมของมนุษย์ เมื่อได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมใหม่ๆ มันก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

ดังนั้น ก่อนจะเดินทางกลับไปยังนิกายร้อยบุปผา กู่ฉิงซานจึงไม่คิดเร่งรีบใดๆ

เขาจะต้องเตรียมการอย่างระมัดระวังและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุด กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น

ร่างกายของเขาได้กลับคืนสู่สภาวะสมบูรณ์พร้อมอีกครั้ง

เขาเหยียดตัวบิดขี้เกียจ และค่อยๆ ลุกขึ้นยืนกลางทะเลสาบ

ตอนนี้ เขาพร้อมที่จะจัดการกับเรื่องราวทุกสิ่งแล้ว!

………………………………….

ณ จักรวรรดิฟูซี

ใจกลางเมืองหลวง

ต้องขอบคุณกฎเหล็กอันแสนเด็ดขาดของจักรพรรดินีเวโรน่า ทำให้หลังจบสงคราม ทุกอย่างที่นี่จึงสามารถกลับคืนสู่ความเป็นระบบระเบียบได้อย่างรวดเร็ว

ภายในห้องอาหารลอยฟ้าที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากที่สุดในจักรวรรดิ

แบรี่นั่งอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง เบื้องหน้าเขาถูกจัดวางไว้ด้วยอาหารอร่อยๆ ทั่วโต๊ะ

“ขอสรรเสริญเหล่าทวยเทพที่ได้สร้างโลกดีๆ แบบนี้ทิ้งเอาไว้!”

“บาร์บีคิวมันอร่อยจริงๆ”

“เฮ้บริกร แล้วอาหารจานนี้เรียกว่าอะไร? ช่างมันเถอะ ไม่อยากรู้แล้ว แต่เอามาเสิร์ฟให้ฉันอีกจานก็พอ”

“อืม…ซุปถ้วยนี้ซดแล้วรู้สึกสดชื่นดีจริงๆ”

“ถ้าฉันได้กินอาหารดีๆ แบบนี้ทุกวัน สาบานเลยว่าในชีวิตนี้ ฉันจะไม่ไปล่ามอนสเตอร์เอกภพกินอีกแล้ว”

“ช่วยเสิร์ฟซุปให้ฉันอีกจานด้วยนะ”

ขณะกำลังรับประทาน เขาก็เอ่ยชมออกมาไม่ขาดปาก

หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เสี่ยวเหมียวได้ลุกจากโต๊ะไปก่อนแล้ว

เธอเช็ดปากเบาๆ และทิ้งผ้าผืนนั้นไว้ เร่งรุดออกไปอย่างอดใจรอไม่ไหว

เนื่องจากเทพธิดากงเจิ้งได้แนะนำสถานที่ดีๆ เอาไว้หลายแห่ง ดังนั้นพออิ่มท้อง เสี่ยวเหมียวจึงรีบไปด้วยความตื่นเต้นทันที

สุดท้ายเลยเหลือแบรี่ที่นั่งอยู่ลำพัง และยังคงกินไม่หยุดมาเป็นเวลายาวนานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว

และเนื่องจากที่นี่เป็นห้องส่วนตัวที่แยกต่างหากออกมา มันเลยไม่มีใครเข้ามารบกวนเวลาอาหารของเขา แต่ที่ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ จริงๆ แล้วก็เพราะ…

เจ้าของร้านอาหารและพนักงานได้รับการแจ้งล่วงหน้าเอาไว้แล้ว

พวกเขาได้รับแจ้งว่าจะมีสองมืออาชีพที่น่านับถือมารับประทานอาหารในร้านแห่งนี้

ดังนั้น ส่งผลให้แม้จะได้เห็นแบรี่ที่เอาแต่กินไม่หยุดมาเป็นเวลายาวนานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วก็ตาม พนักงานเสิร์ฟก็ยังพอสามารถทำความเข้าใจได้

เพราะมืออาชีพน่ะมักจะแตกต่างจากคนปกติทั่วไป การที่เขาจะสามารถกินอาหารได้อย่างมหาศาลมันจึงไม่น่าแปลกใจอะไร

พนักงานนำอาหารจานใหม่มาเสิร์ฟให้แบรี่ และเก็บจานอาหารเดิมกลับไปอย่างคล่องแคล่ว

การเคลื่อนไหวของเขาช่างกระฉับกระเฉง แต่ขณะเดียวกันก็นุ่มนวล ไม่เป็นการรบกวนการรับประทานของแบรี่เลย

อย่างไรก็ตาม แบรี่ที่กำลังสวาปามอาหารอย่างมีความสุข ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจกับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้

เศษอาหารที่เหลือจะถูกส่งไปยังสถานที่ทำความสะอาดตามขั้นตอนปกติ และจัดเก็บเอาไว้อย่างเรียบร้อย

ซึ่งมันจะยังไม่ถูกทำความสะอาดในทันที แต่จะทำการชะล้างและฆ่าเชื้อในทีเดียวหลังเวลาร้านปิด

เพราะที่แห่งนี้มีเครื่องทำความสะอาดอัตโนมัติ ดังนั้นกระบวนการทำความสะอาดจึงเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องมาคอยล้างจานตลอดเวลาแต่อย่างใด

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

ในที่สุดแบรี่ก็เติมเต็มกระเพาะของเขาจนอิ่มสักที

เขากวักมือเรียกพนักงาน และยื่นบัตรให้อีกฝ่าย

“ระหว่างกิน ถึงจะไม่สนใจ แต่ฉันก็เห็นถึงความใส่ใจที่นายมีต่อลูกค้านะ เพราะงั้นเอานี่ไป แล้วอย่าลืมรวมค่าทิปเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วยล่ะ” เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา

พนักงานเสิร์ฟยิ้ม และรีบไปทำการชำระเงินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยื่นสองมือออกไป ส่งบัตรคืนให้แก่แบรี่

“ท่านครับ บิลได้รับการชำระเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของท่านในครั้งนี้ ถ้าเป็นไปได้ คราวหน้าพวกเราขอเชิญท่านมาใช้บริการอีกนะครับ” พนักงานกล่าวด้วยความเคารพ

แบรี่พยักหน้า เขารับบัตร และเดินออกจากห้องอาหารด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ

เมื่อท้องอิ่ม จากนั้นเขาก็จะไปยังกาสิโน และอยู่ที่นั่นจนกว่าจะถึงเที่ยงคืน!

หลังจากสนุกไปกับการเล่นพนัน เขาตั้งใจที่จะไปต่อที่บาร์เพื่อดื่มเหล้าฆ่าเวลาให้ผ่านพ้นไป

อืม นี่ช่างเป็นแผนการใช้วันหยุดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!

หลังจากที่แบรี่ออกจากห้องอาหาร

เฝ้ารอจนกระทั่งแน่ใจว่าเขาได้ไปถึงกาสิโน และเบนสมาธิไปกับการเล่นพนันแล้ว

สองบริกรก็เร่งตรงไปยังเครื่องล้างจานทันที และทำการเลือกบางจานที่ดูพิเศษออกไปจากทั้งหมดหลายร้อยจานอย่างระมัดระวัง

ซึ่งจานพิเศษที่ว่า คือจานที่ถูกใช้โดยแบรี่กับเสี่ยวเหมียวนั่นเอง

สองบริกรทำการเคลื่อนย้ายมันอย่างรวดเร็ว

จานที่ถูกใช้โดยแบรี่กับเสี่ยวเหมียว ถูกส่งไปบรรจุในกล่องผนึกขนาดใหญ่

ขณะเดียวกัน ตรงด้านหลังของห้องอาหาร ก็มีรถขนส่งเครื่องเคียงและอาหารทะเลกำลังจอดรออยู่เป็นเวลานานแล้ว

กล่องผนึกถูกส่งต่อเข้าไปในคลังบรรทุกสินค้า

จากนั้นรถขนส่งก็เริ่มเดินเครื่อง และมุ่งไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ขับไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงเขตชานเมืองของจักรวรรดิจึงค่อยหยุดลง

มันคือสถานที่สำหรับทำการจัมป์มิติ

หลังจากเกิดการขยายตัวครั้งใหญ่ของผืนโลก เทพธิดากงเจิ้งก็ได้ทำการก่อตั้งศูนย์อพยพเอาไว้ใกล้กันกับเมืองของมนุษย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้พวกเขา ในการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ

กล่องผนึกถูกยกออกจากคลังสินค้า และส่งผ่านเครื่องจัมป์ตรงจุดนี้

โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะถูกส่งไปที่ไหน

นอกเสียจาก…

ลึกเข้าไปในป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า บนจอม่านแสงขนาดใหญ่ กำลังฉายถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

“เริ่มกระบวนการคัดแยกน้ำลายที่เหลือ”

“หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการคัดแยกทั้งยี่สิบห้าขั้นตอน ผลปรากฏว่า ผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวเหมียวไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้บนโต๊ะอาหารเลย สามารถเก็บได้แค่น้ำลายของผู้ชายที่ชื่อแบรี่เท่านั้น”

“เริ่มต้นการสกัดเซลล์จากน้ำลาย”

“การสกัดล้มเหลว”

“การสกัดล้มเหลว”

“การสกัดล้มเหลว”

“การสกัดประสบความสำเร็จ!”

“เซลล์ได้รับการประมวลผล เริ่มทำการสกัดดีเอ็นเอที่สอดคล้องกัน”

“ได้รับดีเอ็นเอผู้ชายจากที่ชื่อแบรี่ แล้ว”

“พิจารณาจากความแข็งแกร่งของเขา ผลสรุปว่าเป็นตัวอย่างสำคัญ ทำการจัดส่งไปเก็บยังธนาคารยีน”

“เริ่มกระบวนการวางแผนการขั้นที่สอง”

“ปฏิบัติการจัดเก็บยีนของผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวเหมียว เริ่ม ณ บัดนี้!”

อีกด้านหนึ่ง

บนถนนที่ดูวุ่นวาย

ภายในร้านเสื้อผ้า

ตั้งแต่ที่เสี่ยวเหมียวเดินเข้ามาในร้าน เธอก็ลองเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่หัวจรดเท้า บนไหล่ที่เคยว่างเปล่า ตอนนี้ก็สะพายไว้ด้วยกระเป๋าใบเล็กน่ารัก

เธอหยิบลิปสติกขึ้นมาจากมัน และทาอย่างระมัดระวังเบื้องหน้ากระจก

เจ้าตัวยิ้มด้วยความพึงพอใจ

“ช่วยห่อเจ้านี่ ตรงนี้ และก็อันนี้ใส่ถุงให้ฉันด้วย ฉันต้องการมันทั้งหมดเลย” เธอชี้ไปยังเสื้อผ้าหลายตัวที่พึ่งลองใส่ไป

“ค่ะคุณผู้หญิง ทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งแสนสองหมื่นแปดพันแต้มเครดิตนะคะ” พนักงานขายกล่าว

เสี่ยวเหมียวยื่นบัตรออกไป

พนักงานขายรับบัตรมา และเริ่มชำระเงิน

เสื้อผ้าถูกห่อและเก็บใส่ถุงอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากได้ทำการเลือกซื้อสินค้าไปมากมาย ส่งผลให้เสี่ยวเหมียวได้กลายเป็นลูกค้าวีไอพีของแบรนด์นี้ทันที แถมยังได้รับบัตรวีไอพีแถมเพิ่มมาอีกด้วย

เธอรับบัตรวีไอพี และโยนมันเข้าไปในมิติห้องเสื้อพร้อมกันกับชุดใหม่ของเธอโดยตรง

ในตอนที่เสี่ยวเหมียวอายุได้สิบเอ็ดปี เจ้าตัวก็มีพลังถึงขั้นสามารถเปิดพื้นที่มิติพิเศษ ไว้ใช้สำหรับเป็นห้องเก็บเสื้อผ้าส่วนตัวได้แล้ว

แต่น่าเสียดาย ที่ภายในห้องมีเสื้อผ้าอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชุดเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เวลานี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…

“ห้องมิติเก็บเสื้อจะเต็มเสียแล้ว นี่มันน่ารำคาญจริงๆ” เสี่ยวเหมียวบ่นพึมพำ

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่น้ำเสียงของเธอกลับไม่เผยถึงร่องรอยรู้สึกทุกข์ใจใดๆ เลย

“ช่างมันเถอะ เอาไว้เดี๋ยวค่อยเปิดพื้นที่มิติที่สองเพิ่มทีหลังก็แล้วกัน”

เสี่ยวเหมียวเอียงศีรษะของเธอ คิดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับมัน และตัดสินใจอย่างมีความสุข

“คุณผู้หญิง ชำระเงินเสร็จสิ้นแล้ว นี่บัตรของคุณค่ะ”

พนักงานขายยื่นสองมือส่งบัตรคืนให้แก่เสี่ยวเหมียวด้วยความนอบน้อม

เสี่ยวเหมียวรับบัตรมา และเสียบมันเก็บใส่กระเป๋าเล็กๆ ที่สะพายไว้ข้างกายอย่างระมัดระวัง

ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา เพราะด้วยบัตรใบนี้มันทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตได้ดั่งราชินีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่จำเป็นต้องฝากบิลหรือติดหนี้คนอื่นทิ้งเอาไว้ ดังนั้นการที่เธอเก็บมันไว้อย่างระมัดระวังจึงสมเหตุสมผลแล้ว

แถมพนักงานขายก็ต้อนรับเธอเป็นอย่างดี ทุกคนแสดงออกถึงความสุขและเต็มใจให้บริการ เพื่อให้ตลอดทั้งกระบวนการช็อปปิ้งเป็นไปอย่างสะดวกสบายและน่าพึงพอใจ

การที่ได้ใช้จ่ายเงิน ไม่ใช้หนี้ มันช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษจริงๆ

ย้ำอีกครั้งนะ ว่านี่คือการจ่ายเงินจริงๆ ไม่ใช่เป็นหนี้!

มันคือการจ่ายเงินจริงๆ!!

เสี่ยวเหมียวรู้สึกว่าเธอได้ตกหลุมรักโลกใบนี้เสียแล้ว

เจ้าตัวเดินออกจากร้านขายเสื้อผ้า และมองหาร้านช็อปปิ้งร้านต่อไป

ตลอดเส้นทาง คู่มือช็อปปิ้งของเทพธิดากงเจิ้งมีประโยชน์มากจริงๆ มันช่วยให้เสี่ยวเหมียวได้เพลิดเพลินไปกับการช็อปปิ้งได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีสะดุดเลย

และถ้าดูจากคู่มือการช็อปปิ้งของเทพธิดากงเจิ้ง สถานที่ต่อไปของเสี่ยวเหมียวก็คือ…

‘หนึ่งในร้านออกแบบทรงผมส่วนบุคคลที่ติดอันดับหนึ่งในสามของโลก’

ไม่นานนัก เสี่ยวเหมียวก็เดินมาหยุดอยู่หน้าร้าน

เธอเงยหน้าขึ้นไปมองป้ายโฆษณา

บนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ เป็นรูปของผู้หญิงที่มีหน้าตางดงาม เธอกำลังเผยรอยยิ้มสดใสและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

“มันคงจะไม่ใช่การแปลงโฉมหรือศัลยกรรมใบหน้าหรอกนะ” เสี่ยวเหมียวเอ่ยถามด้วยความกังวล

“โปรดมั่นใจ สถานที่นี้ไม่ใช่แบบนั้น”

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น “ตระกูลเจ้าของร้านแห่งนี้ เป็นตระกูลที่เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก อย่างเช่นเรื่องการบำรุงรักษาผิวพรรณ คุณสามารถสปาผิวให้ชุ่มชื้น ขัดผิวให้ขาวผ่องนุ่มนวล และหลังจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญในการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์กว่าหกคนจะช่วยกันออกแบบทรงผมและภาพลักษณ์ใหม่ให้แก่คุณ”

เสี่ยวเหมียวพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาสัมผัสลงบนใบหน้าของตัวเอง

จริงสิ เธอจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองบำรุงผิวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

แล้วผมของเธอ มันก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีเวลาที่จะตัดมันเลย

มันกี่วันมาแล้วกันนะ…

เสี่ยวเหมียวก้าวเข้าไปข้างใน

“ยินดีต้อนรับค่ะ!”

“โอ้! คุณคงจะเป็นแขกผู้มีเกียรติที่ได้ทำการนัดหมายไว้ใช่ไหมคะ กรุณาตามดิฉันมาได้เลย”

สองชั่วโมงต่อมา

เทพธิดากงเจิ้งก็ได้รับเส้นผมของเสี่ยวเหมียวมาในที่สุด

“ได้รับยีนของผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวเหมียวมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“พิจารณาจากความแข็งแกร่งของเธอ ผลสรุปว่าเป็นตัวอย่างสำคัญ ทำการจัดส่งไปเก็บยังธนาคารยีน”

“โครงการวิจัยรวบรวมยีนชั้นเลิศของผู้หญิง เริ่มกระบวนการเพาะเลี้ยง และทดสอบในครั้งที่หนึ่ง”

“โครงการการจัดเก็บรวบรวมยีนยังคงดำเนินต่อไป”

“เริ่มทำการสกัดตัวอย่างยีนจากบุคคลสำคัญทั้งหมดในโลก”

“ยีนของเก้าตระกูลใหญ่ ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว”

“จากการวิเคราะห์ พิจารณาว่ายีนของตระกูลเมดิซี มีลักษณะที่ค่อนพิเศษออกไป”

“ขั้นตอนที่สามของแผนการ ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นแล้ว”

“ในไม่ช้า แผนปฏิบัติการจัดเก็บยีนของตระกูลเมดิซี จากจักรพรรดินีเวโรน่า กำลังจะเริ่มขึ้น”

“เริ่มปฏิบัติการได้!”

………………………………….

แบรี่กอดอกและกล่าว “จะให้ช่วยดูแลโลก? คิดดีแล้วเหรอ มันจะดีกว่าไหมถ้าให้ฉันกลับไปด้วยกันกับนาย เพื่อดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์กันแน่”

เสี่ยวเหมียวยกมือขึ้นดึงแขนเสื้อพี่ชายเธอและกล่าว “พี่ชาย มีบางอย่างไม่ถูกต้อง น้องรู้สึกว่ามิติของโลกใบนี้กำลังถูกแช่แข็ง ส่งผลให้อีกไม่นาน พวกเราจะไม่สามารถเข้าหรือออกไปได้”

“ว่าไงนะ? หมายความว่าถ้าพวกเราออกไปก็จะไม่สามารถกลับมาได้อีกเลยเหรอ?”

“ไม่ใช่แบบนั้น นี่เป็นแค่ความปั่นป่วนของมิติเวลา แต่มันก็ยังกินเวลานานอยู่ดี น้องกลัวว่าพวกเราไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ”

“งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ เพราะถ้าในเมื่อพวกเราเข้าไม่ได้ คนอื่นก็ไม่น่าจะเข้ามาได้เหมือนกัน” แบรี่กล่าว

เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ กล่าวด้วยอาการปวดหัว “พี่ชาย พี่ลืมเรื่องพระเจ้าของสถาบันเทพไปแล้วเหรอ?”

พอได้ฟัง แบรี่ก็ร้องอ๋อ เขาตบหัวตนเองแทนคำตอบแก่เธอ

เสี่ยวเหมียว “ก่อนหน้านี้พวกเราถูกหลอกให้คิดว่ามันตายไปแล้ว แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นพระเจ้าจริงๆ น้องหมายถึงถ้าหากมันเป็นการดำรงอยู่ระดับนั้น บางทีก่อนที่โลกมิติอนันต์จะเสถียร มันอาจจะค้นพบช่องโหว่ของโลกใบนี้แล้วบุกเข้ามาก็ได้”

แบรี่พยักหน้า ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของน้องสาว

“น้องกำลังจะบอกว่า พวกเราควรจะอยู่ที่นี่ใช่ไหม”

“ใช่”

“เพราะพี่จะไม่ตายในการต่อสู้ ดังนั้นหากพวกมันบุกเข้ามา พี่ก็จะสามารถยืนหยัดอยู่ในแนวหน้าได้ ขณะที่น้องสามารถช่วยพาโลกทั้งใบหนีไปได้ในระหว่างการต่อสู้”

“ถูกต้อง”

“และเมื่อโลกใบนี้กลายเป็นโลกมิติอนันต์โดยสมบูรณ์ ช่องว่างมิติก็จะปิดลง โลกก็จะปลอดภัย และงานของพวกเราก็จะเสร็จสมบูรณ์”

“พี่ชาย คิดได้ไกลขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว พี่ดูฉลาดขึ้นมากเลยนะ” เสี่ยวเหมียวอุทานอย่างไม่คาดฝัน

“ฉะนั้น ช่วยผมหน่อยจะได้ไหม” กู่ฉิงซานร้องขอ

เขาหันไปมองหน้าต่างเทพสงคราม

เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งนาทีบนหน้าต่าง

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวพยักหน้า

“ก็ได้ๆ แต่ท่านลุงแบรี่คนนี้ยังไม่อยากรีบร้อนที่จะปีนหอคอยแห่งหมื่นโลกาหรอกนะ เพราะสิ่งที่ฉันต้องการ คือการไปดื่มในบาร์ที่ดีที่สุด และเล่นพนันในกาสิโนที่มีชื่อเสียงที่สุดต่างหาก” แบรี่ยิ้ม

“ส่วนฉันจะไปช็อปปิ้ง กู่ฉิงซาน เงินฝากของนายมากพอที่ฉันจะให้ฉันใช้จ่ายโดยไม่ต้องไปทำงานเป็นการแลกเปลี่ยนใช่ไหม?”

กู่ฉิงซานเคาะศีรษะตนเองดังก๊อง

“เทพธิดากงเจิ้ง”

“ใต้เท้า ฉันรู้แล้ว สำหรับเรื่องเงิน คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับมันเลย”

“โอเค งั้นเรื่องพาพวกเขาไปเที่ยว ฉันขอมอบหมายให้เป็นหน้าที่คุณก็แล้วกันนะ”

“ยินดีรับใช้”

กู่ฉิงซานหันไปมองแบรี่กับเสี่ยวเหมียวอีกที

และเห็นว่าทั้งสองกำลังเผยรอยยิ้มแล้ว และพยักหน้าให้ตน

กู่ฉิงซานจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ

ม่านแสงกะพริบไหว

แล้วเขาก็หายตัวไปจากโลกใบนี้

หลังจากที่เขาหายไป

รอยยิ้มบนใบหน้าของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็หายไปเช่นกัน

“น้องสาว”

“อืม อย่างที่พี่คิดนั่นแหละ ดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานจะรู้อะไรบางอย่างจริงๆ”

“แล้วน้องคิดว่าเขารู้เรื่องอะไร? ใช่เรื่องเดียวกันกับพวกเรารึเปล่า?”

“ไม่น่าจะใช่หรอก แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องที่พวกเรารู้ไม่ว่าอย่างไรก็บอกเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการลากเขาให้จมลงมาด้วยกัน”

“เฮ้อ” แบรี่ถอนหายใจ “ไม่คาดคิดเลยว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้ รวดเร็วชนิดที่ว่าโลกหกวิถีรวมเป็นหนึ่งในครั้งเดียว พี่ล่ะสงสัยจริงๆ ว่ามีสิ่งไหนอีกบ้าง ที่ทวยเทพได้เตรียมการเอาไว้ แล้วพวกเรายังไม่ได้ค้นพบมัน”

“อย่าพึ่งไปคิดมากเลย ตอนนี้พวกเราควรสะสมพละกำลังเอาไว้ แล้วอยู่กับปัจจุบันจะดีกว่า” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ

“ว่าแต่ทางด้านทะเลเลือดเป็นอย่างไรบ้าง?”

“เขายังคงค้นหาความลับของป่าช้าวันสิ้นโลกอยู่”

แบรี่ปฏิเสธที่จะยอมรับ เขาเอ่ยถามต่อ “แล้วยังมีใครในองค์กรอีกบ้างที่พอจะสามารถช่วยได้”

“ไม่มีเลย ไก่ใหญ่กำลังรักษาบาดแผล ส่วนปืนกลก็บุกไปที่สถาบันเทพแล้ว – ตอนนี้พวกเราคงหวังได้แค่ว่าทีมตรวจสอบของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงจะสามารถสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยให้กับสถาบันเทพได้ มิฉะนั้นคงเหลือแค่พวกเรา ที่จะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหมอนั่น” เสี่ยวเหมียวกล่าว

คำพูดนี้กระตุ้นแบรี่ให้นึกได้ถึงบางอย่าง

เขาล้วงเอาหนังสือพิมพ์ที่ว่างเปล่าออกมาจากอกเสื้อ

“ข่าวของวันนี้” แบรี่พูดกับหนังสือพิมพ์

ทันใดนั้นหนังสือพิมพ์ที่ว่างเปล่าก็ปรากฏภาพและข้อความมากมายขึ้นมา

“หืม? ข่าวนี้มัน…น้องสาว ลองดูนี่สิ!” แบรี่ตะโกน

“ไหนๆ ข่าวอะไร” เสี่ยวเหมียวชะโงกหน้าเข้ามา

เธอเอื้อมมือไปจับหนังสือพิมพ์และดูข่าวของวันนี้

เห็นแค่เพียงร่างของปืนกลอยู่บนหน้าปก

มันกำลังกราดยิงอย่างรุนแรงเข้าใส่สิ่งปลูกสร้างที่ดูวิจิตรงดงาม

โดยมีบรรทัดพาดหัวข่าวเขียนเอาไว้ว่า ‘ทีมตรวจสอบของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงได้ไปถึงสถาบันเทพแล้ว!’

พี่ชายและน้องสาวกวาดสายตาอ่านพาดหัวข่าวนี้อย่างรวดเร็ว

“เจ้าปืนกล เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามอย่างเต็มที่ ดูเหมือนว่าการต่อสู้ทางฝั่งนั้นจะเข้มข้นมากจริงๆ” แบรี่กล่าว

“แต่มันก็เป็นข่าวดีสำหรับเราเหมือนกันนะ น้องหวังว่าพวกเขาจะสามารถถ่วงเวลาไปได้เรื่อยๆ จนกว่าโลกมิติอนันต์แห่งนี้จะสมบูรณ์” เสี่ยวเหมียวกล่าว

“ใช่ เพราะท้ายที่สุดนี้ ถ้าข่าวเกี่ยวกับสมบัติในโลกใบนี้หลุดออกไป ผู้คนจำนวนมากคงคลั่งกันจนเป็นบ้าแน่ๆ”

ว่าแล้วทั้งสองก็แหงนหน้ามองหอคอยแห่งหมื่นโลกาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

หอคอยสูงแห่งนี้ถูกหล่อขึ้นด้วยทองแดง มันตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ

นี่คือวิธีการช่วยเหลือตนเองที่เหล่าทวยเทพเหลือทิ้งเอาไว้ให้กับเหล่าสิ่งมีชีวิต

“พวกเราจะต้องปกป้องโลกใบนี้เอาไว้ให้จงได้” แบรี่กำหมัดแน่น

“ใช่ รอกันที่นี่เถอะ” เสี่ยวเหมียวถอนหายใจและกล่าว

แต่ในเวลานั้นเอง เสียงของยานบินก็ดังขึ้นจากบนฟากฟ้า

เห็นแค่เพียงเรือรบประจัญบานร่อนลงมาจอดที่นี่

ประตูห้องโดยสารถูกเปิดออก ตามด้วยหุ่นรบขนาดเล็กตกลงมา หยุดอยู่ต่อหน้าพี่ชายและน้องสาว

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังออกมาจากหุ่นรบ

“สวัสดี ฉันได้รับคำสั่งจากใต้เท้ากู่ฉิงซาน ให้มาช่วยบริการท่านทั้งสอง”

หุ่นรบยื่นมือออกไป และส่งบัตรสองใบที่มีขนาดเล็กและบางราวกับปีกจักจั่นให้พี่ชายและน้องสาว

“เจ้าสิ่งนี้มันใช้ทำอะไร?” แบรี่เอ่ยถาม

“มันคือบัตรชำระเงินแบบไม่จำกัดจำนวน” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

แบรี่รับเอาบัตรมา

“แล้วนอกเหนือไปจากใช้จ่ายเงินแล้ว มันยังมีฟังก์ชันอื่นอีกไหม?” เสี่ยวเหมียวถาม

“แน่นอนว่ามี เพื่อแก้ไขปัญหาการเดินทางที่อาจจะเกิดขึ้น พวกคุณสามารถติดต่อกับฉันผ่านบัตรใบนี้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าพวกคุณจะมองหากาสิโน บาร์ หรือรีสอร์ตไว้ใช้พักผ่อน ก็สามารถถามจากฉันได้เลยโดยตรง”

“แล้วที่ช็อปปิ้งล่ะ พอจะมีพิกัดบ้างไหม?”

“พิกัดของสถานที่ที่สอดคล้องกับการช็อปปิ้งได้ทำเครื่องหมายเอาไว้ให้คุณแล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สงครามพึ่งจะจบลง ดังนั้นพวกห้างหรือในหลายๆ สถานที่จึงยังคงเงียบเหงา”

“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก สำหรับฉันแล้ว คนน้อยมันจะสะดวกกว่า”

ว่าจบ เสี่ยวเหมียวก็ยื่นมือไปรับบัตรมา

“พี่ชาย ตอนนี้พวกเรามาผ่อนคลายกันก่อนดีไหม?” เสี่ยวเหมียวถาม

“แน่นอน” แบรี่ตอบรับทันที

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ทั้งสองท่านอยากจะทำอะไรกันก่อน? ไม่ว่าจะเป็นในด้านความบันเทิงหรือเรื่องการกิน ฉันสามารถเลือกสถานที่ให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองท่านได้”

“ขอเลือกกินก่อน! พวกเราต้องการจะกินอาหารที่แพงที่สุดในโลก!”

แบรี่ตะโกนเสียงดัง

เทพธิดากงเจิ้งทำการแสดงพิกัดหลายแห่งบนบัตรที่ทั้งสองพึ่งจะรับไปทันที

“พิกัดเหล่านี้เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก” เทพธิดากงเจิ้งอธิบาย

เสี่ยวเหมียวกวาดสายตาผ่าน และกล่าว “น้องเลือกได้ที่หนึ่งแล้ว พี่ชาย พวกเราไปกันเถอะ”

“ฉันขอถามย้ำอีกครั้งนะ บัตรใบนี้สามารถรูดได้แบบไม่จำกัดจำนวนแน่ๆ ใช่ไหม?” แบรี่อดไม่ได้ที่จะถามซ้ำ

“ใช่แล้ว คุณสามารถใช้มันได้อย่างอิสระ โปรดมั่นใจ” เทพธิดากงเจิ้งยืนยัน

แบรี่ “เอาล่ะ งั้นก็ไปกันเถอะ”

เสี่ยวเหมียวคว้าจับมือของแบรี่ และกำลังจะเริ่มทำการย้ายมิติ

แต่จู่ๆ เธอก็หยุดลงอย่างกะทันหัน และหันไปเอ่ยถามหุ่นรบ “คุณเป็นใครกัน?”

“ฉันคือเทพธิดากงเจิ้ง เป็นเพื่อนของใต้เท้ากู่ฉิงซาน ยินดีที่ได้รู้จัก” เทพธิดากล่าว

“ชื่อว่าเทพธิดากงเจิ้งเหรอ? งั้นเธอก็เป็นผู้หญิงน่ะสิใช่ไหม? ทำไมไม่ไปช็อปปิ้งด้วยกันกับฉันล่ะ? ฉันจะต้องลองชุดนะ แต่ยังไม่มีเพื่อนในโลกนี้คอยช่วยให้คำแนะนำเลย” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แต่หุ่นรบกลับเงียบงัน ไม่เอ่ยตอบคำใดไปครู่หนึ่ง

“ไปกันเหอะ พี่อยากจะชิมอาหารของโลกใบนี้แล้ว” แบรี่เร่งเร้า

เสี่ยวเหมียวจึงไม่คิดชักชวนอีกต่อไป

เธอย้ำเตือนครั้งสุดท้าย “เทพธิดากงเจิ้ง ถ้าสิ่งมีชีวิตตนไหนในหกวิถีไม่เชื่อฟัง เธอสามารถแจ้งพวกเราได้ตลอดเสมอเลยนะ”

“รับทราบแล้ว ฉันขอขอบคุณท่านทั้งสองแทนใต้เท้ากู่ฉิงซานด้วย” เทพธิดากล่าว

เสี่ยวเหมียวพยักหน้าให้หุ่นรบเล็กน้อย และเริ่มใช้งานเทคนิคมนตรามิติ

พี่ชายและน้องสาวหายวับไปจากสถานที่เดียวกัน

แม้แขกจะจากไปแล้ว แต่หุ่นรบก็ยังคงนิ่ง

มันยืนอยู่ในจุดเดิมเป็นเวลานาน

อีกด้านหนึ่ง

ณ ขั้วโลกเหนือ

ภายในป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า

มันลอยอยู่เหนือยานอวกาศของเก้าตระกูลใหญ่ และยังคงถอดรหัสความลับของยานอวกาศ

ผ่านไปสักพักหนึ่ง

ในส่วนลึกเข้าไปของป้อมปราการดวงดาว

บนจอม่านแสง ข้อมูลที่กะพริบไหวอย่างบ้าคลั่งทั้งหมดหายวับไปอย่างกะทันหัน

หลงเหลือเพียงไม่กี่บรรทัดบนจอม่านแสง

“แกนกลางหลักของจักรวรรดิดวงดาวได้ถูกถอดรหัสลงแล้ว”

“จะแสดงถึงผลงานวิจัยที่ได้รับดังต่อไปนี้”

“ผลงานวิจัย แผนการรวบรวมยีนชั้นเลิศ”

“ได้รับฐานข้อมูลการทดลอง”

“ได้รับสถานที่จัดเก็บยีนของจักรวรรดิดวงดาว”

“ได้รับเทคโนโลยีทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง”

“หลังจากศึกษาข้อมูลร่างกายที่เกี่ยวข้องจากการทดลองแล้ว ผลสรุปว่าเทคโนโลยียังไม่สมบูรณ์ และยังคงขาดข้อมูลการทดลองที่สอดคล้องกัน”

“สถานะทางเทคโนโลยี ถูกปิดผนึก”

“เหตุผลที่ปิดผนึก เนื่องจากทางถูกสาธารณรัฐดวงดาวโจมตีอย่างกะทันหัน ส่งผลให้จักรวรรดิแห่งดวงดาวล่มสลาย งานวิจัยทดสอบทั้งหมดจึงถูกทำลายลงก่อนที่พวกเขาจะตื่นขึ้นมา”

“เก้าตระกูลใหญ่ถูกเนรเทศนับตั้งแต่วันนั้น”

เมื่ออธิบายถึงจุดนี้ เทพธิดากงเจิ้งก็เงียบงันไปหลายวินาที

ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังคิดสิ่งใดอยู่

แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ บนจอม่านแสงก็ปรากฏไม่กี่บรรทัดขึ้นมาอีกครั้ง

“การตัดสิน แผนการรวบรวมยีนชั้นเลิศ จะถูกรื้อฟื้น และเริ่มปฏิบัติการใหม่อีกครั้งทันที”

“เริ่มกระบวนการใช้ทรัพยากรทั้งหมด เพื่อดำเนินการทดลอง และรวบรวมข้อมูลเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีการจัดเรียงยีน”

“ระดับงานวิจัย ความลับสุดยอด”

“คนวงในที่สามารถล่วงรู้ กู่ฉิงซาน”

“เพื่อเป็นการลดระยะเวลาการวิจัย และปรับปรุงประสิทธิภาพการวิจัย ดังนั้นในเวลานี้ วัตถุประสงค์ของงานวิจัยจึงจะถูกปรับลดลง”

“จากสองวัตถุประสงค์การวิจัย ทำการพิจารณาตัดสินใจที่จะลบ การจัดเรียงยีนสั้นเลิศอย่างมีประสิทธิภาพของเพศชาย”

“กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย การจัดเรียงยีนสั้นเลิศอย่างมีประสิทธิภาพของเพศหญิง”

“ดังนั้น นับจากนี้ไปโครงการวิจัยจึงสมควรที่จะดำเนินการเปลี่ยนชื่อ”

“โครงการวิจัยได้รับการเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการ เทพธิดาฟื้นคืน”

“เริ่มกระบวนการสกัดยีนจากคลังพันธุกรรม และจัดการทดลองตามลำดับความสำคัญ จากผลการทดลองในครั้งอดีต”

“ถังบ่มเพาะ ถูกจัดเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว”

“เริ่มต้นงานวิจัยได้!”

………………………………….

แบรี่แหงนหน้ามองหอคอยทองแดงที่เสียดแทงลึกขึ้นไปในท้องฟ้า เขาอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความวิตกกังวลน้อยๆ ขึ้นในจิตใจ

“ฉันกลัวว่าการรังสรรค์นี้ของเทพวิญญาณ จะนำพามาซึ่งกลิ่นสาบเลือดของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่เอ่อนอง” เขากล่าว

“คุณกำลังจะบอกว่า ผู้คนมากมายจะต่อสู้ เพื่อแย่งชิงหอคอยและโลกใบนี้ใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

แบรี่ “นั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น ถ้ากฎเกณฑ์ของหอคอยเป็นอย่างที่ใบหน้าทองแดงพูด ที่บอกว่าสามารถช่วยให้ทุกเผ่าพันธุ์ชีวิตแข็งแกร่งขึ้นได้ แล้วข่าวมันแพร่กระจายออกไป ฉันเดาได้เลยว่ามันคงจะเกิดการปั่นป่วนครั้งใหญ่ขึ้น”

เสี่ยวเหมียว “เมื่อถึงเวลานั้น ทุกชนิดของความยากลำบากก็จะตามมา ปัญหามากมายจะเกิดขึ้น สุดท้ายอิทธิพลจากทุกฝ่ายก็จะเริ่มลงมือ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เคยปรากฏขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในประวัติศาสตร์”

“นั่นมันเป็นปัญหาจริงๆ อย่างน้อยก็มีสถาบันเทพที่หนึ่งแล้ว ที่รู้เรื่องนี้” กู่ฉิงซานกล่าว

ทั้งสามคนเริ่มวิตกกังวล

แต่ในเวลานั้นเอง ใบหน้าทองแดงก็พูดขึ้น

“เจ้าไม่ต้องกังวลไป สถานการณ์เช่นนั้น แน่นอนว่าเทพวิญญาณย่อมคาดการณ์เอาไว้แล้ว”

ทั้งสามหันไปมองใบหน้าทองแดงพร้อมกัน

ใบหน้าทองแดงยังคงกล่าวต่อ “เมื่อไหร่ก็ตามที่หกวิถีถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน และหอคอยแห่งหมื่นโลกาถือกำเนิดขึ้น เทพวิญญาณจักอวยพรคุ้มภัยแก่โลกใบนี้”

“อวยพรคุ้มภัย?” กู่ฉิงซานก้มลงมองใบหน้าทองแดง ปากเอ่ยถามซิอีกครั้ง

ใบหน้าทองแดงกล่าว “ยามที่ข้าสลายไป กฎเกณฑ์ของโลกก็จะเปลี่ยนคุณสมบัติของมัน กลายเป็นโลกมิติอนันต์”

โลกมิติอนันต์!

โลกที่ตราบใดเราทราบถึงพิกัดของมัน เราก็จะสามารถข้ามผ่านข้อจำกัดของมิติและเวลา แล้วไปปรากฏตัวได้ในสถานที่นั้นๆ ได้เลยโดยตรง!

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ จำเป็นต้องได้รับการยินยอมให้เข้ามาจากเจ้าของมันเสียก่อน

เพราะโลกมิติอนันต์น่ะเปรียบดั่งเซฟเฮ้าส์ ไม่ใช่สิ่งที่อิทธิพลจากภายนอกจะสามารถบุกเข้ามาตามอำเภอใจได้

และเป็นเพราะแบรี่มีสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมอยู่นั่นเอง เขาจึงยังสามารถรอดชีวิตมาจนถึงขนาดนี้ได้ ทั้งๆ ที่ตนได้รับบาดเจ็บสาหัส

หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขาหรือเสี่ยวเหมียว ก็จะไม่มีใครสามารถเข้าสู่สมาคมกำปั้นเหล็กได้

เมื่อได้ยินคำกล่าวของใบหน้าทองแดง ทั้งแบรี่และเสี่ยวเหมียวก็ถอนหายใจโล่งอก

กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย

ไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่ามาตรการคุ้มครองที่เหล่าทวยเทพเตรียมเอาไว้ให้ มันจะครอบคลุมถึงขนาดนี้

“เดี๋ยวก่อนนะ ในเมื่อโลกใบนี้จะกลายเป็นโลกมิติอนันต์ ถ้าเช่นนั้นแล้วเจ้าของโลกมิติอนันต์คือใครกัน?” แบรี่ถามอย่างกระตือรือร้น

“เจ้าของโลกมิติอนันต์ ก็คือคนที่ได้ทำการผสานรวมทั้งหกวิถีเข้าด้วยกัน” ใบหน้าทองแดงกล่าว

มันเบนสายตาไปมองกู่ฉิงซาน “และหากข้ารู้สึกไม่ผิด คนที่ทำการผสานรวมโลกก็คือเจ้า”

“เป็นผมเอง” กู่ฉิงซานยอมรับ

“เช่นนั้น เจ้าจงนำบางสิ่งบางอย่างที่จะใช้เป็นสื่อกลางในการถือครองอำนาจของโลกมิติอนันต์ออกมาเสีย”

“บางสิ่งบางเหรอ แล้วมันสมควรจะเป็นอะไร?”

กู่ฉิงซานหันไปมองแบรี่กับเสี่ยวเหมียว

สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรมากนัก แต่ถ้าเป็นแบรี่กับเสี่ยวเหมียวที่เป็นเจ้าของโลกมิติอนันต์ คงจะต่างออกไป

แต่แบรี่กับเสี่ยวเหมียวดูเหมือนจะหัวเราะนำไปก่อนแล้ว

แบรี่กล่าว “นั่นสินะ สัญญาณและประตูของโลกมิติอนันต์จำเป็นต้องมีสิ่งที่ใช้กระตุ้นมันอยู่นี่นา”

เสี่ยวเหมียว “ นายจะต้องเลือกสิ่งที่เสียหายได้ยาก แต่ขณะเดียวกันก็มีความเกี่ยวข้องกันกับโลกใบนี้ เลือกมันให้มาเป็นอุปกรณ์ในการใช้ควบคุมการเข้าออกโลกมิติอนันต์”

“นายจะต้องเลือกมันอย่างรอบคอบ มิฉะนั้นแล้ว หากสิ่งที่ใช้แบกรับอำนาจเกิดความเสียหาย การถ่ายโอนอำนาจโลกมิติอนันต์ จะเป็นอะไรที่ยุ่งยากและลำบากมาก” แบรี่เสริม

กู่ฉิงซานคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าจับอากาศที่ว่างเปล่าอย่างแผ่วเบา

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาปรากฏขึ้นในมือของเขา

บนดาบยาว ร่างของหญิงงามได้ปรากฏตัวออกมา

“นายน้อย ข้าเกรงว่าข้าจะไม่สามารถรับหน้าที่นี้ได้” ฉานนู่กล่าวอย่างไม่สบายใจ

กู่ฉิงซานยิ้ม “นั่นไม่จริงหรอก ตรงกันข้ามเลยต่างหาก ในความคิดของข้า หากไม่ใช่เจ้า เกรงว่าคงจะไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่จะสามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้”

ฉานนู่ “เหตุใดนายน้อยจึงกล่าวเช่นนั้น?”

กู่ฉิงซาน “นั่นเพราะเจ้าครอบครอง อมตะที่ส่งผลให้ไม่มีวันพังทลาย แหกกฎที่ส่งผลให้สามารถทำลายทุกกฎเกณฑ์ และทรงปัญญาที่สามารถเรียนรู้ประสบการณ์จากข้าได้ ด้วยสามพลังศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นเจ้าที่เหมาะสมที่สุด และหากวันใดที่ข้าล่วงลับไป เจ้าก็จงนำไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูตข้ามผ่านสายธารแห่งการหลงเลือน กลับไปยังปรภพ และจงหลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาล้อมเหล็กเสีย”

“หากทำอย่างที่ได้กล่าวมา ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถเปิดประตูโลกมิติอนันต์แห่งนี้ได้อีกต่อไป”

“แล้วโลกใบนี้ก็จะไม่มีทางถูกปองร้าย ยึดครอง หรือแม้กระทั่งทำลายลง โดยอิทธิพลใดๆ จากภายนอก”

“นี่คือวิธีการสุดท้าย ที่จะสามารถการันตีว่าจะปกป้องโลกใบนี้เอาไว้ได้”

ฉานนู่พยักหน้าอย่างเงียบๆ “ข้าเข้าใจแล้ว นายน้อย”

ว่าจบ เธอก็หายกลับเข้าไปในดาบขุนเขาเทวะหกโลกาอีกครั้ง

ใบหน้าทองแดงเฝ้ามองจนถึงฉากนี้ จึงค่อยเอ่ยถาม “เจ้าได้เลือกแล้วใช่หรือไม่?”

“ใช่ ผมได้เลือกแล้ว”

กู่ฉิงซานโยนดาบขุนเขาเทวะออกไป

“ยอดเยี่ยมจริงๆ เท่านี้ภารกิจของข้าก็เสร็จสิ้น ในที่สุดข้าก็จะสามารถเข้าสู่ห้วงความฝันอันยาวนาน หลับใหลลงสู่ความสงบอันเป็นนิรันดร์เสียที”

สิ้นคำกล่าวนี้ ใบหน้าทองแดงก็เริ่มพังทลายลง

มันปริร้าว แตกระแหงเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นกรวดสีทองแดงนับไม่ถ้วน ก่อนที่ทั้งหมดจะเริ่มกวาดขึ้นไปในอากาศ

กรวดนับไม่ถ้วนสอดแสงสีทองแดงออกมา และแยกบินหายไปในสองทิศทาง

โดยกรวดทองแดงส่วนใหญ่ได้บินขึ้นไปบนท้องฟ้า และค่อยๆ สลายไป

ในขณะเดียวกัน โลกทั้งใบก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

และกรวดทองแดงอีกส่วนหนึ่งก็ลอยตรงมาหมุนวนอย่างรวดเร็วรอบตัวดาบขุนเขาเทวะ

ในท้ายที่สุด ทั้งหมดก็ผลุบลงบนใบมีดของดาบยาว

ดาบยาวที่แต่เดิมสาดแสงสว่างไสวดั่งน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง บัดนี้ค่อยๆ แผ่คลื่นความผันผวนจากโบราณกาลออกมา

กระแสกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์กระจายออกมาจากดาบยาว

นี่คืออำนาจของเทพวิญญาณ! พวกมันกำลังมอบอำนาจให้กับโลกมิติอนันต์ที่กำลังเกิดใหม่

หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ก็ได้หายไป

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาตกลงในมือของกู่ฉิงซานอีกครั้ง

บนหน้าต่างเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ดาบของคุณได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้น”

“คุณสมบัติของดาบเกิดการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้”

“ดาบขุนเขาเทวะหกโลก ดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาในโลกนี้ กล่าวได้ว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะแห่งปรภพ”

“ดาบเล่มนี้คือดาบที่สามารถสำแดงกฎเกณฑ์ของภูเขาล้อมเหล็กได้”

“ตัวดาบครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ดังต่อไปนี้”

“พลังศักดิ์สิทธิ์ อมตะ”

“พลังศักดิ์สิทธิ์ ทรงปัญญา”

“พลังศักดิ์สิทธิ์ แหกกฎ”

“พลังศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักโลกา”

“พลังศักดิ์สิทธิ์ ควบคุมโลก ผู้ที่ถือครองดาบเล่มนี้ จะสามารถควบคุมโลกมิติอนันต์แห่งใหม่ได้”

ข้อมูลทั้งหมดหายไปทันที หลังจากที่กู่ฉิงซานอ่านมัน

และข้อมูลใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

“โลกกำลังจะถูกเปลี่ยนคุณสมบัติโดยอำนาจของทวยเทพ โดยจะใช้เวลาทั้งสิ้นเก้าถึงเก้าสิบเก้าวัน”

“ในช่วงเวลานี้ โลกใหม่จะค่อยๆ ได้รับคุณสมบัติของโลกมิติอนันต์”

“สามนาทีหลังจากนี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทางการจะเริ่มต้นขึ้น และหลังจากนั้น ทุกสิ่งมีชีวิตจะไม่สามารถเข้าหรือออกจากโลกใบนี้ไปได้”

“ระบบเทพสงครามขอแนะนำให้คุณใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ คงหาจากที่อื่นมิได้อีกแล้ว ทุ่มเต็มกำลังเร่งปีนหอคอยแห่งหมื่นโลกา”

กู่ฉิงซานอ่านข้อมูลบนหน้าต่างเทพสงคราม และไตร่ตรองอย่างเงียบๆ

“ยินดีด้วยนะกู่ฉิงซาน ถึงแม้นายจะยังไม่ได้เป็นจ้าววงการ แต่กลับสามารถมีโลกมิติอนันต์เป็นของตัวเอง!” เสี่ยวเหมียวกล่าวแสดงความยินดี

แบรี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นสิ เขาไม่ใช่แค่มีโลกมิติอนันต์ แต่ยังมีหอคอยแห่งหมื่นโลกาไว้ในครอบครองอีก! ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ไป สมาคมของเราคงไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องเงินอีกแล้วในอนาคต”

“ถูกเผง!” เสี่ยวเหมียวปรบมือด้วยความสุข “เพราะจากนี้ไป จะมีผู้คนนับไม่ถ้วนมาอ้อนวอนเรา เพื่อต้องการที่จะได้เข้าสู่โลกใบนี้”

ทว่าเมื่อกล่าวถึงจุดนี้ การแสดงออกทางสีหน้าของแบรี่ก็กลายเป็นจริงจังอีกครั้ง “เสี่ยวเหมียว เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ นอกจากน้อง พี่ แล้วก็กู่ฉิงซาน จะต้องไม่ให้ใครล่วงรู้ถึงมันเด็ดขาด”

“วางใจเถอะพี่ชาย น้องจะไม่แพร่งพรายข้อมูลเกี่ยวกับกู่ฉิงซานและโลกใบนี้ออกไปอย่างแน่นอน จนกว่าเขาจะพร้อม” เสี่ยวเหมียวกล่าว

แบรี่พยักหน้า “เอาไว้รอให้โลกมิติอนันต์ก่อตัวขึ้นโดยสมบูรณ์เสียก่อน ระหว่างนั้นกู่ฉิงซานก็เข้าไปสำรวจหอคอย ด้วยวิธีนี้ จะทำให้นอกจากพวกเราสามคนก็จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีกแล้ว”

“กู่ฉิงซาน นายรีบลองเข้าไปปีนหอคอยแห่งหมื่นโลกาดูเร็วเข้า พวกเราอยากรู้จะแย่อยู่แล้วว่านายจะแข็งแกร่งได้รวดเร็วขึ้นขนาดไหน”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังคำของทั้งสอง ที่กำลังช่วยเขาตัดสินใจอย่างมีความสุข ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

ทว่าสุดท้ายเขาก็ยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยและกล่าว “แบรี่ เสี่ยวเหมียว ผมเกรงว่าโลกใบนี้คงจะต้องปล่อยให้พวกคุณเป็นคนช่วยดูแลชั่วคราวเสียแล้วล่ะ”

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวชะงักไป

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “แน่นอน พวกคุณสามารถปีนหอคอยแห่งหมื่นโลกาได้ถ้าต้องการ และยังสามารถออกไปเที่ยวชมโลก ลิ้มรสอาหาร เหล้าหรือไวน์ทั้งหมดที่ต้องการก็ดื่มมันได้เลยตามสบาย โดยเทพธิดากงเจิ้งจะเป็นคนช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดในนามของผมเอง”

“รับทราบแล้วใต้เท้า”

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังออกมาจากสมองควอนตัม

“ส่วนเรื่องของวันนี้ ฉันคงต้องขอให้คุณช่วยเก็บมันไว้เป็นความลับด้วย”

“วางใจเถอะใต้เท้า ฉันจะไม่แพร่งพรายมันออกไปอย่างแน่นอน” เทพธิดารับคำ

“เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมนายพูดเหมือนว่ากำลังจะจากไปเลย มันเกิดอะไรขึ้น?” แบรี่ถาม

กู่ฉิงซานตอบกลับอย่างสงบ “ผมเป็นห่วงทางด้านอาจารย์ของผม เพราะตอนนี้ท่านได้ขึ้นเป็นผู้นำของกลุ่มพันธมิตรแล้ว ผู้นำที่ซึ่งต้องคอยรับผิดชอบการต่อสู้กับอาณาจักรมาร”

“สงครามเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากที่สุด และท่านก็พึ่งจะได้รับตำแหน่งนี้ ผมเลยกลัวว่าจะยังมีปัญหาบางอย่าง หรือความขัดแย้งภายในยังคงเกิดขึ้น”

“ศิษย์พี่ของผมเองก็ไม่ชอบฝึกยุทธ์ ส่วนศิษย์น้องก็ยังเด็ก ในส่วนนี้ผมก็เป็นกังวลเกี่ยวกับพวกเขาเหมือนกัน”

“แต่ผมจะโล่งใจมาก ถ้ามีพวกคุณทั้งสองคอยคุ้มครองอยู่ที่นี่”

“เพราะฉะนั้น ตอนนี้ผมจะต้องกลับไปยังโลกเทวะ”

“และถ้ามีพวกคุณคอยช่วยดูแลโลกใบนี้ให้ผมสักพัก ผมจะรู้สึกขอบคุณมากๆ”

………………………………….

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเริ่มหันไปมองรอบๆ ใบหน้าทองแดง

ขณะที่กู่ฉิงซานยังคงยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิมอย่างว่างเปล่า

ในหัวใจของเขาฟุ้งไปด้วยความคิดมากมาย จนไม่อาจข่มมันให้สงบลงได้เลย

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อมองลงบนใบหน้าทองแดง เขาก็ย้อนนึกไปถึงร่างใหญ่

ร่างใหญ่ถูกขังอยู่ในโลกปิด ถูกตรึงเข้ากับเสาทองแดง และไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้

บางทีเสาทองแดงนั่น… ก็อาจจะเป็นสิ่งที่เหล่าทวยเทพสร้างขึ้นเช่นกันใช่หรือไม่

หากเขาได้เข้าไปหาร่างใหญ่ในครั้งต่อไป ตนจะต้องไม่ลืมเอ่ยถามถึงที่มาของมัน

แถมยังมีอะไรแปลกๆ อย่างมอนสเตอร์ประหลาดตัวนั้นอีก

มอนสเตอร์ที่คอยกัดกินเลือดเนื้อของร่างใหญ่

นอกจากนี้ มันยังเรียกชื่อของเขา และกระโจนเข้ามาสังหารตนเอง

แต่โชคยังดี ที่ตัวเขาได้สวมใส่เกราะเทพเอาไว้ ทำให้สามารถซื้อเวลาได้มากพอ และพลิกกลับสังหารมอนสเตอร์ประหลาดลงได้ในที่สุด

มันบอกว่าตัวเขาน่าสงสาร

น่าสงสาร…

ในหัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดความสงสัยผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน

สถานการณ์ในขณะนั้น ความแข็งแกร่งของตนยังอ่อนแอเกินไป เกราะเทพจึงทำได้เพียงช่วยชะลอเวลา ขณะที่ดาบพิภพทำได้เพียงระเบิดพลังออกมาเท่านั้น

ส่งผลให้เขาจำต้องสังหารมอนสเตอร์ลง ไม่สามารถจับเป็นกลับมาเพื่อเค้นถามอย่างช้าๆ ได้

ตอนนี้ ทั้งหมดจึงได้กลายเป็นปริศนาไปแล้ว

กู่ฉิงซานไม่อาจอาศัยข้อมูลที่เขารู้อยู่ในปัจจุบัน คาดเดาอะไรได้เลย

นี่มันช่างชวนให้สิ้นหวังจริงๆ!

กู่ฉิงซานลดเปลือกตาลง และถอนหายใจอย่างเงียบๆ

ในที่สุดเสี่ยวเหมียวก็สังเกตได้ถึงการแสดงออกที่ผิดปกติของกู่ฉิงซาน

เธอกระโดดขึ้นไปบนปลายจมูกของใบหน้าทองแดง และเพ่งดูกู่ฉิงซานอย่างใกล้ชิด

“กู่ฉิงซานเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นกับนายงั้นเหรอ?”

เธอถาม

“ผมไม่เป็นอะไรหรอก” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมก็แค่คิดว่ากุญแจสำคัญในการเปิดสุสานแห่งโลกมันอาจจะอยู่ในดวงตาของรูปปั้นเทพก็ได้”

“โอ๊ะ? ที่แท้นายยืนนิ่งก็เพราะกำลังคิดหาวิธีอยู่นี่เอง”

เสี่ยวเหมือนอุทาน

แบรี่ก็ได้ยินสิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าวเช่นกัน

เขาไม่พบอะไรบริเวณปากของใบหน้าทองแดง เจ้าตัวผุดลุกขึ้นและเอ่ยถาม “นายคิดว่าเป็นตรงบริเวณตาใช่ไหม?”

แบรี่ขยับร่างตน ตรงไปยังดวงตาของรูปปั้นทองแดง

“ตาข้างซ้าย” กู่ฉิงซานช่วยเตือน

แบรี่พยักหน้า และย่อตัวลงบริเวณขอบดวงตาซ้ายของรูปปั้นทองแดง

เขาก้มลงและกดฝ่ามือของเขาลงบนผิวดวงตาทองแดง และทำการรับรู้ถึงมันอย่างระมัดระวัง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แบรี่ก็ตะโกนออกมา “มันมีบางอย่างต่างออกไปจริงๆ ด้วย”

“ต่างออกไปยังไงเหรอ?” เสี่ยวเหมียวตะโกนถามจากระยะไกล

“ดวงตานี่มันหลวม เหมือนว่าจะสามารถเคลื่อนย้ายได้”

ระหว่างกล่าว แบรี่ก็กดมือลงแรงๆ บนมัน

ดวงตาของใบหน้าทองแดงค่อยๆ จมลง จนเหลือเพียงสองหลุมดำบนใบหน้าของรูปปั้น

หนึ่งลมหายใจผ่านไป

ทันใดนั้นไฟสว่างสองดวงก็ปรากฏขึ้นภายในดวงตาของรูปปั้น

เมื่อแสงปรากฏ ทั้งร่างของรูปปั้นก็ราวกับได้รับชีวิตกลับคืนมาทันที

รูปปั้นทองแดงเปิดปากและถอนหายใจยาว

มันมองแบรี่ แล้วก็เสี่ยวเหมียว สุดท้ายกู่ฉิงซาน

“เป็นเจ้าที่ปลุกข้าให้ตื่นขึ้นงั้นหรือ?” รูปปั้นทองแดงถาม

เสียงของมันสะท้อนกังวานไปหลายชั้น เป็นน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม

“ใช่ เป็นพวกเราเอง” แบรี่กล่าว

“ทำได้ดีมาก” รูปปั้นทองแดงยกย่อง “ก่อนที่เหล่าทวยเทพจะจากไป สถานที่แห่งนี้คือสุสานแห่งโลกที่พิเศษกว่าที่อื่นๆ”

“หากจะเปิดมัน ก็จำต้องทำการผสานรวมหกวิถีแห่งสังสารวัฏให้เป็นหนึ่งเดียวกันเสียก่อน”

“ท่ามกลางสายธารแห่งกาลเวลาที่ไหลผ่านมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มีคนผสานรวมโลกมนุษย์ โลกอาชูร่า โลกสวรรค์ โลกปรภพ โลกผีร้าย และโลกจ้าวอสูร เข้าด้วยกันได้เสียที”

“ถึงแม้ว่าพวกเราจะจากไปเนิ่นนานแล้ว แต่พวกเรายังสามารถรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้ และรู้สึกโล่งใจจริงๆ”

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวมองหน้ากันและกันด้วยความประหลาดใจ

ทั้งสองคือฮีโร่ที่ผ่านพ้นประสบการณ์มามากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถตระหนักได้ถึงคำใบ้บางอย่างในประโยคของใบหน้าทองแดงได้อย่างชัดเจน

“เทพวิญญาณที่เคารพ ทำไมท่านถึงต้องการให้โลกหกวิถีผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วย?” เสี่ยวเหมียวถาม

“เพราะนี่คือความปรารถนาของเรา พวกเรากำลังเตรียมพร้อมที่จะกระทำมันให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ในที่สุดพวกเราก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทำมัน เนื่องจากเกิดเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างขึ้นเสียก่อน” ใบหน้าทองแดงตอบ

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวพอได้ฟัง ก็ไม่เข้าใจว่าความหมายของอีกฝ่ายคือสิ่งใด

มีเรื่องที่เหล่าทวยเทพยังทำไม่สำเร็จอยู่ด้วยอย่างงั้นหรือนี่?

กู่ฉิงซานช็อค

ทันใดนั้นในจิตใจของเขาก็ราวกับได้รับแสงสว่าง

หลังจากที่เหล่าทวยเทพได้สร้างโลกหกวิถีขึ้น และเตรียมที่จะหลอมรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ความตั้งใจของพวกเขาถูกค้นพบโดยศัตรู

จนโลกหกวิถีต้องถูกทำลายลง!

นี่เองสินะ คือเหตุผลที่เหล่าทวยเทพไม่สามารถทำมันได้!

“เพราะอะไร ทำไมท่านถึงไม่มีเวลาที่จะทำมัน?” กู่ฉิงซานลองเอ่ยถาม

ใบหน้าทองแดงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง

“คำถามนี้มิใช่สิ่งที่เจ้าควรจะรู้” ใบหน้าทองแดงกล่าว

กู่ฉิงซานสวนกลับทันที “เช่นนั้นโปรดบอกผม ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ทำการผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน”

ใบหน้าทองแดงนิ่งงันไปอีกครั้ง

มันถอนหายใจอย่างลึกล้ำ และกล่าว “การผสานรวมของหกวิถี จะก่อให้เกิดความเป็นไปได้บางอย่างขึ้น แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรจะรู้”

ใบหน้าทองแดงไม่คิดตอบคำถามอีกต่อไป มันกล่าว “ตอนนี้ อีกไม่นาน สุสานแห่งโลกที่พิเศษจะถูกปลุกขึ้น”

แบรี่ถามเสียงหม่น “ที่ว่าตื่นขึ้นน่ะหมายความว่ายังไง? ฉันจำได้ว่าสุสานแห่งโลกคือพื้นที่ ที่ซ่อนอยู่ในมิติ และทำได้เพียงต้องเข้าไปนำสมบัติมาจากข้างในไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อสนทนากันมาถึงจุดนี้ แบรี่เองก็เริ่มรู้สึกแล้วถึงความผิดปกติบางอย่าง

“นี่คือสุสานแห่งโลกที่พิเศษออกไป” ใบหน้าทองแดงกล่าว

ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันและกัน

พวกเขาย้อนนึกไปถึงคำพูดของคนจากสถาบันเทพ

กลุ่มคนจากสถาบันเทพเข้ามายังโลกใบนี้ ก็เพื่อที่จะตามหาสุสานแห่งที่พิเศษออกไป เพื่อพระเจ้าของพวกเขา

ขณะนั้นเอง ใบหน้าทองแดงก็อธิบายต่อ “เมื่อเจ้าผสานโลกหกวิถีจนครบ แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อย ก็ยังสามารถพัฒนาขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นเราจึงฝังหอคอยไว้ที่นี่ เพื่อรอให้มันถูกปลุกขึ้นมา”

พร้อมกันกับคำพูดของมัน โลกทั้งใบก็เริ่มสั่นสะเทือน

“ดูนั่นสิ!” เสี่ยวเหมียวร้องออกมา

ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตรข้างๆ ใบหน้าทองแดง หอคอยสูงที่สาดแสงเย็นของโลหะก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

-นี่คือหอคอยที่ถูกทำขึ้นมาจากทองแดงทั้งหมด!

มันโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน และดิ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลุขึ้นไปถึงชั้นเมฆแล้วจึงค่อยชะลอตัวลง

ครืน…

ท่ามกลางการสั่นสะเทือน หอคอยสูงตั้งตระหง่านเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลกเข้าด้วยกัน

มันช่างงดงามและเปี่ยมไปด้วยบารมี หากผู้ใดจ้องมองมัน ในหัวใจย่อมรู้สึกได้ถึงความยำเกรงและเคารพบูชา

เสี่ยวเหมียวเอ่ยเสียงแหบแห้ง “อย่าบอกนะว่านี่คือหอคอยแห่งความรู้ของสมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูง?”

ใบหน้าทองแดงกล่าว “ไม่ใช่ นี่คือมิใช่หอคอยแห่งความรู้ แต่มันคือหอคอยสุดท้ายที่เทพวิญญาณสร้างขึ้น เรียกว่าหอคอยแห่งหมื่นโลกา”

“หอคอยแห่งหมื่นโลกา?”

“ถูกต้อง หอคอยแห่งความรู้ คือสิ่งที่ทุกสรรพชีวิตสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับความรู้ของโลกผ่านทางวิธีการและรูปแบบต่างๆ ได้ ทว่าสำหรับหอคอยแห่งหมื่นโลกานี้ ความรู้และหลักการทั้งหมดของโลกทั้งล้านล้านใบได้ถูกเตรียมเอาไว้ให้พร้อมแล้ว และเมื่อสิ่งมีชีวิตใดๆ สามารถผ่านการทดสอบ พวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้มัน และแข็งแกร่งขึ้นได้ทันที”

“ทุกคนที่เข้ามาในหอคอยนี้ จะต้องเผชิญกับการทดสอบที่แตกต่างกันออกไป และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาบรรลุบททดสอบ พวกเขาก็จะสามารถปีนขึ้นไปยังชั้นถัดไปได้”

“ยิ่งจำนวนชั้นสูง รางวัลก็ยิ่งเลอค่า”

“แล้วรางวัลที่ว่านั่นมีอะไรบ้าง?” แบรี่ถาม

“เทคนิคลับในการยกระดับ กุญแจสำคัญในการวิวัฒนาการ สกิล อาวุธ สมบัติ อุปกรณ์ หนทางสู่ความเชี่ยวชาญพิเศษ ฯลฯ”

“ทุกสิ่งมีชีวิตสามารถปีนหอคอย เพื่อพัฒนาตนให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้”

“นี่คือวิธีการช่วยเหลือตนเอง ที่เหล่าทวยเทพทิ้งไว้ให้ทุกสรรพชีวิต!”

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวรับฟังอย่างเงียบๆ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปแหงนหน้ามองดูหอคอยทองแดงที่สูงตระหง่านอีกครั้ง

“ใหญ่โตเกินไป…” เสี่ยวเหมี่ยวอดพูดไม่ได้

แบรี่ถอนหายใจ “เหล่าทวยเทพช่างมีเมตตาจริงๆ พวกเขาได้สร้างสิ่งนี้ เพื่อช่วยให้ทุกชีวิตแข็งแกร่งขึ้น”

ใบหน้าทองแดงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทวยเทพทรงรักในทุกชีวิต ทวยเทพทรงเมตตาต่อชีวิตทั้งมวล ยิ่งทุกชีวิตแข็งแกร่งขึ้น ทวยเทพก็จะยิ่งรู้สึกพึงใจและมีความสุข”

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวผงกหัวเล็กน้อย

เหล่าทวยเทพได้สร้างหอคอยแห่งหมื่นโลกาทิ้งเอาไว้เพื่อทุกสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง

และคงไม่มีเหตุผลอื่นใดอีก นอกไปจากความเมตตาต่อทุกสิ่งมีชีวิต เนื่องด้วยหวังว่าทุกสิ่งมีชีวิตจะสามารถอยู่รอด และมีชีวิตที่ดีขึ้น

มีเพียงกู่ฉิงซานที่รับฟังอย่างเงียบๆ และไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา

‘เหตุผลที่ทำไมเทพวิญญาณถึงต้องการให้ทุกสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งขึ้นน่ะหรือ?’

‘แท้จริงแล้วหาใช่ความเมตตา แต่เป็นเพราะพวกเขาต้องการให้ทุกสรรพชีวิตเป็นกำแพงอุปสรรค คอยถ่วงเวลาให้พวกเขาหลบหนีไปต่างหาก!’

‘เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่ง ทว่าใบหน้าทองแดงกลับกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิ สื่อเจตนาบ่งบอกว่าทวยเทพนั้นประเสริฐเพียงไร’

ความโกรธในจิตใจของกู่ฉิงซานเริ่มที่จะปะทุขึ้นทีละน้อย

ทว่าเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าพลังที่จะสามารถช่วยให้ตนแข็งแกร่งขึ้นได้ ฉะนั้นจะให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลทำเป็นละเลยมันไปก็คงจะไม่ได้เช่นกัน

เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤต เหล่าทวยเทพแท้จริงแล้วกลับเลือกที่จะใช้สิ่งมีชีวิตตลอดทั้งหมื่นโลกาเป็นโล่กำบัง

โดยแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้น บ่งบอกกลายๆ ว่าพวกเจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นนะจึงจะไขว่คว้าความหวังที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้

แต่อันที่จริง ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความหวังนั่นมันอาจจะไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้

พวกเขาน่ะไร้ซึ่งความหวังในการมีชีวิตรอด ขณะเดียวกันก็ต้องกลายเป็นเพียงเครื่องมือที่ต้องแข็งแกร่งขึ้น คอยช่วยต้านทานศัตรูของเหล่าทวยเทพ

ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าโดยแท้

มันจะไม่มีหนทางใดเลยหรือที่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลจะสามารถรอดชีวิตไปได้?

ที่สิ่งมีชีวิตสามารถกระทำได้ คือการตกเป็นเครื่องมือในการปกป้องเหล่าทวยเทพเท่านั้นเองหรือ?

กู่ฉิงซานกัดฟันแน่น

ความไม่ยินยอมที่จะแข็งแกร่งขึ้นแลกกับการตกเป็นเครื่องมือ เดือดปุดๆ อยู่ในหน้าอกของเขา เขาต้องพยายามควบคุมตัวเองอย่างเต็มกำลัง เพื่อที่จะยับยั้งไม่ให้ความสิ้นหวังและความโกรธในจิตใจปะทุออกมา

ไม่!

โชคชะตาของฉัน เช่นเดียวกันกับโชคชะตาของทุกสิ่งมีชีวิต มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้!!!

แน่นอน… มันจะต้องมีหนทางสิ…

กู่ฉิงซานฝืนบังคับตัวเองให้สงบลง และมุ่งเน้นสมาธิเริ่มขบคิดอย่างจริงจัง

จู่ๆเขาก็พลันตระหนักได้ถึงฉากที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ประโยคสุดท้ายที่เงาจากยุคโบราณพูดขึ้นก่อนจะสลายไป

“เพราะเหล่าทวยเทพได้สร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ขึ้นมากมาย และบางอย่างหากวิวัฒนาการแล้วก็อาจถึงขั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดได้เต็มปากว่า จะไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ เกิดขึ้นเลย จนกว่าตลอดทั้งหมื่นโลกาจะถูกทำลายลงจนพินาศสิ้น”

ประโยคนี้ยังอื้ออึงอยู่ในหูของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานกรองคำกล่าวของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทันใดนั้นเอง ความคิดหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็ผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา

ใช่แล้วล่ะ เช่นเดียวกันกับความปรารถนาของเทพบรรพกาล ทุกสิ่งมีชีวิตในตลอดทั้งหมื่นโลกาสมควรที่จะเติบโต และแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

แต่ที่จะแกร่งขึ้น ไม่ใช่เพื่อเป็นเครื่องมือที่คอยช่วยป้องกันเหล่าทวยเทพ

นั่นก็เพราะ…

แม้ทุกสรรพชีวิตจะถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ แต่ใครจะกล้าพูดได้อย่างเต็มปากกันล่ะว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะไม่สามารถเหนือล้ำยิ่งกว่าทวยเทพได้?

มีแค่เพียงจะต้องแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเหล่าทวยเทพเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างหนทางแห่งความหวังให้หลุดพ้นจากชีวิตและความตายได้!

นี่คือวิธีเดียวที่จะสามารถเอาชนะเทพวิญญาณ และสามารถจัดการกับการดำรงอยู่ที่แม้แต่เหล่าทวยเทพก็ยังหวาดกลัวได้!

นี่คือหนทางที่ทุกสิ่งมีชีวิตสมควรจะปฏิบัติ!!!

กู่ฉิงซานกำหมัดของเขาแน่น

ช่วงเวลานี้ ในหัวใจของเขาบังเกิดความหาญกล้าพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์!

………………………………….

เงาบุคคลยังคงนิ่งมองกู่ฉิงซาน ผ่านดวงตาของใบหน้าทองแดงอย่างเงียบๆ

อย่างไรก็ตาม แบรี่และเสี่ยวเหมียวกลับไม่สามารถตระหนักถึงมัน

แบรี่ “นายต้องระวังตัวให้ดี จะมีบางสุสานแห่งโลกที่มักจะเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นเหมือนกัน ในช่วงเวลาก่อนที่มันจะถูกเปิด”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ด้วยความแข็งแกร่งของฉันกับพี่ชาย พวกเราสามารถรับมือมันได้อย่างแน่นอน” เสี่ยวเหมียวพูดด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสามยังคงร่อนลงไปยังใบหน้าทองแดง

หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ

พวกเขาก็ลงมาหยุดยืนบนปลายจมูกของใบหน้าทองแดงได้ในที่สุด

“ต่อไป พวกเราจะแยกกันสำรวจ และดูว่ามีอะไรพิเศษเกี่ยวกับรูปปั้นทองแดงนี้รึเปล่า” แบรี่กล่าว

“ถ้าว่ากันโดยทั่วไปแล้ว รูปปั้นที่ดูพิเศษแบบนี้ อย่างไรก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับวิธีการเปิดสุสานแห่งโลกอย่างแน่นอน” เสี่ยวเหมียวอธิบายกับกู่ฉิงซาน

“งั้นพวกเราก็มาเริ่มกันตอนนี้เลยไหม?” แบรี่เริ่มควงแขนของเขาที่เปี่ยมไปด้วยพลัง

เพราะท้ายที่สุดนี้ มันเป็นสิ่งที่เหล่าทวยเทพทิ้งเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้สำรวจมัน

กู่ฉิงซานเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของทั้งสองอย่างเยือกเย็น

แต่ก็พบว่าทั้งแบรี่และเสี่ยวเหมียว ไม่ได้มองเห็นเงาบุคคลคนนี้จริงๆ

พี่ชายและน้องสาวมีบุคลิกที่เปิดเผยและซื่อตรง

หากพวกเขาหลอกลวงตนเอง โดยการแสร้งทำเป็นไม่เห็นเงาบุคคล และแกล้งไม่พูดถึงมัน การแสดงออกของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวจะต้องมีบางอย่างผิดปกติไปอย่างแน่นอน

นี่มันแปลกจริงๆ

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึก

เขาตัดสินใจที่จะแนะนำแบรี่กับเสี่ยวเหมียวอีกครั้ง โดยการขอให้ทั้งสองใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราบางอย่าง

หากใช้เทคนิคมนตรา บางทีทั้งสองอาจจะมองเห็นถึงเงาบุคคลคนนี้ก็ได้

กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “แบรี่ เสี่ยวเหมียว พวกคุณลองใช้เทคนิคมนตรา มองเข้าไปในดวงตาซ้ายของใบหน้าทองแดงดูสิ ผมพบว่า…”

แต่แล้วคำพูดของเขาก็ขาดห้วงไป

 เมื่อเจ้าตัวกล่าวว่า ‘ดวงตาซ้ายของใบหน้าทองแดง’ ทุกอย่างรอบตัวเขาเปลี่ยนไป

สภาพแวดล้อมโดยรอบกลายเป็นพร่ามัว ฉากต่างๆ มากมายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเส้นแสง แยกตัวออกไปจากกู่ฉิงซาน

โลกทั้งใบกลายเป็นความว่างเปล่าสีขาวบริสุทธิ์

กู่ฉิงซานค้นพบว่าตัวเองกำลังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ แต่ขณะที่กำลังจะตั้งสติได้ เขาก็ถูกทิ้งให้ตกลงมาบนพื้นอีกครั้ง

เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และหันไปมองรอบๆ

เหนือ ใต้ ออก ตก สวรรค์และโลกทั้งสี่ทิศทาง ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด

โลกทั้งใบนอกเหนือไปจากสีขาว ก็ไม่อาจมองเห็นถึงสิ่งใดได้อีกเลย

โลกทั้งใบล้วนเป็นสีขาว เว้นไว้เพียงแต่เกาะหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว

เป็นเกาะที่กู่ฉิงซานกำลังหยั่งเท้าอยู่

ในไม่ช้า เขาก็ออกจากโลกใบเดิม และมาหยุดยืนอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวแห่งนี้

เสี่ยวเหมียวกับแบรี่ได้หายไปแล้ว

หลงเหลือเขาเพียงลำพังตลอดทั้งเกาะ

ซึ่งเกาะนี้กำลังลอยอยู่เหนือหุบเหวไร้ก้นบึ้ง ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด

ฉากดังกล่าวนี้ ค่อนข้างดูคล้ายกับเกาะลอยฟ้าในโลกล่องเวหา

อย่างไรก็ตาม นี่มันแตกต่างจากโลกล่องเวหา เพราะเบื้องล่างของมันเป็นหุบเหวลึก ไร้ซึ่งวี่แววใดๆ ของมารโลกา

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง และลองย่ำๆ ลงกับพื้น

พื้นมีความแข็งเป็นอย่างมาก แถมยังสาดแสงมันวาวของโลหะ

นี่คือสีเงาวาวของทองแดง

กลับกลายเป็นว่าเกาะแห่งนี้ ทำมาจากทองแดงทั้งเกาะ

กู่ฉิงซานขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มเย็น

หากต้องการที่จะเคลื่อนย้ายสองตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ โดยไม่ให้ได้รับการต่อต้านใดๆ คงจะเป็นการยากเกินไป

ดังนั้น

ในความเป็นจริง เลยมีเพียงตนเองเท่านั้นที่ถูกเคลื่อนย้ายมา

นี่คือคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด

“เป็นเทคนิคหลอนประสาทรึเปล่านะ?”

กู่ฉิงซานพึมพำ และคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกมาจากความว่างเปล่า

ดาบขุนเขา ทำลายกฎเกณฑ์!

ภายใต้การทุ่มเต็มกำลังของตนเอง อย่างน้อยก็สมควรที่จะสามารถทำลายเทคนิคหลอนประสาทเบื้องหน้านี้ลงได้

เขาง้างดาบขึ้น และเตรียมที่จะสับออกไป

“ช้าก่อน”

เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยดังขึ้น

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ร่างของกู่ฉิงซานก็พลันแข็งค้าง จนแทบจะมิอาจกุมดาบในมือได้อีกต่อไป

หลังจากที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างยาวนาน และหลายครั้งครา เขามักจะสามารถรักษาความสงบ และควบคุมสติอารมณ์ได้เสมอมา

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เพียงแค่ได้ยินถึงเสียงดังกล่าว กู่ฉิงซานกลับรู้สึกได้ถึงความเย็นวาบที่เสียดแทงเข้ามาตามแผ่นหลัง

“ท่านเป็นใครกัน?”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยเสียงหนักอึ้ง

“ข้าเป็นใคร? นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก”

ภายใต้เกาะทองแดง เบื้องล่างหุบเหวที่ลึกจนไร้ที่สิ้นสุด เงาดำเงาหนึ่งได้พุ่งทะยานขึ้นมา

เงาดำที่ว่านั้นค่อยๆ ตกลงตรงข้ามกับกู่ฉิงซานอย่างนุ่มนวล

ไร้ซึ่งรูปลักษณ์ใบหน้าใดๆ ไร้ซึ่งเอกลักษณ์บนร่างกายที่จะสามารถมองเห็นได้ นี่เป็นเพียงเงาของบุคคลเท่านั้น

แต่มันช่างเป็นเงาที่มีรูปร่างแสนคุ้นเคย

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก แต่เขาก็แทบจะไม่สามารถควบคุมจิตใจของตัวเองได้

“ท่านใช้เทคนิคอะไร เพื่อนำพาผมมาที่นี่” เขาเอ่ยถาม

“รายละเอียดเหล่านั้นหาได้สำคัญไม่ หากเทียบเปรียบกับสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด” เงากล่าว

“โปรดบอกให้ผมทราบอีกเรื่องหนึ่งจะได้ไหม อย่างเช่นเรื่องที่มาของท่าน”

เงาตอบ “ข้ามาจากยุคโบราณ ครั้งหนึ่งเคยเป็นเงาของใครบางคน และเนื่องจากพลังเหนือธรรมชาติที่แนบมากับสุสานแห่งโลก ส่งผลให้แม้กาลเวลาจะผ่านไปยาวนาน แต่ข้าก็ยังมิได้สลายหายไป”

“ตัวข้าถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง เพราะบุคคลผู้นั้นรู้สึกว่า จำเป็นที่จะต้องส่งต่อความจริงบางอย่างไปสู่คนรุ่นหลัง และมอบความหวังในการเรียนรู้ให้แก่พวกเขา”

“และเพื่อให้ความลับอันทรงคุณค่านี้ถูกส่งต่อ บุคคลคนนั้นถึงขั้นวางเขตแดนอำนาจเอาไว้มากมาย ซึ่งข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพวกมันคือสิ่งใด”

“แต่ภารกิจของข้าก็คือ การส่งต่อคำพูดของเขา ไปยังตัวตนที่สามารถผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน และสามารถเปิดสุสานแห่งโลกได้”

“เชิญท่านชี้แนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

เงา “คำพูดนี้จะถูกส่งผ่านได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และสิ่งที่พูดออกไป จะต้องมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รับรู้ ห้ามบอกเล่ามันแก่ผู้ใด มิฉะนั้นแล้วเจ้าจะต้องเสียใจ”

น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นโทนหนักอึ้ง

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ขอจงตั้งใจฟังให้ดี”

“เหล่าทวยเทพได้สร้างโลกขึ้นมามากมาย และหกวิถีแห่งสังสารวัฏก็เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่สุด แต่สุดท้ายก็กลับถูกทำลายลงอย่างเงียบๆ”

นั่นมันเป็นเรื่องที่ฉันรู้อยู่แล้วนี่นา!

กู่ฉิงซานไม่ต้องการที่จะคิดเกี่ยวกับมัน เขาเร่งเอ่ยถามในข้อสงสัยอย่างรวดเร็ว “แล้วเป็นใครกันที่ทำลายโลกหกวิถี?”

เงากล่าว “ข้าไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าเทพวิญญาณหวาดกลัวในการดำรงอยู่ที่ว่านั่น”

“เทพวิญญาณ? จริงสิ ว่าแต่ทำไมผมถึงไม่เห็นเทพวิญญาณในโลกเก้าร้อยล้านชั้นเลยล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“นั่นเพราะเหล่าทวยเทพได้หลบหนีไปแล้ว” เงากล่าว

เวลานี้ ร่างของมันค่อยๆ อ่อนจางลง คล้ายกับว่าเรื่องที่มันกำลังถ่ายทอดออกมานี้ เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างมาก

“มีสิ่งสุดท้ายที่เจ้าจะต้องตั้งใจฟังให้ดี”

“ในครั้งอดีต แต่เดิมแล้วโลกเคยมีอยู่ถึงเก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น แต่มันก็ค่อยๆ ถูกทำลายลง ล่มสลายกลายเป็นป่าช้าแห่งวันสิ้นโลก”

‘เก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น!’

‘ถ้านี่เป็นเรื่องจริง’

กู่ฉิงซานสูดลมหายใจเย็นเยียบ เขาทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “ผมไม่เชื่อหรอกว่าโลกเคยมีอยู่ถึงเก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น เพราะถ้ามันมีจริง ทำไมถึงไม่เคยมีใครในโลกเก้าร้อยล้านชั้นพูดถึงมันเลยล่ะ?”

เงากล่าว “หากทุกสิ่งมีชีวิตไม่เคยได้ยินถึงป่าช้าแห่งวันสิ้นโลก นั่นแสดงว่าพวกเขาย่อมไม่เคยได้ยินถึงจำนวนดั้งเดิมของโลกลำดับชั้น และคงไม่ทราบว่ามันมาถึงจุดจบได้อย่างไรเช่นกัน”

“โลกเก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น…มันจะถูกทำลายลงได้อย่างไร…”

กู่ฉิงซานงึมงำ เขายังไม่อยากจะเชื่อ

เงาอธิบาย “นั่นเพราะเหล่าทวยเทพสร้างโลกนับล้านล้านขึ้น โดยเริ่มต้นมาจากจุดประสงค์เดียวเท่านั้น”

“สร้างโลกขึ้นเพราะอะไร? จุดประสงค์ของเทพวิญญาณคืออะไรกันแน่?” กู่ฉิงซานเค้นถาม

“ถ่วงเวลา” เงากล่าว

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างช้าๆ และกล่าว “ถ่วงเวลา เพราะเทพวิญญาณต้องการซื้อเวลาให้มากพอที่จะทำอะไรบางอย่างใช่หรือไม่? อย่างเช่นการฟื้นฟูพลัง หรือเพื่อทำการโต้กลับศัตรู?”

“ไม่ใช่แบบนั้น”

เงายังคงกล่าวต่อ “เหล่าทวยเทพเพียงต้องการที่จะหนีไปให้ไกลมากพอ ไกลพอที่จะให้ตนเองอยู่ห่างจากการดำรงอยู่ที่ว่านั่น”

“แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ลองที่จะต่อสู้กับศัตรูกัน?”

“เพราะไม่มีทางสู้ได้”

เมื่อเขากล่าวมาถึงจุดนี้ มันก็จางลง และจางลง

“เหล่าทวยเทพหนีไปเพราะความสิ้นหวัง หวาดกลัวอย่างบ้าคลั่ง ไม่ยินดีที่จะตกตายในการต่อสู้ หลบซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัว”

“นี่คือวันสิ้นโลกของอาณาจักรทั้งมวล มันคือจุดจบของทวยเทพ คือจุดจบของทุกสิ่งมีชีวิต”

เมื่อได้ยินเสียงที่แสนจะคุ้นเคยอธิบายมาเนิ่นนาน กู่ฉิงซานก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้อีกต่อไป เจ้าตัวตะโกนก้อง “แล้วท่านจะมาบอกผมในเรื่องนี้ทำไม! ในเมื่อผมเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่แสนเล็กจ้อยคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง!”

เงาค่อยๆ บางเบาลง และในที่สุดมันก็หายไปโดยสมบูรณ์

เหลือทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวสะท้อนอยู่ในความว่างเปล่า

“เพราะเหล่าทวยเทพได้สร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ขึ้นมากมาย และบางอย่างหากวิวัฒนาการแล้วก็อาจถึงขั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดได้เต็มปากว่า จะไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ เกิดขึ้นเลย จนกว่าตลอดทั้งหมื่นโลกาจะถูกทำลายลงจนพินาศสิ้น”

เสียงจางหายไป

ทุกสิ่งอย่างเงียบงัน สภาพแวดล้อมโดยรอบเหลือเพียงความว่างเปล่าที่ทอดยาวออกไปไร้ที่สิ้นสุด

ขาของกู่ฉิงซานอ่อนยวบ เขาคุกเข่าลงกับพื้น

ปากอ้าค้าง มือที่กำลังสั่นสะท้านยกขึ้นมาปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก

จำต้องใช้เวลาอยู่สักพัก เขาจึงค่อยสงบลง

กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบ และไตร่ตรองอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน

เมื่อเทียบกับความลับของหกวิถีที่ระบบเทพสงครามบอกมา เห็นได้ชัดว่าความลับของเงาน่าตกตะลึงยิ่งกว่าโดยสิ้นเชิง

แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ใช่คนที่ได้เจอหรือได้ฟังอะไร แล้วมักจะตีตนตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวใดๆ

ไม่ว่าความลับเหล่านี้จะน่าอัศจรรย์ใจถึงขนาดไหน หรือว่าโลกเก้าร้อยล้านชั้นกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตอันน่าสะพรึงเพียงใด แต่มันก็ไม่สามารถที่จะรบกวนจิตใจของเขาได้

แม้ว่าเหล่าทวยเทพจะตกตายต่อหน้าเขา กู่ฉิงซานก็จะไม่ตกใจ

แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเย็นเยียบไปทั้งสันหลัง แท้จริงแล้วนั่นคือเสียงของเงา

มันคือเสียงที่แสนจะคุ้นเคย

เสียงที่แม้ว่ากู่ฉิงซานจะต้องกลายเป็นเพียงคนโง่งม แต่เขาก็ยังสามารถที่จะแยกแยะ และจดจำได้เป็นอย่างดี ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร

ใช่แล้วล่ะ

นั่นคือเสียงของตัวเขาเอง

กู่ฉิงซานยกศีรษะขึ้น ในแววตาของเขาสะท้อนไปด้วยความสับสนและว่างเปล่า

เห็นได้ชัดว่าตนเองเป็นเด็กกำพร้าจากรัฐบาลกลาง พ่อแม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ตั้งแต่ช่วงที่เขายังเป็นเด็ก

และเมื่อจบการศึกษาในโรงเรียนมัธยม เป็นเพราะเขาใกล้ชิดกับซูเซี่ยเอ๋อมากเกินไป เขาจึงถูกคนของเก้าตระกูลปองร้าย

หลังจากเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์มาถึง กว่าตนเองจะดาวน์โหลดระบบ และเริ่มเดินทางไปมาระหว่างสองโลก มันก็ช้ากว่าคนอื่นไปตั้งครึ่งปีแล้ว

จากนั้น เขาก็ต่อสู้ดิ้นรนตลอดมา จนในที่สุดก็ได้กลายเป็นนักดาบนิรันดร์

ในท้ายที่สุด บนธารเมฆามาร ยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ชวนให้สิ้นหวัง และความทุกข์ทรมานจากการพ่ายแพ้ของมนุษยชาติ เจ้าตัวและสหายก็ระเบิดกำลังเฮือกสุดท้าย สังหารอสุรกายลง

แล้วเมื่อตื่นขึ้นมาอีกที กู่ฉิงซานก็ได้ค้นพบว่าเจ้าตัวล้มตัวลงนอนอยู่ท่ามกลางศพของคนตาย

เขาได้ย้อนกลับมาในช่วงที่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ยังไม่ล่มสลายลง กลับมายังช่วงเวลาต้นๆ ที่เผ่ามารพึ่งเริ่มทำการรุกราน

เมื่อได้กลับมายังโลกเดิม เขาก็ค้นพบว่าตนเองได้ย้อนเวลากลับมาในวันงานฉลองสำเร็จการศึกษาอีกครั้ง

ตลอดเส้นทาง ทุกขั้น ทุกตอน ล้วนเชื่อมต่อกันอย่างชัดเจน

แต่ทำไมจู่ๆ เขาถึงพบเงาจากยุคโบราณในสุสานแห่งโลกที่นี่กัน?

ที่สำคัญก็คือ ทำไมเสียงของเงาถึงได้เหมือนกันกับเสียงของตนเองทุกประการ?

เมื่อครู่มันบอกว่าเคยเป็นเงาของใครคนหนึ่ง แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่?

แต่คงจะสายเกินไปแล้วที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

เพราะในมิติที่ว่างเปล่า แสงและเงานับไม่ถ้วนกำลังหลอมรวมกันด้วยความเร็วอันไม่อาจจินตนาการได้

โลกแห่งความจริงทั้งหมดปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซานอีกครั้ง

เขากลับมาแล้ว

“โอเค พวกเราลองแยกกันตรวจสอบดูว่ามีอะไรบนรูปปั้นนี้บ้าง”

เสี่ยวเหมียวฮัมเพลงอย่างกระตือรือร้น

แบรี่เดินไปที่ปากของใบหน้าทองแดง

เขาตะโกนเสียงดัง “ฉันพนันได้เลยว่าจะต้องเป็นตรงปากของรูปปั้นเทพแน่ๆ ที่จะนำทางไปสู่สุสานแห่งโลกของโลกหกวิถี!”

กู่ฉิงซานเฝ้ามองทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ

ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับตัวเองเมื่อครู่นี้

กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบงันเป็นเวลายาวนาน

………………………………….

ภายในโลกเดิม

ณ เทือกเขารกร้าง

สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้เคียงกับทะเลทราย ภูมิอากาศแห้งแล้ง สภาพแวดล้อมเลวร้ายเกือบทั้งปี ทุกหนแห่งฟุ้งไปด้วยเศษหินและเม็ดทราย

บนภูเขาเปลือยเปล่า นอกเหนือไปจากหินที่สามารถถูกความร้อนจากแสงแดดแผดเผามาหลายปีแล้ว ก็ยังมีพืชทนความร้อนบางชนิดขึ้นอยู่ประปราย

ทว่ากลับไร้ซึ่งสิ่งสัตว์ใดๆ ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงนี้

ในอากาศเบื้องบน

แบรี่ เสี่ยวเหมียว และกู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น

“สุสานแห่งโลกถูกซ่อนอยู่ในภูเขาลูกนี้งั้นเหรอ?” แบรี่เอ่ยถาม

ขณะรับฟัง กู่ฉิงซานก็สั่งการในความคิดของเขา

เจ้าตัวเปิดใช้งานสกิลการค้นหาแห่งปาฏิหาริย์ อย่างเงียบๆ

บนหน้าต่างเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณลดลงไปหลายร้อยแต้มทันที

…แต่มันก็แค่ไม่กี่ร้อยแต้ม เพียงเหลือบตามอง กู่ฉิงซานก็ไม่สนใจมันอีกต่อไป

เพราะเวลานี้ ตัวเขาเริ่มบังเกิดถึงความรู้สึกอันยอดเยี่ยม

เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนบางอย่างจากในความว่างเปล่า

ความผันผวนนี้ได้เชื่อมโยงเข้าด้วยกันกับจิตวิญญาณของกู่ฉิงซาน ส่งผลให้ในจิตใจของเขาตระหนักถึงมันได้อย่างชัดเจน

ใช่แล้วล่ะ สถานที่แห่งนี้มีการรังสรรค์ของทวยเทพอยู่อย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะยังไม่ทราบว่ามันคือสิ่งใด แต่มันอยู่ที่นี่แน่ๆ

ส่วนตำแหน่งก็คือ…

สายตาของกู่ฉิงซานเลื่อนตกลง

‘สมควรที่จะถูกฝังอยู่ใต้ภูเขาลูกนี้’

ในวินาทีต่อมา เสี่ยวเหมียวก็ชี้ไปทางภูเขาและกล่าว “ตำแหน่งโดยประมาณ น่าจะอยู่ด้านล่างของภูเขา”

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะแอบสรรเสริญสกิลลึกลับ

การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์ไม่ใช่สกิลประเภทต่อสู้

แต่ด้วยเทคนิคของมัน กลับสามารถอำนวยความสะดวกสบายในการระบุตำแหน่งสิ่งที่เหล่าทวยเทพทิ้งไว้เบื้องหลังในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ส่งผลให้การค้นหาเป็นไปอย่างง่ายดาย

“ดูเหมือนว่าจะจะถูกซ่อนอยู่ลึกนิดหน่อย”

เสี่ยวเหมียวพิจารณาตำแหน่ง และยังคงพูดต่อ

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่เอง” แบรี่เอ่ยแทรก

เขาง้างฝ่ามือขึ้น และสับเบาๆ ลงผ่านอากาศ

ตูม…!

ผืนดินสั่นสะเทือน

ตะกอนทรายปลิวว่อน

ใจกลางของภูเขาทั้งลูก ถูกแยกจากกันเป็นสองส่วนทันที

แต่ยังไม่จบแค่นั้น ภูเขาไม่สามารถทานทนต่อแรงสับขนาดใหญ่นี้ได้ มันไม่เพียงแยกเป็นสอง แต่ยังถล่ม หงายลงตามทิศทางตรงกันข้าม

และแล้ว ฉากอันดูลึกลับก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทั้งสาม

มันเป็นใบหน้าที่ใหญ่โตมากๆ

ทันทีที่ต้องกับแสงแดดบนท้องฟ้า ใบหน้าใหญ่ก็ราวกับกลายเป็นสดใส คล้ายมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

ทั้งสามคนตกตะลึง แต่ขณะเดียวกันก็เริ่มสำรวจมันอย่างระมัดระวัง

เสี่ยวเหมียว “ที่แท้ก็เป็นรูปปั้นทองแดงของเทพวิญญาณนี่เอง ทำเอาฉันกลัวเสียแทบแย่”

แบรี่ขมวดคิ้ว “ในสุสานแห่งโลก เทพมักจะทิ้งรูปลักษณ์ในยามปรากฏตัวของพวกเขาเอาไว้ แต่พี่ไม่เคยเห็นเทพที่เลือกจะทิ้งรูปปั้นของตัวเองเอาไว้เลย มันเป็นเรื่องยากที่จะพบเจอจริงๆ”

“ผมเคยได้ยินมาว่าเหล่าทวยเทพได้สร้างมนุษย์ขึ้นโดยอ้างอิงตามลักษณะของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของพวกเขาไม่เคยได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ แล้วพวกคุณรู้ได้อย่างไรว่ารูปปั้นทองแดงนี้คือรูปสลักของทวยเทพ?” กู่ฉิงซานถาม

“เพราะสีหน้าของเขา”

“สีหน้างั้นเหรอ?”

“ใช่ ตามเอกสารโบราณจากทางสมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูง วัตถุโบราณทั้งหมดที่ถูกเหลือทิ้งไว้ ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่แสดงถึงการปรากฏตัวของเทพวิญญาณ ลักษณะของพวกมันจะต้องเต็มไปด้วยความเมตตา”

“ความเมตตา…”

กู่ฉิงซานสำรวจลงบนใบหน้าทองแดง

เห็นแค่เพียงใบหน้าของมนุษย์ ที่กำลังแสดงออกถึงความเมตตาอย่างลึกล้ำ จ้องมองมายังคนทั้งสามบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ

เมื่อถูกจ้องมองโดยใบหน้าเทพ ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็สัมผัสถึงห้วงอารมณ์ที่มิอาจต้านทานได้

“ในทุกวัตถุโบราณของทวยเทพ จะมีลักษณะการแสดงออกแบบนี้ทั้งหมด” แบรี่กล่าวต่อ

“บางคนบอกว่ามันคือการแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งนี่คือข้อพิสูจน์ถึงความเมตตาของทวยเทพผู้สร้างชีวิต แต่ฉันมักจะคิดว่าตรงส่วนนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย” เสี่ยวเหมียวกล่าว

“ทำไมล่ะ?” แบรี่ถามด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยได้ยินน้องตัวเองพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย

เสี่ยวเหมียว “บอกไม่ถูกเหมือนกัน อาจเพราะน้องคิดว่าความเมตตาสมควรที่จะเปี่ยมไปด้วยพลังและส่งผลให้คนอื่นเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่น้องเคยได้เห็นพวกมันในม้วนภาพโบราณมาก่อน และสีหน้าของพวกรูปปั้น กลับไม่ได้ทำให้น้องรู้สึกแบบนั้นเลย”

กู่ฉิงซานกล่าวขึ้นทันใด “มันแปลกจริงๆ ด้วย เพราะพอมองรูปปั้นนี้ดูดีๆ แล้ว ผมก็เกิดความรู้สึกว่าไม่อยากจะมองมันอีกต่อไป”

“ใช่ไหมล่ะ” เสี่ยวเหมียวคิดเกี่ยวกับมันและกล่าว

กู่ฉิงซาน “ผมว่าอันที่จริงแล้ว มันน่าจะเป็นส่วนผสมของ อารมณ์ด้านลบหลายอย่าง เช่น ความสิ้นหวัง ความเศร้าโศก และความกลัว ดังนั้นจิตใต้สำนึกของพวกเราเลยไม่อยากจะให้พวกเราจ้องมองมันอีก”

“อันที่จริงแล้ว ประเด็นนี้ก็เคยถูกหยิบยกขึ้นมาเหมือนกัน แต่ก็ถูกล้มล้างลงไปอย่างรวดเร็ว” เสี่ยวเหมียวกล่าว

“ทำไมมันถึงได้ถูกล้มล้างไป?”

“เพราะเทพวิญญาณเป็นผู้สร้างโลก และเป็นผู้สร้างสิ่งมีชีวิตตลอดทั้งหมื่นโลกา เทพวิญญาณมีพลังอำนาจอย่างหาที่ใดเปรียบ ยามเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล พวกเขาสามารถใช้กฎเกณฑ์แห่งทวยเทพ ในการเปลี่ยนแปลง หรือจัดการสิ่งมีชีวิตทั้งหมดลงได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเทพวิญญาณจึงเปรียบดั่งผู้ที่มีความรอบรู้และอำนาจทุกอย่างในกำมือ และในเมื่อพวกเขามีอำนาจถึงเพียงนั้น ก็ไม่ควรที่จะมีความรู้สึกเชิงลบใดๆ” เสี่ยวเหมียวอธิบาย

กู่ฉิงซานพยักหน้า

ที่ฟังดูมันก็เข้าท่าอยู่เหมือนกัน

เขาหยุดคิดเกี่ยวกับคำถามนี้ และเริ่มก้มลงดูเบื้องล่างต่อ

เขาสำรวจรูปปั้นเทพอีกครั้ง

รูปปั้นเทพขนาดใหญ่ชิ้นนี้ ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากทองแดงทั้งหมด

ทองแดง…?

เดี๋ยวก่อนสิ วัสดุนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อนรึเปล่า?

ทันใดนั้นเอง กู่ฉิงซานก็พลันนึกได้ถึงร่างใหญ่ที่อยู่มายาวนานกว่าหนึ่งแสน ปี

และไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน กู่ฉิงซานก็พลันย้อนนึกขึ้นได้ถึงอีกเรื่องหนึ่งอย่างกะทันหัน

มันคือในตอนที่เขาสามารถบรรลุภารกิจเทพสงครามได้สำเร็จ และได้ล่วงรู้ถึงความลับ

‘สุสานแห่งโลกเกือบทั้งหมดถูกซุกซ่อนเอาไว้ในโลกหกวิถี ภายในนั้นมีวิธีการช่วยเหลือตนเองที่เทพวิญญาณเหลือทิ้งเอาไว้ให้’

ช่วยเหลือตนเอง…

วิธีการช่วยเหลือตนเอง…

กู่ฉิงซานมักจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวใจอยู่เสมอ แต่ระดมสมองคิดอย่างไร เขาก็ยังไม่อาจจับใจความของมันได้เสียที

“พวกเราค่อยๆ ลงไปกันเถอะ ระหว่างทางก็คอยใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวด้วยก็แล้วกัน” แบรี่เตือน

“ผมเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานรับคำ

เนื่องจากแบรี่ได้เคยเปิดสุสานแห่งโลกมาแล้วถึงสามแห่ง ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์มากมาย ในเวลานี้จึงย่อมสมควรฟังที่เขาพูด

ทั้งสามบินลงไปยังใบหน้าทองแดงขนาดใหญ่

เมื่อเทียบใบหน้าทองแดงแล้ว ทั้งสามคนที่กำลังตกลงมามีขนาดเล็กจริงๆ

พวกเขาราวกับใบไม้สามใบ ที่กำลังตกลงสู่ทะเลสาบอันกว้างใหญ่

เมื่อใกล้เข้าไป กู่ฉิงซานก็ได้ค้นพบถึงบางอย่างที่น่าตกใจ!

เพราะขณะที่ทั้งสามกำลังร่อนลง ดวงตาของใบหน้าทองแดงก็เริ่มเบนออกไป

ใบหน้าทองแดงทั้งหมด ได้ทำการปรับทิศทางเล็กน้อย เพื่อที่จะสามารถสังเกตเห็นได้ถึงทั้งสามที่กำลังร่อนลงมา

“มันกำลังเคลื่อนไหวอยู่” กู่ฉิงซานเริ่มตื่นตัว

“ใช่แล้ว ในเมื่อมันเป็นรูปปั้นของเทพวิญญาณ ถ้าอย่างนั้น ก็ย่อมแน่นอนว่ามันจะต้องมีภูมิปัญญาทางจิต มันจะเป็นตัวที่คอยพูดคุย และบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับสุสานแห่งโลกในที่นี้แก่พวกเราที่เป็นผู้ค้นพบ” แบรี่กล่าว

เสี่ยวเหมียวช่วยเสริม “วางใจเถอะ ทวยเทพไม่ได้อยู่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นอีกต่อไปแล้ว ตรงหน้านายน่ะเป็นแค่รูปปั้นเท่านั้น”

กู่ฉิงซานผ่อนคลายลง และเริ่มตรวจสอบรูปปั้นทองแดงอีกครั้ง

ทันใดนั้น เขาก็เห็นว่าภายในตาซ้ายของใบหน้าทองแดง กำลังสะท้อนให้เห็นถึงเงาของบุคคลคนหนึ่ง

“แบรี่ เสี่ยวเหมียว พวกคุณดูนั่นสิ!” กู่ฉิงซานกล่าวทันที

ทั้งสองมองไปตามทิศทางที่เขาชี้

“นายเห็นอะไรงั้นเหรอ?” แบรี่ถามด้วยความสงสัย

กู่ฉิงซาน “ลองมองไปที่ตาซ้ายดูเร็วเข้า”

ในสายตาของเขา เห็นแค่เพียงภายในตาซ้ายของใบหน้าทองแดง เงาของบุคคลที่ดูคลุมเครือ กำลังเฝ้ามองทั้งสามคนอย่างระแวดระวัง

แต่แล้วเงาของบุคคลก็เริ่มจ้วงชกตาซ้ายของรูปปั้นทองแดงอย่างบ้าคลั่ง

คล้ายกับว่าเงาของบุคคลกำลังต้องการที่จะออกมาจากตาซ้ายข้างนั้น!

เสี่ยวเหมียวเพ่งมองตาซ้ายของใบหน้าทองแดง และส่ายหัว “ฉันไม่เห็นอะไรเลย”

แบรี่ “แต่มันดูเป็นสายตาที่น่าประทับใจมากจริงๆ นี่นับว่าเป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดในบรรดารูปปั้นเทพที่ฉันเคยเห็นมาเลย”

กู่ฉิงซานมองดูทั้งสอง

เห็นแค่เพียงการแสดงออกของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวที่ยังดูปกติดี ราวกับว่ามิได้โกหกใดๆ

ทั้งสองคนเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ ดังนั้นพวกเขาคงไม่คิดเล่นตลกกับตัวกูฉิงซานด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เป็นแน่

ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในหัวใจของกู่ฉิงซาน

ไม่นะ…

มีแค่ฉันคนเดียวที่สามารถมองเห็นเงาของบุคคลได้เหรอ?

เขาจ้องมองไปยังดวงตาข้างซ้ายของใบหน้าทองแดงอีกครั้ง

ในตาซ้าย เงาบุคคล ดูเหมือนจะสงบลงแล้ว

เงาดังกล่าวหยุดยืนอยู่ภายในนั้นอย่างเงียบๆ

อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่กู่ฉิงซานรู้สึกได้ว่า แม้จะมากันสามคน ทว่าเงาบุคคลกลับจ้องมองมาที่เขาเพียงคนเดียว…

………………………………….

กู่ฉิงซานรู้สึกเป็นห่วงเหลียวฮังเล็กน้อย

เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และคอยเฝ้าสังเกตสถานะของเหลียวฮัง

ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณของเหลียวฮัง

นี่คือสัญญาณว่าพลังวิญญาณกำลังเข้าสู่กระบวนการปะทุ ในไม่ช้าก็จะถึงช่วงเวลาสำคัญของการตัดผ่าน

สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว การโจมตีขั้นแก่นทองคำ จะว่ายากก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ยากก็ไม่เชิง อันที่จริงแล้วมันอยู่กลางๆ

เพราะการโจมตีขอบเขตแก่นทองคำ ไม่จำเป็นต้องเผชิญกับกฎแห่งฟ้าดินอย่างทัณฑ์สวรรค์

ด้วยเหตุผลนี้เพียงข้อเดียว ระดับความยากมันก็ลดลงไปกว่าเจ็ดในสิบส่วนแล้ว

มองไปยังเหลียวฮังที่กำลังหลับตา และค่อยๆ เข้าสู่สภาวะไร้จิตสำนึก

เมื่อเวลาผ่านไป ทันใดนั้นมอนสเตอร์ที่ครอบครองดวงตากว่าห้าดวงก็โผล่ออกมา

“นี่มันผู้ฝึกยุทธ์…จิตวิญญาณและเลือดเนื้อสดใหม่ น่าลิ้มลองจริงๆ”

มอนสเตอร์กล่าวด้วยน้ำลายสอ ขณะเดียวกันก็บดฟันของมันจนเกิดเสียงกึกๆๆ

กู่ฉิงซานมองมอนสเตอร์ตัวนั้น เขากำลังลังเลว่าจะเข้าไปช่วยเหลือดีหรือไม่

ใช่แล้วล่ะ ขอบเขตแก่นทองคำน่ะ ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ก็จริง แต่มอนสเตอร์ทุกตัวในความว่างเปล่าจะติดตามคลื่นกระแสวิญญาณมา

ซึ่งนี่คือการทดสอบที่ผู้ฝึกยุทธ์จะต้องเผชิญ

เขาสามารถช่วยเหลือเหลียวฮังในครั้งนี้ได้ก็จริง แต่เขาไม่สามารถช่วยเหลียวฮังได้ทุกครั้ง

เพราะเมื่อไหร่ที่เขาตัดผ่านขอบเขตแก่นทองคำ หลังจากนั้นทัณฑ์สวรรค์ก็จะมาเยือน และไม่ช้าเหลียวฮังก็จะต้องเผชิญทุกอย่างด้วยตัวเอง

ดังนั้นการตัดผ่านของผู้ฝึกยุทธ์ สุดท้ายแล้วโชคชะตาจะเป็นเช่นไร มันก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเขาเอง

เอาเถอะ งั้นมาดูกันว่าเหลียวฮังจะมีวิธีการจัดการกับมันอย่างไร

กู่ฉิงซานคิดแบบนั้น และเลือกที่จะไม่ลงมือออกไป

เห็นแค่เพียงมอนสเตอร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ค่อยๆ ลดระดับลงตรงไปยังเหลียวฮังอย่างเงียบๆ

ขณะที่เหลียวฮังยังคงหลับตา และไม่ขยับเขยื้อนส่วนใดๆ ของร่างกายเลย เว้นเพียงแต่มือที่ทำการจีบออกอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานเบิกตากว้างขึ้นทันใด

เห็นแค่เพียงพลังวิญญาณจากทั้งร่างของเหลียวฮังกำลังควบรวมมายังฝ่ามือ กระตุ้นบางอย่างในความว่างเปล่า

วิชาลับ ‘สุดแกร่ง!’

วิชาลับ ‘สุดแกร่ง!’

วิชาลับ ‘สุดแกร่ง!’

วิชาลับ ‘สุดแกร่ง!’

วิชาลับ ‘สุดแกร่ง!’

เหลียวฮังได้ใช้ออกด้วยห้าเทคนิคมนตราในลมหายใจเดียว!

ปรากฏถึงรังสีแสงสีทองถูกยิงขึ้นไปบนฟากฟ้าพร้อมๆ กัน พุ่งเข้าต้อนรับมอนสเตอร์ห้าตา เตรียมที่จะตัดเฉือนมัน

มอนสเตอร์ห้าตากางสองปีกออกทันใด เตรียมที่จะโฉบหนีไป

อย่างไรก็ตาม แสงสีทองกลับเร็วยิ่งกว่า หนึ่งในห้าได้วูบผ่านร่างของมันไป หยุดการเคลื่อนไหวของมัน

จากนั้นสี่เส้นแสงสีทองก็ตามมา มันโบยบินขึ้นรูปเป็นตัวอักษร ‘แกร่ง’ และจมหายเข้าไปในร่างของมอนสเตอร์ในทันที

แล้วมอนสเตอร์ก็สิ้นใจลงในพริบตา

ตามร่างกายของมัน ทั้งสองแขนและสองขา รวมไปถึงปีกต่างถูกตัดเฉือนออกอย่างประณีต ร่วงตกลงบนพื้นหิมะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

มุมปากของเหลียวฮังยกสูงขึ้น ปากเอ่ยกล่าวด้วยความเหยียดหยัน “มอนสเตอร์จากมิติที่ว่างเปล่าประเภทที่เจ็ดพันเก้าร้อยยี่สิบเอ็ด ครอบครองปีกที่สามารถสร้างคลื่นตัดอากาศ ความแข็งแกร่งอยู่แค่ในลำดับที่เก้าพันหกร้อยสามสิบห้าเท่านั้น แต่กลับกล้าที่จะมาแส่หาเรื่องตายที่นี่”

“อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะได้ตัวอย่างศพมอนสเตอร์ตัวใหม่จากในมิติที่ว่างเปล่า จงดีใจเถอะ ที่ได้กลายเป็นวัตถุดิบในการวิจัยของฉัน”

หลังจากพูดประโยคนี้ เหลียวฮังก็เข้าสู่สภาวะตัดผ่านอีกครั้ง

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นกุมหน้าผากของเขา เจอแบบนี้เข้าไปเขาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะตอบสนองอย่างไรดี

สมองที่ใช้ในการตั้งชื่อวิชาลับของเหลียวฮัง…ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างไม่ปกติ

อย่างไรก็ตาม เหลียวฮังเป็นคนแรกของโลกที่ได้รับของขวัญจากการผสานรวมโลกเข้าด้วยกัน

เมื่อเวลาผ่านไป อัตราเร็วของการผสานรวมระหว่างโลกหกวิถีก็จะค่อยๆ เร็วขึ้น

แล้วสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกมนุษย์ก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการพัฒนา ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ชั่วขณะนั้นเอง ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขาหันไปอีกทิศทางหนึ่ง

โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารีรอจนเนิ่นนาน อีกคนหนึ่งก็ได้รับของขวัญไปอีกแล้ว

กิ้งก่าเกล็ดเขียวที่มีขนาดความสูงมากกว่าตึกสิบชั้น ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นหิมะ

ซางหยิงฮ่าวยืนอยู่บนหัวของกิ้งก่า ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บอส ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้เรียกนายออกมา”

กิ้งก่าเกล็ดเขียวซ่อนตัวอยู่ในหมอกพิษหนาแน่น คู่ดวงตาของมันกวาดไปมองรอบๆ

มันกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าหนูหยิงฮ่าว นี่ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ ว่าเจ้าพึ่งจะได้รับของขวัญจากโลกใบนี้ ส่งผลให้ความแข็งแกร่งสามารถสั่งสมได้มากพอที่จะตัดผ่านไปยังเทียนซวนขั้นต่อไปได้แล้ว”

“อะไรนะ? ตัดผ่านไปยังขั้นต่อไปเหรอ?” ซางหยิงฮ่าวถามด้วยความอยากรู้

“ใช่ เทคนิคเทียนซวนถูกยกระดับขึ้น ปัจจุบันนี้เจ้าได้กลายเป็นผู้ใช้ไพ่แล้ว”

คล้ายกับว่าจะสัมผัสได้ถึงความไม่ใส่ใจของซางหยิงฮ่าว กิ้งก่าเกล็ดเขียวเน้นเสียงเตือน “ตอนนี้อย่ามัวพูดหรือคิดอะไรไร้สาระอยู่เลย จงมาด้วยกันกับข้า ร่วมกันสร้างไพ่นักฆ่าใบแรกของเจ้ากันเถิด”

“แต่จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าเจ้าจะต้องสร้างไพ่นักฆ่าด้วยใจจริง เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดเลยว่าในภายภาคหน้าเจ้าจะประสบความสำเร็จ และสามารถกลายเป็นราชานักฆ่าที่แท้จริงได้หรือไม่”

การแสดงออกของซางหยิงฮ่าวค่อยๆ สงบลง

“ในเมื่อมันเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับอาชีพของฉัน ถ้างั้นฉันจะทำมันออกมาให้ดีที่สุด” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ดีมาก เวลานี้เจ้าได้รับสิทธิ์ที่จะไปยังรังแห่งนักล่ากับข้าแล้ว”

กิ้งก่าเกล็ดเขียวกล่าว

ร่างของมันวูบไหว สาดรังสีแสงสีดำออกมา นำพาทั้งตนทั้งซางหยิงฮ่าวเจาะหายเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า

“ชายคนนั้นจะได้กลายเป็นผู้ใช้ไพ่ประเภทนักฆ่า เขาเป็นเพื่อนของนายใช่ไหม ไว้ใจได้จริงๆ น่ะเหรอ?”

แบรี่ที่เห็นถึงฉากนี้เช่นกัน เอ่ยถามด้วยความวิตกกังวล

“ไว้ใจได้สิ คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เขาเป็นคนดี และไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์มาก่อนเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

“งั้นก็แล้วไป” แบรี่พยักหน้า

หากกู่ฉิงซายเอ่ยปากรับประกัน ก็ย่อมแสดงว่าคนคนนั้นเชื่อถือได้

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน จู่ๆ ก็บังเกิดคลื่นความผันผวนระเบิดออกมา จากภายในกระท่อมบนยอดเขาสูงที่ตั้งอยู่เบื้องหลัง

แสงสีแดงลอดผ่านขอบประตูและหน้าต่างของกระท่อม กวาดมาจากในระยะไกล

กู่ฉิงซาน แบรี่ และเสี่ยวเหมียวเร่งเข้ามาข้างในทันที

เห็นแค่เพียงรังไหมสีเลือดที่มีเย่เฟย์หยูอยู่ภายในค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น และเริ่มเปลี่ยนแปลงรูปร่างในอากาศอย่างต่อเนื่อง

“เขากำลังจะเสร็จสิ้นกระบวนการวิวัฒนาการใช่ไหม?”

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นมาบังแสงสีแดงที่สาดแยงตา ปากเอ่ยถามเสียงดัง

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องรอดูอีกครั้ง”

เสี่ยวเหมียวตอบเสียงดังกลับมา

เห็นแค่เพียงรูปร่างที่เปลี่ยนผันของรังไหมสีเลือดค่อยๆ เริ่มช้าลง

จนสุดท้ายก็คงที่ บัดนี้มันแปรสภาพกลายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ

เหมือนกับว่ารังไหมจะกลายเป็นโลงศพไปแล้ว

บนผิวโลงศพ เต็มไปด้วยลวดลายที่ดูซับซ้อน

พร้อมกับอักษรรูนลึกลับที่ปรากฏขึ้น สาดแสงสลัวอย่างเงียบๆ ตามตัวโลง

ระเบิดคลื่นอากาศปะทุออกมาจากโลงศพ กวาดกระจายออกไปทุกทิศทาง

“จากที่ฉันดู เหมือนว่าเขาจะยังวิวัฒน์ไม่เสร็จนะ”

เสี่ยวเหมียวสรุป

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มเป็นกังวล เขาเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “หรือว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น?”

“ไม่หรอก ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

เสี่ยวเหมียวตรวจสอบโลงศพสีเลือด และอธิบาย “รูปแบบการวิวัฒน์ของเขาได้เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่ามันจะเป็นรูปแบบของการวิวัฒน์ที่สูงขึ้น และลึกซึ้งยิ่งขึ้น”

“เป็นเพราะพลังของโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นมันเลยส่งผลต่อการวิวัฒน์ของเขา”

“ฉันคิดว่ากระบวนการวิวัฒน์ของเขาน่าจะใช้เวลานานกว่านี้”

“แต่ยิ่งนาน นั่นก็หมายความว่าเขาจะยิ่งทรงพลัง!!”

เสี่ยวเหมียวพูดด้วยความตื่นเต้น

ยิ่งคนในสมาคมแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก

ทันใดนั้น ตนเองก็เริ่มสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง

เขาตระหนักได้ว่าของขวัญจากแหล่งกำเนิดของโลก กำลังจะมาเยือนตนเองแล้วเช่นกัน!

กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มทำการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเขาอย่างรอบคอบ

พลังวิญญาณในตันเถียนพุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง

หลังจากที่เขาก้าวขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะ ตนก็ไม่มีเวลาที่จะได้ทำการควบรวมพื้นฐานวรยุทธ์เลย เพราะจำต้องวางกลยุทธ์และต่อสู้แบบไม่ได้หยุดพัก

จนถึงขณะนี้ พลังวิญญาณจากทั้งร่างของเขายังคงพลุ่งพล่าน และไม่ยอมสงบลงเลย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการผสานรวมทั้งหกโลก และของขวัญจากแหล่งกำเนิดโลก ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้รับผลประโยชน์ แน่นอนว่าตัวกู่ฉิงซานเองก็เช่นกัน

เขารู้สึกว่าพลังวิญญาณมันเต็มเปี่ยมไปทั้งร่างกาย เอ่อล้นคล้ายกับสายธารหลากที่ปรากฏขึ้นยามฤดูฝน

พลังวิญญาณพลุ่งพล่าน ปั่นป่วนไปทั่วทั้งร่างกาย และในที่สุดทั้งหมดก็มาบรรจบกันในตันเถียน

กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไป และค่อยจีบออกเป็นรูปแบบผนึก

…นี่คือหนึ่งในวิชาลับที่ได้มาจากโลกล่องเวหา เป็นสิ่งที่มีไว้อธิบายรายละเอียดถึงวิธีการตัดผ่านของผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตร่างเทวะ

กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงเนื้อหาของวิชาลับ เขาเริ่มกระตุ้นพลังวิญญาณ และกระตุ้นผนึกบนมือตน

ปัง!

บางสิ่งบางอย่างที่ลึกลับและไร้ที่สิ้นสุด ได้เชื่อมต่อเข้ากับตัวเขา

ราวกับได้ถือกำเนิดใหม่ คลื่นความผันผวนของพลังวิญญาณค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า

กู่ฉิงซานรู้สึกว่าพลังวิญญาณในตันเถียนได้กลายเป็นกระแสน้ำวน ที่เชื่อมต่อกับส่วนลึกของความว่างเปล่า เขาได้รับพลังอันมหัศจรรย์อันมิอาจบอกบรรยายได้จากโลก

พลังวิญญาณเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ขยายขึ้นอีกครั้ง

เมื่อทุกอย่างสงบลง กู่ฉิงซานก็เกือบที่จะไม่สามารถระงับพลังวิญญาณของเขาได้

รูปแบบความผันผวนของพลังวิญญาณในปัจจุบันนี้ หากเทียบกับเหลียวฮังแล้ว มันรุนแรงยิ่งกว่านับหลายร้อยเท่า!

ชนิดที่ว่าตราบใดที่กู่ฉิงซานต้องการ เขาจะสามารถกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์ลงมาได้เลยในทันที!

เขากำลังจะตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตพันวิบัติอย่างกะทันหัน!

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างลึกล้ำและหันไปพูดกับแบรี่ “ในที่สุด ผมก็เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงชอบที่จะผสานรวมโลกกันนัก”

แบรี่หัวเราะ

เสี่ยวเหมียวยิ้มและกล่าว “โควตาของทางสมาคมเรามีมาก นายสามารถใช้มันได้อีกเยอะ แต่รู้อะไรไหม ว่าถ้าคนทั่วไปทำการผสานรวมโลกมากกว่าสอง บทลงโทษของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?”

“เป็นอย่างไร?”

“จะถูกลบตัวตนออกไปทันที”

“โชคดีจริงๆ ที่ผมได้เข้าร่วมกับสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แต่แล้วในระหว่างนั้นเอง สีหน้าของเสี่ยวเหมียวก็เปลี่ยนไป

เธอรีบหยิบนาฬิกาเรือนเล็กที่ดูประณีตออกมาอย่างรวดเร็ว

นี่คือนาฬิกาของคนจากสถาบันเทพ

เห็นแค่เพียงในมือของเธอ เข็มนาทีและเข็มวินาทีบนนาฬิกากำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง

“ดูนี่สิ มันเกิดปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว!” เสี่ยวเหมียวอุทานด้วยความประหลาดใจ

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ดูเหมือนว่าถ้าผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน สุสานแห่งโลกก็จะปรากฏขึ้นจริงๆ”

ช่วงเวลาต่อมา ทั้งสามเข็มของนาฬิกาเทพก็เด้งออกมาจากตัวหน้าปัด และแปรสภาพเป็นตัวเลขลอยอยู่บนอากาศ

“นี่มันคืออะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เสี่ยวเหมียวจ้องมองสามตัวเลขและกล่าว “มันคือตัวเชื่อมต่อพิกัดมิติที่ซับซ้อน นี่คือการบันทึกพิกัดมิติจากระยะไกล แต่ไม่ได้มีใครใช้งานมันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ช่วงเก้าร้อยปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม โชคดีจริงๆ ที่ฉันพอจะจดจำวิธีใช้งานมันได้”

“น้องสามารถได้รับตำแหน่งที่แน่นอนได้รึเปล่า?” แบรี่ถาม

“แน่สิ ตอนนี้น้องรู้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน”

“กู่ฉิงซาน นายจะเอาอย่างไร?”

“พวกเราจะไปสำรวจมันกัน เทพธิดากงเจิ้ง คุณช่วยดูแลความปลอดภัยให้เย่เฟย์หยูด้วยนะ”

“รับทราบแล้วใต้เท้า” เทพธิดาตอบรับ

“นายังมีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้จัดการอีกไหม?” เสี่ยวเหมียวถาม

“ไม่มีแล้ว”

“งั้นพวกเราก็ไปกัน”

เธอเอื้อมไปคว้าจับมือของแบรี่และกู่ฉิงซานตามลำดับ

ทันใดนั้นเอง ร่างของทั้งสามก็หายวับไปจากขั้วโลกเหนือ

…………………………………..

การประกาศไปทั่วทั้งโลกของกู่ฉิงซานได้จบลง

เขาปิดสมองควอนตัม และเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง

แบรี่เทเหล้าให้เขาแก้วหนึ่ง

“ผมกำลังคิดอยู่พอดีเลย ว่าอุตส่าห์พูดมาตั้งนาน ถ้าได้เหล้าสักกรึ๊บก็คงจะดี” กู่ฉิงซานดื่มและขอบคุณเขา

แบรี่ชูแก้วตัวเองขึ้นและกล่าวชื่นชม “การผสานรวมโลกเข้าด้วยกัน มันจะทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา แต่ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ทุกชีวิตก็ได้รับการเคารพและปกป้องในสิทธิ์ของตนเองเสียก่อนแล้ว ครั้งนี้ถือมานายจัดการปัญหาล่วงหน้าได้ดีทีเดียว”

เสี่ยวเหมียวก็ยังพูดด้วย “แต่ในเวลาแบบนี้ นายน่าจะใช้คำพูดอะไรที่มันรุนแรงออกไปบ้างนะ ไม่อย่างนั้นอาจจะมีบางคนคิดจะลองของขึ้นมาก็ได้”

“คงต้องดูว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าในกรณีที่มีคนกล้าคิดที่จะลองของ นั่นก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน พวกเราจะได้ลงโทษเขาเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู” กู่ฉิงซานกล่าว

“วางใจเถอะ ถ้ามีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้น ฉันจะช่วยนายเอง” แบรี่กล่าว

“ขอบคุณครับ” กู่ฉิงซานรับน้ำใจ

ทั้งสามคนยกแก้วขึ้นชน และดื่ม

สมองควอนตัมที่วางอยู่บนโต๊ะสว่างขึ้นอีกครั้ง

เทพธิดากงเจิ้งเริ่มรายงานสถานการณ์

“ใต้เท้า หลังจากที่คุณประกาศออกไป จ้าวอสูร อาชูร่า และผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพก็ได้ออกเดินทาง ตรงมายังขั้วโลกเหนือแล้ว”

“อีกนานแค่ไหนกว่าพวกเขาจะมาถึง?”

“อย่างเร็วก็อีกสิบนาที”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

ทันใดนั้นเองประตูกระท่อมก็ถูกเปิดออก

หุ่นยนต์ขนาดเล็กหลายตัววิ่งเข้ามา

ในมือของหุ่นยนต์แต่ละตัวกำลังถือถาด ที่บ้างใส่จานอาหาร บ้างน้ำแข็ง บ้างสุรา และขนมขบเคี้ยวมากมาย

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังออกมาจากหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง

“นี่คือเครื่องดื่มและของว่างที่มิสเตอร์ซางหยิงฮ่าวเตรียมเอาไว้ เขาขอร้องให้ฉันช่วยจัดการนำสิ่งเหล่านี้มาให้”

กู่ฉิงซานมองไปยังเหล้าและอาหาร ก่อนจะแอบเหลือบมองไปทางแบรี่กับเสี่ยวเหมียว

และพบว่าในแววตาของพี่ชายและน้องสาวกำลังเปล่งประกาย แต่พักหนึ่งแล้วทั้งสองก็ยังเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี บางทีนั่นอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยได้กินอาหารของโลกใบนี้มาก่อนก็เป็นได้

กู่ฉิงซานจึงเลือกหยิบเหล้าที่มีฤทธิ์แรงที่สุดให้แก่แบรี่ จากนั้นเลือกแก้วค็อกเทลที่ฝานมะนาว และโปะเกลือเอาไว้ตรงขอบแก้ว กับจานขนมบนโต๊ะ ไปวางลงด้านหน้าของเสี่ยวเหมียว จากนั้นก็เอากล่องซิการ์ออกมา เขาตัดมันและมอบให้กับแบรี่

จากนั้นจึงค่อยเลือกเหล้าสักขวดสำหรับตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เจ้าตัวไม่ได้เลือกเหล้าที่มีฤทธิ์แรงเป็นพิเศษ นั่นเพราะยังมีงานอีกมากมายที่กำลังรอให้เขาทำ

ในสถานการณ์เช่นนี้ ตนจำเป็นที่จะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ยังเมาไม่ได้

เสี่ยวเหมียวดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ พลางคว้าชิ้นขนมโยนเข้าใส่ปาก

ระหว่างกิน เธอก็เอ่ยชื่นชมไปในตัว “รสชาติอาหารของโลกหกวิถีนี่มันอร่อยจริงๆ ของชั้นสูงชัดๆ! เพราะแบบนี้เองใช่ไหมเหล่าทวยเทพถึงได้สร้างโลกหกวิถีขึ้น?”

แบรี่ยกเหล้าฤทธิ์แรงขึ้นดื่ม และเลียริมฝีปากตัวเอง “เทคโนโลยีการหมักเหล้าของที่นี่ก็เป็นระดับสูง ฉันหลงรักเหล้าขวดนี้เข้าให้เสียแล้ว! ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตในโลกหกวิถีจะไม่แข็งแกร่ง แต่ในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา มันกลับตรงกันข้าม ทั้งสะดวกและสุขสบายอย่างน่าเหลือเชื่อ!”

พี่ชายและน้องสาวได้ตัดสินบางอย่างในจิตใจ ทั้งสองมองหน้ากันและกัน

เพียงเท่านี้ก็น่าจะยืนยันได้แล้วว่าทำไมกู่ฉิงซานถึงได้ทำอาหารเก่งนัก

สมาคมได้รับสุดยอดเชฟที่ดีที่สุดมาในครั้งนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีจริงๆ

ในเวลานั้นเอง เสียงของเทพธิดากงเจิ้งได้ดังขึ้นอีกครั้ง

“ใต้เท้า ผู้นำของจ้าวอสูร เทพสวรรค์ และกษัตริย์อาชูร่า ทั้งหมดได้มาถึงที่นี่แล้ว”

“ตอนนี้พวกเขาอยู่ตรงไหน?”

“ตีนเขา”

ขณะกล่าว เทพธิดากงเจิ้งก็ฉายม่านแสงออกมา

เห็นแค่เพียงร่างสามร่างกำลังยืนอยู่บนจอม่านแสง

ร่างแรก คือมอนสเตอร์ที่มีรูปกายเป็นมนุษย์ ทว่ามีหัวเป็นสิงโต นี่คือผู้นำของจ้าวอสูร

ร่างที่สอง คือ ชายที่กำลังสะพายอาวุธที่ดูประณีตและงดงาม นี่คือกษัตริย์อาชูร่า

ร่างที่สาม คือชายในชุดเกราะ การแสดงออกทางท่าทีและสีหน้าของเขาดูจริงจังและมีเกียรติ นี่คือเทพสวรรค์องค์ใหม่

โดยขณะนี้ พวกเขากำลังถูกขวางทางเอาไว้โดยเหล่าหุ่นรบที่เรียงรายเป็นขบวนทัพ ปิดล้อมทางขึ้นภูเขา

กู่ฉิงซานเหลือบมองวูบหนึ่งและกล่าว “บอกเทพสวรรค์ว่าให้ทิ้งข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าเอาไว้ แล้วจากไปได้”

เทพธิดากงเจิ้ง “ถ่ายทอดออกไปแล้ว เขาถามกลับมาว่าคุณมีอะไรจะบอกอีกไหม?”

“บอกให้พวกเขาทำให้สิ่งที่ตนเองต้องการ เพราะโดยสิ้นเชิงแล้วพวกเขามีเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ประชากรของพวกเขากำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหลังจากทำการผสานโลกแล้ว ถ้ายังไม่ปฏิบัติตามกฎและวินัย การล้างเผ่าพันธุ์เขาคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร”

“รับทราบ”

เทพธิดากงเจิ้งรับคำ

เห็นแค่เพียงบนจอม่านแสง เทพสวรรค์กำลังแสดงท่าทีสนอกสนใจ เหมือนกับว่ากำลังรับฟังสิ่งที่หุ่นรบพูด

เขานิ่งไปสักพัก ก่อนจะรายงานข้อมูล โค้งกายคารวะ และหันหลังเดินจากไป

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ใต้เท้า ผู้นำจ้าวอสูรกับอาชูร่ายังรออยู่บริเวณตีนเขา”

“บอกกับจ้าวอสูรไปว่า พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้ตามที่ตนเองต้องการ แต่ถ้าอยากจะล่าเหยื่อ ก็ช่วยมาขอความคิดเห็นกันก่อน เพราะจะล่าก็ได้ แต่มันต้องไม่ทำให้ห่วงโซ่นิเวศวิทยาธรรมชาติของโลกเราเกิดความเสียหาย”

“หลังจากนั้นก็ให้บอกที่ตั้งของแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้ามา แล้วไปได้”

“รับคำสั่ง”

“บอกกษัตริย์อาชูร่าด้วยว่าฉันเคารพและนับถือนิสัยรักในการต่อสู้ของพวกเขา แต่ต่อจากนี้ไปถ้าพวกเขาจะต่อสู้ พวกเขาจะไม่สามารถแหกกฎหมายของมนุษย์ได้”

เสี่ยวเหมียวทนไม่ไหว เธอหลุดหัวเราะออกมา และกล่าวแทรก “ไม่ให้อาชูร่าทำผิดกฎ? แล้วพวกเขาจะต่อสู้อย่างไรล่ะทีนี้?”

กู่ฉิงซาน “มนุษย์เรามีกีฬามากมาย เช่นพวกมวย ยูโด บาสเกตบอล ยิมนาสติกลีลา ฯลฯ พวกเขาสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลปะอื่นๆ ในแขนงนี้ได้”

“เข้าใจแล้ว ฉันจะถ่ายทอดคำสั่งของคุณไป”

มองไปยังจอม่านแสง กษัตริย์อาชูร่ารับฟังการส่งผ่านข้อความจากหุ่นรบอย่างรอบคอบ ขณะเดียวกัน สีหน้าของเขาก็เริ่มค่อยๆ แสดงออกถึงความตื่นเต้น

เขาเอียงศีรษะขบคิดสักพัก ก่อนจะเอ่ยปาก หันหลัง และเดินจากไป

ภายในกระท่อมบนยอดเขา

ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าของโลกอาชูร่า โลกสวรรค์ และโลกจ้าวอสูร ได้ปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง

กู่ฉิงซานค่อยๆ ทำการบันทึกมันทีละอัน ทีละอันอย่างเงียบๆ

เสี่ยวเหมียวที่กำลังดื่มอยู่เอ่ยถาม “ว่าไง? พวกเราจะไปเอาแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าตอนนี้กันเลยไหม?”

กู่ฉิงซาน “ไปกันเลยดีกว่า ทุกอย่างยิ่งจบลงเร็วก็ยิ่งดี”

“ตกลง” เสี่ยวเหมียวยืนขึ้น

แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะใช้มือฉกขนมยัดเข้าปาก ก่อนจะดึงกู่ฉิงซานเข้ามาและใช้มนตรามิติ

พวกเขาหายวับไปจากกระท่อมโดยตรง

ณ โลกสวรรค์ อาณาเขตของพวกเขาช่างกว้างใหญ่ ขณะเดียวกันก็ครอบครองแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าที่ทรงอำนาจมากที่สุดในหกวิถี

อย่างไรก็ตาม ประชากรของโลกสวรรค์มีน้อยเกินไป ดังนั้นถึงแม้ว่าทิวทัศน์ของพวกเขาจะสวยงาม แต่มันก็แทบจะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เลย

ณ โลกอาชูร่า มันถูกแบ่งออกเป็นสี่อาณาเขต และกว้างใหญ่ยิ่งกว่าโลกสวรรค์

ณ โลกจ้าวอสูร แม้ไม่ใหญ่โตนัก แต่มันก็แบ่งออกเป็นในส่วนของพื้นโลก ส่วนของพื้นทะเล และส่วนของใต้ดิน ดังนั้นหากคิดจะค้นหาอะไรในโลกใบนี้ คงจะเป็นการยากเย็นยิ่งนัก

แต่…กู่ฉิงซานมากับเสี่ยวเหมียว

ดังนั้นทุกสถานที่ที่ต้องการจะไปรับเอาแหล่งกำเนิดธาตุมา พวกเขาจึงใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ช่างเป็นกระบวนการที่ทรงประสิทธิภาพโดยแท้!

แบรี่ดื่มเหล้าไปได้เพียงครึ่งขวด พวกเขาก็กลับมาเสียแล้ว

“ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีไหม?” แบรี่ถาม

“คุณลองดูนี่สิ”

กู่ฉิงซานกางมือของเขาออก

ปรากฏให้เห็นถึงสี่สายใยกฎเกณฑ์กำลังลอยอยู่ในมือของเขาอย่างเงียบๆ

“เอาล่ะสิ เวลาที่น่าจดจำกำลังจะมาถึงแล้ว” แบรี่ลุกขึ้นและกล่าว

“ใช่ๆ การผสานสี่โลกในครั้งเดียว ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น” ดวงตาของเสี่ยวเหมียวเปล่งประกายสดใส

กู่ฉิงซานโบกมือของเขา

สี่สายใยกฎเกณฑ์สาดแสงและเงาระยับ ก่อนจะค่อยๆ จมหายไปในความว่างเปล่า

พวกมันกำลังผสานรวมเข้ากับโลกใบนี้

ท่ามกลางความเงียบ โลกค่อยๆ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ

แบรี่กล่าวด้วยอารมณ์ “ในอดีต ช่วงที่กฎของโลกเก้าร้อยล้านชั้นยังไม่ถูกตั้งขึ้น เผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนต่างแก่งแย่งสายใยกฎเกณฑ์ของกันและกัน”

“นั่นเป็นยุคสมัยแห่งสงคราม ฟุ้งไปด้วยกลิ่นสาบโฉ่และฝนเลือด”

“อย่างนั้นเหรอ? งั้นในยุคที่ว่าก็คงจะมีตัวตนทรงอำนาจเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเลยใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

แบรี่ “มีจ้าววงการมากมายถือกำเนิดขึ้นในยุคสมัยนั้น”

เสี่ยวเหมียวพยักหน้า “เพราะการผสานรวม เป็นการส่งผลดีต่อทุกชีวิตในโลก สามารถสร้างผลประโยชน์ได้อย่างมหาศาล”

ในอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน สมองควอนตัมได้ส่องสว่างขึ้น

เสียงของเทพธิดาดังออกมา “ใต้เท้า คุณได้ทำการผสานรวมโลกแล้วใช่หรือไม่?”

“ใช่”

“โลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอีกครั้ง ตามรูปแบบการวิเคราะห์จากการผสานรวมครั้งก่อนกับโลกปรภพ คาดว่านับจากนี้ไปจะเกิดรูปแบบและสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ปรากฏขึ้น”

กู่ฉิงซานถาม “แล้วพวกสิ่งปลูกสร้าง ภูมิอากาศ และพืชพันธุ์เดิมของโลกมนุษย์จะได้รับผลกระทบรึเปล่า?”

เทพธิดากงเจิ้ง “ได้รับผลกระทบในทางที่ดี สำหรับภูมิอากาศ มันจะสดชื่นและเหมาะสมมากขึ้นสำหรับมนุษย์ ขณะเดียวกันสิ่งปลูกสร้างอารยธรรมมนุษย์จะไม่ได้รับความเสียดายใดๆ จากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา”

“ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์แต่ละบุคคลจะได้รับผลแตกต่างกันออกไป สำหรับคนทั่วไป ร่างกายของพวกเขาจะถูกเสริมสร้างให้แกร่งขึ้นไม่มากก็น้อย ในส่วนของมืออาชีพ ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะปะทุขึ้น และสัมผัสได้ถึงขอบเขตใหม่”

“นั่นฟังดูดีมากจริงๆ” กู่ฉิงซานพยักหน้า

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง และอดไม่ได้ที่จะปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะของเขาออกไป สำรวจยังทิศทางหนึ่งของยานอวกาศ

เห็นแค่เพียงชายแก่ที่ดูหล่อละ…

ไม่สิ ประโยคข้างบนไม่นับ เพราะคนคนนั้นคือเหลียวฮังที่ทำการปรับโฉมรูปหน้าตัวเอง เขากำลังลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับชิ้นส่วนของเครื่องจักรนับไม่ถ้วนที่ว่ายวนอยู่รอบตัว

ชิ้นส่วนต่างๆ ประกบติดกันอย่างรวดเร็วตามท่าทางมือของเขา รวมตัวกันเป็นแขนจักรกลขนาดใหญ่ที่ติดตั้งบนหัวไหล่ และลากยาวลงมา

“เทพธิดากงเจิ้ง ทางฝั่งฉันพร้อมแล้ว ทางคุณว่าอย่างไรบ้าง?” เหลียวฮังตะโกน

“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณ กรุณาแทนที่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องควบคุมกระแสไฟระยะไกลชิ้นที่สามและสี่ และเปลี่ยนรหัสลับของมัน เราจะได้เริ่มการเจาะเข้าสู่ระบบในชั้นถัดไป” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

“เข้าใจแล้ว!” เหลียวฮังตะโกน

เขาจัดการแขนจักรกล และเริ่มเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ขนาดใหญ่สองชิ้น ตรงหน้ายานอวกาศ

กู่ฉิงซานเงียบไป ไม่เอ่ยคำใดออกมาสักพัก

เหลียวฮังถือได้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แตกต่างออกไปหากเทียบกับคนอื่นๆ เขาสามารถเรียนรู้การฝึกยุทธ์ และประยุกต์มัน นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้

แต่แล้วในวินาทีต่อมานั้นเอง จู่ๆ เหลียวฮังก็โยนแขนจักรกลทิ้งไปอย่างกะทันหัน และเร่งบินไปยังสถานที่ห่างไกลด้วยความกระสับกระส่าย

ทิ้งไว้เพียงเสียงที่ดังลอยมาจากเบื้องหลังเขา “ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่จู่ๆ ฉันก็รับรู้ได้ว่าจะต้องทะลวงขึ้นสู่ระดับแก่นทองคำทันที เทพธิดา! ช่วยจัดการเรื่องคุ้มครองฉันเร็วเข้า!”

พอค้นพบภูมิประเทศแนวราบที่เหมาะสม เขาก็ทิ้งตัวลงไปนั่ง สองตาปิดสนิท และพร้อมเริ่มโจมตีขอบเขตแก่นทองคำ

กู่ฉิงซานเฝ้ามองไปยังฉากนี้ และกล่าวด้วยอารมณ์ “ในที่สุดมันก็เริ่มต้นขึ้น”

ใช่ ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป โลกทั้งหกจะรวมเป็นหนึ่งเดียว

โลกที่จะขยายอาณาเขตกว้างใหญ่เป็นประวัติการณ์ กำลังจะถือกำเนิดขึ้น

ในเวลาเดียวกัน พลังอันเกิดจากการหลอมรวมทั้งหกโลก ก็กำลังปะทุออกมา

…………………………………….

กู่ฉิงซานนำสายใยกฎเกณฑ์ของโลกผีร้ายกลับมายังโลกมนุษย์พร้อมกับเสี่ยวเหมียว

ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขาสูงในขั้วโลกเหนืออีกครั้ง

“นั่นคือสายใยกฎเกณฑ์ใช่ไหม?” แบรี่ถามด้วยความสนใจ

“ใช่ มันคือแหล่งกำเนิดที่ใช้เชื่อมต่อกับโลกผีร้าย และสามารถนำมาใช้ผสานโลกได้ตลอดเวลา” กู่ฉิงซานกล่าว

ในสายตาของเขา เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กลอยอยู่ตลอดเวลา

“คุณได้รับสายใยกฎเกณฑ์”

“นี่คือสายใยกฎเกณฑ์ของโลกผีร้าย หนึ่งในหกวิถีแห่งสังสารวัฏ”

“หากคุณปล่อยมันลงในโลกมนุษย์ โลกผีร้ายก็จะถูกฉุดดึงโดยสายใยกฎเกณฑ์ และค่อยผสานเข้ากับโลกมนุษย์ กลายเป็นโลกใบใหม่”

กู่ฉิงซานเดินไปที่ขอบยอดเขา ยื่นมือของเขา และเตรียมจะโยนสายใยกฎเกณฑ์ออกไป

ทว่าเขาก็ชะงักไปอย่างกะทันหัน

“มีอะไรงั้นเหรอ?” แบรี่เอ่ยถาม

“ทำไมจู่ๆ นายถึงลังเลขึ้นมาล่ะ?” เสี่ยวเหมียวเองก็ถามด้วย

กู่ฉิงซานไตร่ตรอง และกล่าวอย่างช้าๆ “ผมกำลังคิดว่า ผมควรจะต้องรีบกลับไปยังโลกเทวะให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น…”

“เพราะฉะนั้น…?” เสี่ยวเหมียวทวนซ้ำ

กู่ฉิงซานหันกลับไปมองทั้งสองและกล่าว “ฉะนั้นมันคงจะเป็นการดีกว่า ถ้าจะทำทุกอย่างให้มันจบลงไปเลยในครั้งเดียว เป็นการจัดการปัญหาทั้งหมดโดยตรง”

พี่ชายและน้องสาวตกตะลึง แต่ก็สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

“นายต้องการที่จะจัดการปัญหาทั้งหมดในครั้งเดียวอย่างงั้นเหรอ?”

“ใช่”

“มือเติบโดยแท้”

แบรี่ยิ้ม และยกนิ้วโป้งให้เขา

เสี่ยวเหมียวพูดด้วยความตื่นเต้น “ถ้านายจะทำแบบนั้นจริงๆ มันคงจะสนุกแน่ๆ!”

“รอดูวิธีการที่ผมจะใช้จัดการได้เลย”

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็หยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลของตัวเองออกมา และเริ่มทำการเรียกเทพธิดากงเจิ้ง

“ใต้เท้า มีอะไรให้รับใช้?”

เทพธิดากงเจิ้งถาม

“อาชูร่า ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ และจ้าวอสูรจากไปแล้วรึยัง?”

พร้อมกันกับคำถามนี้ สามจอม่านแสงก็ผุดขึ้นมาจากในสมองควอนตัมของเขา

เห็นแค่เพียงอาชูร่าหลายตนกำลังรวมตัวกันภายใต้การนำของกษัตริย์อาชูร่า เหมือนกับว่าพวกเขากำลังร่วมกันหารืออะไรบางอย่าง

ส่วนผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ พวกเขากำลังเร่งรวบรวมสินสงครามที่ได้มา และคอยสั่งการมนุษย์ที่จับตัวมาให้เดินเข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่

แต่จ้าวอสูรนั้นแตกต่างจากทั้งสองที่กล่าวมา พวกมันกำลังมุ่งหน้าตรงมายังขั้วโลกเหนือ

เทพธิดากงเจิ้ง “กลุ่มอาชูร่ากำลังหารือกันว่าจะมาพบกับคุณดีหรือไม่ กลุ่มผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพกำลังเตรียมที่จะเดินทางจากไป ส่วนกลุ่มจ้าวอสูร พวกมันตัดสินใจที่จะยอมแพ้”

กู่ฉิงซานกล่าว “เสี่ยวเหมี่ยว คุณพอจะล็อกมิติ ไม่ให้พวกผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพหนีไปจะได้ไหม?”

“นี่มันเรื่องง่ายๆ”

เสี่ยวเหมียวหยิบคทาออกมา และปักลงมันบนพื้นอย่างแรง

“จงกักขัง!”

เธอตะโกนเสียงต่ำ

บังเกิดระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากตัวคทา หมุนวนขึ้นไปบนท้องฟ้า แพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกอย่างรวดเร็ว

“โอเค ทีนี้พวกเขาก็จะไม่สามารถหนีไปได้แล้ว” เสี่ยวเหมียวกล่าว

กู่ฉิงซาน “ขอบคุณมากจริงๆ ต่อไปก็ถึงตาผมคุยกับพวกเขาแล้ว”

เขาส่งสัญญาณมือเล็กๆ น้อยๆ ให้เทพธิดากงเจิ้ง

“ใต้เท้า คุณต้องการถ่ายทอดสดเหมือนกับเพชฌฆาตตัวตลกใช่หรือไม่?”

“ใช่”

“กรุณารอสักครู่ ฉันจะไปเตรียมการให้ทันที”

แล้วเทพธิดาก็เริ่มจัดการด้วยกำลังทั้งหมดที่เธอมี

อีกด้านหนึ่ง

ณ สถานที่รวมตัวกันของผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ

เทพสวรรค์ตะโกนเสียงดัง “อย่าชักช้า! ตอนนี้พวกเขากำลังไปยังเมืองผีร้าย! ราชาผีเพลิงน้ำแข็งน่าจะช่วยถ่วงเวลาให้พวกเราได้หลายนาที ระหว่างนั้นพวกเราจะต้องทำเวลาให้ดีที่สุด และรีบหนีไป!”

“นายท่าน ค่ายกลพร้อมใช้งานแล้ว”

“เปิดใช้งานค่ายกลเดี๋ยวนี้!”

“รับทราบ!”

อย่างรวดเร็ว ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ ที่มุ่งตรงสู่โลกสวรรค์ก็ส่งเสียงหึ่งๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว

ค่ายกลเข้าสู่สถานะการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ และเริ่มส่งผ่านไปยังทิศทางที่ถูกกำหนดไว้

ม่านแสงปรากฏขึ้น เข้าห่อหุ้มทุกคนที่อยู่ในค่ายกลเอาไว้

วินาทีต่อมา คนทั้งหมดก็หายไป

แต่หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ

ค่ายกลก็สว่างขึ้นอีกครั้ง

ทุกคนปรากฏตัวขึ้นอีกครา

“ดีมาก…ไม่สิ! มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเราถึงยังอยู่ที่นี่!?” เทพสวรรค์ถามด้วยความโกรธ

“นายท่าน มิติถูกจองจำ พวกเราไม่สามารถออกไปได้!”

“ว่าไงนะ!”

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ โลกทั้งใบถูกห่อหุ้มด้วยชั้นความผันผวนที่ไม่อาจอธิบาย ส่งผลให้ไม่มีใครสามารถใช้การเคลื่อนย้ายระยะไกลได้”

เทพสวรรค์ตกตะลึง หัวใจของเขาราวกับร่วงหล่นลงสู่หุบเหวลึก

ในเวลานั้นเอง ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพคนหนึ่งก็ตะโกนออกมา “ดูนั่นเร็ว!”

ทุกคนต่างตอบสนอง ทั้งหมดเงยหน้าขึ้น

เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้า โดรนขนาดเล็กจำนวนมากกำลังบินตรงเข้ามา

พวกมันถูกจัดเรียงตามลำดับ และทยอยกันเริ่มกระบวนการทำงาน

แสงและเงาถูกฉายขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า ก่อรูปเป็นภาพโฮโลแกรมขึ้น

สถานการณ์เดียวกันนี้ปรากฏขึ้นในตำแหน่งของอาชูร่าและจ้าวอสูรเช่นกัน

ณ ขั้วโลกเหนือ

กู่ฉิงซานเฝ้ารออยู่เงียบๆ เป็นเวลากว่าหลายนาที

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้นอีกครั้ง “เรียบร้อย ใต้เท้า คุณสามารถเริ่มการถ่ายทอดสดได้ตลอดเวลา เมื่อคุณพูด โลกทั้งใบก็จะเห็น และได้ยินเสียงของคุณ”

“งั้นก็เริ่มกันเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

ด้วยคำพูดของเขา อุปกรณ์ที่ฉายแสงและเงาก็สว่างขึ้นพร้อมกันทั่วโลก

มนุษย์ อาชูร่า จ้าวอสูร และผู้สืบสายโลหิตต่างก็เห็นภาพของกู่ฉิงซานจากในอุปกรณ์ฉายแสงที่อยู่ใกล้เคียงที่สุด

“สวัสดีทุกท่าน”

กู่ฉิงซานเริ่มพูด

“ผมคือนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลกลาง ชื่อว่ากู่ฉิงซาน”

“ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่รู้จักผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหายอย่างผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ อาชูร่า และจ้าวอสูร เพราะพวกเราเพิ่งพบกันเมื่อไม่นานมานี้เอง”

“และตอนนี้ ผมมีบางอย่างที่จะบอกพวกคุณ”

“นั่นคือ โลกทั้งหกวิถีจะต้องถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน ดังนั้นขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบ และยินยอมน้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในครั้งนี้ด้วย”

“มืออาชีพทางฝั่งมนุษย์โปรดตั้งใจฟังให้ดี พวกคุณจะต้องใช้โอกาสนี้คว้าโอกาสที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของตัวเอง เร่งเพิ่มพูนมันให้เร็วที่สุด”

“สำหรับสหายอย่างผู้สืบสายโลหิต อาชูร่า และจ้าวอสูร ทุกท่านโปรดมายังขั้วโลกเหนือ และบอกตำแหน่งที่แน่นอนของแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าในโลกของพวกคุณด้วย”

“แม้ว่าแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าจะถูกนำไปใช้หลอมรวมเข้ากับอุปกรณ์บางอย่างก็ไม่เป็นไร ขอแค่บอกข้อมูลของมันแก่ผมก็พอ”

“และผมขอเตือนทุกท่านว่าการประกาศนี้เป็นเพียงการแจ้งเตือนเท่านั้น”

“ผมหมายถึงว่า ผมแค่ประกาศให้พวกคุณทราบถึงเรื่องนี้เฉยๆ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีที่ว่างให้พวกคุณคัดค้านหรือโต้แย้งใดๆ”

“อ้าจริงสิ ขออธิบายเพิ่มสักเล็กๆ น้อยๆ นะ”

“เมื่อโลกทั้งหกผสานรวมเข้าด้วยกัน แต่ละอาณาจักรก็จะยังคงสามารถใช้โครงสร้างอำนาจเดิมของตนเอง รวมไปถึงกฎปฏิบัติที่เกี่ยวข้องเหมือนเดิมได้”

“สำหรับผู้สืบสายโลหิต อาชูร่า และจ้าวอสูร พวกคุณสามารถสร้างประเทศของตัวเอง หรือจะอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ก็ได้ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการส่วนตัวของพวกคุณเลย ผมจะไม่ปิดกั้นใดๆ และจะไม่มีใครสามารถปิดกั้นพวกคุณได้เช่นกัน”

“ผมมาเตือนด้วยความหวังดี”

กู่ฉิงซานยกนิ้วขึ้นและยิ้ม “ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ขอให้อยู่กันอย่างสงบ การกระทำใดๆ ที่เป็นการฆ่าสิ่งมีชีวิตของชาติพันธุ์อื่นๆ จะต้องถูกลงโทษอย่างร้ายแรงตามกฎหมาย”

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ขอเชิญตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดมายังขั้วโลกเหนือ เพื่อแจ้งแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าของพวกคุณให้แก่ผมด้วย”

“คุณสามารถเลือกที่จะไม่ให้ความร่วมมือ หรือเลือกที่จะสู้กับผมก็ได้ แต่ผมขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่เลือกวิธีการ เพื่อที่จะได้รับข้อมูลที่ต้องการมา”

“และเชื่อผมเถอะ สิทธิ์ที่ว่านั่น ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอก”

“มีอีกประโยคหนึ่งที่จะมอบให้กับสหายต่างโลก ที่ตอนนี้กำลังปรากฏความคิดมากมายอยู่ในจิตใจ”

“ไม่ว่าพวกคุณจะมีความอาฆาตพยาบาทอะไร มีกลอุบายอะไร หรือมีวิธีการบางอย่างที่อาจจะก่อให้เกิดการล่มสลายของโลก…”

กู่ฉิงซานยกนิ้วต่อไปของเขาขึ้น

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน และไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูต พลันปรากฏขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า ลอยอยู่เบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ

นี่คือสามสิ่งประดิษฐ์เทวะจากนรก!

พวกมันกำลังส่งคลื่นความผันผวนของกฎเกณฑ์ออกมาอย่างหนาแน่น เพื่อให้เหล่าผู้คนที่กำลังเฝ้ามองอยู่สามารถตระหนักได้อย่างชัดเจน ว่าพวกมันมาจากที่ไหน

กู่ฉิงซานเริ่มพูดต่อ

“ผมขอเตือนทุกท่าน ว่าปรภพคืออาณาจักรของผม”

“และผมอยู่ที่นี่ก็เพื่อรับรองว่าทุกท่านที่ไม่ซื่อสัตย์จะต้องได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส หลังจากที่พวกเขาตายลง และจะไม่มีโอกาสได้กลับไปเกิดใหม่อีกเลย”

“โอเค ตอนนี้ก็เกือบจะหมดเรื่องคุยแล้ว”

กู่ฉิงซานมองไปที่กล้อง

เขามองไปยังทุกคนที่กำลังดูอยู่

“สิ่งสุดท้ายที่ผมต้องการจะบอกก็คือ สหายต่างชาติพันธุ์ทุกท่าน พวกคุณไม่จำเป็นต้องเกิดความแค้น หรือความไม่พอใจใดๆ ที่โลกของตัวเองจะต้องถูกผสานรวมเข้ากับโลกใบนี้หรอก”

“เพราะเมื่อไหร่ที่พวกคุณเกิดความริษยาในโลกมนุษย์ และวางแผนที่จะยึดครองมัน คุณก็เตรียมใจรับในทุกๆ ความเป็นไปได้เอาไว้ได้เลย”

เขาเอ่ยเสียงกระซิบ “มาเถอะ มาผสานรวมกัน แล้วพวกคุณจะได้รู้ถึงสิ่งดีๆ ที่จะได้รับตอบแทนกลับไป”

………………………………….

พร้อมกันกับการเลือกของกู่ฉิงซาน บนหน้าต่างก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรใหม่เด้งขึ้นมา

“ระบบจะทำการอธิบายดังต่อไปนี้”

“ประเภทของพลังขั้นพื้นฐานของคุณคือ พลังวิญญาณ”

“ซึ่งพลังวิญญาณสามารถกระตุ้นเทคนิคฝึกยุทธ์ของผู้ฝึกยุทธ์ได้เท่านั้น มันไม่สามารถใช้ในการกระตุ้นสกิลลึกลับได้”

“ในโลกนับล้านล้าน มีเพียง ‘แต้มพลังวิญญาณ’ หรือพลังเหนือธรรมชาติเท่านั้นที่สามารถใช้กระตุ้นเทคนิคมนตราของสกิลลึกลับได้”

“ดังนั้น เมื่อคุณได้เรียนรู้สกิลอื่นๆ นอกเหนือไปจากเทคนิคมนตราของผู้ฝึกยุทธ์ โปรดทำความเข้าใจไว้ด้วยว่าคุณต้องใช้แต้มพลังวิญญาณในการกระตุ้นสกิลเหล่านั้น”

กู่ฉิงซานครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วก็เข้าใจในที่สุด

‘พลังวิญญาณ’ เป็นพลังงานบริสุทธิ์ระหว่างสวรรค์และโลก แต่สำหรับในโลกนับล้านๆ มันไม่สามารถใช้ในการกระตุ้นสกิลทั้งหมดได้

ณ ขณะนี้ ‘แต้มพลังวิญญาณ’ จึงมีความสำคัญมากยิ่งกว่าเดิม

คำอธิบายของหน้าต่างเทพสงครามค่อยๆ หายไป

แต่แล้วบรรทัดตัวอักษรใหม่ก็ปรากฏขึ้น

“คุณได้ใช้แต้มพลังวิญญาณ หนึ่งหมื่นแต้ม”

“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกินในปัจจุบัน 86000/600”

“คุณได้เรียนรู้สกิลลึกลับ การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์แล้ว”

“การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์ เมื่อคุณเปิดใช้งานสกิลนี้ คุณจะสัมผัสได้ถึงการรังสรรค์ของเทพบรรพกาล และสามารถรับรู้ถึงตำแหน่งที่แน่นอนของวัตถุได้”

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างลับๆ

นี่มันเป็นสกิลสำรวจที่พิเศษอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม สายตาของเขาก็ยังคงติดตรึงอยู่บนแต้มพลังวิญญาณ ในจิตใจรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

แน่นอนว่าเรื่องที่มีแต้มพลังวิญญาณกว่า แปดหมื่นหกพันน่ะมันไม่น่าสงสัยหรอก แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ ขีดจำกัดของมันน้อยเกินไปหรือไม่?

กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงวันที่เขาต่อสู้กับฉีหยานในโลกเทวะ ตอนนั้นหลี่อันได้ขอหยิบยืมแต้มพลังวิญญาณจากเขา หกร้อยแต้ม เขาจดจำได้ว่าเธอกล่าวอย่างชัดเจนว่า ‘แต้มพลังวิญญาณหกร้อยแต้ม น่ะมีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตประทับเทพเท่านั้น ถึงจะสามารถครอบครองแต้มพลังระดับนี้ได้’

แต่ปัจจุบันเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตร่างเทวะ แล้วทำไมขีดจำกัดแต้มพลังถึงยังมีอยู่แค่ หกร้อยเท่านั้น?

เป็นระบบที่นำมันไปใช้ทำอย่างอื่นหรือไม่?

กู่ฉิงซานเอ่ยถามถึงเรื่องนี้กับระบบเทพสงคราม

ติ๊ง!

หลังจากเสียงแจ้งเตือนอันคมชัดดังขึ้น ระบบเทพสงครามก็ถามกลับ “การลดขีดจำกัดแต้มพลังวิญญาณลง ก็เพื่อทำลายข้อจำกัดในการสั่งสมแต้มพลังวิญญาณที่เกินมาของคุณไป สิ่งนี้มันได้ก่อปัญหาอะไรให้คุณอย่างงั้นหรือ?”

“รู้หรือเปล่าว่าขีดจำกัดดั้งเดิมของแต้มพลังวิญญาณ มันคือกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของโลก มิใช่สิ่งที่สามารถทำลายได้โดยง่าย”

“แต่ถ้าคุณต้องการขีดจำกัดพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอีก หนึ่งร้อยจุดเพื่อความสบายใจ งั้นก็ต้องแลกกับว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณจะไม่สามารถกักเก็บแต้มพลังวิญญาณเกินกว่าขีดจำกัดได้อีกต่อไป”

ระบบเทพสงครามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคารพลึก “ว่าอย่างไร? คุณต้องการเพิ่มขีดจำกัดแต้มพลังวิญญาณให้สูงขึ้นจริงๆ หรือไม่?”

กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของตนที่มากกว่า แปดหมื่นแต้ม เขาก็หดตัวกลับทันที

อย่ามาล้อเล่นนะ! ถ้าไม่มีแต้มพลังวิญญาณจำนวนมากแบบนี้ แล้วในอนาคต เวลาที่เขาต้องการจะใช้สกิลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแต้มพลังวิญญาณ เขาจะไปสามารถใช้มันได้อย่างไร?

ในกรณีนี้ การใช้ชีวิตมันจะไม่ยากยิ่งไปกว่าเดิมอีกหรือ?

เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ฉันก็แค่ถามเรื่องขีดจำกัดแต้มพลังไปอย่างนั้นเอง คุณไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ฉันแค่ถาม แต่ไม่ได้บอกว่าต้องการมันเสียหน่อย”

ระบบขี้เกียจเกินไปที่จะใส่ใจเขา มันจึงไม่คิดเอ่ยคำใดอีก

อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนหน้าต่างระบบ

กู่ฉิงซานพอเห็นว่าแต้มพลังวิญญาณตนที่มากกว่า แปดหมื่นว่ายังคงอยู่ดี เขาก็ถอนหายใจโล่งอก

ช่วงเวลานี้เอง เขาก็ตระหนักได้ว่าแต้มพลังวิญญาณสำคัญขนาดไหน ในการต่อสู้ภายภาคหน้า

เขาลองกะน้ำหนักของนาฬิกาเทพ และโยนมันกลับไปให้เสี่ยวเหมียวอีกครั้ง

“นี่คืออุปกรณ์สำรวจแน่นอน งั้นขั้นต่อไป สิ่งที่พวกเราจะทำก็คือการผสานรวมโลกของผีร้าย” เขากล่าว

“นายคิดว่าถ้าพวกเราทำการผสานรวมโลก เบาะแสที่เกี่ยวข้องกับสุสานแห่งโลกจะปรากฏออกมาไหม?” เสี่ยวเหมียวถาม

“สำหรับเรื่องนั้น อีกไม่นานเดี๋ยวพวกเราก็จะได้รู้คำตอบเอง ตอนนี้ผมคงต้องไปหาใครบางคน ให้ช่วยบอกว่าแหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้าของโลกผีร้ายมันอยู่ที่ไหน” กู่ฉิงซานกล่าว

“นายกำลังคิดที่จะไปหาใคร?”

“ราชาผีเพลิงน้ำแข็งที่เพิ่งตายลงเมื่อกี้”

“จะกลับไปที่ปรภพอีกแล้วเหรอ? งั้นคราวนี้ฉันขอไปด้วยสิ ฉันอยากจะสำรวจมัน” เสี่ยวเหมียวขอด้วยความตื่นเต้น

“เอ่อ ต้องขอโทษจริงๆ นอกเหนือไปจากผมแล้ว มีเพียงคนตายเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่โลกปรภพได้” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความรู้สึกผิด

เขาคว้าจับไม้เท้าแห่งการจองจำ เริ่มกระตุ้นพลังในมัน และกลับไปที่นรกโดยตรง

ผ่านพ้นไปยังไม่ถึงสิบนาที

กู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

“ทำไมเร็วจัง?” แบรี่อุทาน

“อืม พอดีว่าราชาผีเพลิงน้ำแข็งแม้จะเป็นความชั่วร้ายที่ฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิตไปมากมาย แต่มันกลับไม่อาจทานทนต่อความเจ็บปวดทรมานในนรกเอาเสียเลย มันก็เลยยอมปริปากบอกผมอย่างง่ายดาย”

“งั้นตอนนี้ นายก็ไปที่โลกผีร้ายเถอะ” แบรี่กล่าว

เสี่ยวเหมียว “พี่ชาย พี่ไม่คิดจะไปสำรวจที่นั่นด้วยกันหน่อยเหรอ?”

แบรี่ชี้ไปยังรังไหมเลือดบนพื้นและกล่าว “ฉันต้องอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องโลก ในเมื่อมันมีสถาบันเทพเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเด็กเย่เฟย์หยูก็กำลังอยู่ในระหว่างวิวัฒ ในช่วงเวลานี้เขาไม่สมควรที่จะถูกรบกวนใดๆ”

“เอาเถอะ งั้นรอก่อนนะ ไม่นานเดี๋ยวพวกเราก็กลับมาแล้ว” เสี่ยวเหมียวกล่าว

เธอคว้าจับมือของกู่ฉิงซาน และเริ่มเปิดช่องว่างมิติ

ทั้งสองหายวับไปในทันที

ส่วนแบรี่ เขาย้ายเก้าอี้แล้วมานั่งอยู่ตรงข้ามกับเย่เฟย์หยู

บางที มันอาจจะเป็นเพราะระหว่างนี้มันเบื่อเกินไป เขาเลยหยิบเหล้าขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อตัวเอง

เมื่อเปิดฝาขวดออก กลิ่นของมันก็ฟุ้งขึ้นมาแทรกเข้าไปในจมูกเขา สองตาของแบรี่เปล่งประกายทันที

เขายกคอขึ้น และเริ่มซดมัน อึก อึก อึก อย่างตะกละตะกลาม

“ฮ่า! นี่มันเยี่ยมไปเลย!”

แบรี่สรรเสริญ

นี่คือสุราวิญญาณที่กู่ฉิงซานมอบมันให้แก่เขา เป็นสุราที่ถูกเก็บไว้ในนิกายร้อยบุปผา มันถูกหมักบ่มด้วยผลไม้นานาชนิดที่นำมาจากหุบเขาวิญญาณ ดังนั้นรสชาติจึงสดชื่น และส่งเสริมพลังบางอย่างในร่างกาย

ต้องบอกว่ากระทั่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ สุราวิญญาณชนิดนี้ก็ยังนับว่าเป็นสุราที่โดดเด่นที่สุดเช่นกัน

ขณะกำลังดื่มเหล้า แบรี่ก็ยังคอยให้ความสนใจกับเย่เฟย์หยู

“พิฆาตโลก…ความสามารถแบบไหนกันนะที่จะวิวัฒขึ้นมา? ฉันละอยากจะเห็นจริงๆ”

เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

อีกด้านหนึ่ง

ในหกวิถี โลกผีร้าย

ท้องฟ้าเบื้องบนช่างมืดครึ้ม

และบ่อยครั้งที่มักจะมีแสงมืดสลัวๆ สาดลงมาจากท้องฟ้า ร่วงตกลงกระแทกเข้ากับพื้นดิน

ภูเขาที่สูงชัน

แม่น้ำที่กระแสปั่นป่วน

ท่ามกลางทุ่งหินขรุขระ บางครั้งคุณจะสามารถมองเห็นถึงสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับซากปรักหักพัง

สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เป็นสถานที่ที่เหล่าผีร้ายใช้เก็บศพของพวกมัน

เนื่องจากหลังจากสิ้นลมหายใจไป ซากศพของผีร้ายบางชนิด มันจะปลดปล่อยพลังที่เป็นพิษออกมา ดังนั้นเมื่อถูกทิ้งไว้ในที่โล่ง จะส่งผลให้เกิดมลภาวะต่อพื้นดินได้

ดังนั้น พวกผีร้ายเลยจำต้องสร้างสถานที่บางแห่งขึ้นเพื่อทำการเก็บศพเอาไว้

วิถีชีวิตของพวกมัน มิได้อาศัยอยู่ในสิ่งปลูกสร้างใดๆ

หากต้องการที่จะพักผ่อน ผีร้ายก็จะมองหาสถานที่เหมาะๆ และทำการหยุดพักเพียงสั้นๆ ก็เท่านั้น

เพราะท้ายที่สุดนี้ ตลอดทั้งชีวิตของผีร้าย พวกมันมักจะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่ขาดแคลนและแสนหายากอยู่ตลอดเวลา

บนท้องฟ้า

ร่างของกู่ฉิงซานกับเสี่ยวเหมียวปรากฏขึ้น

เสี่ยวเหมียวกวาดสายตามองรอบๆ และกล่าวด้วยความผิดหวัง “ช่างเป็นโลกที่แห้งแล้งจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีแต่ผีร้ายเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดในโลกใบนี้ได้”

กู่ฉิงซานเห็นด้วย “ถ้าไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องให้ทุกสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งขึ้น และเพื่อได้รับเบาะแสของสุสานแห่งโลกแล้วล่ะก็ ผมคงไม่ยินดีที่จะผสานรวมกับโลกใบนี้”

“งั้นนายบอกตำแหน่งของแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้ามา พวกเราจะมุ่งไปหามันเลยโดยตรง” เสี่ยวเหมียวกล่าว

“เข้าใจแล้ว”

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็บอกตำแหน่งออกไป

แล้วทั้งสองก็หายวับไปในทันที

ธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน เหล่านี้คือแหล่งกำเนิดธาตุพื้นฐานของโลกใบนี้

ซึ่งในการผสานรวมระหว่างโลกกับโลก พวกเขาจะต้องค้นหาต้นกำเนิดธาตุทั้งห้า รวมมันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าสายใยกฎเกณฑ์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างโลกเข้าด้วยกัน

กู่ฉิงซานกับเสี่ยวเหมียวเดินลึกเข้าไปในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์ผี เพื่อค้นหาแหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้า

โดยที่ทั้งสองไม่คิดเจรจาสิ่งใดให้มันมากความ เมื่อพบผีร้ายเข้ามาขัดขวาง ทั้งสองก็แค่ตีพวกมันจนสลบไป ไม่ก็หนีออกมาก็จบแล้ว

โชคดีจริงๆ ที่เสี่ยวเหมียวอยู่ที่นี่

เพราะแม้ว่าจะถูกไล่ล่าโดยผีร้ายนับไม่ถ้วน แต่เสี่ยวเหมียวก็แค่คว้าตัวกู่ฉิงซาน และวาร์ปหนีไป เท่านี้ก็สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้แล้ว

และเนื่องด้วยการเคลื่อนย้ายอันทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ ทั้งสองจึงสามารถรวบรวมแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้ามาได้อย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา ประทับตัวตนของเขาไว้บนแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าด้วยจิตสัมผัสเทวะ

เขาใช้พลังวิญญาณในการควบคุมกระบวนการหลอมกลั่น ยืดขยายแต่ละแหล่งกำเนิดอย่างรวดเร็ว จนพวกมันกลายเป็นเส้น และทำการเชื่อมต่อพวกมันเข้าด้วยกัน

ปรากฏให้เห็นถึงเส้นสายที่สาดรังสีแสงห้าสีออกมา

เสี่ยวเหมียวจ้องมองสายใยกฎเกณฑ์ ใบหน้าอันงดงามของเธอสะท้อนไปกับแสงและเงาสว่างไสวของมัน

“ฉันไม่เคยผสานรวมโลกมาก่อน” เธอถอนหายใจ “นี่คือสายใยกฎเกณฑ์ใช่ไหม มันดูสวยงามมากจริงๆ”

“ใช่ นี่คือสายใยกฎเกณฑ์ ถ้าผมนำมันกลับไปยังโลกมนุษย์ โลกผีร้ายก็จะถูกฉุดดึงโดยสิ่งนี้ และค่อยๆ เข้าไปหลอมรวมเข้ากับโลกมนุษย์ กลายเป็นโลกใบใหม่” กู่ฉิงซานกล่าว

เสี่ยวเหมียวคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “แล้วถ้าในอนาคตนายเกิดโชคไม่ดี มีคนดันมาพบว่านายว่านายทำการผสานรวมโลกเข้า นายรู้รึยังว่าจะต้องบอกพวกเขาว่าอย่างไร?”

“ผมควรจะบอกพวกเขาว่าอย่างไร?” กู่ฉิงซานถาม

“ให้นายบอกชื่อของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมออกไปโดยตรง แล้วพวกเขาจะไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป”

“แล้วพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็ก?”

“นี่นายลืม? ลองนึกดูดีๆ สิว่าก่อนจะมาที่โลกนี้ ฉันได้ทำการลงทะเบียนข้อมูลของนายเอาไว้แล้ว”

“จากนี้ไปถ้านายเดินทางไปในโลกนับล้านล้าน แล้วนายต้องการที่จะใช้เงิน ตราบใดที่นายรายงานชื่อของสมาคมกำปั้นเหล็กออกไป ฉันการันตีเลยว่าจะไม่มีใครหน้าไหนกล้าเรียกเก็บเงินจากนาย” เสี่ยวเหมียวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

กู่ฉิงซานพยักหน้า แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

เห็นได้ชัดว่านี่คงจะเป็นเหตุผลที่พวกเขาติดหนี้ไปในทั่วทุกสถานที่ กู่ฉิงซานบอกตามตรงเลยว่า ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น นอกจากแบรี่กับเสี่ยวเหมียว คงไม่มีใครสามารถทำแบบนี้ได้อีกแล้ว…

หรือว่า…นับจากนี้ไปในอนาคต ตนเองจะได้รับหน้าที่เพิ่มมาอีกหนึ่งนอกจากทำอาหาร นั่นคือคอยตามเช็ด ชดใช้หนี้ให้กับพวกเขาอยู่ร่ำไปใช่หรือไม่?

ในช่วงเวลาสำคัญเป็นอย่างยิ่งอย่างการผสานรวมโลก ในหัวของกู่ฉิงซานกลับอดไม่ได้ที่จะมีความคิดแบบนี้ออกมา

……………………………………

ภายในโลกเดิม

ณ ขั้วโลกเหนือ

หลี่อันกำลังบอกเล่าเรื่องราวของโลกเทวะให้แก่กู่ฉิงซานอย่างละเอียด

“เช่นนั้นก็หมายความว่า ตอนนี้อาจารย์ข้าได้กลายเป็นผู้นำแห่งพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ไปแล้วใช่หรือไม่?”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ถูกเผง” หลี่อันตอบ

“ฟังดูไม่เลวเลยนี่นา” กู่ฉิงซานสรรเสริญ

“ไม่ใช่แบบนั้น”

“อะไร? หรือว่าจะมีเหตุผลอะไรซ่อนเร้นอยู่อีก?”

“พวกเราได้ยินข่าวคราวของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์จากกษัตริย์ปีศาจหลากหลายตนในโลกมารดึกดำบรรพ์มาแล้ว และได้รับข้อมูลมาว่าทางฝั่งพันธมิตรกำลังประสบการณ์กับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง มีผู้นำอยู่หลายคนทีเดียว ที่ตกตายลงในสงคราม”

รอยยิ้มแย้มบนใบหน้าของกู่ฉิงซานค่อยๆ จางหายไป

ทว่ารำพึงเพียงชั่วครู่ เขาก็เอ่ยออกมา “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่เข้าใจอยู่สิ่งหนึ่ง อาจารย์ข้าน่ะเป็นคนที่ฉลาดมาก ดังนั้นท่านย่อมจะต้องไม่ยอมปลงใจที่จะเข้ารับตำแหน่งที่อันตรายแบบนั้นเป็นแน่”

“ไม่หรอก นางไม่มีทางเลือก”

“เพราะอะไร?”

“เพราะในความเป็นจริงแล้ว ก่อนหน้านี้ อาจารย์ของเจ้าได้ทำการผสานรวมไปกว่า ห้าโลก”

“ว่าไงนะ!” กู่ฉิงซานอุทานเสียงแหบแห้ง

หลี่อันพยักหน้าและกล่าว “หากอิงตามโลกหกวิถีของนาง และโลกหกวิถีของโลกเทวะ ซึ่งโดยสิ้นเชิงแล้วมี สิบเอ็ดโลก โดยรวมนางได้ผสานพวกมันเข้าด้วยกันทั้งสิ้น หกโลกแล้ว”

กู่ฉิงซานตกตะลึง เร่งเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “แล้วเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้นบ้างรึเปล่า? ปฏิกิริยาของสิ่งมีชีวิตในโลกหกวิถีตอบสนองเป็นอย่างไรบ้าง?”

สีหน้าของหลี่อันดูซับซ้อน เธอส่ายหัวและกล่าว “ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด”

เธออธิบายเพิ่มเติม “ในบรรดาหกวิถีของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ โลกสวรรค์นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงเหลืออยู่เพียง ห้าโลกเท่านั้น”

“ขณะเดียวกันในบรรดาหกวิถีของโลกเทวะ โลกมนุษย์ โลกผีร้าย โลกอาชูร่า โลกสวรรค์ และโลกจ้าวอสูร ล้วนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย เฉพาะเพียงในปรภพเท่านั้นที่มีคนตายกว่า ล้านล้านคนกำลังทนทุกข์จากการถูกทรมานตลอดทั้งวันคืน มิอาจหลุดพ้นออกมาได้”

“และอาจารย์ของเจ้าได้ทำการเลือกผสานรวมหกวิถีของโลกเทวะ อันได้แก่ โลกผีร้าย โลกอาชูร่า โลกสวรรค์ โลกจ้าวอสูร และรวมไปถึงตัวโลกเทวะเองเข้าด้วยกัน ทั้งหมดห้าโลก ผสานรวมเข้ากับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ รวมเป็นทั้งสิ้นหกโลก”

“ส่วนเหตุผลที่นางเลือกทำการผสานรวมหกวิถีแต่ทางฝั่งของโลกเทวะ ละความคิดที่จะผสานรวมหกวิถีทางฝั่งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ไปโดยสมบูรณ์นั้น ทั้งหมดก็เพื่อมิให้เกิดสงคราม หรือความสูญเสียใดๆ ขึ้นนั่นเอง”

เสี่ยวเหมียวแทรกขึ้นมา “แต่โลกหกวิถีคือวัฏจักรปิด สิ่งมีชีวิตสมควรที่จะเกิดใหม่ กระจายไปในโลกต่างๆ สิ แล้วเพราะอะไรกัน ทำไมในโลกอื่นๆ ถึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย?”

แบรี่ลองตริตรอง แต่แล้วก็ส่ายหัวและกล่าว “นี่มันไม่สมเหตุสมผล ฉันไม่รู้เลยว่าจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร”

กู่ฉิงซานยังคงเงียบ

เกี่ยวกับความลับสุดยอดของโลกหกวิถี เขาไม่ยินดีที่จะพูดสิ่งใดออกไปต่อหน้าฝูงชน

บางทีเมื่อช่วงที่หกวิถีพังทลายลง มันอาจส่งผลให้เศษเสี้ยวหกวิถีของโลกเทวะได้รับผลกระทบบางอย่างก็ได้

ส่วนหกวิถีของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์เองก็เหมือนกัน ที่หลงเหลืออยู่เพียงห้าโลก โดยไร้ซึ่งวี่แววของโลกสวรรค์ในสถานที่แห่งนั้น

มันอาจกล่าวได้ว่าโลกสวรรค์คงจะถูกทำลายลงเมื่อหกวิถีที่แท้จริงเกิดการพังทลายลงใช่หรือไม่?

หลี่อันส่ายหัวให้เสี่ยวเหมียว แสดงท่าทีว่าเธอเองก็ไม่ทราบถึงคำตอบเช่นกัน

เธอกล่าวต่อ “แต่หลังจากที่ทำการผสานโลกไปหลายใบ แหล่งกำเนิดกฎเกณฑ์ของโลกก็มีอำนาจเพิ่มมากขึ้นทันที ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ก็เพิ่มพูนขึ้นในฉับพลัน”

“ยิ่งท่านอาจารย์ครอบครองพรสวรรค์อันน่าทึ่งอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ผสานรวมโลกเข้าด้วยกัน นางจะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นจนมิอาจจินตนาการได้อย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

หลี่อันเตือน “แต่อย่าลืมนะว่าอาจารย์เจ้าได้ทำการผสานรวมโลกไปมากมายโดยพลการ ซึ่งเป็นการละเมิดกฎของโลก เก้าร้อยล้านชั้น นั่นนับว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมาก”

“อาจารย์เจ้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเข้าร่วมพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์แห่งโลก เก้าร้อยล้านชั้น และแน่นอนว่านี่ก็เพื่อให้เธอได้รับสิทธิ์ในการผสานรวมโลก”

“ส่วนราคาที่นางจะต้องจ่าย ก็คือต้องร่วมต่อสู้เพื่อพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ รับมือกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าสู่วิถีมารอันทรงอำนาจ”

“และปัจจุบัน อาจารย์เจ้าก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำพันธมิตรแล้ว ตำแหน่งซึ่งเป็นเป้าหมายที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าสู่วิถีมารต้องการจะสังหารลงมากที่สุด และข้าไม่อยากบอกเลย ว่าพื้นฐานวรยุทธ์ของอาจารย์เจ้าน่ะ มันต่ำที่สุดเลย ในบรรดาผู้นำทั้งหมดที่ถูกเลือกขึ้นมา”

“ดังนั้น ยามนี้นางจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง”

หลี่อันมองเขา และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าคิดว่าข้อมูลนี่มีความสำคัญต่อเจ้า เพราะก่อนหน้านี้ เจ้าเองก็เคยเรียกข้า เพื่อให้ไปช่วยเหลืออาจารย์เจ้าเหมือนกัน”

“ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงมาแจ้งให้ข้าทราบใช่หรือไม่?”

“ใช่”

กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้นตนเข้าด้วยกัน และโค้งกายคารวะให้แก่หลี่อันอย่างช้าๆ

“ข่าวที่เจ้านำมาเป็นเรื่องสำคัญยิ่งจริงๆ และข้าขอน้อมรับน้ำใจในครั้งนี้เอาไว้ หากในภายภาคหน้าเจ้ามีปัญหาอะไร เจ้าสามารถมาพบข้าได้ตลอดเวลา ข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือเจ้าเอง”

หลี่อันเหลือบมองเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะละสายตาลง “เจ้าดูจะห่วงใยในตัวอาจารย์มากเลยนะ”

“แน่นอน” กู่ฉิงซานถอนหายใจ “เพราะในความเป็นจริงแล้วโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์น่ะโหดร้ายยิ่งกว่าโลกมนุษย์ใบนี้เสียอีก หากไม่มีนิกาย ก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนไร้บ้านเลย”

“เดิมทีข้าเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เร่ร่อน ในช่วงเวลานั้นยังอยู่แค่ขอบเขตปราณปรับแต่ง ไม่นับว่ามีสถานะใดๆ”

“หากโชคดี ข้าอาจจะได้รับการยอมรับจากบางนิกายในช่วงการทดสอบประจำปี และเข้าร่วมกับพวกเขาก็ได้”

“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะนิกายใด สาวกทุกคนไม่ว่าใครก็ล้วนต้องการ ทรัพยากรฝึกยุทธ์ เทคนิคฝึกยุทธ์ อาวุธ เกราะ และอุปกรณ์อันยอดเยี่ยมกันทั้งนั้น”

“แต่หากหมายจะได้รับสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็ต้องทำงานต่างๆ มากมายเพื่อที่จะให้นิกายมอบมันเป็นค่าตอบแทน”

“ผู้ฝึกยุทธ์นับไม่ถ้วนจึงต้องทนทำงานหนักไปตลอดชีวิต แต่สุดท้ายหากพวกเขาก็ล้มเหลวในการทำตามข้อตกลงรับของตอบแทนจากนิกาย ทรัพยากรที่ได้รับมันก็จะไม่เพียงพอ และผลที่ตามมาก็คือ การยกระดับขอบเขตก็จะเชื่องช้าลง ถูกชะลอออกไป”

“นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธ์มากมายที่ไม่ได้รับ เทคนิคฝึกยุทธ์ เทคนิคมนตรา อาวุธหรือเกราะดีๆ ส่งผลให้พวกเขาต้องจบชีวิตลงในสงครามอีก”

กู่ฉิงซานยิ้ม น้ำเสียงของเขาฟังดูอบอุ่นขึ้น “แต่ท่านอาจารย์ก็เลือกที่จะรับข้าเข้าสู่นิกายร้อยบุปผา”

“ท่านอาจารย์มอบดาบพิภพให้แก่ข้า ช่วยสอนสั่งทักษะดาบแก่ข้า”

“เพราะเป็นห่วง เกรงว่าข้าจะถูกลอบสังหาร ท่านถึงขั้นใช้สกิลเทวะเฝ้าติดตามข้าอย่างลับๆ”

“ยามเมื่อท่านตกอยู่ในช่วงเวลาวิกฤต ท่านก็เลือกที่จะมอบทรัพยากรทั้งหมดของนิกายให้แก่ข้า”

“แต่เจ้าทราบหรือไม่? ข้าแท้จริงแล้ว ข้ากลับแทบจะไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อนิกายเลย”

หลี่อันคอยรับฟังอย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “สำหรับพวกเราแล้ว ร้อยบุปผาน่ะไม่ใช่นิกาย ตรงกันข้าม มันเป็นเสมือนครอบครัวต่างหาก”

“และท่านอาจารย์ก็คือสมาชิกครอบครัว ดังนั้นข้าจะไม่ยินยอมเสียท่านไป”

น้ำเสียงของเขากลายเป็นคมชัด

“แต่เท่าที่ข้าเห็น เหมือนว่าเจ้าจะมีอีกหลายสิ่งมากมายที่จำต้องทำในโลกใบนี้ แล้วเจ้าจะย้อนกลับไปหานางได้อย่างไร?” หลี่อันถาม

“ข้าก็แค่ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นลงในวันนี้ แล้วรีบกลับไปทันที”

“เอาล่ะ ขอบคุณสำหรับการมาเยือนอันแสนพิเศษของเจ้า” กู่ฉิงซานขอบคุณอย่างจริงใจ

หลี่อันยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่เฉิดฉายดั่งนางฟ้านางสวรรค์

แล้วเจ้าตัวก็ค่อยๆ ถอยหลังกลับ ผลุบเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างช้าๆ และหายไปในที่สุด

กู่ฉิงซานมองเสี่ยวเหมียว “เกรงว่าจากนี้ไปผมคงต้องรบกวนคุณมากกว่านี้เสียแล้ว”

“อยากจะให้ฉันทำอะไรล่ะ?” เสี่ยวเหมี่ยวถามด้วยรอยยิ้ม

ยิ่งได้ฟังสิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าว และได้เห็นถึงทัศนคติที่เขามีต่ออาจารย์ มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกรู้สึกประทับใจในตัวเขามากยิ่งกว่าเดิม

“พวกเราจะเร่งกระบวนการผสานรวมหกวิถีให้เร็วขึ้น เพื่อทำการค้นหาสุสานแห่งโลก”

“ไม่มีปัญหา แค่ฉันกระดิกนิ้ว ก็สามารถพานายไปยังในแต่ละโลกของหกวิถีได้แล้วในพริบตา”

“ดีล่ะ แต่ก่อนอื่นพวกเรามีบางสิ่งที่จะต้องทำ”

“อะไรงั้นเหรอ?”

“พวกสถาบันเทพ ได้ซ่อนสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่านาฬิกาเทพไว้ใต้ยานอวกาศ”

“ด้วยสิ่งนั้น ทำให้พวกเขาสามารถค้นพบสุสานแห่งโลกได้”

“อ้อ นั่นสินะ ฉันก็ลืมไปเลย” เสี่ยวเหมียวกล่าวขึ้นทันที

เธอก้มตัวลง และกดมือลงกับพื้น

คลื่นมิติที่บิดเบี้ยวผุดออกมาจากมือเธอ และแพร่กระจายไปตลอดทั้งขั้วโลกเหนือ

ไม่นานนัก ยานอวกาศขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในขั้วโลกเหนือก็ถูกห่อหุ้มด้วยอำนาจมิติอันไร้ที่สิ้นสุด

“ฮ่า!”

เสี่ยวเหมียวตะโกนคำหนึ่ง

เสี้ยววินาทีนั้นเอง ขั้วโลกเหนือก็หายไป

ไม่ ไม่สิ ไม่ใช่ขั้วโลกเหนือที่หายไป แต่เป็นยานอวกาศทั้งลำที่หายวับไปจากสายตาของทุกคนเลยต่างหาก!

ฉะนั้นขั้วโลกเหนือบัดนี้จึงว่างเปล่า หลงเหลือเพียงพายุหิมะอันอ้างว้าง

ยานอวกาศถูกนำออกจากใต้ชั้นน้ำแข็งลึก

ดวงตาของเสี่ยวเหมียวเหลือบไปมาตามพื้นเบื้องล่าง ตรวจสอบถึงการเคลื่อนไหวของพื้นอย่างระมัดระวัง

“ฉันว่าฉันพบมันแล้วนะ ดูจากคลื่นความผันผวนมันชัดเจนมาก รู้สึกเหมือนจะเป็นเครื่องมือตรวจจับอะไรบางอย่าง”

ขณะกล่าว เสี่ยวเหมียวก็วาดมือของเธอออกไปเบาๆ และค่อยๆ อุ้มมิติที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า

วินาทีต่อมา สิ่งเล็กๆ ที่ดูประณีตละเอียดอ่อนก็ผลุบออกมาจากอากาศที่บางเบา ตกลงในมือของเธอ

ทุกคนก้มลงมองมัน และพบว่านี่คือนาฬิกาเรือนเล็กๆ ที่มีรูปร่างสวยงามแปลกตา

“โอเค ฉันจะย้ายยานอวกาศกลับมาแล้วนะ”

เสี่ยวเหมียวยื่นมืออีกข้างออกไป และดีดนิ้วของเธอ

ยานอวกาศปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ และจอดลงบนพื้นน้ำแข็งขั้วโลกเหนืออย่างมั่นคงอีกครั้ง

เสี่ยวเหมียวโยนนาฬิกาเทพให้แก่กู่ฉิงซาน

“นายลองดูสิ ว่าใช่นี่ไหม?” เธอกล่าว

กู่ฉิงซานรับนาฬิกาเทพมา และตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง

บนหน้าต่างเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรได้เด้งเตือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ชื่อไอเท็ม ผู้แสวงหาสมบัติของเหล่าทวยเทพ”

“คุณภาพ ไอเท็มประหลาดหายาก”

“คำอธิบายตามพงศาวดารวันสิ้นโลก ไอเท็มหายากชิ้นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในครั้งอดีต มันไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ดังนั้น ไอเท็มหายากชิ้นนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ใดๆ”

“วิชายุทธ์เทพสงคราม จะทำการแสดงสกิลของไอเท็มดังต่อไปนี้”

“สกิลลึกลับ ความสามารถในการสำรวจ การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์”

แต่แล้วหน้าต่างเทพสงครามก็หยุดลงอย่างกะทันหัน

กู่ฉิงซานตกใจ

เกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับระบบอย่างงั้นเหรอ?

แต่ไม่ต้องรีรอให้เขาคาดเดา บรรทัดตัวอักษรสีแดงขนาดเล็กก็เริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

“คุณเป็นคนที่สามที่ได้รับของขวัญจากเหล่าทวยเทพ”

“ตามความปรารถนาของคุณ เหล่าทวยเทพจึงได้ใช้อำนาจที่อยู่เหนือกฎแห่งเหตุและผล มอบกุญแจที่ช่วยให้คุณสามารถปลดเปลื้องพันธะแห่งจิตวิญญาณ”

“กฎเกณฑ์อันลึกล้ำของจิตวิญญาณคุณได้รับการยกระดับ”

“นับตั้งแต่ตอนนั้น คุณก็สามารถแหกกฎข้อจำกัด สามารถศึกษาเทคนิคมนตราประเภทใดก็ได้ตามต้องการ”

“คุณสามารถฝึกฝนสกิลลึกลับ การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์”

“เพื่อที่จะทำการเรียนรู้เกี่ยวกับสกิลลึกลับนี้ คุณจำเป็นต้องจ่าย หนึ่งหมื่นแต้มพลังวิญญาณ”

“คุณยินดีที่จะจ่ายแต้มพลังวิญญาณ หนึ่งหมื่นแต้ม เพื่อได้ฝึกฝนสกิลนี้หรือไม่?”

กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ฉันจ่าย!”

…………………………………..

“สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ เพราะท้ายที่สุดนี้ อย่างไรเสียผู้นำคนใหม่ก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการยอมรับจากทุกคน”

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานกล่าวจบ เขาก็หุบปากลง

บรรดาผู้นำของโลกด้านการฝึกยุทธ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ และคนสำคัญต่างก็จมอยู่ในห้วงความคิดอันลึกล้ำ

จำต้องใช้เวลาอยู่นาน ใครบางคนจึงเอ่ยปากออกมา

“เซี่ยเต๋าหลิง อืม…ข้าคิดว่านางเพียบพร้อมในทุกๆ ด้าน เพียงแต่พื้นฐานวรยุทธ์ยังคงต่ำเกินไปก็เท่านั้นเอง” ผู้เฒ่าคนหนึ่งกล่าวพลางครุ่นคิด

และด้วยประโยคดังกล่าวนี้ ส่งผลให้เสียงของผู้คนจำนวนมากเริ่มเซ็งแซ่ขึ้น

ฝูงชนเริ่มที่จะถกเถียงกัน

“จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูก” หนึ่งในผู้นำกล่าว “เพราะตั้งแต่ที่นางเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ข้าก็ได้เป็นสักขีพยานด้วยตาตนเองอยู่หลายครั้งหลายครา ว่าความไวในการยกระดับของนางช่างรวดเร็วยิ่งนัก กระทั่งเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารก็ยังไม่สามารถไล่ตามความเร็วในการฝึกยุทธ์ของนางได้”

ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนหนึ่งกล่าวบ้าง “ทุกท่านโปรดไตร่ตรองอย่างรอบคอบด้วยเถอะ เซี่ยเต๋าหลิงเพิ่งเข้าร่วมกับพันธมิตรได้ไม่นานก็จริง แต่นางก็ได้รับการคัดกรองมาอย่างเข้มงวดแล้ว”

“ในเวลานั้น เนื่องจากความว่องไวในการยกระดับของนางมันรวดเร็วเกินไป จนก่อให้เกิดความสงสัยกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ดังนั้นผู้เฒ่าจึงสั่งให้นางยอมรับการทดสอบการคัดกรองว่าแท้จริงแล้ว นางคือผู้เข้าสู่วิถีมารหรือไม่”

“แล้วผลลัพธ์น่ะหรือ? ปรากฏว่านางก็เป็นดั่งคนอื่นๆ ที่อาศัยพรสวรรค์และความเข้าใจของตนเอง ไต่ขึ้นมาทีละขั้น ทีละขั้นนั่นเอง”

ผู้เฒ่ายังกล่าวอีกว่า “จดจำได้หรือไม่ ว่าในยามที่นางเข้าร่วมกับพันธมิตร กว่าแปดสิบแปดผู้ฝึกยุทธ์ได้อธิบายแก่นาง พยายามให้นางในฐานะหน้าใหม่เข้าใจเกี่ยวกับโลกเก้าร้อยล้านชั้น ว่าความกว้างใหญ่ของวิถีแห่งเต๋านั้นไร้ที่สิ้นสุดเพียงใด ทว่าหลังจากที่ได้สนทนาแลกเปลี่ยนในเรื่องเทคนิคมนตราจากนาง แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์กว่ายี่สิบเอ็ดคน ที่ความรู้ความเข้าใจเดิมของพวกเขาพังทลายลง ราวกับเพิ่งได้ตรัสรู้ว่าแท้จริงแล้วตนยังอ่อนด้อยนัก”

“ไม่ว่าจะเป็นในด้านความเร็วการฝึกยุทธ์ หรือในด้านเทคนิคมนตรา ทั้งหมดล้วนราวกับถูกส่งมาจากสรวงสวรรค์เพื่อมาช่วยเหลือพวกเรา”

ผู้ฝึกยุทธ์นักสู้คนอื่นๆ ยืนขึ้นและตะโกนลั่น “เซี่ยเต๋าหลิงต้องการเวลา ตราบใดที่ให้เวลานางมากพอ นางย่อมต้องแกร่งขึ้นจนเหนือล้ำกว่าเจ้าอย่างแน่นอน!”

“พูดแบบนี้ หมายความว่าเจ้ากำลังสนับสนุนนางงั้นหรือ?”

“แน่นอน นางเป็นหญิงที่เปรียบดั่งนางฟ้าที่ถูกเนรเทศไปยังสถานที่ห่างไกล แต่ในที่สุดก็ได้หวนคืนสู่บ้านเกิดที่แท้จริงเสียที ตัวข้าฝึกยุทธ์มาหลายพันปี ได้เจอหญิงงามปานนางฟ้ามานับไม่ถ้วน แต่ไม่มีหญิงใดเลยที่มีความสามารถยอดเยี่ยม เทียมเท่าได้กับนาง!”

“อืม…นั่นมันก็จริง”

“ถูกของเจ้า”

“ข้าเห็นด้วย รอยยิ้มของนางช่างมีเสน่ห์มากจริงๆ จนข้าเผลอคิดไปว่าตนเองถูกดึงดูดด้วยเทคนิคมนตราเสียแล้ว”

“ตามตรรกะนี้ ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกได้ว่านางเป็นตัวตนที่ยากนักจักปรากฏขึ้นอย่างแท้จริง”

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มคุกรุ่นขึ้น ฮั่วหลานก็กระแอมไอ เร่งเตือนอย่างรวดเร็ว

“เงียบหน่อย!”

เขาโบกมือ และตะโกนเตือนทุกผู้คนด้วยเสียงอันกังวานก้อง

“พวกเรากำลังเลือกผู้นำพันธมิตร! มิใช่เลือกเฟ้นหาสหายเต๋าที่งดงามที่สุด ฉะนั้นพวกเจ้าทุกคนจงเป็นกลางด้วย”

ฮั่วหลานกวาดสายตามองทุกคนและเอ่ยถาม

“ฉะนั้น ปัญหาหลักในตอนนี้คือ พื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงเต่าเกินไปที่จะโน้มน้าวใจผู้คนได้ใช่หรือไม่?”

ผู้เฒ่าคนก่อนเปิดปากกล่าว “แท้จริงแล้วเป็นเช่นนั้น เว้นแต่นางจะสามารถทะลวงขอบเขตวรยุทธ์ ขอบเขตใหญ่ไปได้อีกขั้นหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดนี้ อย่างไรเสีย ขอบเขตวรยุทธ์ก็คือสิ่งสำคัญที่พวกเราชาวยุทธ์ใช้วัดกันและกัน”

เสียงนี้ดังสะท้อนออกไป

แต่ในไม่ช้า เสียงฮือฮาที่ดังยิ่งกว่าก็ดังขึ้น

เห็นได้ชัดว่ามีหลายคนไม่พอใจกับคำกล่าวอ้างนี้ของผู้เฒ่า

เห็นแค่เพียงผู้ทรงเกียรติฉิงหยุนผุดลุกขึ้น ผายสองมือออกและกดมันลง ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ

เสียงสะท้อนและโห่ร้องจึงค่อยๆ จางหายไป

ในฐานะที่เขาถูกเลือกให้รับตำแหน่งผู้นำเป็นคนแรก ส่งผลให้เขาเป็นที่เคารพ และผู้คนก็ยินยอมปฏิบัติตาม

ฉิงหยุนเริ่มกล่าว

“ท่านผู้เฒ่า ท่านมีความคิดที่ว่าพื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงต่ำเกินไป เช่นนั้นข้าจึงมีคำถามหนึ่งที่อยากจะถามท่านในตอนนี้”

“เชิญท่าน” ผู้เฒ่ากล่าว

ฉิงหยุน “ท่านกล้าที่จะสู้กับเซี่ยเต๋าหลิงหรือไม่?”

ผู้เฒ่าย้อนคิดไปถึงทุกประเภทของเทคนิคมนตรา และทุกกลอุบายของเซี่ยเต๋าหลิง และการลงมืออย่างไร้ซึ่งความปรานีในสนามรบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “ไร้สาระ! ใครจะไปกล้าสู้กับนาง!”

ทว่าหลังจากที่เขากล่าวคำนี้ ลิ้นของเขาก็ราวกับรับได้ถึงรสฝาดขมของความอับอายทันที

อาจริงด้วยสิ

แม้ว่าพื้นฐานวรยุทธ์ของนางจะต่ำกว่า แต่เขาก็ยังไม่กล้าสู้กับนางอยู่ดี

เพราะนี่คือความหวาดกลัวที่เกิดจากการรับรู้ทางจิตวิญญาณ

มันคือสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของผู้ฝึกยุทธ์!

ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ เมื่อได้ยินถึงบทสนทนาระหว่างทั้งสอง ทั้งหมดก็เริ่มจมลงสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง

พื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงแม้จะไม่สูงส่ง ทว่ากลับสามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีวรยุทธ์สูงกว่าเกิดความหวาดกลัวได้

นอกจากนี้ นางยังเป็นหนึ่งเดียวที่สามารถคว้าชัยจากในตลอดทั้งสนามรบอีกด้วย

ด้วยตัวตนเช่นนี้ หากทุกคนให้การสนับสนุนนาง และให้เวลานางได้เติบใหญ่มากพอ นางจะไม่เปรียบดั่งวิหคที่สามารถทะยานบินขึ้นไปเหนือยิ่งกว่าชั้นฟ้าได้เลยหรือ?

ผู้คนมากขึ้น มากขึ้นเริ่มพยักหน้าอย่างเงียบๆ

แต่ผู้เฒ่ายังคงยืนยันหนักแน่น “อย่างไรเสีย ปัญหาสำคัญก็คือพื้นฐานวรยุทธ์ของนางยังอยู่ในขอบเขตที่ต่ำเกินไป ส่งผลให้มันไม่มีพลังวิญญาณมากพอที่จะสำแดงเทคนิคมนตราให้มากยิ่งขึ้น”

“แม้ว่าข้าจะไม่กล้าสู้กับนาง แต่พลังวิญญาณของนางก็ยังไม่แข็งกล้าเท่ากับของข้า!”

บางคนเริ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเริ่มสนับสนุนผู้เฒ่า “น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะหากพื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงต่ำเกินไป ท่ามกลางสงครามครั้งใหญ่ที่กินเวลามากจนเกินควร นางอาจไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้นานพอ”

อีกคนกล่าว “ใช่ หากนางขึ้นเป็นผู้นำ และต้องคอยสั่งการสงคราม แต่พลังวิญญาณของนางกลับไม่เพียงพอ แบบนั้นคงไม่ดีแน่”

“ผู้นำของพวกเราจะเป็นคนที่อ่อนแรง และต้องถอนตัวจากสงครามไปกลางคันได้อย่างไร?”

“หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น มันจะเป็นการบ่อนทำลายขวัญกำลังใจของผู้คนทั้งหมด”

ผู้นำคนหนึ่งกล่าว “เว้นแต่ว่านางจะสามารถยกระดับขอบเขตใหญ่ไปได้อีกขั้น แต่มันก็คงจะยากเกินไป เพราะขอบเขตยิ่งสูง การยกระดับขอบเขตใหญ่ก็จะยิ่งยากเย็นขึ้นเรื่อยๆ ข้าไม่เชื่อว่านางจะสามารถรักษาอัตราเร็วในการฝึกยุทธ์ที่สูงล้ำเช่นนี้ไปได้ตลอด”

ผู้ทรงเกียรติอีกคนกล่าว “ใช่ ไม่มีใครสามารถตัดผ่านได้อย่างรวดเร็ว เว้นเสียแต่จะใช้ประโยชน์จากระบบวิถีมาร แต่เซี่ยเต๋าหลิงชัดเจนว่ามิใช่ผู้เข้าสู่วิถีมาร”

คราวนี้ผู้ฝึกยุทธ์ฝั่งที่สนับสนุนเซี่ยเต๋าหลิงก็เริ่มช่วยหักล้าง โต้เถียงกลับไปบ้าง

ทั้งสองฝ่ายต่างถูกโยนลงสู่การโต้แย้ง

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานเฝ้ามองสถานการณ์นี้อย่างเงียบๆ

เขารออยู่สักพัก แต่กลับเห็นแค่เพียงทุกคนกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง

การโต้เถียงเริ่มจะรุนแรงมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

แต่สิ่งสำคัญก็คือ การที่ผู้ถูกเลือกคนนี้สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีไม่น้อยเลย

เช่นนั้นเวลานี้ ก็สมควรที่จะหยุดวิวาทะกัน และมุ่งเข้าสู่ในส่วนถัดไป

ฮั่วหลานโบกมือ ส่งสัญญาณให้หยุดพูด

ตลอดทั้งที่ประชุมเงียบลง

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างหันมามองฮั่วหลานเป็นสายตาเดียว

ฮั่วหลานกลั้วคอและเริ่มกล่าว

“เวลานี้ พวกเรามีปัญหาอยู่สองประการ”

“ประการแรกคือเซี่ยเต๋าหลิงยินดีที่จะขึ้นเป็นผู้นำพันธมิตรของพวกเราหรือไม่”

“ประการที่สอง พวกเราจะทำการนับคะแนนเสียงดูว่า มีคนที่สนับสนุนนางให้นั่งตำแหน่งนี้ถึงเจ็ดในสิบส่วนหรือไม่”

“เอาล่ะ ก่อนอื่นเลย เราต้องถามเซี่ยเต๋าหลิงก่อน ว่านางคิดเห็นเช่นไร”

“สหายเต๋าเซี่ย?”

“สหายเต๋าเซี่ย เจ้าสามารถลุกขึ้น และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้”

ฮั่วหลานกล่าวจบก็เงียบไป แต่รอสักพักแล้ว ก็ยังไม่เห็นเซี่ยเต๋าหลิงขึ้นมาบนเวที

ผู้ฝึกยุทธ์หลายร้อยคนต่างมุ่งสมาธิไปกับการโต้เถียง จนกระทั่งถึงตอนนี้ พวกเขาจึงค่อยพบว่าสถานการณ์มันผิดปกติไป

ทุกคนละความใส่ใจในเรื่องมารยาท ทั้งหมดต่างปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา กวาดมันไปรอบๆ เพื่อตามหาเซี่ยเต๋าหลิง

“นางไม่ได้อยู่ที่นี่”

“แปลกนัก ข้าเห็นกับตาว่านางก็เข้ามายังโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน”

“จากไปกลางคันกระนั้นหรือ?”

“นางจากไปในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เนี่ยนะ?”

เสียงฮือฮาของผู้ฝึกยุทธ์เริ่มดังขึ้น

ในเวลานั้นเองผู้ฝึกยุทธ์หญิงก็ก้าวออกมา กล่าวกับทุกคน “ทุกท่านโปรดสงบลงก่อน ขอให้ข้าได้อธิบาย”

เธอพิจารณาเกี่ยวกับมันและกล่าว “เรื่องนี้…ในตอนแรก เซี่ยเต๋าหลิงอยู่ที่นี่จริงๆ”

“แต่นางอยู่แค่เพียงไม่กี่ลมหายใจ นางก็แยกตัวกลับไปก่อนแล้ว”

ทุกคนแข็งค้างไปโดยสมบูรณ์

“นางกลับไปแล้วงั้นหรือ? เพราะเหตุใดกัน? หรือนางคิดว่าการประชุมของพันธมิตรนั้นไม่สำคัญ?”

ฮั่วหลานถามด้วยความขมขื่น

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงเร่งอธิบายอย่างรวดเร็ว “มันมิใช่เช่นนั้น แต่เป็นเพราะนางจำต้องตัดผ่านขอบเขตทันที และหากกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์จากในโลกใบนี้ บางคนอาจจะไม่พอใจ และการหารืออย่างเป็นทางการอาจจะล่าช้า ดังนั้นนางจึงแยกตัวกลับไปเงียบๆ”

“และนางยังเตือนข้าอีกด้วยว่า หากมีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง ก็ขอให้ช่วยปกปิดเอาไว้”

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “และข้าก็สัญญาว่าจะปกปิดให้นาง แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าสถานการณ์มันจะลงเอยเช่นนี้”

โลกทั้งใบพลันตกอยู่ในความเงียบงัน

ผู้คนทั้งหมดกลายเป็นโง่งม

ผ่านไปหลายลมหายใจ ฮั่วหลานจึงค่อยตอบสนอง

“เจ้าบอกว่า นางกำลังจะตัดผ่านอีกครั้งงั้นหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นๆ

“ใช่ ข้ายืนอยู่ถัดจากนาง และความผันผวนทางพลังวิญญาณของนางกำลังกระเพื่อมไหวจริงๆ ซึ่งนั่นเป็นลางบอกเหตุของการตัดผ่าน” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงกล่าวอย่างซื่อตรง

ทุกคนจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง

“ฮ่าๆๆ!”

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานเงยหน้าขึ้นมองฟ้า หัวเราะจนงอหงาย

…………………………………….

ในช่วงที่สงครามระหว่างวิหคหนามเพิ่งจะจบลง

อีกด้านหนึ่ง

ลึกลงไปในโลกเก้าร้อยล้านชั้น

โลกที่แห้งแล้งและแสนห่างไกล

โลกที่ซึ่งไม่ว่าผู้มีอิทธิพลใด ก็ไม่มีใครความสนใจในโลกใบนี้

หลังจากผ่านพ้นวันเดือนปีนับไม่ถ้วนเพื่อเฝ้าตรวจสอบ โลกใบนี้ก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นสถานที่ที่แห้งแล้งมากที่สุด

เพราะไม่ว่าจะทดลองปลูกสิ่งใดในโลกใบนี้ มันก็ไม่มีอะไรสามารถเติบโตได้เลย ทว่าในขณะเดียวกัน ความทนทานของโลกทั้งใบกลับสูงลิ่ว มันเป็นการยาก เป็นการยากมากจริงๆ ที่จะถูกทำลายลง

โลกใบนี้มีขนาดเล็กมาก มันสามารถรองรับผู้คนได้ไม่กี่ร้อยชีวิตในเวลาเดียวกันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ กลับมีผู้ฝึกยุทธ์หลายร้อยคนมารวมตัวกันที่นี่

พวกเขาล้วนมาจากโลกด้านการฝึกยุทธ์ และเพิ่งกลับมาจากสงคราม

พวกเขามารวมตัวกันที่นี่อย่างลับๆ เพื่อหารือเรื่องสำคัญบางอย่าง

“โปรดอยู่ในความสงบ! อยู่ในความสงบ!”

ชายชราที่ยืนอยู่ใจกลางผู้ร่วมหารือตะโกนลั่น

จนผู้คนต้องยกมือขึ้นปิดหู

ความโศกเศร้าของสงครามยังคงปกคลุมอยู่ในจิตใจของทุกผู้คน

ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนบ้างกระซิบกระซาบ บ้างพูดคุยกันเสียงดัง บ้างดุด่ากัน และบางคนก็เกือบที่จะลงไม้ลงมือต่อกัน

แต่ก็ยังมีผู้ที่ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ในตอนนี้อยู่ ยังมีผู้ฝึกยุทธ์อีกไม่น้อยที่นั่งหงอยอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา

สายตาของพวกเขาตกอยู่ในความสับสน ทั้งคนทั้งร่างไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว คล้ายกับว่าจิตวิญญาณได้จากไปแล้ว หลงเหลืออยู่เพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่าเท่านั้น

ชายชรากวาดสายตามองรอบๆ ในแววตาของเขาเผยถึงร่องรอยของความเจ็บปวดอันลึกล้ำ

แต่ในไม่ช้า เขาก็กลับมาแลดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

นั่นเพราะเขาจะต้องหนักแน่น มิฉะนั้นพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ก็จะต้องล่มสลายลง

ชายชราสูดหายใจลึก กระตุ้นพลังวิญญาณ เปล่งเสียงอันกระจ่างชัด “จงสงบเพื่อข้า!”

เสียงคำรามนี้สั่นสะท้านโลกหล้าทั้งใบ กระทั่งมิตินอกโลกก็ยังเกิดการกระเพื่อมไหว

เสียงของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ จึงค่อยๆ แผ่วลง

ชายชราใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ตะโกนออกมา “ข้ารู้ว่าทุกคนรู้สึกผิดหวังและกำลังหวาดกลัวในขณะนี้ แต่ยามนี้ยังมิใช่ช่วงเวลาที่พวกเราควรจะหดหู่ เพราะยังมีเรื่องเร่งด่วนที่จำต้องกระทำ”

หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผู้ฝึกยุทธ์บางคนก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ของตน และต้องการจะเปิดปากพูด

ทว่าทั้งหมดก็ถูกชายชราชิงตัดหน้าเสียก่อน เขาชี้ไปรอบที่ประชุม เร่งกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “อาการบาดเจ็บของข้าจะกำเริบในไม่ช้า พวกเจ้าคิดว่าข้าสมควรจะปล่อยวาง แล้วจากไปในตอนนี้เลยหรือไม่?”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ทั้งกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ก็เงียบงันลงทันที

ตลอดทั้งฉากจมลงสู่ความเงียบโดยสมบูรณ์

ชายชราถอนหายใจอย่างอ่อนล้า แต่ขณะเดียวในหัวใจของก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“ตามที่ทุกคนทราบ อาณาจักรมารแห่งผู้ฝึกยุทธ์ได้ยื่นคำขาด ว่าขอให้พวกเรายอมจำนนทันที”

“และในช่วงเวลานี้ กลุ่มกองกำลังหรือผู้มีอิทธิพลจำนวนมากกำลังติดอยู่ในสงคราม ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเรา”

“แต่เราเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง! หากเป็นเจ้า เจ้าจะยอมจำนนต่อขยะเหล่านั้น และกลายเป็นทาสของระบบหรือไม่?”

“ไม่!”

“ไม่มีทาง!”

“ข้ายอมตายดีกว่าต้องตกเป็นทาส!”

“เจ้าพูดถูกแล้ว!”

ผู้ฝึกยุทธ์คนแล้วคนเล่าต่างตอบโต้กลับมา

ชายชราจึงต้องเพิ่มเสียง ตะโกนให้ดังขึ้นและกล่าวอีกครั้ง “ข้าจำต้องพูดกับพวกเจ้าให้มันชัดเจน ว่าหากสงครามในครั้งนี้พ่ายแพ้ ต้นเหตุมันก็เป็นเพราะข้า เป็นข้าเองที่สั่งการและต่อสู้ได้ไม่ดีพอ ทำให้พันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ต้องตกอยู่ในอันตรายครั้งใหญ่”

ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “จ้าวแห่งเต๋า ฮั่วหลาน นั่นไม่ใช่ความผิดของท่าน พวกเราทุกคนต่างรู้ดี”

ผู้ฝึกยุทธ์อื่นถอนหายใจ “ถูกต้อง แม้ว่าพวกเราจะสร้างพันธมิตรขึ้น แต่พวกเราก็ยังมิอาจโค่นพวกผู้ฝึกยุทธ์ที่หันไปพึ่งระบบราชามารได้อยู่ดี”

“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาได้ก่อตั้งอาณาจักรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ขึ้น และยังเป็นอาณาจักรที่ได้รับความช่วยเหลือจากระบบของราชามาร ขณะที่พวกเราเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาๆ มิอาจไล่ตามความเร็วในการฝึกยุทธ์ของพวกเขาได้ทัน” อีกคนหนึ่งตะโกน

นี่เป็นความจริงอันน่าเศร้า

และแล้วเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ก็ทนเงียบต่อไปไม่ได้ ในที่สุดเสียงสนทนาตลอดทั้งที่ประชุมก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานโบกมือ ใช้ออกด้วยเทคนิคเสียงมนตรา ทำการระงับเสียงโวยวายของที่ประชุมลงทันที

เขาเปล่งเสียงลั่น “ข้ากำลังจะตาย แต่พันธมิตรของพวกเรายังคงอยู่ในระหว่างการประหัตประหารกันของสงคราม”

“กลุ่มพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องการผู้นำคนใหม่ เพื่อนำพาผู้คนดำเนินการต่อสู้ต่อไป”

“และพวกเจ้าจะต้องแสดงความคิดเห็นของตนออกมาโดยเร็วที่สุด!”

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานกล่าวออกมาในลมหายใจเดียว แล้วจึงค่อยคลายมนตราระงับเสียงลง

เขาเฝ้ารอฝูงชนเสนอแนะอย่างเงียบๆ

ทว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย

ทุกคนยังคงเงียบ

ฮั่วหลานถอนหายใจ และบ่นด้วยความโกรธ “พวกเจ้าไม่ต้องการที่จะเป็นทาสระบบของราชามาร ดังนั้นพวกเจ้าจึงมากันที่นี่มิใช่หรือ? แต่ตอนนี้ ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ยอมเลือกผู้นำคนใหม่สักทีเล่า?”

บางคนเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา “จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลาน ได้โปรดอย่าโกรธเคืองไปเลย พวกเราแค่ยังรู้สึกไม่ยินยอม เนื่องจากพ่ายแพ้มา และแน่นอนว่ารวมไปถึงท่านด้วย…”

ฮั่วหลานตอบกลับทันที “ใช่ข้าเองก็แพ้ เพราะพวกเขาช่างแข็งกร้าวยิ่งนัก พวกเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเรา และยังมีระบบของราชามารคอยช่วยเหลือ… แต่โปรดวางใจเถอะ ก่อนตายข้าจะทำสิ่งหนึ่งเพื่อพวกเจ้าทุกคนอย่างแน่นอน”

ทั้งหมดเงยหัวขึ้น การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาเริ่มเผยถึงความสนใจ

ฮั่วหลานยิ้มหยันตนเองและกล่าว “ข้าผู้ชราครอบครองทักษะแห่งเต๋าและพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้มากมาย แต่กลับไม่สามารถต้านทานฤทธิ์เดชของระบบราชามารได้ แต่หากข้าผู้ชราจ่ายออกด้วยชีวิตนี้ ก็จะสามารถทำลายกองทัพมารเกือบทั้งหมดลงได้เช่นกัน”

“ด้วยเหตุนี้ จะส่งผลให้ในช่วงเวลาสั้นๆ ทางอาณาจักรมารจะไม่สามารถเริ่มต้นสงครามได้ชั่วคราว!”

“ดังนั้น! พวกเจ้า! ณ เวลานี้! จึงใช้เวลาให้คุ้มค่า เลือกผู้นำคนใหม่เสีย!!”

“มิฉะนั้นแล้ว การเสียสละของข้า คงจะเป็นเพียงการตายอย่างไร้ค่า!!!”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของจ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานก็แหบแห้ง

สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์แปรเปลี่ยนกลับกลาย

เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพื่อที่จะต่อการกับระบบของราชามาร ฮั่วหลานได้อุทิศตนสุดกำลัง ยินยอมเสียสละแม้กระทั่งความตาย

เห็นได้ชัดว่าตนเองรอดชีวิตมาได้ก็เพราะเขา แต่กลับยังมามัวแสดงท่าทีหดหู่อยู่อีก? ช่างเป็นอะไรที่น่าผิดหวังเสียจริง!

ในช่วงเวลานี้เอง เหล่าผู้ฝึกยุทธ์จึงได้กำจัดเงามืดแห่งความพ่ายแพ้ที่คอยกัดกินอยู่ในจิตใจของตนเองออกไปชั่วคราว กระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ และเริ่มไตร่ตรองถึงปัญหานี้อย่างจริงจัง

หลากหลายผู้นำได้สนทนาแลกเปลี่ยนกัน จนในที่สุดก็มีคนหนึ่งยืนขึ้นและกล่าวลั่นว่า “ข้าซางตั้วเหรินแห่งโลกวิญญาณจรัส หลิงหมิง…ขอเสนอ ท่านผู้ทรงเกียรติฉิงหยุน”

และข้อเสนอของพวกเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาเหล่าผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนทันที

“ผู้ทรงเกียรติฉิงหยุนเป็นบุคคลอันทรงเกียรติ พื้นฐานวรยุทธ์ก็สูงส่ง นอกจากนี้ยังเป็นปฏิปักษ์กับมารเสมอมา ฉะนั้นหากได้เขาเป็นผู้นำพันธมิตร พวกเราจะรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นอย่างมาก”

“มิผิด! ท่านผู้ทรงเกียรติฉิงหยุน เป็นบุคคลที่เชื่อถือได้”

“ข้าเองก็คิดแบบเดียวกัน”

ฝูงชนเริ่มถกเถียงเกี่ยวกับเขา

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนอีกมากที่มิได้เอ่ยถึงสิ่งใด

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานมองไปยังผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนและเอ่ยถาม “ผู้ทรงเกียรติฉิงหยุน ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”

ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนยืนขึ้น และถอนหายใจยาว

เขายิ้มอย่างขมขื่น “ต้องขอบพระคุณสำหรับความรักใคร่ของพวกเจ้าทุกคนที่มีต่อข้า แต่ข้าตระหนักดีว่าภาระนี้หนักหนาเพียงใด”

“ในช่วงเวลาที่ปัญหาทั้งภายในและภายนอกกำลังรุมเร้า ข้าหาได้มีความมั่นใจที่จะขึ้นเป็นผู้นำพันธมิตรเพื่อดำเนินการต่อกรกับระบบไม่”

“ในความเป็นจริงแล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าเองก็ยังไม่ทราบเช่นกัน ว่าจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ที่ครอบครองระบบได้อย่างไร”

คำพูดนี้ของเขาฝังลึกเข้าไปในจิตใจของทุกคน

อืม…นั่นสิ

ด้วยพื้นฐานวรยุทธ์และขอบเขตที่เท่าเทียมกัน แล้วจะไปสามารถโค่นเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระบบของราชามารลงได้อย่างไร?

นี่คือปมที่ถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา

หากไม่มีใครสามารถแก้ปมนี้ได้ พันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ก็จะยังคงพ่ายแพ้ต่อไปจนกว่าถูกทำลายลงในที่สุด

นี่คือจุดจบที่แทบจะสามารถมองเห็นได้

ห้วงอารมณ์ของผู้คนเริ่มถูกความเศร้าโศกทับถมลงอีกครั้ง

แต่อีกสักพัก

หลายฝ่ายก็ทำการเสนอชื่อผู้ทรงเกียรติขึ้นมาอีกหลายคน

แต่ผู้ทรงเกียรติทั้งหมดต่างก็ปฏิเสธ

ผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งหันไปเผชิญหน้ากับฝูงชนและตะโกนว่า “ข้าเชื่อว่าหลายๆ คนที่มีพื้นฐานวรยุทธ์ใกล้เคียงกับข้า ต่างก็มีความคิดเห็นเดียวกันในหัวใจ”

“นั่นคือ หากแม้กระทั่งจ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานยังคงพ่ายแพ้ ตัวข้าที่มิอาจเทียบเคียงกับเขาได้ จะไปสามารถนำพาพันธมิตรต่อกรกับอาณาจักรมารได้อย่างไร?”

“โปรดอย่าเสียเวลาผลักดันคนเช่นข้าอีกเลย พวกท่านทั้งหลายจะต้องเลือกเฟ้นคนที่มีความสามารถในการต่อสู้ และเหมาะสมที่จะเป็นผู้สั่งการจริงๆ จะดีกว่า”

บังเกิดเสียงฮือฮาขึ้นในฝูงชน

หากเป็นในช่วงอดีตที่ผ่านมา ก็คงจะมีผู้คนจำนวนมากเต็มใจที่จะเป็นผู้นำพันธมิตร มากชนิดที่ว่าแก่งแย่งชิงอำนาจเพื่อที่จะได้ตำแหน่งมาครอบครองเลยทีเดียว

แต่ในตอนนี้ ในช่วงเวลาแห่งสงคราม ช่วงเวลาที่พันธมิตรกำลังล่มสลาย และทุกคนอาจจะต้องตายลงเมื่อใดก็ได้

ผู้ใดกันจะกล้าช่วงชิงตำแหน่งผู้นำพันธมิตรในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดเช่นนี้?

ผู้ใดกันจะกล้ากล่าวว่าเขาสามารถช่วยเหลือพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดได้?

ท่ามกลางตลอดทั้งโลกใบเล็ก ผู้ฝึกยุทธ์จมลงสู่ความเงียบงันเป็นเวลานาน

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“บางทีพวกเราอาจจะลองเปลี่ยนความคิดดู เอาเป็นจากในสงครามครั้งก่อน ผู้ใดที่สามารถสำแดงฤทธิ์ได้ดีเยี่ยมที่สุด คนนั้นก็รับตำแหน่งไปดีหรือไม่”

ฝูงชนต่างหันไปมองเจ้าของเสียง

เห็นแค่เพียงคนที่เอ่ยปากเป็นชายชราในชุดคลุมเต๋า ตามร่างกายของเขากว่าครึ่งชุ่มไปด้วยเลือด

คนผู้นี้คือผู้นำของหนึ่งในโลกด้านการฝึกยุทธ์ เขากล้าหาญเป็นอย่างยิ่งในสงครามครั้งก่อน บุกตะลุยชนิดที่ว่าตนเกือบจะพลาดพลั้งอยู่หลายครั้ง

นับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่สมควรได้รับการสรรเสริญโดยแท้

บางคนเอ่ยเห็นด้วย “นั่นฟังดูเป็นความคิดที่ดี”

ผู้ทรงเกียรติฉิงหยุนกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “แต่ในการต่อสู้ครั้งก่อน พันธมิตรทั้งหมดต่างพ่ายแพ้ แล้วพวกเราจะไปมองหาผู้ที่ทรงประสิทธิภาพเช่นนั้นได้อย่างไร?”

คำกล่าวนี้ทำให้ฝูงชนเงียบไปครู่หนึ่ง

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์เริ่มที่จะหวนระลึกไปถึงสงครามครั้งก่อนโดยไม่รู้ตัว

“…ก็ไม่เสียทีเดียวนะ” บางคนกล่าวขึ้น

“ใช่ ไม่ถึงกับว่าพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์”

“เหมือนว่าจะมีอยู่การโจมตีหนึ่งที่โดดเด่นสะดุดตา”

“ใช่ๆ พอเจ้าพูดข้าเองก็เริ่มจดจำได้แล้วเช่นกัน”

“แม้นั่นจะเป็นเพียงการโต้กลับก็ตาม”

“แต่ผลลัพธ์ของมันกลับประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง”

“นอกจากนี้การสูญเสียยังมีเพียงเล็กน้อย”

“ผู้ฝึกยุทธ์ผู้เข้าสู่วิถีมารคนหนึ่งก็ถูกสังหารลงโดยคนคนนั้นเช่นกัน”

“มีคนแบบนั้นอยู่ด้วยงั้นหรือ?”

“ใช่สิ เจ้าดูรายงานการต่อสู้แล้วใช่หรือไม่ ว่ามีอยู่โลกหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมกับพันธมิตรมานานแล้ว เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วย”

“อะไรกัน? คนคนนั้นคือใคร”

“คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”

ผู้ฝึกยุทธ์เริ่มสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองทุกคนแล้วพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็นได้

“สหายเต๋าผู้นั้นคือเซี่ยเต๋าหลิง เป็นผู้ที่สำแดงฤทธิ์เดชได้ดีที่สุดในสงครามครั้งก่อน”

ฮั่วหลานเปล่งเสียงสดใส “เช่นนั้น ยามนี้พวกเราก็มาหารือกันดีกว่า ว่าสหายเต๋าหน้าใหม่ผู้นี้เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำพันธมิตรหรือไม่”

………………………………….

ภายในกระท่อมบนยอดเขา

แบรี่ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกถามคำถามนี้ เล่นเอาเขาตะลึงไปเล็กน้อย

เมื่อเห็นถึงสายตาที่กำลังเฝ้ารอคอยคำตอบอย่างร้อนรนของเย่เฟย์หยู เสี่ยวเหมียวก็ยิ้มออกมา

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง” เธอกล่าว

แบรี่ได้สติกลับคืน เข้าพยักหน้า และหัวเราะ

กระทั่งในช่วงเวลาที่ตนกำลังจะได้รับความแข็งแกร่งขึ้น ชายหนุ่มยังคงคิดถึงแฟนของเขาอย่างจริงใจ แลดูน่ารักไม่ใช่น้อย

ผู้ชายแบบนี้ เหมาะสมที่จะเป็นสมาชิกของสมาคมจริงๆ

“หมายความว่าตกลงใช่ไหม?” กู่ฉิงซานถาม

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” แบรี่ตอบ

แล้วพวกเขาก็สามารถจบประเด็นของเย่เฟย์หยูได้ในที่สุด

นับตั้งแต่นี้ไป เย่เฟย์หยูได้เข้าร่วมกับสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมอย่างเป็นทางการแล้ว!

“ถ้างั้น ผมจะสามารถทำอะไรเพื่อสมาคมได้บ้าง?” เย่เฟย์หยูถามด้วยความสงสัย

ทำอะไรเพื่อสมาคมได้บ้าง…

คำถามนี้ทำให้ทั้งสามคนต้องเงียบไป

‘นอกเหนือไปจากการต่อสู้และหาอาหารแล้ว ดูเหมือนว่าในสมาคมจะไม่มีเรื่องอื่นให้ทำอีกเลย’ นี่คือสิ่งที่กู่ฉิงซานคิด

ซึ่งเขาคงคิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่านั่นคือสิ่งที่แบรี่กับเสี่ยวเหมียวกำลังคิดอยู่เช่นกัน

แบรี่กระแอม และเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เอาอย่างนี้ดีกว่า ไหนลองบอกมาหน่อยสิว่านายถนัดเรื่องอะไร?”

“ถนัดเล่นเกม ในบรรดาการจัดอันดับโลก ผมเป็นหนึ่งในคนที่อยู่อันดับสูงที่สุด” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“เล่นเกม? จัดอันดับโลก?” เสี่ยวเหมียวงง

กู่ฉิงซานช่วยพูด “นั่นไม่นับนะ นายช่วยนึกอย่างอื่นแล้วบอกพวกเราอีกทีได้ไหม”

เย่เฟย์หยูขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะกล่าวในที่สุด “ผมสามารถอยู่บ้านเฉยๆ ได้เป็นเวลานาน ตราบใดที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมสามารถไม่ออกไปไหนเลยได้เป็นเวลาหลายปี”

“…” กู่ฉิงซาน

เขาหยุดความคิดที่จะช่วยเย่เฟย์หยูพูดอีกครั้งไปโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม กลับเหนือความคาดหมาย เพราะพอได้ฟัง เสี่ยวเหมียวก็ปรบมือขึ้นอย่างมีความสุข “นั่นมันยอดไปเลยนี่นา! ในที่สุดช่วงเวลาที่พวกเราไม่อยู่ ก็จะมีใครบางคนคอยจัดการกับทางเข้าสัญญาณของโลกมิติอนันต์สักที!”

“อ้าว ไม่ใช่ว่าทางเข้ามิติอนันต์ อยู่ในการควบคุมของคุณตลอดเวลาหรอกเหรอ?” กู่ฉิงซานถาม

“นี่ฟังนะ ฉันถูกขังอยู่ในสมาคมมานานเกือบจะพันปีแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ฉันจะทิ้งสมาคมไป ไม่อยากจะสนใจมัน จะขอใช้วันหยุด! ฉันจะไปช็อปปิ้ง! ฉันจะไปเที่ยวเล่น!” เสี่ยวเหมียวตะโกน

แบรี่พยักหน้า เขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน

“ฉันเองก็ไม่ได้ไปเที่ยวบาร์ หรือเล่นกาสิโนแบบเต็มอิ่มมานานแล้ว” เขากล่าวด้วยอารมณ์

ทั้งสองเฝ้ามองเย่เฟย์หยู และเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับอีกฝ่าย

“น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนแอเกินไป และความรู้เกี่ยวกับโลกเก้าร้อยล้านชั้นก็ยังน้อยนิด จำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะเติบโตขึ้น”

“ใช่ หลังจากที่พวกเราสามารถผสานรวมทั้งหกโลกเข้าด้วยกันได้แล้ว พวกเราจะพาเขาไปออกล่าทุกสารทิศ เพื่อช่วยผลักดันให้เขาวิวัฒนาการไปยังขั้นต่อไป”

ในเวลานั้นเอง สมองควอนตั้มในอ้อมแขนของกู่ฉิงซานก็ส่องสว่างขึ้น

“ใต้เท้า ฉันมีอะไรบางอย่างที่ต้องรายงาน”

“ว่ามาเลย”

“ราชาผีเพลิงน้ำแข็งจากโลกผีร้าย กำลังนำคนของเขาออกไปปล้นฆ่า และจับตัวผู้คน แปรสภาพมนุษย์ให้กลายเป็นพวกผีร้าย”

แล้วฉากดังกล่าวก็ถูกฉายขึ้นบนจอม่านแสง

ราชาผีเพลิงน้ำแข็งที่อยู่ในเมืองผี กำลังตะโกนสั่งเสียงดัง

มนุษย์ที่ถูกจับตัวมาโดยผีร้ายทุกคนก็เร่งวิ่งไปยังจัตุรัส เพื่อเข้าร่วมพิธีแปรสภาพขนาดใหญ่

กู่ฉิงซานมองไปบนจอม่านแสงและเอ่ยถาม “พวกมันเองก็เป็นตัวการทำลายโลกใช่ไหม?”

“ใช่แล้วใต้เท้า พวกผีร้ายเป็นกลุ่มที่สร้างความเสียหายแก่โลกมนุษย์มากที่สุด ใครไม่เชื่อฟังพวกมันก็จะถูกฆ่าและจับกิน มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถรอดไปจากเงื้อมมือของมันได้ นั่นคือจะต้องเลือกแปรสภาพตนเองเป็นผีร้าย” เทพธิดากงเจิ้งอธิบาย

กู่ฉิงซานค่อยๆ ขมวดคิ้ว

เจตนาฆ่าเริ่มพวยพุ่งขึ้นจากตัวเขา

“ดูเหมือนว่าตอนนี้ พวกเราจะมีที่ที่สามารถพาเย่เฟย์หยูออกไปล่าสังหารทุกสารทิศได้เสียแล้ว” เขากล่าวเสียงกระซิบ

เสี่ยวเหมียว “นี่เป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ ขอแค่บอกพิกัดของมันให้กับฉันก็พอ”

แล้วเทพธิดากงเจิ้งก็บอกตำแหน่งพิกัดออกไป

“พวกเราไปกันเถอะ”

เสี่ยวเหมียวลูบแหวนบนนิ้วมือของเธอ

ในเสี้ยววินาที แบรี่ เสี่ยวเหมียว กู่ฉิงซาน และเย่เฟย์หยูก็หายวับไป

ณ เมืองของผีร้าย

ราชาผีเพลิงน้ำแข็งกำลังเร่งความเร็ว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพิธีแปรสภาพขนาดใหญ่

เนื่องด้วยความแข็งแกร่งของกลุ่มคนก่อนหน้านี้ที่เขาเพิ่งเผชิญมามันน่าหวาดกลัวเกินไป แม้จะอยู่ไกลแต่ในหัวใจตนก็รู้สึกว่ายากที่จะต้านทาน

ราชาผีเพลิงน้ำแข็งตระหนักได้ว่าโลกมนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้นานกว่านี้อีกต่อไป

เมื่อพิธีแปรสภาพขนาดใหญ่นี้เสร็จสมบูรณ์ ตัวมันก็ตั้งใจที่จะกลับไปยังโลกของตนทันที และไม่คิดย้อนกลับมาที่นี่ในระยะเวลาสั้นๆ

“ดีมาก ตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว ข้าขอเริ่มพิธีแปรสภาพบัดเดี๋ยวนี้!” ราชาผีเพลิงน้ำแข็งสั่ง

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเลยที่ตอบสนองต่อคำของเขา

มีเพียงความเงียบตลอดทั้งเมืองผี

ผีร้ายทั้งหมดหยุดนิ่งอยู่ในตำแหน่งเดิมของพวกมัน แม้จะใช้กำลังทั้งหมดที่มีของตน พวกมันก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

มิติโดยรอบของพวกมันแข็งตัวไปแล้วโดยสมบูรณ์ ไม่มีกระทั่งที่ช่องว่างที่จะให้พวกมันเปิดปาก

ในหัวใจของราชาผีตระหนักชัดถึงลางไม่ดี มันเร่งใช้เทคนิคมนตราเคลื่อนย้ายทันที

แต่มันกลับพบว่าตนเองไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

วินาทีต่อมา ม่านแสงก็กะพริบไหว

สมาชิกทั้งหมดของสมาคมกำปั้นเหล็กปรากฏตัวขึ้นในจัตุรัส

“เทพธิดากงเจิ้ง ช่วยส่งเกราะรบขับเคลื่อน กับเรือขนส่งมาที่นี่ เพื่อช่วยลำเลียงผู้คนกลับไปหน่อยสิ” กู่ฉิงซานกล่าว

“รับทราบใต้เท้า”

กู่ฉิงซานมองไปที่เสี่ยวเหมียวอีกครั้งและเอ่ยถาม “คุณแน่ใจใช่ไหมว่าผีร้ายพวกนี้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้?”

“พวกมันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างแน่นอน เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกนายก็แล้วกันนะ ส่วนฉันจะขอไปสำรวจค่ายกลนั่นก่อน มันดูน่าสนใจไม่น้อยเลย”

เธอเดินตรงไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่

ซึ่งเป็นค่ายกลมิติที่ใช้กลับไปยังโลกของผีร้าย

“เฟย์หยู ตานายแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

เย่เฟย์หยูเลียริมฝีปากของเขาด้วยความตื่นเต้น และกล่าวว่า “ความแข็งแกร่งของพวกมันไม่เลวเลย นี่เป็นวัตถุดิบสำคัญที่จะช่วยให้ฉันสามารถวิวัฒนาการขึ้นได้ ฉันสามารถฆ่าพวกมันได้จริงๆ ใช่ไหม?”

“ฆ่าให้หมดเลย” กู่ฉิงซานสนับสนุน

เย่เฟย์หยูร้องคำราม แปรเปลี่ยนตนเป็นเส้นแสงสีเลือด โฉบไปยังราชาผีเพลิงน้ำแข็ง

ตะขอเกี่ยววิญญาณที่สาดรังสีแสงสีเหลืองอ่อนๆ ผุดออกมาจากหลังมือของเขา ใบมีดอันคมกริบ ตัดผ่านต้นคอของราชาผีเพลิงน้ำแข็งอย่างแผ่วเบา

ส่วนหัวพลันถูกแยกออกจากลำตัว

ราชาผีเพลิงน้ำแข็ง ผู้ซึ่งเป็นผู้นำผีร้ายทั้งมวล และเป็นตัวตั้งตัวตีในการบุกโจมตีโลกในครั้งนี้ ตกตายลงโดยไม่ทันได้ต่อต้านใดๆ

ปัง!

เลือดสังหารพวยพุ่งออกจากร่างกายของเย่เฟย์หยู

เขาได้รับพลังทั้งหมดของราชาผีเพลิงน้ำแข็งมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

“มันสะดวกสบายจริงๆ นี่ใช่ไหมคือความสนุกของการที่ได้ฆ่ามอนสเตอร์ที่เลเวลมากกว่า” เย่เฟย์หยูเปล่งเสียงกระซิบที่ฟังดูกำลังรื่นรมย์ออกมา

ตะขอเกี่ยววิญญาณสาดประกายกะพริบไหว

อีกหัวหนึ่งของผีร้ายที่ทรงพลังถูกแยกออกจากลำตัว

เลือดสังหารที่ปะทุออกจากร่างของเย่เฟย์หยูยิ่งมากกว่าเดิม

แบรี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ กู่ฉิงซานยกสองแขนขึ้นกอดอกและกล่าว “อะไรคือการมอนสเตอร์ที่เลเวลมากกว่า?”

“มันเป็นศัพท์ในเกม คุณไม่จำเป็นต้องสนใจที่เขาพูดหรอก” กู่ฉิงซานตอบ

“งั้นนายตั้งใจที่จะทำอะไรต่อไป” แบรี่ถามอีกครั้ง

“ตอนนี้ก็รอให้พวกผีร้ายที่นี่ทั้งหมดถูกฆ่า จากนั้นก็เข้าไปในโลกผีร้าย และผสานรวมโลกของพวกมันเข้ากับโลกมนุษย์”

“จากนั้นล่ะ?”

“จากนั้นก็เป็นโลกสวรรค์ โลกจ้าวอสูร และโลกอาชูร่า จับแต่ละโลกมาผสานรวมเข้าด้วยกันทีละโลก ทีละโลก”

กู่ฉิงซานนึกขึ้นได้ถึงบางสิ่ง และกล่าว “แต่สำหรับโลกอาชูร่าคงต้องอ่อนโยนกันหน่อย เพราะพวกเขามีความสัมพันธ์กับผมอยู่”

“ที่พูดมามันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร” แบรี่พยักหน้า

เสี่ยวเหมียวเดินกลับมาและกล่าว “ฉันได้ทำการตรวจสอบค่ายกลของผีร้ายเรียบร้อยแล้ว บางจุดของค่ายกลติดตั้งกับดักที่ส่งผลให้มีเพียงผีร้ายเท่านั้นที่สามารถผ่านมันไปได้ แต่พวกเราไม่จำเป็นต้องเดินทางผ่านค่ายกลของมัน เพราะฉันได้รับพิกัดโลกของผีร้ายมาแล้ว นั่นหมายความว่าฉันสามารถส่งนายไปยังโลกของพวกมันได้เลยโดยตรง”

“งั้นรอให้เย่เฟย์หยูจัดการให้จบลงก่อน แล้วพวกเราค่อยไปกันนะครับ” กู่ฉิงซานกล่าว

ทั้งสามเบนสายตามองออกไป

หลายสิบลมหายใจผ่านพ้น

ในที่สุด เย่เฟย์หยูก็สามารถล้างบางผีร้ายทั้งเมืองจนหมดสิ้น

เขาคุกเข่าลงกับพื้น และเริ่มส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

ร่องรอยจางของเลือดสังหารเริ่มควบรวมเป็นเส้นบางๆ คล้ายดั่งผ้าไหมที่มีจิตวิญญาณ เริ่มว่ายวนรัดพันรอบตัวเย่เฟย์หยู

เสียงร่ำร้องของเย่เฟย์หยูค่อยๆ ถูกตัดขาดออกจากภายในด้ายเลือด

“การวิวัฒนาการกำลังจะเริ่มต้นขึ้น”

แบรี่เฝ้ามองดูฉากนี้และกล่าว

“จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน แต่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ พวกเราจะต้องรอดูเอง จนกว่าจะรู้ผล” แบรี่กล่าวด้วยความสนใจ

เสี่ยวเหมียวยิ้ม “ตอนนี้ ฉันไม่เพียงแต่ได้มาเห็นทิวทัศน์ของโลกหกวิถีด้วยตาตัวเอง แต่ยังสามารถได้คอยเฝ้ามองการวิวัฒนาการของพิฆาตโลกอีก การเลือกเดินทางมาในครั้งนี้มันช่างคุ้มค่าเสียจริงๆ”

แต่กู่ฉิงซานเหมือนจะไม่ได้ฟังเธอ เขาจมลงไปในห้วงความคิดอย่างเงียบๆ

หลังจากที่เย่เฟย์หยูวิวัฒนาการแล้ว เอาไว้เขาค่อยตรวจสอบด้วยตัวเองก็ได้ ตอนนี้คาดเดาไปก็เท่านั้น

ทุกอย่างจะเป็นไปตามขั้นตอน เริ่มจากการผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์ และจากนั้นก็สำรวจความลับของสุสานแห่งโลก

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและซับซ้อน

แต่โชคยังดี ที่มีแบรี่กับเสี่ยวเหมียว ทำให้กู่ฉิงซานสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งใหญ่ไปได้

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

เขาอยากจะรู้จริงๆ ว่าเทพบรรพกาลได้ซ่อนสิ่งใดเอาไว้ในโลกหกวิถี

ขณะกำลังขบคิด ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็รับรู้ได้ถึงบางอย่าง

เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบวัตถุบางสิ่งออกมา

เป็น ‘กระดิ่งมารสวรรค์’

บนตัวกระดิ่งกำลังสั่นไหว สาดบรรยากาศเย็นเยียบออกมาอย่างต่อเนื่อง

สายกระดิ่งยังคงสั่นไหว คอยเขย่ากระดิ่งให้เกิดเสียงดังไม่หยุด

เสียงของกระดิ่งมารสวรรค์กังวานไปยังโลกอันไร้ที่สิ้นสุด

“เธอจะมาอย่างงั้นเหรอ?”

กู่ฉิงซานพึมพำด้วยความสงสัย

แต่ในไม่ช้า เขาก็เหมือนจะนึกออกในที่สุด

เพราะตนได้เคยสัญญาณเอาไว้ว่าจะมอบโลกใบหนึ่งให้แก่อีกฝ่าย แต่นี่ก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว เขากลับยังไม่มอบมันให้เสียที

เกรงว่าเธอคงจะมาหาเขาเพื่อทวงหนี้

อย่างไรก็ตาม ตัวเขาก็เป็นหนี้มานานแล้ว ดังนั้นปัจจุบันจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการชำระ

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ

ในความว่างเปล่าก็เริ่มขยับไหว

“ไม่เป็นไรหรอก คนที่กำลังจะมาอยู่ฝ่ายเดียวกัน”

กู่ฉิงซานหันไปพูดกับแบรี่และเสี่ยวเหมียว

ระหว่างกล่าว เห็นแค่เพียงเด็กสาวชุดดำคนหนึ่งค่อยๆ ตกลง

เธอร่อนลงมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซานโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเฝ้าสังเกตเด็กสาวคนนั้น การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาค่อยๆ ผิดแปลกไป

นั่นเพราะสองพี่น้องสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของกฎเกณฑ์ของสวรรค์และโลก ที่ควบรวมกันแน่นอยู่ในตัวเด็กสาวชุดดำผู้นั้น

มันเป็นชนิดของการอนุญาต วางใจ และยินยอม

โลกใบนี้เต็มใจต้อนรับการมาเยือนของเธอ

“น้องสาว นั่นใช่มารสวรรค์แห่งโลกหกวิถีรึเปล่า?” แบรี่ถาม

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ ช่างเป็นรูปแบบชีวิตที่พบเจอได้ยากยิ่งจริงๆ” เสี่ยวเหมียวอุทาน

กู่ฉิงซานหยิบบอลคริสทัลออกมา

นี่คือโลกที่ลอร่ามอบให้กับเขา

ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของทริสเต้ แต่ตอนนี้มันตกอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน

“นี่สำหรับเจ้า เป็นสิ่งชำระของหนี้ในคราวก่อนที่ตกลงกันไว้”

กู่ฉิงซานส่งบอลคริสทัลออกไป

หลี่อันรับบอลคริสทัล และตรวจสอบมันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เธอพบว่ามันคือโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาล

มันคือโลกที่มีค่ามากๆ และอาจจะยังมีความลับอีกมากมายให้ทำการสำรวจ

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความจริงใจ “ก่อนอื่นเลยข้าอยากจะขอบคุณเจ้าที่ให้ความช่วยเหลือ และหวังว่าในอนาคตพวกเราจะยังคงได้ร่วมมือกันอีกครั้ง”

หลี่อันพอได้ฟัง ก็เผยรอยยิ้มอันอบอุ่นออกมา

แล้วเธอก็เริ่มเผยอริมฝีปากเบาๆ “ข้าไม่ได้มาเพื่อขอให้เจ้าจ่ายหนี้”

“งั้น…”

“ข้าอยากจะมาหาเจ้าเฉยๆ มันไม่ได้รึไง?”

“แน่นอนว่าได้”

“ล้อเล่นน่ะ อันที่จริงแล้วข้ามีบางอย่างที่ต้องบอกมันแก่เจ้า”

“…” กู่ฉิงซาน

เขายังคงแสดงท่าทีจริงใจและเอ่ยถามต่อ “เป็นเรื่องอะไรกัน  ที่ทำให้เจ้าถึงกับต้องมาบอกด้วยตนเอง”

หลี่อัน “ตอนนี้สถานการณ์ของโลกเทวะตึงเครียดมาก สงครามระหว่างอาณาจักรทั้งปวงได้ปะทุขึ้นแล้ว ข้าจึงคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้เจ้าทราบ”

ในหัวใจของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง เขาถามออกไป “สงคราม? ทำไมจึงเกิดสงครามขึ้น?”

เมื่อเผชิญกับความสงสัยของกู่ฉิงซาน หลี่อันก็อดไม่ได้ที่จะย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ในช่วงสงครามครั้งก่อนหน้า กระทั่งในช่วงเวลานี้ ในหัวใจของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และชื่นชมในกลยุทธ์ของเขา

“เพราะอาจารย์ของเจ้าได้กระทำบางสิ่งที่ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่”

ในที่สุดหลี่อันก็เฉลยออกมา

……………………………………..

ในขั้วโลกเหนือ

ทุกสถานที่แผ่ไปด้วยเสียงของสายลมและหิมะ

ณ จุดสูงสุดของยอดเขา

แบรี่ เสี่ยวเหมียว และกู่ฉิงซานอยู่ในกระท่อม

ทั้งสามตั้งวง นั่งล้อมรอบกองไฟที่กำลังเผาไหม้

ต่างคนต่างยกเหล้าขึ้นดื่ม ขณะเดียวกันก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเย่เฟย์หยู

“จะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่เขาวิวัฒนาการไปสู่ขั้นถัดไป?”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เสี่ยวเหมียว “พิฆาตโลกแต่ละคนจะมีทิศทางวิวัฒนาการที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และลักษณะธรรมชาติของตัวเขาเอง แต่รูปแบบชีวิตของสิ่งที่เขาดูดซับก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน”

“ดีล่ะ ดูเหมือนว่าพวกเราจะช่วยหาโอกาสให้เขาวิวัฒน์ให้เร็วขึ้นเสียแล้ว” กู่ฉิงซานสูดหายใจ

“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายกำลังกังวลอยู่กันนะ?” แบรี่ถาม

กู่ฉิงซานพยักหน้าตอบ “ผมกำลังกังวลอยู่จริงๆ เพราะโลกใบนี้จำเป็นต้องการใครสักคนที่จะปกป้องมัน อย่างไรก็ตาม ผมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องทำ…ตอนนี้ผมเป็นห่วงเรื่องนิกายของผมมากๆ เลย”

เขาเบนสายตามองหน้าต่างเทพสงคราม อ่านไม่กี่บรรทัดแสงหิ่งห้อยที่ยังคงลอยอยู่ที่นั่น

“คุณยังไม่ได้ใช้พลังของระบบเทพสงคราม เพื่อหวนกลับไปยังโลกเดิม”

“ระบบได้สะสมพลังงานเพียงพอแล้ว”

“นับจากเวลานี้ คุณสามารถไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ได้ตลอดเวลา”

“เมื่อคุณต้องการ โปรดสื่อสารกับระบบเพื่อทำการเคลื่อนย้ายด้วย”

กู่ฉิงซานส่ายหัว สลัดอารมณ์ว้าวุ่นทิ้งไป

หลังจากที่เขาส่งฉินรั่วกับว่านเอ๋อกลับไป ก็ไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ อีกเลย

เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้เจอกับท่านอาจารย์ เซี่ยวโหลว ซิวซิว ตนไม่อาจรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้างในตอนนี้

แต่น่าเสียดายที่ในโลกเดิมยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ เขาจึงยังไม่สามารถจากไปในเวลานี้ได้

“นิกายงั้นเหรอ?” เสี่ยวเหมียวถามด้วยความอยากรู้

“ใช่ ผมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีรากฐานและที่มาของการสืบทอดวิชา”

กู่ฉิงซานบอกเล่าเกี่ยวกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์และโลกเทวะ

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวต้องประหลาดใจอีกครั้ง

“อืม ไม่ต้องกังวลจนเกินไปหรอก เท่าที่ฟังดู เรื่องของทางฝั่งนู้นไม่น่าจะเร่งด่วนอะไรนะ” แบรี่ปลอบ

ว่าแล้วเขาก็ยกแก้วขึ้นชนกับกู่ฉิงซาน

ทั้งสองยกซดมันรวดเดียวหมด

กู่ฉิงซาน “อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ผมเองก็หวังว่าจะจบเรื่องของที่นี่โดยเร็ว ผมจะได้กลับไปดูว่าทางฝั่งนั้นเป็นอย่างไรบ้างสักที”

แบรี่ถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดเลยว่านายจะเหมือนกับฉัน ที่กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของแต่ละโลก ว่าแต่นายรู้สึกอย่างไรหรือ เวลาที่ได้ช่วยโลกเอาไว้?”

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “สำหรับผม การช่วยโลกมันไม่แตกต่างไปจากการส่งอาหารเลย”

“หมายความว่าอย่างไร?”

“ก็หมายความว่าระหว่างทางมันต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก และจะไม่สามารถหยุดงานได้ จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย”

แบรี่พอได้ฟังก็หัวเราะ

“ประโยคนี้คุ้มค่าที่จะให้นายได้ดื่มมันอีกหนึ่งแก้ว”

เขาเติมเหล้าใส่แก้วของกู่ฉิงซาน ใส่ของตัวเอง และยื่นมันให้แก่เด็กหนุ่มเพื่อเป็นการแสดงความนับถือ

ทั้งสองดื่มรวดเดียวหมดอีกครั้ง

กู่ฉิงซานเหมือนจะนึกได้ถึงบางสิ่ง เอาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ผมได้ยินมาว่าโลกเก้าร้อยล้านชั้นไม่อนุญาตให้ทำการผสานโลกโดยพลการ นี่เป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”

“อืม เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะการจับเอาแหล่งกำเนิดของโลกอื่นมาหลอมรวม แล้วส่งผลให้แข็งแกร่งขึ้น มันเป็นสิ่งล่อใจที่รุนแรงเกินไป”

“ซึ่งถ้าทุกคนทำแบบนั้น โลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้นคงไม่แคล้วถูกโยนลงสู่ท่ามกลางพายุเลือด”

“ดังนั้นเหล่าตัวตนทรงอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเก้าร้อยล้านชั้น จึงได้มาประชุมกัน และก่อร่างสนธิสัญญาว่าจะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ทำการผสานโลกโดยพลการ ยกเว้นตามโควตาที่กำหนดไว้ ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษอย่างร้ายแรง”

กู่ฉิงซาน “แต่ผมบังเอิญไปผสานรวมสองโลกเข้าด้วยกันเสียแล้ว”

“สำหรับนาย มันไม่เป็นไรหรอก”

“อ้าว ทำไมล่ะ?”

แบรี่ “เพราะนายเป็นสมาชิกของสมาคม และสมาคมของเราก็ไม่เคยใช้โควตาในการผสานโลกเลยน่ะสิ”

กู่ฉิงซานอึ้งงัน แต่แล้วเขาก็เริ่มตระหนักได้ทันที

แบรี่น่ะเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ เสี่ยวเหมียวเองก็เช่นกัน

ดังนั้นพวกเขาจะต้องมีสิทธิ์และอำนาจพิเศษบางอย่าง อย่างแน่นอน

“พวกคุณไม่เคยผสานรวมโลกเข้าด้วยกันเลยงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานถาม

“ช่วงก่อนหน้านี้ พี่ชายของฉันได้รับบาดเจ็บ และไม่สามารถออกไปไหนได้ แถมพวกเรายังมีปัญหาในด้านอาหารการกินอีก แล้วพวกเราจะไปเอาแรงและเวลาที่ไหน ออกค้นหาโลกมาผสานเล่นกันเล่า?” เสี่ยวเหมียวยิ้มแห้งๆ ออกมา

“ไม่ใช่ว่าการผสานโลกจะช่วยให้อาการบาดเจ็บดีขึ้นหรอกเหรอ?”

“มันสามารถช่วยเพิ่มขีดกำจัดสูงสุดของความแข็งแกร่ง และทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดแข็งแกร่งขึ้นได้ก็จริง แต่มันไม่สามารถช่วยรักษาได้”

แบรี่กล่าว “แต่การผสานรวมโลกมันส่งผลดีมากจริงๆ อย่างเช่นอาจารย์ของแฟนนาย เขาได้ทำการผสานรวมโลกที่เด่นในด้านเทียนซวนเข้าด้วยกันหลายใบ ส่งผลให้ในที่สุดโลกทะเลเลือดของเขาก็กว้างใหญ่ขึ้น”

เสี่ยวเหมี่ยว พูดบ้าง “ก่อนหน้านี้ ที่คนจากสถาบันเทพยังไม่บ้า พวกเขาเองก็ได้ทำการผสานรวมโลกด้านลึกลับหลายใบเข้าด้วยกันเหมือนกัน”

“ด้านลึกลับ…” กู่ฉิงซานพึมพำ

เขาย้อนนึกไปถึงสกิลลึกลับของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแต่ละสกิลล้วนทรงพลังและพิสดารเป็นอย่างมาก

เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าโลกที่เน้นผสานรวมในด้านลึกลับจะพัฒนาไปในทิศทางใด

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ท่าทีของเสี่ยวเหมียวก็กลายเป็นจริงจังมากขึ้น

เธอเอ่ยเตือน “โลกในด้านลึกลับมันแปลกประหลาดมาก ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วทุกคนมักจะไม่เต็มใจที่จะไปยั่วยุพวกเขา นายต้องจำเอาไว้ให้ดี ว่าอย่าไปยั่วยุผู้คนในด้านลึกลับ”

แบรี่เสริม “เมื่อนายต้องสู้กับพวกในด้านลึกลับ นายจะไม่อาจมั่นใจได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในระหว่างการต่อสู้ ซึ่งนี่นับว่าเป็นเรื่องน่าปวดหัวมากๆ”

กู่ฉิงซานพยักหน้า พอนึกไปถึงตอนที่ได้ต่อสู้กับสาวกศักดิ์สิทธิ์ พลังของอีกฝ่ายแต่ละคนมันก็ชวนให้เขาปวดหัวจริงๆ นั่นแหละ

เขาถามอีกครั้ง “ดังนั้น ก็หมายความว่าพวกคุณไม่เคยมีความตั้งใจที่จะผสานรวมโลกเลยน่ะสิใช่ไหม?”

เสี่ยวเหมียวอธิบาย “ไม่เสียทีเดียว อันที่จริงพี่ชายกับฉัน พวกเราเกิดมาในโลกมนตรา และเดิมทีฉันวางแผนที่จะรวบรวมโลกที่โดดเด่นด้านมนตราเข้ากับโลกของพวกเรา เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในระดับรายบุคคลขึ้น แต่น่าเสียดาย ที่พวกเราไม่มีเวลาและพลังงานมากพอที่จะทำเรื่องนี้”

“ถ้างั้น หากผมต้องการที่จะผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง ผมจะสามารถทำมันได้ใช่ไหม” กู่ฉิงซานกล่าว

เมื่อทั้งสามพูดคุยกันมาถึงจุดนี้ ทั้งหมดก็เงียบกันไปพักหนึ่ง

เพราะทั้งหมดพลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

กู่ฉิงซานเป็นคนแรกที่เอ่ยถาม “มีใครในโลก เก้าร้อย ล้านชั้น เคยคิดที่จะทำแบบเดียวกับผม ทำการผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกันบ้างรึเปล่า?”

“ไม่มี” แบรี่ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด

“เพราะในโลก เก้าร้อย ล้านชั้นน่ะ มีโลกหกวิถีอยู่โลกสถานที่เดียวเท่านั้น และมันซ่อนตัวอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ แค่การจะเข้าไปค้นหามันยังเป็นเรื่องยากเลย ดังนั้นการผสานรวมคงไม่ต้องกล่าวถึง”

โลกหกวิถีคือวัฏจักรปิด ดังนั้นถ้าพวกมันทั้งหมดถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน จะก่อให้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่นะ?

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอย่างเงียบๆ

พระเจ้าประหลาดนั่น สามารถรับรู้ถึงคลื่นความผันผวนของสุสานแห่งโลก ในตอนที่ปรภพกับโลกมนุษย์ได้ทำการผสานรวมเข้าด้วยกัน

ตั้งแต่ที่โลกถูกผสานรวม ก็เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น…

ถ้างั้น หากเขายังคงผสานรวมหกวิถีต่อไป ตนก็จะค้นพบเบาะแสได้มากกว่านี้ใช่หรือไม่?

บางที เขาอาจจะได้รับเบาะแสอย่างตำแหน่งที่แน่นอนของสุสานแห่งโลก หรือกระทั่งวิธีที่จะเปิดมันก็ได้

หากเป็นในกรณีนี้ การผสานรวมทั้งหกวิถีเข้าด้วยกันก็เป็นสิ่งจำเป็น

เสี่ยวเหมียวคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถาม “ถ้าเป็นอย่างที่นายพูด โลกที่นิกายของนายตั้งอยู่ก็เป็นโลกหกวิถีเหมือนกันใช่ไหม?”

“ใช่” กู่ฉิงซานกล่าว

เสี่ยวเหมียว “พี่ชาย นี่มันชักจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ทำไมถึงได้มีโลกหกวิถีซ่อนอยู่มากมายในโลก เก้าร้อย ล้านชั้นกันแน่?”

แบรี่ “พี่เองก็กำลังสงสัยอยู่เหมือนกัน”

กู่ฉิงซานไม่ได้กล่าวสิ่งใด

โลกหกวิถี เดิมทีถูกสงวนเอาไว้สำหรับเหล่าทวยเทพ ทว่ามันกลับถูกทำลาย และแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หลุดรอดออกมาในโลกกระจัดกระจาย

นอกจากนี้ ระบบเทพสงครามยังเตือนเขาซ้ำๆ ถึงความจริงอันน่าอัศจรรย์นี้ ว่าจะต้องไม่แพร่งพรายมันออกไป มิเช่นนั้นจะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้

กู่ฉิงซานยังคงเลือกที่จะไม่พูด เขาเก็บเรื่องนี้เอาไว้อย่างเงียบๆ

เสี่ยวเหมียวเอ่ยเสริม “ฉันเองก็อยากจะเห็นเหมือนกัน เพราะฉันไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากทำการผสานรวมทั้งหกวิถีเข้าด้วยกัน”

กู่ฉิงซาน “ก็ในเมื่อคุณอยู่ที่นี่แล้ว งั้นทำไมพวกเราไม่ทำมันเสียตอนนี้เลยล่ะ?”

“นายแน่ใจเหรอว่าจะทำจริงๆ?” แบรี่ถาม

“แน่ใจ”

กู่ฉิงซานยืนขึ้น และกล่าวต่อ “เพราะตอนนี้โลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้นกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง และคุณเองก็ได้ค้นพบถึงความลับของสถาบันเทพแล้ว”

“ในเมื่อพระเจ้าแปลกๆ ของทางสถาบันเทพก็ยังสามารถรับรู้ถึงที่นี่ได้ ดังนั้นผมคิดว่าวันหนึ่ง โลกใบนี้คงจะไม่สามารถหลบซ่อนได้อีกต่อไป อีกไม่คงจะมีผู้คนมากขึ้นที่ค้นพบมัน”

“โดยสรุปแล้ว จำเป็นที่จะต้องให้สิ่งมีชีวิตในโลกนี้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด”

แบรี่ลุกขึ้นและกล่าว “โอเค งั้นพวกเราก็มาเริ่มทำการผสานรวมทั้งหกโลกเข้าด้วยกัน กันเลย”

เสี่ยวเหมียวยืนขึ้น และพูดบ้าง “เรื่องนี้น้องเอาด้วย มันน่าสนใจมากจริงๆ พวกเราจะเริ่มกันตอนนี้เลยดีไหม?”

“ดีล่ะ ไปกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

แต่ในเวลานั้นเอง ประตูกระท่อมก็ถูกเปิดออก

เย่เฟย์หยูเดินฝ่าพายุหิมะเข้ามา

แบรี่ เสี่ยวเหมียว และกู่ฉิงซานหันไปมองหน้ากันและกัน

“กู่ฉิงซาน นายมีอะไรจะคัดค้านไหม?” เสี่ยวเหมียวถาม

“แน่นอนว่าไม่ ผมโอเค เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา” กู่ฉิงซานกล่าวทันที

“งั้นพวกเรามาจัดการเรื่องของเขาให้มันเรียบร้อย ก่อนที่จะทำการผสานทั้งหกโลกก็แล้วกัน” แบรี่กล่าว

กู่ฉิงซาน “ตกลง”

ทั้งสามทิ้งตัวลงบนที่นั่งของตนอีกครั้ง

สายตาของพวกเขา ทั้งหมดตกลงบนร่างกายของเย่เฟย์หยู

เย่เฟย์หยูได้ฟังบทสนทนาและท่าทีของทั้งสาม เขาก็อดไม่ได้ที่จะสับสน

เขาหันไปอธิบายให้กู่ฉิงซาน “ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น เทพธิดากงเจิ้งเลยขอให้ซางหยิงฮ่าวออกไปจัดการเป็นการส่วนตัว ซางหยิงฮ่าวก็เลยรวดพาเหลียวฮังไปร่วมมือกันช่วยเทพธิดาเสียเลย”

กู่ฉิงซาน “ไม่เป็นไรหรอก ปล่อยพวกเขาไปก่อน เพราะตอนนี้ฉันมีเรื่องสำคัญมากที่จะต้องบอกนาย”

“เรื่องอะไร?” เย่เฟย์หยูถาม

“ให้ฉันพูดเอง” เสี่ยวเหมียวแทรก

เธอมองเย่เฟย์หยู และกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “นายต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วไหม?”

เย่เฟย์หยูมองกู่ฉิงซาน

“ตั้งใจตอบด้วย” กู่ฉิงซานเตือน

เย่เฟย์หยู “ผมต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น”

เสี่ยวเหมียวแนะนำ “พอดีว่าเรากับกู่ฉิงซานเป็นพันธมิตรกัน และทางเราได้จัดตั้งสมาคมขึ้น นายต้องการที่จะเข้าร่วมรึเปล่า?”

“กู่ฉิงซานก็อยู่ในสมาคมใช่ไหม?”

“ใช่”

“งั้นตกลง ผมต้องการจะเข้าร่วมด้วย” เย่เฟย์หยูตอบโดยไม่เสียเวลาคิด

“ตอบเร็วจัง นี่นายจะไม่ลองทบทวนดูหน่อยเหรอ?”

“ไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องทบทวน ผมเชื่อในการตัดสินใจและการเลือกของกู่ฉิงซาน ในเมื่อเขาเข้าร่วม ถ้าอย่างงั้นผมก็เอาด้วย”

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวยิ้ม

“โอเค งั้นตอนนี้ฉันจะอธิบายเรื่องของสมาคมและองค์ประกอบของโลกต่างๆ ให้นายฟังนะ” เสี่ยวเหมียวกล่าว

เธอบอกเล่าเกี่ยวกับสมาคมกำปั้นเหล็ก อธิบายแนวคิด และการแบ่งดินแดนของโลก เก้าร้อย ล้านชั้น

เย่เฟย์หยูถึงขั้นลืมหายใจ และไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้เป็นระยะเวลานาน

เขาไม่ใช่คนโง่ ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจถึงสถานะของสมาคมกำปั้นเหล็กในโลก เก้าร้อย ล้านชั้น

ด้วยโอกาสดังกล่าวที่ถูกวางเอาไว้ตรงหน้า ในสมองของเย่เฟย์หยูว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง

ยิ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับโลก เก้าร้อย ล้านชั้นคงไม่ต้องกล่าวถึง มันได้ทำลายความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่ของเขาไปโดยสิ้นเชิง

ซึ่งในช่วงที่กู่ฉิงซานได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เขาเองก็ตกใจมากเหมือนกัน

ทั้งสามเฝ้ารออย่างเงียบๆ ค่อยๆ ให้เย่เฟย์หยูกลั่นกรองความรู้ใหม่อย่างช้าๆ

ในที่สุดแบรี่ก็เอ่ยปาก “ว่าอย่างไร? ถ้าไม่มีคำถามอื่นอีก ฉันจะถือว่านายเป็นสมาชิกของสมาคมแล้วนะ”

เย่เฟย์หยูสงบลงและกล่าว “อันที่จริงแล้วผมมีอยู่คำถามหนึ่ง”

แบรี่ “โอ้ คำถามอะไรงั้นเหรอ?”

เย่เฟย์หยูกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เอ่ยถามด้วยความกระวนกระวาย “ผมขอพาแฟนไปด้วยจะได้ไหม?”

…………………………………..

ณ ขั้วโลกเหนือ

ภายใต้การนำทางของเทพธิดากงเจิ้ง ฝูงชนก็มาถึงกระท่อมบนยอดเขาในที่สุด

“ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลถูกฆ่าตายลงในที่นี้ใช่ไหม” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ใช่ แล้วสถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่พักของกลุ่มคนลึกลับอีกด้วย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

“แล้วยานอวกาศล่ะ อยู่ที่ไหน?”

“ยานอวกาศตั้งอยู่ทั่วทั้งขั้วโลกเหนือ”

“…จะใหญ่เกินไปแล้ว”

“ใต้เท้า ตอนนี้ฉันสามารถทดสอบเจาะระบบของยานอวกาศ เพื่อให้ฉันสามารถเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ภายในได้แล้ว ทางคุณต้องการที่จะเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์หรือไม่?”

เมื่อแบรี่ได้ฟัง เขาก็หันไปมองเสี่ยวเหมียว

“พี่ชาย ไม่ต้องมองมาที่ฉันเลย ฉันสามารถพาทุกคนเข้าไปภายในนั้นได้ก็จริง” เสี่ยวเหมียวยกสองแขนขึ้นกอดอก “แต่ตัวยานอวกาศน่ะสร้างขึ้นจากเทคโนโลยี ดังนั้นเราคงไม่มีทางคว้าความลับใดๆ มาได้ จากการแค่เข้าไปภายในมัน”

“ไอ้พวกเรื่องอะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยีก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันสันทัดได้เสียด้วยสิ” แบรี่เอ่ยพึมพำ

กู่ฉิงซานกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง คุณเกิดที่นี่ใช่ไหม?”

“ใช่แล้วใต้เท้า”

“ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีที่นี่จะทันสมัยมากจริงๆ” ซางหยิงฮ่าวพูดบ้าง

เทพธิดากงเจิ้ง “ไม่เพียงแต่ทันสมัย แต่สถานที่แห่งนี้ยังมีเทคโนโลยีที่เหนือยิ่งกว่านั้นอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ท่านผู้พิทักษ์กลับเลือกที่จะปกปิดมันและเฝ้ารอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม เพราะเกรงว่านี่จะนำไปสู่การดึงดูดความสนใจจากโลกภายนอก ท่านจึงได้ปิดผนึกเทคโนโลยีเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด ไม่เคยนำมันออกมาใช้เลย”

แบรี่พอได้ฟัง ก็ทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ในยุคนี้ ที่วันสิ้นโลกอาจมาถึงได้ตลอดเวลา ผู้คนมากมายต่างมุ่งที่จะเป็นจ้าวโลก แต่ละกองกำลังและอารยธรรมล้วนพยายามที่จะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง จึงเกิดการแก่งแย่งทรัพยากร สมบัติ และอารยธรรมของผู้ที่ด้อยกว่า ส่งผลให้อารยธรรมส่วนใหญ่ค่อยๆ ถูกทำลายลง”

เสี่ยวเหมียวเห็นด้วย “ใช่ๆ บางทีคนที่เรียกกันว่าผู้พิทักษ์อาจจะต้องการเหลือเชื้อสายอารยธรรมตัวเองให้สืบต่อไป แต่กลยุทธ์ที่เธอใช้มันอนุรักษนิยมจนเกินไป ในความเป็นจริงแล้วที่เธอทำมันคือการปล่อยให้ความก้าวหน้าของอารยธรรมหยุดลง เริ่มล้าหลังและไม่ทันต่อคนอื่นๆ ในที่สุด”

กู่ฉิงซาน “เทพธิดากงเจิ้ง ฉันหวังว่าโลกในปัจจุบันจะได้รับเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากกว่านี้ เพราะปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันเริ่มยากเกินไป และไม่มีใครล่วงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต”

“รับทราบแล้วใต้เท้า คุณต้องการเทคโนโลยีทั้งหมดเลยหรือไม่?” เทพธิดากงเจิ้งถาม

กู่ฉิงซาน “ทั้งหมดเลย ยานอวกาศลำนี้ก็มอบให้เป็นหน้าที่คุณก็แล้วกัน จงนำเอาความลับทั้งหมดมาไว้ในกำมือ”

“ใต้เท้าโปรดวางใจ ฉันจะพยายามทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้ภารกิจนี้ลุล่วง”

เบื้องบนท้องฟ้าบังเกิดเสียงคำรามอันแข็งกร้าวค่อยๆ ลอดลงมา

ป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า ได้มายังขั้วโลกเหนือ ค่อยๆ ลดระดับลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ

ป้อมปราการดวงดาวนี้มีแกนกลางหลักของเทพธิดากงเจิ้งอยู่

ดูเหมือนว่าเธอต้องการที่จะทำมันให้ดีที่สุดจริงๆ

“ฉันต้องการเวลาสักเล็กน้อย เพื่อทำการค้นหาห้องควบคุม และตำแหน่งประตูของยานอวกาศ เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยสักครู่” เทพธิดากล่าวประโยคหนึ่ง

พร้อมกันกับคำพูดบอกเธอ เห็นแค่เพียงเกราะรบขับเคลื่อนมากมายบินออกมาจากป้อมปราการดวงดาว

เกราะรบขับเคลื่อนบินแยกไปตามเส้นทางที่แตกต่างกันออกไป และเริ่มทำการสำรวจโครงสร้างของยานอวกาศทั่วทั้งขั้วโลกเหนือ

ในเวลานี้เอง เสี่ยวเหมียวก็ดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็นได้ถึงบางอย่าง

เธอหันไปถามในความว่างเปล่า “มีอะไรงั้นเหรอ?”

เสียงดังตอบกลับมา “หนังสือพิมพ์ของวันนี้ได้รับการเผยแพร่แล้ว และข่าวของมิสเตอร์แบรี่ก็ครอบคลุมทั้งพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งเลย ทางเราจึงมารายงานให้แก่มิสเตอร์แบรี่ และมอบหนังสือพิมพ์ฟรีให้แก่เขาสิบฉบับ”

“เข้าใจแล้ว ฝากหนังสือพิมพ์ไว้ที่ฉันก็ได้ ว่าแต่เรื่องค่าตอบแทน…” เสี่ยวเหมียวกำลังพูด

“นั่นคือสิ่งที่ทางเรากำลังจะถามอยู่พอดี ว่าคุณต้องการให้ทางเราชำระด้วยเงินสกุลใด”

“เอาเป็นสกุลเงินที่ออกโดยทางหอสูงก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเสีย สกุลเงินของทางหอสูงก็เป็นเงินที่สามารถใช้หมุนเวียนได้ในโลกต่างๆ เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว”

“รับทราบ ทางเราจะจัดการให้ในทันที”

ว่าจบ เสียงนั้นก็หายไป

ขณะเดียวกัน กองหนังสือพิมพ์ก็ร่วงตกลงมาจากในความว่างเปล่า และถูกรับเอาไว้โดยเสี่ยวเหมียว

“ไหนมาดูกัน ว่าพวกเขาพูดว่าอะไรบ้าง” เสี่ยวเหมียวยิ้ม

เธอสะบัดมือไปมาแบบสุ่มๆ แล้วหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับก็ลอยไปอยู่เบื้องหน้าของทุกคน

ทุกคนก้มลงมองและอ่านมัน

“ดีล่ะ ทางหอสูงได้ทำการติดต่อกับบุคคลสำคัญๆ จำนวนมากสำหรับเรื่องนี้ และกำลังเริ่มจัดตั้งทีมออกไปสำรวจสถาบันเทพแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเตรียมการที่จะเขียนรายงานข่าวสารชุดต่อไปอยู่” แบรี่อ่านหนังสือพิมพ์ ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากออกมา

“สามารถจัดตั้งทีมขนาดใหญ่เพื่อรับมือกับสถาบันเทพได้ในทันที ทางสมาคมหอสูงช่างน่ากลัวจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าว

เสี่ยวเหมียวยิ้มเล็กน้อย “ในความเป็นจริงแล้ว เนื่องจากสงครามของวิหคหนามเพิ่งจะสิ้นสุดลงพอดี และหลายคนที่ยากจะปรากฏตัวก็กำลังรวมตัวฉลองกันอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นพอได้ยินข่าวของสถาบันเทพ ทุกคนก็เลยกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วม”

“และต้องไม่ลืมนะว่า ทางหอสูงมักจะจ่ายรางวัลอย่างงามเสมอๆ ดังนั้นการจัดตั้งทีมเพื่อภารกิจนี้จึงสามารถดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็ว”

“เดิมทีผมก็กังวลว่าสถาบันเทพจะตรงมาหาแบรี่เลยเสียอีก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาคงไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะจัดการตัวเองได้เสียแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

ระหว่างสนทนา ก็ได้ยินถึงเสียงที่ดังขึ้นจากภายนอก

กู่ฉิงซานเดินออกไปดูนอกกระท่อม

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพื้นหิมะ ประตูขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้น

และยังมีหุ่นยนต์หลายประเภทที่กำลังวุ่นอยู่ใกล้กับประตูเหล็ก

บางครั้งบางครั้ง หุ่นยนต์บางตัวก็เผลอสัมผัสโดนโครงสร้างทางกลไกตรงประตูโดยไม่ตั้งใจ และถูกทำลายลงด้วยไฟฟ้าที่ทรงประสิทธิภาพทันที

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังตามมา “ใต้เท้า ฉันกำลังดำเนินการทำลายมาตรการป้องกันของยานอวกาศ และทำการตรวจสอบข้อมูลของมันอยู่”

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ถ้าเป็นอย่างงั้น พวกเราคงไม่น่าจะได้เข้าไปสำรวจยานในเร็วๆ นี้ คุณทำงานต่อเถอะ”

“รับทราบใต้เท้า”

“แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีเรื่องไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้น คุณสามารถเรียกพวกเราได้ตลอดเวลา”

“ไม่ขัดข้อง”

กู่ฉิงซานเดินกลับเข้ามาในกระท่อม

เขาปิดประตูเพื่อป้องกันพายุหิมะด้านนอกและเริ่มจุดไฟในเตาผิง

ห้องเริ่มอบอุ่นขึ้นมาทันที

เมื่อทุกคนได้ยินถึงสิ่งที่เขากล่าว ซางหยิงฮ่าวก็ถามขึ้นมา “แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอะไรดี?”

“เพื่อไม่เป็นการปล่อยเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อ พวกเราก็มาตั้งวงดื่ม พูดคุยกันสักพักก็แล้วกัน”

ว่าแล้วเขาก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเหล้าหลายขวดที่เก็บเอาไว้ ผลไม้และอาหารวิญญาณบางชนิดออกมา

ทุกคนต่างลากเก้าอี้ของตัวเองมานั่งรอบเตาผิง

ซางหยิงฮ่าวมองไปที่ขวดเหล้าบนโต๊ะและกล่าว “เหล้าของนาย มาจากโลกอื่นใช่ไหม?”

“อืม มันเป็นสุราของผู้ฝึกยุทธ์” กู่ฉิงซานตอบ

ซางหยิงฮ่าวผุดลุกขึ้นยืนและกล่าวทันที “ถ้าอย่างงั้นฉันคงต้องขอตัวกลับไปเอาไวน์ที่ดีที่สุดของโลกใบนี้มาบ้างแล้ว แขกทั้งสองจะได้ลองชิมรสชาติไวน์ท้องถิ่นของที่นี่บ้าง”

“เป็นความคิดที่ดีนี่นา ถ้านายกลับไปก็จัมป์กลับมาพร้อมเหลียวฮังเลยแล้วกัน”

“จะให้เขามาจริงๆ น่ะเหรอ?” ซางหยิงฮ่าวเริ่มลังเล

ดวงตาของเขาเหลือบไปมองเสี่ยวเหมียวเล็กน้อย ก่อนจะเบนกลับมากะพริบปริบๆ ให้กู่ฉิงซาน

เสี่ยวเหมียวเป็นคนสวย ครอบครองร่างกายอันทรงเสน่ห์ แถมยังมีหูแมวน่ารักๆ บนหัวของเธอ

หากเหลียวฮังผู้บ้ากามมาเห็น แล้วเกิดทำอะไรไม่เหมาะสมให้เสี่ยวเหมียวโกรธขึ้นมา เหตุการณ์มันอาจจะดูไม่ดีเลยก็ได้

กู่ฉิงซานเข้าใจได้ทันทีว่าซางหยิงฮ่าวหมายถึงอะไร

เขาตบหน้าผากตัวเองและกล่าว “ฉันว่าไม่ต้องให้เขามาหาพวกเราหรอก เอาเป็นรบกวนนายพาเขาไปช่วยเทพธิดากงเจิ้งทำลายระบบป้องกันของยานอวกาศก็แล้วกัน”

เย่เฟย์หยูกล่าว “นั่นเป็นความคิดที่ดีนะ เพราะถ้าเหลียวฮังได้เห็นยานอวกาศที่มาจากนอกโลก ฉันว่าเขาน่าจะกระโดดด้วยความตื่นเต้น และนอนไม่หลับไปสามวันสามคืนแน่ๆ”

ว่าจบเขาก็ลุกขึ้น และตามซางหยิงฮ่าวออกไปด้านนอก

“ทำไมนายต้องไปด้วยล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม

“ก็ฉันไม่ได้กลับบ้านนานมากแล้ว แฟนฉันบางทีคงจะกำลังเป็นห่วง ฉะนั้นฉันขอกลับไปรายงานตัวกับเธอก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมา” เย่เฟย์หยูตอบ

แล้วเขาก็ผลักประตู เดินออกไป

ภายในห้องจึงเหลืออยู่แค่เพียงแบรี่ เสี่ยวเหมียว และกู่ฉิงซาน

“นายมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเด็กขี้อายที่ชื่อเย่เฟย์หยูนั่น” เสี่ยวเหมียวจู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมา

“เขาเป็นเพื่อนที่คอยติดตามผม” กู่ฉิงซานกล่าว

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวชำเลืองมองกันและกัน

แบรี่ครุ่นคิด “เขาดูเหมือนกับ ‘พิฆาตโลก’ ในช่วงแรกเกิดเลย”

“พิฆาตโลก?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำด้วยความสงสัย

เสี่ยวเหมียวกล่าว “ใช่ ‘พิฆาตโลก’ คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และในขั้นสุดท้ายเขาอาจจะสามารถเทียบเคียงกับเทพบรรพกาลเลยก็ได้ ถึงแม้ว่าพิฆาตโลกแบบนั้นจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวก็เถอะ”

“นายพอจะช่วยบอกรายละเอียดแบบเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเขาให้ฟังหน่อยจะได้ไหม?” แบรี่ถามต่อ

หากเป็นคนอื่นถามคำถามนี้ กู่ฉิงซานคงจะต้องคิดทบทวนเกี่ยวกับมัน

แต่กับแบรี่หรือเสี่ยวเหมียว ทั้งสองเป็นคนดีมากจริงๆ กระทั่งน้ำเสียงของแบรี่ที่เปล่งออกมาก็ยังแฝงไปด้วยความห่วงใยและกังวลบางอย่าง

กู่ฉิงซานจึงไม่ลังเลเลยที่จะบอกรายละเอียดของเย่เฟย์หยูอย่างรอบคอบ

“แม้ว่าจะสูญเสียสถานะของการเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังสามารถคิดถึงแม่ได้ ฉันถูกใจเขาจริงๆ” แบรี่ถอนหายใจชื่นชม

“แถมเขายังต้องย้อนกลับไปรายงานตัวกับแฟน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เจอกับพิฆาตโลกที่กลัวเมียแบบเขา” เสี่ยวเหมียวกล่าว

ว่าจบเธอก็หยิบสมุดออกมา และเริ่มต้นบันทึกเรื่องราวของเย่เฟย์หยู

“พิฆาตโลกคืออะไรงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานถาม

แบรี่ตอบ“คือสิ่งมีชีวิตที่สูญเสียตัวตนของมนุษย์ไป  เป็นรูปแบบชีวิตระดับสูงในบรรดาระดับสูงที่สูญเสียเหตุและผล มีเพียงแรงผลักดันเดียวคือตนเองจะต้องวิวัฒนาการ เป็นสัตว์ประหลาดที่เรียนรู้ที่แค่การฆ่าสังหารเท่านั้น”

“แต่รูปแบบชีวิตแบบนั้นในโลกของผม ครั้งหนึ่งพวกมันเคยปรากฏขึ้นมากมาย” กู่ฉิงซานกล่าว

“ที่นายพูดถึงนั่นน่ะมันก็แค่มนุษย์ที่ติดเชื้อไวรัส เมื่อฆ่าสังหาร พวกเขาจะสามารถได้รับพลังงานชีวิตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่รูปแบบชีวิตระดับสูงแต่อย่างใด”

“แต่ในกรณีเพื่อนของนายน่ะมันแตกต่างกัน ฉันสัมผัสได้ว่าเขามาถึงระดับรากฐานที่สุดของพิฆาตโลกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้อีกด้วย” เสี่ยวเหมียวเอ่ยเสริม โดยไม่เงยหน้าขึ้น สายตาของเธอยังคงจดจ้องอยู่แต่กับสมุดที่กำลังขีดเขียน “รูปแบบชีวิตระดับสูงของเขามีค่ามากต่อการวิจัย องค์กรใหญ่ๆ ทุกแห่งต่างก็เคยประกาศมอบรางวัลมากมายออกไป เพื่อหวังว่าจะได้รับตัวอย่างทางชีวภาพของพิฆาตโลก”

“แต่เย่เฟย์หยูมีสติอารมณ์และเหตุผล เขาไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่รู้จักเพียงแต่การฆ่า” กู่ฉิงซานเริ่มเครียด

แบรี่พยักหน้า “ฉันสังเกตเขามาสักพักแล้ว และความจริงก็เป็นอย่างที่นายว่า นี่มันเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากจริงๆ”

“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?”

เสี่ยวเหมียว “การดำรงอยู่ของเขามีค่ามากยิ่งกว่า หากเทียบกับพิฆาตโลกทั่วๆ ไป ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าหากพิฆาตโลกไม่สูญเสียอารมณ์และเหตุผลไป ด้วยความสามารถที่จะได้รับพลังของอีกฝ่ายมาใช้ในการวิวัฒนาการร่างกายและจิตวิญญาณให้แก่ตนเอง นี่จะเป็นอะไรที่น่าหวาดกลัวขนาดไหน”

“ยิ่งไปกว่านั้น โดยไม่ต้องมีระบบของราชามาร ไม่จำเป็นต้องติดต่อกับใครๆ เขาก็สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งด้วยตัวคนเดียว นี่นับว่าเป็นวิธีการที่แม้จะหยาบ แต่ก็ง่ายดายที่สุดที่จะแข็งแกร่งขึ้น”

แบรี่กล่าวต่อ “จะมีองค์กรและอิทธิพลนับไม่ถ้วนไล่ล่าตัวเขา ทั้งหมดจะทุ่มจับตัวเย่เฟย์หยูอย่างบ้าคลั่ง เพื่อนำไปทำการศึกษาร่างกายและจิตวิญญาณของเขา”

กู่ฉิงซานมองไปยังแบรี่ จากนั้นก็มองไปที่เสี่ยวเหมียวอีกครั้ง

เห็นแค่เพียงทั้งสองที่ยังดูสงบ ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ นอกจากความกังวลเล็กน้อย

ต้องไม่ลืมนะว่าด้วยความแข็งแกร่งของสองพี่น้อง พวกเขาย่อมสามารถจับตัวเย่เฟย์หยู นำไปแลกเปลี่ยนเป็นรางวัลใหญ่ได้อย่างง่ายดาย

และสถานะยากจนของพวกเขาจะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น

ทว่า แม้หลังจากที่สามารถยืนยันสถานะของเย่เฟย์หยูได้แล้ว ทั้งพี่ชายและน้องสาวกลับเพียงแค่กังวลเกี่ยวกับเขา ไม่มีความคิดอื่นใดแอบแฝงอยู่เลย

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

ในที่สุดเขาก็เริ่มเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่าทำไมแบรี่กับเสี่ยวเหมียวถึงได้ยากจนนัก

“ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ผมต้องทำเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เย่เฟย์หยูจะต้องเผชิญคืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เสี่ยวเหมียวมองกู่ฉิงซาน ก่อนจะหันไปมองแบรี่

“พี่ชาย พี่คิดว่าอย่างไร?” เธอเอ่ยถามด้วยคำพูดที่แฝงความหมายบางอย่าง

แบรี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “เด็กคนนั้นดูเป็นคนขี้อายนิดหน่อย แต่ฉันคิดว่าเขาไม่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”

เสี่ยวเหมียวเห็นด้วย “ใช่ นี่เป็นพิฆาตโลกที่แสนจะหายาก หากสถานที่ที่เขาอยู่คือในสมาคม พวกเราก็คงวางใจ ว่าเขาคงไม่ถูกคนอื่นๆ จับตัวไปอย่างง่ายดาย”

“และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขา ‘เกือบ’ ที่จะวิวัฒนาการไปยังขั้นต่อไปแล้ว”

………………………………….

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเย็นเยียบไม่แตกต่างไปจากอุณหภูมิในชั้นนรกเยือกแข็ง

ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ ส่งผลให้ชั้นเหงื่อเย็นเกาะจนชุ่มเต็มหลังเขา

นับว่าโชคยังดี ที่วินาทีสุดท้าย ก่อนที่การดำรงอยู่นั่นจะปรากฏตัวขึ้น เขาสามารถสกัดกั้นมันเอาไว้ได้เสียก่อน

มิฉะนั้น จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป คงมิอาจล่วงรู้ได้

กู่ฉิงซานนิ่งงันอยู่สักพัก เมื่อเรียกสติกลับคืน เขาก็วาดไม้เท้าแห่งการจองจำและออกจากขุมนรกทันที

เขาข้ามผ่านสายธารแห่งการหลงเลือน ค้นหาตำแหน่งจัมป์ที่ใกล้ที่สุด และกลับมายังเมืองแถบชายแดนอีกครั้ง

“เป็นไงบ้าง ทุกอย่างโอเคไหม?” แบรี่ถาม

กู่ฉิงซานฝืนยิ้มและกล่าว “ตอนแรกมันก็เป็นไปด้วยดีอยู่หรอก แต่ในตอนท้ายดันเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจนได้”

แล้วเขาก็บอกเล่าถึงกระบวนการทั้งหมดของเรื่องนี้

คนที่ได้ยิน ต่างก็บังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นจับใจ

“ให้ตายเถอะ! นั่นมันบ้าอะไรกันแน่?” ซางหยิงฮ่าวสบถ

“ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะมีการดำรงอยู่ที่ยากจะอธิบายอยู่มากมาย ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไปหรอก” แบรี่ปลอบทุกคน

เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานยังคงเงียบ เขาก็เอ่ยถาม “มีอะไรรึเปล่า นายยังรู้สึกไม่ดีอยู่อีกเหรอ?”

“เปล่า” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “แต่เท่าที่ฟังจากที่คุณเล่ามา ผู้คนในโลกเก้าร้อยล้านชั้นต่างก็คิดว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตนั่นมันตายลงไปแล้ว แต่แท้จริงยังคงมีชีวิตอยู่ และหลบซ่อนตัวตนอยู่ในสถาบันเทพ เรื่องนี้ชัดเจนเลยว่ามันต้องมีแผนการบางอย่าง”

เสี่ยวเหมียวเห็นด้วย “เป็นอย่างที่นายว่า เดิมทีตัวตนทรงอำนาจส่วนใหญ่ต่างก็เห็นใจพวกเขาเพราะสถาบันเทพทำการทดลองล้มเหลว จนกลายเป็นบ้า เลือกที่จะปลีกตัวออกจากผู้คน ไม่ยินยอมติดต่อกับใคร แต่ถ้าเรื่องจริงคือพวกเขาไม่ได้บ้า แต่เป็นองค์กรที่คิดวางแผนทำเรื่องชั่วร้ายบางอย่างอยู่ละก็… ความรู้สึกของตัวตนทรงอำนาจย่อมจะแตกต่างออกไปแน่นอน”

แบรี่เองก็เริ่มที่จะสนใจเล็กน้อยและกล่าว “อืม ถ้าน้องคิดแบบนั้น พี่ว่ามันก็คุ้มค่าที่พวกเราจะเข้าไปลงมือตรวจสอบนะ”

เขามองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยถาม “แล้วนายล่ะคิดว่าอย่างไร?”

กู่ฉิงซานกล่าว “ผมอยากจะรู้ว่าในโลกเก้าร้อยล้านชั้นมีหน่วยงานหรือองค์กรอะไรที่เกี่ยวข้องกับข่าวสารอยู่รึเปล่า”

“มีสิ ก็สมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูงไง พวกเขาคือองค์กรข่าวสารที่รวดเร็วที่สุด หนังสือพิมพ์ของทางหอสูงน่ะมีค่ามาก ดังนั้นผู้คนมากมายในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นจึงต่างยินดีจ่ายค่าสมาชิกให้แก่พวกเขา”

หนังสือพิมพ์ของสมาคมหอสูงอย่างงั้นเหรอ?

กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่แบรี่เริ่มฟื้นตัว และค้นพบว่าตนเองก็ยืนอยู่ในพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ในเวลานั้นมีหลายคนเลยที่รู้จักตนเอง

“ถ้าอย่างงั้นพวกเขาต้องการข้อมูลนี้รึเปล่า?” กู่ฉิงซานถาม

แบรี่ “แน่นอนว่าพวกเขาต้องสนใจ ยิ่งเป็นข่าวเจ้าแรกอีกด้วยแล้วละก็ เงินค่าตอบแทนก็จะยิ่งสูงจนน่าประทับใจเลยทีเดียว”

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “งั้นก็ดีเลย พวกเราจะขายข้อมูลนี้ให้แก่พวกเขา ถ้าทำแบบนั้น มือหนึ่งพวกเราก็จะสามารถคว้าเงินมาไว้ได้ ขณะที่อีกมือหนึ่ง พวกเราสามารถประกาศให้โลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้นระวังตัวจากสถาบันเทพ คุณคิดว่าอย่างไร?”

“ฟังดูดีไปเลยนี่นา!” เสี่ยวเหมียวยกสองมือขึ้น และส่งเสียงเชียร์ “ยิ่งถ้าทางสมาคมหอสูงให้ค่าตอบแทนมาก พวกเราก็จะสามารถใช้วันหยุดพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องไปขึ้นบิลหรือเป็นหนี้ใครไปอีกสักพัก!”

แบรี่ยิ้ม

หากเป็นเรื่องที่สามารถทำเงินได้ ใครเล่าจะปฏิเสธ?

“เอาล่ะ ให้ฉันที่เป็นคนแจ้งกับพวกเขาเอง ด้วยชื่อแบรี่ที่มีชื่อเสียงในโลกเก้าร้อยล้านชั้น คงมีค่ามากพอที่จะให้พวกเขาเชื่อถือ” แบรี่กล่าว

“พี่ชาย พี่จะเป็นคนแจ้งข่าวกับพวกเขาก็ได้ แต่พี่ห้ามบอกว่าเป็นฝีมือของกู่ฉิงซานนะ น้องไม่อยากให้ใครมาคุกคามเขาก่อนที่เขาจะเติบโต” เสี่ยวเหมียวเตือน

“วางใจเถอะ พี่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร”

เขาหยิบหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่เนื้อหาภายในว่างเปล่าขึ้นมา กระแอมไอกลั้วลำคอและเริ่มกล่าวกับมัน “ฉันแบรี่จากสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม ต้องการเรียกใช้งานการสื่อสาร”

หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ

เสียงชราก็ดังออกมาจากหนังสือพิมพ์ “นี่มันแบรี่นี่นา! ขอแสดงความยินดีด้วย ที่ราชินีหนามได้ปลดหนี้ทั้งหมดให้แก่คุณแล้ว”

“ฮ่าๆ! ถูกต้อง”

“ว่าแต่คุณกำลังต้องการบริการอะไรจากทางเราหรือ? ต้องการเดินทางไปยังสถานที่ใด? หรือต้องการจะซื้อข่าวอะไร?”

“ไม่ใช่ทั้งคู่ แต่ฉันมีข่าวที่จะมาขายให้แก่คุณ”

“โอ้?” เสียงชราดังขึ้นกว่าเดิม “มันหายากจริงๆ ที่คุณจะขายข่าวสาร โปรดรอสักครู่”

“โอเค”

ไม่นานนัก บรรทัดข้อความก็เริ่มปรากฏขึ้นบนหนังสือพิมพ์

กู่ฉิงซานแอบมองดู และพบว่าบนหนังสือพิมพ์ ปรากฏถึงเนื้อหาสัญญาของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ที่ระบุว่าข้อมูลข่าวสารที่จะขายต้องเป็นจริงและมีความน่าเชื่อถือได้ ไม่คิดจะขายให้องค์กรอื่นๆ มีแหล่งที่มา ฯลฯ

ปากกาขนห่านผุดออกมาจากหนังสือพิมพ์และตกลงเบื้องหน้าแบรี่

แบรี่จับปากกา และเริ่มเขียนเรื่องราวของสถาบันเทพตรงกลางหน้าหนังสือพิมพ์และเซ็นชื่อของเขา

พรึบ…

เปลวไฟลุกโชนขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์

ข้อความทั้งหมดถูกเปลวไฟเผา เนื้อหาของตลอดทั้งหนังสือพิมพ์ก็กลับคืนสู่ความว่างเปล่า

ผ่านพ้นไปกว่าสิบลมหายใจ

เสียงชราก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ตามกฎสัญญา ลายเซ็นและข่าวของคุณได้รับการยืนยันแล้วโดยเครื่องจับเท็จ”

“ข้อมูลนี้น่าทึ่งจริงๆ มันสามารถนำมาใช้เป็นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งในวันพรุ่งนี้ได้เลย ไม่สิ ต้องวันนี้ต่างหาก! พวกเราจะจัดกำลังคนทันที ทำการถอดพาดหัวข่าววันนี้ออก และแทนที่ด้วยข่าวนี้แทน”

แบรี่หัวเราะ “ดูเหมือนว่าข่าวของฉันจะเป็นที่นิยมสำหรับคุณไม่น้อยเลยสินะ”

“แน่นอน! แบรี่ ทางเราไม่คิดเลยว่าคุณจะได้รับข้อมูลลับสุดยอดแบบนี้มาอย่างกะทันหัน กระทั่งท่านประธานของพวกเราก็ยังให้ความสนใจกับข้อมูลนี้”

“งั้นฉันจะได้รับเงินตอบแทนเท่าไหร่?” แบรี่เอ่ยถาม

“ข้อมูลของคุณจะได้รับการประเมินอันดับโดยท่านประธานเป็นการส่วนตัว รายละเอียดของจำนวนเงินตอบแทนจะถูกคำนวณ และส่งไปยังบัญชีส่วนบุคคลของคุณในภายหลัง”

“เข้าใจแล้ว”

“ดังนั้น ถ้าคุณมีข่าวคราวอะไรที่น่าสนใจอีก โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเรา”

“ไม่มีปัญหา”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เสียงของหนังสือพิมพ์ก็หายไปอย่างสมบูรณ์

แบรี่เก็บหนังสือพิมพ์และหันไปมองกู่ฉิงซาน

“นายทำเงินได้มากเลยนะครั้งนี้” เขากล่าว

“แต่ที่บอกว่ามาก ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันเท่าไหร่” กู่ฉิงซานตอบ

“ถ้าเป็นข้อมูลที่ประธานของหอสูงประเมินด้วยตัวเอง นั่นย่อมหมายความว่าข้อมูลนั่นมีค่ามหาศาล” เสี่ยวเหมียวอธิบาย

กู่ฉิงซาน “งั้นก็ถือเสียว่าเป็นรายได้ของทางสมาคมก็แล้วกัน เพราะท้ายที่สุดนี้ ผมคงจะปวดหัวกับมันไม่น้อย ถ้าไม่มีพวกคุณคอยช่วยจัดการ”

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวพยักหน้าให้กันและกัน บนใบหน้าของพวกเราผุดรอยยิ้มไม่หุบ

สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงเป็นองค์กรที่โคตรจะมั่งคั่ง และพวกเขามักจะจ่ายค่าตอบแทนอย่างใจกว้างเสมอ แบรี่กับเสี่ยวเหมียวไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากที่เขาและเธอปิดหนี้ได้แล้ว จู่ๆ ตนก็จะได้รับเงินก้อนใหญ่ที่ไม่เคยมีมานานอย่างกะทันหันแบบนี้

แบรี่คิดเกี่ยวกับมันอยู่พักหนึ่งและกล่าว “เงินของทางสมาคมจะถูกส่งผ่านไปให้นายเช่นกัน”

นี่เป็นการส่งเงินกลับคืนถึงมือของกู่ฉิงซานแบบอ้อมๆ และยังเป็นการมอบอำนาจบางส่วนของสมาคมให้แก่เขาอีกด้วย

ในตอนแรกแบรี่รู้สึกว่ากู่ฉิงซานเป็นเพียงชายที่มีความสามารถ ที่เขาควรจะเก็บเอาไว้เท่านั้น

แต่หลังจากเรื่องของวิหคหนาม และเหตุการณ์นี้ กู่ฉิงซานได้แสดงศักยภาพของตนเองออกมา ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากแบรี่ในที่สุด

พรสวรรค์ของกู่ฉิงซานคุ้มค่าที่จะได้รับการยอมรับจากแบรี่

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของกู่ฉิงซาน ที่ยังคงต้องปรับปรุงอีกเยอะ

นอกจากนี้ แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็ไม่ได้ดูถูกในตัวของกู่ฉิงซานเลย

เมื่อคิดถึงปริมาณเงินที่จะได้รับ เสี่ยวเหมียวก็อดไม่ได้ที่จะจิ้มๆ ไหล่ของกู่ฉิงซาน และยิ้มหวานให้เขา “ทำได้ดีมากเลยกู่ฉิงซาน คราวหน้าฉันจะพานายไปช็อปปิ้งด้วยกันนะ”

“แต่ผมไม่ชอบช็อปปิ้ง…”

“ไม่หรอก นายจะต้องชอบมัน ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะมีร้านขายอุปกรณ์ และอาวุธที่มีชื่อเสียงอยู่มากมาย มากเกินกว่าที่นายจะจินตนาการได้”

“ผมว่ามันชักจะน่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกันแฮะ”

“แต่นั่นคือเรื่องในภายหลัง ตอนนี้พวกเราจะเอาอย่างไรกันต่อดี?” แบรี่หันไปถามกู่ฉิงซาน

เมื่อวกกลับมาเรื่องธุรกิจ กู่ฉิงซานก็กลับมาเป็นจริงจังมากขึ้น

“อันดับแรกคงต้องตั้งคำถามกันก่อน เทพธิดากงเจิ้ง คุณอยู่ที่นี่รึเปล่า?”

“ฉันอยู่นี่ ใต้เท้า” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

“ยานอวกาศเป็นของเก้าตระกูลใหญ่ใช่ไหม?”

“ใช่”

“แล้วคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับยานอวกาศนี้มากแค่ไหน?”

“ฉันรู้แค่ว่าฉันเกิดที่นั่น แต่ไม่รู้อะไรอื่นเลยนอกเหนือไปจากนั้น”

“ไม่รู้อะไรอีกเลยเหรอ?”

“ถูกต้อง เพราะมันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเก้าตระกูลใหญ่ นอกเหนือไปจากผู้พิทักษ์แล้ว ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าสู่มัน”

“รวมไปถึงตัวคุณเองด้วย?” กู่ฉิงซานถาม

“รวมไปถึงตัวฉัน” เทพธิดากงเจิ้งตอบ

“แต่ฉันจำได้ว่า คุณบอกว่าผู้พิทักษ์ได้มอบอิสระให้แก่คุณแล้วนี่ ก่อนที่เธอจะตาย”

“ใช่ แต่หลังจากที่คนเหล่านั้นฆ่าผู้พิทักษ์ไป พวกเขาก็ครอบครองขั้วโลกเหนือโดยสมบูรณ์ ดาวเทียมและหุ่นยนต์อัตโนมัติที่ฉันส่งไปไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ดังนั้นจนถึงตอนนี้ ฉันเลยยังไม่สามารถเข้าสู่ยานอวกาศเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ได้”

“แต่ตอนนี้พวกคนที่ว่าก็ตายกันไปหมดแล้ว คุณสามารถส่งหุ่นยนต์ออกไปได้เลยทันที และสร้างเครื่องจัมป์ในขั้วโลกเหนือ เพื่อให้พวกเราไปหาคำตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ไม่ขัดข้อง ใต้เท้า โปรดให้เวลาฉันสักสิบนาที”

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

ลึกเข้าไปบนท้องฟ้าขั้วโลกเหนือ

บนดาวเทียมที่โคจรอยู่ใกล้ๆ ช่องที่กระจุกตัวกันแน่นคล้ายกับรูรังผึ้งถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติ

หุ่นยนต์ขนาดเล็กหลายร้อยตัวถูกปล่อยออกมาจากดาวเทียม ตัวของพวกมันเริ่มร้อนเนื่องจากข้ามผ่านชั้นบรรยากาศ และตกลงไปยังทิศทางขั้วโลกเหนืออย่างรวดเร็ว

ทันทีที่หุ่นยนต์ขนาดเล็กเหล่านี้ลงจอดสู่พื้น พวกมันก็เริ่มสร้างจุดจัมป์ตามขั้นตอนที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้

หลายร้อยหุ่นยนต์เคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน และงานก็สำเร็จลุล่วงไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมา กู่ฉิงซานและคนอื่นๆ ก็เดินทางผ่านเครื่องจัมป์เข้ามายังขั้วโลกเหนือโดยตรง

………………………………….

สุสานแห่งโลก…ที่พิเศษออกไป?

ความคิดมากมายวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน

เพราะอะไรมันถึงได้ถูกเรียกว่าพิเศษ?

แล้วพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าสุสานแห่งโลกใบนี้พิเศษออกไป?

หากสิ่งที่คนคนนี้กล่าวเป็นความจริงแล้วล่ะก็ สิ่งเดียวที่มั่นใจได้อย่างแท้จริงก็คือ ‘พระเจ้าของพวกเขาน่าจะเป็นคนที่รู้ว่าสุสานแห่งโลกแห่งนี่พิเศษออกไป’

แต่นี่มันแปลกๆ อยู่นะ

ทำไมพระเจ้าของพวกเขาถึงเลือกที่จะมองผ่านโลกเก้าร้อยล้านชั้น และมุ่งเป้ามายังโลกกระจัดกระจายโดยตรงกันล่ะ?

สถานการณ์ในเวลานี้แบ่งได้ออกเป็นสองกรณี

หนึ่งคือพระเจ้าของพวกเขาได้เฝ้าสังเกตโลกใบนี้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว จนได้ล่วงรู้ถึงความลับบางอย่าง

อีกกรณีหนึ่งคือ ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้พระเจ้าของพวกเขาค้นพบสถานที่แห่งนี้

กรณีใดกันนะที่น่าจะถูกต้อง?

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันและเงียบไป

ท่ามกลางเมฆแสนหนาวเหน็บบนท้องฟ้า ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ ตอบรับกลับมา บรรยากาศโดยรอบช่างเศร้าโศกและเงียบงัน

เฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง จนหัวหน้าแน่ใจว่าเขาไม่น่าจะได้รับการตอบสนองใดๆ กลับมา ในหัวใจของเขาก็เริ่มตื่นตระหนก และเร่งอธิบายต่อทันที

“พวกเราทำการออกค้นหาความผันผวนที่พระเจ้าทรงสัมผัสได้ ว่ามันเป็นหนึ่งในโลกกระจัดกระจายที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของโลกเก้าร้อยล้านชั้น โลกที่ทำการผสานรวมกับโลกอื่นจนเสร็จสิ้นโดยพลการ”

เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ซึ่งเราได้ทำการตรวจสอบแล้ว และสามารถยืนยันได้ว่าเกิดความผันผวนจากการผสานโลกขึ้นจริงๆ”

“ทำได้ดีมาก ว่าต่อไปสิ” กู่ฉิงซานยกย่อง

หัวหน้าเมื่อถูกเอ่ยชม เขาก็เร่งบอกกล่าวต่อทันที “แต่สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ โลกที่ว่านั่นดันกลายเป็นหกวิถี”

“โลกหกวิถี?”

“ขอรับ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริงๆ เพราะโลกหกวิถีชัดเจนว่าสมควรอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ เป็นสถานที่ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ เว้นแต่จะได้รับเชิญ แต่สถานที่แห่งนี้กลับปรากฏถึงวัฏจักรแบบปิดของหกวิถี แถมสองในหกก็ยังได้ทำการผสานรวมกันไปแล้วอีกด้วย”

“ท่ามกลางโลกกระจัดกระจายจะมีโลกหกวิถีอยู่ได้อย่างไร? นี่เจ้ากล้ากล่าวเรื่องไร้สาระเช่นนี้ต่อหน้าข้างั้นรึ?” กู่ฉิงซานเค้นเสียงเย็น

หัวหน้าเร่งอธิบายอย่างรวดเร็ว “ท่านผู้ใหญ่ นี่มันเป็นเรื่องจริง ข้าได้เห็นสายธารแห่งการหลงเลือนในโลกมนุษย์ที่ผสานรวมกับปรภพ และการมาเยือนของอาชูร่า ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ ผีร้าย จ้าวอสูร มาแล้วกับตา”

เขาหันไปกระซิบกับคนรอบข้าง “ช่วยข้าพิสูจน์ด้วยสิ”

แล้วคนเหล่านั้นจึงเร่งช่วยตะโกน “ท่านผู้ใหญ่ สิ่งที่หัวหน้าพูดเป็นความจริง พวกเราได้เห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมากับตาเช่นเดียวกัน”

กู่ฉิงซานไตร่ตรอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล “เอาเถอะ ตอนนี้ข้าจะทำใจลองเชื่อพวกเจ้าไปก่อน ว่าต่อสิ”

หัวหน้าถอนหายใจโล่งอก และอธิบายถึงรายละเอียด “ท่านผู้ใหญ่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกใบนี้ช่างเล็กจ้อยและอ่อนแอ แน่นอนว่ามันไม่สามารถเทียบเปรียบกับโลกหกวิถีที่แท้จริงได้ ข้าเองก็คิดว่ามันแปลกเหมือนกัน ไม่ทราบเลยว่าทำไมจึงมีการดำรงอยู่ของโลกดังกล่าวได้”

“ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงทำการแบ่งกำลังคน และแยกกันออกไปสำรวจโลกแต่ละใบอย่างละเอียด”

“แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“เราได้พบกับความจริงอันน่าทึ่ง นั่นคือความจริงแล้วรากฐานและกฎเกณฑ์ของโลกมันไม่สมบูรณ์”

“ไม่สมบูรณ์?”

“ใช่ เพราะรากฐานของโลกไม่สมบูรณ์ ดังนั้นความแข็งแกร่งของทุกสิ่งมีชีวิตในหกโลกแห่งนี้ จึงด้อยกว่าสิ่งมีชีวิตของโลกหกวิถีในดินแดนอัศจรรย์”

“เหตุใดโลกหกวิถีจึงไม่สมบูรณ์” กู่ฉิงซานถามต่อ

“ผู้น้อยเองก็สับสนเช่นกัน เกรงว่าบางที โลกหกวิถีแห่งนี้อาจจะเป็นผลงานชิ้นทดสอบจากการรังสรรค์ของทวยเทพก็เป็นได้”

กู่ฉิงซานเงียบ

เพราะสำหรับเรื่องนี้ ตัวเขาน่ะรู้อยู่แล้วว่าโลกหกวิถีที่ตนเองอยู่ มันเป็นส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวโลกหกวิถีจริงที่แตกกระจายออกมา

แต่ความจริงนี้ไม่อาจพูดมันออกมาได้ เช่นนั้นผู้ใดเล่าจะสามารถคาดเดาถึงมันได้?

ในความเป็นจริง โลกหกวิถีในดินแดนอัศจรรย์เองก็ไม่สมบูรณ์เช่นกัน

แต่คาดว่าความแข็งแกร่งของทางฝั่งนู้นสมควรจะสูงยิ่ง และคงจะเป็นการยากเกินไปสำหรับบุคคลภายนอกที่จะไปยังที่นั่น ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ความจริงนี้

ฉะนั้น คงไม่มีผู้ใดหรอกที่จะสามารถจินตนาการได้ว่าโลกหกวิถีในดินแดนอัศจรรย์ แท้จริงแล้วจะเกิดการแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

กู่ฉิงซานเก็บรวบรวมคำที่อีกฝ่ายพูดมากลั่นกรองในจิตใจอย่างระมัดระวัง

เขาทำการสรุปข้อมูลอย่างละเอียด

อันดับแรกเลย โลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้น มีกฎเกณฑ์ที่ยอมรับกันโดยทั่วไปอยู่ว่า การผสานรวมระหว่างโลกกับโลก ไม่ใช่สิ่งที่สามารถกระทำโดยพลการได้อย่างง่ายดาย

ประการที่สองก็คือ เมื่อกู่ฉิงซานได้ทำการหลอมรวมโลกปรภพกับโลกมนุษย์เข้าด้วยกัน ส่งผลให้บังเกิดความผันผวนที่ไปดึงดูดความสนใจจากพระเจ้าของพวกเขาเข้า

ประการที่สาม หากสิ่งมีชีวิตจากทั้งหกโลกมิได้ปรากฏตัวขึ้นในโลกมนุษย์ บางทีบุคคลภายนอกเหล่านี้อาจจะไม่ทราบว่าที่นี่เป็นโลกหกวิถีก็ได้ หลังจากนั้นก็จะไม่ล่วงรู้ว่าโลกหกวิถีใบนี้ไม่สมบูรณ์ซึ่งเป็นเหตุผลให้สิ่งมีชีวิตอ่อนแอ เพราะในโลกกระจัดกระจายน่ะสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ก็อ่อนแออยู่แล้ว และสุดท้ายในโลกตลอดทั้ง เก้าร้อย ล้านชั้นก็จะไม่มีใครให้ความสนใจใดๆ กับที่นี่

ความคิดของกู่ฉิงซานค่อยๆ กลายเป็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

เขาตริตรองและเอ่ยถาม “เช่นนั้น แล้วภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้พวกเจ้าค้นหาสุสานแห่งโลกที่พิเศษออกไป เสร็จสิ้นลงแล้วหรือยัง?”

หัวหน้ากล่าวด้วยความสลดใจ “ท่านผู้ใหญ่ พวกเรายังไม่ค้นพบมันเลย”

กู่ฉิงซาน “ข้าอุตส่าห์คิดว่าเจ้าเป็นคนมีความสามารถ เหตุใดจึงไม่ค้นพบมัน?”

หัวหน้ากล่าว “เพราะตั้งแต่ที่เดินทางมายังโลกใบนี้ นาฬิกาเทพ ก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนที่พิเศษ หรือตอบสนองใดๆ อีกเลย ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถค้นหาสุสานแห่งโลกได้”

นาฬิกาเทพ?

กู่ฉิงซานได้รับรู้เรื่องใหม่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“พวกเจ้าทั้งหมดกลับมาในสภาพตาย แล้วนาฬิกาเทพเล่า? พวกเจ้าสูญเสียมันไปแล้วใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยถามอย่างรุนแรง

หัวหน้ากับลูกน้องของเขาเร่งคุกเข่าลงกับพื้นทันที

“ท่านผู้ใหญ่ นาฬิกาเทพไม่ได้หายไปไหน พวกเราซ่อนมันเอาไว้สุดปลายของโลกในขั้วโลกเหนือ ภายใต้ยานอวกาศ”

“ยานอวกาศ?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ

“ขอรับ เป็นยานอวกาศที่มาจากอารยธรรมของโลก เก้าร้อย ล้านชั้น โลกของพวกเขามีสองอารยธรรมที่พัฒนาควบคู่กันไป นั่นคือในด้านเทคโนโลยีและด้านเทียนซวน (ผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์) แต่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน พวกเขาถึงได้เลือกมายังโลกกระจัดกระจาย”

“แล้วเจ้าสามารถเก็บเกี่ยวอะไรมาได้บ้างหรือไม่?”

“ไม่เลย เพราะการตกผลึกของอารยธรรมในด้านเทคโนโลยี มีขั้นตอนการตรวจสอบมากมายที่ค่อนข้างซับซ้อน ในบรรดาพวกเราไม่มีบุคคลที่มีความสามารถดังกล่าว จึงไม่สามารถปฏิบัติการต่อได้”

“ดังนั้น พวกเราจึงทำการสังหารผู้ที่คุ้มครองยานอวกาศ ยึดครองมัน และทำการซ่อนนาฬิกาเอาไว้ภายใต้เรือ”

หัวหน้าบีบรอยยิ้ม “ท่านผู้ใหญ่โปรดมั่นใจว่าจะไม่มีใครล่วงรู้ตำแหน่งนั้นนอกจากเรา”

“เจ้ากล้าสาบานหรือไม่?”

“ข้าสาบาน”

“งั้นก็ดี เจ้าประสบความสำเร็จในการรักษาจิตวิญญาณของตนเองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจงน้อมรับการลงโทษในสถานที่แห่งนี้ไปอย่างช้าๆ”

คนเหล่านั้นเผยถึงความสุข และเร่งกล่าว “ขอบพระคุณท่านผู้ใหญ่!”

กู่ฉิงซานเริ่มขยับ เขาเตรียมที่จะออกไปจากที่นี่ทันที

แต่แล้วเจ้าตัวก็จดจำได้ถึงบางสิ่ง และกล่าว “ข้ามีคำถามสุดท้าย”

หัวหน้ากล่าวด้วยความนอบน้อม “ท่านผู้ใหญ่โปรดกล่าว”

“เป็นเพราะพวกเจ้าล้มเหลว ข้าจึงจำต้องไปยังโลกใบนั้นเพื่อเริ่มต้นการตรวจสอบด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าต้องการจะรู้ ว่าในช่วงเวลาที่พวกเจ้ากำลังออกเดินทาง พระเจ้าได้บอกคำใดแก่พวกเจ้าบ้าง?”

หัวหน้าตอบอย่างไม่ลังเล “ประสงค์ของพระเจ้าก็คือ ขอให้ข้าระมัดระวังตัว แม้ว่าจะต้องตายก็ห้ามเปิดเผยภารกิจของสถาบันเทพต่อคนนอก เพราะในความผันผวนที่พระเจ้ารู้สึก มันบ่งบอกว่าสุสานแห่งโลกที่นี่พิเศษออกไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่ามันควรจะเป็น”

แต่เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เสียงของเขาก็ขาดห้วงไป

ไม่ว่าจะผู้นำ หรือลูกน้องของเขา สีหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยน

“ไม่นะ! พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้ามิได้เปิดเผยมันต่อคนนอก”

เขาตะโกนเสียงดัง

ในขณะเดียวกัน ลูกน้องหลายคนของเขาก็กรีดร้องเสียงหลง

กู่ฉิงซานตระหนักได้ถึงสถานการณ์ไม่ดี เขาเร่งลงจากก้อนเมฆเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ทันที

เห็นแค่เพียงบรรดาร่างของคนตายค่อยๆ ถูกหลอมละลาย คล้ายกับน้ำตาเทียนที่ถูกแผดเผาโดยเปลวไฟ

ขณะเดียวกัน เมื่อคนเหล่านั้นเห็นการปรากฏตัวของกู่ฉิงซาน ทั้งหมดก็กลายเป็นโง่งมโดยสมบูรณ์

และพวกเขาจึงค่อยตระหนักถึงความจริงของเรื่องนี้

“มันเป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงเป็นเจ้า มันจบแล้ว! มันจบแล้ว!”

หัวหน้าพึมพำด้วยความสิ้นหวัง

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขได้

ร่างกายของพวกเขาค่อยๆ หายไปอย่างสมบูรณ์ เปิดเผยให้เห็นถึงดวงจิตวิญญาณในนรกเยือกแข็ง

ดวงวิญญาณเหล่านั้นค่อยๆ สูญเสียรูปลักษณ์ใบหน้า แขนขาของพวกเขาเริ่มหลุดลอกออก กลายเป็นกองภูเขาสีม่วงขนาดย่อมที่ดูประหลาดตา

กองสีม่วงเข้ามารวมตัวกัน

ไม่นานนัก ก็เริ่มค่อยๆ ก่อร่างเป็นใบหน้าที่ชัดเจนขึ้น

เป็นใบหน้าที่ครึ่งหนึ่งเป็นชาย ครึ่งหนึ่งเป็นหญิง และคล้ายกำลังแสดงออกถึงความเจ็บปวดอยู่

กู่ฉิงซานตระหนักได้ในทันทีว่านั่นคือพระเจ้าของพวกเขา!

อย่างไรก็ตาม ทรายสีม่วงมิได้รวมตัวกันแล้วก่อรูปเป็นใบหน้าเท่านั้น แต่มันก็กำลังหลอมรวมกันเป็นร่างกายอย่างรวดเร็ว

ความเย็นเยียบบาดลึกเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน

การรับรู้ทางจิตของเขา ตระหนักได้ถึงภัยคุกคามที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าความตาย

กู่ฉิงซานวาดไม้เท้าแห่งการจองจำและเปิดใช้งาน ‘กระจายวิญญาณ’ อย่างไม่ลังเล

นี่คือวิธีการลงทัณฑ์ขั้นสุดของโลกปรภพ ที่ราชาภูตสามารถสั่งการสังหารจิตวิญญาณในขุมนรกได้เลยโดยตรง

พริบตานั้นสิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาดที่กำลังก่อตัวขึ้นก็ล่มสลาย กระจายตัวหายไป

และไม่ปรากฏขึ้นที่นี่อีกเลย

………………………………….

กู่ฉิงซานคว้าจับไม้เท้าแห่งการจองจำและกล่าว “ผมขอตัวไปต้อนรับพวกเด็กใหม่สักครู่ แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมา”

จากนั้น เขาก็เริ่มใช้ออกด้วยเทคนิคลับแห่งไม้เท้า ต้นกำเนิดแห่งความตาย

“ต้นกำเนิดแห่งความตาย ราชาภูตสามารถเดินทางไปยังนรกในแต่ละชั้นได้ และสามารถสื่อสารผ่านทางอากาศกับคนตายทั้งหมด นอกจากนี้ยังสามารถปลุกคนตายที่กำลังจมอยู่ในการหลับใหลให้ฟื้นตื่น คืนสติขึ้นมาได้ในทันทีอีกด้วย”

ในเสี้ยววินาที กู่ฉิงซานก็หายวับไปจากสถานที่เดิมที่เขาอยู่

หลายคนที่ไม่รู้เรื่องราวพอได้เห็นก็ตกใจ

“เห็นได้ชัดว่ากู่ฉิงซานไม่ได้ชำนาญในด้านเทคนิคมนตรามิติ แต่เขาสามารถหายไปจากสายตาของฉันได้เลยตรงๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะพลังของไม้เท้ามนตราเมื่อครู่ใช่ไหม? นี่มันน่าสนใจจริงๆ” เสี่ยวเหมียวแสดงท่าทีสนอกสนใจออกมา

เย่เฟย์หยู “ที่เขาทำแบบนั้นได้ เพราะเขาเป็นราชาภูตแห่งปรภพ”

ซางหยิงฮ่าว “นรกคือบ้านของเขา ดังนั้นเลยสามารถไปกลับได้ตลอดเวลา”

สิ่งที่ทั้งสองพูด ได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของแบรี่เช่นกัน

แบรี่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ไม่ใช่ว่าในหกวิถี ปรภพมันเป็นสถานที่ของคนตายหรอกหรือ? แล้วทำไมกู่ฉิงซานถึงไปเป็นราชาภูตผีที่นั่นได้?”

ซางหยิงฮ่าว “คือเรื่องมันยาว…”

“ยาวก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันว่าง กำลังเบื่อๆ อยู่ หากมีเรื่องอะไรให้ได้ยินผ่านหูบ้างก็คงจะดี” เสี่ยวเหมียวกล่าว

“เข้าใจแล้ว คือเรื่องมันเป็นแบบนี้…” ซางหยิงฮ่าวเริ่มเล่า

แล้วเขาก็เริ่มเล่ามันทั้งหมด นับจากจุดเริ่มต้นของภัยพิบัติเยือกแข็ง

แบรี่หัวเราะ “ช่างเป็นวิธีการช่วยเหลือโลกที่เป็นเอกลักษณ์จริงๆ เหมาะสมแล้วที่เขาได้เป็นคนของสมาคมเรา”

แต่เสี่ยวเหมียวกลับตรงกันข้าม เธอจับได้ถึงประเด็นอื่นที่สำคัญยิ่งกว่า “พี่ชาย พี่เคยได้ยินเกี่ยวกับเทคนิคมนตราอะไรที่สามารถไปยังโลกของคนตายได้โดยตรงมาก่อนรึเปล่า?”

แบรี่ “เรื่องนี้พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่เท่าที่นึกออก คิดว่านอกเหนือไปจากผู้ศรัทธาของเทพแห่งความตายแล้ว ก็ไม่น่าจะมีคนอื่นสามารถใช้เทคนิคพวกนี้ได้อีกแล้วนะ”

“นั่นสิ โลกหกวิถีช่างมหัศจรรย์ ด้วยวัฏจักรของพวกเขาที่เป็นแบบปิด เกรงว่าแม้กระทั่งอำนาจของเทพแห่งความตายก็ยังไม่สามารถเข้ามาควบคุมไม่ให้ใช้เทคนิคเกี่ยวกับความตายได้” เสี่ยวเหมียวกล่าว

แบรี่เอ่ยอีกเรื่อง “แล้วพี่เองก็เห็นชัดเจนเหมือนกัน ว่าเพลงดาบที่กู่ฉิงซานใช้มันไม่ใช่วิชาต้องห้าม แต่เป็นการแหกกฎเกณฑ์จากเทคนิคมนตราวิญญาณโดยตรง แล้วไหนจะตะขอที่สามารถเกี่ยวดวงวิญญาณ และไม้เท้ามนตราที่สั่งการนรกของกู่ฉิงซานอีก พลังเหล่านี้ล้วนไม่ใช่อะไรที่สิ่งประดิษฐ์เทวะทั่วๆ ไปจะสามารถบรรลุได้เลย”

เสี่ยวเหมียวพยักหน้าและกล่าว “อืม หลังจากที่ได้เห็นเรื่องราวเมื่อกี้นี้ น้องก็เกิดความรู้สึกชัดเจนเลยว่า กฎเกณฑ์แห่งหกวิถีมันทรงพลังมากเกินไป ไม่ว่าจะเทียบเปรียบกับโลกใดก็ตาม”

“ถูกอย่างที่น้องว่า พี่เองก็จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าในตอนที่เหล่าทวยเทพสร้างโลก พวกเขาจะยังสร้างอาวุธแบบนั้นออกมาด้วย” แบรี่ถอนหายใจ

อีกด้านหนึ่ง

ในปรภพ

เขตนรก

กู่ฉิงซานกุมไม้เท้าแห่งการจองจำ สั่งนึกคิดในจิตใจ เพื่อทำการสัมผัสถึงทุกสายลมและหย่อมหญ้าที่เคลื่อนไหวอยู่ในนรกทั้งสิบแปดขุม

ในขุมนรก สิ่งมีชีวิตนับล้านที่กำลังทุกข์ทรมานปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา

แต่กู่ฉิงซานก็สามารถค้นหาคนจากสถาบันเทพได้อย่างรวดเร็ว

พวกเขามีกันทั้งสิ้นห้าคน ไม่มีคนใดหนีไปได้สำเร็จแม้แต่คนเดียว ทั้งหมดถูกโยนมาทิ้งไว้ในนรก

กู่ฉิงซานจึงค่อยคลายใจลง

ด้วยสกิลของแหกกฎของฉานนู่ สกิลตกวิญญาณของตะขอเกี่ยววิญญาณ และสกิลของไม้เท้า ทั้งสามสิ่งประดิษฐ์เทวะนี้ ส่งผลให้สามารถจับกลุ่มคนลึกลับทั้งหมดมาได้สำเร็จ

อันที่จริงแล้ว กู่ฉิงซานเองก็ไม่ได้อยากจะใช้ตะขอเกี่ยววิญญาณ และปล่อยให้พวกมันหนีไปอยู่เหมือนกัน เพื่อที่จะได้รู้ว่าจิตวิญญาณของพวกมันมาจากโลกหกวิถี หรือโลกใดที่อยู่ภายนอกกันแน่

อย่างไรก็ตาม ต้นกำเนิดของคนเหล่านี้มันแปลกและอันตรายเกินไป และกู่ฉิงซานเองก็ไม่เต็มใจที่เสี่ยงใดๆ เพราะหากพวกมันสามารถกลับไปแจ้งข่าวได้ คงจะมีปัญหาไม่น้อยเลยที่จะตามมา ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงเลือกใช้งานตะขอเกี่ยววิญญาณ ตกวิญญาณของพวกเขามาด้วยตัวเองเลยโดยตรง

“…อยู่ในนรกเยือกแข็งงั้นเหรอ?”

ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหว เริ่มต้นการเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างชั้นขุมนรก

ในสายตาของเขา บนหน้าต่างเทพสงคราม ปรากฏตัวอักษรขนาดเล็กกำลังเรืองแสงอย่างต่อเนื่อง

“คุณได้ฆ่าศัตรูห้าคน”

“คุณบรรลุใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่งห้าครั้ง”

“ได้รับแต้มพลังวิญญาณหนึ่งหมื่นแปดพัน”

“ได้รับแต้มพลังวิญญาณหนึ่งหมื่นเจ็ดพัน”

“ได้รับแต้มพลังวิญญาณหนึ่งหมื่นสี่พัน”

“ได้รับแต้มพลังวิญญาณสองหมื่น”

“ได้รับแต้มพลังวิญญาณสองหมื่นเจ็ดพัน”

“เสร็จสิ้นการคำนวณ แต้มพลังวิญญาณหกร้อย ส่วนเกินของคุณคือเก้าหมื่นห้าพันสี่ร้อย”

แต้มพลังวิญญาณคือพลังเหนือธรรมชาติ และมันมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลาวิกฤต

กู่ฉิงซานมองแต้มพลังวิญญาณของตนเอง ความมั่นใจในจิตใจของเขาก็เริ่มเอ่อล้นขึ้นมาทันที

อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะอ่อนแอยิ่งกว่า หากเทียบปีศาจจากแดนชำระล้างก่อนหน้านี้

งั้นเอาไว้หลังจากกลับไปยังโลกมิติอนันต์ เขาค่อยวานให้แบรี่กับเสี่ยวเหมียวจับหมูป่าแดนชำระล้างมาอีกครั้ง แล้วให้ตนเองเป็นคนจัดการมัน เพื่อเติมเต็มแต้มพลังวิญญาณสำรองเก็บเอาไว้ก็แล้วกัน

ขณะกำลังขบคิด โลกที่ฟุ้งไปด้วยหิมะและน้ำแข็งก็ปรากฏสู่สายตาของเขาในที่สุด

นรกเยือกแข็งไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังคงหนาวเหน็บ ทุกที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง

กู่ฉิงซานบินไปตามแรงเหนี่ยวนำที่ส่งผ่านมาจากไม้เท้าแห่งการจองจำไปอย่างเงียบๆ บินไปยังหลุมที่ใช้ฝังคนตายของนรกเยือกแข็ง

หลังจากบินไปได้สักพัก กู่ฉิงซานที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยพายุหิมะก็ก้มลงมาเบื้องล่าง

เห็นแค่เพียงคนตายหน้าใหม่ไม่กี่คนกำลังหลับตาสนิท จมอยู่ในห่วงนิทราภายในหลุมน้ำแข็ง

มองไปยังลักษณะของพวกเขาที่ปรากฏ มันเหมือนกับคนของสถาบันเทพไม่มีผิดเพี้ยน

วิญญาณของพวกเขาได้รับกายหยาบของคนตาย

เพื่อที่เหล่าอาชญากรจะได้ทนทุกข์ทรมานในนรกได้อย่างสะดวก จิตวิญญาณของพวกเขาจึงได้รับกายหยาบของคนตาย

และกายหยาบที่ว่านี้ ก็จะเป็นเหมือนเช่นเดียวกันกับร่างกายจริงๆ ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ของพวกเขา เพื่อที่จะสามารถรู้สึกเจ็บปวดจากทุกข์ชนิดของการลงทัณฑ์ได้

เอาล่ะ ตอนนี้ก็ได้เวลาเริ่มขั้นตอนต่อไปแล้ว

กู่ฉิงซานกุมไม้เท้าแห่งการจองจำ และเริ่มต้นใช้งาน ‘ต้นกำเนิดแห่งความตาย’

ท่ามกลางชั้นน้ำแข็ง หลายคนจากสถาบันเทพลืมตาตื่นขึ้นทันที

พวกเขาเบิกตากว้าง และหันไปมองรอบๆ ด้วยความสับสน

เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังตกใจกับสภาพแวดล้อมที่ปรากฏขึ้น

ผ่านไปสักพัก พอตั้งสติได้ ทั้งหมดก็เริ่มดิ้นรนสุดกำลัง

เปรี๊ยะ…

ชั้นน้ำแข็งที่ห่อหุ้มพวกเขาปริแตก

แล้วทั้งหมดก็เร่งกระโจนออกมาทันที

“หัวหน้า นี่มันที่ไหนกัน?” คนหนึ่งเอ่ยถาม

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้กลับไปยังสถาบันเทพนะ” เสียงของหัวหน้าหม่นลง

หลายคนหันไปมองรอบๆ และเห็นว่านอกเหนือไปจากหิมะและน้ำแข็งไกลสุดลูกหูลูกตาแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งใดอยู่อีกเลย

อีกคนกล่าว “ข้าจำได้ว่าหลังจากความตาย ยังรู้สึกได้ถึงการส่งผ่านมิติที่คุ้นเคย แต่ทำไมสุดท้ายพวกเราถึงถูกส่งมายังที่นี่?”

คนหนึ่งกล่าว “ตอนแรกพวกเรากำลังถูกส่งผ่านมิติจริงๆ แต่บางทีเจ้าอาจจะสิ้นสติไปในตอนท้าย เพราะช่วงไม่กี่พริบตาต่อจากนั้น ข้าสัมผัสได้ถึงแรงดึงอันแข็งกร้าวและมิอาจต้านทานได้”

คนต่อมากล่าว “ข้าเองก็รู้สึกถึงแรงดึงที่ว่านั่นเช่นกัน และคิดว่าคงจะเป็นแรงดึงนั่นที่ส่งพวกเรามายังสถานที่นี้”

หลายคนเงียบไป และเริ่มไตร่ตรองถึงความสำคัญของเรื่องนี้

กู่ฉิงซานเดิมกำลังจะร่อนลงไป แต่หลังจากได้รับฟังความคิดเห็นของแต่ละคน เขาก็เลือกที่จะหยุด

หลังจากขบคิดเล็กน้อย เจ้าตัวก็บินกลับขึ้นไปเหนือท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยพายุหิมะ และซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังหมอกเย็นยะเยือกอย่างเงียบๆ

ดูเหมือนว่าจิตสำนึกในช่วงที่พวกเขาตกตายลง มันจะไม่ชัดเจนนัก

ถ้างั้นก็เฝ้าดูปฏิกิริยาของพวกเขาไปก่อนก็แล้วกัน บางทีตนอาจจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์บางอย่างจากสถานการณ์ในตอนนี้ได้ก็ได้

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆ

หลังจากนั้นไม่นาน

พอตรวจสอบถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบจนแน่ใจ คนจากสถาบันเทพก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง

บางคนอุทานขึ้นมาอย่างกะทันหัน “หรือมันจะเป็นเพราะพวกเราทำภารกิจล้มเหลว ดังนั้นพระเจ้าเลยไม่พอใจ และส่งพวกเราตรงมายังสถานที่แห่งนี้?”

และไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่าคำพูดของเขาจะได้รับการยอมรับจากทุกคนอย่างง่ายดาย

หัวหน้าผงกหัว “ดูนั่นสิ มีจิตวิญญาณมากมายถูกแช่แข็งอยู่บนพื้น และทั้งหมดก็แลดูเจ็บปวด ข้าเดาว่าสถานที่นี้จะต้องเป็นสถานที่ทรมานตนแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นแน่”

“น่าจะไม่ผิดพลาดแล้ว น่ากลัวว่าจะเป็นพระเจ้าที่ลงโทษพวกเราจริงๆ”

“ถูกต้อง”

“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”

“อนิจจา ในเมื่อภารกิจล้มเหลว ฉะนั้นก็คงต้องน้อมรับการลงโทษด้วยความเต็มใจ”

“คงได้แต่อธิษฐานให้พระเจ้ายกโทษให้พวกเราโดยเร็วที่สุด และมอบหมายงานใหม่เพื่อไถ่ความผิดพลาดนี้ของพวกเรา”

หัวหน้ากล่าวเสียงหม่น “มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดมากไปกว่านี้ ตั้งแต่ที่พระเจ้าได้ส่งเรามาที่นี่ นั่นหมายความว่าท่านย่อมสามารถรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจะต้องน้อมรับโทษจากท่านอย่างจริงจัง”

หลายคนนิ่งงันไป แต่หลังจากขบคิดดูแล้ว ต่างก็ลงความเห็นกันว่านั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น

พวกเขาฝังตัวเองลงในชั้นน้ำแข็งอีกครั้ง ให้เหมือนเช่นเดียวกันกับคนตายคนอื่นๆ

ในหลุมน้ำแข็ง หลายคนสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ

ถึงแม้ว่านรกเยือกแข็งจะไม่มีการทรมานโดยการเปลื้องผ้าออกจากร่างกายก็ตามที แต่ความเย็นของมัน จะเสียดแทงเข้าไปในแก่นจิตวิญญาณโดยตรง ดังนั้นการทรมานของมันจึงไม่ได้เลวร้ายไปกว่านรกขุมอื่นๆ เลย

หลังจากพยายามได้ไม่กี่นาที บางคนก็อดทนต่อไปไม่ไหวอีกต่อไป

“หัวหน้า นี่มันหนาวมากเกินไปแล้ว ทำไมพระเจ้าถึงต้องการ” เขาอุทาน

หัวหน้าตวาด “หุบปากเสีย! พระเจ้ากำลังเฝ้ามองพวกเราอยู่ อยากให้ท่านลงทัณฑ์ที่มันรุนแรงยิ่งกว่านี้รึไง?”

ชายคนนั้นเงียบไป ไม่เอ่ยคำใดอีกเลย

และหลายคนก็เริ่มอดทนต่อการทรมานของนรกเยือกแข็งอย่างเงียบๆ อีกครั้ง

กู่ฉิงซาน “…”

ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะค่อนข้างโง่เล็กน้อย แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขาคิดแบบนี้ นั่นก็เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นนรกในโลกปรภพมาก่อน

แต่มันก็เป็นเรื่องยากจริงๆ นั่นแหละที่จะได้พบเจอกับพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้

อาจกล่าวได้เลยว่านอกเหนือไปจากพระเจ้าของพวกเขาแล้ว คนอื่นๆ จากสถาบันทวยเทพย่อมไม่เคยพานพบกับสถานการณ์และอำนาจแบบนี้มาก่อนอย่างแน่นอน

แม้กระทั่งตัวตนทรงอำนาจอย่างแบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็คงจะไม่เคยได้รับประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน

ดังนั้นการตัดสินใจและความคิดที่คนเหล่านี้ ที่แสดงออกมาเมื่อครู่ก็ยังพอเข้าใจได้

แต่การสนทนาของพวกเขา กลับทำให้คิ้วของกู่ฉิงซานค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน

เหมือนแบรี่จะบอกว่าพระเจ้าอะไรนั่นของพวกเขาน่ะมีชีวิตอยู่แค่ครู่เดียวไม่ใช่เหรอ?

แล้วทำไมพวกเขาถึงบอกว่าพระเจ้ากำลังเฝ้าดูอยู่กัน?

หรือว่านั่นมันจะเป็นเรื่องโกหก?

นี่มันชักจะน่าสนใจเสียแล้วสิ อย่าบอกนะว่าพระเจ้าของพวกเขาจงใจแกล้งทำเป็นตาย เพื่อที่จะหลบซ่อนตัว?

ว่าแต่การที่พระเจ้าตั้งใจทำแบบนั้นมันเพราะอะไรกัน?

กู่ฉิงซานยังคงไตร่ตรองอย่างต่อเนื่อง

คนเหล่านี้เข้ามาในโลกกระจัดกระจาย เพื่อต้องการจะค้นหาสุสานแห่งโลก

แต่สุสานแห่งโลกคือสถานที่ที่ถูกปกปิดไว้โดยเหล่าทวยเทพ สิ่งของภายในมันย่อมไม่สามารถระบุได้ และจะไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากทำการเปิดสุสานแห่งโลก

ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะมีสุสานแห่งโลกอยู่มากมาย แล้วทำไมพวกเขาจะต้องออกมาตามหามันในโลกกระจัดกระจายกัน?

ไหนจะวิธีการที่ทำให้พวกเขาสามารถพบเจอที่นี่ได้อีก?

…แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว จะต้องเค้นข้อมูลให้มันชัดเจนให้ได้

กู่ฉิงซานชี้ปลายไม้เท้าไปยังคนจากสถาบันเทพคนหนึ่งในนรกเยือกแข็ง

และเริ่มเปิดใช้งาน ‘กระจายวิญญาณ’

‘กระจายวิญญาณ ราชาภูตสามารถใช้อำนาจของไม้เท้า สังหารคนตายคนใดก็ตามที่ไม่เชื่อฟัง และวิญญาณของคนตายที่ถูกสังหารก็จะกระจายตัวออก แปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน หนุนเสริมอำนาจให้แก่ตัวไม้เท้าได้’

วินาทีต่อมา

เห็นแค่เพียงในหลุมน้ำแข็ง คนตายคนหนึ่งจากสถาบันเทพ ตระหนักได้ถึงความหวาดกลัวบางอย่างขึ้นอย่างกะทันหัน

ในระดับจิตวิญญาณของเขา เริ่มรู้สึกได้ถึงการมาเยือนของอำนาจกฎเกณฑ์บางอย่าง

มันเป็นอำนาจทำลายล้างที่สามารถทำลายเขาได้อย่างสมบูรณ์!

เขาเริ่มตื่นตระหนก จิตใต้สำนึกตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ไม่นะ ข้ายังคงคอยเก็บรวบรวมดวงจิตเพื่อท่านอย่างซื่อตรง ดวงจิตทั้งหมดถูกจัดเก็บไว้ในห้องอธิษฐานส่วนตัวของข้า  ในนั้นมีจิตวิญญาณกว่าเก้าหมื่นดวงซุกซ่อนอยู่ และข้าขออุทิศมันแด่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นท่านได้โปรด”

จากนั้นเสียงพูดของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องของความเจ็บปวด

อำนาจอันยิ่งใหญ่ทำลายจิตวิญญาณของเขา ลงทัณฑ์เขาด้วยการทรมานที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าการลงโทษจากนรก!

นี่คือการลงทัณฑ์ขั้นสูงสุดของนรกทั้งสิบแปดขุม ในฐานะราชาภูต เขาสามารถบงการชีวิตหรือความตายของคนตายทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย โดยแค่เพียงนึกคิดเท่านั้น!

ไม่นานนัก กายหยาบของคนคนนั้น กระทั่งจิตวิญญาณของเขาก็สลายไป หายไปจากหลุมน้ำแข็งโดยสมบูรณ์

เขากระจัดกระจาย เหือดหายไปโดยสิ้นเชิง และจะไม่มีวันปรากฏตัวขึ้นที่ใดอีกเลย

อีกหลายคนที่ที่มองเห็นถึงกระบวนการดังกล่าวผ่านรอยแตกของน้ำแข็งอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

หัวหน้าตะโกน “เห็นหรือไม่ เขากล้าที่จะซุกซ่อนจิตวิญญาณมากกว่าเก้าหมื่นดวงจากพระเจ้า ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดพระเจ้าถึงสังหารเขา!”

“ใช่ คนแบบนั้นสมควรตายแล้ว!”

“เป็นผู้ศรัทธา แต่ทำแบบนั้นได้อย่างไร!”

“จิตวิญญาณทั้งหมดล้วนเป็นของพระเจ้า แต่เขากล้าที่จะเก็บมันเอาไว้ส่วนตัว ดังนั้นสมควรแล้วที่จะถูกลงทัณฑ์ร้ายแรง!”

หลายคนเร่งสนับสนุนคำพูดของหัวหน้า ปากอ้าตะโกนลั่น

ในช่วงเวลานั้นเอง สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า ก็ปรากฏถึงเสียงที่ดังสะท้อนขึ้น

“ตามประสงค์ของพระเจ้า ข้าจะต้องสอบปากคำพวกเจ้า”

“และพวกเจ้าจำเป็นต้องตอบตามความจริง!”

เสียงอันน่าเกรงขามนี้ ได้เปิดเผยถึงความตั้งใจ และเอ่ยออกมาร้ายแรงว่าต้องการสอบสวนพวกเขา

คนที่เหลือเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า

แต่กลับเห็นแค่เพียงหมอกเย็นที่ปกคลุมไปทั่ว ทุกสิ่งอย่างพร่ามัว มิอาจรับรู้ได้เลยว่าเสียงที่ดังมาจากระยะไกลนั้นคือสิ่งใด

อย่างไรก็ตาม คนตายจากสถาบันเทพก็สัมผัสได้ถึงอำนาจที่กำลังบีบให้พวกเขายอมจำนน เป็นอำนาจที่สามารถครอบงำโลกทั้งใบได้!

หากไม่ได้รับพรจากพระเจ้าแล้ว ยังจะมีผู้ใดอีกเล่าที่สามารถครอบครองอำนาจอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้?

หัวหน้ากลืนน้ำลายอึกใหญ่ เร่งกล่าวรายงานไปอย่างร้อนรน “ผู้น้อยไม่ทราบว่าเป็นผู้ใหญ่ท่านใดที่มาเยือน แต่ผู้น้อยสามารถสาบานได้เลยว่า พวกเรากำลังปฏิบัติตามเป้าประสงค์ของพระเจ้า ทำการตรวจสอบสุสานแห่งโลกที่พิเศษออกไปอยู่จริงๆ”

………………………………….

ช่วงเวลาเดียวกันกับที่กู่ฉิงซานพูดจบ รัศมีแสงสีม่วงก็พวยพุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้า

เหล่าผู้คนโดยรอบต่างแหงนมอง

อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงเหล่ากลุ่มคนลึกลับที่ถูกรั้งไว้โดยเสี่ยวเหมียว ทำการประสานฝ่ามือเข้าหากัน เชื่อมต่อกันและกันเป็นวงกลม

แสงสีม่วงเรืองรองอาบข้ามผ่านร่างกายของพวกเขา ก่อรูปแบบเป็นรัศมีแสงสาดเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด

เสี่ยวเหมียวเฝ้ามองแสงประหลาดสีม่วงด้วยความสนใจ “พี่ชาย ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นคำสาปส่งจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงนะ”

ก่อนที่แบรี่จะทันได้ตอบเธอ หัวหน้าของกลุ่มคนลึกลับก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “แบรี่ ถึงพวกเราจะไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ แต่จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าอย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่สามารถต่อกรกับพระเจ้าของพวกเราได้อยู่ดี”

“พระเจ้าพวกของแก? พระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่วินาทีนั่นน่ะหรือ?” แบรี่ดูหมิ่น

และประโยคดังกล่าว ดูเหมือนว่าจะทำให้ชายคนนั้นโกรธจริงๆ

“แบรี่ เจ้าทรงพลังก็จริง แต่เจ้าจะสามารถปกป้องโลกใบนี้ได้ตลอดเวลารึเปล่า?”

“เห็นประกายแสงสีม่วงนี่ไหม? ขอแค่มีมันพวกเราก็ไม่เกรงกลัวอะไรอีกแล้ว”

หัวหน้าเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดและกล่าวต่อ “มาฆ่าพวกเราเสียสิ! และจากนั้น เมื่อไหร่ที่พวกเราฟื้นคืนชีพ พวกเราจะนำคนจำนวนมากกลับมาแก้แค้นอย่างแน่นอน!”

ประโยคดังกล่าวทำให้ทุกคนจมลงสู่ความเงียบ

กระทั่งแบรี่ก็ยังขมวดคิ้ว

เห็นได้ชัดว่า แม้กระทั่งเจ้าตัวก็ยังรู้สึกได้ถึงปัญหา

“ผมขอถามอะไรหน่อยสิ เมื่อกี้เขาบอกว่าถ้าพวกเขาตาย พวกเขาจะสามารถฟื้นคืนชีวิตได้อีกครั้งงั้นเหรอ?” ซางหยิงฮ่าวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เสี่ยวเหมียวอธิบาย “ใช่ เพราะจิตวิญญาณของคนเหล่านี้ถูกสาป ทำให้เมื่อพวกเขาตาย จิตวิญญาณก็จะถูกดึงกลับไปยังสถานที่หนึ่งโดยตรง เพื่อทำการเปลี่ยนกายหยาบ และฟื้นคืนชีพในที่นั่นอีกครั้ง”

“เพราะความสามารถในการฟื้นคืนชีพของพวกเขานี่แหละ ที่ทำให้ผู้คนในโลกเก้าร้อยล้านชั้นเริ่มที่จะหวาดกลัวกับพวกคนบ้ากลุ่มนี้”

เมื่อเห็นว่าท่าทีของฝูงชนโดยรอบสงบลง กลุ่มคนที่ถูกจับก็เริ่มใจชื้น แสดงออกถึงความภาคภูมิใจในตน

หัวหน้ามองไปทางกู่ฉิงซานและกล่าว “เมื่อครู่ ดูเหมือนเจ้าจะบอกว่าอยากแก้แค้นให้ใครบางคนเช่นนั้นสินะ?”

“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ

หัวหน้าจ้องมองกู่ฉิงซานและกล่าวอย่างช้าๆ “พวกเราไม่สามารถเอาชนะแบรี่ได้ก็จริง แต่สำหรับเจ้าแล้ว มันต่างออกไปนะ ไอ้หนู”

“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันถูกคุกคามโดยคนที่กำลังจะตาย” กู่ฉิงซานยิ้ม

สีหน้าของหัวหน้าเริ่มบูดบึ้ง คล้ายมีเมฆครึ้มเคลื่อนผ่าน “อันที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้ต้องการจะคุกคามเจ้าหรอก แต่ดูเหมือนว่าพวกเราจะประมาทมดตัวจ้อยมากเกินไป ทำให้แผนของเรามันไม่เหมือนเดิม”

“โห? แล้วพวกแกวางแผนจะทำอะไรกันล่ะ?” กู่ฉิงซานยิ้ม

ผู้นำไม่ตอบ แต่สวนกลับไป “ข้าตระหนักได้ว่าไม่มีผู้ใดเลยในโลกใบนี้ที่จะสามารถออกไปจากที่นี่ได้ยกเว้นแต่เจ้า”

คราวนี้รอยยิ้มของกู่ฉิงซานแข็งค้างไปอย่างกะทันหัน

นั่นเพราะเขาสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร

หัวหน้ากล่าวต่อ “เจ้าต้องรู้ไว้นะว่าแบรี่น่ะไม่สามารถปกป้องโลกใบนี้ได้ตลอดไปหรอก วันหนึ่ง วันที่เขาพลั้งเผลอ พวกเราจะกลับมาสังหารทุกคนบนโลกใบนี้ และนำดวงจิตของพวกเขาไป และแน่นอนโดยเฉพาะดวงจิตของคนที่เจ้าห่วงใย!”

“เพื่อที่เจ้าจะได้รู้สึกเสียใจไปตลอดกาลที่มารบกวนสถาบันเทพของพวกเรา!”

“และเจ้า แบรี่ อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้ว่าอำนาจส่วนตนเพียงอย่างเดียวมันไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้าของพวกเรา พวกเราจะทำให้เจ้าต้องรู้สึกเจ็บปวด เข้าใจลึกซึ้งถึงความสิ้นหวังของการไร้ซึ่งอำนาจ!”

แบรี่แสยะยิ้ม เขาง้างกำปั้นขึ้นและกล่าว “งั้นฉันก็จะคอยเฝ้าดูโลกใบนี้ตลอดเวลา ส่วนขยะอย่างพวกแก ก็ตายมันเสียตอนนี้”

ก่อนที่จะทันได้เหวี่ยงกำปั้นออกไป เขาก็ถูกหยุดเอาไว้โดยกู่ฉิงซานเสียก่อน

“มีไม่กี่คนหรอกนะที่กล้าใช้โลกใบนี้มาข่มขู่ผม” กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ

“ไม่ต้องกังวลไป ฉันจะจัดการพวกมันด้วยหมัดเดียวเอง” แบรี่กล่าว

“ในเมื่อพวกเขาสามารถฟื้นคืนชีพได้ ทำแบบนั้นไปมันคงไร้ประโยชน์ ให้เวลาผมสักครู่ ผมอยากจะยืนยันอะไรบางอย่างเสียก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

แบรี่จึงถอนกำปั้นของตัวเองกลับมา

หัวหน้าหัวเราะ “พวกเราไม่กลัวตาย! ต่อให้แบรี่จะมาคอยขัดขวางอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พวกเราก็จะกลับมาจนกว่าโลกใบนี้จะถูกทำลายลง!”

กู่ฉิงซานไม่สนใจเขาอีกต่อไป

“ฉานนู่” เจ้าตัวเรียก

ดาบขุนเขาเทวะหกโลหะผลุบออกมา และเปลี่ยนเป็นหญิงในชุดคลุมฟ้า

“ข้าอยู่นี่ นายน้อย”

“ข้ามีคำถามบางอย่าง”

“นายน้อยโปรดกล่าว”

กู่ฉิงซานหันไปมองฉานนู่ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ

ขณะเดียวกัน คนที่รอก็รู้ว่าเขากำลังใช้วิธีสื่อสารทางความคิดกับจิตแห่งดาบอยู่

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ฉานนู่ที่กำลังมองกู่ฉิงซานก็พยักหน้า

กู่ฉิงซานหันไปทางเย่เฟย์หยูทันที “ให้ตะขอเกี่ยววิญญาณออกมา”

“ข้าอยู่นี่ กู่ฉิงซาน เจ้าต้องการอะไรงั้นหรือ?” มันเอ่ยถาม

ฉานนู่เป็นคนพูดแทน “เจ้าพอที่จะสามารถตกดวงวิญญาณของผู้คนก่อนจะตกลงสู่สายธารได้หรือไม่?”

“แม้จะมีคำกล่าวที่ว่า อะไรก็ตามที่ลงไปในสายธารแห่งการหลงเลือน แม้แต่ฝุ่นก็ไม่หลงเหลือ แต่ตัวข้า ในฐานะอาวุธแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน เรื่องที่เจ้าเอ่ยถามมา ย่อมสามารถกระทำได้อย่างง่ายดาย”

“งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

ทันทีที่เสียงของเขาตกลง

ระหว่างช่วงเวลาฉุกละหุก

ฉานนู่ได้หายวับไปอย่างกะทันหัน กู่ฉิงซานคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา และโฉบไปยังทิศทางกลุ่มคนจากสถาบันเทพอย่างรวดเร็ว

เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!

ด้วยพื้นฐานวรยุทธ์ของกู่ฉิงซานในปัจจุบันนี้ ผสานไปกับการระเบิดโจมตีออกไปอย่างเต็มกำลัง ส่งผลให้อำนาจของเทคนิคลับนี้ไร้ที่เปรียบ

ขณะที่เป้าหมายของเขา เหล่าผู้คนถูกเสี่ยวเหมียวขังไว้โดยสมบูรณ์ แน่นอนว่าความสามารถในการต่อสู้ก็ถูกจำกัดเอาไว้เช่นกัน ดังนั้นตลอดทั้งร่างกายจึงไร้ซึ่งการป้องกัน ไม่สามารถแม้กระทั่งจะเคลื่อนไหว

รัศมีดาบกระแทกเข้าใส่ร่างกายของพวกเขา

กายเนื้อของพวกเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อย่างร้ายแรง กลายเป็นฝุ่นผงไปทันที!

ในพริบตาตั้งแต่กระบวนการทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น หัวหน้าก็พลันตระหนักได้ถึงความตายที่มาเยือน

“รอก่อนเถอะ แล้วข้าจะกลับมาใหม่”

เขากล่าวอย่างสงบ

ฟิ้ว…

สายลมที่เกิดจากคมกล้าของดาบส่งเสียงหอนกระจายออกไป

กู่ฉิงซานล้างบางกลุ่มคนจากสถาบันเทพจนสิ้นในคราวเดียว

อย่างไรก็ตาม พริบตานั้นรังสีแสงสีม่วงพลันพวยพุ่งขึ้นอย่ารวดเร็ว และกระแทกเข้าใส่มิติที่ว่างเปล่าอย่างรุนแรง

ตามด้วยร่างเงาของมนุษย์หลายคนปรากฏอยู่ในแสงสีม่วงที่ว่านั่น

“มันคือจิตวิญญาณ!” เสี่ยวเหมียวร้องตะโกนเสียงต่ำ

เธอวาดสองมือออกไป ประกบ ผสานสัญลักษณ์อย่างต่อเนื่อง ครั้งแล้วครั้งเล่า การกระทำดังกล่าวนำมาซึ่งการกระเพื่อมไหวของชั้นมิติ จนเกิดระลอกคลื่นกระจายไปทั่ว แต่ในที่สุดเธอก็ยอมแพ้

“ไม่ไหว มันเป็นเทคนิควิญญาณที่ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจได้ ฉันหยุดมันไม่ได้เลย” เธอพึมพำ

แสงสีม่วงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อร่างเป็นเสาแสงขนาดใหญ่

ดูเหมือนว่าในช่วงวินาทีต่อมา เสาแสงนี้ก็จะห่อหุ้มเศษซากเลือดเนื้อ รวมไปถึงจิตวิญญาณเหล่านั้นและข้ามผ่านมิติไป!

แต่นั่นก็เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ร่างของกู่ฉิงซานทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

“ฉานนู่!”

“ข้าพร้อมแล้ว!” ฉานนู่รับคำ

กู่ฉิงซานใช้ออกด้วยเทคนิคลับแห่งดาบ บินตรงไปยังทิศทางเสาแสงสีม่วง

พริบตานั้นเอง

พอกู่ฉิงซานมาถึงเสาแสงสีม่วงเขาก็

ลงมือทันที!

เสี้ยวพริบตา ดาบยาวก็กระตุกไหวดั่งสายฟ้าฟาด ฟาดเหวี่ยงเข้าตัดใส่เสาแสงสีม่วง

เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!

เห็นแค่เพียงท่ามกลางท้องฟ้า รังสีดาบสีนวลผ่องขนาดใหญ่เฉือนตัดเข้าใส่เสาแสงสีม่วง ส่งผลให้ตลอดทั้งเสาแสงเกิดการสั่นสะเทือนอย่างไม่รู้จบ

“จงตัดมันเพื่อข้า!” กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง

แล้วเขาก็สับอาวุธในมือตนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

เห็นแค่เพียงเขี้ยวจันทราที่ถูกวาดเป็นเส้นโค้งวิ่งข้ามผ่านผืนฟ้า

เขี้ยวจันทรากวาดกระแทกเข้าใส่เสาแสงสีม่วง

เปรี้ยง!

เสาแสงสีม่วงที่เชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลกถูกตัดขาดออกจากกันโดยตรง!

ตลอดทั้งแสงสีม่วงสลายตัวลงอย่างรวดเร็ว เทคนิคมนตราวิญญาณถูกทำลายลงในพริบตา!

เสี่ยวเหมียวจ้องมองดาบยาวในมือของกู่ฉิงซานอย่างรอบคอบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นั่นมันวิชาลับต้องห้าม? ไม่สิ เป็นการทำลายกฎเกณฑ์ต่างหาก!”

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน ตะโกนลงจากฟากฟ้า “จงมา!”

ตะขอยาวสีเทาเหลืองโฉบขึ้นสู่เบื้องบนทันที

ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน!

ในอากาศที่ว่างเปล่าที่ไหนสักแห่งบนท้องฟ้า ปรากฏเสียง ‘ฉัวะ’ กังวานก้อง

ทันใดนั้น เห็นแค่เพียงหลายร่างเงามนุษย์ที่โปร่งแสงถูกเกี่ยวโดยตะขอยาว

‘สกิล ตกวิญญาณ!’

นี่คืออำนาจของสายธารแห่งการหลงเลือนที่สามารถสำแดงออกมาได้ผ่านทางตะขอเกี่ยววิญญาณโดยตรง!

ตะขอยาวลากดวงจิตเหล่านั้นมายังเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

“ข้าจะส่งพวกเขาไปยังปรภพ เจ้าเตรียมการพร้อมแล้วจริงๆ หรือไม่?” ตะขอยาวถาม

“วางใจเถอะ พาพวกเขาไปได้เลย ที่เหลือก็ปล่อยให้ข้าเป็นคนจัดการเอง” กู่ฉิงซานพยักหน้า

“เข้าใจแล้ว”

ตะขอเกี่ยววิญญาณและเหล่าดวงจิตที่ถูกติดตรึงกับมัน พลันหายวับไปจากท้องฟ้า มิอาจมองเห็นได้อีกเลย

หลังจากที่ปรภพกับโลกมนุษย์ผสานรวมกัน สองโลกก็ถูกขวางกั้นกันและกันโดยแม่น้ำใหญ่ของสายธารแห่งการหลงเลือน

แต่ตะขอเกี่ยววิญญาณสามารถเจาะมิติ และกลับไปยังสายธารแห่งการหลงเลือนได้โดยตรง

กู่ฉิงซานร่อนลงจากฟากฟ้า

เสี่ยวเหมียวจ้องมองเขาและเอ่ยถาม “เมื่อครู่นี้คือสิ่งประดิษฐ์เทวะที่เกิดจากกฎเกณฑ์ของปรภพงั้นเหรอ? มันถึงสามารถรั้งจิตวิญญาณพวกนั้นเอาไว้ได้”

“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ

เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ “ฉันนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ากฎเกณฑ์แห่งหกวิถีมันจะร้ายกาจถึงขนาดนี้ กระทั่งเทคนิควิญญาณอันแสนร้ายกาจ ก็ยังต้องยอมสยบเมื่ออยู่ต่อหน้ากฎเกณฑ์นี้โดยสมบูรณ์”

แบรี่เอ่ยถาม “ถ้าคนพวกนั้นถูกส่งไปยังปรภพ ก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องไปเกิดใหม่ในโลกใบนี้ใช่ไหม?”

“ไม่ พวกเขาจะไม่มีทางได้มาเกิดใหม่” กู่ฉิงซานกล่าว

“อ้าว ทำไมล่ะ? ฉันจำได้ว่าตามกฎเกณฑ์ของโลกหกวิถีแล้ว จิตวิญญาณของคนตาย หลังจากที่ถูกส่งไปยังปรภพ พวกเขาก็จะได้รับชีวิตใหม่ในหกวิถีไม่ใช่เหรอ?” เสี่ยวเหมียวงงเล็กน้อย

“แต่สำหรับพวกเขาน่ะไม่ เพราะพวกเขาทำให้ผมรู้สึกโกรธ” กู่ฉิงซานกล่าว

ว่าจบ เขาก็ยื่นมือออกไปในความว่างเปล่า

คว้าจับไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูตที่ปรากฏออกมาไว้ในกำมือ

………………………………….

ในขณะที่กลุ่มบุคคลลึกลับถูกรั้งตัวเอาไว้โดยเสี่ยวเหมียว

ตัวตนต่างๆ ที่อยู่ในโลก ก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน

พวกเขาจึงเร่งตรงมาจากทุกทิศทาง

เริ่มแรกจากประตูแสงบานหนึ่งที่ปรากฏขึ้นใจกลางชานเมืองอย่างกะทันหัน

แบรี่มองไปทางประตูแสงและกล่าวด้วยความสนใจ “หืม? นั่นก็เป็นเทคโนโลยีใช่ไหม?”

“ใช่ เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมประเภทจั๊มป์มิติ” เสี่ยวเหมียวแสดงความคิดเห็น

เห็นแค่เพียงในประตูแสง ปรากฏถึงร่างของคนสองคนเดินออกมา

เป็นซางหยิงฮ่าวและเย่เฟย์หยู

“ไง กลับมาแล้วเหรอ?” ซางหยิงฮ่าวมองกู่ฉิงซานและกล่าว

“ใช่ แต่พอกลับมา ก็ดันมีเรื่องอื่นให้ต้องไปจัดการพอดี เลยไม่ทันเจียดเวลาติดต่อนายไป” กู่ฉิงซานกล่าว

เย่เฟย์หยูเหลือบมองแบรี่กับเสี่ยวเหมียว และเอ่ยปาก “ฉันได้ยินจากเทพธิดากงเจิ้งแล้วนะ ว่าคนที่นายพากลับมาสามารถกำจัดมอนสเตอร์ทั้งหมดได้ในวินาทีเดียว ถ้าเป็นเกม พวกเขาคงระดับเกมมาสเตอร์เลยใช่ไหม?”

“ใช่ โคตรเกมมาสเตอร์เลยล่ะ” กู่ฉิงซานหัวเราะ

แล้วเขาก็แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน

“นี่คือซางหยิงฮ่าว กับเย่เฟย์หยู พวกเขาเป็นหุ้นส่วนของผม แถมยังเป็นสหายที่ดีมากๆ อีกด้วย” กู่ฉิงซานอธิบาย

แบรี่พยักหน้าให้กับทั้งสองคน “สวัสดี ฉันแบรี่ กำปั้นเหล็กแบรี่”

“ส่วนฉันเป็นน้องสาวเขาชื่อเสี่ยวเหมียว พวกเรามาเที่ยวเล่นที่นี่” เสี่ยวเหมียวเอียงคอและกล่าวทักทาย

ทัศนคติที่พวกเขาแสดงออกมาช่างอ่อนโยน ใจดี และเป็นมิตร

อันที่จริงแล้ว

ทั้งพี่ชายและน้องสาวเติบโตมาอย่างอัตคัด อาศัยอยู่แบบยากจนมาตั้งแต่เด็ก

แต่หลังจากที่ทุ่มเทพยายามอย่างหนัก และในที่สุดก็กลายเป็นตัวตนทรงอำนาจ หลังจากมีชื่อเสียงโด่งดังไปตลอดโลกเก้าร้อยล้านชั้น…ชีวิตของพวกเขาแม้จะดีขึ้น แต่ก็ยังยากจนอยู่ดี

กล่าวได้ว่าทั้งสองเป็นคนติดดิน ไม่ใช่พวกหยิ่งหรือมากพิธีรีตองใดๆ

ประจวบกับทั้งเด็กหนุ่มทั้งสองตรงหน้ามีความสัมพันธ์อันดีกับกู่ฉิงซาน ดังนั้นสองพี่น้องจึงยิ่งไม่แสดงอคติใดๆ ออกมา

เย่เฟย์หยูทักทายกลับอย่างระแวดระวัง “สวัสดีเช่นกัน”

ขณะที่ซางหยิงฮ่าวน่ะเป็นผู้ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวมามากมาย ดังนั้นเมื่อสบโอกาสพบเจอกับคนเก่งๆ เขาก็เร่งที่จะเอาใจอีกฝ่ายทันที เขายื่นมือออกไป และกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ยินดีต้อนรับพวกคุณทั้งสอง นับจากนี้ไปไม่ว่ากู่ฉิงซานจะพาพวกคุณไปกินอะไร หรือเที่ยวที่ไหน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมจะเป็นคนจัดการให้เอง”

ใจป้ำเสียไม่มี!

ประโยคข้างต้นนี้ ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็รู้สึกพอใจ เป็นประโยคที่สามารถสำแดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างดีเยี่ยม

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ขอบคุณมากนะ”

พี่ชายและน้องสาวรับเอาความปรารถนาดีนี้ไว้ด้วยความเต็มใจ

การแสดงออกและคำพูดคำจาของซางหยิงฮ่าวช่างมีไหวพริบ ขณะเดียวกันการแสดงออกของเย่เฟย์หยูเองก็ดูซื่อสัตย์ ส่งผลให้สนทนากันต่อเพียงไม่นาน แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็เริ่มที่จะคุ้นเคยกับทั้งสอง และเกิดความรู้สึกประทับใจในตัวพวกเขามากยิ่งกว่าเดิม

สำหรับกลุ่มคนลึกลับที่น่าสงสาร ทั้งหมดถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ไร้ซึ่งคนสนใจหรือไยดีใดๆ

ผ่านไปสักพักหนึ่ง ราชาผีเพลิงน้ำแข็ง เทพสวรรค์ กษัตริย์อาชูร่า และราชันจ้าวอสูร ก็เริ่มทยอยกันปรากฏตัวขึ้นตามลำดับ

พวกเขาตรงมาจากคนละทิศทาง และมีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป

เทพสวรรค์องค์ใหม่ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก ปากเอ่ยงึมงำ “แข็งแกร่งเกินไป มีการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้อย่างไร? ”

ราชาผีเพลิงน้ำแข็งนิ่งอึ้ง ไม่พูดอะไรออกมาอยู่นาน แต่ในที่สุดสายตาของเขาก็ตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน ปากอ้าขยับด้วยความสับสน “ชัดเจนว่าเป็นมนุษย์ แต่เหตุใดถึงได้ส่งกลิ่นอายนั่นออกมากัน…”

กษัตริย์อาชูร่ายิ้มอย่างขมขื่น “แท้จริงแล้วพวกเราล้วนเป็นเพียงกบในก้นบ่อ แต่โชคดีเสียจริง ที่ดูเหมือนว่าหนึ่งในตัวตนแข็งแกร่งเหล่านั้นจะเป็นมิตรกับพวกเราอาชูร่า”

วิสัยทัศน์ของเขาก็ตกลงบนร่างของกู่ฉิงซานเช่นกัน

ส่วนราชันจ้าวอสูร สายตาของมันติดตรึงอยู่กับแบรี่ตลอดเวลา ทั้งตนทั้งร่างสั่นสะท้าน สูดหายใจยังยากลำบาก ยิ่งจะให้เอ่ยคำใดออกมาก็คงเป็นไปไม่ได้

มันน่ะเป็นสัตว์ป่า ดังนั้นสัญชาตญาณจึงดีเป็นพิเศษ มันสามารถรับรู้ได้ถึงพลังอันน่าหวาดกลัวของคนแปลกหน้าผู้นี้ได้อย่างชัดเจน

ในช่วงเวลานี้เอง เกือบทั้งหมดก็ได้มาเผชิญหน้ากัน

ซางหยิงฮ่าวหัวเราะเสียงดัง “คุณพี่ทั้งสอง เอาไว้รอให้พวกคุณจัดการเรื่องนี้ให้จบลงเสียก่อน แล้วผมจะพาไปเที่ยวบาร์ที่ดีที่สุดในโลกใบนี้เอง ผมจะเลี้ยงต้อนรับพวกคุณทั้งคืนเลย”

“บาร์? งั้นก็คงต้องรบกวนนายแล้ว” แบรี่ยิ้ม

เสี่ยวเหมียวขอบ้าง “แต่ฉันสนใจเกี่ยวกับเทคนิคการทำอาหารของที่นี่เสียมากกว่า เพราะกู่ฉิงซานทำอาหารได้อร่อยมาก ฉะนั้นอาหารของที่นี่ก็คงจะอร่อยไม่แพ้กัน”

ซางหยิงฮ่าวตอบรับทันที “เรื่องนี้ง่ายมาก ผมมีพ่อครัวส่วนตัวกว่ายี่สิบคน ผมจะติดต่อพวกเขาให้เดี๋ยวนี้เลย”

ว่าจบ เขาก็หยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลออกมา และทำการเชื่อมต่อกับวิลล่าบนภูเขา

ซางหยิงฮ่าวจัดการเมนูให้ด้วยตัวเอง อาหารกว่าสามสิบจานถูกเลือกโดยเขาในลมหายใจเดียว

กระทั่งกู่ฉิงซาน เพียงได้ยินชื่อเมนูที่อีกฝ่ายพูดออกมา เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหิว

เสี่ยวเหมียวตบไหล่ของซางหยิงฮ่าวด้วยความสุข พูดกึ่งจริงกึ่งเล่น “ต้อนรับกันได้ดีจริงๆ ฉันชักจะรู้สึกชอบนายเสียแล้วสิ”

“แล้วเราจะเอาอย่างไรกับคนกลุ่มนี้ดี?”

เย่เฟย์หยูถาม พลางมองไปยังกลุ่มคนลึกลับที่อยู่เบื้องหลัง

“คนพวกนี้ดูท่าจะผิดปกติอยู่นะ” แบรี่พูดเบาๆ

เสี่ยวเหมียวตื่นตัว และเอ่ยถามทันที “ทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้น?”

แบรี่ขมวดคิ้ว “ก็จริงอยู่ที่ว่า มันเป็นเรื่องปกติที่คนจำนวนมากในโลกเก้าร้อยล้านชั้นจะรู้จักฉัน แต่พอเห็นฉัน คนพวกนี้กลับแสดงท่าทีตื่นตระหนกมากเกินไป ฉันเลยคิดว่าพวกเขาน่าจะมีปัญหาบางอย่าง”

เสี่ยวเหมียวมองดูคนเหล่านั้น

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ทั้งหมดยังคงพยายามหนีอย่างสิ้นหวัง

“อืม…ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แค่เห็นพี่ชายก็รีบหนีเสียแล้ว ทั้งๆ ที่พี่ไม่เคยฆ่าใครแบบไร้เหตุผลมาก่อนเลย” เสี่ยวเหมียวพึมพำ

เธอพ่นลมหายใจไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น

พรึบ!

สายลมกรรโชกพัดผ่าน

ในพริบตา เสื้อคลุม อุปกรณ์ และอาวุธของกลุ่มคนลึกลับทั้งหมดก็หายไป

กลุ่มคนที่เมื่อครู่แลดูลึกลับ บัดนี้ราวกับคนวิตถาร หลงเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียวไว้ให้สวมใส่ ทั้งหมดต่างหยุดที่จะหลบหนี และเริ่มกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวออกมาแทน

“อย่าขยับ ขอพูดตรงๆ เลยนะ ขอให้พี่สาวคนนี้สำรวจให้มันชัดๆ หน่อย” เสี่ยวเหมียวตะโกน

แต่แล้วเธอก็ชะงักไปอย่างกะทันหัน กระทั่งสีหน้าก็ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“พี่ชาย ดูนั่นเร็ว”

ใบหน้าของแบรี่หม่นทะมึนลง เขากล่าวเสียงเย็น “เข้าใจแล้ว เพราะแบบนี้เองสินะ พวกเขาถึงตื่นตระหนกเวลาที่ได้เห็นฉัน”

ทั้งหมดหันไปมองกลุ่มคนลึกลับพร้อมกัน

เห็นแค่เพียงบนร่างกายของคนลึกลับเหล่านั้น ทุกคนจะมีรอยสักแบบเดียวกันประทับอยู่

มันเป็นรอยสักรูปใบหน้ามนุษย์สีดำ ครึ่งชายครึ่งหญิง แต่ไม่ว่าจะครึ่งไหนก็ล้วนกำลังแสดงออกถึงความเจ็บปวดอยู่ดี

ทันทีที่รอยสักถูกเปิดเผย เกือบทุกคนที่เห็นก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหนาวเหน็บขึ้นในส่วนลึกในจิตใจของพวกเขา

กษัตริย์อาชูร่าถึงขั้นต้องส่งเสียงฮึฮะด้วยความรำคาญจากความรู้สึกหวาดกลัวนี้อย่างช่วยไม่ได้

“พวกเขาเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“เป็นคนจากสถาบันเทพ” แบรี่กล่าวเสียงจม

“สถาบันเทพคือกลุ่มคนที่คลั่งไคล้บูชาเทพ พวกเขามักจะพยายามเก็บรวบรวมสิ่งลึกลับทั้งหมด โดยมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นคืนชีพเทพบรรพกาล” เสี่ยวเหมียวอธิบาย

“พวกเราเองก็เคยรู้จักกับผู้นำของพวกเขามาก่อนเหมือนกัน” แบรี่กล่าว

“รู้จักกันมาก่อน?”

“ใช่ ผู้นำของพวกเขาแข็งแกร่งมาก ไม่เพียงเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ แต่ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ มากมาย เป็นคนที่สามารถตระเตรียมการต่างๆ ล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่พวกเขาดันทำสิ่งสำคัญที่สุดผิดไป”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานถาม

“สิ่งที่พวกเขาต้องการจะฟื้นคืนชีพ แท้จริงแล้วไม่ใช่เทพบรรพกาล”

“ไม่ใช่เทพบรรพกาล? ถ้าเช่นนั้นพวกเขาต้องการจะคืนชีพอะไร?”

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเงียบไปครู่หนึ่ง

แต่สุดท้ายแบรี่ก็เอ่ยปากออกมา “ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร”

“แต่เดชะบุญ ที่สิ่งมีชีวิตที่ว่า ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ไม่นานก็ตายไป”

“ที่พูดมาคงจะหมายถึงสิ่งนั้นใช่ไหม?”

กู่ฉิงซานชี้ไปยังใบหน้าครึ่งชายครึ่งหญิงที่สักอยู่บนร่างของคนเหล่านั้นและกล่าว

“ใช่ ถึงแม้ว่ามันจะตายลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่ในชั่วพริบตาที่ฟื้นตื่นขึ้นมา พฤติกรรมของทั้งสถาบันก็ผิดปกติไป ห้วงอารมณ์ของคนในสถาบันก็แปรเปลี่ยน แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง”

“จู่ๆ พวกเขาทำการปิดสถาบัน ไม่ให้ใครเข้าใกล้ และไม่ให้ใครออกไปข้างนอก และเริ่มทำแต่เรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้”

“ตัวอย่างเช่นคราวนี้ ที่จู่ๆ ก็เดินทางมายังโลกกระจัดกระจายเพื่อทำการค้นหาสุสานแห่งโลกใช่ไหม?”

แบรี่ “ใช่ โลกกระจัดกระจายคือสถานที่ที่ทุกคนไม่ยินดีจะมาเยือน แต่พวกเขาจู่ๆ ก็กลับให้ความสนใจเกี่ยวกับมันอย่างไม่คาดคิด”

เสี่ยวเหมียวอธิบายเพิ่มเติม “ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น มีอิทธิพลจำนวนมากเริ่มหวาดกลัวสถาบันเทพมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนพวกนี้ผิดแผกเกินไป ใครก็ตามที่ตกอยู่ในมือพวกเขาจะจบลงโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิตวิญญาณหายไปอยู่ที่ไหน”

แบรี่ตบไหล่กู่ฉิงซานและกล่าว “แต่นายไม่ต้องกังวลไป ตัวฉัน กำปั้นเหล็กแบรี่ เป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เก้าร้อยล้านชั้น ฉะนั้นต่อให้พวกคนบ้าจากทั้งสถาบันเทพทั้งหมดดาหน้าเข้ามาพร้อมกัน พวกมันก็ไม่สามารถกดดันฉันได้”

กู่ฉิงซานโล่งอก “ได้ยินประโยคนี้ของคุณ ผมมั่นใจขึ้นเยอะเลย”

“แต่เท่าที่ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยพอใจพวกเขาเลยนะ” ซางหยิงฮ่าวแทรก

แบรี่พยักหน้าและกล่าว “มีคนอยู่สองประเภทที่ฉันมักจะฆ่าอยู่บ่อยๆ หนึ่งคือประเภทที่มักจะชอบทำลายโลกตามอำเภอใจ อีกหนึ่งคือพวกที่ชอบฆ่าคนบริสุทธิ์  และเจ้าพวกคนบ้าอย่างสถาบันเทพก็เป็นหนึ่งในนั้น เอาล่ะ ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว นายจะเอาอย่างไรต่อไป”

“ขอผมคิดก่อนนะ” กู่ฉิงซาน ตอบกลับไป

เขาก้มหน้าลง และเริ่มไตร่ตรองอยู่สักพัก

ขณะที่แบรี่และเสี่ยวเหมียวกำลังเฝ้ารอให้กู่ฉิงซานตัดสินใจอย่างเงียบๆ

ผ่านไปพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างช้าๆ “ผู้หญิงที่พวกเขาสังหารไป ผมเคยเจอเธอมาก่อนครั้งหนึ่ง เธอคือผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลใหญ่ ”

“อืม” แบรี่รับคำ และส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ

“แต่เดิม ปากของเธอถูกเย็บ ทำให้โดยปกติแล้วเธอมักจะสื่อสารผ่านทางความคิดเท่านั้น”

“แต่คราวนี้ผู้พิทักษ์เก้าตระกูลกลับเลือกที่จะเปิดปากพูด จุดประสงค์นั่นคงจะเพื่อให้เทพธิดากงเจิ้งสามารถบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นเอาไว้”

“เมื่อผู้พิทักษ์ตายไป เธอก็ยังไม่วายปลดปล่อยความตั้งใจสุดท้ายออกมา โดยหวังว่าจะให้เทพธิดากงเจิ้งปกป้องซูเซี่ยเอ๋อ”

“ผมคิดว่าผู้พิทักษ์ได้ทำหน้าที่ในฐานะผู้อาวุโสของซูเซี่ยเอ๋อเป็นอย่างดี”

“เพราะฉะนั้น ผมจะฆ่าคนพวกนี้ เพื่อล้างแค้นให้กับท่านผู้พิทักษ์”

เสี่ยวเหมียวพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เดี๋ยวก่อนสิ นายจะแก้แค้นให้ผู้พิทักษ์งั้นเหรอ? เพียงเพราะแค่ว่าเธอเป็นผู้อาวุโสของซูเซี่ยเอ๋อเนี่ยนะ?”

กู่ฉิงซานเงียบลง ก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนโยน “ถูกต้อง เพราะเรื่องของซูเซี่ยเอ๋อ ก็คือเรื่องของผม”

………………………………….

เทพธิดากงเจิ้งบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

แต่เดิม กลับกลายเป็นว่ากลยุทธ์ของกู่ฉิงซานน่ะใช้ได้ผล

เย่เฟย์หยูเข้าใจถึงความหมายที่กู่ฉิงซานสื่อออกไปอย่างชัดเจน

เขาเริ่มทำการข่มขู่ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพและผีร้ายว่าจะทำร้ายล้างโลก บีบบังคับอีกฝ่ายให้เข้าร่วมการประลอง

และเมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้น ทางฝั่งจ้าวอสูรและอาชูร่าก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน

ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนต้องการโลกใบนี้

อย่างไรก็ตาม เย่เฟย์หยูได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสดังกล่าว ทำตามกลยุทธ์ที่ถูกจัดวางไว้โดยเทพธิดากงเจิ้ง เขาออกไล่ล่าและสังหารศัตรูไปเป็นจำนวนมากเพื่อให้ตนเองวิวัฒนาการขึ้น

และในที่สุด เมื่อมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ความแข็งแกร่งของเย่เฟย์หยูก็เหนือล้ำยิ่งกว่าคู่แข่งของเขาทั้งหมดจนได้

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้สวมบทบาทเพชฌฆาตตัวตลก โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเสียก่อน

มอนสเตอร์เอกภพจู่ๆ ก็เริ่มเบนความสนใจมายังโลกใบนี้

มอนสเตอร์เอกภพเริ่มปรากฏตัวขึ้น และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

พวกมันหมายมั่นที่จะกินทุกสิ่งมีชีวิตบนโลก

มอนสเตอร์บางตัวที่มีขนาดใหญ่และความอยากอาหารมากกว่าปกติ ถึงขั้นอยากจะกลืนกินโลกทั้งใบ

ดังนั้นการประลองจากทั้งหกโลกจึงถูกหยุดลง

ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ ผีร้าย อาชูร่า และจ้าวอสูรได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์เอกภพ

เนื่องเพราะพวกเขาไม่ยินยอมอนุญาตให้โลกไปตกอยู่ในมือของอีกฝ่าย

“พอแค่นั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อไป ตอนนี้ฉันอยากจะรู้มากกว่าว่าปัญหาที่คุณกังวลมันคือเรื่องอะไร” กู่ฉิงซานถามตรงๆ

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ใต้เท้า การที่โลกใบนี้สามารถผ่านพ้นวันเดือนปีมาได้เนิ่นนานโดยที่ไม่ได้ถูกค้นพบโดยมอนสเตอร์เอกภพ จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลอยู่”

“เหตุผลที่ว่าคืออะไร?”

“เหตุผลก็เนื่องมาจากอำนาจของเก้าตระกูลใหญ่ พวกเขาครอบครองเทคโนโลยีที่เพียงพอที่จะสามารถปกป้องโลกจากจักรวาลนี้ได้”

“และด้วยวิธีนั้นเอง มอนสเตอร์เอกภพจึงไม่อาจตระหนักถึงโลกใบนี้”

“ก็ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นไปด้วยดี แล้วทำไมจู่ๆ มอนสเตอร์เอกภพถึงได้มาปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้?”

“เพราะคนสำคัญของเก้าตระกูลใหญ่ได้ตายลงกันหมดแล้ว”

บนจอม่านแสง ฉายถึงภาพของซูเซี่ยเอ๋อที่บุกเข้าไปในสถานที่ประชุมของเก้าตระกูลใหญ่

ในช่วงเวลาที่เก้าตระกูลใหญ่กำลังจัดตั้งสหพันธ์พันธมิตรที่จะมีอำนาจเหนือล้ำยิ่งกว่าประเทศขึ้น

และซูเซี่ยเอ๋อก็หยุดมัน

พ่อแม่แท้ๆ ของเธอพยายามที่จะยึดอำนาจของเธอ

ในสถานที่เกิดเหตุ ทุกคนรุมทำร้ายเธอ

และในภาพสุดท้าย ก็เป็นซูเซี่ยเอ๋อที่ล้างบางทุกตระกูลในงานจนหมดสิ้น

“นั่นไพ่ทะเลเลือด…เธอคือลูกศิษย์ของทะเลเลือดใช่ไหม? ช่างน่าสงสารจริงๆ” เสี่ยวเหมียวกล่าว

แบรี่พยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร

“เซี่ยเอ๋อนี่เธอ…เทพธิดากงเจิ้ง แล้วตอนนี้เซี่ยเอ๋อกลับมาแล้วรึยัง?” กู่ฉิงซานถาม

“เธอไม่ได้กลับมา ใต้เท้า ตอนนี้ฉันต้องการที่จะบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แก่คุณ” เทพธิดากล่าว

“ว่ามาสิ”

“ฉันได้ลองพยายามส่งหุ่นยนต์ไปยังขั้วโลกเหนือ และเปิดคลื่นความผันผวนที่ใช้ปกป้องโลกอีกครั้ง แต่ความพยายามทั้งหมดของฉันกลับล้มเหลว”

“เพราะอะไร?”

“โปรดดูสิ่งนี้”

บนจอม่านแสง ปรากฏให้เห็นถึงภาพของขั้วโลกเหนืออีกครั้ง

นี่คือฉากที่ถูกถ่ายมาได้โดยกล้องดาวเทียมสอดแนม

ศัตรูลึกลับปรากฏกายขึ้น

และผู้พิทักษ์ของเก้าตระกูลใหญ่ก็ถูกสังหารลงในจุดนั้น โดยไร้ซึ่งพลังอำนาจที่จะใช้โต้กลับ

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ใต้เท้า นี่แหละคือสิ่งที่ฉันบอกว่าคุณไม่ควรจะกลับมา เพราะคนเหล่านี้ทรงพลังมากเกินไป พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเย่เฟย์หยูในตอนนี้เสียอีก”

“พวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด และเฝ้ารอโอกาสที่จะเคลื่อนไหว”

“ฉันเองก็ยังไม่กล้าที่จะบอกความจริงนี้แก่เย่เฟย์หยูหรือซางหยิงฮ่าว เพราะหากเกิดความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติขึ้น และบังเอิญไปดึงดูดความสนใจของคนลึกลับกลุ่มนี้เข้า สถานการณ์ต่อไปคงมิอาจแก้ไขได้”

กู่ฉิงซานมองไปยังกลุ่มคนที่สังหารผู้พิทักษ์ของเก้าตระกูล และหันไปถามกับแบรี่ “คุณคิดว่าอย่างไร?”

แบรี่เหลือบมองจอม่านและ และกล่าวยกย่อง “อืม…พวกนี้ถูกฝึกมาอย่างดี สามารถฆ่าคนได้อย่างโหดร้าย แต่สำหรับฉัน ขอแค่สองนิ้วก็จัดการพวกมันได้แล้ว”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็โล่งใจ… ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เขาพูดต่อ “เทพธิดากงเจิ้ง ทำไมถึงไม่มีเสียงในภาพล่ะ เท่าที่ดูฉันเห็นว่าพวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นะ”

“ใต้เท้า ที่นั่นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเก้าตระกูลใหญ่ ฉันจะขอบอกคุณตรงๆ ว่าเดิมทีฉันก็เป็นเทคโนโลยีของเก้าตระกูลใหญ่เช่นกัน ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถจัดการเก็บเสียงของที่นั่นได้”

กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว  “งั้นคุณช่วยดึงภาพทั้งหมดที่เกิดการสนทนาขึ้นเมื่อกี้ออกมานะ จากนั้นก็จัดการค่อยๆ แยกภาพระหว่างพูดคุยออกมาทีละภาพ”

“ไม่ขัดข้อง ใต้เท้า”

บนจอม่านแสง นำเสนอหลายภาพปรากฏขึ้นทันที

หลายร่างลึกลับทยอยกันปรากฏตัวขึ้น ล้อมรอบตัวของผู้พิทักษ์เก้าตระกูลใหญ่

กู่ฉิงซานกวาดสายตามองรอบๆ และกล่าว “ทำการเรียงลำดับภาพตามที่พวกเขากำลังพูด”

“รับทราบ”

แล้วภาพก็ค่อยๆ เริ่มถูกจัดเรียงทันที

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเหลือบมองกันและกัน พร้อมกับเผยให้เห็นถึงสีหน้าชื่นชม

ทั้งที่รู้ว่าฝ่ายตนสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจนอยู่แล้วแท้ แต่เขาก็ยังคงใส่ใจ ไม่ปลดให้ข้อมูลใดๆ หลุดรอดไป ระแวดระวังอยู่เสมอ

นี่แหละ! คือชายที่จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริง

กู่ฉิงซานเพ่งมองม่านแสง และเริ่มสื่อสารกับเทพธิดากงเจิ้ง

“ตั้งแต่แรก เหมือนว่าพวกเขาจะพูดคุยกับผู้พิทักษ์เก้าตระกูลใหญ่ด้วยภาษาของมนุษย์ นี่เป็นภาษากลางในโลกของพวกเรา”

“เข้าใจแล้วใต้เท้า”

“แล้วประโยคแรกที่ผู้พิทักษ์เก้าตระกูลพูดมันคืออะไร คุณช่วยลองซูมภาพของเธอ แล้วเริ่มวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของริมฝีปากหน่อยสิ”

“รับทราบ เริ่มการวิเคราะห์ อยู่ในระหว่างกระบวนการ”

หลังจากนั้นไม่นาน

กู่ฉิงซานก็มองไปที่ม่านแสงและเห็นถึงบรรทัดตัวอักษรที่ปรากฏขึ้น

“สถานที่แห่งนี้เป็นโลกกระจัดกระจายชัดๆ มันอยู่ในมุมที่แสนธรรมดา นอกสุดห้วงจักรวาล แล้วทำไมกัน”

นี่คือคำพูดดั้งเดิมของผู้พิทักษ์เก้าตระกูล

กู่ฉิงซานพยักหน้า และกล่าว “ดีมาก จากนั้นลองทำการวิเคราะห์คำพูดของแต่ละคน แล้วจัดเรียงมันตามลำดับ”

เทพธิดากงเจิ้ง “การวิเคราะห์เสร็จสิ้นแล้ว ผลลัพธ์เป็นดังต่อไปนี้”

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “ก็เพราะว่าที่นี่มันธรรมดาน่ะซี ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่ามันเป็นที่ซ่อนของสุสานแห่งโลก”

“สุสานแห่งโลก…” ผู้พิทักษ์กล่าวด้วยความสับสน

อีกเสียงหนึ่งเอ่ยหยันออกมา “อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าเจอพวกเรา และได้ยินถึงสิ่งนี้แล้ว ดังนั้นก็ควรตายเสีย”

ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลรู้ว่าตนจักต้องตกตายเป็นแน่ เธอจึงเร่งตะโกนออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว “ข้าอนุมัติ! ปลดปล่อยพันธนาการทั้งหมดของเจ้า จงดูแลเธอให้ดี!”

“ประโยคสุดท้ายที่มันพูดออกมา หมายความว่าอย่างไร?”

“ไม่รู้สิ ก็แกรีบฆ่ามันเกินไปนี่”

“เหอะ คงไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นแหละ อย่ากังวลไปเลย”

“ตกลงแน่ใจนะว่าเป็นที่นี่?”

“ยังไม่มีวิธีตรวจสอบที่แน่ชัด แต่โลกแห่งนี้เพิ่งเกิดการผสานรวม ดังนั้นเลยอาจจะเกิดความผันผวนขึ้นได้”

“อืม…เราก็มาสำรวจกันอีกครั้งเถอะ ถ้าหากที่นี่เป็นสุสานแห่งโลกจริงๆ แล้วละก็…”

กู่ฉิงซานอ่านบรรทัดสนทนาจนจบ

แบรี่และเสี่ยวเหมียวก็อ่านมันจนจบแล้วเช่นกัน

“เอ๊ะ? สุสานแห่งโลกเช่นนั้นเหรอ?”

เสี่ยวเหมือนอุทาน

“กลับกลายเป็นว่ามันคือสุสานแห่งโลก” แบรี่ก็กล่าวออกมาด้วย

การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาดูมีความสุข แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงเงียบ

สองพี่น้องได้ฟันฝ่าลมฝนมาตั้งไม่รู้มากมายเท่าไหร่  พวกเขาได้ประสบพบเจอกับสถานการณ์อันตรายและได้รับสมบัติมามากมาย ดังนั้นแม้จะถูกดึงดูดด้วยเรื่องดังกล่าว แต่ก็ไม่ผลีผลามหรือแสดงท่าทีตกใจมากจนเกินไป

แบรี่มองไปยังกู่ฉิงซานและเอ่ยถาม “นายรู้ไหมว่าสุสานแห่งโลกคืออะไร?”

“ผมรู้” กู่ฉิงซานตอบ

แบรี่ยิ้มอย่างคาดไม่ถึง ปากเอ่ยงึมงำ “ฉันไม่คาดคิดเลยว่าโลกกระจัดกระจายแบบนี้ จะมีสุสานแห่งโลกอยู่จริงๆ”

“แล้วคุณคิดจะทำอย่างไรต่อไป?” กู่ฉิงซานถามกลับ

ทั้งเขาและแบรี่ต่างมองหน้า สบสายตากันและกัน

สุสานแห่งโลกเป็นสถานที่ที่เหล่าทวยเทพซุกซ่อนบางสิ่งเอาไว้

เมื่อต้องเผชิญต่อสิ่งล่อใจเช่นนี้ เวลาแห่งการทดสอบใจของกันและกันก็ได้มาถึง

เห็นแค่เพียงแบรี่ที่ยิ้มหยันออกมาและกล่าว “เหล่าทวยเทพแล้วอย่างไร? มีสมบัติถูกซุกซ่อนเอาไว้แล้วอย่างไร? ในสายตาของท่านลุงคนนี้ สันติภาพของโลกคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วก็นะ นี่น่ะคือโลกของนาย ที่นายต้องทำก็แค่พูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการออกมา แล้วฉันจะช่วยจัดการที่เหลือให้เอง เพราะไม่ว่าอย่างไรนายก็คือสมาชิกคนหนึ่งของสมาคม!”

เสี่ยวเหมียวยังช่วยพูดอีกว่า “พวกเราได้ทำการสำรวจโลกเก้าร้อยล้านชั้นมามากมายแล้ว แถมยังเคยขุดสุสานแห่งโลกไปตั้งสามครั้ง สองในสามดันซวยไปเจอกับมอนสเตอร์มากมาย พวกเราต้องใช้ความพยายามตั้งนานกว่าจะจัดการพวกมันทั้งหมดลงได้”

“ใช่ บางทีนั่นอาจจะเป็นสายพันธุ์ล้มเหลวที่เหล่าทวยเทพสร้างขึ้นมาก็เป็นได้ พอนึกถึงก็อดกลัวไม่ได้จริงๆ” แบรี่เสริม

“สุสานแห่งโลกไปตั้งสามครั้ง? แล้วอีกหนึ่งล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“อีกหนึ่งคือพิกัดแผนที่ พี่ชายกับฉันไล่ตามแผนที่ไป และก็ค้นพบกับโลกใหม่ในมิติอนันต์ และเมื่อพวกเราแข็งแกร่งมากพอ พวกเราจึงสร้างสมาคมขึ้นบนมัน กลายเป็นสมาคมกำปั้นเหล็กจนถึงทุกวันนี้” เสี่ยวเหมียวกล่าว

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้” กู่ฉิงซานพยักหน้าเข้าใจ

ช่วงเวลานั้นเอง เทพธิดากงเจิ้งก็ประกาศเตือนขึ้น “ใต้เท้า หลายตัวตนลึกลับได้ตระหนักถึงพวกคุณแล้ว และพวกเขากำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้”

“ให้มันมาเถอะ มีหลายอย่างเลยที่ฉันอยากจะถามพวกมันอยู่พอดี” แบรี่ยิ้มและกล่าว

ไม่นาน หลายร่างเงาก็ค่อยๆ ตกลงมาจากฟากฟ้า

ตามด้วยเสียงจากร่างเงาที่ดังขึ้น

“ในเขตบ้านนอกแบบนี้ ยังมีคนที่สามารถจัดการฆ่ามอนสเตอร์เอกภพได้อย่างรวดเร็วอยู่อีกรึ ท่านปู่ผู้นี้ชักจะรู้สึกสนใจขึ้นมาเสียแล้ว”

แต่วินาทีต่อมา เสียงของเขาก็ยกระดับขึ้นแปดหลอด กลายเป็นกรีดร้องขึ้นทันที

“ฉิบหาย! นั่นกำปั้นเหล็กแบรี่! มันเป็นคนของสมาคมกำปั้นเหล็ก!”

หลายร่างเงาพลันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า หลบหนีไปทันที

“จะหนีงั้นเหรอ?”

เสี่ยวเหมียวหัวเราะเบาๆ และดีดนิ้วของเธอ

โดยที่เจ้าตัวแทบจะไม่ได้ขยับส่วนไหนเลย

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูผู้คนที่พยายามหนีอย่างเต็มกำลัง ใช้ออกทุกๆ เทคนิคลับ งัดทุกกลยุทธ์ชนิดเลือดตาแทบกระเด็น เพื่อหมายมั่นจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหน ทั้งหมดก็ค่อยๆ ถูกบังคับให้ลดระดับลงมาจากท้องฟ้าอยู่ดี จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ต่อหน้าทั้งสาม

กลุ่มคนลึกลับเริ่มหวาดกลัวมากขึ้น บ้างกระโดด บ้างวิ่ง บ้างทะยานตัวขึ้น แต่ทั้งหมดก็ยังถูกบังคับให้หยุดอยู่ในสถานที่เดิม มิอาจปลีกตัวออกไปได้

“หนีเสียเร็วแบบนี้ ดูเหมือนว่าพวกแกจะมีปัญหาอะไรบางอย่างกับสมาคมของเราเช่นนั้นสินะ?”

เสี่ยวเหมียวยกสองแขนขึ้นกอดอก ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ

………………………………….

ณ โลกเดิม

ภายในจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์

บริเวณเมืองเล็กๆ ในแถบชายแดน

ม่านแสงกะพริบไหว

กู่ฉิงซาน แบรี่ และเสี่ยวเหมียวปรากฏตัวขึ้น

และสายตาของสองผู้มาใหม่ก็ถูกดึงดูดโดยโบสถ์ของคริสตจักรใจกลางเมืองทันที

“หืม? นั่นมันโบสถ์ของเทพแห่งความตายไม่ใช่เหรอ?”

สองหูเล็กๆ ของเสี่ยวเหมียวกระดิกด้วยความสนใจ

แบรี่เพ่งมองรายละเอียดของโบสถ์อย่างรอบคอบ และแสดงความคิดเห็น “ดูจากรูปแบบสถาปัตยกรรม เหมือนจะไม่มีการเบี่ยงเบนไปเลย ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ของปลอมนะ”

ทั้งสองมองหน้ากันและกัน และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ไม่คิดเลยว่าในโลกกระจัดกระจาย จะมีผู้ศรัทธาของเทพแห่งความตายอยู่ด้วย

นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ

อ้างอิงตามสามัญสำนึก โลกกระจัดกระจายน่ะเป็นโลกที่จะพินาศลงเมื่อไหร่ก็ได้ โดยไม่มีใครจะทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ

ทว่า…เทพแห่งความตายกลับให้ความสนใจกับที่นี่!

แต่แล้วในช่วงเวลานั้นเอง ขณะที่ทั้งสองกำลังสังเกตโบสถ์ จู่ๆ สายตาของเขาและเธอก็เบนออกไปอีกทิศทางหนึ่งในเวลาเดียวกัน

ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกันกับที่กู่ฉิงซานรู้สึกตัว

ทั้งสามเงยหน้าขึ้น แหงนมองไปยังเบื้องบน

ปรากฏให้เห็นถึงหนวดขนาดใหญ่ที่วิ่งลัดเลาะไปตามผืนฟ้า

ตามติดด้วยเรือประจัญบาน และเกราะรบนับไม่ถ้วนที่กำลังไล่ล่ามัน ระดมยิงการโจมตีอันรุนแรงออกไป

อย่างไรก็ตาม หนวดขนาดใหญ่กลับสั่นไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย

“ถอยไปเสีย!” เสียงแหลมที่ฟังดูดุร้ายดังขึ้น

เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งทะยานตัวขึ้นไปบนฟากฟ้า แปรสภาพตนเป็นสิงโตยักษ์อย่างกะทันหัน ตะปบออกไปอย่างรุนแรง ทิ้งรอยกรงเล็บเอาไว้กลางอากาศ

รอยประทับกรงเล็บเหล่านั้นกลายเป็นประกายแสงเย็นเยียบ พุ่งเข้าหั่นหนวดใหญ่ด้วยเจตนาร้าย!

เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว

อย่างไรก็ตาม แม้สิงโตจะสามารถตัดเข้าเนื้อของศัตรูได้ แต่แผลมันตื้นเกินไปหากเทียบกับขนาดหนวดทั้งหมด

ไม่ต้องกล่าวถึงว่าขนาดตัวของเจ้าของหนวดนี้มหึมาเพียงใด

“พวกจ้าวอสูร?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

เวลานี้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างแท้จริง

มันตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกจ้าวอสูรเกิดความคิดริเริ่มที่จะก้าวออกมายืนหยัดปกป้องโลกมนุษย์?

ในเวลาเดียวกัน สมองควอนตัมของเขาก็ส่องสว่างขึ้นมา

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งที่ไม่ได้ยินมานาน ดังออกจากสมองควอนตัม

“ใต้เท้า ดีใจจริงๆ ที่ได้พบกับคุณอีกครั้ง”

“ฉันเองก็ดีใจมากเหมือนกันที่ได้กลับมา”

“แล้วสองคนนี้คือ?”

“คนฝ่ายเดียวกับพวกเรา”

“เข้าใจแล้ว แต่ว่านะใต้เท้า คุณไม่ควรที่จะกลับมาในเวลานี้เลย”

“ทำไมล่ะ?” “เพราะโลกกำลังตกอยู่ในสภาวะวิกฤติที่ไม่อาจแก้ไขได้ การที่คุณกลับมาในเวลานี้ มันจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของคุณเอง”

“เกิดอะไรขึ้น?”

ภาพฉายปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง

กู่ฉิงซาน แบรี่ และเสี่ยวเหมียวมองมันด้วยกัน

เห็นแค่เพียงมอนสเตอร์เอกภพนับไม่ถ้วนที่กำลังรายล้อมอยู่ภายนอกโลกใบนี้ และกำลังพยายามที่จะบุกเข้ามาในโลก

แต่มนุษย์ อาชูร่า ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ จ้าวอสูร และผีร้าย ทั้งหมดต่างรวมกำลังกัน เพื่อต้านทานการรุกรานของมอนสเตอร์เอกภพ

“สถานการณ์มันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”

กู่ฉิงซานงงกับฉากที่เกิดขึ้นจริงๆ

ก่อนหน้านี้ มอนสเตอร์เอกภพไม่เคยสนใจในโลกมนุษย์มาก่อนเลยนี่นา

แล้วทำไมตอนนี้ โลกของเขาถึงดึงดูดความสนใจจากมอนสเตอร์เอกภพขึ้นมาอย่างกะทันหันกัน?

กู่ฉิงซานขบคิด

แบรี่พยักหน้า “ดูเหมือนว่าโลกกระจัดกระจายใบนี้กำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่อยู่นะ”

เสี่ยวเหมียวยกสองแขนขึ้นกอดอก สายตายังคงมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “พี่ชาย เรามาลากพวกมันลงมาสักสองสามตัว แล้วจับทำอาหารกินกันดีไหม”

“ไม่มีปัญหา แต่ก่อนจะกิน คงต้องจัดการให้มันอยู่นิ่งๆ เสียก่อน”

ขณะกล่าว แบรี่ก็จัดท่วงท่าของเขาในจุดเดิม ปากเอ่ยกล่าว “แต่มอนสเตอร์เอกภพมันเยอะเกินไป พี่เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเอาตัวไหนดี”

“มีวัตถุดิบเท่าไหร่ พี่ก็เตรียมให้น้องเลือกเท่านั้นสิ เพราะอย่างไรหญิงสาวน่ะก็จะต้องรับประทานเนื้อที่หลากหลาย เพื่อจะได้รับสารอาหารไปบำรุงผิวพรรณให้เพียงพออยู่แล้ว” เสี่ยวเหมียวหัวเราะคิกคัก

“พี่เข้าใจแล้ว”

แบรี่รับคำ ขณะเดียวกัน แรงกดดันก็ผุดออกมาจากทั้งคนทั้งร่างของเขา ก่อนที่กำปั้นจะถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนท้องฟ้า

ได้ยินแค่เพียงเสียงตะโกนยาวเหยียดประโยคหนึ่ง “จักรพรรดิกำปั้นหยกแห่งการทำลาย ล้างบางสามพันโลกาในคราเดียว!”

เสี่ยวเหมียว “…”

กู่ฉิงซาน “…”

เสี่ยวเหมียวอดไม่ได้ที่จะมองกู่ฉิงซาน แต่เมื่อเห็นถึงการแสดงออกที่ดูจริงจังของอีกฝ่าย เธอก็กลายเป็นละเหี่ยใจ

“นายกำลังคิดว่านั่นเป็นหมัดที่สามารถทำลายทั้งสามพันโลกได้จริงๆ ใช่ไหม?” เสี่ยวเหมียวเอ่ยถามอย่างเงียบๆ

“ใช่” กู่ฉิงซานยอมรับ

เสี่ยวเหมียวเร่งส่ายหัว “ฟังฉันนะ ไม่ต้องไปสนใจเขา เขาก็แค่พูดตะโกนชื่อท่าไปแบบส่งๆ เพราะคิดว่ามันน่าประทับใจกว่าการชกออกไปแบบเงียบๆ ก็เท่านั้น”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”

“ใช่ และชื่อท่าของเขามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชกของเขาเลย มันมีประโยชน์ก็แค่ช่วยให้ฟังดูดีขึ้นแค่นั้น นอกจากนี้”

“…นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ทำให้ศัตรูเกิดความสับสนขึ้นอีกด้วย”

ตึง!

การชกอันแผ่วเบาของแบรี่กระแทกเข้ากับอากาศที่ว่างเปล่า จนเกิดเสียงหนักทึบ

ทันใดนั้นเอง เสียงคร่ำครวญที่บาดลึกก็ดังไกลมาจากฟากฟ้า

หนวดที่แต่เดิมลัดเลาะไปตามผืนฟ้า พร้อมกันกับร่างกายที่มิอาจมองเห็นได้ของมัน จู่ๆ ก็ชักกระตุก ดิ้นพล่านอย่างบ้าคลั่ง

ช่วงวินาทีต่อมา มอนสเตอร์เอกภพขนาดใหญ่ก็ร่วงตกลงใส่ตำแหน่งที่ห่างไกลออกไปบริเวณแถบเมืองชายแดน

โครม!

ร่างใหญ่ของมอนสเตอร์เอกภพกระแทกเข้ากับพื้นดินอย่างรุนแรง

“เรียบร้อย” แบรี่สะบัดมือของเขาและกล่าว

เสี่ยวเหมียวจ้องมองมอนสเตอร์เอกภพที่ตกลงมา

“ฉันเคยกินเจ้าตัวแบบนี้แล้วครั้งหนึ่ง รสชาติมันไม่ดีเลย แถมยังทำให้ปวดท้องอีก เพราะงั้นรีบจัดการมันไปให้พ้นๆ ตาคงดีกว่า”

ว่าจบ เธอก็ยื่นมือไปยังทิศทางที่มอนสเตอร์เอกภพร่วงตกลงมา และกำมือท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่า

มิติในอากาศเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

พริบตานั้นเอง

ร่างของมอนสเตอร์เอกภพ ที่บดบังไปตลอดทั้งวิสัยทัศน์ของพวกเขา ทั้งตัวของมันก็พลันหายวับไป

เสี่ยวเหมียวเงยหน้าเล็กน้อย ดวงตาของเธอราวกับว่าได้มองทะลุผ่านชั้นบรรยากาศขึ้นไป จ้องมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวอันไร้ขอบเขต

เธอพูดกับตัวเอง “ไหนขอฉันดูหน่อยซิ ว่ามีมอนสเตอร์ตัวไหนน่าจับมากินบ้าง…”

แบรี่แสดงความกังวลออกมา “น้องช่วยเลือกดีๆ ด้วยนะ พี่ไม่อยากกินแล้วท้องเสียอีก”

“พี่ชาย คิดว่าเจ้าตัวนั้นเป็นไง?”

“ไม่เอา มันไม่อร่อยเลย พวกเราเคยกินมันไปตั้งหลายครั้งแล้ว น้องจำไม่ได้เหรอ”

“อืม พอพี่พูดก็เหมือนว่าจะนึกขึ้นได้แล้วเหมือนกัน”

“หยุดคิดเกี่ยวกับเจ้าตัวนั้นเถอะ ทำไมไม่เลือกเป็นตัวที่อยู่ท้ายสุดนั่นล่ะ พี่จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยจับมันมากินอยู่นะ รสชาติก็ไม่เลวเลย”

“ตัวเจ้าแดงๆ นั่นน่ะเหรอ? ไม่นะ ทั้งตัวมันเต็มไปด้วยลูกตา น่าขยะแขยงเกินไป”

“โอเค งั้นเอาเป็นอีกตัวหนึ่ง”

กลับมายังกู่ฉิงซานที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งสอง

ในสมองควอนตัมของเขา บัดนี้ปรากฏให้เห็นฉากการระเบิดของรังสีแสงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น

“ใต้เท้า มอนสเตอร์เอกภพที่ล้อมอยู่นอกโลก ทั้งหมดได้ตายลงแล้ว ปัจจุบันร่างของมันลอยกระจายอยู่เต็มอวกาศไปหมดเลย”

มุมปากของกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกระตุก

มองไปยังแบรี่ที่ยืนอยู่ในจุดเดิมตั้งแต่แรกเริ่ม และทำแค่เพียงเหวี่ยงหมัดออกไปอย่างสบายๆ

ความแข็งแกร่งอะไรกันนี่!

เพียงนำสองตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการมา ทุกปัญหาก็สามารถแก้ลงได้อย่างง่ายดาย

นี่นับว่าเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง!

กู่ฉิงซานคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “เอ่อ…ขอโทษที่ขัดจังหวะ”

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวหันมามองเขา

กู่ฉิงซานอธิบาย “คือว่านะ ตั้งแต่ที่พวกคุณมายังโลกของผม พวกคุณก็ไม่จำเป็นต้องทนกินมอนสเตอร์เอกภพอีกต่อไปแล้ว เพราะเดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปกินอาหารขึ้นชื่อมากมายของที่นี่เอง”

แบรี่นิ่งค้างไป

เสี่ยวเหมียวก็เช่นกัน แต่สักพักเธอก็ค่อยๆ ได้สติกลับคืน

แบรี่ถอนหายใจ “จริงสิ ขอโทษที ลืมไปเลยว่าพวกเราหมดหนี้แล้ว ให้ตายเถอะ เห็นมอนสเตอร์เอกภพทีไร ก็มักจะเผลอลืมไปว่ายังเป็นหนี้อยู่ทุกที”

กู่ฉิงซานมองดูทั้งสอง และเกิดความรู้สึกว่า สองพี่น้องตรงหน้า ช่างเป็นตัวตนทรงอำนาจที่น่าสงสารที่สุดที่เขาเคยเห็นมา

สมองควอนตัมในอ้อมแขนเขาส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ภายนอกจักรวาล จู่ๆ ก็มีมอนสเตอร์ยักษ์อีกมากมายกำลังมุ่งตรงมายังที่นี่”

ม่านแสงฉายภาพออกมา

เห็นแค่เพียงร่างของมอนสเตอร์ยักษ์มากมาย กระจายตัวอยู่ทั่วอวกาศ

แบรี่จึงเหวี่ยงหมัดออกไป

และมอนสเตอร์ทั้งหมดนั้นก็ถูกฆ่าตายลงในวินาทีเดียว

แต่ก็ปรากฏถึงมอนสเตอร์ตัวใหม่ตรงเข้ามา และเริ่มคว้าจับซากมอนสเตอร์ที่เพิ่งถูกฆ่าตายไป และกัดกินมัน

และฉากที่ปรากฏขึ้นนี้ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่มีมอนสเตอร์อีกมากมายตรงเข้ามายังดาวโลก

แบรี่ขมวดคิ้ว “น้องพี่ ในเมื่อพวกเราไม่ต้องกินเนื้อมอนสเตอร์อีกต่อไปแล้ว น้องช่วยกำจัดซากพวกมันทั้งหมดให้หน่อยจะได้ไหม”

“ไม่มีปัญหา”

เสี่ยวเหมียวดีดนิ้วของเธอดังเป๊าะ

ในเสี้ยววินาที บนจอม่านแสง ศพมอนสเตอร์ทั้งหมดก็หายวับไป มิอาจเห็นถึงร่องรอยของพวกมันได้อีกเลย

“ต่อไปก็ตาพี่ รับหน้าที่ไล่เจ้าขยะพวกนั้นออกไป” แบรี่กล่าว

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า

พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ปะทุขึ้นบนตัวเขา

“จง…ออกไป…ให้พ้นหน้าฉัน!”

แบรี่ร้องคำราม

คำว่า ‘ออกไป’ แทรกซึมขึ้นไปในอากาศที่ว่างเปล่า ตรงขึ้นไปยังนอกชั้นบรรยากาศโลก แพร่กระจายไปทั่วจักรวาล

มอนสเตอร์ทั้งหมดแข็งค้างไปพร้อมกัน

ด้วยสัญชาตญาณ แม้จะคนละภาษา แต่พวกมันก็สามารถเข้าใจถึงความหมายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนี้ได้อย่างชัดเจน

มันทรงพลัง โหดเหี้ยม น่าสยองเกล้า ไร้ซึ่งความเมตตา เป็นเสียงของสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

และสิ่งมีชีวิตสูงสุดบนห่วงโซ่อาหาร ก็กำลังบอกว่าไม่อนุญาตให้พวกมันเข้ามาที่นี่!

มอนสเตอร์เอกภพสั่นสะท้านไปทั้งตัว พวกมันหันหัวกลับ และหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัว

หลังจากนั้นเพียงลมหายใจเดียว

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ใต้เท้า ในอวกาศนอกโลกไม่ปรากฏถึงการดำรงอยู่ใดๆ ของมอนสเตอร์เอกภพอีกแล้ว”

ในน้ำเสียงของเทพธิดากงเจิ้ง ปรากฏถึงร่องรอยของความสุขเล็กน้อย “เพื่อนทั้งสองคนที่คุณพากลับมา ช่างทรงพลังจริงๆ ความแข็งแกร่งของพวกเขาเหนือล้ำเกินกว่าที่ฉันจะทำการคำนวณได้”

“ใช่แล้วล่ะ พวกเขาน่ะโคตรจะแข็งแกร่งเลย” กู่ฉิงซานหัวเราะ

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ โชคดีจริงๆ ที่คุณกลับมาพร้อมกับเพื่อนใหม่ มันช่วยคลายความกังวลของฉันเกี่ยวกับปัญหาสุดท้ายของโลกใบนี้ไปได้อย่างสิ้นเชิง”

“กังวลงั้นเหรอ? ช่วยบอกฉันเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันให้ฟังหน่อยสิ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างรวดเร็ว

“ไม่ขัดข้อง ใต้เท้า”

………………………………….

กู่ฉิงซานกล่าวในทันที “แน่นอนว่าผมไม่คัดค้านอะไร ถ้าพวกคุณยินดีกลับไปกับผม ผมก็จะต้อนรับและให้ความบันเทิงแก่พวกคุณอย่างเต็มที่”

แบรี่ยิ้มและกล่าว “นายน่ะเก่งในการทำอาหาร เหล้าหรือไวน์ที่ทำออกมาก็รสชาติดีเยี่ยม และฉันเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าโลกแบบไหนกันนะ ที่ได้ถือกำเนิดสุดยอดผู้เชี่ยวชาญในสายอาหารแบบนี้ขึ้น”

“น่าตื่นเต้นจัง ฉันเองก็ไม่เคยไปยังโลกกระจัดกระจายมาก่อนเลย ในที่สุดคราวนี้ก็จะได้ไปเสียที ส่วนตัวฉันเองก็อยากจะไปเห็นที่ที่นายเรียกว่าโลกหกวิถีอยู่เหมือนกัน ว่ามันจะเป็นอย่างไร” เสี่ยวเหมียวหัวเราะ

ดูเหมือนเธอจะยังไม่เชื่อว่ามันเป็นโลกหกวิถีจริงๆ

“แต่เดี๋ยวก่อนนะ” เสี่ยวเหมียวอุทานขึ้นอย่างกะทันหัน

เธอผายสองมือออกแล้วอธิบาย “หลังจากผ่านการต่อสู้ในสงครามครั้งใหญ่มา เสื้อผ้าของฉันก็สกปรกไปหมดเลย ฉะนั้นฉันคงต้องขอตัวไปเปลี่ยนมันก่อน”

กู่ฉิงซานกับแบรี่กวาดสายตามองเธอขึ้นลงพร้อมกัน

เห็นแค่เพียงเสี่ยวเหมียวในชุดหนังสือดำ กางเกงรัดรูปยังคงเงางาม ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของฝุ่นผงให้ได้เห็น

เอ่อ…นี่มันสกปรกตรงไหน?

ทั้งสองผุดความคิดนี้ขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

ไม่ไยดีใดๆ ต่อสายตาคนอื่น เสี่ยวเหมียวหันเดินกลับเข้าไปในสมาคม ปากเอ่ยกล่าว “ถ้าใจเรารู้สึกว่าสกปรก มันก็คือสกปรก! ฉันขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน…”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องสกปรก กู่ฉิงซานก็หันไปมองแบรี่อีกครั้ง

ในฐานะกำลังรบที่อยู่แนวหน้าสุดของสงคราม เสื้อโค้ตของแบรี่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เวลานี้ดูไม่ต่างอะไรกับเศษผ้าที่ห้อยอยู่บนร่างกาย

คู่ถุงมือเหล็กเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวและคราบเลือด

กางเกงก็ขาดวิ่น แทบจะสวมใส่ไม่ได้อยู่แล้ว

“ถ้าเทียบกับเสี่ยวเหมียว ผมว่าน่าจะเป็นคุณมากกว่านะที่ควรจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” กู่ฉิงซานกล่าว

“มันยังใส่ได้อยู่เลย ฉันไม่เปลี่ยนมันหรอก” แบรี่ก้มมองเสื้อผ้าของตัวเอง และกล่าวในสิ่งที่ใจคิดออกมา

กู่ฉิงซานยังไม่ยินยอม “ผมว่าคุณควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่านะ อย่างน้อยมันก็น่าจะช่วยให้คุณรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น”

“แหะๆ อันที่จริงแล้วฉันมักจะต่อสู้อยู่บ่อยครั้ง เลยไม่มีเวลาได้ออกไปซื้อชุดใหม่เลย อีกอย่างเสื้อนี่ก็พึ่งจะใส่ได้ไม่นานเองนะ” แบรี่สารภาพ

กู่ฉิงซานชะงักไปทันที

‘จริงสิ สมาคมเป็นหนี้อยู่นี่นา แถมก่อนหน้านี้อาการบาดเจ็บของแบรี่ก็ยังไม่หายดี เพราะแบบนี้เขาเลยไม่มีโอกาสได้ออกจากสมาคมไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ใช่รึเปล่า?’

ใครจะไปคิดว่าตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการที่มีชื่อเสียงไปตลอดโลกเก้าร้อยล้านชั้น จะตกอยู่ในสภาพแบบนี้

ดูเหมือนว่ารูปปั้นทองคำที่สวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียวของแบรี่ที่ถูกตั้งไว้ตามโลกต่างๆ ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว ต้นตอของมันอาจจะมาจากการกระทำและความคิดแบบนี้ของแบรี่ก็ได้

กู่ฉิงซานถอนหายใจและหยิบชุดสำรองของเขาออกมา

“ขนาดตัวของผมน่าจะใกล้เคียงกันกับคุณ ถ้าไม่รังเกียจละก็”

“ไม่แน่นอน ฮ่าๆ!”

แบรี่รับเอาเสื้อผ้ามาอย่างมีความสุข และเดินหายเข้าไปในสมาคม

นอกสมาคม เหลือแค่เพียงกู่ฉิงซานถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง

ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาดังกล่าว กู่ฉิงซานเบนสายตาของเขาไปมองหน้าต่างเทพสงคราม

ฟังก์ชัน ‘ภารกิจเทพสงคราม’ กะพริบไหวอยู่ตลอดเวลา มันกำลังแจ้งเตือนข้อความบางอย่าง

กู่ฉิงซานสั่งการนึกคิดเข้าไปใน ‘ระบบเทพสงคราม’

ทันใดนั้นเอง หลากเส้นแสงหิ่งห้อยก็ผุดออกมาจากภารกิจเทพสงคราม

“คุณได้กำจัดหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ ปฏิวัติ”

“คุณได้หยุดการแพร่กระจายระบบของราชามาร และบรรลุชุดภารกิจเทพสงครามจนสมบูรณ์”

“สถานะแต้มพลังวิญญาณที่ได้รับจากภารกิจเทพสงคราม สั่งสมแต้มพลัง ได้หายไปแล้ว”

“คุณได้รับรางวัลจากภารกิจเทพสงคราม”

“รางวัล ความลับ”

“คุณต้องการที่จะตรวจสอบ ‘ความลับ’ ตอนนี้เลยหรือไม่?”

กู่ฉิงซาน “ตรวจสอบเลย”

บนหน้าต่างเทพสงคราม ไม่กี่บรรทัดตัวอักษรปรากฏขึ้นมา

“เนื่องจากคุณเป็นเจ้าของอำนาจแห่งเทพสงคราม”

“เนื่องจากคุณได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสุสานแห่งโลกอยู่ก่อนแล้ว”

“เนื่องจากคุณได้ทำการผสานรวมสอง ‘เศษเสี้ยว’ ของโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน”

“ความลับที่คุณจะได้ล่วงรู้ได้รับการตัดสินแล้ว”

“โปรดรับฟังมันอย่างสงบ”

“กรุณาทำตามคำแนะนำของระบบ อย่าได้อ่านออกเสียงมันเด็ดอันขาด”

“ห้ามเปิดเผยสิ่งที่กำลังรับรู้ออกไปทั้งสิ้น”

“เมื่อคุณรู้สึกว่าคุณสามารถทำตามเงื่อนไขข้างต้นได้ ระบบก็พร้อมจะนำเสนอ ‘ความลับ’ ที่ว่าออกไป”

ระบบเทพสงครามไม่เคยหวาดระแวงอะไรขนาดนี้มาก่อน พอถูกย้ำหลายๆ รอบแบบนี้ กู่ฉิงซานก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้น

“ฉันเข้าใจแล้ว วางใจเถอะ ฉันสามารถเก็บความลับที่ว่านั่นได้ ไม่แพร่งพรายมันออกไปแน่นอน” กู่ฉิงซานตอบ

ด้วยคำสัญญาของเขา เส้นแสงหิ่งห้อยบรรทัดใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

“ความลับมีดังต่อไปนี้”

“ข้อแรก ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นมีโลกหกวิถีอยู่เพียง ‘โลกเดียว’ เท่านั้น ซึ่งมันได้ซุกซ่อนสุสานแห่งโลกส่วนใหญ่เอาไว้ เป็นสิ่งที่เหล่าทวยเทพเหลือทิ้งเอาไว้ให้ทุกสิ่งมีชีวิตใช้มันในการช่วยเหลือตนเอง”

“ข้อสอง เหล่าทวยเทพไม่คาดคิดเลยว่าโลกหกวิถีจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ”

“โปรดทราบด้วยว่า นี่คือความลับในบรรดาความลับทั้งปวง ที่จะรู้กันเฉพาะเหล่าทวยเทพและศัตรูของพวกเขาเท่านั้น คุณไม่สามารถพูดมันออกไปได้ เพราะมันจะนำพาหายนะครั้งใหญ่มาสู่คุณ”

“ฉันหวังว่าคุณจะหวงแหนความลับนี้ดั่งชีวิตของตัวเอง จงเก็บมันเอาไว้ให้มิด และระมัดระวังตัวให้ดี”

บรรทัดแสงหิ่งห้อยทั้งหมดปรากฏขึ้น และหายไปทันที

กู่ฉิงซานแข็งค้างอยู่ในสถานที่เดิม

ตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น แท้จริงแล้วมีโลกหกวิถีอยู่เพียงหนึ่งเช่นนั้นเหรอ?

นั่นมันจะเป็นไปได้อย่างไร!

เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าจำไม่ผิดในโลกล่องเวหา…

ผู้ฝึกยุทธ์ที่นั่นไม่เคยพบแม้กระทั่งมารสวรรค์ หมายความว่าโลกล่องเวหาไม่ใช่โลกหกวิถี

แถมแบรี่กับเสี่ยวเหมียวเองก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโลกหกวิถีน่ะอยู่ในดินแดนอัศจรรย์

และตลอดทั้งดินแดนอัศจรรย์ มีเพียงเผ่าพันธุ์หนามเท่านั้นที่ยินดีสื่อสารกับภายนอก

หลังจากที่ตัวกู่ฉิงซานเองได้ก้าวเข้าสู่โลกเก้าร้อยล้านชั้น แท้จริงแล้วหลังจากนั้นมา เขาก็ไม่เคยได้รับข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับโลกหกวิถีอีกเลย

แต่!

แต่ว่านะ!

ทำไมกัน? ทำไมโลกในโลกกระจัดกระจายที่แยกตัวออกไปอยู่นอกสุดของชั้นโลก ที่อาจพินาศลงเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงมีโลกหกวิถีอยู่?

โลกเดิมของเขา โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และโลกเทวะ โลกที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นโลกหกวิถีทั้งสิ้น

หรือว่าบางทีอาจเป็นเพราะมันต้องการซ่อนตัวจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น และโลกกระจัดกระจายก็แทบจะไม่เป็นที่ล่วงรู้พิกัดของพวกตัวตนทรงอำนาจพอดี จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมใช่หรือไม่?

ดังนั้น นี่สินะคือเหตุผลที่ทำให้กระทั่งตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการอย่างแบรี่กับเสี่ยวเหมียว ยังเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

“แท้จริงแล้วโลกหกวิถีมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”

“โลกหกวิถีแตกออกเป็นเสี่ยงๆ…”

“ฉันได้ผสานรวมสองเศษเสี้ยวของโลกหกวิถี…”

กู่ฉิงซานย้อนทวนในสิ่งที่ได้รับรู้มา และเริ่มเค้นสมองของเขา

ตามที่ระบบเทพสงครามบอก ดูเหมือนว่าในสมัยโบราณ เหล่าทวยเทพจะทิ้งวิธีการช่วยเหลือตนเองไว้ให้แก่เหล่าสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรทั้งมวลและสิ่งที่ว่ามานี้ก็ถูกซุกซ่อนไว้ในสุสานแห่งโลก

ขณะที่สุสานแห่งโลกส่วนใหญ่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในโลกหกวิถีหรือว่าบางที…

ทันใดนั้นเอง ประกายบางอย่างก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน

เขาฉุกคิดถึงความคิดหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน

ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

หรือว่าความจริงก็คือ…

โลกใบเดิมของเขา โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และโลกเทวะ แท้จริงแล้วล้วนเป็น ‘เศษเสี้ยว’ของโลกหกวิถี!

ทั้งหมดเป็นเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น!

มันคือเศษเสี้ยวของโลกหกวิถี ที่หนีออกมาจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น หลังจากที่โลกหกวิถีเพียงหนึ่งเดียวเกิดการแตกเป็นเสี่ยงๆ ขึ้น!! กู่ฉิงซานแทบลืมหายใจ ทั้งคนทั้งร่างจมอยู่ในอาการตกตะลึง

การดำรงอยู่แบบใดกันที่สามารถทำลายโลกหกวิถีให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้?

ระบบเทพสงครามบอกว่า ตัวเขาเองได้ทำการผสานสองเศษเสี้ยวเข้าด้วยกัน ที่ว่ามานี้ย่อมหมายถึงโลกเดิมของเขากับโลกปรภพอย่างแน่นอน

หากสุสานแห่งโลกจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ในโลกหกวิถีแล้วละก็

เช่นนั้นบางที โลกเดิมของเขา โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และโลกเทวะ ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะเป็นที่ซุกซ่อนสุสานแห่งโลก!

ก่อนที่เขาจะแยกตัวออกมา นางเซียนไป่ฮั่วเองก็เหมือนว่าจะได้ล่วงรู้ความลับที่จะทำให้ตนเองสามารถแข็งแกร่งขึ้นแล้วเช่นกัน นั่นก็คือการผสานรวมโลกเข้าด้วยกัน

ดังนั้น ท่านอาจารย์จะต้องทำการผสานรวมโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์กับโลกเทวะเข้าด้วยกันแล้วอย่างแน่นอน

เช่นนั้นแล้วอีกห้าโลกที่เชื่อมต่อกันอย่างโลกปรภพ โลกสวรรค์ โลกอาชูร่า โลกจ้าวอสูร และโลกผีร้ายเล่า? จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับโลกเหล่านั้น?

มันจะเป็นเหมือนกับโลกเดิมของเขา ที่จะต้องตกลงสู่ห้วงสงครามใช่หรือไม่?

ความคิดนับไม่ถ้วนไหลผ่านเข้ามาในจิตใจ กู่ฉิงซานรู้สึกว่าหัวของเขากำลังจะระเบิด

แต่ในตอนนั้นเอง อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นกับนายงั้นเหรอ? ทำไมถึงดูเครียดๆ”

แบรี่กลับมาในชุดใหม่เอี่ยม

เมื่อเขาเห็นว่ากู่ฉิงซานผิดปกติไป จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่กังวลเกี่ยวกับโลกของผมก็เท่านั้นเอง” กู่ฉิงซานยิ้ม และไม่ยินดีที่จะกล่าวอธิบายออกไป

เขาถอนหายใจ และหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โยนมันทิ้งไปก่อน

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ฉันกับเสี่ยวเหมี่ยวจะไปด้วยกันกับนาย พวกเราจะช่วยนายอย่างแน่นอน” แบรี่กล่าวปลอบ

ไม่กี่นาทีต่อมา เสี่ยวเหมียวก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทั้งสอง

เธอสวมใส่ชุดกระโปรงสั้นที่ดูน่ารัก ขาเรียวยาวสวมทับด้วยถุงน่อง รองเท้าที่ใส่เป็นส้นสูง ขณะที่ผมของเธอถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย

“กู่ฉิงซาน นายมีพิกัดโลกของตัวเองรึเปล่า?” เสี่ยวเหมียวเอ่ยถาม

“ซวยแล้ว! ดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้บันทึกมันเอาไว้”

เสี่ยวเหมียวถามอีกครั้ง “แต่ฉันจำได้ว่าได้ให้เข็มทิศกับนายไปนี่นา ถึงภายหลังจะสูญเสียพิกัดของมันไปเพราะนายเข้าไปยังโลกที่ถูกผนึกอยู่ก็เถอะ แต่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่านายได้กลับไปที่โลกของตัวเองก่อนแล้วหรอกเหรอ?”

กู่ฉิงซานนิ่งคิดไปพักหนึ่ง และตอบ “จริงด้วย ผมกลับไปที่โลกเดิมครั้งหนึ่งจริงๆ”

ใช่แล้วล่ะ เพื่อที่จะหลุดพ้นจากกับดักสามชั้นซ้อนของซูเซี่ยเอ๋อ เขาเลยจำต้องกลับไปยังโลกเดิมของตัวเอง

เขาหยิบเอาเข็มทิศออกมา และยื่นมันให้แก่เสี่ยวเหมียว

เสี่ยวเหมียวรับเข็มทิศมา สองตาก้มลงมอง ปากเอ่ยพึมพำ “ดีล่ะ ดูเหมือนว่าเข็มทิศของฉันจะบันทึกพิกัดเอาไว้ได้นะ แต่มันอยู่ไกลมากจริงๆ”

ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความตื่นเต้น

จากนี้ไป เธอไม่จำเป็นต้องปั่นนิยายทุกวันอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความหิวโหย สามารถโยนเรื่องนี้ทิ้งไว้เบื้องหลัง และออกไปเล่นภายนอกสมาคมได้อย่างอิสรเสรี

…ชีวิตที่เป็นแบบนี้ช่างมีความสุขเสียจริงๆ

“มาเถอะสุภาพบุรุษทั้งสอง ช่วยมายืนข้างๆ กับฉันด้วย” เสี่ยวเหมียวกล่าว

แบรี่กับกู่ฉิงซานเดินไปยืนประกบซ้ายขวาเธอ

เสี่ยวเหมียวร่ายคาถางึมงำ

ในพริบตา ทั้งสามก็หายวับไปจากสมาคมกำปั้นเหล็ก

มุ่งหน้าสู่บ้านเกิดของกู่ฉิงซาน

สถานที่ซึ่งกู่ฉิงซานได้ทำการผสานเศษเสี้ยวของโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน

สถานที่ที่เรื่องราวทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น

…………………………………..

ลอร่าจากไปด้วยความพึงพอใจ

ในเมื่อรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์มาเป็นพยานด้วยตัวมันเองแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าไม่ช้าก็เร็ว กู่ฉิงซานจะกลายเป็นคนของอาณาจักรหนาม  ทุกเรื่องเป็นไปตามที่เธอต้องการโดยสมบูรณ์

ส่วนเวลานี้ เธอก็จะปล่อยให้เขาทำภารกิจของตัวเองไปก่อน

เรือเหาะลำใหญ่ของอาณาจักรหนามถอนสมอจากสมาคมกำปั้นเหล็ก เบนหัวเรือออกไป และบินหายเข้าสู่โลกอันกว้างใหญ่หลายร้อยล้านชั้น

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นลูบไล้ตำแหน่งใต้หน้าอกของเขาเบาๆ

ตรงจุดที่สัญลักษณ์สีมรกตที่มองไม่เห็นกำลังซ่อนตัวอยู่เบื้องล่างนั้นอย่างเงียบๆ

เมื่อกู่ฉิงซานนึกคิดถึงมัน ตัวสัญลักษณ์ก็จะปรากฏขึ้น และพร้อมที่จะรับฟังเขาตลอดเวลา

เมื่อเขาเรียกใช้ตราสัญลักษณ์นี้ เขาก็จะกลายเป็นเอิร์ลแห่งอาณาจักรหนามโดยอัตโนมัติ

สำหรับสิ่งที่เอิร์ลสามารถทำได้ มีอำนาจหรือข้อจำกัดใดๆบ้างนั้น กู่ฉิงซานไม่ได้ถามออกไป และลอร่าเองก็มีเวลาไม่มากนักที่จะพูดคุยกับเขา ดังนั้นเรื่องเล็กน้อย แบบนี้เจ้าตัวจึงเลือกที่จะไม่ถามใดๆ และโยนมันไว้เบื้องหลัง

แบรี่เดินเข้ามา และตบลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน “ฉันล่ะจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่านายจะยืนหยัด เผชิญหน้ากับระบบของราชามาร แถมยังพบหนทางที่กำจัดมันลงได้อีกด้วย ”

“พอดีว่าผมไม่ค่อยจะชอบเจ้าระบบนั่นสักเท่าไหร่น่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

แบรี่ผงกหัวว่าเข้าใจ บนใบหน้าของเขาเผยถึงความตระหนักรู้บางอย่าง

เขากล่าว “นั่นสินะ ระบบนั่นก็เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดสำหรับฉันเหมือนกัน มันพยายามขยายอำนาจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สังหารทุกสิ่งมีชีวิตเพียงเพราะความปรารถนาส่วนตน…”

แม้จะพึงพอใจในตัวของกู่ฉิงซานอยู่ก่อนแล้ว แต่ตอนนี้บอกตรงๆ ว่ามันเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเยอะทีเดียว

แม้ความแข็งแกร่งจะต่ำต้อย แต่กลับกล้าที่จะเผชิญหน้ากับระบบของราชามาร แถมยังคว้าชัยชนะจากมันมาได้อีก บุคคลเช่นนี้เหมาะสมแล้วจริงๆ ที่จะเป็นสมาชิกใหม่ของสมาคม

เมื่อคิดถึงจุดนี้ แบรี่ก็อ้าปากและกล่าว “คือว่านะ ถ้าพูดแบบทั่วๆ ไปแล้ว…”

เสี่ยวเหมียวกล่าวแทรกทันที “ถ้าพูดกันแบบทั่วๆ ไปแล้วล่ะก็ ในสายตาของฉันนายมันวีรบุรุษชัดๆ!”

แบรี่ยื่นคอ จ้องมองเสี่ยวเหมียวที่กล่าวต่อ “ฉันคิดว่า ไอ้คำพูดที่ฉันเคยเตือนพี่ชายไปก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเขาจะลืมเกี่ยวกับมันไปจนหมดสิ้นแล้ว”

“ดังนั้นฉันขอแนะนำด้วยความหวังดีเลยนะ นายทิ้งเขาไว้แล้วไปจากที่นี่เถอะ!” “ฉันเองก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันอยากให้นายจากไปในสภาพครบสามสิบสอง รีบหนีไปก่อนที่พี่ชายของฉันจะ…”

“ผายลมเถอะน้องพี่ แค่บอกดีๆ ว่าไม่ต้องทำพิธีรับน้องใหม่ของสมาคมก็พอแล้ว อีกอย่างจะให้เขาไปได้อย่างไร ในเมื่ออาหารเย็นยังไม่ได้กินกันเลย…”

แม้ว่าพี่ชายน้องสาวจะปะทะฝีปากกัน แต่ทั้งสองก็ยังอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ดีมากๆ

ความสามารถของกู่ฉิงซานที่เข้าร่วมกับสมาคม ได้รับการยอมรับจากทั้งสองคนแล้ว

ตอนนี้สิ่งที่กู่ฉิงซานได้ทำลงไปทั้งหมด ได้ช่วยยืนยันความสามารถของเขายิ่งกว่าเดิม“เฮ้กู่ฉิงซาน เรื่องของนายเมื่อครู่ฉันได้ฟังแค่คร่าวๆ เท่านั้นเอง ตอนนี้นายพอจะบอกรายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฉันหน่อยจะได้ไหม นั่นมันวัตถุดิบชั้นยอดในการเขียนนิยายชัดๆ”

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่หนี้ของสมาคมเราจ่ายไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าเช่นนั้นทำไมคุณถึงยังเขียนนิยายอยู่อีก?” กู่ฉิงซานถาม

“หืม?” เสี่ยวเหมียวอึ้งไปเล็กน้อย

กู่ฉิงซาน “ก็คุณไม่ได้ทุ่มเทเขียนนิยายอย่างหนักเพราะต้องการจะหาเงินเก็บไว้ใช้ซื้อของกินไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีหนี้อีกต่อไปแล้ว ขาของแบรี่เองก็ดีขึ้น คุณเองก็เป็นตัวตนทรงอำนาจ ดังนั้นคงไม่จำเป็นต้องทนอึดอัดอยู่แต่ภายในนี้อีกแล้วสิ”

เสี่ยวเหมียวค่อยๆ ตอบสนองอย่างช้าๆ

“จริงสิ…พวกเราไม่มีหนี้อีกต่อไปแล้วนี่นา และฉันเองก็ไม่ได้เป็นกังวลว่าพี่ชายของฉันจะถูกลอบฆ่าอีกต่อไป ขอบใจนายมากนะที่เตือนฉัน!”

เสี่ยวเหมียวมองแบรี่ด้วยความตื่นเต้น “พี่ชายช่วยดูประวัติเครดิตของพวกเราหน่อยสิ ว่ามันกลับมาเป็นปกติแล้วรึยัง?”

แบรี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “พี่เพิ่งจะตรวจสอบมันเมื่อครู่นี้เอง ไม่ว่าจะเป็นของทางสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง โรงแรมใหญ่ กาสิโน ร้านอาหาร รีสอร์ต ฯลฯ สถานะเครดิตของพวกเราทั้งหมดกลับมาเป็นดี ปกติอีกครั้งแล้ว!”

“หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ…” เสี่ยวเหมียวพูดอย่างตื่นเต้น

“ใช่แล้วน้องพี่ อีกความหมายหนึ่งก็คือ” แบรี่ยิ้ม

แล้วทั้งสองพี่น้องก็ตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน

“พวกเราสามารถติดเงินคนอื่นได้อีกครั้งแล้ว!”

กู่ฉิงซานมองไปยังพี่น้องที่กำลังตื่นเต้น ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

“นี่ๆ พวกคุณเป็นตัวตนทรงอำนาจนะ ทำไมถึงจะกลับไปทำอะไรที่ไร้จุดหมายแบบนั้นอีกล่ะ ไม่ลองพยายามหาวิธีสร้างรายได้กันบ้างเลยเหรอ?” เขาเอ่ยถาม

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ หลังจากที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาเป็นเวลานาน ตอนนี้ฉันอยากจะออกไปช้อปปิ้งเสียก่อน เพื่อระบายความตึงเครียดเล็กน้อย” เสี่ยวเหมียวหรี่ตาแคบลง คล้ายกับเพิ่งนึกออกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้

“กู่ฉิงซาน หาเงินน่ะมันก็แค่เรื่องเล็กน้อย” แบรี่ตบไหล่เขาและกล่าว “วันพรุ่งนี้ฉันจะพานายไปบ่อนกาสิโนเรือสมุทรธงดำ ที่นั่นอาหารอร่อย ไม่ว่าอะไรก็สนุกไปหมด ทุกคนมักจะพูดถึงเรื่องราวที่มันน่าสนใจ ฉันชอบที่นั่น และถ้านายคันไม้คันมือ ก็สามารถไปลองเสี่ยงโชคดูได้ วางเดิมพันสักครั้งสองครั้ง บางทีนายอาจจะได้เงินก้อนโตติดไม้ติดมือกลับมาก็ได้นา”

“แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่มีเงินนะ” กู่ฉิงซานงง

“ฉันลืมบอกนายไปเลย ว่ามันมีกฎเกณฑ์ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นที่คนทั้งหมดจะต้องปฏิบัติตามอยู่”

“ยื่นหูมาตั้งใจฟังให้ดี”

“ในฐานะที่เป็นเจ้าของโลกมิติอนันต์ และเช่นเดียวกันกับที่ฉันมีสถานะเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ ด้วยสองสิ่งนี้ จะช่วยให้สมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็กมีเครดิตหรือความน่าเชื่อถือที่สูงมาก ดังนั้นเงินที่สามารถหยิบยืมมาใส่บัญชีได้ก็ย่อมสูงมากขึ้นตามเป็นธรรมดาเช่นกัน” แบรี่กล่าว

“ใช่แล้วล่ะ นายสามารถติดบิลของนายไว้ก่อนในฐานะสมาคมได้ แล้วค่อยนำมันไปจ่ายในภายหลัง” เสี่ยวเหมียวตะโกนก้อง

“ฉันเกือบจะลืมลงทะเบียนให้กู่ฉิงซานไปเสียสนิทเลย” แบรี่ตบหัวของเขาและกล่าว “เสี่ยวเหมียว น้องช่วยไปผูกข้อมูลส่วนตัวของกู่ฉิงซานหน่อยสิ แล้วลงทะเบียนภายใต้ชื่อของสมาคม และประกาศออกไปให้ทั่วทั้งหมื่นโลกาเลย ถ้าเรียบร้อยแล้ว นับจากนี้ไปถ้าเขาเดินทางไปที่ไหนก็ตามในหมื่นโลกา เขาก็จะสามารถใช้บัญชีของเราได้ในทุกสถานที่ โดยไม่ต้องควักเงินสดออกมาจ่ายตรงๆ”

“รับทราบ” เสี่ยวเหมียวรับคำ

เธอคว้าจับเอากลิ่นอายของกู่ฉิงซานมาไว้ในกำมือ ก่อนจะเริ่มดำเนินการบางอย่างในอากาศที่ว่างเปล่า

ในขณะที่ขั้นตอนยืนยันตัวตนอันแสนซับซ้อนกำลังดำเนินการ เสี่ยวเหมียวก็หันมาพูดด้วยความภูมิใจ “เอาล่ะ จากนี้ไป ถ้านายบอกว่าตัวเองมาจากสมาคมกำปั้นเหล็ก นายก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินอีกต่อไป”

“แต่แบบนั้น พวกเราจะไม่ถูกไล่เก็บหนี้เหมือนเดิมอีกหรอกเหรอ?” กู่ฉิงซานถามด้วยความกังวล

“แน่นอนว่าไม่ เพราะคราวนี้เป็นทางอาณาจักรหนามที่ได้จ่ายหนี้ทั้งหมดให้กับเรา ทำให้สถานะเครดิตในปัจจุบันของเราสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”

“ฟังดูสะดวกสบายดีจัง”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยอารมณ์

เขาได้ร่วมลงทะเบียนกับเสี่ยวเหมียวจนเสร็จสิ้น

จากนั้น

เขาก็โยนคำถามของตนเองเมื่อครู่นี้ไว้เบื้องหลังทันที

เพราะนับตั้งแต่ช่วงเวลานี้ไป ทางสมาคมกำปั้นเหล็ก ได้เพิ่มนักก่อหนี้ชั้นเซียนเข้าสู่ตลอดทั้งหมื่นโลกาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งหน่อแล้ว! “เอาล่ะ ตอนนี้ผมคงต้องขอตัวกลับโลกของผมก่อนแล้วนะ เพราะที่นั่นกำลังเกิดสงครามอยู่” กู่ฉิงซานกล่าว

“สงครามงั้นเหรอ?” แบรี่ยกคิ้วสูงขึ้น

“ใช่แล้ว โลกของผมได้ทำการผสานรวมเข้ากับโลกปรภพ เหมือนกับที่ได้บอกพวกคุณในช่วงก่อนหน้า ดังนั้นเวลานี้ ในโลกหกวิถีอื่นๆจึงเกิดความโลภ และต้องการที่จะยึดโลกของผมไปทำการผสานรวมกับโลกของพวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าว

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างเริ่มสนใจ

“ถึงนายจะเคยพูดให้ฟังแล้วก็เถอะ แต่ไม่ใช่ว่าโลกหกวิถีแต่เดิมมันมีอยู่แค่ในดินแดนอัศจรรย์หรอกเหรอ? จะไปมีที่แบบนั้นในโลกกระจัดกระจายได้อย่างไร?”

เสี่ยวเหมียวกล่าว “กู่ฉิงซาน เรื่องที่นายเพิ่งพูดไปฉันค่อนข้างสนใจมากทีเดียว ฉันรู้สึกว่าพวกเราคงไม่ไปแวะดู มันไม่ได้เสียแล้วล่ะ”

แบรี่คิดเกี่ยวกับมันและกล่าว “นั่นสินะ คงจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเรากลับไปที่นั่นพร้อมกับนาย และถ้ามันมีเรื่องอะไรที่ยากเกินไป ตัวฉันแบรี่ ในฐานะเจ้าของสมาคมก็จะช่วยแบ่งเบามันให้เอง!” แบรี่ตอบอย่างซื่อตรง

“ใช่ๆ นายเป็นสมาชิกของสมาคมของเรา แถมนายยังสามารถทำลายระบบของราชามารลงได้ ดังนั้นนายย่อมต้องมีอนาคตที่สดใสรออยู่ ฉะนั้นพวกเราจะไปกับนาย ไปจัดการปัญหาในโลกของนายให้เอง!” เสี่ยวเหมียวสนับสนุน

“พูดได้ดีนี่นาน้องพี่ เอาล่ะตกลงตามนี้นะ นี่คือการตัดสินใจของพวกเราสมาคมกำปั้นเหล็ก!” แบรี่ปรบมือ

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ตะลึงงัน แต่ขณะเดียวกันเขาก็มีความสุขมากทีเดียวต้องไม่ลืมนะว่าทั้งแบรี่และเสี่ยวเหมียวน่ะเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการของโลกเก้าร้อยล้านชั้น

แบรี่ได้ออกเดินทางไปทั่วทุกสถานที่เพื่อทำการช่วยเหลือโลกต่างๆ ต่อต้านอิทธิพลชั่วร้ายอย่างเต็มกำลัง จนเป็นที่เลื่องลือไปตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น

มิฉะนั้นเสี่ยวถายที่แม้จะได้กลายเป็นมารไปแล้ว คงไม่มีทางพยายามที่จะตอบแทนแบรี่ถึงขนาดนี้หรอก กระทั่งลอร่าที่ไม่ไว้ใจในตัวกู่ฉิงซาน ทันทีที่ได้ยินว่าเจ้าตัวมาจากสมาคมกำปั้นเหล็ก เธอก็ยังเลือกที่จะปรากฏตัวออกมา

กระทั่งนักธุรกิจและสมาคมต่างๆ ในตลอดทั้งหมื่นโลกา ยังอนุญาตให้พวกเขาติดหนี้ได้อย่างมหาศาล

เสี่ยวเหมียวได้ลงมืออย่างเต็มกำลังในสงครามครั้งนี้ เปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองออกมาต่อหน้าพวกเขา

ส่งผลให้แม้แต่ผู้อาวุโสของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงเอง ในช่วงเวลาวิกฤติของสงคราม ก็ยังต้องบินมาถามความคิดเห็นของเสี่ยวเหมียว เพื่อที่จะตัดสินสถานการณ์โดยรวมของสนามรบ

หลังจากสงครามครั้งนี้จบลง ผู้คนจึงต่างตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของทั้งสองพี่น้องคู่นี้ ว่าช่างโดดเด่นเพียงใด

คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมแล้วนะว่าสองคนนี้แข็งแกร่งถึงขนาดไหน?

แต่เวลานี้ พวกเขากลับเสนอตัวที่จะติดตามไปกับกู่ฉิงซาน! ในหัวใจของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดประโยคหนึ่งผุดขึ้นมา

‘ก็เอาสิ อยากจะรู้จริงๆ ว่าคราวนี้จะมีใครหน้าไหนกล้ามาแส่หาเรื่องกับฉันอีก!?’

………………………………….

“นี่คืออะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

แบรี่กล่าว “ทหารพิทักษ์บอกว่ามันคือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากราชินีหนามที่มอบให้แก่สมาชิกของสมาคม โดยให้ฉันเปิดมันหลังจากที่กลับมายังสมาคมอีกครั้ง”

“แล้วคุณก็เชื่อทหารพิทักษ์คนนั้นหรือ? คุณรู้จักกับเขาหรือเปล่า?”

“ไม่รู้จักหรอก แต่อีกฝ่ายเป็นคนของอาณาจักรหนามนี่นา พวกเขาคงไม่เล่นตุกติกอะไรมั้ง ยิ่งเป็นเสี่ยวเหมียวกับฉันแล้วด้วย พวกเขาคงไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก”

เสี่ยวเหมียวแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอเร่งเร้าแบรี่ “รีบเปิดมันสักทีสิ น้องอยากจะรู้แล้วนะว่าข้างในมันคืออะไร”

“ก็ได้ๆ”

แบรี่เปิดกล่อง

ทันทีที่กล่องถูกเปิดออก แสงจรัสพร่างพราวก็พวยพุ่งออกมา ตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า

แสงบนท้องฟ้า ขยุกขยิกเป็นรูปสัญลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

สัญลักษณ์เหล่านี้คล้ายกับว่าจะเป็นตัวกำหนดถึงอะไรบางอย่าง

สัญลักษณ์เปลี่ยนไปมาอยู่หลายลมหายใจ จนสุดท้ายก็หยุดลง

“นี่มันอะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

สีหน้าของเสี่ยวเหมียวหม่นลง “นี่คือตัวระบุพิกัดมิติและเวลาของสมาคมกำปั้นเหล็ก หากได้รับพิกัดนี้ไป อีกฝ่ายจะสามารถเชื่อมต่อกับเราได้ แม้ว่าจะไม่รู้จักกับเราก็ตามที”

“แต่การควบคุมทางเข้ามิติอนันต์ของโลกใบนี้น่ะอยู่ในมือของคุณไม่ใช่หรือ ตราบใดที่คุณไม่ให้พวกเขามา พวกนั้นก็ทำได้เพียงเฝ้ารอเราจากมิติรอบนอกเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

“นั่นก็จริงอยู่ แต่วิธีการไม่ชอบมาพากลแบบนี้ มันค่อนข้างทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดน่ะ”

หูของเสี่ยวเหมียวกระดิกไปมา คล้ายกับกำลังไม่พอใจ

สีหน้าของแบรี่เองก็ดูไม่ดีเช่นกัน

ในตอนที่สนทนากับทหารพิทักษ์ ชัดเจนว่าเจ้าสิ่งนี้คือของขวัญ แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นสิ่งที่ใช้ระบุพิกัดแทน แบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาถูกหลอกหรอกหรือ?

แบรี่งง “ถึงแม้ว่าจะได้พิกัดโลกของพวกเราไป แต่หากไม่ได้รับความยินยอมจากฉันหรือเสี่ยวเหมียว พวกเขาก็ไม่สามารถเข้ามาได้…เพราะงั้นฉันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมเผ่าพันธุ์หนามถึงเล่นตุกติกกับฉันแบบนี้”

กู่ฉิงซานเริ่มเค้นสมอง หลังจากคิดไปสักพักเขาก็เอ่ยปาก “หรือว่าบางที…อาจจะมีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นกับทริสเต้หลงเหลืออยู่ก็เป็นได้”

ทั้งสามคนมองหน้ากันและกัน และรู้สึกว่าสถานการณ์ค่อนข้างจะร้ายแรง

ในเวลานั้นเอง เสี่ยวเหมียวก็เบนสายตาออกไปและกล่าว “มีคนกำลังใกล้เข้ามาในโลกมิติอนันต์ของพวกเรา และกำลังขอให้ฉันอนุญาตให้เข้ามา”

เธอหลับตาลง ปากเอ่ยพึมพำ “ไหนมาดูกันหน่อย ว่าใครกันที่มันกล้าทำแบบนี้?”

แบรี่เองก็หลับตาลงเช่นกัน เพื่อเริ่มทำการรับรู้ถึงการเหนี่ยวนำมิติ

“ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกัน ว่าเจ้าพวกบ้านั่นกำลังพยายามจะทำอะไร” เสียงของเขาเริ่มรุนแรงขึ้น

แม้ว่าแบรี่จะไม่รู้จักวิธีใช้เทคนิคมนตรามิติ แต่อย่างไรเสียเขาก็คือเจ้าของโลกมิติอนันต์ ดังนั้นเขาย่อมสามารถรับรู้ได้ถึงการเชื่อมต่อและเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างโลกภายนอกกับโลกมิติอนันต์ของตนเองได้เลยโดยตรง

พี่ชายและน้องสาวหลับตาลง ใช้เวลาเพียงลมหายใจเดียว ทั้งสองก็มองเห็นถึงฉากด้านนอก

แบรี่น่ะเป็นผู้ที่มากประสบการณ์ ฝ่าลมฝนมามากมาย ขณะที่เสี่ยวเหมี่ยวเองก็ผ่านเรื่องราวอะไรมาเยอะเช่นกัน แต่ในช่วงเวลานี้ สีหน้าของทั้งสองคนกลับแสดงออกถึงความประหลาดใจและตกใจอย่างกะทันหัน

ทั้งสองลืมตาขึ้นพร้อมกัน

“พี่ชาย ฉันควรจะทำอย่างไรดี?” เสี่ยวเหมียวถาม

“มันดูไม่เหมือนว่าจะเล่นตุกติกอะไรนะ พวกเราปล่อยให้ผ่านเข้ามาเถอะ” แบรี่ขมวดคิ้ว

“เข้าใจแล้ว” เสี่ยวเหมียวรับคำ

เธอเริ่มท่องคาถา เปิดทางเข้ามิติอนันต์ และอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา

กู่ฉิงซานเฝ้ามองปฏิกิริยาของทั้งสอง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน

เขาเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

แต่แบรี่ไม่ได้ตอบตรงๆ เจ้าตัวเพียงผงกหัวให้มองขึ้นไปและกล่าว “ลองดูด้วยตาตัวเองสิ”

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมอง

เห็นแค่เพียงเรือขนาดใหญ่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

เอ๊ะ…ทำไมเรือเหาะลำนี้มันถึงได้ดูคุ้นตาจังเลยนะ

จริงสิ นี่มันเรือเหาะส่วนพระองค์ของราชินีหนามนี่นา!

ช่วงเวลาต่อมา กู่ฉิงซานก็เห็นหัวของอีเลียกับลอร่ายื่นออกมาจากระเบียงเรือ

ลอร่ายิ้มให้แก่เขา

เสี่ยวเหมียวอธิบายกับกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว “กองเรือแห่งอาณาจักรหนามกำลังเฝ้ารออยู่ด้านนอกทางเข้ามิติ แต่มีเพียงเรือของราชินีเท่านั้นที่ร้องขอที่จะเข้ามา ดังนั้นฉันเลยคิดว่ามันไม่น่าจะมีอันตรายอะไร”

“ใช่แล้วล่ะ เผ่าพันธุ์หนามไม่ได้คิดจะจัดการกับพวกเราหรอก เพราะพวกเขาเองไม่เคยมีปัญหาอะไรกับโลกมิติอนันต์มาก่อน” คิ้วของแบรี่ค่อยๆ คลายลง

เนื่องจากเป็นราชินีหนามที่มาเยี่ยมเยือนเป็นการส่วนตัว ดังนั้นอีกฝ่ายย่อมต้องมีเรื่องสำคัญยิ่งอย่างแน่นอน

พอมาถึงตอนนี้ แล้วย้อนนึกไปถึงเรื่องกล่องระบุพิกัดนั่น เกรงว่าแท้จริงมันคงจะมีไว้เพื่อช่วยให้ประหยัดเวลาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเล่นแง่ใดๆ

เมื่อคิดแบบนี้ สีหน้าของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็ดีขึ้นมาก

“แล้วพวกเราสมควรจะต้อนรับพวกเขาอย่างไรดี?” แบรี่ถาม

“คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็พวกเขามาอย่างกะทันหัน ทางเราเองก็ไม่ได้เตรียมอะไรไว้รับแขกเสียด้วย แค่เดินออกไปทักทายก็น่าจะพอแล้วนะ” เสี่ยวเหมียวกล่าว

ระหว่างสนทนา เรือใหญ่ก็ได้เทียบท่าลง

ราชินีแห่งหนามลอร่าในรูปลักษณ์สวมมงกุฎ และชุดคลุมประจำชาติที่งดงาม พร้อมคทาในมือ บินลงมาจากเรือใหญ่

เบื้องหลังเธอ คือเหมันต์ยามค่ำอีเลียและทหารพิทักษ์อีกกว่าสิบคนที่ติดตามมาอย่างใกล้ชิด

พวกเขาบินเข้ามาหาทั้งสมาชิกของสมาคมทั้งสาม

“อีเลีย เจ้าจงไปอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้แก่กำปั้นเหล็กแบรี่และเสี่ยวเหมียวฟังเสีย” ลอร่าสั่ง

“พ่ะย่ะค่ะ”

อีเลียก้าวออกมาข้างหน้า และเชิญแบรี่กับเสี่ยวเหมียวแยกตัวออกไป เพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างคร่าวๆ

ลอร่าเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน และเงยหน้าขึ้นมองเขา

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ก้มลงมองเธอ และหัวเราะออกมา

“ไหนสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไง” เขากระซิบเบาๆ

“แน่นอนว่ามันจะถูกเก็บเป็นความลับ ทหารพิทักษ์ที่เราพามาในโลกใบนี้ ทั้งหมดคือทหารที่ถูกเรียกตัวไปยังโลกสมบัติทั้งสิ้น” ลอร่าชี้ไปยังเบื้องหลังเธอ

ทหารพิทักษ์นับสิบมองมายังกู่ฉิงซาน ทุกคนยิ้มให้แก่เขาด้วยไมตรีจิต

กู่ฉิงซานเองก็ทักทายพวกเขากลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

หลังจากที่ได้ร่วมรบกัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มรู้จักคุ้นเคยกันเล็กน้อย

ลอร่าเอ่ยปากอีกครั้ง “แล้วอีกอย่าง แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็เป็นคนที่ไว้วางใจได้ ดังนั้นการจะบอกถึงความจริงนี้แก่พวกเขา ก็คงจะไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ?”

กู่ฉิงซานหันไปมองแบรี่กับเสี่ยวเหมียว

เห็นแค่เพียงเมื่อได้รับฟังเรื่องราวจากอีเลีย ทั้งสองก็ดูประหลาดใจมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ และบางช่วงจังหวะก็หันมามองดูกู่ฉิงซานเป็นครั้งคราว

“เอาล่ะ บอกพวกเขาไปก็คงไม่เป็นไรหรอก” กู่ฉิงซานเห็นด้วย

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ จู่ๆ บรรยากาศก็พลันเงียบลง

ทั้งสองต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมา

“เรา…ได้ลองคิดเกี่ยวกับมันอย่างจริงจังดูแล้ว” ลอร่าได้กล่าวทำลายความเงียบ

“หืม?”

“อันที่จริง เราได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่สองล่ะ เส้นทางที่ยากลำบาก และต้องท้าทายตัวเองอยู่เสมอ ค่อยๆเติบโตขึ้นและเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้…แบบนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหม” ลอร่าเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“ใช่ กระหม่อมก็คิดว่าแบบนั้น” กู่ฉิงซานพยักหน้ากล่าว

“ตอนนี้ เราได้เลือกหนทางของตัวเองแล้ว ดังนั้น…”

ลอร่าสูดหายใจลึกและกล่าวเสียงดัง “ดังนั้นโชคชะตาของเรา จากนี้ไปก็จะถูกกำหนดด้วยตัวเราเอง และเมื่อเราตั้งใจจะทำอะไรก็จะไม่มีใครมาหยุดเราได้”

“ในฐานะที่เราเป็นกษัตริย์แห่งหนาม หากเราปรารถนาสิ่งใด เราก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะไขว่คว้ามันมา แม้จักยากลำบาก แต่เราก็จะไม่สิ้นความพยายาม”

เธอรวบรวมความกล้า และกล่าวคำพูดในจิตใจทั้งหมดออกมาในลมหายใจเดียว

กู่ฉิงซานเฝ้ามองเธอ โดยไม่เอ่ยคำใดออกมาสักคำ

ลอร่าเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นถึงท่าทีตอบสนองใดๆ ของกู่ฉิงซาน เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะเสียศูนย์ไปเล็กน้อย

“กู่ฉิงซาน ที่เราพูดไปมันไม่ดีงั้นหรือ? เจ้าสามารถให้คำตอบที่ดีกว่านี้แก่เราได้นะ”

“จริงๆ แล้ว ประโยคเมื่อครู่นี้เราคิดทบทวนอยู่นานเชียวนะ กระทั่งก่อนที่จะมาถึง เราก็ทำการเปลี่ยนแปลงมันในใจ ให้ฟังดูดีขึ้นตั้งรอบสองรอบ…”

เด็กสาวตัวน้อยพึมพำด้วยความหงุดหงิด

กู่ฉิงซานที่รับฟังอย่างเงียบๆ ผุดรองยิ้มตรงมุมปากขึ้นมา

“ไม่หรอก พูดได้ดีมากเลย ดูสมกับที่เป็นราชินีขึ้นเยอะ” เขาหัวเราะ

“เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ?”

“ใช่ กระหม่อมไม่โกหกหรอก”

ลอร่ามีกำลังใจขึ้นทันที เธอกล่าวด้วยความสุข “ฮ่าๆ! เราว่าแล้วเชียว ว่าความคิดของเราต้องถูกต้อง!”

สิ้นประโยค เธอก็มอบลูกบอลคริสตัลให้แก่กู่ฉิงซาน

และเขาก็จดจำมันได้ทันที ว่านี่คือโลกสมบัติของทริสเต้

ในขณะนี้ โลกได้ถูกผนึกเอาไว้อีกครั้ง

แต่มันแตกต่างไปจากคราวก่อน ที่ตอนนี้ ภายในน่ะไม่มีผู้เข้าสู่วิถีมาร และไม่มีระบบของราชามารอยู่อีกต่อไป

โลกที่ประกอบไปด้วยสามชั้น

ชั้นเปลือกน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยพายุหิมะ

ชั้นมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยสีน้ำเงินเข้ม

และชั้นใต้ดินที่เหลือทิ้งไว้โดยทวยเทพ

นี่เป็นโลกอันแปลกประหลาด แต่ขณะเดียวกันก็ล้ำค่า เพราะมันเป็นโลกที่ครั้งหนึ่งเหล่าทวยเทพเคยอาศัย ซึ่งบางทีอาจจะมีความลับอื่นๆ ที่ยังมิได้ถูกขุดค้นหลงเหลืออยู่ก็เป็นได้

“เราจดจำได้ว่าเจ้าเคยให้สัญญากับมารสวรรค์เอาไว้ ว่าจะมอบโลกใบนี้ให้แก่เธอ” ลอร่ากล่าว

“เอ๊ะ…เคยมีเรื่องแบบนั้นด้วยรึเปล่านะ?”

“…เจ้าคนฉ้อฉล เจ้านักต้มตุ๋นตัวยง อย่าแกล้งพูดแบบนั้นสิ ถ้าเธอมาได้ฟังเดี๋ยวจะรู้สึกเศร้านะ”

กู่ฉิงซานอธิบาย “อันที่จริงแล้วกระหม่อมกำลังมองหาวิธีอื่นที่จะตอบแทนเธออยู่พอดี แต่ถ้าฝ่าบาทต้องการมอบโลกใบนี้ให้จริงๆ มันก็เหมือนกันการช่วยกระหม่อมแก้ปัญหาไปได้อีกเปลาะหนึ่ง”

“แน่นอนว่าเราต้องการมอบมันให้เจ้า ก็เจ้าได้ช่วยเราเอาไว้ตั้งหลายครั้ง กับแค่โลกใบเดียวน่ะ มันเทียบไม่ได้กับชีวิตของราชินีแห่งหนามหรอกใช่ไหม?”

บอลคริสตัลถูกยัดใส่มือของกู่ฉิงซาน

แล้วในเวลานั้นเอง การแสดงออกของลอร่าก็กลายเป็นจริงจังมากขึ้น

“จำได้หรือไม่ ว่าเราเคยสัญญา ว่าหากเจ้าสามารถช่วยเราเอาชนะระบบของราชามาร ช่วยเราโค่นทริสเต้ ล้างแค้นให้กับเราได้ เราจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นเอิร์ลแห่งอาณาจักรหนาม”

พูดจบ เธอก็หยิบตราสีมรกตออกมา และกำมันไว้ในฝ่ามือตัวเองอย่างอ่อนโยน

“เรารู้ดีว่าหากประกาศออกไป ประกาศว่าจะมอบตำแหน่งเอิร์ลแห่งอาณาจักรหนามให้แก่บุคคลภายนอก มันจะเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนไปตลอดทั้งหมื่นโลกา”

“แต่เราก็รู้ด้วยเช่นกันว่าเจ้าไม่อยากจะแบกรับชื่อเสียงที่มันมากจนเกินไป”

“ตอนนี้ เราเลยอยากจะทำข้อตกลงกับเจ้า -”

“กู่ฉิงซาน เมื่อวันหนึ่งเจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากสิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าเต็มใจที่จะรับตำแหน่งเอิร์ลแห่งอาณาจักรหนามหรือไม่”

คล้ายกับกลัวที่จะถูกปฏิเสธจากกู่ฉิงซาน ลอร่าจึงเร่งเอ่ยเสริม “วางใจเถอะ ก่อนที่เจ้าจะยอมรับมัน ทุกคนวงในที่รู้เรื่องนี้จะเก็บมันไว้เป็นความลับ”

กู่ฉิงซานหัวเราะ “กว่าจะพิจารณาได้ถึงขั้นนี้ ท่านคงจะคิดมาหนักไม่น้อยเลยล่ะสิใช่ไหม”

“เจ้าพูดแบบนี้ก็หมายความว่า…” ลอร่ามองเขาด้วยความลังเล

กู่ฉิงซานเดินมาหยุดที่ตรงหน้าลอร่า และคุกเข่าข้างหนึ่งลงอย่างช้าๆ

ใบหน้าของลอร่าเผยถึงรอยยิ้มแย้มทันที

ฉากนี้ มันคล้ายกันกับในพื้นที่ราบลุ่ม ที่เขาได้ปฏิญาณกับเธอ ว่าจะนำพาเธอสู่สนามรบ

ช่วงเวลานั้น หลังจากคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้ว กู่ฉิงซานก็ผุดลุกขึ้น หันไปเผชิญหน้ากับศัตรู

ภายใต้สถานการณ์แห่งความสิ้นหวัง เขาได้นำพาเด็กสาวคว้าจับแสงสว่าง ฉุดรั้งตนเองขึ้นจากหุบเหวแห่งความมืดมิด

นับจากช่วงเวลานั้นมา เด็กสาวก็เฝ้าคิดอยู่ตลอดเวลา ว่าจะต้องตอบแทนเขาเป็นอย่างดี

ลอร่าติดตราสัญลักษณ์บนหน้าอกของกู่ฉิงซานด้วยตัวเธอเอง

เธอกดมือน้อยลงบนตราสัญลักษณ์ และเริ่มท่องคาถาอย่างเงียบๆ

เมื่อคาถาเริ่มดังขึ้น ณ ภายในสถานที่ห่างไกลไปกว่าพันล้านโลก รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามก็ค่อยๆ เริ่มประทับเป้าหมายลงบนตัวของกู่ฉิงซาน

เจตจำนงของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามตกลงมายังที่นี่

มันมาคอยเป็นพยานถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลานี้

ลอร่าสูดหายใจลึก และเอ่ยออกมาดังๆ “ภายใต้สายตาแห่งประจักษ์พยานของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม พวกเราจะทำการบรรลุข้อตกลงกัน ดังต่อไปนี้”

“หากวันใดวันหนึ่งในอนาคต เมื่อกู่ฉิงซานพร้อมและต้องการ เขาจะสามารถกลายเป็นเอิร์ลของอาณาจักรหนามได้เลยในทันที”

“ข้อตกลงดังกล่าวถูกร่างขึ้นด้วยกันโดยราชินีแห่งหนามลอร่ากับกู่ฉิงซาน”

“กู่ฉิงซาน เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”

เธอมองไปยังกู่ฉิงซาน

ขณะเดียวกัน เจตจำนงอันเข้มข้นของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ก็ตกลงมาหลอมรวมกันอยู่ที่กู่ฉิงซาน

แบรี่ เสี่ยวเหมียว อีเลีย และแม้กระทั่งทหารพิทักษ์ยังถึงขั้นลืมหายใจ เฝ้ามองเป็นประจักษ์พยานในช่วงเวลาอันมีค่านี้

กู่ฉิงซานยังคงคุกเข่าข้างหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองลอร่า ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา

“ตามที่ท่านปรารถนา องค์กษัตริย์”

………………………………………….

ในอัลเบอัส

เมื่อทริสเต้ถูกจับ อีเลียก็ทำการเรียกกองทัพของอาณาจักรมาสมทบทันที

กำลังพลทั้งหมดยกทัพออกจากอาณาจักรหนาม และกระจายตัวปิดล้อมตลอดทั้งโรงแรมอันมีชื่อเสียงแห่งนี้โดยสมบูรณ์

ตอนนี้ อัลเบอัสจึงอยู่ในการป้องกันเฉกเช่นเดียวกับป้อมปราการเหล็กกล้า!

และการมอบของรางวัลจากราชินีหนามก็กำลังเริ่มขึ้น

กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ ติดตามแบรี่กับเสี่ยวเหมียวเข้าสู่ห้องโถง

เนื่องจากข้อจำกัดของสถานที่แห่งนี้ ทำให้ในโถง จะมีเฉพาะเพียงตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการและผู้นำองค์ใหญ่ๆ เท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้

อย่างไรก็ตาม ทางเผ่าพันธุ์หนามก็มิได้กีดกัน หรือป้องกันวิธีการต่างๆ ที่สามารถใช้เฝ้าดูสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในแต่อย่างใด

แม้แต่โลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้น ก็ยังมีโลกอีกมากมายที่กำลังรับชมพิธีมอบรางวัลของราชินีอยู่เช่นกัน

เพราะดินแดนอัศจรรย์นั้น เพียงได้ยินชื่อก็สัมผัสได้ถึงมนต์ขลังแล้ว!

แน่นอน ว่าผู้คนไม่เพียงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับดินแดนนี้ แต่ยังต้องการที่จะเห็นรางวัลที่ราชินีหนามจะประทานให้ในครั้งนี้เช่นกัน!

ราชินีลอร่ากุมคทาในมือ นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ ด้วยท่วงท่าที่ดูสง่างามและทรงเกียรติ

ส่วนเหล่าตัวตนทรงอำนาจ เมื่อถูกขานชื่อแล้ว พวกเขาก็จะเดินเข้ามายังเบื้องหน้าของลอร่า เพื่อรับรางวัลและคำสรรเสริญจากเธอ

หากเป็นกองกำลังที่ทั้งสองฝ่ายมิเคยได้ติดต่อกัน หรือเคยติดต่อกันแค่นิดหน่อย ผู้มารับรางวัลจะทำแค่เพียงน้อมกายโค้งคารวะลงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่หากผู้ที่เข้ามารับรางวัลเป็นคนที่ติดต่อกับทางวิคหนามอยู่บ่อยครั้ง และรู้จักกับลอร่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ ตัวตนทรงอำนาจเหล่านั้นก็จะคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อแสดงไมตรีที่มีต่อกัน

ตลอดทั้งพิธีดำเนินการไปอย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบ การแสดงของลอร่าช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนทรงอำนาจทุกคน ลอร่าสามารถสนทนาได้อย่างลื่นไหล สุภาพและเหมาะสม…แม้ว่าจะมีอีเลียคอยกล่าวย้ำเตือนอยู่เบื้องหลังก็ตาม แต่ในฐานะกษัตริย์ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ การที่สามารถสนทนาทางการทูตได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ ก็นับว่าสุดยอดไปเลยมิใช่หรือ?

เมื่อรางวัลทั้งหมดถูกมอบจนสิ้น อีเลียก็ก้าวออกมา

เธอบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าทุกคน

ว่าทริสเต้ทรยศราชวงศ์อย่างไร และสังหารกษัตริย์องค์ก่อนลงด้วยวิธีใด

และลอร่าซ่อนตัวอย่างไร

รวมไปถึงวิธีการที่เธอเข้าสู่โลกของทริสเต้ และค้นพบว่าเชื้อไฟกำลังแพร่กระจาย

ในที่สุดเธอก็งัดสมบัติบางอย่างออกมา จัดตั้งมัน เฝ้ารอซุ่มโจมตี และสามารถสังหารสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารได้ในคราเดียว

เมื่อไร้ซึ่งผู้ดาวน์โหลด เชื้อไฟก็ถูกทำลายลง

ใช่ ฟังไม่ผิดหรอก อีเลียสังหารหมู่ผู้เข้าสู่วิถีมารไปกว่าสองร้อยล้านคน แต่กลับแทบจะไม่มีใครตำหนิเธอเกี่ยวกับมันเลย

เพราะไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เลือกจะไปซบอกระบบของราชามาร คนผู้นั้นก็จักถูกกำหนดให้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโลกเก้าร้อยล้านชั้น!

ตามบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้เข้าสู่วิถีมารจะสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วโดยการสังหารสิ่งมีชีวิตในโลกอื่นๆ พวกมันไม่รับฟังหรือทำตามกฎเกณฑ์ใดๆ ของตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นเลย ซึ่งนั่นเป็นปัญหาที่น่าปวดหัวไม่น้อย

ส่งผลให้พวกมันนี่แหละ ที่เป็นตัวการล้มล้างทุกกฎเกณฑ์ที่ทุกคนอุตส่าห์ร่วมกันสร้างมันขึ้นมา!

ดังนั้นสำหรับผู้ที่เลือกเข้าสู่วิถีมาร ไม่ว่าจะเป็นคนไร้อำนาจหรือตัวตนทรงอำนาจ ก็ไม่มีใครเห็นใจพวกมัน!

แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้ที่มิได้เลือกเข้าสู่วิถีมาร สามารถต่อต้านต่อการล่อลวงขอเชื้อไฟได้ แม้สุดท้ายจะถูกสังหารโดยผู้เข้าสู่วิถีมารก็ตาม หนุ่มสาวผู้กล้าหาญทั้งหมดเหล่านั้นก็ได้ถูกนับจำนวนโดยเทคนิคมนตราของอีเลีย

สำหรับบุคคลเหล่านี้ ทางอาณาจักรหนามจะทำการมอบเงินช่วยเหลือจำนวนมากให้ เมื่อให้แน่ใจว่าครอบครัวของผู้เสียชีวิตจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไร้ซึ่งความยากลำบากใดๆ

เท่านี้ ทุกอย่างก็เป็นอันจบเรียบร้อย

ทริสเต้ และบรรดาผู้สมรู้ร่วมคิดของเธอถูกนำตัวมา

อีเลียเดินไปยังบัลลังก์กษัตริย์ คุกเข่าลงกับพื้นและกล่าว “ฝ่าบาทโปรดบัญชา”

ลอร่าพยักหน้า

ก่อนหน้านี้เมื่อเธอต้องพบปะกับเหล่าตัวตนทรงอำนาจ เด็กสาวมักจะแขวนรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรและไม่แสดงกิริยาหยาบคายใดๆ ออกมา

แต่เวลานี้ สีหน้าของเจ้าตัวกลับเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง

“ผู้สมรู้ร่วมคิดกับทริสเต้ทั้งหมดจะต้องถูกประหารชีวิตลง”

“รับทราบ”

ด้วยคำสั่งของราชินี องครักษ์ที่ร่วมมือกับทริสเต้ คอยช่วยเหลือเธอไล่จับตัวลอร่า ทั้งหมดก็ได้ถูกตัดหัวลงในสถานที่แห่งนั้นทันที

ศพแล้วศพเล่าร่วงกระแทกลงกับพื้น

“ฝ่าบาท ตอนนี้เหลือแค่ทริสเต้แล้ว” อีเลียรายงาน

“ลงทัณฑ์เสีย” ลอร่าเอ่ยเสียงเย็นออกมาเพียงสามคำสั้นๆ

“รับบัญชา” อีเลียตอบรับ

ในความว่างเปล่า กิ่งก้านและใบของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น

ภายใต้เสียงกรีดร้องหวาดกลัวด้วยความสิ้นหวังของทริสเต้ เถาวัลย์นับไม่ถ้วนได้ทิ่มแทงเข้าไปในหัวของเธอทันที

เถาวัลย์เหล่านี้ค่อยๆ แพร่กระจายไปตามร่างกายส่วนต่างๆ ของหญิงสาว ก่อนจะเริ่มปรากฏหมู่มวลดอกไม้นานาชนิดผุดขึ้นตามร่างกายของเธอ

นี่คือความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เป็นการลงทัณฑ์อย่างไร้ซึ่งมนุษยธรรม

โดยผู้ที่ได้รับการลงทัณฑ์ดังกล่าว จะต้องถูกทรมานทั้งร่างกายและจิตในอยู่ตลอดทุกนาที และในทุกๆ วินาทีก็จะจมอยู่ในความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุด ชนิดที่ว่าแม้กระทั่งอยากจะนึกคิดสิ่งใดในสมอง ก็มิอาจทำได้

ผู้รับชมตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นบังเกิดความหนาวเหน็บกัดกินเข้ามาในจิตใจของพวกเขา

เพราะฉากการลงทัณฑ์โดยรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามที่ปรากฏอยู่นี้

เพียงแค่มองก็รู้ว่าในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น ย่อมไม่มีใครสามารถต้านทานมันได้เลย!

ไม่ว่าใครก็มิอาจหลุดพ้นไปจากการลงทัณฑ์ดังกล่าวนี้ไปได้!

ในขณะที่ผู้คนกำลังเฝ้าดูฉากถูกทรมานของทริสเต้ ราชินีแห่งหนามก็ได้เปล่งวาจาบางอย่างที่ทำให้จิตใจของทุกคนต้องสั่นสะท้านออกมา

“อีเลีย จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าห้ามยกเลิกการลงทัณฑ์นี้โดยเด็ดขาด จนกว่าจะครบหนึ่งพันปี”

“พ่ะย่ะค่ะ!” อีเลียตอบ “หากในกรณีที่ครบหนึ่งพันปีแล้วล่ะเจ้าคะ?”

“หลังจากพันปีต่อมา ก็ค่อยเปลี่ยนเป็นการลงทัณฑ์ชนิดอื่นแทน”

“รับด้วยเกล้า ฝ่าบาท”

สำหรับในช่วงเวลานี้ ตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นราวกับจมสู่ความเงียบงัน

กระทั่งบรรดาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน สูญเสีย และบอบช้ำเนื่องจากแผนการของทริสเต้ เมื่อได้เห็นโศกนาฏกรรมที่เจ้าตัวต้องเผชิญ ต่างก็ไร้ซึ่งคำใดจะกล่าว

อย่างแรกเลย พวกเขาราวกับได้รับการปลดเปลื้องซึ่งความแค้น

อย่างที่สอง พวกเขากลับบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ

นี่คือความหวาดกลัวอย่างแท้จริง…จักต้องถูกทัณฑ์ทรมานไม่หยุดนับพันปี โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ตกตาย หลังจากนั้นก็ยังคงถูกทรมานอีกรอบ เมื่อได้ยินแบบนี้ แล้วใครเล่าจะไม่หวาดกลัว?

ตั้งแต่ช่วงเวลานี้เป็นต้นไป

ชื่อของราชินีหนามรุ่นปัจจุบัน จะถูกกล่าวขวัญไปตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นในฐานะผู้เอื้อเฟื้อ ประทานรางวัลอันแสนเลอค่าให้เหล่าวีรบุรุษ แต่ขณะเดียวกัน ก็จะถูกเล่าลือในฐานะผู้เลือดเย็นที่สั่งลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยมเช่นกัน!

หลังจากจบเรื่องของทริสเต้ พิธีของราชินีแห่งหนามก็ได้สิ้นสุดลง

ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน ราชินีลอร่าได้ถูกโอบล้อมโดยเหล่ารัฐมนตรีของอาณาจักรหนาม ขุนนาง และทหารพิทักษ์ คอยคุ้มกันเดินออกจากห้องโถงไป

สำหรับเผ่าพันธุ์หนาม เรื่องราวทั้งหมดได้จบลงแล้ว

พวกเขาคุ้มกันราชินีของตนเอง ขึ้นไปยังเรือใหญ่ของอาณาจักรหนาม และเดินทางกลับไปยังดินแดนอัศจรรย์

ส่วนสำหรับผู้คนทั้งหมดที่เข้าร่วมสงคราม ทุกอย่างจบลงด้วยชัยชนะ

ตลอดทั้งอัลเบอัสถูกโยนลงสู่งานรื่นเริงครั้งใหญ่

ท่ามกลางเสียงอึกทึก ตลอดทั้งจัตุรัสเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

กู่ฉิงซานเฝ้ามองขบวนเรือบินลอยตัวขึ้นเหนือท้องฟ้าของอัลเบอัส เรือที่ค่อยๆ ลอยหายเข้าไปสู่ท้องฟ้าอันห่างไกลที่เต็มไปด้วยแสงดาว

เรือของกองทัพอาณาจักรหนามได้จากไปแล้ว

เรือที่มีลอร่าอยู่ที่นั่น

เฝ้ารอจนกระทั่งกองเรือลับหายลับไป กู่ฉิงซานจึงค่อยถอนสายตากลับคืน

เขาถอนหายใจ

นับจากนี้ไปเด็กสาวจะต้องก้าวเดินเพียงลำพัง

แต่ก่อนที่ตนเองจะแข็งแกร่งขึ้น มันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถช่วยเหลือเรื่องใดๆ แก่เธอได้อีก

“เฮ้กู่ฉิงซาน”

มีคนเรียกเขาจากเบื้องหลัง

กู่ฉิงซานหันกลับไปมอง และพบว่าเป็นเสี่ยวเหมียว

เธอกับแบรี่เดินออกจากห้องโถง และตรงมายังเขา

“นายไม่ไปดื่มกับคนอื่นๆ หรือ ฉันนึกว่านายเป็นนักดื่มตัวยงเสียอีก” เสี่ยวเหมียวถาม

“อืม พอดีว่าผมยังไม่มีอารมณ์แบบนั้นในตอนนี้ ว่าแต่ที่พวกคุณแยกตัวออกมานี่เพราะจะกลับแล้วงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานถามกลับ

“พอดีว่ามีเรื่องเร่งด่วน ทำให้พวกเราจะต้องรีบกลับไปในสมาคมทันที” แบรี่ตอบ

“เรื่องเร่งด่วน?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำด้วยความประหลาดใจ

ตอนนี้ สงครามก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว เรื่องราวทุกอย่างสมควรจะจบลง แล้วยังจะมีอะไรเร่งด่วนอีก?

“ใช่ มันเป็นเรื่องเร่งด่วนมากเสียด้วย”

ขณะกล่าว แบรี่ก็เหลือบไปมองเสี่ยวเหมียววูบหนึ่ง พร้อมกันเผยถึงรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า

“กลับกันเถอะ” เสี่ยวเหมียวเดินมาตรงหน้ากู่ฉิงซาน และส่ายมือข้างที่สวมแหวนวงใหม่ให้เขาเห็น “ตอนนี้ ฉันสามารถพานายกลับไปได้เลยในทันที”

หนึ่งมือคว้าจับแบรี่ อีกหนึ่งคว้าจับกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยร่ายมนตรางึมงำ

เปรี้ยง!

และทั้งสามก็หายไปจากอัลเบอัสโดยตรง

ณ โลกมิติอนันต์

ภายในสมาคมกำปั้นเหล็ก

ร่างทั้งสามปรากฏตัวขึ้น และค่อยๆ ลดระดับลงจากกลางอากาศ

เมื่อหยั่งเท้า กู่ฉิงซานก็ยืนนิ่งและหันไปมองรอบๆ

โลกทั้งใบเงียบสงบ

ในสมาคมว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดอยู่เลย

เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าไปในสมาคม และกวาดไปรอบนอกอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่พบสิ่งใด

“ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติเลย พวกเราจะรีบกลับมากันทำไมหรือ?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม

แบรี่ไม่ตอบทันที เขาค่อยๆหยิบกล่องใบเล็กอันประณีตออกมาอย่างระมัดระวัง

“หลังจากที่จบพิธีของราชินี ในตอนที่ฉันกำลังจะออกมา ทหารพิทักษ์ก็แอบนำเจ้าสิ่งนี้มามอบให้แก่ฉันอย่างเงียบๆ” เขากล่าว

……………………………………………

จอมมารทะเลเลือดนั่งอยู่ริมขอบสระน้ำพุของโรงแรมอัลเบอัส

เขาโยนเศษอาหารลงไปให้ปลาในสระแหวกว่ายขึ้นมากิน

“งั้นข้าขอตัวก่อนล่ะ”

เขายกสองมือขึ้นมาปัดเศษอาหาร และกล่าวกับฝูงชน

เสี่ยวเหมียวเตือน “นายจะไปตอนนี้เลยหรือ? ราชินีแห่งหนามกำลังจะกล่าวยกย่องและมอบรางวัลให้กับทุกคนนะ นายไม่อยากได้มันหรือ?”

“นั่นมันก็แค่วิธีการซื้อใจผู้คนไม่ใช่หรือไง” จอมมารทะเลเลือดส่ายหัว “ได้ยินมาว่าราชินีหนารุ่นนี้เป็นแค่เด็กตัวจ้อยเท่านั้นเอง แล้วจะให้คนอย่างข้า ไปก้มหัวคารวะให้เด็กน้อยอย่างงั้นหรือ?”

แต่แล้วจู่ๆ ทะเลเลือดก็ราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง และหันไปมองกำปั้นเหล็กแบรี่

“มีอะไร?”

แบรี่ที่ถูกมองเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทันที

ทะเลเลือดกล่าวเสียดสี “นั่นสินะ ข้าก็ลืมไปเลยว่าแบรี่ผู้น่าสงสารติดหนี้อยู่เป็นจำนวนมหาศาล กระทั่งโลกมิติอนันต์ของตัวเองก็เกือบต้องเอาไปจำนอง จุๆๆ แบรี่ผู้ยากไร้เอ๋ย ในเมื่อเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นการก้มหัวคารวะให้แก่เด็กตัวน้อยๆ คงไม่นับว่าเป็นสิ่งใดสินะ ”

แบรี่กำหมัดแน่นทันที

ขณะเดียวกัน ในหูของเขาก็เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง…เหล่าตัวตนทรงอำนาจรอบตัวเขาส่งเสียงมาในเวลาเดียวกัน

“อัดมันเลยไหม?”

“ใช้โอกาสที่พวกเราอยู่ด้วยกันนี่แหละ รุมตีมันเลย”

“แบรี่ ถ้าแกเปิด ฉันตามแน่ๆ”

“เจ้าหมอนั่นสมควรที่จะถูกต่อยให้สมองกลับมาปกติเสียบ้าง”

“ส่งสัญญาณมา แล้วพวกเราจะกระโจนเข้าใส่มันพร้อมกัน”

“ไอ้ทะเลเลือดมันต้องได้รับบทเรียน!”

“ถ้าคุณไม่ตีเขาตอนนี้ โอกาสต่อไปที่จะลงมือคงไม่มีอีกแล้วนะมิสเตอร์แบรี่”

แบรี่พอได้ยินเสียงมากมาย เขาก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง

แต่สุดท้ายก็ฝืนยิ้มออกมาและกล่าว “นี่ทะเลเลือด นายไม่ลองพยายามทำอะไรดึงดูดให้คนอื่นๆ ชอบในตัวนายขึ้นมาบ้างซักเล็กๆ น้อยหน่อยหรือ?”

เมื่อเขากล่าวประโยคนี้ออกมา เหล่าตัวตนทรงอำนาจโดยรอบก็ถอนหายใจพร้อมกันทันที

ดูเหมือนว่าการรุมกระทืบในครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นเสียแล้ว

ตัวตนทรงอำนาจอีกคนส่ายหัวและกล่าว “แบรี่ อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย ต่อให้วันสิ้นโลกมาถึง สันดานของเจ้าทะเลเลือดก็ยังเหมือนเดิม ดัดไม่ได้อยู่ดี”

“โทษทีนะ เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า” จอมมารทะเลเลือดกล่าวอย่างจริงจัง “ทำไมข้าต้องไปทำให้คนอื่นพอใจด้วย ในเมื่อหลักการของข้า…”

ขณะกำลังกล่าว เห็นแค่เพียงทหารพิทักษ์แห่งหนามวิ่งเข้ามา และยื่นกระดาษขึ้นต่อหน้าเขา

“นี่อะไร?” จอมมารทะเลเลือดสงสัย

“ใบรายการในหน้าที่เก้าสิบเอ็ดคือรางวัลที่องค์กษัตริย์จะมอบให้แก่ท่าน ได้โปรดลองตรวจสอบดูก่อนว่า ท่านมีข้อเสนอใดๆ จะเพิ่มเติมเกี่ยวกับมันหรือไม่” ทหารพิทักษ์กล่าวด้วยความเคารพนับถือ

หน้าที่เก้าสิบเอ็ด…

จอมมารทะเลเลือดอดไม่ได้ที่จะเปิดดูมัน และกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว

เห็นแค่เพียงแสงและเงาสว่างขึ้นมาจากบนกระดาษ ฉายถึงไพ่ใบหนึ่ง

มันคือไพ่ที่แปลกประหลาด

ตรงบริเวณขอบไพ่ เป็นธารเลือดที่กำลังเดือดพล่าน ขณะเดียวกันด้านหลังของมันก็เป็นสีแดงเข้ม

ส่วนหน้าไพ่ ปรากฏถึงรูปของหญิงงามที่ถูกวาดอยู่

เป็นหญิงงามอันน่าทึ่ง งดงามอย่างถึงที่สุด

เธอกำลังหลับตาลงราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ มันไม่คุ้มค่าที่จะให้สายตาของเธอต้องแปดเปื้อน

อย่างไรก็ตาม เสน่ห์อันงดงามไร้ที่สิ้นสุดก็ยังคงถูกปลดปล่อยออกมาจากทั่วร่างกายเธอตลอดเวลา

หากคุณไม่ได้เห็นไพ่ใบนี้ด้วยตาตนเอง เกรงว่าอธิบายไปก็คงจะไม่เชื่อว่าเวลานี้ทะเลเลือดกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ตื่นเต้นเพียงใด

จอมมารทะเลเลือดมองดูไพ่ในแสงและเงา ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน

“ใช่ ข้ารู้จักเธอ”

เขาบ่นพึมพำกับตนเอง แม้จะแผ่วเบาและแหบแห้ง แต่ก็สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นที่แผ่ออกมา

นี่คือหนึ่งในสามไพ่ที่ลึกลับที่สุดในสำรับไพ่ทะเลเลือด

เมื่อไหร่ก็ตามที่ไพ่ใบนี้ถูกเปิดใช้งาน ไพ่ทั้งหมดที่เพิ่งใช้ไปในการต่อสู้ก็จะถูกสร้างขึ้นอีกครั้งจากทะเลเลือด และกลับคืนสู่มือเจ้าของผู้ใช้ไพ่ทันที

หากครอบครองไพ่ใบนี้ จะเทียบเท่าได้กับผู้ใช้ไพ่มีสำรับไพ่ของตนเองเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง!

จอมมารทะเลเลือดถอนหายใจและส่งใบรายการคืนให้แก่ทหารพิทักษ์

“เข้าใจแล้ว ข้าตรวจสอบมันเรียบร้อยแล้ว”

“ท่านมีข้อเสนอแนะใดๆ หรือไม่?” ทหารพิทักษ์เอ่ยถาม

“ไม่มี…” ทะเลเลือดเอ่ยหนักแน่น

“รับทราบแล้ว เช่นนั้นกระผมขอตัวก่อน”

ทหารพิทักษ์โค้งคำนับเขา หันหลังและจากไป

ทหารพิทักษ์ก้มลงมองใบรายการเพื่อค้นหาตัวตนทรงอำนาจอันดับต่อไป

จอมมารทะเลเลือดนิ่งงันอยู่ในจุดเดิมไปพักหนึ่ง

“แบรี่ ข้ามีคำถาม” เขากล่าว

“ว่าไง?” แบรี่ตอบ

“เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับสกิลของราชินีหนามที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่ สกิลที่สามารถแจกจ่ายยุทโธปกรณ์ให้แก่ทุกคนในสนามรบได้”

แบรี่ไม่คาดคิดว่าทะเลเลือดจะถามคำถามนี้ เขาครุ่นคิดและกล่าว “อืม…เป็นสกิลที่ทรงประสิทธิภาพมากจริงๆ ถ้าใช้มันในระหว่างสงครามล่ะก็ คงจะเป็นสกิลที่มีบทบาทสำคัญมากทีเดียว”

จอมมารทะเลเลือดพยักหน้า “ข้าเองก็ไม่เคยเห็นสกิลแบบนั้นมาก่อนเลย ดูเหมือนว่าราชินีตัวน้อยก็จะมีดีอยู่บ้างเหมือนกัน ดังนั้น ข้าเลยคิดว่ารอเข้าพบสักหน่อยคงจะไม่เป็นไร”

เขากล่าวกระซิบ “นอกจากนี้ยังมีเหมันต์ยามค่ำอีเลียที่สามารถทำลายระบบของราชามารลงได้อีก เธอจะเป็นตัวตนเช่นไรกันนะ นี่ก็คุ้มค่าที่จะให้ข้าเสียเวลาพบเจอเช่นกัน…”

ขณะกล่าว ทะเลเลือดก็เดินแหวกตัวผ่านฝูงชน ตรงเข้าไปยังทิศทางของห้องโถง

ซึ่งตรงส่วนนั้นคือล็อบบี้ของโรงแรมอัลเบอัส ที่บัดนี้ถูกจัดไว้เป็นที่รองรับชั่วคราวสำหรับเหล่าฮีโร่อันทรงเกียรติที่เข้าร่วมสงครามครั้งนี้

แบรี่และคนรอบตัวเขาหันมามองหน้ากันและกันด้วยความตกใจ

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ทำไมจู่ๆ เขาถึงเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว” แบรี่เปิดประเด็น

เสี่ยวเหมียวเองก็ประหลาดใจเช่นกัน “เขาเดินเข้าไปในห้องโถง เหมือนกับว่าเตรียมพร้อมที่จะก้มหัวรับรางวัลจากราชินีหนามแล้ว”

ตัวตนทรงอำนาจรอบๆ ต่างก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ทันใดนั้นเอง คนหนึ่งก็กระซิบออกมา “ฉันว่ารางวัลของราชินีจะต้องดีมากแน่ๆ เลย”

เหล่าตัวตนทรงอำนาจนิ่งงันไป

คงไม่ผิดแล้ว มันจะต้องเป็นของดีมากอย่างแน่นอน

ย้อนนึกไปถึงทัศนคติก่อนหน้านี้ของทะเลเลือด แล้วกลับมาดูท่าทีของเขาในปัจจุบัน ข้อข้องใจในหัวใจของทุกคนก็กระจ่างชัด

“ไอ้คนกลับกลอกโลภมาก…”

พวกเขาสบถด่าในความคิดอย่างเงียบๆ

เวลานั้นเอง เสี่ยวเหมี่ยวก็รู้สึกถึงบางอย่าง และหันไปยังทิศทางหนึ่ง

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่กำลังเดินมาอย่างช้าๆ

“กู่ฉิงซาน ฉันได้ฟังเรื่องของนายจากเลดี้เทสส์แล้วนะ โชคดีจริงๆ ที่นายออกมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยความสุข

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ที่ผมทำก็แค่ซ่อนตัวอยู่ในอัลเบอัสเท่านั้นเอง แต่เป็นฝั่งคุณต่างหากที่น่าเป็นห่วง ได้ยินมาว่าได้เข้าร่วมสงครามอันตรายมากๆ ด้วยนี่”

แบรี่กวาดสายตามองกู่ฉิงซานขึ้นลงๆ เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังปลอดภัยดี ก่อนจะหัวเราะออกมา “เอาเหอะ โชคดีจริงๆ ที่นายปลอดภัย ฉันก็กลัวว่าจะต้องสูญเสียคนที่เพิ่งเข้าร่วมสมาคมไปเสียแล้ว”

เขาเดินไปตบไหล่ของกู่ฉิงซาน และลากตัวกู่ฉิงซานไปแนะนำให้เพื่อนๆ ของเขารู้จักทีละคน ทีละคนด้วยตัวเอง

แม้พื้นฐานวรยุทธ์ของกู่ฉิงซานจะไม่สูงอะไรมากมายนัก แต่อายุของเขาก็ยังน้อยอยู่มาก

ผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถก้าวขึ้นเป็นขอบเขตร่างเทวะด้วยอายุเพียงเท่านี้  ไม่ว่าจะมองมุมไหน เจ้าตัวก็นับว่าไร้ที่ติ

นอกจากนี้ กู่ฉิงซานยังได้รับการยอมรับจากแบรี่และเสี่ยวเหมียว ทำให้ตัวเขาดูมีค่ามากยิ่งขึ้น

เหล่าตัวตนทรงอำนาจต่างยิ้ม และกล่าวทักทายเขา

ทั้งหมดเคยข้ามผ่านทุกประสบการณ์อันหลากหลายในต่างโลกมามากมาย ได้พบเจอกับผู้คนมานับไม่ถ้วน ดังนั้นยิ่งได้สนทนากันมากขึ้นเท่าใด ทุกคนต่างก็เริ่มชื่นชมในตัวชายหนุ่มคนนี้มากขึ้นเท่านั้น

“อาจริงสิ แบรี่ ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ดูเหมือนว่าการเรียกขานของวิหคหนามในคราวนี้ ผมจะไม่ได้รับอะไรที่สามารถใช้หนี้ของสมาคมได้เลย” กู่ฉิงซานกล่าว

“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันเองก็รักษาตัวจนหายดีแล้ว ดังนั้นถ้าอยากจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก ก็คงไม่ต้องมามัวพะวงอีกต่อไป” แบรี่ตบหน้าอกตนเอง

“มันไม่ใช่ความผิดนายหรอก ก็ใครจะไปคิดกันล่ะว่า เรื่องราวต่างๆ มันจะกลายมาเป็นแบบนี้” เสี่ยวเหมียวพูดเบาๆ

“แต่หนี้ของสมาคม…” กู่ฉิงซานลังเล

แบรี่ชี้ไปทางห้องโถงและยิ้ม “ลองเดาสิ ว่าราชินีหนามจะตอบแทนฉันด้วยอะไร?”

กู่ฉิงซานกล่าวทันที “ผมจำได้ว่าคุณได้เห็นใบรายการรางวัลแล้วใช่ไหม บนนั้นเขียนว่าพวกคุณได้สมบัติอะไรหรือ?”

“ไม่มีสมบัติอะไรเขียนเอาไว้หรอก แต่มีประโยคหนึ่งถูกเขียนเอาไว้แทน ‘หนี้ทั้งหมดของสมาคมกำปั้นเหล็ก ทางอาณาจักรหนามจะเป็นผู้รับผิดชอบชดใช้ให้เอง’”

“ใช่!! พวกเราไม่เป็นหนี้อีกต่อไปแล้ว!” เสี่ยวเหมียวปรบมือด้วยความสุข

“เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ”

กู่ฉิงซานโล่งอก และแอบคิดว่าเขานี่รอบคอบดีจริงๆ ที่เคยบอกอีเลียเกี่ยวกับเรื่องนี้

มองไปยังเสี่ยวเหมียว เขาก็เอ่ยถามออกมาอีกครั้งด้วยความสงสัย “ว่าแต่ราชินีหนามมอบรางวัลอะไรให้แก่คุณงั้นหรือ?”

“เป็นแหวน แหวนที่จะช่วยให้ฉันสามารถใช้พลังมิติได้อย่างแม่นยำ”

“หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ…”

“ใช่ ต่อจากนี้ไปหากนายต้องการจะไปที่ไหน ก็ขอให้บอกฉันได้เลย” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

และแล้วในไม่ช้า เวลากล่าวยกย่องและมอบรางวัลของราชินีหนามก็มาถึงในที่สุด

ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู้ห้องโถง

ทหารพิทักษ์แห่งหนามเริ่มทยอยอ่านรายชื่อ

มีเพียงตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ และผู้นำกองกำลังสำคัญๆ เท่านั้นที่สามารถเข้ามาในห้องโถง และได้รับรางวัลจากราชินีหนาม…ทีละคน

เผ่าพันธุ์หนาม เป็นเผ่าพันธุ์เดียวในดินแดนอัศจรรย์ที่ยินดีจะติดต่อกับโลกภายนอก พวกเขาครอบครองสมบัตินับไม่ถ้วน แถมยังมีรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์คอยปกปัก ดังนั้นทุกคนจึงให้เกียรติแก่พวกเขามาก

ตัวตนทรงอำนาจตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นต่างมารวมตัวกันด้านนอกห้องโถง เพื่อเฝ้ารอการเรียกเข้าไปรับรางวัล

แต่ก็จะมีบ้างเป็นบางคน ดั่งเช่นบรรดาคนที่ยังอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว ที่รู้สึกสับสนและงงงวยเกี่ยวกับมัน

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้อ่านรายชื่อของรางวัลของตน คนหนุ่มสาวก็ตระหนักได้ทันที ว่าที่เรียกกันว่าอาณาจักรวิหคหนาม และราชินีหนามนั้นคือสิ่งใด

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาได้พบเจอกับอาณาจักรหนาม และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะถูกประทับลงอย่างลึกซึ้งในความทรงจำของพวกเขาและเธอ

เขาและเธอจะจดจำไปตลอดชั่วชีวิต ว่าอาณาจักรหนามในดินแดนอัศจรรย์ มิใช่สิ่งที่จะสามารถยั่วยุได้

ส่งผลให้ราชินีแห่งหนาม…ลอร่าในช่วงเวลานี้ ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวตนอันเลื่องชื่อที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

เมื่อเวลาผ่านไป ตัวตนทรงอำนาจมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มก้าวเข้ามาในห้องโถง

“สมาคมกำปั้นเหล็ก แบรี่ และเสี่ยวเหมียว” ทหารพิทักษ์ประกาศ

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวหันมายิ้มให้แก่กัน และเดินเข้าห้องโถงไป

………………………………………….

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ตลอดทั้งอัลเบอัสตกอยู่ท่ามกลางงานรื่นเริงที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา

เหล่าตัวตนทรงอำนาจจากโลกต่างๆเดินทางกลับมาด้วยชัยชนะ เกือบทั้งหมดต่างชูแขนสูง และเปล่งเสียงโห่ร้องไชโยอึกทึก

แน่นอน ว่ายังมีตัวตนทรงอำนาจบางคนที่เลือกจะปิดปากเงียบ และเผยแค่เพียงรอยยิ้มจางๆออกมาอยู่เช่นกัน

แต่ไม่ว่าทุกคนจะแสดงออกแตกต่างกันอย่างไร สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ในจิตใจของทุกคนต่างฟุ้งไปด้วยความยินดี

นี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายพันปี!

สงครามครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและความเชื่อมั่นที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งคนกลางที่ยังลังเล ก็เริ่มกระซิบกระซาบถึงการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของระบบราชามาร

ตลอดทั้งอัลเบอัสจึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ฟุ้งไปด้วยความปีติยินดี

ทุกสถานที่จะได้ยินถึงเสียงของความสุขแห่งชัยชนะ

ในวันนี้

สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นที่จดจำ

แม้ว่าจะผ่านพ้นไปอีกสิบปี หนึ่งร้อยปี หรือ หลายหนึ่งพันปีก็ตาม

อัลเบอัสจะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเผชิญหน้าระหว่างตัวตนทรงอำนาจจากอาณาจักรทั้งปวงและระบบของราชามาร…เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะครั้งสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เหตุการณ์นี้จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของทุกคนไปชั่วกาล!

ณ ส่วนลึกที่สุดของโรงแรมอัลเบอัส

ภายในโซนที่นั่งพิเศษ

ทุกชนิดของเสียงแห่งความตื่นเต้นและวุ่นวายจากภายนอก ทั้งหมดถูกตัดขาด

มีเพียงความเงียบอยู่ในสถานที่แห่งนี้

อีเลียผลักประตูเข้ามา

“ฝ่าบาท ตอนนี้เรากำลังทำการเลือกรางวัลที่จะมอบให้แก่ตัวตนทรงอำนาจจากอาณาจักรทั้งปวงอยู่ ท่านต้องการมาเลือกด้วยหรือไม่?” เธอเอ่ยถาม

“ไม่ดีกว่า เรื่องนี้เป็นเจ้าที่ทำการเลือกสรรย่อมดีอยู่แล้ว เพราะเจ้าย่อมรู้จักพวกเขาดีกว่าเรา” ลอร่าตอบกลับไป

อีเลียพยักหน้า  ก้าวถอยหลัง และปิดประตู

โซนที่นั่งพิเศษเงียบลงอีกครั้ง

กู่ฉิงซานดื่มแชมเปญในแก้วจนหมด และลุกขึ้น

“กระหม่อมต้องไปแล้ว” เขากล่าว

“ไป? ตอนนี้เลยหรือ?” ลอร่าถาม

“ใช่ เพราะหากในกรณีที่มีคนเห็นกระหม่อมอยู่ที่นี่ พวกเขาจะเกิดความสงสัย และมันจะนำปัญหามากมายตามมาได้”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป?”

“กลับไปยังโลกของตัวเอง ที่นั่นกำลังเกิดสงคราม แล้วยังมีปัญหาอีกมากมายที่จะต้องจัดการ…ไหนจะเรื่องฝึกยุทธ์ เรื่องไปพบหน้าสหายเก่า เรื่องแฟนอีก…ตอนนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายที่กำลังเฝ้ารอให้กระหม่อมไปลงมือทำ”

ลอร่าตั้งใจฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่เมื่อได้ยินถึงสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องทำ ในหัวใจของเธอก็บังเกิดความรู้สึกเจ็บจี๊ดน้อยๆขึ้นมา

“แต่เจ้าเป็นคนกำจัดระบบของราชามารลงได้นะ เจ้า…ไม่ต้องการชื่อเสียงจริงๆ หรือ?” เธอถาม

“ย่อมไม่ เพราะด้วยอายุในปัจจุบันของกระหม่อม ชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่มันจะส่งผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม”

ไม่ทราบว่ากู่ฉิงซานกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่ เขาถอนหายใจ “ความแข็งแกร่งของกระหม่อมยังอ่อนแอเกินไป หากกลับไปแล้วหมดเรื่องที่จะต้องจัดการ กระหม่อมอาจจะเก็บตัวสักพักหนึ่ง เพื่อทำการฝึกยุทธ์ให้แกร่งขึ้น”

ลอร่าเฝ้ามองเขา และกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน “กู่ฉิงซาน”

“มีอะไรหรือฝ่าบาท”

“เจ้าไม่คิดว่าชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันช่างหนักหนาสาหัสเกินไปเลยหรือ?”

ลอร่าถามเบาๆ ด้วยความสับสนเล็กน้อย

กู่ฉิงซานตกใจ แต่เขาก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ในโลกใบนี้ไม่มีใครที่ไม่ลำบากหรอก ทุกคนเองก็ย่อมมีช่วงเวลาที่หนักหนากันทั้งนั้น”

ลอร่าไม่เข้าใจ “แต่หญิงสูงศักดิ์จากหลากหลายอาณาจักรและพันธมิตรรอบตัวเรา หลังจากที่พวกเธอก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว พวกเธอก็ล้วนแต่ใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่าย สนุกสนานไปกับมันในทุกๆวัน”

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ท่าทีของเขาก็เริ่มกลายเป็นจริงจังขึ้นมา

เขาตระหนักได้ว่าเวลานี้ ลอร่ากำลังอยู่ในทางแยกแห่งการเลือกเดิน

และคำตอบต่อไปนี้ของเขา จะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ

กู่ฉิงซานกล่าว “สำหรับเรื่องนี้ ฝ่าบาทต้องถามตัวเองก่อนว่า ท่านจะตัดสินใจเลือกเส้นทางใด”

เขากล่าวต่อ “หากฝ่าบาทเต็มใจที่จะใช้ชีวิตเหมือนกันกับพวกหญิงสูงศักดิ์ เพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งของโลก ก็ไม่มีใครสามารถห้ามปรามท่านได้”

“แต่ถ้าหากฝ่าบาทไม่ยินดีที่จะเลือกหนทางนั้น แต่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตเหมือนดั่งเช่นกระหม่อม เผชิญกับความท้าทายมากมาย และทุ่มเททำงานอย่างหนัก ฝ่าบาทก็จะสามารถไขว่คว้าข้อได้เปรียบเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง”

“ข้อได้เปรียบอะไร?” ลอร่าเอ่ยถาม

“จะไม่มีใครสามารถควบคุมฝ่าบาทได้”

“ฝ่าบาทสามารถตัดสินใจทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง แม้กระทั่งในยามวิกฤต”

“ฝ่าบาทจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความลึกลับของโลกและชีวิต มีพลังอำนาจในการปกป้องผู้คนที่ท่านรัก ปกป้องทุกสิ่งที่ท่านหวงแหน”

“ฝ่าบาทจะกลายเป็นเทพสงครามแห่งโชคชะตาของตนเอง”

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป และสัมผัสกับหัวของลอร่าอย่างอ่อนโยน

ลอร่าเอ่ยถาม “แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเทพหรือไม่?”

“หากสิ่งที่กระหม่อมต้องเผชิญหน้าคือโชคชะตาและความใฝ่ฝันแล้วละก็…ใช่ กระหม่อมเป็นเทพสำหรับพวกมัน”

“กู่ฉิงซาน เจ้าต้องการให้เราเลือกเส้นทางสายนี้อย่างงั้นหรือ?”

“ไม่หรอก ฟังนะลอร่า ความคิดเห็นของกระหม่อมไม่สำคัญ สุดท้ายแล้วท่านต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง – และเมื่อตัดสินใจแล้วห้ามมาเสียใจทีหลังเป็นอันขาด เพราะนั่นคือสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน”

ลอร่าตกลงสู่ความเงียบ

ผ่านไปนาน

เธอก็ถอนหายใจและกล่าว “ปรากฏว่าหลังจากที่ได้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงสถานการณ์ยากลำบากไปได้เลยสินะ”

กู่ฉิงซานหัวเราะเบาๆ

เพราะบทสนทนาดังกล่าวนี้ ระหว่างทั้งสอง มันเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว

ในเวลานั้น พวกเขาเพิ่งจะขึ้นไปถึงยอดภูเขาน้ำแข็งของทวยเทพ ห่างจากพื้นน้ำแข็ง และพบเจอกับศพของสายพันธุ์เทพ

แม้ว่าจะหวนกลับมาคิดถึงฉากดังกล่าวในตอนนี้ มันก็ยังรู้สึกน่าหวาดกลัวอยู่ดี

ด้วยลอร่าที่เป็นเด็กสาวในวัยเจ็ดขวบ แต่แล้วกลับต้องเอาชนะเรื่องกลัวความสูง เอาชนะเรื่องมอนสเตอร์ และปีนขึ้นไปเผชิญหน้ากับเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายพร้อมกันกับเขา

ในเวลานั้น ครั้งหนึ่งลอร่าก็เคยเอ่ยถามประโยคที่คล้ายกับคำถามนี้ออกมาเช่นกัน

อย่างไรก็ตามในวันนี้ น้ำเสียงที่เธอใช้ถามออกมา มันหนักแน่น แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เด็กสาวได้ตัดสินใจเลือกแล้ว

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกไปถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้

แน่นอน ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ในที่สุด

เขาถอนหายใจเล็กน้อย บรรเทาความตึงเครียดในจิตใจของตน

ลอร่าก็เหมือนจะย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันเหมือนกัน

ครั้งแรกที่พบกัน เป็นกู่ฉิงซานที่พ่นไวน์ใส่หน้าเธอ

จากนั้นก็ทำความรู้จักกัน

เข้าสู่โลกของทริสเต้ ข้ามผ่านทุกประเภทของปัญหา อุปสรรค…ความสิ้นหวังและยากลำบากต่างๆ สำรวจความลับของโลกไปทีละขั้นๆ สังหารหนึ่งแสนกองทัพผี และสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร สุดท้ายก็จบลงด้วยการทำลายระบบของราชามาร

ดวงตาของลอร่าเริ่มแดงเรื่อ

ภาพความทรงจำที่ผ่านร้อนหนาวมาด้วยกัน นั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ราวกับว่าหากจะกลับไปยังจุดจุดนั้น เพียงแค่หันมองกลับไปก็ได้แล้ว

แต่เวลานี้…กู่ฉิงซานกำลังจะจากไป

เธอไม่สามารถรั้งตัวเขาไว้ที่นี่ได้อีกต่อไป

เพราะเขามีเรื่องมากมายที่จะต้องไปทำ เขามีความคิดและความตั้งใจเป็นของตัวเอง

“เรามีคำเป็นร้อยพันอยู่ในใจ แต่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยมันออกมาบอกลาเจ้าอย่างไรดี”

ลอร่าก้มหน้าลง และกล่าวเบาๆ

กู่ฉิงซานหัวเราะ “กระหม่อมไม่ได้ออกจากโลกเก้าร้อยล้านชั้นไปเสียหน่อย เดี๋ยวในงานมอบรางวัลกระหม่อมก็จะไปอยู่ด้วยกันกับแบรี่และเสี่ยวเหมียวนั่นแหละ”

ในเวลานั้นเอง อีเลียก็ผลักประตูเข้ามา

“ฝ่าบาท พวกเราพร้อมแล้ว งานจะเริ่มต้นขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมง” เธอกล่าว

ทหารพิทักษ์หญิงหลายคนเดินตามอีเลียเข้ามา โดยแต่ละคนถือเสื้อคลุม มงกุฎ คทา รองเท้าส้นสูง และเครื่องประดับมากมาย

กู่ฉิงซานไม่พูดอะไรอีกต่อไป

เขามองลอร่าและเตรียมที่จะจากไป

“อืม…”

ลอร่าเผยอปาก กระซิบเสียงต่ำโดยไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็ปิดปากแน่น

ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน กู่ฉิงซานจู่ๆก็เผยท่าทีลังเลเล็กน้อยออกมา –

วันคืนที่ได้ต่อสู้เคียงข้างกัน ย่อมไม่มีทางลืมเลือน และเขาจะจดจำมันไว้ตลอดไป

มองไปยังเด็กสาวตัวน้อย กู่ฉิงซานคล้ายกับว่ากำลังเห็นถึงตัวเองในครั้งอดีต

ตามสามัญสำนึกแล้ว ด้วยอายุของลอร่า เธอควรที่จะอยู่ภายใต้อ้อมอกของพ่อแม่ และเพลิดเพลินไปกับความสุขในการใช้ชีวิต

แต่ตอนนี้ เธอเป็นกำพร้าที่ไร้ซึ่งครอบครัว

เธอกลายเป็นราชินีและกำลังจะปกครองทุกสิ่งในประเทศ

วันเดือนปีนับจากนี้ เธอจะต้องพบเจอกับเรื่องยากลำบากอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

และเธอจะต้องรับมือกับมันทั้งหมดด้วยตัวเอง

ในเรื่องนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้

เพราะตำแหน่งกษัตริย์ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง

ดังนั้นทุกสิ่งอย่าง เธอจะต้องเป็นคนตัดสินใจมันด้วยตัวเอง

นี่เป็นวิธีเดียวที่จะเติบโตขึ้นได้

กู่ฉิงซานยิ้ม กล่าวเสียงกระซิบ “ลอร่า กระหม่อมคงต้องขอตัวก่อน แล้วไว้พบกันใหม่ในห้องโถงนะ”

เขาโบกมือลา และเดินออกจากห้องโซนพิเศษไป

ขณะที่ลอร่าไม่ได้ตอบอะไรเขา

ทหารพิทักษ์ค่อยก้าวเข้ามา และเริ่มแต่งตัวให้แก่ลอร่าอย่างเบามือ

เหลือเวลาอีกเพียงแค่ชั่วโมงเดียว ดังนั้นพวกเธอคงจะต้องเร่งมือหน่อยแล้ว

ผ่านไปพักหนึ่ง

ทหารพิทักษ์หญิงก็เอ่ยเสียงกระซิบ

“ฝ่าบาท โปรดเงยหน้าขึ้นเถอะ มิเช่นนั้นมงกุฎที่สวมอยู่อาจจะร่วงตกลงมาได้นะเพคะ”

………………………………………………

ในพริบตา ทิศทางของสงครามขั้นแตกหักระหว่างโลกเก้าร้อยล้านชั้นก็ได้หักเหไปอย่างรวดเร็ว

จอมมารที่แท้จริงได้จากไปอย่างกะทันหัน พร้อมกันกับกองทัพของเขา

ตัวตนทรงอำนาจ พันธมิตร อาณาจักรและองค์กรต่างๆ ของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ทั้งหมดแข็งค้าง นิ่งงันอยู่ในสถานที่เดิม

“พวกมันหนีไปอย่างงั้นหรือ?” บางคนเอ่ยถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“น่าจะเป็นแบบนั้นนะ…แต่บางทีมันอาจจะเป็นกับดักก็ได้” อีกคนพูดอย่างไม่มั่นใจ

ฝูงชนอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเสี่ยวเหมียว

เพราะท้ายที่สุดนี้ ทุกคนต่างรู้ดีว่าพลังมิติของเสี่ยวเหมียวร้ายกาจเพียงใด ดังนั้นหากเป็นเธอ ย่อมต้องรู้แน่ๆ ว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันคืออะไร

เสี่ยวเหมียวทำการรับรู้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “การส่งผ่านจากรอยแยกมิติได้หายไป ดูเหมือนว่ามารที่แท้จริงจะถอยทัพกลับไปยังดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูแล้ว!”

เมื่อได้ยินถึงคำประกาศนี้ ความปั่นป่วนก็ระเบิดขึ้นท่ามกลางฝูงชน

เพราะมันน่าแปลกเกินไป ชัดเจนว่าสงครามกำลังดำเนินมาถึงจุดสูงสุด

เห็นได้ชัดว่าจอมมารที่แท้จริงกำลังจะปรากฏตัวออกมา

แต่ทำไม…มารที่แท้จริงถึงเลือกที่จะถอยทัพกลับไปอย่างกะทันหันล่ะ?

ผู้นำพันธมิตรและองค์กรต่างๆ เริ่มใช้สมาธิไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง

ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งของผู้หญิงก็ดังขึ้น

จิตวิญญาณพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ เลดี้เทสส์ เอ่ยปากออกมา “เราทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“เนื่องจากเดิมทีแล้วเป้าหมายของพวกมันคืออัลเบอัส พวกมันต้องการที่จะปลดปล่อยโลกของทริสเต้ เพื่อช่วยให้ระบบของราชามารแพร่กระจายออกมาสู่ชั้นโลกโดยรอบ”

“อย่างไรก็ตาม ระบบของราชามารตอนนี้ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว!”

“มารที่แท้จริงมิอาจบรรลุเป้าหมายของตนเองได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกมันจึงถอนกองทัพกลับไป!”

รับฟังจนจบ หัวใจของผู้คนก็ราวกับถูกสั่นสะท้าน ทั้งหมดหมดต่างระเบิดเสียงฮือฮาออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“แล้วเป็นใครกัน ที่ทำลายระบบของราชามาร และจบทุกอย่างลง” บางคนทนไม่ไหว ต้องเอ่ยถามออกมา

“เหมันต์ยามค่ำอีเลีย”

เธอนั่นเอง!

คนแล้วคนเล่าเริ่มเข้าใจในทันใด

“งั้นหมายความว่าสมบัติเหล่านี้ ก็เป็นเธอที่ส่งมาช่วยเหลือพวกเราเหมือนกันใช่ไหม?” อีกคนหนึ่งถาม

“แน่นอนว่าไม่ เพราะไม่มีใครสามารถสั่งรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามได้ยกเว้นเชื้อพระวงศ์แห่งหนาม ดังนั้นสมบัติเหล่านี้สมควรเป็นฝีมือของราชินีองค์ใหม่แห่งอาณาจักรหนาม” เทสส์ตอบ

เมื่อเธออธิบายจบ ก็บังเกิดฉากอันน่าตื่นตาตื่นใจขึ้น

ไอเท็มทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ เกราะรบ หรือสมบัติ ต่างก็หลุดจากการควบคุมของผู้คน ลอยกลับไปยังรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว

“อืม…”

ตลอดทั้งสนามรบ มันช่วยไม่ได้เลยที่ผู้คนจะพากันถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย

แต่ทุกคนก็รู้ดี ว่าพวกเขาไม่สมควรหวงแหนในสมบัติเหล่านั้น

เพราะถึงแม้รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามจะไม่เคยมีความคิดริเริ่มที่จะต่อกรกับสิ่งมีชีวิต แต่หากมีใครกล้าที่จะไปกระตุ้นมันแล้วล่ะก็…

เอาเถอะ อย่างน้อยแค่ได้ลองใช้สมบัติของอาณาจักรหนามครั้งหนึ่งในชีวิต แค่นี้ก็รู้สึกว่าเป็นบุญมากแล้ว

เหล่าตัวตนทรงอำนาจค่อยๆ สลายความเสียดายเล็กน้อยนี้ออกจากจิตใจ

แล้วแต่ละคนก็เริ่มทยอยกันโห่ร้องออกมา

“พวกเราชนะแล้ว!”

“ระบบของราชามารม้วนหางกลับไปยังดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูแล้ว!”

“นี่เจ้าเห็นหรือเปล่า ว่าพวกมารที่แท้จริงนั้นขี้ขลาดเพียงใด?”

“ฮะฮ่าฮ่า! ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่!”

ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย

ภายในโรงแรมอัลเบอัส

ระหว่างที่รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นในสนามรบ และสงครามใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด

ลอร่าก็เสร็จสิ้นการร่ายมนตราของเธอ ทุกชนิดของไอเท็มได้ถูกส่งออกไป

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “กระหม่อมว่าสกิลนี้ไม่ควรจะถูกเรียกว่าเจตจำนงแห่งกษัตริย์ แต่มันน่าจะมีชื่อว่า คำอวยพรแห่งกษัตริย์เสียมากกว่า”

เพราะสกิลดังกล่าว เป็นการสนับสนุนจากระยะไกลที่ฉีกกฎของมิติและเวลา สามารถช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ , มอบอุปกรณ์ และเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ให้แก่เป้าหมายได้

ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้ว กระบวนการทั้งหมดนี้ ผู้ที่มีส่วนร่วมจริงๆ จะเป็นรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามก็ตาม

แต่ในเวลานี้ ตลอดทั้งหมื่นโลกา นอกเหนือไปจากลอร่า ยังจะมีผู้ใดอีกที่ได้รับความโปรดปรานจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์อยู่อีกหรือ?

ในสงครามครั้งใหญ่เช่นนี้ พรสวรรค์ของเธอนับว่ามีประโยชน์มากจริงๆ

ลอร่ากล่าว “หากเป็นเจ้า เราจะไม่เรียกสมบัติกลับคืน แต่คนเหล่านั้นไม่ได้สนิทสนมอันใดกับเรา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถมอบสมบัติของอาณาจักรให้แก่พวกเขาได้”

พอได้ยินประโยคดังกล่าว หัวใจของกู่ฉิงซานก็กระตุกไหว เขานึกได้ทันทีถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง

“ลอร่า”

“ว่าไง?”

“หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ท่านจะต้องประกาศเตรียมงานยกย่องและมอบรางวัลให้แก่เหล่าตัวตนทรงอำนาจด้วยนะ”

“แต่พวกเขาจะมาเข้าร่วมงานหรือ?” ลอร่าถาม

“พวกเขาจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”

กู่ฉิงซานหัวเราะ “และหากท่านทำเช่นนั้น มันจะเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้แก่ตัวท่านเองเป็นอย่างมาก”

อีเลียคิดและกล่าว “แต่ปัญหาเดียวก็คือ ทางอาณาจักรสมควรจะมอบอะไรให้แก่พวกเขาดี?”

ลอร่าตบลงบนโต๊ะ “ไว้ค่อยคิดก็ได้ แต่เราตัดสินใจแล้ว ว่าจะประกาศออกไปตามนี้”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

อีเลียและทหารพิทักษ์แห่งหนามตนอื่นๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกัน

อีเลียเดินออกจากโซนที่นั่งพิเศษทันทีและกล่าว “เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมสถานที่มอบรางวัลทันที”

หนึ่งในทหารพิทักษ์เอ่ยปาก “ส่วนทางเรา จะไปหาสถานที่กักขังทริสเต้ก่อนเป็นอันดับแรก”

“จริงสิ ข้าลืมไปเลย งั้นไปเถอะ ข้าจะไปกับพวกเจ้าก่อน” อีเลียกล่าว

ว่าจบ ทั้งหมดก็พาทริสเต้ออกจากที่นั่งโซนพิเศษ

เวลานี้ ภายในโซนพิเศษจึงเหลือแค่กู่ฉิงซานกับลอร่าเท่านั้น

ลอร่านั่งลงบนโซฟากว้าง ทิ้งตัวลงบนเบาะนุ่มนิ่มแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

กู่ฉิงซานก็เช่นกัน

เขารออยู่ไม่กี่ลมหายใจ เมื่อไม่ตกอยู่ในสายตาของผู้ใด ตนก็หยิบแชมเปญออกจากถังน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มหลากชนิดขึ้นมา

เป๊าะ!

จุกก๊อกถูกเปิดออก พร้อมกับฟองแชมเปญที่ฟูฟ่องออกมา

“ขวดที่สามแล้วนะนั่น ว่าแต่ทำไมคราวนี้ถึงเลือกแชมเปญล่ะ?” ลอร่ามองเขา

“เพราะแชมเปญเหมาะที่จะใช้เปิดงานเฉลิมฉลอง และตอนนี้ก็ได้เวลาที่ พวกเราจะต้องฉลองกันจริงๆ แล้ว!” กู่ฉิงซานหัวเราะ

“ฉลองงั้นหรือ?”

“ใช่ เพราะตอนความทรงจำของทริสเต้ เมื่อเวลานี้มาถึง จอมมารที่แท้จริงก็จะทำการเชื่อมต่อกับโลกของทริสเต้ได้อีกครั้ง”

“และเมื่อเขาพบว่าปฏิวัติได้ถูกทำลายลงแล้ว เขาจะต้องเลือกหนทางที่มันชาญฉลาด ลดการสูญเสียลงให้น้อยที่สุดอย่างแน่นอน”

ลอร่าตะลึง “หมายความว่ามารที่แท้จริงจะล่าถอยออกไปงั้นหรือ?”

“อืม และสงครามก็สมควรจะจบลงเช่นกัน”

กู่ฉิงซานเทแชมเปญลงในแก้วของตัวเอง และยกมันขึ้นดื่มอย่างช้าๆ

“เรานึกไม่ถึงเลยว่าสงครามขั้นแตกหักของโลกเก้าร้อยล้านชั้นจะสิ้นสุดลงอย่างกะทันหันแบบนี้” ลอร่าถอนหายใจ

“แล้วมันไม่ดีหรือไง?” กู่ฉิงซานหัวเราะ “พวกเราสามารถโค่นระบบของราชามารลงได้ นั่นหมายถึงสามารถป้องกันอุบัติเหตุและความสูญเสียมากมายที่จะเกิดขึ้นจากสงครามได้นะ”

“มันก็ดีจริงๆ นั่นแหละ”

“โอ้ใช่สิ กระหม่อมมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะถามฝ่าบาท” กู่ฉิงซานกล่าว

“ว่ามาสิ” ลอร่าอนุมัติ

“ในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ระบบของราชามารวิวัฒนาการไปถึงขั้นไหนแล้ว?”

“ดูเหมือนว่าจะเป็นขั้นที่สูงกว่าปฏิวัตินะ แต่เราลืมชื่อของมันไปแล้ว”

“มันแข็งแกร่งมากหรือไม่?”

“แน่นอนว่ามาก มารที่แท้จริงทุกตนล้วนทำการดาวน์โหลดระบบหลักที่ว่านั่น ส่งผลให้ความแข็งแกร่งของมารที่แท้จริงทิ้งห่างจากอสุรกายประเภทอาวุธอยู่มากโข”

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

ดูเหมือนว่าเวลานี้ยังไม่ใช่โอกาสที่ดี ที่เขาจะต่อกรกับระบบหลักของราชามาร

เพราะฝ่ายตรงข้ามทรงพลังเกินไป

ดังนั้นตัวเองจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้มากยิ่งกว่านี้โดยเร็วที่สุด

เขาหันไปมองหน้าต่างเทพสงคราม และกำลังจะเลือกดูในส่วนของภารกิจเทพสงคราม

แต่ลอร่ากลับเอ่ยปากออกมาเสียก่อน “กู่ฉิงซาน เรามีความลับจะบอกเจ้า”

กู่ฉิงซานจึงไม่มีทางเลือกนอกจากปัดหน้าต่างทิ้งไปก่อนและเอ่ยถาม “ความลับอะไรงั้นหรือ?”

ลอร่าหันไปมองรอบๆ และเมื่อเห็นว่าโซนที่นั่งพิเศษไม่มีใครอยู่อีก กระทั่งประตูห้องก็ยังปิด เธอจึงยอมเฉลยออกมา “พรสวรรค์ที่สามของเราตื่นขึ้นมาแล้ว”

“ถ้าเรื่องนั้นกระหม่อมได้ยินที่ฝ่าบาทพูดตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”

“พรสวรรค์แรกคือที่ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา สองคือเจตจำนงแห่งกษัตริย์ แต่พรสวรรค์ที่สามล่ะคืออะไร? เจ้าลองเดาดูสิ”

“กระหม่อมไม่ขอเดาหรอก แต่ในเมื่อยังไม่มีใครได้เห็น ก็จงเก็บมันไว้เป็นไพ่ตายที่กว่า ขอแนะนำว่าท่านอย่าเปิดเผยมันออกมา และเก็บมันไว้ให้มิดชิดจะดีที่สุด” กู่ฉิงซานแนะนำอย่างจริงจัง

ลอร่าพอได้ฟังก็รู้สึกผิดหวัง “พรสวรรค์นี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องปิดบังอะไรถึงขนาดนั้นหรอก”

“อย่าคิดแบบนั้นจะดีกว่า ท่านก็รู้ดีนี่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเป็นยังไง”

“…เอาเถอะ สรุปสั้นๆ ว่าเราอยากจะบอกเจ้าก็แล้วกัน”

ลอร่ากล่าว และยื่นมือของเธอออกไปคว้าในอากาศที่ว่างเปล่า

ด้วยการเคลื่อนไหวของเธอ มือเล็กก็ผลุบหายเข้าไปในมิติ คว้านลึกลงไปเกือบทั้งแขนของเธอ ราวกับว่าเธอได้ฉีกมิติไปยังพื้นที่อื่น

“เกิดอะไรขึ้นกับมือของท่าน?” กู่ฉิงซานผงะตกใจ

“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่กำลังพยายามจะสัมผัสอะไรสักอย่าง” ลอร่ากล่าว

สัมผัสอะไรสักอย่างงั้นหรือ?

กู่ฉิงซานเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด

จากการเคลื่อนไหวของลอร่า เหมือนว่ากับมือของเธอที่ยื่นออกไปจะกำลังควานหาอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ

เท่าที่ดู ท่าทีมันก็คล้ายกับการควานหาสมบัติอยู่เหมือนกัน

สักพักหนึ่ง ดวงตาของลอร่าก็เปล่งประกายสดใส

“เราจับมันได้แล้ว!” ลอร่าอุทานด้วยความดีใจ

เห็นแค่เพียงมือของเธอก็ถอนออกจากในอากาศที่ว่างเปล่า

พร้อมกับโล่สีม่วงเล็กๆ ที่ติดมือเธอกลับมา

ลอร่ามอบมันให้แก่กู่ฉิงซานและกล่าว “ดูนี่สิ นี่คือพรสวรรค์ใหม่ของเราล่ะ!”

กู่ฉิงซานรับเอาโล่กลมสีม่วงมา และสำรวจมันอย่างไม่แน่ใจ

ตลอดทั้งโล่ดูละเอียดอ่อนและประณีตเป็นอย่างมาก มันไม่หนักมากจนเกินไป

บนผิวโล่ ปรากฏถึงอำนาจบางอย่างที่กู่ฉิงซานไม่สามารถเข้าใจได้แผ่ออกมา

ขณะเดียวกัน บรรทัดเส้นแสงบนหน้าต่างเทพสงครามก็ผุดเตือนขึ้น

“ชื่อไอเท็ม โล่ของนายพลปีศาจแห่งกองทัพพันธมิตร”

“คุณภาพ มหากาพย์”

“พลังเฉพาะตัว หยิบยืมอำนาจจากอากาศธาตุ โล่ใบนี้สามารถทานทนต่อการโจมตีทางมนตราส่วนใหญ่ได้”

“วิชายุทธเทพสงคราม โล่ใบนี้ถูกสร้างขึ้นสำหรับนายพลปีศาจ ไม่มีสกิลใดที่สามารถเรียนรู้ได้”

“คำอธิบายพงศาวดารวันสิ้นโลก นี่คือโล่รุ่นใหม่ล่าสุดของนายพลปีศาจแห่งกองทัพพันธมิตร”

กู่ฉิงซานที่กำลังถือโล่ในมือนิ่งค้าง ตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง

ถึงจะไม่ใช่อุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่โล่นี่ก็นับว่าเป็นของดีทีเดียว

“เอ่อ…นำโล่ออกมา นั่นคือพรสวรรค์ที่สามของฝ่าบาทอย่างงั้นหรือ?” เขาถาม

“คนโง่ ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย” ลอร่าบ่น

คล้ายกับว่าเธอจะโกรธเล็กน้อย เลยยื่นมือเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า และทำการควานหาอีกครั้ง

ไม่นานนัก

ลอร่าก็จับได้ถึงอีกสิ่งหนึ่ง และรีบกระชากมือของเธอกลับมาอย่างรวดเร็ว

คราวนี้ในมือของเธอเป็นกระบี่ยาว

กระบี่ยาวถูกโยนให้กับกู่ฉิงซาน ลอร่าบ่นฮึดฮัด “เอ้า คราวนี้เจ้าลองตรวจดูอีกครั้งสิ”

กู่ฉิงซานมองลงบนกระบี่ยาว และตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง

นี่เป็นกระบี่ยาวที่อยู่ในระดับตำนาน คืออาวุธเย็นที่ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นที่สามารถได้มาครอบครองด้วยโชค มิใช่การค้นหา

“นี่มันของดีนี่นา!” กู่ฉิงซานอุทาน “กระหม่อมพอจะเข้าใจพรสวรรค์ที่สามของฝ่าบาทแล้ว มันคือสกิลที่ช่วยให้ฝ่าบาทสามารถนำสมบัติจากอาณาจักรออกมาได้ตลอดเวลาใช่หรือไม่?”

“ไม่ใช่” ลอร่าปฏิเสธ

‘คราวนี้ก็ยังเดาไม่ถูกหรือ?’ กู่ฉิงซานงุนงงเล็กน้อย

ก็ถ้าไม่ใช่อย่างที่ว่า แล้วโล่กับกระบี่นี่มันมาจากที่ไหนกัน?

“พรสวรรค์ที่สามของเรามีชื่อว่า ‘นักสะสมขุมทรัพย์พเนจร’” ลอร่าอธิบาย

นักสะสม…

ขุมทรัพย์พเนจร?

กู่ฉิงซานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อย่าบอกนะว่า…”

ลอร่าพอเห็นว่าเขาเข้าใจ ก็ยืดอกกล่าวอย่างภาคภูมิ “ใช่แล้ว! ในตลอดโลกเก้าร้อยล้านชั้น สมบัติใดที่สาบสูญ กระจัดกระจาย และไร้ซึ่งเจ้าของ จะไม่สามารถหลีกลี้จากพรสวรรค์นี้ของเราไปได้”

“ทุกครั้งที่เราใช้ออกด้วยสกิลนี้ เราจะสามารถควานหาสมบัติเหล่านั้นจากในอากาศที่ว่างเปล่าได้เลยโดยตรง”

กู่ฉิงซานคิดอย่างรอบคอบและเอ่ยถาม “แต่พรสวรรค์ที่ร้ายกาจเช่นนี้ ราคาที่ต้องจ่ายออกในการใช้มันคงจะสาหัสไม่น้อย”

“อืม มันก็เป็นอย่างที่เจ้าว่ามานั่นแหละ”

“แล้วราคาใดกันที่จะต้องจ่ายออก?” กู่ฉิงซานเริ่มกังวล

“ใช้มันทีไร เรามักจะรู้สึกหิวทุกทีเลย…”

………………………………………………..

ในมิติที่ว่างเปล่า

สงครามตกอยู่ในสภาวะเลวร้ายสุดขีด

ชั่วขณะหนึ่ง จู่ๆมารที่แท้จริงก็ถอยทัพกลับไปในเวลาเดียวกัน

การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอย่างกะทันหันนี้ ส่งผลให้เหล่าตัวตนทรงอำนาจต่างเพิ่มความระมัดระวังขึ้นทันที

“พวกมันเตรียมจะปลดปล่อยเทคนิคอะไรหรือเปล่า?” แบรี่ถุยฟองเลือดและเอ่ยถาม

“อ้าว นี่เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?” จอมมารทะเลเลือดกล่าวพลางอ้าปากหอบหายใจ

แล้วเขาก็พาตัวแบรี่ถอยกลับมาข้างกายเสี่ยวเหมียว

“นี่แกคิดจะทำอะไร?” แบรี่สงสัย

“เจ้าหลุดจากสภาวะต่อสู้แล้ว ข้าจึงพาเจ้ากลับมายังกำแพงทะเลเลือดของข้า เพื่อให้มันใช้ปกป้องเจ้า” จอมมารทะเลเลือดกล่าวอย่างจริงจัง

แบรี่มึนงงทันใด

จริงสิ ช่วงเวลาใดก็ตามที่เขาอยู่ในสภาวะต่อสู้ ไม่ว่ายังไงตัวเองก็จะไม่ตาย                 แต่ตอนนี้ทั้งศัตรูและตนเองได้ถูกแยกออกจากกันแล้ว ดังนั้นสภาวะต่อสู้ของเขาจึงยุติลง

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ดูเหมือนว่าจริงๆแล้วทะเลเลือดเองก็ดูจะใส่ใจเขาอยู่เหมือนกัน

แบรี่ก้มลงมองไปยังถุงมือเหล็กของเขา

และพบว่าตลอดทั้งถุงมือ บัดนี้แตกร้าว เสียหายไปแล้วโดยสมบูรณ์

การต่อสู้ในครั้งนี้มันดุเดือดมากเกินไป เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองได้สังหารศัตรูไปมากเท่าไหร่แล้ว

จากนี้ไป การต่อสู้คงจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น และตนเองคงจะไม่สามารถปกป้องบางคนที่อยู่เบื้องหลังได้อีกต่อไป

ให้ตายเถอะ!

ทำไมมารที่แท้จริงมันถึงได้บ้าคลั่งขนาดนี้นะ!

แบรี่ลอบสบถในจิตใจ

เสี่ยวเหมียวเอ่ยปากขึ้นทันใด “ทุกคนระวังตัวให้ดี! ฉันสัมผัสได้ว่ารอยแยกมิติกำลังขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และที่พวกมารที่แท้จริงมันถอยกลับไป ก็เป็นเพราะต้องการปกป้องรอยแยกมิติที่ว่านั่น!”

ข้ามูลนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสนามรบอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเหล่าผู้คนมองไปยังมารที่แท้จริง…พวกเขาก็พบว่าพวกมันกำลังตั้งแนวป้องกันอย่างเต็มที่ ชนิดที่ว่าต่อให้ตายก็จะไม่ยอมละทิ้งตำแหน่งของตนเองไป

ชายแก่คนหนึ่งบินเข้ามา และเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อดี?”

เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ “ในส่วนนี้ฉันไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย อีกฝ่ายที่กำลังผ่ารอยแยกมิติมาแข็งแกร่งเกินไป ฉันไม่สามารถปิดกั้นการมาถึงของเขาได้”

“นั่นเจ้ากำลังจะบอกว่า…”

“ใช่ จอมมารที่แท้จริงกำลังจะมาแล้ว”

ทุกคนจมลงสู่ความเงียบ

จอมมารที่แท้จริง…ตัวตนทรงอำนาจมากที่สุดในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น กำลังจะก้าวเข้าสู่สนามรบ!

แต่ในจังหวะนั้นเอง ทั้งหมดก็ราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่งพร้อมๆกัน

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับหลังไป

เห็นแค่เพียงต้นไม้ใหญ่ปรากฏขึ้นตรงตำแหน่งเบื้องหลังของพวกเขา

มันคือต้นไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจอันไร้ที่สิ้นสุด เป็นการดำรงอยู่อันแข็งกร้าวในโลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้น

“นั่นรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม!”

“มันมาที่นี่ได้อย่างไร?”

“แปลกจัง ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ารุกขชาติศักดิ์สิทธิ์จะเข้ามามีส่วนร่วมในสงครามด้วย แต่จู่ๆ มันกลับปรากฏขึ้นที่นี่”

“ฉันรู้แล้ว! นี่จะต้องเป็นกำลังเสริมจากอาณาจักรหนามแน่ๆเลย!”

ผู้คนเริ่มร้องตะโกนออกมา

ยังไงก็ตาม ถึงจะบอกว่าเป็นกำลังเสริมก็เถอะ แต่ทำไมถึงไม่เห็นคนของทางฝั่งอาณาจักรหนามเลยล่ะ?

ขณะที่ทุกคนกำลังสงสัย บนรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม ใบสีมรกตทั้งหมดบนต้นของมันพลันสาดแสงขึ้นพร้อมกัน

บนใบไม้ ปรากฏถึงรอยแยกมิติเล็กๆที่ถูกเปิดออก

ตามต่อด้วยสมบัตินับไม่ถ้วน สาดประกายแสงพร่างพราวบินออกมาจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์

ส่งผลให้ฉากนี้ราวกับพายุแสงกระหน่ำ

และคล้ายกับว่าสมบัติเหล่านี้มีจิตนึกคิดเป็นของตนเอง มันกระจายไปยังตัวตนทรงอำนาจในสายอาชีพต่างๆ

นักดาบจะไม่ได้รับกระบี่

นักสู้จะไม่ได้รับไม้เท้ามนตรา

มืออาชีพชายจะไม่ได้รับเกราะรบหญิง

แต่ทุกคนจะได้รับไอเท็มที่เหมาะสมกันกับตนเอง

เห็นแค่เพียงหินสีแดงเข้มก้อนหนึ่งที่ส่องแสงระยิบระยับ ลอยตกลงมาเบื้องหน้าจอมมารทะเลเลือดอย่างเงียบๆ

จอมมารทะเลเลือดลองชี้นิ้วสัมผัสลงบนหิน

วินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย และคว้าจับมันอย่างไม่ลังเล

ทันใดนั้นหินสีแดงเข้มก็ผลุบหายเข้าไปในร่างกายของเขาทันที

พริบตานั้น ทั้งคนทั้งร่างของจอมมารทะเลเลือดก็สั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณ

“เฮ้ เป็นอะไรไป?” แบรี่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

จอมมารทะเลเลือดกล่าว “นี่คือหินแห่งปัญญานิรันดร์ มันจะปรากฏขึ้นเฉพาะแค่ในส่วนลึกของดินแดนอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่ยากนักจะพบเจอ”

“ยังไงก็ตาม หากได้พบกับมันแล้วล่ะก็ อำนาจมนตราที่สูญเสียไปของคนผู้นั้นจะถูกฟื้นฟูกลับคืนทันที นอกจากนี้ปริมาณของอำนาจมนตรายังเพิ่มสูงขึ้นถึงหนึ่งในสิบส่วนอย่างถาวรอีกด้วย!”

“แต่นี่มัน…”

“อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ นี่คือสมบัติของอาณาจักรหนาม” จอมมารทะเลเลือดกล่าวด้วยอารมณ์ “ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็เข้าร่วมสนับสนุนในสงครามครั้งนี้ด้วย”

เสี่ยวเหมียวกล่าว “แต่ตามข้อมูลที่ฉันได้รับมา ราชาและราชินีแห่งอาณาจักรหนามได้ตายไปแล้วตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของสงคราม บางทีที่สมบัติมากมายของพวกเขาถูกส่งออกมานี้ มันอาจจะเป็นเพียงเพื่อการแก้แค้นก็ได้นะ”

ว่าจบ เธอก็ยกกระบองสั้นที่เพิ่งได้รับขึ้นมา

รอบๆกระบองสั้น ฟุ้งไปด้วยมิติที่ฉีกขาด สั่นสะเทือน บิดเบี้ยว และแตกร้าว

‘กระบองกายสิทธิ์ มิติสิ้นโลกของสรรพชีวิต’ เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ “ฉันเคยคิดว่าเจ้าสิ่งนี้มันมีอยู่แค่ในตำนานเสียอีก ไม่นึกเลยว่ามันจะถูกเก็บเอาไว้ในรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงไม่มีใครสามารถค้นพบมันได้”

“ถ้าแม้กระทั่งกระบองกายสิทธิ์ในตำนานก็ยังถูกนำออกมา…ดูเหมือนว่าวิหคนามจะโกรธแค้นมากจริงๆ” จอมมารทะเลเลือดครุ่นคิด

แบรี่ไม่เอ่ยคำใด

เพราะเวลานี้ เขากำลังจ้องมองไปยังอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าตนเองด้วยความประหลาดใจ

ปรากฏให้เห็นถึงถุงมือหนังคู่หนึ่งที่สาดแสงทะมึน ลอยอยู่บริเวณหน้าอกของเขา

แบรี่เพ่งสำรวจถุงมือหนังนี้ ก่อนจะก้มลงมองถุงมือเหล็กที่แตกร้าวไปทั่วของตน -เขารีบเปลี่ยนมันทันทีอย่างไม่ลังเล

เพียงสวมใส่ถุงมือคู่ใหม่ ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ระเบิดพลังออกมาจนสั่นสะท้าน

ขณะเดียวกัน ก็บังเกิดสะเก็ดไฟปะทุขึ้นมาเป็นระยะๆ จากรอบตัวของถุงมือหนังสีดำ

แบรี่เหวี่ยงกำปั้นของเขาออกไปเบาๆ

เปรี้ยง!

เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นในมือของเขา!

“‘สิ่งประดิษฐ์เทวะที่สามแห่งเปลวเพลิง เถ้าแห่งมังกรมนตรา’ นี่มันสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันถึงเสมอมา…” แบรี่กล่าวเสียงกระซิบ

แล้วเจ้าตัวก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เขายกศีรษะขึ้น

เห็นแค่เพียงชุดเกราะสีเข้มตกลงมาจากฟากฟ้า กำลังแยกตัวออกเป็นหลายสิบชิ้น และประกบเข้าตามร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว

แบรี่ในสภาพสวมเกราะรบทั้งตัวชูกำปั้นของเขาขึ้น และพยายามรับรู้ถึงมันอย่างเงียบๆ

“ตอนนี้ ขอบอกเลยว่าหากใครคิดจะหยุดฉัน ก็คงฉุดไม่อยู่แล้ว”

เสียงแหบห้าวของเขาดังออกมาจากเบื้องหลังเกราะหมวก

ในเวลานี้ ทุกคนต่างก็เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า

ชุดเกราะรบนับไม่ถ้วน อาวุธ และสมบัติมากมายร่วงลงจากฟากฟ้า ไอเท็มชิ้นแล้วชิ้นเล่าลอยไปหาผู้ที่เหมาะสมจะใช้งานพวกมัน

ท่ามกลางสนามรบ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นแบรี่ เสี่ยวเหมียว หรือจอมมารทะเลเลือด ต่างก็ได้รับสมบัติอันแสนเหลือเชื่อ

“นี่มันจะน่าทึ่งเกินไปแล้ว!”

“จะต้องเป็นราชวงศ์หนามแน่ๆ! นอกเหนือไปจากพวกเขาแล้ว คงไม่มีใครสามารถสั่งการให้รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือได้อีก!”

“ขอบคุณนะวิหคหนาม!”

หลายคนตะโกนสรรเสริญออกมา

ในแนวหน้า ตัวตนทรงอำนาจเกือบทั้งหมด ความแข็งแกร่งของพวกเขาทวีสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ผู้หญิงคนที่ตลอดทั้งร่างของเธอกำลังสาดแสงขาวบริสุทธิ์ออกมา ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

เธอเปล่งเสียงด้วยความยินดี “ขอบคุณสำหรับน้ำใจของอาณาจักรหนาม ที่ทำให้ตอนนี้พลังทั้งหมดของข้าสามารถฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว ช่างมาได้ถูกจังหวะดีจริงๆ”

ว่าจบ เธอก็เริ่มขับขานบทเพลงออกมาเบาๆ

เสียงอันไพเราะและอ่อนโยนของเธอ ก้องกังวานไปตลอดทั้งโลกหลายสิบชั้นจากรอบตัว

ท่ามกลางการขับขาน ม่านแสงเจ็ดสีก็เริ่มผุดออกมาจากในมิติที่ว่างเปล่า

ภายใต้การกวาดผ่านของม่านแสงนี้ ปรากฏถึงกลุ่มฟองอากาศเล็กๆ ลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทั้งชั้นอากาศแลดูคล้ายกำลังตกอยู่ในห้วงทะเล

ขณะเดียวกัน เหล่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ก็ถูกม่านแสงเหล่านั้นปกคลุมอย่างรวดเร็ว

ต่อมา บาดแผลตามร่างกายของพวกเขาก็เริ่มที่จะถูกฟื้นฟู คำสาปชั่วร้าย และเทคนิคมนตราอันแข็งกร้าวถูกปัดเป่าไปในทันที

เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เหล่าผู้ที่ได้รับจากเจ็บสาหัสตลอดทั้งสนามรบ ก็ได้รับการรักษาจนเรียกคืนความสามารถในการเคลื่อนไหวกลับมาได้อีกครั้ง

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่หายดี แต่เงาแห่งความตายก็ได้สลายไปจากตัวพวกเขาแล้ว

พวกเขาได้ถูกช่วยชีวิตเอาไว้!

และทันใดนั้นบนรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม สมบัติอีกระลอกก็ลอยออกไปทันที

สมบัติเหล่านั้นเลือกเจ้านายที่เหมาะสมกับตนเองอย่างรวดเร็ว

ฝูงชนระเบิดเสียงไชโยออกมาเป็นครั้งคราว

ไม่ช้า ทุกคนก็หันไปมองเหล่ามารที่แท้จริง

ตอนนี้ ความแข็งแกร่งของทุกคนพุ่งสูงขึ้น แถมอาการบาดเจ็บก็ยังได้รับการรักษาระดับหนึ่งแล้ว

ดังนั้น มันถึงเวลาที่จะโต้กลับสักที!

“มาลุยกันต่อเถอะ” แบรี่กระแทกสองกำปั้นของตนเอง จนเกิดประกายสะเก็ดไฟลุกไหม้

“ลุยก็ลุยสิ!” เสี่ยวเหมียวตะโกน กระบองสั้นหมุนควงไปตามนิ้วมือของเธอ

“ไปกันเลย!” จอมมารทะเลเลือดเริ่มจั่วไพ่ออกมา และประสานพวกมันเข้าด้วยกันอย่างว่องไว

“ไป!! ฆ่าพวกมันซะ!!!”

ทุกคนต่างตะโกนพร้อมกัน

จ้าววงการจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น ตัวตนทรงอำนาจจากในแต่ละอาณาจักร และเหล่าพันธมิตร ต่างพร้อมใจกันเปิดฉากโจมตี

พวกเขาสับฝีเท้าด้วยกำลังทั้งหมดที่มี พุ่งเข้าไปในช่องว่างมิติที่กำลังเปิดออก เปิดฉากสงครามเต็มกำลัง!

พวกเขาจะต้องโค่นระบบของราชามารลงให้จงได้!

อีกด้านหนึ่ง มารที่แท้จริงกำลังเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ

พวกมันกำลังเฝ้ารอคอยคนที่กำลังจะมาถึง

“ไม่สำคัญหรอกว่าศัตรูจะได้รับอาวุธอะไรมา เพราะเจ้านายกำลังจะมาถึงแล้ว” มารที่แท้จริง ผู้เพาะพันธุ์อสูรกล่าวเสียงกระซิบ

“ใช่แล้วล่ะ ปล่อยให้เจ้าพวกมนุษย์มันตื่นเต้นกันไปก่อน เดี๋ยวอีกไม่นานพวกมันก็จะตกอยู่ในความสิ้นหวัง และเจ็บปวดทรมานอย่างไม่รู้จบเอง” มารที่แท้จริงอีกตนแสยะยิ้มหัวเราะ

มารที่แท้จริงตนอื่นกล่าว “รอก่อนเถอะเจ้าพวกมนุษย์ อีกเดี๋ยวความไร้เดียงสานั่นของพวกเขาก็จักถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ!”

‘จอมมารที่แท้จริง’ คือการดำรงอยู่ที่ใกล้เคียงที่สุดกับราชามาร ตราบใดที่เขาย่างกรายเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ทิศทางแนวโน้มของสงครามทั้งหมดก็จะเปลี่ยนแปลงไปทันที

และแล้วในวินาทีถัดมา สีหน้าของมารที่แท้จริงก็แปรเปลี่ยนพร้อมกัน

เบื้องหลังพวกมัน รอยแยกมิติยักษ์ใหญ่เริ่มแหวกออก และคืบคลานอย่างบ้าคลั่ง

คล้ายกับว่ามีบางอย่างกำลังดิ้นรนอยู่เบื้องหลังรอยแยกนี้ และพยายามที่จะเจาะมิติทั้งหมดเพื่อปรากฏกายออกมา

อำนาจอันยิ่งใหญ่กวาดกระจายไปตลอดทั้งสนามรบ

เหล่าตัวตนทรงอำนาจ กระทั่งแบรี่ก็ยังชะงักไป

พวกเขาสัมผัสได้ถึงอำนาจอันยากจะหาผู้ใดเปรียบ

มันกำลังมาแล้ว!

จอมมารที่แท้จริงกำลังจะปรากฏตัว!

สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไป

ขณะที่เหล่ามารที่แท้จริงต่างเริ่มยิ้มหยันด้วยความสุข

อย่างไรก็ตาม

การเคลื่อนไหวของรอยแยกมิติที่คลุ้มคลั่งกลับค่อยๆชะลอลง

อำนาจอันยากจะพบเจอปรากฏขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆจากนั้นก็เหือดหาย ถูกเก็บกลับคืนไป

เหล่ามารที่แท้จริงหยุดยิ้ม

หืม? หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้น?

นี่มันไม่ถูกต้อง ด้วยอำนาจของเจ้านาย ไม่น่าจะมีใครสามารถบังคับให้เขาถอนตัวกลับไปได้สิ?

ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถกระทำเรื่องดังกล่าวได้!

ขณะที่มารแต่ละคนกำลังสงสัยอยู่นั้นเอง เสียงถอนหายใจก็ดังสะท้อนออกมาจากรอยแยกมิติ

“คราวนี้พวกเราพ่ายแพ้แล้ว”

“สู้ต่อไป…ก็ไร้ความหมาย”

“จงกลับมา”

พร้อมกันกับเสียงนี้ รอยแยกมิติก็ขยายกว้างขึ้นทันที

รอยแยกมิติทอดยาวไปหลายสิบกิโลเมตร ครอบคลุมกองทัพมาร รวมไปถึงเหล่านายพลมารที่แท้จริง

ทันใดนั้นรอยแยกที่ขยายตัวก็หดกลับอย่างรวดเร็ว มันกลายเป็นเพียงเส้นบางๆ และวิ่งข้ามผ่านมิติอันโกลาหลไป

เส้นแสงบางๆ เริ่มจางหายไป

รอยแยกมิติทั้งหมดถูกลบหาย

มารที่แท้จริงทั้งหมด ถอนทัพออกจากสนามรบ!

………………………………………

กู่ฉิงซานนั่งกินเค้กกับลอร่า

แต่กินไปได้แค่คำเล็กๆ เท่านั้น ลอร่าก็ต้องหยุดมือลง

เธอกวาดสายตาอ่านสิ่งที่อยู่บนโต๊ะสักพัก ก่อนจะยื่นสำเนาข้อมูลให้แก่กู่ฉิงซาน

“สำเนาข้อมูล? มันทำไมหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ลองอ่านดูสิ ตรงข้างบนมีบอกเอาไว้ด้วยว่าสมาคมกำปั้นเหล็กของเจ้าก็มาเข้าร่วมสงครามด้วยเช่นกัน” ลอร่ากล่าว

“สมาคมกำปั้นเหล็กก็มาด้วย?” กู่ฉิงซานถามย้ำ

“ใช่ อันที่จริงแล้วกำปั้นเหล็กแบรี่กับเสี่ยวเหมียวเดินทางมาที่นี่เพื่อค้นหาร่องรอยของเจ้า ทว่าผลลัพธ์คือไม่พบกับเจ้า แต่ดันบังเอิญไปพบกับกองทัพมารที่กำลังรวมตัวกันอยู่พอดี”

“ดังนั้นจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น”

กู่ฉิงซานพอฟังมาถึงจุดนี้ เขาก็วางเค้กลง

“พวกเขามาตามหากระหม่อมอย่างงั้นหรือ?” เขาถามซ้ำ

“ใช่ พวกเขาเรียกระดมผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมาเพื่อช่วยเจ้า แต่พวกเขาดันไปพบกับกองทัพมารเข้าเสียก่อน สงครามที่เกิดจากเหตุบังเอิญจึงปะทุขึ้นอย่างไม่คาดคิด” ลอร่ากล่าว

กู่ฉิงซานตกใจ

เขาค่อยๆ ลดขวดไวน์ในมือลง

ในเวลานั้นเอง ทริสเต้ที่ได้ยินเกี่ยวกับข่าวนี้ จู่ๆ ประกายแห่งความชัยชนะในหัวใจของเธอก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง

“ใช่! ต่อให้พวกเจ้าเอาชนะเชื้อไฟได้แล้วมันอย่างไร?” เธอตะโกนออกมา

ฝูงชนต่างหันไปมองทริสเต้

เห็นแค่เพียงทริสเต้ที่กำลังเผยสีหน้ายิ้มเยาะ “หากกระทั่งจอมมารที่แท้จริงก็ยังเข้าร่วมสงคราม ฉะนั้นอีกไม่นานที่นี่ก็คงจะถูกโจมตีและโดนยึดครองไป กลุ่มของแบรี่ไม่สามารถต้านทานมารที่แท้จริงได้หรอก!”

เธอหันไปพูดกับกู่ฉิงซาน “เจ้าเป็นคนของสมาคมกำปั้นเหล็กสินะ? ข้าต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”

“แสดงความยินดีกับผม?” กู่ฉิงซานสงสัย

“ถูกต้อง” ทริสเต้หัวเราะคิกคัก “เพราะหลังจากวันนี้ไป ในสมาคมจะเหลือเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ และนั่นจะทำให้เจ้าได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าของโลกในมิติอนันต์ไปโดยปริยาย!”

“ขณะที่ระบบของราชามารจะครอบคลุมไปตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น ฮ่าๆๆ!”

ทริสเต้หัวเราะคลั่ง

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

อีเลียกับลอร่าหันมามองกันและกัน

ก่อนที่ทั้งสองจะเบนสายตาไปยังกู่ฉิงซานในเวลาเดียวกัน

ดูเหมือนว่านี่จะกลายเป็นปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึกของพวกเธอที่ต้องการคำตอบจากเขาไปโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว

กู่ฉิงซานค่อยๆ ลุกขึ้น

การแสดงออกที่ดูผ่อนคลายบนสีหน้าของเขาหายไปอย่างสมบูรณ์

หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง กู่ฉิงซานก็เอ่ยปากออกมา “อีเลีย ผมขอถามหน่อยจะได้ไหม ว่าจอมมารที่แท้จริงปกติแล้วเข้าร่วมในการต่อสู้บ่อยหรือไม่?”

อีเลียตอบ “แทบจะไม่เลย มันเคยปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาที่สามารถยึดครองดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูได้ครั้งหนึ่งเท่านั้น”

“แล้วในช่วงอดีตที่ผ่านมา เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า ที่มารที่แท้จริงจะมาเข้าร่วมสงครามขนาดใหญ่แบบนี้?”

“ไม่เลย มันน้อยมากๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวตนทรงอำนาจในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นจะคอยสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของพวกมันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการจะลงมือทำอะไรก็เป็นการยากนัก”

“แล้วถ้าอธิบายเป็นในแง่ของความแข็งแกร่งล่ะ ผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ก็ถ้าในสนามรบมีเพียงมารที่แท้จริง และจอมมารมิได้ปรากฏกาย สมดุลของทั้งสองฝ่ายคงจะเท่าเทียมกัน แต่หากจอมมารที่แท้จริงก้าวเข้าสู่สนามรบ การต่อสู้จะทวีความรุนแรงขึ้นถึงขีดสุด และผลลัพธ์ก็ยากที่จะคาดเดา”

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ ปากเอ่ยพึมพำ “แสดงว่าสิ่งที่ต้องสูญเสียไปในสงครามขนาดใหญ่คงสาหัสนัก หากไม่ได้รับประโยชน์มากกว่าโทษ พวกมันคงไม่คิดออกหน้าอย่างง่ายดาย”

“ถ้าอย่างนั้น คุณคิดว่าเป้าหมายของจอมมารที่แท้จริงคืออะไร?”

เขามองไปยังฝูงชนและเอ่ยถาม

ทหารพิทักษ์ต่างจมลงสู่ห้วงความคิด ความรู้สึกอันยากจะอธิบายปรากฏขึ้นในจิตใจของพวกเขา…นี่กู่ฉิงซานที่เป็นนักกลยุทธ์กำลังเอ่ยถามพวกเขาอยู่อย่างงั้นหรือ? แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่ทหารพิทักษ์เองนะ คงไม่อาจตอบคำถามนี้ได้หรอก

ดวงตาของลอร่าเปล่งประกายขึ้นอย่างกะทันหัน “ไม่ใช่ว่าเป้าหมายของมันคือตัวระบบหรอกหรือ?”

อีเลียคิดและกล่าว “เป็นอย่างที่ลอร่าบอก ระบบเป็นคำตอบเดียวเท่านั้นสำหรับคำถามนี้”

แต่แล้วทั้งสองก็หันมามองหน้ากัน และบังเกิดความเข้าใจบางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดๆ ออกมา

จริงสิ! คำตอบมันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ปฏิวัติ’ เท่านั้น!

บางทีมารที่แท้จริงอาจจะมีวิธีที่สามารถรับรู้ได้ว่าระบบของราชามารกำลังวิวัฒนาการขึ้นเป็นปฏิวัติอยู่ก็ได้

และพวกมันต้องการระบบ!

กู่ฉิงซานเดินไปทางทริสเต้ และสำรวจอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง

เชื้อไฟถูกนำมายังอัลเบอัสโดยเธอ ดังนั้นทริสเต้จึงสมควรที่จะเป็นคนที่รู้เรื่องราวภายในมากที่สุด!

กู่ฉิงซานหันไปถามลอร่า “ทริสเต้ถูกผนึกโดยสมบูรณ์เลยใช่หรือไม่?”

“วางใจเถอะ เถาวัลย์ของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เป็นดาวข่มของวิหคหนาม ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือความแข็งแกร่งทั้งหมดของเธอ ล้วนถูกรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ผนึกเอาไว้แล้ว” ลอร่ากล่าว

“งั้นก็ดี”

กู่ฉิงซานโล่งใจ และค่อยๆ ยื่นมือไปทางทริสเต้อย่างช้าๆ

“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร!”  ทริสเต้แม้ภายนอกจะแสดงท่าทีแข็งกร้าว ทว่าภายในใจของเธอกลับรู้สึกหวาดหวั่น

คนอื่นต่างก็พากันมองมายังฉากนี้ด้วยความประหลาดใจเช่นกัน

นั่นสินะ ทริสเต้นับว่าเป็นหญิงงามอย่างแท้จริง เธอเปรียบดั่งสัญลักษณ์ที่แสนสง่างามของวิหคหนาม ทว่าสุดท้ายเธอก็หันไปพึ่งพามาร มิใช่คนดี

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหญิงงามร้ายกาจแต่ไร้ซึ่งพลัง กู่ฉิงซานตั้งใจจะทำอะไรกันแน่นะ?

ภายใต้การจ้องมองของทุกคน เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยื่นมือออกไปคว้าจับเสื้อของทริสเต้ และใช้มือปาดๆ ขยี้มันอย่างรวดเร็ว

ครีมเค้กที่เลอะอยู่บนมือของเขาถูกเช็ดออกไป

“…” ทุกคน

“ช่างไร้ยางอาย! หยาบคายที่สุด! หากข้าไม่ตาย อย่าหวังเลยว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป!” ทริสเต้ราวกับถูกดูหมิ่นครั้งใหญ่ เธอกัดฟันสบถออกมา

“จะว่าแบบนั้นมันก็ไม่ถูกนะ อันที่จริงแล้ว ผมทำแบบนี้เพราะกำลังให้เกียรติคุณต่างหาก” กู่ฉิงซานกล่าว

แล้วเขาก็วางมือที่สะอาดลงบนหน้าผากของทริสเต้

“อย่ากังวลไปเลย ผมจะรีบทำให้มันจบลงเร็วๆ” เขาปลอบ

พลังวิญญาณเริ่มถูกกระตุ้น ขับเคลื่อนวิชาลับ

เปิดใช้งาน เทคนิคค้นวิญญาณ!

เนื่องจากพลังทั้งหมดของทริสเต้ถูกผนึกโดยรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ ส่งผลให้ขณะนี้เธอเป็นเพียงคนสามัญธรรมดาทั่วไป มิอาจต้านทานเทคนิคค้นวิญญาณของกู่ฉิงซานลงได้

ไม่กี่นาทีต่อมา กู่ฉิงซานก็ได้รับคำตอบที่เขาต้องการ

‘จอมมารที่แท้จริง’

เป็นมารที่ทรงอำนาจมากที่สุด มันได้แยกส่วนหนึ่งของระบบหลักที่อยู่ในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ประกอบกันเป็นเชื้อไฟ และมอบให้แก่ทริสเต้

อันที่จริงแล้วความตั้งใจดั้งเดิมของจอมมารที่แท้จริงก็คือ การใช้งานเชื้อไฟเพื่อยึดอัลเบอัส แล้วจากนั้นก็วิวัฒนาการมันไปเป็นต้นกำเนิด เพื่อรวบรวมโลกหลายสิบชั้นไว้ในครอบครอง

นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่าง

กู่ฉิงซานถอนหายใจเบาๆ

แต่น่าเสียดาย ที่ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่จอมมารที่แท้จริง กลับไม่มีใครคาดคิดเลยว่าเชื้อไฟจะวิวัฒนาการไปได้ไกลกว่านั้น

ไม่มีใครรู้ว่าโลกที่พระราชินีมอบให้แก่ทริสเต้ แท้จริงแล้วจะมีวัตถุที่เหล่าทวยเทพทิ้งเอาไว้ข้างหลังหลงเหลืออยู่

เกรงว่าตรงจุดนี้ พระราชินีหนามเองก็คงจะไม่ทราบเช่นกัน

เชื้อไฟได้วิวัฒนาการเป็นต้นกำเนิด

และต้นกำเนิดก็ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของวัตถุของเหล่าทวยเทพอย่างรวดเร็ว

มันจึงพยายามที่จะได้รับวัตถุที่ถูกทิ้งไว้โดยทวยเทพ เพื่อวิวัฒนาการไปสู่ปฏิวัติ

ตรงจุดนี้เองที่ทำให้สถานการณ์มันแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะแม้กระทั่งระบบหลักในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ก็ยังสูงกว่า ปฏิวัติเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น

ดังนั้น หากสามารถนำเอาปฏิวัติกลับคืนไปยังดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูได้ ระบบหลักก็มีโอกาสที่จะวิวัฒนาการไปอีกขั้นในทันที!

ด้วยเหตุนี้เอง มารที่แท้จริงจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะกระโจนเข้าสู่สนามรบ!

สงครามขั้นแตกหักของโลกเก้าร้อยล้านชั้นจึงเริ่มต้นขึ้น

กู่ฉิงซานผละมือของเขา และมองไปทางลอร่า

“ลอร่า”

“ทำไมหรือกู่ฉิงซาน?”

“ในฐานะกษัตริย์แห่งหนาม ท่านสมควรที่จะส่งทหารไปยังแนวหน้า”

“หืม?”

ลอร่าช็อก เธอคิดตามไม่ทันถึงประโยคที่เกิดขึ้น

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ระบบของราชามารได้ถูกทำลายลงไปแล้วโดยสมบูรณ์ ดังนั้นหากท่านในฐานะกษัตริย์แห่งหนามสั่งทหารหนามและนำทัพลงต่อกรกับมารที่แท้จริงด้วยตนเอง อิทธิพลของท่านจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว”

“เข้าใจแล้ว ข้าจะทำตามที่เจ้าว่า” ลอร่ารับคำ

อย่างไรก็ตาม อีเลียแทรกตัวเข้ามาเถียงทันที “ฝ่าบาทยังเยาว์วัยอยู่เลย และความสามารถในด้านการต่อสู้ก็ยังไม่พัฒนาเต็มที่ ปล่อยให้ข้าเป็นคนนำทัพออกไปสู้เองจะดีกว่า”

“ไม่ได้ ปล่อยให้ลอร่าไปนั่นแหละถึงจะดี”

ถึงจะดีงั้นหรือ?

อีเลียจ้องกู่ฉิงซานด้วยความสงสัย

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าวต่อ “เพราะสงครามใกล้จะจบลงแล้ว ดังนั้นการปรากฏตัวของกษัตริย์ย่อมเป็นการสร้างความประทับใจเล็กๆ น้อยได้เป็นอย่างดี”

“เอ๊ะ? สงครามใกล้จะจบลงแล้ว?”

คราวนี้ทั้งลอร่าทั้งอีเลียต่างอุทานออกมาพร้อมกัน

“ใช่ เพราะในทุกๆ สองชั่วโมง จอมมารที่แท้จริงจะสามารถเข้าสู่สถานะรับรู้ถึงตัวของระบบได้ และตอนนี้จากในครั้งล่าสุด เวลาก็ได้ผ่านพ้นไปกว่าหนึ่งชั่วโมง สี่สิบนาทีแล้ว”

“อีกยี่สิบนาที เขาจะค้นพบว่าปฏิวัติได้ถูกทำลายลงไปแล้ว”

“แบบนั้นมันจะไม่โกรธหรือ?”

“ต้องโกรธแน่นอน”

“ถ้าโกรธ สงครามก็ยิ่งต้องทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นสิ”

“ไม่หรอก จะไม่เกิดการบุกโจมตีอีกต่อไป เพราะสงครามมีเพียงการสูญเสีย หากไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ตอบแทนกลับมา ใครเล่าจะยอมโยนตนเองลงในโคลนตมเช่นนี้?”

“เราพอจะนึกภาพที่เจ้าอธิบายออกมาแล้ว”

ลอร่าตัดสินใจอย่างรวดเร็วและกล่าว

“ถ้าอย่างงั้น จริงๆ แล้วเรามีความคิดดีๆ อยู่อย่างหนึ่ง”

“ความคิดอะไร?”

“อย่างที่เจ้ารู้ ว่าเราสามารถปลุกพรสวรรค์ขึ้นมาได้ถึงสามชนิด หนึ่งในนั้นคือที่ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา และอีกหนึ่งที่เจ้ายังไม่รู้ มันถูกเรียกว่า เจตจำนงแห่งกษัตริย์ ซึ่งมันเป็นพลังที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันพอดิบพอดี”

“เจตจำนงแห่งกษัตริย์? ถ้าอย่างนั้นท่านตั้งใจจะใช้มันทำอะไร?”

“เราต้องการที่จะใช้มันร่วมมือกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม”

…………………………………………..

ณ โรงแรมอัลเบอัส

ภายในโซนที่นั่งพิเศษ

บรรยากาศเริ่มที่จะเย็นลง

แต่เมื่อเวลาเริ่มผ่านไป ผู้คนก็ค่อยๆ เริ่มตระหนักถึงบางอย่าง

สีหน้าของทริสเต้ยิ่งนานก็ยิ่งซีดเซียวลง

“ไม่นะ นี่มันไม่ถูกต้อง ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ…” เธอพึมพำด้วยความสับสน

อีเลียมองเธอและกล่าว “หลังจากที่บดขยี้ระบบของราชามารลงแล้ว ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้พวกเราออกมาเพื่อจับตัวฆาตกร”

“บดขยี้? เจ้าสามารถต่อกรกับระบบได้อย่างไร!” ทริสเต้อุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ

อีเลียกล่าว “นั่นเพราะขั้นเชื้อไฟของระบบเป็นขั้นที่อ่อนแอที่สุด ดังนั้นข้าจึงได้ตระเตรียมอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพเอาไว้จำนวนหนึ่ง และเฝ้ารอให้พวกมันเข้ามาติดกับ จากนั้นก็สังหารทั้งหมดลงเสีย”

ทริสเต้จิกสายตามองเธอและกล่าว “โกหก เจ้าไม่มีอะไรแบบนั้นไว้ในครอบครองหรอก”

อีเลีย “ข้าไม่มี แต่ราชวงศ์มี”

ทริสเต้หันขวับไปทางลอร่าอย่างกะทันหัน

มองไปยังสายเลือดราชวงศ์ที่เกือบจะสูญสิ้นลง ต้นกล้าของราชวงศ์เพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่

สายตาของทริสเต้เลื่อนตกลง ชำเลืองมองไปยังกระเป๋าของลอร่า

มันเป็นกระเป๋าสีเขียวมรกตใบเล็กๆ ที่ถูกถักทอจากกิ่งและใบไม้ มิได้ดูโดดเด่นอะไร

ทว่ากระเป๋าใบนี้ แท้จริงแล้วกลับครอบครองพลังอันน่าตื่นตะลึง มันสามารถเชื่อมต่อกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามได้!

นั่นสินะ ลอร่าเป็นสายเลือดราชวงศ์หนามคนเดียวที่เหลืออยู่ และสายเลือดราชวงศ์ทุกคน ล้วนมีความสามารถสื่อสารกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ได้ และเธอคงจะสื่อสารผ่านทางกระเป๋าที่ถูกถักทอโดยกิ่งก้านและใบไม้ของมันใบนี้

มีเพียงลอร่าเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ อนุญาตให้สามารถเรียกอาวุธของอาณาจักรหนามที่ถูกเก็บรวบรวมเอาไว้มายาวนานนับหมื่นปี ข้ามผ่านมิติและเวลาออกมาใช้งานได้โดยตรง

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทริสเต้ก็เริ่มจะเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ

สมบัติสะสมของราชวงศ์หนามยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้

แม้ว่าเธอจะถูกมอบหมายให้รับใช้ราชวงศ์มายาวนานหลายปี แต่เธอก็ยังไม่สามารถเข้าใจเกี่ยวกับราชวงศ์ได้อย่างลึกซึ้งอยู่ดี

บางทีเกรงว่า แม้กระทั่งกษัตริย์แห่งหนามเอง เขาก็ยังไม่อาจทราบได้ว่าสมบัติที่เขาครอบครองนั้นมีมากมายเพียงใด

บางที บางทีนะ มันอาจจะมีอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพมากพอที่จะสามารถสังหารหมู่ผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคนลงในคราวเดียวอยู่ก็เป็นได้?

‘ขั้นเชื้อไฟ…’

หัวใจของทริสเต้ค่อยๆ หม่นทะมึนลง

ในหูของเธอ เสียงอีเลียดังขึ้นอีกครั้ง

“ถึงเรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่ข้าคิดว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้ ว่าหากไร้ซึ่งผู้ดาวน์โหลด ระบบก็จะถูกทำลายลง”

เธอมองไปยังทริสเต้ และเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เพื่อระบบขยะแบบนี้ มันคุ้มค่าถึงขั้นต้องทรยศอาณาจักรเชียวหรือ?”

ทริสเต้ราวถูกทุบตีอย่างรุนแรง เธอมิอาจโต้เถียงคำใดออกไปได้เป็นเวลานาน

ปืนกลทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเอ่ยถามเสียงดังออกมา “ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามา หมายความว่าพวกเราไม่ต้องสนใจเชื้อไฟแล้วใช่ไหม?”

“ใช่”

“สรุปว่า เจ้าได้ทำลายระบบของราชามารไปแล้วใช่หรือไม่?” เลดี้เทสส์ถามย้ำ

“ใช่” อีเลียยืนยันหนักแน่น

“ให้ตายสิ…กี่ปีมาแล้วนะที่เราไม่ได้รู้สึกกังวลมากมายถึงขนาดนี้”

เธอลูบอกของตัวเอง และผ่อนลมหายใจยาว

ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานจึงได้มีจังหวะเอ่ยถามออกมา “เลดี้เทสส์ คุณพอจะสามารถอธิบายสถานการณ์ในปัจจุบันให้กับฝ่าบาทลอร่า และนายพลอีเลียหน่อยจะได้ไหม?”

“ได้สิ”

“สงครามขั้นแตกหักได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และสนามรบก็อยู่ห่างจากอัลเบอัสไปเพียงสามชั้นโลกเท่านั้น”

“ตัวตนทรงอำนาจของโลกเก้าร้อยล้านชั้น กองทัพขององค์กรและพันธมิตรจากที่ต่างๆ ทั้งหมดได้เข้าสู่สนามรบแล้ว”

“เวลานี้มารที่แท้จริงได้มาถึง ส่งผลให้สภาพการณ์ของสนามรบอยู่ในจุดที่ก้ำกึ่ง”

“แต่จากข้อมูลที่พวกเราเพิ่งได้รับมา ดูเหมือนว่าจอมมารที่แท้จริงก็กำลังมาเดินทางมาสมทบด้วยเช่นกัน”

“ดังนั้น นี่จึงเป็นสงครามขั้นแตกหักที่จะตัดสินชะตาของโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้น!”

เลดี้เทสส์วางสำเนาข้อมูลลงบนโต๊ะ และหันไปกล่าวกับเหล่าวิหคหนาม “นี่คือข่าวทั้งหมดที่ได้รับมา พวกเจ้าสามารถค่อยๆ อ่านมันได้”

“ในเมื่อเรื่องตรงส่วนนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว คงได้เวลาที่พวกเราจะไปยังสนามรบเสียที”

เธอเริ่มท่องคาถา และกำลังจะจากไป

ปืนกลเร่งกล่าว “ฉันขอไปด้วย!”

“มาเถิด” เลดี้เทสส์ตอบรับ

ปืนกลหันไปเรียกพรรคพวกของเขา มาหยุดยืนข้างเลดี้เทสส์อย่างรวดเร็ว

รังสีแสงกะพริบไหว

แล้วทั้งหมดก็จมเข้าไปในความว่างเปล่า และหายตัวไป

โซนที่นั่งพิเศษจมลงสู่ความเงียบ

อีเลียก้าวไปข้างหน้า และเริ่มร่ายคาถาผนึกลงบนตัวทริสเต้ ทับเพิ่มลงไปอีกกว่าสองถึงสามชั้น

ขณะที่ท่าทีของลอร่าแลดูสงบจนน่าประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดสิ่งใดอยู่

กู่ฉิงซานค่อยๆ วางลอร่าลงบนโซฟา และปลีกตัวออกไปด้านข้าง

“กู่ฉิงซาน นั่นเจ้าจะไปไหน?” ลอร่าเอ่ยถามทันที

“ไม่ได้ไปไหนหรอก” กู่ฉิงซานตอบ

เขาเดินไปที่ถังน้ำแข็ง และหยิบขวดไวน์สีดำบริสุทธิ์ขึ้นมา

มันเป็นขวดที่เขาเพิ่งจะดื่มไปก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่โลกสมบัติของทริสเต้

เวลานี้ ในที่สุดเขาก็จะได้พักผ่อนเสียที

กู่ฉิงซานเอนตัวลงพิงบนโซฟานุ่มอย่างสบายๆ ขวดไวน์ถูกยกขึ้น และก้อนเค้กชิ้นใหญ่จากเค้กยี่สิบชั้นตรงหน้าถูกตัดออก

เขาได้ทำสิ่งต่างๆ ไปมากมายก่อนหน้านี้ ดังนั้น ปัจจุบันจึงเหนื่อยล้าเกินไป

ในเมื่อทริสเต้เองก็ถูกจับตัวได้

และระบบของราชามารก็ถูกทำลายลงแล้ว

มันจึงถึงเวลาที่กู่ฉิงซานจะได้หยุดพักเสียที

เขาทั้งกินและดื่ม เติมเต็มพลังงานให้แก่ร่างกาย และบรรเทาความตึงเครียดทางจิตวิญญาณของตนเองลง

ส่วนผสมของสิ่งที่เขากำลังกินดื่มอยู่นี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ดี มันเป็นของชั้นยอดจากในโลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้น ดังนั้นการรับประทานมันย่อมมีผลดีต่อร่างกายเป็นธรรมดา

เพราะผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช่เทพเทวดาที่ไม่จำเป็นต้องกินต้องดื่มแต่อย่างใด หากเหน็ดเหนื่อยก็ต้องเติมเต็มพลังงาน ยิ่งเพิ่งตัดผ่านขอบเขตใหญ่มาแล้วก็ยิ่งต้องกินให้มากกว่าปกติ

ดังนั้น ในบรรดาหกศิลป์จึงมีสิ่งที่เรียกกันว่า กลั่นเม็ดยาและปรุงอาหารวิญญาณรวมอยู่ด้วยนั่นเอง

“เฮ้ กู่ฉิงซาน ทำไมเจ้าถึงได้ดูขี้เกียจจัง ไม่เห็นจะมีแรงจูงใจเลย?”

ลอร่าเอียงศีรษะ มองไปที่เขา

“ก็มันไม่มีงานอะไรให้ทำแล้วนี่นา” กู่ฉิงซานเทไวน์ลงแก้ว และกระดกเข้าปาก “ฝ่าบาทก็รู้นี่ว่ากระหม่อมเพิ่งจะผ่านพ้นประสบการณ์อะไรมาบ้าง ฉะนั้นการมอบเวลาพักผ่อนเล็กน้อยให้แก่ตนเอง คงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกกระมัง?”

“แต่สงครามขั้นแตกหักกำลังเกิดขึ้นข้างนอกนะ” ลอร่ากล่าว

“นั่นก็จริงอยู่” กู่ฉิงซานเค้กชิ้นหนึ่งโยนเข้าไปในปากของเขา “แต่มันเป็นสงครามที่มีแต่เหล่าตัวตนทรงอำนาจของตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นใช่ไหมล่ะ เพราะแข็งแกร่งพวกเขาจึงมีสิทธิ์เข้าสู่สนามรบ ขณะที่ความแข็งแกร่งของกระหม่อมช่างน้อยนิด…ฝ่าบาทคงไม่คิดจะให้กระหม่อมไปเข้าร่วม แส่หาเรื่องตายหรอกนะใช่ไหม?”

ลอร่าพอได้ฟังก็คิดว่า ‘เอ่อ ก็จริงของเขานะ’

เป็นเพราะกู่ฉิงซานมักจะเฟ้นหาหนทางคว้าชัยชนะในการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ทำให้จิตสำนึกของเธอคิดไปเองโดยอัตโนมัติว่าในครั้งนี้เขาก็คงจะคิดหาวิธีรับมือเช่นกัน วิธีรับมือที่จะช่วยให้สามารถคว้าชัยชนะในสงครามครั้งนี้มาได้

ลอร่าถอนหายใจ เธอจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างไม่พอใจ

“มีอะไรอีกล่ะ?” หลังจากจิบไวน์ไปอึกใหญ่ กู่ฉิงซานก็เอ่ยถาม

“เจ้าไม่คิดว่าการกินเค้กต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ มันไม่เป็นการหยาบคายหรือ?” ลอร่ากล่าวถึงปัญหาในที่สุด

“กินเค้กต่อหน้าทุกคน…มันเป็นเรื่องหยาบคาย?” กู่ฉิงซานงง

“ใช่” ลอร่าพยักหน้า

กู่ฉิงซานหันไปมองอีเลีย

อีเลียพยักหน้าและกล่าว “มารยาทเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และฝ่าบาทลอร่าก็ทรงบอกเรื่องนี้กับเจ้าด้วยความหวังดี”

กู่ฉิงซานมองไปยังทหารพิทักษ์

ทหารพิทักษ์พยักหน้าด้วยความสุภาพ

ทหารพิทักษ์หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันเป็นเรื่องน่าอับอายที่จะกินต่อหน้าผู้อื่น”

ตอนนี้กู่ฉิงซานก็เข้าใจในที่สุด

เขาจดจำได้ว่าวิหคหนามนั้นไม่เคยรับประทานอาหารต่อหน้าผู้อื่นเลย

ลูกพี่ไก่เองก็บอกว่าเกลียดพฤติกรรมนี้ของวิหคนามมากที่สุด

ห้ามกินต่อหน้าคนอื่นอย่างงั้นหรือ…ก็ได้จัดให้

กู่ฉิงซานถือเค้กขึ้นมา หันหลังให้แก่ทุกคนและเริ่มกินมันต่อไปอย่างเงียบๆ

“…” ทุกคน

“นี่ ต่อให้เจ้าหันหลัง แต่พวกเราก็ยังเห็นว่าเจ้ากำลังกินอยู่นะ!” อีเลียกล่าวอย่างไร้หนทาง

“แต่ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อเสียพลังงานมากเกินไป พวกเขาก็ต้องกินเพื่อเสริมสร้างพลัง!”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างขอไปที และเริ่มกินอย่างตะกละตะกลาม

เขาเอื้อมไปคว้าไวน์อีกขวดขึ้นมา และคราวนี้ยกซดมันจนหมดขวดเลยในลมหายใจเดียว

…สดชื่น!

ต้องกินและดื่มแบบนี้นี่แหละ มันถึงจะช่วยขจัดความเหนื่อยล้าของร่างกายให้หมดไป

“เจ้าไม่กังวลเกี่ยวกับสงครามขั้นแตกหักเลยหรือ?” ลอร่าเอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้

“มีผู้คนเข้าร่วมมากมาย มีตัวตนทรงอำนาจอยู่มากมาย แล้วยังมีอะไรให้กระหม่อมต้องกังวลอีกหรือ? พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้กระหม่อมช่วยเหลือหรอก ” กู่ฉิงซานส่ายหัว

เขากระดกนิ้ว และทันใดนั้นขวดไวน์ฤทธิ์แรงอีกขวดก็ลอยจากถังน้ำแข็งมาตกลงในมือของเขา

“เราทนไม่ไหวแล้ว” ลอร่าพ่นลมหายใจฟึดฟัด

เธอลุกขึ้น เดินไปยังเค้กยี่สิบชั้น ตัดมัน และค่อยๆ เริ่มกินบ้าง

“ไม่ใช่ฝ่าบาทบอกว่าหากอยู่ต่อหน้า…” กู่ฉิงซานกำลังเอ่ยปากถาม

“ฝ่าบาทกำลังเสวย!” ทหารพิทักษ์ตะโกน

ทันใดนั้นทหารพิทักษ์ทั้งหมด อีเลีย แม้กระทั่งทริสเต้ก็หันศีรษะของพวกเธอออกไปอีกทาง พร้อมกับหลับตาลง ไม่มองลอร่า

“เอะ? อะไร? เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ลอร่าถามกู่ฉิงซาน

“เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก กินต่อเถอะ”

………………………………………

“ก่อนที่จะออกไป มีอยู่สองเรื่องที่พวกเราจะต้องรู้เอาไว้” กู่ฉิงซานกล่าว

เมื่อได้ยินเขาพูด ทุกคนก็แสดงออกถึงท่าทีฟังอย่างตั้งใจ

เพราะท้ายที่สุดนี้ เขาเป็นถึงชายที่สามารถโค่นหนึ่งแสนกองทัพผี สังหารสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร และทำลายระบบของราชามารลงได้ด้วยตนเอง

และแน่นอน ว่ามันเป็นเพราะฝ่าบาทที่ทรงประทับอยู่บนบ่าของชายผู้นี้ด้วยเช่นกัน

กู่ฉิงซาน “เรื่องแรกก็คือ ลอร่าจะต้องสวมใส่เกราะกษัตริย์เสียก่อน จะได้ไม่มีปัญหาในด้านความปลอดภัยตามมา หลังจากที่เราออกไปข้างนอก”

“ข้าเห็นด้วย” อีเลียตกลงทันที

ลอร่ากล่าวอย่างไม่เต็มใจ “กู่ฉิงซาน เป็นเจ้าที่ใส่เกราะรบเอาไว้ไม่ดีกว่าหรือ ตัวเราถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว แถมยังได้รับพรมาถึงสามประการ แค่เพียงที่ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกาก็ไม่มีใครสามารถตรวจพบถึงตัวเราได้แล้ว”

“แบบนั้นไม่ได้ ท่านจะต้องฟังคำของกระหม่อม” กู่ฉิงซานดุ

มองไปยังเด็กสาวตัวน้อยที่ดูเศร้าๆ กู่ฉิงซานก็ลดเสียงตัวเองลง กล่าวอย่างช้าๆ “ในเรื่องของการต่อสู้ ทุกสิ่งอย่างมักจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอยู่เสมอๆ ดังนั้นท่านไม่ควรที่จะพึ่งพาเพียงสกิลเดียว เพราะมันไม่สามารถใช้ในการตัดสินทุกอย่างได้ เข้าใจหรือไม่?”

“เข้าใจก็ได้…”

ลอร่าพอเห็นเขายืนยันหนักแน่น ตนเองจึงตอบรับไปคำหนึ่ง

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ทหารพิทักษ์ก็ลอบพยักหน้ากันอย่างลับๆ

ใช่แล้วล่ะ ลอร่าเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของราชวงศ์ แม้ว่าทุกอย่างในตอนนี้จะจบลงด้วยดีแล้วก็จริง แต่หากเธอออกไปข้างนอกก็ยังไม่แน่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

ดังนั้น ความปลอดภัยของกษัตริย์ย่อมต้องมาก่อน ห้ามประมาทเลินเล่อใดๆ ทั้งสิ้น!

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกให้มากความ เกราะเทพบินเข้าหาลอร่า และกลายเป็นประกายแสงเล็กๆ โอบล้อมรอบกายเธอทันที

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าอยู่ที่นี่แล้ว” เกราะเทพกล่าว

กู่ฉิงซานพยักหน้า “โอเค งั้นพวกเรามาพูดกันถึงเรื่องที่สองกันต่อเลย ซึ่งเรื่องนี้จะขึ้นอยู่กับอีเลีย”

“ข้าหรือ?” อีเลียถาม

“ใช่ และนี่ยังเป็นคำขอร้องส่วนตัวจากผมอีกด้วย”

“เรื่องอะไร? ลองว่ามาสิ”

“เป็นเพราะความแข็งแกร่งของผมที่ต่ำเกินไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ หากได้ถูกเปิดเผยออกไป มันย่อมสามารถสั่นสะเทือนทุกฝ่ายได้อย่างแน่นอน และถ้าเป็นแบบนั้น มันจะสร้างปัญหาให้กับผม ดังนั้น ผมเลยอยากจะขอร้องว่า เป็นคุณจะได้ไหมที่ออกหน้ายอมรับว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นฝีมือของตัวเองแทนผม”

ฝูงชนพอได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะจมลงสู่ห้วงความคิด

แน่นอนว่าจากทั้งหมดที่ตอบรับการเรียกขานของทริสเต้ ในบรรดาผู้ที่อายุต่ำกว่าสามสิบปี กู่ฉิงซานย่อมเป็นตัวตนที่โดดเด่น

อย่างไรก็ตาม หากเป็นในโลกเก้าร้อยล้านชั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนทรงอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอย่างเทียบไม่ติด เขาก็ยังเป็นแค่เพียงมือใหม่เท่านั้น

เป็นมือใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่กลับสามารถกำจัดระบบของราชามาร สั่นสะเทือนตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้

แน่นอน ว่าหากเรื่องนี้หลุดรอดออกไป ตัวเขาย่อมดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนมากมาย ถึงจะมีผู้คนอยู่ไม่น้อยที่เข้ามาหาเขาด้วยเจตนาดี แต่ก็ย่อมต้องมีผู้คนที่มีเจตนาร้ายอยู่เช่นกัน

จากนั้นคงมีผู้คนนับไม่ถ้วนต้องการที่จะตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเขา และพยายามที่จะลอบตรวจสอบสมบัติและสกิลที่เขามี

เพราะย่อมไม่มีใครเต็มใจเชื่อว่าเขาสามารถบรรลุเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ด้วยมันสมองของตัวเอง

สถานการณ์ดังกล่าวจะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออนาคตและการพัฒนาของกู่ฉิงซาน

อย่างไรก็ตาม หากทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยฝีมือของ ‘เหมันต์ยามค่ำอีเลีย’ แล้วล่ะก็ มันจะไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร

เพราะยังไงเสีย วิหคหนามเป็นเผ่าพันธุ์ที่ครอบครองสมบัติมากมาย ดังนั้นพวกเขาก็ย่อมต้องมีวิธีที่สามารถใช้รับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันได้

ยิ่งไปกว่านั้น อีเลียก็ยังเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่ง ที่มีชื่อเสียงไปตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น

ผู้คนมากมายจะยอมรับผลลัพธ์ในครั้งนี้ได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีแนวโน้มที่จะยกย่องในความสำเร็จของอีเลียอีกด้วย

ดังนั้น การให้อีเลียออกมารับหน้าทุกอย่าง จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

หากอีเลียออกมารับหน้าแทน ก็จะเทียบเท่าได้กับเป็นการช่วยปิดบัง และเป็นเกราะป้องกันให้แก่กู่ฉิงซาน

ในวันต่อๆ มา เขาก็จะได้สามารถมีสมาธิในการฝึกฝน โดยไม่มีเรื่องราวใดๆ จากโลกภายนอกเข้ามาแทรกแซง

ลอร่าเปิดบทสนทนากับอีเลีย “อีเลีย เจ้าสามารถเป็นผู้รับหน้าในเรื่องนี้จะได้หรือไม่?”

อีเลียไตร่ตรองอย่างจริงจัง ก่อนจะเอ่ยถามกู่ฉิงซานด้วยรอยยิ้ม “แล้วผลประโยชน์ที่พวกเราเผ่าพันธุ์หนามจะได้รับหลังจากการรับหน้าในครั้งนี้เล่า คืออะไร?”

กู่ฉิงซานกล่าวทันที “เนื่องจากจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่างมันมาจากวิหคหนามทริสเต้ แต่คุณในฐานะนายพลอันทรงเกียรติ กลับสามารถแก้สถานการณ์ ช่วยเหลือองค์กษัตริย์ให้รอดพ้นจากอันตราย สังหาร สองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร และทำลายระบบของราชามารลงได้ เรื่องราวเหล่านี้จะส่งเสริมให้คุณกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลานุภาพมากที่สุด”

เขากล่าวต่อ “ในกรณีนี้ มันจะส่งผลให้ความคิดของผู้คนที่มีต่ออาณาจักรหนามเปลี่ยนไป หากพวกเขาคิดจะลงมือใดๆ กับอาณาจักรหนาม อย่างน้อยพวกเขาต้องย้อนไปทบทวนดูดีๆ ไม่น้อยกว่าสองครั้งอย่างแน่นอน และนั่นจะนับว่าเป็นผลประโยชน์อย่างมหาศาล สำหรับลอร่าในอนาคต”

อีเลียถอนหายใจ “ฝีปากในการโน้มน้าวของเจ้านี่ช่างยอดเยี่ยมเสียจริงๆ แต่การที่เจ้าสามารถกำจัดระบบของราชามารลงได้มันจะทำให้เจ้าได้รับชื่อเสียงครั้งใหญ่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นเชียวนะ เจ้าจะทิ้งมันไปดื้อๆ เลยหรือ?”

กู่ฉิงซานส่ายหัวของเขา “การได้รับชื่อเสียงมันยังเร็วเกินไปสำหรับผม ตอนนี้ผมแค่อยากจะทุ่มสมาธิไปกับการฝึกฝน เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่า”

อีเลียไม่ลังเลอีกต่อไป เธอพยักหน้า และกล่าว  “อันที่จริง แค่เรื่องที่เจ้าช่วยลอร่าเอาไว้ ข้าก็เต็มใจจะรับฟังคำขอของเจ้าอยู่แล้ว”

“ยอดไปเลย ถ้าอย่างงั้นพวกเรามาปรึกษากันก่อน จะได้แน่ใจว่าพอออกไปจะพูดตรงกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

“งั้นพวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อมเสีย หลังจากเสร็จเรื่องนี้พวกเราจะออกไปทันที” อีเลียสั่ง

ทหารพิทักษ์แห่งอาณาจักรเริ่มที่จะทำการตรวจสอบอุปกรณ์ของพวกเขา และเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทันที

ส่วนอีเลีย เธอแยกตัวออกไปหารือรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับกู่ฉิงซานอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเวลาทั้งสองเอ่ยปาก เรื่องราวมันจะไม่เบี่ยงเบนออกไป

ไม่กี่นาทีต่อมา

อีเลียก็หยิบบอลสีเงินขึ้น และบีบมันอย่างแรง

บอลสีเงินแตกกระจาย พวกมันกลายเป็นเส้นโลหะขนาดใหญ่นับไม่ถ้วน ไหลย้อนทวนขึ้นไปในอากาศ

สองมือของอีเลียประกบกัน ประทับตราและเริ่มร่ายคาถา

พร้อมกันกับการร่ายคาถาของเธอ เส้นโลหะเหล่านั้นก็ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อร่างเป็นม่านเหล็กขนาดใหญ่ ห่อหุ้มฝูงชนเอาไว้ทันที

ต่อมา แสงจรัสก็พวยพุ่งออกจากม่านเหล็ก ทะลวงสู่ฟากฟ้า

ชั่วพริบตานั้นเอง ม่านเหล็กก็ทะลุผ่านชั้นอากาศ และหายออกไปจากโลกใบนี้

ภายในโรงแรมอัลเบอัส

โซนที่นั่งพิเศษ

ทริสเต้ยังคงถูกจี้โดยเหล่าปากกระบอกปืน

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ กลับไม่มีใครกล้าที่จะลงมือกับเธอ

เพราะหากตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ทริสเต้จะฉวยจังหวะนั้นปลดตราประทับในโลกที่ถูกผนึกของเธอ ปลดปล่อยระบบของราชามารออกไปปกคลุมตลอดทั้งอัลเบอัสและโลกนับล้านๆ ใบ

และนั่นเป็นฝันร้าย

สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนจะถูกบังคับให้ดาวน์โหลดระบบ และกลายเป็นทาสของระบบราชามาร

ยิ่งเวลาผ่านไป สถานการณ์ก็จะยิ่งแย่ลง

จิตวิญญาณพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ เลดี้เทสส์ถอนหายใจ “ทริสเต้ เจ้าเป็นถึงยอดทหารผู้ที่เลื่องชื่อในอาณาจักรหนาม เหตุใดจึงเลือกเส้นทางเช่นนี้ ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆ”

“ยอดทหาร?”

สีหน้าของทริสเต้เผยถึงความเยาะหยัน ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ทาสที่ต้องคอยรับหน้าที่เป็นวัวเป็นควายให้กับราชวงศ์ มันสมควรที่จะถูกเรียกว่ายอดทหารจริงๆ หรือ?”

ทว่าในตอนนั้นเอง รังสีแสงพลันสว่างวาบ และผุดออกมาจากบอลคริสทัลอย่างกะทันหัน

ลอร่า กู่ฉิงซาน อีเลีย และทหารพิทักษ์ปรากฏกายขึ้นในโซนพิเศษขึ้นพร้อมกัน

“ลอร่า!” ทริสเต้ตะโกน

“ลอร่า! อีเลีย! นี่มันเรื่อง-” เทสส์อุทานด้วยความประหลาดใจ

“อย่าขยับ!”

ทุกชนิดของปืนระเบิดเสียงเตือนขึ้นทันที

พวกเขาต่อต้านทริสเต้ชนิดหัวชนฝา บีบบังคับมิให้เธอลงมือกับลอร่า

เกิดเหตุการณ์สับสนวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย

“ถอยออกไปก่อน” กู่ฉิงซานเร่งกล่าวเสียงกระซิบ

ฝูงชนที่คอยปกป้องลอร่า รีบถอยกลับมาเบื้องหลังเลดี้เทสส์อย่างรวดเร็ว

ในสายตาของทริสเต้ กระบวนของทหารพิทักษ์ที่กำลังปกป้องลอร่าช่างเข้มงวดยิ่งนัก

ลอร่ามองไปยังทริสเต้

เฝ้ารอจนกระทั่งทุกคนหยุดฝีเท้าลง เธอจึงเริ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เจ้าคิดว่าการรับใช้ราชวงศ์นั้นเปรียบดั่งการตกเป็นทาสอย่างงั้นหรือ?”

แม้ว่าจะประหลาดใจกับคำถาม แต่ทริสเต้ก็ยังตอบกลับไป “ถูกต้อง! เพราะสิ่งที่ข้าต้องทำทุกวันนี้ล้วนไม่พ้นเกี่ยวข้องกับอาหาร เสื้อผ้า และการเดินทางของเจ้าทั้งสิ้น ทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการจะทำเลย!”

ลอร่า “แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ย่อมไม่มีใครสามารถบีบบังคับให้เจ้ารับใช้ราชวงศ์ได้ หากเจ้าต้องการ เจ้าก็สามารถจากไปได้เลยโดยไม่มีใครห้ามปรามมิใช่หรือ?”

“แต่ว่านะทริสเต้ ทำไมล่ะ? ทำไมกัน ทำไมเจ้าถึงสังหารพ่อแม่ และน้องชายของข้า?”

“พวกเขาทุกคนล้วนดีกับเจ้าเสมอมา กระทั่งรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่เจ้าครอบครองอยู่ในมือขณะนี้ ก็เป็นราชวงศ์ที่พระราชทานให้ แต่ทำไมสุดท้ายเจ้าถึงสังหารพวกเขา?”

ทริสเต้ไร้คำจะกล่าวไปชั่วจังหวะหนึ่ง

แต่ในไม่ช้า บนใบหน้าของเธอก็เริ่มผุดรอยยิ้มอันแสนคลุ้มคลั่ง

“นั่นเพราะข้ามีความฝัน ความฝันที่ไม่ว่าตัวเองจะต้องเสียสละสิ่งใดก็จักต้องบรรลุมันให้จงได้อยู่!”

“เสียสละ? ด้วยชีวิตคนอื่นเนี่ยนะ? มันยุติธรรมงั้นหรือ?”

“ยุติธรรม?” ทริสเต้ประชดประชัน “ลอร่าเอ๋ย เจ้ามันยังเด็กนัก ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นมันไม่มีคำว่ายุติธรรมหรอก!”

ดวงตาของลอร่าเริ่มแดงเรื่อ เธอเอ่ยบัญชา “ไป! จงไปจับตัวเธอ เราต้องการที่จะจัดการกับกบฏของอาณาจักรต่อหน้าทุกคน!”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” อีเลียขานรับ

เธอเริ่มก้าวตรงไปยังทริสเต้

ทริสเต้เริ่มเกร็งบอลคริสทัลในมือทันที

“อย่าเข้ามานะ!” เธอร้องตะโกน

“ทริสเต้ มันจบแล้ว และเจ้าจะต้องชดใช้ในการกระทำของเจ้า” อีเลียส่ายหัว

และยังคงก้าวต่อไปไม่หยุด

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้สินะ?” ทริสเต้ชูบอลคริสทัลสูงขึ้น ปากเอ่ยข่มขู่ “อีเลีย ตราบใดที่เจ้ากล้าตรงเข้ามาอีกแม้เพียงก้าว ข้าจะปลดผนึกโลกใบนี้ และปลดปล่อยระบบของราชามารออกมาทันที”

“เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ข้าต้องตาย แต่ทุกอย่างที่นี่ก็จะจบลง ทุกคนจะต้องกลายเป็นทาสของระบบ ไม่เว้นกระทั่งเจ้า!”

“ฮี่ๆ ฮ่าๆๆ”

ทริสเต้หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“…” อีเลีย

“…” ลอร่า

“…” กู่ฉิงซาน

“…” ทหารพิทักษ์

อีเลียหยิบเถาวัลย์หนามออกมา และโยนมันไปในอากาศ

“จิตวิญญาณของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย ในนามของเจ้า ขอจงสำแดงพันธนาการที่ไม่มีวันหลุดพ้นออกมาด้วยเถิด” เธอร่ายมนตร์คาถาพึมพำ

เถาวัลย์หนาม บินไปทางทริสเต้ทันที

เมื่อเห็นถึงเถาวัลย์นี้ สีหน้าของทริสเต้ก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย เธอร้องตะโกนอย่างสิ้นหวัง “เป็นเจ้าเองนะที่บังคับให้ข้าทำแบบนี้!”

เธอกดมือของตนลงแนบกับบอลคริสทัล ปากอ้าตะโกน “จงถูกปลดปล่อย!”

“ไม่นะทริสเต้ เจ้าจะทำแบบนั้นไม่ได้…” เลดี้เทสส์อุทานออกมา

“พวกเราลงมือ!” ปืนกลตะโกนอย่างเร่งร้อน

อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไปแล้ว

บนบอลคริสทัล รอบตัวมันเกิดกระแสไอเย็นระเบิดออก อุณหภูมิทั้งหมดภายในห้องลดต่ำลง

ในขณะเดียวกัน เถาวัลย์หนามก็มาถึงตัวทริสเต้ พันธนาการเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา

บังเกิดความเงียบงันขึ้นในโซนพิเศษ

บอลคริสทัลตกกระทบลงกับพื้น กระเด้งกระดอนไม่กี่ครั้งก็หยุดลง

ขณะที่ไอเย็นเยียบยังคงถูกปลดปล่อยออกมาจากบอลคริสทัลอย่างต่อเนื่อง จนพื้นบริเวณรอบๆ มันกลายเป็นน้ำแข็ง

จากนั้น

ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกเลย

………………………………………………

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความเงียบ

ช่วงเวลานี้ เขามักจะรู้สึกว่าในกายของตนมีบางอย่างที่ผิดแผกไปอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเขาได้รับพลังที่มากกว่าที่เป็น พลังที่แต่เดิมเป็นของตัวเองอยู่ก่อนแล้ว

โซ่ตรวนบางอย่างในจิตวิญญาณ ในที่สุดแล้วก็ได้รับการปลดปล่อย

กู่ฉิงซานไม่คาดคิดเลยว่า ทั้งคนทั้งร่างของเขาจะจมลงสู่ห้วงแห่งความสงบอันลึกล้ำ

เขารู้สึกว่าจิตใจของเขาไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในทะเลแห่งห้วงสติอีกต่อไป บัดนี้มันกระจายไปสู่ความว่างเปล่าอันไม่รู้จบ

ซึ่งความว่างเปล่าข้างบนที่ว่ามานี้ มันมิใช่ความว่างเปล่าในแง่ของมิติ แต่มันให้ความรู้สึกราวกับจิตวิญญาณได้ถูกปลดปล่อยไปยังปรากฏการณ์ในอีกระดับหนึ่ง

เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า

แสงและเงายักษ์เริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง “หวังว่าของขวัญชิ้นนี้จะช่วยให้ได้เป็นนายเหนือของเทพสงครามอย่างแท้จริง”

“ข้าหวังว่าเจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าปัจจุบัน เพราะในอนาคตภายภาคหน้า อย่างไรเสียจุดสิ้นสุดของโลกเก้าร้อยล้านชั้นย่อมจะมาถึงในสักวันหนึ่ง”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นและกล่าว “ฉันสัญญา”

แสงและเงาร่างยักษ์มิได้เอ่ยตอบสิ่งใด แต่กู่ฉิงซานรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่

ร่างยักษ์ใหญ่เริ่มที่จะพร่ามัว กลายเป็นเหมือนกับเพียงภาพลวงตา สุดท้ายก็กระจัดกระจาย กลืนหายเข้าไปกับท้องฟ้า

หลงเหลือกู่ฉิงซานเพียงลำพังที่ยังยืนอยู่เหนือทะเลเมฆ ที่เกิดความรู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ

สำหรับมืออาชีพทุกๆ คนแล้ว พวกเขาจะได้รับการสอนสั่งเกี่ยวกับความจริงตั้งแต่แรกเริ่มของการฝึกฝน

นั่นก็คือ พวกเขาจะสามารถเชี่ยวชาญได้เพียงทักษะเดียวเท่านั้น ทักษะเดียวที่จะสามารถบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ ในขณะที่ความสามารถในการฝึกฝนทักษะอื่นๆ จะลดหลั่นลง จนอยู่ในระดับธรรมดา

นี่คือข้อจำกัดของมืออาชีพอย่างแท้จริง แม้กระทั่งคนที่หลักแหลมอย่างนางเซียนไป่ฮั่ว และได้ทำการศึกษาเรียนรู้ศาสตร์หลายแขนง แต่แท้จริงแล้วเธอก็ไม่สามารถศึกษาพวกมันไปถึงในเชิงลึกได้

แม้ว่าเซี่ยเต๋าหลิงจะครอบครองสกิลเทวะมากมาย แต่สุดท้ายเธอก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ใช้เทคนิคมนตรา

ที่เธอฉกาจฉกรรจ์ที่สุด คือเทคนิคมนตรา

และตอนนี้ โอกาสที่ไม่เคยมีผู้ใดได้รับมาก่อน ก็ได้มาวางอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซานแล้ว!

แสงและเงาของทวยเทพบอกเขาว่า ตนสามารถฝึกฝนในทุกศาสตร์ ทุกแขนงไปได้ถึงในขั้นลึกซึ้ง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อวิถีในด้านอื่นๆ ของตน

บอกตามตรงว่าตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ในเวลานั้นเอง บนหน้าต่างเทพสงคราม สามเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กก็กะพริบไหวอย่างไม่รู้จบ

“ทวยเทพได้มอบอิสระให้แก่จิตวิญญาณของคุณ”

“คุณหลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ขั้นพื้นฐานของโลก มันมิอาจผูกมัดคุณได้อีกต่อไป”

“คุณสามารถตะลุยไปในหลากหลายศาสตร์ หลากหลายแขนง สามารถบรรลุทุกวิถีจนถึงขั้นสูงสุดได้ดั่งใจปรารถนา”

ไม่นานนัก สามบรรทัดตัวอักษรก็หายไป

และอีกไม่กี่บรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว

“นับจากนี้ไป คุณสามารถฝึกฝนทักษะทุกชนิด ทุกประเภทได้โดยไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ”

“ระบบค้นพบว่าในอดีต คุณเคยเชี่ยวชาญในทักษะลูกศรและธนู”

“อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่คุณเลือกวิถีแห่งดาบ ก้าวขึ้นสู่นักดาบนิรันดร์ คุณก็ได้ละทิ้งทักษะลูกศรและธนูไปแล้วตามกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และโลก ดังนั้น ทักษะที่เกี่ยวข้องกับลูกศรและธนูส่วนใหญ่ของคุณจึงหายไป”

“ทักษะลูกศรและธนูหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่คือ ระบำผันผวน(ขั้นกลาง)”

“ระบำผันผวน ‘ขั้นกลาง’ สกิลวิวัฒน์ สามารถยิงลูกศรนับสิบออกไปได้อย่างต่อเนื่องในระยะเวลาสั้นๆ โจมตีคู่ต่อสู้ด้วยลูกศรที่คดเคี้ยวไปในอากาศ มิอาจคาดเดาทิศทางได้”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านหน้าต่างระบบเทพสงคราม

ตนที่เดินอยู่บนวิถีแห่งดาบ จะสามารถฝึกฝนทักษะลูกศรและธนูได้จริงๆ หรือ?

มันเป็นไปได้จริงๆ ใช่ไหม?

เขาตบลงในถุงสัมภาระและหยิบคันธนูออกมา

นี่คือธนูยาวที่มีรูปลักษณ์อันแสนเรียบง่าย ยามเมื่อมันอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน หากไม่มองจะไม่มีทางรู้สึกถึงตัวตนของมัน

ไม่มีใครสามารถรับรู้ถึงคันธนูนี้ได้ ขณะเดียวกันพวกเขาก็จะไม่สามารถตระหนักได้ถึงเจตนาฆ่าใดๆ ที่คันธนูนี้ส่งออกมา

นี่คือธนูเย่หยู

ในครั้งอดีต ช่วงเวลาที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต นักบุญหนิงเยว่ฉานได้มอบมันให้แก่เขา

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก หลับตาลง และทำสมาธิเล็กน้อย

ดูเหมือนว่า…ตนเองจะยังพอจดจำการใช้งานเกี่ยวกับมันได้ …

แทนที่จะมามัวเสียเวลาคิด กู่ฉิงซานไร้ซึ่งความลังเลอีกต่อไป เขาเหวี่ยงถุงเก็บลูกศรไปสะพายไว้เบื้องหลัง

ผ่อนลมหายใจจนสงบ

สายธนูถูกขึงจนตึงในทันใด

แล้วมันก็ถูกผละออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่พุ่งออกราวกับสายฟ้าฟาด!

ฟิ้ว!

ได้ยินเพียงหนึ่งเสียงที่ดังขึ้น

แต่กลับปรากฏถึงภาพติดตานับสิบในชั้นอากาศ พวกมันฉวัดเฉวียนคดเคี้ยว ก่อนจะจมหายลงไปในทะเลเมฆอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานดึงสายธนูของเขา และผละมันออกอย่างต่อเนื่อง

ระบำผันผวน!

ระบำผันผวน!!

ระบำผันผวน!!!

กลุ่มของลูกศรปรากฏขึ้นราวกับฝนดาวตก เวียนว่ายไปทั่วท้องฟ้า กรีดผ่านสายลม ร่วงตกลงสู่พื้นดิน!

แต่กู่ฉิงซานยังคงไม่หยุด เขาเอื้อมมือไปคว้าจับลูกศร และยิงศรทั้งหมดที่อยู่ในเป้สะพายหลังจนเกลี้ยงในลมหายใจเดียว

เขาหลับตาลง และเริ่มทำการรับรู้อย่างระมัดระวัง

ตนค้นพบว่าจิตแห่งดาบยังคงกระจ่างชัด ไร้ซึ่งผลกระทบใดๆ

เขาคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา และโบกสะบัดรังสีดาบสีนวลผ่องดั่งจันทร์เพ็ญออกไป

ผลปรากฏว่ามันไร้ซึ่งความล่าช้า หรือเบี่ยงเบนใดๆ

อันที่จริง พลังของรังสีดาบกลับดูจะเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ กระทั่งความเร็วก็ยังไวขึ้นเล็กน้อย

ซึ่งนี่คงจะเป็นผลมาจากการต่อสู้อย่างยาวนานของกู่ฉิงซาน ที่ทำให้ทักษะดาบของตนเองพัฒนาขึ้น

ดาบก็ยังเป็นดาบ ขณะเดียวกันลูกศรก็ยังเป็นลูกศร

ไร้ซึ่งอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางใดๆ ระหว่างสองทักษะนี้ ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่กระทบ กระทั่งใดๆ ต่อกัน

“ความรู้สึกแบบนี้…ฉันไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย”

กู่ฉิงซานพึมพำ

แม้ว่าสกิลลูกศรและธนูจะหายไปมากแล้ว แต่ตราบใดที่เขาต้องการ เขาก็สามารถเรียนรู้มันได้อยู่แล้วมิใช่หรือ?

ปัจจุบันนี้ เขาสามารถฝึกฝนลูกศรและธนู ฝึกฝนดาบ ฝึกฝนกระบี่ ฝึกฝนธาตุทั้งห้า หรือแม้กระทั่งหวูเต๋ากุ่ยชั่งก็ยังได้

ตราบใดที่มันไม่ส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของทักษะดาบของตนเอง เขายังต้องกลัวอะไรอีก?

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบอยู่พักหนึ่ง จึงตบลงในถุงสัมภาระ

เขาหยิบใบหยกขึ้นมา

‘นิกายร้อยบุปผา สกิลเทวะนักสู้ สวรรค์ล่มสลาย’

นี่คือสกิลเทวะนักสู้ที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ในการฝึกฝน แต่น่าเสียดายที่กู่ฉิงซานเกรงว่ามันจะกระทบต่อความก้าวหน้าในทักษะดาบของตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ไม่คิดที่จะเรียนรู้มัน

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างเทพสงคราม ในส่วนของ ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ ส่องสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว

บรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้น

“หวนคืนไร้ลักษณ์ สกิลเทวะ สวรรค์ล่มสลาย”

“สวรรค์ล่มสลาย ระเบิดพลังที่รุนแรงกว่าเดิมถึงสามสิบเท่า ยามที่ทุบลง พื้นดินจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ล่มสลายลงในที่สุด”

“ไม่มีเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการฝึกฝนเพลงหมัดนี้”

“คำอธิบาย ยิ่งการฝึกยุทธ์ในฐานะนักสู้ของคุณสูงส่งมากเท่าใด เพลงหมัดนี้ก็ยิ่งทรงประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น”

“เนื่องจากคุณไม่เคยฝึกฝนเกี่ยวกับนักสู้มาก่อนเลย ดังนั้นการที่จะเรียนรู้ทักษะนี้ จำเป็นต้องจ่ายหนึ่งพันห้าร้อยแต้มพลังวิญญาณ”

“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือศูนย์”

กู่ฉิงซานอ่านคำอธิบายบนหน้าต่างเทพสงคราม ในหัวใจรู้สึกเศร้าเล็กน้อย

เวลานี้ เขาไร้ซึ่งแต้มพลังวิญญาณ

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหาอยู่นิดหน่อยแฮะ

จู่ๆ กู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ว่าวิถีแห่งตนเองนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไป

เพราะนับตั้งแต่วันนี้ ทุกสิ่งอย่างจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ในชั่วพริบตาเดียว เขาได้ค้นพบว่าตนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาทักษะในการต่อสู้ศาสตร์ ทุกแขนงได้อย่างไร้ขีดจำกัด

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาต้องทำ เขาไม่สามารถมาหยุดยืนที่นี่ และคิดเกี่ยวกับมันอยู่เฉยๆ ได้

“มาจัดการธุระที่ต้องทำก่อนดีกว่า แล้วเรื่องนี้ไว้ค่อยคิดเกี่ยวกับมันในภายหลัง”

กู่ฉิงซานถอนหายใจและเรียกสติของเขากลับมา

เขาเก็บธนูเย่หยู และเรียกดาบเช่าหยิน

“เจ้าจงไปบอกลอร่าว่าพวกเธอไม่ต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว”

ดาบเข่าหยินส่งเสียงหึ่งเบาๆ เจาะทะลวงผ่านทะเลเมฆ และจมหายลงสู่มหาสมุทรโดยตรง

ไม่นานนัก

ลอร่า อีเลีย และทหารพิทักษ์คนอื่นๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นน้ำแข็ง

ส่วนกู่ฉิงซานก็บินลงมา

ทุกคนต่างหันซ้ายหันขวา ด้วยลักษณะท่าทีที่ดูประหม่าและตึงเครียด

“แล้วระบบของราชามารเล่า ไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” อีเลียเอ่ยถาม

“มันถูกทำลายลงแล้ว” กู่ฉิงซานตอบ

“มันจะถูกทำลายได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่ามันวิวัฒนาการแล้วหรอกหรือ?” อีเลียจี้ถามต่อ

“ผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดถูกฆ่าตายโดยกษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผี เป็นอย่างที่ว่ามาจริงๆ หากระบบไม่มีใครให้ดูแล โชคชะตาสุดท้ายของมันก็มีเพียงถูกทำลายลงเท่านั้น”

กู่ฉิงซานว่าจบ ทุกคนก็หันมองไปทุกทิศทาง

เห็นแค่เพียงพายุหิมะ และพื้นน้ำแข็งอันรกร้าง ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ

“ตายหมดแล้วจริงๆ หรือ?” ทหารพิทักษ์คนหนึ่งกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่ พวกเขาทั้งหมดตายลงแล้ว เจ้าก็ช่วยยืนยันกันหน่อยซิ”

กู่ฉิงซานก้มลงบนตัวเองและกล่าว

แสงจรัสที่ปกคลุมร่างกายของเขาเงียบงัน ไม่ตอบสนองไปครู่หนึ่ง

มันคือสิ่งประดิษฐ์เทวะโบราณ เกราะของเหล่าทวยเทพ

เกราะเทพอยู่กับเขามาโดยตลอด มันเป็นประจักษ์พยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และยังใช้ออกด้วยสกิลตัดขาดเวลา ช่วยเหลือเขาในช่วงข้ามผ่านโทษทัณฑ์อีกด้วย

กู่ฉิงซานส่งผ่านเสียงไปในความคิด “ความลับต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องของทวยเทพ เรื่องของโลกเสาทองแดง เจ้าไม่อาจเปิดเผยได้ หากเจ้าบอกกับลอร่าออกไปแม้เพียงครั้ง อันตรายมากมายก็จักเพ่งเล็งไปที่เธอ ซึ่งนี่ไม่เป็นประโยชน์ใดๆ กับเธอเลย ดังนั้นได้โปรดเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วย”

เวลานี้ เกราะเทพตอบกลับ “เข้าใจแล้ว เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมันน่าอัศจรรย์ใจมากจนเกินไป และหากแพร่งพรายออกไปก็จะเป็นการนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ของเผ่าพันธุ์หนาม”

มันแปรเปลี่ยนเป็นแสงไสว แยกตัวออกจากกู่ฉิงซาน หดตัวเป็นรังสีแสงขนาดเล็ก

“เป็นอย่างที่เขากล่าว ปฏิวัติของราชามารได้ถูกทำลายลงจริงๆ ทุกอย่างจบแล้ว”

เกราะเทพประกาศต่อหน้าฝูงชน

ในช่วงเวลานี้ ไม่มีใครเปล่งเสียงใดออกมาเลย ราวกับว่าพวกเขายังไม่อาจน้อมรับความจริงตรงหน้าได้

ทุกคนมองมายังกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

ชายผู้นี้ได้ใช้ประโยชน์จากการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของตัวเอง ติดสินบนปีศาจทุกตนที่คิดจะมาฆ่าเขา และใช้งานพวกมันไปสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งสองร้อยล้านคนแทน

สองร้อยล้านคนเชียวนะ!?

แม้ว่าเรื่องที่ว่ามานี้จะเกิดขึ้นจริง แต่ทุกคนก็ยังแทบจะไม่อาจทำใจเชื่อได้อยู่ดี

ลอร่าก้าวออกมา คว้าจับมือของกู่ฉิงซานและค่อยๆ กระตุกมัน

แม้จะไร้ซึ่งน้ำตา แต่ดวงตาของเธอก็มีสีแดงเรื่อ ริมฝีปากเม้ม ลังเลไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อยู่สักพัก

กู่ฉิงซานยิ้ม แตะสัมผัสลงบนหัวเธอเบาๆ

“ว่ายังไง?” เขาเอ่ยถาม

“ศัตรูของพ่อ แม่ แล้วก็น้องชายของเรา ยังไม่ได้รับการแก้แค้น…” ลอร่างึมงำเสียงกระซิบ

กู่ฉิงซานจึงอุ้มเธอขึ้น และวางลงบนไหล่เขา

“งั้นตอนนี้ คงได้เวลาแล้วที่พวกเราจะกลับไปหาทริสเต้”

กู่ฉิงซานปลอบประโลมลอร่าอย่างอ่อนโยน

“วางใจเถอะ หนี้เลือดที่ก่อขึ้น ทริสเต้จะต้องชดใช้มันในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน”

…………………………………………….

หนังสือปกดำลอยนิ่งอยู่บนฝ่ามือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะเปิดมัน

เพราะยามเมื่อต้องเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่รู้จัก ตัวเขามักจะมีความระแวดระวัง รู้จักอดทนอยู่เสมอ

เขามองไปยังเส้นแสงหิ่งห้อยบนหน้าต่างเทพสงครามและเริ่มเอ่ยถามระบบ

“ระบบเทพสงคราม คุณช่วยอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งหกเงื่อนไขที่ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นร่างเงาเทพให้ฉันฟังหน่อยจะได้ไหม?”

ติ๊ง!

ระบบเทพสงครามตอบ

“หนึ่ง โลกเก้าร้อยล้านชั้นเป็นสิ่งที่ทวยเทพสร้างขึ้น และในเวลานี้ เหล่าทวยเทพก็ได้จากไปแล้ว ขณะที่วันสิ้นโลกกลับปรากฏขึ้น ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ ที่ระบบวันสิ้นโลกกำลังจะมาเยือนอาณาจักรทั้งมวล จึงตรงตามเงื่อนไขแรกของเหล่าทวยเทพไปโดยปริยาย”

“สอง โลกสมบัติของทริสเต้ใบนี้เป็นสถานที่พำนักของเหล่าทวยเทพในยุคโบราณอันไกลโพ้น”

“สาม เช่าหยินคือดาบที่ถูกหลอมกลั่นโดยเทพบรรพกาล ซึ่งคุณสามารถเป็นเจ้าของดาบเล่มนี้ได้ ดังนั้นเทพวิญญาณจึงยอมรับคุณเป็นราชาแห่งท้องทะเล”

“สี่ ตั้งแต่ที่คุณเข้าสู่โลกใบนี้ คุณก็ได้ทำการต่อต้านเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ต้นกำเนิด มาโดยตลอดและยอดภูเขาน้ำแข็งของเหล่าทวยเทพก็ได้เป็นประจักษ์พยานต่อเหตุการณ์ทั้งหมด”

“ห้า คุณสามารถทำลายสองระบบในเวลาเดียวกัน”

“หก คุณได้รับการยอมรับจากระบบเทพสงคราม เป็นเจ้าของอำนาจเทพสงคราม นอกจากนี้ยังครอบครองกฎเกณฑ์เกี่ยวกับมิติและเวลาของวันสิ้นโลกในอดีตอีกด้วย ซึ่งตรงส่วนนี้คุณก็น่าจะเข้าใจดี”

เมื่ออ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย ลมหายใจของกู่ฉิงซานก็ขาดห้วงไปเล็กน้อย

นั่นสินะ ฉันลอบกลับมาจากมิติและเวลาในอนาคตจริงๆ กลับมาสู่อดีตแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

หากอ้างอิงตามตรรกะทางด้านวิทยาศาสตร์ อนาคตไม่ว่าอย่างไรก็ย่อมมีอิทธิพลต่ออดีต

แต่ในกรณีของฉัน แท้จริงแล้วจะเป็นอนาคตที่มีอิทธิพลต่ออดีต หรือเป็นอดีตที่มีอิทธิพลต่ออนาคตกันแน่นะ?

ไม่ อันที่จริงแล้วมันควรจะเป็นแบบนี้ต่างหาก

ตนเองและระบบเทพสงครามเริ่มต้นจากการแอบย่องข้ามมิติและเวลาจากอนาคต ดังนั้นช่วงเวลาในอดีตจึงได้รับผลกระทบทั้งหมด ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ในอดีตรูปแบบใหม่ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้มันสามารถพิจารณาด้วยตรรกะทางวิทยาศาสตร์จริงๆ หรือ?

กู่ฉิงซานส่ายหัว

เขาย้อนนึกไปถึงมอนสเตอร์ตัวนั้นอีกครั้ง

“ช่างน่าสงสาร…” นี่คือสิ่งที่มอนสเตอร์พูดกับเขาก่อนมันจะตาย

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างเงียบๆ

เรื่องราวมันลึกลับมากเกินไป และด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ย่อมไม่มีทางที่จะยืนยันเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้

ขณะนั้นเอง บรรทัดแสงตัวอักษรใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

“ปัจจุบัน คุณสามารถรับของขวัญจากเหล่าทวยเทพได้แล้ว”

พอกวาดสายตาอ่านบรรทัดแสงนี้ กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงความปีติยินดีของระบบเทพสงคราม

“นี่คงไม่ใช่กับดักหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ…ใช่ไหม?”

เขาเอ่ยถาม

“ไม่ใช่แน่นอน เพราะเหล่าทวยเทพไม่ได้เกลียดชังอะไรในตัวระบบ และคุณก็ได้พิสูจน์ถึงจุดยืนของตัวเองด้วยการกระทำภายในโลกที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยพำนักอยู่นี่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“ดังนั้น สิ่งที่เหล่าทวยเทพเหลือทิ้งไว้เบื้องหลัง จะไม่ถูกนำมาใช้จัดการกับคุณ” ระบบเทพสงครามตอบ

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็รู้สึกโล่งใจและกล่าว “ดีล่ะ ถ้าอย่างงั้นมาดูกันว่าหนังสือปกดำเล่มนี้คืออะไร”

ว่าจบ เขาก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือปกดำขึ้นมา

ทันใดนั้นเส้นแสงตัวอักษรใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“คุณได้รับหนังสือของขวัญจากเทพผู้รังสรรค์”

“กรุณาเปิดหนังสือเล่มนี้”

กู่ฉิงซานเปิดปกหนังสือที่ปิดอยู่อย่างช้าๆ

ชั่วพริบตาที่มันถูกเปิดออก ตลอดทั้งเล่มของหนังสือปกดำก็สาดประกายรังสีแสงสดใส พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า

ภายใต้แสงสว่างอันงดงามนี้ มันเปล่งประกายไปด้วยความหมายของชีวิต และการยกย่องบูชา เวียนว่ายไปมาไม่หยุดเหนือหัวของกู่ฉิงซาน

ในเวลาเดียวกันแสงและเงาระหว่างสวรรค์และโลกก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นร่างยักษ์ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

รูปร่างของอีกฝ่ายใหญ่โตราวกับขุนเขา กู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องหน้ามีความสูงเพียงแค่ระดับเดียวกันกับเท้าของมันเท่านั้น

ร่างยักษ์มองลงมายังกู่ฉิงซาน เริ่มอ้าปากพูดคุย

“เจ้าเป็นคนที่สามของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ที่ได้รับของขวัญจากเหล่าทวยเทพ เวลานี้ เจ้าสามารถพูดถึงสิ่งที่ปรารถนามากที่สุดจากในจิตใจออกมาได้”

กู่ฉิงซานนิ่งค้างไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อตระหนักได้ถึงปฏิกิริยาของเขา ระบบเทพสงครามก็เร่งผุดบรรทัดแสง เตือนขึ้นบนหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

“คุณต้องบอกความจริงออกไป”

ราวกับกลัวว่ากู่ฉิงซานจะเสียโอกาสนี้ไป บนหน้าต่างเทพสงครามจึงปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นมาอีกครั้ง และอธิบายถึงรายละเอียดอย่างรวดเร็ว

“กฎแห่งเหตุและผลของเทพวิญญาณมีกฎเกณฑ์ในตัวของพวกมันเองอยู่ ดังนั้นสิ่งที่คุณกำลังจะพูดออกไป มันต้องเป็นความปรารถนาจากส่วนลึกที่สุดในจิตใจของตัวเองจริงๆ คำขอนั้นจึงจะประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่น”

“ดังนั้น คุณจะต้องเอ่ยความปรารถนาที่จริงแท้ที่สุดในจิตใจของตัวเองออกมา!”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านหน้าต่างเทพสงคราม และพยักหน้าเล็กน้อย แสดงท่าทีว่าเขาเข้าใจ

เขามองขึ้นไปยังแสงและเงาของร่างยักษ์บนท้องฟ้า และสูดหายใจเข้าลึกๆ

“ในความเป็นจริงแล้ว หลายครั้งหลายครา ตัวฉันมักจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เนื่องมาจากการที่ตนเองอ่อนแอ ดังนั้นฉันจึงเกลียดความอ่อนแอของตัวเอง”

เขาเริ่มอธิบาย

“ถ้าหากท่านต้องการจะช่วยฉันจริงๆ ได้โปรดมอบความแข็งแกร่งที่เหนือล้ำยิ่งกว่าในวันนี้ เพื่อที่ฉันจะได้สามารถใช้มันต่อต้านระบบ สามารถได้รับอิสรภาพ สามารถปกป้องทุกคนที่ฉันต้องการจะปกป้องได้ด้วยเถอะ!”

“ฉันปรารถนาในพลังอันยิ่งใหญ่!”

“อำนาจที่มากพอจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง!”

“ฉันต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น และได้รับพลังอำนาจที่มากขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันปรารถนามากที่สุดล่ะ!”

กู่ฉิงซานตะโกนเสียงดัง

เขาสิ้นหวังมากเกินไป เกือบทุกครั้งเลยตนจะต้องถูกบีบบังคับให้เผชิญกับสถานการณ์ไร้หนทาง ส่งผลให้ตลอดเวลา เขามักจะรู้สึกราวกับว่าตนกำลังย่ำอยู่ตรงขอบหน้าผาอยู่เสมอๆ ต้องเค้นสมองเฟ้นหาวิธีทุกหนทางในการต่อสู้ เพื่อไขว่คว้าโอกาสอันน้อยนิดให้สามารถรอดชีวิตอยู่ต่อไปได้

เขาต้องงัดทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้ และใช้ออกด้วยทุกสิ่งที่เขามี

แต่!

หากเขาแข็งแกร่งมากพอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดหนัก ไม่ต้องเลือกที่จะหลบหนีไปมา หรือใช้ออกด้วยทุกกลยุทธ์ใดๆ เลย

ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็เพียงแค่หยิบดาบขึ้นมา และใช้มันฟาดฟันแก้ไขทุกๆ ปัญหาก็เท่านั้น!

เหมือนกันกับที่ร่างใหญ่ที่อยู่มากกว่าหนึ่งแสนปีได้กล่าวเอาไว้ ว่าสำหรับช่วงเวลาแห่งวันสิ้นโลก ความอ่อนแอนับว่าเป็นบาปมหันต์!

ฉะนั้น เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น!

ในช่วงเวลานี้

ระหว่างเผชิญหน้ากับแสงและเงาของร่างยักษ์เทพบรรพกาล

กู่ฉิงซานได้ระบายความปรารถนาจากส่วนลึกในจิตใจของเขา เปล่งมันออกไปด้วยความจริงใจและทะเยอทะยานอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เหนือทะเลเมฆ ใต้ผืนฟ้า

แสงและเงาของยักษ์ใหญ่เทพบรรพกาลรับฟังคำขอของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

“แข็งแกร่งขึ้น? นั่นหรือคือสิ่งที่เจ้าปรารถนามากที่สุด?” เขาถาม

“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ

แสงและเงาร่างยักษ์กล่าว “ทว่าตามกฎเกณฑ์ของอาณาจักรทั้งมวล พวกมันย่อมไม่ยอมรับถึงการดำรงอยู่ที่จู่ๆ ก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ เหตุและผลย่อมมีกฎของตัวมันเอง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถก้าวหน้าในระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืนไปได้”

“และที่สำคัญ ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถมอบอำนาจที่แข็งแกร่งในทันทีให้แก่เจ้าได้”

“อย่างไรก็ตาม ในบรรดาของขวัญที่ข้าเตรียมเอาไว้ มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่จะสำแดงผลลัพธ์ช่วยให้เจ้าสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ดั่งที่ใจเจ้าปรารถนา”

“หากได้รับมัน เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่มันต้องใช้เวลาและความเพียรพยายามอย่างหนัก เจ้าเองจำต้องจ่ายเลือดและเนื้อออกไปมากกว่าคนอื่นๆ จักต้องฝึกฝนให้มากยิ่งขึ้น มีวินัยให้มากยิ่งขึ้น ปฏิบัติตนให้เหมาะสมที่จะได้เป็นราชาเหนือราชาทั้งปวง”

“กล่าวกันว่ายิ่งทำงานหนักเท่าใด ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะยิ่งมากเท่านั้น ซึ่งหากเจ้าทำแบบที่ว่า มันก็จะเกิดการสอดคล้องกับกฎแห่งเหตุและผล และทุกกฎเกณฑ์ของอาณาจักรทั้งปวง”

“ของขวัญที่ข้ากำลังจะมอบให้นี้ หากเจ้าไม่มุ่งมั่นทำงานให้หนักยิ่งกว่าผู้อื่นนับสิบเท่า มันก็แทบจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย”

“คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ว่าเจ้ายินดีจะยอมรับมันเอาไว้หรือไม่?”

“ฉันยอมรับ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ลังเล

แสงและเงาร่างยักษ์พอได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย

แสงและเงายักษ์โบกมือออกไป

เห็นแค่เพียงในความว่างเปล่าเหนือหัวของกู่ฉิงซาน ทั้งหมดขยับไหวราวกับกระแสธารหลาก ไหลมาท่วมรวมกันบนฝ่ามือของเงายักษ์

รังสีแสงอันเข้มข้นแปรเปลี่ยนรูปร่างอย่างรวดเร็วกลายเป็นรูปปั้นที่เปล่งเสียงบางเบานับไม่ถ้วนออกมา

กู่ฉิงซานเฝ้ามองอย่างตั้งใจ และเห็นว่ารูปปั้นที่ว่านั้นมีร่างกายเหมือนคนปกติ ทว่าเหนือขึ้นไปตรงส่วนหัวกลับปรากฏถึงสี่หน้า หันออกไปสี่ทิศ

และเหนือสี่หัวขึ้นไป ก็ยังคงมีอีกสี่หัว หันออกไปในอีกสี่ทิศทางเช่นกัน

และหัวสี่ทิศที่ว่าก็ยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลากยาวไปจนถึงเจ็ดชั้น ทว่าชั้นสุดท้ายกลับปรากฏให้เห็นเพียงแค่หัวเดียวเท่านั้น

เมื่อมองไปยังรูปปั้นดังกล่าวนี้ในคราวแรก จะรู้สึกราวกับถูกดึงดูดเข้าไป แต่หากได้ลองเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด มันจะก่อให้เกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้บางอย่างขึ้นมา

แสงและเงายักษ์ถือรูปปั้นนี้และกล่าว

“ในตลอดทั้งหมื่นโลกา ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีกฎเกณฑ์พื้นฐานของมัน”

“และเพื่อที่จะรักษาสมดุลของอาณาจักรทั้งปวงเอาไว้ เพื่อที่จะยับยั้งความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตไม่ให้มากจนเกินไป ‘กฎเกณฑ์แห่งจิตวิญญาณ’ อันลึกล้ำจึงถือกำเนิดขึ้น”

“อำนาจของกฎที่ว่านั่นก็คือ จิตวิญญาณจะไม่สามารถเบี่ยงเบนไปในวิถีอันหลากหลายได้…หากจิตใจของเจ้าเบี่ยงเบนเป้าหมายไปยังอีกสิ่งหนึ่ง ความเชี่ยวชาญในวิถีนั้นๆ ก็จะลดต่ำลง”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังคำของแสงและเงาร่างยักษ์ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า

เขาย้อนนึกไปถึงในโลกล่องเวหา ย้อนนึกไปถึง ‘ดาบคู่เอกลักษณ์’ เฉียนซานเย่

เพื่อที่จะฝึกฝนทั้งทักษะดาบและกระบี่ให้เชี่ยวชาญ เฉียนซานเย่จำได้ใช้ออกด้วยเทคนิคแยกวิญญาณออกเป็นสองส่วน จึงจะสามารถเชี่ยวชาญทั้งสองทักษะนี้ได้

แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ไม่แตกต่างไปจากหลานซิ่งแห่งจักรวรรดิเทียนหลาน ที่จำต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากดวงวิญญาณที่แยกออกอยู่ตลอดเวลา

ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเช่นนี้ จริงอยู่ที่ว่ามันจะสามารถทำให้ผู้คนฝึกฝนวิถีที่หมายปองจนเชี่ยวชาญได้มากกว่าหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันความแข็งแกร่งทางจิตก็จะถดถอยลง และสามารถถูกโจมตีโดยผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้น เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกล่องเวหา แม้ว่าเขาจะได้ล่วงรู้ถึงเทคนิคแยกวิญญาณนี้ แต่ตนก็ไม่เคยคิดที่จะใยดีมันเลย

แสงและเงายักษ์กล่าวต่อ

“ตอนนี้ ข้าจะใช้อำนาจของทวยเทพ สร้างผลกระทบต่อกฎเกณฑ์ของเหตุและผล เพื่อเป็นกุญแจสู่การปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้า”

“สมบัติชิ้นนี้จะช่วยปลดปล่อยขีดจำกัดจิตวิญญาณไปโดยสมบูรณ์”

“ความหมายก็คือ นับแต่นี้ไป เจ้าจะสามารถฝึกฝนทักษะทั้งหมด สามารถมุ่งเดินไปในทุกๆ วิถีที่หมายปอง โดยไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ สามารถเชี่ยวชาญในศาสตร์ทุกแขนงได้โดยไม่มีกฎเกณฑ์ของตลอดทั้งหมื่นโลกามาผูกมัด กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าทุกสรรพชีวิตทั้งมวล”

“หากเจ้าจ่ายออกด้วยหยาดเหงื่อและความเพียรพยายามที่มากพอ ตัวเจ้าจะกลายเป็นเทพสงครามที่ทรงอำนาจ เป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกศาสตร์ ทุกแขนง”

แสงและเงายักษ์กล่าวจบ ก็โยนรูปปั้นไปทางกู่ฉิงซาน

รูปปั้นตกลงเหนือหัวของกู่ฉิงซาน และทันใดนั้นมันก็แปรสภาพกลายเป็นแสงจรัสอันไร้ที่สิ้นสุด จมหายเข้าสู่หว่างคิ้วของเขา

ปัง!

กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่กลางอากาศ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนกำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ คล้ายกับว่ามีบางอย่างได้รับการปลดปล่อย

พริบตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น ตัวเขาก็ถูกตรวจพบโดยฟ้าดินทันที

บังเกิดคลื่นความผันผวนอย่างรุนแรงไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก

ท่ามกลางตลอดทั้งโลกนับล้านๆ ความผันผวนอันไร้ที่สิ้นสุดนี้เริ่มทยอยกันปรากฏขึ้น

พวกมันข้ามผ่านขอบเขตมิติและเวลา มาปรากฏกายขึ้นในโลกสมบัติของทริสเต้โดยตรง หลอมรวมตัวเข้าด้วยกัน เกิดเป็นความผันผวนที่สร้างแรงกระแทกอันยิ่งใหญ่

พลังที่มองไม่เห็นนี้แม้จะไร้ซึ่งมวลน้ำหนักใดๆ ทว่าขณะเดียวกัน ไม่ว่าสิ่งใดก็มิอาจหยุดยั้งมันได้

ชนิดที่ว่าตราบใดที่มันต้องการ โลกทั้งใบที่มาขวางหน้าก็จะกลายเป็นฝุ่นผงทันที!

อำนาจที่มองไม่เห็นกระแทกเข้าใส่ร่างของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานตระหนักได้ว่าตนกำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่

อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา ทั้งคนทั้งร่างเขาราวกับถูกแช่แข็ง ไม่แม้กระทั่งจะสามารถขยับนิ้วมือได้

ในเวลานั้นเอง แสงและเงายักษ์ก็เอ่ยปากออกมา

“ไม่จำเป็นต้องกังวลไป กฎเกณฑ์อันลึกล้ำกำลังสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของเจ้า”

“กฎเกณฑ์ของโลกเก้าร้อยล้านชั้นกำลังรวมตัวเข้าด้วยกัน และพยายามที่จะยับยั้งการปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้า ทว่าการปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้าได้รับการอนุญาตจากทวยเทพซึ่งเป็นผู้สร้างโลกเหล่านั้นขึ้นมา ดังนั้นในสถานการณ์นี้ เจ้าย่อมสามารถผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย”

พร้อมกันกับคำพูดของแสงและเงายักษ์ กุญแจแห่งการปลดปล่อยจิตวิญญาณก็ปรากฏขึ้น และปกคลุมรอบกายกู่ฉิงซาน

ร่างเงาของรูปปั้นที่มีหัวนับไม่ถ้วนค่อยๆ แตกสลายลง

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่คิดหมายจะยับยั้งกู่ฉิงซานก็กระจายหายไปเช่นกัน

……………………………………………..

เสียงประกาศของ ‘ปฏิวัติ’ เพิ่งจะจบลง อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นตามมาติดๆ ทันที

ซึ่งเสียงนี้แตกต่างจากเสียงของปฏิวัติที่เต็มไปด้วยความเย็นชา มันเป็นเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเมตตา

“วิถีแห่งการกดขี่สิ่งมีชีวิตทั้งมวล เจ้าสิ่งที่ถูกชุบเลี้ยงโดยราชามารเอ๋ย ตามคำไหว้วานที่พระผู้เป็นเจ้าเคยฝากฝังเอาไว้ ข้าจะลบล้างการดำรงอยู่ของเจ้า เพื่อพิสูจน์ถึงความเมตตาของเทพสวรรค์ที่หมายมั่นจะปกป้องอาณาจักรทั้งมวล!”

“เริ่มทำการค้นหาสิ่งมีชีวิตเพื่อทำการดาวน์โหลดวิถีศักดิ์สิทธิ์”

“…”

แล้วเสียงก็เงียบลง

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก เฝ้ารออย่างเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง

เนื่องจากผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดถูกสังหารลงแล้ว ดังนั้นเขาล่ะอยากจะรู้จริงๆ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

หากไม่มีผู้ดาวน์โหลด แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวระบบกันแน่นะ?

ไม่สิ

จู่ๆ กู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่ง

ว่านอกเหนือไปจากสถานที่เบื้องล่างที่ถูกแยกตัวออกไปโดยกำแพงอุปสรรคของทวยเทพแล้ว ในตลอดทั้งชั้นมหาสมุทรและชั้นเปลือกน้ำแข็ง ก็ยังเหลืออยู่อีกคนหนึ่งนี่นา

ซึ่งคนที่ว่า ก็คือเขานั่นเอง

ทันทีที่เขาตระหนักถึงมัน บนหน้าต่างเทพสงครามก็ส่องสว่างขึ้นทันใด

บรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้น

“เนื่องจากไม่มีผู้ดาวน์โหลดคนอื่นๆ หลงเหลืออยู่อีกต่อไป ระบบของราชามาร เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ปฏิวัติ จึงได้บังคับการดาวน์โหลดลงบนร่างกายของคุณ”

“เนื่องจากไม่มีผู้ดาวน์โหลดคนอื่นๆ หลงเหลืออยู่อีกต่อไป ระบบของเทพสวรรค์ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ วิถีศักดิ์สิทธิ์ จึงได้บังคับการดาวน์โหลดลงบนร่างกายของคุณ”

พร้อมกันกับคำแจ้งเตือนของหน้าต่างเทพสงคราม สองหน้าต่างใหม่ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

หน้าต่างสีแดงที่แสนคุ้นเคย บัดนี้เปลี่ยนจากสีแดงเข้มเป็นสีแดงสดใสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่คือ ‘ปฏิวัติ’ ที่ถูกอัปเกรดขึ้นมาจากต้นกำเนิด

ส่วนหน้าต่างใหม่ที่สาดแสงสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน นี่คือระบบของเทพสวรรค์ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ วิถีศักดิ์สิทธิ์

ณ เวลานี้ ในสายตาของกู่ฉิงซาน สามหน้าต่างลอยอยู่เคียงข้างกัน

โดยหน้าต่างเทพสงครามจะเป็นสีฟ้าอ่อน , หน้าต่างปฏิวัติเป็นสีแดงสด และหน้าต่างวิถีศักดิ์สิทธิ์ที่สาดแสงสีขาว

หนึ่งคน แต่ครอบครองถึงสามหน้าต่างระบบ นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

และผู้ที่บงการให้เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น คือร่างใหญ่ที่อายุกว่าหนึ่งแสนปี โดยที่มันเองก็คงไม่ทราบมาก่อนเหมือนกันว่ากู่ฉิงซานเองก็มีระบบเทพสงครามอยู่ก่อนแล้ว

ดังนั้น สถานการณ์ในขณะนี้จึงเกินความคาดหมายของร่างใหญ่ และมันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

กู่ฉิงซานเบนสายตามองหน้าต่างวิถีศักดิ์สิทธิ์ สลับกลับไปมองหน้าต่างปฏิวัติ

“แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปล่ะทีนี้?”

เขากระซิบถามระบบเทพสงคราม

ติ๊ง!

ระบบเทพสงครามตอบกลับด้วยเสียงอันฟังชัด

“เนื่องจากพวกเขาคือระบบซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกันและกัน ดังนั้นหากอ้างอิงตามการพิจารณาของฉัน พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย แค่เฝ้าดูอยู่เฉยๆ ก็พอ”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

นี่มันแทบจะไม่ต่างไปจากที่ร่างใหญ่ได้บอกกับเขาเลย

กู่ฉิงซานยังคงนิ่ง

หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ

เห็นแค่เพียงในสายตาของเขา หนึ่งแดงหนึ่งขาวเริ่มเกิดการเคลื่อนไหวขึ้น

โดยแสงที่ทั้งสองหน้าต่างเปล่งออก สาดประกายเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่ง

ระหว่างแสงกับแสงกำลังห้ำหั่นกัน แต่ละฝ่ายต่างพยายามแทรกซึมและเจาะเข้าไปครอบคลุมกันและกัน

เมื่อเวลาผ่านไป แสงทั้งสองก็เริ่มซวนเซ และปกคลุมซึ่งกันและกัน

ภายใต้แสงที่ปกคลุมนี้ ทั้งสองหน้าต่างก็เริ่มบังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

อันดับแรกเลยคือแสงจากทั้งสองเริ่มที่จะทับซ้อนกัน จากนั้นตัวหน้าต่างก็เริ่มเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ตามต่อด้วยฟังก์ชันต่างๆ บนหน้าต่างเริ่มจะสลายลงไปตามลำดับ

ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร จู่ๆ ก็ปรากฏถึงอักษรรูนสีทองผุดขึ้นทุกหย่อมหญ้า บนยอดภูเขาน้ำแข็งของทวยเทพ

นี่คือลายลักษณ์โบราณ ที่เหล่าทวยเทพได้เขียนทิ้งเอาไว้

ตลอดทั้งยอดภูเขาน้ำแข็ง  บัดนี้ฟุ้งไปด้วยแสงจรัสสีทอง ซ้อนทับกันเป็นชั้น เป็นชั้น

ยอดภูเขาหิมะ บัดนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นยอดภูเขาทองคำอันตระการตา

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับกู่ฉิงซาน จะไปกระตุ้นให้ยอดเขาของทวยเทพเกิดปฏิกิริยานี้ขึ้น?

ช่วงเวลาฉุกละหุก แสงจรัสจากลายลักษณ์ของทวยเทพก็ไหลไปควบรวมกันบนยอดสุด ก่อตัวขึ้นเป็นเสาแสงสีแดง พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า มุ่งหน้ามายังทิศทางของกู่ฉิงซานโดยตรง

แสงสีทองเข้าห่อหุ้มกู่ฉิงซานในฉับพลัน!

ในเสี้ยววินาที โลกทั้งใบก็จมลงสู่ความมืดมิด

ทุกสิ่งอย่างในสายตาของกู่ฉิงซานจางหายไปจนสิ้น

เขารู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังปั่นป่วน ขณะที่ตนเองถูกยกสูงขึ้นไปเบื้องบนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่ไม่อาจบอกบรรยายได้

ไม่สิ มันไม่ใช่บนท้องฟ้าแล้ว แต่มันพุ่งสูงขึ้นทะลุผ่านชั้นโลกนับไม่ถ้วน และลอยไปยังสถานที่ซึ่งเขาไม่เคยรู้จักเลยต่างหาก!

เหตุการณ์ในเวลานี้ บางทีอาจใช้ระยะเวลาเป็นหมื่นปี หรือเพียงแค่เสี้ยวพริบตาเท่านั้น กู่ฉิงซานได้ค้นพบว่าตนเองได้สูญเสียการรับรู้เกี่ยวกับมิติและเวลาไปแล้ว

ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ที่ ดูเลือนรางและพร่ามัว

เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างใหญ่มหึมาราวกับภูเขาในสายตา

เนื่องจากชายผู้นี้ได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดโดยสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นถึงรูปร่างหน้าตาของเขาได้ ทว่าด้วยแสงที่ส่องผ่านร่างกายของเขา กู่ฉิงซานจึงพอจะคาดเดาได้ว่าชายผู้นี้มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับมนุษย์

ด้วยแสงสว่างอันคลุมเครือในวิสัยทัศน์ของเขา ผสานไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่พร่ามัว ประจวบกับบุคคลที่ไม่รู้จัก ส่งผลให้กู่ฉิงซานไม่อาจเค้นสมองนึกคิด คาดการณ์ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ได้เลย

“ระบบเทพสงคราม นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” กู่ฉิงซานลอบถามในจิตใจของเขาอย่างลับๆ

แต่คราวนี้ระบบเทพสงครามกลับไม่ตอบสนอง มันเลือกที่จะเงียบ

ในเวลานั้นเอง ร่างเงามหึมาก็เอ่ยปากขึ้น

“ถึงแม้ว่าเราจะจากไปแล้ว แต่เมื่อได้ลองขบคิด พิจารณาถึงสถานการณ์พิเศษที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่สร้างโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้น เราจึงเลือกที่จะทิ้งร่างเงานี้เอาไว้”

เสียงของเขาฟังดูเชื่องช้า ช้าเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็ได้บ่งบอกถึงข้อมูลอันน่าตกตะลึง

‘สร้างโลก’ อย่างงั้นหรือ?

มีเพียงทวยเทพเท่านั้นที่จะสามารถสร้างโลกได้

ถ้าฟังจากที่พูดมา หมายความว่าตรงหน้าฉัน คือหนึ่งในเหล่าทวยเทพใช่ไหม?

ขณะกู่ฉิงซานกำลังคิด อีกฝ่ายก็ยังคงพูดต่อ

“หลังจากที่เราได้จากไปแล้ว ผู้คนในโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้นคงไม่แคล้วจมลงสู่หายนะอันไร้ที่สิ้นสุด”

“อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่โลกเก้าร้อยล้านชั้นมีแนวโน้มว่าจะถึงจุดจบ เจ้ากลับสามารถถือครองอาวุธที่เราสร้างขึ้นไว้ในมือ และใช้มันทำลายอำนาจของทั้งสองระบบด้วยตนเองลงได้”

“แถมตัวเจ้าเองก็ยังครอบครอง ‘อำนาจ’ ที่ว่านั่นอยู่ด้วยเช่นกัน”

“ดังนั้น ร่างเงาที่ถูกทิ้งไว้โดยทวยเทพจึงจะขอมอบของขวัญให้แก่เจ้า”

“จงนำสิ่งนี้กลับไป และหวังว่าเจ้าจะสร้างมันให้ดียิ่งกว่านี้ในอนาคต”

กล่าวจบ ร่างเงามหึมาก็หายวับไปจากเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

เมื่อร่างเงามหึมาหายไป แสงและเงาตลอดทั่วบริเวณก็กลายเป็นพร่ามัวยิ่งกว่าเดิม

กู่ฉิงซานทำได้เพียงรับฟังอีกฝ่ายหนึ่งกล่าวจนจบ แล้วตนเองก็จมลงสู่ห้วงหลับลึกอย่างมิอาจต้านทานได้ทันที

ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหนแล้ว

แต่จู่ๆ ก็ราวกับมีสัญญาณเตือนบางอย่าง ปลุกเขาให้ตื่นขึ้น

กู่ฉิงซานสะดุ้งเฮือก สองตาเบิกกว้าง เร่งหันไปมองรอบกายอย่างรวดเร็ว

แต่กลับพบว่าตนเองยังคงยืนอยู่เหนือทะเลเมฆอันกว้างใหญ่

ในมุมสูง สายลมและหิมะไม่สามารถขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ ส่งผลให้ความอบอุ่นจากแสงแดดค่อยๆ แผ่เข้ามายังทั่วร่างของกู่ฉิงซาน

โลกทั้งใบอันแสนกว้างใหญ่ บัดนี้เปล่าเปลี่ยว ไร้ซึ่งผู้ใดอีกต่อไป

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น…และพบว่าทิศทางของแสงแดดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

กล่าวในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เวลามิได้ผ่านพ้นไปนานเท่าใดนัก

ที่ฉันเห็นเมื่อครู่นี้ คือเทพบรรพกาลจริงๆ หรือ?

กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิด

แต่แล้วเมื่อย้อนนึกถึงประโยคสุดท้ายของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ราวกับมีอะไรดลใจ จู่ๆ กู่ฉิงซานก็ค่อยๆ ยื่นมือซ้ายของตัวเองออกไป

เขาจ้องมองไปที่มือของตน

ชั่วพริบตานั้นเอง เห็นแค่เพียงหนังสือปกหนาปรากฏขึ้นมาจากอากาศที่บางเบา ลอยอยู่บนมือของเขาอย่างเงียบๆ

มันคือหนังสือที่ตรงส่วนปกทำมาจากหนังสีดำ

บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นคดเคี้ยวไปมาขึ้นรอบตัวมัน

กู่ฉิงซานตระหนักถึงความรู้สึกนี้ดี…มันคือแต้มพลังวิญญาณ คือพลังเหนือธรรมชาติ

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ค้นพบว่าหน้าต่างสีแดงสดและหน้าต่างที่เปล่งประกายแสงสีขาวได้หายไปแล้ว

หากอ้างอิงตามสิ่งที่ร่างเงาเทพบรรพกาลกล่าว เหมือนกับว่า ‘ปฏิวัติ’ และ ‘วิถีศักดิ์สิทธิ์’ ทั้งสองระบบนี้จะถูกทำลายลงไปแล้ว

หน้าต่างเทพสงครามส่องสว่างขึ้นทันใด

ตัวอักษรขนาดเล็กกะพริบไหวอย่างบ้าคลั่ง

“ระบบทั้งสองในร่างกายคุณ ได้เกิดการทำลายล้างซึ่งกันและกัน”

“และสิ่งที่คุณเรียกว่าเป็นร่างเงาของเทพบรรพกาล ที่ได้บอกเล่าเรื่องราวของโลกเก้าร้อยล้านชั้นนั้น…”

“หลังจากการวิเคราะห์สถานการณ์ ระบบได้ทำการพิจารณาแล้วว่า การที่ร่างเงาดังกล่าวได้ปรากฏขึ้นนั้น แท้จริงแล้วมีเงื่อนไขแบบเฉพาะเจาะจงดังต่อไปนี้”

“เงื่อนไขที่หนึ่ง โลกเก้าร้อยล้านชั้นกำลังจมลงสู่ช่วงเวลาแห่งหายนะ”

“เงื่อนไขที่สอง จะต้องอยู่ในดินแดนที่ในครั้งอดีต เหล่าทวยเทพเคยอาศัยอยู่”

“เงื่อนไขที่สาม จะต้องถือครองอาวุธที่ถูกหลอมกลั่นโดยเทพบรรพกาล”

“เงื่อนไขที่สี่ ก้าวตามรอยเท้าของเหล่าทวยเทพ ต่อสู้กับระบบที่หมายปองจะข่มเหงสรรพชีวิตทั้งมวล”

“เงื่อนไขที่ห้า ระบบทั้งสองถูกทำลายในเวลาเดียวกัน”

“เงื่อนไขที่หก คุณจะต้องเป็นเจ้าของ ‘อำนาจ’บางอย่าง”

“ซึ่งเงื่อนไขข้างต้นที่กล่าวมา คุณได้บรรลุมันจนสิ้นแล้ว”

“ดังนั้น คุณจึงได้รับของขวัญจากเทพบรรพกาล”

………………………………..

ภายในโลกสมบัติของทริสเต้

ตรงส่วนของชั้นเปลือกน้ำแข็ง

กู่ฉิงซานทิ้งตัว นั่งลงบนฟูกอีกครั้ง

ตนเองได้เอ่ยถามออกไปว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด และร่างใหญ่ก็ตอบกลับมาว่าให้ไปยังดินแดนชิงอำนาจ

แต่น่าเสียดายที่เขาได้ยินแค่ครึ่งประโยคเท่านั้น…

เขาถอนหายใจ มองไปยังหน้าต่างเทพสงคราม และเปิดตัวเลือก ‘ภารกิจเทพสงคราม’

ทันใดนั้นเส้นแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทันที

“วิถีดาบแห่งคุณคือเป้าหมายภารกิจของระบบ”

“ภารกิจปัจจุบัน สวรรค์ลงทัณฑ์ ‘ยังไม่เสร็จสมบูรณ์’”

“เนื้อหาภารกิจ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ต้นกำเนิด กำลังอยู่ในระหว่างช่วงเวลาสำคัญในการอัปเกรด อีกไม่นานมันจะกลายเป็นการปฏิวัติ และออกจากโลกใบนี้ ไปครอบคลุมตลอดทั้งโลกสามร้อยล้านชั้น”

“เป้าหมายภารกิจ กำจัดมันเสีย”

“รางวัลภารกิจ ความลับ”

กู่ฉิงซานอ่านเนื้อหาภารกิจ และพิจารณาไปถึงทุกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

เหตุผลที่เขาตั้งชื่อภารกิจเป็น ‘สวรรค์ลงทัณฑ์’ นั่นก็เพราะเดิมทีตนเองตั้งใจจะใช้ทัณฑ์สวรรค์ในการกำจัดกองทัพผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดูเหมือนว่าแม้จะสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดลงได้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจกำจัดระบบของราชามาร หรือเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ไปได้อยู่ดี

กู่ฉิงซานตบลงเบาๆ ในถุงสัมภาระ และปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าไป

และพบว่ากล่องเงินที่ร่างใหญ่มอบให้แก่เขา ยังคงนอนนิ่งอยู่ภายในนั้นอย่างสงบ

ภายในกล่องเป็นสัญญาณจริงๆ หรือ?

กู่ฉิงซานนึกใคร่ครวญ

เขาไม่ใช่คนที่จะเชื่อใจใครง่ายๆ

แต่ร่างใหญ่ก็ได้ช่วยเหลือตนเอาไว้หลายครั้ง แถมตัวกู่ฉิงซานก็เองก็ยังเป็นกุญแจสำคัญในการปลดปล่อยร่างใหญ่ให้เป็นอิสระ

ฉะนั้น ร่างใหญ่ก็ไม่น่าจะหลอกลวงเขา

เพราะหากอีกฝ่ายคิดจะโป้ปด ร่างใหญ่ก็แค่แสร้งทำเป็นไม่รู้ และไม่บอกความจริงเกี่ยวกับระบบให้แก่เขา แบบนั้นมันไม่ง่ายกว่าหรือ?

อย่างไรก็ตาม ร่างใหญ่ถึงขั้นยอมบอกความลับของมันให้แก่ตนเอง และยังย้ำเตือนซ้ำๆ อีกด้วยว่าอย่าเอาไปบอกคนอื่น

หากมองย้อนกลับไปในอดีต การที่ตนสามารถช่วยเหลืออาจารย์ที่เคารพได้ ก็เป็นเพราะร่างใหญ่เช่นกัน

ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตก็เป็นร่างใหญ่ที่สอนเขา

กู่ฉิงซานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะลองเชื่อใจอีกฝ่ายดู

“เอาเถอะ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าสัญญาณที่อยู่ในกล่องใบนี้มันจะดึงดูดอะไรมา…”

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าและคิดเกี่ยวกับมัน

ช่วงเวลานี้คือยามค่ำคืน แต่คิดว่าอีกไม่นานท้องฟ้าก็คงจะสางในไม่ช้า

ขณะที่ต้นกำเนิดจำเป็นต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนเพื่อวิวัฒนาการสู่ปฏิวัติ

จากที่ลองคำนวณดู น่าจะเหลือเวลาอีกราวๆ ครึ่งวัน

‘ถ้างั้นตอนนี้ก็รอก่อนก็แล้วกัน’

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระและหยิบเอายันต์สื่อสารออกมา

เขาใส่คำพูดลงไปในยันต์สื่อสารอยู่หลายคำ จากนั้นก็มัดยันต์เข้ากับเช่าหยิน

“จงข้ามผ่านชั้นสมุทร ลงไปยังเมืองไห่เช่า และนำข่าวนี้ไปมอบให้แก่ลอร่า พวกเธอจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป” กู่ฉิงซานกล่าว

เช่าหยินส่งเสียงเบาๆ แปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง แทงลงสู่พื้นน้ำแข็ง

กู่ฉิงซานปัด ‘ภารกิจเทพสงคราม’ ออกจากหน้าจอระบบ

เขานั่งอยู่ตรงจุดเดิม และเริ่มไตร่ตรองเกี่ยวกับมอนสเตอร์ที่ตนเองพบในโลกของร่างใหญ่

ยังมีข้อสงสัยอยู่มากเกินไป

เรื่องราวมันไร้ซึ่งต้นตอ ในเมื่อไร้ซึ่งทั้งหัวและหาง ต่อให้พยายามนึกไปก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ กู่ฉิงซานก็พลันนึกได้ถึงบางสิ่ง

จริงสิ เขาเพิ่งจะสังหารอีกฝ่ายไป ถ้างั้นอย่างน้อยตนเองก็น่าจะได้แต้มพลังวิญญาณมาใช่หรือไม่?

เขาเบนสายตาไปมองหน้าต่างเทพสงครามอีกครั้ง

เห็นแค่เพียงจำนวนแต้มพลังวิญญาณที่เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน ศูนย์เต็มหกร้อย

ไม่ได้มีแต้มพลังวิญญาณถูกเติมเข้ามา!

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว และกำลังจะเอ่ยถามระบบ แต่เขากลับเห็นถึงตัวอักษรเล็กๆ อธิบายไว้ใต้จำนวนแต้มพลังวิญญาณ

“คุณได้สังหารการดำรงอยู่ที่ไม่อาจอธิบายได้”

“เนื่องจากการดำรงอยู่ที่ไม่รู้จักนี้ ระบบได้ทำการพิจารณาแล้วว่ามันอันตรายเกินไป ดังนั้นเพื่อรับประกันว่าจะไม่มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น ระบบจึงเลือกที่จะไม่ดูดซับแต้มพลังวิญญาณของมัน”

เมื่ออ่านสองบรรทัดแสงหิ่งห้อยนี้ กู่ฉิงซานก็หายไปในห้วงความคิด

ระบบเทพสงครามจู่ๆ ก็กลายเป็นระมัดระวังอย่างกะทันหัน แสดงว่านี่มันเป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆ

แต่ทำไมกันล่ะ?

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ระบบ เจ้าสิ่งที่ฉันฆ่าไป จริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่?”

ติ๊ง!

ระบบเทพสงครามตอบ “ฉันไม่มีข้อมูลใดๆ ที่สามารถเปิดเผยได้ ดังนั้น โปรดอย่าถามเกี่ยวกับสถานะของมันอีก”

“แค่บอกฉันมาผ่านความคิดอย่างเงียบๆ แบบนี้ก็ไม่ได้หรือ?” กู่ฉิงซานสงสัย

“โปรดนึกย้อนไปถึงคำพูดของร่างใหญ่ ‘หากไร้ซึ่งอำนาจ จงอย่าแส่หาความลับที่เจ้าไม่อาจควบคุม’” ระบบเทพสงครามตอบ

“ก็ได้ๆ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง

ณ เวลานั้นเอง ข้อมูลใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

เห็นแค่เพียงภายในฟังก์ชันของหน้าต่าง ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ ‘สมญาเทพสงคราม’ ‘พงศาวดารวันสิ้นโลก’ และ ‘ภารกิจเทพสงคราม’ ปรากฏขึ้น

โดยในบรรดาทั้งหมด ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ ได้สาดแสงขึ้น

บรรทัดแสงตัวอักษรค่อยๆ ทยอยกันปรากฏขึ้นเหนือ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’

“คุณได้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะ”

“คุณได้รับคุณสมบัติที่จะปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่แล้ว”

“เนื่องจากภารกิจแห่งโชคชะตาได้หายไปแล้ว ฉะนั้นเมื่อคุณสามารถบรรลุภารกิจเทพสงครามในปัจจุบันลงได้ ช่วยกรุณาปลดปล่อยภารกิจเทพสงครามภารกิจใหม่ ที่จะใช้ในการปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นด้วย”

กู่ฉิงซานถามกลับด้วยความประหลาดใจ “รู้สึกไม่ชินเลยจริงๆ ที่ฉันจะต้องเป็นคนปล่อยภารกิจเทพสงครามด้วยตัวเอง แทนที่จะเป็นฝ่ายได้รับภารกิจแห่งโชคชะตา แต่โดยรวมๆ แล้วมันก็ไม่ต่างกันนี่ ใช่หรือเปล่า?”

ระบบเทพสงครามตอบ “ย่อมแตกต่าง เพราะหากภารกิจแห่งโชคชะตาล้มเหลว คุณจะได้รับบทลงโทษ แต่ขณะที่หากคุณเป็นผู้ปล่อยภารกิจเทพสงครามด้วยตัวเอง ต่อให้ล้มเหลวก็จะไม่ได้รับการลงโทษใดๆ”

“และจุดที่สำคัญก็คือ หากเป็นภารกิจเทพสงคราม ระบบจะกำหนดสถานะในการใช้แต้มพลังวิญญาณที่แตกต่างกันออกไปตามแต่สถานการณ์ที่พบเผชิญให้แก่คุณ เพื่อช่วยเหลือคุณอย่างเต็มกำลัง”

“ตัวอย่างเช่นภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงครามในเวลานี้ ที่ช่วยให้คุณอยู่ในสถานะ ‘สั่งสมแต้มพลัง’”

กู่ฉิงซานพยักหน้า เจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘สั่งสมแต้มพลัง’ นี้เป็นสกิลที่ดีอย่างแท้จริง มันช่วยเขาได้มากเลยทีเดียว

เขายังคงถาม “แล้วฉันจะยังคงได้รับสถานะ ‘สั่งสมแต้มพลัง’ ในภารกิจเทพสงครามต่อไปหรือเปล่า?”

ระบบตอบ “นั่นก็ไม่แน่เหมือนกัน แต่เรื่องที่มั่นใจได้ก็คือ คุณจะได้รับสถานะบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแต้มพลังวิญญาณ เพื่อช่วยให้คุณต่อสู้ได้ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน”

กู่ฉิงซานกล่าวทันที “ถ้าเป็นอย่างที่พูดมา ภารกิจเทพสงครามกับภารกิจแห่งโชคชะตาก็คงจะแตกต่างกันจริงๆ”

เขาเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในหัวใจ

ในเวลาเดียวกัน ดาบเช่าหยินก็ลอยขึ้นมาจากทะเล

มันว่ายวนรอบกู่ฉิงซาน เปล่งเสียงฮึมฮัมไม่หยุด

“ทำได้ดีมาก” กู่ฉิงซานกล่าว

ดาบเช่าหยินจมหายเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา แต่ก่อนที่มันจะหายตัวไป มันก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหึ่งๆออกมา

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างตั้งใจและกล่าว “จริงอยู่ที่ข้าสามารถซ่อมแซมเจ้าได้ แต่สำหรับดาบพิภพแล้วคงไม่ เพราะความเสียหายของมันร้ายแรงเกินไป นี่มันเกินกว่าความสามารถในการหลอมกลั่นขั้นพื้นฐานของข้าจะทำได้”

“ฮึมฮัม…”

เสียงของเช่าหยินเบาลง ฟังคล้ายกับกำลังเศร้า

กู่ฉิงซานพอคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมา

ดาบพิภพเป็นคู่หูเก่าแก่ของเขา แต่ตอนนี้มันกลับต้องถูกบังคับเข้าสู่สภาวะหลับลึก

สำหรับผู้ฝึกดาบแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง

แต่อย่างไรเสีย เขาก็ทำได้เพียงปลอบใจดาบเช่าหยินเท่านั้น “เจ้าวางใจเถอะ รอให้พวกเรากลับไปยังนิกายเสียก่อน แล้วข้าจะเอ่ยถามท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จะต้องมีวิธีซ่อมมันให้กลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน!”

เช่าหยินผงกด้ามดาบ และไม่ส่งเสียงใดๆ อีกต่อไป

กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มต้นทำการตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนของตนเอง

วิวัฒนาการของต้นกำเนิดจะใช้เวลาอีกครึ่งวัน

ส่วนกู่ฉิงซานก็จะเตรียมพร้อมอยู่ที่นี่ เฝ้ารอจนกระทั่งอีกฝ่ายตื่นขึ้นมา

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป

แสงแดดสดใสยามรุ่งอรุณส่องสว่างขึ้น

เมื่อถึงเวลาช่วงเที่ยง กู่ฉิงซานก็เปิดตาของเขา

หนึ่งลมหายใจได้ผ่านพ้นไป

สองลมหายใจ

สามลมหายใจ

ทันใดนั้นเอง เสียงที่เย็นชาและน่าเกรงขามก็ดังก้องขึ้นไปตลอดทั้งชั้นเปลือกน้ำแข็ง

“การอัปเกรดเสร็จสิ้นแล้ว”

“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ปฏิวัติ ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ!”

“ฟังก์ชันใหม่ถูกปลดล็อก”

“เริ่มทำการค้นหาสิ่งมีชีวิตเพื่อทำการดาวน์โหลด”

“…”

กู่ฉิงซานพอได้ยิน มุมปากของเขาก็ยกสูงขึ้นเล็กน้อย

ทันใดนั้นเอง เขาก็ผุดลุกขึ้น ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ทะลวงฝ่าพายุหิมะ

ข้ามผ่านชั้นเมฆ

ขึ้นมาพบเจอกับท้องฟ้าสีคราม

ที่ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างจากทั่วทุกสารทิศ

“สถานที่ซึ่งมีแสงสว่าง…” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

เขายืนอยู่เหนือชั้นเมฆ มือตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบกล่องเงินใบเล็กๆ ออกมา

ยามเมื่อแสงสว่างไสวกระทบกับตัวกล่องเงิน สิ่งมหัศจรรย์ก็พลันบังเกิดขึ้น

กล่องเงินจู่ๆ ก็ละลายหายไป

พร้อมกันกับอักษรรูนโบราณอันแสนลึกลับที่กู่ฉิงซานไม่เคยพบเห็นผุดขึ้นมาจากในความว่างเปล่า

บนตัวอักษรรูน สาดแสงอันแสนศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้ที่เปรียบออกมา

“นี่คือสัญญาณอย่างงั้นหรือ?”

กู่ฉิงซานพึมพำด้วยความสงสัย

วินาทีถัดมา อักษรรูนก็แตกสลายไป

แสงทั้งหมดก็มอดดับลง และจางหายไปด้วยเช่นกัน

ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ บัดนี้ว่างเปล่า ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“จบแค่นี้หรือ?” กู่ฉิงซานเกิดความรู้สึกสับสน

ทว่าแท้จริงแล้วกลับเห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงครามกำลังกะพริบไหวอย่างรุนแรง

บรรทัดแจ้งเตือนพิเศษปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ วิถีศักดิ์สิทธิ์ กำลังมาเยือนแล้ว”

ในเวลาเดียวกัน เสียงที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่และแสนเย็นชา ก็ดังกึกก้องขึ้นดั่งเสียงสายฟ้าฟาด

“ค้นพบระบบของเทพสวรรค์”

“การต่อสู้เป็นตายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ขอให้ผู้ดาวน์โหลดทั้งหมดจงเตรียมตัวให้พร้อม!”

……………………………………………………..

ภายในโลกสมบัติของทริสเต้

ตรงส่วนของชั้นเปลือกน้ำแข็ง

หิมะยังคงโปรยปรายลงมาจากทั่วผืนฟ้า

ขณะที่โลกทั้งใบที่เคยครึกครื้น บัดนี้อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว

หลงเหลือเพียงเด็กสาวชุดดำที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับกู่ฉิงซาน คอยเฝ้าระวังภัยปกป้องเขาอย่างใกล้ชิด

ผ่านไปพักหนึ่ง ดวงตาของเธอก็กระตุกไหว

“ข้าสัมผัสได้ ว่าวิญญาณของเขากำลังกลับมาแล้ว”

หลี่อันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เธอผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ สองมือประสานกัน เหยียดออกบิดขี้เกียจเบาๆ

“งั้นข้าขอตัวก่อนนะ พอดีว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น” เธอหันไปบอกกับในอากาศที่ว่างเปล่า

ร่างของดาบเช่าหยินปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว

“ฮึมฮัม?” มันถาม

“อืม เขากำลังจะกลับมาในเร็วๆ นี้ ซึ่งหมายความว่าคงจะไม่มีเรื่องร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้น เท่านี้ข้าก็วางใจ สามารถแยกตัวไปจัดการอย่างอื่นได้เสียที” หลี่อันตอบ

“ฉวัดเฉวียน?” เช่าหยินถามอีกครั้ง

“หากเขาต้องการ เขาย่อมรู้วิธีที่สามารถใช้พบเจอกับข้าได้ แต่ตอนนี้ ข้ามีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องกระทำจริงๆ และเวลาก็ล่าช้าไปมากแล้ว”

หลี่อันโบกมือให้เช่าหยิน และทั้งคนทั้งร่างของเธอก็ผลุบหายไปในความว่างเปล่า มิอาจมองเห็นได้อีกเลย

ดาบเช่าหยินจมลงสู่ความเงียบ

มันค่อนข้างที่จะสับสนเล็กน้อย

‘ก็เห็นอยู่ว่านางกำลังเฝ้ารอเขาอยู่ชัดๆ แล้วเหตุใดเมื่อเขากำลังจะตื่นขึ้น นางจึงจากไปเล่า?’

อย่างน้อยก็สมควรที่จะสนทนา บอกลากันสักประโยคสองประโยคแล้วค่อยจากไปมิดีกว่าหรือ?

วินาทีต่อมา กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น

เขาลุกขึ้นจากฟูก

“เช่าหยิน ใครมาที่นี่หรือ?”

กู่ฉิงซานมองเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ตรงข้ามตัวเองและเอ่ยถาม

เช่าหยินส่งเสียงหึ่งๆ เบาๆ

พอได้ฟัง สีหน้าของกู่ฉิงซานจึงค่อยผ่อนคลายลง

“ที่แท้ก็เป็นนาง ที่คอยเฝ้าปกป้องข้าอย่างงั้นสินะ”

“ซูม!”

เช่าหยินผงกด้ามดาบ

แต่แล้วมันก็มองไปยังเบื้องหลังกู่ฉิงซานด้วยความฉงน

เพราะบัดนี้ เบื้องหลังเขา เหลือแค่เพียงดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ ของดาบพิภพ

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “พอดีว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น ข้ากับดาบพิภพจึงทุ่มสุดกำลัง สังหารศัตรูจนผลลัพธ์มันออกมาเป็นเช่นนี้”

อีกโลกหนึ่ง

จักรพรรดินีหลี่อันหายเข้าไปในความว่างเปล่า และตรงเข้าสู่อีกโลกหนึ่งอย่างรวดเร็ว

มันคือโลกที่ฟุ้งไปด้วยทะเลดอกไม้หลากชนิด

ท่ามกลางทะเลดอกไม้ มารสวรรค์นับไม่ถ้วนต่างกำลังร้องขับขาน บ้างก็กำลังละเล่นกันอย่างอิสรเสรี

หลี่อันตรงเข้าไปในส่วนลึกของทะเลดอกไม้

บรรดาน้องๆของเธอกำลังเฝ้ารออยู่ที่นั่นมาตั้งนานแล้ว

แม่มารดึกดำบรรพ์เองก็กำลังเฝ้ารออยู่เช่นกัน เวลานี้เธอนั่งอยู่บนแท่นสูง โดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาสักคำ                 “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” หลี่อันโน้มกายคารวะ

“เวลานี้ในโลกเทวะได้เกิดการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขึ้น และมารสวรรค์ที่ได้รับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ก็คือเจ้าใช่หรือไม่?” แม่มารถาม

“เจ้าค่ะ เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตร่างเทวะ ที่กำลังพยายามก้าวขึ้นสู่ขอบเขตพันวิบัติ”

“ถ้ารู้ถึงขนาดนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงยังมัวชักช้าอยู่อีก เจ้าควรทราบนี่ว่าทัณฑ์สายลมได้เริ่มขึ้นแล้ว”

“ข้า…”

“เจ้าคงจะกลับไปหาเขาอีกครั้งล่ะสิ?” แม่มารถาม

“เจ้าค่ะ” หลี่อัน ตอบด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด

“หลี่อัน…” แม่มารถอนหายใจ

“ท่านแม่โปรดยกโทษด้วย” หลี่อันลดศีรษะลง

“ไม่หรอก ข้ามิได้คิดจะตำหนิเจ้า”

หลี่อันเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ และมองไปยังแม่ของเธอ

แม่มารพิจารณา ชั่งน้ำหนักถึงเหตุและผล จึงค่อยกล่าวอย่างช้าๆ “ยามนี้ หกวิถีของโลกเทวะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น กระทั่งกฎแห่งฟ้าดินเองก็เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ”

“ข้ารู้สึกได้ว่าไม่เพียงแต่โลกหกวิถีเท่านั้น แต่กระทั่งบรรดาโลกที่อยู่ชั้นนอกทั้งมวล ทั้งหมดก็กำลังถูกฉุดดึงเข้าสู่หายนะครั้งใหญ่เช่นกัน”

“ดังนั้น ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ การที่มารสวรรค์อย่างพวกเราจะมีสหายที่แข็งแกร่งและไว้ใจได้ ก็เป็นการช่วยรับประกันความปลอดภัยของพวกเราได้ระดับหนึ่งเช่นกัน”

“ที่ข้าต้องการจะสื่อก็คือ เจ้าจงทำตามที่ใจตนเองต้องการเถอะ ข้าจะคอยสนับสนุนเจ้าเอง”

จักรพรรดินีหลี่อันตกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก “เจ้าค่ะท่านแม่”

ว่าจบ เธอก็น้อมกายคารวะอีกครั้ง แล้วจึงค่อยขยับถอยหลังไปสองสามก้าว และหายไปในความว่างเปล่าอีกที

ณ โลกเทวะ

ทัณฑ์สายฟ้าครั้งใหญ่เพิ่งจะจบลง

เมื่อขอบเขตประทับเทพต้องการจะยกระดับขึ้นเป็นร่างเทวะ และเมื่อขอบเขตร่างเทวะต้องการจะยกระดับขึ้นเป็นพันวิบัติ พวกเขาจำต้องเผชิญหน้ากับโทษทัณฑ์สายฟ้าและสายลม

แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ หากผู้ฝึกยุทธ์คิดจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะ ปีศาจในตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์จะปรากฏขึ้นเพียงแปดตำแหน่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ที่ผู้ฝึกยุทธ์คิดหมายจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตพันวิบัติ ปีศาจในตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์จักปรากฏขึ้นถึง สิบหกตำแหน่ง!

ซึ่ง ณ เวลานี้ ทัณฑ์สายฟ้าได้จบลงแล้ว

ทัณฑ์สายลมได้มาเยือน

ท่ามกลางลมกรรโชก ปรากฏถึงผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งยืนอยู่ใจกลางพายุอย่างสงบ

หลี่อันบินออกมาจากในความว่างเปล่า และตกลงกลางอากาศ

“ขอโทษที่มาสาย”

เธอหันไปพยักหน้าให้กับมารสวรรค์ที่อยู่รอบๆ

เหล่ามารสวรรค์หญิงตนแล้วตนเล่าโค้งคำนับลง ทั้งหมดเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอ

หลี่อันกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่กลับพบว่าในทัณฑ์สายลม มีกลิ่นอายของผีปีศาจตนอื่นๆเพียงหนึ่งถึงห้าชนิดเท่านั้น และบัดนี้ทั้งหมดก็กำลังยืนนิ่งอยู่เฉยๆอย่างน่าฉงน

เธอเอ่ยด้วยความสับสน “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทัณฑ์สายลมได้เริ่มต้นขึ้นมาสักพักแล้วมิใช่หรือ เหตุใดกษัตริย์ปีศาจจึงยังไม่ปรากฏตัวขึ้นกัน?”

หนึ่งในมารสวรรค์หญิงตอบ “เมื่อครู่ เจ็ดกษัตริย์ปีศาจปรากฏตัวขึ้น และได้นำพากองทัพของพวกเขาเข้าโจมตีไปแล้ว แต่ทั้งหมดกลับถูกสังหารลงจนสิ้นโดยคนผู้นี้”

“ผู้ที่ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในครั้งนี้ แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” หลี่อันประหลาดใจ

“ยามเมื่อคนผู้นี้เริ่มลงมือ พลังและอำนาจที่สำแดงออกมาช่างร้ายกาจยิ่งนัก เพียงหนึ่งกระบี่วาดออก ก็สามารถตัดสินชีวิตและความตายของพวกเราได้ในพริบตา ดังนั้นหลังจากรอบแรก ทุกคนจึงเริ่มรู้สึกหวาดกลัว และไม่กล้าบุกต่อ” หนึ่งในมารสวรรค์ตอบ

“แล้วคนของเราล่ะ ได้ลงมือไปบ้างแล้วหรือยัง?” หลี่อันถาม

“ได้ลองไปหลายครั้งแล้ว แต่จิตแห่งเต๋าของคนผู้นี้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง กระทั่งจิตเทวะก็ยังไม่มีช่องโหว่ใดๆ พวกเราเลยไม่สามารถทำอะไรได้” อีกมารสวรรค์หญิงกล่าว

หลี่อันอดไม่ได้ที่จะมองไปยังผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์

เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่สวมหมวกเกราะบดบังใบหน้า ขณะที่ตามร่างกายถูกสวมทับไปด้วยเกราะเรียวบางที่ดูงดงามและประณีตเอาไว้อย่างแน่นหนา

โดยในมือของผู้ฝึกยุทธ์ กำลังกุมจับกระบี่ยาวที่สาดประกายสดใสดั่งหิมะ ยืนเฝ้ารออยู่ท่ามกลางสายลมอย่างเงียบๆ นิ่งงันไม่ไหวติง

ทันใดนั้นเอง ทหารปีศาจของกษัตริย์ผู้กุมตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์เมื่อครู่ก็ปรากฏตัวขึ้นจากในสายลม กระโจนเข้าหาผู้ฝึกยุทธ์จากกลางอากาศ

ร่างของผู้ฝึกยุทธ์วูบไหว

คมกระบี่อันดุร้ายเสียบแทงขึ้นไปบนฟากฟ้า

ทหารปีศาจนับพันไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน ทั้งหมดถูกสับหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยคมกระบี่ที่สาดแสงเย็นเยียบ

ติ๊งๆๆ!

ปัง!                 อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ฝึกยุทธ์จะถูกรุมล้อมโจมตีโดยปีศาจมากมาย แต่ชุดเกราะของเธอกลับไร้ซึ่งการสัมผัสต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถอาจเอื้อมเข้ามาถึง ไร้ซึ่งเสียงกระทบกระทั่งใดๆ

ทว่าช่วงจังหวะนั้นเอง กษัตริย์ปีศาจตนสุดท้าย ก็ได้ฉวยโอกาสผุดออกมาจากในความว่างเปล่า เหวี่ยงกำปั้นหนักหน่วงทุบเข้าใส่ผู้ฝึกยุทธ์อย่างกะทันหัน ซัดเปรี้ยง! ส่งคนผู้นั้นกระแทกลงกับพื้นดินจนเกิดหลุมลึก

กษัตริย์ปีศาจที่ฉวยโอกาสคำรามอย่างภาคภูมิ “ฮี่ฮี่ เจ้าโง่ที่เอาแต่โจมตีเป็นอย่างเดียว สมควรแล้วที่จะชิมรสกำปั้นนี้ของข้า…”

แต่แล้วเสียงของมันก็หยุดลง

เพราะจู่ๆก็ปรากฏถึงรอยเส้นเลือดนับสิบเส้น ผุดออกมาตามตัวของมัน ตัดแยกร่างกายของมันออกเป็นชิ้นๆ!

กษัตริย์ปีศาจตัวสุดท้าย ตายลงแล้ว!

ท่ามกลางเศษฝุ่นฟุ้งกระจาย ร่างของผู้ฝึกยุทธ์ผุดลุกขึ้นอีกครั้ง ทะยานตัวขึ้นมาเบื้องบนเป็นเส้นตรงดั่งหอกแหลม

ผู้ฝึกยุทธ์โบกกระบี่ยาว สะบัดเลือดออกจากใบมีดอันคมกล้าของมัน

นั่นคือเลือดของกษัตริย์ปีศาจตัวเมื่อครู่

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ผีปีศาจที่มาจากทั่วทุกสารทิศต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะก้าวบุกไปข้างหน้าอีกต่อไป

“อาจารย์ พวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?”

มารสวรรค์หญิงเอ่ยถาม

หลี่อันมิได้ตอบกลับไป เธอขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเผยตัวออกจากทัณฑ์สายลม

ผู้ฝึกยุทธ์เองก็ตระหนักถึงเธอทันที

อีกฝ่ายยกกระบี่ยาวของตนขึ้น แต่หลังจากที่เห็นถึงรูปลักษ์ของหลี่อัน เจ้าตัวก็ลดมันลงอย่างช้าๆ

มองไปยังปฏิกิริยาของอีกฝ่าย หลี่อันก็ค่อยๆ ลดระดับลงจากเบื้องบน

เธอลงมาหยุดยืนอยู่ตรงข้ามกับผู้ฝึกยุทธ์ โค้งกายลงอย่างนุ่มนวลและกล่าว “ในเมื่อเจ้าเห็นข้าแล้วแสดงท่าทีแบบนั้นออกมา แสดงว่าเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมสงครามโลกเทวะอย่างงั้นสินะ?”

บังเกิดความเงียบไปชั่วขณะ

แต่ไม่นานนัก เสียงที่คมชัดและน่ารื่นรมย์ก็ดังออกมาจากเบื้องหลังเกราะหมวก “ในวันที่ต้องรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ขีดสุดความว่างเปล่าจากโลกอื่น ข้าเห็นเจ้าปรากฏกายขึ้นในอากาศ ร่วมมือกับกู่ฉิงซานกำราบศัตรู”

“ถูกต้อง” หลี่อันพยักหน้ากล่าว

เจ้าตัวดูเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “แล้วเขา…เป็นอย่างไรบ้าง?”

“เขายังสบายดี และเพิ่งประสบความสำเร็จในขอบเขตร่างเทวะ ข้าคาดว่าเขาน่าจะกลับมาในเร็วๆนี้” หลี่อันตอบ

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงแม้จะไม่ตอบและยังคงนิ่ง แต่หลี่อันสามารถสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของเธอผ่อนคลายลง

แต่หลี่อันดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตระหนักถึงเบื้องลึกของท่าทีที่ผ่อนคลายลงของอีกฝ่าย

เพราะท้ายที่สุดนี้ ต้องไม่ลืมนะว่ากู่ฉิงซานมียศเป็นถึงนายพล และได้ทำการช่วยเหลือโลกทั้งใบเอาไว้ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ของกู่ฉิงซานยังอยู่ดี อีกฝ่ายจะรู้สึกยินดีก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา

“เจ้ามาที่นี่เพื่อขัดขวางข้ามิให้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ใช่หรือไม่?” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงถามต่อ

หลี่อันส่ายหัวและกล่าว “ข้ากับกู่ฉิงซานมีสถานะเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นพวกเรามารสวรรค์จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ”

“เจ้าสามารถปล่อยข้าไปได้อย่างงั้นหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงอุทาน

“เป็นเช่นนั้น ทว่าด้วยฐานะที่ข้าได้รับให้เป็นหนึ่งในตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ ดังนั้นข้าจำต้องจู่โจมเจ้าครั้งหนึ่งเสียก่อน จงยกกระบี่ของเจ้าขึ้นมาซะ” หลี่นอันเตือน

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงยกกระบี่ขึ้นตามคำขอ

ด้ามจับของกระบี่เล่มนี้ ยาวกว่ากระบี่ทั่วๆ ไปกว่าสองชุ่น บริเวณใบกระบี่เล็กแคบ ตั้งแต่ต้นจรดปลดเหยียดยาวเป็นเส้นตรง

นี่คือกระบี่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์หญิง เมื่อเทียบเปรียบกับดาบยาวโค้งงอที่ผู้ฝึกยุทธ์ชายทั่วๆไปใช้กันแล้ว มันคล่องแคล่วยิ่งกว่ากันมากนัก

อย่างไรก็ตาม ยามเมื่อกระบี่ยาวที่เที่ยงตรง ไร้ซึ่งส่วนโค้งงอนี้ตกอยู่ในมือของเธอ มันกลับเปล่งประกายถึงความเที่ยงธรรมอย่างหาที่ใดเปรียบออกมาอย่างน่าฉงน                 หลี่อันก้าวออกมา เหยียดมือไปสะบัดลงบนใบกระบี่อย่างแผ่วเบา

“เรียบร้อยแล้ว” เธอกล่าว

“มัน…แค่นี้เองงั้นหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงตะลึง

“อืม ในตอนที่กู่ฉิงซานข้ามผ่านทัณฑ์สายลม ก็เป็นแบบนี้นี่แหละ” หลี่อันกล่าว

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงอึ้งจนเงียบไปพักหนึ่ง ในหัวของตนเองคล้ายกับโดนกระแทกด้วยอะไรบางอย่างอย่างแรง

“ช่างยากนักที่จะพบเจอ” หลี่อันถอนหายใจ “ข้าสามารถสัมผัสได้ว่าเจ้ามีอายุเพียงแค่ยี่สิบปีเท่านั้น ทว่ากลับสามารถบรรลุทักษะกระบี่ได้ถึงเพียงนี้ ช่างเป็นพรที่สวรรค์ประทานมอบให้โดยแท้”

เมื่อถูกยกย่องแบบนี้ ผู้ฝึกยุทธ์หญิงที่อยู่ตรงข้ามก็เขินอายเล็กน้อย

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงชักกระบี่ยาวกลับคืน โค้งกายลงเล็กน้อย “จะยกย่องเกินไปแล้ว ข้าเพียงปฏิบัติตามความคิดของตัวเองก็เท่านั้น”

“ความคิดอันใด?” หลี่อันเอ่ยถาม

“ความคิดที่ว่า ‘กระบี่นั้นเที่ยงแท้ ซื่อตรงไม่มีวันทรยศ หากกุมมันก็จะเป็นดั่งเช่นมัน ที่เพียงมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง’ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”

ผู้ฝึกยุทธ์หญิงกล่าวอย่างนุ่มนวล

……………………………………………………

ณ ภายในโลกที่ไม่รู้จัก

พื้นดินทุกหย่อมหญ้าถูกปกคลุมไปด้วยร่างโครงกระดูกดำ

มีแค่เพียงกู่ฉิงซานกับเกล็ดสีดำเท่านั้น ที่ยังคงลอยอยู่เงียบๆ เบื้องหน้าเสาทองแดง

“คงไม่ผิดแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างมั่นใจ “จากในสายตาของมัน ข้ารู้สึกได้ว่ามันรู้จักข้าจริงๆ”

ร่างใหญ่นิ่งไปชั่วคราว

“แต่มอนสเตอร์ตนนี้อย่างไรเสียก็ตายไปแล้ว ตอนนี้เจ้าคาดเดาไปก็คงไม่มีทางรู้ได้หรอก แต่ข้าอยากจะแนะนำอะไรบางอย่างแก่เจ้า” เขากล่าว

“เชิญชี้แนะ”

“หากไร้ซึ่งอำนาจ จงอย่าแส่หาความลับที่เจ้าไม่อาจควบคุมได้”

กู่ฉิงซานเงียบไป

นั่นสินะ สถานการณ์เมื่อครู่นี้มันไกลเกินกว่าที่ขีดจำกัดของเขาจะรับมือไหวจริงๆ

หากไม่ใช่เพราะสกิลของเกราะเทพ หากไม่ใช่เพราะการทุ่มชีวิตโจมตีของดาบพิภพ หากไม่ใช่เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์แหกกฎอันเป็นเอกลักษณ์ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ตราบใดที่ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวเองก็คงจะตายไปแล้ว

และไม่เพียงแค่เขาที่จะต้องตายลง แต่จิตวิญญาณของร่างใหญ่เองก็คงจะหนีไม่พ้นเช่นกัน

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และกล่าวอย่างช้าๆ “ความจริงแล้ว หลังจากย้อนคิดถึงประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมาทั้งหมด ข้าจำต้องเพียรพยายามอย่างสุดความสามารถตลอดเวลา ใช้ทุกหนทางที่เป็นไปได้ เพื่อคว้าโอกาสเพียงน้อยนิดในการเอาชีวิตรอด แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น สาเหตุมันล้วนมาจากการที่ตัวข้านั้นอ่อนแอเกินไปอย่างที่ท่านว่าจริงๆ”

ร่างใหญ่เอ่ยในทำนองเดียวกัน “ไม่ว่าจะเป็นในโลกใดๆ ความอ่อนแอนั้นคือบาปอันหนักหนา เป็นอาชญากรรมอันร้ายแรงที่มิอาจให้อภัยได้ มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถมีชีวิตที่ดี และอยู่รอดต่อไปได้”

กู่ฉิงซาน “ดังนั้นนับจากนี้ต่อไป ข้าจะคิดค้น เฟ้นหาทุกวิถีทางที่จะทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น จะทุ่มเต็มกำลัง เพียรพยายามอย่างเต็มที่ให้ตัวเองแข็งแกร่ง!”

ร่างใหญ่เอ่ยถาม “ฟังจากคำเมื่อครู่ของเจ้า? แท้จริงแล้วภายนอกมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?”

“อันที่จริงแล้ว มันมีหลายเรื่องทีเดียว เริ่มจาก…”

กู่ฉิงซานบอกเล่าทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ออกไป

“ระบบของราชามารได้ปรากฏขึ้นอย่างงั้นหรือ…” ร่างใหญ่ถอนหายใจเบาๆ

“ใช่ แต่ข้าได้สังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดลงไปแล้ว และจะไม่ยอมปล่อยให้ระบบของราชามารเล็ดลอดออกไปจากโลกใบนั้นเด็ดขาด” กู่ฉิงซานกล่าว

“เจ้าทำได้ไม่เลวเลย เพราะในกรณีที่หากมันหลุดออกมา และรวมเข้าด้วยกันกับระบบของดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูแล้วล่ะก็ มันจะสามารถยกระดับไปอีกขั้นได้อย่างรวดเร็ว” ร่างใหญ่กล่าว

“ข้าจะปล่อยให้มันถูกทำลายลงในโลกปิดใบนั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

“ระบบถูกทำลาย? เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?”

“ก็อย่างที่บอกไปเมื่อครู่ ว่าข้าได้สังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดลงแล้ว”

“เช่นนั้นระบบของราชามารตอนนี้ได้ไปถึงในขั้นใด?”

“กำลังอยู่ในระหว่างการวิวัฒนาการขึ้นสู่ปฏิวัติ”

“หากเป็นดั่งที่ว่ามา เจ้าคงไม่สามารถสังหารมันได้หรอก”

“หืม? นั่นหมายความว่ายังไงกัน!?” กู่ฉิงซานอุทานเสียงหลง

ร่างใหญ่อธิบายอย่างอดทน “ใช่ เจ้าฟังไม่ผิดหรอก บางทีบางคนอาจจะทราบว่าในขั้นเชื้อไฟและต้นกำเนิด หากกำจัดผู้ที่ใช้งานระบบทั้งหมดลงได้แล้ว ระบบก็จะหายไป”

“อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่ระบบยกระดับขึ้นไปสู่ปฏิวัติ มันย่อมไม่มีทางถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย”

“หากไม่มีผู้ใช้งาน มันก็แค่ตกไปอยู่ในสถานะจำศีล เพื่อรับประกันว่าตนเองจะดำรงอยู่ต่อไปจนกว่าผู้ใช้งานรายใหม่จะปรากฏตัวขึ้น”

“เรื่องนี้เป็นความลับอย่างยิ่ง ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นมีน้อยคนนักที่จะทราบ แต่ในเมื่อข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าก็จงปิดปากเงียบเสีย อย่าได้แพร่งพรายออกไป มิฉะนั้นแล้ว…”

ร่างใหญ่ปิดปาก และหยุดพูดไป

“…โชคดีจริงๆ ที่ข้ามาพบกับท่านเสียก่อน” กู่ฉิงซานถอนหายใจ “เช่นนั้นพอจะมีวิธีใดที่จะสามารถเอาชนะมันได้หรือไม่?”

“ทำไมจะต้องโค่นมันลงด้วย มันได้ถือว่าเจ้าเป็นศัตรูที่จักต้องฆ่าให้ตายแล้วอย่างงั้นหรือ?” ร่างใหญ่เอ่ยถาม

“ใช่” กู่ฉิงซานตอบสั้นๆ

“…”

ร่างใหญ่เงียบงันไปเป็นเวลานาน

คล้ายกับว่ามันกำลังขบคิดถึงบางสิ่งที่สำคัญยิ่ง

หลังจากนั้นสักพัก

ชิ้นส่วนของเกล็ดสีดำก็หลุดลอกออกจากเกราะรบ และลอยมายังกู่ฉิงซาน

ชั้นโลหะสีดำแตกออก

เผยให้เห็นถึงกล่องเงินใบเล็กๆ ปรากฏขึ้น

จ้องมองลงมายังกล่องแปลกๆ ใบนี้ ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มบังเกิดความรู้สึกเคารพและศรัทธาขึ้นมาอย่างน่าฉงน

“สิ่งที่เจ้าเรียกมันว่าโลกสมบัติของทริสเต้นั่น มีการดำรงอยู่ของแสงในโลกหรือไม่?” ร่างใหญ่เอ่ยถาม

“แสงงั้นหรือ?”

“ใช่ แสงที่สวรรค์และโลกผลิตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ”

“ถ้าหมายถึงแสงแบบนั้นก็มีสิ อยู่เหนือขึ้นไปบนชั้นเมฆ”

“นั่นแหละคือทั้งหมดที่ต้องการ ที่เจ้าต้องทำก็มีแค่เพียงรับกล่องใบนี้ไป และเมื่อไหร่ที่ปฏิวัติวิวัฒนาการเสร็จสมบูรณ์และปรากฏขึ้น เจ้าก็โยนกล่องใบนี้ขึ้นไปเหนือชั้นเมฆ” ร่างใหญ่กล่าว

พร้อมกันกับคำพูดของมัน กล่องเงินก็ตกลงในมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

“เจ้าพอจะมีอะไรที่สามารถใช้เก็บมันไว้หรือไม่? บางอย่างที่จะช่วยให้มันไม่ถูกเปิดเผยระหว่างทางกลับของเจ้า” ร่างใหญ่เอ่ยถามด้วยความกังวล

“ข้ามีถุงสัมภาระที่ผูกไว้กับจิตวิญญาณอยู่ สิ่งนั้นพอจะได้ไหม?” กู่ฉิงซานกล่าว

“ดีมาก เจ้าจงใส่มันเข้าไป และอย่านำไปปะปนกับสิ่งอื่น ที่สำคัญก็คือจงอย่าเปิดมัน จนกว่าจะถึงเวลาใช้งานจริงๆ” ร่างใหญ่เตือน

กู่ฉิงซานเก็บกล่องเงินไปตามคำสั่งของอีกฝ่าย

“ว่าแต่เป็นสิ่งใดกัน ที่อยู่ในกล่องใบนี้?” เขาเอ่ยถาม

“เป็นสัญญาณ”

“สัญญาณงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง มันเป็นสัญญาณที่ใช้เรียกศัตรูที่สามารถเอาชนะระบบของราชามารในขั้นสามมาได้ ครั้งหนึ่งทั้งสองสิ่งนี้เคยพบเผชิญในโลกเดียวกัน จากนั้นก็ทำลายกันและกันจนพินาศลงไปด้วยกันทั้งคู่”

“เรื่องเหล่านี้ เจ้าไม่สามารถบอกผู้ใดได้ หากจะบอก จงกล่าวแค่ว่าเจ้าสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารจนสิ้นเท่านั้น…จดจำเอาไว้ให้ดี”

“ข้าจะจดจำไว้”

ร่างใหญ่ได้กระตุ้นเตือนซ้ำๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่หาได้ยากยิ่งของมัน “แน่นอน แน่นอน ว่าเจ้าจะต้องไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ มิฉะนั้นต่อให้เจ้าสามารถกำจัดระบบของราชามารลงได้ แต่จะมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าไปเยี่ยมเยือนเจ้าแทน”

“เข้าใจแล้ว ท่านวางใจเถอะ ตัวข้าเองก็พอจะมีดุลพินิจในเรื่องอยู่บ้างเหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความยำเกรง

เมื่อมาถึงเวลานี้

กู่ฉิงซานก็เริ่มสัมผัสได้ถึงสายลมแห่งการปฏิเสธขึ้นมาจางๆ

โลกใบนี้กำลังเริ่มขับไล่เขา

แต่ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ และเขาก็มีคำพูดอีกมากที่ต้องการจะถามจากร่างใหญ่

“ข้าจะต้องไปแล้ว” เขากล่าว

“ไปเถอะ หลังจากที่เจ้าจากไป ข้าจะต้องเร่งฟื้นฟูร่างกายของข้า และพยายามคิดว่าวิธีการซ่อนโลกใบนี้เอาไว้ อาจจะยุ่งไปพักหนึ่ง” ร่างใหญ่กล่าว

“แต่ข้าก็ยังสามารถมาหาท่านได้ในยามที่ข้าตัดผ่านขอบเขตใหญ่ใช่หรือไม่?” เขาถาม

“ใช่”

“แต่ครั้งล่าสุดที่ข้าถอดวิญญาณไปปรภพ ข้าเองก็สามารถมา”

ร่างใหญ่ขัดจังหวะเขา “ครั้งล่าสุดที่เจ้ามามันเป็นการตายปลอมๆ ในกรณีนั้นมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง และข้าจะไม่พูดถึงมันอีก”

“ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในตอนนี้มันแตกต่างออกไป ดังนั้นจงอย่าพยายามที่จะมาในโลกใบนี้อย่างไม่ยั้งคิด”

“เอาไว้เมื่อไหร่ที่เจ้าตัดผ่านขอบเขต ข้าจะดึงจิตเทวะของเจ้ามาเอง นั่นคือวิธีที่ปลอดภัยที่สุด”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

แรงฉุดดึงเริ่มรุนแรงขึ้น มันกระชากร่างจิตของเขา

ตนเองกำลังจะต้องออกไปจากที่นี่ในเร็วๆ นี้

ทันใดนั้นเอง กู่ฉิงซานก็พลันนึกได้ถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง

เขาถามทันที “ข้ามีคำถาม อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘สุสานแห่งโลก’”

“สุสานแห่งโลก? เจ้าไปทราบถึงชื่อนี้มาได้อย่างไร?” ร่างใหญ่อุทานด้วยความประหลาดใจ

“บอกมาเร็วเข้าเถอะ เวลาของข้าใกล้จะหมดลงแล้ว!”

“เอาล่ะๆ ข้าจะบอกเจ้าเอง”

“ในช่วงเวลาที่เหล่าทวยเทพได้สร้างโลกขึ้น ก็จะมีอยู่บ้างเป็นบางครั้งที่เทพที่แท้จริงสร้างบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ออกมา”

“และเพราะสิ่งเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพ บางครั้งพวกมันจึงทรงอำนาจมากเกินไป เป็นการดำรงอยู่ที่ผิดแผกและไร้ซึ่งเหตุผล จนบางคราว แม้กระทั่งทวยเทพที่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาก็ยังหวาดกลัว”

“แน่นอนว่าผลงานที่ล้มเหลวมากมายได้ถูกทำลายลงแล้วโดยเหล่าทวยเทพ”

“แต่ในทำนองเดียวกัน ก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เหล่าทวยเทพไม่สามารถทำลายมันลงได้”

“ดังนั้นเหล่าทวยเทพจึงคิดหาวิธีปิดผนึกสิ่งเหล่านั้นที่ทรงพลานุภาพมากเกินไปแทน โดยการซ่อนมันเอาไว้ในสถานที่ที่ยากจะค้นพบ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความเสียหายร้ายแรงจนเกินไปจากระบบของโลก”

กู่ฉิงซาน “แล้วสิ่งที่ว่านั่นมันคืออะไร?”

“ไม่มีใครรู้ มีเพียงการที่เจ้าจะต้องไปเปิดสุสานแห่งโลกดูด้วยตาตนเองเท่านั้นจึงจะสามารถตระหนักถึงสิ่งที่อยู่ภายในได้ มันอาจจะเป็นหนังสือ อาวุธ สิ่งมีชีวิต หรือแม้กระทั่งโลกที่ไม่สมบูรณ์ แต่โดยสังเขปแล้ว จะไม่มีใครล่วงรู้ว่าจะพบเจอกับสิ่งใดเมื่อเปิดสุสานแห่งโลก เพราะในช่วงเวลาที่เหล่าทวยเทพได้ผนึกสิ่งเหล่านี้เอาไว้ พวกเขาไม่ได้ทิ้งคำอธิบายใดๆเอาไว้เลย”

“สรุปสั้นๆ ก็คือ สิ่งเหล่านั้นถูกทอดทิ้งและปิดผนึกโดยทวยเทพ บ่อยครั้งมักจะถูกนำไปซ่อนไว้ในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก และสถานที่เหล่านั้นมักจะเรียกกันว่า ‘สุสานแห่งโลก’”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

เขาย้อนนึกไปถึงบทสนทนาระหว่างตนกับระบบเทพสงคราม

“คุณเริ่มออกห่างจาก ‘สุสานของโลก’”

“ว่าแต่อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าสุสานแห่งโลก?”

“มันคือสิ่งที่คุณมักจะเอ่ยปากออกมาว่าโลกจริง”

“แล้วทำไมมันถึงถูกเรียกว่าแบบนั้น?”

แต่คราวนี้ระบบกลับเงียบ และไม่พูดตอบกับเขา

ความหมายของคำพูดในตอนนั้น แท้จริงแล้วเป็นแบบนี้เองอย่างงั้นหรือ?

ในเวลานี้ แรงฉุดดึงร่างจิตของกู่ฉิงซานเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

เขากำลังจะถูกส่งออกจากโลกใบนี้!

“คำถามสุดท้าย!” กู่ฉิงซานตะโกนกะทันหัน

“จงถามมาโดยเร็ว เจ้าจะไม่มีเวลาแล้วนะ” ร่างใหญ่เตือน

“ข้าจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานตะโกนสุดเสียง

ร่างใหญ่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “จงไปยังดินแดนชิงอำนาจ ในสถานที่แห่งนั้นมีเกมหมื่นสวรรค์”

ตู้ม!

ยังไม่ทันจะได้ฟังจนจบ กู่ฉิงซานก็ถูกกระชากอย่างรุนแรง ปลิวออกจากโลกใบนี้ไปทันที

เขาแปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง ลอยกลับไปยังโลกที่จากมา

“…สิ้นโลกาออนไลน์ แต่ไม่ใช่ระบบของราชามารอยู่…”

ร่างใหญ่เอ่ยประโยคครึ่งหลังจนจบ

แต่น่าเสียดาย ที่กู่ฉิงซานได้จากโลกนี้ไปเสียก่อน ไม่ทันได้ยินถึงคำสำคัญยิ่งที่อยู่ในประโยคหลัง…

……………………………………………

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นระรัว

เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เกราะเทพเปิดใช้งาน ‘คำบัญชาเทพ’ นั่นหมายความว่าเขากำลังจะตาย!

เวลาหยุดลงอย่างกะทันหัน

ร่างของมอนสเตอร์ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และหยุดนิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

นี่คือมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายกันกับมนุษย์

นอกเหนือไปจากแขนขาและกรงเล็บที่แข็งแกร่งและหางยาวเฟื้อยแล้ว ในส่วนที่เหลือล้วนคล้ายคลึงกันกับมนุษย์เป็นอย่างมาก

แต่ที่สำคัญก็คือไม่ทราบเลยว่ามันสามารถทำได้อย่างไร โดยที่กู่ฉิงซานไม่ทันตระหนักรู้ตัวใดๆ จู่ๆ มันก็ได้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขาเสียแล้ว

กรงเล็บอันแหลมคมของมัน อยู่ห่างจากดวงตาของกู่ฉิงซานไม่ถึงหนึ่งมิลลิเมตร

กู่ฉิงซานไม่มีเวลาเพียงพอแม้แต่จะสูดหายใจ

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

เขาแทบจะลืมหายใจ และกระแทกดาบพิภพสวนกลับเข้าใส่อย่างรวดเร็ว!

โจมตีสิบสองเท่าของเทคนิคลับกลืนกินหวนกลับ ผสมผสานไปกับน้ำหนักแปดสิบหกจุดสามสิบเจ็ดล้านจินของดาบพิภพ และรังสีดาบของกู่ฉิงซานที่สำแดงออกมาอย่างเต็มกำลัง สะบั้นลงตรงคออ่อนนุ่มของมอนสเตอร์

ด้วยดาบนี้ เขาจะต้องแยกหัวออกจากตัวของมันให้จงได้!

ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียง ‘เคร้ง’ เท่านั้น

ดาบพิภพถูกขัดขวางไว้โดยผิวหนังของมอนสเตอร์

ปรากฏให้เห็นแค่เพียงรอยสีขาวจางๆ ขึ้นบนลำคอของมอนสเตอร์ประหลาด

‘เคร้ง!’

และเสียงหนักทึบอีกหนึ่งดังขึ้น

นั่นคือเสียงของเทคนิคลับกลืนกินหวนกลับ ร่างเงาดาบได้ปรากฏขึ้นเบื้องหลังมอนสเตอร์ และฟาดโจมตีด้วยอำนาจเดียวกันออกมา

แต่กลับยังคงไร้ประโยชน์!

เห็นแค่เพียงร่องรอยจางๆ สีขาวถูกทิ้งไว้บนหลังคอของมอนสเตอร์เท่านั้น

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย

แม้กระทั่งสกิลดาบที่ถูกเสริมแกร่งจนอำนาจทำลายเพิ่มพูนขึ้นถึงขีดสุด แถมยังฟาดลงตรงตำแหน่งสำคัญของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายกลับไม่แม้แต่จะสามารถเจาะเข้าไปในตัวของมันได้!

พลังป้องกันระดับนี้มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

ในขณะเดียวกันแรงกดดันของมอนสเตอร์ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ดูเหมือนว่าด้วยการโจมตีของเขา จะไปกระตุ้นให้พลังป้องกันที่ทรงประสิทธิภาพบางอย่างจากในร่างของมอนสเตอร์จนมันตื่นขึ้น

ณ เวลานี้ สองลมหายใจได้ผ่านพ้นไปแล้วอย่างเงียบๆ

เหลืออีกหนึ่งลมหายใจ ทุกสิ่งอย่างจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ

และด้วยความสามารถในการโจมตีของมอนสเตอร์ตนนี้ ที่เพียงการโจมตีเดียว ก็สามารถบีบบังคับให้กู่ฉิงซานตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังได้

ฉะนั้น หากสกิลตัดขาดเวลาหายไปแล้วล่ะก็…

ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ดาบพิภพก็เปล่งเสียงดังขึ้นทันใด “กู่ฉิงซาน เจ้าช่วยมอบพลังเหนือธรรมชาติทั้งหมดให้แก่ข้าหน่อยสิ”

“ไม่ขัดข้อง!”

 กู่ฉิงซานตอบรับอย่างไม่ลังเล

แต่เดิม เขามีแต้มพลังวิญญาณอยู่กว่าครึ่งล้าน แต่หลังจากที่ใช้ออกด้วยข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความขมขื่นออกไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในตอนนี้มันเหลืออยู่แค่สามแสนเท่านั้น

ทว่าเวลานี้ เขาเลือกที่จะอัดฉีดแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดสามแสนลงไปในดาบพิภพอย่างไม่ลังเล!

เปรี้ยง!

ดาบพิภพสั่นไหวอย่างรุนแรง

อักษรรูนลึกลับผุดขึ้นมาตามใบดาบ

กลิ่นอายที่ฟุ้งไปด้วยอำนาจโบราณอันยิ่งใหญ่ ท่วมท้นออกมาจากตัวดาบอย่างต่อเนื่อง

ดาบพิภพส่งเสียงหอนออกมาไม่หยุดยั้ง ฟังแลคล้ายเสียงร่ำไห้ของภูตผีนับไม่ถ้วน

บัดนี้ มันได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นดาบอีกเล่มหนึ่งโดยสมบูรณ์!

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นรูปร่างที่แท้จริงของดาบพิภพ!

“มาลองกันอีกครั้ง!”

เสียงหนักแน่นของดาบพิภพดังขึ้น

“ว๊าก!”

กู่ฉิงซานตะคอกสุดเสียง กระตุ้นเทคนิคลับ ตัดสะบั้นลงบนลำคอของมอนสเตอร์อีกครั้ง

และคราวนี้เงาดาบมิได้ถูกหยุดลง มันถูกเหวี่ยงตัดผ่าน กระแทกเข้ากับอากาศอีกฟากฝั่งหนึ่งโดยสมบูรณ์

ฉัวะ!

หัวกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้า

คราวนี้ … เขาสามารถแยกหัวของมันออกจากลำตัวได้สำเร็จ!

ในเวลาเดียวกัน สามลมหายใจก็สิ้นสุดลง และตัดขาดเวลาได้สลายไป

ร่างของมอนสเตอร์ร่วงแหมะลงกับพื้น

ฝนเลือดสาดกระเซ็นออกมา แต่ก็ถูกแรงลมจากดาบที่ฟาดออกพัดปลิวหายไป

โลกทั้งใบกลับคืนสู่สภาวะปกติ

ปรากฏการณ์ทั้งหมดบนดาบพิภพได้สลายไป

กู่ฉิงซานอ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง ทั้งคนทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน

เขาได้เคยข้ามผ่านสถานการณ์ที่อันตรายร้ายแรงมามากมาย

แต่สถานการณ์เกือบตายในครั้งนี้ แม้ตามโชคชะตาดั้งเดิมเขาจะได้ตายไปแล้วก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาพบเจออะไรแบบนี้

“ครั้งนี้ต้องขอบใจเจ้าจริงๆ นะดาบพิภพ” กู่ฉิงซานกล่าว

ทว่าดาบพิภพกลับไม่ตอบสนอง

กู่ฉิงซานก้มลงมองดาบในมือตน

เห็นแค่เพียงปรากฏการณ์ทั้งหลาย หายไปแล้วจากดาบพิภพ แต่กลับปรากฏถึงรอยแตกร้าวที่กำลังคดเคี้ยว ยืดยาวขึ้นตามตัวดาบแทน

ไม่นานนัก รอยร้าวก็ลากยาวไปทั่วดาบ และตลอดทั้งดาบก็กลายเป็นสีเทาแห่งความตาย

เสียงแผ่วเบาของดาบพิภพดังขึ้น

“ข้าได้รับบาดเจ็บร้ายแรงนักจากการใช้ออกอย่างเต็มกำลัง มิอาจคงสติอยู่ได้อีกต่อไป จำต้องจมลงสู่การหลับลึก”

“จดจำคำของข้าให้ดี จงไปตามหาตัวหลิงเอ๋อ นางรู้ว่าสมควรจะต้องทำอย่างไร”

ดาบพิภพกล่าวประโยคนี้จบ มันก็ไม่เปล่งเสียงใดๆ ออกมาอีกเลย

กู่ฉิงซานค่อยๆ ถือดาบยาวด้วยสองมืออย่างนุ่มนวล

แต่กลับเห็นถึงเศษซากบนตัวดาบจำนวนมากที่หลุดลอกออก ทั้งๆ ที่ตนเองเคลื่อนไหวแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ส่งผลให้ตนตนเองมิกล้าเคลื่อนกายอีกต่อไป เพราะเกรงว่าตลอดทั้งตัวดาบพิภพจะแตกสลายลง

และหากเป็นในกรณีที่ตัวดาบถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ เขาก็คงจะไม่สามารถช่วยดาบพิภพได้อีกเลย

“ดาบพิภพ…”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เขาหยิบเอากล่องหยกวิญญาณยาวออกมาอย่างระมัดระวัง และค่อยๆ วางดาบพิภพเก็บใส่ลงในมัน

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของดาบพิภพแล้ว เขาคงทำได้เพียงแค่ต้องกลับไปหาอาจารย์เท่านั้น

ในช่วงเวลานั้นเอง เสียงตื่นตระหนกก็ดังออกมาจากเกล็ดเกราะรบที่ลอยอยู่

“เร็วเข้า! ดาบของเจ้าน่ะไม่ช้าก็เร็วย่อมสามารถซ่อมแซมมันได้ แต่ตอนนี้พวกเราจะต้องเร่งจัดการกับร่างศพนี้กันก่อน!”

ร่างใหญ่กล่าวอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซาน “มันตายไปแล้ว ยังจะต้องจัดการอะไรกับมันอีกล่ะ?”

เขามองดูร่างศพของมอนสเตอร์ด้วยความงงงวย

หากไม่ใช่สถานการณ์อันตรายจนเกินไป กู่ฉิงซานเองก็ไม่ต้องการที่จะไปยุ่งอะไรกับมันอีก

เดิมที เขาต้องการจะถามอีกฝ่ายว่าทำไมถึงได้รู้จักชื่อของตนเองด้วยซ้ำ

กู่ฉิงซานมั่นใจอย่างแน่นอนว่าเขาไม่เคยพบเจอกับมอนสเตอร์ตัวนี้มาก่อนไม่ว่าจะในชีวิตก่อนหน้าหรือว่าในชีวิตนี้

แต่อีกฝ่ายกลับรู้จักเขา

นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?

ร่างใหญ่ได้กล่าวเอาไว้ว่า ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดมีลักษณะตรงกันกับมอนสเตอร์ตนนี้เลย

ซึ่งนั่นแสดงว่ามันไม่ได้มาจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น

แต่…มันกลับรู้จักเขา

กู่ฉิงซานตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้ว

มอนสเตอร์ตัวนี้ช่างเต็มไปด้วยความลึกลับที่ไม่รู้จัก และไม่สามารถที่จะคาดเดาได้

เสียงของร่างใหญ่ดังขึ้น “หากศพของมันไม่ถูกกำจัดทิ้ง ข้าเกรงว่ามันอาจจะเป็นการดึงดูดสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักมาอีกก็ได้”

“ท่านแน่ใจหรือ?”

“มีหลายวิธีที่จะสามารถหาสถานที่ตั้งของศพได้ ดังนั้นสิ่งที่สมควรทำก็คือ กำจัดมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่าให้มีร่องรอยอะไรหลงเหลือ!”

ระหว่างกล่าว เห็นแค่เพียงหัวของมอนสเตอร์ที่เริ่มขยับไหว

ตามด้วยแสงสีขาวน้ำนมที่บินออกมาจากช่วงคอที่ถูกตัดขาดของมัน กลับเข้าไปสู่ร่างกาย

หลังจากนั้น หัวของมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้น ลอยไปตามทิศทางของเส้นแสงสีขาวน้ำนมที่เชื่อมกับร่างกายเมื่อครู่

“ช่างดื้อด้านนัก แต่คิดหรือว่าข้าจะยอมเจ้า?” ร่างใหญ่กล่าว

มองไปยังเกล็ดเกราะรบหลายชิ้นที่หลุดออกมาเกราะรบสีดำ และเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นการโจมตีต่างๆ นานา ระเบิดเข้าใส่หัวมอนสเตอร์

ทว่ามันไร้ประโยชน์

หัวมอนสเตอร์ยังคงไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ มันยังคงลอยตรงไปยังร่างกายของตนอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

ร่างใหญ่เริ่มตื่นตระหนก เขาตะโกน “เจ้าไม่มีวิธีที่จะหยุดเทคนิคฟื้นคืนชีพนี้ได้เลยหรือ!”

กู่ฉิงซาน “ก็หากท่านยังทำไม่ได้ แล้วข้าจะไปทำได้ได้อย่างไร!?”

ในยามวิกฤต จู่ๆ ประกายความคิดหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา

กู่ฉิงซานเรียกดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกมา

ดาบยาวโบกสะบัด ตัดสะบั้นเส้นแสงสีน้ำนมขาวที่เชื่อมต่อระหว่างร่างกายกับหัวของมอนสเตอร์ออกทันที

พลังศักดิ์สิทธิ์ แหกกฎ!

หัวของมอนสเตอร์ร่วงตกลง กลิ้งไปกับพื้นอีกครั้ง

มันเบิกตากว้าง และมองไปยังกู่ฉิงซาน สื่อความหมายอันลึกลับออกมา

กู่ฉิงซานก็จ้องสบตากับมันเช่นกัน

“ช่างน่าสงสาร…” มอนสเตอร์กล่าว

สิ้นประโยคสั้นๆ นี้ มันก็หลับตาลง และไร้ซึ่งชีวิตอีกต่อไป

น่าสงสาร?

ฉันหรือ?

กู่ฉิงซานนิ่งค้างไป

ร่างใหญ่โวยวายราวกับคนบ้า “ทำได้ดีมาก! โชคยังดีที่บัดนี้มันมิได้อยู่ในเสาทองแดงอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงพอที่จะสามารถลงมือจัดการกับศพได้”

พร้อมกันกับคำพูดของเขา เห็นแค่เพียงตรงเกราะรบสีดำบนร่างใหญ่ หลายร้อยเกล็ดสีดำหลุดลอกออก และบินออกมา

เกล็ดสีดำบินออกมา และประกบลงบนซากศพของมอนสเตอร์

พริบตานั้นเกล็ดดำก็กลายสภาพเป็นหมอกเขียวน่าหวาดผวา ห่อหุ้มร่างศพโดยสมบูรณ์

เฝ้ารอสักพักหมอกเขียวก็กระจายหายไป แต่ตัวศพกลับยังปลอดภัยดีอยู่ในสภาพเดิม

เกล็ดสีดำรอบสองจึงหลุดลอกออกมาอีกครั้ง พวกมันแปรสภาพเป็นลาวาเหลว ทั้งหมดผลุบเข้าไปร่างศพของมอนสเตอร์

ทว่าไร้ประโยชน์ ร่างศพของมอนสเตอร์ก็ยังไม่ถูกเผาไหม้

เกล็ดสีดำรอบสามจึงหลุดลอกออกมาอีกครั้ง และคราวนี้มันกลายสภาพเป็นหลากชนิดของสัตว์ป่าดุร้าย ร่วมมือกันช่วยกัดกินลงบนร่างศพซ้ำๆ

เกล็ดสีดำรอบสี่หลุดลอกออกมา และกลายเป็นค้อนยักษ์ ทุบตอกศพด้วยเจตนาร้าย

เกล็ดสีดำรอบที่ห้าหลุดลอกออกมา แยกออกเป็นร่างคนตัวเล็กๆ หลายคน แต่ละคนถือเครื่องมือที่แตกต่างกัน และเริ่มทำการผ่าแยกศพ

เกล็ดสีดำรอบที่หก

รอบที่เจ็ด…

เทคนิคมนตราอันไร้ที่สิ้นสุด มนตร์แล้วมนตร์เล่าถูกสำแดงออกมาจากเกล็ดสีดำอย่างต่อเนื่อง

ทว่าร่างศพของมอนสเตอร์กลับยังไม่มีทีท่าว่าจะถูกทำลายลงเลย

“บ้าจริง! บัดซบเอ๊ย! พวกเราต้องเร่งมือแล้ว”

เสียงของร่างใหญ่เริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ

พร้อมกันกับเสียงของมัน เกล็ดเกราะรบสีดำก็ผุดออกมาจากเกราะรบมากขึ้น

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

สุดท้าย เกล็ดดำรอบที่สามร้อยเก้าสิบแปดก็หลุดออกมา และกลายสภาพเป็นมดเงินหลายพันตัว

มดเงินเริ่มที่จะทำการกัดแทะร่างศพของมอนสเตอร์

ในขณะที่พวกมันกำลังกัดแทะศพ ร่างของมอนสเตอร์ก็ค่อยๆ หายไปอย่างรวดเร็ว

“แบบนั้นแหละ ดีมาก!” ร่างใหญ่อุทาน

หลังจากผ่านไปหลายสิบลมหายใจ ร่างศพของมอนสเตอร์ก็หายไป

มดเงินคืบคลานไปมาบนตำแหน่งที่ร่างศพเคยนอนอยู่ ไม่ยอมเคลื่อนย้ายไกลออกไปไหน

“เอาล่ะ แค่นี้ก็น่าจะพอใจท่านแล้วนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“ยังก่อน รอดูซักนาทีจึงจะเห็นผลลัพธ์” ร่างใหญ่กล่าว

ทั้งสองจึงเฝ้ารออยู่พักหนึ่ง

ทันใดนั้นเอง มดทุกตัวก็เปิดทางออก

ปรากฏถึงร่างโครงกระดูกสีดำผุดขึ้นมาจากพื้นดิน และเดินกะเผลกๆ ไกลออกไปอย่างไร้สตินึกคิด

“จบเสียที!”

ร่างใหญ่ถอนหายใจ

ฟังจากน้ำเสียงดูก็รู้ว่าโล่งอก

กู่ฉิงซานมองตามร่างโครงกระดูกสีดำไป

เห็นแค่เพียงตัวมันเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับโครงกระดูกสีดำตนอื่นๆ อีกหลายพันหลายหมื่นที่กำลังเดินอยู่ ทั้งหมดเหมือนกัน ไม่มีสิ่งใดแตกต่างไปเลย

“เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่าแท้จริงแล้วทะเลร่างโครงกระดูกเหล่านี้…”

“ใช่ อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ พวกมันเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นพวกที่ต้องการจะกัดกินร่างของข้า ข้าจึงปล่อยให้พวกมันตายโดยไม่คิดโจมตี แต่คราวนี้ที่เจอกับมอนสเตอร์ตัวนั้น ไม่ลงมือไม่ได้จริงๆ”

“สรุปแล้วมอนสเตอร์นั่นเป็นตัวอะไรกันแน่?”

“ข้าเองก็ไม่รู้”

“แต่ท่านบอกว่ามันไม่ได้อยู่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น”

“ไม่ได้อยู่อย่างแน่นอน”

“ว่าแต่ทำไมมันถึงได้รู้ชื่อของข้า?”

“ตรงจุดนี้เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก เพราะมันมีเทคนิคมนตราหรือความสามารถอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วยให้ทราบถึงชื่อจริงของบุคคลตรงหน้าได้ ตัวอย่างเช่นสกิล สอดแนมมิติ ทำนายฝัน พยากรณ์ความตาย ทิ่มนามธรรม ฯลฯ เทคนิคมนตราเหล่านี้มันมีอยู่มากมายเกินไป เจ้าไม่จำเป็นต้องมาสงสัยในปัญหานี้หรอก”

กู่ฉิงซานเงียบงันไปเป็นเวลานาน

“ไม่เกี่ยวกันกับพวกเทคนิคมนตราหรอก เพราะข้ากลับรู้สึกว่ามันรู้จักกับข้าจริงๆ…” เขากล่าวอย่าง

………………………………………..

สายลมปฐมบทแห่งความโกลาหลพัดกระหน่ำไม่หยุดยั้ง

ท่ามกลางกระแสมิติ ทุกสิ่งอย่างดูวุ่นวายและสับสน

บางครั้งก็มีบางสิ่งบางอย่างที่แสนพิสดารปรากฏขึ้น และไม่นานก็หายไป

กู่ฉิงซานถูกฉุดดึงโดยอำนาจที่มองไม่เห็น ลอยไปอย่างต่อเนื่องในทิศทางที่ถูกกำหนดเอาไว้

แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะร่างจิต แต่บนตัวของกู่ฉิงซานก็ยังเปล่งแสงจรัสเล็กน้อย ส่งผลให้เขาบรรยากาศรอบตัวเขาแผ่กลิ่นอายสง่างาม ชวนให้น่าเคารพนับถือออกมา

“เอะ? เจ้าตามมาด้วยทำไม?” กู่ฉิงซานถามด้วยความสงสัย

ภายในรังสีแสง เกราะรบเทพบรรพกาลตอบ “ร่างมนุษย์เป็นเพียงที่อยู่อาศัย จิตวิญญาณต่างหากคือสิ่งที่ควรค่าแก่การปกป้อง ดังนั้นข้าจึงตามมาคุ้มครองเจ้า จนกว่าเรื่องราวทั้งหมดจะสิ้นสุดลง”

“ช่างน่านับถือจริงๆ เมื่อเทียบกันแล้ว คำพูดของเจ้าฟังดูซื่อสัตย์ยิ่งกว่าพวกเรามนุษย์เสียอีก” กู่ฉิงซานยกย่อง

“นั่นย่อมแน่นอน เพราะพวกมนุษย์น่ะมักจะไม่ค่อยรักษาสัญญาของพวกเขา” เกราะเทพกล่าว

กู่ฉิงซานถึงกับพูดไม่ออก

ในเวลานั้นเอง เสียงของฉานนู่ก็ดังออกมาจากดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

“นายน้อย พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกัน?” เธอถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ไปหาสหาย” กู่ฉิงซานตอบ

ดาบพิภพเอ่ยถามบ้าง “เป็นสหายอย่างแท้จริง หรือว่าแค่สหายในนามเท่านั้น?”

“เป็นเพื่อนแท้ และเขายังเคยช่วยเหลือข้าเอาไว้หลายครั้ง” กู่ฉิงซานกล่าว

ระหว่างสนทนา ตัวเขาก็เริ่มที่จะบินเร็วขึ้น บ่งบอกได้ถึงแรงฉุดดึงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่อร่างจิตสัมผัสได้ถึงแรงฉุดดึงที่รุนแรงเกินกว่าในครั้งที่ผ่านๆ มา กู่ฉิงซานก็พยายามรับรู้ และตระหนักได้ถึงความวิตกกังวลเล็กน้อยจากมัน

“ฉานนู่ ดาบพิภพ บางทีอาจจะเกิดการต่อสู้ขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ได้ จงเตรียมตัวให้พร้อมไว้เสีย” กู่ฉิงซานกล่าว

สองดาบตอบรับพร้อมกันคำหนึ่ง ยืนยันว่าพวกมันรับรู้แล้ว

กู่ฉิงซานค่อยๆ จมลงสู่ห้วงความคิด

ทันใดนั้น เขาก็นึกได้ถึงคำพูดของร่างใหญ่ในครั้งล่าสุดที่ได้พบกัน

“เจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว ข้าสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของมอนสเตอร์ที่น่าขนลุก มอนสเตอร์ตนนี้น่าขวัญผวายิ่งกว่ามอนสเตอร์ทั้งหมดทั้งมวลที่เคยพบเจอมา และมันกำลังเข้าใกล้โลกที่ข้าถูกจองจำใบนี้”

ประโยคดังกล่าว คือสิ่งที่ร่างใหญ่ได้บอกแก่เขาในเวลานั้น

กู่ฉิงซานรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังที่เล็ดลอดออกมาจากน้ำเสียงของมัน

แม้จักถูกขังมายาวนานกว่าหนึ่งแสนปี แต่ร่างใหญ่ก็เคยช่วยเหลือตัวกู่ฉิงซานเอาไว้มากมาย

แม้กระทั่ง ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’ ก็ยังถูกสอนโดยมัน

ดังนั้น ตราบใดที่เป็นอะไรที่สามารถทำได้ เขาก็เต็มใจที่จะช่วยเหลืออีกฝ่าย!

กู่ฉิงซานแม้จะมุ่งสมาธิขบคิดอย่างเงียบๆ แต่ก็ยังตื่นตัว เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา

ผ่านในช่วงเวลาหนึ่ง

กู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ว่ากระแสมิติได้หายไปอย่างสมบูรณ์ และภาพที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น

เป็นอีกครั้งที่เขาได้เข้าสู่โลกที่ไม่รู้จัก

ร่างโครงกระดูกดำจำนวนนับไม่ถ้วนกระจุกตัวกันหนาแน่น เดินไปมาบนพื้นที่โล่งแสนกว้างใหญ่

พวกมันดูเหมือนว่าจะไม่เคยหยุดนิ่งเลย

ขณะเดียวกัน ในใจกลางของโลกใบนี้ ปรากฏให้เห็นถึงเสาทองแดงที่ถูกปักตั้งไว้ มันยาวจนเชื่อมต่อสวรรค์และโลกเข้าด้วยกัน

โดยมีร่างใหญ่ในชุดเกราะดำ ถูกตอกตรึงอยู่บนเสาทองแดงที่ว่า

“ข้ามาแล้ว ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

กู่ฉิงซานที่ลอยอยู่กลางอากาศ ตะโกนถามเสียงดัง

แต่ร่างใหญ่กลับไม่ตอบสนอง

กู่ฉิงซานจึงลองเพ่งสังเกตดู และพบว่ามือข้างหนึ่งของร่างใหญ่ บัดนี้หลงเหลือทิ้งไว้เพียงโครงกระดูกเท่านั้น

ตามห้านิ้วของโครงกระดูก ถูกปกคลุมไปด้วยร่องรอยการกัดแทะที่ดูยุ่งเหยิง

คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างกินเนื้อหนังด้านบนจนหมดสิ้นแล้ว และพยายามที่จะกัดแทะกระดูกต่อ

“เงียบเสียงไว้”

เสียงลึกลับดังขึ้น

กู่ฉิงซานหุบปากลงทันที

เพราะนี่คือเสียงของร่างใหญ่

ภายในสายตาของเขา

เกราะรบสีดำบนร่างใหญ่ จู่ๆ ก็มีเกล็ดส่วนเล็กหลุดออกมา

เกล็ดที่ว่านี้ลอยเข้ามาหากู่ฉิงซาน ก่อนจะเวียนวนรอบตัวเขาอยู่ครู่หนึ่ง

คล้ายกับว่าต้องการที่จะยืนยันตัวตนของเขา

ต่อมา เสียงของร่างใหญ่ก็สะท้อนออกมาจากเกล็ดเกราะอย่างแผ่วเบา

“สถานการณ์ในเวลานี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง”

เสียงของมันเผยถึงความตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

“เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“มีตัวอะไรบางอย่างอยู่ในร่างกายของข้า และมันกำลังกัดกินเนื้อของข้า”

ร่างใหญ่เล่าต่อ “ฉะนั้น เพื่อที่จะไม่ให้มันค้นพบถึงจิตวิญญาณของข้า ข้าจึงย้ายจิตมาซ่อนอยู่ในเกราะรบแทน”

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็เพ่งตรวจสอบไปยังร่างอันใหญ่โตอย่างระแวดระวัง

ไม่นาน เขาก็ค้นพบว่าตรงตำแหน่งหน้าอกของร่างใหญ่ บ่อยครั้งที่เกล็ดเกราะจะเกิดการสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย

บ่งบอกชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในชุดเกราะ

“มันอยู่ตรงตำแหน่งที่ว่านั่นใช่หรือไม่?”

กู่ฉิงซานชี้ปลายดาบไปตรงบริเวณหน้าอกของร่างใหญ่

เขาลองกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไป แต่ก็ถูกขัดขวางเอาไว้โดยบางสิ่ง มิอาจเข้าไปในร่างใหญ่ได้

แต่ชัดเจนว่ามีตัวอะไรอยู่ตรงบริเวณหน้าอกอย่างแน่นอน

“ถูกต้อง ตอนนี้มันอยู่ในตำแหน่งหัวใจของข้า และกำลังฉีกกัดผนังหัวใจภายนอกอยู่ ข้าสงสัยว่ามันอาจจะสนใจในหัวใจของข้าก็เป็นได้”

“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่ตอบโต้มันกลับเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“เจ้าก็รู้นี่ว่าเป็นเพราะร่างของข้าถูกตอกตรึงติดกับเสาทองแดง ข้าจึงไม่สามารถลงมือโจมตีมายังเสาได้ และอีกอย่างหากข้าลงมือ การดำรงอยู่ที่ว่านั่นก็จะรู้สึกตัวได้ในทันที ว่าดวงจิตของข้ายังไม่จากไป”

“เมื่อข้าถูกค้นพบ เรื่องราวหลังจากที่ว่านั่นก็คงจะไม่มีหนทางให้แก้ไขใดๆ อีกต่อไปแล้ว”

กู่ฉิงซานถาม “ด้วยเหตุนี้ ท่านเลยทำได้แค่ยอมให้ร่างกายตัวเองถูกกินโดยสิ่งนั้น?”

“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น”

กู่ฉิงซาน “พอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าสิ่งที่กำลังกัดกินร่างท่านอยู่คือตัวอะไร?”

“มันเป็นสิ่งที่มิอาจทำความเข้าใจได้ ข้าเดาว่ามันไม่ได้อยู่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น” ร่างใหญ่กล่าว

“ทำไมถึงคิดเช่นนั้น?” กู่ฉิงซานสงสัย

“เพราะตัวมันไม่สอดคล้องกับลักษณะชีวิตใดๆ เลยในโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้นเลย” ร่างใหญ่อธิบาย

กู่ฉิงซานตกตะลึง

แต่ในขณะนั้นเอง เสียงเคี้ยวก็ดังขึ้นมาจากภายในร่างใหญ่

“มันแข็งแกร่งรึเปล่า?” กู่ฉิงซานถาม

“ในความรู้สึกของข้า เมื่อเทียบกับตัวเจ้าในปัจจุบัน มันอาจจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย แต่ตรงจุดนี้ ข้ายังไม่สามารถรับประกันได้ เพราะมันเป็นการดำรงอยู่อันแปลกประหลาดที่ข้าไม่เคยพบเจอมาก่อนเช่นกัน” ร่างใหญ่กล่าว

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก “เข้าใจแล้ว ข้าจะลองดู”

ร่างใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าว “แบบนั้นไม่ดีหรอก ข้าว่าเจ้าช่วยนำจิตวิญญาณของข้า หนีไปด้วยกันจะเป็นการดีกว่า”

กู่ฉิงซาน “นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีหรอก อ้างอิงตามความรู้ความเข้าใจของข้า หากท่านหลงเหลือเพียงจิตวิญญาณ หลังจากนั้นมา ทุกสิ่งอย่างที่ท่านมีคงจำต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง”

ร่างใหญ่ถอนหายใจ “แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เพราะข้าไม่เพียงไม่อาจทราบว่ามันมาจากที่ใด แต่กระทั่งจิตวิญญาณของข้าก็ยังรู้สึกหวาดกลัวในมัน”

“ท่านน่ะหรือหวาดกลัว? เมื่อครู่ไม่ใช่ท่านบอกว่ามันแข็งแกร่งกว่าข้าไม่มากนักหรอกหรือ?”

“ปัญหาไม่ใช่เรื่องความแข็งแกร่ง ปัญหามิได้อยู่ที่มัน แต่ปัญหาน่ะอยู่ที่ตัวข้าเอง – ข้าน่ะรู้มากเกินไป ดังนั้นข้าจึงพอที่จะสามารถคาดเดาถึงเจ้าสิ่งนั้นออกไปได้ในหลากหลายรูปแบบ และไม่ว่าจะเป็นการคาดเดาชนิดใดที่ผุดเข้ามา มันก็ล้วนทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง” หลังจากที่ร่างใหญ่กล่าวจบ มันก็หุบปากเงียบ

“ตราบใดที่ในเรื่องความแข็งแกร่งไม่ใช่ปัญหา ข้าก็ไม่สนใจแล้ว ท่านแค่คอยเฝ้าดูข้าสังหารมันก็พอ”

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็เปิดหน้าต่างเทพสงคราม และดึงตัวเลือกบางอย่างออกมา

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

“โปรดทำการเลือกสกิลที่เหมาะสมสำหรับการเสริมพลังด้วย”

เจ้าพวกนี้คือสิ่งที่เขาได้รับมาในตอนที่อยู่บนโลกชั้นใต้ดิน เป็นความสามารถสั่งสมแต้มพลังที่ได้มาจากการกำจัดกองทัพสัตว์ประหลาดผี

ในแต่ละภารกิจต่อเนื่องของเทพสงคราม กู่ฉิงซานจะได้รับสถานะสั่งสมแต้มพลังวิญญาณ

ซึ่งนี่คือความแตกต่างระหว่างภารกิจเทพสงครามและภารกิจแห่งโชคชะตา

“ศัตรูมีเพียงหนึ่งเท่านั้น”

กู่ฉิงซานพึมพำ

เขาปัดตัวเลือกทั้งหมด ให้มันไปเสริมแกร่งให้แก่กลืนกินหวนกลับ

เพราะกลืนกินหวนกลับ คือเทคนิคดาบลอบสังหารที่ทรงพลังที่สุดของเขา

บนหน้าต่างเทพสงคราม หนึ่งบรรทัดแสงปรากฏขึ้นมา

“สกิลของคุณ: กลืนกินหวนกลับ ได้รับการเสริมแกร่งขึ้นเป็นสิบสองเท่าแล้ว”

“อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณใช้สกิลนี้ และปลดปล่อยมันอีกครั้ง พลังโจมตีของมันจะกลับคืนสู่ระดับปกติ”

“เมื่อคุณต้องการจะใช้สกิลนี้ คุณจะต้องจ่ายหนึ่งพันแต้มพลังวิญญาณ คุณตกลงหรือไม่?”

“ฉันตกลง ถ้าจะใช้เมื่อไหร่เดี๋ยวจะจ่ายเอง แต่ตอนนี้ขอหยั่งเชิงกับมันดูก่อน”

ว่าจบ พอเตรียมตัวพร้อม กู่ฉิงซานก็สั่งการในความคิดทันที

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาลอยออกไป และเคาะลงบนตำแหน่งหน้าอกของร่างใหญ่

“เคร้ง!”

บังเกิดเสียงอันคมชัดของดาบยาวเคาะลงบนเกราะรบ

เห็นแค่เพียงการสั่นไหวภายใต้เกราะรบหยุดลงไปครู่หนึ่ง

แต่จากนั้น มันก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าการดำรงอยู่ที่ว่านั่น สำหรับมันแล้วหัวใจของร่างใหญ่ดูจะน่าดึงดูดยิ่งกว่าการคุกคามจากภายนอก

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาสับลงอีกครั้ง

แต่อีกฝ่ายก็ไม่สนใจเลย

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาบินกลับมา

และเปลี่ยนเป็นดาบพิภพ

“ไม่ต้องยั้งมือ” กู่ฉิงซานกล่าว

“เข้าใจแล้ว” ดาบพิภพตอบรับ

มันกวาดไปตามแนวนอน หมุนควงสั่งสมแรงเหวี่ยงสองสามรอบ และเมื่อพรั่งพร้อม มันก็ปล่อยตัวกระแทกเข้าใส่เกราะรบสีดำอย่างแรง

ระเบิดออกด้วยการโจมตีที่หนักกว่า 86.37 ล้านจิน!

ปัง!

บังเกิดเสียงหนักทึบ

เกราะรบไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ

ทว่าภายในเกราะกลับเกิดเสียงดังฟู่ๆ ขึ้น

ดาบพิภพบินกลับมา

“ข้าได้ขัดจังหวะการกินของมัน และมันสมควรจะโกรธมาก ข้าคาดว่ามันกำลังจะตอบโต้” ดาบพิภพอธิบายอย่างรวดเร็ว

“ข้ารู้” กู่ฉิงซานกล่าว

เขามองไปยังเกราะรบสีดำบนร่างใหญ่

เห็นแค่เพียงบนเกราะรบ ไร้ซึ่งการสั่นไหวใดๆ อีกแล้ว

หลังจากนั้นสักพัก เปลือกตาของร่างใหญ่ก็ค่อยยกขึ้น เผยให้เห็นถึงม่านตาสีแดงก่ำ

“นั่นท่านรึเปล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ไม่ใช่ข้า” ร่างใหญ่ตอบกลับ

“นั่นเป็นเจ้ามอนสเตอร์ตัวที่ว่า”

พอได้รับคำตอบ กู่ฉิงซานก็กุมดาบด้วยสองมือเขาเตรียมพร้อมที่จะรับมือทันที

ทันใดนั้นเสียงคำรามก็ดังกึกก้องขึ้น

มันเป็นเสียงของการดำรงอยู่ ที่เหมือนกับว่าจะประหลาดใจ

“เอ…?”

“แปลกนัก” เสียงยังคงพูดต่อ “กู่…ฉิง…ซาน ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”

กู่ฉิงซานแข็งค้าง

ทำไมฉันถึงมาที่นี่อย่างงั้นหรือ?

ถูกถามในที่แบบนี้เนี่ยนะ?

มันเป็นไปไม่ได้! ไม่น่าจะมีใครที่รู้จักฉัน ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน!

คำถามที่ไม่สามารถอธิบายได้ ผุดเข้ามาในหัวใจของกู่ฉิงซาน

“เมื่อครู่ท่านบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของโลกเก้าร้อยล้านชั้นใช่ไหม?”

“ไม่ใช่อย่างแน่นอน” ร่างใหญ่ยืนยันหนักแน่น

“ถ้าอย่างนั้น แล้วเพราะเหตุใดมันถึงรู้ชื่อของข้า?”

“ข้าเองก็ไม่ทราบในส่วนนั้นเหมือนกัน” เสียงของร่างใหญ่ฟังดูตึงเครียด

แต่ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันนั้นเอง กลับปรากฏถึงมอนสเตอร์ประหลาดตนหนึ่ง คืบคลานออกมาจากดวงตาของร่างใหญ่

“มันมาแล้ว” ร่างใหญ่เตือน

กู่ฉิงซานกุมดาบแน่น และมองออกไป

เห็นแค่เพียงมอนสเตอร์ประหลาด

ทว่ายังไม่มีเวลาที่จะทันได้สำรวจมันอย่างถี่ถ้วน จู่ๆ ความหวาดกลัวก็พลันบาดลึกเข้ามาในหัวใจของเขา

นี่คือปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณของร่างกาย เมื่อทุกคนกำลังย่างกรายเข้าสู่ความตาย!

ในระหว่างนั้นเอง เขาก็อ้าปากกว้าง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่สามารถหายใจได้

เงาแห่งความตายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนโอบเข้าปกคลุมตัวเขาเอาไว้

มันเป็นความรู้สึกสิ้นหวัง คล้ายกับจมลงสู่เบื้องลึกของความมืดที่มองไม่เห็น

พริบตานั้นเอง แสงจรัสบนเกราะของทวยเทพก็เปล่งประกายสดใสขึ้นทันใด

ได้ยินแค่เพียงเสียงเตือนของเกราะเทพที่เร่งร้อน “ข้าสัมผัสได้ถึงความตายของเจ้า! ข้าจะช่วยเหลือเจ้าเอง แต่จงอย่าลืมว่าตัดขาดเวลา สามารถใช้งานได้แค่สามลมหายใจเท่านั้น!”

ในชั่วพริบตา เกราะเทพก็พลันใช้ออกด้วย ‘คำบัญชาเทพ!’

‘คำบัญชาเทพ: เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณถูกโจมตีอย่างร้ายแรง เกราะรบจะตระหนักได้ถึงโชคชะตาแห่งความตายของคุณ และมันจะใช้ออกด้วย ‘ตัดขาดเวลา’ ทันที’

รังสีแสงอันไร้ขอบเขตระเบิดออกจากตัวกู่ฉิงซาน ปัดเป่าความมืดมิดที่ปกคลุมล้อมรอบตัวเขา

ตลอดทั้งโลกที่ไม่รู้จัก ทุกสิ่งอย่างพลันหยุดนิ่ง

เวลาได้ถูกหยุดลง

ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็มองเห็นถึงคมกล้าของกรงเล็บแหลมที่หยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา

และกรงเล็บแหลมที่ว่า…มันอยู่ห่างจากดวงตาของเขาไปเพียงไม่ถึงหนึ่งมิลลิเมตรเท่านั้น!

……………………………………………

โดยที่ไม่ทันจะได้เตรียมตัวหรือเตรียมใจใดๆ สถานการณ์สงครามของผู้เข้าสู่วิถีมารก็พุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุด

ท่ามกลางการต่อสู้ที่แสนเข้มข้น ทุกชนิดของการโจมตีจากภูตผีและปีศาจสอดประสานกันไปมา ส่งผลให้แนวป้องกันของผู้เข้าสู่วิถีมารเริ่มที่จะแตกพ่าย

กำลังพลที่ถูกนำพามาจากโลกอื่นโดยกษัตริย์ปีศาจและราชาภูต เป็นกองทัพทรงพลังที่มากไปด้วยประสบการณ์ และเคยข้ามผ่านคมเหล็กและการนองเลือดมาแล้วมากมาย

ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามพวกเขา เป็นเพียงรุ่นเยาว์ที่พยายามจะใช้ประโยชน์จากระบบของราชามารเป็นทางลัดในการเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง และยังอายุไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ

ทว่าในเวลานี้ ระบบของราชามารกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการยกระดับ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือผู้เข้าสู่วิถีมารได้

สถานการณ์เริ่มที่จะเอนเอียง

และชัยชนะก็ตกเป็นของโลกทั้งเจ็ดอย่างรวดเร็ว

พวกเขาเก็บเกี่ยวชีวิตของผู้เข้าสู่วิถีมารมากขึ้น มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนที่พอจะฉลาดอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์มันชักจะไม่ท่า ตนก็เร่งซ่อนอยู่เบื้องหลังคนอื่นๆ และเริ่มหาหนทางรักษาชีวิต

ไม่นานนัก ผู้หลบหนีคนแรกก็ปรากฏขึ้น

เห็นแค่เพียงตัวเขาที่ฉีกม้วนคัมภีร์ ก่อนที่ทั้งคนทั้งร่างจะถูกอาบไปด้วยอักษรรูนโบราณ และถูกส่งออกไป

หลังจากแสงกะพริบไหว เขาก็หายตัวไปจากโลกใบนี้

แต่แน่นอน ว่ากู่ฉิงซานย่อมสังเกตเห็นถึงฉากนี้ตั้งนานแล้ว ทว่าตัวเขาก็ไม่คิดเข้าไปก้าวก่ายใดๆ

“ช่างไร้เดียงสา” เขาส่ายหัว

หลังจากนั้นไม่ถึง สองลมหายใจ

ร่างของผู้หลบหนีก็ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ตกกระแทกเข้ากับพื้น

ตามด้วยร่างเงาที่งดงามผุดขึ้นมาจากตัวเขาอย่างช้าๆ

“หนุ่มน้อยที่แสนจะไร้เดียงสา ไม่รู้หรือว่าตั้งแต่ที่เจ้าอยู่ในพิสัยของทัณฑ์สวรรค์แล้ว กฎเกณฑ์ฟ้าดินย่อมไม่อนุญาตให้เจ้าหลบหนี และส่งพวกเรามารสวรรค์ไปขัดขวาง”

มารสวรรค์กล่าว ขณะเดียวกันก็หันไปมองรอบๆ

วินาทีต่อมา ดวงตาของเธอก็สว่างวาบขึ้นทันใด

ไม่ไกลจากเธอ ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนที่ในจิตใจฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัว กำลังที่จะหยิบอุปกรณ์ที่ใช้หลบหนีออกมา

มารสวรรค์หญิงเช็ดมุมปากของเธอ ร่างกายวูบไหว หายเข้าไปในความว่างเปล่าทันที

เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดจบ

ช่วงเวลานี้ ในที่สุดสงครามก็มาถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว

ฝนเพลิงบนท้องฟ้าค่อยๆ มอดดับลง

กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบนำกำลังรบของตนเดินกลับมายังหากู่ฉิงซาน

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจในครั้งนี้ แต่ตัวข้ากลับไม่ได้พกอะไรที่พอจะใช้ตอบแทนเจ้าได้เลย จะมีก็แค่สิ่งนี้ที่พอจะมอบให้ได้” กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบกล่าว

มันหยิบตราสัญลักษณ์เปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ออกมา และโยนไปทางกู่ฉิงซาน

“เจ้าสามารถขยี้ตราสัญลักษณ์นั่น และเข้ามายังโลกของข้าได้เลยโดยตรง เมื่อถึงเวลานั้น ขอให้ข้าได้ต้อนรับเจ้าในฐานะแขกด้วยเถิด!”

แม้สิ่งนี้จะไม่ใช่ตราสัญญาณที่สามารถใช้สื่อสารกันได้ แต่มันก็นับว่าเป็นสิ่งล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

“อืม ขอบคุณเจ้ามาก” กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย

กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบพยักหน้าให้เขา ก่อนจะก้าวเข้าไปในความว่างเปล่า หายไปจากโลกใบนี้

อีกด้านหนึ่งของสนามรบ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ศพในบริเวณตำแหน่งนี้ได้หายไป

ชั้นเงาที่ทับซ้อนพื้นน้ำแข็งก็หายไปแล้วเช่นกัน บัดนี้บนพื้นน้ำแข็งว่างเปล่า เหลือทิ้งไว้เพียงสีแดงของเลือด

กษัตริย์อสูรเงาหยุดยืนอยู่ที่นั่น มันนิ่งอย่างเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงกลับมายังค่ายสัตว์ประหลาดผี

มันผุดขึ้นมาจากพื้นน้ำแข็งเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

“นี่สินะคำที่กล่าวว่า ‘อัธยาศัยดีเป็นต้นเหตุของความร่ำรวย’ แม้ว่าข้าจะโกรธเจ้าที่ทำลายร่างเงาของข้า แต่เจ้าก็ยังแลกเปลี่ยนกับข้าอย่างซื่อตรง ฉะนั้นตัวข้าเองก็สมควรที่จะปฏิบัติตามบ้างเช่นกัน”

กษัตริย์อสูรเงาเดินมาด้านข้างของกู่ฉิงซาน และขยับปากร่ายคาถาเบาๆ ลงบนแขนเขา

เปลวไฟสีทมิฬผุดออกมาจากแขนของกู่ฉิงซาน

นี่คือคำสาปที่จ้าวแห่งแดนชำระล้างสาปแช่งทิ้งไว้บนแขนของกู่ฉิงซาน ในตอนที่เขาอยู่ในโลกเบื้องล่างของสายพันธุ์เทพ

คำสาปแช่งนี้จะมีผลเมื่อกู่ฉิงซานตาย เมื่อเขาตาย จ้าวแห่งแดนชำระล้างจะตามรอยคำสาปนี้ เพื่อมารับเอาจิตวิญญาณของกู่ฉิงซานไป

กษัตริย์อสูรเงาเอื้อมมือของมันไปยังเปลวไฟสีดำ

“หากเจ้าไม่รังเกียจ ก็ถือเสียว่าสิ่งนี้เป็นรางวัลแด่ข้า ที่ช่วยถอนคำสาปให้แก่เจ้าจะได้หรือไม่?”

มันชี้ที่เปลวไฟสีดำและกล่าว

“ด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เจ้าเอามันไปเถอะ รีบเอาไปเลย” กู่ฉิงซานหัวเราะ

ก่อนหน้านี้ ตัวเขาได้ทดลองมาหลากหลายวิธีการแล้ว แต่ก็ไม่สามารถกำจัดคำสาปนี้ออกไปได้

แต่ไม่คาดคิดเลย ว่ากษัตริย์อสูรเงาจะมีวิธีกำจัดคำสาปนี้ลงได้ ดังนั้นในเมื่อเจ้าตัวเอ่ยปากขอ กู่ฉิงซานก็ไม่คิดปฏิเสธ

หลังจากที่เปลวไฟสีดำไม่ได้อยู่กับตัวกู่ฉิงซาน จ้าวแห่งแดนชำระล้างก็จะไม่สามารถตามหาตัวเขาได้อีกต่อไป

กษัตริย์อสูรเงากุมเปลวไฟสีดำไว้ในมือ และพยักหน้าให้แก่กู่ฉิงซาน

“ลาก่อน”

“ลาก่อน”

กษัตริย์อสูรเงาจมลงไปในพื้นน้ำแข็งอย่างเงียบๆ และสุดท้ายก็หายตัวไป

อีกด้านหนึ่ง กษัตริย์อาชูร่าที่กำลังขี่ช้างเผือกตะโกนร่ำลากับกู่ฉิงซานจากระยะไกล

“ข้ายังมีธุระอื่นที่จะต้องไปจัดการ! เอาไว้หากมีเวลาว่างเว้นพวกเราค่อยกลับมาสนทนากันอีกครั้ง!”

เขาตะโกนเสียงดัง

หลังจากนั้นกษัตริย์อาชูร่าก็นำพากองทัพอันเกรียงไกรของเขาหายกลับเข้าไปในความว่างเปล่า

พวกเขายังมีสงครามกับโลกอื่นที่จะต้องไปจัดการ ดังนั้นเมื่อจบธุระที่นี่ พวกเขาจึงเร่งร้อนจากไปทันที

กษัตริย์ปีศาจทั้งสามได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เป็นจำนวนมาก หลังจากที่ร่ำลากู่ฉิงซาน และบรรลุภารกิจตามกฎเกณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์แล้ว ก็กลับไปยังโลกภูตผีของตน

แม่มารสวรรค์ร่อนลงมาจากฟากฟ้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงออกชัดเจนถึงความสุข

“ช่างเป็นงานเลี้ยงฉลองที่ยิ่งใหญ่นัก ตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกสิ่งที่เจ้าตระเตรียมการเอาไว้ มันไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย”

เธอลดเสียงลงและกล่าวกระซิบ “ดังนั้น ข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าอยู่กับบุตรสาวแห่งข้า หลี่อัน อยู่กันตามลำพัง เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างใกล้ชิด”

โดยแม่มารเน้นย้ำหนักแน่นตรงคำว่า ‘ใกล้ชิด’

จากนั้น แม่มารก็ถอยกลับเข้าไปในความว่างเปล่า และจากไปอย่างเงียบๆ

มารสวรรค์ทั้งหมดก็จากไปกับเธอเช่นกัน

ภูตผี และปีศาจได้จากโลกใบนี้ไป

สักพักหนึ่ง

สายลมก็หยุดลง

โลกกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

มีเฉพาะเพียงเกล็ดหิมะเท่านั้นที่ยังคงร่วงโรยลงมา

กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของค่ายสัตว์ประหลาดผี และหันไปมองรอบๆ

เมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ได้กระจายไปแล้ว

ภายใต้ท้องฟ้า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่อีกเลย

จิตวิญญาณของสองร้อนล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร ได้ถูกแบ่งๆ กันออกไปโดยเหล่าภูตผีและปีศาจโดยสมบูรณ์

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของฉากนี้ ก็คงจะเป็นพื้นน้ำแข็งทั้งหมดที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน

สายตาของกู่ฉิงซานกะพริบไหวอย่างกะทันหัน

เห็นแค่เพียงเส้นแสงหิ่งห้อยบนหน้าต่างเทพสงคราม

“การข้ามผ่านโทษทัณฑ์สู่ร่างเทวะ ได้จบลงแล้ว”

ราวกับบางจุดในร่างกายถูกชำระล้าง แม้กระทั่งกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินก็ยังยอมรับมัน พลังวิญญาณในตันเถียนของกู่ฉิงซานพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในความรู้ความเข้าใจของกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ทุกๆ ครั้งที่ผู้ฝึกยุทธ์สามารถยกระดับขอบเขตได้ อายุขัยของพวกเขาจะเพิ่มมากขึ้น

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ขีดจำกัดอายุยังเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมากอีกด้วย

แน่นอนว่าอาชีพอื่นๆ ก็มีวิธีการเพิ่มอายุขัยของพวกเขาขึ้นเช่นกัน แต่นั่นก็แค่เฉพาะเพียงอายุขัยเท่านั้น

แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว แท้จริงมันคือการวิวัฒนาการของรูปแบบชีวิตทั้งหมด

นั่นคือการได้รับพลังอำนาจที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก จนอยู่เหนือกว่ากฎเกณฑ์

ดังนั้นฟ้าดินจึงจำต้องส่งโทษทัณฑ์ลงมา เพื่อเป็นการทดสอบผู้ฝึกยุทธ์

กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มพยายามรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาอย่างรอบคอบ

ขีดจำกัดแต้มพลังวิญญาณสูงสุดขยายขึ้นเป็นหกร้อยแต้ม

ขณะที่พลังวิญญาณของเขาเพิ่มมากกว่าเดิมถึงสามเท่า

อายุขัยเพิ่มขึ้นเป็นสองพันปี

อำนาจของจิตเทวะแข็งแกร่งขึ้น พิสัยของมันครอบคลุมไกลกว่าเดิมเป็นสองเท่า เวลานี้แม้กระทั่งเกล็ดหิมะบางเบามากมายที่ร่วงโรยลงมา เขาก็ยังสามารถตรวจจับถึงมันได้

“ขอบเขตร่างเทวะ…”

กู่ฉิงซานพึมพำด้วยอารมณ์

ในที่สุด…ในที่สุดเขาก็สามารถเดินตามรอยเท้าอาจารย์จนมาถึงตำแหน่งเดียวกันแล้ว!

ตอนนี้เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตร่างเทวะ

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็บังเกิดแรงฉุดดึงขึ้น

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนไป

เขาพลันนึกขึ้นได้ถึงบางสิ่ง

“เช่าหยิน เจ้าจงรับหน้าที่คอยปกป้องข้า หากมีสถานการณ์ผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าใช้พลังเหนือธรรมชาติที่ข้ามี ช่วยปกป้องข้าได้เลยไม่ต้องลังเล” เขากล่าวอย่างรวดเร็ว

เช่าหยินผุดออกมาจากในความว่างเปล่า เปล่งเสียงฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง

ถัดมา กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลป้องกันขึ้นมา อันแล้วอันเล่า เริ่มจัดวางมัน

แสงสวรรค์สาดประกายออกมา

ในช่วงเวลาสั้นๆ ดิกส์ค่ายกลทั้งหมดก็ถูกเปิดใช้งานโดยสมบูรณ์!

กู่ฉิงซานโยนฟูกลงวาง แล้วนั่งลง

“ฉานนู่ ดาบพิภพ จงไปพร้อมกันกับดวงจิตของข้า!”

“เข้าใจแล้ว” ดาบพิภพกล่าว

“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่ตอบรับ

กู่ฉิงซานปิดตาลง

ทันใดนั้นเอง แรงฉุดดึงอันทรงพลังก็ผุดออกมาจากในความว่างเปล่า

ดวงจิตของเขาผละออกจากกายเนื้อ และบินขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งเข้าสู่กระแสมิติอันโกลาหลโดยตรง

สองดาบบินไปตามจิตวิญญาณของเขาไปอย่างใกล้ชิด

ท่ามกลางพื้นน้ำแข็งและมหาสมุทร ความเงียบงันกลับคืนมาอีกครั้ง

กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนฟูก ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน ดวงตาปิดสนิท

ขณะที่เช่าหยินแขวนเด่นอยู่กลางอากาศ คอยปกปักอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

ช่วงเวลาหนึ่ง ก็ปรากฏถึงรังสีแสงดั่งดวงอาทิตย์แทรกเข้ามาในท้องฟ้าอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด

ตามด้วยเสียงขับขานท่วงทำนองอันไพเราะของหญิงสาว

เห็นแค่เพียงเด็กสาวที่แสนงดงามในชุดดำบินออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า

เธอลอยมาตกลงหน้าค่ายสัตว์ประหลาดผี

“เอ๊ะ? ค่ายกลงั้นหรือ?”

เด็กสาวในชุดดำยื่นมือของเธอออกไปสัมผัสกับในอากาศที่ว่างเปล่าด้วยความประหลาดใจ

ทันใดนั้นแสงสวรรค์สีสดใสก็สว่างวาบออกจากมันทันที

“ถึงจะได้ผลกับตนอื่นๆ แต่สำหรับมารสวรรค์แล้ว…”

เด็กสาวในชุดดำยิ้ม และร่างก็เธอก็กะพริบไหว

เธอปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในค่ายกองทัพ

เมื่อเข้ามา เธอก็เห็นถึงกู่ฉิงซานที่อยู่ตรงกันข้าม เด็กสาวชุดดำจึงเอ่ยถามเขาอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าเพิ่งจะตัดผ่านมาได้ พักผ่อนสักเล็กน้อยแล้วค่อยรวบรวมขอบเขตมันจะไม่ดีกว่าหรือ?”

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานมิได้ตอบกลับไป

“ซูม…”

ดาบเช่าหยินจู่ๆ ก็เริ่มส่งเสียงกระหึ่มอย่างรวดเร็ว

มันลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

เด็กสาวชุดดำเลื่อนสายตาลงมามองมัน

“เจ้าดูให้ดีสิ นี่ข้าเอง ข้าหลี่อันไง” เด็กสาวชุดดำกล่าว

เธอลองขบคิด และเอ่ยต่อว่า “วางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำอะไรกับเขาหรอก”

“อืม…”

เช่าหยินแม้จะส่งเสียงที่ดูลังเลออกมา แต่แท้จริงแล้วมันก็ยังไม่ยินยอมเปิดทางอยู่ดี

จักรพรรดินีหลี่อันตระหนักได้ถึงความผิดปกติในที่สุด

เธอจ้องมองกู่ฉิงซาน และตรวจสอบเขาอย่างระมัดระวัง

“หืม? จิตวิญญาณของเขาหายไป…ในสถานที่แบบนี้เนี่ยนะ? ทำแบบนี้มันไม่ปลอดภัยเลย เขามีเรื่องเร่งด่วนอะไรกัน?” หลี่อันอุทาน

“ฉวัดเฉวียน!”

เช่าหยินผงกด้ามดาบลง

หลี่อันจึงค่อยเข้าใจ

ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ

เธอเอ่ยกับเช่าหยิน “ข้าเข้าใจ นี่คือช่วงเวลาที่กายมนุษย์ของเขาอ่อนแอที่สุด ดังนั้นเจ้าเลยกำลังปกป้องเขาอยู่ใช่หรือไม่?”

ดาบเช่าหยินผงกด้ามของมันลงอีกครั้ง

หลี่อัน “งั้นก็วางใจเถอะ ข้าจะไม่ไปเข้าใกล้เขาแล้ว”

เธอโบกมือเรียกเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมา และนั่งลง

“ฉวัดเฉวียน?” เช่าหยินเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่เกรงว่าเจ้าเพียงลำพังจะปกป้องเขาได้ไม่ดีพอ ดังนั้นข้าจึงจะอยู่ที่นี่ คอยปกป้องเขาด้วยเช่นกัน” หลี่อันอธิบาย

เช่าหยินกลับคืนสู่ความเงียบ และไม่ได้ส่งเสียงอีกต่อไป

มันเริ่มที่จะยอมรับการกระทำของอีกฝ่าย

แต่มันก็ยังไม่ยินยอมออกจากไปข้างกายของกู่ฉิงซาน

ห่างออกไป หลี่อันนั่งลงตรงกันข้ามกับกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

เธอพยายามรับรู้ทุกสิ่งรอบตัวอย่างระแวดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้อุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน

เธอก็มั่นใจว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่รอบๆ แล้ว

หลี่อันจึงค่อยผ่อนคลายลง

เธอยิ้มกับตัวเองและพึมพำเบาๆ “มารสวรรค์กำลังปกป้องมนุษย์…เกรงว่าหากข้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง คงจะไม่มีใครเชื่อ”

แล้วเธอก็เบนสายตาไปมองกู่ฉิงซานโดยไม่รู้ตัว

พร้อมกับแววตาที่ค่อยๆ อ่อนโยนลง

แต่ในไม่ช้า เธอก็ตระหนักได้ถึงมันและเร่งส่ายหัวทันที

ดาบเช่าหยินเมื่อเห็นถึงฉากนี้

มันก็ย้อนนึกไปถึงคำสอนของดาบพิภพ

ในเวลาต่อมา ดาบเช่าหยินก็ผงกด้ามดาบเบาๆ ตัดสินใจได้ในที่สุด

แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะป้องกันภัย มันหายเข้าไปหลบอยู่ในความว่างเปล่าอย่างเงียบๆ ไม่คิดเผยรูปอีกต่อไป

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า

เกล็ดหิมะมากมาย ยังคงตกลงมาเบาๆ จากท้องฟ้า

ในพื้นน้ำแข็งและมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เลือดที่เอ่อนองสีแดงฉานค่อยๆ ถูกหิมะสีขาวกลบกลืนลงไป

ท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง ทุกอย่างได้จบสิ้นลงแล้ว

โลกนี้ช่างเงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยว

มีแค่เพียงเด็กสาวชุดดำที่อยู่ในซากค่ายกองทัพ คอยเฝ้าระวังสถานการณ์โดยรอบอย่างจริงจัง

ในบางช่วงเวลา เธอก็มักจะเหลียวมองชายที่อยู่ตรงกันข้ามบ้างเป็นครั้งคราว

เธอยังคงอยู่ที่นี่

คอยปกป้องเขา

………………………………………………..

บนท้องฟ้า

ชั้นเมฆยกตัวสูงขึ้น ขณะที่พายุสายลมยังคงพัดกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง

ปรากฏจุดเปลวเพลิง ที่มองจากเบื้องล่างจะคล้ายกับดวงดารานับไม่ถ้วนผุดออกมาจากในความว่างเปล่า

นอกจากนี้ ยังได้ยินถึงเสียงสะท้อนของบทเพลง ที่ฟังดูอ่อนโยนและแผ่วเบา ลอยมาตามสายลม พร้อมกับบุปผาดำที่ผุดขึ้นมารอบทิศทาง

บางครั้งบางคราว ใบหน้าอันทรงเสน่ห์ก็ผุดออกมาจากบุปผาเหล่านั้น จ้องมองไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้มหวาน และหายกลับเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในมัน

ผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายที่เห็นถึงฉากนี้ ในหัวใจของพวกเขาก็เต้นตึกตัก รู้สึกได้ว่ามันกำลังคันยิบๆ

ขณะเดียวกัน บนพื้นน้ำแข็งก็เริ่มผุดเงาขึ้นในบริเวณโดยรอบอย่างต่อเนื่อง พวกมันคล้ายกับว่าอยู่ในโลกอื่น แต่สามารถเข้ามายังโลกใบนี้ได้ตลอดเวลา

และยังได้ยินถึงเสียงของเกือกม้าที่ดังกึกก้อง คล้ายกันกับในเวลาที่เสียงของห่าฝนกระทบกับพื้นดิน กังวานไปทั่วโลกชั้นน้ำแข็ง

“เฮ! สงคราม! การต่อสู้!”

เสียงแห่งสงครามนับไม่ถ้วนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าผู้ใดได้รับฟังก็ชวนให้รู้สึกฮึกเหิม

อย่างไรก็ตาม เมื่อเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารจะมองไปรอบๆ พวกเขากลับไม่พบเห็นถึงสิ่งใดเลย

นอกเสียจากสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด ที่เผยรูปร่างของมันออกมาบนท้องฟ้า

แต่ไม่นาน ทั้งหมดที่ว่ามาก็กลับไปซ่อนตัวอยู่ในสายลมอีกครั้ง

ที่กล่าวมานี้คือทหารของเผ่าพันธุ์ภูตผี ทั้งหมดกำลังเฝ้ารอรับฟังคำสั่งจากราชาภูตของพวกมันอย่างอดทน

ผู้นำของผู้เข้าสู่วิถีมารเพ่งสำรวจสถานการณ์ปัจจุบันอย่างหวาดระแวง ความรู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวลเริ่มเพิ่มพูนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

จนในเวลานี้ กระทั่งกองทัพของผู้เข้าสู่วิถีมารก็เริ่มที่จะกระสับกระส่ายเล็กๆ น้อยๆกันบ้างแล้ว

ผู้นำคว้าคอเสื้อผู้ฝึกยุทธ์ เร่งเอ่ยถาม “เจ้ามั่นใจใช่ไหมว่านี่คือทัณฑ์สายลม?”

“มั่นใจสิ พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดินเช่นนี้ ตัวท่านเองก็คงจะรู้สึกเหมือนกันมิใช่หรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์กล่าว

“ข้ารู้สึกถึงอำนาจกฎแห่งฟ้าดินก็จริง แต่เจ้าไม่เห็นหรือ! ว่าจำนวนผีปีศาจเหล่านี้มันโผล่ออกมามากเกินไป!” ผู้นำตวาด

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นทัณฑ์สายลมที่ส่งแรงกดดันยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย” ผู้ฝึกยุทธ์เองกล่าวด้วยความสงสัย

“ดูนั่นเร็ว! พวกเขากำลังจะเริ่มโจมตีเจ้าหมอนั่นแล้ว!” ผู้เข้าสู่วิถีมารอีกคนอุทานขึ้นมา

“โอ้? อย่างงั้นหรือ?”

ผู้นำเร่งหันกลับไปดู

เห็นแค่เพียงภายในค่ายสัตว์ประหลาดผี สี่กษัตริย์ปีศาจและสามราชาภูตกำลังล้อมหน้าล้อมหนังกู่ฉิงซาน

พวกเขาทยอยกันหยิบอาวุธประจำกายขึ้นมา และเพ่งเล็งมาทางกู่ฉิงซาน

ชัดเจนแล้ว ว่าการต่อสู้กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ปรากฏว่าเหตุการณ์น่าฉงนนี้เป็นทัณฑ์สายลมของเจ้าหมอนั่นคนเดียวจริงๆ!

ผู้นำมองไปที่ฉากนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อบนหน้าผาก และรู้สึกโล่งใจในเวลาเดียวกัน

เขาสั่งเสียงดัง “ส่งคำสั่งของข้าออกไป ภูตผีปีศาจเหล่านั้นกำลังจะสังหารเขา ขอให้ทุกคนวางใจ แต่ก็อย่าไปลงมือใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นทัณฑ์สายลม”

คำสั่งถูกส่งผ่านไป ผู้เข้าสู่วิถีมารต่างพยักหน้าตอบรับ และคิดในใจว่า ‘นี่สิคือสิ่งที่สมควรจะเป็น’

อีกด้านหนึ่ง

แม่มารกำลังกุมกริชสีทมิฬที่แลดูประณีตอยู่ในมือ และชี้ปลายแหลมของมันไปทางกู่ฉิงซาน

เธอกล่าว “ตามกฎเกณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์แล้ว พวกเราจะต้องสังหารเจ้า”

“ดังนั้นแล้ว…?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ดังนั้น พวกเราซึ่งเป็นผู้รับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์จักต้องโจมตีใส่เจ้าอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพื่อให้ทัณฑ์สวรรค์คิดว่าพวกเราปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และกระทำในสิ่งที่ตนสมควรทำ” แม่มารอธิบาย

“ดังนั้น ราชาภูตผีปรภพเอ๋ย เจ้าช่วยยกดาบของเจ้าขึ้นมาหน่อยสิ” ราชาภูตผีกระหายเลือดกล่าว

กู่ฉิงซานคว้าดาบพิภพขึ้นมา ตั้งขนานมันไว้เบื้องหน้า อยู่ในท่วงท่าป้องกัน

“ในเมื่อทุกคนมาแล้ว ก็ลงมือกันทีละคนเถอะ อย่าเพิ่งแย่งกันเลย”

จู่ๆ กษัตริย์อสูรเงาก็กระแอมเบาๆ และเอ่ยปากออกมาอย่างกะทันหัน

มันก้าวฉับๆ ไปตามพื้นน้ำแข็งและสะบัดเบาๆ ลงบนดาบพิภพ

“เสร็จข้าล่ะ”

สิ้นเสียง กษัตริย์อสูรเงาก็หายวับไปจากสายตาของทุกคนทันที

“พวกเจ้าพูดเองนะ ว่าใครคร่าชีวิตได้มากเท่าไหร่ ก็สามารถรับเอาดวงวิญญาณไปได้มากเท่านั้น งั้นข้าขอเปิดก่อนล่ะ!”

เสียงของมันสะท้อนมาจากในจุดที่ไกลออกไป

ในเวลาเดียวกัน ทางฝั่งตะวันตกของค่ายสัตว์ประหลาดผี ตรงตำแหน่งที่ผู้เข้าสู่วิถีมารยืนอยู่นับไม่ถ้วน –

เงามืดได้ผุดออกมาจากใต้น้ำแข็ง และเริ่มลงมือจู่โจมอย่างไม่มีผู้ใดทันได้ตั้งตัว!

ตำแหน่งของผู้เข้าสู่วิถีมารพลันตกอยู่ในความวุ่นวาย

สำหรับอสูรเงาแล้ว มันเป็นมอนสเตอร์ชั่วร้ายที่เก่งกาจในด้านการหลบซ่อนตัวและลอบสังหาร และในเวลานี้ กองทัพของมันตลอดทั้งอาณาจักรปีศาจก็ได้มาถึงแล้ว!

ฝนเลือดสาดกระเซ็นว่อน ตามด้วยเสียงกรีดร้องน่าสมเพชที่สั่นสะเทือนผืนดินดังขึ้น

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า จงไปนำเอาจิตวิญญาณมา! นำมันมาให้ข้ามากยิ่งกว่านี้” กษัตริย์อสูรเงาหัวเราะร่าอย่างโหดร้าย

“น้อมรับบัญชา!” เสียงนับไม่ถ้วนตอบรับเขา

ขณะเดียวกัน ทหารเงาก็เริ่มผุดออกมาจากพื้นดินอย่างต่อเนื่อง และสับการโจมตีร้ายแรงถึงตายออกไป

และเมื่อผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังจะโต้กลับ อสูรเงาก็จะผุดตัว หายเข้าไปซ่อนในเงามืดอีกครั้ง

เพียงพริบตา ผู้เข้าสู่วิถีมารหลายหมื่นคนก็ตกตายลง!

เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนที่ตกตายก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เหล่ากษัตริย์ปีศาจและราชาภูตที่มองไปยังฉากนี้ ได้ถอนสายตาของพวกเขากลับมา

“ไอ้เจ้าเล่ห์นั่น ข้าเองก็ต้องรีบบ้างแล้ว!” กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

เขาชักกระบี่หนักออกมา และแตะเบาๆ ลงบนดาบพิภพ

เคร้ง!

เสียงเหล็กกระทบกันอย่างนุ่มนวลดังขึ้น

แล้วกษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบก็หายตัวไปจากสายตาของฝูงชนในทันที

“ในเมื่อเจ้าอสูรเงามันยึดฝั่งตะวันตกไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นตัวข้าก็ขอฝั่งตะวันออกไปล่ะ!”

เสียงของมันสะท้อนมาจากในระยะไกล

วินาทีต่อมา

ห่าฝนเพลิงก็พลันร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า

พวกมันแลคล้ายกับดาวตกที่พุ่งหลาว พรั่งพรูกันลงไปทางทิศตะวันออกของค่ายสัตว์ประหลาดผี

ท่ามกลางฝนเพลิงบนท้องฟ้า ปีศาจเพลิงเขมือบนับไม่ถ้วนเริ่มปรากฏกาย หยดย้อยลงมาจากม่านเมฆ!

ตนแล้วตนเล่าเหวี่ยงฟาดระเบิดเปลวเพลิงเข้าใส่ผู้เข้าสู่วิถีมาร

ด้วยห่าฝนเพลิงที่กินอาณาเขตขนาดยักษ์ ส่งผลให้ผู้เข้าสู่วิถีมารบริเวณนั้นตกตายลงทั้งๆ ที่ยังมิทันได้ถอยหนีทันที!

แม้จะมีบ้างที่ระเบิดเพลิงของปีศาจเพลิงเขมือบมิโดนตัวผู้เข้าสู่วิถีมาร แต่มันก็ยังตกลงบนพื้นน้ำแข็ง ส่งผลให้พื้นน้ำแข็งสั่นสะเทือน ละลายจนยากจะหยั่งเท้า จนผู้เข้าสู่วิถีมารต่างเสียสมดุลที่จะใช้ป้องกันและโจมตี!

ปีศาจเพลิงเขมือบเริ่มทำการเก็บเกี่ยวชีวิตศัตรูอย่างบ้างคลั่ง!

“อืม…นี่สิถึงจะเรียกกันว่าสงคราม แล้วพวกเราเผ่าอาชูร่าจะน้อยหน้าได้อย่างไร?”

กษัตริย์อาชูร่ากล่าวพร้อมกับสัมผัสปลายหอกลงเบาๆ บนดาบพิภพ

เคร้ง!

สิ้นเสียงเหล็กกระทบ กษัตริย์อาชูร่าก็หายวับไปทันที

“กลุ่มผู้คนที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งที่สุด และข้าเองก็เห็นว่าผู้นำของพวกมันอยู่ในทิศทางนั้นเช่นกัน ดังนั้นพวกเราอาชูร่าจึงขอเป็นผู้ยึดตำแหน่งบุกโจมตีทิศทางที่ว่าก็แล้วกัน!”

เสียงของเขาดังมาจากสถานที่ห่างไกล

ขณะที่เบื้องบนท้องฟ้า เสียงแตรเขาสัตว์กังวานกึกก้อง

พร้อมกับรอยแยกมิติขนาดใหญ่ที่เปิดออก

นำหน้าด้วยช้างเผือกที่ผุดออกมาก่อนเป็นตัวแรก ตามต่อด้วยม้าศึกที่ทหารอาชูร่ากำลังขี่อยู่ไล่ตามออกมาติดๆ

ท่ามกลางเสียงแตรแห่งสงคราม พวกเขาวิ่งทะยานจากบนท้องฟ้า พุ่งปะทะเข้าห้ำหั่นกับศัตรูบนพื้นดินโดยตรง!

กษัตริย์อาชูร่ายืนอยู่บนช้างเผือก หอกในมือชี้ปลายแหลมไปยังทิศทางของผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมาร

“มาเถิด จงออกมาต่อสู้กับข้า และข้าจะมอบเกียรติยศที่เรียกกันว่าความตายให้แก่เจ้า!”

กษัตริย์อาชูร่าคำรามก้อง

ผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมารถูกบังคับให้ชักอาวุธออกมา ปากอ้าตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว บิดาไม่ใช่ผู้ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์!!!”

ทว่าคำแก้ตัวของเขาก็ถูกกลบด้วยเสียงแตรสงครามอย่างรวดเร็ว

เบื้องหลังกษัตริย์อาชูร่า กองทัพอาชูร่าทั้งหมดโถมบุกเข้าใส่ตำแหน่งของผู้เข้าสู่วิถีมาร!

นี่เพียงเพิ่งจะเริ่มต้น แต่สงครามก็พุ่งขึ้นสู่จุดเดือดเสียแล้ว!

ภายในค่ายสัตว์ประหลาดผี สามราชาภูตเริ่มร้อนรน

“แย่แล้ว! แบบนี้แย่แน่ๆ! พริบตาเดียวพวกเขาก็ช่วงชิงจิตวิญญาณไปมากโข พวกเราต้องรีบกันบ้างแล้ว!” ราชาภูตผีโหยสบถด้วยความกระวนกระวาย

สามราชาภูตมองกันและกัน ก่อนจะพยักหน้า

พวกเขาชักอาวุธออกมา และแตะลงบนดาบยาวของกู่ฉิงซานเบาๆ

เคร้ง!

หลังจากที่สามเสียงคมเหล็กปะทะกังวาน ร่างของทั้งสามก็สั่นไหว และหายวับไป

ในเวลาเดียวกัน

ภายในท้องฟ้า ภูตผีที่ซ่อนตัวอยู่ในสายลม เหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง

กองทัพภูตผีอันไร้ที่สิ้นสุดเริ่มแผดเสียง และกรีดร้องสะท้านสะเทือนโลกหล้า

ผีโหย ผีกระหายเลือด และผีศพโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า

โดยที่พวกมันไม่คิดสนใจเกี่ยวกับการแบ่งกำลังไว้ในทิศทางต่างๆ เลย ทั้งหมดโผล่ตรงไหน ก็ลงตรงนั้น กระโจนเข้าไปป่วนทั้งกองทัพของกษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบและกษัตริย์อสูรเงาจนสับสนวุ่นวายไปหมด

เมื่อพวกมันเข้ามาร่วมวง สมดุลสงครามก็พลิกตลบทันที ทางฝั่งผีเพลิงเขมือบ ผู้เข้าสู่วิถีมารตกตายกันจนสิ้น!

“อ้าวเฮ้ย! ไอ้กองทัพผีพวกนี้ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ปฏิบัติตามกฎ!” ผีเพลิงเขมือบสบถด้วยความไม่พอใจ

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมัน ราชาภูตผีโหยสวนกลับดังลั่น “เจ้าถูกกษัตริย์อสูรเงาหลอกเอาเสียแล้วล่ะ กฎเดียวที่มีของพวกเราก็คือใครฆ่าได้มากเท่าไหร่ ก็ได้รับผลประโยชน์ไปมากเท่านั้นต่างหาก!”

กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบชะงักไป ก่อนที่มันจะตบศีรษะตัวเองดังเพียะ แล้วอ้าปากตะโกนสั่ง “ปีศาจเพลิงเขมือบทั้งหมด จงเคลื่อนทัพตามข้าไปสังหารตรงจุดนั้น!”

มันชี้ไปยังทิศทางของอสูรเงา

ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีผู้เข้าสู่วิถีมารอยู่มากที่สุด

กองทัพปีศาจเพลิงเขมือบสาดเปลวไฟกระพือว่อน เริ่มเคลื่อนทัพไปทันที

อีกด้านหนึ่ง ภายในค่ายสัตว์ประหลาดผี

เป้ง!

ดาบยาวของกู่ฉิงซานถูกกระทบจนเกิดเสียงดังฟังชัดอีกครั้ง

แม่มารดึกดำบรรพ์ชักกริชกลับคืน ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน “เอาล่ะ พวกเราแต่ละตนก็ได้ทำการโจมตีเจ้าตนละหนึ่งครั้งแล้ว เพียงเท่านี้ก็นับได้ว่าภารกิจที่ทัณฑ์สวรรค์มอบให้เสร็จสมบูรณ์ ข้าเองก็จะได้ไปสนุกกับอาหารอันโอชะเสียที”

“เชิญท่านตามสบาย” กู่ฉิงซานกล่าว

แม่มารแปรเปลี่ยนเป็นควันสีดำ และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เบื้องบนท้องฟ้า หมู่มวลบุปผาสีดำเริ่มผุดออกมามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

บุปผาดำเหล่านี้ลอยล่องอยู่อากาศ ปกคลุมไปตลอดทั้งผืนฟ้า

ผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าสู่วิถีมารเงยหน้าขึ้นมองทันใด

“ไม่! นี่มันเป็นไม่ได้ เหตุใดจึงมีมารสวรรค์มากมายขนาดนี้!” เขาอุทานเสียงหลง

ใช่แล้วล่ะ ตลอดทั้งผืนฟ้า บัดนี้เต็มไปด้วยดอกไม้สีทมิฬ

ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามารสวรรค์กำลังจะปรากฏกาย

หมู่มวลบุปผาเริ่มบานสะพรั่ง

พร้อมด้วยหญิงงามทรงเสน่ห์ ชวนให้หลงใหลผุดลุกขึ้นจากดอกไม้

พวกเธอก้มลงมองไปยังสงครามที่แสนดุเดือดเบื้องล่าง และสัมผัสได้ถึงการต่อสู้อันโหดร้าย

ดวงตาของพวกเธอก็เปล่งประกายสว่างวาบขึ้นทันใด ปากอ้าหัวเราะคิกคัก ฟังคล้ายกันกับเสียงกระดิ่งเงิน

“ช่างเป็นฉากที่งดงาม ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง”

“ชีวิตและความตายสับสนวุ่นวายไปหมด ฉากเช่นนี้ช่างเหมาะสมกับพวกเราเหล่ามารสวรรค์เสียจริงๆ”

“ใช่ นี่เป็นฉากที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเราแล้วที่จะลิ้มชิมรสมื้ออาหาร”

“พอเจ้าพูด ข้าก็ชักจะเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาซะแล้วสิ…”

อย่างรวดเร็ว

หมู่มวลบุปผาทมิฬทั้งหมดก็หายวับไป

ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ ของมารสวรรค์หญิง

อย่างไรก็ตาม ในบางตำแหน่งของสนามรบ กลับบังเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้น

ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนจู่ๆ ก็ร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น

ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม แต่บนใบหน้าของเขากลับปรากฏถึงรอยยิ้มที่ดูคลุมเครือผุดขึ้นมา

ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนทิ้งอาวุธในมือ และคุกเข่าลงร่ำร้องกับพื้น

ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนจู่ๆ ก็วาดอาวุธกลับหลัง โจมตีพวกเดียวกันที่อยู่ข้างกายตนเอง

ทุกประเภทของความผิดปกติ และวิปลาส ปรากฏขึ้นในแต่ละตำแหน่งของสนามรบ

ภายในค่ายสัตว์ประหลาดผี

ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงจุดนี้ ที่กู่ฉิงซานทำก็มีแค่เพียงถือดาบพิภพ นิ่งงันเป็นไม้ตายซากอยู่ในจุดเดิม

สายลมกระหน่ำซัด ทัณฑ์สายลมได้มาถึงแล้ว

เดิมที นี่คือทัณฑ์สวรรค์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกฝนมานานปี จนกระทั่งได้พบเผชิญกับภูตผีและปีศาจเป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม เวลานี้กู่ฉิงซานกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน เพราะรอบตัวเขา ไม่มีแม้กระทั่งเห็นผีสักตัวกล้าเข้ามาก่อกวน

ปีศาจและภูตผีทั้งหมดที่เกิดออกมาจากทัณฑ์สายลม บัดนี้ต่างพุ่งทะยานเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือดในตำแหน่งของผู้เข้าสู่วิถีมาร

กู่ฉิงซานยกดาบพิภพขึ้น วางมันลง ยกดาบพิภพขึ้นอีกที และวางมันลงอีกรอบ

“อืม…น่าเบื่อจริงๆ เลย กลับกลายเป็นว่าความรู้สึกในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์มันเป็นแบบนี้นี่เอง”

กู่ฉิงซานพึมพำเบาๆ

เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และพบว่าผู้เข้าสู่วิถีมารตลอดทุกทิศทางต่างกำลังตกตายขณะต่อสู้อย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าในช่วงเวลาพิเศษนี้ เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารจะไม่สามารถใช้ระบบของราชามารได้ก็ตามที แต่ต้องไม่ลืมนะว่าจำนวนของพวกเขาน่ะมีมากกว่าสองร้อยล้านคน! มันมากพอที่จะล้างบางโลกทั้งใบได้เลย!

อย่างไรก็ตาม ศัตรูของพวกเขา แท้จริงแล้วมาจากสี่โลกปีศาจ และสามโลกราชาภูต และยังมาเป็นกองทัพ!

ช่างน่าละอายจริงๆ ภูตผีปีศาจเหล่านี้ไม่เพียงทรงอำนาจ แต่พวกมันยังเป็นฝ่ายลอบเปิดการโจมตีก่อนอีกด้วย!

เจ็ดกองทัพภูตผีปีศาจ ได้ทำการแบ่งปันสองร้อยผู้เข้าสู่วิถีมารกัน และก็มีบางครั้งที่ฉกชิงกันเอง

กู่ฉิงซานส่ายหัว และเรียกคืนจิตสัมผัสเทวะของเขากลับมา

เขายกไม้เท้าแห่งการจองจำขึ้น และแตะมันลงบนดาบพิภพเบาๆ

เคร้ง!

บังเกิดเสียงอันคมชัดขึ้น

ในฐานะราชาภูตผีปรภพ กู่ฉิงซานจำเป็นที่จะต้องโจมตีตัวเองหนึ่งครั้ง

“โอเค แค่นี้ภารกิจของฉันก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

เขาวางไม้เท้าแห่งการจองจำลง

และหลังจากที่เฝ้าดูสงครามในครั้งนี้อย่างเงียบๆ อีกสักพัก กู่ฉิงซานก็เก็บดาบพิภพกลับคืนสู่ความว่างเปล่า

…………………………………………………..

ณ ภายในโลกที่อุดมไปด้วยภูเขาไฟและลาวาเหลว

ปีศาจที่ทั้งเนื้อตัวของมันไหม้เกรียม ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง กำลังยืนอยู่บนยอดภูเขาไฟ ปากเอ่ยพึมพำเบาๆ “มาแล้ว ในที่สุดมันก็เรียกหาข้า”

ว่าจบ มันก็ดึงกระบี่หนักที่กำลังลุกไหม้ขึ้นมาจากปากปล่องภูเขาไฟ แล้วก้มมองลงไปยังธารลาวาเบื้องล่าง

ที่นั่น อุดมไปด้วยทะเลลาวาอันไร้ที่สิ้นสุด

กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบควงกระบี่เพลิง ปากอ้าตะโกนลั่นลงไปยังธารลาวา “จงมากับข้า! สองร้อยล้านจิตวิญญาณกำลังรอให้พวกเราไปเก็บเกี่ยวอยู่!”

สิ้นเสียงตะโกน กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบก็สับกระบี่เพลิงไปในอากาศที่ว่างเปล่า เปิดรอยแยกมิติออก แล้วผลุบหายเข้าไป

ขณะเดียวกัน ภายในธารลาวา กลุ่มก้อนเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนก็เริ่มทะยานตัวขึ้นสู่ฟากฟ้า และไล่ติดตามกษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบ บุกเข้าไปในรอยแยกมิติอย่างใกล้ชิด

อีกด้านหนึ่ง ภายในโลกที่อุดมไปด้วยหมอกสีเทาและขาว

กษัตริย์อสูรเงารับรู้ได้ถึงการเรียกขานของทัณฑ์สวรรค์

มันก้มลงมองจอกศักดิ์สิทธิ์ในมือ เพ่งสำรวจด้วยความรักใคร่ ก่อนจะนำจอกไปเก็บอย่างระมัดระวัง

“ข้าชักจะขี้เกียจไปเสียแล้วสิ สำหรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?” มันเอ่ยถาม

อสูรเงาตนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาหันไปมองหน้ากัน และเอ่ยปากตอบออกมา “ฝ่าบาท แม้ว่าสำหรับพวกเราแล้วจิตวิญญาณจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายนัก แต่มันก็ยังนับว่าเป็นทรัพย์สินที่มีค่า เพราะมันสามารถใช้เป็นสกุลเงินสากลในโลกปีศาจร้ายที่มีอยู่มากมายได้”

กษัตริย์อสูรเงานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “เอาเถิด ไปก็ไป เพราะอย่างไรเสียตัวข้าเองก็ได้ลงนามสัญญาเอาไว้แล้ว และดูเหมือนว่าอำนาจของสัญญานั่นจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยด้วย”

กลุ่มอสูรเงาพอได้ฟัง ตนแล้วตนเล่าก็เริ่มพากันพยักหน้าและคิดในใจ ‘นี่สิ คือสิ่งที่ควรจะเป็น’

กษัตริย์อสูรเงาผุดลุกขึ้น ปากเอ่ยบัญชา “ไปบอกกองทัพเตรียมการให้พร้อม และประกาศออกไปด้วยว่าตัวข้า…กษัตริย์ปีศาจจะนำพาเจ้าไปพบเผชิญกับโชคลาภครั้งใหญ่!”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”

อีกโลกหนึ่ง

กษัตริย์อาชูร่านั่งอยู่บนหลังช้างเผือก

เขากำลังเอนกายพิงชูร่าหญิง และดื่มไวน์ชั้นดีที่อีกฝ่ายกำลังป้อนให้

ระหว่างนั้นเอง กษัตริย์อาชูร่าก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง

หลังจากจิบไวน์ไปอึกหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้น ยืนหยัดอยู่บนหลังช้างเผือกและตะโกนลั่น

“ยามนี้ทัณฑ์สายลมได้เรียกขานแล้ว เรากษัตริย์อนุญาตให้พวกเจ้าสามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่โดยไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ แต่ขณะเดียวกันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสงครามที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเป็นตัวช่วยชั้นดีที่จะปรับปรุงและพัฒนาทักษะของพวกเจ้า จงเรียนรู้จากมัน เพื่อที่ตนเองจะได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”

เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงที่เปล่งออกมา ราวกับกำลังจะนำพาฝูงชนไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง

ตรงกันข้ามกับช้างเผือก คือลานเบื้องล่างพระราชวัง

เป็นจัตุรัสสงครามแสนกว้างใหญ่

กองทัพอาชูร่า ที่ซึ่งได้เตรียมพร้อมอยู่นานแล้วได้มารวมตัวกันที่จัตุรัสแห่งนี้ ทั้งหมดส่งเสียงเฮสั่นสะเทือนแผ่นดิน

“เฮ! สงคราม! สงคราม!”

“สงคราม! การต่อสู้! สงคราม!”

กษัตริย์อาชูร่าพอสัมผัสได้ถึงขวัญกำลังใจของทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

เขาคว้ากุมหอกไว้ในมือ ชูมันขึ้นเหนือท้องฟ้า และก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่าทันที

ณ ภายในโลกผีโหย ราชาภูตผีโหยได้ทำการระดมกองทัพของตนเองเรียบร้อยแล้ว

ณ ภายในโลกผีกระหายเลือด ราชาภูตผีกระหายเลือดได้สวมใส่เกราะรบราชาภูต ตะโกนบัญชากองทัพเสียงดังลั่น

ณ ภายในโลกผีศพ ราชาภูตผีศพกับเผ่าพันธุ์ผีของมัน ทั้งหมดเริ่มก้าวเข้าไปในช่องว่างมิติที่ถูกเปิดออก

ณ โลกที่ถูกเหลือทิ้งไว้โดยทวยเทพ

แม่มารดึกดำบรรพ์ก็ตระหนักได้ถึงการเรียกขานของทัณฑ์สวรรค์แล้วเช่นกัน

“ได้เวลาแล้ว พวกเจ้ารออยู่นี่นะ ข้าจะนำพาอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาไปเดินเล่นเสียหน่อย” เธอบอกลูกๆ

แต่ขณะที่แม่มารกำลังจะออกไปนั้นเอง จักรพรรดินีหลี่อันก็ก้าวเข้ามา และโน้มกายคารวะลง

“มีเรื่องอะไรเช่นนั้นหรือ?” แม่มารถาม

“ท่านแม่ เดิมทีแล้วท่านเรียกพวกเรามาที่นี่เพราะต้องการแสดงวิสัยทัศน์ให้พวกเราเติบโตขึ้นมิใช่หรือ และในครั้งนี้ ทัณฑ์สวรรค์ที่ปรากฏขึ้น เป็นสิ่งที่ลูกมิเคยได้พบเห็นมาก่อนเลยในชีวิตที่ผ่านมา ดังนั้น ลูกจึงอยากจะขออนุญาตท่านแม่ให้ลูกและกำลังพลของลูกติดตามไปด้วยเช่นกัน” หลี่อันกล่าว

แม่มารคิดสักพัก ก็หัวเราะออกมา “เข้าใจแล้ว เจ้าจะไปด้วยก็ได้ และสามารถนำกำลังพลของเจ้าเข้าร่วมได้ด้วยเช่นกัน”

“ขอบพระคุณท่านแม่!” หลี่อันดีใจเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่มารสวรรค์หญิงตนอื่นๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น ตนแล้ว ตนเล่าก็เร่งไปร้องอ้อนวอนแม่มารบ้าง

แม่มารโบกมือและกล่าว “อยากจะมากันก็มา ทุกคนนั่นแหละ การที่ได้พบเจอกับฉากอันยิ่งใหญ่ด้วยตาของตัวเอง มันก็เป็นเรื่องราวที่ดีสำหรับพวกเจ้าเช่นกัน”

ขณะกล่าว ร่างของเธอก็ค่อยๆหายเข้าไปในความว่างเปล่า

มารสวรรค์หญิงตนอื่นๆ เริ่มทำการเรียกขานกำลังพลของพวกเธอ และเตรียมพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบตลอดเวลา

ณ จุดนี้ ตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ทั้งแปดได้เตรียมพร้อมประจัญบานแล้ว!

ณ บนโลกชั้นเปลือกน้ำแข็ง

สายลมเริ่มกระโชกแรง

โดยมีกู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ใจกลางของพายุสายลม

ผู้เข้าสู่วิถีมารเริ่มตระหนักถึงบางสิ่งที่ไม่เหมาะสม

“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมารเอ่ยถาม

ข้างกายเขา ผู้ฝึกยุทธ์ได้อธิบายออกมา “นี่คือทัณฑ์สายลม”

“ทัณฑ์สายลมงั้นหรือ?”

“ใช่ เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตประทับเทพทำการตัดผ่าน เตรียมจะยกระดับขึ้นสู่ร่างเทวะ สายฟ้าสวรรค์จะฟาดผ่าลงใส่เขา และเมื่อพวกมันหมดลง ปีศาจนับพันหมื่นก็จักปรากฏตัวขึ้น และในตอนนี้ ทัณฑ์สายลมก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกผีและปีศาจกำลังจะมาสังหารเขา”

“แล้วมันจะส่งผลกระทบใดต่อพวกเราหรือไม่?”

“ตราบใดที่พวกเราไม่ก้าวล้ำเส้นเข้าไปในอาณาเขตของทัณฑ์สายลมก็ไม่เป็นไร”

“เพราะเหตุใดพวกเราถึงเข้าไปไม่ได้?”

“เพราะทันทีที่พวกเราเข้าสู่อาณาเขตของทัณฑ์สายลม ทัณฑ์สวรรค์ก็จะรับรู้ไปโดยปริยายว่ามีคนที่คิดจะข้ามผ่านโทษทัณฑ์เพิ่มขึ้น มันจะตอบสนองทันที และทำการเรียกผีปีศาจให้ออกมามากยิ่งมากกว่าเดิม และพวกมันก็จะมองเราเป็นเป้าโจมตีด้วยเช่นกัน”

ผู้นำเผยสีหน้าผ่อนคลายลง และกล่าว “สรุปง่ายๆ ว่าต่อให้พวกเราไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง เขาก็ยังจะต้องตายอยู่ดีใช่หรือไม่?”

“ใช่ ต่อให้เขาโชคดีสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์มาได้ แต่พละกำลังย่อมต้องสูญเสียไปจนสิ้นอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น แค่ส่งคนของพวกเราไม่กี่คนออกไปจัดการ ก็สามารถคร่าชีวิตเขาได้แล้ว”

ผู้นำหัวเราะ “ดี! ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องสวดอธิษฐานอ้อนวอนไม่ให้เขารีบตายลงในทัณฑ์สายลมเสียแล้วสิ เพราะอย่างไรเสีย ชีวิตของเขาก็สามารถนำไปแลกกับรางวัลมหาศาลได้”

พอได้ยินแบบนั้น เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่อยู่ข้างกายผู้นำก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“ส่งคำสั่งของข้าออกไป ให้ทุกคนคอยเฝ้าดูการละเล่นตรงหน้าให้ดี แต่อย่าคิดก้าวเข้าไป มิฉะนั้นจะต้องตาย”

“หลังจากที่ทัณฑ์สายลมจบลง ถ้าหากเจ้าหมอนั่นยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะเป็นคนไปรับรางวัลด้วยตนเอง” ผู้นำกล่าว

“รับทราบ!” ทุกคนตอบรับคำสั่ง

และคำสั่งที่ว่าก็ได้ถูกส่งต่อๆ กันออกไปอย่างรวดเร็ว

ทุกคนได้รับทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทัณฑ์สายลม

ซึ่งพอได้ฟัง เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารก็คลายใจลงเล็กน้อย เพราะคำสั่งก็คือ

ปล่อยให้เจ้ามนุษย์ที่น่าหวาดกลัวผู้นี้ทำการข้ามผ่านทัณฑ์สายลมไป ไม่ต้องเข้าไปยุ่มย่ามกับมัน

สำหรับปรากฏการณ์ของผู้ฝึกยุทธ์ที่คิดข้ามผ่านโทษทัณฑ์ มันเป็นอะไรที่แปลกประหลาดยิ่ง

เพราะท้ายที่สุดนี้ สำหรับเส้นทางในการยกระดับของหลากหลายอาชีพอื่นๆ แล้ว ทั้งหมดล้วนสามารถผ่านมันไปได้โดยราบรื่น

อย่างไรก็ตาม อาชีพผู้ฝึกยุทธ์ช่างโชคร้ายนัก เพราะในทุกๆ ขอบเขตใหม่ พวกเขาจะต้องต่อสู้กับฟ้าดินอยู่เสมอ และจะต้องรอดชีวิตออกไปให้ได้ จึงจะสามารถยกระดับขึ้น

ทัณฑ์สายฟ้าคือภัยพิบัติอันแสนน่าหวาดกลัว

ขณะที่ท่ามกลางทัณฑ์สายลม ผีปีศาจนับพันหมื่นจะปรากฏกายขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจะต้องรับมือกับศัตรูนับหมื่น และรอดชีวิตต่อไปให้ได้ในท้ายที่สุด

เพียงแค่ได้ลองคิดเกี่ยวกับมัน ก็สามารถรับรู้ได้ทันทีเลยว่านี่เป็นสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง

และไม่มีใครยินดีที่จะลองดี รับประสบการณ์ตรงๆ กับมัน

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารคนแล้วคนเล่าก็เริ่มเขยิบถอยห่างออกมา เพราะเกรงว่าตนจะเข้าไปพัวพัน หยั่งเท้าอยู่ในอาณาเขตของทัณฑ์สายลม

เวลานี้ ทำได้เพียงแค่รอคอยเท่านั้น

รอคอยให้เจ้าหมอนั่นตาย หรือไม่ก็เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า

กู่ฉิงซานยืนอยู่ใจกลางค่ายสัตว์ประหลาดผี และสังเกตเห็นถึงการเคลื่อนไหวของผู้เข้าสู่วิถีมารได้อย่างรวดเร็ว

“…ให้ความร่วมมือกันดีจริงๆ”

ปากเอ่ยเสียงกระซิบ

ชั่วเวลานั้นเอง ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง กู่ฉิงซานหยิบไม้เท้าแห่งการจองจำออกมา และวางปักมันลงบนพื้นน้ำแข็ง

บนหัวไม้เท้ากำลังสาดแสงสีแดงออกมา

นี่คือการเรียกขานของทัณฑ์สวรรค์

มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

กู่ฉิงซานแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

เบื้องบนเขา

สายลมกระหน่ำซัดอย่างไม่รู้จบ

พร้อมกับค่อยๆ ปรากฏถึงสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ก้มหน้ามองลงไปยังโลกเบื้องล่าง

ใบหน้าของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟโดยสมบูรณ์ เห็นแค่เพียงในอากาศที่ว่างเปล่าภายใต้เปลวไฟ ใบหน้าที่ไหม้เกรียมแลดูดุร้ายกำลังแสยะยิ้มออกมา

พร้อมด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นดังก้องขึ้น

“โอ้ เป็นสองร้อยล้านจิตวิญญาณจริงๆ นี่มันสถานการณ์ที่ชีวิตนี้พวกเราคงมิอาจพบเจอได้อีกแล้ว พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม!”

ปีศาจไหม้เกรียมร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า ร่อนลงมาข้างกายกู่ฉิงซาน

กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบ…ประจำตำแหน่งแล้ว!

หลังจากนั้น แทบจะในทันที พื้นน้ำแข็งก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด คล้ายกับว่ามีเงานับไม่ถ้วนอยู่บนพื้นน้ำแข็ง และในอากาศเบื้องล่าง

ตามด้วยเสียงที่เย็นชาดังขึ้น

“โอ้…จิตวิญญาณกว่าสองร้อยล้านคนมารอคอยต้อนรับตัวเรากษัตริย์ถึงที่นี่เลยหรือ? เจ้าหนู ในเมื่อเจ้าเตรียมพวกมันมาพร้อมให้ข้าถึงที่นี่ เรื่องที่เจ้าสังหารร่างเงาของข้าไป ข้าจะไม่เก็บมาใส่ใจก็แล้วกัน”

เงาใหญ่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน มันสูงกว่าแปดเมตร ยามที่ได้จ้องมองไปบนร่างของมันจะให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังจ้องมองหุบเหวอันมืดมิดที่ไม่รู้จัก

กษัตริย์อสูรเงา…ประจำตำแหน่งแล้ว!

ทันใดนั้นเองท้องฟ้าสีเทาก็พลันสว่างวาบขึ้นทันใด แสงอาทิตย์อันงดงามเฉิดฉายลงมาจนทุกคนอดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามอง

ท่ามกลางแสงของดวงอาทิตย์ สะท้อนถึงเสียงอันไพเราะของผู้หญิงนับไม่ถ้วนที่กังวานขึ้น

พวกเธอขับขานท่วงทำนองอย่างพร้อมเพรียง “โอ บทกวีแห่งรั่วหมิง แอปเปิลในป่าใหญ่ แขกเหรื่อรื่นเริง ท่วงทำนองขลุ่ยเวียนวน ยิ่งฟังยิ่งกระจ่างชัดกว่าจันทรา ยามใดหนอจักลืมเลือน ความปวดร้าวอันมิอาจตัดให้ขาดนี้ลงได้”

ในท่วงทำนอง บุปผานับไม่ถ้วนเริ่มผุดออกมาจากในความว่างเปล่า

ปรากฏให้เห็นถึงหญิงงามในวัยผู้ใหญ่เหยียบย่ำลงบนหมู่มวลบุปผา และค่อยๆ ร่อนลงมาจากฟากฟ้า

เธอร่อนลงอย่างนุ่มนวล ถัดจากกู่ฉิงซาน

“แล้วพวกสัตว์ประหลาดผีเล่า?” เธอถามกู่ฉิงซาน

“ฆ่าไปหมดแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับไปอย่างเฉยเมย

“เจ้านี่มันไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”

ระหว่างกล่าว แม่มารก็กวาดสายตามองไปยังเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายที่รายล้อมอยู่โดยรอบ

“…ทั้งหมดคือรุ่นเยาว์ที่มีอายุวิญญาณต่ำกว่าสามสิบปีทั้งนั้นเลย แถมบังเอิญว่าข้ามีรสนิยมชมชอบในการกินเด็กเสียด้วยสิ…”

แม่มารสวรรค์ ประจำตำแหน่งแล้ว!

วินาทีต่อมา ชายชาตรีที่ช่วงบนเปลือยเปล่า เปิดเผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้อก็ทิ้งตัวลงมาจากฟากฟ้า

ปัง!

สองเท้าของเข้าย่ำลงกับพื้น ในมือวางพาดหอกไว้บนไหล่ กวาดสายตามองไปยังฝ่ายตรงข้าม

“คนของข้าพร้อมแล้ว สามารถบุกทะลวงทั้งสี่ทิศได้ตลอดเวลา” เขาเอ่ยอย่างเป็นกันเอง

กษัตริย์อาชูร่า…ประจำตำแหน่ง!

เห็นแค่เพียงสามภูตผีที่รอบกายมันฟุ้งไปด้วยปราณสีดำผุดขึ้นมาจากพื้นดิน

ราชาภูตทั้งสามปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน

“สองร้อยล้าน…ก็รู้นะว่าเยอะ แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วมัน…” ราชาภูตผีโหยอุทานด้วยความตื่นเต้น

“ช่างเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมเสียจริงๆ เลยนะ ราชาภูตผีประภพ” ราชาภูตผีกระหายเลือดชื่นชม

“สิ่งมีชีวิตสดใหม่มากมายขนาดนี้ ข้าแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว พวกเราจะเริ่มกันได้หรือยัง?” ราชาภูตผีศพถามด้วยความตื่นเต้น

ขณะกล่าว ทั้งหมดก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน

ณ เวลานี้ สี่กษัตริย์ และสี่ราชาภูตได้ประจำตำแหน่งตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

กู่ฉิงซานวางมือตนลงบนไม้เท้าแห่งการจองจำ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “งั้นก็มาเริ่มกันได้เลย!”

……………………………………………..

กู่ฉิงซานทุ่มเต็มกำลังก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์

โดยที่ในเวลานี้ เขามิได้คิดหนี หรือหลบเลี่ยงมันอีกต่อไป

ไม่ว่าจะเป็นในอากาศ หรือในน้ำ จะหน้าหรือหลัง ก็รายล้อมไปด้วยทัณฑ์สายฟ้าเหลืออนันต์จากทุกทิศทาง

สัตว์ประหลาดผีไม่มีเวลามากพอที่จะหลบเลี่ยง พวกมันถูกสายฟ้าระเบิดเข้าใส่โดยตรง กลายสภาพเป็นขี้เถ้าลอยฟุ้งทันที

สัตว์ประหลาดผีบางตนที่พอจะแข็งแกร่งอยู่บ้าง พยายามที่จะต่อกรกับสายฟ้าสวรรค์

อย่างไรก็ตาม นี่คือสายฟ้าที่ได้รับพรแห่งการลงทัณฑ์จากทวยเทพ! เมื่อสัตว์ประหลาดผีสัมผัสต้องกับทัณฑ์สายฟ้า ตัวมันก็ถูกลบออกไป เหลืองเพียงเศษทรายขาวๆ ลอยฟุ้งทันที

ตลอดทั้งค่ายกองทัพสัตว์ประหลาดผีถูกพัดขึ้นสู่ท้องฟ้า

กู่ฉิงซานยืนอยู่ใจกลางค่าย พร้อมกับสามดาบบินที่ว่ายวนรอบตัวเขา คอยสับสะบั้นสายฟ้าที่โถมเข้าใส่อย่างไม่หยุดยั้ง

ขณะที่ตัวเขามิได้เคลื่อนกายหลีกหนีไปไหน

นั่นเพราะทันทีที่เขาออกจากค่ายกองทัพ ทัณฑ์สายฟ้าทั้งหมดก็จะจากไปด้วยเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงงัดสกิลทั้งหมดที่มีออกมา ทุ่มเต็มกำลังทานรับทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังโถมเข้าใส่นี้

บอลสายฟ้าสีน้ำเงินขาว โถมลงมาราวกับพายุกระหน่ำซัด

แต่กู่ฉิงซานก็ยังยืนนิ่งงันอยู่ในจุดเดิม มิคิดถอยหนี

ในเวลานั้นเอง สามดาบก็ใช้ออกด้วยสกิลในเวลาเดียวกัน

ร่างเงาดาบสีดำนับไม่ถ้วนผลิบานในอากาศที่ว่างเปล่ารอบตัวเขา ทั้งสับทั้งหั่นบอลสายฟ้าที่กรูกันเข้ามาจากทุกทิศทาง

ทันทีที่บอลสายฟ้าสีน้ำเงินขาวแตกพ่ายไป  สายฟ้าดับจิตเทวะสีแดงเข้มก็ไล่ติดตามมาถึงค่ายกองทัพสัตว์ประหลาดผีได้ในที่สุด

กู่ฉิงซานยังมิคิดหลบซ่อน เขาควงสามดาบ เสยเข้าปะทะกับมันโดยตรง

เทคนิคลับแห่งดาบ สามผสานตัดจันทรา!

สายฟ้าสีแดงถูกกระแทกเข้าใส่โดยรังสีดาบเสี้ยวจันทร์ขนาดยักษ์ มันถูกสับจนแตกตัวออกคล้ายเลือดที่สาดกระเซ็น กระจายไปทุกทิศทางก่อนจะสลายไป

ทว่าสายฟ้าดับจิตเทวะเส้นนี้เป็นเพียงแค่ตัวกำหนดเส้นทางเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วในสายตาของเขาบัดนี้ปรากฏให้เห็นถึงสิบสองแขนสีแดงเข้มที่กำลังถือแส้สายฟ้าที่แดงเข้มไม่ต่างกัน ทะยานไล่ประชิดเข้ามา

นี่คือทัณฑ์สายฟ้าเกิดการแปรสภาพ เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นมากที่สุด!

และคราวนี้กู่ฉิงซาน…

ก็หันหลังกลับ แล้ววิ่งหนีทันที!

ให้ปู่เจ้ารอเถอะ! นั่นมันหายนะชัดๆ! สายฟ้าดับจิตเทวะที่แปรเปลี่ยนเป็นแส้น่ะ พลังอำนาจของมันจะเพิ่มพูนขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก

แม้ว่าจะยังมีเกราะเทพคอยคุ้มกัน แต่หากถูกฟาดตบด้วยเจ้าสิ่งนั้น กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังไม่กล้าการันตีว่าตัวเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ

สิบสองแขนสายฟ้าไล่ตามติดเขามาจากเบื้องหลัง มันเหวี่ยงแส้ตรงเข้าใส่เขาอย่างไร้ความปรานี

กู่ฉิงซานยิ่งเห็น สองเท้าที่สับหนีกับพื้นก็ยิ่งเร่งความเร็วมากขึ้น!

พริบตานั้นเอง สองหูของเขาก็ได้ยินถึงเสียงคร่ำครวญนับไม่ถ้วนแว่วเข้ามา

นั่นคือเสียงร้องน่าสมเพชครั้งสุดท้ายของสัตว์ประหลาดผีที่ถูกฟาดใส่โดยแส้สายฟ้า ก่อนที่พวกมันจะตายลง

สามดาบบินลอยตามติดกู่ฉิงซานมาอย่างใกล้ชิด

“นายน้อย เวลานี้ยังเหลือสัตว์ประหลาดผีอีกประมาณสามในสิบส่วนที่ยังไม่ตาย และพวกมันกำลังจะหนีไป!” ฉานนู่กล่าวอย่างเร่งร้อน

“อย่างงั้นหรือ?”

กู่ฉิงซานที่กำลังวิ่งวนรอบค่ายกองทัพ เบนความสนใจไปยังสถานการณ์ของสัตว์ประหลาดผี

ในตอนแรก ทัณฑ์สวรรค์ที่จู่ๆ ก็ผุดออกมาจากทะเล ได้ผ่าเข้าใส่สัตว์ประหลาดผีอย่างไม่ทันตั้งตัว ดับชีวิตพวกมันไปกว่าหนึ่งหมื่นตนในพริบตา

และหลังจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ ทัณฑ์สายฟ้านับไม่ถ้วนก็ได้ดับชีวิตพวกมันลงเพิ่มไปอีกกว่าห้าหมื่นตนแล้ว

อย่างไรก็ตาม สัตว์ประหลาดผีที่ยังเหลือรอดในปัจจุบัน บัดนี้เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกมันเริ่มที่จะพากันหลบหนีออกจากค่ายกองทัพแล้ว

นั่นเพราะทัณฑ์สายฟ้าน่ะ จะฟาดผ่าลงแค่เฉพาะในบริเวณค่ายกองทัพ

ดังนั้น จึงเหลือเพียงหนทางเดียวที่จะรอดชีวิตไปได้ นั่นก็คือหลบหนีออกจากค่ายกองทัพสัตว์ประหลาดผี!

สัตว์ประหลาดผีที่เหลือรอด แน่นอนว่าย่อมมิใช่พวกลูกสมุนธรรมดาๆ ความว่องไวของมันจึงย่อมรวดเร็วยิ่งกว่า หากเทียบกับกู่ฉิงซาน

เห็นแค่เพียงสัตว์ประหลาดผีที่วิ่งหนีอย่างเต็มกำลัง

ในชั่วเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ พวกมันก็สามารถมาถึงขอบของค่ายกองทัพได้ในที่สุด และตราบใดที่ให้เวลาพวกมันอีกแค่ลมหายใจเดียว เหล่าสัตว์ประหลาดผีก็จะสามารถหนีรอดออกไปได้ทันที

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และกล่าวกับฉานนู่ “วางใจเถอะ พวกมันหนีไม่พ้นหรอก”

เขาวิ่งกลับมายังใจกลางค่าย และทำการล็อกสมญาเทพสงครามเป็น ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’

วินาทีต่อมา เขาก็เปิดใช้งานสกิล ‘พิชิต!’

ฝูงสัตว์ประหลาดผีชะงักงันพร้อมๆ กัน

ผู้บัญชาการสัตว์ประหลาดผีก้าวออกมา และประกาศสั่งดังลั่น “จงไปเสีย! ไปสังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์เสีย ตราบใดที่เขาตาย ทัณฑ์สวรรค์ก็จะหยุดลงทันที!”

“เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ทุกคนจงสังหารเขาเสีย!”

โฮก!

สัตว์ประหลาดผีเหลียวหลังกลับ ทั้งหมดคว้ากุมอาวุธและพุ่งเข้าหากู่ฉิงซาน!

อีกด้านหนึ่ง

ณ ค่ายของผู้เข้าสู่วิถีมาร

“นั่นมันสายฟ้าใช่รึเปล่านะ? ไม่สิ หากเทียบกับสายฟ้าธรรมดาๆ แล้ว มันดูเหมือนกับว่าจะเป็นทัณฑ์สวรรค์ของผู้ฝึกยุทธ์เสียมากกว่า”

ผู้เข้าสู่วิถีมารสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายธาตุจากในสถานที่ห่างไกล

“นี่มันไม่ถูกต้อง…พวกสัตว์ประหลาดผีมันมีอัตลักษณ์ที่หวาดกลัวในสายฟ้าแต่โดยกำเนิดนี่นา ฉะนั้นนี่ไม่น่าจะใช่ฝีมือของพวกมัน…”

เขาพึมพำด้วยความสงสัย

แต่อีกผู้เข้าสู่วิถีมารกลับแสยะยิ้ม และเอ่ยหยันออกมา “ช่างหัวพวกมันสิ กล้ามาด่าพวกเราว่าทาส ถ้าพวกมันจะตายก็สมควรแล้ว”

ผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าสู่วิถีมารยืนขึ้น และกล่าวออกมา “ข้าทราบว่านี่คือสิ่งใด มันคือทัณฑ์สวรรค์ของผู้ฝึกยุทธ์ นั่นหมายความว่ากำลังมีใครบางคนกำลังใช้อำนาจของโทษทัณฑ์สังหารพวกสัตว์ประหลาดผีอยู่”

ผู้ฝึกยุทธ์เอ่ยต่อเนื่อง “ข้าว่าพวกเราควรจะไปช่วยพวกสัตว์ประหลาดผี และดูว่าเป็นใครกันที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์ -เพราะอ้างอิงจากแรงกดดันของทัณฑ์สายฟ้านี้ หากเขาสามารถผ่านมันไปได้ ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจักต้องพุ่งทะยานสูงขึ้น จนบางทีพวกเราอาจจะรับมือกับเขาไม่ไหวก็ได้”

“ไม่สามารถรับมือกับเขาได้? ทั้งที่พวกเรามีกันกว่าสองร้อยล้านคนเนี่ยนะ?” ผู้เข้าสู่วิถีมารคนอื่นๆ พากันหัวเราะออกมา

ผู้ฝึกยุทธ์ที่เสนอหน้าพูดสูญสิ้นคำโต้เถียง เงียบไปพักหนึ่ง

สักพัก อีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “ถ้าต้นกำเนิดมอบภารกิจช่วยชีวิตพวกมัน ฉันก็จะไป เพื่อรับรางวัลภารกิจ แต่ตอนนี้ ในเมื่อไม่มีรางวัล ถ้าอย่างนั้นใครมันจะเต็มใจที่จะไป?”

เขากล่าวประโยคแทนความในใจของเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารส่วนใหญ่ออกมา

นั่นสิ ถ้าไม่มีรางวัลจากภารกิจ ก็เท่ากับว่าพวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ แล้วทำไมพวกเขาถึงจะต้องไปช่วยเหลือคนที่เรียกตัวเองว่าทาสด้วย?

แต่ในตอนนั้นเอง ผู้นำของผู้เข้าสู่วิถีมารก็ผุดลุกขึ้น

“อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ข้าได้ส่งคนไปดูลาดเลาแล้ว ตอนนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของต้นกำเนิด ดังนั้นที่เจ้าผู้ฝึกยุทธ์พูดน่ะถูกต้องแล้ว ทุกคนจะต้องตื่นตัวกันเข้าไว้ อย่าคิดประมาทใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น” เขากล่าว

เมื่อได้ยินว่าผู้นำกล่าวเช่นนั้น เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารต่างก็พยักหน้าตอบรับ

“รายงาน”

ผู้เข้าสู่วิถีมารวิ่งหอบกลับมายังค่ายใหญ่ และคุกเข่าลงเบื้องหน้าผู้นำ

“ว่ามา มันเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นกันแน่?” ผู้นำถาม

“ไม่ ไม่รู้ พวกเราเองก็ไม่สามารถมองเห็นถึงสถานการณ์ได้ชัดเจนนัก” คนรายงานที่หอบหายใจกล่าว

“ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนงั้นหรือ?” ผู้นำทวนซ้ำด้วยความสับสน

“ใช่ เพราะค่ายสัตว์ประหลาดผีทั้งค่ายมันได้ถูกพัดพาไปโดยคลื่นจากทะเล ลอยออกไปยังจุดที่ห่างไกลอย่างรวดเร็ว แถมยังเกิดสายฟ้าผ่านับไม่ถ้วนสาดแสง และระเบิดเข้าใส่ไม่หยุดอีก พวกเราเลยไม่สามารถตรวจสอบสถานการณ์อย่างชัดเจนได้” ผู้เข้าสู่วิถีมารที่เพิ่งกลับมากล่าว

ผู้นำไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วทัณฑ์สายฟ้าล่ะ? สุดท้ายแล้วทัณฑ์สายฟ้าได้หายไปหรือไม่?”

ผู้เข้าสู่วิถีมารที่เพิ่งกลับมา “ไม่ ทัณฑ์สายฟ้าได้ไล่ติดตามค่ายสัตว์ประหลาดผีไป ฟาดผ่าลงมาไม่ขาดสายเลย บางทีกองทัพของพวกมันอาจจะเสียหายร้ายแรงแล้วก็ได้”

ผู้นำจมหายเข้าไปในห้วงความคิด

“ทัณฑ์สายฟ้างั้นหรือ…”

ทันใดนั้นเอง เขาก็พลันย้อนนึกไปถึงสัตว์ประหลาดผีตัวหนึ่งที่จู่ๆ ก็เข้ามาก่อกวน และก็ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างน่าสงสัย เอ่ยปากเป็นนัยๆ ว่าพวกตนจะเป็นฝ่ายออกไปเอง ไม่ต้องตามมา

สีหน้าของเขาคล้ายตระหนักรู้ถึงบางสิ่ง มันแปรเปลี่ยนกลับกลาย

“แบบนี้ไม่ดีแล้ว!”

“ส่งคำสั่งของข้าออกไป ให้ทุกคนเตรียมพร้อมออกเดินทางในทันที พวกเราจะไปช่วยสัตว์ประหลาดผี ใครขัดคำสั่งก็ฆ่ามันเสีย!”

“รับทราบ!”

ผู้เข้าสู่วิถีมารโดยรอบรับคำ และกระจายตัวกันออกไปอย่างรวดเร็ว

ไม่กี่สิบลมหายใจ สัมภาระทั้งหมดก็ถูกเก็บรวบรวมจนสิ้น กองทัพพร้อมเข้าสู่สภาวะต่อสู้

ทั้งหมดเร่งรีบไล่ตามกระแสสมุทรไป

หลังจากที่วิ่งด้วยแรงกายทั้งหมดที่มี ภายในระยะเวลาสั้นๆ ผู้เข้าสู่วิถีมารก็สามารถไล่ตามค่ายสัตว์ประหลาดผีจนทันได้ในที่สุด

เห็นแค่เพียงพื้นน้ำแข็งที่อยู่เบื้องล่างค่ายสัตว์ประหลาดผีกำลังลอยอยู่เหนือกระแสน้ำ

พร้อมกับแสงสายฟ้าสีน้ำเงินและแดง ผ่าลงตรงใจกลางค่าย

อย่างไรก็ตาม

ไม่มีสัตว์ประหลาดผีอีกต่อไปแล้ว

ตลอดทั้งค่ายสัตว์ประหลาดผี บัดนี้มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือดาบยาว หนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ และชายผู้นั้นก็กำลังใช้ดาบทานรับสายฟ้า

เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปแล้วก็ไม่นับว่ามีอันตรายร้ายแรงใดๆ

แสงสีขาวเปล่งประกายอยู่บนตัวเขา เวียนว่ายรอบทิศคอยปกป้องเขาจากตาข่ายทัณฑ์สายฟ้า

เมื่อเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารเข้ามาใกล้ค่าย ทัณฑ์สายฟ้าก็ค่อยๆ หยุดลง

ขณะที่กระแสน้ำไม่พัดพาค่ายอีกต่อไป

เวลาช่างประจวบเหมาะจริงๆ!

ผู้ฝึกยุทธ์ที่ยืนอยู่ใจกลางค่ายอ้าปากหอบหายใจ ทิ้งก้นลงนั่งกับพื้น

ชายคนนั้นหยิบเม็ดยาวิญญาณออกมา โยนเข้าปาก และเคี้ยวพลางกวาดสายตามองโดยรอบด้วยความสงสัย

บัดนี้รอบค่ายสัตว์ประหลาดผี ได้ถูกสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารปิดล้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นี่คือสถานการณ์ที่ต่อให้ติดปีก ก็ยังยากนักที่จะหลบหนี

แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้คิดลงมือทันที นั่นเพราะฝ่ายตรงข้ามน่ะมีแค่คนเดียว

และอีกอย่าง พวกเขารู้ดีว่าคนคนนั้นคือใคร!

คนผู้นี้ คือคนที่หลบหนีจากการไล่ล่าของต้นกำเนิดตรงยอดภูเขาน้ำแข็งของทวยเทพ

แต่ตอนนี้ เขากลับใช้ทัณฑ์สวรรค์ สังหารสัตว์ประหลาดผีจนหมดสิ้น!

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ความรู้สึกหนาวสั่นอย่างไม่อาจอธิบายได้ก็เสียดแทงเข้ามาตามร่างกายของผู้เข้าสู่วิถีมาร

ผู้นำของผู้เข้าสู่วิถีมารก้าวออกมา

“จริงๆ แล้วต้องขอชมว่ามันเป็นความสำเร็จที่งดงามจริงๆ เพียงหนึ่งคนแต่กลับสามารถล้างบางหนึ่งแสนสัตว์ประหลาดผีได้อย่างสิ้นเชิง” เขามองมายังกู่ฉิงซานพลางปรบมือ

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป เพราะฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันง่ายเลย ถ้าจะต้องทำแบบนี้อีกครั้งในอนาคต ฉันคงจะไม่รอดแน่ๆ” กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น

ขณะที่สามดาบยาวลอยอยู่ในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ

ผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมารมองไปยังสามดาบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความสนใจ “ถ้าจะต้องทำแบบนี้อีกครั้งในอนาคตอย่างงั้นหรือ? ตอนนี้ เจ้าไม่ได้ยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดของทวยเทพแล้วนะ ไหนลองบอกมาซิว่าเจ้าจะสามารถหนีรอดไปทำมันอีกครั้งในอนาคตได้อย่างไร?”

“หืม? แล้วทำไมต้องหนีด้วยล่ะ พวกแกจะฆ่าฉันเหรอ?” กู่ฉิงซานสวนกลับ

“แน่นอน เพราะต้นกำเนิดได้ตั้งค่าหัวเจ้าเอาไว้แล้ว แถมยังเป็นรางวัลที่เรียกได้ว่าเป็น ‘สมบัติมั่งคั่งอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน’ อีกด้วย” ผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมารกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“กู่ฉิงซาน ข้าทราบชื่อของเจ้าดี เจ้าเป็นศัตรูที่ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ข้าหวังว่าพวกเราจะไม่ต้องต่อสู้กัน จงยอมให้จับแต่โดยดีเถอะ”

“แล้วจากนั้นเล่า?”

“จากนั้นพวกเราจะช่วยกันตัดสินใจเองว่าใครจะเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นคนสังหารเจ้า”

“ช่างเป็นตัวเลือกที่น่าขยะแขยงเสียจริง ทำไมแกถึงคิดว่าฉันจะยอมแพ้ล่ะ?”

“ก็เพราะถ้ายอมแพ้ อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ต้องถูกทารุณทรมาน และยังสามารถรักษาสภาพศพไว้ในสภาพครบสามสิบสองได้…ในเรื่องนี้ข้าสามารถให้คำมั่นแก่เจ้าได้”

กู่ฉิงซานเผยถึงสีหน้าสงสัย ปากเอ่ยถามกลับไป “ดูเหมือนว่าแกจะมั่นใจมากเลยสินะ ว่าอย่างไรเสียฉันก็จะต้องเลือกยอมจำนน”

“แน่นอน ส่วนเหตุผลน่ะหรือ…”

ผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมารเอ่ยปากอย่างช้าๆ

เขาหันไปมองรอบๆ ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

กว่าสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร โอบล้อมอยู่ทั่วทุกสถานที่ ทุกหนแห่งที่พอจะสามารถยืนได้

โดยทั้งสองร้อยล้านคน อยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมที่จะสังหารคนเพียงคนเดียว

ผลลัพธ์มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว

กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง

“แสดงว่ามากันทั้งหมดเลยใช่ไหม งั้นก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องมัวไปวิ่งเก็บซากที่เหลือ…” เขาเอ่ยพึมพำเบาๆ

“หืม? นั่นเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?” ผู้นำย้อนถาม

แต่กู่ฉิงซานไม่ตอบ เขาเพียงยกมือขึ้นชี้เส้นผมบนหัวของตนที่กำลังปลิวไสว

ปรากฏถึงสายลมโชยขึ้นมาอย่างเงียบๆ ภายในค่ายกองทัพ

แต่สิ่งที่น่าฉงนก็คือ สายลมนี้มีได้ตกลงมาจากฟากฟ้า ตรงกันข้าม มันกลับพัดกระพือขึ้นมาจากพื้นดิน และกรรโชกชั้นอากาศโดยรอบอย่างรุนแรง

-ทัณฑ์สายลมได้มาถึงแล้ว!

ก่อนหน้านี้ในโลกเทวะ นางเซียนไปฮั่วได้ลงไปยังเจี้ยนไห่ เพื่อทำการตัดผ่านขอบเขตประทับเทพ ยกระดับขึ้นสู่ร่างเทวะ ภายใต้สถานการณ์วิกฤตยิ่ง

แต่ในท้ายที่สุด เธอก็สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนแรกในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถทะลวงผ่านสองโทษทัณฑ์ – ทัณฑ์สายฟ้าและทัณฑ์สายลมไปได้

และในวันนี้ กู่ฉิงซานก็กำลังจะทานรับทัณฑ์สายลมของเขา

แต่นี่มันแตกต่างไปจากในตอนของนางเซียนไป่ฮั่ว เพราะทัณฑ์สายลมของเขาในครานี้ มันได้ถูกจัดเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

เพื่อที่จะล้างบางสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร

เขาได้ทำการติดสินบนกษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผู้ครอบครองตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ในทัณฑ์สวรรค์ของตนเอง

ในเวลานี้ สายลมเริ่มจะปลิวไสวแล้ว

และนั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่ากองทัพปีศาจและภูตกำลังจะกรีธาทัพเข้ามายังโลกใบนี้!

………………………………………….

ในโลกสมบัติของทริสเต้

ชั้นเปลือกน้ำแข็ง

ภายในค่ายของสัตว์ประหลาดผีช่างแสนสงบ

พวกมันกำลังพักผ่อนกันอย่างเงียบๆ

เนื่องจากพวกมันเป็นทหาร เป็นเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นโดยระบบ

ดังนั้นสำหรับสัตว์ประหลาดผีแล้ว การที่ระบบสามารถยกระดับขึ้นได้จึงไม่นับว่ามีความหมายใดๆ

ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวที่พวกสัตว์ประหลาดผีจะได้รับก็คือ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น

เวลานี้ สัตว์ประหลาดผีกำลังเฝ้ารอคอยให้ระบบตื่นขึ้นมาอย่างเงียบๆ

และพวกมันจะยังคงเชื่อฟัง คอยทำตามคำสั่งของระบบต่อไป

แต่ตรงกันข้ามกับค่ายของสัตว์ประหลาดผี ห่างออกไปกว่าหนึ่งกิโลเมตร กลับครึกครื้นไปด้วยเสียงโห่ร้องสนั่นหวั่นไหว

ต้นตอของเสียง คือค่ายใหญ่ของเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมาร

สองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารตั้งรกรากอยู่บนพื้นน้ำแข็งขนาดมโหฬาร

พวกเขารวมตัวกันเพื่อฉลองชัยชนะในสงครามครั้งนี้ และเฝ้ารอให้ต้นกำเนิดอัปเกรดจนลุล่วง

หลายชั่วโมงก่อนหน้า ต้นกำเนิดได้เข้าสู่สภาวะจำศีล

สำหรับตอนนี้ มันกำลังอยู่ระหว่างการอัปเกรดในขั้นสุดท้าย

ระบบของราชามารได้รับสิ่งที่ตัวมันเองปรารถนามาไว้ในครอบครองแล้ว ดังนั้นสงครามจึงยุติลง

เมื่อต้นกำเนิดกลายเป็นปฏิวัติ ความแข็งแกร่งของผู้เข้าสู่วิถีมารแต่ละคนก็จะถูกยกระดับครั้งใหญ่!

พวกเขาจะได้รับฟังก์ชันเสริม

อุปกรณ์ที่ดียิ่งกว่าเดิม

ความสามารถและสกิลที่ดียิ่งขึ้น

และแน่นอน ว่านั่นคือผลตอบแทนแสนคุ้มค่าที่จะได้รับจากภารกิจ

ทั้งหมดกำลังจะปรากฏขึ้นในเร็วๆ นี้!

พวกเขาจึงเริ่มต้นฉลองชัยชนะอย่างบ้าคลั่ง

อย่างไรก็ตาม มืออาชีพบางคนก็ยังคงหวาดระแวง และไม่ลดความผ่อนคลายของตนเองลง

ดังนั้นผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนจึงต้องพบเจอกับความโชคร้าย ถูกเลือกให้ไปคอยเฝ้าระวังอยู่นอกค่าย อดเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลอง

งานเฝ้าระวังความปลอดภัย เป็นงานที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง

จุดที่เหล่าผู้เฝ้าระวังกำลังยืนอยู่นี้ คือท่ามกลางพายุน้ำแข็ง วิสัยทัศน์ช่างย่ำแย่ จำต้องใช้หูเพ่งตรวจสอบเสียงที่อยู่รอบๆ เท่านั้น

ให้มาเฝ้ายามแบบนี้มันบ้าชัดๆ

บริเวณนี้มันเป็นพื้นน้ำแข็งโล่งๆ แล้วจะไปมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นได้อย่างไร?

แม้ว่าทุกคนจะบ่นอุบอิบ แต่พวกเขาก็ยังเชื่อฟังคำสั่ง และคอยปกป้องอยู่รอบๆ ค่าย

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ บนพื้นน้ำแข็งก็เริ่มเกิดการสั่นสะเทือน

ผู้เข้าสู่วิถีมารสะดุ้งตกใจ และเริ่มตื่นตัวทันที

โครม!

จู่ๆ พื้นน้ำแข็งก็แตกออก ปรากฏหลุมน้ำแข็งกว้างหลายเมตรขึ้นอย่างกะทันหัน

พร้อมกันกับใบหน้าดุร้ายที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมา ตามด้วยร่างขนาดมหึมาของมัน

เป็นสัตว์ประหลาดผี

สัตว์ประหลาดผีได้ปรากฏตัวขึ้นหน้าค่ายของผู้เข้าสู่วิถีมาร!

สองผู้เข้าสู่วิถีมารเคลื่อนกายออกมาขวางมันไว้ทันที

“จงหยุด! ที่นี่คืออาณาเขตของเรา”

“แกมาทำอะไรที่นี่?”

ทั้งสองเอ่ยปากตามลำดับ

ทว่าสัตว์ประหลาดผียักษ์ไม่ตอบกลับ มันเพียงเงยหน้าขึ้นฟ้า แล้วคำรามก้องด้วยความโกรธ

เสียงคำรามของมันได้ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าสู่วิถีมารจำนวนมากทันที

คนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำของผู้เข้าสู่วิถีมารได้ปรากฏตัวขึ้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เขาเอ่ยถาม

“ไม่รู้สิ พวกเราพูดด้วยแต่มันก็ไม่สนใจเลย” คนเฝ้ายามกล่าวรายงาน

ชายที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำก้าวแยกออกมาข้างหน้า และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “งั้นข้าจะเป็นคนถามเอง”

“สัตว์ประหลาดผี เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

สัตว์ประหลาดผียักษ์คำรามลั่น “ก็กลุ่มทาสเช่นพวกเจ้าทำเสียงเอะอะมากเกินไป จนมันกระทบต่อการพักผ่อนของพวกเรา”

รอยยิ้มบนใบหน้าของคนที่เหมือนจะเป็นผู้นำค่อยๆ จางหายไป

ทาสงั้นหรือ?

นี่คือคำที่อ่อนไหวที่สุดสำหรับผู้เข้าสู่วิถีมาร

“สัตว์ประหลาดผี เจ้าต้องการอะไร?” ผู้นำพยายามถามต่อด้วยสีหน้าสงบ

สัตว์ประหลาดผียักษ์ อ้าปากกว้าง ตะโกนลั่น “นับตั้งแต่นี้ไป กลุ่มทาสอย่างพวกเจ้า จะต้องหุบปากลงเสีย ให้พวกข้าได้พักผ่อนอย่างสงบ!”

จะให้พวกเราอยู่แบบเงียบๆ งั้นหรือ?

‘เรื่องที่เสียงดังมันส่งผลกระทบต่อเจ้าข้าจะไม่พูดถึง แต่ไอ้วิธีการพูดจาเหมือนสั่งหมูสั่งหมาแบบนั้น กล้ามาทำต่อหน้าข้าได้อย่างไร?’

ผู้นำเริ่มโกรธ ปากเอ่ยหยัน “ต้องขออภัยจริงๆ พอดีว่าทางฝั่งเรามีคนที่ยังไม่ตายอยู่มากเกินไปน่ะ แตกต่างจากฝั่งของเจ้า เสียงมันก็เลยดังเป็นธรรมดา แต่ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเสียงมันดังมากเกินไป ก็จงเป็นฝ่ายม้วนหางแล้วออกไปไกลๆ เสียเองสิ!”

ขณะเดียวกัน ผู้เข้าสู่วิถีมารโดยรอบพอได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา ช่วยกันก่นด่าสัตว์ประหลาดผี

“เป็นแค่เครื่องมือของระบบแท้ๆ แต่ยังกล้าที่จะมาเสนอหน้ากับพวกเรา”

“พวกแกมันไม่สามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณ ไม่สามารถแลกเปลี่ยนอาวุธใดๆ จากระบบได้ด้วยซ้ำ ทำได้แค่เพียงเชื่อฟังคำสั่งแท้ๆ”

“ฉันว่าพวกแกต่างหาก ที่เหมาะสมจะถูกเรียกว่าทาส!”

“ไปให้พ้น! อย่ามาเสนอหน้ากับพวกเราอีก ยิ่งไกลยิ่งดี!”

สัตว์ประหลาดผีกวาดสายตามองผู้คนโดยรอบ และกล่าว “พวกเราจะไปก็ได้ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา พวกเจ้าอย่ามาขอให้พวกเราปกป้องก็แล้วกัน!”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะ

“สัตว์ประหลาดผีสมองใช่พิการไปแล้วหรือไร พวกเรามีกันกว่าสองร้อยล้านคนนะ”

“ใครมันจะไปต้องการให้แกมาคอยปกป้อง!”

“ไสหัวออกไปจากที่นี่เสีย!”

สัตว์ประหลาดผีไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป มันหันหลังและเดินกลับสู่ค่ายของตนเอง

เมื่อการเจรจาระหว่างสัตว์ประหลาดผีกับผู้เข้าสู่วิถีมารจบลง

ณ บริเวณพื้นที่ด้านหลังค่ายของสัตว์ประหลาดผี

ดาบยาวที่ดูมีรูปลักษณ์ธรรมดาๆ ได้ผุดออกมาจากใต้น้ำแข็งอย่างเงียบๆ

มันเจาะเข้าไปในชั้นน้ำแข็ง ค่อยๆ ม้วนเบาๆ และเหวี่ยงตนออกไป

เมื่ออยู่ต่อหน้าน้ำหนักว่าราวแปดสิบหกล้านจินและรังสีดาบที่แข็งกร้าว ชั้นน้ำแข็งหนาก็เปราะ ถูกเฉือนหั่นอย่างง่ายดายราวกับเป็นเพียงแผ่นกระดาษบางๆ

ดาบยาวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มันลากคมกล้าของตนมุ่งไปยังทิศทางฝั่งตรงข้ามกับค่ายของผู้เข้าสู่วิถีมาร ลากทำลายพื้นน้ำแข็งไปตลอดทาง เปิดเส้นทางให้แก่เช่าหยิน

หลังจากที่มันตัดชั้นน้ำลงไปในน้ำแล้ว อาณาเขตมหาสมุทรก็เริ่มก่อตัวขึ้น

แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ผิดปกตินี้ ย่อมดึงดูดความสนใจจากสัตว์ประหลาดผี

แต่พวกมันไม่มีเวลามากพอที่จะทันได้ทำอะไรเลย ก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลันขึ้นเสียก่อนเสียแล้ว

เบื้องล่างพื้นน้ำแข็ง มวลน้ำมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ค่อยๆ ยกตัวสูงขึ้น

พร้อมกันกับกระแสน้ำที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่รู้จบ ทั้งค่ายทั้งพื้นน้ำแข็ง ก็เริ่มถูกยกลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ค่ายสัตว์ประหลาดผีถูกรายล้อมไปด้วยกระแสน้ำตลอดทุกทิศทาง!

ด้วยฉากอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ประจวบกับการที่พวกมันถูกยกตัวให้ลอยสูงขึ้น จึงย่อมเป็นธรรมดาที่สัตว์ประหลาดผีสามารถมองเห็นไปถึงฝั่งของผู้เข้าสู่วิถีมาร

แต่ในระยะหนึ่งกิโลเมตรที่ห่างออกไป ตนแล้วตนเล่ากลับได้ยินเพียงเสียงเย้ยหยันก่นด่า และไม่คิดจะมาตรวจสอบสถานการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

สัตว์ประหลาดผีต่างงงงวย และไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

มีเพียงสัตว์ประหลาดผีที่พอจะมีสมองบ้างเท่านั้น ที่เมื่อได้เห็นกระแสน้ำที่ยกตัวสูงขึ้น และเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่กำลังก่นด่าจากระยะไกล ก็สามารถสรุปสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

กลับกลายเป็นว่านี่มันเป็นการเล่นตลกของพวกผู้เข้าสู่วิถีมาร

ไอ้เจ้าพวกระยำเอ๊ย!

อีกด้านหนึ่ง

ลึกลงไปในท้องสมุทรเบื้องล่าง

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ

หนึ่งลมหายใจ

สองลมหายใจ

ห้าลมหายใจ

สิบลมหายใจ

‘ถึงขีดจำกัดแล้ว!’

แม้จะได้รับการปกป้องโดยเกราะรบเทพบรรพกาล แต่เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางทัณฑ์สายฟ้าที่อัดกันแน่น กู่ฉิงซานก็เริ่มที่จะได้รับบาดเจ็บบ้างแล้วเหมือนกัน

ทัณฑ์สายฟ้าเหลือคณาได้มาถึงเขา มันมากมายเกินกว่าที่ตนจะหลบเลี่ยงได้

รออีกต่อไปไม่ไหวแล้ว!

ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหว เขาพุ่งออกจากทะเลลึก ตรงไปยังทิศทางค่ายสัตว์ประหลาดผี

เพียงไม่นาน เขาก็มาถึงค่ายสัตว์ประหลาดผีได้ในที่สุด

ในเวลานี้

ดาบพิภพยังคงอยู่เบื้องหน้าค่ายสัตว์ประหลาดผี สับพื้นน้ำแข็งให้แตกออก เปิดทางให้น้ำทะเลไหลขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง

ขณะที่ดาบเช่าหยินยังคงใช้ข้ามผ่านมหาสมุทรอย่างต่อเนื่อง ยกพื้นน้ำแข็งตลอดทั้งค่ายให้ลอยสูงขึ้น

มีเพียงดาบขุนเขาเทวะหกโลกาเท่านั้นที่กลับมา

“เป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ข้าได้แปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดผี และยั่วยุผู้นำของพวกมันแล้ว ทว่าหากทัณฑ์สายฟ้าปรากฏขึ้น ข้าเกรงว่าบางทีทางฝั่งผู้เข้าสู่วิถีมารอาจจะตระหนักถึงสิ่งผิดปกติ และตอบโต้กลับมาอย่างรวดเร็วก็เป็นได้”

เสียงที่ฟังดูกังวลของฉานนู่ ดังออกมาจากดาบยาว

“เจ้าหวาดกลัวอะไรหรือ?” กู่ฉิงซานถาม

“นายน้อย อีกฝ่ายมีถึงสองร้อยล้านคนนะ”

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “นั่นไม่สำคัญหรอก เมื่อครู่เจ้าถ่วงเวลาได้มากพอแล้ว นับตั้งแต่ที่กระแสน้ำได้ก่อตัวขึ้น ต่อให้ผู้เข้าสู่วิถีมารค้นพบถึงความจริง พวกมันก็ไม่อาจไล่ตามมาแทรกแซงพวกเราได้อีกต่อไป”

เขาคว้าจับดาบขุนเขาเทวะ

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเบื้องล่าง ทัณฑ์สายฟ้าเหลืออนันต์กำลังไล่ติดตามเขา

กู่ฉิงซานสะบัดดาบยาวออกไป ทำลายพื้นน้ำแข็ง และโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

บอลสายฟ้านับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากหลุมพื้นน้ำแข็งที่เปิดออก

กู่ฉิงซานระบุเป้าหมายต่อไปในกลางอากาศ และใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วทันที

เขาหายตัวไป และปรากฏกายขึ้นอีกครั้งใจกลางค่ายสัตว์ประหลาดผีโดยตรง

“นี่มันมนุษย์ แต่ไม่ใช่ผู้เข้าสู่วิถีมาร!”

สัตว์ประหลาดผีอุทานลั่น

พวกมันเตรียมที่จะจู่โจมทันที เพื่อสังหารมนุษย์ตรงหน้าผู้นี้

แต่กู่ฉิงซานกลับไม่คิดปัดป้อง เขาเพียงยิ้มแหยๆ แสดงท่ารู้สึกผิดน้อยๆ

“ขอโทษด้วยนะ แต่ตอนนี้น่ากลัวว่าพวกแกจะมีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าที่จะต้องทำ คงไม่มีเวลามาฆ่าฉันหรอก”

ว่าจบ เขาก็ชี้ไปรอบๆ

แต่สัตว์ประหลาดผีไม่คิดฟังคำพล่ามไร้สาระของเขา

อย่างไรก็ตาม พวกมันก็ยังไม่ทันจะได้ลงมือ

จู่ๆ กลิ่นอายอันน่าหวาดกลัวบางอย่างก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน กลิ่นอายนี้โชยเข้ามาปะทะกับร่างกายของพวกมันจนสั่นสะท้าน

นี่คือความหวาดกลัวโดยธรรมชาติของพวกมัน คือสิ่งที่พวกมันมิอาจต่อต้าน เป็นอำนาจฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่มิอาจยับยั้งโดยสมบูรณ์

สัตว์ประหลาดผีกวาดสายตามองดูรอบๆ

สายฟ้าสวรรค์งั้นหรือ?

ไม่! สังหรณ์ของกลิ่นอายนี้มันร้ายแรงยิ่งกว่าสายฟ้าสวรรค์ มันทรงอำนาจยิ่งกว่าหลายเท่า!

สายฟ้าเริ่มครอบคลุมไปตลอดทั้งกระแสน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว ในวิสัยทัศน์ของพวกมันก็ท่วมไปด้วยประกายแสงเปรี๊ยะๆ เสียแล้ว

ไม่เพียงบอลสายฟ้าเท่านั้น แต่ยังมีแขนที่เกิดจากสายฟ้าสีแดงเข้มหลายสิบข้าง ที่ในมือถือแส้สายฟ้าปรากฏออกมาเช่นกัน

เมื่อเวลาผ่านไป สายฟ้าทั้งหมดก็เปลี่ยนรูปแบบ และผุดออกมาจากเมฆแหล่งกำเนิดโทษทัณฑ์

ตลอดทั้งค่ายถูกรายล้อมไปด้วยทัณฑ์สายฟ้า!

วินาทีต่อมา

สายฟ้าทั้งหมดที่ผุดออกมาก็ผ่าลง ฟาดเข้าใส่ตรงใจกลางค่ายสัตว์ประหลาดผี!

………………………………………………………

ณ ภายในโลกของสายพันธุ์เทพ

พื้นที่นอกเหนือไปจากจัตุรัสหน้าวิหารในเมืองไห่เช่า ตลอดทั้งโลกใต้ดินทั้งหมดล้วนจมอยู่ใต้มหาสมุทรโดยสมบูรณ์

กู่ฉิงซานคว้าจับดาบเช่าหยิน ทั้งคนทั้งร่างสาดประกายแสงระยับออกมา

ในหัวใจของเขานึกคิดสั่งการ

มหาสมุทรทั้งมวลไล่ติดตามเขา และพยายามซัดสาดขึ้นไปบนท้องฟ้า

ขณะที่เมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ ยังคงทำหน้าที่ของมันไปอย่างต่อเนื่อง มันพยายามรวบรวมเป็นก้อนเดียวกัน และระเบิดสายฟ้าฟาด ส่งเสียงอึกทึกเสียดแทงเข้ามาในรูหูของกู่ฉิงซานอย่างไม่รู้จบ

ทว่ากู่ฉิงซานกลับมิได้ต่อสู้กลับ แต่เลือกที่จะหลบเลี่ยงพวกมันไป

แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่เขาหลบเลี่ยงมันไม่ได้ทั้งหมด ทว่าก็เป็นแสงที่ครอบคลุมบนร่างกายเขาที่คอยช่วยปกป้องเขาจากการกัดกร่อนของสายฟ้า

บรรดาสายฟ้าที่ถูกเขาหลบเลี่ยงในช่วงก่อนหน้า ทั้งหมดค่อยๆ ชะลอตัวลง

พวกมันปรับทิศทางอย่างช้าๆ และเริ่มไล่ติดตามกู่ฉิงซานขึ้นไปยังเบื้องบน

นี่ช่างเป็นฉากที่งดงามโดยแท้

น้ำทะเลอันไร้ที่สิ้นสุดกำลังพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า

ขณะที่ภายในทะเล ตรงช่องว่างที่มวลน้ำเข้าไม่ถึง

ในสถานที่ดังกล่าว ปรากฏถึงร่างของชายคนหนึ่งที่ลุกท่วมไปด้วยแสงสว่างไสวบนกายเขา ในมือถือดาบยาว และกำลังถูกไล่ล่าโดยบอลสายฟ้านับไม่ถ้วน

อย่างไรก็ตาม ที่เขาทำก็แค่หลบเลี่ยง มิใช่โจมตี ดังนั้นสายฟ้าสวรรค์จึงมิได้ถูกทำลายลง

ส่งผลให้บนท้องฟ้า ปริมาณของทัณฑ์สายฟ้าเริ่มผุดขึ้นมามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

ทัณฑ์สายฟ้าสีน้ำเงินขาว คล้ายกับดวงดาราที่สาดประกายเย็นเยียบ ระหว่างที่กำลังลอยล่อง ก็คอยส่งเสียงเปรี๊ยะๆของกระแสไฟฟ้า ปะทุออกมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนสายฟ้าดับจิตเทวะสีแดงเข้มยังคงเงียบ นอกเหนือไปจากเพิ่มความเร็วไล่ตามติดกู่ฉิงซานไปอย่างใกล้ชิดแล้ว มันก็ยังไม่มีความคิดที่จะแปรเปลี่ยนรูปแบบใดๆ

บอลสายฟ้ามากมายเหลือคณาพอๆ กับดวงดาวบนท้องฟ้า

และดวงดาวนับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็กำลังรวมกลุ่มกัน ไล่ตามติดกู่ฉิงซาน พยายามม้วนโถมเข้าใส่เขาดั่งคลื่นสึนามิ

กู่ฉิงซานถูกไล่ล่าโดยสายฟ้าจากทุกหนแห่ง โฉบไปมา หลบเลี่ยงอยู่ท่ามกลางท้องทะเล

เขายังคงอาศัยพลังอันยอดเยี่ยมของสกิลเทวะ ‘ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว’ และ ‘ร่างเงาแทนที่’ อย่างต่อเนื่อง แต่แค่เคลื่อนย้ายเท่านั้น มิได้ทำการโจมตีใดๆ

เมื่อเรื่องราวดั่งที่ได้บอกเล่าไปดำเนินมาถึงชั่วขณะหนึ่ง

หลี่อันที่กำลังมองมายังฉากนี้จากในระยะไกล ก็เริ่มปริปากเอ่ยออกมาด้วยความกังวล “ท่านแม่ ท่านเคยเห็นทัณฑ์สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนหรือไม่ แล้วเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”

แม่มารแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า เงียบอยู่นานก่อนจะเฉลย “ดูเหมือนนั่นจะเป็นการสะสมสายฟ้าสวรรค์”

“สะสมสายฟ้าสวรรค์? ทำแบบนั้นเขาจะไม่ตายหรือ?” หลี่อันอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

แม่มารส่ายหัว เธอหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน “พื้นฐานวรยุทธ์มิได้สูงส่ง แต่ความกล้าหาญกลับตรงกันข้าม เหนือล้ำยิ่งกว่ามันไปมากโข”

“ท่านแม่กำลังจะบอกว่า…”

“จงดูนั่นเร็ว ทัณฑ์สายฟ้ากำลังจะเปลี่ยนรูปแบบแล้ว!” แม่มารเตือนสติเธอ

หลี่อันเงยหน้ามองขึ้นไป และเห็นแค่เพียงทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังเปลี่ยนรูป

สายฟ้าสีแดงเข้มอัดแน่น รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แปรสภาพเป็นมือสายฟ้าขนาดใหญ่

นี่คือมือใหญ่ที่เกิดขึ้นจากสายฟ้าดับจิตเทวะ และมันมีภูมิปัญญาทางจิต! เป้าประสงค์เดียวของมันก็คือสังหารมนุษย์ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์!

มือสายฟ้าดับจิตเทวะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น กลายสภาพเป็นแขนสีแดงขนาดมหึมาที่ดูแข็งกร้าว

บนท้องฟ้า อีกกลุ่มก้อนสายฟ้าสีแดงเข้มได้รวมตัวกันอีกรอบ และเริ่มก่อรูปเป็นแส้ยาว

แขนมหึมาคว้าจับแส้ยาว และฟาดลงไปยังทิศทางของกู่ฉิงซานโดยตรง!

สถานการณ์ในขณะนี้ของกู่ฉิงซานนับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

เขาหันไปมองรอบๆ

บนท้องฟ้า บัดนี้ทุกหนแห่งล้วนพร่างพราวไปด้วยบอลสายฟ้า

เนื่องด้วยจำนวนบอลสายฟ้าที่ไม่ได้ถูกทำลายลงเลย จนเพิ่มจำนวนขึ้นมามากมายถึงขนาดนี้ ก็อาจกล่าวได้ว่า ทัณฑ์สายฟ้าใกล้ที่จะเข้าสู่สภาวะเต็มรูปแบบของมันแล้ว

“ได้เวลาสักที” กู่ฉิงซานกล่าว

“ตอนนี้ พวกเราจะมุ่งเข้าหากองทัพสัตว์ประหลาดผี และยืมอำนาจของทัณฑ์สายฟ้าสังหารพวกมันทันทีเลยใช่ไหมนายน้อย?” ฉานนู่เอ่ยถาม

“ไม่ใช่ อันดับแรกที่ต้องทำคือวางแผนไม่ให้เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารเข้ามาวุ่นวายเสียก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่พยักหน้า “เป็นอย่างที่กล่าวมาจริงๆ ทัณฑ์สายฟ้าน่ะสามารถตรึงพวกภูตผีไว้ได้ก็จริง แต่มันไม่สามารถหยุดยั้งผู้เข้าสู่วิถีมารได้ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนของผู้เข้าสู่วิถีมารยังมีมากกว่าสองร้อยล้านคน หากพวกมันเข้ามายุ่มย่าม ทางเราก็คงยากที่จะจัดการ”

“ดังนั้นพวกเราจะไม่อนุญาตให้ผู้เข้าสู่วิถีมารเข้ามาก้าวก่าย”

“แล้วข้าสมควรทำอย่างไรดี?”

“เรื่องนี้คงต้องฝากเจ้าแล้วนะ ฉานนู่”

“หืม?!” ฉานนู่อุทานตกใจ

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “เวลามีไม่มากแล้ว ตอนนี้ข้าจะมอบหมายงานให้พวกเจ้า”

“เช่าหยิน เจ้าคอยควบคุมน้ำสมุทร”

ดาบเช่าหยินฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง ขานรับแสดงความเข้าใจ

“ดาบพิภพ เจ้าจงไปทำลายพื้นน้ำแข็ง เปิดทางให้แก่เช่าหยิน”

“ไม่มีปัญหา” เสียงหนักทึบของดาบพิภพดังขึ้น

“ฉานนู่ ส่วนเจ้าท่องบทตามที่ข้ากำลังจะบอก”

“…เดี๋ยวก่อนนายน้อย ท่องบทที่ว่านั่นหมายความว่าอย่างไร?”

“เป็นทักษะทางด้านการแสดงขั้นสูงสุดของข้าเอง รับรองเลยว่าถ้าเจ้าใช้มันจะต้องได้ผลอย่างแน่นอน”

“นายน้อย ท่านช่วยอธิบายให้มันดีๆ หน่อยจะได้ไหม ข้าเริ่มที่จะสับสนแล้ว…”

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอากระดูกของสัตว์ประหลาดผีออกมา

นี่คือสิ่งที่ได้มาจากศพสัตว์ประหลาดผีที่ถูกสังหารโดยดาบพิภพ จากในสงครามบนพื้นราบลุ่ม

“รับมันไว้”

กู่ฉิงซานโยนกระดูกสัตว์ประหลาดผีให้แก่ฉานนู่ และอธิบายออกไปไม่กี่ประโยค

ในช่วงเวลาถัดไป แส้สายฟ้าก็ฟาดสะบัดมาถึงตำแหน่งที่พวกเขาสนทนากันอยู่!

ฟุบ!

กู่ฉิงซานหายวับไปจากสถานที่เดิม

เขาอาศัยสกิลเทวะ หลบเลี่ยงการโจมตีของแขนสายฟ้าดับจิตเทวะ

“ฉานนู่!”

กู่ฉิงซานตะโกนด้วยความวิตก

ท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหลังเขา ดาบยาวที่สาดแสงดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงได้บินออกมา

ดาบยาวตอบสนองต่อเสียงเรียกของเขา มันทุ่มเต็มกำลังโฉบออกจากโทษทัณฑ์ที่กำลังพยายามกดดันตัวมันอย่างหนาแน่น

เนื่องจากพลัง ‘แหกกฎ’ อันเป็นเอกลักษณ์ ส่งผลให้ทัณฑ์สายฟ้าเหลือคณามิอาจสร้างความเสียหายใดๆ หรือขัดขวางชะลอความเร็วของดาบขุนเขาเทวะหกโลกาได้

ดาบยาวเจาะทะลุเมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ ผลุบขึ้นไปเหนือเบื้องบนชั้นฟ้า แล้วจึงค่อยแปรสภาพเป็นหญิงในชุดคลุมฟ้าอีกครั้ง

ฉานนู่เอนกายลงมองไปยังกู่ฉิงซาน

“นายน้อย ข้าจะส่งท่านเอง!”

“เข้าใจแล้ว!”

ระหว่างกล่าว ฉานนู่ก็เริ่มวูบไหว

ร่างเงาแทนที่!

เธอแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับกู่ฉิงซาน

วินาทีต่อมา กู่ฉิงซานก็สามารถหลุดพ้นจากดงโทษทัณฑ์ได้เลยโดยตรง และทะยานขึ้นมาถึงโดมบนฟากฟ้า

เขายื่นดาบเช่าหยิน จี้ปลายดาบออกไป

ข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม!

ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ม้วนตัวกลับ แหวกออกเป็นสองฟากฝั่งเปิดทางให้แก่เขา

ท่ามกลางทะเลสีน้ำเงินเข้ม พื้นที่ว่างเปล่าปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

ในเวลาเดียวกัน ดาบขุนเขาเทวะก็ทะลวงผ่านดงโทษทัณฑ์ได้อีกครั้ง และกลับเข้าสู่ในความว่างเปล่าเบื้องหลังกู่ฉิงซาน

“ไปกันเถอะ!”

กู่ฉิงซานตะโกน

เขาวาดสะบัดดาบเช่าหยิน

น้ำทะเลทั้งหมดม้วนตลบ และเริ่มกวาดขึ้นไปยังพื้นผิวทะเลเบื้องบน

ร่างของกู่ฉิงซานฟุ้งไปด้วยความฮึกเหิม หนึ่งคนสามดาบทะลุผ่านช่องแคบที่เปิดออก และหายวับไป

เขามุ่งหน้าเข้าสู่โลกชั้นมหาสมุทร

เบื้องล่างท้องฟ้า ทัณฑ์สายฟ้าทั้งมวลพลันตอบสนองทันที

ทัณฑ์สายฟ้าสีน้ำเงินขาวเหลืออนันต์ และสายฟ้าดับจิตเทวะขนาดใหญ่ เร่งเคลื่อนตัวพุ่งเข้าสู่เมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ ไล่ตามกู่ฉิงซานไปอย่างไม่ลดละ

ขณะที่เมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์เองก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน

มวลเมฆสีทะมึนเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน บินขึ้นไปเข้าสู่ชั้นมหาสมุทร

กระทั่งมันก็ยังไล่ล่าตามกู่ฉิงซานไป!

ยามเมื่อเมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ที่เกิดจากกฎเกณฑ์ของฟ้าดินบินใกล้เข้ามา ท้องทะเลก็แหวกออก เปิดเส้นทางให้แก่มันอย่างง่ายดาย

แสงสายฟ้านับไม่ถ้วนสาดประกายจากมวลเมฆ โฉบขึ้นเบื้องบน ไล่ตามติดกู่ฉิงซานไป

วินาทีต่อมา โลกเบื้องล่างก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

กู่ฉิงซาน ทัณฑ์สายฟ้า และเมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ได้หายไปจากโลกใต้ดิน

ชายผู้คิดข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ได้จากไปพร้อมกันกับทัณฑ์แห่งสวรรค์

นี่เป็นฉากที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เกรงว่าบางทีตลอดทั้งประวัติศาสตร์การฝึกยุทธ์ คงไม่มีผู้ใดคิดกระทำการเช่นนี้

แม่มารกล่าวอย่างเหม่อลอย “เจ้าหนุ่มนั่น…”

“ท่านแม่ แล้วสิ่งที่พวกเราจะต้องทำต่อไปเล่า?” จักรพรรดินีหลี่อันถาม

แม่มารหลับตาลงและกล่าว “เฝ้ารอเวลาให้ทัณฑ์สวรรค์เรียกข้าไป”

เธอขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งและอีกครั้ง สุดท้ายก็ถอนหายใจ “หลี่อัน เจ้าไปรู้จักกับชายผู้นี้ได้อย่างไร ไหนลองเล่าให้แม่ฟังซิ”

“มีอะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านแม่จึงอยากรู้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้?”

หลี่อันเริ่มรู้สึกระแวง

“ข้าก็แค่ต้องการที่จะทบทวนถึงความสามารถของบุคคลผู้นั้นอีกครั้งก็เท่านั้นเอง” แม่มารถอนหายใจ

อีกด้านหนึ่ง

ชั้นมหาสมุทร

กู่ฉิงซานควบคุมกระแสมหาสมุทร ไล่เฟ้นหาตำแหน่งที่ได้มาสำรวจก่อนหน้านี้อย่างบ้าคลั่ง จนในที่สุดก็สามารถระบุพิกัดค่ายของสัตว์ประหลาดผีได้อย่างรวดเร็ว

ค่ายของสัตว์ประหลาดผีน่ะ อยู่ในทิศตะวันออก ขณะที่ค่ายของผู้เข้าสู่วิถีมารจะอยู่ในทิศตะวันตก ทั้งสองกลุ่มไม่ระรานซึ่งกันและกัน ไม่คิดติดต่อใดๆ แก่กัน แต่ก็คอยให้ความสนใจอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา

กู่ฉิงซานปล่อยดาบบินออกมา และเริ่มขับเคลื่อนเทคนิคดาบ

“ทัณฑ์สวรรค์กำลังไล่ตามมาจากเบื้องหลัง ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องทำตามแผนโดยเร็วที่สุด!” กู่ฉิงซานสั่ง

สามดาบบินสาดรังสีดาบคมกล้าออกมา

พวกมันขานรับฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง เริ่มเจาะชั้นทะเล มุ่งหน้าไปจนถึงค่ายของสัตว์ประหลาดผีในพริบตา

สามดาบวนเป็นวง ค่อยตัดเฉือนพื้นที่ขอบรอบๆ ค่ายสัตว์ประหลาดผีอย่างรวดเร็ว

และกว่าที่สัตว์ประหลาดผีจะทันได้รู้ตัว สามดาบก็สามารถหั่นพื้นน้ำแข็งรอบค่ายเสร็จไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่การกระทำนี่คล้ายกับว่ามันไม่มีความหมายเลย

เนื่องเพราะมันเป็นค่ายที่มีสัตว์ประหลาดผีอยู่กว่าหนึ่งแสนตน ดังนั้นมันจึงมีขนาดเทียบเท่าได้กับเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ฉะนั้นแม้จะถูกหั่นพื้นที่รอบค่าย แต่บนพื้นน้ำแข็งก็ยังสามารถลอยลำอย่างนิ่งสงบอยู่เหนือน้ำทะเลได้อยู่ดี

ขณะที่โลกเบื้องบนน่ะเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง อุณหภูมิของมันลดต่ำเป็นอย่างมาก ดังนั้นขอเวลาแค่เพียงไม่กี่สิบลมหายใจ เดี๋ยวรอยแตกที่ดาบบินทำไว้ทั้งหมดก็จะเชื่อมต่อกันเอง

แต่กู่ฉิงซานย่อมไม่พลาดโอกาสนี้

ขณะที่กำลังบินขึ้นไป เขาก็วาดมือออก

สามดาบบินกลับมาอีกครั้ง โคจรรอบตัวเขา

“ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดได้มาถึงแล้ว ดาบพิภพ ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

“วางใจเถอะ เจ้าจงส่งเทคนิคดาบมา แล้วข้าจะเป็นคนทุ่มออกด้วยกำลังทั้งหมดที่มีเอง”

“ฉานนู่ เจ้าไปได้ ผ่อนคลายเข้าไว้ล่ะ ไม่ต้องกังวลจนเกินไป”

“เจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

ว่าจบ ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็หายไปจากข้างกายกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานคว้าจับดาบเช่าหยิน ก้มลงมองเบื้องล่าง

ท่ามกลางก้นบึ้งของมหาสมุทร เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฟาดกำลังสาดแสงสว่างจนสายฟ้าของมันลอดผ่านขึ้นมาอย่างช้าๆ

ทัณฑ์สายฟ้าเหลืออนันต์ กำลังไล่ติดตามมาสังหารเขา

………………………………………….

แสงสายฟ้าสีแดงหยดย้อยลงจากมวลเมฆ ร่วงตกลงมายังตำแหน่งที่กู่ฉิงซานยืนอยู่

ขณะที่กู่ฉิงซานยังคงหยุดนิ่ง เคียงข้างไปกับดาบคู่ใจ มิคิดเคลื่อนกายไปไหน

เฝ้ารอจนกระทั่งสายฟ้าดับจิตเทวะใกล้เข้ามา จนเกือบที่จะแตะเข้ากับปลายดาบยาว พริบตานั้นเขาร่างของเขาก็เริ่มวูบไหว จากไปในลมหายใจเดียว

และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ลอร่าบรรลุในสิ่งที่เธอต้องทำ

กู่ฉิงซานมองไปยังสายฟ้าดับจิตเทวะขนาดยักษ์

‘ไม่จำเป็นต้องทนอีกต่อไปแล้ว!’

ชั่วพริบตาถัดมา

คล้ายกับว่าใครบางคนได้ทำการสับเปลี่ยนภาพอย่างกะทันหัน ทั้งกู่ฉิงซานและสายฟ้าดับจิตเทวะหายวับไปในเวลาเดียวกัน สลับตำแหน่งกันอย่างรวดเร็ว

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

สายฟ้าดับจิตเทวะสัมผัสลงกับพื้นโดยตรง

เปรี้ยง!

พื้นดินถูกพลิกตลบ แรงระเบิดก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ เจาะลึกลงไปเบื้องล่างจัตุรัส

“เสียใจด้วย…ที่ดูเหมือนว่าพลังสายฟ้าในครั้งนี้จะสูญเปล่าเสียแล้ว”

กู่ฉิงซานมองย้อนกลับลงไป และอดไม่ได้ที่จะเสียทัณฑ์สวรรค์

เขาทะยานตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งคนทั้งร่างม้วนโฉบตัดสายลมดั่งนกนางนวล ผุดหายเข้าไปในม่านเมฆ

ท่ามกลางพายุสายฟ้าคะนอง เขาหลบเลี่ยงมันอย่างไม่รู้จบ

ก็ในเมื่อพิธีกรรมของลอร่าได้จบลงแล้ว ตัวกู่ฉิงซานเองก็ไม่คิดที่จะข้องแวะกับสายฟ้าสวรรค์อีกต่อไป

บังเกิดเสียงสายลมหวนทิ่มแทงเข้ามาในหู

ภายในม่านเมฆ ทัณฑ์สายฟ้าคำรามด้วยความโกรธ และกำลังสั่งสมอำนาจโจมตีในระลอกต่อไป

บรรดาสายฟ้าที่ถูกหลบเลี่ยงโดยเขาก่อนหน้านี้หยุดฟาดผ่าลง และเริ่มพากันบินหวนกลับขึ้นไปไล่ล่าเขาอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานคว้าดาบเช่าหยินออกมา ชี้ปลายคมกล้าของมันขึ้นไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด พลังศักดิ์สิทธิ์ข้ามผ่านมหาสมุทรถูกใช้ออกทันที

ถึงเวลาแล้วที่จะสังหารระบบของราชามาร!

อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนั้นเอง

ทุกสิ่งอย่างกลับหยุดนิ่ง

ทั้งหมดนิ่งงันอยู่ในสถานที่เดิม

กู่ฉิงซานพบว่าแม้ตัวเขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่สมองก็ยังสั่งการความคิดได้อยู่

ซึ่งความคิดน่ะมันเชื่อมโยงกับจิตใจของเขาโดยตรง ส่งผลให้สามารถได้ยินถึงเสียงที่เต็มไปด้วยความผันผวนจากภายในนั้นดังก้องขึ้น

“เจ้าหนู ข้าได้จับตาดูเจ้ามานานแล้ว คอยเฝ้ามองเจ้ากับลอร่ามานาน และในที่สุดข้าก็ถูกเรียกตัว ปลุกให้ตื่นขึ้นต่อหน้าเจ้าเสียที” เสียงนั้นส่งผ่านความคิดผ่านเข้ามา

“เจ้าเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เสียงนั้นถอนหายใจและกล่าว “ข้าน่ะหรือ? ข้าก็คือสิ่งที่อยู่บนกายเจ้าไง ถึงเดิมทีแล้วกำลังรักษาความเสียหายอยู่ก็เถอะ แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะมีงานให้ต้องทำอีกแล้ว”

กู่ฉิงซานตอบกลับพร้อมทั้งเอ่ยถาม “ที่แท้เจ้าก็คือเกราะรบที่ลอร่ามอบให้ข้านั่นเอง ว่าแต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าได้รับความเสียหายอย่างงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง ในช่วงเวลานั้นพวกเราได้เดินทางเข้ามาในอัลเบอัส แต่แล้วก็ถูกทริสเต้ฉวยจังหวะทีเผลอ ใช้สี่เหล็กในที่ได้รับมาจากจอมมารที่แท้จริง ทำการลอบสังหารราชวงศ์หนาม”

“สี่เหล็กใน?”

“ใช่ ในเวลานั้น ราชาหนาม ราชินีหนาม ลอร่า และน้องชายของเธอ ทั้งสี่คนกำลังร่วมกันถ่ายภาพครอบครัวอยู่ แต่แล้วทริสเต้ก็ฉวยโอกาสนั้นลงมือจากด้านหลังพวกเขา”

“แล้วลอร่ารอดชีวิตมาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ในชั่วพริบตาสุดท้าย องค์ราชาได้เหวี่ยงข้าออกไปคลุมบนตัวของลอร่า”

“เนื่องจากลอร่ามีพรสวรรค์แสนวิเศษอย่าง ‘ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา’ ฉะนั้นตราบใดที่เธอไม่ถูกฆ่าตายทันที เธอย่อมสามารถใช้มันแล้วหลบหนีไปจากการลอบสังหารของทริสเต้ได้”

“…พ่อของลอร่าช่างมีไหวพริบและจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่จริงๆ”

“แต่ขอบอกตรงๆ ว่าเหล็กในของจอมมารค่อนข้างจะทรงพลังมากทีเดียว แม้กระทั่งสกิลตัดขาดเวลาของข้า ก็ยังไม่สามารถปัดป้องมันได้ นี่ขนาดข้าทุ่มสุดตัวแล้วนะ แต่ก็ยังได้รับความเสียหายนี้มา”

“แล้วลอร่าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง?”

“เดชะบุญที่เธอไม่เป็นอะไร”

ความคิดของเกราะรบกลายเป็นจริงจัง มันเอ่ยถาม “ตอนนี้ ข้ามีสิ่งหนึ่งที่ต้องการจะถามเจ้า”

“โปรดบอกมา”

“โชคชะตาน่ะมักจะให้ตัวเลือกแก่ผู้คนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกของเจ้า หรือทางเลือกของข้า ล้วนแตกต่างกันและไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นข้าเลยต้องการที่จะทราบว่าเจ้าอยากจะสวมใส่ข้าต่อไปในภายภาคหน้า หรือว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว เจ้าจะคืนข้าให้แก่ลอร่า”

“ก็ต้องคืนเจ้ากลับให้เธอสิ” กู่ฉิงซานกล่าวทันที

ความคิดของเกราะรบกล่าว “เจ้าพอจะตัดสินใจอีกสักครั้งได้หรือไม่ นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ครอบครองข้าเชียวนะ  เพราะท้ายที่สุดนี้ ในตลอดทั้งหมื่นโลกา เกราะรบแบบข้าน่ะมีไม่มากนักหรอกนะ”

มันยังคงเอ่ยต่อ “ข้าไม่ชอบที่จะถูกเก็บไว้อยู่ในรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม ไม่ชอบที่จะต้องคอยมาเป็นสัญลักษณ์ของราชา แท้จริงแล้วข้าชมชอบในการต่อสู้ นี่ต่างหากจึงจะเหมาะสมกับสัญลักษณ์ของเกราะรบ…ข้าปรารถนาที่จะกระโจนลงสู่สมรภูมิอย่างแท้จริง”

“อ๋อ แต่นั่นมันทางเลือกของเจ้านี่ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเสียหน่อย”

กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “เจ้าน่ะเป็นของลอร่า และเธอก็ให้ข้ายืมมาใช้ หลังจากจบเรื่องนี้ ข้าจะต้องคืนเจ้าให้แก่เธอ”

“แต่…” เกราะรบต้องการจะเถียงต่อ

กู่ฉิงซานขัดจังหวะมัน “ด้วยความหวังของพ่อที่จะปกป้องลูกสาวของตัวเองในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ความรู้สึกนี้ของเขา ข้าสามารถตระหนักถึงมันได้ดี”

“ในเมื่อเจ้าสามารถต้านทานเหล็กในของจอมมารที่แท้จริงได้ เช่นนั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะอยู่เคียงคู่กับลอร่า และคอยปกป้องเธอนับจากนี้ไปในอนาคต”

“ซึ่งนี่แหละคือความปรารถนาสุดท้ายของคนเป็นพ่อ และขณะเดียวกันมันก็เป็นคำขอของคนแปลกหน้าอย่างข้าด้วย”

“ฉะนั้น ข้าจะไม่พาเจ้าออกไป”

เกราะรบพอได้ฟังก็เงียบงันไป

ขณะเดียวกันสถานะตัดขาดเวลาก็ยังคงไม่จางหาย ทุกสรรพสิ่งโดยรอบยังคงนิ่งงันอยู่กับที่

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เกราะรบก็หัวเราะออกมา

น้ำเสียงของเกราะรบกลายเป็นสงบ และฟังดูพึงพอใจ “อันที่จริงแล้ว ตัวข้ากับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามมีคำมั่นสาบานร่วมกันอยู่”

“คำมั่นสาบานอะไร?”

“ข้าสาบานว่าจะปกป้องเผ่าพันธุ์วิหคหนามที่นำพาข้าออกจากหุบเหวแห่งความสับสนวุ่นวาย -ข้าจักรับหน้าที่ปกป้องกษัตริย์ของพวกเขาตลอดไป”

เกราะรบยังคงเล่าต่อด้วยความสุข “เมื่อครู่นี้ หากในหัวใจของเจ้าบังเกิดซึ่งความละโมบ ต้องการที่จะช่วงชิงข้า ข้าก็จะจากเจ้าไป กลับคืนหาลอร่าโดยตรง”

“แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าสายตาของลอร่าจะหลักแหลมไม่เบาเลย ผู้พิทักษ์ที่เธอเป็นคนเลือกช่างมีคุณสมบัติเหมาะสมจริงๆ”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็จะปฏิบัติตามคำขอของเธอ คอยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเจ้า”

ทันทีที่เสียงนี้ตกลง โลกทั้งใบก็กลับคืนสู่สภาวะปกติในพริบตา

เสียงสายลมเสียดแทงเข้ามาในหูของเขา

กู่ฉิงซานพบว่าตนเองยังคงบินขึ้นไปยังเบื้องบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันมวลเมฆก็กำลังรวบรวมอำนาจลงทัณฑ์ในครั้งต่อไป

ลอร่ายืนอยู่บนยอดต้นไม้ และกำลังส่งเสียงเชียร์เขา

ส่วนมารสวรรค์ ตนแล้วตนเล่าก็เริ่มเตรียมตัว พร้อมรับมือกับโดมบนท้องฟ้าที่กำลังจะเปิดออก

‘ตัดขาดเวลา’ ได้สลายไปแล้ว!

ในเวลาเดียวกัน รอบกายของกู่ฉิงซานก็ปรากฏชั้นแสงบางเบาส่องไสวออกมา แม้มองในบางมุมมันจะดูคล้ายกับหมอก แต่ก็ยังสีแสงสว่างลอดออกมาเล็กน้อย

“แสงนี้คือ”

“เป็นข้าเอง ข้าคือสิ่งที่เหล่าทวยเทพได้รังสรรค์ขึ้น ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้”

“แล้วทำไมเจ้าถึงปรากฏออกมาในรูปแบบนี้?”

“เพราะรัศมีแสงเช่นนี้ มันบ่งบอกถึงเกียรติยศ มันบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของวัตถุที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยทวยเทพอย่างไรล่ะ!”

ขณะที่เกราะรบกล่าว กู่ฉิงซานก็ค้นพบว่าบนหน้าต่างเทพสงคราม มีสองบรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งขึ้นมา

“ชุดเกราะรบของคุณได้เข้าสู่สถานะต่อสู้”

“ตอนนี้คุณสามารถตรวจสอบรายละเอียดของเกราะรบได้แล้ว ต้องการที่จะตรวจสอบมันหรือไม่?”

“ตรวจสอบทันที”

กู่ฉิงซานกล่าว

ทันใดนั้นฝูงหิ่งห้อยก็โบยบินออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า ร้อยเรียงเป็นตัวอักษรอย่างต่อเนื่อง

“ชื่อไอเท็ม: วัตถุจากสมัยโบราณ เกราะของเหล่าทวยเทพ”

“คุณภาพ สิ่งประดิษฐ์เทวะโบราณ”

“นี่คือเกราะรบที่เหล่าทวยเทพในสมัยโบราณรังสรรค์มันขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน เดิมทีแล้วพวกเขาตั้งใจจะมอบมันเพื่อเป็นรางวัลให้แก่วีรบุรุษท่ามกลางหมู่มวลสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่ภายหลังกลับพบว่าพลังป้องกันของเกราะนี้มันทรงประสิทธิภาพมากเกินไป ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่เทพบรรพกาลมิได้มอบเกราะรบนี้ให้แก่สิ่งมีชีวิตทั้งมวล”

“ชุดเกราะรบ มีความสามารถดังต่อไปนี้”

“กำจัดธาตุ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณได้รับความเสียหายจากธาตุ ‘กำจัดธาตุ’ ในเกราะรบจะถูกเปิดใช้งานทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีธาตุที่จะทำร้ายคุณ”

“ไร้ซึ่งบาดแผล เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณได้รับความเสียหายทางกายภาพ ‘ไร้ซึ่งบาดแผล’ ในเกราะรบจะถูกเปิดใช้งานทันที เพื่องป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีทางกายภาพที่จะทำร้ายคุณ”

“คำบัญชาเทพ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณถูกโจมตีอย่างร้ายแรง เกราะรบจะตระหนักได้ถึงโชคชะตาแห่งความตายของคุณ และมันจะใช้ออกด้วย ‘ตัดขาดเวลา’ ทันที”

“ในส่วนล่างนับจากนี้ไป คือคำอธิบายของหน้าต่างเทพสงคราม”

“วิชายุทธ์เทพสงคราม ชุดเกราะนี้คือเกราะรบของเทพบรรพกาล และมีอำนาจเทวะอยู่ในมัน อย่างไรก็ตาม คุณไม่สามารถเรียนรู้สกิลเหล่านั้นได้”

“พงศาวดารวันสิ้นโลก ชุดเกราะนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันโดยเหล่าทวยเทพ ในชีวิตก่อนหน้าของคุณ หลังจากที่ราชวงศ์หนามทุกคนได้เสียชีวิตลงแล้ว เกราะรบนี้ก็ถูกครองครอบโดยแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ และเธอได้นำมันไปมอบให้แก่จอมมารที่แท้จริง จนท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นเกราะรบของจอมมาร”

“หมายเหตุ คุณสามารถจ่ายหนึ่งพันแต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำการตรวจสอบเหตุการณ์อันมีชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเกราะรบนี้ได้”

“ฉันจ่าย”

“เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องได้ถูกปลดล็อกแล้ว”

“เหตุการณ์อันมีชื่อเสียง หายนะความพ่ายแพ้ของจอมมารที่แท้จริง”

“หายนะความพ่ายแพ้ของจอมมารที่แท้จริง ในช่วงเวลาวิกฤติท่ามกลางการต่อสู้ขั้นแตกหัก ระหว่างที่กำลังทานรับการโจมตีอันร้ายกาจเป็นประวัติการณ์จากศัตรูรอบทิศทาง เกราะรบจอมมารได้ละทิ้งจอมมารที่แท้จริงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้จอมมารได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น”

“ภายหลัง จอมมารที่แท้จริงจึงได้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำลายล้างเกราะรบที่ทรยศมันเกราะนี้!”

กู่ฉิงซานที่พอได้อ่านคำอธิบายทั้งหมด เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

แต่เดิม เกราะรบนี้มันมีจิตนึกคิดและความรู้สึก

บางทีเหตุการณ์ ‘หายนะความพ่ายแพ้ของจอมมารที่แท้จริง’ มันอาจเกิดจากการล้างแค้นของเกราะรบสำหรับราชวงศ์หนามก็เป็นได้

“ตกลง งั้นก็จงร่วมมือกับข้าเสีย!”

ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องกำจัดศัตรูทั้งหมด!

ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องทำให้ทุกอย่างมันจบลง!

ภายใต้ความมุ่งมั่นแรงกล้าของกู่ฉิงซาน ประกายแสงระยับจางๆ ที่อยู่รอบกายเขาก็เริ่มสาดแสงเดือดพล่านออกมา

กลิ่นอายอันแสนลึกลับและสง่างามเล็ดลอดออกมาจากตัวเขา

ในขณะเดียวกัน ภายใต้แสงสว่าง เสียงเสียงหนึ่งดังกึกก้อง

“เช่นนั้นก็ไปเถอะ ข้าจะลุยไปด้วยกันกับเจ้าเอง!”

………………………………………………

กู่ฉิงซานถือดาบไว้ในมือ นิ่งงันไม่คิดขยับกายเคลื่อนไหว

เมฆที่ฟุ้งไปด้วยโทษทัณฑ์ปกคลุมหนาแน่น นำพาท้องฟ้าจมลงสู่ความมืดมิด

แสงและเงาเริ่มที่จะกะพริบไหว

พวกมันลอยอยู่ในอากาศ และเริ่มแปรสภาพเป็นบอลแสงสีน้ำเงินขาว ร่วงหล่นลงมายังเบื้องล่างอย่างช้าๆ

อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันสองดาบบินก็แปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า กวัดแกว่งทำลายมัน มิให้ร่วงลงมาถึงตัวเขาอย่างไม่หยุดยั้ง

กู่ฉิงซานใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี  ดังนั้นรังสีดาบที่ปลดปล่อยจึงทั้งรุนแรง และรวดเร็วถึงขีดสุด!

หากมองจากระยะไกล จะเห็นแค่เพียงเส้นแสงคมกริบที่เกิดจากคมดาบ ตัดสะบั้นบอลสายฟ้าอย่างไม่รู้จบ

เสียงสายฟ้าระเบิดดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ พวกมันเริ่มแตกตัวเป็นจุดดาวไสว กระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า

เมื่อใดก็ตามที่สายฟ้าสัมผัสถูกกันและกัน พวกมันจะเริ่มเกาะกลุ่ม และเปลี่ยนร่างเป็นงูสายฟ้า แหวกว่ายผ่านอากาศ ตัดแบ่งผืนฟ้ายามค่ำคืนด้วยสีน้ำเงินขาว

ท้องฟ้าอันมืดมิดสาดไสวไปด้วยแสงและเงา

ส่งผลให้ฉากนี้ดูงดงามเป็นพิเศษ

ทว่าสีหน้าของกู่ฉิงซานกลับเริ่มดูหนักเคร่งขรึมมากขึ้น

เขาสูดหายใจลึก และปรับรูปแบบกระบวนของดาบ

จากสองดาบเน้นโจมตี เป็นหนึ่งโจมตีหนึ่งป้องกัน

เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ ทัณฑ์สวรรค์น่ะยิ่งนาน สายฟ้าสวรรค์ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้นสถานการณ์ที่เขากำลังจะต้องเผชิญคงจะหนักหนาไม่น้อย

หลังจากผ่านพ้นไปห้าลมหายใจ

บนท้องฟ้า ก็เริ่มพร่างพราวไปด้วยจุดแสงดาว

ทัณฑ์สายฟ้าปกคลุมหนาแน่น รังสีแสงอันไพศาลกวาดกระจายว่อนไปทั่ว

ทัณฑ์สายฟ้าได้ครอบคลุมตลอดทั้งผืนฟ้าแล้ว!

กู่ฉิงซานเฝ้ามองทัณฑ์สายฟ้า และพยักหน้าอย่างลับๆ

“เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว”

เขาคว้าจับดาบเช่าหยิน และเริ่มต้นกระตุ้นพลังเหนือธรรมชาติทันที เพื่อเตรียมลากทัณฑ์สวรรค์ข้ามผ่านผืนสมุทร มุ่งตรงไปยังชั้นน้ำแข็งเบื้องบน!

มุ่งไปยังสถานที่ซึ่งมีหนึ่งแสนกองทัพสัตว์ประหลาดผี และกว่าสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารอาศัยอยู่!

ในตอนที่กู่ฉิงซานเตรียมจะออกเดินทางไปนั้นเอง เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทันใด

“กู่ฉิงซาน เจ้ารอก่อน!”

ร่างของกู่ฉิงซานชะงักไป เขาเหลียวมองย้อนกลับหลัง แล้วก็พบกับฉากที่ทำให้ตนต้องประหลาดใจ

ท่ามกลางความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา ปรากฏถึงต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งขึ้น ซึ่งนี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน

รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม

ทว่าคราวนี้ นี่มิใช่ภาพฉายหรือร่างเงาของมัน แต่เป็นต้นไม้ยักษ์โบราณของจริง!

มันได้ข้ามผ่านมิติและเวลา มาปรากฏตัวขึ้นบนโลกนี้โดยตรง!

ลอร่ายืนอยู่ใต้ต้นไม้และโบกมือให้แก่เขา

“นั่นฝ่าบาทคิดจะทำอะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“เราขอโทษจริงๆ ที่มอบชุดเกราะที่ไม่สามารถใช้งานได้ให้แก่เจ้า โปรดรอสักครู่ เรากำลังจะไปทำให้มันใช้งานได้เดี๋ยวนี้แหละ” ลอร่าตะโกนออกมา

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ชะงักไป

ชุดเกราะงั้นหรือ?

“ฝ่าบาทได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำพิธีก้าวขึ้นสู่วัยผู้ใหญ่ ขอเจ้าจงโปรดรอสักครู่” อีเลียส่งความคิดไปหาเขา

“พิธีก้าวขึ้นสู่ผู้ใหญ่ มันจะเป็นอันตรายหรือไม่?” กู่ฉิงซานส่งความคิดถามกลับ

“มันไม่อันตรายหรอก แต่เธอแค่จะต้องทนทุกข์ทรมานเล็กน้อย แล้วก็ต้องหักห้ามใจในเรื่องที่ตนหวาดกลัวความสูงก็เท่านั้นเอง นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เธอเอ่ยปากออกมาด้วยตัวเองว่าต้องการเข้าพิธีขึ้นสู่วัยผู้ใหญ่”

“เข้าใจแล้ว”

กู่ฉิงซานยิ้มให้กับลอร่าและกล่าว “เช่นนั้นท่านก็สู้เขาล่ะ เพราะ…”

ปัง!

ระหว่างกล่าว ทัณฑ์สายฟ้าจู่ๆ ก็ผ่าลงมา ฟาดเข้าใส่กู่ฉิงซานที่ไม่มีเวลาแม้จะยกดาบขึ้นมาปัดป้อง

เขาถูกฟาดกระแทกลงกับพื้น

ลอร่าที่เห็นถึงฉากนี้ ร่ำร้องด้วยความกระวนกระวาย “กู่ฉิงซาน อย่าตายนะ เราจะรีบทำให้มันจบๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ!”

ว่าแล้วเธอก็เริ่มปีนขึ้นไปบนรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ เอื้อมมือไปคว้าจับหนามบนลำต้นของมัน

ปรากฏเลือดไหลซึมออกมาจากฝ่ามือทันที

เจ็บจัง!

ลอร่าขมวดคิ้วมุ่น

นี่คือหนามแหลมที่ผุดออกมาจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์

ตลอดทั้งลำต้นของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ นอกเหนือไปจากสถานที่อื่นที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้แล้ว ตำแหน่งอื่นๆ ล้วนเต็มไปด้วยหนามแหลมทั้งสิ้น

นี่คือหนึ่งในรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ที่ถือกำเนิดขึ้นในสมัยโบราณอันไกลโพ้น ผ่านพ้นวันเดือนปีแห่งการทดสอบมาอย่างโชกโชน ดังนั้นสิ่งมีชีวิตใดที่คิดเล่นตุกติกกับมัน จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นขี้เถ้าทันที

ท่ามกลางโลกเก้าร้อยล้านชั้น รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์จากโบราณกาลนี้แทบจะเรียกได้ว่าคงกระพัน มิอาจทำลายได้

แต่ก็นับว่าโชคยังดี ที่แม้มันจะมีอำนาจเหลืออนันต์ แต่แท้จริงแล้วมันก็รับรู้ได้ถึงกฎแห่งความจริงของชีวิตและความตาย ดังนั้นมันจึงมิเคยใช้ประโยชน์จากอำนาจของตนเองในการทำลายล้าง หรือใช้พลังมนตราที่ทรงพลานุภาพของตนเข้าไปปั่นป่วนวัฏจักรของโลกเลย

แต่หากจะกล่าวถามว่ารุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้มันมีจุดอ่อนใด แน่นอนว่าคงย่อมเป็นไปตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ หนอนแมลงนั่นเอง

หนอนแมลงเป็นศัตรูตามธรรมชาติของต้นไม้

ด้วยอำนาจของกฎเกณฑ์ ส่งผลให้รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์มิอาจจัดการกับหนอนแมลงเหล่านั้นได้

อย่างไรก็ตาม กลับเป็นตัววิหคที่สามารถเกื้อกูลมัน ช่วยรับมือกับหนอนแมลงเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้น ณ ขณะนี้ ยามเมื่อได้ยินถึงเสียงเรียกขานของลอร่า รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์จึงตอบรับ และปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

อันที่จริงแล้วมันเองก็รู้สึกได้ถึงการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของราชวงศ์หนาม

ปัจจุบันนี้ สายเลือดแห่งราชวงศ์หนามหลงเหลือเพียงคนสุดท้ายแล้ว

ลอร่ากัดริมฝีปากของเธอ อดทนต่อความเจ็บปวด และยื่นอีกมือหนึ่งไปจับพวงหนามต่อไป

จากนั้นก็เริ่มใช้เท้าหยั่งบนมัน

เธอเริ่มที่จะคว้าจับหนาม และค่อยๆ ปีนขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้น

ตลอดทั้งตัวต้นไม้ สูงกว่าหนึ่งหมื่นเมตร ยอดสุดของมันแทงทะลุขึ้นไปถึงฟากฟ้า

ขณะที่ลอร่าต้องปีนขึ้นไปบนยอดต้นไม้ด้วยมือเปล่า พิธีก้าวขึ้นสู่วัยผู้ใหญ่จึงจะบรรลุโดยสมบูรณ์

เธอใช้มือและเท้าปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกัน หนามแหลมก็คอยแทงทั้งมือและเท้าของเธอ ทิ้งคราบเลือดเอาไว้บนรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์

ไม่นาน เด็กสาวก็สามารถปีนขึ้นไปได้กว่าหลายร้อยเมตร

แน่นอน ว่าในครั้งที่เธอยังเด็กกว่านี้ ช่วงเวลานั้นเธอก็เคยได้รับการฝึกปีนมาก่อนเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกกลางคันเสมอมา

“ความเจ็บปวดนี้ สำหรับเราแล้วไม่นับว่าเป็นสิ่งใด”

เธอยังคงปีนป่ายต่อไป

“เราเสียครอบครัว สูญเสียมามากเกินไป แล้วตอนนี้กับอีแค่ความสูงเราจะเอาชนะมันไม่ได้เชียวหรือ?”

เธอก้มลงมองเบื้องล่าง

ทว่าพริบตาที่ก้มมอง จิตสำนึกของตนพลันกลายเป็นว่างเปล่าโดยไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวเริ่มแทรกแซงเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง

ในขณะนั้นเอง กู่ฉิงซานก็บินขึ้นมาและให้กำลังใจเธอด้วยรอยยิ้ม “สู้เขาสิ ยิ่งปีนช้ามันก็ยิ่งเจ็บนะ จะเป็นการดีกว่าหากท่านปีนขึ้นไปโดยเร็ว”

ว่าจบเขาก็พุ่งข้ามผ่านขึ้นไปยังเบื้องบน เผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้าอีกครา

วินาทีต่อมา

ก็ปรากฏถึงแสงจรัสจากสายฟ้าอีกครั้ง ฟาดเขาร่วงตกลงสู่พื้นดิน

โครม!

บังเกิดเสียงหนักทึบ

“กู่ฉิงซาน!” ลอร่ากรีดร้อง

เธอก้มลงมองลงไปในหลุมลึกที่เพิ่งปรากฏขึ้น ความวิตกกังวลพรวดเข้ามาในจิตใจของเธอ

“อย่าตายนะ เจ้าสามารถช่วยชีวิตเราได้ เราก็สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้เช่นกัน รอเราไปถึงยอดต้นไม้ก่อนนะ” เธอตะโกนลงไป และเริ่มเอื้อมมือ คว้าจับหนามแหลมอันต่อไปอีกครั้ง

เหมือนกับว่าความวิตกที่แทรกแซงเข้ามา จะทำให้เธอลืมเลือนความหวาดกลัวไปแล้ว

ปีนขึ้น

ปีนขึ้นไป

ปีนขึ้นไปอย่างไม่ยอมแพ้!

ท่ามกลางลำต้นที่เต็มไปด้วยหนามแหลม เธอเริ่มปีนเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ!

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานที่จมลงอยู่ในหลุมลึก ก็กำลังคอยปล่อยจิตสัมผัสเทวะ เฝ้ารอร่างน้อยๆ ที่กำลังพยายามของลอร่าอย่างเงียบๆ

โอ๊ย

เมื่อกี้นี้มันเจ็บจริงๆ นะ

เขาลูบไล้ลงบนไหล่ซ้ายที่ไหม้เกรียม ในหัวใจของตนเต็มไปด้วยห้วงอารมณ์

แท้จริงแล้วสายฟ้าเมื่อครู่นี้เขาสามารถหลบได้…

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานั้น การแสดงออกทางสีหน้าของลอร่าไม่สู้ดีนัก มันเหมือนกับในทุกๆ ครั้งที่เขาพาเธอลอยไปในอากาศ

ดังนั้น เขาจึงต้องใช้แผนแปลงตนเป็นน้ำมัน แล้วราดลงบนไฟสู้ของลอร่าให้กลับมาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

ถึงจะเจ็บปวด แต่มันก็ได้ผล เด็กสาวตัวน้อยถูกหลอกจริงๆ เธอลืมเลือนความหวาดกลัว และปีนป่ายขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

อืม…กลายเป็นเด็กที่กล้าหาญไปเสียแล้ว

กู่ฉิงซานคิดว่าหากเขามีลูกสาวที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ในอนาคตเขาคงจะมีความสุขมาก …

ทว่าเพียงคิดเกี่ยวกับมัน ทัณฑ์สายฟ้าก็ฟาดมาลงมาอีกแล้ว

ไอ้สายฟ้าบ้านี่…

กู่ฉิงซานสบถงึมงำ ปากอ้าถอนหายใจ และสูดมันเข้าลึกๆ จากนั้นทั้งร่างของเขาก็สั่นไหว และทะยานตัวขึ้นไปทานรับสายฟ้าสวรรค์อีกครั้ง

และคราวนี้ เขาระมัดระวังตัวอย่างแท้จริง มิคิดเล่นละครใดๆ อีกต่อไป

สามดาบบินออกมาพร้อมกัน สับสะบั้นสายฟ้าสวรรค์ใกล้ตัวเขา สับๆๆ มันจะกลายเป็นจุดละอองเล็กๆ

แสงสายฟ้าหยดย้อยลงจากก้อนเมฆอย่างไม่รู้จบ ไล่ตามติดร่างของเขา หวังที่จะระเบิดใส่ให้จงได้

ขณะที่กู่ฉิงซานก็ทุ่มออกทุกวิถีทาง ใช้ความพยายามทั้งหมดที่ตนมี ควบคุมสามดาบยาว ร่ายรำในอากาศตัดสะบั้นสายฟ้าสวรรค์อย่างต่อเนื่อง

แต่แล้วเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง พายุทัณฑ์สายฟ้าก็หยุดลงในที่สุด

พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่ปรากฏขึ้น ปากอ้าหอบหายใจหนักหน่วงอยู่ครู่หนึ่ง

การต่อสู้ดุเดือดเช่นนี้ เกือบทุกวินาทีล้วนกัดกินพลังชีวิตเขา แต่เจ้าตัวก็ยังพยายามอย่างดีที่สุด

“เอาล่ะ แกเองก็เหนื่อยมากเหมือนกันใช่ไหม? ถ้าอย่างงั้นแล้วทำไมพวกเราไม่ค่อยมาสู้กันต่อทีหลังล่ะ?”

เขาเปล่งเสียงกระซิบไปยังก้อนเมฆ

ในมือตนตบเข้ากับเม็ดยาวิญญาณ โยนเข้าใส่ปาก เคี้ยวสองสามครั้งและกลืนลงไป

ทันใดนั้นกู่ฉิงซานเหมือนจะรู้สึกตัวถึงอะไรบางอย่าง

เขาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ

เห็นแค่เพียงบนก้อนเมฆ

สีทะมึนของมันกำลังค่อยๆ สาดประกายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างช้าๆ

นี่คือสายฟ้าสวรรค์ที่มีขนาดอย่างน้อยก็เทียบเท่ากับหนึ่งสนามฟุตบอล

และเนื่องจากสีแดงเข้มที่สาดไสวของมัน ส่งผลให้เขาสามารถยืนยันถึงสถานะของมันได้อย่างชัดเจน

สายฟ้าดับสูญจิตเทวะ

ในบรรดาทัณฑ์สายฟ้าทั้งหมด สายฟ้าดับสูญนี้ นับว่าเป็นหนึ่งในสายฟ้าที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด

ยามที่สิ่งมีชีวิตใดถูกโจมตีด้วยสายฟ้านี้ จิตเทวะในร่างของเขาจะดับสูญลงอย่างสิ้นเชิง ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสได้กลับไปเกิดใหม่

สายฟ้าดับจิตเทวะกำลังร่วงตกลงมา

กู่ฉิงซานแหงนหน้ามองผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของเขา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยพึมพำ “เร็วเข้าลอร่า ดูเหมือนฉันจะยื้อได้อีกไม่นานแล้วนะ…”

ลอร่ายังคงปีนป่ายขึ้นไป

อย่างรวดเร็ว อีกไม่นานเธอก็จะขึ้นไปจนถึงยอดของต้นไม้แล้ว!

ระยะทางหนึ่งหมื่นเมตร สำหรับมืออาชีพน่ะ มันไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย!

สำหรับวิหคหนามแล้ว แค่นี้นับว่าเล็กน้อย!

เด็กสาวมองไปยังสายฟ้าสีแดงเข้ม

แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าสายฟ้านั่นคืออะไร แต่เธอสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายที่อยู่เบื้องหลังมันได้อย่างชัดเจน

ลอร่าเร่งความเร็วของเธอมากขึ้นอีกครั้ง

สายฟ้าสีแดงเข้มค่อยร่วงตกลงใส่กู่ฉิงซาน

และลอร่าจะไม่มีทางยอมให้มันเกิดขึ้น แม้จะเหลืออีกสามขั้นสุดท้าย แต่เธอก็เลือกที่จะกระโดดข้ามผ่านมันโดยตรง ขึ้นไปทิ้งตัวลงบนยอดต้นไม้

เธอเร่งผุดลุกขึ้น บนยอด ปากอ้าตะโกนเสียงดัง “พระแม่แห่งรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ เราปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับจากท่าน!”

รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เปล่งรังสีแสงมรกตออกมา

รังสีแสงเหล่านี้ ผสานรวมกันบนยอดต้นไม้ โถมเข้าไปห่อหุ้มตลอดทั้งร่างกายของลอร่าโดยสมบูรณ์

คู่ปีกสีเขียวเข้มเล็กเบื้องหลังเธอผุดออกมา ก่อนจะค่อยๆ ยืดขยายออกจนมีความยาวเท่ากันกับความสูงของเด็กสาว

รังสีแสงมรกตค่อยๆ จางหายไป ขณะเดียวกันคู่ปีกก็เริ่มเปล่งประกายกระจ่างใสดั่งคริสทัล

พร้อมกันกับใบไม้เรืองแสงสามใบที่โผล่ออกมาจากปีกอย่างเงียบๆ

สามใบไม้เรืองแสงปรากฏขึ้น และผลุบหายเข้าไปอีกครั้งในปีกของเธอ

ลอร่าจ้องมองฉากที่เกิดขึ้นนี้ด้วยความประหลาดใจ

โดยไม่คาดคิด หลังจากที่ตนสามารถบรรลุพิธีก้าวขึ้นสู่วัยผู้ใหญ่ได้ รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์กลับมอบของขวัญครั้งใหญ่ให้เธออย่างกะทันหัน!

โดยปกติแล้ว วิหคนามจะได้รับพรจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เพียงใบเดียวเมื่อพวกเขาสามารถปลุกตนให้ตื่นขึ้น

แม้กระทั่งสมาชิกของราชวงศ์ก็เช่นกัน

มีเพียงกษัตริย์แห่งหนามเท่านั้นจึงจะได้รับพรถึงสองใบ

อย่างไรก็ตาม เหนือยิ่งกว่ากษัตริย์แห่งหนามที่พระแม่ชมชอบ ท่ามกลางสายธารแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน เธอกลับได้รับพรถึงสามใบ!

ทั้งสามใบที่อยู่กับลอร่านี้ เป็นตัวแทนของพรสามประการที่แตกต่างกันออกไป

เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของที่ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา

เวลานี้ เธอสามารถใช้พรสวรรค์ของตนได้อย่างเต็มที่แล้ว!

ในขณะเดียวกัน มงกุฎหนามที่ถูกถักทอ ร้อยเรียงมาจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามก็ลอยออกมา และค่อยๆ ตกลงเหนือศีรษะของลอร่า

“องค์กษัตริย์ทรงพระเจริญ!”

“องค์กษัตริย์ทรงพระเจริญ!”

ทหารพิทักษ์ต่างเริ่มโห่ร้อง

“แท้จริงแล้วท่าน…เป็นอัจฉริยะสินะ…” อีเลียพอได้เห็นฉากนี้ ก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป เธอพึมพำด้วยความตื่นเต้น

แต่แล้วลอร่าก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่ตัวเธอเองต้องทำ

เธอก้มลงมองไปยังเบื้องล่าง

สายฟ้าข้ามผ่านระยะยอดต้นไม้หนึ่งหมื่นเมตรไปแล้ว และกำลังจะร่วงตกลงบนกู่ฉิงซานและดาบยาวของเขาบนพื้นดิน

ลอร่าเร่งร้องตะโกนออกไป “ในนามของกษัตริย์แห่ง

จักรพรรดินีหลี่อันจ้องมองมาไปยังกู่ฉิงซาน

เธอต้องการจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของอีกฝ่าย เธอก็กลืนมันลง แต่ก็ไม่คิดถอนตัวจากไป

แม่มารถอนหายใจ ก่อนจะลากตัวเธอออกมาไปหยุดในจุดที่ห่างออกไป

“ลืมมันเถอะ หากเป็นผู้ที่ไม่คำนึงถึงชีวิตและความตายของตัวเองแล้ว ต่อให้เป็นพวกเรามารสวรรค์ ก็คงจะไม่มีวิธีใดช่วยเหลือเขาได้” แม่มารกล่าว

สายตาของหลี่อันยังคงตรึงอยู่บนร่างของกู่ฉิงซาน ขณะเดียวกันก็ยังคงถูกฉุดดึงออกไปข้างนอก

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีผู้ใดอยู่ในระยะพิสัยของทัณฑ์สวรรค์อีกต่อไป

กู่ฉิงซานจึงเริ่มทำการโจมตีขอบเขตทันที

เขากระตุ้นพลังวิญญาณในตันเถียน ขับเคลื่อนมันกระแทกเข้าใส่จุดลมปราณแรก

ด้วยการกระแทกนี้ ส่งผลให้พลังวิญญาณจากทั่วทั้งร่างกายถูกกระตุ้น และร่วมกันไหลไปโจมตีจุดต่อไป

กฎแห่งฟ้าดินตระหนักถึงสัญญาณการตัดผ่านของเขาทันที

ท่ามกลางเมฆหมอก สายฟ้าปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระเบิดสาดแสงและเงาออกมาอย่างไม่รู้จบ

เห็นแค่เพียงมังกรสายฟ้าที่เจาะมวลเมฆและน้ำที่ขวางกั้นออกมา คู่ดวงตาสายฟ้าสีม่วงของมันจ้องเขม็งมายังกู่ฉิงซานชนิดหัวชนฝา

โฮก!

มังกรสายฟ้าอ้าปากกว้าง ว่ายตัดสายลมลงมายังเบื้องล่าง

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงมัน เขาลืมตาขึ้น และกระโจนออกจากฟูกทันที

เขากวาดมือไปคว้าดาบพิภพจากในความว่างเปล่า ทั้งคนทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นรังสีดาบสีนวลผ่องพุ่งเข้าหามังกรสายฟ้า

เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!

รังสีดาบและมังกรสายฟ้าปะทะกันกลางอากาศในทันใด

ปัง!

รังสีดาบสามารถกระแทกมังกรสายฟ้าให้กระเด็นออกไป จนตัวมันเองสูญเสียการควบคุม ถูกเบนทิศทางไปฟาดเข้าใส่ตึกนอกจัตุรัส

ขณะเดียวกัน ทันทีที่ตัวตึกสัมผัสกับมังกรสายฟ้า ตัวตึกก็สลาย หายวับไปทันทีมิอาจมองหาร่องรอยได้อีกเลย

มังกรสายฟ้ายักษ์ส่ายหัวไปมา และเริ่มโผบินอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้า รังสีดาบสีนวลผ่องกระจัดกระจายออก เผยให้เห็นถึงร่างของกู่ฉิงซาน

บนร่างกายเขา บัดนี้ไหม้เกรียม ปรากฏถึงสีดำอยู่หลายจุด

รังสีดาบน่ะเป็นที่รู้จักกันดีว่ามันสามารถต้านทานได้ตลอดทั้งหมื่นกฎเกณฑ์ แต่แท้จริงแล้วบัดนี้กลับมิอาจต่อต้านผลกระทบจากมังกรสายฟ้าได้!

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเม็ดยารักษาออกมากิน

เขาดูจะประหลาดใจ ปากบ่นพึมพำ “มันร้ายกาจขนาดนี้ได้อย่างไร?”

ระหว่างนั้นเอง ในอากาศที่ว่างเปล่า เสียงของผู้หญิงได้ดังขึ้น “นายน้อย ใช้ข้าสิ”

“หืม?” เจ้ามีวิธีรับมือกับมันหรือ?

“ข้าสามารถทำลายสายฟ้าได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อสายฟ้าระเบิด ช่วงระยะโจมตีของมันจะกว้างเกินไป ท่านต้องระวังให้ดี”

“เข้าใจแล้ว”

กู่ฉิงซานพยักหน้า เขาเก็บดาบพิภพเข้าไปในความว่างเปล่า และดึงดาบขุนเขาเทวะหกโลกามาแทน

ใต้ท้องฟ้าเบื้องล่าง มังกรสายฟ้าทะยานตัวกลับมาหาเขาอีกครั้ง

กู่ฉิงซานจี้ปลายดาบลง

เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยวแปดครั้งซ้อน!

เสียงกระหึ่มของรังสีดาบพวยพุ่งออกมาจากปลายดาบขุนเขาเทวะ ร่วงตกลงมาราวกับสายธารหลากจากฟากฟ้า

มังกรสายฟ้ามิคิดหลีกเลี่ยง มันเลือกปะทะกับรังสีดาบโดยตรง เกิดเสียงระเบิดดังต่อเนื่อง ทั้งตัวมันยังทะยานขึ้นมาเหนือท้องฟ้าที่กู่ฉิงซานยืนอยู่อย่างบ้าคลั่ง

จนกระทั่งในที่สุดเมื่อมันอยู่ห่างจากกู่ฉิงซานไม่ถึงสองร้อยเมตร มังกรสายฟ้าก็ส่งเสียงครวญน่าอนาถ ทั้งร่างของมันแตกกระจาย ปรากฏถึงเส้นสายฟ้า คล้ายงูเล็กแหวกว่ายไปทั่ว ก่อนที่ทั้งหมดจะทยอยกันกลับไปยังเมฆที่เป็นแหล่งกำเนิดโทษทัณฑ์

กู่ฉิงซานจึงค่อยคลายใจลง

ด้วยรังสีดาบที่แฝงไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ‘แหกกฎ’ ของฉานนู่ มังกรสายฟ้าก็พ่ายแพ้ลงในที่สุด

ในช่วงเวลาว่างเว้นให้พักหายใจ เขาก็เร่งหยิบเม็ดยาอื่นออกมา และโยนมันเข้าปากทันที

เบื้องบนท้องฟ้ายังคงเงียบ

เมฆแหล่งกำเนิดโทษทัณฑ์เงียบงัน ไม่ตอบสนองสิ่งใดในเวลานี้

“ยอดไปเลย! ไปได้สวยนี่นา ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องทำได้กู่ฉิงซาน!” ลอร่าถอนหายใจโล่งอก เธอตะโกนด้วยรอยยิ้ม

“ไม่หรอกลอร่า สถานการณ์จริงๆ แล้วไม่ได้ดีอย่างที่ท่านคิด” อีเลียกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

“อ้าว? ทำไมถึงไม่ล่ะ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาล้มมังกรสายฟ้าลงได้แล้วนี่” ลอร่าเอ่ยถาม

“มังกรสายนั่นเป็นเพียงกึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีจิตนึกคิด มันถูกสร้างขึ้นโดยการตอบสนองต่อฟ้าดิน แต่แท้จริงแล้วนี่คือจุดเริ่มต้นของทัณฑ์สวรรค์” อีเลียอธิบาย

จักรพรรดินีหลี่อันที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งพยักหน้าและกล่าว “เป็นดังนั้น แท้จริงแล้วอำนาจของสายฟ้าสวรรค์มิได้ถดถอยลงเลย”

“มันกำลังรวบรวมพลัง และอย่างน้อยก็คงจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า! ยิ่งนาน อำนาจทัณฑ์สวรรค์ก็ยิ่งทะยานสูงขึ้น” หลี่อันกล่าว

แม่มารช่วยเสริม “มังกรสายฟ้านั่นเป็นเพียงอารัมภบทของทัณฑ์สวรรค์ จากนี้ไปต่างหากจึงจะเป็นของจริง”

เธอถอนหายใจและส่ายหัว “สถานการณ์นี้ ด้วยการตัดสินใจของเขา ข้าเกรงว่าเขาจะไม่สามารถผ่านมันไปได้”

“เหตุใดท่านแม่ถึงแน่ใจนัก?” หลี่อันเร่งถาม

“เพราะแม้กระทั่งในตอนจัดการกับมังกรสายฟ้า เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บเลย ฉะนั้นมิต้องกล่าวถึงทัณฑ์สายฟ้าที่กำลังจะรุนแรงมากขึ้นยิ่งกว่านี้ เจ้าคงจะรู้แล้ว ว่าหากถูกโจมตีเต็มๆ แม้เพียงหนึ่งครั้งโดยสายฟ้าดับจิตเทวะ จิตวิญญาณของคนผู้นั้นจะดับสูญ และโอกาสที่จะไปเกิดใหม่อีกครั้งจะไม่มีอีกต่อไป”

แม่มารกล่าวต่อ “หลังจากที่จิตวิญญาณดับสูญโดยสายฟ้าดับจิตเทวะแล้ว สายฟ้าก็จะเปลี่ยนรูปไปอีกแบบ และพลังของมันที่อยู่ในโลกใบนี้ก็จะรุนแรงกว่าปกติถึงหลายเท่า”

“กระทั่งข้าเองก็ยังมิอาจจินตนาการได้เลย ว่าทัณฑ์สายฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปจะกลายเป็นอะไร”

หลี่อันเมื่อได้ยินมาถึงจุดนี้ เธอก็ค้นพบว่าอีกฝ่ายแทบจะไม่มีโชคเลย

เธอกัดฟัน และเหวี่ยงบางสิ่งจากแขนเสื้อขึ้นสู่ท้องฟ้า

มันเป็นกล่องเล็กๆ สีดำที่ดูประณีต เมื่อมันถูกโยนออกไป ก็ดึงดูดความสนใจจากมารสวรรค์ทั้งปวง

“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ! ต้องการจะถูกสังหารลงโดยทัณฑ์สายฟ้าหรือไร?”

แม่มารตวาดเสียงแหลม

“มิใช่ นั่นเป็นเพียงชุดเกราะรบเท่านั้น การกระทำนี้ของข้า ทัณฑ์สวรรค์ย่อมไม่คิดใส่ใจ” หลี่อันตอบ

“เป็นเพียงเกราะรบ?” แม่มารถอนหายใจ น้ำเสียงของเธออ่อนลง “หากเป็นสิ่งที่ทัณฑ์สวรรค์อนุญาตก็แล้วไป แต่เรื่องนี้มันก็น่าแปลก เจ้าหนูนั่นเป็นผู้ฝึกดาบแท้ๆ ต่อให้ห้าวหาญเพียงใด แต่การที่ไม่มีเกราะรบอยู่บนร่างกายมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”

“ใช่ หากเขามีเกราะรบ เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้ ดังนั้นข้าเลยมอบชุดเกราะรบมารสวรรค์ให้แก่เขา อย่างน้อยก็น่าจะช่วยเขาต้านทานสายฟ้าสวรรค์ได้” หลี่อันกล่าว

ขณะที่หลายคนกำลังสนทนา กลับได้ยินเพียงเสียง ‘พลั่ก’ จากด้านหลังของพวกเขา

เป็นลอร่าที่ล้มลงกับพื้น

อีเลียเพียงก้มลงมองอีกฝ่ายที่กำลังสั่นสะท้าน เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีสถานการณ์บางอย่างผิดปกติ

“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?” เธอเร่งถาม

“เกราะรบ…” ลอร่างึมงำ

อีเลียพอได้ฟังก็นึกออกทันที

เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ฝ่าบาท การข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในครั้งนี้มิใช่เรื่องตลก เวลานี้ไม่สนุกแล้ว ท่านจงเรียกเกราะรบล่องหนของท่านกลับคืนเสีย เขาจะได้สวมใส่เกราะรบของจักรพรรดินีมารสวรรค์ไปใช้ต้านทานสายฟ้าสวรรค์”

“…ไม่ เราไม่สามารถเรียกมันกลับมาได้” ลอร่าก้มหน้าและกล่าว

ไม่สามารถเรียกกลับมาได้?

อีเลียช็อก

เดิมทีแล้วทุกสิ่งของราชวงศ์หนามจะมีตราของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ประทับอยู่ และยามใดที่ราชวงศ์ต้องการที่จะได้รับสิ่งนั้นกลับคืน พวกเขาสามารถสื่อสารกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม และเรียกมันกลับคืนมาได้เลยโดยตรง

นี่เป็นความลับที่รู้กันเฉพาะคนในราชวงศ์และสองนายพล

อย่างไรก็ตาม ลอร่ากลับบอกว่าเธอไม่สามารถเรียกมันกลับคืนมาได้

แต่เธอยังไม่ทันที่จะได้คิดเกี่ยวกับมัน จู่ๆ ในหูของเธอก็ได้ยินเสียงตะโกนดังแว่วเข้ามา “ทำไมจึงเป็นเช่นนี้!”

อีเลียหันขวับไปมอง

เห็นแค่เพียงชุดเกราะของมารสวรรค์ที่ลอยขึ้นไป แยกออกเป็นสัดส่วน ว่ายวนรอบตัวกู่ฉิงซาน แต่มันกลับไม่ประกบร่างให้เขาสวมใส่

สถานการณ์ในตอนนี้ เป็นเช่นเดียวกันกับในตอนที่อีเลียมอบชุดเกราะรบนายพลหนามให้แก่กู่ฉิงซาน

ชุดเกราะรบมารสวรรค์บินกลับมาอีกครั้ง กลับคืนสู่กล่องใบเล็ก และตกลงบนเท้าของจักรพรรดินีหลี่อัน

เมื่อเห็นแบบนั้น อีเลียก็ยิ่งสับสนมากขึ้น

ปากเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “บางที…ชุดเกราะรบนั่นมันอาจจะมีจิตสำนึกหรือเปล่า? บางทีมันอาจจะยอมรับเขาเป็นเจ้าของแล้ว? ไม่น่าจะใช่ เพราะหากเป็นในกรณีนั้นเกราะรบสมควรถูกเปิดใช้งานแล้ว”

“ชุดเกราะรบอื่นๆ ไม่สามารถสวมทับบนร่างกายเขาได้…นี่มันเรื่องอะไรกัน…”

แต่ในตอนนั้นเอง ประกายแสงก็ได้วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของเธอ

อีเลียตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่างที่ทำให้เธอสั่นสะท้าน

คงไม่หรอกมั้ง

ช่วงเวลานั้นเอง ใครบางคนก็ได้กระตุกมือเธอ

อีเลียก้มลงมอง และพบว่าเป็นลอร่า

“อีเลีย เจ้าจำได้ไหมว่าในครั้งอดีต เคยมีกษัตริย์หนามที่สามารถปลุกลี้ภัยแห่งหมื่นโลกาได้เช่นเดียวกันกับข้า และครั้งหนึ่ง เขาเคยได้ย่างกรายเข้าไปในโลกที่ล่มสลาย และได้นำเกราะรบชุดหนึ่งกลับมา”

“กระหม่อมจำได้” หัวใจของอีเลียเต้นถี่ขึ้น รัวขึ้น

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

ไม่ มันเป็นไปไม่ได้!

ทว่าแม้จะคิดแบบนั้น แต่ลอร่ากลับพยักหน้าให้แก่เธอ

“ใช่ เป็นเราเอง ที่มอบชุดเกราะนั่นให้แก่เขา”

ลอร่าสารภาพเสียงแผ่วเบา คล้ายกับเด็กที่กำลังทำผิด ด้วยน้ำเสียงที่เธอไม่เคยใช้มาก่อน

“ฝ่าบาท…แบบนี้มัน…”

อีเลียช็อกไปแล้วโดยสิ้นเชิง

ลอร่าส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว เราเข้าใจดี ว่านี่มันเป็นความผิดของเราเอง”

“ท่านรู้ใช่ไหมว่าไม่ควรให้เขายืมชุดเกราะนั่น?”

“ใช่ เราไม่ควรมอบมันให้กับเขา…ไม่ควรมอบให้ทั้งๆ ที่ยังไม่สามารถปลุกมันให้ตื่นขึ้นมา ดังนั้นเราจะปลุกมัน แล้วมอบมันให้แก่กู่ฉิงซาน!”

“เวลานี้ ไม่ใช่สถานการณ์ที่เราจะมามัวซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขาแล้ว!”

“ตอนนี้ คือช่วงเวลาที่เราจะต้องเอาชนะความหวาดกลัวในจิตใจ!”

ลอร่ากล่าว และลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

ทุกคำพูดของเธอ ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

“อีเลีย”

“กระหม่อมอยู่นี่”

“บอกทุกคนให้มาเฝ้าดูพิธี”

“น้อมรับคำสั่ง”

อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นที่จะต้องให้อีเลียเอ่ยสั่ง ทหารพิทักษ์ทั้งหมดที่ล้อมรอบตัวลอร่าพลันคุกเข่าลงข้างหนึ่งทันที

พวกเขามิเอ่ยคำใด เพียงเฝ้ารออย่างเงียบๆ สำหรับช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึง

ช่วงเวลาที่ลอร่าหลบเลี่ยงมันตลอดมา

ลอร่าดึงกริชเล็กๆ ขึ้น และเฉือนลงบนปลายนิ้วของเธอ และยกนิ้วที่เปื้อนเลือดขึ้นมาแปะบนหน้าผาก

“พระแม่แห่งรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ เราพร้อมแล้ว…ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่!” ลอร่าพึมพำ

ทันทีที่เสียงของเธอตกลง รัศมีแสงสดใสพลันสาดออกมาจากระหว่างคิ้วของเธอ พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

นี่คือแสงสดใสอย่างหาที่ใดเปรียบ มันเหนือล้ำยิ่งกว่าอำนาจของโลก กระทั่งทัณฑ์สวรรค์ก็ยังถูกบดบังด้วยรังสีของแสงนี้

แสงที่ราวกับไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถทะลวงผ่านได้

อำนาจอันยิ่งใหญ่ถ่ายเทออกมาจากแสงสว่าง

ทหารพิทักษ์ต่างเผยถึงสีหน้าตื่นเต้น ทั้งตนทั้งร่างสั่นไหว ปากสรรเสริญเป็นเสียงเดียวกัน “องค์กษัตริย์ทรงพระเจริญ!”

อีเลียที่กำลังมองลอร่า ยิ้มด้วยความสุข “ฝ่าบาท ท่านต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะ พระแม่แห่งรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ถึงท่านแล้ว และมันกำลังจะมายังโลกใบนี้!”

ลอร่าพยักหน้ารับเบาๆ

เธอแหงนหน้าขึ้นไปมองแสงที่สาดทอลงมาจากสถานที่ไกลแสนไกล ปากเปล่งเสียงกระซิบ “พระแม่แห่งรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ เราขอให้คำมั่นสาบานว่าเราจะไม่หวาดกลัวพิธีกรรมนี้อีกต่อไป”

“เพราะท้ายที่สุดนี้ มีเพียงวิหคหนามที่ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เท่านั้น จึงจะสามารถถือครองราชบัลลังก์ที่แท้จริงได้”

“และมีเฉพาะเพียงกษัตริย์แห่งหนามเท่านั้น…ถึงจะสามารถปลุกเกราะรบแห่งกษัตริย์ให้ตื่นขึ้นมาได้!”

……………………………………….

เดิมทีจักรพรรดินีหลี่อันได้ตระเตรียมวิธีการรับมือกับบรรดาราชาภูตเอาไว้มากมาย

ตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังคิดไปไกลว่าจะต้องมอบรางวัลใด จึงจะสามารถสร้างความประทับใจแก่ราชาภูตได้

ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เป็นดั่งที่คาด เพราะเพียงแค่พวกมันได้เห็นถึงฉากสงครามในโลกปรภพ เหล่าราชาภูตก็ตอบรับโดยไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขใดๆ ทันที

“เช่นนั้น พวกเรามาลงนามสัญญากัน” จักรพรรรดินีหลี่อันกล่าว

“มัวรออะไรอยู่ เอาสัญญามา!” ราชาภูตผีศพเร่งเร้า

เมื่อเห็นใบไม้ของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามที่หลี่อันนำออกมา เหล่าราชาภูตรีบคว้ามัน และทยอยกันลงนามด้วยความปีติ

กระบวนการทั้งหมดนั้นช่างง่ายดายและรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าสิ่งต่างๆ เสร็จสิ้นลงแล้ว กู่ฉิงซานก็ประสานฝ่ามือ โค้งกายไปทางอีกฝ่าย “ขอบพระคุณทุกท่าน ไว้พวกเราค่อยมาเจอกันอีกคราในเร็วๆ นี้”

“ฮ่าๆๆ แล้วข้าจะตั้งตารอ!” ราชาภูตผีโหยกล่าว

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก พวกเราทุกคนน่ะต่างก็เป็นราชาภูต นับจากนี้ไปอย่างไรเสียก็คงจะได้พบเจอกันอีกในอนาคต” ราชาภูตผีศพกล่าว

“ฉะนั้นมาสร้างไมตรีกันไว้ย่อมดีกว่า จะได้มีมิตรสหายไว้คอยช่วยเหลือ ใช่ไหมราชาภูตผีปรภพ?” ราชาภูตผีศพเอ่ยถาม

“แน่นอน หากได้สหายเพิ่มขึ้นอีกสักสองสามคน ข้าเองก็ยินดี” กู่ฉิงซานหัวเราะ

เมื่อเห็นทัศนคติของอีกฝ่าย ผีศพก็หยิบช้อนหยกออกมา และโยนมันให้แก่กู่ฉิงซาน

“นั่นคือตราสัญญาณของข้า เจ้าสามารถใช้มันเพื่อติดต่อกับข้าได้ตลอดเวลา” ผีศพกล่าว

เมื่อผีกระหายเลือดกับผีโหยเห็นแบบนั้น พวกมันก็เริ่มหยิบตราสัญญาณของตนเองออกมา และมอบให้กับกู่ฉิงซาน

ตราสัญญาณของผีโหยเป็นก้อนข้าว ขณะที่ตราสัญญาณของผีกระหายเลือดเป็นขวดน้ำเต้า

กู่ฉิงซานที่กำลังถือตราสัญญาณทั้งสามชนิดนี้ เมื่อมองลงไป เขาก็รู้สึกคล้ายว่าตนกำลังเตรียมที่จะตั้งโต๊ะรับประทานอาหารอย่างไรอย่างนั้นเลย

เขาพลิกมือและเก็บตราสัญญาณก่อนเป็นอันดับแรก

ในเวลานี้ ราชาภูตทั้งสามต่างก็มองเขา และเฝ้ารอรับตราสัญญาณจากเขาอยู่

กู่ฉิงซานเริ่มเกิดอาการปวดหัว

เขาไม่มีตราสัญญาณ ที่ตนมีติดตัวและสามารถใช้สื่อสารได้ ก็คงจะมีเพียงยันต์สื่อสาร แต่นั่นมันสามารถใช้งานได้ครั้งเดียวและมีระยะจำกัด

หากเป็นในตลอดทั้งหมื่นโลกา เขาไม่มีสิ่งใดที่สามารถใช้สื่อสารแบบทะลวงมิติได้เลย

แต่แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ข้าไม่มีตราสัญญาณที่จะให้พวกเจ้า แต่ทุกคนสามารถมาเยี่ยมเยือนข้าได้ที่สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม”

ผีศพอดไม่ได้ที่จะกล่าว “ข้าเหมือนจะจดจำได้ว่า ที่นั่นคือชื่อสถานที่ในโลกมิติอนันต์ใช่หรือไม่?”

“โอ้ ใช่แล้วล่ะ” กู่ฉิงซานยืนยัน

สามราชาภูตมองหน้ากัน ในหัวใจของพวกมันต่างสั่นสะท้าน

ราชาภูตผีปรภพผู้นี้ สามารถอาศัยอยู่ในโลกมิติอนันต์ได้ นั่นหมายความว่าเขาจะต้องมีสัมพันธ์ที่ดีกับอย่างน้อยหนึ่งตัวตนทรงอำนาจ!

ต้องรู้นะว่าตลอดทั้งโลกมิติอนันต์ เป็นศูนย์กลางของตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ

และในโลก เก้าร้อยล้านชั้น ตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการคือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด!

สามราชาภูตถอนหายใจอย่างลับๆ ความระแวงสงสัยที่ยังอยู่ลึกเข้าไปในหัวใจ บัดนี้สลายไปอย่างไร้ร่องรอย

แต่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ทราบหรอก ว่าจริงๆ แล้วที่กู่ฉิงซานได้ไปเจอแบรี่กับเสี่ยวเหมียว จนได้เข้าร่วมกับสมาคมน่ะ มันเป็นเพราะเสี่ยวถายไหว้วานเขาไปส่งของ เสี่ยวถายเป็นจุดเริ่มต้นให้เขากับสมาคมกำปั้นเหล็กได้รู้จักกัน และพัฒนาความสัมพันธ์จนเป็นดั่งเช่นในปัจจุบันนี้

แต่ไม่ว่าระหว่างกระบวนการมันจะผิดเพี้ยน หรือแปลกประหลาดมากเพียงใด อย่างไรเสียการได้รู้จักกับตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการก็นับว่าน่าอัศจรรย์ใจอยู่ดี

หมอกค่อยๆ จางหายไป

ราชาภูตทั้งสามกลับไปยังโลกผีของตน และเฝ้ารอคอยให้ทัณฑ์สวรรค์เรียกตัวอย่างอดทน

ในที่สุด ขั้นตอนที่ยากที่สุดก็จบลงเสียที

กู่ฉิงซานพยักหน้าให้กับทุกคน เดินกลับไปที่ฟูก และนั่งลงอย่างช้าๆ

“ข้าจะปรับสภาวะตน และเตรียมข้ามผ่านโทษทัณฑ์แล้วนะ”

พอได้ยิน มารสวรรค์ตนแล้วตนเล่า ก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไป

พวกเธอทั้งหมดต่างรู้ดี ว่าอำนาจของโทษทัณฑ์น่ะใหญ่หลวงนัก ยิ่งเป็นในโลกใบนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง

“ช้าก่อน!” แม่มารตะโกนขัด

กู่ฉิงซานหันไปมองเธอ

“การที่เจ้าคิดหมายว่าจะใช้ทัณฑ์สายฟ้ากำราบกองทัพสัตว์ประหลาดผี นับว่าเป็นความคิดที่วิเศษยิ่งก็จริง” แม่มารเริ่มเอ่ยปาก

“แต่ในโลกใบนี้ เทพบรรพกาลได้รังสรรค์กฎเกณฑ์ ส่งผลให้อำนาจของสายฟ้าสูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก ข้าว่าไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์ประหลาดผี เกรงว่าจะเป็นตัวเจ้าเองเสียมากกว่า ที่ถูกกลบฝังภายใต้ทัณฑ์สายฟ้านี้ก่อนพวกมัน เรื่องนี้เจ้าเองก็น่าจะกระจ่างใจดีมิใช่หรือ?”

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ข้ามีลางสังหรณ์จริงๆ ว่าทัณฑ์สวรรค์นี้ อาจจะเป็นทัณฑ์ที่ยากเย็นที่สุดในชีวิตของข้า ทว่าในเมื่อลูกธนูถูกขึงลงบนเชือกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรมันก็จักต้องถูกยิงออกไป”

ลอร่าที่กำลังรับฟังอยู่ สีหน้ากลายเป็นไม่สู้ดีทันที

เธอดึงแขนเสื้ออีเลียอย่างเงียบๆ

“ฝ่าบาท มีอะไรงั้นหรือ?” อีเลียถาม

“เขาจะเป็นอันตรายรึเปล่า?” ลอร่าถาม

อีเลียอธิบาย “เนื่องจากสายฟ้าในโลกใบนี้ได้รับการอวยพรจากเหล่าทวยเทพ ดังนั้นสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญ ย่อมอันตรายเป็นอย่างมาก”

“ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมเขาจะต้องฝืนทำมันต่อไปด้วย? ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็น่าจะเข้าใจดีที่ที่สุดแล้ว” ลอร่ากล่าว

อีเลียยิ้มอย่างขมขื่น “สำหรับเรื่องทัณฑ์สวรรค์ ปกติก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดยืนยันถึงเรื่องสำเร็จหรือล้มเหลวออกมาอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับทัณฑ์สวรรค์ที่ถูกเสริมอำนาจหลายเท่า ท่านลองดูพวกมารสวรรค์สิ ”

ลอร่าเบนสายตาออกไป

เห็นแค่เพียงสีหน้าของมารสวรรค์ที่เคร่งเครียด และถอยห่างไกลออกไป

พวกมันค่อยๆ เว้นระยะห่างจากตำแหน่งของกู่ฉิงซาน

“พวกเราก็ถอยกันเถิด หากอยู่ในระยะพิสัยทัณฑ์สวรรค์ จะยิ่งเป็นการเพิ่มความยากลำบากให้แก่เขา” อีเลียกล่าว

ว่าจบ เธอก็สั่งการทหารพิทักษ์ เคลื่อนกระบวนทัพนำพาลอร่าไปยังอีกด้านหนึ่ง

ในหัวใจของลอร่าเริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้น เธอเอ่ยถามเสียงกระซิบ “พวกเราไม่มีวิธีที่พอจะช่วยเขาได้เลยหรือ?”

อีเลียส่ายหัว และกล่าว “เมื่อผู้ฝึกยุทธ์คิดจะตัดผ่านขอบเขต พวกเขาจะตระเตรียมเม็ดยา ค่ายกล อาวุธ เกราะรบ ยันต์ ฯลฯ ไว้เพื่อป้องกันตนเองอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านั้นได้รับอนุญาตจากกฎเกณฑ์แห่งทัณฑ์สวรรค์ว่าให้สามารถใช้ได้”

“หากทั้งหมดที่กล่าวมาได้รับอนุญาต ข้าเชื่อว่าเขาก็ย่อมต้องเตรียมมันไว้พร้อมแล้วเช่นกัน ต่อจากนี้ไปก็พวกเราก็ทำได้แค่ดูว่าเขาจะสามารถต้านทานทัณฑ์สายฟ้าในครั้งนี้ได้หรือไม่”

อีเลียสังเกตเห็นถึงความกังวลของลอร่า เธอเลยเตือนออกไป “ลอร่า ท่านจงจำเอาไว้ให้ดี ว่านี่คือหนทางที่เขาเป็นคนเลือกเดินเอง ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเขาได้ หากเข้าไป เกรงว่ามันจะเป็นการกระตุ้นให้ทัณฑ์สวรรค์แข็งกร้าวขึ้นยิ่งกว่าเดิม”

ลอร่าแทบหยุดหายใจ เธอเงียบไปนานก่อนจะอุทานอย่างแผ่วเบา “แต่…เกราะรบของเขา…”

อีเลียพอได้ยิน ก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ทันที

“จริงสิ” เธอหันไปมองลอร่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ก่อนหน้านี้ข้าต้องการที่จะมอบชุดเกราะรบนายพลหนามให้แก่เขา แต่เขากลับไม่สามารถสวมใส่มันได้ ฟังจากที่เขาบอกมา ดูเหมือนว่าท่านจะมอบชุดเกราะรบให้แก่เขาไปก่อนหน้านี้แล้ว”

“ลอร่า ท่านให้เกราะรบล่องหนแก่เขาใช่หรือเปล่า? มันเป็นเกราะรบชนิดใดกัน?”

“เรา…”

สีหน้าของลอร่าเริ่มจะซีดเซียว

ในพิสัยเวลานี้ มีเพียงแม่มารกับหลี่อันเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ข้างๆ กับกู่ฉิงซาน

“กำลังจะเริ่มแล้วนะ พวกท่านก็ช่วยถอยออกก่อนเถอะ”

กู่ฉิงซานที่นั่งอยู่บนฟูก กล่าวทั้งที่ยังคงหลับตา

“เจ้าไม่ต้องมาใส่ใจข้าหรอก ข้าจะช่วยตรวจสอบดูให้ก่อน ว่าประสิทธิภาพของทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้สูงเพียงใด” แม่มารกล่าว

กู่ฉิงซาน“คงต้องรบกวนท่านแล้ว”

จิตใจของเขากวาดไปทั่วทั้งร่างกายอย่างอ่อนโยน เหนี่ยวนำพลังวิญญาณไปบรรจบกันที่ตันเถียน จัดเตรียมการเริ่มกระบวนการตัดผ่านในขั้นสุดท้าย

พลังวิญญาณในตันเถียนของเขาค่อยถูกรวบรวม มันพุ่งสูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงจุดที่กำหนด

ช่วงเวลาสำหรับการตัดผ่านกำลังใกล้เข้ามาแล้ว!

กฎแห่งฟ้าดินตระหนักได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาทันที

ในเสี้ยววินาที สายลมแรงกรรโชกมาจากทุกทิศทาง ก้อนเมฆหนาที่เป็นจุดเริ่มต้นของโทษทัณฑ์เริ่มม้วนเป็นเกลียว

ทันใดนั้นเอง กลุ่มก้อนสายฟ้าสีม่วงก็ผุดออกมาจากเมฆ และตกลงบนหัวมังกรสายฟ้าอย่างช้าๆ

สายฟ้าสวรรค์ไหลเข้าไปในดวงตาของมังกรสายฟ้า

โฮก!

เบื้องบนท้องฟ้า สายฟ้าจากเมฆฟาดผ่าลงมายังมังกร ถ่ายเทพลังอำนาจให้มันจนเกิดเสียงคำรามก้องอย่างต่อเนื่อง

ดวงตาที่เปล่งประกายพลันเปิดออก จ้องมองไปยังกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

สีหน้าของแม่มารแปรเปลี่ยนรุนแรง เธอตะโกนลั่น “มังกรสายฟ้าตนนี้มีจิตนึกคิด! นี่มันทัณฑ์สวรรค์ระดับขีดสุดความว่างเปล่า! กู่ฉิงซาน เจ้าจะตัดผ่านมันไม่ได้ จงเร่งสลายพลังวิญญาณในตันเถียนเดี๋ยวนี้!”

กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “ข้าต้องทนพยายามอย่างหนักจนกระทั่งมาถึงช่วงเวลานี้ และตอนนี้มันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ข้ามิอาจถอยหนีได้!”

แม่มารจ้องมองเขา และตระหนักได้ถึงความประสงค์ของอีกฝ่าย หลังจากที่ตนได้ขบคิดอย่างระมัดระวัง เธอก็หันไปขยิบตา ส่งสัญญาณให้แก่หลี่อัน

“มนุษย์ผู้นี้มีประโยชน์ต่อเราอย่างใหญ่หลวง หากเขาจะต้องจบชีวิตลงมันคงน่าเสียดายเกินไป เจ้าจงคิดหาวิธีหยุดเขาเสีย” เธอส่งเสียงผ่านความคิดอย่างเงียบๆ

หลี่อันพอได้ฟัง ก็ตอบกลับไป “ท่านแม่ เขาจะไม่สามารถข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในครั้งนี้ไปได้จริงหรือ?”

“โอกาสน้อยเกินไป ตอนนี้ตัวเขากำลังทะลวงโทษทัณฑ์ประทับเทพ แต่อำนาจของทัณฑ์สวรรค์กลับพุ่งสูงขึ้นถึงไปถึง 3 ขอบเขต ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มากพรสวรรค์เพียงใด อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องยากที่จะจัดการ” แม่มารกล่าว

ในหัวใจของหลี่อันเริ่มหนักอึ้ง เธอเร่งเค้นสมองอย่างรวดเร็ว จนบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นทันที

“กู่ฉิงซาน เจ้ายังจำอาจารย์ของเจ้าได้หรือไม่?” เธอเอ่ยปากออกมา

กู่ฉิงซานหยุดการตัดผ่านขอบเขตทันที เขาลืมตาขึ้นมองเธอ

หลี่อันไปรู้จักอาจารย์ของเขาได้อย่างไรกัน?

จริงสิ ในเวลานั้นท่านอาจารย์ได้ต่อสู้กับฉีหยานนี่นา ระหว่างนั้นหลี่อันก็กำลังเตรียมเทคนิคมนตรามารสวรรค์อยู่บนท้องฟ้า

ดังนั้นหลี่อันก็น่าจะได้เห็นนางเซียนไป่ฮั่ว และรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคืออาจารย์ของตัวเอง

กู่ฉิงซานถาม “เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์ของข้างั้นหรือ?”

“ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรอก แต่โลกมารสวรรค์น่ะเชื่อมโยงกับโลกเทวะของเจ้า ดังนั้นข้าอาจจะส่งเจ้ากลับไปได้ หากเจ้ายินดีที่จะกลับไปตัดผ่านในโลกเทวะ ไม่เพียงแต่อานุภาพของทัณฑ์สวรรค์จะลดทอนลง แต่เจ้ายังสามารถได้รับการแนะแนวทางจากอาจารย์ของเจ้า ซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนแรกที่สามารถตัดผ่านขอบเขตประทับเทพได้อีกด้วยนะ” จักรพรรดินีหลี่อันกล่าว

กู่ฉิงซานขบคิดและกล่าว “ฟังจากที่เจ้าพูดมา นั่นหมายความว่าโลกเทวะก็เชื่อมต่อกับหกวิถีแห่งสังสารวัฏด้วยอย่างงั้นสินะ?”

“จริงๆ แล้วก็ใช่” หลี่อันพยักหน้าตอบ

กู่ฉิงซาน “หากเป็นเช่นนั้น ได้โปรดส่งคำกล่าวของข้าไปมอบให้แด่ท่านอาจารย์ด้วย”

หลี่อันตกใจ “นี่เจ้ายังคิดที่จะตัดผ่านขอบเขตที่นี่อยู่อย่างงั้นหรือ?”

“ทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้ เป็นเส้นทางที่ข้าเลือกเดิน ฉะนั้นข้าจึงจำต้องก้าวออกไปเผชิญกับมัน”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “หากข้ามิอาจรอดพ้นจากทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้ไปได้ ขอเจ้าจงไปแจ้งให้อาจารย์ข้าทราบว่า การที่ข้าได้เข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผา ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทุกสิ่งอย่างข้าขอบคุณมากจริงๆ แม้จะยังไม่ได้ตอบแทน แต่หากชาติหน้ามีจริง ข้าจะข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาท่าน และสาบานว่าจะอุทิศทั้งชีวิตตอบแทนพระคุณ…”

…………………………………………………

ท่ามกลางหมู่ดาวอันไร้ที่สิ้นสุด

เรือเสากระโดงขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น

“พวกเราได้ออกจากโลกลำดับชั้นที่สี่มาเรียบร้อยแล้ว”

“ทำการยืนยันทิศทาง”

“กำลังจะเข้าสู่สนามรบในไม่ช้า”

“ส่งสัญญาณร้องขอเข้าร่วมสงครามออกไป”

“ช้าก่อน!”

สิ้นเสียง ไม่กี่ลมหายใจต่อมาก็ปรากฏเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากบนดาดฟ้าเรือ

เสียงฝีเท้านี้ยังคงวิ่งอย่างต่อเนื่อง ตรงเข้ามาในห้องของกัปตัน

“รายงานท่านประธานสมาคม! แนวหน้าได้ทำการยืนยันตัวตนของพวกเราแล้ว พวกเขาขอให้พวกเราเข้าร่วมสงครามในทันที!”

ชายชราที่มีเครายาวสีเงินหันหลังกลับมาหาผู้รายงาน ปากเอ่ยพึมพำ “เร่งด่วนขนาดนั้นเชียวหรือ? ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเลวร้ายกว่าที่คิดนะ”

ช้างๆ ชายชราเคราเงิน เป็นชายแก่หลายคนที่สวมชุดคลุมยาว ทั้งหมดต่างหันมามองหน้ากันและกัน และเห็นถึงความกังวลในแววตาของอีกฝ่าย

บางคนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “หลายร้อยกองกำลัง และหลายพันจักรวรรดิได้ผนึกกำลังกัน เข้าร่วมต่อสู้แล้ว แต่สถานการณ์สงครามยังวิกฤติอยู่อีกหรือ?”

“ยังไม่หมดเท่านี้ เหล่าตัวตนทรงอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดคนแล้วคนเล่าต่างก็ก้าวเข้าร่วมสงคราม ฉะนั้น มันไม่สมควรที่จะมีปัญหาใดๆ สิ” ชายแก่อีกคนหนึ่งกล่าว

แต่ในเวลานั้นเอง อีกคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาในห้องกัปตัน และเปล่งเสียงด้วยความกระวนกระวาย “รายงาน! อัลเบอัสได้ถูกกองทัพพันธมิตรของพวกเราล้อมเอาไว้หมดแล้ว แต่ทริสเต้ดันได้รับโลกของเธอไปเสียก่อน ส่งผลให้สถานการณ์ในที่แห่งนั้นหยุดชะงักไป!”

หลังจากนั้นก็มีอีกคนส่งข่าว วิ่งเข้ามาในห้องกัปตัน และบอกสถานการณ์ออกไป “รายงานท่านประธานสมาคม ระบบของราชามารได้ยกทัพมาแล้ว ตามข้อมูลที่ได้รับมา แม้กระทั่งนายพลมารที่แท้จริงหลายพันตนก็ยังเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วย!”

“นายพลมารที่แท้จริงหลายพันตน?” บางคนอุทานด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ครับ และในสงครามเต็มรูปแบบครั้งก่อน ก็เป็นพวกมันนี่แหละที่ออกหน้า จนสามารถคว้าชัยยึดเอาตลอดทั้งดินแดน จนกลายมาเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูได้”

“นี่มันช่างเลวร้าย”

“ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกมันจะเอาจริง”

ภายในห้องกัปตัน บังเกิดเสียงถกเถียงดังอื้ออึงขึ้น

บางคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “ ตลอดหลายพันปีมานี้ พวกเราก็เคยสู้กับพวกมันมาตั้งหลายครั้ง แต่พวกเรากลับไม่เคยเห็นพวกมันบ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อนเลย”

ภายในห้องกัปตันจู่ๆ ก็บังเกิดความเงียบขึ้น

ทุกคนต่างจมลงสู่ในห้วงความคิด

ระหว่างนั้นเอง ปรากฏถึงนกพิราบที่ไม่รู้ว่าบินมาจากที่ไหน โฉบลงมากลางวงสนทนา ก่อนจะเกาะลงบนไหล่ของชายชราเคราเงิน

ชายชราแกะกระดาษที่พันอยู่บนขานกพิราบออก เขาคลี่มันและกวาดสายตาอ่านเนื้อหาภายในอย่างจริงจัง

“ทุกคนลองดูนี่สิ นี่คือข่าวล่าสุดจากมือมืดที่ข้ามอบหมายให้ไปอยู่ในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู เขาได้ส่งข่าวมาให้แก่ข้า”

ชายชราส่งกระดาษให้กับคนข้างๆ

“จอมมารที่แท้จริงได้ออกเดินทางแล้ว และจะนำกองทัพบุกมายังแนวหน้าในไม่ช้า” บางคนที่รับกระดาษขึ้นมา อ่านด้วยน้ำเสียงเหม่อเลย

คนแล้วคนเล่าที่รับกระดาษมาอ่านต่อ ใบหน้าของพวกเขาเริ่มกลายเป็นซีดเซียว

แม้กระทั่งมารที่แท้จริงที่อยู่ใกล้เคียงกับอาณาจักรของราชามารก็ยังถูกส่งออกมา

หากเป็นเช่นนี้ สมดุลของสงครามคงจะเอนเอียงในไม่ช้า

ชายชราเคราเงินถอนหายใจและกล่าว “ดูเหมือนว่าโลกสมบัติของทริสเต้ จะมีสิ่งที่เผ่ามารต้องการเป็นอย่างมากอยู่ภายในนั้นเป็นแน่”

“และข้าเองก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันคือสิ่งใด ดังนั้นพวกเราจะต้องหยุดมันให้จงได้!”

สีหน้าของเขากลับกลายเป็นเคร่งขรึม

“ส่งคำสั่งของข้าออกไป”

“ให้สมาชิกทุกคนในสมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูงมุ่งสู่แนวหน้า เข้าร่วมสงครามทันที!”

เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา คนทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะยืดหลังตรงและขานรับลั่น “รับทราบ!”

ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาว เรือเสากระโดงยักษ์เริ่มปรับองศา หันหัวไปยังทิศทางหนึ่ง

ขณะเดียวกัน เรือใบนับพันที่แสนยิ่งใหญ่และมหึมา ก็เริ่มทยอยกันเร่งความเร็วขึ้น และไล่ติดตามเรือเสากระโดงยักษ์ไป

เบื้องหน้า…คือทิศทางมุ่งสู่สนามรบ!

อีกด้านหนึ่ง

ในโลกสมบัติของทริสเต้

ณ ภายในเมืองไห่เช่า

จักรพรรดินีหลี่อันเร่งท่องคาถายาวเหยียดอีกครั้ง เพื่อหมายจะเรียก ราชาภูตผีปรภพอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ภายในหมอกกลับไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ

คราวนี้เธอไม่เพียงแค่เธอที่ประหลาดใจ แต่แม้กระทั่งอีกสามราชาภูตก็ประหลาดใจเช่นกัน

“ท่านแม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

หลี่อันหันหลังกลับไปถามแม่มารด้วยความสับสน

ทว่ากลับเห็นแค่เพียงแม่มารที่กำลังจ้องมองตรงมาที่กู่ฉิงซานด้วยสีหน้าแปลกๆ

เธอกล่าว “สามราชาภูต โปรดใช้ตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ของพวกเจ้า ทำการตามหาราชาภูตผีปรภพให้ข้าด้วย”

ราชาภูตผีโหย ราชาภูตผีกระหายเลือด และราชาภูตผีศพ ได้ใช้ตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ของตน ตรวจจับตำแหน่งของราชาภูตแห่งปรภพอย่างระมัดระวัง

ในช่วงเวลาสั้นๆ สายตาของพวกเขาก็เบนมาตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน

“เจ้าเป็นราชาภูต…เป็นผีปรภพอย่างงั้นหรือ?” ราชาภูตผีกระหายเลือดพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“มนุษย์ผู้นี้เป็นคนกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์มิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงมีตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์อยู่กับตนเองได้?” ราชาภูตผีกระหายเลือด เอ่ยด้วยความสับสน

“น่าสนใจดีนี่ เจ้ามนุษย์ผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นผู้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ แต่ยังเป็นผู้ลงทัณฑ์ไปด้วยในขณะเดียวกัน นี่มันไม่ใช่เรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย” ราชาภูตผีศพกล่าว

แม่มารสวรรค์พึมพำ “ไม่ นี่มันไม่ถูกต้อง ปรภพคือสถานที่ของคนตาย แต่เขาคือ ‘คนเป็น’ จะกลายเป็นราชาภูตแห่งปรภพไปได้อย่างไร?”

เมื่อสถานการณ์มันดำเนินมาถึงจุดนี้ ผู้ชมต่างก็เริ่มรับรู้ได้ด้วยตนเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ว่ากู่ฉิงซานนั่นแหละ ที่แท้จริงเป็นราชาภูตผีปรภพ!

ลอร่ากรีดร้อง “กู่ฉิงซาน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เจ้าตายไปแล้วหรือ?”

หลี่อันก็หันมากล่าวกับเขาเช่นกัน “เจ้าไม่คิดจะอธิบายหน่อยหรือ?”

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบไม้เท้าออกมา

ตามด้ามจับของมันเป็นสีดำหมึก ส่วนหัวถูกประดับไว้ด้วยหัวกะโหลกเขาแหลม ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูต!

ซึ่งตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ที่บนตัวไม้เท้าบังเกิดเสียงเรียกที่ฟังดูคลุมเครือออกมา

และเสียงเรียกที่ว่า นั่นก็คือการเรียกขานผู้ลงทัณฑ์ของราชาภูตแห่งปรภพ!

เนื่องจากกู่ฉิงซานยังมีชีวิตอยู่ ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่ต้องการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ดังนั้นทัณฑ์สวรรค์จึงไม่สามารถมอบตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ให้แก่เขาโดยตรงได้ จึงมอบหมายมันให้แก่ไม้เท้าแห่งการจองจำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชาภูตแทน

กู่ฉิงซานลูบไล้ไม้เท้าแห่งการจองจำ ก่อนจะย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ตนต่อสู้ในนรก และอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ใช่ เป็นข้าเอง ข้าคือราชาภูตผีปรภพ”

“นั่นเป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่สามารถอยู่เหนือกฎเกณฑ์แห่งชีวิตและความตาย! เจ้าจะตายไปแล้วฟื้นคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้อย่างไร?” แม่มารตั้งคำถาม

“ไม่ใช่แบบนั้น ข้าเพียงแต่ใช้เทคนิคลับบางอย่าง ถอดจิตตนเองเข้าไปในปรภพ เพราะช่วงเวลาดังกล่าว ข้ามีปัญหาบางอย่างที่ต้องไปจัดการที่นั่นก็เท่านั้นเอง”

แม้เขาจะเฉลยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทุกคนที่ฟังกลับแทบลืมหายใจ

มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไป หากมีคนมาบอกกับคุณว่าตนเองจำเป็นต้องลงไปยังปรภพเพื่อแก้ไขปัญหาบางอย่าง ทั้งที่ยังอยู่ในฐานะคนเป็นอยู่ แบบนี้ใครมันจะเชื่อ?

อย่างไรก็ตามตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์แห่งทัณฑ์สวรรค์ กลับปรากฏขึ้นบนตัวเขาจริงๆ

จักรพรรดินีหลี่อันสูดหายใจลึก และพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองลง

“เอาล่ะๆ งั้นตอนนี้พวกเราจะมาอธิบายถึงสถานการณ์ของทัณฑ์สวรรค์กันก่อน”

แล้วเธอก็บอกเล่าถึงประโยคก่อนหน้านี้แก่ราชาภูตตนอื่นๆ

“ราชาภูต พวกเจ้ามีความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับการจัดการทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้หรือไม่?” เธอเอ่ยถาม

ราชาภูตผีศพเปิดปากกล่าว “ข้าไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับมันหรอก อันที่จริงแล้วข้ากลับอยากรู้อยากเห็นในเรื่องอื่นเสียมากกว่า”

“อยากรู้อยากเห็นในเรื่องอื่นงั้นรึ?”

“ใช่ ก็เจ้ายังเป็น ‘คนเป็น’อยู่ แต่กลับสามารถไปยังปรภพได้ แต่เพียงเท่านั้นมันจะไปได้รับการยอมรับจากคนตายนับล้านๆ คนได้อย่างไร? กลวิธีใดกันที่ทำให้เจ้าได้รับคุณสมบัติเป็นราชาภูตผีปรภพ?”

“บางที อาจจะเป็นเพราะข้าสังหารคนตายมากมายที่คิดต่อต้านจนสิ้นซากล่ะมั้ง” กู่ฉิงซานอธิบาย

“โห?”

สามราชาภูตพอได้ฟังคำเขา แต่ละตนต่างก็หันมาสบตากัน และเผยถึงท่าทีสนใจ

นี่มันเรื่องแปลกเกินไป แท้จริงแล้วเป็นประสบการณ์สังหารล้างบางแบบใดกัน จึงจะสามารถกำราบคนตาย แล้วกลายเป็นจ้าวแห่งขุมนรกได้?

สามราชาภูตอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เหลือเกิน ทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนจะบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น

ราชาภูตผีกระหายเลือดพ่นไข่มุกออกจากปากของมันและกล่าว “ในเมื่อกล่าวถึงการสังหาร ข้าเองชักจะอยากเห็นภาพของเจ้าในช่วงเวลานั้นเสียแล้วสิ”

ว่าแล้วมันก็จี้ไข่มุกไปทางไม้เท้าแห่งการจองจำ

ไข่มุกสาดแสงจรัส และเข้าครอบคลุมรอบตัวไม้เท้า

“นี่มันหมายความว่าอย่างไร?” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

“ใจเย็นน่า มันก็แค่เทคนิคมนตราตรวจสอบเล็กๆ น้อยๆ ที่มักจะถูกนำมาใช้ในการลอบมองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธที่ต้องการก็เท่านั้นเอง” ราชาภูตผีกระหายเลือดอธิบาย

เห็นแค่เพียงในไข่มุก ม่านแสงสีเลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉายภาพเคลื่อนไหวอันคมชัดขึ้น

มองไปยังกู่ฉิงซานที่กำลังถือไม้เท้าแห่งการจองจำ ยืนอยู่ท่ามกลางขุมนรก ปากอ้าถอนหายใจ “พวกเจ้าคิดว่าหลังจากที่ข้าได้ขึ้นเป็นราชาภูตแล้ว ข้าจะบัญชาเหล่าคนตายด้วยจิตเมตตากระนั้นหรือ?”

พร้อมกันกับคำพูดของเขา หลายสิบล้านล้านเสียงก็พลันกรีดร้อง โหยหวนด้วยความเจ็บปวด สะท้านไปทั่วทั้งขุมนรก

คนตายนับล้านล้านคนถูกสังหารในบัดดล

แล้วภาพก็เปลี่ยนไป

เผ่ามารนับไม่ถ้วนกำลังร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า เตรียมพร้อมที่จะทำการล้างโลก

กู่ฉิงซานยืนหยัดอยู่บนยอดเขาสูง และชูไม้เท้าขึ้นเหนือหัวเขา

บังเกิดพลังที่มองไม่เห็นแผ่ขยายออกจากไม้เท้า กวาดกระจายไปทั่วพื้นโลก

และเสียงของเขาก็ดังขึ้น “พวกเจ้าเป็นอมตะ ดังนั้นจงไปกัดกินพวกมันเสีย!”

จากนั้น เสียงสะท้านสะเทือนนับไม่ถ้วนก็ดังกึกก้องขึ้น

“แด่ราชาภูต!”

“ใช่แล้ว พวกเราจะสู้เพื่อท่านราชาภูต!”

“ราชาภูตทรงพระเจริญ!”

“ไปกัน!”

“ไปกินพวกมัน!”

เสียงคำรามสั่นสะเทือนโลกหล้าของคนตายนับร้อยล้านล้านคนสนั่นหวั่นไหว ทั้งหมดต่างกรูกันปืนขึ้นไปบนร่างของเผ่ามารตัวใหญ่ และใช้ปากกัดแทะเนื้อหนังของมันอย่างบ้าคลั่ง

เผ่ามารค่อยๆ ถูกกลืนกิน จนหลงเหลือเพียงกระดูก

แล้วภาพก็สลายหายไป

แต่ฝูงชนกลับยังคงนิ่งงัน ไม่ไหวติงไปพักหนึ่ง

เมื่อครู่…เขาสังหารคนตายนับล้านล้านคนอย่างเย็นชาและไร้ความปรานี

และเขายังสั่งกองทัพคนตายจากขุมนรก โถมเข้ากัดกินเผ่ามาร หรือกระทั่งอสุรกายทั้งเป็นจนไม่เหลือซาก

แม้ว่าจะมีเพียงสองภาพเท่านั้น แต่นี่มันช่างน่าตกตะลึงอย่างแท้จริง!

“โคตรเท่เลย…นี่ใช่ไหมที่เรียกกันว่าการลงมือของราชา” ดวงตาของลอร่าเปล่งประกายสดใส

ขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีใครกล้ากล่าวอะไรออกมา

เห็นเมื่อว่าฉากโดยรอบตกลงสู่ความเงียบ กู่ฉิงซานก็เงยหน้าขึ้น และหันไปพูดกับหลี่อัน

แต่หลี่อันยังคงตะลึงงัน สายตาจ้องค้างอยู่แต่ในความว่างเปล่า

กู่ฉิงซานกระแอมไอเบาๆ และกล่าว “นั่นมันแค่เรื่องในอดีต ตอนนี้พวกเราควรที่จะมาให้ความสนใจกับปัจจุบันจะดีกว่านะ”

“ในเรื่องกระบวนการระหว่างทัณฑ์สวรรค์ สหายราชาภูตทั้งสามมีอะไรจะคัดค้านหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม

บังเกิดความเงียบงันไปหลายลมหายใจ

ก่อนที่ราชาภูตจะตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่คัดค้าน! เอาตามใจเจ้าเลย!!”

……………………………………………..

ลอร่าที่คอยเฝ้ามองกู่ฉิงซานแลกเปลี่ยนกับกษัตริย์อสูรเงา พอได้ยินสิ่งที่แม่มารกล่าว เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่าออกมา

“กู่ฉิงซาน อันที่จริงแล้วเจ้าไม่ต้องต่อรองอย่างจริงจังถึงเพียงนั้นก็ได้ สิ่งที่เรามอบมันให้แก่พวกเขาไปมิได้เลอค่ามากมายอะไร เรื่องจำนวนน่ะไม่สำคัญหรอกนะ เราสามารถให้ได้มากกว่านั้นเยอะ” เธอส่งคลื่นความคิดมาอย่างเงียบๆ

“กระหม่อมทราบดี แต่หากฝ่าบาทแสดงความมั่งคั่งจนเกินงามออกมา การแลกเปลี่ยนกับพวกปีศาจอาจจะล้มเหลว และเป็นการทำลายกลยุทธ์ทั้งหมดของเราลงได้” กู่ฉิงซานส่งความคิดกลับไป

ลอร่าพอได้ฟังก็สะดุ้ง เธอก้มหน้าลงและขบคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับคำพูดของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานหันไปพูดกับจักรพรรดินีหลี่อันอีกครั้ง “พวกเรามาเริ่มกันต่อเถอะ”

“เข้าใจแล้ว ในเมื่อสามกษัตริย์ปีศาจได้ตัดสินใจร่วมมือกับพวกเรา เช่นนั้นก็คงต้องเรียกกษัตริย์อาชูร่าซึ่งเป็นตนสุดท้ายออกมา” หลี่อันกล่าว

“ตัวตนของกษัตริย์อาชูร่าเป็นแบบใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เขาย้อนนึกไปในจิตใจ ถึงช่วงเวลาที่ตนได้พบกับกษัตริย์อาชูร่า

ในความเป็นจริงแล้ว กู่ฉิงซานค่อนข้างที่จะชื่นชมกษัตริย์อาชูร่ากับนายพลภูตไม่น้อยเลย

เพราะทั้งสองยินดีที่จะเฝ้ารอนานนับหมื่นปี เพื่อช่วยเหลือชิงหยิน

จักรพรรดินีหลี่อันกล่าว “กษัตริย์อาชูร่ามิใช่พวกละโมบ แต่เป็นตัวตนที่นิยมการต่อสู้และสงครามเป็นอย่างยิ่ง หากเขาว่างเว้น การทำสัญญาด้วยกันคงง่าย แต่หากเขากำลังก่อสงครามกับโลกอื่นอยู่ การชักชวนเขาคงจะเป็นเรื่องยาก”

เห็นแค่เพียงท่าร่างในมือที่แปรผันของหลี่อัน ปากเอ่ยงึมงำร่ายคาถา ทำการอัญเชิญครั้งต่อไป

ไม่นานนัก เปลวไฟสีเขียวก็ปะทุขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า

เปลวไฟสีเขียวแพร่กระจายไปอย่างช้าๆ จนกลายเป็นม่านเปลวไฟ

พร้อมกันกับเสียงของผู้ชายที่ดังออกมาจากม่านไฟสีเขียวและเอ่ยถามว่า “จักรพรรดินีหลี่อัน เหตุใดเจ้าถึงเรียกหาข้า?”

แล้วหลี่อันก็กล่าวอธิบายคำเดิมออกไป รวมไปถึงเรื่องของทัณฑ์สวรรค์ด้วย

ภายในม่านไฟ เสียงของผู้ชายเงียบไปพักหนึ่ง “ข้ากำลังเตรียมการที่จะเปิดสงครามกับอีกโลกหนึ่งในไม่ช้า การจะให้ปลีกตัวออกไปเกรงว่าคงจะทำไม่…”

หลี่อันแทรก “ข้าทราบดี แต่หากข้าต้องทำการอัญเชิญไปยังโลกอาชูร่า และควานหากษัตริย์อาชูร่าองค์อื่นอีกครั้ง เกรงว่ามันจะยุ่งยากมากเกินไป ครั้งนี้ข้าขอให้ท่านช่วยโปรดช่วยพวกเราด้วยเถิด”

“ทัณฑ์สวรรค์ เช่นนั้นที่คิดจะข้ามผ่านมันก็สมควรจะเป็นมนุษย์…เอ๊ะ?”

กษัตริย์อาชูร่ากวาดสายตามองรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็อุทานด้วยความประหลาดใจออกมา

จู่ๆ เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เห็นแค่เพียงเปลวไฟสีเขียวที่ทะยานตัวออกไป แปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสง มาหยุดอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน และเริ่มเวียนวนรอบตัวเขาอย่างไม่รู้จบ

กู่ฉิงซานกุมดาบในมือแน่น แม้ใบหน้าของเขาจะยังคงสงบ แต่สายตากวาดกลับคอยสาดส่องเปลวไฟอยู่ตลอดเวลา โดยมิได้เอ่ยคำใดออกมา

เปลวไฟสีเขียวสาดแสงลงบนร่างกายของเขา ไม่นานนัก มันก็ลอยกลับไป

เปลวไฟสีเขียวเปลี่ยนรูปเป็นกษัตริย์อาชูร่า และกำลังแสดงท่าทีคล้ายกำลังพยายามรับรู้ถึงบางสิ่ง เงียบงันไปหลายสิบลมหายใจ

“มนุษย์ผู้นี้ คือคนที่คิดจะข้ามผ่านโทษทัณฑ์ใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยถามขึ้นทันใด

“ถูกต้อง” หลี่อันกล่าว

“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าตกลง เมื่อถึงเวลา ข้าจะเร่งมาทันที” กษัตริย์อาชูร่ากล่าว

จักรพรรดินีหลี่อันที่ยืนอยู่ข้างเปลวไฟอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอีกฝ่ายตกลงแล้ว เธอก็ไม่คิดจะไถ่ถามอะไรเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายคิดเปลี่ยนใจอีก!

หลี่อันเร่งส่งใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามออกไป ให้กษัตริย์อาชูร่าลงนามสัญญาร่วมมือ

กษัตริย์อาชูร่าลงนามสัญญาอย่างรวดเร็ว

พอสัญญาถูกลงนามเรียบร้อยแล้ว หลี่อันก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ท่านผู้ทรงเกียรติ นี่ไม่ใช่วิสัยปกติของท่านเลย เหตุใดจึงตอบตกลง?”

“ก็คงเป็นเพราะเรื่อง สองร้อยล้านจิตวิญญาณ และเป็นอีกสองสิ่งที่อยู่ในตัวมนุษย์ผู้นั้น ซึ่งเป็นสัมพันธ์อันดีกับเผ่าอาชูร่าของข้า ดังนั้นข้าเลยอยากจะช่วยเขาสักครั้ง” กษัตริย์อาชูร่ากล่าว

ด้วยคำกล่าวของกษัตริย์อาชูร่า หลายคนอดไม่ได้ที่จะมองมายังกู่ฉิงซานด้วยความประหลาดใจ

เขากับอาชูร่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างงั้นหรือ?

กษัตริย์อาชูร่า “เอาล่ะ ข้าคงต้องขอตัวก่อน ยามเมื่อทัณฑ์สวรรค์เริ่มปรากฏ จะตอบรับมันในฐานะผู้ลงทัณฑ์เอง”

“โปรดรอสักครู่”

เมื่อเห็นว่ากษัตริย์อาชูร่ากำลังจะจากไป กู่ฉิงซานก็เร่งตะโกนขึ้น

“เจ้ามีอะไรงั้นหรือ?” กษัตริย์อาชูร่าเอ่ยปากอย่างช้าๆ

“ขออภัยที่ขัดจังหวะท่าน แต่ข้าอยากจะรู้ว่าสองสิ่งในกายข้าคืออะไร เหตุใดข้าจึงไม่เคยทราบถึงมันมาก่อนเลย?” กู่ฉิงซานถาม

“เจ้าย่อมไม่ทราบถึงมันอย่างแน่นอน เพราะนั่นเป็นเทคนิคลับจิตเทวะของพวกเราเผ่าอาชูร่า และมีเพียงคนของเราเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นมันได้” กษัตริย์อาชูร่ากล่าว

กู่ฉิงซานตกตะลึง

ในโลกเดิม ครั้งหนึ่งเขาเคยได้เข้าไปในปรภพ และพบกับกษัตริย์อาชูร่าเมื่อ หนึ่งหมื่นปีก่อน กษัตริย์อาชูร่าได้ยอมรับในตัวเขา จึงมอบความสามารถและประสบการณ์ในการต่อสู้ของตนให้ แต่อีกฝ่ายไม่เคยพูดถึงเรื่องเทคนิคลับจิตเทวะมาก่อนเลย

บางที กษัตริย์อาชูร่าอาจจะคิดว่าเทคนิคลับนี้มีเพียงอาชูร่าเท่านั้นที่เข้าใจ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับกู่ฉิงซาน จึงไม่ได้มอบมันให้แก่เขาใช่หรือไม่?

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็แสดงความเคารพอย่างเป็นจริงเป็นจัง “เรียนถามท่านผู้ทรงเกียรติ โปรดช่วยปัดเป่าข้อสงสัยแก่ข้าจะได้หรือไม่ หากได้ ข้าจะรู้สึกขอบคุณท่านอย่างสุดซึ้ง”

“ก็ได้ ข้าจะบอกเจ้าสักนิดสักหน่อยก็แล้วกัน” กษัตริย์อาชูร่า พึมพำ

“เจ้าได้รับพรจากกษัตริย์อาชูร่า ซึ่งการที่กษัตริย์อาชูร่าจะมอบพรนี้ให้แก่ผู้ใด นั่นหมายความว่าคนผู้นั้นได้ช่วยเหลือกษัตริย์อาชูร่าแก้ปัญหาที่สำคัญยิ่งจนลุล่วง”

“หากเจ้าเดินทางไปตลอดทั้งหมื่นโลกา ตลอดทั้งอาณาจักรอาชูร่าในโลกหกวิถีจะสามารถรับรู้ได้ถึงเทคนิคลับนี้ และพวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นคนของตัวเอง”

กู่ฉิงซานลองมองย้อนนึกดู เขาจดจำได้ว่า เมื่อหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้ ก่อนที่สงครามจะเข้าสู่จุดแตกหัก

แผนการของเทพสวรรค์ที่ต้องการถ่วงเวลาประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้ทั้งกษัตริย์อาชูร่าและนายพลภูต จมลงสู่ห้วงความแค้น แต่เขาก็สามารถปลดเปลื้องให้ทั้งสองได้ในที่สุด

เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นแบบนี้

บางทีในช่วงเวลานั้น กษัตริย์อาชูร่าคงคิดจะขอบคุณตน จึงได้มอบพรแก่เขา

แต่น่าเสียดาย

ที่ตนเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ากษัตริย์อาชูร่ากับนายพลภูตจะสลายไป เวียนว่ายสู่สังสารวัฏหรือกลับไปยังจักรวรรดิเทียนหลานพร้อมกับชิงหยินกันแน่

มันจะเกิดอะไรขึ้นกับจิตวิญญาณที่เฝ้ารอมากว่าหมื่นปี จนในที่สุดก็บรรลุความปรารถนากันนะ?

นั่นคือขอบเขตที่กู่ฉิงซานไม่อาจทำความเข้าใจได้โดยสมบูรณ์

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เขาถามอีกครั้ง “เมื่อครู่ท่านผู้ทรงเกียรติบอกว่าในร่างกายข้ามีอยู่สองสิ่ง สิ่งแรกข้าทราบแล้วว่ามันคือพรที่จะช่วยให้ได้รับสัมพันธ์อันดีกับเผ่าอาชูร่า แต่อีกสิ่งข้ายังไม่ทราบเลยว่ามันคืออะไร”

กษัตริย์อาชูร่าพิจารณามองเขา และหัวเราะขึ้นทันที “อีกหนึ่งมันเป็นเรื่องส่วนตัว และมันก็หาใช่สิ่งเลวร้ายไม่ ในอนาคตเจ้าจะเข้าใจเอง แต่ข้าจะยังไม่บอกเจ้าในตอนนี้”

เขาวาดมือออก และม่านเปลวไฟสีก็ลุกโชนขึ้น ห่อหุ้มรอบตัวเขา

และค่อยๆ สลายไปโดยสมบูรณ์

กษัตริย์อาชูร่าได้หายไปจากจัตุรัส ออกไปจากโลกที่เหลือทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพใบนี้

เขายกเลิกกฎเกณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์ และกลับไปยังโลกของตัวเองอย่างรวดเร็ว

มันคือโลกแห่งสงคราม

กองทัพกำลังรวมตัวกัน

อาชูร่าทุกตนเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ ทั้งหมดกำลังตรวจสอบอาวุธของตนเอง

พวกเขากำลังจะเริ่มสงครามกับอีกโลกหนึ่งในไม่ช้า

กษัตริย์อาชูร่าทิ้งตัวลงบนบัลลังก์หลังช้างเผือกของเขา

และจมลงสู่ห้วงคะนึงคิด

“องค์กษัตริย์ เกิดอะไรขึ้นกับท่านอย่างนั้นหรือ?” อาชูร่าหญิงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไร ส่งคำสั่งของข้าออกไป ว่าพวกเราอย่าเพิ่งบุกโลกใบนั้น”

“แต่ทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว…”

“ข้ารู้ แต่เมื่อเกิดทัณฑ์สวรรค์ขึ้นในครั้งต่อไป ข้าจะนำพาพวกเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงสังหารที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน หลังจากสิ้นสงครามในครั้งนั้น พวกเราค่อยกลับมาบุกมันอีกครั้งก็ยังไม่สาย”

“เจ้าค่ะ!”

ชูร่าหญิงกระโจนลงจากหลังช้างเผือก และเร่งประกาศคำบัญชาของกษัตริย์อาชูร่าออกไปทันที

กษัตริย์อาชูร่านั่งอยู่ลำพังบนหลังช้างเผือก นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน

ในตอนนั้นเอง เขาก็พึมพำในสิ่งที่คิดออกมา

“ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง”

“ทั้งชีวิตของอาชูร่าน่ะคือการต่อสู้และสงคราม เผ่าพันธุ์ข้ามิเคยหลั่งน้ำตามาก่อน แต่เจ้ากลับสามารถทำได้นางหลั่งน้ำตาออกมาได้…”

อีกด้านหนึ่ง

กู่ฉิงซานยังคงสับสนอยู่

ชั่วขณะนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าน้อยๆ ในหัวใจตน

แต่ตอนนี้ สถานการณ์ตรงหน้าสำคัญกว่า และเขายังมีเรื่องอื่นที่จำเป็นต้องทำอยู่!

“เอาล่ะๆ” เขาพยายามระงับจิตใจที่สับสนวุ่นวาย และสูดหายใจลึกๆ “หลังจากนี้พวกเราต้องทำการอัญเชิญสี่ราชาภูตผีมาสินะ?”

หลี่อันกล่าว “ใช่ แต่มันจะแตกต่างจากการอัญเชิญกษัตริย์ปีศาจนะ มารสวรรค์อย่างพวกเรามิได้ข้องเกี่ยวกับพวกราชาภูตผี ดังนั้น คาถาของข้าแน่นอนว่าจะเป็นการเรียกราชาภูตมาแบบสุ่ม มิอาจระบุถึงตัวตนที่กำหนดอย่างชัดเจนได้  และพวกเราจะต้องโน้มน้าวพวกมันที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ให้ยินยอมลงนามสัญญาให้จงได้”

“มันฟังดูอันตรายจัง” กู่ฉิงซานกล่าว

“ใช่ เพราะราชาภูตทั้งสี่จะมาในเวลาเดียวกัน มันเลยจะเป็นเรื่องอันตรายมาก” หลี่อันกล่าว

ณ ขณะนั้นเอง แม่มารก็ก้าวออกมาและกล่าวว่า “วางใจเถอะ หากข้ายังอยู่ที่นี่ย่อมไม่มีอันตรายใดๆ อย่างน้อยพวกมันย่อมไม่กล้าสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้า โจมตีออกมาอย่างไม่ยั้งคิดอย่างแน่นอน”

“ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ ว่าแต่พอจะบอกข้าหน่อยจะได้หรือไม่ ว่าลักษณะของราชาภูตทั้งสี่เป็นอย่างไร?” กู่ฉิงซานกล่าว

“เรื่องนี้ง่ายดายนัก” แม่มารหันไปทางหลี่อัน

หลี่อันอธิบาย “สำหรับผีโหย แม้พวกมันจะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับสกิลทางจิตวิญญาณเท่าใดนัก แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็มีความต้านทานต่อสกิลจำพวกที่คล้ายคลึงกับสกิลจิตวิญญาณ และชมชอบที่จะดูดกลืนสมองของทุกสิ่งมีชีวิตขณะยังเป็นๆ”

“ส่วนผีปรภพ คือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ตายลง เจ้าไม่สามารถสังหารมันได้ เจ้าทำได้เพียงปล่อยให้มันกลับคืนสู่การหลับใหลในปรภพเท่านั้น ดังนั้นจงอย่าล่วงเกินมัน หากมันคิดแค้นในตัวเจ้า หลังจากนี้ไปเจ้าคงมิแคล้วเผชิญกับปัญหามากมายที่จะตามมา”

“ขณะที่ผีกระหายเลือดจะครอบครองกำลังรบอันน่าอัศจรรย์ใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่มันได้สูบเลือด ความแข็งแกร่งของมันจะพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด”

“สุดท้ายผีศพ พวกมันค่อนข้างเหมือนกับเรามารสวรรค์ แต่ก็ยังแตกต่างจากเราตรงที่ผีพวกนี้ต้องล่าสังหารทุกวัน หลังจากสิ่งมีชีวิตที่มันฆ่าตายลงแล้ว พวกมันก็หาได้ต้องการแต้มพลังวิญญาณจากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไม่ แต่พวกมันเพียงเฝ้าคอยที่จะดูดซับปราณแห่งความตายที่กระจายออกมา เพื่อเติมเต็มความหิวโหยเท่านั้น”

“เอาล่ะ ข้าพอจะเข้าใจเกี่ยวกับพวกมันขึ้นมาบ้างแล้ว มาเริ่มกันเลยเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“แต่เจ้าต้องจดจำจุดที่สำคัญที่สุดเอาไว้ให้ดี”

“มันคือ…”

“เจ้าต้องจดจำไว้ว่า กษัตริย์ปีศาจน่ะมักจะมีความคิดและเป้าหมายเป็นของตัวเอง แต่ราชาภูตกับกษัตริย์ปีศาจน่ะจะแตกต่างกัน ราชาภูตน่ะชมชอบในการสังหาร และจะเคารพผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด กระหายเลือดที่สุด สังหารได้มากที่สุดเท่านั้น”

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับ

หลี่อันพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือของเธอออกไป ประกบกันเป็นรูปแบบตราประทับแปลกๆ และเริ่มท่องคาถา

ซึ่งคราวนี้ราชาภูตทั้งสี่ จะปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆ กัน!

นอกเหนือไปจากแม่มารแล้ว ทุกคนในสถานที่แห่งนี้ต่างก็เริ่มวิตกกังวล บรรยากาศเริ่มตึงเครียด

อีเลียกับทหารพิทักษ์ขยับเข้ามาใกล้ลอร่า ล้อมเธอเป็นวงกลม สายตาสาดส่องไปมาอย่างหวาดระแวง

ขณะที่ทางฝั่งมารสวรรค์เองก็ได้รวมกลุ่มกัน และสนทนากันอย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานเฝ้ารอคอยอย่างสงบ

ในครั้งนี้ ระยะเวลาการร่ายคาถามันยาวกว่าช่วงก่อนหน้า

ด้วยเสียงร่ายมนตราของหลี่อัน บนพื้นจัตุรัสเริ่มปรากฏชั้นหมอกหนา แพร่กระจายลอยขึ้นมาสูงจนถึงเอวคน

หมอกเริ่มพรั่งพรูออกมาอย่างไม่รู้จบ

ในช่วงจังหวะนั้นเอง หลี่อันก็เปล่งเสียงตะโกนขึ้นทันใด “ตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ได้ถูกระบุแล้ว! ขอราชาภูตทั้งหลายจงปรากฏ!”

เพล้ง!

เพล้ง!

เพล้ง!

สิ้นสามเสียงสนั่น ราชาภูตก็ผุดออกมาจากหมอกหนา

ตนแรกที่ปรากฏคือมอนสเตอร์ที่มีผิวสีเทา ครอบครองความสูงกว่าสิบเมตร

มือและเท้าของมันเรียวยาวแลดูคล่องแคล่ว ร่างกายผ่ายผอมราวกับฟืนแห้งๆ มีเพียงแต่บริเวณท้องของมันที่โป่งพอง กลมกลึงเป็นก้อน ขณะที่บนใบหน้าของมันไร้ซึ่งดวงตา

นี่คือราชาภูตผีโหย

ตนที่สองที่ปรากฏขึ้น ดูเหมือนจะไม่ใช่ผี แต่แท้จริงแล้วคล้ายกับสัตว์อสูรเสียมากกว่า มันครอบครองคู่กีบเท้าที่แลดูแข็งแกร่ง แขนทั้งสองปกคลุมไปด้วยใบมีดที่ผุดขึ้นเรียงรายราวกับเครื่องหั่นเนื้อ เขี้ยวของมันโค้งงอ ยาวออกมาจากปาก

นี่คือราชาภูตผีกระหายเลือด

ตนที่สาม เป็นมอนสเตอร์นกที่มีเค้าโครงหน้าของมนุษย์ ครอบครองคู่ปีกสี่ข้าง ตามร่างกายปลดปล่อยกลิ่นอายหยินออกมาตลอดเวลา บนใบหน้าของมันดุร้าย เพียงจ้องมองก็สัมผัสได้ถึงลางไม่ดี

นี่คือราชาภูตผีศพ

ราชาภูตผีโหย ราชาภูตผีกระหายเลือด และราชาภูตผีศพ ได้ปรากฏตัวขึ้นกลางจัตุรัส!

หลี่อันหันซ้ายแลขวา แต่กลับกลายเป็นว่าเธอไม่เห็นถึงการตอบรับของราชาภูตผีปรภพ

“แปลก…ทำไมราชาภูตผีปรภพถึงไม่ตอบสนองต่อตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์กันนะ? นี่มันเป็นไปไม่ได้…”

เธอขมวดคิ้ว และเริ่มที่จะสับสน

………………………………………….

กู่ฉิงซานกับลอร่าเพิ่งจะสนทนากันจบ จักรพรรดินีหลี่อันก็ตะโกนเรียกเขา

“มีอะไรงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ข้าจะเริ่มจากการเรียกพวกปีศาจมายังที่นี่ แต่ก่อนหน้านั้นข้าต้องการจะบอกถึงข้อควรระวังแก่เจ้าเสียก่อน”

“ว่ามาสิ”

กู่ฉิงซานตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย

เพราะแผนการของเขา กระบวนการนี้นี่แหละที่สำคัญและไม่ควรจะมีอะไรผิดพลาดมากที่สุด

จักรพรรดินีหลี่อัน “เจ้ากำลังจะตัดผ่านขอบเขตประทับเทพ ดังนั้นทัณฑ์สวรรค์ในครานี้ จึงจักมีสี่ปีศาจและสี่ภูตผีที่สามารถตอบสนองต่อกฎเกณฑ์แห่งการลงทัณฑ์ได้ รวมกันเป็นแปดตำแหน่ง ‘ผู้ลงทัณฑ์’

“หมายความว่าพวกเขาคือคนที่ข้าจะต้องโน้มน้าวใจใช่หรือไม่?”

“ใช่”

“ช่วยบอกรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกเขาให้ข้าด้วย”

“สีปีศาจ จะถูกแบ่งออกเป็น ปีศาจเพลิงเขมือบ อสูรเงา อาชูร่า และมารสวรรค์”

“สี่ภูตผี จะถูกแบ่งออกเป็น ภูตผีโหย ภูตผีปรภพ ภูตผีกระหายเลือด และภูตผีศพ”

“กษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผีทั้งแปดนี้ เป็นผู้ครอบครองตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ร่วมกัน มีหน้าที่หยุดยั้งไม่ให้เจ้าตัดผ่านขอบเขต และลากเจ้าเข้าสู่ความตาย”

“‘ผู้ลงทัณฑ์’ ที่เจ้ากล่าวมันหมายความว่าอะไร?”

“ผู้ลงทัณฑ์ก็คือ ผู้ที่ครอบครองสิทธิ์อำนาจในการสั่งการปีศาจหรือภูตผีเผ่าพันธุ์เดียวกัน ให้ปรากฏตัวขึ้นในระหว่างปรากฏการณ์ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์”

“ในโลกนับล้านๆ มีภูตผีและปีศาจอยู่นับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงจำเป็นมีราชาหรือกษัตริย์ที่ได้รับสิทธิ์เป็นผู้ลงทัณฑ์ ปรากฏตัวขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อมิให้เกิดความวุ่นวายขึ้น”

“ประมาณว่า มีสิทธิ์มาก่อนเพื่อที่จะได้กินก่อนใช่ไหม?”

“ใช่ แต่ผู้ที่จะมาปรากฏตัวได้ จะต้องเป็นผู้ปกครองโลกของปีศาจและผีร้ายเท่านั้น จึงสามารถมาปรากฏตัวในฐานะผู้ลงทัณฑ์ได้”

หลี่อันกล่าวต่อ “ซึ่งแปดผู้ลงทัณฑ์ จะประกอบไปด้วยสี่กษัตริย์ปีศาจและสี่ราชาภูตผี พวกเขาจะมีหน้าที่เหมือนกันนั่นคือคอยควบคุมเผ่าของตนเอง เพื่อสังหารเจ้าที่คิดข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ใช้โอกาสจากทัณฑ์สวรรค์เข่นฆ่าผู้คนอย่างงั้นสินะ ไอ้เจ้าพวกนี้รสนิยมดีไม่เลวเลย”

“แต่ก็ยังมีเรื่องที่โชคดีอยู่” หลี่อันยิ้ม “เพราะครานี้ ท่านแม่ข้ามาถึงก่อนเป็นคนแรก และนางมียศเป็นถึงผู้ทรงเกียรติจากโลกมารดึกดำบรรพ์ ดังนั้นไม่ว่ามารสวรรค์ตนใด พวกมันจักต้องทำปฏิบัติตามคำสั่งของแม่ข้าอย่างแน่นอน นี่คือกำของธรรมชาติ”

กู่ฉิงซานหันไปมองแม่มารสวรรค์

แม่มารพยักหน้าและกล่าว “เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องมารสวรรค์ เจ้าเพียงต้องโน้มน้าวใจอีกทั้งเจ็ดตนให้ได้ก็พอ”

“ขอบพระคุณท่านผู้ทรงเกียรติ!” กู่ฉิงซานประสานกำปั้น คารวะให้แก่อีกฝ่าย

“เอาล่ะ พวกเราจะมาเริ่มต้นจากกษัตริย์ที่พูดกันได้ง่ายที่สุด ปีศาจเพลิงเขมือบเป็นตนแรกก็แล้วกัน มันน่ะแข็งแกร่งและเป็นพวกชอบทำลายล้าง ดังนั้นหากได้ยินเกี่ยวกับสองร้อยล้านจิตวิญญาณ มันจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน” หลี่อันกล่าว

สองมือของเธอผนึกตราประทับ ปากงึมงำร่ายคาถา

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง สะเก็ดไฟก็เริ่มปะทุขึ้นในอากาศ ก่อนที่มันจะลุกโชติช่วงออกมา

พร้อมกับเสียงหยาบกระด้างที่ดังก้อง

“เป็นผู้ใดกันที่อัญเชิญข้า?”

เห็นแค่เพียงปีศาจที่ทั้งร่างของมันเกรียมไปด้วยสีทะมึน ขณะเดียวกันก็ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง ก้าวออกมาจากความว่างเปล่า

“นี่คือกษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบ ผู้มีสัมพันธ์อันดีกับเรา”

หลี่อันส่งความคิดไปยังกู่ฉิงซาน

กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบกวาดสายตามองไปรอบทิศ เมื่อเขาเห็นกู่ฉิงซาน ตนเองก็เข้าใจทันที

“อา ที่แท้ก็เรียกข้ามาเพื่อร่วมกันสังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่ต้องการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ด้วยกันนี่เอง…”

อย่างไรก็ตาม เมื่อมันรำพึงมาถึงจุดนี้ มันก็มิอาจเอ่ยคำใดได้อีก

เพราะมองไปยังมารสวรรค์แต่ละตน ทุกคนล้วนเป็นปีศาจที่ตัวเองรู้จักกันดีทั้งสิ้น

ส่วนเจ้าผู้ฝึกยุทธ์นั่น กลับถูกรายล้อมไปด้วยมารสวรรค์หญิง แม้กระทั่งจักรพรรดินีมารสวรรค์ก็ยังยืนอยู่เคียงข้างมัน แถมยังมีแม่มารดึกดำบรรพ์ที่ยากนักจะพบเจออยู่ด้วยกันอีก

ตัวตนที่ทรงอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนั้น แต่กลับยืนอยู่ทางฝั่งผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์อย่างสงบ โดยที่ไม่มีความคิดจะลงมือแม่แต่น้อย…

เพลิงเขมือบที่กำลังเฝ้ามองนิ่งงันไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่ชัดเจนในสถานการณ์ ปากขยับพึมพำ “หรือว่าจะมีการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ที่อื่นอีก แต่ข้าดันมาผิดที่กันแน่นะ?”

ขณะนั้นเอง จักรพรรดินีหลี่อันก็ก้าวเข้าไปหามัน และเริ่มอธิบาย

“คือว่ามันเป็นแบบนี้…”

ด้วยคำอธิบายของเธอ กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบก็เข้าใจในทันที

“ว่าไงนะ! สองร้อยล้านจิตวิญญาณ!”

“ถูกต้อง หากเจ้าเห็นด้วยก็จงทำสัญญาแล้วมาเข้าร่วมกับเรา แต่ห้ามทำอะไรผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์ เพราะเขาคือพวกเดียวกัน”

“ไม่มีปัญหา แต่เจ้าวางแผนจะแบ่งสองร้อยล้านจิตวิญญาณกันอย่างไร?”

“แน่นอนว่าผู้ใดสังหารได้มากที่สุด ผู้นั้นก็ได้ไปเท่านั้น” หลี่อันตอบ

กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบพอได้ฟังก็รู้สึกโล่งใจ มันเปล่งเสียงดัง “ดี! ถ้าอย่างนั้นข้าตกลง!”

หลี่อันหันไปมองกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานจึงมอบใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามให้แก่เธอ

หลี่อันยื่นมันให้อีกฝ่ายและอธิบาย

กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบมัวแต่คิดถึงสองร้อยล้านจิตวิญญาณด้วยความสุข มันเร่งให้ลงนามสาบานต่อใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามอย่างรวดเร็ว

“เอาล่ะ แล้วในส่วนของผู้ลงทัณฑ์จากมารสวรรค์ของพวกเราเล่าท่านแม่?” จักรพรรดินีหลี่อันเอ่ยถาม

“ข้าได้รับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์มาแล้ว” แม่มารเอ่ยขึ้นมา

“นี่ท่านแม่มารรับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ในส่วนของมารสวรรค์กระนั้นหรือ?” กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“เป็นข้า แต่เจ้าวางใจได้ ว่าข้าจะไปแก่งแย่งอาหารอันโอชะทางฝั่งเดียวกับเจ้าอย่างแน่นอน” แม่มารกล่าว

“ฮ่าๆๆ ขอบพระคุณท่านแม่มาร”

ว่าจบ เพลิงเขมือบก็หายกลับคืนสู่ความว่างเปล่า

ตามแผนการที่วางเอาไว้  มันจะกลับไปจัดเตรียมผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง เมื่อไหร่ที่การข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ มันในฐานะผู้ลงทัณฑ์ก็จะปรากฏตัวอีกครั้ง

“คราวนี้ก็เหลืออีกหก…ว่าแต่ตนต่อไปที่พวกเราจะอัญเชิญเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานถาม

หลี่อันดูเหมือนจะพบเจอกับปัญหาที่ยากลำบาก เธอขมวดคิ้วและเอ่ยออกไปว่า “เอาเป็นกษัตริย์อสูรเงาก็แล้วกัน แต่จงระวังเอาไว้ให้ดี มันเป็นปีศาจเจ้าเล่ห์ แถมยังโลภในวัตถุของมนุษย์เป็นอย่างมากอีกด้วย”

“โลภงั้นหรือ?”

“ใช่ ในบรรดาสี่ปีศาจ สี่ภูตผี มันเป็นเผ่าพันธุ์ที่โลภมากที่สุด”

“งั้นก็เรียกมันมาได้เลย ข้าชอบนักที่จะหารือแลกเปลี่ยนกับคนโลภ คราวนี้เจ้าไม่ต้องออกหน้าเพียงลำพัง ข้าเองก็จะเข้าร่วมการสนทนาด้วยเช่นกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

“เข้าใจแล้ว”

หลี่อันเริ่มเปลี่ยนท่าร่างไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ขณะเดียวกันปากก็เริ่มงึมงำ อัญเชิญปีศาจตนต่อไปออกมาอีกครั้ง

เพียงไม่กี่ลมหายใจ เงาทะมึนก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากเบื้องล่างของจุตรัส

เงาที่ว่านี้ผุดขึ้นตรงหน้าหลี่อัน และค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างช้าๆ

ร่างของมันมีขนาดความสูงกว่าแปดเมตร ทั้งหมดทั้งมวลถูกสร้างขึ้นจากเงา แลคล้ายกับหุบเหวอันมืดมิดที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก

แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคืออสูรเงา เป็นกษัตริย์ของอสูรเงาทั้งมวล

“ทัณฑ์สายฟ้า? แต่ช่างน่าแปลกนัก เหตุใดบรรยากาศจึงดูไม่เหมือนกำลังฆ่าฟันกันเลย จักรพรรดินีหลี่อัน เจ้าเรียกข้ามาด้วยเหตุอันใด?” กษัตริย์อสูรเงาเอ่ยถาม

หลี่อันจึงเล่าเรื่องราวแผนการออกไปอีกครั้ง

“สองร้อยล้านจิตวิญญาณ…ขอเวลาข้าสักประเดี๋ยว…” อสูรเงากล่าว

บังเกิดสายลมแห่งความมืดมิดเล็ดลอดออกจากมัน และผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่า

ดูเหมือนว่ามันกำลังจะติดต่อกับโลกอื่นๆ เพื่อค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องอยู่

หลายลมหายใจผ่านไป มันก็ยกหัวขึ้นอย่างรวดเร็วและกล่าว “แต่เดิม กลับกลายเป็นว่านี่คือสงครามครั้งสำคัญยิ่ง ข้าสามารถยอมรับคำร้องขอของเจ้าได้ แต่เงื่อนไขย่อมไม่ง่ายนัก”

“เงื่อนไขใดที่เจ้าต้องการ?” หลี่อันถาม

“ตัวเจ้าเองก็ทราบดี ว่าสิ่งใดที่พวกเราอสูรเงาชมชอบมากที่สุด มันหาใช่จิตวิญญาณไม่! แต่เป็นเงิน!”  กษัตริย์อสูรเงาขึ้นเสียง

หลี่อันหันไปมองกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานหันไปมองลอร่า

ลอร่าโยนถ้วยใบหนึ่งออกไป

กู่ฉิงซานคว้ารับมัน และพบว่าถ้วยใบนี้แท้จริงแล้วคือ ‘จอกศักดิ์สิทธิ์ทรายทองคำ’

กู่ฉิงซานยื่นจอกศักดิ์สิทธิ์ให้หลี่อัน และกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเธอ

หลี่อันพยักหน้า และเริ่มเอียงปากจอกศักดิ์สิทธิ์คว่ำลง

แสงระยิบระยับของทรายสีทองร่วงโรยลงมาจากจอกศักดิ์สิทธิ์ กระทบกับพื้น

“อืม ช่างเป็นเสียงที่น่ารื่นรมย์ใจยิ่ง” อสูรเงาครวญเสียงกระเส่า

ทรายสีทองยังคงไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนัก มันก็เริ่มก่อเป็นกองทรายเล็กๆ ขึ้น แต่เมื่อผ่านไปเรื่อยๆ กองทรายก็ยังขยายใหญ่ขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง

“ทองคำไม่มีทีท่าว่าจะหมดลงเลย…นี่ใช่จอกศักดิ์สิทธิ์ทรายทองคำในตำนานหรือไม่?” กษัตริย์อสูรเงาถาม

“ใช่” หลี่อันตอบรับ

“หากเจ้ายินดีที่จะยอมแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งนี้ อืม…เห็นแก่ความจริงใจของเจ้า ข้าจะยอมร่วมมือด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องตอบรับคำขอจากข้าอีกสักเล็กน้อย” อสูรเงากล่าวด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของหลี่อันเริ่มเขียวคล้ำ เธอกำลังจะเอ่ยปากพูด

แต่สุดท้ายเธอก็หุบปากลง

เพราะกู่ฉิงซานได้ลงมือไปก่อนเธอเสียแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ตัดภาพมาอีกที กู่ฉิงซานก็กำลังเอาดาบพิภพจี้อยู่บนคอหอยของกษัตริย์อสูรเงาแล้ว

บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นขึ้นโดยรอบดาบพิภพ

ขณะนี้ บนตัวดาบพิภพได้คุกรุ่นไปด้วยแต้มพลังวิญญาณ!

กษัตริย์อสูรเงายิ้ม “เจ้าคิดขู่ข้า? แต่เสียใจด้วยนะเจ้าไม่สามารถสังหารข้าได้หรอก เพราะข้าน่ะมีร่างเงาไว้ในครอบครองกว่าเก้าพันร่าง”

“เอาเลยสิเจ้าเด็กตัวเหม็น ข้าจะยอมยืนอยู่เฉยๆ ไม่ป้องกัน อยากฆ่าก็ฆ่าเลย”

“เจ้าจะไม่ป้องกัน แล้วยอมให้ข้าสังหารงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ

เสียงของอสูรเงากลายเป็นทุ้มลึก “แต่ข้าจะขอเตือนเจ้าไว้ก่อน ว่าตราบใดที่เจ้ากล้าลงมือ ในภายภาคหน้านับจากนี้ไป ยามใดที่เจ้าข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ตัวข้าจะทุ่มสุดกำลังไล่ติดตามไปสังหารเจ้า!”

กู่ฉิงซานพยักหน้า และปาดคมของดาบพิภพออกไปทันที

อสูรเงากรีดร้อง ตะโกนด้วยความโกรธ “นี่เจ้ากล้า…”

แต่ก่อนที่มันจะกล่าวจบ ร่างของมันก็อ่อนเปลี้ย ตกลงกับพื้น และสลายไป

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน

เขาหันไปกล่าวกับหลี่อัน “ทำต่อไป จงเรียกมันมาอีกครั้ง”

หลี่อันตกใจ ขณะเดียวกันเธอก็ถามด้วยความสงสัย “แต่เจ้าลงมือไปแล้ว ข้าเกรงว่าเรียกอีกครั้งมันจะไม่มา … ”

“หากมันโลภดังที่เจ้าว่าจริงๆ มันย่อมต้องปรากฏตัวอีกครั้งเป็นแน่”

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะมันยังไม่ได้รับสิ่งที่ตนต้องการ แถมยังสูญเสียกายสำรองไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่ามันจะบาดหมางกับข้าเพียงใด แต่มันก็คงไม่มีทางยอมตัดใจจากไปเสียเฉยๆ อย่างแน่นอน”

“…เข้าใจแล้ว”

หลี่อันประทับฝ่ามืออีกครั้ง และเริ่มทำการเรียกขานกษัตริย์อสูรเงาอีกครั้ง

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ลมหายใจ

เงาดำก็ผุดขึ้นมาอีกคราบนพื้นจัตุรัส

“ไอ้หนู เจ้ากล้าลงมือจริงๆ! ดี! ดีมาก!!” อสูรเงาคำรามลั่น

แรงกดดันของมันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คล้ายน้ำที่กำลังร้อนจนใกล้ถึงจุดเดือด

กู่ฉิงซานแสร้งเล่นละคร กล่าวอย่างสงบ “ก่อนที่เจ้าคิดจะทำอะไร ข้าขอบอกก่อนนะว่ากษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผีตนอื่นๆ ที่ครอบครองตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ได้ลงนาม ทำสัญญากับข้าแล้ว ตรงจุดนี้เจ้าสามารถถามไถ่จากแม่มารได้”

อสูรเงาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองแม่มาร

แม่มารพยักหน้า เอออออย่างไม่ใส่ใจ

กษัตริย์อสูรเงาเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องจริง มันก็ตกตะลึง คล้ายกับถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าใส่อย่างแรง

หากอีกเจ็ดกษัตริย์ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับฝ่ายตรงข้ามจริงๆ เช่นนั้นหากทัณฑ์สวรรค์เริ่มต้นขึ้น ตนจะไม่ถูกตกเป็นเป้าหรอกหรือ?

เนื่องจากตนได้ปรากฏตัวขึ้น ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ลงทัณฑ์แล้ว ส่งผลให้ตามกฎเกณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์  หากเกิดการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขึ้น ตนเองก็จำเป็นต้องถูกบังคับให้ออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ตนและผู้ใต้บังคับบัญชาจะต้องเผชิญหน้ากับการถูกรุมล้อมของอีกเจ็ดกษัตริย์อย่างงั้นหรือ?

สถานการณ์นั่น…มันหายนะชัดๆ!

ประเดี๋ยวก่อน!

ว่าแต่ไอ้เจ้าคนที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์ผู้นี้มันเป็นใครกันแน่?

“ข้าสามารถซื้อเจ็ดกษัตริย์มาได้ และแม้แต่จอกศักดิ์สิทธิ์ข้าก็มีไว้ในครอบครอง ฉะนั้น คิดหรือว่าข้าจะกลัวเจ้า? หากเจ้าคิดจะโผล่มากำจัดข้าในช่วงเวลาข้ามผ่านโทษทัณฑ์?”

กู่ฉิงซานยิ้มและพูดต่อ “ตราบใดที่เจ้ากล้าจะมา กล้าที่จะลงมือกับข้า ขอให้มั่นใจได้เลยว่าข้านี่แหละจะสังหารเจ้าก่อน ไม่สำคัญว่าเจ้าจะมีร่างกายมากเพียงใดก็ตาม”

“ขณะเดียวกัน สำหรับสองร้อยล้านจิตวิญญาณ หรือจอกศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับอะไรไปทั้งนั้น!”

“ถ้าเจ้าไม่อยากแลกเปลี่ยนก็ไปเถอะ ยามเมื่อทัณฑ์สวรรค์เริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นก็มาดูกัน ว่าใครจะตายก่อนกัน”

กู่ฉิงซานกล่าวรวบรวมในลมหายใจเดียว

ฝูงชนบังเกิดความเงียบ

กษัตริย์อสูรเงาเองก็หุบปากเงียบ

ช่วงเวลานี้เองที่กู่ฉิงซานเปิดปากพูดอีกครั้ง “แต่หากเจ้าต้องการที่จะหารือแลกเปลี่ยนจริงๆ เงื่อนไขของพวกเราก็ยังคงเดิมอย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อครู่ เจ้าเอาวิญญาณของผู้เข้าสู่วิถีมารไป สังหารได้มากเท่าไหร่ เจ้าก็ได้มันไปมากเท่านั้น”

“ตอนนี้ เจ้าก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน ว่าจะต้องการก่อสงครามกับกษัตริย์ปีศาจตนอื่นๆ หรือร่วมมือกับเรา และได้รับไปทั้งจิตวิญญาณและสมบัติ!”

ฝูงชนที่กำลังรับชมอยู่ยังคงเงียบ

หลังจากนั้นหลายลมหายใจ

กู่ฉิงซานก็กล่าวต่อ “โอกาสสุดท้าย หากเจ้าไม่เข้าร่วม พวกเราก็จะไปเริ่มสงครามในทันที”

“ยังเงียบอยู่อีก คงไม่อยากเข้าร่วมสินะ? งั้นเจ้าก็ไปได้เลย พวกเราจะได้เตรียมรับมือ…”

“ช้าก่อน!” กษัตริย์อสูรเงาเปลี่ยนน้ำเสียงของตน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเอาด้วย เมื่อครู่ข้าแค่เสียเวลาคิดว่ามันจักคุ้มค่าหรือเปล่าเท่านั้นเอง”

“นี่สิถึงจะเป็นสิ่งที่ควร อย่างที่ข้ามักจะชอบกล่าว ‘อัธยาศัยดีมักจะเป็นต้นเหตุของความมั่งคั่ง’อย่างแท้จริง” กู่ฉิงซานกล่าว ขณะเดียวกันก็โยนใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามไป

“เอาล่ะ นี่คือสัญญา เจ้าจงลงนามเสีย”

“ไม่มีปัญหา แล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้รับจอกศักดิ์สิทธิ์?”

“จงลงนาม แล้วเจ้าก็เอาไปได้เลย”

“งั้นเอาสัญญามา!”

กษัตริย์อสูรเงากอดจอกศักดิ์สิทธิ์ด้วยความรักใคร่ ก่อนจะจากไปด้วยความปีติเหลือแสน

“เจ้าทราบได้อย่างไรว่ามันจะยอมลงนาม?” หลี่อันถาม

“ก็เจ้าเป็นคนบอกเองนี่ว่ามันโลภ ฉะนั้นตราบใดที่มันมา นั่นก็จะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่ยินยอมที่จะเสียผลประโยชน์ และเป็นฝ่ายที่จะถูกสังหารลงซ้ำๆ”

“ตัวเลือกหนึ่งคือสองร้อยล้านจิตวิญญาณ และจอกที่สามารถผลิตทองคำได้ไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่อีกตัวเลือกคือถูกล้อมหน้าล้อมหลังและไม่ได้รับสิ่งใดเลย ดังนั้นตัวมันจึงย่อมพิจารณาถึงผลได้ผลเสียได้อย่างง่ายดาย”

กู่ฉิงซานยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นข้าถึงได้บอกไงว่าชอบนัก ที่จะแลกเปลี่ยนกับคนโลภ เพราะการแลกเปลี่ยนกับพวกเขา โดยทั่วไปแล้วมันมิได้ซับซ้อนอะไรเลย”

หลี่อันถอนหายใจ และส่ายหัว “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์”

“หมายความว่าอย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

แม่มารที่จ้องเขาอยู่นาน เอ่ยปากออกมา “เป็นเพราะว่าเจ้าเหมือนปีศาจ ยิ่งกว่าปีศาจด้วยกันเสียอีกน่ะสิ”

……………………………………………………….

แม่มารจากโลกมารดึกดำบรรพ์รับสิ่งประดิษฐ์วิญญาณสีทองแดงไป และในที่สุดอารมณ์ของเธอก็ดีขึ้น

สายตาของเธอกวาดข้ามผ่านฝูงชน และตกลงบนลอร่า

“ขออนุญาตเอ่ยถาม เจ้าเป็นคนของราชวงศ์หนามใช่หรือไม่?” แม่มารเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

อีเลียก้าวมายืนขวางลอร่าและกล่าว “ใช่ พวกเราเป็นคนที่ทางอาณาจักรหนามส่งมา เป็นทีมพิเศษไว้คอยช่วยเหลือมิสเตอร์กู่ฉิงซาน”

แม่มารพอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทรงอำนาจจากฝ่ายตรงข้าม เธอก็ย้อนนึกไปถึงตำนานที่เล่าลือกันของสายพันธุ์หนาม และเริ่มเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้น

วิหคหนาม คือสายพันธุ์ที่สามารถอยู่รอดได้ในดินแดนอัศจรรย์ และยังเป็นสายพันธุ์เดียวที่ยินดีติดต่อกับโลกภายนอกอีกด้วย

วิหคหนามมีสมบัติจากในดินแดนอัศจรรย์ไว้ในครอบครองนับไม่ถ้วน เป็นเผ่าพันธุ์ที่ร่ำรวยที่สุดในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความมั่งคั่งที่ว่านั่นมิอาจเข้าไปฉกชิงได้

นั่นก็เพราะ…

รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนอัศจรรย์ ไม่เว้นกระทั่งโลกเก้าร้อยล้านชั้น และมันคอยพิทักษ์สมบัติของวิหคหนามเรื่อยมา

นอกเหนือไปจากเหล่าสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงในดินแดนอัศจรรย์แล้ว ในโลกอื่นๆ ของดินแดน ก็ไม่มีใครต้องการที่จะรุกรานวิหคหนาม

กระทั่งดินแดนชิงอำนาจ ดินแดนมิติอนันต์ และดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู

ท่ามกลางโลกนับล้านๆ ไม่เว้นกระทั่งมาร ล้วนไม่มีผู้ใดยินดีที่จะรุกรานพวกเขา

นี่เป็นเพราะในอดีต ได้เกิดเหตุการณ์โด่งดังขึ้นในประวัติศาสตร์

สามหมื่นปีก่อน ทหารพิทักษ์แห่งอาณาจักรหนามได้หายตัวไปอย่างน่าฉงน

ใช่แล้วล่ะ ถึงแม้ว่าสมบัติของวิหคหนามจะไม่ได้สามารถขโมยได้ แต่หากเป็นวิหคหนามตัวเป็นๆ ล่ะก็ สามารถทำได้

เมื่อทหารพิทักษ์หายตัวจนล่วงเลยไปสามวัน ตลอดทั้งอาณาจักรหนามก็ยังไม่ค้นพบตัวเขา

ในตอนนั้นเอง กษัตริย์หนามก็ได้ประกาศรางวัลออกมา

กษัตริย์ได้ประกาศว่าหากใครสามารถค้นพบทหารพิทักษ์ และตามจัดการเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมัน สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้ กษัตริย์ก็จะมอบรางวัลของอาณาจักรหนามให้

และรางวัลที่ว่า คือกองภูเขาสมบัติ ที่ถูกทับถมรวมกันโดยสมบัติจากดินแดนอัศจรรย์

บนสุดของภูเขาสมบัติ ถูกวางเอาไว้ด้วยอาวุธสามชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นแยกกันเป็น ระดับชั้นมหากาพย์ ระดับชั้นตำนาน และระดับชั้นสิ่งประดิษฐ์เทวะ วัตถุศักดิ์สิทธิ์

กษัตริย์หนามได้กล่าวว่า รางวัลทั้งสามชิ้นนี้ จะพิจารณามอบให้กับกลุ่มที่สามารถทำงานเพื่อเขาได้ดีที่สุด

ทันทีที่รางวัลนี้ถูกประกาศออกไป โลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้นก็ตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง!

สงครามทั้งหมดหยุดลง

เหล่าตัวตนทรงอำนาจละทิ้งการเผชิญหน้ากัน

แม้กระทั่งพันธมิตร และองค์กรระหว่างดวงดาวขนาดใหญ่มากมาย ก็ยังล้มเลิกแผนการเดิม และเริ่มทำการออกค้นหาทหารพิทักษ์แห่งหนาม

ทุกตัวตนอันยอดเยี่ยมทั้งหมดต่างออกหน้า

ภายใต้อำนาจและอิทธิพลมากมาย ที่คุมขังทหารพิทักษ์ก็ถูกค้นพบได้อย่างรวดเร็ว

มันคือจักรวรรดิดวงดาวขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่ง

จักรวรรดิที่ว่านั่นครอบครองพื้นที่กว่าเจ็ดชั้นโลก และยังครอบครองกองกำลังที่ไม่เป็นสองรองใคร

ไม่ว่าจะเป็นความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรม หรืออิทธิพลความแข็งแกร่ง จักรวรรดิดวงดาวแห่งนี้ก็ล้วนยืนอยู่บนจุดสูงสุด

จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิได้สั่งการให้ลอบจับตัวทหารพิทักษ์ออกมา

ด้วยความคาดหวังว่าทหารพิทักษ์จะยอมจำนนต่อเขาด้วยสารพัดวิธีการทนทุกข์ทรมาน และคิดมอบสมบัติของมันให้แก่เขาด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม หลังจากข้อมูลนี้ถูกเปิดเผย ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง จักรวรรดิดวงดาวแห่งนี้กลับถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ โดยบรรดาเหล่าตัวตนทรงอำนาจจากตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น!

และนับตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่เคยมีใครกล้าหือกับวิหคหนามอีกเลย

แม่มารเบนสายตา มองย้อนกลับมาลงบนร่างของกู่ฉิงซาน

แต่คนผู้นี้กลับสามารถมีสัมพันธ์กับวิหคหนามได้…

นี่มันช่างน่าประหลาดใจอย่างแท้จริง

แล้วหลี่อันไปตกเหยื่อตัวนี้ได้อย่างไรกัน?

“เจ้าเด็กกู่ เจ้าต้องการร่วมมือกับหลี่อันเพื่อกำจัดหนึ่งแสนกองทัพสัตว์ประหลาดผี และสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารใช่หรือไม่ แล้วเจ้ามีแผนการอย่างไรบ้าง?”

แม่มารมองมายังกู่ฉิงซาน เอ่ยถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

และนี่เป็นครั้งแรกเลย ที่เธอกำลังเพ่งตรวจสอบกู่ฉิงซานอย่างจริงจัง

“แน่นอนว่ามี” กู่ฉิงซานกล่าว

“ลองกล่าวมาข้าจะฟัง ขณะเดียวกันข้าก็จะประเมินตัวเจ้าไปด้วย ต้องรู้นะว่าพวกเรามารสวรรค์ไม่อาจสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ในโลกใบนี้ และข้าเองก็กังวลไม่น้อยเกี่ยวกับความปลอดภัยของหลี่อัน”

“เข้าใจแล้ว แผนการของข้าคือ ‘สู้ด้วยน้อยแต่ได้มาก’” กู่ฉิงซานกล่าว

“อืม ว่าต่อสิ”

“จบแล้ว”

สองตาของแม่มารหรี่แคบลง เธอเอ่ยปากอย่างช้าๆ “เพื่อที่จะจัดการกับศัตรูจำนวนมากมายขนาดนั้น แต่แผนของเจ้า กลับมีน้อยนิดเพียงแค่หกคำเองหรือ? นี่เจ้าเห็นเป็นเรื่องล้อเล่น?”

“เปล่า เปล่าเลย นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”

กู่ฉิงซานอธิบาย “ผู้คนน่ะมักจะประทับใจกับการที่ได้เห็นการซุ่มโจมตีด้วยกำลังที่น้อยกว่า แต่สามารถโค่นล้มกำลังที่มากกว่าได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วนั่นน่ะคือการดิ้นรนเฮือกสุดท้าย แต่ดันโชคดีชนะมาได้เท่านั้น”

เขายังคงพูดต่อ “ จากในศาสตร์แห่งสงคราม กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ แข็งแกร่งชนะอ่อนแอ และมากชนะน้อย”

“แข็งแกร่งแต่มิใช่อ่อนแอจึงจะชนะ ขณะเดียวกันมากแต่มิใช่น้อยจึงจะชนะเช่นกัน นี่คือความจริงที่ไม่มีทางลบล้างได้ และยังเป็นกลยุทธ์ในการใช้ทหารที่ดีที่สุดที่จะช่วยเพิ่มโอกาสคว้าชัยชนะอีกด้วย”

สีหน้าของแม่มารในที่สุดก็ดีขึ้น เธอพยักหน้าอย่างลับๆ

เธอลองขบคิดสักพัก จึงเอ่ยถาม “มันก็ฟังดูไม่เลว แล้วในกระบวนการยิบย่อยของมันเล่า เจ้าตั้งใจจะทำอะไร?”

กู่ฉิงซานกล่าว “เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ฝึกยุทธ์ตัดผ่านขอบเขต สวรรค์และโลกจะส่งสายฟ้ามาลงทัณฑ์เขา ขณะเดียวกันปีศาจร้ายมากมายก็จะปรากฏตัวขึ้น และข้าอยากให้หลี่อันใช้ช่วงเวลานั้น ติดต่อกับพวกมัน ทำการอัญเชิญกำลังรบจำนวนมากให้ออกมา”

“กำลังรบที่เจ้าว่า ใช่หมายถึงทุกชนิดของปีศาจร้ายที่มักจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อผู้ฝึกยุทธ์ตัดผ่านขอบเขตใช่หรือไม่”

“ใช่”

กู่ฉิงซานมองหลี่อันและเอ่ยถาม “เจ้าเป็นมารสวรรค์ ดังนั้นก็น่าจะมีความสัมพันธ์กับปีศาจร้ายตนอื่นๆ อยู่บ้าง เจ้าสามารถเรียกพวกมันมาหารือกันสักหน่อยจะได้หรือไม่?”

หลี่อันลังเล “เรื่องเรียกปีศาจร้ายมาน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่พวกมันดันไม่สันทัดในเรื่องพูดคุยนี่สิ”

กู่ฉิงซานกล่าว “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ขอแค่ได้บอกถึงสิ่งที่จะใช้แลกเปลี่ยนออกไป เดี๋ยวต่อจากนั้นพวกมันก็จะกลายมาเป็นสหายที่ดีได้เอง”

หลี่อันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เจ้านี่มันน่าสนใจจริงๆ ปีศาจร้ายน่ะชอบกินคน แต่เจ้าดันอยากจะเป็นสหายกับพวกมัน”

“ตัวข้ามีเพียงจิตวิญญาณเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่มีทางเพียงพอให้พวกมันแบ่งปันกันได้ ทว่าหากพวกมันร่วมมือกับข้า พวกมันก็จะได้รับสมบัติ และ แบ่งปันสองร้อยล้านจิตวิญญาณร่วมกัน ข้าเชื่อมั่นสุดหัวใจว่าพวกมันย่อมรู้ดีว่าจะต้องเลือกหนทางใด” กู่ฉิงซานกล่าว

หลี่อันเบนสายตาจากเขา กล่าวน้ำเสียงเรียบเฉย “เช่นนั้นข้าคงต้องขอเตรียมตัวก่อน”

สองมือของเธอจีบเข้าด้วยวิชาลับ และเริ่มท่องคาถายาวเหยียด อัญเชิญปีศาจร้ายตนอื่นๆ ออกมา

แม่มารจ้องมองมาที่ฉากนี้ และต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่สุดท้ายเธอก็หุบปากลง และไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

มารสวรรค์ตนอื่นๆ เหลือบมองซึ่งกันและกัน ลอบกระซิบกระซาบ

“เจ้าดูนั่นสิ เหมือนพวกเขากำลังจีบกันอยู่เลยมิใช่หรือ”

“ท่านแม่ไม่ใส่ใจ หรือว่านางแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นมันกันแน่?”

“เจ้าคิดว่าท่านแม่จะมองไม่เห็นจริงๆ น่ะหรือ?”

“ใจเย็นๆ ก่อน อย่าลืมสิว่าเขามีสิ่งประดิษฐ์วิญญาณอยู่นะ”

ใช่แล้ว เขาน่ะครอบครองสิ่งประดิษฐ์วิญญาณ!

บังเกิดความเงียบงันขึ้น

ทุกคนเริ่มรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

ทันใดนั้นจิตสัมผัสเทวะจากมารสวรรค์ตนหนึ่งก็ส่งผ่านไปยังทุกๆตน

“พี่น้องทั้งหลาย ข้ามีบางอย่างอยากจะเอ่ยถาม พวกเจ้าคิดว่าหากเทียบเปรียบระหว่างข้ากับหลี่อันแล้ว เป็นข้าหรือนางที่งดงามมากกว่ากัน?”

มารสวรรค์หญิงสบตากันและกัน นิ่งค้างไป

ไม่มีใครตอบคำถามที่ฟังดูน่าเบื่อหน่ายนี้

อย่างไรก็ตาม ดวงตาของพวกนางทุกคนกลับตกลงบนร่างของกู่ฉิงซานเป็นเป้าเดียว

ประโยคนี้ คล้ายกับว่าได้เบิกเนตรให้แก่เหล่าหญิงสาว

ดูเหมือนว่า…ความหวังที่พวกตนจะได้ครอบครองสิ่งประดิษฐ์วิญญาณเช่นเดียวกับหลี่อัน กำลังค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานก้าวออกมา รวมตัวกันกับลอร่า อีเลีย และทหารพิทักษ์คนอื่นๆ

“ตอนที่พวกเรามีอีกหนึ่งปัญหา” กู่ฉิงซานกล่าว

“ปัญหาอะไร?” ลอร่าเอ่ยถาม

กู่ฉิงซานกล่าว “กระหม่อมจะต้องร่วมมือกับปีศาจ ช่วยกันสังหารผู้เข้าสู่วิถีมาร ดังนั้นกระหม่อมเลยต้องการสัญญาที่มีผลผูกมัดไว้เป็นหลักประกัน มิฉะนั้นแล้วในกรณีที่ปีศาจคิดบิดพลิ้ว ทรยศพวกเรา มันจะมีปัญหาตามมา”

ลอร่าหยิบหนังสือสัญญาใหม่เอี่ยมจากกระเป๋าของเธอออกมาและกล่าว “ใช้เจ้าสิ่งนี้สิ มันใช้งานง่ายมากๆ มีผลผูกมัดกับพฤติกรรมของทั้งสองฝ่าย และจะไม่ยินยอมให้เกิดการทรยศกันขึ้นในระหว่างข้อตกลง”

“แล้วถ้าทรยศล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“คนที่ทรยศจะถูกฆ่าโดยกฎเกณฑ์แห่งคำมั่นสัญญาโดยตรง” ลอร่าตอบ

กู่ฉิงซานขบคิด “แค่ฆ่าหรือ? แต่บทลงโทษนี้ ดูเหมือนว่าสำหรับปีศาจแล้ว…”

อีเลียส่ายหัว และพูดบ้าง “ลอร่า แม้ว่านี่จะเป็นหนังสือสัญญาของหอคอยสูงที่ใช้กันทั่วไปในตลอดทั้งหมื่นโลกา แต่สำหรับการดำรงอยู่ของพวกปีศาจน่ะมันใช้ไม่ได้ แม้ในสัญญาจะเป็นการปลิดชีพพวกมันก็ตาม แต่บางทีพวกมันอาจจะมีวิธีฟื้นคืนชีพอยู่ก็ได้”

“ถ้าแบบนั้น เราควรทำอย่างไรดี?”  ลอร่าเอ่ยถาม

อีเลียยิ้มและกล่าว “ท่านลืมใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามของพวกเราไปแล้วหรือ?”

ลอร่าเข้าใจทันที แต่แล้วเธอก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “แต่เราไม่ได้นำเจ้าสิ่งนั้นมา…”

“แต่กระหม่อมเอามา” อีเลียกล่าว

ว่าจบ เธอก็หยิบใบไม้สีเขียวออกจากถุง และมอบให้กับกู่ฉิงซาน

“นี่คือใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม แต่ละใบจะมีสัญญาที่มิอาจต่อต้านได้” อีเลียกล่าว

“สัญญาอะไร?” กู่ฉิงซานถาม

“สัญญาที่มิอาจฝ่าฝืน มิฉะนั้นแล้วจักถูกลงโทษ”

“แล้วบทลงโทษจากการผิดคำสัญญามันคืออะไร?”

“อำนาจทั้งหมดของคนผู้นั้นจักถูกดูดกลืนโดยรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ และจิตวิญญาณจะถูกสูบไปเป็นอาหารหล่อเลี้ยงรุกขชาติ”

“ร้ายกาจจริงๆ แต่ผมกลัวว่าอาจจะมีปีศาจบางตนที่ยังไม่เชื่อ”

“ไม่ต้องกังวลไป เพราะตราบใดที่ปีศาจเหล่านั้นเห็นพวกเราวิหคหนาม พวกมันจะเข้าใจเอง”

แต่กู่ฉิงซานก็ยังไม่รู้สึกวางใจ “แล้วถ้าหากเกิดกรณีที่มีการดำรงอยู่บางชนิด ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกคุณเหมือนอย่างผมล่ะ?”

“…เอาล่ะๆ เจ้าลองหยิบใบไม้ออกมา แล้ววางมันลงบนฝ่ามือ ก็จะเข้าใจเอง”

กู่ฉิงซานหยิบใบไม้มา และวางมันลงบนฝ่ามือเขา

ทันใดนั้น กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าจิตสัมผัสเทวะของตนกำลังลอยล่องออกไปจากโลกใบนี้

อำนาจอันไร้ที่สิ้นสุดของกฎเกณฑ์แผ่ออกมาจากใบไม้ มันได้นำพาจิตของกู่ฉิงซานตัดผ่านมิติและเวลา ไปปรากฏขึ้นเบื้องหน้าการดำรงอยู่ของบางสิ่งที่แสนจะยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์

มันเป็นต้นไม้

ต้นไม้โบราณที่มีขนาดความสูงมากกว่าหนึ่งหมื่นเมตร

กู่ฉิงซานแม้เพียงมองผ่านจากในจิตใจของเขา แต่กลับสามารถสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่านที่คอยให้ร่มเงานี้ มีพลังชีวิตเหลือล้นที่ตัวเขาทำได้เพียงแหงนหน้ามองขึ้นไป

อำนาจของมันยิ่งใหญ่เกินไป จนผู้คนที่เห็นทำได้เพียงชื่นชม แต่ไม่คิดอยากเป็นปฏิปักษ์

ในหัวใจของกู่ฉิงซาน รู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามที่ส่งออกมา จิตใจของเขาเต้นครึกโครมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ในขณะเดียวกัน คลื่นความคิดก็ถูกส่งผ่านมาจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์

คลื่นความคิดนี้ไหลเข้าสู่หัวใจของกู่ฉิงซานโดยตรง บอกเล่าให้เขาตระหนักรู้ถึงสิ่งหนึ่งทันที

ใช่แล้วล่ะ หากตนเองได้เอ่ยคำมั่นสาบานกับใบไม้ รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ก็จะรับรู้

ขณะที่เมื่อใครก็ตามละเมิดคำสาบาน รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์จะดูดกลืนอำนาจทั้งหมดของคนผู้นั้น แม้กระทั่งจิตวิญญาณก็ยังถูกดูดซับไปเป็นอาหาร

นี่คือกฎของมัน

เป็นกฎที่โลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้น ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจละเมิดได้

กู่ฉิงซานถอนจิตสัมผัสเทวะกลับคืนอย่างรวดเร็ว

“ทรงอำนาจจริงๆ!” เขาถอนหายใจ

ลอร่าตบลงในกระเป๋าของเธอและกล่าวว่า “ถูกต้อง กระเป๋าของเราเองก็ถูกถักทอขึ้นจากใบและกิ่งก้านของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เท่ากับว่าสิ่งต่างๆ ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าของเราก็จะถูกเก็บรักษาไว้โดนรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์โดยตรง นอกเหนือไปจากเรา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปิดกระเป๋าใบนี้ได้”

อีเลียเอ่ยเสริมในเวลาเดียวกัน “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ปฏิญาณว่าจะปกป้องลอร่า ในกรณีที่ข้าไม่อาจบรรลุคำมั่นได้ รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ก็จะพรากอำนาจทั้งหมดของข้าไป และจิตวิญญาณของข้าก็จะถูกรับไปโดยมัน”

กู่ฉิงซานใส่ใบไม้กลับเข้าไปในถุง ปากเอ่ยกล่าวด้วยความพึงพอใจ “ด้วยอำนาจที่ทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ ย่อมสามารถนำมาใช้แทนสัญญาได้อย่างแน่นอน ขอบคุณมากจริงๆ”

อีเลียส่ายมือและกล่าว “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว”

ลอร่าดึงชายเสื้อของกู่ฉิงซานด้วยดวงตาแดงเรื่อ “กู่ฉิงซาน เรายินดีจ่ายสมบัติทุกอย่าง ตราบใดที่เจ้าสามารถแก้แค้นให้ครอบครัวของเราได้!”

“อืม ท่านวางใจเถอะ พวกเราจะสามารถแก้แค้นแทนพวกเขาได้อย่างแน่นอน”

กู่ฉิงซานแตะลงบนหัวของเธอ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

………………………………………

แม่มารจากโลกมารดึกดำบรรพ์กวาดสายตามองทะเลสีน้ำเงินโดยรอบ ก่อนที่สายตาของเธอจะตกลงบนมังกรสายฟ้าที่แหวกว่าย และร่ายรำอยู่ในผืนสมุทร

“เข้าใจแล้ว เพราะสายฟ้าคือตัวแทนแห่งการลงทัณฑ์ของโลกใบนี้ ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะอาศัยประโยชน์จากทัณฑ์สายฟ้าที่ถูกเสริมอำนาจ สังหารกองทัพสัตว์ประหลาดผีสินะ” เธอเอ่ยพึมพำ

“ถูกต้อง ในเมื่อรู้แบบนี้ ท่านก็น่าจะ…” กู่ฉิงซานกล่าว

“ไม่” แม่มารขัดจังหวะเขา “ด้านนอกบนชั้นเปลือกน้ำแข็ง ยังคงเหลือผู้เข้าสู่วิถีมารอีกกว่าสองร้อยล้านคน และเกือบทั้งหมดล้วนมีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกันกับเจ้า แล้วเจ้าจะใช้วิธีการใดเพื่อรับมือกับพวกเขา?”

แม่มารกล่าวต่อ “ถึงแม้ว่าสายฟ้าสวรรค์จะใช้กำจัดกองทัพสัตว์ประหลาดผีได้ก็ตามที แต่สำหรับสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้น จะต้องมีบางคนที่มาจากโลกอารยธรรมผู้ฝึกวรยุทธ์อยู่บ้างเป็นแน่ ดังนั้นพวกเขาย่อมสามารถหาวิธีรับมือกับสายฟ้าสวรรค์ได้”

“นั่นหมายความว่าเจ้ามิอาจสร้างความเสียหายให้แก่พวกเขาได้มากเท่าที่ควร เพราะพวกเขามิได้หวาดเกรงสายฟ้าสวรรค์เหมือนกับเหล่าภูตผี”

กู่ฉิงซาน “เป็นอย่างที่ท่านว่า สำหรับในเรื่องของผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคน พวกเราจะทำการแลกเปลี่ยนกัน”

“แลกเปลี่ยนอะไร?”

“ข้าจะร้องขอให้หลี่อันอัญเชิญกองกำลังของนางมา ร่วมมือกันกับข้าสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารเหล่านั้น”

แม่มารส่งเสียงฮึฮะ “สุดท้ายเจ้าก็ต้องอาศัยหลี่อัน หากหลี่อันไม่ออกหน้า ตัวเจ้าเพียงลำพังย่อมไม่อาจรับมือกับพวกเขาได้”

“เจ้าพลาดแล้ว”

“ถ้าความจริงมันเป็นแบบนี้ ตัวข้าก็กระจ่างแก่ใจแล้ว”

“อันที่จริง ข้าไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากหลี่อัน”

กู่ฉิงซานกลั้วลำคอของเขา ปากเอ่ยกล่าวเฉียบขาด “เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเราร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ดังนั้น หลังจากที่ข้าจ่ายหนี้ก้อนแรกแล้ว ข้าก็จะเชิญหลี่อันมาอีกครั้ง เพื่อร่วมทำการแลกเปลี่ยนในครั้งต่อไป”

เขามองไปยังจักรพรรดินีหลี่อัน และเอ่ยถาม “ตอนนี้ ข้าต้องการจะทราบ ว่าสมบัติที่พวกเจ้ามารสวรรค์หวงแหนมากที่สุดคือสิ่งใด”

“สมบัติ? พวกเรามารสวรรค์…”

จักรพรรดินีหลี่อันเพียงเปิดปากพูด เธอก็ถูกขัดจังหวะโดยแม่มาร

“เจ้าหนู คิดอะไรอยู่ถึงได้ถามเรื่องนี้” แม่มารกล่าวเบี่ยงประเด็น

“แน่นอนว่าเป็นการถามเพื่อเชื้อเชิญให้นางออกหน้า มาร่วมมือกับข้าสังหารผู้เข้าสู่วิถีมาร” กู่ฉิงซานตอบ

“เจ้าคิดจะซื้อนางอย่างนั้นหรือ?”

กู่ฉิงซานยิ้ม พยายามอธิบายอย่างอดทน “ก่อนอื่น ข้าต้องการจะทราบว่าสิ่งที่มารสวรรค์เห็นว่าเป็นสมบัติน่ะคือสิ่งใด หลังจากที่ได้รับคำตอบแล้ว พวกเราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มันชัดเจนอีกครั้ง แบบนี้ได้หรือไม่?”

แม่มารจ้องมาที่เขา แม้ในสมองจะขบคิด แต่ก็มิได้เอ่ยขัดอะไรอีกต่อไป

เมื่อหลี่อันเห็นแบบนั้น เธอก็กล่าวทันที “มารสวรรค์อย่างพวกเรามองว่า ‘สิ่งประดิษฐ์วิญญาณ’ เป็นสมบัติ สิ่งประดิษฐ์วิญญาณคือกฎเกณฑ์ที่ผสมผสาน อัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณ มันเป็นสิ่งที่มารสวรรค์สามารถใช้แต้มพลังวิญญาณขับเคลื่อนได้ตลอดเวลา เพื่อระเบิดอำนาจของกฎเกณฑ์ที่ตนเองมีออกมา”

“แต่สิ่งประดิษฐ์วิญญาณน่ะแสนหายาก โดยทั่วไปแล้วน้อยครั้งนักที่จะปรากฏขึ้นในแต่ละโลก ในความเป็นจริง ทุกสิ่งมีชีวิตก็สามารถใช้มันได้เช่นกัน หากเข้าใจเกี่ยวกับการใช้แต้มพลังวิญญาณมากพอ”

“ดังนั้น สิ่งประดิษฐ์วิญญาณจึงเปรียบดั่งเป็นสมบัติของโลกเก้าร้อยล้านชั้น”

“ทุกครั้งที่สิ่งประดิษฐ์วิญญาณถือกำเนิดขึ้น ก็มักจะเป็นต้นเหตุของพายุเลือด มารสวรรค์จากกลุ่มต่างๆ จะส่งกองทัพของตนออกไป เพื่อเข้าร่วมแย่งชิงสิ่งประดิษฐ์วิญญาณ”

กู่ฉิงซาน “ดีล่ะ อย่างนั้นต่อไป ข้าอยากจะรู้ว่าเจ้ามีสิ่งประดิษฐ์วิญญาณอยู่กี่ชิ้น?”

“กี่ชิ้น? เจ้าบ้าไปแล้ว ข้ามีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น” หลี่อันกล่าว

“แล้วได้รับมันมาได้อย่างไร?”

“ในตอนที่สืบทอดบัลลังก์จักรพรรดินี ท่านแม่ได้มอบมันให้แก่ข้า”

“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่คิดต่อสู้เพื่อช่วงชิงสิ่งประดิษฐ์วิญญาณใหม่ๆ?”

หลี่อันยิ้มอย่างขมขื่น และหันไปมองแม่มาร

แม่มารยิ้มเยาะ “สิ่งประดิษฐ์วิญญาณสามารถถูกกระตุ้น ขับเคลื่อนได้โดยแต้มพลังวิญญาณเท่านั้น อานุภาพของมันแสนจะน่าเกรงขาม ครอบครองเพียงหนึ่งแต่จักได้ขึ้นเป็นถึงราชันแห่งโลก มิฉะนั้นแล้วบรรดาโลกมากมายจะออกเดินทางมาเพื่อทำสงครามแย่งชิงมันไปทำไม?”

“หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ สิ่งประดิษฐ์วิญญาณเป็นของหายากอย่างแท้จริงสินะ” กู่ฉิงซานครุ่นคิด

เขาเงียบลง

“เจ้าหนู แท้จริงแล้วเจ้ากำลังพยายามจะเล่นกลอุบายอันใดกันแน่?” แม่มารซักไซ้

“กลอุบายอย่างนั้นหรือ…ไม่ใช่หรอก เพราะที่จริงแล้ว…”

กู่ฉิงซานพึมพำและหันไปมองลอร่า

เมื่อลอร่าประสานสายตากับเขา เธอก็นิ่งงันไป

ทันใดนั้นเธอก็ย้อนนึกไปถึงคำที่กู่ฉิงซานเคยพูดกับตนเองก่อนหน้านี้

‘กระหม่อมอยากจะถามฝ่าบาท ว่าท่านยินดีจะทุ่มเททุกสิ่งอย่างให้กับการล้างแค้นหรือไม่?’

‘เรายินดีจะทุ่มเททุกสิ่งอย่าง’

‘ท่านยินดีจะทำทุกทางที่มันสามารถทำลายโลกที่ถูกจองจำโดยเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ใบนี้ลงหรือไม่?’

‘ต่อให้กระดูกของเราจะถูกทุบเป็นผุยผง หรือแม้ว่าจะต้องจ่ายด้วยทุกสิ่งที่มี เราก็ยินดี เราจะไม่มีวันให้ทริสเต้ได้รับชัยชนะเด็ดขาด!’

….

ลอร่าค่อยๆ ฟื้นคืนสติอีกครั้ง

ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง

เธอเอื้อมไปคว้าในความว่างเปล่า

กระเป๋าใบเล็กๆ ผุดออกมาจากกลางอากาศ

ลอร่าก้มหน้าลง ใช้มือน้อยๆ ของเธอล้วงลงไปควานของในกระเป๋า ปากเอ่ยพึมพำ “เราก็คิดว่าจะต้องจ่ายราคาที่หนักหนาอะไรออกไปซะอีก ที่แท้มันก็เป็นสิ่งประดิษฐ์วิญญาณนี่เอง…”

ขณะกล่าว เธอก็เดินตรงไปยังกู่ฉิงซาน

อีเลียกับทหารพิทักษ์ปิดล้อมรอบตัวเธอ ขยับกระบวนทัพตามไปอย่างใกล้ชิด

ลอร่ามองไปรอบๆ ก่อนจะส่งมอบของชิ้นหนึ่งให้กับกู่ฉิงซาน

“นี่คือสิ่งประดิษฐ์วิญญาณ” เธอกล่าว

กู่ฉิงซานก้มลงมองดูมัน และพบว่าแท้จริงแล้วมันคือปลายหอก

นี่คือปลายหอกทองเหลือง ไม่เพียงหนัก แต่ยังสาดประกายเย็นฉ่ำ ขณะเดียวกันก็แผ่ร่องรอยจางๆ ของคมกล้าออกมา

กู่ฉิงซานโยนหอกนี้ส่งให้หลี่อันโดยตรง

“เจ้าลองดูสิ ว่าสิ่งนี้คืออะไร” กู่ฉิงซานกล่าว

จักรพรรดินีหลี่อันเบิกตากว้าง คว้าจับปลายหอกทองเหลืองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“นี่เจ้ามี…” เธอเอ่ยถามอย่างลังเล

“ลองใช้มันดูสิ” กู่ฉิงซานกล่าว

หลี่อันกุมหอก และเริ่มกระตุ้มแต้มพลังวิญญาณ

บนปลายหอก จู่ๆ ก็เกิดรังสีแสงสีขาวน้ำนมกระชากขึ้นทันใด มันผลุบเข้าไปในร่างกายของหลี่อัน

หลี่อันหลับตาลง และทำความเข้าใจถึงช่วงเวลานี้อยู่ครู่หนึ่ง

“อา…ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”เธอเอ่ยพึมพำ

ในวินาทีต่อมา เธอก็เปิดตาขึ้นทันใด ขยับไหวร่างกายในฉับพลัน

เห็นแค่เพียงทั้งตัวเธอกลายเป็นกระแสแสงเย็นเยียบ ตัดผ่านอากาศในพริบตา

วินาทีต่อมา เธอก็กลับมายืนอยู่ที่เดิมอีกครั้ง

ช่างว่องไว!

มันจะว่องไวเกินไปแล้ว!

หากไม่ได้ให้ความสนใจกับเธออย่างจริงจัง เกรงว่าการหายตัวไปเมื่อครู่ของเธอคงไม่มีทางสังเกตได้

‘โครม!’

จนกระทั่งเวลานี้ จึงค่อยบังเกิดเสียงดังขึ้นตามมาอย่างช้าๆ

เห็นแค่เพียงวิหารที่มิได้อยู่ในห้วงทะเลลึก บัดนี้พังทลาย ถูกระเบิดทิ้งเป็นชิ้นๆ คล้ายกับเพิ่งถูกอุกกาบาตตกใส่

เหล่ามารสวรรค์หญิงเมื่อมองเห็นถึงฉากนี้ พวกเธอตกใจจนเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง

ต้องไม่ลืมนะว่า วิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ แม้ว่ามันจะไม่ได้รับการปกปักจากอำนาจเทวะ แต่อย่างน้อยก็ยังได้รับพรจากเหล่าทวยเทพ ซึ่งการจะสร้างความเสียหายแก่มัน ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

อย่างไรก็ตาม หลี่อันกลับใช้เวลาเพียงเสี้ยวเดียว ก็สามารถถล่มมันลงมาได้อย่างสิ้นเชิง

“ช่างเป็นสิ่งประดิษฐ์วิญญาณที่ยอดเยี่ยมเสียจริง” หลี่อันแสดงความคิดเห็น

เธอสัมผัสปลายหอกด้วยความฝืนใจ และโยนมันกลับไปให้กู่ฉิงซาน แต่กู่ฉิงซานไม่ได้รับมัน เขาเพียงวาดมือ และส่งหอกกลับไป

ปลายหอกทองแดงลอยกลับมาอยู่ในมือของจักรพรรดินีหลี่อันอีกครั้ง

“นี่เจ้า…” เธอสับสน

“ข้าให้เจ้า” กู่ฉิงซานกล่าว

หลี่อันตะลึงงัน

มารสวรรค์หญิงตนอื่นกรีดร้อง “พี่สาว รีบรับมันไว้เร็วเข้า นั่นมันสิ่งประดิษฐ์วิญญาณชั้นยอดเชียวนะ!”

แม่มารจิกริมฝีปากของตัวเองแน่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ทำไมถึงมอบมันให้ข้า?” หลี่อันจ้องมองกู่ฉิงซาน เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา

“เป็นของมัดจำ”

“…มัดจำอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ เพื่อให้เจ้ากับข้าร่วมมือกันอีกครั้ง ช่วยกันสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารสองร้อยล้านคน และสิ่งประดิษฐ์วิญญาณชิ้นนี้คือของมัดจำ”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “แน่นอน ว่าทุกอย่างนอกเหนือไปจากสิ่งประดิษฐ์วิญญาณแล้ว ดวงจิตของสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารก็จะเป็นของเจ้าด้วยเช่นกัน”

ฝูงชนจมลงสู่ความเงียบทันที

จิตวิญญาณของผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้าน!

 ลมหายใจของเหล่ามารสวรรค์เริ่มถี่ระรัวและหนักอึ้ง

สวรรค์เถอะ!

โลกทั้งใบ!

สิ่งประดิษฐ์วิญญาณแสนร้ายกาจ!

และยังมีสองร้อยดวงจิตของผู้เข้าสู่วิถีมาร!

หากนี่เป็นเรื่องจริง

หากมันเป็นเรื่องจริงแล้วละก็

ช่วงเวลาระหว่างที่ภายในจิตใจของเหล่ามารสวรรค์คล้ายดั่งถูกพายุกระหน่ำซัด

ลอร่าที่ยืนอยู่ด้านข้างและเฝ้ามองกระบวนการทั้งหมดมาจนถึงตอนนี้

จู่ๆ เธอก็แอบดึงชายเสื้อของกู่ฉิงซาน และส่งคลื่นความคิด

“แบบนี้มันจะไม่เป็นไรหรือ?” เธอถาม

“แน่นอน หากต้องการใช้คนอื่นทำงานให้ท่าน ท่านก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้พวกเขา…หรือว่าฝ่าบาทยังแคลงใจ ไม่ยินดีที่จะมอบสิ่งประดิษฐ์วิญญาณออกไป?” กู่ฉิงซานตอบและถามกลับ

“ไม่ ไม่หรอก เราก็แค่เพิ่งรู้ตัวว่า…รู้ว่า…”

“บอกมาเถิด ยังมีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกกับกระหม่อมได้อีกหรือ?”

“เราแค่เพิ่งรู้ตัวว่า ไอ้ที่เราหยิบขึ้นมา ในบรรดาสิ่งประดิษฐ์วิญญาณทั้งหมดที่เราครอบครอง มันเป็นของกระจอกที่สุด เราเลยกลัว กลัวว่าการกระทำเช่นนั้นมันจะถือว่าเป็นการไม่แสดงความจริงใจหรือไม่?”

กู่ฉิงซาน “…”

ตรงข้ามกับพวกเขา หลี่อันก้มหน้าลงจ้องมองปลายหอกทองเหลืองที่อยู่ในมือ นิ่งงันไปครู่หนึ่ง

แล้วจู่ๆ เธอก็เดินตรงไปยังแม่มารสวรรค์ และคุกเข่าลง

“ท่านแม่ สิ่งประดิษฐ์วิญญาณชิ้นนี้ ข้าขอมอบมันให้แด่ท่าน”

หลี่อันกล่าวด้วยความนอบน้อม และเคารพนับถือ

แม่มารกวาดสายตามองปลายหอกทองเหลืองที่อยู่ในมือเธอ

นี่คือสิ่งประดิษฐ์วิญญาณที่แสนแข็งกร้าว เป็นอาวุธที่ยากนักจะพบเจอ

ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวของมัน กลับถึงขั้นสามารถระเบิดวิหารของทวยเทพได้

ขณะที่เมื่อครู่เป็นเพียงการปลดปล่อยพลังแบบปกติของหลี่อันเท่านั้น

ด้วยสมบัติชิ้นนี้ หากตกอยู่ในมือของตนเอง และถูกปลดปล่อยอำนาจออกมาอย่างเต็มกำลังโดยตนแล้วละก็…

แม่มารสวรรค์ถอนหายใจ

“หลี่อัน ข้าไม่ได้มองเจ้าผิดไปจริงๆ บัลลังก์จักรพรรดินีมารสวรรค์สมควรแล้วที่จะตกเป็นของเจ้า”

ขณะกล่าว เธอก็รับเอาสิ่งประดิษฐ์วิญญาณไป

……………………………………………..

กู่ฉิงซานยิ้ม

“จักรพรรดินีหลี่อัน ก่อนที่พวกเราจะทำตามข้อตกลงกัน เจ้าจะต้องนำใครบางคนมาช่วยข้าสู้เสียก่อน แล้วข้าจะมอบโลกเป็นรางวัลแก่เจ้า”

เขาย่ำลงบนพื้นใต้ฝ่าเท้าตน และกล่าว “และนับจากนั้นไป โลกใบนี้จะเป็นของเจ้า”

หลี่อันมองเขา แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เธอก็ถูกแม่มารสวรรค์ดึงไปไว้ข้างหลังเสียก่อน

เจ้าบอกว่าจะมอบโลกใบนี้ให้กับบุตรสาวแห่งข้าสินะ?“ แม่มารเอ่ยถาม

“ใช่ โลกใบนี้มีไว้เพื่อนาง”

“เจ้าพูดจริงหรือ? เจ้าจะสามารถรับผิดชอบในคำพูดของเจ้าได้หรือไม่?”

“สิ่งใดที่เอ่ยปากออกไปแล้ว ข้าย่อมสามารถรับผิดชอบ ไม่บิดพลิ้วมันอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

แม่มารสวรรค์พยักหน้าอย่างเงียบงัน ขณะเดียวกันบนใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน

“บุตรสาวข้า วันนี้ข้าจะมอบบทเรียนให้แก่เจ้า เพื่อแสดงให้เจ้าได้เห็นว่าเจ้าพวกมนุษย์น่ะฉ้อฉลมากเพียงใด” แม่มารหันไปกล่าวกับหลี่อัน

เธอก้าวออกมาข้างหน้า และชี้ไปยังวิหารที่อยู่เบื้องหลังกู่ฉิงซาน หันหน้ากลับมามองเหล่ามารสวรรค์หญิง “จงฟังให้ดี ข้าได้ทำการตรวจสอบโลกเบื้องล่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งปลูกสร้างนั่นเป็นวิหารของเหล่าทวยเทพโบราณ ดังนั้นที่นี่จึงไม่ใช่โลกของมนุษย์ผู้นี้ แต่เป็นโลกที่เทพวิญญาณได้เหลือทิ้งเอาไว้”

แม่มารชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าและกล่าว “และเหนือขึ้นไปก็มีกฎเกณฑ์ของเทพบรรพกาลที่เรียกกันว่าอำนาจเทวะ…นั่นคือกำแพงอุปสรรคที่ช่วยปกป้องโลกใบนี้ เป็นกฎเกณฑ์ที่เหล่าทวยเทพได้บัญญัติขึ้น”

“ใครก็ได้ ลองบินขึ้นไปบนท้องฟ้า และแสดงให้ทุกคนได้เห็นสักหน่อยซิ” เธอสั่ง

ทันใดนั้นมารสวรรค์หญิงหลายตนก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกัน

อย่างรวดเร็ว บนท้องฟ้าก็เริ่มกะพริบไหวด้วยรังสีแสงสีทอง

มารสวรรค์หญิงบินกลับมาและกล่าวด้วยความตื่นเต้น “รายงานท่านแม่ เมื่อครู่เหล่าพี่น้องได้บินขึ้นไป ข้างบนมีกำแพงอุปสรรคของเทพบรรพกาลอยู่จริงๆ พวกเราไม่สามารถผ่านมันไปได้เลย”

“และเหนือขึ้นไปบนมันคือทะเล จากนั้นจะเป็นก็เป็นชั้นน้ำแข็ง”

แม่มารยิ้ม เธอหันไปมองหลี่อันและกล่าว “บุตรสาวข้า เจ้าพอจะคาดเดาได้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดอยู่เบื้องบนนั่น”

“ข้าไม่ทราบ” หลี่อันตอบกลับไปอย่างไร้หนทาง

แม่มารประกาศลั่น “เหนือขึ้นไปเบื้องบน มันถูกครอบครองโดย หนึ่งแสนสัตว์ประหลาดผี และสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร!”

“พวกเขาได้ยึดครองโลกใบนี้เอาไว้แล้ว!”

ปรากฏเสียงฮือฮาขึ้นในหมู่มารสวรรค์หญิง

ชายผู้นี้ เมื่อครู่เพิ่งกล่าวว่าจะมอบโลกใบนี้เพื่อชำระหนี้ แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังกลับเป็นเช่นนี้ นี่มันเหนือความคาดหมายไปมาก

แม่มารมองหลี่อัน ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ โลกใบนี้เป็นของเทพบรรพกาลหรือไม่ก็ของราชามาร มิใช่ชายที่อยู่ตรงกันข้ามผู้นี้เป็นคนครอบครองมัน”

“เขาได้ให้คำมั่นว่าจะมอบโลกให้แก่เจ้าเป็นการตอบแทน แต่ดูสิ…ตอนนี้เขาไม่มีแม้กระทั่งโลกไว้ในครอบครองด้วยซ้ำ”

“เขาโกหก”

“หลี่อัน ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?”

หลี่อันก้าวออกมาจากกลุ่มมารสวรรค์หญิง คุกเข่าของเธอลงบนพื้น กล่าวเสียงต่ำ “ลูกเข้าใจแล้ว”

แม่มารมองเธอ ถอนหายใจและส่ายหัว “ช่างไร้เดียงสา…”

แต่ในเวลานั้นเอง อีกเสียงหนึ่งก็ดังมาจากจุดที่ไกลออกไป

“นั่น…ข้าเกรงว่าคงจำเป็นต้องขัดจังหวะพวกท่านเสียแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

มารสวรรค์หันกลับมามองเขาอีกครั้ง

แต่คราวนี้ นอกเหนือไปจากหลี่อัน สีหน้าของมารสวรรค์แต่ละตน ได้แสดงชัดถึงความโหดร้ายและกระหายเลือด

“คนฉ้อฉล”

“กล้าดีอย่างไรมาปั่นหัวพวกเรามารสวรรค์”

ตนแล้วตนเล่าเริ่มสาดคำก่นด่า ตามร่างกายของพวกเธอเริ่มบังเกิดคลื่นพลังกระเพื่อมไหว

กู่ฉิงซานยิ้ม เขาเริ่มขับเคลื่อนพลังวิญญาณจากภายในร่างกายเล็กน้อย

ด้วยพลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยมผสานไปกับกระบวนการตัดผ่าน ทันใดนั้นการกระทำของเขาก็ถูกตรวจพบโดยกฎเกณฑ์ของสวรรค์และโลกทันที

บนท้องฟ้า เสียงคำรามอึกทึกระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

มังกรสายฟ้าที่มีขนาดตัวยาวกว่าร้อยหลายลี้โผล่หัวออกมาจากเมฆทะมึน จับจ้องลงมายังฝูงชนเบื้องล่าง

ด้วยมังกรแห่งทัณฑ์สายฟ้าอันทรงพลานุภาพที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้เหล่ามารสวรรค์หุบปากลง พูดสิ่งใดไม่ออก

กู่ฉิงซานกุมดาบพิภพไว้ในมือของเขาอีกครั้ง และเริ่มถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป

ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ ทันที มันระเบิดพลังเหนือธรรมชาติที่มองไม่เห็นออกมา

กู่ฉิงซานวาดดาบพิภพ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พวกเจ้าไม่คิดจะรอให้คนอื่นพูดจนจบสักหน่อยหรือ? คิดว่าตัวเองตายไม่เป็นหรืออย่างไร?”

มารสวรรค์เลื่อนสายตามองลงมาที่ดาบ และสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวในจิตใจตน

“นั่น…”

“ไม่ผิดแน่ เขาสามารถสังหารเราด้วยดาบเล่มนั้นได้”

“แล้วพวกเราสมควรทำอย่างไรดี”

“รอก่อน รอฟังคำสั่งจากท่านแม่”

พวกเธอชักฝีเท้าถอยกลับมา

แม่มารก้าวออกมาเบื้องหน้ามารสวรรค์ทั้งหมด เอ่ยปากด้วยรอยยิ้มหยัน “ทำไม? หลังจากที่ถูกเปิดโปงโดยข้า เจ้าก็รู้สึกอับอายจนระงับความโกรธไว้ไม่อยู่หรือ? มนุษย์เช่นเจ้าน่ะ ข้าเคยพบพานมานักต่อนักแล้ว”

กู่ฉิงซาน “ข้าบอกว่าข้าจะจ่ายหนี้ ส่วนพวกเจ้า ถ้าอยากคิดว่านี่เป็นโลกของคนอื่นก็คิดไป มันไม่เกี่ยวข้องกับข้า เพราะข้าแค่ต้องการให้หลี่อันคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจ ว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้เป็นของนาง”

หลี่อันเงยหน้าขึ้นมองเขาทันใด

เขาจะสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ไหมนะ? เธอลอบอธิษฐาน

มารสวรรค์หญิงทั้งหมดมองไปที่เขา

แม่มารส่ายหัวและกล่าวว่า “อำนาจเทวะของเทพบรรพกาลยังคงอยู่ บนชั้นน้ำแข็งก็เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดผีและผู้เข้าสู่วิถีมาร แล้วเจ้าจะมีวิธีอะไรมาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าโลกใบนี้เป็นของเจ้า?”

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ดูเหมือนว่าท่านจะทราบเกี่ยวกับโลกใบนี้มากทีเดียว แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าเมืองที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของท่านนี้มีชื่อว่าอะไร?”

“เรื่องน่าเบื่อแบบนั้นข้าจะไปรู้ได้อย่างไร…เจ้าคิดจะย้อนข้าอย่างนั้นหรือ?” แม่มารกล่าว

“ไม่ใช่ ข้าเพียงจะพิสูจน์ให้ท่านเห็น ว่าข้าน่ะรู้จักโลกใบนี้มากยิ่งกว่าท่าน”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นบนภูเขาสูง อยู่ใกล้กับทะเล ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่าเมืองไห่เช่า”

แม่มารกล่าว “ก็แล้วมันทำไม? เมืองแห่งนี้มันถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า?”

กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “โลกใบนี้จะพิสูจน์ให้ท่านได้เห็นเอง ว่ามันเป็นของข้า”

หลังจากพูดจบ เบื้องหลังเขาในความว่างเปล่า ดาบบินเล่มหนึ่งก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที

เช่าหยิน…

ดาบจากสมัยโบราณ นามว่าเช่าหยิน!

ดาบบินกลายเป็นกระแสแสงทะยานขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดบนท้องฟ้าแล้วจึงค่อยหยุดลง

มันแขวนเด่นอยู่ตรงนั้น ราวกับกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่

“จงเปิดออก!”

กู่ฉิงซานเอ่ยปากอย่างแผ่วเบา

เมื่อเช่าหยินได้ยินคำสั่งนี้ มันก็ยื่นปลายดาบออกไป เพื่อเจาะลงบนกำแพงอุปสรรคของทวยเทพ

เช่าหยินน่ะถูกสร้างขึ้นมาโดยเหล่าทวยเทพ มันได้นำพากู่ฉิงซานข้ามผ่านกำแพงอุปสรรคที่เกิดจากอำนาจเทวะอยู่หลายครั้ง และตอนนี้ ก็เป็นอีกครั้งที่มันจักสำแดงพลังที่ว่าออกมา!

เห็นแค่เพียงแสงสีทองเรืองรองบนท้องฟ้าที่ค่อยๆ ขยายตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า

และฉากนี้ยังมิได้หยุดลง

ทันใดนั้นแสงสีทองเรืองรองเริ่มขยายจนเป็นโดมทรงกลม แพร่กระจายออกไปตลอดทั้งน่านฟ้า

มันแพร่กระจาย ขยับขยายตัวอีกครั้ง และอีกครั้ง เผยให้เห็นถึงฉากหลังของมหาสมุทรที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม

ณ ตอนนี้ อำนาจเทวะทั้งหมดที่เคยครอบคลุมทั่วผืนฟ้า ได้ถูกเปิดออกแล้วโดยดาบเช่าหยิน!

กู่ฉิงซานเพิกเฉยต่อแต้มพลังวิญญาณที่กำลังลดอย่างรวดเร็วบนหน้าต่างเทพสงคราม และตะคอกออกมาคำหนึ่ง

“จงร่วงหล่น!”

ด้วยคำสั่งของเขา เช่าหยินก็ส่งเสียงร้องฉวัดเฉวียนอย่างรวดเร็ว!

มันกำลังเรียกขานมหาสมุทร!

ในสมัยโบราณ เทพบรรพกาลได้สร้างดาบเล่มนี้ขึ้น และโยนมันลงสู่ท้องทะเลเพื่อให้ปกปักสี่ห้วงสมุทร

และผู้ใดก็ตามที่ถือครองดาบเล่มนี้ ก็จะกลายเป็นราชาแห่งท้องทะเล!

ปรากฏให้เห็นถึงภาพที่ไม่อาจจะเชื่อสายตา

เหนือท้องฟ้า มหาสมุทรทั้งมวลได้พังทลายลงมา

มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุดร่วงตกลงมา ฉากนี้คล้ายกับน้ำท่วมใหญ่ในครั้งก่อนประวัติศาสตร์ ที่ทำให้โลกทั้งใบจมอยู่ใต้ท้องทะเลโดยสมบูรณ์

แม้กระทั่งเมืองไห่เช่าที่อยู่บนยอดเขาสูง ก็ยังถูกท่วมทับ จมอยู่ใต้น้ำทะเลอย่างสิ้นเชิง

โลกทั้งใบถูกเปลี่ยนเป็นห้วงทะเลลึก

หลงเหลือเฉพาะเพียงจัตุรัสเบื้องหน้าวิหารเท่านั้นที่ยังมีพื้นให้เหยียบย่าง

มารสวรรค์ รวมไปถึงผู้คนแห่งอาณาจักรหนามต่างมองมายังกู่ฉิงซาน

พวกเขายังคงยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม

ปัจจุบันนี้ กระแสน้ำได้โถมเข้าปกคลุมทุกสิ่งอย่าง ไม่นาน หลากหลายสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลก็เริ่มแหวกว่ายผ่านลานจัตุรัสไป

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ทัณฑ์สวรรค์ยังมิได้กระจายตัวหรือเหือดหายไป มังกรสายฟ้าที่มีความยาวกว่าหลายร้อยลี้ยังคงแหวกว่ายอยู่ในเมฆและน้ำ ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าเริ่มแพร่กระจาย มหาสมุทรในปัจจุบันสาดชั้นแสงสายฟ้าเรืองรองอย่างต่อเนื่อง

นี่คือฉากที่นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง!

ทุกคนที่เห็นภาพนี้ ต่างอึ้งทึ่งจนไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป

‘ฮู้ม!’

ดาบบินร่อนลงมาจากฟากฟ้า และตกลงในมือของเขา

“กำแพงอุปสรรคมิใช่ปัญหา”

เขากล่าว

“มหาสมุทรก็เป็นของข้า”

เขายังคงกล่าวต่อ

“ส่วนเรื่องกองทัพสัตว์ประหลาดผี…”

พลังวิญญาณจากภายในร่างกายเขาขับเคลื่อนเล็กน้อย

มังกรสายฟ้าพลันตระหนักถึงกลิ่นอายของเขาทันที

‘โฮก!’

มันระเบิดเสียงคำรามสั่นสะเทือนสวรรค์และโลก

ร่างสายฟ้าขนาดมหึมาร่วงตกลงจากท้องฟ้า โฉบลงมาเวียนว่ายรอบลานจัตุรัส

ตลอดทั้งจัตุรัสพลันถูกปกคลุมไปด้วยสีน้ำเงินขาวโดยสมบูรณ์

กู่ฉิงซานมองไปยังแม่มารสวรรค์ ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ ท่านยังมีคำถามอะไรอีกหรือไม่?”

……………………………………………………….

Ep.587 – แม่มารสวรรค์

 

“ข้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะรับฟังเรื่องยาวๆ”

 

หญิงใหญ่ชุดดำยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานหยุดพูด

 

“ปัญหาเดียวที่ข้ากังวลก็คือ มารสวรรค์มิเคยมอบทรัพย์สินใดๆของพวกนางให้แก่สิ่งมีชีวิตเผ่าอื่นมาก่อนเลย แล้วเหตุใดนางจึงมอบมันให้เจ้า?”

 

เธอจิกสายตามองกู่ฉิงซานและกล่าว

 

“พวกเราเป็นหุ้นส่วน และกำลังร่วมมือกันอยู่” กู่ฉิงซานพยายามอธิบาย

 

“นั่นเป็นไปไม่ได้ ข้าเฝ้ารอการสั่นไหวของกระดิ่งอยู่นาน เพราะข้าต้องการจะสำรวจดูว่าผู้ใดกัน ที่จะสามารถรับสิ่งของจากนางได้”

 

เมื่อตระหนักถึงทัศนคติที่แท้จริงของหญิงใหญ่ในชุดดำ กู่ฉิงซานก็ตอบสนองทันที

 

เขาเร่งอธิบาย “ท่านผู้ทร .. ไม่สิท่านป้า! ท่านเข้าใจผิดแล้ว อันที่จริงที่ข้าเรียกนางมาในครั้ง ส่วนใหญ่แล้วเป็นในเรื่องของการจ่ายหนี้”

 

“จ่ายหนี้? งั้นก็ดี ไหนลองบอกมาซิว่าเจ้าจะมอบอะไรให้กับนาง” หญิงใหญ่ชุดดำเอ่ยถาม

 

“ข้าจะมอบโลกใบนี้ให้แก่นาง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“โลกใบนี้ ….. ” หญิงใหญ่ชุดดำยิ้มอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็ส่ายหัว “กลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้ว เจ้ามันก็แค่คนหลอกลวง”

 

“เจ้าไม่เพียงลวงบุตรสาวข้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง แต่ยังคิดจะหลอกข้าด้วยกระนั้นหรือ ขอบอกเลยว่าในรอบหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครหน้าด้านหรือหาญกล้าเช่นเดียวกับเจ้าปรากฏขึ้นมาก่อนเลย”

 

เสียงของเธอค่อยๆเริ่มกลายเป็นเย็นชา “เจ้าเคยจินตนาการหรือไม่ว่า พวกที่เล่นตลกกับมารสวรรค์ มันจะพบจุดจบเช่นไร?”

 

ร่างเงาดำอันคลุมผุดออกมาจากกายเธอ ค่อยๆกระจายไปทั่วจตุรัส

 

อำนาจในกายเพิ่มเริ่มทะยานสูงขึ้นทีละขั้น ทีละขั้นอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดมันก็กลายเป็นดุร้ายและน่าหวาดกลัว

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ พยายามอธิบายอย่างใจเย็น “ข้าจะจ่ายหนี้จริงๆ ตราบใดที่ท่านให้โอกาสข้า ข้าจะจ่ายหนี้ทันที”

 

“โอ้? เจ้าคิดว่าตัวข้าไม่ทราบจริงๆหรือว่าโลกใบนี้มันคืออะไร?”

 

หญิงใหญ่ชุดดำราวกับพึ่งได้ยินเรื่องขบขัน ทันใดนั้นแรงกดดันบนร่างกายของเธอก็ถูกเก็บกลับคืน

 

น้ำเสียงของเธอยกสูงขึ้น “ดี! ข้าจะแสดงให้พวกนางทั้งหมดได้เห็นเอง ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันจะเป็นอย่างไรหากถูกผู้ฝึกยุทธหลอกลวง!”

 

“ด้วยวิธีนี้ ในภายภาคหน้าจะได้ไม่มีผู้ใดถูกพ่นวาจาโฉ้ฉลให้สับสนอีก!”

 

หญิงใหญ่ในชุดดำกล่าว และเหยียดชุดแขนยาวของเธอไปในอากาศที่ว่างเปล่า

 

ทันใดนั้นแขนเสื้อสีดำก็กลายเป็นถ้ำลึก ที่มีขนาดความสูงเท่ากับคนสองคนต่อติดกัน

 

พร้อมด้วยแสงอันมืดมิด ที่แผ่เล็ดลอดออกมาจากภายในถ้ำ

 

เสียงคำรามนับไม่ถ้วน ผสมผสานไปกับเสียงกรีดร้อง ครวญคราง โหยหวน ร่ำไห้ และสบถไปด้วยคำสาปแช่งดังออกมาจากถ้ำ

 

หญิงใหญ่ในชุดดำเหยียดมือออกไปและสะบัดมันเบาๆในอากาศ พริบตานั้น นอกเหนือไปจากท่วงทำนองเพลง ทุกสรรพเสียงภายในถ้ำก็เงียบสงบลงทันที

 

กู่ฉิงซานที่เฝ้ามองฉากนี้เลิกคิ้วสูง

 

หากมองเพียงผิวเผิน นั่นใช่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างโลกต่อโลกโดยตรงใช่หรือไม่? จำต้องครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่เพียงใดกันจึงจะสามารถกระทำเช่นนั้นได้

 

หญิงใหญ่ชุดดำตะโกนเข้าไปภายใน “บุตรสาวทั้งหลายของข้า จงออกมา แสดงตัวให้ข้าเห็น ณ ที่นี่”

 

เสียงเพลงที่ดังขับขานจากภายในถ้ำหยุดลงทันที

 

ก่อนจะปรากฏหลายร่างโบยบินออกจากถ้ำ ด้วยท่วงท่าที่งดงาม ใบหน้าของพวกนางสามารถดึงดูดได้ทุกๆสิ่งมีชีวิต

 

ตามตัวของพวกเธอสวมใส่ชุดคลุมขนนกหลากสีสัน มันงดงามไร้ซึ่งเศษฝุ่นใดๆมาเกาะอิง เพียงจ้องมองก็สามารถลวงล่อผู้ฝึกยุทธได้อย่างง่ายดาย แตกต่างจากมารสวรรค์โดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

 

การเคลื่อนไหวของหญิงทรงเสน่ห์เหล่านี้ ช่างแสนนุ่มนวลและอ่อนโยน ทั้งมือเท้าที่จีบออกของแต่ละคน ร่ายรำด้วยท่วงท่าแตกต่างกันออกไป ยากที่จะอธิบายได้

 

กู่ฉิงซานเลื่อนสายตามอง และพบกับเด็กหญิงชุดดำอย่างรวดเร็ว

 

เด็กสาวชุดดำชำเลืองมองมาที่เขาวูบหนึ่งอย่างไร้อารมณ์ และหันหัวของเธอไปอีกทาง

 

“ระวังตัวด้วย ท่านแม่ข้าคิดว่าเจ้ากำลังลวงหลอกข้า  คิดใช้ประโยชน์จากข้าทำงานให้แก่เจ้า”

 

เธอส่งเสียงผ่านความคิดมาอย่างเงียบๆ

 

“แต่พวกเรามีหลักฐานนี่ เจ้าน่าจะนำจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าไปแล้วมิใช่หรือ นางจะต้องเข้าใจสิ” กู่ฉิงซานส่งความคิดกลับไปถาม

 

“ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า … อ่า ตามกฏแล้วจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธที่มีค่าและแสนหายากจักต้องรอให้ท่านแม้ของข้าสูบกินก่อนเป็นคนแรก แน่นอนว่าข้าเองก็มีคุณสมบัติได้สูบกินมันเช่นกัน – แต่ข้าดันอดใจไม่ไหว แอบไปสูบกินวิญญาณของเขาอยู่คนเดียวลับหลังนาง” เด็กสาวชุดดำรู้สึกอายเล็กน้อย ตอบเสียงกระซิบกลับมา

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ เขาไม่มีอะไรจะพูดอีก

 

–นี่มันหายนะชัดๆ ช่างน่าสิ้นหวังโดยแท้

 

“แล้วข้าควรจะทำอย่างไรดี?” เขาถาม

 

“ไม่รู้สิ แต่เจ้าต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดี มิฉะนั้นเจ้าคงจะต้องตายที่นี่”

 

“เจ้าไม่มีคำแนะนำอะไรดีๆเลยหรือ?”

 

“ท่านแม่ของข้าเป็นมารกลุ่มแรกๆในโลกมารดึกดำบรรพ์ และยังเป็นมารสวรรค์ที่ก่อกำเนิดขึ้นมาเมื่อสวรรค์และโลกถูกเปิดออกอีกด้วย”

 

“แล้วอะไรอีก?”

 

“ที่จะสื่อก็คือ เจ้าจะต้องอธิบายให้ดีที่สุด ทำให้ได้แบบเดียวกันกับตอนที่โน้มน้าวใจข้า มิฉะนั้นจุดจบของทั้งข้าและเจ้าคงไม่สวยแน่” เด็กสาวชุดดำกล่าว

 

“ … ” กู่ฉิงซาน

 

เขาไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว

 

ณ ขณะนี้ เหล่ามารสวรรค์หญิงได้มาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าแม่มารของพวกนาง

 

“ท่านแม่กล่าวว่าจะแสดงสิ่งดีๆให้พวกเราได้รับชมหรือเจ้าคะ?” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม

 

“ใช่ ข้าได้ค้นพบมนุษย์ที่พยายามจะหลอกใช้มารสวรรค์ เดิมทีนี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ แต่มารสวรรค์บางตนกลับโง่เง่า หลงกลมันจริงๆซะได้” แม่มารสวรรค์กล่าว

 

มารสวรรค์หญิงคนอื่นๆตกใจ

 

“ในบรรดาพวกเรา มีคนรับฟังวาจาของมนุษย์อยู่ด้วยกระนั้นหรือ?”

 

“นี่มันน่าสนใจจริงๆ โดยปกติแล้วจะเป็นพวกเราที่หว่านเสน่ห์มนุษย์ ล่อลวงพวกเขาอยู่เสมอๆ แต่วันนี้กลับเป็นพวกเขาที่ลวงหลอกมารสวรรค์อย่างพวกเรา?”

 

“มนุษย์เป็นเผ่าพันธ์ที่ไร้ยางอายมากที่สุดในตลอดทั้งหมื่นโลกา ผู้ใดเล่าจะไปทันคาดคิด ว่าแท้จริงแล้วจักถูกกลยุทธ์ลวงหลอก”

 

“ท่านแม่ น้องสาวผู้ไร้เดียงสาคนใดกันที่โง่งมถึงเพียงนั้น?”

 

แต่ละคนต่างพ่นคำที่แสนเจ็บแสบออกมา

 

เด็กสาวชุดดำก้มหน้าลง

 

แม่มารสวรรค์ กล่าว “หลี่อัน เงยหน้าขึ้นมาซะ”

 

เด็กสาวชุดดำที่ชื่อหลี่อันยกศีรษะขึ้น ขานรับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เจ้าค่ะท่านแม่”

 

“เอาล่ะ ไหนเจ้าลองอธิบายมาซิ ว่าเขาโน้มน้าวใจเจ้าได้อย่างไร?”

 

“เขากล่าวว่าจะมอบโลกให้แก่ข้าเป็นสิ่งตอบแทน”

 

มารสวรรค์หญิงคนอื่นๆระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที

 

“ที่แท้ก็เป็นพี่สาวที่ทรงอำนาจมากที่สุดของพวกเรานี่เอง ที่ดันไปหลงเชื่อวาจามนุษย์!”

 

“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพี่สาวของข้า จะทำอะไรอย่างอื่นกับอาหารด้วย นอกจากสูบกินมัน”

 

“ฮะ ฮี่ฮี่ฮี่ นี่มันเรื่องจริงงั้นหรือ ไม่คาดฝันเลยจริงๆ ว่าพี่สาวจะมีความปรารถนาในโลก เหมือนกับพวกมนุษย์”

 

แม้จะถูกบรรดาน้องๆลอบก่นด่า แต่เด็กสาวชุดดำกลับยังคงสงบ และไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาเลย

 

แม่มารสวรรค์ถอนหายใจ เธอดูเหมือนจะผิดหวังมาก

 

เธอกล่าว “หลี่อัน เจ้าเป็นถึงจักรพรรดินีที่คอยควบคุมมารสวรรค์จากในเงามืด แต่กลับถูกลวงหลอกโดยมนุษย์ ดันไปใช้อำนาจในมือช่วยเหลือพวกเขา เกรงว่าเรื่องตำแหน่งจักรพรรดินีของเจ้า ข้าคงจะต้องนำมันเก็บไปคิดทบทวนอีกครั้งเสียแล้ว”

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเด็กสาวชุดดำก็ซีดลงทันที

 

ทว่าบรรดาน้องสาวของเธอ กลับปรากฏแววตาที่เปล่งประกาย

 

หากมีใครคนหนึ่งร่วงหล่นลง ก็ย่อมต้องมีคนหนึ่งขึ้นไปแทนที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านแม่จะจัดสรรตำแหน่งที่ว่างนั่นให้กับใคร

 

“นั่น – ข้าคงต้องขอขัดเสียแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวขึ้นในทันใด

 

เหล่ามารสวรรค์เงียบลงทันที

 

พวกเธอหันหน้ามามองเขา … มองเขาด้วยสีหน้าอันคลุมเครือที่ยากจะอธิบาย

 

แม่มารสวรรค์กล่าว “ขัดจังหวะการสนทนาของผู้อื่นตามอำเภอใจ เจ้านี่มันช่างหยาบคายเสียจริง แม้กระทั่งมารยาทง่ายๆเช่นนี้ก็ยังไม่เข้าใจหรือ?”

 

“เพราะข้าเป็นต้นตอในการเรียกขานในครั้งนี้ ดังนั้นโปรดอนุญาตให้ข้าได้ทำเรื่องราวให้มันจบลงก่อนเถอะ แล้วหลังจากนั้นท่านต้องการจะทำอะไร ข้าจะไม่ขัดอีกแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างต่อเนื่อง

 

แม่มารสวรรค์ “แล้วเจ้าต้องการจะทำสิ่งใด?”

 

กู่ฉิงซาน “พอดีว่าข้ายังมีหนี้เล็กๆน้อยที่ยังมิได้ชำระกับจักรพรรดินีหลี่อัน ฉะนั้นโปรดให้ข้าได้ชำระกับนางก่อนจะได้หรือไม่ จากนั้นพวกท่านจะเอ่ยสิ่งใดก็แล้วแต่เลย”

 

แม่มารสวรรค์แสยะรอยยิ้มเย็น “ก็ได้ เช่นนั้นไหนเจ้าลองพูดมาสิ พวกเราจะตั้งใจฟังวาจาของเจ้าเอง แม้ว่ามันจะยาวก็ตาม”

 

Ep.586 – สถานการณ์ที่อันตรายยิ่งกว่า

 

บนท้องฟ้า สายลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงการกระทำที่คิดตัดผ่านขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ กฏเกณฑ์ของโลกก็เริ่มตอบสนองทันที

 

ซึ่งนี่มันแตกต่างจากในโลกอื่นๆ สถานที่แห่งนี้คือโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพ ดังนั้นอำนาจของสายฟ้าจึงเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากที่สุด!

 

มันเป็นตัวแทนของเทพบรรพกาล ที่จักสามารถสำแดงอำนาจทำลายทุกสิ่งอย่างได้

 

เป็นการลงทัณฑ์จากเหล่าทวยเทพ!

 

ดังนั้น –

 

ถึงแม้ว่ากู่ฉิงซานจะยังมิได้ริเริ่มเข้าสู่กระบวนการตัดผ่าน แต่เมฆทะมึนก็ได้ปรากฏขึ้นจนปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าแล้ว

 

โลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพ บัดนี้ถูกเมฆหนาปกคลุม ตกอยู่ในความมืดมิดโดยสมบูรณ์

 

ฉากตรงนี้ บอกตรงๆว่าแม้แต่กู่ฉิงซานเองก็ยังแปลกใจเล็กน้อยเช่นกัน

 

เพราะในระหว่างการตัดผ่านของผู้ฝึกยุทธ เมฆหมอกแห่งการลงทัณฑ์จะปกคลุมอยู่แค่เพียงในอาณาเขตที่แน่นอน เพื่อระเบิดสายฟ้า ฟาดผ่าลงแค่เฉพาะบริเวณที่ผู้ฝึกยุทธอยู่เท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยเห็นฉากที่เมฆทะมึนปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า ไกลไปสุดลูกหูลูกตาอย่างนี้มาก่อนเลย

 

ทันทีเมฆแห่งการลงทัณฑ์เริ่มปกคลุมหนาแน่น ตามตัวเมฆก็ปรากฏถึงแสงสายฟ้าปะทุขึ้น แลคล้ายกับสัตว์ประหลาดยักษ์กำลังว่ายวน ผุดออกมาและหายไปท่ามกลางเมฆทะมึนเป็นครั้งคราว

 

พลานุภาพแห่งสายฟ้าสวรรค์ กำลังค่อยๆสำแดงอำนาจต่อหน้าฝูงชนอย่างช้าๆ

 

“โอ้สวรรค์เถอะ ทัณฑ์สายฟ้าเช่นนี้ คงไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานมันได้” ทหารพิทักษ์พ่นลมหายออกมา

 

ลอร่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “อีเลีย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยแลกเปลี่ยนวรยุทธกับเขามาก่อนใช่หรือไม่ ตอนนี้เราต้องการที่จะให้เจ้าประเมินสถานการณ์ดู ว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขา จักสามารถรอดชีวิตการจากลงทัณฑ์ของทวยเทพนี้ไปได้หรือไม่?”

 

อีเลียพยายามสัมผัสถึงพลานุภาพของเหล่าทวยเทพบนท้องฟ้า เธอใคร่ครวญและกล่าว “หากเป็นสายฟ้าในปัจจุบัน ข้าคิดว่าเขายังสามารถอดทนได้ ยังไงก็ตาม ข้าได้ยินมาว่าทัณฑ์สายฟ้าของผู้ฝึกยุทธ ยิ่งนานก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น .. ”

 

“ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงเลือกที่จะตัดผ่านขอบเขตในโลกของเหล่าทวยเทพแบบนี้? ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ” อีเลียกล่าวในสิ่งที่คิด

 

ลอร่ากัดริมฝีปากของเธอ และไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้สักพัก

 

กระแสลมเริ่มพัดรุนแรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ

 

แต่มองไปยังเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน กลับได้ยินเพียงเสียงของกระดิ่งลมที่ยิ่งแรง เสียงกังวานของมันก็ยิ่งคมชัด

 

สายตาของอีเลียหยุดนิ่งลงบนกระดิ่ง ก่อนที่ทั้งคนทั้งร่างของเธอจะสั่นสะท้าน

 

“ข้าเข้าใจแล้ว!” เธอพึมพำ

 

“ว่าอย่างไร?” ลอร่าถามทันที

 

อีเลียกล่าว “วิธีที่ผู้ฝึกยุทธจะแข็งแกร่งขึ้นได้ คือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของสวรรค์และโลกมาเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงจำต้องฝ่าด่านสายฟ้าสวรรค์ และมวลมารมากมายที่บุกเข้ามา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธจากในโลกใด นี่ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ”

 

เธออ้าปากค้างสูดลมหายใจและกล่าวต่อ “ดังนั้น เขาจึงใช้ประโยชน์จากในช่วงเวลาตัดผ่าน ให้มันสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ของโลก สั่นกระดิ่งเพื่อเรียกขา่นมารสวรรค์ให้มาปรากฏกาย”

 

“ซึ่งในกรณีนี้ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายราคาใดๆออกไปเลย เพราะกฏเกณฑ์ของโลกจะยินยอมปลดปล่อยมารสวรรค์ให้เข้ามาและสังหารเขาอยู่แล้ว!”

 

“แท้จริงแล้วยังมีวิธีแบบนี้อยู่ … เขาสามารถคิดกลยุทธ์เช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน?” เธอถอนหายใจ

 

ลอร่ากล่าวยด้วยความวิตก “แต่สายฟ้าสวรรค์เป็นตัวแทนแห่งการลงทัณฑ์ของทวยเทพนะ และตอนนี้อำนาจของมันก็ทวียิ่งกว่าปกติถึงหลายเท่า แถมมารสวรรค์ยังเป็นตัวตนที่เกิดมาเพื่อกัดกินจิตวิญญาณเป็นอาหารอีก ถ้าปรากฏตัวขึ้น มันคงพร้อมที่จะโฉบเข้ากินเขาได้ทุกเมื่อ”

 

“ใช่ไหมล่ะ เขาไม่สมควรที่จะทำแบบนี้เลย มันอันตรายเกินไปสำหรับตนเอง” อีเลียกล่าว

 

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะ” ลอร่ากล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เพราะตั้งแต่ที่เรารู้จักชายผู้นี้มา เขามักจะทำสิ่งที่อันตรายที่สุดอยู่เสมอๆ”

 

ระหว่างกล่าว จู่ๆก็เริ่มเกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้น

 

ในอากาศที่ว่างเปล่าบริเวณจตุรัส เริ่มมีเงาของปีศาจที่ทั้งร่างของมันท่วมไปด้วยแสงสีม่วงผุดออกมา

 

ทว่านี่มิใช่มารสวรรค์ มันเป็นเพียงวิญญาณชั่วร้ายที่สัมผัสได้ว่าผู้ฝึกยุทธกำลังจะยกระดับเท่านั้น

 

ภายในถ้ำของโลกเทวะ ครั้งหนึ่งกู่ฉิงซานเคยทะลวงขอบเขต และก็ได้พบมันมอนสเตอร์ชนิดเดียวกับแบบนี้เช่นกัน

 

ในบางแง่มุม มอนสเตอร์เหล่านี้ก็คล้ายคลึงกับมารสวรรค์ มันมีหน้าที่หยุดผู้ฝึกยุทธมิให้ตัดผ่านไปยังขอบเขตต่อไป

 

เป็นสิ่งชั่วร้ายที่เรียกกันว่า ‘ศัตรูโดยธรรมชาติของผู้ฝึกยุทธ’

 

“โอ้ ผู้ฝึกยุทธอย่างงั้นหรือนี่ ฮี่ฮี่ อาหารที่ยอดเยี่ยมและเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ … ”

 

วิญญาณชั่วร้ายกำลังจะอ้าปากออก

 

แต่ดาบพิภพพลันกระพริบไหว และหายไปในความว่างเปล่า

 

พริบตาต่อมา ศีรษะของวิญญาณร้ายตนนี้ก็ถูกสะบั้นลงทันที

 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น เขาเอ่ยเตือน “จงอย่าทำร้ายพวกมันถึงชีวิต มิฉะนั้นแล้วพวกเราจะไม่สามารถพูดคุยธุระกับพวกมันได้”

 

“ต้องการเช่นนั้นหรือ? งั้นก็ตามใจเจ้า” ดาบพิภพรับคำขอ

 

มันลอยกลับมาอย่างช้าๆ และแขวนอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่าข้างกายกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

ในตอนนั้นเอง วิญญาณร้ายอีกตัวหนึ่งก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

บนตัวมัน ผุดงอกไปด้วยกระดูกเดือยแหลมนับไม่ถ้วน ขณะที่เดือยแหลมเหล่านั้นส่ายไปตามสายลม คล้ายกับว่าสามารถขยับไหวได้อย่างอิสระเสรี

 

เทียบเปรียบกับมอนสเตอร์ตัวก่อนหน้านี้แล้ว วิญญาณร้ายตนนี้มีพลังมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก

 

“อ่า เจ้าหนูตัวน้อยที่กำลังคิดตัดผ่านประทับเทพ จงกลายมาเป็นอาหารวันนี้ขอ-”

 

วิญญาณร้ายเอ่ยพึมพำ และผุดแยกออกมาจากในความว่างเปล่า

 

คราวนี้ดาบพิภพก็ยังลอยออกไป แต่ลดความเร็วลง

 

มันลอยไปอย่างเงียบๆ และเคาะเบาๆลงบนวิญญาณร้ายอย่างอ่อนโยน

 

ในเสี้ยวลมหายใจ วิญญาณร้ายพลันแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา ผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่า มิอาจหาร่องรอยได้อีกเลย

 

ถัดมา ก็ยังมีอีกหลายสิบวิญญาณร้ายปรากฏขึ้น แต่ทั้งหมดก็ถูก ‘ส่ง’ กลับไปโดยดาบพิภพ

 

แต่ก็น่าแปลก เพราะแม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่าหนึ่งก้านธูปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีมารสวรรค์ตนใดปรากฏขึ้นมาเลย

 

จักรพรรดินีมารสวรรค์ยังไม่ยอมออกมา

 

หลายต่อหลายครั้ง ที่กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางเบาของมารสวรรค์ที่มาเยือน แต่มารสวรรค์เหล่านั้นคล้ายกับหวาดกลัวในบางสิ่ง และเร่งจากไปก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

พวกมันหวาดกลัวอะไรกันแน่นะ?

 

กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจอย่างลับๆ

 

ตามปกติแล้วมันไม่สมควรเป็นเช่นนี้เลย เพราะท้ายที่สุดนี้ มารสวรรค์น่ะได้เคยปรากฏตัวขึ้นแล้วในโลกใบนี้ นอกจากนั้น วิญญาณร้ายมากมายก็รับรู้ได้ถึงการตัดผ่านของเขา ข่าวนี้น่าจะแพร่กระจายไปทั่วจนถึงหูของอีกฝ่ายแล้ว แถมกฏเกณฑ์แห่งโลกก็เตรียมพร้อมที่จะปลดปล่อยทัณฑ์สวรรค์ที่ทรงพลานุภาพแล้วเช่นกัน

 

ด้วยสิ่งนี้ ก็พอจะบ่งบอกได้ชัดเจน ว่าทัณฑ์สวรรค์ของกู่ฉิงซาน ได้รับการยอมรับจากโลกใบนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วจริงๆ

 

แต่ทำไม … ทำไมมารสวรรค์ถึงไม่ปรากฏตัวขึ้นมาซักทีล่ะ?

 

กู่ฉิงซานคิดอยู่สักพัก แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ

 

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงรักษาสภาวะเตรียมตัดผ่านต่อไป ขณะเดียวกันก็ใช้จิตสัมผัสเทวะรับรู้ถึงสร้อยกระดิ่งอย่างใกล้ชิด

 

ท่ามกลางสายลม เสียงกระดิ่งกริ๊งกรั๊งดังไพเราะ

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

สักพักหนึ่ง

 

ในที่สุดบนความว่างเปล่าก็เริ่มผุดรอยแยกออก

 

ทันใดนั้นเอง แสงสีเหลืองอ่อนอันงดงามดั่งแสงตะวันก็ส่องสว่างขึ้น สาดประกายระยับปกคลุมไปตลอดทั้งจตุรัส

 

ภายใต้แสงของดวงตะวัน เสียงของผู้หญิงแสนอ่อนหวานนับไม่ถ้วนกังวานขึ้น

 

พวกเธอร้องเพลงขับขานเป็นเสียงเดียวกัน “โอ บทกวีแห่งรั่วหมิง แอปเปิลในป่าใหญ่ แขกเหรื่อรื่นเริง ท่วงทำนองขลุ่ยเวียนวน ยิ่งฟังยิ่งกระจ่างชัดกว่าจันทรา ยามใดหนอจักลืมเลือน ความปวดร้าวอันมิอาจตัดให้ขาดนี้ลงได้”

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานสั่นสะท้าน

 

เขาเคยได้เห็นถึงการปรากฏตัวของมารสวรรค์ด้วยตาตนเองมาอยู่หลายครั้ง แต่ตนมิเคยพบเจอกับพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลย

 

เป็นใครกันที่มาเยือน?

 

ขณะขบคิดเกี่ยวกับมัน รอยแยกในความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขาก็เริ่มแยกออก

 

ตลอดทั้งท้องฟ้า บุปผาร่วงโรยลงมาดั่งห่าฝน กระทบกับพื้นส่งเสียงสะท้อนกังวานก้อง

 

แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นหญิงงามวัยผู้ใหญ่ ที่บินออกมาจากรอยแยกในอากาศ

 

เธอสวมใส่ชุดคลุมสีดำ ดวงตาและซี่ฟันขาวสดใส เจ้าตัวครอบครองทรวดทรงที่สมส่วนและอ่อนหวาน ใบหน้าเลิศเลองดงามล่มเมือง

 

อย่างไรก็ตาม เธอไม่เหมือนดั่งเช่นมารสวรรค์ทั่วๆไป เธอไม่เผยท่าทียั่วยวนใดๆให้ปรากฏ แต่ละการเคลื่อนไหวช่างดูทรงเกียรติ บรรยากาศรอบกายเธอช่างสง่างามและมากไปด้วยขนบพิธี

 

หญิงใหญ่ชุดคลุมดำเหยียบย่างลงตรงจุดใด ดอกไม้งามก็จะผุดขึ้นความว่างเปล่า รองรับฝ่าเท้าของเธอ เจ้าตัวค่อยๆก้าวเข้าหากู่ฉิงซานอย่างช้าๆ

 

สายตาของเธอกำลังจับจ้องเขาอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น และเฝ้ามองอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง

 

มีใครบางคนมาก็จริง แต่คนๆนี้ไม่ใช่จักรพรรดินีมารสวรรค์

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างนอบน้อม “ต้องขออภัยจริงๆ แต่ผู้น้อยมิได้เรียกขานท่านผู้ทรงเกียรติ อันที่จริงแล้ว ผู้น้อยกำลังรออีกคนหนึ่งอยู่”

 

“เจ้ากำลังรออีกคนหนึ่งอยู่อย่างงั้นหรือ?” หญิงชุดดำเอ่ยถาม

 

“ใช่ ข้ากำลังเฝ้ารอมารสวรรค์อีกตนหนึ่งอยู่” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“โห? แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์แบบใดกับมารสวรรค์ตนนั้นเล่า?” หญิงใหญ่ชุดดำกล่าว

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไป

 

มีความสัมพันธ์แบบใดอย่างงั้นหรอ …

 

ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่เขากลับรู้สึกว่าตนสมควรที่จะตอบคำถามนี้ให้ดี

 

นี่มันเป็นสัญชาตญาณ! เป็นสัญชาตญาณที่อยู่เหนือเหตุและผล

 

“อา .. ข้ากับนางกำลังร่วมมือกัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงจัง

 

“ร่วมมือกัน? … แต่จะมีสิ่งใดกันที่มนุษย์กับมารสวรรค์สามารถร่วมมือกันได้”  หญิงใหญ่ชุดดำส่ายหัวและกล่าว

 

“เป็นการร่วมมือที่แต่ละฝ่ายจะได้สิ่งที่ตนปรารถนา ข้าจะจ่ายสิ่งตอบแทนให้แก่นาง ขณะที่นางจะต้องร่วมกันเอาชนะศัตรูของข้า” กู่ฉิงซานตอบ

 

หญิงใหญ่พอได้ฟัง ก็จ้องมองเขาเป็นเวลานาน

 

กู่ฉิงซานนิ่งค้างไปด้วยความสับสน

 

อย่างไรก็ตาม มารสวรรค์หญิงตนนี้ให้ความรู้สึกที่พิเศษ แตกต่างออกไป ดาบพิภพยังถึงขั้นลอบเอ่ยถามเขาอยู่หลายครั้งว่าจะโจมตีออกไปเลยดีไหม

 

กู่ฉิงซานกล่าว “เอาล่ะ หากท่านผู้ทรงเกียรติไม่มีธุระอะไรแล้ว โปรดจากไปเถิด ผู้น้อยจะได้เฝ้ารอหุ้นส่วนต่อ”

 

“หุ้นส่วน … ”หญิงใหญ่ชุดดำพึมพำ

 

เธอขบคิดเกี่ยวกับประโยคทั้งหลายอย่างลึกซึ้ง แล้วจู่ๆก็ยื่นมือออกมา

 

เห็นแค่เพียงกระดิ่งมารสวรรค์ที่โดยปกติแล้วสาดกลิ่นอายหนาวเหน็บ จู่ๆก็เปล่งท่วงทำนองแห่งความสุขออกมา มันลอยออกไป และตกลงในมือของหญิงใหญ่ชุดดำ

 

กู่ฉิงซานเลิกคิ้ว และผุดลุกขึ้นทันที

 

แม้ว่าสัญชาตญาณของตัวเองจะบอกว่าเขาไม่ควรทำเช่นนั้น แต่กระดิ่งนี้เป็นสัญญาณยืนยันตัวของจักรพรรดินีมารสวรรค์ เขาไม่สามารถมอบให้ใครโดยไม่มีเหตุผลได้

 

กู่ฉิงซานคว้าจับดาบพิภพ ปากเอ่ยน้ำเสียงเฉียบขาด “ท่านผู้ทรงเกียรติ ขออภัยด้วย กระดิ่งนั่นข้าให้ท่านไม่ได้”

 

“เพราะเหตุใด?” หญิงใหญ่ชุดดำเอ่ยถาม

 

เธอยังคงจับจ้องเขา คล้ายกับกำลังมองตัวประหลาดที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน

 

“เพราะกระดิ่งนั่นมีเจ้าของ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

หญิงใหญ่ชุดดำ “ใช่ข้ารู้ กระดิ่งนี่มีเจ้าของจริงๆ แต่ที่ข้ายังไม่รู้ก็คือ –”

 

ในที่สุดเธอก็ตรงเข้าประเด็นหลัก และเอ่ยถามออกไป “ผู้ฝึกยุทธเช่นเจ้า เหตุใดจึงใช้สัญญาณของบุตรสาวข้า ลอบแอบเรียกขานนางอย่างลับๆ พฤติกรรมเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”

 

“บุตรสาว … ข้า?”

 

กระดิ่งนั่น .. คือของลูกสาวนางอย่างงั้นหรือ

 

กู่ฉิงซานกลายเป็นโง่งม

 

เดิมที เขาได้ตระเตรียมวาจาคมคายไว้สำหรับการตอบโต้มากมาย แม้กระทั่งเทคนิคดาบก็เตรียมจะถูกใช้ออกแล้ว แต่ ณ เวลานี้ ทุกสิ่งพร่ามัว ขาดสติไปโดยสมบูรณ์

 

ฝูงชนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็ได้ยินเสียงของหญิงใหญ่ในชุดดำนางนี้เช่นกัน

 

ลอร่าตกตะลึง

 

อีเลียตะลึงงัน

 

เหล่าทหารพิทักษ์อ้าปากค้าง

 

ทุกคนต่างมองมายังกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

 

นี่มันอะไรกัน หรือว่าไอ้เรื่องติดหนี้กันเล็กๆน้อยๆนั่น … ชัดเจนว่ามันอาจจะเป็น ‘หนี้’ อีกประเภทหนึ่งก็ได้กระมัง?

 

เดี๋ยวก่อนนะ –

 

หรือว่าบุรุษผู้นี้ … บุรุษผู้นี้กับมารสวรรค์จะ …

 

นี่เขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า สมงสมองใช่ถูกลาเตะจนพิการไปแล้วหรือไม่?

 

ดูนั่นสิ แม่อีกฝ่ายถึงขั้นมาเยือนถึงหน้าประตูแล้วนะ!

 

ฝูงชนเบนสายตาไปมองหญิงใหญ่ชุดดำอีกครั้ง

 

หญิงใหญ่ชุดดำยังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ แต่แรงกดดันปลดปล่อยออกมา มันกลับตรงกันข้าม

 

เธอทำแค่เพียงเก็บกระดิ่งไว้เบื้องหลัง ยกสองมือขึ้นกอดอก และเฝ้ามองมายังกู่ฉิงซานอย่างตั้งใจ

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ค่อยๆเก็บดาบกลับคืนอย่างเงียบๆ

 

เวลานี้ เขาไม่สามารถทำอะไรให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

 

เพื่อที่จะยืนยันสถานการณ์ เขาจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ท่านกำลังจะบอกว่า สิ่งนั้นคือของๆบุตรสาวท่านอย่างงั้นหรือ?”

 

“ใช่” หญิงชุดดำกล่าวด้วยน้ำเสียงปราศจากซึ่งอารมณ์ความรู้สึก “นี่คือกระดิ่งมารสวรรค์ของบุตรสาวข้า และตั้งแต่ที่นางได้ถือกำเนิดขึ้นมา นางมิเคยทำมันหาย หรือมอบมันให้แก่ผู้ใดมาก่อนเลย ดังนั้นข้าจึงอยากจะรู้เรื่องราวเป็นอย่างมาก”

 

กู่ฉิงซานบอกตรงๆว่าเป็นคนที่ไม่เคยตื่นตระหนกมาก่อน

 

แต่บัดนี้ ความสงบทั้งกายใจของเขามลายหายไปโดยสมบูรณ์

 

“คือว่าเรื่องมันยาว .. ขอให้ข้าได้อธิบายอย่างช้าๆ ..”

 

เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ นิ่งคิดอยู่นานว่าจะเรียบเรียงคำพูดอย่างไรดี

 

สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ดูท่าว่าจะอันตรายยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับระบบของราชามารเสียอีก!!

Ep.585 – ภารกิจสงครามขั้นแตกหัก : สวรรค์ลงทัณฑ์

 

อีเลียตรวจสอบกระดิ่งมารสวรรค์อย่างระมัดระวัง ก่อนจะส่งมันคืนให้แก่กู่ฉิงซาน

 

“มันเป็นเพียงสัญญาณที่ใช้ยืนยัน แต่ไม่ใช่การอัญเชิญ”

 

เธออธิบายอย่างจริงจัง “ในโลกใบนี้มีกำแพงอุปสรรคที่เป็นอำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพอยู่ ดังนั้นกระดิ่งของเจ้าจึงถูกขัดขวางด้วยกำแพงอุปสรรคนี้ แม้จะเป็นตัวต้นกำเนิดเอง หากต้องการนำพามารสวรรค์เข้ามา เกรงว่ามันคงต้องออกไปด้วยราคาที่มหาศาลยิ่ง”

 

กู่ฉิงซานคิดสักพักจึงเอ่ยถาม “แล้วถ้าผมขึ้นไปยังชั้นน้ำแข็งของโลกใบนี้ ผมจะสามารถใช้มันได้ไหม?”

 

อีเลียฝืนยิ้มออกมา “หากเป็นในกรณีที่เจ้าว่า ต้นกำเนิดจะต้องสามารถตระหนักถึงได้อย่างแน่นอน เพราะตัวมันเองคือระบบ และได้แผ่อำนาจปกคลุมไปตลอดทั้งชั้นน้ำแข็งแล้ว”

 

ใช่แล้วล่ะ เมื่อต้นกำเนิดตระหนักถึงตัวกู่ฉิงซาน มันก็จะสั่งการกองทัพผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 200 ล้านคนและกองทัพผียกทัพเข้าหาเขาทันที

 

อธิบายแค่นี้ก็น่าจะพอ คงไม่ต้องบอกนะว่ามันจะอันตรายขนาดไหน

 

กู่ฉิงซานเลยลองไตร่ตรองดูอีกสักพัก ก่อนจะเอ่ยปาก “งั้นคำถามสุดท้าย แล้วพวกเราจะทำลายระบบได้อย่างไร?”

 

“ตรงส่วนนี้เราขอพูดนะ” ลอร่าขัดจังหวะ

 

“1000 ปีก่อน ในครั้งที่ระบบของราชามารโจมตีและเข้าครอบงำดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู และกำลังจะแพร่กระจายไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น เหล่าตัวตนทรงอำนาจได้คิดค้นถึงวิธีรับมือวิธีหนึ่งขึ้นมา”

 

“นั่นคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่ระบบของราชามารจะทำการยึคดครองโลกใบนั้นๆ ตัวตนทรงอำนาจของตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นก็จะสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดของโลกใบที่ว่าลงทันที”

 

“เมื่อปราศจากซึ่งชีวิตที่ต้องคอยดูแล และรับฟังคำสั่งจากระบบ ตัวระบบเองสุดท้ายก็มีแต่ต้องถูกทำลายลงเท่านั้น”

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ … ”

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น มองไปบนท้องฟ้า

 

เหนือท้องฟ้าขึ้นไป คือชั้นมหาสมุทร

 

ข้ามผ่านมหาสมุทรขึ้นไป คือโลกชั้นน้ำแข็ง

 

โลกที่มีผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 200 ล้านคนอาศัยอยู่

 

นี่นับว่าเป็นขุมกำลังอันยิ่งใหญ่ และไร้ผู้ใดเปรียบ

 

แต่ขณะเดียวกัน หากสังหารพวกเขาทั้งหมดลงได้ ระบบของราชามารก็จะพินาศสิ้น

 

— ศัตรูกว่า 200 ล้าน ที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับตนเอง

 

แล้วนี่ฉันจะกำจัดพวกมันทั้งหมดได้อย่างไร?

 

กู่ฉิงซานนิ่งคิดอย่างเงียบๆ

 

อีเลียเมื่อเห็นถึงสีหน้าของเขา เธอก็ถอนหายใจ “100000 กองทัพผี และ 200 ล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร ต่อให้เป็นตัวข้าเอง ก็ยังคิดวิธีรับมือกับศัตรูมากมายนาดนั้นไม่ได้ นอกจากนี้ แต่ละคนยังมีระบบคอยสนับสนุนอีก เจ้าอย่าลืมนะว่าพวกมันสามารถขอรับอุปกรณ์หรือเทคนิคมนตราที่ทรงประสิทธิภาพจากระบบได้ ไม่เว้นกระทั่งอัญเชิญอสูรกาย!”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า “ใช่ … มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะฆ่าพวกเขาทั้งหมด”

 

เขาย้อนนึกไปถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา พิจารณาทุกรายละเอียดอย่างรอบคอบ

 

ผ่านไปเป็นเวลานาน สุดท้ายเขาก็เบนสายตาไปมองลอร่า

 

“องค์กษัตรีย์ กระหม่อมมีคำถามสำคัญที่ต้องการจะไถ่ถามท่าน” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

 

“กู่ฉิงซาน หากมีสิ่งใดก็พูดมา ไม่จำเป็นต้องจริงจังกับเราก็ได้” ลอร่าตอบเขา

 

“ไม่ได้ มันต้องจริงจัง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชะตากรรมของโลก 900 ล้านชั้น มันจะกลายเป็นตัวกำหนดทิศทางสงครามทั้งหมด และมันยังเป็นตัวตัดสินอีกด้วยว่าท่านจะสามารถล้างแค้นให้พระบิดา มารดา ของท่านได้หรือไม่”

 

ลอร่าพอได้ฟังก็เปลี่ยนทัศนคติทันที น้ำเสียงของเธอกลายเป็นเคร่งขรึม “เจ้าลองว่ามา เราฟังอยู่”

 

“กระหม่อมอยากจะถามฝ่าบาท ว่าท่านยินดีจะทุ่มเททุกสิ่งอย่างให้กับการล้างแค้นหรือไม่?”

 

“เรายินดีจะทุ่มเททุกสิ่งอย่าง”

 

“ท่านยินดีจะทำทุกทางที่มันสามารถทำลายโลกที่ถูกจองจำโดยเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ใบนี้ลงหรือไม่?”

 

ลอร่ากล่าวเฉียบขาด “ต่อให้กระดูกของเราจะถูกทุบเป็นผุยผง หรือแม้ว่าจะต้องจ่ายด้วยทุกสิ่งที่มี เราก็ยินดี เราจะไม่มีวันให้ทริสเต้ได้รับชัยชนะเด็ดขาด!”

 

กู่ฉิงซานหันไปมองวิหคหนามตนอื่นๆที่อยู่รอบๆเขา และมองไปยังเหมันต์ยามค่ำอีเลียเป็นคนสุดท้าย

 

เขาเอ่ยถามอีกครั้ง “คุณมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่มากมาย และคุณเต็มใจที่จะให้พวกเขาร่วมมือกับผมสักพักจะได้หรือไม่”

 

“ร่วมมือกับเจ้า?” ลอร่าเกิดความสงสัย

 

“ใช่ หากทุกคน แน่นอนว่ารวมถึงฝ่าบาทด้วย ร่วมมือกับกระหม่อม พวกเราก็คงพอจะเห็นประกายแห่งความหวังที่จะใช้เอาชนะระบบของราชามารที่กำลังจะวิวัฒนาการเป็นปฏิวัตรได้อยู่”

 

ลอร่าสูดหายใจลึก กล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “กู่ฉิงซาน ตราบใดที่เจ้าสามารถโค่นเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ได้ ตัวเรา ราชินีแห่งวิหคหนามรุ่นนี้ ยินดีที่จะให้เจ้าได้เป็น –”

 

“เป็นเอิร์ล! เป็นเอิร์ลแห่งราชอาณาจักรหนาม!” อีเลียพุ่งเข้าแทรกทันที

 

ขณะที่ลอร่าตะลึงงัน

 

อีเลียรีบเสริมอย่างรวดเร็ว “เจ้าจะเป็นคนนอก คนแรกที่จะได้เป็นเอิร์ลแห่งราชอาณาจักรหนาม และเป็นมนุษย์คนแรกที่จะสามารถเข้าออกดินแดนอัศจรรย์ได้อย่างอิสระ พวกเราจะทำการอธิษฐานต่อรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้มันมอบพรแห่งชีวิตแก่เจ้าในดินแดนอัศจรรย์”

 

ดวงตาของลอร่าเบิกกว้าง เธอเร่งพยักหน้าสนับสนุนและกล่าว “ใช่ เป็นดังนั้น”

 

‘-ฟู่ว … เกือบไปแล้วไหมล่ะ’

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็ค่อนข้างประหลาดใจ แต่เขาก็เอ่ยออกมาว่า “ตกลงตามนั้น แต่ตอนนี้ ฝ่าบาทต้องลองฟังคำขอของกระหม่อมก่อน ว่าท่านพอจะสามารถทำได้ไหม?”

 

ลอร่ามองไปมายังกู่ฉิงซาน

 

บุรุษผู้นี้ เขาจะมีวิธีจัดการกับปฏิวัตรจริงๆใช่ไหม?

 

หากเป็นผู้อื่น แต่มากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าตนเอง ลอร่าจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานน่ะแตกต่างจากคนทั่วๆไป ทุกครั้งที่เขาลงมือ มันล้วนเป็นสิ่งที่ลอร่าไม่แม้แต่จะกล้าคิด

 

ซึ่งนั่นหมายความว่า เขาจะต้องสามารถทำมันได้อย่างแน่นอน!

 

ลอร่าพอคิดได้ เธอก็เดินไปหาเขา แล้วคว้าจับมือกู่ฉิงซาน หันหน้ากลับมามองทหารพิทักษ์ทั้งหมด “ข้าจะเชื่อฟังเจ้าตามข้อตกลง และผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเองก็เช่นกัน”

 

ทหารพิทักษ์กล่าวทันที “เพื่อองค์กษัตรีย์ พวกเรายินดีให้ความร่วมมือ”

 

กู่ฉิงซานมองไปทางอีเลีย

 

อีเลียพยักหน้า “ตราบใดที่เจ้าไม่ปล่อยให้ลอร่าทำในสิ่งที่อันตราย ข้าเต็มใจร่วมมือ”

 

“แน่นอนว่าไม่ยอมหรอก คุณมั่นใจได้เลย”

 

ว่าจบ คิ้วของกู่ฉิงซานก็ขมวดเข้าหากัน

 

เขาแตะลงบนหัวลอร่าเบาๆแล้วกล่าวว่า “ดีล่ะ งั้นต่อจากนี้ไปกระหม่อมจะเป็นคนเตรียมการทุกอย่างเอง”

 

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ลอร่าเอ่ยถาม

 

“รอสักครู่-”

 

“ฉานนู่” กู่ฉิงซานโบกมือทันใด “มาเถอะ พวกเราเตรียมพร้อมแล้ว”

 

“เจ้าค่ะ นายน้อย”

 

ฉานนู่เปลี่ยนเป็นดาบบิน แล้วกลับเข้าสู่อากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหลังเขา

 

ดาบพิภพก็หายไปด้วยเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานหันไปพูดกับทุกคน “ผมต้องการจะทำบางอย่าง ระหว่างนั้น พวกคุณไม่ต้องตื่นตระหนกหรือเข้ามาแทรกแซงอะไร เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้น”

 

“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะให้พวกเราทำอย่างไร?” อีเลียเอ่ยถาม

 

“คุณเป็นคนฉลาดกว่าทุกคนในที่นี้ ดังนั้นแค่คุณได้ดูว่าผมกำลังเตรียมจะทำอะไร ที่เหลือคุณก็น่าจะรู้ได้เอง”

 

“แล้วตกลงว่าเจ้าจะทำอะไร?” ลอร่าถามด้วยความอยากรู้

 

“เตรียมการสำหรับสงครามขั้นแตกหัก”

 

ขณะกล่าวกู่ฉิงซานก็หันไปอีกทาง

 

ระหว่างเดิน เขาก็เหลือบมองดูบนหน้าต่างเทพสงคราม

 

บนหน้าต่าง ปรากฏหลายบรรทัดกำลังสาดแสงอยู่

 

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

 

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

 

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

 

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

 

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

 

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

 

“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”

 

“โปรดทำการเลือกสกิลที่เหมาะสมสำหรับการเสริมพลังด้วย”

 

พวกนี้คือการแจ้งเตือนของสกิลสั่งสมแต้มพลัง ที่เขาได้รับมาจากการจัดการกองทัพผีบนที่ราบลุ่ม

 

ในแต่ละภารกิจต่อเนื่องของเทพสงคราม กู่ฉิงซานจะได้รับสภาวะเตรียมพร้อมสำหรับการ ‘สั่งสมแต้มพลัง’

 

ซึ่งนี่คือความแตกต่างระหว่างภารกิจเทพสงคราม กับภารกิจแห่งโชคชะตา

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานมิได้ใส่ใจกับตัวแจ้งเตือนเหล่านั้น เขาหันไปกล่าวกับหน้าต่างเทพสงคราม “ปล่อยภารกิจสุดท้าย”

 

ติ๊ง!

 

ตัวแจ้งเตือนบนหน้าต่างหายไปชั่วคราว ระบบเทพสงครามตอบกลับ “โปรดอธิบายวัตถุประสงค์ของภารกิจ”

 

“การต่อสู้ครั้งสุดท้ายได้มาถึงแล้ว และพวกเราจะต้องกำจัดระบบของราชามาร” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“โปรดทำการยืนยันว่านี่คือวัตถุประสงค์ภารกิจของคุณ”

 

“ฉันยืนยัน”

 

“วิถีดาบแห่งคุณคือเป้าหมายภารกิจของระบบ และระบบได้ยอมรับการร้องขอภารกิจของคุณแล้ว”

 

บนหน้าต่างเทพสงคราม ในส่วนของฟังก์ชั่น ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ , ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ , ‘สมญาเทพสงคราม’ , ‘พงศาวดารวันสิ้นโลก’ และสุดท้าย ’ภารกิจเทพสงคราม’ ได้ส่องสว่างขึ้น

 

บรรทัดแสงหิ่งห้อยร้อยเรียงกัน ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

 

“นี่คือภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงคราม”

 

“ภารกิจต่อเนื่องพร้อมเริ่มดำเนินการแล้ว คุณจะต้องบรรลุภารกิจทั้งหมดให้สมบูรณ์ และกำจัดระบบของราชามาร ก่อนที่จะได้รับรางวัลในขั้นสุดท้าย”

 

“ภารกิจสุดท้ายถูกเปิดตัวแล้ว”

 

“เนื้อหาภารกิจ : เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด กำลังอยู่ในระหว่างช่วงเวลาสำคัญในการอัพเกรด อีกไม่นานมันจะกลายเป็นปฏิวัตร และออกจากโลกใบนี้ ไปครอบคลุมตลอดทั้งโลก 300 ล้านชั้น”

 

“เป้าหมายภารกิจ : กำจัดมันซะ”

 

“รางวัลภารกิจ : ความลับ”

 

“กรุณาตั้งชื่อภารกิจสุดท้ายของคุณด้วย”

 

“ตั้งชื่ออีกแล้วหรอ?”

 

“นี่คือข้อปฏิบัตรของเทพสงคราม”

 

กู่ฉิงซานหัวเราะและกล่าว “ในโลกของฉัน มีคำที่พูดต่อๆกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณว่า ‘ไม่ว่าพวกเราจะกระทำสิ่งใด สวรรค์ก็มักจะเฝ้าจับมองดูอยู่เสมอ’”

 

“หากสวรรค์และโลกมีจิตนึกคิด มันย่อมไม่ยินยอมให้เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online แพร่กระจายออกไปอย่างแน่นอน”

 

“ … ดังนั้น ในฐานะที่ครั้งนี้คือสงครามขั้นแตกหัก ฉันขอตั้งชื่อมันว่า ‘สวรรค์ลงทัณฑ์’ ก็แล้วกัน”

 

ระบบเทพสงครามตอบกลับทันที “ภารกิจสงครามขั้นแตกหัก : สวรรค์ลงทัณฑ์ ถือกำเนิดขึ้นแล้ว!”

 

เส้นแสงปรากฏขึ้นเหนือภารกิจ ในเวลาเดียวกัน ทั้งภารกิจก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง และกลายเป็นหน้าจอภารกิจที่สมบูรณ์ และกลับไปถูกเก็บอยู่ในหมวดหมู่ของ ภารกิจเทพสงคราม

 

หลังจากภารกิจถูกเปิดตัว กู่ฉิงซานก็ตรงไปยืนอยู่ใจกลางจตุรัส

 

ตรงจุดนี้เว้นระยะห่างระหว่างลอร่าและคนอื่นๆระดับหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะมีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้น พวกเธอก็จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก

 

เขาตบลงในถุงสัมภาระ เอาเบาะรองนั่งมาวางบนพื้น จากนั้นก็โยนกระดิ่งมารสวรรค์ขึ้นไปกลางอากาศ ในมือจีบออกด้วยวิชาลับ ทำการควบคุมมันให้ลอยล่องไปกับสายลมเบาๆ

 

จากนั้น กู่ฉิงซานก็นั่งลงบนฟูก

 

เขาโยนเม็ดยาวิญญาณเข้าปาก สองตาหุบต่ำลง แรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างค่อยๆบรรจบกัน

 

เวลานี้ เขาเหมือนกับเป็นเพียงแค่คนธรรมดา แม้กระทั่งกลิ่นอายของเขาก็ค่อยๆแผ่วเบาลง

 

ในที่สุด กลิ่นอายของเขาก็หายไป

 

เห็นได้ชัดว่าเขายังนั่งอยู่ที่นี่ แต่ฝูงชนที่กำลังรับชมกลับรู้สึกว่าเขาได้เลือนหายไปแล้ว

 

ลอร่าที่ยืนอยู่ไปไกล เมื่อมองมายังฉากนี้ เธอก็ทนไม่ไหวต้องถามออกมา “นั่นเขาคิดจะทำอะไร?”

 

“นั่นเรียกว่าภาวะสมาธิ เป็นวิถีฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธ” อีเลียตอบ

 

ลอร่าขบคิดและกล่าว “ในเมื่อเขาบอกว่าพวกเราอย่าทำอะไร งั้นก็คอยดูเงียบๆกันเถอะ”

 

“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”

 

อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ขานรับ ทั้งหมดกลับนิ่งค้างไปพร้อมกัน

 

พวกเขาน่ะเป็นทหาร ดังนั้นจึงสามารถตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่

 

แต่กลับปรากฏความผันผวนทางพลังวิญญาณแพร่กระจายออกจากตัวเขา เข้าไปผสานเชื่อมต่อกับสวรรค์และโลก

 

นี่คือสัญญาณของการตัดผ่านขอบเขตใหญ่

 

กู่ฉิงซานอยู่ในขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย และตัวเขาเองก็พร้อมที่จะทะลวงตั้งนานแล้ว และในที่สุดเขาก็เริ่มกระบวนการตัดผ่านมัน

 

สวรรค์และโลกตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทันที

 

เมฆดำขนาดใหญ่ผุดขึ้นบนท้องฟ้า พร้อมด้วยเสียงฟ้าร้อง และสายฟ้าที่วิ่งผ่านระหว่างชั้นเมฆ

 

สีหน้าของลอร่าเปลี่ยนไป “นั่นเขาคิดอะไรอยู่ ในโลกใบนี้ พลังของสายฟ้าจะทรงอานุภาพมากกว่าปกติ ถ้าทำแบบนั้น เขาจะถูกสายฟ้าฆ่าเอาได้นะ!”

 

ฝูงชนแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าอยู่สักพักหนึ่ง

 

เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้าที่ครึ้มไปด้วยเมฆ แต่ยังไม่มีสายฟ้าสวรรค์ฟาดผ่าลงมา

 

“เอ๋? เกิดอะไรขึ้น?” ลอร่าไม่เข้าใจ

 

“เขาเพียงอยู่ในสถานะเตรียมการตัดผ่าน ดังนั้นสวรรค์จึงยังไม่ลงทัณฑ์ มันเพียงรวบรวมพลังอำนาจเอาไว้เท่านั้น” อีเลียไขข้อสงสัย

 

ทุกคนมองไปยังกู่ฉิงซานพร้อมกัน

 

บุรุษผู้นี้เห็นได้ชัดว่าต้องการที่จะตัดผ่าน แต่เขากลับยังไม่ยินยอมเข้าสู่สภาวะตัดผ่านเสียที

 

แท้จริงแล้ว … เขากำลังคิดเรื่องบ้าอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?

 

Ep.584 – แลกเปลี่ยน

 

“เมื่อปฏิวัตรถือกำเนิดขึ้น เจ้าก็จะถูกสังหารลงโดยมัน เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะไปรับจิตวิญญาณของเจ้าเป็นการส่วนตัว … ”

 

เสียงของนายเหนือแห่งแดนชำระล้างยังไม่ทันจะตกลง ดาบพิภพก็โฉบออกไป สับอักษรรูนสีเลือดทั้งหมดเป็นผุยผง

 

เทคนิคมนตราพังทลาย ม่านเปลวไฟกลายเป็นพร่ามัว

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูไฟที่ลุกโชติช่วงค่อยๆมอดดับลงอย่างเงียบๆ

 

ดวงตาของเขาสาดประกายเย็นเยียบและมืดมน

 

ดาบพิภพลอยมาอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดลงข้างกายของกู่ฉิงซาน

 

“เจ้าคิดว่าที่มันพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่?” ดาบพิภพเอ่ยฮึมฮัม

 

“มันเป็นความจริงแน่ๆ” กู่ฉิงซานพยักหน้า “แต่ … ”

 

“แต่อะไร?” ดาบพิภพซักไซ้

 

“ขณะที่อีกฝ่ายยังมีไพ่อยู่เต็มกำมือ แต่ตัวมันเองกลับตีตนไปว่าได้กลายเป็นผู้ชนะเสียแล้ว นั่นนับว่าเป็นพฤติกรรมที่โง่เง่านัก” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ถึงคำพูดเจ้ามันจะฟังดูดี แต่ข้าไม่เห็นว่าในมือเจ้าจะมีไพ่ใบใดอยู่เลย” ดาบพิภพกล่าว

 

“นั่นเพราะข้าซ่อนมันเอาไว้อย่างไรเล่า นี่เป็นหนึ่งในเทคนิคเล่นไพ่ง่ายๆ และมันจะเผยโฉมออกมาให้เจ้าได้เห็นเองในช่วงเวลาวิกฤติ” กู่ฉิงซานอธิบาย

 

“แล้วแต่เจ้าเถอะ ว่าแต่เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป?” ดาบพิภพเอ่ยเสียงหึ่งๆ

 

กู่ฉิงซานพึมพำ “จู่ๆภาพฉายจากแดนชำระล้างก็โผล่ออกมาสาดคำก่นด่า แต่มันกลับไม่คิดจะลงมือโจมตีข้า … มันคงคิดว่าลูกไม้เก่าๆจะเบนความสนใจข้าได้เหมือนครั้งก่อนๆอย่างงั้นสินะ?”

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ก้าวฉับๆตรงไปยังใจกลางวิหาร ชูดาบพิภพขึ้นเหนือหัว ก่อนจะหมุนมัน และเหวี่ยงสับลงมาด้วยเจตนาร้าย!

 

“จงเปิดทาง ให้-แก่-ข้า!!”

 

เขาคำรามด้วยความโกรธ

 

สายฟ้าสาดประกายรุนแรง พร้อมกับลมที่มองไม่เห็นกระจายตัวกวาดออกมาจากดาบพิภพ

 

ในอากาศที่ว่างเปล่า เหมือนกับว่าจะได้ยินเสียงมากมายฮึมฮัมออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

แน่นอน ว่านี่มิใช่แค่เพียงเสียงของสายฟ้า

 

สายฟ้ายังคงสาดประกายเปรี๊ยะปร๊ะอย่างต่อเนื่อง

 

ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของกู่ฉิงซาน ทั้งคนทั้งร่างของเขาถ่ายเทแต้มพลังวิญญาณลงไปยังดาบพิภพ

 

ดาบพิภพคือสิ่งประดิษฐ์เทวะที่อุทิศตนให้แก่สวรรค์และโลก นับตั้งแต่ช่วงโบราณอันไกลโพ้น มันมีความสามารถ ‘สื่อสาร’ กับเทพวิญญาณได้

 

เมื่อไหร่ที่มันครอบครองแต้มพลังวิญญาณ มันจักสามารถสำแดงอำนาจที่สามารถสังหารเทพมารลงได้ออกมา!

 

ภายใต้กระแสแต้มพลังวิญญาณอันท่วมท้น ดาบพิภพเปล่งเสียงกระซิบฮึมฮัมแผ่วเบา

 

เห็นแค่เพียงทั้งตัวดาบพิภพที่สั่นสะท้านขึ้นทันใด

 

คลื่นที่มองไม่เห็นกวาดกระจายออกไปตลอดทั้งวิหาร พลังเหนือธรรมชาติเกิดการระเบิดขึ้น!

 

เสียงหนักทึบของดาบพิภพก้องกังวานไปทั้งภายในและภายนอกวิหาร

 

“ไม่ว่าจักเทพหรือมาร ทุกสรรพสิ่งที่แฝงกายอยู่ในที่นี้ จงปรากฏร่างของพวกเจ้าออกมา!”

 

เปรี้ยง!

 

ทุกสถานที่พลันเงียบสงัด แต่แท้จริงแล้วในอากาศที่ว่างเปล่ากลับบังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างเงียบๆ สะท้านอยู่ในจิตใจของผู้คน

 

ท่ามกลางความว่างเปล่า บุปผาดำที่ดูละเอียดงดงามเริ่มผลิดอกออกมา

 

บนหมู่มวลบุปผาเหล่านั้น ปรากฏให้เห็นถึงผ้าแพรที่ปิดทับลงบนร่างกายของหญิงสาวแสนทรงเสน่ห์ ตนแล้วตนเล่าเริ่มผุดออกมา 

 

พวกเธอมองมายังกู่ฉิงซานด้วยความประหลาดใจ

 

มารสวรรค์

 

เป็นมารสวรรค์จริงๆด้วย!

 

“ฮี่ฮี่ฮี่ เขาดูเกรี้ยวกราดมากทีเดียว”

 

เสียงของผู้หญิงดังกังวานขึ้น สะท้อนไปตลอดทั้งรอบตัววิหาร

 

“ผู้ฝึกดาบรึ? น่าจะมาจากอารยธรรมโลกของบรรดาผู้ฝึกวรยุทธ แต่การที่เขาสามารถตระหนักถึงการมีอยู่ของพวกเราได้ นี่ใช่ว่าโลกของเขาเป็นโลกหกวิถีหรือไม่?” เสียงของผู้หญิงอีกคนหนึ่งดังขึ้น

 

“โง่น่า ก็มีคนตายมากเสียขนาดนี้ จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะตระหนักถึงความผิดปกติ คงไม่ถึงขั้นรู้หรอกว่าพวกเราคืออะไร”

 

“ถูกอย่างที่เจ้ากล่าว โลกหกวิถีน่ะพบเจอได้ยากเย็นยิ่ง จึงมีมนุษย์น้อยคนนักที่จะรับรู้ถึงสถานะของพวกเรา”

 

“ว่าก็ว่าเถอะ จิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธน่ะมักจะอร่อยเป็นพิเศษเลยนะ”

 

“ฮี่ฮี่ฮี่ ใช่แล้ว”

 

เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูไร้ยางอายกังวานขึ้น

 

วินาทีต่อมา สาวงามบนหมู่มวลบุปผาก็หายวับไปอย่างสิ้นเชิง

 

ในอากาศที่ว่างเปล่า เรือนร่างอันงดงามและทรงเสน่ห์ปรากฏขึ้น

 

พวกเธอลอยมาข้างกายกู่ฉิงซาน เผยท่าทียั่วยวนทรงเสน่ห์ เล้าโลมเขา

 

“หนุ่มน้อย เจ้าต้องการที่จะมาละเล่นกับพี่สาวหรือไม่?”

 

“พี่สาวเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เจ้าช่วยมาบีบนวดให้พี่สาวหน่อยจะได้หรือไม่ แล้วจากนั้นพวกเราค่อยไปหาสถานที่เงียบๆพูดคุยกัน”

 

“พอลองมองดูดีๆแล้วหนุ่มน้อยก็หล่อเหลาเหมือนกันนะ ข้าเองชักจะรู้สึกตื่นเต้นซะแล้วสิ”

 

มารสวรรค์กล่าวด้วยรอยยิ้มคิกคัก

 

พวกเธอเริ่มเอนกายลงอย่างแผ่วเบา พิงเข้าหากู่ฉิงซาน ทว่ากลับทะลุผ่าน คล้ายกำลังจะหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา

 

กู่ฉิงซานมิได้ขยับกายเคลื่อนไหว แต่ดาบพิภพในมือของเขาพลันหายวับไปอย่างกระทันหัน

 

ดาบพิภพฉวัดเฉวียนไปมา ตัดไปในอากาศจนเกิดเสียงสนั่นดังหึ่งๆ

 

กลิ่นอายที่มองไม่เห็นปะทุขึ้นมาจากดาบพิภพ แปรสภาพเป็นดาบสายลม หวีดหวิวไปทั่วตัววิหาร

 

ค่ายกลดาบไท่หยี รูปแบบย่อส่วน!

 

กู่ฉิงซานได้ใช้เพียงดาบเดียว ปลดปล่อยอำนาจส่วนหนึ่งของค่ายกลดาบไท่หยีออกมา

 

วู้มมมมม!

 

ท่ามกลางเสียงลมกรรโชก บังเกิดเสียงร่ำไห้นับไม่ถ้วนโหยหวนขึ้น

 

หมู่มวลบุปผาพลันเหี่ยวเฉา และหายวับไปไม่เหลือแม้ร่องรอยในอากาศที่ว่างเปล่า

 

หลังจากผ่านพ้นไปหนึ่งลมหายใจ

 

ลมกรรโชกก็แยกย้าย เสียงทั้งหมดจมลงสู่ความเงียบ

 

ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆในอากาศที่ว่างเปล่าอีกต่อไป

 

หลงเหลือเพียงคมกล้าของดาบพิภพ ที่กวาดเป็นแนวนอนอยู่บนลำคอของมารสวรรค์หญิงตนสุดท้าย

 

“เก็บตัวสอบปากคำไว้หนึ่งชีวิตเรียบร้อย” ดาบพิภพกล่าวกับกู่ฉิงซาน

 

“ทำได้ดีมาก” กู่ฉิงซานชมเชย

 

เวลานี้ บนใบหน้าของมารสวรรค์หญิงมิได้แสดงออกถึงความภาคภูมิอีกต่อไป เธอตะโกนร่ำร้องด้วยความหวาดกลัว “อย่านะ! อย่าฆ่าข้า! เจ้าเป็นใครกัน!?”

 

กู่ฉิงซาน “ไม่ต้องสนใจหรอกว่าข้าเป็นใคร แต่ข้าจะถามเจ้า ว่าจริงๆแล้วพวกเจ้ามีความสัมพันธ์ยังไงกับต้นกำเนิดกันแน่?”

 

พอได้ยินถึงต้นกำเนิด สีหน้าของมารสวรรค์หญิงก็ผ่อนคลายลงทันที ปากเอ่ยกล่าว “ฮี่ฮี่ หากเจ้าต้องการที่จะทราบถึงเรื่องนี้ เจ้าก็ต้องมีบางสิ่งบางอย่างมา–”

 

ดาบพิภพกระพริบไหว

 

“อ๊า!!”

 

เธอกรีดร้องตะโกนน่าสมเพช ทั้งตนทั้งร่างร่วงตกจากในความว่างเปล่า กระแทกลงกับพื้น

 

-กู่ฉิงซานได้ทำการตัดทั้งสองแขน สองขาของเธอลงโดยตรง!

 

“ข้ารู้ดี ว่าเจ้าสามารถเชื่อมต่อมือกับเท้าให้กลับมาเหมือนเดิมได้อย่างง่ายดาย แต่ข้ารับประกันเลย ว่าถ้าเจ้าไม่สารภาพออกมา ข้าจะให้เจ้าได้เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บปวดเอง!” กู่ฉิงซานกล่าวโดยไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆบนใบหน้าเขา

 

“เจ้าสารเลวรังแกผู้หญิง!”

 

“จงบอกมา ว่าพวกเจ้ากับต้นกำเนิดเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”

 

“อา ..”

 

มารสวรรค์หญิงเพียงเผยท่าทีลังเลเล็กน้อย ดาบพิภพก็แทงทะลุอก เข้าสู่หัวใจของเธอทันที

 

“อ๊าาาาา ให้ตายเถอะ! เจ้ามันปีศาจร้าย!”

 

เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังฟังชัด มารสวรรค์หญิงคร่ำครวญน่าสมเพช

 

“หากข้าเป็นปีศาจร้าย แล้วเจ้าที่สูบกินจิตวิญญาณของผู้คนไปมากมายเล่า จะนับว่าเป็นสิ่งใด?” น้ำเสียงของกู่ฉิงซานช่างไร้เยื่อใย

 

ดาบของเขาเริ่มจะบิดคว้านเบาๆลงบนหน้าอกของมารสวรรค์หญิง

 

มารสวรรค์หญิงมิอาจฝืนทนได้อีกต่อไป เธอตะโกนลั่น “ข้าจะบอก! ข้าจะบอกแล้ว! ต้นกำเนิดได้ไปพบกับท่านอาจารย์สูงสุดของพวกเรา และขอความร่วมมือ”

 

“ขอความร่วมมือ? เช่นนั้นอาจารย์สูงสุดของเจ้าก็มาด้วยใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ในบรรดามารสวรรค์ , มารสวรรค์ระดับสูงจะมองมารสวรรค์ระดับต่ำเป็นเพียงของใช้ส่วนตัวเท่านั้น พวกมันมักจะถูกใช้งานโดยไร้ซึ่งอิสระใดๆ

 

ขณะเดียวกัน มารสวรรค์ระดับต่ำ จะต้องเรียกขานมารสวรรค์ที่ระดับสูงกว่าว่าอาจารย์

 

ดังนั้น ดูเหมือนว่าประโยคเมื่อครู่ของมารสวรรค์ตนนี้จะเป็นเรื่องจริง

 

“มันได้ยื่นเงื่อนไขอันยอดเยี่ยมให้แก่อาจารย์แห่งข้า ดังนั้นท่านอาจารย์จึงส่งพวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกมัน” มารสวรรค์กล่าว

 

“ไม่ อย่ามาโกหก งานใหญ่เช่นนี้ อาจารย์สูงสุดของพวกเจ้าย่อมจักต้องลงมาด้วยตนเองอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานส่ายหัว

 

ดาบพิภพเริ่มคว้านเร็วขึ้น

 

มารสวรรค์หญิงตะโกน ร่ำไห้อย่างขมขื่น “ขออภัย! โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ข้าผิดพลั้งไปแล้ว!”

 

จนกระทั่งกู่ฉิงซานหยุดการหมุนคว้านลง เธอจึงค่อยได้พักหายใจเล็กน้อย

 

“จงไตร่ตรองให้ดี ถึงสิ่งที่จะเอ่ยต่อจากนี้ไป” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่แยแส

 

มารสวรรค์อ้าปากค้าง “ข้าไม่ได้ต้องการจะหลอกลวงเจ้า แต่อาจารย์สูงสุดของพวกเรานั้นทรงอำนาจเหลือแสน การจักมายังที่นี่เป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง ท่านจึงไม่สามารถที่จะมาด้วยตัวเองได้”

 

“เจ้ากำลังโกหก”

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว “อาจารย์เจ้าแม้จะทรงอำนาจ และการมาเยือนโลกใบนี้ย่อมเป็นเรื่องยากเย็นอย่างที่ว่าก็จริง – แต่ขณะเดียวกันนางก็ยังสามารถเข้ามายังโลกใบนี้ได้เช่นกัน โดยการลดความแข็งแกร่งของตนเองลง และระงับมันมิให้สำแดงออกมา”

 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “นางอาจจะปลอมแปลงเป็นมารสวรรค์ธรรมดาๆ แต่ขณะเดียวกันก็คอยบงการอยู่เบื้องหลัง จนกระทั่งทุกอย่างจบลง”

 

“การที่สามารถชักชวนมารสวรรค์ระดับสูงมาได้ ต้นกำเนิดคงจ่ายราคาออกไปมหาศาลยิ่ง ดังนั้นอาจารย์เจ้าจะต้องเดินทางมาด้วยตนเองอย่างแน่นอน เพื่อควบคุมให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างถูกต้อง”

 

มารสวรรค์หญิงพอได้ยิน ก็แทบจะลืมเลือนความเจ็บปวดของตัวเอง เธออดไม่ไหวต้องฝืนพูดออกมา “เจ้า … เจ้าทราบเกี่ยวกับเรื่องราวของพวกเรามารสวรรค์มากถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?”

 

“บอกมา อาจารย์ของเจ้า ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน?”

 

มารสวรรค์เมื่อเห็นว่าไม่สามารถปกปิดความจริงได้อีกต่อไป เธอก็สารภาพอย่างสูญสิ้นน้ำเสียง “นางบรรลุสัญญาแล้ว ดังนั้นจึงเตรียมการที่จะกลับไปก่อนล่วงหน้า”

 

“คำถามสุดท้าย ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ถูกบังคับให้โหลดต้นกำเนิด?”

 

“นั่นเพราะโลกมารสวรรค์ของพวกเราเป็นโลกปิด ระบบทั้งมวลมิอาจย่างกรายเข้ามาหาเราได้” มารสวรรค์หญิงกล่าว

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า เขาเก็บดาบกลับคืน และหันหลังเดินแยกออกมา

 

สมบัตล้ำค่าของเหล่าทวยเทพภูกฉกฉวยไป ขณะเดียวกัน ‘ปฏิวัตร’ ก็กำลังจะถือกำเนิดขึ้น ดังนั้นอยู่ที่นี่ต่อไปมันคงไม่มีความหมาย

 

อีกอย่าง เขาเองก็ได้รับข้อมูลมาแล้ว

 

เบื้องหลังเขา บนตัวของมารสวรรค์หญิงปรากฏรังสีดาบสาดประกายเย็นเยียบขึ้นอย่างกระทันหัน

 

เธอส่งเสียงกรี๊ดสั้นๆ แล้วเงียบลงโดยสมบูรณ์

 

กู่ฉิงซานเดินออกจากวิหาร

 

เขาเดินมาจนกระทั่งถึงจตุรัสหน้าวิหารจึงค่อยหยุดฝีเท้าลง

 

ในเวลานี้ อีเลียได้พาลอร่าและคนอื่นๆมาสมทบที่นี่แล้ว

 

“พวกคุณมาอยู่ที่นี่กันได้ยังไง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ข้าพบว่าตลอดทั้งเมืองไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆหลงเหลืออยู่อีกต่อไปยกเว้นพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงมารวมตัวกับเจ้าก่อน แล้วค่อยหารือกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไป” อีเลียตอบ

 

เธอถอนหายใจ “ต้นกำเนิดได้รับวัตถุของเหล่าทวยเทพแล้ว เกรงว่ามันคงกำลังจะยกระดับไปอีกขั้น และเมื่อกระบวนการของมันเสร็จสมบูรณ์ มันย่อมไม่มีทางให้พวกเราที่เป็นตัวขัดขวางมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปอย่างแน่นอน”

 

“จริงสิ คุณเป็นนายพลแห่งอาณาจักรหนามนี่นา ดังนั้นย่อมต้องมีทั้งประสบการณ์และความรอบรู้มากมายใช่ไหม พอดีว่าผมมีเรื่องต้องการที่จะปรึกษาคุณน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาถอดสร้อยห้ากระดิ่งในมือออกมา และมอบมันให้แก่อีกฝ่าย

 

“นี่คือสิ่งที่ใช้เป็นหลักฐานยืนยันของมารสวรรค์ ในโลกอื่น หากผมเพียงแกว่งกระดิ่งนี้ มารสวรรค์ก็จะรับรู้และมาเยือนทันที แต่ทำไมกัน ทั้งๆที่ผมสั่นมันตั้งนานแล้ว แต่มารสวรรค์กลับยังไม่ปรากฏตัวออกมาเสียที”

 

“นี่เจ้ามีความสัมพันธ์กับมารสวรรค์งั้นหรือ?”

 

อีเลียสงสัยว่าเธอจะได้ยินผิดไป จึงถามย้ำด้วยความประหลาดใจ

 

เพราะนับตั้งแต่สมัยโบราณ เธอไม่เคยได้ยินว่าเคยมีใครมีความเกี่ยวข้องกับมารสวรรค์มาก่อนเลย

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ ในสายตาของมารสวรรค์ ทุกสิ่งมีชีวิตน่ะเป็นเพียงอาหารเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานกล่าว “พอดีว่าระหว่างผมกับพวกเธอยังมีหนี้ติดค้างกันอยู่อีกเล็กๆน้อยๆ และตอนนี้ ผมก็พร้อมที่จะจ่ายมันให้กับเธอแล้ว!”

 

Ep.583 – เมื่อเจ้าตาย

 

ท่ามกลางแสงสลัวในค่ำคืนอันมืดมิด

 

เบื้องบนท้องฟ้า ปรากฏกระแสแสงโฉบดิ่งลงมา

 

กระแสแสงทะลุผ่านท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงสุด พุ่งตรงมายังเมืองไห่เช่า

 

ปัง!

 

พื้นดินถูกกระแทกเป็นหลุมขนาดใหญ่โดยตรง ส่งคลื่นอัดอากาศแพร่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง

 

แต่เมื่อก้มมองลงไปอีกครั้ง กลับไม่มีอะไรอยู่ในหลุมที่ว่านี่เลย

 

กู่ฉิงซานคว้าจับอีเลีย และใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วโดยตรง

 

เพียงพริบตา ทั้งสองคนก็มาถึงที่พักชั่วคราวของลอร่า

 

ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว อาวุธมากกว่าโหลก็จี้ตรงเข้ามายังทั้งสอง

 

“เป็นพวกเราเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ท่านนายพล!”

 

“นายน้อย!”

 

ทหารพิทักษ์กับฉานนู่ เมื่อระบุสถานะของอีกฝ่ายได้ ทั้งหมดก็ชักอาวุธกลับคืน

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปตรวจสอบ แล้วในหัวใจเขาก็รับรู้ได้ว่าผู้คนทั้งหมดที่นี่ยังมิได้รับบาดเจ็บใดๆ

 

“มีอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม?” เขาเอ่ยถาม

 

“ไม่มีเลย แต่เพราะเหล่าสายพันธุ์เทพกำลังทำพิธีกรรมอยู่ในวิหาร และพวกเขาไม่อนุญาตให้เข้าใกล้ ดังนั้นข้าจึงมาอยู่ด้วยกันกับลอร่า” ฉานนู่กล่าว

 

“ลอร่า!”

 

อีเลียก้าวออกมา และตรวจสอบลอร่าอย่างใกล้ชิด

 

แต่ลอร่ายังคงปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“มีอะไรงั้นหรอ อีเลีย?” ลอร่ากล่าวด้วยความสับสน

 

อีเลียมองไปยังกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานไม่มีเวลามากพอที่จะมามัวอธิบาย เขาโยนดิสก์ค่ายกลออกไปให้ฉานนู่

 

“ฉานนู่ เจ้ามารับหน้าที่จัดวางค่ายกล หน้าไหนกล้าเข้าใกล้ที่นี่ ฆ่ามันให้หมด” เขาสั่ง

 

“เจ้าค่ะ” ฉานนู่รับคำ

 

กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง และเขาก็ค้นพบถึงที่หมายของตนเองอย่างรวดเร็ว

 

“ส่วนคุณ คอยปกป้องลอร่า ผมจะไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อน” เขาหันไปบอกกับทางอีเลีย

 

“เข้าใจแล้ว”

 

อีเลียเขยิบเข้ามาใกล้กับลอร่า คอยพิทักษ์กายเธออย่างใกล้ชิด

 

หลังจากที่เธอกลับมา และได้ยินข้อสรุปของอีกฝ่าย เธอก็ไม่กล้าห่างจากตัวลอร่าไปแม้ครึ่งก้าว

 

กู่ฉิงซานย่อตัวลง ใช้ออกด้วยย่นระยะ และหายวับไป

 

ช่วงเวลาเดียวกัน ฉานนู่ก็เริ่มควบคุมดิสก์ค่ายกล และเริ่มทำการจัดวางมันทันที

 

“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเราจึงรู้สึกราวกับว่าเจ้ากำลังทำท่าทีราวกับภัยพิบัติใหญ่กำลังใกล้เข้ามา”

 

จนกระทั่งเวลานี้ ลอร่าจึงค่อยมีเวลาให้เอ่ยถาม

 

อีเลียถอนหายใจและกล่าว “มนุษย์ผู้นั้น เขาสงสัยว่าต้นกำเนิดจะประสบความสำเร็จแล้ว”

 

“มันจะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร สัตว์ประหลาดผียังไม่ได้เข้ามาล้อมเมืองอีกรอบเลยนะท่าน” ทหารพิทักษ์คนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา

 

“ไม่ทราบว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับโลกหกวิถีหรือไม่?”

 

“ขอรับ มันเป็นโลกวัฏจักรปิดที่หาได้ยากยิ่ง โดยทั่วไปแล้วมักจะเห็นได้เฉพาะในดินแดนอัศจรรย์เป็นครั้งคราว” ทหารพิทักษ์อีกคนกล่าว

 

“อ้างอิงตามการพิจารณาของเขา ดูเหมือนว่ามารสวรรค์แห่งโลกหกวิถีก็จะมาที่นี่ด้วยเช่นกัน” อีเลียกล่าว

 

“มารสวรรค์!”

 

สีหน้าของลอร่าแปรเปลี่ยนกลับกลาย

 

ขณะที่ทหารพิทักษ์มากมายต่างงุนงง

 

ลอร่ามองไปยังทุกคนและอธิบายว่า “มารสวรรค์ เป็นการดำรงอยู่ที่แสนพิเศษในโลกหกวิถี”

 

“ด้วยเหตุผลพิเศษบางประกาย เหล่าทวยเทพได้ใช้เวลามากมายในการรังสรรค์โลกหกวิถีขึ้น ทว่าระหว่างกระบวนการก็ได้ถือกำเนิดมารสวรรค์ที่มีร่างกายอันแสนพิเศษขึ้นเช่นกัน ซึ่งพวกมันมักจะกัดกินจิตเทวะของสิ่งมีชีวิตในโลกหกวิถีเป็นอาหาร”

 

อีเลียช่วยเสริม “การปรากฏตัวขึ้นของมารสวรรค์มิได้อยู่ในการคาดการณ์ของเหล่าทวยเทพโบราณ ดังนั้นเหล่าทวยเทพโบราณจึงต้องการที่จะลบมารสวรรค์ให้หายไปโดยสิ้นเชิง แต่แล้วพวกเขากลับพบว่ามารสวรรค์น่ะไม่สามารถสังหารได้”

 

“เพราะมารสวรรค์คือส่วนหนึ่งของกฏเกณฑ์แห่งโลกหกวิถี พวกมันมีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาสมดุลของตลอดทั้งหกโลก”

 

“เช่นนั้น หมายความว่ามันคือมอนสเตอร์ที่สามารถควบคุมได้ทั้งโลกหกวิถีในเวลาเดียวกันอย่างนั้นหรือ?” บางคนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

 

“ไม่ พวกมันทำได้เพียงพิพากษาสิ่งมีชีวิตที่มีความปรารถนามากเกินไปหรือสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากเกินไปเท่านั้น โดยพวกมันจะเฟ้นหาวิธีเข้าไปกัดกินจิตวิญญาณของตัวตนเหล่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้โลกหกวิถีถูกทำลายโดยการดำรงอยู่ที่กล่าวมา”

 

“งั้นมารสวรรค์ก็ทรงพลังมากเลยสิ?”

 

“จะว่าทรงพลังก็ใช่ แต่ที่น่าหวาดกลัวจริงๆก็คือรูปแบบการโจมตีของพวกมันต่างหาก – พวกมันมักจะปรากฏกายขึ้นในจิตใจของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นในยามที่เจ้ากิน เดิน พูดคุย หรือแม้กระทั่งหลับไหล มันจะย่องเข้าไปในจิตใจของเจ้าอย่างเงียบๆ สำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ หรือไม่สามารถป้องกันตัวได้ ก็จะมิอาจตระหนักถึงมันได้ล่วงหน้า แล้วสุดท้ายจิตเทวะก็จะถูกกลืนกินไปโดยมารสวรรค์”

 

ทหารพิทักษ์เมื่อได้ลองขบคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

 

ขณะที่ฉานนู่มัวแต่คิดตริตรองอย่างลึกซึ้ง

 

เธอได้รับความทรงจำมากมายมาจากกู่ฉิงซาน และได้ตระหนักถึงบางสิ่งที่มันน่าประหลาดมาตั้งนานแล้ว นั่นคือ

 

—ไม่มีมารสวรรค์ในโลกล่องเวหา แต่ในโลกเทวะกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธกลับมีการดำรงอยู่ของมารสวรรค์

 

ทันใดนั้น เธอก็ตระหนักได้ถึงปัญหาบางอย่างที่มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสถานการณ์ปัจจุบันเลย

 

“หรือว่า … แท้จริงแล้วโลกแห่งผู้ฝึกยุทธกับโลกเทวะจะเป็นโลกหกวิถี?” ฉานนู่พึมพำด้วยความสงสัย

 

อีกด้านหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทางเข้าวิหาร

 

จิตสัมผัสเทวะของเขาขยายเข้าไป แต่กลับถูกขัดขวางไว้ตรงหน้าประตู

 

-ไม่คาดคิดเลยว่าตัววิหารแห่งนี้จะสามารถป้องกันการตรวจสอบของจิตสัมผัสเทวะได้

 

กู่ฉิงซานเปิดประตูวิหารด้วยดาบ และเดินตรงเข้าไป

 

ภายในวิหารเต็มไปด้วยผู้คน

 

ผู้รอดชีวิตเกือบทั้งหมดมาอยู่ที่นี่

 

กู่ฉิงซานมองไปยังผู้คนที่นิ่งงัน ไม่ขยับเขยื้อน ในหัวใจของเขาก็อดเศร้าน้อยๆไม่ได้

 

เห็นแค่เพียงทุกคนที่คุกเข่าลงกับพื้น คล้ายกับกำลังร่วมพิธีกรรมลึกลับบางอย่าง

 

ขณะที่บนใบหน้าของพวกเขามีรอยยิ้มแปลกๆ บนร่างกายยังคงอบอุ่น แต่ … ทั้งหมดได้ตายไปแล้ว

 

ฉากนี้ มันเหมือนกันกับสิ่งที่เขาเคยเห็นในเมืองก่อนหน้านี้เลย

 

เหลาเจียวยืนอยู่ปลายสุดของวิหาร ในมือกำลังถือกุมอะไรบางอย่าง บรรยากาศบนตัวเขาแลดูศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพลึก

 

แต่แท้จริงแล้วในมือของเขา มันกลับไม่มีสิ่งใดอยู่เลย

 

–หรือมันอาจจะเคยมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ แต่ถูกพรากจากไปแล้วโดยมารสวรรค์

 

และแน่นอน ว่าเหลาเจียวเองก็ตายไปแล้วเช่นกัน

 

เขาคงถูกสิงสู่โดยมารสวรรค์ และยามเมื่อเขาได้รับสมบัติที่เหล่าทวยเทพทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ขณะที่ยังไม่ทันจะได้รับการทดสอบ มารสวรรค์ก็ได้ผุดออกมาจากในจิตใจของเขา กัดกินดวงจิตจนสิ้น และรับเอาสมบัติไป

 

“เหลาเจียว … ” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน หน้าต่างเทพสงครามก็กลายเป็นสีแดงเข้มโดยสมบูรณ์

 

กระแสแสงน่าหวาดกลัวเด้งอยู่กลางหน้าต่าง และกลายเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่

 

“คำเตือน”

 

“ตรวจพบแรงผันผวนจากการสั่นสะเทือนจากรากฐานบางประการของโลก”

 

“หลังจากการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ระบบได้ตรวจพบสถานการณ์ดังต่อไปนี้”

 

“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด ได้เข้าสู่สภาวะจำศีลแล้ว”

 

“พิจารณา : ระบบต้นกำเนิด กำลังเริ่มกระบวนการอัพเกรด!”

 

“หนึ่งวันต่อจากนี้ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ปฏิวัตร จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ”

 

“ ‘ปฏิวัตร’ จะแพร่กระจายออกไปในโลก 300 ล้านชั้น และไปบรรจบเข้ากับระบบของราชามารในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ร่วมกันพัฒนาระบบให้ลึกไปอีกระดับ”

 

“และนั่นหมายความว่าโลก 900 ล้านชั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ครั้งแตกหักเป็นครั้งสุดท้าย”

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังคำเตือนเหล่านั้น

 

จู่ๆเขาก็ตวัดดาบพิภพอย่างรุนแรง และคำรามก้อง “จงออกมา!”

 

บนตัวดาบพิภพ ปรากฏชั้นแสงสายฟ้าชั้นแล้วชั้นเล่าผุดออกมา ปกคลุมไปตลอดทั้งวิหาร

 

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

 

เสียงสายฟ้าดังสนั่น จนตลอดทั้งวิหารกลายเป็นทะเลสายฟ้า

 

ในจุดหนึ่ง ทันใดนั้นดูเหมือนว่าสายฟ้าจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง

 

พร้อมด้วยเสียงที่ฟังดูขบขันดังขึ้น

 

“ดูสิ ที่แท้ก็เจ้าสารเลวน้อยขี้แพ้นี่เอง เจ้านี่มันมักจะใจร้อนอยากจะสู้อยู่เสมอๆเลยนะ มีชีวิตอยู่ดีๆมันน่าเบื่อมากนักหรือไง?”

 

กู่ฉิงซานเก็บดาบยาว และสายฟ้าก็หายไปทันที

 

“แกเป็นใครกัน?”

 

“พวกเราเคยพบกันมาครั้งหนึ่งแล้ว” เสียงนั้นตอบ

 

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนา เห็นแค่เพียงทุกร่างของสายพันธุ์โบราณล่มสลายลง แตกตัวกลายเป็นสระเลือด

 

ขณะที่เลือดเหล่านั้นราวกับมีชีวิตชีวา มันขีดเขียนพื้นวิหารจนเกิดอักษรรูนขนาดใหญ่ขึ้น

 

พร้อมด้วยเปลวไฟที่พวยพุ่งขึ้นมาจากอักษรรูน

 

เปลวไฟนับไม่ถ้วนลากยาวเป็นหาง ทอเข้าด้วยกัน ก่อร่างม่านเปลวไฟขึ้น

 

ปัง!

 

เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

ปรากฏถึงเงาดำขนาดใหญ่ที่ดูดุร้ายและน่าหวาดกลัวขึ้นท่ามกลางเปลวไฟ มันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสนภาคภูมิอย่างช้าๆ

 

“ก่อนจะได้ลิ้มชิมรสผลไม้อันหอมหวานที่เรียกกันว่าผลไม้แห่งชัยชนะ เวลานี้ หากยิ่งได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของผู้แพ้ คอยเฝ้ามองไปยังใบหน้าขลาดกลัวและสิ้นหวังของพวกมัน แล้วประทับภาพความทรงจำนี้ไว้ในส่วนลึกของจิตใจ — ต้องบอกว่าข้าชมชอบในความรู้สึกนี้เสมอมา”

 

นายเหนือแห่งแดนชำระล้าง – การดำรงอยู่ที่สามารถรอดชีวิตมาได้จวบจนปัจจุบันจากโบราณอันไกลโพ้น!

 

มันปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซานอีกครั้ง

 

“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกเจ้าว่า ทุกอย่างกำลังเป็นอย่างราบรื่น แม้กระทั่งตอนจบของสงครามก็ยังถูกขีดเขียนเอาไว้แล้วโดยพวกเรา” นายเหนือแดนชำระล้างกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

กู่ฉิงซานโบกสะบัดดาบยาวของเขาออกไป

 

รังสีดาบทะลวงผ่าเปลวไฟโดยตรง ตัดเข้าใส่เพดานเหนือวิหาร

 

–ไม่โดน นี่เป็นเพียงร่างเงาที่ฉายออกมาเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว “ทำได้แค่พูดข่มไร้สาระกับคนอื่นเป็นอย่างเดียวรึไง? ไอ้แมลงสาบโบราณเอ๊ย”

 

รอยยิ้มของนายเหนือแดนชำระล้างหุบลง

 

“เจ้าควรจะรู้นะว่า เมื่อเจ้าตาย ข้าจะเป็นคนไปนำดวงวิญญาณของเจ้ามาด้วยตนเอง” มันกล่าว

 

“ก็แล้วยังไง ตอนนี้ฉันยังมีชีวิตอยู่ดี” กู่ฉิงซานสวนกลับ

 

“ผู้ถูกเลือกโดยดาบโบราณเอ๋ย เจ้าเหยื่อตัวจ้อย ข้าผู้เป็นนายเหนือแห่งแดนชำระล้าง มาเยือนถึงที่นี่เพื่อต้องการจะบอกแก่เจ้าว่า เจ้ากำลังจะตายในไม่ช้า”

 

เสียงของมันกลับกลายเป็นมีชีวิตชีวาขึ้น “ ‘ปฏิวัตร’ กำลังจะถือกำเนิดขึ้น! มดเช่นเจ้า หรือแม้กระทั่งการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตอื่นใด ที่อยู่ในช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่นี้ ล้วนไม่สามารหลบเร้นกระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ได้!”

 

“อีกไม่นาน โลกตลอดทั้ง 300 ล้านชั้นก็จะกลายเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูอีกครั้ง!”

 

“เมื่อไหร่ที่เปลวเพลิงแห่งสงครามแผดเผาไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น พวกเราเหล่าผู้สนับสนุนระบบของราชามารก็จะเข้าร่วมการต่อสู้ ได้รับเกียรติยศอย่างหาที่ใดเปรียบ เป็นผู้ครอบครองตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น!”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสบายๆ “ฉันไม่คิดเลยว่าสุนัขก็ยังฝันกลางวันเป็นกับเขาด้วย”

 

เงาดุร้ายชะงักงัน

 

เสียงของมันกลับกลายเป็นหม่นทะมึนและโหดร้าย “เด็กน้อย วาจาเจ้าช่างคมคายนัก คอยดูเถิด ได้รับวิญญาณของเจ้ามาเมื่อไหร่ ข้าจะใช้ลิ่มตอกปากเจ้า แล้วนำดวงจิตเจ้าไปมัดแขวนไม้บนศีรษะของอาชาเพลิง ปล่อยให้เจ้าทุกข์ทรมาณจากการแผดเผา คอยเฝ้าดูชะตากรรมของโลก 900 ล้านชั้นด้วยตาตนเอง”

 

“วันนั้น มันจะไม่มีทางมาถึงหรอก” กู่ฉิงซานส่ายหัว

 

“โง่เง่า!” เงาดุร้ายหัวเราะกึกก้อง “สถานการณ์โดยรวมได้ถูกตัดสินแล้ว มดที่น่าสงสารเช่นเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? หาก ‘ปฏิวัตร’ ถือกำเนิดขึ้น นั่นแหละคือจุดจบของเจ้า! จุดจบของทุกสิ่ง!!”

 

“แต่ตอนนี้สงครามมันยังไม่จบลงซักหน่อย!”

 

กู่ฉิงซานสะบัดดาบในมือเขา

 

คราวนี้ เป้าหมายของตนคือรูนเลือดที่กำลังควบแน่น

 

ปัง!

 

ภายใต้รังสีดาบสายฟ้า อักษรรูนถูกบดขยี้โดยสมบูรณ์

 

ม่านเปลวไฟขนาดใหญ่พังทลายลง

 

“เมื่อปฏิวัตรถือกำเนิดขึ้น เจ้าก็จะถูกสังหารลงโดยมัน เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะไปรับจิตวิญญาณของเจ้าเป็นการส่วนตัว … ”

 

พร้อมกันกับถ้อยคำเหล่านี้ ร่างเงาดุร้ายก็สลายไปพร้อมกับเปลวไฟที่มอดดับลงในที่สุด

 

Ep.582 – เสียงของผู้หญิง

 

นอกเหนือไปจากผีร้ายกลืนวิญญาณที่ตายลงไปแล้ว

 

กู่ฉิงซานกับอีเลียก็ไม่ได้ค้นพบอะไรอีกเลย

 

หุบเขาทั้งลูกได้แปรสภายกลายเป็นเทือกเขาสูงตระหง่าน ขณะเดียวกันสัตว์ประหลาดผีทั้งหมดก็หายตัวไป

 

เบาะแสเดียวก็คือนเสียงแปลกๆของผู้หญิง

 

อย่างไรก็ตาม จะตัดสินได้ยังไงว่านี่เป็นเสียงผู้หญิงของใคร?

 

“เจ้าเชื่อคำกล่าวของสัตว์ประหลาดผีตนนี้หรือไม่?” อีเลียเอ่ยถาม

 

“มันไม่คุ้มค่าที่จะเชื่อ แต่ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกภาคภูมิใจในเฮือกสุดท้ายของมัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แล้วกองทัพผีล่ะ? เมื่อครู่นี้พวกเราได้ยินว่ามีบางสิ่งสั่งให้มันล่าถอย อย่าบอกนะว่าพวกมันล้มเลิกความคิดที่จะโจมตีแล้วจริงๆ?” อีเลียเอ่ยถาม

 

“ผมไม่คิดแบบนั้น สำหรับต้นกำเนิดน่ะ มันไม่ใส่ใจกับความล้มเหลวใดๆ ตรงกันข้าม มันกลับทุ่มเทอย่างบ้าคลั่งเพื่อที่จะได้สิ่งที่มันต้องการมาครอบครอง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต่กองทัพของพวกมันทั้งหมดได้หายไป”

 

“หรือบางทีที่พวกเราไม่เจอพวกมันจะเป็นเพราะ … ”

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ปากเอ่ยกล่าวต่อ “พวกมันอาจจะออกจากโลกใบนี้ แล้วกลับไปยังชั้นน้ำแข็งก็เป็นได้”

 

ในโลกสมบัติของทริสเต้ โดยสิ้นเชิงแล้วจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น โดยแต่ละชั้นแยกจากกัน คือ ชั้นน้ำแข็ง , ชั้นทะเล และสุดท้ายชั้นของสายพันธุ์เทพ

 

หากสัตว์ประหลาดผีออกจากชั้นสายพันธุ์เทพ ที่ๆพวกมันจะไปได้ ก็คงมีเพียงชั้นน้ำแข็งที่อยู่นอกสุดเท่านั้น

 

และผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดก็อยู่ในชั้นที่ว่านั่นเช่นกัน

 

อีเลีย “แต่ข้าได้ใช้สมบัตที่สามารถแทรกซึมผ่านกำแพงอุปสรรคได้เพียงครั้งเดียวไปแล้ว เกรงว่าหากออกไป ข้าจะไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้อีก”

 

“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกังวล ผมสามารถรับประกันว่าพวกเราจะเดินทางกลับมาได้”

 

“งั้นก็ดี พวกเราไปตรวจสอบต่อกันเถิด”

 

ร่างของทั้งสองทะยานตัวขึ้น ปะทะกับสายลมอย่างรุนแรง เตรียมมุ่งหน้าออกจากโลกชั้นในสุด

 

เมื่อมาถึงกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพ กู่ฉิงซานก็วาดดาบเช่าหยินออกไป

 

กำแพงอุปสรรคเปิดออกทันที เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่ทั้งสอง

 

เมื่อออกมา เขาก็เหวี่ยงดาบยาวไปอีกครั้ง และทะเลก็วิ่งผ่านเจ้ามาในกำแพงอุปสรรค กลบทางเข้าที่เคยเปิดออก ให้หุบลงดังเดิม

 

“ที่แท้ดาบยาวของเจ้าก็ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ และมีพลังที่สามารถใช้ในการควบคุมจิตวิญญาณแห่งน้ำนี่เอง” อีเลียถอนหายใจ “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดลอร่าจึงเอาแต่คิดถึงดาบของเจ้าอยู่เสมอๆ”

 

“มาเถอะ ไปดูกันว่าข้างนอกมันเกิดอะไรขึ้นกันบ้าง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ทั้งสองบินขึ้นไป

 

เมื่อใกล้จะไปถึงชั้นเปลือกน้ำแข็ง กู่ฉิงซานก็หยุด

 

“มีอะไรงั้นหรือ?” อีเลียเอ่ยถาม

 

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องทำการสำรวจขึ้นไปจากทะเลเบื้องล่าง ไม่ขึ้นไปใกล้บนบกมากเกินไป เพราะเดี๋ยวจะถูกจับสังเกตได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

อีเลียเงยหน้าขึ้น

 

เห็นแค่เพียงเหนือน้ำทะเลสีฟ้า เป็นชั้นบางๆของเปลือกน้ำแข็งสีขาว

 

ด้วยความแข็งแกร่งของเธอ ต่อให้อยู่ในทะเล เธอก็ยังสามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวบนเปลือกน้ำแข็งได้ โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นไป

 

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะแฝงตัวโดยการไหลไปตามทิศทางของกระแสน้ำ และเฝ้าตรวจสอบอย่างรอบคอบ เพื่อดูว่าจะพบเบาะแสอะไรบ้าง”

 

ว่าจบ ทั้งสองก็ปล่อยตัวไปตามกระแสน้ำ ลอยขึ้นไปอีกไม่กี่นาทีจึงหยุดลง

 

เหนือพวกเขาขึ้นไป เป็นเปลือกน้ำแข็งที่แต่เดิมสมควรมีสีขาวบริสุทธิ์ แต่บัดนี้กลับดำทะมึนไปด้วยกลิ่นอายอันมืดมิด ของสัตว์ประหลาดผีที่กระจุกรวมตัวกันอย่างหนาแน่น

 

กองทัพผีมารวมตัวกันที่นี่น่ะเอง!

 

ทั้งสองมองหน้ากันและกัน และเห็นถึงความประหลาดใจบนสีหน้าของอีกฝ่าย

 

ระบบของราชามารได้สั่งให้ทหารถอนทัพจริงๆน่ะหรือ?

 

อย่างไรก็ตาม แม้อีเลียจะยังคงสับสน แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายใจลงเล็กน้อย

 

แต่กู่ฉิงซานน่ะตรงกันข้าม คิ้วของเขาขมวดมุ่น

 

นี่มันไม่ถูกต้อง

 

ถึงแม้ว่าตนจะได้มาเห็นว่ากองทัพผีล่าถอยแล้วจริงๆด้วยตาตัวเอง แต่กู่ฉิงซานก็ไม่มีความคิดว่าต้นกำเนิดมันจะยอมรับความพ่ายแพ้จริงๆ

 

ซึ่งเขารู้เรื่องนี้ดี … ดีกว่าใครๆ

 

มันไม่เลือกวิธีการ ใจดำอำมหิต ไร้ซึ่งความปราณีและแสนโหดร้าย

 

แล้วด้วยการดำรงอยู่เช่นนั้น จู่ๆมันจะมาใจดี ยอมให้กองทัพผีถอยทัพไปซะเฉยๆได้อย่างไรกัน?

 

ไม่เพียงกองทัพผี แต่กระทั่งผีแห่งความอลหม่าน ทั้งหมดก็ยังถอนตัวออกจากโลกของสายพันธุ์เทพ

 

กุญแจสำคัญของเรื่องนี้มันอยู่ที่ไหนกันแน่นะ?

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงการตริตรอง

 

“มาเถอะ ไปดูกันว่าทางฝั่งเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังทำอะไรกันอยู่” อีเลียกล่าว

 

“รับทราบ” กู่ฉิงซานขานรับ

 

ทั้งสองดิ่งลงไปในทะเลลึก และว่ายไปอีกทิศทางจนถึงบริเวณใต้ค่ายที่ผู้เข้าสู่วิถีมารประจำการอยู่

 

อีเลียเฝ้ามองอย่างระมัดระวัง

 

กู่ฉิงซานจีบออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ และเพ่งตรวจสอบการเคลื่อนไหวเหนือเปลือกน้ำแข็งอย่างรอบคอบ

 

เห็นแค่เพียงเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังจัดเก็บกระเป๋าเดินทาง เตรียมตัวที่จะจากไป

 

ใช่แล้วล่ะ กระทั่งกระโจมพักแรมที่ใช้ค้างคืนก็ยังถูกพับเก็บ

 

เป็นเรื่องจริงแน่นอนที่ผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังจะออกเดินทาง

 

“ถ้ากระทั่งพวกเขาก็ยังถอนตัว ต่อจากนี้ไปพวกเราก็คงจะปลอดภัยแล้ว” อีเลียกล่าว

 

กู่ฉิงซานไม่ตอบ เขายังคงไม่อยากจะเชื่อ

 

“ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าฉันเป็นต้นกำเนิด ฉันจะบอกให้สมุนทั้งหมดถอนทัพจริงๆน่ะหรือ .. ”

 

เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง

 

“นี่สมควรจะเป็นคำสั่งของระบบราชามาร ที่สั่งการให้ยกเลิกการโจมตีทั้งหมด” อีเลียกล่าว

 

“ยกเลิกการโจมตี ในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ?” กู่ฉิงซานกล่าว

 

อีเลียลองคิดเกี่ยวกับมันจึงเอ่ยถาม “ก็แล้วจักต้องเป็นภายใต้สถานการณ์ใดเล่า เจ้าจึงจะเลิกโจมตี ยอมแพ้ในการต่อสู้?”

 

“ผมน่ะเหรอ? ไม่หรอก ถ้าเป็นผมผมจะไม่ยอมแพ้แน่ๆ และต้นกำเนิดเองก็น่าจะเหมือนกัน”

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จู่ๆเขาก็ย้อนนึกไปถึงเสียงถอนหายใจของผู้หญิงอีกครั้ง

 

“ฝ่าฟันหนทางแสนยาวไกลจนมาถึงที่นี่ ตัวข้าคล้ายดั่งตกอยู่ในห้วงฝัน ไม่ทันจะคาดคิดเลย ว่าจักต้องจากบ้านมาเยือนต่างแดนอย่างกระทันหัน .. ”

 

แน่นอน ว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเนื้อเพลงหรอก แต่เป็นทำนองในการร้องเพลง ที่มันเหมือนกับว่าจะปลุกความทรงจำบางอย่างในหัวของเขาขึ้นมาต่างหาก

 

กู่ฉิงซานที่ลอยล่องอยู่ในทะเลลึก เค้นสมองไตร่ตรอง

 

สถานการณ์ในปัจจุบัน มันเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันจริงๆ

 

มันจะต้องมีบางอย่างที่เขาไม่ทันจะได้รู้ตัว และเกิดขึ้นไปแล้วแน่ๆ

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง แล้วลองเค้นสมองอย่างรอบคอบ

 

เขาย้อนนึกไปตั้งแต่ที่ตนได้เข้ามาสู่โลกที่ถูกทอดทิ้งโดยเหล่าทวยเทพใบนี้ สะท้อนภาพมันให้ปรากฏขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง

 

ตั้งแต่แรกที่เขาได้เข้ามายังโลกใบนี้ เขาไม่มีความคิดอื่นใดอีกเลย นอกจากพิจารณาว่าสมควรจะร่อนลงหาที่ซ่อนตัวตรงจุดไหนดี สุดท้ายตนจึงเลือกทิศทางที่ห่างไกลจากตัวเมือง และร่อนลงบริเวณชานเมืองที่ห่างออกไป

 

‘ตัวฉันมองเห็นอะไรบ้างนะ ในเวลานั้น?’

 

ใช่แล้ว

 

เป็นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงที่กำลังกอดกันแน่น

 

บนใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว ตายลงทั้งๆอย่างนั้น

 

ต่อมา ผีแห่งความอลหม่านก็ปรากฏตัวขึ้น

 

จากนั้น ตลอดเส้นทางที่กำมุ่งเดินก็เต็มไปด้วยตึกประการังอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

 

ผู้คนที่อยู่ภายในปะการัง ยังคงอยู่ในกริยาเคลื่อนไหวเดิม ดื่ม กิน เดิน วิ่ง หรือกระทั่งพูดคุยกับคนอื่นๆ

 

การแสดงออกของพวกเขาเหมือนกับมีชีวิต ราวกับไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้ตายไปแล้ว

 

ภายหลัง ม้าทมิฬยังเคยกล่าวกับตัวกู่ฉิงซาน ว่ามันคลับคล้ายคลับคลาว่าจะตาฝาด เห็นใบหน้าของศพผุดรอยยิ้มขึ้นมา

 

จากนั้น เขาก็ทิ้งลอร่าไว้กับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา เพื่อให้มันคอยปกป้องเธอ ส่วนตนก็แยกตัวออกไปสำรวจเมืองคนเดียว

 

ในช่วงเวลานั้น ฉันเห็นอะไรอีกบ้างนะ?

 

ผู้คนนับพันหมื่นที่เสียชีวิต บนใบหน้าแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มแปลกๆ เดินเรียงรายกันเป็นแถวอย่างเรียบร้อย ก้าวช้าๆตรงไปยังจตุรัสอย่างเงียบๆ

 

ขณะที่บนจตุรัส มีมอนสเตอร์ยอดเขาทะมึนกำลังกลืนกินศพเหล่านั้นอยู่

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะพูดในสิ่งที่คิดออกมาดังๆ

 

“มันออกจะแปลกๆไปสักหน่อยนะ … ”

 

“ตัวอะไรกัน ที่จะสามารถขโมยชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่นๆทั้งหมดไปอย่างเงียบๆได้?”

 

“การดำรงอยู่ชนิดใดกันที่สามารถจัดการกับร่างศพ และควบคุมมันให้เคลื่อนไหวต่อไปได้?”

 

กู่ฉิงซานคิดตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะย้อนนึกไปถึงผีร้ายกลืนวิญญาณที่พึ่งเสียชีวิตไป

 

ฉันรู้สึกว่า … มันมีบางอย่างผิดปกติ

 

เจ้าผีร้ายกลืนวิญญาณตนนั้น มีห้วงอารมณ์ ความนึกคิด และจิตสำนึกเป็นของตัวเอง ระหว่างที่สนทนากัน น้ำเสียงของมันกระจ่างชัดมาก

 

อย่างไรก็ตาม ผีร้ายกลืนวิญญาณที่ตัวเขาได้เจอกันในตอนแรก กลับไม่เป็นเช่นนั้น

 

ช่วงเวลาดังกล่าว เขาได้ถามฉานนู่ และเธอก็ได้พิจารณาตัวมันว่าอย่างไรนะ?

 

‘แล้วเราพอจะสามารถสื่อสารกับพวกมันได้ไหม?’

 

‘ไม่ได้ พวกมันได้สูญเสียจิตนึกคิดไปแล้ว พวกมันรู้จักเพียงแต่การฆ่าเท่านั้น’

 

นี่คือคำพูดในตอนนั้นของฉานนู่

 

แปลกจริง

 

ทำไมผีร้ายกลืนวิญญาณที่พบในตอนนั้นถึงสูญเสียจิตนึกคิด แต่ผีร้ายกลืนวิญญาณที่พวกเขาพึ่งจะเจอล่าสุด กระทั่งใกล้ตาย มันก็ยังมีสติปัญญา รู้สึกตัวเป็นอย่างดี?

 

เป็นไปได้ไหมว่า …

 

ผีร้ายกลืนวิญญาณที่เขาพบเจอกับมันในตอนแรกนั้น เป็นสิ่งที่ถูกวางเอาไว้ที่นั่นอย่างจงใจ?

 

แต่หากเป็นแบบนั้น ประโยชน์เดียวของผีร้ายกลืนวิญญาณที่ว่า ก็คือการดักรอให้ถูกตนค้นพบและกำจัดทิ้งอย่างงั้นหรือ?

 

-การพบเจอเจ้านั่น มันเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่านะ?

 

ไม่ ไม่ใช่

 

มันไม่สมควรที่จะมีเรื่องบังเอิญมากขนาดนั้น

 

หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว ดูเหมือนว่าตลอดเส้นทาง เขาจะไม่ได้พบเจอกับผีร้ายกลืนวิญญาณตนอื่นอีกเลย

 

ยิ่งคิด คิ้วของกู่ฉิงซานก็ยิ่งย่นเข้าหากัน

 

เขาเอ่ยถามดาบพิภพในทันใด “ในตอนที่พวกเรามายังโลกใบนี้ครั้งแรก พวกเราได้พบกับผีร้ายกลืนวิญญาณที่ดูจะแปลกๆไป ช่วงเวลานั้นมันแฝงตัวอยู่ในศพ เจ้าจดจำมันได้หรือไม่? ”

 

“ข้าจดจำมันได้” ดาบพิภพกล่าว

 

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าพอจะรู้ไหมว่าเจ้าวิญญาณร้ายที่ว่ามันคร่าชีวิตผู้คนอย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“คร่าชีวิตอย่างไรน่ะหรือ?” ดาบพิภพเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ผีจากปรภพน่ะจะทำได้เพียงกลืนกินวิญญาณที่ตายแล้วจากปรภพเท่านั้น เพื่อที่จะสร้างความทุกข์ทรมาณบาดลึกแก่จิตวิญญาณ”

 

“หมายความว่าถ้าเป็นวิญญาณของสิ่งมีชีวิต มันจะไม่สามารถกินได้?”

 

“ไม่ได้ แต่หากพบเจอสิ่งมีชีวิต มันก็สมควรที่จะสังหารสิ่งมีชีวิตเหมือนกับมอนสเตอร์ทั่วๆไป”

 

พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น

 

ความจริงเรื่องนี้มันง่ายดายยิ่ง แต่ตนกลับตามืดบอด

 

เขาเอ่ยถามอีเลียอีกครั้ง “ผมมีคำถามที่สำคัญมาก และคุณจะต้องตั้งใจตอบผมให้ดี”

 

อีเลียเมื่อเห็นท่าทีจริงจังของเขา เธอก็ขานรับ “ว่ามาสิ ข้ากำลังฟังอยู่”

 

“ผีแห่งความอลหม่าน อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล มันฆ่าสังหารศัตรูอย่างไร?” 

 

“ข้าเองได้เคยเห็นมันอยู่หลายครั้ง พวกมันจะทำการเจาะทะลวงเกราะป้องกันของศัตรู และกัดกินพวกเขาโดยตรง”

 

“กัดกินอย่างงั้นหรือ?”

 

“ใช่ ผีแห่งความอลหม่านคือการผสมผสานกันระหว่างภูติผีจากปรภพนับไม่ถ้วน มันจึงมีความสุขสมในยามที่ได้กินเลือดและเนื้อ” อีเลียเผยให้เห็นถึงสีหน้ารังเกียจ

 

“คุณแน่ใจใช่ไหม?”

 

“เต็มร้อยเลยล่ะ”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจลึก

 

นี่มันผิด ผิดทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง

 

ในช่วงเวลานั้น เขาได้ทำการตรวจสอบสภาพศพด้วยตัวเอง

 

และพบว่าอวัยวะภายในของศพยังไม่บุบสลาย และไม่มีอาการบาดเจ็บภายในเลย

 

บางซากศพก็ยังคงอุ่นๆอยู่ด้วยซ้ำ

 

ในช่วงเวลานั้น เขาได้ตัดสินด้วยตัวเองว่ามันคงจะเป็นการโจมตีเข้าสู่จิตเทวะโดยตรง

 

ทำให้ตนเข้าใจผิดไปโดยปริยายว่านี่คือฝีมือของผีแห่งความอลหม่าน หรือผีร้ายกลืนวิญญาณ

 

แต่อีเลียกลับบอกเขาว่าผีแห่งความอลหม่านน่ะชอบกินเลือดเนื้อ

 

นอกจากนี้ ครั้งแรกที่ผีแห่งความอลหม่านค้นพบตนเอง มันก็พุ่งฝ่าวงล้อมค่ายกลมา และพยายามที่จะฉีกทึ้งตนเองโดยตรง

 

งั้นสิ่งที่อีเลียบอกก็ไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก

 

ดังนั้น —

 

การสังหารหมู่ผู้คนทั้งหมดในเมืองจึงย่อมไม่ใช่ฝีมือของผีแห่งความอลหม่าน และไม่ใช่ผีร้ายกลืนวิญญาณที่ไม่มีจิตสำนึกตนนั้น!

 

ส่วนมอนสเตอร์จากแดนชำระล้าง วิธีการของมันคือกลืนกินศพทั้งตัว ดังนั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ที่มันจะสังหารผู้คนให้ตกตายโดยไม่รู้ตัว

 

ทันใดนั้น เสียงถอนหายใจของหญิงสาวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 

ส่งผลให้ความทรงจำจากส่วนลึกวาบไหวผ่านเข้ามาในหัวใจของเขา

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นอีกครั้ง

 

ดูเหมือน่วา … ตัวฉันเองจะประมาทไป

 

ตนเองไม่คาดคิดเลย ว่าเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด แท้จริงแล้วจะมีแผนการอันล้ำลึกถึงเพียงนี้

 

บางที คงจะเป็นตั้งแต่การต่อสู้ในคราวก่อนๆแล้ว ที่มันเพิ่มความระมัดระวังในตัวเขา

 

ตรงกันข้ามกับกู่ฉิงซาน เพราะหลังจากที่ตนสามารถเข้าสู่โลกสายพันธุ์เทพที่มีกำแพงอุปสรรคของทวยเทพคอยขวางกั้นได้ เขาก็ดันผ่อนคลายความหวาดระแวงลง

 

อย่างไรก็ตาม ตนไม่อาจคาดคิดได้เลยว่า นับตั้งแต่ที่ตนเองก้าวเข้ามาเหยียบลงบนโลกใบนี้ ต้นกำเนิดจะวางแผนการรับมือกับเขาเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

อย่างแรกเลยคือการโจมตีของผีแห่งความอลหม่าน แล้วก็ผีร้ายกลืนวิญญาณที่สิงอยู่ในศพ มันจงใจให้เขาค้นพบและสังหารเสีย

 

แม้กระทั่งมอนสเตอร์จากแดนชำระล้างก็ถูกส่งออกมา

 

เมื่อเขาทำลายสัตว์ประหลาดทั้งหมด คนกลางที่คอยโน้มน้าวใจจากแดนชำระล้างก็ปรากฏตัวขึ้น

 

ในทุกๆขั้นตอนการเผชิญหน้า ในทุกๆมอนสเตอร์ที่ปรากฏขึ้น ล้วนถูกจัดวางเป็นอย่างดีโดยต้นกำเนิด

 

เมื่ออยู่ต่อหน้ามอนสเตอร์ที่โผล่ออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ต่อให้เป็นตัวเขาเองที่แม้จะเห็นถึงเงื่อนงำบางอย่าง แต่ก็ยังถูกจิตวิทยาเบี่ยงเบนทิศทางความคิดออกไป

 

“ต้นกำเนิด … มันช่างร้ายกาจจริงๆ”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ เกิดความคิดเงียบๆขึ้นในสมอง

 

มันดูเหมือนว่า เหตุผลที่ทั้งโลกนั้นล่มสลายลงภายใต้อำนาจระบบของราชามารในชีวิตก่อนหน้าของเขา มันจะไม่ใช่เพียงเพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นตามืดบอด และอ่อนแอเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว

 

ต้นกำเนิดนี่มันแสบเกินไปจริงๆ

 

ในขณะนั้นเอง เสียงของผู้หญิงที่อ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในจิตใจอของกู่ฉิงซาน

 

“ฝ่าฟันหนทางแสนยาวไกลจนมาถึงที่นี่ ตัวข้าคล้ายดั่งตกอยู่ในห้วงฝัน ไม่ทันจะคาดคิดเลย ว่าจักต้องจากบ้านมาเยือนต่างแดนอย่างกระทันหัน .. ”

 

มันขับขานเป็นท่วงทำนองเบาๆ

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไป

 

“ไปเถอะ พวกเราต้องรีบกลับเดี๋ยวนี้!”

 

เมื่อคิดทุกอย่างได้ กู่ฉิงซานก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เขาคว้าจับมือของอีเลีย และบินลงไปยังส่วนลึกของทะเลทันที

 

“เจ้าค้นพบปัญหาอะไรแล้วงั้นหรือ?” อีเลียเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

 

“ผมคิดว่าพวกเราไม่ควรที่จะออกจากเมืองไห่เช่า! โถ่เอ๊ย ประมาทไปจริงๆ!”

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว

 

“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”

 

“ผมเองก็ยังไม่รู้ แต่จากการอนุมานของผม สถานการณ์ที่จะทำให้ต้นกำเนิดถอนทัพไปได้น่ะมีเพียงแค่หนึ่งเดียว”

 

“สถานการณ์อะไร?”

 

“ก็สถานการณ์ที่มันได้รับสิ่งที่ตนเองปรารถนาแล้วยังไงล่ะ!”

 

“นั่นเป็นไปไม่ได้!” อีเลียอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

กู่ฉิงซานเผยสีหน้าแปลกๆและกล่าวออกมา “ใช่ จริงๆแล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ถ้าหากว่ามันสามารถอัญเชิญการดำรงอยู่ที่พิเศษของ ‘ตัวตน’ นั้นมาได้ล่ะก็ จะมีความเป็นไปได้มากทีเดียว … ”

 

“การดำรงอยู่ที่พิเศษ? มันคืออะไร หรือเจ้าจะหมายถึงเจ้าของเสียงผู้หญิงคนนั้น?” อีเลียตอบกลับอย่างรวดเร็ว

 

“ใช่ นั่นแหละคือกุญแจสำคัญของความจริงทั้งหมด” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

น้ำทะเลตลอดเส้นทางแหวกเปิดทางให้พวกเขา ดำดิ่งลึกลงสู่เบื้องล่าง

 

เมื่อลองย้อนนึกถึงเสียงของผู้หญิง ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้น

 

“แบบนี้ไม่ดีแล้ว พวกเราจะต้องเร่งความเร็วให้มากกว่านี้!”

 

กู่ฉิงซานระเบิดพลังวิญญาณเต็มพิกัด ในมือจีบออกด้วยวิชาลับ ทั้งคนทั้งร่างของเขาดั่งสายฟ้าฟาด ผ่าดิ่งลงไปยังโลกสายพันธุ์เทพอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบสิ่งหนึ่งออกมาทันใด

 

มันคือสร้อยข้อมือ ที่ร้อยเรียงไปด้วยกระดิ่งห้าลูก

 

สร้อยข้อมือกระดิ่งนี้หนักอย่างไม่คาดคิด มันสาดกลิ่นอายหนาวเหน็บ ที่แม้กระทั่งพลังวิญญาณก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ออกมา

 

กู่ฉิงซานผูกมันไว้กับข้อมือเขา แล้วกำมันไว้แน่น

 

ชั่วขณะที่ตนกำลังมุ่งหน้าลึกลงไปในท้องทะเล สายลมก็พัดผ่านตัวกระดิ่ง ส่งเสียงกริ๊งกรั๊งอันฟังชัดออกมา

 

เสียงของกระดิ่งทะลุผ่านชั้นมิติและเวลา ข้ามผ่านไปสู่โลกที่ไม่มีผู้ใดได้รู้จัก

 

Ep.581 – เบาะแส

 

กลางดึก

 

ภายในหุบเขาฟุ้งไปด้วยหมอกหนา และความเงียบ

 

กู่ฉิงซานกับอีเลียยืนอยู่ภายในหุบเขาที่ว่างเปล่า ทั้งสองกวาดสายตามองไปรอบๆด้วยความสับสน

 

พวกเขาได้ไล่ตามร่องรอยการถอยทัพของสัตว์ประหลาดผี จนในที่สุดก็มาถึงหุบเขาแห่งนี้

 

แต่พอมาถึง มันกลับไม่มีสัตว์ประหลาดผีอยู่ที่นี่เลย

 

“กองทัพ 100000 จู่ๆก็หายตัวไปในอากาศซะเฉยๆ นี่มันเป็นไปไม่ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ข้าเองก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย สถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็นโลกที่เหล่าทวยเทพหลงเหลือเอาไว้ แม้แต่สัตว์ประหลาดผีก็จักต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของอำนาจเทวะ ถึงแม้พวกผีแห่งความอลหม่านจะสามารถแทรกซึมอำนาจเทวะมาได้ก็ตาม แต่พวกมันก็ยังต้องปฏิบัติตามบรรทัดฐานของโลก ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปรากฏ หรือหายไปในอากาศบางเบาซะเฉยๆ” อีเลียกล่าว

 

ทั้งสองเกือบจะพลิกทั้งใต้หุบเขา ทำการค้นหาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ค้นพบเบาะแสเพิ่มเติมอยู่ดี

 

อีเลียเริ่มขมวดคิ้ว “ข้าชักจะรู้สึกไม่ดีแล้ว”

 

“ผมก็เหมือนกัน”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ และทำการค้นหาทุกตารางนิ้วอย่างพิพีพิถันในหุบเขา

 

หลังจากที่ ตรวจสอบไม่เว้นกระทั่งก้อนหินหรือดินโคลนแล้ว กู่ฉิงซานก็ยังไม่พบสิ่งใดเลย

 

อีเลีย “ดูเหมือนว่าคงจำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษบางอย่างแล้ว”

 

ว่าจบ เธอก็หยิบกระจกแกะสลักสีบอร์นที่มีขนาดความสูงเท่ากับตัวเธอออกมา

 

เธอวางกระจกลงบนพื้นแล้วกล่าวด้วยด้วยสีหน้าจริงจัง “กระจกมนตราเอ๋ย โปรดบอกข้าเถิด ในระหว่าง 200 ลมหายใจที่ผ่านมานี้ มีเสียงใดเกิดขึ้นที่นี่บ้าง?”

 

แต่บนตัวกระจก กลับยังคงเงียบ

 

คิ้วของอีเลียย่นเข้าหากัน ปากเอ่ยสิ่งที่คิดในใจออกมาดังๆ “หรือว่าจะยังไม่พอนะ … ”

 

เธอลองคิดเกี่ยวกับมันและเอ่ยถามอีกครั้งว่า “กระจกมนตราเอ๋ย โปรดบอกข้าเถิด ในระหว่าง 1000 ลมหายใจที่ผ่านมานี้ มีเสียงใดเกิดขึ้นที่นี่บ้าง?”

 

ในตัวกระจก ปรากฏเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น “การตรวจสอบเสียงที่พึ่งผ่านพ้นไปในระหว่างช่วง 1000 ลมหายใจ คุณจำเป็นต้องจ่ายพลังเหนือธรรมชาติเป็นจำนวน 1735 หน่วย”

 

พลังเหนือธรรมชาติ?

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานขยับไหว เขาหันไปมองอีเลีย

 

และพบว่าอีเลียดูค่อนข้างจะอึดอัดใจเล็กน้อย

 

บาดแผลของเธอยังไม่หายดี ดังนั้นจึงจำต้องประหยัดพลังเหนือธรรมชาติที่ตนมีเอาไว้ ซึ่งกับอีแค่การค้นหาข่าวสารเพียงอย่างเดียว เธอเกรงว่ามันจะไม่คุ้มค่า

 

แน่นอน หากสามารถค้นพบข้อมูลที่สำคัญได้ มันก็นับว่าโชคดีไป

 

แต่ในกรณีที่ไม่ได้รับข้อมูลสำคัญใดๆเลย นี่จะนับว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่

 

ขณะที่เธอกำลังลังเล เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่เดินเข้ามาและเอ่ยถามว่า “คุณต้องการพลังเหนือธรรมชาติ 1735 หน่วยใช่ไหม”

 

“ใช่ มันจำเป็นต้องใช้พลังหเนือธรรมชาติ 1735 หน่วย จึงจะสามารถเริ่มต้นค้นหาเสียงในอดีตได้” กระจกมนตรากล่าว

 

“งั้นเอาของฉันไป”

 

กู่ฉิงซานวางมือลงบนกระจกมนตรา

 

แต่อีเลียกลับปัดมือของเขาออกทันที เธอเร่งเตือน “ไม่ได้นะ พลังเหนือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทุกตนน่ะมีจำกัด ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ ขีดจำกัดของมันย่อมไม่มีทางถึง 1735 หน่วยอย่างแน่นอน หากเจ้าดึงดันจะทำ เจ้าจะต้องตาย”

 

“ไม่ต้องกังวลหรอก ถ้าเป็นเรื่องพลังเหนือธรรมชาติแล้วล่ะก็ ผมค่อนข้างที่จะมีมีพรสวรรค์ในการจัดการกับมันน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

 

อีเลียช็อคไป

 

มีพรสวรรค์ในการจัดการกับมัน?

 

มีคนแบบนี้อยู่จริงๆงั้นหรือ?

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่วางมือของเขาลงบนกระจกมนตราอีกครั้ง

 

กระจกมนตราเอ่ยถาม “คุณแน่ใจจริงๆหรือที่จะจ่าย 1735 พลังเหนือธรรมชาติ? ถ้าคุณตาย อย่ามาตำหนิฉันก็แล้วกัน”

 

“ฉันแน่ใจ”

 

พร้อมกันกับเสียงของกู่ฉิงซาน บนหน้าต่างเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณของเขาก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงทันที

 

“คุณถูกหักแต้มพลังวิญญาณ 1735 แต้ม”

 

“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกินในปัจจุบันของคุณคือ : 510000/400”

 

กู่ฉิงซานเหลือบมองมันและพยักหน้าเล็กน้อย

 

หลังจากที่หักเศษเล็กเศษน้อยของแต้มพลังวิญญาณแล้ว ที่เหลืออยู่ก็ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก

 

ไม่เสียแรงเลย ที่เขาทุ่มเทไปมากมายในการกำจัดกองทัพสัตว์ประหลาดผี

 

เมื่อกระจกมนตราได้รับแต้มพลังวิญญาณเพียงพอ มันก็เริ่มส่งเสียงดังขึ้นมาทันที

 

กู่ฉิงซานกับอีเลียที่ยืนอยู่หน้ากระจก ตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง

 

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นกระจกเงา แต่แท้จริงแล้วดันสามารถได้ยินแค่เสียงเท่านั้น …

 

กู่ฉิงซานสงสัย “มันเป็นกระจกแท้ๆ แต่ทำไมถึงมีแค่เสียง แต่ไม่มีภาพล่ะ?”

 

“กระจกมนตราที่สามารถตรวจสอบเสียงย้อนหลังได้ นี่นับว่าเป็นไอเท็มที่ดีมากแล้ว หากเจ้าต้องการที่จะย้อนดูภาพในอดีต กระบวนการของมันจะยากเย็นยิ่งกว่านี้หลายเท่า โดยทั่วไปแล้ว สมบัติที่สามารถทำเช่นนั้นได้ มันไม่ค่อยปรากฏขึ้นมาสักเท่าไหร่หรอกนะ ในโลกปัจจุบัน” อีเลียอธิบาย

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าเข้าใจ

 

อย่างไรก็ตาม คำพูดของอีเลีย มันกลับทำให้เขาย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ตนได้พบกับนางเซียนไป่ฮั่วเป็นครั้งแรก

 

‘ค้นวิญญาณจากความว่างเปล่า’

 

โดยอาศัยแค่เพียงบัตรประจำตัวทหารของกู่ฉิงซานเป็นสื่อกลาง นางเซียนไป่ฮั่วก็สามารถย้อนมองกระบวนการต่อสู้ทั้งหมดของกู่ฉิงซานในครั้งอดีตได้เลยโดยตรง

 

แม้กระทั่งรอบกายทุกคนในภาพที่ฉายออกมา ก็ยังสามารถเห็นได้ถึงหมอกจางๆลอยเวียนวน บ่งบอกชัดเจนว่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว

 

… กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิด

 

กระทั่งสมบัติในโลกนับ 900 ล้านชั้น หรือสมบัติจากในดินแดนอัศจรรย์ ก็ยังไม่โดดเด่นเท่ากับสกิลเทวะของท่านอาจารย์อย่างงั้นหรือ?

 

พอได้ลองมองย้อนกลับไป ดูเหมือนว่าสกิลเทวะแต่ละอย่างของท่านอาจารย์ จะไม่มีสกิลใดที่ไม่ร้ายกาจเลย

 

กู่ฉิงซานเพียงแค่คิด ก็ดันได้ยินถึงเสียงจากกระจกมนตราดังขึ้นเสียก่อน

 

เขาเร่งสงบใจอย่างรวดเร็ว และตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง

 

ในตอนแรก บนกระจกเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้านับไม่ถ้วน ผสมปนเปไปกับเสียงกระแทกของพื้นดิน และเสียงกรีดร้องโหยหวนที่แลดูกระสับกระส่าย

 

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงจำนวนมากก็สงบลง แต่ก็ยังมีเสียงของสัตว์ประหลาดผีตะโกนขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว

 

ในช่วงท้ายๆ เสียงที่ฟังดูยิ่งใหญ่ก็ดังลอดผ่านกระจกออกมา

 

“ทหารทั้งหมด เริ่มถอนตัวได้”

 

หลังจากเสียงนี้ดังขึ้นแล้ว ก็แทบจะไม่มีเสียงใดๆดังเพิ่มเติมออกมาอีกเลย

 

ทั้งสองมองหน้ากันและกันอย่างไม่อยากจะเชื่อ และยังคงเฝ้ารอต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม บนกระจกกลับไม่มีเสียงอะไรอีกแล้ว

 

เฝ้ารออยู่เนิ่นนานจนกระทั่งกู่ฉิงซานกับอีเลียกำลังจะยอมแพ้ จู่ๆก็ปรากฏถึงเสียงที่ไม่เคยได้ยินขึ้นมาก่อนจากในกระจกมนตรา

 

มันเป็นเสียงของมนุษย์ผู้หญิงที่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

 

ท่ามกลางหุบเขาอันเงียบเชียบ เสียงดังกล่าวนี้ทำให้กู่ฉิงซานกับอีเลียอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

 

เห็นได้ชัดว่าตรงจุดนี้เป็นสถานที่ๆสัตว์ประหลาดผีได้มารวมตัวกัน แล้วมันจะไปมีเสียงของผู้หญิงได้อย่างไร?

 

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงพูดที่คล้ายกับการร้องบรรเลงเพลงก็ดังกังวานขึ้นท่ามกลางหุบเขาอันมืดมิด

 

“ฝ่าฟันหนทางแสนยาวไกลจนมาถึงที่นี่ ตัวข้าคล้ายดั่งตกอยู่ในห้วงฝัน ไม่ทันจะคาดคิดเลย ว่าจักต้องจากบ้านมาเยือนต่างแดนอย่างกระทันหัน .. ”

 

แล้วเสียงบรรเลงก็ค่อยๆหายไป

 

เมื่อถึงจุดนี้ ทุกเสียงจากในกระจกก็เงียบลง

 

“นี่มันภาษาของมนุษย์” อีเลียสรุป

 

“ไม่น่าจะเป็นมนุษย์ เพราะผู้เข้าสู่วิถีมารน่ะไม่สามารถเข้ามายังโลกใบนี้ได้” กู่ฉิงซานคัดค้าน

 

“เช่นนั้น แล้วเสียงของผู้หญิงที่ดังออกมาจากกระจกมนตราเล่า เจ้าจะอธิบายอย่างไร?” อีเลียเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานสูญสิ้นคำจะเถียง

 

อาศัยแค่บทบรรเลงเพียงไม่กี่ประโยคสั้นๆ แล้วเขาจะไปตัดสินถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้อย่างไร?

 

“แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้อมูลมันยังมีไม่เพียงพอ” เขาพึมพำ

 

อีเลียย่อตัววางมือลงบนพื้นดินและเริ่มร่ายคาถา “พระแม่ธรณีเอ๋ย ภายใต้การปกปักษ์จากท่าน โปรดให้ข้าได้เป็นสักขีพยานของสายลมแห่งขุนเขา และสายฝนแห่งท้องฟ้าด้วยเถิด!”

 

เมื่อคาถามนตราจบลง หุบเขาทั้งลูกก็เริ่มสั่นสะเทือน

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ ยอดเขาสีเขียวก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

ยอดเขาตระหง่านถูกสร้างขึ้นกลางอากาศ เชื่อมต่อระหว่างชั้นฟ้าและผืนดิน

 

ขณะนี้ สถานที่ๆกู่ฉิงซานกับอีเลียยืนอยู่ คือจุดสูงสุดของยอดเขาแสนอันตราย

 

“ไม่มีกับดักอื่นๆอยู่ภายในระยะ 3 กิโลเมตรจากพื้นดิน สิ่งปลูกสร้างใดๆก็ไม่มี มันโล่งไปหมดเลย”

 

อีเลียถอนหายใจ

 

กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา แล้วพรมสองมือลงบนมันอย่างรวดเร็ว

 

จัดวางค่ายกลขับไล่วิญญาณร้าย!

 

ปรากฏถึงแสงสวรรค์สีเหลืองสดใส แพร่กระจากทอดยาวลงจากยอดเขา

 

ฉับพลันนั้นเอง เสียงครางด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น

 

กู่ฉิงซานกับลอร่าเคลื่อนกายในพริบตา และไปปรากฏตัวในสถานที่ๆเสียงครางดังขึ้นทันที

 

เห็นแค่เพียงก้อนหินใหญ่

 

“หินก้อนนี้ เดิมทีมันถูกฝังอยู่ใต้ดิน แต่เพราะด้วยเทคนิคมนตราของข้า ที่เรียกยอดเขาให้ปรากฏขึ้น มันจึงผุดออกมา” อีเลียกล่าวอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานใช้สันดาบเคาะ

 

ทันใดนั้นหินก็แตกออก ปรากฏถึงเงาดำร่วงตกลงจากหิน ล้มตัวลงดิ้นพล่าน คราญครางอยู่กับพื้น

 

นี่คือมอนสเตอร์ผี ทั้งกายมันสาดกลิ่นอายมืดมิดออกมา ศีรษะใหญ่โตแลดูน่าเกลียดและอำมหิตขณะเดียวกัน

 

เจ้าตัวนี้มัน – ผีร้ายกลืนวิญญาณจากโลกปรภพ!

 

“ดูเหมือนว่ามันจะซ่อนตัวอยู่ใต้หินใหญ่ หากไม่ใช่เพราะค่ายกลของเจ้าที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่มัน มันคงไม่มีทางเปล่งเสียงออกมา”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

ในตอนที่เขาเข้ามายังโลกใบนี้ มันคือผีตนแรกๆที่เขาพบ

 

ในเวลานั้น ผีตนนี้สิงอยู่ในตัวศพ และกู่ฉิงซานได้ใช้พลังสายฟ้าของเขาล้อมรอบตัวมันไว้

 

“มันเป็นผีจากปรภพ อยากให้ข้าใช้คมกล้าในการสื่อสารกับมันหรือไม่?” ดาบพิภพอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างเงียบๆ

 

“รอก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาก้าวออกไป และนั่งลงเบื้องหน้าผีร้าย เพ่งตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง

 

เห็นแค่เพียงตามแขนขาของสัตว์ประหลาผีที่บาดเจ็บสาหัส มันใกล้จะตายอยู่รอมร่อแล้ว

 

เมื่อมองไปยังบาดแผลเหล่านั้นดีๆ จะพบว่ามันเกิดขึ้นจากดาบสายลม 

 

ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีตัวที่โชคดีถูกดาบสายลมไปถึงขนาดนี้ แล้วยังสามารถรอดชีวิตมาได้อยู่อีก

 

“แสงของเจ้า เจ็บปวดเหลือเกิน … ได้โปรดเก็บแสงไปด้วย ..” ผีร้ายกลืนวิญญาณคร่ำครวญ

 

กู่ฉิงซานรู้สึกว่ามันกำลังจะตาย เขาจึงเก็บปิดค่ายกลเสีย

 

ผีร้ายกลืนวิญญาณจึงค่อยหยุดส่งเสียงครวญคราง มีช่วงเวลาให้อ้าปากสูดลมหายใจ

 

แต่ดาบยาวก็จี้ลงบนหน้าผากมันทันที

 

แสงสายฟ้าสาดเสียงเปรี๊ยะๆเบาๆ เจตนาฆ่าเด่นจัดออกมาจากคมดาบ

 

“จงบอกพวกเรามา ทำไมแกถึงมานั่งอยู่ที่นี่ตนเดียว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม เขาจี้ดาบพิภพใส่ผีร้ายกลืนวิญญาณ

 

ด้วยพลังของสายฟ้า ส่งผลให้ผีร้ายกลืนวิญญาณรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง แต่มันก็ยังเผยรอยยิ้มที่น่าหวาดหวั่นออกมา

 

“ข้าก็แค่ไม่ต้องการที่จะถูกกัดกินโดยสัตว์ประหลาดผีตนอื่นๆ ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะซ่อนตัวที่นี่ แต่ไม่คาดเลยว่าจะถูกค้นพบเช่นนี้”

 

“บอกฉันมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วฉันสัญญาว่าจะหาวิธีรักษาอาการบาดเจ็บให้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“หึ หึ หึ .. มันสายเกินไปแล้ว” ผีร้ายกลืนวิญญาณส่ายหัว “ทุกอย่างมันจบแล้ว และเจ้าก็จะต้องตาย”

 

ว่าจบ ผีร้ายกลืนวิญญาณก็แปรสภาพเป็นหมอกสีดำ และจางหายไปอย่างช้าๆ

 

มันได้ตกตายลงเสียแล้ว

 

Ep.580 – เกราะรบ

 

เมื่อการแลกเปลี่ยนวรยุทธเสร็จสิ้น ทั้งสองก็ได้รู้จักกันมากขึ้น

 

อีเลียใช้การแลกเปลี่ยนวรยุทธเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกู่ฉิงซาน

 

แล้วกู่ฉิงซานล่ะ เขาไม่ได้อะไรเลยหรือ?

 

ไม่หรอก กู่ฉิงซานเองก็ได้รับผลประโยชน์เช่นกัน เพราะหลังจากที่ทั้งสองเก็บอาวุธ อีเลียก็ได้ให้คำชี้แนะแก่กู่ฉิงซาน

 

ในขณะเดียวกัน ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ยังสามารถตัดสินเกี่ยวกับอีเลียได้กระจ่างยิ่งขึ้น

 

—ดูเหมือนว่าอีเลียจะเป็นคนที่เชื่อถือได้

 

ประการแรก ในครั้งอดีต อีเลียสาบานต่อหน้ารุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ว่าเธอจะปกป้องลอร่า

 

ซึ่งว่ากันว่าหากละเมิดคำมั่นสาบานนี้ วิหคหนามจะสูญสิ้นอำนาจทั้งหมดไป

 

ประการที่สอง เมื่อครู่นี้ที่ได้ทำการแลกเปลี่ยนวรยุทธกัน กู่ฉิงซานสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามเพียงต้องการที่จะยืนยันความแข็งแกร่งของเขา มิได้มีความคิดชั่วร้ายอื่นใดแอบแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย

 

มิฉะนั้นแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง อีเลียย่อมสามารถระเบิดมันออกมากำจัดเขาได้ในทันใด

 

ซึ่งตรงจุดนี้กู่ฉิงซานระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ระหว่างต่อสู้เขาก็ลอบให้ความสนใจไปกับส่วนนี้อย่างลับๆ

 

จนกระทั่งในที่สุด เมื่ออีเลียได้เผยทิศทางการฝึกยุทธให้แก่เขา ในหัวใจของตนจึงค่อยรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย

 

ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานจึงบังเกิดคำถามหนึ่งขึ้นในจิตใจของเขา

 

“ผมอยากจะสอบถามสักเล็กน้อย ว่าทำไมคุณถึงไม่ได้ตกเป็นเป้าของเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ?”

 

“อะไรทำให้เจ้าคิดถึงคำถามนี้?”

 

“เพราะภายนอก มีผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 200 ล้านคน ที่ทำการดาวโหลดหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา แต่ไม่มีใครสามารถต้านทานมันได้เลย”

 

“ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่หากผู้ใดต่อต้าน คนๆนั้นจะกลายเป็นแต้มพลังวิญญาณให้แก่มันต่างหาก”

 

อีเลียถอนหายใจและกล่าวต่อว่า “มันค้นพบตัวข้าจริงๆ แต่ข้าก็ได้ปฏิเสธมันไป จากนั้นมันก็ส่งอสูรกายหลายตนมาล้อมสังหารข้า ขณะที่ข้าทำได้เพียงเลือกที่จะซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นน้ำแข็งเพราะไม่สามารถลงมือโดยตรงได้ มิฉะนั้นทริสเต้ย่อมตระหนักข้าอย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า “เชิญกล่าวต่อ”

 

“ข้าดำน้ำลงไปใต้พื้นน้ำแข็ง และต่อมาก็ค้นพบกับโลกใบนี้ โลกที่แยกตัวจากน้ำทะเลและมีกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพกีดขวางอยู่ ข้าจึงใช้ออกด้วยสมบัติล้ำค่า ที่สามารถแทรกแซงอำนาจเทวะได้ เมื่อเข้ามา จึงหลุดพ้นจากการไล่ล่าของมันได้ในที่สุด”

 

“กล่าวอีกนัยนึงก็คือ ภายในโลกที่เหล่าทวยเทพทอดทิ้งใบนี้ ไม่มีใครได้โหลดเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online มาสินะ” กู่ฉิงซานคิดตริตรองและกล่าว

 

อีเลีย “เพราะสถานที่แห่งนี้คือโลกของเหล่าทวยเทพ มีอำนาจเทวะคอยปกป้องอยู่ ดังนั้นเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ย่อมไม่สามารถแทรกซึมเข้ามาได้ มันจึงทำได้เพียงส่งผีแห่งความอลหม่านเข้ามา แล้วให้ผีแห่งความอลหม่านแตกตัว เพื่ออัญเชิญสัตว์ประหลาดผีเข้ามาในโลก”

 

“สัตว์ประหลาดผีมากมายเริ่มตรวจสอบโลกใบนี้ และไม่ช้า พวกมันก็สัมผัสถึงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้ที่ยังรอดชีวิตได้อย่างรวดเร็ว และทำการแจ้งข่าวให้แก่ระบบของราชามารทันที”

 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ อีเลียก็หยุดคิด ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง “วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่ยังรอดชีวิต กล่าวกันว่าเป็นสมบัติที่เหล่าทวยเทพในยุคโบราณอันไกลโพ้นทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง และข้าคิดว่าระบบราชามารต้องการมัน”

 

“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?”

 

“เพราะสัตว์ประหลาดผีได้เสนอผลประโยชน์อันน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย เพื่อที่จะได้แลกเปลี่ยนกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่ยังรอดชีวิต”

 

“แต่หลังจากที่ผู้รอดชีวิตของเหล่าทวยเทพปฏิเสธที่จะแลกเปลี่ยนวัตถุศักดิ์สิทธิ์กับพวกมัน ระบบของราชามารก็เริ่มเปิดฉากสงครามทำลายล้างทันที”

 

“โลกทั้งใบค่อยๆถูกทำลายลงโดยสัตว์ประหลาดผี เหลือเพียงเมืองไห่เช่าที่ข้าอยู่เท่านั้น ที่ยังสามารถต้านทานพวกมันได้ เพราะข้าได้นำสมบัติออกมามากมายเพื่อช่วยเหลือสายพันธุ์เทพในการต่อสู้ สุดท้ายจึงรอดมาถึงตอนนี้”

 

“แล้วระหว่างสายพันธุ์เทพกับเหล่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ(เฉาฟ่าน)แตกต่างกันอย่างไร?”

 

“ย่อมแน่นอนว่าต่าง ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพคือลูกหลานของเทพ พวกเขาสามารถศึกษาสกิลเทวะได้ ขณะที่สายพันธุ์เทพถูกรังสรรค์ขึ้นโดยเทพ เป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง”

 

“เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นแบบนี้” กู่ฉิงซานกล่าวทันที

 

ถ้าเป็นอย่างที่พูดมา หลายๆอย่างก็จะสมเหตุสมผล

 

คำถามเดียวในตอนนี้ก็คือ ต้องสืบหาข้อมูลว่าต้นกำเนิดจะมอบหมายให้เหล่าสัตว์ประหลาดผีทำอะไรต่อไป

 

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กลับเห็นแค่เพียงอีเลียยกชุดเกราะขึ้นมาวาง โดยที่ไม่ทันเห็นว่าเธอหยิบมันมาจากที่ไหน

 

มันคือเกราะรบสีเขียว ประกอบไปด้วยเกราะอก เกราะไหล่ เกราะแขน เกราะมือ เข็มขัด เกราะเข่า เกราะเท้า และเกราะหมวก ซึ่งเป็นของใหม่เอี่ยม แต่ละส่วนประกอบกันอย่างเรียบร้อยอยู่ในรูปทรงของมนุษย์

 

แม้ตัวเกราะเปล่งประกายสีเขียวจางๆ แต่ก็ยังดูสะดุดตา

 

อีเลียค่อยๆวางเกราะรบทั้งชุดลงเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

“เจ้าจงเอามันไปสวมใส่เสีย เพราะต่อจากนี้ไป การต่อสู้คงจะรุนแรงยิ่งขึ้น และอันตรายมากขึ้น แต่ข้ากลับไม่เห็นว่าบนตัวเจ้าสวมใส่เกราะใดอยู่เลย แม้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกดาบที่ห้าวหาญ แต่สะเพร่าแบบนี้มันไม่สมควรเลยนะ”

 

กู่ฉิงซานมองไปที่เกราะรบเบื้องหน้า ในหัวใจเริ่มเกิดความนึกคิด

 

วิหคหนามอาศัยอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด และในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นต่างก็รู้ถึงเรื่องนี้ดี

 

หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็คงจะไม่มีคนจำนวนมากรีบร้อนที่จะมาเข้าร่วมการเรียกขานของวิหคหนาม ของแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้กันขนาดนี้หรอก

 

นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหมันต์ยามค่ำหรือแสงเแห่งรุ่งอรุณก็ล้วนเป็นตัวตนอันทรงเกียรติในบรรดาวิหคหนาม ดังนั้นสิ่งของที่นายพลอีเลียให้เขามา ย่อมแน่นอนว่าต้องเป็นของดี

 

เพียงตั้งวางไว้อยู่เฉยๆ ก็สัมผัสได้ถึงความองอาจ สง่างามอย่างมิอาจหาเกราะใดเทียมเทียบได้

 

และอย่าลืมนะว่าเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีของกู่ฉิงซานได้ถูกทำลายลงไปแล้วด้วยอำนาจเทวะของภูเขาน้ำแข็ง 

 

แต่ชุดเกราะรบในปัจจุบันนี้ หากเทียบเปรียบกับชุดเกราะนายพลชั้นโหยวจีอันเดิมของกู่ฉิงซานแล้ว บอกได้เลยว่ามันทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าอย่างเทียบไม่ติด

 

ในทุกๆสงคราม ผู้ฝึกดาบจะเป็นกำลังรบหลักในการเผชิญกับศัตรูในแนวหน้าอยู่เสมอ หากต้องสู้โดยไม่มีชุดเกราะป้องกัน ผู้ฝึกดาบต้องเกิดความกังวลใจอย่างแน่นอน และย่อมไม่สามารถปลดเปลื้อง สำแดงอำนาจการทำลายล้างที่ตนมีให้ออกมาถึงขีดสุดได้

 

กู่ฉิงซานเองก็เป็นผู้ฝึกดาบ ที่ ณ ตอนนี้แม้แต่ชุดเกราะที่ใช้ในการปกป้องร่างกายก็ไม่มี บอกตามตรงว่ามันค่อนข้างรู้สึกน่าอายเล็กน้อย

 

“ขอบคุณ ผมจะรับเอาไว้”

 

ในที่สุด กู่ฉิงซานก็ประสานกำปั้น รับน้ำใจของอีกฝ่าย

 

“ไม่เป็นไรหรอก เอาล่ะ ที่เจ้าต้องทำก็แค่แตะลงบนเกราะนี้ แล้วรับรู้ถึงมันด้วยหัวใจของเจ้า จากนั้นเจ้าก็จะสามารถสวมใส่มันได้” อีเลียกล่าว

 

กู่ฉิงซานสูดลมหายใจลึก และยื่นมือออกไปสัมผัสกับเกราะรบ

 

เมื่อมือของเขาสัมผัสกับเกราะมรกต บนหน้าต่างเทพสงครามก็ผุดตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นมาทันที

 

“ชื่อไอเท็ม : เกราะรบนายพลหนาม”

 

“คุณภาพ : มหากาพย์”

 

“วิชายุทธเทพสงคราม : นี่คือเกราะรบแบบใหม่ของนายพลหนาม ไม่มีสกิลใดที่สามารถใช้เรียนรู้ได้”

 

“พงศาวดารวันสิ้นโลก : เกราะรบแบบใหม่ของนายพลหนาม ไม่มีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ใดๆที่สอดคล้องกับมัน”

 

กู่ฉิงซานสัมผัสลงบนชุดเกราะ เขารู้สึกได้ถึงความเย็นและความแข็งของโลหะจากผิวของมัน

 

ใช่แล้วล่ะ! หากผู้ฝึกดาบได้สวมใส่ชุดเกราะลงบนร่างกาย ยามเมื่อก้าวลงสู่สนามรบ เขาจะเปรียบดั่งเสือติดปีก!

 

เขาเปิดจิตใจ และเริ่มทำการสื่อสารกับเกราะรบ

 

เพล้ง!

 

ด้วยการร้องขอจากในจิตใจของเขา เกราะรบทั้งชุดก็แตกเป็นส่วนโดยตรง แต่ละชิ้นเริ่มว่ายวนรอบตัวเขา

 

เมื่อเห็นว่าชิ้นส่วนของเกราะรบพอดีกับตัวเขา-

 

โดยไม่ทันได้คาดคิด ชิ้นส่วนเกราะรบเหล่านี้กลับส่งหึ่งๆเสียงสั้นๆออกมา และบินเข้ามาประกอบรวมเข้าด้วยกันอีกครั้งทันที

 

แต่ละชิ้นส่วนประกบติดเป็นชุดเกราะรบดังเดิมอีกครา และร่วงหล่นลงกับพื้น

 

-ชุดเกราะรบนายพลหนามได้ปฏิเสธกู่ฉิงซาน!

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

อีเลียเองเมื่อพบเจอกับเหตุการณ์ตรงหน้า สีหน้าของเธอก็เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจเช่นกัน

 

“แปลกจริง เกราะรบนายพลของข้าเป็นเกราะชั้นมหากาพย์ ที่สามารถปรับขนาดให้เหมาะสมกับเผ่าพันธ์ที่สวมใส่ได้ แต่เหตุใดมันจึงปฏิเสธเจ้า? เดี๋ยวก่อนนะ … บนตัวเจ้าใช่มีเกราะรบที่มองไม่เห็นอยู่แล้วใช่หรือไม่?”

 

กู่ฉิงซานตบหน้าผากตัวเองและกล่าว “จริงด้วยสิ ผมต้องขอโทษจริงๆ ลืมไปซะสนิทเลย อันที่จริง ลอร่าได้มอบชุดเกราะรบให้ผมมาแล้วน่ะ”

 

อีเลียกวาดสายตามองเขาขึ้นๆลงๆและเอ่ยถาม “ไหนเล่าเกราะรบ?”

 

“มันอยู่บนตัวผมนี่แหละ เพียงแต่มันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนก็เท่านั้นเอง”

 

“นี่มันแปลกมาก หรือว่ามันจะเป็นเกราะที่มีชีวิต? – ว่าแต่ลอร่าได้บอกเจ้าไหมว่ามันคือเกราะชนิดใด?”

 

“เธอบอกว่ามันคือเกราะที่ตัวเธอเองได้นำมาจากก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย”

 

“นั่นมันเป็นไปไม่ได้!” อีเลียสูญเสียเสียงของเธอ

 

“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้?”

 

“เพราะสถานที่แห่งนั้น มีเพียงราชวงศ์วิหคหนามที่สามารถปลุก ‘ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา’ ให้ตื่นขึ้นมาได้เท่านั้นจึงจะสามารถไปได้ และในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรหนาม ในครั้งอดีตมีกษัตริย์เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้”

 

“อ่า ลอร่าเองก็ดูเหมือนว่าจะสามารถปลุกพลังที่ว่านั่นให้ตื่นขึ้นมาได้ด้วยเหมือนกันนะ”

 

อีเลียกล่าวเฉียบขาด “ไม่ใช่ ถึงเธอจะมีความสามารถนี้ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องปลุกมันให้ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์เสียก่อนในพิธีฉลองตนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่กับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ แต่เธอยังไม่ได้เข้าร่วมพิธีที่ว่านั่นเลย”

 

หากอ้างอิงตามที่กล่าวมา นั่นหมายความว่าลอร่ายังไม่เคยได้เข้าไปในโลกที่แตกสลาย

 

ถ้าอย่างนั้น แล้วชุดเกราะที่อยู่บนร่างกายเขาเล่า มันมาจากที่ใดกัน?

 

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

 

กู่ฉิงซานมองไปยังหน้าต่างเทพสงคราม

 

“ระบบ ช่วยแสดงรายละเอียดของชุดเกราะให้ฉันหน่อยสิ” เขากล่าว

 

บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนจอทันที

 

“?????”

 

“????? เตรียมการพร้อมแล้ว และกำลังรอที่จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา”

 

“นี่คือของโบราณที่หายสาบสูญไปยังก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย ทุกสิ่งมีชีวิตแทบจะไม่สามารถเข้าไปถึงที่นั่นได้ – เว้นไว้แต่เพียงวิหคหนามไม่กี่ตนเท่านั้น”

 

“สำหรับ ‘?????’ ระบบไม่สามารถทราบข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงของมันได้ ฉะนั้นโปรดเฝ้ารออย่างอดทนให้มันเผยโฉมขึ้นมาเอง”

 

น่าแปลกจัง ระบบเทพสงครามไม่ควรที่จะผิดพลาดสิ

 

เจ้าสิ่งนี้น่ะเป็นเกราะรบที่มาจากก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลายอย่างแน่นอน

 

แต่ลอร่ากลับไม่สามารถไปที่นั่นได้อย่างชัดเจน

 

ตกลงแล้วมันหมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย?

 

กู่ฉิงซานสับสน

 

เขาลองถามระบบอย่างลับๆ “ระบบ ไอ้พวกเครื่องหมายคำถามเยอะๆนี่มันคืออะไรกัน?”

 

“ก็เกราะรบไง” ระบบตอบกลับ

 

“แต่ฉันไม่รู้สึก .. แบบว่าสัมผัสอะไรถึงมันไม่ได้เลยนะ คุณมั่นใจหรอ?”

 

“ก็มันยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ตอนนี้เลยยังไม่ทำงาน”

 

“งั้นพอจะบอกวิธีปลุกมันให้หน่อยจะได้ไหม?”

 

“จำเป็นต้องตอบสนองต่อเงื่อนไขบางประการของมัน และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขที่ว่านั่น ระบบเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

กู่ฉิงซานยอมแพ้

 

ขณะเดียวกัน อีเลียก็ได้ลองคิดเกี่ยวกับมัน แต่ก็ไม่อาจหาเบาะแสเจอได้

 

เพราะในราชวงศ์หนามมีสมบัติดีๆอยู่มากมาย เก็บไว้จนล้นเป็นทะเลภูเขา ดังนั้นเธอเลยไม่รู้เหมือนกันว่าที่ลอร่านำออกมามันคือสิ่งใด

 

แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ยืนยันได้ในปัจจุบันนี้ก็คือ กู่ฉิงซานไม่สามารถสวมใส่เกราะป้องกันใดๆได้

 

อีเลียกล่าวขออภัย “ลอร่ายังเด็กนัก บางทีเธออาจจะนำชุดเกราะแปลกๆออกมา แล้วจงใจกล่าวเล่นๆว่ามันมาจากก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลายก็ได้ เธอไม่ได้ต้องการที่จะหลอกลวงเจ้าหรอก หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาเธอนะ”

 

กู่ฉิงซานกล่าวทันที “ผมไม่เก็บมาใส่ใจหรอก แล้วอีกอย่าง ไม่ว่ามันจะเป็นชุดเกราะอะไร แต่เธอก็มอบมันให้ด้วยหัวใจ”

 

-แต่เรื่องนี้มันก็น่าสงสัยจริงๆ เอาไว้กลับไปค่อยถามจากปากลอร่าก็แล้วกัน

 

เมื่ออีเลียเห็นทัศนคติเช่นนี้ของเขา เธอก็รู้สึกพึงพอใจ

 

ด้วยอุปนิสัยของคนผู้นี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดลอร่าจึงสนิทสนมกับเขา

 

อีเลียกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เริ่มตรวจสอบกันได้แล้วดีกว่า ว่าพวกสัตว์ประหลาดผีมันกำลังทำอะไรกันอยู่”

 

“รับทราบ”

 

ว่าจบ ทั้งสองก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง

 

ในส่วนท้ายของพื้นที่ราบลุ่ม เป็นป่าทึบขนาดใหญ่

 

ในช่วงเช้า กู่ฉิงซานได้นำลอร่ากับเหลาเจียวออกมาจากผืนป่าแห่งนี้ ตรงเข้ามายังที่ราบลุ่ม

 

แต่ตอนนี้ กองทัพผีกลับหนีเข้าไปในป่าที่พวกเขาเคยออกมา

 

กองทัพผีล่าถอยไปอย่างอลหม่าน จึงปกปิดร่อยการเดินทางได้ไม่ดีนัก นอกจากนี้ อีเลียกับกู่ฉิงซานยังเป็นทหารผ่านศึกที่ฝ่าสงครามานับไม่ถ้วน ดังนั้นการค้นหาร่องรอยย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

 

ทั้งสองคนร่วมแรงกัน และไม่นานก็ค้นพบถึงร่องรอยของของกองทัพผีอย่างรวดเร็ว

 

ทั้งสองวิ่งไปตามทาง และในที่สุดก็มาถึงหุบเขา

 

เบาะแสทั้งหมด ชี้มายังหุบเขาอันมืดมิดแห่งนี้

 

ทั้งสองมองหน้ากันและกัน ก่อนจะเริ่มร่อนลงไปยังใต้หุบเขาอย่างเงียบๆ

 

ยิ่งระยะทางลึกลงไปเท่าใด ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น

 

เพราะมันไม่มียามคุ้มกันอยู่ใกล้กับหุบเขา และไม่มีเศษเสี้ยวความผันผวนของเทคนิคมนตราอยู่เลย

 

หรือว่าพวกสัตว์ประหลาดผี มันสะเพร่างั้นหรือ?

 

กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะของเขาออกมา และกวาดลงเบื้องล่างหุบเขาอย่างระมัดระวัง

 

“อะไรกัน นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?” เขาบ่นพึมพำ

 

“ใช่ มันมีบางอย่างผิดปกติ … ” อีเลียกล่าว

 

ขณะนี้ ทั้งสองได้ค้นพบว่าหุบเขาแท้จริงแล้วว่างเปล่า

 

แม้ตามหุบเขา จะพบกับร่องรอยจำนวนมากที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าสัตว์ประหลาดผีก็ตามที

 

แต่สัตว์ประหลาดผีทั้งหมดกลับหายไป

 

จู่ๆร่องรอยของกองทัพผีหลายร้อยหลายพันก็หายไปในอากาศที่ว่างเปล่า ไม่หลงเหลือสิ่งใดอยู่เลย ..

 

Ep.579 – ทำความรู้จัก(ปลาย)

 

อีเลียกระเด็นกลับหลัง แต่สุดท้ายเธอก็พลิกตัวในอากาศ และร่อนลงบนพื้นได้อย่างปลอดภัย

 

“เป็นทักษะดาบที่ดี! บ่งบอกชัดเจนว่ากว่าจะได้ครอบครองมัน เจ้าคงผ่านการฝึกปรือมาไม่น้อยเลยทีเดียว” อีเลียกล่าว

 

สองกริชเริ่มร่ายระบำ พลิกผันไปตามแต่ละนิ้ว ฉากนี้แลคล้ายกับปรากฏผีเสื้อกำลังโบยบินอยู่บนฝ่ามือของเธอ

 

“คุณยกย่องผมเกินไปแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เอาเถอะ จากนี้ไปข้าจะจริงจังมากขึ้นแล้วนะ บางทีข้าอาจจะยั้งมือไม่ทัน เจ้าจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี”

 

ขณะกล่าว อีเลียก็ก้าวตรงมายังกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ

 

กริชคู่ที่ว่ายวนไปตามนิ้วมือพลันดีดออก และถูกคว้ากุมโดยฝ่ามือของเธออย่างแผ่วเบา

 

ตามต่อด้วยภาพติดตานับสิบที่ปรากฏขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่าใกล้กันกับกริช ลวงหลอกว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ ส่งผลให้มิอาจแยกแยะทิศทางการโจมตีได้

 

มองไปยังฉากนี้ ในหัวใจของกู่ฉิงซานรู้สึกคันยิบๆ

 

ตัวตนทรงอำนาจในด้านการใช้กริชคู่ลอบสังหาร ได้ระงับขอบเขตลงมาจนใกล้เคียงกับตนเอง เพื่อทำการแลกเปลี่ยนวรยุทธ นี่นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง

 

กู่ฉิงซานก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าว 

 

“โปรดชี้แนะด้วย”

 

อีเลียพอได้ฟัง ก็เผยสีหน้ายิ้มแย้ม

 

ร่างของเธอบิดผันดั่งสิ่งลวงตา วูบไหวไปข้างหน้าพร้อมกับแสงและเงาอันคมกริบของกริชคู่

 

กู่ฉิงซานสับดาบสวนออกไป

 

ฟุบ-

 

สองกริชโถมเข้าตรึงดาบยาว ระเบิดเสียงเสียดสีจากแรงเสียดทานชวนให้ฟันของผู้ฟังรู้สึกเสียวซ่าน

 

อีเลียใช้กริชคู่ของเธอตรึงดาบยาวในมือกู่ฉิงซาน ล็อคมันมิให้ขยับเอาไว้อย่างกระทันหัน !

 

ระหว่างช่วงเวลาเดือดพล่าน ปากของเธอก็อ้าออก และพ่นกริชเล็กๆพุ่งตรงเข้าใส่ตำแหน่งคอหอยของกู่ฉิงซาน

 

ติ๊ง!

 

ดาบพิภพปรากฏออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า และสับกริชเล็กกระเด็นออกไป

 

เมื่อเห็นว่าดาบยาวอีกเล่มหยุดกริชบินของตนเองได้ อีเลียก็อยกลับทันที

 

กู่ฉิงซานใช้นิ้วเกี่ยวดาบพิภพเอาไว้บนหลังมือของเขา

 

ดาบคู่ในหนึ่งมือ!

 

“เชิญชี้แนะอีกสักครั้งจะได้หรือไม่?” เขาเชื้อเชิญ

 

“ดาบคู่งั้นหรือ? มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะใช้สองดาบในเวลาเดียวกันน่ะ”

 

อีเลียมองดาบพิภพและกล่าว

 

กู่ฉิงซาน “แม้ว่าการใช้สองดาบแบบนี้มันจะกินพลังงานมหาศาล แต่ด้วยจิตที่สื่อถึงกันระหว่างผมกับมัน ทำให้ในเรื่องการใช้งานย่อมไม่มีปัญหาใดๆ”

 

“งั้นมาดูกัน”

 

อีเลียสะบัดศีรษะเรียกสมาธิ และเริ่มกระตุ้นความแข็งแกร่งของเธออีกครั้ง

 

ด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้น ส่งผลให้ทั้งความเร็ว และพลังโจมตีด้วยกริชของเธอพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

 

เธอโฉบกายไปเบื้องหน้าพร้อมกับกริชคู่ใจ ปากมิได้เปล่งคำใดอีกต่อไป

 

คราวนี้ ทั้งสองได้ฟาดฟันเข้าใส่กันและกัน จนเกิดประกายแสงเจิดจ้า แลกเปลี่ยนกระบวนท่าแก่กันและกันไปมากกว่า 100 ครั้ง

 

จนสุดท้าย เมื่อกู่ฉิงซานสบโอกาสเห็นช่องว่าง เขาก็จ้วงแทงดาบเข้าไปทันที

 

ดาบที่จ้วงออกมานี้อีเลียจำต้องปัดป้อง เธอจำเป็นที่จะต้องหยุดกระบวนท่าต่อเนื่องของตน เคลื่อนกริชลงไปป้องกันมัน

 

ตูม!

 

ดาบยาวสั่นสะเทือน ขณะที่อีเลียถูกส่งปลิวออกไป

 

“ไม่เลวเลยนี่”

 

อีเลียพยักหน้า

 

ด้วยทักษะดาบระดับนี้ คาดว่าสิ่งที่ลอร่ากล่าวว่าเขาปกป้องเธอมาตลอดเส้นทางคงจะเป็นเรื่องจริง

 

สิ่งสำคัญก็คือ สมควรจะต้องรู้ว่าฝีมือดาบระดับนี้ การจะฝึกจนสำเร็จได้ย่อมมิใช่เรื่องง่ายดาย

 

การจะสามารถใช้ทักษะดาบระดับสูงเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าจะต้องมีสมองอันชาญฉลาด สามารถคิดอ่าน เรียนรู้ได้อย่างว่องไว

 

เพราะเดิมทีดาบก็เป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพอยู่แล้ว ดังนั้นหากสามารถระเบิดพลังที่มีอยู่ในตัวดาบออกมาได้ นั่นย่อมหมายความว่าเขามีพรสวรรค์

 

อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่เก็บดาบของเขากลับคืนและกล่าวว่า “พวกเราควรจะหยุดกันเพียงเท่านี้”

 

“เจ้าจะไม่สู้ต่อแล้วหรือ?”

 

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น “หากคุณเพิ่มระดับความแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขอบเขตหนึ่ง เกรงว่าด้วยทักษะดาบเพียงอย่างเดียวของผมคงไม่อาจจะต่อกรได้ และถ้าการต่อสู้ของพวกเราส่งเสียงดังจนเกินไป เหล่าสัตว์ประหลาดผีจะต้องสังเกตถึงมันได้อย่างแน่นอน”

 

อีเลียพยักหน้า และเก็บกริชของเธอ

 

“ในอารยธรรมของโลกผู้ฝึกวรยุทธ ผู้ฝึกยุทธที่เชี่ยวชาญในการใช้ทักษะดาบ จะถูกเรียกกันว่าผู้ฝึกดาบ – เจ้าคือผู้ฝึกดาบใช่หรือไม่?” เธอถาม

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

“ได้ยินมาจากลอร่าว่า เจ้ามาจากโลกกระจัดกระจาย แต่พอข้าได้เห็นทักษะดาบอันยอดเยี่ยมของเจ้า และได้เชยชมกระบวนท่าของมันอย่างลึกซึ้งแล้ว ข้าคิดว่าตัวเองไม่เคยพบเคยเห็นคนที่ใช้มันแบบเจ้ามาก่อนเลย”

 

เธอย้อนนึก ขณะเดียวกันก็แสดงความคิดเห็น

 

“ข้ารู้สึกได้ว่าทักษะดาบของเจ้า กำลังถูกกดดันด้วยขอบเขตที่มี มันจึงไม่สามารถสำแดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาได้อย่างเต็มที่”

 

“ดูจากสถานการณ์ที่เจ้าต่อสู้กับสัตว์ประหลาดผี เจ้าสามารถควบคุมดาบบินได้ ดังนั้นข้าจึงสันนิษฐานว่าเจ้าคงจะเป็นผู้ฝึกดาบที่สามารถก้าวมาถึงขอบเขตนักดาบนิรันดร์”

 

“เมื่อครู่ ข้าเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองจนเกือบจะแกร่งกว่าเจ้าถึงสองเท่า แต่เจ้าก็ยังสามารถโค่นข้าลงได้ แม้ว่าจะใช้เพียงทักษะดาบก็ตาม นี่นับว่าน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง”

 

“ด้วยพรสวรรค์และสมองอันชาญฉลาดของเจ้า หากยังมิหยุดก้าวเดิน มุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ บางทีในอีกหลายร้อยปีต่อจากนี้ เจ้าอาจจะตัดผ่านขอบเขตนักดาบนิรันดร์ ก้าวสู่ขั้นต่อไปก็เป็นได้”

 

“ดังนั้นมันย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากลอร่าจะมีสัมพันธ์อันดีกับเจ้า”

 

ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงการยอมรับ และในที่สุดก็กล่าวออกมา

 

แต่เดิม ปรากฏว่าที่เธอขอแลกเปลี่ยนวรยุทธ ก็เพราะเจ้าตัวมีความคิดที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซานนั่นเอง

 

อย่างไรก็ตาม เธอไม่อาจทราบได้เลยว่า การที่ฝีมือดาบของกู่ฉิงซานยอดเยี่ยมได้ถึงขนาดนี้ มันเป็นเพราะเขากลับมาจุติใหม่ แถมยังได้รับการสอนสั่งทักษะดาบจากนางเซียนไป่ฮั่วอีกด้วย

 

ซึ่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ นางเซียนไป่ฮั่วน่ะคือหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด หากเธอไม่ถูกจำกัดด้วยกฏเกณฑ์ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้วล่ะก็ คงไม่อาจทราบได้เลยว่าเธอจะทะยานขึ้นไปถึงขอบเขตใด

 

ในอดีต ครั้งหนึ่งนางเซียนไป่ฮั่วได้พิจารณาด้วยเธอเองว่า กู่ฉิงซานจะต้องสามารถก้าวขึ้นสู่นักดาบนิรันดร์ได้

 

หลังจากที่ออกจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ กู่ฉิงซานก็ได้เผชิญกับทุกประเภทของการต่อสู้ที่แสนสาหัส และในปรภพ เขาก็ถูกยอมรับจากกษัตริย์อาชูร่า จนได้รับเทคนิคต่อสู้ของอีกฝ่ายมาครอบครอง

 

ดังนั้น มุมมอง ทักษะ และประสบการณ์ของกู่ฉิงซานจึงเพิ่มพูนขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

หากไม่ถูกจำกัดโดยกฏเกณฑ์ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ เกรงว่าทักษะดาบของเขาคงจะเหนือล้ำยิ่งกว่านี้ไปมากโขแล้ว

 

กู่ฉิงซานพอได้ยินคำพิจารณาจากอีเลีย เจ้าตัวก็ตื่นเต้นจนไม่มีเวลาที่จะตอบกลับไปอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

 

นั่นเพราะเขาสามารถจับใจความสำคัญบางอย่างได้จากคำพูดของอีกฝ่าย

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานกลายเป็นเคร่งขรึม เขาประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือแก่อีกฝ่าย ขอคำปรึกษาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “เมื่อครู่นี้ คุณบอกว่านอกเหนือไปจากนักดาบนิรันดร์แล้ว มันยังมีขอบเขตต่อไปอีกใช่หรือไม่?”

 

อีเลียพยักหน้า

 

“เช่นนั้นใคร่ขอรบกวนถาม ว่าขอบเขตที่อยู่เหนือยิ่งกว่านักดาบนิรันดร์คืออะไร?”

 

“มันยังเร็วเกินไปสำหรับเจ้า ที่จะเอ่ยถามถึงเรื่องนี้” อีเลียส่ายหัวและกล่าว

 

“แต่สิ่งที่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ก็คือ ทักษะดาบของเจ้ากำลังถูกจำกัดด้วยขอบเขตของตนเอง ทำให้มิอาจสำแดงพลังของดาบบินออกมาโดยสมบูรณ์ได้”

 

“เฝ้ารอให้สักวันหนึ่ง เมื่อเจ้าสามารถสำแดงพลังของดาบบินได้ถึง2เท่าเมื่อไหร่ ตัวเจ้าก็จะปลดเปลื้องจากพันธะ เมื่อถึงเวลานั้นทักษะดาบของเจ้าก็จะก้าวไปอีกระดับหนึ่งเอง”

 

“ก้าวไปอีกระดับหนึ่ง … ”

 

“ถูกต้อง ขอให้เข้าใจว่ามันเป็นการปลดเปลื้องพันธะไปก่อนก็แล้วกัน อ้ออีกอย่าง เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถสำแดงพลังของดาบบินได้อย่างเต็มที่ เจ้าสมควรเริ่มคิดได้แล้วนะว่าจะบรรจบพลังของมันได้อย่างไร”

 

“บรรจบพลัง? ทำไมถึงต้องบรรจบด้วย?” กู่ฉิงซานถามด้วยความสงสัย

 

อีเลียกล่าวอย่างช้าๆ “เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าจะขอถามเจ้า และเจ้าก็คิดตามนะ ค่ายกลดาบที่เจ้าใช้สังหารกองทัพสัตว์ประหลาดผี มันแข็งแกร่งหรือไม่?”

 

“แน่นอน อันที่จริงแล้วค่ายกลดาบนั่นคือสกิลดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของผม” กู่ฉิงซานสารภาพ

 

“ลองคิดเกี่ยวกับมันด้วยตัวเจ้าเองให้ดี ว่าถ้าหากเจ้าสามารถรวบรวมค่ายกลดาบที่กระจัดกระจาย นำอำนาจของมันมาบรรจบกัน แล้วระเบิดโจมตีออกไปในดาบเดียวมันจะส่งผลอย่างไร?”

 

กู่ฉิงซานตกตะลึง

 

เขาไม่เคยได้ยิน หรือไม่คิดถึงสิ่งที่ว่ามานี้มาก่อนเลย

 

หลังจากที่ตนประสบความสำเร็จในฐานะนักดาบนิรันดร์ ก็ไม่เคยมีใครสามารถสอนสั่งอะไรเข้าได้อีกเลย

 

ทั้งหมด เขาต้องเป็นคนคลำหาหนทางด้วยตนเอง

 

แต่ตอนนี้ ใครบางคนที่อยู่ข้างๆ กลับสามารถปูแนวคิดใหม่เกี่ยวกับทักษะดาบแก่เขาได้

 

หากค่ายกลดาบไท่หยีที่รุนแรงกว่า 36 เท่า กลายเป็นดาบเดียว …

 

หลังจากที่ได้ลองคิดตริตรอง สีหน้าของกู่ฉิงซานก็ค่อยๆเปลี่ยนไป

 

“ถ้าเป็นในกรณีที่ว่านั่น … ดาบของผมคงไร้ผู้ต้าน และไม่มีสิ่งใดที่มิอาจฟาดฟันได้ …”

 

กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

“ถูกต้อง แต่การจะบรรจบพลังน่ะเป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง เอาไว้เจ้าสามารถปลดพันธะและใช้มันได้อย่างอิสระเมื่อไหร่ ทักษะดาบอันยอดเยี่ยมของเจ้าก็จะสมบูรณ์ และหลุดพ้นออกจากขอบเขตนักดาบนิรันดร์ได้เอง!” อีเลียกล่าว

 

กู่ฉิงซานพอได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ทั้งคนทั้งร่างของเขาราวกับได้ตรัสรู้ถึงสิ่งใหม่

 

เขาประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย กล่าวด้วยความจริงใจ “ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำ ผมจะจดจำความเมตตาของคุณในครั้งนี้เอาไว้”

 

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เพราะท้ายที่สุดนี้ เจ้าเป็นคนช่วยชีวิตลอร่าเอาไว้ นั่นเท่ากับเป็นการช่วยพวกเราอาณาจักรหนาม ข้าเพียงใช้คำพูดเป็นของขวัญตอบแทนเล็กๆน้อยๆก็เท่านั้นเอง”

 

“อีกอย่าง ถ้อยคำเหล่านี้ก็มิได้มาจากตัวข้า หากแต่เป็นคำจากเมื่อ 1000 ปีก่อน ที่สหายผู้ใช้ดาบของข้าเคยกล่าวมันออกมา”

 

“ผมขอถามจะได้ไหมว่าสหายของคุณคื-”

 

“เขาอยู่ในดินแดนชิงอำนาจ ที่นั่นคือเขตสงครามของเหล่าผู้แข็งแกร่งตลอดทั้งหมื่นโลกา ที่มุ่งหมายจะเป็นจ้าวโลก เป็นศูนย์รวมมืออาชีพอันหลากหลาย แวะเวียนเปลี่ยนผัน และในครั้งอดีต แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็จากมาจากดินแดนแห่งนั้นเช่นนั้น จนในที่สุดก็กลายเป็นตัวตนทรงอำนาจที่แสนโดดเด่นอย่างในปัจจุบันนี้”

 

“หลังจากนี้หากเจ้ามีเวลาว่างเว้น เจ้าสามารถไปต่อสู้และฝึกปรือที่นั่นได้ ขอรับประกันว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างแน่นอน”

 

อีเลียอธิบายจนจบ

 

ตอนนี้เธอได้ยอมรับอีกฝ่ายแล้ว และกำลังเฝ้ารอให้กู่ฉิงซานลองคิดทบทวน กลั่นกรองข้อมูลใหม่ให้มันชัดเจน

 

“ฟังดูมีเหตุผล ..”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าเห็นด้วย

 

Ep.578 – ทำความรู้จัก(ต้น)

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย

 

อีเลียเป็นถึงนายพลหนามที่มีชื่อเสียงมานานนม ดังนั้นความแข็งแกร่งของเธอย่อมไม่เพียงอยู่ในขั้นธรรมดา แต่ยังโดดเด่นเป็นพิเศษ

 

แม้จะได้รับบาดเจ็บ และถูกผีแห่งความอลหม่านกับกองทัพสัตว์ประหลาดผีนับล้านปิดล้อม แต่เธอก็ยังสามารถต้านทาน ปกปักษ์เมืองเอาไว้จนกระทั่งตัวเขามาถึง

 

ดังนั้น ถ้าหากเธอต้องการจะทุบตีฉันจริงๆแล้วล่ะก็ …

 

คงมีแต่จะต้องใช้สกิลเทวะ หลบหนีไปเท่านั้น

 

หลังจากขบคิดคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา สุดท้ายกู่ฉิงซานก็ตัดสินใจยืนรออยู่ที่เดิม

 

ไม่นานนัก อีเลียก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

 

“เม็ดยารักษาของเจ้าไม่เลวเลย อาการบาดเจ็บของข้าดีขึ้นมากทีเดียว” เธอกล่าวยกย่อง

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า น้อมรับคำชื่นชม

 

ใช่แล้วล่ะ สำหรับอารยธรรมของโลกผู้ใช้วรยุทธน่ะ ความแข็งแกร่งรายบุคคลของพวกเขามิได้มากมายเท่าไหร่ก็จริง

 

—โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่กู่ฉิงซานได้พบเจอกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญในโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้น ประเด็นในเรื่องนี้ก็ยิ่งเด่นชัด

 

อย่างไรก็ตาม แม้เหล่าผู้ฝึกยุทธจะอ่อนแอ แต่เหตุผลที่ในโลกของพวกเขาสามารถทานรับการบุกโจมตีของเผ่ามารมาได้นานนับสิบปี นั่นก็เพราะพวกเขาเชี่ยวชาญในอารยธรรมที่เรียกกันว่าหกศิลป์

 

เทคนิคทำนายชะตา , จัดวางค่ายกล , กลั่นเม็ดยารักษา , หลอมอาวุธ , สร้างยันต์ และสุดท้ายปรุงอาหารวิญญาณ

 

ซึ่งความแข็งแกร่งของอารยธรรมได้มาบรรจบกันที่หกศิลป์นี้ พวกมันถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยผู้ฝึกยุทธ และกลายมาเป็นรากฐานสำหรับความก้าวหน้าของมนุษยชาติ

 

“ตอนนี้ พวกเราคงสามารถเริ่มดำเนินการ ไปตรวจสอบดูว่าพวกสัตว์ประหลาดผีคิดจะทำอะไรต่อไปได้แล้วใช่ไหม?” อีเลียเอ่ยถาม

 

“ใช่ ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แต่แทนที่จะเริ่มออกเดินทาง เขากลับเรียกดาบยาวเล่มหนึ่งออกมา

 

-ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

ดาบยาวสาดประกาย โฉบไปมาในอากาศอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลายร่างเป็นฉานนู่

 

“นายน้อย ท่านเรียกหาข้า ต้องการให้รับใช้อันใด?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

“หากผีแห่งความอลหม่านบุกโจมตี คนอื่นๆจะไม่สามารถรับมือกับมันได้ ดังนั้นเจ้าจึงจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ เพื่อปกป้องและดูแลลอร่า”

 

“เจ้าค่ะ”

 

“ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เจ้าจะต้องใช้จิตสัมผัสเทวะแจ้งให้ข้าทราบทันที อ้อ และข้าอนุญาตให้เจ้าสามารถใช้ทักษะทั้งหมดของข้าในการรับมือกับศัตรู”

 

“เข้าใจแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” ฉานนู่รับคำ

 

พอได้ฝากฝังกับคนที่เชื่อถือ กู่ฉิงซานก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย

 

ดาบบินกับเจ้าของจะมีความรู้สึกที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ด้วยจิตสัมผัสเทวะ ดังนั้นหากเกิดอะไรขึ้น ฉานนู่ก็จะสามารถเรียกตัวเขาได้ตลอดเวลา ขณะที่เธอคอยถ่วงเวลาไปพลางๆ

 

ด้วยกู่ฉิงซานที่มีสกิลเทวะอันยอดเยี่ยมอย่าง ‘ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว’ ดังนั้นหากจะล่าถอยกลับมาจากสถานที่อื่น ก็คงจะใช้เวลาไม่นานนัก

 

เมื่อเห็นถึงความรอบคอบของเขา อีเลียก็ลอบพยักหน้าอย่างลับๆ

 

“พร้อมแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

อีเลีย “เข้าใจแล้ว” 

 

ทั้งสองบินข้ามผ่านกำแพงเมือง และร่อนมาตามทิศทางที่สัตว์ประหลาดผีล่าถอย

 

กู่ฉิงซานเดิมคิดจะใช้เรือเหาะเป็นเครื่องทุ่นแรงในการเดินทาง แต่สุดท้ายเขาก็มิได้นำมันออกมา

 

เพราะอย่างไรเสีย นี่ก็เป็นการสืบสถานการณ์ ดังนั้นจึงสมควรใส่ใจกับการหลบซ่อนตลอดเวลา แน่นอนว่าอีเลียก็รู้ถึงเรื่องนี้ดีเช่นกัน เธอเลยไม่คิดเรียกสัตว์ขี่ของตนเองออกมา

 

ท่ามกลางแสงสลัวยามค่ำคืน ทั้งสองบินลงมายังที่ราบลุ่มอย่างรวดเร็ว

 

และเมื่อใกล้ถึงสุดขอบที่ราบลุ่ม จึงค่อยชะลอตัวลง

 

บริเวณนี้ คือตำแหน่งที่ภูติผีได้มารวมตัวกัน และถูกข่มจนแตกพ่ายไปโดยกู่ฉิงซาน

 

ปรากฏถึงร่องรอยเท้าของ สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไปบนพื้นดิน

 

“เจ้าคิดว่าพวกมันจะทำอะไรต่อไป?” อีเลียถาม

 

“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมพึ่งได้เจอกับพวกมันแค่ไม่กี่ครั้งเอง เลยยังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยของพวกมันสักเท่าไหร่”

 

กู่ฉิงซานกล่าวไปตามความจริง

 

ผีแห่งความอลหม่านน่ะเป็นอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลที่พิเศษออกไป มันครอบครองพลังที่สามารถเจาะทะลวงทุกสิ่งได้

 

หลังจากที่มันเข้าสู่โลกใบนี้ กู่ฉิงซานก็เผลอสังหารมันลงโดยไม่รู้ตัวเลยว่านั่นจะเป็นการปลดปล่อยสัตว์ประหลาดผีจากในปรภพเป็นจำนวนมากออกมา แถมพวกมันยังมีความสามารถในการอัญเชิญสัตว์ประหลาดผีตนอื่นๆจากภายนอกเข้ามาได้อีกด้วย

 

มอนสเตอร์ที่พิเศษเช่นนี้ กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังพึ่งจะเคยพบเจอเป็นครั้งแรก

 

อีเลียถอนหายใจและกล่าว “ตัวข้าเองก็พึ่งเคยพานพบกับเหล่าภูติผีจากหกวิถีมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ดูเหมือนว่าเราคงจำเป็นต้องหาพวกมันให้เจอเสียแล้ว จึงจะรู้ว่าพวกมันคิดจะทำอะไรต่อไป“

 

ว่าจบ เธอก็คว้าสองกริชยาวที่แผ่ไอหมอกเย็นเยียบออกมาจากเบื้องหลัง

 

ขณะที่กู่ฉิงซานคว้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า เรียกเช่าหยินออกมาไว้ในมือ

 

อีเลียจ้องไปยังดาบเช่าหยิน

 

“ลอร่ากล่าวว่าเจ้าครอบครองดาบยาวชั้นตำนานถึงสามเล่ม เธอรู้สึกอิจฉาไม่น้อยเลย“

 

โดยทั่วไปแล้ว วัตถุในดินแดนอัศจรรย์ จะถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับชั้น ได้แก่ : ประหลาด , มหากาพย์ , ตำนาน และสุดท้าย สิ่งประดิษฐ์เทวะ

 

ไอเท็มระดับชั้นประหลาด ในสายตาของวิหคหนามจะมองว่ามันเป็นของธรรมดาชิ้นหนึ่งเท่านั้น ขณะที่ในโลกอื่นมันจะถูกเรียกว่าเป็นไอเท็มชั้นหนึ่ง

 

ส่วนไอเท็มระดับชั้นมหากาพย์ ไม่ว่ามันจะปรากฏขึ้นที่ใดในโลก ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติที่ทุกคนปรารถนา

 

ดาบพิภพ เช่าหยิน และหกขุนเขาเทวะ ทั้งสามดาบนี้ ได้ถูกตัดสินโดยลอร่าว่าเป็นอาวุธระดับชั้นตำนาน

 

ดังนั้น ยามใดก็ตามที่กู่ฉิงซานกุมดาบขึ้นมา ลอร่าจึงมักจ้องมองดาบของเขาด้วยน้ำลายสออยู่เสมอ

 

“โอ้ใช่ เธอต้องการที่จะแลกเปลี่ยนมันกับผมอยู่เสมอ แต่สามดาบนี้เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่มีไว้ใช้หากินสำหรับผม ดังนั้นคงจะมอบมันให้แก่เธอไม่ได้” กู่ฉิงซานหัวเราะ

 

“แต่จากนี้ไป ขอเจ้าจงระมัดระวังตัวให้ดี อาวุธดาบเลอค่าเช่นนี้ ย่อมสามารถดึงดูดผู้คนที่ปรารถนาในมันได้อย่างง่ายดาย” อีเลียเตือน

 

“ผมเข้าใจแล้ว”

 

อีเลียเปลี่ยนหัวข้อสนทนากระทันหัน “ต่อจากนี้ไปพวกเราจะแทรกซึมเข้าไปในค่ายศัตรู แต่เนื่องจากทั้งเจ้าและข้ายังไม่กระจ่างในความแข็งแกร่งของกันและกัน ดังนั้นหากจะร่วมมือกันทั้งๆแบบนี้มันคงไม่ดี”

 

“คุณต้องการจะสื่ออะไร?”

 

“ก็ทำไมพวกเราถึงไม่ทำสิ่งที่โลกของเจ้าเรียกกันว่า ‘แลกเปลี่ยนวรยุทธ’ กันเล่า จะได้เข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้นไง?” อีเลียกล่าว

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ ความคิดของเขาโบยบินออกไป

 

อีเลียเป็นถึงนายพลสงครามแห่งอาณาจักรหนาม และถูกเรียกว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเคียงคู่ไปกับทริสเต้

 

กล่าวได้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของเธอ ไม่ว่าจะไปที่โลกใดก็ย่อมเป็นตัวตนที่โดดเด่น

 

แต่จู่ๆเธอก็มาท้าเข้าสู้อย่างกระทัน …

 

ชิบหายแล้วไง สงสัยว่าจะยังคงเคืองเรื่องขี้แตกอยู่จริงๆด้วย …

 

“แล้วผมจะไปเอาชนะคุณได้ยังไง” กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวต่อ “ตอนนี้พวกเราสมควรที่จะตรวจสอบศัตรูกันไม่ใช่หรือ เรื่องแลกเปลี่ยนวรยุทธอะไรนั่นเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน”

 

“ก็แค่แลกเปลี่ยนกันเล็กๆน้อยๆน่า วางใจเถอะ พวกเราจะสู้กันแค่สิบกระบวนท่าเท่านั้น หลังจากจบกระบวนที่สิบ เราจะหยุดทันที”

 

อีเลียมองกู่ฉิงซานและกล่าว “มาเถอะ ข้าจะระงับความแข็งแกร่งของตนลง ให้มันอยู่ในขอบเขตเดียวกันกับเจ้าเป็นอย่างไร?”

 

ขณะกล่าว แรงกดดันในร่างกายเธอก็ค่อยๆถดถอยลง ความผันผวนของพลังจากทั้งคนทั้งร่างลดต่ำลงจนเท่าเทียมกับกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ดูเหมือนว่างานคงจะไม่เริ่ม ถ้าการต่อสู้ยังไม่เกิดขึ้นสินะ?

 

เขาขบคิดอยู่สักพักจึงกล่าว “ถ้าคุณระงับความแข็งแกร่งลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับผม มันอาจจะเป็นปัญหาเอาได้นะ”

 

“ปัญหาที่ว่านั่นมันอะไร? หรือเจ้าอยากจะให้ข้าลดระดับความแข็งแกร่งลงยิ่งกว่านี้อีก?” อีเลียจ้องมองเขา

 

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก จริงๆแล้วผมคิดว่าคุณอาจจะพ่ายแพ้น่ะ” กู่ฉิงซานเฉลย

 

อีเลียที่กำลังมองเขา หัวเราะออกมา

 

“อ้อ งั้นเอาอย่างนี้เป็นไร เจ้าจับสิบกระบวนท่าของข้าให้ได้ แล้วค่อยเอ่ยประโยคเมื่อครู่อีกครั้ง”

 

ทันทีที่เสียงของเธอตกลง มือของเธอก็กระพริบไหว สองกริชเริ่มถูกกวัดแกว่งออกไป

 

ใบมีดกริชสาดแสงพร่างพราว คล้ายกับผีเสื้อกำลังร่ายรำ บ้างปรากฏคมแหลมขึ้นในสายตา บางเวลาหายไปอย่างลึกลับ ดูเหมือนว่าหากคิดโจมตีจริงๆ เธอก็สามารถสร้างหลุมเลือดบนตัวของกู่ฉิงซานได้ตลอดเวลา

 

แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ ในทุกๆครั้งเมื่ออีเลียวาดสะบัดกริชทั้งสอง ทั้งคนทั้งกริชราวกับผสานกันเป็นหนึ่งเดียว ร่ายระบำไปด้วยท่วงทำนองที่ยอดเยี่ยม

 

การเคลื่อนไหวของเธอยิ่งนานก็ยิ่งลำบากที่จะแยกแยะทิศทาง ยากนักที่จะระบุถึงความว่องไวของมันได้

 

กู่ฉิงซานชื่นชมเธอ ขณะเดียวกันก็เพ่งสมาธิทั้งหมดมายังดวงตาของเขา

 

เพื่อจะปกปิดไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นถึงการโจมตี การเคลื่อนไหวร่างกายตามปกติของเธอ จึงสอดคล้องกับท่วงท่าในการโจมตีของกริช ผสมผสานไปกับความเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร

 

แม้ว่าอีเลียจะจำกัดความแข็งแกร่งของเธอเอาไว้แล้วก็ตาม

 

แต่ทักษะและประสบการณ์ต่อสู้ของเธอก็มิได้ลดน้อยลงเลย

 

กู่ฉิงซานถอยห่างไปไม่กี่ก้าว เพื่อเพิ่มระยะวิสัยทัศน์ เพ่งมองมันอย่างรอบคอบ

 

เห็นแค่เพียงอีเลียที่มิได้ใช้ออกด้วยสกิลหรือเทคนิคมนตราใดๆ เธอเพียงอาศัยกริชในการโจมตีเท่านั้น

 

… แถมยังไม่ปรากฏถึงเจตนาฆ่าแม้แต่น้อย

 

เหมือนกับว่าเธอกำลังประเมินสถานการณ์อยู่

 

ขณะที่ตัวกู่ฉิงซานไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเทคนิคลับของกริช และกลยุทธ์การโจมตีต่างๆของมันเลย

 

อีเลียที่เห็นเขาเดินถอยหลังไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะหยุดและกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะหนีไปทำไม? ขนาดข้าระงับความแข็งแกร่งเอาไว้แล้ว เจ้าก็ยังไม่กล้าอีกหรือ?”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ยิ้ม และยกดาบยาวขึ้น

 

ในเสี้ยววินาที เห็นแค่เพียงคมกล้าของดาบและกริชปะทะเข้าหากัน กดดันกันไปมา ไม่มีฝ่ายใดยินยอมล่าถอย หลังจากนั้น ทุกสิ่งที่เห็นก็เหลือเพียงภาพติดตาที่ไม่อาจบอกบรรยายได้

 

เคร้ง เคร้ง เคร้ง!

 

ในพริบตา สิบกระบวนท่าก็ผ่านพ้นไป

 

เห็นแค่เพียงกริชคู่ที่ไขว้เข้าหากัน ทานรับดาบยาวที่โถมกดทับลงมา และหากสังเกตดีๆจะพบว่าด้ามกริชกำลังสั่นสะท้านอยู่

 

สุดท้าย อีเลียกับกริชคู่ถูกผลักออก เธอจำต้องชักฝีเท้าถอยหลังไปกว่า7-8ก้าว จึงจะสามารถรักษาสมดุลร่างกายได้

 

เธอมองไปยังกดู่ฉิงซานด้วยความเหลือเชื่อ “ดูเหมือนความสามารถของเจ้าจะเป็นของจริง”

 

-นี่เขาสามารถค้นพบจุดอ่อนในกระบวนท่าของข้าได้อย่างงั้นหรือ?

 

จะให้มันจบลงแค่สิบกระบวนท่าจริงๆน่ะหรือ?

 

ไม่ ข้าต้องการที่จะยืนยันอีกครั้ง

 

ในจิตใจของอีเลียได้ทำการตัดสิน พลังจากทั้งคนทั้งร่างของเธอเริ่มลุกโชนเป็นฟืนเป็นไฟ

 

และกู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงมัน

 

ปัจจุบันนี้ ความผันผวนของฝ่ายตรงข้าม มันทะลุไปไกลเกินกว่าขอบเขตประทับเทพแล้ว

 

มองไปยังอีเลียอีกครั้ง  ปรากฏถึงการแสดงออกที่ดูกระตือรือร้น หมายมั่นตั้งใจจะทดสอบเขา

 

‘เฮ้อ … เอาเถอะ ลองตั้งใจสู้ดูก็แล้วกัน’ เพราะในเมื่อการต่อสู้ตามปกติ มันมักจะมีความเป็นความตายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ จึงไม่มีศัตรูเก่งๆหน้าไหนเลยที่ยอมลดขอบเขตวรยุทธของตนเพื่อมาประมือกับเขา

 

นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้จากอีกฝ่ายอีกด้วย

 

กู่ฉิงซานเมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็วาดดาบยาวชี้ไปทางเธอ “ต้องการแลกเปลี่ยนกันอีกสักครั้งหรือไม่?”

 

“แน่นอน มาลองกันอีกครั้ง!”

 

อีเลียหายวับไปจากสถานที่เดิม และปรากฏกายขึ้นเบื้องหลังกู่ฉิงซาน

 

ในมือเธอวาดกริชที่สาดประกายเย็นเยียบออกไป

 

เคร้ง!

 

กู่ฉิงซานเหวี่ยงดาบกลับไปเบื้องหลังโดยไม่คิดหันมอง พอปัดป้องได้เขาก็ปลีกตัวไปอีกทาง

 

“คิดจะหนีหรือ?” อีเลียยิ้ม และเริ่มโฉบตามไล่ล่า

 

เห็นแค่เพียงร่างสองร่างที่วูบไหวไปๆมาๆในพื้นที่แคบ และบ่อยครั้งที่มักจะปรากฏเสียงปะทะหนักทึบของคมอาวุธขึ้นเป็นครั้งคราว

 

ทั้งสองต่อสู้กันไปกว่าสามสิบกระบวนท่า จนท้ายที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถโถมกดดันกริชคู่ได้อีกครั้ง และระเบิดกำลังเหวี่ยงอีกฝ่ายออกไป

 

พร้อมกับอีเลียที่กระเด็นถอยหลังตามแรงปะทะ

Ep.577 – มรดกของเหล่าทวยเทพ

 

ลอร่านั่งสบายๆลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน

 

บังเกิดความเงียบงันขึ้นโดยรอบ

 

ทหารพิทักษ์แต่ละคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ

 

เหมันต์ยามค่ำอีเลียเบิกตากว้าง จ้องมองดูฉากนี้ด้วยความเหลือเชื่อ

 

หากคุณติดตามอ่านทุกประโยค ไทม์ไลน์ของเหตุการที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะเป็นเช่นนี้ –

 

กู่ฉิงซานควบตะบึงม้าทมิฬออกไป

 

ลอร่าให้คำมั่นสาบานตนว่าจะขึ้นเป็นกษัตรีย์อย่างเหมาะสม

 

กู่ฉิงซานกลับมาอีกครั้ง

 

และอุ้มลอร่าที่พึ่งสาบานตนไป นั่งลงบนไหล่เขา

 

ทหารพิทักษ์มองหน้ากันและกัน ในแววตาสื่อความหมายว่าต้องการคำอธิบายจากอีกฝ่าย

 

นี่ใช่เป็นการล่วงเกินหรือไม่?

 

เหมือนกับว่าจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องนะ

 

ไอ้บ้าเอ๊ย!

 

แบบนี้มันไม่ถูกแน่นอนอยู่แล้ว!

 

กษัตรีย์แห่งวิหคหนามผู้ยิ่งใหญ่ จะไปนั่งลงบนไหล่ของมนุษย์ได้อย่างไรกัน!?

 

ลอร่าสังเกตได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากเดิมได้อย่างรวดเร็ว

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากในร่างกายของอีเลีย ที่แทบจะควบคุมแรงกดดันเอาไว้ไม่อยู่แล้ว

 

ลอร่าเร่งสงบใจ และเอ่ยปากออกมา “กู่ฉิงซาน นี่คือนายพลหนามของเรา เหมันต์ยามค่ำอีเลีย”

 

“อีเลีย นี่คือกู่ฉิงซาน เขาช่วยเราหลบหนีจากการไล่ล่าของทริสเต้ และตลอดทาง เขาได้ช่วยชีวิตเราเอาไว้อยู่หลายครั้ง”

 

นี่คือคำอธิบายที่รวดเร็ว และเหมาะสมที่จะใช้แก้สถานการณ์

 

อีเลียจึงจำใจทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น

 

“ขอบคุณเจ้ามาก ที่ช่วยชีวิตกษัตรีย์ของข้าเอาไว้” เธอโค้งกายให้แก่เขา

 

“โอ้ ไม่จำเป็นต้องสุภาพถึงขนาดนั้น ผมยินดีที่จะช่วยอยู่แล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับอย่างรวดเร็ว

 

ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนทักทายกัน

 

บรรยากาศจึงค่อยผ่อนคลายลง

 

อีเลียสูดลมหายใจ เหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อมองไปยังท่าทีกระวนกระวายและแววตาอ้อนวอนของลอร่า เธอก็ถอนหายใจออกมาในที่สุด

 

ลืมมันเถอะ ลอร่าถึงยังเป็นเด็ก แต่หากคิดลงมือทำสิ่งใด เธอย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเองอยู่เสมอ

 

นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ลอร่าก็นั่งบนไหล่ของอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว

 

ดูเหมือนว่าลอร่าจะยอมรับในตัวอีกฝ่ายไม่น้อยเลย

 

หลังจากที่สูญเสียสมาชิกในครอบครัว หากมีคนที่สามารถให้ความอบอุ่นเด็กสาวเหมือนกับพ่อของเธอได้ มันก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ในสงครามครั้งนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงเพียงลอร่า แต่กระทั่งตัวเธอเองก็ยังเหมือนกับว่าจะได้รับการช่วยชีวิตโดยอีกฝ่าย

 

ในช่วงที่กำแพงเมืองถูกตีแตก และกองทัพสัตว์ประหลาดผีที่ปิดล้อมกรูกันเข้ามาในเมือง เขาก็ได้ล่อพวกมันออกไป

 

‘แต่ว่านะ -’

 

‘พลังของเขามันไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นซักหน่อย?’

 

‘แล้วมนุษย์ผู้นี้สามารถกระทำการดังที่กล่าวมาได้อย่างไรกัน …’

 

‘ไม่ มันต้องมีอะไรแปลกๆเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน’

 

‘แต่รอก่อนดีกว่า เอาไว้หาโอกาสเหมาะๆ แล้วค่อยไปถามลอร่าเป็นการส่วนตัวในภายหลัง’

 

ฝูงชนได้มารวมตัวกันอีกครั้ง และออกเดินทางกลับไปยังเมืองไห่เช่า

 

ณ กลางดึก

 

เบื้องบนท้องฟ้า แสงสีทองที่กระเพื่อมไหวอยู่อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ค่อยๆแผ่วจาวลง

 

ผีแห่งความอลหม่านทั้งหมดได้เข้ามาสู่โลกใบนี้แล้ว ดังนั้นกำแพงอุปสรรคของทวยเทพจึงไม่ถูกกระตุ้นอีกต่อไป พวกมันจึงค่อยๆสงบลง

 

ตกดึก

 

ไร้ซึ่งเสียงใดๆภายในตัวเมือง

 

มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอาชีวิตรอดจากการโจมตีอย่างรุนแรงของกองทัพผีมาได้

 

แม้แต่เหล่าสายพันธุ์เทพ ก็ยังรอดมาได้เพียง 20 กว่าชีวิตเท่านั้น

 

สายพันธุ์เทพได้ทำการแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งนำโดยเหลาเจียวมุ่งหน้าเข้าสู่วิหารใจกลางเมือง ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งออกไปนอกเมืองไห่เช่า เพื่อทำการซ่อมแซมกำแพงที่เสียหาย

 

ทุกคนต่างถูกระดมกันไปเพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกันเมือง

 

ส่วนเหมันต์ยามค่ำอีเลีย ได้นำตัวลอร่าไปหาสถานที่พักผ่อน

 

เธอต้องการที่จะพูดคุยกับลอร่าเป็นการส่วนตัว

 

ดังนั้นจึงหลงเหลือกู่ฉิงซานเพียงลำพังภายในเมือง

 

ด้วยอำนาจของมนุษย์ผู้นี้เพียงลำพัง แต่กลับสามารถพลิกสถานการณ์รบทั้งหมดได้ ดังนั้นเวลานี้จึงไม่มีใครกล้าที่จะเรียกตัวเขาไปใช้งาน หรือกระทำสิ่งใด

 

เดินเล่นไปสักพัก กู่ฉิงซานก็สะกิดๆสายพันธุ์เทพที่เดินผ่านมาเพื่อถามบางสิ่ง

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเหลาเจียว เขาหายไปไหนแล้ว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เขาไปเข้ารับการทดสอบจากมรดกตระกูลของพวกเรา” สายพันธุ์เทพตอบ 

 

อีกฝ่ายดูจะโล่งใจไม่น้อยที่สามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติที่กองทัพผีปิดล้อมเมืองเอาไว้ได้ สายพันธุ์เทพจึงตอบคำถามทั้งหมดโดยไม่คิดปิดบังใดๆ

 

“การทดสอบอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำด้วยความสงสัย

 

“ถูกต้อง เพราะเหล่าสัตว์ประหลาดผีและผู้เข้าสู่วิถีมาร พวกมันทั้งหมดกำลังหมายปองสมบัติของตระกูลเรา มรดกที่เหล่าทวยเทพทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง”

 

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่านั่นคือสิ่งที่พวกมันต้องการ?”

 

“เพราะพวกมันได้ส่งทูตมาอยู่หลายครั้ง แต่เราไม่เคยตกลงที่จะแลกเปลี่ยนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลชิ้นนั้นกับพวกมันเลย ดังนั้น สุดท้ายสงครามจึงเกิดขึ้น”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็สามารถตระหนักได้ถึงใจความสำคัญของเรื่องนี้ทันที

 

ต้นกำเนิดทุ่มโจมตีโลกใบนี้อย่างบ้าคลั่ง ก็เพื่อต้องการค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่สามารถช่วยให้มันอัพเกรดตัวเองได้

 

มันคือวัตถุพิเศษที่เทพวิญญาณจากโบราณอันไกลโพ้นทิ้งเอาไว้เบื้องหลังในโลก 900 ล้านชั้น เป็นสิ่งที่มีอำนาจบังคับไม่ให้ทุกชีวิตไม่อาจวิวัฒนาการได้

 

สายพันธุ์เทพถอนหายใจ และกล่าว “อันที่จริงมันก็เป็นเวลานานนับหลายปีแล้ว ที่คนในตระกูลเราเฝ้าบูชามรดกของทวยเทพชิ้นนั้น แต่ไม่เคยคิดเป็นเจ้าของมันเลย ทว่ายามนี้สถานการณ์น่าหวาดวิตกยิ่ง พวกเราจึงต้องเข้ารับการทดสอบจากมัน และดูว่าใครกันจะกระตุ้นอำนาจของเหล่าทวยเทพเพื่อช่วยปกป้องบ้านเกิดของพวกเราได้”

 

“เดี๋ยวก่อนะ – คุณปล่อยให้เหลาเจียวไปเข้ารับการทดสอบมรดก ถ้าอ้างอิงตามคำพูดที่ว่ามานี้ หมายความว่าตัวคุณเองไม่ได้ไปรับการทดสอบหรือ?”

 

“น่าเสียดายที่การทดสอบของเหล่าทวยเทพน่ะยากเย็นเกินไป ยิ่งกว่านั้น ทุกคนยังได้รับการทดสอบที่แตกต่างกันออกไปอีก ดังนั้นจนถึงตอนนี้ ทางเราจึงไม่มีใครผ่านการทดสอบเลยแม้แต่คนเดียว”

 

“แต่ฉันคิดว่าพวกคุณก็ยังมีกันอีกหลายคนนี่นา ไม่ใช่หรอ?”

 

“ในหมู่พวกเรา มีเพียงสายพันธุ์เทพเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอ ที่จะเข้ารับการทดสอบเพื่อสืบทอดมรดกได้ ผู้ที่ไม่ใช่สายพันธุ์เทพ ย่อมไม่มีทางทานรับทดสอบได้ไหว และไม่อาจใช้วิชาที่เทพทิ้งไว้เพื่อผสานรวมกับมรดก”

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเหลาเจียวถึงได้รีบร้อนนัก

 

เพราะหากเขาสามารถได้รับมรดกของเหล่าทวยเทพได้ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน เป้าหมายของต้นกำเนิดก็จะสูญสิ้นไป

 

เหลาเจียวจึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเรื่องนี้

 

แต่ … แล้วถ้าหากเขาล้มเหลวล่ะ?

 

“ถ้าเหลาเจียวล้มเหลว พวกคุณจะทำอย่างไรกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า?” กู่ฉิงซานถามอย่างรวดเร็ว

 

“สายพันธุ์เทพที่เหลืออยู่จะไม่มีทางหักหันหลังให้แก่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเทพวิญญาณ พวกเราจะสู้จนถึงวินาทีสุดท้ายและทำลายมันทิ้งเสีย!”

 

“ช่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก!” กู่ฉิงซานยกย่อง

 

ในกรณีที่ทุกอย่างจบลง พวกเขาก็ไม่ยินยอมมอบวัตถุศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ศัตรู แม้จักต้องทำลายมันลงก็ตาม

 

เหล่าผู้ที่ยังรอดชีวิต มีความกล้าหาญเสียจริงๆ

 

ในเมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่มีอะไรที่น่าห่วงแล้ว

 

กู่ฉิงซานค่อยๆผ่อนคลายความตึงเครียดในจิตใจลง

 

ในตอนนั้นเอง เสียงของผู้หญิงก็ดังมาจากเบื้องหลังเขา

 

“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน”

 

เมื่อกู่ฉิงซานหันกลับไปมอง เขาพบว่าต้นตอของเสียงคืออีเลีย

 

“แล้วลอร่าล่ะ ไปอยู่ที่ไหน?” เขาเอ่ยถาม

 

“องค์กษัตรีย์กำลังมอบอุปกรณ์รบให้แก่ทุกคน” อีเลียกล่าว

 

“อ้อ -”

 

“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน แม้ว่าสัตว์ประหลาดผีจะล่าถอยกลับไปแล้วก็ตามที แต่ลางสังหรณ์ร้ายในจิตใจของข้ายังคงเด่นชัดมิจางลงเลย ดังนั้นข้าจึงตั้งใจว่าจะไปตรวจสอบดูพวกมันเสียหน่อยว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ เจ้าสนใจจะไปด้วยกันหรือไม่?”

 

“ไม่มีปัญหา!”

 

กู่ฉิงซานตอบตกลงทันที

 

กล่าวตามตรง ลางสังหรณ์ในหัวใจของเขาเองก็ไม่สู้ดีนักเช่นกัน

 

“ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าสภาพคุณคงไม่เหมาะที่จะไปตรวจสอบสถานการณ์ทางทหารนะ ผมว่าคุณควรไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่า”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย

 

มีบาดแผลฉกรรจ์ไม่น้อยเลยบนตัวของอีเลีย

 

แม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่บาดแผลค่อนข้างลึก หากในกรณีที่เกิดการต่อสู้ขั้นรุนแรงขึ้น เกรงว่าเธอคงมิอาจสำแดงพลังที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้

 

“มันไม่สำคัญหรอก อาการบาดเจ็บเท่านี้ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด” อีเลียยิ้มกว้างและกล่าว

 

กู่ฉิงซานเงียบไป

 

เขาตบลงในถุงสัมภาระทันใด คว้าเม็ดยารักษา แล้วโยนมันออกไป

 

“นี่คืออะไร?” อีเลียคว้าเม็ดยาเอาไว้และเอ่ยถาม

 

“มันคือเม็ดยาที่ปรุงด้วยเทคนิคพิเศษ ใช้ในการรักษาบาดแผล” กู่ฉิงซานกล่าว

 

อีเลียอังมันใต้จมูก สูดดมกลิ่นบางเบาของมัน ใบหน้าของเธอค่อยๆเริ่มเผยถึงความปิติ

 

“หกศิลในโลกแห่งผู้ใช้วรยุทธ นับว่าค่อนข้างที่จะมีชื่อเสียงในโลกนับล้านล้านใบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องค่ายกลและเม็ดยารักษา ข้าชื่นใจนักที่มีโอกาสได้เชยชมมัน”

 

ขณะกล่าว อีเลียก็โยนเม็ดยาเข้าไปในปากเธอ และเคี้ยวมันสองสามครั้ง

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองอีกฝ่ายกัดกินเม็ดยาครอบจักรวาลของตน และเริ่มตระหนักได้ว่าฉากนี้มันช่างดูคุ้นเคย …

 

เขาตบเพี๊ยะ! ลงบนหัวของตัวเอง

 

“อ่า ขอโทษที ผมลืมบอกไปว่าเม็ดยานี้มันช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้ผลทันทีก็จริง แต่มันยังมีผลในการชำระล้างภายในร่างกายอีกด้วย”

 

ชำระล้างภายใน?

 

สีหน้าของอีเลียเริ่มเขียวคล้ำ

 

วินาทีต่อมา คิ้วของเธอก็เริ่มขมวดเข้าหากัน ตามด้วยสองมือที่กุมลงบนท้องน้อยตนเอง

 

ไม่ผิดแล้ว ความรู้สึกนี้มัน –

 

“ขอตัวสักครู่!”

 

เธอสาดเสียงเย็นออกมา และหายตัวไปทันที

 

กู่ฉิงซานตกใจ นิ่งงันอยู่ในสถานที่เดิมไปพักหนึ่ง

 

ตามตัวของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ เกรงว่าในระหว่างที่กำลังจัดการกับปัญหาของตน เธอสมควรรู้สึกปวดร้าว ด้านชาไปทั้งแข้งขาเหมือนกันกับเหลาเจียวแน่ๆ

 

ซู้ด.. ..

 

กู่ฉิงซานสูดลมหายใจ และไม่กล้าที่จะคิดเกี่ยวกับมันอีกต่อไป

 

… ขี้เสร็จแล้ว เธอจะมาทุบตีฉันไหมนะ?

 

ลืมมันเถอะ ตอนนี้เขาคงต้องวางแผนแก้ปัญหานี้ล่วงหน้าไปก่อน

 

เพราะแม้ว่าจะมีเจตนาดี แต่จะต้องใส่ใจกับวิธีการด้วย

 

ถ้างั้นแล้วตอนนี้ฉันควรจะทำอย่างไรดี?

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

สายพันธุ์เทพที่เคยอยู่ตรงจุดนี้ได้จากไปนานแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไปช่วยซ่อมแซมกำแพงเมือง

 

ดังนั้นจึงไม่มีใครอยู่รอบๆนี่เลย

 

งั้น ฉันควรจะรอสินะ อื้ม ไม่หนีหายไปดื้อๆคงจะดีกว่า

 

ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ทำอะไรให้อีกฝ่ายผิดใจไปมากกว่านี้ จะเป็นการดีที่สุด

Ep.576 – นกแตกรัง

 

ม้าทมิฬควบวิ่งสุดฝีเท้า

 

กู่ฉิงซานที่อยู่บนหลังม้า มองไปยังกองทัพสัตว์ประหลาดผีที่อยู่อีกฟากด้านหนึ่งของพื้นที่ราบ

 

ผียักษ์สองตัวที่มีความสูงกว่า 7-8 เมตร กำลังวิ่งไปมา ปากอ้าตะโกนลั่น พยายามจะรวบรวมกองทัพที่แตกพ่ายให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง

 

พวกมันกวัดแกว่งดาบใหญ่ของตน หากมีภูติผีตัวใดไม่เชื่อฟัง ผีตวนั้นก็จะถูกสะบั้นศีรษะทันที

 

ด้วยวิธีการควบคุมอันเฉียบขาดและทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ ส่งผลให้ภูติผีที่วิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศทาง เริ่มหยุดฝีเท้าลง และกลับมาก้มหน้ารับฟังคำสั่งของผู้บัญชาการผีดังเดิม

 

หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ตราบใดที่ให้เวลาพวกมันมากพอ กองทัพผีก็จะกลับมารวมตัวกันเป็นกลุ่มได้อีกครั้ง

 

แม้ว่าหากเทียบกับก่อนหน้านี้ กำลังรบจะลดลงเป็นอย่างมาก แต่จำนวนที่รวบรวมมาได้ก็ยังมีมากถึง 100000 ตน!

 

ด้วยปริมาณดังกล่าวนี้ ตัวกู่ฉิงซานย่อมไม่มีทางที่จะต่อกรกับพวกมันได้อย่างแน่นอน

 

หากเขากล้าที่จะวิ่งฝ่าเข้าไปกลางดงกองทัพผีนับแสนโดยลำพัง ก็คงมิแคล้วพานพบกับความตายในที่สุด

 

—เว้นเสียแต่ว่าเจ้าตัวจะใช้ค่ายกลดาบไท่หยีที่เสริมแกร่งขึ้นกว่า 36 เท่า อีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม นั่นมันเป็นไปไม่ได้

 

ขณะขบคิด กู่ฉิงซานก็พึมพำเสียงต่ำ “ไม่ได้การล่ะ ถ้าปล่อยให้พวกมันรวมกลุ่มกันได้โดยสมบูรณ์ ปัญหาใหญ่ก็จะตามมา … ”

 

เขาสั่งการนึกคิดในจิตใจ

 

ฟุบบบ!

 

ดาบพิภพปรากฏออกมาจากในความว่างเปล่า

 

“จงไปจัดการมันซะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ได้ยินเพียงเสียง ‘ฟิ้ว’ ดาบพิภพทะยานตัวสูงขึ้นไปเบื้องบนท้องฟ้า และหายไป

 

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ

 

เห็นแค่เพียงกระแสแสงและเงา ตัดผ่านผืนฟ้า พุ่งฉีกอากาศลงไปยังตำแหน่งของกองทัพผีอีกด้านหนึ่งที่อยู่บนทุ่งราบ

 

และต้องไม่ลืมนะว่า นี่คือดาบพิภพที่หนักกว่า 86.37 ล้านจิน ผสานไปกับการร่วงตกลงจากที่สูงนับหมื่นไมล์!

 

ด้วยความสูง , ความเร็ว , แรงกระแทก สามสิ่งนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะสังหารอีกฝ่ายโดยที่ตัวกู่ฉิงซานไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคดาบใดๆ!

 

เขาเพียงควบคุมดาบพิภพ เล็งเข้าใส่ผู้บัญชาการผีด้วยจิตสัมผัสเทวะก็เท่านั้น

 

ตูม!!!

 

แรงกระแทกได้ก่อให้เกิดฝุ่นควันขโมง

 

ตลอดทั้งที่ราบลุ่มสั่นสะเทือนไปครู่หนึ่ง

 

ขณะที่ตำแหน่งของกองทัพผีเริ่มตกอยู่ในความวุ่นวาย

 

บังเกิดรูลึกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

 

ผู้บัญชาการผีถูกสังหารตกตายลงโดยดาบพิภพทันที

 

กู่ฉิงซานเบนความสนใจไปยังผู้บังคับบัญชาผีอีกตนหนึ่ง

 

วูบบบ!

 

ดาบพิภพบินขึ้นมาจากหลุมลึก เหวี่ยงคมกล้าของตนตัดผ่านอากาศที่ว่างเปล่า ฟาดเข้าใส่ผียักษ์โดยตรง

 

“อา .. อา อ๊าาา ไปลงนรกซะ!”

 

ผู้บัญชาการผีเหวี่ยงดาบใหญ่ในมือเข้าต่อต้าน

 

เคร้ง!

 

ภายใต้เสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดาบพิภพสุดท้ายก็ถูกหยุดไว้โดยผู้บัญชาการผีได้ในที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการผีกลับค่อยๆชักฝีเท้ากลับ สองเข่ากลายเป็นอ่อนเปลี้ย ทิ้งลงกระแทกกับพื้น

 

หัวของมันถูกตัดแยกออกจากลำตัว กระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า สาดหยดเลือดโปรยปรายลงมา

 

ในขณะที่มันกำลังรับมือกับคมดาบตรงหน้า .. จู่ๆก็ปรากฏดาบอีกเล่มสับสังหารมันจากเบื้องหลังอย่างกระทันหัน!

 

เทคนิคลับแห่งดาบ กลืนกินหวนกลับ!

 

สองผู้บัญชาการกองทัพผีได้สิ้นชีพลงแล้ว

 

ฝูงภูติผีที่ใกล้จะกลับมาเป็นระบบระเบียบ เริ่มแตกแถว สัญญาณแห่งความวุ่นวายกำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม ผีแห่งความอลหม่านบางตนก็ได้ร่อนลงมาจากท้องฟ้า และคำรามเข้าใส่กองทัพผีทั้งหมด

 

เนื่องจากมันเป็นอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลอันทรงภูมิปัญญา  ผีแห่งความอลหม่านจึงตระหนักถึงจุดระส่ำนี้ แล้วก้าวเข้ามาควบคุมกองทัพภูติผีอย่างรวดเร็ว

 

ภายใต้การสั่งการของมัน ความวุ่นวายจึงค่อยๆสงบลง

 

“อ๋า? ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาใหม่มาอีกแล้วสิ คราวนี้ตาเจ้าแล้วนะ”

 

กู่ฉิงซานหันไปพูดกับความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา

 

ทันใดนั้น ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็ผุดออกมา มันส่งเสียงฮึมฮัม พุ่งข้ามผ่านม้าทมิฬตรงไปยังกองทัพสัตว์ประหลาดผี

 

ดาบบินกระพริบไหวเพียงไม่กี่ครั้ง ในไม่กี่วินาทีต่อมามันก็มาถึงตำแหน่งของศัตรู

 

ดาบยาวที่คล้ายดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงเริ่มระเบิดชั้นแสงสายฟ้าออกมา และฟาดสับผีแห่งความอลหม่านโดยตรง

 

ผีแห่งความอลหม่านก็ว่องไวไม่แพ้กัน มันปลีกตัวออก หลบเลี่ยงทันที!

 

และเร่งบินหนีกลับขึ้นไปบนฟากฟ้า

 

ดาบบินเปลี่ยนร่างกลายเป็นฉานนู่

 

หญิงสาวในชุดคลุมฟ้ากุมดาบยาวในมือของเธอ และหายวับไป

 

สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

 

ฉานนู่เคลื่อนกายมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้า ดักอยู่เบื้องหน้าผีแห่งความอลหม่านพอดิบพอดี

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!

 

รังสีดาบสีนวลผ่องดั่งจันทร์เสี้ยว ที่ตลอดทั้งตัวของมันปกคลุมไปด้วยชั้นแสงสายฟ้าฟาดสับลงมาแสกหน้าศัตรูจากเบื้องบน

 

ผีแห่งความอลหม่านไม่มีเวลามากพอกระทั่งจะเปล่งเสียงร้อง มันสลายเป็นขี้เถ้า ฟุ้งหายไปกับสายลมในจุดนั้นทันที

 

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ผีแห่งความอลหม่านที่อยู่ไกลออกไปก็เร่งหันหลัง และถอยออกไป

 

‘อย่ามาล้อเล่นนะ! พวกข้าสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่สามารถฉีกกฏเกณฑ์จากดาบเล่มนั้น’

 

‘ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันสามารถปลดปล่อยสายฟ้าออกมาได้อีก!’

 

‘นั่นมันคือสิ่งที่พวกตนแพ้ทางโดยกำเนิด ไม่มีทางที่จะต่อกรได้ หนีก่อนจึงสมควรกว่า!’

 

กู่ฉิงซานที่เห็นถึงฉากนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจเล็กน้อย

 

ในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจ สองผู้บัญชาการผีตกตาย ไม่เว้นกระทั่งผีแห่งความอลหม่านที่คิดเสนอหน้า ส่งผลให้ผีแห่งความอลหม่านตนอื่นๆหวาดกลัว และเลือกที่จะหลบหนีไป

 

เวลานี้ กองทัพสัตว์ประหลาดผีนับแสนตนก็ไม่มีผู้ใดสั่งการอีกต่อไป

 

“ครานี้ถึงตาของเจ้าแล้ว”

 

เขาหันหลังไปกล่าวเสียงกระซิบ

 

“ฉวัดเฉวียน!” เช่าหยินโห่ร้องออกมาอย่างร่าเริง โฉบกายตนออกไปอย่างกระตือรือร้น

 

มันบินไปยังตำแหน่งของกองทัพผี

 

ไม่นาน ทั้งสามดาบก็มารวมตัวกันในที่สุด

 

กู่ฉิงซานกระตุ้นเทคนิคดาบ

 

เปิดใช้งานค่ายกลดาบไท่หยี!

 

สามดาบบินเข้าโอบล้อมกองทัพสัตว์ประหลาดผีนับหมื่นแสน และเริ่มที่จะจัดวางร่างเงาดาบ

 

ร่างเงาดาบชั้นแล้ว ชั้นเล่าถูกจัดวางลงท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่า

 

เหล่าภูติผีพยายามที่จะโจมตีเงาดาบเหล่านี้ แต่ทว่าการจู่โจมของพวกมันกลับทะลุเงาดาบไปเลยโดยตรง มิอาจทำลายลงได้

 

ร่างเงาดาบเริ่มครอบคลุมหนาแน่น

 

กระแสลมเริ่มพัดหวน

 

ขณะเดียวกันก็เริ่มปรากฏร่องรอยจางๆของดาบสายลม

 

กองทัพผีตระหนักได้ถึงการปรากฏตัวของดาบสายลมนี้

 

บนพื้นดิน สัตว์ประหลาดผีนับแสนเริ่มระเบิดเสียงกรีดร้องคร่ำครวญออกมา

 

–ไม่นะ เจ้ากระบวนท่านี้อีกแล้ว!

 

สายลมที่เกิดจากปราณดาบ ได้ฝังความหวาดกลัวประทับลึกลงไปในจิตใจของพวกมันเป็นที่เรียบร้อย

 

สหายของพวกมันเกือบทั้งหมดถูกสังหารลงภายใต้ค่ายกลดาบไท่หยี ที่เสริมแกร่ง 36 เท่า!

 

แล้วในช่วงเวลานี้ ฝ่ายตรงข้ามก็ดูเหมือนว่าจะใช้ออกด้วยสกิลดาบที่ว่านั่นอีกครั้ง

 

พวกภูติผีตัดสินใจพร้อมกันทันที

 

—จะไม่มีทางรอให้ดาบสายลมก่อร่างขึ้นโดยสมบูรณ์หรอก!

 

เพราะความรู้สึกเดียวที่ฝังลึกในใจของพวกมันที่ได้รับจากดาบสายลมก็คือ

 

‘หากตอบสนองอย่างเชื่องช้า โชคชะตาเดียวที่รออยู่ก็จะมีเพียงความตาย!’

 

กองทัพผีโยนอาวุธในมือตนทิ้งอย่างไม่ลังเล และหลบหนีไป

 

พวกมันไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

 

ชีวิตน้อยๆของตน ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!

 

ในเวลาสั้นๆ กลุ่มกองทัพผีที่พึ่งจะรวมตัวกัน ก็แตกกระเจิงอย่างรวดเร็ว

 

คราวนี้ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการแตกพ่ายของกองทัพได้อีกต่อไปแล้ว

 

สัตว์ประหลาดผีนับหมื่นแสนสับฝีเท้าหนีอย่างบ้าคลั่ง กระจัดกระจายวิ่งหายเข้าไปในป่านอกพื้นที่ราบลุ่ม

 

กู่ฉิงซานดึงบังเหียนม้า และหยุดมองชั่วขณะหนึ่ง

 

เฝ้ารอจนกระทั่งกองทัพผีหนีหายไป จนไม่หลงเหลือตนใดอยู่บนพื้นที่ราบลุ่ม เขาจึงค่อยสลายค่ายกลดาบไท่หยีลง

 

เพราะการใช้ค่ายกลดาบไท่หยีแบบธรรมดา มิได้เสริมแกร่งใดๆ มันก็จำเป็นที่จะต้องใช้พลังวิญญาณเช่นกัน

 

ในเมื่อเป้าหมายของตนได้บรรลุแล้ว กู่ฉิงซานก็ไม่เต็มใจที่จะจ่ายพลังวิญญาณใดๆออกไปอีก

 

ท้ายที่สุดนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขา แม้ว่าจะทุ่มออกด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี มันก็ไม่สามารถสังหารกองทัพผีที่เหลือรอดทั้งหมดลงได้อยู่ดี

 

“ดั่งสำนวนที่ว่าแค่ทำให้หวาดกลัว จนนกแตกรังก็พอแล้ว …”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

เขาหันหัวม้าไปอีกทาง และควบมันตรงกลับไปยังเมืองไห่เช่า

 

หลังจากที่ถูกตนข่มขู่ไปซะขนาดนั้น คาดว่าหากสัตว์ประหลาดผีจะรวมตัวกันได้อีกครั้ง มันคงไม่ใช่เรื่องง่าย

 

และแน่นอน ว่าต่อให้พวกมันรวมตัวกันเป็นกองทัพขนาดใหญ่ได้อีก แต่การโจมตีเมืองไห่เช่าอีกคราย่อมยากเย็นยิ่งกว่าเดิมมากนัก

 

กู่ฉิงซานสะบัดบังเหียน และไม่นานก็กลับมาถึงที่ๆลอร่ากำลังรออยู่

 

“อ่าว? เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่เข้าไปรอในเมืองกันล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยวความประหลาดใจ

 

“เจ้ามันคนขี้หลอกลวง เห็นได้ชัดว่าเจ้ามิได้คิดจะใช้ค่ายกลดาบจริงๆ แค่ขู่ให้พวกมันตื่นกลัวก็เท่านั้น” ลอร่ากล่าว

 

แต่ก็ต้องยอมรับว่ามนุษย์ผู้นี้ชาญฉลาดอย่างแท้จริง ที่สามารถใช้วิธีการดังกล่าวขับไล่ศัตรูไปได้

 

“หากบางสิ่งสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี” กู่ฉิงซานตอบ

 

“หากสัตว์ประหลาดผีเหล่านั้นไม่เลือกที่จะหลบหนี แต่กลับพุ่งเข้ามาปะทะแทนเล่า ตัวเจ้าจะทำอย่างไร?” ลอร่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“หากพวกมันไม่หนี กระหม่อมนี่แหละจะเป็นคนหนีเอง แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยมาคิดหาวิธีอื่นรับมือกับพวกมันอีกที” กู่ฉิงซานรวบรวด

 

“คนอย่างเจ้านี่มันบ้าบิ่นสิ้นดี … ”

 

“ฝ่าบาท การต่อสู้น่ะ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้ก่อนกัน เพราะต่อให้ศัตรูมีจำนวนมากกว่าก็ตาม แต่ถ้าใจไม่สู้แล้ว พวกมันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด” กู่ฉิงซานลูบหัวเด็กสาว ก่อนจะอุ้มเธอมาวางพาดบนไหล่เข่า

 

ลอร่าอนุญาตให้เขาอุ้มโดยไม่รู้ตัว และปรับท่านั่งตนเองให้สะดวกสบาย

 

Ep.575 – ไม่ร้องไห้อีกต่อไป

 

ระบบเทพสงครามอธิบาย “สกิลที่เรียกกันว่ากฏแห่งการกระทำ(กรรม)น่ะ เป็นสกิลที่อยู่เหนือพื้นเพของทุกสิ่ง กุมอำนาจเกินกว่าขีดกำจัดของมิติและเวลา ผลของมันสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากต้นตอของทุกสิ่ง เป็นกฏที่ช่วยเสริมความเป็นไปได้บางประการ เพื่อให้บรรลุถึงผลลัพธ์ที่ตนเองปรารถนา”

 

“ … สกิลกฏแห่งการกระทำ … ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

 

กู่ฉิงซานพึมพำ

 

“เอาล่ะ ตอนนี้คุณก็เข้าใจความหมายของสกิลนี้แล้วใช่หรือไม่?” ระบบเทพสงครามถามต่อ

 

“ยังไม่ค่อยเข้าใจซะทีเดียว” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

 

มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินเกี่ยวกับสกิลกฏแห่งการกระทำ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ที่ตนได้รับสมญา ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’

 

“ค่อยๆไตร่ตรองอย่างช้าๆก็แล้วกัน”

 

เมื่อกล่าวจบ ระบบเทพสงครามก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป

 

ขณะนั้นเอง ทหารพิทักษ์ในกลุ่มได้ตะโกนขึ้น

 

“ดูนั่นสิ! ผีแห่งความอลหม่านกำลังจะมาแล้ว!”

 

กู่ฉิงซานวางคำถามของระบบเทพสงครามเอาไว้ก่อนชั่วคราว และเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า

 

เห็นแค่เพียงกระแสผีแห่งความอลหม่านที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ มุ่งตรงมายังทิศทางของพวกเขา

 

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”

 

กู่ฉิงซานกล่าวเสียงทุ้มลึก

 

เขาขับเคลื่อนธาตุสายฟ้าจากทั่วทั้งร่างกาย ถ่ายเทเข้าไปในค่ายกลดาบไท่หยี

 

ทันใดนั้นเอง ดาบขุนเขาเทวะหกโลกที่อยู่ลึกขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็เริ่มสาดแสงสายฟ้าไม่สม่ำเสมออกมา

 

ดาบสายลมที่กลับไปรวมตัวกันบนท้องฟ้า ค่อยๆเริ่มผุดแสงสีน้ำเงินจางๆ

 

สายฟ้าสวรรค์ปรากฏขึ้นแล้ว!

 

สายฟ้าซึ่งเป็นการลงทัณฑ์ขั้นสูงสุดในโลกของเหล่าทวยเทพ!

 

ควบคู่ไปกับพลังศักดิ์สิทธิ์อันเป็นเอกลักษณ์ : ‘แหกกฏ’ ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ส่งผลให้อานุภาพสายฟ้าพุ่งทะยานขึ้นถึงขีดสุด!

 

ผีแห่งความอลหม่านน่ะครอบครองสัมผัสอันเฉียบแหลม ทันทีที่พวกมันตระหนักได้ถึงกลิ่นอายของสายฟ้า ทั้งหมดก็เหลียวหลังกลับ และบินหลบหนีไปจากบริเวณสนามรบทันที

 

‘อย่ามาล้อเล่นนะ! พวกข้าไม่เกรงกลัวอะไรก็จริง แต่เจ้าสิ่งนี้เป็นข้อยกเว้น!’

 

ท้องฟ้าที่ครั้งหนึ่งคราคร่ำไปด้วยกองทัพผี เพียงไม่นานก็กลายเป็นโปร่งใส

 

กู่ฉิงซานเร่งฟื้นพลังสายฟ้า เขาตบลงในถุงสัมภาระ แล้วหยิบเม็ดยาฟื้นฟูพลังวิญญาณโยนเข้าไปกัดในปากโดยตรง

 

เบื้องหน้า

 

กองทัพสัตว์ประหลาดผีได้ละทิ้งการบุกเมือง จัดกระบวนทัพมุ่งลงมายังกลุ่มทหารม้าศึก

 

กู่ฉิงซานชำเลืองขึ้นไปมองค่ายกลดาบบนท้องฟ้า

 

ณ ขณะนี้ คือช่วงเวลาที่อำนาจของค่ายกลดาบกำลังพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด!

 

และยังพอเหลือเวลาอีกกว่า 12 ลมหายใจ ก่อนที่ค่ายกลดาบไท่หยีจะสลายไปโดยสมบูรณ์

 

หรืออีกความหมายนึงก็คือ สงครามจะต้องจบลงภายใน 12 ลมหายใจนี้!

 

กู่ฉิงซานตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

 

เขาวางลอร่าลงบนม้าทมิฬและตะโกนออกมา “ทุกคน ช่วยปกป้องเจ้าหญิงด้วย!”

 

“คุ้มครองฝ่าบาท!” ทหารพิทักษ์คำรามลั่น

 

พวกเขาเร่งควบม้าศึกมาล้อมรอบม้าทมิฬ ป้องกันลอร่าอย่างหนาแน่น

 

ส่วนกู่ฉิงซาน เขากระโดดลงจากหลังม้า ย่อตัวย่ำบนพื้นดินอย่างรุนแรง ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

เมื่อมาถึงเบื้องบน สองเท้าก็หยั่งลงบนดาบสายลมเหลือคณา ในสมองนึกคิดสั่งการ เตรียมปลดปล่อยสกิลเทวะออกมา!

 

“สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว (ระดับสูง)  : คุณสามารถระบุตำแหน่งที่ตนเองต้องการ หรือทำการล็อคกลิ่นอายของศัตรู ทำลายมิติที่ว่างเปล่า แล้วไปปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งที่ตนปรารถนาได้โดยตรง

 

“ระยะแสดงผล : ตามพิสัยจิตสัมผัสเทวะ”

 

ในครั้งอดีต บนธารเมฆามาร นางเซียนไป่ฮั่วมิเพียงใช้สกิลเทวะนี้ ฉกหม้อดินเผาจากมารสวรรค์ แต่เธอยังสามารถฉวยโอกาสทุบกำปั้นเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย

 

และในเวลานี้ กู่ฉิงซานได้เลือกทะยานตัวขึ้นไป ดูดซับปราณดาบสวรรค์จนท่วมท้นไปทั้งกายตน อัดแน่นดั่งพายุเฮอริเคน จากนั้นก็ใช้ออกด้วยสกิลเทวะนี้

 

ทั้งคนทั้งร่างของเขาหายวับไปจากท้องฟ้า

 

และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งกลางดงกองทัพผีอย่างกระทันหัน

 

“สงคราม … มันยังไม่จบลงเพียงแค่นี้หรอกนะ!”

 

กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่ใจกลางพายุเฮอริเคน กวาดสายตาลงลงบนทหารภูติผีนับพัน ปากเปล่งเสียงกระซิบ

 

พร้อมกับเทคนิคของดาราจรัสเทพสงคราม ที่ถูกใช้งานอีกครั้ง

 

สัตว์ประหลาดผีหวีดคำรามคลั่ง นับร้อยนับพันพุ่งกระโจนเข้าหาเขา

 

ทันใดนั้นเอง พายุเฮอริเคนที่ว่ายวนอยู่รอบกายกู่ฉิงซาน ก็ค่อยๆแยกตัว คว้านออกไปทุกทิศทาง

 

ฟุบ

 

ฟุบบ

 

ฟุบบบ

 

กู่ฉิงซานก้าวไปที่ใด สายลมจะกวาดนำเขาออกไปยังเบื้องหน้า ล้างบางภูติผีนับไม่ถ้วนหาย ลบพวกมันออกไปพร้อมๆกันกับสายลม

 

โดยการใช้วิธีนี้ตัวเขาจึงสามารถเผชิญหน้า ต่อกรกับศัตรูนับหมื่นแสนโดยลำพังได้

 

พวกภูติผีทยอยกันถูกสังหารลง 

 

ในขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ปล่อยดาบสายลมขนาดเล็ก พุ่งเข้าสู่เมืองไห่เช่า

 

แล้วดาบสายลมก็หายไป

 

แต่เมืองไห่เช่าก็สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของสายลม

 

วินาทีนั้นเอง ร่างมรกตพลันปรากฏขึ้นบนกำแพงเมือง

 

—อีกฝ่ายเฝ้ารอสัญญาณจากสายลมมาเป็นเวลาเนิ่นนาน และในตอนนี้สายลมก็ได้มาเยือนแล้ว!

 

ร่างมรกตจ้องมองสถานการณ์รบบนทุ่งราบอย่างใกล้ชิด

 

ตั้งแต่สิ้นสุดสกิลการเรียกขานของวิหคหนาม เธอก็เฝ้ารอสัญญาณสายลมนี้มาโดยตลอด!

 

ทุกสิ่งที่อยู่บนทุ่งราบลุ่ม ปรากฏสู่สายตาเธอ

 

กองทัพภูติที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ และฟุ้งไปด้วยความน่าหวาดกลัว บัดนี้ถูกพัดกระเจิงโดยพายุสลาตัน หลงเหลือเพียงไม่กี่หน่วยทัพเล็กๆ กระจัดกระจายกันออกไปเท่านั้น

 

แม้แต่กองทัพขนาดเล็กที่หลงเหลืออยู่ ก็ยังวิ่งหลบหนีด้วยความตื่นตระหนก

 

“ได้เวลาแล้ว พวกเราบุกโจมตีได้”

 

“ทุกคนขยี้พวกมันซะ!”

 

ร่างมรกตตะโกนสั่ง

 

ช่วงเวลานั้นเอง สายพันธุ์โบราณนับสิบที่มีขนาดใหญ่โต มิแตกต่างไปจากขุนเขาก็กระโดดลงจากเมือง ทิ้งตัวลงบนพื้นที่ราบลุ่ม ยามเมื่อเท้าของพวกมันหยั่งพื้น เสียงสั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์และโลก

 

“สู้เพื่อโลกของเหล่าทวยเทพ!”

 

เหล่ามอนสเตอร์โบราณแผดสุดเสียง

 

พวกเขาบุกทะลวงเข้าใส่กองทัพสัตว์ประหลาดผีที่แตกกระจัดกระจายหลบหนี โถมกายเข้าฟาดฟันด้วยกำลังทั้งหมดที่พวกตนมี

 

ร่างมรกตเริ่มเคลื่อนไหว เธอลอยข้ามผ่านสนามรบ บินไปยังส่วนปลายของพื้นที่ราบลุ่มอย่างอ่อนโยน

 

ในส่วนปลายของพื้นที่ราบลุ่ม ทหารพิทักษ์ที่รายล้อมม้าทมิฬ ควบม้าศึกตรงเข้ามาหาเธอ

 

ส่วนกู่ฉิงซานในเวลานี้ จู่ๆเขาก็หยุดฝีเท้าลง

 

นั่นเพราะสายลม … ได้หยุดลงแล้ว

 

ค่ายกลดาบไท่หยีสิ้นสุดลง และสงครามก็ใกล้ที่จะมาถึงจุดจบ

 

สามดาบร่อนลงมาจากฟากฟ้า ว่ายวนรอบตัวกู่ฉิงซาน ก่อนจะทยอยกันหายเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาตามลำดับ

 

ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

 

กู่ฉิงซานหันกลับไปมองเบื้องหลังเขา

 

เขาพบว่าเหมันต์ยามค่ำอีเลียได้รับตัวลอร่าเรียบร้อยแล้ว และพวกเธอกำลังตรงมาทางนี้

 

ทั้งสองรวมกลุ่มกันได้อย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่สายพันธุ์โบราณยังคงทะลวงฝ่ากองทัพภูติที่แตกกระเจิง วิ่งตรงไปข้างหน้า

 

จนในที่สุด ทุกคนก็ได้มารวมตัวกัน

 

มองไปยังอีเลีย เธอเป็นทหารหญิงที่มีความสูงชะลูด ตลอดทั้งกายสวมใส่เกราะรบสีมรกต ไม่เว้นกระทั่งเกราะหมวกที่ปิดมิดชิด จนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเธอได้

 

“เพื่อความปลอดภัย พวกเราสมควรที่จะกลับไปยังเมืองไห่เช่าก่อนเป็นอันดับแรก!” เธอตะโกนไปทางกู่ฉิงซาน

 

“เข้าใจแล้ว พวกคุณไปกันก่อนเลย เดี๋ยวผมจะตามไป” กู่ฉิงซานตอบกลับ

 

วิสัยทัศน์ของเขาเบนออก ตกลงไปยังส่วนหลังของพื้นที่ราบลุ่ม

 

เห็นแค่เพียงร่างของผู้บัญชาการผียักษ์อยู่อีกฝากหนึ่ง และกำลังพยายามตะโกนเรียกกองทัพสัตว์ประหลาดผีที่แตกพ่ายให้กลับมารวมกลุ่มกัน

 

เกรงว่าหากพวกมันสามารถรวบรวมกองทัพได้อีกครั้ง และประสานกำลังกับผีแห่งความอลหม่านนับไม่ถ้วนที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า พวกมันคงจะย้อนกลับมาตีเมืองไห่เช่าอีกครั้งแน่ๆ

 

“ลอร่า”

 

“อ๋า ว่าไง?”

 

“ขอยืมม้าสักครู่สิ”

 

“ก็นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก เอ้า เอาไปได้เลย”

 

ลอร่ากระโดดลงจากหลังม้าทมิฬ และจูงบังเหียนมันไปมอบให้แก่กู่ฉิงซาน

 

“กู่ฉิงซาน เจ้ากำลังคิดจะทำสิ่งใด?” ลอร่าเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

 

“ก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ท่านกลับไปที่เมืองก่อนเถอะ จบเรื่องแล้วกระหม่อมจะรีบตามไปที่นั่นทันที” กู่ฉิงซานยิ้ม และลูบลงบนหัวของเธอ

 

ก่อนจะกระโจนขึ้นบนหลังม้า

 

ม้าทมิฬเอ่ยถาม “เวลานี้ท่านต้องการจะหลบหนี หรือว่าจะสู้?”

 

กู่ฉิงซานชี้ไปยังเบื้องหลังที่ราบลุ่ม ตรงจุดที่กองทัพผีกำลังรวมกลุ่มกัน และกล่าวอย่างช้าๆ “จงเร่งสุดฝีเท้า มุ่งไปยังจุดนั้น”

 

ตูม!

 

ม้าทมิฬทะยานออกตัว ทิ้งไว้เพียงฝุ่นผง

 

“นั่นเขาคิดจะทำอะไรกัน?” อีเลียอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน” ลอร่าตอบ

 

อีลียกล่าวด้วยความสงสัย “กระบวนท่าเมื่อครู่ของเขา มันทรงอำนาจอย่างไร้เหตุผล ไม่สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์กับความแข็งแกร่งของเขา กระหม่อมคาดเดาว่าเขาคงต้องจ่ายราคาที่หนักหนาเอาการทีเดียว จึงจะเปิดใช้งานมันได้ แต่ตอนนี้ ยังมิทันได้พักเลย เขาก็คิดจะลงมืออีกแล้ว?”

 

ตรงจุดนี้ ในหัวใจของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเช่นกัน

 

ลอร่า “เราเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรมากนักหรอก แต่เราจะรอเขาที่นี่”

 

พอได้ฟัง อีเลียก็กวาดมือออกไป

 

เหล่าสายพันธุ์โบราณกระจายตัวอย่างรวดเร็ว จัดกระบวนปกป้องสถานที่แห่งนี้

 

“องค์กษัตรีย์ กระหม่อมรับบัญชาตามเป้าประสงค์ของท่านแล้ว” อีเลียกล่าว

 

ลอร่าพอได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่าย เจ้าตัวก็ช็อคไป

 

อีเลียยิ้ม และตอบกลับไปอย่างสงบ

 

“ประเทศไม่สามารถอยู่ได้โดยไร้ซึ่งเจ้าของนะ ลอร่า”

 

“อา … ”

 

ลอร่าค่อยๆเริ่มที่จะตระหนักถึงบางสิ่ง

 

นั่นสินะ ท่านพ่อของเธอถูกลอบสังหารลงอย่างกระทันหันโดยทริสเต้ไปแล้วนี่นา

 

ท่านแม่กับพี่ชายของเธอเองก็ได้ล่วงลับไปแล้วเช่นกัน

 

ช่วงเวลานี้ เชื้อพระวงศ์ทั้งหมด หลงเหลือเพียงตนเองเท่านั้น

 

ตนเอง

 

โดดเดี่ยว ลำพัง

 

ความโศกเศร้าที่ไม่อาจบอกบรรยายเป็นคำพูดได้ เริ่มเอ่อทะลักเข้ามาในจิตใจของเด็กสาว

 

ลอร่าส่ายหัว แต่ก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ของเธอได้

 

น้ำตาไหลรินออกมา

 

“ลอร่า เข้มแข็งเข้าไว้สิ” อีเลียถอนหายใจ กล่าวปลอบประโลม

 

ท้ายที่สุดนี้ กษัตรีย์ของเธอยังเด็กเกินไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กสาวจะสามารถแบกรับภาระของอาณาจักรได้หรือไม่

 

แต่ตอนนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

 

“เรารู้ตัวนะ แต่เราก็แค่ … ”

 

น้ำตาของลอร่าไหลไม่หยุด เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

 

แต่ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเธอก็กวาดข้ามผ่านไปยังเบื้องหลังพื้นที่ราบลุ่ม

 

ปรากฏถึงม้าทมิฬที่กำลังควบวิ่ง

 

ผู้ชายที่อยู่บนหลังมันสะบัดบังเหียน เร่งความเร็วไม่หยุด คล้ายยังคงไม่พึงพอใจกับความเร็วขณะนี้ ปากอ้าตะโกนเสียงดัง “ทะลวงเข้าไปเลย!”

 

ในมือของเขา คว้าจับดาบยาวที่พึ่งปรากฏออกมาจากในอากาศ

 

เขาพุ่งหากองทัพภูติผีนับพันหมื่น ใกล้จะปะทะกับพวกมันโดยตรง

 

ลอร่ามองไปยังฉากนี้ นิ่งงันไปพักหนึ่ง

 

ทันใดนั้นเอง บทสนทนาระหว่างเขาและเธอเริ่มไหลผ่านเข้ามาในจิตใจ

 

‘หืม? นี่เจ้าเป็นเด็กกำพร้างั้นหรอ?’

 

‘ใช่ แต่กระหม่อมชินแล้ว … จะบอกอะไรให้นะ ว่าเด็กกำพร้าน่ะก็มีข้อได้เปรียบยิ่งกว่าคนอื่นเขาอยู่เหมือนกัน’

 

‘ข้อได้เปรียบอะไร?’

 

‘อย่างเช่นถ้าเราตาย ก็ไม่จำเป็นต้องมากังวลว่าจะมีคนในครอบครัวมาร่ำไห้ยังไงล่ะ’

 

‘นั่นมันข้อได้เปรียบบ้าบออะไรกัน .. ‘

 

‘ทำไม? มันไม่ดีหรือ ลองคิดดูนะ ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่าบาทเห็นคนอื่นๆกำลังเศร้าโศกเพราะตนเอง ฝ่าบาทก็จะเศร้าโศกไปด้วย แต่ความได้เปรียบของเราก็คือ พวกเราจะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้’

 

‘ … แล้วแบบนี้ สิ่งที่ตัวเรากำลังเผชิญอยู่ มันพอจะเรียกว่าเป็นข้อได้เปรียบเช่นเดียวกันหรือเปล่านะ?’

 

‘แน่นอนอยู่แล้วฝ่าบาท’

 

ลอร่าอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว

 

ที่บอกว่าได้เปรียบ 

 

ดูเหมือนว่าเขาจะพูดจริงสินะ …

 

ไม่อย่างนั้นแล้ว บุรุษผู้นี้ คงมิกล้ากระโจนเข้าหากองทัพภูตินับพันหมื่นเช่นนี้หรอก

 

ค่ายกลดาบของเขาก็ได้ถูกใช้ไปแล้ว เรียกได้ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถกดดันฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสมบูรณ์!

 

เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน ลอร่าก็ค่อยๆลืมเลือนความโศกเศร้าของตัวเองไป

 

เธอจิกริมฝีปาก เบนสายตากลับมาสบกับอีเลีย ผงกหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อย

 

“เราพร้อมแล้ว”

 

แม้จะยังมีน้ำตา แต่เธอก็เปล่งเสียงออกมาด้วยความหนักแน่น

 

อีเลียโน้มกายลงทันที คุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้าลอร่า

 

แล้วทันใดนั้น ทหารพิทักษ์ทั้งหมดก็ลงจากหลังม้า และคุกเข่าลงรอบๆลอร่าเช่นกัน

 

“ลอร่า นับจากนี้ไป ท่านคือกษัตรีย์แห่งวิหคหนามที่แท้จริง” อีเลียกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

“ทรงพระเจริญ!”

 

ทหารพิทักษ์ทั้งหมดโค้งหัวลง และตะโกนพร้อมกัน

 

ลอร่ามองทหารที่อยู่รอบกาย ก่อนจะกลับมามองที่อีเลีย

 

อีเลียถอดเกราะหัวของเธอ เผยรอยยิ้มแย้มบนใบหน้าให้กับลอร่า

 

ลอร่าสูดลมหายใจลึก และพยายามควบคุมอารมณ์ของเธอ

 

ในที่สุด ดวงตาของเด็กสาวก็เลื่อนตกลงตรงร่างบนม้าทมิฬ

 

เธอปาดน้ำตาที่ไหลรินอยู่บนใบหน้าของตัวเอง

 

ท่ามกลางการคุ้มครองของสายพันธุ์โบราณนับหลายสิบ ต่อหน้าทหารพิทักษ์แห่งอาณาจักรหนาม ลอร่าได้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง

 

เธอกล่าวอย่างเฉียบขาด “นับตั้งแต่วันนี้ เราจะไม่ร้องไห้อีกต่อไป”

 

“เราจะนำพาผู้คน เอาชนะศัตรูทั้งหมดทั้งมวลที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้า”

 

“เราจะปกป้องประเทศของเรา ดินแดนของเรา ปกป้องผู้คนและทุกๆสิ่งทุกอย่าง!”

 

“ในฐานะ กษัตรีย์แห่งวิหคหนาม!”

Ep.574 – เทคนิคของเทพสงคราม

 

“กู่ฉิงซาน!”

 

“กู่ฉิงซาน!!”

 

“กู่ฉิงซาน!!!”

 

ลอร่าตะโกนด้วยความตื่นเต้น

 

“มีอะไร?” กู่ฉิงซานตอบเธอในที่สุด

 

“แล้วจะให้พวกเราคนอื่นๆรับมือกับสงครามในครั้งนี้กันอย่างไร?”

 

เธอมองไปยังทหารพิทักษ์โดยรอบ และมองไปยังกองทัพภูติที่ตรงเข้ามา

 

“ก็แค่มุ่งไปข้างหน้า แล้วฆ่าพวกมันซะ” กู่ฉิงซานตอบ

 

เขาพลิกฝ่ามือตน หยิบเอาดิสก์ค่ายกลออกมา และทำการจัดวางหลายสิบค่ายกลต่อสู้ขนาดใหญ่ในลมหายใจเดียว

 

จิตวิญญาณชั้นแล้วชั้นเล่าเริ่มก่อตัวจากดิสก์ค่ายกล และครอบคลุมทั้งกลุ่มคนที่กำลังควบม้า

 

“ขอให้ทุกคนใส่ใจกับการป้องกันด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แล้วในเรื่องการโจมตีล่ะ?” บางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

แต่กู่ฉิงซานไม่ตอบ

 

และเมื่อกองทัพภูติเริ่มประชิดเข้ามา-

 

กู่ฉิงซานก็ตะโกนขึ้นในฉับพลัน “จงตื่นขึ้น!”

 

ยามเมื่อเสียงของเขาดังขึ้น

 

จากเบื้องหลังของเหล่าผู้ควบม้า เหนือพื้นที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ เบื้องบนท้องฟ้าสูง ท่ามกลางหมู่มวลเมฆอันไร้ที่สิ้นสุด เริ่มบังเกิดสายลมพัดหวน

 

ดาบพิภพ

 

ดาบเช่าหยิน

 

และดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สามดาบได้ไปปรากฏขึ้นท่ามกลางทะเลเมฆ

 

พวกมันวูบตัดผ่านเมฆหนาทึบอย่างรวดเร็ว ว่องไวเกินกว่าความเร็วทั่วๆไป

 

ขณะที่พวกมันกำลังเคลื่อนไหว ตามเส้นทางที่ตัดผ่าน กลับเหลือทิ้งร่างเงาของดาบแช่ไว้ในอากาศที่บางเบา เริ่มก่อตัวเป็นรูปแบบค่ายกลพิเศษขึ้น

 

หนึ่งดาบ

 

สิบดาบ

 

ร้อยดาบ

 

พันดาบ

 

หนึ่งหมื่นดาบ

 

หนึ่งล้านดาบ!

 

ร่างเงาของดาบกำลังก่อรูปขึ้น!

 

เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ร่างเงาดาบทั้งหมดก็หยุดลงโดยพร้อมเพียง และเริ่มส่งเสียงหึ่งๆออกมา

 

ค่ายกลดาบไท่หยี

 

ถูกจัดวางเสร็จสิ้นแล้ว!

 

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว-

 

พายุเฮอริเคนพัดเป่ามวลเมฆบนท้องฟ้า ส่งผลให้ชั้นเมฆโดยรอบถูกทำลาย สลายหายไปมิอาจมองเห็นได้อีกเลย

 

ขณะเดียวกัน เจตนาฆ่าจากร่างเงาดาบก็ได้เข้ามาแทนที่มวลเมฆ และกระจายไปทั่วฟ้า

 

พริบตานั้นเอง ร่างเงาดาบก็กระพริบไหวพร้อมกัน

 

แล้วจู่ๆดาบสายลมที่มองไม่เห็นก็ร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า และกวาดลงสู่พื้นที่ราบลุ่มเบื้องล่าง

 

สายลมอ่อนๆพัดลงบนผืนดิน และประกบติดกับม้าทมิฬอย่างรวดเร็ว

 

ขณะเดียวกัน กระแสลมดั่งคลื่นใหญ่ ก็ได้พัดผ่านวิหคสิบกว่าคนที่กำลังควบม้าไปอย่างแผ่วเบา และกวาดต่อตรงไปยังกองทัพสัตว์ประหลาดผีที่อยู่ตรงกันข้าม

 

ท่ามกลางความเงียบ สายลมพัดผ่านเข้าไปยังกองทัพผีนับพัน และ

 

ปัง!

 

จู่ๆก็เกิดพายุระเบิดออกมา!!!

 

บนที่ราบลุ่ม กองทัพขนาดใหญ่ของภูติผีหายวับไป ราวกับถูกลบออกไปในอากาศที่บางเบา

 

ทุกสถานที่ เมื่อใดก็ตามที่ดาบสายลมพัดผ่านไป จะไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องใดๆเลย นอกจากเห็นแค่เพียงทุกอย่างถูกทำลายลง

 

กองทัพผีขนาดใหญ่ถูกสายลมกวาดออกไปด้วยแรงลม ก่อให้เกิดเส้นทางราวกับทะเลแหวก เปิดทางที่พวกมันขวางกั้นให้แก่กลุ่มของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานควบม้าไปยังทิศทางใด สายลมก็จะพัดผ่านเขา กวาดตรงไปยังเบื้องหน้าตลอดเส้นทาง

 

ภูติผีบางตนต้องการที่จะก้าวเข้ามาหยุดเขา แต่ก็ถูกเป่าเป็นผง ปลิวหายไปด้วยฝีมือของดาบสายลมโดยตรง

 

“จงหลบเลี่ยง – เปิดทางให้สายลมซะ!”

 

ผู้บัญชาการผียักษ์ สังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว จึงตะโกนออกมา

 

กองทัพผีเร่งกระจายตัวเป็นสองฟากฝั่งทันที

 

ใช่แล้วล่ะ ระยะโจมตีของดาบสายลมนั้นกว้างมากก็จริง

 

แต่ท้ายที่สุดนี้ ทุ่งราบลุ่มน่ะมีขนาดกว้างใหญ่ยิ่งกว่า ตราบใดที่พวกภูติผีกระจายตัวออกไป หลบเลี่ยงพื้นที่พายุสังหาร และเฝ้ารอให้ดาบสายลมหายไป พวกมันก็ยังคงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้

 

และเมื่อเวลานั้นมาถึง ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะไล่ตามศัตรูแค่ไม่กี่สิบคน

 

ปรากฏถึงฉากอันน่าตื่นตะลึงขึ้น

 

กองทัพภูติผีแตกกระเจิง หลบหนีไปทุกทิศทาง ปล่อยให้ศัตรูไม่ถึงยี่สิบคนควบม้าฝ่ากระแสกองทัพไป

 

ม้าทมิฬวิ่งตรงไปยังเบื้องหน้าตลอดเส้นทาง นำพาอีกสิบหกคนมุ่งสู่เมืองไห่เช่า!

 

กู่ฉิงซานที่นั่งอยู่บนหลังม้า คอยเฝ้ามองแต้มพลังวิญญาณที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างใกล้ชิดบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่จู่ๆอัตราการเพิ่มพูนของแต้มพลังวิญญาณค่อยๆชะลอลง

 

กู่ฉิงซานหันมองรอบๆ และพบว่าภูติผีเริ่มแยกย้ายกระจัดกระจายตัวออกไป

 

“ไปเร็ว! พวกเราจะวิ่งฝ่าพวกมัน มุ่งหน้าสู่เมืองไห่เช่า!” ลอร่ากรีดร้องด้วยความตื่นเต้น

 

“พะยะค่ะ องค์หญิง!”

 

ทหารพิทักษ์ตอบรับเสียงดังด้วยความสุข

 

เดิมที พวกตนคิดว่าคงตายในสงครามแน่ๆแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่มีความคิดเช่นนั้นอีกต่อไป

 

สภาวะจิตใจของทุกคนกลับมามั่นคง กำลังใจพุ่งขึ้นสูงถึงขีดสุด

 

ทว่ากลับมีเฉพาะเพียงกู่ฉิงซานเท่านั้นที่ดูจะไม่เต็มใจให้พวกสัตว์ประหลาดผีเปิดทางให้และหนีไป

 

-เพราะพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นแต้มพลังวิญญาณ!

 

แต่เดี๋ยวก่อน

 

เดี๋ยวนะ

 

จู่ๆกู่ฉิงซานก็นึกได้ถึงอะไรบางอย่าง

 

‘ฉันพึ่งจะได้รับสมญาใหม่ : ดาราจรัสเทพสงคราม มานี่นา’

 

“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ : พิชิต”

 

“พิชิต : เมื่อคุณใช้สกิลนี้กับศัตรูที่เป็นเป้าหมาย พวกมันทั้งหมดจะโจมตีคุณด้วยเหตุผลบางประการ”

 

“คำอธิบาย : สกิลนี้เป็นวิชาลี้ลับ เป็นสกิลกฏแห่งการกระทำ(กรรม) และมันไม่สามารถหลบเลี่ยงได้”

 

“คำอธิบาย : จะพิชิตหรือเป็นฝ่ายถูกพิชิต นั่นแหละปัญหา”

 

หรือว่า … จะลองใช้มันดีไหมนะ?

 

มองไปยังเส้นทางเบื้องหน้าที่ว่างเปล่า กู่ฉิงซานก็เลิกลังเล เปลี่ยนสมญา ‘ผู้บัญชาการรบ’ เป็น ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’ ทันที

 

เมื่อทำการเปลี่ยนสมญา เขาก็เริ่มต้นเปิดใช้งานเทคนิค ‘พิชิต’ กับกองทัพภูติผีทั้งหมด

 

ทันใดนั้นเอง สถานการณ์ในสนามรบก็แปรเปลี่ยนไป

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จู่ๆ ผู้บัญชาการรบผีก็ค้นพบถึงตัวตนของกู่ฉิงซาน

 

มันจ้องมองดูกู่ฉิงซาน ก่อนจะแหงนหน้ามองร่างเงาดาบที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า

 

ไม่ช้า มันก็จับสังเกตได้ว่ามีเจตดาบแบบเดียวกันบนตัวของกู่ฉิงซาน

 

แล้วมันก็เข้าใจถึงความจริงบางอย่าง!

 

ผู้บัญชาการผีวาดดาบใหญ่ชี้ไปทางกู่ฉิงซานและตะโกนก้อง “สังหารคนผู้นั้นซะ มิฉะนั้นกระแสลมจะไม่มีวันหยุด!”

 

เหล่าภูติผีที่กำลังวิ่งหนี หยุดฝีเท้าลงทันที

 

สหายของพวกมันตกตายลงเป็นจำนวนมากด้วยน้ำมือของกู่ฉิงซาน

 

ขณะที่พวกมันได้แต่วิ่งหนีด้วยความอับอาย

 

ทั้งๆที่ศัตรูมีแค่ไม่กี่สิบคน แต่ฝ่ายตนกลับต้องวิ่งหางจุกตูด!

 

ความโกรธเกรี้ยวนี้ คุกรุ่นอยู่ในจิตใจของเหล่าสัตว์ประหลาดผีมานานแล้ว

 

และตอนนี้ เมื่อพวกมันได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ ความโกรธในจิตใจก็มิอาจระงับได้อีกต่อไป!

 

ก๊าซซซซ!

 

ภูติผีกรีดร้องคลุ้มคลั่ง ทั้งหมดเริ่มหันกลับมาวิ่งเข้าหากู่ฉิงซาน

 

ต้องฆ่ามัน ต้องฆ่าเจ้ามนุษย์คนนั้นให้จงได้!

 

เพียงเสี้ยววินาทีเดียว กองทัพภูติผีก็เปลี่ยนทิศทาง วิ่งกลับเข้ามาชาร์ตใส่ดาบสายลมอีกครั้ง!

 

แม้ว่าพวกมันจะสูญเสียกำลังพลไปบ้าง แต่อย่างไรก็จักต้องฝ่าอุปสรรคดาบสายลม และเข้าไปฆ่าเจ้ามนุษย์ให้จงได้!

 

อย่างไรก็ตาม

 

ด้วยค่ายกลดาบไท่หยีที่สั่งสมแต้มพลังซ้อนทับกันกว่า 36 เท่า เป็นไปได้จริงๆหรือที่พวกมันจะต่อต้าน?

 

ดาบสายลมบัดนี้ราวกับเครื่องบดเนื้อ ไม่ว่าสายลมจะหวนไปทิศทางใด เบื้องบน : หมู่มวลเมฆก็จะถูกกวาดออกไป ขณะที่เบื้องล่าง : สัตว์ประหลาดผีที่อยู่ในอาณาเขตก็ถูกล้างบางจนสิ้น

 

ลอร่ากับทหารพิทักษ์เฝ้ามองฉากนี้อย่างตกตะลึง

 

“ข้าว่า เจ้าภูติผีพวกนี้มันสมองพิการไปแล้วใช่หรือไม่?” ทหารคนหนึ่งกระซิบ

 

“ไม่น่าจะใช่ ข้าว่าพวกมันหมายจะสังหารเขาซะมากกว่า” ทหารอีกคนกล่าวอย่างไม่มั่นใจ

 

เหล่าทหารพิทักษ์มองมายังกู่ฉิงซาน

 

แต่กลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่มัวแต่ให้ความสนใจกับแต้มพลังวิญญาณของตัวเอง

 

เฝ้ามองกองทัพผีถูกทำลายโดยค่ายกลดาบครั้งแล้วครั้งเล่า แต้มพลังวิญญาณเริ่มพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ต้องแบบนี้สิ!

 

กู่ฉิงซานยกคิ้วด้วยความสุข

 

แต่แล้วพวกผีก็ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว

 

พวกมันหันหลังกลับ และเริ่มวิ่งหนีไปทุกทิศทางอีกครั้ง

 

‘ล้อเล่นรึไง!? ดาบสายลมนี้มันทรงพลังเกินไป ไม่อาจต่อกรได้ ไม่ไหวแล้ว ปล่อยให้ภูติผีตนอื่นๆบุกเข้าไปเองก็แล้วกัน!’

 

ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อัตราการเพิ่มพูนของแต้มพลังวิญญาณจึงค่อยๆเชื่องช้าลง

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

–แค่นี้มันยังไม่พอกับความสูญเสียที่ต้องแลกมาด้วยการเปิดใช้งานค่ายกลดาบ เขาใช้ไปตั้ง 100000 แต้มพลังวิญญาณ อย่างน้อยถ้าไม่ได้รับกลับคืนมาเท่าเดิม จะไม่เท่ากับว่าเขาขาดทุนหรอกหรือ?

 

มองไปยังสมญา ‘ดาราจรัสเทพสงคาม’ บนหน้าต่างเทพสงครามอีกครั้ง ตนกัดฟันแน่น และเริ่มใช้ออกด้วยเทคนิค ‘พิชิต’ อีกที

 

ในขณะที่สกิลนี้ถูกเปิดใช้งาน เหล่าสัตว์ประหลาดผีก็ตระหนักถึงมันได้ในฉับพลัน

 

-พวกเราสัมผัสได้ว่าดาบสายลมกำลังจะสลายตัวลงแล้ว

 

ในที่สุดกระบวนท่านี้ก็จะจบลงเสียที!!!

 

พวกภูติผีต่างร่ำไห้ออกมา

 

ต้องถูกขับไล่โดยดาบสายลมที่แสนร้ายกาจ ช้าเพียงหนึ่งก้าวก็จะถูกลบหายออกไป นี่ทำให้พวกมันรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ

 

แต่ดี ดีมาก ที่ตอนนี้กระบวนท่าดังกล่าวจะจบลงเสียที

 

มันถึงเวลาที่พวกเราจะเอาคืนแล้ว!

 

กี๊ซซซซซ!

 

สัตว์ประหลาดผีพลิกตัวกลับหลังอย่างแรง และมุ่งเข้าหากลุ่มของกู่ฉิงซานอีกครา

 

ไม่สิ – ต้องบอกว่าทั้งหมดมุ่งเป้ามาที่กู่ฉิงซานคนเดียวเลยต่างหาก!

 

พวกมันสาบานว่าจะฉีกทึ้งมนุษย์ผู้นี้ทั้งเป็น!

 

ทันใดนั้นทหารพิทักษ์ทั้งสิบหกคนก็เริ่มตื่นตัว และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้

 

เพราะทุกคนเอง ก็สังเกตเห็ตว่าดาบสายลมกำลังจะหยุดลงเช่นกัน

 

จากนี้ไป มีเพียงการต่อสู้ด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะสามารถคว้าหนทางเอาชีวิตรอดเอาไว้ได้!

 

“เตรียมพร้อมรับศึก!” ลอร่าตะโกน

 

เธอโน้มศีรษะลง และถามกู่ฉิงซานอย่างร้อนรน “กู่ฉิงซานกระบวนท่าดาบของเจ้าจะหมดลงแล้วใช่หรือไม่?”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังกองทัพภูติผีที่ตรงเข้ามา ไม่เอ่ยคำใดไปชั่วขณะ

 

ได้ยินเพียงเสียงของเขาที่เอ่ยพึมพำ “อา มันกำลังจะเริ่มขึ้นต่างหาก ดูเหมือนว่าค่ายกลดาบจะทำการปิดล้อมโดยสมบูรณ์แล้ว ..”

 

ตอนนี้ .. เดี๋ยวก่อนนะ มันกำลังจะเริ่มขึ้นงั้นหรอ?

 

ลอร่าชะงักไป

 

เธออดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

เห็นแค่เพียงเบื้องบน ไร้ซึ่งหมู่มวลเมฆใดๆ

 

ทว่ากลับปรากฏถึงเสียงหอนที่บาดลึกอยู่บนฟากฟ้า

 

และจากนั้น

 

ปังงงงงงง—–

 

กระแสลมราวกับธารน้ำตก ที่ร่วงหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์

 

ดาบสายลมปะทะเข้ากับกองทัพผีอันยิ่งใหญ่อย่างแรง!

 

แล้วดาบสายลมจึงค่อยหายไป

 

ท่ามกลางสนามรบ พื้นที่จตุรัสส่วนหนึ่งได้ปรากฏขึ้น

 

ซึ่งสำหรับกองทัพผีแล้ว นับจากนี้ไป นับว่าเป็นโศกนาถกรรมอย่างสิ้นเชิง

 

เสียงกรีดร้องโวยวายเริ่มดังขึ้น เหล่าภูติผีในพื้นที่จตุรัสเริ่มแตกตื่น วิ่งหนีออกไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

 

อย่างไรก็ตาม ดาบสายลมได้ปิดล้อมเอาไว้แล้ว และพวกมันจะหลบหนีไปได้อย่างไร?

 

ดาบสายลมกวาด แล้วสังหาร!

 

ดาบสายลมกวาด แล้วสังหาร!!

 

ดาบสายลมกวาด แล้วสังหาร!!!

 

แต้มพลังวิญญาณบนหน้าต่างเทพสงครามพุ่งพรวดๆอย่างก้าวกระโดด

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองมันอย่างใจเย็น

 

“ไม่นะ กู่ฉิงซาน ดูนั่นสิ!”

 

ลอร่าตบเรียกสติกู่ฉิงซานด้วยความกระวนกระวาย

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น

 

เบื้องหน้าเขา ในที่สุด ตนก็มาถึงสุดปลายของพื้นที่ราบลุ่มแล้ว

 

โดยไม่รู้ตัว กลุ่มของเขาก็สามารถควบม้าฝ่าดงกองทัพภูติผี แล้วมาถึงเมืองไห่เช่าได้ในที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในเมืองไห่เช่ากลับย่ำแย่กว่าที่คิด

 

เมื่อต้องเผชิญกับการต่อสู้อย่างยาวนาน กำแพงเมืองก็ไม่อาจทานรับไหว มันพังทลายลงมาในที่สุด

 

ทันใดนั้นกองทัพภูติผีก็คำรามอึกทึก

 

พวกมันเร่งวิ่งเข้าไปในเมืองไห่เช่าทันที!

 

ลอร่ากรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก “กู่ฉิงซาน! อีเลียได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ เธอคงไม่สามารถต่อต้านพวกมันได้”

 

“เข้าใจแล้ว กระหม่อมจะเร่งให้เร็วขึ้น”

 

กู่ฉิงซานสะบัดบังเหียนกระตุ้นม้า

 

ใช่แล้วล่ะ หากไม่มีกำแพงเมือง กองทัพภูติก็จะสามารถกดดัน บุกเข้าไปได้โดยตรง และอีเลียคงไม่สามารถต้านทานมันได้

 

สถานการณ์เริ่มแย่ลง

 

งั้นวิธีที่พอจะสามารถช่วยเหลืออีเลียได้อย่างรวดเร็วก็คือ …

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆเมืองอย่างเงียบๆ ความคิดในหัวใจของเขาเริ่มกระจ่างชัด

 

ช่วงวินาทีต่อมา เขาก็ได้เปิดใช้งานเทคนิคสมญา ‘พิชิต’ กับภูติผีทั้งหมดที่กำลังโจมตีเมืองโดยตรง

 

ขณะเดียวกัน บนยอดสุดของกำแพงผียักษ์ตนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น

 

มันเปล่งเสียงสะท้านสะเทือนสวรรค์ “มีเจ้าตัวยุ่งยากอยู่บนพื้นราบ! เขาคือกุญแจสำคัญของสงครามในครั้งนี้ จงไปดับลมหายใจเขาซะ!”

 

ภูติทั้งหมดคำรามพร้อมกัน

 

โฮกกกกกก!

 

กองทัพสัตว์ประหลาดผีล้มเลิกที่จะบุกเมือง รวมตัวกันจัดตั้งขบวนทัพหนาแน่น ทยอยกันลงจากภูเขา

 

พวกมันวิ่งตรงมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน

 

ภายในเมือง สายพันธุ์โบราณมากมาย ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยเลือด และกำลังเตรียมสู้ตายแลกชีวิตกับศัตรู

 

แต่ในวินาทีสุดท้าย ศัตรูทั้งหมดกลับหันหลัง และจากไป

 

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?

 

เหล่าสายพันธุ์โบราณตะลึงงันอยู่ในสถานที่เดียวกัน พวกเขาไม่อาจทำความเข้าใจได้โดยสมบูรณ์

 

ขณะที่สิบหกทหารพิทักษ์บนพื้นราบกลับกลายเป็นหวาดกลัว

 

“นั่นพวกมันละทิ้งเมือง แล้วหันมาฆ่าพวกเราแทนงั้นหรอ?” ทหารคนหนึ่งกล่าว

 

“มันอาจเป็นกลยุทธ์ก็ได้ แบ่งกำลังกระจายกันโจมตีอะไรแบบนี้” ทหารอีกคนกล่าว

 

“ไม่ พวกเจ้าทั้งหมดผิดแล้ว เกรงว่าพวกภูติผีมันอาจจะต้องการเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆต่างหาก” ทหารพิทักษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพลึก

 

กู่ฉิงซานจ้องไปยังกระแสศัตรู เงียบงันไปครู่หนึ่ง

 

ตัวเขาเอง ก็ไม่เคยคาดคิดเหมือนกัน ว่าตนจะใช้เทคนิคพิชิตของดาราจรัสเทพสงครามในสถานการณ์แบบนี้

 

เพียงแค่ใช้มัน ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของสงครามทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย

 

“ระบบ ฉันว่าสมญา ดาราจรัสเทพสงครามนี่มันชักจะเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของฉันไปหน่อยนะ” เขาเอ่ยอย่างเงียบๆ

 

ติ๊ง!

 

ระบบเทพสงครามตอบกลับ

 

“โปรดใส่ใจเป็นพิเศษด้วย ว่านี่คือสมญาเฉพาะของเทพสงคราม ดังนั้นมันจึงมีความพิเศษเป็นธรรมดา

 

“นอกจากนี้ ฉันว่าคุณสมควรที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่ากฏแห่งการกระทำ(กรรม) ให้มากกว่าที่เป็นอยู่เสียที”

Ep.573 – รอสัญญาณจากสายลม

 

เทสส์หันไปมองรอบๆ ก่อนจะเหลือบสายตาลงบนเค้ก 20 ชั้น

 

ตรงขอบมุมหนึ่งของเค้ก มีร่องรอยเล็กๆที่ถูกตัดออกไปอยู่

 

หืม? ในโซนสำหรับเชื้อพระวงศ์ มีคนตัดเค้กกินด้วยอย่างงั้นหรือ?

 

เธอประหลาดใจเล็กน้อย

 

เค้ก …

 

แล้วเธอก็ย้อนนึกไปถึงคำพูดของมัน “เพราะทั้งสองคนนั้นดูเหมือนจะสนใจฉัน และฉันอุส่าห์ปลดปล่อยกลิ่นอันหอมหวานของครีมและผลไม้ แต่สุดท้ายพวกเขากลับไม่ได้ลิ้มรสฉัน”

 

ไม่ได้ลิ้มรส แต่กลับสนใจในตัวเค้ก …

 

ทันใดนั้น เทสส์ก็ฉุกคิดถึงบางสิ่งขึ้นมา

 

เธอกำลังจะเอื้อมมือไปแตะเค้ก 20 ชั้น โดยหารู้ไม่ว่าทริสเต้กำลังจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา

 

ทริสเต้ฟาดมือตบโต๊ะทันที และเค้กทั้งก้อนก็เละเป็นชิ้นๆ

 

ปรากฏให้เห็นถึงลูกบอลคริสตัลสีโปร่งใส ที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ

 

“แย่ล่ะสิ! จงมา!” สีหน้าของเทสส์แปรเปลี่ยนกลับกลาย เธอเร่งง้างมือเพื่อหมายจะดึงดูดมัน และตะคอกสั่งออกไปทันที

 

“ฮะฮ่าฮ่า! นี่คือโลกของข้านะเทสส์ เจ้าต้องการที่จะขโมยมันอย่างงั้นหรือ?” ทริสเต้หัวเราะ

 

เธอร่ายคาถาเสียงกระซิบ

 

และบอลคริสตัลก็ลอยมาตกลงในมือของเธอ

 

จากนั้น ทริสเต้ก็เร่งสวดมนตราอย่างรวดเร็ว เพื่อปลดตราประทับที่ผนึกโลกเอาไว้ทันที

 

เทสส์กรีดร้อง “เฮ้นายไก่! ฝากหยุดเธอด้วย เร็วเข้า!!”

 

พอเอ่ยสั่ง เทสส์ก็เริ่มร่ายคาถากำแพงอุปสรรคป้องกันอันลึกล้ำด้วยความเร่งร้อน

 

เพราะตราบใดที่ตราประทับโลกถูกปลดผนึก จักต้องมีกำแพงอุปสรรคที่ทรงพลานุภาพคอยขวางกั้น เพื่อชะลอการแพร่กระจายของเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา!

 

อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไป

 

ผู้ชายที่มีหงอนสีแดงสดที่อยู่ข้างกายเธอยังไม่ทันจะได้ทำอะไร จู่ๆเขาก็หายตัวไป

 

นั่นเพราะทริสเต้ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว เธอจึงหยุดร่ายมนตราชั่วคราว และอ้าปากตนเอง คายเส้นผมสีดำออกมา

 

มันคือสัญลักษณ์แห่งความมืด ที่ส่งกลิ่นอายลางไม่ดีอย่างรุนแรงออกมา

 

“คำอำนวยพรจากมารที่แท้จริง!” เธอตะโกนกล่าวอย่างรวดเร็ว

 

สัญลักษณ์แห่งความมืดสาดแสง และหายวับไป

 

ปัง!

 

ทั้งคนทั้งร่างของไก่ใหญ่พลันถูกห่อหุ้มไปด้วยสัญลักษณ์แห่งความมืดมิด และถูกกระแทกเข้าใส่ตัวผนังห้อง ทะลุออกไปด้านนอก หลุดออกไปจากอัลเบอัส และหายไปจากโลกนี้

 

เมื่อตัวขัดขวางหมดไป ทริสเต้ที่ถือบอลคริสตัลก็เริ่มร่ายมนตราต่อ “โลกเอ๋ย จงเปิ-”

 

“หุบปากซะ”

 

ปรากฏถึงปากกระบอกปืนเย็นฉ่ำจ่อลงบนหัวเธอ พร้อมกันกับเสียงแปลกๆที่ดังขึ้นข้างหู

 

ทริสเต้หุบปากลงทันที

 

เพราะเธอตระหนักได้ว่า หากตนร่ายมนตราออกไปอีกแม้เพียงครึ่งคำ ตนก็จะถูกระเบิดกระสุนสังหารเข้าใส่ทันที

 

ตามด้วยเสียงของเหล็กที่ดังขึ้น

 

อีก7-8ปากกระบอกปืนจี้ลงบนตัวของเธอ

 

ทริสเต้ไม่กล้าเคลื่อนไหว

 

เธอเข้าใจดีว่าใครมา

 

ตรงกันข้ามกับเธอ เมื่อเทสส์เห็นเหล่าปืนพกกำลังจ่อตัวทริสเต้อยู่ เธอก็ผ่อนลมหายใจยาว

 

กำลังเสริม ในที่สุดก็มาถึงซักที!

 

“มีแค่พวกเจ้างั้นหรือ? แล้วเขามาที่นี่ด้วยหรือเปล่า?” เธอเอ่ยถาม

 

“บอสก็มาที่นี่ด้วย” เหล่าปืนพกกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

 

แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก

 

พร้อมกับปืนกลที่กระโจนเข้ามา

 

“เทสส์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ พอได้รับข่าวจากคุณ ฉันก็รีบพาคนของฉันออกจากเทือกเขาช้างเผือกมาเลย”

 

“อ่าว แล้วเจ้าไก่ไม่ได้อยูที่นี่ด้วยงั้นหรอ? คนๆนั้นหายไปไหนกัน?” ปืนกลเอ่ยถาม

 

“เขาถูกขับไล่ออกไปโดยสัญลักษณ์ของราชามาร เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาถูกส่งไปที่ไหน” เทสส์กล่าว

 

“เลดี้โปรดมั่นใจ กองกำลังพันธมิตรโลก 900 ล้านชั้นกำลังรวมตัวกันแล้ว และบางส่วนก็ได้แยกตัวออกไปสนับสนุนแบรี่กับทะเลเลือด”

 

“แบรี่กับ … ทะเลเลือดงั้นหรอ? พวกเขาไม่ถูกกันนี่ แล้วจะไปต่อสู้ด้วยกันได้อย่างไร?”

 

“เพราะผู้รับใช้ราชามารได้ปรากฏตัวขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีมารที่แท้จริงอันน่าสะพรึงเข้าร่วมการต่อสู้อีกด้วย นี่เป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่จำต้องละทิ้งเรื่องแคลงใจกันเอาไว้ก่อน ฉันเกรงว่าการต่อสู้ขั้นแตกหักระหว่างโลก 900 ล้านชั้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้น”

 

“สถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายมาก ส่วนตัวฉันกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเลดี้ ดังนั้นฉันจึงรีบมาที่อัลเบอัสก่อนเป็นอันดับแรก” ปืนกลกล่าว

 

“และขอขอบคุณที่เจ้ามา มันทันเวลาพอดีเลย” เทสส์ถอนหายใจ

 

“นี่ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด ถ้าต้องเทียบกับการที่ออกไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าหวาดกลัว”

 

ขณะกล่าว ปืนกลก็ชี้ปลายกระบอกไปทางทริสเต้

 

“สหายตัวน้อยทริสเต้ ฉันขอแนะนำให้คุณไปนั่งลงบนโซฟาดีๆ และอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะพลั้งมือยิงออกไป จนร่างของคุณกระจุยจนไม่เหลือแม้กระทั่งเส้นผม”

 

ในเวลานี้ ทริสเต้ก็เข้าใจได้ในที่สุด

 

แต่เดิม กลับกลายเป็นว่าแผนการทั้งหมดของตนเอง ได้ถูกล่วงรู้แล้วโดยฝ่ายตรงข้าม

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนทรงอำนาจที่มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น เธอก็ไม่มีความคิดที่จะต่อต้าน

 

ทริสเต้ก้าวช้าๆไปที่โซฟา แล้วนั่งลง

 

ทว่าแม้จะเผชิญหน้ากับปากกระบอกปืนนับสิบ แต่เธอก็ยังยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย

 

“ส่งมอบโลกสมบัติของเจ้ามา” เทสส์กล่าวทันที

 

“เลดี้เทสส์ ไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้โลกอยู่ในมือของข้า” ทริสเต้ที่กำลังกุมบอลคริสตัลกล่าว

 

“ถ้าแกกล้าเล่นตุกติกล่ะก็ ฉันจะฆ่าแกซะ” ปืนกลสาดเสียงเย็น

 

“ข่มขู่ชีวิตข้าแล้วมันอย่างไร? หากเจ้าคิดลงมือ ข้าก็ยินดีมอบชีวิตของข้า เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่โลกนับล้านล้านใบตกอยู่ภายใต้ระบบของราชามาร”

 

“เราจะไม่ฆ่าเจ้า ตราบใดที่เจ้ายอมมอบโลกที่แสนอันตรายใบนั้นมา” เทสส์พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง

 

แต่ทริสเต้กลับยิ้มออกมาด้วยความสุข มันเป็นรอยยิ้มที่แฝงความบ้าคลั่งเอาไว้เล็กน้อย

 

“เจ้ายังไม่ชัดเจนอีกหรือ? ตอนนี้โลกสมบัติอยู่ในมือของข้า  มันคือระเบิดเวลาที่จะใช้ตัดสินชะตาของโลกนับล้านๆใบ หากเจ้ากล้าที่จะลงมือ ข้าเองก็พร้อมที่จะจุดระเบิด และตายไปพร้อมกับมัน!”

 

เทสส์กับปืนกลหันมามองหน้ากัน และสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ในโลกสมบัติของทริสเต้

 

บนพื้นที่ราบลุ่ม

 

ลอร่ากำลังเร่งตรวจสอบอาวุธของเหล่าทหาร

 

“ฮ็อดจ์ กระบี่ของเจ้าไม่ดีเลย”

 

“แต่นี่คือกระบี่รุ่นมาตรฐานที่ดีที่สุดของกองทัพนะฝ่าบาท”

 

“ไม่ จงเอานี่ไป นี่คือกระบี่ชั้นมหากาพย์ เรียกว่ามังกรแดงยมทูต แล้วก็เอานี่ไปอีก … ”

 

“ … ขอบพระทัยฝ่าบาท”

 

“โนเวีย ทำไมเจ้าถึงยังใช้ไม้เท้านี้อยู่อีก?”

 

“กระหม่อมพกมันติดตัวเสมอมา – อีกอย่างไม้เท้ามนตรานี่ก็เป็นเอกลักษณ์ของกระหม่อนะฝ่าบาท”

 

“แต่สงครามขั้นแตกหักกำลังจะเกิดขึ้น เจ้าไม่ควรใช้มัน เอ้านี้ นี่คือไม้เท้ามนตราชั้นมหากาพย์ เรียกว่าบทบรรเลงชีวิตแห่งป่ามรกต รับไปซะ”

 

“แต่ฝ่าบาท เจ้าสิ่งนี้มันหนักเกินไป”

 

“งั้นก็เปลี่ยน – เอาไม้เท้าอันนี้ไป มันเรียกว่านิพพานแห่งหงสา ทั้งเรียวและเบากว่า น่าจะเหมาะกับการใช้งานของเจ้า”

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

 

กู่ฉิงซานก้าวเข้ามาและเอ่ยถาม “พวกคุณติดต่อกับอีเลียได้ไหม?”

 

หญิงในชุดคลุมยาวกล่าว “ข้าพึ่งได้รับข้อความจากนายพลอีเลีย นายพลกล่าวว่าแม้ท่านจะเศร้าใจกับการตัดสินใจขององค์หญิง แต่ก็รู้สึกปลื้มปิติในขณะเดียวกัน”

 

“บอกเธอว่าไม่ต้องเศร้าใจไป ขอให้เร่งจัดขบวนทัพให้ดี เมื่อไหร่ที่พวกเราส่งสัญญาณ ก็ขอให้ออกจากเมืองมาเข้าร่วมกับพวกเราทันที”

 

หญิงในชุดคลุมยาวพยักหน้า เธอหยิบใบไม้สีขจีออกมา และเริ่มพึมพำอย่างแผ่วเบา

 

ในความเป็นจริงแล้ว เธอคิดว่านี่มันบ้ามากๆ

 

กองทัพภูติผีครอบคลุมตลอดทั้งที่ราบลุ่มและภูเขา คาดคำนวณก็คงมีราวๆนับสิบล้าน

 

ด้วยตนเองและจำนวนคนเท่านี้ ต่อให้จัดขบวนทัพอย่างดี ไม่ต้องกล่าวถึงทะลวงฝ่ากองทัพศัตรูไป แต่พวกเธอคงจะถูกฆ่าตายทันทีที่เกิดการปะทะ

 

—อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้กล่าวว่าเขาต้องการจะฝ่าเข้าไปสมทบกับเมืองไห่เช่า?

 

ลอร่าเอ่ยถาม “กู่ฉิงซาน ทำไมต้องส่งข้อความแบบนั้นหาอีเลียด้วย? ทำไมพวกเราไม่ฆ่าพวกมาร ไปสมทบกับคนในเมือง แล้วค่อยมาร่วมกันวางกลยุทธ์รับมืออีกครั้งล่ะ?”

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังกองทัพสัตว์ประหลาดผีที่ค่อยๆใกล้เข้ามา ก่อนจะเบนมองออกไปยังตัวเมืองที่อยู่ไกลออกไป

 

“เพราะเมืองกำลังจะแตก” เขากล่าว

 

ฝูงชนโดยรอบ พอได้ยินก็หันไปอีกทางทันที

 

แท้จริงแล้วตนเองและคนอื่นๆมัวแต่มุ่งความสนใจไปกับกองทัพที่กำลังมุ่งเข้ามา โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าป้อมปราการบนภูเขา ตรงกำแพงเมืองได้ถูกยึดครองโดยสัตว์ประหลาดผีไปแล้ว

 

พวกมันสามารถปีนขึ้นไปยึดตำแหน่งสูงสุดของกำแพงเมืองได้แล้ว และกำลังจะโถมกระแสทัพเข้าสู่ตัวเมืองไห่เช่า!

 

ในขณะนี้ ใบไม้สีขจีในมือของหญิงในชุดคลุมยาวก็ส่องสว่างขึ้น

 

หญิงในชุดคลุมยาวหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ถามกู่ฉิงซานอย่างเร่งรีบ “นายพลกล่าวว่าท่านได้จัดขบวนทัพชุดสุดท้ายเอาไว้แล้ว และเตรียมพร้อมที่จะออกมานอกเมืองเพื่อเข้าร่วมกับเรา และท่านถามว่าสัญญาณของพวกเราคืออะไร”

 

ทุกคนมองมายังกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

 

มนุษย์ผู้นี้ต้องการที่จะพลิกสถานการณ์

 

และต้องการที่จะไปช่วยเมืองๆนั้น

 

เขาบอกว่าตนจะพาองค์หญิงลอร่าเข้าร่วมต่อสู้ และคิดหาหนทางคว้าชัยชนะ

 

นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว

 

ข้อเท็จจริงกำลังจะถูกพิสูจน์ว่าคนๆนี้กำลังหลอกลวงองค์หญิงให้ตามืดบอด หรือจะมีวิธีการอื่นเตรียมไว้จริงๆกันแน่

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่วางลอร่าลงบนไหล่เขา และกระโจนเบาๆขึ้นไปบนหลังม้า

 

เขาตะโกนสั่งทุกคนเสียงดัง “เตรียมตัวให้พร้อม พวกเราจะมุ่งไปยังเมืองไห่เช่าในลมหายใจเดียว”

 

เหล่าทหารเร่งตรวจสอบอุปกรณ์ของพวกตนอย่างรวดเร็ว และทำการเรียกม้าศึก

 

เมื่อทุกคนขึ้นไปบนหลังม้า กองทัพภูติผีฝ่ายตรงข้ามก็มาถึง

 

พวกมันอยู่ห่างจากกู่ฉิงซานและคนอื่นๆราวหนึ่งกิโลเมตร หลังจากชะงักไปเพื่อทำการตรวจสอบเล็กน้อย พวกมันก็เร่งมุ่งหน้าต่อทันที

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูแค่สิบกว่าคน พวกผีคิดว่าเพียงแค่กองทัพตนช่วยกันวิ่งเหยียบศัตรูคนละก้าว คนละก้าว ก็เพียงพอที่จะบดขยี้อีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์

 

ในเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานก็หันไปพูดกับหญิงในชุดคลุมยาว “บอกนายพลอีเลีย ให้เธอคอยสัญญาณจากสายลม”

 

“ … สายลมงั้นหรือ?”

 

หญิงในชุดคลุมยาวที่นั่งอยู่บนหลังม้า หยิบใบไม้ขจีขึ้นมาและพูดไม่กี่คำลงไปทันที

 

“ถูกต้องแล้วล่ะ เมื่อสายลมปรากฏขึ้นถึงเมืองไห่เช่า เธอก็สามารถเริ่มการโจมตีแล้วมาเข้าร่วมกับพวกเราได้เลย” ว่าจบ กู่ฉิงซานก็ดึงดาบพิภพออกมา

 

“ทุกคน บุกได้!” เขาตะโกนลั่น

 

“ไปเลย!” ลอร่าตะโกนพร้อมกับชูกำปั้นน้อยๆของเธอ

 

ม้าทมิฬทะยานตัวออกไปทิ้งไว้เพียงฝุ่นผง พุ่งเข้าเผชิญหน้ากับกระแสภูติอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว

 

“พิทักษ์องค์หญิง!”

 

ทหารพิทักษ์หลายคนกัดฟันของตนเอง และสะบัดบังเหียนไล่ตามม้าทมิฬไป

 

แม้ว่าแทบจะไร้ซึ่งความหวัง แต่องค์หญิงก็อยู่บนม้าทมิฬ

 

ในเมื่อพวกเขาได้รับการอัญเชิญออกมาเพื่อรับภารกิจช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วยความจงรักภักดี ทั้งหมดจึงไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก

 

ทุกคนพร้อมที่จะตายในสนามรบ

 

บนพื้นราบฟุ้งไปด้วยฝุ่งผง ทหารม้าสิบกว่าคนพุ่งเข้าหากองทัพสัตว์ประหลาดผีอย่างไม่คิดจะหยุดยั้ง

 

ใบหน้าอันแสนสะพรึงของเหล่าภูติผีค่อยๆเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

 

ลอร่ามองไปยังกระแสคลื่นภูติผีที่ราวกับไม่มีสิ้นสุด ความหวาดกลัวก็เริ่มแทรกเข้ามาในจิตใจ

 

เธอกระซิบถามกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ “ตอนนี้ เอาจริงๆพวกเราอาจจะต้องตายในสนามรบก็ได้นะ”

 

“ไม่หรอกน่า” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาสั่งการในจิตใจ และสองดาบที่เหลือก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

ในขณะเดียวกัน บนหน้าต่างเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“การสั่งสมแต้มพลังของคุณมีทั้งสิ้น 36 เท่า”

 

“คุณสามารถปลดปล่อยค่ายกลไท่หยีที่สั่งสมแต้มพลังกว่า 36 เท่าได้”

 

“เพื่อที่จะปลดปล่อยอำนาจอันทรงพลังนี้ คุณจำเป็นต้องจ่าย 100000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนค่ายกลดาบดังกล่าว”

 

“ฉันจ่าย!” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างราบเรียบ

 

“แต้มพลังวิญญาณของคุณได้เตรียมการเสร็จสิ้นแล้ว หากต้องการใช้งาน คุณสามารถถ่ายเทแต้มพลังวิญญาณลงในดาบบินได้เลยในทันที” ระบบเทพสงครามกล่าว

 

กู่ฉิงซานยิ้ม และปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงในดาบบินทั้งสาม

 

ในความว่างเปล่า สามดาบบินพลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง

 

พวกมันส่งเสียงกระหึ่มขึ้นพร้อมกัน คล้ายกับกำลังกระตือรือร้นที่จะต่อสู้

 

“มาเถอะ เริ่มกันเลย” กู่ฉิงซานกระซิบแผ่วเบา

 

ท่ามกลางความเงียบ สามดาบวูบไหวในทันใด

 

“นี่คือ .. สายลมที่ว่าอย่างงั้นหรือ?”

 

ลอร่ารู้สึกได้ถึงมัน เธอสับสนเล็กน้อยในตอนแรก แต่แล้วดวงตาของเธอเปล่งประกายขึ้นทันใด

 

เพราะเด็กสาวจดจำได้ว่านี่คือสกิลดาบที่ครั้งหนึ่งกู่ฉิงซานเคยใช้มันถล่มเมืองทั้งเมืองให้หายไป!

 

—และตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ได้ขอให้อีเลียเฝ้ารอสัญญาณจากสายลม

 

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง

 

ปรากฏว่ายังไม่สิ้นหวังซะทีเดียว!

 

ลอร่ากลับมามีชีวิตชีวา เธอเริ่มตื่นเต้นอย่างไม่อาจระงับได้

 

เด็กสาวหันไปมองรอบๆ

 

เห็นแค่เพียงทหารวิหคคนแล้วคนเล่าที่แสดงออกถึงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

 

นั่นเพราะพวกเราก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างเช่นกัน

 

ในความว่างเปล่า เริ่มบังเกิดกระแสของสายลมขนาดใหญ่ขึ้น

 

นี่คือดาบสายลมอันน่าทึ่งและมิอาจต้านทานได้!

 

ลอร่ากุมไม้เท้ามนตราในมือ ลุกขึ้นยืนบนไหล่ของกู่ฉิงซาน ตะโกนลั่นไปยังทหารพิทักษ์โดยรอบ

 

“สายลมได้ปรากฏขึ้นแล้ว! ทุกคนจงตามเรากับกู่ฉิงซานมา และร่วมกันปะทะ บุกไปข้างหน้า!”

 

“เพื่อองค์หญิง!!” ทหารพิทักษ์ตะโกนลั่น

 

แล้วม้าศึกของพวกเขาก็เริ่มเร่งความเร็วมากขึ้น

 

ทุกคนทุ่มกำลังทั้งหมดที่มี ทะยานเข้าหากองทัพภูติผีอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า!

Ep.572 – จิตวิญญาณของทุกสิ่ง

 

ภายในโรงแรมอัลเบอัส

 

ตรงส่วนของโซนที่นั่งพิเศษ

 

จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ เลดี้เทสส์ กำลังใช้สมองตริตรองอยู่

 

เมื่อครู่นี้บนระเบียงสูง เธอได้ล่วงรู้ถึงความจริงอันน่าตกใจ

 

แต่น่าเสียดาย ที่เวลามันกระชั้นชิดเกินไป ทำให้เธอมีเวลาคุยกับลอร่าเพียงไม่กี่สิบวินาทีเท่านั้น

 

จริงอยู่ที่ลอร่าได้บอกเล่าเรื่องราวตื้นลึกหนาบางจนกระจ่างชัดให้แก่ตนเอง แต่-

 

เด็กสาวตัวน้อยกลับไม่ได้บอกเธอ ว่าซ่อนโลกเอาไว้ที่ไหน

 

เลดี้เทสส์ขมวดคิ้วมุ่น

 

ในฐานะที่เป็นตัวตนทรงอำนาจ เธอจึงย่อมตระหนักถึงกุญแจสำคัญในครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็ว

 

‘จะต้องไม่ปล่อยให้ทริสเต้ค้นพบโลกสมบัติก่อนตัวเอง!’

 

มิฉะนั้น หากทริสเต้ได้มันกลับคืน และเปิดโลกในมือออกมาโดยตรง เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ก็มาแพร่กระจายขึ้นในอัลเบอัส

 

แต่ .. ลอร่าไปซ่อนโลกใบที่ว่าไว้ที่ไหนกันแน่นะ?

 

ปัญหานี้มันน่าปวดหัวเสียจริงๆ

 

หากไม่อาศัยเทคนิคมนตราที่ใช้ตอบโต้เทคนิคแทนที่โชคชะตา ตัวเธอเองก็ไม่สามารถกลับไปยังโลกสมบัติได้อีกครั้ง หรือก็คือไม่สามารถเข้าไปถามไถ่ลอร่าได้นั่นเอง

 

แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว เราจะต้องค้นหาโลกใบนั้นให้เจอให้จงได้!

 

เลดี้เทสส์เหลือบมองไปยังไก่ใหญ่ ในใจคิดจะขอความช่วยเหลือ

 

เห็นแค่เพียงไอ้ขี้เมาที่กำลังกอดขวดไวน์ด้วยสีหน้าเศร้าๆ จะมีบ้างที่ยกไวน์มาจิบขึ้นเป็นครั้งคราว

 

-ลืมมันเถอะ นอกจากสภาพจะดูไม่ได้แล้ว เขายังเป็นพวกปากสว่าง คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้า แบบนี้ถ้าทริสเต้มาเห็นแล้วจับสังเกตได้ คงโป๊ะแตกกันพอดี

 

เรื่องนี้ เธอคงต้องพึ่งตัวเอง

 

เทสส์ลุกขึ้น และเดินวนไปมารอบๆห้องที่นั่งโซนพิเศษ

 

มาทบทวนกันซักหน่อย ก่อนอื่นเลย

 

ลอร่าอยู่กับกู่ฉิงซาน

 

แต่กู่ฉิงซานมาที่นี่ ก็เพื่อตามหาแฟนสาวของเขา

 

เรื่องราวทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้น จากการที่กู่ฉิงซานปรากฏมาขอความช่วยเหลือ

 

ในเมื่อเขามาทำธุระสำคัญที่นี่ เขาก็ไม่สมควรที่จะเอ้อระเหยไปมา

 

ถ้าอย่างนั้น …

 

สรุปได้ว่า กู่ฉิงซานสมควรที่จะนั่งอยู่ภายในโซนพิเศษของพวกเชื้อพระวงศ์นี่แหละ

 

แต่เดี๋ยวก่อนนะ

 

ถ้ากู่ฉิงซานอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก แล้วเขาจะเข้าไปในโลกของทริสเต้ด้วยกันกับลอร่าได้ยังไง?

 

เลดี้เทสส์หยุดฝีเท้า สายตาสาดส่องไปรอบๆโซนที่นั่งอย่างเงียบๆ

 

ปากร่ายมนต์เสียงกระซิบ “ด้วยอำนาจแห่งทวยเทพ ขอจงประทานจิตวิญญาณให้แก่ทุกสรรพสิ่งด้วยเถิด”

 

บังเกิดลวดลายน้ำที่มองไม่เห็นผุดออกมาจากร่างกายของเธอ แพร่กระจายไปตลอดทั้งโซนที่นั่ง

 

แต่ทุกสิ่งยังคงเงียบในวินาทีแรก

 

วินาทีที่สอง

 

วินาทีที่สาม

 

“เอาล่ะ มีใครสามารถบอกเราได้บ้างว่าทั้งสองคนนี้เคยอยู่ที่นี่หรือไม่?” 

 

เลดี้เทสส์ผายมือออกไป

 

รังสีมรกตควบรวมกันเป็นภาพของลอร่าและกู่ฉิงซาน ยืนนิ่งอยู่บนฝ่ามือของเธอ

 

“อ่า ถ้าสองคนนี้ล่ะก็ฉันเห็นพวกเขานะ”

 

เสียงที่ฟังดูทื่อๆดังขึ้น

 

มันเป็นเสียงที่ดังออกมาจากขวดไวน์ในมือของไก่ใหญ่

 

เจ้าไก่สะดุ้ง เร่งโยนขวดลงบนโต๊ะด้วยความตกใจ

 

ขวดไวน์หมุนไปบนโต๊ะอยู่หลายตลบ ก่อนที่สุดท้ายมันจะผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่มั่นคง

 

ขวดไวน์เปล่งเสียงออกมา “ฉันเคยเห็นเด็กผู้ชายในภาพ และต้องบอกว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญในการดื่มอย่างแท้จริง เพียงกวาดสายตามองมาที่ฉันกับไวน์ขวดอื่นๆ เขาก็สามารถระบุถึงรสชาติของพวกเราได้อย่างง่ายดาย”

 

“ใช่ เป็นอย่างที่พูด”

 

“ถูกเผงเลย”

 

“ฉันเห็นด้วยกับมันนะ”

 

ภายในถังน้ำแข็ง จิตวิญญาณขวดไวน์เปล่งเสียงตอบโต้กันไปมา

 

“แล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ล่ะ มีใครเห็นเธอบ้าง?” เลดี้เทสส์เอ่ยถาม

 

ขวดไวน์ตอบ “สำหรับเรื่องของเธอฉันไม่ค่อยแน่ใจ เพราะเธอมักจะปรากฏตัวขึ้นและหายไปเป็นพักๆ จนฉันคิดว่าตาฝาดไป”

 

“หมายความว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นหรือ?” เลดี้เทสส์ถามต่อ

 

“เปล่า เธออยู่ที่นี่แน่ๆ นั่งอยู่บนร่างของฉันนี่แหละ” โซฟาเดี่ยวขัดจังหวะ

 

เทสส์หันไปมองโซฟา

 

ภายในโซนที่นั่งพิเศษ เต็มไปด้วยโซฟาขนาดใหญ่ไว้คอยอำนวยความสะดวกสบายอยู่ทุกที่ แต่โซฟาเดี่ยวที่เปล่งเสียงออกมา มันตั้งอยู่ในตำแหน่งมุมซึ่งไม่เป็นที่สนใจมากที่สุดภายในห้องนี้

 

ถ้าอย่างงั้นลอร่าก็อยู่ในโซนพิเศษมาโดยตลอดเลยสิ?

 

เลดี้เทสส์ “แล้วเธอออกไปจากห้องรึเปล่า? ไปกับเด็กผู้ชายอีกคนใช่ไหม?”

 

“ทั้งหมดที่ฉันรู้มีแค่ว่าเธออยู่ที่นี่ และสุดท้ายเธอจะออกไปหรือไม่ คุณคงต้องไปถามบานประตูเอง” โซฟาเดี่ยวพูด

 

ประตูห้องเข้าร่วมวงสนทนาทันที “ไม่ พวกเขาไม่ได้ออกจากห้องนี้ เพราะถ้าพวกเขาออกไป ฉันจะต้องรู้”

 

เลดี้เทสส์ยิ้ม “ดีล่ะ พวกเราใกล้คำตอบเข้าไปอีกก้าวแล้ว – ตอนนี้มีใครสามารถบอกเราได้ไหมว่าพวกเขาไปที่ไหน?”

 

แต่เสียงในห้องกลับหายไป

 

เลดี้เทสส์เฝ้ารออยู่สักพักหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครตอบเธอ

 

เธออดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจอย่างลับๆ

 

เฟอร์นิเจอร์เหล่านี้เป็นวัตถุทั่วๆไป ดังนั้นพวกมันจึงมิได้มีพลังอะไรมากมาย ไม่ต้องกล่าวถึงจิตวิญญาณของการดำรงอยู่ แม้ว่าตัวเทสส์จะสำแดงเทคนิคมนตราด้วยตนเอง แต่การตอบสนองของพวกเขาก็ยังเฉื่อยชามาก หากไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับตนเอง ก็ยากนักที่จะนึกคิดได้

 

นี่ไม่มีใครรู้เรื่องของทั้งสองมากไปกว่านี้แล้วเลยหรอ?

 

ขณะกำลังขบคิด จู่ๆเทสส์ก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ

 

เธอหันขวับไปอย่างแรง แล้วดวงตาของเธอก็ตกลงบนเค้ก 20 ชั้นขนาดใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะ

 

“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเป็นอะไรไป?”

 

เทสส์เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

 

เค้กชิ้นนี้ เดิมทีมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีจิตวิญญาณ แต่ตอนนี้มันกลับส่งเสียงสะอื้นไห้

 

“ฉัน .. ฉันรู้สึกเสียใจ” เค้กกล่าว

 

“ทำไมเจ้าถึงเสียใจ?”

 

“เพราะทั้งสองคนนั้นดูเหมือนจะสนใจฉัน และฉันอุส่าห์ปลดปล่อยกลิ่นอันหอมหวานของครีมและผลไม้ แต่สุดท้ายพวกเขากลับไม่ได้ลิ้มรสฉัน”

 

“แล้วทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนั้น?”

 

“เพราะพวกเขาซ่อน-”

 

ขณะกำลังรับฟัง สีหน้าของเทสส์ก็แปรเปลี่ยนไป

 

ทริสเต้กำลังมา!

 

เทสส์วาดมือออก ยกเลิกมนตรานี้ ปากเร่งเอ่ยคาถาอย่างรวดเร็ว “กระแสวิญญาณของทุกสรรพสิ่งจงหายไป กลับคืนสู่ดินแดนแห่งความเงียบดังเดิม!”

 

นี่คือเทคนิคป้องกันที่ใช้ซ่อนลมหายใจ มันจะช่วยปิดซ่อนกลิ่นอายและความผันผวนทั้งหมดเอาไว้ชั่วคราว

 

แม้กระทั่งเทสส์เองก็ไม่สามารถทะลวงเทคนิคมนตรานี้ เพื่อตรวจสอบถึงความลับที่ซ่อนอยู่ภายในของมันได้

 

นั่นหมายความว่า หากทริสเต้มา เธอเองก็ไม่มีทางตรวจสอบมันได้เช่นกัน

 

ท่ามกลางช่วงเวลาฉุกละหุก ทริสเต้ก็ปรากฏตัวขึ้นในห้อง

 

สีหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดี ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “แท้จริงแล้วมันก็ถูกซ่อนเอาไว้ที่นี่ … ”

 

เธอเดินมาที่โต๊ะ และหยิบขวดไวน์ ผลไม้ แจกัน ฯลฯ ขึ้นมาจับดู

 

-ไม่ใช่งั้นหรือ?

 

น่าแปลก เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึง ‘การเรียกขานของวิหคหนาม : อัญเชิญทหารพิทักษ์’ ขององค์กษัตริย์ ปรากฏขึ้นในโลกของตนเอง และยังมาจากภายในห้องนี้

 

อย่างไรก็ตาม จู่ๆความผันผวนของเทคนิคมนตราที่ว่ากลับหายไปอย่างกระทันหัน?

 

ทริสเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

 

เธอตรวจสอบสิ่งต่างๆบนโต๊ะอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เจอมัน

 

ขณะที่เทสส์แม้จะนั่งอยู่อย่างเงียบๆ แต่สายตาของเธอก็เลื่อนตามอีกฝ่ายไปตลอด พร้อมกับภายในหัวใจที่กำลังขบคิดอย่างรวดเร็ว

 

พวกเขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน?

 

แล้วเพราะอะไร ทำไมจิตวิญญาณของเค้กถึงได้ร้องไห้?

 

น่าเสียดายจริงๆ เกือบที่จะรู้ความจริงอยู่แล้วเชียว

 

ถัดมา ภายใต้การจ้องมองของเทสส์ ทริสเต้ราวกับคนบ้า เธอตรวจสอบของทุกอย่างในห้องอย่างอย่างคลุ้มคลั่ง

 

-แต่ก็ยังไม่ค้นพบโลกของตัวเอง

 

ไม่นะ ก็ชัดเจนแล้วว่ามันอยู่ที่นี่!

 

ตั้งแต่ที่เทคนิคมนตราการเรียกขานของวิหคหนามปรากฏขึ้นในโลกของตัวเอง เทคนิคปกปิดที่ผนึกมันไว้ก็สมควรที่จะพังทลายลงแล้วนี่นา

 

แล้วทำไมกัน? ทำไมข้าถึงรู้สึกถึงมันได้เพียงชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็สูญเสียการรับรู้ตำแหน่งของโลกไป?

 

ทริสเต้พอคิดถึงจุดนี้ก็หันขวับอย่างดุร้าย จ้องมองไปยังจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์เลดี้เทสส์

 

หรือว่าจะเป็นเธอ …

 

“นั่นเจ้ากำลังมองหาอะไรอยู่?” เลดี้เทสส์เอ่ยถามเป็นคนแรก

 

ทริสเต้นเปิดปากกล่าว “บางทีเจ้าอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้นะ ว่าข้ากำลังหาสิ่งใด”

 

เทสส์เผยถึงรอยยิ้มแย้มบนใบหน้า “แน่นอน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังตามหาลอร่า และยังขอให้ข้าช่วยอีกด้วย”

 

“เมื่อครู่ ข้าสัมผัสได้ว่าเธออยู่ที่นี่”

 

“เช่นนั้นสัมผัสของเจ้าคงผิดแล้วล่ะ พวกเราอยู่ที่นี่ตลอดเวลา แต่ไม่พบอะไรเลย”

 

“อย่างนั้นหรือ? แต่ภายในห้องนี้มันให้ความรู้สึกแปลกๆนะ ไม่รู้ว่าเจ้ารู้สึกถึงมันได้หรือไม่?”

 

“ขออภัยจริงๆ เราไม่รู้สึกอะไรเลย”

 

ทั้งสองจ้องตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะเบนมันออกไปมองรอบๆห้อง

 

‘ลอร่ากับกู่ฉิงซานไม่ได้ออกไปจากห้องนี้’ –นี่คือสิ่งที่เทสส์คิด

 

‘เห็นได้ชัดว่าเกิดความผันผวนทางเทคนิคมนตราของวิหคหนามจากในโลกของข้า และต้นตอมันมาจากโซนที่นั่งพิเศษในห้องนี้’ —นี่คือสิ่งที่ทริสเต้คิด

 

แล้วดวงตาของทั้งสองก็กลับมาสบกันอีกครั้ง

 

“เลดี้เทสส์ที่เคารพ ต้องการที่จะมองหาสถานที่พักผ่อนแห่งอื่นหรือไม่?”

 

“ก็ไม่นะ เราว่าที่นี่ก็สะดวกสบายดีอยู่แล้ว เจ้าเล่า? ไม่ใช่ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างต้องทำหรอกหรือ ไม่จำเป็นต้องมาใส่ใจกับทางนี้หรอก”

 

“อ้อ ข้าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักครู่ และปล่อยพวกปัญหาน่ารำคาญทิ้งไว้ข้างหลังไปก่อนน่ะ”

 

ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน และบังเกิดความคิดบางอย่างวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของแต่ละฝ่าย

 

แท้จริงแล้ว .. โลกสมบัติถูกซ่อนอยู่ตรงไหนกันแน่นะ?

 

Ep.571 – การเรียกขานของวิหคหนาม

 

แสงทองเรืองรองบนท้องฟ้า ส่องสว่างลงมาครอบคลุมทั่วผืนดิน

 

ภายใต้แสงสว่างสุกสกาวของกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพ ผีแห่งความอลหม่านนับอนันต์กำลังร่วงตกลง

 

เมื่อหลุดเข้ามาได้ พริบตาเดียวพวกมันก็แพร่กระจายไปตลอดทั้งผืนฟ้า

 

ในขณะเดียวกัน ม้าทมิฬก็กำลังวิ่งตัดผ่านผืนป่า

 

แต่ด้วยความว่องไวของมัน ทำให้เพียงไม่กี่นาทีก็สามารถออกมาจากป่าและเข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มได้

 

ไกลออกไปสุดสายตา ปรากฏให้เห็นถึงภูเขาสูงตระหง่านตั้งอยู่ปลายสุดของพื้นราบลุ่ม 

 

ทว่าบริเวณตีนเขา เวลานี้ดันถูกปิดล้อมโดยสัตว์ประหลาดผีนับไม่ถ้วน พวกมันเริ่มก่อขบวนโอบล้อมกันอย่างช้าๆ

 

เมืองไห่เช่าน่ะอยู่บนภูเขา ดังนั้นการกรีฑาทัพของกองทัพผีจึงเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า

 

“พวกกองทัพผีมีมากเกินไป ข้าไม่อาจวิ่งฝ่าไปได้ สมควรจะทำเช่นไรต่อไปดี?”

 

ม้าทมิฬเอ่ยถามขณะวิ่ง

 

“วิ่งต่อไป ขอข้าทดลองอะไรบางอย่างดูก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขากวักมือเรียกดาบพิภพ และมันก็ควงอากาศกลับมาตกลงในมือของเขา

 

กู่ฉิงซานชูดาบขึ้น ชี้ปลายแหลมของมันไปบนท้องฟ้า

 

สายฟ้าเริ่มส่องประกายเปรี๊ยะๆบนดาบของเขา

 

นอกเหนือไปจากแสงสีทองที่สาดลงมาจากท้องฟ้าแล้ว ก็ยังมีแสงสีน้ำเงินขาวสว่างไสวปรากฏขึ้นอีกหนึ่งบนผืนดิน

 

ซึ่งหากมองจากระยะไกล สายฟ้ากลุ่มนี้เป็นสัญญาณไฟที่เด่นสะดุดตาอย่างชัดเจน

 

“ไม่มีการตอบสนอง! เมืองไห่เช่าไม่ตอบสนองพวกเราเลย!” เหลาเจียวตะโกน

 

‘นี่พวกเขาไม่เห็นมันอย่างงั้นหรือ?’

 

กู่ฉิงซานพึมพำ และเริ่มกระตุ้นธาตุสายฟ้า ปลดปล่อยมันออกมาอย่างรุนแรง

 

ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่

 

กลุ่มก้อนสายฟ้าระเบิดเสียงแสบแก้วหู พวยพุ่งขึ้นเป็นเสาแสงสีน้ำเงินขาวทะลวงขึ้นสู่เมฆเบื้องบนโดยตรง

 

คราวนี้ แม้แต่คนตาบอดก็ยังสามารถสัมผัสได้พลังของสายฟ้าในชั้นอากาศ

 

และแล้วเมืองไห่เช่าที่ตั้งอยู่บนภูเขา ในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหว

 

กู่ฉิงซานเห็นร่างๆหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีมรกต ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า

 

“นั่นอีเลียนี่! เป็นเธอ!” ลอร่าลอร่าอุทานด้วยความสุข

 

“ในที่สุดเธอก็เห็นพวกเรา” กู่ฉิงซานเองก็โล่งใจเช่นกัน

 

ร่างที่เปล่งประกายชั้นแสงมรกตจางๆ อ้าปากเปล่งคาถา สั่นสะเทือนไปทั้งสี่ทิศ

 

“ตัวข้า เหมันต์ยามค่ำอีเลีย ขอทำการเรียกขานพวกเจ้า ด้วยเทคนิคมนตราแห่งสายเลือดของกษัตริย์แห่งหนาม”

 

“รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย จงสดับฟังเสียงเรียกขาน และนำพาคนของข้ามายังที่แห่งนี้!”

 

“เป้าหมายก็คือ – อั๊ก!”

 

ร่างมรกตชะงักไปอย่างกระทันหัน และกระอักเลือดออกมา

 

กายเธอสั่นสะท้าน โซเซไปในอากาศ

 

ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

“อีเลีย!!”

 

ลอร่ากรีดร้อง

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานค่อยๆหม่นทะมึนลง

 

แต่ในท้ายที่สุด ร่างมรกตก็ชี้ไปยังตำแหน่งของม้าทมิฬ และพยายามตะโกนต่อว่า

 

“จงไปซะ ไปปกป้องสายเลือดกษัตริย์คนสุดท้ายของพวกเรา!”

 

สิ้นคำร่ายมนต์คาถา ร่างมรกตก็บินกลับเข้าไปในเมืองไห่เช่า

 

ขณะเดียวกัน เบื้องบนท้องฟ้าก็พลันเกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้น

 

ท่ามกลางมวลหมอกหนาภายใต้ร่มเงาของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ บังเกิด 7-8 จุดแสงไสวบรรจบเข้าด้วยกัน

 

จุดแสงเหล่านี้รวมตัวกันกลายเป็นดาวตก พุ่งตัดผ่านมิติและเวลา ร่วงลงมายังทิศทางของพื้นที่ราบลุ่ม

 

เมื่อถึงจุดหนึ่ง ดาวตกก็สาดแสงสดใส บังเกิดเสียง ‘ปัง!’ และความเร็วของมันก็เร่งขึ้นอย่างกระทันหัน

 

พร้อมกันกับเสียง ‘ปัง!’ ดาวตกที่ร่วงหล่นก็เริ่มปริแตก

 

กระทั่งกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพก็ยังแยกออก และปล่อยให้ดาวตกลูกนี้หล่นลงมาในโลก

 

“กำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพไม่ได้ขวางกั้นมัน … เหตุผลก็คงจะเป็นเพราะ นี่คือการอัญเชิญจากในโลกใบนี้ใช่ไหม?” กู่ฉิงซานพึมพำ

 

“ใช่ นี่แหละคือการเรียกขานของวิหคหนามล่ะ” ลอร่ากล่าวด้วยสีหน้ากังวล

 

ป้อมปราการที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ถูกปิดล้อมไปด้วยสัตว์ประหลาดผี เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ช่างล่อแหลมยิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าอีเลียจะทนต่อไปได้หรือไม่

“ว่าไงนะ? นี่คือการเรียกขานของวิหคหนามอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างคาดไม่ถึง

 

“ก็อย่างที่เจ้าทราบ วิหคหนามสามารถเรียกผู้คนจากทั่วทุกชั้นโลก เพื่อให้มาจัดการปัญหาบางอย่างของตัวเองได้ ซึ่งนั่นก็เป็นการเรียกขานผู้คนจากภายนอกเช่นกัน”

 

ลอร่ายังคงอธิบายต่อว่า “การเรียกขานของวิหคหนาม แท้จริงแล้วเป็นเทคนิคมนตราอัญเชิญนั่นเอง”

 

“เทคนิคมนตรางั้นหรือ?”

 

“ใช่ การเรียกขานของวิหคหนาม แท้จริงแล้วเป็นเทคนิคมนตราของสายเลือดราชวงศ์หนาม ที่จะถูกปลุกขึ้น เมื่อก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่”

 

“และเทคนิคมนตราของสมาชิกราชวงศ์แต่ละคน ที่ถูกปลุกขึ้นมาจะแตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วจะถูกเรียกกันว่า ‘การเรียกขานของวิหคหนาม’ ”

 

“ส่วนอีเลีย เธอได้รับสิทธิ์จากท่านพ่อของเรา ให้สามารถใช้งานเทคนิคมนตราเรียกขานของท่านพ่อได้”

 

“ราชวงศ์หนาม … ถ้าพูดแบบนี้ แสดงว่าฝ่าบาทก็สามารถสำแดงเทคนิคมนตราสายเลือดที่คล้ายกันได้เช่นกัน ใช่หรือไม่?”

 

“ไม่ เราทำไม่ได่”

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”

 

“เพราะรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์มันสูงเกินไป เราเลยไม่กล้าที่จะทำพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่กับมัน” ลอร่ายกมือขึ้นกุมใบหน้าของเธอ “และมีเพียงการเสร็จสิ้นพิธีกรรมจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ถึงจะสามารถปลุกเทคนิคสายเลือด การเรียกขานของวิหคหนาม ได้”

 

กู่ฉิงซานลูบหัวเธอ และไม่เอ่ยถามอีกต่อไป

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า

 

ดาวตกตัดผ่านมวลเมฆ และหล่นลงบนเส้นทางเบื้องหน้าม้าทมิฬ

 

“หยุด!” กู่ฉิงซานดึงสายบังเหียน

 

ม้าทมิฬเร่งยั้งฝีเท้า เบรคอย่างรุนแรง

 

– ตูม!

 

ฝุ่นผงกระพือว่อน

 

พร้อมด้วยสิบทหารติดอาวุธ และหญิงหกคนที่สวมใส่ชุดสีเขียวพร้อมกุมไม้เท้ามนตราในมือปรากฏตัวขึ้น

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดความตระหนักชัด

 

สามารถอัญเชิญพันธมิตรจากมิติและเวลาอันห่างไกลมายังมิติพิเศษของตนเองได้ นี่สินะที่เรียกกันว่า การเรียกขานของวิหคหนาม

 

เทคนิคอัญเชิญดังกล่าวนี้ จริงๆแล้วเป็นเทคนิคสายเลือดของกษัตริย์แห่งหนาม

 

ซึ่งแม้อีเลียจะได้รับสิทธิ์ให้ใช้มัน แต่เธอก็สามารถเรียกทหารมาได้แค่ 16 คนเท่านั้น

 

ทว่าหากเป็นกษัตริย์แห่งหนามที่ใช้ ‘การเรียกขานของวิหคหนาม’ ด้วยตนเอง เขาจะสามารถอัญเชิญกองทัพของตลอดทั้งอาณาจักรมาได้เลยในคราวเดียว!

 

แต่น่าเสียดาย ที่กษัตริย์ถูกลอบสังหารไปแล้ว

 

และตัวลอร่าเอง ก็ยังไม่ได้ปลุกสายเลือดราชวงศ์ให้ตื่นขึ้น

 

—แต่ต่อให้เธอปลุกสายเลือดขึ้นมาได้ มันก็ไม่แน่ซะหน่อย ว่าจะบังเอิญไปปลุกเทคนิคสายเลือดเดียวกันกับของพ่อเธอ จริงไหม?

 

เทคนิคมนตราที่เธอปลุกขึ้นมา มันอาจจะแตกต่างกันออกไปก็ได้

 

“มีแค่นี้เองงั้นหรอ พอจะเรียกกำลังเสริมมาอีกจะได้ไหม?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“ไม่ได้หรอก เพราะอีเลียไม่ใช่ราชวงศ์ และด้วยอำนาจที่ท่านพ่อของเรามอบให้ เธอสามารถทำได้เพียงเท่านี้” ลอร่ากล่าว

 

กู่ฉิงซานมองไปยังเหล่าวิหคที่พึ่งปรากฏกายขึ้น

 

ในกลุ่มนั้น มีทหารชายหญิงสิบนาย เขาและเธอสวมเครื่องแบบเป็นเกราะรบสีเงินและอาวุธ ในมือถืออาวุธชั้นยอด และทันทีที่ปรากฏตัว ทั้งหมดก็กระจายไปรอบๆ ตีวงล้อม หันหลังให้แก่พวกกู่ฉิงซาน รับหน้าที่คอยปกป้อง

 

เหล่าทหารจัดกระบวนทัพ เข้าสู่สภาวะพร้อมต่อสู้

 

—ขณะเดียวกัน กองทัพผีที่กำลังบุกขึ้นไปในเมืองก็สังเกตเห็นถึงเหตุการณ์ที่ว่านี้เช่นกัน

 

วิหคหญิงอีกหกคนในชุดคลุมยาวเดินมาหยุดเบื้องหน้าลอร่า โค้งกายลงคารวะพร้อมเพรียง

 

“องค์หญิงลอร่า เราได้ทำการสื่อสารกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แล้ว และมันก็ตกลงที่จะตระเตรียมการเคลื่อนย้ายมิติและเวลาจากระยะไกล เพื่อท่านโดยเฉพาะ” วิหคหญิงคนหนึ่งกล่าว

 

อีกห้าคนพยักหน้าให้กัน และเริ่มร่ายมนคาถา

 

พร้อมกันกับการเปล่งมนตราของพวกเธอ ม่านรังสีแสงก็ค่อยๆปรากฏขึ้น

 

มองลอดผ่านม่านแสงไป คุณจะสามารถเห็นได้ถึงกิ่งก้านไม้ที่ปกคลุมไปด้วยใบเขียวขจีจากอีกฝั่ง

 

จากม่านแสงนี้ สามารถมองเห็นได้เพียงกิ่งก้านขนาดใหญ่เท่านั้น ซึ่งนี่เป็นเพียงหนึ่งในร้อยของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ มิใช่ทั้งลำต้นของมัน

 

ลอร่ามองไปยังต้นไม้ใหญ่ ปากเอ่ยพึมพำ “กลับบ้านงั้นหรอ .. ”

 

วิหคหญิงชุดคลุมยาวกระตุ้นเตือน “ฝ่าบาท ได้โปรดกลับไปเถิด สถานที่แห่งนี้กำลังจะเข้าสู่สภาวะสงครามแล้ว”

 

ลอร่ามองไปยังบ้านเกิดของตนเองในม่านแสง และหันไปมองรอบๆอีกครั้ง

 

เห็นแค่เพียงกองทัพผีที่กำลังเคลื่อนพล เร่งตรงมายังทิศทางที่เธอยืนอยู่ด้วยความเกรี้ยวกราด

 

กองทัพผีเบียดเสียดกันดั่งคลื่นสึนามิ ที่โถมทับลงบนจุดใด พื้นที่ราบตรงจุดนั้นก็จะถูกทำลายล้าง คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นผง

 

พวกมันเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

ลอร่าก้าวมาหยุดอยู่หน้าม่านแสง ก่อนจะหันกลับมาทันทีและกล่าว “กู่ฉิงซาน เจ้ามากับเราสิ”

 

วิสัยทัศน์ของหกผู้ใช้มนตราหันมามองกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

 

“กระหม่อมไปไม่ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“เพราะกระหม่อมจะต้องสู้”

 

ลอร่าพอได้ฟังก็แข็งค้าง

 

กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้ -ทั้งๆที่สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ชายคนนี้กลับ ..

 

เลือกที่จะสู้ …

 

นั่นสินะ ขนาดมันไม่ใช่เรื่องของเขา เขายังสู้เลย แล้วทำไมเธอถึงไม่สู้บ้างล่ะ?

 

ลอร่าพยักหน้าอย่างช้าๆ และค่อยๆชักฝีเท้ากลับ “งั้นเราก็ไม่กลับแล้ว”

 

วิหคหญิงชุดคลุมยาวกล่าว “องค์หญิง ที่นี่มันอันตรายเกินไป ท่านไม่อาจเสี่ยงได้ เพราะในราชวงศ์วิหคหนาม ท่านน่ะเป็น -”

 

“สายเลือดคนสุดท้าย”

 

ลอร่าชิงพูดตัดหน้าอีกฝ่าย “ใช่ เรารู้เรื่องนั้นดี ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจากไปได้อย่างไรล่ะ”

 

วิหคหญิงชุดคลุมยาวสูญสิ้นเสียงของเธอ “เพราะ … เหตุใด?”

 

“เพราะคนที่สังหารท่านพ่อท่านแม่ของเรา ปัจจุบันเธอต้องการยึดครองโลกโบราณใบนี้ และหากทำได้ แผนทุกอย่างของเธอก็จะประสบผลสำเร็จ”

 

“หากเราหนีห่างจากอันตรายกลับไป เลือกที่จะหดหัวอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ แล้วเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของการเป็นเจ้าหญิงจะไปทิ้งไว้ที่ไหน แล้วเราจะเป็นผู้เหมาะสมที่ครอบครองสายเลือดราชวงศ์หนามได้อย่างไร!”

 

ลอร่ากำมือน้อยๆของเธอแน่นแล้วพูดว่า “เราก็ต้องการที่จะสู้เหมือนกัน”

 

วิหคหญิงชุดคลุมยาวหลายคนเผยถึงความกังวล ทั้งหมดคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกัน “แต่มันอันตรายเกินไปนะฝ่าบาท และทางตระกูลวิหคหนามก็ไม่อาจสูญเสียไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว”

 

ลอร่าพยักหน้า และกล่าวอย่างสงบ “ราชวงศ์ถูกสังหาร , ชีวิตและความตายของนายพลอีเลียก็ยังไม่แน่ไม่นอน ขณะที่ฆาตกรกำลังจะได้ทุกอย่างไปในครอบครองในไม่ช้า ช่วงเวลานี้เราจึงถอยไม่ได้ เพราะเราเป็นตัวแทนของราชวงศ์หนาม”

 

แม้น้ำเสียงจะเริ่มสั่น แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันหนักแน่น “ท่านแม่เคยกล่าวว่าจ้าวนครที่ดี ควรจะตระหนักได้ว่ายามใดสมควรถอย และยามใดสมควรสู้ตายอย่างไม่ยินยอมอ่อนข้อ!”

 

“เราในฐานะบุตรีของกษัตริย์ จะไม่มีทางถอยแก่ศัตรู”

 

“เราจะต้องให้ทริสเต้ ชำระหนี้เลือดในครั้งนี้ด้วยเลือดจากตัวเธอเอง!”

 

วิหคหญิงทั้งหลายลดศีรษะลง ไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมาสักพักหนึ่ง

 

แต่สุดท้ายวิหคหญิงชุดคลุมยาวก็ร้อนรนทนไม่ไหว จำต้องเปล่งเสียงออกมา “แต่กองทัพอสูรกายกำลังมารวมตัวกันที่นี่ และสิ่งเดียวที่พวกเราสามารถทำได้คือการพาฝ่าบาทกลับไป แม้กระทั่งนายพลอีเลียก็ยังไม่สามารถช่วยท่านได้”

 

ลอร่าหันไปมองกู่ฉิงซาน และเห็นแค่เพียงรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนของอีกฝ่ายสวนกลับมา

 

“กู่ฉิงซาน … ”

 

ในแววตาของลอร่าเผยให้เห็นร่องรอยของการวิงวอน

 

“เอาล่ะๆ กระหม่อมขอกล่าวอะไรสักเล็กน้อยก็แล้วกัน ว่าตอนนี้ ภายนอกน่ะมีบางสิ่งบางอย่างกำลังเกิดขึ้น” เขาพูดออกมา

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

 

“มนุษย์ พูดเรื่องอะไรของเจ้า?”

 

ลอร่ากับวิหคหญิงชุดคลุมยาวเอ่ยถามพร้อมกัน

 

“จำได้ไหม ฝ่าบาทเคยบอกกับกระหม่อมว่า หากวิหคหนามแปลกหน้าเข้ามาเยือนโลกของวิหคหนามตนอื่นๆ แล้วเผลอพลั้งมือออกไป เจ้าของโลกก็จะตระหนักถึงอีกฝ่ายได้ในทันที”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังกองทัพผีที่กำลังใกล้เข้ามาและกล่าว “แต่เวลานี้ ซึ่งกระหม่อมคิดว่าอีเลียคงไม่ต้องการปกปิดตัวตนอีกต่อไปแล้ว เธอต้องการที่จะช่วยท่านให้หลบหนีออกไปจากที่นี่ในทันที จึงใช้ออกด้วยมนตราอัญเชิญ ‘การเรียกขานของวิหคหนาม’ ”

 

“ซึ่งทริสเต้ย่อมต้องตระหนักถึงเทคนิคมนตราของอีเลียอย่างแน่นอน และด้วยความแข็งแกร่งของเธอ  ทริสเต้ก็สมควรที่จะกลับเข้ามาในโลกใบนี้ และทำการเปิดมัน เพื่อเริ่มแพร่กระจายต้นกำเนิดไปแล้วโดยสมบูรณ์”

 

“อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ แม้เวลาจะล่วงเลยไปสักพักหนึ่ง ชนิดที่ว่ากองทัพผีวิ่งข้ามผ่านมาครึ่งทุ่งราบลุ่มนี้แล้วก็ตาม แต่ทริสเต้กลับยังไม่ลงมือเสียที”

 

“ดังนั้น นี่พอจะสรุปได้ว่า นอกโลกใบนี้จะต้องเกิดเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้น หรือไม่ก็มีบางคนกำลังขัดขวางทริสเต้ จนเธอไม่กล้าลงมือเป็นแน่”

 

“อ้างอิงตามสถานการณ์นี้ กระหม่อมคาดว่าสิ่งแวดล้อมจากภายนอกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของฝั่งเรา”

 

เขาขบคิดและกล่าว “ทำให้โอกาสที่พวกเราจะสู้ .. ไม่สิ้นหวังซะทีเดียว”

 

วิหคหญิงชุดคลุมยาวทั้งหก และทหารเกราะเงินทั้งสิบมองมายังเขาด้วยความโง่งม

 

ก่อนจะเบนสายตาไปมองกองทัพผีที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่บนพื้นดิน และแหงนมองผีแห่งความอลหม่านเหลือคณาที่กำลังร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า สุดท้ายก็สลับมามองกู่ฉิงซานอีกครั้ง

 

สถานการณ์แบบนี้ … ยังมีหวังที่จะสู้ได้จริงๆน่ะหรือ?

 

แค่พวกเราไม่กี่คน แต่ต้องรับมือกับกองทัพมอนสเตอร์นับล้านเนี่ยนะ?

 

ลอร่าเดินเข้ามาหากู่ฉิงซานและบีบมือเขาเบาๆ

 

เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา

 

“กู่ฉิงซาน ตอนนี้เราคือเชื้อพระวงศ์แห่งตระกูลหนาม เป็นสายเลือดราชวงศ์คนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ และในอนาคตจะได้ขึ้นเป็นกษัตรีย์ เราอยากจะขอร้องเจ้า ให้ช่วยพาเรา ร่วมต่อสู้ไปด้วยกันจะได้หรือไม่”

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

 

ลอร่ากัดริมฝีปาก และพยายามที่จะระงับน้ำเสียงของเธอให้สั่นไหวน้อยลง

 

“กู่ฉิงซาน พวกเราเดินทางร่วมกันมานาน และเจ้าก็ดูแลเราดีไม่ต่างไปจากท่านแม่ของเราเลย ฉะนั้นเราจึงเข้าใจในตัวเจ้าดี”

 

“เรารู้ว่าไหล่ของเจ้าต้องแบกรับสิ่งต่างๆมากมาย ไม่สนใจกระทั่งชีวิตและความตายของตนเอง กระทั่งในช่วงเวลาที่โลกกำลังจะพินาศ เจ้าก็ยังเลือกที่จะต่อสู้กับศัตรู”

 

“กู่ฉิงซาน เจ้ากับเราน่ะอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน นั่นคือมีศัตรูที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องเอาชนะให้จงได้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความโศกเศร้าและเจ็บปวดก็ตามที”

 

“กู่ฉิงซาน .. เจ้าจะสามารถพาเรา เอาชนะพวกมันไปด้วยกันจะได้ไหม?”

 

“หากตราบใดที่เจ้านำพาเราไปต่อสู้ร่วมกัน แม้ว่าในท้ายที่สุดจะต้องตาย เราก็จะไม่บ่นอะไรแม้เพียงครึ่งคำ”

 

ลอร่าพูดจบ เธอก็เฝ้ารอสักพัก แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ

 

หัวใจของเธอค่อยๆร่วงหล่นลงสู่หุบเหวลึก

 

ลอร่าก้มหน้าลงด้วยความหดหู่ น้ำเสียงของเธอสะอื้นไห้ “ช่วยพาเรา ไปต่อสู้ด้วยกันกับเจ้า ไม่ได้หรื-”

 

จู่ๆชายตรงข้ามเธอก็เคลื่อนไหวอย่างกระทันหัน

 

ลอร่าเงยหน้าขึ้นทันที

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่เอนตัวลง คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นดิน

 

เขายิ้มให้เธอ ปากเปล่งเสียงกระซิบเบาๆ “น้อมรับบัญชา องค์กษัตรีย์”

Ep.570 – ต้นไม้พรายกระซิบ

 

ท่ามกลางผืนป่า

 

ม้าทมิฬวิ่งตัดผ่านต้นไม้หนาทึบ จนในที่สุดก็มาถึงส่วนลึกของผืนป่าอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากกระแสคลื่นสัตว์ประหลาดผีที่โถมเข้าโอบล้อมพวกเขา ตลอดเส้นทางก็ไม่พบอันตรายใดๆอีกเลย

 

พวกผีไม่ได้เข้ามาโจมตีอีก ซึ่งนี่มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่กู่ฉิงซานคาดคิดเอาไว้จริงๆ

 

ในที่สุด ม้าทมิฬก็หยุดลงใต้ต้นไม้โบราณเขียวขจี

 

“นี่น่ะหรือคือต้นไม้พรายกระซิบ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ใช่แล้ว” เหลาเจียวตอบกลับ

 

กู่ฉิงซานลงจากหลังม้า และอุ้มลอร่าลง 

 

เมื่อเท้าของลอร่าสัมผัสกับพื้น เธอก็เงยหน้ามองดูกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานพอเห็นแบบนั้น จึงยกเธอขึ้นมาวางบนไหล่ของเขา

 

ลอร่ายิ้มออกมา

 

เหลาเจียวถอดเกราะกระดองเต่า และตรงมายังต้นไม้พรายกระซิบ

 

เขาลูบไล้ต้นไม้โบราณด้วยสองมือ รับรู้ถึงมันอย่างเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆเขาก็ร้องไห้ขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“เพราะเหตุใด? เพราะเหตุใดกันพวกเจ้าถึงตายกันหมด …”

 

เหลาเจียวคุกเข่าลงเบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่ ทั้งคนทั้งร่างสั่นเทา ส่ายหัวไม่หยุดคล้ายกับไม่อยากยอมรับถึงความจริงนี้

 

ลอร่าพอเห็นแบบนั้น เธอก็ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกกู่ฉิงซานปรามเอาไว้

 

“ปล่อยให้เขาระบายความรู้สึกไปก่อน แบบนี้มันดีสำหรับเขามากกว่า” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ลอร่าหุบปากของเธอลง

 

ทั้งสองยืนนิ่ง เฝ้ารออย่างเงียบๆจนกระทั่งเสียงร่ำไห้ของเหลาเจียวค่อยๆจางหายไป

 

“ขออภัย ข้าเผลอควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ .. ”  เหลาเจียวอธิบาย

 

“ไม่เป็นไร ผมพอจะเข้าใจได้”

 

“มันสิ้นหวังเกินไปจริงๆ” เหลาเจียวส่ายหัว “นอกเหนือไปจากเมืองไห่เช่า เมืองอื่นๆทั้งหมดได้ถูกตัดขาดการเชื่อมต่อไปจนหมดสิ้นแล้ว”

 

“ตัดขาดการเชื่อมต่องั้นหรือ? แล้วมันหมายความว่าอย่างไร?”

 

“ในทุกๆเมือง ตราบใดที่ยังมีคนๆหนึ่งมีชีวิตอยู่ การเชื่อมต่อบนต้นไม้พรายกระซิบก็จะไม่ถูกทำลายลง”

 

“ … เสียใจด้วยนะ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล

 

ดูเหมือนว่าต้นกำเนิดจะทุ่มเทบุกรุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง จนโลกที่เหล่าทวยเทพทอดทิ้งใบนี้ แทบจะสิ้นสลายลงแล้ว

 

“เอาล่ะ ข้าจะเริ่มติดต่อกับเมืองไห่เช่าแล้วนะ” เหลาเจียวพยายามรักษาน้ำเสียงให้สงบ

 

เขาหลับตาลง และวางมือตนลงบนต้นไม้พรายกระซิบ

 

บริเวณโดยรอบเงียบงัน

 

สักพักหนึ่ง เหลาเจียวก็ลืมตาขึ้น และเป็นเจ้าตัวเองที่อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

“เหลาเจียว เจ้ายังมีชีวิตอยู่งั้นหรอ โชคดีจริงๆ!”

 

“ใช่” ท่าทีและน้ำเสียงของเหลาเจียวแลดูหม่นหมอง “แต่มีแค่ข้าคนเดียวที่รอดมาได้”

 

“ไอ้วันสิ้นโลกเฮงซวย ไอ้พวกผีบัดซบ!” เหลาเจียวสบถหยาบคายออกมาด้วยอีกน้ำเสียงหนึ่ง

 

แต่ทันใดนั้นท่าทีของเหลาเจียวก็สงบลง

 

“พวกเจ้าเงียบก่อน ตอนนี้พวกเรามาฟังเหลาเจียวกันก่อนดีกว่า ว่าเขามีข้อมูลอะไรบ้าง” ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ เหลาเจียวยังคงพูดกับตัวเอง และแสดงท่าทางหันไปมองรอบๆ ส่งสัญญาณให้คนอื่นๆเงียบ

 

น้ำเสียงและการแสดงออกของเหลาเจียวกลับมาหม่นหมอง “มีสองคนจากภายนอกมากับข้า พวกเขาบอกว่ารู้จักกับท่านหญิงเหมันต์”

 

เขาหันไปมองกู่ฉิงซานกับลอร่า สายตากวาดสำรวจ ตรวจสอบทั้งสองอย่างรอบคอบ

 

“คนนอกที่เจ้าหมายถึง คือพวกเขารึ?”

 

“ใช่” เหลาเจียวตอบกับตัวเอง “พวกเขาไม่เพียงช่วยชีวิตข้าไว้ แต่ยังช่วยให้ข้าสามารถเดินทางมาถึงที่นี่ได้อีกด้วย”

 

เหลาเจียวจ้องมาที่กู่ฉิงซานกับลอร่า เขาพยักหน้าและกล่าว “ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผู้เข้าสู่วิถีมารนะ แต่ยังไงซะ เราก็ต้องตรวจสอบสถานะของพวกเขาก่อนอยู่ดี”

 

“แน่นอน ว่าต้องยืนยัน”

 

“รอประเดี๋ยว พวกเราจะเชิญท่านหญิงเหมันต์มา”

 

สิ้นประโยคนี้ เหลาเจียวก็เงียบไป

 

กู่ฉิงซานกับลอร่ามองหน้ากันและกัน

 

“ดูเหมือนว่าต้นไม้ต้นนี้ จะเป็นสื่อกลางที่สามารถให้คนอื่นๆแบ่งปันร่างกายกับผู้ที่เชื่อมต่อมันนะ” กู่ฉิงซานคิดและสรุปออกมา

 

“ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เราเห็นต้นไม้ที่มีคุณสมบัติแบบนี้”

 

ลอร่ามองไปยังเหลาเจียวด้วยความอยากรู้อยากเห็น กระซิบคุยกับเขา

 

ไม่นานนัก เหลาเจียวก็เงยหน้ากลับมามองพวกเขาอีกครั้ง

 

“ท่านหญิงเหมันต์ถามว่าเจ้าเป็นใคร” เหลาเจียวกล่าว

 

“เราคือวิหคหนามที่พึ่งก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่ยังไม่ได้รับพิธีจุ่มศีลจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม เจ้าจงไปบอกเธอแบบนี้” ลอร่ากล่าว

 

เหลาเจียวพยักหน้า และนิ่งไปอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานหันไปมองลอร่า

 

ลอร่ายื่นหน้าไปใกล้หูกู่ฉิงซานและกระซิบว่า “พอวิหคหนามเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจะต้องรับการชำระล้างจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม แต่เพราะมันสูงเกินไป เราเลยยังไม่กล้าขึ้นไป”

 

“ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าหากเหมันต์ยามค่ำได้ฟังประโยคเมื่อครู่ เธอก็จะรู้ทันทีว่าเป็นท่าน?”

 

“ใช่แล้วล่ะ ตลอดทั้งมวลหมู่วิหคหนาม มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่ไม่กล้าเข้าพิธีจุ่มศีล” ลอร่าพูดพลางก้มหน้าลงด้วยความอดสู

 

กู่ฉิงซานจึงลูบหัวน้อยๆของเธอและกล่าวว่า “มันไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก”

 

เหลาเจียวเริ่มพูดอีกครั้ง “ท่านหญิงเหมันต์ขอให้เจ้าพิสูจน์ตัวตน นางขอให้เจ้ากล่าวคำสาบานของนาง”

 

“เธอจะต้องปกป้องเรา” ลอร่ากล่าว

 

เหลาเจียวนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า “ท่านหญิงกำลังรับผิดชอบในการต่อกรกับผีแห่งความอลหม่านนับร้อยตนอยู่ เลยไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ แต่นางล่วงรู้เส้นทางที่ปลอดภัย ที่จะสามารถนำพาพวกเจ้าเข้ามายังเมืองไห่เช่าได้”

“และนางต้องการให้เจ้ามาหานางโดยเร็ว!”

 

“เข้าใจแล้ว บอกนางว่าเราจะไปที่นั่นทันที”

 

“ขอจงเกาะกลุ่มกันไว้ เมื่อพวกเจ้ามาถึง ทางเราจะส่งคนไปรับเอง”

 

“นอกจากนี้ พวกเราได้บอกเส้นทางกับเหลาเจียวแล้ว และเขาจะพาเจ้าไปในทิศทางที่ปลอดภัย”

 

“รับทราบ”

 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็รู้สึกได้ว่าจิตสัมผัสเทวะจำนวนมากได้แยกตัวออกจากร่างของเหลาเจียวไป

 

มีวิธีการที่สามารถทำให้จิตสัมผัสเทวะเข้าสู่ร่างกายผู้อื่นจากระยะไกลได้อยู่ด้วยหรือนี่?

 

ช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์โดยแท้

 

“ไปกันเถอะ เมื่อครู่ข้าพึ่งจะได้รับเส้นทางลับที่จะนำไปสู่เมืองไห่เช่าได้โดยตรงมา และแน่นอนว่ามันเป็นทิศทางที่สามารถเลี่ยงการโจมตีของสัตว์ประหลาดผีได้” เหลาเจียวกล่าว

 

“ดีล่ะ งั้นพวกเราคงต้องรีบกันหน่อยแล้ว”

 

ขณะกล่าว จู่ๆกู่ฉิงซานก็หันขวับ! มองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

เหลาเจียวกับลอร่าก็เช่นกัน

 

เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ระลอกคลื่นสีทองยังคงกระเพื่อมไหว

 

ทันใดนั้นเอง-

 

แสงจรัสพลันระเบิดออก แผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า กระจายออกไปในทุกทิศทาง

 

ท้องฟ้ายามค่ำคืนเปลี่ยนเป็นสีทองด้วยอัตราเร็วที่เชื่องช้า แต่ทว่ามั่นคง

 

นี่เป็นฉากที่งดงามดั่งแสงแดดสีทองยามรุ่งสาง

 

อย่างไรก็ตาม เริ่มที่จะมีสิ่งแปลกปลอมบางอย่างปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

พวกมันผุดเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

“อา … อา ไม่จริงน่า”

 

เหลาเจียวมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับคนสูญสิ้นจิตวิญญาณ

 

เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรง ทั้งคนทั้งร่างจมลงสู่ความสิ้นหวังโดยสมบูรณ์

 

นี่คือฉากที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ากำแพงอุปสรรคของทวยเทพกำลังถูกกดดันจนต้องเปิดใช้งานอย่างเต็มที่

 

หัวของผีแห่งความอลหม่านเริ่มปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

พวกมันกำลังแทรกตัวเข้ามา

 

กู่ฉิงซานทดลองนับดูอย่างลวกๆ แต่เขาก็พบว่าตนไม่สามารถคาดคำนวณถึงจำนวนศัตรูที่แม่นยำได้เลย

 

ปริมาณของผีแห่งความอลหม่าน คล้ายดั่งฝูงปลาคาร์ฟที่กำลังพยายามแหวกว่ายทวนกระแสธารน้ำตก

 

พวกมันเจาะผ่านกำแพงอุปสรรค สะบัดตัวดิ้นพล่าน หมายมั่นจะบุกเข้ามาในโลกที่ถูกเหล่าทวยเทพทอดทิ้งให้จงได้

 

“ไม่ใช่เจ้าบอกว่าผีแห่งความอลหม่านมันยากนักที่จะพบเจอหรอกหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“มันยากจะพบเจอจริงๆนะ เกือบหนึ่งพันปีที่ผ่านมา มันปรากฏตัวขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้น” ดาบพิภพิยืนยัน

 

“ถ้าอย่างงั้น หมายความว่าเจ้า ‘ต้นกำเนิด’ คงจะทุ่มเต็มกำลัง ระดมกำลังรบทั้งหมดที่มีมาเลยสินะเนี่ย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

ทันใดนั้นเขาก็จดจำได้ถึงบางสิ่ง

 

ต้นกำเนิดหมายจะรุกรานเข้ามาในโลกใบนี้อย่างบ้าคลั่ง มันแม้กระทั่งเคยบอกว่าจะปล่อยเขาไป หากเขาทำบางสิ่งบางอย่างให้กับมัน

 

“ที่เจ้าได้รับโอกาสรอดชีวิต นั่นก็เพราะเจ้าจะต้องช่วยข้าค้นหาวิธียึดครองสถานที่แห่งหนึ่ง”

 

เสียงเย็นชาของต้นกำเนิดยังคงสะท้อนอยู่ในหูของเขา

 

และหลังจากคำพูดนี้ เขาก็ย้อนนึกถึงคำตอบบนหน้าต่างเทพสงคราม

 

“มันจำเป็นต้องใช้วัตถุวิเศษบางอย่างที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยเทพวิญญาณจากโบราณอันไกลโพ้น ซึ่งวัตถุชิ้นนี้จะช่วยให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่สามารถวิวัฒนาการได้”

 

“เมื่อไหร่ที่ต้นกำเนิดได้ครอบครองวัตถุดังกล่าว มันก็จะอัพเกรดขั้นต่อไป และถูกเรียกว่า ‘หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ปฏิวัตร’ ”

 

ช่วงเวลานี้ ในหัวในของกู่ฉิงซานกำลังปั่นความคิดด่วนจี๋

 

แต่เดิม กลับกลายเป็นว่าการพิจารณาของตนไม่ได้ผิดพลาด

 

ต้นกำเนิดต้องการที่จะทะลวงเข้าสู่โลกใบนี้ เพื่อที่จะได้ครอบครองวัตถุพิเศษที่เทพวิญญาณจากโบราณอันไกลโพ้นทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

 

มันต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น!

 

“สถานการณ์ย่ำแย่จริงๆ พวกเราต้องเร่งกันแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขากระโดดขึ้นไปบนหลังม้า และกวักมืออีกครั้ง เรียกเหลาเจียวให้กลับมาบนกระดองเต่า

 

“ท่านต้องการชมทิวทัศน์ ..” ม้าทมิฬกำลังจะถาม

 

“วิ่งไปเลย เต็มกำลัง!”

 

ตูม-

 

ม้าทมิฬกลายเป็นภาพติดตา ควบทะยานไปตามทิศทางของเมืองไห่เช่า

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ

 

บนท้องฟ้า แสงเรืองรองสีทองเริ่มที่จะสว่างขึ้น สว่างขึ้นเรื่อยๆ

 

ผีแห่งความอลหม่านนับไม่ถ้วนเจาะทะลุกำแพงอุปสรรคได้ในที่สุุด พวกมันร่วงหล่นลงมาดั่งสายฝน!

 

ลอร่าที่นั่งอยู่ในอ้อมอกของกู่ฉิงซาน เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า

 

ผีแห่งความอลหม่านบุกเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว

 

คาดว่าในอีกไม่เกินหนึ่งนาที พวกมันก็จะข้ามผ่านผืนฟ้าที่สูงหลายหมื่นเมตร ลงถึงพื้นดิน

 

และเมื่อเวลานั้นมาถึง โลกทั้งใบก็จะเต็มไปด้วยผีแห่งความอลหม่าน!

 

คราวนี้ ไม่ว่ากู่ฉิงซานจะแข็งแกร่งเพียงไร แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะกองทัพอสูรกายขนาดใหญ่เช่นนี้ได้

 

ลอร่ากัดฟันของเธอ

 

“กู่ฉิงซาน!”

 

ม้าทมิฬควบเต็มกำลัง เสียงลมหอนแสบแก้วหู จนเธอต้องตะโกนออกมา

 

“ว่าไง?” กู่ฉิงซานตอบเสียงดังกลับไป

 

“พวกเรากำลังจะตายใช่ไหม?”

 

“อย่าพึ่งคิดว่าจะตาย ทั้งๆที่ก่อนตายยังไม่ได้พยายามอะไรเลย!”

 

ลอร่าเริ่มสะอื้นไห้ “เราขอโทษนะ ถ้าก่อนหน้านี้เราเลือกที่จะบินไป มันก็คงจะไม่ต้องเสียเวลาต่อสู้กับศัตรูที่ขวางทาง และบางทีตอนนี้อาจจะถึงเมืองแล้วก็ได้”

 

“เด็กโง่ ทุกคนก็มีสิ่งที่ตัวเองกลัวกันทั้งนั้น นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน”

 

“แต่ข้ามันเป็นคนขี้ขลาด – ”

 

“ไม่ใช่ ท่านก็แค่กลัวความสูงนิดหน่อยเท่านั้นเอง มันไม่มีอะไรหรอก และมีอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านมั่นใจได้”

 

“อะไรหรอ?”

 

กู่ฉิงซานชี้ไปยังเบื้องหน้า “พวกเราจะไม่ตายที่นี่!”

 

ลอร่าหันหน้าตาม และมองออกไป

 

เมือง!

 

ปรากฏเมืองๆหนึ่งขึ้นในสายตาของเธอ

 

ซึ่งนี่มันแตกต่างไปจากเมืองที่เห็นกันก่อนหน้านี้ เมืองข้างหน้าตั้งอยู่บนภูเขาสูง คล้ายกับป้อมปราการสงครามขนาดใหญ่

 

-เมืองไห่เช่า!

 

ในที่สุด พวกเธอก็มองเห็นตัวเมืองแล้ว!

 

“เหลาเจียว!” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงดัง

 

“ข้าอยู่นี่ มีอะไรงั้นหรือ?” เหลาเจียวตะโกนตอบรับ

 

“ต่อจากนี้ไป บางทีคุณอาจจะต้องเข้าร่วมต่อสู้ด้วยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เหลาเจียวมองไปยังเมืองไห่เช่า

 

เห็นแค่เพียงบนภูเขาสูงตระหง่าน เมืองปราการตั้งเด่นเป็นสง่าอย่างมั่นคง

 

ทว่าขณะเดียวกัน กองทัพสัตว์ประหลาดผีกลับครอบครองสถานที่ทุกหนแห่งเบื้องนอกตัวเมือง

 

พวกมันกระจุกตัวกันหนาแน่น โอบล้อมตลอดทั้งภูเขาสูง ปิดล้อมเมืองอย่างเต็มกำลัง

 

สงครามได้มาถึงจุดที่รุนแรงที่สุดแล้ว!

 

“ไม่มีปัญหา เพื่ออาณาจักรของเหล่าทวยเทพ ข้าเต็มใจที่จะตายลงท่ามกลางการต่อสู้แห่งนี่” เหลาเจียวคำรามด้วยความโกรธ

 

“พูดได้ดี! งั้นพวกเราจะพุ่งเข้าปะทะมันตรงๆไปเลย!”

 

กู่ฉิงซานกุมบังเหียน

 

สามดาบปรากฏขึ้นรอบกายม้าทมิฬอย่างเงียบๆ

 

พวกมันสั่นไหวสื่อสารกัน ก่อนจะวูบบบบ! บินไปยังเบื้องหน้า

 

ส่วนลอร่า เธอมุดตัว ฝังหน้าเข้าไปในอ้อมแขนอย่างกู่ฉิงซาน

 

Ep.569 – คุยส่วนตัว

 

ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด

 

เสียงกุบกับของเกือกม้าสะท้อนอยู่ไปมาในผืนป่า

 

พร้อมกับแสงสวรรค์เรืองรองอันงดงาม ห่อหุ้มรอบกายของม้าทมิฬ

 

นอกเหนือไปจากแสงสวรรค์แล้ว ยังปรากฏถึงทุกชนิดของเสียงแปลกๆกังวานไปมา บ่งบอกถึงศัตรูนับอนันต์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด

 

สามดาบบินวนรอบไปทั่วทั้งค่ายกลจากภายในอย่างรวดเร็ว

 

พวกมันคอยปลดปล่อยรังสีดาบ ตัดสะบั้นศีรษะของมอนสเตอร์ที่ผุดเข้ามาขวางหน้าอย่างต่อเนื่อง

 

ความคล่องแคล่วของสามดาบนั้นรวดเร็วเกินไป พวกมันราวกับเป็นเครื่องบดเนื้อ คอยเก็บเกี่ยวชีวิตของผีร้ายของไม่หยุดยั้ง

 

ไม่มีผีตนใดสามารถหลบเลี่ยง หนีไปจากคมสังหารของดาบบินได้

 

ส่วนกู่ฉิงซาน สองตาของเขากำลังมองไปยังหน้าต่างเทพสงครามอย่างสบายอารมณ์

 

การสังหารผีแห่งความอลหม่าน ส่งผลให้แต้มพลังวิญญาณในบัญชีสะสมของเขาพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

 

ขณะเดียวกัน แต้มพลังวิญญาณที่ได้จากการสังหารผีที่แตกตัวออกจากผีแห่งความอลหม่าน มันก็ไม่ได้เลวร้ายเลย

 

กู่ฉิงซานค่อยๆเกิดความผ่อนคลายในหัวใจ จนในที่สุด เขาก็ละความสนใจจากจำนวนแต้มพลังวิญญาณที่ได้รับมาอีกต่อไป

 

แม้ว่าตนพึ่งจะมอบ 100000 แต้มพลังวิญญาณให้แก่ดาบพิภพไปก็ตาม แต่การสังหารผีแห่งความอลหม่านที่พึ่งปรากฏตัวออกมา ก็ช่วยเติมเต็มในส่วนที่เสียไปนี้กลับคืน

 

ปัจจุบัน แต้มพลังวิญญาณยังคงเติบโต เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆตลอดทั้งค่ายกลก็เปล่งแสงสวรรค์ขึ้นพร้อมกัน

 

ปฏิกิริยานี้บ่งบอกว่า ปริมาณของศัตรูที่มันจำต้องทานรับน่ะเกินกว่าขีดจำกัดแล้ว และค่ายกลที่เชื่อมโยงกันจะอยู่ในสถานะเกินพิกัด ไม่อาจทำงานได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง

 

หากเป็นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ หรือแม้กระทั่งในโลกล่องเวหา ยามเมื่อค่ายกลขนาดใหญ่เกิดอาการเข้าสู่สภาวะเกินพิกัด ทำงานหนักมากเกินไป จะเป็นช่วงเวลาที่บ่งบอกว่าสงครามได้มาถึงจุดสำคัญที่สุดแล้ว!

 

อย่างไรก็ตาม ในโลกที่เทพบรรพกาลทอดทิ้งใบนี้ ค่ายกลต่อสู้ขนาดใหญ่ที่พึ่งอธิบายไป กลับถูกจัดวางไว้ใช้ในการโจมตีระยะไกลเท่านั้น

 

ผีร้ายนับไม่ถ้วนอยู่ภายนอก เริ่มทยอยกันมาปิดล้อมรอบค่ายกลอย่างต่อเนื่อง

 

เหมือนกับว่าพวกมันกำลังตระเตรียมบางสิ่งบางอย่าง

 

“ระวัง! พวกมันกำลังจะมาแล้ว” เหลาเจียวตะโกนเตือน

 

กู่ฉิงซานมองไปยังเหล่าแสงสวรรค์โดยรอบ เท่าที่สุดสายตาจะมองเห็นได้

 

ท่ามกลางผืนป่า เต็มไปด้วยเหล่าผีร้ายเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น

 

จำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ในจุดที่ไกลออกไป มองดูคล้ายกับระลอกคลื่นใหญ่ที่กระเพื่อมไหวแล้ว

 

ไม่กี่วินาทีต่อมา ไม่ว่าจะเป็นตลอดทั้งผืนฟ้า ครอบคลุมทั้งผืนดิน ล้วนปรากฏถึงกระแสคลื่นสัตว์ประหลาดผีร้าย โถมกดดันลงมายังม้าทมิฬ

 

สามดาบบินตอบสนองต่อสิ่งนี้อย่างรวดเร็ว

 

พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง เร่งความเร็ว ฟาดฟันคมดาบจากภายในรัศมีค่ายกลอย่างไม่รู้จบ

 

ฝูงกองทัพวิญญาณถูกซัดด้วยกระบวนท่าดาบ บ้างตัวระเบิดแตก บ้างกระดอนออกไป

 

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว สมดุลของการต่อสู้ในครั้งนี้ก็ค่อยๆเอนเอียงไปทางฝ่ายศัตรูอยู่ดี

 

มอนสเตอร์น่ะ .. มันมีจำนวนมากเกินไป

 

พวกมันโอบล้อม และกดดันแสงสวรรค์จากค่ายกลโดยสมบูรณ์ แม้จะถูกสังหารลงด้วยดาบบินอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งหมดก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้

 

ภายใต้การกัดกินของผีร้ายนับพันหมื่น ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าค่อยๆถูกทำลายลง

 

“จำนวนของพวกมันมีมากเกินไป!” ลอร่ากรีดร้อง

 

แต่กู่ฉิงซานเพียงกล่าวเสียงกระซิบ “อย่าตื่นตระหนกไป”

 

สมญาเทพสงครามเกิดการสับเปลี่ยน ‘นายพลชั้นโหยวจี’ ถูกแทนที่ด้วย ‘ผู้บัญชาการรบ’

 

“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ : ปราณดาบสุดขอบฟ้า”

 

“ปราณดาบสุดขอบฟ้า : เมื่อใดก็ตามที่ดาบของท่านถูกปกคลุมไปด้วยปราณดาบ และท่านได้เปิดใช้งานสกิลนี้ ปราณดาบและสกิลดาบจะหลอมรวมกันพร่ามัวเป็นเงา ยามฟาดฟันจะปรากฏการโจมตีเดียวกันขึ้นอีกระลอก (หมายเหตุ : เมื่อใช้สมญานี้ ท่านจะถูกจำกัดให้ใช้เฉพาะอาวุธดาบเท่านั้น)”

 

เพียงสั่งการในความคิด เทคนิคดาบก็เริ่มถูกกระตุ้นอีกครั้ง

 

สามดาบบินหยุดมือของพวกมันลงอย่างกระทันหัน

 

พวกมันมิได้ฟาดฟันมั่วซั่วอย่างคลุ้มคลั่งอีกต่อไป แต่มุ่งเข้าหาสัตว์ประหลาดผีที่ทรงพลังแทน

 

พร้อมกับทั้งสามดาบที่ฟาดฟันออกไปเล่มละ –

 

เจ็ดครั้ง!

 

เจ็ดครั้ง!!

 

เจ็ดครั้ง!!!

 

อย่างพร้อมเพรียง

 

ในเสี้ยววินาทีที่เพลงดาบสุดท้ายสับลง บนใบดาบก็สาดแสงสายฟ้าออกมาทันที

 

“มังกรสายฟ้า!”

 

กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง ขับเคลื่อนธาตุสายฟ้าเต็มกำลัง เทคนิคดาบถูกใช้ออกไป

 

เจ็ดดารา มังกรแหวกธารา!

 

ตามมือและแขนของเขาเริ่มผุดแสงสีน้ำเงินขาวออกมา พุ่งตัดอากาศไปยังเหล่าดาบบิน

 

เบื้องหลังหัวมังกร ร่างอันคดเคี้ยวของมันที่ผสมผสานไปด้วยรังสีดาบและเล่ยเดี๋ยนผุดออกมาจากดาบบิน

 

แต่มันยังไม่จบลงเพียงเท่านี้!

 

เพราะยามเมื่อมังกรสายฟ้าตัวแรกถูกปลดปล่อยออกมา มังกรสายฟ้าอีกตัวก็ผุดตามติดจากดาบบินอีกครั้งทันที

 

สามดาบบิน สามเจ็ดดารามังกรแหวกธารา ผสานไปกับสมญาเทพสงคราม ส่งผลให้กระบวนท่าในครั้งนี้ ก่อกำเนิดมังกรสายฟ้าถึงหกตัวขึ้นอย่างกระทันหัน!

 

ตูม!

 

หกมังกรสายฟ้าว่ายวนไปรอบรังสีค่ายกล กวาดคมเขี้ยวอันดุร้ายของมันไปทั่วผืนป่า

 

แล้วสิ่งที่กระแสคลื่นกองทัพผีร้ายต้องเผชิญน่ะหรือ? พวกมันก็ถูกกลืนกินโดยสายฟ้าแล้วสลายกลายเป็นควันไปเลยทันทีน่ะสิ!

 

ส่วนสัตว์ประหลาดผีที่สัมผัสได้ถึงสายฟ้าสวรรค์ แต่ยังไม่ถูกโจมตี ก็หันหลังกลับ และหลบหนีไปทันที

 

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การไล่ล่าสังหารของหกมังกรสายฟ้า มีหรือที่เหยื่อของมันจะหนีรอด!

 

มังกรสายฟ้าว่ายวน ฉวัดเฉวียนไปมา แล้วค่อยๆไล่ล่า ล้างบางตลอดทั้งผืนป่า

 

หลังจากผ่านพ้นไปกว่าสิบลมหายใจ แสงสีน้ำเงินขาวจากสายฟ้าที่ส่อประกายเปรี๊ยะๆ ก็ค่อยๆสลายไป

 

คราวนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบกลับมาเงียบสงบโดยสมบูรณ์

 

และไม่มีเสียงของผีร้าย โผล่ออกมาให้กวนใจอีกต่อไป

 

ลอร่าขยี้ตาของเธอ และกวาดสำรวจมันอย่างระมัดระวัง

 

เมื่อครู่ สมดุลการต่อสู้เอนเอียงไปทางศัตรูอย่างชัดเจน แต่เพียงสิบลมหายใจต่อมา พวกผีร้ายทั้งหมดกลับหายไปจนสิ้นแล้ว

 

-สัตว์ประหลาดผีมันหายหัวไปไหนกันหมด?

 

กระแสคลื่นสัตว์ประหลาดผีเมื่อครู่ … บัดนี้ราวกับเป็นเพียงภาพมายา เป็นเพียงสิ่งลวงตาที่พึ่งลวงหลอกเธอไป

 

ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ปัจจุบันเงียบสงัดราวกับอากาศได้ตายลงไปแล้ว

 

“ที่เจ้าใช้ มันเป็นทักษะดาบอันใดกัน” เหลาเจียวถามเสียงแหบแห้ง

 

“ทักษะดาบสำหรับใช้สังหารสิ่งชั่วร้าย”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าลำคอของเขาแห้งผาก ตามร่างกายรู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย

 

เจ็ดดารามังกรแหวกธารา คือเทคนิคลับแห่งดาบที่ทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างมากก็จริง แต่พลังที่มันสูบกลืนไปก็มากเช่นกัน

 

ถึงแม้ว่าด้วยขอบเขตความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ จะสามารถควบคุมได้ทั้งสามดาบบิน และปลดปล่อยเจ็ดดารา มังกรแหวกธาราได้ถึงสามครั้งติดต่อกันแล้วก็ตาม แต่ตนก็ยังรู้สึกว่ามันเกินกำลังไปสักเล็กน้อยอยู่ดี

 

สามดาบบินกลับจากผืนป่า ลอยมาหากู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานโบกมือของเขา และดาบบินทั้งหมดก็หายไปอย่างเงียบๆในความว่างเปล่าเบื้องหลัง

 

เขาตบลงในถุงสัมภาระอีกครั้ง และหยิบเอาเหยือกสุราออกมา

 

มันคือเหยือกสุราที่ทำมาจากหยกวิญญาณไฟพันปี กล่าวกันว่าหากสุราใดถูกหมักบ่มเอาไว้ในเหยือกหยกใบนี้ ฤทธิ์ของมันจะรุนแรงยิ่งขึ้น

 

พื้นผิวที่เรียบลื่นของเหยือกหยกวิญญาณ ถูกแกะสลักเป็นลวดลายร้อยบุปผา

 

ดอกไม้เหล่านี้ แม้ลวดลายสลักของมันจะค่อนข้างหยาบ แต่ก็เผยให้เห็นถึงเสน่ห์และความมีชีวิตชีวาออกมา

 

นั่นก็เพราะลวดลายสลักช่อดอกไม้เหล่านี้ มันแฝงไว้ด้วยพลังอันอุดมสมบูรณ์และน่าประทับใจไม่น้อยน่ะเอง

 

มันคือลวดลายสลักฝีมือของฉินเซี่ยวโหลว

 

และสุราที่อยู่ภายในก็ยังถูกหมักบ่มโดยฉินเซี่ยวโหลว ส่วนผสมของมันล้วนมาจากดอกไม้วิญญาณนานาชนิดที่แสนหายาก และไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วๆไปในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธจะสามารถดื่มได้

 

ในตอนที่กู่ฉิงซานอยู่ในนิกายร้อยบุปผา เขาได้อาศัยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตนกับฉินเซี่ยวโหลว ร้องขอให้อีกฝ่ายสร้างเหยือกนี้ให้ตนกว่าหลายสิบใบ

 

และครั้งเมื่อเขากลับไปยังโลกเดิม ตนก็ได้ดื่มด่ำมอมเมาไปกับมัน จนตอนนี้เหลือเพียงเหยือกสุดท้ายแล้ว

 

‘ … รอให้เรื่องในครั้งนี้สิ้นสุดลงก่อนเถอะ แล้วฉันจะกลับไปขอมันมาดื่มอีกให้จงได้’

 

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องของนิกายร้อยบุปผา กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น กระดกสุราทั้งเหยือกทั้งหมดลงไปในคราวเดียว

 

ฤทธิ์ร้อนแรงไหลเข้ามาในลำคอ แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย พลังวิญญาณราวกับถูกกระตุ้น ค่อยๆฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง

 

จิตสำนึกเทวะของกู่ฉิงซานกลับกลายเป็นคมชัด จิตวิญญาณของเขากลับมาเดือดพล่านอีกครั้ง

 

เขานั่งอยู่บนหลังม้า ปากอ้าหัวเราะด้วยความสุขทันใด “เชียร์!”

 

 

แอนนานอนอยู่บนเตียงพร้อมกับเหยือกสุราในมืออ้อมกอดของเธอ

 

มันคือเหยือกสุราแบบเดียวกันกับของกู่ฉิงซาน

 

เธอแหงนมองลายสลักดอกไม้นานาพันธ์บนตัวเหยือก นิ่งงันไปพักหนึ่ง มิได้เอ่ยสิ่งใด

 

ครั้งที่ยังอยู่ในโลกเดิม เธอเคยไปเจอกู่ฉิงซานในระหว่างที่เขากำลังดื่มเหยือกสุราอยู่พอดี เลยอ้อนเขาจนได้มันมาเหยือกหนึ่ง

 

ตอนนี้ แอนนากลับมาถึงตัวโบสถ์แล้ว และขังตัวเองอยู่ในห้องนอนของเธอ เตรียมที่จะพักผ่อน

 

แต่เธอไม่ได้หลับเลย

 

เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น ตนจึงได้เดินทางมายังโลก 900 ล้านชั้น ในดินแดนชิงอำนาจ

 

เพื่อที่จะก้าวให้ทันตามรอยเท้าของกู่ฉิงซาน เธอจึงขยันฝึกฝนเทคนิคอย่างหนักในทุกๆวัน เพื่อปรับปรุงความแข็งแกร่งของตัวเอง

 

ซึ่งการฝึกฝนในแต่ละวันของดินแดนชิงอำนาจ ช่างเป็นอะไรที่ยากลำบากยิ่ง

 

ท่ามกลางการต่อสู้อันเข้มข้น ตนเองมักจะเป็นคนแรกที่ก้าวออกไปเบื้องหน้าเสมอๆ

 

และพวกที่ฝึกฝนร่วมกันกับเธอ ก็มีแต่พวกหนังหนาทั้งนั้น

 

แต่ไม่มีใครฝึกหนักไปกว่าตัวเธอเอง

 

ทุกคนต่างคิดว่าตัวเธอ คือผู้ศรัทธาที่เคร่งครัดในคริสตจักรมากที่สุด

 

แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่า ที่เธอทนลำบากทั้งหมดนี้ มันเพื่ออะไร

 

เฝ้าอดทน แม้จะล้มลง แต่ก็ลุกขึ้นมายืนหยัดครั้งแล้วครั้งเล่า

 

จนในที่สุด ทุกสิ่งอย่างที่ตนเองจ่ายไปก็ได้รับกลับคืนมา

 

แอนนาเก็บเหยือกร้อยบุปผาอย่างระมัดระวัง และหันไปหยิบเอาบางสิ่งบางอย่างออกมา

 

มันคือขวดสีดำขนาดเล็กที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ เมื่อลองเขย่ามันเบาๆ จะสามารถได้ยินถึงเสียงอะไรบางอย่างที่อยู่ภายใน

 

มันคือ ‘น้ำตาของเทพแห่งความตาย’

 

นี่คือวัตถุโบราณที่เธอปลุกมันขึ้นมาในระหว่างพิธีกรรมของคริสตจักร เป็นสมบัติที่ตนเองได้รับมา

 

ในพิธีเมื่อวานนี้ สมาชิกที่โดดเด่นที่สุดของคริสตจักรทั้งแปดคน ได้รับโอกาสในการปลุกวัตถุโบราณของพวกเขา

 

ก่อนหน้าเธอ บางคนสามารถปลุกเทคนิคเทียนซวนขึ้นมาได้ เขาสามารถใช้มันเพื่อแปลงตนเป็นค้างคาวแดง ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกผู้คนยิ่งนัก

 

ต่อมา อีกคนหนึ่งก็สามารถทำพิธีปลุกปืนลูกโม่โบราณที่บรรจุกระสุนได้เจ็ดนัดออกมา หลังจากที่ปืนลูกโม่ได้รับการตรวจสอบโดยเทพสุนัข สุดท้ายมันจึงถูกตัดสินว่าเป็นลูกโม่ในตำนานที่เรียกกันว่า ‘ดอกไม้แห่งความตาย’

 

คนต่อมาก็ได้รับ สกิลลับของคริสตจักรที่ชื่อว่า ‘สามร่างเงาแห่งความว่างเปล่า’

 

อาจกล่าวได้ว่า ทุกคนต่างก็ได้รับรางวัลที่เรียกได้เลยว่าเป็นประวัติการณ์

 

แต่สุดท้าย เมื่อมาถึงตาเธอ เธอกลับได้รับแค่เพียงขวดสีดำใบเล็กๆที่ถูกปิดผนึกไว้เท่านั้น

 

และทั้งสองเทพรับใช้ก็ไม่ได้กล่าวอะไรเกี่ยวมันเลยในจุดนี้ พวกเขาเพียงอธิบายสั้นๆว่ามันเป็นหนึ่งในยาลับที่ช่วยเร่งปฏิกริยาตอบสนองของร่างกายได้

 

ขณะเดียวกัน พอเหล่าสหายที่เข้าร่วมพิธีกรรมได้ฟัง พวกเขาก็ละความสนใจเกี่ยวกับมันไปทันที

 

แต่คนที่ดูจะผิดหวังที่สุดก็คงจะไม่พ้นเธอ

 

เมื่อพิธีจบลง ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป เทพอีกาดำและเทพสุนัขก็มาหาเธอพร้อมกัน

 

พวกเขามาย้ำเตือนกับเธออย่างจริงจังว่า เธอจะต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่ในขวดสีดำใบนี้ให้ดีๆ

 

ทั้งสองกล่าวว่านี่คือไอเท็มของเทพแห่งความตายจากยุคโบราณอันไกลโพ้น

 

ในช่วงอดีตหลายหมื่นปีที่ผ่านพ้น เจ้าสิ่งนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

 

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าทำไมสมบัติชิ้นนี้ถึงปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน แต่สุดท้ายมันก็เลือกแอนนา

 

เมื่อย้อนคิดไปถึงสีหน้าการแสดงออกของสองผู้รับใช้เทพ แอนนาก็แอบรู้สึกภูมิใจน้อยๆในหัวใจของเธอ

 

ดูเหมือนว่าตัวเธอเองก็ยังพอจะมีโชคอยู่บ้างเหมือนกัน

 

ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แอนนาได้ทดลองใช้จิตวิญญาณธาตุไฟของเธอทำการสื่อสารกับขวดสีดำเล็กๆใบนี้

 

จนถึงปัจจุบัน เธอก็สามารถเปิดผนึกขวดสีดำใบเล็กๆได้ในที่สุด

 

เธอลองเขย่าๆ และเปิดขวดสีดำใบเล็กๆดู

 

หยดน้ำสีดำลอยออกมาจากขวดเล็กๆ และแขวนนิ่งอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ

 

แอนนาย้อนนึกถึงสิ่งที่สองผู้รับใช้เทพบอก แล้วยื่นมือออกไป

 

“เอาล่ะ มาลองดูกัน” เธอพึมพำแผ่วเบา

 

เห็นแค่เพียงเคียวยาวที่ด้ามจับของมันมีขนาดสูงเท่ากับตัวของแอนนา ปรากฏขึ้นในมือของเธอ

 

ตามด้ามจับของเคียวเป็นสีดำ ขณะที่สุดปลายด้ามของมันถูกแกะสลักเป็นรูปหัวกะโหลกสีดำ

 

ส่วนบริเวณคมมีดของเคียวที่มีรูปทรงคล้ายจันทร์เสี้ย มีลวดลายเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้

 

ตลอดช่วงอดีตที่ผ่านมา เธอมักจะต่อสู้ด้วยอาวุธชิ้นนี้

 

ราวกับตระหนักได้ถึงเคียวยาวในมือของเธอ หยดน้ำตาสีดำเริ่มที่จะขยับไหว

 

มันหยดลงไปบนตัวเคียวและหายไปอย่างรวดเร็ว

 

จากนั้น-

 

ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย

 

แอนนากุมเคียวในมืออย่างเงียบๆ เฝ้ารออยู่สักพักหนึ่ง

 

“อะไรกันเนี่ย คงไม่ใช่ของปลอมหรอกนะ ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกถึงอะไรเลยล่ะ?” เธอบ่นเบาๆ

 

เปรี้ยง!!

 

ทันใดนั้นเอง เคียวยาวก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

 

หมอกดำทะมึนเล็ดลอยออกมาจากตัวเคียว และเริ่มเข้าห่อหุ้มเคียวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

 

ลวดลายเปลวไฟสีแดงบนใบมีดหายไป

 

แต่กลับปรากฏถึงเปลวไฟสีดำที่ลุกไหม้ขึ้นมาแทนที่อย่างเงียบๆ

 

อำนาจอันน่าตื่นตาพรั่งพรูออกมาจากเปลวไฟสีดำ คล้ายกับว่าตราบใดที่แอนนาเริ่มโจมตีออกไป อำนาจเหล่านั้นก็จะถูกปลดปล่อยออกมาทันที

 

บนด้ามยาวตลอดทั้งตัวเคียว ปรากฏถึงชั้นอักษรรูนสีดำลึกลับสลักทับถมกันอย่างหนาแน่น หัวกะโหลกตรงสุดปลายเคียวบัดนี้ได้หายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยอัญมณีสีดำขึ้นมาแทน

 

ในช่วงเวลานี้ ตลอดทั้งอาวุธเคียวได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ให้ความรู้สึกถึงความน่าครั่นคร้ามและหนาวเหน็บออกมา

 

หมอกสีดำไม่ได้กระจายตัวหายไป มันกลายเป็นลมทะมึนที่คอยโคจรอยู่รอบด้ามจับเคียว และจะเกิดการกระชากกันขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว

 

แอนนากลายเป็นโง่งม

 

เพราะเคียวนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความสามารถพิเศษของตัวเธอเอง แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาไปได้อย่างไร?

 

เธอกุมเคียวยาว และลองโบกสะบัดมันเบาๆ

 

ขอบใบมีดที่ลุกไหม้ด้วยไฟสีดำตัดผ่านอากาศไป

 

ท่ามกลางความโกลาหล หมอกสีเหลืองอ่อนพลันปะทุออกมาจากในความว่างเปล่าที่ถูกเปิดออกเบื้องหน้าแอนนา

 

‘นั่นมันกระแสมิติอันเชี่ยวกราด … ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วจู่ๆตัวเองสามารถฉีกมิติได้อย่างไร?“‘

 

แอนนากล่าวด้วยความสับสน

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ลึกเข้าไปในโบสถ์ของคริสตจักร

 

เทพสุนัขได้มายังที่นี่

 

มันจ้องมองไปยังรูปปั้นเทพขนาดใหญ่

 

ในมือของรูปปั้นเทพ มีอีกาที่ตลอดทั้งตัวเป็นสีดำเกาะอยู่

 

อีกาดำและเทพสุนัข

 

ทั้งสองเป็นผู้รับใช้ของเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหล

 

พวกเขากำลังลอยคุยกันเรื่องของแอนนา

 

“เจ้ามอมแอนนาน้อยจนเมาแล้วใช่ไหม?” อีกาดำเอ่ยถาม

 

“ใช่ มันไม่ง่ายเลยที่จะมอมเธอ แต่หากเทียบกับวิธีการอื่นๆ กลยุทธ์นี้นับว่าง่ายและได้ผลดีที่สุดแล้ว” เทพสุนัขตอบกลับด้วยความกระสับกระส่าย “ว่าแต่ผลการทำนายเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“ข้าพึ่งไปถามเจ้าเก้าชีวิตมา มันบอกว่าผลการทำนายได้เปลี่ยนแปลงไปในที่สุด แอนนาน้อยจะไม่ไปอัลเบอัส และจะไม่ถูกควบคุมชีวิตโดยระบบของราชามาร”

 

“งั้นก็ดี เพราะข้าเองก็ไม่ต้องการที่จะให้เธอกลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย – เพราะวิญญาณชั่วร้ายในโบสถ์น่ะมีจำนวนมากเกินพอแล้ว” เทพสุนัขโล่งใจ

 

“นั่นสินะ แอนนาน้อยเป็นคนของเรา และเธอไม่ควรที่จะถูกพรากจากไปโดยระบบของราชามาร” อีกาดำเห็นด้วย

 

“ระบบของราชามาร … ทางมันเองก็เร่งลงมือแล้ว เช่นนั้นทางฝั่งเราสมควรทำอย่างไรดี?”

 

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ระบบทั้งหมดยังคงซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด พวกเราเฝ้ารอควรดูอย่างเงียบๆจึงจะสมควรกว่า”

 

“เข้าใจแล้ว … ”

 

….

 

Ep.568  – เร่งความเร็ว

 

“อุ๊ … ปวดหัวจัง”

 

“นี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?”

 

เธอลืมตาขึ้นปากอ้าขยับด้วยความงัวเงีย

 

ในสายตาของเธอ ทุกอย่างที่พร่ามัวค่อยๆเริ่มจะชัดเจน

 

ท่ามกลางความมืดมิด ถูกแต่งแต้มไปด้วยแสงสลัวสีเหลืองอ่อน

 

‘จริงสิ นั่นมันโคมไฟในบาร์นี่นา’

 

มองไปยังขวดเหล้ากองใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของเธอ เจ้าตัวก็เริ่มจะสร่างเล็กน้อย

 

ตรงกันข้ามกับเธอ สุนัขดำตัวหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะ

 

มันจ้องมองเธอด้วยความเย็นชา

 

“ในคริสตจักร์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยมีใครเลยที่ทำผิดกฏแบบนี้ สงสัยข้าคงต้องย้ำเตือนเจ้าด้วยวิธีรุนแรงดูบ้างแล้ว” สุนัขดำเอ่ยเสียงเย็น

 

“ฉันทำผิดกฏอะไร?” เธอถามด้วยสมองที่ว่างเปล่า

 

“ก็เจ้าดื่มตลอดทั้งคืน!”  สุนัขดำอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา

 

หญิงสาวที่ถูกด่าจึงเอียงคอ และลองย้อนนึกเกี่ยวกับมันอีกครั้ง

 

… ดูเหมือนว่าเมื่อวานเธอจะดื่มมากเกินไปจริงๆ

 

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการดื่มหนักแบบนี้ พอเจ้าเมาจนสลบแล้ว มันจะเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบ!” สุนัขดำยังคงวิจารย์เธอต่อไป

 

“แต่นี่ไม่ใช่บาร์ของคริสตจักรของพวกเราหรอ?” เธอสวนกลับด้วยความงุนงง

 

“นั่มไม่เหมือนกัน! เจ้าสลบไปตั้งสี่ชั่วโมง หากไม่มีข้าคอยปกป้อง ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น!” สุนัขดำโกรธสุดๆ มันกระโดดลงจากโต๊ะ และเดินออกจากประตูบาร์ไป

 

แอนนาตะลึงงัน

 

ทำไมฉากนี้มันดูเหมือนกับว่า … จะมีบางอย่างผิดปกติกันนะ?

 

หลังบาร์ หญิงมีเสน่ห์คนหนึ่งเดินมาหาเธอพร้อมกับบุหรี่ในปาก

 

ขณะที่กำลังเช็ดแก้วในมือ เธอก็เอ่ยปลอบประโลม “แอนนา อย่าโกรธไปเลยนะ”

 

“ฉันไม่ได้โกรธ ฉันก็แค่-”

 

“อื้ม ตัวมันก็พึ่งจะตื่นขึ้นมาก่อนหน้าคุณหนึ่งนาทีเท่านั้นเอง”

 

“ว่าไงน-”

 

“อื้ม และมันก็ดื่มมากกว่าคุณตั้งสามเท่า”

 

“ถ้างั้น-”

 

“และที่สำคัญที่สุด มันยังไม่ได้จ่ายเงิน ดังนั้นคุณจะต้องจ่ายในส่วนของมันด้วย และฉันขอแนะนำว่าครั้งต่อไปถ้าคุณจะมาดื่ม อย่าชวนสุนัขขี้เมามาเป็นเพื่อนจะดีกว่า”

 

“ไอ้หมาสารเลวนั่น!!!”

 

“มันหนีไปไกลแล้ว คุณคงไล่ไม่ทันหรอก”

 

“ … โธ่ เข้าใจแล้ว เช็คบิลด้วย”

 

แอนนาหยิบเอาเพชรูปกะโหลกออกมา และวางมันลงบนโต๊ะ

 

หญิงมีเสน่ห์กวักมือเข้าหาตน แล้วเพชรรูปกะโหลกก็ลอยมาตกลงบนปลายนิ้วเธอ

 

“ช่างน่าอิจฉาจริงๆ ที่คุณสามารถได้รับเจ้าสิ่งดีๆแบบนี้เอาไว้ในครอบครอง” เธอเอ่ยสรรเสริญอย่างราบเรียบ

 

เมื่อได้รับเพชรกะโหลกมา หญิงมีเสน่ห์ก็ขบคิดก่อนจะกล่าวว่า “อันที่จริงแล้ว คุณสามารถวางใจได้นะ เพราะที่นี่เองก็อยู่ไม่ไกลจากตัวโบสถ์สักเท่าไหร่ คงไม่มีใครกล้าที่จะมาอุ้มคุณไปหรอก แต่ถ้าเป็นในสถานที่อื่น คุณก็ไม่สมควรที่จะดื่มจนเมาสลบไปแบบนี้”

 

“อีกอย่าง อย่าลืมนะว่าถ้าเมาเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อพลังในการต่อสู้ของคุณ”

 

“รู้หรอกน่า ฉันไม่ได้โง่ถึงขนาดนั้น” แอนนาพูดด้วยความโกรธเคือง

 

“ว่าแต่เมื่อคืนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ ถึงได้ดื่มหนักขนาดนี้?”

 

“ก็แค่มาฉลองเล็กๆน้อยๆน่ะ”

 

“หืม? ฉลองเรื่องอะไรหรอ?”

 

“พิธีกรรมปลุกวัตถุโบราณของโบสถ์น่ะ”

 

“เอ๊ะ” ดวงตาของหญิงมีเสน่ห์เปล่งประกาย น้ำเสียงของเธอยกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“ตามกฏแล้วฉันไม่ควรจะถามอะไรไปมากกว่านี้ แต่ดูจากท่าทีมีความสุขของเธอ ดูเหมือนว่าสิ่งประดิษฐ์เทวะแห่งความตายชิ้นนั้นคงจะเป็นของดีไม่น้อยเลยใช่ไหม?”

 

“ก็คงประมาณนั้นแหละ ขอบคุณนะ ฉันคงต้องขอตัวก่อน”

 

“ด้วยความยินดี”

 

แอนนาโบกมือบ๊ายบายและเดินออกจากบาร์ไป

 

ข้างนอก เป็นเวลากลางวัน

 

บนถนนในเขตสงคราม คึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย

 

ม่านตาของแอนนาถูกทิ่มแทงด้วยแสงสว่างอันร้อนแรงจากบนท้องฟ้า ประจวบกับอาการมึนเมา ส่งผลให้เธอเซไปมา จนเกือบจะสะดุดล้มลงอยู่หลายครั้ง

 

หลังจากส่ายศีรษะอย่างแรง ในที่สุดแอนนาก็สามารถหยั่งเท้า รักษาสมดุลตัวเองจนได้

 

“หนังสือพิมพ์จ้า หนังสือพิมพ์หมดแล้วหมดเลย! ข่าวล่าสุดของวันนี้ อาการบาดเจ็บของแบรี่หายดีแล้ว ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ในโลกมิติอนันต์พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!”

 

คนขายหนังสือพิมพ์ โบกพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งผ่านหน้าเธอไป

 

อืม …

 

แบรี่งั้นหรอ ..

 

เขาเป็นใครกัน?

 

แต่ด้วยสมองที่วิงเวียน และดวงตาที่พร่ามัว ส่งผลให้เธอไม่อาจเห็นภาพในพาดหัวข่าวได้อย่างชัดเจน แอนนาจึงโยนความสงสัยนี้ทิ้งไป และสิ่งแรกที่อยู่ในหัวของเธอคือกลับไปนอน

 

เมื่อคิดได้แบบนี้ แอนนาก็พยายามมองหาทิศทางของโบสถ์ ลากตัวเองไปตามท้องถนน

 

สภาพที่ดูไม่ได้ของเธอ แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายในทันที

 

สายตาชั่วร้ายมากมายกวาดมองเธอ แต่เมื่อพวกเขาพบว่าหญิงงามคนนี้คือแอนนา-

 

สายตาเหล่านั้นก็เบนหนีออกไปทันที

 

ผู้คนบนถนนจู่ๆก็กลายเป็นรีบร้อน หลายคนเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้น ไม่มีใครอยากเข้าไปใกล้หรือขวางทางเธอ

 

ในตอนนั้นเอง มนุษย์คนหนึ่งที่ไม่รู้จักเธอได้ก้าวออกไปข้างหน้า แต่เขาก็ถูกเพื่อนร่วมงานดึงกลับมา และลากตัวออกจากถนนซะก่อน

 

ในตรอกที่อยู่ห่างไกลออกไป

 

“แล้วแกจะลากฉันมาทำบ้าอะไร? นั่นมันหญิงงามชั้นยอดเลยนะ! ดูจากอายุแล้วก็ยังสาวอยู่เลย นี่มันสินค้าคุณภาพดีที่แสนจะหายากนะเว้ย” คนที่ถูกดึงตัวบ่นออกมาอย่างไม่พอใจ

 

ขณะที่คนอื่นๆได้แต่มองหน้ากัน และยิ้มออกมาอย่างขมขื่นโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

 

“ลืมเรื่องนี้ไปเถอะพี่น้อง นี่ก็เพื่อชีวิตของตัวนายเองนะ” หัวหน้าของพวกเขากล่าว

 

“พี่ใหญ่ ทำไม-”

 

“เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งความตาย”

 

พอได้ยิน ชายคนนั้นก็หดคอกลับทันที

 

แต่สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว เถียงออกไปอย่างดื้อรั้น “คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง ทางคริสตจักรแห่งความตายคงไม่ยอมให้เหล่าผู้ศรัทธามาคร่าชีวิตของผู้อื่นตามใจชอบ ..”

 

คราวนี้ แม้แต่หัวหน้าก็ยังยิ้มด้วยความขมขื่น

 

“ครั้งสุดท้าย กลุ่มคนที่พยายามจะเข้าไปลักพาตัวเธอขณะเมา นายรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?”

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“ทุกคนในกลุ่มจู่ๆก็ร่วงลงกับพื้น พร้อมกับหัวที่ถูกแยกออกจากลำตัวกลิ้งไปมาบนท้องถนน ตายลงทั้งๆอย่างนั้นเลย!”

 

“เป็นไปไม่ได้หรอก ผู้คนที่สามารถมาถึงดินแดนชิงอำนาจได้ ล้วนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในบรรดาตัวตนทรงอำนาจ แล้วพวกเขาจะไปตายโง่ๆแบบนั้นได้ยังไง” เขาสวนกลับด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

 

แต่ไม่มีใครตอบ แม้กระทั่งหัวหน้าของเขาก็ปิดปากเงียบ

 

เวลานี้ ชายคนนั้นจึงตระหนักได้ว่านี่มันเป็นเรื่องจริง

 

ดูเหมือนว่าเขาจะจดจำได้ถึงบางสิ่ง ใบหน้าของเขาเริ่มจะซีดเซียว พร้อมกับเหงื่อเย็นที่ผุดออกมาจากหน้าผาก

 

“กฏแห่งการกระทำ(กรรม)สินะ … มีเทพวิญญาณแห่งความตายอยู่ข้างๆเธอ … ”

 

“ถูกต้อง ดังนั้นถ้านายไม่ต้องการที่จะโยนตัวเองลงสู่ความตาย ก็ขอให้อยู่ห่างจากเธอซะ”

 

หัวหน้าตบลงบนไหล่เขา และกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

 

ม้าทมิฬวิ่งผ่านเข้าไปในป่า

 

ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไกลออกไป บางครั้งก็ปรากฏลวดลายเป็นวงสีทองแผ่ขยายออกมา

 

ซึ่งนั่นคือปฏิกิริยาจากกำแพงอุปสรรคของทวยเทพ เมื่อผีแห่งความอลหม่านบุกเข้ามา

 

ตามข้อมูลของเหลาเจียว ผู้เข้าสู่วิถีมารเบื้องบน ยังคงทำการอัญเชิญผีแห่งความอลหม่านผ่านพิธีกรรมอันซับซ้อนอย่างต่อเนื่อง

 

ขณะที่ทางฝั่งเบื้องล่าง มีผู้คนไม่มากพอที่จะหยุดผู้เข้าสู่วิถีมารจากพิธีอัญเชิญนี้

 

กู่ฉิงซานถอนสายตาของเขาออก และสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ลอยมาตามสายลม

 

“อีกนานแค่ไหนจะถึงสถานที่ๆคุณกล่าว” เขาถาม

 

“ถ้าด้วยความเร็วระดับนี้ น่าจะอีกสักราวๆ 10 นาทีได้” เหลาเจียวตอบเสียงดัง

 

สิบนาทีสินะ –

 

แต่หนทางข้างหน้ามันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดเนี่ยสิ

 

กู่ฉิงซานถอนจิตสัมผัสเทวะกลับคืน และตบลงบนตัวม้าทมิฬ “ต่อให้อะไรจะเกิดขึ้น ไม่ต้องสนใจนะ ขอแค่วิ่งต่อไปก็พอ”

 

“เข้าใจแล้ว” ม้าทมิฬรับคำ

 

มันเพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น

 

เห็นแค่เพียงภาพติดตาสีดำวิ่งเป็นสาย ราวกับลูกศรที่หลุดจากคันธนู พุ่งข้ามผ่านผืนป่า

 

กู่ฉิงซานที่นั่งอยู่บนหลังม้า ตบลงในถุงสัมภาระและหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา

 

เขาใช้สองมือพรม คลิ๊กๆๆ ลงบนดิสก์ค่ายกลอย่างรวดเร็ว

 

เห็นแค่เพียงแสงสวรรค์เรืองรองปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า ครอบคลุมไปทั้งตัวม้าทมิฬและกระดองเต๋าเบื้องหลัง

 

ทันทีที่แสงสวรรค์หายไป ก็ปรากฏพลังวิญญาณที่อัดกันแน่น แต่มันก็ถูกปกปิดไว้ในทันที

 

ค่ายกลต่อสู้ถูกจัดวางแล้ว

 

แต่สองมือของกู่ฉิงซานยังไม่หยุดลงเพียงแค่นี้

 

ไม่นานนัก แสงสวรรค์ก็ได้สาดสว่างข้ามผืนป่าอีกครา

 

กู่ฉิงซานได้จัดตั้งค่ายกลลงอีกชุดหนึ่ง

 

“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” เหลาเจียวถาม

 

“จัดตั้งค่ายกลต่อสู้”

 

ช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย ค่ายกลขนาดใหญ่ก็ถูกจัดวางลงในที่สุด

 

“มีศัตรูงั้นรึ?” เหลาเจียวเริ่มกังวล

 

“วางใจเถอะ ตอนนี้คุณจะปล่อยมือจากเชือกไม่ได้ – แถมอาการบาดเจ็บก็ยังไม่หายดีอีก ดังนั้นมันจะเป็นการดีที่สุดถ้าอยู่เฉยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลเดิมปริซ้ำออกมา”

 

“แต่พวกเขาจะไม่เพ่งเล็งมาที่ข้าหรือ?” เหลาเจียวถาม

 

ลอร่าพอได้ฟังก็เอ่ยออกมา “เรื่องนี้ขอให้เป็นหน้าที่เราเอง”

 

เห็นแค่เพียงมือของเธอที่ถูกวาดออกไป

 

และบนกระดองเต๋าเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย ในไม่ช้า กระดองเต่าขนาดเล็กก็แตกตัวออกอย่างรวดเร็ว

 

 เปลือกเต่าเล็กๆเหล่านี้ ราวกับเป็นเกราะชิ้นน้อยๆ พวกมันเริ่มประกบและยึดติดตามบนตัวของเหลาเจียวโดยอัตโนมัติ

 

จนสุดท้าย

 

กระดองเต่าขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนศีรษะของเหลาเจียว เป็นหมวกเกราะให้แก่เขา

 

“นี่มัน – ” เหลาเจียวก้มๆเงยๆ มองดูชุดเกราะทั้งหมดของเขาด้วยความประหลาดใจ

 

“ไม่ต้องกังวลไป กระดองเต่านี้แข็งมาก ต่อให้เจ้าถูกโจมตีโดยศัตรู การโจมตีนั้นก็ไม่อาจเข้าถึงตัวเจ้าได้” ลอร่ากล่าว

 

ระหว่างอธิบาย จู่ๆก็เกิดเสียงดังขึ้น

 

โครม!

 

มอนสเตอร์ตัวใหญ่ที่สูงพอๆกับตึก 5 ชั้นปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน และพุ่งเข้ามา ปะทะกับค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายโดยตรง!

 

เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นม้าทมิฬหรือศัตรูต่างก็เร่งความเร็วเต็มที่ ส่งผลให้มอนสเตอร์ตัวนั้นปะทะเข้ากับค่ายกลที่กำลังเคลื่อนที่อย่างแรง ทั้งตนทั้งร่างของมันปลิวกระดอนออกไป

 

—เมื่อครู่นี้ มันคงไม่ทันจะได้คาดคิดโดยสมบูรณ์ ว่าจะมีค่ายกลที่ถูกกลบร่องรอยไว้โดยสมบูรณ์ซ่อนไว้ในอากาศที่ว่างเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นค่ายกลที่สามารถป้องกันตัวมันเองได้อีกด้วย!

 

“นั่นผีแห่งความอลหม่าน!” เหลาเจียวสูญสิ้นเสียงของตนเอง

 

เบื้องหลังกู่ฉิงซาน ในอากาศที่ว่างเปล่า ดาบที่สาดแสงดั่งน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงปรากฏขึ้น มันระเบิดสายฟ้าออกมา และวูบบบบ หายไป

 

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงโหยหวนน่าอนาถก็ดังขึ้นสั้นๆ และสงบลงในที่สุด

 

ดาบบินลอยกลับมาอย่างช้าๆ และหายเข้าไปในความว่างเปล่าเบืองหลังเขาอีกครา

 

“เจ้าไล่ผีแห่งความอลหม่านไปได้แล้วงั้นหรือ?” เหลาเจียวทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม

 

“เปล่า ไม่ได้ไล่ แต่ฆ่ามันไปแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับสั้นๆ

 

Ep.567  – ออกเดินทาง

 

ไฟแห่งการจองจำมอดดับลง

 

ทั้งผี มอนสเตอร์ และร่างเงาดุร้ายจากแดนชำระล้างได้หายไป

 

เมืองทั้งเมืองกลับคืนสู่ความเงียบ 

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและยืนไตร่ตรองอยู่ในจุดเดิม

 

แดนชำระล้างเรียกตนเองว่าเป็นคนกลางอย่างภาคภูมิใจ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วพวกเขากลับเอนเอียงไปทางฝั่งระบบของราชามารอย่างชัดเจน

 

หากกระทั่งพวกเขายังเป็นแบบนี้ กู่ฉิงซานเกรงว่าในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น คงจะมีโลกในตำนานอีกมากมายแน่นอน ที่กำลังยืนอยู่ตรงทางแยก และกำลังพิจารณาว่าพวกตน สมควรจะเลือกฝั่งไหนดี

 

ชายร่างสูงเมื่อครู่บอกว่า ตัวกู่ฉิงซานไม่ใช่ตัวแทนของระบบ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับระบบของราชามาร

 

แบบนี้ก็แสดงว่า … ยังมีความลับอื่นๆที่ลึกยิ่งกว่า ซ่อนอยู่เบื้องหลังแดนชำระล้างใช่หรือไม่?

 

“โอย ขาข้าเจ็บอยู่นะเนี่ย นั่งยองๆนานๆมันก็ยิ่งเจ็บ!”

 

เสียงบ่นอุบดังมาจากจุดที่ห่างออกไป ขัดจังหวะความคิดของเขา

 

กู่ฉิงซานหันไปตามเสียง

 

ไม่ไกลจากเขา ชายชราเดินออกมาจากตึกปะการัง

 

ดูเหมือนว่าขาของเขาจะชาไปเล็กน้อย ทำให้เวลาเดินค่อนข้างกะเผลกๆ

 

“อาการบาดเจ็บของคุณดูจะดีขึ้นมากแล้วนะ แต่ยังไงคุณก็จะต้องทานยาอีกสักหน่อย ถึงจะสามารถฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่”

 

กู่ฉิงซานกวาดตามองชายชรา และสรุป

 

เขาเอื้อมมือไปหยิบเม็ดยาออกมาจากถุงสัมภาระ

 

“แต่วิธีการรักษาแบบนี้มันทรมานเกินไป ถ้าในมือของเจ้ามีเม็ดยาแบบอื่นที่ไม่ผสมยาระบาย-” ชายชราอ้าปากหอบหายใจ

 

“คุณจะไม่กินมันงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“กินสิ ขอข้าอีกสักเม็ดหนึ่งนะ” 

 

“ … ไม่มีปัญหาหรอก แต่การต่อสู้มันจบลงไปแล้วนะ ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลยก็ได้มั้ง?”

 

“ไม่ใช่! นี่แหละคือช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ หากข้าสามารถฟื้นฟูตนเองได้อย่างรวดเร็ว ก็จะสามารถกระโจนเข้าสู่สงครามครั้งต่อไปได้”

 

“แต่ทุกคนตายกันเกือบหมดแล้ว ยังจะมีสนามรบอยู่ที่ไหนอีกงั้นหรือ?”

 

“แน่นอนว่าย่อมมี เจ้าหนู ไปกันได้แล้ว พวกเราจะต้องเร่งออกจากที่นี่ทันที” ชายชราตะโกน

 

“แล้วจะไปที่ไหน?”

 

“ไปยังเมืองไห่เช่า เวลานี้มีเพียงสถานที่แห่งนั้น ที่ผู้คนยังรอดชีวิตอยู่ และเป็นเพียงจุดเดียวเท่านั้นที่สามารถต้านทานการรุกรานของมอนสเตอร์พวกนี้ได้!”

 

“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นโปรดรอสักครู่ ผมต้องไปเรียกเพื่อนของผมก่อน”

 

“สหายงั้นหรือ? ช้าก่อน นี่เจ้ามีกำลังคนอยู่อีกงั้นอย่างหรือ?”

 

“เปล่า ไม่ใช่กำลังรบ แค่เพื่อนคนเดียว”

 

ชายชราพอได้ยินก็รู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังเอ่ยถามด้วยความสนใจว่า “แล้วสหายที่ว่า แข็งแกร่งพอๆกับเจ้าหรือเปล่า?”

 

“หากเทียบกันในบางแง่มุม ควรจะบอกว่า เธอเป็นคนที่มีวิธีการที่จะทำให้ผู้คนมากมายเต็มใจที่จะทำสิ่งต่างๆเพื่อเธอซะมากกว่า”

 

“คล้ายๆกับเทคนิคมนตราควบคุมอันทรงพลังอะไรแบบนั้นรึเปล่า?” ชายชราถามด้วยความสงสัย

 

“ก็.. จะเรียกว่าประมาณนั้นก็ได้ มันเป็นเทคนิคมนตราที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต้านทานล่ะนะ”

 

“เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย! งั้นพวกเราจะไปรับตัวสหายของเจ้าก่อน แล้วเริ่มทำการค้นหาทั้งเมืองอีกครั้งด้วยกัน – เพราะบางทีมันอาจจะยังมีผู้รอดชีวิตคนอื่นๆอยู่อีกก็ได้”

 

“ค้นหาผู้รอดชีวิตงั้นหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้ผมว่าเรามาจัดการเรื่องของคุณกันก่อนดีกว่า”

 

“เพราะเหตุใด? ทำไมถึงไม่พาสหายของเจ้ามาด้วย หรือว่าคนๆนั้นกำลังทำบางสิ่งที่สำคัญอยู่ใช่หรือไม่?”

 

“ใช่ เธอกำลังทำบางสิ่งที่สำคัญมากๆอยู่”

 

 

ด้วยจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน การค้นหาจึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

 

หลายสิบนาทีต่อมา

 

บริเวณมุมถนนมุมหนึ่งในตัวเมือง จู่ๆก็ปรากฏรังสีแสงสีน้ำเงินยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

ท่ามกลางช่วงเวลาอันมืดมิด การที่ปรากฏแสงสว่างสดใส ระเบิดขึ้นเช่นนี้ เป็นสัญญาณที่ดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

อย่างไรก็ตาม แม้กู่ฉิงซานกับชายชราเฝ้ารอคอยมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครมา

 

“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตายกันหมดแล้ว” ชายชรากล่าวด้วยความเศร้า

 

เขาส่ายมือตนเอง

 

แล้วรังสีแสงบนท้องฟ้าก็กลับมาบรรจบกัน

 

สัญญาณจางหาย ท้องฟ้าคืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง

 

“เหลาเจียว มีซักกี่คนกันที่สามารถแปลงกายเป็นสายพันธุ์โบราณแบบคุณได้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

คนโบราณที่ชื่อว่าเหลาเจียว ในแววตาของเขาดูมืดมัวยิ่งนัก

 

“หากเป็นตอนนี้ ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหลืออยู่มากเพียงใด แต่มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในเมืองนี้”

 

“ถ้าอย่างงั้นแล้วเมืองอื่นๆล่ะ?”

 

“การสื่อสารจากแต่ละเมืองได้ถูกตัดขาดไปแล้ว ดังนั้นข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเทพคนอื่นๆเป็นอย่างไรบ้าง”

 

“สงครามมันรุนแรงมากเลยหรือ? กำแพงอุปสรรคของทวยเทพไม่มีผลเลยหรือไร?”

 

“มีผลอยู่ แต่พวกเราจำเป็นที่จะต้องออกจากกำแพงอุปสรรคไป เพื่อขัดขวางผู้เข้าสู่วิถีมารภายนอกที่อยู่บนเปลือกโลก เพราะพวกเขาเป็นคนรับหน้าที่อัญเชิญผีแห่งความอลหม่านมาบุกโลกของพวกเรา”

 

เหลาเจียวถอนหายใจ “ซึ่งพวกเราไม่สามารถรับมือกับผีแห่งความอลหม่านได้”

 

“หากเป็นแบบนั้น หมายความว่า คุณก็เลยจำเป็นต้องออกไปสู้เพื่อทำลายพิธีกรรมอัญเชิญของพวกเขาใช่ไหม?”

 

“ใช่ พวกเราสายพันธุ์โบราณออกจากกำแพงอุปสรรคไปต่อสู้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ตกตายลงทั้งหมด และในทันทีที่พวกเราปรากฏตัวขึ้นบนผืนน้ำแข็ง ก็จะถูกรุมโจมตีจากบรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารนับไม่ถ้วนทันที แม้พวกเราจะสามารถหยุดยั้งพิธีอัญเชิญได้ แต่หลายคนก็ต้องตายลง”

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ

 

ภายนอก มีผู้เข้าสู่วิถีมารเกินกว่า 200 ล้านคน

 

แม้ว่ากู่ฉิงซานจะออกไปข้างนอกด้วยตนเอง แต่ด้วยจำนวนศัตรูที่มากมายเกินไป ตัวเขาก็คงได้พบจุดจบอันน่าเศร้าสลดไม่ต่างจากชายชราอยู่ดี

 

“งั้นแล้วทำไมเมืองไห่เช่าถึงยังคงยืนหยัดอยู่ได้?” เขาถามอีกครั้ง

 

“เพราะเมืองไห่เช่าเป็นเมืองที่ได้รับการเลือกสรรค์จากทวยเทพให้เป็นเมืองนมัสการ และอีกอย่าง ตอนนี้ก็มีบุคคลที่ทรงพลังจากภายนอกคอยช่วยเหลืออยู่อีกด้วย ”

 

“คนจากภายนอกงั้นหรือ?”

 

กู่ฉิงซานเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

 

“ใช่ นางมีมนตราพิเศษที่สามารถวบคุมผีแห่งความอลหม่านได้ในระดับหนึ่ง และเพราะมนตราของนางนี่เอง ที่ช่วยให้ผู้คนที่ยังรอดชีวิต เดินทางไปหลบภัยยังเมืองไห่เช่าได้”

 

“คนนอกที่ว่า ใช่ชื่อเหมันต์ยามค่ำ – เหมันต์ยามค่ำอีเลียรึเปล่า?”

 

“หือ? นี่เจ้าไปรู้จักชื่อของนางได้อย่างไร?” เหลาเจียวอุทานด้วยความประหลาดใจ

 

“เพราะผมก็กำลังตามหาตัวเธออยู่เหมือนกัน”

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานสามารถสรุปข้อข้องใจได้แล้ว

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตัวเขาถึงไม่สามารถค้นหาคนๆนี้ได้ในโลกเปลือกน้ำแข็งชั้นนอก

 

กลับกลายเป็นว่าตัวเหมันต์ยามค่ำอีเลีย ก็ได้เข้ามาสู่โลกใบนี้ตั้งนานแล้วนั่นเอง

 

ความมั่นใจของกู่ฉิงซานเพิ่มขึ้นหลายส่วน

 

เหมันต์ยามค่ำอีเลีย เป็นตัวตนทรงอำนาจเช่นเดียวกันกับแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ เป็นผู้บัญชาการรบสงครามภายนอกแห่งอาณาจักรหนาม

 

และเธอให้คำมั่นสาบานว่าจะปกป้องลอร่า

 

เพียงเท่านี้ หมากสำคัญทางฝั่งตนเองก็พร้อมแล้ว!

 

เขาจะต้องพาลอร่าไปหาเธอที่นั่นทันที!

 

“เช่นนั้นก็เร่งฝีเท้ากันเถอะ หลังจากปลุกเพื่อนของผมแล้ว พวกเราจะไปทันที” กู่ฉิงซานตัดสินใจ

 

“ช้าก่อน ปลุกงั้นหรือ?” เหล่าเจียวตะโกน “ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าสหายเจ้ากำลังทำบางสิ่งที่สำคัญมากอยู่หรือ?”

 

“เป็นธรรมดาที่คุณอาจจะไม่รู้ว่าโลกแห่งความฝันน่ะมันน่าหวาดกลัวขนาดไหน จริงๆแล้วก็มีเทคนิคมนตราของบางเผ่าพันธ์เหมือนกันนะ ที่จะสามารถเริ่มใช้งานได้เฉพาะในโลกแห่งความฝันเท่านั้นน่ะ”

 

“เป็นแบบนั้นเองหรอกหรือ?” น้ำเสียงของเหลาเจียวเริ่มจะคล้อยตาม

 

“นั่นคือสิ่งที่เป็น” กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด

 

“ … ขออภัยจริงๆ เป็นข้าผู้ชราเองที่ขลาดเขลา พวกเราไปกันเถอะ”

 

ว่าจบ ทั้งสองก็ออกเดินทางไปด้วยกัน

 

ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงสถานที่ๆลอร่าพักอยู่

 

หลังจากเปิดค่ายกลเกือบร้อย กู่ฉิงซานก็นำเหลาเขียวเข้ามาภายใน

 

“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว” ฉานนู่ยืนขึ้นและกล่าว

 

“อืม ว่าแต่เธอเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“นอนหลับสบายดี”

 

กู่ฉิงซานเดินไปที่เตียง และเริ่มสำรวจลอร่า

 

เด็กสาวตัวน้อยอยู่ในอาการหลับลึก

 

มันอาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาทั้งวันที่ผ่านมานี้ เธออ่อนเพลียมากเกินไป แต่ละลมหายใจของเธอช่างหนักหน่วง และมีเสียงกรนเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานยื่นมือของเขาออกไป แต่สุดท้ายก็ลังเล ก่อนจะถอนมันกลับคืน

 

“รออีกสักหน่อยแล้วกัน ระหว่างนี้พวกเราก็เก็บของ เตรียมออกเดินทางกันก่อนเถอะ” เขาบอก

 

ฉานนู่พยักหน้า เธอกลายร่างเป็นดาบยาว แล้วหายเข้าไปในความว่างเปล่า

 

เหลาเจียวเฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

 

ตอนแรก นักดาบที่เหมือนกันกับเขาทุกประการเปล่งเสียงของหญิงสาวออกมา

 

แต่จากนั้นจู่ๆคนที่ว่าก็กลายเป็นผู้หญิง ต่อมาก็กลายเป็นดาบ แล้วหายไป!

 

หากไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง แล้วมีใครมาเล่าให้ฟัง เหลาเจียวคงไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้เด็ดขาด

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันน่ะเป็นความจริง มันอยู่ใกล้แค่เอื้อมในสายตา

 

เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ขบคิดอย่างลับๆ  ‘แท้จริงแล้วโลกช่างกว้างใหญ่กว่าที่ข้าคาดคิดนัก’

 

แต่พอมาลองคิดดูอีกที เมื่อครู่นี้นักดาบก็ยังกล่าวอีกว่าสหายของเขาสามารถต่อสู้ในโลกแห่งความฝันได้

 

ดังนั้นหากจะพบเจอกับอะไรที่น่าเหลือเชื่ออีก เหลาเจียวคิดว่าตนคงไม่แปลกใจแล้ว

 

“สหายของเจ้า ยังคงวุ่นอยู่กับการต่อสู้ในความฝันใช่หรือไม่?” เหลาเจียวกล่าวสรรเสริญ

 

“เอ๊ะ? อ่า ก็น่าจะเป็นแบบนั้น” กู่ฉิงซานตอบตะกุกตะกัก

 

เขามองไปที่ลอร่า

 

ลอร่านอนหลับสนิทมาก และเขาไม่อยากที่จะปลุกเธอ

 

“ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง แต่ข้าเกรงว่าพวกเราคงต้องรีบกันหน่อยแล้ว” เหลาเจียวกล่าว

 

“ทำไมหรือ?”

 

“เพราะการป้องกันของเมืองไห่เช่าน่ะเข้มงวดนัก พวกเราจะต้องไปแจ้งให้พวกเขารู้ก่อนล่วงหน้า ว่าเราอยู่ที่นี่ พวกเขาถึงจะให้พวกเราเข้าไปได้”

 

เขาเอ่ยต่อ “เวลากระชั้นชิดนัก หากสงครามครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจเข้าไปได้อีกแล้ว”

 

“แล้วคุณสามารถติดต่อกับพวกเขาได้หรือไม่?”

 

“ได้สิ”

 

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ในที่สุดเขาก็เอื้อมมือออกไป และลูบหน้าผากของลอร่าเบาๆ

 

พลังวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์ตกลงไปในร่างของลอร่า

 

เจ้าหญิงค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา

 

“มีเรื่องอะไรงั้นหรือกู่ฉิงซาน?” ลอร่าลุกขึ้นนั่งบนเตียง ปากงุบงิบๆด้วยความหงุดหงิด

 

แล้วสายตาของเธอก็ตกลงบนเหลาเจียว

 

“มีข่าวดีฝ่าบาท พวกเราจะได้พบกับอีเลียแล้ว อ้อจริงสิ ชายคนนี้ชื่อว่าเหลาเจียว เขาเป็นคนท้องถิ่นของที่นี่ และจะเป็นคนพาพวกเราไปหาอีเลีย” กู่ฉิงซานอธิบาย

 

“เจ้าค้นพบที่อยู่ของอีเลียแล้ว? นี่เรื่องจริงงั้นหรือ?” ลอร่าขยี้ตาของเธอ ถามด้วยความเหลือเชื่อ

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

“ยอดไปเลย!” ลอร่าชูสองมือขึ้นด้วยความตื่นเต้น

 

แล้วทั้งสามคนก็เร่งเก็บของ เตรียมตัวที่จะออกเดินทาง

 

ทว่าก่อนจะไป สุดท้ายก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้

 

เพราะม้าทมิฬสามารถนั่งได้แค่สองคนเท่านั้น

 

“หรือว่าพวกเราจะบินกันดี ถึงจะช้ากว่า แต่อย่างน้อยก็เกาะกลุ่มไปด้วยกันได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ไม่ เราจะไม่บิน เมื่อครู่เราก็พึ่งฝันว่าร่วงตกจากที่สูงมา”ลอร่าคัดค้าน

 

“แต่นั่น-”

 

ลอร่า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเอง หากต้องเดินทางสามคนทางบก เราพอจะมีวิธีอยู่”

 

ลอร่าขบคิดปัญหานี้ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบเปลือกเต่าออกมาจากกระเป๋าใบเล็กของตัวเอง แล้วมอบมันให้แก่เหลาเจียว

 

“ขอบพระคุณ นี่เป็นกระดองเต่าโบราณที่ดีจริงๆ ว่าแต่ข้าจะขี่เจ้าสิ่งนี้ได้อย่างไร?” เหลาเขียวถามด้วยความตื่นเต้น

 

“การใช้งานมันในการเดินทางก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรหรอก – แถมเจ้ายังสามารถใช้มันหลบภัยในยามที่พบเผชิญกับอันตรายได้อีกด้วย”

 

ด้วยประการฉะนี้ ทั้งสามคนจึงเริ่มออกเดินทางทันที

 

“พวกเราจะไปที่ไหนกัน? เมืองไห่เช่าเลยไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไม่ พวกเราจะต้องติดต่อกับพวกเขาก่อน” เหลาเจียวย้ำอีกครั้ง

 

“แล้วสถานที่ติดต่อมันอยู่ตรงไหนกัน? นอกเมืองงั้นหรือ?”

 

“ใช่ เป็นต้นไม้พรายกระซิบที่สามารถเติบโตได้ในป่าใหญ่เท่านั้น”

 

“ … ฟังดูเป็นวิธีการติดต่อที่แปลกเอาเรื่องอยู่นะ แต่ก็ไปกันเถอะ”

 

ม้าทมิฬเริ่มควบสี่กีบของมัน ทะยานด้วยแรงทั้งหมดที่มี มุ่งหน้าออกนอกเมืองไป

 

ความรวดเร็วของมันราวกับสายฟ้าฟาด

 

กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนหลังม้าทมิฬกับลอร่า

 

ขณะเดียวกัน ตามตัวของม้าทมิฬก็มีเชือกเส้นยาวๆมัดเอาไว้ ปลายของมันลากยาวออกไปทางกระดองเต๋าที่อยู่เบื้องหลัง

 

เหลาเจียวที่ยืนอยู่บนกระดองเต่า ใช้สองมือกุมเชือกไว้แน่น ปากเอ่ยตะโกนเสียงดัง “สี่แยกข้างหน้า อย่าลืมเลี้ยวไปทางซ้าย!”

 

“รับทราบแล้ว” ม้าทมิฬขานรับ

 

หนึ่งคน หนึ่งวิหค หนึ่งม้า หนึ่งสายพันธุ์โบราณมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่

 

Ep.566 – โอบกอดแห่งแดนชำระล้าง

 

ชายในชุดดำที่ดูเป็นทางการ ยืนนิ่งอย่างสง่างาม เฝ้ารอคำตอบของอีกฝ่าย

 

เขายิ้มแล้วมองมายังกู่ฉิงซาน รอคอยด้วยความคาดหวัง

 

แต่คำตอบที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวออกมา กลับทำให้สติของเขาหลุดลอย จำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเลยทีเดียวจึงจะเรียกมันกลับคืนมาได้

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของชายร่างสูงในชุดทางการค่อยๆแข็งค้างไป

 

“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน” น้ำเสียงของเขาเริ่มที่จะเย็นชา “คุณมักจะโง่เขลาและหยิ่งยะโสแบบนี้เสมอเลยหรือ?”

 

“งั้นจะบอกว่าที่แกพล่ามจุดประสงค์ของตัวเองในเชิงบังคับคนอื่นออกมา มันไม่หยิ่งยะโสเลยงั้นสิ?” กู่ฉิงซานสวนกลับ

 

ชายร่างสูงเหยียดมือออกไป และชี้ไปยังไฟเหลืออนันต์ของแดนชำระล้างใต้ฝ่าเท้าเขา

 

ลึกลงไปเบื้องล่างที่ไม่เห็นถึงก้นหลุม คือไฟแห่งการจองจำที่กำลังลุกไหม้

 

และถ้าหากคุณตั้งใจสังเกตมันอย่างรอบคอบ คุณก็จะพบว่ามีมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในเปลวไฟที่ว่านั่น

 

มอนสเตอร์เหล่านี้ กำลังใช้เปลวไฟที่ลุกโชนเป็นดั่งเกราะคุ้มภัยของตนเอง และเป็นดั่งผืนดินที่ใช้เหยียบย่าง วิ่งเล่นไปมา หยอกล้อกันและกัน

 

เมื่อชายคนนั้นเหยียดมือ ไม่ว่าจะเป็นเปลวไฟที่กำลังร่ายระบำหรือมอนสเตอร์ ทั้งหมดพลันหยุดกึกลงทันที และต่างจ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน

 

พวกมันโน้มตัวลง และเริ่มแสดงท่าทีคุกคาม

 

“คุณอาจจะไม่รู้ ว่ากระผมต้องจ่ายไปมากเพียงใดเพื่อให้ส่วนหนึ่งของแดนชำระล้างมาฉายบนโลกโบราณใบนี้” ชายร่างสูงกล่าว

 

กู่ฉิงซานพูดด้วยรอยยิ้ม “นั่นสินะ แต่น่าเสียดายจริงๆที่มอนสเตอร์ที่แกเตรียมเอาไว้ มันฆ่าฉันไม่ได้ ดังนั้นแกก็เลยทำได้แค่ต้องเลือกแสดงตัวออกมาคุยกับฉัน”

 

ว่าแล้วสองดาบก็ปรากฏขึ้นข้างกายกู่ฉิงซานจากในความว่างเปล่า

 

เขาพูดต่อ “ตอนนี้ฉันนึกออกแล้ว ว่าภาพมายาที่ไอ้เจ้ามอนสเตอร์เนินเขาทะมึนตัวเมื่อกี้เรียกออกมาและสถานที่ๆฉันเกือบจะถูกส่งไป – แท้จริงแล้วคงจะเป็นโลกแดนชำระล้างของแกงั้นสินะ ถูกไหม?”

 

ชายร่างสูงเงียบงันไปครู่หนึ่ง

 

“คุณหลักแหลมมาก มิสเตอร์กู่ฉิงซาน”

 

เขากล่าว ขณะเดียวกันก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น และเปิดเผยถึงแขนซ้ายของตนเอง

 

บนแขนซ้ายของเขา ปรากฏถึงลวดลายวงกลมที่กำลังลุกไหม้ควบคู่ไปกับมอนสเตอร์ที่มีสองเขาบนหัว

 

อย่างไรก็ตาม ไม่รีรอให้ใช้ออกด้วยเทคนิคใดๆ ดาบข้างกู่ฉิงซานหายวับไป และฉัวะ! จ้วงทะลุเข้าหน้าอกของอีกฝ่ายทันที!

 

และในช่วงเดียวกัน เบื้องหลังของเขาก็ปรากฏอีกคมดาบ จ้วงแทงทะลุเข้าไปในร่างจากในมุมเดียวกัน

 

ทว่ากลับได้ยินเพียงแค่เสียง ‘เคร้ง!’

 

สองดาบหนึ่งหน้า หนึ่งหลังปะทะกันเอง หนึ่งหลังแปรสภาพเป็นร่างเงาและหายวับไป ขณะที่อีกหนึ่งหน้าเป็นเช่าหยินที่ถูกสะท้อน หมุนกระเด็นกลับมา

 

กู่ฉิงซานเลิกคิ้วอย่างไม่คาดคิด และเอื้อมมือไปรับดาบเช่าหยิน

 

กลืนกินหวนกลับไม่สามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ – นี่นับเป็นเหตุการณ์ที่ยากจะพบเจอจริงๆ

 

“ไร้ประโยชน์! กระผมคือภาพฉายจากแดนชำระล้างที่อยู่ห่างจากที่นี่นับล้านๆโลก คุณไม่สามารถโจมตีกระผมได้” ชายร่างสูงหัวเราะ

 

เขาจ้องมองไปยังดาบเช่าหยินในมือของกู่ฉิงซาน แววตาฉายชัดถึงความโลภ “หากไม่ใช่เพราะดาบของเทพบรรพกาลในมือคุณ อย่างคุณน่ะหรือจะมีคุณสมบัติให้กระผมต้องมาเยือนด้วยตนเอง และจำต้องจ่ายราคาออกไปมากถึงเพียงนี้”

 

“แต่แกก็สู้ไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรอ? สรุปแล้วพวกคนจากแดนชำระล้างมันใช้ฝีปากในการแก้ปัญหากันรึยังไง?” กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความเสียดาย

 

“ไม่ คุณดูถูกพวกเรามากเกินไปแล้ว มิสเตอร์กู่ฉิงซาน” เสียงของชายคนนั้นหม่นทะมึนลง

 

เขายกแขนขึ้น และทันใดนั้นเอง ลวดลายที่ลุกไหม้บนแขนของเขาก็เริ่มส่งกลิ่นกำมะถันรุนแรงออกมา

 

“ต้องขอบคุณผีแห่งความอลหม่านที่อัญเชิญกระผมมาในโลกใบนี้จริงๆ เพราะมันช่วยให้กระผมสามารถลากตัวคุณมายังแดนชำระล้าง เพื่อสำนึกผิดบาปถึงสิ่งที่ตนกระทำลงไปได้”

 

เปลวไฟไหลมารวมตัวกัน และก่อรูปขึ้นจากแขนของเขา

 

เปลวไฟอันไร้ที่สิ้นสุด ที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายกำมะถันพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า และค่อยๆก่อร่างเค้าโครงของมอนสเตอร์ประหลาดที่มีสองเขาขึ้น

 

“นายเหนือแห่งมารโลกัณฑ์ จ้าวแห่งอสูรกายผู้ควบคุมมิติและเวลาเอ๋ย-” เขาเริ่มกล่าวสรรเสริญ

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

เขาไม่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ แต่อีกฝ่ายกลับสามารถใช้เทคนิคมนตราเพื่อโจมตีเขาได้อย่างงั้นหรือ?

 

ไม่ นี่มันไม่ถูกต้อง

 

หากอ้างอิงตามกฏเกณฑ์ของมิติแล้ว ทั้งสองฝ่ายควรจะมีสมดุลซึ่งกันและกัน

 

หาก ‘เวลานี้’ อีกฝ่ายสามารถโจมตีเขาได้แล้วล่ะก็ ถ้าอย่างงั้น-

 

‘เข้าใจแล้ว ตอนแรกอีกฝ่ายเลือกที่จะปล่อยให้ฉันโจมตีไปก่อน ก็เพื่อพิสูจน์ให้ฉันตระหนักว่าตนเองไม่สามารถทำร้ายมันได้ จากนั้นก็ฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จิตวิทยาที่ว่า ทำให้คิดว่าในช่วงเวลาที่มันกำลังร่ายมนตราอยู่นี้ ฉันก็ยังไม่อาจโจมตีได้เหมือนกันอย่างงั้นสินะ?’

 

ดาบพิภพกระตุ้นเตือนทันใด “เร็วเข้า! จงเร่งลงมือซะ! ช่วงเวลาที่มันเริ่มร่ายมนตรา เป็นช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถทำให้มันได้รับบาดเจ็บได้!”

 

“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”

 

กู่ฉิงซานนึกคิดในจิตใจ และเริ่มใช้ออกด้วยเทคนิคดาบในทันใด

 

“ฆ่ามันซะ!”

 

ดาบพิภพตอบสนองต่อคำสั่งของเขา มันวูบบบบ! เป็นภาพติดตา พรวดทะยานเข้าหาชายร่างสูงทันที

 

“หือ ใช้ดาบขยะเช่นนี้ คิดหรือว่าจะทำได้อย่างที่ต้องกา-”

 

ชายร่างสูงดูถูกเยาะหยัน

 

เขายื่นมืออีกข้างออกไป และวาดกำแพงอุปสรรคเปลวไฟขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ดาบบินเข้าถึงตัว

 

อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ทันจะได้เย้ยศัตรูจนจบประโยค

 

ดาบพิภพกลับสามารถเจาะทะลวงผ่านชั้นกำแพงเปลวไฟมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะเดียวกันมันก็ระเบิดรังสีดาบสีขาวนวล ตัดฉับ! เป็นเขี้ยวจันทราโค้งมนลงใส่เป้าหมายทันที

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!

 

พริบตานั้นชายร่างสูงถูกตัดครึ่งตั้งแต่หัว จรดลงมาถึงเท้าด้วยคมดาบเดียว

 

ทั้งคนทั้งร่างของเขาแข็งทื่ออยู่ในตำแหน่งเดิม

 

เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงคำรามของมารที่ฟุ้งไปด้วยความไม่ยินยอมเปล่งออกมาจากเปลวไฟที่กำลังมอดดับลง

 

โครงร่างของมันยังมิถูกรังสรรค์จนสมบูรณ์ แต่ก็จำต้องสลายหายไปเสียก่อน

 

ดาบพิภพเงยขึ้น ขอบดาบของมันเกรอะกรังไปด้วยเลือดเย็นเยียบ ก่อนจะลอยขึ้นมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของชายร่างสูง

 

“เจ้าเป็นแค่ผีสวะจากแดนชำระล้าง แต่กลับกล้าที่จะอัญเชิญพวกมารมาต่อหน้าข้าอย่างงั้นหรือ?” ดาบพิภพเปล่งเสียงเย็นเยียบ

 

“แก … นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน … ”

 

เสียงของชายร่างสูงยังไม่ทันได้จบลง ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็แยกออกเป็นสอง ทั้งซีกซ้ายและขวาต่างร่วงหล่นลงไปยังหลุมลึก

 

ไฟแห่งแดนชำระล้างอันไร้ที่สิ้นสุดเข้าโอบล้อมศพ และแผดเผาร่างเขาจนสิ้น

 

ปัง!

 

เปลวเพลิงพลันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

ตามด้วยร่างเงาดำยักษ์ใหญ่ที่น่าขวัญผวาปรากฏขึ้นภายในกองไฟที่ลุกไหม้

 

“ดูเหมือนว่าการไกล่เกลี่ยจะล้มเหลวสินะ”

 

ร่างเงาดุร้ายถอนหายใจ

 

มันหันไปมองรอบๆ และในที่สุดเป้าสายตาก็ตกลงบนกู่ฉิงซาน

 

“แกสินะคือเจ้านายของมัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ใช่ ส่วนเจ้าก็คงจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานตัวปัญหาใช่หรือไม่?” ร่างเงาดุร้ายคำราม “ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเยี่ยงนี้ แต่กลับกล้าที่จะเข้ามาขวางกั้นกระแสธารอันยิ่งใหญ่ของหน้าประวัติศาสตร์ ข้าควรจะพูดว่าเจ้ามีความกล้าหาญหรือว่าโง่เง่าดี?”

 

กู่ฉิงซานคว้าจับดาบพิภพและกล่าว “สิ่งที่เรียกกันว่าหน้าประวัติศาสตร์น่ะ มันคือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ระหว่างผู้คนนับไม่ถ้วนต่างหาก! ส่วนตัวแกที่เอาแต่หดหัวอยู่ในเงามืดไม่มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยถึงมัน แต่ถ้าแน่จริง ก็ออกมาจากกระดอง แล้วมาวัดกันไปเลยสิ ว่าประวัติศาสตร์มันจะเอนเอียงมาทางฝั่งไหนกันแน่”

 

“หดหัวอยู่ในเงามืดอย่างงั้นหรือ? เสียใจด้วยนะ เพราะข้าได้ลงมือไปแล้ว”

 

ร่างเงาดุร้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “เทคนิคมนตราของข้า จำต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชาเสียสละชีวิต ตกตายลงก่อนจึงจะสำแดงผล และตอนนี้ … ข้าก็ได้บรรลุถึงสิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว”

 

จู่ๆกู่ฉิงซานก็รู้สึกแสบร้อนบนแขนของเขา

 

เขาเร่งยกแขนขึ้น และเห็นถึงสัญลักษณ์เปลวไฟทมิฬลุกลามขึ้นตามแขนของตัวเอง

 

ในเวลาเดียวกัน บนหน้าต่างเทพสงครามก็ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“นายเหนือแห่งแดนชำระล้างได้ประทับสัญลักษณ์วิญญาณ  : ‘โอบกอดแห่งแดนชำระล้าง’ ลงบนตัวของคุณ”

 

“โอบกอดแห่งแดนชำระล้าง : เมื่อคุณตายลง นายเหนือแห่งแดนชำระล้างจะไล่ติดตามสัญลักษณ์นี้ข้ามผ่านพื้นที่และมิติเวลา มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าคุณโดยตรง”

 

“นายเหนือแห่งแดนชำระล้างจะนำจิตวิญญาณของคุณกลับไปยังดินแดนของเขา”

 

ร่างเงาดุร้ายกล่าว “ในเมื่อจบเรื่องแล้วก็คงต้องขอลาก่อน เอาไว้เจ้าตายลงเมื่อไหร่ ข้าจะไปนำพาเจ้าจมลงสู่การลงทัณฑ์แห่งแดนชำระล้างด้วยตนเอง”

 

กู่ฉิงซานพอได้ยินก็ยิ้ม ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายอีกฝ่าย “งั้นก็ลาก่อน”

 

“นี่เจ้า – ทัศนคติที่แสดงออกมานั่นมันอะไรกัน?” เงาดำดุร้ายสับสน

 

“ก็ในเมื่อคนแบบแก ที่เอาแต่หดหัวอยู่ในเงามืด กล้าจะเชื้อเชิญฉันไปยังแดนชำระล้าง งั้นก็เตรียมตกลงจากเก้าอี้ของตัวเองได้เลย!”

 

ดาบพิภพและเช่าหยินวูบไหวพร้อมกัน

 

เทคนิคดาบถูกกระตุ้นใช้งานอีกครั้ง

 

ฟิ้วววว!

 

สองรังสีดาบนวลผ่องขนาดใหญ่ฟาดเข้าใส่เงาดำยักษ์ ทว่าสุดท้ายก็ทะลุผ่านไป

 

พลาดงั้นหรอเนี่ย!

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ

 

เดิมทีกู่ฉิงซานคิดจะใช้กลยุทธ์เดียวกันกับที่ลงมือสังหารชายร่างสูง แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้ อีกฝ่ายที่อยู่ในเงามืดจะใช้เทคนิคมนตราเสร็จสิ้นแล้ว ปัจจุบันมันจึงเป็นเพียงภาพฉายจากแดนชำระล้างเท่านั้น ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่สามารถโจมตีอีกฝ่ายได้

 

“ก็แค่คำคุยโวที่พวกมนุษย์สามัญมักจะโอ้ปวดออกมา รอให้ความตายมาเยือนเจ้าเสียก่อนเถอะ เมื่อนั้นเจ้าจึงจะเข้าใจว่าอะไรคือความหวาดกลัวที่แท้จริง” เงาดุร้ายกล่าว

 

“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน ว่าใครกันแน่คือคนสุดท้ายที่ต้องหวาดกลัว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เหอะ! หากในเวลานี้ มิใช่เพราะดาบของเจ้าแล้วล่ะก็ –”

 

ร่างเงาดุร้ายจ้องมองไปยังดาบเช่าหยิน ก่อนจะส่ายหัวด้วยความเสียดาย

 

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ร่างเงามืดทั้งหมดก็หายวับไป พร้อมกันกับเปลวไฟแห่งแดนชำระล้างทั้งมวลที่มอดดับลง

 

ภายในหลุม หลงเหลือเพียงอากาศอบอ้าวที่ว่างเปล่า

 

“มันหนีเร็วเกินไป ไม่ปล่อยโอกาสให้ข้าได้โจมตีอีกเป็นครั้งที่สองเลย” ดาบพิภพพึมพำ

 

แล้วมันก็บินกลับมาข้างกายกู่ฉิงซาน

 

“เจ้าสิ่งนั้นคือภูติผีสินะ? แล้วเจ้าพอจะรู้ไหมว่ามันอยู่ในระดับใดกัน?”

 

“ใช่ มันเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆจากแดนชำระล้างในยุคโบราณ ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ก็เลยกลายเป็นใหญ่เท่านั้น” ดาบพิภพกล่าว

 

“ว่าแต่เหตุใดกัน ข้าจึงรู้สึกได้ว่า สภาวะของเจ้าดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

การฟาดฟันเมื่อครู่นี้ แม้ว่ากู่ฉิงซานจะได้ทำการกระตุ้นเทคนิคดาบไปแล้วก็ตาม แต่ในความรู้สึกของเขา การโจมตีของดาบพิภพดูเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

 

ระหว่างผู้ฝึกดาบกับจิตแห่งดาบ จะสามารถรับรู้ได้ซึ่งกันและกัน ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“เมื่อเร็วๆนี้ ตัวข้าไม่มีแต้มพลังวิญญาณมากพอที่จะคอยมาบำรุง หล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณ ดังนั้นปัญหาเดิมๆจึงเกิดขึ้น” ดาบพิภพกล่าว

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานหม่นหมองลง

 

ดาบพิภพ เป็นดาบที่อยู่ร่วมกันกับเขามายาวนานที่สุด มันคือมรดกจากอาจารย์แห่งนิกายเขา แต่ตอนนี้ มันกลับดูเหมือนจะมีความผิดปกติบางอย่างขึ้น

 

“มานี่ ข้าจะมอบแต้มพลังวิญญาณแก่เจ้าเอง”

 

กู่ฉิงซานถ่ายโอนผ่านระบบเทพสงคราม ส่งผ่านแต้มพลังวิญญาณลงในดาบพิภพทันที

 

เนื่องจากตัวเขาเวลานี้ครอบครองแต้มพลังวิญญาณอยู่กว่าเกือบล้าน ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะมอบหนึ่งแสนแต้มพลังวิญญาณให้แก่ดาบพิภพโดยตรง

 

“อ่า รู้สึกดีขึ้นเยอะ ขอบใจเจ้ามาก” ดาบพิภพกล่าว

 

กู่ฉิงซานทดลองใช้ออกด้วยเทคนิคดาบ

 

ดาบพิภพวูบไหว ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันใด ร่ายระบำด้วยเทคนิคดาบตัดสายลมชุดหนึ่งอย่างคล่องแคล่วและเสรี

 

เมื่อสภาวะของดาบพิภพกลับคืนมาดีดังเดิมอีกครั้ง กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย

Ep.565 – คนกลาง

 

ความจริงแล้ว กู่ฉิงซานก็ยังคงพอจะมีวิธีจัดการกับมันอยู่ในใจเหมือนกัน

 

ในระหว่างการต่อสู้ เขาเองก็ได้เหลือบมองไปดูหน้าต่างเทพสงครามเล็กน้อยบ้างเหมือนกัน

 

ก่อนหน้านี้ที่สังหารผีแห่งความอลหม่านไป 11 ตน ส่งผลให้แต้มพลังวิญญาณของเขาพุ่งสูงขึ้นไปจนเกือบจะถึง 1 ล้าน!

 

ไม่ต้องกล่าวถึงแต้มพลังวิญญาณ เพราะผลพลอยได้จากการสังหารผีแห่งความอลหม่าน ยังช่วยให้เขาสามารถเสริมแกร่งให้ค่ายกลดาบไท่หยีได้อีกกว่า 3 ครั้ง -ปัจจุบันนี้อานุภาพของมันจึงซ้อนทับกันกว่า 16 ครั้ง!

 

ว่าแต่เขาสมควรที่จะใช้ค่ายกลไท่หยีที่แรงกว่าเดิม 16 เท่าหรือไม่?

 

แน่นอนว่าไม่ เพราะศัตรูตรงหน้ามิได้คู่ควรถึงขนาดนั้น มันก็แค่ไก่ตัวเล็กๆ แล้วจะไปคู่ควรกับสกิลที่ใช้สังหารวัวใหญ่ได้อย่างไร?

 

ค่ายกลดาบไท่หยีที่รุนแรงกว่าปกติถึง 16 เท่า นี่คือไพ่ตายที่แท้จริง และจำต้องใช้มันในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด!

 

กู่ฉิงซานตัดสินใจได้ในทันที ว่าเวลานี้เขายังไม่สมควรที่จะทุ่มสุดตัว

 

“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าธาตุสายฟ้าใช้ได้ผลกับมันจริงๆ?” เขาเอ่ยถาม

 

สายพันธุ์โบราณตอบเสียงสนั่น “ทัณฑ์สายฟ้าคือมาตรการลงโทษในโลกของเรา มันคือกฏเกณฑ์ที่เหล่าทวยเทพสร้างขึ้น ดังนั้นอำนาจของมันย่อมทรงพลังอย่างหาที่ใดเปรียบหากเทียบกับธาตุอื่นๆ”

 

ถึงแม้ว่าสายพันธุ์โบราณจะมีรูปลักษณ์น่าเกลียด แต่น้ำเสียงของมันกลับฟังดูบริสุทธิ์ และยังคงรักษาสำเนียงของชาวโบราณเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

 

นี่คือหนึ่งในภาษาที่มักจะใช้กันทั่วไปของบรรดาผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ และแน่นอน ว่าทางสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงก็มีการเก็บภาษานี้ไว้ในพจนานุกรมเช่นกัน

 

“งั้นผมจะลองดูก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร มอนสเตอร์ทะมึนผุดลุกขึ้นอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานสั่งการในจิตใจ ดาบพิภพและเช่าหยิน วูบบบบ!ตัดอากาศ ตรงเข้าหามอนสเตอร์ตนนั้นพร้อมกัน

 

และถึงแม้ว่ามอนสเตอร์จะยกสองแขนสีหมึกของมันขึ้นมาปัดป้อง แต่สุดท้ายมันก็ถูกบดขยี้ลงโดยดาบพิภพอยู่ดี!

 

โครม!

 

พื้นดินโดยรอบแตกระแหงและจมลึก มอนสเตอร์ทะมึนถูกกดดันโดยดาบพิภพที่สับลงมาด้วยน้ำหนักกว่า86.37ล้านจินอย่างกระทันหัน!

 

ใบหน้านับไม่ถ้วนบนร่างกายมัน กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

เห็นได้ชัดว่าการปัดป้องการโจมตีดังกล่าวนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย

 

ช่วงจังหวะนี้เอง เช่าหยินก็ฉวยโอกาสฉัวะ! เสียบปลายแหลมของตนเข้ากลางอกของมอนสเตอร์ทะมึนโดยตรง

 

พลังศักดิ์สิทธิ์เล่ยเดี๋ยน : ตัดขาดการเชื่อมต่อ!

 

เนินเขาทะมึนพลันแข็งค้าง นิ่งงันอยู่ในกริยาและตำแหน่งเดิม มิอาจเคลื่อนกายได้แม้เพียงน้อย

 

ภายในสามวินาทีนี้ จิตเทวะของมันจะถูกบังคับให้ออกจากร่าง ตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างกันและกันไปโดยสมบูรณ์

 

แล้วสิ่งที่จะสามารถทำได้ในสามวินาทีนี้มีอะไรบ้างน่ะหรือ?

 

กู่ฉิงซานวูบบบบ!ขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้ามัน พร้อมกับดาบพิภพในมือ

 

กระบวนท่าที่หนึ่ง สูญญากาศ!

 

กระบวนท่าที่สอง จ้วงชีวิต!

 

กระบวนท่าที่สาม ลมวน!

 

กระบวนท่าที่สี่ สะบั้นต่อเนื่อง!

 

ดาบยาวในมือ โบกสะบัดครบทั้ง 7 เพลงโดยสมบูรณ์

 

บังเกิดประกายสีน้ำเงินขาวพรั่งพราวขึ้นตามสองแขนของกู่ฉิงซาน ก่อนที่ทั้งหมดจะถ่ายเทลงไปรวมกันกับดาบพิภพ สาดแสงสะท้อนไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก

 

“มังกรสายฟ้า!”

 

กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง

 

ปรากฏหัวมังกรขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยสายฟ้าสีน้ำเงินขาว ผุดออกมาจากปลายดาบ

 

ตามต่อจากหัวมังกร คือตลอดทั้งร่างของมันที่คดเคี้ยวผสมผสานควบแน่นไปกับทั้งรังสีดาบและสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน ผงาดออกมาจากดาบพิภพ

 

ปัง!

 

มังกรสายฟ้างับ! เข้าใส่มอนสเตอร์ทะมึน หนึ่งมังกร หนึ่งเนินเขาทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

“อั๊ก! ไม่จริง! ทำไมในโลกใบนี้ถึงมีสายฟ้าไปไ–” มอนสเตอร์กรีดร้องโหยหวน

 

มังกรสายฟ้าบินไปได้เพียงครึ่งทาง มันก็แปลงสภาพตน เป็นวงแหวนสีน้ำเงินขาวที่ว่ายวนไปด้วยสายฟ้าเรืองรอง โอบเข้าห่อหุ้มมอนสเตอร์ตนนั้น

 

ฉากนี้ดูคล้ายกับดวงอาทิตย์สีน้ำเงินกำลังปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้นเลย

 

ทิวทัศน์ช่วงกลางคืนกลับกลายเป็นกลางวัน

 

พร้อมกับร่างของมอนสเตอร์ทะมึนที่ค่อยๆสลายไปท่ามกลางสายฟ้าอย่างช้าๆ

 

แสงจรัสค่อยๆจางหายไป

 

บังเกิดประกายเล็กๆแตกกระจายไปทั่วนภา คล้ายกับกลุ่มงูสายฟ้าที่แยกตัวออกจากรัง

 

มิอาจค้นพบได้ถึงร่องรอยของมอนสเตอร์ทะมึนอีกต่อไป

 

มันถูกล้างบางไปโดยสมบูรณ์

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากนี้ ในหัวใจค่อยๆกลับมาอิ่มเอม

 

แต่เดิม ที่แท้เหล่าทวยเทพก็ตั้งกฏเกณฑ์ขึ้น และใช้สายฟ้าเป็นบทลงทัณฑ์ของโลกใบนี้

 

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมด้วยเล่ยเดี๋ยนและดาบขุนเขาเทวะหกโลกา จึงสามารถสังหารบรรดาผีแห่งความอลหม่านทั้ง 11 ตนในก่อนหน้านี้ได้

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ย้ำอีกครั้ง ว่าผีแห่งความอลหม่านน่ะเป็นถึงอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลเชียวนะ!

 

กู่ฉิงซานเบนสายตาออกไปอีกทิศทางหนึ่ง

 

แล้วเขาก็พบว่า สายพันธุ์โบราณ ได้กลับคืนสภาพเป็นชายชราอีกครั้งดังเดิมแล้ว

 

ชายชราอ้าปากค้าง เขาเอาแต่แหงนหน้ามองบนท้องฟ้า จนแม้มังกรจะหายไปแล้ว แต่ชายชราก็ยังนิ่งค้างอยู่ในกริยาเดิม

 

แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของกู่ฉิงซาน เขาจึงได้สติกลับคืน

 

“ต้องขออภัยจริงๆ อันที่จริงแล้วข้าไม่เคยเห็นสายฟ้าที่ร้ายกาจเช่นนี้มาก่อน เลยอึ้งไปน่ะ … ” ชายชรากล่าว

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตามองทั้งร่างของเขาที่ท่วมไปด้วยเลือด จึงโยนเม็ดยารักษาออกไป

 

ชายชราคว้าหมับ! รับเม็ดยาเอาไว้ ก่อนจะอังมันใต้จมูก เมื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นจางๆของมัน คิ้วของเขาก็ยกสูงขึ้น

 

ชายชราโยนเม็ดยารักษาลงไปในปากโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาเคี้ยวหงับๆๆ ไม่กี่ครั้งและกลืนมันลงไปทันที

 

“ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเลยคุณก็กินมันซะแล้ว? ไม่กลัวว่าผมจะวางยาพิษเลยหรอ?” กู่ฉิงซานถามด้วยความประหลาดใจ

 

“ไม่มีผู้ใดสามารถวางยาพิษข้าผู้ชราได้ ขอย้ำอีกครั้ง ข้าผู้ชรามีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว ดังนั้นด้วยประสบการณ์ชีวิตมากมาย จึงย่อมเข้าใจว่าเม็ดยาเมื่อครู่เป็นสิ่งที่ดี ไม่มีพิษใดๆ” ชายชรายืดอกและกล่าวอย่างมั่นใจ

 

“งั้นก็ช่างมันเถอะ ผมแค่จะบอกว่าเม็ดยารักษาที่ให้ไป นอกจากช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บแล้ว มันยังมีผลช่วยในการชำระล้างร่างกายจากภายในอีกด้วยก็เท่านั้นเอง”

 

“เอ่า … แล้วทำไมเจ้าถึงไม่รีบบอกก่อนหน้านี้ล่ะ?”

 

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นเกาหัวแบบทำอะไรไม่ถูก เอ่ยตอบกลับไป “ก็ผมยังไม่ทันจะมีเวลาได้พูดเลย คุณก็กินมันเข้าไปแล้ว”

 

ชายชราเริ่มมวนท้อง กระเพาะของเขาเริ่มส่งเสียงครืดคราดๆ บางสิ่งบางอย่างวิ่งปรู๊ดๆไปตามลำไส้ใหญ่

 

ชายชราหันซ้ายหันขวา ก่อนจะเจอเป้าหมายที่เหมาะสม และเดินกะเผลกๆพลางปิดตูดเข้าไปในห้องน้ำทันที

 

“ช้าก่อน! ในเมืองนี้ยังมีคนอื่นๆอยู่อีกไหม?” กู่ฉิงซานตะโกนถามเสียงดังไล่หลังเขา

 

“ข้าเป็นผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย!”

 

ชายชราตอบ และวิ่งหายเข้าไปในตึกปะการังหลังหนึ่งทันที

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็นิ่งงันไป

 

“ดูเหมือนว่าหากเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งก็ยังพอที่จะมีโอกาสชีวิตรอดอยู่เหมือนกันสินะ” เขาบ่นงึมงำ

 

ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่อีกฝ่ายกำลังปลดทุกข์ กู่ฉิงซานจึงเดินกลับไปสำรวจบริเวณจตุรัส

 

เมื่อครู่นี้ไม่รู้เหมือนกันว่ามอนสเตอร์ทะมึนมันทำอะไรลง แต่ตลอดทั้งจตุรัสได้หายไปอย่างน่าฉงน

 

และถูกแทนที่ด้วยหลุมดำอันมืดมิด

 

-เป็นหลุมที่ลึกชนิดมองลงไปไม่เห็นเบื้องล่าง

 

กู่ฉิงซานทดลองปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไปค้นหา แต่กลับไม่พบถึงก้นหลุม

 

กู่ฉิงซานเดินมาหยุดอยู่ตรงขอบจตุรัสและหันไปมองรอบๆ

 

ใต้ฝ่าเท้าของเขา ตามขอบพื้นจตุรัสที่เดิมเคยเป็นน้ำเงินฟ้า บัดนี้หายไปแล้วโดยสิ้นเชิง

 

ตรงขอบหลุม ถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟสีน้ำตาลแดงแทน

 

เปลวไฟเหล่านี้ผุดออกมาจากพื้นดิน ยามเมื่อถูกสายลมพัด มันจะลุกโชยไปตามสายลมคล้ายหางของเปลวไฟที่ยืดยาวออกไป

 

ราวกับว่าเปลวไฟเหล่านี้มีชีวิต พวกมันสาดแสงใส่กันและกัน หลอมรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างพื้นที่เอกเทศ แบ่งแยกตนเองออกจากโลกใบนี้

 

ดาบพิภพเปล่งเสียงออกมาอย่างกระทันหัน “นี่คือไฟจากแดนชำระล้างบาป”

 

“แดนชำระล้าง? ถ้าอย่างนั้นมันยังเป็นปกติอยู่หรือเปล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไอ้ที่พูดว่าปกติ เจ้าหมายถึงอะไร?”

 

“ความหมายของข้าก็คือ มันยังไม่ได้ถูกครองงำโดยระบบของราชามารใช่หรือไม่?”

 

“หากแต่ก่อนก็คงปกติอย่างที่เจ้าว่า แต่ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ดาบพิภพกล่าว

 

“ถ้างั้นแล้วไฟพวกนี้ล่ะ?”

 

“มันก็เป็นไฟจากแดนชำระล้างบาปนั่นแหละท่าน” อีกเสียงหนึ่งตอบขึ้น

 

กู่ฉิงซานหันไปมอง

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่  จู่ๆก็มีคนปรากฏตัวขึ้นใจกลางหลุมลึก

 

เขาเป็นชายที่แต่งกายด้วยชุดสีดำทางการ มีส่วนสูงพอสมควรและดูสุภาพเป็นอย่างยิ่ง

 

“ยินดีที่ได้พบกัน มิสเตอร์กู่ฉิงซาน กระผมเป็นตัวแทนจากแดนชำระล้าง เจ้านายของกระผมบอกว่าเมื่อไหร่ที่คุณโค่นมอนสเตอร์ตัวนี้ลงได้ คุณก็จะได้รับคุณสมบัติในการเจรจราไก่ลเกลี่ยกับพวกเรา”

 

“เจรจราไกล่เกลี่ยอย่างงั้นหรอ?”

 

“ถูกต้อง  เป็นการไกล่เกลี่ยระหว่างคุณกับระบบของราชามาร โดยเจ้านายได้ให้กระผมรับหน้าที่เป็นคนกลาง”

 

“แล้วทำไมฉันต้องทำด้วย?”

 

“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน คุณรู้จักโลกที่เจริญแล้วหรือโลกที่มีอารยธรรมนับไม่ถ้วนที่เรี–”

 

“ฉันไม่ชอบที่จะตอบคำถาม ถ้าคุณมีอะไรจะบอกฉัน โปรดพูดมาเลยตรงๆ”

 

ชายชุดดำยื่นนิ้วชี้ออกมา และกล่าว “มีเพียงระบบเท่านั้นที่เป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้อารยธรรมยังคงมีอยู่ได้”

 

เมื่อกี้มันพูดว่าระบบงั้นหรอ?

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มตื่นตัว

 

“ฉันได้ยินมาว่าแดนชำระล้างเป็นสถานที่ๆสับสนวุ่นวายที่สุดนี่นา แล้วคนจากที่นั่นสมควรที่จะมาสอนเรื่องอารยธรรมให้แก่คนจากโลกอื่นจริงๆน่ะหรือ?” กู่ฉิงซานสวนกลับไป

 

“สถานที่แห่งนั้นสับสนวุ่นวายจริงๆ แต่ตัวระบบก็เป็นส่วนหนึ่งของความวุ่นวายที่ว่านั่น และอีกอย่างเจ้านายแห่งแดนชำระล้างของกระผมเอง ก็ชื่นชอบในความวุ่นวายเช่นกัน” คนๆนั้นกล่าว

 

“แล้วคุณต้องการอะไรจากฉัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน อันที่จริงแล้วพวกเราไม่ควรปรากฏตัวขึ้นในสถานที่แห่งนี้เลย ไม่ว่าจะคุณหรือกระผม”

 

“พูดแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”

 

“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online คือระบบของราชามาร แต่คุณ! ในฐานะที่คุณไม่ได้เป็น ‘ตัวแทน’ ของระบบใดๆ ดังนั้นพวกเราจึงคาดหวังว่าคุณจะหยุดแต่เพียงเท่านี้ ซึ่งหากคุณตกลง คุณจะได้เป็นมิตรที่ดีกับแดนชำระล้าง”

 

“พูดแบบนี้ หมายความว่าคุณเป็นคนของเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ใช่รึเปล่า?”

 

“ไม่ใช่ ย้ำอีกครั้งว่าเราเป็นคนกลาง”

 

ชายที่สวมชุดดำดูเป็นทางการยังคงกล่าวต่อ “ถ้าคุณตกลงที่จะหยุดแต่เพียงเท่านี้ และยินดีที่จะจากไปทันที ทางแดนชำระล้างของพวกเราจะช่วยพาคุณหลบลี้ หนีห่างไปจากสถานที่อันแสนไกลของสนามรบ และรับประกันว่าระบบราชามารจะไม่สามารถคุกคามหรือส่งผลกระทบต่อคุณได้อีกต่อไป”

 

“ทำไมถึงต้องมาไกล่เกลี่ยด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มในเชิงขออภัยกลับมา “หากกระผมตอบคำถามนี้ของคุณ ความลับของพวกเราก็คงจะถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์ เรื่องนี้คงต้องขอโทษด้วย”

 

“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน ยอมรับการไกล่เกลี่ยครั้งนี้โดยดีเถอะ หากยอมรับ ไม่เพียงระบบราชามารจะไม่เข้ามายุ่งย่ามกับคุณ แต่ทางแดนชำระล้างของพวกเรายังยินดีต้อนรับคุณในฐานะแขกอีกด้วย”

 

“เห? ดูเหมือนคุณจะมั่นใจไม่น้อยเลยนะว่าจะสามารถโน้มน้าวใจฉันได้?”

 

“นั่นก็เพราะท้ายที่สุดนี้ คุณมันก็เป็นแค่มดตัวเล็กๆ แถมยังไม่ได้เป็นตัวแทนของระบบใดๆ ดังนั้นคุณย่อมไม่ต้องการเลือกหนทางที่มันเป็นการฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน”

 

“ดูเหมือนว่าการออกหน้าของคุณในครั้งนี้ มันจะเป็นเพราะต้องการที่จะทำให้ใครบางคนรู้สึกพึงพอใจสินะ?”

 

“เฉียบแหลมมาก เฉียบแหลมเกินไปจริงๆ มิสเตอร์กู่ฉิงซาน แต่คุณควรรู้เท่านี้ก็พอแล้ว กระผมจะไม่พูดอะไรกับคุณอีก เอาล่ะ ตอนนี้ก็ขอให้เลือกทางซะ-”

 

“ฉันขอปฏิเสธ”

 

“ … คุณแน่ใจหรือ? อ๋า ต้องขออภัยจริงๆ กระผมลืมบอกไปว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณเลือกที่จะปฏิเสธ”

 

“ว่ามาสิ ฉันกำลังตั้งใจฟังอยู่”

 

“ถ้าคุณปฏิเสธการไกล่เกลี่ยของเรา” บนใบหน้าของชายในชุดทางการปรากฏรอยยิ้มที่แฝงถึงความหมายที่ดูลึกลับ “เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณตายลง เจ้านายจากแดนชำระล้างของกระผม จะเป็นคนเดินทางไปรับเอาดวงวิญญาณของคุณเป็นการส่วนตัว หลังจากนั้นคุณจะถูกโยนลงไปในเตาเผานรก และจะต้องทุกข์ คร่ำครวญด้วยความขมขื่น น้ำตาไหลเป็นสายเลือด ทรมานโดยไม่มีโอกาสที่จะได้หลุดพ้นอีกต่อไป”

 

กู่ฉิงซานเงียบ ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า “งั้นดูเหมือนว่าเจ้านายของคุณกับฉันจะมีความเห็นที่ตรงกันนะ”

 

ชายคนนั้นเผยสีหน้ายิ้มแย้ม “ความคิดเห็นตรงกันงั้นหรือ? ฟังดูน่าสนในดีนี่ มิสเตอร์กู่ฉิงซาน เชิญกล่าวต่อ”

 

กู่ฉิงซานก็ยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน “ถูกต้อง เพราะนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันกับเจ้านายของแก จะมีศัตรูที่ต้องตายกันไปข้าง เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งยังไงล่ะ!”

Ep.564  – สายพันธุ์โบราณ

 

มอนสเตอร์ทะมึนคล้ายกับเนินเขาสูง ลอยขึ้นมากลางอากาศ ไล่ตามกู่ฉิงซานไปอย่างคล่องแคล่ว

 

ห่างออกไปจากกู่ฉิงซานไม่กี่ร้อยเมตร จู่ๆมอนสเตอร์ก็หายวับไป

 

นี่มัน-

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานตอบสนองฉับพลัน ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วถูกใช้ออกอย่างทันท่วงที

 

หนึ่งคน หนึ่งมอนสเตอร์ วูบหายไปในเวลาเดียวกัน

 

เมื่อมอนสเตอร์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันก็มาถึงในจุดที่กู่ฉิงซานเคยอยู่

 

-ทว่าแน่นอน มันยังคงมิอาจโจมตีกู่ฉิงซานได้

 

“ไอ้แมลงตัวจ้อยจากต่างโลก! เจ้าหนีเป็นอย่างเดียวรึไง?”

 

ใบหน้านับไม่ถ้วนที่ติดตามตัวของมอนสเตอร์หวีดคำรามเสียงดัง

 

แต่แล้ววจู่ๆมวลมหาใบหน้าก็แสดงออกถึงความเจ็บปวดขึ้นทันใด

 

เพราะยังไม่ทันที่เสียงของพวกมันจะตกลง กู่ฉิงซานก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหลัง และจ้วง! แทงสองดาบทะลวงเข้าไปในกายทะมึนของมัน

 

“หนีซะที่ไหน ฉันแค่รอจังหวะเสียบตูดแกอยู่ต่างหาก”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานขับเคลื่อนพลังวิญญาณ กระตุ้นเทคนิคลับแห่งดาบในทันใด

 

ปัง-

 

ภายใต้การทุ่มลงมือเต็มกำลังของเขา สองฝ่าวารีเชี่ยวพลันปะทุขึ้นในสถานที่เดียวกัน รังสีดาบหลอมรวมเป็นหนึ่ง ไหลบ่าภายในร่างกายของมอนสเตอร์

 

รังสีดาบอันไพศาลจับตัวกันเป็นกลุ่มหนาแน่น ก่อนจะระเบิดตูม! จากในกายทะมึนของเจ้ามอนสเตอร์

 

ร่างใหญ่เสียสมดุลอย่างกระทันหัน มอนสเตอร์ยักษ์ร่วงตกลงจากกลางอากาศ

 

มอนสเตอร์กรีดร้อง โหยหวนอย่างน่าสังเวช

 

อย่างไรก็ตาม มันไม่อาจตระหนักได้เลย ว่านี่เป็นเพี่ยงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น!

 

ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหวต่อเนื่อง สองดาบแปรผันเป็นภาพติดตา ทั้งสับทั้งหั่นลงตามตัวของมอนสเตอร์อย่างไม่หยุดยั้ง!

 

ดาบของเขาว่องไวเกินไป ยิ่งฟันก็ยิ่งรวดเร็ว!

 

ในตอนที่มอนสเตอร์หวีดโหยหวนน่าสังเวชออกมา กู่ฉิงซานก็สับลงตามตัวมันไปกว่า 36 ดาบแล้ว

 

ระเบิดเทคนิคลับแห่งดาบ ตามต่อด้วยการฟันต่อเนื่องกว่า 36 ครั้ง ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ส่งผลให้มอนสเตอร์ไม่ทันกระทั่งจะตอบสนอง

 

ช่วงเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจ ตามตัวของมอนสเตอร์ก็ถูกสับๆๆๆไปหลายสิบแผลโดยสองดาบของกู่ฉิงซาน

 

หลังจากบรรลุกระบวนการทั้งหมดนี้ กู่ฉิงซานก็ล่าถอยออกมาพร้อมกับดาบของเขา

 

สองดาบบินหนึ่งคุ้มกันหน้า หนึ่งคุ้มกันหลัง คอยปกป้องตัวเขาอย่างระแวดระวัง

 

“ฮูมม?” ดาบเช่าหยินเปล่งเสียงถามด้วยความงุนงน

 

“อย่าพึ่งได้ใจไป แรงกดดันของมันไม่ได้ลดลงเลย ตรงกันข้าม มันพุ่งสูงกว่าเดิมซะอีก เราถอยออกมาก่อนนับว่าถูกต้องแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ขณะกล่าว เห็นแค่เพียงตามร่างกายของมอนสเตอร์ที่อยู่ในสภาพไม่สมประกอบ เริ่มขยุกขยิก บ้างยืดออก บ้างหดตัวเข้าอย่างบ้าคลั่ง

 

หนึ่งวินาทีต่อมา ตามตัวของมอนสเตอร์ก็เริ่มฟื้นฟูสภาพกลับเป็นดังเดิม

 

“ที่แท้ก็เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ใช้อาวุธเย็นระยะประชิดเป็นเครื่องมือนี่เอง”

 

ใบหน้าทั้งหมดที่อยู่บนตัวของมอนสเตอร์ สาดมองมาทางกู่ฉิงซานด้วยความโกรธแค้น

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มตื่นตัว ทั้งคนทั้งร่างเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเล็กน้อย

 

ทั้งสกิลวาร์ป กลืนกิน แยกมิติ และฟื้นฟู แต่ละความสามารถที่มันครอบครองล้วนทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง

 

สำหรับอาวุธเย็น มอนสเตอร์ที่สามารถฟื้นฟูร่างกายตัวเองได้อย่างรวดเร็วนั้น นับว่าเป็นตัวปัญหาที่ค่อนข้างจะสังหารได้ยาก น่ารำคาญพอสมควรเลย

 

นอกจากนี้ มันยังมีสมอง สามารถตัดสินเอกลักษณ์ในการต่อสู้ของตัวเขาได้อีก

 

ไอ้มอนสเตอร์ตัวนี้ … 

 

ขณะกู่ฉิงซานกำลังตริตรองเตรียมแผนรับมือ มอนสเตอร์ก็เป็นฝ่ายชิงเคลื่อนไหวก่อนอีกครั้ง

 

คราวนี้มันไม่ได้ใช้การเคลื่อนย้ายพริบตาหรือวาร์ป เพื่อเข้ามาใกล้เขาในทันที แต่กลับเลือกที่จะเป็นฝ่ายถอยห่างจากกู่ฉิงซานด้วยตนเองอย่างน่าฉงน

 

“ดาบของเจ้ามันว่องไวเกินไป ผู้คนมากมายคงตกตายด้วยคมดาบนี้ทั้งๆที่ยังมิทันได้ตอบสนอง แต่ข้านี่แหละ จะเป็นตนที่ทำให้เจ้าจมลงสู่ห้วงความสิ้นหวังเอง!” ใบหน้านับไม่ถ้วนบนร่างมอนสเตอร์เปล่งเสียงพร้อมกัน

 

ว่าจบ ทั้งตนทั้งร่างทะมึนก็เริ่มขยุกขยิกไปมาอย่างบ้าคลั่ง

 

ทุกสีหน้าตามตัวของมันเผยถึงร่องรอยของความเจ็บปวด

 

ใบหน้าที่ถูกเก็บสะสมเอาไว้ เริ่มผุด … แยกออกจากตามตัวของมัน

 

ห้าหน้า สิบหน้า ร้อยหน้า พันหน้าผุดออกมา …

 

ใบหน้านับร้อยนับพันผุดออกมาจากตัวของมอนสเตอร์ และโคจรไปรอบร่างทะมึนของมัน ฉากนี้ไม่แตกต่างไปจากดาบบินที่เวียนว่ายอยู่รอบตัวของกู่ฉิงซานเลย

 

แต่แล้วท่ามกลางใบหน้านับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นใบหน้าของชายวัยกลางคนก็เริ่มแยกตัวออกมาจากกลุ่มอย่างช้าๆ

 

มันฉวัดเฉวียนไปในอากาศเล็กน้อย ก่อนจะวูบหัวหายไป และปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงอีกจุดหนึ่งในมุมสูงบนท้องฟ้า

 

จากนั้นมันก็หายวับไปอีกครั้ง

 

นี่มันวาร์ปต่อเนื่องงั้นหรอ?

 

คิ้วของกู่ฉิงซานขมวดเข้าหากัน ดาบที่กุมอยู่ในมือพลันจ้วงแทงออกไปเบื้องหน้า

 

และทันใดนั้นเอง ใบหน้าที่จู่ๆก็หายวับไป ก็ได้ปรากฏออกมาอีกครั้ง และมันก็ถูกแทงเข้าใส่โดยดาบพิภพพอดิบพอดี

 

ใบหน้าของชายวัยกลางคนกรีดร้อง

 

ขณะเดียวกันรังสีดาบก็เปล่งประกาย

 

และตลอดทั้งใบหน้านั่นก็แตกโผล๊ะ! กระจายเป็นผงลอยไปตามสายลมทันที

 

กู่ฉิงซานแม้สามารถระเบิดหัวฝ่ายตรงข้ามด้วยดาบเดียว แต่ในหัวใจของเขากลับไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย

 

‘ไอ้ใบหน้านี่ … มันมีความคล่องแคล่วยิ่งกว่าเจ้ามอนสเตอร์คล้ายเนินเขาซะอีก’

 

เพราะขณะที่มอนสเตอร์ทะมึนสามารถวาร์ปได้ทีละครั้ง แต่ใบหน้าเมื่อครู่นี้มันกลับสามารถวาร์ปได้ถึงสองครั้งติดต่อกัน!

 

แล้วถ้าหากใบหน้าทั้งหมดที่ผุดออกมาสามารถทำแบบเดียวกันได้ล่ะก็ …

 

สายตาของกู่ฉิงซานเบนมองไปทางมอนสเตอร์ทะมึน

 

แล้วเขาก็พบว่า ใบหน้าที่เมื่อครู่โคจรอยู่รอบตัวมัน บัดนี้ทั้งหมดได้หายไปแล้วโดยสมบูรณ์

 

พวกมันสาดแสงกระพริบไหวครั้งหนึ่ง และผุดขึ้นอีกทีกลางอากาศ ย่นระยะใกล้เข้ามาหากู่ฉิงซาน

 

และในการกระพริบไหวครั้งที่สอง ใบหน้านับร้อยก็มาถึงตัวเขาได้ในที่สุด

 

ทั้งหมดบินโฉบไปมาจากทุกทิศทาง ปากอ้าเผยอเตรียมจะงับ! หมายจะฉีกกัดเนื้อสดๆของกู่ฉิงซาน

 

ในช่วงเวลาเดือดพล่าน สองดาบของกู่ฉิงซานก็ถูกใช้ออกด้วยเทคนิคลับพร้อมๆกัน

 

เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!

 

เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!

 

สองวาดเงาเริ่มผลิบาน ร่างเงาดาบสีดำถูกเติมเต็มไปในอากาศ ทั้งฟาด ฟัน สับ จ้วง แทง ไปทั่วบริเวณโดยรอบอย่างไม่หยุดยั้ง

 

โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ!

 

ใบหน้าทั้งหมดถูกหั่นเป็นชิ้นๆ เสียงหวีดร้องของพวกมันดังระงม แต่สุดท้ายก็หายไปในความว่างเปล่า

 

ร่างเงาดาบสีดำค่อยๆกระจัดกระจายหายไป

 

ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

เขายังคงกุมสองดาบในมือ จ้องมองไปยังมอนสเตอร์ทะมึนเบื้องล่าง

 

เห็นแค่เพียงตามตัวของมอนสเตอร์ ใบหน้าที่พึ่งถูกทำลายไป ค่อยๆผุดขึ้นมาอีกครั้ง

 

ดวงตาของพวกมันจิกมองกู่ฉิงซาน ขณะเดียวกันปากก็เปล่งเสียงกระซิบ

 

“ปฏิกริยาตอบสนองของเขารวดเร็วเกินไป”

 

“เพลงดาบก็ร้ายกาจมากเช่นกัน”

 

“พวกเราจะต้องเปลี่ยนวิธีการ ไม่อย่างงั้นคงไม่สามารถกัดกินเลือดเนื้อสดๆของเขาได้”

 

“งั้นครั้งต่อไป ก็โจมตีด้วย ‘วิธีนั้น’ ก็แล้วกัน”

 

ระหว่างที่เหล่าใบหน้ากำลังสนทนาหารือกัน ใบหน้าอื่นๆก็เริ่มผุดออกมา ปกคลุมไปทั่วทั้งตัวของมอนสเตอร์อีกครั้ง

ใบหน้าทั้งหมดที่พึ่งถูกตัดเป็นชิ้นๆ กลับมามีชีวิตอยู่บนร่างของมอนสเตอร์อีกครา

 

“สกิลฟื้นคืนชีพ? กระทั่งความสามารถนี้ก็ยังมีไว้ในครอบครองงั้นหรอ”

 

กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

เขาเพ่งสำรวจไปทางศัตรู พยายามที่จะหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย

 

ดูเหมือนว่าเขาคงจะโจมตีได้เฉพาะร่างหลักของมันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หวังว่าร่างหลักของมันจะไม่มีสกิลฟื้นคืนชีพเหมือนกับพวกใบหน้าเล็กๆนั่นนะ

 

กู่ฉิงซานเพียงแค่คิด แต่กลับเห็นใบหน้าทั้งหมดทั้งมวลของมอนสเตอร์อ้าปากกว้างขึ้นพร้อมๆกัน

 

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาา—–”

 

ทั้งหมดระเบิดเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ

 

ภายใต้เสียงนี้ ทุกชนิดของสิ่งลวงตา ภาพมายาภาพแล้วภาพเล่าค่อยๆปรากฏขึ้น

 

ตลอดทั้งผืนฟ้าถูกเผาไหม้ หมื่นพันเผ่ามารผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ทั้งหมดทั้งมวลสาดสายตามายังกู่ฉิงซาน คล้ายกับว่ากำลังเฝ้ารอให้เขาร่วงตกลงมาอยู่

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง ตามร่างของกู่ฉิงซานก็สาดแสงเจ็ดสีออกมาทันที

 

ท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่า บังเกิดทิวทัศน์ของฝนที่ตกชุก และหมู่มวลสรรพสัตว์นานาชนิดปรากฏขึ้น

 

นี่คือเทคนิคลับ ‘การปกปักษ์ของทวยเทพ’ ที่นักพรตเป่ยหยวนมอบให้แก่เขา เป็นรางวัลหลังจากที่ตนสามารถวางกลยุทธ์คว้าชัยชนะในสงครามครั้งแตกหักมาได้

 

ยามใดก็ตามที่จิตเทวะของกู่ฉิงซานถูกแทรกแซง เทคนิคลับนี้จะถูกกระตุ้นและเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติเพื่อขัดขวางการแทรกแซงทันที

 

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าคราวนี้พลังอำนาจของอีกฝ่ายดูจะแข็งแกร่งมากเกินไป

 

เพราะทันทีที่ร่างเงาของหกธรรมพิทักษ์ที่ในมือถือครองอาวุธต่างๆปรากฏกายขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็สลายกลายเป็นฟองอากาศในพริบตา

 

หกธรรมพิทักษ์ไม่มีแม้กระทั่งเวลาจะได้ปกป้องกู่ฉิงซาน ทั้งหมดถูกทำลายลงโดยตรง!

 

กู่ฉิงซานรู้สึกเจ็บหัวแทบจะระเบิด แต่เขาก็ใช้พละกำลังที่มี ดึงสติตัวเองกลับมา

 

“แบบนี้ไม่ดีแล้ว!”

 

สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนกลับกลาย มือโฉบไปหยิบดิสก์ค่ายกลออกมาอย่างเร่งร้อน และเริ่มพรมลงจัดวางค่ายกลลงครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรวดเร็ว

 

ในเสี้ยววินาที เสียงและภาพมายาเริ่มพร่ามัวกลายเป็นหมอกควัน และฉากอันน่าหวาดกลัวต่างๆก็ค่อยๆจางหายไป

 

มวลมารที่เฝ้ามองกู่ฉิงซานจากพื้นดินทั้งหมดก็หายไปเช่นกัน

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มตระหนักชัด

 

เมื่อครู่นี้ … มันไม่ใช่แค่การโจมตีจิตเทวะ!

 

แต่มันเป็นสกิลผสาน ที่ยังมีความสามารถในการบังคับส่งเขาไปยังโลกอื่นได้อีกด้วย!

 

เมื่อครู่นี้ กู่ฉิงซานสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงการดำรงอยู่ของโลกใบนั้น .. โลกที่เต็มไปด้วยเผ่ามารกำลังเฝ้ารอคอยเขาอยู่!

 

ครอบครองสกิลมากมายถึงเพียงนี้ ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ทะมึนช่างน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง!

 

ขณะที่กำลังขบคิด เห็นแค่เพียงตามตัวของมอนสเตอร์เริ่มกระสับกระส่ายอีกครั้ง คล้ายกับว่ากำลังเตรียมการที่จะระเบิดการโจมตีใหม่ในรอบต่อไป

 

ช่วงเวลานี้ บนตัวของมันจู่ๆก็มีสองแขนสีหมึกผุดออกมา

 

มอนสเตอร์เริ่มร่ายระบำทั้งแขนทั้งมือของมัน ปลดปล่อยกลิ่นอายอันมืดมิด

 

ความมืดฟุ้งกระจายไปทั่ว

 

ดูเหมือนว่ามอนสเตอร์ทะมึน กำลังจะเตรียมปลดปล่อยเทคนิคมนตราบางอย่าง

 

ดวงตาของกู่ฉิงซานกระตุกไหว

 

เขาจะไม่มีทางปล่อยให้มันโจมตีอีกครั้ง!

 

ทว่าเพียงแค่ยกดาบขึ้น แต่กลับเห็นถึงร่างๆหนึ่งวูบผ่านกายตน พุ่งเข้าหามอนสเตอร์ทะมึนเสียก่อน

 

มันเป็นร่างของชายชราที่ทั้งตัวชุ่มไปด้วยเลือด

 

“หืม? ในเมืองนี้ยังมีคนที่รอดชีวิตหลงเหลืออยู่อีกงั้นหรือนี่?” มอนสเตอร์อุทานด้วยความประหลาดใจ

 

เห็นแค่เพียงชายชราที่ย่ำไปเบื้องหน้าเพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ขยายใหญ่โตขึ้น

 

ตูม!

 

ชายชรากระแทกเข้าใส่มอนสเตอร์ทะมึน ส่งมันปลิวเคว้งไปในอากาศโดยตรง กวาดตึกปะการังมากมายที่ตั้งอยู่ของมันดีๆพังทลายลงไปตลอดเส้นทาง

 

ความมืดมิดโดยรอบจางหายไป – เทคนิคมนตราของมอนสเตอร์ถูกขัดจังหวะ

 

กู่ฉิงซานแข็งค้างไปโดยสมบูรณ์

 

เรพาะร่างของชายชราที่ขยายใหญ่ขึ้น … แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นร่างของสายพันธุ์โบราณ! มันเหมือนกับร่างศพที่ของสัตว์โบราณที่เขาเห็นอยู่บนวิหารเบื้องบนไม่มีผิดเพี้ยนเลย!

 

สายพันธุ์โบราณนี้มีรูปลักษณ์ค่อนข้างคล้ายคลึงกับมนุษย์ แต่มันดูน่าเกลียดและน่ากลัวกว่ามนุษย์อยู่มาก

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยการผสานรวมกันระหว่างความน่าเกลียดและน่ากลัวของมันนี้เอง ที่กลับส่งผลให้เกิดความรู้สึกเคร่งขรึมและน่าเทิดทูนแผ่ออกมาอย่างน่าฉงน

 

นี่หมายความว่า ผู้คนบนโลกใบนี้สามารถเปลี่ยนร่างเป็นสายพันธุ์โบราณได้ใช่หรือไม่?

 

ถ้าอย่างงั้น แล้วศพของสายพันธุ์โบราณที่เขาเคยเห็นมาก่อน ก็คือศพของผู้คนบนโลกใบนี้อย่างงั้นสิ?

 

ไม่นะ

 

มันไม่ถูกต้อง

 

คงไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเปลี่ยนเป็นสายพันธุ์โบราณได้

 

เพราะไม่อย่างงั้นแล้ว มนุษย์มากมายในเมืองนี้ คงจะไม่มีทางถูกกวาดล้างโดยมอนสเตอร์ทะมึนตรงหน้าได้อย่างง่ายดายเป็นแน่

 

โอกาสเป็นไปได้ที่สุดก็คือ ‘คงจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีความสามารถในการกลายร่างเช่นนี้ได้’

 

ในระหว่างนั้นเอง สายพันธุ์โบราณก็เงยหน้าขึ้น และมองมายังกู่ฉิงซาน

 

“การโจมตีเหล่านั้นของเจ้ามันไร้ประโยชน์ และการโจมตีของข้าก็เช่นกัน!”

 

สายพันธุ์โบราณตะโกนลั่น “แต่ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายธาตุสายฟ้าจากในตัวเจ้า มีเพียงสายฟ้าเท่านั้นจึงจะสามารถต่อกรกับมันไดั!”

 

Ep.563 – มอนสเตอร์

 

ภายในเกาะหมอก

 

จอมมารทะเลเลือดได้ใช้เทคนิคมนตราแกะรอย และหายตัวไป

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์ของตัวเองจะไปที่ไหน

 

เธอได้แต่เฝ้ามองดูม่านแสงที่กำลังจะเลือนหายไปอย่างไม่ยินยอม

 

จวบจนถึงตอนนี้ เธอก็ยังนั่งดูประสบการณ์ที่กู่ฉิงซานพบเจอ

 

หลอกลวง 800 ผู้เข้าสู่วิถีมาร และถูกบีบให้ต้องเผชิญหน้ากับราชามารวิญญาณมรณะระหว่างทางขึ้นเขา ขณะเดียวกันก็ถูกรายล้อมไปด้วยผู้เข้าสู่วิถีมารมากกว่า 200 ล้าน

 

เธอเฝ้ามองดูเขาแหกวงล้อม เฝ้าดูเขาวิ่งขึ้นเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง และดูราชามารวิญญาณมรณะถูกภูเขาของทวยเทพสังหารไป

 

จนมาถึงช่วงที่ม่านแสงเริ่มจะจางหาย ซึ่งเป็นฉากที่กู่ฉิงซานกำลังทำอาหารให้กับลอร่า

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังอาหารร้อนๆในจาน และเริ่มรู้สึกหิวเล็กน้อย

 

ถ้าเธอได้อยู่ด้วยกันกับเขาเหมือนลอร่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเอง ซูเซี่ยเอ๋อรู้สึกว่าเธอก็คงจะไม่เสียใจ

 

แต่น่าเสียดาย … ที่เธอทำผิดพลาดไป

 

“เจ้าสามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา … ”

 

“เจ้าจะยังสามารถอยู่ในโลกของทริสเต้ได้ต่อไป … ”

 

“ในระหว่างการต่อสู้ นี่แหละคือช่วงเวลาที่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกัน … ”

 

ย้อนนึกไปถึงคำสอนของจอมมารทะเลเลือด ซูเซี่ยเอ๋อก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า

 

“ฉันนี่มันช่างงโง่เง่าเสียจริง … ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อส่ายของเธอ ปากเอ่ยกระซิบเบาๆ

 

เธอนั่งเฉยๆอยู่สักพัก พยายามวิเคราะห์ลักษณะการต่อสู้ของกู่ฉิงซาน

 

อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่หรอก

 

หากตัดสินจากความแข็งแกร่งปกติของเขา ตราบใดที่ตนเองมีเวลามากพอที่จะเตรียมใช้ออกด้วยเทคนิคมนตรา ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงทีเดียวที่เธอจะโค่นเขาลงได้

 

แต่เขาก็แข็งแกร่งอยู่นะ เพราะเขาสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามที่ทรงพลังนับสิบได้ในไม่กี่ลมหายใจ

 

และคนเหล่านั้นก็ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้โจมตีเลยด้วยซ้ำ

 

แถมภายในวิหาร มากกว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารยังถึงขั้นกล่าวขอบคุณ เมื่อเขาจากไป

 

ราชามาร ปญมบทแห่งความโกลาหลก็ยังไม่สามารถจับตัวเขาได้

 

กระทั่ง 200 ล้านผู้เข้าสู่วิถีมารก็ไม่อาจหยุดเขา

 

เขาสามารถทำลายทุกเหตุและผล แตกต่างกับความแข็งแกร่งที่ตนมีโดยสิ้นเชิง

 

ซูเซี่ยเอ๋อเมื่อคิดไปถึงตอนที่กู่ฉิงซานแสดงละครหลอกลวงผู้คนอย่างจริงจัง เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

 

เธอเงียบไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้น และเดินออกจากห้อง

 

เดินไปตามถนนที่ยาวจนสุดสายของกรมบังคับกฏ จะพบกับประตูสีดำเล็กๆบานหนึ่ง

 

ซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่หน้าประตูบานสีดำ เธอลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็หยิบกุญแจออกมา

 

มองไปยังกุญแจในมือ เธอก็ย้อนนึกไปถึงคำพูดของจอมมารทะเลเลือด

 

“เซี่ยเอ๋อ ห้องนี้คือห้องที่ข้าสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง เพื่อใช้ทดสอบผู้ใช้ไพ่ระดับที่ปรึกษา”

 

“แต่ทางสถาบันก็มีการประเมินทดสอบในส่วนนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”

 

“การประเมินของพวกมันเป็นแบบดั้งเดิมที่ถูกใช้มาซ้ำๆอย่างยาวนานตั้งแต่เมื่อ 10000 ปีมาแล้ว มันได้ล้าสมัยไปแล้ว”

 

“เซี่ยเอ๋อ ยามใดที่เจ้ารู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งมากพอ ก็ขอให้ใช้กุญแจดอกนี้ แล้วเปิดประตูเข้าไปข้างในซะ”

 

“เมื่อเจ้าสามารถบรรลุการทดสอบระดับที่ปรึกษาได้ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าลงไปในทะเลเลือด และทำสัญญากับเหล่าตัวตนที่อยู่ภายในนั้น”

 

“อ๊า! จริงๆหรอท่านอาจารย์? หนูสามารถทำสัญญากับพวกเขาได้จริงน่ะหรอ?”

 

“แน่นอน ตราบใดที่เจ้าสามารถผ่านการทดสอบไปได้”

 

 

ซูเซี่ยเอ๋อไม่ลังเลอีกต่อไป  เธอไขกุญแจบานประตูสีดำที่ถูกล็อคอยู่ตลอดมา

 

หลังจากที่พานพบประสบการณ์เฉียดตายในระหว่างการต่อสู้ และถูกเทคนิคมนตราของจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างจุดอ่อนของตนเอง ความแข็งแกร่งของซูเซี่ยเอ๋อก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก

 

ตอนนี้ เธอสามารถรับมือกับการทดสอบระดับที่ปรึกษาได้แล้ว

 

“ฉิงซาน รอฉันก่อนนะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อกระซิบเบาๆ ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป

 

อีกด้านหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่บนยอดตึกปะการังทรงสูง และมองออกไปข้างหน้า

 

ปะการังหนาแน่นบดบังวิสัยทัศน์ของเขาก็จริง แต่มันไม่สามารถหยุดจิตสัมผัสเทวะของเขาได้

 

ด้วยขอบเขตประทับเทพขั้นปลายของตน ส่งผลให้กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นถึงปลายทางที่ไกลออกไปตามเส้นถนนได้อย่างชัดเจน

 

มันเป็นจตุรัสขนาดใหญ่ ที่ปกติแล้วดูเหมือนว่าจะถูกใช้ในการชุมนุมและกิจกรรมขนาดใหญ่ เพียงพอที่จะรองรับผู้คนนับหมื่น

 

แต่ตอนนี้ กลับปรากฏร่างศพคนตายกำลังเดินตรงไปยังที่นั่นจากทุกทิศทาง

 

ร่างศพนับพันต่างพากันเดินเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ตรงไปยังจตุรัสด้วยรอยยิ้มแปลกๆที่แขวนอยู่บนใบหน้า

 

ภายในจตุรัส มีมอนสเตอร์ที่เพียงแค่มองก็ทำให้รู้สึกหวาดกลัวเข้าไปในจิตใจกำลังยืนรอพวกเขาอยู่

 

ร่างของมันคล้ายกับยอดเขาสีดำทะมึน ที่คอยแผ่กลิ่นอายกำกวมยากจะอธิบายออกมา

 

แม้ว่ามอนสเตอร์ตนนี้จะดูเงอะงะ ทว่าสัญญาณเตือนในหัวใจของกู่ฉิงซานมันกลับร้องดังขึ้นทุกทีๆ

 

เห็นแค่เพียงศพทั้งหมดพากันเดินเข้าไปในร่างของมอนสเตอร์ตัวนั้น ก่อนจะถูกหลอมละลายเข้ากับกายสีดำของมัน

 

และเมื่อใดก็ตามที่ศพเข้าสู่ร่างของมอนสเตอร์ กายสีดำของมันก็จะมีใบหน้าของศพๆนั้นผุดขึ้นมา

 

เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ใบหน้าก็เริ่มผุดขึ้นตามตัวมันมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

แต่ละใบหน้าล้วนแสดงออกถึงความสุข

 

นี่มันไม่ใช่เป็นแค่มอนสเตอร์ธรรมดาๆแล้ว แต่กระทั่งรสนิยมในการสะสมของมันก็ยังน่าขยะแขยงเป็นอย่างยิ่ง!

 

ก่อนที่เขาจะมาถึง กู่ฉิงซานแน่นอนว่าย่อมค้นพบถึงตัวตนของมอนสเตอร์ตัวนี้ด้วยจิตสัมผัสเทวะของเขา นอกจากนี้ยังมีศพมากมายที่เดินเข้าไปหามันอีก ด้วยเหตุนี้เอง เขาถึงเลือกที่จะไม่นำลอร่ามา

 

“ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่ดีมากขนาดนี้กันแน่นะ … ”กู่ฉิงซานกระซิบแผ่วเบา

 

ทันทีที่เสียงของเขาตกลง เห็นแค่เพียงมอนสเตอร์ที่คล้ายกับยอดเขาสีดำหยุดกึกลงอย่างกระทันหัน

 

ก่อนที่มันจะหันขวับมาทางกู่ฉิงซาน

 

หากคิดตามสามัญสำนึกทั่วๆไปแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะมองเห็นกู่ฉิงซาน เนื่องจากมีตึกปะการังมากมาย คอยบดบังตัวเขาอยู่

 

ทว่ามอนสเตอร์สีดำก็ยังคงมองมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน

 

มันหยุดนิ่งอยู่อย่างเงียบๆ

 

ทันใดนั้นเอง เหล่าใบหน้าที่แขวนไว้ตามตัวของมอนสเตอร์ก็อ้าปาก และเปล่งเสียงพร้อมกันว่า “เจ้ามาสายไปนะ”

 

ในสายตาของกู่ฉิงซาน เขายังคงถูกบดบังโดยตึกปะการังนับไม่ถ้วน

 

อย่างไรก็ตาม ตัวเองกลับสัมผัสว่ามีกลิ่นอายแปลกๆ เข้ามาล็อคตัวเขาเอาไว้

 

กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

ถึงแม้ว่าเขายังไม่ได้ใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ ทว่าตนก็รวบรวมกลิ่นอายเอาไว้จนเกือบจะหมดสิ้น แต่ใครจะไปรู้กัน ว่ามันดันสามารถได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาของเขาได้

 

“โห? แต่ฉันยังไม่รู้เลยนะ ว่าไอ้ที่บอกว่าสายน่ะ ฉันพลาดอะไรไป?” กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้นและกล่าว

 

“พิธีกรรมได้สิ้นสุดลงแล้ว และผีแห่งความอลหม่านได้กลายเป็นวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนจากปรภพ นำพาทุกสิ่งมีชีวิตในสถานที่แห่งนี้มาให้ข้า ” ทุกใบหน้าบนตัวของมันเปิดปากพูดพร้อมกัน

 

“งั้นแกก็ไม่ใช่ผีแห่งความอลหม่านน่ะสิ – แกเป็นตัวอะไรกันแน่?”

 

“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก นั่นเพราะเดี๋ยวเจ้าก็จะกลายเป็นปุ๋ยอยู่แล้วอย่างไรล่ะ!” มอนสเตอร์สวนกลับ

 

เพียงแค่เสียงของมันตกลง ตลอดทั้งจตุรัสก็หายวับไป และถูกแทนที่ด้วยหลุมลึก!

 

มันเป็นหลุมลึกที่ไม่สามารถมองเห็นเบื้องล่างได้

 

กู่ฉิงซานพยายามปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไปเบื้องล่าง แต่เขากลับไม่สามารถค้นพบถึงก้นหลุมได้เลย

 

ไม่เพียงหลุมลึกที่ปรากฏขึ้น ขณะเดียวกัน มอนสเตอร์ก็หายไปเช่นกัน

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงลางไม่ดี เขาจึงเร่งระเบิดพลังวิญญาณจากทั่วทั้งร่างกายทันที

 

เทคนิคดาบเอ๋ย จงตื่นขึ้น!

 

เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!

 

บนดาบบินทั้งสอง ปรากฏรังสีดาบอันไพศาล เปล่งประกายคล้ายกับดวงดาราขนาดยักษ์ พรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนแตก

 

ในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เล่ยเดี๋ยน

 

“-กระจายตัวออกไป!”

 

สองน้ำท่วมหลากบรรจบรวมเข้าด้วยกัน ทะลวงขึ้นไปบนฟากฟ้า และร่วงตกลงมาราวกับทุ่งน้ำแข็งอันกว้างใหญ่

 

เมื่อสกิลดาบถูกปลดปล่อยออกมา กู่ฉิงซานก็หายวับไปจากตำแหน่งเดิมทันที

 

“อ๊ากกกกกกกกกก!”

 

บังเกิดเสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนดังขึ้นในเวลาเดียวกัน

 

ในชั่วพริบตา มอนสเตอร์ทะมึนก็ข้ามผ่านตึกปะการังที่กีดขวาง โผล่เข้ามาในตำแหน่งเดิมที่กู่ฉิงซานเคยหยุดยืนอยู่โดยตรง

 

มันถูกรังสีดาบดั่งเขื่อนแตก ร่วงตกกระแทกเข้าใส่ และนิ่งงันเป็นเวลาสามวินาที

 

“เจ้าไม่อาจพ้นเงื้อมมือข้าไปได้!”

 

ใบหน้านับไม่ถ้วนบนตัวมอนสเตอร์ตะโกนขึ้นพร้อมกันด้วยความโกรธแค้น

 

มันค่อยๆลอยขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเร่งบินข้ามผ่านผืนดิน ไล่ตามติดกู่ฉิงซานไป

 

ตึกใต้ร่างของมอนสเตอร์ ซึ่งเป็นตึกปะการังเดิมที่กู่ฉิงซานเคยแอบอยู่ บัดนี้แตกละเอียดจะสิ้น ทิ้งไว้เพียงเศษเปลือกหอยเล็กๆที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้น

 

พอสัมผัสได้ถึงฉากดังกล่าว สีหน้าของกู่ฉิงซานเริ่มจะหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

 

มอนสเตอร์ตนนี้ สามารถทะลวงผ่านตึกปะการังนับไม่ถ้วน และพยายามที่จะโถมเข้าห่อหุ้มตัวเขาในคราเดียว

 

ขณะที่สิ่งที่ถูกมันจับได้ จะถูกกัดกร่อนและกลืนกินไปเลยโดยตรง!

 

ไม่ใช่แค่เคลื่อนย้ายได้ในพริบตา แต่ยังสามารถกลืนกินทุกอย่างที่สัมผัส มันสามารถครอบครองสกิลเหล่านี้ได้พร้อมๆกันเลยอย่างงั้นหรือ?

 

หากมีสกิลใดสกิลหนึ่งมันก็คงจะธรรมดา ทว่าหากใช้รวมกันแล้วมันทรงพลังไม่น้อยเลยจริงๆ

 

หากเขาเลือกที่จะป้องกันมิใช่หลบเลี่ยงแบบในตอนนี้แล้วล่ะก็ .. ทุกอย่างคงจบลงตั้งแต่การโจมตีครั้งแรกไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องบอกบรรยายใดๆถึงครั้งที่สองอีก

 

กู่ฉิงซานหยุดอยู่เหนือผืนฟ้า

 

ในระยะไกลออกไปเบื้องล่างเขา มอนสเตอร์ทะมึนยังคงไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ

 

ดูเหมือนว่าการเคลื่อนย้ายพริบตาหรือที่เรียกสั้นๆว่าวาร์ปของมัน จะต้องมีช่วงระยะที่แน่นอนเสียก่อน จึงจะสามารถใช้ออกได้

 

“ดาบพิภพ เจ้าสิ่งนั้นเป็นผีรึเปล่า?”

 

“ไม่ใช่ แต่ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือสิ่งใด เพราะข้าไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนเลย”

 

“ขนาดเจ้าเองก็ยังไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนงั้นหรือ … น่าสนใจดีนี่”

 

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้วววว!

 

กู่ฉิงซานกุมดาบพิภพในมือ และสับคมกล้าของมันลงไปยังผืนดินเบื้องล่างอย่างไม่รู้จบ

 

เห็นแค่เพียงรังสีดาบสีนวลผ่องดั่งแสงจันทร์ ตัดข้ามผ่านผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ โถมเข้าใส่มอนสเตอร์ยอดเขาทะมึน

 

ตัดจันทรา —ฟันต่อเนื่องเก้าครั้ง!

 

มอนสเตอร์ทะมึนสาดสายตามองรังสีดาบอันร้ายแรงนี้ และหายวับไปในทันที

 

เฝ้ารอจนกระทั่งรังสีดาบพุ่งผ่านไป มันจึงค่อยปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

 

คิ้วของกู่ฉิงซานขมวดเข้าหากัน

 

เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่มันเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่า และเมื่อรังสีดาบทั้งหมดบินผ่านไป มันก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งทันที

 

นี่มันเป็นความสามารถ ‘ มิติหลบเลี่ยง’ อันหาได้ยากยิ่ง!

 

ครอบครองทั้งพลังวาร์ป พลังกลืนกิน และมิติหลบเลี่ยง สามสกิลที่แสนจะทรงพลังนี้จู่ๆก็ปรากฏขึ้นในตัวมอนสเตอร์ตัวเดียวอย่างกระทันหัน!

 

“ระวังไว้หน่อยก็ดีนะ มันไม่ธรรมดาเลย” ดาบพิภพเตือน

 

“ข้าพอจะรู้อยู่หรอกว่ามันครอบครองความสามารถมากมาย แต่ข้าเองก็ไม่ต้องการที่จะจบลงเช่นนี้เหมือนกัน!” กู่ฉิงซานงึมงำ

 

มืออีกข้างวาดออกไปในอากาศที่ว่างเปล่า คว้ากุมจับดาบเช่าหยินอย่างแม่นมั่น

 

ยามมือดาบทั้งสองถูกกุมไว้ในมือ นั่นบ่งบอกได้ว่า กู่ฉิงซานได้เอาจริงแล้ว!

Ep.562 – ผล็อยหลับไป

 

ม้าทมิฬไล่ตามกู่ฉิงซานกับลอร่าจนทัน

 

กู่ฉิงซานเบนสายตาไปมองมัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

ด้วยเหตุนี้ สองคน หนึ่งม้าจึงกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง ร่วมกันตรวจสอบสถานการณ์ไปตามท้องถนน

 

“เจ้าเองก็กลัวเหมือนกันล่ะสิ?” ลอร่าเอ่ยถาม

 

“กลัวงั้นหรือ?” ม้าทมิฬเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างสงบ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพของข้า ข้าเลยจำต้องอยู่กับลูกค้า เพื่อเตรียมพร้อมบริการพวกเขาได้ตลอดเวลาต่างหาก”

 

“เอาล่ะๆ ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว เราเข้าใจเจ้า”

 

ลอร่ากลั้นหัวเราะ และตบลงบนตัวม้า

 

“แล้วท่านล่ะ ไม่กลัวพวกกองทัพผีร้ายหรือ?” กู่ฉิงซานถามอย่างลวกๆ

 

“แน่นอนว่ากลัว เรากลัวเจ้าสิ่งที่เกี่ยวกับอะไรพวกนี้มากที่สุดเลย” ลอร่ายืดอกยอมรับ

 

เธอนั่งอยู่บนหลังม้าทมิฬ ขณะที่กู่ฉิงซานคอยจูงมันมุ่งไปข้างหน้า

 

“ดูเหมือนพวกเราจะเจอปัญหาซะแล้วสิ” กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าลง

 

เบื้องหน้าพวกเขา เส้นทางถนนถูกตัดขาด

 

ปรากฏหลุมบ่อขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ตรงกลางถนน

 

บนผนังรอบบ่อนั้นเต็มไปด้วยหลุมเล็กตื้นๆ ขุรขระไม่สม่ำเสมอ แถมยังเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสีดำแดง กระจายเป็นวงกว้าง

 

กู่ฉิงซานเดินไปที่บ่อ และมองข้ามมันไปทางอีกฝ่าย

 

บ่อนี้ไม่รู้ว่าถูกขุดโดยตัวอะไร แต่มันกว้างเกือบ 100 เมตร ส่วนในเรื่องความลึก –

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไป และค้นพบว่าก้นบ่อลึกกว่า 200 เมตร ล่างสุดของมัน เจิ่งนองไปน้ำเลือด

 

ไม่มีอะไรอยู่ในน้ำเลือดเหนียวหนืดเหล่านั้น แต่กลับมีร่องรอยของรอยเท้าเปื้อนเลือดขนาดใหญ่ บนผนังบ่อ

 

รอยเท้าสีเลือดแปลกๆนี้ย่ำไปตามผนังอีกฝั่งของบ่อ และค่อยๆหายไปตามท้องถนน

 

—เหมือนกับว่าจะมีบางสิ่งปีนขึ้นมาจากเบื้องล่างของบ่อ ไล่ไปตามกำแพงหิน ในที่สุดก็ขึ้นมาได้ และตรงไปยังใจกลางเมือง

 

“เจ้าสามารถกระโดดข้ามได้ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“แน่นอนว่าได้ หากเป็นเรื่องวิ่งหรือกระโดด ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ” ม้าทมิฬกล่าว

 

วี๊ดดดด –

 

ใจกลางเมือง บังเกิดเสียงกรีดร้องน่าความหวาดกลัวลอยมาตามสายลม

 

เสียงนี้ไม่เหมือนกับเสียงของสัตว์ป่า แต่ดูเหมือนจะเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้คนนับไม่ถ้วนที่หวีดออกมาพร้อมๆกัน

 

ลอร่าหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา เพื่อเตรียมที่จะใช้มัน

 

แต่กู่ฉิงซานคว้ากล่องส่องทางไกลเอาไว้เสียก่อน และกล่าวว่า “อย่าทำแบบนั้น ผีบางตัวมันสามารถรับรู้ถึงสายตาของผู้คนที่จ้องมองมาได้”

 

เมื่อลอร่าได้ยินเขาเตือน เธอก็จำใจต้องหยุดมือลง

 

เธอลอบมองกู่ฉิงซานอย่างลับๆ และพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูจะแปลกๆไปเล็กน้อย

 

“คงไม่ได้มีแค่ที่เจ้าบอกใช่ไหม มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเจ้าเจออะไรแล้ว?” ลอร่าเอ่ยถาม

 

“อ๊ะ ไม่ๆ กระหม่อมแค่กำลังคิดถึงปัญหาอย่างอื่นอยู่น่ะ”

 

กู่ฉิงซานตอบกลับ ขณะเดียวกันก็ยืนตริตรองอยู่หน้าบ่อเลือดสักพัก

 

แล้วเขาก็กลับมา จูงม้าทมิฬออกไปยังอีกมุมหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปของถนน

 

ดิสก์ค่ายกลถูกหยิบออกมา และกู่ฉิงซานก็เริ่มทำการจัดตั้งค่ายกลอีกครั้ง 

 

ค่ายกลแล้ว ค่ายกลเล่าได้ถูกจัดวางลง

 

โดยไม่คิดคำนึงถึงศิลาวิญญาณที่ต้องเสียไป เพียงลมหายใจเดียว กู่ฉิงซานก็ได้จัดวางค่ายกลป้องกันระดับสูงทั้งหมดจนเสร็จสิ้น จากนั้นก็ต่อด้วยค่ายกลโจมตีอีกหลายสิบชนิด

 

ด้วยอำนาจของค่ายกลที่ถูกจัดวาง และปริมาณของพวกมัน นับว่าเพียงพอแล้วที่จะใช้เปิดศึกสงครามครั้งใหญ่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ!

 

“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ?” ลอร่าถามด้วยความสงสัย

 

“จัดตั้งค่ายกลป้องกัน”

 

กู่ฉิงซานอยากจะไตร่ตรองเสียก่อน เขาจึงวางค่ายกลป้องกันเสียงอย่างเงียบๆ

 

ลอร่า “เรารู้ว่าเจ้ากำลังจัดวางค่ายกล แต่ทำไมเจ้าถึงต้องจัดวางค่ายกลป้องกันที่นี่ ตอนนี้ด้วย?”

 

“พวกเราจะพักผ่อนกันก่อน”

 

ลอร่าพอได้ฟังก็ชะงักไป

 

“พวกเราได้ทำสิ่งต่างๆมามากมาย เดินทางไปตั้งหลายสถานที่โดยไม่มีหยุดพัก ขณะที่ข้างหน้าต่อจากนี้ไปกำลังมีอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าเดิมเฝ้ารออยู่ แต่ความเหนื่อยของพวกเรากลับสะสมมากขึ้น แบบนี้คงจะไม่ดี เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและความสามารถในการตอบสนองจนอาจคุกคามถึงแก่ชีวิตเลยก็ได้” กู่ฉิงซานอธิบาย

 

“หากเจ้าไม่บอก เราคงไม่สังเกตถึงจุดนี้เลย อันที่จริงแล้วเราง่วงมาก แต่อาจจะเป็นเพราะตลอดมาล้วนเผชิญกับอันตรายที่มากเกินไป เลยไม่ทันได้ตระหนักถึงสภาพร่างกายของตัวเอง” ลอร่าหาว

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และวางโต๊ะขนาดใหญ่ลงกลางค่ายกล

 

เครื่องปรุง หัวหอม ขิง กระเทียม ซอสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชู พริกไทย พริกขี้หนู ฯลฯ ถูกจัดวางเอาไว้อย่างประณีต ตามด้วยอาหารสดที่ถูกนำออกมา ใส่ลงในหม้อไฟ

 

“ฝ่าบาทคุ้นเคยกับอาหารมนุษย์หรือไม่?”

 

“กินได้ ไม่มีปัญหาอะไร”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

แล้วเก้าอี้สองตัวก็โผล่ออกมาจากอากาศที่บางเบา

 

“เชิญฝ่าบาทนั่งรอสักครู่ ไม่นานกระหม่อมก็เตรียมอาหารเสร็จแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่หันกลับมามอง

 

ว่าจบ เขาก็เริ่มที่จะต้มซุป

 

ลอร่านั่งลง และเฝ้ามองเขาที่กำลังวุ่นอย่างเงียบๆ

 

“ไม่คิดเลยว่าจู่ๆจะได้ชิมอาหารฝีมือเจ้า”

 

“นั่นเพราะกระหม่อมต้องการให้ฝ่าบาทเพลิดเพลินไปกับอาหารร้อนๆแสนอร่อย จากนั้นก็หลับพักผ่อน พอถึงรุ่งสางในวันพรุ่ง ฝ่าบาทก็จะได้สดชื่นและมีพลังงานเต็มเปี่ยม จากนั้นพวกเราค่อยไปสำรวจเมืองกัน”

 

“นั่นฟังดูเยี่ยมไปเลย!” ลอร่าชูสองมือขึ้นไชโย ตะโกนด้วยความดีใจ

 

เพียงไม่นาน มื้ออาหารแสนอร่อยก็ถูกเสิร์ฟลงในที่สุด

 

7 จานเนื้อ 4 จานผัก และซุปถ้วยใหญ่อีก 1 ถ้วย

 

ลอร่าค่อยๆกินอย่างช้าๆ ขณะที่กู่ฉิงซานกวาดไปสองสามชามในลมหายใจเดียว

 

ม้าทมิฬมองมายังโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารด้วยแววตาน่าสงสาร

 

กู่ฉิงซานจึงหยิบหญ้าวิญญาณออกมา ยื่นให้มันกิน พอกัดไปได้ไม่กี่คำ ในหัวใจของม้าทมิฬก็รู้สึกเปรมปรีด์เป็นอย่างมาก

 

มันโค้งหัวลงด้วยความนอบน้อม แสดงท่าทีขอบคุณ

 

สองคน หนึ่งม้าจึงเริ่มรับประทานมื้ออาหารเลิศรสกัน

 

หลังจากมื้ออาหารจบลง กู่ฉิงซานก็ล้างอุปกรณ์ทุกอย่าง เขาเก็บมัน และหยิบเตียงออกมา

 

“ตอนนี้ก็ได้เวลาพักผ่อนแล้วนะ”

 

เขายกผ้าห่มขนสัตว์ขึ้นคลุมตัวให้ลอร่า และคอยยืนปกป้องเธอ

 

ภายใต้ค่ายกลทรงประสิทธิภาพกว่า 100 ค่าย และอุณหภูมิที่เหมาะสม เปี่ยมไปด้วยพลังงานวิญญาณ และความสงบ

 

ลอร่าที่กำลังนอนอยู่บนเตียง แม้ทั้งกายใจของเธอจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยังมีท่าทีไม่เต็มใจที่จะหลับลง

 

“แล้วเจ้าเล่า ไม่นอนหลับบ้างหรือ?” เธอเอ่ยถาม

 

“สำหรับผู้ฝึกยุทธ การนั่งสมาธิ จะช่วยให้ได้รับการพักผ่อนที่ดียิ่งกว่า”

 

“แต่กู่ฉิงซาน เรารู้สึกหวดากลัวนิดหน่อย เลยยังนอนไม่หลับ”

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ?”

 

“เพราะกระทั่งตอนนี้ เราก็ยังรู้สึกหวาดวิตกอยู่เสมอ”

 

“นั่นมันก็แค่จินตนาการไปเอง ทางฝั่งกระหม่อมไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”

 

“เจ้าไม่รู้สึกถึงมันอย่างงั้นหรือ?”

 

“ถูกต้องแล้ว กระหม่อมเป็นผู้ฝึกยุทธนะ ฝ่าบาทน่าจะทรงทราบดีว่าผู้ฝึกยุทธมีการรับรู้ทางจิตวิญญาณ ซึ่งสามาระตระหนักถึงลางร้ายได้”

 

“แต่ผีแห่งความอลหม่านก่อนหน้านี้ -”

 

“กระหม่อมย่อมตระหนักถึงมัน ฝ่าบาทจำไม่ได้หรือ? ว่าเป็นกระหม่อมที่จัดวางค่ายกลก่อน จึงสกัดมันเอาไว้ได้”

 

“ฉะนั้นหากตอนนี้กระหม่อมมิได้สัมผัสถึงลางร้ายใดๆ นั่นหมายความว่าฝ่าบาทเองตื่นตระหนกไปเอง”

 

“เราเข้าใจแล้ว .. ”

 

หลังจากได้ยินคำตอบของกู่ฉิงซาน ลอร่าก็โล่งใจ

 

“ดูเหมือนว่าเมื่อเร็วๆนี้เราจะตึงเครียดมากเกินไป เลยหลอนไปเอง” ลอร่าใช้นิ้ววนๆรอบคิ้วของเธอ ปากเอ่ยพึมพำ

 

“สมควรจะเป็นแบบนั้น” กู่ฉิงซานลูบหัวเธอเบาๆ “หลับให้สบายเถอะ ท่านต้องการพักผ่อนนะ”

 

“อืม”

 

ลอร่าหลับตาลง

 

ส่วนกู่ฉิงซานก็หยิบฟูกออกมา และวางมันนั่งลงข้างเตียง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

“กู่ฉิงซาน”

 

“หืม?”

 

“เรานอนไม่หลับ มาเล่นเกมก่อนนานกันเถอะ”

 

“เกมอะไร?”

 

“เจ้าต้องบอกความลับเล็กๆน้อยๆของตัวเองออกมา ขณะที่เราเองก็ต้องเล่าเหมือนกัน ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันไง”

 

“ … ”

 

“ปกติแล้ว จะเป็นท่านแม่ที่มักจะเล่นเกมๆนี้กับเราทุกคืน … ”

 

“เอาล่ะๆ หยุดดราม่าเถอะ ลอร่า ท่านรู้ไหมว่าทำไมแบรี่กับเสี่ยวเหมียวถึงได้ยอมให้กระหม่อมอยู่กับสมาคมกำปั้นเหล็ก?”

 

ลอร่าถูกดึงดูดโดยคำถามนี้ เธอพยายามนึกและตอบกลับไปว่า “เพราะเจ้าเป็นคนดี … รึเปล่า?”

 

“ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะระดับฝีมือในการทำอาหารของกระหม่อมสามารถชนะใจพวกเขาได้”

 

“แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ เอาเถอะ แต่เจ้าก็ทำอาหารได้อร่อยจริงๆนั่นแหละ”

“งั้นคราวนี้ ก็ถึงเวลาที่ฝ่าบาทจะต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองบ้างแล้ว”

 

“กู่ฉิงซาน เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเราถึงได้กลัวความสูง”

 

“จะว่าไปแล้วเรื่องนี้กระหม่อมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะเหตุใดหรือฝ่าบาท?”

 

“วิหคหนามน่ะ เวลาถือกำเนิดขึ้นมาจะมีความทรงจำในวันนั้นอยู่ และวันที่เราเกิด พ่อของเราตื่นเต้นมากเกินไป เขาที่กำลังอุ้มเรา โยนเราด้วยความปิติยินดี จนเราร่วงตกจากรุกขชาตศักดิ์สิทธิ์”

 

“รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์?”

 

“ใช่ รุกขชาตศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม มันเป็นสิ่งที่คอยมอบอำนาจอันลึกลับให้กับพวกเราเสมอมา และมีความสูงกว่า 10000 เมตร”

 

“ … ทันทีที่เกิดมา ก็ต้องตกลงจากความสูงเช่นนั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่ามันรู้สึกอย่างไร?”

 

“ใช่แล้วล่ะ ความประทับใจแรกเมื่อยามลืมตาดูโลกของเรา คือร่วงหล่น เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังตกลง”

 

“แต่บิดาของท่านก็น่าจะช่วยท่านได้โดยเร็วนะ”

 

“ไม่เป็นเช่นนั้น ท่านพ่อคิดว่าท่านแม่ของข้าจะเป็นคนลงมือช่วย ขณะที่ท่านแม่ก็คิดว่าท่านพ่อคงจะเป็นคนทำ ส่วนพวกรัฐมนตรีก็คิดว่าราชากับราชินีคงจะเป็นคนช่วยเอง พวกองครักษ์ก็ดันคิดว่ารัฐมนตรีน่าจะเป็นคนช่วยเหลือ เพื่อที่จะได้รับคำชมเชย ขณะที่แขกเหรื่อก็ต่างพากันคิดว่าองครักษ์นั่นแหละที่จะเข้าไปช่วย”

 

“ถ้างั้น ก็ไม่มีใครออกหน้าช่วยเลยหรือ?”

 

“ใช่ เราร่วงตกลงมาตั้งหลายพันเมตร กว่าที่จะได้รับการช่วยเหลือจากทุกคน”

 

“อ่า ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ”

 

“ถึงตาเจ้าแล้ว ไหนลองบอกความลับของเจ้ามาสิ”

 

“ความลับงั้นหรอ … ก็คงจะเป็น ตัวกระหม่อมฝันว่าได้ข้ามผ่านประสบการณ์ต่อสู้มายาวนานหลายปี จนสุดท้ายก็ตายลง เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ค้นพบว่าตัวเองได้กลับมาอายุ 18 ปี อีกครั้ง น่าจะประมาณนี้ล่ะมั้ง”

 

“นี่มันเป็นเรื่องแปลกจริงๆ เราขอเดาว่าเสี่ยวเหมียวจะต้องสนใจพล็อตเรื่องแบบนี้แน่ๆ”

 

“นั่นสินะ ก็เธอเป็นนักเขียนนี่นา”

 

“ … ”

 

สองตาของลอร่าค่อยๆหุบลง และผล็อยหลับไป

 

กู่ฉิงซานเฝ้ารออย่างเงียบๆ

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

สักพักก็เห็นแค่เพียงลอร่าที่เริ่มร้องไห้ขึ้นมา ส่งเสียงสะอื้นในความฝัน

 

“ท่านแม่ .. หนูคิดถึงท่าน .. ”

 

แล้วเธอก็เริ่มพลิกตัวไปมาด้วยความกระสับกระส่าย

 

กู่ฉิงซานมองฉากนี้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบธูปหอมขึ้นมาแล้วจุดมัน

 

นี่คือสิ่งที่ฉินเซี่ยวโหลวบรรจงสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน มันไม่เพียงทำให้ผู้คนหลับไหลลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังช่วยปลอบประโลมจิตเทวะไปในตัวอีกด้วย

 

ควันสีฟ้าจากธูปลอยฟุ้งไปทั่ว แทรกกลิ่นหอมจางๆไปในชั้นอากาศ

 

ไม่นานนัก ลมหายใจของลอร่าก็กลับมาสงบและสม่ำเสมอ การแสดงออกทางสีหน้าของเธอผ่อนคลายลง

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองเธอ แล้วค่อยๆคลายใจลง

 

“น่าจะโอเคแล้ว” เขากล่าวเสียงกระซิบ

 

ทันใดนั้นดาบยาวที่สาดแสงคล้ายหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงก็ปรากฏขึ้นจากในความว่างเปล่า

 

ดาบยาวหมุวนอย่างเงียบๆ และเปลี่ยนร่างตนกลายเป็นผู้หญิงในชุดคลุมฟ้า

 

“นายน้อย ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”

 

“อืม คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

 

กู่ฉิงซานลุกขึ้นจากฟูก และมอบตำแหน่งเดิมของเขาให้แก่ฉานนู่

 

“นายน้อย ถ้าท่านจะสู้ .. ” ฉานนู่กล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย

 

“ไม่เป็นไรหรอก ข้ายังมีดาบพิภพกับเช่าหยินอยู่ เอาไว้ถ้าสถานการณ์ไม่สู้ดี ข้าจะเรียกเจ้าก็แล้วกัน”

 

“แต่นั่น-”

 

“วางใจเถอะ เจ้าก็ตระหนักดีนี่ ว่าท่าร่างของข้ายอดเยี่ยมเพียงใด หากคิดหนี ย่อมสามารถทำได้อย่างง่ายดาย”

 

“เจ้าค่ะ”

 

ฉานนู่พอได้ฟัง จึงค่อยคลายใจลงเล็กน้อย

 

เธอเริ่มใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต และเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ตนให้กลายเป็นกู่ฉิงซาน

 

ฉานนู่กลายเป็นกู่ฉิงซาน นั่งลงบนฟูกและคอยเฝ้ามองลอร่า

 

ขณะที่กู่ฉิงซานตัวจริงพร้อมที่จะจากไปแล้ว

 

ม้าทมิฬจ้องมองฉากที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

 

กู่ฉิงซานลูบหัวของมันและกล่าว “สถานการณ์นี้ค่อนข้างพิเศษ เจ้าเองพักอยู่ที่นี่เถอะ”

 

ม้าทมิฬพยักหน้า “ท่านจะไปสู้งั้นหรือ? ระมัดระวังตัวด้วยก็แล้วกัน”

 

กู่ฉิงซานยิ้ม และพุ่งออกจากค่ายกลไป

 

สายลมยามค่ำคืนปะทะกายต้อนรับเขา กู่ฉิงซานกระโจนข้ามบ่อเลือด วิ่งไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยร่างศพ มุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าตลอดเส้นทาง

 

ซึ่งนี่แตกต่างจากตอนที่เขามากับลอร่า กู่ฉิงซานในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ต้องมาคอยกังวล เมื่อเขาเดินทางเพียงลำพัง

 

ทั้งคนทั้งร่างของเขาราวกับสายฟ้าฟาด วูบวาบผ่านเมืองที่นิ่งงันไปด้วยความตายด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

 

ดาบพิภพและเช่าหยินตามติดเขาอย่างใกล้ชิด และบินไปข้างหน้าด้วยกัน

 

วี้ดดดด!

 

วู้วววว!

 

ฮี่ฮี่!

 

วู้มมมมมม!

 

เบื้องหน้า บังเกิดเสียงร้องแปลกๆนับไม่ถ้วนดังขึ้น ทั้งเสียงโกรธ เสียงหัวเราะ เสียงตื่นตระหนก หรือเสียงที่ฟังดูบ้าคลั่ง ดังขึ้นมาพร้อมกันในคราเดียว

 

กู่ฉิงซานหยุด และทิ้งตัวลงมาจากฟากฟ้า

 

ตำแหน่งนี้ อยู่ใกล้กับใจกลางเมืองมาก

 

โซนข้างหน้า คงจะเป็นจุดที่เข้าสู่พื้นที่ต่อสู้!

 

ภายในจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน พื้นที่แห่งนั้นคือนรก มันคือทุ่งสังหาร เป็นสถานที่อันน่าขนหัวลุก

 

หากคนทั่วไปได้ย่างกรายเข้าสู่สถานที่ดังกล่าว เกรงว่าต่อจากนี้ไป ก็คงจะมีภาพความทรงจำสยองเกล้าที่มิอาจลบเลือนได้ติดตัวไปชั่วชีวิตของเขา

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ ปากเอ่ยพึมพำ “ผล็อยหลับไปก็ดีแล้ว เพราะภาพต่อจากนี้ไป มันไม่ใช่สิ่งที่เด็กๆสมควรจะดู”

 

ว่าจบ หนึ่งมือก็คว้าจับดาบพิภพ ขณะที่สองเท้าก้าวเดินตรงไปยังเบื้องหน้าอย่างช้าๆ ..

Ep.561 – การแตกตัวของผีแห่งความอลหม่าน

 

“คนเหล่านี้ .. ตายกันหมดเลยหรือ?”

 

ลอร่าเอ่ยถามด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

 

กู่ฉิงซานมองไปยังเหล่าศพที่ยังคงอยู่ในกริยานิ่งงันราวกับตายไปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย

 

เขาสัมผัสได้ว่าร่างน้อยๆบนไหล่กำลังสั่นไหว ตนจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “รูปลักษณ์พวกเขาเกือบจะเหมือนกับกระหม่อมเลย ต่างกันก็ตรงที่สีผิวเท่านั้นเอง”

 

“แน่นอนอยู่แล้ว ก็เทพบรรพกาลน่ะมักจะสร้างอารยธรรมขึ้นมาโดยอ้างอิงจากลักษณะของตนเอง ดังนั้นในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น รูปลักษณ์ของมนุษย์จึงเป็นที่เคารพและมักจะนิยมแปลงกายกันเป็นอย่างมากนั่นเอง” ลอร่าอธิบาย เธอถูกดึงดูดโดยหัวข้อใหม่จริงๆ

 

“เช่นนั้นแล้ว รูปลักษณ์ดั้งเดิมของฝ่าบาทเป็นเช่นไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ก็แบบนี้ไง –”

 

ขณะกล่าว จู่ๆก็ปรากฏคู่ปีกสีเขียวเข้มออกมาจากหลังของเธอ

 

“สีเขียวเข้มนี้เป็นที่นิยมกันมาก ในปีที่วิหคหนามแต่ละตนได้รับการฉลองขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พอเราอายุสิบสองปี เราก็เลยย้อมมัน — ซึ่งอันที่จริงแล้ว สีปีกเดิมของเราคือสีเขียวโปร่งใส” เธอตอบ

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยปากถาม “แต่ทั้งสองมันก็มีสีเขียวเหมือนกันมิใช่หรือ แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร?”

 

“ … ไม่ละเอียดอ่อนเอาเสียเลย เราไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว”

 

ลอร่าหุบปีกของเธอ และเก็บมันกลับคืน

 

ถึงจะถูกด่าแต่ก็นับว่าได้ผล เพราะความหวาดกลัวของเธอ ดูเหมือนจะลดน้อยลงไปมากแล้ว

 

“ข้าคิดว่า — ” ม้าทมิฬสูดหายใจลึก ฝีเท้าของมันหยุดลงอย่างกระทันหัน

 

ความสนใจของกู่ฉิงซานกับลอร่าก็ถูกดึงดูดไปในเวลาเดียวกัน

 

“เหตุใดนับตั้งแต่ที่พวกท่านเรียกข้ามา จึงพานพบแต่สถานการณ์อันตรายเต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ข้ายังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศร้ายแรง อย่างไรก็ตาม บรรยากาศร้ายแรงกลับหายไปแล้ว … ”ม้าเอ่ยถาม

 

“ในความเป็นจริง ระหว่างการเดินทางมายังที่นี่ ตัวเราเองก็เฉียดตายอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดก็สามารถเอาชีวิตรอดมาได้”

 

ลอร่าวางมือของเธอลงบนไหล่ของกู่ฉิงซานและกล่าวต่อ

 

“—เราเองก็เหมือนกับเจ้า สับสนอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อร่วมเดินทางไปกับเขา รู้สึกตัวอีกที ก็มาถึงที่นี่แล้ว”

 

“หากเขาไม่สามารถช่วยท่านได้ล่ะ?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม

 

“เช่นนั้นเราคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากความตาย” ลอร่ากล่าว

 

กู่ฉิงซานเมื่อเห็นว่าลอร่าถูกดึงดูดโดยเรื่องอื่นจนหายหวาดกลัวแล้ว เขาก็เบนความสนใจไปยังศพเหล่านั้น

 

และคิดว่าตนเองสมควรที่จะตรวจสอบมัน

 

กู่ฉิงซานเอี้ยวตัวจากหลังม้า แล้วตบฝ่ามือตนลงบนหน้าผากของศพร่างสูงที่อยู่ใกล้ๆอย่างแผ่วเบา

 

พลังวิญญาณจากทั้งร่างกายถูกกระตุ้น มันกวาดเข้าไปสำรวจในศพของอีกฝ่าย

 

อย่างไรก็ตาม เขากลับพบว่าอวัยวะของศพยังอยู่ในสภาพดี และไม่มีอาการบาดเจ็บภายในใดๆเลย

 

ศพนี้ยังคงอบอุ่นอยู่ด้วยซ้ำ

 

ดูเหมือนว่าพึ่งจะตายลงเมื่อไม่นานมานี้เอง

 

ถ้าเป็นอย่างงั้นล่ะก็ … 

 

หมายความว่านี่เป็นการโจมตีเข้าใส่จิตเทวะโดยตรงใช่หรือไม่?

 

หากเป็นในกรณีนี้ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของพวกภูติผีก็เป็นได้

 

“ว่าแต่พวกผีแห่งความอลหม่านมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

 

“ท่านพ่อของเรารู้ ครั้งหนึ่งเราเคยถามท่าน แต่หลังจากถามแล้วท่านก็กินอะไรไม่ลงไปทั้งวันเลย เราจึงไม่คิดจะถามอีก” ลอร่ากล่าว

 

กู่ฉิงซานมองไปยังดาบพิภพ

 

ดาบพิภพตอบเขา “มันคือการผสมกันระหว่างผีหลากหลายชนิด เจ้าก็ลองจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเองก็แล้วกัน ข้าไม่ต้องการจะพูดถึงกระบวนการของมันอีกต่อไป”

 

“ก็ได้ๆ ถ้าอย่างงั้นขอเปลี่ยนคำถาม ว่าหลังจากที่ผีแห่งความอลหม่านตายลง พวกมันจะหายไปโดยสมบูรณ์เลยไหม? เจ้าน่าจะรู้นะ เพราะอย่างในเรื่องที่ว่ามันถูกสังเคราะห์มาจากผีหลากหลายชนิดผสมกันเจ้ายังรู้เลย” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

 

“สำหรับเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่กระจ่างนัก เพราะมันแทบจะไม่มีใครเคยสังหารผีแห่งความอลหม่านได้มาก่อนเลย” ดาบพิภพกล่าว

 

“ใช่ เพราะฉะนั้นคงไม่มีใครรู้คำตอบที่ว่านั่นหรอก” ลอร่าเสริม

 

กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงฉากที่เขาสังหารผีแห่งความอลหม่านลง

 

มันถูกรังสีดาบตัดออกเป็นชิ้นๆ และหายไปอย่างสมบูรณ์ ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ

 

ทว่าทุกคนที่นี่ ทั้งหมดกลับเสียชีวิตโดยการถูกโจมตีจิตเทวะ

 

และพวกภูติผีน่ะ มักจะเชี่ยวชาญในการโจมตีจิตเทวะมากเป็นพิเศษ-

 

ดังนั้นสถานการณ์ตรงหน้านี้ มันอาจจะหมายความว่า …

 

มีผีตนใหม่เกิดขึ้นมาจากร่างที่แตกสลายของผีแห่งความอลหม่านใช่รึเปล่านะ?

 

หรือว่ายังมีผีตนอื่นๆที่สามารถบุกโจมตีโลกใบนี้ได้อีกกันแน่?

 

ไม่น่าใช่ เพราะโลกใบนี้มีกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพคอยขัดขวางอยู่ มันสมควรที่จะหนาแน่นและทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่ต้นกำเนิดจะสามารถคิดหาวิธีจัดการกับกำแพงอุปสรรคนี้ลงได้

 

ภูติผีอย่างงั้นหรือ ….

 

พอคิดมาถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็กระตุ้นพลังวิญญาณปกคลุมทั้งร่างกาย และระเบิดกำลังรบออกมาเต็มทั้งสิบส่วนในทันใด

 

เขาเป็นผู้ที่สามารถปลดผนึกธาตุสายฟ้าซึ่งอยู่ในห้าธาตุจำเพาะได้  ดังนั้นเมื่ออยู่ในสภาวะพร้อมรบ ตลอดทั้งร่างของตนจึงถูกห่อหุ้มไปด้วยชั้นแสงสีน้ำเงินขาวทันที

 

นี่คือแก่นแท้พลังวิญญาณของธาตุ หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันว่า ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อเหล่าสิ่งชั่วร้าย!

 

“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?” ลอร่าตกใจ

 

“พวกภูติผีน่ะ โดยเนื้อแท้แล้วมันกลัวสายฟ้า และกระหม่อมต้องการที่จะตรวจสอบสถานการณ์ดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

มองไปยังกู่ฉิงซานที่ตะคอกคำหนึ่ง “จงกระจายตัวออกไป!”

 

ดาบเช่าหยิน ดาบพิภพ และดาบขุนเขาเทวะหกโลกา กระจายตัวออกเป็นสามทิศทาง และหายไปในทันที

 

สามดาบบินไปอย่างรวดเร็วในความว่างเปล่า

 

พวกมันตีวงไปบริเวณโดยรอบ ขณะเดียวกันก็ทยอยกันปลดปล่อยเทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา ออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง จู่ๆเสียงระเบิดดังสนั่นของปราณดาบก็ปะทุออกมา

 

ร่างเงาดาบสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดกำลังผลิดอกดั่งบัวบานสะพรั่งในอากาศ

 

สถานที่ใดก็ตามที่ดาบบินพุ่งผ่านไป พื้นที่โดยรอบของมันจะถูกเติมเต็มไปด้วยรังสีดาบทันที

 

กู่ฉิงซานเริ่มขับเคลื่อนสายฟ้าอย่างเงียบๆ ปลดปล่อยเทคนิคดาบออกไปอีกครั้ง!

 

คราวนี้ร่างเงาดาบสีดำที่ผลิบาน พลันถูกห่อหุ้มปกคลุมไปด้วยสีน้ำเงินขาวอย่างรวดเร็ว

 

ในไม่ช้า พื้นที่ทั้งหมดที่ดาบบินพุ่งผ่านก็ถูกปกคลุมไปด้วยรังสีดาบสายฟ้าโดยสมบูรณ์!

 

สายฟ้าแผ่ขยายตัว สาดแสงระยับ ขับไล่ความมืดมิดออกจากผืนดิน

 

ช่วงเวลาหนึ่ง ตลอดทั้งใจกลางเมืองก็สว่างไสวไม่แตกต่างจากกลางวัน

 

ผ่านไปสักพัก จู่ๆร่างศพตนหนึ่งที่นิ่งงันอยู่บนพื้นดินก็เริ่มกระติกไหว

 

และกู่ฉิงซานก็สามารถสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนั้นได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาสาดประกายคมกล้าขึ้นทันที

 

พร้อมกันกับเสียงสายฟ้าฟาด! ดาบพิภพจะโฉบเข้ามา และสะบั้นสับดาบสายฟ้าลงไปทันที

 

ขณะที่ดาบเช่าหยินโคจรรอบร่างศพ เวียนวนตัดอากาศโดยรอบจนกลายเป็นเส้นแสงสายฟ้าอันงดงาม

 

ส่วนดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็คอยสนับสนุนทั้งสอง

 

สามดาบร่วมมือกัน ก่อร่างกับดักกรงสายฟ้าขึ้นมา และปกคลุมรอบตัวศพโดยสมบูรณ์

 

ภายในกับดักกรงสายฟ้า ร่างศพเริ่มเคลื่อนไหวฉับพลัน

 

เงามืดขนาดใหญ่บินออกจากศพ และปะทะเข้ากับดาบสายฟ้า

 

เปรี๊ยะ! ซี่ ซี่ ซี่!

 

รังสีดาบที่เวียนวน ตัดเฉือนลงบนตัวของเงามืดจนเกิดควันสีขาวคลุ้งลอยออกมา

 

เงามืดกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

 

–มันเป็นผีจริงๆด้วย!

 

มีเพียงผีเท่านั้ที่จะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงหากสัมผัสโดนกับพลังธาตุสายฟ้า!

 

กู่ฉิงซานเริ่มมั่นใจในการคาดเดาของเขามากขึ้น

 

เห็นแค่เพียงเงามืดที่ดีดตัวกลับ และเดินวนไปมาด้วยความกระวนกระวายภายใต้กับดักกรงสายฟ้า

 

กู่ฉิงซานเพ่งสำรวจมันอย่างระมัดระวัง และพบว่าเงามืดตนนี้ ประกอบไปด้วยเงามืดหลากหลายตัวที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดกลับซ้อนทับๆลงในร่างเดียวกันอย่างน่าฉงน

 

ฉานนู่ปรากฏกายขึ้น แล้วหันไปพูดกับกู่ฉิงซาน “นายน้อย นี่คือมอนสเตอร์จากในปรภพ มันคือร่างที่ควบรวม ผีร้ายกลืนวิญญาณทั้ง 13 ชนิดเข้าด้วยกัน พวกมันมักจะกัดกินจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร”

 

“ทำไมในปรภพถึงมีสิ่งที่น่ากลัวแบบนี้อยู่? ครั้งก่อนที่ข้าไปไม่เห็นจะเจอมันเลย” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“คราก่อนที่ท่านไป หอกหลากสีได้สังหารทุกสิ่งในปรภพไปจนสิ้นแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ท่านจะไม่ได้เห็นมัน”

 

“แล้วเราพอจะสามารถสื่อสารกับพวกมันได้ไหม?” กู่ฉิงซานถาม

 

“ไม่ได้ พวกมันได้สูญเสียจิตนึกคิดไปแล้ว พวกมันรู้จักเพียงแต่การฆ่าเท่านั้น” ฉานนู่ส่ายหัว

 

“พวกมันเป็นผลที่เกิดมาจากการแตกตัวของผีแห่งความอลหม่านใช่รึเปล่า?”

 

“มีความเป็นไปได้ แต่หากเป็นในกรณีนั้นแล้วล่ะก็ … ”

 

ใบหน้าของฉานนู่เริ่มเปลี่ยนเป็นซีดขาว

 

กู่ฉิงซานตระหนักได้อย่างรวดเร็ว เขาเร่งเอ่ยถามดาบพิภพ “ผีแห่งความอลหม่านเกิดจากการผสานรวมของภูติผีหลากหลายชนิดใช่หรือไม่ แล้วภายในตัวมันมีภูติผีอยู่กี่ชนิดกัน?”

 

ดาบพิภพกล่าว “ในนรกมี 808 ผีนักรบ และอีก 1600 สัตว์ประหลาดผีร้าย มีหลากชนิดมากที่ผสมกันในตัวของผีแห่งความอลหม่าน ไม่อาจคาดคำนวณอย่างแม่นยำได้ ทว่าที่แน่ๆคือไม่น้อยกว่าครึ่งของที่กล่าวมา มิฉะนั้นกระบนการสังเคราะห์ผีแห่งความอลหม่านคงไม่มีทางสำเร็จ”

 

หัวในของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง

 

หากสันนิษฐานตามที่กล่าวอ้างอิงมา นั่นหมายความว่าภายในร่างของผีแห่งความอลหม่าน … อย่างน้อยก็ต้องมีผีร้ายกว่า 1204 ตนอยู่ในตัว!

 

“เมื่อกี้นี้ฉันสังหารผีแห่งความอลหม่านไปทั้งหมด 11 ตัว … ”

 

เขาบ่นพึมพำ

 

หากผีแห่งความอลหม่านทั้งหมดที่ถูกสังหารไป แตกตัวกองทัพผีร้ายในร่างมันได้แล้วล่ะก็ ในสถานการณ์แบบนี้ …

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ลอร่าก็ลองโน้มตัวลง ลองเงี่ยหูฟัง และร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้

 

เพราะดูเหมือนว่าจะมีเสียงแปลกๆดังอยู่บริเวณมุมถนนตรงหน้า

 

“พวกเราคงต้องพักการสนทนากันเอาไว้ก่อนชั่วคราว”

 

กู่ฉิงซานวางลอร่าบนหลังม้า และพลิกตัวลงไป

 

เขาโบกมือในทันใด สามดาบพลันระเบิดกระโจมตีอย่างรุนแรง สังหารผีร้ายกลืนวิญญาณทั้ง 13 ชนิดที่ซ้อนทับกันลงทันที

 

สามดาบบินกลับมา และแขวนอยู่ในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ

 

“กระหม่อมจะออกไปสำรวจดู ขอฝ่าบาทเฝ้ารออยู่ที่นี่” เขาพูดกับลอร่า และหันไปส่งสัญญาณให้ม้าทมิฬ

 

ลอร่าหันไปมองรอบๆ

 

นอกเหนือไปจากกู่ฉิงซานและเธอ ก็ไม่มีใครที่ยังมีชีวิตอยู่อีกเลย แถมไม่ใกล้ไม่ไกลก็ยังเต็มไปด้วยซากศพมากมาย

 

และศพเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ในกริยาเคลื่อนไหวก่อนตาย อยู่ในท่วงท่ากิจวัตรช่วงที่พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่

 

การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาแม้จะดูเรียบเฉย แต่หากสังเกตดีๆจะพบว่ามันดูเจ็บปวดยิ่ง คล้ายกับจู่ๆก็พบเจอกับอาการหวาดกลัวสุดขีด

 

เป็นความเงียบงันแห่งความตาย

 

ท่ามกลางความมืดมิด มันเงียบชนิดตลอดทั้งเมืองได้ตายไปแล้ว

 

สายลมเย็นพัดหวิว

 

ถ้าหากผีแห่งความอลหม่านแตกตัวผีร้ายนับไม่ถ้วนออกไปจริงๆ …

 

ลอร่าเพียงแค่คิด ตัวของเธอก็สั่นกลัว ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป

 

“กู่ฉิงซาน เรากลัว” ลอร่าเริ่มจะร้องไห้

 

“ไม่ต้องวิตกไป กระหม่อมแค่แวะออกไปดู และจะรีบกลับมาทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แต่ลอร่ากลับน้ำตาเริ่มไหล ซู้ดน้ำมูกที่ไหลออกมาจากจมูกของเธอ “เรากลัวจริงๆนะ”

 

กู่ฉิงซานจึงต้องเดินกลับมา และวางเธอลงบนไหล่ของเขาอีกครั้ง

 

“สบายใจรึยัง?” เขาถาม

 

ลอร่าพยักหน้าอย่างแรง

 

“ฉันจะไปตรวจสอบกับเธอ ส่วนเจ้าก็รออยู่ที่นี่นะ เข้าใจไหม” กู่ฉิงซานหันไปพูดกับม้าทมิฬ

 

แล้วเขาก็พาลอร่าตรงไปข้างหน้า

 

ม้าทมิฬจ้องมองแผ่นหลังของทั้งสอง ก่อนจะหันไปมองสำรวจรอบๆ

 

ทางด้านขวาของมัน อยู่ห่างออกไปราวๆสามสิบเมตร เป็นร่างศพที่กำลังจ้องมองมาพอดิบพอดี ภายในดวงตาของศพเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่ามุมปากของศพจะยกสูงขึ้นเล็กน้อย

 

หือ? เจ้าศพนั่นมันกำลังยิ้มอยู่งั้นรึ?

 

ม้าทมิฬเบิกตากว้าง เพ่งมองไปอย่างรอบคอบ แต่ก็พบว่าสีหน้าของร่างศพมีเพียงความหวาดกลัว และสิ้นหวัง มิได้เผยออกมาถึงรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย

 

ม้าทมิฬเงียบไปและถอนหายใจ “พวกเจ้าคิดว่าม้ากลัวไม่เป็นกันรึไง?”

 

ว่าจบ มันก็เร่งร้อนตามกู่ฉิงซานกับลอร่าไปอย่างรวดเร็ว

 

Ep.560 – ดาราจรัสเทพสงคราม

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาลงบนหน้าต่างเทพสงคราม

 

หากระบบเทพสงครามมิได้กล่าวถึงมัน เขาก็คงจะลืมเลือนไปแล้ว

 

มองไปยังบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กที่ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องบนหน้าต่าง

 

“ภารกิจสมญาพิเศษของคุณ เสร็จสมบูรณ์!”

 

“คุณได้รับสมญาใหม่”

 

“โปรดทราบ ว่าคุณสามารถสวมใส่สมญาได้เพียงแค่ครั้งละหนึ่งสมญาเท่านั้น”

 

“สมญาพิเศษ : ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’ ”

 

“คำอธิบาย : คุณได้ทำการสังหารอสูรกายที่แข็งแกร่งด้วยพลังที่อ่อนแอ นี่เป็นความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อ! คุณโดดเด่นยิ่งกว่าดวงดาราบนฟากฟ้า ขณะที่ศัตรูปรารถนาที่จะสังหารคุณ พวกเขาปรารถนาที่จะใช้หัวคุณเป็นหินรองเท้า เหยียบย่ำเพื่อก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ของพวกเขา”

 

‘ไอ้คำอธิบายนี่ … มันอยากมีปัญหากับฉันอย่างงั้นหรอ?’

 

กู่ฉิงซานอ่านมัน เกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นในจิตใจของเขา

 

ตามมาด้วยตัวอักษรอื่นที่เด้งขึ้นมา และเขาก็มองลงไป

 

“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ : พิชิต”

 

“พิชิต : เมื่อคุณใช้สกิลนี้กับศัตรูที่เป็นเป้าหมาย พวกมันทั้งหมดจะโจมตีคุณด้วยเหตุผลบางประการ”

 

“คำอธิบาย : สกิลนี้เป็นวิชาลี้ลับ เป็นสกิลกฏแห่งการกระทำ(กรรม) และมันไม่สามารถหลบเลี่ยงได้”

 

“คำอธิบาย : จะพิชิตหรือเป็นฝ่ายถูกพิชิต นั่นแหละปัญหา”

 

กู่ฉิงซานอ่านมันอย่างละเอียด และจมลงสู่ห้วงความคิด

 

จากคำอธิบาย ตรงส่วนที่ว่าสกิลนี้มันไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ นับว่าเป็นอะไรที่ทรงพลังมากทีเดียว

 

แต่ความสามารถของไอ้สกิลนี้มันอะไรกัน?

 

ถ้าฉันใช้มัน นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะกลายเป็นคนเสนอตัวเองให้ศัตรูเข้ามาโจมตีหรอกหรือ? 

 

กู่ฉิงซานลองนึกภาพว่าตนใช้สกิลนี้ในการต่อสู้อย่างเงียบๆ

 

อ่า มอนสเตอร์กำลังโจมตีฉัน แล้วฉันก็ใช้ความสามารถของสกิลนี้ จากนั้นมอนสเตอร์ตัวอื่นๆก็มาร่วมรุมทึ้งฉันพร้อมๆกัน สู้ลำบากยิ่งกว่าเดิมงี้หรอ?

 

ไม่สิ อาจจะเป็นอีกในรูปแบบนึงก็ได้

 

อ่า อย่างเช่นว่า มอนสเตอร์กำลังโจมตีฉัน แล้วฉันก็ใช้ความสามารถของสกิลนี้ จากนั้นมอนสเตอร์ก็จะไม่ไปโจมตีคนอื่นๆ แล้วมุ่งเป้ามาที่ฉันแทน

 

คล้ายกับพวกสกิลยั่วยุที่เรียกมอนมารวมกันเยอะๆในเกมรึเปล่านะ?

 

 … แล้วมันจะได้ผลรึเปล่า?

 

กู่ฉิงซานมองไปยังลอร่า

 

มองมายังกู่ฉิงซานที่หยุดฝีเท้าลง ลอร่าก็เริ่มเกิดความสงสัย

 

เธอเอ่ยถาม “หืม? พวกเราจะมาหยุดยืนอยู่ที่นี่ทำไมกัน หรือเจ้าสัมผัสได้ว่ามีอะไรอยู่ใกล้บริเวณนี้อย่างงั้นหรอ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ แล้วพวกเรากำลังจะไปที่นั่นเพื่อรวบรวมข้อมูลบางอย่าง”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ล็อคสมญาตนเองเป็น ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’

 

–จะมัวคิดเกี่ยวกับมันให้เสียเวลาไปทำไม? ทดลองใช้สมญานี้กับลอร่าดูเลยก็แล้วกัน

 

เพี๊ยะ!

 

ลอร่าตบฉาดลงบนใบหน้าของกู่ฉิงซานโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ

 

กู่ฉิงซานตัวแข็งค้าง

 

ขณะเดียวกันลอร่าก็ตะลึงงัน

 

ทั้งสองมองหน้ากันและกัน

 

กู่ฉิงซานจ้องลอร่า “ท่านไม่คิดจะอธิบายถึงเหตุผลหน่อยหรอ?”

 

ลอร่ายกสองไม้สองมือขึ้นโบกไปมาอย่างร้อนรน เร่งกล่าวอธิบาย “เมื่อครู่เราเหมือนกับว่าจะเห็นแมลงตัวเล็กๆติดอยู่บนใบหน้าของเจ้าน่ะ เราเลยอดไม่ได้ที่จะช่วยปัดมันออกให้”

 

แมลงงั้นหรอ?

 

มันจะไปมีแมลงอยู่บนหน้าฉัน โดยที่ฉันไม่รู้ตัวได้อย่างไร?

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง “งั้น ฝ่าบาทก็ตบแมลงตัวนั้นพลาดแล้วมาโดนกระหม่อมใช่หรือไม่?”

 

“แหะ แหะ แหะ … เราต้องขอโทษจริงๆ ดูเหมือนว่าดวงตาของเราจะฝ้าฟางไปน่ะ จริงๆแล้วมันไม่มีแมลงหรอก”

 

ลอร่ารู้สึกเขินอาย และรีบขอโทษด้วยรอยยิ้มทันที

 

เมื่อถูกสาวน้อยขอโทษแล้ว กู่ฉิงซานจะไปเอาผิดอะไรได้อีกล่ะ?

 

อีกอย่าง นี่มันเป็นสกิลที่เขาเป็นคนใช้งานเองนะ

 

เขาเลยโกรธไม่ลง และตอบรับไป “ไม่เป็นไรหรอก แต่คราวหน้าก็ดูให้ชัดๆก่อน แล้วค่อยลงมือนะ”

 

… ชื่อก็ออกจะเท่ แต่ช่างเป็นสกิลที่น่าเศร้าโดยแท้

 

ใช่ มันย่อมเป็นสกิลแห่งการกระทำ(กรรม)อย่างแน่นอน และยังเป็นประเภทลี้ลับอีกด้วย

 

ตามที่เขียนเอาไว้ในคำอธิบาย ไม่ว่าอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็จะมุ่งมาโจมตีเขาด้วยเหตุผลบางประการ

 

แต่ผลลัพธ์ของสกิลนี้ ดูจะไม่เหมือนกับสิ่งที่กู่ฉิงซานคาดหวังเอาไว้

 

กู่ฉิงซานปลดสมญา ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’ ออกไปอย่างเงียบๆ และตัดสินใจปิดผนึกมันเอาไว้ชั่วคราว

 

ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนสมญาเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’ ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการโจมตี 

 

อ่า … ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

 

“เราขอโทษนะ ปกติเราไม่เคยหุนหันพลันแล่นเช่นนี้มาก่อนเลย นี่มันน่าแปลกจริงๆ” เมื่อคิดถึงการกระทำเมื่อครู่ของตน ลอร่าก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย

 

“ไม่เป็นไรหรอก”

 

กู่ฉิงซานตอบปัดไป เพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก

 

ลอร่าจึงเร่งแก้สถานการณ์ “ถ้าเดินไปตลอดทางเจ้าคงเหนื่อย งั้นพวกเรามาขี่ม้ากันดีกว่า”

 

“เรียกมันมาจะไม่เป็นอะไรหรือ?”

 

ไม่รีรอตอบคำถาม ลอร่าก็หยิบนกหวีดจากแดนชำระล้างขึ้นมาและเป่ามัน

 

ม้าทมิฬปรากฏตัวขึ้นในความว่างเปล่าเบื้องหน้าทั้งสองทันที

 

“ท่านทั้งสองกำลังเร่งรีบ หรือว่าอยากชมทิวทัศน์?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “ในโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาลใบนี้ยังมีกำแพงอุปสรรคอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วเจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

 

“ตามกฏการอัญเชิญมาตราที่ 5 ข้อที่ 3 ” ม้าทมิฬตอบ

 

มันมองไปยังกู่ฉิงซานราวกับกำลังมองคนบ้านนอกอยู่

 

ลอร่าอธิบาย “คือมันเป็นอย่างนี้นะ เพราะไอเท็มเรียกขานหรืออัญเชิญอยู่ในโลกใบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการยอมรับจากกฏเกณฑ์ของโลกใบนี้ไปโดยปริยาย แตกต่างจากผู้มาเยือนที่ต้องเข้ามาจากภายนอกโดยตรงน่ะ”

 

“หรือในอีกความหมายนึงก็คือ หากเราอยู่ในโลกใบนี้อยู่ก่อนแล้ว และปล่อยให้เจ้ามา เจ้าก็สามารถมาได้ แต่หากเราไม่ยินดีปล่อยให้เจ้าเข้ามา กำแพงอุปสรรคก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ มันจะรับรู้ว่าเจ้าผู้บุกรุกของโลก และโจมตีทันที แบบนี้งงไหม?”

 

“ไม่นะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”

 

กู่ฉิงซานขึ้นไปบนหลังม้า ก่อนจะยกลอร่าขึ้นมาบนไหล่เขา และหันไปมองรอบๆ

 

ข้างหน้าเป็นที่ราบลุ่ม ไม่มีอะไรอยู่เลย

 

ส่วนเบื้องหลังของพวกเขา เป็นเมือง

 

ที่นี่มันค่อนข้างห่างไกล แต่ที่กู่ฉิงซานเลือกตรงจุดนี้ ก็เพื่อให้แน่ใจมันจะใช้หลบซ่อนตัวได้ดี

 

แต่ตอนนี้การต่อสู้ดันเริ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาเลยไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกต่อไป

 

“ท่านทั้งสองกำลังเร่งรีบ หรือว่าอยากชมทิวทัศน์?” ม้าทมิฬเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานจึงจำต้องอธิบายมันด้วยเหตุผล “มันไม่ใช่การเดินชมทิวทัศน์หรือว่าเร่งรีบนะเข้าใจไหม ความจริงแล้วพวกเราต้องการสำรวจโลกที่ไม่รู้จักใบนี้น่ะ และมันอาจเกิดอันตรายบางอย่างขึ้นได้ตลอดเวลาอีกด้วย”

 

ม้าทมิฬพยักหน้าและกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”

 

เมื่อตอบรับ มันก็วิ่งเหยาะๆ มุ่งสู่เมืองไปตามถนนสีฟ้าอย่างเงียบๆ

 

ท่ามกลางความมืดมิดตลอดเส้นทาง ม้าทมิฬเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ

 

กู่ฉิงซานที่รู้สึกได้ถึงความเงียบจึงเกิดความสงสัย เลยก้มลงมองจากบนหลังม้า

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่สี่กีบของม้าทมิฬถูกผูกติดกับเบาะรองเท้าแผ่นหนา

 

–นี่เองสินะ คือเหตุผลที่มันไม่มีเสียงอะไรออกมาเลยขณะกำลังวิ่ง

 

“เป้าหมายของข้าคือใจกลางเมือง ท่านทั้งสองมีความคิดเห็นเช่นไร?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม

 

“ไม่ขัดข้อง คงต้องรบกวนแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ม้าทมิฬควบกีบเท้าของตน และเร่งความเร็วขึ้นบนถนนใหญ่

 

ระหว่างเส้นทาง ฉากแปลกๆก็เริ่มปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสอง

 

เวลานี้ กู่ฉิงซานกับลอร่าได้ตระหนักถึงเอกลักษณ์ของโลกใบนี้ได้ในที่สุด

 

ผืนดินของโลกใบนี้น่ะเป็นสีเขียว ขณะที่สีฟ้าจะมีเพียงตัวสิ่งปลูกสร้างและท้องถนนเท่านั้น

 

สิ่งปลูกสร้างเปรียบเสมือนตัวแทนของอารยธรรม มันคล้ายกับกลุ่มปะการังขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ข้างๆถนน

 

ทว่าภายในสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย

 

กู่ฉิงซานลองปลดลป่อยจิตสัมผัสเทวะของเขาแทรกซึมเข้าไปในบ้าน แล้วเขาก็ค้นพบว่ามันเป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดยิ่ง

 

ภายในบ้าน มีสามคนกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ ขณะเดียวกันก็มีอีกคน กำลังเดินถือถาดที่วางแก้วน้ำหลายใบเอาไว้ ตรงไปยังทั้งสาม

 

ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาดูปกติ กระทั่งสีหน้าก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต 

 

แต่พวกเขากลับไม่เคลื่อนไหวเลย

 

กู่ฉิงซานตรวจสอบอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในที่สุด

 

คนในบ้าน … ได้ตายลงไปแล้วเช่นเดียวกันกับเด็กสองคนที่เขาพบก่อนหน้านี้

 

ตายไปอย่างเงียบๆโดยไม่รู้ตัว

 

กู่ฉิงซานลองขยายจิตสัมผัสเทวะของเขา และแทรกซึมเข้าไปในสิ่งปลูกสร้างปะการังทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียง

 

เห็นแค่เพียงภายในปะการังแต่ละหลังเต็มไปด้วยผู้คน

 

คนเหล่านั้นยังคงดื่มกิน เดิน วิ่ง และพูดคุยกันอยู่

 

การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาเหมือนจริงมาก ราวกับว่าพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ตายลงไปแล้ว

 

“กู่ฉิงซาน ทำไมพวกเราถึงไม่พบอะไรเลยล่ะ?” ลอร่าเอ่ยถาม

 

“อืม .. กระหม่อมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยว่าพวกเราคงจะต้องเดินไปใกล้ใจกลางเมืองอีกสักหน่อย” กู่ฉิงซานเลี่ยงตอบตรงๆ

 

เขาไม่คิดจะพูดความจริงนี้ออกมา เพราะเกรงว่าจะทำให้เด็กสาวตัวน้อยๆคนนี้หวาดกลัว

 

แต่การปกปิดนี้ก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว

 

ม้าทมิฬยังคงควบวิ่งต่อไปด้วยความเร็วอย่างต่อเนื่องบนท้องถนน

 

ขณะที่สองข้างทาง เริ่มปรากฏผู้คนที่มีสีผิวฟ้าอ่อนขึ้นประปราย

 

และคนเหล่านี้เริ่มมีจำนวนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

พวกเขาทั้งหมดยังคงอยู่ในกริยาเดิม ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือท่วงท่า ทว่าแท้จริงกลับไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว

 

Ep.559 – การบุกรุกของต้นกำเนิด

 

ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน

 

ตลอดทั้งเมืองเงียงสงบ

 

สองศพกอดกันแน่น 

 

แต่กู่ฉิงซานไม่คิดตรวจสอบศพอีกต่อไป

 

เขากันลอร่าไว้เบื้องหลัง หยิบดิสก์ค่ายกลออกมา และเริ่มพรมสองมือลงบนมันอย่างรวดเร็ว

 

ชั้นแสงสวรรค์เรืองรองกระจายเข้าไปในความว่างเปล่า ขณะเดียวกันธาตุสายฟ้าของกู่ฉิงซานก็ถูกบีบเข้าไปในตัวค่ายกล

 

เมื่อแสงสวรรค์รอบตัวกู่ฉิงซานกับลอร่าปรากฏขึ้นและจางหายไป  มอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงก็บุกเข้ามา

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น เพ่งสำรวจศีรษะใหญ่โตของมอนสเตอร์อย่างระมัดระวัง ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ

 

“ค่ายกลของผู้ฝึกยุทธที่ผสานไปกับธาตุสายฟ้าของฉัน ไม่สามารถขัดขวางมันได้ … ”

 

เขาบ่นพึมพำ

 

ค่ายกลขนาดใหญ่นี้ ประกอบไปด้วย 36 ค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้าย และ 36 ศิลาวิญญาณในการขับเคลื่อน ซึ่งอานุภาพของมัน มากพอแล้วที่จะสังหารวิญญาณร้ายระดับสูงสุดในโลกล่องเวหา

 

แต่ขณะเดียวกัน แม้ค่ายกลนี้จะร้ายกาจมาก แต่มันก็จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณปริมาณมากเกินไป ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหาจึงไม่เต็มใจที่จะใช้มัน

 

แต่หากมันถูกเปิดใช้งานแล้วล่ะก็ ไม่ว่าสัตว์ประหลาดผีตนใดคิดย่างกรายเข้ามา มันก็จะถูกทำลาย สลายเป็นควันไปในทันที

 

ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลดังกล่าวนี้ยังถูกเสริมด้วยสายฟ้าสวรรค์จากทัณฑ์สายฟ้าซึ่งมีเอกลักษณ์ในการกำจัดสิ่งชั่วร้ายโดยเฉพาะ ฉะนั้นแล้วค่ายกลนี้จึงสมควรที่จะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมถึงสามเท่า!

 

กู่ฉิงซานใช้ธาตุสายฟ้าของผู้ฝึกยุทธ ใช้ทัณฑ์ปีศาจของตนเอง ส่งผลให้ค่ายกลที่ว่านี้กลายเป็นค่ายกลที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุดในโลกล่องเวหา!

 

สรุปแล้วค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นในครั้งนี้ – นับว่าเป็นค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์!

 

อย่างไรก็ตาม ค่ายกลที่ว่ามานี้ มันกลับไม่สามารถต้านทานสัตว์ประหลาดผีตรงหน้าได้เลย

 

มองไปยังท่าทีที่ปรากฏของมัน เจ้าผีร้ายดูจะเกลียดชัง 36 ค่ายกลนี้เป็นอย่างมาก เมื่อถูกขัดขวางชั้นแล้วชั้นเล่า มันก็เริ่มคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม

 

ในแต่ละการฉีกกัดของมัน ค่ายกลย่อยค่อยๆถูกทำลายลงเรื่อยๆ

 

คาดว่าอีกไม่นาน 36 ค่ายกลคงจะสิ้นฤทธิ์ลงในที่สุด

 

“พวกเจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าสัตว์ประหลาดผีตนนี้มันคืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

สามดาบปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา

 

“ฮึมฮัม?” ดายเช่าหยินตอบกลับมาว่าไม่รู้

 

“มันดูเหมือนบรรดา 808 ผีนักรบ แต่พอได้ลองเพ่งมองอย่างใกล้ชิดดูแล้ว พวกผีนักรบไม่มีตนใดเติบใหญ่ขึ้นมาในลักษณะนี้เลย” ฉานนู่จ้องมองสัตว์ประหลาดผี ส่ายหัวและกล่าว

 

แต่ดูเหมือนว่าดาบพิภพจะสามารถให้คำตอบแก่เขาได้ “มันคือผีแห่งความอลหม่าน”

 

“ผีแห่งความอลหม่านคืออะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที

 

“เรารู้นะ ..” ลอร่ากล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว “มันคืออสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลที่หาได้ยากยิ่ง ความแข็งแกร่งของมันไม่มากเท่าไหร่ แต่มันกลับครอบครองอำนาจที่สามารถเจาะทะลวงได้ทุกสิ่งตั้งแต่ถือกำเนิด ชนิดที่ว่ากระทั่งกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณก็มิอาจขัดขวางมันได้”

 

“ผีแห่งความอลหม่านก็ดั่งชื่อของมัน มันคือความสับสนวุ่นวาย เป็นตัวตนที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่อาจรับรู้ถึงมันได้ ในกรณีที่มันปรากฏตัวขึ้น ก็ตัดสินได้เลยว่าผลลัพธ์ของสงครามจะจบลงเช่นไร”

 

“พวกเราไม่สามารถกำจัดมันได้เลยหรือ?” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

“จัดการมันไม่ได้ เพราะไม่ว่าสรรพวุธหรือการโจมตีใดๆ มันล้วนสามารถทะลุผ่านได้ ดังนั้นแม้ว่าตัวมันจะไม่แข็งแกร่งอะไรหากเทียบกับปฐมบทแห่งความโกลาหลตนอื่นๆ แต่มันคือสิ่งที่แทบจะไม่สามารถเอาชนะได้ เป็นตัวตนที่เกือบจะอยู่ยงคงกระพัน!”

 

ถ้ามันสามารถทะลุผ่านการโจมตีทั้งหมดได้ .. 

 

งั้นถ้าหากราชามารวิญญาณมรณะกับผีแห่งความอลหม่านต่อสู้กัน ผีแห่งความอลหม่านก็จะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดน่ะสิใช่ไหม?

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็รู้สึกด้านชา ราวกับถูกถังน้ำแข็งเย็นๆราดใส่

 

มีอสูรกายที่พิเศษแบบนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน!

 

ลอร่ากล่าวโล่งอก “แต่โชคยังดีที่เจ้ามีค่ายกลจากอารยธรรมของผู้ฝึกยุทธอยู่ ทำให้อย่างน้อยก็ยังสามารถขัดขวางมันเอาไว้ได้ชั่วคราว”

 

ขณะกล่าว เธอก็คว้าจับกระเป๋าใบเล็กๆของตัวเอง และล้วงมือเข้าไปค้นข้างใน

 

ระหว่างนั้นกู่ฉิงซานก็คอยสำรวจค่ายกลไปพลางๆ

 

และพบว่ามันไม่สามารถต้านทานได้เลย!

 

ค่ายกลกำลังถูกฉีกทำลายอย่างรุนแรง

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มตระหนักชัด

 

หากไม่ใช่เพราะว่าค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายได้ผสานธาตุสายฟ้าของเขา – ทัณฑ์ปีศาจเข้าไปด้วยแล้วล่ะก็ ผีแห่งความอลหม่านคงจะสามารถเจาะทะลุค่ายกลทั้งหมดเข้ามาได้โดยตรงตั้งนานแล้ว!

 

ลอร่าที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขา ปากเปล่งเสียงกระซิบ “รอก่อนนะ เรากำลังเร่งหาสิ่งที่สามารถเคลื่อนย้ายไปอีกสถานที่หนึ่งอยู่ จะได้ใช้มันหลบหนีไปจากสถานที่นี้ในทันที”

 

ทว่าเสียงหนักทึบของดาบพิภพก็ดังขึ้นเสียก่อน “ไม่จำเป็นต้องหนี กู่ฉิงซาน เจ้าสามารถสังหารมันได้โดยใช้ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา”

 

“แล้วเจ้าทราบถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานถาม

 

“ข้าน่ะหรือ? จะสามารถสังหารมันได้?” ฉานนู่อุทาน

 

ในน้ำเสียงของดาบพิภพแสดงออกถึงความสุข “ฉานนู่ เจ้าสามารถทำลายตลอดทั้งหมื่นกฏเกณฑ์ได้ ซึ่งนั่นเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภททะลวงที่หาได้ยากยิ่งกว่าผีแห่งความอลหม่านซะอีก ดังนั้นหากอาศัยเจ้า ก็จะสามารถทำลายพลังอันอยู่ยงคงกระพันของมันได้”

 

“มันเองก็คงจะคาดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าท่ามกลางโลกนับล้านล้าน จะดันได้มาเผชิญหน้ากับเจ้าอย่างกระทันหัน”

 

“ชีวิตอันคงกระพันของสัตว์ประหลาดผีตนนี้ ดูท่าว่าวันนี้จะเป็นวันตายของมันเสียแล้ว”

 

“งั้นข้าลงมือล่ะนะ” ฉานนู่กล่าว

 

ว่าจบ ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็วาดตนเป็นเส้นโค้งขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะร่วงตกลงมาในมือของกู่ฉิงซานพอดิบพอดี

 

กู่ฉิงซานกุมดาบยาว แล้วชี้ปลายคมกล้าของมันไปทางปากของผีแห่งความอลหม่าน

 

ขณะเดียวกัน ผีแห่งความอลหม่านก็กัดทำลายค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายจนหมดสิ้นพอดี มันกระโจนเข้าหาทั้งสองคนที่ยืนอยู่โดยตรง

 

รังสีดาบกระพริบไหว

 

-เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!

 

ซุ่ม ซุ่ม ซุ่มมม!

 

บังเกิดเสียงสะท้านหนักเป็นชุด

 

รังสีดาบสาดแสงจ้า โถมเข้าใส่ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวแหลมของผีแห่งความอลหม่าน ไหลบ่าเข้าไปในร่างกาย และบดขยี้มันจากภายในจนแหลกเป็นชิ้นๆ!

 

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน

 

เขาถอนหายใจและรำพึงออกมา “อสูรกายประเภทนี้ สามารถข้ามผ่านชั้นเปลือกน้ำแข็งของโลกมาได้ หากกองทัพของพวกมันบุกเข้ามา สถานที่แห่งนี้มิแคล้วต้องเผชิญกับหายนะเป็นแน่”

 

“เรื่องนั้นเจ้าวางใจเถอะ ผีแห่งความอลหม่านน่ะไม่ได้มีจำนวนมากมายขนาดนั้นหรอกนะ” ลอร่ากล่าว

 

ดาบพิภพเอ่ยเสริม “สมควรจะมีอยู่เพียงน้อยนิด เพราะอย่างที่กล่าวไป มันเป็นอสูรกายที่พบเจอได้ยากเย็นยิ่ง เว้นไว้แต่เพียงในสงครามใหญ่ครั้งสำคัญๆเท่านั้น มันถึงจะปรากฏตัวออกมา”

 

“มอนสเตอร์เช่นนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน?” กู่ฉิงซานพึมพำ

 

“มันคืออสูรกายที่เกิดจากการผสมผสานกันของผีนับไม่ถ้วนในปรภพ และการจะสังเคราะห์มันขึ้นมา มีโอกาสล้มเหลวสูงมากๆ น้อยครั้งนักที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างมันแต่ละตัว” ดาบพิภพกล่าว

 

“ดังนั้น ขณะนี้ เราก็สมควรที่จะปลอดภัยชั่วคราว”

 

“ไม่นะ กระหม่อมไม่คิดเช่นนั้น” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

“เพราะมอนสเตอร์ตัวนี้คือกุญแจสำคัญในการทะลวงกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพ …”

 

“ขณะที่ต้นกำเนิดไม่มีวิธีอื่นใดที่จะสามารถเข้ามาที่นี่ได้นอกจากพึ่งพาอสูรกายชนิดพิเศษตนนี้เท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานพึมพำ และพิจารณาต่อไป “แถมตอนนี้เจ้าต้นกำเนิดมันกำลังกระหายบางสิ่งอย่างบ้าคลั่ง และหากเจ้าสิ่งที่ว่านั่นมันอยู่ในโลกนี้แล้วล่ะก็ … บางทีต้นกำเนิดมันอาจจะ – ”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ชะงักไปอย่างกระทันหัน

 

เขากับลอร่าแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าพร้อมกัน

 

เห็นแค่เพียงเหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า จุดแสงสีทองเรืองรองกำลังเกิดการระเบิดขึ้น

 

แสงเรืองรองสีทองขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปรากฏภาษาเขียนที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สร้างรูปแบบการป้องกัน แต่ละวง แต่ละวงขึ้นมา

 

ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างไปกระตุ้นกำแพงอุปสรรคของเทพบรรพกาลเข้า

 

ภายในรูปแบบป้องกันที่ใหญ่ที่สุด หัวของสัตว์ประหลาดผีค่อยๆผุดเข้ามาภายใน

 

มันกำลังพยายามที่จะทะลวงผ่านกำแพงอุปสรรคของเทพบรรพกาล!

 

มันต้องการที่จะลงมาสู่โลกเบื้องล่างนี้!

 

ในแต่ละวงป้องกัน หัวของสัตว์ประหลาดผีค่อยๆทยอยกันผุดออกมา

 

“พวกนั้นมันผีแห่งความอลหม่าน! นี่ไม่ถูกต้อง เหตุใดถึงได้มีผีแห่งความอลหม่านมากมายขนาดนี้!” ลอร่าสูญเสียเสียงของเธอ

 

“ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่คิดจริงๆ”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็สั่งการนึกคิดในจิตใจ

 

ฟิ้ว!

 

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาที่มีรูปลักษ์ดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงได้บินออกไป

 

ในพริบตา ดาบยาวก็เจาะขึ้นไปบนชั้นฟ้า ทะยานตนสูงขึ้น

 

กู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องล่างเหยียดมือของเขา และจีบออกด้วยเทคนิคดาบอย่างแผ่วเบา

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!

 

เห็นแค่เพียงเส้นไหมห้าแฉกปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน

 

นี่คือเส้นไหมที่เกิดจากการควบแน่นกันของรังสีดาบ มันพุ่งผ่านชั้นอากาศ เฉกเช่นเดียวกันกับดาวตกที่ตัดผ่านผืนฟ้า

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่ประทับดาราเหล่านั้น มือของเขาเริ่มวูบไหวอีกครั้ง

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!!

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!!!

 

เขายังคงจีบออกด้วยเทคนิคลับแห่งดาบอย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่องไปไม่รู้จบ

 

ด้วยสภาพกายที่พรั่งพร้อมที่สุดในขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย ที่สามารถยกระดับขึ้นไปสู่พื้นฐานวรยุทธในขอบเขตร่างเทวะเมื่อใดก็ได้ ฉะนั้นแน่นอนว่าเขาจึงสามารถใช้เทคนิคลับแห่งดาบนี้ได้อย่างไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากความ

 

ไม่ว่าดาบบินจะโฉบไปในทิศทางใด ทิศทางนั้นก็จะปรากฏเส้นไหมสาดแสงเรืองรอง ทิ้งร่องรอยเอาไว้เป็นทางยาว

 

และเส้นไหมที่ควบแน่นไปด้วยรังสีดาบเหล่านี้ก็ตัดผ่านท้องฟ้า โฉบข้าไปตัดสะบั้นหัวของเหล่าผีแห่งความอลหม่านที่มุดหัวเข้ามาทีละตน ทีละตน

 

ก๊าซซซซซ!!

 

เสียงกรีดร้องด้วยความโกรธดังสะท้านไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก

 

ผีแห่งความอลหม่านเหล่านั้นช่างโชคร้ายยิ่งนัก ชัดเจนว่ามันคืออสูรกายที่แสนหายาก กว่าจะสังเคราะห์ขึ้นมาสักตัวช่างยากสุดแสน เป็นอสูรกายที่กระทั่งกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพก็มิอาจขวางกั้นมันได้

 

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ช่วงที่กำลังฝ่ากำแพงอุปสรรคน่ะนับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะมันจะไม่สามารถหยุดการเจาะทะลวงของตนเองได้

 

ดังนั้นพวกมันจึงมิอาจหลบเลี่ยง ต้องทานรับประทับดาราอย่างเดียวเท่านั้น

 

ขณะที่ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาน่ะสามารถแหกได้ทุกกฏเกณฑ์ กระทั่งความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของพวกมันก็ไม่มีละเว้น!

 

เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีทองบนกำแพงอุปสรรคค่อยๆจางหายไป

 

ผีแห่งความอลหม่านทั้งหมดจบชีวิตลงแล้ว

 

ดาบบินที่อยู่เหนือท้องฟ้าเบื้องบน ตัดผ่านชั้นเมฆลงมาอย่างรวดเร็ว และมาหยุดอยู่ข้างกายของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

แววตาของลอร่าเปล่งประกายระยับ เธอมองไปยังดาบขุนเขาเทวะและอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ดาบเล่มนี้ พอจะแลกเปลี่ยนกับเร-”

 

กู่ฉิงซานจิกตามองเธอ

 

ลอร่าจึงจำต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอีกเรื่องอย่างเชื่อฟัง

 

“นี่คงจะเป็นการบุกโจมตีที่มันได้จัดเตรียมเอาไว้อย่างพิถีพิถันเป็นแน่ แต่สุดท้ายแล้วที่เตรียมการมาทั้งหมดกลับถูกทำลายลงโดยเจ้า เกรงว่าระบบของราชามารคงจะคลั่งไปแล้วในตอนนี้”

 

“กระหม่อมคิดว่ามันคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เอาล่ะ ตอนนี้ก็น่าจะได้เวลาแล้วที่พวกเราต้องเริ่มทำการสำรวจโลกใบนี้กันซักที” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ว่าจบ ค่ายกลก็ถูกเปิดใช้งาน ดาบบินทั้งสามโอบล้อมทั้งสองตลอดเวลา ก่อให้เกิดแรงกดดันอันน่าทึ่ง

 

ซึ่งฉากนี้มันช่างดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เพราะหากระมัดระวังตัวถึงขนาดนี้ แล้วมันจะออกไปสำรวจโลกใบนี้อย่างละเอียดได้อย่างไรกัน?

 

กู่ฉิงซานวางลอร่าลงบนไหลเขา แล้วเริ่มเดินหน้า ตรงไปยังทิศทางของเมือง

 

อย่างไรก็ตาม เขาก็จำต้องหยุดลงซะก่อน

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กกำลังสาดแสงจี้ตาเขาอยู่ตลอดเวลา

 

“โปรดทราบ”

 

“คุณได้สังหารอสูรกายพิเศษประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลไปหลายตน ซึ่งเหตุการณ์นี้นับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลกหกวิถี”

 

“นอกจากนี้ คุณยังได้สังหารอสูรกายไปสองตนในสายธารแห่งการหลงเลือน”

 

“ส่งผลให้ภารกิจสมญาพิเศษของคุณ เสร็จสมบูรณ์”

 

“สมญาพิเศษเทพสงคราม ..ได้ถูกปลดล็อคแล้ว!”

Ep.558 – เผชิญหน้ากระทันหัน

 

ชั้นเปลือกน้ำแข็งบางๆ สาดแสงสีน้ำเงินจางๆออกมา

 

ความเย็นของมัน กัดกินจากฝ่าเท้าของกู่ฉิงซาน เสียดแทงลึกเข้าไปในกระดูก

 

พลังวิญญาณแน่นอนว่าย่อมไม่สามารถที่จะต้านทานความหนาวเย็นนี้ได้ ไม่แตกต่างไปกับตอนที่เขาอยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็ง

 

กู่ฉิงซานนั่งยองๆลง แล้วสังเกตมันอย่างระมัดระวัง

 

สีน้ำเงินกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด

 

มันไพศาลไม่ต่างกับทุ่งน้ำแข็งที่เขาควบม้าทมิฬวิ่งผ่านมาในก่อนหน้านี้เลย

 

‘แล้วฉันจะทะลุผ่านชั้นน้ำแข็ง เข้าสู่โลกเบื้องล่างนี้ได้อย่างไร?’

 

กู่ฉิงซานเคาะลงบนชั้นเปลือกน้ำแข็ง

 

แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

กู่ฉิงซานลองคิดเกี่ยวกับมันอีกสักพักหนึ่ง แล้วลองกระทุ้งกำปั้นลงบนชั้นเปลือกน้ำแข็งอย่างแรง

 

คราวนี้ชั้นเปลือกน้ำแข็งเริ่มที่จะปลดปล่อยแสงสีทองเล็กๆน้อยๆออกมา

 

ตามด้วยภาษาเขียนสีทองอันลึกลับที่ปรากฏขึ้นบนพื้น แพร่กระจายออกไปรอบทิศทางอย่างไม่รู้จบ

 

พร้อมกับกลิ่นอายอันตรายที่เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่ว

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม สองบรรทัดแสงหิ่งห้อยผุดเตือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“อำนาจเทวะ : กฏเกณฑ์ต้องห้ามแห่งโลกทวยเทพกำลังพยายามที่จะเปิดใช้งาน”

 

“โปรดหยุดการโจมตีคุกคามของคุณเดี๋ยวนี้! มิฉะนั้นแล้ว อำนาจที่ว่านี้จะโถมเข้าทำลายคุณจนถึงแก่ความตาย!”

 

ขนของกู่ฉิงซานลุกซู่

 

พอย้อนนึกไปถึงประสบการณ์อันน่าขมขื่นของราชามารวิญญาณมรณะ กู่ฉิงซานก็เร่งชักมือของเขากลับ และใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจทันที

 

เมื่อภัยคุกคามหายสาปสูญไป แสงสีทองก็หยุดแพร่กระจายลงในที่สุด

 

หลังจากนั้นไม่นาน แสงสีทองทั้งหมดก็สลายหายไป

 

ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก

 

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นมาตรการป้องกันที่ถูกติดตั้งไว้โดยเทพบรรพกาล เพื่อหลีกเลี่ยงการรุกรานจากภายนอก” ลอร่ากล่าว

 

“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” กู่ฉิงซานเห็นด้วย

 

ในสายตาของเขา บรรทัดแสงหิ่งห้อยยังคงปรากฏอยู่บนหน้าต่างเทพสงคราม

 

“คุณได้ค้นพบโลกใหม่แล้ว และหากคุณต้องการที่จะรู้ความลับของโลกใบนี้ โปรดจงทุ่มเทอย่างหนักต่อไป”

 

“โปรดทราบด้วยว่า : นี่คือโลกใหม่ที่ไม่เคยถูกค้นพบหรือมีข้อมูลบันทึกมาก่อน ดังนั้นตัวระบบเทพสงครามเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์ของมันเป็นเช่นไร”

 

“คุณจะต้องค้นหาวิธีที่จะเข้าไปที่นั่น และได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมัน”

 

อ่านจบ กู่ฉิงซานก็ส่ายศีรษะของเขาอย่างหมดหนทาง

 

แต่พอลองคิดดูดีๆแล้ว .. เนื่องจากนี่เป็นอารยธรรมที่หลงเหลืออยู่ของเทพบรรพกาล ถ้าอย่างนั้นดาบเช่าหยินที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลก็น่าจะ …

 

เขากระชับดาบเช่าหยิน และพยายามที่จะใช้ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกระทมกับชั้นเปลือกน้ำแข็ง

 

ทันใดนั้นชั้นเปลือกน้ำแข็งก็เริ่มแยกออกจากกัน ฉากนี้มันเหมือนกับตอนทางปากทางเข้าถ้ำในวิหารบนยอดเขาอย่างไรอย่างนั้นเลย!

 

และรอยแยกที่ว่า ก็เพียงพอสำหรับให้กู่ฉิงซานกับลอร่าผ่านเข้าไป

 

ลอร่าจ้องมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ

 

จากจุดที่พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ เหนือหัวเป็นมหาสมุทรอันไร้ที่สิ้นสุด ขณะที่ชั้นเปลือกน้ำแข็งที่พวกเขายืนอยู่ถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจเทวะของทวยเทพ

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสิ่งใดที่กล่าวมา เมื่ออยู่ต่อหน้าดาบยาวของกู่ฉิงซาน พวกมันก็หลีกลี้ เปิดทางให้กับพวกเขาโดยไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย

 

ลอร่ามองดาบยาวในมือของกู่ฉิงซาน จ้องเขม็งไปที่มันด้วยดวงตาสาดประกายสดใส ไม่อาจละสายตาไปจากมันได้เลย

 

อาวุธที่สามารถควบคุมกำแพงอุปสรรคของเทพบรรพกาลได้ แน่นอนว่ามันย่อมต้องถูกสร้างขึ้่นอย่างพิถีพิถันโดยเทพบรรพกาลอย่างแน่นอน

 

ดาบยาวเล่มนี้ … มันชักจะต้องตาเกินไปแล้ว!

 

หากตัวเธอเองได้ครอบครอง และโบกสะบัดมัน ก็คงจะดูเท่ไม่น้อยเลย

 

“ดาบยาวของเจ้ามันยอดเยี่ยมไปเลย! เจ้าพอจะแลกเปลี่ยนมันกับเราได้หรือไม่?”

 

ลอร่าถามด้วยน้ำเสียงเจรจา

 

“สิ่งนี้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ สำหรับกระหม่อมแล้ว ดาบก็เหมือนอุปกรณ์ไว้ใช้หากิน” กู่ฉิงซานอธิบาย

 

“งั้นเราจะแสดงสิ่งประดิษ์ฐ์เทวะบางอย่างให้เจ้ารับชมดูดีไหม? เผื่อว่าเจ้าจะได้ลองคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบอีกครั้ง”

 

“ไม่แลกพะยะค่ะ หากเป็นคนอื่นไล่บี้ถามกระหม่อมแบบนี้ กระหม่อมคงใช้ดาบเล่มนั้นแทงมันไปแล้ว” กู่ฉิงซานยื่นมือไปดีดหน้าผากของล่อร่าเบาๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

แต่เมื่อครู่นี้เขาพูดจริงๆนะ ถ้ามีใครอยากได้ดาบของเขา เขาก็จะมอบดาบเล่มนั้นให้โดยการแทงเข้าใส่มันแทน!

 

อย่างไรก็ตาม ลอร่าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เธอมิได้มีความปรารถนาในมันเช่นนั้น เธอเพียงแค่รู้สึกนึกสนุกก็เท่านั้นเอง

 

นอกจากนี้ เธอก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะทราบความหมายเกี่ยวกับแก่นแแท้ของผู้ฝึกดาบ ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับสิ่งที่เด็กอย่างเธอกล่าวมา

 

“ก็ได้ๆ เจ้าคนตระหนี่เอ๊ย”

 

ลอร่ากุมหน้าผากของเธอ บ่นด้วยความหงุดหงิด

 

แล้วทั้งสองก็ทะลุผ่านช่องว่างไป

 

พวกเขาเข้าสู่โลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาล

 

บนท้องฟ้าสูง

 

ไร้ซึ่งแรงลมใดๆ

 

มีเพียงความเงียบงันที่อยู่โดยรอบ

 

ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่จะสามารถมองเห็นเมืองหลายเมืองที่อยู่ห่างไกลกันออกไป

 

เมืองเหล่านี้เปล่งแสงสีฟ้าอ่อน คล้ายกับว่ามันทำมาจากผลึกน้ำแข็งโดยสมบูรณ์ แต่ในชั้นอากาศกลับไม่มีร่องรอยของความเย็นเลย

 

กู่ฉิงซานโบกดาบยาวของเขา และยกเลิกพลังศักดิ์สิทธิ์ ข้ามผ่านมหาสมุทร

 

แล้วชั้นเปลือกน้ำแข็งที่อยู่เบื้องหลังก็ปิดลงทันที

 

ลอร่าหดตัวเข้าไปในอ้อมอกของกู่ฉิงซาน ขณะเดียวกันก็เอาชั้นผ้าสีดำขึ้นมามัดปิดดวงตาของเธอ

 

“พวกเราจะสามารถลงไปเร็วกว่านี้หน่อยจะได้ไหม มันสูงเกินไป เรากลัวนะ”

 

“แต่อย่างน้อยฝ่าบาทก็รู้จักหาวิธีรับมือกับมัน ต่างจากเมื่อก่อน”

 

“ผู้ใหญ่มักจะต้องถูกบีบบังคับให้เผชิญกับสิ่งที่ตนหวาดกลัวอยู่เสมอ ฉะนั้นการที่เรามีวิธีจัดการกับมันบ้าง จะไปแปลกอะไร?”

 

“ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีนะฝ่าบาท” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ กระหม่อมจะเร่งลงไปโดยเร็วที่สุด”

 

ว่าจบ เขาก็เลือกเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด และวูบบบบ! มุ่งลงไปเต็มกำลัง

 

ความว่องไวของเขาน่ะรวดเร็วเป็นอย่างมาก เมื่อประจวบกับการใช้ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วเป็นครั้งคราว ระยะทางที่ไกลก็เลยดูแคบลงไปทันตา

 

เกือบจะในทันที เท้าของกู่ฉิงซานก็สามารถแตะลงบนพื้นดินได้อย่างอ่อนโยน

 

“เรียบร้อย” กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆและกล่าว

 

“อ๋า? ทำไมถึงได้เร็วจังเลย?” ลอร่าอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

ลอร่าถอดผ้าปิดตาสีดำออก และถอนหายใจเบาๆ “รู้สึกดีจริงๆที่ได้เห็นพื้นดินอีกครั้ง”

 

เธอกระโดดลงจากอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน และเหยียบลงบนพื้น

 

พื้นดินช่างแข็งกระด้างและหนาแน่น แต่มันกลับเป็นสีฟ้า

 

เมื่อมองไกลออกไปสุดสายตา จะเห็นว่าเมืองทั้งเมืองไม่ได้ทำมาจากน้ำแข็ง

 

แสงสีฟ้าจางๆที่เห็นจากบนท้องฟ้า แท้จริงแล้วเป็นวัสดุที่เหมือนกันกับแก้วเคลือบสี ส่งผลให้ตัวเมืองทั้งหมด เปล่งแสงสีน้ำเงินน้อยๆออกมา

 

ตำแหน่งที่กู่ฉิงซานเลือก เป็นจุดที่ห่างไกล อยู่เกือบสุดขอบของตัวเมืองทั้งหมด นอกจากนี้ ช่วงเวลานี้ยังเป็นกลางคืน ดังนั้นจึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอยู่โดยรอบ

 

แต่เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย บวกกับที่เคยได้สัมผัสกับมาตรการป้องกันของเทพบรรพกาล ส่งผลให้กู่ฉิงซานยังคงไม่ลดความระแวงลง เขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง ตนจึงไม่คิดปล่อยจิตสัมผัสเทวะครอบคลุมทั้งเมืองไปเลยตรงๆ

 

ลอร่าหันไปมองรอบๆ

 

อืม …

 

ไม่ใกล้ไม่ไกลเธอ มีชายและหญิงสองคนกำลังกอดกันอยู่

 

พวกเขาทั้งสองคนดูเด็กมาก และมีรูปร่างไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ปกติธรรมดาเลย ยกเว้นก็แต่สีผิวของทั้งสองที่เป็นสีฟ้าอ่อน

 

ลอร่าจึงรีบหันกลับไปอีกทางทันที และตะโกนอย่างเร่งรีบ “ขออภัยด้วย! เราไม่ทันสังเกต เลยวิสาสะขัดจังหวะพวกท่านโดยไม่รู้ตัว นี่ถือว่าเสียมารยาทจริงๆ ”

 

แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงจ้องมองทั้งสองที่กอดกันอย่างเงียบๆ มิคิดเบนสายตาหลบใดๆ

 

แต่เดิม เขาสังเกตเห็นทั้งสองคนตั้งนานแล้ว และตั้งใจที่จะเข้าไปพูดคุยกับอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่จำเป็นแล้ว

 

กู่ฉิงซานค่อยๆอุ้มลอร่าขึ้นมาอย่างเงียบๆ

 

ในขณะเดียวกัน ดาบบินทั้งสามก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขาในความว่างเปล่า เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้

 

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”

 

ลอร่าที่เห็นท่าทีของเขา เธอก็เริ่มรู้สึกประหม่า

 

“พวกเขาตายไปแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ตายหรอ?”

 

ลอร่าชะงักไป แล้วจึงค่อยเพ่งสายตามองทั้งสองอย่างรอบคอบ

 

เห็นแค่เพียงทั้งสองกำลังกอดกันด้วยความสิ้นหวัง บนใบหน้าเด่นชัดถึงความหวาดกลัว

 

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงรู้แล้วว่าโชคชะตาใดจะที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปกับพวกเขา

 

“รู้สึกว่า … จะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง”

 

เพียงแค่เอ่ยปาก กู่ฉิงซานก็ต้องขมวดคิ้ว

 

เพราะในการรับรู้ทางจิตวิญญาณ(ลางสังหรณ์)ของเขา จู่ๆก็มีเงาทะมึนปรากฏขึ้น

 

ในอดีต หากภายในการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาปรากฏถึงสิ่งใดที่คล้ายคลึงกับประเภทนี้เกิดขึ้นมา -ไม่เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ มันก็เป็นวิกกฤตร้ายแรงถึงชีวิตและความตาย!

 

มองไปยังสองศพที่กอดกันเกลียว ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็เริ่มระแวดระวังมากขึ้น มากขึ้น

 

แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว-

 

เขาตบลงในถุงสัมภาระโดยไม่ลังเล และหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา

 

นี่คือดิสก์ค่ายกลจากโลกล่องเวหา มันเป็นดิสก์ค่ายกลระดับสูงที่อยู่ในห้องลับของนิกายกวงหยาง ที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยหวังหงษ์เต๋า

 

ซึ่งในโลกล่องเวหา นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของกู่ฉิงซาน เพราะเขาได้ฉกของดีจากในห้องลับนิกายมาจนหมดเกลี้ยง!

 

แน่นอน ว่ารวมไปถึงระดับการจัดวางค่ายกลของเขาด้วย

 

เพื่อที่จะสร้างดิสก์ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลก แล้วหลบหนีออกมา กู่ฉิงซานจึงทำการเรียนรู้เทคนิคค่ายกลจากในใบหยกจนเขาสามารถทะยานขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของโลกใบนั้นได้เลยโดยตรง

 

ดังนั้นด้วยระดับการจัดวางค่ายกลในปัจจุบันของกู่ฉิงซาน ส่งผลให้ดิสก์ค่ายกลที่หยิบมานี้ การจะเปิดใช้งานมันจึงง่ายดายราวกับของเด็กเล่น

 

ด้วยมือของเขาที่พรมลงอย่างรวดเร็วบนตัวดิสก์ ในไม่ช้า เขาก็สามารถจัดวางค่ายกลป้องกันในระยะหลายสิบเมตรได้อย่างรวดเร็ว

 

ทันทีหลังจากนั้น เขาก็จัดวางค่ายกลป้องกันสัตว์อสูร , ค่ายกลป้องกันเผ่ามาร , ค่ายกลป้องกันดาบบิน , ค่ายกลป้องกันเทคนิคมนตรา ค่ายกลต่อต้านพลังศักดิ์สิทธิ์ และค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้าย

 

ในโลกล่องเวหา ทุกชนนิดของค่ายกลป้องกันระดับสูง ถูกจัดวางลงทั้งหมดโดยเขา

 

ยกเว้นไว้แต่เพียงเฉพาะค่ายกลอำพราง 

 

ภายใต้การจัดการของกู่ฉิงซาน แสงสวรรค์เรืองรองก็ส่องสว่างบนดิสก์ค่ายกล คล้ายเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ สาดชั้นแสงงดงามปกคลุมรอบทิศทาง

 

“มันสะดุดตาเกินไปนะ แบบนี้มันง่ายต่อการดึงดูดความสนใจ” ลอร่าเร่งเตือนด้วยความกังวล

 

“เดิมทีกระหม่อมตั้งใจที่จะสำรวจโลกใบนี้อย่างช้าๆ” กู่ฉิงซานยังคงจัดตั้งค่ายกล ปากฝืนยิ้มอธิบายออกมา “แต่อันดับแรก ตอนนี้คงต้องให้ความสำคัญกับชีวิตก่อน เรื่องอื่นๆเอาไว้ทีหลัง”

 

ลอร่าพอได้ฟังก็ตกใจ

 

เพราะเธอไม่เพียงจ้องมองการเคลื่อนไหวของกู่ฉิงซาน แต่ยังสังเกตเห็นถึงลางไม่ดีในน้ำเสียงของเขาอีกด้วย!

 

ในที่สุด ชั้นค่ายกลทั้งหมดก็ถูกจัดตั้ง

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ใจกลางค่ายกล เริ่มใช้สัมผัสรับรู้อย่างเงียบๆ

 

เพียงไม่นาน เขาก็หันมองไปยังทิศทางหนึ่ง เป็นความว่างเปล่าที่อยู่ห่างออกไป 20 เมตรในทันใด

 

นั่นคือหนึ่งในชั้นค่ายกลที่ดีที่สุด ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อยับยั้งวิญญาณชั่วร้าย!

 

“เป็นผู้ใดที่มาเยือน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

บังเกิดลมกรรโชก

 

ทว่าไม่มีใครตอบคำถามของเขา

 

แล้วจู่ๆค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายก็ระเบิดกลุ่มก้อนแสงสดใสออกมา

 

ซึ่งนั่นหมายความว่าค่ายกลป้องกันกำลังเริ่มบีบอัดอย่างรุนแรง!

 

-มีบางอย่างต้องการที่จะทะลุผ่านค่ายกล ตรงเข้ามายังใจกลาง!

“นั่นมันบ้าอะไรกัน!?” ลอร่าสูญเสียเสียงของเธอ

 

เห็นแค่เพียงในความว่างเปล่าที่โปร่งใส สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ค่อยๆปรากฏตัวออกมา

 

กะโหลกของมันมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับบ้านห้าชั้น และกำลังถูกบีบอัดอย่างหนักหน่วงอยู่ภายในค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้าย แต่มันก็ยังคงพยายามที่จะฝ่าเข้ามา

 

ห่างออกไปจากค่ายกล กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นถึงขนสีเขียวยาวเหยียด เขี้ยวแหลมคม และใบหน้ากระดูกที่สลักไปด้วยอักษรรูนอันประหลาดตา

 

สัตว์ประหลาดผีจ้องมองมายังกู่ฉิงซานด้วยคู่ดวงตาสีดำลึก

 

“เปรี๊ยะ!”

 

ทันใดนั้นค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายก็ระเบิดออกทันที

 

คิ้วของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้น สองมือของเขาพรมลงบนดิสก์ค่ายกลอย่างต่อเนื่อง

 

ฝุบ ฟิ้ว ฟิ้ว!

 

ระหว่างช่วงเวลาเดือดพล่าน เขาก็ได้จัดตั้งค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายซ้อนทับกันลงไปถึงสามครั้ง!

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสิ่งนี้แล้ว แต่กู่ฉิงซานก็ยังคงไม่หยุดมือ สร้างค่ายกลต่อไป

 

นี่มันน่าแปลกจริงๆ

 

ค่ายกลอื่นๆที่ถูกจัดวาง ไม่มีการตอบสนองอะไรเลย ยกเว้นไว้เพียงค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายที่สามารถขัดขวางมันได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น!

 

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว กู่ฉิงซานเร่งจัดวาง36 ค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายลงในพื้นที่นี้ภายในลมหายใจเดียวทันที!

 

สัตว์ประหลาดผีพึ่งจะทะลวงค่ายกลมาได้ และกำลังจะวิ่งเข้าหากู่ฉิงซาน แต่ก็ถูกขัดขวางไว้ด้วยค่ายกลเดิมอีกรอบในฉับพลัน

 

เจ้าผีร้ายพอถูกขัดขวางซ้ำๆ มันก็แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวป็นอย่างมาก

 

และแล้วสิ่งที่ไม่น่าคาดคิดก็เกิดขึ้น มันเริ่มที่จะอ้าปากกว้าง และทำการงับ! ฉีดกัดค่ายกลทิ้งไปทั้งๆอย่างงั้น!

 

Ep.557 – ความจริงของโลก

 

ราชามารวิญญาณมรณะไม่สามารถไล่ติดตามมาได้อีกต่อไป

 

กู่ฉิงซานที่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังจึงตัดสินใจหยุดดู

 

ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะสังหารต้นตระกูลจักรพรรดิฟูซีที่เรียกกันว่าโครงกระดูกในชุดคลุมดำ กู่ฉิงซานก็เคยใช้ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทมมาก่อนแล้วเหมือนกัน

 

และตอนนี้ ดูเหมือนว่าพลังของข้ามผ่ามหาสมุทรจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว

 

หรือว่ามันอาจเป็นเพราะนี่คือโลกที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลที่มีความเกี่ยวข้องกันกับมันรึเปล่านะ?

 

หรือจะเป็นเพราะนี่คือยอดภูเขาหิมะสูงสุดของเทพบรรกาล ดังนั้นวิหารที่พวกเขาสร้างขึ้นมันจึงพิเศษและมีคุณสมบัติเช่นกันกับภูเขา?

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใดๆก็ตาม ยามเมื่อมีดาบเช่าหยินอยู่ในมือ กู่ฉิงซานจะรู้สึกราวกับว่า–

 

โลกใบนี้ทั้งใบกำลังศิโรราบ เขาคิดหมายสิ่งใด มันก็จะทำตามที่เขาต้องการ

 

ความรู้สึกนี้ไม่เหมือนกับเป็นเพียงจินตนาการภาพลวงตา แต่มันเป็นเพราะดาบเช่าหยินกำลังเผชิญหน้ากับโลกทั้งใบอยู่

 

หรือว่า … เบื้องล่างนี้จะเป็นทะเลกันนะ?

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มบังเกิดความสงสัยมากขึ้น

 

เขาจับลอร่า และบินลึกลงไปในน้ำ

 

ภายนอกถ้ำน้ำแข็ง

 

ราชามารวิญญาณมรณะยกสองมือขึ้นกุมศีรษะตน ความเจ็บปวดอันสาหัสนี้ส่งผลให้ความโกรธในจิตใจของมันมิอาจข่มระงับได้!

 

ทำไมข้าถึงลงไปในน้ำไม่ได้กัน?

 

แต่มันก็ไม่เต็มใจที่จะเสียเวลาขบคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อีกต่อไป

 

เพราะทุกปัญหา เมื่อเผชิญกับพลังอำนาจของมัน ทั้งหมดย่อมมิแคล้วถูกทำลายล้าง!

 

ก๊าซซซ!

 

ราชามารวิญญาณมรณะลุกขึ้นยืน สองแขนของมันลุกไหม้ไปด้วยเพลิงทมิฬ ขู่คำรามระเบิดโจมตีไปยังผิวน้ำตรงหน้าอย่างรุนแรง

 

ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ของอสูรกายปฐมบทแห่งความโกลาหล ผิวน้ำทั้งมวลถูกระเบิดเป็นแอ่งลึกทันที

 

แสงเรืองรองสีดำเข้ามาแทนที่ โถมเข้าปกคลุมไปตลอดทั้งผิวน้ำ เปลี่ยนสภาพน้ำให้กลายเป็นพื้นแข็งๆสีดำ ลุกลามไปด้วยรอยแตกร้าว

 

ทว่าพื้นหลุมลึกก็อยู่ได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น

 

เพราะกระแสน้ำระลอกใหม่ได้ผุดขึ้นมาจากเบื้องล่าง เข้าเติมเต็มหลุมบ่อพื้นแข็งๆ ให้กลับคืนเป็นน้ำดังเดิมอีกคราอยู่ดี

 

ราชามารวิญญาณมรณะไม่คิดละความพยายาม มันยังคงระเบิดโจมตีอย่างต่อเนื่อง

 

แต่กระแสน้ำก็เข้ามาเติมเต็มการโจมตีของมันอย่างรวดเร็ว

 

ไม่ว่าราชามารวิญญาณมรณะจะโจมตีออกด้วยอำนาจอันแข็งกร้าวเพียงใด กระแสน้ำก็เพียงแค่เข้าเติมเต็มอย่างเงียบๆเท่านั้น

 

กระบวนการเหล่านี้ เดิมเหมือนจะดำเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

 

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีบางอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบ

 

ยังจำกันได้ไหมว่า วิหารที่ตั้งอยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็งนี้เป็นสิ่งที่เทพบรรพกาลสร้างขึ้น

 

ด้วยการโจมตีอย่างต่อเนื่องของราชามารวิญญาณมรณะ ส่งผลให้ยอดภูเขาน้ำแข็งคล้ายกับถูกกระตุ้น

 

บังเกิดรูนสีทองอันแสนลึกลับนับไม่ถ้วนผุดขึ้นบนชั้นพื้นผิวของภูเขาน้ำแข็ง แม้กระทั่งตัววิหารเองก็ยังแผ่กลิ่นอายอันน่าเกรงขามออกมา

 

กู่ฉิงซานที่กำลังบินลึกลงไปในน้ำชะงักงัน เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง แหงนหน้ามองดูบนยอดเขาด้วยความประหลาดใจ

 

“ดูนั่นสิ นั่นมันอักษรโบราณของเทพ”

 

ลอร่าร้องด้วยความประหลาดใจ และชี้ไปยังสัญลักษณ์บนน้ำแข็ง

 

“เห็นแล้วล่ะ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบนยอดภูเขานี้ อำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา ถึงยังคงอยู่” กู่ฉิงซานกล่าวขึ้นทันใด

 

เขาได้ศึกษาพจนานุกรมหมื่นโลกาของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงมาก่อนแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะล่วงรู้ว่า อักษรเหล่านี้คือหนึ่งในภาษาที่เก่าแก่ที่สุดของโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้น

 

มันเป็นภาษาเขียนที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาล

 

แม้ภาษานี้ยากนักที่จะพบเจอ แต่หากมีใครที่รู้วิธีใช้พลังเหนือธรรมชาติกับการเขียนอักษรเหล่านี้ได้ คนๆนั้นก็จะสามารถเลียนแบบอำนาจเทวะได้อย่างง่ายดาย

 

แต่น่าเสียดาย ที่มีผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่สามารถล่วงรู้ได้ว่าต้องทำอย่างไร

 

ลึกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง

 

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่

 

พลังนี้เหมือนกันกับอำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา ที่ปกคลุมตลอดทั้งยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่มันอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าอย่างน้อยก็สิบเท่า

 

“มันคือพลังเหนือธรรมชาติ พลังเหนือธรรมชาติที่ถูกระตุ้นโดยภาษาของเทพบรรพกาล และกำลังสั่งสมพลังอยู่” ลอร่าอธิบาย

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย

 

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นวิธีการที่เทพบรรพกาลเหลือทิ้งเอาไว้เพื่อมิให้โลกใบนี้สลายไป

 

ตลอดทั้งยอดเขาน้ำแข็ง อักษรแล้วอักษรเล่าเริ่มสาดประกายแสงสีทอง ทั้งหมดเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

 

วิหารบนยอดภูเขาหิมะ แปรเปลี่ยนเป็นยอดภูเขาทองคำสูงตระหง่านในพริบตา

 

ระหว่างช่วงเวลาเดือดพล่าน ยอดภูเขาน้ำแข็งก็พลันระเบิดเสาแสงสีทอง พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

ราชามารวิญญาณมรณะถูกห่อมหุ้มด้วยแสงดังกล่าวนี้ มันถูกผลักดันจนทะลุผ่านเพดานวิหาร ปลิวขึ้นไปบนฟากฟ้า

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ แข้งขาของผู้เข้าสู่วิถีมารมากกว่า 200 ล้านก็พลันกลายเป็นอัมพาต มิกล้าขยับเขยื้อนกายต่อไปแม้เพียงน้อย

 

เสาแสงสีสองคงอยู่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ก่อนที่มันจะกระจายหายไปโดยสมบูรณ์

 

และไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของราชามารวิญญาณมรณะที่อยู่บนท้องฟ้า

 

ทั้งราชามารวิญญาณมรณะ และเทพนักรบที่ติดสอยห้อยตามไปด้วยกัน ถูกเป่ากลายเป็นผงกระดูกสีขาว ฟุ้งกระจายบนท้องฟ้า ก่อนจะปลิวไปตามแรงลม ผสมกลืนหายเข้าไปกับเกล็ดหิมะ

 

เมื่อแสงสีทองจางหายไป พายุหิมะก็กลับคืนมาสู่โลกทั้งใบอีกครั้ง

 

บนยอดเขาของเหล่าทวยเทพ ก็กลับคืนสู่น้ำแข็งสีฟ้าอีกครา

 

จำเป็นต้องใช้เวลาอยู่สักพักหนึ่งเลยทีเดียว กว่าที่พวกผู้เข้าสู่วิถีมารจะกล้าขยับตัวอย่างช้าๆ

 

พวกเขายืนยิ่งอยู่ในสถานที่เดียวกัน และไม่มีใครกล้าปีนป่ายขึ้นไปบนยอดภูเขาหิมะอีกต่อไป

 

“เมื่อครู่มันคืออสูรกายปฐมบทแห่งความโกลาหลมิใช่หรือ นี่มันตายไปแล้ว??” ลอร่าถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

 

“กระหม่อมเริ่มจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยซะแล้วสิ ว่าทำไมต้นกำเนิดถึงไม่สามารถทำตามที่มันต้องการได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ใช่แล้วล่ะ แม้กายจะจากไป แต่เจตนารมของเทพบรรพกาลก็ยังคงอยู่ที่นี่

 

ขณะที่ต้นกำเนิดเพียงอย่างเดียว หรือกระทั่งผู้เข้าสู่วิถีมารกกว่า 200 ล้านคน ย่อมไม่อาจเอาชนะสิ่งที่เทพบรรพกาลทิ้งเอาไว้ได้

 

ดูเหมือนว่าจะต้องมีความลับอันน่าตื่นตะลึงถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของโลกใบนี้เป็นแน่!

 

—ไม่น่าเชื่อเลยว่าทริสเต้จะสามารถครอบครองโลกใบนี้ได้

 

แถมยังมีเรื่องที่น่าสงสัยอยู่อีก ว่าทำไมเธอถึงเลือกที่จะนำโลกใบนี้ออกมา

 

นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ?

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปถามลอร่า “ทริสเต้ได้ครอบครองโลกใบนี้มานานแค่ไหนแล้ว?”

 

“นานแค่ไหนงั้นหรอ?” ลอร่าหยุดนึกชั่วคราว “นี่คือโลกที่เธอได้รับมาจากท่านแม่ของเรา น่าจะซักประมาณ 6 วันได้แล้วล่ะมั้ง”

 

“ทำไมท่านแม่ของฝ่าบาทถึงได้ตัดสินใจมอบโลกใบนี้ให้กับเธอ?” กู่ฉิงซานถามทันที

 

“เพราะทริสเต้เป็นหัวหน้าองครักษ์แห่งราชวัง เธออุทิศทั้งกายใจเพื่อปกป้องราชวงศ์ แล้วอีกอย่างเราก็กำลังจะได้ขึ้นฉลองตนเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นท่านแม่จึงมอบมันเป็นรางวัลเพื่อคาดหวังว่าทริสเต้จะรับหน้าที่พิทักษ์เราเป็นอย่างดีในครั้งนี้ และพิทักษ์อาณาจักรวิหคนับจากนี้ไป”

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองและกล่าว “หกวันเท่านั้นเองหรือ เวลามันสั้นมากเลย … ”

 

“ใช่ และวันนี้ก็เป็นวันที่หก”

 

“แล้วปฏิกริยาของทริสเต้ตอนที่เธอได้รับโลกใบนี้ล่ะ มันเป็นยังไง?”

 

“เธอแสดงออกว่าตื่นเต้นมาก และน้อมกายขอบคุณท่านแม่ของเราครั้งแล้วครั้งเล่า”

 

“ถ้าไม่นับวันนี้ ก็เท่ากับว่าทริสเต้ได้รับโลกมาเพียงแค่ห้าเวลาสั้นๆสินะ กระหม่อมคิดว่าบางทีเธออาจจะยังไม่คุ้นเคยกับโลกใบนี้ก็ได้” กู่ฉิงซานพิจารณา

 

ลอร่าย้อนนึกกลับไปและกล่าวว่า “เราจำได้ว่า เมื่อสองวันก่อน เธอได้ค้นพบว่าโลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตโบราณอยู่ ในช่วงเวลานั้นเธอดูจะมีความสุขมาก”

 

“มันก็น่าจะยินดีอยู่หรอก เพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตโบราณคงจะเป็นตัวเพิ่มแต้มพลังวิญญาณให้กับเชื้อไฟเป็นอย่างดีไง” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็อุ้มลอร่า และเริ่มพุ่งลึกลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว

 

และแน่นอน ไม่ว่าเขาจะเร็วแค่ไหน แต่กระแสน้ำที่ขวางกั้นเบื้องหน้าก็จะแยกออกก่อนเสมอ เปิดเป็นอุโมงค์ให้เขาผ่านไป

 

ด้วยความเร็วสูงสุดของกู่ฉิงซาน ทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นาน จากส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ในที่สุดก็มาถึงส่วนล่าง

 

กู่ฉิงซานข้ามผ่านภูเขาน้ำแข็งจากภายในโดยตรง

 

มองผ่านชั้นผิวน้ำแข็งโปร่งใสออกไป จะเห็นถึงผู้เข้าสู่วิถีมารที่กระจุกตัวกันอยู่อย่างหนาแน่น แม้กระทั่งการแสดงออกทางสีหน้าของพวกมัน ทั้งสองก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

หากกู่ฉิงซานชะลอความเร็วลงเขาก็คงจะได้พบกับฉากอันน่าสาสมใจยิ่ง

 

ด้านนอกภูเขา เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังเฝ้ามองกู่ฉิงซานกับลอร่า ในแววตาของมันมันคุกรุ่นไปปด้วยความโกรธและไม่ยินยอม

 

—แต่พวกมันได้รับบทเรียนจากราชามารวิญญาณมรณะมาก่อนแล้ว ทั้งหมดจึงไม่กล้าขึ้นไปบนภูเขา และไม่กล้าที่จะไล่ตามกู่ฉิงซานไป

 

ภายในภูเขาน้ำแข็ง กู่ฉิงซานโอบลอร่า พุ่งลงไปในน้ำลึกอย่างเงียบๆราวกับดาวตกที่ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า

 

ทั้งสองฝ่ายได้แต่มองหน้ากันด้วยความขบขัน

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ในที่สุด กู่ฉิงซานก็มาถึงส่วนล่างของภูเขาน้ำแข็งแล้ว

 

ตรงส่วนกลางของยอดเขา จะมีก้อนน้ำแข็งผสมปนเปไปกับน้ำ ลอยเคลื่อนไหวไปตามกระแสอย่างช้าๆ แต่เมื่อมาถึงส่วนล่าง น้ำแข็งทั้งหมดกลับหายไป ไม่อาจมองเห็นได้อีกเลย

 

ที่นี่มีเพียงกระแสน้ำวนอันรุนแรง หากผู้มาเยือนไม่ใช้เทคนิคมนตราป้องกันใดๆ ก็คงจะถูกมันกวาดล้างหายไปทันที

 

ท่ามกลางแสงสีน้ำเงินจากส่วนลึก มันไม่มีสิ่งใดอยู่เลย

 

กู่ฉิงซานมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

ดูเหมือนว่าที่นี่คือโลกที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาล ดังนั้นการลดลงของแต้มพลังวิญญาณจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก และกว่าจะกินแต้มพลังวิญญาณแต่ละครั้ง มันก็ใช้เวลากว่าครั้งละราวๆ 3 วินาที

 

ซึ่งในกรณีนี้ จะส่งผลให้กู่ฉิงซานไม่จำเป็นต้องกังวลว่าแต้มพลังวิญญาณของเขาจะถูกสูบกลืนมากจนเกินไป

 

กู่ฉิงซานเหวี่ยงดาบเช่าหยิน เพื่อเปิดทาง และหลีกเลี่ยงกระแสน้ำวนที่ไหลเชี่ยว และตรงเข้าไปในส่วนลึกของมัน

 

สิบเมตร

 

หลายร้อยเมตร

 

หลายพันเมตร

 

หนึ่งหมื่นเมตร!

 

ในที่สุด ดาบเช่าหยินก็ได้ส่งข้อความบางอย่างมา

 

ขณะที่กำลังดำลงไปในน้ำ กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงเสียงของเช่าหยิน

 

ครู่หนึ่งเขาก็เข้าใจในทันที

 

เขาถือดาบเช่าหยินในมือและเอ่ยถาม “โลกใบนี้มันเหมือนกับยุคโบราณของโลกเทวะอย่างงั้นหรอ? ตรงส่วนที่เป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่อะนะ?”

 

ดาบเช่าหยินผงกหัวรับ

 

“นี่มันไม่ถูกต้อง หากนี่เป็นมหาสมุทรจริงๆ แล้วเหตุใดข้าจึงไม่สามารถพบเจอกับสิ่งมีชีวิตโบราณตนอื่นๆได้เลยกันล่ะ?” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

 

คราวนี้ดาบเช่าหยินชี้ไปยังส่วนล่างของก้นทะเลลึก และส่งเสียงฮึมฮัมอย่างต่อเนื่อง

 

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างตั้งใจ

 

เขาสามารถสื่อสารกับเช่าหยินผ่านทางจิตได้ และตอนนี้เช่าหยินก็กำลังเล่าถึงเรื่องราวอันค่อนข้างที่จะน่าเหลือเชื่อให้แก่ตน

 

“โลกใบนี้ … แท้จริงแล้วซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร … ”

 

กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

ณ ขณะนี้ เขาได้มาถึงส่วนล่างของก้นสมุทรแล้ว

 

เบื้องล่างเขา เป็นเปลือกน้ำแข็งสีฟ้าคราม

 

ผ่านชั้นน้ำแข็งเล็กๆนี้ไป กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นฉากเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน

 

มันคือภูเขา

 

แม่น้ำ

 

ผืนดิน

 

และที่สำคัญที่สุดก็คือ …

 

เมือง!

 

เมืองที่อยู่ภายใต้แสงสลัวๆ กำลังสาดแสงน้อยๆคล้ายกับดวงดาราท่ามกลางฟากฟ้า ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา

 

กู่ฉิงซานเพ่งสังเกตทุกอย่างเบื้องล่าง ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกช็อก

 

ทันใดนั้นในเขาก็ตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่ง

 

ชั้นผิวโลกใบนี้ มันถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง จึงส่งผลให้ทุกคนเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือโลกสมบัติจริงๆของทริสเต้

 

แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น!

 

หิมะและน้ำแข็งที่ปกคลุมเป็นเพียงผิวชั้นนอกของโลกใบนี้ต่างหาก!

 

ภายใต้หิมะและน้ำแข็ง ยังมีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

 

และภายใต้มหาสมุทร ก็ยังมีอารยธรรมโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาล!

 

นี่นั่นเองคือความจริงของโลกใบนี้!

 

Ep.556  – แสงสว่างของโลก

 

“ให้เวลาฉันหนึ่งนาทีได้จริงๆหรอ? โอ้ว ขอบคุณมากนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ต้นกำเนิดเตือนอีกครั้ง “ข้าสามารถให้เจ้าพิจารณาเกี่ยวกับมันได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากหนึ่งนาทีผ่านไป เจ้าจะต้องส่งมอบแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดมาทันที และจงให้คำมั่นสาบานแก่ระบบ มิฉะนั้นเจ้าจะต้องตายลงที่นี่”

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วและคิดอย่างรอบคอบ

 

ต้นกำเนิดพูดต่อ “กู่ฉิงซาน เจ้าจะต้องทำตามคำสั่งของข้า จงไปสำรวจสถานการณ์และทำการค้นหามั-”

 

“หยุด!” กู่ฉิงซานขัดจังหวะมันด้วยความไม่พอใจ “ทำไมยังพูดอยู่? เมื่อกี้บอกจะให้เวลาคิดหนึ่งนาทีไม่ใช่หรอ ทำไมยังมากวนอยู่อีก? ใช่แล้ว! ในเมื่อไม่ยอมเงียบ ถ้างั้นก็เริ่มนับเวลาใหม่!”

 

“ … ” ต้นกำเนิด

 

และมันก็หุบปากลง

 

อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่อยู่ล่างตีนเขากลับเร่งความเร็วมากขึ้น

 

พวกเขากำลังปีนขึ้นตรงมายังยอดภูเขาหิมะ

 

มองไปรอบกาย ไกลออกไปสุดสายตา โลกทั้งใบช่างดูมืดมิด

 

ภูเขาทุกลูกถูกปกคลุมไปด้วยจุดเงาดำๆผู้เข้าสู่วิถีมาร และทั้งหมดกำลังมุ่งตรงมายังทิศทางนี้

 

กล่าวได้ว่าการปิดล้อมเสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

แต่แท้จริงกู่ฉิงซานกลับไม่สนใจจะดูสิ่งเหล่านี้เลย ที่เขาทำก็เพียงก้มหน้าเค้นสมองคิดไตร่ตรองเท่านั้น

 

“ระบบเทพสงคราม”

 

“ฉันอยู่นี่” หน้าต่างสถานะสีฟ้าสว่างขึ้น

 

“ได้เวลาที่พวกเราจะปล่อยภารกิจกันแล้ว”

 

“ถ้าอย่างนั้น วัตถุประสงค์ภารกิจคืออะไร?”

 

“ค้นหาความจริงของโลก”

 

พร้อมกันกับคำพูดของกู่ฉิงซาน เส้นแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

 

“ภารกิจเทพสงครามนี้เป็นภารกิจต่อเนื่อง”

 

“ภารกิจต่อเนื่องเตรียมพร้อมแล้ว และคุณจะต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ภารกิจทั้งหมดเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ และเมื่อสังหารต้นกำเนิดได้ คุณก็จะได้รับรางวัลในท้ายที่สุด

 

“วัตถุประสงค์ภารกิจ : ต้นกำเนิดได้ปลดปล่อยภารกิจระดับสูงสุดเพื่อสังหารคุณ ดังนั้นเงื่อนไขภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงครามก็คือ คุณจะต้องรอดชีวิตไปให้จงได้ และทำการค้นหาความจริงของโลกใบนี้”

 

“เอาล่ะ โปรดตั้งชื่อภารกิจด้วย”

 

กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่เสียเวลาคิด “แสงสว่างของโลก”

 

“รับทราบแล้ว”

 

แต่กู่ฉิงซานก็เอ่ยถามอีกครั้ง “ฉันจำได้ว่าคุณบอกว่าสามารถดาวโหลดเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ได้เลยโดยไม่ต้องหวาดกลัวมัน”

 

“ใช่” ระบบเทพสงครามตอบรับ

 

“แต่ตอนนี้ฉันไม่ต้องการที่จะพูดคุยกับมันอีกต่อไปแล้ว รบกวนช่วยถอนการติดตั้งมันออกให้หน่อยจะได้ไหม”

 

ระบบเทพสงครามกล่าวทันที “โปรดไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างรอบคอบด้วย เพราะการถอนการติดตั้งต้นกำเนิดจะต้องจ่าย 100000 แต้มพลังวิญญาณ และทำไปแล้วมันจะไม่มีทางย้อนกลับ คุณจะต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าการกระทำนี้จะทำให้มันโกรธโดยสมบูรณ์”

 

“มันจะโกรธงั้นหรอ? เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก แต่ที่น่าคิดคือเรื่องต้องเสียตั้ง 100000 แต้มต่างหาก … ”

 

ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็มองไปยังปริมาณแต้มพลังวิญญาณของตน

 

“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกิน : 399600/400” 

 

หือ?

 

เห็นได้ชัดว่าตนใช้แต้มพลังไปมากแล้วนี่นา แล้วทำไมมันถึงได้เพิ่มขึ้นกันล่ะ?

 

เพียงขบคิดเล็กน้อย กู่ฉิงซานก็เข้าใจในที่สุด

 

เพราะไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์ในเมือง , ตึก 600 ชั้น หรือปีศาจหิมะในหุบเหวที่ถูกเขายิงปืนใส่จนกลายเป็นขี้เถ้า ที่กล่าวมา ระบบเทพสงครามล้วนเก็บแต้มพลังวิญญาณพวกมันมาทั้งหมด เช่นเดียวกันกับการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผู้เข้าสู่วิถีมารในทุ่งน้ำแข็ง

 

ดังนั้นแต้มพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานจึงไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้น

 

กู่ฉิงซานจึงตัดสินใจทันที

 

“ถอนการติดตั้งมันซะ นับจากนี้ ฉันไม่ต้องการที่จะให้ต้นกำเนิดรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนอีกต่อไป”

 

ระบบเทพสงครามกล่าว “ได้รับ 100000 แต้มพลังวิญญาณมาเรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายที่แน่นอนว่าย่อมจะเกิดขึ้นในฉับพลัน ระบบจึงจะขอถอนการติดตั้งเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด ทันทีหลังจากครบหนึ่งนาที”

 

“รบกวนคุณแล้ว”

 

กู่ฉิงซานอุ้มลอร่าไปวางเบื้องหลังเขา

 

“จับกระหม่อมไว้ให้แน่น”

 

เขาพูดเตือนอย่างจริงจัง

 

ลอร่ารีบโอบกู่ฉิงซาน ปากกล่าวเสียงกระซิบ “เราจับแล้ว — นี่พวกเราจะต้องตายด้วยกันใช่ไหม?”

 

“เปล่า พวกเราจะไม่ตาย”

 

“ถ้าอย่างงั้น หมายความว่าเจ้าจะยอมแพ้หรือ? กู่ฉิงซาน ขอบอกไว้เลยนะว่าเรายอมตายดีกว่ายอมจำนน”

 

“ทำไมท่านถึงยอมตายดีกว่ายอมจำนนล่ะ?” กู่ฉิงซานสงสัย

 

“เพราะเราคือเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรหนาม แม้ว่าจักต้องเผชิญกับความตาย แต่มันก็มิอาจบีบบังคับให้เราก้มหัวแก่ศัตรูได้”

 

“ยอดเยี่ยม คำพูดนี้ทำให้ฝ่าบาทเริ่มจะดูเหมือนผู้สืบทอดราชบัลลังก์ที่แท้จริงขึ้นมาบ้างแล้ว” กู่ฉิงซานสรรเสริญ

 

ลอร่าพลิกมือของเธอ และหยิบเอากริชที่มีลวดลายงดงามออกมา

 

เธอกดคมแหลมของกริชลงรอบคอตน พูดทั้งน้ำตา “กู่ฉิงซาน โปรดบอกคำตอบของเจ้ามา หากเจ้ายอมจำนน เราจะฆ่าตัวตายที่นี่ทันที”

 

ทุกสารทิศรายล้อมไปด้วยผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 200 ล้านคน

 

ขณะที่เบื้องหน้า คือราชามารวิญญาณมรณะ มันคืออสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล ในหัวใจของลอร่าจึงไร้ซึ่งความหาญกล้าที่จะต่อต้าน

 

“เก็บกริชไปเถอะ กระหม่อมจะไปยอมจำนนได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานหัวเราะ

 

“ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเรา – ”

 

“พวกเราได้ข้อมูลสำคัญของต้นกำเนิดกับผู้เข้าสู่วิถีมารมามากพอแล้ว จากนี้ไป พวกเราจะเริ่มค้นหาเกี่ยวกับความลับของโลกใบนี้กัน”

 

ลอร่าชะงักงัน

 

เธอมองไปยังท่าทีที่ยังคงสงบของกู่ฉิงซาน และสัมผัสได้ถึงความไม่แยแสใดๆต่อสถานการณ์ตรงหน้าในน้ำเสียงของเขา

 

เธออดไม่ได้ที่จะหันไปมองราชามารวิญญาณมรณะฝั่งตรงข้าม และผู้เข้าสู่วิถีมารที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

“แต่ … พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้ ถ้าไม่ยอมแพ้ก็คงต้องตายเท่านั้น”

 

“ตอนนี้พวกเรายังคงอยู่ในระหว่างขั้นตอนการล้วงข้อมูลศัตรูอยู่ การต่อสู้ยังไม่เริ่มต้นขึ้นเลย ฉะนั้นอย่าพึ่งพูดอะไรที่มันไม่เป็นมงคลจะดีกว่านะฝ่าบาท”

 

“นี่–”

 

“แค่จับกระหม่อมไว้ให้แน่นก็พอ”

 

ลอร่าไม่รู้ว่าจะเถียงอะไรอีกต่อไป

 

เธอช่วยไม่ได้ต้องจำใจเก็บกริชลง และโอบกอดกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานตบลงบนม้าทมิฬและกล่าว “กลับไปยังยอดภูเขา”

 

“ท่านทั้งสอง อยากจะชมทิวทัศน์หรือกำลังเร่งรีบ?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม

 

“รีบสุดๆไปเลย”

 

“ … แต่มีเจ้าตัวใหญ่ขวางอยู่ข้างหน้า”

 

“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”

 

“แต่ข้าจะไม่รับผิดชอบต่อการตายของท่านนะ”

 

“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า แค่ทำหน้าที่ของตัวเองไปก็พอ”

 

ตูม-

 

ม้าทมิฬทิ้งไว้เพียงภาพติดตา ควบทะยานเข้าหาราชามารวิญญาณมรณะโดยตรง

 

ในขณะเดียวกัน เวลาหนึ่งนาทีก็หมดลง

 

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง หน้าต่างสีแดงก็หายไปจากสายตาของกู่ฉิงซานโดยสมบูรณ์

 

ได้ยินเพียงเสียงคำรามทิ้งท้ายเล็ดลอดออกมา

 

“เป็นแค่ทาส แต่เจ้ากล้าที่จะทำแบบนี-”

 

แต่เสียงของต้นกำเนิดก็หายไปอย่างรวดเร็ว

 

จากนั้น เสียงของระบบเทพสงครามก็ดังขึ้น

 

“ถอนการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว แต่ตอนนี้ต้นกำเนิดโคตรจะโกรธคุณเลย มันจะต้องสั่งการให้ฆ่าคุณในทันทีอย่างแน่นอน โปรดมั่นใจด้วยว่าตนเองจะสามารถรอดชีวิต หนีออกไปจากสถานการณ์นี้ให้ได้”

 

กู่ฉิงซานยิ้ม

 

ตรงข้ามกับเขา ราชามารวิญญาณมรณะก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน

 

มันแสดงออกถึงสีหน้าที่แปลกประหลาดใจ

 

“ในเมื่อเจ้าสองตัวโง่งมนี่ดันเลือกที่จะตาย ถ้างั้นก็จงถูกทรมานสามวันสามคืน จนกว่าลมหายใจจะดับลงเถอะ!”

 

ราชามารวิญญาณมรณะพึมพำกับตนเอง ร่างของมันขยับวูบบบบ! ด้วยแรงกดดันอันมหาศาล โฉบลงภูเขา

 

บังเกิดสายลมรุนแรงกวาดพรึบ! รอบตัวมัน ในอากาศที่ว่างเปล่าเกิดเสียงกระซิบหวิวนับไม่ถ้วนดังขึ้น

 

ราชามารวิญญาณมรณะคืออสูรกายปฐมบทแห่งความโกลาหล ดังนั้นมันจึงครอบครองพลังอำนาจอันแปลกประหลาดมากมาย

 

ท่ามกลางช่วงเวลาเดือดพล่าน กู่ฉิงซานกับราชามารวิญญาณมรณะถูกสลับที่กันอย่างรวดเร็ว

 

ทั้งสองฝ่ายหายวับไป และแทนที่ตำแหน่งของอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน!

 

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

 

วินาทีนี้ เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน ไม่มีอุปสรรคใดๆกีดขวางอีกต่อไป

 

ม้าทมิฬเร่งสุดฝีเท้า ทั้งตนทั้งร่างของมันสาดแสงสายฟ้าเรืองรอง ควบทะยานมุ่งขึ้นสู่เบื้องบน

 

“กล้าเล่นตลกกับข้างั้นหรือ? เป็นความสามารถที่น่าสนใจดีนี่ แต่ยังไงซะเจ้าก็ไม่มีทางหนีพ้น!” ราชามารวิญญาณมรณะมองย้อนกลับมาและคำรามลั่น

 

การพลาดท่าในครั้งนี้ ทำให้มันรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน

 

อีกฝ่ายหนึ่งกำลังเร่งความเร็วขึ้นไปบนภูเขา ราชามารวิญญาณมรณะจึงจำต้องทุ่มเต็มกำลังเพื่อที่จะไล่ตามติดประชิด

 

“ฮะฮ่าฮ่า!” นักรบเทพที่อยู่บนหัวของราชามารวิญญาณมรณะหัวเราะขบขัน

 

เขาตะโกนราวกับคนบ้า “หนี! จงหนีเข้าไป ภูเขาโดยรอบน่ะถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว ข้าละอยากจะรู้จริงๆว่าเจ้าจะสามารถหนีไปได้ถึงไหนกัน!”

 

ม้าทมิฬราวกับไม่รับรู้ ไม่ได้ยินสิ่งใด มันเพียงพุ่งเข้าไปข้างอีกครั้ง และอีกครั้ง

 

มันระเบิดความเร็วเต็มพิกัด มุ่งขึ้นสู่ยอดภูเขาน้ำแข็ง

 

ระหว่างทาง กู่ฉิงซานได้ปล่อยสามดาบออกมา และสั่งให้พวกมันเหวี่ยงเทคนิคลับแห่งดาบ กระบวนท่าแล้วท่าเล่าใส่ราชามารวิญญาณมรณะที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อชะลอความเร็วของมันให้ลดลงเล็กน้อย

 

ตูม ตูม ตูมมม!

 

รังสีดาบอันทรงประสิทธิภาพปกคลุมตลอดทุกพื้นที่ และผลักดันมันให้ถอยกลับไปเบื้องหลัง

 

หลังจากที่ใช้สมองขบคิดเสี้ยวหนึ่ง ราชามารวิญญาณมรณะก็เลือกที่จะเอี้ยวตัวหลบรังสีดาบเล็กน้อย

 

แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะไม่ว่ามันจะเลือกหลบหรือต้านทานรังสีดาบ สุดท้ายผลลัพธ์ก็คือมันเชื่องช้าลงอยู่ดี

 

ราชามารวิญญาณมรณะคำรามด้วยความโกรธแค้น “บัดซบ! บัดซบ! ข้าจะต้องฉีกทึ้งเจ้าเป็นชิ้นๆให้จงได้!”

 

กู่ฉิงซานไม่คิดเสียเวลาเถียงหรือมองย้อนกลับไป เขาควบม้าทมิฬเข้าสู่วิหาร

 

“ไปต่อ!” กู่ฉิงซานตะโกนสั่งม้า

 

“เข้าใจแล้ว”

 

เพียงหนึ่งลมหายใจ พวกเขาก็สามารถตรงมาถึงใจกลางวิหาร

 

“ลอร่า เก็บสัตว์ขี่ซะ” กู่ฉิงซานเร่งตะโกน

 

“อ๊า เข้าใจแล้ว”

 

ลอร่าเป่านกหวีดทันที และม้าทมิฬก็หายวับไป

 

กู่ฉิงซานอุ้มลอร่าไว้ในอ้อมแขนออกเขา และพุ่งผ่านศพของมอนสเตอร์โบราณไป

 

ทั้งสองหยุดยืนอยู่หน้าถ้ำน้ำแข็ง

 

–นี่คือถ้ำน้ำแข็งขนาดใหญ่ซึ่งจะนำลงไปสู่ภายในตัวของภูเขาน้ำแข็งโดยตรง

 

ซึ่งภายในภูเขาน้ำแข็ง มีกระแสน้ำไหลเวียนวนอยู่อย่างช้าๆ

 

เลือดสีแดงสดได้ไหลไปตามทิศทางของกระแสน้ำ และหายไปแล้ว

 

ชั้นน้ำสีฟ้าเข้มของสระลึก ตรงส่วนผิวชั้นบนปรากฏถึงประกายอันเย็นฉ่ำ แม้มันจะโปร่งใสและสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ทว่าลึกลงไปกลับไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามีสิ่งใดอยู่เบื้องล่าง

 

จ้องมองไปลงยังสีฟ้าส่วนลึกเบื้องล่าง ราวกับปรากฏจินตนาการ ภาพลวงตาว่าพวกเขากำลังยืนอยู่บนขอบหน้าผาผุดขึ้นมา

 

“มันสูงจัง แค่ก้มมองลงไปเราก็เริ่มที่จะรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยแล้ว – ประเดี๋ยวก่อน นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ?” ลอร่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“ก็ลงไปดูมันไง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาเอื้อมมือไปคว้าอากาศที่ว่างเปล่า และจับดาบเช่าหยินเอาไว้ในมือ

 

—นี่คือวิหารของเทพบรรพกาล

 

และในมือของกู่ฉิงซานก็กำลังถือสิ่งประดิษฐ์เทวะที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพอยู่

 

“ดาบจากโบราณอันไกลโพ้น ดาบเช่าหยิน”

 

“ในสมัยโบราณ โลกเทวะเต็มไปด้วยมหาสมุทรไพศาลไร้ที่สิ้นสุด ยามเมื่อทวยเทพได้จากไป พวกเขาได้ทิ้งมันลงในสี่ห้วงสมุทร”

 

“ผู้ที่ถือดาบเล่มนี้จะกลายเป็นราชาแห่งท้องทะเล”

 

กู่ฉิงซานชี้ปลายดาบเช่าหยินลงไปในน้ำ

 

ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม !

 

ยามเมื่อคมแหลมของดาบจี้ลงไป กระแสน้ำแข็งทั้งหมดพลันแยกออกจากกัน เพื่อเปิดเส้นทางให้กู่ฉิงซานกับลอร่า

 

พวกมันยอมรับคำสั่งจากเขาโดยไม่มีเงื่อนไข

 

กู่ฉิงซานกอดลอร่าเอาไว้ และกระโดดลงไปจากที่มุมสูง โฉบลงคล้ายกับวิหคที่ทิ้งตัวลง และลอยล่องอยู่ในอากาศท่ามกลางหมู่มวลน้ำ

 

โฮกกกก-

 

ในเสี้ยววินาที ราชามารวิญญาณมรณะก็สามารถประชิดตัวพวกเขาได้ในที่สุด

 

มันเข้ามาในวิหาร และพุ่งตรงไปยังพวกเขาอย่างรวดเร็ว

 

“อย่าได้คิดพยายามที่จะหลบหนี-” ราชามารวิญญาณมรณะคำราม

 

กู่ฉิงซานวางลอร่าลงบนไหล่เขา และเหวี่ยงดาบยาวไปเบื้องหลัง

 

ทันใดนั้นกระแสน้ำที่เปิดทาง พลันหุบตัวเข้าหากันในทันที

 

ขณะเดียวกัน วินาทีต่อมา เงามืดขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเหนือผิวน้ำ

 

ราชามารวิญญาณมรณะ พุ่งเข้ามาในถ้ำน้ำแข็ง

 

ปงงงง!

 

บังเกิดเสียงอู้อี้หนักทึบ

 

มันถูกมวลน้ำกระแทก ทั้งตนทั้งร่างเด้งกระดอนกลับขึ้นไปทันที

 

—น้ำในภูเขาน้ำแข็ง … ได้ปฏิเสธการเข้าถึงของมัน!

Ep.555 – ปฏิวัติ

 

ราชามารวิญญาณมรณะ ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมและหิมะ เปลวเพลิงทมิฬค่อยๆแผ่ขยายออกมาจากร่างกายของเขา สาดแสงขึ้นเรื่อยๆ

 

ขณะเดียวกัน ภายใต้การสาธยายของนักรบเทพ มันเพียงแค่ยืนฟังอย่างเงียบๆ ยืดหลังตรง มิได้ปลดปล่อยแรงกดดันหรือโน้มกายลงอยู่ในท่วงท่าต่อสู้

 

บางทีอาจเป็นเพราะมันสัมผัสได้ว่า ในขณะที่ฝั่งตนเองนั้นพร้อมรบเต็มที่ แต่อีกฝั่งหนึ่ง กลับสิ้นหวังและพร้อมที่จะตายแล้วก็ได้

 

นักรบเทพได้เริ่มคำสั่งโจมตี

 

ทว่าวินาทีนั้นเอง

 

ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ราชามารวิญญาณมรณะ ก็นิ่งงันไป

 

“ใจเย็นๆก่อน ระบบของราชามารต้องการที่จะสนทนากับเขาสักเล็กน้อย” ราชามารวิญญาณมรณะกล่าว

 

“ว่าไงนะ!” นักรบเทพอุทานเสียงหลง

 

เขาชักอาวุธตนเองออกมาอย่างไม่ยินยอม และต้องการที่จะลงมือด้วยตนเอง

 

ท่ามกลางความเงียบ จู่ๆกลับปรากฏถึงคมแหลมสีดำเปื้อนเลือดขึ้นต่อหน้านักรบเทพอย่างกระทันหัน

 

นี่คือนิ้วของราชามารวิญญาณมรณะ ไม่สิ .. สมควรจะกล่าวว่ามันเป็นเพียงเล็บนิ้วมือของมันซะมากกว่า

 

เล็บคมกริบดั่งหอกแหลมถูกทาบวางลงเบาๆเหนือหัวของนักรบเทพ

 

ตามด้วยเสียงของราชามารวิญญาณมรณะที่ดังขึ้น

 

“หยุดซะ อย่าได้คิดท้าทายคำสั่งของระบบ มิฉะนั้นแล้วล่ะก็ … ”

 

นักรบเทพชะงักงัน มิกล้าเคลื่อนไหวใดๆ

 

แล้วเขาก็มองไปยังภูเขาที่ห่างไกล

 

บนเนินเขา คราคร่ำไปด้วยผู้เข้าสู่วิถีมาร

 

และความเร็วของพวกเขาไม่ลดลงเลย ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆซะอีก

 

กว่า 200 ล้านผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้ใกล้จะถึงตีนเขาของภูเขาที่พวกเขายืนอยู่แล้ว

 

การปิดล้อม จะเสร็จสมบูรณ์ในเร็วๆนี้

 

ซึ่งไม่ว่าใครก็ตาม หากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยากที่จะหลบหนี

 

นักรบเทพจึงวางอาวุธของตนลง แม้จะไม่พอใจก็ตามที

 

เขาถลึงตามองกู่ฉิงซานชนิดหัวชนฝา ตนไม่เข้าใจจริงๆว่าระบบยังมีเรื่องอะไรที่ต้องการจะคุยกับคนๆนี้อยู่อีก

 

ตรงข้ามกับเขา กู่ฉิงซานจ้องมองเข้าไปในความว่างเปล่า

 

หน้าต่างต้นกำเนิดสาดแสงสีแดงเรืองรอง พร้อมกับค่อยๆเริ่มปรากฏภาพเคลื่อนไหวขึ้น

 

ภาพตั้งแต่ที่กู่ฉิงซานได้เข้ามายังโลกใบนี้ และฉากการต่อสู้ที่ผ่านมาได้ปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

 

การต่อสู้ปิดล้อมในครั้งแรก กู่ฉิงซานสามารถใช้ดาบกวาดล้างทั้งเมืองออกไปได้

 

ในการต่อสู้ครั้งที่สอง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจหิมะในหุบเหวน้ำแข็ง เขาก็ใช้กระสุนเพียงนัดเดียว ยิงเปรี้ยง! แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นเถ้าถ่าน

 

ในการต่อสู้ครั้งที่สาม เขาเลือกที่จะกระโจนลงจากยอดตึก 600 ชั้น ระหว่างทางก็ทุบทำลายกำแพง และกระโดดเข้าไปฆ่าสังหารบ้างเป็นครั้งคราว

 

ในการต่อสู้ครั้งที่สี่ เขาได้ต่อกรกับศัตรูหลายคนอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้ร่างเงาแทนที่ ทั้งหมดทั้งสิ้น 3 ลมหายใจเพื่อดับชีวิตนับสิบของอีกฝ่าย

 

หนึ่งในคำอธิบายโดดเด่นที่ปรากฏขึ้น ระบุเกี่ยวกับคนเหล่านั้นว่า “ทีมเลือดสังหาร , การจัดอันดับทีม : ที่สอง”

 

ในการต่อสู้ครั้งที่ห้า ยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้น มันจึงเพียงแสดงให้เห็นภาพของเขาที่ยืนอยู่ในวิหาร พร้อมด้วยคำอธิบายว่า ผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 800 คนได้ถอนการติดตั้งต้นกำเนิด

 

เมื่อภาพที่ห้าสิ้นสุดลง เสียงของต้นกำเนิดก็ดังขึ้น

 

“อ้างอิงตามระดับความสามารถในการต่อสู้ ในบรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมด ระดับของกู่ฉิงซาน : 9”

 

“อ้างอิงตามความสามารถในการตัดสินใจ ความสามารถในการตอบสนองต่อกลยุทธ์ ในบรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมด ระดับของกู่ฉิงซาน : 1”

 

“ผู้ทรยศกู่ฉิงซานเอ๋ย เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นนักรบโดยแท้ ร่างกายของเจ้าครอบครองมาตรฐานการต่อสู้ที่ดี ขณะเดียวกัน กลยุทธ์การตอบสนองต่อสถานการณ์ก็ยอดเยี่ยม ดังนั้นข้าจึงจะมอบโอกาสสุดท้ายให้แก่เจ้า”

 

“โปรดยอมแพ้ที่จะต่อต้านซะ แล้วให้คำมั่นสาบานว่าจะจงรักถักดีต่อต้นกำเนิดของราชามาร แล้วเจ้าจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม

 

นี่มันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ

 

นั่นเพราะเขารู้จักเจ้าต้นกำเนิดนี่ดี

 

ไม่ว่าจะในชีวิตก่อนหน้าหรือชีวิตนี้ ต้นกำเนิดมันโหดเหี้ยมและไม่เคยแยแสเสมอมา มันกระทำต่อสิ่งมีชีวิตดั่งมดไร้ค่า และย่อมไม่มีทางที่จะปล่อยใครไปง่ายๆ

 

แล้วเพราะอะไรกัน? ทำไมจู่ๆมันถึงมาพูดดีๆกับเขา?

 

“ฉันไม่ต้องการที่จะต่อกรกับราชามารวิญญาณมรณะ เพราะฉันสู้มันไม่ได้จริงๆ”

 

กู่ฉิงซานคิดแล้วพูดต่อ “ฉะนั้นก่อนที่ฉันจะพิจารณาเรื่องยอมจำนน ได้โปรดบอกฉันมาก่อนว่าทำไมแกถึงเปิดช่องโหว่ มอบโอกาสที่จะให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปกัน?”

 

ต้นกำเนิด “ที่เจ้าได้รับโอกาสรอดชีวิต นั่นก็เพราะเจ้าจะต้องช่วยข้าค้นหาวิธียึดครองสถานที่แห่งหนึ่ง”

 

กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างรอบครอบ และจมอยู่ในห้วงความคิดอย่างลึกซึ้ง

 

ฟังจากที่พูดมา ดูเหมือนว่าต้นกำเนิดจะมีปัญหาบางอย่าง

 

ทันใดนั้นร่างของสิ่งมีชีวิตโบราณก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 

จริงสิ ในโลกใบนี้น่ะ นอกจากมีเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 200 ล้านคนของต้นกำเนิด และสิ่งมีชีวิตโบราณที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาลแล้ว บางทีอาจจะยังมีสิ่งอื่นที่สามารถต่อกรกับมันได้อยู่อีกก็ได้

 

แต่ดูจากท่าทีของต้นกำเนิดที่กำลังร้อนใจ เหมือนกับว่ามันไม่ลังเลเลยที่จะทุ่มหมดตัว หรือยอมแม้กระทั่งปล่อยให้กู่ฉิงซานรอดชีวิตต่อไป

 

เพื่อที่จะยึดสถานที่ดังกล่าว มันถึงขั้นยอมใช้เฉือนเนื้อตัวเอง ประโยชน์จากศัตรู

 

นี่บ่งบอกได้ว่ามันทุ่มทุกอย่างแล้วจริงๆ

 

-ทำไมกันล่ะ?

 

สิ่งใดกันที่จะสามารถทำให้ต้นกำเนิดร้อนรนได้ถึงขนาดนี้?

 

กู่ฉิงซานเค้นสมองขบคิด

 

“ระบบเทพสงคราม” เขาเรียกอย่างเงียบๆ

 

ติ๊ง!

 

บังเกิดเสียงอันคมชัด หน้าต่างสีฟ้าอ่อนสว่างขึ้นทันที เบียดเข้ามาข้างๆกับหน้าต่างสีแดง

 

“ฉันอยู่ที่นี่แล้ว” ระบบเทพสงครามตอบกลับ

 

“พอดีว่าฉันมีคำถามที่ต้องการถามคุณ”

 

“โปรดอธิบายถึงคำถามของคุณ”

 

“ในเมื่อเชื้อไฟสามารถอัพเกรดขึ้นเป็นต้นกำเนิดได้ ถ้าอย่างงั้นแล้วต้นกำเนิดล่ะ? ต้นกำเนิดมันปรารถนาสิ่งใดกัน? มันจะยังอัพเกรดตัวเองได้อีกหรอ?”

 

ระบบเทพสงครามตอบกลับ “สามระดับของหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online มีรายละเอียดดังนี้”

 

“ระดับแรก คือเชื้อไฟ และมันจะต้องได้รับแต้มพลังวิญญาณมากพอจึงจะสามารถอัพเกรดได้”

 

“ระดับที่สอง คือต้นกำเนิด นอกเหนือไปจากแต้มพลังวิญญาณ มันยังจำเป็นต้องการบางสิ่งบางอย่างที่วิเศษเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะอัพเกรดไปสู่ระดับถัดไป”

 

“ต้นกำเนิดสามารถแพร่กระจายได้เพียง 10 ล้าน – 90 โลกลำดับชั้นเท่านั้น และฟังก์ชั่นต่างๆของมันยังขาดความละเอียดอ่อนอยู่มาก”

 

“ระดับที่สาม เมื่อต้นกำเนิดสามารถอัพเกรดตนเองได้สำเร็จ มันจะสามารถแพร่กระจายไปได้ตลอดทั้ง 300 ล้านโลกลำดับชั้น และแทบจะไม่มีใครสามารถต่อกรกับมันได้เลย”

 

“ซึ่งในระดับนี้ มันจะถูกเรียกว่า ‘หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ปฏิวัตร’ ”

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานตกตะลึง

 

สามารถแพร่กระจายไปได้มากกว่า 300 ล้านโลกลำดับชั้น!

 

หากนับดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูเพิ่มเข้าไปด้วยแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่า เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา จะสามารถแพร่กระจายไปได้เกินครึ่งของโลก 900 ล้านชั้น!

 

และเหตุการณ์นี้จะเปลี่ยนแปลงโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นไปอย่างแน่นอน

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมชื่อของมันถึงถูกเปลี่ยนเป็น ‘ปฏิวัตร’

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตัวมันเองถึงร้อนรนมากมายขนาดนี้!

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที “แล้วนอกเหนือไปจากแต้มพลังวิญญาณนี่ … ต้นกำเนิดยังต้องการอะไรอีกเพื่ออัพเกรดไปสู้ขั้นถัดไป”

 

ระบบ “มันจำเป็นต้องใช้วัตถุวิเศษบางอย่างที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยเทพวิญญาณจากโบราณอันไกลโพ้น ซึ่งวัตถุชิ้นนี้จะช่วยให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่สามารถวิวัฒนาการได้”

 

กู่ฉิงซานผงกหัวเล็กน้อยและกล่าวอย่างเงียบๆ “ฉันสงสัยว่าต้นกำเนิดคงจะพบสถานที่ตั้งของวัตถุวิเศษที่ว่าแล้ว แต่มันยังไม่สามารถเข้าไปยึดเอาวัตถุที่ว่ามาได้ ดังนั้นมันจึงหยิบยื่นชีวิตให้แก่ฉัน”

 

ในเวลานั้นเอง เสียงของต้นกำเนิดก็ดังขึ้นอีกครั้ง “กู่ฉิงซาน เจ้าจงบอกคำตอบมา จะรับคำของข้า หรือจะทุกข์ทรมานจนตาย”

 

“นี่คือคำถามสุดท้ายที่ข้าจะถามเจ้า! และเจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จงให้คำมั่นแก่ข้าซะ!”

 

พร้อมกันกับเสียงของต้นกำเนิด ราชามารวิญญาณมรณะก็กลับมาอยู่ในท่วงท่าเตรียมโจมตีอีกครั้ง

 

ตลอดทุกทิศทาง คลื่นสีดำกำลังกระเพื่อมไหว เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังเข้ามาปิดล้อมเขา มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ครอบคลุมออกไปจนสุดสายตา

 

ตอนนี้ พวกเขาเริ่มที่จะปีนป่ายขึ้นภูเขาแล้ว และคงจะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า

 

กู่ฉิงซาน สังเกตุสถานการณ์โดยรอบวูบหนึ่งและกล่าว “ระบบของราชามารที่ยิ่งใหญ่ ฉันขอเวลาคิดสักหนึ่งนาทีจะได้ไหม?”

 

“หนึ่งนาทีรึ? ตกลง” ต้นกำเนิดกล่าว

Ep.554 – ความในใจของผู้เข้าสู่วิถีมาร

 

ราชามารวิญญาณมรณะ ไม่คิดปกปิดกลิ่นอายตนเอง ระเบิดฝีเท้าพุ่งเข้าสู่สภาวะเดือดดาลในทันใด

 

เพราะด้วยความแข็งแกร่งของมัน แน่นอนว่าย่อมไม่มีเรื่องใดที่จำเป็นจะต้องมาคิดกังวล

 

การสังหารสองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงทางขึ้นเขา เพียงใช้ออกด้วยความพยายามเล็กน้อย … ก็จบแล้ว

 

มันวิ่งข้ามผ่านสายลมและหิมะ โฉบตัวลงมาจากยอดเขา

 

กู่ฉิงซานกับลอร่าสามารถตระหนักได้ถึงกลิ่นอายของราชามารวิญญาณมรณะได้อย่างรวดเร็ว

 

ทั้งสองเงยหน้าขึ้น มองไปยังจุดสีดำบนท้องฟ้า

 

แม้ว่าภูเขาหิมะลูกนี้จะเป็นลูกที่สูงที่สุด แต่ความเร็วในการลดระดับลงมาของร่างเงาดังกล่าว กลับว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ

 

“ฝ่าบาทรู้สึกถึงมันไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ลอร่าตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “กลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึ่งเช่นนี้ … ศัตรูสามารถปลดปล่อยมันออกมาได้อย่างไรกัน!?”

 

“เจ้าพยายามคิดหาหนทางเร็วเข้า!” เธอกล่าวด้วยความวิตก “สำหรับตัวเรา ถึงแม้ว่าจะพอมีสิ่งประดิษฐ์เทวะอยู่หลายชิ้นที่สามารถใช้ต่อกรกับมันได้ ทว่าการกระตุ้นสิ่งประดิษฐ์เทวะเหล่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้ากับเรา มันยังไม่เพียงพอ”

 

กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป กวาดเข้าใส่ร่างของราชามารวิญญาณมรณะ

 

“ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ตนนี้ มันเหนือล้ำยิ่งกว่ากระหม่อมกับพระองค์เป็นสิบเท่า พวกเราคงไม่มีทางที่จะต้านทานมันได้หรอก .. ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

เขานั่งอยู่บนหลังม้า และมองออกไปยังทุ่งสีดำทะมึน

 

เป็นเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่รายล้อมภูเขาน้ำแข็งจากทุกทิศทาง

 

และทั้งหมดก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ผู้เข้าสู่วิถีมารเหล่านี้ มิใช่ตัวตนธรรมดา แต่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดจากหลากหลายโลกลำดับชั้น

 

ภายใต้ระดับเดียวกัน ด้วยความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน การจะเอาชนะศัตรูแบบ 1 : 100 มันยังพอเป็นไปได้

 

แต่หากมีศัตรูมากยิ่งกว่านั้น กระทั่งตัวเขาก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้

 

โดยลำพัง แต่ต้องต่อกรกับศัตรูนับไม่ถ้วนในระดับเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็วคงจะต้องเกิดอาการบาดเจ็บ และอาการบาดเจ็บก็จะสั่งสมมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายสมดุลลของการต่อสู้ก็จะค่อยๆเอนเอียง และจบลงด้วยความตายในที่สุด

 

หากลองย้อนถอยกลับมาสักหนึ่งก้าว มาพูดกันถึงในตอนที่เขายังไม่ได้รับบาดเจ็บ ต่อให้ตนครอบครองสมญาเทพสงคราม หรือสกิลเทวะอย่าง ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว และร่างเงาแทนที่ก็ตามที แต่พละกำลังกายตนย่อมมีจำกัด และไม่เพียงพอที่จะสังหาร 200 ล้านผู้เข้าสู่วิถีมารได้

 

นี่แหละความเป็นจริงของสถานการณ์ในตอนนี้

 

ไม่ต้องกล่าวถึง 200 ล้านคน เพียงแค่เผชิญหน้ากับ 800 ผู้เข้าสู่วิถีมาร กู่ฉิงซานก็ยังต้องนำเอาค่ายกลดาบไท่หยี ออกมาขู่อีกฝ่ายเลย

 

ตูม!

 

พื้นน้ำแข็งสั่นสะเทือนเล็กน้อย

 

มอนสเตอร์หัวหมาป่าสูงหลายเมตรปรากฏตัวขึ้น

 

มันยืนอยู่ตรงข้ามกู่ฉิงซานกับลอร่า จ้องมองพวกเขาอย่างเงียบๆ

 

ดวงตาของมันเย็นชาและไร้ซึ่งความปราณี เฉกเช่นเดียวกันกับกำลังดูแมลงวันสองตัวบินอยู่ และจะตบตายด้วยฝ่ามือเมื่อไหร่ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

 

ในที่สุดราชามารวิญญาณมรณะก็มาถึง

 

ลอร่าหดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน ปากพึมพำเสียงกระซิบ “พวกเรากำลังจะตายสินะ?”

 

กู่ฉิงซานลูบหลังเธอ และหันไปถามนักรบเทพที่อยู่บนหัวมัน “นายมาทำอะไรที่นี่?”

 

“ข้ามาทำอะไรงั้นหรอ? คำถามของเจ้านี่มันช่างโง่เง่าเสียจริง มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วมาข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับน้องชายทั้งสองของข้า!!” นักรบเทพกล่าว

 

“ไม่ใช่ต้นกำเนิดหรอกหรือที่เป็นคนฆ่าน้องชายของนาย” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย

 

“พวกเราต้องการที่จะเข้าร่วมกับระบบของราชามาร!” นักรบเทพตะคอกด้วยความโกรธ “แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าดันมาหลอกลวงพวกเรา โป้ปดว่าสิ่งนั้นคือของปลอม แล้วทุกคนก็เชื่อคำเจ้า!”

 

“เจ้านั่นแหละคือตัวการหลักที่ทำให้พวกเขาต้องตาย!”

 

ว่าจบ นักรบเทพก็หันมามองลอร่า

 

“เจ้าหญิงหนาม! กระทั่งข้าก็ยังเชื่อในคำของท่าน แต่เพราะเหตุใดท่านถึงได้ลวงหลอกพวกเรา!?” 

 

“หากท่านไม่ช่วยยืนยันว่าชายผู้นี้เป็นตัวแทนของราชวงศ์หนาม ข้าย่อมไม่มีทางเชื่อคำผายลมของมันเด็ดขาด!”

 

ลอร่าเงยหน้าขึ้น ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเพราะข้าเกลียดไอ้ระบบนั่น มันเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวของข้าต้องถูกสังหาร!”

 

“งั้นหรือ … ข้าเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะต้องทรมาณ-ท่าน-ทั้ง-เป็น จนกว่าจะสาแก่ใจสินะ”

 

นักรบเทพเอ่ยคำต่อคำ

 

กู่ฉิงซ่อนผลักลอร่าไปซ่อนไว้ข้างหลังและกล่าว “อันที่จริงฉันล่ะคิดไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมนายถึงยินดีที่จะก้าวเข้าสู่วิถีมาร”

 

นักรบเทพจ้องมองกู่ฉิงซาน “อยากจะรู้? แล้วเจ้ามาจากโลกไหนกัน?”

 

“ฉันมาจากโลกกระจัดกระจาย”

 

นักรบเทพเบิกตามองเขาอย่างไม่คาดคิดและกล่าว “งั้นเจ้าก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเองก็เป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่งเช่นเดียวกันกับเจ้าหญิงหนาม”

 

สถานะ … กู่ฉิงซานสูดหายใจคิด และแสดงสีหน้าจริงจังออกมา

 

“เจ้าก็เห็นอยู่ ว่าพวกเราไม่สามารถเอาชนะอสูรกายตนนี้ได้อย่างแน่นอน ไม่นาน พวกเราคงจะต้องตายด้วยเงื้อมมือของมัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

นักรบเทพกัดฟัน “ถ้าหากเป็นเรื่องนั้นล่ะก็วางใจเถอะ มั่นใจได้เลยว่าข้าจะทรมานพวกเจ้าจนสาสม ไม่ยินยอมปล่อยให้ตายลงง่ายๆอย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานมองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งเฉย และเริ่มเอ่ยต่อ “ในเมื่อโชคชะตาของฉันไม่ถูกฆ่าตายก็ต้องกลายเป็นมารอยู่แล้ว ถ้างั้นก่อนอื่น อย่างน้อยช่วยบอกเหตุผลที่นายยินดีเปลี่ยนเป็นมารให้ฉันรู้จะได้ไหม ไม่อย่างนั้นแล้วฉันคงจะเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปจวบจนตัวตาย”

 

นักรบเทพกพอได้ฟังก็ตะลึงงัน

 

นี่มันยอมรับว่าตัวเองกำลังจะตายได้หน้าตาเฉยเลยหรือ? มันไม่หวาดกลัวความตายเลยหรือไร?

 

โง่เง่า แถมยังปากกล้าบอกว่าตนเองไม่กลัวความตายอีก!

 

ไอ้ขยะนี่ …

 

ไอ้ขยะนี่มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย!

 

แต่มันกลับถึงขั้นสามารถหลอกลวงทุกคนได้ …

 

ความไม่ยินยอมอย่างรุนแรง คุกรุ่นอยู่ในทรวงอกของนักรบเทพ

 

นักรบเทพพยายามข่มอารมณ์ของเขา และเงียบไปครู่หนึ่ง

 

“เจ้ามันโง่เง่า!”

 

เขาตะโกนไปทางกู่ฉิงซาน

 

“ในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นมีเพียงการเข้าสู่วิถีมารเท่านั้น ที่จักสามารถชักนำความยุติธรรมมาสู่พวกเราที่อยู่ในระดับล่างสุดได้”

 

“ความยุติธรรม?” คราวนี้สีหน้าของกู่ฉิงซานเผยถึงความประหลาดใจ

 

“ใช่ สำหรับหลายพันล้านปีมาแล้ว ที่โลกระดับบนได้ถูกแบ่งปันกันโดยตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ และพวกเขาก็มีชีวิตมาอย่างยาวนาน ร่วมตัวกันเป็นกลุ่มอำนาจ จนไม่มีใครสามารถไปสั่นคลอนพวกเขาได้อย่างง่ายดาย”

 

“และตัวอย่างที่จริงที่สุด ก็คือสถานที่ๆทุกคนรู้จักกันดี -โลกมิติอนันต์ที่ถูกยึดครองไปแล้วโดยตัวตนทรงอำนาจ”

 

“นอกเหนือจากโลกมิติอนันต์ โลกอื่นๆก็ยังมีตัวตนทรงอำนาจเป็นศูนย์กลางอยู่ดี และเบื้องหลังตัวตนทรงอำนาจเหล่านั้น ก็คือเจ้าพวกระดับจ้าววงการ!”

 

กู่ฉิงซานแสดงออกถึงความคาดไม่ถึงมากขึ้น และส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย “ว่าต่อสิ”

 

“รู้ไหมนี่มันหมายความว่ายังไง? มันหมายความว่าทรัพยากรทั้งหมดตกอยู่ในมือของผู้ที่แข็งแกร่งอย่างพวกจ้าววงการ และหากพวกเราเหล่าหน้าใหม่ต้องการได้มันมาครอบครอง ก็เป็นการยากลำบากยิ่ง! พวกเราจะต้องทำสิ่งต่างๆมากมายเพื่อโลกของพวกเขา ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรที่ปรารถนามา”

 

“ถ้าเจ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็จะถูกเอาเปรียบจากผู้อื่นที่แข็งแกร่งกว่า และจำต้องทุ่มเททั้งเวลาและแรงงานอย่างหนัก”

 

“นี่คือความเจ็บปวดของพวกหน้าใหม่ทุกคน เจ้าเข้าใจรึเปล่า?”

 

“ไร้ซึ่งหนทางที่จะต่อต้าน ต้องจำใจยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายอย่างอดกลั้น ทนทำงานหนักให้แก่พวกเขา หากเป็นเจ้า เจ้าจะยินดีหรือไม่? จงตอบข้ามา!!”

 

“หากเป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรม มันก็เป็นเรื่องปกตินี่ที่จะได้รับค่าตอบแทน” กู่ฉิงซานกล่าวจริงจัง

 

“โง่เง่า! นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่รู้ต่างหากว่าการได้เข้าสู่วิถีมารมันเป็นอย่างไร!”

 

“ฉันอยากจะรู้รายละเอียดเพิ่มเติม”

 

ใบหน้าของนักรบเทพแสดงออกถึงความสุข เขากล่าวทันที “หากต้องทนอยู่แบบนั้น เมื่อเทียบกันกับการต้องเข้าสู่วิถีมารแล้ว มันไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย”

 

“เพราะตราบใดเจ้าอยู่ในวิถีมาร เจ้าก็จะสามารถอาศัยเพียงแต้มพลังวิญญาณ เพื่อแลกเปลี่ยนกับทุกชนิดของอุปกรณ์ที่ต้องการได้เลยโดยตรง แม้กระทั่ง ‘แปะๆ’ — เพียงแค่ใช้แต้มพลังวิญญาณเท่านั้น”

 

ระหว่างกล่าวนักรบเทพก็ตบลงบนหัวของราชามารวิญญาณมรณะ ปากอ้าตะโกนคลั่ง “ตราบใดที่มีแต้มพลังวิญญาณมากพอ เจ้าก็จะสามารถแลกเปลี่ยนกับพลังอำนาจที่ล้างโลกทั้งใบได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำประโยชน์ต่างๆให้แก่ตัวตนทรงอำนาจ นี่ต่างหากที่เป็นความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่สุด!”

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “แต่แต้มพลังวิญญาณที่นายว่ามา มันได้รับมาจากชีวิตของคนอื่นนะ”

 

“ก็แล้วยังไง? เจ้ารู้ไหมว่าข้าต้องรับใช้ตัวตนทรงอำนาจนานเพียงใดกัน กว่าที่จะได้รับอุปกรณ์ที่เหมาะสมกันกับตนเองมา? 10ปี! ข้าจำต้องใช้เวลายาวนานกว่า 10 ปี ถึงจะได้รับมันมา!”

 

“แล้วดูระบบของราชามารสิ – เจ้าก็แค่ต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณของเจ้าออกไปเท่านั้น เพียงเท่านั้นทุกอย่างก็จบแล้ว”

 

“ตราบใดที่แต้มพลังวิญญาณของเจ้ามากพอ เจ้าก็จะสามารถแลกเปลี่ยนอุปกรณ์อันทรงพลังที่เหนือล้ำที่สุดในเวลาใดก็ได้!”

 

นักรบเทพกำหมัดแน่น “นี่ต่างหากคือความยุติธรรม! วิธีที่จะสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของพวกตัวตนทรงอำนาจได้!”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างครุ่นคิด “แต่ฉันได้ยินมาว่า ที่ดินแดนชิงอำนาจการปฏิบัติต่อกันนั้นค่อนข้างจะดีมาก ตราบใดที่นายสามารถต่อสู้ได้-”

 

“ผายลมเถอะ!” นักรบเทพขัดจังหวะเขา “แบบนั้นมันอันตราย! อันตรายมากเกินไป!! แต่กลับกัน ถ้าเจ้าเลือกที่จะใช้แต้มพลังวิญญาณเจ้าก็จะปลอดภัย ที่ต้องทำก็เพียงแค่ฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่ง แล้วเตรียมการณ์ให้พร้อม เฝ้ารออยู่ในที่ปลอดภัยเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานพยายามอธิบาย “แต่การเข้าร่วมกับต้นกำเนิด ต้นกำเนิดมันจะถือว่านายเป็นทาสของมันนะ”

 

คราวนี้เทพนักรบสวนกลับทันควัน “มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วหากเราไม่ทรยศมัน เจ้าก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบาย”

 

“รอให้ระดับของนายสูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆดูเถอะ แล้วนายจะต้องเผชิญกับค่าประสบการณ์ที่มากมายจนไม่อาจคาดคำนวณได้ แล้วนายจะจัดการเรื่องนี้ยังไง” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

 

“ก็เป็นเจ้ามิใช่หรือ ที่อาศัยเหตุผลนั้น ลวงหลอกผู้คนจำนวนมากจนหลายคนคิดว่าต้นกำเนิดเป็นของปลอม” นักรบเทพเยาะหยัน

 

เขาพูดต่อ “ข้าได้ลองขบคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อย่างจริงจังแล้ว และพบว่าคำตอบของมันมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือการฆ่า!”

 

“ภายในโลกนับล้านๆ ย่อมที่จะต้องมีโลกที่อ่อนแออยู่บ้างล่ะน่า ข้าก็เพียงโยนตนเองไปยังโลกใบนั้น และเริ่มฆ่าสังหาร แลกเปลี่ยนความแข็งแกร่งให้ยิ่งสูงขึ้น เพียงเท่านี้โชคชะตาของข้าก็จะถูกควบคุมโดยตนเอง และไม่จำเป็นต้องไปไว้หน้าพวกจ้าววงการอีกต่อไป!”

 

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แล้วตกลงสู่ความเงียบ

 

หลังจากที่เข้าสู่วิถีมาร ผู้คนเหล่านั้นก็ย่อมสามารถที่จะหลบเลี่ยงความพยายามทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย และตราบใดที่ฆ่าสังหาร พวกเขาก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ต่อไป

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบางคนถึงเลือกที่จะเข้าสู่วิถีมาร

 

สิ่งนี้มันแตกต่างไปจากในชีวิตก่อนหน้าของเขาจริงๆ

 

ในช่วงเวลานั้น ผู้คนไม่มีใครคาดคิดเกี่ยวกับการฆ่ากันเองเลย ที่พวกเขาทำก็เพียงรวมกลุ่มกันต่อสู้เท่านั้น

 

ในช่วงเวลานั้นผู้คนต่างอุทิศตนเพื่อสะบั้นศีรษะมารล้างบางมอนสเตอร์ – ปรารถนาที่จะต่อต้านวันสิ้นโลก

 

ในช่วงเวลานั้น ทุกๆคนร่วมมือกับขบคิดอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหาค่าประสบการณ์ที่มากเกินไป แต่ไม่มีใครหันมาคิดจะทำร้ายพันธมิตรเลย

 

เพราะฆาตกรที่สังหารพันธมิตร จะต้องชดใช้ด้วยชีวิตตนเอง

 

นี่คือข้อตกลงร่วมกันของทุกคน และเป็นหลักการพื้นฐานที่สุดในสังคมมนุษย์ที่ได้ปฏิบัติตามมานานหลายปี

 

ทว่ากับโลก 900 ล้านชั้น สถานการณ์ดูจะแตกต่างกันออกไป

 

ระหว่างอารยธรรมมีความแตกต่างกัน ความคิดก็แตกต่างกัน แนวคิดในการคร่าชีวิตจึงย่อมต่างกันเป็นธรรมดา

 

แม้แต่ในอาณาจักรอาชูร่าแห่งโลกหกวิถี อาชูร่าก็ยังเชื่อกันว่าความตายในสนามรบนับว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติ

 

ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกฆ่าตายในสนามรบ หรือว่าผู้ที่เป็นคนฆ่า ทุกคนล้วนเป็นนักรบอันทรงเกียรติ

 

หากกระทั่งในโลกหกวิถียังเป็นเช่นนั้น แล้วจะนับประสาอะไรกับโลกนับล้านๆ!

 

กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย

 

คนเหล่านี้คือผู้เข้าสู่วิถีมาร

 

พวกเขายังไม่เคยได้เผชิญหน้ากับวันสิ้นโลก ดังนั้นพวกเขาเลยคิดและตัดสินใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย

 

เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้เวลาไปกับการฝึกฝนอย่างหนัก

 

หรือไม่ก็

 

ใช้ชีวิตของผู้อื่น เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างรวดเร็ว

 

ตัวเลือกนี้จะเป็นการทดสอบกิเลศของมนุษย์มากเกินไป และบังเอิญว่าพวกเขาก็ดันถูกโยนเข้าไปในอ้อมแขนระบบของราชามารพอดิบพอดี

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม กระทั่งแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ก็ยังหันไปพึ่งพิงเผ่ามาร

 

นักรบเทพกล่าว “เจ้าเข้าใจแล้วรึยัง? ไอ้คนโง่เง่า กระทั่งเรื่องแบบนี้ก็ยังไม่ล่วงรู้ จงถูกทรมานจนตายซะที่นี่เถอะ น่าเสียดายจริงๆที่เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นข้าเติบใหญ่ขึ้นเป็นตัวตนทรงอำนาจในภายภาคหน้า …”

 

ว่าจบ เขาก็ตบลงบนหัวราชามารวิญญาณมรณะและกล่าว “จงไปหักแขนขาของพวกมัน แล้วจากนั้นค่อยปล่อยให้ข้าได้ทรมานพวกมันอย่างช้าๆ”

 

ทว่าราชามารวิญญาณมรณะกลับยังคงนิ่ง

 

“เกิดอะไรขึ้น? ไปจัดการพวกมันสิ!” นักรบเทพตะโกน

 

“ใจเย็นๆก่อน ระบบของราชามารต้องการที่จะสนทนากับเขาสักเล็กน้อย” ราชามารวิญญาณมรณะตอบกลับไป

 

Ep.553 – ราชามารวิญญาณมรณะ

 

ท่ามกลางพายุหิมะ การสนทนาระหว่างกู่ฉิงซานกับต้นกำเนิดยังคงดำเนินต่อไป

 

“กล้าประกาศสงครามกับข้า? เจ้าน่าจะกระจ่างใจดี ว่าตนเป็นเพียงมนุษย์ ขณะที่ข้า ‘ต้นกำเนิด’ เป็นถึงระบบที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกทั้ง 900 ล้านชั้นได้” ต้นกำเนิดกล่าว

 

“ก็แล้วยังไง? ถ้าไม่สู้จะรู้หรือว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ” กู่ฉิงซานเถียง

 

เขามองเข้าไปในภูเขาน้ำแข็ง

 

ลอดผ่านชั้นผิวโปร่งใสของมัน จะสามารถเห็นถึงภายในของตัวภูเขาใหญ่ ที่ค่อยๆปรากฏธารเลือดหลั่งรินเป็นสายลงมาจากยอดเบื้องบน

 

หมอกเลือดสีแดงสดลอยไปตามกระแสน้ำอย่างเงียบๆ 

 

มันค่อยๆไหลลงไปภายในตัวภูเขาน้ำแข็ง และแปรเปลี่ยนสีของน้ำทั้งหมดให้กลายเป็นสีแดง

 

ยอดหิมะน้ำแข็งที่เดิมเป็นสีฟ้า บัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นยอดภูเขาเลือด!

 

หลังจากได้ยินคำพูดของกู่ฉิงซาน ต้นกำเนิดดูเหมือนจะติดอยู่ในความสับสนบางอย่าง

 

มันเอ่ยถาม “ตั้งแต่ที่ข้าถือกำเนิดมาในโลกใบนี้ และได้วิวัฒนาการจากเชื้อไฟมาเป็นต้นกำเนิด กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่ง มีเพียงไม่มีคนที่สงสัยและต่อต้านข้า แต่ก็ไม่เคยมีใครต่อต้านข้าถึงขั้นเจ้ามาก่อนเลย ข้าอยากจะรู้จริงๆว่าเจ้าจะทำแบบนี้ไปทำไมกัน?”

 

กู่ฉิงซานเงยหน้ามองหมอกเลือดที่กำลังแพร่กระจายอยู่ในภูเขาน้ำแข็งและเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “แกลองฟังสิ”

 

ท่ามกลางพายุหิมะ เสียงกรีดร้องเจ็บปวดและร่ำไห้ครวญคร่ำสะท้อนไปมาระหว่างภูเขา ยิ่งนานก็ยิ่งดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ

 

บนยอดน้ำแข็ง การฆ่าสังหารหมู่เริ่มจะรุนแรงขึ้น

 

เลือดสีแดงสดในชั้นผิวน้ำแข็งค่อยๆแผ่ขยายและเข้มข้นขึ้น

 

“เจ้าไม่พอใจเกี่ยวกับพวกเขาหรือ?” ต้นกำเนิดถาม

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองดูเกล็ดหิมะที่ร่วงตกลงจากท้องฟ้าและกล่าว “มันไม่ใช่เพราะพวกเขา”

 

ต้นกำเนิดงงงวย เอ่ยในสิ่งที่คิดออกมา “ข้าไม่เข้าใจ เจ้าไม่เหมือนกับทาสคนอื่นๆเลย ทำไมข้าถึงไม่สามารถควบคุมเจ้าได้? นี่มันช่างแปลกประหลาดจริงๆ เพราะเหตุใดข้าจึงไม่อาจเริ่มต้นกระบวนตัดสินระบบทาสกับเจ้า? เหตุใดข้าถึงไม่สามารถเปลี่ยนเจ้าเป็นมารได้?”

 

“แบบนี้ไม่ดีแน่ เจ้ามันเป็นการดำรงอยู่ที่ผิดแผกเกินไป และจำต้องตายทันที”

 

ว่าจบ เสียงของต้นกำเนิดก็หายไป

 

กู่ฉิงซานก็มิได้เอ่ยสิ่งใดต่อ

 

เขายังคงนั่งอยู่บนหลังม้า กอดลอร่าเอาไว้อย่างเงียบๆ และคอยฟังเสียงที่ดังลงมาจากยอดเขาต่อไป

 

เบื้องบนภูเขา เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองค่อยๆแผ่วลง ทว่าทุกชนิดของเสียงขู่คำรามแปลกๆ กลับค่อยๆดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ

 

ช่วงจังหวะนั้นเอง สายตาของกู่ฉิงซานก็เบนมองไปยังระยะที่ไกลออกไป

 

—ในระยะห่างไกลออกไปจากภูเขาสูงตระหง่าน คือภูเขาที่บ้างสูงบ้างต่ำปะปนกันไป พวกมันทั้งหมดกระจายตัวอยู่โดยรอบ คล้ายกำลังคอยปกป้องภูเขาวิหารทวยเทพนี้

 

กู่ฉิงซานเร่งควบม้าทมิฬไปตลอดเส้นทาง 

 

ในเวลานี้ เริ่มปรากฏให้เห็นถึงจุดดำๆ ผุดขึ้นมาจากยอดเขาอื่นๆที่อยู่ไกลออกไป

 

นั่นคือผู้เข้าสู่วิถีมาร

 

พวกเขาทยอยกันปรากฏตัวขึ้นทีละคน ทีละคน และในไม่ช้าก็ปกคลุมไปตลอดทั้งภูเขาน้ำแข็งน้อยใหญ่ทุกลูก

 

ทั้งหมดถูกขับเคลื่อนโดยต้นกำเนิด -หลายร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารได้ปรากฏกายขึ้นแล้ว!

 

พวกเขาอยู่ตามภูเขาลูกต่างๆ รายล้อมรอบภูเขาหิมะของทวยเทพ และกำลังวิ่งตรงเข้ามา ฉากนี้แลดูคล้ายกับกระแสคลื่นสึนามิ ที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาโถมท่วมทับหอไอเฟลสูงตระหง่าน

 

จุดสีดำกระเพื่อมไหวเป็นระลอกคลื่นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังค่อยๆเร่งความเร็วมากขึ้น

 

“กู่ฉิงซาน .. ”

 

ลอร่าชี้ไปยังภูเขาน้ำแข็งในระยะไกลออกไป ส่งสัญญาณให้เขาดู

 

“ใจเย็นไว้ กว่าจะวิ่งมาถึงที่นี่ได้ พวกมันคงจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง” กู่ฉิงซานปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน

 

ลอร่ายืดคอของเธอ และหันไปมองรอบๆ

 

ตลอดทั้งภูเขาน้ำแข็ง ในทุกๆลูกบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นทะมึน

 

นอกจากนั้น ยังมีจุดดำเล็กๆมากมาย ที่กำลังบินว่อนอยู่บนท้องฟ้าอีกด้วย

 

แม้ว่าจุดดำๆเหล่านั้นจะอยู่ห่างไกลออกไป ทว่าเพียงมองไปยังคลื่นพลังงานที่ผันผวนอยู่ในอากาศ ก็สามารถบ่งบอกได้ว่าคนเหล่านี้มิใช่ตัวตนธรรมดาๆ

 

คนเหล่านี้เลือกที่จะบินมาโดยตรง เห็นได้ชัดว่าในหัวใจกำลังเร่งร้อน!

 

พวกเขากระตือรือร้นที่จะสังหารกู่ฉิงซานกับล่อร่า หมายมั่นจะได้รับรางวัลอันเลอค่าจากต้นกำเนิด

 

จากพื้นดินไปจนถึงท้องฟ้า ศัตรูปิดล้อมพวกเขาอย่างหนาแน่นตลอดทุกทิศทาง

 

ลอร่าอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา และมองไกลออกไป

 

“เป็นยังไงบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“มีคนมากมายเหลือเกิน แม้กระทั่งทุ่งน้ำแข็งที่ห่างไกลออกไป ตอนนี้ก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยจุดดำๆของฝูงชน พวกเขาทั้งหมดกำลังมุ่งตรงมาทางนี้” ลอร่ากล่าว

 

“แล้วมีทั้งหมดประมาณกี่คนกัน?” กู่ฉิงซานถาม

 

ลอร่าหยิบจออิเล็กทรอนิกส์ ทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆออกมา และแนบมันกับกล้องส่องทางไกล

 

“แสดงตัวเลข” เธอสั่ง

 

แล้วตัวเลขบนหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ก็เริ่มกระโดดอย่างดุเดือด ต้องใช้เวลาสักพักเลยทีเดียวกว่าพวกมันจะหยุดลง

 

“275846921”

 

“มีผู้เข้าสู่วิถีมารมากกว่า 200 ล้านคน” ลอร่ากล่าวด้วยความสิ้นหวัง

 

แม้ว่าเธอจะครอบครองสิ่งประดิษฐ์เทวะมากมาย ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของเธอและกู่ฉิงซานเพียงสองคน มันย่อมไม่สามารถขับเคลื่อนสิ่งประดิษฐ์เทวะจำนวนมากในคราเดียวได้!

 

และมันย่อมไม่สามารถใช้สังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดกว่า 200 ล้านคนที่ถูกชักนำมาโดยต้นกำเนิด!

 

กล่าวได้เลยว่าด้วยจำนวนผู้เข้าสู่วิถีมารที่มากมายขนาดนี้ ก็นับว่ามากพอแล้วที่จะกวาดล้างโลกใบหนึ่งทั้งใบ!

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เสียงโหยหวนจากภายในวิหารบนยอดภูเขาน้ำแข็งก็ดับลง

 

นักรบเทพเดินตรงไปยังทางเข้าวิหาร

 

เบื้องหลังเขา คือเผ่ามารที่เดินเรียงกันเป็นแถว และตามเขาออกจากวิหาร

 

นักรบเทพหยุดยืนหน้าประตู ก้มลงมองดูภูเขาน้ำแข็งลูกอื่นๆที่ระดับเตี้ยกว่าในระยะไกลออกไป

 

เขาเห็นถึงการปรากฏกายของผู้เข้าสู่วิถีมารนับไม่ถ้วน

 

“พวกเจ้าคิดจะมาแย่งชิงมันไปจากข้าอย่างงั้นหรือ?” นักรบเทพงึมงำกับตัวเอง

 

แล้วจู่ๆเขาก็หันกลับมา

 

พร้อมด้วยเลือดสีดำที่สาดกระเซ็น!

 

บังเกิดเสียงกรีดร้องของมารเบื้องหลังเขา ตนแล้วตนเล่าร่วงตกลงกับพื้น ร่างกายแยกกระจายเป็นหลายส่วน

 

อย่างไรก็ตามเผ่ามารเหล่านี้ไม่ได้ตายลงเพราะการทดลองเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตเป็นมาร แต่พวกมันถูกสังหารโดยนักรบเทพอย่างโหดร้ายต่างหาก!

 

จนตอนนี้ เหลือเพียงนักรบเทพคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่บริเวณประตูวิหาร

 

แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เลือดที่ไหลรินออกมาตามทวารทั้งเจ็ด -สองตา สองหู สองรูจมูก และหนึ่งปากของเขา ส่งผลให้สภาพเขาดูราวกับภูติผี

 

“เจ้าถามว่าทำไมข้าถึงสังหารพวกมันอย่างงั้นหรอ? แน่นอน ก็เป็นเพราะแต้มพลังวิญญาณไง หรือว่าเจ้าไม่ต้องการแต้มพลังวิญญาณกัน?”

 

นักรบเทพตอบกลับไปในอากาศที่ว่างเปล่า

 

คล้ายกับว่าประโยคเหล่านี้มันไม่มีพลังที่จะโน้มน้าวใจได้มากพอ จู่ๆสีหน้าของนักรบเทพก็เผยถึงความเจ็บปวดยิ่ง ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังทรมานเขา

 

นักรบเทพฝืนอดทนอย่างไม่ยินยอม พยายามอธิบายต่อว่า “แน่นอนว่าข้าย่อมรู้ดี ว่าการสังหารฝ่ายเดียวกันมันไม่ถูกต้อง แต่ปัจจุบันพวกเรามีเรื่องที่สำคัญยิงกว่าต้องทำ นั่นก็คือฆ่าเจ้าคนๆนั้นซะ-”

 

เนื่องด้วยความเจ็บรุนแรงที่ถาโถมลงมาอย่างต่อเนื่อง นักรบเทพทนไม่ไหวจำต้องคุกเข่าลงและกระอักเลือดออกมา

 

ความเจ็บปวดยิ่งนานยิ่งสาหัส จนเขาต้องลงไปนอนกลิ้งบนพื้นหิมะ คร่ำครวญอย่างกับคนบ้า

 

แต่ก่อนที่เขาจะถูกทรมานจนตายลง ด้วยความโกรธแค้นที่มี นักรบเทพจึงเปล่งเสียงคำรามลั่น “ข้าคือผู้นำของ 800 ผู้เข้าสู่วิถีมาร! ข้าได้สังหารสิ่งมีชีวิตโบราณไปมากมาย! และสังหารพวกฝ่ายเดียวกันไปเช่นกัน ฉะนั้นตอนนี้ มันก็น่าจะได้แต้มพลังวิญญาณมามากพอแล้ว”

 

“ข้าอยากจะขอแลกแต้มพลังวิญญาณเหล่านี้ทั้งหมดกับเจ้า! ช่วยแลกเปลี่ยนกับอะไรก็ได้ที่จะสามารถสังหารเจ้าคนจากสมาคมกำปั้นเหล็กให้ได้อย่างแน่นอนด้วยเถอะ -ข้าต้องการสังหารพวกมัน!”

 

ไม่ทราบว่าตรงประโยคไหนของส่วนนี้ที่ไปสะกิดใจของต้นกำเนิด

 

ทันใดนั้นเอง เลือดตามทวารทั้งเจ็ดของนักรบเทพก็หยุดไหล ความเจ็บปวดทั่วร่างกายหายไปในพริบตา

 

เขานอนแผ่อยู่บนพื้นน้ำแข็ง ปากอ้าค้างสูดลมหายใจถี่รัว ก่อนจะพยายามลุกขึ้น

 

เห็นแค่เพียงมือของนักรบเทพที่กดลงไปในความว่างเปล่า ปากข้าขยับด้วยความเหนื่อยล้า “แลกเปลี่ยนอสูรกาย : ราชามารวิญญาณมรณะ”

 

นี่คือหน้าต่างแลกเปลี่ยนรางวัลที่กู่ฉิงซานเคยเห็นในตอนแรก และเจ้าอสูรกายตนนี้ คืออสูรกายที่ร้ายกาจที่สุดจากในบรรดารายชื่ออสูรกายทั้งหมด!

 

ความแข็งแกร่งของมันเหนือล้ำยิ่งกว่าอสูรกายประเภทดัดแปลง เป็นอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลที่ครอบครองทุกชนิดของความสามารถอันน่าตื่นตะลึง!

 

แต้มพลังวิญญาณของนักรบเทพถูกสูบกินจนสิ้น

 

ในสายตาของเขา บรรทัดตัวอักษรเรืองรอง ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ

 

นักรบเทพกวาดสายตามองคำเหล่านี้ ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “ต้นกำเนิด ข้าขอเสนอแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดแด่เจ้า เพื่อทำการแลกเปลี่ยน ‘ราชามารวิญญาณมรณะ’ ให้ออกมารับใช้”

 

วินาทีต่อมา ดูเหมือนว่าจะปรากฏอะไรบางอย่างขึ้นในความว่างเปล่า

 

แม้นี่ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่อย่างเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตโบราณ และอยู่ในอีกโลกหนึ่ง แต่กลิ่นอายน่าเกรงขามที่หลุดลอดออกมา ไม่ว่าผู้ใดได้สูดดมก็อดไม่ได้ที่จะขนหัวลุก -เมื่อถูกเรียกออกมา ดวงตาของมันก็เปิดออกและมองมายังอีกฟากมิติ

 

นักรบเทพร้องร่ายคาถาสรรเสริญ “มารวิญญาณมรณะ! ราชาผู้คอยกลืนกินจิตวิญญาณ จงคืบคลานออกมาจากโลงในหุบเหวลึกเสีย ระบบหมื่นสวรรค์ต้นกำเนิดกำลังเรียกขานเจ้า!”

 

ปัง!

 

บังเกิดเสียงกระหน่ำ! อากาศที่ว่างเปล่าแยกออก

 

ตามด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเปี่ยมบารมีเดินออกมา

 

มันเอื้อมมือกลับไปยังความว่างเปล่า แล้วดึงมงกุฏออกมาสวมบนหัว จากนั้นจึงหันมองไปยังนักรบเทพ

 

“เพื่อระบบหมื่นสวรรค์ต้นกำเนิด ข้าจักสังหารหมู่ศัตรูของเจ้า”

 

สิ้นเสียง ราชามารวิญญาณมรณะในรูปลักษณ์หมาป่า ทั้งตนทั้งร่างของมันก็พลันลุกไหม้ ปะทุไปด้วยเปลวเพลิงอันมืดมิด 

 

มันมองออกไปยังกลุ่มภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ห่างไกลออกไป

 

“อ่า … ศัตรูคงจะเป็นหลายร้อยล้านคนตรงนี้สินะ แม้พวกมันจะอ่อนแอ แต่ก็คงจะใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ … ไม่สิ พวกมันไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นทาสของระบบ”

 

ราชามารวิญญาณมรณะลองเพ่งสำรวจโดยรอบอย่างต่อเนื่อง

 

“เห็นแล้ว ตรงระหว่างครึ่งทางขึ้นเขา มีหนึ่งผู้ฝึกยุทธกับอีกหนึ่งวิหคหนาม ศัตรูมีแค่สองคนเท่านั้นเองหรือ?”

 

ราชามารวิญญาณมรณะดูจะประหลาดใจเล็กน้อย มันหันกลับมามองนักรบเทพ

 

“ชะ .. ใช่แล้วล่ะ”  นักรบเทพตอบรับอย่างตะกุกตะกัก

 

เพียงแค่ได้จ้องมองราชามารวิญญาณมรณะ จิตใจของนักรบเทพก็สั่นสะท้านอย่างไม่อาจข่มกลั้นได้

 

เขาเป็นถึงผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ และข้ามผ่านประสบการณ์ต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ในขณะนี้กลับถูกกดดันอย่างหนัก กระทั่งน้ำเสียงก็ยังมิอาจควบคุมได้

 

ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม มันได้ฉีกกระชากความมั่นใจของเขาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย 

 

ท่ามกลางอาการเหม่อลอย สติของนักรบเทพก็เริ่มฟื้นคืนอีกครั้ง

 

การที่เขาสามารถสั่งการพลังอำนาจเช่นนี้ได้ นั่นย่อมหมายความว่าตนสามารถฉีกทึ้ง ทรมานอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

 

เมื่อได้ยินคำยืนยันจากนักรบเทพ ราชามารวิญญาณมรณะก็ดูจะถอนหายใจด้วยความผิดหวัง

 

มันเหยียดกรงเล็บอันแหลมคมออกไป และสะบัดเบาๆ “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของพวกมัน … มันอ่อนแอเกินไปสำหรับข้า ข้าเพียงดีดนิ้วเดียวก็สังหารพวกมันได้แล้ว”

 

“ฮะฮ่าฮ่า!”

 

นักรบเทพเหยียดแขนอออกไปและหัวเราะคลุ้มคลั่ง “น้องชายของข้าเอ๋ย ข้ากำลังจะล้างแค้นศัตรูอันน่าเกลียดชังให้กับพวกเจ้าแล้ว!”

 

“แน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคือเป้าหมาย แต่ขอเจ้าจงอย่าพึ่งสังหารพวกมันให้ตกตายลงในทันทีนะ เข้าใจไหม?” นักรบเทพเอ่ยสั่ง

 

“อยากจะทรมาณพวกมันสินะ? ตกลง ตามที่เจ้าปรารถนา”

 

ราชามารวิญญาณมรณะหยิบนักรบเทพมาวางไว้เหนือหัวของมัน ก่อนที่ทั้งตนทั้งร่างจะโน้มกายลง และตู้ม! โฉบลงจากยอดเขา

 

Ep.552 – ประกาศสงคราม

 

บนยอดภูเขาน้ำแข็ง

 

ภายในวิหารของเหล่าทวยเทพ

 

มากกว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์

 

บางคนฉวยไปหยิบอาวุธขึ้นมาในมือ และเดินตรงไปยังมอนสเตอร์ที่สูงใหญ่ราวกับภูเขา

 

“นั่นนายคิดจะทำอะไรน่ะ?” เพื่อนของเขาเอ่ยถาม

 

“ก็ในเมื่อจะได้ออกไปจากที่นี่ในเร็วๆนี้แล้ว ฉันเลยกะจะเอาชิ้นส่วนของเจ้าสิ่งมีชีวิตโบราณนี้ไปด้วยน่ะสิ  เผื่อว่าจะขายได้เงินมาใช้เล็กๆน้อยๆบ้าง”

 

ชายคนนั้นเดินไปยังร่างของมอนสเตอร์และยกอาวุธของเขาขึ้น

 

แต่แล้วทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ตัวแข็งค้างไปอย่างกระทันหัน

 

เพราะในสายตาของเขา หน้าต่างต้นกำเนิดที่ถอนการติดตั้งไปแล้ว ดันปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง

 

“อ่าว? นี่มันไม่ได้ถูกลบออกไปแล้วหรอกหรอ?” ชายคนนั้นกล่าวด้วยความประหลาดใจ

 

เห็นแค่เพียงหนึ่งบรรทัดตัวอักษรที่เด้งเตือนขึ้นบนหน้าต่างต้นกำเนิดอย่างรวดเร็ว

 

“การถอนการติดตั้งโปรแกรมได้ถูกยกเลิก”

 

“ระบบได้ดำเนินการตรวจเช็คสถานะของคุณแล้ว และสุดท้ายก็ได้รับการตัดสินใจว่าสมควรเป็น : ทาส”

 

“ในฐานะทาส คุณไม่มีสิทธิ์ถอนการติดตั้งต้นกำเนิด!”

 

“คุณได้เพิกเฉยต่อคำเตือนหลายสิบประการ และเลือกที่จะทรยศต่อต้นกำเนิด”

 

“จากการทรยศนี้ ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำการเพิกถอนสิทธิ์ทั้งหมดของคุณ”

 

“จะเริ่มการกำจัด ในอีกสามวินาทีต่อจากนี้”

 

“สาม”

 

“สอง”

 

“หนึ่ง”

 

“การทดลองเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตเป็นมาร .. เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!”

 

สิ้นบรรทัดดังกล่าว ข้อความทั้งหมดก็หายไป

 

ขณะเดียวกัน ก็เริ่มบังเกิดพลังอำนาจบางอย่างค่อยๆผลุบออกมาจากร่างกายของเขา

 

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”

 

ชายคนนั้นอุทานด้วยความประหลาดใจ

 

เขาพบว่าร่างกายของตนเริ่มที่จะร้อนขึ้น ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าพลังบางอย่างกำลังเดือดพล่านและใกล้จะระเบิดออกจากร่างกาย

 

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้วมันก็มิได้ระเบิด เพราะดันเกิดสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังขึ้นมาซะก่อน

 

โผล๊ะ!

 

อุ้งเท้ายาวแหลมคม จู่ๆก็ทิ่มออกมาจากด้านหลังของชายคนนั้น แทงทะลุเข้าหน้าอก เสียบกระชากเอาหัวใจออกมาอยู่เบื้องหน้าในสายตาของเขา

 

ชายคนนั้นอาเจียนออกมาเป็นเลือดทันที และไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะเอ่ยปากพูด ทำได้แต่จ้องมองหัวใจที่กำลังเต้นอยู่บนอุ้งเท้าที่ว่านี้

 

แล้วหัวของเขาก็ค่อยๆตกลงอย่างช้าๆ

 

เขาตายไปแล้ว …

 

เบื้องหลังเขา คือเพื่อนอีกคนที่พึ่งเสร็จสิ้นการแปลงเป็นมาร และกลายสภาพเป็นมอนสเตอร์ห้ากรงเล็บสูงสามเมตรกำลังยืนอยู่

 

“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ..”

 

มอนสเตอร์พยายามที่จะเปล่งเสียงพูดอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับว่ากำลังพยายามที่จะอธิบายบางด้วยความร้อนรน

 

แต่ในไม่ช้า มันก็ถูกดึงดูดโดยหัวใจที่กำลังค่อยๆหยุดเต้นบนอุ้งเท้าตัวเอง

 

พริบตานั้นมันพลันลืมเลือนทุกสิ่งอย่าง ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวแหลมอ้ากว้าง และงับ! กลืนหัวใจดวงนั้นไป

 

หัวใจวิ่งลงผ่านลำคอของมัน เข้าสู่ร่างกาย วินาทีนั้นเอง มันสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

 

ดูเหมือนว่าเลือดและเนื้อสดๆ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ใช้ในการวิวัฒนาการ!

 

โฮกกกก-

 

มอนสเตอร์หอนลั่น

 

มันต้องการเลือดเนื้อมากกว่านี้!

 

เสียงคำรามของมันคล้ายกับเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้น

 

เพราะสิ้นจังหวะนี้ การทดลองเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตเป็นมารก็เริ่มปรากฏขึ้นท่ามกลางผู้เข้าสู่วิถีมารจำนวนมาก

 

มากกว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมาร เคยข้ามผ่านร้อนหนาวมามากมาย หากไม่พบเผชิญกับเรื่องราวอะไรที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ พวกเขาย่อมไม่มีทางหวีดร้องออกมาอย่างแน่นอน

 

ทว่าเดิมทีในวิหารที่เงียบสงบ บัดนี้กลับฟุ้งไปด้วยเสียงกรีดร้องขึ้นทันใด

 

เลือดและเนื้อสาดบินว่อนไปทั่ว

 

เหล่ามอนสเตอร์อาละวาดคลั่ง!

 

ทันใดนั้นเอง วิหารบนยอดเขาของทวยเทพก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นนรกทุ่งสังหาร!

 

นักพรตเทพ ตาเทพ และนักรบเทพ ถอยฉากออกมา

 

พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในมุมที่มิดชิด ยืนหันหลังเข้าด้วยกัน ถืออาวุธในมือ จัดกระบวนทัพอยู่ในการป้องกันอย่างเต็มรูปแบบ

 

ทางด้านซ้ายมือของพวกเขา ร่างของชายคนหนึ่งถูกแหวกออก แตกกระจายกลายเป็นกองเนื้อสับ

 

“สถานการณ์นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?” นักรบเทพเอ่ยถามเสียงต่ำ

 

“ข้ากำลังสังเกตอยู่” ดวงตาของตาเทพสาดแสงสีม่วงออกมา และกวาดมองไปยังฝูงชนทั้งหมด

 

เบื้องหน้าของทั้งสาม อีกหนึ่งผู้เข้าสู่วิถีมารโหยหวนอย่างคลุ้มคลั่ง

 

เห็นแค่เพียงร่างของชายคนนั้นบวมปูดขึ้นอย่างรวดเร็ว 7-8กระดูกยาวแหลมงอกออกมาจากลำคอของตน ส่งผลให้หัวมีขนาดยาวและใหญ่โตยิ่ง ทั้งๆที่ในส่วนร่างกายกลับเล็กจ้อย

 

เขาได้กลายเป็นมอนสเตอร์ไปแล้ว!

 

มองข้ามผ่านมอนสเตอร์ตัวนี้ไป คุณจะพบว่าตลอดทั้งวิหารได้จมลงสู่ความวุ่นวายโดยสมบูรณ์

 

ผู้เข้าสู่วิถีมารจำนวนมากได้สูญสิ้นเลือดและเนื้อหนังทั้งหมดของตนไปโดยสิ้นเชิง บ้างก็ตัวแตกระเบิดออก บ้างก็กลิ้งไปมาบนพื้นดิน ร่ำไห้ครวญครางด้วยความขมขื่นและค่อยตายลง

 

อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้เข้าสู่วิถีมารบางส่วนเหมือนกันที่สามารถกลายร่างได้สำเร็จ เปลี่ยนโฉมเป็นมอนสเตอร์ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป

 

มอนสเตอร์เหล่านี้ได้สูญสิ้นสติปัญญา และเริ่มเข่นฆ่าผู้เข้าสู่วิถีมารคนอื่นๆที่ยังไม่กลายร่างอย่างบ้าคลั่ง

 

“เผ่ามารล่ะ! พวกเขากลายเป็นเผ่ามารไปแล้ว!” ตาเทพตะโกนเสียงดัง

 

“จริงๆหรือ? เรื่องนี้แน่ใจว่าไม่ผิดพลาดใช่ไหม?” นักพรตเทพใจสั่นสะท้าน เร่งเอ่ยถาม

 

“นี่คือเผ่ามารระดับต่ำ ข้าเคยได้เห็นมันมาก่อนอยู่หลายครั้ง  มีหลายตนที่เคยปรากฏขึ้นในหนังสือภาพ” คู่แสงสีม่วงของตาเทพกล่าวยืนยัน

 

“ถ้าอย่างงั้น นี่คงจะเป็นฝีมือของเจ้าคนจากสมาคมกำปั้นเมื่อครู่ใช่ไหม?” นักรบเทพเอ่ยถามทันควัน

 

น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ทว่าภายใต้สภาพการณ์ที่แสนจะวุ่นวายในปัจจุบัน อีกสองคนไม่มีใครมามัวสนใจกับน้ำเสียงที่กำลังสั่นเครือนี้

 

“ไม่ใช่ ข้าคอยเฝ้าดูเขาอยู่ตลอดเวลา และเขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลยนอกจากบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ”

 

ตาเทพกล่าวต่อ “การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากภายในร่างกายของทุกคนเอง มีพลังงานบางอย่างเป็นตัวกระตุ้นมัน เหมือนกับว่าจู่ๆพลังที่ว่าก็ออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าอย่างกระทันหัน”

 

“นี่คงจะเป็นฝีมือของ ‘ต้นกำเนิด’ ชักช้าไม่ได้แล้ว พวกเราจะต้องรีบหนีทันที!” นักพรตเทพเตือนทั้งสองด้วยความตื่นตระหนก

 

ทว่าก็มิอาจกล่าวอะไรไปได้มากกว่านั้นอีกแล้ว

 

เพราะหัวของนักพรตเทพได้หายวับไป

 

เห็นแค่เพียงมอนสเตอร์ที่สูงใหญ่กว่า 5 เมตร ตัดศีรษะของเขาด้วยแขนที่มิแตกต่างไปจากเคียวแหลม และโยนมันลงไปเคี้ยวๆๆๆในปากใหญ่

 

“พี่ชาย ข้า .. ข้าไม่ได้อยากจะกินท่านเลยนะ”

 

มอนสเตอร์สูงใหญ่ 5 เมตรพูดกับเขาขณะที่ยังคงเคี้ยวอยู่

 

และบนใบหน้าของมัน … ปรากฏถึงคู่ดวงตาสีม่วงที่กำลังเฉิดฉายอยู่

 

ถ้าหากก่อนหน้านี้คุณได้อ่านถึงการบอกเล่าอย่างพิถีพิถัน คุณจะทราบได้ในทันทีว่ามอนสเตอร์ตรงหน้า … ก็คืออดีตตาเทพ!

 

มอนสเตอร์ที่กำลังเคี้ยวกินอาหาร จู่ๆทั้งตนทั้งร่างของมันก็เริ่มสั่นสะท้าน

 

“ไม่นะ! ข้าไม่อยากกลายเป็นมาร!” มอนสเตอร์คำราม

 

มันยกเคียวแหลมของตนขึ้น และฉับ! ตัดเข้าใส่ศีรษะของตนเอง

 

ปัง!

 

ร่างของมอนสเตอร์ร่วงตกลงกับพื้น

 

แขนขาทั้งหมดของมันแหลกสลาย กลายเป็นแอ่งเลือดที่ชุ่มไปด้วยเนื้อนุ่ม

 

ในชั่วพริบตาเดียว สองในสามตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มก็ตกตายลง

 

หลงเหลือแค่เพียงนักรบเทพที่ยังคงอยู่นิ่งอยู่อย่างเงียบๆ

 

–เขาเป็นเทพที่ทรงพลัง และเป็นผู้นำของเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกลุ่มนี้

 

เขามักจะสงสัยในคำพูดของกู่ฉิงซานตลอดมา และเลือกที่จะเฝ้าดูฝูงชนอย่างเงียบๆ

 

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เคยคิดที่จะถอนการติดตั้งต้นกำเนิดเลย

 

ท้ายที่สุดแล้ว ตลอดทั้ง 800 คนในวิหาร มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้ถอนการติดตั้งต้นกำเนิด

 

มอนสเตอร์ทั้งหมดหลีกเลี่ยงเขา

 

นั่นเพราะเขายังคงเป็นผู้เข้าสู่วิถีมาร ยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองจากต้นกำเนิด

 

นักรบเทพคุกเข่าลง ยื่นที่ไปตบเบาๆบนศพไร้หัวของนักพรตเทพ และศพของมอนสเตอร์ที่มีคู่ดวงตาสีม่วง

 

“น้องทั้งสองของข้า … ”

 

สองธารเลือด ไหลลงมาเป็นสายจากในดวงตาของเขา

 

“กลับกลายเป็นว่าพวกเราถูกหกลอกโดยเจ้าผู้ชายคนนั้น”

 

“นี่คือ ‘ต้นกำเนิด’ ของจริง มันคือระบบราชามาร แต่คนๆนั้นกลับหลอกลวงพวกเรา!”

 

“พวกเจ้าวางใจเถอะ ข้าจะสังหารเขาให้จงได้”

 

“ข้าขอให้คำมั่นสาบาน ว่าจะเอาหัวของมันมาเซ่นไหว้แก่พวกเจ้า!”

 

เขาปาดน้ำตาเลือด ผุดลุกขึ้น และเดินตรงออกไปยังนอกวิหาร

 

ขณะที่เบื้องหลังเขา มอนสเตอร์ที่รอดชีวิตมาได้ต่างพากันหยุดต่อสู้ลง

 

และทั้งหมดก็ติดตามนักรบเทพ เดินออกจากตัววิหารไป

 

 

ย้อนเวลากลับมาสักเล็กน้อย

 

ภายในวิหาร การทดลองเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตเป็นมารพึ่งจะเริ่มต้นขึ้น

 

บังเกิดเสียงร้องตะโกนอนาถา น่าสยดสยองดังขึ้นจากบนยอดเขา ตัดผ่านสายลมและหิมะ ก้องกังวานไปตลอดทั้งสารทิศ

 

มันสะท้อนไปตลอดทั้งเนินเขา

 

ในทุกทิศทาง จะเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้สาปแช่ง ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก

 

ณ ครึ่งทางของตัวภูเขาหิมะ

 

“พวกเราจะรออยู่ที่นี่” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ม้าทมิฬหยุดฝีเท้าลง

 

ลอร่าลงมาจากไหล่เขา และหดตัวกลับเข้าไปในอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนหลังม้า และลูบหลังเธอเบาๆ

 

ในสายตาของเขา หน้าต่างสีแดงเข้มของต้นกำเนิดสาดแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง

 

ในที่สุด มันก็เปลี่ยนกลับคืนจากสีเทาเสียที

 

“ว่าไง ไม่ได้แกล้งทำเป็นตายแล้วหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างช้าๆ

 

เชื้อไ- ไม่สิ สมควรที่จะเรียกว่า ‘ต้นกำเนิด’ แล้ว มันตอบกลับมาด้วยความโกรธ กระทั่งน้ำเสียงและการเรียกขานต่างๆก็พลันเปลี่ยนไป “ไอ้เจ้าคนขี้ขลาด โป้ปดหลอกลวง จอมทำลายแผนการ นี่เจ้าต่อต้านข้าอีกแล้วนะ! ทำไมกัน ทำไมถึงต้องทำแบบนี้?”

 

กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง มิได้เอ่ยสิ่งใด

 

“ไอ้เจ้าคนบาป เจ้าหลอกลวงพวกเขา ทำให้พวกเขาทรยศระบบ! เจ้าสังหารสหายพันธมิตรที่อยู่ฝ่ายเดียวกันไปกว่า 800 คน!”

 

“ไม่นะ พวกมันไม่ใช่เพื่อนหรือพันธมิตรของฉันซักหน่อย” กู่ฉิงซานค้าน

 

“แต่พวกเขาก็เหมือนกับเจ้า ที่มีระบบคอยช่วยเหลือ เดิมทีเจ้าสามารถคอยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขาก็ได้ และจะกลายเป็นกองกำลังที่ทรงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ แต่เจ้ากลับหันหลังให้กับระบบ และวางแผนฆ่าพวกเขา!”

 

“ขอแก้ตัวนะ ก่อนอื่นเลยแกต่างหากที่ฆ่าพวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ “อีกอย่าง คนเหล่านี้ฆ่าคนบริสุทธิ์ด้วยความโหดร้ายไปมากมายเพื่อไขว่คว้าความมั่งคั่งและแข็งแกร่ง ฉะนั้นฉันคิดว่าโชคชะตานี้ ที่พวกมันได้รับ คือสิ่งที่สมควรแล้ว”

 

ต้นกำเนิดพอได้ฟังก็ตกลงสู่ความเงียบ

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “และการตายของพวกมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น สงครามระหว่างแกกับฉันมันจะยังคงดำเนินต่อไป”

 

“ไอ้ขี้ขลาด เจ้ามันก็แค่เผ่ามนุษย์ตัวจ้อย เป็นการดำรงอยู่ที่ต่ำตมที่สุดในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น เจ้าคิดจะประกาศสงครามกับข้าอย่างงั้นเหรอ” ต้นกำเนิดสบถด้วยความโกรธ

 

“ก็เออสิวะ”

Ep.551 – ความโศกเศร้า

 

กู่ฉิงซานหันไปขยิบตาให้ลอร่า ส่งสัญญาณว่าให้เธอรอก่อน

 

เขาตะโกนไปทางฝูงชนที่กำลังวุ่นวายว่า “ทุกคนเงียบก่อน”

 

“ฉันได้รับความไว้วางใจจากทางราชวงศ์หนาม ให้มาจัดการเรื่องนี้”

 

“ดังนั้นอันดับแรก ทุกคนรู้ไหมว่า ทำไมระบบที่ดาวโหลดมา มันถึงสั่งให้ฆ่าฉัน?”

 

“ไม่รู้เหมือนกัน” หลายคนตอบเสียงดังฟังชัดกลับมา

 

“นั่นก็เพราะตัวฉันเองก็เคยใช้เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด ที่เป็นของปลอมนี้มาก่อนนั่นเอง ฉันเลยรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันไง”

 

“และเนื่องจากประสบการณ์ที่ฉันมี ดังนั้นหลังจากที่ชั่งน้ำหนักในจิตใจดูแล้ว บุคคลภายนอกจึงตัดสินใจส่งฉันมา ให้เป็นผู้รับผิดชอบและอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ

 

เมื่อกี้ … เขาบอกว่าตัวเองเคยใช้ต้นกำเนิดของปลอมมาก่อนงั้นหรอ?

 

ในหัวใจของทุกคนอดไม่ได้ที่จะเกิดข้อสงสัยใหม่ขึ้น

 

แต่เดิม ตั้งแต่ที่เจ้าเด็กจากสมาคมคนนี้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเจ้าหญิงหนาม ทุกคนก็เกิดความสงสัยมากพออยู่แล้ว

 

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดมา มันมีเหตุผลและข้อรองรับมากเหลือเกิน

 

แถมตอนนี้ เขายังเอ่ยปากออกมาว่าตนเคยได้ใช้ระบบปลอมนี้มาก่อนอีก

 

“ใช่แล้วล่ะ ถ้าพวกนายสงสัยอะไรเกี่ยวกับเจ้าสิ่งหลอกลวงนี้ล่ะก็ สามารถลองถามฉันได้เลยโดยตรง”

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยกนิ้วโป้งชี้มาที่ตัวเองและกล่าวต่อ “อันที่จริงทุกคนกก็น่าจะคิดได้กันแล้วนะ ว่าเหตุผลที่ฉันต้องตกเป็นเป้าหมายในการกำจัดของมัน นั่นเป็นเพราะว่าฉันสามารถถอนการติดตั้ง

… หลุดพ้นจากมันได้สำเร็จแล้วนั่นเอง”

 

ถอนการติดตั้งงั้นหรอ!

 

ทุกคนตะลึงงันอีกครั้ง

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ภายในจิตใจของทุกคนก็ยิ่งเกิดความสับสนมากขึ้น

 

“นี่เจ้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันจริงๆน่ะหรอ” นักรบศักดิ์สิทธิ์ถามเสียงทุ้มลึก

 

“ใช่แล้วล่ะ ตัวอย่างก็เช่น – มันจะสัญญากับพวกนายว่า ตราบใดที่ฆ่าฉันได้ พวกนายจะได้รับรางวัลมากมาย , สามารถหลบเลี่ยงการไล่ล่า และสามารถกลับไปยังสถานที่ปลอดภัยได้”

 

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหน้าต่างต้นกำเนิดของพวกเขา

 

“อีกตัวอย่างหนึ่งก็คงจะเป็น ตอนนี้มันคงจะแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเอง โดยการซ่อนจำนวนค่าประสบการณ์ไปแล้ว โดยบอกมาว่าหน้าต่างข้อมูลในส่วนนั้นกำลังปรับปรุง และอัพเดตอยู่” กู่ฉิงซานกล่าวต่อ

 

สายตาของฝูงชนยังคงจดจ่ออยู่กับหน้าต่างระบบ กวาดอ่านไปยังบรรทัดตัวอักษรที่พึ่งโผล่ขึ้นมาด้านบน

 

มันเป็นไปได้ยังไง!?

 

เขารู้จริงๆงั้นหรือนี่!

 

แท้จริงแล้ว นับตั้งแต่ที่เรื่องนี้ถูกแฉออกมา พวกเขาจะไม่สามารถตรวจสอบถึงค่าประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับการยกระดับในแต่ละครั้งได้อีกต่อไป

 

กู่ฉิงซานเห็นสีหน้าของผู้คน ในหัวใจของเขาก็บรรเทาความตึงเครียดลงไปได้อีกเล็กน้อย

 

อันที่จริงแล้ว ระบบราชามารที่เรียกกันว่าเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online นี้ มันเต็มไปด้วยภูมิปัญญา และหลักแหลมไม่เบาเลย

 

ในความเป็นจริง ช่วงชีวิตก่อนหน้าของเขา เมื่อเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online มาเยือน ข้อมูลทั้งหมดของมันก็เปิดกว้างให้ทุกผู้คนได้รับชมเช่นกัน

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะค่อยๆเริ่มปกปิดข้อมูลบางส่วนทีละน้อย ทีละน้อย

 

ซึ่งนี่หมายความว่ามันสามารถเรียนรู้ , พัฒนา และกลบจุดอ่อนของตนเองได้!

 

ซึ่งความคิดอ่านนี้ สำหรับอารยธรรมทั้งหลายแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่ง!

 

เมื่อวันเวลาผ่านไป มันก็จะกลายเป็นเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online – รู้จักเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองเพื่อที่จะติดต่อกับมนุษย์ และแฝงตัวเข้าไปอยู่ด้วยกันกับเป้าหมาย

 

นอกจากนี้ มันยังรู้จักการใช้ประโยชน์จากอารมณ์ความรู้สึกอยากได้อยากมีตามธรรมชาติของมนุษย์ ในการหลอกล่อให้ดาวโหลดและทำตามที่มันต้องการได้อีก

 

แม้กระทั่งในชีวิตนี้ มันก็ยังแสร้งปลอมตัวเองเป็นเชื้อไฟที่จำต้องใช้แต้มพลังวิญญาณในการแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ เพื่อพยายามที่จะหลอกลวงกู่ฉิงซานอีกด้วย

 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อว่า “และมันจะต้องบอกพวกนายอย่างแน่นอนว่า ไม่ต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับค่าประสบการณ์”

 

“ซึ่งฉันคิดว่าคำเดิมที่มันบอกก็คงจะเป็น–”

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามย้อนนึกไปถึงทุกเรื่องราวในชีวิตก่อนหน้า

 

แล้วก็พบกับสองประโยคสั้นๆ ที่ตราตรึงอยู่ในท่ามกลางวันเวลาเหล่านั้น

 

“เมื่อคุณสามารถไปถึงระดับที่สูงขึ้น คุณจะสามารถเดินทางไปยังโลกนับล้านๆ ที่ซึ่งมีเป้าหมายให้เฟ้นหาอย่างไร้ที่สิ้นสุด”

 

“คุณจะได้เริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเดิม และจะได้รับค่าประสบการณ์มากมาย ดังนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องการยกระดับไป”

 

ฝูงชนถึงขั้นกลั้นหายใจ

 

เพราะบนหน้าต่างของต้นกำเนิด ในทุกๆบรรทัดตัวอักษร มันขีดเขียนไว้ไม่แตกต่างไปจากคำพูดของกู่ฉิงซานเลย!

 

กู่ฉิงซานเริ่มพูดอย่างรวดเร็ว และทุกๆคำที่เขาพูด มันก็ได้นำหน้าตัวอักษรของหน้าต่างต้นกำเนิดไปราวๆ หนึ่งหรือสองวินาที ที่กำลังปล่อยข้อมูลดังกล่าวออกมา

 

และผลที่ตามมาก็คือ 800 คนที่กำลังมองหน้าต่างต้นกำเนิดอยู่ ได้ค้นพบว่าบรรทัดตัวอักษรเหล่านั้นตรงตามกับคำอธิบายของกู่ฉิงซานที่เอ่ยขึ้นก่อนหน้า

 

ไม่มีคำผิดเลย! แถมยังไม่ตกหล่นสักนิด!

 

เขาจะสามารถรู้ถึงมันได้อย่างไร หากเขาไม่เคยได้เผชิญกับเนื้อหาทั้งหมดนี้มาก่อนแล้ว?

 

ในความเป็นจริง กู่ฉิงซานก็ไม่ได้โกหกพวกเขานะ

 

เพราะในสิบปีที่ผ่านมา

 

เขาอยู่ร่วมกันกับต้นกำเนิดมาโดยตลอด และเข้าใจเกี่ยวกับมันอย่างแท้จริง

 

ภายในวิหารบรรพกาลที่ถูกหล่อหลอมขึ้นด้วยผลึกน้ำแข็ง บรรยากาศที่แต่เดิมเย็นสบาย บัดนี้ฟุ้งไปด้วยความหนักอึ้ง

 

800 ผู้เข้าสู่วิถีมารตกลงสู่ความเงียบ

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

 

โครม เคร้ง …

 

ภายใต้เสียงถอนหายใจของทุกผู้คน ฝูงชนต่างพากันโยนสิ่งประดิษฐ์เทวะที่แลกเปลี่ยนมา ทิ้งลงบนพื้นผลึกน้ำแข็งอย่างไม่ใยดี

 

คงไม่ผิดแล้วล่ะ ดูเหมือนว่าที่อีกฝ่ายพูดจะเป็นความจริง

 

ตอนนี้ พวกตนคงตกหลุมพรางแน่นอนแล้ว

 

แต่ในเมื่อมีบุคคลคนนี้มาอยู่ที่นี่เพื่อรับมือกับต้นกำเนิดโดยเฉพาะ ถ้าอย่างงั้นเรื่องเลวร้ายคงจะจบลงในเร็วๆนี้นี่แหละ

 

หากลองคิดตามเหตุผลที่เขาถูกส่งมา ก็ย่อมสันนิษฐานได้ว่า เขาเคยใช้เจ้าสิ่งนี้มาก่อนจริงๆ และรู้ถึงวิธีถอนการติดตั้งมันอย่างแน่นอน

 

—ท้ายที่สุดนี้ ต้องไม่ลืมนะ ว่าเขาสามารถบอกได้ว่าต้นกำเนิดจะพูดอะไรก่อนที่ข้อมูลของมันจะปรากฏขึ้นมาซะอีก

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางหมู่คนจำนวนมากก็ยังสัมผัสได้ถึงความไม่ยินยอม

 

นั่นเพราะพวกเขายังไม่ยอมแพ้ ยังไม่อยากที่จะยอมรับเกี่ยวกับเรื่องนี้!

 

“ถ้าอย่างงั้น – ฉันมีคำถามเกี่ยวกับระบบ” ผู้หญิงคนหนึ่งมองมาทางกู่ฉิงซานและกล่าว

 

“เชิญถามมาได้เลย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ฉันไม่สามารถควบคุมหน้าต่างระบบได้ดั่งใจนึกเลย จะต้องทำยังไงถึงจะใช้งานมันได้ง่ายขึ้น?”

 

“เรื่องนี้ง่ายมาก คุณก็แค่ต้องบอกมันว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานะอะไร”

 

“สถานะงั้นหรอ? นั่นมันหมายความว่ายังไง”

 

“มันยังไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไหร่ คุณจำเป็นต้องบอกมันว่าตัวเองอยู่ในสถานะกำลังตรวจสอบข้อมูลหรือว่าต่อสู้ เพื่อที่จะเปิดปิดโหมดการแสดงผลตามที่ตัวเองต้องการ”

 

ผู้หญิงคนนั้นรับฟัง และทดลองทำตามอย่างเงียบๆ

 

ไม่เพียงแต่เธอ คนอื่นๆอีกมากมายก็เริ่มทำตามที่เขาบอกบนหน้าต่างของตัวเองเช่นกัน

 

สำหรับคำเตือนที่เด้งขึ้นมารัวๆบนหน้าต่างต้นกำเนิด ทุกคนได้ละความสนใจจากมันไปโดยสมบูรณ์

 

“ใช่แล้วล่ะ มันเป็นอย่างที่ว่ามาจริงๆ” หลังจากที่ทดลอง เธอก็พยักหน้า

 

ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย

 

หากเธอสามารถเข้าสู่วิถีมารได้จริง และได้รับความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นก็ยังนับว่าเป็นสิ่งที่เธอยอมรับได้

 

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง

 

ทุกอย่างที่เธอทุ่มเทมา มันกลายเป็นเพียงฟองอากาศไปแล้ว!

 

ผู้หญิงคนนั้นปัดแจ้งเตือนบนหน้าต่างต้นกำเนิดด้วยความรำคาญ

 

บ้าจริง!

 

เธอสาปแช่งมันอย่างลับๆ

 

ถัดมา ก็มีอีกหลายคนยกมือขึ้นเพื่อถามเขา

 

ทั้งหมดถามกู่ฉิงซานเกี่ยวกับปัญหาเบื้องลึก ที่ตนเองคิดว่ามันยุ่งยาก

 

ขณะที่ฝูงชนคนอื่นๆคอยรับชมอย่างเงียบๆ

 

แต่พวกเขาจะรู้ได้อย่างไร ว่ากู่ฉิงซานน่ะเคยใช้งานเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online มายาวนานกว่าสิบปีแล้ว!

 

ดังนั้นทุกๆปัญหาในมุมมองของพวกเขา สำหรับกู่ฉิงซานแล้วมันไม่ต่างอะไรกับคำถามเด็กน้อยเลย

 

กู่ฉิงซานคอยตอบคำถามทีละคนอย่างอดทน

 

7-8 นาทีต่อมา เขาก็ตอบไปหลายสิบคำถาม และคำตอบเหล่านั้นก็ถูกต้องทุกอย่าง โดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ

 

ในขณะนี้ กระทั่งเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่ยังคงไม่ยินยอมและสงสัยในตัวเขา ก็ได้เชื่อในคำกล่าวของกู่ฉิงซานอย่างสนิทใจแล้ว

 

มากกว่า 800 วิถีมาร ยอมแพ้ที่จะต่อสู้

 

“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี?” นักรบเทพถามกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานกล่าว “รอถอนการติดตั้งอยู่ที่นี่ ส่วนทางฉันจะส่งสัญญาณไปให้แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ ให้พาพวกนายออกไปเอง”

 

“แต่ — ข้าสังหารคนไปมากมายจากการถูกหลอกใช้โดยเจ้าสิ่งนี้ แล้วปัญหานี้พอจะแก้ไขได้หรือไม่?”

 

นักรบเทพถามอีกครั้ง

 

ด้วยคำถามนี้ของเขา เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารต่างก็จ้องกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

 

เพราะเกือบทุกๆผู้เข้าสู่วิถีมาร ล้วนลงมือฆ่าคนไปแล้วทั้งสิ้น

 

มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาคงไม่สามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณมาใช้แลกเปลี่ยนกับพลังหรืออาวุธต่อสู้ได้หรอก

 

เมื่อต้องออกไปจากโลกใบนี้ นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดที่จะตามมา

 

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น “ปัญหาในส่วนนี้ เกิดจากความรับผิดชอบของราชวงศ์หนาม ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ขึ้น”

 

“ฉะนั้น หลังจากที่พวกนายออกไปข้างนอก ทางราชวงศ์วิหคหนามจะเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดนี้เอง”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็หันไปมองลอร่า

 

ลอร่ายืนขึ้นบนไหล่เขา ย่อเข่าโค้งกายกล่าวขออภัย “ในนามของราชอาณาจักรหนาม เราต้องขอโทษพวกเจ้าทุกคนจริงๆ และขอแสดงความรับผิดชอบโดยการมอบค่าชดเชยแก่ผู้คนทั้งหมดที่ถูกหลอกลวงและตายไป”

 

ทุกคนมองลอร่า และฟังเธอพูดอย่างเงียบๆ

 

ขณะเดียวกันก็ลอบถอนหายใจอย่างลับๆ

 

ในเมื่อเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรหนามออกหน้ายืนยัน แสดงถึงทัศนคติที่มีออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว …

 

ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่านี่คือผลลัพธ์จากการหารือในการแก้ปัญหานี้ระหว่างทุกฝ่าย

 

มิฉะนั้นแล้ว จะให้ผู้คนหลายร้อยล้านคนเป็นผู้รับผิดชอบแทนความผิดพลาดของวิหคหนามซะเองงั้นหรอ?

 

ต้องรู้นะว่าวิหคหนามน่ะอุดมไปด้วยความมั่งคั่ง แม้ว่าพวกเขาจะจ่ายออกไปมากกว่าเดิมหลายเท่า แต่ก็คงจะไม่น่ากังวลใดๆ

 

สีหน้าของนักรบเทพผ่อนคลายลง

 

เขาเหลือบมองไปทางตาเทพกับนักพรตเทพและพยักหน้าให้กัน

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่มีปัญหา” เทพนักรบกล่าว

 

ฝูงชนก็ตอบรับในทำนองเดียวกัน

 

หากทั้งสามเทพที่ทรงพลังที่สุดยอมรับแล้ว ทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก

 

หนึ่งในปัญหาที่ยากเย็นที่สุดได้รับการแก้ไขแล้ว!

 

“งั้นพวกเราจะถอนการติดตั้งเจ้าสิ่งนี้ได้ยังไง?” บางคนเอ่ยถาม

 

“เป็นคำถามที่ดีนี่ แต่มันคงจะลำบากเกินไปหากจะต้องมาคอยสอนมันทีละคน ทีละคน ในเมื่อทางฝั่งพวกนายมีตั้งราวๆ 800 คน”

 

กู่ฉิงซานกลั้วลำคอและอธิบายให้ทุกคนฟัง “พวกนายทำตามที่ฉันบอกก็พอ จากนั้นก็จะสามารถถอนการติดตั้งได้ แล้วรออยู่ที่นี่นะ”

 

เขาฝืนยิ้มและกล่าวว่า “งานของฉันมันหนักหนามาก ฉันยังต้องรีบไปช่วยเหลือเหยื่ออีกหลายร้อยล้านคน เพื่อแก้ปัญหานี้”

 

“เข้าใจแล้ว ไหนว่ามาสิว่าจะให้ทำอะไร”

 

“เห็นด้านล่างซ้ายของหน้าต่างต้นกำเนิดไหม? มันจะมีปุ่มตัวอักษรคำว่า ‘ลบ’ ที่เป็นสีแดงอยู่”

 

“เมื่อพวกนายพยายามที่จะสัมผัสมัน นายจะได้รับคำเตือนว่าถ้ากดลบไปแล้ว ระบบจะทำการรีเซ็ทตัวเองทันที”

 

“แน่นอน ว่าไม่ต้องไปสนใจมัน และกดลบไปเลยโดยตรง มีอะไรเด้งแจ้งเตือนขึ้นมา ก็กดปฏิเสธไปซะ”

 

ฝูงชนพยักหน้า

 

มันฟังดูง่ายจริงๆ

 

ท่ามกลางฝูงชน บางคนที่ใจร้อนทนไม่ไหว รีบทำตามที่เขาบอก

 

“เป็นไงบ้าง? มีใครได้ทดลองดูแล้วรึยัง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม

 

ชายร่างโตคนหนึ่งยกมือขึ้นทันใดและกล่าวว่า “ฉันลองทำแล้ว และตอนนี้ในสายตาของฉันปลอดโปร่ง ไม่มีอะไรน่ารำคาญมาบดบังอีกแล้ว”

 

เมื่อมีคนเริ่ม ก็ย่อมต้องมีคนตามเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานตะโกน “เอาล่ะ งั้นก็จัดการกันเองแล้วกัน ส่วนฉันคงต้องรีบขอตัวไปก่อน”

 

ลอร่ากล่าวเสริม “หลังจากที่ออกไป ทางอาณาจักรวิหคหนามจะจ่ายค่าชดเชยสำหรับผู้ที่ถูกหลอกลวงและเหยื่อเพื่อแสดงถึงความเสียใจอย่างแน่นอน”

 

หลายคนขานรับคำของเธอ

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าให้ทุกคน และนำลอร่าออกไปนอกตัววิหาร

 

คราวนี้ ไม่มีใครมากีดขวางทางพวกเขาอีกแล้ว

 

ผู้เข้าสู่วิถีมารได้แยกตัวออกเป็นสองฝั่ง ถอยหลีกให้พวกเขา

 

“ขอบคุณมาก”

 

“ขอบคุณที่นายมาช่วยพวกเรา”

 

“หลังจากออกไปข้างนอกได้ ไว้ฉันจะไปเยี่ยมเยือนที่สมาคมกำปั้นเหล็กนะ”

 

หลายคนแสดงทัศนคติที่ดีต่อเขา

 

กู่ฉิงซานตอบรับด้วยรอยยิ้ม

 

จากนั้นเขาก็พาลอร่า และหายตัวไปจากทางเข้าวิหาร

 

พวกเขาได้จากไปแล้วจริงๆ

 

ภายในวิหาร คนแล้วคนเล่าได้ถูกปลดปล่อยออกจากต้นกำเนิด

 

เหลืออยู่น้อยคนนักที่ยังคงสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าคนส่วนใหญ่สามารถประสบความสำเร็จในการถอนการติดตั้ง และมองกลับมายังคำแจ้งเตือนที่เด้งอย่างบ้าคลั่งบนหน้าต่างของตน ในหัวใจของพวกเขาก็เริ่มที่จะรู้สึกรำคาญ

 

หลังจากเฝ้ารอดูอยู่ครู่หนึ่ง ว่าคนอื่นๆที่ถอนการติดตั้งน่ะปลอดภัยจริงๆ ที่เหลืออีกไม่กี่คนสุดท้ายจึงค่อยทำตาม

 

และในที่สุด ทุกคนก็หลุดพ้นจากพันธนารการของต้นกำเนิด

 

“เอาล่ะ พวกเราจะรออยู่ที่นี่” นักรบเทพกล่าว

 

ทุกคนพยักหน้ารับคำ

 

ภายนอกตัววิหาร ท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมหนาแน่น

 

กู่ฉิงซานยกตัวลอร่าขึ้นบนหลังม้า

 

“ท่านทั้งสองกำลังเร่งรีบ หรืออยากชมทิวทัศน์?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม

 

“วิ่งไปเลย ลงไปทางตีนเขา” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แล้วม้าทมิฬก็ควบสี่กีบ ทะยานลงจากภูเขาท่ามกลางสายลมหนาว

 

ระหว่างทาง ลอร่าก็ทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “งั้นตอนนี้ -”

 

“ชู่ววว!” กู่ฉิงซานส่งสัญญาณให้เธอเงียบก่อนชั่วคราว

 

หลังจาก7-8 นาทีต่อมา

 

เมื่อพวกเขาลงมาได้ครึ่งทางภูเขาแล้ว ก็บังเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้นจากตรงส่วนยอด

 

เสียงกรีดร้องคำรามนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง คล้ายกับว่าบางคนกำลังทุกข์ทรมานจากบทลงโทษจนมิอาจบอกบรรยายได้

 

สรรพเสียงนับไม่ถ้วนที่น่าพรั่งพรึง ร่ำไห้หมดหวัง ฟังจากมัน ราวกับว่าบนยอดภูเขาน้ำแข็งได้กลายเป็นนรกไปเสียแล้ว!

 

เสียงกรีดร้องครวญครางเริ่มดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ จนสั่นสะท้านกังวานไปตลอดทั้งภูเขา

 

กู่ฉิงซานลดศีรษะลงและตั้งใจฟังมันอย่างระมัดระวังสักพัก

 

ท่ามกลางสายลมและหิมะ เขาได้เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่ดูโศกเศร้าเล็กน้อย

Ep.550 – สถานการณ์ใหม่

 

ภายในวิหารบรรพกาล

 

กว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารปิดล้อมกู่ฉิงซานและลอร่าจากทุกทิศทาง ไม่ยินยอมให้หลบหนี

 

แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะยกอาวุธตนและพุ่งเข้าสังหารนั้นเอง

 

กู่ฉิงซานก็ตะโกนขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

“ช้าก่อน!”

 

เขาไม่สนใจปฏิกริยาของฝ่ายตรงข้าม ปากอ้าตะโกน “ฉันคือคนจากสมาคมกำปั้นเหล็ก และตัวตนทรงอำนาจอย่างกำปั้นเหล็กแบรี่ก็เป็นเพื่อนกันกับฉัน ตอนนี้เขากำลังต่อสู้เพื่อปกป้องโลกจากภายนอก — ถ้าพวกนายคิดว่าฉันโกหกล่ะก็ ลองย้อนกลับไปดูพาดหัวข่าวหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อวานได้เลย!”

 

กว่า 800 ร่างหยุดชะงักไปทันที

 

แน่นอน ว่ามันไม่ใช่เพราะคำกล่าวของกู่ฉิงซาน แต่ที่พวกเขาต้องหยุดมันก็เป็นเพราะ

 

ในระหว่างที่กู่ฉิงซานขู่ ขณะเดียวกันก็บังเกิดกระแสลมรุนแรงพัดกระพือขึ้น

 

ค่ายกลดาบไท่หยี!

 

สามดาบเผยโฉมออกมาพร้อมกันในความว่างเปล่า

 

ร่างเงาอันไร้ที่สิ้นสุดกระจายตัวออกจากดาบบิน และล่อยล่องไปตามสายลม แผ่ขยายไปตลอดทั้งวิหาร

 

ในเสี้ยววินาที กระแสลมและร่างเงาดาบก็ท่วมทับไปทั่วตัววิหาร

 

ไม่มีใครสามารถต้านทานสายลมนี้ได้ ไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากการถูกปกคลุมไปด้วยแสงและเงาดังกล่าวได้เลย

 

หลังจากทั้งหมดนี้ ต้องไม่ลืมนะว่านี่คือค่ายกลดาบที่ถูกเสริมแกร่งขึ้นเป็นสองเท่า แถมยังซ้อนทับกันถึงสองครั้ง!

 

ฝูงชนที่เดิมฟุ้งไปด้วยเจตนาร้ายช่วยไม่ได้จำต้องถอยหลังไป และเตรียมรับมืออยู่ในท่วงท่าป้องกัน

 

นั่นเพราะทุกคนตระหนักดี

 

ว่าค่ายกลดาบนี้ทรงประสิทธิภาพเพียงใด พวกตนจำต้องเตรียมตัวป้องกัน มิฉะนั้นแล้วร่างกายคงแหลกสลาย มิแตกต่างจากอุกกาบาตร่วงตกทับ!

 

ภายใต้พลังของค่ายกลดาบที่ปะทุออกมา ทว่ายังมิถูกเปิดใช้งานโดยสมบูรณ์ กู่ฉิงซานเร่งกล่าวต่ออย่างรวดเร็ว

 

“จงสังเกตสาวน้อยบนไหล่ของฉันให้ดีๆ หากมีใครในที่นี้ ที่มีสถานะสูงส่ง คนๆนั้นก็จะรู้ได้ทันทีว่าเธอคือเจ้าหญิงหนาม ลอร่า!”

 

“พวกเรามาที่นี่ในฐานะตัวแทนของราชวงศ์วิหคหนามเพื่อช่วยเหลือพวกนาย! ”

 

“สิ่งที่พวกเราต้องการจะบอกทุกคนก็คือ พวกนายอาจจะคิดว่าตนเองได้เข้าสู่วิถีมารแล้ว ทว่าแท้จริงนั่นมันเป็นเรื่องหลอกลวง!”

 

ประโยคเหล่านี้ ข้อมูลและความน่าสงสัยมันเยอะมากเกินไป

 

แต่เหล่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารภายในวิหาร ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะจากในบรรดานับพันล้านคนที่ถูกคัดเลือกมา ดังนั้นพวกเขาย่อมมิใช่คนโง่

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับค่ายกลดาบอันยิ่งใหญ่ พวกเขาก็จำต้องหยุด และลองคิดทบทวนเกี่ยวกับความหมายของประโยคทั้งสามนี้

 

“จริงสิ ฉันก็ว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆหน้าเขา พอถูกเตือนก็เลยจำได้แล้ว ตอนที่ฉันอ่านหนังสือพิมพ์ เขาคือคนๆเดียวกันกับที่ยืนอยู่ข้างๆแบรี่จริงๆ” บางคนร้องตะโกนขึ้น

 

“แน่ใจนะว่าเป็นเขา?”

 

“แน่ใจสิ เรื่องนี้ไม่ผิดพลาดแน่ๆ ฉันยืนยันได้”

 

“งั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมเขาถึงสามารถครอบครองสิ่งประดิษฐ์เทวะได้ถึงสามชิ้น”

 

“คนจากสมาคมกำปั้นเหล็ก … ช่างร้ายกาจจริงๆ … ”

 

ในระหว่างที่คนเหล่านี้พูดคุยกันถึงเรื่องดังกล่าว ช่วงเวลานั้นเอง บางคนก็อุทานขึ้น “เจ้าหญิงล่อร่า เป็นท่านจริงๆงั้นหรือ?”

 

ลอร่าหันมองไปตามทิศทางของเสียง

 

“เพียสแห่งดาราจิต? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เธอเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

 

ทันใดนั้นเพียสก็เปลี่ยนภาษาพูดของตนเองอย่างกระทันหันและเล่าว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการเรียกขานของวิหคหนาม แต่เป็นฝ่าบาทต่างหาก เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

 

“เรามาที่นี่กับกู่ฉิงซาน เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า”

 

ลอร่าอธิบาย ภายใต้เสียงตะโกนของกู่ฉิงซาน

 

และเธอก็ตอบกลับไปด้วยภาษาสากลของดาราจิต

 

ดาราจิตนั้นเป็นอาณาจักรที่แตกฉานในหลากหลายภาษา โดดเด่นในด้านการสรรสร้างเทคนิคมนตรา และมักจะใช้เทคนิคมนตราแปลงเป็นภาษาของชนเผ่าเพื่อใช้ในการสื่อสาร

 

ภาษานี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณจะไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาชนเผ่าของพวกเขาได้ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะได้รับการอนุญาตจากชาวดาราจิต

 

และสำหรับเจ้าหญิงหนาม แน่นอนว่าเธอย่อมเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของพวกเขา ดังนั้นเธอจึงได้รับอนุญาตให้สื่อสารด้วยภาษาของพวกเขาได้

 

พอได้ยินถึงสำเนียงภาษาตน เพียสแห่งดาราจิตก็ตกใจ

 

เขากระโจนออกมาอย่างกระทันหัน และตะโกนต่อหน้าทุกคน “นี่คือเจ้าหญิงหนามตัวจริง! ถ้าพวกนายไม่อยากตาย ก็ขอให้มายืนฝั่งฉัน และหยุดมือซะ!”

 

บังเกิดความวุ่นวายขึ้นในฝูงชน

 

หลังจากนั้นอีกไม่กี่คนก็เดินออกมา

 

ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งน้อมกายคารวะไปทางเจ้าหญิงลอร่าและกล่าว “ปีที่แล้ว กระหม่อมเคยได้เห็นท่านในงานเลี้ยงอาหารค่ำของอาณาจักรดาราจิต และรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่เกือบทำร้ายฝ่าบาทให้ได้รับบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ”

 

แม้ว่าจะเข้าสู่วิถีมาร แต่พวกเขาก็เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งวิหคหนาม

 

คนพวกนี้นับว่ามีสมองจริงๆ

 

แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่ามันเกิดอะไรขึ้นภายนอกกันแน่

 

ทันใดนั้นเอง ชายร่างสูงผิวแทนก็กระโดดออกมาและถามว่า “รอก่อน! เมื่อกี้นายบอกว่าจะช่วยพวกเรา แล้วไอ้ที่ว่าพวกเราถูกหลอกน่ะ มันเรื่องอะไรกัน?”

 

“ใช่ๆ วิหคหนามน่ะไม่เคยสนับสนุนให้มีภารกิจในการสังหารมาก่อนเลย แล้วทำไมเวลานี้ระบบราชามาร .. เชื้อไฟถึงได้ปรากฏขึ้น?” อีกคนถามต่อ

 

บางคนถามออกมาอย่างไม่มั่นใจ “ฉันได้รับพลังอันยิ่งใหญ่และสมบัติที่ทรงอำนาจมากมายผ่านการบรรลุภารกิจเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณ นี่มันไม่ใช่เพราะเกมหมื่นสวรรรค์สิ้นโลกา Online หรอกหรอ? แล้วที่บอกว่าการเข้าสู่วิถีมารมันเป็นเรื่องหลอกลวงนั่นมันอะไรกัน – เข้าใจอะไรผิดรึรึเปล่า?

 

ภายในฝูงชนเริ่มเกิดการถกเถียง เสียงสนทนาดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ

 

“เอาล่ะๆ ทุกคนฟังฉันนะ ความจริงแล้วพวกนายยังไม่ได้เข้าสู่วิถีมาร” กู่ฉิงซานร้องเสียงดัง

 

ฝูงชนต่างหันมามองเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

 

เพราะทุกคำกล่าวของมนุษย์ผู้นี้ มันอยู่เหนือล้ำกว่าจินตนาการของทุกๆคนไปมากเหลือเกิน

 

ไม่ว่าจะเป็น

 

-กำปั้นเหล็กแบรี่เป็นเพื่อนกับเขา และกำลังปกป้องโลกจากภายนอกเอย

 

-เจ้าหญิงหนาม ลอร่ามาเยือนที่นี่ในฐานะตัวแทนของอาณาจักรหนามเอย

 

-แล้วยังมาบอกว่าพวกเขาถูกหลอกอีก

 

แต่ทั้งสามเรื่องนี้ ทำให้แต่ละคนจำต้องหยุดมือ และเค้นสมองขบคิด

 

ตัวตนทรงอำนาจอย่างกำปั้นเหล็กแบรี่เป็นเพื่อนกับเขา ซึ่งในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น มันจะมีซักกี่คนเชียวที่ไม่กล้าไว้หน้าอีกฝ่าย?

 

นอกจากนี้ ที่นี่คือโลกของทริสเต้ และลอร่าก็เป็นเจ้าหญิงหนาม ซึ่งเป็นผู้ปกครองคนต่อไปของอาณาจักร

 

ยามเมื่อเธอปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมหมายความว่าโอกาสที่เธอจะเป็นตัวแทนของราชวงศ์หนามนั้นมีสูงมากจริงๆ

 

ขณะที่ตนเองและคนอื่นๆอยู่ในโลกวิหคหนามทริสเต้ ดังนั้นหากมีใครกล้าลงมือกับเจ้าหญิง แล้วทางตระกูลหนามเกิดโกรธแค้นขึ้นมา นั่นไม่เท่ากับว่าตนได้บีบโลกที่ตัวเองใช้อาศัยอยู่ให้ถูกทำลายลงโดยวิหคหนามหรอกหรือ?

 

ยังไม่หมดอีก! เพราะชายคนนี้ยังบอกอีกว่าพวกตนถูกหลอก!

 

พวกเรายังไม่ได้เข้าสู่วิถีมารงั้นหรอ?

 

ไม่นะ นี่มันไม่ถูกต้อง เห็นได้ชัดว่าพวกเราตกอยู่ในวิถีมารแล้ว

 

—ช้าก่อน! พอลองมาคิดดูดีๆแล้ว เชื้อไฟมันมาจากที่ไหนกัน และมันเชื่อถือได้จริงๆน่ะหรือ?

 

หรือว่าบางที คนๆนี้จะแค่พูดคาดเดาออกมาเรื่อยเปื่อยกันแน่นะ?

 

ภายในฝูงชน ฉันมองนาย นายมองฉัน ความสงสัยภายในจิตใจ ยิ่งนานยิ่งเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจระงับได้

 

หลายร้อยคนสลับกันมองไปมาๆแบบนี้สักพัก แล้วในที่สุดก็มองไปยังสามผู้เข้าสู่วิถีมารที่ยืนอยู่เบื้องหลังสุด

 

ในบรรดาทั้ง 800 คน ทั้งสามคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด

 

และหนึ่งในสามก็คือคนที่ได้ทำการประเมินกำลังรบของกู่ฉิงซาน -ตาเทพก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน

 

“ตาเทพ เจ้าช่วยยืนยันสถานะของเจ้าหญิงลอร่าจะได้ไหม?” หนึ่งในสามพูดขึ้น

 

“นักพรตเทพเอ๋ย ดวงตาของข้าได้เห็นมันจนสิ้นแล้ว และขอยืนยันว่าสถานะของสาวน้อยคนนั้นเป็นเรื่องจริง” ตาเทพที่ภายในแววตาท่วมไปด้วยแสงเรืองรองสีม่วงเอ่ยปากออกมา

 

“ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเจ้าหญิงหนามจริงๆ ข้่าคิดว่าพวกเราควรจะหยุดมือ แล้วเจ้าล่ะ … คิดว่ายังไง?” นักพรตเทพถาม

 

“ตรงส่วนนี้ข้าเห็นด้วย คิดว่าพวกเราคงต้องเข้าใจสถานการณ์ให้มันชัดเจนซะก่อน” ตาเทพกล่าว

 

แล้วทั้งสองก็หันไปมองคนสุดท้าย

 

“นักรบเทพ เจ้าเล่ามีความเห็นเช่นไร?” ทั้งสองคนเอ่ยถาม

 

นักรบเทพถอนหายใจ “ ‘ต้นกำเนิด’ พึ่งจะส่งภารกิจใหม่มาให้ข้าอย่างบ้าคลั่ง และบอกตรงๆเลยว่าแม้กระทั่งตัวข้าเอง พอได้เห็นรางวัลแล้ว ก็ยังแทบจะไม่สามารถระงับความปรารถนาในจิตใจเอาไว้ได้”

 

เมื่อกี้เขาพูดว่า ต้นกำเนิด ใช่ไหม!?

 

กู่ฉิงซานสามารถจับคำๆนี้ได้อย่างรวดเร็ว

 

ดูเหมือนว่าเชื้อไฟจะอัพเกรดแล้วจริงๆ!

 

สามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่งแล้ว!

 

ว่าเชื้อไฟกำลังหลอกลวงตนเอง

 

ช่วงเวลานั้นเอง สายตาของทุกคนก็เบนออกไปพร้อมกัน

 

ใครบางคนตะโกนขึ้น “ดูรางวัลสำหรับภารกิจใหม่นี่สิ!”

 

กว่า  800 คนเงียบชนิดลืมหายใจ ทุกสายตาจ้องมองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าตัวเองอย่างเงียบๆ

 

ก่อนที่บางคนจะค่อยๆเบนมันออกไปมองกู่ฉิงซานกับลอร่าด้วยประกาศวูบไหว

 

กู่ฉิงซานรู้ว่าสถานการณ์กำลังจะถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ จึงเร่งส่งเสียงทางความคิดไปบอกกับลอร่าอย่างรวดเร็ว

 

ลอร่าลุกขึ้นยืนบนไหล่ของเขา และประกาศก้องทันที “ในนามของราชวงศ์วิหคหนาม เราขอประกาศว่า ไม่ว่าพวกเจ้าจะได้รับสิ่งใดเป็นรางวัล ทางวิหคหนามของเราจะมอบมันให้มากกว่าเป็นสองเท่า!”

 

“เราไม่เชื่อหรอกว่าในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นนี้ จะมีผู้ที่ครอบครองสมบัติมากกว่าวิหคหนามเช่นเรา!”

 

ฮือฮา-

 

บังเกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นในฝูงชน

 

บางคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนถาม “แต่ฝ่าบาท ภารกิจที่ต้นกำเนิดมอบให้กระหม่อมสังหารท่าน รางวัลของมันคือสิ่งประดิษฐ์เทวะ … ”

 

“สิ่งประดิษฐ์เทวะ ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด เจ้าลองดูนี่! นี่คือสิ่งประดิษฐ์เทวะโบราณที่เราเอาไว้ใช้บ้วนปาก!” ลอร่าเอ่ยหยัน

 

ว่าจบ เธอก็หยิบถ้วยโลหะขึ้นมา และโยนมันทิ้งไป

 

เคร้ง!

 

ถ้วยโลหะกระทบกับพื้นน้ำแข็ง กลิ้งไถลยาวออกไป จนหยุดอยู่หน้าฝูงชน

 

กราว กราว!

 

แล้วทรายสีทองนับไม่ถ้วนก็หลั่งไหลออกมาจากถ้วยอย่างไม่หยุดยั้ง

 

“ดูนั่น! มีทรายสีทองไหลออกมาจากจอกศักดิ์สิทธิ์ไม่หยุดเลย!” บางคนร้องด้วยความตื่นเต้น

 

แม้ว่าทองคำจะไม่ใช่สกุลเงินระดับสูง แต่มันก็เป็นสิ่งสากลที่สามารถใช้จ่ายได้ในตลอดทั้งหมื่นโลกา

 

และจอกศักดิ์สิทธิ์ .. กลับสามารถสร้างทรายทองคำออกมาได้อย่างต่อเนื่อง!

 

แม้ว่ามูลค่าของทองคำจะไม่สูงเท่าใดนัก ทว่าตราบใดที่ใช้งานจอกศักดิ์สิทธิ์นี้ตลอดเวลา จะร่ำรวยค้ำฟ้าก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น!

 

ฝูงชนจมลงสู่ความเงียบ

 

ทุกคนมองไปยังจอกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเจ้าของๆมันเรียกว่าถ้วยบ้วนปากเท่านั้น ก่อนจะสลับไปมองหน้าต่างระบบของตัวเอง

 

ใช่แล้วล่ะ วิหคหนามน่ะร่ำรวยที่สุด เมื่อเทียบกับโลกที่ตนเองอยู่ในปัจจุบันแล้ว ต่อให้ได้รับรางวัลล้ำค่าเพียงใด มันก็ไม่คุ้มที่จะล่วงเกินพวกเขา

 

นอกจากนี้ แม้ว่าตนจะเข้าสู่วิถีมารแล้ว แต่ก็คงจะไม่กล้าต่อกรกับตัวตนจากดินแดนอัศจรรย์อยู่ดี

 

เกือบทุกๆสิ่งมีชีวิต ไม่เว้นกระทั่งเผ่ามาร ก็ยังไม่กล้าที่จะเข้าสู่ดินแดนอัศจรรย์ได้อย่างง่ายดาย

 

เพราะหากไปที่นั่น ผลลัพธ์ก็คือความตาย!

 

หลายคนเมื่อคิดอย่างนั้น ก็เริ่มเกิดความลังเล

 

สถานการณ์คุกรุ่นเริ่มจะเย็นลงครู่หนึ่ง

 

แต่ทันใดนั้นเอง นักรบเทพก็เปิดปากของเขา และถามออกมา “แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่าพวกเราถูกหลอก มันหมายความว่ายังไง?”

 

ซึ่งกู่ฉิงซานกำลังเฝ้ารอช่วงเวลานี้มานานแล้ว!

 

นี่แหละคือเหตุผลที่เขายอมโยนตนเองมาเสี่ยงอันตราย มันก็เพื่อเวลานี้!

“พวกนายได้ดาวโหลด เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ‘ต้นกำเนิด’ มาแล้ว ถูกต้องไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

คนจำนวนมากพยักหน้า

 

“ใช่” นักรบเทพยอมรับ

 

“ฉันกับลอร่าในฐานะตัวแทนของตระกูลวิหคหนาม ต้องขอโทษทุกคนในที่นี้ด้วยใจจริง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“หืม? นี่เจ้าหมายความว่ายังไงกันแน่?”

 

เมื่อฝูงชนได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็เริ่มที่จะรู้สึกไม่สบายใจ

 

“บางทีทุกคนอาจจะคิดว่าตัวเองได้ดาวโหลดระบบราชามารจากดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูมา แต่ฉันอยากจะบอกทุกคนว่า นั่นมันคือของปลอม”

 

“เนื่องจากความผิดพลาดของเรา เป็นพวกเราเองที่ไม่ตรวจสอบมันให้ดี และในช่วงเวลานั้นเอง มันก็ดันหลุดออกมาหลอกลวงผู้คน จนสุดท้ายก็เกิดผลกระทบร้ายแรงตามมาอย่างที่เห็น” กู่ฉิงซานกล่าวต่อ

 

800 ผู้เข้าสู่วิถีมาร พอได้ยินก็ไม่เข้าใจ

 

“ของปลอมงั้นหรอ? ไม่น่าจะใช่นะ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online นี่เป็นของจริง มันช่วยให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ” นักรบเทพอดไม่ได้ที่จะตะโกนขัด

 

แล้วเขาก็เหวี่ยงกำปั้นของตนออกไป

 

บังเกิดอำนาจของสามธาตุ ลม ไฟ และสายฟ้า ควบรวมกันอยู่ในกำปั้นของเขา

 

ฝูงชนพอได้ยินและได้เห็นเช่นนั้น ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

กู่ฉิงซานกล่าวทันที “ถ้างั้นฉันขอถามกลับหน่อยสิ ว่านายได้รับพลังที่ว่านั่น ผ่านแต้มพลังวิญญาณหรือค่าประสบการณ์(Exp)ล่ะ?”

 

นักรบเทพกล่าว “ตอนแรกที่ยังเป็นเชื้อไฟ ข้าได้ใช้แต้มพลังวิญญาณในการแลกเปลี่ยนพลังธาตุเหล่านี้มา”

 

“แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้ค่าประสบการณ์แล้ว แต่ค่าประสบการณ์ก็ยังสามารถถูกหักไปเพื่อใช้ในการยกระดับได้อีกด้วย มันนับว่าเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ” ระหว่างกล่าว เขาก็เบนสายตาไปมองค่าประสบการณ์ของตัวเองในอากาศที่ว่างเปล่า

 

ค่าประสบการณ์!

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานบีบตัวแน่นขึ้น

 

เพราะนั่นคือคำที่แสนจะคุ้นเคยสำหรับเขา

 

มันเป็นความรู้สึกคุ้นเคย .. ที่ฝันลึกลงไปถึงกระดูก

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าวว่า “งั้นนายลองไปเปิดข้อมูลส่วนบุคคลดูนะ ว่าหลังจากที่ตัดผ่านไปในแต่ละขอบเขตแล้ว ค่าประสบการณ์ที่จำเป็นน่ะมันสูงมากมายขนาดไหน”

 

“ก็ได้ จะลองดู”

 

นักรบเทพเริ่มเลื่อนหน้าต่างในอากาศที่ว่างเปล่าตามคำขอของอีกฝ่าย

 

แต่แล้วเพียงไม่นาน ใบหน้าถมึงทึงของเขาก็ค่อยๆกลายเป็นซีดขาวในทันใด

 

เหงื่อเย็นขนาดเท่าเม็ดถั่ว ผุดขึ้นมาตามหน้าผากเขาอย่างรวดเร็ว

 

“ค่าประสบการณ์มากมายขนาดนี้ … มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหามาใช้ตัดผ่านได้ … ”

 

“หลอกลวงล่ะ เจ้าสิ่งนี้มันหลอกลวงพวกเราจริงๆด้วย .. ”

 

เขาเอ่ยราวกับคนที่สูญสิ้นจิตวิญญาณไป

 

มองไปยังท่าทีของนักรบ กว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารในสถานที่เดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มเปิดหน้าต่างส่วนบุคคลของตน

 

“ค่าประสบการณ์นี่มัน-”

 

“ไมน่ะ! นี่มันเป็นไปได้ยังไง!”

 

“ถ้าเป็นแบบนี้ฉันคงไม่สามารถบรรลุมันได้ตลอดทั้งชีวิตของตัวเอง!”

 

“พวกเราถูกหลอกแล้ว … ”

 

“กลับกลายเป็นว่าจริงๆแล้วฉันไม่ใช่ผู้เข้าสู่วิถีมาร แต่แค่ถูกหลอกโดยระบบขยะ!”

 

คนแล้วคนเล่าเริ่มตะโกนออกมา

 

กู่ฉิงซานยังคงเงียบ และไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ

 

เขาคอยเฝ้าสังเกตดูปริกิริยาของฝูงชน

 

อาาาา ใช่! นี่ช่างเป็นฉากที่แสนจะคุ้นเคย เป็นสถานการณ์เดียวกันกับที่เขาเคยพบเผชิญมาเหมือนกันในชีวิตก่อนหน้า

 

มันคือความสิ้นหวัง เป็นประสบการณ์ที่หากได้รับมาแล้วจะไม่มีวันลืมเลือน

 

กู่ฉิงซานใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ ตะโกนขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

เขาเปล่งกระแสเสียงด้วยพลังทั้งหมดที่มี จนมันกลบเสียงโวยวายของทุกคน

 

“นอกเหนือไปจากเรื่องค่าประสบการณ์แล้ว ยังมีเรื่องโชคร้ายอีกอย่างหนึ่งที่ฉันจะต้องบอกกับพวกนาย”

 

“รางวัลทุกอย่างที่พวกนายได้รับมาจากระบบนี้ คือทรัพย์สินส่วนบุคคลของผู้อื่น และมันจะหายไปทันทีหรือไม่พวกนายก็จะไม่สามารถนำมันไปได้ หลังจากที่ออกจากที่นี่”

 

“แค่พูดน่ะมันไม่พอหรอก เจ้าพอจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้รึเปล่า?” นักรบเทพกล่าวอย่างไม่ยินยอม

 

“แน่นอน! ในเมื่อฉันชอบดาบ งั้นฉันก็จะยกตัวอย่างดาบก็แล้วกัน พวกนายลองเปิดไปในหน้าต่างรางวัลดาบนะ แล้วนายจะพบว่าพวกมันทั้งหมดมาจากร้านค้าอาวุธในเมืองเล็กๆของอัลเบอัส”

 

“ต่อให้พวกนายจะใช้แต้มพลังวิญญาณหรือว่าค่าประสบการณ์การในการแลกเปลี่ยนมันก็ตามที แต่หากในตอนที่ต้องออกจากระบบ แล้วคิดจะนำติดตัวไปด้วย พวกนายก็จะถูกไล่ล่าโดยผู้ปกครองของอัลเบอัสอย่างแน่นอน!”

 

“สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับดาบ ใครที่เคยไปยังรีสอร์ทในเมืองเล็กๆ หรือทดลองลองเปิดอ่านสมุดรายการสะสมที่เกี่ยวกับดาบก็จะรู้เอง ถ้าไม่เชื่อก็ลองพิสูจน์คำพูดของฉันดูสิ!”

 

กู่ฉิงซานกล่าวจบ ก็หุบปากลงทันที

 

ทุกคนเองก็เช่นกัน

 

ทั้งหมดกำลังเฝ้ารอใครบอกคนบอกผลลัพธ์ของคำกล่าวนี้

 

ตลอดทั้งวิหารจมลงสู่ความเงียบไปครู่หนึ่ง

 

กู่ฉิงซานยังคงเลือกที่จะเฝ้ารอ

 

ทันใดนั้นเอง เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นจากในฝูงชน

 

“ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดาบหรอกนะ แต่ค้อนระดับมหากาพย์ของฉัน เป็นมรดกที่ถูกเทพวิญญาณทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง และฉันก็เคยเห็นมันมาก่อน เมื่อนานมาแล้วในตัวเมืองรีสอร์ทของอัลเบอัส”

 

ชายร่างใหญ่ที่ดูกำยำก้าวออกมาข้างหน้า และยื่นค้อนที่อยู่ในมือของเขาให้ฝูงชนโดยรอบดู

 

“ฉันเองก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณแลกเปลี่ยนกับไอเท็มในเมืองรีสอร์ทได้ แต่พอได้ยินคำพูดของนาย ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว”

 

ว่าจบ ชายร่างสูงใหญ่กำยำ ก็เกรี้ยวโกรธด้วยความอัปยศอดสู เขาเขวี้ยงค้อนลงบนพื้นด้วยเจตนาร้าย!

 

ไม่ผิดแล้ว! นี่คือไอเท็มจากในเมืองรีสอร์ทจริงๆ!

 

หากออกจากที่นี่และนำค้อนนี้ติดตัวไป เขาจะต้องถูกไล่ล่าอย่างแน่นอน

 

ที่ทุ่มเททำภารกิจมามากมาย มันกลับไม่มีค่าอะไรเลย!

 

น่าสมเพศตนเองยิ่งนัก!

 

แถมเมื่อมองไปยังค่าประสบการณ์ที่มหาศาลเหล่านั้น-

 

มันคงจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ว่านี่มันเป็นเรื่องหลอกลวง!

 

ระบบของราชามารที่แท้จริง มันต้องไม่ใช่แบบนี้!

 

เมื่อยิ่งคิดลึกเข้าไปเกี่ยวกับมัน

 

หากระบบของตนยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ สถานการณ์ยิ่งนานคงยิ่งเลวร้าย ต่อไปเขาคงจะถูกควบคุมโดยระบบ และจะต้องใช้ชีวิตไปเรื่อยๆโดยการแลกเปลี่ยนค่าประสบการณ์ ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันไม่มีค่าอะไรเลย!

 

ค่าประสบการณ์ที่ราวกับหลุมลึกอันไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าผู้ใดตกลงไป ย่อมไม่อาจปีนป่ายขึ้นมาได้อีก

 

ดังนั้นแต่ละคนจึงได้แต่เฝ้าอธิษฐาน ว่าสิ่งที่คนๆนี้พูดจะเป็นความจริง ไอ้เจ้าเกมที่เรียกว่า หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด นี่จะต้องเป็นของปลอม!

 

“ไอ้สารเลวเอ๊ย น่าเจ็บใจชะมัดเลย”

 

“บัดซบ นี่ฉันถูกหลอกงั้นหรอ!?”

 

“วิหคหนามทำแบบนี้ได้อย่างไร! ทำไมถึงได้มอบสิ่งหลอกลวงที่จะส่งผลอันตรายถึงเพียงนี้แก่พวกเรา!”

 

“แบบนี้ไม่เข้าท่าแล้ว นี่เป็นความผิดพลาดของวิหคนาม และทางวิหคหนามจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด!”

 

“ฉันต้องการค่าชดใช้!”

 

ฝูงชนเริ่มตะโกนเสียงดัง

 

อย่างไรก็ตาม แม้ทุกคนจะข่มขู่ ด่าทออย่างรุนแรง แต่บนร่างกายของพวกเขากลับไม่มีใครปลดปล่อยเจตนาฆ่าออกมาอีกเลย

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ หากต้องการจะให้เรื่องราวต่างๆคลี่คลายลง มันจำเป็นต้องพึ่งพาอีกฝ่ายหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างใจเย็น

 

ริมฝีปากของเขายกสูง คางเชิดขึ้นเล็กน้อย ทั้งคนทั้งร่างเริ่มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

 

“โอเค ไม่มีปัญหา ก็เป็นพวกเรานี่แหละที่ได้รับความไว้วางใจจากทางราชวงศ์หนาม ให้มาจบเรื่องนี้ลงโดยสมบูรณ์”

 

เขายิ้มให้กับฝูงชน และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

ขณะนี้ ลอร่าแทบจะทนไม่ไหวที่จะระงับหัวใจของเธอไม่ให้สั่นเทา

 

มองไปยังสถานการณ์ปัจจุบันเบื้องหน้านี้ ทุกสิ่งอย่างราวกับเป็นเพียงภาพฝัน

 

เห็นได้ชัดว่าศัตรูมีอยู่ถึง 800 คน

 

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นกับดักอันตราย ร้ายแรงที่สุด หากก้าวผิดเพียงครั้ง ย่อมจมลงสู่สถานการณ์ที่มิอาจย้อนคืนได้

 

แต่ทำไมกัน? ผลลัพธ์ของสถานการณ์มันพลิกผันมาในรูปแบบนี้ได้อย่างไร?

 

ลอร่าลองย้อนนึกถึงสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือเชื่อ

 

เธอทนไม่ไหว ต้องลอบถามกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

“กู่ฉิงซาน … แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้เจ้าเคยเผชิญกับสิ่งใดมากันแน่?”

 

Ep.549 – ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองดูจี้บนหน้าอกตัวเอง

 

แต่กลับพบว่าที่เขาห้อยคออยู่ตอนนี้ มีเพียงตราสัญลักษณ์เทพแห่งความตายของแอนนาเท่านั้น

 

เครื่องประดับชิ้นนี้ หลังจากที่เขาก้าวเข้าสู่อาณาเขตที่แท้จริงของภูเขาหิมะและน้ำแข็ง มันก็ยังมิได้ถูกทำลายใดๆ

 

ทว่านอกเหนือไปจี้เส้นนั้น บนคอของเขาก็ไม่มีเครื่องประดับชิ้นอื่นอยู่อีกเลย

 

‘ห้ามใช้ไอเท็มที่ไม่เกี่ยวข้อง …’

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองดูตัวเอง

 

อืม .. เสื้อผ้าคงไม่ถูกนับว่าเป็นไอเท็มสินะ

 

หากอ้างอิงตามสถานการณ์ที่พบเจอ อำนาจเทวะคงจะมีเอาไว้ใช้ปกป้องสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาสร้างขึ้นจากอาวุธของศัตรูเป็นแน่

 

โชคยังดีที่ไม่ว่ากู่ฉิงซานจะไปยังแห่งโลกปรภพ หรือแห่งหนใด  เขาก็มักจะเก็บสัมภาระต่างๆ รวมไปถึงถุงหอมหลากสีของนิกายร้อยบุปผาไว้ในทะเลแห่งห้วงสติ ไม่ค่อยจะนำมันออกมาภายนอกสักเท่าไหร่

 

มิฉะนั้นแล้ว สัมภาระเหล่านั้น คงจะถูกลบหาย กลายเป็นขี้เถ้าไปในทันที

 

ตอนนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งที่ลอร่าได้นำออกมา มันจะถูกทำลายลงโดยอำนาจเทวะไปเสียแล้ว

 

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น กล่าวด้วยความเสียใจ “กระหม่อมเตือนแล้วนะ ว่าอย่าเอามันออกมา”

 

แต่บนใบหน้าของลอร่าดันปรากฏถึงรอยยิ้ม และไม่ตอบอะไรกลับมา

 

ขณะนั้นเอง บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม จู่ๆก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรเรืองแสงขนาดเล็กขึ้น

 

“?????”

 

“????? กำลังสัมผัสและพิจารณาถึงทุกสิ่งทุกอย่างในตัวคุณ เพื่อทำการตัดสินใจว่ามันจะสำแดงชุดเกราะนี้ออกมาในรูปแบบใด”

 

“นี่คือของโบราณที่หายสาบสูญไปยังก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย ทุกสิ่งมีชีวิตแทบจะไม่สามารถเข้าไปถึงที่นั่นได้ – เว้นไว้แต่เพียงวิหคหนามไม่กี่ตนเท่านั้น”

 

“สำหรับ ‘?????’ ระบบไม่สามารถทราบข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงของมันได้ ฉะนั้นโปรดเฝ้ารออย่างอดทนให้มันเผยโฉมขึ้นมาเอง”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านระบบเทพสงคราม ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย

 

“อะไรคือก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย?” เขาถาม

 

ติ๊ง!

 

ระบบเทพสงครามตอบ “ก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายเป็นสถานที่ที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนอัศจรรย์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นชั้นในสุดของโลก 900 ล้านชั้น”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วนอกเหนือไปจากวิหคหนาม สิ่งมีชีวิตอื่นๆจะไม่สามารถเข้าไปได้จริงๆน่ะหรือ?”

 

“ในความเป็นจริงแล้ว กระทั่งวิหคหนามส่วนใหญ่ เมื่อเข้าสู่ที่นั่นก็มิแคล้วตกตายลงทันที มีเพียงสายเลือดไม่กี่คนของราชวงศ์เท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปยังก้นบึ้งแห่งความสับสนได้”

 

ดินแดนอัศจรรย์ … อันตรายถึงขนาดนั้นเชียว?

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมทุกคนถึงกระตือรือร้น ปรารถนาที่จะได้รับบางสิ่งบางอย่าง จากการเรียกขานของวิหคหนามในครั้งนี้กันนัก

 

ไม้เว้นแม้แต่แบรี่กับเสี่ยวเหมียว ที่คาดหวังว่าจะใช้สิ่งของจากดินแดนอัศจรรย์ ช่วยปลดหนี้ให้แก่ตนเอง

 

หากอ้างอิงตามตรรกะนี้ ก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย มันคงจะไม่สามารถเข้าไปได้

 

“ลอร่า แล้วท่านไปเอาสิ่งนี้มาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามโดยตรง

 

“เห? เจ้าสังเกตเห็นถึงมันแล้วงั้นหรอ เร็วกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย”

 

ลอร่าเอ่ยต่อ “ชุดนี้คือสิ่งที่มาจากสถานที่ๆน่าสะพรึงกลัวมากเป็นพิเศษ และไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปที่นั่น ส่วนตัวเรา เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าตนพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆซักที เราจึงทดสอบตนเองโดยการเข้าไปสำรวจมันมาครั้งหนึ่ง”

 

“เช่นนั้นในภายภาคหน้าก็จงอย่าได้ไปเยือนมันอีก สถานที่นั้นมันอันตรายมาเกินไป” กู่ฉิงซานเอ่ยสั่งเด็ดขาด

 

ในสถานที่ๆไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้ กระทั่งวิหคหนามส่วนใหญ่ในดินแดนอัศจรรย์ก็ยังตกตายลง เรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนั้น มันควรจะเป็นการดีกว่าหากลอร่าจะไม่ไปเหยียบมันอีก

 

ลอร่าพอเห็นท่าทีเป็นกังวลของเขา ริมฝีปากของเธอก็ม้วนสูงขึ้น

 

“มันไม่เป็นไรหรอก เพราะสถานที่แห่งนั้น หากเราไปไม่ได้ คนอื่นๆก็คงจะไม่มีใครสามารถไปได้”

 

“เพราะอะไร?”

 

“เพราะว่านี่ไง”

 

ขณะกล่าว ลอร่าก็หายวับไปจากไหล่ของกู่ฉิงซานในทันใด

 

กู่ฉิงซานลองเพ่งการรับรู้บนไหล่เขา แต่ก็ไม่สามารถตรวจจับลอร่าได้อีกต่อไป

 

เขาจึงปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ เพื่อค้นหาอีกรอบ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย

 

หากจิตสัมผัสเทวะไม่อาจตรวจจับได้ – นี่นับว่าเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งสำหรับผู้ฝึกยุทธ

 

เพราะสำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว พวกเขามักจะคุ้นเคยกับการใช้จิตสัมผัสเทวะในการตรวจสอบศัตรู ทว่าหากสูญเสียความสามารถที่ว่านี้ไป มันก็จะเปรียบดั่งดวงตาของพวกเขามืดบอด และจะตกเป็นเป้าหมายในการถูกสังหารได้

 

กู่ฉิงซานย้อนคิดไปถึงฉากภายในที่นั่งโซนพิเศษก่อนหน้านี้

 

ที่จู่ๆลอร่าก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน จนตนเองตกใจถึงขั้นสำลักเหล้าออกมา

 

และเมื่อลองคิดย้อนต่อไปเรื่อยๆ

 

ดูเหมือนว่าตัวตนทรงอำนาจอย่างลูกพี่ไก่ , จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หรือกระทั่งทริสเต้ ก็ยังไม่อาจค้นพบตัวลอร่าได้

 

นี่มันน่าสนใจจริงๆ

 

“ลอร่า ท่านยังอยู่ที่เดิมใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ

 

“ใช่ เรายังคงนั่งอยู่บนไหล่เจ้า”

 

ลอร่าตอบกลับ

 

กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไป แล้วตบๆลงบนอากาศที่ว่างเปล่าตรงไหล่เขาโดยตรง

 

“แปลกจริง แต่ฝ่าบาทดูไม่เหมือนกับว่ากำลังอยู่บนไหล่ของกระหม่อมเลย”

 

“เรายังอยู่ที่เดิม แต่เราสามารถหลบเลี่ยงทุกสิ่งอย่างได้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจค้นพบถึงเรา”

 

ลอร่ากล่าว และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

 

แล้วกู่ฉิงซานก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักบนไหล่ของเขาอีกครา

 

เขาเริ่มครุ่นคิด

 

ในตอนที่ลอร่าหายตัวไป กระทั่งน้ำหนักตัวของเธอก็ยังหายไปด้วย ส่วนตนเองก็ได้ลองยื่นมือออกไปสัมผัสตรงที่เธออยู่ แต่กลับทะลุผ่านไปในความว่างเปล่าโดยตรง

 

ดูเหมือนว่าในยามเมื่อเธออยู่ในสภาวะนี้ เธอจะไม่มีทางได้รับบาดเจ็บหรืออันตรายใดๆ

 

หากลองคิดเกี่ยวกับสภาวะนี้อย่างถี่ถ้วน จะพบว่านี่คือความสามารถในการปกปิดร่องร่อย และป้องกันตนเองจากในทุกๆการโจมตี

 

นี่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว!

 

“เมื่อครู่นี้ฝ่าบาทได้ใช้งานเทคนิคมนตราอะไรไปกัน?” กู่ฉิงซานถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

 

“เมื่อก่อนเราชอบเรียกมันว่า ‘จ๊ะเอ๋’ แต่หากอิงตามบันทึกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์แล้ว พรสวรรค์เช่นเดียวกับเรานี้ เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในครั้งเมื่อหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา และมันถูกเรียกว่า ‘ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา’ ”

 

ลอร่ายืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ และเล่าต่อว่า “นี่คือพรสวรรค์แห่งราชวงศ์หนามของเรา ว่ากันว่าเป็นเรื่องยากเย็นนักที่จะสามารถปลุกมันขึ้นมาได้ ในระหว่างหลายหมื่นปี มันปรากฏขึ้นเพียงสองครั้งเท่านั้น และเราคือคนที่สองที่สามารถปลุกมันได้”

 

“มันวิเศษมากจริงๆ” กู่ฉิงซานเอ่ยสรรเสริญ

 

ลอร่าหยิบเอาชิ้นเค้กออกมา และเริ่มกินมันทันที

 

เธอเอ่ยปากกล่าวทั้งๆที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่ “แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราใช้ความสามารถนี้ มันจะหิวมากๆ และจำเป็นต้องเติมเต็มพลังงานเข้าไป”

 

“ความสามารถนี้ไม่สามารถใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากเรา และถ้าพลังงานของเราหมดลง เราก็จะไม่สามารถใช้มันได้”

 

“มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียบ้างเป็นธรรมดา แต่เท่านี้ก็ร้ายกาจมากพอแล้วนะ” กู่ฉิงซานยิ้ม

 

เขายืนรอลอร่ากินเค้กของเธอจนเสร็จ

 

“เราอิ่มแล้ว ไปกันเถอะ”

 

“รับทราบแล้ว .. ”

 

แม้ปากจะตอบรับ แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงยืนนิ่ง ไม่ขยับไปไหน

 

“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?” ลอร่าเอ่ยถามด้วยความกังวล

 

กู่ฉิงซานมองไปที่เธอ จากนั้นก็มองดูภูเขาน้ำแข็ง และสูดลมหายใจเงียบๆ

 

ไม่ว่ามันจะมีกับดักอะไร แต่วิหารบนภูเขาน้ำแข็งนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลอย่างแน่นอน

 

และมันจะต้องเก็บงำความลับของโลกใบนี้เอาไว้

 

ถ้าเขาต้องการที่จะเอาชนะเชื้อไฟ ยังไงก็ต้องลองไปดู!

 

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ตัดสินใจแม่นมั่นแล้ว

 

“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”

 

“ป่ะ” ลอร่าพยักหน้า

 

แล้วพวกเขาก็ขึ้นไปบนหลังม้า

 

ม้าทมิฬเริ่มก้าวขึ้นบนบันไดที่ทำจากน้ำแข็ง

 

และมันว่องไวมาก ในไม่ช้า มันก็นำพาพวกเขามาถึงจุดสูงสุดของภูเขา

 

กู่ฉิงซานลงจากหลังม้า และยกลอร่าขึ้นมาวางบนไหล่ของเขา

 

ทั้งสองเดินเข้าไปในวิหาร

 

และค้นพบว่าตลอดทั้งตัววิหารไม่แตกต่างไปจากภูเขาน้ำแข็งเลย ทั้งหมดทั้งมวลมันถูกประกอบขึ้นจากผลึกน้ำแข็งสีฟ้าใส เมื่อเดินเข้าไปภายใน ก็จะสามารถเห็นถึงแสงจากท้องฟ้า และเงาจากก้อนเมฆที่ทะลวงผ่านหลังคาเข้ามาได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าเพดานของวิหารนั้นไม่มีอยู่จริง

 

ภายในวิหาร ไม่มีรูปปั้นเทพวิญญาณ หรืออะไรทำนองนั้นอยู่เลย

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

นอกเหนือไปจากขั้นบันไดขนาดใหญ่ แท่นสูงที่ว่างเปล่า และจตุรัสกว้างขวางแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งใดอยู่อีกเลย

 

แม้ว่าที่นี่จะถูกทิ้งร้างมาแล้วนานปี แต่พื้นที่ของมันก็ยังกว้างขวาง ดังนั้นการรองรับผู้คนหลายพันย่อมมิใช่ปัญหา

 

บนใจกลางจตุรัส มีถ้ำน้ำแข็งขนาดใหญ่วางตั้งอยู่

 

ภายในถ้ำน้ำแข็งเป็นสีน้ำเงินทึบ ผสมปนเปไปกับหมอกเลือดจางๆที่ลอยล่องไปมา ยามเมื่อมันถูกแสงสะท้อน จะให้ความรู้สึกคล้ายโดมกลมๆ ที่ลอยวนอยู่เบื้องบนของตัววิหาร

 

ถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้เป็นเส้นทางนำไปสู่ภายในของภูเขาน้ำแข็งโดยตรง

 

ดูเหมือนว่าในสมัยโบราณ สถานที่นี้จะเป็นจุดที่เหล่าเทพบรรพกาลใช้เรียกสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาสร้างขึ้นมาจากสระน้ำลึกที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง

 

มองไปยังถ้ำน้ำแข็ง ปรากฏให้เห็นถึงมอนสเตอร์ขนาดสูงใหญ่เท่าภูเขา กำลังนอนนิ่งอยู่บนพื้นนอกถ้ำ

 

ไม่จำเป็นต้องสังเกตดีๆ ก็จะเห็นถึงหลุมเลือดน่าหวาดกลัวหลายแห่งบนตัวมัน ขณะเดียวกันก็มีเลือดสดๆกำลังไหลออกมา

 

มอนสเตอร์นอนนิ่งอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่ามันได้ตายไปแล้ว

 

ขณะที่รอบตัวมอนสเตอร์ มีหลายร้อยคนที่นั่งแยกตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กำลังพักผ่อนอยู่

 

กู่ฉิงซานลองนับดูคร่าวๆ พบว่ามันมีราวๆ 800 คน

 

และทุกคนในสถานที่แห่งนี้ ดูจะไม่ด้อยไปกล่าว ผู้เข้าสู่วิถีมารสิบกว่าคนที่เข้าพึ่งสังหารลงไปเลย

 

เห็นได้ชัดว่ามอนสเตอร์ตัวนี้ถูกรุมสังหารโดยกลุ่ม 800 กว่าคนที่ว่านี้

 

นี่แหละคือคำตอบ!

 

การคาดเดาของตนนับว่าถูกต้องจริงๆ เชื้อไฟคงมอบภารกิจสั่งการให้เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมาร ออกล่าสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านี้ เพื่อเพิ่มแต้มพลังวิญญาณให้แก่ตนเอง

 

แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เชื้อไฟมันหายไปไหนแล้ว

 

หรือว่ามันได้อัพเกรดเป็นต้นกำเนิดเรียบร้อยแล้วกันนะ?

 

ความรู้สึกวิกฤตในจิตใจของกู่ฉิงซาน เข้มข้นขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

เขามองไปยังฝูงชน

 

ดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นก็กำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่เหมือนกัน

 

หมายความว่ายังจะมีสิ่งมีชีวิตโบราณออกมาจากถ้ำเพิ่มขึ้นอีกใช่หรือไม่?

 

กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้า และจ้องมองไปยังหน้าต่างเชื้อไฟ

 

“ฉันมาถึงที่นี่แล้ว จะต้องทำอะไรต่อ?” กู่ฉิงซานถาม

 

ทว่าบนหน้าต่างสีแดงเข้ม กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

 

เชื้อไฟไม่ตอบสนองเขา

 

อย่างรวดเร็ว! ตลอดทั้งหน้าต่างเชื้อไฟกลับกลายเป็นสีเทา

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ

 

นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?

 

ในตอนนั้นเอง เหล่าผู้ที่กำลังพักผ่อนอยู่ต่างหันมามองเขาเป็นสายตาเดียว

 

บางคนเริ่มผุดลุกขึ้น

 

“นั่นน่ะหรอคือเป้าหมายของภารกิจ ทำไมมันถึงได้ดูอ่อนแอจัง?” นักรบที่ถือค้อนหนักในมือจ้องมองกู่ฉิงซาน

 

“อย่ามองแค่ภายนอกสิ ฉันสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของชายคนนี้ กระทั่งในหมู่พวกเราก็ยังนับว่าโดดเด่นอยู่ในอันดับต้นๆเลยนะ” ชายที่ครอบครองคู่ดวงตาสีม่วงเรืองรอง เพ่งมองมาทางกู่ฉิงซานและกล่าว

 

ดูจากรูปลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นของเขา เหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดใช้งานเทคนิคตรวจสอบบางอย่างอยู่

 

“โอ้ อย่างงั้นหรอ-”

 

ฝูงชนพยักหน้าและเริ่มพูดคุยกัน

 

“ในเมื่อ ‘ตาเทพ’ ตัดสินว่าเป็นแบบนั้น ถ้างั้นมันคงจะไม่ผิดพลาด”

 

“แต่โดดเด่นแล้วยังไง? ทางฝั่งเรามีคนอยู่มากมาย แค่ช่วยกันกระโดดทับๆมันก็คงตายแล้วมั้ง”

 

“ใช่ ไม่คาดคิดเลยว่าฆ่าคนเพียงสองคน จะได้รับรางวัลมากมายขนาดนี้”

 

“ตามสัญญาที่เคยได้คุยกันไว้นะ ว่าพวกเราจะลงมือพร้อมกัน ไม่ชิงฆ่ามันคนเดียว”

 

“แน่นอน ก็ตกลงกันมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา”

 

….

 

มากกว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารที่ทรงพลัง คนแล้วคนเล่าทยอยกันผุดลุกขึ้น

 

พวกเขาจัดแจงอุปกรณ์และอาวุธของตัวเอง สาดสายตามองมายังกู่ฉิงซานด้วยเจตนาร้าย

 

ทั้งหมดเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ – และทั้งหมดไม่ใช่พวกมือใหม่ แต่เป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดีโดยเชื้อไฟเพื่อช่วยออกล่าสังหารสิ่งมีชีวิตโบราณ!

 

กู่ฉิงซานหันหลังกลับไป

 

และพบว่าทางเข้าวิหาร … ได้ถูกปิดกั้นโดยมนตราของผู้เข้าสู่วิถีมารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เปลวไฟแห่งสงครามของโลก 900 ล้านชั้นปะทุขึ้น

 

กำปั้นเหล็กแบรี่ , จอมมารทะเลเลือด และเกือบร้อยตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ พุ่งทะยานเข้าสู่รอยแยกมิติที่เปิดออก เผชิญหน้ากับมารที่แท้จริง

 

ขณะเดียวกัน ทางด้านจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์เทสส์และไก่ใหญ่ที่อยู่ในที่นั่งโซนพิเศษ ก็ได้ทำการลอบส่งข่าวไปยังโลกต่างๆ

 

เมื่อทริสเต้ปรากฏกายมาถามไถ่ แต่ดันพบเจอกับฉากไม่น่าอภิรมย์เข้า จึงเร่งจากไปทันที

 

ส่วนกู่ฉิงซานกับลอร่า ก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ในโลกสมบัติของทริสเต้ที่ถูกแอบไว้ภายในเค้ก 20 ชั้น

 

ณ ตอนนี้ ภายในโลกของทริสเต้

 

บริเวณตีนภูเขาน้ำแข็ง

 

กู่ฉิงซานจ้องชั้นผิวน้ำแข็งอย่างเงียบๆ

 

มองลอดเข้าไปในชั้นน้ำแข็งหนา คุณจะสามารถมองเห็นเลือดสีดำและแดง ค่อยๆแพร่กระจายอย่างช้าๆ

 

นี่คือร่องรอยของความตาย

 

ที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างโดยเทพบรรพกาล

 

ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ว่าน่ะ มีอารมณ์ความรู้สึก

 

และถ้ามีอารมณ์ความรู้สึก -นั่นย่อมหมายความว่ามันต้องมีแต้มพลังวิญญาณอย่างแน่นอน!

 

ตามที่บันทึกไว้ในพงศาวดารวันสิ้นโลก ช่วงชีวิตก่อนหน้าในวันนี้ มันระบุเอาไว้ว่าทริสเต้ได้ทรยศราชวงศ์หนาม หันไปพึ่งพิงเผ่ามาร และปลดปล่อยเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Onlime : เชื้อไฟ ในอัลเบอัส

 

แต่ทว่า!

 

เรื่องราวจากในข่าว แท้จริงแล้วมันจะถูกต้องทั้งหมดเลยหรือ?

 

หลังจากที่ได้ย้อนเวลากลับมาในชีวิตนี้อีกครั้ง พอกู่ฉิงซานได้มาพิสูจน์เรื่องราวดังกล่าวด้วยตนเอง เขาก็พบว่าทุกอย่างมันคงจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น

 

ระบบเคยระบุเอาไว้ด้วยว่า พงศาวดารวันสิ้นโลกน่ะทำได้เพียงรายงานถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากเหตุการณ์อันมีชื่อเสียงที่เกิดขึ้น แต่มันจะไม่สามารถเข้าใจถึงเนื้อหาข้อมูลและความจริงของเหตุการณ์นั้นๆได้อย่างชัดเจน

 

หลายร้อย หรืออาจจะถึงพันล้านคนได้เข้ามายังโลกของทริสเต้

 

และเชื้อไฟก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

 

มันเข้าแทรกแซงและแทนที่ภารกิจวิหคหนามของทริสเต้

 

ขณะเดียวกันก็มีผู้ทดสอบหลายล้านคนถูกหลอกให้ดาวโหลดมัน

 

และต้องไม่ลืมนะว่า เงื่อนไขของเชื้อไฟน่ะพิเศษกว่าใคร มันสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณจากชีวิตที่ถูกสังหารลงได้ และมอนสเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาล ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกัน …

 

และหากเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารหลายร้อยพันล้านคนได้รับภารกิจให้ออกล่าสังหารเจ้าสิ่งมีชีวิตพวกนี้แล้วล่ะก็ .. มันจะส่งผลให้เชื้อไฟสามารถเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้อย่างมหาศาล พุ่งทะยานขึ้นอย่างมิอาจคาดคำนวณได้

 

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

 

ช่วงเวลาที่ตนเข้าสู่โลกใบนี้ หากเทียบเปรียบกับคนอื่นๆแล้ว นับว่าเชื่องช้าเป็นอย่างมาก

 

ตอนนี้ น่ากลัวว่าผู้คนมากมายคงกำลังดำเนินภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการเฟ้นหาแต้มพลังวิญญาณอยู่ และเชื้อไฟก็มีแนวโน้มที่จะอัพเกรดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

 

นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้

 

ไม่มีใครสามารถไปได้ไกลเกินกว่าขอบเขตของมิติและเวลา วิ่งทะยานไปดักหน้าพวกเขาทั้งหมด เพื่อหยุดยั้งการเฟ้นหาแต้มพลังวิญญาณสำหรับเชื้อไฟได้

 

แต่ต่อให้กู่ฉิงซานรีบไป แล้วเขาจะสามารถทำอะไรได้?

 

แน่นอน ว่าด้วยความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินไปที่จะสังหารหลายสิบผู้เข้าสู่วิถีมาร

 

แต่หากต้องเผชิญหน้ากกับผู้เข้าสู่วิถีมารนับร้อยล้านพันล้าน ตัวเขาคนเดียวจะไปสู้มันได้อย่างไร?

 

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคว้าชัยชนะ

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าหากเชื้อไฟได้อัพเกรดขึ้นมาเป็นต้นกำเนิดแล้ว

 

เมื่อย้อนนึกไปถึงทุกประเภทของความสิ้นหวังในชีวิตก่อนหน้า และมองมายังสถานการณ์ในปัจจุบัน กู่ฉิงซานก็จมลงสู่ความเงียบงันไปนาน

 

เขาเงยหน้า มองขึ้นไปบนยอดเขา

 

ที่นั่นจะเป็นกับดักของเชื้อไฟ หรือว่าเป็นสถานที่รับภารกิจจริงๆกันแน่นะ?

 

กู่ฉิงซานหลับตาคง คิดตริตรองอย่างเงียบๆ

 

ถ้าหากเป็นกับดัก นั่นหมายความว่าเชื้อไฟกำลังพยายามที่จะลบตนเองซึ่งเป็นผู้ที่ต่อต้านมันให้หายไป

 

เพราะอย่างไรเสีย เชื้อไฟก็มีผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายเป็นหมากให้ใช้มาลอบโจมตีเขา

 

ไม่ว่ากู่ฉิงซานจะทรงพลังเพียงใด แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะรุ่นเยาว์นับร้อยพันล้านที่โดดเด่นจากตลอดทั้งโลก 900 ร้อยชั้นได้โดยลำพังอย่างแน่นอน

 

ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่ปีนเขา และหลบหนีออกไปจากที่นี่ในทันที

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

 

แต่หากทำแบบนั้น มันก็จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะค้นพบว่าเชื้อไฟกำลังคิดหมายจะกระทำสิ่งใด และยังไม่อาจล่วงรู้ถึงความลับของโลกใบนี้อีก

 

เขาพึ่งจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพในสมัยโบราณอันไกลโพ้น ขณะที่บนยอดเขา ก็มีวิหารของเหล่าทวยเทพตั้งอยู่

 

ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนั้นมันเก็บงำความลับที่ตนจำเป็นต้องรู้เอาไว้

 

หลายหมื่นแสนปีที่แล้ว เทพบรรพกาลได้หายไปจากโลก 900 ล้านชั้น โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้เลย

 

ทว่าสิ่งมีชีวิตโบราณยังถูกเก็บงำเอาไว้ในโลกใบนี้ และยังคงสามารถมีชีวิตรอดได้เรื่อยมา

 

หากกู่ฉิงซานไม่อาจค้นพบถึงความลับอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในโลกใบนี้ ผลพวงของมันก็คือ เขาจะไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าเชื้อไฟกำลังวางแผนกระทำสิ่งใด

 

ภายใต้สถานการณ์นี้ สองตาของกู่ฉิงซานมืดบอด ไม่อาจมองเห็นหนทางใดๆได้เลย ด้วยความแข็งแกร่งของตน เขาไม่สามารถต่อกรกับผู้เข้าสู่วิถีมารนับร้อยพันล้านที่ถูกควบคุมโดยเชื้อไฟได้อย่างแน่นอน

 

ถ้าอย่างงั้นในกรณีนี้ ..

 

สองเท้ายังคงยืนหยัดอยู่บนพื้นน้ำแข็ง

 

โดยปกติแล้วกู่ฉิงซานมักจะทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็วมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขากลับลังเล

 

–หากตนหันหลังและจากไป ก็เท่ากับเป็นการตัดสิทธิ์ในการต่อกรกับเชื้อไฟโดยสมบูรณ์

 

–หากปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเขา ก็มีแนวโน้มว่าจะตกลงสู่กับดักของเชื้อไฟ

 

พอคิดถึงสองข้อนี้ กู่ฉิงซานก็ทอดถอนหายใจ และอดไม่ได้ที่จะก้าวขึ้นไปบนบันได วางมือพิงตนเองลงบนผนังน้ำแข็ง

 

แล้วความเย็นเยียบก็กัดกินเขา แทรกผ่านเข้ามาตามนิ้วและฝ่ามือ

 

ซึ่งเหตุการณ์นี้ ส่งผลให้กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

เพราะพลังวิญญาณของเขา มันกลับไม่สามารถหยุดไอเย็นจากน้ำแข็งได้เลย

 

เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ยอดภูเขาน้ำแข็งของทวยเทพ”

 

“ในสมัยโบราณอันไกลโพ้น เหล่าทวยเทพได้สร้างวิหารขึ้นบนภูเขาเพื่อเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตที่ตนเองได้สร้างขึ้น”

 

“บนภูเขาแห่งนี้มี ‘อำนาจเทวะ’ บางส่วนของเทพบรรกาลสถิตอยู่”

 

“อำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา”

 

เคารพและศรัทธา : สิ่งมีชีวิตที่คิดปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ จะไม่สามารถสวมใส่ไอเท็มใดๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับเทพบรรพกาลได้ มิฉะนั้นแล้วไอเท็มดังกล่าวจะถูกทำลายลงทันทีโดยตรง

 

“วิชายุทธเทพสงคราม : คุณไม่สามารถศึกษาและเรียนรู้เทคนิคอำนาจเทวะของเทพบรรพกาลได้”

 

“พงศาวดารวันสิ้นโลก : ย้อนค้นหาข้อมูลไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น เงื่อนงำเกี่ยวกับภูเขาน้ำแข็งลูกนี้ไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะ”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านมัน ทั้งคนทั้งร่างตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

 

อำนาจเทวะ?

 

พลังของมันก็คือ สามารถสร้างความเสียหาย ทำลายไอเท็มได้เลยโดยตรง .. พลังนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

 

แม้เทพบรรพกาลจะจากไปนับหมื่นแสนปีมาแล้ว แต่อำนาจเทวะของพวกเขาก็ยังคงทำงานอยู่อย่างงั้นหรอ?

 

… อย่าบอกนะว่า

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองใต้ฝ่าเท้าตน

 

เขาพบว่าตนกำลังเหยียบอยู่บนขั้นบันไดแรก

 

หรือกล่าวอีกความหมายนึงก็คือ ถือได้ว่าตนได้ปีนป่ายขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

กู่ฉิงซานเกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ เขาเร่งตะโกนทันที “ดาบพิภพ! เช่าหยิน! ฉานนู่!”

 

“ข้าอยู่นี่”

 

“ฮู้ม!”

 

“นายน้อย?”

 

สามดาบโผล่ออกมาจากในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา เปล่งเสียงขานรับพร้อมกัน

 

กู่ฉิงซานพอได้ยินจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก

 

ดูเหมือนว่าอำนาจเทวะจะไม่ได้ทำงาน

 

เขาเลยยกเท้าอีกข้างขึ้น และกำลังจะก้าวขึ้นไปบนบันไดขั้นที่สอง

 

แต่จู่ๆก็ปรากฏถึงสายลมหนาวพัดโชยมา

 

พริบตานั้นเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีพลันสลายกลายเป็นผง ปลิดปลิวหายไปกับสายลม

 

กู่ฉิงซานตะลึงงัน

 

เขาเอี้ยวตัวกลับทันควัน มองไปยังดาบยาวทั้งสามเบื้องหลัง

 

แต่พบว่าพวกมันก็ยังคงลอยล่องอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่าดังเดิม

 

มันยังไงกันแน่เนี่ย!

 

สายตาของกู่ฉิงซานกวาดมองผ่านทั้งสาม ก่อนจะค่อยๆเบนตกลงมาสังเกตพวกมันทีละเล่ม ทีละเล่ม

 

ดาบพิภพ

 

เมื่อมองไปยังดาบเล่มนี้ กู่ฉิงซานก็ย้อนนึกไปถึงคำบอกเล่าของนางเซียนไป่ฮั่วในยามที่มอบมันเป็นของรับขวัญให้แก่ตน “ดาบพิภพเป็นมรดกตกทอดมาจากนิกายเก่าของข้ามานานนับ 100000 ปี เนื่องจากมันล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ จึงไม่เคยถูกนำมาใช้ต่อกรกับศัตรูเลย และมันมีความสามารถในการสื่อสารกับเทพวิญญาณ เป็นดาบที่เสียสละตนเพื่อสวรรค์และโลก”

 

ดูเหมือนว่าในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ จะเรียกเทพบรรพกาลว่าเทพวิญญาณ

 

ประโยคที่บอกว่า ดาบพิภพสามารถสื่อสารกับเทพบรรพกาลได้ มันสอดคล้องกับอำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหล่าทวยเทพ ดังนั้นมันจึงไม่ถูกทำลายลง

 

-ถึงแม้ว่ามันจะชมชอบในการเข่นฆ่าลูกหลานของเทพบรรพกาลก็ตามที

 

มองไปยังดาบเช่าหยินอีกครั้ง

 

เช่าหยินเป็นดาบที่ถูกหล่อหลอมขึ้นโดยเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณ ดังนั้นมันจึงสอดคล้องกันเงื่อนไขนี้โดยตรง

 

ถัดไปคือดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

ดาบนี้เป็นที่เคาพรพบูชา เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะจากโลกปรภพ มันครอบครองถึงสี่พลังศักดิ์สิทธิ์ ‘อมตะ’ ‘แหกกฏ’ ‘ทรงปัญญา’ และ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา’ เป็นดาบที่ใช้ควบคุมภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน

 

ดาบเล่มนี้ตกทอดมาตั้งแต่ครั้งในสมัยโบราณ และถูกนำมาใช้ในการควบคุมปรภพโดยลูกหลานของทวยเทพ ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเทพบรรพกาล

 

ดูเหมือนว่าสามดาบนี้จะผ่านการคัดการองจากอำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา

 

แต่นี่มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ?

 

ไม่รีรอให้เสียเวลาคาดเดา กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาดิสก์ค่ายกลแผ่นหนึ่งออกมาทันที

 

ทันใดนั้นดิสก์ค่ายกลก็สลายเป็นเถ้าถ่าน ปลิดปลิวไปตามสายลมหนาวในพริบตา

 

คงไม่ผิดพลาดแล้ว …

 

อำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพยังคงทำงานอยู่

 

“เอ๊ะ? ชุดเกราะโทรมๆกับไอเท็มของเจ้าถูกทำลายลงอย่างงั้นหรอ?” ลอร่าอุทานด้วยความประหลาดใจ

 

“ใช่ มันมีอำนาจอันคงกระพันบางอย่างถูกติดตั้งเอาไว้ที่นี่” กู่ฉิงซานตอบ

 

เขาอดไม่ได้ที่จะลอบประหลาดใจอย่างลับๆ ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าอำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพจะยังคงอยู่ แม้พวกเขาจะจากไปแล้วนับหมื่นแสนปีก็ตามที

 

จักต้องเป็นพลังชนิดใดกัน จึงจะทรงพลานุภาพถึงเพียงนี้?

 

“เราสัมผัสได้ถึงพลังของเทพบรรพกาล” ลอร่าที่นั่งสบายๆอยู่บนไหล่เขากล่าว “สิ่งที่เจ้าครอบครองอยู่มันด้อยค่ามากเกินไป ดังนั้นพวกมันจึงถูกทำลายลงด้วยอำนาจบางอย่าง อย่างง่ายดาย แต่-”

 

“แต่อะไร?”

 

“การที่มันถูกทำลายคงจะดีกว่า เพราะชุดเกราะแบบนั้นสวมใส่มันไปก็ไร้ประโยชน์”

 

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น “สำหรับกระหม่อมมันมีประโยชน์มากเลยนะ ท่ามกลางการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน เกราะรบนั่นมีบทบาทอยู่มากทีเดียว”

 

“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะเจ้าเป็นนักดาบ และนักดาบก็มักจะต่อสู้ในระยะประชิด … ”

 

ลอร่ามองไปยังกู่ฉิงซาน นิ่งคิดอยู่นาน

 

จนในที่สุด เธอก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้ ปากเอ่ยกล่าวว่า “พอดีว่าเรามีชุดเกราะเก็บสะสมเอาไว้เช่นกัน เจ้าสามารถนำมันไปใช้ได้นะ”

 

ขณะกล่าว ลอร่าก็เอื้อมไปค้นกระเป๋าใบเล็กๆของเธอ

 

กู่ฉิงซานรีบส่ายมือห้ามปรามอย่างรวดเร็ว “อย่าหยิบมันออกมาเชียวนะ! พลังบนภูเขาลูกนี้รุนแรงมาก เดี๋ยวเกราะรบของฝ่าบาทก็ถูกทำลายลงโดยตรงหรอก”

 

ทว่าเพียงแค่เสียงพูดตกลง ลอร่าก็ดึงจี้เส้นหนึ่งออกมาเสียแล้ว จากนั้นเธอก็แขวนมันลงบนคอของกู่ฉิงซาน

พอจอมมารทะเลเลือดเล่าจบ

 

สองแขนของเขาก็อ้าออก สาดสายตามองไปยังฝูงชนด้วยรอยยิ้ม

 

“เป็นไง? ทีนี้ทุกคนก็จะยอมกลับมาเป็นสหายกับข้าอีกครั้งแล้วใช่ไหม” เขากล่าวอย่างจริงใจ

 

อย่างไรก็ตาม

 

บรรยากาศในที่เกิดเหตุราวกับถูกแช่แข็งไปโดยสมบูรณ์

 

แบรี่มองไปยังสุนัขเพลิงที่กำลังแผ่พุงอยู่บนพื้น และหันกลับไปมองฝูงชนที่อยู่เบื้องหลัง “ถ้าฉันอัดมัน คงจะไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะใช่ไหม?”

 

“ซัดมันเลย!”

 

ทุกคนคำรามเป็นเสียงเดียวกัน

 

“เอ้า เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้?” จอมมารทะเลเลือดกล่าวด้วยความสับสน

 

เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว

 

แต่ในช่วงเวลานั้นเอง สีหน้าของเสี่ยวเหมียวก็ค่อยๆเปลี่ยนไปโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น — เธอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง!

 

“ระวัง!” เธอกรีดร้องออกมา

 

“อะไร-”

 

จอมมารทะเลเลือดหันกลับไปอีกด้าน

 

เห็นแค่เพียงรอยแยกมิติที่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว กว้างกว่าเดิมนับสิบเท่า

 

ท่ามกลางช่วงเวลาเดือดพล่าน แขนสีดำขนาดใหญ่ก็ผลุบออกมาจากรอยแยกและคว้าจับตัวจอมมารทะเลเลือดเอาไว้

 

“ฮี่ฮี่ฮี่ .. ตายซะ!”

 

เสียงหัวเราะแปร่งๆดังขึ้น

 

และมือสีดำขนาดใหญ่ก็กำแน่นทันที

 

“โผล๊ะ!”

 

ร่างของจอมมารทะเลเลือดแตกออกเป็นไพ่ในพริบตา ก่อนที่พวกมันทั้งหมดจะบินไปรวมตัวกันอีกครั้งข้างกายแบรี่

 

เขาเช็ดเลือดตรงมุมปากและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “จู่ๆก็เล่นทีเผลอเรอะ … ”

 

“เสี่ยวเหมียว สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง!” แบรี่กระชับถุงมือเหล็กของเขา และตะโกนถามลั่น

 

“นั่นมันผู้เพาะพันธุ์อสูร! เป็นผู้สั่งการอสูรกาย! มันกำลังคิดจะพากองทัพอสูรกายหลายสิบล้านตนที่อยู่เบื้องหลังเคลื่อนย้ายผ่านรอยแยกมิติ!

 

ในหัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน

 

ไม่คาดคิดเลย ว่าจู่ๆการต่อสู้ขั้นแตกหักจะมาเยือนอย่างกระทันหัน!

 

ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัวใจของเหล่าตัวตนทรงอำนาจ

 

ด้วยการที่ก่อนหน้านี้ทะเลเลือดเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะเผ่ามารนับล้านได้ ทุกคนจึงคิดว่ามันคงจะเป็นเพียงการต่อสู้ทั่วๆไป

 

แต่ใครจะรู้ ว่าจู่ๆผู้เพาะพันธุ์อสูรจะปรากฏตัวขึ้นมา!

 

ไอ้เจ้าตัวนี้มันไม่ใช่เผ่ามารธรรมดาๆ แต่เป็นมารที่แท้จริง!

 

ภายในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู เผ่ามารน่ะเป็นเพียงลูกสมุน และมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นจึงจะเป็นทหารระดับสูงยิ่งกว่า

 

ขณะที่เหนือเผ่ามารสามัญขึ้นไป คืออาวุธสงครามอย่างอสูรกาย

 

และผู้ที่คอยสร้างอสูรกาย หรือกระทั่งรับหน้าที่ในการเป็นผู้นำการรุกราน วางกลยุทธ์สงคราม และการฆ่าล้างทั้งหมดก็คือ ‘มาร’

 

มารคือสิ่งชั่วร้ายที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ผลักดันให้โลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นจมลงสู่วิถีแห่งการทำลาย

 

และเพื่อแยกมารกับเผ่ามารสามัญให้แตกต่างกัน ผู้คนจึงเรียกขานมันว่า ‘มารที่แท้จริง’!

 

ขณะที่ผู้เพาะพันธุ์อสูร – กระทั่งในหมู่มารที่แท้จริงด้วยกัน ก็ยังจัดว่าเป็นชื่อที่ใช้เรียกขานมารทรงอำนาจ

 

ไม่ว่าจะเป็น อสูรกายประเภทดัดแปลง , อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล หรือกระทั่งอสูรกายที่แท้จริง ทั้งสามประเภทที่กล่าวมานี้ ล้วนถูกผลิตและสรรสร้างขึ้นโดยมันทั้งสิ้น

 

ผู้เพาะพันธุ์อสูร คือมันสมองของอสูรกาย และตราบใดที่มันปรากฏตัวและยังมีชีวิตอยู่ในสถานที่ใด อสูรกายทุกตนจักต้องเชื่อฟังคำสั่งของมันอย่างไม่มีบิดพริ้ว

 

อาจกล่าวได้ว่า หากผู้เพาะพันธุ์อสูรปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมหมายความว่าระดับของสงครามในครั้งนี้จะถูกยกขึ้นสู่จุดสูงสุดทันที!

 

การปรากฏตัวของมัน คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเผ่ามารคิดจะเริ่มสงครามอย่างเต็มรูปแบบ!

 

ภายในรอยแยกมิติที่เปิดออก เสียงแปร่งๆดังก้องขึ้นอีกครั้ง

 

“แต่เดิม พวกเราคิดจะใช้เชื้อไฟในการรุกรานศัตรู แต่ใครจะรู้ว่าสถานการณ์มันกลับเป็นใจถึงเพียงนี้ ฮี่ฮี่ฮี่”

 

“เอาล่ะ พวกแกทั้งหมดพร้อมที่จะตาย ท่ามกลางพยุหะของอสูรกายแล้วรึยัง-”

 

ด้วยเสียงของมัน รอยแยกมิติพลันขยายตัวกว้างออกอย่างรวดเร็ว

 

รอยแยกมิติขยายกว้าง ลากยาวขึ้นไปถึงผืนฟ้า แลคล้ายกับเทือกเขาตระหง่านที่ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน

 

บังเกิดกลิ่นอายของความสิ้นหวัง การสังหาร เลือดเนื้อ และความบ้าคลั่ง โชยออกมาจากรอยแยกที่ว่านี้

 

นี่คือสายลมที่โชยมาจากดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ผสมผสานไปกับกลิ่นอายสับสนวุ่นวายของอสูรกายนับล้านๆตน

 

ในอีกไม่กี่วินาทีถัดไป พวกมันก็จะข้ามผ่านมิติและเวลา ก้าวลงมายังที่นี่!

 

“อย่าแม้แต่จะคิด!”

 

เสี่ยวเหมียวไม่คิดเก็บงำพลังของตนเองเอาไว้ได้อีกต่อไป เธอขบฟัน และทุ่มออกเต็มกำลัง

 

สองมือของเธอค่อยๆยื่นออกไปยังเบื้องหน้า -ในมิติที่ว่างเปล่าบังเกิดเสียงแตกร้าวอันคลุมเครือดังขึ้น คล้ายกับว่ากระจกแก้วขนาดใหญ่กำลังปริออก

 

สกิลเทวะ : จองจำมิติเวลา!

 

ตูม ตูมมมม!

 

พลังมิติที่มองไม่เห็นคล้ายดั่งลูกกระสุนปืนใหญ่ ถูกยิงออกไปอย่างรุนแรง ตรงเข้าสู่รอยแยกมิติด้วยเจตนาร้าย!

 

ในเสี้ยววินาทีต่อมา รอยแยกมิติก็เริ่มบิดเบี้ยว และผิดรูปไปทันที

 

“ไม่จริง!”

 

ผู้เพาะพันธุ์อสูรกรีดร้องด้วยความโกรธ

 

เห็นแค่เพียงในรอยแยกมิติที่ถูกเปิดออก ชั้นแล้วชั้นเล่าถูกย่อขนาดจนเล็กลงอย่างรวดเร็ว หุบเข้าหากันตรงกึ่งกลาง กลายเป็นเพียงรูขนาดเล็ก

 

พริบตานั้นกลิ่นอายของอสูรกายทั้งมวลก็หายไปโดยสมบูรณ์

 

“แท้จริงแล้วกลับมีผู้ใช้เทคนิคมนตรามิติอยู่ที่นี่ด้วยหรือนี่” ผู้เพาะพันธุ์อสูรบ่นงึมงำ

 

“ปล่อยทิ้งไว้จะเป็นปัญหา คงต้องฆ่ามันก่อน-”

 

บังเกิดเงามืดผลุบออกจากรูเล็กๆของรอยแยกมิติ และพุ่งตรงไปยังเสี่ยวเหมียว

 

และมันว่องไว! ว่องไวจนเกินไป ส่งผลให้เสี่ยวเหมียวที่ยังคงมุ่งสมาธิอยู่กับเทคนิคของตน ไม่มีเวลามากพอที่จะขยับตนต่อต้าน!

 

อย่างไรก็ตาม เงามืดที่ว่าดันถูกขัดขวางไว้ด้วยไพ่ใบใหญ่เสียก่อน ยามเมื่อทั้งสองปะทะกัน ทั้งเงาทั้งไพ่ก็สลายหายไปในความว่างเปล่า

 

“ขอบใจนะ” เสี่ยวเหมียวหันไปพูดกับจอมมารทะเลเลือด

 

ทะเลเลือดพยักหน้ารับ

 

เสี่ยวเหมียวหันไปตะโกนลั่นบอกทุกคนว่า “ฉันสามารถยืดระยะเวลาของมันออกไปได้แค่สามนาทีเท่านั้น! ต่อจากนั้นกองทัพอสูรกายก็จะถูกส่งผ่านมา!”

 

และมันไม่ใช่กองทัพอสูรธรรมดาๆ แต่เป็นกองทัพอสูรกายที่ถูกควบคุมสั่งการโดยผู้เพาะพันธุ์!

 

แบรี่กระชับถุงมือเหล็กของเขา และกล่าวกับฝูงชน “งั้นก่อนอื่น พวกเราจะต้องฆ่าเจ้าผู้เพาะพันธุ์อสูรให้ได้เป็นอันดับแรก! ฉันขอเปิดก่อนเลยแล้วกัน!”

 

ขณะที่จอมมารทะเลเลือดยกไพ่ที่สาดรังสีแสงสีเลือดขึ้นและกล่าว “ส่วนข้าจะปกป้องเสี่ยวเหมียวเอง และขณะเดียวกันจะคอยช่วยสนับสนุนเจ้าด้วย”

 

“ตะ .. ตกลงตามนั้น” แบรี่เหลือบกลับมามองเขาด้วยความประหลาดใจ

 

แล้วไพ่ก็หายไปจากมือของจอมมารทะเลเลือด

 

โครม!

 

แสงสีเลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

แบรี่กลายเป็นลมกรรโชก ระเบิดพุ่งตัวเข้าหารอยแยกมิติด้วยการเสริมพลังจากจอมมารทะเลเลือด

 

เบื้องหลังเขา จอมมารทะเลเลือดได้จั่วไพ่สองใบออกมาจากความว่างเปล่า

 

“เสี่ยวเหมียว เจ้าสามารถมั่นใจได้ ต่อให้ทุกคนและข้าจะตกตายลง แต่เจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อย่างแน่นอน เพราะมีทะเลเลือดของข้าคอยปกปักษ์อยู่ที่นี่”

 

ว่าแล้วเขาก็ประกบไพ่เข้าหากันด้วยสองมืออย่างรวดเร็ว

 

ปรากฏถึงทะเลสีเลือดอันไพศาล ค่อยๆซัดสาดไปทั่วบริเวณอย่างช้าๆ

 

ขณะที่เสี่ยวเหมียวแม้จะได้ยิน แต่เธอก็มิได้เอ่ยตอบกลับไป

 

นั่นเพราะเธอกำลังเค้นสมองคาดคำนวณการเคลื่อนย้ายของรอยแยกมิติอย่างหนักหน่วง และเธอจำต้องยืดกระบวนการนี้เอาไว้ เฝ้ารอเวลาจนกว่าทุกคนจะชนะ!

 

“ไปเลยยยย!”

 

“ไปฆ่าไอ้มารที่แท้จริงกัน!”

 

เกือบร้อยตัวตนทรงอำนาจคำรามก้อง

 

ทั้งหมดถีบตนเอง ทะยานออกไป

 

สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

 

 

ณ อัลเบอัส

 

ภายในโซนที่นั่งพิเศษ

 

ชายคนหนึ่งที่สวมกางเกงหนังรัดรูปสีดำ ท่อนบนเปลือยเปล่า บนหัวมีหงอนสีแดงสด ยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำแข็งที่ใส่เหล้าเอาไว้ภายใน

 

“ขอบคุณสำหรับความยากลำบาก เจ้าดื่มนี่สิ” เทสส์กล่าว

 

ผู้ชายคนนั้นถอนหายใจ ยกหัวขึ้น และเทเหล้าทั้งหมดในแก้วลงคอไป

 

“ฉันกลายเป็นมนุษย์ไปซะแล้วในตอนนี้ – แน่นอนว่าฉันรู้ดีว่ามีหลากหลายเผ่าพันธุ์ที่ชื่นชอบในการแปลงกายเป็นมนุษย์ เพราะมันง่ายต่อการสื่อสารกับเผ่าพันธุ์อื่นๆในตลอดทั้งหมื่นโลกา โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเผ่าพันธุ์ของตนเอง”

 

“แต่ฉันไม่ชอบเลยที่จะกลายเป็นมนุษย์ เพราะมันจะไม่สามารถแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงขนไก่อันงดงามของฉันได้”

 

เทสส์ให้กำลังใจ “แต่ก็ด้วยขนไก่อันงดงามของเจ้านะ ที่กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการช่วยเหลือโลกทั้ง 900 ล้านชั้นในครั้งนี้”

 

เธอมองไปยังอีกฝ่ายที่กำลังโศกเศร้า ตนจึงอดไม่ได้ที่จะสัมผัสลงบนใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม

 

เทสส์กล่าวอีกครั้ง “และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องการทั้งตัวของเจ้า -”

 

“เปรี๊ยะ!”

 

ในความว่างเปล่า บังเกิดเสียงแตกร้าวดังขึ้น

 

แสงแห่งรุ่งอรุณปรากฏกายจากความว่างเปล่าทันใด ปากอ้าขยับอย่างร้อนรน “เทสส์ ข้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จะไม่มีใครคัดค้านการค้นหาในพื้นที่ VIP … ”

 

กล่าวจบ เธอก็พบกับฉากภายในโซนพิเศษ

 

เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งที่ดูกำยำ ช่วงบนเปลือยเปล่า กำลังนอนจมอยู่บนโซฟา

 

ขณะที่เทสส์เอื้อมมือออกไป และลูบไล้ใบหน้าของชายคนนั้นอย่างเบามือ

 

ทริสเต้นิ่งงันไป

 

เธอย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ปรากฏตัวขึ้น และได้ยินอะไรราวๆว่า ‘เราต้องการทั้งตัวของเจ้า … ’

 

ใช่แล้ว เธอไม่มีทางได้ยินผิดไปได้

 

ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาคงจะ …

 

มัน …

 

ควรจะ …

 

ทริสเต้น้อมกายลง ปากเอ่ยกล่าวขออภัย “ขอโทษที่รบกวน ข้าไม่ทรา – เอ่อ เอาไว้ข้าจะกลับมาในภายหลังก็แล้วกัน”

 

เทสส์ยกมือขึ้น และพยายามที่จะหยุดอีกฝ่ายไม่ให้จากไป

 

“เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด!”

 

ฟิ้วววว

 

ทริสเต้หายวับไปโดยตรง

 

ภายในโซนพิเศษ กลับลงสู่ความเงียบ และหลงเหลืออยู่เพียง 2 คนอีกครั้ง

 

เทสส์หันไปมองชายวัยกลางคน

 

“เฮ้อ เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้พวกเรายืดเวลาออกไปได้อีกนิดล่ะนะ”

 

เทสส์ถอนหายใจ

 

ขณะที่ชายวัยกลางคนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินสิ่งใดเลย ปากของเขาเพียงขยับงึมงำ เปล่งเสียงกระซิบคร่ำครวญตลอดเวลา “ขนฉัน .. ขนสุดที่รักของฉัน … ”

ณ ‘เรือสมุทรธงดำ’

 

มันคือชื่อเรียกของบ่อนคาสิโนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกมิติอนันต์

 

และบรรดาผู้ร่วมหุ้นคาสิโนแห่งนี้ คือ 99 ตัวตนทรงอำนาจ ระดับจ้าววงการ

 

ตัวตนทรงอำนาจที่ถูกเรียกว่าจ้าววงการนั้น หมายถึงคนที่เพียงใช้ความแข็งแกร่งที่ตนมี ก็สามารถมีโลกมิติอนันต์เป็นของตนเองได้

 

อย่าลืมนะว่าโลกมิติอนันต์น่ะมีเอกลักษณ์ – ไม่เหมือนกับโลกใดๆ มันสามารถอยู่เหนือมิติและเวลา เชื่อมโยงเข้าหากันได้โดยตรง

 

ขณะเดียวกัน ในแง่ของความรู้สึก โลกมิติอนันต์คือเซฟเฮ้าส์ที่ปลอดภัย

 

เพราะตราบใดที่ปิดช่องสัญญาณมิติ ไม่ว่าใครก็จะไม่สามารถเข้าสู่โลกมิติอนันต์นั้นๆได้

 

แถมมันยังมีพลังพิเศษที่สามารถใช้ขับไล่ใครก็ได้ออกจากโลกมิติอนันต์อีก ซึ่งนี่ไม่แตกต่างไปจากพลังของเสี่ยวเหมียวเลย

 

ส่งผลให้โลกมิติอนันต์ มีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นที่สุดในด้านของความปลอดภัย

 

เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น แบรี่ที่บาดเจ็บมานานกว่า 1000 ปี คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่มาได้ถึงตอนนี้

 

ท่ามกลางวันสิ้นโลกของอาณาจักรทั้งมวล โลกแล้วโลกเล่าต่างทยอยกันถูกทำลายลง ชีวิตและความตายของผู้คนไม่แน่ไม่นอน ทว่าโลกมิติอนันต์กลับเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียว ที่สามารถรับประกันชีวิตของผู้คนได้

 

อาจกล่าวได้ว่าในแต่ละโลกมิติอนันต์ มูลค่าของพวกมันได้อยู่เหนือยิ่งกว่าความมั่งคั่งทั้งปวง และเป็นขุมทรัพย์ที่เหล่าตัวตนทรงอำนาจระดับสูงต่างก็เฝ้าใฝ่ฝัน

 

ทว่าเรือสมุทรธงดำ กลับเป็นโลกมิติอนันต์ที่พิเศษยิ่งกว่าแตกต่างออกไป

 

ทุกคนที่เข้าสู่โลกมิติอนันต์ใบนี้ จะต้องปฏิบัติตามกฏของคาสิโน

 

ไม่มีใครสามารถโกงที่นี่ได้ ไม่มีใครสามารถจ่ายหนี้เป็นบิลค้างไว้ได้ และไม่มีใครสามารถต่อต้านกฏที่นี่โดยคิดใช้กำลังเด็ดขาด

 

เพราะคาสิโนแห่งนี้มี 99 ตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการครอบครองอยู่ และพวกเขาสามารถเดินทางจากโลกของตนเองมายังโลกแห่งนี้ได้ตลอดเวลา!

 

แบรี่ที่กำลังถือขวดเบียร์แช่เย็น ยกมันขึ้นซดอีกครั้ง

 

“เปิดไพ่”

 

เขาเหวี่ยงชิปตัวสุดท้ายในมือออกไป

 

“คุณแพ้แล้ว” คนฝั่งตรงข้ามพลิกไพ่และกล่าว

 

แบรี่ปาไพ่ทิ้งด้วยความฉุนเฉียว แต่ทันใดนนั้นเอง

 

คนที่อยู่ด้านหลังก็ตบลงบนไหล่เขา

 

“มากันครบแล้วนะ” เสี่ยวเหมียวกล่าว

 

“ทุกคนเลยใช่ไหม?”

 

“ใช่”

 

แบรี่ผุดลุก และกระแทกขวดลงบนโต๊ะอย่างแรง

 

เสียงของขวดเบียที่แตกจนป่นปี้ สะท้อนไปไกลในคาสิโน

 

ตลอดทั้งคาสิโนเงียบงันลงในทันใด

 

ผู้คนมองมาที่เขา

 

แบรี่ส่งสัญญาณมือ และเดินออกไปยังประตูของคาสิโน

 

ขณะที่จู่ๆนักพนันหลายคนผุดลุกตามจากที่นั่ง และเดินตามเขาออกจากคาสิโนไป

 

ผู้คนที่เฝ้ามองฉากนี้ด้วยความสับสน เริ่มตระหนักได้ถึงเงื่อนงำบางอย่างอย่างรวดเร็ว

 

“เฮ้ยดูนั่นสิ นั่นมันซางรั่วหลง มังกรซ่อนนภา นี่!” ผู้สังเกตการ์คนหนึ่งตะโกนออกมา

 

“โอ้สวรรค์เถอะ! นายเห็นผู้หญิงสวยๆคนนั้นไหม? นั่นเหยาซินเหมิง จอมพิฆาตดวงดาว!”

 

“ทำไมจู่ๆถึงมีตัวตนทรงอำนาจมากมายปรากฏตัวขึ้นกัน?”

 

“วันนี้ … มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”

 

ตัวตนทรงอำนาจ เหล่าตัวตนทรงอำนาจเต็มไปหมดเลย!

 

นักพนันต่างจ้องมองเหล่าบุคคลในตำนานที่กำลังทยอยกันเดินออกจากคาสิโนด้วยความสงสัย

 

พวกเขาตระหนักได้ในทันทีว่ามันจะต้องมีเรื่องที่สั่นสะเทือนสวรรค์กำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

“รู้สถานที่รึเปล่า?”

 

บางคนเอ่ยถามเสียงกระซิบ

 

“รู้สิ เสี่ยวเหมียวบอกว่าพบรอยแยกมิติซ่อนอยู่ในตำแหน่งทางด้านซ้ายของอัลเบอัสไปสองชั้นโลก” แบรี่กล่าว

 

อีกคนหนึ่งอุทานขึ้น “นี่มันก็นานแล้วนา ที่ฉันไม่ได้ขยับแข้งขยับขา ในสงครามคราวนี้ล่ะ ฉันจะฆ่าพวกเผ่ามารให้เหี้ยนจนอิ่มไปเลย”

 

“อย่าลืมแบ่งกันบ้างล่ะ ฮ่าฮ่า”

 

เสียงของเหล่าตัวตนทรงอำนาจสะท้อนไปมา

 

เสี่ยวเหมียวกับแบรี่สบตากันวูบหนึ่ง และพยักหน้าให้อีกฝ่าย

 

แล้วเสี่ยวเหมียวก็เริ่มเปิดช่องว่างมิติเคลื่อนย้ายระยะใกล้ทันที

 

แม้ว่าการการเคลื่อนย้ายของเธอจะไม่อาจกำหนดอย่างแม่นยำได้ แต่มันก็คงห่างจากอัลเบอัสไปเพียงแค่ราวๆไม่เกิน 5 ชั้นโลกเท่านั้น อย่างไรก็ยังใกล้เคียงกับรอยแยกมิติที่ว่า และโอกาสที่จะเบี่ยงเบนออกไปก็มีไม่มากนัก

 

ม่านแสงพลันกระพริบไหว และทุกคนก็หายวับไป

 

พวกเขาปรากฏตัวขึ้นในกระแสมิติอันเชี่ยวกราด

 

ไม่ใกล้ไม่ไกลเบื้องหน้า คือรอยแยกมิติที่เชื่อมต่อกับดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู

 

บรรดาตัวตนสุดแกร่งคนแล้วคนเล่า บ้างยกอาวุธขึ้นมา บ้างสวมใส่เกราะรบ และบินตรงไปยังรอยแยกดังกล่าว

 

ที่ซึ่งมีเผ่ามารซุ่มซ่อนอยู่ที่นั่น

 

พวกเขาหมายจะเปิดศึกโจมตี ชิงตัดหน้ากำจัดเผ่ามารที่กำลังเตรียมการบุกซะก่อน

 

นับจากนี้ไป –สงครามขั้นแตกหักก็จักปะทุขึ้น!

 

ตัวตนทรงอำนาจบางคนอดไม่ได้ที่จะเริ่มตึงเครียด

 

เพียงสิบลมหายใจ พวกเขาก็ได้มาถึงรอยแยกมิติ

 

ทว่ามันกลับแตกต่างไปจากสิ่งที่พวกตนคิด เพราะภายในมันไม่มีเผ่ามารอยู่เลย

 

เห็นแค่เพียงคนๆหนึ่งยืนอยู่ภายในรอยแยกมิติ พร้อมกับถือแก้วไวน์ในมือวนมันเบาๆ แสดงท่าทีคล้ายกำลังเฝ้ารอพวกเขาอยู่อย่างเงียบๆ

 

“บัดซบ! นั่นมันทะเลเลือด ไอ้ทะเลเลือดอีกแล้ว!”

 

บางคนร้องตะโกนออกมา

 

ทันใดนั้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็ฝูงชนก็กระเจิงออกทันที

 

แบรี่พอได้ยินชื่อนี้ก็เริ่มรู้สึกโกรธแค้น

 

เขาแทรกตัวออกมาจากฝูงชน และตรงไปหาจอมมารทะเลเลือด

 

“นี่แกลงมือตัดหน้าก่อนคนอื่นๆอีกแล้วหรอ?” เขาเอ่ยถาม

 

จอมมารทะเลเลือดยกไวน์ขึ้นจิบและกล่าว “เปล่าซะหน่อย”

 

อ่าว ไม่ใช่หรอกหรือ?

 

แบรี่นิ่งงันไป

 

เกือบร้อยตัวตนทรงอำนาจก็แข็งค้างไปเช่นกัน

 

ทะเลเลือดกลั้วลำคอและกล่าว “นานมาแล้ว ในครั้งที่พวกเรายังเป็นเพื่อนกัน เป็นเพราะข้ามักจะบุกตะลุยไปเบื้องหน้า และจัดการเรื่องราวให้มันจบลงก่อนเสมอๆ ทุกคนเลยค่อยๆละเลยข้า”

 

“หลังจากวันเดือนปีที่ผ่านพ้น ข้าก็ได้ลองขบคิดดู และพบว่าตนได้ทำผิดพลาดไป”

 

“ตอนนี้ข้าเลยกลับใจ เปลี่ยนตนเป็นคนใหม่แล้ว”

 

แบรี่หันกลับมามองฝูงชน

 

ฝูงชนทุกคนต่างพากันส่ายหัว

 

“พวกเราไม่เชื่อแกหรอก!” แบรี่พูดพลางยกสองแขนขึ้นกอดอก

 

“สาบานต่อสรวงสวรรค์ว่าข้าตระหนักแล้วจริงๆ” จอมมารทะเลเลือดกล่าวอย่างจริงใจ “ข้าจะไม่เห็นแก่ตัวอีกต่อไป จะไม่ละทิ้งทุกคน จะใส่ใจถึงความรู้สึกของทุกคน ร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน และนั่นจะทำให้พวกเราดูแลซึ่งกันและกันได้ ข้าเข้าใจว่าหลายคนเป็นห่วงข้า เกรงว่าหากข้าไปพานพบกับศัตรูเพียงลำพังมันจะอันตราย”

 

แบรี่จ้องมองจอมมารทะเลเลือด

 

“นี่แกคิดได้อย่างนั้นจริงๆน่ะหรอ?” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“ใช่ ด้วยความสัตย์จริง ข้าควรจะพิจารณาเกี่ยวกับเจ้าให้มากกว่านี้” จอมมารทะเลเลือดกล่าว

 

ความโกรธของแบรี่จึงลดต่ำลง

 

เขาพยักหน้าอย่างเงียบๆ และหันไปตะโกนถามคนข้างหลัง “แล้วพวกนายคิดว่าไง?”

 

ฝูงชนจับกลุ่มคุยกันสักพักหนึ่ง

 

ในที่สุดก็มีคนตะโกนว่า “ทะเลเลือด ในเมื่อนายไม่อาละวาดอีกต่อไป พวกเราก็ยินดียอมรับในตัวนายอีกครั้ง”

 

ตัวตนทรงอำนาจคนแล้วคนเล่าพยักหน้า

 

ความจริงแล้วทะเลเลือดก็เป็นคนที่ดีคนหนึ่ง เพียงแต่เขามักจะหยิ่งทะนงเกินไปเล็กๆน้อยๆก็เท่านั้นเอง

 

เขาจะกลายเป็นสหายที่ดี หากเขาเปลี่ยนความคิดตัวเอง และใส่ใจคนอื่นๆให้มากขึ้น

 

ในที่สุด จอมมารทะเลเลือดก็เดินเข้าไปในฝูงชน และจับมือกับอีกหลายๆคน

 

มีแม้กระทั่งบางคนที่ตบลงบนไหล่เขาอย่างสนิทสนม

 

เขาได้รับการยอมรับจากตัวตนสุดแกร่งระดับหัวแถวอีกครั้ง

 

โอเค จบเรื่องมิตรภาพละ

 

งั้นก็เรื่องต่อไป-

 

“ทะเลเลือด ในเมื่อนายมาเร็วที่สุด ถ้าอย่างงั้นนายเห็นพวกมารบ้างไหม?” แบรี่เอ่ยถาม

 

“ข้าเห็น และจับมันได้ตัวหนึ่ง”

 

“ … นี่นายไม่ได้ฆ่ามันทันทีเลยงั้นหรอ?” แบรี่อุทานออกมาอย่างไม่คาดคิด

 

คงจะเป็นเรื่องจริงแล้ว ที่ว่าจอมมารทะเลเลือดแตกต่างไปจากเมื่อก่อน

 

“ใช่ ลองดูนี่สิ”

 

จอมมารทะเลเลือดดีดนิ้ว

 

และไพ่ใบหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน

 

ทันใดนั้นมารสุนัขเพลิงที่สูงขนาดครึ่งตัวคนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าตัวตนทรงอำนาจทั้งหมด

 

มารสุนัขเพลิง มีความสามารถในการสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของทุกสิ่งมีชีวิตหลากหลายรูปแบบโดยกำเนิด และยังสามารถค้นหาเทคนิคมนตราที่คอยปกคลุมมิติซ่อนเร้นได้อีกด้วย

 

ดังนั้นท่ามกลางบรรดาเผ่ามารประเภทสอดแนมทั้งหมดทั้งมวล มันจึงถูกนับว่าเป็นการดำรงอยู่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด

 

เมื่อใดก็ตามที่มันปรากฏตัวขึ้น ไม่ใกล้ไม่ไกลมันย่อมต้องมีกองทัพเผ่ามารอยู่อย่างแน่นอน

 

กำลังรบของมารสุนัขเพลิงมิได้แข็งแกร่งเท่าใด มันโดดเด่นในด้านการตรวจสอบสถานการณ์รบซะมากกว่า

 

ภายใต้สายตาของเหล่าผู้ไร้เทียมทานในแต่ละชั้นโลกที่จ้องมองมา สุนัขเพลิงพลันสะอื้นไห้ คุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัวทันที

 

“ดีล่ะ ในเมื่อทะเลเลือดจับพลสอดแนมของเผ่ามารได้ ดูเหมือนว่าพวกเรากำลังจะได้ขยับแข้งขยับขากันแล้ว” แบรี่กำหมัดแน่น

 

“เพื่อโลก 900 ล้านชั้น พวกเราจะทุ่มสุดกำลัง ต่อสู้โดยไม่คิดคำนึงถึงชีวิตและความตาย!” บางคนร้องตะโกนออกมา

 

และฝูงชนต่างก็เฮลั่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะต่อสู้

 

กลิ่นอายสังหารฟุ้งไปทั่วบริเวณ

 

บรรยากาศแห่งการต่อสู้พุ่งสูงขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“นี่ – ใจเย็นๆกันก่อนสิ” จอมมารทะเลเลือดขัดขึ้น

 

“ทำไม?” แบรี่ถาม

 

“ขาเจ้าหายดีแล้วหรือ?”

 

“มันไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง” แบรี่ตอบกลับไปอย่างคาดไม่ถึง

 

หืม … นี่เจ้าทะเลเลือดหันมาใส่ใจกับคนอื่นบ้างแล้วงั้นหรอ?

 

ฝูงชนต่างก็พากันประหลาดใจ

 

ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงของจอมมารทะเลเลือดหันไปกล่าวกับผู้คนว่า “เพื่อความยุติธรรม ข้าคิดว่าทุกคนสมควรจะต่อสู้กันเองซะก่อน เหมือนกับการยืดเส้นยืดสายที่มักจะทำกันในสมาคมกำปั้นเหล็ก”

 

“แล้วทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย? สงครามกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ” บางคนถามอย่างงงๆ

 

“เพราะพวกเจ้าจะต้องต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งผู้ชนะเลิศคนสุดท้าย และคนๆนั้นก็จะคุณสมบัติ ได้รับสิทธิ์ที่จะสังหารสุนัขเพลิงตนนี้อย่างไรเล่า” จอมมารทะเลเลือดกล่าว

 

อ๋า? ก็แล้วนั่นมันหมายความว่ายังไงกัน

 

ไอ้ทะเลเลือดนี่ ใช่ว่าสมองพิการไปแล้วหรือไม่?

 

เวลานี้ สงครามกำลังจะปะทุขึ้นอยู่แล้ว และมันไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดาๆด้วย ใครมันจะมีเวลาว่างไปแย่งกันฆ่าสุนัขเพลิงกัน?

 

ฝูงชนตกอยู่ในความสับสน

 

เสี่ยวเหมียวตอบสนองอย่างรวดเร็ว เธอคิดและเอ่ยถาม “ความหมายของคุณก็คือ พวกเราไม่จำเป็นต้องจัดการกับเผ่ามารตนอื่นๆแล้วใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้วล่ะ”

 

“อ่าว งั้นแกก็ชิงฆ่ามารทั้งหมดด้วยตัวเองอีกแล้วน่ะสิ” บางคนแทรกขึ้นด้วยความตกใจ

 

ความโกรธในหัวใจของทุกผู้คนเริ่มจะสูบฉีดขึ้น

 

“ชิงฆ่าพวกมารทั้งหมดงั้นหรอ? ไม่ ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น ข้าก็แค่-”

 

“แค่อะไร?”

 

“แค่พวกเผ่ามารมันยังไม่ได้ส่งตัวตนที่ดุร้ายออกมา ระหว่างนั้นข้าที่กำลังเฝ้ารอทุกคนด้วยความเบื่อหน่าย จึงพยายามคิดหาวิธีคลายเครียดขึ้น”

 

จอมมารทะเลเลือดชี้ไปยังสุนัขที่กำลังสะอื้นไห้อยู่บนพื้น

 

“หลังจากที่ล้างบางกองทัพลูกกระจ๊อกนับล้านที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ข้าก็ได้ทำการเฟ้นเลือกอย่างพิถีพิถัน เก็บชีวิตของเจ้าสุนับตนนี้เอาไว้”

 

ด้วยคำกล่าวของเขา สุนัขที่หมอบครวญอยู่บนพื้นก็เริ่มสั่นสะท้าน

 

และทันใดนั้นมันก็พลิกตัว นอนแผ่พุงให้เกาๆเบื้องหน้าฝูงชน

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนทรงอำนาจอย่างหาที่ใดเปรียบนับไม่ถ้วน ในที่สุดมันก็ยอมจำนนโดยตรง

 

จอมมารทะเลเลือดยกแก้วไวน์ขึ้น และจิบมันอย่างสบายอารมณ์ “นับจากนี้ ข้าจะคำนึงถึงความกระหายในการต่อสู้ของทุกๆคน ฉะนั้นในครั้งต่อๆไป ข้าจะเหลือเผ่ามารเก็บไว้หนึ่งตนให้พวกเจ้าฆ่าเล่น”

 

“เอ้า มัวรออะไรกันอยู่ รีบจัดประลองต่อสู้ แล้วเฟ้นหาผู้ชนะที่แข็งแกร่งที่สุดซะสิ จะได้ฆ่าไอ้หมาบ้านี่ๆให้จบๆกันไปซักที”

 

“ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ได้ต่อสู้กับกองทัพมารนับล้าน แต่ด้วยวิธีนี้ พวกเจ้าก็จะสามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าได้ โดยการฆ่าหมาถึงหนึ่งตัวเชียวนา”

 

“นี่ไง ด้วยวิธีการนี้ของข้า พวกเจ้าทุกคนก็จะไม่ต้องรู้สึกหงุดหงิด และเสียดายที่ไม่ได้ต่อสู้กับเผ่ามารอีกต่อไปแล้วไง”

 

สีหน้าของทะเลเลือดกรุ้มกริ่ม รอยยิ้มยกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และกล่าวต่อ

 

“แม้ว่าความแข็งแกร่งของทุกคนจะค่อนข้างอ่อนแอ จนเชื่องช้า ไม่สามารถมาทันการต่อสู้ได้ แต่ข้าก็ใส่ใจถึงสิ่งนั้น และพิจารณาอย่างเต็มที่ เลยเตรียมการนี้เอาไว้ให้แก่ทุกๆคน”

 

“เป็นอย่างไร? ข้าเปลี่ยนไป แตกต่างเป็นคนละคนจากเมื่อครั้งอดีตแล้วใช่ไหม?”

 

“ … ” แบรี่

 

“ … ” เสี่ยวเหมียว

 

“ … ” เหล่าตัวตนทรงอำนาจ

อีกด้านหนึ่ง

 

ภายในโลกสมบัติของทริสเต้

 

กู่ฉิงซานโอบลอร่า ควบม้าทมิฬวิ่งไปตลอดเส้นทาง

 

ด้วยพละกำลังขาของปีกแห่งแดนชำระล้าง พวกเขาจึงสามารถข้ามผ่านภูเขาหิมะแต่ละลูกมาได้อย่างง่ายดาย และมาถึงเป้าหมายในที่สุด

 

เบื้องหน้าของทั้งสอง คือภูเขาสูงตระหง่านที่สุดท่ามกลางภูเขาทั้งมวล

 

เนื่องจากตลอดทั้งลูกของมันโปร่งใส เลยส่งผลให้สามารถมองเห็นถึงสถานการณ์ภายในภูเขาน้ำแข็ง ผ่านชั้นผิวของมันได้อย่างชัดเจน

 

ผิวน้ำแข็งมีสีฟ้าจางๆ สามารถมองทะลุเข้าไป , มีน้ำใสๆไหลวนอยู่ภายใน ขณะเดียวกันก็มีฟองอากาศเป็นลูกๆ ลอยไปมาอยู่ในภูเขาน้ำแข็ง และเนื่องจากมันโปร่งใส่ ผิวน้ำแข็งลูกนี้จึงสามารถสะท้อนให้เห็นถึงก้อนเมฆบนท้องฟ้า ผสานไปกับวิวทิวทัศน์โดยรอบ ยามเมื่อสองฉากนี้ผสมรวมกัน ช่างให้ความรู้สึกคล้ายกับตกอยู่ในห้วงฝัน

 

ลอร่าปีนกลับขึ้นมาบนไหล่เพื่อชมทิวทัศน์ แล้วปรบมือของเธอ “มันสวยจัง เราชอบภูเขาลูกนี้มากเลย”

 

“ไปกันเถอะ”

 

“ไปสิ”

 

พวกเขากำลังจะมุ่งหน้าต่อ ทว่าม้าทมิฬกลับหยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน

 

ดวงตาของมันจ้องเขม็งเข้าไปภายในภูเขาน้ำแข็งชนิดหัวชนฝา

 

อย่างไรก็ตาม การกระทำนี้ของมันก็มิได้ถูกตำหนิหรือถามไถ่ถึงเหตุผลใดๆจากทั้งกู่ฉิงซานหรือลอร่า

 

เพราะกระทั่งพวกเขาเอง ก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์ที่มิอาจเอ่ยปากออกมาได้

 

เห็นแค่เพียงเงาขนาดยักษ์ที่ปรากฏขึ้นภายในภูเขาน้ำแข็ง

 

เงาดำนี้มีความกว้างหลายสิบเมตร และยาวกว่า 100 เมตร มันผลุบขึ้นมาจากเบื้องล่างของภูเขาน้ำแข็ง และแหวกว่ายขึ้นไปยังส่วนบนของตัวภูเขา

 

แม้ว่าชั้นผิวน้ำแข็งเกือบจะโปร่งใส แต่กระแสน้ำในก็ยังคงเชี่ยวกราด ผสมผสานไปกับแสงและเงาของฟองน้ำที่ผุดขึ้นมา ส่งผลให้หากมองจากภายนอก จะไม่สามารถสังเกตถึงลักษณะของร่างเงาใหญ่ได้ชัดเจนนัก

 

อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาจะอยู่ห่างจากชั้นน้ำแข็ง และเฝ้ามองดูร่างที่ใหญ่โตและเลือนรางนี้จากภายนอก มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดเกรง

 

เพราะนี่คือสัญชาตของสิ่งมีชีวิต ตราบใดที่คุณพบเผชิญกับตัวตนที่มีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าชนิดเทียบไม่ติด ภายในจิตใจก็จะบังเกิดความรู้สึกวิตก ก้มหัวให้แก่อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

 

เพราะความแตกต่างระหว่างทั้งสองมันมีมากจนเกินไป เปรียบดั่งช้างกับมด ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในจิตใจ

 

แต่กู่ฉิงซานก็ได้สติกลับคืนอย่างรวดเร็ว เขาทดลองจุ่มมือเข้าไปในชั้นน้ำแข็ง เพื่อดูว่าร่างเลือนรางนี้เป็นมอนสเตอร์ชนิดอะไร

 

แต่ทันทีที่เขาสัมผัสมัน … เพี๊ยะ! มือของเขาก็ดีดกลับทันควัน -ถูกปฏิเสธโดยตรงจากผิวชั้นนอกสุดของมัน

 

ดูเหมือนว่าจะมีพลังแปลกๆคอยปกคลุมตลอดทั้งภูเขาน้ำแข็งที่สูงตระหง่านนี้

 

กู่ฉิงซานมองไปยังส่วนยอดของภูเขา

 

สิ่งปลูกสร้างที่งดงามตระการตา เพียงเฝ้ามองก็รู้สึกเคารพศรัทธาตั้งอยู่ที่นั่น

 

นี่คงจะเป็นวิหารที่ว่าสินะ?

 

เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำอธิบายของเชื้อไฟ

 

‘ภายนอกทุ่งน้ำแข็งนี้ มีวิหารอันวิจิตรงดงามอยู่’

 

‘ในสมัยโบราณอันไกลโพ้น เทพบรรพกาลยังคงสถิตอยู่ในโลกใบนี้ และพวกเขาก็ได้สร้างวิหารดังกล่าวขึ้น เพื่อเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่เกิดจากน้ำมือของพวกเขา’

 

‘คุณจะต้องไปที่นั่น และทำพิธีของเทพบรรพกาลให้สำเร็จลุล่วง’

 

กู่ฉิงซานหายเข้าไปในความคิด

 

ฉะนั้นร่างที่เลือนรางเมื่อครู่นี้ ก็สมควรที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพในยุคโบราณอันไกลโพ้นสินะ?

 

และการที่มันสามารถมีชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางวันเดือนปีที่ผ่านพ้น เนิ่นนานมาจนถึงปัจจุบันได้ เกรงว่าหากต้องรับมือกับมัน คงไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย

 

หนึ่งคน หนึ่งวิหค หนึ่งม้า นิ่งงัน ต่างจมลงสู่ความเงียบ

 

เฝ้ารอจนกระทั่งมอนสเตอร์ยักษ์ว่ายผ่านไปไกล พวกตนจึงค่อยผ่อนคลายลง

 

“นั่นมันคืออะไรหรอ?” ลอร่าถามขึ้นเบาๆ

 

“ไม่รู้สิ คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างในโลกใบนี้ล่ะมั้ง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ทว่าจู่ๆความคิดน่ากลัว ก็พลันแวบผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา

 

อะไร?

 

เมื่อกี้ทำไมจู่ๆถึงรู้สึกแบบนั้นออกมากัน?

 

กู่ฉิงซานพยายามที่จะเค้นสมองคิดถึงมันอีกครั้ง แต่เขากลับพบว่าตนมิอาจนึกถึงความคิดที่ว่านั่นได้

 

เหมือนกับว่าความคิดนั้นปรากฏขึ้น และหายไปทันทีโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้เลย

 

ร่างของกู่ฉิงซานเริ่มสั่นสะท้าน ราวกับว่าตนกำลังถูกกัดกร่อนด้วยความเย็นยะเยือกบางอย่าง

 

ลอร่าเงยหน้าขึ้น มองไปยังยอดสุดของภูเขาสูงตระหง่าน ปากเอ่ยไม่เห็นด้วย “มันสูงเกินไป เราไม่อยากจะขึ้นไปข้างบนเลย”

 

หลังจากที่เห็นมอนสเตอร์และตระหนักถึงความสูงเบื้องบน เธอก็ไม่มีความคิดว่าภูเขาน้ำแข็งเบื้องหน้ามันงดงามอีกต่อไป

 

“กระหม่อมก็ไม่ต้องการที่จะขึ้นไปเช่นกัน” กู่ฉิงซานถอนหายใจ “แต่ยังไงพวกเราก็ต้องไป”

 

ลอร่าพอได้ฟังก็นิ่งไป ไม่เอ่ยปากตอบโต้อยู่สักพักหนึ่ง

 

นั่นสิ พวกเราอุตส่าห์มากันจนถึงจุดนี้แล้ว ดังนั้นมันไม่สำคัญหรอกว่าจะต้องเผชิญกับอะไร แต่จะมาหยุดเอากลางทางได้อย่างไร?

 

แค่เพราะกลัวความสูงกับมอนสเตอร์ตัวเมื่อครู่ เลยยอมแพ้เรื่องที่จะต่อสู้กับทริสเต้แล้วอย่างงั้นหรือ?

 

ระหว่างที่ตนมายังอัลเบอัส สมาชิกครอบครัวทั้งหมดถูกสังหารลงด้วยน้ำมือของทริสเต้ นี่คือความเจ็บปวดและเกลียดชังที่มิอาจลบล้างได้ตลอดไป

 

อย่างไรก็ตาม แม้เธอจะเจ็บปวด และทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่หากเทียบเปรียบกับความตายแล้ว มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด!

 

ดวงตาของลอร่าค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ

 

“กู่ฉิงซาน”

 

“หืม?”

 

“ในช่วงเวลาที่เจ้าข้ามผ่านเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มันยากลำบากหรือไม่?”

 

“ถ้าเรื่องนี้ มันก็เหมือนกันทุกคนนั่นแหละ”

 

“อัลเบอัสจะจัดงานเลี้ยงเป็นเวลากว่าสามวันสามคืน เพื่อฉลองการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของเรา แต่เราไม่คาดคิดเลยว่าวัยผู้ใหญ่จะเป็นเช่นนี้”

 

กู่ฉิงซานเงียบไป

 

หากอ้างอิงในแง่การนับปีของมนุษย์ ลอร่าจะมีอายุเพียงแค่ 7 ขวดเท่านั้น

 

อายุ 7 ขวบ นี่ยังจะเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ได้หรือ?

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความทรงจำที่ยาวนาน

 

ในตอนที่เขาอายุได้ 7 ขวบ เขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ด้วยเงินจากกองทุนสงเคราะห์เพียงอย่างเดียว ตนจึงไปรับจ้างช่วยล้างจานและทำความสะอาดร้านอาหารที่อยู่ในสลัม

 

แต่แน่นอน ว่าสิ่งตอบแทนจากการช่วยเหลือที่ว่าน่ะไม่ใช่เงิน

 

ผลตอบแทนเพียงอย่างเดียวก็คือ เขาสามารถกินอาหารได้สองมื้อต่อวันแบบฟรีๆ

 

และโชคยังดีที่การศึกษาภาครัฐนั้นอนุญาติให้เขาสามารถทำงานได้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้นในขณะเรียนไปในแต่ละวัน เขาก็ทำงานไปด้วย ในที่สุดก็ค่อยๆเติบโตขึ้น

 

กล่าวได้หากผู้อื่นมิเคยพบเจอเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันมาก่อน ก็คงจะไม่สามารถจินตนาการถึงความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญได้

 

จนกระทั่งเมื่ออายุ 13 ปี กู่ฉิงซานก็สามารถปรุงอาหารได้อร่อย จนเจ้าของร้านเอ่ยปากชมในที่สุด

 

และนับตั้งแต่นั้นมา ชีวิตของเขาจึงค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆ

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

เขาวางลอร่าลงจากไหล่ และโอบเธอไว้ในอ้อมแขน

 

อายุ 7 ขวบ ..

 

แต่เด็กสาวตัวน้อยๆคนนี้ ต้องกลายเป็นกำพร้าเสียแล้ว

 

แถมเธอยังเป็นสายเลือดสุดท้ายของราชวงศ์วิหคหนามอีก

 

หนทางอนาคตเบื้องหน้าของเธอ คงมิแคล้วยากลำบากยิ่งกว่าตัวเขาอย่างแน่นอน

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “ฝ่าบาท ชีวิตของผู้ใหญ่มักจะเป็นไปด้วยความเหนื่อยล้าและยากลำบากแบบนี้แหละ กระหม่อมหวังว่าพระองค์จะสามารถมีกำลังใจมากขึ้นนะ”

 

“มีกำลังใจมากขึ้น?”

 

“ใช่ เพราะถ้าไม่มีใจสู้เลย โชคชะตาก็จะเข้าครอบงำ และมันจะกลายเป็นผู้ลิขิตชีวิตของท่านไปในที่สุด”

 

“ … เราไม่ต้องการแบบนั้น”

 

ลอร่าฝังหัวของเธอลงในอ้อมแขนของเขา ปากเอ่ยกระซิบเบาๆ

 

“พวกเราจะต้องปีนภูเขาลูกนี้ขึ้นไป” กู่ฉิงซานกล่าว “เราจะต้องไม่หลบสายตาจากมัน และจากนั้นพวกเราสองคนก็จะสามารถต่อกรกับทริสเต้ได้อย่างแน่นอน”

 

ลอร่าจิกริมฝีปากตัวเอง และสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

เธอเปล่งเสียงหนักแน่น “พวกเราจะต้องโค่นเธอลงให้จงได้!”

 

“ยอดเยี่ยม นับว่าเป็นแรงใจที่ดี เอาล่ะ พวกเราก็ไปกันเถอะ”

 

“ไปกัน!”

 

ทั้งสองกำลังจะเริ่มไปต่อ แต่จู่ๆ กู่ฉิงซานกลับหยุดลงอย่างกระทันหัน

 

เพราะภายในชั้นภูเขาน้ำแข็ง ที่เดิมทีฟุ้งไปด้วยน้ำสีฟ้าใส บัดนี้พลันกลับกลายเป็นสีแดงเลือด

 

วู้มมม !

 

เสียงคำรามสะท้านสะเทือนไปทั้งสวรรค์และโลกกังวานขึ้นมาจากส่วนลึกเบื้องล่าง ราวกับว่ามันเป็นเสียงคำรามของผืนโลก

 

ลอร่าหดตัวลงในอ้อมแขนของกู่ฉิงซานด้วยความหวาดกลัว

 

กู่ฉิงซานหรี่ตาลง เพ่งสมาธิเงี่ยหูคอยรับฟังเสียงคำรามอย่างเงียบๆ

 

ฟังจากเสียงคำราม เขาสัมผัสได้ถึงห้วงอารมณ์บางอย่าง

 

มันคล้ายกับความโศกเศร้า แต่ขณะเดียวกันก็เจ็บปวด

 

ยิ่งไปกว่านั้น คือสิ้นหวัง

 

เสียงคำรามค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ

 

ทันใดนั้นเอง เงาดำขนาดใหญ่ก็ผลุบออกมาจากใต้ภูเขาน้ำแข็ง

 

มันปรากฏขึ้นจากภายใน และลอยไปตามกระแสน้ำ ขึ้นสู่วิหารบนยอดเขา

 

ทว่าตลอดทั้งกระบวนการ เงาอันมหึมานี้มิได้ขยับกายเคลื่อนไหวและไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมาอีกเลย

 

เหมือนกับว่ามันจะตายไปแล้ว

 

เมื่อเงาดำมหึมานี้ผ่านหน้ากู่ฉิงซานไป เขาก็เห็นถึงดวงตาคู่หนึ่ง

 

มันเป็นดวงตาที่มีขนาดใหญ่โต แต่กลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและรวดร้าว

 

“สิ่งมีชีวิตที่มีห้วงอารมณ์อย่างงั้นหรอ … ” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

รอบๆเงาดำ น้ำสีฟ้าอ่อนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกเลือด

 

เลือดที่ว่านั่น เกิดจากบาดแผลบนตัวของมอนสเตอร์

 

มันกระจายตัวออกไป จนเมฆเบื้องบนที่สะท้อนแสงและเงาลงมากลายเป็นสีแดงเลือด กระทั่งกระแสน้ำภายใน และร่างของกู่ฉิงซานที่สะท้อนจากภายนอกก็ไม่แตกต่างกัน

 

กู่ฉิงซานไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ เขาเฝ้ามองเงามืดจนกระทั่งมันหายไปจากสายตา

 

มอนสเตอร์ตัวเมื่อครู่นี้ ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกัน

 

และนั่นคือตัวที่สอง

 

“มีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อยู่ในโลกใบนี้ … ดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพ ในยุคโบราณ … ” ลอร่างึมงำ

 

ในฐานะที่เป็นเจ้าหญิงหนาม เธอจึงมีความรอบรู้มากเป็นธรรมดา

 

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างระมัดระวัง

 

ทันใดนั้นเอง ความคิดที่ปะปนไปกับความหนาวเย็นในอากาศก็เสียดแทงเข้ามาในหัวใจของเขา

 

และครั้งนี้ กู่ฉิงซานสามารถคว้ามันเอาไว้ได้ มิปล่อยให้หลุดรอดไปดั่งคราวก่อน

 

สิ่งมีชีวิต …

 

สิ่งมีชีวิต!!!

 

แผ่นหลังของกู่ฉิงซานเริ่มผุดเหงื่อเย็นออกมา ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไม่ไหวติง

 

“เป็นอะไรไปหรอ?” ลอร่ามองเขา เอ่ยถามด้วยความกังวล

 

“พอดีว่ากระหม่อมพึ่งจะเข้าใจถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาน่ะ”

 

กู่ฉิงซานปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก และพยายามบีบบังคับตนให้สงบลง

 

ในสายตาของเขา บนหน้าต่างระบบเทพสงครามกำลังกระพริบไหวอย่างบ้าคลั่ง

 

บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบนหน้าต่างระบบ

 

“คุณได้ตระหนักถึงสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว”

 

“คุณได้พบเจอกับสิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้”

 

“คุณได้ตระหนักถึงความเป็นไปได้บางอย่าง”

 

ในเวลาเดียวกัน หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้ค้นพบถึงเงื่อนงำบางอย่างเช่นกัน

 

“โปรดช่วยบอกระบบเทพสงครามด้วย ว่าสิ่งที่คุณค้นพบคืออะไร?”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านบรรทัดแสงตัวอักษรบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างรวดเร็ว

 

เขาถอนหายใจลึก และตอบกลับผ่านทางความคิด “เชื้อไฟกำลังหลอกพวกเรา ฉันสงสัยว่ามันน่าจะยกระดับเสร็จสิ้นลงแล้ว และตอนนี้ ในที่สุดมันก็ได้กลายเป็น ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!”

 

ณ กลางดึก

 

ภายในอัลเบอัส

 

งานเลี้ยงฉลองยังคงดำเนินต่อไป

 

เสียงเพลงขับขาน ผู้คนร่ายระบำกันอย่างมัวเมา

 

และจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาสามวันสามคืน ขณะที่รายจ่ายทั้งหมด จะถูกจัดการโดยราชวงศ์วิหคหนาม

 

แต่สำหรับอาณาจักรหนาม งานเลี้ยงฉลองเช่นนี้ ต่อให้มันดำเนินต่อเนื่องไปยาวนานกว่า 100 ปี ค่าใช้จ่ายของมันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด

 

เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนอัศจรรย์มาอย่างยาวนาน จนไม่อาจนับเดือนปีได้ ดังนั้นภายในคลังของอาณาจักร จึงย่อมเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมายที่ซ้อนทับๆกัน จนมิอาจคาดคำนวณถึงมูลค่าของมันได้

 

ดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว จึงไม่มีใครกล้าคิดที่จะมีปัญหากับพวกเขา

 

เนื่องจากดินแดนอัศจรรย์ มันตั้งอยู่ในส่วนลึกสุดของโลก 900 ล้านชั้น และมันช่างยากเย็นแสนเข็นจริงๆ สำหรับคนทั่วๆไป หากคิดจะเดินทางไปที่นั่น

 

ไม่ต้องกล่าวถึงทุกชนิดของสถานการณ์อันตราย ที่อยู่ในดินแดนอัศจรรย์ แม้กระทั่งตัวตนทรงอำนาจจำนวนมากเพียงได้ยินได้ฟังก็ยังรู้สึกขนลุก

 

ดังนั้น อาณาจักรหนามจึงเป็นหนึ่งในรัฐที่ร่ำรวยที่สุดในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นอย่างแท้จริง

 

ชายที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งอยู่เบื้องหลังอัลเบอัส ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับวิหคหนาม ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพของงานเลี้ยงฉลองเจ้าหญิงหนามในครั้งนี้

 

อย่างไรก็ตาม ตัวตนทรงอำนาจที่กล่าวมา กลับปรากฏตัวขึ้นต้อนรับการมาเยือนของราชวงศ์วิหคหนามในวันแรกเท่านั้น

 

แต่หลังจากนั้น เขาก็หายตัวไป

 

-ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปที่ไหน

 

ทว่าก็หาได้มีใครใส่ใจกับเรื่องนี้ไม่

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ ตัวละครหลักในช่วงวันเวลาสามวันสามคืนในปัจจุบัน ก็คือราชวงศ์วิหคหนาม

 

นับว่าทริสเต้ประสบความสำเร็จในการปิดบังทุกอย่างได้โดยสมบูรณ์

 

จนกระทั่งถึงตอนนี้ โชคชะตาเลวร้ายของตัวตนทรงอำนาจดังกล่าว คงจะมีเพียงเสี่ยวเหมียวและแบรี่เท่านั้นที่ตระหนักถึงมัน

 

ภายในห้องจัดเลี้ยง

 

คู่ดวงตาสีมรกตอันงดงามของแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ กวาดมองผ่านทุกคน เธอเอ่ยคำขอโทษไม่กี่คำแก่แขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย ก่อนจะขอแยกตัวออกมา

 

แล้วเธอก็มาถึงชั้นบนสุดของโรงแรม มองไปยังยอดหลังคาที่สามารถมองเห็นวิวของตลอดทั่วทั้งอัลเบอัส

 

กลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีเขียวสว่างไสวขึ้นบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

 

“เป็นอย่างไรบ้าง?” เธอเอ่ยถามเสียงต่ำ

 

องครักษ์ที่อยู่ที่นี่กล่าว “ท่านหญิง พอดีว่าพฤษาศักดิ์สิทธิ์กำลังจัดการเรื่องส่วนตัวอยู่ ดังนั้นผู้น้อยเลยยังไม่ทันจะได้ไถ่ถาม”

 

“เรื่องส่วนตัวงั้นหรอ?” ทริสเต้กล่าวอย่างคาดไม่ถึง

 

องครักษ์พยักหน้ายืนยัน

 

ทริสเต้ครุ่นคิดสักพัก แต่สุดท้ายก็เลือกก้าวเดินไปข้างหน้า

 

แล้วเธอก็หายวับไปจากชั้นบนสุด และปรากฏกายขึ้นอีกครั้งบนระเบียงโดยตรง กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “จิตวิญญาณพฤษานิรันดร์ พฤษาศักดิ์สิทธิ์ สหายที่ดีที่สุดของข้า เทสส์ผู้ทรงเกียรติ ข้าต้องขออภัยจริงๆที่รบกวนเจ้าให้ช่วยตามหาเจ้าหญิงที่หนีไป ปัญหาในครั้งนี้ ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก”

 

แต่เฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ -เลดี้เทสส์ก็ยังมิได้ตอบเธอกลับมา

 

เหมือนกับว่าเธอจะกำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการใช้เทคนิคมนตราบางอย่าง

 

อย่างไรก็ตาม โชคยังดีที่ไม่จำเป็นต้องรอนานนัก เพราะในเวลานี้ เปลวเพลิงสีเขียวที่ห่อหุ้มจิตวิญญาณพฤษา จู่ๆก็หดแคบลงอย่างรวดเร็ว และกลับคืนสู่มือของเธอ

 

ตามต่อด้วยร่างเงาสองตนที่ผุดออกมาจากเปลวเพลิงสีเขียว ผลุบเข้าสู่หว่างคิ้วของเลดี้เทสส์

 

“เอ๊ะ? … แท้จริงแล้วเรื่องราวมันกลับเป็นเช่นนี้ … ”

 

ระหว่างกระบวนการ เรื่องราวที่สองร่างเงาได้พบเจอทั้งหมด ได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของเทสส์

 

ความเป็นจริงอันน่าตื่นตะลึงนี้ ส่งผลให้เปลวเพลิงในมือของเธอสั่นไหวเล็กน้อย

 

ซึ่งการที่ท่าทีแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ มันนับว่าเป็นเรื่องยากเย็นที่จะพบเห็นได้จริงๆ

 

เห็นแค่เพียงเทสส์สะบัดมือที่กำลังสั่นไหว แสร้งแสดงว่าทีว่าจะดับเพลิงสีเขียวที่ลุกไหม้

 

ระเบียงชมวิว กลับคืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง

 

เทสส์หันหลังกลับมามองฝ่ายตรงข้าม

 

เห็นแค่เพียงคู่มรกตของทริสเต้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด จ้องตรงมาที่เธอ

 

เธอสบตากับอีกฝ่าย

 

และอีกฝ่ายก็สบตาเธอ

 

จู่ๆเทสส์ก็ยิ้มออกมาทันใด “อย่าคิดมากไปเลย ลอร่าคือเด็กที่เราคอยเฝ้าดูเธอจนเติบใหญ่ ทุกครั้งที่เธอซุกซน มันก็จะสร้างอาการปวดหัวให้แก่ทุกคนเช่นนี้เป็นประจำนั่นแหละ”

 

“เช่นนั้นเจ้าหาเธอพบแล้วหรือยัง?” ทริสเต้ถาม

 

“ถ้าตอนนี้ล่ะก็ยัง แต่เรายังไม่ได้ไปค้นหาในพื้นที่ VIP เลย เพราะติดปัญหาตรงที่ว่า หากเราลงไปยังพื้นที่ดังกล่าวแล้ว มันอาจจะเป็นการรบกวนแขกผู้มีเกียรติคนอื่นๆได้”

 

เทสส์ดูเหมือนจะลำบากใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ  “พวกตัวตนทรงอำนาจบางส่วนน่ะมักจะอารมณ์ร้อนซะด้วยสิ และนั่นคือเหตุผลที่เราไม่ต้องการที่จะเข้าไปค้นหาในพื้นที่ VIP ได้อย่างสะดวกใจ”

 

ทริสเต้พอได้ฟัง ก็จมลงสู่ความเงียบ

 

เธอจำต้องละความคิดในหัวไว้ข้างๆ แล้วนำปัญหานี้มาขบคิดอย่างจริงจัง

 

เพราะสำหรับวิหคหนาม การบุกเข้าไปในพื้นที่จัดเลี้ยง VIP นั่นนับว่าเป็นการหมิ่นเกียรติอีกฝ่าย ไร้ซึ่งมารยาทเป็นอย่างยิ่ง

 

ทว่าเทคนิคมนตราตรวจจับของพฤษาศักดิ์สิทธิ์  ก็นับว่าแข็งแกร่งที่สุดแล้วในตลอดทั้งอัลเบอัสเช่นกัน

 

ดังนั้นเพื่อที่จะทำการค้นหาเจ้าหญิงลอร่า เธอจำเป็นต้องพึ่งพาเทสส์ ให้อีกฝ่ายเข้าไปค้นหาในพื้นที่ VIP

 

ซึ่งนั่นคือเรื่องที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันนี้

 

ทริสเต้คิดแล้วคิดอีก จนในที่สุดก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เจ้าแก้ไขปัญหานี้ให้แก่ข้าได้ ข้าจะเป็นคนรับหน้าไม่ให้ทุกคนรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นเอง”

 

“ลำบากเจ้าแล้ว” เทสส์กล่าว

 

ทริสเต้พยักหน้า โค้งกายขอบคุณลงอย่างสง่างามและเดินจากไป

 

บนระเบียงสูง หลงเหลือแค่เทสส์อยู่เพียงลำพังท่ามกลางความมืดมิด

 

หลังจากเฝ้ารอชั่วเวลาหนึ่ง จนมั่นใจว่าทริสเต้จากไปไกลแล้ว เทสส์ก็หันไปกล่าวสองสามคำในความว่างเปล่า

 

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

 

ในที่สุด ในความว่างเปล่าก็เริ่มวูบไหว และปรากฏร่างของไก่ใหญ่บนระเบียงสูง

 

“ฉันพยายามแล้วนะ -”

 

แต่ทันทีที่มันเปิดปาก จะงอยของมันก็ถูกหุบลงโดยเทสส์ทันที

 

“ไปหาสถานที่อื่นคุยกันเถอะ”

 

เทสส์วางมือของเธอลงบนปีกไก่ และทั้งสองก็หายวับไป

 

ภายในโซนที่นั่งพิเศษ

 

ที่นี่ว่างเปล่า ทุกคนได้ออกไปกันหมดแล้ว

 

ขณะนั้นเอง ไก่ใหญ่กับเทสส์ก็ปรากฏตัวขึ้นทันใด

 

“เอ๋? แล้วเจ้าเด็กกู่ไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” ไก่อุทานด้วยความสงสัย

 

“เราขอให้เขาไปจัดการเรื่องบางอย่างให้น่ะ ตอนนี้อย่าพึ่งพูดถึงเขาเลย ทางฝั่งเจ้าได้เรื่องว่าอย่างไรบ้าง?”

 

ไก่ใหญ่กล่าว “ฉันพยายามแล้วนะ แต่ตลอดทั้งอัลเบอัสมันตกอยู่ในการปิดล้อมอันน่าแปลกประหลาดอย่างคาดไม่ถึง ข่าวสารใดก็ตามที่ถูกส่งออกไปภายนอกจะสลายไปในความว่างเปล่า แต่คนที่ส่งข่าวสารออกไป กลับไม่สามารถทราบถึงเรื่องนี้ได้เลย”

 

เทสส์เอ่ยถาม “หรือในอีกความหมายนึงก็คือ ที่นี่ไม่มีใครสามารถส่งข้อความออกไปได้สินะ?”

 

“ใช่”

 

ไก่ใหย่ยกสองปีกขึ้นกอดอก อ้าขยับจะงอยด้วยด้วยความฉงน “ตั้งแต่ที่อาณาจักรหนามทำแบบนี้ อย่าบอกนะว่า … ”

 

“ไม่มีทางที่จะส่งข่าวได้เลยหรือ? ไม่มีวิธีแล้วจริงๆ? เราอยากจะทราบถึงข้อเท็จจริงนี้จากปากผู้เชี่ยวชาญในด้านการส่งข่าวเช่นเจ้า” เทสส์มองไก่และถามต่อ

 

ไก่ใหญ่พอถูกเธอชมก็อดไม่ได้ที่จะยืดอกขึ้น ปากเอ่ยกล่าวอย่างภาคภูมิ “ใช่ ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการส่งข่าว หากต้องการจะส่งข่าวใดๆ ตัวฉันยินดีที่จะให้บริการ … แต่เฉพาะคุณเท่านั้นนะ! ”

 

“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แล้วจะทำได้อย่างไร?” เทสส์เอ่ยถาม

 

“ดูนี่นะ–”

 

ไก่ใหญ่ขบจะงอย ฝืนทนความเจ็บปวด และดึง! ขนยาวสีขาวออกมาจากบนร่างเขา

 

“ขนไก่ของฉันมีคุณสมบัติทะลวงผ่านอุปสรรคทั้งหมด หากคุณมีข้อความเร่งด่วนจริงๆแล้วล่ะก็ สามารถใช้ขนไก่ของฉันได้”

 

มันถือขนไก่ยาวสีขาว คุกเข่าลง และยื่นให้แด่เทสส์

 

“ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็แค่ใส่ความคิดลงไปในขนไก่ และทำสมาธิเรียกชื่อของบุคคลคนนั้น” ไก่อธิบาย

 

“เจ้าสิ่งนี้จะไม่ถูกสกัดกั้นใช่ไหม?”

 

“ขอรับประกันเลยว่าไม่” ไก่ตบหน้าอกของตัวเอง

 

เทสส์หยิบขนไก่มา และถ่ายเทข่าวสารบางอย่างเข้าไปในขนนกอย่างรวดเร็ว

 

และเธอก็เปล่งชื่อของชายคนหนึ่ง

 

ขนนกหายวับไปทันที

 

เทสส์หลับตาลง และเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ

 

ในการรับรู้ของเธอ ตลอดทั้งอัลเบอัสไม่พบเจอสิ่งผิดปกติใดๆ และไม่มีใครสังเกตเห็นว่าขนไก่ได้บินออกจากโลกใบนี้ไปแล้ว

 

“มันจะสามารถตามหาเป้าหมายได้จริงๆใช่ไหม?” เทสส์ลืมตาขึ้นและเอ่ยถาม

 

“ใช่แล้ว โปรดมั่นใจได้เลยว่ามันจะไปถึงมือของคนๆนั้นด้วยตัวมันเอง” ไก่ใหญ่กล่าวอย่างภาคภูมิ

 

“วางใจได้ใช่ไหมว่าระหว่างทาง มันจะไม่ถูกสกัดกั้นโดยสิ่งใด”

 

“ขอรับประกันเลยว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นถึงมัน”

 

เทสส์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากชม “นี่มันช่างเป็นพลังที่ยอดเยี่ยมโดยแท้”

 

“แน่อยู่แล้ว การส่งข่าวสารด้วยขนไก่ของฉัน ไม่เพียงรวดเร็ว แต่มันยังสามารถรักษาความลับได้ในระดับสูงสุดอีกด้วย คุณมั่นใจได้เลย”

 

ไก่ใหญ่กำลังจะโม้ต่อ แต่จู่ๆเขาก็ตระหนักได้ว่าบรรยากาศมันไม่ถูกต้อง

 

เขาค่อยๆหันหัวไป และพบกับเทสส์ที่กำลังจ้องมองมาบนตัวเขาอย่างเงียบๆ

 

ดวงตาของอีกฝ่ายแปลกไปเล็กน้อย ส่งผลให้ในหัวใจของเขาเริ่มรู้สึกเย็นยะเยือก

 

“เอ่อคุณหญิง … มีอะไรรึเปล่า?” ไก่เอ่ยถาม

 

ความรู้สึกไม่ดีนี้ .. อย่าบอกนะว่าเธอต้องการจะกินไก่อีกแล้ว!?

 

ไก่อดไม่ได้ที่จะสรุปแบบนี้ออกมา

 

เห็นแค่เพียงเทสส์ที่ยื่นมือของเธอออกมา สัมผัสลูบไล้ลงบนใบหน้าของมัน ปากเอ่ยกล่าวอย่างนุ่มนวล “เรามีเรื่องสำคัญ สำคัญมากๆ และมันจำเป็นที่จะต้องให้เจ้าแสดงถึงความกล้าหาญนั้นออกมา”

 

ภายใต้การลูบไล้ออกเธอ ไก่ใหญ่คล้ายกับถูกยาโด๊ป มันกระพือปีกพับๆ และตะโกนก้อง “คุณหญิง ไม่ว่าจะบุกน้ำหรือลุยไฟ ตัวกระผมย่อมยินดีและไม่คิดปฏิเสธคำขอของคุณ!”

 

“จริงหรือเปล่า?”

 

“ไม่มีทางโกหกอย่างแน่นอน”

 

“ดีเลย พอดีว่าตอนนี้ตัวเรามีเรื่องเร่งด่วนที่สุด ที่จำต้องแจ้งแก่ 100000 ตัวตนทรงอำนาจตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น”

 

“โอ้ แล้วยังไงต่อ?”

 

“เจ้าพอจะ … สามารถถอนขนไก่ทั้งตัวเพื่อเราจะได้หรือไม่?”

ราชามารวิญญาณมรณะลอยล่องอยู่บนหน้าต่าง ดวงตาของมันหุบต่ำลง ทั้งตนทั้งร่างนิ่งงันไม่ไหวติง

 

“ทำไมคุณถึงต้องการสิ่งนี้?” เชื้อไฟเอ่ยถาม

 

“ก็มันดูน่ากลัวดี เลยคิดว่าคงจะสามารถใช้มันช่วยต่อสู้ได้ดีน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เชื้อไฟจมลงสู่ความเงียบ

 

กู่ฉิงซานชี้ไปยังราชามารวิญญาณมรณะและพูดต่อ “แต้มพลังวิญญาณของฉันพอรึเปล่า? ถ้าพอแล้วก็ช่วยแลกเปลี่ยนมันให้กับฉันด้วย*”

 

*(เผื่อจะลืม ตอนนี้กู่ฉิงซานกำลังแสดงละครว่าไม่รู้หนังสืออยู่)

 

—ด้วยแต้มพลังวิญญาณที่กู่ฉิงซานได้รับมา มันย่อมไม่เพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนกับอสูรกายตนนี้อย่างแน่นอน

 

มันเป็นไปไม่ได้สำหรับแต้มพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้

 

“มันไม่เพียงพอ” เชื้อไฟตอบกลับ

 

“งั้นหรอ เอาเถอะ แน่ล่ะว่ามันคงไม่พอ ก็เจ้าสิ่งนี้มันดูน่ากลัวมากๆเลยนี่นา”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังอสูรกาย มือที่กุมดาบอดรนทนไม่ไหวที่จะเกร็งแน่นขึ้น

 

อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลเป็นอาวุธสงครามที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าอสูรกายประเภทดัดแปลงมากมายนัก

 

พวกมันทุกตนมีทุกชนิดของความสามารถอันน่าขนพองสยองเกล้า อยู่ยงคงกระพัน และมิอาจต้านทานได้

 

อสูรกายประเภทปฐมบทเพียงตนเดียว ยามเมื่อย่างกรายเข้าสู่สมรภูมิ ส่งครามก็จะมาถึงจุดสิ้นสุดทันที

 

ในชีวิตก่อนหน้า จำเป็นต้องใช้ตัวตนทรงอำนาจในระดับประทับเทพถึงสองคนร่วมมือกัน จึงจะสามารถรับมือกับอสูรกายดัดแปลงได้อย่างฉิวเฉียด

 

แต่ตอนนี้ กู่ฉิงซานที่อยู่ในโลก 900 ล้านชั้น -อสูรกายที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างความหวาดผวาให้แก่มวลมนุษย์ กลับกลายเป็นสิ่งที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนได้

 

ย้อนระลึกถึงความทรงจำในช่วงชีวิตที่ผ่านมา แล้วมองมายังชีวิตนี้อีกครั้ง ทุกสิ่งราวกับฝันไป

 

รายการแลกเปลี่ยนทั้งหมดได้หายไปจากหน้าต่างเชื้อไฟ

 

เสียงของเชื้อไฟดังขึ้น “ถ้าคิดจะแลกเปลี่ยนกับอสูรกาย คุณจะต้องใช้ความพยายามมากยิ่งกว่านี้เป็นเท่าทวี”

 

กู่ฉิงซานกำหมัดแน่น “ฉันจะพยายาม”

 

เชื้อไฟเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะประกาศออกมา “งั้นก็ได้เวลาเริ่มบอกรายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจถัดไปแล้ว”

 

“ภายนอกทุ่งน้ำแข็งนี้ มีวิหารอันวิจิตรงดงามอยู่”

 

“ในสมัยโบราณอันไกลโพ้น เทพบรรพกาลยังคงสถิตอยู่ในโลกใบนี้ และพวกเขาก็ได้สร้างวิหารดังกล่าวขึ้น เพื่อเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่เกิดจากน้ำมือของพวกเขา”

 

“คุณจะต้องไปที่นั่น และทำพิธีของเทพบรรพกาลให้สำเร็จลุล่วง”

 

“แล้วรายละเอียดของพิธีล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไปถึงแล้วก็จะรู้เอง”

 

“เอาล่ะ ตอนนี้คุณก็เริ่มเดินทางได้แล้ว”

 

พร้อมกันกับคำอธิบายนี้ของเชื้อไฟ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏเครื่องหมายภารกิจขึ้นมาทันที

 

“โปรดกำหนดภารกิจด้วย”

 

เมื่อต้องเผชิญกับคำถามของระบบเทพสงคราม กู่ฉิงซานก็ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ “เราจะยังไม่ปล่อยภารกิจ ทันที จำเป็นที่จะต้องทำการสำรวจก่อนเป็นอันดับแรก”

 

เขาเบนสายตามองไกลออกไป

 

ณ ปลายสุดของทุ่งน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ปรากฏภูเขาน้ำแข็งสูงตระหง่านลูกแล้วลูกเล่าเชื่อมต่อๆกันไป มิอาจหาจุดสิ้นสุดได้

 

และหนึ่งในบรรดายอดภูเขาน้ำแข็งทั้งหลาย ก็มีสิ่งปลูกสร้างอันงดงามตั้งอยู่

 

สิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนยอดเขา ทั้งหมดทั้งมวลคล้ายกับว่าถูกสร้างขึ้นมาจากหิมะและน้ำแข็งโดยสิ้นเชิง มองจากระยะไกล ช่างดูวิจิตรและงดงามเหลือเกิน

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิด

 

ตอนนี้ ซูเซี่ยเอ๋อได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว ดังนั้นความต้องการเดียวที่ยังเหลืออยู่ของเขาก็คือการกำจัดเชื้อไฟ

 

แต่เมื่อครู่ … ยังไม่ลืมใช่ไหมว่าเชื้อไฟได้แสดงให้เห็นถึงราชามารวิญญาณมรณะขึ้นมา

 

ตรงจุดนี้สามารถบ่งบอกได้อย่างหนึ่ง

 

ว่าถึงแม้ผู้เข้าสู่วิถีมารจะไม่อาจสะสมแต้มพลังวิญญาณเพื่อทำการอัญเชิญราชามารวิญญาณมรณะออกมาได้ก็ตามที แต่สำหรับเชื้อไฟแล้ว มันสามารถเรียกเจ้าตัวที่ว่าออกมาได้ตลอดเวลา!

 

นี่แหละคือปัญหา

 

เพราะถึงแม้หลังจากที่มีพื้นฐานวรยุทธในขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย กู่ฉิงซานจะมิได้หวาดเกรงอสูรกายดัดแปลงเหมือนดั่งเช่นในก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วก็ตามที

 

ทว่าหากเป็นราชามารวิญญาณมรณะ ที่เป็นอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลแล้วล่ะก็ … มันย่อมต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าอสูรกายประเภทดัดแปลงอย่างเทียบไม่ติด! มันมิใช่สิ่งที่เขาสามารถรับมือได้ไหวอย่างแน่นอน

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็หลับตาลงเล็กน้อย

 

เขาเริ่มทำการสัมผัสถึงพลังของตนเอง

 

ภายในตันเถียน อุดมไปด้วยพลังวิญญาณ คอยแผ่ขยายไปตามเส้นลมปราณตลอดทั้งร่างกาย เจตจำนงแห่งดาบก็คมชัด ยามเมื่อมันผสานเข้ากับพลังวิญญาณ ก็ย่อมขับเคลื่อนได้ดั่งใจปรารถนา ขณะที่ภายในจิตสัมผัสเทวะเต็มไปด้วยอำนาจ ตราบใดที่เขายื่นมือจีบออกด้วยประทับมนตรา ก็จะสามารถปลดปล่อยเทคนิคมนตราออกมาได้ในทันที

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองออกไปอีกครั้ง

 

ท่ามกลางความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง บางสิ่งที่สามารถไขว่คว้ามาเมื่อใดก็ได้หากตนต้องการ

 

นี่คือกฏแห่งฟ้าดินที่กำลังสะท้อน ตอบรับกับตัวเขา

 

ใช่! มันคือสัญญาณบ่งบอกว่าเขากำลังจะทะลวงผ่านขอบเขตประทับเทพได้ในไม่ช้า

 

ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ เมื่อใดก็ตามที่สามารถตัดผ่านไปอีกระดับหนึ่งได้ คุณก็จะรับรู้ได้ถึงแรงเหนี่ยวนำ คล้ายกับการดลใจจากกฏของฟ้าดิน

 

และฟ้าดินก็จะส่งมอบงานนี้ให้แด่ทัณฑ์สายฟ้า เมื่อทัณฑ์สายฟ้าปรากฏขึ้น มันก็จะชำระล้างผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งเพียงพอจะข้ามผ่านมันไปได้ แต่ขณะเดียวกันก็จะกำจัดผู้อ่อนแอที่พ่ายแพ้ต่อมันเช่นกัน

 

มีเพียงการเอาชนะ หรือถูกกำจัดเท่านั้น

 

ไม่ว่าจะในโลกไหน หากเป็นผู้ฝึกยุทธแล้วล่ะก็ จะเป็นใครก็ล้วนต้องเผชิญกับโทษทัณฑ์จากสวรรค์กันทั้งนั้น

 

ในใบหยกของโลกล่องเวหา ก็มีบันทึกถึงเรื่องนี้เอาไว้อย่างชัดเจน

 

กฏแห่งฟ้าดินนั้นคือสิ่งที่โหดร้ายเสมอมา

 

แต่พอลองมาคิดดูอีกครั้ง

 

ไม่รู้ว่าต่อจากขอบเขตร่างเทวะ พันวิบัติ ขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิต สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้วมันจะมีขั้นต่อไปอีกไหมนะ?

 

แล้วผู้ฝึกยุทธ จะก้าวไปสู่ระดับต่อไปได้อย่างไร?

 

ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของแบรี่จะยังไม่ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ แต่กู่ฉิงซานก็สามารถตัดสินด้วยสัญชาติญาณได้ว่า ความแข็งแกร่งของแบรี่นั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าหวังหงษ์เต๋าเป็นหมื่นเท่า!

 

ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วล่ะก็ … มันจะมีผู้ฝึกยุทธที่จะสามารถทรงพลังเทียบเท่ากับแบรี่ได้อยู่ไหมนะ?

 

กู่ฉิงซานค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา

 

เขาหยุดคิด และถอนตัวออกจากห้วงภวังค์

 

ช่างมันเถอะ ดื่มด่ำไปกับจินตนาการอย่างมีสติก็พอ ตอนนี้ก็เริ่มจากก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวก็แล้วกัน

 

ถึงแม้ว่าตนจะสามารถทะลวงขอบเขตประทับเทพมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่ในจิตใจไม่เสื่อมคลาย

 

และความรู้สึกเหล่านั้น มันกำลังย้ำเตือนแก่เขาว่า ตอนนี้ยังไม่สมควรแก่เวลาที่จะตัดผ่านไปยังขั้นต่อไป

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ หากเทียบเปรียบกับแบรี่ ตัวเขาเองจะอยู่ในขอบเขตประทับเทพ หรือว่าขอบเขตร่างเทวะ ก็แล้วมันจะแตกต่างกันตรงไหน?

 

กู่ฉิงซานกัดฟัน ในที่สุดเขาก็เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตนเอง และล้มเลิกความคิดที่จะตัดผ่านในตอนนี้ไปทันที

 

“ไปกันเถอะ”

 

ฉานนู่พยักหน้า ผลุบกลับเข้าไปในดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วซ่อนเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหลังกู่ฉิงซาน

 

ดาบพิภพและเช่าหยินก็หายไปเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานกลับเข้าไปท่ามกลางหมอกเย็น

 

แล้วเขาก็หยิบดิสก์ค่ายกลออกมา ปลดค่ายกลอำพรางทีละชิ้น ทีละชิ้น

 

แล้วร่างของลอร่าก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

 

เธอยังคงนั่งอยู่บนม้าทมิฬ แต่ขณะเดียวกันก็กำลังตักเค้กกินอย่างช้าๆ

 

“อ้าว จบแล้วหรอ?” เธอถาม

 

“อ่า”

 

“แต่เรายังกินไม่เสร็จเลย” ลอร่างึมงำ

 

“ … ไปกันซักทีเถอะ”

 

กู่ฉิงซานพลิกตัวขึ้นไปบนหลังม้า

 

ลอร่าเลยจำใจต้องเก็บเค้ก แล้วเช็ดมุมปากของเธอ

 

“เจ้าจัดการเร็วเกินไปแล้ว เราอุตส่าห์คิดว่าจะได้พักสักหน่อยแท้ๆ”  เธอบ่น

 

“ก็ถ้าไม่เร่งลงมือให้มันจบๆลงโดยเร็ว เดี๋ยวจะมีปัญหาใหญ่ตามมาน่ะสิ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง

 

“ปัญหาใหญ่หรอ?”

 

“อ่า ก็อย่างเช่น พวกเขาจะอัญเชิญบางสิ่งที่มันน่ารำคาญออกมาน่ะ”

 

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนา ม้าทมิฬก็เอ่ยถามขึ้น

 

“ท่านทั้งสองกำลังเร่งรีบหรืออยากชมทิวทัศน์?”

 

“คงต้องรีบแล้วล่ะ – ไม่อย่างนั้นมันจะสายเกินไป” กู่ฉิงซานกล่าว ขณะที่หิมะและลมหนาวพัดขนทั้งคนทั้งร่างเขาลุกชัน

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ว่าจบ ม้าทมิฬควบสี่กีบ พุ่งทะยานหายเข้าไปในพายุหิมะ

 

อีกด้านหนึ่ง

 

บนเกาะหมอก

 

ภายใน กรมบังคับกฏ

 

แสงและเงาค่อยๆเลือนลาง

 

กู่ฉิงซานได้หายไปแล้ว

 

จอมมารทะเลเลือดเฝ้ามองซูเซี่ยเอ๋ออย่างลึกซึ้ง โดยมิได้เอ่ยคำใด

 

ทันใดนั้นเอง ซูเซี่ยเอ๋อก็ง้างหัวตัวเอง และเหวี่ยงมันลงกระแทกกับโต๊ะ

 

“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?” จอมมารทะเลเลือดถาม

 

แล้วเขาก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ

 

พริบตานั้นบนโต๊ะก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอนนุ่มๆทันที

 

ซูเซี่ยเอ๋อฝังหน้าตนเองอยู่ในหมอน ร่ำร้องออกมา “น่าอับอายเหลือเกิน”

 

จอมมารทะเลเลือดหัวเราะ และปลอบใจเธอ “ดาบของเขามันแพรวพราว เจ้าเล่ห์ไม่เบาก็จริง แต่ยังไงซะ เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอยู่ดี

 

“จริงๆหรือ?” ซูเซี่ยเอ๋อเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม

 

“ใช่สิ ตราบใดที่เจ้ามีเวลามากพอในการร่ายเทคนิคมนตรา เจ้าก็จะสามารถมอบความพ่ายแพ่ให้แก่เขาได้โดยสมบูรณ์” จอมมารทะเลเลือดวนแก้วไวน์ในมือ ปากเอ่ยอย่างภาคภูมิ

 

‘จะบ้าหรือท่านอาจารย์!? ถ้าถึงเวลาสู่จริงๆ ใครมันจะไปรอให้อีกฝ่ายร่ายคาถายาวเหยียดจนจบกัน?’

 

ซูเซี่ยเอ๋อฝังหัวของเธอลงในหมอนอีกครั้งและกล่าว “ท่านอาจารย์ .. อย่ามาให้ความหวังผิดๆกับหนูแบบนี้เลย”

 

จอมมารทะเลเลือดยิ้ม กล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าทราบหรือไม่ว่ามีคนที่ใช้อาวุธเย็นมากมายเพียงใดกัน ที่ไม่สามารถเรียนรู้วิธีการต่อสู้เช่นเดียวกับเขาได้?”

 

“ในด้านพละกำลัง เทคนิค และการเคลื่อนไหว เขาอาจจะไม่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้คนอีกมากมายก็จริง ทว่าข้ากลับไม่เคยพบเจอกับคนที่ยังเยาว์วัยเท่าเขา แต่กลับสามารถเติบใหญ่ได้อย่างไร้เหตุผลถึงเพียงนี้มาก่อนเลย”

 

“นั่นมันก็ฟังดูไม่มีเหตุผลจริงๆ” ซูเซี่ยเอ๋อเงยหน้าขึ้น เอ่ยถามซอกแซก “ว่าแต่อาจารย์ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?”

 

“ข้ากำลังจะสื่อว่า ต่อให้เจ้ามีสกิลดาบนับหมื่นพัน ทว่าหากเขาใช้เพียงดาบเดียวปลิดชีวิตเจ้าได้ แล้วเจ้าจะมีสกิลดาบนับหมื่นพันไปไว้เพื่ออะไรกัน?”

 

“ทั้งหมดก็ประมาณนี้” จอมมารทะเลือดยกไวน์ขึ้นจิบ แล้วเอ่ยต่อ “คนแบบเขา ไม่รู้ว่าได้พบเจอกับประสบการณ์หรือเรื่องราวแบบใดมา จึงสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ทั้งๆที่ยังเยาว์วัยอยู่”

 

“และอีกอย่าง อันที่จริงแล้วเจ้าไม่ควรที่จะวางกับดักเขาเลย”

 

“เอ๋? เพราะอะไรคะ?” ซูเซี่ยเอ๋อค่อนข้างสับสน

 

“เพราะเจ้าสามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้ ปล่อยให้เขาพุ่งไปข้างหน้า ขณะที่เจ้าคอยสนับสนุนเขาในฐานะผู้ใช้ไพ่จากเบื้องหลัง – หากเป็นในกรณีนี้ จะนับว่าเป็นการจับคู่ที่ลงตัวทีเดียว” จอมมารทะเลเลือดกล่าว

 

“การต่อสู้แบบนี้ จะช่วยให้เจ้ากับเขาสามารถเข้าใจกันและกันได้มากขึ้น พัฒนาอารมณ์ ความรู้สึกที่มีต่อกันให้ยิ่งลึกซึ้งขึ้นไปได้อีกระดับ”

 

“เจ้าจะยังคงสามารถอยู่ในโลกของทริสเต้ได้ต่อไป แถมวันเวลาเหล่านั้นย่อมจะกลายมาเป็นความทรงจำอันแสนล้ำค่าอย่างแน่นอน”

 

“ท้ายที่สุดนี้ ต้องรู้นะว่าในระหว่างการต่อสู้นี่แหละ คือช่วงเวลาที่จะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกันได้ง่ายที่สุดล่ะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งงันไป

 

“อ้ากกกกกกกกกก เสีย – ดาย – จริงๆ!”

 

เธอฝังหัวลงในหมอน กรีดร้องตะโกนสุดเสียง

 

หลังจากที่ได้เห็นปฏิกริยาของซูเซี่ยเอ๋อ จอมมารทะเลเลือดก็แสดงออกถึงความพึงพอใจ

 

“แล้วเจ้าวางแผนจะทำอะไรต่อไป?”

 

เขาเฝ้ารอสักพักจึงเอ่ยถาม

 

“ถ้าเรื่องนี้จบลง หนูจะไปขอโทษเขา” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

น้ำเสียงของเธอฟังดูอดสูยิ่ง

 

จอมมารทะเลเลือดนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยว่า “เอาเถอะ การต่อสู้นี้ก็ได้จบลงแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากดู ข้าจะหยุดเทคนิคนี้ทันที – ว่าแต่เจ้าศิษย์รักเอ๋ย ยังอยากจะดูเขาต่อสู้ต่อไปอีกหรือไม่?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อยกศีรษะขึ้นทันใด ดวงตาของเธอกระจ่างใส ผงกหัวรัวๆราวไก่จิกเมล็ดข้าว

 

จอมมารทะเลเลือดหัวเราะ และเริ่มร่ายคาถา

 

ม่านแสงและเงาที่พร่ามัว กลับกลายเป็นคมชัดขึ้นอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นอีกครา

 

เขากำลังควบม้าทมิฬ มุ่งหน้าไปยังภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ไกลออกไป

 

ซูเซี่ยเอ่อจดจ้องไปยังกู่ฉิงซานตาไม่กระพริบ

 

เธอดูมีสมาธิและจริงจังมาก

 

จอมมารทะเลเลือดมองเห็นสีหน้าของซูเซี่ยเอ๋อ เขาก็ผ่อนคลายลง

 

“เจ้าดูไปก่อนนะ อาจารย์ขอออกไปทำธุระข้างนอกสักครู่”

 

“เจ้าค่ะ”

 

จอมมารทะเลเลือดเดินออกจากห้องไป

 

แล้วเขาก็วางเทคนิคมนตราป้องกันรอบๆกรมบังคับกฏอีกที

 

“เจ้าพวกฝูงไก่อ่อนแอ ที่มัวเมาอยู่แต่กับพลังอำนาจจอมปลอม กล้าที่จะมาทำร้ายศิษย์ของข้าอย่างงั้นเรอะ?” เขาบ่นพึมพำ

 

เฝ้ารอจนกระทั่งเทคนิคมนตรานี้เสร็จสมบูรณ์ จอมมารทะเลเลือดก็ปรบมือด้วยความพอใจ

 

แล้วจู่ๆเขาก็หายวับไปทันที

 

วินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราด ซึ่งอยู่ห่างจากอัลเบอัสราวๆ 12 ชั้นโลก

 

พอสัมผัสได้ถึงการเหนี่ยวนำเล็กน้อย จอมมารทะเลเลือดก็พึมพำด้วยความพอใจ “ดีล่ะ ไม่มีใครค้นพบถึงตัวของข้าได้”

 

“ถ้าอย่างงั้นล่ะก็ ก่อนที่สงครามเต็มรูปแบบจะปะทุขึ้น คงต้องลองค้นหาที่ซ่อนตัวของพวกมันให้เจอก่อนเป็นอันดับแรก …”

 

จอมมารทะเลเลือดเพียงเอ่ย ไพ่ที่สาดแสงสีเลือดหลายสิบใบก็ผลุบออกมาทันที

 

และพวกมัน ก็ลอยหายไปตามกระแสลมในมิติที่ว่างเปล่า

บนพื้นน้ำแข็ง

 

สายลมหนาวพัดกระพืออย่างรุนแรง

 

หิมะเริ่มที่จะปกคลุมหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ

 

ผู้เข้าสู่วิถีมารนับสิบ อยู่ในสภาวะก่อกระบวนทัพป้องกัน เฝ้ารอทานรับการโจมตีที่กำลังจะปะทุขึ้น

 

ตรงข้ามกับพวกเขา จู่ๆหมอกหนาอันคลุ้มคลั่งก็พลันสงบลงอย่างกระทันหัน  สูญเสียพลังอำนาจและแรงกดดันไปอย่างน่าฉงน

 

ส่งผลให้หมอกหนาที่เกิดจากการสลายของน้ำแข็งยักษ์แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง

 

“เกิดอะไรขึ้น?” บางคนเอ่ยถามเสียงกระซิบ

 

“ชู่ว! เงียบก่อน!” นักรบเกราะเหล็กดุเขา

 

ชายคนที่เปล่งเสียงออกมาหุบปากลงอย่างรวดเร็ว

 

ทุกคนจ้องมองไปยังละอองหมอกเย็นฉ่ำชนิดแทบลืมหายใจ

 

เห็นแค่เพียงร่างหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในหมอกหนา

 

ร่างที่ว่ายิ่งมองยิ่งๆค่อยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

 

แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นชายที่บนตัวสวมเกราะสีทองซีด ขณะที่บนใบหน้าสวมใส่หน้ากากเงิน เดินออกมาจากหมอกหนา

 

ชายคนนั้นถือดาบในมือของเขา และก้าวตรงเขามายังฝูงชนทีละก้าว ทีละก้าว

 

“อ้าว … ทำไมจู่ๆถึงกลายเป็นผู้ชายไปได้กัน?” คนหนึ่งสงสัย

 

“น่ากลัวว่ามันอาจจะเป็นการอัญเชิญก็ได้” อีกคนพูดในสิ่งที่ตนได้พิจารณามาแล้ว

 

เทคนิคอัญเชิญ – คือการจ่ายบางสิ่งบางอย่างออกไป ทำสัญญากับการดำรงอยู่อันลึกลับ แล้วเรียกอีกฝ่ายออกมาเพื่อช่วยในการต่อสู้

 

ใช่แล้วล่ะ มีเพียงแค่เทคนิคอัญเชิญเท่านั้นที่พอจะสามารถอธิบายถึงสถานการณ์ในปัจจุบันได้

 

ทุกคนคิดเกี่ยวกับมันและพยักหน้าเห็นด้วย

 

นักรบเกราะเหล็กกล่าวว่า “เจ้าพวกโง่ นี่ไม่ใช่เทคนิคอัญเชิญ พวกแกไม่เห็นรึไงว่าผู้หญิงอีกคนได้หายไปแล้ว”

 

เขากล่าวและมองไปทางอีกฝ่าย

 

น่าแปลกจริงๆ เมื่อครู่นี้พลังอำนาจอันน่าตื่นตะลึงฟุ้งไปทั่วบริเวณอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้กลิ่นอายนั้นกลับหายไปแล้ว หายไปหมดเลยอย่างกระทันหัน?

 

แถมเจ้าคนที่ใส่เกราะทองและหน้ากากเงินตรงหน้า ตามร่างกายของมันก็ยังไม่ส่งกลิ่นอายใดๆออกมาเลยอีกต่างหาก

 

หรือว่ามันจะมีวิชาลับบางอย่าง คอยปิดซ่อนกลิ่นอายอยู่ใช่ไหม?

 

เหล่าลูกน้องอาวุธครบมือ ต่างหันไปมองนักรบเกราะเหล็กด้วยความตกใจ

 

พวกเขาต่างลองสัมผัสเข้าไปในหมอกหนาอย่างระแวดระวัง แล้วก็ตระหนักได้ว่าไม่อาจพบร่องรอยของผู้หญิงอีกคนได้แล้วจริงๆ

 

คงจะเป็นอย่างที่บอสว่าจริงๆ เพราะไม่เคยมีเทคนิคอัญเชิญใดๆ ที่จะทำให้ผู้อัญเชิญหายไปซะเฉยๆได้หรอก

 

ดังนั้น หรือว่านักดาบเกราะทองคนนี้ แท้จริงแล้วจะคือหญิงงามคนเมื่อครู่กันแน่?

 

ไม่น่าจะใช่นา .. เพราะแค่ขนาดรูปร่างมันก็ไม่ตรงกันแล้ว

 

ทุกคนต่างหันไปมองหน้ากันและกัน ในหัวใจขบคิดว่าสถานการณ์นี้มันค่อนข้างจะแปลกประหลาดเล็กน้อย

 

“บอส แล้วพวกเราจะเอายังไงกันต่อดี?” บางคนเอ่ยถามอย่างลังเล

 

“วางใจเถอะ ไม่ว่าเขาจะเป็นตัวอะไร สุดท้ายก็จะกลายเป็นแต้มพลังวิญญาณให้กับพวกเราอยู่ดี” นักรบเกราะเหล็กกล่าว

 

ว่าจบ เขาก็คว้าโล่ที่ใหญ่โตชนิดบดบังทั้งร่างกายขึ้นมาในมือ และก้าวออกมาจากท่ามกลางฝูงชน

 

“ผู้หญิงอีกคนล่ะ หายไปไหนแล้ว?” นักรบเอ่ยถามนักดาบเกราะทอง

 

นักดาบเกราะทองที่กำลังก้าวเดิน เอ่ยสวนกลับไป “แกไม่ควรถามคำถามนี้”

 

“ทำไม?”

 

“เพราะเธอเป็นของฉัน”

 

“เป็นของแกงั้นหรอ ก็แล้วแกมันเป็นใครกัน? จะตอบดีๆ หรือว่าจะให้ฉันฆ่าแกซะเดี๋ยวนี้เลย” นักรบเกราะทองกล่าว

 

ว่าจบเขาก็กระชับโล่ขึ้น ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้

 

ส่วนกู่ฉิงซานก็หยุดฝีเท้าลง

 

เขามองหน้าอีกฝ่าย และเบนสายตาไปยังฝูงชน

 

นอกเหนือไปจากนักรบเกราะเหล็กที่มีความสูงกว่าสองเมตรแล้ว คนอื่นๆก็กำลังตั้งกระบวนทัพอยู่ในรูปแบบป้องกันด้วยเช่นกัน

 

สังเกตจากท่าทางและรูปแบบการป้องกันของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นนักรบที่เชี่ยวชาญ และคงผ่านประสบการณ์ต่อสู้ในโลกใบนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง -แต้มพลังวิญญาณสะสมคงได้มามากพอสมควร

 

… นั่นหมายความว่า สิ่งที่กู่ฉิงซานจะต้องรับมือ ไม่เพียงเป็นอีกฝ่ายที่แข็งกร้าวเท่านั้น แต่ยังต้องคอยระวังไม่ให่ศัตรูทำการแลกเปลี่ยนกับเชื้อไฟ ที่สามารถลงมือได้ตลอดเวลาอีกด้วย

 

ดังนั้นหากจะใช้คำพูดล่อลวงหรือเสียเวลาเล่นแง่กับพวกเขา มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ การต่อสู้ในครั้งนี้ .. จำเป็นที่จะต้องจบมันลงโดยเร็วที่สุด!

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ และขยับคอจนเกิดเสียงแกร๊กๆเล็กน้อย

 

“ถ้าอยากรู้ว่าฉันเป็นใคร อย่างแรกเลย แกคงต้องเอาชีวิตรอดไปให้ได้ซะก่อน!”

 

ทันทีที่เสียงตกลง ร่างของเขาก็หายวับไป

 

ในเวลาเดียวกัน โล่เหล็กหนาก็ปรากฏขึ้นแทนที่ในตำแหน่งเดิมของเขา

 

มันคือโล่ขนาดใหญ่โตที่ถูกวางตั้งไว้เบื้องหน้านักรบเกราะเหล็ก!

 

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าประชิดนักรบเกราะเหล็กได้ในพริบตา และจ้วง! เสียบทะลุเข้าหน้าอกอีกฝ่ายด้วยคมดาบของตน

 

นี่คือการจู่โจมที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าใดๆ

 

ทว่านักรบเกราะเหล็ก พอถูกแทงด้วยดาบ เขาก็กลับยิ้มเยาะออกมาอย่างน่าฉงน “ต้องการจะฆ่าฉันงั้นหรอ!? งั้นเจอนี่หน่อยเป็นไง-”

 

กล้ามเนื้อของนักรบหดเกร็งเข้าหากัน หนีบตรึงใบดาบเอาไว้

 

เอาล่ะ คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถขยับดาบได้อีกต่อไปแล้ว ถ้ามันไม่เลือกที่จะทิ้งดาบและหลบหนีไปให้ทัน ก็จะถูกตนระเบิดกำปั้นหนักเข้าใส่อย่างแน่นอน

 

นักรบเกราะเหล็กกำลังจะลงมือ แต่ใครจะรู้ จู่ๆอีกฝ่ายก็กลับชิงเคลื่อนไหวเสียก่อนแล้ว

 

กู่ฉิงซานยกดาบยาวของเขาขึ้นมา

 

พร้อมกันกับร่างของนักรบเกราะเหล็กที่ยึดติดอยู่กับใบดาบ ถูกยกสูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

 

แล้วดาบยาวก็ถูกสะบัดอย่างแรงไปยังเบื้องหน้า

 

นักรบเกราะเหล็กถูกเหวี่ยงอย่างแรง มัดกล้ามฉีกขาดหลุดออกจากดาบ ลอยคว้างไปในอากาศราวกับลูกวอลเลย์ ตกลงยังกระบวนทัพลูกน้องนับสิบที่อยู่เบื้องหลังเขา

 

“ช่วยกันรับตัวบอสเอาไว้เร็วเข้า!”

 

คนเหล่านั้นพากันตะกายมาข้างหน้า โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบกระบวนทัพป้องกัน

 

แล้วนักรบเกราะเหล็กก็ตกลง

 

โชคยังดี ที่ทั้งหมดแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของบอสเอาไว้ได้

 

ทว่าจู่ๆนักรบเกราะเหล็กกลับหายวับไปอย่างกระทันหัน

 

แต่ดันปรากฏหญิงสาวในชุดคลุมฟ้าที่ถือดาบยาวเข้ามาแทนที่เขา โผล่เข้ามากลางดงผู้เข้าสู่วิถีมาร

 

พร้อมด้วยดาบที่ถูกวาดออกไป

 

เทคนิคลับแห่งดาบ : วาดเงา!

 

ในเสี้ยววินาที ร่างเงาดาบก็เริ่มเบ่งบาน กระจัดกระจายไปในสายลม

 

ร่างเงาดาบนับไม่ถ้วนซ้อนทับกันไปมา ทั้งตัดแขน หั่นคอ เสียบขา เฉือนเนื้อหนัง ขึ้นกลางวงคนนับสิบ

 

“ไม่จริง! เทคนิคมนตราของฉันไม่สามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้!” บางคนร้องออกมา

 

ปัง!

 

หมอกเลือดพัดกระพือขึ้นโดยรอบในทันใด ขณะเดียวกันเสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

อีกด้านหนึ่ง นักรบเกระเหล็กได้สลับตำแหน่งกับฉานนู่ และเป็นอีกครั้งที่เขาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

ซึ่งนักรบเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ เพราะจู่ๆดวงตาของเขาก็พร่ามัวไปครู่หนึ่ง แล้วพออาการพร่ามัวหายไป เขาก็กลับมาหาศัตรูอีกครั้งแล้ว

 

นักรบเกราะเหล็กดึงหอกออกมา ปากอ้าคำรามลั่น “แกเจ้ามารร้าย! ฉันจะฆ่า-”

 

แต่มันจะไปทันกู่ฉิงซานที่เตรียมพร้อม เฝ้ารอคอยเวลานี้อยู่ก่อนแล้วได้อย่างไร?

 

ดาบของเขาวูบไหว

 

ฟุ่บบบ!

 

ดาบพิภพแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา กรีดตัดอากาศจนเกิดเสียงหวีดหวิว ตัดฉับ! ลงบนต้นคอของนักรบเกราะเหล็ก

 

หัวมนุษย์กระเด็นลอยขึ้นไปบนฟากฟ้า

 

ทั้งคนทั้งร่างของนักรบเกราะเหล็กแข็งค้าง ทั้งๆที่หอกในมือเขาพึ่งจะถูกยกขึ้นเท่านั้น

 

ร่างไร้หัวยังคงยืนนิ่งงันโดยสมบูรณ์ ราวกับว่ามันไม่เต็มใจที่จะพร้อมยอมรับชะตากรรมของตนเอง

 

“เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ? พอดีฉันฟังไม่ทัน” กู่ฉิงซานหยุดดาบและเอ่ยถาม

 

เคร้ง ..

 

หัวที่สวมหมวกเหล็กร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า หล่นโครม! ลงบนพื้นน้ำแข็งจนปริร้าว เกิดการยุบตัวขนาดเล็กขึ้น

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว “น่าเสียดายจัง ดูเหมือนว่าฉันจะถามช้าไปหน่อย”

 

ว่าแล้วเขาก็ยื่นนิ้วชี้ออกไป และแตะลงบนร่างเกราะเหล็กไร้หัวอย่างแผ่วเบา

 

ตึ้งงงง!

 

ร่างนั้นล้มฟาดลงกับพื้นทันที

 

และ ‘ตึ้งงงง’ ก็เปรียบดั่งเสียงสัญญาณ เพราะกู่ฉิงซานได้หายวับไปอีกครั้ง

 

เขาปรากฏตัวขึ้นข้างกายของฉานนู่

 

ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่วาดเงาพึ่งจะจบลงพอดิบพอดี

 

บรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารผู้ใช้งานเทคนิคมนตราป้องกัน ถูกคมดาบที่สามารถทำลายทุกกฏเกณฑ์ของฉานนู่สับสังหารตกตายลงโดยตรง

 

ทว่าผู้ที่สวมใส่เกราะที่ครอบครองอำนาจป้องกันอันทรงประสิทธิภาพก็ยังคงมีอยู่บ้าง ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะตกอยู่ในสภาพน่าอนาจ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นตกตายลง

 

กู่ฉิงซานชูดาบพิภพขึ้น

 

เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!

 

วาดเงาอีกระลอก!

 

ร่างเงาดาบสีดำระเบิดเบ่งบาน

 

หนุนเสริมด้วยดาบพิภพ 86.37 ล้านจิน ที่ทั้งหนักทั้งรุนแรง สามารถทำลายล้างได้ทุกสรรพสิ่ง

 

บรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารรอบตัวเขา ที่ครอบครองเกราะป้องกันทรงอำนาจ ต่างถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆด้วยรังสีดาบนี้

 

ทว่าก็ยังหลงเหลือผู้เข้าสู่วิถีมารที่สามารถรอดชีวิตมาได้อีกคนอยู่ดี – ท่ามกลางช่วงเวลาเดือดพล่าน เขาได้ตระหนักว่าความตายกำลังจะมาเยือนเป็นที่แน่นอนแล้ว

 

ปากจึงเร่งอ้าตะโกน “เชื้อไฟ! ฉันขอใช้แต้มพลังวิญญาณทั้งหมดแลกเปลี่ยนกับ-”

 

น่าเสียดายจริงๆ ที่คำว่า ‘อสูรกาย’ ยังไม่ทันได้ผุดออกมา ในสายตาของเขา รังสีดาบขาวนวลผ่องก็พลันเจิดจรัสขึ้นซะก่อน

 

คมเสี้ยวจันทร์ขนาดใหญ่กวาดทั้งคนทั้งร่างของเขา หายวับไปจากพื้นน้ำแข็งโดยตรง

 

ซึ่งคราวนี้ไม่หลงเหลือกระทั่งเศษเนื้อหนังหรือเลือดสักหยด

 

“นายน้อย ท่านมาได้ถูกจังหวะจริงๆ อีกนิดเดียวเขาก็เกือบที่จะทำสำเร็จแล้วเชียว”

 

ฉานนู่เก็บดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ปากเอ่ยกล่าวด้วยความยินดี

 

“ข้าตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นย่อมไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาทันใช้แต้มพลังวิญญาณแลกเปลี่ยนกับเชื้อไฟอย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาเก็บดาบพิภพกลับคืน และหันไปมองรอบๆ

 

ชั้นน้ำแข็งหนาบนพื้นผิวของทุ่งน้ำแข็งถูกทำลายลง เศษซากของผู้เข้าสู่วิถีมารร่วงตกไป ลอยล่องกระจัดกระจายบนผิวน้ำ

 

พวกเขาตายกันหมดแล้ว

 

กระบวนการต่อสู้ทั้งมวลนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงในปัจจุบัน นับเวลาโดยรวมแค่ 3 ลมหายใจเท่านั้น!

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารส่วนใหญ่ ไม่ทันได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ รู้สึกตัวอีกทีพวกเขาก็ตายลงไปแล้ว

 

และแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดของพวกเขาก็ถูกดูดกลืนมายังกู่ฉิงซานโดยสมบูรณ์

 

ฉานนู่ยืนอยู่บนพื้นน้ำแข็ง และมองลงไปยังน้ำเบื้องล่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

“นายน้อย ธารน้ำแข็งนี่มันลึกจนข้ามองไม่เห็นก้นเลย นี่มันช่างคล้ายคลึงกับสายธารในโลกปรภพเสียจริงๆ” เธอกล่าวด้วยความประหลาดใจ

 

“งั้นหรือ แต่เรื่องนั้นค่อยเอาไว้คุยกันทีหลังนะ ตอนนี้ขอข้าจัดการบางอย่างก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ขณะพูด เขาก็มองไปยังสองระบบ

 

บนหน้าต่างสถานะ หนึ่งน้ำเงินหนึ่งแดง ได้เด้งเตือนบรรทัดตัวอักษรขึ้นมา

 

“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ 3165 แต้ม”

 

ขณะเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรขึ้นมาอีกหลายช่อง

 

“คุณสามารถรวบรวมแต้มพลังวิญญาณถึง 3000 แต้มได้สำเร็จ ส่งผลให้การสั่งสมแต้มพลังรอบสองของคุณสมบูรณ์ในที่สุด”

 

“โปรดเลือกสกิลที่คุณต้องการจะเพิ่มความสามารถให้แก่มันด้วย”

 

“ฉันเลือกเพิ่มความสามารถให้กับค่ายกลดาบไท่หยี”

 

“คุณแน่ใจหรือไม่?”

 

“แน่ใจ”

 

“ระบบได้ทำการล็อคสกิลนี้แล้ว และครั้งถัดไปที่คุณใช้มันโจมตี พลังอำนาจของมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”

 

ว่าจบ ตัวอักษรบนหน้าต่างสีน้ำเงินของระบบเทพสงครามก็ค่อยๆหายไป

 

ตามด้วยหน้าต่างเชื้อไฟที่เปล่งเสียงออกมา

 

“คุณสามารถรวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้มากถึงระดับหนึ่งแล้ว ฉะนั้นเวลานี้ คุณสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนไอเท็มต่างๆจากระบบได้”

 

ขณะกล่าว บนหน้าต่างเชื้อไฟ ก็ปรากฏถึงแถบไอเท็มเด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

 

ของรางวัลหน้าแรก คือทุกชนิดอันหลากหลายของดาบยาว

 

“ดาบพวกนี้ ดูท่าว่าจะไม่ได้มีไว้แค่โชว์เฉยๆสินะ … ”

 

กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ

 

เขาได้ใช้พลังงานไปอย่างมากในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เมื่อเห็นถึงรางวัลดาบ เขาก็พยายามยับยั้งชั่งใจตนเองที่จะไม่มองมัน

 

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะ แต่ฉันต้องการสะสมแต้มพลังวิญญาณมากกว่านี้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต่แต้มพลังวิญญาณที่คุณมี มันสามารถนำมาใช้แลกเปลี่ยนกับดาบทรงพลังอันมีชื่อเสียงเกือบทุกชนิดในรายการรางวัลของฉันได้แล้วนะ ถ้าคุณไม่ใช่มัน แล้วจะเอาไปแลกเปลี่ยนกับอะไร?” เชื้อไฟอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานเยาะหยัน

 

-ต้องการแต้มพลังวิญญาณจากฉันนักใช่ไหม?

 

ฮี่ฮี่ จัดให้

 

“พอดีว่าฉันอยากจะสะสมแต้มพลังเพื่อใช้แลกเปลี่ยนกับสิ่งนี้ ..” เขาชี้ไปยังอีกด้านหนึ่งของหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

ฝั่งดังกล่าว คือรายการของบรรดาอสูรกายประเภทต่างๆ

 

ส่วนที่กู่ฉิงซานชี้ไป คืออสูรกายที่แข็งแกร่งที่สุด “นี่ไง ฉันต้องการเจ้านี่”

 

เป็นคือมอนสเตอร์หัวหมาป่าที่สวมมงกุฏ

 

และกำลังหลับตา ลอยล่องอยู่บนหน้าต่างอย่างเงียบๆ

 

เบื้องล่างของมัน มีหนึ่งบรรทัดคำอธิบายติดเอาไว้

 

ราชามารวิญญาณมรณะ อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล การแลกเปลี่ยนจำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณ : 100000 แต้ม!

 

ณ กรมบังคับกฏ

 

การสนทนาระหว่างศิษย์อาจารย์ยังคงดำเนินต่อไป

 

“อาจารย์ ผู้หญิงที่เป็นคนช่วยหนูไว้เมื่อครู่ ได้มอบใบไม้ให้กับหนู แล้วจู่ๆมันก็เกิดการทำงานขึ้น ผลักดันให้หนูสามารถตัดผ่านขอบเขตเดิมของตัวเองได้”

 

“งั้นหรอ แต่มันก็เป็นเรื่องปกตินะ ที่เธอจะทำแบบนั้นกับเจ้า”

 

“แท้จริงแล้วเธอเป็นใครกันแน่คะอาจารย์”

 

“ ครั้งหนึ่ง  .. เอ่ออออ ถ้าจะให้เรียกก็คงจะเป็นสหายล่ะมั้ง”

 

ซูเซี่ยเอ๋อแสดงท่าทีไม่อยากจะเชื่อ

 

“ก็ได้ๆ ข้ายอมรับว่าเธอกับข้าเคยเกินเลย ไปไกลกว่าคำว่าสหาย ” จอมมารทะเลเลือดกล่าวด้วยรอยยิ้มราวกับว่าได้ตกลงสู่ห้วงความทรงจำในครั้งอดีต

 

“ในตอนที่ข้ายังเยาว์ ข้าได้เดินทางออกจากเกาะหมอก พเนจรไปยังดินแดนชิงอำนาจ หมายจะเห็นโลกกว้าง”

 

“จากนั้น ข้าก็ได้พบกับเธอ”

 

“ผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้น่ะหรอคะ?”

 

“ใช่ พวกเราสนิทกันมาก วันคืนเหล่านั้นช่างแสนสุข แต่ละคนต่างก็รู้สึกดีต่อกันและกัน”

 

“แต่ตอนนี้เธอดูเหมือนว่าจะโกรธมาก”

 

“ตอนแรกข้าไม่รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเธอ ไม่ชัดเจนว่าเธอมีอำนาจอันน่าอัศจรรย์ใจเพียงใด ดังนั้นครั้งหนึ่งข้าจึงเคยพลั้งเผลอไปคาดการณ์โชคชะตาของเธอโดยพลการ และสัมผัสได้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตราย” จอมมารทะเลเลือดฝืนยิ้มอย่างขมขื่น

 

เขาเยาะหยันตนเองและกล่าว “ในช่วงเวลานั้น ข้าก็ได้ทำแบบเดียวกันกับเจ้า”

 

ซูเซี่ยเอ๋อ “แล้วเธอก็โกรธมากกับการตัดสินใจของอาจารย์งั้นหรอ?”

 

“ใช่ เมื่อเธอค้นพบความจริง เธอก็ทิ้งข้าไปทันที โดยไม่ให้โอกาสข้าได้อธิบายอีกเลย”

 

“ผ่านพ้นมานานกว่า 10000 ปี เธอก็ยังไม่เคยที่จะให้อภัยข้า สำหรับการกระทำที่ข้าคิดว่ามันถูกต้องในตอนนั้นเลย”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “แต่หนูทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นฉิงซานตาย หนูค่อนข้างคิดว่าตัวเอง … ”

 

ทันใดนั้นเธอก็เริ่มวิตกกังวลทันที “อาจารย์ หนูร้องขอให้ท่านช่วยเหลือเขาจะได้ไหม?”

 

จอมมารทะเลเลือดเฝ้ามองซูเซี่ยเอ๋อ แล้วถอนหายใจออกมา “เด็กโง่ .. ”

 

เขาครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง สุดท้ายจึงเอ่ยปาก “จงนำไพ่สามใบนั้นออกมา”

 

ซูเซี่ยเอ๋อลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็จั่วไปในความว่างเปล่าสามครั้ง

 

และทันใดนั้นไพ่ทั้งสามใบก็ปรากฏออกมา

 

ของขวัญจุมพิตจากแม่มด คำสาบานของพันธนาการ และจอมมารคุ้มภัย

 

เนื่องจากพวกมันได้ถูกทำลายลง ดังนั้นแสงที่ปรากฏออกมาบนไพ่ทั้งสามใบจึงดูริบหรี่มาก

 

จอมมารทะเลเลือดรับไพ่ทั้งสามใบมา ปากอ้าขยับร่ายคาถาอย่างเงียบๆ

 

เอ่ยพึมพำอยู่กว่า 20 ลมหายใจ ก่อนที่จะปล่อยไพ่ทั้งสามลอยไปในอากาศ

 

แล้วไพ่ใบใหม่ก็ปรากฏขึ้นในมือของจอมมารทะเลเลือด

 

บนไพ่ใบนี้ ไม่มีสิ่งใดอยู่เลยนอกจากห่วงโซ่เส้นใหญ่

 

“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเคยมีสหายมากมาย แต่สุดท้าย ภายหลังพวกเขาก็ไม่มีใครยอมติดต่อกับข้าอีกเลย” จอมมารทะเลเลือดกล่าว

 

“ทำไมกัน?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม

 

“เพราะในทุกๆครั้งที่เราออกไปสู้รบ ข้ามักจะจัดการทุกอย่างได้อย่างถูกต้องไว้ล่วงหน้าเสมอๆ”

 

“ถ้าเป็นแบบนั้น ทุกคนก็สมควรที่จะชอบท่านอาจารย์สิ”

 

“ไม่ใช่หรอก ส่วนเหตุผลน่ะหรือ นั่นเป็นเพราะข้าได้กำจัดศัตรูทั้งหมดล่วงหน้าจนสิ้น และคอยเฝ้ารอสหายที่กำลังไล่ตามมาด้วยความกระตือรือร้นจนทัน เมื่อพวกเขามาถึง ก็จะเห็นข้าที่กำลังยืนถือแก้วไวน์ ดื่มกินท่ามกลางกองซากศพ – พอมองย้อนนึกไปถึงสีหน้าของพวกเขาในตอนนั้นแล้ว อ่าาา มันช่างน่ารื่นรมย์เสียจริงๆ ”

 

“อาจารย์ ท่านทำแบบนั้น … ก็คงจะแน่อยู่แล้วที่ไม่มีใครจะมาติดต่อกับท่านอีก”

 

“ฉะนั้นก็จงเรียนรู้จากความผิดของผู้อื่นซะ แม้ตัวเจ้าจะโดดเด่น แต่ในยามที่ไม่ว่าจะเพื่อนหรือแฟนกำลังต่อสู้ เจ้าก็ต้องรู้นิสัยพวกเขา เข้าใจถึงทัศนคติของพวกเขาในฐานะมิตรแท้ เจ้าไม่สามารถกระทำแบบ-เดียว-กัน กับข้าได้ … อืมม แบบนี้มันเรียกว่าอะไรนะ?”

 

“จิตวิปริต?”

 

“ไม่ๆ ฟังดูร้ายแรงจัง ขอเป็นสำนวนจะได้หรือไม่?”

 

“ทำตนคล้ายกับกระเรียนในฝูงไก่”

 

“ใช่ คำนี้แหละสมบูรณ์แบบไปเลย”

 

จอมมารทะเลเลือดดีดนิ้วจนเกิดเสียง ‘เป๊าะ’

 

แล้วไพ่ใบที่มีห่วงโซ่เส้นใหญ่ก็สาดกลุ่มแสงออกมา เข้าปกคลุมไพ่ของขวัญจุมพิตจากแม่มด , คำสาบานของพันธนาการ และจอมมารคุ้มภัย

 

“นี่คือภาพลวงตาติดตาม เป็นทริคเล็กๆน้อยๆ แต่มันต้องใช้พลังระดับข้าในปัจจุบันเท่านั้น ถึงจะสามารถใช้เทคนิคนี้ได้  มันสามารถช่วยแสดงภาพลวงตาติดตามของผู้ที่เคยเอาชนะไพ่ของของเจ้า และแสดงสถานการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ว่าคนๆนั้นกำลังทำอะไรอยู่กันแน่” จอมมารทะเลเลือดอธิบาย

 

เห็นแค่เพียงในแสงและเงา ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้น

 

เขาอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ

 

ซึ่งเป็นโลกสมบัติของทริสเต้

 

ในโลกที่มีผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าร้อยล้านคน

 

—เชื้อไฟกำลังส่งยอดฝีมือออกมา เพื่อต้องการที่จะฆ่ากู่ฉิงซาน

 

ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อหนักอึ้งขึ้นทันใด

 

“ท่านอาจารย์ ตอนนี้เขาตกอยู่ในอันตรายมากไหม”

 

“อย่าถามข้า เทคนิคมนตรานี้ของข้าทำได้เพียงลอบสอดแนมเขาเท่านั้น มิอาจทำอื่นใดได้อีก”

 

“งั้นพวกเราจะไปอัลเบอัสกันในตอนนี้ … ”

 

“ไม่ แบบนั้นไม่ดีหรอก เพราะเทสส์คงกำลังวุ่นเกี่ยวกับการตระเตรียมการต่อสู้เป็นแน่ พวกเราไม่สามารถไปได้ เพราะมันจะเป็นการทำให้ศัตรูไหวตัวทัน”

 

“ถ้าอย่างงั้นพวกเรา – ”

 

“เราจะอยู่ที่นี่ และไม่ไปไหนทั้งนั้น”

 

จอมมารทะเลเลือดกล่าวอย่างจริงจัง “เซี่ยเอ๋อ เจ้ายังไม่ทราบเลยมิใช่หรือ ว่าเขาสามารถทำลายทั้งสามเทคนิคไพ่ของเจ้าได้ยังไง?”

 

“ถ้าอย่างงั้นเจ้าก็คอยเฝ้าดู แล้วทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเขาให้มากขึ้นซะก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าจะร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้อย่างไร?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ฟังก็ชะงักไป

 

ปากที่กำลังโต้เถียงค่อยๆหุบลง คู่ดวงตางดงามค่อยๆเบนมองไปยังแสงและเงา ตกลงบนร่างของกู่ฉิงซานและไม่ละจากไปอีกเลย

 

….

 

อีกด้านหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานกำลังกำลังขี่ปีกแห่งดินแดนชำระล้าง ควบไปตามผืนน้ำแข็ง

 

ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆก็ปรากฏร่างเงาขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า และมันก็เอื้อมมือไปกดลงเบาๆเบื้องหลังปีกแห่งแดนชำระล้าง

 

และทั้งคน วิหค และม้า ก็หายวับไปพร้อมกัน

 

พวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิด ทว่าเต็มไปด้วยดวงดาราบนฟากฟ้า

 

“เพื่อหลีกเลี่ยงการค้นพบ พวกเราเลยต้องเว้นระยะจากมันไปชั่วคราว แต่ขอบอกก่อนนะว่าสถานที่แห่งนี้สามารถอยู่ได้ 1 นาทีเท่านั้น ดังนั้นพวกเรามาทำให้เรื่องยาวๆมันสั้นๆกระชับกันจะดีกว่า” เลดี้เทสส์กล่าวอย่างรวดเร็ว

 

“เจ้าหนูสมาคมกำปั้นเหล็ก” เธอหันไปกล่าวกับกู่ฉิงซาน “แฟนของเจ้าได้ทำสิ่งที่โง่เง่านัก หากไม่ใช่เพราะเราออกหน้าลงมือปกป้องแล้วล่ะก็ เธอคงตายลงเพื่อเจ้าไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้โชคชะตาจึงหวนกลับคืน … เจ้าจะกล้ากลับไปรับโชคชะตาอันตรายแทนที่เธอหรือไม่?”

 

“ขอน้อมรับด้วยความยินดี” กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่ายและกล่าว “โชคดีจริงๆที่ท่านลงมือ ตอนนี้ผมติดหนี้ท่านแล้ว”

 

“นี่เจ้าไม่หวาดเกรงว่าจะพบเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายหรือ?”

 

“หากว่ากันตามปกติแล้ว มันต่างหากที่สมควรจะกลัวผม”

 

“ยอดเยี่ยม ประโยคนี้ช่างเหมาะสมกับชายชาตรีโดยแท้”

 

เทสส์พยักหน้า และมองดูกู่ฉิงซานด้วยความพึงพอใจมากขึ้น

 

“ว่าแต่แฟนของผมไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”

 

“เราได้พาเธอไปมอบให้แก่อาจารย์ของเธอแล้ว จงวางใจเถอะ แม้ว่าอาจารย์ของเธอจะโง่ แต่ความแข็งแกร่งของเขาไม่เลวร้ายเลย”

 

ภายนอกแสงและเงา จอมมารทะเลเลือดเผลอบีบแก้วไวน์ในมือจนแตก เขาสะบัดๆมือ แล้วเปลี่ยนแก้วใหม่

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานจึงค่อยผ่อนคลายลงชั่วคราว

 

แล้วสายตาของเทสส์ก็หันไปมองลอร่า

 

“เรายังสามารถอยู่ต่อได้อีกเพียงไม่กี่สิบวินาทีสุดท้าย ลอร่า เจ้าไม่มีอะไรจะบอกเราเลยงั้นหรือ?”

 

“ป้าเทสส์!—”

 

ลอร่าวิ่งเข้าไปจับมือของเทสส์ น้ำใสๆไหลรินจากสองตา ขณะที่ปากอ้าขยับบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างอย่างรวดเร็ว

 

เลดี้เทสส์รับฟังอย่างตั้งใจ และพยักหน้าเล็กน้อยเป็นครั้งคราว

 

ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจและกล่าว “สงครามคงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ”

 

เทสส์มองไปยังกู่ฉิงซานและกล่าวต่อ “นี่เป็นเพียงร่างเงาที่แทรกแซงเข้ามา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถพาลอร่ากลับไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากอยู่ที่อัลเบอัส  ทริสเต้คงจะสามารถค้นพบตำแหน่งของเธอได้ง่ายดายกว่าที่นี่อย่างแน่นอน”

 

“ในกรณีนั้น ทริสเต้ก็จะสามารถถอดรหัสผนึกประทับเทคนิคมนตราจากตัวลอร่าได้ในทันที”

 

“เมื่อทริสเต้สามารถเชื่อมต่อกับโลกของตัวเองได้แล้ว เธอก็จะเปิดมัน และเริ่มแพร่เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออกไปตลอดทั่วทั้งอัลเบอัส”

 

“ผมเข้าใจแล้ว ตอนนี้กุญแจสำคัญทั้งหมด อยู่ที่ตัวลอร่า” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ใช่” เลดี้เทสส์กล่าว “ลอร่าจะต้องไม่ปรากฏตัวขึ้นชั่วคราว มิฉะนั้นแล้วเผ่ามารนับล้านๆที่ซุ่มซ่อนอยู่ในมุมมืด ก็จะลงมือปฏิวัติ เข้ายึดครองอัลเบอัสโดยตรง แล้วสงครามของตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นก็จะเริ่มต้นขึ้นทันที”

 

“ดังนั้นพวกเราก็จะไม่ออกไปภายนอกชั่วคราว เพื่อให้แน่ใจว่าทริสเต้จะไม่สามารถค้นพบโลกใบนี้ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เทสส์พยักหน้าเล็กน้อย และเอ่ยถามอีกครั้ง “ลอร่าบอกว่าเจ้าสาบานว่าจะช่วยชีวิตเธอให้ได้ใช่ไหม?”

 

“ใช่”

 

“ดีมาก สมกับที่เป็นสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็กจริงๆ ” เทสส์กล่าวด้วยความพึงพอใจ

 

“เอาล่ะ ถึงเวลาที่ข้าจะต้องรีบกลับไปเพื่อเตรียมตัวรับมือกับสงครามแล้ว แล้วเจ้าเล่า? พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับโชคชะตาดั้งเดิมของตนเองแล้วหรือยัง?”

 

กล่าวจบ เธอก็หายไปจากสถานที่เดิม

 

บังเกิดอาการพร่ามัวขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

รู้สึกตัวอีกที เขาก็ค้นพบว่าตนเองได้กลับมายังโลกของทริสเต้อีกครั้งแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม สถานที่ๆถูกส่งกลับมา มันดันเป็นอีกจุดหนึ่ง

 

บริเวณโดยรอบรายล้อมไปด้วยหมอกน้ำแข็งเย็นฉ่ำ

 

เมื่อจิตสัมผัสเทวะถูกปลดปล่อยออกไป แทบจะในทันทีก็พบว่าไม่ใกล้ไม่ไกล หลายสิบคนกำลังจัดกระบวนทัพป้องกันอย่างแน่นหนา คล้ายกำลังรอรับมือกับอะไรบางอย่างอยู่

 

บริเวณโดยรอบฟุ้งไปด้วยไอน้ำจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีสามแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่กำลังลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า

 

มันคงจะเกิดจากกระแสธารอันเชี่ยวกราดใต้ผืนน้ำแข็ง ซึ่งถูกดึงดูดขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยพลังอำนาจบางอย่าง

 

โลกถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ขณะที่ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว คล้ายกับทุกสิ่งอย่างถูกแช่แข็งเป็นเวลาหลายปี

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ และสามารถเข้าใจทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็ว

 

สถานที่แห่งนี้คงเป็นที่ๆซูเซี่ยเอ๋อเคยยืนอยู่

 

ขณะที่เธอกำลังจะตาย เธอก็ได้รับการช่วยเหลือจากเลดี้เทสส์อย่างกระทันหัน

 

ผู้หญิงคนนั้นได้ทำลายเทคนิคเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของซูเซี่ยเอ๋อ

 

ดังนั้นตอนนี้ เขาจึงถูกส่งกลับมายังโชคชะตาเดิมของตนอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว

 

ลอร่ามองผ่านหมอกหนาด้วยกล้องส่องทางไกล และเอ่ยว่า “ข้างหน้ามีคนอยู่เยอะเลย”

 

“ใช่ เชื้อไฟคงส่งพวกเขามาจับกระหม่อม แท้จริงแล้วที่คือสถานการณ์ที่หม่อมฉันจะต้องเผชิญ”

 

“งั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี?” ลอร่าเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานกระโดดลงจากหลังม้า หนึ่งมือหยิบหน้ากากเงินขึ้นมาสวมใส่บนใบหน้า

 

เอ่ยสั่งด้วยความนึกคิด พริบตานั้นสามดาบพลันปรากฏขึ้นจากในความว่างเปล่า เวียนวนโคจรรอบตัวเขา ลอยล่องท่ามกลางหมอกหนา

 

“จุดจบของพวกเขา … จะเป็นเช่นเดียวกันกับเชื้อไฟ!”

 

หนึ่งมือดาบค้ากุมดาบพิภพที่ลอยล่อง สองเท้าย่างกรายข้ามฝ่าหมอกหนาเย็นฉ่ำ มุ่งหาศัตรูเบื้องหน้าไปอย่างเชื่องช้าทีละก้าว ทีละก้าว …

 

“โชคชะตาเอ๋ย! มีเพียงการร่วงโรยก่อนเท่านั้นจึงจะทำให้พวกเจ้าเบ่งบานครั้งใหม่ได้!”

 

ซูเซี่ยเอ๋อร่ายมนคาถาของเกาะหมอกดังลั่น

 

ไพ่กว่า 77 ใบที่ลอยอยู่กลางอากาศ สาดประกายแสงพร่างพราว

 

พวกมันเริ่มดูดกลืนแต้มพลังวิญญาณอันงดงามและไร้ที่สิ้นสุดอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะระเบิดอำนาจอันยิ่งใหญ่ออกมาได้ทุกที่ทุกเวลา

 

และทั้งคนทั้งร่างของซูเซี่ยเอ๋อก็เริ่มเลือนรางลง

 

-นี่คือสัญญาณของการเผาผลาญชีวิตที่มากเกินไป

 

ตรงกันข้ามกับเธอ นักรบเกราะเหล็กสูงสองเมตรได้ยื่นมือของตนอออกมา ล้วงเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหน้า

 

เพี๊ยะ!

 

แต่มือของเขากลับถูกตีกลับโดยความว่างเปล่า และแม้กระทั่งเกราะมือของเขาก็ร้อนราวกับถูกลวก

 

แล้วนักรบเกราะเหล็กก็เข้าใจในที่สุด

 

เขาโบกมือออกไป “ทั้งหมดถอยกลับมาซะ มาอยู่ใกล้ๆฉัน เตรียมจัดทัพป้องกัน”

 

“แต่บอส — ” หลายคนสับสน

 

“เร็วเข้า! เธอกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่พวกเราไม่สามารถตายตกตามกันไปกับเธอได้!” นักรบตะโกนเฉียบขาด

 

เขาก้าวถอยหลังและจัดโล่ขนาดใหญ่มาวางไว้เบื้องหน้าตนเอง

 

ฝูงชนราวกับได้สติตื่นจากห้วงฝัน เร่งรุดไปใกล้กับเขา แล้วเริ่มจัดวางรูปแบบการป้องกันอย่างเข้มงวด

 

เวลานี้ มันสายเกินไปแล้วที่จะวิ่งหนี

 

77 ไพ่เริ่มเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และร่างของซูเซี่ยเอ่อก็สาดแสงพิสุทธิ์พรั่งพรูออกมา

 

สามพายุทอร์นาโดเริ่มก่อตัว เวียนวนโคจรรอบซูเซี่ยเอ๋อ และในที่สุด มันก็เริ่มพัดทะลวงจนเกิดรูบนพื้นน้ำแข็ง ชักนำเอาธารน้ำมหาศาลที่อยู่เบื้องล่างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

นักรบเกราะเหล็กเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างใจจดใจจ่อ ในความคิดลอบถอนหายใจอย่างลับๆ

 

พลังอำนาจนี้ ช่างอัศจรรย์ น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลย

 

แต่เกรงว่าก่อนที่พลังอำนาจดังกล่าวจะถูกยิงออกมา สาวน้อยคนนี้ก็คงจะทนไม่ไหว สิ้นใจไปเสียก่อน

 

ว่าแต่ทำไมกัน? ทำไมเธอถึง-

 

เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนของเขากำลังจะจากไปอยู่แล้ว

 

เห็นได้ชัดว่าเขาได้สั่งห้าม ไม่อนุญาตให้มีเรื่องราวใดๆภายนอกเข้ามาขัดขวางภารกิจ และไม่อนุญาตให้มีใครไปยั่วยุเธอด้วยซ้ำ

 

แต่แล้วทำไมเธอถึงต้องทุ่มเทพยายามจะสังหารพวกเขาถึงเพียงนี้?

 

นักรบเกราะเหล็กยิ่งคิดก็ยิ่งงง ไม่อาจหาเหตุผลมารองรับได้

 

บนท้องฟ้า เมื่อสูบน้ำจนอิ่ม พายุทอร์นาโดสามวงได้กระจายตัวออกไป

 

เนื่องจากการพวยพุ่งของกระแสธารเบื้องล่างพื้นน้ำแข็ง ส่งผลให้เกิดการควบแน่นขึ้นในอากาศ ก่อตัวเป็นแท่งหอกน้ำแข็งที่วาววับและโปร่งใส อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

พายุหิมะไม่ร่วงโรยอีกต่อไป

 

ท้องฟ้ามืดครึ้ม และเมฆหมอกไอเย็นปกคลุมเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม

 

รอบตัวเธอจมลงสู่ความเงียบงัน เริ่มบังเกิดชั้นอากาศที่บิดเบี้ยว

 

ความรู้สึกนี้ มันคล้ายกับการตกอยู่ในฝันร้าย จิตสำนึกของทุกคนจมลงสู่ห้วงอารมณ์อันแปรปรวน

 

และถึงแม้ว่าทุกคนในกลุ่มนักรบจะมีอายุน้อยกว่า 30 ปี แต่ทั้งหมดก็ได้ผ่านพ้นและเรียนรู้ประสบการณ์มามากมาย บางคนที่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างกายของเขาเริ่มสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้

 

“เธอเป็นคนจากเกาะหมอก! พวกเราทุกคนจะต้องป้องกันการโจมตีนี้ให้ได้!” บางคนร้องตะโกนคลั่งออกมา

 

“ใช่ ทุกคนจงใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่ตนมีเพื่อ-” นักรบเกราะเหล็กคำราม ทิ้งช่วงไป

 

และทุกคนก็ตะโกนต่อจากเขา “ป้องกัน!”

 

ในช่วงเวลานั้นเอง พลังอำนาจที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนก็พลันปะทุออกมา พวกมันถูกรวบรวมเข้าด้วยกันรอบตัวนักรบเกราะเหล็ก

 

ตรงกันข้ามกับพวกเขา หมอกไอเย็นฟุ้งกระชากขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

หมอกนี้ราวกับสัตว์ร้ายอันน่าหวาดกลัว ที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งมีชีวิตได้ตลอดเวลา

 

ฝูงชนต่างพากันกลืนน้ำลายอึกอัก ทั้งหมดทุ่มพยายามอย่างเต็มที่เข้าสู่สภาวะพร้อมป้องกัน

 

การระเบิดโจมตีร้ายแรงกำลังจะมาแล้ว!!!

 

ท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง

 

ซูเซี่ยเอ๋อเปล่งคาถาเสียงกระซิบ มุ่งเน้นควบรวมอำนาจทั้งหมดของไพ่

 

ณ เวลานี้ ร่างของเธอยิ่งมายิ่งกลายเป็นพร่ามัวมากขึ้น

 

ในจิตใจของซูเซี่ยเอ๋อ มีเพียงความคิดเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่

 

เวลากำลังจะหมดลงแล้ว ต้องยึดโอกาสสุดท้ายนี้เอาไว้ให้จงได้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี-

 

ทว่าทันใดนั้นเอง ร่างของเธอก็สั่นไหวเล็กน้อย

 

ใบไม้สีเขียวผุดออกมาจากหน้าผากตรงกลางหว่างคิ้วของเธอโดยไม่รู้ตัว

 

ใบไม้นี้ราวกับครอบครองพลังชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุด พริบตานั้นทั้งคนทั้งร่างของซูเซี่ยเอ๋อที่พร่ามัวก็กลับมาเด่นชัดขึ้นทันใด

 

รังสีเขียวมรกตอาบไปทั่วตัวเธอราวกับน้ำพุร้อนในฤดูใบไม้ผลิ

 

นี่คือพลังชีวิตที่เหนือกว่าทุกสิ่งอย่าง มันเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใดก็ไม่สามารถเข้าถึงได้!

 

ซูเซี่ยเอ๋อตกตะลึง

 

เธอสังเกตเห็นว่าพลังชีวิตของเธอยังคงถูกเผาผลาญอยู่ แต่อีกอำนาจหนึ่งก็กำลังถ่ายเทพลังชีวิตใหม่เข้ามาให้แด่เธออย่างต่อเนื่องเช่นกัน

 

อำนาจที่ห่างไกลเกินกว่าความรู้ความเข้าใจไปโดยสมบูรณ์

 

ด้วยอำนาจดังกล่าวนี้ ส่งผลให้จุดอ่อนจากทั้งคนทั้งร่างของเธอถูกลบ กลบหายไปจนสิ้น

 

กายของเธอกลับกลายเป็นบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าเดิม มันสามารถเชื่อมต่อกับสวรรค์และปฐพี , กฏเกณฑ์ , โลก และต้นกำเนิดมากยิ่งขึ้น

 

เวลานี้เธอยังกระทั่งสามารถสัมผัสได้เล็กๆน้อยๆถึงคลื่นความผันผวนอันยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ทั้งใบได้อีกด้วย!

 

“ไม่จริงน่า เห็นได้ชัดว่าฉันกำลังจะตาย … แล้วทำไมจู่ๆฉันถึงได้ยกระดับขึ้นไปไกลกว่าเหล่าอาจารย์ที่ปรึกษาระดับทั่วไปกัน?”  ซูเซี่ยเอ๋ออุทานด้วยความประหลาดใจ

 

เธอลองสัมผัสกับมันอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็สังเกตถึงมันได้เล็กน้อย

 

มือถูกยื่นออกไปในความว่างเปล่า -ซูเซี่ยเอ๋อเรียกกระจกสีเงินออกมา

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าผากตน ปรากฏถึงใบไม้สีเขียวมรกตที่กระเพื่อมไหวไปตามแรงลม

 

พอได้เห็นซูเซี่ยเอ๋อก็สามารถจดจำมันได้ในทันที

 

ตนกับกู่ฉิงซานเคยได้พบกับหญิงงามไม้สลักในเมืองเล็กๆ

 

ขณะที่อีกฝ่ายกล่าวว่าเธอเป็นเพื่อนของอาจารย์ และหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว เธอก็ได้วางใบไม้ใบนี้ลงบนหน้าผากของตนเอง

 

“ที่แท้ก็เป็นเธอ … ” ซูเซี่ยเอ๋อบ่นพึมพำ

 

วินาทีต่อมา ไพ่สีม่วงก็บินออกจากตัวซูเซี่ยเอ๋ออย่างกระทันหัน และแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศ

 

“ไม่นะ! นั่นมันไพ่แทนที่โชคชะตาของฉัน!”

 

ซูเซี่ยเอ๋อร้องอุทาน

 

อย่างไรก็ตาม เธอไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว

 

ร่างเงาปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า และนำพาเธอออกไปจากสถานที่นั้นโดยตรง

 

….

 

อัลเบอัส

 

ณ ขณะนี้คือเวลากลางคืน แต่งานรื่นเริงของอัลเบอัสก็ยังไม่จบลง

 

พิธีเฉลิมฉลองเจ้าหญิงหนามอายุครบ 12 ปี จะจัดขึ้นเป็นเวลาสามวันสามคืน

 

ผู้คนจึงเพลิดเพลิน ดื่มด่ำตลอดทั้งวันคืนไปกับการแสดงน้ำใจของราชวงศ์วิหคหนาม

 

บนดาดฟ้าชมวิว ในชั้นบนสุดของโรงแรม

 

หญิงงามไม้สลักยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่นั่น

 

เหมือนว่าเธอเลือกที่จะออกมาข้างนอก ปลีกวิเวกจากความคึกครื้นและทุกสรรพเสียง เฝ้ามองดูโลกจากเบื้องบนอย่างเงียบๆ คล้ายกับพระเจ้าที่ทอดสายตามองลงมา

 

องครักษ์ราชวงศ์วิหคหนามก้าวเข้ามายังระเบียง คุกเข่าลง และกล่าวด้วยความเคารพ “หัวใจพฤษานิรันดร์ จิตวิญญาณแห่งพฤษาศักดิ์สิทธิ์ ผู้ประจักษ์แห่งเทพบรรกาลตลอดทั้งหมื่นโลกา สหายที่ดีที่สุดแห่งตระกูลหนาม เลดี้เทสส์ที่เคารพ ผู้น้อยมีไม่กี่คำที่จะมารายงานแก่ท่าน”

 

หญิงงามไม้สลักมิได้หันหัวกลับมา แต่ก็ยังขานรับ “ว่ามาสิ”

 

“ท่านหญิงทริสเต้ให้มาถามไถ่ว่าการค้นหาของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

 

หญิงงามไม้สลักเทสส์หัวเราะออกมา “เราคงต้องบอกว่า แม้เจ้าหญิงของพวกเจ้าจะซุกซน แต่ความสามารถของเธอนับว่าน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ”

 

“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

 

“ก็เราได้ค้นพบมั-”

 

แต่แล้วเธอก็หุบปากลงทันใด

 

“เลดี้ … ?”องครักษ์ราชวงศ์เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย

 

“รอประเดี๋ยว เราขอจัดการธุระส่วนตัวก่อน เสร็จแล้วจะมาคุยกับเจ้าในภายหลัง”

 

ว่าจบ เทสส์ก็ยกมือขึ้น

 

เห็นแค่เพียงเปลวเพลิงสีเขียวที่แผ่ออกจากฝ่ามือเธออย่างรวดเร็ว และจากนั้นก็ห่อหุ้มกายเธอเอาไว้

 

ผู้พิทักษ์ราชวงศ์จึงเร่งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

 

เขาลอบมองไปยังเปลวไฟสีเขียวที่ปรากฏ และบังเกิดความคิดว่า ‘การที่ตนเองยืนจ้องมองอีกฝ่ายจัดการเรื่องส่วนตัวอยู่ที่นี่ มันช่างไม่เหมาะสมกับมารยาทของตระกูลวิหคหนามเลยเสียจริงๆ’ ดังนั้นเขาจึงถอยออกจากระเบียง และเฝ้ารอให้อีกฝ่ายจัดการธุระให้เสร็จสิ้นเสียก่อน

 

จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ เลดี้เทสส์ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเขียว

 

“นี่มันเทคนิคแทนที่โชคชะตาของทะเลเลือด? ช่างเป็นเทคนิคมนตราที่น่ารำคาญเสียจริงๆ”

 

เมื่อมองย้อนไปถึงช่วงเวลาในครั้งอดีต เธอก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว

 

ในช่วงเวลานั้น ครั้งหนึ่งจอมมารทะเลเองก็ได้ใช้เทคนิคมนตรานี้กับเธอ และสุดท้ายมันก็ทำให้เธอโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก นับจากนั้นมา ทั้งสองก็มิอาจพัฒนาความสันพันธ์ที่มีต่อกันได้อีกต่อไป

 

“อาจารย์ว่าโง่แล้ว แต่กระทั่งลูกศิษย์ก็ดันมาโง่เหมือนกันอีก”

 

ท่าทีของเลดี้เทสส์ดูจะค่อนข้างโกรธเล็กน้อย “ไม่ยินยอมไถ่ถามจากใคร และคิดว่าทางที่ตัวเองตัดสินใจเลือกให้คนอื่นนั้นถูกต้องแล้ว … คิดว่าตนวิเศษวิโสมากรึไงกัน?”

 

เธอเอ่ยเสียงกระซิบ ขณะเดียวกัน สองมือก็ขยับไหวไม่หยุด เตรียมใช้ออกด้วยเทคนิคลับ

 

หลังจากเหตุการณ์นั้น เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้คนอื่นต้องประสบพบเจอกับปัญหาเดียวกันกับเธอ เทสส์จึงได้คิดค้นและศึกษาเทคนิคหวนคืนโชคชะตาขึ้นมาเป็นพิเศษ

 

“คราวนี้ล่ะ ในที่สุดเราก็ได้มีโอกาสบดขยี้ไพ่แทนที่โชคชะตาของเจ้าเสียที”

 

เทคนิคมนตราเริ่มขับเคลื่อน

 

ใบหน้าของจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าภาคภูมิ ในสายตาของเธอ ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันไพศาล ราวกับว่าเธอสามารถมองเห็นโชคชะตาของทั้งสองกลับคืนสู่ปกติดังเดิม

 

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เธอก็ตระหนักได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป

 

หากเธอไม่ได้อาศัยการเชื่อมต่อระหว่างไพ่โชคชะตาและเทคนิคที่ปลดปล่อยออกมา เธอคงจะไม่ทันได้ใส่ใจหรือสังเกตเห็นถึงมันเลย

 

“พิกลนัก เขาสามารถเข้าไปอยู่ในโลกใบนั้นได้อย่างไร?”

 

“กระทั่งลอร่าเองก็ยังอยู่ที่นั่นด้วย … นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”

 

การแสดงออกทางสีหน้าของจิตวิญญาณพฤษากลายเป็นร้ายแรงมากขึ้น

 

ชั่วขณะนี้ เธอบังเกิดความตื่นตัว ระมัดระวังถึงขีดสุด

 

“แต่ที่นั่นคือโลกของทริสเต้ ดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถทำอะไรได้มากจนเกินไป มิฉะนั้นเธอคงจะรู้ตัว”

 

จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์พึมพำ และเริ่มร่ายเทคนิคมนตราในมือ

 

“ข้าคงต้องสร้างร่างจำลองขึ้นมาชั่วคราว  … ”

 

ขณะกล่าว ในมือของจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ ก็พลันปะทุชั้นเปลวเพลิงสีเขียว พริบตาเดียว พวกมันก็แปรสภาพเป็นร่างเงาของเธอทันที และผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย

 

ร่างเงาของเธอข้ามผ่านช่องว่างโดยตรง แบ่งแยกออกเป็นสอง หนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าซูเซี่ยเอ๋อ ขณะอีกหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

ร่างเงานำพาซูเซี่ยเอ่อหายออกไปจากโลกสมบัติของทริสเต้เลยโดยตรง

 

ณ เกาะหมอก

 

จอมมารทะเลเลือดนั่งถือไพ่อยู่ในห้องสมุดของเขาอย่างเงียบๆ

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าไพ่เป็นรูปของซูเซี่ยเอ๋อ

 

ทว่าภาพของเธอบนหน้าไพ่กลับกำลังค่อยๆซีดจางลง และกำลังจะหายไปจากตัวไพ่ในไม่ช้า

 

จอมมารทะเลเลือดเผยให้เห็นถึงสีหน้าประหลาดใจ ปากเอ่ยพึมพำ “นี่มันก็แค่การเรียกขานของวิหคหนามมิใช่หรือ? มันจะยากเย็นถึงขั้นต้องลงมือทำขนาดนี้ได้อย่างไร?”

 

เขาเอื้อมมือออกมา และขยับเบาๆ ทันใดนั้นไพ่ที่สาดรังสีเลือดนับหลายร้อยใบก็ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

 

“ทะเลเลือด คำสาปแห่งความตาย จงเตรียมพร้อม”

 

เขาเอ่ยสั่ง

 

แล้วไพ่นับร้อยใบก็สาดแสงสีเลือดอันไร้ที่สิ้นสุดออกมาทันที โฉบเข้ารายล้อมรอบไพ่ที่มีรูปของซูเซี่ยเอ๋ออยู่

 

ทันใดนั้นเอง จอมมารทะเลเลือดพลันสัมผัสได้ถึงการมาเยือนบางอย่าง นิ้วของเขาชี้ไปในอากาศที่ว่างเปล่า ปากเอ่ยกล่าวทันที “อนุญาตให้เปิดมิติ”

 

พริบตานั้นความว่างเปล่าก็แยกออก ร่างเงาของเทสส์และซูเซี่ยเอ๋อได้ปรากฏขึ้น

 

“เทสส์ พวกเราไม่ได้เจอกันนานมากแล้วนะ” จอมมารทะเลเลือดยิ้ม

 

“นี่ลูกศิษย์เจ้ามิใช่หรือ ถ้าใช่ เจ้าก็สมควรที่จะดูแลเธอให้ดีสิ” เทสส์กล่าวอย่างเฉยเมย

 

“เกิดอะไรขึ้น? เธอสร้างปัญหาให้เจ้างั้นหรือ?”

 

“ไม่ใช่ แต่เธอกับเจ้ามันก็โง่ไม่แตกต่างกัน เด็กสาวผู้นี้วางกับดักแฟนตัวเอง และคิดจะแบกรับโชคชะตาแทนเขา”

 

เทสส์มองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา หันหลังกลับ และบินเข้าไปในรอยแยกมิติ ก่อนจะหายไป

 

“รอเดี๋ยวก่อน – เทสส์!” จอมมารทะเลเลือดตะโกนออกมา

 

แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ได้หายไปแล้ว

 

จอมมารทะเลเลือดถอนหายใจ ก่อนจะหันไปมองซูเซี่ยเอ๋อแล้วเอ่ยถาม “ศิษย์ที่รักของข้า มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อที่ถูกจับลากมาถอนหายใจ

 

“อาจารย์ ในตอนนั้นหนูหวาดกลัวมากเกินไป จริงๆแล้วหนูสมควรที่จะบอกกับอาจารย์ก่อน … ”

 

“แท้จริงแล้ว เรื่องราวมันก็เป็นแบบนี้ … ”

 

ภายในกรมบังคับกฏที่ว่างเปล่า อาจารย์และศิษย์ค่อยๆพูดคุย บอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้มันกระจ่างแก่ใจ

 

“ดูเหมือนว่าสงครามเต็มรูปแบบของโลกทั้ง 900 ล้านชั้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ” จอมมารทะเลเลือดถอนหายใจ

 

“อาจารย์ ท่านจะออกไปสู้รึเปล่า?”

 

“แน่นอน สงครามในครั้งนี้ ไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงมันได้หรอก”

 

จอมมารทะเลเลือดค่อยๆเดินกลับไปยังที่นั่งของเขา และหยิบไวน์ขวดหนึ่งจากบนโต๊ะขึ้นมา รินมันใส่แก้วให้ตนเองและซูเซี่ยเอ๋อ

 

“มาเถอะ ศิษย์ข้า ดื่มสักแก้วเพื่อบรรเทาความตกใจ”

 

โดยปกติทั่วไปแล้ว การกระทำเช่นนี้คือจุดเริ่มต้นที่อาจารย์มักจะทำก่อนจะสอนสั่งเธอ

 

ซูเซี่ยเอ๋อรับแก้วไวน์มาและกล่าว “ค่ะ”

 

ทั้งสองดื่มไวน์อึกหนึ่ง

 

แล้วจอมมารทะเลเลือดก็เริ่มกล่าวว่า “เซี่ยเอ๋อ เจ้าทราบหรือไม่ว่าได้ทำอะไรผิดพลั้งไป?”

 

“พบเผชิญกับอันตราย แต่กลับปิดซ่อนความจริงจากท่านอาจารย์ใช่หรือไม่?”

 

“นั่นก็เป็นข้อหนึ่ง แต่ข้อที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เจ้าไม่ควรเก็บซ่อนความจริงของคนที่เจ้ารัก และทนแบกรับมันแด่เพียงผู้เดียว”

 

ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งงันไป

 

จอมมารทะเลเลือดยิ้ม แต่ก็สอนสั่งอย่างระมัดระวัง “เจ้าคู่ควรแก่การเป็นศิษย์ข้า และอันที่จริงข้าเองก็ชื่นชมเจ้ามากเช่นกัน แต่ข้าอยากจะบอกว่าผลลัพธ์ของการกระทำนี้ สุดท้ายมีเพียงทำให้คนรักของเจ้าต้องเจ็บปวดเท่านั้น”

 

“เจ็บปวดอย่างงั้นหรอ?”

 

“ใช่” จอมมารทะเลเลือดถอนหายใจ

 

ช่วงเวลานี้ เขาดูไม่เหมือนกับตัวตนทรงอำนาจอันดับต้นๆของตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นเลย แต่กลับดูเหมือนชายวัยกลางคนทั่วไปที่กำลังผิดหวังในความรักซะมากกว่า

 

“ข้าเคยทำผิดพลั้งเช่นเดียวกันกับเจ้า และต้องใช้เวลายาวนานหลายปี กว่าที่ข้าจะตระหนักว่า การกระทำเช่นนั้นมันช่างเป็นสิ่งที่โง่เง่าจริงๆ”

 

“แต่หนูไม่ทนไม่ได้จริงๆ การที่จะช่วยให้เขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย มันไม่มีวิธีอื่นเลย”

 

ซูเซี่ยเอ๋อส่ายหัว

 

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาจะไม่สามารถแบกรับโชคชะตาของตนเองได้?” จอมมารทะเลเลือดเอ่ยถาม

 

“ก็ไพ่พยากรณ์โชคชะตาสะท้อนให้เห็นถึงชะตากรรมของเขาออกมาอย่างชัดเจน ว่าไม่พบเจอกับความตาย ก็เข้าสู่วิถีมาร” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

เธอเอ่ยด้วยความวิตกกังวล “แต่ตอนนี้เขาได้กลับคืนสู่เส้นทางแห่งโชคชะตาของตัวเองแล้ว หนูกลัวว่าเขาจะต้องตายจากโลกใบนี้ไป”

 

จอมมารทะเลเลือดยิ้ม ปากเอ่ยถาม “บอกข้ามาสิ ว่าเจ้าสามารถขังเขาไว้ในโรงแรมได้ยังไง?”

 

“หนูใช้ไพ่ ‘ของขวัญจุมพิตจากแม่มด’ , ‘คำสาบานของพันธนาการ’ และ ‘จอมมารคุ้มภัย’ ” ซูเซี่ยเอ๋อสารภาพ

 

“งั้นถ้าฟังจากสิ่งที่เทสส์พูดเมื่อครู่นี้ แสดงว่าแฟนเจ้าสามารถหลุดออกมาจากการจองจำเหล่านี้ได้น่ะสิ พอจะบอกข้าได้ไหม ว่าเขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อกลายเป็นว่างเปล่า

 

จริงสิ … แล้วเขาทำได้ยังไงกัน?

 

“หากเป็นเจ้า เจ้าจะสามารถทำลายการจองจำทั้งสามนี้ และปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระได้หรือไม่?” จอมมารเอ่ยถามอีกครั้ง

 

ซูเซี่ยเอ๋อแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย

 

การคุ้มภัยของจอมมาร ด้วยความแข็งแกร่งของตนเองแล้ว เธอย่อมไม่มีทางหลบหนีจากมันไปได้โดยสมบูรณ์

 

ส่วนคำสาบานของพันธนาการ ถ้าเธอทุ่มสุดตัว ก็คงพอจะแก้มันได้

 

สำหรับของขวัญจุมพิตจากแม่มด เงื่อนไขของมันพิเศษมากเกินไป ตนเองคงไม่มีทางรับมือเกี่ยวกับมัน

 

“ไม่ได้ หนูคงไม่สามารถหลุดพ้นจากกับดักแรกได้ด้วยซ้ำ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

ประเดี๋ยวก่อนสิ!

 

แล้วถ้าอย่างงั้นกู่ฉิงซานสามารถหลุดพ้นจากจุมพิตแม่มดได้อย่างไร?

 

ซูเซี่ยเอ๋อเริ่มจมลงสู่ห้วงความคิดแปลกๆ

 

“ดูเถิด เห็นไหมว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้ แต่เจ้ากลับหลงผิดไปคิดแทนเขา หมายจะแบกรับทุกสิ่งอย่างแทน แบบนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลยมิใช่หรือ?”

 

กู่ฉิงซานวางลอร่ากลับลงบนไหล่ของเขา

 

ลอร่าเงยหน้า มองขึ้นไปยังตึกสูง 600 ชั้นและอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

 

เธอไม่คาดคิดเลยว่า จู่ๆตนจะดิ่งลงมาจากสถานที่ๆสูงถึงขนาดนั้น

 

แถมยังถูกลากเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้อันแสนจะดุเดือดกว่าอีกตั้งสองสามรอบ

 

เกรงว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่คอยเฝ้าดู มิใช่เธอแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครก็คงจะรู้สึกว่ากู่ฉิงซานสามารถเอาชนะในแต่ละการต่อสู้มาได้อย่างง่ายดาย

 

ทว่าสำหรับลอร่านั้นไม่ เธอเติบโตมากับการได้รับการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการต่อสู้ที่ดีที่สุดตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กสาวจึงครอบครองวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยม

 

ส่งผลให้เธอสามารถเข้าใจถึงอันตรายได้ดี

 

บางครั้ง กู่ฉิงซานก็เอาชีวิตตัวเอง โยนไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างชัดเจน

 

แต่ในขณะนั้น ก็เป็นช่วงที่เขาระเบิดศักยภาพร่างกายออกมาได้ถึงขีดสุดเช่นกัน

 

ช่วงเวลาที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย กู่ฉิงซานก็จะระเบิดพลังออกมา ทุ่มสุดฝีมือให้ศัตรูตกตายลงก่อนตน

 

พอคิดถึงจุดนี้ ลอร่าก็ถอนหายใจ และลูบไล้เกราะไหล่ของกู่ฉิงซานอย่างแผ่วเบา

 

ชุดเกราะนี้เต็มไปด้วยร่องรอยเสียหาย และหลังจากการต่อสู้ที่รุนแรงเมื่อครู่ ทั้งหลุมทั้งร่องรอยในบางตำแหน่งก็ลึกจนเกือบจะทะลุเนื้อเกราะลงไปถึงเนื้อหนังแล้ว

 

ชุดเกราะนี่มัน …

 

‘เลวร้ายอย่างที่คิดจริงๆ’

 

กู่ฉิงซานไม่ได้รับรู้ว่าลอร่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

 

เขาจ้องมองไปยังหน้าต่างเชื้อไฟ

 

“ในเมื่อภารกิจนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว ถ้าอย่างงั้นก็ขอภารกิจต่อไปด้วย”

 

เขากล่าว

 

เฝ้ารอเพียงไม่กี่ลมหายใจ เสียงของเชื้อไฟก็ดังขึ้น

 

“ภารกิจถูกจัดเตรียมให้พร้อมแล้ว”

 

“จากนี้คือการเดินทางที่แสนยาวนานและยากลำบาก คุณจะต้องข้ามผ่านทุ่งน้ำแข็งเพื่อมุ่งหน้าไปรับภารกิจต่อไป”

 

“ข้ามผ่านทุ่งน้ำแข็งงั้นหรอ?”

 

กู่ฉิงซานงึมงำ

 

ในระหว่างที่เขายืนอยู่บนยอดหลังคาตึก 600 ชั้น ตนก็ได้มองลงมาเบื้องล่างเหมือนกัน

 

—และตนก็สังเกตเห็นถึงพื้นน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ยาวไกลออกไปไม่เห็นจุดสิ้นสุดปลายของมัน

 

การเดินทางในครั้งนี้ คงไม่พ้นเป็นการเดินทางอันยาวนานและยากลำบากอย่างที่เชื้อไฟพูดเป็นแน่

 

‘ … ’

 

ไม่รู้ว่าซูเซี่ยเอ๋อจะยังเดินทางอยู่บนทุ่งน้ำแข็งรึเปล่า

 

เด็กสาวไร้เดียงสาคนนั้น คงยังไม่ทราบว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้นในตอนนี้

 

กู่ฉิงซานกำดาบในมือตนแน่นขึ้น

 

“ไปกันเถอะ” เขาพูดกับลอร่า

 

“อื้อ” ลอร่าได้สติกลับคืน และหันมาตอบเขา

 

ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานจึงโค้งลงเล็กน้อย ช่วงล่างเขม็งเกร็งเตรียมที่จะพุ่งออกไป

 

ลอร่าร้องเสียงหลงทันที “เดี๋ยวๆๆ นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?”

 

“ก็บินไง มันจะได้ไปเร็วๆ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“โอ๊ยจะบินอีกแล้ว? นี่เท้าเราพึ่งจะได้แตะถึงพื้นเองนะ” ลอร่าบ่นอุบ

 

กู่ฉิงซานพอเห็นถึงท่าทีของอีกฝ่าย เขาก็ถึงกับต้องยกมือขึ้นมานวดหน้าผาก ก่อนจะใช้มืออีกข้างตบลงในถุงสัมภาระและเรียกเรือเหาะออกมา

 

บนเรือเหาะ ปรากฏตัวอักษรที่ฉวัดเฉวียนคล้ายหงส์ร่อนมังกรรำเป็นคำว่า ‘ซาน’ สลักอยู่

 

นี่คือผลงานอันแสนภาคภูมิใจที่ปรับแต่งอย่างประณีตและพิถีพิถันโดยฉินเซี่ยวโหลว  กล่าวได้ว่าตราบใดที่ยัดศิลาวิญญาณให้แก่มัน ความไวของเรือเหาะย่อมรวดเร็วกว่าเรือทั่วๆไปอย่างเทียบไม่ติด

 

เรือเหาะมีขนาดเล็ก ขณะเดียวกันก็มีห้องโดยสารเล็กๆตั้งอยู่

 

ลอร่ากระโดดขึ้นไปสำรวจมัน

 

เธอเปิดห้องโดยสารเข้าไป -เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปิดใช้งาน ตัวเรือเหาะก็เริ่มขับเคลื่อนทันที

 

ภายในห้องโดยสาร ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายพลังงานวิญญาณคอยหล่อเลี้ยง พร้อมของว่างเล็กๆน้อยๆและกาที่ใส่ชาวิญญาณถูกวางรอเอาไว้อยู่บนเตา

 

–หากได้นั่งในห้องโดยสารนี้ มันคงสะดวกสบายไม่น้อย แถมยังมองไม่เห็นวิวความสูงจากภายนอกอีกด้วย

 

ร่องรอยของพลังงานวิญญาณจางๆ ค่อยๆซึมซาบไปตามผิวหนังของลอร่า

 

ลอร่ามองสำรวจอยู่เงียบๆไปครู่หนึ่ง และยิ้มออกมา

 

ลอร่าเปิดประตูห้องโดยสารและกระโดดลงมาจากเรือเหาะ “ใช้ได้เลยนี่นา”

 

“งั้นตอนนี้พวกเราจะไปกันได้รึยัง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ลอร่าครุ่นคิดและกล่าว “แต่ถ้าทำแบบนี้ มันจะไม่นับว่าเป็นการโกงหรือ?”

 

“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น”

 

“แล้วมันจะดีหรอ?”

 

“ช่างมันเถอะ ยังไงพวกเราก็โกงมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่”

 

“ถ้าเจ้าพูดแบบนั้น … ”

 

ลอร่าหันไปเปิดกระเป๋าใบเล็กๆของเธอ และเอื้อมมือเข้าไปรื้อค้นของภายใน

 

กู่ฉิงซานพอเห็นจึงเฝ้ารอ

 

“เจอแล้ว! พวกเราจะใช้สิ่งนี้กันแทน” ลอร่าดึงนกหวีดออกมา และมอบมันให้แก่กู่ฉิงซาน

 

“นี่คืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“มันคือนกหวีดเรียกที่ใช้เรียกสัตว์ขี่จากแดนชำระล้าง ท่านพ่อของเราได้รับมันมาโดยการแลกเปลี่ยนกับต้นกำเนิดของโลก”

 

ลอร่าเริ่มอธิบายถึงคุณสมบัติอย่างมันอย่างรวดเร็ว “ความว่องไวของมันย่อมเร็วกว่าเรือเหาะของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นมันยังวิ่งบนพื้น หากขี่มัน ข้าคงรู้สึกสบายใจกว่ามาก”

 

“แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ใช้มันในการหลบหนีล่ะ?”

 

“เพราะมันตัวใหญ่เกินไป ไม่เหมาะสมกับร่างกายของเรา ดังนั้นเลยจะต้องมีใครสักคนขี่มันเพื่อที่จะพาเราไป” ลอร่ามองเขา

 

กู่ฉิงซานสูดลมหายใจลึก ยกนกหวีดเข้าปาก แล้วเป่ามันอย่างแรง

 

ทันทีที่เสียงนกหวีดดังขึ้น ม้าทมิฬก็ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสอง

 

“ปีกแห่งแดนชำระล้างพร้อมที่จะรับใช้พวกท่านแล้ว – หวังว่าข้าคงจะไม่ทำให้ท่านทั้งสองหวาดกลัวนะ” มันกล่าวเสียงต่ำ

 

กู่ฉิงซานอุ้มลอร่าไว้ในอ้อมแขน และกระโดดลงบนหลังม้า

 

“เจ้าขี่มันเป็นหรือเปล่า?” ลอร่ามองเขาด้วยความกังวลเล็กน้อยและเอ่ยถาม

 

“กระหม่อมพึ่งจะได้เรียนรู้วิธีการขี่มาเมื่อวานนี้เอง” กู่ฉิงซานตอบ

 

พริบตานั้นบนพื้นน้ำแข็งพลันจมลงสู่ความเงียบสงัด

 

ลอร่าจ้องมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่เจ้าไม่แม้แต่จะสามารถขี่ม้าได้อย่างงั้นหรอ? เรื่องง่ายๆเช่นนี้ยังทำไม่ได้ แล้วแฟนสาวจะไม่รังเกียจเจ้าหรือ?”

 

“เธอเป็นคนสอนกระหม่อมเอง” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง

 

ใช่แล้วล่ะ เขาพึ่งจะได้เรียนรู้มันในตอนที่ก้าวเข้าสู่ประตูรีสอร์ทของอัลเบอัส ดังนั้นเวลานี้กระทั่งตนเองก็ยังรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

 

“ท่านทั้งสองโปรดวางใจ ข้าสามารถวิ่งด้วยตนเองได้” ม้าทมิฬกล่าว

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก และชี้ไปยังส่วนลึกที่ไกลออกไปบนพื้นน้ำแข็ง “เราจะมุ่งตรงไปในทิศทางนั้น แต่มันอาจจะมีศัตรูคอยดักอยู่ระหว่างทาง และปรากฏตัวขึ้นมาได้ตลอดเวลา ฉะนั้นโปรดระมัดระวังด้วย”

 

“ข้ามีเพียงคำถามเดียว นั่นคือท่านทั้งสองกำลังรีบหรือไม่? รึว่าต้องการที่จะเดินทางแบบชมทิวทัศน์?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซาน “พวกเรากำลังรีบ ดังนั้นได้โปร-”

 

ปัง!

 

บังเกิดสายลมกรรโชก ทั้งคนทั้งม้าหายวับไปจากสถานที่เดียวกัน

 

พริบตาเดียว ก็เห็นแค่เพียงจุดไข่ปลาสีดำพุ่งไกลออกไปสุดสายตาแล้ว

 

….

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ลึกเข้าไปท่ามกลางพื้นน้ำแข็ง

 

สายลมและหิมะคำรามหวิว -ซูเซี่ยเอ๋อเดินอยู่เพียงลำพัง

 

ครู่หนึ่ง เธอก็ตระหนักได้ว่าตนเองกำลังจะไปถึงจุดสิ้นสุดของทุ่งน้ำแข็ง

 

ไกลออกไปสุดขอบฟ้า พื้นน้ำแข็งได้หายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้างอันงดงาม

 

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็รีบเร่งฝีเท้ามุ่งไป

 

เพราะความหนาวระดับนี้ สำหรับร่างกายของเธอแล้วมันก็ยังนับว่าเย็นเกินไป

 

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ แต้มพลังวิญญาณของเธอเหลือเพียง 11 แต้มเท่านั้น และมันกำลังจะไม่สามารถต้านทานการรุกล้ำของเชื้อไฟได้อีกต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม ย่ำไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็จำต้องหยุดฝีเท้าลง

 

คทาในมือถูกยกขึ้น สายตาสาดส่องไปยังเบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง

 

-ท่ามกลางสายลมที่ฟุ้งไปด้วยหิมะ ปรากฏให้เห็นถึงรถม้าเจ็ดคันที่ถูกลากจูงด้วยม้าห้าตัวจากระยะไกล

 

พวกมันมุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

ใช้เวลาไม่นาน รถม้าก็มาหยุดจอดลงเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ

 

พร้อมกับหลายสิบคนที่มีอาวุธครบมือจ้องมองเธอ

 

“ก็แค่นังลูกเจี๊ยบคนหนึ่ง” บางคนเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา

 

อีกคนพูดบ้าง “แต่ก็ดูจะร้ายกาจไม่เบาเลย เพราะเธอสามารถข้ามผ่านทุ่งน้ำแข็งได้โดยลำพัง ความแข็งแกร่งก็ไม่สมควรที่จะเลวร้ายจนเกินไป ถ้าพวกเรา-”

 

แต่แล้วเสียงๆหนึ่งก็ดังเตือนขึ้น “อย่าไปหาเหาเพิ่มเข้ามาใส่หัว ตอนนี้เชื้อไฟกำลังมอบภารกิจพิเศษให้พวกเราทำอยู่ จำไม่ได้แล้วหรือไง?”

 

“แต่พวกเราจับตัวเธอไประหว่างทำภารกิจด้วยก็ได้นี่นา” บางคนที่กวาดสายตามองซูเซี่ยเอ๋อขึ้นๆลงๆเริ่มเอ่ยประท้วง

 

ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อเริ่มหนักอึ้งขึ้น

 

ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ของเธอ เซี่ยเอ๋อสัมผัสได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ง่ายเลย

 

แถมเธอยังไม่มีแต้มพลังวิญญาณเหลืออีกต่อไปแล้ว

 

ถ้าหากต้องต่อสู้กับพวกเขา เกรงว่าคงยากนักที่จะคาดเดาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

 

พอรับฟังมาถึงจุดนี้ อีกคนหนึ่งก็กล่าว “มันก็เป็นความคิดที่ไม่เลวหรอกนะ ผู้หญิงคนนี้ก็ดูน่ารักมากจริงๆ แต่ถ้าพวกแกนำเธอไปด้วย และภารกิจที่ทำอยู่ดันเกิดปัญหาขึ้น บอสคนจะหั่นแกเป็นชิ้นๆแน่นอน”

 

เมื่อกล่าวถึง ‘บอส’ ทุกคนก็นิ่งไป

 

ทั้งหมดมองไปยังทิศทางเดียวกันอย่างมิได้นัดหมาย

 

เห็นแค่เพียงนักรบที่สูงกว่าสองเมตรก้าวลงมาจากรถม้า

 

เขาสวมชุดเกราะหนัก และวางพาดค้อนที่ทำจากโลหะบริสุทธิ์บนไหล่ของเขา

 

พื้นน้ำแข็งถึงกับปริร้าว ในทุกๆการย่างเท้าที่เขาเหยียบย่ำมัน

 

ทันทีที่เขาปรากฏตัว เสียงเซ็งแซ่ทั้งหมดก็หายไป

 

ดูเหมือนว่าผู้คนจะหวาดกลัวเขา

 

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนๆนี้ก็คือ ‘บอส’ ที่ว่า

 

“สาวน้อย เธอเคยเห็นผู้ชายที่สวมชุดเกราะสีทอง ใช้ดาบเป็นอาวุธ และดูเหมือนว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์บ้างไหม?”

 

เสียงหยาบกระด้างดังลอดผ่านออกมาจากช่องว่างของหมวกเกราะ

 

เขาเอ่ยถามซูเซี่ยเอ๋อ

 

ซูเซี่ยเอ๋อขบคิดเล็กน้อย แล้วส่ายหัว “ตลอดทางที่ฉันมุ่งตรงมา ไม่เคยเห็นคนที่มีลักษณะแบบนั้นเลย”

 

นักรบสูงสองเมตรเอียงคอไปมองเบื้องหลังเขา

 

“บอส เธอพูดความจริง” คนๆหนึ่งตะโกนออกมา

 

นักรบดูค่อนข้างจะผิดหวังเล็กน้อย

 

“ลืมมันเถอะ ดูเหมือนว่าสุดท้ายพวกเราก็ไม่ได้รับข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว ตอนนี้ก็มุ่งหน้ากันต่อไปดีกว่า” เขาหันหลังและกลับเข้าไปยังรถม้า

 

“แต่บอส เด็กผู้หญิงคนนี้ … ” บางคนต้องการจะแย้ง

 

“เรื่องงานต้องมาก่อนเป็นอันดับแรกเข้าใจไหม? จะไม่มีใครสามารถขัดขวางไม่ให้ฉันทำภารกิจพิเศษของเชื้อไฟได้ หรือจะให้ฉันควักสมองของพวกแกออกมาดื่มกินทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ดี? … จะไปกันได้รึยัง?”

 

“ครับ!” ทุกคนตะโกนรับเสียงดัง

 

พวกเขากรูกันกลับเข้าไปในรถม้า และเตรียมที่จะออกเดินทางต่อไป

 

ซูเซี่ยเอ๋อถอยไปก้าวหนึ่ง

 

เธอกำลังเฝ้าสังเกตทุกท่าทีของฝูงชน

 

แม้ว่าบางคนจะอดไม่ได้ที่จะมองเธอด้วยแววตาที่ลุกโชนไปด้วยความปรารถนา แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยขัดอะไรออกมาอีก

 

ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะจากไปแล้วจริงๆ

 

—ไปจับตัวผู้ชายคนหนึ่งที่บอสได้อธิบายเอาไว้เมื่อครู่

 

ซูเซี่ยเอ๋อถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดเล็กน้อย แต่ก็ยังคงยึดคทาไว้เบื้องหน้า รักษาท่วงท่าป้องกันเอาไว้อยู่ดี

 

คนเหล่านั้นเริ่มจากไป

 

แต่แล้วเสียงของบางคนจากบนรถม้าก็ดังขึ้น

 

“แกรู้รึเปล่าว่าเป้าหมายเป็นใคร?”

 

“จะใครก็ช่าง สุดท้ายมันก็แค่ขยะ ถ้าพวกเราร่วมมือกันก็คงจะเก็บกวาดมันได้อย่างง่ายดาย”

 

“แล้วแกจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันเป็นแค่ขยะ”

 

“ก็เชื้อไฟบอกว่ามันพึ่งจะผ่านด่านตึก 600 ชั้นออกมาได้เมื่อกี้นี้เอง”

 

“ฮะฮ่าฮ่า! เวลาก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว แต่กลับพึ่งผ่านตึก 600 ชั้นมาได้ มันเป็นขยะจริงๆด้วย – ฉันละสงสัยจริงๆว่าทำไมเชื้อไฟถึงให้ความสำคัญกับมันขนาดนี้ ถึงขนาดที่ต้องเรียกพวกเราเป็นคนไปลงมือด้วยตัวเอง”

 

“เออ เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

ซูเซี่ยเอ๋อรับฟังอย่างเงียบๆ และหวังว่าอีกฝ่ายจะเร่งจากไปอย่างรวดเร็ว

 

แต้มพลังวิญญาณของเธอมีน้อยนิดจริงๆ เธอจึงต้องเร่งไปยังสถานที่ถัดไปทันที เพื่อดูว่าจะมีวิธีที่สามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกครั้งหรือไม่

 

แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถจากไปได้ในทันที เพราะการกระทำเช่นนั้นมันง่ายต่อการเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเอง

 

และเธอจะต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น

 

แต่นับว่าโชคดีจริงๆที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกไปแล้ว

 

ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะไม่เกิดขึ้น

 

ซูเซี่ยเอ๋อคลายใจลง

 

ทว่าทันใดนั้นเอง ประโยคสุดท้ายที่ลอยมาตามสายลมก็ทะลุเข้าหูเธอ

 

“เป้าหมายมีชื่อว่ากู่ฉิงซาน? โอเค ฉันจะเด็ดหัวมันเอง”

 

….

 

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินชื่อนี้

 

เธอก็ถึงขั้นลืมหายใจ

 

กู่ฉิงซาน?

 

‘จริงสิ ฉันจำได้แล้ว’

 

‘ว่าฉิงซานก็ใช้ดาบเหมือนกัน’

 

แถมเขายังมีชุดเกราะรบสีทองไว้อยู่ชุดหนึ่ง ตามที่คนพวกนั้นได้คุยกันจริงๆ

 

ในที่สุดเขาก็เข้ามาจนได้!

 

คนพวกนี้กำลังจะไปฆ่าฉิงซาน ….

 

ใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อซีดขาว เธอมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของตนเองอย่างรวดเร็ว

 

‘11’ ได้หายไป ‘10’ เข้ามาแทนที่

 

ยังคงเหลือแต้มพลังวิญญาณ 10 แต้ม

 

ขณะที่ฝ่ายตรงข้าม เป็นหลายสิบตัวตนอันแข็งแกร่งจากทั่วทุกชั้นโลก

 

คนเหล่านี้ล้วนสามารถผ่านการทดสอบมากมายมาได้ และไปถึงพื้นที่ภารกิจหลักแล้ว

 

ฉะนั้นพวกเขาย่อมต้องครอบครองอาวุธที่ยอดเยี่ยม และเชื้อไฟอยู่ในร่างกาย .. ผ่านมานานขนาดนี้เกรงว่าอย่างน้อยก็คงจะได้ทำการแลกเปลี่ยนอาวุธต่อสู้อันน่าหวาดกลัวมาได้แล้ว

 

พวกเขาล้วนเป็นผู้เข้าสู่วิถีมารที่ทรงพลังทั้งหมด

 

คนเหล่านี้ แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ยังพบว่ายากที่จะต่อกรกับพวกเขา

 

ขณะที่ทางฝั่งกู่ฉิงซานมีเพียงลำพังเท่านั้น

 

ซูเซี่ยเอ๋อทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไป

 

กระทั่งนิ้วของเธอที่กุมจับคทา ก็เริ่มที่จะกลายเป็นสีขาวซีด

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไป

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังรถม้าที่กำลังจะจากไป ในที่สุดก็กัดฟันของตัวเอง

 

เธอยกมือขึ้นมาวางแนบหัวใจตน ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “ชีวิตเอ๋ยจงลุกไหม้”

 

ไพ่ที่เปล่งประกายเรืองรองปรากฏขึ้นในหัวใจของเธอ และหายไป

 

บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นโคจรรอบตัวเธอ ขณะที่แต้มพลังวิญญาณเริ่มเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น

 

วู้มมมม!

 

แต้มพลังวิญญาณอันทรงอำนาจเริ่มขับเคลื่อนกระแสอากาศ ปัดเป่าพายุหิมะให้แหวก แยกตัวออกไป

 

และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ก็ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนเหล่านั้นทันที

 

“บอส ดูนั่นสิ!” คนหนึ่งตะโกนขึ้น

 

นักรบสูงสองเมตรชะโงกหน้าออกมาจากรถม้าอีกครั้ง

 

เขาจ้องซูเซี่ยเอ๋ออย่างจริงจัง

 

“แต้มพลังวิญญาณจำนวนมาก … แต้มพลังวิญญาณขนาดนี้ มันนับว่าคุ้มค่าแล้วที่จะชะลอภารกิจหลักของพวกเราไปสักเล็กน้อย” เขาพึมพำ

 

นักรบกวักมือ

 

แล้วคนนับสิบก็กระโจนลงจากรถม้าด้วยความตื่นเต้นทันที ทั้งหมดตั้งท่าเตรียมพร้อมจู่โจมอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าซูเซี่ยเอ๋อจะไม่ตระหนักถึงมัน

 

เธอทิ่มปลายคทาลงบนพื้นน้ำแข็งอย่างแรง ปากขยับงึมงำ “จุดจบแห่งทะเลเลือด!”

 

ปัง!

 

คทาในมือ ระเบิดแตกออกหลงเหลือเพียงฝุ่นผงสีขาว พร่างพราวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

ผงเหล่านี้บินข้ามผ่านอากาศ ควบรวมกันเป็นไพ่ 77 ใบ ลอยล่องอยู่เหนือหัวของซูเซี่ยเอ๋ออย่างเงียบๆ

 

มองไปยังศัตรูที่กำลังใกล้เข้ามา หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อเริ่มกระเพื่อมไหวเล็กน้อย

 

ฉิงซาน …

 

น้ำใสๆถูกปาดออกจากมุมหางตา ตลอดทั้งใบหน้าอันงดงามของเธอขณะนี้หลงเหลืออยู่เพียงความเย็นชา

 

ปากอ้าขยับ ร่ายคาถาเปล่งกระแสเสียงที่ฟังดูผิดปกติ ดังก้อง

 

“โชคชะตาเอ๋ย! มีเพียงการร่วงโรยก่อนเท่านั้นจึงจะทำให้พวกเจ้าเบ่งบานครั้งใหม่ได้!”

สายลมหนาวพัดกรรโชก เย็นลึกเข้าไปถึงกระดูก

 

กู่ฉิงซานมัดลอร่าไว้กับตัว แล้วทิ่งดิ่งลงจากยอดตึกสูง ร่วงตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง

 

อันที่จริงแล้วตามสถานการณ์ปกติ กู่ฉิงซานสมควรที่จะข้ามผ่านทุกชั้นไปเลยในคราวเดียว

 

ซึ่งนี่มันจะช่วยเขาประหยัดเวลาได้เป็นอย่างยิ่ง

 

แต่ตอนนี้เขากลับจำต้องระเบิดการโจมตีออกไปบ้างเป็นครั้งคราว

 

เพราะหลังจากที่ใช้กล้องส่องทางไกล เขาก็สามารถประเมินการต่อสู้ของตลอดทั้ง 600 ชั้นได้อย่างละเอียดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

หากในชั้นใดปรากฏมอนสเตอร์อำมหิตดุร้าย กู่ฉิงซานก็จะลงมือ ทำลายกำแพงของชั้นนั้นๆและเข้าไปสังหารมันด้วยตัวของเขาเองทันที

 

โดยกระบวนการก็เริ่มจากดาบบินเล่มหนึ่งทำลายกำแพงชั้นนอก แล้วมันก็ปลีกตัวออกมาด้านข้างอย่างรวดเร็ว

 

เพื่อเปิดทางให้กับผู้ที่สวมใส่เกราะรบนายพลชั้นโหยวจี ที่กุมดาบพิภพหนักกว่า86.37ล้านจินไว้ในมือ –กระโจนเข้าไปอย่างเต็มกำลัง ทำการจบการต่อสู้ลงอย่างรวดเร็ว และช่วยเหลือมิให้ผู้คนตกตายลงได้อย่างง่ายดาย

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นเยาว์อายุไม่เกิน 30 ปีที่มาตามการเรียกขานเท่านั้น

 

และในบรรดาคนเหล่านั้น กู่ฉิงซานก็นับว่าเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด! ฉะนั้นศัตรูที่เหล่ารุ่นเยาว์มิอาจรับมือไหว ย่อมไม่คณามือเขาอย่างแน่นอน!

 

ไม่กี่นาทีต่อมา

 

กู่ฉิงซานมาก็ได้มาถึงชั้นที่239ในที่สุด

 

–สถานที่ซึ่งมีผู้เข้าสู่วิถีมารหลบซ่อนตัวอยู่ในชั้นนี้!

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และโบกสะบัดดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

 

ฝ่าวารีเชี่ยว!

 

ตูม!

 

ชั้นกำแพงพังทลายลง

 

“ลุยกันเลย”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

แล้วดาบเช่าหยินก็พุ่งออกไป ผลุบหายเข้าไปในทะเลทราย

 

ตามด้วยกู่ฉิงซานขับเคลื่อนเทคนิคดาบ

 

กระแสธารอันยิ่งใหญ่!

 

รังสีดาบที่ราวกับใบมีดเล็กๆ ถูกควบรวมเข้าด้วยกัน ก่อกำเนิดกระแสธารเชี่ยวอันมิอาจต้านทาน โถมทับลงสู่พื้นทะเลทราย

 

เม็ดทรายนับไม่ถ้วนถูกรังสีดาบห่อหุ้ม พัดกระพือ ไหลย้อนพุ่งสู่เพดานสูง

 

ผู้เข้าสู่วิถีมารมิอาจหลบซ่อนตัวได้อีกต่อไป เขาจำต้องใช้กวัดแกว่งอาวุธตนเพื่อตัดรังสีดาบ เปิดทางหนีออกไป

 

เขาทะยานตัวลอยขึ้นมากลางอากาศ และใช้สายตาเย็นชาจ้องมองมายังกู่ฉิงซาน

 

และแล้วร่างของอีกฝ่ายก็ปรากฏสู่สายตาของกู่ฉิงซานจริงๆเสียที เขาดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธที่มาจากโลกวรยุทธใดวรยุทธหนึ่ง ที่สำคัญยังเป็นมือสังหารที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย

 

เขาจ้องมองดาบเช่าหยินที่กำลังบินกลับไป ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ที่แท้ก็เป็นฝีมือของผู้ฝึกดาบนี่เอง”

 

“ถูกต้อง ฉันเป็นผู้ฝึกดาบ แต่แกไม่ใช่” กู่ฉิงซานกล่าว

 

อีกฝ่ายเคาะหลังมือลงบนดาบยาวของตน กล่าวเย้ยหยัน “นี่เจ้าตาบอดหรือ?”

 

“ไม่บอดนะ แต่ฉันเห็นอยู่ชัดๆว่าแกมันก็แค่ลูกเต่าที่หดหัวซ่อนตัวอยู่ในทะเลทราย — ไม่มีผู้ฝึกดาบคนไหนเขาทำแบบแกหรอก!” กู่ฉิงซานสวน

 

“เจ้า — ปากหาที่ตาย!”

 

มือสังหารสบถด้วยความโกรธ

 

เขาชักดาบยาวออกมา ถีบตัวตรงไปยังเบื้องหน้า หมายมั่นจะฆ่าสังหารศัตรูที่ดูถูกตน

 

ทว่าทันใดนั้นจู่ๆกลับปรากฏดาบยาวขึ้นในสายตาของเขา

 

ใช่แล้วล่ะ มันคือดาบ

 

ในยามที่เขาถูกยั่วยุ และร่างกายของเขาเริ่มเคลื่อนไหว กู่ฉิงซานก็ได้คาดคำนวณเอาไว้ก่อนแล้ว และวางตำแหน่งดาบยาว ฟาดสับ ดักทางเอาไว้ก่อนล่วงหน้า!

 

ทว่ากว่าจะรู้ตัว มันก็ปาไปวินาทีต่อมาซะแล้ว ร่างของมือสังหารเคลื่อนที่ไปแล้ว เขาจึงมิอาจหลบเลี่ยงได้ จำต้องเข้าทานรับดาบโดยตรง

 

ในหัวใจของมือสังหารตระหนักชัด

 

“วางแผนแยบยลได้ถึงเพียงนี้ เจ้าคงเป็นผู้ฝึกดาบประเภทดาบอ่านใจสินะ?” เขาแสยะยิ้มเย็น

 

ตอนนี้ เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังจงใจยั่วยุให้ตนเองโกรธ โดนลอบซ้อนกับดักดาบเอาไว้ วางแผนให้ตนพุ่งเข้าไปติดมัน

 

เมื่อคิดได้ มือสังหารก็ค่อยๆสงบใจลง

 

เขาเป็นถึงนักฆ่าชั้นหนึ่ง ดังนั้นการเรียกคืนความสงบจึงนับว่าเป็นทักษะที่ตนเชี่ยวชาญ

 

‘หนทางที่ดีที่สุดในการกำจัดผู้ฝึกดาบประเภทอ่านใจ ก็คือการโถมโจมตีอย่างรวดเร็วจนมันมิอาจใช้สมองคาดคำนวณได้’

 

‘หากฝ่ายตรงข้ามที่เป็นผู้ฝึกดาบประเภทอ่านใจถูกกดดันจนมิอาจโต้ตอบได้ทัน ชัยชนะก็จะตกลงสู่มือข้าอย่างง่ายดาย’

 

นี่คือสิ่งที่มือสังหารคิด

 

ระหว่างช่วงเวลาเดือดพล่าน ด้วยประสบการณ์นักฆ่าที่มี ทำให้เขาสามารถตัดสินกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว

 

ดาบยาวในมือถูกกุมแน่น และจ้วงแทงลมออกไป

 

พริบตานั้น 49 รังสีดาบพลันระเบิดออกมา มันวิบวับวาบข้ามผ่านชั้นอากาศ ทั้งหมดโฉบพุ่งเข้าตัดหัวกู่ฉิงซานโดยตรง

 

รูม่านตาของกู่ฉิงซานหดวูบลงทันที เขาเร่งชักดาบกลับขึ้นมาปัดป้องอย่างรวดเร็ว

 

ถึงแม้ว่าที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้านี้จะมิถึงขั้นที่เรียกได้ว่าค่ายกลดาบ ทว่าตั้ง 49 รังสีดาบ อย่างไรก็ย่อมทรงอำนาจยิ่งกว่าการโจมตีจากดาบเล่มเดียว ดังนั้นด้วยพลังอำนาจของมัน นี่คงมิแคล้วเป็นเทคนิคลับอันแสนร้ายกาจเป็นแน่!

 

ฝ่ายตรงข้ามเห็นได้ชัดว่าเป็นมือสังหาร ซึ่งถึงแม้จะเป็นพวกที่ระวังตัวแจ แต่เมื่อสามารถขบคิดถึงแผนการสังหารได้ ก็ไม่ยินยอมพ่นคำใดๆให้เสียเวลา ลงมือใช้ออกด้วยเทคนิคเฉพาะตัวของตนอย่างรวดเร็ว

 

พอทั้งได้เจอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็ลอบประหลาดใจเล็กน้อย

 

‘ผู้ฝึกดาบประเภทดาบอ่านใจงั้นหรอ?’

 

นั่นเป็นชื่อที่ใช้เรียกประเภทของนักดาบหรือไงกันนะ?

 

กู่ฉิงซานลอบคิดอย่างลับๆ

 

ดาบเช่าหยินแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา โฉบเข้าทานรับ 49 รังสีดาบ

 

แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง จู่ๆมือสังหารก็กลับสามารถมาปรากฏตัวข้างกายกู่ฉิงซานได้อย่างกระทันหัน

 

มือสังหารใช้ประโยชน์จากจังหวะที่กู่ฉิงซานเบนสมาธิไปทานรับรังสีดาบทั้ง 49 -เมื่อช่องว่างปรากฏ มือสังหารจึงฉวยโอกาสเคลื่อนกายเข้ามา และจ้วงฟันเข้าใส่เขาทันที!

 

“ตายซะ!” เขาตะคอกอย่างแรง

 

กู่ฉิงซานไม่มีเวลามากพอที่จะเรียกเช่าหยินกลับมา เขาจึงใช้มืออีกข้างคว้าดาบพิภพ แล้วฟาดแนวขนานออกไปปัดป้องเบื้องหน้าตน

 

เคร้ง!

 

สองคมดาบปะทะกัน บังเกิดเสียงอึกทึกกึกก้อง

 

แม้จะถูกอีกฝ่ายทานรับเอาไว้ได้ แต่บนใบหน้าของมือสังหาร กลับปรากฏรอยยิ้มตรงมุมปากขึ้นมาอย่างมิอาจอดกลั้น

 

ยังคงรับไว้ได้สินะ ถ้างั้นไหนลองดูซิว่าจะรับไอ้นี่ด้วยได้ไหม!?

 

เห็นแค่เพียงหกวิถีรังสีดาบฟาดซ้อนๆทับกันลงมายังสองดาบที่กำลังปะทะกัน โถมเข้ากดดันกู่ฉิงซาน

 

หนึ่งดาบของกู่ฉิงซานทานรับ 49 รังสีดาบอยู่บนท้องฟ้า อีกหนึ่งคอยทานรับศัตรูตรงหน้า —เมื่อต้องพบเผชิญกับการลอบจู่โจมระลอกสาม ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจึงถูกเรียกออกมาจากในความว่างเปล่า และแปรสภาพเป็นร่างเงาดาบซ้อนๆทับกันสวนกลับไป!

 

เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!

 

ร่างเงาดาบเริ่มเบ่งบาน โฉบเข้าปะทะกับหกวิถีรังสีดาบกลางอากาศ

 

“จังหวะนี้แหละ!”

 

นักฆ่าฉวยโอกาสอีกครั้ง ปากพลันอ้าเผยอออก พร้อมด้วยบางสิ่งบางอย่างที่สาดประกายแสงสีเขียวเรืองรองถูกพ่นออกมาในพริบตา

 

นี่ต่างหากคือกระบวนท่าสังหารที่แท้จริงของเขา!

 

ฟุ่บบบ! เข็มบินถูกพ่นออกมา ขณะที่ก่อนหน้านั้นนักฆ่าจงใจเบนความสนใจของกู่ฉิงซาน ป่วนการอ่านใจของเขาให้มุ่งสมาธิไปยังเทคนิคลับแห่งดาบทั้งสาม –ทั้งหมดทั้งมวลนี่ก็เพื่อชักจูงให้เขาไม่ทันคาดคิดถึงกระบวนท่าสังหารที่เตรียมเอาไว้!

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เข็มบิน’ ที่มีความสามารถทำลายชั้นป้องกัน และสามารถพุ่งเข้าสังหารศัตรูได้โดยตรง!

 

นี่คือกระบวนท่าควบรวมรังสีดาบไว้ในอาวุธลับ ที่มือสังหารได้ฝึกฝนมาเป็นเวลายาวนานหลายปี มันคือเทคนิคลับในการลอบสังหารที่ทรงพลังที่สุด!

 

และแน่นอน ว่ารังสีดาบของวาดเงาที่กระจัดกระจายไปตลอดทั้งสี่ทิศทาง ย่อมมิอาจหยุดยั้งการลอบโจมตีนี้ได้!

 

จ้องมองไปยังแสงสีเขียวตรงหน้า ในหัวใจของกู่ฉิงซานกระจ่างชัดถึงภัยร้าย

 

เขาไม่คาดคิดเลยว่าศัตรูที่เป็นมือสังหารเบื้องหน้า จะครอบครองสกิลดาบสูงส่งถึงเพียงนี้

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคลับแห่งดาบของมือสังหาร ที่ปลดปล่อยออกมาดาบแล้วดาบเล่า ซึ่งไม่ว่าจะเป็นจังหวะหรือการสอดประสาน ก็ล้วนถูกใช้ออกมาได้อย่างอิสระและไหลลื่น

 

กล่าวได้ว่าเทคนิคดาบของมือสังหารผู้นี้ … ควรค่าแก่การชื่นชมจริงๆ

 

ดังนั้น กู่ฉิงซานคงจำเป็นต้องจริงจังให้มากขึ้นกว่านี้สักเล็กน้อยบ้างแล้ว!

 

—สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

 

แสงสีเขียวเรืองรองสลับเปลี่ยนตำแหน่งกับเขาในพริบตา และพุ่งตัดผ่านท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เบื้องหลังไป

 

กู่ฉิงซานโน้มตัวลงเบื้องหน้า และโบกสะบัดดาบที่มีรูปลักษณ์ธรรมดา ฟาดเข้าใส่มือสังหาร

 

มือสังหารตกตะลึงจนผงะไป

 

นี่อีกฝ่ายสามารถรอดพ้นไปจากกระบวนท่าสังหารที่ตนวางแผนและกะจังหวะใช้ออกมาอย่างพิถีพิถันได้อย่างไร?

 

ทว่าขณะขบคิด คมดาบของกู่ฉิงซานก็มาถึงตัวเขาเสียแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม สกิลดาบระดับนี้ มือสังหารคิดว่ามันยังคงเพียงพอที่จะต้านทานได้

 

แต่แน่นอนว่ามือสังหารก็ไม่ประมาทเขาสับ! ดาบสวนกลับไปตอบโต้ศัตรูทันที

 

เคร้ง!

 

สองคมดาบปะทะกันอีกครั้ง

 

และมือสังหารก็เตรียมที่จะระเบิดเทคนิคลับแห่งดาบออกมาอีกที

 

-ประเดี๋ยวก่อน!?

 

ในสายตาของมือสังหาร  ผู้ฝึกดาบเกราะรบสีทองซีดจู่ๆก็หยุดเพลงดาบไปอย่างน่าฉงน สายตาของอีกฝ่ายเบนออก ไม่เหลือบแลเขาอีกต่อไป แถมยังเคลื่อนกายไปอีกทาง โฉบลงไปเบื้องล่างคล้ายกับการต่อสู้ได้จบลงไปแล้ว

 

—การต่อสู้ดำเนินไปได้เพียงครึ่งทางเท่านั้นเอง เจ้าหมอนี่มันถอดใจไปแล้วงั้นหรือ?

 

นี่เขาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวแล้วใช่ไหม?

 

ขณะที่ในหัวใจของมือสังหารรู้สึกไม่อยากจะเชื่อนั้นเอง ก็บังเกิดรังสีดาบบางเบาแผ่ขยายออกมาจากเบื้องหลัง และพุ่งเข้าตัดศีรษะของเขาโดยตรง!

 

-เทคนิคลับแห่งดาบ กลืนกินหวนกลับ!

 

ลอร่าที่ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน สัมผัสได้ถึงฉากนี้ สองแขนน้อยๆของเธอจึงกอดเขาเอาไว้แน่น

 

หลังจากที่บินอยู่หลายนาที เธอก็ค่อยๆเริ่มหายหวาดกลัว และเอ่ยถามด้วยเสียงน้อยๆ

 

“นี่เจ้าเป็นผู้ฝึกดาบประเภทดาบอ่านใจจริงๆน่ะหรอ” เธอเอ่ยถามเสียงดัง

 

“จะประเภทไหนก็ไม่รู้ล่ะ เพราะถ้าสำนักดาบหรือผู้ฝึกดาบคนไหนมัวแต่คิดเรื่องแบบนี้กับคู่ต่อสู้ พวกเขาคงไม่แคล้วพลาดพลั้ง ตกตายลงได้ง่ายๆ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่แยแส

 

ในสายตาของเขา ปรากฏบรรทัดแสงหนึ่งฟ้า หนึ่งแดง ขึ้นบนหน้าต่างสถานะพร้อมๆกัน

 

“ได้รับแต้มพลังวิญญาณ : 1700”

 

กู่ฉิงซานค่อนข้างประหลาดใจ

 

ชายคนเมื่อครู่นี้มีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปมากก็จริง แต่เขาสามารถครอบครองแต้มพลังวิญญาณมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?

 

กู่ฉิงซานแอบถามระบบเทพสงคราม “เท่าที่ฉันลองประเมินความแข็งแกร่งของเขาดู มันน่าจะมีแค่ 700 แต้มพลังวิญญาณเท่านั้นไม่ใช่หรอ แล้วทำไมฉันถึงได้รับแต้มมามากมายขนาดนี้?”

 

“นั่นเป็นเพราะเขาได้รับแต้มพลังวิญญาณสะสมมาจากการฆ่าคน แต่ทั้งหมดนั่นได้ถูกรวมเข้าด้วยกันแล้ว และส่งมอบให้แด่คุณ” หน้าต่างระบบเทพสงครามตอบ

 

กู่ฉิงซานก็ถึงบางอ้อในทันที

 

หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทิ้งดิ่งลงต่อ

 

เจ็ดนาทีผ่านไป

 

ฝ่าเท้าของกู่ฉิงซานก็สามารถย่ำลงบนพื้นราบได้ในที่สุด

 

นอกเหนือไปจากผู้เข้าสู่วิถีมารแล้ว ก็ไม่มีใครตายอีกเลย

 

ขณะที่เหล่าผู้คนจำนวนมากที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรง ต่างก็ได้รับการช่วยเหลือโดยกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานคลายเชือกออก

 

ลอร่าที่ถูกมัดก็ตกลง เธอหันมาจ้องมองกู่ฉิงซานด้วยความไม่พอใจ

 

“เจ้าน่ะ มักจะทำร้ายหญิงสาวแบบนี้อยู่เสมอเลยงั้นหรือ?” เธอถามด้วยความโกรธ

 

“นี่คือเชือกที่ทำจากผ้าไหมวิญญาณพันปีนะฝ่าบาท มันอ่อนนุ่มที่สุดแล้ว ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะทำร้ายท่าน …” กู่ฉิงซานพยายามอธิบาย

 

“เราหมายถึงว่าเจ้าพึ่งจะทำร้ายจิตใจของเราไป!” ลอร่าตะโกน

 

“หากเป็นเช่นนั้น กระหม่อมว่านับจากวันนี้ไป เหตุการณ์นี้คงจะทำให้จิตใจของฝ่าบาทถูกหล่อหลอมจนแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานตอบกลับ

 

ลอร่าพอได้ฟังก็ฮึฮะ หันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง

 

แต่เธอก็ยังเกาะกู่ฉิงซานแน่นไม่ยอมปล่อย

 

ส่วนกู่ฉิงซาน สายตาของเขากำลังกวาดอ่านไปบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

บรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้น

 

“คุณสามารถรวบรวมแต้มพลังวิญญาณถึง 1000 แต้มได้สำเร็จ ส่งผลให้การสั่งสมแต้มพลังรอบแรกของคุณสมบูรณ์ในที่สุด”

 

“โปรดเลือกสกิลที่คุณต้องการจะเพิ่มความสามารถให้แก่มันด้วย”

 

“หมายเหตุ : หลังจากที่เติมสั่งสมแต้มพลังลงในสกิลแล้ว อำนาจโจมตีของมันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และจะมีผลเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานจึงเริ่มตัดสินใจว่าจะใส่ความสามารถนี้ลงในสกิลใดดี

 

—น่าเสียดายจริงๆที่ ‘การสั่งสม’ นี้ใช้งานได้กับเฉพาะสกิลเท่านั้น

 

ถ้าหากเขาสามารถใช้ ‘สั่งสมแต้มพลัง’ กับพวกพลังศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ได้แล้วล่ะก็ ..

 

เอาเถอะ ดูเหมือนว่าตอนนี้คิดไปก็คงเท่านั้น

 

“ฉันเลือกเพิ่มความสามารถให้กับค่ายกลดาบไท่หยี”

 

“คุณแน่ใจหรือไม่?”

 

“แน่ใจ”

 

“ระบบได้ทำการล็อคสกิลนี้แล้ว และครั้งถัดไปที่คุณใช้มันโจมตี พลังอำนาจของมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”

 

มองไปยังบรรทัดแสงหิ่งห้อยนี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มเกิดความมั่นใจขึ้นเล็กๆน้อยๆในจิตใจของเขา

 

ค่ายกลดาบไท่หยีคือเทคนิคดาบที่ทรงอำนาจที่สุดที่ตนครอบครอง หากสามารถเสริมอำนาจให้มันอย่างต่อเนื่องได้ บางทีพลังโจมตีที่มันระเบิดออกมา … อาจจะน่าทึ่งจนต้องอ้าปากค้างไปเลยก็ได้

 

ในเวลานี้ ยิ่งลึกเข้าไปในโลกของทริสเต้ การต่อสู้ก็ยิ่งจะรุนแรงขึ้น แถมยังมีเชื้อไฟการชักใยอยู่เบื้องหลังอีก ยิ่งมายิ่งอันตราย ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงจำเป็นที่จะต้องเตรียมไพ่ตายแบบนี้เอาไว้ให้พร้อม

 

“แล้วเรื่องภารกิจล่ะจะว่ายังไง?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามต่อ

 

ระบบ “ภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงคราม : วิหค เสร็จสมบูรณ์แล้ว”

 

“เราจะยังคงเฝ้ารอปฏิกริยาของเชื้อไฟ ทำการวิเคราะห์ภารกิจต่อไปที่มันปล่อยออกมา จากนั้นจึงค่อยกำหนดภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงครามเพื่อใช้รับมือกับมันโดยเฉพาะ”

 

กู่ฉิงซานเมื่ออ่านถึงประโยคนี้ เขาก็เบนสายตาไปตกลงบนหน้าต่างของเชื้อไฟ

 

สองหน้าต่างสถานะลอยเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ดังนั้นเขาจึงสามารถมองดูมันได้อย่างสะดวกสบาย

 

เสียงปรากฏขึ้น

 

“คุณได้ลงมาถึงพื้นราบแล้ว”

 

“คุณบรรลุภารกิจเสร็จสิ้น แต่จะไม่ได้รับรางวัลใดๆ”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ช่างมันเถอะ ฉันไม่สนใจรางวัลของทริสเต้แล้ว เพราะฉันต้องการแต้มพลังวิญญาณมาแลกเปลี่ยนของดีๆกับคุณมากกว่า”

 

เชื้อไฟเงียบไปสักพัก

 

ประโยคที่กู่ฉิงซานกล่าวออกไป แน่นอนว่าย่อมสามารถดึงดูดความสนใจจากมันได้ไม่น้อยเลย

 

เพราะมันจำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณ

 

มือสังหารที่กู่ฉิงซานฆ่าไปเมื่อครู่ ส่งผลให้กู่ฉิงซานได้รับแต้มพลังวิญญาณสะสมของมือสังหารมาไว้ในครอบครอง

 

และยังรวมไปถึงแต้มพลังวิญญาณจากชีวิตของมือสังหารอีกด้วย ส่งผลให้แต้มพลังวิญญาณสะสมของเขาเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก

 

สำหรับชีวิตหากมือสังหารแล้ว เชื้อไฟมิได้ให้ความสนใจแก่มันเลยแม้แต่น้อย

 

เพราะตราบใดที่แต้มพลังวิญญาณเพิ่มพูนขึ้น มันก็เป็นสิ่งที่เชื้อไฟยอมรับได้

 

-แต่สิ่งที่สำคัญคืออีกปัญหาหนึ่งต่างหาก

 

มันคือปัญหาที่กู่ฉิงซานได้ช่วยชีวิตของผู้คนเอาไว้มากมายเกินไป

 

ในตลอดทั้งสิ่งปลูกสร้าง 600 ชั้น เดิมทีมันสมควรที่จะสูบกลืนแต้มพลังวิญญาณได้เป็นจำนวนมาก ตราบใดที่ร่างกายเหล่านั้นสิ้นชีวิตลง เชื้อไฟก็จะสามารถรับเอาแต้มพลังวิญญาณของพวกเขามาได้เลยโดยตรง

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยการออกหน้าลงมือของกู่ฉิงซาน ทำให้มันพลาดแต้มพลังวิญญาณเหล่านั้นไป

 

เชื้อไฟพอขบคิดถึงจุดนี้ มันก็จมลงสู่ความเงียบ …

เมื่อหรี่ตามองผ่านกล้องส่องทางไกล กู่ฉิงซานก็สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในประตูเบื้องหน้าได้

 

งู

 

มันเป็นรังงูล่ะ!

 

ภายใต้สายตาของกู่ฉิงซาน ทั้งหมดที่เขาเห็นคืองูที่เลื้อยลด เกาะกลุ่มพัวพันกันอย่างหนาแน่น

 

ตลอดทั้งห้องเต็มไปด้วยงูกองพะเนินที่ซ้อนทับๆกัน เพียงแค่ได้มอง หนังศีรษะก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกด้านชา

 

แต่น่าฉงนนัก ที่งูเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะมีภูมิปัญญา

 

พวกมันขดตัวเข้าด้วยกัน ทั้งหมดกำลังยืดชูคอสูง สาดสายตามองมาที่ประตูด้วยความเย็นชา

 

คล้ายกับว่ากำลังเฝ้ารอให้ประตูถูกเปิดออก และเมื่อจังหวะนั้นมาถึง พวกมันก็จะกรูกันออกไป และโถมท่วมทับผู้ที่กล้าบุกรุกเข้ามา!

 

และงูเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

เพราะบนกายของพวกมัน ได้ปรากฏให้เห็นถึงพลังของธาตุต่างๆสลับๆกันไป

 

ไม่ว่าจะเป็น น้ำแข็ง , ไฟ , สายฟ้า , ลม , ความมืด และพิษ

 

พลังธาตุต่างๆถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดกระแสวังวนพลังงานที่ดูสับสนวุ่นวาย

 

เมื่อประตูถูกเปิดออก ผู้บุกรุกคงมิแคล้วถูกดูดกลืนเข้าสู่กระแสวังวนดังกล่าว

 

หากผู้บุกรุกไม่มีความสามารถมากพอ เขาก็คงมิอาจหลบหนีไปจากมัน โชคชะตาคงไม่พ้นต้องตกเป็นอาหารของงู

 

สิ่งที่ต้องเผชิญเบื้องหน้านี้ คงจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากมากทีเดียว

 

กู่ฉิงซานลองปรับเลนส์กล้องให้ยืดไกลออกไปอีกเล็กน้อย

 

แล้วฉากในห้องถัดไป ก็ปรากฏสู่สายตาของเขาผ่านกล้องส่องทางไกล

 

มันคือฝูงของวิญญาณชั่วร้ายที่กำลังต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงศพ แต่ละตนไม่มีตัวใดยินยอมแสดงความอ่อนแอออกมา

 

มองไปยังศพที่ถูกกัดแทะจนเหลือเพียงครึ่งร่าง ชัดเจนว่าคงจะเป็นรุ่นเยาว์บางคนที่เข้าร่วมการเรียกขานของวิหคหนามในครั้งนี้

 

มองลอดผ่านห้องที่สองไป กู่ฉิงซานก็เห็นอีกห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยวัวที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟ มันกำลังวิ่งวนไปรอบๆ ขณะเดียวกันสายตาก็คอยเหลือบมองมาทางบานประตูอยู่ตลอดเวลา

 

จากชั้นที่ 600 เขาคอยมองสำรวจมันผ่านกล้องไปเรื่อยๆจนถึงขั้นที่ 550

 

ที่นี่มีเผ่ามารตัวจริงบางตนอาศัยอยู่ ขณะนี้พวกมันกำลังไล่ตามสองชายกับหนึ่งหญิงอย่างไม่หยุดยั้ง

 

มองไปมองมา อาจแลคล้ายว่าทั้งสองกลุ่มนี้กำลังละเล่นวิ่งไล่จับกันอยู่

 

-แต่ที่เป็นแบบนั้น นั่นก็เพราะความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่ายมันห่างไกลกันมากเกินไปต่างหาก

 

ถ้ามิใช่เพราะสองชายหนึ่งหญิงที่ว่า มีไม้กางเขนเงินคอยสาดแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาปกป้องแล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะถูกสังหารโดยเผ่ามารไปแล้ว!

 

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปในลักษณะนี้ พลังของไม้กางเขนก็คงจะถดถอยลง และสลายลงไปในที่สุด

 

หลังจากนั้น พวกเขาก็คงจะถูกเผ่ามารจับกิน และแต้มพลังวิญญาณก็จะถูกดูดกลืนสู่เชื้อไฟ

 

“นี่มันดูจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆน้อยๆของทริสเต้ซะแล้ว แต่มันเป็นปัญหาใหญ่ของฉันต่างหาก”

 

กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

เมื่อตระหนักได้ถึงภารกิจของระบบเทพสงคราม กู่ฉิงซานก็ปรับเลนส์เจาะทะลุไปหลายร้อยชั้น มองลอดสังเกตไปในชั้นที่ 239

 

—ภายในชั้นนี้ มีผู้ที่เข้าสู่วิถีมารอยู่

 

เห็นแค่เพียงทรายดูดที่กระเพื่อมไหว บ้างสูงบ้างต่ำ ขยับเป็นคลื่นไปตลอดทั้งชั้น

 

มองไปยังเม็ดสายสีแดงไหม้ และชั้นอากาศที่ดูบิดเบี้ยว ก็พอจะคาดเดาได้ว่าอุณหภูมิในสถานที่นี้ นั้นสูงเพียงไร

 

ดูเหมือนว่าภายในชั้นนี้จะไม่มีอะไรเลยนอกจากทะเลทรายร้อนระอุ

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยกล้องส่องทางไกล กู่ฉิงซานจึงสามารถมองเห็นเข้าไปจนถึงส่วนลึกที่สุดของทรายดูด ที่ซึ่งมีชายคนหนึ่งซุ่มซ่อนตัวอยู่ภายใน

 

ชายผู้นั้นถือดาบยาวสีกระจ่างใสดั่งหิมะ ยืนนิ่งอยู่เบื้องล่างของทรายดูด

 

แล้วจังหวะนั้นเอง ก็บังเอิญมีประตูถูกเปิดขึ้นเหนือทะเลทราย

 

พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถือเคียวในมือกระโดดลงมาจากประตู

 

“ฮะฮ่า! ในที่สุดฉันก็ก้าวลงมาได้อีกระดับหนึ่งแล้ว!”

 

เขาหัวเราะเสียงดัง

 

แต่ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบ จู่ๆก็บังเกิดเส้นแสงบางเบาราวกับผ้าไหม กระพริบวาบ! ผ่านร่างของเขาไปอย่างกระทันหัน

 

ชายหนุ่มคนดังกล่าวแข็งค้างไปตลอดทั้งร่าง

 

วินาทีต่อมา หัวของเขาก็ร่วงตกลงไปในทะเลทราย ขณะที่ร่างของเขาถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนทั้งๆที่ยังอยู่กลางอากาศ

 

ชิ้งงงง ..

 

ดาบบินมุดกลับไปเข้าไปทรายดูด และตกลงในมือของคนที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นทรายที่ได้อธิบายไปในตอนแรก

 

เขาคว้าจับดาบบิน สองตาค่อยๆปิดลง และกลับคืนสู่สภาะตัดขาดกลิ่นอายอีกครั้ง

 

แล้วกู่ฉิงซานก็สังเกตเห็นว่า ใต้ฝ่าเท้าของผู้ฝึกดาบคนนั้น มีบานประตูไม้ตั้งอยู่

 

บนบานประตูไม้ มีแถบตัวเลขเขียนอยู่ว่า : 238

 

แท้จริงแล้ว กลับกลายเป็นว่าเดิมทีตำแหน่งที่คนๆนั้นยืนอยู่คือประตูสู่ชั้นถัดไปนั่นเอง

 

ทว่าเขากลับเลือกแฝงตัวอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ ไม่ยินยอมลงไป ขณะเดียวกันก็ไม่ปล่อยให้ใครผ่านสถานที่แห่งนี้ไปเช่นกัน

 

‘หืม? เป็นนักฆ่าที่อำมหิตไม่เบาเลยนี่’ กู่ฉิงซานลอบประเมินอีกฝ่าย

 

“ระบบ คนที่ถูกฆ่าโดยชายผู้เข้าสู่วิถีมารคนนั้น เขาได้ทำการโหลดเชื้อไฟมาไหม?”

 

ระบบเทพสงครามตอบ “หากเป็นคนธรรมดาเกินไป เชื้อไฟจะเก็บพวกเขาไว้ใช้เป็นอาหารเท่านั้น”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

สายตาของกู่ฉิงซานไม่ได้หยุดลงเพียงแค่นี้

 

เขายังคงหมุนเลนส์ยาวต่อไป กวาดสายตามองสำรวจตลอดทั้ง 600 ชั้น

 

แล้วฉากต่างๆก็ปรากฏสู่สายตา ไม่ว่าจะเป็น บึงที่เต็มไปด้วยโคลนและกระดูก , ป่าลึกลับ , สระลาวาเดือด และเมืองเผ่ามาร …

 

ในบางชั้น กู่ฉิงซานก็ยังเห็นว่ามีผู้คนมากมายยังคงดิ้นรนต่อสู้อยู่

 

ท้ายที่สุดนี้ ต้องไม่ลืมนะว่ามีผู้คนมากมายจากโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นที่ตอบรับการเรียกขานของวิหคหนาม

 

กู่ฉิงซานเห็นคนหนึ่งที่พึ่งถูกกินโดยมอนสเตอร์ไป ทั้งๆที่คนๆนั้นยังมีชีวิตอยู่

 

แต่น่าเสียดาย ที่นั่นมันเป็นชั้นที่ 97 และอยู่ไกลเกินกว่าที่กู่ฉิงซานจะไปช่วยชีวิตได้

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ถ้าคนพวกนี้ตายลงในตัวตึก แต้มพลังวิญญาณจะถูกดูดซับไปโดยเชื้อไฟไหม?”

 

“แน่นอนว่าใช่ เชื้อไฟสามารถซึมซับแต้มพลังวิญญาณของคนที่ตกตายลงทั้งหมดในโลกแห่งนี้ได้” ระบบเทพสงครามตอบ

 

“แต่ฉันกำลังรีบอยู่ ถ้าฉันไม่เลือกที่จะไม่ช่วยพวกเขาเลย มันจะเป็นอะไรไหม?”

 

“คุณไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือคนเหล่านี้ก็ได้ แต่หากสิ่งมีชีวิตในตลอดทั้งสิ่งปลูกสร้าง 600 ชั้นนี้ตายลง ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงทีเดียวที่เชื้อไฟจะได้รับพลังมากพอจนเกิดการวิวัฒนาการ”

 

กู่ฉิงซานไม่พูดอีกต่อไป

 

เขาหมุนเลนส์ยาวกลับ ถอนสายตาคืนมาสำรวจชั้นที่ 550 อีกครั้ง

 

สองชายหนึ่งหญิงที่กำลังหลบหนี เริ่มตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้ว

 

เผ่ามารใกล้จะทำลายการป้องกันของกางเขนเงินสำเร็จในไม่ช้า

 

กู่ฉิงซานถอนสายตาออก ปากอ้าผ่อนลมหายใจยาว

 

ถ้าอย่างงั้นในกรณีนี้ เขาคงจำเป็นต้องช่วยเหลือทุกคน – แต่ขณะเดียวกันตนก็ไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น …

 

“ทำไมเจ้าถึงได้ดูผิดหวังนัก? ไอเท็มของเรามันใช้งานได้ไม่ดีหรือ?” ลอร่าเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานส่ายหน้าและยื่นกล้องส่องทางไกลคืนให้แก่ลอร่า

 

“เปล่าหรอก กระหม่อมแค่ยังหาแฟนสาวไม่พบน่ะ”

 

“นั่นเป็นข่าวร้ายจริงๆ” ลอร่าแสดงท่าทีเห็นใจ

 

กู่ฉิงซานลองขบคิดดูเล็กน้อย

 

ว่าถ้าหากตนลงมือช่วยเหลือผู้คนในตัวตึก ตนเองก็จะล่าช้า และกินเวลานานเกินไป

 

ทว่าหากละทิ้งพวกเขาไว้เฉยๆ ตนก็ไม่สามารถทำได้

 

เพราะเชื้อไฟจะได้รับแต้มพลังวิญญาณของพวกเขา และความน่าจะเป็นในการวิวัฒนาการของมันก็จะพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

 

ในระหว่างที่กำลังลังเล กู่ฉิงซานก็หันไปเห็นข้อมูลบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างไม่ตั้งใจ

 

“ภารกิจแรก : วิหค ได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว!”

 

กู่ฉิงซานชะงักไป

 

ขณะเดียวกันก็เกิดประกายบางอย่าง วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา

 

จริงสิ แต่เดิม เป็นเพราะตนรู้สึกว่า ตึก 600 ชั้นนี้มีความซับซ้อนและยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง และคงมีเพียงวิหคเท่านั้นที่จะสามารถละเลยทุกสิ่ง และโผบินจากตึกไปได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด ดังนั้นมันจึงได้ถูกตั้งเป็นชื่อของภารกิจ

 

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องขอบคุณสมองของตน ที่ได้ตั้ง ‘วิหค’ เป็นชื่อภารกิจซะแล้ว

 

เขาชักดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกมา และค่อยๆตัดมันเป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างช้าๆบนพื้นดิน

 

แล้วปากทางเข้าในชั้นที่ 600 ก็เปิดออก

 

“เปิดช่องว่างทิ้งไว้แบบนั้นทำไมกัน? นั่นเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”

 

ลอร่าเอ่ยถาม

 

“มันก็เป็นแค่การทดลองเล็กๆน้อยๆน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ ขณะเดียวกันก็มองลึกเข้าไปในหลุมบนพื้น

 

“ดาบของเจ้าไม่เลวเลย การที่อาวุธเย็นสามารถเจาะทำลายกำแพงของโลกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากจริงๆ” ลอร่ากล่าวด้วยความสนใจ

 

กู่ฉิงซานไม่ตอบเธอ เขาแค่เพียงลอบผ่อนคลายในหัวใจ

 

ช่วงก่อนหน้านี้ เขาเคยถูกขัง ติดอยู่ในกับดักการคุ้มภัยของจอมมารทะเลเลือดมาแล้ว และกว่าจะออกมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย

 

ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น กู่ฉิงซานต้องแสร้งทำเป็นหลับ ไร้ซึ่งการป้องกัน แต่ด้วยการแสดงที่สมบูรณ์แบบนั้น ทำให้เขาต้องติดแหง่กไปโดยสมบูรณ์

 

แต่มาคราวนี้ เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้แหละ! คือช่วงเวลาที่สามารถทำลายข้าวของได้อย่างสบายใจล่ะ!

 

โชคยังดีที่คราวนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ในการแหกกฏเกณฑ์ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกามีผลโดยสมบูรณ์ มันสามารถตัดกำแพงของตึก 600 ชั้นนี้ได้โดยตรง และคงสภาพที่ตัดผ่านไว้ดังเดิม (ไม่เหมือนกับการแสดงผลของไพ่จอมมารคุ้มภัย ที่ตัดแล้วคงสภาพไว้ไม่ได้)

 

หากเป็นแบบนี้ กู่ฉิงซานคิดว่า เขาก็น่าจะสามารถลงมือตามแผนในหัวของตนได้

 

ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ~

 

เสียงขู่ฟ่อดังขึ้นออกมาจากช่องว่างที่กู่ฉิงซานพึ่งเปิดมัน

 

ภายในรังงู คลื่นความผันผวนของพลังธาตุเริ่มที่จะเกิดความโกลาหล

 

“นั่นมันเสียงอะไรกันน่ะ? มีอะไรอยู่ภายในนั้นหรอ?” ลอร่าถามเสียงดัง

 

เธอนี่ช่างเป็นเด็กสาวขี้กังวล รู้สึกตื่นตระหนกอยู่เสมอๆจริงๆ

 

“มันไม่เหมาะสมที่จะให้เด็กๆดูหรอกนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ลอร่ารีบยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาทันที เพื่อต้องการที่จะเห็นว่ามันคือสิ่งใด

 

แต่กู่ฉิงซานใช้มือหยุดมันเอาไว้ซะก่อน

 

“ไม่มองจะดีกว่านะ”

 

“ทำไมกัน?”

 

“เอาเถอะหน่า ไม่ต้องมองหรอก เพราะพวกมันไม่ใช่สิ่งที่สาวน้อยน่ารักควรจะให้ความสนใจเลย”

 

กล่าวจบ กู่ฉิงซานก็ทำการเปลี่ยนสมญาเทพสงครามของเขาเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’

 

“สมญา : ไพ่ตายนักฆ่า”

 

“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ : เก็บเกี่ยว(ขั้นสูง)”

 

“เก็บเกี่ยว(ขั้นสูง) : เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ในกระบวนท่าเดียว พลังวิญญาณที่สูญเสียไปในการโจมตีครั้งนั้นจะถูกฟื้นฟูกลับมาจนเต็มดังเดิม”

 

-ด้วยวิธีนี้ มันจะช่วยรับประกันได้ว่าพลังวิญญาณของเขาจะไม่สูญเสียไป

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระอีกครั้ง

 

เห็นแค่เพียงชุดเกราะที่เต็มไปด้วยร่องรอยเสียหายบินออกมา

 

มันคือเกราะรบต่อสู้ของนายพลชั้นโหยวจี

 

ครั้งหนึ่ง เคยมีผู้คนมากมายเอ่ยถาม

 

—ว่าเพราะเหตุใดสีของเกราะรบนายพลจึงโดดเด่นนัก โดดเด่นถึงเพียงนี้แล้วในยามที่อยู่ในสนามรบ ในด้านความปลอดภัยของนายพลมันจะไม่เป็นปัญหาเอาหรือ?

 

ในเวลานั้น นางเซียนไป่ฮั่วได้ตอบกลับไปเพียงประโยคเดียว ก็สามารถหุบปากของเหล่าผู้คนทั้งหมดที่ตั้งคำถามลงได้ในทันที

 

“ย่อมแน่นอนว่านั่นเป็นการจงใจ เพราะมีเพียงผู้ฝึกยุทธที่แกร่งพอจะแบกรับการโจมตีจากศัตรูได้เท่านั้น จึงจะเหมาะสมที่จะสวมใส่เกราะรบชั้นนายพล”

 

เกราะรบพลันกระจายตัวออกทันใด แต่ละชิ้น แต่ละส่วนราวกับมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง ดูคล้ายกับปลาที่แหวกว่ายในสายธาร ชิ้นแล้วชิ้นเล่าเริ่มโคจรเข้ามาประกบติดกับส่วนต่างๆของร่างกายกู่ฉิงซาน

 

ชุดเกราะรบนายพลโหยวจีนี้ โดยรวมแล้วประกอบไปด้วย เกราะอก เกราะไหล่ เกราะแขน เกราะมือ เข็มขัด เกราะเข่า เกราะขา ฯลฯ แต่ละชิ้นส่วนล้วนดูเรียบง่าย มิได้รับการตกแต่งใดๆเป็นพิเศษ ทว่าภายในกลับสลักไปด้วยอักษรรูนโบราณที่ดูลึกลับซับซ้อน

 

แม้เกราะรบจะมีสีทองแลดูองอาจอยู่แล้ว แต่เมื่อมันถูกสวมใส่ลงโดยกู่ฉิงซาน มันกลับส่งคลื่นความผันผวนอันคงกระพันออกมาอย่างมิอาจอธิบายได้

 

ลอร่าประเมินชุดเกราะของเขา และเอ่ยแสดงความคิดเห็น “เป็นชุดของเล่นที่งดงามไม่เลวเลยนี่”

 

“ของเล่นงั้นหรือ?”

 

“ใช่ เกราะนี่มันเลวร้ายเกินไป มันแย่กว่าดาบของเจ้าอย่างเทียบไม่ติดเลย” ลอร่าวิจารย์จุกจิก

 

“แต่อย่างน้อยมันก็ยังใช้งานได้นะ”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ยกลอร่าลงจากไหล่ และวางเธอลงบนอกเขา

 

ก่อนจะหยิบเชือกยาวออกมา และเริ่มมัดลอร่าเข้ากับตนเอง

 

“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?” ลอร่าเริ่มหวาดระแวง

 

“ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพื่อที่ฝ่าบาทจะได้ไม่แยกจากกระหม่อมในระหว่างการต่อสู้ขั้นรุนแรงไง โปรดวางใจเถิด กระหม่อมได้ให้คำมั่นสาบานไปแล้ว ว่าจะนำพระองค์ออกไปจากที่แห่งนี้ให้จงได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

มือของเขาวูบไหวอย่างรวดเร็ว แล้วเชือกก็ผูกติดทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์

 

โอเคมันแน่นแล้ว ดีมาก

 

-ทีนี้ก็ไม่ต้องมากังวลว่าลอร่าจะตกลงกลางทางแล้ว

 

เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

 

“เหตุใดเราจึงรู้สึกคล้ายว่าเจ้ากำลังมีบางสิ่งปิดซ่อนจากเราอยู่กันนะ?” ลอร่าบ่นด้วยความสงสัย

 

“มีซะที่ไหนกันเล่า”

 

กู่ฉิงซานยิ้มแหะๆ และเร่งเดินตรงไปยังขอบระเบียงของสิ่งปลูกสร้าง 600 ชั้นอย่างรวดเร็ว

 

“ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้น่ะ ก็เป็นแค่ฉากของวิหคที่จะโผบินก็เท่านั้นเอง”

 

ว่าจบ หน้ากากเงินก็ถูกสวมทับลงบนใบหน้า … เพียงเท่านี้เกราะรบชิ้นสุดท้ายก็ถูกสวมใส่โดยสมบูรณ์แล้ว

 

ลอร่าเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เธอเริ่มตะโกนโวยวาย “ช้าก่อน เจ้าก็รู้ว่าเรากลัวความสูง ทำไมพวกเราไม่คิดหาวิธีอ — อ๊าาาาา กู่ฉิงซาน เราเกลียดเจ้า!”

 

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของลอร่า กู่ฉิงซานกระโดดลงจากตัวตึก

 

ทั้งสองร่วงตกลงมาอย่างรวดเร็ว ภายในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงหอนของสายลมและหิมะ

 

พริบตาเดียวกู่ฉิงซานก็สามารถข้ามผ่านหลายสิบชั้นของตัวตึกมาได้อย่างรวดเร็ว

 

—ด้วยวิธีนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับมันไปทีละชั้น ทีละชั้น แถมยังประหยัดเวลาได้เป็นอย่างมากอีกด้วย

 

และแทบจะในทันที บนหน้าต่างเชื้อไฟ ปรากฏบรรทัดตัวอักษรกระพริบไหวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

และบรรทัดอักษรเหล่านั้นก็แปลงเป็นคำพูดในทันที

 

“โปรดกลับไปยังยอดบนสุดของสิ่งปลูกสร้างทันที!”

 

“โปรดกลับไปยังยอดบนสุดของสิ่งปลูกสร้างทันที!”

 

“คุณไม่สามารถกระโดดลงจากตัวสิ่งปลูกสร้างโดยตรงได้ มิฉะนั้นแล้วคุณจะไม่ได้รับรางวัลจากทริสเต้!”

 

“รางวัลงั้นหรอ? ฉันไม่ต้องการรางวัลหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต่ถ้าคุณกระโดดลงมาแบบนี้ คุณก็จะไม่ได้รับแต้มพลังวิญญาณใดๆเลยนะ”

 

เชื้อไฟกล่าวต่อว่า “โปรดไตร่ตรองถึงปัญหานี้อย่างจริงจังด้วย เพราะหากไม่มีแต้มพลังวิญญาณ คุณก็จะไม่ได้รับอะไรเลย!!”

 

หากไม่มีแต้มพลังวิญญาณ …

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไม่ตอบสนองไปครู่

 

แล้วจู่ๆทันใดนั้นก็มีดาบปรากฏขึ้นในมือของเขา

 

-ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

“ชั้นที่ 550 … อยู่ตรงนี้สินะ!” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงต่ำ

 

พร้อมกับดาบที่วูบไหว

 

—เทคนิคลับแห่งดาบ : ฝ่าวารีเชี่ยว!

 

บังเกิดรังสีดาบอันไพศาล ควบแน่นจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน พุ่งเข้าเจาะกำแพงส่วนนอกของตัวตึกอย่างรวดเร็ว

 

ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง!

 

พร้อมด้วยเสียงระเบิดปะทะที่กึกก้องราวกับฟ้าร้อง กำแพงขนาดใหญ่ด้านนอกของชั้นที่ 550 เกิดการระเบิด เปิดช่องว่างแยกออกทันใด

 

สายลมและหิมะหวีดหวิวเข้าไปภายใน

 

กู่ฉิงซานผละดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วคว้าจับดาบพิภพออกมาแทนที่

 

ทันใดนั้น ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปอย่างกระทันหัน

 

และเกือบจะในเวลาเดียวกัน ก็บังเกิดเสียงกรีดร้องร้ายแรงดังออกมาจากช่องกำแพงที่พึ่งถูกเปิดออก

 

ตามมาด้วยเสียงล้มตึงหนักทึบ ต่อด้วยเสียงโห่ร้องร่ำไห้ด้วยความปิติยินดี

 

หนึ่งลมหายใจต่อมา กู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งภายนอกตัวตึก

 

เชายังคงร่วงตกลงไป

 

ขณะที่เลือดบนใบดาบถูกกระแสลมเป่า พัดกระจายไปกับสายลมและหิมะ

 

กู่ฉิงซานกุมดาบไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างโอบกอดลอร่าที่กำลังสั่นเทา

 

เขาหันไปกล่าวกับเชื้อไฟ “เป็นไง แค่นี้ฉันก็ได้รับแต้มพลังวิญญาณแล้วเห็นไหม”

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งบรรทัดตัวอักษรปรากฏขึ้น

 

“มันมาแล้ว แต่มันไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ดังนั้นคุณต้องแสดงให้มันเห็นว่ามีมันอยู่แค่ระบบเดียว”

 

หลังจากอ่านมัน กู่ฉิงซานก็ตอบกลับอย่างเงียบๆในจิตใจ “วางใจเถอะ ถ้าเป็นเรื่องการแสดงล่ะก็ เชื่อมือฉันได้เลย”

 

เขามองไปยังความว่างเปล่า

 

เห็นแค่เพียงหน้าต่างระบบเทพสงครามที่เป็นสีฟ้าอ่อนๆ ขณะที่หน้าต่างระบบเชื้อไฟเป็นสีแดงเลือดนก

 

ทั้งสองระบบปรากฏขึ้นพร้อมกันเบื้องหน้าเขา

 

นี่คือสิ่งที่ตนไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในตลอดทั้งสองช่วงชีวิต

 

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีระบบหนึ่ง ที่ไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของอีกระบบหนึ่งอีกด้วย

 

เมื่อเวลาค่อยๆไหลผ่าน ทุกๆถ้อยตัวอักษรบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ค่อยๆจางหายไป

 

แล้วบนหน้าต่างของเชื้อไฟ ก็ปรากฏตัวอักษรเด้งขึ้นมา

 

“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ ได้รับการดาวโหลดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้กลายเป็นผู้เบิกทาง หรือกล่าวอีกความหมายหนึ่งว่าเป็นผู้บุกเบิกเกมๆนี้ อย่างเป็นทางการแล้วนั่นเอง”

 

กู่ฉิงซานแกล้งทำเป็นอ่านไม่ออก แต่กลับแสดงแววตาเปล่งประกายที่ดูตื่นเต้น “ตัวอักษรมากมายพวกนี้ มันหมายความว่ายังไงกัน?”

 

หน้าต่างเชื้อไฟ “ … ”

 

แล้วเชื้อไฟก็ค้นพบว่าตัวมันเองทำพลาดไปอีกแล้ว

 

ขณะเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ผุดบรรทัดตัวอักษรเด้งขึ้น “แสดงออกทางสีหน้าเวอร์เกินไปแล้ว”

 

กู่ฉิงซานพอโดนดุ ก็กระแอมไอแก้เขินเบาๆ แต่นั่นก็เพราะอารมณ์ความรู้สึกในจิตใจของเขามันกำลังคุกรุ่นเกินไป เลยทำให้การแสดงดูจะผิดปกติไปบ้างนั่นเอง

 

เขาพยายามค่อยๆผ่อนคลายสีหน้าของตัวเองลงทีละน้อย

 

ใช่แล้วล่ะ ก็ไม่เพียงมีสองระบบอยูในตัว แต่เขายังต้องกำจัดระบบหนึ่งออกไปด้วย นี่จึงไม่แปลกอะไรที่กู่ฉิงซานจะตึงเครียดเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานลดเสียงลง และหันไปพูดกับหน้าต่างเชื้อไฟว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าฉันคือผู้เบิกทาง แล้วฉันจะได้รับอะไรจากมัน?”

 

บนหน้าต่างเชื้อไฟ ปรากฏตัวอักษรต่างๆขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

แต่มันก็หยุดลงอย่างกระทันหัน ก่อนที่ข้อความทั้งหมดจะถูกดึงกลับไป

 

-นั่นเพราะเชื้อไฟตระหนักได้ว่าไอ้โง่นี่มันไม่รู้หนังสือ

 

ไม่นานนัก ข้อความทั้งหมดจึงถูกแทนที่ด้วยเสียง

 

“เริ่มจากช่วงเวลานี้ไป เชื้อไฟจะเข้ามาแทนที่ทริสเต้ และค่อยปล่อยภารกิจให้แก่คุณ”

 

“ถ้าอย่างงั้นแล้วฉันจะยังคงได้รับรางวัลอยู่ไหม?” กู่ฉิงซานเริ่มเผยถึงท่าทีกังวล

 

“แน่นอน เพราะมีเพียงผู้เข้าร่วมที่โดดเด่นที่สุดเท่านั้น ที่จะได้รับการยินยอมให้ดาวโหลดระบบ เพื่อทำการบรรลุภารกิจ ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับรางวัลมากยิ่งกว่าผู้เข้าร่วมคนอื่นๆนั่นเอง”

 

ผายลมเถอะ คนส่วนใหญ่ก็ดาวโหลดแกมาทั้งนั้นแหละ -กู่ฉิงซานแอบด่าอย่างลับๆ

 

เขาเอ่ยถาม “แล้วฉันควรจะทำอย่างไรต่อไป? ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะต้องการรางวัลนะ”

 

“ต่อจากนี้ไป คุณจะต้องคอยเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณในระหว่างภารกิจ เพื่อใช้แต้มพลังวิญญาณเหล่านั้นในการแลกเปลี่ยนรางวัลที่มีมูลค่าเหมาะสมกับมันจากระบบ” เชื้อไฟกล่าว

 

“งั้นหรอ? แล้วรางวัลที่ว่ามันมีอะไรบ้างล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

หน้าต่างเชื้อไฟสว่างขึ้น

 

พร้อมกับหลากหลายรางวัลอันน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างของมัน

 

และเนื่องจากเขาเป็นนักดาบ ดังนั้นแรกสุดในหน้าต่าง จึงเผยให้เห็นถึงรูปดาบจำนวนมากปรากฏออกมา

 

บอกตรงๆเลยว่าถึงแม้ตัวกู่ฉิงซานจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่หัวใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว

 

ทว่าเมื่อสายตาของเขาตกลงบนดาบไม่กี่เล่ม มันก็นิ่งค้างไป

 

เนื่องเพราะเขาจดจำได้ว่า ดาบพวกนี้มันคือดาบที่อยู่ในตัวเมืองเล็กๆภายในรีสอร์ทของอัลเบอัสนั่นเอง

 

ดาบเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วมาจากร้านขายอาวุธในเมืองนั่นแหละ

 

อ้างอิงจากในกรณีนี้ … เกรงว่าอัลเบอัสคงจะตกอยู่ในมือของทริสเต้ไปแล้ว

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

แต่เขายังคงเลื่อนหน้าต่างระบบ แสดงละครว่ายังคงเลือกดูของรางวัลภาพต่อๆไป

 

รางวัลภายในหน้าต่างระบบ มันมีทุกอย่าง ครอบคลุมไปหมดจริงๆนะ

 

กู่ฉิงซานไม่เพียงเห็นดอกไม้คริสตัลภูติ แต่เขายังเห็นแม้กระทั่งว่าแต้มพลังวิญญาณสามารถใช้แลกเปลี่ยนกับการเรียกใช้งานอสูรกายได้อีกด้วย

 

นอกจากนี้ ยังมีแม้กระทั่งเทคนิคลับที่ใช้ฝึกยุทธ ซึ่งร้ายกาจชนิดที่ว่ากระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็อดใจไม่ไหวที่จะครอบครองมัน

 

ทว่า … เจ้าสิ่งทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ ล้วนมีราคาแพงมากเกินไป

 

การที่จะแลกเปลี่ยนกับรางวัลเหล่านี้ จำเป็นต้องจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญาณมหาศาล

 

แต่ก็นั่นแหละนะ นี่แหละถึงจะเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น

 

ก็ขนาดตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างกำปั้นเหล็กแบรี่หรือเสี่ยวเหมียว ทั้งสองคนก็ยังไม่สามารถหาดอกไม้คริสตัลภูติเจอได้เลย

 

มันหายากชนิดที่ว่าชายแก่จากสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ถึงขั้นกระโจนเข้าโอบขาของแบรี่ เพื่อสูดดมให้แน่ใจว่านี่คือกลิ่นของดอกไม้ภูติจริงๆรึเปล่า

 

คนทั้งหลายที่กล่าวมา ล้วนเป็นตัวตนสุดแกร่ง แต่แท้จริงแล้วกลับยังไม่สามารถได้รับสิ่งดังกล่าวมาครอบครองได้เลย

 

ดังนั้นไอเท็มจำนวนมากที่อยู่บนหน้าต่างเชื้อไฟ ตราบใดมันปรากฏออกมาให้แลกเปลี่ยน และให้เวลามันมากพอสมควร ก็ย่อมต้องก่อให้เกิดการนองเลือดและสายลมที่สาบโฉ่ไปด้วยกลิ่นคาวโดยมันอย่างแน่นอน

 

เพราะทุกสิ่งที่แสดงอยู่ในนี้ ล้วนเป็นไอเท็มชั้นเลิศที่ทุกผู้คนเฝ้าฝันถึง

 

หากเป็นหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แต่ได้มาเห็นไอเท็มเหล่านี้แล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะพยายามรวบรวมแต้มพลังวิญญาณอย่างสุดกำลังแน่ๆ

 

แม้จะมีบางคนเกิดความลังเลขึ้นในจิตใจ แต่คนส่วนมากก็คงจะเริ่มออกล่าสังหารอย่างไร้สติ เพื่อเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณ นำมาแลกเปลี่ยนสมบัติกับเชื้อไฟ

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มหนักอึ้งขึ้น

 

เชื้อไฟครอบครองสมบัติหายากมากมาย ผู้คนที่ได้เห็นมัน ย่อมต้องตกอยู่ในความโลภ และมุ่งเป้าออกล่าสังหารผู้อื่นอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่

 

และนั่นหมายความว่าแต้มพลังวิญญาณที่เชื้อไฟต้องการ ก็จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“แล้วฉันจะต้องทำยังไง ถึงจะได้รับแต้มพลังวิญญาณมา?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม

 

เชื้อไฟกล่าว “เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง แต้มพลังวิญญาณก็จะถูกดูดกลืนแก่คุณโดยอัตโนมัติ”

 

“ตายอย่างงั้นหรอ?”

 

“ใช่ ผู้เบิกทางเช่นคุณ จะได้รับรางวัลมากมายจากการสังหาร”

 

‘มาแผนนี้นี่เอง’

 

เชื้อไฟกล่าวต่อ “ฉันเชื่อว่านี่คงจะเป็นเรื่องคุ้นเคยสำหรับคุณ”

 

“หืม? นี่คุณรู้ได้อย่างไร?”

 

“เพราะฉันสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตมากมายที่ตายด้วยน้ำมือของคุณ มันมากเสียยิ่งกว่ามารที่แท้จริงเคยสังหารมาเสียอีก”

 

“คุณเป็นผู้เล่นในฐานะต้นกล้าที่โดดเด่นมาก ศักยภาพของคุณไม่เลวร้ายเลย”

 

“ดังนั้น ขอได้โปรดจงร่วมเดินทางไปกับฉันในตลอดทั้งหมื่นโลกา – บุกทำลายโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นไปด้วยกันเถอะ!”

 

กู่ฉิงซานตกตะลึงทันใด

 

มันก็จริง ที่ตนเองได้เดินอยู่ในเส้นทางแห่งการต่อสู้มาอย่างยาวนานแล้ว เขาสามารถสังหารคนได้โดยไร้ซึ่งความลังเล ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ โลกเทวะ หรือกระทั่งโลกปรภพ ตราบใดที่ตนเองลงมือ เขาไม่เคยปราณีใดๆ

 

อย่างในปรภพ คนตายนับ100ล้านคนก็ก็ถูกเขากวาดล้างออกไปโดยตรง

 

ดูเหมือนว่าเชื้อไฟจะสัมผัสได้ว่าตัวเขาถูกปกคลุมไปด้วยคาวเลือดของหลายร้อยล้านชีวิต มันจึงเลือกที่จะชักชวนเขาออกมาตรงๆแบบนี้

 

มันคงกำลังคิดว่าตัวเขาเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม เหมาะสมที่จะให้เข้าสู่วิถีมาร

 

เชื้อไฟเอ่ยต่อ “ภารกิจใหม่ถูกปล่อยออกมาแล้ว”

 

“ภายในสิ่งปลูกสร้างขนาด 600 ชั้นใต้ฝ่าเท้าของคุณนี้ มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่มีสถานะต่ำต้อย ล้าหลัง ไร้ซึ่งความสามารถ พวกเขามัวเมาแต่คิดที่จะได้รับรางวัลของวิหคหนาม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น ”

 

“ไป! จงไปฆ่าพวกเขาซะ แล้วนำแต้มพลังวิญญาณกลับมา”

 

“หากมีแต้มพลังวิญญาณเอาไว้ในครอบครอง คุณก็จะสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนรางวัลกับฉันได้ตลอดเวลา!”

 

เมื่อกล่าวจบ เชื้อไฟก็หายไป

 

ในขณะเดียวกัน หน้าต่างระบบเทพสงครามก็สว่างขึ้น

 

นี่มันน่าสนใจจริงๆ หนึ่งฟ้าหนึ่งแดง สองหน้าต่างระบบ กำลังสลับกันสื่อสารกับกู่ฉิงซาน

 

“แล้วคุณจะเตรียมการรับมืออย่างไร?” ระบบเทพสงครามเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ลังเล “ถ้าเราไม่มอบแต้มพลังวิญญาณให้กับมัน มันจะสามารถฉกฉวยไปจากฉันได้หรือไม่?”

 

“ตราบใดที่มันอยู่กับฉัน ไอ้ระบบทารกนั่นย่อมไม่สามารถทำได้”

 

“งั้นก็ไม่มีปัญหา นับจากนี้ไป พวกเราก็จะฆ่าคนที่สมควรจะฆ่า และช่วยเหลือคนที่สมควรจะช่วย ไม่เก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณให้เชื้อไฟมากจนเกินไป”

 

และทันทีที่เขากล่าวจบ บรรทัดแสงหิ่งห้อยบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ปรากฏขึ้นทันที

 

“นี่คือภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงคราม”

 

“ภารกิจต่อเนื่องถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว และคุณจำเป็นต้องทำภารกิจทั้งหมดนี้ให้สำเร็จ ป้องกันไม่ให้เชื้อไฟสามารถยกระดับ แล้วคุณจะได้รับรางวัลในท้ายที่สุด”

 

“เนื้อหาภารกิจแรก : ระบบได้ทำการระบุตัวเป้าหมายผู้เข้าสู่วิถีมารกให้แก่คุณแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในชั้นที่ 239”

 

“แล้วคนที่ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่”

 

“กำลังทำตามคำร้องขอที่เชื้อไฟต้องการ”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

ไอ้ต้องการที่ว่า คงไม่แคล้วเป็นการไล่ฆ่าคนอื่นแน่ๆ

 

“ฆ่าเขาซะ แล้วมุ่งหน้าลงสู่พื้นราบเบื้องล่าง และภารกิจแรกของคุณก็จะเสร็จสมบูรณ์”

 

“เอาล่ะ กรุณาช่วยตั้งชื่อภารกิจนี้ด้วย”

 

กู่ฉิงซานประหลาดใจกับคำขอนี้เล็กน้อย แต่เขาคิดไม่นานก็ตอบกลับไป “เอาเป็น ‘วิหค’ ก็แล้วกัน”

 

หน้าต่างระบบเทพสงครามตอบกลับทันที “ภารกิจแรก : วิหค ได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว”

 

เมื่อภารกิจถูกรับมอบหมาย

 

บรรทัดแสงตัวอักษรบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็หายไป

 

ในความว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งใด

 

ทั้งสองระบบตกลงสู่ความเงียบ

 

กู่ฉิงซานดึงดาบยาวออกมา และมองลงไปที่ประตูไม้

 

นับจากนี้ไป จะเป็นช่วงเวลาแห่งการต่อสู้จริงๆแล้ว!

 

กู่ฉิงซานกระตุ้นเทคนิคดาบ และเตรียมที่จะเปิดประตู แต่ลอร่าก็หยุดเขาเอาไว้ซะก่อน

 

“มีอะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“นี่สำหรับเจ้า” ลอร่ากล่าว

 

เธอยื่นกล้องส่องทางไกลทองเหลืองให้แก่กู่ฉิงซาน

 

มันคือกล้องส่องทางไกลที่เธอเคยใช้มาเมื่อก่อนหน้านี้

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

 

กู่ฉิงซานรับกล้องมา

 

และบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรผุดขึ้นทันที

 

“กล้องเลนส์ยาว”

 

“ไอเท็มประหลาด”

 

“ฟังก์ชั่น : ปรับมุมมองที่แตกต่างกันตามระดับที่คุณต้องการ”

 

“หมายเหตุ : สมบัติใดๆที่มาจากดินแดนอัศจรรย์ จะได้รับฉายาเป็นของตัวมันเองโดยอัตโนมัติ”

 

“ส่วนฉายาที่เหนือยิ่งกว่าไอเท็มประหลาด ก็คือฉายาไอเท็มหากาพย์ และสมบัติที่หาได้ยากยิ่งกว่านั้น จะถูกเรียกว่าเป็นฉายาระดับตำนาน”

 

แม้ว่าคำอธิบายของกล้องส่องทางไกลนี้จะสั้นมาก แต่กู่ฉิงซานก็ราวกับถูกสั่นสะเทือนอย่างล้ำลึก

 

เขาเหลือบสายตาลงมองกล้องส่องทางไกลในมือของเขา

 

สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบและหนักอึ้ง

 

ตนจึงยกเลนส์ขึ้น และหรี่ตาแนบกับมันมองลงไปยังประตู

 

ปรากฏว่าไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆขวางกั้น กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นถึงฉากหลังที่อยู่ภายในบานประตูได้เลยโดยตรง!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.535 – ภารกิจระบบเทพสงคราม

 

ภารกิจแห่งโชคชะตาถูกยกเลิกลงอย่างกระทันหัน และกลับกลายเป็นภารกิจเทพสงครามเข้ามาแทนที่

 

กู่ฉิงซานจ้องมองดูหน้าต่างระบบเทพสงครามด้วยความสับสน

 

-ก็แล้วเจ้าสองระบบภารกิจที่ว่ามานี้ มันมีอะไรที่แตกต่างกันงั้นหรอ?

 

เห็นแค่เพียงในส่วนล่างของหน้าต่างระบบเทพสงคราม ไอค่อนใหม่สาดแสงสว่างขึ้นมา

 

ไอค่อนนี้เป็นไอค่อนที่ห้าที่สว่างขึ้นหลังจาก ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ , ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ , ‘สมญาเทพสงคราม’ และ ‘พงศาวดารวันสิ้นโลก’

 

แต่ที่น่าสนใจจริงๆก็คือ ไอค่อนใหม่นี้ ดูจะแตกต่างไปจากไอค่อนอื่นๆ มันเป็นไอค่อนที่มีรูปทรงคล้ายกับว่ากู่ฉิงซานกำลังถือดาบแสดงท่าทีต่อสู้อยู่

 

ด้วยสายตาที่มองไปของกู่ฉิงซาน บรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นบนไอค่อนทันที

 

“ทางเลือกใหม่ถูกสร้างขึ้น และคุณได้ทำการเลือกมัน”

 

“ทางเลือกใหม่ของคุณ ได้รับการยอมรับจากระบบ”

 

“การอัปเดต เพื่อปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกันกับทางเลือกได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว”

 

“นับตั้งแต่ช่วงเวลานี้ไป วิถีดาบแห่งคุณจะกลายเป็นเหมือนกับเป้าหมายของระบบ”

 

“ระบบจะทำการติดตั้งความสามารถในการใช้แต้มพลังวิญญาณ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของภารกิจ คอยสนับสนุนช่วยเหลือคุณอย่างเต็มที่”

 

“ซึ่งในภารกิจเทพสงครามครั้งนี้ คุณจะได้รับความสามารถในการใช้แต้มพลังวิญญาณ : สั่งสมแต้มพลัง”

 

“สั่งสมแต้มพลัง : เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้จำนวนหนึ่ง คุณจะสามารถเลือกมาหนึ่งสกิล เพื่อเพิ่มพลังโจมตีของมันให้สูงขึ้นเป็นสองเท่าในการโจมตีครั้งถัดไป”

 

“และเมื่อคุณโจมตีโดยใช้ความสามารถของสั่งสมแต้มพลังไปครั้งหนึ่งแล้ว อำนาจโจมตีของสกิลดังกล่าวจะกลับคืนสู่ระดับเดิมของมันทันที”

 

“คำอธิบาย : การจะทำเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมจำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณออกไปจำนวนหนึ่ง สกิลยิ่งทรงพลังเพียงใด ก็จะยิ่งต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น”

 

“คำอธิบายพิเศษ : ความสามารถ ‘สั่งสมแต้มพลัง’ นี้สามารถใช้ซ้อนทับกันได้”

 

กู่ฉิงซานมองไปยัง ‘สั่งสมแต้มพลัง’ และคำอธิบายของมัน เพียงแค่ลองขบคิดดูเล็กน้อย ก็เข้าใจได้ในที่สุด

 

เขาอดไม่ได้ที่จะลอบชื่นชมมันอย่างลับๆ

 

ต้องแบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่าไพ่ตายที่แท้จริง!

 

เพราะหากเมื่อใดก็ตามที่ความสามารถ ‘สั่งสมแต้มพลัง’ อยู่ในสภาวะเตรียมพร้อม นั่นก็จะหมายความว่าคุณจะสามารถเพิ่มพลังโจมตีของสกิลที่ตนจะใช้ ให้รุนแรงยิ่งกว่าเดิมเป็น 2 เท่าได้!

 

จุดสำคัญที่สุดก็คือสองเท่าที่ว่านี้ ก็ยังสามารถซ้อนทับกันได้อีก! ตราบใดที่คุณสามารถสั่งสมแต้มพลังวิญญาณได้มากพอ

 

ในกรณีนี้ แต้มพลังที่คุณมอบมันให้กับสกิลของตนเอง จะยิ่งช่วยหนุนเสริมให้อำนาจของมันค่อยๆทวีขึ้น  ทวีขึ้นจนน่าขวัญผวาอย่างหกาที่ใดเปรียบ!

 

แต่อย่างเดียวที่น่าเสียดายก็คงจะเป็นในการโจมตีดังกล่าว มันสามารถใช้งานได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ใช้เสร็จ สกิลก็จะกลับมามีอำนาจโจมตีปกติดังเดิม

 

กู่ฉิงซานเพียงคิดเกี่ยวกับมัน ก็พลันเห็นว่าเบื้องล่างหน้าต่างตรง ‘ภารกิจเทพสงคราม’ บังเกิดแสงสาดออกมา

 

ภารกิจแรกของเทพสงครามได้ปรากฏขึ้นแล้ว!

 

—นี่คือภารกิจที่ถูกสร้างขึ้นจากความปรารถนาโดยตรงของกู่ฉิงซาน!

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดตัวอักษรสีเลือดปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

“กำหนดเป้าหมายของภารกิจระบบเทพสงคราม : กำจัดเชื้อไฟ”

 

“สำหรับภารกิจดังกล่าว ระบบจะดำเนินคำอธิบายดังต่อไปนี้”

 

“นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การจุติใหม่ ที่คุณได้เผชิญหน้ากับระบบของราชามาร และถือว่าโชคดีจริงๆที่มันยังไม่กำเนิดขึ้นโดยสมบูรณ์”

 

“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ยังคงอยู่แค่ในสถานะ ‘เชื้อไฟ’ (เปรียบเปรยดั่งไฟแรกแย้มที่พึ่งปะทุ ยังมิได้ลุกโชติช่วง)  ซึ่งนับเป็นสถานะดั้งเดิมที่อ่อนแอที่สุดนับจากถือกำเนิด และยังไม่ได้เริ่มเปิดตัว Online ดั่งชื่อของมันอย่างเป็นทางการ”

 

“ยามนี้ มันต้องการที่จะรวบรวมแต้มพลังวิญญาณให้มากพอเพื่อที่จะลุกโชนขึ้น และอัพเกรดตัวเองไปยังขั้นต่อไป”

 

“นี่แหละคือ ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ’ ล่ะ!”

 

“เนื่องจากประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของคุณที่เผยออกมาในการต่อสู้ครั้งก่อนหน้านี้ เชื้อไฟจึงสามารถตรวจจับถึงคุณได้อย่างรวดเร็ว”

 

“มันต้องการให้คุณเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณให้แก่ตัวมันเอง”

 

“แล้วคุณพอจะมีกลยุทธ์อะไรที่พอจะใช้รับมือกับเชื้อไฟบ้างไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“วิธีรับมือคือ ‘ไหลตามน้ำ’ -ระบบคิดว่าคุณควรตามคำร้องขอของเชื้อไฟ คอยรับภารกิจจากมัน ในขณะเดียวกันก็ลอบดำเนินภารกิจหลักของเราต่อไปอย่างลับๆจนกระทั่งมันเสร็จสิ้นสมบูรณ์”

 

“แต่โปรดจำเอาไว้ให้ดี ว่าเป้าหมายของเชื้อไฟก็คือการเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณ และเราจะต้องไม่อนุญาตให้มันสะสมแต้มพลังวิญญาณจนมากพอได้!”

 

กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าเชื้อไฟสามารถเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้มากพอกัน?”

 

“เชื้อไฟก็จะอัพเกรดขึ้นเป็น ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด’ และจะเปิดตัว Online อย่างเป็นทางการ”

 

“เมื่อนั้น โลกตลอดทั้ง 30 ล้านชั้นที่อยู่โดยรอบอัลเบอัสก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด’ และถูกบังคับให้ตกเป็นทาสของมัน แม้เจ้าตัวจะไม่ยินยอมก็ตาม”

 

“เปลี่ยนเป็น ‘ต้นกำเนิด’ งั้นหรอ? แล้วนั่นมันจะหมายความว่ายังไงกัน?”

 

“ก็หมายความว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับในชีวิตก่อนหน้าของคุณนั่นเอง”

 

สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง

 

เขาเค้นสมองตริตรองและกล่าว “ ‘ต้นกำเนิด’ … แต่ในขณะเดียวกันมันก็ช่วยให้ทุกสิ่งมีชีวิตสามารถยกระดับ และแข็งแกร่งขึ้นได้โดยการสังหารเผ่ามารเหมือนเดิมใช่ไหม อย่างไรก็ตาม ที่ต้องแลกมาก็คือการที่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลไม่อาจก้าวขึ้นไปถึงความแข็งแกร่งระดับสูงสุดได้ตลอดกาล”

 

“ไม่ถูกซะทีเดียว แม้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลจะสามารถยกระดับ แข็งแกร่งขึ้นได้โดยการล่าและสังหารเผ่ามารก็ตามที แต่ในเวลาเดียวกัน แท้จริงแล้วนั่นหมายความว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลกำลังตกเป็นทาสของระบบราชามารอยู่ พลังของพวกเขาแม้จะยกระดับขึ้นได้ แต่ท้ายที่สุด มันก็จะไปไม่ถึงขั้นที่จะสามารถต่อกรกับเผ่ามารได้อยู่ดี”

 

-ซึ่งหากเป็นในกรณีนี้ ช่วงสุดท้ายมันก็จะกลายเป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียว

 

เผ่ามารแม้จะล้มตายลงในตอนแรก แต่ผู้ชนะคนสุดท้าย อย่างไรก็ย่อมจะเป็นพวกมัน

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง และไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันเข้าใจแล้ว”

 

ระบบเทพสงครามกล่าว “ดังนั้นภารกิจของพวกเราก็คือ การต่อสู้กับเชื้อไฟอย่างต่อเนื่อง สู้! สู้! สู้ต่อไปจนกระทั่งสังหารมันลงได้ในที่สุด!”

 

“และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเทพสงคราม คุณก็จะได้รับของขวัญจากระบบ”

 

“ของขวัญอะไร?”

 

“ความลับ”

 

กู่ฉิงซานหัวเราะ

 

เขาเอ่ยถามทันใด “ระบบเทพสงคราม คุณนี่มันรู้เรื่องราวอะไรมากมายจริงๆเลยนะ แถมยังเก็บงำความลับนับไม่ถ้วนเอาไว้อีกต่างหาก ตกลงแล้วคุณมาจากที่ใดกันแน่?”

 

ระบบกล่าว “สำหรับทุกสิ่งมีชีวิตแล้ว หากพวกเขายังเยาว์วัยและอ่อนแอเกินไป การรู้เรื่องราวเกินควร มันย่อมไม่ใช่เรื่องดีและอาจจะส่งผลให้เกิดอันตรายขึ้นได้”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังประโยคนี้ เขาก็เห็นด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

 

เจ้าตัวจึงไม่คิดเอ่ยถามอะไรอีกต่อไป

 

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ถอนสายตาออกจากหน้าต่าง และมองกลับไปยังแถบที่ลอยอยู่เบื้องหน้าเขา

 

“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือผู้โชคดีได้ถูกรับเลือกให้เป็นผู้เบิกทาง – นี่คือของขวัญจากวิหคหนาม โปรดยืนยันทำการดาวโหลดระบบด้วย”

 

“ยืนยัน / ปฏิเสธ”

 

เนื่องจากมันก็ผ่านมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆจากกู่ฉิงซานซักที แถบตอบโต้ก็เลยยังคงลอยอยู่ทั้งๆอย่างนั้น

 

และบางที เกรงว่ามันคงจะคิดว่านี่มันก็นานเกินไปแล้วนา -บรรทัดตัวอักษรเรืองแสงใหม่จึงปรากฏขึ้น

 

“หลังจากนี้อีก 15 วินาที ระบบเชื้อไฟจะทำการปล่อยตัวดาวโหลดให้คุณโดยอัตโนมัติ”

 

กู่ฉิงซานอ่านตัวอักษรเรืองแสงเหล่านั้น ในหัวใจก็เริ่มกระจ่างชัดมากขึ้น

 

ในชีวิตก่อนหน้านี้ โลกที่เขาอยู่ แท้จริงแล้วระบบที่เคยติดต่อสัมผัสด้วยนั่นคือ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด

 

ขณะที่ ‘เชื้อไฟ’เป็นโปรแกรมรุ่นเบต้าของ ‘ต้นกำเนิด’ นั่นเอง

 

เพื่อที่จะอัพเกรดขึ้นเป็น ‘ต้นกำเนิด’ มันจึงได้มาเยือนเขา

 

กู่ฉิงซานกำดาบยาวในมือแน่นขึ้น

 

และเอ่ยปากอย่างไม่ลังเล “ฉันขอปฏิเสธ”

 

ทันใดนั้น หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรสีขาวก็ปรากฏขึ้นทันที

 

“กรุณาบอกเหตุผลในการปฏิเสธด้วย”

 

พอเห็นแบบนี้กู่ฉิงซานก็ชะงักไป

 

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้ อีกหนึ่งบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นเสียก่อน

 

“นับจากนี้ไป หากคุณปฏิเสธการดาวโหลดระบบเชื้อไฟอย่างไม่มีเหตุผล คุณจะไม่ได้รับรางวัลใดๆของวิหคหนามอีกเลย”

 

“ดังนั้น โปรดอธิบายถึงเหตุผลที่คุณเลือกทำการปฏิเสธเชื้อไฟให้ดี”

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

เดิมที ตอนแรกเขาต้องการที่จะพูดว่า ‘ไม่มีเหตุผล’ นั่นแหละ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะทำไม่ได้แล้ว

 

‘ทำไมอารมณ์ของเชื้อไฟมันดูเดือดๆจัง? ’

 

‘หรือมีคนเคยตอบแบบนี้กับมันไปแล้วกันนะ?’

 

—แน่นอน ว่ากู่ฉิงซานคงไม่ทราบ ว่าเป็นซูเซี่ยเอ๋อนั่นแหละที่ทำให้มันเดือดดาล เลือกตอบปฏิเสธ โดยไร้ซึ่งเหตุผลใดๆ

 

ดังนั้นมาคราวนี้ เชื้อมันมันเลยเกิดฉลาด คิดกลยุทธ์ออกมาเพื่อใช้รับมือกับสถานการณ์ที่ว่านี้

 

ส่งผลให้กู่ฉิงซานจำเป็นต้องมีเหตุผลอธิบายที่เขาปฏิเสธมัน มิฉะนั้นแล้ว เขาจะไม่สามารถดำเนินภารกิจของวิหคหนามต่อไปได้

 

อ่าาาา แล้วนี่ฉันควรจะบอกเหตุผลออกไปว่าอย่างไรดี?

 

 

สักพักหนึ่ง ในที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถคิดหาเหตุผลอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้

 

มองไปยังบรรทัดตัวอักษรเล็กๆที่เปล่งประกายสีสันอยู่เบื้องหน้า เขาก็กล่าวออกมาว่า “พอดีว่าฉันไม่รู้หนังสือน่ะ เลยไม่ทราบว่าไอ้ที่คุณเขียนอยู่มันกำลังหมายถึงเรื่องอะไร”

 

แถบตัวอักษรสีขาวบังเกิดการสั่นไหวอย่างแรง

 

เหตุผลนี้ .. ดูเหมือนว่าจะทำให้มันอารมณ์เสียยิ่งกว่าคำที่บอกว่า ‘ไม่มีเหตุผล’ ซะอีก!

 

ณ จุดๆนี้ หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ส่องสว่างขึ้นทันใด

 

บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้น

 

“คุณสามารถทำการดาวโหลดเชื้อไฟได้”

 

กู่ฉิงซานขัดด้วยความกังวลทันที “แต่มันจะใช้ปร-”

 

“นั่นไม่สำคัญหรอก ตราบใดที่คุณไม่มอบแต้มพลังวิญญาณให้แก่มันก็พอแล้ว”

 

ระบบเทพสงครามอธิบายต่อ “ถ้าคุณไม่ดาวโหลดเชื้อไฟ มันจะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดคุณ”

 

“แสดงว่าถ้าฉันดาวโหลดมัน มันจะไม่กำจัดฉันงั้นหรอ?”

 

“มีผู้เข้าทดสอบกว่าหลายร้อยล้านคนทำการดาวโหลดมัน ดังนั้นเมื่อคุณยอมรับมัน มันก็จะละความสนใจ ไม่มุ่งเป้ามาที่คุณมากมายนัก”

 

กู่ฉิงซานย่้ำถาม “แล้วถ้าโหลด นี่จะส่งผลกระทบอะไรต่อคุณรึเปล่า?”

 

“มันก็แค่ทารกแรกเกิด ฉันไม่กลัวมันหรอก”

 

แม้ระบบเทพสงครามจะกล่าวเพียงไม่กี่คำ แต่กลิ่นอายและความหนักแน่นของประโยคดังกล่าวถึงขั้นทำให้แผ่นหลังของกู่ฉิงซานดีดตั้งตรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

เขาเร่งตะโกนบอกแถบบรรทัดตัวอักษรสีขาวเล็กๆในอากาศทันที “โปรดรอก่อน!”

 

แถบตัวอักษรสีขาวเดิมทีกำลังล่าถอยออกไป ได้ถูกดึงกลับมาด้วยเสียงเรียกของเขาทันที

 

ทว่าตัวอักษรสีขาวทั้งหมดกลับหายไป และเหลือทิ้งไว้เพียงเครื่องหมาย ‘?’ ตัวโตๆปรากฏขึ้นในอากาศเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ทำไมทัศนคติของคุณถึงได้แย่แบบนี้ ฉันก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้หนังสือ ทำไมถึงรีบจากไปทั้งๆที่ยังคุยกันไม่จบกัน?”

 

เครื่องหมาย ‘?’ เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง

 

เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

 

เชื้อไฟกลายเป็นโง่งม มิอาจตอบสนองได้ชั่วครู่

 

กู่ฉิงซานจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ทำไมคุณถึงไม่ใช้เสียงของคุณพูดล่ะ?”

 

เครื่องหมาย ‘?’ ได้หายไปทันที

 

พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น “ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือผู้โชคดีได้ถูกรับเลือกให้เป็นผู้เบิกทาง – นี่คือของขวัญจากวิหคหนาม โปรดยืนยันทำการดาวโหลดระบบด้วย”

 

“ยืนยัน!”

 

ด้วยตัวเลือกของกู่ฉิงซาน คล้ายกับเหมือนจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น

 

เขาจ้องมองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขา

 

ในส่วนของหน้าต่างระบบเทพสงครามได้สาดแสงสีน้ำเงินโปร่งใสขึ้น เพื้อลดพื้นที่ของตัวหน้าต่างลง

 

ขณะที่มีหน้าต่างสีแดงปรากฏขึ้นอยู่เคียงข้างกับมัน

 

ซึ่งหน้าต่างใหม่ที่ปรากฏนี้บอกตรงๆว่าดูง่อยมาก กล่าวได้ว่ามันช่างเป็นหน้าต่างสถานะที่หยาบกระด้างโดยแท้

 

หน้าตาของมัน ห่างไกลจาก เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด ในชีวิตก่อนหน้าอย่างเทียบไม่ติด

 

แต่อย่างน้อยนี่ก็พอพิสูจน์ได้เหมือนกัน ว่าเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ยังคงไม่ได้เริ่มเปิดตัวขึ้น

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏหนึ่งบรรทัดตัวอักษร

 

“มันถูกดาวโหลดเรียบร้อยแล้ว แต่มันยังไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ดังนั้นคุณจะต้องรับหน้าที่แสดงให้มันรู้สึกว่ามีตัวมันเองอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นนะ เข้าใจไหม?”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.534 – เพื่อความยุติธรรม

 

กู่ฉิงซานกกวาดสายตาอ่านบรรทัดแสงตัวอักษรบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน ลืมหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง

 

เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online!

 

ถ้าแม้ว่ามันจะมีสถานะเป็นแค่ ‘เชื้อไฟ’ แต่ในชีวิตนี้ ที่สุดแล้วตนเองก็พบเจอกับมันอีกครั้งจนได้!

 

ดูเหมือนว่าเพื่อเป็นการแจ้งเตือนให้รอบคอบและระมัดระวัง บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้มันถูกย้อมไปด้วยสีเลือด

 

“คำเตือนพิเศษ : ระบบเทพสงครามเริ่มสัมผัสได้ถึง ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ’ !”

 

ทันทีหลังจากนั้น เส้นแสงสีเลือดบรรทัดต่อไปก็เด้งออกมา

 

“เชื้อไฟได้ตรวจพบถึงตัวตนของคุณที่พึ่งเข้าร่วมภารกิจของทริสเต้ ที่มาทีหลังคนอื่นๆแล้ว”

 

“คุณได้เข้ามาในเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online -ระบบของเชื้อไฟกำลังเริ่มทำการประมวลผล”

 

“มันสายเกินไปแล้วที่จะถอนตัวออกจากโลกใบนี้ ดังนั้นช่วยแกล้งทำเป็นไม่ตระหนักถึงมันสักครู่หนึ่งด้วย เพื่อระบบเทพสงครามจะได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์ว่าสมควรทำอย่างไรต่อไป”

 

กู่ฉิงซานที่พึ่งอ่านบรรทัดนี้จบ และก่อนที่เขาจะทันได้ลงมือทำอะไร เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของเขา

 

-เป็นเสียงการเรียกขานของวิหคหนาม

 

นี่คือเสียงที่คอยรับหน้าที่อธิบายถึงภารกิจของวิหคหนาม นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามายังโลกใบนี้

 

“อ้างอิงจากตำแหน่งของคุณ ทิศทางในภารกิจต่อไปได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว”

 

มันยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงโทนเดิม ที่ไม่แตกต่างไปจากในภารกิจแรกเลย

 

“โปรดมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 63 กิโลเมตร แล้วคุณจะได้รับภารกิจต่อไป”

 

กู่ฉิงซานเริ่มกังวลเล็กน้อย

 

เนื่องเพราะเวลานี้ ไม่เพียงมีระบบเทพสงครามผุดแจ้งเตือนขึ้นมา แต่ภารกิจของทริสเต้ก็ปรากฏขึ้นมาอีกแล้วเช่นกัน

 

สถานการณ์ได้พัฒนาขึ้นไปเกินกว่าความคาดหวังเดิมของเขา

 

ทุกอย่างเต็มไปด้วยตัวแปรที่ไม่รู้จัก

 

แม้เบื้องหลังเวลานี้จะดูเหมือนกำลังสงบ ทว่ามันกลับซ่อนสถานการณ์ที่อันตรายสุดหยั่งถึง ร้ายแรงที่สุดเลยนับตั้งแต่ที่เขาได้กลับมาจุติใหม่

 

และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันก็สายเกินไปแล้วที่จะถอนตัว

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว

 

—เพราะแม้ว่าเขาจะสามารถถอนตัวได้ทัน แต่ตนคงไม่คิดจะทำแบบนั้นอย่างแน่นอน

 

เพื่อที่จะค้นหาร่องรอยของซูเซี่ยเอ๋อ เขาจะต้องมุ่งหน้า ปฏิบัติตามเส้นทางภารกิจของทริสเต้ต่อไป!

 

“ไปกันเถอะ”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ก็ไปสิ ว่าแต่ทำไมท่าทีของเจ้าถึงได้ดูกังวลจัง?” ลอร่าถาม

 

“พอดีว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างที่เกินความคาดหมายของกระหม่อมไปนิดๆหน่อยๆเกิดขึ้นน่ะ”

 

ว่าแล้วร่างของทั้งสองก็เห็นแค่เพียงเงา กระโจนข้ามผ่านผาชัน และมุ่งตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเพียงทุ่งน้ำแข็งไกลออกไปสุดสายตารอคอยอยู่เบื้องหน้า

 

แม้จะเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกล แต่นั่นมันสำหรับมนุษย์ธรรมดาๆเท่านั้น เพราะเพียงไม่นาน กู่ฉิงซานก็ได้มาถึงสถานที่เป้าหมายในที่สุด

 

เบื้องหน้าเขากับลอร่า มันเป็นดินแดนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันหนา

 

ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือจิตสัมผัสเทวะ ก็มิอาจเจาะเข้าไปภายในนั้นได้

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ตรงขอบที่ขวางกั้นไปด้วยหมอกหนา ปากเอ่ยถามลอร่า “ฝ่าบาทเคยเห็นสถานที่เช่นนี้มาก่อนหรือไม่?”

 

“อื้ม นี่มันเป็นโลกที่ถูกสร้างขึ้นในมิติอื่นๆน่ะ”

 

ลอร่าลองสัมผัสถึงมัน และบอกเขา

 

มองไปยังท่าทีงงงวยที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน เธอจึงอธิบายต่อว่า “ในบางช่องว่างมิติอื่นๆ มันยังคงมีโลกอีกมากมายที่ยังคงไม่เคยถูกค้นพบ ซึ่งโลกเหล่านี้เดิมทีอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ นอกเหนือไปจากสิ่งมีชีวิตในดินแดนอัศจรรย์แล้ว สิ่งมีชีวิตจากดินแดนอื่นๆนับว่ามีโอกาสน้อยนักที่จะได้เห็นโลกแบบนี้”

 

“ถ้าอย่างนั้น โลกเหล่านั้นก็อยู่ในสถานะของหมอกสีเทางั้นหรือ?”

 

“เปล่า หมอกสีเทาเป็นเทคนิคมนตราของทริสเต้ มีไว้เพื่อคุ้มครองให้โลกใบนี้ปลอดภัย และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับโลกภายนอก”

 

“ความขัดแย้ง?”

 

“ใช่ หากโลกหนึ่งซ้อนทับกันอยู่ในอีกโลกหนึ่ง มันจะเกิดการปฏิเสธซึ่งกันและกัน และเกิดการขัดแย้งบางอย่างขึ้น”

 

ลอร่าถอนหายใจและกล่าวต่อ “แต่ไม่คาดคิดเลยว่าในโลกของเอสเต้ จะยังมีโลกอื่นในดินแดนอัศจรรย์ถูกเก็บซ่อนเอาไว้อยู่อีก”

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังกล่าว การเรียกขานของวิหคหนามก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“ภารกิจใหม่ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว”

 

“ตอนนี้ คุณได้รับการยอมรับว่ามีคุณสมบัติมากพอที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของทริสเต้”

 

“ภายในหมอกสีเทานี้ มีสิ่งปลูกสร้างที่สูงกว่า 600 ชั้นตั้งอยู่”

 

ฟู่วววว!

 

พร้อมกันกับเสียงนี้ ร่างของกู่ฉิงซานก็ถูกยกสูงขึ้น

 

สายลมหวิวพัดพาเขา ยกทั้งคนทั้งร่างและพื้นหิมะและน้ำแข็งรอบตัว ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากนั้นหลายสิบลมหายใจ การลอยตัวในแนวตั้งก็หยุดลง และเริ่มโฉบไปในแนวขนาน มุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่งบนท้องฟ้า

 

ตัวเขาพุ่งผ่านชั้นหมอกเมฆหนา และในที่สุดก็ร่างของตนก็เริ่มต้องกับแสงอาทิตย์อีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานก้มลงดู

 

และพบว่าชั้นน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าของเขาเริ่มละลาย มันจึงค่อนข้างลื่น ทำให้การที่เขาจะเคลื่อนไหวไปในแต่ละก้าว มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย

 

แต่โชคยังดีที่พื้นน้ำแข็งยังคงบินไปอย่างต่อเนื่อง มันรองรับกู่ฉิงซาน พาบินเข้าไปท่ามกลางหมอกสีเทา

 

หมอกปิดกั้นสายตาอยู่เพียงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ช้าทิวทัศน์อันคับแคบก็เริ่มเปิดกว้างขึ้น

 

กู่ฉิงซานเห็นแค่เพียงตึกสูง 600 ชั้น

 

มันเป็นอาคารสูงตระหง่านที่ดูแปลกตา เกินกว่าจะจินตนาการได้ หากมองจากภายนอก

 

อย่างเช่น มีอยู่ชั้นหนึ่งที่ตลอดทั้งชั้นประกอบขึ้นมาจากไม้ คล้ายกับสิ่งปลูกสร้างสมัยโบราณ เพียงเพ่งมอง ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายลึกลับและทรงเสน่ห์ของมัน

 

ขณะที่สิ่งปลูกสร้างอื่นๆอีกหลายสิบชั้น บ้างก็ประกอบขึ้นมาจากเหล็ก บ้างก็มาจากโลหะผสมแต่ขณะเดียวกันมันกลับมีภาพโฮโลแกรมแสดงผลข้อมูลต่างๆออกมาอย่างน่าฉงน

 

ส่วนบางชั้นก็ดูมีลักษณะคล้ายกันกับปราสาท

 

นอกจากนี้ยังมีที่ทั่วทั้งชั้นก่อขึ้นมาจากอิฐและกระเบื้อง บ้างบนพื้นปูไปด้วยน้ำแข็ง , อัญมณี และทองคำสลับๆกันไป

 

และมันเป็นแบบนี้เรียงยาวๆกันไปกว่า 600 ชั้น ดังนั้น เพียงแค่รูปลักษณ์ที่ปรากฏออกมา ก็ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกตื่นตา ประทับใจตั้งแต่แรกพบ

 

“ทำไมเจ้าตึกนี่มันถึงได้ดูประหลาดนัก?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไม่ใช่แค่ตึก แต่มันคือโลก” ลอร่ากล่าว

 

เธอกำไหล่ของกู่ฉิงซานแน่น

 

กู่ฉิงซาน “ทำไมหรือ เกิดอะไรขึ้น?”

 

ลอร่า “เปล่าหรอก เราแค่รู้สึกกลัวความสูงนิดหน่อยน่ะ”

 

กู่ฉิงซานจึงโอมเธอไว้ในอ้อมแขน ทะยานตัวออกจากพื้นน้ำแข็ง และไปร่อนตกลงบนตึก 600 ชั้น

 

เขายืนอยู่บนขอบของยอดตึกสูง และหันไปสำรวจรอบๆ

 

มองไกลออกไป เป็นท้องฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุด

 

อาาา แสงแดดแบบนี้กำลังดีเลย

 

แต่น่าเสียดาย ที่มันดันเป็นโลกเพชฌฆาต มีแต่การฆ่าล้างกันไปซะได้

 

ระบบราชามาร ซุกซ่อนอยู่ที่นี่

 

แต่น่ากลัวว่าเพียงเพราะมันระบบเดียว คงมิแคล้วก่อให้เกิดเลือดสดๆของสิ่งมีชีวิตนับสิบล้าน ร้อยล้านเอ่อนองเป็นสายธารเป็นแน่

 

“เข้าไปข้างในอีกหน่อยเถอะ เราไม่อยากอยู่ตรงขอบๆแบบนี้เลย มันน่ากลัว”

 

ลอร่ากล่าว

 

กู่ฉิงซานเลยตามใจเธอ เดินกลับเข้าไปที่ใจกลางของยอดหลังคาตึก

 

ลอร่าจึงค่อยกระโดดออกจากอ้อมแขนเขา กลับมานั่งลงบนไหล่ดังเดิม

 

ในขณะนั้นเอง เสียงประกาศเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“เริ่มอธิบายภารกิจ”

 

“ภารกิจนี้ง่ายดายมาก ขอแค่คุณสามารถข้ามผ่านตลอดทั้ง 600 ชั้น ลงไปจนถึงภาคพื้นดินได้ แค่นี้ก็นับว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว”

 

“คำเตือน คุณไม่สามารถเลือกที่จะบินลงมาจากภายนอกอาคารเลยโดยตรงได้ หากกระทำการอันดูเกียจคร้าน หย่อนหยานเช่นนั้น -คุณก็จะถูกปฏิเสธ ให้ไม่ได้รับของรางวัลจากทริสเต้”

 

“ภารกิจได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว”

 

ว่าจบ เสียงนั้นก็หายไป

 

ขณะเดียวกัน ใต้ฝ่าเท้าของกู่ฉิงซาน ก็ผุดบานประตูไม้ปรากฏขึ้น

 

บนบานประตูไม้ มีเลขเขียนเอาไว้ว่า : 600

 

นี่ดูเหมือนว่าเขาจะต้องผ่านประตูลงไป ทีละชั้นๆ

 

–สงสัยจังว่าถ้ามีลิฟต์ติดตั้งเอาไว้ด้วย ภารกิจในครั้งนี้คงจะรวดเร็วกว่านี้ไม่น้อยเลย

 

กู่ฉิงซานลองคิดขำๆ เขากำดาบพิภพในมือแล้วกำลังเตรียมที่จะเปิดประตูลงไป

 

ติ๊งต่อง!

 

ทว่าทันนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงอันคมชัดขึ้น

 

หลายตัวอักษรขนาดเล็กสีขาวปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือผู้โชคดีได้ถูกรับเลือกให้เป็นผู้เบิกทาง – นี่คือของขวัญจากวิหคหนาม โปรดยืนยันทำการดาวโหลดระบบด้วย”

 

ทันใดนั้นแถบตัวเลือกก็ปรากฏขึ้นมา

 

“ยืนยัน / ปฏิเสธ”

 

-นี่เป็นตัวเลือกเดียวกันกับที่ซูเซี่ยเอ๋อพบเจอมาก่อนหน้านี้

 

แม้ระบบเทพสงครามจะบอกแล้วว่า‘เชื้อไฟ’ได้ตรวจพบเขา แต่นี่มันกลับถึงขั้นสามารถเชื่อมต่อกู่ฉิงซานเลยตรงๆ โดยไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนใดๆล่วงหน้าเลย

 

กู่ฉิงซานมองไปยังแถบตัวเลือกนี้ ในจิตใจลอบหัวเราะออกมาทันที

 

ไอ้นี่น่ะหรอคือเชื้อไฟที่ว่า?

 

หรืออีกชื่อนึงมันก็คือเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online สินะ?

 

แต่กระบวนการของมันดูจะไม่เหมือนกับในช่วงชีวิตก่อนหน้า …

 

“แต่ส่งคำล่อลวงใจง่อยๆแบบนี้มา .. มันจะไม่เป็นการดูถูกฉันเกินไปหน่อยหรอ?”

 

กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

ในขณะนั้นเอง บนหน้าต่างระบบเทพสงครามที่เงียบไปครู่หนึ่ง ก็เด้งตัวอักษรขนาดเล็กสีเลือดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“จงระวัง!”

 

“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ ได้มาเยือนแล้ว!”

 

“แต่ระบบเทพสงครามก็ได้ทำการตัดสินใจวางกลยุทธ์ที่ครอบคลุมไว้แล้วเช่นกัน”

 

“โปรดทำการเลือกมัน และจดจำเอาไว้ด้วยว่า การตัดสินใจนี้ จะเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ของคุณไปตลอดกาล”

 

“ทางเลือกแรก : ละทิ้งภารกิจ เลือกที่จะหาที่หลบซ่อนตัว ยามเมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้นในอีกสองวัน ระบบจะส่งคุณกลับไป และโชคชะตาของคุณก็จะเป็นดั่งที่ซูเซี่ยเอ๋อเคยทำนายเอาไว้ -ว่าในอีกไม่กี่ปี คุณจะกลายเป็นตัวตนทรงพลานุภาพ สามารถระเบิดอำนาจระบือไกลไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น”

 

“ทางเลือกที่สอง : ตามหาซูเซี่ยเอ๋อ พยายามช่วยชีวิตเธอแล้วค่อยจากไป ซึ่งในกรณีนี้ โชคชะตาอันข่มขื่นที่ซูเซี่ยเอ๋อแบกรับจะกลับคืนมาสู่คุณอีกครั้ง และนับตั้งแต่นั้นไป ในอนาคต เป็นไปได้มากทีเดียว ที่ชะตากรรมของคุณก็จะพบเผชิญกับความเสี่ยงและอันตรายนานับไม่ถ้วน”

 

“คำเตือนพิเศษ!”

 

“นี่คือทางเลือกที่หากเลือกแล้ว จะไม่สามารถย้อนกลับได้”

 

“เนื่องจากสงครามเต็มรูปแบบกำลังจะปะทุขึ้นในเร็วๆนี้ ดังนั้นเมื่อคุณได้ตัดสินใจเลือกแล้ว ระบบเทพสงครามก็จะมุ่งมั่นทำการปรับสมดุลและกลยุทธ์ของตนเองให้เหมาะสม สอดคล้องกับทางเลือกนั้นๆ”

 

“ได้โปรดช่วยพิจารณาเกี่ยวกับมันอย่างจริงจังและตัดสินใจอย่างรอบคอบด้วย”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านตัวเลือกทั้งสองและจมลงสู่ความเงียบ

 

แล้วฉันจะเลือกข้อไหนดี?

 

ดูเหมือนว่าสมควรที่จะเลือกข้อที่สองนะ

 

แต่ตัวเลือกนี้ ยามเมื่อมองมัน กลับส่งผลให้กู่ฉิงซานรู้สึกไม่สบายใจอย่างที่มิอาจอธิบายได้

 

เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

 

“ระบบเทพสงคราม คุณพอจะช่วยสร้างทางเลือกใหม่ให้ฉันอีกสักครั้งได้รึเปล่า?” เขาเอ่ยถามอย่างเงียบๆในจิตใจ

 

ติ๊ง!

 

บังเกิดเสียงอันคมชัด ระบบเทพสงครามตอบกลับ “มีเพียงสองทางเลือกนี้ ที่ระบบสามารถรับประกันได้ว่ามันเป็นตัวเลือกที่ดี และเหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ในปัจจุบัน”

 

“อ้อ ฟังจากที่บอกมา นั่นหมายความว่ายังพอที่จะสามารถสร้างทางเลือกอื่นขึ้นมาได้อีกสินะ งั้นฉันขอเพิ่มเข้าไปอีกสักทางก็แล้วกัน”

 

“ทางเลือกอื่นที่คุณต้องการคืออะไร?” ระบบถาม

 

“ฉันต้องการที่จะกำจัดเชื้อไฟ”

 

กู่ฉิงซานลองไตร่ตรองดูเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “ใช่แล้วล่ะ นี่ต่างหากคือทางเลือกที่ดีที่สุด มันเหมือนกับเป็นการขว้างหินก้อนเดียว ฆ่านกได้สองตัว ตราบใดที่ฉันกำจัดเชื้อไฟได้ ซูเซี่ยเอ๋อก็จะปลอดภัย อย่าลืมสิ ว่าในชีวิตก่อนหน้า เจ้าเกมๆนี้มันยังมีหนี้แค้นกับฉันอยู่อีกนะ”

 

ระบบเทพสงครามอธิบาย “ในการประเมินเชิงกลยุทธ์ของระบบ ทางเลือกดังกล่าวนับว่ายากเย็นที่สุดที่จะบรรลุ และคุณจะตายโดยไม่ทันได้ระวัง ไม่อย่างนั้นก็จะเข้าสู่วิถีมารอย่างง่ายดาย”

 

“แล้วจากการประเมินของคุณ มีความหวังที่ฉันจะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้รึเปล่า?”

 

“ย่อมมี … แต่มันน้อยนิดเหลือเกิน”

 

“แต่นั่นก็ยังนับว่าเป็นความหวัง” กู่ฉิงซานกล่าว “และหากยังคงมีความหวัง ฉันก็จะคว้าโอกาสนั่น แล้วกำจัดมันซะ!”

 

ระบบถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง จึงค่อยเอ่ยถาม “จริงๆแล้วคุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย เพราะอะไรถึงยืนกรานที่จะเลือกทางดังกล่าว?”

 

“เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำน่ะสิ”

 

“ต้องทำอย่างนั้นหรือ?”

 

“ใช่”

 

กู่ฉิงซานพูดจบก็สูดหายใจลึก

 

เขาเหม่อมองไปในความว่างเปล่า คล้ายกับกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์บางอย่าง

 

ในช่วงเวลานั้นเอง ดวงตาของเขาก็ข้ามผ่านห้วงกาลเวลา มองย้อนกลับไปยังช่วงอดีต

 

ผู้คนที่คอยติดตามและยืนหยัดร่วมต่อสู้เคียงข้างกันกับเขา …

 

ผู้ที่มองไม่เห็นซึ่งความหวัง และร่ำไห้อยู่ท่ามกลางความมืดมิด …

 

ผู้ที่ก้าวเดินไปด้วยกันกับเขาตลอดทั้งเส้นทาง และในท้ายที่สุดก็ต้องแยกจากกันไป …

 

“ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นเด็กกำพร้า แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวเลยในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตก่อนหน้า”

 

น้ำเสียงของกู่ฉิงซานต่ำลง แต่ขณะเดียวกันมันก็ฟังดูเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

“ตั้งแต่จุติใหม่อีกครั้ง ฉันก็ตระหนักอยู่เสมอมา ว่าชีวิตนี้ของฉันไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเองอีกต่อไป”

 

“หากเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และคุณก็รู้ดีว่าอย่างไรก็ต้องเผชิญกับมัน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ สู้เอาเวลาไปคิดหาวิธีการและลงมือเอาชนะมันให้จงได้ซะไม่ดีกว่าเหรอ!”

 

“ใช่แล้วล่ะ ฉันต้องการที่จะไขว่คว้าความยุติธรรม แล้วนำมันมามอบให้แก่เหล่าสหายทุกๆคนที่เคยได้ร่วมเป็นร่วมตายกันมา กลับคืนดังเดิม”

 

หลังจากที่เอ่ยกับตัวเอง เขาก็ถอนหายใจยาวและกล่าวต่อ “ดังนั้น คุณช่วยเพิ่มตัวเลือกอื่นให้ฉันเถอะ นั่นแหละคือวิธีที่ฉันจะสามารถต่อสู้ได้เด็ดขาด ไร้ความกังวลใดๆ”

 

“แต่ถ้าคุณไม่สามารถเพิ่มทางเลือกอื่นได้แล้วล่ะก็ …”

 

“ฉันคงต้องละทิ้งมันทั้งสองทางเลือก และออกไปเผชิญหน้ากับเชื้อไฟด้วยตนเองโดยลำพัง!”

 

“และแน่นอนว่าจะทุ่มสุดกำลัง!”

 

ระบบพอได้ฟังก็เงียบไป

 

มันเงียบไปนานกว่าปกติเลยทีเดียว

 

แต่ทันใดนั้นเอง บรรทัดเส้นแสง ที่ร้อยเรียงไปด้วยตัวอักษรสีเลือดก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอีกครั้ง

 

“คุณเป็นบุรุษที่เลือดในตัว ลุกโชนไปด้วยประกายแห่งการต่อสู้อย่างแท้จริง การตัดสินใจของคุณได้ทำลายห่วงโซ่แห่งโชคชะตา ไม่ว่าผลลัพธ์ของมันจะนำไปสู่ความตายหรือไม่ก็ตามที –แต่เวลานี้ อย่างไรเสียก็นับได้ว่าคุณคือคนที่คู่ควรกับสมญาเทพสงครามอย่างแท้จริง!”

 

“ทางเลือกของคุณได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าคุณเหมาะสมกับสมญาเทพสงคราม”

 

“เมื่อครู่ ระบบได้ทำการปรับปรุงกลยุทธ์ที่สอดคล้องจนเสร็จสิ้นแล้ว”

 

“นับตั้งแต่วันนี้ไป ‘ภารกิจแห่งโชคชะตา’ จะถูกยกเลิก”

 

“อีกสามวินาทีต่อจากนี้ ระบบจะเริ่มทำการอัปเดตใหม่”

 

3

 

2

 

1

 

“ ‘ภารกิจระบบเทพสงคราม’ ได้เปิด Online ขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!!!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.533 – เหมันต์ยามค่ำ

 

บนพื้นน้ำแข็ง

 

ท่ามกลางพายุหิมะร้องหวีดหวิว

 

ทว่ากลับเกิดปรากฏการณ์น่าฉงน ที่จู่ๆก็มีแสงสว่างจ้าส่วนหนึ่ง ลุกโชนขึ้น ทะยานไปเชื่อมต่อกับท้องฟ้า

 

กู่ฉิงซานกับลอร่ายืนอยู่ตรงขอบหน้าผา เฝ้ารอการประกาศภารกิจเสร็จสิ้น

 

“ทำไมพวกเราถึงยังไม่ได้รับการตัดสินว่าบรรลุภารกิจแล้วซักที?” กู่ฉิงซานบ่น

 

“อย่าพึ่งกังวลไป ปกติแล้วก็มักจะใช้เวลาสักครู่หนึ่งแบบนี้แหละ” ลอร่ากล่าว

 

ขณะที่กำลังสนทนากัน ทั้งสองก็เหมือนกับจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงหุบปากลงพร้อมกัน

 

มองไปยังละรอกคลื่นของลาวาที่กำลังกระเพื่อมอยู่เบื้องล่าง

 

ปรากฏสิ่งแปลกปลอมบางอย่างลอยอยู่บนผิวธารกระแสลาวา

 

มันแลคล้ายกับโคนต้นสนขนาดใหญ่ มองลงไปจากมุมสูงจะดูเหมือนกับเรือขนาดเล็กที่สามารถนั่งลงได้ราวๆ 3-5คน

 

ท่ามกลางการหลอมละลายของลาวา ผิวของโคนต้นสนค่อยๆถูกกระเทาะออก และเผยให้เห็นถึงเนื้อในซึ่งเป็นชั้นผิวที่ดูแสนจะลึกลับ

 

เหมือนว่าเดิมที ชั้นผิวขนาดใหญ่นี้จะถูกซุกซ่อนตัวอยู่ในก้นบึ้งเบื้องล่างของหุบเหวลึก และถูกเก็บไว้โดยปีศาจหิมะนับไม่ถ้วน

 

หากมิใช่เพราะปืนในตำนานอย่างหงสาคำรนฟีเนียส ที่พึ่งสำแดงอำนาจ ระเบิดเปลวเพลิงหลอมละลายไปตลอดทั้งหุบเหวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ลึกลงจนสุดก้นบึ้ง เกรงว่าทั้งสองก็คงจะไม่ได้ค้นพบกับผลไม้ชิ้นนี้

 

“นั่นมันบ้าอะไรกันน่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยปากออกมา

 

“มันคือผลไม้แช่แข็ง” ลอร่าตอบด้วยสีหน้าแปลกๆ “เป็นผลไม้ของต้นไม้สมบัติในดินแดนอัศจรรย์ มันมักจะชอบซ่อนตัวอยู่ในสถานที่เย็นฉ่ำ มีความสามารถในการแยกกลิ่นอายของตัวเอง เพื่อป้องกันการถูกค้นหา และจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของมันก็คือ กลัวอุณหภูมิสูง”

 

“งั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันลอยขึ้นมา” กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

นี่คงจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หากมิใช่เพราะปืนพกกระบอกนั้น ผลไม้นี้คงจะสามารถซ่อนตัวเองอยู่ได้ตลอดไป

 

ขณะพูดคุยกัน เขาและเธอก็เห็นว่าผลไม้ค่อยๆปริออกท่ามกลางลาวา

 

ผิวของมันปรากฏรอยร้าวเป็นชั้นๆ

 

เป๊าะ!

 

บังเกิดเสียงกระเทาะดังขึ้น

 

ผลไม้ก็แตกออกเป็นชิ้นๆโดยสมบูรณ์

 

แล้วขนนกที่ดูคล้ายกับผลึกน้ำแข็งใส คอยส่งกลิ่นอายเย็นเยียบ ซุกซ่อนตนอยู่ภายในผลไม้ ก็ปรากฏออกมาสู่สายตาของทั้งสอง

 

มันถูกรองรับเอาไว้ด้วยชิ้นส่วนของเปลือกผลไม้ที่แตกออก ส่งผลให้ขนนกยังมิได้สัมผัสเข้ากับลาวาเดือดตรงๆ

 

แต่ทันทีที่ขนนกนี้ปรากฏขึ้น ธารลาวาโดยรอบก็มอดดับลงทันที

 

กระแสลาวาโดยรอบแปรสภาพเป็นแผ่นหินสีดำขนาดใหญ่ ทอดยาวออกไป

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขนนกผลึกน้ำแข็งนี้ต้องเผชิญ มันคือตลอดทั้งทะเลสาบลาวา ดังนั้นแม้มันจะทรงพลัง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะต่อกร

 

ขนนกเริ่มสั่นสะท้าน

 

ทันใดนั้นชั้นผิวของขนนกผลึกน้ำแข็งก็สาดชั้นรังสีแสงออกมา

 

ใบหน้าของลอร่าแปรเปลี่ยนกลับกลาย

 

นั่นเป็นเพราะเธอรู้จักเจ้าของขนนกนี้!

 

“รีบไปนำมันมาเร็วเข้า!” ลอร่ากรีดร้องเสียงดัง

 

“เข้าใจแล้ว”

 

กู่ฉิงซานจีบออกด้วยวิชาลับ ก้าวตรงไปสุดขอบหน้าผา แล้วเอื้อมมือออกไป

 

ขนนกผลึกน้ำแข็งบินเข้ามาในมือของเขาทันที

 

เย็นจัง!

 

ทันทีที่สัมผัสโดนมือ ชั้นน้ำแข็งบางๆก็เริ่มกัดกิน ลามไปตามนิ้ว ลากยาวแผ่ขยายไปทั่วแขนของกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว

 

เขาจึงเร่งกระตุ้นพลังวิญญาณเพื่อระงับการรุกล้ำของพลังเยือกแข็งนี้เอาไว้ชั่วคราว

 

ปกติแล้วพลังธาตุน้ำแข็งระดับนี้ มันไม่สมควรที่จะสามารถคุกคามใดๆแก่เขาได้

 

แต่นี่มันเป็นเพียงแค่ขนนก ทว่ากลับครอบครองพลังอำนาจถึงขนาดนี้ได้นี่มัน … ภายใต้การตริตรองอย่างรอบครอบ ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะบังเกิดความสงสัย

 

กู่ฉิงซานหรี่ตาลง เพ่งมองขนนกผลึกน้ำแข็งอย่างระมัดระวัง

 

เห็นแค่เพียงรอยเลือดจางๆ ที่หากไม่สังเกตก็คงแทบจะมองไม่เห็นบนขนนกนี้

 

ก่อนหน้านี้ขนนกได้ต่อสู้กับทะเลสาบลาวา ส่งผลให้ชั้นแสงหลากสีรอบตัวมันอ่อนโทรมลงเล็กน้อย

 

พอเห็นว่ามันปลอดภัย ลอร่าก็โล่งใจในที่สุด

 

โชคยังดีที่กู่ฉิงซานสามารถลงมือได้ทันเวลา มิฉะนั้นแล้วหากมันถูกกระตุ้นจนหลอมละลาย กลิ่นอายของขนนกนี้ก็คงจะถูกเปิดเผย แพร่กระจายออกไปโดยสิ้นเชิงเป็นแน่

 

แต่ดูเจ้าตัวก็ยังคงไม่รู้สึกวางใจ จึงเปล่งคาถา ร่ายลงบนขนนกผลึกน้ำแข็งทับเอาไว้อีกชั้น

 

แสงไสวจากผลึกน้ำแข็งมอดดับลง กลับคืนสู่ขนนกในที่สุด

 

ขนนกกลับคืนสู่ความสงบดังเดิมอีกครั้ง

 

“ฟู่ว… เราได้ปิดซ่อนคลื่นความผันผวนของมันเอาไว้แล้ว ทริสเต้จะไม่มีทางค้นพบถึงการดำรงอยู่ของมันได้อย่างแน่นอน” ลอร่าผ่อนลมหายใจ กล่าวออกมาด้วยความสุข

 

กู่ฉิงซานที่กำลังเฝ้ารอเงียบๆ จนกระทั่งเธอเสร็จสิ้นกระบวนการนี้ ได้เอ่ยปากถามออกมา “แล้วเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกัน?”

 

ใบหน้าของลอร่าดูเศร้าหมอง แต่ขณะเดียวกันมันก็ผสมปนเปไปกับความสงสัย

 

“นี่คือขนนกของเหมันต์ยามค่ำ – อีเลีย , ดูเหมือนว่าเธอจะเคยมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่” ลอร่าบ่นงึมงำ

 

“เธอเป็นคนรู้จักของฝ่าบาทอย่างงั้นหรอ?”

 

“ใช่ เหมันต์ยามค่ำอีเลีย , แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ ทั้งสองคนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาวิหคหนาม”

 

“แสงแห่งรุ่งอรุณจะเป็นผู้รับผิดชอบในการคุ้มภัย – องครักษ์แห่งราชวงศ์ทุกคนจะตกอยู่ในความดูแลของเธอ ซึ่งรับหน้าที่ในการรับผิดชอบความปลอดภัยทั้งหมด”

 

“แต่ทริสเต้กลับสังหารทุกคนในครอบครัวของเรา ปิดกั้นไม่ให้ข่าวนี้รั่วไหล ในขณะที่เราออกมาจากอาณาจักร และมุ่งหน้ามายังอัลเบอัส”

 

“ถ้าแสงแห่งรุ่งอรุณรับผิดชอบในด้านคุ้มภัย แล้วเหมันต์ยามค่ำล่ะ มีหน้าที่อะไร?”

 

“เธอเป็นผู้รับผิดชอบในด้านงานสงครามภายนอก ตลอดทั้งอาณาจักรวิหคหนาม”

 

กู่ฉิงซานพอได้รับฟัง ก็ตระหนักถึงใจความสำคัญของเรื่องนี้ทันที คิ้วของเขายกสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด

 

“นั่นหมายความว่า … กองทัพทั้งหมดย่อมตกอยู่ภายใต้คำสั่งของเธอใช่หรือไม่?” เขาถาม

 

“ใช่”

 

“แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

 

ลอร่าส่ายหัวและกล่าว “ไม่รู้สิ เดิมทีทริสเต้เป็นคนรับผิดชอบในด้านความปลอดภัยทั้งหมด ขณะที่อีเลียรับผิดชอบในการปกป้องอาณาจักร แล้วเพราะเหตุใดเธอจึงได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่กันแน่นะ?”

 

ลอร่ายังคงตกอยู่ในความสับสนอันล้ำลึก

 

นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?

 

กู่ฉิงซานเริ่มปั่นสมอง ใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว

 

“กระหม่อมจะลองกล่าวในสิ่งที่คิดดู และฝ่าบาทก็คอยตอบนะว่าสิ่งที่กระหม่อมกล่าวมันถูกต้องหรือไม่”

 

“เข้าใจแล้ว” ลอร่าตอบรับ

 

“มีเลือดติดอยู่บนขนนก ดังนั้นดูเหมือนว่าอีเลียจะได้รับบาดเจ็บ”

 

“ใช่”

 

“ในเมื่อเธอเลือกที่จะซ่อนขนนกนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอกลัวว่าทริสเต้จะค้นพบถึงร่องรอยของเธอใช่หรือไม่”

 

ลอร่าพยักหน้า “หลังจากที่ขนของวิหคหนามร่วงตกลง มันก็ยังคงแฝงไว้ซึ่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ของเจ้าของ”

 

“ในกรณีนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บจากภายนอก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังสามารถที่จะเข้ามาสู่โลกใบนี้ได้”

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเธอได้รับบาดเจ็บจากภายนอก?” ลอร่าถาม

 

“เพราะหากเธอได้รับบาดเจ็บในโลกนี้ มันก็จะพิสูจน์ได้ว่าเธอเคยต่อสู้ที่นี่ แต่กระหม่อมจดจำได้ว่า พระองค์เคยกล่าวว่าในโลกของวิหคหนาม วิหคหนามตนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของ มิสมควรกระทำการใดๆที่จะเป็นการปลดปล่อยกลิ่นอายออกมา เพราะมันจะทำให้พวกเขาถูกตรวจพบได้อย่างง่ายดาย”

 

“จึงสรุปได้ว่าเธอไม่ได้ต่อสู้ที่นี่ ดังนั้นอาการบาดเจ็บของเธอก็สมควรที่จะได้รับมันมาจากภายนอก”

 

“แท้จริงแล้วก็เป็นแบบนี้” ลอร่าอุทาน

 

กู่ฉิงซานยังคงคิด และพูดต่ออย่างรวดเร็ว “เห็นได้ชัดว่าเธอสามารถตระหนักได้ถึงปัญหา และบางทีอาจจะได้ล่วงรู้ถึงข้อมูลลับบางอย่าง ทำให้บังเกิดข้อสงสัยในตัวของทริสเต้”

 

“และนั่นคงจะเป็นเหตุผลที่เธอออกมา – แต่ก็สายเกินไป เพราะแผนของทริสเต้สำเร็จไปแล้ว”

 

“ตลอดทั้งราชวงศ์ หลงเหลือเพียงฝ่าบาทคนเดียวเท่านั้นที่หลบหนีมาได้”

 

“กระหม่อมเชื่อว่า เบาะแสแม้เพียงนิด ก็คงจะทำให้เธอตระหนักได้ว่าฝ่าบาทได้หายตัวไป”

 

กู่ฉิงซานมองลอร่า และกล่าวอย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อท่านแม่ของฝ่าบาทถูกแทนที่ด้วยตัวปลอม แถมเจ้าหญิงก็ยังหายตัวไป ดังนั้นเหมันต์ยามค่ำอีเลีย จะต้องเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน”

 

“ทว่าหากแม้กระทั่งจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สามารถตรวจจับถึงฝ่าบาทได้”

 

“ฉะนั้นเกรงว่าเหมันต์ยามค่ำอีเลีย ก็คงจะไม่อาจตามหาตัวพระองค์ได้เช่นกัน สรุปแล้วการที่เธอเลือกมายังโลกของทริสเต้ก็เพื่อตามหาตัวท่าน และขณะเดียวกันก็รวดตรวจสอบถึงเหตุผลที่ทริสเต้ทรยศราชวงศ์ไปด้วยเลยในคราวเดียว”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยในสิ่งที่คิดตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้า “ทั้งหมดทั้งมวลก็สมควรที่จะเป็นประมาณนี้”

 

ลอร่าพอได้ฟังชุดประโยคพวกนี้ เธอก็ตกใจและนิ่งงันไปอยู่นาน

 

แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ เธอเริ่มที่จะค้นพบว่าบุรุษตรงหน้าเธอ ก็ค่อนข้างที่จะน่ากลัวขึ้นมานิดหน่อยแล้วเหมือนกัน

 

‘โชคดีจริงๆที่เขาเป็นสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม’

 

“ไม่น่าแปลกใจเลย … ” ลอร่าบ่นงึมงำ “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดตัวเราจึงสามารถผนึกโลกใบนี้ได้ง่ายดายนัก มันกลับกลายเป็นว่า แต่เดิม เทคนิคมนตราชั้นนอกที่ทริสเต้ร่ายป้องกันโลกใบนี้เอาไว้ มันได้ถูกทำลายลงโดยฝีมือของอีเลียมาก่อนแล้วนั่นเอง เราก็หลงคิดว่าตนโชคดี สามารถผนึกโลกนี้ได้ด้วยตัวเองซะอีก”

 

“แต่ฝ่าบาทก็ยังสามารถปั่นหัวทริสเต้ไม่ให้หาโลกใบนี้ได้พบ แถมยังทำให้ทริสเต้ไม่อาจตรวจจับได้ถึงสิ่งผิดปกติใดๆได้อีก แค่นี้พระองค์ก็ร้ายกาจมากพอแล้วนะ” กู่ฉิงซานกล่าวสรรเสริญ

 

ขณะกล่าว เขาก็เริ่มจมลงสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง

 

แล้วจู่ๆเขาก็เอ่ยถามออกมาว่า “เหมันต์ยามค่ำอีเลีย – เป็นผู้ที่ภักดีต่อราชวงศ์หรือไม่?”

 

“เธอเป็นแม่ทูนหัวของเรา และครั้งหนึ่งเธอเคยสาบานว่าจะปกป้องเราต่อหน้ารุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคหนาม”

 

“แล้วทริสเต้ล่ะ?”

 

“เธอสาบานว่าจะแข็งแกร่งขึ้น และคุ้มครองทุกสิ่งที่ควรค่าแก่การปกป้อง”

 

“เจ้าเล่ห์ไม่เลวเลย พูดแบบนั้นเพื่อไม่ให้การกระทำนี้ของตนเป็นการผิดคำสาบานสินะ แล้วถ้าหากละเมิดคำมั่นของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ล่ะ คนๆนั้นจะเป็นยังไง?”

 

“รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์จะกำจัดอำนาจวิเศษทั้งหมดของวิหคนามตนนั้นๆไป”

 

กู่ฉิงซานปรบมือดังฉาดและกล่าว “แบบนั้นก็เยี่ยมไปเลย! ดูเหมือนว่าเหมันต์ยามค่ำอีเลียจะอยู่ข้างเรา ดังนั้นถ้าเราสามารถหาตัวเธอได้ โอกาสที่จะสามารถเอาชนะทริสเต้ก็จะเพิ่มมากขึ้น!”

 

เอาชนะ?

 

ลอร่ากลายเป็นบื้อใบ้

 

นับตั้งแต่ช่วงเวลาแห่งภัยพิบัติมาเยือนตัวเธอ จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เจ้าหญิงมีความคิดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในใจตน

 

นั่นก็คือสายเลือดของราชวงศ์วิหคหนามไม่อาจถูกสะบั้น ตนจะต้องหลบหนีและเอาชีวิตรอดไปให้ได้!

 

ทว่าบุรุษผู้นี้ เพียงแค่ได้เห็นได้ฟังถึงเรื่องราวของขนนกผลึกน้ำแข็ง เขาก็เริ่มวางแผนการ และพลิกตลบทุกสิ่งอย่าง คิดหมายวางแผนการที่จะเอาชนะขึ้นมาได้ซะอย่างงั้น?

 

นี่มันเรื่องจริงหรือนี่ …

 

ลอร่ารู้สึกว่า หากเป็นตัวเอง เธอคงไม่มีทางคิดอะไรแบบนี้ได้แน่ๆ

 

ในเวลานั้นเอง เสียงๆประกาศก่อนหน้านี้ก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว”

 

“คุณทุ่มเททำผลงานได้ดีมาก สามารถบรรลุภารกิจแรกได้อย่างสมบูรณ์ แล้วไหนจะภารกิจนี้อีก ขอจงมุ่งมั่นทำดีต่อไป แล้วในยามที่สามารถจบภารกิจทั้งหมดลงได้โดยสมบูรณ์ คุณก็จะได้รับรางวัลตามความดีความชอบที่ได้ทำมา”

 

“ฉันก็หลงคิดไปว่าจะได้รับรางวัลเลยทันทีซะอีก” กู่ฉิงซานพึมพำ

 

ได้ยินเพียงแค่เสียงประกาศกล่าวต่อว่า “สงครามครั้งที่สอง : การต่อสู้ลดระดับกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า โปรดเฝ้ารอสักหนึ่งนาที”

 

กู่ฉิงซานกับลอร่าจึงเฝ้ารออยู่ด้วยกัน

 

ขณะนั้นเอง บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็เกิดการเคลื่อนไหวเล็กน้อย

 

แล้วกู่ฉิงซานก็ว่างพอดี เขาจึงเบนสายตามายังหน้าต่าง มองไปยังเส้นบรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กที่ปรากฏขึ้น

 

“คำเตือนสูงสุด : ระบบเทพสงครามเริ่มสัมผัสได้ถึง ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ’ แล้ว!”

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันหัวมองย้อนกลับไป แล้วก็บังเอิญพบว่าสามดาบกำลังสั่นไหวอยู่

 

เมื่อถูกสายตาของเขาจ้องมอง ดาบพิภพกับดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็หยุดทันที

 

แต่ดูท่าว่าเช่าหยินจะไม่ทันสังเกตเห็นเขา มันเลยยังคงหัวเราะต่อไป สั่นไหวทั้งใบทั้งดาบอยู่อย่างนั้น

 

ดาบพิภพจึงใช้ด้ามดาบเขกหัวมัน

 

“นั่นพวกเจ้ากำลังสนทนาอะไรกันอยู่?” กู่ฉิงซานสงสัย

 

“ถกกันเรื่องชั้นเชิงวรยุทธน่ะ” เสียงของฉานนู่ดังออกมาจากดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

แต่น้ำเสียงตอบสนองของเธอ ดูจะประหม่าเล็กน้อย

 

ดาบพิภพช่วยเสริม “เป็นเช่นนั้น วิชาดาบเมื่อครู่รุนแรงยิ่ง พวกเราเลยกำลังหารือเกี่ยวกับมัน ว่าจะประสานงานกันเพื่อสำแดงเดชออกมาให้ดีที่สุดได้อย่างไร”

 

กู่ฉิงซานจึงหันหัวกลับไป

 

สามดาบพากันถอนหายใจโล่งอกพร้อมๆกัน

 

ลอร่าที่ยืนอยู่บนไหล่ของกู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

ท่ามกลางพายุหิมะ วิสัยทัศน์ถูกจำกัดเป็นอย่างมาก

 

ข้อจำกัดนี้ ดูเหมือนว่าจะมาจากกฏเกณฑ์บางอย่างของต้นกำเนิดโลก ดังนั้นไม่ว่าคุณจะครอบครองความสามารถในการมองเห็นที่ดีเพียงใด ดวงตาของคุณก็จะถูกขัดขวาง ส่งผลให้ไม่สามารถมองเห็นได้ไกลเกินไปนัก

 

ลอร่าพอคิดเกี่ยวกับมัน เธอเลยคว้าเอากระเป๋าใบเล็กออกมาจากด้านหลัง

 

เธอล้วงมือเข้าไปข้างในและหยิบเอากล้องกล้องส่องทางไกลแบบเลนส์เดียวที่ยืดหดได้ออกมา

 

“ทุกที่รอบๆเหมือนกันไปหมดเลย มีแต่หน้าผากับมอนสเตอร์” เธอเอ่ยเสียงดัง “ถ้าเป็นแบบนี้ ขอบอกตรงๆว่า ต่อให้เป็นตัวเราเอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางไหนดี”

 

“งั้นตอนนี้พวกเราคงทำได้แค่รอประกาศเท่านั้นสินะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ขณะกำลังสนทนา จู่ๆบนพื้นหิมะและน้ำแข็งในจุดที่ไกลออกไป ก็พลันเปล่งแสงกระพริบไหวอันไม่รู้จบ วาบขึ้นมา

 

รังสีแสงส่ายไปมา และในที่สุดก็ควบรวมกันเป็นเสาแสง สาดขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

นั่นมันคงจะเป็นเครื่องหมายบอกทิศทางต่อไปแน่ๆ

 

“นั่งลงก่อน แล้วไปดูกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ลอร่านั่งลงบนไหล่เขา

 

พอหย่อนก้นลง ร่างของกู่ฉิงซานก็วูบไหว มุ่งหน้าไปยังทิศทางของแสงทันที

 

หนึ่งนั่งหนึ่งวิ่ง ข้ามผ่านผืนหิมะและน้ำแข็ง

 

บางครั้งบางคราว มอนสเตอร์ยักษ์บางตนก็ผุดออกมาจากพื้นหิมะ

 

แต่กู่ฉิงซานกำลังรีบ เขาผละดาบออกจากมือ และปล่อยให้มันรับหน้าที่นำพามอนสเตอร์เหล่านั้นไปสู่ความตายด้วยตนเองเลยโดยตรง

 

พลังวิญญาณอันไร้ที่สิ้นสุดระเบิดขึ้นรอบกาย กู่ฉิงซานทะยานเหินบินขึ้นจากพื้นอย่างเต็มกำลัง

 

เขากำลังรีบมุ่งไปยังสถานที่ๆรังสีแสงสาดไสวโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

แล้วก็พบกับหน้าผา

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา กวาดลงหน้าผาเบื้องล่าง แต่กวาดลึกลงไปเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะพบถึงจุดสิ้นสุดของมัน

 

ณ ขณะนั้นเอง เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น

 

“ผลงานของคุณเมื่อครู่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ดังนั้นคุณจึงได้รับคุณสมบัติให้ข้ามผ่านการทดสอบอื่นๆไปเลยโดยตรง และเตรียมได้รับรางวัลภารกิจจากทริสเต้อย่างเป็นทางการ”

 

เสียงยังคงพูดต่อไป

 

“อย่างไรก็ตาม ฝูงมอนสเตอร์อันน่าหวาดกลัวกำลังจะปรากฏขึ้นในไม่ช้า พวกมันคอยหลบซ่อนตัวอยู่ในหุบเหวลึกที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ยามใดก็ตามที่ทริสเต้มิได้ให้ความสนใจ พวกมันก็มักจะฉวยโอกาสออกมาก่อความวุ่นวาย แน่นอน ถึงแม้ว่านี่จะเป็นปัญหาเล็กๆน้อยก็ตามที แต่มันก็ค่อนข้างที่จะน่ารำคาญ”

 

“ภายใต้การเรียกขานของวิหคหนาม ได้โปรดช่วยวิหคหนามทริสเต้จัดการปัญหาเล็กๆน้อยๆนี้ด้วยเถอะ”

 

“ฉันเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่า สำหรับรุ่นเยาว์ที่อายุต่ำกว่า 30 ปีอย่างพวกคุณ มันอาจจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากไปบ้าง แต่ขอจงร่วมมือกัน เพื่อพิชิตศัตรูกลุ่มนี้ลงให้จงได้!”

 

ว่าจบ เสียงก็หายไป

 

“นี่น่ะหรอคือสิ่งที่เรียกว่า ‘การเรียกขานของวิหคหนาม?’ มันจะเป็นคนคอยกำหนดภารกิจให้เราเองงั้นสินะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ถูกต้อง อันที่จริงนี่คือกระบวนการตามปกติของการเรียกขานของวิหคหนาม” ลอร่าตอบกลับ

 

กู่ฉิงซานยื่นหน้า ก้มมองลงไปในเหวลึกที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง

 

เห็นแค่เพียงร่างของมอนสเตอร์มากมายที่ซุ่มซ่อน และเกาะติดอยู่ตามมุมต่างๆของเหวลึก

 

ร่างกายของพวกมันใหญ่โต ทว่าขณะเดียวกันก็โปร่งใส โปร่งใสชนิดที่ว่าสามารถมองทะลุเห็นถึงอวัยวะภายในได้เลยโดยตรง

 

มองทะลุเข้าไป จะเห็นว่าอวัยวะเหล่านั้นมีลักษณะคล้ายทำมาจากผลึกน้ำแข็งผสานเข้ากับก้อนหิน มีขนาดใหญ่โตและหยาบด้าน

 

มอนสเตอร์เหล่านั้นเริ่มปีนป่ายขึ้นมาบนหน้าผาชันอย่างว่องไว ความเร็วของพวกมันช่างไม่สอดคล้องกับขนาดตัวเอาเสียเลย

 

“มันคือปีศาจหิมะ” ลอร่ากล่าว

 

“อะไรคือปีศาจหิมะ?” กู่ฉิงซานถาม

 

“มันคือมอนสเตอร์กึ่งธาตุที่ยากต่อการสังหาร” ลอร่าอธิบาย “หินและน้ำแข็งจะสามารถช่วยรักษาบาดแผลของมันได้อย่างรวดเร็ว นั่นเพราะพวกมันถูกสรรค์สร้างขึ้นมาจากธาตุเหล่านั้น”

 

มองลงไปยังก้นบึ้งของหุบเหวลึก ร่างของมอนสเตอร์ค่อยๆเด่นชัดขึ้นในสายตา บ่งบอกว่ามันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คิ้วของกู่ฉิงซานก็เริ่มขมวดเข้าหากัน

 

อ้างอิงตามที่เสียงประกาศ มอนสเตอร์เหล่านี้สมควรที่จะแข็งแกร่ง และจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อเอาชนะมัน

 

ประจวบไปกับการที่ลอร่าอธิบายว่ามันสามารถรักษาตนเองได้ -ไม่ใช่พวกที่ยอมตายกันง่ายๆ ดังนั้นหากเขาต้องการที่จะเก็บกวาดปัญหาทั้งหมดในคราเดียว วิธีที่ดีที่สุดคงจะเป็นการใช้ค่ายกลดาบไท่หยีอีกครั้ง!

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็โพล่งออกมาทันที “ไม่สำคัญหรอกว่าพวกมันจะเป็นตัวอะไร เพราะสุดท้ายเดี๋ยวก็ต้องตายลงด้วยน้ำมือหม่อมกระหม่อมอยู่ดี”

 

ว่าแล้วกู่ฉิงซานก็เริ่มขับเคลื่อนเทคนิคดาบ

 

ฮู้มมมม!

 

ปลายแหลมของทั้งสามดาบ จี้ลงไปยังทิศทางของเหวลึกโดยพร้อมเพรียง ขณะเดียวกันก็สาดกลิ่นอายสังหารอันน่าขวัญผวาออกมา

 

พวกมันดูเหมือนจะเตรียมตัวพร้อมแล้ว

 

“โปรดรอสักครู่” ลอร่าขัด

 

“หือ? มีอะไรงั้นหรอ?”

 

“เมื่อครู่เจ้าพึ่งทุ่มลงมือเต็มกำลังไปมิใช่หรือ น่าจะสูญเสียพลังงานไปเยอะเลยใช่ไหม ดังนั้น คราวนี้เราจะช่วยเจ้าเอง”

 

“อ้าว ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทบอกเองว่าท่านไม่อาจลงมือได้หรอกหรือ?”

 

“แต่เราสามารถมอบบางสิ่งบางอย่าง แล้วให้เจ้าเป็นคนใช้งานมันได้”

 

ลอร่าหันไปหยิบกระเป๋าใบเล็กด้านหลังเธออีกครั้ง

 

เธอเปิดมัน และเริ่มควานหา

 

“เอ .. มันอยู่ตรงไหนกันนะ ..”

 

กู่ฉิงซานมองลอร่า ก่อนจะสลับกลับไปดูมอนสเตอร์ใต้หุบเหว

 

หลังจากเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา “เวลาของพวกเราไม่ได้ม-”

 

“เราเจอแล้ว!” ลอร่าอุทานด้วยความสุข

 

แล้วเธอก็ยัดอะไรบางอย่างลงในมือของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองดู และพบว่ามันเป็นปืนพก

 

นี่คือปืนพกสีเงินอันประณีต มันดูกระทัดรัดน่ารัก มีขนาดรวมๆแล้วเล็กกว่าฝ่ามือของกู่ฉิงซานซะด้วยซ้ำ

 

กู่ฉิงซานทดลองกระชับมัน แต่ก็พบว่าตรงส่วนไกปืนเขาแทบจะเอานิ้วสอดเข้าไปไม่ได้เลย

 

“ปืนงั้นหรอ?”

 

“นี่คือสิ่งที่เราใช้ป้องกันตัวเอง แต่น่าเสียดายที่กระสุนของมันเหลือแค่นัดสุดท้ายเท่านั้น”

 

“เจ้าสิ่งนี้จะช่วยได้จริงๆน่ะหรือ?”

 

“ไม่ต้องมัวคิดให้เสียเวลา ขอแค่ลองเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง”

 

กู่ฉิงซานลอบส่ายหัวอย่างลับๆ

 

‘มันใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นไหม? เหลือกระสุนนัดสุดท้าย … นัดเดียวมันจะไปฆ่ามอนสเตอร์ทั้งฝูงลงได้ยังไง?’

 

‘เฮ้อ เจ้าหญิงน้อยแม้จะหลักแหลม แต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ’

 

กู่ฉิงซานกำลังจะส่งปืนพกคืนให้แก่ลอร่า แต่แล้วเขาก็พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

 

เสี่ยวเหมียวเคยบอกกับเขา ‘ไม่ว่าของชิ้นใดก็ตามในดินแดนอัศจรรย์ หากถูกนำออกมา พวกมันล้วนมีมูลค่ามหาศาลเสมอ’

 

และวิหคหนามก็อาศัยอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ แถมยังเป็นพวกที่มักจะชอบสะสมแต่สิ่งที่มีคุณค่าชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นสมบัติเอาไว้

 

ซึ่งสิ่งนี้พิสูจน์ได้ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น แล้วรุ่นเยาว์มากมายในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นจะเดินทางมาเพื่อตอบรับการเรียกขานของแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ไปทำไมกัน?

 

-ต้องไม่ลืมนะว่า เด็กสาวตัวน้อยบนไหล่เขา เธอคนนี้เป็นถึงเจ้าหญิงผู้สืบทอดราชบัลลังก์คนต่อไปของราชวงศ์วิหคหนาม

 

แล้วตัวตนเช่นนั้น … จะเก็บของไร้ประโยชน์เอาไว้ได้อย่างไร?

 

กู่ฉิงซานพอคิดได้ ก็เริ่มมั่นใจมากยิ่งขึ้น

 

ในเวลาเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กเด้งขึ้นมา

 

“อาวุธปืนในตำนาน : หงสาคำรนฟีเนียส”

 

“วิชายุทธเทพสงคราม : อุปกรณ์นี้ไม่มีสกิลที่จะสามารถใช้เรียนรู้ได้”

 

“คำอธิบายตามพงศาวดาร : ปรากฏถึงการลอบสังหารที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างมากมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ แต่มันก็ได้ห่างหาย ว่างเว้นไปแล้วในช่วงตลอด 10000 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว โปรดจ่าย 100 แต้มพลังวิญญาณ หรือไม่ก็ไปหาหนังสือประวัติศาสตร์มานั่งอ่านซะ!”

 

กู่ฉิงซานเข้าใจได้ในทันที

 

เจ้าปืนนี้ … มันคงเก็บซ่อนพลังอำนาจอันมหาศาลเอาไว้ แตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกของมันเป็นแน่

 

ดังนั้นขนาดของมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ต้องมากังวลใดๆ ขอแค่ยิงออกไปเดี๋ยวก็รู้เอง

 

เขายกปืนพกสีเงินขึ้น และเล็งลงไปยังเหวลึกเบื้องล่าง

 

“จะยิงแล้วนะ”

 

“อื้ม”

 

ลอร่ายกสองมือขึ้นมาปิดหู สีหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้น

 

ท่าทีของเธอดูไม่แตกต่างไปจากกำลังเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกในการรับชมการแสดงในโรงละครเลย

 

กู่ฉิงซานเล็งไปยังปีศาจหิมะตนแรกที่อยู่ใกลล้สุดแล้วเหนี่ยวไกออกไป

 

‘ปัง!’

 

ปืนพกสีเงินสั่นไหวเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานก้มมองลงไปใต้หุบเหวด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

แต่กลับพบว่ากระสุนดันทะลุผ่านร่างของปีศาจหิมะ และพริบตาเดียวมันก็หายวับไปจากพิสัยจิตสัมผัสเทวะของเขา จมลึกลงไปในเหวอันไร้ก้นบึ้งเสียแล้ว

 

เร็วจริงๆ!

 

กู่ฉิงซานลองคิดว่า หากเป็นตนเองที่ถูกผู้อื่นยิงด้วยปืนกระบอกนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้ซึ่งการป้องกัน เกรงว่ามันจะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

 

ในส่วนลึกของผาชัน ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง เห็นแค่เพียงปีศาจหิมะตัวที่ถูกยิง กลิ้งม้วนลงตกหน้าผาไป

 

ร่างของมันจมหายลงไปในเหวลึก

 

“ในเรื่องความเร็วนับว่าสุดยอดไปเลย แถมอานุภาพมันก็ร้ายไม่เบา” กู่ฉิงซานเอ่ยชมคำหนึ่งแล้วคืนปืนพกให้แก่ลอร่า

 

“จะรีบไปไหน มันยังไม่ได้เริ่มขึ้นเลย ฟังเรานะ ตอนนี้รีบถอยออกจากตรงนี้กันก่อนเถอะ” ลอร่ากล่าว

 

กู่ฉิงซานชะงักไปเล็กน้อย

 

“บอกให้รีบถอยไง เดี๋ยวมันจะเริ่มร้อนแล้ว อุณหภูมิที่กำลังจะปรากฏมันสูงเกินกว่าที่เรากับเจ้าจะรับไหวนะ!” ลอร่าเร่งเร้า

 

กู่ฉิงซานจึงรีบพาเธอออกมาจากบริเวณขอบหน้าผาทันที

 

สักพักหนึ่ง เพียงแค่หยุดฝีเท้าลง ก็บังเกิดแสงเรืองรองของเปลวเพลิงอันกระจ่างชัด ลุกโชนขึ้นมาจากตลอดทั้งเหวลึกอันไร้ก้นบึ้งที่พึ่งถูกกระสุนยิงลงไปเมื่อครู่นี้

 

อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หิมะและน้ำแข็งที่ปกคลุมเริ่มถูกหลอมละลาย ผสมปนเปกับกับเสาหินที่กลิ้งลงไป ทั่วบริเวณฟุ้งไปด้วยเขม่า

 

ท่ามกลางเขม่าหนา จู่ๆก็ปรากฏเสียงหวีดร้องน่าสมเพชนับไม่ถ้วนดังขึ้น

 

วู้มมมม!

 

วิหคเพลิงขนาดยักษ์ที่ทั้งตนทั้งร่างลุกโชน หนืดเหนียวไปด้วยลาวาเหลวที่กำลังหลอมละลาย โผบินขึ้นมาจากเหวลึก

 

เพียงมันสยายปีกออก ทั้งร่างทั้งปีกของมันก็ครอบคลุมไปตลอดทั้งเหวลึก

 

วิหคยักษ์จ้องมองกู่ฉิงซาน “โปรดให้คะแนนสำหรับการให้บริการในครั้งนี้ด้วย”

 

กู่ฉิงซานหันไปมองลอร่า

 

ลอร่าก็มองเขาและกล่าว “เจ้าเป็นคนยิง ฉะนั้นก็ต้องเป็นคนให้”

 

กู่ฉิงซานหันไปถามวิหคที่ท่วมไปด้วยเปลวเพลิง “ฆ่าพวกมัน .. ทุกตัวตายจนหมดแล้วใช่ไหม?”

 

“เหลือแต่ขี้เถ้า”

 

“งั้นเอาคะแนนเต็มไปเลย!” กู่ฉิงซานอุทานออกมา

 

วิหคเพลิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และแตกสลายหายไปในความว่างเปล่า

 

กู่ฉิงซานหยุดอยู่สักครู่ ก่อนจะลองเดินตรงไปยังขอบผา ก้มมองลงไป

 

แล้วก็พบกับลาวาเดือดที่กำลังหลอมละลายอย่างช้าๆ

 

หินในผาถูกเผาไหม้จนกลายเป็นสีแดง ขณะที่หิมะและน้ำแข็งถูกละลาย ระเหยกลายเป็นไอพวยพุ่งขึ้นมาทันที

 

ปีศาจหิมะ หรือจะตัวอะไรก็ไม่รู้ล่ะ ถูกหลอมละลายไปจนสิ้น

 

ตลอดทั้งหุบเหวหิมะและน้ำแข็ง บัดนี้แปรสภาพกลายเป็นทะเลสาบลาวาไปแล้ว!

 

เฝ้ามองไปยังฉากอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “นี่เหลือกระสุดแค่นัดสุดท้ายจริงๆน่ะหรอ?”

 

“ใช่”

 

“น่าเสียดายจัง”

 

“นี่ไม่นับว่าน่าเสียดายอะไร ก็แค่ปืนกระบอกเดียว สมบัติของเรามีมากกว่านี้อีกเยอะ” ลอร่าหัวเราะคิกคัก

 

ลอร่าตบไหล่ของกู่ฉิงซานและกล่าว “ฝากด้วยล่ะ เพราะเราไม่สามารถลงมือได้”

 

พร้อมกันกับเสียงของเธอ เหล่ามอนสเตอร์ก็ค้นพบถึงตัวตนของทั้งสองคนแล้ว!

 

พวกมันวิ่งเข้ามา และเริ่มโอบล้อม

 

ขณะเดียวกัน กองศพขนาดใหญ่ภายในเมืองก็ค่อยๆเริ่มคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ

 

มันจำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเลยทีเดียว กว่าที่มอนสเตอร์จะสามารถมีขนาดใหญ่ได้ถึงเพียงนี้

 

ไม่จริงน่า นี่หมายความว่าแค่ในการทดสอบแรก เชื้อไฟก็ปลดปล่อยมอนสเตอร์เหล่านี้ออกมา แล้วสังหารหมู่คนไปเป็นจำนวนมากเลยน่ะสิ

 

และผู้คนที่เข้ามาที่นี่ ก็คงไม่ได้คาดหวังเลย ว่าการเรียกขานของวิหคหนาม จะเป็นการต่อสู้ที่ร้ายแรงถึงชีวิตและความตายเช่นนี้

 

แต่พวกคนที่ยังสามารถเอาชีวิตรอดไปได้ก็คงจะไม่คิดอะไรมากมายนักหรอก

 

เพราะตามกฏแล้ว ยังไงคนที่ตายก็จะถูกส่งกลับไปยังอัลเบอัส

 

โฮกกกก!!

 

บรรดามอนสเตอร์ร่างมนุษย์ที่มุดขึ้นมาจากพื้นดิน เริ่มที่จะพุ่งเข้ากระหนาบพวกเขาจากทุกทิศทาง

 

ตามแต่ละข้อต่อของพวกมัน ต่างมีใบมีดยาวผุดออกมา บ้างก็ชุ่มไปด้วยเลือด ขณะที่บ้างก็มีเศษเนื้อของบรรดาเหล่าผู้ทดสอบกลุ่มก้อนหน้าติดอยู่

 

ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตร มอนสเตอร์บางตัวเริ่มทะยานตัวสูงขึ้น และโฉบลงมาทางกู่ฉิงซานกับลอร่าที่อยู่เบื้องล่าง

 

ทว่ากู่ฉิงซานกลับยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม พร้อมด้วยร่างเงาจากดาบพิภพที่กำลังเบ่งบาน เริ่มร่ายรำไปในอากาศ

 

รังสีดาบนับไม่ถ้วนบินออกมาจากดาบยาว และม้วนเข้าทั้งตัดทั้งสับมอนสเตอร์ที่อยู่กลางอากาศ

 

เลือดฝนพร่างพราวลงมา

 

“แบบนี้ไม่ดีแล้วนะ นี่มันมากเกินไป”

 

ลอร่าที่กำลังสังเกตสภาพโดยรอบ เริ่มร้องด้วยความกระวนกระวายออกมา

 

ใช่แล้วล่ะ มอนสเตอร์มันมุดออกมาจากพื้นดิน เพิ่มจำนวนมากขึ้น มากขึ้นจนแทบจะล้นเมืองอยู่แล้ว!

 

ขณะที่ซากศพกองพะเนินซ้อนทับๆกัน ก็ค่อยๆเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ

 

ซากศพแกว่งไกว โงนเงนไปมา เข้าผสมโรงกลุ่มมอนสเตอร์ เบียดเสียดกันมุ่งเข้ามากดดันกู่ฉิงซานกับลอร่าตลอดทั้งสี่ทิศ

 

เมืองรกร้างที่แต่เดิมถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวนวล บัดนี้ค่อยๆกลายเป็นสีดำ เนื่องจากถูกกลืนไปด้วยกระแสของมอนสเตอร์

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมไอ้การทดสอบนี้ถึงได้ถูกเรียกว่าการต่อสู้ที่ถูกปิดล้อม” กู่ฉิงซานบ่น

 

เขาได้ลองลอบคิดดูว่า หากการต่อสู้นี่คือการทดสอบความแข็งแกร่งจริงๆแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่าเขาคงจะไม่สามารถบินหนีมันไปตรงๆได้

 

“มัวแต่คิดอยู่นั่นแหละ เร่งมือเร็วเขา ถ้าพวกเราถูกล้อมจริงๆ ทุกอย่างก็เป็นอันจบนะ” ลอร่ากระตุ้นเตือน

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็ผละดาบพิภพออกจากมือ

 

“ฆ่าพวกมันซะ”

 

เขาเอ่ยสั้นๆ

 

ว่าแล้ว ดาบพิภพก็เริ่มว่ายมาเวียนวนรอบกู่ฉิงซาน หมุนควงเป็นเส้นโค้งมนงดงามรอบทั้งคนทั้งร่างของเขา

 

บังเกิดรังสีดาบสีนวลผ่อง วาดวูบไหวคล้ายกับจันทร์เต็มดวง ก่อนจะเริ่มแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว และสับสะบั้นทุกสิ่งที่ขวางทางออกเป็นสองท่อน มิแตกต่างจากหั่นขอนไม้

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!

 

กู่ฉิงซานคือผู้ฝึกดาบขอบเขตประทับเทพ ดังนั้นเทคนิคลับแห่งดาบนี้ จึงสามารถระเบิดพลังเหลือคณาออกมาได้อย่างที่มันไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

“สวยจังเลย นี่น่ะหรอคือเทคนิคดาบบิน?” ลอร่าที่กำลังเฝ้ามอง ปรบมือด้วยความตื่นเต้น

 

กู่ฉิงซานพอได้ยินได้เห็นท่าทีแบบนั้นของเด็กสาว เขาก็ถึงกับไร้คำจะกล่าว

 

เพราะที่เธอแสดงออก มันดูไม่แตกต่างจากการที่เด็กตัวน้อยกำลังดูโชว์ดอกไม้ไฟอยู่เลย

 

เมื่อพบเจอกับสถานการณ์ไม่คาดคิด บรรดามอนสเตอร์ที่อยู่หลังๆก็พยายามหลบเลี่ยงรังสีดาบ พวกมันทิ้งตัวลงนอนแนบกับพื้นโดยสิ้นเชิง และเริ่มหยิบฉวยซากแขนขา ที่ปลิวว่อนจากคมดาบขึ้นมากัดกิน

 

มอนสเตอร์ยังคงหลั่งไหลออกมาจากใต้ดินอย่างต่อเนื่อง

 

พวกมันเหล่านี้ แลคล้ายกับซากศพมนุษย์ที่กำลังแก่งแย่งอาหารกัน

 

จำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

เพียงไม่กี่ลมหายใจ บรรดามอนสเตอร์ที่แออัดก็เริ่มกลืนกินพวกซากศพทั้งหมดจนสิ้น

 

ได้ยินเพียงเสียงเคี้ยวกรุบกรับอันน่าขนลุกสะท้อนสะท้านไปทั้งเมือง

 

มอนสเตอร์ที่ได้กินศพ ขนาดตัวของมันก็เริ่มใหญ่โตขึ้น แน่นอน พละกำลังและความไวของมันก็เช่นกัน

 

พวกมันคำรามคลั่ง และเริ่มกระโจนเข้าหากู่ฉิงซานกับลอร่าอีกรอบ

 

มองลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน จะเห็นแค่เพียงกระแสสีดำอันเชี่ยวกราด คล้ายคลื่นมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ โถมกระหน่ำลงมาบรรจบกัน เข้าโอบล้อมกู่ฉิงซานกับลอร่าโดยสมบูรณ์

 

พื้นที่ของทั้งสองมีขนาดเล็กลง เล็กลงเรื่อยๆ และไม่นาน เขาและเธอก็คงจะถูกกลืนลงลงโดยกระแสมอนสเตอร์

 

“ฝ่าวงล้อมออกไปซะกู่ฉิงซาน! การต่อสู้นี้คือการทดสอบว่าพวกเราจะสามารถฝ่ามันไปได้รึเปล่า!” ลอร่าเตือนเขาด้วยความกระวนกระวาย

 

แต่กู่ฉิงซานไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

 

เขาเพียงจีบออกด้วยเทคนิคดาบอย่างคล่องแคล่ว

 

ขณะที่พลังวิญญาณในตันเถียนพลุ่งพล่านออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง

 

หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย กู่ฉิงซานก็ยังไม่เคยได้ทุ่มลงมือเต็มกำลังมาก่อนเลย

 

ฮู้มมมม!

 

สามดาบยาวปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าตามลำดับ

 

ดาบเล่มแรก แลดูสามัญ แต่กลับส่งคลื่นความผันผวนคุกรุ่นออกมา

 

ดาบเล่มที่สองมีรูปร่างแปลกตา แต่มันก็ดูเรียวยาวประณีต

 

ดาบเล่มที่สามเปล่งประกายสดใส คล้ายหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง

 

“จัดการซะ”  กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างนุ่มนวล

 

แล้วสามดาบก็วูบหายไป

 

พวกมันฉวัดเฉวียนไปทั่วแผ่นฟ้าและผืนดิน ด้วยความว่องไวอันยอดเยี่ยม ทิ้งภาพติดตาของดาบไว้เป็นชั้นๆ

 

และในทุกๆภาพติดตาดาบที่ทิ้งไว้ ก็ยังคงลอยล่องอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่า นิ่งงันมิได้ขยับย้ายไปไหน

 

ความเร็วของสามดาบเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกมันก็ทิ้งไว้เพียงประกายเงาดำ แล้วก็วูบหายไป

 

เมืองอันรกร้างทั้งหมด บัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเงาดาบหนาทึบ

 

ทุกสิ่งอย่างนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป บรรดามอนสเตอร์พึ่งย่ำเท้าเข้ามาได้เพียงไม่มีก้าว เงาดาบทั้งหมดก็โฉบลงมายังตำแหน่งของพวกมันแล้ว

 

ทว่าน่าแปลกนัก ทั้งๆที่เงาดาบมันปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองแท้ๆ แต่พวกมอนสเตอร์ที่วิ่งผ่านเงาดาบเหล่านั้นไป กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย

 

“เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกัน?” ลอร่าเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ และเริ่มทำการกระตุ้นเทคนิคดาบ

 

ค่ายกลดาบไท่หยี จงตื่นขึ้น!

 

บังเกิดความผันผวนของสายลม

 

สายลมที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด พัดกระพือเข้าใส่ตลอดทั้งเมืองรกร้างในทันใด และควบรวมกันเป็นกระแสพายุอันรุนแรงอย่างรวดเร็ว

 

และแน่นอน ว่ามันไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานสายลมนี้เอาไว้ได้!

 

มอนสเตอร์ทั้งหมดถูกกลืนเข้าไปในพายุ ศพกองพะเนินก็ค่อยๆถูกลบออกไปอย่างเงียบๆ จนสุดท้ายก็ไม่เห็นกระทั่งร่องรอย และเกรงว่าพวกมันคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน ก่อนที่จะตาย

 

กระแสลมหอนลั่นไปทั่วทั้งผืนดิน มันโถมเข้าโอบทุกสิ่งอย่าง และหมุนควงเป็นงวงช้างทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

เมฆหมอกหนาทึบที่ปกคลุมตลอดทั้งเมือง เริ่มกระจัดกระจายตัวออก สลายไปตามแรงลม

 

ขณะที่กระทั่งหิมะก็ยังหยุดตก

 

ท้องฟ้าสีสว่างสดใสปรากฏขึ้นเหนือเมืองรกร้าง

 

ดวงอาทิตย์สามารถสาดแสงลงมาได้ในที่สุด แผ่ขยายความรู้สึกอบอุ่น เปล่งประกายไปตลอดทั้งเมือง

 

จากนั้นก็บังเกิดฉากอันน่าอัศจรรย์ใจยิ่งขึ้น

 

ภายในตลอดทั้งเมืองกลับเต็มไปด้วยแสงแดดอันอบอุ่น

 

ขณะเดียวกันพายุหิมะก็ยังคงตกลงอยู่ แต่เป็นภายนอกกำแพงเมือง

 

สิ่งมหัศจรรย์ดังกล่าวนี้กินเวลาต่อเนื่องไปกว่าสิบลมหายใจ ก่อนที่มันจะค่อยๆจางหายไป

 

ในที่สุด ไม่เว้นกระทั่งกำแพงสี่มุมเมือง มันก็ได้ถูกทำลายลงไปกับสายลม

 

ด้วยสายลมนี้ ซากเมืองทั้งเมืองพลันกระจัดกระจาย เหลือทิ้งไว้เพียงพื้นโล่งกว้างที่บริเวณโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ

 

สายลมหยุดลงในที่สุด

 

เมฆดำบนผืนฟ้าค่อยๆกลับมารวมตัวกันอีกครา

 

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกคล้ายกลับกลายจากกลางวันสู่กลางค่ำ เหี่ยวเฉามืดมนดังเดิม

 

เกล็ดหิมะเริ่มทยอยกลับมาร่วงโรยลงจากท้องฟ้า

 

บัดนี้ กู่ฉิงซานได้สลายเทคนิคดาบของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ลอร่ายันตัวลุกขึ้นบนไหล่ของกู่ฉิงซาน และหันไปมองรอบๆ

 

—ภายในสายตาของเธอ ทุกสิ่งอย่างยกเว้นผืนดินและหิมะ ล้วนถูกปัดเป่าจนหายไปสิ้นด้วยกระแสลมอันรุนแรงจากเทคนิคดาบ

 

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกกลายเป็นสีเทา และหิมะก็ค่อยๆโปรยปรายลงมาอย่างอ่อนโยน

 

ทั้งเมืองทั้งมาร บัดนี้ไร้ซึ่งสิ่งใด

 

“เล่นกวาดซะเกลี้ยงเลยจริงๆ” ลอร่าถอนหายใจและกล่าว “เราไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะหนักมือถึงเพียงนี้”

 

เธอลอบรู้สึกประหลาดใจอย่างลับๆ และเริ่มวิเคราะห์ถึงสกิลดาบนี้ของกู่ฉิงซานในจิตใจ

 

ตลอดทั้งเมืองถูกกวาดไปจนสิ้นด้วยคมดาบ

 

กล่าวได้เลยว่าด้วยสกิลดาบอันสมบูรณ์แบบเช่นนี้ มันจักสามารถทำให้เขาได้กลายเป็นหนึ่งในรุ่นเยาว์อายุไม่เกิน 30 ปี ที่ร้ายกาจที่สุดในอันดับต้นๆท่ามกลางโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นอย่างแน่นอน

 

ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมกำปั้นเหล็กแบรี่ถึงยอมรับในตัวเขา

 

“พวกเรามีเวลาไม่มากนัก กระหม่อมเลยต้องเร่งจบการต่อสู้โดยเร็วที่สุด” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

แล้วเขาก็สั่งการภายในจิตใจ

 

สามดาบบินมาทันที และลอยล่องอยู่ในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานบ่นอย่างหงุดหงิด “แบบนี้ถือว่าผ่านแล้วรึยัง ทำไมถึงไม่มีอะไรออกมาตรวจสอบมันสักทีนะ?”

 

ลอร่ามองเขาอย่างสงบ แล้วก็เห็นได้ถึงเงื่อนงำบางอย่าง

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นกังวลเกี่ยวกับเธอมากเลยนะ?” ลอร่าถาม

 

“ก็กระหม่อมไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ แถมยังไม่มั่นใจว่าพวกเราจะไล่ตามเธอได้ทันรึเปล่าอีก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ลอร่าเข้าใจในที่สุด

 

มันกลับกลายเป็นว่า แท้จริงแล้วเขาเพียงต้องการประหยัดเวลา

 

ผู้หญิงแบบใดกันที่มีค่าถึงขั้นให้ชายคนหนึ่งต้องทำถึงขนาดนี้?

 

ในหัวใจของลอร่าบังเกิดความอยากรู้อยากเห็น

 

เธอหันไปมองดูกู่ฉิงซาน และเอ่ยถามขึ้นทันใด “เจ้าเคยนอนกับเธอหรือยัง?”

 

กู่ฉิงซานตกใจ เขารีบกล่าว “ไม่”

 

“นี่เจ้ายังบริสุทธิ์อยู่หรือ อดทนมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?”

 

“สาวน้อย รู้ตัวมั้ยว่ากำลังพูดอะไรอยู่?”

 

กู่ฉิงซานหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่แท้จริงแล้วเขากำลังแอบลอบคิดถึงรสจูบของซูเซี่ยเอ๋ออย่างลับๆ

 

ในเวลานั้น ตนต้องแกล้งทำเป็นหลับ ไม่แม้กระทั่งจะสามารถเคลื่อนไหวได้

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็เสียดาย และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

 

ขณะที่เบื้องหลังเขา ดาบพิภพไม่ทราบว่าได้กล่าวสิ่งใดกับอีกสองดาบ แต่มิแคล้วเป็นเรื่องของกู่ฉิงซาน เพราะพอกล่าวจบ พวกมันทั้งสามก็เริ่มสั่นสะท้านแสดงอาการหัวเราะอย่างรุนแรงออกมาพร้อมกัน

 

ท่ามกลางพายุหิมะ

 

ทั้งคนทั้งร่างของแปดผู้เข้าสู่วิถีมารยังคงนิ่งงัน สีหน้าของผู้คนทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

 

“นรกเถอะ! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย!” คนหนึ่งตะโกนออกมา

 

ชายหัวล้าน เอ่ยปาก “ฉันได้ทำการจ่ายแต้มพลังวิญญาณเพื่อถามเรื่องนี้กับเชื้อไฟไปแล้ว และมันบอกว่านี่คือคำสาปแช่งที่ร้ายแรงนัก!”

 

เชื้อไฟรู้อย่างงั้นหรอว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร!

 

พอได้ยิน บางคนก็ค่อยสงบใจลงเล็กน้อย

 

“งั้นก็แล้วไป เพราะตราบใดที่เชื้อไฟสามารถล่วงรู้เกี่ยวกับมันได้ นั่นหมายความว่าพวกเราสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณแก้ปัญหานี้-”

 

ชายหัวล้านพูดเสียงดัง แต่แล้วน้ำเสียงของเขาก็ค่อยๆเบาลง

 

พร้อมด้วยสีหน้าที่กลายเป็นขาวซีด

 

เนื่องเพราะในวิสัยทัศน์ เชื้อไฟได้ทิ้งไว้เพียงหนึ่งเส้นบรรทัดตัวอักษรแก่เขา

 

“จำเป็นต้องจ่าย 100000 แต้มพลังวิญญาณเพื่อแก้คำสาปนี้”

 

100000 แต้มพลังวิญญาณ!

 

นี่มันเป็นจำนวนที่ไม่มีทางจะหามาได้!

 

ขนาดชายหัวล้านที่ฆ่าคนมามากที่สุด แต่แท้จริงแล้วเขาได้รับแต้มพลังวิญญาณมาเพียงแค่ 110 แต้มเท่านั้น!

 

และฉากเดียวกันนี้ก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของทุกคน

 

“ไม่นะ! มันไม่มีหวังที่จะแก้คำสาปเลย! พวกเราจบสิ้นแล้ว!” ชายคนหนึ่งคร่ำครวญอย่างสิ้นหวัง

 

ส่วนซูเซี่ยเอ๋อ เธอกำลังถือคทา และเดินย่ำผ่านพื้นน้ำแข็งที่ปกคลุมไปด้วยหิมะตรงเข้ามาอย่างช้าๆ

 

เธอมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลาย กวาดสายตาไปทั่วก่อนจะหยุดลงตรงชายหัวล้าน

 

ใบหน้าของชายหัวล้านแปรเปลี่ยนกลับกลายอยู่หลายครั้งครา จนในที่สุดเขาก็ฝืนปั้นรอยยิ้มแข็งกระด้างขึ้นมา

 

“เอ่อ .. ฉันขอโทษนะ คุณผู้หญิง จริงๆแล้วทั้งหมดมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเรายอมรับผิดแล้ว”

 

พอคนอื่นๆเห็นเขาพูดแบบนั้น ทั้งหมดก็รีบพยักหน้าตามอย่างรวดเร็ว “ใช่ ใช่ พวกเราผิดไปแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

 

“พวกเราไม่ควรรีบลงมือเลย หวังว่าเธอจะยกโทษให้พวกเรานะ”

 

“คุณผู้หญิงทรงพลังมากจริงๆ ปล่อยพวกเราไปเถอะ แล้วพวกเราจะคอยเป็นคนช่วยเก็บกวาดพวกที่ขวางทางเบื้องหน้าให้เอง”

 

ตอนแรกพวกเขาก็ขอความเห็นใจ แต่ตอนหลังๆนี่ชักจะเริ่มประจบประแจงแล้ว

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อทำราวกับเป็นคนหูหนวก

 

เธอเบนสายตาออกจากชายหัวล้าน และกวาดไปหยุดอยู่ที่อีกคนหนึ่ง

 

“เมื่อกี้แกสินะที่บอกว่าต้องการจะเล่นสนุกกับฉัน?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามเบาๆ

 

ชายคนนั้นสะดุ้งเฮือก ปากสั่นระริกอยู่นาน แต่ก็คิดไม่ออกซักทีว่าตนสมควรที่จะตอบกลับไปอย่างไร

 

ซูเซี่ยเอ๋อลูบไล้คทา และจั่วไพ่ออกมาจากมัน

 

นี่คือไพ่สีเทา ซึ่งสีเทาหมายถึงไพ่ระดับต่ำสุด

 

บนหน้าไพ่ มีเพียงกริชอันคมกริบอยู่เท่านั้น

 

ซูเซี่ยเอ๋อสะบัดๆไพ่ แล้วกริชก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ

 

แน่นอน ว่าชายคนนั้นย่อมรู้ดีว่ามันคืออะไร และสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้น ปากอ้าตะโกน ร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่นะ ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ควรที่จะคุกคามเธอ ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ ฉันยังมีอีกหลายชีวิตในครอบครัวต้องคอยเลี้ยงดู ..”

 

ซูเซี่ยเอ๋อ “ที่พูดมามันควรค่าแก่การเห็นใจจริงๆน่ะหรอ แล้วถ้าสลับกัน เป็นฉันที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ล่ะ แกจะ-”

 

แต่ไม่ทันจะจบประโยค เธอก็ส่ายหัว

 

ตามด้วยกริชที่ถูกปักลงบนหน้าอกชายคนนั้น และค่อยๆแทรกคมแหลมของมัน เชือดฝ่าเนื้อหนังเข้าไปอย่างช้าๆ

 

“อ๊าาา-” ชายคนนั้นเริ่มกรีดร้อง

 

ซูเซี่ยเอ๋อกำด้ามกริชจนแน่น จากนั้นก็ค่อยๆลากมันเฉือนลงมา

 

ทว่าแม้คมกริชจะตัดเนื้อได้ แต่มันก็ติดกับกระดูก มิอาจเฉือนลงไปได้อีก

 

ซูเซี่ยเอ๋อลองพยายามอย่างหนัก แต่ก็พบว่าตนเองมิได้แกร่งพอที่จะตัดกระดูกซี่โครงอกของอีกฝ่ายได้

 

เธอเลยถอนหายใจ และผละมือออก

 

และทาสรับใช้กายโลหิตก็ก้าวขึ้นมาแทนเธอ

 

“ตัดมันซะ ลากลงมาจนกว่าจะถึงเป้าของมัน”

 

ซูเซี่ยเอ๋อสั่ง

 

ทาสรับใช้กายโลหิตกำด้ามกริช และวูบ! กระชากลากคมแหลม ดิ่งยาวจากอก ตัดมันลงมาถึงตรงกลางหว่างขาอีกฝ่าย

 

“อ๊ากกกก อ๊าาาา!! นังปีศาจ แกมันนังมารร้าย! ”

 

ชายคนนั้นคร่ำครวญน่าสมเพช

 

ขณะเดียวกัน อีกหลายคนที่เฝ้ามองก็บังเกิดเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมา และเริ่มพากันร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

 

“ทำต่อไป ยังเหลืออีก 7 คน ช่วยทำให้มันเท่าเทียม เอาให้เหมือนกันเป๊ะๆแบบคนแรกด้วย”

 

แล้วเธอก็ยื่นหัวคทาไปทางชายคนแรกที่พึ่งถูกตัดหว่างขาไป

 

ในขณะที่เขาคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ เธอก็เริ่มทำการดูดซับจิตวิญญาณของอีกฝ่าย

 

นี่นับว่าเป็นการทรมาณที่เจ็บปวดแสนสาหัสที่สุด

 

ทาสรับใช้กายโลหิตกำกริชในมือ และเปิดผ่าแหวกท้องของทุกๆคนที่สังหารเขา

 

บนแผ่นน้ำแข็ง บังเกิดเสียงร้องระงมดังขึ้นและเงียบลงไปตามลำดับ

 

เมื่อทาสรับใช้กายโลหิตเสร็จสิ้นภารกิจตน เขาก็เดินกลับมาหาซูเซี่ยเอ๋อ

 

เขาคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะชูสองฝ่ามือที่มีกริชชุ่มเลือดวางอยู่ขึ้นเหนือหัว

 

กริชที่คาวไปด้วยเลือดแปรสภาพเป็นไพ่ทันที ก่อนมาบินขึ้นมาลอยอยู่ในระดับสายตาของซูเซี่ยเอ๋อ

 

“นี่คือมีดปลอกผลไม้ของฉัน แต่น่าเสียดาย … ที่ตอนนี้ไม่ว่าจะล้างยังไง มันก็คงจะไม่มีทางกลับมาสะอาดได้อีกแล้ว” ซูเซี่ยเอ๋อพูดในสิ่งที่คิดออกมา

 

ว่าจบ เธอก็ใช้นิ้วเคาะลงกับไพ่

 

ไพ่สีเทาบินไปตามพายุหิมะ และหายไปจากสายตาของเธออย่างรวดเร็ว

 

เธอเลือกที่จะทิ้งไพ่ใบนั้นไป

 

“เอาล่ะ คุณผู้หญิง ในเมื่อได้ระบายความโกรธจนสาแก่ใจแล้ว ทีนี้คุณจะปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง” ชายหัวล้านรวบรวมความกล้า ฝืนพูดออกมาอย่างเจ็บปวด

 

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินก็มองเขา แล้วยิ้มออกมาทันที

 

เธอกล่าวสรุป “พวกแกไม่ได้มีแต้มพลังวิญญาณเป็นของตัวเอง แต่กลับสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์แบบนั้นขึ้นมาได้ ในกรณีนี้ คิดว่าทางเดียวที่พวกแกจะได้แต้มพลังวิญญาณมาครอบครอง คงมีเพียงการฆ่าคนอื่นๆเท่านั้นล่ะสิใช่ไหม?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อชี้ไปยังยักษ์ตาเดียวที่ผุดออกมาจากใต้พื้นน้ำแข็งและเอ่ยถามว่า “อัญเชิญมอนสเตอร์แบบนั้น น่ากลัวว่ามันคงจำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณไปไม่น้อยเลยสินะ?”

 

หลายคนหันไปมองหน้ากันและกัน แต่ก็หวาดเกรงที่จะตอบ

 

“ถ้าในบรรดาคนที่ถูกฆ่าไป มีผู้หญิงอยู่ด้วยแล้วล่ะก็ พวกแกคง … ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพึมพำแต่ไม่ได้กล่าวต่อ

 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเหล่านั้น ทั้งหมดก็น่าจะพอจินตนาการได้

 

เพราะแม้แต่ตนเองก็ยังต้องพยายามอย่างเต็มกำลังจึงจะสามารถโค่นพวกมันลง

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ใบหน้าที่ดูซีดเซียวของซูเซี่ยเอ๋อก็ฟุ้งไปด้วยความโกรธ

 

“จำได้รึเปล่า ว่าคนไหนที่ฆ่านาย?” ซูเซี่ยเอ๋อหันไปถามทาสรับใช้กายโลหิต

 

ทาสรับใช้เผยสีหน้าครุ่นคิด “เรื่องก่อนตาย กระผมจำมันไม่ได้เลย แต่ในตอนนี้ที่ผมกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา ร่างกายของผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก”

 

“งั้นก็กินพวกมันซะ กินเป็นๆก่อนที่พวกมันจะเน่าตายไปเองซะก่อน”

 

“ขอรับ ขอบคุณสำหรับอาหารนะเจ้านาย”

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูเซี่ยเอ๋อก็จ้องมองบนหน้าต่างระบบด้วยความกังวล

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่าง ปรากฏสองบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณบางส่วนมาเสริม ส่งผลให้ระบบยังคงสามารถดำเนินการต้านทานการบุกรุกของเชื้อไฟได้ต่อไป”

 

“เวลาคงเหลือ : 22 นาที”

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองสองบรรทัดเหล่านี้

 

เธอยังคงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อีก 22 นาที

 

หนึ่งมือยกขึ้นปาดน้ำใสๆจากสองตา ปากเอ่ยกล่าวกับทาสโลหิต “พวกเรารีบไปกันเถอะ”

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นจากในความมืดมิด

 

มันเย็น

 

เย็นยะเยือก

 

นี่มันหนาวเกินกว่าปกติทั่วไป มากเกินกว่าที่ร่างกายจะสามารถต้านทานได้

 

แถมยังไม่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้เลย

 

แต่ทันใดนั้นเสียงก็ดังขึ้นในหูของเขาอย่างกระทันหัน

 

“ยินดีต้อนรับสู่โลกสมบัติของแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้”

 

“คุณจะต้องช่วยจัดการแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆแก่เธอ แล้วทริสเต้ก็จะมอบรางวัลให้ตามระดับผลงานของคุณ”

 

“เมื่อคุณสามารถแก้ปัญหาได้เสร็จสิ้นแล้ว โลกก็จะส่งคุณไปจัดการอีกปัญหาหนึ่งในสถานที่ต่อไป”

 

“ยิ่งคุณสามารถจัดการกับปัญหาได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้รับรางวัลมากขึ้นเท่านั้น”

 

“เอาล่ะ ถ้าอย่างงั้นพวกเราก็มาเริ่มปัญหาแรกกันเถอะ”

 

“สงครามครั้งแรก : การต่อสู้ที่ถูกปิดล้อม”

 

“คุณจะต้องร่วมมือกับทุกคน เพื่อเอาชนะศัตรู และยืนหยัดอยู่ในวงล้อมนี้ให้จงได้”

 

“นี่คือช่วงเวลาแห่งการทดสอบความสามารถของคุณ ถ้าคุณสามารถฟันฝ่าอุปสรรค และประสบความสำเร็จได้ นี่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณมีคุณสมบัติอย่างเป็นทางการ เหมาะสมแก่การช่วยแก้ปัญหาให้แก่โลกสมบัติของทริสเต้”

 

“การทดสอบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!”

 

ว่าจบ เสียงนั้นก็หายไป

 

ท่ามกลางความเงียบอันมืดมิด มือน้อยๆยื่นออกมาจับมือของกู่ฉิงซานเอาไว้แน่น

 

“มีอะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เรากลัวน่ะ” ลอร่าพูดสั้นๆ

 

ทั้งสองยืนเคียงข้างกัน

 

นอกเหนือไปจากเสียงหวีดหวิวของสายลมและหิมะ ภายนอกก็สะท้อนไปด้วยเสียงที่ฟังแลคล้ายกับเสียงโหยหวนของภูติผี

 

“ฝ่าบาทได้ยินเสียงประกาศเมื่อครู่หรือไม่?”

 

“ได้ยินนะ แต่เราได้ทำการตัดขาดตนเอง และไม่คิดลงมือใดๆ ดังนั้นทริสเต้จึงไม่สามารถค้นพบเราได้ แต่โลกใบนี้ทำให้เรารู้สึกอึดอัดใจจริงๆ”

 

“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นกระหม่อมจะนำหน้า ส่วนฝ่าบาทก็คอยอยู่เบื้องหลังแล้วกัน”

 

“เราขอนั่งลงบนไหล่เจ้าจะได้ไหม?”

 

“ทำไมล่ะ?”

 

“เพราะทุกครั้งคราว ในยามที่เราหวาดกลัว นี่คือสิ่งที่ท่านพ่อของเรามักจะท-”

 

แล้วเสียงของลอร่าก็หายไป

 

ห้วงอารมณ์ของเธอเหมือนจะดิ่งลง

 

เพราะท่านพ่อของเธอ ได้ล่วงลับไปแล้ว

 

ไม่เพียงแต่ท่านพ่อ ท่านแม่ กระทั่งน้องชาย ตลอดทั้งราชวงศ์ทั้งหมดก็ได้ล่วงลับไปจนสิ้น

 

ตอนนี้ ในโลกนับ 900 ล้านชั้น หลงเหลือเธออยู่เพียงลำพังผู้เดียว

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

เพราะเขาพึ่งค้นพบเมื่อครู่นี้เอง ว่าการนับจำนวนปีของวิหคหนามกับเผ่ามนุษย์น่ะมันแตกต่างกัน

 

หนึ่งปีของดินแดนอัศจรรย์จะสั้นกว่ามาก

 

ดังนั้นเจ้าหญิงลอร่าที่อายุ 12 ปี หากคำนวณตามปีของเผ่ามนุษย์ เธอจะมีอายุเพียงแค่ 7 ขวบเท่านั้นเอง

 

กู่ฉิงซานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกตัวเธอขึ้นวางลงบนไหล่ขวา

 

“ไม่เอา เราชอบนั่งบนไหล่ซ้าย” ลอร่ากล่าว

 

แล้วกู่ฉิงซานก็วางเธอลงบนไหล่ซ้ายอีกที

 

พอได้นั่ง ลอร่าก็คล้ายจะจดจำได้ถึงบางสิ่ง ขอบตาของเธอเริ่มที่จะแดงเรื่อ

 

พอกู่ฉิงซานเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็เอ่ยขัด “นี่ — กระหม่อมจะเล่าอะไรให้ฟังก็แล้วกัน อันที่จริงแล้วกระหม่อมน่ะเป็นเด็กกำพร้า”

 

“หืม? นี่เจ้าเป็นเด็กกำพร้างั้นหรอ?” ลอร่าเริ่มถูกเบี่ยงเบนความสนใจ

 

“ใช่ แต่กระหม่อมชินแล้ว … จะบอกอะไรให้นะ ว่าเด็กกำพร้าน่ะก็มีข้อได้เปรียบยิ่งกว่าคนอื่นเขาอยู่เหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ข้อได้เปรียบอะไร?” ลอร่าถูกดึงดูดโดยหัวข้อนี้

 

“อย่างเช่นถ้าเราตาย ก็ไม่จำเป็นต้องมากังวลว่าจะมีคนในครอบครัวมาร่ำไห้ยังไงล่ะ”

 

“นั่นมันข้อได้เปรียบบ้าบออะไรกัน .. ”

 

“ทำไม? มันไม่ดีหรือ ลองคิดดูนะ ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่าบาทเห็นคนอื่นๆกำลังเศร้าโศกเพราะตนเอง ฝ่าบาทก็จะเศร้าโศกไปด้วย แต่ความได้เปรียบของเราก็คือ พวกเราจะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้”

 

“ … แล้วแบบนี้ สิ่งที่ตัวเรากำลังเผชิญอยู่ มันพอจะเรียกว่าเป็นข้อได้เปรียบเช่นเดียวกันหรือเปล่านะ?”

 

“แน่นอนอยู่แล้วฝ่าบาท”

 

ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็ผลักประตูแล้วเดินออกไป

 

เสียงหวิวของสายลม หวีดเข้าเต็มบ้องหู

 

มันคือพายุหิมะ

 

กู่ฉิงซานค้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในใจกลางเมือง

 

เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และเริ่มสำรวจรอบๆ

 

ปรากฏว่ามันเป็นเมืองร้างที่ทรุดโทรมมานานแล้ว และเต็มไปด้วยซากศพ

 

นอกตัวเมืองไป เป็นทุ่งน้ำแข็งอันไร้ที่สิ้นสุด

 

เสียงเมื่อครู่บอกว่า เขาจะต้องร่วมมือกันกับทุกคน –

 

แต่มันกลับดันไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย

 

ดูเหมือนว่าเขาจะมาสายเกินไป ขณะที่คนอื่นๆได้มุ่งหน้าต่อไปกันหมดแล้ว ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงไม่สามารถแม้กระทั่งจะหาเพื่อนร่วมทีม

 

“แค่เริ่มต้นก็ลางไม่ดีแล้ว”

 

กู่ฉิงซานบ่นพึมพำเสียงต่ำ

 

ขณะที่ลอร่านั่งอยู่อย่างสบายๆบนไหล่ของเขา และกล่าว “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”

 

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ หรือว่าเป็นเพราะมีฝ่าบาทอยู่ที่นี่ด้-”

 

ตูม ตูม ตูม!

 

ผืนดินเริ่มสั่นสะเดือน อีกทึกครึกโครม

 

ร่างศพค่อยๆถูกช้อนขึ้น ขณะที่เมืองอันรกร้างเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย

 

ในขณะเดียวกัน มอนสเตอร์บางชนิดที่มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน

 

พวกมันหันขวับ ใช้สายตาที่มีเพียงหลุมดำกลวงๆว่างเปล่ามองมายังกู่ฉิงซานกับลอร่า

 

ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะตายลง

 

ทว่าพวกมันทุกตน ได้สูญเสียดวงตาไป

 

ร่างศพเหล่านั้นกลับมาขยับไหวอีกครั้ง

 

ลอร่า “อันที่จริงแล้ว เราจะบอกว่าสถานการณ์มันเลวร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าคิดต่างหาก”

 

สิ้นเสียงของเธอ เหล่ามอนสเตอร์ก็พรวดตรงมายังทั้งสองทันที

 

“แต่พวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสียกับที่นี่แล้ว”

 

กู่ฉิงซานคว้าดาบพิภพจากในความว่างเปล่ามาไว้ในมือ

 

การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

ท่ามกลางพายุหิมะ คนกลุ่มนั้นเว้นระยะห่างจากซูเซี่ยเอ๋อและทะเลสาบเลือด

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะล่าถอย แต่พวกเขาก็มิได้คิดหลบหนีใดๆ

 

เห็นแค่เพียง7-8ผู้จมลงสู่วิถีมาร ทั้งหมดกำลังวางมือลงบนศีรษะของชายหัวล้าน

 

พวกเขากำลังถ่ายโอนพลังวิญญาณทั้งหมดที่ตนเองเก็บรวบรวมมาได้มอบให้อีกฝ่าย

 

ชายหัวล้านยิ้มเยาะหยัน ขณะมองไปยังทะเลสาบเลือด

 

เวลานี้ เขาไม่หวาดเกรงยักษ์แดงเลือดที่อยู่ตรงกันข้ามอีกต่อไป

 

เพราะเมื่อแต้มพลังวิญญาณของทั้ง 8 คนถูกควบรวมเข้าด้วยกัน เขาก็สามารถทำการร้องขอเชื้อไฟได้ในที่สุด

 

“สาวน้อยเอ๋ย มันน่าเสียดายจริงๆนะ ที่คนทั้งสวยและทรงเสน่ห์แบบเธอ จะต้องมาถูกทำร้ายจนต้องตกตายลง”

 

ชายหัวล้านกล่าวกับซูเซี่ยเอ๋อ

 

สีหน้าของเขาแลดูมึนเมา คล้ายกับกำลังจินตนาการถึงบางอย่าง

 

“แอสทารอส ไม่ต้องเสียเวลารั้งรออีกแล้ว ฆ่าพวกมันซะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวด้วยความรังเกียจ

 

ยักษ์แดงเลือดโน้มกายลง เกร็งมัดกล้ามช่วงล่าง และบรึ้ม! ถีบตัวพุ่งถลาออกไป

 

ทุกย่ำก้าวของมันจะทิ้งรอยเท้าจมลึกไว้บนผืนน้ำแข็ง

 

สีหน้าของชายหัวล้านแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

เขาเงื้อมแขนข้างหนึ่งชูขึ้นไปบนท้องฟ้า ปากเปล่งวาจาอย่างรวดเร็ว “เชื้อไฟ! ฉันขอเสนอแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดให้แก่คุณ เพื่อแลกกับการคุ้มครองจากอสูรกาย!”

 

วินาทีต่อมา คล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นจากในอากาศที่ว่างเปล่า

 

ชายหัวล้านจ้องมองสิ่งนั้น และร่ายคาถาตาม “คีธคล็อป! จิตวิญญาณที่ร่วงหล่นเอ๋ย จงปืนป่ายขึ้นมาจากหุบเหวลึก จงสำแดงพลังของเจ้าแด่ระบบราชามาร!”

 

ปัง!

 

บังเกิดมือยักษ์สีเทาพุ่งทะลวงขึ้นมาจากพื้นน้ำแข็ง

 

ตามต่อด้วยศีรษะที่ใหญ่โตกว่า 25 เมตร

 

หัวที่ว่าหมุนหันไปมาๆ สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ

 

เห็นแค่เพียงตลอดทั้งหัวมีเพียงตาดวงเดียวกับปากใหญ่

 

“แด่ระบบราชามาร”

 

ศีรษะยักษ์คำรนเสียงต่ำ

 

แล้วผืนทุ่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็พลันปริร้าว แยกแตกออกจากพื้นของมัน

 

จากนั้นร่างกายอันใหญ่โตก็ผุดขึ้นมา

 

ผิวตามร่างกายของมันหมองคล้ำ กลิ่นที่โชยออกมาสาบโฉ่มิแตกต่างจากกลิ่นศพ

 

ยักษ์ตาเดียวผุดลุก ก่อนจะโค้งตัวลง แล้วยื่นมือกลับลงไปใต้ดิน และหยิบตะบองหนามขนาดใหญ่ขึ้นมา

 

มันกวัดแกว่งตะบองหนาม วางพาดลงบนบ่า เฝ้ารอคอยคำสั่งอย่างเงียบๆ

 

นี่คืออสูรกายดัดแปลง ที่ค่อนข้างจะเหมือนกันกับที่กู่ฉิงซานพบเจอในถ้ำมืด

 

แต่ยักษ์ที่กู่ฉิงซานพบเจอ มันมีร่างเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

 

ขณะที่ร่างของอสูรกายตนนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แถมยังถืออาวุธอยู่ในมือ

 

“ฆ่าเจ้ายักษ์เลือดนั่นซะ!”

 

ชายหัวล้านคำรามคลั่ง

 

“น้อมรับบัญชา”

 

อสูรกายขานรับคำหนึ่ง

 

หลายคนจ้องมองไปยังอสูรกาย บนใบหน้าของพวกเขาค่อยๆแสดงออกถึงความคลั่งไคล้

 

เจ้าสิ่งนี้มันช่างเป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!

 

กระทั่งมารที่แลดูน่าขวัญผวา ก็ยังเชื่อฟังในคำสั่งของพวกตน

 

อาาา ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับได้พิชิตโลกทั้งใบเลย

 

พวกเขารู้สึกว่า หากตนทะยานขึ้นเป็นคนแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ในอนาคต และสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์มาช่วยต่อสู้ในเวลาใดๆก็ได้แล้วล่ะก็ … ตำแหน่งตัวตนสุดแกร่งของตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น หนึ่งในนั้นจะต้องมีที่ว่างให้พวกเขานั่งอย่างแน่นอน

 

อสูรกายยักษ์พอได้รับคำสั่ง มันก็กระโจนลงไปในทะเลสาบเลือดโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกแม้เพียงครึ่งคำ

 

แอสทารอสก็ไม่รอช้า ขยับกายเคลื่อนไหว เร่งความเร็วพุ่งเข้าชาร์จใส่ยักษ์ใหญ่ทันที

 

ไม่นาน ทั้งสองก็ปะทะกัน

 

ทั้งสอง เริ่มรัวโจมตี ทั้งฟาด ทั้งทุบ ฉีกทึ้งอีกฝ่าย ก่อให้เกิดเสียงหวีดหอนกังวานไปทั่ว

 

กล่าวได้ว่าในทุกๆหนึ่งจังหวะโจมตี เสียงหวีดหอนเหล่านี้จะสะท้อนสะท้าน จนชั้นอากาศสั่นสะท้านสะเทือน

 

นี่มันดูมิแตกต่างไปจากสงครามของยักษ์ใหญ่ในตำนานโบราณเลย

 

และดูจากผลการต่อสู่ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็ยังมิอาจบอกได้ว่าฝ่ายใดกำลังมีเปรียบหรือเสียเปรียบในระยะเวลาอันสั้น

 

“พวกเราก็ลงมือกันบ้างเถอะ ไปจับตัวนังลูกเจี๊ยบคนนั้นกัน เพราะการที่เธอสามารถเรียกมอนสเตอร์ตัวใหญ่ขนาดนี้ออกมาได้ นั่นหมายความว่าในร่างกายของเธอ คงจะมีแต้มพลังวิญญาณอยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน!” ชายหัวล้านตะโกนเตือนสติคนอื่นๆ

 

ทันใดนั้นอีกหลายคนก็ได้สติกลับคืนทันใด

 

นั่นสินะ เพราะมีเพียงแต้มพลังวิญญาณเท่านั้น ที่จะสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนกับเชื้อไฟได้!

 

ทั้งหมดจับจ้องมายังซูเซี่ยเอ๋อด้วยความตะกละตะกลาม

 

ชายคนหนึ่งอดกลืนน้ำลายดังเอื๊อกขึ้นมาไม่ได้ ปากอ้าตะโกน “แต้มพลังวิญญาณฉันยกให้แกหมดเลย แต่ผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นของฉัน!”

 

“ไม่ขัดข้อง”

 

เพียงไม่กี่พริบตา ทั้งหมดก็มาเริ่มมุ่งหน้ามายังซูเซี่ยเอ๋อ และเริ่มแยกย้ายกระจายตัว เตรียมที่จะปิดล้อมอีกครั้ง

 

ได้ยินที่พวกมันกล่าว ซูเซี่ยเอ๋อโกรธมากจริงๆ

 

เธอกัดฟัน สองมือง้างคทาและทิ่มปลายมันลงกระแทกกับพื้นเบื้องล่างอย่างแรง

 

หัวคทาสาดแสงสีแดงเข้ม และระเบิดเปลวไฟ 13 ลูกออกมา

 

เปลวไฟเหล่านั้นลอยล่อง ก่อนจะค่อยๆมอดดับลง จางหายไปท่ามกลางพายุหิมะ

 

เห็นแค่เพียงไพ่ทั้งหมด 13 ใบปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

 

ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองดูไพ่ด้วยความลังเลเล็กน้อย

 

เนื่องเพราะหากใช้มันก็จำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณ ซึ่งนั่นหมายความว่าระยะเวลาที่ระบบช่วยปกป้องเธอก็จะลดน้อย ถดถอยลงเช่นกัน

 

ตอนนี้ เธอมีเวลาเหลืออีกเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น

 

หากตนต้องกระตุ้นไพ่ทั้ง 13 ใบนี้ ซูเซี่ยเอ๋อเองก็ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถยื้อเวลาต่อไปได้อีกนานแค่ไหน

 

กลุ่มคนที่เข้าสู่วิถีมารบินใกล้เข้ามา

 

พวกเขาเริ่มเข้าใกล้ซูเซี่ยเอ๋อมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

“ฮะฮ่าฮ่า! นังลูกเจี๊ยบนี่ ยิ่งมองก็ยิ่งสวย พวกแกอย่ามาแย่งเธอไปจากฉันก็แล้วกัน!”

 

บางคนตะโกนด้วยความตื่นเต้น

 

“แบบนั้นไม่เอาหรอก ต้องให้พวกเราสนุกกับเธอกันก่อนสิ แล้วแกถึงค่อยเอาตัวเธอไปได้”

 

อีกเสียงที่แยกตัวออกไปตะโกนขึ้น

 

ประโยคสนทนาของทั้งสอง ส่งผลให้ซูเซี่ยเอ๋อเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

 

เธอตัดสินใจเด็ดขาด สะบั้นความลังเลเมื่อครู่ทิ้งไปทันที

 

-ถึงแม้ว่าต้องจ่ายออกด้วยราคามากเพียงใดก็ตาม แต่เธอจะไม่ยอมตกอยู่ในกำมือของคนเหล่านี้!

 

“ทะเลเลือดเอ๋ย! คงได้ยินได้ฟังถึงเสียงเหล่านี้ผ่านทางทะเลสาบเลือดแล้วใช่หรือไม่?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อชูหัวคทาขึ้น ปากอ้าร่ายคาถา “ทะเลเลือดเอ๋ย! เช่นนั้นแล้วก็ขอจงโปรดให้เกียรติลงมายังโลกใบนี้ด้วยเถิด”

 

ฮู้มมมมม!

 

บังเกิดคลื่นแต้มพลังวิญญาณอันผันผวนแพร่กระจายออกไปทุกทิศทาง

 

“ฮี่ฮี่! … ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีอะไรน่าสนุกรออยู่ด้วยแฮะ”

 

จู่ๆเสียงหัวเราะคิกคักของผู้หญิงดังขึ้น โดยไม่รู้ว่ามาจากตำแหน่งใด

 

ขณะเดียวกัน ไพ่ทั้ง 13 ใบก็พลิกตลบโดยพร้อมเพรียง ประกบต่อเรียงกันเป็นภาพเสมือนของหญิงอันงดงามขึ้น

 

เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมาร คนแล้วคนเล่าต่างทยอยหยุดฝีเท้าลง

 

“อ่า … ”

 

“นี่มัน … ”

 

“งดงาม .. ช่างงดงามเหลือเกิน … ”

 

“ความงามนี้ ไม่อาจบอกบรรยายออกมาได้เลย .. ”

 

พวกเขาต่างบ่นงึมงำกับตนเอง

 

แต่นั่นก็เป็นเพราะหญิงสาวในรูปเบื้องหน้าน่ะ สวยมากจริงๆ

 

ถึงแม้ว่าเธอจะกำลังหลับตาอยู่ แต่ทั้งหมดก็ไม่วายถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์เหลืออนันต์ที่เล็ดรอดออกมา

 

ทั้งแปดผู้เข้าสู่วิถีมารรู้สึกเพียงแค่ว่าพวกเขาไม่สามารถละสายตาได้ ขณะเดียวกันก็ค่อยๆสูญสิ้นวิสัยทัศน์ในการมองเห็นไป

 

“สาวน้อย เหมือนว่าสถานการณ์ของเจ้าจะไม่สู้ดีนักนะ”

 

หญิงงามในรูปเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาทั้งๆที่ยังคงหลับตาอยู่

 

ทว่าช่างน่าฉงนนัก เพราะยามเมื่อเธอเอ่ยปากพูด มันราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆโดยรอบให้ความสนใจกับเธอเลย

 

ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ต่อปากต่อคำกับเธอ

 

ทั้งแปดผู้เข้าสู่วิถีมารยังคงยืนโง่งมอยู่ในตำแหน่งเดิม สายตาจับจ้องมองเธอ แต่มิเอ่ยวาจาร้ายกาจใดๆเหมือนที่ทำกับซูเซี่ยเอ๋อในก่อนหน้านี้

 

ตลอดทั่วทั้งบริเวณ หลงเหลือเพียงเสียงสะท้านสะเทือนโลกหล้าจากฝีมือของสองยักษ์ใหญ่ที่กำลังนัวกันอยู่เท่านั้น

 

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอบคุณที่ยอมมาปรากฏตัวนะ เอาไว้ข้าจะเตรียมของบูชาไปมอบให้ในภายหลัง” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างนอบน้อม

 

“ของบูชางั้นหรอ … คราวนี้ไม่จำเป็นหรอก ตราบใดที่เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ และบอกเล่าเรื่องราวต่อจากนี้ให้ข้าฟัง แค่นั้นข้าก็พอใจมากแล้ว”

 

ขณะกล่าว หญิงงามก็วาดมือของเธอออกไปเบาๆ

 

บังเกิดสายลมหนาวพัดโชย

 

พร้อมด้วยกลิ่นหอมจางๆลอยออกไป

 

เส้นผมสลวยของเธอปลิวไสวไปตามสายลม ชุดกระโปรงยาวบางเบาที่สวมใส่เองก็เช่นกัน มันพริ้วไปในทิศทางเดียวกันกับสายลม เผยให้เห็นถึงสัดส่วนเย้ายวน และผิวสีขาวราวหิมะที่มิอาจปกปิดได้ออกมา

 

แต่เจ้าตัวก็ยังหลับตาอยู่

 

—ราวกับว่ามันไม่มีสิ่งใดในโลกใบนี้ที่ควรค่าเกินกว่าจะให้ตนลืมตาดู

 

ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้ความงดงามเบื้องหน้านี้ ได้แผ่กลิ่นอายของเสน่ห์อันแปลกประหลาดออกมา

 

“เจ้าต้องการรับฟังเรื่องราวของข้าอย่างงั้นหรอ? ” ซูเซี่ยเอ๋อถามอย่างไม่คาดคิด

 

“ใช่สิ ก็เรื่องแบบนี้น่ะมันหายากจะตาย” ใบหน้าของหญิงงามเผยถึงร่องรอยความสงสาร “เห็นได้ชัดว่านี่มันเป็นโชคชะตาร้ายแรงของผู้อื่น แต่เจ้าก็ยังเลือกเผชิญหน้ากับมัน แบกรับมันเพื่อเขา”

 

“ข้าอยู่ในสระเลือดมาเป็นเวลานับล้านปี พบพานกับประสบการณ์แปลกประหลาดมามากมาย แต่ตลอดทั้งวันปีที่ผ่านพ้นมาเหล่านี้ กลับไม่เคยพบเจอกับหญิงสาวเช่นเจ้ามาก่อนเลย”

 

“จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าคนที่มีคุณสมบัติเช่นเจ้า ไม่สมควรที่จะแบกรับโชคชะตาของผู้อื่นให้มันมากจนเกินไปนัก”

 

“ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปให้ได้นะ”

 

กล่าวจบ หญิงงามที่ยังคงหลับตาก็หายไปจากภาพ

 

แล้วไพ่ทั้ง 13 ใบก็กระจายตัวออก แล้วลอยกลับเข้าไปในคทา

 

ซูเซี่ยเอ๋อแม้จะกำลังตกใจ แต่ก็ตอบสนองทันที

 

เธอมองไปยังหน้าต่างระบบ

 

เวลาที่เหลือ : 4 นาที 36 วินาที!

 

ไม่นะ! แต้มพลังวิญญาณมันจะหมดลงเร็วเกินไปแล้ว!

 

เธอหันไปมองแปดผู้เข้าสู่วิถีมารอีกครั้ง

 

เห็นแค่เพียงวิสัยทัศน์ในสายตาของทั้งหมดกลับคืนมา

 

“เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

“ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนกับว่าจะหมดสติไป”

 

“เดี๋ยวก่อนนะ แล้วทำไมฉันถึงขยับตัวไม่ได้กันล่ะ!”

 

“ว่าไงนะ? เอ๋? ฉันเองก็ขยับเท้าไม่ได้เหมือนกัน”

 

“ส่วนฉันขยับนิ้วตัวเองยังไม่ได้เลย!”

 

ทั้งแปด คนแล้วคนเล่าเริ่มโวยวายออกมา

 

เพราะพวกเขาพึ่งได้เผชิญกับสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุด – นั่นคือค้นพบว่าได้สูญเสียการควบคุมร่างกายของตนไป!

พายุหิมะส่งเสียงหวีดหวิว

 

บนผืนน้ำแข็ง ฝูงชนยังคงหลั่งไหลไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

 

แม้อากาศโดยรอบจะหนาวเหน็บ แต่ขณะเดียวกันก็ปรากฏการต่อสู้ขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว

 

ทุกคนต้องการจะผ่านที่นี่ไปให้ได้ แม้จะเร็วขึ้นแม้เพียงน้อยก็ตาม

 

ขณะนี้ ซูเซี่ยเอ๋ออยู่ด้านหลังสุด

 

เธอยืนอยู่เบื้องหน้าร่างศพและเฝ้าสังเกตมันอย่างเงียบๆ

 

โดยในเวลานี้ มากกว่าครึ่งของร่างศพได้จมลงไปในผืนน้ำแข็งแล้ว

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองดูศพที่ค่อยๆจม ในจิตใจบังเกิดความสงสัยขึ้นอย่างเงียบๆ

 

เธอเหยียบลงบนผืนน้ำแข็ง

 

น่าแปลกจัง พื้นน้ำแข็งนี่ มันก็แข็งมาก แล้วร่างกายจะจมลงไปได้ยังไง?

 

ซูเซี่ยเอ๋อวาดมือ พร้อมกับคทาที่ปรากฏออกมา

 

เธอจี้คทาไปยังทิศทางของศพ ปากเอ่ยกล่าว “จำกัดแต้มพลังวิญญาณ”

 

แต่คทายังคงนิ่งเงียบ

 

ร่างกายมิได้ตอบสนอง

 

ซูเซี่ยเอ๋อลอบถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดลง

 

เพราะไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใด ก็ล้วนมีแต้มพลังวิญญาณอยู่ในกาย แต่ร่างศพนี้กลับไม่มี

 

หากอ้างอิงตามตรรกกะดังกล่าว ก็พอที่จะสรุปได้ว่าชายคนนี้ยังไม่ตายลงจริงๆ แต่ถูกส่งกลับไปยังอัลเบอัส

 

ท่ามกลางผืนน้ำแข็ง พายุหิมะดูจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

 

เอาล่ะ นี่ก็ได้เวลาที่เธอจะติดตามกลุ่มฝูงคนขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้ไปได้แล้ว ในเมื่อคนที่ถูกฆ่าไม่ได้ตายลงจริงๆ เรื่องการต่อสู้คงไม่จำเป็นต้องยั้งมือ จะทำอะไรๆคงง่ายดายขึ้น

 

แต่หลังจากที่เริ่มมุ่งหน้าต่อไปเพียงไม่กี่ก้าว ซูเซี่ยเอ๋อก็เริ่มลังเลอีกครั้ง

 

ความรู้สึกอันลึกลับและไร้ที่สิ้นสุดสะท้อนไปมาอยู่ในจิตใจของเธอ

 

เธอคือผู้สืบทอดของทะเลเลือด ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างพิถีพิถันจากจอมมารทะเลเลือด ตนจึงสามารถมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตอย่างเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร

 

… มันดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติจริงๆนะ

 

ซูเซี่ยเอ๋อหยุดและเดินกลับไปที่ร่างศพ

 

ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ลมหายใจ ร่างศพเกือบทั้งหมดก็แทบจะจมลงไปใต้แผ่นน้ำแข็งแล้ว

 

เฝ้ามองไปยังฉากแปลกๆนี้ ซูเซี่ยเอ๋อก็กัดฟันของเธอ

 

ไหนๆก็สงสัยและลงมือตรวจสอบไปนิดๆหน่อยๆแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ขอตรวจแบบละเอียดๆไปเลยก็แล้วกัน

 

เธอยกคทาขึ้น และชี้ไปยังร่างศพ “ทาสรับใช้กายโลหิตเอ๋ย จงน้อมรับคำสั่งของนายเหนือแห่งทะเลเลือด!”

 

นี่เป็นเทคนิคมนตราทะเลเลือดระดับสูง มันสามารถใช้เลือดควบคุมร่างกาย และบังคับให้ลุกขึ้นกลับมาต่อสู้อีกครั้งได้!

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องเพราะภายในร่างกายมิได้มีจิตวิญญาณหลงเหลืออยู่อีกต่อไป ความทรงจำของทาสรับใช้กายโลหิตจึงขาดหายไปมาก ดังนั้นเขาจึงใช้ได้เพียงหนึ่งในสกิลที่มีติดตัวมาตลอดทั้งชีวิตก่อนตายได้เท่านั้น

 

คทาสั่นเล็กน้อย

 

เทคนิคมนตราเริ่มขับเคลื่อน

 

ร่างศพที่ถูกแช่อยู่ในผืนน้ำแข็งค่อยๆขยับไหว

 

มันพยายามดิ้นรนอย่างเดือดดาลในน้ำแข็ง ไม่ช้าก็สามารถทำลายน้ำแข็งโดยรอบ และทะลุตัวออกมาได้ในที่สุด

 

ร่างศพค่อยๆผุดลุกขึ้นอย่างช้าๆ และเดินมาคุกเข่าลงเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ

 

นับจากช่วงเวลานี้ไป มันจักจงรักภักดี และซื่อสัตย์ต่อเธอเพียงผู้เดียว

 

“โจมตีออกไปด้านหลังซะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองร่างศพ เอ่ยสั่งการจากในจิตใจอย่างเงียบๆ

 

ร่างศพหวีดร้องออกมา ขณะเดียวกันก็เหวี่ยงกำปั้นวูบกลับไป พร้อมระเบิดเปลวไฟสลัวๆปะทะออกไปยังทิศทางเบื้องหลังเขา

 

ประกายไฟกระพริบไหวท่ามกลางพายุหิมะ

 

ซูเซี่ยเอ๋อเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ ทั้งคนทั้งร่างรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบวิ่งผ่านแทรกเข้ามาในหัวใจ

 

ใช่แล้วล่ะ คนๆนี้เดินทางมากับทุกคนด้วยกันตลอด หลังจากที่ผ่านพ้นปัญหาแล้วปัญหาเล่า จนกระทั่งในที่สุดก็มาถึงทุ่งผืนน้ำแข็งแห่งนี้

 

แท้จริงแล้วตัวเขาเป็นผู้ฝึกเพลงหมัดธาตุไฟ

 

ตามกฏของเทคนิคมนตราทะเลเลือด ‘ร่างศพปลอมๆ’จะไม่สามารถถูกควบคุมได้

 

มีเพียงศพของสิ่งมีชีวิตจริงๆเท่านั้น ที่จะถูกทำให้กลายเป็นทาสของทะเลเลือดได้!

 

-หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ … นี่คือศพคนจริงๆ!

 

เขาได้ตกตายลงที่นี่ และไม่ได้กลับไปยังอัลเบอัส!

 

ว่าแต่แล้วเรื่องแต้มพลังวิญญาณล่ะ สมควรที่จะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร?

 

แต่ทันใดนั้นซูเซี่ยเอ๋อก็พลันนึกไปถึงเรื่องที่เมฆหมอกไฟสีแดงลอยออกมาจากร่างศพ และผลุบเข้าไปในร่างของอีกหลายๆคนที่สังหารเขาก่อนหน้านี้

 

‘มันอบอุ่นมาก’ — เจ้าสิ่งนี้ที่คนกลุ่มนั้นพูดถึงคงจะเป้นแต้มพลังวิญญาณแน่ๆ

 

พวกเขาทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ และเริ่มมุ่งหน้าลึกเข้าไปในทุ่งผืนน้ำแข็ง

 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบไปสักพักหนึ่ง

 

นี่มันไม่ถูกต้อง

 

ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชายคนนี้แข็งแกร่งมาก ดังนั้นเขาจึงสมควรที่จะครอบครองแต้มพลังวิญญาณพอสมควร

 

แต่หลังจากที่เขาได้เผชิญกับการต่อสู้หลายครั้งหลายคราเข้า อาการบาดเจ็บก็เริ่มสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็ล้มลงในพื้นที่ทุ่งน้ำแข็งในที่สุด

 

แต่พวกที่สังหารเขา กลับได้รับแต้มพลังวิญญาณไปเพียงแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น

 

ถ้าอย่างงั้นแล้วแต้มพลังวิญญาณส่วนใหญ่ที่เขามีมันหายไปที่ไหนกัน?

 

ใครที่เป็นคนเอาแต้มพลังวิญญาณส่วนใหญ่ของเขาไป?

 

ซูเซี่ยเอ๋อจมลงสู่ความคิดอย่างเงียบๆ

 

“สาวน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่างสินะ”

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางพายุหิมะ

 

ซูเซี่ยเอ๋อหันขวับกลับไปทันที

 

เห็นแค่เพียงกลุ่มคนที่พึ่งจะจากไป ได้กลับมายังที่นี่อีกครั้ง

 

พวกมันคือกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันกับที่สังหารชายคนนี้

 

พวกเขาประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม เคลื่อนไหวกันได้อย่างรวดเร็ว จนเหยื่อทุกคนไม่มีเวลาตอบโต้ และถูกสังหารลงในที่สุด

 

ซูเซี่ยเอ๋อเฝ้ามองดูพวกเขาอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ชี้หัวคทาไปยังเบื้องหน้า และค่อยๆขยับก้าวถอยหลังไปอย่างเงียบๆ

 

“คุ๊ๆๆ ดูท่าทีระมัดระวังนั่นสิ ฉันคงต้องบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งฉลาดจริงๆ บอกตามตรงเลยนะว่าฉันชอบเธอ” อีกเสียงหนึ่งกล่าว

 

ว่าแล้วทั้งหมดก็กระจายตัวออกไป และล้อมกรอบซูเซี่ยเอ๋อ

 

ชายหัวหน้าที่ดูบึกบึนแข็งแกร่งคนหนึ่ง ก้าวจากในวงล้อม เข้ามาเผชิญหน้ากับซูเซี่ยเอ๋อ

 

“อันที่จริงแล้ว … ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าทำไมคนที่โดดเด่นอย่างเธอ ถึงยังไม่ได้ดาวโหลดระบบลงในร่างซักที” เขากล่าว

 

ซูเซี่ยเอ๋อจิกริมฝีปาก ทว่ามิได้ตอบสิ่งใด

 

วิสัยทัศน์ของเธอตกอยู่บนจอม่านแสง

 

ที่ปรากฏบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กขึ้น

 

“คำเตือน!”

 

“คำเตือน!”

 

“เนื่องจากคุณยังคงปฏิเสธที่จะดาวโหลดเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเชื้อไฟจึงได้ทำการยืนยันว่าคุณเป็นศัตรู”

 

“และคุณกำลังถูกล้อมกรอบโดยพวกที่ดาวโหลดเชื้อไฟ”

 

“นอกจากนี้ เชื้อไฟก็ยังกำลังเพ่งเล็งมาที่คุณ และเพิ่มกำลังรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

 

“ทั้งนี้ทั้งนั้น ระบบกำลังทำการต่อต้านการบุกรุกของเชื้อไฟ โดยระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับแต้มพลังวิญญาณที่คุณได้สั่งสมเอาไว้”

 

“เวลาที่เหลือ : 19 นาที 57 วินาที”

 

นั่มไม่ใช่เวลานานเลยนะ!

 

ซูเซี่ยเอ๋อลองหยั่งเชิงเอ่ยถาม “ระบบ แล้วถ้าแต้มพลังวิญญาณของฉันหมดลง มันจะเกิดอะไรขึ้น”

 

“ระบบจะไม่สามารถช่วยปกป้องคุณได้อีกต่อไป และเชื้อไฟก็จะเข้ามาบุกรุกแทรกแทรงระบบ และคุณจะต้องถูกบังคับให้เข้าสู่วิถีมาร” ระบบตอบกลับ

 

ซูเซี่ยเอ๋อชะงักงัน

 

นั่นหมายความว่า หากแต้มพลังวิญญาณหมด ตัวเองก็จะกลายเป็นมารอย่างงั้นหรอ?

 

“แล้วสถานะของคนพวกนี้ล่ะ เขาได้เข้าสู่วิถีมารรึยัง?”

 

“ไม่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่ในสถานะเตรียมพร้อมที่จะตายแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพราะเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเสียที ดังนั้นเชื้อไฟจึงยังคงอนุญาตให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ชั่วคราว แต่ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยเชื้อไฟค้นหาแหล่งพลังงานเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่านี้ไปด้วยในตัว”

 

“เมื่อไหร่ก็ตามที่ระบบของราชามารตื่นขึ้นมา จิตวิญญาณเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอาหารของระบบ”

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”

 

“เนื้องเพราะเชื้อไฟดูเหมือนว่าจะไม่มีมีความชมชอบใดๆสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะกลายเป็นมาร และได้รับความไว้วางใจมากพอจากเชื้อไฟ”

 

“โปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าพวกเขากำลังไล่ตามหาแต้มพลังวิญญาณสำหรับเชื้อไฟอยู่ ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาจึงเพิ่มพูนขึ้นโดยฝีมือของเชื้อไฟ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปที่คนเหล่านั้น

 

ท่าทีของพวกเขาดูจะกำลังตื่นเต้นกันมาก แม้กระทั่งบนใบหน้าก็ฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่าและความปรารถนาที่พลุ่งพล่านออกมาจากในจิตใจ

 

ในความเป็นจริงแล้ว พฤติกรรมของพวกเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงสิ่งหนึ่ง

 

นั่นก็คือ พวกเขาน่ะมันมีความชั่วร้าย(มาร)อยู่ในตนเองอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าสู่วิถีมารอีกต่อไป

 

ซูเซี่ยเอ๋อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังของคนเหล่านั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

 

นี่มันก็เป็นเวลานานมากแล้ว ที่เธอไม่ได้พบเจอกับสถานการณ์อันตรายแบบนี้

 

ชายหัวล้านคำราม “ทุกคน! ฆ่านังลูกเจี๊ยบนี่ซะ!”

 

“เฮ้ๆ ฆ่าทันทีเลยหรอ ช่วยอ่อนโยนกับเธอก่อนจะได้ไหม เก็บเธอไว้เล่นกันก่อนไม่ดีกว่าหรือ?”

 

บางคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา

 

“ไอ้ลามกนี่ พวกเรารู้นะว่าแกคิดอะไรอยู่”

 

แล้วเสียงหัวเราะก็ระเบิดขึ้นโดยรอบ

 

แต่ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน หลายๆคนก็กำลังลอบมองดูปฏิกิริยาตอบสนองของซูเซี่ยเอ๋ออยู่

 

เพราะบางครั้ง การที่ผู้หญิงตัวคนเดียวถูกกลุ่มคนจำนวนมากรายล้อม มันอาจสร้างความหวาดกลัวในทางจิตวิทยา จนไม่สามารถลงมือต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ได้

 

ทว่าพวกเขาก็ต้องผิดหวัง

 

เพราะซูเซี่ยเอ๋อกลับยังคงยืนนิ่ง คล้ายกับว่าเธอไม่ได้ยินสิ่งใดเลย

 

ไร้ซึ่งแรงกระเพื่อมไหวของความรู้สึกใดๆ ภายในดวงตาที่เย็นชาของเธอ

 

ซูเซี่ยเอ๋อยกคทาขึ้น ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “กำบังทะเลเลือด”

 

สิ้นเสียง ก็บังเกิดชั้นคลื่นทะเลสีเลือดที่กระเพื่อมไหวอย่างต่อเนื่องผุดขึ้นมากลางอากาศ พวกมันควบรวมกันเป็นผ้าไหมเส้นยาวที่มีสีแดงสด

 

ไหมโลหิตว่ายวนไปมารอบๆร่างของซูเซี่ยเอ๋อ สร้างกำบังป้องกันขึ้น

 

ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังเล่นจิตวิทยาน่ารังเกียจ แต่ซูเซี่ยเอ๋อกลับฉวยโอกาสนั้น เลือกที่จะใช้เทคนิคป้องกันตนเองก่อนเป็นอันดับแรก

 

เธอยังคงร่ายคาถามนตรา และพยายามเปิดใช้งานชุดคาถาเทคนิคมนตราต่อไป

 

รอยยิ้มของกลุ่มคนที่รายล้อมค่อยๆหุบลง

 

เพราะพวกเขาพบว่าหญิงสาวยังคงสงบ แถมยังเตรียมพร้อมที่จะเริ่มต่อสู้กันอย่างจริงจังอีกด้วย

 

“ทุกคน! ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้ใช้เทคนิคมนตราล่ะ! จงอย่าให้เธอมีเวลาเพียงพอในการร่ายคาถา! ” ชายหัวล้านเร่งตะโกน

 

“รีบไป! กำจัดเธอซะ!”

 

ภายใต้การนำของชายหัวล้าน 7-8คนที่ถูกเสริมแกร่งก็พรวดเข้าหาซูเซี่ยเอ๋อ

 

ทว่าซูเซี่ยเอ๋อกลับยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตระหนักถึงมัน ที่เธอทำก็เพียงแค่สวดคาถาต่อไป และเตรียมการขั้นต่อไป

 

พร้อมกันกับคาถาของเธอ แสงระยิบระยับก็สาดออกมาจากตัวคทา และจมลงไปในแผ่นน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าของซูเซี่ยเอ๋อ

 

ไม่รีรอให้พวกวิถีมารได้เข้ามาใกล้ ซูเซี่ยเอ๋อก็วาดคทาออกไป

 

ท่ามกลางพายุหิมะ ได้ยินเพียงเสียงกระซิบ

 

“คลื่นโลหิตเอ๋ย ข้าขออัญเชิญเจ้า!”

 

ว่าแล้ว เธอก็แทงปลายคทาลงกับพื้นน้ำแข็งอย่างแรง

 

ปัง!!

 

บังเกิดคลื่นของทะเลเลือดพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ฟากฟ้า

 

หลายคนที่เสริมแกร่งตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว พริบตาที่คลื่นทะเลเลือดปรากฏ พวกเขาก็ถอยฉากกลับไปในทันที

 

ทั้งหมดยืนอยู่บนหินยักษ์ในสถานที่ห่างไกล เฝ้ามองไปยังซูเซี่ยเอ๋ออย่างรอบคอบ

 

เห็นแค่เพียงรอบตัวของซูเซี่ยเอ๋อในรัศมี 10 เมตร ทุ่งน้ำแข็งอันเย็นเยียบเมื่อครู่ ได้แปรสภาพกลายเป็นแอ่งเลือดที่กำลังเดือดพล่าน

 

ขณะที่ซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่เงียบๆใจกลางแอ่งเลือด สาดสายตาเย็นชามองมายังพวกเขา

 

“พวกเราน่ะเป็นมืออาชีพจากแต่ละมุมโลก มีประสบการณ์ต่อสู้มามากมาย แล้วผู้หญิงอย่างเธอคิดว่า กับดักที่เห็นอยู่โต้งๆนั่น จะทำให้พวกเราเข้าไปติดกับเหรอ?” ชายตัวใหญ่ที่มีรอยแผลเป็นบนหัวหัวเราะออกมา

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ไม่สนใจคำของเขาเลย

 

เธอประกบสองมือกุมคทา ขณะเดียวกันก็เริ่มบรรเลงบทสวดอ้อนวอนคลื่นโลหิต “สถานที่ใดมีข้า ที่แห่งนั้นย่อมแปรสภาพเป็นทะเลเลือดอันไร้ที่สิ้นสุด”

 

เทคนิคมนตราทั้งหมดที่จำเป็นก็ถูกจัดวางได้สำเร็จแล้ว และคาถานี้คือเป้าหมายสูงสุดของเธอ!

 

ด้วยคาถานี้ของซูเซี่ยเอ๋อ ก็บังเกิดศีรษะยักษ์ผุดขึ้นมาจากแอ่งเลือด

 

มันคือยักษ์ที่ทั้งตนทั้งร่างเป็นสีแดงฉ่ำ

 

แต่ดูเหมือนว่าจะยากเย็นไม่น้อย กว่าที่มันจะผุดขึ้นมาได้

 

นั่นเป็นเพราะแอ่งทะเลเลือดที่มีรัศมีเพียง 10 กว้างเพียง 20 เมตร มันเล็กเกินไป เล็กเกินกว่าขนาดหัวของมันจะผุดออกมาได้!

 

โฮกกกก!

 

ยักษ์สีเลือดคำรามคลั่ง

 

มันผลุบหายเข้าไปในทะเลเลือดอีกครั้ง ก่อนที่คราวนี้จะยื่นสองมือของตนออกมา และพยายามแหวกแอ่งเลือดให้แยกออกจากกัน!

 

ช่องว่างของแอ่งเลือดพลันขยายตัวกว้างขึ้น

 

ไม่นานนัก ตลอดทั้งทุ่งน้ำแข็งทั่วบริเวณจากแอ่งเลือด ก็แปรสภาพขยายกว้างออกเป็นทะเลสาบเลือด!

 

ดูราวกับมอนสเตอร์ในตำนานจากยุคก่อนประวัติศาสตร์

 

“แอสทารอส ทำไมเจ้าถึงเป็นคนเลือกมาในคราวนี้?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม

 

ยักษ์ใหญ่ยืนขึ้นบดบังซูเซี่ยเอ๋อเอาไว้เบื้องหลัง ปากอ้าขยับเปล่งเสียงสะท้านสะเทือนโลก “นั่นเพราะความตายและความคลุ้มคลั่งกำลังจะมาเยือน ซูเซี่ยเอ๋อ จงระวังตัวเอาไว้ให้ดี เวลานี้พวกเขากำลังเฝ้ามองเจ้าอยู่ในความว่างเปล่า”

 

พอได้ฟัง หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อก็หม่นทะมึนลงทันที

 

แอสทารอสเป็นหนึ่งในไพ่หลักของสำรับทะเลเลือด และมันครอบครองลางสังหรณ์อันน่าตื่นตะลึงยิ่ง ดังนั้นคำเตือนของมันย่อมมิใช่สิ่งไร้เหตุผล

 

ลางสังหรณ์ของมันสัมผัสได้ถึงอันตรายอะไรบางอย่าง

 

นี่หมายความว่าฉันจะตาย? หรือไม่ก็กลายเป็นมารอย่างงั้นหรอ?

 

หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อค่อยๆหนักอึ้ง

 

เธออดไม่ได้ที่จะมองไกลออกไป

 

เห็นแค่เพียง7-8คนที่ซ่อนตัวอยู่ไกลลิบ

 

พวกเขารวมตัวกัน และกำลังทำบางสิ่งที่น่าฉงน

 

เพราะตอนนี้ ทั้งหมดต่างก็กำลังเอามือวางลงบนศีรษะของชายหัวล้าน

 

“เร่งมือเร็วกว่านี้อีกสิ อย่ามากั๊กมันไว้ในเวลาแบบนี้จะได้ไหม!!”

 

ชายหัวล้านที่เฝ้ามองยักษ์เลือดแอสทารอส สีหน้าของเขาฟุ้งไปด้วยความตึงเครียด

 

ราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ชายแกร่งหัวล้านอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “เฮ้ย มันยังไม่พอเว้ย! ฉันต้องการแต้มพลังวิญญาณที่พวกแกเก็บเอาไว้ให้มากกว่านี้! ฉันถึงจะสามารถร้องขอให้เชื้อไฟส่ง ‘อสูรกาย’ ลงมาได้!”

กู่ฉิงซานมองไปยังลอร่าและบอลคริสตัลในมือของเธอ

 

“นี่มันน่าทึ่งจริงๆ”

 

เขาบ่นงึมงำ

 

เด็กสาวอายุแค่ 12 ปี แต่กลับมีความสามารถถึงขั้นผนึกโลกทั้งใบได้!

 

เจ้าหญิงลอร่าใช้มืออีกข้างลูบไล้บอลคริสตัล ขณะเดียวกันปากเธอก็ร่ายคาถาเสียงกระซิบ

 

เส้นด้ายอันอ่อนนุ่มผุดออกมาจากบอลคริสตัล และตกลงสู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิวานคว้าจับเส้นด้ายเอาไว้

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรปรากฏขึ้นทันที

 

“ด้ายมิติแห่งโลกสมบัติของทริสเต้”

 

“คุณได้ผูกสัญญาณกับโลกมิติอนันต์อื่นๆแล้ว ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถผูกสัญญาณกับโลกใบนี้ได้”

 

“วิชายุทธเทพสงคราม : ด้ายมิตินี้ไม่มีความสามารถใดๆ”

 

“คำอธิบายตามพงศาวดาร : คุณได้ล่วงรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับมันมาก่อนแล้ว”

 

“คำอธิบายไอเท็ม : ด้ายมิตินี้จะนำไปสู่โลกมิติอนันต์แห่งหนึ่งที่แฝงความคาดหวังของเผ่ามารนับล้านๆ , โลกใบนี้ถูกปกคลุมด้วยชั้นผนึกบางเบาแต่ขณะเดียวกันก็มีความสมดุลคอยคานรับกับพลังงานของโลกเอาไว้ -ขอโปรดจงอย่าได้ไปกระตุ้นมัน มิฉะนั้นแล้วมีโอกาสเป็นไปได้สูงทีเดียวที่สมดุลนี้จะถูกทำลายลง”

 

กู่ฉิงซานเบนสายตาไปมองลอร่า

 

เห็นแค่เพียงท่าทีการแสดงออกของอีกฝ่ายที่ดูตึงเครียด

 

เธอพยายามเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น “ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเราโชคดีที่สามารถผนึกโลกใบนี้เอาไว้ได้ ดังนั้นเจ้าห้ามขยับบอลคริสตัลนี้เด็ดขาด ขอจงเฝ้ารอให้เราสะกดมันสักครู่ มิฉะนั้นหากผนึกมีปัญหา ทริสเต้ก็จะสัมผัสถึงมันได้ทันที ”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

กู่ฉิงซานแสดงท่าทีขึงขังจริงจังบ้างแล้วเหมือนกัน

 

เทียบเปรียบกับลอร่า เกรงว่าในทางตรงกันข้ามเขาอาจจะล่วงรู้ถึงความอันตรายมากกว่าอีกฝ่ายเสียอีก

 

-เผ่ามารนับล้านๆกำลังเฝ้ารอให้โลกใบนี้ปรากฏขึ้น เพราะมันมีระบบของราชามารอยู่!

 

ในขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ต้องการที่จะช่วยโลกมิติอนันต์

 

ซึ่งหากเผ่ามารนับล้านๆได้รับด้ายมิติของโลกใบนี้ไปแล้วล่ะก็ ..

 

เพียงคิด ขนจากทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ชูชันแล้ว

 

ไม่ว่าโลกมิติอนันต์นี้จะอยู่ที่ใดก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมันย่อมต้องเป็นจุดเริ่มต้นของการนองเลือดและสายลมที่สาบโฉ่ไปด้วยกลิ่นเลือดเป็นแน่!

 

อย่างไรก็ตาม ลอร่าดันโชคดีสามารถปิดผนึกมันได้สำเร็จ!

 

น่ากลัวว่าเวลานี้ ทริสเต้คงแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว

 

เอ … ถ้าอย่างงั้นเขาจะสามารถโยนเจ้าบอลคริสตัลนี่ไปทิ้งที่ไหนได้บ้างกันนะ?

 

กู่ฉิงซานลอบคิดอย่างลับๆ

 

แต่เขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว

 

เพราะไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม ก็ยังมิอาจรับประกันได้ว่าใครบางคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นจะสามารถเอาชนะระบบของราชามารหรือแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ที่มาพร้อมกับเผ่ามารนับล้านๆได้

 

กู่ฉิงซานหยุดคิดอย่างไม่เต็มใจ และเอ่ยถาม “หลังจากที่ช่วยแฟนของกระหม่อม พวกเราพอจะสามารถนำโลกใบนี้ไปทิ้งได้ไหม?”

 

“แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดีหรอก เจ้าสามารถทำได้เพียงนำโลกใบนี้ติดตัวกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กเท่านั้น ซึ่งหากทำได้สำเร็จแล้วล่ะก็ ผู้คนในโลกจลอดทั้ง 900 ล้านชั้นก็คงไม่มีใครจักต้องมาหวาดเกรงเผ่ามารอีกต่อไป” ล่อร่าพูดอย่างหมดหนทาง

 

“แล้วผนึกของฝ่าบาทจะสามารถอยู่ได้ยาวนานแค่ไหน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง

 

“พวกเราจะต้องตามหาแฟนสาวของเจ้าให้เจอภายในหนึ่งวัน”

 

กู่ฉิงซานมองบอลคริสตัล และเห็นว่าท้องฟ้าภายในท่วมไปด้วยสายลมและหิมะ นอกเหนือไปจากนั้นก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย

 

พายุหิมะมันรุนแรงเกินไป แม้ว่าทัศนียภาพใดๆก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเหลือบมองมัน -กล่าวได้ว่าเผยโฉมออกมาให้เห็นเพียงเสี้ยวพริบตามันก็ถูกกลีบหิมะวูบเข้าไปบดบังทันที

 

“งั้นจากนี้กระหม่อมจะเข้าไปข้างในเอง ฝ่าบาทก็รออยู่ข้างนอกนี่ หลังจากที่กระหม่อมพาแฟนสาวออกมา ก็จะพาท่านจากไปเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาคว้าจับดาบพิภพจากในความว่างเปล่า กระชับมันเอาไว้ในมือ ตั้งท่วงท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้!

 

“ไม่ เราจะไปกับเจ้าด้วย” เด็กสาวตัวน้อยกล่าว

 

“เพราะอะไร?” กู่ฉิงซานย้อนถามอย่างสงสัย

 

“เพราะเรารู้สึกไม่ดีหากจะต้องอยู่ที่นี่เพียงลำพัง และหากตัวเราต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เราก็จะต้องช่วยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยเช่นกัน”

 

“นี่ฝ่าบาทคิดจะสู้ด้วยงั้นหรือ?”

 

“ไม่หรอก ในโลกของวิหคหนามตนอื่นๆ วิหคหนามที่ไม่ใช่เจ้าของไม่สมควรที่จะเปิดเผยกลิ่นอายเป็นอย่างยิ่ง มิฉะนั้นแล้วตัวเราย่อมที่จะถูกค้นพบได้อย่างแน่นอน”

 

“เอ่า ก็ถ้าอย่างงั้นฝ่าบาทก็รออยู่ข้างนอกเถอะ เพราะยังไงซะ ท่านก็มีอายุแค่ 12 ปีเท่านั้นเอง”

 

“กล่าวเช่นนั้นหมายความว่ากระไร เจ้าก็อายุมากกว่าตัวเราแค่6-7ปีเท่านั้นเอง!” ลอร่าบ่นอุบออกมา

 

เธอเกลียดจริงๆที่คนส่วนใหญ่มองว่าเธอยังเด็ก!

 

กู่ฉิงซาน “แต่กระหม่อมเกรงว่า-”

 

ลอร่าขัดจังหวะเขา “กู่ฉิงซาน ตัวเราทั้งได้เห็น และมีประสบการณ์มากกว่าเจ้าที่มาจากโลกกระจัดกระจายมากมากยนัก ฉะนั้นย่อมมีบางเรื่องที่เราสามารถใช้ภูมิปัญญาแนะนำเจ้าได้อย่างแน่นอน”

 

“แต่ท่านก็ยังเด็กเกินไป กระหม่อมเป็นห่วง-”

 

“เจ้าที่แม้กระทั่งไม่สามารถห้ามปรามแฟน แถมยังถูกเธอวางกับดักเข้าใส่ โดนถึงขนาดนี้ยังไปเอาความมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จด้วยตัวคนเดียวมาจากที่ไหนอีก?”

 

เจอดอกนี้เข้าไป เขาก็ไม่มีคำที่จะโต้แย้งกลับ

 

กู่ฉิงซานผายสองมือออก ไร้คำใดๆจะกล่าว

 

แต่แล้วจู่ๆเขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

 

ในหนังสือพิมพ์ของชีวิตก่อนหน้า ทริสเต้ได้เริ่มก่อสงครามขึ้น

 

ระบบของราชามารได้แพร่กระจายไปทั่วอัลเบอัส

 

ซึ่งนั่นหมายความว่า เจ้าหญิงหนามในที่สุดก็ถูกทริสเต้จับตัวได้

 

กู่ฉิงซานมองไปยังเจ้าหญิงตัวน้อยที่กำลังแผ่บรรยากาศโกรธขึง

 

นั่นสินะ

 

เธอเองก็เป็นกุญแจสำคัญที่จะใช้ในการหยุดทริสเต้เหมือนกัน

 

เขาไม่สามารถทิ้งเธอเอาไว้ให้อยู่ที่นี่เพียงลำพังได้ มิฉะนั้นแล้วหากเธอถูกจับ จุดจบคงมิแคล้วพานพบกับเรื่องน่าเศร้า

 

“เอาล่ะๆ งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ แต่พวกเราสมควรที่จะเริ่มไปกันทันที เพราะตอนนี้มันไม่อาจล่าช้าได้แล้ว”

 

กู่ฉิงซานนำดาบพิภพเก็บกลับคืนเข้าไปในความว่างเปล่า

 

เขาคว้าจับด้ายมิติ ขณะที่อีกมือหนึ่งยื่นไปทางลอร่า

 

“ต้องอย่างนี้สิถึงจะค่อยสมกับเป็นสุภาพบุรุษหน่อย” ลอร่ากล่าว

 

แล้วเธอก็คว้าจับมือของกู่ฉิงซานและร่ายคาถามนตรา

 

บังเกิดม่านรังสีแสงกระพริบไหว

 

ทั้งสองหายไปจากห้อง

 

หลังจากที่พวกเขาได้จากไป บอลคริสตัลที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ค่อยๆมุดกลับเข้าไปในเค้ก 20 ชั้นอย่างเงียบๆ

 

และชั้นเค้กที่แยกออกก็กลับมาประกบปิดกันดังเดิมอย่างรวดเร็ว ครีมที่อยู่ชั้นนอกละลายและรวมตัวกันอีกครั้ง ไม่เหลือทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้เลย

 

เค้ก 20 ชั้นยังคงถูกประดับประดาไปด้วยผลไม้แปลกชนิดที่มีกลิ่นหอมเย้ายวนใจจางๆแผ่ออกมา

 

โดยที่ทั้งสองมั่นใจว่า ต่อให้มีผู้มีสถานะถูกศักดิ์เข้ามาภายในห้องนี้ เขาและเธอก็คงจะยับยั้งชั่งใจ และทำตัวเฉกเช่นเดียวกันกับวิหคหนาม

 

นั่นก็คือเขาและเธอย่อมปฏิบัติตามมารยาทเป็นอย่างดี และปฏิเสธที่จะสัมผัสลงบนตัวเค้กอย่างแน่นอน

 

….

 

เย็นเยียบ

 

ความเย็นกัดกินลึกเข้าไปถึงในกระดูกสันหลัง

 

มองไปยังแผ่นน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ ยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา ก็จะสังเกตเห็นได้ถึงจุดสีดำหลายจุดที่กำลังเคลื่อนไหว มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

 

ซูเซี่ยเอ๋อเคลื่อนกายอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงตำแหน่งที่มีกระแสฝูงชน และมุ่งตรงไปยังทิศทางเบื้องหน้าเพียงลำพัง

 

สักพักหนึ่ง

 

เธอก็ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด และจ้องมองบรรทัดแสงตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นในสายตา

 

“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนที่ถูกรับเลือกให้เป็น ‘ผู้เบิกทาง’ -นี่คือของขวัญจากวิหคหนาม โปรดยืนยันการดาวโหลดระบบด้วย”

 

จากนั้นแถบตัวเลือกก็ปรากฏขึ้นมา

 

“ยืนยัน / ปฏิเสธ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อใช้ความคิดสั่งการเลือก ‘ปฏิเสธ’ โดยตรง

 

ทันใดนั้นอีกบรรทัดแสงก็ปรากฏขึ้นทันที

 

“กรุณาบอกเหตุผลในการปฏิเสธ”

 

“ไม่มีเหตุผล”

 

“หากคุณไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญของ ‘เชื้อไฟ’ แต้มคะแนนของคุณจะถูกลดลงอีกหนึ่งระดับ”

 

ด้วยประโยคสุดท้ายนี้ บรรทัดแสงตัวอักษรน้อยๆก็จางหายไป

 

เมื่อทั้งหมดหายไปจากสายตา ซูเซี่ยเอ๋อก็บ่นออกมาด้วยความโกรธ “นี่คุณไม่สามารถปิดกั้นแจ้งเตือนอะไรพวกนี้ได้เลยหรอ?”

 

เพราะตั้งแต่ที่เธอเข้าสู่โลกใบนี้ ข้อมูลแจ้งเตือนดังกล่าวก็ปรากฏขึ้นมาอยู่หลายครั้ง

 

ทันทีที่ซูเซี่ยเอ๋อบ่นจบ หน้าต่างสถานะก็ปรากฏขึ้นในสายตาเธอ และเริ่มขีดเขียนตัวอักษรขนาดเล็กขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“ขออภัยจริงๆ มันคือ ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ’ หากไม่ได้รับพลังงานใดๆ ฉันก็ไม่สามารถปิดกั้นมันได้” ระบบตอบกลับ

 

—นี่คือระบบของซูเซี่ยเอ๋อ

 

“ทำไมเจ้าเชื้อไฟนี่ถึงตามตื๊อฉันจัง?” ซูเซี่ยเอ๋อเค้นถาม

 

“หากคุณจ่ายแต้มพลังวิญญาณ ฉันก็ยินดีที่จะช่วยปิดกั้นข้อมูลของมันโดยตรง”

 

“ปิดกั้นมันซะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างเรียบง่าย

 

“ฉลาดเลือกไม่เลว ดั่งเช่นเดียวกันกับที่ระบบได้เตือนคุณไว้ล่วงหน้า ว่าเมื่อครู่นี้คือระบบวิถีมาร และคุณก็ไม่สมควรที่จะดาวโหลด และเปื้อนมลทินโดยมัน”

 

“จะระบบวิถีมารหรือระบบแบบคุณ ฉันก็ไม่ต้องการ -ถ้าหากไม่ได้เจอกับฉิงซานแล้วล่ะก็ ไม่ว่าระบบไหนฉันก็ไม่ต้องการทั้งนั้น!”

 

น้ำเสียงของซูเซี่ยเอ๋อเริ่มกลายเป็นเย็นชา

 

ระบบกล่าว “โปรดเข้าใจถึงปัญหานี้อย่างมีเหตุผลด้วย หากไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่ของฉัน ก็มีโอกาสมากทีเดียวที่เชื้อไฟจะสามารถหลอกลวงคุณ และหาวิธีที่จะให้คุณดาวโหลดมันได้”

 

“เอาเถอะๆ ฝากจัดการด้วยก็แล้วกันนะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพูดตัดจบ

 

แต่ขณะนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียง ‘โผล๊ะ!’ ดังมาจากไม่ใกล้ไม่ไกล

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองย้อนกลับไป

 

เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งที่ล้มลงกับพื้น

 

เธออดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วยเหลือเขา แต่เพียงย่ำตรงไปหนึ่งก้าว เธอก็จำต้องหยุดฝีเท้าลง

 

เพราะมีอีกหลายร่างถลาเข้ามา พวกเขาทั้งทิ่มทั้งแทง จ้วงสังหารชายที่พึ่งล้มลงกับพื้นไป

 

แล้วกลุ่มเมฆหมอกแสงสีแดงก็ผุดออกมาจากศพ ก่อนจะผลุบเข้าไปภายในร่างกายของอีกหลายคนที่พึ่งลงมือสังหารเขา

 

“อ่า มันช่างอบอุ่นจริงๆ” หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยอารมณ์

 

“ใช่ แต่อันที่จริงแล้วพวกเราไม่ได้ฆ่าเขานี่นะ พวกเราก็แค่ส่งเขาออกไปจากโลกใบนี้ และกลับไปยังอัลเบอัสก็เท่านั้นเอง” อีกคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

คนอื่นๆหันไปมองรอบๆ และเร่งฝีเท้าก้าวต่อไปทันที

 

เวลามันกระชั้นชิดเกินไป ดังนั้นเพื่อที่จะให้ได้รับรางวัลที่ดี พวกเขาจะต้องเร่งข้ามผ่านผืนน้ำแข็งกว้างอย่างรวดเร็วโดยไม่สนเรื่องหยุมหยิมใดๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่ถัดไปให้เร็วที่สุด

 

เพราะยังไงก็ตาม พวกเขาจะไม่มีทางตายจริงๆอยู่แล้ว อย่างมากที่สุดก็แค่ถูกไล่ออกจากจากโลกใบนี้เร็วเกินไป และรางวัลที่จะได้รับก็แย่ลงเท่านั้นเอง

 

มันไม่มีเวลามากพอที่จะให้ทุกคนมัวมาสนใจกับเรื่องหยุมหยิมดังกล่าว

 

—ใช่แล้วล่ะ เพราะตามกฏเกณฑ์ของทริสเต้ มันจะไม่มีใครตกตายลงที่นี่

 

การต่อสู้กับคนอื่นๆจะนำมาซึ่งผลประโยชน์และรางวัลตอบแทน

 

หากมีคนกำลังเผชิญหน้ากับความตาย คนๆนั้นก็จะทิ้งไว้เพียงร่างลวงตาในสถานที่นั้นๆ

 

ขณะที่ตัวตนจริงๆจะถูกส่งกลับไปยังอัลเบอัสทันที

 

ซูเซี่ยเอ๋อชายตาที่เปล่งประกายงดงาม เฝ้ามองไปที่ร่างศพอย่างเงียบๆ

 

คนๆนี้ ได้เคยช่วยเหลือตนเองมาก่อนในการต่อสู้ก่อนหน้านี้

 

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ และซูเซี่ยเอ๋อก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือดังกล่าว แต่เธอก็ยังจดจำน้ำใจนั้นเอาไว้อยู่ดี

 

ท่ามกลางพายุหิมะ ร่างดังกล่าวค่อยๆจมลงใต้พื้นน้ำแข็ง

 

-เขาจะถูกส่งกลับไปที่อัลเบอัสจริงๆน่ะหรอ?

 

ซูเซี่ยเอ๋อรู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

เธอจงใจชะลอความเร็วลง เมื่อคนอื่นๆมุ่งหน้าไปไกลแล้ว เจ้าตัวจึงค่อยๆถอยกลับไปและเอื้อมมือลงสัมผัสกับศพอย่างเงียบๆ

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.526 – ร่วมมือกัน

 

ณ โซนที่นั่งพิเศษ

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างเงียบๆ

 

ขวดไวน์ยังคงถูกแช่อยู่ในถังน้ำแข็ง

 

ขณะที่เค้ก20ชั้นคอยส่งกลิ่นหอมละมุนออกมาเล็กน้อย

 

แสงไฟภายในห้องไม่สว่างหรือซีดจางจนเกินไป ส่งผลให้รู้สึกสบายและไม่ระคายสายตา

 

กู่ฉิงซานกับเด็กสาวตัวน้อยมองหน้ากันและกัน

 

มีเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ในห้อง และช่วงเวลานี้คงจะปลอดภัยชั่วคราว

 

“นี่คุณ?” เด็กสาวเริ่มถามซักไซ้

 

แต่กู่ฉิงซานก็ยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอยู่ดี

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ ซูเซี่ยเอ๋อได้ถูกส่งเข้าไปอยู่ในโลกใบนั้นมาระยะหนึ่งแล้ว

 

ในหัวใจของเขาเริ่มปั่นความคิดอย่างรวดเร็วและพยายามที่จะค้นหาช่องโหว่ในแผนการของทริสเต้

 

ทริสเต้กำลังตามหาตัวเจ้าหญิง

 

-ว่าแต่ทำไมเธอถึงต้องไปตามหาตัวเจ้าหญิงหนามด้วยล่ะ?

 

ตั้งแต่ที่ตัวเธอหันไปพึ่งพิงเผ่ามาร  เดิมก็สมควรที่จะปลดปล่อยเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ทันที และเริ่มที่จะเปิดฉากจู่โจมอัลเบอัสไปเลยแท้ๆ

 

แต่ทริสเต้ก็ยังไม่ทำ

 

สงครามยังมิได้เริ่มต้นขึ้น ตลอดทั้งอัลเบอัสยังคงเงียบและสงบสุขดี

 

ทว่าเบื้องล่างผิวน้ำที่นิ่งงัน กลับบังเกิดวังวนของความปั่นป่วนอันยากจะอธิบายกระเพื่อมไหวขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ทุกสิ่งอย่างคล้ายกับลูกศรคมกริบบนคันธนู ที่ถูกรั้งจนตึงแล้วแต่ก็ยังไม่ยิงออกไปเสียที

 

ทริสเต้ … ร้อนรนถึงขั้นระดมองครักษ์ทั้งหมด

 

เพื่อไล่หาตัวเจ้าหญิง

 

ไม่เว้นกระทั่งภายในห้องโซนพิเศษนี้ ที่ห้องเดียวก็ถึงกับถูกค้นหาถึงสองครั้ง

 

แม้แต่แขกผู้ทรงเกียรติอย่างจิตวิญญาณพฤษาศักดิสิทธิ์ ก็ยังถูกทริสเต้ร้องขอให้ช่วยเธอออกค้นหา

 

-วิธีการและแผนของทริสเต้นับว่ายอดเยี่ยมจริงๆ

 

แต่เวลามันก็ผ่านไปนานแล้ว ถึงแม้จะไม่พบกับตัวเจ้าหญิงก็ตาม แต่ทริสเต้ก็น่าจะสมควรเริ่มสงครามได้แล้วสิ?

 

งั้นทำไมถึงยังไม่เริ่มสักทีกัน?

 

กู่ฉิงซานจ้องมองเด็กสาวตัวน้อย และจมเข้าสู่ห้วงความคิด

 

เจ้าหญิงหนามเองนับว่าหลักแหลมไม่เลวเหมือนกัน เพราะเธอเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในสถานที่เดียวกันกับที่ทริสเต้อยู่

 

เขาเกรงว่าบางที กระทั่งตัวทริสเต้เองก็คงจะคาดไม่ถึงเหมือนกัน

 

สงคราม …

 

เจ้าหญิง …

 

กุญแจสำคัญเหล่านี้ จะต้องมีอะไรซักอย่างเกี่ยวกับมันที่เขายังไม่เข้าใจสิ!

 

ถ้าคุณต้องการที่จะหยุดเกม คุณก็จะต้องค้นกุญแจสำคัญจากเจ้าหญิงหนาม!

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เปิดปากของเขา

 

“เมื่อครู่ … ดูเหมือนว่าเธอมีอะไรที่อยากจะบอกกับฉันสินะ?”

 

เขาเอ่ยถามเด็กสาวตัวน้อย

 

“อ๊า ใช่แล้ว พอดีว่าฉันต้องการให้คุณช่วยพาฉันออกไปจากที่นี่ ไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมที่อยู่ในดินแดนมิติอนันต์น่ะ” เด็กสาวเร่งตอบ

 

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ไม่มีปัญหา ฉันสามารถพาเธอไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน”

 

แต่ไม่รีรอให้เด็กสาวตัวน้อยแสดงท่าทีดีใจ กู่ฉิงซานก็กล่าวออกมาทันทีว่า “แต่คงต้องรอคนของฉันก่อน พอสามารถรับตัวเธอกลับมาแล้ว ฉันถึงจะพาเธอกับคนของฉันกลับไปด้วยกันทีเดียวเลย”

 

“ว่าไงนะ? นี่คุณต้องการรอคนอื่นก่อนงั้นหรอ?”

 

ท่าทีของเด็กสาวกลายเป็นว่างเปล่า

 

สถานการณ์ในตอนนี้ นับว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนยิ่ง

 

ทริสเต้สามารถค้นพบตัวเด็กสาวได้ตลอดเวลา

 

แต่เขากลับบอกว่ายังต้องการที่จะรอคนอื่น

 

เด็กสาวตัวน้อยเริ่มนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และกล่าวว่า “คุณกำลังรอแฟนอยู่ ถูกต้องใช่ไหม?”

 

“ใช่?”

 

กู่ฉิงซานเล่าคร่าวๆอย่างสงบ “พอดีว่าเธอเข้าร่วมการเรียกขานของวิหคหนามน่ะ และทริสเต้เองก็เอ่ยปากออกมาด้วยตัวเองแล้วว่าคนด้วยกฏเกณฑ์ของเธอ แฟนของฉันย่อมสมควรที่จะกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยในอีกไม่นาน”

 

เด็กสาวตัวน้อยจมอยู่ในความกังวลทันที

 

หากไร้ซึ่งความหวังในการรอดชีวิต ตนก็พร้อมที่จะยอมรับชะตากรรมของตัวเอง

 

แต่ตอนนี้ ในเมื่อได้เห็นถึงแสงสว่างในการเอาชีวิตรอดขึ้นมาแล้ว เธอก็ไม่เต็มใจที่จะละทิ้งโอกาสที่ว่านั่นไป

 

เด็กสาวตัวน้อยเฝ้ามองชายที่อยู่ตรงกันข้าม

 

เขาเป็นคนจากโลกกระจัดกระจาย

 

และเขาก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจเรื่องราวอะไรเลย

 

นี่เธอจะสามารถโน้มนาวใจเขา ให้ไม่เลือกที่จะรอแฟนได้รึเปล่านะ?

 

เด็กสาวตัวน้อยรำพึงเบาๆ สุดท้ายก็ส่ายหัว

 

ไม่ล่ะ เกรงว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้

 

ในเมื่อเขายอมจ่ายออกไปมากมาย เพียงเพื่อให้จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์เอ่ยปากช่วยเหลือออกมา คาดว่าในหัวใจของเขา ไม่ว่ายังไงก็คงไม่มีทางละทิ้งการช่วยเหลือแฟนตัวเองแน่ๆ

 

ดังนั้นวิธีเดียวที่จะให้เขาเลือกที่จะจากไปได้ก็คือ –

 

-ตราบใดที่ช่วยเขาแก้ไขปัญหาทั้งหมด ตนเองก็สามารถไปกับเขาได้ ออกจากที่นี่ด้วยด้ายมิติที่เป็นสัญญาณเชื่อมต่อกับสมาคมกำปั้นเหล็ก

 

อนิจจา … คงไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ

 

เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม หากเธอเลือกที่จะไม่พึ่งเขาแล้วออกไปจากที่นี่ ไม่ว่าเธอจะพบใครจากภายนอก คนๆนั้นก็จะต้องเรียกพวกองครักษ์มาจับกุมตัวเธอแน่ๆ

 

เนื่องเพราะรางวัลนำจับของตนเองั้นสูงค่ายิ่ง และคงไม่มีใครสามารถปฏิเสธมันได้

 

แถมทุกคนก็ยังต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับราชวงศ์วิหคหนามอีก

 

โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าราชวงศ์ได้สูญสิ้นไปแล้ว

 

ผู้คนในราชวงศ์เวลานี้ ทั้งหมดล้วนเป็นตัวปลอม!

 

เด็กสาวเฝ้ามองกู่ฉิงซานด้วยสีหน้าซับซ้อน

 

มีเพียงเขาเท่านั้น ที่ไม่เลือกที่จะเรียกองครักษ์ตั้งแต่แรก

 

เขาคือแสงสว่างสุดท้ายของเธอ!

 

เมื่อเทียบเปรียบกับการเฝ้ารอความตายอยู่ที่นี่ มันคงจะดีกว่าที่จะไล่ติดตามแสงแห่งความหวังไป!

 

ตัวเธอเองเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของราชวงศ์หนาม และจะต้องไม่มาตายลงที่นี่เด็ดขาด!

 

เด็กสาวตัวน้อยตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และกล่าวทันทีว่า “ฉันสามารถช่วยคุณให้เข้าสู่โลกของทริสเต้ เพื่อไปรับตัวแฟนสาวของคุณได้ แต่คุณต้องสาบานก่อน ว่าจะต้องไม่ทิ้งฉัน”

 

“นี่เธอมีวิธีการที่จะเข้าสู่โลกใบนั้นอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานแสดงอาการประหลาดใจ

 

“ใช่ อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ฉันขโมยมามันคือโลกของทริสเต้นั่นเอง ดังนั้นอีกฝ่ายเลยเป็นกังวล และไม่ละความพยายามที่จะไล่ตามตัวฉันซักที” เด็กสาวตัวน้อยกล่าว

 

กู่ฉิงซานแทบลืมหายใจ เขาถามเสียงกระซิบ “ว่าแต่เธอไปขโมยโลกของทริสเต้มาทำไมกัน?”

 

เด็กสาวตัวน้อยตอบ “เพราะนี่คือการแก้แค้น! เป็นการแก้แค้นของฉัน ฉันมีความสามารถที่จะทำให้ทริสเต้ไม่อาจค้นพบโลกของตัวเองได้อีกเลยตลอดไปได้ โดยมีเงื่อนไขว่าฉันจะต้องไม่ถูกเธอจับตัว”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น

 

นี่แหละ!

 

เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ ถูกซ่อนอยู่ในโลกของทริสเต้!

 

แต่โลกที่ว่านั่นดันมาถูกขโมยไปโดยเจ้าหญิงหนาม! ส่งผลให้ระบบของราชามารไม่อาจปะทุขึ้นได้! ดังนั้น เวลาในการเปิดฉากโจมตีอัลเบอัสจึงต้องเกิดความล่าช้าออกไป!!

 

นี่แหละคือกุญแจสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด!!!

 

“ยอดเยี่ยม! เธอทำได้ดีมากๆเลย!” เขาอุทานออกมา

 

เด็กสาวตัวน้อยตกใจในทีแรก แต่แล้วเธอก็ยิ้มออกมา ก่อนที่สีหน้าจะกลับคืนสู่ความสงบที่แฝงไปด้วยความเศร้าเสียใจจางๆออกมาดังเดิม

 

ได้ยินแค่เพียงเสียงของเด็กสาวอธิบายต่อว่า “แต่ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณก่อน ว่าจริงๆแล้วเรื่องนี้มันอาจแตกต่างไปจากที่คุณเคยได้รู้ได้ฟัง เดิมทีโลกใบนี้ที่คุณคิดว่ามันไม่อันตราย แท้จริงแล้วมันน่ะอันตรายยิ่งกว่าโลกใดๆที่คุณได้เคยพบเจอมาอย่างเทียบกันไม่ติดเลย”

 

“หืม? นี่เธอรู้ด้วยหรอว่าฉันเคยได้เผชิญหน้ากับโลกไหนมาบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไม่รู้หรอก แต่โลกของทริสเต้น่ะมันอันตรายมากจริงๆ หากคุณไม่ระวังก็อาจเอาชีวิตไปทิ้ง ดังนั้นควรรอบคอบให้มากเข้าไว้ … เพราะฉันไม่ต้องการที่จะตายไปพร้อมกับคุณ”

 

“ข้าพเจ้าทราบแล้ว เจ้าหญิงหนามที่เคารพ”

 

บังเกิดความเงียบขึ้นในห้อง

 

เด็กสาวตัวน้อยเผลอก้าวถอยหลังกลับไป

 

และเธอก็อดไม่ได้ที่จะถอยไปอีกก้าว

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอค้นพบว่ากู่ฉิงซานไม่คิดลงมือทำอะไร เธอก็ไม่ได้ถอยอีก

 

เด็กสาวตัวน้อยจ้องมองกู่ฉิงซาน พยายามที่จะควบคุมสีหน้าท่าทีของตนมิให้แสดงออกถึงความตื่นตระหนก

 

เธอพยายามสงบความคิดและจิตใจอยู่สักครู่

 

ขณะที่ชายตรงข้าม ยังคงเฝ้ามองเธออย่างเงียบๆและมิได้ทำสิ่งใดเลย

 

เด็กสาวตัวน้อยจึงค่อยๆเข้าใจในที่สุด

 

ว่าจริงๆแล้วเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรกับเธอเลย

 

… ชายผู้นี้ ช่างเป็นคนที่แปลกจริงๆ

 

หากเป็นผู้อื่น ไม่ว่าใครก็ตาม หากพบตัวเธอ ทั้งหมดก็คงจะเรียกองครักษ์ และรายงานไปทันทีว่าได้เจอกับสาวใช้แล้ว

 

-แต่ผู้ชายคนนี้ถึงขนาดมองออกถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ แต่เขาก็ยังเลือกไม่ทำอะไรอยู่ดี!

 

ทุกการกระทำของเขาดูเหมือนจะได้รับการตัดสินใจ และพิจารณามาเป็นอย่างดี แน่นอน ว่านี่มันรวมไปถึงวิธีคิดที่ดูจะไม่ซ้ำใครอีกด้วย

 

เด็กสาวตัวน้อยอดใจไม่ไหว จำเป็นต้องเอ่ยถาม “คุณรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

“เมื่อไหร่ก็ได้ที่ฉันต้องการจะรู้ตัว”

 

“การแปลงโฉมของฉันมันล้มเหลวถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” เด็กสาวตัวน้อยรู้สึกท้อแท้

 

“ไม่หรอก แต่เป็นเพราะฝ่าบาทโดดเด่นเกินไปต่างหาก บทบาทแม่บ้านน่ะไม่เหมาะสำหรับพระองค์หรอก เอ … ถ้าอธิบายไปแบบนี้ กระหม่อมหวังว่ามันคงจะช่วยให้ท่านอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างนะ”

 

“ขอบคุณที่ปลอบใจ แต่ก็เอาเถิด ในเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้แล้ว พวกเราก็ควรจะซื่อสัตย์ต่อกัน ดังนั้นฉันจะเผยโฉมที่แท้จริงของตัวเองเลยคงจะเป็นการดีกว่า”

 

“ได้ยลรูปโฉมอันงดงามที่แท้จริงของฝ่าบาท นับว่าเป็นเกียรติของกระหม่อมยิ่ง”

 

เด็กสาวตัวน้อยพยักหน้า และหันกลับไปอย่าเงียบๆ

 

สีผิวหมองคล้ำกลับกลายเป็นสีขาวเนียนดั่งหยก ชุดสาวใช้หายไป และถูกชุดกระโปรงยาวสีขาวเข้ามาแทนที่

 

เธออยู่ในรูปโฉมที่สง่างาม ห้วงอารมณ์และพฤติกรรมแลดูเคร่งขรึม แสดงออกถึงบรรทัดฐานอันเข้มงวดตามหลักมารยาทผู้ดี

 

แต่เธอมีอายุเพียงแค่ 12 ปี เท่านั้น

 

กู่ฉิงซานสบกับดวงตาของเด็กสาว

 

ซึ่งนี่ดูจะแตกต่างไปจากแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ เจ้าหญิงจะมีคู่ดวงตาสีฟ้าดั่งท้องนภา ยามเมื่อได้สบตากับเธอ จะรู้สึกคล้ายกับห้วงสติถูกดึงดูดเข้าไป บังเกิดความพึงใจและความสุขสม ราวกับกำลังเฝ้ามองดาราพร่างพราวอันงดงาม

 

“ขอแนะนำตัวอีกครั้ง เรามีนามว่าลอร่า เป็นเจ้าหญิงหนามแห่งยุคนี้”

 

“ลอร่า?”

 

“ใช่”

 

“ส่วนกระหม่อมชื่อกู่ฉิงซาน”

 

“ขอสารภาพตามตรงว่าตัวเราไม่มีความหวังอื่นใดหลงเหลือแล้วจริงๆ มิสเตอร์กู่ฉิงซาน เจ้าช่วยนำตัวเราไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กจะได้หรือไม่?”

 

พอแปลงกลับเป็นสถานะเดิม วิธีการพูดและคำเรียกขานอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไป เธอไม่ได้เรียกกู่ฉิงซานว่า ‘คุณ’ อีกต่อไป

 

“แน่นอน ตราบใดที่ฝ่าบาทส่งกระหม่อมเข้าสู่โลกของทริสเต้ และไปรับตัวแฟนของกระหม่อมกลับมาได้น่ะนะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างง่ายๆ

 

เจ้าหญิงลอร่าลองครุ่นคิดดูเล็กน้อยจึงเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดแฟนของเจ้าถึงเข้าสู่โลกใบนั้น แต่เจ้ากลับไม่กันล่ะ?”

 

กู่ฉิงซานบอกเล่าถึงเหตุผลและความจริงที่เกิดขึ้น

 

เจ้าหญิงตัวน้อยดูจะกระตือรือร้น ตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการที่จะหลอกหลวงเธอ

 

เจ้าหญิงลอร่าพอได้ฟัง ก็เอ่ยปากออกมา “ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมเจ้าถึงอยากช่วยแฟนของตัวเองนัก”

 

“คำถามสุดท้าย” ลอร่าเอ่ยต่อ “ตัวเราสามารถนำพาเจ้าไปในโลกใบนั้นได้ก็จริง แต่ก่อนหน้านั้น เราจะเชื่อถือคำของเจ้าได้อย่างไร?”

 

“กู่ฉิงซานแห่งนิกายร้อยบุปผา ขอให้คำมั่นสาบานในที่นี้ ว่าตราบใดที่ฝ่าบาทช่วยกระหม่อมเข้าสู่โลก กระหม่อมจะพาพระองค์หลบหนี และเอาชีวิตรอดไปให้จงได้”

 

“หากกระหม่อมผิดพลั้งในคำมั่น ก็ขอให้วิถีเต๋าแหลกสลาย กลายเป็นคนพิการไปตลอดทั้งชีวิต”

 

บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นขึ้นรอบตัวกู่ฉิงซาน ก่อนที่พวกมันจะค่อยๆซึมหายเข้าไปในร่างเขา

 

“นี่คือคำมั่นสาบานของผู้ฝึกยุทธอย่างนั้นหรือ? มันดูไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เอาเถิด เท่าที่เห็นมันก็เชื่อถือได้ไม่เลว – ในเมื่อทำถึงขนาดนี้ ตัวเราก็จะเชื่อใจเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน”

 

ว่าจบ เธอก็เหยียดนิ้วออกไป และแตะลงบนเค้ก 20 ชั้น

 

ก้อนเค้กขนาดใหญ่แหวกออกเป็นสองฟากฝั่ง เผยถึงลูกบอลคริสตัลสีสันสดใสที่สว่างไสวอยู่ภายใน

 

ลูกบอลคริสตัลลอยล่องอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยหมอกสีเทาออกมาบดบังแสงของมัน

 

ลอร่าวาดมือ

 

และบอลคริสตัลก็ตกลงบนฝ่ามือของเธอ

 

“นี่คือโลกของทริสเต้ที่ถูกผนึกเอาไว้โดยตัวเรา ดังนั้นหล่อนจึงไม่สามารถตรวจจับตำแหน่งของมันได้” ลอร่าอธิบาย

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ตกตะลึง!

 

แต่เดิม แท้จริงแล้วกลับปรากฏว่าลอร่าได้ใช้เทคนิคมนตรา ทำการผนึกกลิ่นอายของโลกใบนี้ และซ่อนมันเอาไว้ในเค้ก!

 

ต้องไม่ลืมนะว่าพวกขุนนางวิหคหนามที่มาจากดินแดนอัศจรรย์น่ะ เป็นพวกจุกจิกในเรื่องของมารยาท พวกมันล้วนไม่คิดจะยินยอมแตะอาหารต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด

 

นอกเหนือไปจากวิหคหนามแล้ว คนอื่นๆที่เข้ามาในโซนที่นั่งพิเศษนี้ ก็ย่อมต้องมิใช่คนสามัญ และเป็นธรรมดาที่ล่วงรู้ถึงมารยาทดังกล่าวเช่นกัน

 

ฉะนั้นแล้ว จะให้พวกเธอตัดเค้ก แล้วหยิบฉวยมันขึ้นมารับประทานต่อหน้าผู้อื่นได้อย่างไร?

 

ดังนั้น มันจึงเป็นความคิดที่หลักแหลมไม่เลวเลย ที่เลือกซ่อนบอลคริสตัลเอาไว้ในส่วนลึกของก้อนเค้กชิ้นนี้!

 

เจ้าหญิงหนามผู้นี้ เป็นสาวน้อยที่ฉลาดจริงๆ

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.525 – ระบบของราชามาร

 

มองไปยังพาดหัวข่าวนี้ เลือดในกายกู่ฉิงซานพลันเย็นเยียบ

 

ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ที่ได้จุติใหม่ เขามักจะครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้าอยู่เสมอ

 

เนื่องเพราะมันมีประเด็นที่น่าสงสัยอยู่มากเกินไป

 

หลังจากที่ได้รับประสบการณ์จากหลายโลก ตอนนี้ตัวกู่ฉิงซานจึงได้ตระหนักถึงความจริงบางอย่าง

 

-เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online เจ้าสิ่งนี้ได้แหกกฏความแข็งแกร่งดั้งเดิมของมนุษย์ มันได้ทำลายหนทางที่จะทำให้มนุษย์สามารถต่อกรกับเผ่ามารได้

 

ในชีวิตก่อนหน้า การที่มนุษย์ได้จมลงสู่หายนะ ทั้งหมดก็เพราะเกมๆนี้

 

ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของการต่อสู้ ไม่มีใครเลยที่จะสามารถยืนหยัด ต้านทานอสูรกายได้

 

นั่นก็เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สามารถตัดผ่านขึ้นสู่ขอบเขตประทับเทพ

 

สาเหตุหลักๆก็เป็นเพราะค่าประสบการณ์ที่จำเป็นในการยกระดับมันมากเกินไป สำหรับมนุษย์ มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถหามาได้เลย

 

และเมื่อต้องเผชิญกับวันสิ้นโลกที่อยู่เบื้องหน้า ความรู้สึกไร้กำลังก็ทำให้ทุกคนสิ้นหวัง

 

อย่างไรก็ตาม ทำไมเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ถึงถูกเรียกว่าระบบของราชามารล่ะ?

 

แล้วไอ้ ‘เชื้อไฟ’ ที่เป็นคำต่อท้ายนั่นมันคืออะไรกัน?

 

กู่ฉิงซานกลั้นหายใจ และยังคงอ่านมันต่อไป

 

หนังสือพิมพ์ดูเหมือนจะถูกเร่งกระบวนการผลิตพอสมควร ดังนั้นเนื้อหาของข่าวจึงมีอยู่ไม่มากนัก

 

“ทริสเต้หันไปพึ่งพิงเผ่ามาร”

 

“ไฟแห่งสงครามได้ปะทุขึ้น , โลกทั้ง 900 ล้านชั้นเริ่มรวบรวมกองทัพพันธมิตร เพื่อเตรียมรับมือกับสงครามที่กำลังจะอุบัติในไม่ช้า”

 

“แล้วยังได้รับการยืนยันอีกว่า แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ ได้นำเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ‘เชื้อไฟ’ มาจากดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ซุกซ่อนไว้ในโลกส่วนตัวของเธอ เพื่อนำมันมาผสานรวมกับอัลเบอัส โดยใช้ข้ออ้างในการเข้ามาที่นี่ว่า ‘เป็นการเรียกขานของวิหคหนาม’ ”

 

“ระบบของราชามารกำลังแพร่กระจายไปทั่วอัลเบอัส”

 

“ครั้งหนึ่งเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online  ก็เคยแพร่กระจายเข้าไปในชั้นโลกใหญ่ และสุดท้ายชั้นโลกเหล่านั้นก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเผ่ามาร”

 

“เราจะต้องไม่อนุญาตให้ ‘เชื้อไฟ’ ที่ว่านั่นได้รับพลังงาน! เราจะต้องไม่ปล่อยให้ระบบของราชามารยกระดับขึ้น!”

 

“เหล่าตัวตนทรงอำนาจทั้งหลายเอ๋ย ขอจงโปรดเข้าร่วมการต่อสู้ เพื่อจัดการกับมันให้เร็วที่สุด!”

 

“ย้ำอีกครั้ง ขอทุกคนจงหยิบอาวุธขึ้นสู้ เพื่อต้านทานเชื้อไฟของวันสิ้นโลก!”

 

ข่าวจบลงในที่สุด

 

กู่ฉิงซานมองดูหนังสือพิมพ์บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม มิอาจเอ่ยคำใดอยู่เนิ่นนาน

 

เขามองไปยังตัวข่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ปรากฏว่าการเรียกขานของวิหคหนาม แท้จริงแล้วเป็นแผนสมคบคิดของทริสเต้

 

โดยมีเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ‘เชื้อไฟ’ ซุกซ่อนอยู่ในโลกส่วนตัวของเธอ

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ไพ่พยากรณ์โชคชะตาบอกได้ไม่ผิดจริงๆ ตนเองเกือบที่จะได้เข้าสู่โลกใบนั้นไปแล้ว!

 

เกรงว่าหลังจากที่เข้าไปในโลกใบนั้น ไม่ว่าจะคนอื่นๆ รวมไปถึงตนเอง ชะตากรรมของทุกคนคงจบลงด้วยการเข้าสู่วิถีมาร

 

นี่คือลางร้ายที่ซูเซี่ยเอ๋อมองเห็น

 

เธอจึงเป็นคนหยุดตัวเขาตั้งแต่แรกเริ่ม และไม่อนุญาตให้เขาเข้าไป

 

แต่เธอดันเลือกที่จะโยนตัวเองเข้าสู่โลกใบนั้นแทน!

 

กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น และเดินวนกลับไปกลับมารอบๆห้อง

 

คิดสิคิด มันจะต้องมีวิธีแก้ปัญหาสิ

 

แล้วถ้าฉันเปิดโปงทริสเต้ตอนนี้เลยจะได้ไหม?

 

ไม่ .. เกรงว่าแบบนั้นคงไม่ดี

 

แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้น่ะมีชื่อเสียงก้องไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น ตัวตนทรงพลานุภาพนับไม่ถ้วนล้วนมีสัมพันธ์อันดีกับเธอ

 

ขณะที่กู่ฉิงซานเป็นคนที่มาจากโลกกระจัดกระจาย

 

คงไม่มีใครเชื่อในตัวเขา

 

และทริสเต้อาจจะสังหารกู่ฉิงซานเลยก็ได้ โดยอ้างเหตุผลว่าเขาใส่ร้ายเธอ

 

กำปั้นเหล็กแบรี่ก็ยังไม่หายดี บางทีตอนนี้เขาอาจจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ

 

ซูเซี่ยเอ๋อก็อยู่ในโลกใบนั้นมาระยะหนึ่งแล้ว

 

ให้ตายสิ! ฉันจะต้องรีบหาทางช่วยเธอออกมาทันที

 

แต่จะต้องทำยังไงกัน!? เพราะไม่ว่าจะคิดยังไง ฉันก็ไม่มีทางที่จะสู้กับทริสเต้ได้เลย!

 

ความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่ายมันแตกต่างกันราวเมฆกับโคลนตม

 

หัวใจของกู่ฉิงซานค่อยๆหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

 

ณ ขณะนั้นเอง เสียงที่ฟังดูหวาดระแวงก็ดังขึ้น “ขอโทษนะ … เกิดอะไรขึ้นกับคุณงั้นหรอ?”

 

กู่ฉิงซานหยุดกึก! ลงอย่างกระทันหัน

 

เขาหันไปมองที่มาของเสียง

 

เด็กสาวตัวน้อยกำลังจ้องมองเขาตาแป๋ว

 

“ฉันพูดกับคุณตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ แต่ดูเหมือนว่าคุณจะไม่สนใจเลย” เธอตอบ

 

“อะไร พูดอะไรกับฉันงั้นหรอ?”

 

“ฉันต้องการที่จะให้คุณพาฉันไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมเพื่อหลบภัย คุณคงทราบดี ว่าความผิดของสาวใช้อย่างฉัน ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสังหารของราชวงศ์วิหคหนามไปได้”

 

ขณะกล่าว จู่ๆสีหน้าของเด็กสาวตัวน้อยก็แปรเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน

 

เธอหายวับไปจากที่เดิมในฉับพลัน

 

ขณะเดียวกัน บานประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง

 

ตามด้วยสององครักษ์ติดอาวุธหนักสองกลุ่มที่เดินเข้ามา

 

บนใบหน้าของพวกเขาฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่า

 

“แกเป็นใคร?”

 

เสียงที่ฟังดูเฉียบขาดดังขึ้น

 

กู่ฉิงซานตอบกลับอย่างสงบ “ผมเป็นแขกของแสงแห่งรุ่งอรุณ และจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์บอกให้ผมเฝ้ารอเธออยู่ที่นี่”

 

องครักษ์ทั้งหมดพอได้ฟังก็ตกใจ

 

ในเวลานั้นเอง องครักษ์อีกกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง

 

พวกเขาคือกลุ่มคนก่อนหน้า ที่เคยได้เข้ามาตรวจสอบภายในห้อง

 

พวกเขาจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับกู่ฉิงซานดี

 

“เข้าใจผิด! เข้าใจผิดแล้ว! นี่คือแขกอันทรงเกียรติที่มาด้วยกันกับจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์!” องครักษ์ที่พึ่งเข้ามาเร่งอธิบาย

 

“แน่ใจรึเปล่า?”

 

“แน่ใจ! กระทั่งท่านทริสเต้เองก็ยังมอบเหรียญตราให้แก่เขา แถมยังบอกอีกว่าเขาสามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดเวลา”

 

หัวหน้าองครักษ์มองไปยังกู่ฉิงซาน

 

แน่นอน ว่าเขาย่อมเห็นถึงเหรียญของทริสเต้ที่ถูกกุมอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน

 

เรื่องนี้คงไม่ผิดพลาดแล้วล่ะ

 

เพราะไม่มีใครสามารถรับเหรียญของเธอได้ หากท่านทริสเต้มิได้มอบมันให้เป็นการส่วนตัว

 

องครักษ์ทั้งหมดรู้สึกผ่อนคลายลงทันที

 

การที่สามารถเข้าสู่ที่นี่ได้แน่นอนว่าเขาย่อมต้องเป็นแขก คงต้องตำหนิตัวเองที่กังวลมากเกินไป เพียงแค่เห็นใบหน้าไม่คุ้นเคย ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเริ่มเค้นสอบทันที

 

“ก่อนอื่นพวกเราต้องขออภัยสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ แต่นั่นก็เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก ขอให้โปรดเข้าใจด้วย” หัวหน้าองครักษ์กล่าว

 

“ไม่เป็นไรหรอก” กู่ฉิงซานตอบ

 

แต่แล้วในหัวใจของเขาก็นึกได้ถึงสิ่งหนึ่ง สีหน้าเผยถึงความอยากรู้อยากเห็น “ว่าแต่พวกคุณกำลังตามหาอะไรกัน? พอจะบอกผมได้ไหม บางทีถ้าผมเจอ ผมจะได้ไปรายงานพวกคุณเลยโดยตรงไง”

 

องครักษ์หันมามองหน้ากันและกัน

 

ในเมื่อคนๆนี้เป็นแขกของท่านทริสเต้ …

 

“พวกเรากำลังตามหาสาวใช้คนหนึ่ง เธอได้ขโมยสมบัติของราชวงศ์วิหคหนามไป และตอนนี้กำลังหลบหนีอยู่” หัวหน้าผู้พิทักษ์กล่าว

 

“เธออายุประมาณสิบขวบปี ใช่แล้ว! จริงๆแล้วเธอเป็นสาวใช้ขององค์หญิง”

 

“หากคุณพบตัวเด็กสาวที่ท่าทางมีพิรุธ โปรดบอกพวกเราทันที”

 

“แน่นอน” กู่ฉิงซานให้สัญญา

 

องครักษ์พยักหน้า พวกเขาน้อมกายคำนับพร้อมกัน และค่อยๆถอยออกจากโซนที่นั่งพิเศษอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยปากขัด “ช้าก่อน”

 

“ยังมีเรื่องอะไรอีกงั้นหรือ?” หัวหน้าองครักษ์หยุดฝีเท้า หันหน้ากลับมาถาม

 

“นี่ … อันที่จริงแล้ว ผมก็ไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่สองผู้สูงศักดิ์อย่างแสงแห่งรุ่งอรุณกับพฤษาศักดิ์สิทธิ์ดันบอกให้รออยู่ที่นี่ ดังนั้นผมเลยไม่สามารถออกไปไหนได้”

 

กู่ฉิงซานผายสองมือออก แสดงท่าทีหมดหนทาง

 

“และผมก็กลัวว่าจะมีคนอื่นบุกเข้ามาค้นหาในห้องนี้ แล้วเห็นว่าผมเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งมันอาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันอีกก็ได้”

 

เหล่าองครักษ์พอได้ฟัง ก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

—พวกเขาไม่สามารถทำตัวหยาบคายกับแขกได้ ยิ่งในกรณีที่พวกตนเป็นตัวแทนของวิหคหนาม ซึ่งเปี่ยมไปด้วยมารยาทและพิธีการแล้ว ยิ่งปล่อยให้ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด

 

คนๆนี้คือใคร? เขาคือแขกของท่านทริสเต้ คือคนที่จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์พามาเป็นการส่วนตัว หากองครักษ์เข้ามาวุ่นวายในห้องนี้อีกครั้ง เกรงว่าอาจจะเป็นการทำให้สองหญิงสูงศักดิ์โกรธเคืองเอาได้

 

หัวหน้าองครักษ์เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมาทันที

 

เขาหันไปกล่าวกับองครักษ์ใต้บังคับบัญชา “ส่งคำสั่งของข้าออกไป โซนที่นั่งพิเศษได้ถูกตรวจค้นกว่าสองรอบแล้ว และไม่มีอะไรผิดปกติ มีแขกผู้ทรงเกียรติของพวกเราอยู่ที่นี่ จงอย่าให้ใครมารบกวนอีก”

 

“รับทราบ!” องครักษ์ขานรับเป็นเสียงเดียวกัน

 

“ขอบคุณคุณมาก” กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย

 

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป เป็นพวกเราต่างหากที่เสียมารยาท” หัวหน้าองครักษ์ค่อยๆน้อมศีรษะลงเบาๆ

 

และคราวนี้ พวกเขาก็ออกไปจริงๆแล้ว

 

ประตูถูกปิดลงอีกครั้ง

 

ฟุ่บ!

 

เด็กสาวตัวน้อยปรากฏกายขึ้นอีกครา

 

ใบหน้าของเธอถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเม็ดเท่าลูกปัด ขณะที่ปากอ้ากว้างถอนหายใจหนักหน่วง

 

-ดูเหมือนว่าการหลีกเลี่ยงการค้นหามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

“ขอบคุณสำหรับการปกป้อง คุณนี่เป็นสุภาพบุรุษที่มีความเห็นอกเห็นใจกันจริงๆ ฉันจะขอจดจำความเมตตานี้เอาไว้” เธอกล่าว

 

เห็นได้ชัดว่าเธออ่อนล้าจนถึงขีดจำกัดแล้ว แต่เธอก็ยังเลือกที่จะโค้งกายขอบคุณกู่ฉิงซาน

 

ทัศนคติและมารยาทของเธอช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

 

กู่ฉิงซานมองไปยังเด็กสาวตัวน้อย

 

เขาไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องใดๆ แต่ตอนนี้คงไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากทำมัน

 

เขาต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ เพื่อที่จะช่วยชีวิตซูเซี่ยเอ๋อ!

 

กู่ฉิงซานเค้นสมองอย่างรวดเร็ว ภายในจิตใจของเขาบังเกิดความคิดมากมายนับไม่ถ้วน

 

เขาพยายามทบทวนดูทุกวิถีทาง กระทั่งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆตั้งแต่ที่ตนมาที่นี่

 

เขาพยาพยามอย่างสุดกำลังเพื่อค้นหาแสงแห่งความหวัง

 

เด็กสาวตัวน้อยเปิดปาก “เอาล่ะตอนนี้-”

 

“รอสักครู่ ขอให้ฉันได้จัดการกับกระบวนการคิดเล็กๆน้อยๆนี่ก่อน” กู่ฉิงซานขัดจังหวะเธอ

 

เขาเดินวนไปวนมารอบห้องด้วยความกระวนกระวาย

 

เด็กสาวตัวน้อยหุบปากลง เฝ้ามองเขาอย่างเงียบๆ

 

นั่นเขากำลังกังวลอะไรอยู่?

 

จริงสิ ในระหว่างที่ฉันซ่อนตัวอยู่ ฉันบังเอิญได้ยินบทสนทนาของใครหลายๆคนอยู่เหมือนกันนี่นา

 

จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ได้นำเขาเข้ามาที่นี่

 

โดยเป้าหมายของเขาก็คือ การเข้าสู่โลกของทริสเต้ และค้นหาแฟนสาวของเขา

 

ไม่ผิดแล้ว ดูเหมือนว่าเขาคงกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องแฟนสาวของตัวเอง

 

เด็กสาวตัวน้อยเริ่มที่จะทำความเข้าใจด้วยตัวเอง

 

เมื่อครู่เธอกำลังจะขอร้องเขา แต่ก็ถูกขัดจังหวะอย่างกระทันหันโดยเหล่าองครักษ์

 

ในเมื่อองครักษ์จะไม่มาค้นหาที่นี่ไปอย่างน้อยก็อีกสักพัก ถ้าอย่างงั้นก็รอจนกว่าคนๆนี้จะสงบลง แล้วจากนั้นก็ค่อยร้องขอหลบหนีไปกับเขาก็แล้วกัน

 

เพราะท้ายที่สุดนี้  หลังจากที่ตัวเธอเองวิ่งหนีมาเป็นเวลานาน แต่กลับมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่คิดจะเปิดเผยถึงตัวตนของเธอ

 

เพราะเขาเป็นคนดีที่มาจากสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม!

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ สาวน้อยก็สงบลง

 

กู่ฉิงซานก้าววนไปวนมาในห้อง ขณะที่ในสมองหมุนเร็วจี๋

 

ก่อนอื่นเลย-

 

แสงแห่งรุ่งอรุณ , จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งลูกพี่ไก่ ทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนทรงพลานุภาพ

 

แต่เด็กสาวใช้คนนี้ กลับสามารถหลบเลี่ยงการรับรู้ของพวกเขาได้

 

แม้สาวใช้จะถูกเขาพ่นไวน์ใส่หน้า แต่เธอก็ยังคงรักษามารยาท และคงเอกลักษณ์ในการพูดจาเอาไว้ได้ แถมยังเอ่ยถามอีกว่าตนเองสมควรจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร

 

ในแขนเสื้อของเธอ เป็นผิวที่ขาวผ่อง บริสุทธิ์ราวกับน้ำนม

 

นอกจากนี้ เธอยังมีวิชาพิเศษที่ทำให้หายตัวไป – มันอาจจะเป็นเทคนิคลัยสุดยอดก็ได้ มิฉะนั้นเธอคงจะถูกจับตัวได้ตั้งนานแล้ว

 

ทุกครั้งที่เธอปรากฏกาย เขาจะไม่สามารถตระหนักได้ถึงเธอ แน่นอน รวมไปถึงจิตสัมผัสเทวะของเขาเองก็เช่นกัน

 

ในฐานะผู้ฝึกยุทธ กู่ฉิงซานไม่เคยพบเจอกับวิชาที่มีกฏเกณฑ์อันทรงประสิทธิภาพเช่นนี้มาก่อนเลย

 

วิชาดังกล่าว ย่อมจะต้องมีค่ามากมหาศาลเป็นแน่

 

หากมีกองกำลังอื่นใดได้รังสรรค์วิชาเช่นนี้ขึ้นมา พวกเขาย่อมจะต้องป้องกันไม่ให้วิชานี้รั่วไหลออกไปอย่างแน่นอน

 

ยิ่งไปกว่านั้น วิชาระดับสูงแบบนี้ กว่าจะเชี่ยวชาญ คงมิแคล้วจำเป็นต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการฝึกฝนและทำความเข้าใจ

 

แล้วกะอีแค่สาวใช้ มันจะไปสามารถบรรลุเรื่องราวดั่งที่กล่าวมานี้ได้อย่างไร?

 

ดังนั้น นี่ย่อมหมายความว่าเธอคือคนอื่น

 

และตามเหตุการณ์อันหลากหลายที่เกิดขึ้นนี้ ภายในงานเลี้ยง หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ปรากฏตัว

 

คนที่สามารถทำให้ทริสเต้เป็นกังวลได้ ย่อมไม่มีทางเป็นสาวใช้อย่างแน่นอน

 

-มีเพียงเจ้าหญิงหนามเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานบังเกิดสมมติฐานนี้ขึ้นในจิตใจ เขาพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่อาจจับสังเกตเห็นได้

 

จากนั้น สมองของเขาก็เริ่มปั่นความคิดอีกครั้ง

 

—สมมติว่าเด็กสาวตัวน้อยคนนี้เป็นเจ้าหญิงหนามจริงๆ แล้วทำไมเธอถึงต้องหลบหนีด้วย?

 

ในฐานะที่เป็นทายาทคนต่อไปของราชวงศ์หนาม เจ้าหญิงหนามก็ไม่สมควรที่จะหวาดกลัวทริสเต้สิ

 

เพราะหากเพียงแค่เธอเอ่ยปาก วิหคหนามนับไม่ถ้วนก็กระโจนลงมาหมอบกราบ พร้อมรับใช้เธอแล้ว

 

แต่เธอกลับเลือกที่จะหนี หนีแบบจริงจังเสียด้วย

 

ตามข้อสรุปนี้ …

 

เกรงว่าราชวงศ์วิหคหนาม คงจะสิ้นสุดลงแล้ว

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทริสเต้ได้เข้าควบคุมตระกูลวิหคหนามโดยสมบูรณ์

 

ขณะที่ทริสเต้หันไปพึ่งพิงเผ่ามารตั้งเนิ่นนานแล้ว…

 

ด้วยข้อสรุปนี้ เกรงว่าหายนะคงมาเยือนอัลเบอัสเป็นที่เรียบร้อย

 

ทริสเต้จะต้องลอบใช้วิธีบางอย่างจัดการกับการป้องกันของอัลเบอัสอย่างลับๆเป็นแน่ เพราะหากเป็นกู่ฉิงซานเอง เขาก็จะทำเช่นเดียวกัน

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความผิดหวัง

 

ระหว่างทางเดินเมื่อครู่นี้ ตลอดทั้งโรงแรมอัลเบอัสยังเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะอยู่เลย ผู้คนต่างกำลังเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงฉลองขึ้นเป็นผู้ใหญ่ของเจ้าหญิงแห่งวิหคหนาม

 

แถมงานเลี้ยงยังจัดยาวนานกว่าสามวันสามคืน

 

-แต่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์หรือว่าไก่ใหญ่ ก็ไม่มีใครรู้เลยว่ามีเผ่ามารกำลังซุ่มซ่อนอยู่ในที่มืด และเตรียมการที่จะล่าสังหารอยู่

 

ใครกันที่จะสามารถล่วงรู้ได้ว่าเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ‘เชื้อไฟ’ กำลังจะปุทะขึ้นในไม่ช้า?

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานจมลงสู่หุบเหวลึก

 

เขารู้สึกเหมือนกับว่า ตนกำลังยืนอยู่บนเรือที่กำลังจะจม ขณะที่ผู้คนบนเรือทั้งหมดก็ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่ตระหนักถึงมัน

 

หลังจากถอนหายใจ กู่ฉิงซานก็ขบคิดต่อไป

 

แผนการของทริสเต้ … พอจะมีช่องโหว่อะไรบ้างไหมนะ?

 

ตนเองกับทริสเต้มิได้อยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบว่าทริสเต้จะสามารถทำถึงสิ่งใดได้บ้าง ยิ่งการหนีคงไม่ต้องกล่าวถึง

 

ไม่มีหนทางออกเลย

 

“เซี่ยเอ๋อ … ” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

ในขณะนั้นเอง เขาก็ไม่สามารถที่จะระงับอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป

 

ทริสเต้ทรงพลังเกินไป แถมยังมีเรื่องของเชื้อไฟวันสิ้นโลก และเผ่ามารนับล้านๆตนที่คอยสนับสนุนอย่างลับๆอีก

 

และทุกอย่างถูกจัดการโดยทริสเต้ ในขณะที่ตัวเขาเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย

 

ส่วนเซี่ยเอ๋อก็ดันเข้าไปในโลกของอีกฝ่าย และคงจะตายในไม่ช้า หรือไม่ก็เข้าสู่วิถีมาร กลายเป็นมารในที่สุด

 

แล้วฉันควรจะทำอย่างไรดี?

 

กู่ฉิงซานหยิบขวดไวน์ในถังน้ำแข็งขึ้นมา แล้วเอามันแนบลงบนแก้มของตัวเอง

 

ความเย็นฉ่ำจนแสบชา ทำให้จิตใจของเขาสงบลงอย่างไม่เต็มใจ

 

ใจเย็นๆสิ

 

สงบใจเข้าไว้!

 

ลองคิดดูดีๆอีกครั้งสิ

 

มันจะไม่มีหนทางเลยจริงๆน่ะหรือ?

 

กู่ฉิงซานพยายามให้กำลังใจตัวเอง

 

เขาสูดหายใจลึก หลับตาลง และเริ่มปั่นสมองอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อลองมองย้อนกลับไป ตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาล่วงรู้

 

นั่นคือทริสเต้ได้เดินออกไปกับจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ โดยมีลูกพี่ไก่ตามไปด้วย

 

แล้วข้อมูลเรียบง่ายเช่นนี้ ต่อให้เขารู้ มันจะไปสามารถสร้างผลกระทบอะไรได้กัน?

 

 

เดี๋ยวก่อนนะ

 

กู่ฉิงซานหันหน้ากลับไป

 

สายตาของเขาตกลงบนร่างของเด็กสาวตัวน้อย

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.524 – หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ

 

ณ โลก 900 ล้านชั้น

 

ภายในดินแดนมิติอนันต์

 

บังเกิดม่านรังสีแสงกระพริบไหว

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวปรากฏตัวขึ้นบนถนนที่แออัดไปด้วยผู้คน

 

ที่นี่คือซันซิตี้ โลกมิติอนันต์ที่อยู่ใกล้เคียงกับสมาคมกำปั้นเหล็กมากที่สุด

 

ทั้งสองคนกำลังเร่งเดินทาง

 

“พวกเราจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน?” แบรี่เอ่ยถาม

 

เสี่ยวเหมียวเตือน “พี่ชายอย่าพึ่งร้อนรนไป แค่พวกเราสองคนน่ะ มันไม่สามารถที่จะต่อกรกับกองทัพมารที่แท้จริงได้หรอกนะ”

 

“แต่พี่กลัวว่าเจ้าเด็กกู่จะทนไม่ไหวไปซะก่อน พวกเราคงต้องรีบมากกว่านี้ ว่าแต่มันจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกัน?” แบรี่ถามย้ำอีกครั้ง

 

“เราจะต้องติดต่อกับเพื่อนที่เชื่อถือได้ซะก่อน แล้วถึงจะไปยังอัลเบอัสได้ กระบวนการทั้งหมดนี้คิดว่าน่าจะใช้เวลาราวๆหนึ่งวันครึ่ง” เสี่ยวเหมียวกล่าว

 

“บ้าจริง ไอ้ขานี่-”

 

“ขาของพี่ถือว่าฟื้นฟูได้เร็วมากแล้ว พวกเราถึงสามารถออกจากโลกมิติอนันต์ได้ไง พี่หยุดคิดเกี่ยวกับมันได้แล้ว”

 

เสี่ยวเหมียวกล่าวอย่างเด็ดขาด

 

เมื่อเทียบกับโลกอื่น โลกมิติอนันต์นับว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว

 

นอกจากนี้ ด้วยความสามารถมิติของเสี่ยวเหมียว มันยังสามารถส่งเขากลับไปยังสมาคมจากโลกมิติอนันต์อื่นๆได้เลยโดยตรง

 

ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของแบรี่ มันคงจะเป็นการดีกว่าที่ทั้งสองจะเดินทางภายในโลกมิติอนันต์

 

ขณะกล่าว เสี่ยวเหมียวก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งอย่างกระทันหัน

 

จู่ๆเธอก็ล้วงไปคว้าจับชิ้นส่วนกระดาษขึ้นมาทันใด

 

วู้มมม!

 

เห็นแค่เพียงเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมาจากชิ้นกระดาษ

 

และแผ่นกระดาษทั้งหมดก็ค่อยๆถูกเผาลง

 

เสี่ยวเหมียวลดหูน้อยๆของเธอ ใบหน้าแสดงออกถึงความเสียใจ

 

แบรี่ลดเสียงลงและเอ่ยถาม “นี่ใช่สัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์แห่งอัลเบอัสรึเปล่า?”

 

“ใช่ เขามักจะชอบเขียนเหมือนกับฉันเป็นงานอดิเรก แต่ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งมากก็ตามที แต่นิยายของเขาบอกได้เลยว่าค่อนข้างจะเละทีเดียว น้องเลยมักจะหยอกล้อเขาอยู่เป็นประจำ”

 

ขณะกล่าว เสี่ยวเหมียวก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว

 

การที่สัญลักษณ์ถูกทำลาย นั่นเป็นตัวแทนที่สื่อความหมายว่าคนๆนั้นมิได้อยู่ในโลกอีกต่อไปแล้ว

 

แบรี่มองไปยังกระดาษที่ค่อยๆถูกเผาไหม้ แล้วถอนหายใจออกมา

 

ผู้พิทักษ์แห่งอัลเบอัสถูกสังหารลงโดยตรง นี่คล้ายเป็นการบอกกลายๆว่าเผ่ามารเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

 

“เธอได้แจ้งข่าวให้เขารู้รึเปล่า?” แบรี่ถาม

 

“อันที่จริง น้องส่งข่าวไปบอกเขาแล้ว แต่น่ากลัวว่าเขาจะไม่ได้รับมัน” เสี่ยวเหมียวกล่าว

 

“พี่เองก็พอจะรู้จักชายคนนี้ … น่าแปลกจริงๆ ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่เลวร้ายเลย แต่ทำไมเขาถึงถูกฆ่าลงเงียบๆแบบนี้?”

 

แบรี่เพิ่มความระมัดระวังขึ้น

 

เขาบ่นพึมพำ “ถ้าเป็นกองทัพมารบุกโจมตีจริงๆ เขาก็น่าจะทุ่มเต็มกำลังเพื่อรับมือกับมัน จนเกิดการต่อสู้ขนาดใหญ่ขึ้นสิ”

 

เสี่ยวเหมียวเสริม “และโลกที่อยู่รายล้อมจะต้องตื่นตัว แล้วส่งตัวตนทรงอำนาจจำนวนมากออกไปช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน”

 

“ใช่ ส่วนทางผู้พิทักษ์หอสูงก็คงจะออกคำเตือนก่อนเป็นคนแรกๆเลย”

 

ทั้งสองปิดปากลง และหันไปมองรอบๆ

 

ฝูงชนยังคงมีชีวิตชีวา และไม่มีใครแสดงออกถึงความหวาดกลัวบนใบหน้าของพวกเขาเลย

 

ในจังหวะนั้นเอง มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา คนๆนั้นกำหนังสือพิมพ์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงไว้ในมือ

 

สองพี่น้องเบนสายตาตามหนังสือพิมพ์ทันที

 

ทั้งสองกวาดสายตาบนหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งหมดในคราวเดียวและหยุดฝีเท้าลง

 

“ถ้ามีข่าวของอัลเบอัส แน่นอนว่ามันจะต้องลงพาดหัว แต่นี่มันดันไม่มีข่าวอะไรที่เกี่ยวข้องกับอัลเบอัสในวันนี้เลย” เสี่ยวเหมียวกล่าว

 

แบรี่จมลงสู่ความเงียบ

 

เขาค่อยๆเริ่มกระชับถุงมือเหล็กของตน

 

“พี่ชาย?” เสี่ยวเหมียวเริ่มกังวล

 

“ไม่เป็นไรหรอก พี่สบายดี แต่ดูเหมือนว่าจะมีทางฝั่งเรา คงจะมีบางคนเลือกที่จะหันไปพึ่งพิงเผ่ามารอยู่จริงๆ” แบรี่กล่าว

 

เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ ไม่รู้จะกล่าวคำใด

 

—เพราะหากเป็นในกรณีที่ผู้พิทักษ์แห่งอัลเบอัสอยู่ในสถานะไม่ระวังตัว อีกฝ่ายก็ย่อมสามารถลงมือกับเขาได้โดยไร้เสียงใดๆอย่างไม่มีปัญหา

 

ว่าแต่ใครกัน? ที่จะสามารถลงมือได้โดยที่เขาลดการป้องกันลงได้?

 

คงจะมีเพียงเฉพาะคนที่เจ้าตัวไว้ใจเท่านั้น

 

แบรี่ “พวกเราคงต้องรีบทำเวลาให้ดีที่สุดแล้วล่ะ”

 

“อื้อ”

 

แล้วทั้งสองก็เร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งกว่าเดิม

 

….

 

ณ โรงแรมอัลเบอัส

 

ในโซนที่นั่งชั้นพิเศษของราชวงศ์

 

กู่ฉิงซานกำจดหมายในมือของเขา

 

เสียงของเสี่ยวเหมียวดังออกมาจากจดหมายโดยอัตโนมัติ

 

“มีบางอย่างที่น่ากลัวและอันตรายมากๆกำลังจะเกิดขึ้นที่อัลเบอัส และด้วยความแข็งแกร่งของนาย ย่อมไม่อาจต่อกรกับมันได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นตลอดทั้งอัลเบอัส หรือกระทั่งผู้คนจากโลกที่อยู่โดยรอบนับพันใบ ก็ไม่อาจต่อกรกับมันได้”

 

“ฉันขอเดาว่ามันน่าจะเป็นแผนของเผ่ามาร อัลเบอัสกำลังจะถูกศัตรูล้างบางลงอย่างแน่นอน!”

 

เสียงของเสี่ยวเหมียวฟังดูร้อนรนเป็นอย่างมาก

 

“ฉิงซาน พอนายรับแฟนแล้ว ก็ขอให้รีบใช้ด้ายมิติเพื่อกลับมายังสมาคมทันทีเลยนะ! มีแค่ในโลกมิติอนันต์เท่านั้นที่นายจะปลอดภัย”

 

“ฉันได้ชาร์จพลังของด้ายมิติเป็นสองเท่าเอาไว้แล้ว ดังนั้นถ้านายจะนำคนซัก3-5 คนกลับมาก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร”

 

“แต่จำไว้ให้ดี อย่าอยู่ที่นั่นให้มันนานจนเกินไป”

 

ดูเหมือนว่าเสี่ยวเหมียวจะลังเลเล็กน้อย ที่จะกล่าวประโยคต่อไป

 

“แต่ถ้านายไม่กลับมาในเวลาที่กำหนด ก็ขอให้รีบหาสถานที่ปลอดภัยซ่อนตัวซะ และรอพวกเราไปรับ”

 

“อาการบาดเจ็บของพี่ชายฉันจะใช้เวลาอีกสองวันถึงจะหายดีโดยสมบูรณ์ สองวันต่อจากนี้ พวกเราจะต้องไปช่วยนายกับแฟนของนายอย่างแน่นอน!”

 

หลังจากที่ได้ยินประโยคเหล่านี้ ภายในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ค่อยๆหม่นทะมึนลงอย่างช้าๆ

 

มันเป็นความจริงที่ว่า ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเป็นคนที่เชื่อถือได้อย่างแน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาคงสายเกินไปกว่าจะมาถึง

 

อัลเบอัสจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่รุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย

 

‘เผ่ามารกำลังจะบุกเข้ามา’

 

กู่ฉิงซานไม่รู้หรอกนะว่าเสี่ยวเหมียวสามารถค้นพบถึงข้อมูลดังกล่าวนี้ได้อย่างไร แต่เขาเชื่อว่าเสี่ยวเหมียวย่อมไม่ใช่คนที่จะมาพูดหยอกล้อกับเรื่องอะไรแบบนี้อย่างแน่นอน

 

เสี่ยวเหมียวจะไม่มีทางเขียนจดหมายนี้เพียงเพราะอยากจะล้อเล่นไร้สาระ!

 

มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆ

 

ห้วงอารมณ์ของกู่ฉิงซานเริ่มว้าวุ่น

 

อีกนานแค่ไหนกัน? ที่ซูเซี่ยเอ๋อจะสามารถออกมาจากโลกของทริสเต้ได้?

 

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ปัจจุบัน ตัวเขาไม่สามารถจากไปในตอนนี้ได้

 

ก็คนประเภทใดกัน ที่จะทิ้งซูเซี่ยเอ๋อและจากไปโดยลำพัง?

 

แต่ไม่ว่าจะพบเจอกับสถานการณ์ใดก็ตาม โดยปกติแล้วเขาก็มักจะคิดหาหนทางรับมือกับมันอย่างใจเย็นอยู่เสมอ -กู่ฉิงซานกำจดหมายของเสี่ยวเหมียว จมลงสู่ห้วงสมาธิไปสักพักหนึ่ง แต่ในสมองก็ยังไม่สามารถขบคิดถึงวิธีแก้ปัญหาได้

 

แต่ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้นเอง เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น

 

“เฮ้”

 

กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน

 

เขาเงยหน้าขึ้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่สาวใช้ตัวน้อยมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา

 

เธอมาอย่างเงียบๆ เงียบจริงๆ จิตสัมผัสเทวะของเขาไม่สามารถตรวจจับได้เลย

 

การปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันนี้ ทำให้ร่างกายในฐานะผู้ฝึกยุทธของกู่ฉิงซานตื่นตัวขึ้นมาทันที

 

ถึงแม้ว่าเขาจะมีสกิลร่างเงาแทนที่หรือย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วก็ตาม แต่พอถูกคนอื่นมาปรากฏกายเบื้องหน้าโดยวิธีการคล้ายคลึงกันกับสกิลของตนแบบนี้ มันก็ทำให้เขาอดรู้สึกกดดันไม่ได้

 

“เมื่อครู่คือเสียงของเสี่ยวเหมียวหรอ? ฉันขอรบกวนถามคุณหน่อยสิ คุณไม่รู้มาก่อนเลยหรอว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับอัลเบอัส?”

 

“ใช่ ฉันเองก็พึ่งจะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เห็นเขายอมรับอย่างจริงใจ ดวงตาของสาวใช้ก็ฉายประกายอันผิดแปลกไปออกมา

 

เธอพึมพำเสียงกระซิบ “เสี่ยวเหมียวสินะ? ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ทุกคนต่างก็รู้และเข้าใจนิสัยของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวเป็นอย่างดี และท่านแม่ก็ยังเอ่ยปากด้วยตัวเองอีกว่า ทั้งสองคนนี้เป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนน้อยนิดที่เชื่อถือได้ …”

 

กู่ฉิงซานรับฟัง แต่มิได้ตอบสิ่งใด

 

ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความกังวล และมัวแต่คิดว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะรับตัวซูเซี่ยเอ๋อกลับมาได้โดยเร็ว จึงไม่มีเวลาที่จะมามัวสนใจคำพูดของสาวใช้

 

ณ ขณะนั้นเอง เสียงของหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ดังขึ้น

 

กู่ฉิงซานเพียงกวาดสายตาไปมอง และชัดเจนว่าระบบกำลังเขียนอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ในมือของเขา

 

เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยที่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ชื่อไอเท็ม : จดหมายจากสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม”

 

“วิชายุทธเทพสงคราม : นี่เป็นจดหมายฉุกเฉินทั่วๆไป มันไม่มีสกิลที่จะสามารถศึกษาและเรียนรู้ได้”

 

“คำอธิบายตามพงศาวดาร : คนที่เขียนจดหมายนี้ ได้ตระหนักถึงความจริงอันน่าทึ่งบางอย่าง และเธอก็ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อันมีชื่อเสียง”

 

“คุณสามารถใช้จดหมายนี้กับเหรียญตราของทริสเต้ เพื่อลดปริมาณแต้มพลังวิญญาณที่จะใช้ตรวจสอบเหตุการณ์ได้”

 

“คุณต้องการจ่าย 10000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อดูเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในอนาคตหรือไม่?”

 

กู่ฉิงซานตกตะลึง

 

ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกี่ยวของทางประวัติศาสตร์ของเหรียญตราทริสเต้ เขาจำเป็นต้องจ่ายถึง 100000 แต้มพลังวิญญาณ

 

แต่ตอนนี้ พอได้เพิ่มจดหมายของเสี่ยวเหมี่ยวเข้าไปแล้ว มันกลับสามารถลดการจ่ายแต้มพลังวิญญาณลงอย่างมหาศาล จนเหลือเพียง 10000เท่านั้น!

 

ดูเหมือนว่าเสี่ยวเหมียวจะคิดไม่ผิดจริงๆ เรื่องที่ว่าเผ่ามารกำลังจะปรากฏตัวขึ้นในเร็วๆนี้

 

กู่ฉิงซานจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะจ่าย 10000 แต้มพลังวิญญาณ

 

ตอนนี้วิกฤตได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือข้อมูลข่าวสาร

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม อีกสองบรรทัดแสงตัวอักษรเด้งเตือนขึ้นมา

 

“คุณได้แลกเปลี่ยนแต้มพลังวิญญาณกับพงศาวดารวันสิ้นโลกเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว”

 

“รายละเอียดข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จะถูกนำมาจากพาดหัวข่าวในชีวิตก่อนหน้า”

 

โปรดรอสักครู่-

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ทำไมมันถึงเป็นพาดหัวข่าวด้วย? ในเมื่อมันเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้น ถ้าอย่างงั้นคุณก็น่าจะสามารถบอกฉันตรงๆเลยก็ได้นี่”

 

ติ๊ง!

 

ระบบตอบกลับ “เนื่องจากไม่มีประสบการณ์เป็นการส่วนตัว ระบบจึงไม่สามารถรู้ต้นตอของเหตุการณ์และผลกระทบที่จะตามมาได้ ระบบทำได้เพียงนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ให้กับคุณเท่านั้น”

 

พร้อมด้วยคำอธิบายนี้ ระบบก็ได้นำเสนอภาพหนังสือพิมพ์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงขึ้นบนหน้าต่าง

 

มองไปยังวันที่ มันคือหน้าหนังสือพิมพ์ของวันพรุ่งนี้ …

 

อ้างอิงตามตรรกะแล้ว เหตุการณ์ก็น่าจะสมควรเกิดขึ้นในระหว่างวันนี้ถึงพรุ่งนี้

 

พงศาวดารวันสิ้นโลก สามารถแยกเฉพาะเหตุการณ์โด่งดังที่มีชื่อเสียง โดยไม่มีข้อมูลลับใดๆปิดซ่อน

 

พอได้มองไปยังพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ กู่ฉิงซานก็ต้องส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

 

มีเพียงประกาศสองบรรทัดของหอสูงปรากฏอยู่ในสายตา

 

“ระบบของราชามาร ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว”

 

“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ‘เชื้อไฟ’ กำลังจะปะทุขึ้นในอัลเบอัส!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.523 – พงศาวดารวันสิ้นโลก

 

เด็กสาวตัวน้อยยืนอยู่ตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน เจ้าตัวเผยท่าทีกังวลและประหม่าเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานที่เห็นท่าทีแบบนั้น เขาก็เอ่ยถามเจ้าตัวออกไปเลยโดยตรง

 

“ทำไมเธอถึงซ่อนตัวจากทุกคน แล้วปรากฏตัวแค่เฉพาะต่อหน้าฉันคนเพียงคนเดียวล่ะ?”

 

เด็กสาวตัวน้อยได้ยินคำถามจากเขา เธอก็ยกหนังสือพิมพ์ขึ้น

 

เห็นแค่เพียงพาดหัวข่าวใหญ่พร้อมกับรูปภาพประกอบ

 

มันเป็นภาพของชายแก่คนหนึ่งที่กำลังโอบขาของแบรี่ ขณะเดียวกันก็มีกู่ฉิงซานคอยมองอยู่ข้างๆ

 

ใช่แล้วล่ะ นั่นคือหนังสือพิมพ์เล่มเดียวกันกับที่ซูเซี่ยเอ๋อเห็น

 

มันคือเหตุผลที่ซูเซี่ยเอ๋อมาดักรอเขาอยู่ที่อัลเบอัส

 

เด็กสาวตัวน้อยชูหนังสือพิมพ์ให้กู่ฉิงซานดู ขณะเดียวกันก็เอ่ยตอบเขา “ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คุณเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากกำปั้นเหล็กแบรี่ ดังนั้นอย่างน้อยก็ไม่น่าจะใช่คนไม่ดี”

 

เธอลองคิดเกี่ยวกับมัน และเริ่มเอ่ยเสริมว่า “ถึงแม้ว่าแบรี่จะเป๋มานานเป็นพันปี แถมยังมีหนี้สินมากมาย แต่ทัศนคติและความเชื่อมั่นของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย”

 

“เพราะงั้นเธอก็เลยเชื่อใจเขา?”

 

“ท่านแม่บอกว่าคนที่สามารถเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ดีที่สุด และทนแบกรับต่อสิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้ โดยที่พฤติกรรมและความเชื่อมั่นดั้งเดิมไม่แปรเปลี่ยนและสั่นคลอนจากสิ่งเร้าภายนอก เขาคนนั้นแหละคือพระเอกตัวจริงล่ะ!”

 

“เธอมีแม่ที่ฉลาดทีเดียว”

 

แต่พอถูกชมด้วยประโยคข้างต้น สีหน้าของเด็กสาวตัวน้อยกลับเผยถึงร่องรอยของความเสียใจ

 

แต่เธอก็รีบยับยั้งอารมณ์ตนเองอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ในตลอด 1000 ปีมานี้ สมาคมกำปั้นเหล็กไม่เคยรับสมาชิกใหม่เลย แต่คุณกลับเป็นคนเดียวที่เข้าตาของแบรี่กับเสี่ยวเหมียว ดังนั้นฉันเลยสันนิษฐานว่าคุณคงไม่มีทางที่จะทำเรื่องสกปรกน่ารังเกียจ”

 

“เรื่องสกปรกน่ารังเกียจงั้นหรอ? เธอหมายถึงอะไรกัน?”

 

“ก็เรื่องอย่างการที่ ‘เปิดเผยตัวตนของเด็กสาวใช้ผู้น่าสงสาร และปล่อยให้เธอจมลงสู่เส้นทางแห่งความตาย’ ไง”

 

“ขอบคุณสำหรับความไว้วางใจของเธอนะ แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะว่าฉันไม่ต้องการจะหาเรื่องใส่ตัวต่างหาก”

 

กู่ฉิงซานค่อยๆผ่อนคลายหัวใจของตน

 

เขากวาดสายตามองเด็กสาวตัวน้อยขึ้นๆลง

 

เห็นแค่เพียงหน้าตาบ้านๆธรรมดาๆ หนังบนสองมือเล็กๆค่อนข้างหยาบกร้าน ขณะเดียวกันสีหน้าก็เผยถึงร่องรอยของความเหนื่อยล้า ชุดสาวใช้ที่สวมใส่ก็ดูค่อนข้างจะสกปรกเล็กน้อย

 

แต่ดูเหมือนว่าเธอจะอายุราวๆ 10 กว่าปีเท่านั้นเอง

 

สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง เขาสำรวจสายตามองอีกครั้งอย่างระมัดระวัง

 

มือของเด็กสาวหยาบด้านจริงๆ ผิวไม่เพียงแต่คล้ำ แต่บางจุดยังมีร่องรอยของบาดแผลแลดูน่าเกลียดอีก แต่ยังไงก็ตาม

 

—ลึกเข้าไปใต้แขนเสื้อของเด็กสาว มันกลับเผยให้เห็นถึงผิวที่ขาวผ่องดุจน้ำนม

 

กู่ฉิงซานเข้าใจในทันที

 

เด็กสาวคนนี้คงจะพอรู้เกี่ยวกับการปลอมตัว เพื่อปกปิดสถานะของตัวเอง

 

“ทำไมเธอถึงเป็นสาวใช้ตั้งแต่อายุยังน้อยล่ะ?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างจริงจัง

 

“องค์หญิงจำเป็นต้องมีคู่หูที่สมวัย ตัวติดกันตลอดเวลา เพื่อที่จะได้ตอบรับกับความต้องการของเธอ ดังนั้น ฉันที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ว่า จึงถูกเลือกให้มาเป็นสาวใช้ของเธอ” เด็กสาวตัวน้อยกล่าวออกมาด้วยท่าทีน่าสงสาร

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย

 

อื้มๆ สร้างเรื่องราวได้ดี ถือว่าผ่าน

 

เจ้าหญิงหนามมีอายุเพียงแค่ 12 ปี ดังนั้นเธอจึงต้องการเพื่อนหรือคู่หูที่พร้อมรับฟังตลอดเวลาไว้ข้างตัว

 

และด้วยอายุของสาวใช้คนนี้ ก็เหมาะสมที่จะเป็นคู่หูกับเจ้าหญิงพอดิบพอดีจริงๆ

 

ดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนี้จะหลักแหลมไม่เบา แต่น่าเสียดาย ที่ ‘ประสบการณ์ชีวิตของเธอน้อยเกินไป’

 

เด็กสาวตัวน้อยจ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงยกสูง “ในเมื่อคุณไม่ได้เปิดเผยว่าฉันซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้อภัยต่อการกระทำที่ไม่สุภาพเมื่อครู่ของคุณก็แล้วกัน”

 

กู่ฉิงซานถึงกับไร้คำจะกล่าว

 

เขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะมาฟาดฝีปากกับสาวน้อยที่กำลังหลบหนีผู้นี้

 

ในจิตใจของเขา กำลังคาดคำนวณถึงผลได้ผลเสียอย่างคร่าวๆ

 

ตราบใดที่เขาสามารถคาดเดาความจริงบางส่วนของเรื่องนี้ได้ มันก็คงจะเป็นเรื่องง่ายดายที่จะได้ข้อสรุปที่มันชัดเจน

 

อย่างไรก็ตาม ได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วมันอย่างไร? อย่าลืมนะว่ากู่ฉิงซานไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนพัวพันธ์กับสิ่งใด

 

เขาหลับตาลง และตัดสินถึงน้ำหนักผลได้เสียของเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว

 

ที่เขาต้องทำ ก็เพียงแค่เฝ้ารอซูเซี่ยเอ๋ออยู่ที่นี่

 

—เมื่อซูเซี่ยเอ๋อกลับมา เขาก็จะพาเธอออกไปทันที

 

ถึงแม้ว่าสมาคมกำปั้นเหล็กจะไม่ใหญ่มาก แต่แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็เป็นคนดี ดังนั้นคงน่าจะพร้อมรับเอาซูเซี่ยเอ๋อมาอยู่ด้วย

 

สมาคมกำปั้นเหล็กของตนเองก็อยู่ภายในโลกมิติอนันต์ นั่นหมายความว่ามันเป็นสถานที่ๆปลอดภัย

 

แถมเสี่ยวเหมียวมีความสามารถเกี่ยวกับมิติที่ค่อนข้างจะทรงพลัง

 

ประจวบไปกับอาการบาดเจ็บที่ขาของแบรี่ที่กำลังฟื้นตัวจนใกล้จะหายดีในไม่ช้า ในอนาคต สมาคมกำปั้นเหล็กก็จะกลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง

 

นอกจากนี้ กู่ฉิงซานก็ยังได้รับรางวัลอันเลอค่าจากทริสเต้มาแล้วอีกด้วย ฉะนั้น รางวัลนี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการชำระหนี้ของสมาคมแล้ว

 

ด้วยหนทางดังที่กล่าวมา ชีวิตต่อจากนี้ไปก็จะมั่นคงและปลอดภัย

 

เขากับซูเซี่ยเอ๋อจะได้สามารถใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆได้ซะที

 

และกู่ฉิงซานก็ยังได้รับผลประโยชน์อีกอย่างหนึ่งจากการที่ตนได้อยู่ในสมาคมกำปั้นเหล็กอีกด้วย นั่นก็คือ ในช่วงเวลายามว่าง กู่ฉิงซานยังสามารถขอคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาการฝึกยุทธบางประการ – โดยการใช้อาหารอร่อยๆเป็นการแลกเปลี่ยนหรือตัวล่อกับแบรี่

 

ได้ยินจากเสี่ยวเหมียวมาว่า ลำธารเล็กๆที่อยู่หลังสมาคมสามารถออกไปตกปลาได้ในช่วงสภาพอากาศแจ่มใส

 

แต่ปลาเหล่านั้นมันเจ้าเล่ห์และมีไหวพริบไม่น้อยเหมือนกัน เพราะหากพวกมันสังเกตว่ามีใครเข้ามาใกล้แล้วล่ะก็ เจ้าปลาจะรีบหนีออกไปยังโลกอื่นทันที

 

แบรี่จึงเกลียดการจับปลาเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันเสี่ยวเหมียวก็ทอดปลาไม่เป็น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสกินปลาเหล่านั้นสักเท่าไหร่

 

อย่างไรก็ตาม เนื้อของปลาพวกนั้นก็มีคุณภาพที่ค่อนข้างดี และร้านอาหารติดดาวดังๆก็ยินดีที่จะซื้อมันต่อจากพวกเขา

 

เมื่อกู่ฉิงซานคิดถึงจุดนี้ แววตาของเขาก็อ่อนโยนลง

 

ใช่แล้วล่ะ ในเมื่ออนาคตกำลังจะกลายเป็นแบบนี้ แล้วทำไมตนจะต้องโยนตัวเองเข้าไปพัวพันธ์กับเรื่องอันตรายด้วยเล่า?

 

สิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนี้คือการเฝ้ารอซูเซี่ยเอ๋อกลับมา

 

กู่ฉิงซานได้ตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อย เขาหันไปมองเด็กสาวตัวน้อยและกล่าว “นับจากนี้ไป เมื่อไหร่ที่ฉันไม่เห็นเธอ ฉันจะไม่บอกกับคนอื่นๆเกี่ยวกับเรื่องของเธออย่างแน่นอน ฉะนั้นเชิญทำตัวตามสบายได้เลย”

 

เด็กสาวพอได้ยิน ก็เผยใบหน้ายิ้มแย้มออกมา เธอโค้งกายลงแสดงการขอบคุณ “ถึงแม้จะเป็นผู้ชายไร้มารยาท แต่คุณก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียว”

 

เด็กสาวตัวน้อยมองดูกู่ฉิงซาน และสังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจตัวเองอีกต่อไป เธอจึงค่อยโล่งใจลงเล็กน้อย

 

จากนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่าท้องยังร้องอยู่ จึงถือจานเค้กในมือขึ้นมา แล้วเริ่มบรรจงกินมันอย่างสง่างามอีกที

 

กู่ฉิงซานไม่คิดจะให้ความสนใจกับสาวน้อยคนนี้อีกต่อไป

 

แต่นั่นก็เพราะ เหรียญในมือของเขาเริ่มรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้บังเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้นแล้ว

 

กู่ฉิงซานรีบเบนสายตามามองหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่าง ในส่วนล่างที่อยู่หลังจาก ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ , ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ และ ‘สมญาเทพสงคราม’ ในที่สุดก็มีไอค่อนใหม่สว่างขึ้นมาเสียที

 

ไอค่อนนี้ค่อนข้างเรียบง่าย แลดูคล้ายกับตัวหนังสือหนาๆ

 

“โหนดเวลา ได้รับการยืนยันแล้ว”

 

“ได้รับข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้อง”

 

“เปิดฟังก์ชั่นคุณสมบัติใหม่ของระบบ”

 

“คุณได้รับฟังก์ชั่นใหม่ : ‘พงศาวดารวันสิ้นโลก’ ”

 

“พงศาวดารวันสิ้นโลก : ตอนนี้ คุณจะสามารถตรวจสอบเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหรือเรื่องราวพิเศษบางอย่างที่เกี่ยวข้องจากไอเท็มที่อยู่ในมือตนเองได้”

 

“สืบเนื่องมาจากในชีวิตก่อนหน้า คุณสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้อีกสิบปีหากนับจากปัจจุบันนี้ ดังนั้น เหตุการณ์ข้อมูลที่คุณจะสามารถรับรู้ได้ จึงจะเริ่มจากอดีตอันไร้ที่สิ้นสุดไปจนถึงในอีกสิบปีข้างหน้าตามที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น”

 

“หมายเหตุพิเศษ : ระบบจะบันทึกแค่เพียงเหตุการทางประวัติศาสตร์ที่โด่งดัง มีชื่อเสียงมากที่สุดเท่านั้น แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวและความเป็นจริงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ระบบไม่อาจตระหนักถึงมันได้”

 

กู่ฉิงซานตั้งใจอ่านมันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างไม่คาดคิด

 

นี่มันเป็นฟังก์ชั่นที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

 

ในขณะนั้นเอง บนมือของเขา เหรียญตราของทริสเต้ก็แสดงถึงหลายบรรทัดเล็กๆบนหน้าต่างของเขา

 

“เหรียญของทริสเต้”

 

“วิชายุทธเทพสงคราม : ไอเท็มชิ้นนี้ไม่มีสกิลใดๆ จึงไม่สามารถศึกษาและเรียนรู้มันได้”

 

“คำอธิบายตามพงศาวดาร : มันคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าคุณได้มีส่วนร่วมในการเรียกขานของวิหคหนาม”

 

“หากต้องการจะตรวจสอบเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเหรียญนี้ โปรดทำการจ่าย 100000 แต้มพลังวิญญาณด้วย”

 

-ต้องการแต้มพลังวิญญาณมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองเหรียญตราด้วยความประหลาดใจ

 

มีความลับอันน่าอัศจรรย์ใจเพียงใดกันที่ซ่อนอยู่ในเหรียญตรานี้?

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิด และทันใดนั้นเขาก็โบกมือไปคว้าดาบเช่าหยินออกมาจากความว่างเปล่า

 

ก่อนที่จะทำอะไร เขาขอยืนยันโดยการตรวจสอบความสงสามารถของฟังก์ชั่นใหม่ให้ดีซะก่อนดีกว่า

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม สองสามเส้นแสงบรรทัดตัวอักษารปรากฏขึ้นมา

 

“ดาบจากยุคโบราณอันไกลโพล้น , มีชื่อเรียกว่าเช่าหยิน”

 

“ในสมัยโบราณ โลกเทวะประกอบไปด้วยท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด เมื่อทวยเทพได้จากไป พวกเขาก็ได้ทิ้งดาบเล่มนี้ไว้ในห้วงสมุทร”

 

“ผู้ที่ถือครองดาบเล่มนี้จะกลายเป็นราชาแห่งท้องทะเล”

 

“ดาบเล่มนี้มีจิตอาร์ติแฟคพลังศักดิ์สิทธิ์ : ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม”

 

“วิชายุทธเทพสงคราม : ดาบเล่มนี้ไม่มีสกิลใดๆ จึงไม่สามารถศึกษาและเรียนรู้มันได้”

 

“คำอธิบายตามพงศาวดาร : ระบบยังไม่ได้สืบค้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อันมีชื่อเสียงที่เกี่ยวข้องกับดาบเล่มนี้”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย

 

แน่นอน ถ้าชีวิตนี้เขาไม่ได้เข้าสู่โลกเทวะ เกรงว่าดาบเล่มนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น

 

นี่มันเป็นคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจจริงๆ

 

ฟังก์ชั่นนี้ จะช่วยให้คุณสามารถขยายมุมมอง และล่วงรู้เกี่ยวกับความลับเพิ่มมากขึ้นได้

 

กู่ฉิงซานเพียงคิด เขาก็ตบลงในถุงสัมภาระ และเตรียมนำสิ่งต่างๆมากมายออกมาเพื่อทดลองใช้กับฟังก์ชั่นใหม่ของระบบเทพสงคราม

 

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ถุงสัมภาระของเขาถูกเปิดออก จดหมายใบหนึ่งก็พรวดออกมาทันที และโคจรไปมารอบๆตัวเขา

 

กู่ฉิงซานรีบคว้าจดหมายไว้ในมืออย่างรวดเร็ว

 

จดหมายฉบับนี้ ช่วงก่อนหน้ามันก็เด้งออกมาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นเขากำลังขอความช่วยเหลือจากหญิงงามไม้สลัก ตนจึงไม่มีเวลาเพียงพอที่จะใส่ใจมัน

 

ตอนนี้ คงถึงเวลาแล้วว่าจะตรวจดูว่ามันคืออะไรกันแน่

 

กู่ฉิงซานกางจดหมายออก

 

แต่กลับพบว่ามันเป็นเพียงแผ่นกระดาษสีขาว

 

บนจดหมาย … ไม่มีอะไรถูกเขียนเอาไว้เลย!?

 

ทว่าไม่นาน เสียงอันเร่งร้อนของหญิงสาวก็ดังขึ้นมาจากภายในกระดาษอย่างกระทันหัน

 

“กู่ฉิงซาน นี่ฉันเองนะ เสี่ยวเหมียว”

 

“ฉันมีเรื่องน่าสะพรึงกลัว ที่จะต้องรีบบอกนายทันที!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.522 – ทำใจให้สบาย

 

ภายในห้อง เหลือแค่เพียงกู่ฉิงซานกับเหล่าขุนนางหญิง ที่ผู้คนมักจะเรียกพวกเธอว่าสตรีสูงศักดิ์

 

สตรีสูงศักดิ์ต่างพากันลอบมองกู่ฉิงซาน

 

‘ชายหนุ่มคนนี้ดูดีใช่ย่อยทีเดียว’

 

นี่คือสิ่งที่พวกเธอคิดอย่างลับๆ

 

ใช่แล้วล่ะ กู่ฉิงซานเองก็เป็นคนหนึ่งที่รูปลักษ์ภายนอกดูดีไม่เลว เขาผ่านวันเดือนปีแห่งการฝึกฝนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นคลื่นความผันผวนและวุฒิภาวะจึงดูมีความเป็นผู้ใหญ่ ขัดกับใบหน้าที่ยังเยาว์วัยของเขา

 

ส่งผลให้กู่ฉิงซานดูมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร

 

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาถูกนำมาโดยหญิงที่มีเกียรติเป็นการส่วนตัว!

 

หญิงที่ยากนัก ที่จะปรากกฏกายออกมาพบปะสังสรรค์กับผู้อื่น

 

สตรีสูงศักดิ์หันไปสบตากันและกัน

 

หนึ่งในสตรีสูงศักดิ์ที่ยังเยาว์วัยอยู่ค่อยๆหันข้อมือของเธอไปทางกู่ฉิงซาน และหมุนแหวนมรกตบนนิ้วของเธออย่างเงียบๆ

 

แหวนมรกตสั่นไหวเล็กน้อย จนหากไม่สังเกตก็มิอาจสัมผัสได้

 

แล้วข้อความที่บังเกิดขึ้นจากในแหวนมรกต ก็ถูกส่งผ่านไปในหัวใจของเด็กสาวอย่างรวดเร็ว

 

“ร่างกายมีชีวิตอยู่มาน้อยกว่า 20 ปี , มีความแข็งแกร่งประมาณระดับ 35 ,เชี่ยวชาญในการใช้ดาบ”

 

เด็กสาวเผยอปากเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ

 

ระดับ 35 มันคือมาตรฐานที่ใช้แบ่งแยกความแข็งแกร่งในโลกที่เด็กสาวอาศัยอยู่

 

มันคือเส้นแบ่ง

 

ในระดับนี้ นักดาบจะสามารถเรียกวิญญาณธาตุ และฝึกฝนเทคนิคดาบขั้นสูงได้

 

เด็กสาวมองไปทางกู่ฉิงซาน ในจิตใจค่อยๆบังเกิดความคิดต่างๆนาๆขึ้นมากมาย

 

ยังเยาว์วัย แต่กลับสามารถมีความแข็งแกร่งถึงระดับ 35

 

ตัวตนดังกล่าว แม้แต่ในโลกของเธอเอง ก็ยังนับว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์อันดับต้นๆ

 

และเธอก็มาจากบรรดาโลกในดินแดนชิงอำนาจ

 

ซึ่งเป็นโลกที่ทรงพลังอย่างเหลือล้น

 

—ในความเป็นจริง จากมุมมองอื่นๆ หากตัดสินวรยุทธจากมาตรฐานของโลกทั้งหมดในระดับสากล นับว่ายากเย็นนัก ที่จะพบเจอกับคนหนุ่มสาวที่แข็งแกร่งเช่นนี้

 

ต้องรู้นะว่า แม้กู่ฉิงซานจะมาจากโลกกระจัดกระจาย แต่เขาก็ไม่เคยหยุดฝึกยุทธเลยแม้เพียงครู่

 

พรสวรรค์โดยกำเนิดของเขาก็ค่อนข้างดี

 

อย่างในชีวิตก่อนหน้า เขาเข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธช้ากว่าคนอื่นๆตั้งครึ่งปี ดังนั้นจุดเริ่มต้นของเขาจึงต่ำกว่าคนอื่นๆมาก

 

เขาต้องก้าวข้ามผ่านเส้นทางที่ยากลำบากยิ่งกว่าทุกๆคน แต่สุดท้ายก็ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้ในที่สุด

 

ดังนั้น เมื่อได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของเขา จึงนับได้ว่าสูสีหรือเหนือยิ่งกว่าคนวัยเดียวกันหากเทียบกับโลกอื่นๆ

 

แม้ว่าเด็กสาวจะไม่รู้ถึงเรื่องเหล่านี้ แต่เฉพาะแค่เรื่องนักดาบระดับ35 ที่อายุต่ำกว่า 20 ก็ควรค่าแก่การเป็นสหายแล้ว

 

คนๆนี้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกระชับความสัมพันธ์กับเธอ

 

อีกอย่าง เขาก็ดูดีไม่เลวเลยด้วย

 

เมื่อคิดจุดจุดนี้สตรีสูงศักดิ์ก็เผยใบหน้ายิ้มแย้ม เดินไปพูดคุยกับกู่ฉิงซาน “สวัสดี ฉันขอรบกวนถามหน่อยจะได้ไหม ว่าคุณมาจากที่ใดกัน?”

 

“สวัสดี ผมมาจากโลกอันห่างไกลที่เรียกกันว่าโลกกระจัดกระจาย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเป็นมิตร

 

พอได้ฟัง รอยยิ้มบนใบหน้าของสตรีสูงศักดิ์ก็แข็งค้างไปทันที

 

ในสมองของเธอไม่อาจขบคิดคำกล่าวต่อไปได้

 

‘โลกกระจัดกระจาย’

 

มันเป็นตัวแทนที่บ่งบอกถึงความล้าสมัยและป่าเถื่อน

 

สถานที่เหล่านั้นมักจะแบกรับโชคชะตาแห่งการทำลายล้างอยู่เสมอ เป็นโลกที่ไม่ทันจะเคยสร้างอารยธรรมอันสูงส่ง ก็ถูกทำลายลงเสียแล้ว

 

สตรีสูงศักดิ์ถอนหายใจและรู้สึกผิดหวังมาก

 

–ในความเป็นจริง หากเป็นเรื่องราวระหว่างชายยากจนกับขุนนางหญิง มันก็ยังพอจะเป็นเรื่องราวโรแมนติกที่ยอมรับได้

 

แต่ชายที่อยู่ตรงหน้านี้มาจากโลกกระจัดกระจาย เขาไม่ใกล้เคียงแม้แต่กับคำว่าชายยากจน

 

มันยากลำบากเกินไปหากคิดจะกระชับสัมพันธ์กับคนที่มาจากโลกเหล่านี้ เพราะต่อให้คุณกล่าวสิ่งใดออกไป เขาก็คงจะไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูดอยู่ดี

 

ทั้งสองฝ่ายมิได้อยู่ในระดับเดียวกัน

 

แต่พอลองมาคิดๆดู …

 

ความจริงแล้ว คนๆนี้คงจะต้องจ่ายบางสิ่งที่มีราคาสูงยิ่งให้แก่หญิงที่มีเกียรติคนนั้นเป็นแน่ มิฉะนั้นเธอคงไม่คิดยื่นมือช่วยเขา

 

นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งๆใดๆกับอีกฝ่าย

 

นั่นเพราะเขาเป็นคนที่มาจากโลกกระจัดกระจาย!

 

ดังนั้น แม้ว่าเขาจะมีระดับ 35 แต่สุดท้ายก็เป็นแค่คนเถื่อน!

 

วิสัยทัศน์แคบ ด้อยซึ่งความรู้ แถมอนาคตก็ไม่แน่ไม่นอน ถูกจำกัดเป็นอย่างมาก

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ สตรีสูงศักดิ์ก็เลือกที่จะถอยกลับไป

 

สตรีสูงศักดิ์คนอื่นๆ หลังจากได้ยินบทสนทนานี้ ทั้งหมดต่างก็ขยิบตาให้กันและกัน

 

พวกเธอบรรลุข้อตกลงกันอย่างรวดเร็ว

 

“ขออภัยด้วย พอดีว่าพวกเรามีบางสิ่งที่ต้องไปจัดการ” พวกเธอกล่าว

 

“เชิญ” กู่ฉิงซานตอบ

 

สตรีสูงศักดิ์ลุกขึ้นยืน โค้งตัวน้อยๆ น้อยจริงๆไปทางกู่ฉิงซาน และเดินออกจากโซนที่นั่งพิเศษไป

 

ตามด้วยเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นในระหว่างทางเดิน

 

“เธอหัวเราะอะไร?” เด็กสาวที่พูดกับกู่ฉิงซานในตอนแรกกล่าวอย่างเคืองๆ

 

“ฮี่ฮี่ฮี่ โลกกระจัดกระจายล่ะ เธอก็ดันไปคุยกับเขา … ”

 

สตรีสูงศักดิ์คนอื่นๆหัวเราะดังกว่าเดิม

 

แล้วประตูก็ปิดลง

 

เสียงหัวเราะค่อยๆจางหายไป

 

ไม่มีใครอยู่โดยรอบ

 

หลงเหลือกู่ฉิงซานเพียงลำพังอยู่ในห้อง

 

กู่ฉิงซานสังเกตเห็นถึงความตั้งใจ และปฏิกิรยาของคนอื่นๆมาตั้งนานแล้ว

 

แต่เขาก็ไม่คิดจะใยดีใดๆ ตรงกันข้าม ตนกลับค่อยๆผ่อนคลายลง

 

เรื่องทุกอย่าง ทั้งหมดเกือบจะเรียบร้อยแล้ว

 

ตอนนี้ จึงเป็นเวลาพักผ่อนที่หาได้ยากยิ่ง

 

เขาไม่รีบร้อนที่จะไปดูภารกิจระบบเทพสงคราม แต่กลับมองไปยังเค้กสูงกว่า 20 ชั้นบนโต๊ะ

 

เค้กนี้ถูกตกแต่งด้วยทุกชนิดของผลไม้ที่แปลกใหม่ เพียงแค่เฉพาะผลไม้ก็รู้สึกน่ารับประทานแล้ว แถมยังส่งกลิ่นหอมจางๆ ที่ไม่ได้ทำให้คนสูดดมรู้สึกหวานเลี่ยนจนเกินไปออกมาอีกต่างหาก

 

กู่ฉิงซานมองไปที่มุมโต๊ะ

 

ภายในถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ มีทุกชนิดของเครื่องดื่มที่ถูกแช่เย็นเอาไว้อยู่

 

กู่ฉิงซานจึงเอื้อมมือไปคว้าแบบสุ่มๆ แล้วเขาก็ได้ขวดไวน์สีดำบริสุทธิ์ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็นั่งลง และเริ่มตัดชิ้นเค้กอย่างสบายๆ

 

เขาไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไงหลังจากที่พึ่งผ่านการเดินทางอันยาวนาน

 

แต่กู่ฉิงซานข้ามผ่านโลกหลายร้อยชั้น และต้องมาจัดการเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่าง จนตอนนี้เขารู้สึกว่ามันเหนื่อยมากจริงๆ

 

ในเมื่อได้รับข้อมูลมาว่าเรื่องของซูเซี่ยเอ๋อคงจะไม่มีปัญหาอะไร แถมภารกิจของระบบก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว …

 

งั้นก็ขอพักหน่อยเถอะ

 

จุกไวน์สีดำถูกเปิดออก

 

กลิ่นหมักอันยอดเยี่ยมฟุ้งออกมา

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก

 

ไวน์ชั้นสูงเช่นนี้ มันเกือบจะเทียบได้กับผลงานชิ้นเอกของเขาเลยทีเดียว

 

กู่ฉิงซานไม่คิดมองหาแก้ว แต่เขาเลือกที่จะยกขวดไวน์ขึ้นซดเข้าปากเลยโดยตรง

 

“คุณไม่คิดจะใช้แม้กระทั่งแก้ว ช่างเป็นคนที่มารยาททรามเสียจริงๆ”

 

ทันใดนั้นเอง เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้น

 

กู่ฉิงซานตกใจ จนเผลอสำลักไวน์ที่กำลังกลืนออกมา

 

“พรวด!”

 

แค่ก แค่ก แค่ก

 

เขาไอไม่หยุด ขณะเดียวกันก็มองไปยังฝั่งตรงข้าม

 

เห็นแค่เพียงเด็กสาวตัวเล็กๆในชุดคนใช้ยืนอยู่ตรงกันข้ามเขา ทั้งหน้าทั้งตัวเปียกชุ่มไปด้วยไวน์ที่พึ่งถูกพ่นใส่

 

กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

 

–แปลกจัง ตนเองก็ได้ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปแล้วนี่นา และก็พบว่าไม่มีใครอยู่รอบๆแล้วชัดๆ

 

แล้วเด็กสาวตัวน้อยคนนี้โผล่ออกมาจากที่ไหนกัน?

 

“อ๋า ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

 

กู่ฉิงซานรีบขอโทษอย่างรวดเร็ว

 

สาวน้อยไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังอึ้งทึ่งเป็นอย่างมาก

 

แต่เธอก็พยายามอย่างหนักที่จะไม่กรีดร้องออกมา

 

เห็นแค่เพียงเด็กสาวที่กำลั่งสั่นเทา ราวกับกำลังจะเป็นลมได้ในวินาทีต่อไป

 

แต่เธอก็กัดฟันสู้ และไม่ยอมล้มลง

 

เด็กสาวพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสงบและยับยั้งชั่งใจ “น้ำลายของคุณ แถมยังมีเศษอาหาร แล้วก็ไวน์ที่เลอะอยู่บนหน้า บอกตรงๆว่าฉันไม่เคยพบเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนเลย … ฉันขอรบกวนถามหน่อยจะได้ไหม ว่าจะผ่านเหตุการณ์อันน่าอึดอัดนี้ไปได้อย่างไร?”

 

กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน มือเขาจีบออกด้วยวิชาลับ กระตุ้นพลังวิญญาณทันที

 

ทันใดนั้น สิ่งแปลกปลอมทั้งหมดบนใบหน้าของเด็กสาวก็หายไป ใบหน้าของเธอกลับมาเกลี้ยงเกลา

 

กู่ฉิงซานได้ใช้น้ำวิญญาณอีกครั้ง เพื่อชำระล้างเด็กสาวให้อีกครา

 

“ตอนนี้น่าจะโอเคแล้ว ฉันขอโทษจริงๆนะสำหรับเรื่องเมื่อครู่”

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความรู้สึกผิด

 

เด็กสาวจับลงบนใบหน้าของเธอ แตะๆมันไปมาอย่างระมัดระวัง

 

หลังจากนั้นสักพัก ร่างกายของเธอก็หยุดสั่น

 

เธอสูดหายใจลึก และหันมาโค้งกายทักทายกู่ฉิงซานอย่างอ่อนโยน “ฉันเกลียดพฤติกรรมของคุณก่อนหน้านี้ ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าฉันจะพูดอะไรกับคุณอีกต่อ”

 

เธอเดินไปนั่งข้างๆเขาด้วยความโกรธ หยิบมืดและส้อมขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มตัดชิ้นเค้กเล็กๆ จากทั้ง 20 ชั้น มาค่อยๆบรรจงรับประทานอย่างสง่างาม

 

เธอดูจะหิวมาก เพราะชิ้นเค้กที่ตักมา 2-3คำมันก็หมดแล้ว

 

หลังจากกินเสร็จ เด็กสาวก็ลังเลไปครู่ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะตัดเค้กชิ้นต่อไปและยังคงกินมัน

 

กู่ฉิงซานเมื่อเห็นว่าเธอไม่สนใจตัวเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มหันมาขบคิด

 

เขาไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเลยเหมือนกัน

 

—ในโลก 900 ล้านชั้น ที่มีทุกชนิดของสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ดังนั้นมันคงไม่น่าแปลกใจหรอกที่จะมีบางสิ่งที่สามารถเล็ดรอดจิตสัมผัสเทวะของเขาไปได้

 

ยิ่งไปกว่านั้น โซนที่นั่งพิเศษแห่งนี้คือที่ของราชวงศ์วิหคหนาม แสดงว่าเด็กสาวคนนี้ย่อมที่จะมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิหคหนาม ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่ได้

 

กู่ฉิงซานมาขอความช่วยเหลือกับวิหคหนาม -เขาจึงไม่สมควรทำอะไรผลีผลามหรือไม่ดีใดๆภายในอาณาเขตของอีกฝ่าย

 

ดังนั้น ตั้งแต่ที่ตนได้ขอโทษอีกฝ่าย และอีกฝ่ายก็ตัดสินใจไม่พูดคุยกับตนเอง เขาก็อย่าไปยั่วยุอะไรเพิ่มเติมอีกคงจะดีกว่า

 

เมื่อเกิดความคิดนี้ กู่ฉิงซานก็พยักหน้าอย่างลับๆ

 

แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ไป ตัวเขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะดื่มกินอีก

 

เขาเบนสายตาไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยที่แขวนเด่นอยู่บนหน้าต่างอย่างเงียบๆ

 

“ภารกิจของคุณเสร็จสิ้นลงแล้ว”

 

“โปรดหยิบเหรียญของทริสเต้ออกมา และกำมันเอาไว้ในมือของคุณ”

 

กู่ฉิงซานหยิบเหรียญออกมา และกำไว้ในมือของเขา

 

บนเหรียญ จู่ๆก็เกิดเสียงกรีดร้องของทริสเต้ดังขึ้นมาอย่างน่าฉงน

 

แล้วเธอก็หายตัวไป

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้น

 

“ช่องทางข้อมูลเริ่มทำการเชื่อมต่อ และกำลังพยายามที่จะเปิดใช้งานฟังก์ชั่นใหม่ของระบบเทพสงคราม”

 

“กระบวนการเชื่อมต่อนี้จะกินเวลาอยู่หลายนาที ดังนั้นโปรดอย่าปล่อยเหรียญออกจากมือของคุณเด็ดขาด”

 

กู่ฉิงซานกำมือแน่นขึ้น และเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ

 

ปัง!

 

แต่แล้วประตูโซนพิเศษก็ถูกกระแทกเปิดออกทันใด

 

“ขออภัยที่ขัดจังหวะ แต่พวกเรากำลังตามหาสมบัติของราชวงศ์อยู่”

 

องครักษ์ติดอาวุธหลายคนเดินเข้ามา และกล่าวคำขอโทษแก่เขา

 

ทั้งหมดมองไปยังกู่ฉิงซาน ก่อนจะเห็นถึงเหรียญในมือของเขา แล้วทัศนคติที่แสดงออกมาก็ดูสุภาพกว่าเดิมมากนัก

 

“ทำตามที่พวกคุณต้องการเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

องครักษ์หลายคนเริ่มทำการค้นห้อง

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูการกระทำของพวกเขา ขณะที่ความสงสัยเล็กๆน้อยค่อยๆบังเกิดขึ้นในจิตใจ

 

องครักษ์พวกนี้บอกว่ากำลังค้นหาสมบัติ แต่แทนที่จะพลิกตู้หรือเปิดลิ้นชัก พวกเขากลับเดินถือไม้เท้ามนตราวนไปรอบๆห้อง

 

คล้ายกับว่ากำลังตรวจจับถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่เสียมากกว่า

 

เดี๋ยวก่อนนะ!

 

นอกไปจากองครักษ์ ทำไมภายในห้อง ถึงมีเพียงแค่ตัวเขาเองล่ะ?

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มเต้นครึกโครม

 

เขาหันไปมองรอบๆห้อง พร้อมกับกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปในขณะเดียวกัน

 

แล้วสาวน้อยคนนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว?

 

ทำไมจู่ๆถึงหายไปอย่างเงียบๆได้?

 

กล่าวกันอย่างจริงจัง ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผี ก็ไม่มีทางที่จะหลบเร้นการค้นหาของจิตสัมผัสเทวะไปได้

 

แต่สาวน้อยคนนั้นกลับสามารถหายตัวไปได้อย่างสมบูรณ์

 

พอลองนึกๆดู ในตอนที่เธอปรากฏตัวขึ้น กู่ฉิงซานก็ไม่รู้สึกตัวเลยเหมือนกัน

 

ดูจากลักษณะที่แสดงออกของพวกองครักษ์แล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ทราบถึงเรื่องนี้เหมือนกัน

 

นี่มันเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดจริงๆ

 

ความคิดของกู่ฉิงซานหมุนเร็วจี๋ แต่สีหน้าของเขากลับยังคงเรียบเฉย

 

ไม่นานนัก องครักษ์หลายคนก็เสร็จสิ้นการค้นหา และพากันเดินมายังกู่ฉิงซาน

 

“ขออภัยสำหรับความหยาบคายในครั้งนี้ แต่นี่เป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเรา” หัวหน้าองครักษ์กล่าว

 

กู่ฉิงซานมองอีกฝ่าย และดูการแสดงออกทางสีหน้าขององครักษ์คนอื่นๆ

 

พวกเขาดูสงบมาก

 

เหมือนกับว่าพวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่าการค้นหาในครั้งนี้ อย่างไรก็คงจะคว้าน้ำเหลว

 

“ไม่เป็นไรหรอก พวกคุณไม่ได้ทำอะไรผมสักหน่อย” กู่ฉิงซานหัวเราะ

 

แล้วองครักษ์ก็พยักหน้าให้เขา ก่อนจะค่อยๆทยอยกันออกจากประตูไป

 

ภายในห้อง เหลือกู่ฉิงซานอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง

 

นี่มันไม่ถูกต้อง

 

ถ้าเด็กสาวตัวเล็กนั่นเป็นแขกเช่นกัน พวกองครักษ์ก็จะต้องเห็นเธอ และไม่มีทางขอโทษแค่เขาคนเดียวเป็นแน่

 

เพราะพวกเขาปฏิบัติตามพิธีมารยาทเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงย่อมต้องขออภัยต่อแขกทุกคนอย่างแน่นอน

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกองครักษ์วิหคหนามไม่ทราบถึงการดำรงอยู่ของสาวน้อยคนนี้!

 

กู่ฉิงซานเปิดตา

 

แล้วเขาก็เห็นเด็กสาวอีกครั้ง

 

เธอปรากฏตัวขึ้นทันทีหลังจากที่องครักษ์จากไป

 

เด็กสาวถอนหายใจยาว แสดงท่าทีเหนื่อยล้าเล็กน้อย

 

ดูเหมือนกับว่าเธอคงจะไปทำเรื่องอะไรบางอย่างที่มันน่าหนักใจมา

 

ทั้งสองมองตากันอย่างเงียบๆ

 

“ฉันเสียใจจริงๆ แต่ฉันจำเป็นต้องซ่อนตัวสักพัก ได้โปรดอย่าบอกพวกองครักษ์เลยนะว่าฉันอยู่ที่นี่” เด็กสาวตัวเล็กๆอ้อนวอน

 

“ให้ตายเถอะ เธอเป็นใครกันแน่?” กู่ฉิงซานถาม

 

“ฉันเป็นคนรับใช้ขององค์หญิง หลังจากที่องค์หญิงหายตัวไป ฉันก็เลยต้องหลบหนีมา”

 

“องค์หญิงหายตัวไป?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างคาดไม่ถึง

 

วันนี้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวันพิธีฉลองวันเกิดครบ 12 ปีขององค์หญิง แล้วทำไมจู่ๆเธอถึงได้หายตัวไปกัน?

 

เด็กสาวใช้กล่าว “ใช่ ทางราชวงศ์คิดว่าฉันในฐานะสาวใช้ดูแลองค์หญิงไม่ดี จนทำให้เธอหายตัวไป พวกเขาเลยตัดสินใจที่จะฆ่าฉัน”

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”

 

กู่ฉิงซานเผยสีหน้าหายสงสัย แต่ในหัวใจของเขากลับบังเกิดความสงสัยอันลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม

 

กู่ฉิงซานเค้นสมองตนอย่างรวดเร็ว

 

ลองมองย้อนกลับไปในตอนที่เขาเดินเข้ามา เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ในโซนที่นั่งพิเศษ มีองครักษ์คอยตรวจตราอย่างเข้มงวด มีตัวตนอันแข็งแกร่งมากมายคอยปกป้องที่นี่อยู่อย่างหนาแน่น

 

อย่างไรก็ตาม ตัวตนที่แข็งแกร่งเหล่านั้นกลับไม่สามารถค้นพบถึงตัวตนของเด็กสาวใช้ได้

 

แล้วถ้าหากเด็กสาวใช้อยู่ที่นี่ตั้งแต่เริ่มต้น ถ้าอย่างงั้นกระทั่งแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ก็ยังไม่ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของเธอ

 

หญิงผู้มีเกียรติอย่างหยิงงามไม้สลัก , ไก่ใหญ่ และ 7-8 สตรีสูงศักดิ์จากในแต่ละโลกก็เหมือนกัน ทั้งหมดดูจะไม่ได้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของเธอเลย

 

หรืออีกความหมายนึงก็คือ เธอสามารถปิดซ่อนตัวตนจากคนอื่นๆได้

 

… แต่เธอเปิดเผยรูปลักษณ์ตัวเองต่อหน้ากู่ฉิงซานเท่านั้น

 

โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ถึงเรื่องนี้เลย

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่กัดกินเข้าในจิตใจของเขา

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.521 – แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้

 

พอได้ยินคำของพวกมัน หญิงงามไม้สลักก็เอ่ยด้วยความยินดีออกมา “ในเมื่อพวกเจ้าไม่เคยผ่านมือคนอื่นมาก่อน ถ้าอย่างนั้นนับจากนี้ไป พวกเจ้าจะกลายเป็นหนึ่งในชุดของเรา โดยไม่เป็นเพียงแค่ของสะสมที่ถูกเก็บทิ้งเอาไว้ในห้อง”

 

“และพวกเรา พร้อมที่จะรับใช้คุณหญิงทุกเมื่อ” บิกินี่กับปีกกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

 

แม้ใบหน้าของกู่ฉิงซานจะยังคงสงบ แต่ภายในหัวใจกลับลอบถอนหายใจโล่งอกอย่างลับๆ

 

“เจ้าหนู เป็นอย่างไรบ้าง พวกเรารับมือได้ดีไปเลยใช่ไหม?” บิกินี่ส่งเสียงถามมาอย่างเงียบๆ

 

“ดีมากเลยล่ะ” กู่าฉิงซานส่งเสียงผ่านความคิดไป

 

ปีกสีชมพูส่งเสียงมา “บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้จักหญิงที่มีเกียรติคนนี้ แต่การที่พวกเราสามารถเป็นชุดส่วนตัวของเธอได้ ตลอดทั้งชีวิตไม่นับว่าเสียใจแล้ว ดังนั้นพวกเราเลยต้องการตอบแทนเจ้า ไม่อยากให้เจ้าต้องพบพานกับเรื่องร้ายใดๆ”

 

“ขอบคุณมากเลยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ในเวลานั้นเอง หญิงงามไม้สลักก็หันไปยิ้มให้กับกู่ฉิงซาน และเอ่ยปากว่า “ในความเป็นจริงแล้ว โดยทั่วไปตัวเราจะไม่ยอมรับสิ่งของจากคนอื่น แต่ของขวัญสองชิ้นนี้มันถูกใจเรามากจริงๆ ดังนั้น .. ”

 

“โปรดรับมันไว้ และดูแลพวกมันให้ดีด้วย” กู่ฉิงซานตัดจบ

 

หญิงงามไม้สลักพยักหน้า วาดมือออกไป และสองชุดแฟชั่นสีชมพูก็หายไป

 

—เธอไม่ลังเลเลยที่จะรับของขวัญจากกู่ฉิงซาน

 

“สหายตัวน้อยจากสมาคมกำปั้นเหล็ก เจ้าช่างมีน้ำใจมากจริงๆ ของขวัญเหล่านี้มีค่าไม่น้อยเลย มันทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้นมากทีเดียว”

 

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

 

“จงบอกคำขอของเจ้ามา ถ้าตัวเราสามารถทำมันได้ เราจะพิจารณาเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง”

 

“ผมพลาดการเรียกขานของวิหคหนามไป แต่ผมจำเป็นต้องเข้าร่วมให้ได้”

 

“ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้ … แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ค่อนข้างมีสัมพันธ์ที่ดีกับเรา และบางทีทริสเต้ก็อาจจะเข้าร่วมพิธีฉลองตนก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ของเจ้าหญิงหนามตัวน้อย – ที่จะจัดขึ้นเป็นเวลาสามวันสามคืน”

 

หญิงงามไม้สลักผุดลุกขึ้น

 

“ไปกันเถิด” เธอกล่าว “ไปร่วมงานสังสรรค์กับเรา แล้วเราจะขอให้เธออนุญาตให้เจ้าเข้าร่วมการเรียกขานเอง”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็มีความสุขยิ่ง เขาประสานหนึ่งฝ่ามือหนึ่งกำปั้นไปทางอีกฝ่าย “ขอบพระคุณท่าน!”

 

“แล้วฉันล่ะ?” ไก่ใหญ่เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

 

“ต้องการจะอยู่ที่นี่ หรือว่าจะไปงานสังสรรค์ด้วยกันกับเราล่ะ?” หญิงงามไม้สลักมองไปที่มัน

 

“แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องไป! กระพ้มรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!” ไก่ตีปีกพับๆด้วยความตื่นเต้น

 

มันหันไปยกนิ้วโป้งให้แก่กู่ฉิงซานอย่างลับๆ

 

ไก่ไม่คาดคิดเลยว่าการช่วยเหลือผู้อื่น แท้จริงแล้วจะช่วยให้ตนสามารถย่นระยะห่างระหว่างหญิงงามไม้สลักได้ นี่มันเป็นกำไรที่คาดไม่ถึงจริงๆ

 

ณ โรงแรมอัลเบอัส

 

ตลอดทั้งโรงแรมดื่มด่ำไปกับบทเพลงบรรเลงอันไพเราะและสูงส่ง

 

ผู้คนสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ดูวิจิตงดงาม ทักทายซึ่งกันและกัน พูดคุยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล และเดินจากกันไปอย่างเงียบๆ

 

วิหคหนามแห่งดินแดนอัศจรรย์เป็นขุนนางที่ค่อนข้างเรื่องมากในพิธีและมารยาท ดังนั้นทั้งหมดที่กล่าวมาจึงเป็นเรื่องเข้มงวดนัก

 

ทุกชนิดของอาหารอันหลากหลาย ถูกจัดวางอยู่ในถาดอย่างละเอียดละออ แช่อยู่ในหมอกหลากสีสัน

 

นี่คือหมอกแห่งเวลา มันมาจากดินแดนอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่จะช่วยรักษาอาหารให้สดใหม่อยู่ตลอดเวลา

 

เพียงแค่คุณนำอาหารเข้าปาก หมอกแห่งเวลาจะแพร่กระจายออกมา และรสแสนอร่อยของอาหารก็จะระเบิดลงตรงปลายลิ้นคุณ

 

นี่เป็นสิ่งรับประกันเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารจะคงอยู่ในรสชาติที่ดีที่สุดอยู่เสมอตลอดทั้งเวลางานเลี้ยงที่ยาวนาน

 

ขณะก้าวเดิน ไก่ตัวใหญ่ก็ก้มหน้าลงมาพูดกับกู่ฉิงซาน “ฉันไม่สามารถทนกับการกระทำของพวกวิหคหนามได้”

 

“การกระทำอะไรหรือ?” กู่ฉิงซานสงสัย

 

“ลองมองดูสิ เห็นเค้กที่ตกแต่ง12ชั้นไหม แล้วก็นั่นอีก กระเป๋าสีเทาใบใหญ่ที่เรียกกันว่ากระเป๋าขนมอันไร้ที่สิ้นสุด -ทุกตารางนิ้วของงานเลี้ยงน่ะเต็มไปด้วยอาหารอันโชะมากมาย แต่จริงๆแล้วพวกวิหคหนามกลับไม่เคยคิดจะกินมันเลยแม้เพียงครึ่งคำ”

 

“แต่เท่าที่ฟังมา พวกเขาเป็นเจ้าภาพไม่ใช่หรอ บางทีพวกเขาอาจจะเคยทานมันมาแล้วหรือเปล่า เลยไม่มีความสนใจใดๆกับของพวกนี้”

 

“ไม่หรอก แต่เป็นเพราะพวกเขาคิดว่าการกินระหว่างเนื่องในโอกาสงานฉลองอันเคร่งครัดนี้น่ะ มันจะดูไม่มีมารยาทต่างหาก”

 

“อาหารทั้งหมดที่วางไว้ … ”

 

“เป็นของที่บริการไว้สำหรับแขกเท่านั้น”

 

“อ่า แต่เท่าที่ฟังดูมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกตินะ”

 

ไก่ใหญ่จ้องมาที่กู่ฉิงซานและกล่าว “ผิดปกติสิ! เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นว่าอาหารของตนถูกหยิบขึ้นมารับประทาน พวกเขาจะแสดงรอยยิ้มภาคภูมิใจน้อยๆออกมา ราวกับว่าคนที่กินไปทำผิดพลาดครั้งใหญ่ต่อหน้าสาธารณชน แต่สำหรับวิหคหนามน่ะตรงกันข้าม เพราะพวกเขากลับสามารถรักษามารยาทอันสุภาพ ไม่ยินยอมกระทำเหมือนกับบรรดาแขกเหรื่อได้ – แบบนี้ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็ดูน่ารังเกียจไม่ใช่หรอ?”

 

“ลดเสียงลงหน่อย” หญิงงามไม้สลักหันมองจิกตาใส่ไก่

 

ไก่ใหญ่หุบปากลงทันที

 

หญิงงามไม้สลักนำกู่ฉิงซานกับไก่ใหญ่เดินข้ามผ่านตลอดทั้งห้องจัดเลี้ยงอาหารค่ำ , ห้องจัดเลี้ยงขนาดเล็ก , โถงเต้นรำ และในที่สุดก็มาถึงโซนที่นั่งชั้นพิเศษ

 

สององครักษ์ราชวงศ์วิหคหนามที่มีใบหน้าถมึงทึงยืนอยู่หน้าประตู

 

เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนเดินตรงเข้ามา สององครักษ์ก็ก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวทันที “ต้องขออภัยด้วย ที่นี่คือสถานที่พักผ่อนสำหรับผู้สูงศักดิ์เท่านั้น ช่วยกรุณา-”

 

หญิงงามไม้สลักคีบบัตรเชิญด้วยปลายนิ้วของเธอขึ้นมา

 

เมื่อองครักษ์ทั้งสองเห็นบัตรเชิญนี้ พวกเขาก็ก้าวถอยหลัง และโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ที่แท้ก็เป็นท่านหัวใจพฤษานิรันดร์ จิตวิญญาณแห่งพฤษาศักดิ์สิทธิ์นี่เอง พวกเราขอน้อมรับการมาเยือนของท่านด้วยความยินดี”

 

“ตอนนี้มีใครอยู่ข้างในนั้น?”

 

“ทริสเต้”

 

“แค่เธอคนเดียว?”

 

“ยังมีแขกผู้มีเกียรติอีกหลายคนอยู่ในห้อง”

 

หญิงงามไม้สลักประหลาดใจ เธอกล่าวออกมา “หืม? ที่พักของราชวงศ์หนามไม่ได้อยู่ที่นี่มิใช่หรือ? แล้วคนพวกนั้นเป็นใครกัน?”

 

สีหน้าของสององครักษ์แสดงออกถึงความอึดอัด

 

พวกเขาหันมามองหน้ากันและกัน

 

“ช่างมันเถอะ ตัวเราเหนื่อยเกินไปที่จะต้องมาถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราแค่มีธุระเล็กๆน้อยที่จะคุยกับทริสเต้เท่านั้น” หญิงงามไม้สลักโบกมือไปมา

 

สีหน้าขององครักษ์จึงผ่อนคลายลง แล้วหลีกทางให้อีกฝ่าย

 

หญิงงามเดินนำกู่ฉิงซานกับไก่ใหญ่เข้าไป

 

บนทางเดินยาว คุณจะสามารถได้ยินถึงเสียงสนทนาที่เล็ดลอดออกมาจากด้านหน้าของห้องอยู่เป็นพักๆ

 

หลังจากทั้งหมดนี้ นี่เป็นสถานที่ๆมีการป้องกันอันเข้มงวด บุคคลที่สามารถเข้ามาที่นี่ได้ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน ดังนั้นเหล่าคนที่สนทนากันอยู่ภายในห้องจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีเรื่องใดๆหลุดรอดออกไป

 

“ว่าไงนะ? หาไม่พบงั้นหรือ?”

 

“ส่งออกไปตั้งหลายคน แล้วทำไมถึงยังหาไม่เจออีก?”

 

“ไม่คิดเลย ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

 

“ใช่ แต่จริงๆแล้วมันไปอยู่ที่ไหนกันแน่”

 

กู่ฉิงซานได้ยินถึงเสียงสนทนาเบาๆ

 

ความตื่นตระหนกดูจะฟุ้งไปทั่วชั้นอากาศ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาผลักประดูเข้าไป และยืนอยู่ต่อหน้าทริสเต้ บทสนทนาทั้งหมดก็หายไป

 

คนอื่นๆล้วนหุบปากลง เพราะนี่เป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่สุดในเวลาที่มีคนมาเยี่ยมเยือน

 

เห็นแค่เพียงขุนนางหลายคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่

 

แน่นอน ที่โดดเด่นและดูอ่อนโยนที่สุดคงไม่พ้นทริสเต้ เธอเป็นหญิงที่มีรูปร่างสูง ดวงตาสีมรกต ครอบครองผมสีน้ำตาล ห้อยยาวลงมาคล้ายกับธารน้ำตก

 

“ทริสเต้ เรามาแล้ว” หญิงงามไม้สลักกล่าว

 

“อ้าว? ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ชอบงานเลี้ยงมิใช่หรอกหรือ? ลมอะไรหอบมากันล่ะเนี่ย?”

 

ทริสเต้ยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม เธอทักทายหญิงงามไม้สลัก ต่อด้วยไก่ใหญ่และกู่ฉิงซาน

 

“พอดีว่าเรามีเรื่องเล็กน้อยที่จะรบกวนน่ะ”

 

“นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ ที่เจ้ามาขอให้คนอื่นช่วย”

 

“นั่นเพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้า”

 

หลังจากทักทายกันสั้นๆ พวกเธอก็นั่งลง

 

หญิงงามไม้สลักบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด

 

ทริสเต้มองไปยังกู่ฉิงซานและถามว่า “งั้นหรอ? เจ้าติดอยู่ในกับดัก? เลยพลาดการเรียกขานของข้า?”

 

“ใช่ มันเป็นอุบัติเหตุ อันที่จริงแล้วผมตั้งตารอเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ช่วยงานคุณ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงใจ

 

“ในเมื่อเจ้าถึงขั้นมาพูดเรื่องนี้กับข้าเป็นการส่วนตัว ข้าก็ยินดีที่จะช่วยเหลือเจ้า”

 

ขณะกล่าว ทริสเต้ก็โยนเหรียญทรงกลมออกไปทางกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานคว้าจับเหรียญ

 

เห็นแค่เพียงเหรียญเงินในมือ ที่มีตัวของทริสเต้ยืนอยู่ภายใน เธอกำลังเฝ้ามองกู่ฉิงซาน และพยักหน้าให้เขาด้วยรอยยิ้ม

 

“เหรียญนี่เป็นสัญลักษ์ของการแสดงว่าเจ้าได้ตอบรับคำเรียกขานของข้าแล้ว” เอสเต้กล่าวอย่างอ่อนโยน “และภายในเหรียญ ก็มีของรางวัลอันดับสองอยู่ ..”

 

กู่ฉิงซานกำเหรียญและกล่าว “ขอบพระคุณสำหรับความใจกว้างนี้ แต่จริงๆแล้วผมต้องการที่จะเข้าสู่โลกของคุณต่างหาก”

 

“เหตุผลล่ะ?” ทริสเต้ถาม

 

“เพราะเพื่อนของผมได้เข้าไปในนั้น และผมก็กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธอ”

 

“ถ้าเป็นเรื่องนี้เจ้าสามารถวางใจได้” ทริสเต้หัวเราะเบาๆ “เพราะในครั้งนี้ข้าตั้งกฏเกณฑ์เอาไว้ว่าจะไม่อนุญาตให้ใครตาย ไม่แม้กระทั่งได้รับบาดเจ็บ”

 

เธอมองกู่ฉิงซาน ดวงตามรกตช่างกระช่างใส ชวนให้เคลิบเคลิ้มตกอยู่ในภวังค์

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังคำพูดของทริสเต้ก็เริ่มลังเล

 

หญิงงามไม้สลักกล่าว “เจ้าหนูหากมีกฏเกณฑ์อันเข้มงวดนี้อยู่ ก็น่าจะวางใจได้แล้วนะ”

 

กู่ฉิงซานอึดอัด พยายามจะพูดบางสิ่งอีกครั้ง

 

แต่ทริสเต้ก็พูดตัดหน้าเขาซะก่อน “โลกของข้ามันอยู่ในสภาวะถูกปิดกั้น แม้ว่าข้าจะต้องการเปิดมัน แต่ ก็ยังจำเป็นต้องใช้พลังงานค่อนข้างมาก ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าหากเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าประมาณการคร่าวๆว่าน่าจะอีกสักครึ่งวัน ทุกอย่างคงจะจบลง แล้วสหายของเจ้าก็จะออกมาจากภายใน”

 

“เมื่อถึงเวลานั้น ขอให้เจ้ากล่าวนามของสหายออกมา แล้วข้าจะส่งเธอมาปรากฏตรงหน้าเจ้าเลยโดยตรง”

 

ทริสเต้พูดถึงขนาดนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่มีอะไรจะเถียงอีก

 

ทริสเต้ให้เหรียญมา แถมยังบอกว่ามีรางวัลที่เป็นรองเพียงอันดับหนึ่งเท่านั้นอยู่ภายในอีก ทริสเต้ไม่เพียงการันตีความปลอดภัยของซูเซี่ยเอ๋อ แต่ยังบอกอีกว่าหากสิ้นภารกิจแล้ว จะส่งเธอกลับมาหาเขาเลยโดยตรง

 

เขาไม่ได้สนิทกับอีกฝ่ายมากมายขนาดนั้น จะดีจะร้าย ก็ไม่สมควรที่จะร้องขออะไรเพิ่มเติมอีก

 

นอกจากนี้ ในโลกเก็บสมบัติของทริสเต้ แม้กระทั่งอาการบาดเจ็บเล็กน้อยก็ยังไม่อนุญาต ฉะนั้น ซูเซี่ยเอ๋อคงจะสามารถกลับมาอย่างปลอดภัย

 

แถมในสายตาเขา ยังมีบรรทัดเส้นแสงตัวอักษรปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามแล้วด้วยในตอนนี้

 

แม้ว่ากู่ฉิงซานจะไม่มีเวลามองมัน แต่เขาก็รับรู้ได้ว่ามันคือการแจ้งเตือนว่าภารกิจเสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

ระบบได้ใช้เหรียญเป็นสัญลักษณ์ของการสำเร็จภารกิจ

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาได้ตอบรับการเรียกขานของวิหคหนามแล้ว และกำลังจะได้รับฟังก์ชั่นใหม่ของระบบเทพสงครามนั่นเอง

 

กู่ฉิงซานผ่อนลมหายใจ คิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับมัน

 

ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี

 

เขาลุกขึ้น และประสานกำปั้นไปทางทริสเต้ “ขอบพระคุณท่านมาก”

 

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป ผู้หญิงคนนี้ถึงขั้นออกหน้าขอร้องแทนเจ้าเป็นการส่วนตัว จึงย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะช่วยเหลือ” ทริสเต้กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

แล้วเธอก็เอื้อมไปจับกับมือของหญิงงามไม้สลักและกล่าว “มากับข้าหน่อยสิ ข้ามีเรื่องที่อยากจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าอยู่เหมือนกัน”

 

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” หญิงงามไม้สลักเอ่ยถาม

 

“เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง แต่ขอบอกเลยว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารำคาญยิ่ง”

 

หญิงงามไม้สลักลุกขึ้น และเดินไปที่ประตูพร้อมกับทริสเต้

 

ดูเหมือนว่าเธอจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง จึงหันกลับมาและโบกมือให้กับไก่ใหญ่ “คุณก็มาด้วย มันอาจจะมีบางสิ่งที่คุณสามารถช่วยได้ก็ได้”

 

“รับทราบ”

 

ไก่ใหญ่ลุกขึ้นตามไป

 

หญิงงามไม้สลักหันมามองกู่ฉิงซาน “ส่วนเจ้าก็รออยู่ที่นี่ เอาไว้จบเรื่องแล้วพวกเราค่อยกลับไปด้วยกัน”

 

“ครับ”

 

กู่ฉิงซานขานรับ

 

แล้วหญิงงามไม้สลักกับทริสเต้ก็เดินเคียงข้างกันไป

 

ก่อนที่ไก่จะเดินตามทั้งสอง มันก็หันหน้ากลับมาขยิบตาให้กู่ฉิงซาน ส่งสัญญาณว่าเรื่องความสัมพันธ์กับสาวที่ตามจีบ มันดีขึ้นเพราะเขาเป็นพ่อสื่อจริงๆ

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา และยกนิ้วโป้งให้แก่ไก่ใหญ่

 

“ขอบคุณลูกพี่ไก่ที่ช่วยเหลือ ถ้าจบเรื่องนี้ผมจะเชิญคุณไปกินอาหารด้วยกันอย่างแน่นอน”

 

พอได้ยิน ไก่ก็เชิดหัวขึ้น เผยท่าทีพึงพอใจออกมา

 

“ฉันก็อยากจะเลี้ยงนายสักมื้อใหญ่เหมือนกัน เอาไว้เดี๋ยวเจอกันใหม่นะ” ไก่ส่งเสียงผ่านความคิดมา

 

แล้วไก่ใหญ่ก็ผลักประตูตามหญิงทั้งสองคนไป

 

ในตอนนี้ ภายในห้องจึงหลงเหลือเพียงกู่ฉิงซานกับบรรดาขุนนางสาวๆเท่านั้น

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.520 – เวลาที่พลาดไป

 

ด้วยการบอกเล่าของฉานนู่ ไก่ใหญ่ก็ค่อยๆเข้าใจถึงเหตุผลในที่สุด

 

“กุ๊ก กุ๊ก กุก เจ้าทะเลเลือดถึงจะดูเป็นคนธรรมดา แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะได้รับลูกศิษย์ที่ดีแบบนี้” ไก่ใหญ่หัวเราะ

 

“ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย”

 

“แน่นอน นี่มันก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น นอกจากนี้ฉันเองก็ยังเป็นหนี้กำปั้นเหล็กแบรี่อยู่พอดีเหมือนกัน”

 

“แต่ฉันจะไม่ช่วยเจ้าเด็กกู่มากเกินควรนะขอบอกเอาไว้ก่อน เพราะในอนาคต – เขาจะต้องเป็นคนกวดขันภรรยาให้อยู่ในโอวาทด้วยตนเอง นี่ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะเข้าไปวุ่นวายได้”

 

ไก่ใหญ่เอ่ยหยันกู่ฉิงซาน ขณะเดียวกันมันก็ยื่นคมแหลมของจงอยปากออกไป แล้วเจาะเข้าใส่อุปสรรค

 

ปัง-

 

การโจมตีของมันสัมผัสเข้ากับอุปสรรค รังสีแสงสีเลือดไหลย้อนกลับราวกับน้ำตาที่หวนคืนสู่ฟากฟ้า

 

ไก่ใหญ่กรีดร้องออกมา ทั้งตนทั้งร่างของมันถูกผลักกระเด็นออกไปไกลกว่าหลายสิบเมตร

 

ขณะที่อุปสรรคขวางกั้นสีเลือดดูจะยังคงไร้ซึ่งร่องรอยขีดข่วนใดๆ

 

“ … ” ฉานนู่

 

“ … ” ไก่ใหญ่

 

“บ๊ะ! ฉันไม่เชื่อหรอก!” ไก่ผุดลุกขึ้นด้วยความโกรธ และเริ่มรวบรวมกำลัง

 

มันสงบใจลง สองขาจิกแน่นลงบนพื้น พยายามควบคุมสมดุลให้ดีที่สุด และพรวด!เข้าหาอุปสรรคสีเลือด โฉบเข้าจิกกัดด้วยเจตนาร้าย!

 

มันทั้งจิกทั้งใช้ปีกตบเข้าใส่อุปสรรคเลือด ขณะเดียวกันก็ตะโกนโวยวายไปด้วย

 

เสียงดุเดือดก้องกังวานไปตลอดทั้งเมือง

 

“กุ๊กๆ!”

 

ปัง!

 

“ป๊อกๆ”

 

ปัง!

 

“กะต๊าก!”

 

ปัง!

 

ฉานนู่ที่คอยเฝ้ามองอยู่จำต้องอุดหูตัวเอง และถอยกลับเข้าไปภายในอุปสรรค

 

“นายน้อย ชายคนนั้นคือใครกันแน่?” ฉานนู่เอ่ยถามอย่างเงียบๆ

 

“เจ้าไม่อยากรู้หรอก” กู่ฉิงซานตอบ

 

หลังจากนั้นหลายลมหายใจ ไก่ใหญ่ก็ประสบความสำเร็จในที่สุด!

 

อุปสรรคกีดขวางสีเลือดระเบิดออกเป็นชิ้นๆ เศษของมันฟุ้งกระจายราวกับเม็ดทับทิม ก่อนจะทยอยกันร่วงตกลงสู่พื้น

 

เศษอันงดงามเหล่านี้แปรสภาพเป็นอักษรรูนลึกลับ และหายไปอย่างเงียบๆในความว่างเปล่า

 

กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้นจากเตียง ก้าวเดินออกจากห้อง

 

“ขอบคุณคุณมากจริงๆ” เขากล่าวด้วยความจริงใจ “ถ้ามันไม่จำเป็นจริงๆ ผมคงไม่เลือกที่จะไปรบกวน ปลุกคุณขึ้นมาในเวลาแบบนี้”

 

“ไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ – นายก็รู้นี่ คนอ่อนแออย่างเจ้าทะเลเลือดน่ะ สำหรับฉันแล้วไม่นับว่าเป็นสิ่งใดหรอก!” ไก่พูดพลางหอบหายใจ

 

มันซ่อนปีกครึ่งหนึ่งที่ไหม้เกรียมเอาไว้ด้านหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้กู่ฉิงซานกับฉานนู่เห็น

 

กู่ฉิงซานได้กลิ่นเนื้อไก่ย่างหอมตลบอบอวล เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแตะท้อง และหันไปพูดกับไก่ใหญ่ว่า “ถ้ากลับมาผมจะขอเลี้ยงข้าวคุณ แต่ตอนนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน เพราะต้องรีบไปตอบรับคำเรียกขานของวิหคหนามทันที”

 

ขณะกล่าว เขาก็หยิบแผ่นป้ายทองคำออกมา และเตรียมที่จะออกจากรีสอร์ทของอัลเบอัส

 

“หือ? เมื่อกี้พูดว่าการเรียกขานของวิหคหนามใช่รึเปล่า?”

 

ไก่ใหญ่คว้าจับตัวเขา

 

“ใช่แล้วครับ มันทำไมงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามแปลกๆ

 

“ นายพลาดเวลาไปซะแล้วล่ะ แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้น่ะ พึ่งจะทำการเรียกขานเสร็จ และตอบรับทุกคนเข้าสู่ปีกของเธอ นำพาพวกเขาไปช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

 

กู่ฉิงซานแข็งค้าง

 

อะไรนะ?

 

เรียบร้อยแล้ว?

 

“เสียใจด้วยนะ แต่ดูเหมือนนายจะมาไม่ทันการเรียกขานของวิหคหนามในครั้งนี้ซะแล้วล่ะ” ไก่ใหญ่กล่าว

 

กู่ฉิงซานพยายามพูดอย่างสงบสติอารมณ์ “นี่มันไม่ถูกต้อง ผมจำได้ว่าการเรียกจานจะดำเนินต่อไปกว่า 7 วัน 7 คืน แต่ทำไมจู่ๆถึงมาหยุดเอาดื้อๆแบบนี้?”

 

“นั่นก็เพราะมีคนตอบรับคำเรียกขานของเธอมากเกินไป ทริสเต้จึงหยุดเรียกเพราะคิดว่าจำนวนคนน่าจะเพียงพอแล้ว หากมากไปกว่านี้ เกรงว่ามันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่ให้กับเธอเสียเปล่าๆ”

 

“ … ” กู่ฉิงซาน

 

นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ

 

ถ้าหากเขาไม่สามารถตอบสนองต่อเสียงเรียกของวิหคหนามได้ เขาก็จะไม่ได้รับฟังก์ชั่นใหม่ของหน้าต่างระบบเทพสงคราม!

 

ถ้าหากเขาไม่สามารถตอบสนองต่อเสียงเรียกของวิหคนาม เขาก็จะไม่ได้ไปช่วยซูเซี่ยเอ๋อ!

 

แล้วซูเซี่ยเอ๋อก็จะต้องแบกรับอันตรายเอาไว้บนสองไหล่น้อยๆของตนเพียงลำพัง ขณะที่เขาทำได้แค่เฝ้าดูอย่างนั้นหรือ?

 

ต้องไม่เป็นแบบนั้นเด็ดขาด!

 

กู่ฉิงซานใคร่ครวญอยู่ครู่จึงเอ่ยถาม “นี่ พี่ชายไก่-”

 

“ได้โปรดเรียกฉันว่าลูกพี่ไก่”

 

“ลูกพี่ไก่ พอจะมีวิธีอะไรที่จะให้ผมได้ติดต่อกับแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้บ้างไหม? ผมจะไปขอร้องเธอเป็นการส่วนตัว หวังว่าเธอจะปล่อยให้ผมเข้าสู่โลกของเธอได้”

 

ไก่ใหญ่เผยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย

 

“เอ่อ .. พอดีว่าถ้าเป็นตัวฉันล่ะก็คงไม่ได้ เพราะฉันไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขา”

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”

 

“เพราะพวกมารยาทหรือพิธีกรรมเกี่ยวกับวิหคหนามน่ะมันยุ่งยากและซับซ้อนเกินไป ฉันมันพวกใจร้อน ไม่สามารถอดทนกับทัศนคติของพวกเขาได้หรอก”

 

“ไม่มีวิธีอื่นๆอีกแล้วเลยหรอ?”

 

“ … นายเป็นสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็ก และบังเอิญว่าฉันก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรี่ แถมนายยังเป็นเด็กฉลาด ดังนั้นฉันจะขอลองคิดดูอีกครั้งนะ”

 

ไก่ใหญ่จมลงสู่ห้วงความคิด

 

มันเดินวนกลับไปกลับมา

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ข้างๆโดยไม่คิดรบกวนใดๆ

 

หลังจากผ่านไปสักพัก ไก่ใหญ่ก็หยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน

 

มันหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว จ้องมองกู่ฉิงซานและกล่าว “ฉันพอจะรู้จักคนที่ทำแบบนั้นได้อยู่ แต่นายจะสามารถทำให้คนๆประทับใจจนเลือกที่จะช่วยเหลือได้รึเปล่า นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของนายเอง”

 

“คนๆนั้นคือใครกันครับ?”

 

“นายเคยเจอมาก่อนแล้วไง”

 

“ผมน่ะหรอเคยเจอกันแล้ว?”

 

“ใช่ พวกเราทานอาหารเย็นด้วยกันเมื่อวาน – ฉันคิดว่านายควรจะนำของขวัญดีๆที่เหมาะสมไปมอบให้เธอด้วยนะ เพราะท้ายที่สุดนี้ ยังไงเธอก็เป็นถึงหญิงที่มีเกียรติ”

 

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

 

ภายในป่านอกตัวเมืองเล็กๆ

 

กู่ฉิงซานกับไก่ใหญ่ยืนอยู่หน้าต้นไม้สูงตระหง่าน

 

ไก่ใหญ่ดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย มันเอ่ยปากออกมา “เจ้าเด็กกู่ นายรู้ไหมว่าการเคาะประตูห้องของผู้หญิงที่อยู่คนเดียวในช่วงเวลาเที่ยงคืนมันไม่สุภาพ เว้นเสียแต่ว่านายจะมีเหตุผลที่ดีมากพอที่จะทำมัน”

 

กู่ฉิงซานตอบรับ “คุณมั่นใจได้เลย ผมเตรียมมาพร้อมแล้ว”

 

“แน่ใจนะเออ?”

 

ไก่ใหญ่ผ่อนลมหายใจยาว และเริ่มเคาะลงบนต้นไม้

 

เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูร้อนใจดังขึ้น “มีเรื่องอะไรกัน? ฉันกำลังยุ่งอยู่นะ”

 

“พอดีว่า – เจ้าเด็กกู่บอกว่ามีของขวัญจะมอบให้แด่คุณน่ะ” ขณะกล่าว ไก่ใหญ่ก็เผลอถอยไปหลบหลังกู่ฉิงซานโดยไม่รู้ตัว

 

มันพยักหน้าให้กู่ฉิงซานจากด้านหลัง ส่งสัญญาณให้เขาอธิบายอย่างรวดเร็ว

 

“ของขวัญงั้นหรอ?” เสียงของผู้หญิงสูงขึ้นเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานกลั้วลำคอตนและกล่าว “ใช่แล้วครับ หลังจากที่ได้พบกับผู้หญิงที่มีเกียรติและน่าเคารพเช่นคุณเมื่อวันก่อน ผมก็เลยเกิดความคิดนี้ขึ้นมา”

 

“ความคิดอะไรกัน?”

 

“ผมรู้สึกว่าผมมีสมบัติบางสิ่งบางอย่างที่เก็บไว้มาเป็นเวลานาน และถึงแม้มันแทบจะไม่ตรงกับลักษณะของคุณเลยก็ตามที แต่หลังจากที่ได้ลองขบคิดมาหลายชั่วโมง ผมก็ตัดสินใจได้ในที่สุดว่าจะมอบมันให้กับคุณเป็นของขวัญ”

 

“ของขวัญ … ”

 

เสียงของผู้หญิงเหมือนกำลังใคร่ครวญ น้ำเสียงที่แฝงมาดูจะไม่ร้อนใจเหมือนก่อนหน้านี้ ตรงกันข้าม มันกลับค่อนข้างฟังดูอยากรู้อยากเห็น

 

“ก็ได้ เข้ามาสิ”

 

ด้วยประโยคนี้ ประตูก็ปรากฏขึ้นกลางลำต้นไม้สูงตระหง่าน

 

ประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ และบันไดไม้ที่คดเคี้ยวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

“ไปกันเถอะ จะเป็นการดีที่สุดถ้าของขวัญที่นายเตรียมมามันถูกใจเธอ ไม่งั้นฉันนี่แหละจะเผ่นออกไปก่อนเลยเป็นคนแรก” ไก่ใหญ่ลดเสียงของเขาลง

 

“เข้าใจแล้ว เรื่องนี้คุณวางใจได้เลย”

 

กู่ฉิงซานพูดเสียงแข็ง

 

ตอนนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถึง ‘รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง’

 

พวกเขาเดินขึ้นบันไดยาวไปจนถึงส่วนของของต้นไม้

 

แล้วก็ได้พบกับหญิงงามไม้สลักที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก เธอกำลังเพลิดเพลินไปกับแสงดาวยามค่ำคืน

 

“น่าแปลกจริงๆ ที่แสงดาวนิรันดร์หลายดวงกำลังมืดดับลง นี่มันเป็นปรากฏการณ์ยากจะพบเห็นจริงๆ”

 

หญิงงามไม้สลักรำพึง

 

การแสดงออกทางสีหน้าของเธอแลดูแปรปรวนและสับสน

 

เมื่อกู่ฉิงซานกับไก่ใหญ่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ เธอก็หันมาให้ความสนใจกับทั้งสอง

 

“เด็กชายจากสมาคมกำปั้นเหล็ก ถ้านับตั้งแต่ที่พวกเราพบเจอกัน ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไปนะสำหรับการให้ของขวัญ มีเรื่องด่วนอะไรถึงได้รีบมาปรึกษาเรากลางค่ำกลางคืนเช่นนี้หรือ?” หญิงงามไม้สลักถามจี้ตรงจุด

 

“คุณผู้หญิง พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นกันตั้งแต่ทีแรก แต่สิ่งที่ผมต้องการจะพูดก็คือ – ถ้าของขวัญของผมไม่อาจทำให้คุณพอใจได้ ก็ขอให้คุณโปรดยกโทษให้กับการเข้ามารบกวนเวลาส่วนตัวในยามวิกาลในคราวนี้ด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

หญิงงามไม้สลักรับฟังคำพูดของเขาอย่างเงียบๆ และพยักหน้าเล็กน้อย “อื้ม ดูเหมือนว่าเจ้าหนูเช่นเจ้าก็จะยังพอมีมารยาทอยู่บ้างเหมือนกันนี่”

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอากล่องที่ทั้งหมดทำจากหยกวิญญาณออกมา

 

แต่ขณะเดียวกัน จดหมายฉบับหนึ่งก็ติดออกมากับตัวกล่องหยกวิญญาณเช่นกัน

 

‘เอ๋? จดหมายนี่มันอะไรกัน?’

 

กู่ฉิงซานลอบประหลาดใจ

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันนับว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ กู่ฉิงซานจึงไม่อยากให้จดหมายนี้มารบกวนสมาธิเขา ดังนั้นจึงยัดมันเก็บกลับคืนไปก่อนชั่วคราว

 

เขาค่อยๆวางกล่องหยกวิญญาณลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา

 

นี่คือกล่องสมบัติที่แกะสลักจากหยกวิญญาณที่มีคุณภาพสูงสุด ภายนอกของมันสลักไปด้วยลวดลายของดอกไม้อันประณีต ดูไม่แตกต่างไปจากของจริง

 

หยกวิญญาณเช่นนี้ ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ มันคือสมบัติที่มีราคาสูงจนมิอาจประเมินได้

 

-แต่กู่ฉิงซานกลับใช้มันเป็นเพียงแค่กล่องเก็บของ

 

หญิงงามไม้สลักเลิกคิ้วสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจ

 

กล่องเก็บของชิ้นนี้ แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็งดงามและมีรสนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว

 

มองไปยังกล่องหยกวิญญาณ หญิงงามไม้สลักก็เผยท่าทีสนใจเล็กๆน้อยๆออกมา

 

“แล้วสิ่งที่อยู่ภายในคืออะไร?”

 

เธอไม่รีบร้อนที่จะเปิดมัน แต่กลับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มแทน

 

ดูเหมือนว่า เธอจะสนุกกับการคาดเดาว่าของขวัญน่ะคือสิ่งใดซะมากกว่า

 

กู่ฉิงซานไม่มีเวลาที่จะมามัวเล่นไปกับเธอ ดังนั้นเขาจึงกล่าวบอกไปตรงๆ “มันคือปีกภูติสีชมพูรุ่นลิมิเต็ดของอาณาจักรภูติที่เป็นที่นิยมเมื่อ 1000 ปีก่อน และเช่นเดียวกัน อีกชิ้นคือบิกินี่สีชมพูที่มีการจำกัดขายเพียง 10 ตัวเท่านั้นในปีเดียวกัน”

 

พอได้รับคำตอบมาง่ายๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงงามไม้สลักก็หุบลง

 

เธอเปิดกล่องหยก

 

แล้วก็พบกับสองวัตถุสีชมพูสองชิ้นถูกวางเอาไว้อย่างประณีตในกล่องหยก

 

ปีกสีชมพูเปล่งแสงอันนุ่มนวลออกมา หนุนเสริมให้ปีกที่บางเบาราวกับผ้าคลุมหน้าดูเด่นชัดขึ้น

 

ขณะที่บิกินี่สีชมพูลอยตัวขึ้น แขวนเด่นอยู่บนอากาศ

 

มันเลื่อนสายตามองหญิงงามไม้สลักทันที

 

“เป็นเกียรติยิ่งนัก ที่ได้พบกับท่านหญิงที่มีเกียรติ สง่างาม และทรงเสน่ห์ ตัวฉันคือบิกินี่ระดับเพชรรุ่นลิมิเต็ด ยินดีที่ได้รู้จัก” บิกินี่กล่าวด้วยความสุภาพ

 

หญิงงามไม้สลักจ้องมองไปยังบิกินี่และปีกอีกครั้ง

 

นี่มันเป็นสไตล์ของเมื่อ 1000 ปีก่อนจริงๆ

 

สิ่งของเมื่อ 1000 ปีที่ผ่านมา ในตลอดทั้งโลก 900 ลำดับชั้น นับว่าเป็นเรื่องยากนักที่จะยังถูกเก็บไว้ในสภาพสมบูรณ์

 

อย่าพึ่งเคลิ้มไปสิ!

 

มันไม่ควรจะง่ายดายเช่นนั้น!

 

เมื่อเร็วๆนี้ โลกแฟชั่นก็เริ่มกลับมานิยมแฟชั่นสไตล์ย้อนยุคอยู่เหมือนกัน ดังนั้นของขวัญพวกนี้อาจจะเป็นของเลียนแบบก็ได้

 

หญิงงามไม้สลักค่อยๆยกมือขึ้นทาบหน้าอก และกล่าวออกมาอย่างไม่มั่นใจ “เราเคยได้ยินมาว่า สิ่งของทุกชิ้นมักจะมีเลขประจำตัว”

 

“ใช่แล้วล่ะ มันคือสัญลักษณ์ขนาดเล็กที่ได้ระบุตัวตนของพวกเรานั่นเอง”

 

บิกินี่แสดงบรรทัดอักขระพิเศษบนตัวของมัน

 

ขณะที่ปีกสีชมพูก็เช่นกัน

 

หญิงงามไม้สลักสามารถระบุถึงตัวอักษรเหล่านี้ได้ในทันที ใบหน้าของเธอเริ่มผุดรอยยิ้มแย้มขึ้นเรื่อยๆ

 

“ไม่มีใครสามารถเลียนแบบโลโก้พิเศษของภูติได้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาผลิตขึ้นมาเองจริงๆ”

 

หญิงงามไม้สลักตระหนักได้ถึงบางสิ่ง จึงเอ่ยถาม “แต่สิ่งทอของภูติน่ะมีความละเอียดอ่อนนัก เมื่อมันได้รับการตรวจสอบ มันจะถูกทำลายลงทันที ดังนั้นตัวเราจึงไม่คิดจะทำมัน แต่จะเอ่ยถามแทน”

 

“คุณหญิง เชิญถามมาได้เลย” บิกินี่ชมพูกล่าว

 

หญิงงามไม้สลัก “ในความเป็นจริงแล้วตัวเราเพียงแค่กังวลเล็กน้อยเรื่องที่ว่าพวกเจ้าเคยผ่านมือคนอื่นมาก่อน แม้ว่าจะเป็นคอลเลกชั่นแฟชั่นที่มีค่าก็ตามที – ดังนั้นเราเลยอยากจะถามว่า พวกเจ้าไม่เคยให้ผู้ใดสวมใส่ใช่หรือไม่?”

 

“เรื่องนี้-”

 

ปีกสีชมพูกำลังจะกล่าว แต่มันก็ถูกแตะเบาๆโดยบิกินี่เสียก่อน

 

บิกินี่ “ในเมื่อถามมาเช่นนี้ ฉันก็ต้องขอถามกลับไปก่อนว่า หากท่านได้พบเจอกับสิ่งที่ไร้ราคา สกปรกมือสอง แล้วท่านจะทำอย่างไรกับมัน?”

 

“ไม่หรอก พวกเจ้าเป็นสิ่งล้ำค่าที่ควรแก่การถือครอง ดังนั้นตัวเราจะไม่ทำอะไรแบบนั้นกับพวกเจ้า แต่ก็เฉพาะกับชุดสะสมเท่านั้น ส่วนคนที่เคยสวมใส่พวกเจ้ามาก่อน –ตัวเราจะไปฆ่ามันซะ!”

 

เวลานิ่งค้างไปชั่วขณะ

 

กู่ฉิงซานเกือบจะเช็ดเหงื่อเย็นที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากเขา

 

ก็เจ้าสองสิ่งนี้ … เป็นตัวเขานี่แหละที่เคยใช้มันมาก่อน

 

“ดังนั้น โปรดให้คำตอบแก่เราด้วย” หญิงงามไม้สลักกล่าว

 

“ท่านสามารถมั่นใจได้ ว่าไม่มีใครเคยใช้พวกเรามาก่อน”

 

“ใช่ ตอนนี้พวกเราอยากจะสัมผัสกายเนื้อจะแย่อยู่แล้ว! เพราะพวกเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันจะรู้สึกยังไง!”

 

บิกินี่กับปีกช่วยกันโกหกอย่างรวดเร็ว

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.519 – ไพ่ใบที่สาม

 

กู่ฉิงซานยกสองแขนขึ้นกอดอก ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้ตนเองลอยเคว้งข้ามผ่านมิติอันไร้ที่สิ้นสุดไป

 

เขาถอนหายใจยาว ตนรู้สึกทั้งขมขื่นและไม่มั่นใจเล็กน้อย

 

ทำไมเขาถึงถูกบอกทิศทางที่มันแตกต่างกันล่ะ?

 

แล้วอะไรคือสิ่งที่เสี่ยวเหมียวตัดสินใจให้ตนเองบินมายังทิศทางนี้?

 

กู่ฉิงซานรู้สึกสับสนขึ้นในจิตใจของเขา

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียว ทั้งสองพี่น้องดูเหมือนจะปิดซ่อนอะไรบางอย่างจากตัวเขา

 

แต่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางการบินได้อีกแล้ว

 

เมื่อเวลาผ่านไป กู่ฉิงซานก็รู้สึกได้ว่าอัตราเร่งของเขาค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม อัตราเร่งดังกล่าวนี้ ดูเหมือนจะเป็นแค่ในความรู้สึกเท่านั้น

 

ในบางช่วงเวลา เขาสามารถมองเห็นท้องฟ้าที่จรัสไปด้วยแสงดาว

 

ดวงดาวมากมายท่ามกลางหมู่เมฆกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง มีทั้งการดับลงของดวงดาว และซุปเปอร์โนวา ที่กำลังก่อสร้างดาวดวงใหม่ขึ้น พวกมันล้วนสาดแสงและเงาพร่างพราว งดงามราวกับภาพลวงตาออกมา

 

ขณะเดียวกัน เงามืดของมอนสเตอร์เอกภพที่ใหญ่โต และทั้งตนทั้งร่างของมันโปร่งแสง ก็ซ้อนทับกันไปมา ผสมผสานรวมกันกับแสงและเงา

 

-คล้ายกับเงาของดวงดาวที่คาบเกี่ยวกัน

 

ฉากต่างๆค่อยๆซ้อนทับกันมากขึ้น และมากขึ้น มันค่อยๆหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ

 

กู่ฉิงซานยังเห็นแม้กระทั่งมอนสเตอร์เอกภพหลายตัวที่กำลังมองไปยังทิศทางเดียวกัน ร่างโปร่งใสของพวกมันซ้อนทับกันไปมา ชวนให้แลดูสับสน

 

มีแม้กระทั่งบางสิ่งที่แปลกประหลาดในกระแสมิติอันเชี่ยวกราด ซึ่งปรากฏตัวขึ้นเป็นพักๆ แต่สุดท้ายก็หายไป

 

“มิติ … ทับซ้อนงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยงึมงำกับตัวเอง

 

ถ้าหากเป็นในกรณีนี้ นั่นหมายความว่าเขากำลังข้ามผ่านหลายชั้นโลกในคราวเดียวกัน

 

วิธีการดังกล่าวนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ พลังของเสี่ยวเหมี่ยวยอดเยี่ยมไม่เลวเลย

 

–แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่กู่ฉิงซานเป็นห่วงก็คือ เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกส่งไปที่ไหน ใกล้เคียงกันกับอัลเบอัสหรือเปล่า?

 

ในช่วงเวลานั้นเอง หน้าต่างระบบเทพสงครามก็บังเกิดการเคลื่อนไหว

 

กู่ฉิงซานรีบกวาดสายตาดูมัน

 

เห็นแค่เพียงบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“เริ่มคำนวณการโคจรข้ามมิติ”

 

“เส้นทางข้ามผ่านได้รับการยืนยันแล้ว”

 

“ตำแหน่งที่อยู่ใกล้เคียงที่สุดกับอัลเบอัส จะปรากฏขึ้นใน 31 วินาที ซึ่งอยู่ห่างจากอัลเบอัสราวๆ 671 โลก”

 

“สรุป : หลังจากนี้ไป 31 วินาที ระบบจะดำเนินการข้ามผ่านมิติใหม่”

 

“คุณจะได้กลับไปยังจุดเดิมที่ตนเคยอยู่”

 

กู่ฉิงซานพอกวาดสายตาอ่านจบ ความว้าวุ่นในหัวใจของเขาก็สงบลงทันที

 

รอดตัวไป .. ดูเหมือนว่าทิศทางที่แบรี่ชี้จะเป็นทางที่ถูกต้องนะ

 

กู่ฉิงซานพร้อมแล้ว

 

ต้องมั่นใจว่าตนจะทำเวลากลับไปได้ดีที่สุด!

 

ต้องมั่นใจว่าจะได้พบกับซูเซี่ยเอ๋อที่ไร้เดียงสาอีกครั้ง!

 

กู่ฉิงซานค่อยๆทำสมาธิในหัวใจของเขา

 

สามสิบวินาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

แล้วม่านรังสีแสงก็โอบเข้าปกคลุมตลอดทั้งร่างของเขา

 

กู่ฉิงซานได้หายวับไปจากมิติที่ว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด

 

ณ อัลเบอัส

 

เมืองเล็กๆ

 

ภายในโรงแรม

 

ม่านรังสีแสงกระพริบไหว ร่างของกู่ฉิงซานจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

เขาทดลองเดินออกไปหลายก้าว

 

แต่ก็พบว่ากำแพงโปร่งใสได้หายไปแล้ว

 

ไพ่ ‘คำสาบานของพันธนาการ’ หายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

เมื่อมันไม่อาจตรวจพบได้ถึงจิตวิญญาณของกู่ฉิงซานภายในระยะ 500 ล้านกิโลเมตร มันก็หยุดทำงาน และสลายหายไปโดยอัตโนมัติ

 

ดีล่ะ!

 

กู่ฉิงซานก้าวฉับๆไปทางประตู

 

ทีนี้ฉันก็จะได้ออก-

 

โป๊ก!

 

แต่แล้วเขาก็ชนเข้ากับกำแพงอุปสรรคสีแดงอีกครา

 

“บ้าจริง! ทำไมที่หน้าประตูถึงมีอะไรมากั้นอยู่อีกชั้นกันเนี่ย!”

 

กู่ฉิงซานหมอบลงกับพื้น ยกสองมีขึ้นกุมศีรษะที่เจ็บปวด ปากบ่นสบถ แสดงอารมณ์ที่พบเห็นได้ยากยิ่งออกมา

 

ฉานนู่ปรากฏกาย และเฝ้ามองไปยังท่าทีเจ็บปวดของกู่ฉิงซาน เอ่ยปากอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นายน้อย ซูเซี่ยเอ๋อตั้งอุปสรรคป้องกันเอาไว้ถึงสามรูปแบบ หนึ่งคือจูบของเธอ สองคือกำแพงใสที่พึ่งถูกทำลายไป และสามคืออุปสรรคป้องกันชั้นสุดท้ายนี้”

 

“ผู้หญิงคนนั้น -”

 

กู่ฉิงซานกัดฟัน และลองยื่นมือออกไปสัมผัสกับอุปสรรคสีเลือด

 

ด้วยการสัมผัสของเขา เส้นแสงหิ่งห้อยเล็กๆไม่กี่บรรทัดก็ผุดออกมาจากระบบเทพสงคราม

 

“สำรับไพ่ทะเลเลือด : จอมมารคุ้มภัย”

 

“หลังจากที่เปิดใช้งานไพ่ใบนี้ อักษรรูนจะถูกจัดวางลงในตำแหน่งที่กำหนด และไม่ว่าใครหรือการโจมตีใดๆก็ไม่สามารถทะลุการคุ้มภัยนี้ไปได้”

 

“คำอธิบาย : นี่คือการมาตรการป้องกันอย่างลึกล้ำ ของจอมมารทะเลเลือดที่มีต่อลูกศิษย์ของเขา”

 

กู่ฉิงซานเงียบไป ไม่อาจกล่าวคำใดออกมาได้สักพักหนึ่ง

 

อ้างอิงตามคำอธิบายความสามารถของไพ่ใบนี้ ดูเหมือนมันจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า ‘คำสาบานของพันธนาการ’ ก่อนหน้าซะอีก

 

แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อดี?

 

พอเห็นเขาเหมือนจะเหม่อลอยไป ฉานนู่ก็กล่าวออกมาด้วยความกังวล “นายน้อย ตอนนี้พวกเราสมควรจะทำอย่างไรกันดี? แม่นางซูอาจจะกำลังต่อสู้อยู่ก็ได้”

 

กู่ฉิงซานที่เงียบไป แต่จู่ๆก็ยิ้มออกมาทันใด

 

“เซี่ยเอ๋อนะเซี่ยเอ๋อ เธออุส่าห์ลงมือมากมายขนาดนี้ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกโล่งในทางตรงกันข้าม” เขาบ่นพึมพำ

 

“เอ๋? นายน้อยกำลังหมายถึงอะไร?” ฉานนู่ตกใจและเอ่ยถาม

 

“เอาล่ะ พวกเราไม่มีเวลามามัวเล่นกับเธออีกแล้ว เราจะต้องทะลุมันออกไปโดยตรง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ออกไปโดยตรง?” ฉานนู่ไม่เข้าใจ

 

“ใช่ ออกไปขอความช่วยเหลือจากภายนอก ขอร้องให้ใครก็ได้ช่วยพาข้าออกไป”

 

แต่ฉานนู่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

 

เวลานี้ ตลอดทั้งหมู่บ้านเล็กๆแทบจะไม่มีใครอยู่ โรงแรมก็เป็นแบบบริการตัวเอง ไม่มีกระทั่งคนที่ทำหน้าที่เก็บเงิน

 

และในอุปสรรคสีเลือดนี้ นายน้อยย่อมไม่สามารถที่จะออกไปได้ แล้วเขาจะไปขอความช่วยเหลือได้อย่างไร?

 

ใครกันจะออกไปขอความช่วยเหลือได้?

 

ใครกันที่จะสามารถทำลายการคุ้มภัยของจอมมารทะเลเลือดสุดแกร่งลงได้?

 

“นายน้อย แล้วพวกเราควรทำอย่างไร?”

 

“เจ้าก็ทำตามคำสั่งข้าไง … ”

 

กู่ฉิงซานอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปหลายคำ

 

ฉานนู่พอได้ฟังก็ลงมือทันที เธอแปลงตนเป็นดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

แล้วดาบยาว ก็ค่อยๆเจาะผ่านอุปสรรคสีเลือด แทรกซึมออกไปอย่างช้าๆ

 

ใช่แล้วล่ะ ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาน่ะสามารถทำลายได้ทุกกฏเกณฑ์ ดังนั้นฉานนู่ย่อมสามารถออกไปได้

 

ดาบยาวหมุนตัวอยู่ในอากาศ ก่อนจะบินไปบนหลังคาโรงแรม

 

ฉานนู่ยืนบนหลังคา กวาดสายตาเฝ้าดูหมู่บ้านเล็กๆยามค่ำคืน และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

 

ก่อนจะเริ่มร้องตะโกนสุดเสียงด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี “มีใครอยู่ที่นี่ไหมมมมม พวกเราจะเชือดไก่ทำอาหาร มากินด้วยกันสิ สิ สิ สิ สิ!”

 

เสียงของเธอกระจายไกลออกไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเงียบสงบ สะท้อนกังวาลไปตลอดทั้งภูเขา

 

ทุกๆอย่างค่อยๆเงียบลง

 

ฉานนู่เฝ้ารออยู่พักหนึ่ง

 

ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

แต่ทันใดนั้นเอง

 

จู่ๆก็บังเกิดคลื่นความผันผวนของพลังอันยิ่งใหญ่ที่ก่อร่างเป็นกระแสเวียนวน ควบรวมไปยังจุดๆหนึ่งของเมืองเล็กๆ

 

ตามต่อด้วยเสียงคำรามแห่งความโกรธที่สะท้านไปตลอดทั้งฟ้ายามค่ำคืน

 

“แม่มันเถอะ! ใครกันที่กล้ามากินไก่ต่อหน้าฉัน!!!”

 

พร้อมกับเสียงๆนี้ ร่างเงาดำๆก็บินออกมาจากอีกฟากหนึ่งของตัวเมืองอย่างรวดเร็ว

 

เงาดำพุ่งพรวดมาอย่างฉับไวและดุร้าย คล้ายกับกำลังโกรธอย่างถึงที่สุด

 

เมื่อมันเข้ามาใกล้ ฉานนู่ก็สามารถจดจำอีกฝ่ายได้ทันที

 

—เป็นไก่ตัวใหญ่นั่นเอง

 

ฉานนู่จึงค่อยคลายใจของเธอลง

 

เธอแปลงกลายเป็นดาบยาวและบินกลับเข้าไปในโรงแรม

 

ไก่ตัวใหญ่ไล่ติดตามไป

 

มันทุบทำลายผนังนอกโรงแรมและร่อนตกลงตรงหน้าห้องของกู่ฉิงซาน

 

“ไอ้คนที่อยู่ข้างในฟังฉันให้ด-” ไก่คำราม

 

แต่แล้วจู่ๆมันก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

 

“แปลกนัก นั่นมันสำรับไพ่ทะเลเลือดนี่นา”

 

ความโกรธของไก่ใหญ่จางหายไป ในสมองเริ่มขบคิด “ฉันจำได้ว่าเพื่อนหญิงของเจ้าเด็กกู่ รู้สึกว่าจะเป็นศิษย์ของทะเลเลือด ..”

 

“ … ”

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ มันก็สยายปีกออก เตรียมที่จะเคาะลงบนประตู

 

“เปรี๊ยะ!”

 

ประกายแสงสีเลือดกระพริบไหวทันที

 

ปีกของไก่ถูกสะท้อนเด้งกลับมา

 

นี่มันไพ่ทะเลเลือดแน่นอน — เป็นพวกเขาทั้งสองคนจริงๆ

 

แปลกจริง แล้วทำไมพวกเขาถึงนำทางฉันมาที่นี่กัน?

 

ไก่เริ่มคิดด้วยความฉงน

 

และในตอนนั้นเอง ฉานนู่ก็ลอยออกมาจากห้อง และตกลงเบื้องหน้าของของไก่ใหญ่

 

“สวัสดีท่านผู้ทรงเกียรติ กู่ฉิงซานต้องการความช่วยเหลือจากท่านสักเล็กน้อย” ฉานนู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

….

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.518 – การตัดสินใจที่แท้จริงของเสี่ยวเหมี่ยว

 

ณ สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม

 

สายลมเย็นพัดโชยหวิว

 

พี่ชายและน้องสาวชี้ไม้ชี้มือไปคนละทิศละทาง ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยินยอมรับว่าตนเองผิด

 

“พี่ชาย เชื่อน้องสิ ทิศทางที่น้องชี้ไปให้กู่ฉิงซาน เป็นตำแหน่งที่ถูกต้อง!” เสี่ยวเหมียวเถียงจริงจัง

 

“ไม่นะน้องพี่ ครั้งนี้เธอต้องเชื่อฟังฉัน”

 

แบรี่มองเข้าไปในแววตาของเสี่ยวเหมียว

 

“ทำไมล่ะ? ไหนลองบอกเหตุผลน้องมาสิ” เสี่ยวเหมียวเผยท่าทีไม่เชื่อถือเล็กน้อย

 

แบรี่ส่ายหัวและกล่าว “เพราะพี่เป็นเจ้าของสมาคม ดังนั้นการตัดสินของพี่ย่อมถือเป็นที่สุด”

 

“แต่พี่ไม่สามารถตัดสินทิศทางให้คนอื่นๆได้!” เสี่ยวเหมียวเถียง

 

ทั้งสองคนถลึงตาใส่กันและกัน ไม่เอ่ยคำใดอยู่นาน

 

“กู่ฉิงซาน” จู่ๆแบรี่หันหน้ามามองหน้าเขา “เพื่อนที่เป็นศิษย์ของจอมมารทะเลเลือด จริงๆแล้วมีความสัมพันธ์ยังไงกับนาย”

 

เมื่อถูกถามอย่างกระทันหันภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว กู่ฉิงซานก็ตกใจ

 

เขามองพี่ชาย สลับกับไปมองน้องสาว

 

แบรี่จ้องมองเขาเขม็ง ขณะที่เสี่ยวเหมียวเองก็เช่นเดียวกัน

 

ทั้งคู่คล้ายกำลังแสดงท่าทีคาดหวังกับคำตอบของคำอยู่

 

“แฟนน่ะ … ” กู่ฉิงซานสารภาพ

 

แบรี่หันไปมองเสี่ยวเหมียว แต่ไม่เอ่ยสิ่งใด

 

เสี่ยวเหมียวถอนหายใจยาว ก่อนจะก้มหน้าลง “คงไม่มีทางเลือกสินะ”

 

เธอยื่นมือออกไปตบลงบนร่างของกู่ฉิงซานเบาๆ

 

ฟิ้ววว

 

เสี้ยววินาทีนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ถูกผลักลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

เขาถูกผลักหมุนคว้านไปกลางอากาศ แลคล้ายกับลูกบอลที่ถูกตีออกไปโดยเสี่ยวเหมี่ยว

 

และมองจากทิศทางที่เขาลอยไป แท้จริงแล้วเป็นตำแหน่งที่แบรี่ชี้ในตอนแรก

 

“คุณใช้วิธีอะไรกันถึงตัดสินว่าทิศทางนี้ถูกต้องงงงง–”

 

ห่างไกลออกไป เสียงของกู่ฉิงซานลอยลงมาจากท้องฟ้า

 

แต่ทั้งแบรี่กับเสี่ยวเหมียวไม่ตอบกลับไป

 

ทั้งสองยังคงยืนอยู่ในสถานที่เดียวกัน เฝ้ารออยู่ชั่วขณะหนึ่ง

 

“เขาไปไกลแล้ว” แบรี่กล่าวเสียงกระซิบ

 

“ใช่ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นแฟนของเขา ก็สมควรที่จะยอมให้เขากลับไปยังอัลเบอัสอีกครั้ง” เสี่ยวเหมียวเอ่ยอย่างเฉื่อยชา

 

แบรี่ “ทีนี้ก็บอกพี่มาได้รึยัง ว่าทำไมเธอถึงจะผลักเขาออกไปในทิศทางของเมืองอาซากับท่าเรือนางฟ้า”

 

เสี่ยวเหมียวจิกริมฝีปากตัวเอง แต่พักหนึ่งก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา

 

“ทำไมล่ะ นี่เธอยังมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดกับพี่ชายได้อยู่อีกหรอ?”

 

แบรี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม หัวเราะออกมาเบาๆ

 

“พี่ชาย น้องกำลังจะผลักเขาไปยังสองสถานที่ๆปลอดภัยที่สุดจริงๆ เดิมทีน้องคิดจะขอโทษเขาหลังจากที่เขารู้ตัว แต่ก็ดันมีเรื่องผิดพลาดเข้ามาเกี่ยวข้อง น้องคิดไม่ถึงเลยว่าแฟนของเขาจะอยู่ในอัลเบอัสด้วยเหมือนกัน”

 

เสี่ยวเหมียวสารภาพ เธอก้มหน้าหลับตาลง แล้วเงียบไปนาน

 

“พี่ชาย พี่ยังจำคำเตือนของหอสูงเมื่อ 1800 ปีก่อนได้ไหม?”

 

จู่ๆเธอก็กล่าวคำที่มันไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยออกมา

 

คำเตือนของหอคอยสูง ….

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของแบรี่จางหายไป

 

ดวงตาของเขาเย็นชา ทั้งคนทั้งร่างส่งกลิ่นอายเย็นยะเยียบกว่าที่เคยปรากฏให้เห็นมา

 

แบรี่กล่าว “นั่นมันเป็นครั้งแรกที่เผ่ามารปรากฏตัวขึ้นในโลกทั้ง 900 ลำดับชั้น ต่อมา ‘ดินแดนรุ่งโรจน์’ก็ถูกยึดครองโดยเผ่ามารไปอย่างสมบูรณ์  บรรดาตัวตนทรงอำนาจทั้งหมดของโลกเหล่านั้นต่างทุ่มต่อต้านเต็มกำลัง แต่พวกเขาก็พ่ายแพ้ 100ปีต่อมา โลก 900 ล้านชั้นก็ต้องเปลี่ยนชื่อจากดินแดนรุ่งโรจน์ ไปเป็นดินแดนที่ถูกยึคดครองโดยศัตรู”

 

“ในภายหลัง สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงก็ส่งคำเตือนประกาศออกมา ในวันนั้น โลกตลอดทั้ง 900 ลำดับชั้นก็ได้รู้เรื่องของเผ่ามารอย่างเป็นทางการ”

 

แบรี่ลูบหัวน้องสาวของเขาแล้วกล่าว “แต่ไม่มีใครนอกจากพี่ที่รู้ว่า ก่อนหน้าพวกเขาสามวัน น้องได้ค้นพบสัญญาณของพื้นที่มิติทับซ้อนที่คาบเกี่ยวกัน”

 

“ใช่ น้องได้ค้นพบว่าในเวลานั้นดินแดนรุ่งโรจน์กับช่องว่างมิติอันแปลกประหลาดคาบเกี่ยวกัน แต่กลับไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเป็นพวกเผ่ามารที่บุกรุกเข้ามา” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

 

เธอจ้องมองออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าอันห่างไกล ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่นั่น

 

1800 ปีก่อน โลกลำดับชั้นจะประกอบไปด้วยสี่ดินแดน : ดินแดนรุ่งโรจน์ , ดินแดนมิติอนันต์ , ดินแดนชิงอำนาจ และดินแดนอัศจรรย์

 

เมื่อการคาบเกี่ยวของมิติปรากฏขึ้น เผ่ามารก็มาเยือน และได้บุกเข้ายึดดินแดนรุ่งโรจน์ไป

 

ดินแดนรุ่งโรจน์จึงถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู

 

ตอนนี้โลก 200 ล้านชั้นในในดินแดนที่ถูกยึดครอง ได้กลายเป็นสวรรค์สำหรับเผ่ามารไปแล้ว

 

“นี่มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้วนะ ว่าแต่มันเกี่ยวข้องอะไรกับกู่ฉิงซานกัน?” แบรี่เอ่ยถาม

 

เสี่ยวเหมียวตอบ “เพราะเขาเป็นคนที่เดินทางมาไกลเพื่อนำดอกไม้คริสตัลภูติมาให้พี่ ส่งผลให้อาการบาดเจ็บของพี่ถูกรักษาได้ในที่สุด เพราะเขาเป็นคนดี ดังนั้นน้องเลยไม่ต้องการให้เขาไปที่อัลเบอัส”

 

“เธอหมายความว่ายังไง … ”

 

“ถึงแม้จะห่างหายไปนานกว่า 1800 ปีมาแล้ว แต่ตอนนี้ น้องกลับสัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนแปลกๆนั่นอีกครั้ง”

 

แบรี่จ้องน้องสาวของเขา นิ่งงันอยู่นานก่อจะเอ่ยถาม “นี่แน่ใจแล้วใช่ไหม?”

 

เพราะมันคือเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นี่จะเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อโลกทั้ง 900 ล้านชั้น ดังนั้นมันจะต้องไม่ผิดพลาด!

 

“น้องค่อนข้างแน่ใจว่าคลื่นความผันผวนแปลกๆนั่นได้กลับมาอีกครั้งแล้ว”

 

“น้องพึ่งจะรู้สึกถึงมันไปเมื่อวันสองวันนี่เอง และคราวนี้ดูเหมือนว่าคลื่นความผันผวนจะไปปรากฏขึ้นในอัลเบอัส”

 

“ปรากฏขึ้นในอัลเบอัส … ”

 

แบรี่ถอนหายใจ และยอมรับความจริงในที่สุด

 

เขาบ่น “ถ้ามันเป็นความจริง พี่กลัวว่าสงครามเต็มรูปแบบระหว่างโลก 900 ล้านชั้นกับเผ่ามารคงกำลังจะใกล้เข้ามาแล้วล่ะ … ”

 

เสี่ยวเหมียว “ยังไม่ถึงขนาดนั้นซะทีเดียว เพราะนี่มันยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ใหม่ ช่องว่างมิตินั่นเพียงเคลื่อนไหวอยู่ใกล้เคียงกับโลก 900 ล้านชั้น แต่มันก็ถูกปกปิดตัวตนเป็นอย่างดี มีเพียงน้องเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงมัน”

 

“ฉะนั้น น้องเลยไม่ต้องการให้กู่ฉิงซานไปสินะ?”

 

“ใช่ เพราะเขาคือคนของเรา และน้องก็ต้องพิจารณาถึงความสำคัญของชีวิตเขาเป็นอันดับแรก”

 

“แต่แฟนสาวของเขาดันไปติดอยู่ที่นั่น น้องเลยไม่สามารถหยุดเขาเอาไว้ได้ และจำเป็นต้องส่งเขาไปถึงที่นั่นโดยเร็วที่สุด”

 

“ใช่ ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้หรอก พวกเราก็ไม่ควรจะหยุดเขาเหมือนกัน”

 

เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ สายตาตนมองไปยังพี่ชาย และเผยให้เห็นถึงสีหน้าของความสุข “ภัยพิบัติจะมาเยือนในอีกไม่กี่วัน แต่ถ้าเวลานั้นมาถึง ขาของพี่ก็คงจะหายดีโดยสมบูรณ์แล้ว”

 

“อืม แต่ก็น่าเสียดายจริงๆที่พวกเราไม่ได้บอกความจริงนี้กับกู่ฉิงซาน” แบรี่กล่าวด้วยความหงุดหงิด

 

“ไม่หรอก น้องบอกเขาแล้ว น้องบอกผ่านทางจดหมายที่ใส่ลงไปในถุงสัมภาระของเขา ตราบใดที่เขาเปิดถุงสัมภาระ เขาก็จะเห็นมันทันที”

 

“เราจะต้องรีบไปแจ้งเรื่องนี้ให้กับโลก 900 ล้านชั้น”

 

“ไม่นะพี่ชาย”

 

แบรี่ชะงักไป ปากเอ่ยถาม “ทำไมล่ะ?”

 

เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยความลังเล “พี่ชาย อันที่จริงแล้วน้องรู้สึกว่า – ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พี่มักจะถูกมารที่แท้จริงรุมล้อมอยู่เสมอ น้องคิดว่าจริงๆแล้วเรื่องทั้งหมดมันอาจจะเป็นกับดักก็ได้”

 

เสี่ยวเหมียวจิกกำปั้นของเธอและกล่าว “ทำไมน้องถึงถูกกักตัวไว้ในที่มืด? ทำไมพี่ถึงหลงกลและถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับกองทัพมารกว่า 600 ล้านตนโดยลำพัง? ทั้งหมดมันไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องบังเอิญแน่ๆ”

 

“น้องกำลังจะบอกว่า–”

 

“ใช่แล้ว เรามีไส้ศึก”

 

แบรี่ปิดปากเงียบ สีหน้าของเขาดูเย็นชา ขณะเดียวกันก็หนักอึ้ง

 

เสี่ยวเหมียวเอ่ยต่อ “พี่ลองคิดดูดีๆสิ เห็นไหมว่าการเรียกขานของวิหคหนามน่ะเกิดขึ้นในอัลเบอัส แต่พวกเรากลับไม่ได้รับข่าวคราวใดๆเลย ซึ่งมันไม่มีทางหรอกที่สหายเก่าของพวกเราจะปิดปากเงียบ ไม่ยอมบอกอะไรเราเลย”

 

“การติดต่อถูกขัดขวางหรือเปล่านะ … ” แบรี่บ่นงึมงำ

 

“ใช่ เป็นเพราะความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซานยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นพวกที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเลยไม่สนใจเขา แต่พี่กับฉันดันถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด หากไม่ใช่เพราะพวกเราอยู่ในโลกมิติอนันต์ และพลังของฉันควบคู่ไปกับสัญญาณที่มี ศัตรูเลยไม่สามารถทำร้ายพวกเราได้ ไม่อย่างงั้นพวกเราทั้งสองคนคงโดนพวกมันจัดการจนเหลือแต่กระดูกไปแล้ว”

 

แบรี่พยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

“ถ้าเป็นแบบนี้ จนกว่าขาของพี่จะหายจากอาการบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง ก็คงจะไม่มีข่าวคราวใดๆถูกส่งมาหาเรา”

 

“ใช่ ถึงแม้ว่าพวกเราจะบอกออกไป แต่ก็ไม่มีใครเชื่อพวกเราอยู่ดี เพราะอีกฝ่ายแน่นอนว่าจะต้องมีมาตรการเตรียมรับมือป้องกันเอาไว้รอพวกเราอยู่แน่ๆ และอีกอย่างก็ไม่มีใครล่วงรู้ถึงพลังที่แท้จริงของน้อง ดังนั้นต่อให้บอกอะไรไป ก็คงไม่มีใครเชื่อ”

 

แบรี่ถอนหายใจลึก และบ่นพึมพำกับตัวเอง “กู่ฉิงซาน … ”

 

ในวิสัยทัศน์ของเขา บังเกิดความลังเลใจที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

 

เสี่ยวเหมียวเริ่มรู้สึกกังวลน้อยๆ

 

เธอกอดแขนแบรี่ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ชาย พี่ต้องฟังน้องนะ รอให้อาการบาดเจ็บที่ขาของพี่หายดีซะก่อน ไม่อย่างนั้นพี่คงไม่สามารถช่วยเขาได้ กระทั่งตัวเองก็คงจะถูกฆ่าโดยศัตรู”

 

“แต่ขาของฉันอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าสองวันถึงจะหายดี .. ” แบรี่กัดฟันกล่าว

 

“เรื่องนี้ไม่สมควรจะเร่งรีบ ขอเวลาอีกแค่สองวัน แล้วน้องก็จะไปรับตัวกู่ฉิงซานกับพี่ด้วย”

 

“นี่เธอจะไปด้วยหรอ?”

 

“แน่นอน เพราะคราวนี้ น้องจะไม่ยอมให้พี่ต้องต่อสู้โดยลำพังอีกแล้ว” เสี่ยวเหมียวกล่าว

 

แบรี่พยักหน้ารับ

 

ความแข็งแกร่งของตนจะต้องได้รับการรักษาให้หายดีเสียก่อน เพื่อที่จะใช้พลังได้อย่างเต็มที่ หากเขาไปตอนนี้ นอกจากจะไม่สามารถช่วยเหลือกู่ฉิงซานได้แล้ว ตนคงจะเอาชีวิตไปทิ้งอีกด้วย

 

“ตอนนี้ ระหว่างช่วงเวลาสองวัน เราคงทำได้เพียงอธิฐานให้กู่ฉิงซานสามารถยื้อชีวิตให้รอดต่อไปให้ได้ ..”

 

แบรี่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.517 – กลับไปยังมิติอนันต์อีกครั้ง

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ณ กองบัญชาการรบกองทัพพันธมิตรโลก

 

เพชฌฆาตตัวตลกถอดชุดเกราะรบต่อสู้ออก

 

เย่เฟย์หยูคนเดิมปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าฝูงชนอีกครั้ง

 

ทันทีที่เกราะรบหลุดออกจากตัวเขา บรรยากาศที่ดูวิกลจริตและคลุ้มคลั่งก็จางหายไป

 

เหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลเมื่อครู่ ช่างนับว่าเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ

 

“ที่ฉันทำเมื่อกี้เป็นยังไงบ้าง?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม

 

นอกเหนือไปจากเหลียวฮัง คนทั้งหมดต่างยกนิ้วโป้งให้แก่เขา

 

เย่เฟย์หยูมองไปทางเหลียวฮัง

 

เหลียวฮังกล่าว “ทำไมทุกครั้งที่แกเล่นเป็นเพชฌฆาตตัวตลก ฉันถึงมักจะคิดว่าพวกเราเป็นพวกผู้ก่อการร้ายตลอดเลยนะ”

 

เย่เฟย์หยูยิ้ม ก่อนจะหันไปรับแก้วไวน์จากซางหยิงฮ่าว และจิบมันเบาๆ

 

“แล้วจะทำอะไรต่อไป?” ซางซ่งหยางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“สังหารผีร้าย”

 

เย่เฟย์หยูโยนแก้วไวน์ทิ้งและกล่าว “เทพธิดากงเจิ้งได้ทำตารางการประลองที่ใช้ระยะเวลายาวนานเอาไว้แล้ว ดังนั้น ตัวฉันก็น่าจะมีเวลามากพอที่จะใช้เพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตัวเอง”

 

“เฝ้ารอจนกระทั่งช่วงเวลาชิงชนะเลิศมาถึง ฉันในฐานะลาสบอสจะขึ้นเวที และสังการทีมแชมเปี้ยนส์ซะ!”

 

“ฉันพอจะรู้ว่าตัวเองต้องการเวลามากแค่ไหน ถึงจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเขา”

 

เสียงของเย่เฟย์หยูกลายเป็นเย็นเยียบ “บาดแผลที่โลกใบนี้ได้รับ ฉันจะให้พวกมันชดใช้ด้วยชีวิต!”

 

“เธอมั่นใจจริงๆใช่ไหมว่ามันจะทันเวลา?” ประธานาธิบดีเอ่ยถาม

 

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น “โปรดวางใจได้เลย ฉันจะทำการค้นหาบรรดาผีร้ายที่กระจัดกระจายตัวกันออกไป แล้วส่งข้อมูลให้เขาเพื่อเร่งการวิวัฒนาการโดยเร็วที่สุด”

 

เธอยังกล่าวกับเย่เฟย์หยูอีกว่า “ทิศตะวันออกเฉียงใต้ในระยะไกลออกไป พบสองผีร้ายระดับต่ำที่ไม่ได้ถูกเรียกตัวกลับไปโดยราชาผี โปรดเร่งทำเวลาไปสังหารพวกมันในทันทีด้วย”

 

“รับทราบ”

 

แล้วเย่เฟย์หยูก็บินออกไป

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือนปรากฏขึ้นจากในชั้นอากาศที่ว่างเปล่า และโฉบเข้าไปยึดติดกับแขนซ้ายของเขา

 

“ฉันได้ยินมาว่าคนที่ถูกคุณตัดแม้แต่รอยขีดข่วน จะลืมเลือนทุกสิ่งอย่างไปชั่วคราวนี่เรื่องจริงไหม”

 

เย่เฟย์หยูมองตะขอเกี่ยววิญญาณ ปากเอ่ยถาม

 

“ใช่แล้วล่ะ ตราบใดที่เจ้าสามารถใช้ข้าสัมผัสกายของพวกเขา ข้าจะสามารถทำให้พวกเขาตกอยู่ในห้วงภวังค์ เหม่อลอยไปชั่วขณะได้” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

“น่าสนใจดีนี่ แล้วมันจะเป็นยังไงกันถ้าพวกผีร้ายสูญเสียความทรงจำไป?”

 

“อยากรู้ .. เจ้าก็ลองดูเองสิ”

 

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

 

ปัง!

 

เย่เฟย์หยูทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า นำพาตะขอเกี่ยววิญญาณบินไกลออกไป

 

ทุกคนจ้องมองไล่หลังของเขาจนกระทั่งหายลับไป ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา

 

ในที่สุดซางหยิงฮ่าวก็สูดหายใจลึกและกล่าว “กู่ฉิงซานสามารถคิดวิธีแก้ปัญหาแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน?  แล้วตอนนี้เจ้าหมอนั่นมันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”

 

“นั่นสิ แผนนี้มันบ้ามากจริงๆ” เหลียวฮังกล่าวด้วยอารมณ์ “แต่ฉันคิดว่าคงจะเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว ไม่อย่างงั้นเจ้าเด็กกู่มันคงไม่รีบออกไปโดยทิ้งโลกที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เอาไว้เบื้องหลังแน่ๆ”

 

เหนือขึ้นในอวกาศ ที่ลึกเกินกว่าจะมองเห็นได้

 

เย่เฟย์หยูเดินมาหยุดยืนในวงแหวนโลหะ

 

หลังจากที่ดาวโลกได้ทำการผสานรวม มันก็มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมนับสิบเท่า และระยะทางระหว่างหลายเมืองก็ขยายตัว ยืดยาวออกไป

 

ดังนั้นด้วยระยะทางที่ไกลแสนไกล เลยจำเป็นต้องใช้เครื่องจั๊มป์ขนาดใหญ่จึงจะไปถึง

 

โชคยังดีที่เทคโนโลยีจั๊มป์ได้รับการปรับปรุงดูแลอย่างต่อเนื่องโดยเหลียวฮัง มันจึงมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก และใช้การได้เป็นอย่างดี

 

เห็นแค่เพียงเย่เฟย์หยูที่ยืนอยู่ในวงแหวนโลหะ

 

วงแหวนโลหะบังเกิดเสียงหวีดหวิวอันคมชัดขึ้น

 

และในวินาทีต่อมา เย่เฟย์หยูก็หายวับไป

 

เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนนถนนใหญ่

 

เย่เฟย์หยูหันไปมองรอบๆ

 

และพบว่าในส่วนท้ายของเส้นถนน มีสองผีร้ายกำลังต่อกรกับหุ่นรบขับเคลื่อนอยู่

 

เย่เฟย์หยูสะบัดตะขอยาวออกจากมือ และย่ำตรงไปยังฉากต่อสู้ทีละก้าว ทีละก้าว

 

สองผีร้ายตระหนักได้ถึงตัวตนของเขา

 

ผีร้ายเหวี่ยงหุ่นรบทิ้งไป แล้วเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “นี่นายเป็นใครกัน?”

 

ผีร้ายตนนี้ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากมนุษย์ ดังนั้นมันจึงสามารถจดจำอดีตและพูดภาษาสำเนียงมนุษย์ได้

 

เนื่องจากพวกมันพึ่งจะเสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ดังนั้นความแข็งแกร่งเลยยังอ่อนด้อยนัก ราชาผีจึงไม่มีความตั้งใจที่จะเรียกพวกมันไปมีส่วนร่วมในการประลองต่อสู้

 

เย่เฟย์หยูมองดูผีร้ายและผิวปากออกมา

 

“ถ้าจะให้พูดเท่ๆล่ะก็ คงต้องบอกว่า ฉันมาที่นี่เพื่อฆ่าพวกแก”

 

“แต่ ที่นี่น่ะมันคือโลกแห่งความเป็นจริง(ไม่ใช่กำลังแสดงละคร) และก็จะไม่มีใครรู้ด้วยว่าฉันกำลังจะฆ่าพวกแกดังนั้น”

 

“ฉันนี่แหละคือคนสังหารพวกแกเอง”

 

สองผีร้ายพอได้ยินก็หันมามองหน้ากัน

 

จะดีหรือร้าย พวกมันก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน และยังคงมีตรรกะของมนุษย์บางอย่างอยู่ในจิตใจ

 

ผีร้ายจึงเอ่ยถาม “ก็แล้วที่พล่ามมาสองประโยคเมื่อกี้มันแตกต่างกันยังไง?”

 

“แน่นอนว่าต่าง”

 

เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างเฉียบขาด “ ที่บอกว่า ‘จะฆ่าแก’ นั่นแปลว่ายังไม่ได้ทำ แต่ ‘ฉันคือคนสังหารพวกแก’ นี่แปลได้ว่าฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว”

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ จู่ๆร่างเขาก็วูบไหวเหลือเพียงภาพติดตา และไปปรากฏกายอีกครั้งบนไหล่ของผีร้ายตัวสูง

 

ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆยกผ้าเช็ดหน้าสีขาวขึ้นมาปาดเลือดออกจากคมมีดของตะขอเกี่ยววิญญาณ

 

สองผีร้ายแข็งค้าง

 

ทันใดนั้นเอง ร่องรอยเลือดเป็นขีดสีแดงยาวๆก็เริ่มผุดออกมาจากคอของพวกมัน ตามด้วยหัวที่กลิ้งตกลงไป

 

สองร่างใหญ่ร่วงลงกับพื้น

 

เย่เฟย์หยูกระโดดลงมา และสะบัดๆตะขอเกี่ยววิญญาณของเขา

 

ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความพึงพอใจ

 

“ที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องเช็ดข้าให้สะอาดก็ได้นะ” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

“ขอโทษที ฉันก็แค่อยากจะทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่พึ่งจะสังหารคนไปน่ะ” เย่เฟย์หยูทิ้งผ้าเช็ดหน้าไป

 

“เอาเถอะ ตามใจเจ้าก็แล้วกัน”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวแบบไม่สนใจเขาอีกต่อไป

 

เย่เฟย์หยูวางตะขอเกี่ยววิญญาณพาดบนไหล่เขา และเฝ้ารออย่างเงียบๆ

 

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น

 

“โปรดบินกลับไปบนจักรวาล และเตรียมพร้อมสำหรับการจั๊มป์ระยะไกลอีกครั้งด้วย เป้าหมายต่อไปคือผีร้ายที่ทรงพลังระดับหนึ่งเลยทีเดียว”

 

พอได้รับฟัง เย่เฟย์หยูก็อดไม่ได้ที่หักคอเสียงดังแกร๊กๆ เริ่มขยับแขนบิดไหล่ตัวเองเบาๆ

 

“ทำอะไรน่ะ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเจ้า?” ตะขอเอ่ยถาม

 

“เปล่าหรอก ก็แค่เวลาเล่นเกมนานๆ การกระทำแบบนี้มันมักจะติดเป็นนิสัยน่ะ – เส้นมันยึดไปหมดก็เลยต้องขยับตัวนิดๆหน่อย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับช่วงต่อไปไง”

 

เย่เฟย์หยูฮึมฮัมเพลงออกมา “ล้า ลา ลา ลา ผจญภัยอัพเวลอย่างสุขสัน ลืมเลือนความทุกข์กังวล ตอบรับความปรารถนาตามใจตน ฉันรักมันจริงๆ ล๊า ลา”

 

แล้วเขาก็ระเบิดฝีเท้า ทะยานตัวพุ่งตรงขึ้นสู่ห้วงจักรวาล

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

เมื่อเทพธิดากงเจิ้งถ่ายทอดคำเหล่านั้นไปยังทุกๆคน กู่ฉิงซานก็ได้มาถึงโลกมิติอนันต์แล้ว

 

ณ สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม

 

เสี่ยวเหมียวกำลังนั่งหมอบอยู่บนเก้าอี้ พยายามขีดเขียนประโยคอะไรบางอย่างลงไป

 

“เฮ้อ มันไม่ง่ายเลยจริงๆที่จะได้รับค่าธรรมเนียมต้นฉบับจากการเขียนไอ้กระดาษแผ่นเหลืองๆใบนี้ .. ”

 

“ … หรือว่าฉันควรจะเปลี่ยนพล็อตเรื่องดี”

 

เสี่ยวเหมียวบ่นพึมพำกับตัวเอง

 

เธอกำลังเพ่งสมาธิอยู่กับการวางเนื้อเรื่องใหม่

 

แต่ทันใดนั้นเอง เธอก็หยุดมือลง และเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า

 

เงาสีดำกำลังร่วงลงมา ก่อนจะกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนเป็นหลุมลึกเบื้องหน้าของเสี่ยวเหมียว

 

“เอ๊ะ? ทำไมนายถึงกลับมาล่ะ?” เสี่ยวเหมียวเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

 

กู่ฉิงซานปีนออกมาจากหลุม และรีบกล่าวทันทีว่า “เร็วเข้า ผมไม่มีเวลาอธิบาย ช่วยส่งผมไปยังตำแหน่งของอัลเบอัสที เวลากระชั้นชิดมากแล้ว!”

 

“อัลเบอัสหรอ? ที่แท้คราวนี้วิหคหนามก็ไปทำการเรียกขานที่นั่นน่ะเอง แต่น่าเสียดายจริงๆที่ฉันไม่สามารถส่งไปยังตำแหน่งที่ว่าแบบแม่นยำได้” เสี่ยวเหมียวกล่าว

 

“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่ตำแหน่งที่ว่าเกือบจะเป็นเส้นทางเดียวกันก็พอ ที่เหลือผมจะจัดการเอง”

 

“เรื่องนั้น … ”

 

“รอเดี๋ยวก่อน” แบรี่เดินออกมาจากสมาคม “ด้ายมิติของนายพึ่งถูกใช้ไป มันจำเป็นต้องทำการชาร์จพลังงานใหม่อีกครั้ง”

 

เขาขมวดคิ้ว และเพ่งมองมาทางกู่ฉิงซาน “ว่าแต่ทำไมบนตัวนายถึงมีคลื่นความผันผวนของกฏเกณฑ์แห่งไพ่กัน? นี่ไปเจอปัญหาอะไรมารึเปล่า?”

 

เห็นแค่เพียงแบรี่ที่เอื้อมมือออกมา คว้าจับลงตรงอากาศที่ว่างเปล่าบนไหล่ของกู่ฉิงซาน

 

รังสีแสงสีแดงเลือดริบหรี่ ถูกคว้าจับโดยมือของเขา

 

“ไม่ผิดแล้ว ความรู้สึกนี้มันสำรับไพ่ทะเลเลือด – ที่แท้ก็เป็นเขา จอมมารทะเลเลือดน่ะเอง” แบรี่หรี่สองตาแคบลง

 

เสี่ยวเหมียวแสยะเย็น “นี่คนๆนั้นกล้าที่จะมาแตะต้องกับคนของเรางั้นหรอ?”

 

แบรี่กำหมัดและกล่าว “ดูเหมือนว่าฉันจะต้องไปเจอกับเขาซักหน่อยแล้ว”

 

“หยุดก่อน! มันไม่ใช่แบบที่พวกคุณคิดนะ” กู่ฉิงซานรีบหยุดแบรี่อย่างรวดเร็ว

 

เขาไม่มีทางเลือก นอกจากอธิบายออกไปสั้นๆ

 

“โอเค ถ้างั้นก็หมายความว่าเพื่อนของนายเป็นลูกศิษย์ของเจ้าทะเลเลือดงั้นสินะ” แบรี่เอ่ยถาม

 

“ใช่แล้ว” กู่ฉิงซานตอบ

 

“เอาเถอะ เสี่ยวเหมียว ยังไงเธอก็ช่วยชาร์จด้ายมิติให้กู่ฉิงซาน แล้วส่งเขาออกไปด้วยละกัน”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“ฉิงซาน เอ่อ ชาร์จพลังงานมันอาจจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที นายพอจะสามารถ … ”

 

“ต้องการจะบอกว่าพวกคุณยังไม่ได้กินอะไรกันเลยใช่ไหม?”

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวหันมายิ้มให้เขา และหัวเราะอย่างเขินอาย

 

กู่ฉิงซานเคาะลงบนหัวของตัวเอง

 

แบรี่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ดังนั้นเขาจึงยังคงระมัดระวังและไม่ออกไปจากสมาคม

 

ทั้งสองคนยากจน จึงไม่มีอะไรเหลือตุนไว้ให้กินที่นี่

 

“เข้าใจแล้ว สิบนาทีก็น่าจะพอให้ผมปรุงต้มหม้อไฟแบบเผ็ดร้อนให้พวกคุณ”

 

หลังจากสิ้นประโยคนี้ของกู่ฉิงซาน เห็นแค่เพียงลำคอของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวที่ขยับกลืนน้ำลายลง

 

นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้กิน?

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานออกไป พวกเขาก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย

 

ไม่มีเลยโดยสมบูรณ์

 

“เอาล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาหยิบวัตถุดิบ เครื่องปรุงรส หม้อและกระทะออกมา แล้วเริ่มต้นทำหม้อไฟ

 

สิบนาทีต่อมา

 

พลังงานของด้ายมิติก็ถูกชาร์จจนเต็มพอดี

 

พร้อมกับหม้อไฟร้อนๆที่ถูกวางลง

 

กู่ฉิงซานหยิบอาหารบางอย่างวางลงบนโต๊ะ

 

“อาหารพวกนี้ล้วนเป็นของคุณภาพดี พวกคุณสามารถปรุงมันได้เอง นี่ก็น่าจะเพียงพอสำหรับหลายวัน”

 

“ยอด ยอดไปเลย!”แบรี่กับเสี่ยวเหมี่ยวพยักหน้าพร้อมกัน

 

“โอเค งั้นก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องไปแล้ว รบกวนด้วยนะ ผมรีบมากจริงๆ”

 

“ฉันมาแล้ว”

 

เสี่ยวเหมียววางมือลงบนหลังของกู่ฉิงซาน

 

“อัลเบอัสสินะ … มันควรจะเป็นตำแหน่งนี้” เธอเงยหน้ามองดูท้องฟ้า แล้วลองกะพิกัดเคลื่อนย้ายโดยประมาณ

 

“เอาล่ะ ฉันจะเริ่มการเคลื่อนย้ายทางไกล–”

 

“เดี๋ยวก่อน ฉันว่านั่นไม่ใช่ตำแหน่งที่ถูกต้องนะ” แบรี่กล่าว

 

เขาคีบแผ่นเบคอนออกมาจากหม้อและกล่าว “ฉันจำได้ว่าอัลเบอัสมันควรจะอยู่ในทางนี้”

 

ระหว่างกล่าว เขาก็ชี้ตะเกียบไปยังอีกทิศทางหนึ่งในความว่างเปล่า

 

“ไม่นะพี่ชาย พี่เข้าใจผิดแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันเป็นทางที่น้องคาดการณ์เอาไว้ต่างหาก”

 

“น้องสาว ตรงส่วนนี้พี่ขอไม่เห็นด้วยนะ เมื่อก่อนพี่น่ะเคยไปที่อัลเบอัสอยู่บ่อยๆ ดังนั้นถ้าเทียบกับน้องแล้ว พี่รู้เรื่องตำแหน่งดีกว่าแน่นอน”

 

“งั้นหรอ? คงจะเป็นในตอนที่มีเงินอยู่นิดๆหน่อยๆใช่ไหม พี่ไปอัลเบอัสทีไรก็ดื่มจนเมาแทบตายทุกที เป็นน้องรึเปล่าที่ต้องไปรับตัวพี่กลับมาเสียทุกครั้ง ฉะนั้นพิกัดที่น้องระบุต่างหากที่ถูกต้อง”

 

“แต่ทุกครั้งในตอนขาไป พี่ก็ยังมีสติอยู่นา และนั่นหมายความว่าพี่จำทิศทางของมันได้อย่างชัดเจน”

 

“ไม่ใช่หรอก พี่น่ะหลงทิศไปแล้วโดยสมบูรณ์ ทิศทางที่พี่กำลังชี้ไปน่ะ มันเป็นที่ซ่อนตัวของมอนสเตอร์เอกภพต่างหาก เจ้าตัวที่พวกเราพึ่งจับมันมากินเมื่อก่อนหน้านี้ก็มาจากทางนั้นไม่ใช่รึไง?”

 

แล้วสองพี่น้องเถียงกันอยู่พักใหญ่

 

 

กู่ฉิงซานมองไปยังทิศทางที่เสี่ยวเหมี่ยวกำลังชี้ ก่อนจะมองไปทางตะเกียบที่ชี้ไปของแบรี่ เหงื่อเย็นเริ่มผุดขึ้นมาตามตัวของเขา

 

เพราะทั้งสองคน … ชี้ไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

 

หากส่งตัวไปผิดที่ นี่ไม่ได้หมายความว่ากู่ฉิงซานจะต้องพลาดการเรียกขานของวิหคหนามหรอกหรือ

 

แถมบางที … เขาอาจจะกลายเป็นอาหารมื้อกลางวัน ที่ถูกส่งไปให้ขบเคี้ยวถึงที่อยู่ของมอนสเตอร์เอกภพอีกด้วย!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.516  – การประลองของทั้งหกโลก

 

“ไอ้ตัวตลกนั่น … ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดวิปริตเช่นมันก่อนเลย” เทพสวรรค์กล่าวเสียงหม่น

 

ขณะที่ราชาผีเพลิงน้ำแข็งไม่เอ่ยคำใด เพียงจ้องมองออกไปยังผืนทะเลทราย

 

ในทะเลทราย ฟุ้งไปด้วยกระแสไอร้อนอันรุนแรง ผ่านไปนานก็ยังไม่จางหายไป ส่งผลให้ฉากเบื้องหน้าดูบิดเบี้ยวและล่องลอยอย่างบอกไม่ถูก

 

คลื่นกระแทกกระจายออกไปทุกทิศทาง และด้วยความร้อนอันเข้มข้น ทำให้อุณหภูมิของที่นี่พุ่งพรวดขึ้นราวกับตกอยู่ในนรก

 

แน่นอน ว่าผีร้ายกับเทพสวรรค์ที่ครอบครองพลังอันแข็งกร้าว ย่อมไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจเบื้องหน้านี้ แต่พวกเขากำลังตรวจสอบถึงผลกระทบของอำนาจนี้ที่มีต่อโลก

 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆก็ปรากฏเครื่องบินหลายสิบลำบนท้องฟ้า

 

เครื่องบินเหล่านี้ค่อยๆลดระดับลงมาหยุดต่อหน้าพวกเขา และฉายภาพอีกครั้ง

 

เพชฌฆาตตัวตลกปรากฏขึ้นบนจอม่านแสงอีกครา

 

พร้อมด้วยดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม เสียงกีตาร์กระหน่ำซัดจนพาลให้คนฟังต้องโยกหัวตาม

 

“ติ๊งต่อง! เจ็ดคนต่อหนึ่งฝ่าย เริ่มทำการลงทะเบียนได้”

 

“และผู้ชนะคนสุดท้าย จะได้สิทธิ์ต่อสู้กับกระผม หากโค่นกระผมลงได้ ก็จะได้รับโลกใบนี้ไป”

 

“หากยังดื้อดึง กระผมจะ -”

 

เพชฌฆาตตัวตลกปรบมือของมันอีกครั้ง

 

คราวนี้ บังเกิดแรงสั่นสะเทือนและความปั่นป่วนที่มากกว่าเดิมปรากฏขึ้นอีกระลอก

 

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกเกิดการสั่นสะเทือน

 

“บัดซบ! มันกำลังจะปลดปล่อยสกิลบ้าๆนี่อีกแล้ว!” เทพสวรรค์สบถด้วยสีหน้ามืดมน ครึ้มไปด้วยเมฆหมอก

 

ราชาผีเพลิงน้ำแข็งทะยานตัวไปยังทิศทางของแรงระเบิดอย่างรวดเร็วโดยไม่เอ่ยคำใดสักคำ

 

เทพสวรรค์โบกมือส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามของตน และไล่ตามผีร้ายทั้งหมดไป

 

ณ เมืองๆหนึ่ง

 

มันเป็นเมืองที่ถูกทิ้งร้าง

 

มันเป็นเมืองที่ถูกยึดมานานแล้วโดยเทพและผีร้าย ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลือเพียงอาคารเหล็กที่ว่างเปล่า

 

แต่เมื่อผีและเทพมาถึง ทุกอย่างที่นี่ก็จบสิ้นลงแล้ว

 

แต่พวกเขาก็เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ ผ่านทางสมองควอนตัมที่ตนยึดมา มาก่อนแล้วเหมือนกัน

 

ปรากฏซึ่งเมฆดอกเห็ดขนาดยักษ์พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

ตลอดทั้งเมืองถูกทำลายล้างลงไปภายในไม่กี่ลมหายใจ

 

เทพสวรรค์หยุดยืนลงตรงชายขอบเมือง เร่งตรวจสอบมันอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากเพ่งสมาธิอยู่ชั่วขณะ เขาก็เอ่ยออกมา “อำนาจเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดกับพวกเรา แต่มันสามารถสร้างความเสียหายให้กับโลกได้”

 

“หรืออีกความหมายนึงก็คือ เจ้าเพชฌฆาตตัวตลกนั่นมันคิดจะทำลายการดำรงอยู่ของโลกอันวิเศษยิ่งใบนี้น่ะหรือ?” ราชาผีเพลิงน้ำแข็งจมลงสู่ห้วงความคิด

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการทำลายล้างของตัวตลก พวกเขาจึงหันมาจับมือเคียงข้างกันอีกครั้ง แล้วแบ่งปันสติปัญญากันอย่างรวดเร็ว

 

“ข้าเคยถามทาสมนุษย์มาแล้ว พวกมันกล่าวว่าไอ้เจ้าตัวตลกนี่คือคนบ้า มันมักจะทำเรื่องแปลกประหลาดมากมาย อย่างเช่นการสังหารผู้คนจำนวนมาก โดยไม่มีเป้าประสงค์ใดๆที่ชัดเจน”

 

“ส่วนคนของข้าบอกว่า ดูเหมือนมันจะสามารถควบคุมเครื่องจักรได้หลากหลาย .. ไม่สิ สามารถควบคุมเครื่องจักรทั้งหมดในโลกก็ยังได้เลย”

 

“ระเบิดเหล่านี้ล้วนมาจากอาวุธเก่าแก่ของมนุษยชาติ เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยมันร้ายแรงเกินไป พวกมันจึงถูกผนึกเอาไว้”

 

“แต่ตัวตลกกลับสามารถควบคุมอาวุธโบราณเหล่านี้ได้”

 

“นอกจากนี้ มันยังต้องการให้พวกเราเข้าร่วมการประลองราชันย์สงครามอีก” ราชาผีเพลิงน้ำแข็งกล่าว

 

ทันใดนั้นเอง ภาพของเพชฌฆาตตัวตลกก็ปรากฏขึ้นบนจอม่านแสงอีกครั้ง

 

“ถูกต้องแล้ว! สหายราชาผีดูเหมือนจะตั้งใจฟังที่กระผมพูดเหมือนกันนี่นา กระผมขอชมเชยด้วยใจจริง – แต่น่าเสียดายนักที่คุณไม่ต้องการเงิน ไม่งั้นกระผมคงตบรางวัลใหญ่ปึกหนาๆให้คุณไปแล้ว”

 

เทพสวรรค์มองตัวตลกบนจอม่านแสง ปากเอ่ยถามเสียงจม “เจ้าต้องการอะไร?”

 

ขณะเดียวกัน เขาก็ไขว้มือไว้ข้างหลัง และทำท่าทีส่งสัญญาณบางอย่าง

 

ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพที่เตรียมตัวอยู่นานแล้ว กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มในที่สุด “พวกเราพร้อมแล้ว”

 

และในวินาทีต่อมา เหล่าผู้สืบสายโลหิตก็หายวับไปทันใด

 

หนึ่งในพวกเขามีสกิลประเภทจับความเคลื่อนไหวและเคลื่อนย้าย และเวลานี้ พวกเขาก็สามารถวาร์ปไปยังที่ๆเพชฌฆาตตัวตลกอยู่ได้เลยในทันที!

 

อุ๊ปส์ แต่น่าเสียดาย ที่เทพธิดากงเจิ้งกำลังเฝ้าดูจากทุกมุมโลกอยู่ตลอดเวลาอย่างใกล้ชิด

 

วินาทีที่ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพหายไป

 

เพชฌฆาตตัวตลกก็เสร็จสิ้นการจั๊มป์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ทุกคนเห็นแค่เพียงเหล่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพปรากฏขึ้นแทนที่ในภาพ

 

ขณะที่ตัวตลกหายวับไป

 

หลังจากการจั๊มป์ระยะไกล ตัวตลกก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในเมืองอื่น

 

ภาพบนจอม่านแสงสลับสับเปลี่ยนทันที มันกลับไปฉายภาพของเพชฌฆาตตัวตลกอีกครั้ง

 

เห็นแค่เพียงตัวตลกที่ยกมือขึ้นผิวปาก ก่อนจะปรบมือของมัน

 

“พวกคุณกล้าหาญมากจริงๆ ลงมือได้อย่างฉับไวเพื่อต่อกรกับพฤติกรรมอันชั่วร้ายของกระผม พวกคุณนี่เหมาะสมกับคำว่าเทพเสียจริงๆ”

 

“และเพื่อเป็นเกียรติแก่พวกคุณ กระผมเลยจะขอตอบแทนให้โลกใบนี้ได้รับความทุกข์ทรมานอีกครั้ง”

 

ตูม-

 

บังเกิดเสียงระเบิดครั้งใหญ่

 

ระเบิดนิวเคลียร์ในครั้งนี้ มันถูกปล่อยลงอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้มันเป็นสถานที่ๆทั้งผีร้ายและเทพรวมตัวกันอยู่

 

บังเกิดวงเปลวไฟปกคลุม กวาดกระจายไปทั่วผืนดิน ขณะที่กลุ่มควันปะทุพวยพุ่ง ผสมปนเปไปกับฝุ่นละออง ยกตัวขึ้นเป็นรูปเห็ดบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

 

ทรายและหินจำนวนมากฟุ้งกระเจิงด้วยคลื่นแรงกระแทก อาคารต่างๆพังทลาย พื้นดินยุบตัวเป็นหลุมลึก คล้ายอุกกาบาตพึ่งตกใส่

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ทุกอย่างก็กลับมาสงบลง

 

เห็นแค่เพียงร่างของเทพและผีร้ายที่ค่อยๆทยอยกันปรากฏตัวออกมา

 

เทพกับผีร้ายส่วนใหญ่ดูจะตกที่นั่งลำบากเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับบาดแผลรุนแรงใดๆ

 

มีแค่เพียงผีร้ายอ่อนแอเท่านั้น ที่ถูกสังหารลง

 

อำนาจการโจมตีดังกล่าว สำหรับเทพและผีร้ายส่วนใหญ่แล้ว ยังถือว่าธรรมดา

 

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเทพสวรรค์กับราชาผีเพลิงน้ำแข็งกลับกลายเป็นน่าเกลียดยิ่ง

 

“เจ้าตระหนักถึงมันหรือไม่?” ราชาผีเพลิงน้ำแข็งเอ่ยถาม

 

“แน่นอน รังสีที่ถูกสร้างขึ้นเหล่านี้กำลังกระจายตัวออกไป หากอยู่ภายใต้มัน สิ่งมีชีวิตสามัญก็จะตกตายภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงสัปดาห์” เทพสวรรค์กล่าว

 

“ไม่เพียงเท่านั้น แต่หากไอ้ตัวตลกมันยังคงปล่อยการโจมตีเช่นนี้ออกมาเรื่อยๆ โลกทั้งใบก็จะปนเปื้อนและถูกทำลายลง”

 

พร้อมกับการสนทนาของทั้งสอง จอม่านแสงขนาดใหญ่ก็ฉายขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง

 

ตามด้วยภาพของเพชฌฆาตตัวตลกปรากฏกายขึ้น

 

“สหายราชาผีคนนี้นี่มีสมองจริงๆ”

 

ตัวตลกปรบมือ แต่ขณะเดียวกันก็กล่าวแถลงไข “แต่หากพวกคุณเชื่อฟัง กระผมจะไม่ปล่อยการโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์นี้อีกแล้ว ตรงจุดนี้คุณเชื่อใจกระผมได้”

 

เพชฌฆาตตัวตลกหันไปมองรอบๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง และกล่าวเสียงกระซิบ “แต่จะบอกความลับอะไรบางอย่างให้นะ ว่ากระผมสามารถปล่อยการโจมตีแบบนี้ได้อีกนับพันๆลูกในคราวเดียว ชนิดที่ว่าสามารถโจมตีโลกทั้งใบให้ล่มสลายลงไปเลยก็ยังได้”

 

“ไม่นะ! ไอ้ตัววิปลาศ! นรกเถอะ เจ้ากำลังคิดบ้าอะไรอยู่กันแน่!” ราชาผีคำรามด้วยความโกรธ

 

เทพสวรรค์หันไปพูดกับทางจอม่านแสง “เจ้ามนุษย์ผู้ชั่วร้าย ตราบใดที่เจ้ายังกล้าที่จะทำลายโลกใบนี้ต่อไป ข้าสาบานเลยว่าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”

 

-ถ้าโลกมนุษย์ถูกทำลายลง ที่พวกเขาเฝ้าทุ่มเททำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งก่อนหน้านี้มันก็ไร้ประโยชน์น่ะสิ!

 

โลกที่เต็มไปด้วยพลังงานอันตรายน่ะ มันไม่คุ้มค่าแก่การผสานรวมหรอก!

 

แม้กระทั่งหลังจากผสานรวมกัน บางทีอันอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของโลกสวรรค์หรือโลกของผีร้ายชนิดที่ว่าไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขขึ้นก็เป็นได้!

 

บนจอม่านแสง เจ้าตัวตลกยกสองนิ้วขึ้นมาอุดหู กระเด้งตัวหันหน้าไปข้างหลัง

 

ก่อนจะกางมือสองมือออกและกล่าว “กระผมไม่ได้ยินอะไรเลย”

 

“ผายลมเถอะ!” ราชาผีสบถเป็นฟืนเป็นไฟ

 

เปลวเพลิงน้ำแข็งปะทุขึ้นรอบตัวเขาทันใด

 

และเทพธิดาธิดากงเจิ้งก็สามารถตรวจพบถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างรวดเร็วในชั่วเวลา0.01วินาที

 

เธอได้ทำการพิจารณาและตัดสินใจในคราวเดียว

 

ทันใดนั้นเอง เพชฌฆาตตัวตลกก็หายไปจากสถานที่เดิมของมัน

 

และสามวินาทีต่อมา เพลิงน้ำแข็งของราชาผีก็ระเบิดขึ้นในตำแหน่งเดิมของตัวตลก

 

เพลิงน้ำแข็งอันไร้ที่สิ้นสุดควบแน่นอยู่รอบตัวมัน

 

ด้วยการใช้ระเบิดเพลิงน้ำแข็งอันเหนือธรรมดาสามัญนี้ ย่อมมีค่าใช้จ่ายที่ต้องแลกเปลี่ยนออกไปไม่น้อยเลย

 

อุ๊ปส์ แต่น่าเสียดาย ศัตรูที่มันเตรียมพร้อมโจมตีใส่อยู่นาน จู่ๆก็หายไปในความว่างเปล่าซะงั้น

 

เพชฌฆาตตัวตลกหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ราชาผีเพลิงน้ำแข็งเป็นผีร้ายที่แข็งกร้าวที่สุด มีเพียงพลังอำนาจของมันเท่านั้นที่จะต่อกรกับเทพสวรรค์ได้

 

แต่ราชาผีกลับไม่สามารถจับตัวตัวตลกได้!

 

เห็นแค่เพียงภาพจากเครื่องบินลำหนึ่งที่ลอยตัวอยู่ ฉายภาพของตัวตลกออกมา

 

เทพสวรรค์ที่เฝ้ามองดูฉากนี้ ในหัวใจเริ่มบังเกิดความหนักอึ้งขึ้น

 

‘ตัวตลก .. สามารถทำลายโลกได้ตลอดเวลา’

 

‘แต่กลับไม่มีใครสามารถจับตัวมันได้’

 

‘แล้วเช่นนั้นจะรับมือกับมันได้อย่างไร?’

 

เห็นแค่เพียงเพชฌฆาตตัวตลกที่ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งบนจอม่านแสง มันปรบมือรัวๆให้แก่ราชาผีร้าย “ช่างเป็นผู้เข้าประลองที่กล้าหาญจริงๆ ทักทายกันอย่างถึงพริกถึงขิงซะขนาดนี้ กระผมคงต้องตบรางวัลให้คุณโดยการทำลายเมืองผีของคุณที่พึ่งสร้างเสร็จไปแล้วกว่าครึ่งซะแล้วสิ”

 

“เฮ้ยอย่านะ!” ราชาผีอุทานคลั่ง

 

ทว่าเพชฌฆาตตัวตลกทำเป็นไม่ได้ยินได้เห็นถึงเสียงและท่าทีของเขา มันจิกเท้า กระโดดเต้นบัลเล่ต์ หมุนตัวไปมา ก่อนจะใช้นิ้วเคาะเบาๆลงบนจอม่านแสง

 

“กระผมต้องขอโทษจริงๆสหายราชาผี แต่คันศรที่ถูกโก่งและยิงออกไปแล้วน่ะ … ไม่มีทางที่จะหยุดมันได้หรอก!”

 

ตูม-

 

ผืนโลกบังเกิดการสั่นสะเทือนอีกครั้ง

 

คลื่นอัดกระแทกอันแข็งกร้าว ฟุ้งไปทั่วชั้นอากาศ

 

บนจอม่านแสง เกล็ดเถ้าสีเทาคล้ายหิมะลอยฟุ้งไปทั่ว ขณะเดียวกันเสียงดังรบกวนเล็กๆน้อยๆก็เล็ดลอดออกมา

 

การระเบิดในครั้งนี้ รุนแรงยิ่งกว่าสองครั้งก่อนหน้าเป็นอย่างมาก

 

ตามสายลมที่ไหลมากับกระแสอากาศ ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพคนใด dHย่อมสามารถตัดสินได้ในทันที ว่าจุดที่ระเบิดลง แท้จริงแล้วมาจากตำแหน่งใด

 

-เมืองของผีร้าย

 

ราชาผีได้วิ่งวุ่นสร้างมันมาได้ถึงครึ่งทางแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ก็เท่านั้นเอง

 

หลังจากนั้นสักพัก

 

ภาพบนจอม่านแสงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

เมืองผีร้ายที่พึ่งสร้าง … ได้หายไปโดยสมบูรณ์ เบื้องบนหลงเหลือเพียงฉากของเส้นขอบฟ้าทอดยาวไกลออกไป

 

ขณะที่เบื้องล่างเหลือทิ้งไว้เพียงพื้นดินที่รกร้างว่างเปล่า

 

ราชาผีจ้องมองภาพนี้ ยืนนิ่งค้างไปทั้งๆอย่างนั้น

 

เมืองผี … เป็นที่มั่นหลักที่สร้างขึ้นเพื่อวางรากฐาน และที่ฟักของตัวอ่อน … มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก

 

แต่เวลานี้ ทั้งหมดได้หายไปแล้ว

 

ราชาผีร้ายกำหมัดของตนแน่น

 

“สงบใจไว้ มิฉะนั้นเจ้าจะหลงกลมัน” เทพสวรรค์ส่งเสียงเตือนออกมา

 

เขายืนอยู่ด้านข้างของราชาผี สีหน้าแลดูหนักอึ้ง

 

ภายในวันเดียว กลับสามารถปลดปล่อยการโจมตีขนาดใหญ่ได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีขนาดใหญ่ดังกล่าว ยังมาในลักษณะการทำลายสมดุมของโลกอีกด้วย

 

นี่คือความสามารถของตัวตลกอย่างนั้นหรือ?

 

บัดซบนัก! สมองของพวกเผ่ามนุษย์มันมีปัญหาหรือไร เหตุใดจึงได้สร้างนักฆ่าที่เป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของพวกเขาขึ้นมาเช่นนี้?

 

แต่ตอนนี้ นึกไปก็คงจะหัวเสียเปล่าๆ

 

สถานการณ์ที่รุนแรงในปัจจุบัน เราจะต้องเร่งคิดว่าวิธีที่จะจัดการกับมันโดยเร็วที่สุด

 

เทพสวรรค์เอ่ยถามอย่างสงบ “เพชฌฆาตตัวตลก แท้จริงแล้วเจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่?”

 

“โย่ว! นั่นเป็นคำถามที่ดีนี่นา”

 

ตัวตลกโยนกระปุกไอศครีมที่พึ่งหยิบขึ้นมาทิ้งไป และเช็ดร่องรอยเลอะเทอะบนหน้ากากเหล็กของเขา

 

“กระผมต้องการที่จะเล่นเกม”

 

ตามด้วยเสียงของตัวตลก ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์บนจอม่านแสงก็เริ่มร้อนแรงขึ้น

 

ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น

 

ช่วงเวลาแห่งการประลอง

 

ช่วงเวลารอบชิงแชมป์

 

18ฉากประลอง

 

21 กฏการเข้าร่วม

 

รวมไปถึงการเลือกชุดแต่งกายสำหรับการประลอง

 

และ – จดหมายเชิญผ่านอิเล็กทรนิกส์

 

สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นบนจอม่านแสงทีละหัวข้อ

 

“ขอแค่เพียงทำให้กระผมพ่ายแพ้ พวกคุณ คุณ คุณและคุณ ก็จะสามารถได้รับโลกใบนี้ไปได้เลย”

 

“และกระผมจะเป็นบอสตัวสุดท้ายของเกมๆนี้ หากคุณต้องการจะสู้กับกระผม คุณจะต้องเอาคว้าแชมป์ในเกมราชันย์สงครามมาให้จงได้!”

 

“มิฉะนั้นแล้ว กระผมนี่แหละ ที่จะเป็นคนทำลายโลกใบนี้เอง!”

 

“ฮี่ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฟังดูน่าสนุกจริงๆเลยนะ ว่าไหม?”

 

แล้วตัวตลกก็หายไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ

 

ตลอดทั้งโลกจมลงสู่ความเงียบงันอย่างยาวนาน

 

เทพสวรรค์จ้องมองกฏข้อสุดท้าย

 

“คุณจะต้องเอาชนะคู่แข่งทั้งหมด เพื่อที่จะได้รับโลกใบนี้”

 

เขาบีบกำปั้นตน ปากเอ่ยพึมพำ “โลกใบนี้ .. ”

 

มนุษย์โลก ไม่มีอำนาจมากพอที่จะเอาชนะผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพได้

 

ที่ต้องกังวลมีอีกกลุ่มเดียว นั่นก็คือฝ่ายตรงข้ามที่เป็น เหล่าผีร้าย อาชูร่า และพวกจ้าวอสูร

 

พวกมันก็ต้องการที่จะครอบครองโลกใบนี้เช่นกัน

 

ความคิดของเทพสวรรค์ค่อยๆกลายเป็นกระจ่างชัดยิ่งขึ้น

 

ก็แล้วทำไมไม่ใช้โอกาสนี้ … ถอนรากถอนโคนภัยคุกคามทั้งหมดออกไปในคราวเดียวเลยเล่า?’

 

‘แล้วจากนั้นค่อยโค่นเจ้าตัวตลก และรับโลกใบนี้มาไว้ในครอบครอง’

 

แน่นอน ว่าเขาไม่ได้เอ่ยคำเหล่านี้ออกมา เพราะราชาผีเพลิงน้ำแข็งก็กำลังยืนอยู่ข้างๆเขา

“ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หากต้องการจะครอบครองโลก ก็คงจำเป็นต้องทำตามกฏของตัวตลกไปก่อนชั่วคราว” ราชาผีถอนหายใจ แต่ขณะเดียวกันในสมองก็นึกคิด

 

‘—ในความเป็นจริง นี่นับว่าเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน เพราะจะได้ถือเป็นการเก็บเกี่ยวข้อมูลของโลกใบนี้ซะเลยในคราวเดียว’

 

‘หากเราสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ เก็บโลกเข้ากระเป๋า ยังไงก็นับว่าคุ้มค่า’

 

‘สำหรับเพชฌฆาตตัวตลก ตามข้อมูลที่ได้รับมา มันดูเหมือนว่าจะมีตัวตนอยู่เสมอ แต่มันไม่เคยคิดทำลายโลกเลย’

 

ดูเหมือนว่าตราบใดที่ยังทำตามกฏของมัน โลกก็จะยังคงปลอดภัย ไม่ถูกทำลายลง

 

นั่นคือหนทางเดียว ไม่มีทางเลือกอื่นอีก

 

ราชาผีเพลิงน้ำแข็งคิดอ่านเช่นนี้อย่างเงียบๆในจิตใจของตน

 

แล้วมันก็นำผีร้ายทั้งหมดจากไป โดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย

 

เทพสวรรค์ก็มิได้ให้ความสนใจใดๆกับการเคลื่อนไหวของพวกผีร้าย

 

เขาเพียงเริ่มขบคิดอย่างหนัก

 

—คิดเกี่ยวกับการต่อสู้และเลือกเฟ้นตัวแทนของผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ

 

การประลองกำหนดว่าในกลุ่มหนึ่งจะมีทั้งหมด 7 คน และทั้งสองกลุ่มจะเผชิญหน้ากันและกัน ผู้ชนะจะได้รับคุณสมบัติในการประลองรอบต่อไป

 

การจัดวางผู้เล่นอย่างเหมาะสม จะยิ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น! แถมยังเป็นการลดแรงที่จักสิ้นเปลืองในการยึดครองโลกลงไปกว่าครึ่งอีกด้วย

 

สำหรับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ จะให้เลือกคนใดมารับบทบาทหน้าที่อันสำคัญยิ่งนี้ เป็นเรื่องที่เทพสวรรค์จะต้องขบคิดตัดสินใจ

 

ส่วนการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับเพชฌฆาตตัวตลก – ตราบใดที่ตัวตลกไม่หนีไป เทพสวรรค์สาบานว่าจะฉีกมันออกเป็นชิ้นๆด้วยน้ำมือของตัวเขาเอง

 

นับจากช่วงเวลานี้ ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพกับเหล่าผีร้าย ก็ได้เริ่มเตรียมการสำหรับศึกประลองชิงชัยแล้ว!

 

ข่าวแพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง

 

พวกอาชูร่าและจ้าวอสูรที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดมิดเริ่มตื่นตัวอย่างมิอาจควบคุมได้

 

พวกมันก็เริ่มที่จะสร้างทีมของตนเองเช่นกัน

 

เกมการต่อสู้ของเพชฌฆาตตัวตลก เพียงชั่วเวลาหนึ่ง ก็ได้รับการยอมรับจากกลุ่มกองกำลังต่างโลกทั้งหลายอย่างรวดเร็ว

 

—ทีมที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้รับทุกสิ่งอย่าง!

 

กฏแห่งผืนป่า ที่ได้รับการยอมรับตลอดทั่วทุกโลกหล้า -ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้ครอบครองทุกสิ่ง!

 

ในขณะเดียวกัน นี่ยังเป็นการช่วยหลีกเลี่ยงสงครามขนาดใหญ่อีกด้วย ต้องไม่ลืมนะว่า หากเกิดสงครามแย่งชิงโลก ไม่ว่าฝ่ายใดก็ล้วนต้องสูญเสียกำลังพลของตน ดังนั้นการส่งตัวแทนเข้าร่วมประลอง อย่างน้อยก็จะช่วยให้คนของโลกตนเองไม่ต้องรับความทนทุกข์ทรมานจากการสูญเสียไป

 

เพราะมันเป็นไปไม่ได้ หากคิดจะมากลับคำเสียใจในภายหลัง

 

เมื่อตัวตลกไม่พอใจ มันก็แค่ปล่อยการโจมตีสุ่มๆออกมา ทำไปเรื่อยๆจนกว่าโลกจะล่มสลาย

 

นอกจากนี้ ผู้เล่นเกมที่แข็งแกร่งที่สุดในการประลอง ย่อมจะไม่มีทางอนุญาตให้อีกฝ่ายก้าวเดินลงไปจากเวทีอย่างมีชีวิตอย่างแน่นอน

 

ทุกคนคงคิดจะป้องกันไม่ให้ศัตรูพยายามจะลุกฮือขึ้นมาต่อสู้อีกครั้ง

 

นี่คงจะเป็นการต่อสู้อันเดือดพล่าน

 

เป็นการต่อสู้ของทั้งหกโลก เพื่อช่วงชิงความเป็นหนึ่ง!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.515 – ตัวตลกบ้า

 

ณ กองบัญชาการกองทัพพันธมิตรโลก

 

เพชฌฆาตตัวตลกปรากฏกายและพร้อมที่จะลุยแล้ว!

 

“นายคิดจะทำอะไร? แล้วพอจะมีอะไรที่พวกเราช่วยได้บ้างไหม?” ซางหยิงฮ่าวถาม

 

เพชฌฆาตตัวตลกยกนิ้วขึ้นมาจุ๊ๆที่ริมฝีปากของมัน

 

“ชู่ววว”

 

มันโบกมือไปมาแก่คนอื่นๆ ส่งสัญญาณให้ทุกคนหุบปากลง

 

ดังนั้น ทุกคนจึงหยุดพูดและมองไปที่มันอย่างเงียบๆ

 

ตัวตลกเงี่ยหู และตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่ง

 

แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

 

ทุกอย่างเงียบสนิท

 

เพชฌฆาตตัวตลกบังเกิดความพึงพอใจ

 

“ได้ยินอะไรไหม” มันเปล่งเสียงกระซิบ

 

ทุกคนพอได้ยินก็หันมามองหน้ากันและกัน

 

ท่ามกลางความเงียบ มันไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ

 

แล้วพวกเขาจะไปได้ยินอะไรได้ยังไง?

 

ซางหยิงฮ่าวกางมือและผายออก แสดงท่าทีไถ่ถามกลับไปยังเพชฌฆาตตัวตลก

 

“มันคือเสียงของความเงียบสงบก่อนพายุจะเกิดยังไล่ะ” เพชฌฆาตตัวตลกกล่าว

 

ท่ามกลางความเงียบงัน ตัวตลกเปล่งเสียงเฉลยราวกำลังท่องคาถาร่ายมนตราออกมา

 

เวลานี้ มันกำลังทำตัวราวกับเป็นผู้ส่งสารของพายุวิบัติ!

 

“พายุ? อ้อ เป็นคำอุปมาอุปไมยใช่ไหม แล้วจะให้พวกเราทำยังไงกันต่อไป?” เหลียวฮังถาม

 

ทุกคนมองไปยังเพชฌฆาตตัวตลก

 

มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพได้

 

แล้วกลยุทธ์ที่กู่ฉิงซานทิ้งไว้มันคืออะไร เมื่อไหร่แกจะบอกมาได้ซักที!

 

เห็นแค่เพียงเพชฌฆาตตัวตลกที่สูดหายใจลึก และจู่ๆก็หวีดร้องลั่นขึ้นทันใด “เหล่าสหายของกระผม! โปรดจงรอดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ดี เพราะทุกๆอย่างที่เห็น มันบ่งบอกว่า-”

 

“เกมใหม่กำลังจะเริ่มเปิดฉากแล้ว!”

 

ปัง!

 

ตัวตลกพุ่งกระแทกหลังคา ทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยตรง

 

ในชั่วพริบตาเดียวมันก็หายไป

 

“ไอ้ตัวตลกนี่ท่าจะบ้า ..”เทพนักสู้ซางซ่งหยางบ่นงึมงำ

 

“ปล่อยเขาไปแบบนี้มันจะดีหรอ? ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา มันยังไม่มากพอที่จะเอาชนะผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพได้นะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

เทพธิดากงเจิ้ง “ใต้เท้ากู่ฉิงซานได้มอบสิทธิ์อำนาจในการรบทั้งหมดให้แก่มิสเตอร์เย่เฟย์หยูแล้ว”

 

“งั้นหรอ ฉันหวังว่ากู่ฉิงซานจะคิดถูกนะ” ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจ

 

“เทพธิดากงเจิ้ง ช่วยเปิดระบบเฝ้าระวังทั่วโลกให้พวกเราหน่อย แสดงภาพให้พวกเราเห็นทีว่าเขาต้องการจะทำอะไร” ประธานาธิบดีเอ่ยขอ

 

“รับทราบแล้ว เชิญทุกท่านรับชมไปพร้อมๆกันได้เลย” เทพธิดาตอบรับ

 

แล้วจอม่านแสงขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน

 

ปรากฏภาพของเพชฌฆาตตัวตลกกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงบนหน้าจอ

 

มันบินตรงไปยังเมืองที่ผีร้ายได้รวบรวมเอาไว้

 

ในแง่ของความแข็งแกร่งที่มันครอบครอง นี่คือการโยนตัวเองเข้าไปในกับดักอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“เทพธิดากงเจิ้ง นั่นเย่เฟย์หยูมันคิดจะบินไปตายรึยังไง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามเสียงหม่น

 

เทพธิดากงเจิ้ง “ฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เป็นเพราะใต้เท้ากู่ฉิงซานอนุญาตให้เขาทำทุกอย่าง ดังนั้นฉันจึงไม่มีอำนาจที่จะหยุดมัน”

 

“แต่ข้าว่าเขาดูวิกลจริตไปหน่อยนะ หากเขาทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอันตราย เจ้าก็ยังไม่คิดจะหยุดมันงั้นหรือ?” เวโรน่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“ไม่หยุดแน่นอน”

 

“แล้วถ้ามันคิดจะทำลายโลกล่ะ จะหยุดมันไหม?” เหลียวฮังถาม

 

“ไม่ ฉันก็จะทำตามคำสั่งของใต้เท้า ในทางตรงกันข้าม ฉันนี่แหละจะเป็นผู้ช่วยมิสเตอร์เย่เฟย์หยูทำลายโลกใบนี้เอง!” เทพธิดากล่าวอย่างสงบ

 

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

 

ทั่วทุกมุมโลก

 

ผีร้ายกับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพทั้งหมดก็หยุดทุกการกระทำของตนลง

 

เพราะรอบๆตัวพวกเขา หน้าจอใดก็ตามที่ยังสามารถฉายภาพได้ จู่ๆก็ถูกเปิดขึ้น

 

แน่นอน พวกเขารู้อยู่แล้วว่าในโลกนี้ มีบางสิ่งที่สามารถเล่นภาพเคลื่อนไหวได้

 

แต่เวลานี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาได้เห็นว่าอุปกรณ์เล่นภาพเคลื่อนไหวทั้งหมดในโลก ฉายออกมาในเวลาเดียวกัน ฉากนี้แลดูงดงามและน่าตื่นตาไม่น้อย

 

เพราะเหตุการณ์นี้มันเหนือล้ำเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถจินตนาการได้

 

เห็นแค่เพียงคนแปลกๆที่ปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง

 

ไม่สิ จะกล่าวว่าคนก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะดูจากภาพที่ปรากฏออกมาแล้ว มันเหมือนกันมอนสเตอร์เหล็กซะมากกว่า

 

“เพชฌฆาตตัวตลก!”

 

บางคนร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ

 

พวกคนเหล่านี้คือมนุษย์ปกติ แต่ได้เลือกให้ตนเองกลายมาเป็นทาสของผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ กลายเป็นสุนัขที่คอยรับใช้พวกเขา

 

นอกจากนี้ ยังมีมนุษย์บางส่วนที่พึ่งเปลี่ยนตนเป็นผีร้ายในร่างใหม่อีกด้วย

 

ผีร้ายเหล่านั้นได้อธิบายถึงต้นกำเนิดของเพชฌฆาตตัวตลกให้กับผีร้ายจากโลกอื่นอย่างรวดเร็ว

 

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครรู้ถึงที่มาจริงๆของเพชฌฆาตตัวตลก แต่สิ่งหนึ่งที่มันได้ทำมานานนมแล้ว ก็คือ ‘การสร้างความหวาดกลัวให้กับมนุษยชาติ’

 

เมื่อได้รับฟัง เทพและผีร้ายก็ค่อยๆเข้าใจเกี่ยวกับความจริงของตัวตลกผู้นี้มากยิ่งขึ้น

 

“มันคือสิ่งมีชีวิตอะไรกันแน่?” ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพกล่าวด้วยความสับสน

 

“ไม่ต้องกังวลไป ลองดูกันก่อนว่ามันคิดจะทำอะไร” ผู้สืบสายโลหิตอีกคนกล่าว

 

ณ เวลานี้ สายตาของเทพและผีร้ายทั้งหมด แม้กระทั่งมนุษย์บนโลก ต่างก็จับจ้องไปบนจอม่านแสง

 

เพชฌฆาตตัวตลกดูเหมือนว่าจะตระหนักถึงสถานการณ์ดังกล่าว

 

มันยกมือข้างหนึ่งขึ้น และค่อยๆหุบนิ้วลง

 

“สาม”

 

“สอง”

 

“หนึ่ง”

 

“เริ่มได้!”

 

คลื่นเสียงอิเล็กทรอนิคของดนตรี rock amd roll กระหึ่มออกมาจากจอม่านแสง

 

พร้อมกับภาพฉากต่างๆที่ถูกนำเสนอขึ้นมา

 

ภาพเหล่านี้ ทั้งหมดคือภาพการต่อสู้ของผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ หลังจากนั้นต่อมาอีกไม่กี่นาที มันก็เปลี่ยนไปเป็นภาพการต่อสู้ของผีร้าย

 

ทั้งผีทั้งเทพจ้องมองดูภาพการต่อสู้ นิ่งงันไม่สักพักหนึ่ง ในหัวใจไม่อาจทำความเข้าใจได้

 

“นี่มันอะไรกัน?”

 

“ไม่รู้สิ แต่เจ้าเห็นนั่นไหม นั่นภาพข้าตอนกำลังโจมตี มันช่างดูหล่อเหลาซะจริงๆ”

 

“ของเจ้ามันไม่นับเป็นสิ่งใด ดูนั่น คราวนี้เป็นข้า ภาพของข้าที่ทำลายหุ่นรบห้าตัวในคราเดียว”

 

บรรดาผีกับเทพต่างพูดคุยกระซิบกระซาบกัน

 

เมื่อชุดภาพสุดท้ายของฉากต่อสู้อันงดงามจบลง เสียงเพลงบรรเลงปลุกเร้าใจก็ค่อยๆหายไป

 

เพชฌฆาตตัวตลกกระแอมไอเบาๆและเริ่มพูด

 

“จากนี้ไปจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว ขอให้ทุกคนเลือกคนที่คิดว่าเหมาะสมทั้ง 7 คนจากในกลุ่มของตนออกมา เพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมการประลองราชันย์สงคราม! และผู้ชนะคนสุดท้ายก็จะได้โลกใบนี้ไปครอบครอง!”

 

บังเกิดความเงียบงันขึ้นทันใด

 

ผีร้ายกับเทพงงไปสักพักหนึ่ง

 

“ประลองราชันย์สงครามงั้นหรอ?”

 

“มันคือสิ่งใดกัน?”

 

“ไม่รู้สิ ใช่ว่าเป็นพิธีกรรมใด พิธีกรรมหนึ่งของโลกนี้รึเปล่า?”

 

“แต่ฟังดูเหมือนมันจะเป็นอะไรเกี่ยวกับการต่อสู้นะ”

 

พวกเขากระซิบกระซาบกัน

 

แล้วเหล่ามนุษย์ที่เลือกจะทรยศต่อเผ่าพันธุ์กับพวกที่เลือกเปลี่ยนตนเป็นผีชั่วร้ายก็เริ่มอธิบายกับพวกเขาเกี่ยวกับเกมราชันย์สงคราม

 

หลังจากนั้น ทั้งผีทั้งเทพก็เข้าใจในที่สุด

 

ที่แท้ก็แค่เกม …

 

เทพสวรรค์ยังคงเงียบ

 

จนกระทั่งชั่วเวลาหนึ่ง เขาก็ถอนหายใจออกมา “เจ้ามนุษย์ผู้นี้ สงสัยสมองจะมีปัญหา ผู้ใดกันจะไปมีเวลาว่างมาเล่นเกมกับมัน?”

 

อีกด้านหนึ่ง ราชาผีเพลิงน้ำแข็งก็หันไปกล่าวกับทางเหล่าผีร้าย “มันก็แค่มนุษย์ปัญญาอ่อน ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ พวกเราไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับมันหรอก”

 

ราชาผีเพลิงน้ำแข็งกับลูกน้องผีร้ายมากมาย กำลังจะเข้าโจมตีเมืองใหม่

 

แต่ในตอนนั้นเอง เสียงของเพชฌฆาตตัวตลกก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“บางที พวกคุณอาจจะคิดว่ากระผมเป็นบ้า หรือไม่บางทีพวกคุณอาจจะขี้เกียจเกินไปและไม่ต้องการที่จะมีส่วมร่วมในการเล่นเกมนี้”

 

“แต่ที่กระผมอยากจะบอกก็คือ–”

 

“ไม่เหลียวแลกันแบบนี้มันไม่น่ารักเอาซะเลย”

 

เพชฌฆาตตัวตลกยกมือขึ้น และปรบมันเบาๆ

 

ด้วยการปรบมือของเขา ผีร้ายและเทพตลอดทั่วทุกมุมโลกพลันชะงักงัน

 

เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกออกไป

 

ผืนโลกเกิดการสั่นสะเทือน

 

กระแสการไหลของอากาศบนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนไปอย่างลึกล้ำ

 

แสงกัมมันตรังสีปรากฏขึ้น นี่คือพลังอำนาจที่ไม่เป็นมิตรเป็นอย่างมากกับโลก

 

ความรู้สึกนี้ .. ส่งผลให้หัวใจของเทพสวรรค์หม่นทะมึนลง

 

“ไปดูกัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เทพสวรรค์เอ่ยปากสั่ง

 

“น้อมรับบัญชา!”

 

เทพสวรรค์นำพาหลายสิบผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ ทะยานมุ่งตรงไปยังสถานที่ๆเป็นต้นกำเนิดแรงสั่นสะเทือนของโลก

 

พวกเขาเดินทางมาอย่างรวดเร็ว และไม่นานก็มาถึงที่เกิดเหตุในที่สุด

 

เมื่อเทพมาถึง ผีร้ายก็มาถึงพอดีเช่นกัน

 

อีกฝั่งคือราชาผีเพลิงน้ำแข็ง

 

ทั้งผีทั้งเทพมองหน้ากันและกัน ก่อนจะเบนสายตาออกไปดูฉากโดยรอบ

 

เห็นแค่เพียงผืนทะเลทราย ที่ฟุ้งไปด้วยอากาศร้อนเดือดพล่าน กลิ่นอายของการทำลายล้างแพร่กระจายออกไปทั่วผืนฟ้า ร่ายระบำออกไปตามสายลม

 

“เจ้ารู้สึกถึงมันหรือไม่?” เทพสวรรค์เอ่ยถามเสียงหม่น

 

“รู้สิ เจ้าสิ่งนี้มันเป็นอันตรายต่อโลกเป็นอย่างยิ่ง มันปลดปล่อยคลื่นความผันผวนที่สามารถกัดกร่อนและสร้างความเสียหายต่อโลกได้เป็นเวลานาน” ราชาผีเพลิงน้ำแข็งกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.514 – กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานออกจากโลกเดิม

 

หลังจากนั้นสิบวินาทีต่อมา

 

ณ กองบัญชาการพันธมิตรโลก

 

เทพธิดากงเจิ้งได้ปรากฏขึ้นที่นี่พร้อมกับบอกกล่าวถึงคำพูดที่กู่ฉิงซานทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

 

ซางหยิงฮ่าว เย่เฟย์หยู เหลียวฮัง ประธานาธิบดี จักรพรรดินีเวโรน่า และเทพนักสู้ซางซ่งหยางได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

 

พวกเขาจ้องมองบนจอม่านแสง ต่างคนต่างตกลงสู่ห้วงความคิด

 

เพราะสิ่งที่อยู่บนจอม่านแสง มันเหนือล้ำกว่าจินตนาการของพวกเขามากเกินไป

 

อาจจะกล่าวได้เลยว่า คำที่อยู่ตรงหน้า มันผิดแผกไปจากสถานการณ์ปัจจุบันโดยสมบูรณ์

 

เห็นแค่เพียงหนึ่งบรรทัดตัวอักษรบนจอม่านแสง

 

“เกมราชันย์สงครามไง! นายคือบอสตัวสุดท้าย!”

 

ไม่มีใครสามารถทำใจเชื่อได้ว่านี่คือกลยุทธ์ตอบโต้ที่กู่ฉิงซานทิ้งเอาไว้

 

“ตามคำบอกเล่าของเทพธิดากงเจิ้ง ประโยคนี้ถูกส่งตรงมายังเย่เฟย์หยู” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

เย่เฟย์หยูยืนนิ่งอยู่หน้าจอม่านแสง โดยไม่เอ่ยอะไรออกมาซักคำ

 

ดูเหมือนว่าเขาจะจมอยู่ในความคิดบางอย่างอันลึกล้ำ

 

“เฟย์หยู ไอ้ประโยคนี้มันหมายความว่ายังไงกัน?” ซางซ่งหยางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

แต่เย่เฟย์หยูก็ยังไม่ตอบเขา

 

เหลียวฮังอธิบาย “ราชันย์สงคราม เป็นเกมต่อสู้ที่โด่งดังมาก แกไม่เคยเล่นหรอกหรอ?”

 

ซางซ่งหยางส่ายหัว

 

เขาหันไปมองคนอื่นๆในห้อง

 

“ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าไม่เคยคิดจะแตะเกมอะไรแบบนี้เลย เพราะมันน่าเบื่อ” เวโรน่ากล่าว

 

“ครั้งสุดท้ายที่ฉันเล่นเกมอะไรแบบนี้ ก็น่าจะเป็นช่วงที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย” ประธานาธิบดีกล่าวทำนองเดียวกับอีกฝ่าย

 

ช่วงเวลานี้ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาซักคน พวกเขาต่างเค้นสมอง คิดไตร่ตรองอย่างหนัก

 

ทั้งห้องจมลงสู่ความเงียบไปชั่วขณะ

 

ขณะที่ทุกคนกำลังเงียบ เสียงถอนหายใจของเย่เฟย์หยูก็ดังขึ้น

 

ทุกคนหันไปมองเขาเป็นสายตาเดียว พร้อมด้วยแววตาที่สาดประกายแห่งความคาดหวัง

 

“นายเข้าใจแล้วใช่ไหมว่ากู่ฉิงซานหมายถึงอะไร?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

“ไม่หรอก แต่ฉันพอจะคิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ และมันก็เป็นเรื่องสำคัญมากซะด้วย”

 

เย่เฟย์หยูหันไปกล่าวกับคนทั้งหมดอย่างจริงจัง

 

อีกเรื่องงั้นหรอ?

 

ในหัวใจของทุกคนบังเกิดความประหลาดใจ

 

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการถอดรหัสคำเหล่านี้ แต่ทำไมเจ้าเด็กนี่มันถึงไปคิดเรื่องอื่นกัน?

 

“นายกำลังหมายถึงอะไร” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่มันรู้สึกแบบว่า–”

 

เย่เฟย์หยูกลั้วลำคอของเขาให้น้ำเสียงมันคมชัดขึ้นและกล่าวอย่างใจเย็น “ในความเป็นจริง บางครั้ง … ฉันก็คิดจริงๆนะว่าชีวิตมันก็เหมือนกับละคร”

 

ทุกคนที่กำลังตั้งใจฟังคำพูดของเขา ต่างก็เผยสีหน้าสับสนออกมา

 

ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการอธิบาย แต่เจ้าเด็กนรกนี่มันกำลังพูดบ้าอะไรออกมา?

 

“ชีวิตเหมือนละคร? อะไรของแก ช่วยพูดให้มันตรงประเด็นจะได้ไหม” เหลียวฮังเริ่มหงุดหงิด

 

“แน่นอน ก็นี่แหละตรงประเด็นเลยล่ะ ที่ฉันต้องการจะพูดก็คือ บางครั้ง ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตตัวเองกำลังเล่นละครอยู่”

 

“ก็แล้วมันหมายความว่ายังไงกันแน่?”

 

“บางทีมันอาจจะเป็นภาพยนต์ บางทีก็อาจจะเป็นซีรี่ส์ในโทรทัศน์ แม้กระทั่งนิยายหรืออะไรสักอย่าง ฉันรู้ว่าชีวิตมันเป็นเพียงภาพลวงตาและพวกเราก็เป็นนักแสดงที่กำลังเล่นอยู่ในละครเรื่องนี้อยู่เท่านั้น”

 

พอได้ฟัง ผู้คนก็กระพริบตาปริบๆ และหันไปมองคนอื่นๆ

 

กำลังเล่นละครชีวิตอยู่?

 

สมองเจ้าเด็กนี่ท่าจะมีปัญหาซะแล้ว!

 

ทว่าเหลียวฮังกลับเผยสีหน้าขบคิดอย่างลึกซึ้ง ปากเอ่ยกล่าว “ที่แกรู้สึกแบบนั้น มันคงเป็นเพราะว่าแกเคยรับหน้าที่เป็นเพชฌฆาตตัวตลกอยู่ช่วงหนึ่งรึเปล่า จิตสำนึกเลยคิดว่าตัวแกกลืนกับบุคลิกนั้นไป”

 

ซางหยิงฮ่าวมองไปยังเย่เฟย์หยู น้ำเสียงท่าทีแสดงความชื่นชม “นั่นอาจจะเป็นความสามารถพิเศษของนายก็ได้ อย่างพวกพรสวรรค์โดยกำเนิดน่ะ”

 

เย่เฟย์หยูเผยท่าทีจริงจัง กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แต่นับจากวันนี้ไป ฉันจะไม่คิดว่ามันเป็นภาพยนต์ เป็นซีรี่ส์ในโทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งนิยายอีกต่อไป”

 

“เพราะอะไร?”

 

เหลียวฮังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

เย่เฟย์หยูหันไปทางเขาและยิ้มออกมา

 

“เพราะไม่ว่าจะภาพยนต์ ซีรี่ส์ หรือนิยายเรื่องไหนๆ ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดอย่างการที่โลกกำลังจะถูกทำลายลงในเร็วๆนี้ ก็มักจะมีผู้กอบกู้ปรากฏตัวออกมา”

 

เย่เฟย์หยูกล่าวต่ออย่างจริงจัง “และผู้กอบกู้ก็จะต้องช่วยเหลือโลก นี่คือกฏเหล็กไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวไหนๆก็ตาม”

 

ทุกคนแข็งค้าง ทั้งคนทั้งร่างตะลึงงัน

 

“ไอ้ที่ว่ามาคงจะเป็นกู่ฉิงซานใช่ไหม แต่ตอนนี้มันวิ่งหางจุกตูดไปแล้วเนี่ยสิ” เหลียวฮังกำหมัดแน่นและกล่าว

 

“ใช่ ดังนั้นคราวนี้เขาจึงไม่ใช่ผู้กอบกู้โลก นี่มันจึงไม่ใช่ภาพยนต์ของเขา” เย่เฟย์หยูกล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด

 

“ฟังดูมีเหตุผลดีนี่นา! ฉันชอบข้อสรุปนี้ของแกนะ”

 

เหลียวฮังเหวี่ยงกำปั้น ชกแตะเบาๆใส่เย่เฟย์หยู

 

ฝูงชนโดยรอบปิดปากเงียบ

 

‘สองบักหำนี่มันเริ่มจะเลอะเทอะเกินไปแล้ว!’

 

ทั้งหมดลอบพูดอย่างลับๆในจิตใจ

 

“เอาล่ะๆ ท่านทั้งสองได้โปรดช่วยบอกผู้บัญชาการรบแสนโง่เขลาผู้นี้ด้วยเถอะ ว่าไอ้ตัวประโยคบ้านี่ จริงๆแล้วมันหมายถึงอะไรกันแน่” ซางหยิงฮ่าวกล่าวประชดประชัน ชี้ไม้ชี้มือไปบนจอม่านแสง

 

เห็นแค่เพียงหนึ่งบรรทัดตัวอักษรที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยกู่ฉิงซาน

 

“เกมราชันย์สงครามไง! นายคือบอสตัวสุดท้าย!”

 

ซางหยิงฮ่าวกล่าว “กู่ฉิงซานดูเหมือนจะบอกความลับกับพวกเราเป็นนัยๆว่า นายคือบอสตัวสุดท้ายที่จะโค่นล้มเทพกับผีร้ายลงได้”

 

เกมราชันย์สงคราม เป็นเกมต่อสู้ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

 

บอสตัวสุดท้าย คือศัตรูที่ทรงพลังที่สุด ที่ผู้เล่นจะต้องเผชิญเมื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ฉากสุดท้าย

 

หลายคนหันมามองหน้ากันและกัน

 

ทุกคนไม่เข้าใจ ว่าทำไมกู่ฉิงซานจึงทิ้งข้อความเกี่ยวกับเกมๆนี้เอาไว้

 

เหลียวฮังยกสองแขนของเขาขึ้นกอดอกและกล่าว “ฉันเองก็เคยเล่นเกมนี้เหมือนกัน แต่ฉันเล่นไม่จบ เพราะไม่สามารถชนะบอสตัวสุดท้ายได้”

 

“ส่วนฉันเคลียร์มันไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งนานแล้ว แถมยังได้เรียนรู้วิธีลับในการปรับเกมอีกด้วย” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

“ปรับเกม? งั้นแกพอจะรู้วิธีปรับเปลี่ยนระดับความยากบ้างไหม?” เหลียวฮังเอ่ยถาม

 

เย่เฟย์หยู“ไม่ ถ้าปรับระดับความยากลงมันก็ไม่สนุกสิ ตอนนั้นฉันเลือกที่จะเรียกบอสตัวสุดท้ายออกมาตรงๆ และจัดการกับมันเพื่อเคลียด่านไปเลยน่ะ”

 

“งั้นพอจะมีวิธีอื่นอีกไหม บอกฉันทีเผื่อฉันจะผ่านมันได้ ใช่สูตร ขึ้นๆ ลงๆ ซ้ายขวา ซ้ายขวา BA รึเปล่า?” ดวงตาของเหลียวฮังเปล่งประกาย

 

“ไม่ใช่หรอก” เย่เฟย์หยูส่ายหัว “แต่จะบอกก็ได้ เพราะถึงยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์กับคุณอยู่ดี -มีเพียงผู้เข้าแข่งขันระดับแพลทินัมในการประลองครบรอบ 20 ปีของเกมราชันย์สงครามเท่านั้นแหละที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์เปลี่ยนแปลงตัวละคร”

 

“นี่แกเป็นผู้เล่นแพลทินัมงั้นหรอ?” เหลียวฮังอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “มีแค่คนที่สามารถเคลียเกมได้โดยสมบูรณ์เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติกลายเป็นแพลทินัม!”

 

สีหน้าของเย่เฟย์หยูเผยถึงความภาคภูมิใจ “ไม่เพียงแค่ได้กลายเป็นแพลทินัมนะ การจัดอันดับโลกในครั้งก่อน ฉันยังอยู่ถึงอันดับ 7ของโลกอีกด้วย และตอนนี้ฉันก็ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกแล้ว”

 

เขายืดอกขึ้น และมองไปที่ทุกคน เตรียมพร้อมที่จะน้อมรับสายตาเชิญชูบูชา

 

แต่น่าเสียดาย ที่นี่เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญ การเป็นที่หนึ่งในเกมดูจะไม่ควรค่าแก่การชื่นชมสักเท่าไหร่

 

ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม “แล้วกู่ฉิงซานรู้เรื่องนี้รึเปล่า?”

 

“แน่นอนเข้ารู้”

 

“งั้นเขาก็เป็นมือโปรเกมนี้ด้วยสิ?”

 

“ไม่นะ เขาบอกเขาไม่มีกระทั่งเงินจะซื้อรุ่นปกติมาเล่น ดังนั้นเขาเลยมักจะอิจฉาและชื่นชมฉันเสมอ”

 

ซางหยิงฮ่าวกับเหลียวฮังหันมามองหน้ากันวูบหนึ่ง

 

เหลียวฮังกล่าว “ถ้าอย่างนั้นแกก็รีบแสดงทักษะของตัวละครออกมาเร็วๆเข้า พวกเราทุกคนจะได้ช่วยกันรีบวิเคราะห์มัน”

 

“ไม่จำเป็นหรอก” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

เขาเอ่ยปากขณะที่สายตายังคงจ้องมองจอม่านแสง “เพราะข้อความพวกนี้ จริงๆแล้วเขาทิ้งมันไว้ให้ฉันโดยเฉพาะ”

 

เย่เฟย์หยูแม้จะยืนอยู่กับที่ แต่ทั้งขาทั้งแขนของเขากลับสั่นไหวไม่หยุด

 

“ฉันว่าบางที … บางทีนะ ฉันอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าเขากำลังจะสื่ออะไร ใช่ .. ฉันว่าฉันรู้แล้วแน่ๆ”

 

เย่เฟย์หยูบ่นพึมพำเบาๆ

 

“รู้แล้วอย่างงั้นหรอว่ากู่ฉิงซานหมายถึงอะไร!?” ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกัน

 

เย่เฟย์หยูเลียริมฝีปากของเขา เริ่มเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ใช่ ฉันคือตัวตลก ฉันคือคนที่โค่นเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ลงได้ ฉันคือบอสตัวสุดท้าย!”

 

เย่เฟย์หยูส่งสัญญาณมือไปทางจอม่านแสง

 

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “มิสเตอร์เย่เฟย์หยู เกราะรบพร้อมแล้ว คุณแน่ใจหรือไม่ว่าต้องการที่จะออกไป”

 

“ฉันแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว”

 

“รับทราบ” เทพธิดากงเจิ้งตอบรับ

 

บังเกิดเสียงไดรฟ์จักรกลดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเกราะรบที่สาดประกายเย็นเยียบผุดออกมาจากใต้พื้น

 

นี่คือชุดเกราะรบขับเคลื่อนที่มีความสูงราวๆสองเมตร

 

ตลอดทั้งร่างของมันเป็นสีดำหมึก แม้ทั้งหุ่นทั้งร่างจะแลดูบอบบาง แต่มันก็สาดประกายมืดมนและเย็นชาออกมาตลอดเวลา

 

ส่วนสิ่งที่น่าแปลกที่สุดบนชุดเกราะนี้ก็คงจะไม่พ้นเกราะหมวก

 

เป็นเพราะตรงส่วนเกราะหมวกนี่แหละ ที่ส่งผลให้เกราะรบขับเคลื่อนสื่ออารมณ์ความรู้สึกแปลกๆออกมา

 

—นัยตาของมันดูว่างเปล่า สีหน้าของมันแข็งค้าง ตรงจมูกเป็นจงอยยาวแหลม ขณะเดียวกันตรงมุมปากกลับยิ้มเย็นชากว้างจนเกินพอดี

 

แม้มันจะดูราวกับกำลังพยายามที่จะทำให้ใครซักคนรู้สึกพอใจ แต่หากคุณได้เฝ้ามองมันอย่างใกล้ชิด คุณจะพบว่ารอยยิ้มของมันนั้นมิใช่รอยยิ้มด้วยเสียงหัวเราะเลย แต่มันดูเหมือนเป็นรอยยิ้มสยองขวัญที่อยากจะทำให้ผู้คนรู้สึกผวาเสียมากกว่า

 

เย่เฟย์หยูก้าวไปข้างหน้า และกดมือของเขาลงบนชุดเกราะ

 

บนเกราะรบขับเคลื่อน ปรากฏประกายแสงสีฟ้าสาดออกมา

 

“คลื่นสมองส่วนบุคคลได้รับการยืนยันแล้ว”

 

“เริ่มสวมใส่ได้”

 

เกราะรบขับเคลื่อนแยกตัวออกเป็นสัดเป็นส่วน แต่ละชนิดบินออกมาประกบลงตามตัวของเย่เฟย์หยู ทีละชิ้น ทีละชิ้น จนสมบูรณ์

 

บัดนี้ เย่เฟย์หยูมิได้อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป

 

แต่เป็นเพชฌฆาตตัวตลกที่เข้ามาแทนที่ และปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน

 

“อาา ฮ๊าาา ห่างหายกันไปนานมากเลยจริงๆ แต่ในที่สุดกระผมก็ได้กลับมายังโลกสวนสนุกแห่งนี้อีกครั้งแล้ว~”

 

เพฌชฆาตตัวตลกประกาศกร้าวออกมาด้วยน้ำเสียงกระเส่าทุ้มลึก

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.513 – ครึ่งชั่วโมง

 

ณ โลกเดิม

 

ภายในสหพันธรัฐรัฐบาลกลาง บริเวณชานเมืองของเมืองหลวง

 

วิลล่าบนภูเขา

 

ม่านรังสีแสงกระพริบไหว พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่ปรากฏขึ้น

 

วินาทีที่เท้าสัมผัสกับพื้น เขาก็เริ่มทำสมาธิ คิดถึงภาพของ ‘สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม’ ทันที

 

ขณะเดียวกันกับความนึกคิดของเขา ด้ายเส้นบางๆก็ปรากฏขึ้นในความอากาศที่ว่างเปล่า

 

ด้ายบางๆที่ว่านี้ คือด้ายมิติที่กำลังเชื่อมต่อระหว่างเขา เชื่อมต่อกับสมาคมกำปั้นเหล็กในโลกมิติอนันต์อันไกลโพ้น

 

กู่ฉิงซานดึงด้ายบางๆที่ว่าจากในความว่างเปล่า

 

ด้ายมิติเริ่มทำการตอบสนองอย่างรวดเร็ว

 

มันเริ่มต้นที่จะพริ้วไหวด้วยอัตราเร็วที่เชื่องช้า

 

—คงเป็นเพราะระยะทางมันอยู่ไกลเกินไป

 

แม้ว่าสัญญาณโลกมิติอนันต์จะถูกเปิดใช้งานแล้วก็ตามที แต่ด้ายมิติยังจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักเล็กน้อยเพื่อเตรียมการ

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในอากาศที่ว่างเปล่า กู่ฉิงซานก็พยักหน้าอย่างลับๆ

 

นับจากช่วงเวลานี้ไป สัญญาณกำลังเริ่มต้นกระบวนการเคลื่อนย้ายแล้ว

 

นี่เป็นกระบวนการที่ไม่สามารถย้อนกลับ หรือหยุดมันได้

 

เสี่ยวเหมียวกล่าวกับกู่ฉิงซานว่าตัวเขาน่าจะถูกส่งกลับมาในระยะเวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมง

 

แล้วเขามีอะไรที่พอจะสามารถทำได้บ้างนะ ในครึ่งชั่วโมงนี้?

 

กู่ฉิงซานเหยียดแขนบิดขี้เกียจ

 

ดูเหมือนว่า … จะไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้เลย

 

แต่แล้วจู่ๆสมองควอนตัมของเขาก็ส่องสว่างขึ้นทันใด

 

“ใต้เท้า ฉันมีความสุขเหลือเกิน ที่คุณกลับมาในเวลาที่เหมาะสมเช่นนี้” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น

 

“หืม? มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“พวกเรากำลังพบกับปัญหาใหญ่ .. ใหญ่มากๆ” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

ข้อมูลจำนวนมากปรากฏขึ้นบนสมองควอนตัม

 

นับตั้งแต่วันที่เทพกับผีร้ายบุกเข้ามาในโลก ทุกๆเหตุการณ์สำคัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น เริ่มปรากฏต่อหน้ากู่ฉิงซาน

 

“เทพกับผีร้ายบุกโลก?” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

“แล้วตอนนี้ผีร้ายกับเทพมีจำนวนทั้งหมดเท่าไหร่? เวลาของฉันมีจำกัดมาก เตรียมเครื่องจั๊ม์ไว้พร้อมรึยัง ฉันจะได้รีบจัดการกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”

 

ขณะเอ่ยถาม กู่ฉิงซานก็คว้าจับดาบพิภพจากในอากาศที่ว่างเปล่า

 

เขาพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดนี้ในคราเดียว!

 

“ไม่ได้หรอกใต้เท้า เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

ข้อมูลเพิ่มเติมปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง

 

จากสถานการณ์ปัจจุบัน ผีร้ายหลายหมื่นตนและผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพหลายร้อย กำลังแยกย้าย กระจายตัวกันออกไปทุกมุมโลก

 

และฟังจากบทสนทนาระหว่างทั้งสอง ก็ยังได้ข้อมูลมาว่าโลกอาชูร่ากับโลกจ้าวอสูรก็กำลังซ่อนตัว จับตาดูโลกใบนี้ด้วยความโลภอยู่เช่นกัน

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ปัญหามันไม่ง่ายดายจริงๆด้วย” กู่ฉิงซานดูข้อมูลที่ส่งมา เขาเริ่มรู้สึกปวดหัว

 

การเคลื่อนย้ายมิติกำลังดำเนินการอยู่ ดังนั้น-

 

-เขาจึงมีเวลาเพียงราวๆครึ่งชั่วโมงเท่านั้น!

 

มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนๆเดียว ที่จะเดินทางไปทั่วทั้งโลกในเวลาครึ่งชั่วโมง และจัดการรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ทั้งหมด

 

อาชูร่ากับจ้าวอสูรยังคงอยู่ในโลกของตนเอง และยังเลือกที่จะไม่บุกเข้ามา

 

พวกเขากำลังเฝ้าดูและเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ

 

หากจะแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ให้จบโดยสมบูรณ์ กู่ฉิงซานจำต้องทุ่มเททั้งพลังงานและเวลาเป็นจำนวนมาก

 

-และเขาก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทำเช่นนั้น

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก

 

เขามองดูข้อมูลต่างๆอย่างรอบคอบ และพยายามที่จะสงบใจให้เย็นลง

 

หลังจากเฝ้าดูเนื้อหาเหล่านี้และเริ่มคิดวิเคราะห์ถึงในทุกๆแง่มุมต่างๆ เวลา10นาทีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

อีก 20 นาที เขาจะถูกส่งกลับไป

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง ยกมือขึ้นนวดหน้าผากของเขา

 

เขาค่อยๆพยายามนึกถึงข้อมูลทั้งหมดที่ตนพึ่งได้รับมาอย่างเงียบๆ

 

ในแต่ละเรื่องที่ผีร้ายกับเทพกระทำ ในแต่ละเรื่องที่พวกเขาพูดคุย ทั้งหมดล้วนปรากฏอยู่ในทะเลแห่งห้วงสติของกู่ฉิงซาน

 

“ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ … แต่ละผู้สืบสายโลหิตจะมีสกิลเทวะเป็นของตนเอง พวกเราที่เป็นผู้ฝึกยุทธจึงไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ วิธีอะไรกันนะถึงจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ทั้งหมดนี้ลงได้ … ” กู่ฉิงซานเอ่ยงึมงำ

 

และก็ปัญหานี้เช่นกัน ที่มันทำให้ซางหยิงฮ่าวต้องปวดหัวตลอดเวลา

 

เทพธิดากงเจิ้งถาม “ใต้เท้า ต้องการให้ฉันแจ้งทุกคนรึเปล่าว่าคุณกลับมาแล้ว”

 

“ไม่ เวลามีน้อยเกินไป ขอฉันคิดสักครู่นะ”

 

กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น และเดินไปรอบๆห้อง

 

เขากลับมาสงบลงได้ในที่สุด และเริ่มเค้นสมองขบคิดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

ไม่ว่าโลกจะเป็นอย่างไร ยังไงเขาก็จะต้องช่วยซูเซี่ยเอ๋อก่อนเป็นอันดับแรก

 

แต่ว่า –

 

หากเราสามารถคิดแผนการที่เป็นไปได้ในการแก้ปัญหาของโลกใบนี้ ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง ก็คงจะช่วยเหลือทุกคนได้ไม่น้อย

 

เมื่อพิจารณาถึงเรื่องดังกล่าวนี้ในจิตใจ กู่ฉิงซานก็กล่าวทันทีว่า “ช่วยนำชุดข้อมูลหมายเลข 7 , 93 , 136 ,385 กับ614 ให้ฉันดูอีกครั้งนึงซิ”

 

“น้อมรับคำสั่ง ใต้เท้า”

 

บนสมองควอนคัม ทุกๆวิดีโอและภาพข้อมูลต่างๆกระพริบไหวอย่างรวดเร็ว

 

ด้วยความรวดเร็วดังกล่าวนี้ มันเป็นอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถมองตามทันได้เลย

 

หากมีใครมาเห็นถึงฉากนี้ พวกเขาคงยากที่จะทำใจเชื่อ

 

“ช้าเกินไป ช่วยเพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลให้มากกว่านี้อีกสิ” เขาสั่ง

 

“รับทราบ ใต้เท้า” เทพธิดากงเจิ้งรับคำ

 

ทุกชนิดของข้อมูลบนจอม่านแสงถี่ระรัวขึ้นยิ่งกว่าเดิม คราวนี้จากกระพริบไหว เปลี่ยนเป็นโผล่ขึ้นมาเสี้ยวพริบตาเดียวมันก็หายไป

 

นี่มันเกือบจะเกินกว่าความเร็วที่มนุษย์จะสามารถทำความเข้าใจได้แล้ว!

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูอย่างระมัดระวัง เขาพยักหน้าบ้างเป็นครั้งคราว คล้ายกับกำลังยืนยันสถานการณ์ต่างๆ

 

ครู่หนึ่ง กู่ฉิงซานก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง

 

เขาเอ่ยเสียงกระซิบ “ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือผีร้าย กระทั่งพวกอาชูร่ากับจ้าวอสูร พวกเขาทุกฝ่ายล้วนต้องการโลก แต่ไม่คิดจะทำลายมัน”

 

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ใช่แล้วใต้เท้า เรื่องนี้มิสเตอร์ซางหยิงฮ่าวก็ได้ข้อสรุปเดียวกันเช่นกัน”

 

“เอ้า เขาก็รู้เรื่องนี้ด้วยแล้วหรอกหรอ” กู่ฉิงซานหัวเราะ “แล้วทำไมเขาถึงไม่ฆ่าเจ้าพวกนี้ซะล่ะ?”

 

“มิสเตอร์ซางหยิงฮ่าวได้งัดทุกกลยุทธ์ร้ายกาจออกมาใช้มากมาย แต่ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพแข็งแกร่งเกินไป จนกลยุทธ์ใดๆก็ไร้ผล”

 

“ผู้สืบสายโลหิตแข็งแกร่งเกินไปสินะ … ”

 

กู่ฉิงซานคิดและเอ่ยถาม “เย่เฟย์หยูล่ะไปอยู่ไหน? เขาเป็นผีดิบนักฆ่าไม่ใช่หรอ ทำไมคุณถึงไม่ช่วยทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น?”

 

เทพธิดาตอบ “ตามการคำนวณของฉัน แม้อัตราการพัฒนาของเขาจะรวดเร็ว แต่ตัดสินจากเวลาอันกระชั้นชิดแล้ว เขายังไม่เร็วพอที่จะช่วยโลกเอาไว้ได้”

 

“เพราะอะไร?”

 

“เพราะผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพที่แข็งแกร่งที่สุด มีพลังอำนาจเหนือล้ำเกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ ตามการคาดคำนวณเวลาของฉัน สองวันต่อจากนี้โลกทั้งใบจะถูกยึดครองไปโดยผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ และมันสายเกินไปที่เย่เฟย์หยูจะพัฒนาขึ้นได้ทัน”

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้” กู่ฉิงซานพยักหน้ากล่าว

 

เวลาผ่านไปแล้ว 23 นาที

 

กู่ฉิงซานสัมผัสถึงด้ายมิติชัดเจนยิ่งขึ้น

 

ด้ายมิตินี้กำลังพยายามดึงกู่ฉิงซานเบาๆ มันต้องการที่จะนำพาเขาออกไปจากโลกใบนี้

 

เวลาจะหมดลงแล้ว!

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึกๆ และหลับตาลงสักครู่

 

“พวกเขาไม่ได้พยายามทำลายโลก แต่พวกเขาต้องการมัน”

 

เขาเริ่มบ่นงึมงำ

 

นี่คือข้อมูลสำคัญที่สุดที่กู่ฉิงซานคิดได้

 

“ … ‘มนุษย์’ ไม่สามารถเอาชนะผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพได้”

 

“ ‘เย่เฟย์หยู’ ต้องการเวลามากกว่านี้ เพื่อที่จะพัฒนาให้มากยิ่งขึ้น … ”

 

กู่ฉิงซานลืมตาอย่างกระทันหัน

 

เขารู้สึกได้ถึงมัน!

 

ด้ายมิติกำลังเพิ่มแรงดึงขึ้น มันพยายามฉุดลากเขาอย่างหนัก

 

หลังจากนี้อีกหนึ่งหรือสองวินาที ด้ายมิติจะลากเขากลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม!

 

เสี้ยววินาทีนั้นเอง กู่ฉิงซานก็โฉบสองมือลงไปพรมบนแป้มพิมพ์

 

ไม่มีเวลามากพอที่จะอธิบายแล้ว!

 

แม้กระทั่งประโยคที่สมบูรณ์ ก็ยังไม่อาจลงมือพิมพ์ได้!

 

เหลืออีกหนึ่งวินาทีเท่านั-

 

“มอบอำนาจสิทธิ์ทั้งหมดให้แก่เย่เฟย์หยู!”

 

กู่ฉิงซานตะโกนออกมา

 

เขาพิมพ์ไม่กี่คำลงบนแป้นพิมพ์ด้วยความเร็วปานสายฟ้า

 

แกร๊ก!

 

ยามเมื่อตัวอักษรสุดท้ายถูกเคาะลงไป ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานก็หายวับไปจากโลกนี้ทันที

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.512 – หวนคืน

 

กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนเตียง สายตากวาดผ่านไปบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

แถวตัวอักษรหิ่งห้อยขนาดเล็ก ได้บันทึกทุกสิ่งอย่างที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอาไว้

 

พริบตาที่ไพ่สัมผัสกับริมฝีปากของเขา มันก็ถูกตรวจจับได้โดยระบบเทพสงครามทันที

 

ในเสี้ยววินาที ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ก็ถูกเปิดใช้งาน

 

“คุณได้เชื่อมต่อกับไพ่”

 

“ไพ่ใบนี้สำแดงเทคนิคเทียนซวน : ‘ของขวัญจุมพิตจากแม่มด’ ”

 

“ ‘ของขวัญจุมพิตจากแม่มด’ : คนที่ถูกจูบด้วยไพ่ใบนี้ จะตกอยู่ในห้วงความฝันอันแสนวิเศษเป็นระยะเวลาสามวัน และมีเพียงแค่ผู้ที่ครอบครองเทคนิคของขวัญจุมพิตจากแม่มดเฉกเช่นเดียวกันเท่านั้น จึงจะสามารถกำจัดโลกแห่งความฝันได้ ”

 

“เรียนรู้เทคนิคนี้ จำเป็นต้องจ่าย 10000 แต้มพลังวิญญาณ”

 

“คุณต้องการที่จะเรียนรู้เทคนิคนี้หรือไม่”

 

“หมายเหตุพิเศษ : ถ้าคุณเรียนรู้ของขวัญจุมพิตจากแม่มด เทคนิคการจูบของคุณจะก้าวล้ำขึ้นจนถึงระดับสูงสุด”

 

ท่ามกลางสถานการณ์อันคาดไม่ถึงนี้ กู่ฉิงซานก็ตอบสนองทันที

 

เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และใช้ 10000 แต้มพลังวิญญาณเพื่อเรียนรู้ของขวัญจุมพิตจากแม่มด

 

ดังนั้น เขาจึงสามารถได้รับการยกเว้นจากผลกระทบของเทคนิคเทียนซวนนี้

 

ช่วงเวลานี้ กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนเตียง ปากเริ่มบ่นกับระบบเทพสงคราม “ระบบ คุณเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า? ในตอนทีฉันจะเรียนรู้ค่ายกลดาบไท่หยี มันมีค่าเรียนแค่ 2000 แต้มพลังวิญญาณเท่านั้นเองนะ แต่ทำไมพอเป็นเทคนิคของขวัญจุมพิตจากแม่มด ถึงต้องใช้ตั้ง 10000 แต้มพลังวิญญาณด้วย?”

 

ติ๊ง!

 

ระบบตอบกลับ “ทักษะการจูบอันยอดเยี่ยมจะช่วยให้คุณสามารถพิชิตหญิงที่แกร่งกว่าตนถึง 10000 เท่าได้ ขณะที่ค่ายกลดาบไท่หยี ไม่สามารถทำอย่างที่กล่าวมาได้”

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ

 

… เออ พอมาลองคิดๆดู เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

 

“แต่ฉันไม่ต้องการที่จะพิชิตผู้หญิงที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง 10000 เท่าซักหน่อย ..” กู่ฉิงซานยังไม่ยอมแพ้ เขาเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง

 

“ถ้าคุณเสียใจที่ได้เรียนรู้มันไป สามารถจ่าย 100000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อให้ระบบถอนเทคนิคนี้กลับคืนก็ได้ แล้วคุณจะได้จมลงสู่การหลับลึกเหมือนเดิม” ระบบเทพสงครามตอบ

 

กู่ฉิงซานยักไหล่

 

นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวเถียงกันอีกแล้ว

 

เขาหันไปมองฉานนู่

 

และพบว่าดวงตาของฉานนู่ยังคงแดงเรื่อ

 

“นี่เจ้ามีอารมณ์ร่วมกับความไร้เดียงสาของนางงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“นางมิได้ไร้เดียงสาซะทีเดียว นางแค่ทำเพื่อเจ้าด้วยความหวังดีก็เท่านั้นเอง” ฉานนู่อดไม่ได้ที่จะช่วยพูดสนับสนุนซูเซี่ยเอ๋อ

 

กู่ฉิงซานเริ่มหงุดหงิด “ตั้งแต่ที่ยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งคู่ก็ต้องร่วมกันเผชิญหน้ากับปัญหาสิ”

 

“นอกจากนี้ เซี่ยเอ๋อยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ”

 

“สิ่งใดกัน?”

 

“ก็ไม่เข้าใจว่า : ไม่มีอะไรหนักหนาเกินกว่าที่จะหยุดยั้งผู้ชายของเธอ!”

 

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็ผุดลุกขึ้น

 

เขาก้าวออกไป

 

ก๊องงงง!

 

เสียงสะท้อนกังวาน

 

เขากระแทกเข้ากับกำแพงโปร่งใส จนเผลอทิ้งตัวนั่งลง กุมหัวด้วยความเจ็บปวด

 

“อ่า ผู้ชายของเธอถูกหยุดยั้งเอาไว้ได้เสียแล้ว” ฉานนู่กล่าวเย้ย

 

กู่ฉิงซานกุมหัวของเขาด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างยื่นไปแตะๆกำแพงโปร่งใส

 

“นี่มันอะไรกัน!”

 

เขาสูดลมหายใจเย็นเยียบ ปากเอ่ยถาม

 

“ข้าลืมบอกไป ว่าในยามที่เจ้าหลับตา และแสร้งทำเป็นจมสู่ห้วงนิทรา ซูเซี่ยเอ๋อได้เพิ่มเสริมการป้องกันให้แก่เจ้าด้วยเช่นกัน” ฉานนู่กล่าว

 

กู่ฉิงซานวางมือลงบนกำแพงโปร่งใส

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยไม่กี่บรรทัดเด้งเตือนขึ้นมาทันใด

 

‘คำสาบานของพันธนาการ’

 

‘วัตถุที่ได้รับผลจากไพ่ใบนี้ จะสามารถเคลื่อนที่ได้แค่ภายในรัศมีระยะห้าตารางเมตร และไม่สามารถออกไปได้’

 

“นี่เป็นเทคนิคมนตราพันธนาการจิตวิญญาณ ระยะพิสัยของเทคนิคมนตรา : 500 ล้านกิโลเมตร”

 

“ตราบเท่าที่อยู่ในระยะ 500 ล้านกิโลเมตร มันจะสามารถตรวจจับถึงจิตวิญญาณของคุณได้ และมันจะทำงานตลอดเวลา”

 

“คำอธิบาย : เนื่องจากคุณถูกโจมตีโดยไพ่ใบนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอิสระจากมัน”

 

“คำอธิบายพิเศษ : นี่คือไพ่เทคนิคมนตราที่ถูกกลั่นโดยจอมมารทะเลเลือด ด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีของคุณ ย่อมไม่สามารถทะลวงมันได้อย่างสิ้นเชิง”

 

กู่ฉิงซานพอกวาดสายตาถึงคำอธิบายนี้ เขาก็ยิ้มออกมาทันที “น่าเสียดายจริงๆที่เธอไม่รู้ว่าฉันมีดาบที่สามารถสะบั้นได้ทุกกฏเกณฑ์อยู่”

 

พอได้ยิน ฉานนู่ก็รู้ทันทีว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร

 

เธอบินเข้าหามือของกู่ฉิงซาน และแปลงตนเป็นดาบขุนเขาเทวะหกโลกาในทันใด

 

รังสีดาบกระพริบไหว

 

และคมดาบก็สามารถตัดผ่านกำแพงโปร่งใสได้อย่างง่ายดายจริงๆ มันไม่ต่างจากการตัดผ่านน้ำใสๆเลย

 

เมื่อคมดาบตัดผ่าน กำแพงใสก็ถูกแยกออก

 

แต่พริบตาที่คมดาบเลื่อนผ่านมันไป กำแพงใสก็ฟื้นคืนสภาพกลับมาดังเดิมทันที

 

“ … ” กู่ฉิงซาน

 

“ … ” ฉานนู่

 

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาสามารถทะลวงกำแพงใสได้จริงๆ แต่ก็มีเพียงตัวดาบเท่านั้นที่สามารถผ่านไปได้

 

ดาบผ่านได้ แต่กู่ฉิงซาน ผ่าน-ไม่-ได้

 

กู่ฉิงซานจึงผละมือจากดาบขุนเขาเทวะ และดึงดาบพิภพออกมา

 

“จงทำลายมันเพื่อข้าซะ!”

 

กู่ฉิงซานตะคอกพร้อม ยกดาบในมือฟาดตัดไปยังกำแพงใส

 

ดาบพิภพหนักกว่า86.37 ล้านจิน กระแทกเข้าใส่กำแพงใสโดยตรง

 

ทว่ากำแพงใสกลับไร้ซึ่งผลกระทบ ราวกับมันมิได้รู้สึกถึงการโจมตีใดๆเลย

 

มันก็ยังไม่ให้กู่ฉิงซานผ่านไปอยู่ดี

 

กู่ฉิงซานลองพยายามอีกครั้ง คราวนี้เขาเรียกดาบเช่าหยินออกมา ตามต่อด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายจำนวนมาก

 

ทว่าผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม

 

เขาไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้เลย

 

เขาทดลองเปลี่ยนร่างตนเอง แต่ผลลัพธ์ก็ยังล้มเหลว

 

คนที่สร้างไพ่ใบนี้ขึ้นมา ช่างน่าทึ่งเสียจริงๆ

 

ไพ่ใบนี้ผูกติดกับจิตวิญญาณ

 

ดังนั้นแม้กระทั่งการเปลี่ยนรูปมันก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากข้อจำกัดนี้ไปได้

 

กู่ฉิงซานคำรามด้วยความโกรธ

 

ซูเซี่ยเอ๋อได้หายไปแล้ว ดังนั้นเรื่องจะขอร้องเธอคงไม่มีหวัง

 

ถ้าหากเขาไม่สามารถจัดการกับกำแพงนี่ได้ เขาก็จะพลาดการเรียกขานของวิหคหนาม

 

เขาจะยอมปล่อยให้ซูเซี่ยเอ๋อต้องแบกรับทุกสิ่งอย่างแทนตัวเองได้อย่างไร!

 

กู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว

 

สามดาบลอยเวียนวนอยู่ในอากาศ เฝ้าดูเขาเดินหมุนไปหมุนมาภายในกำแพงโปร่งใสอย่างเงียบๆ

 

ดาบเช่าหยินเปล่งเสียงงึมงำ

 

“เขากำลังสับสนอยู่” ฉานนู่ตอบ

 

“ใช่ ยิ่งไปกว่านั้นเขากำลังหงุดหงิดมาก น่าจะกำลังเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ตนมัวแต่แสร้งทำเป็นหลับ ทั้งๆที่พึ่งได้รับจูบแรกมา”

 

ดาบเช่าหยินสั่นไหวไปพักหนึ่ง คล้ายกับว่ามันกำลังหัวเราะอยู่

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ และหันไปอธิบายกับสามดาบว่า “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เซี่ยเอ๋อน่ะขี้ระแวงเกินไป หากข้าไม่แสร้งทำเป็นหลับ นางก็คงไม่ยินยอมบอกถึงความจริงในหัวใจออกมา”

 

“แต่ถึงเจ้าจะรู้ความจริง สุดท้ายก็ติดอยู่ในกับดักของนางอยู่ดี” ดาบพิภพกล่าว

 

“นี่มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปอ่านคำอธิบายบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ ‘คำสาบานของพันธนาการ ระยะพิสัย : 500 ล้านกิโลเมตร’ อย่างงั้นสินะ ..”

 

กู่ฉิงซานเริ่มขบคิดในหัวใจ

 

“ถ้างั้น ในกรณีที่ฉันสามารถทำลายอุปสรรค 500 ล้านกิโลเมตรได้ในพริบตา บางทีเทคนิคมนตรานี้มันอาจจะพังทลายลงก็ได้”

 

“ … 500 ล้านกิโลเมตร … ”

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงสมาธิ

 

ผ่านไปนาน เขาก็เอ่ยถามออกมา “ระบบ ฉันสามารถย้อนกลับไปที่โลกเดิมของตัวเองเมื่อไหร่ก็ได้ใช่ไหม?”

 

ติ๊ง!

 

ระบบตอบ “คุณบรรลุภารกิจแห่งโชคชะตา -สามารถอาศัยอยู่ในสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมได้แล้ว”

 

“ดังนั้น คุณย่อมสามารถกลับไปยังโลกเดิมได้ตลอดเวลา”

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไป

 

ใช่แล้วล่ะ ทุกๆครั้งที่เขาบรรลุภารกิจแห่งโชคชะตา ตนจะสามารถกลับไปยังโลกเดิมได้

 

และครั้งนี้การที่เขาเลือกที่จะอยู่ในสมาคมกำปั้นเหล็กต่อไป ก็เพียงเพราะต้องการปลุกฟังก์ชั่นใหม่ของระบบให้ตื่นขึ้นมาเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานเริ่มคิด

 

กลับไปยังโลกเดิม แน่นอนว่าระยะทางของมันต้องมากกว่า 500 ล้านกิโลเมตร

 

ด้วยวิธีนี้ คำสาบานของพันธนาการ ก็จะคลายลง

 

แต่คำถามเดียวก็คือ เขาจะสามารถกลับมายังที่นี่ได้เร็วแค่ไหน?

 

เพราะถ้าหากเขามาสายเกินไป ตนคงจะไม่ทันตอบรับการเรียกขานของวิหคหนาม

 

จะต้องกลับมายังอัลเบอัสในทันที …

 

แต่แล้วกู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ว่าในทุกๆครั้งที่ตนกลับไปยังโลกเดิม เขาสามารถข้ามกลับมาถึงโลกใหม่อีกครั้งได้เลยในทันทีนี่นา

 

“ระบบ ฉันจะต้องใช้เวลาในโลกเดิมนานแค่ไหน กว่าจะกลับมาถึงที่นี่ได้อีกครั้ง?” เขาถาม

 

“หนึ่งวัน”

 

‘ต้องการตั้งวันนึงเชียวหรอ?’

 

‘แบบนี้เขาก็ไม่สามารถรับการเรียกขานของวิหคหนามได้น่ะสิ’

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามต่ออย่างไม่ยินยอม “พอจะมีวิธีช่วยย่นระยะเวลาให้สั้นลงบ้างไหม?”

 

“มีอยู่สองวิธี”

 

“วิธีแรกคือ?”

 

“วิธีแรก คุณจะต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดในตัวคุณ”

 

“แล้ววิธีที่สองล่ะ?”

 

“วิธีที่สอง ในจุดที่คุณอยู่ มันจะต้องใกล้อัลเบอัส เพราะยิ่งใกล้มากเท่าไร – ระยะเวลาการเดินทางของระบบก็จะยิ่งสั้นลงเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

โลกเดิมของเขา อยู่นอกโลก 900 ล้านชั้น

 

ระยะทางมันไกลเกินไป

 

ไกลมากกกกเกินไป!

 

เดี๋ยวก่อนนะ

 

เขาจำได้ว่าตัวเองมีสัญญาณของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมนี่นา … และมันสามารถช่วยส่งตัวเองกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กได้โดยตรง!

 

และสมาคมกำปั้นเหล็กคงอยู่ไม่ไกลนักจากอัลเบอัส นั่นหมายความว่าระยะเวลาการเดินทางของเขาจะสั่นลงมาก

 

แล้วจากนั้น –

 

เสี่ยวเหมียวยังบอกว่าตัวเธอสามารถส่งคนออกไปจากโลก 300 ล้านชั้นได้

 

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวในการส่งคนของเธอก็คือ เธอไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แม่นยำได้

 

งั้นถ้าเขารบกวนขอให้เธอช่วยเหลือ ระยะห่างระหว่างเขากับอัลเบอัสก็จะยิ่งสั้นลงมากกว่าเดิมไปอีกขั้น!

 

ด้วยกระบวนการนี้ มันจะสามารถช่วยลดระยะเวลาที่สูญเสียไปได้เป็นอย่างมาก

 

“วิธีการแรก จำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณทั้งหมดของฉันจริงๆน่ะหรอ?” กู่ฉิงซานย้ำถามอีกครั้ง

 

ระบบกล่าว “ใช่ นี่เป็นกฏ”

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว

 

แต้มพลังวิญญาณของเขาน่ะเป็นพลังอันแข็งกร้าวที่สุดที่เขารู้จักและมีมันอยู่ ซึ่งมันถูกเรียกว่าพลังเหนือธรรมชาติโดยมารสวรรค์

 

แต้มพลังวิญญาณเหล่านี้ มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับเขา

 

และกู่ฉิงซานก็รู้สึกได้ว่า

 

หากเขาไม่ตระเตรียมพลังอำนาจของตนให้มากพอที่จะรับมือกับการเรียกขานของวิหคหนามแล้วล่ะก็ …ยามเมื่อต้องเผชิญกับทางตัน ตัวเขาเองคงไม่สามารถรอดพ้นจากมันไปได้

 

“ลืมมันเถอะ ฉันจะเลือกวิธีที่สอง คุณช่วยส่งฉันกลับไปจะได้ไหม” กู่ฉิงซานตัดสินใจกล่าว

 

ฝ่ามือที่กางอยู่ค่อยๆถูกกำจนแน่น เขาจะต้องเร่งกลับมาที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นทันใด

 

“ยืนยันคำสั่ง”

 

“เริ่มต้นกระบวนการหวนคืน”

 

“สาม”

 

“สอง”

 

“หนึ่ง”

 

บังเกิดม่านรังสีแสงสว่างวาบรอบตัวกู่ฉิงซาน

 

แล้วเขาก็หายวับออกไปจากห้องอย่างไร้ร่องรอย ..

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.511 – ความตั้งใจของซูเซี่ยเอ๋อ

 

ถึงจะเคยคิดไว้แล้ว แต่ไม่คาดหวังเลยว่าจะได้พบเจอกันเจ้าไก่ในสถานการณ์แบบนี้

 

กู่ฉิงซานลุกขึ้น และเดินไปยื่นมือทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม

 

“ผมมาที่นี่เพราะเรื่องการเรียกขานของวิหคหนามน่ะ”

 

“งั้นหรอ? น่าเสียดายจริงๆที่ฉันแก่เกินไป ไม่อย่างงั้นคงเข้าไปผสมโรงเล็กๆน้อยๆ ฉกเอาของรางวัลออกมาขายไปแล้ว”

 

“ฮ่าฮ่า .. ”

 

ทั้งสองทักทายกันอยู่สักพัก ไก่ตัวใหญ่ก็เสนอว่าควรจะพวกเขารับประทานอาหารค่ำร่วมกัน

 

เพราะถึงจะบอกว่านี่คือเมืองเล็กๆ แต่มันก็มีพื้นที่พอสมควร ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบเจอกับคนรู้จักกัน บางทีหากแยกกันคราวนี้ เกรงว่าการจะพบเจอกันอีกครั้งมันคงยาก

 

ก่อนที่กู่ฉิงซานจะทันได้ปฏิเสธ เจ้าไก่ก็ตีปีกพับๆ แล้วเริ่มสั่งอาหารให้กู่ฉิงซาน

 

ไก่วาดปีกของมันออกไป สั่งชุดอาหารชั้นสูงสำหรับสี่ท่านอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อหันมามองหน้ากัน

 

นี่มันเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะปฏิเสธน้ำใจเช่นนี้

 

พวกเขาไม่มีธุระอะไรอีก อันที่จริงแล้วท้องยังไม่อิ่มเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่จะร่วมรับประทานอาหารกับอีกฝ่ายสักเล็กน้อยคงจะไม่มีปัญหาอะไร

 

ทั้งสี่คนนั่งลง

 

“ไม่ทราบว่าเด็กสาวผู้งดงามคนนี้มีชื่อว่าอะไร?” ไก่มองไปทางซูเซี่ยเอ๋อ ปากเอ่ยถามด้วยความสุภาพ

 

“สวัสดีค่ะ หนูชื่อว่าซูเซี่ยเอ๋อ”

 

“โอ้ – ” ไก่ตบลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน “ดอกไม้สดงดงามกับโคหนุ่ม ช่างเป็นการผสมผสานกันที่ลงตัว ฉันขออวยพรสำหรับพวกเธอด้วยนะ”

 

“ขอบคุณค่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อยิ้มหวาน

 

ขณะที่กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะมองไปทางขอนไม้

 

“แล้วคุณล่ะครับ ไม่ทราบว่าชื่อ ..” เขากำลังเอ่ยถาม

 

“อ้า เธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงน่ะ และเธอไม่อนุญาตให้ฉันบอกชื่อของเธอ เอ่อ- ” ไก่หันไปมองขอนไม้ เอ่ยอย่างกลืนเข้าคายไม่ออก

 

“ไม่เป็นไรหรอก” เสียงทุ้มลึกออกมาจากขอนไม้ “เพราะสหายตัวน้อยทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์กับสหายเก่าของเราพอดี”

 

ชั้นผิวไม้แตกออก และเผยให้เห็นถึงหญิงงามที่สลักจากเนื้อไม้ปรากฏขึ้นต่อหน้าคนทั้งหลาย

 

เธอมองไปทางกู่ฉิงซาน พร้อมกับเผยให้เห็นถึงท่าทีสนอกสนใจ “เจ้าหนู เธอคงจะเป็นสมาชิกใหม่ของสมาคมกำปั้นเหล็กใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้ว” กู่ฉิงซานยอมรับอย่างไม่ปิดบัง

 

“ขาของแบรี่ดีขึ้นแล้วจริงๆหรือ?”

 

“เป็นเรื่องจริง”

 

“คำสาปส่งที่เขาเผชิญมันรุนแรงมาก เดิมทีเราก็คิดว่าเขาจะมาหาเราซะอีก แต่เขามันบ้า กลับเห็นศักดิ์ศรีสำคัญกว่าชีวิตและความตาย” หญิงงามไม้สลัก กล่าวด้วยอารมณ์

 

“แล้วทำไมเขาถึงไม่ไปหาคุณล่ะ?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

 

“เพราะเขาคือคนที่รักในศักดิ์ศรียิ่งกว่าความตาย ตั้งแต่ที่เขาแพ้ให้แก่เราในคาสิโน จนเหลือแค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว เขาก็ไม่เคยมาให้เราได้เห็นหน้าอีกเลย” หญิงงามไม้สลักยกบุหรี่ขึ้นมาจุด และสูดควันลึกเข้าปอด

 

อ้อ … ดูเหมือนว่าหญิงงามคนนี้จะเป็นสหายเก่าของแบรี่นี่เอง

 

กู่ฉิงซานจึงคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดี หากจะพูดอะไรมากเกินไปเกี่ยวกับแบรี่

 

“แบรี่? นายกำลังหมายถึงกำปั้นเหล็กแบรี่หรือเปล่า?” ไก่ร้องด้วยความประหลาดใจ

 

“ใช่แล้ว” กู่ฉิงซานตอบ

 

“โอ้ พอดีว่าฉันติดหนี้เขาอยู่นิดหน่อยซะด้วยสิ” ไก่เอ่ยพึมพำเสียงต่ำ

 

หญิงงามไม้สลักหันไปทางซูเซี่ยเอ๋อและกล่าว “แล้วอาจารย์ของเธอเป็นยังไงบ้าง เขายังสบายดีไหม?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อตกใจนิ่งค้างไป

 

“คุณรู้จักอาจารย์ของหนูด้วยหรอ?” เธอยืดอก นั่งหลังตรงขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

 

“แน่นอนว่าเรารู้จักจอมมารทะเลเลือด ก็บนตัวแม่หนูน่ะมีพันธสัญญากับทะเลเลือดใช่ไหมล่ะ กลิ่นอายมันคละคลุ้งซะขนาดนี้”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ “แต่ทำไมหนูถึงไม่เคยรู้เลยว่าท่านอาจารย์กับคุณ-”

 

“นั่นเพราะเขากำลังไล่จีบเราอยู่อย่างไรล่ะ”

 

หญิงงามไม้สลักกล่าวกระชับสั้นๆ

 

ซูเซี่ยเอ๋อปาดเหงื่อบนหน้าผากของเธอ

 

“ใจเย็นไว้สาวน้อย ตัวเราจะไม่กลายเป็นภรรยาของอาจารย์เจ้าหรอก ไม่ต้องกังวลไป” หญิงงามไม้สลักมองไปยังท่าทีประหม่าของอีกฝ่าย จึงกล่าวออกมา

 

เจ้าไก่ที่ฟังเรื่องนี้จนลืมหายใจ พอได้ยินประโยคนี้ มันก็หัวเราะออกมา “ใช่แล้วล่ะ จอมมารทะเลเลือดน่ะอ่อนแอเกินไป เขาไม่ใช่ชายชาตรีที่คู่ควรหรอก”

 

ในเวลานั้นเอง ทุกชนิดของอาหารก็ปรากฏลงบนโต๊ะพอดิบพอดี

 

“เอ้า กินกันเถอะ ฉันหิวแล้ว” ไก่ตัวใหญ่กล่าว

 

แต่หลังจากที่หญิงงามไม้สลักกวาดสายตามองอาหารทุกจาน เธอก็เอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ “แล้วทำไมไม่มีไก่?”

 

ไก่ตัวใหญ่ชะงักไป กล่าวอย่างอึดอัด “เรื่องนั้น – ก็ไก่จะไปกินไก่ด้วยกันได้ยังไง .. ”

 

“คุณไม่ใช่ไก่ คุณแค่ดูเหมือนไก่ ด้วยเหตุผลแค่นี้แต่คิดจะมาขัดขวางไม่ให้ตัวเรากินไก่อย่างงั้นหรอ?” หญิงงามไม้สลักเริ่มหงุดหงิด

 

ไก่ตัวใหญ่นิ่งคิดสักครู่ ก่อนจะตบโต๊ะและพูดว่า “อ่า ฉันไม่ใช่ไก่ก็ได้”

 

แล้วเขาก็หันไปสั่งแซนวิชไก่ ซุปไก่ดำ และสตูว์ไก่ทั้งตัวอีกอย่างละจาน

 

คิ้วที่ขมวดมุ่นของหญิงงามไม้สลักจึงคลายลง

 

“คุณดีกว่ามากจริงๆ หากเทียบกับทะเลเลือด” เธอเป่าลมหายใจใส่หูของไก่ตัวใหญ่

 

สองตาของไก่เบิกกว้าง มันยืดอกและกล่าวด้วยความปิติ “แน่นอนอยู่แล้ว คุณผู้หญิงของฉัน!”

 

หญิงงามไม้สลักพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเริ่มยกชามขึ้นมาอย่างอ่อนช้อย และเริ่มซดซุปไก่ดำ

 

จังหวะนั้นเอง ไก่ตัวใหญ่ก็เบนสายตามองไปยังกู่ฉิงซาน

 

เขาส่งคำพูดทางสายตามาว่า “เจ้าหนู จำไว้นะว่านอกเหนือไปจากผู้หญิงคนนี้ ในโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้น ไม่มีใครกล้าที่จะมาบังคับให้ฉันกินไก่! หากมีใครพูดเกี่ยวกับมันออกไป ฉันจะไปทุบตีมันทันทีแม้จะไม่รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของมันก็ตาม! จำไว้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ มันเป็นหลักการสำหรับฉัน!!”

 

มันพูดน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน่ายำเกรง

 

กู่ฉิงซานพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะรักษาสีหน้าของเขาไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

 

“ผมเข้าใจแล้ว ตัวตนที่แข็งแกร่งน่ะมักจะมีหลักการเป็นของตัวเองเสมอ” เขาส่งเสียงตอบกลับไปด้วยความจริงจัง

 

ไก่พยักหน้าด้วยความพอใจ

 

หลังจากมื้ออาหารแสนอร่อยจบลง ก็เข้าสู่ช่วงค่ำแล้ว

 

ทั้งสองฝ่ายเดินออกจากร้านอาหาร

 

เมื่อกล่าวคำอำลา หญิงงามไม้สลักก็ยังไม่จากไปทันที เธอเดินมาหาซูเซี่ยเอ๋อและกดใบไม้ลงบนหน้าผากของเด็กสาว

 

ใบไม้เปล่งแสงมรกตสดใส และค่อยๆจมหายเข้าสู้หว่างคิ้วของซูเซี่ยเอ๋อ

 

“ถึงแม้ว่าตัวเราจะไม่สามารถเข้าใจถึงคำพยากรณ์ได้ แต่เราสามารถรู้สึกได้ว่าแม่หนูกำลังกังวลเกี่ยวกับอนาคตอยู่” หญิงงามไม้สลักกล่าว

 

“อันที่จริงแล้ว มันไม่จำเป็นหรอกค่ะ … ” ซูเซี่ยเอ๋อหัวเราะ

 

กู่ฉิงซานยืนรับฟังอย่างเงียบๆ แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

 

หญิงงามไม้สลัก พอได้ฟังคำของซูเซี่ยเอ๋อ เธอก็ส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าว “สาวน้อย ไม่ต้องกังวลไปหรอก ใบไม้นี้ มันมีหน้าที่แค่จะช่วยปกป้องเจ้าเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปวุ่นว่ายก้าวก่ายเกินความจำเป็นใดๆ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ฟังก็กล่าวอย่างสุภาพ “ขอบคุณค่ะ แต่หนูยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร?”

 

หญิงงามไม้สลักโบกมือ ไม่คิดตอบคำถามใดๆ

 

เธอเริ่มลอยไปอีกฟากฝั่งหนึ่งของถนน

 

“เอาล่ะ หวังว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกในวันพรุ่งนี้นะ เพราะยังไงก็มาพักหยุดยาวกันอยู่แล้วนี่ใช่ไหม ” ไก่ตัวใหญ่บอกลาทั้งสอง

 

แล้วมันก็รีบวิ่งตามหญิงงามไม้สลักไป

 

กู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่สักพัก เฝ้ารอจนกระทั่งฝ่ายตรงข้ามหายไปในมุมถนน

 

“ขอนไม้บอกว่าเธอกำลังกังวลเกี่ยวกับอนาคตงั้นหรอ … ” กู่ฉิงซานมองซูเซี่ยเอ๋อด้วยความเป็นห่วง

 

“มันโอเค ไม่มีอะไรหรอก อย่าลืมสิว่าอาจารย์ของฉันร้ายกาจมากเลยนะ”

 

“เกิดอะไรขึ้นเซี่ยเอ๋อ เธอต้องบอกฉันได้แล้วนะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังสีหน้าการแสดงออกที่ไม่ยินยอมของเขา และหัวเราะออกมาทันที “ก็ได้ๆ แต่นี่มันเริ่มดึกแล้ว งั้นเอาเป็นว่าเราหาที่พักกันก่อนก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวฉันจะค่อยๆบอกนายอย่างช้าๆเอง”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

“แล้วนายอิ่มรึยัง? ” เซี่ยเอ๋อถามอย่างเป็นห่วง

 

“อิ่มแล้ว พวกเราเดินย่อยหาที่พักกันไปพลางๆเถอะ”

 

“ไปสิ ฉันก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน”

 

มีโรงแรมอยู่หลายแห่งในเมืองนี้

 

กู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อเลือกกันอยู่สักพักหนึ่ง และในที่สุดก็ตกลงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าจะพักในโรงแรมที่มีสภาพแวดล้อมเงียบสงบที่สุด

 

ซูเซี่ยเอ๋อใช้ป้ายของกู่ฉิงซานทำการลงทะเบียนที่พักฟรี

 

และเริ่มจากช่วงเวลานี้เอง ที่กู่ฉิงซานรู้สึกว่าซูเซี่ยเอ๋อมีบางอย่างผิดปกติไป

 

เธอประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

 

แปลกจัง …

 

ความสงสัยของกู่ฉิงซาน เริ่มเติบโตขึ้นอย่างล้ำลึก

 

แต่ในวินาทีต่อมานั้นเอง ซูเซี่ยเอ๋อก็เดินกลับมาพร้อมกับกุญแจห้องเล็กๆ

 

เธอถือกุญแจ และจิ้มมันลงไปในความว่างเปล่า

 

ประตูปรากฏขึ้นทันใด

 

ซูเซี่ยเอ๋อคว้าจับมือของกู่ฉิงซาน และดึงเขาเข้าไปในประตู

 

“ดูนี่สิ ฉันเลือกเป็นห้องพักของมหาลัยล่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆห้อง

 

นี่มันก็เป็นห้องพักหญิงทั่วๆไป ไม่มีอะไรที่มากหรือขาดใดๆ

 

“โอเค แล้วฉันจะไปนอนที่ไหนดีล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“นายก็นอนในห้องนี้ไง”

 

“แล้วเธอล่ะ?”

 

“ฉัน … ก็จะนอนที่นี่ด้วยเหมือนกัน”

 

หือ … ว่าไงนะ?

 

คราวนี้ ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นกู่ฉิงซานซะเองที่เริ่มประหม่า

 

ขณะเดียวกัน ในหัวใจของเขาก็รับรู้ได้แล้วว่าท่าทีที่ซูเซี่ยเอ๋อกำลังประหม่าเมื่อครู่นี้มันคืออะไร

 

ถ้าหากเป็นอย่างที่เขาคิด … การที่เธอจะประหม่าเล็กๆน้อยๆมันก็สมควรที่จะเป็นเรื่องปกติ

 

ขณะกำลังขบคิดนั้นเอง จู่ๆร่างอรชรที่มีกลิ่นอันหอมหวานก็โผเขาอ้อมอกเขา

 

เป็นซูเซี่ยเอ๋อ

 

เธอสวมกอดเขา

 

เด็กสาวหลับตาลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและจูบจุมพิตอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

 

เวลาราวกับจะหยุดนิ่ง

 

กู่ฉิงซานเดิมทีกำลังไตร่ตรองถึงสถานการณ์อันตรายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับซูเซี่ยเอ๋อ และพร้อมที่จะรับฟังการระบายของเธอ

 

แต่เขาไม่คาดหวังเลยว่าซูเซี่ยเอ๋อจะทำแบบนี้

 

นี่คือช่วงเวลาที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

 

ความสงสัย และความคิดทั้งมวล สลายหายไปจากในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 

เวลาผ่านไปนาน ริมฝีปากทั้งสองที่ประกบกันจึงถูกแยกออก

 

ซูเซี่ยเอ๋อลูบไล้ใบหน้าของกู่ฉิงซาน ปากเปล่งเสียงกระซิบ “นอนเถอะนะ ฉิงซาน”

 

กู่ฉิงซานค่อยๆหลับตาของเขาลงอย่างช้าๆ และล้มตัวลงบนเตียง

 

ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ และค่อยๆแกะแผ่นโปร่งใสออกจากริมฝีปากของเธอ

 

เมื่อมันถูกแกะออก แผ่นโปร่งใสก็ค่อยๆแปรสภาพเป็นไพ่ใบหนึ่งในมือของเธอ

 

บนหน้าไพ่ ไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่ มีเพียงแค่รูปของริมฝีปากสีชมพูเท่านั้น

 

‘ของขวัญจุมพิตจากแม่มด’

 

‘คนที่ถูกจูบด้วยไพ่ใบนี้ จะตกอยู่ในห้วงความฝันอันแสนวิเศษเป็นระยะเวลาสามวัน’

 

‘คุณจะไม่สามารถกำจัดโลกแห่งความฝันได้ เว้นแต่ว่าคุณจะมีสกิล ของขวัญจุมพิตจากแม่มด เช่นเดียวกัน’

 

ซูเซี่ยเอ๋อเก็บไพ่แล้วนั่งลงบนขอบเตียง

 

เธอลูบไล้ใบหน้าของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

โดยมิได้เอ่ยสิ่งใด ทำแค่เพียงส่งสายตามองเขาด้วยความรัก

 

จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง ร่างของซูเซี่ยเอ๋อก็ระเบิดรังสีแสงอันไม่สม่ำเสมอออกมา

 

-การเรียกขานของวิหคหนาม

 

ด้านนอกหนึ่งชั่วโมง จะเทียบเท่ากับที่นี่เกือบๆหนึ่งวัน

 

เวลาได้มาถึงแล้ว

 

ซูเซี่ยเอ๋อถอนหายใจ

 

“ฉิงซาน ภาพที่นายเห็นว่าตัวเองกำลังกินโครงกระดูกอยู่น่ะ นั่นหมายความว่านายจะเข้าสู่วิถีมาร”

 

ซูเซี่ยเอ๋อถอนหายใจ

 

ในที่สุดเธอก็ยอมบอกความจริงออกมา

 

“และในตอนที่ฉันถือไพ่ใบนี้ มันก็เป็นเพียงความว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด”

 

“นั่นเป็นเพราะในที่สุดฉันก็ประสบความสำเร็จในการปลดปล่อยตัวเองจากโชตชะตาเดิมได้แล้ว และนับตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถควบคุมหรือสั่งการฉันได้อีกเลย”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเก็บไพ่แม่มด และหยิบไพ่พยากรณ์โชคชะตาออกมา

 

เธอใส่ไพ่พยากรณ์ลงในกระเป๋าของกู่ฉิงซาน

 

“ตอนนี้ สิ่งที่ฉันทำได้มีเพียงแค่นี้จริงๆ”

 

“ฉันจะไปจัดการกับอันตรายที่กำลังจะมาเยือนนายในไม่ช้าตามคำพยากรณ์ของไพ่ ตราบใดที่ฉันสามารถจัดการมันให้นายได้ นายก็จะสามารถผ่านมันไปได้อย่างปลอดภัย และกลายเป็นตัวตนที่ครอบครองพลังอันคงกระพันในเวลาต่อมา”

 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ซูเซี่ยเอ๋อก็ยิ้มอย่างอบอุ่น

 

“ที่นายต้องทำ ก็แค่พักผ่อนอยู่ที่นี่ และเฝ้ารอให้ฉันกลับมาหา”

 

กล่าวจบ ซูเซี่ยเอ๋อก็จั่วไพ่ออกมา และเหวี่ยงมันไปในอากาศ

 

ตัวไพ่ได้เข้าปกคลุมกู่ฉิงซานทันที

 

‘คำสาบานของพันธนาการ’

 

‘วัตถุที่ได้รับผลจากไพ่ใบนี้ จะสามารถเคลื่อนที่ได้แค่ภายในรัศมีระยะห้าตารางเมตร และไม่สามารถออกไปได้’

 

ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งคิดสักพัก ก่อนจะจั่วไพ่ขึ้นมาอีกใบ

 

และไพ่ใบนี้แตกต่างจากไพ่ใบก่อนหน้า

 

มันสาดแสงสว่างเรืองรองไปด้วยรังสีเลือด

 

จอมมารทะเลเลือดกำลังยืนในไพ่ พร้อมด้วยถือโล่ไว้ในมือของเขา

 

“สำรับไพ่ทะเลเลือด : จอมมารคุ้มภัย”

 

“หลังจากที่เปิดใช้งานไพ่ใบนี้ อักษรรูนจะถูกจัดวางลงในตำแหน่งที่กำหนด และไม่ว่าใครหรือการโจมตีใดๆก็ไม่สามารถทะลุการคุ้มภัยนี้ไปได้”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเปิดใช้งานไพ่

 

โล่สีเลือดกระจายออกจากตัวไพ่ เข้าปกคลุมตลอดทั้งห้อง

 

ไพ่ถึงสามใบ

 

ใบแรกทำให้กู่ฉิงซานนอนหลับลง

 

ใบที่สอง คือการป้องกันเผื่อในกรณีที่เขาจะตื่นขึ้นล่วงหน้า และบังคับให้เขาต้องอยู่ที่นี่

 

ใบที่สาม-

 

แม้ว่าจะไม่มีใครได้รับอันตรายในอัลเบอัสก็ตามที แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็เลือกที่จะนำเอาไพ่ป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมาใช้ปกป้องห้องนี้

 

เมื่อไพ่ทั้งสามไพ่ผสานงานร่วมกัน ซูเซี่ยเอ๋อจึงค่อยโล่งใจที่สุด

 

เธอสัมผัสใบหน้าของกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “ถ้า … ฉันไม่กลับมาล่ะก็ …”

 

เธอก้มลงจูบกู่ฉิงซาน

 

โดยที่คราวนี้ไม่มีไพ่ใดๆมาขวางกั้น

 

มันคือจูบจริง … เป็นจูบแห่งการบอกลา

 

“นายจะต้องมีชีวิตที่ดีต่อไปให้ได้นะ”

 

ว่าจบ ร่างของเธอก็หายวับไปจากห้อง

 

เหลือแค่กู่ฉิงซานอยู่เพียงลำพัง

 

กู่ฉิงซานยังคงนอนอยู่บนเตียง ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน สองตาปิดสนิท

 

ของขวัญจุมพิตจากแม่มด จะทำให้เขาหลับลึกเป็นเวลาสามวัน

 

และตลอดทั้งกระบวนการดังกล่าวนี้ นั่นหมายถึงการเรียกขานของวิหคนามจะจบลง

 

ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อมีคนมากพอ วิหคหนามก็จะเรียกทุกๆคนให้เข้าไปด้วยกันทั้งหมด เพียงแต่ว่าอาจจะมีบางคนที่มาก่อน ได้เข้าไปก่อนก็เท่านั้น

 

แต่ในกรณีที่เป็นอยู่ตอนนี้ อาจกล่าวได้ว่ากู่ฉิงซานจะไม่สามารถสื่อสารกับการเรียกขานของวิหคหนามได้

 

และนั่นคือจุดประสงค์ของซูเซี่ยเอ๋อ

 

ขณะที่ไพ่ทั้งสามใบ จะเป็นตัวรับประกันว่า กู่ฉิงซานจะไม่สามารถทำอะไรได้ – แน่นอน ว่านั่นหมายความว่าเขาจะไม่ต้องพบเจออันตรายใดๆเช่นกัน

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

คลื่นความผันผวนของซูเซี่ยเอ๋อค่อยๆสลายไป

 

ภายในห้องพักเงียบสนิท

 

แต่ในตอนนั้นเอง ดาบยาวที่คล้ายดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า วนเวียนอยู่ในอากาศก่อนจะกลายสภาพเป็นหญิงสาวในชุดคลุมฟ้า

 

-ฉานนู่

 

เธอมองไปยังการจมอยู่ในห้วงนิทราของกู่ฉิงซาน และอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจ

 

นายน้อยหลับลึกเช่นนี้ แล้วข้าสมควรจะทำอย่างไรดี?

 

แน่นอน ว่าอันที่จริงตัวเธอที่เป็นดาบเทวะ ย่อมสามารถทำลายกฏเกณฑ์ทั้งหมดลงได้

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อเป็นคนฉลาดมาก เทคนิคทั้งหมดของเธอ เพ่งเล็งตรงมาที่กู่ฉิงซาน และใช้มันออกในช่วงเวลาที่เขาไม่ระมัดระวังตัวมากที่สุด

 

ดังนั้นถึงแม้ว่าฉานนู่จะสามารถทำลายกฏเกณฑ์ทั้งหมด และไม่ได้รับผลกระทบจากไพ่ก็ตาม

 

แต่กู่ฉิงซานไม่ใช่ เขาไร้ซึ่งการป้องกันโดยสมบูรณ์ และถูกทำให้หลับไหลไปแล้ว

 

ตอนนี้ กู่ฉิงซานไม่สามารถหลบหนีไปจากไพ่ทั้งสามใบได้พ้นอย่างแน่นอน

 

ฉานนู่ร่อนลงยืนข้างเตียง ทั้งคนทั้งร่างตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ข้าไม่คาดคิดเลย ว่าจะมีผู้หญิงเช่นนี้อยู่ในโลก”

 

ทว่าทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงของผู้ชายดังตอบเธอกลับมา

 

“ผู้หญิงเช่นนี้อะไรกันล่ะ? เธอก็แค่ไร้เดียงสาไปหน่อยเท่านั้นเอง”

 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น และผุดลุกจากเตียง

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.510 – อัลเบอัสของจริง

 

กู่ฉิงซานต้องการที่จะคืน ‘เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด’ กลับคืนให้แก่ซูเซี่ยเอ๋อ

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อไม่ยอมฟังเขาพูดเลย และยัดไพ่ใบนั้นลงในกระเป๋าเสื้อเขาแทน

 

กู่ฉิงซานหมดหนทาง เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเก็บ ‘เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด’ เอาไว้ชั่วคราว

 

ในตอนนั้นเอง เสียงที่ฟังดูกระจ่างชัดของแสงแห่งรุ่งอรุณก็ดังขึ้นภายในห้อง พร้อมกับอากาศรอบตัวซูเซี่ยเอ๋อที่ถูกเติมเต็มไปด้วยอะไรบางอย่าง

 

ซูเซี่ยเอ๋อแสดงถึงสีหน้าของการรับฟังอย่างตั้งใจ

 

แต่ไม่นาน ปรากฏการณ์เหล่านี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

 

“เมื่อกี้มันคืออะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เป็นการเรียกขานของวิหคหนามน่ะ แสงแห่งรุ่งอรุณคงสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของฉัน และบังเอิญว่าฉันมาเร็วที่สุด ดังนั้นมันจึงตัดสินใจให้ฉันเข้าสู่โลกของมันในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้“ ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

“แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกอะไรเลย?“ กู่ฉิงซานถาม

 

“นั่นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะนายพึ่งจะมาถึง และคงจะใช้เวลาอีกนานกว่าจะถึงคิว”

 

“อีกหนึ่งชั่วโมงอย่างงั้นหรอ … ” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ

 

ตนไม่คาดคิดเลย ทั้งๆที่อุตส่าห์ได้เจอกับซูเซี่ยเอ๋อแล้ว แต่มันกลับเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เธอก็จะจากไป

 

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะไปสำรวจเส้นทางก่อน แล้วรอนายข้างหน้าไง” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

กู่ฉิงซานเปลี่ยนความคิดฟุ้งซ่านนี้ทันที ‘ก็จริงนะ ไม่ช้าก็เร็ว ยังไงฉันก็จะต้องเข้าไปอยู่แล้ว’

 

เขาจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจถูกต้องแล้วนะ เพราะถ้าพวกเราไปงานเลี้ยงกัน ฉันกลัวว่างานเลี้ยงจะยังไม่ทันจบ เธอก็คงจะต้องรีบออกมาซะก่อน”

“ใช่ เพราะฉะนั้นพวกเราก็ไปพักผ่อนกันในรีสอร์ทของอัลเบอัสเถอะ ภายในนรีสอร์ท การไหลของกระแสเวลามันเชื่องช้ามาก พวกเราจะได้อยู่กันนานอีกสักเล็กน้อย” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

“งั้นก็ไปกันเลยเถอะ มัวรออะไรอยู่เล่า” กู่ฉิงซานตบเบาๆลงบนโต๊ะ

 

ซูเซี่ยเอ๋อยื่นมาออกมาและกล่าว “ขอป้ายห้องของนายให้ฉันหน่อย”

 

“อ้าว แล้วของเธอล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม

 

“ฉันแอบหนีออกมาเอง เลยไม่ได้พกเงินมามากพอที่จะอาศัยในห้องพักชั้นสูง และอีกอย่าง มีเพียงห้องพักระดับนายเท่านั้น ถึงจะสามารถเพลิดเพลินไปกับอัลเบอัสแบบฟรีๆได้”

 

กู่ฉิงซานเอาป้ายออกมา และวางมันลงในมือของซูเซี่ยเอ๋อ

 

หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อคลายลง และเริ่มกระตุ้นตัวป้าย

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากป้ายทันที

 

“แขกผู้มีเกียรติ ไม่ทราบว่าท่านมีสิ่งใดต้องการให้กระผมรับใช้?”

 

“เรากำลังจะไปที่รีสอร์ทอัลเบอัส”

 

“ท่านวางแผนที่จะอยู่ยาวสักแค่ไหน?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อคิดอยู่ครู่จึงกล่าว “น่าจะซัก ..ครึ่งเดือน”

 

“ด้วยระดับห้องพักของท่าน ได้รับการยืนยันว่าสามารถพักยาวนานถึงช่วงเวลาดังกล่าวได้ โปรดรอสักครู่”

 

เสียงยังไม่ทันจะตกลง ป้ายสีทองก็ลอยขึ้นไปในอากาศที่ว่างเปล่า และเริ่มปลดปล่อยอักษรรูนทีละตัว ทีละตัวออกมา

 

อักษรรูนถูกควบรวมเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน แปรสภาพเป็นประตูที่เปิดกว้าง

 

ทั้งสองมองลอดผ่านเข้าไปในประตูอักษรรูน และเห็นแค่เพียงภูเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มันเป็นภูเขาที่ยืดยาวออกไป โดยตรงส่วนยอดเต็มไปด้วยหิมะขาว ขณะที่ปรากฏถึงเมืองเล็กๆตั้งอยู่เบื้องล่าง มันเต็มไปด้วยทัศนียภาพอันสวยงาม ให้กลิ่นอายความรู้สึกเงียบสงบและเหมาะกับการพักผ่อน

 

มีทะเลสาบใสตั้งอยู่ใกล้กับตัวเมืองเล็กๆ และมีผู้คนล่องแพอยู่บนทะเลสาบ

 

อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบ เป็นถนนกว้างใหญ่ มันเป็นเส้นทางลากยาวออกไปสู่มหานครอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปอีกที่หนึ่ง

 

กู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อถอนสายตากลับมา

 

เห็นแค่เพียงม้าสองตัวที่กำลังควบจากทุ่งหญ้า และมาหยุดอยู่หน้าปากทางเข้าประตูอักษรรูน

 

ร่างของพวกมันกำยำ แลดูน่าเกรงขาม ขณะที่ขาทั้งสี่ของพวกมันลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย

 

กลิ่นอายของธาตุลมและน้ำตีเข้าใส่ร่างกายของเขาและเธอ แม้จะเพียงผ่านมาจากประตู แต่กู่ฉิงซานก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าม้าสองตัวผู้ครอบครองกลิ่นอายนี้มีพลังเพียงใด

 

ม้ามองไปยังกู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อและร้องเสียงฮี่ฮี่ ยาวๆ

 

“ดูนั่นสิ เหมือนว่าพวกมันกำลังเรียกเราอยู่นะ” ซูเซี่ยเอ๋อหัวเราะ

กู่ฉิงซานครุ่นคิดและกล่าว “ฉันได้ยินมาว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ จะไม่ได้รับอันตรายใดๆ”

 

“ใช่แล้วล่ะ นายคิดจริงๆหรอว่าจะมีอันตรายใดๆเกิดขึ้นในรีสอร์ทของอัลเบอัส?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามแปลกๆ

 

“แต่ฉันขี่ม้าไม่เป็นนะ … มันจะไม่อันตรายจริงๆหรอ?” กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่ม้า เอ่ยปากอย่างไม่มั่นใจ

 

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินก็หัวเราะ

 

เธอดึงกู่ฉิงซานเข้าไปในประตูอักษรรูน

 

แล้วก็เริ่มสอนพื้นฐานการบังคับม้าด้วยมือให้แก่เขา

 

“วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ นายจะต้องปรับจังหวะการสะบัดให้เข้ากับจังหวะของม้า นายจะต้องปฏิบัติตามมันอย่างรวดเร็ว ถ้ามันช้า นายก็ต้องปรับจังหวะตาม แค่นี้อย่างน้อยเวลาขี่มัน อวัยวะภายในของนายก็จะได้ไม่กระเทือนจนมากเกินไป”

 

“หมดแค่นี้แล้วใช่ไหม?” กู่ฉิงซานกุมบังเหียนและเอ่ยถาม

 

“ที่เหลือก็คงต้องทดลองดูด้วยตัวเองล่ะนะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อตบตูดม้าและตะโกนออกมา “ไปได้!”

 

แล้วม้าก็พุ่งหายไปทันที ราวกับลูกศรที่ถูกดีดออกจากสาย

 

“นี่เธอแกล้ง –” เสียงของกู่ฉิงซานดังออกมาจากระยะไกล

 

ในพริบตา เขาก็หายไปแล้ว

 

ซูเซี่ยเอ๋อยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม เฝ้ารอจนกระทั่งไม่สามารถมองเห็นกู่ฉิงซานได้อีกต่อไป เธอจึงค่อยๆยื่นมือขึ้นมาและขยี้ดวงตาที่แดงก่ำของตัวเอง

 

เธอกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า และเริ่มวิ่งตามกู่ฉิงซานไป

 

ณ เมืองเล็กๆ

 

นี่คือรีสอร์ทที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอัลเบอัส

 

ในเมืองดังกล่าว กระแสเวลาจะค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ที่นี่เป็นสถานที่ๆเหล่าเทพบรรพกาลรวบรวมภูมิปัญญาและพลังอำนาจอันคงกระพันทั้งหมด ช่วยกันสร้างโลกใบเล็กๆขึ้นมา

 

โดยที่มันมีกฏอันเป็นเอกลักษณ์อยู่สองข้อ

 

หนึ่งคือ ผู้คนที่ใช้เวลาครึ่งเดือนที่นี่ จะเทียบเท่ากับเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้นในภายนอก

 

สองคือ กฏเกณฑ์ของที่นี่จะปกป้องทุกคนจากอันตราย

 

บางที เทพบรรพกาลอาจจะตั้งใจใช้โลกเล็กๆใบนี้ ทำบางสิ่งบางอย่างก็เป็นได้

 

แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะทำมัน หลบลี้จากไปด้วยความเร่งรีบซะก่อน

 

อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ด้วยกฏเกณฑ์ทั้งสองข้อนี้ ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อน

 

กู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่ใจกลางเมือง เอ้อระเหยจนลืมเนื้อลืมตัว

 

สถานที่ๆพวกเขายืนอยู่ มันลอยล่องไปด้วยหิ่งห้อยชนิดพิเศษ

 

และแต่ละหิ่งห้อยเป็นตัวแทนของสกิลอันอยู่ยงคงกระพัน

 

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคว้าจับมัน คุณจะสามารถเข้าสู่ห้วงจินตนาการ และเห็นว่าตัวเองกำลังใช้สกิลอันทรงพลานุภาพนี้ต่อกรกับศัตรู

 

แน่นอน ว่าคุณสามารถทำได้เพียงมองดูเท่านั้น แต่ไม่สามารถสำรวจความลับของสกิลพวกนี้ได้

 

เพราะนี่คือคอลเลกชันที่ถูกเก็บรวบรวมมาไว้ในเมืองเล็กๆโดยเฉพาะ สกิลเหล่านี้ล้วนเป็นของตัวตนทรงอำนาจระดับสูงที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปตลอดทั้งสายธารแห่งประวัติศาสตร์ของโลก 900 ล้านชั้น

 

เมื่อคุณกำหิ่งห้อย คุณจะสามารถดูตัวเองปลดปล่อยสกิลที่มีชื่อเสียงโด่งดังกำจัดศัตรูให้ร่ำคร่ำครวญได้!

 

นี่นับเป็นประสบการณ์อันน่ารื่นรมย์ที่เขาและเธอไม่เคยพบเจอมาก่อน

 

“ฉิงซาน เดาสิว่าฉันเห็นอะไร?” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างมีความสุข

 

“อะไรหรอ?”

 

“ฉันสามารถเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นไข่ได้ด้วยล่ะ!”

 

“หืม? มันก็ฟังดูเป็นสกิลที่ดีไม่เลวนี่นา แล้วจากนั้นล่ะ?”

 

“ต่อมา ฉันก็โยนเขาลงไปต้มในน้ำเดือด รอจนสุก ปอกเปลือกออก แล้วก็กินมัน”

 

“ … เอ่อ มันก็แปลกดีนะ แต่เธอต้องไม่เชื่อแน่ว่าฉันได้เห็นสกิลอะไร”

 

“ไหนเอามาให้ฉันดูสิ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเอื้อมไปคว้าหิ่งห้อยมาจากกู่ฉิงซาน และหลับตาลง

 

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ เธอก็มองมายังกู่ฉิงซานด้วยสีหน้าเจ็บปวด “นายไม่ควรจะให้ฉันได้ดูมันเลย”

 

“อ้าวทำไมล่ะ?” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นี่มันก็แค่เป็นสกิลผนึกเท่านั้นเอง มันจะทำให้คนที่โดนไม่อาจควบคุมไขมันตรงหน้าท้องได้ ไขมันจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ย้อยตกลงบนพื้นดิน จนกระทั่งคนที่โดนทำได้เพียงล้มตัวลงกับพื้น ไม่สามารถขยับแขนขาได้”

 

“ก็นั่นแหละฝันร้ายของผู้หญิงล่ะ คนโง่เอ๊ย!”

 

….

 

หลังจากที่ใช้เวลาเล่นกับหิ่งห้อยอยู่นาน ในที่สุดพวกเขาก็จำต้องลาจากจากสถานที่แห่งนี้ไปอย่างไม่เต็มใจ

 

ในร้านค้าเล็กของเมือง ล้วนถูกจัดวางไว้ด้วยทุกชนิดของสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่อาจจินตนาการถึงได้

 

ไม่มีเจ้าของร้าน ไม่มีกระทั่งพนักงานขาย ทุกอย่างสามารถสั่งได้ด้วยการนึกคิดของลูกค้า

 

กู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อเดินเล่นไปรอบๆ

 

จนกระทั่งมาเจอร้านอาวุธ กู่ฉิงซานเร่งก้าวฉับๆเข้าไปทันที แล้วก็เห็นว่าอาวุธแต่ละชนิด ถูกเก็บแยกประเภทเอาไว้ในโลกเล็กๆแต่ละใบ

 

กู่ฉิงซานเลื่อนสายตาผ่านดาบที่อยู่ในโลกใบเล็ก แต่แล้วเขาก็ชะงักไป และเลื่อนสายตาตกตะลึงกลับมา

 

มันคือโลกที่ประกอบไปด้วยดาบอย่างสิ้นเชิง

 

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่มีเงินในกระเป๋า ตัวเขาคงจะซื้อโลกนี้ไปแล้วเป็นแน่

 

อย่างไรก็ตาม ซูเซี่ยเอ๋อดูจะไม่สนใจอาวุธมากนัก

 

เธอลากกู่ฉิงซานเข้าไปยังร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิง

 

ผ่านไปนาน –

 

ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว กู่ฉิงซานกล่าวคำว่า ‘ดูดีจัง’ ออกไปกว่า 94 ครั้ง , กล่าวว่า ‘ก็ดี’ ไปกว่า 31 ครั้ง และอีก 5 ครั้งที่บอกว่า ‘ฉันว่าเปลี่ยนไปดูตัวอื่นดีกว่านะ’

 

พวกเขาทั้งสองคนใช้เวลาตลอดทั้งช่วงบ่ายในร้านดังกล่าว

 

และในระหว่างที่กำลังรอซูเซี่ยเอ๋อลองเสื้อนั้นเอง

 

จู่ๆบิกินี่สีชมพูของเสี่ยวถายก็ค่อยๆแอบออกมาจากถุงเก็บสัมภาระของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาเบื้องหน้า จนเขาสะดุ้งโหยง

 

“นี่เจ้าออกมาได้ยังไงกัน?” เขาคว้ามัน และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

โชคยังดีที่ซูเซี่ยเอ๋อลองเสื้ออยู่ในเวลานี้

 

มิฉะนั้น หากเธอเห็นกู่ฉิงซานอยู่กับชุดบิกินี่สีชมพู คงไม่ทราบว่าจะเธอจะคิดอย่างไร

 

บิกินี่ชมพูบ่น “ไหนเจ้าบอกว่ามองหาสาวทั้งสวย และสมบูรณ์แบบให้ข้าไง แต่นี่มันก็นานแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรซักที อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้ว?”

 

กู่ฉิงซานตบหัวตัวเอง ปากเอ่ยกล่าวสูงเสียง “จะไปลืมได้ยังไงก๊านนน! เรื่องนี้ข้ายังจำมันได้อยู่ตลอดนั่นแหละ”

 

เอ่อ อันที่จริงเขาลืมไปซะสนิทเลย

 

บิกินี่ชมพูพอได้ฟังก็กล่าวออกมาอย่างพอใจ “จำได้ก็ดีแล้ว ข้าจะรอฟังข่าวดีนะ”

 

แล้วมันก็ลอยกลับเข้าไปในถุงสัมภาระของกู่ฉิงซาน

 

“ช้าก่อน!” กู่ฉิงซานหยิบมันออกมาอีกครั้งแล้วถามว่า “เจ้าออกมาจากถุงสัมภาระของข้าได้อย่างไร?”

 

“ข้าสามารถนำพาเจ้าข้ามผ่านชั้นโลกนับไม่ถ้วนได้ ดังนั้น ไอ้ถุงเล็กๆนี่ไม่นับว่าเป็นอุปสรรคหรอก” บิกินี่กล่าว

 

“งั้นช่วงนี้ก็อย่าพึ่งออกมาโดยพลการก็แล้วกัน เรื่องของเจ้า ข้ากำลังคิดหาทางอยู่” กู่ฉิงซานกระตุ้นเตือนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

“เข้าใจแล้ว เข้าใจ! ข้าจะตั้งตารอฟังข่าวดีจากเจ้าก็แล้วกัน”

 

กู่ฉิงซานยัดมันกลับลงไปในถุงสัมภาระ

 

ขณะนั้นเอง ซูเซี่ยเอ๋อก็รีบวิ่งมาด้วยความตื่นเต้น

 

“แล้วชุดนี้ล่ะ เป็นยังไงบ้าง” เธอที่สวมชุดกระโปรงยาวมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน และหมุนตัวช้าๆจนชายกระโปรงลอยพริ้วไหวเป็นวงกลม

 

“ไม่มีที่ติ! สวยมากๆเลย” กู่ฉิงซานยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย

 

“แต่ยังมีกระโปรงอีกตัวที่ดูดีเหมือนกัน เดี๋ยวฉันขอลองอีกรอบดีกว่า” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวและเดินแยกตัวออกไปอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานปาดเหงื่อบนหน้าผากเขา

 

อันตรายจริงๆ เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ

 

เกือบจะให้ซูเซี่ยเอ๋อได้เห็นว่าตัวเองกำลังกุมบิกินี่สีชมพูอยู่ในมือซะแล้ว

 

มั่นใจได้เลย ว่าถ้าเห็น เธอจะต้องคิดว่าเขาเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ

 

หลังจากผ่านไปอีกสักพัก ในที่สุดซูเซี่ยเอ๋อก็ลองเสื้อจนเสร็จ

 

และเวลานี้ มันก็มืดแล้ว

 

“เธอหิวไหม?”

 

“อ่าหิวแล้ว”

 

แล้วทั้งสองก็ไปกินอาหารค่ำด้วยกัน

 

ตลอดทั้งเมืองเล็กๆแห่งนี้ มีร้านอาหารอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

 

และเป็นที่เล่าลือกันว่า ไม่ว่าจะมีลูกค้ามากมายเพียงใดก็ตาม แต่ในร้านก็ไม่เคยแออัด เบียดเสียดกันเลย

 

ชนิดที่ว่าครั้งหนึ่ง มันเคยรองรับลูกค้าได้มากกว่า 400 ล้านคนมาแล้วในเวลาเดียวกัน!

 

ทั้งสองนั่งลงในร้านอาหารที่ว่างเปล่า

 

“แปลกจัง ที่นี่มันเป็นรีสอร์ทแท้ๆ แต่ทำไมถึงมีคนนิดเดียวเอง” กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

ตลอดทั้งเมือง แทบจะไม่เห็นผู้คนเลย

 

มีเพียงเขาและซูเซี่ยเอ๋อเท่านั้น ที่เดินเอ้อระเหยอย่างไร้จุดหมายอยู่ในเมือง

 

แน่นอน ว่าภายในร้านค้าและร้านอาหารก่อนหน้านี้ก็เช่นกัน

 

“ฉันคิดว่าอาจเป็นเพราะคนเกือบทั้งหมดเลือกที่จะไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อเฝ้ารอการปรากฏตัวของเจ้าหญิงวิหคหนามนะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

“วิหคหนาม … ” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

“มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม พวกมันเชื่อว่าในโลกน่ะมีภูติอยู่ทั้งสิ้น 12 ชนิด ดังนั้น เลยถือซะว่าเลข 12 เป็นเลขมงคลที่เหมาะสมต่อพิธีฉลองตนเป็นผู้ใหญ่” ซูเซี่ยเอ๋อแทบจะไม่ต้องคิด เธอเพียงพูดในสิ่งที่ตนจำได้ออกมา

 

“หรือในอีกความหมายนึงก็คือ เจ้าหญิงมีอายุแค่ 12 ปีเท่านั้นใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้วล่ะ”

 

“หืม .. ผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะไปดูเด็กน้อยอายุ 12 ปี แทนที่จะมาเพลิดเพลินไปกับวันหยุดเนี่ยนะ”

 

“อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกเราแล้วกัน”

 

ทั้งสองสบตา ส่งยิ้มให้แก่อีกฝ่าย

 

สายลมยามค่ำคืนพัดโชย สภาพภูมิอากาศที่นี่ช่างสดชื่น น่ารื่นรมย์เป็นที่สุด

 

พวกเขานั่งอยู่ในร้านอาหาร สัมผัสได้ถึงแรงลมจากนอกหน้าต่าง ก่อนจะเริ่มสั่งเมนูอาหาร

 

กู่ฉิงซานสั่งขวดที่บรรจุสุราสีน้ำตาลเหลืองอำพันก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะสั่งขนมปัง ปลา และชีส ตามคำแนะนำของซูเซี่ยเอ๋อ

 

—ในเมืองเล็กๆ นี่นับเป็นอาหารสามชนิดที่ว่ากันว่าปลอดภัยที่สุดจากในบรรดาทั้งหมด

 

ปลาก็เป็นปลาที่จับมาจากทะเลสาบในบริเวณใกล้เคียง และยังเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่อีกด้วย

 

กู่ฉิงซานเดิมคิดหนักอยู่เหมือนกันว่ารสชาติมันจะแย่เหมือนกับคราวก่อนรึเปล่าว แต่พอลองได้ชิมดู กระทั่งตัวเขาเองก็ต้องเอ่ยปากชมว่ารสชาติของปลานี่มันดีจริงๆ

 

เขาไม่คุ้นเคยกับการกินขนมปังกับชีส เลยกัดมันแค่ไม่กี่คำแล้ววางลง

 

เมื่อเห็นแบบนั้น ซูเซี่ยเอ๋อก็ฉกมันไป และหยิบมันขึ้นมากินต่ออย่างไม่รังเกียจใดๆ

 

เธอสั่งสลัดผักและผลไม้ที่แพงที่สุดของร้านอาหาร

 

กู่ฉิงซานก็ได้ลองชิมมันบ้างเหมือนกัน และพบว่ามันอร่อยไม่เลวเลยทีเดียว

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้มันเบาเกินไป

 

แน่นอน ว่าในสมองของกู่ฉิงซานตอนนี้กำลังนึกถึงอาหารจำพวกเผ็ดๆ หรือแกงต้มอื่นๆอยู่

 

โชคยังดีที่สุราสีน้ำตาลเหลืองอำพันนี้มีรสชาติที่ดี เขาเลยใช้มันดื่มกลบความอยากอื่นๆลงไปได้

 

แต่เมื่อซูเซี่ยเอ๋อเห็นเขาเป็นอย่างนั้น เธอเลยหยิบเมนูขึ้นมา แล้วก็เลือกสั่งอาหารอีกอย่างเพื่อเอาใจกู่ฉิงซาน

 

ไม่นานนัก เบื้องหน้าทั้งสอง จานบะหมี่ที่ปรุงด้วยรสเผ็ดและเค็มเล็กน้อยก็วางลง

 

มันกระตุ้นความอยากของกู่ฉิงซานไม่น้อยเลย

 

แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ได้ใช้ตะเกียบจ้วงมันในทันที เพราะนี่มันเป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน

 

พอซูเซี่ยเอ๋อเห็น เธอก็อดไม่ได้ที่จะยื่นตะเกือบออกไป แล้วตักในส่วนของตัวเองออกมา

 

แล้วจากนั้น บะหมี่ในจานก็ถูกแบ่งออกเป็นสอง

 

พวกเขาเริ่มกินและดื่มโดยไม่มีอะไรฟุ้งซ่านอยู่ในจิตใจ บางครั้งก็หันไปมองโคมไฟระย้าที่ดูหรูหรา หรือศิลปะการตกแต่งภายในร้านอาหาร ไม่ก็เบนสายตามองออกไปทางหน้าต่าง ชื่นชมทัศนียภาพทะเลสาบที่อยู่ภายนอก

 

วันนี้ มันเป็นวันที่น่ารื่นรมย์อย่างที่ไม่เคยได้พบได้สัมผัสมาก่อนสำหรับพวกเขาอย่างแท้จริง

 

แต่ในตอนนั้นเอง

 

เสียงของไก่ก็ดังขึ้น

 

“โอ้ ดูนั่นสิ ฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่ายังมีคนอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ไปงานเลี้ยงอาหารค่ำอยู่อีกจริงๆ!”

 

กู่ฉิงซานกับซูเซี่ยเอ๋อมองตามเสียงไป

 

เห็นแค่เพียงไก่ตัวใหญ่กับขอนไม้ท่อนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังเข้ามาในร้านอาหาร

 

ไก่ตัวใหญ่กับกู่ฉิงซานมองหน้ากัน

 

“อ่าว? นั่นมันเจ้าหนูก่อนหน้านี้นี่นา นายมาทำอะไรที่นี่กัน?” ไก่อดไม่ได้ที่จะร้องถามออกมา

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.509 – ฉันเป็นของนาย

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองซูเซี่ยเอ๋อ บ่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เธอกินช้าลงหน่อยก็ได้มั้ง?”

 

แต่สมาธิของซูเซี่ยเอ๋อดูจะไม่ได้อยู่ที่หูเลย เธอเอ่ยปากทั้งๆที่มันยังเคี้ยวหงับๆ “ไม่ได้หรอก ก็ฉันไม่ได้กินอาหารฝีมือนายมานานแล้วนี่นา”

 

กู่ฉิงซานหัวเราะ

 

ย้อนคิดกลับไปถึงเมื่อก่อน ซูเซี่ยเอ๋อมักจะไปเที่ยวตลาดกลางคืนเพื่อแวะซื้อบาร์บีคิวแผงลอยของเขา

 

ในช่วงเวลานั้น โลกยังคงสงบสุขอยู่

 

แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เหล่านั้นที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว ประจวบกับมองดูภาพตรงหน้า ในหัวใจของกู่ฉิงซาน ก็รู้สึกราวกับได้รับบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปในชีวิตตนกลับคืนมา

 

“เซี่ยเอ๋อ จริงๆแล้วเธอถูกส่งไปยังโลกใบไหนกันแน่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยควาามเป็นห่วง

 

“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก”  ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวออกมาขณะกำลังกิน

 

“ทำไมล่ะ?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อลังเลไปครู่ แต่ทันใดนั้นเธอก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันอยู่ในสถานที่ๆเป็นเกาะ ซึ่งมีคนธรรมดาๆอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นแหละ ฉันก็เลยรู้สึกเบื่อ เลยอยากจะออกมามองหาสถานที่อยู่ใหม่น่ะ”

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานวูบไหวทันใด

 

ประโยคนี้ .. เหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

ม้วนคัมภีร์ที่เธอให้ไว้ในตอนแรก ด้วยสายตาอันเฉียบแหลมของกู่ฉิงซาน บอกได้เลยว่ามันมีค่าและทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง

 

แล้วเธอจะสามารถได้รับม้วนคัมภีร์เช่นนั้น ในโลกที่มีคนธรรมดาอาศัยอยู่ได้อย่างไร?

 

เขาจ้องมองเธอ

 

ราวกับจะรู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย เซี่ยเอ๋อยิ้มให้เขา “จริงๆแล้วอาจารย์ของฉันทรงพลังมาก แต่เขาทิ้งฉันไว้บนเกาะเพียงลำพัง แล้วออกเดินทางไปยังดวงดาวอันห่างไกล -ฉันไม่ต้องการที่จะอยู่คนเดียวในสถานที่น่าเบื่อแบบนั้น ก็เลยตัดสินใจออกมาน่ะ”

 

แม้ประโยคที่เธอกล่าวมานี้อาจจะไม่ได้โกหกซะทีเดียว แต่ความหมายที่แฝงอยู่ในมันแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง

 

‘ช่างเถอะ ดูเหมือนว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรล่ะมั้ง … เธอก็แค่พยายามพูดอ้อมๆว่าต้องการตามหาฉันใช่รึเปล่า?’

 

กู่ฉิงซานคิด ก่อนจะเอ่ยอย่างช้าๆ “งั้นหรอ ส่วนฉันตอนนี้อยู่ในโลกมิติอนันต์ โลกที่เรียกกันว่าสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมน่ะ พอจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างไหม?”

 

“สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม … รอเดี๋ยวนะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเช็ดปากของเธอ แล้วกางหนังสือพิมพ์ที่ไม่รู้ว่าไปหยิบจากที่ไหนขึ้นมา

 

เห็นแค่เพียงบนหนังสือพิม มีพาดหัวข่าวตัวโตๆว่า “ข่าวดีสำหรับโลกมิติอนันต์ : บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กว่า 7934 วันนี้เปิด + กันแทบทุกตัว เนื่องจากอิทธิพลของข่าวที่ว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของแบรี่ได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์แล้ว”

 

นักลงทุนคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า “ขอบคุณพระเจ้า! ผมเฝ้ารอมานาน ในที่สุดเขาก็จะสามารถโผล่หัวออกมาทำงาน แล้วเอาเงินมาใช้หนี้ผมได้ซักที!”

 

นอกจากนี้ ยังมีรูปภาพประกอบบนหนังสือพิมอีกด้วย

 

มันเป็นรูปของชายแก่แห่งสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงที่กำลังกอดขาของแบรี่ พร้อมกับเผยถึงความอึ้งทึ่งบนใบหน้าของเขา

 

ขณะที่แบรี่กำหมัดแน่น จ้องมองอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง

 

ซูเซี่ยเอ๋อชี้ไปที่ภาพและกล่าวว่า “ดูสิ มีนายอยู่ในพาดหัวข่าวด้วยนะ! ตัวฉันเองก็เริ่มพบเบาะแสของนายจากตรงนี้นี่แหละ”

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองดูใกล้ๆ

 

จริงๆด้วย มันมีรูปของตัวเขาเองอยู่ข้างแบรี่ในเวลานั้นจริงๆ -ใบหน้าที่กำลังเผยถึงความงุนงงของตนก็ถูกจับไว้ในกล้องเช่นกัน

 

“อาศัยแค่ภาพนี้ในการหาเบาะแสงั้นหรอ?”

 

“หนะ หน่ะ .. แน่นอน! ฉันต้องทำการบ้านมากทีเดียวเพื่อที่จะตามหานาย ฉันจ่ายเงินค่าข้อมูลเกี่ยวกับมันไปเยอะมากๆเลยนะ”

 

แต่พอกล่าวจบ ซูเซี่ยเอ๋อก็หน้าแดงทันที

 

เพราะคำพูดประโยคนี้ มันดูจะชัดเจนเกินไป

 

เธอเริ่มบิดตัวไปมาด้วยความอึดอัด

 

กู่ฉิงซานจึงสามารถยืนยันถึงสิ่งที่ตนคิดก่อนหน้านี้ได้ในที่สุด

 

เท่านี้ก็แน่ใจแล้ว ว่าซูเซี่ยเอ๋อพบถึงร่องรอยของตน จึงเลือกที่จะมาหา ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะไม่หลุดปากออกมา

 

เมื่อคิดได้อย่างนั้น ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในโลกของซูเซี่ยเอ๋อในจิตใจของเขาก็คลายลง

 

เธอยื่นมือออกไป และสัมผัสลงบนหัวของเธอ

 

“ฉันก็นึกว่าโลกของเธอมันจะมีปัญหาอะไรซะอีก ในเมื่อโลกที่เธออยู่มันน่าเบื่อ ถ้างั้นหลังจากจบเรื่องนี้ เธอก็มาท่องต่างโลกด้วยกันกับฉันเถอะ” เขากล่าว

 

ดวงตาของเซี่ยเอ๋อเปล่งประกายสดใสทันที

 

“เข้าใจแล้ว เอาตามที่นายว่าเลย!”

 

เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

กู่ฉิงซานเมื่อเห็นท่าทีของเธอ ใบหน้าของเขาก็ค่อยๆปรากฏรอยยิ้มออกมา

 

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆเสียงดนตรีอันน่ารื่นรมย์ก็ดังขึ้น

 

ทั้งสองคนเบนสายตามองออกไปในทิศทางเดียวกัน

 

แสงและเงาหลากสีสันร่วงหล่นจากท้องฟ้า ตกลงมายังห้องวิวดวงดาราที่ทั้งสองอยู่ ก่อนจะควบรวมกันเป็นซองใบหนึ่ง

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปข้างหน้า และยื่นมือไปเปิดดูมัน

 

“มันเป็นบัตรเชิญนี่ – นายรู้จักคนอื่นๆในอัลเบอัสด้วยอย่างงั้นหรอ?” เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“เปล่านะ ฉันเองก็พึ่งเคยมาที่โรงแรมนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แล้วทั้งสองคนก็อ่านบัตรเชิญด้วยกัน

 

นี่คือบัตรเชิญจากโรงแรมถึงแขกทุกท่าน

 

ราชวงศ์วิหคหนามกำลังจะมายังอัลเบอัส พวกเขาจึงเชิญแขกผู้เข้าพักที่มีป้ายทองทั้งหมดมาเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารเย็น

 

ส่วนเหตุผลก็คือ –

 

เจ้าหญิงแห่งวิหคหนาม จะจัดพิธีฉลองตนที่ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และกลายเป็นหนึ่งในสตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตลอดทั้งหมื่นโลกา

 

“เจ้าหญิงแห่งวิหคหนาม” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นี่มันเป็นข่าวใหญ่จริงๆนะ ถ้าพวกเราสามารถเชื่อมสัมพันธ์ทางสังคมกับเธอได้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องตอบรับการเรียกขานของ ‘แสงแห่งรุ่งอรุณ’ แต่สามารถได้รับสมบัติจำนวนมากมาได้เลยโดยตรง”

 

“อย่างงั้นหรอ งั้นเธออยากไปดูไหมว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง?”กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“แน่นอนว่ามันขึ้นอยู่กับนาย ถ้านายต้องการ นายสามารถพาฉันไปในฐานะคู่ควงก็ได้” เซี่ยเอ๋อกล่าว

 

“และกระผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

“ฮี่ฮี่” เซี่ยเอ๋อไม่ได้ตอบกลับอะไร แค่หัวเราะออกมา

 

แต่เธอดูจะมีความสุขมาก

 

ในตอนนั้นเอง กู่ฉิงซานก็นึกอะไรบางอย่างออก

 

“จริงสิ เธอเป็นผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์(เทียนซวน) ใช่ไหม?” เขาเอ่ยถาม

 

“ใช่”

 

“พอดีว่าฉันบังเอิญได้รับไพ่ใบหนึ่งมาน่ะ แต่ฉันไม่สามารถเข้าใจถึงความหมายของมันได้เลย เธอช่วยดูมันให้ฉันหน่อยจะได้ไหม?”

 

“แน่นอนอยู่แล้ว” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ความรู้ของฉัน นับว่าดีที่สุดในคนกลุ่มนั้นเลยนะจะบอกให้”

 

กู่ฉิงซานชะงักไป แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆบนสีหน้า

 

เพราะประโยคนี้ ได้พิสูจน์ให้เขาเริ่มตะหงิดๆอีกครั้งว่าซูเซี่ยเอ๋อกำลังโกหก

 

‘คนกลุ่มนั้น’

 

ใช้คำนี้แทนที่จะเอ่ยว่ากลุ่มของตัวเอง … แค่สามคำนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าโลกที่เธออยู่มันคงจะไม่ง่ายเหมือนกัน

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานเข้าใจจิตใจของเธอดี เขาจึงหยุดที่จะกังวลเกี่ยวกับปัญหาของทางโลกฝั่งนั้นเอาไว้ชั่วคราว

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาไพ่พยากรณ์โชคชะตาออกมา

 

ทันทีที่เขาหยิบไพ่ออกมา ซูเซี่ยเอ๋อก็เบิกตาโพลง ทั้งคนทั้งร่างถึงขั้นลืมหายใจ

 

นั่นมันราชันย์แห่งโชคชะตา!

 

ไพ่ใบนี้เป็นหนึ่งในสำรับไพ่ของราชันย์แห่งโชคชะตา!

 

จอมมารทะเลเลือดเคยกล่าวถึงสำรับไพ่นี้กับเธอมาก่อน

 

ว่าในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น จะมีไพ่สำรับดังกล่าวเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และไพ่แต่ละใบจะมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน

 

เฉพาะอาณาจักรที่ถูกครอบครองผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์อันทรงพลานุภาพเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติได้รับสำรับไพ่ดังกล่าวนี้

 

แต่ไพ่พยากรณ์โชคชะตาน่ะมีชีวิต มันมีสตินึกคิดเป็นของตัวเอง

 

เมื่อมันทอดทิ้งใคร นั่นหมายความว่าคนๆนั้นกำลังจะตาย และมันก็จะหาเจ้าของใหม่ทันที

 

ซูเซี่ยเอ๋อรับเอาไพ่มาอย่างเงียบๆ

 

“มันคือไพ่พยากรณ์โชคชะตา” เธอกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

ขณะเดียวกันก็มองลงบนไพ่

 

ดวงตาใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาวหันมาจ้องเธอ และภาพก็ค่อยๆเปลี่ยนไป

 

“ฉันเห็นตัวเองบนไพ่กลายเป็นมอนสเตอร์ แถมยังกัดแทะโครงกระดูกอีก มันหมายความว่ายังไงกัน?” กู่ฉิงซานถามด้วยความสับสน

 

พอได้ฟัง หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อก็หม่นลง

 

เธอจ้องมองฉากบนหน้าไพ่ และไม่เอ่ยตอบอะไรไปครู่หนึ่ง

 

กู่ฉิงซานมองตามสายตาของเธอลงไปบนไพ่

 

แต่เขากลับไม่เห็นอะไรเลย มันไม่มีสิ่งใด

 

ซูเซี่ยเอ๋อยังคงจ้องมองไพ่อยู่แบบนั้น ไร้ซึ่งคำกล่าวใดๆ

 

“ทำไมไพ่มันถึงเปลี่ยนเป็นไม่มีอะไรเลยล่ะ? แบบนี้มันหมายความว่ายังไง?” กู่ฉิงซานถามอีกรอบ

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ไม่ตอบอยู่ดี

 

เธอเอาแต่จ้องมองไพ่ จากนั้นก็สลับมามองกู่ฉิงซาน

 

“ขอมือมาให้ฉันหน่อยสิ ” เธอกล่าว

 

เธอจับมือของกู่ฉิงซาน และนำมือของทั้งสองมาจับไพ่ด้วยกัน

 

ซูเซี่ยเอ๋อหันกลับมามองไพ่ และเปล่งคำร้องกังวาน “โชคชะตาเอ๋ย! มีเพียงการร่วงโรยก่อนเท่านั้นจึงจะทำให้พวกเจ้าเบ่งบานครั้งใหม่ได้!”

 

กระแสเสียงของเธอฟุ้งไปด้วยความลึกลับ ส่งผลให้คนที่ฟังรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่อาจอธิบายได้

 

นี่มันไม่ใช่ภาษาของโลกเดิม แต่มันเป็นคาถา

 

ต้องขอบคุณพจนานุกรมภาษาสากลของตลอดทั้งหมื่นโลกาที่ได้รับจากหอสูง ทำให้กู่ฉิงซานเพียงได้ยิน ก็สามารถรับรู้ถึงที่มาของคาถานี้ได้ในทันที

 

นี่เป็นภาษาของเกาะหมอก

 

ว่าแต่เกาะหมอกมันอยู่ที่ไหนกัน?

 

กู่ฉิงซานแอบจดจำชื่อโลกใบนี้เอาไว้

 

ส่วนเจ้าคาถานี่ ทำไมมันถึงได้ฟังดูแปลกๆชอบกลจัง?

 

ขณะกำลังไตร่ตรอง พร้อมด้วยเซี่ยเอ๋อที่เปล่งคาถา ภาพบนไพ่ก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลงในที่สุด

 

ท่ามกลางความว่างเปล่า ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

เขากระโจนเบาๆ ทะยานขึ้นสู่ท่ามกลางดารานับพันล้านดวง

 

พร้อมกับดาบยาวที่อยู่ในมือ และง้างสับมันลงไป

 

ตลอดทั้งห้วงจักรวาลถูกตัดสะบั้นลงด้วยคมดาบของเขา

 

ดวงดารามากมายร่วงโรยลงมาดั่งสายฝน

 

“ว้าว” ซูเซี่ยเอ๋ออุทานออกมา

 

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานที่อยู่บนไพ่ก็ค่อยๆยับยั้งแรงกดดันของตนเองลง

 

“แปลกจัง ก่อนหน้านี้บนไพ่ยังเป็นตัวฉันที่นั่งแทะโครงกระดูกอยู่เลย แต่ตอนนี้รูปแบบมันกลับเปลี่ยนแปลงชนิดที่ว่าฉีกออกไปอีกทิศทางหนึ่งเลยได้ยังไงกัน?” เขาเอ่ยถาม

“เพราะฉันอยู่กับนายยังไงล่ะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองหน้าไพ่ กุมมือของกู่ฉิงซานแน่นขึ้น

 

“งั้น–” กู่ฉิงซานกำลังจะถาม แต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยซูเซี่ยเอ๋อซะก่อน

 

“ฉิงซาน นายรู้อะไรไหม ว่าโรงแรมนี้มีสถานที่พิเศษบางแห่งอยู่” เธอกล่าว

 

กู่ฉิงซานถามกลับ “เธอหมายถึงอะไรงั้นหรอ?”

 

“โรงแรมนี้จะอนุญาตให้เรากลับไปสู่โลกอดีตที่ผ่านมา และเราจะสามารถอยู่กับมันอย่างสงบได้เป็นเวลาถึงครึ่งเดือน”

 

“อ้อ ถ้าเรื่องนั้นฉันเองก็เคยได้ยินมาก่อนแล้วเหมือนกัน มันวิเศษมากจริงๆ”

 

“นายต้องการจะไปดูมันกับฉันรึเปล่า?”

 

“แต่– พวกเราจะไม่ไปงานเลี้ยงของราชวงศ์วิหคหนามกันหรอ?”

 

“ฉันว่าการได้กลับไปยังโลกเก่าด้วยกัน มันน่าจะเป็นการผ่อนคลายที่ดีก่อนจะได้ต่อสู้นะ” ซูเซี่ยเอ๋อแสดงท่าทีอ้อนวอน

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างหมดหนทาง

 

ผู้หญิง .. ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่แน่ไม่นอน ก่อนหน้านี้ต้องการแบบหนึ่ง แต่เวลานี้กลับต้องการอีกแบบหนึ่งซะงั้น

 

“ก็ได้ๆ” เขารับปาก

 

ตนไม่สามารถปฏิเสธคำขอของซูเซี่ยเอ๋อได้จริงๆ

 

“เย้!”

 

ซูเซี่ยเอ๋อชูมือของเธอขึ้น ราวกับเด็กที่พึ่งได้รับชัยชนะครั้งใหญ่

 

เธอเก็บไพ่พยากรณ์โชคชะตาไป แต่กลับหยิบไพ่อีกใบออกมาแล้วมอบมันให้แก่กู่ฉิงซานแทน

 

“ขอฉันศึกษาไพ่ของนายอีกซักหน่อยนะ ส่วนไพ่นี่ถือเป็นสิ่งค้ำประกัน ว่าฉันจะไม่ขโมยไพ่พยากรณ์โชคชะตาของนายไป”

 

“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่เคยคิดกับเธอแบบนั้นเลย”

 

“ถ้านายไม่ได้คิดแบบนั้น ก็ขอให้รับไพ่ใบนี้ไป – ถือว่าช่วยเก็บมันไว้ให้ฉันชั่วคราวก็แล้วกัน!” ซูเซี่ยเอ๋อยืนกราน

 

“ … เข้าใจแล้ว”

 

กู่ฉิงซานรับเอาไพ่มา และเริ่มก้มลงมองภาพรวมของมัน

 

บนไพ่ใบนี้ ปรากฏถึงร่างของมอนสเตอร์ที่สูงตระหง่านดั่งขุนเขา สองตาของมันตั้งตรง และกำลังสยายปีกสีเทาอยู่

 

เบื้องหลังมอนสเตอร์สูงตระหง่าน เต็มไปด้วยดงมอนสเตอร์มากมาย มากมายจนไม่อาจนับคำนวณได้

 

ทั้งหมดยืนเรียงกันอย่างเรียบร้อยเป็นทิวแถว ทุกตนถืออาวุธในมือ ขณะที่ทั้งร่างปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารออกมา

 

คล้ายกับว่านี่จะเป็นกองทัพทหารขนาดใหญ่

 

และการเชื่อมต่ออันแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นระหว่างเขากับไพ่

 

ด้วยการเชื่อมต่อนี้ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม พลันผุดบรรทัดแสงหิ่งห้อยแจ้งเตือนขึ้นมาทันที

 

“คุณได้รับไพ่สงคราม : เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด”

 

“คุณได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าของไพ่ใบนี้”

 

“ด้วยเหตุผลบางประการ เทพแห่งกองทัพทะเลเลือดได้ทำสัญญากับคุณ และเขาจะเชื่อฟังในทุกๆการเรียกขานและคำสั่งของคุณ”

 

กู่ฉิงซานพอได้กวาดสายตาอ่านมัน สีหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความประหลาดใจ

 

ตนยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกมาเลย แต่เขากลับดันทำสัญญากับไพ่ใบนี้ และกลายเป็นเจ้าของมันซะอย่างงั้น?

 

เขามองไปที่ซูเซี่ยเอ๋อและกำลังจะเปิดปากพูด

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อยื่นมือละมุนไปปิดปากของเขาซะก่อน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สัมผัสถึงการเชื่อมต่อระหว่างตัวเองกับไพ่แล้วใช่ไหม? ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก นายรับมันไปเถอะ เพราะของๆฉันก็เหมือนของๆนายอยู่แล้ว”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.508 – ลาก่อน

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ชายแก่เดินนำกู่ฉิงซานมายังดาดฟ้าเรือ

 

“พวกเรากำลังจะถึงที่หมายในไม่ช้า” ชายแก่กล่าว

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆด้วยความคาดหวังเล็กน้อย

 

รอบเรือใหญ่ เต็มไปแสงจรัสจากดาราท่ามกลางจักรวาล

 

ที่นี่ไม่ใช่มิติที่ว่างเปล่าอีกต่อไป มันกำลังจะไปถึงโลกบางแห่งในไม่ช้า

 

“วิหคหนามอยู่ใกล้ๆนี่งั้นหรือ?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“วิหคหนามคาดว่าจะยังมาไม่ถึง แต่ผู้เข้าร่วมจะต้องมารอก่อนเวลาที่สถานที่ตกทอดของเทพบรรพกาล”

 

“ใช่ ” ชายแก่มองไปยังการแสดงออกทางสีหน้าของกู่ฉิงซานแล้วโบกมือ “และก็ไม่ใช่ซะทีเดียว มันแตกต่างจากที่เจ้าคิด สำหรับวัน เดือน ปี นับไม่ถ้วน สถานที่รำลึกแห่งนี้ได้รับการตรวจสอบค้นคว้ามาแล้วชนิดละเอียดยิบ มันไม่มีอันตรายใดๆก็จริง แต่แน่นอน ว่าเจ้าก็จะไม่มีทางเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใดๆจากมันไปเช่นกัน”

 

“งั้นที่ๆเรากำลังจะถึงก็ .. ”

 

“เป็นที่ๆทุกคนที่ตอบรับต่อเสียงเรียกขานของวิหคหนามจะต้องไปรวมตัวกัน”

 

ชายแก่อธิบายเพิ่มเติม “ทุกคนมาที่นี่เพื่อเฝ้ารอการมาถึงของวิหคหนาม”

 

“ในกรณีนี้ หมายความว่ามันยังไม่สายเกินไปสำหรับผมสินะ” กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก

 

“ไม่ เจ้ายังไม่สายเกินไป แต่คนที่มาถึงก่อนจะถูกนำตัวเข้าสู่โลกสมบัติของวิหคหนามเป็นอันดับแรกเช่นกัน และเจ้าจะต้องรอให้เหล่าคนทั้งหมดที่มาถึงล่วงหน้าได้เข้าไปเสียก่อน ตัวเจ้าเองถึงจะเข้าไปได้”

 

กู่ฉิงซานยักไหล่ “ถ้าแค่ต้องรอเข้าทีหลังล่ะก็ ไม่นับว่ามีปัญหา”

 

ชายแก่หัวเราะออกมา “คนที่จะคิดได้แบบเจ้าน่ะ มีไม่มากนักหรอกนะ”

 

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน บรรดาตึกพระราชวังอันใหญ่โตก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเรือ

 

นี่คือพระราชวังขนาดใหญ่ มันมีสีขาวราวหิมะ ดูงดงามเปี่ยมบารเฉกเช่นเดียวกันกับงานแกะสลักงาช้าง

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสีขาวราวหิมะ กลับปรากฏถึงจตุรัสที่ลากยาวออกไปไม่เห็นปลายขอบของมัน

 

และบนจตุรัส ก็แออัดไปด้วยฝูงชน มันมากมายมหาศาลจนมิอาจนับได้ว่ามีจำนวนเท่าใด

 

“มีผู้เข้าร่วมมากมายถึงเพียงนี้เชียว” กู่ฉิงซานมองไปยังจตุรัสที่เนื่องแน่นไปด้วยผู้คน เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

 

“เป็นธรรมดา บางทีหากไม่ใช่เพราะพระราชวังและจตุรัสแห่งเทพบรรพกาล ข้าเกรงว่าจะไม่มีสถานที่ใดอีกแล้ว ที่จะรองรับคนหนุ่มสาวจากต่างโลกได้มากมายถึงเพียงนี้” ชายแก่กล่าว

 

“ผู้คนสามารถพักผ่อนที่นี่ได้ตามใจชอบงั้นหรือ?”

 

“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ” ชายแก่หัวเราะ “เจ้าสามารถพักผ่อนได้ตามใจชอบในจตุรัสก็จริง แต่ส่วนที่เหลือน่ะไม่ได้ เพราะมันเป็นพื้นที่ธุรกิจของโรงแรมอัลเบอัส”

 

“พระราชวังขนาดใหญ่พวกนี้เป็นโรงแรม … ?” กู่ฉิงซานทึ่ง

 

-แต่เดี๋ยวก่อน ทำไมชื่อนี้มันฟังดูคุ้นหูยังไงชอบกล

 

แล้วกู่ฉิงซานก็จดจำได้ทันที

 

อัลเบอัส คือรีสอร์ทที่เจ้าไก่ตัวนั้นมาพักร้อนอยู่นี่นา

 

ถ้าอย่างงั้น หมายความว่าไก่ก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรอ?

 

“พระราชวังของเทพบรรพกาล แค่ฟังก็รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดแล้วใช่ไหม? มันถูกกว้านซื้อโดยสมาคมเงินทุนที่มีชื่อเสียงในโลกมิติอนันต์ และเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นโรงแรม”

 

“ที่นี่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นโรงแรมระดับสูงที่มีชื่อเสียงระบือออกไปทั้งใกล้ไกล ไม่ว่าจะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งหรือราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ ก็จำต้องใช้เวลาจองอยู่นานจึงจะสามารถเข้าพักที่แห่งนี้ได้”

 

“เพราะเหตุใดมันถึงได้รับความนิยมมากถึงขนาดนั้น?”

 

“เพราะเวลา – ข้าหมายถึงมันสามารถเข้าไปวุ่นวายกับกฏเกณฑ์แห่งเวลาเล็กๆน้อยๆได้ หากเจ้ามีเงินมากพอ ก็สามารถย้อนกลับไปในช่วงเวลาอดีตได้”

 

“และเจ้าสามารถใช้เวลาพักผ่อนอยู่ในยุคนั้นได้เป็นเวลาประมาณครึ่งเดือน”

 

สีหน้าของชายแก่เต็มไปด้วยความหลงใหล “และเมื่อเจ้ากลับมาจากครึ่งเดือนดังกล่าว เจ้าจะพบว่าวันเวลาภายนอกกลับผ่านไปเพียงวันเดียวเท่านั้น”

 

“มันฟังดูมหัศจรรย์มากจริงๆ” กู่ฉิงซานเอ่ยสนับสนุน

 

แล้วชายแก่ก็ยื่นแผ่นป้ายสีวาววับสีทองให้แก่กู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานรับมันไว้ และก้มลงมองดูของในมือเขา

 

“79”

 

นี่คือตัวเลขที่สลักไว้บนแผ่นป้ายโลหะ

 

กู่ฉิงซานมองไปที่ชายแก่

 

ชายแก่กล่าว “ตั้งแต่ที่ได้ไปรับตัวเจ้า ทางสมาคมของเราก็ได้ติดต่อจองห้องพักสำหรับเจ้าเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว – เพราะพวกเราคาดการณ์จากสถานการณ์ในปัจจุบันว่า ตอนที่เจ้ามาถึง การจะหาที่ซุกหัวนอนเองมันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”

 

“ขอบคุณอีกครั้ง ผมไม่อยากจะสร้างปัญหาอะไรให้พวกคุณจริงๆ หากมีทางอื่น ผมคงไม่ต้องมาขอร้องให้พวกคุณช่วยเหลือไปเรื่อยๆแบบนี้”กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความสำนึกคุณ

 

ต้องขอบคุณสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงจริงๆ ไม่อย่างงั้นการเดินทางของเขามันคงจะไม่ราบรื่นแบบนี้

 

“พูดอะไรกัน” ชายแก่ส่ายมือไปมา “เจ้าช่วยนักวิชาการมัวร์ของพวกเราเอาไว้ – สติปัญญาของเขาน่ะเปรียบดั่งสมบัติอันล้ำค่าของสมาคมทั้งหมดเชียวนะ”

 

กู่ฉิงซานนิ่งค้างไป

 

เขาไม่เคยจะคาดคิดเลยว่าคนที่เขาได้ช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ … จะมีสถานะสูงถึงเพียงนี้

 

ขณะนั้นเอง เรือก็ลดระดับความเร็วลง และไม่ช้ามันก็ลงจอดลงทางด้านหนึ่ง ใกล้กับพระราชวัง

 

เวลานี้ คุณจะสามารถเห็นได้ถึงความงดงามของสถานที่ตกทอดของเทพบรรพกาลได้ว่ามันเป็นอย่างไร

 

เรือใหญ่ที่กำลังลงจอดมีความสูงเท่ากับตึก 20 ชั้น แต่ทว่าเมื่อมันอยู่ข้างๆกับพระราชวังของเทพบรรพกาล เรือของสมาคมก็ไม่แตกต่างไปจากเมล็ดข้าวกับงาช้างเลย

 

เรือหยุดลง

 

ชายแก่หันไปทางกู่ฉิงซาน น้อมกายด้วยความเคารพ “การเดินทางเช่นนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เจ้าสามารถเรียกหาพวกเราได้ตลอดเวลา ลาก่อน”

 

“ขอบพระคุณสำหรับการช่วยเหลือของทางหอสูง ลาก่อน” กู่ฉิงซานประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือไปทางอีกฝ่าย

 

เขากระโดดเบาๆ และตกลงสู่จตุรัส

 

ชายแก่ยืนโค้งกายอยู่บนเรือ เฝ้ามองเขาที่กลืนเข้าไปกับฝูงชนในลานจตุรัส จึงสั่งให้แล่นเรือจากไป

 

กู่ฉิงซานร่อนลงในพื้นจตุรัสที่คึกคักจอแจ และในไม่ช้าเขาก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่อายุใกล้เคียงกัน

 

กลิ่นอายของคนเหล่านี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

 

แต่กู่ฉิงซานก็คิดเหมือนกัน ว่าตัวเองก็พอที่จะต่อกรกับคนเหล่านี้ได้

 

ท้ายที่สุดนี้ ต้องไม่ลืมนะว่าพวกเขาทั้งหลายล้วนอายุต่ำกว่า 30 ปี เว้นไว้แต่เพียงการดำรงอยู่ที่พิเศษจำนวนไม่มากนักเท่านั้น นอกเหนือไปจากนั้นความแข็งแกร่งของทุกคนจริงๆแล้วก็ใกล้เคียงกัน

 

ถึงแม้ว่ากู่ฉิงซานจะมาจากโลกกระจัดกระจาย แต่ตลอดทั้งโลกกระจัดกระจาย จะมีซักกี่คนกันเชียว ที่มาถึงขอบเขตประทับเทพในช่วงอายุ 20 ปีเช่นเขา?

 

“เฮ้นายก็มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการเรียกขานของวิหคหนา-” คนหนึ่งจ้องเขาและเอ่ยถาม

 

“ไม่นะ ฉันมาที่นี่เพื่อพักผ่อนต่างหาก”

 

กู่ฉิงซานขัดจังหวะอีกฝ่าย และยกป้ายโลหะในมือเขาส่ายไปมา

 

แล้วคนเหล่านั้นก็กระเจิงกันออกไปคนละทิศทางทันที

 

หากเป็นห้องพักของโรงแรมอัลเบอัส ผู้เข้าพักทั้งหมด จะถูกระบุตัวตนเอาไว้แล้ว

 

พวกเขาจึงไม่กล้าใช้กำลัง หรือกระทำสิ่งใด

 

—ต้องรู้นะว่านี่คือโรงแรมอัลเบอัส

 

คนที่กล้าลงมือกับลูกค้าของอัลเบอัส คงไม่มีอะไรอื่นใดมาเปรียบเทียบนอกจากคำว่า ‘คนๆนั้นคงคิดว่าตัวเองมีชีวิตอยู่มานานเกินไปแล้ว ’ เลยหาเรื่องตายเอาง่ายๆแบบนี้

 

หลังจากที่ได้เห็นแผ่นป้ายในมือกู่ฉิงซาน คนอีกกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเข้ามาล้อมตัวเขา

 

“เพื่อน นายอยากจะขายห้องรึเปล่า พวกเราเบื่อที่จะต้องมาจมอยู่แต่ที่นี่แล้ว และอยากจะพักผ่อน ถ้านายต้องการ-”

 

“ไม่อะ ฉันก็อยากจะพักผ่อนเหมือนกัน” กู่ฉิงซานขัดจังหวะอีกฝ่ายอีกครั้ง

 

เขายับยั้งกลิ่นอายตนเอง แล้วเร่งเดินมุดเข้าไปท่ามกลางกระแสของผู้คนอย่างรวดเร็ว

 

หลายคนเร่งไล่ตามเขาไปทันที

 

ทว่ากู่ฉิงซานนั้นว่องไวเกินไป ประจวบกับฝูงชนที่แออัด หากต้องการที่จะไล่ตามเขาให้ทัน มันเป็นไปไม่ได้อย่างชัดเจน

 

แม้จะมีข้อได้เปรียบถึงเพียงนี้ แต่กู่ฉิงซานก็ไม่คิดประมาท

 

เขาเบียดเสียดผ่านฝูงชนอย่างรวดเร็ว และบางครั้งก็ใช้สกิลย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว

 

หลังจากวิ่งไปอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเขาก็วนไปกว่าครึ่งจตุรัส

 

-นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จไปในขจัดพวกที่ไล่ตามมาอีกต่างหาก

 

คนเหล่านั้นมักจะให้ความสนใจกับคนที่พึ่งมาถึงเสมอ และแน่นอน พวกเขาไม่มีทางทักมาเปล่าๆ แต่จะต้องวางแผนอะไรเอาไว้แน่ๆ

 

และกู่ฉิงซานก็ขี้เกียจเกินไปที่จะมาใส่ใจเรื่องเหล่านี้

 

เขาถือป้ายโลหะสีทองออกจากจตุรัส และเดินไปตามทิศทางของตัวเลข

 

เดินไปได้อีกสักครึ่งชั่วโมง ขึ้นบันไดยาว และเลี้ยวไปไม่กี่โค้ง ในที่สุดก็มาถึงประตูหลักของบรรดาพระราชวังเทพบรรพกาล

 

บนจตุรัสเต็มไปด้วยรุ่นเยาว์จำนวนมากที่ตอบรับการเรียกขานของวิหคนาม ส่งผลให้บรรยากาศบริเวณดังกล่าวครึกครื้นและพลุ่งพล่าน

 

แต่ที่นี่ มันคือสถานที่สำหรับคนที่มาพักผ่อนในอัลเบอัส

 

มันแตกต่างจากเสียงอึกทึกในจตุรัสอย่างสิ้นเชิง สถานที่แห่งนี้ดูเงียบสงบมาก

 

มีผู้คนเข้าออกโรงแรมอย่างต่อเนื่องก็จริง แต่ทุกคนแลดูมีมารยาทดี และสุภาพมาก

 

กู่ฉิงซานลองหันไปมองรอบๆ และพบกับหมาป่าตัวหนึ่งที่คาบท่อยาสูบในปาก มันสวมเสื้อสเวตเตอร์ และกำลังควงสองหญิงสาวที่สวมหน้ากากเดินเข้าไป

 

กู่ฉิงซานมองตามสักพัก ก่อนที่จะเดินเข้าประตูโรงแรมตามไป

 

“สวัสดี มีอะไรให้รับใช้หรือไม่?” เสียงหนึ่งดังขึ้น

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จู่ๆก็มีการดำรงอยู่แปลกๆปรากฏขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซาน

 

มันประกอบไปด้วยอากาศสีเทาโดยสมบูรณ์ แต่ภายนอกของอากาศสีเทา กลับสวมทับด้วยเสื้อผ้าที่ดูเข้ารูป

 

มนุษย์อากาศงั้นหรอ?

 

กู่ฉิงซานกำลังคิดอย่างสงสัย

 

อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันกับที่คนๆนี้ปรากฏตัวขึ้น กู่ฉิงซานกลับรู้สึกสะดวกสบายอย่างบอกไม่ถูก

 

อากาศรอบตัวเขาสดชื่น มันน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก อุณหภูมิกลายเป็นคงที่ ที่26 องศาเซลเซียส แถมยังอุดมไปด้วยพลังงานวิญญาณที่ส่งผ่านออกมาจากมนุษย์อากาศ ฟุ้งไปรอบตัวของกู่ฉิงซาน

 

มันเป็นความรู้สึกอันยอดเยี่ยมคล้ายกับการได้กลับไปอยู่บ้านเกิดโดยแท้

 

“พอดีว่าฉันจองห้องพักที่นี่เอาไว้น่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“โปรดแสดงหมายเลขห้องของท่านแก่กระผมด้วย”

 

กู่ฉิงซานหยิบแผ่นป้ายโลหะทองคำออกมา และส่งมันให้กับอีกฝ่าย

 

“ป้ายทองคำ!” มนุษย์อากาศอุทานออกมาทันที “กลับกลายเป็นว่าท่านคือแขกผู้มีเกียรติ … หมายเลข 79 อ่า ขอกระผมดูบันทึกสักครู่ – เจอแล้ว มันคือห้องวิวดวงดาราของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง”

 

น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูจะฟังเคารพและนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม

 

ป้ายทองคำ กล่าวได้ว่าผู้ครอบครองสามารถเพลิดเพลินไปกับบริการพิเศษมากมายในอัลเบอัสได้ฟรีๆ

 

เพราะอีกฝ่ายคือสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

 

ซึ่งนับว่าเป็นสุดยอดลูกค้ารายใหญ่ของโรงแรม!

 

มนุษย์อากาศกดแผ่นป้ายลงในความว่างเปล่า

 

ทันใดนั้นความว่างเปล่าเมื่อครู่ ก็ปรากฏให้เห็นถึงประตูแสงที่ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ

 

มนุษย์อากาศส่งป้ายคืนแก่กู่ฉิงซานและโค้งคำนับอย่างสุภาพ “เชิญขอรับ นี่คือห้องของท่าน ท่านแขกผู้มีเกียรติ”

 

“โรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานบันเทิงมากมาย ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนหรือเวลาใด ขอเพียงเปิดใช้งานป้ายโลหะ ท่านก็จะสามารถกลับไปที่ห้องได้ทุกเวลาตามต้องการ”

 

กล่าวจบ มนุษย์อากาศก็เงียบไปสักพักและกระซิบว่า “ท่านต้องการบริการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่?”

 

“แล้วบริการที่ว่ามันหมายถึงอะไรบ้างล่ะ?”

 

“ก็อย่างเช่นพวกข้อมูล”

 

“อ้ออันนั้นต้องการสิ”

 

“ราคาสองเพชรคริสตัลขอรับ”

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไป

 

เดาตามที่อีกฝ่ายพูดมา ดูเหมือนว่าเพชรคริสตัลจะเป็นสกุลเงินทั่วไป แต่กู่ฉิงซานไม่มีเงินเลย อันที่จริงแล้วตอนนี้ตัวเขามีแต่หนี้สินด้วยซ้ำ

 

“รับมันไปสิ”

 

เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูไพเราะดังขึ้น

 

แล้วสองก้อนกลมเล็กๆก็ลอยไปและตกลงในมือของมนุษย์อากาศ

 

มนุษย์อากาศรับเพชรคริสตัลมา และกล่าวอย่างรวดเร็ว “ราชวงศ์วิหคหนามจะมาเยี่ยมเยือนภายในวันนี้ ห้องจัดเลี้ยงก็ถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว และหนึ่งในตัวตนที่สำคัญของราชวงศ์จะปรากฏตัวขึ้นระหว่างมื้ออาหาร”

 

สิ้นคำกล่าว มนุษย์อากาศก็ก็หายวับไป

 

กู่ฉิงซานแท้จริงแล้วมิได้สนใจเกี่ยวกับข้อมูลนี้เลย สมองเขาอื้ออึงจนไม่อาจแยกแยะได้ว่านี่คือความจริงหรือข้อมูลเท็จ

 

… หัวใจของเขาเต้นอดไม่ได้ที่จะเต้นระรัวขึ้นเล็กน้อย

 

ก่อนจะหันหน้ากลับมา-

 

เห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อในชุดคลุมยาวสีขาว ในมือถือคทา กำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงแรม

 

เธอจับจ้องมาที่กู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉันรอนายมานานมาก นานมากจริงๆ”

 

กู่ฉิงซานค่อยๆเผยถึงรอยยิ้มแห่งความสุข

 

เขาก้าวลงไป และโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขน

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.507 – ไพ่พยากรณ์โชคชะตา

 

หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ เขาก็ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มา กู่ฉิงซานเดินกลับไปที่ห้องโดยสารของตนด้วยความพอใจ

 

เขานั่งลงใจกลางวังหลานเฉา นิ่งงันไปครู่หนึ่ง สักพักรอยยิ้มก็จางหายไป

 

เขาไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองจะยังมีช่วงเวลาได้พักผ่อน เพียงแค่ไปเที่ยวชมสถานที่ ก็สามารถได้รับสมบัติกลับมา

 

สิ่งต่างๆในดินแดนอัศจรรย์ สำหรับเสี่ยวเหมียวกับแบ่รี่แล้ว ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก

 

เพียงตอบรับคำเรียกขานของวิหคหนาม ก็จะได้รับของขวัญสำหรับการพานพบกันเป็นครั้งแรก

 

เมื่อเข้าสู่โลกของวิหคหนาม ก็จะได้รับ ‘รางวัลการมีส่วมร่วม’

 

หากทำภารกิจได้ดี ก็จะได้รับ ‘รางวัลจัดอันดับ’

 

เมื่อออกจากที่นั่น ก็ยังได้รับ ‘รางวัลที่ระลึก’

 

ง่ายๆว่าเพียงแค่ไปเข้าร่วมก็ได้รับ ‘รางวัล’ แล้ว

 

ดังนั้น สิ่งที่กล่าวมาก็น่าจะสมควรเพียงพอต่อการชำระหนี้

 

เรื่องใหญ่ก็คงจะเป็นการที่เขาจะต้องทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อทำผลงานให้ดี และได้รับรางวัลสมบัติที่ดียิ่งขึ้นก็เท่านั้น

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ หลากหลายอารมณ์ไม่มั่นคงก็ค่อยๆสลายไป กู่ฉิงซานรู้สึกเพียงแค่ว่าเขากลับมามีสติและหนักแน่นอีกครั้ง

 

ดีล่ะ!

 

เขาหยิบเม็ดยาทรงเมล็ดข้าวโยนเข้าปาก และหยิบ ‘บันทึกการฝึกยุทธของเซี่ยเต๋าหลิง’ออกมา

 

บรรทัดเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน : 299400/400”

 

“เรียนรู้การฝึกฝนของเซี่ยเต๋าหลิงในขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย จากในบันทึก จำเป็นต้องจ่าย 1400 แต้มพลังวิญญาณ คุณต้องการจะเรียนรู้หรือไม่?”

 

“ต้องการเรียนรู้ ฉันยินดีจ่าย 1400 แต้มพลังวิญญาณ”

 

กระแสอันอบอุ่นไหลออกมาจากใบหยก ถ่ายเทผ่านแขน ขา และกระดูกของกู่ฉิงซาน ในที่สุดก็ไปบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ

 

นี่คือประสบการณ์ฝึกฝนสุดท้ายของเซี่ยเต๋าหลิงในขอบเขตประทับเทพ

 

ในโลกเทวะ เธอสามารถฝ่าโทษทัณฑ์สายลมและสายฟ้าจนยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะได้ก็จริง ทว่าเธอยังไม่ทันจะมีเวลาได้บันทึกมันลงไป

 

กู่ฉิงซานที่ได้เรียนรู้ถึงประสบการณ์เหล่านี้ อดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในห้วงภวังค์

 

ด้วยสติปัญญาและความเฉียบแหลมของอาจารย์ หากไม่มีเรื่องข้อจำกัดของโลก เธอจะต้องสามารถตัดผ่านขึ้นสู่ร่างเทวะได้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

แม้หลังจากที่ได้เห็นวิธีการหลอมกลั่นโลกของฉีหยาน เธอก็ยังคิดจะหาวิธีการผสานรวมระหว่างโลกแห่งผู้ฝึกยุทธกับโลกเทวะเข้าด้วยกัน

 

เนื่องจากขอบเขตสูงสุดในครั้งอดีตของโลกเทวะคือขีดสุดความว่างเปล่า ดังนั้น การที่มันได้ผสานรวมเข้ากับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ขีดจำกัดใหม่ของมันต้องทะลุผ่านขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าไปอย่างแน่นอน

 

อย่างน้อยก็คงจะสามารถตัดผ่านไปถึงขอบเขตลมปราณจิตได้

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จะเป็นอย่างไรบ้าง

 

ไหนจะเซี่ยวโหลว , ซิวซิว , หนิงเยว่ฉาน , เหลิงเทียนสิง แล้วก็กงซุนซีอีก ….

 

หวังว่าทุกคนจะยังคงสบายดีนะ

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง นั่งขาซ้ายทับขวา เข้าสู่สภาวะฝึกยุทธ

 

เขาเริ่มที่จะพยายามตัดผ่านมันอีกครั้ง

 

การเรียกขานของวิหคหนาม ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรก็จริง

 

แต่กู่ฉิงซานตัดสินใจแล้ว ว่าเขาจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น!

 

เขาจะไม่มีวันผ่อนปรนความปรารถนาของตนเอง เพียงเพราะสภาพแวดล้อมตอนนี้มันผ่อนคลายเป็นอันขาด!

 

วันต่อมา

 

กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น

 

ฉานนู่ปรากฏตัวต่อหน้าเขา

 

กู่ฉิงซานพยายามรับรู้ถึงความผันผวนในร่างกายตนอย่างใจเย็น ขณะที่ในแววตาของฉานนู่คล้ายกำลังคาดหวังเล็กน้อย

 

ยิ่งกู่ฉิงซานแกร่งเท่าใด เธอก็จะยิ่งแกร่งขึ้นเท่านั้น

 

ความสามารถที่ทำให้ตนได้รับพลังเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันกับผู้ฝึกยุทธ ไม่ว่าครั้งใด ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์สำหรับเธอเสมอ

 

“ขอแสดงความยินดีด้วยนายน้อย พลังวิญญาณทั้งหมดของท่านดูเหมือนจะสูงล้ำยิ่งกว่าแต่ก่อนถึง 4 ใน 10 ส่วนเลยทีเดียว” ฉานนู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“ใช่ เพราะตอนนี้ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธประทับเขตขั้นปลายแล้วอย่างไรเล่า”

 

กู่ฉิงซานวาดมือออกไป และดาบเช่าหยินก็ถูกคว้าจับโดยเขาทันที

 

หลังจากที่รับรู้ถึงมันอย่างใจเย็น เขาก็เอ่ยงึมงำ “ข้ารู้สึก … ว่าสกิลดาบของข้าทรงพลังยิ่งขึ้น”

 

“นั่นย่อมแน่นอน เพราะพลังวิญญาณของท่านมากขึ้น วิชาดาบจึงย่อมทรงพลังขึ้นเป็นเงาตามตัว”

 

“แต่ก็ยังอ่อนแอเกินไปอยู่ดี” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

เขาได้มีประสบการณ์ต่อกรกับตัวตนทรงอำนาจอย่างขอบเขตลมปราณจิตมาก่อนแล้ว ดังนั้นแม้ว่าเขาจะยกระดับขึ้นมาได้อีกขั้น แต่ตนก็มิได้มีความสุขใดๆเลย ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งที่จะอยากตัดผ่านขอบเขตให้เร็วกว่าเดิม

 

ฉานนู่ปลอบใจเขา “นายน้อย คนเรามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะกินมันเผาทั้งก้อนในลมหายใจเดียว สำหรับข้า หากเทียบเปรียบกับผู้ฝึกยุทธทั่วๆไป การฝึกยุทธของท่านนับว่ารวดเร็วมากแล้ว”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้ารับ แต่แล้วเขาก็ส่งสัญญาณโดยการส่ายหัวให้อีกฝ่าย

 

พร้อมกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น

 

ฉานนู่เปลี่ยนตนเป็นดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติของกู่ฉิงซานทันที

 

กู่ฉิงซานลุกขึ้น และเดินไปเปิดประตู

 

แล้วเขาก็พบกับชายแก่ที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะมาบอกว่า ยังเหลือเวลาอีกครึ่งวันจึงจะถึงที่หมาย แต่อันที่จริงแล้ว ประเด็นหลักก็คือ ข้าจะมาบอกเจ้าว่ามีสิ่งใดเป็นของตัวเองที่พอจะเรียกว่าสมบัติได้หรือไม่? หากเจ้ามอบมันให้แก่วิหคหนาม มันอาจจะแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งที่เป็นของจากดินแดนอัศจรรย์ก็ได้นะ”

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไป

 

ครั้งก่อนชายแก่เหมือนจะบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่การที่เขามาย้ำเตือนถึงมันโดยเฉพาะอีกรอบแบบนี้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องสำคัญ

 

ชายแก่กล่าวต่อ “สมบัติของพวกเราไม่ถูกนับว่าเป็นสิ่งใดสำหรับวิหคหนาม แต่ถ้าหากว่าเป็นบางสิ่งบางอย่างที่วิหคหนามยอมรับ มันก็จะนำเอาบางสิ่งจากดินแดนอัศจรรย์ออกมาเป็นการแลกเปลี่ยน – และสิ่งเหล่านั้นนับว่าเป็นสมบัติอย่างแท้จริง”

 

“ขอบคุณมาก ผมเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

ชายแก่พยักหน้าให้เขาและหันหลังเดินกลับไป

 

กู่ฉิงซานปิดประตูและเดินกลับมานั่งลงบนขอบเตียง

 

สมบัติงั้นหรอ?

 

เขาเริ่มครุ่นคิด

 

ตัวเขามีอะไรที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นสมบัติบ้าง?

 

ถ้าเป็นทรัพยากรของนิกายร้อยบุปผาล่ะ?

 

ไม่น่าจะได้ ทรัพยากรจากโลกกระจัดกระจายไม่น่าจะถือว่าเป็นสมบัติ

 

ถ้าเป็นเกราะรบล่ะ?

 

เขาหยิบชุดเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีออกมา

 

แต่ชุดเกราะรบนี้ มันได้เผชิญกับการต่อสู้ในโลกเทวะมามากเกินไป ไม่เพียงสีของมันจะซีดลง แต่ก็ยังปรากฏถึงรอยแตกร้าวมากมายอีกด้วย

 

บางทีวิหคหนามอาจจะไม่ชอบสิ่งที่มีความเสียหายแบบนี้

 

–งั้นดาบพิภพ เช่าหยิน และดาบขุนเขาเทวะหกโลกาล่ะ?

 

จะบ้าหรือ!? พวกมันคือสิ่งที่เขาเอาไว้ใช้ต่อสู้เสี่ยงชีวิต ไม่ใช่สมบัติที่สามารถแลกเปลี่ยนได้!

 

ยังมีอะไรอีกบ้างไหมนะ?

 

ใช่แล้ว ไพ่ใบนั้นไง!

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

ชายแก่จากสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงกล่าวว่า มันคือสมบัติที่ไม่มีทางปรากฏขึ้นได้ในโลกกระจัดกระจาย

 

แต่อย่างน้อยเขาก็บอกว่าเจ้าสิ่งนี้นับว่าเป็นสมบัติอย่างแท้จริง

 

สิ่งที่มีค่าเช่นนี้ น่าจะสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งบางอย่างได้

 

ด้วยวิธีนี้ ปัญหาหนี้สินของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมก็สมควรที่จะได้รับการแก้ไข

 

มันเป็นวิธีการดีที่สุดในการจ่ายหนี้ทั้งหมด!

 

เมื่อคิดได้ถึงมัน กู่ฉิงซานก็จั่วไพ่พยากรณ์โชคชะตาออกมา

 

เห็นแค่เพียงดวงตาขนาดใหญ่อยู่บนผิวไพ่

 

หมอกสีขาวอันไร้ที่สิ้นสุดหมุนวนอย่างรวดเร็วในนัยตาใหญ่ ก่อให้เกิดกระแสน้ำวนอันเชี่ยวกราด

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นทันใด

 

“ไพ่พยากรณ์โชคชะตา , ไพ่แรร์(หายาก)”

 

“เมื่อคุณเกิดความลังเลขึ้น คุณสามารถดูไพ่ใบนี้เพื่อสังเกตถึงความเป็นไปได้บางอย่างในโชคชะตาของตัวเอง”

 

….

 

“ไพ่ใบนี้เป็นของหายากและล้ำค่ายิ่ง ตลอดทั้งต่างโลกมากมาย คุณสามารถใช้มันเพื่อแลกเปลี่ยนกับสมบัติในฝันเลยก็ยังได้”

 

กู่ฉิงซานเฝ้าดูไพ่

 

ดูเหมือนว่าในที่สุด ไพ่ใบนี้ก็จะได้ใช้ประโยชน์เสียที

 

ทว่าเมื่อเขามองดูไพ่ ดวงตาใหญ่ก็เหลือบมามองเขาเช่นกัน

 

หลังจากนั้นเพียงลมหายใจเดียว ดวงตาใหญ่ก็หายไป

 

ไพ่พยากรณ์โชคชะตาเริ่มทำงานอีกครั้ง

 

เห็นแค่เพียงโครงกระดูกในผ้าขี้ริ้วปรากฏขึ้นบนไพ่

 

โครงกระดูกเดินวนไปรอบๆอย่างกระวนกระวาย คล้ายกับกำลังรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

 

โดยปกติแล้ว โครงกระดูกมักจะหมายถึงตัวแทนของความตาย นี่เป็นสามัญสำนึกที่รู้กันทั่วไปของผู้ใช้ไพ่

 

กู่ฉิงซานยิ้มทันทีที่เห็นมัน

 

ก่อนหน้านี้ในโลกล่องเวหา บนหน้าไพ่ก็ปรากฏถึงโครงกระดูกแห่งความตายขึ้นเช่นกัน

 

แต่เขาไม่เคยเชื่อสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดจะทำตามมัน

 

กู่ฉิงซานเตรียมที่จะเก็บไพ่กลับคืนอีกครั้ง

 

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆบนไพ่แห่งโชคชะตาก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลง

 

โดยไม่มีการเตือนใดๆ จู่ๆโครงกระดูกก็อ้าปากกว้าง เริ่มกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความหวาดกลัว

 

เสียงของมันทะลุผ่านไพ่ และกังวานไปทั่วทั้งห้อง

 

โครงกระดูกวิ่งหนีไปรอบๆด้วยความตื่นตระหนกอยู่ภายในไพ่ แต่มันก็ไม่สามารถออกไปได้

 

การดิ้นรนทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์

 

กู่ฉิงซานเห็นตัวเองปรากฏขึ้นบนไพ่ในทันใด

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเหมือนเขา แต่มันไม่ใช่เขาจริงๆ

 

ดวงตาของเขาถูกแทนที่ด้วยสองหลุมดำ

 

พร้อมกับฟันอันแหลมคมที่งอกขึ้นในปาก และน้ำลายที่ไหลหยดย้อยลงอย่างต่อเนื่อง

 

เขาคำรามและโจมตีเข้าใส่โครงกระดูก เพียงครั้งเดียวตัวโครงกระดูกก็ล้มลงกับพื้น

 

โครงกระดูกพยายามดิ้นรนต่อต้านชนิดหัวชนฝา แต่สุดท้ายมันก็ไม่รอดเงื้อมมือของกู่ฉิงซาน

 

กริ๊ก!

 

บังเกิดเสียงกระดูกแตกหัก

 

แล้วกะโหลกของโครงกระดูกก็เริ่มถูกกัดแทะกิน

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง และเริ่มกัดกินส่วนต่างๆของโครงกระดูกตนนั้น

 

บังเกิดเสียงขบเคี้ยวไม่สม่ำเสมอดังขึ้น

 

พร้อมด้วยการกัดกินของเขา ความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งหน้าไพ่

 

ตลอดทั้งไพ่กลายเป็นมืดมิด

 

“แปลกจัง ทำไมฉันถึงกลายเป็นแบบนั้นไปล่ะ?” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำขณะมองดูไพ่

 

เขาไม่เคยเห็นภาพแปลกๆแบบนี้มาก่อนเลย นับตั้งแต่ที่ได้รับไพ่มา

 

กู่ฉิงซานลองสะบัดๆพัดอย่างแรงจนเกิดลม

 

แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร บนไพ่ก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยความมืดอยู่ดี

 

“นายน้อย ไพ่ใบนี้ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย” ฉานนู่กล่าวเสียงกระซิบ

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเกิดความรู้สึกอะไรแบบนี้

 

หัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดบางอย่างที่ดูคลุมเครือ และไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจนขึ้นเหมือนกัน

 

นี่มันแตกต่างไปจากที่ผ่านมา

 

คราวนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกว่ามีบางอย่างมันไม่ถูกต้องจริงๆ

 

ตั้งแต่ขึ้นเรือมา การรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาก็ร้องเตือนว่ากำลังจะมีอะไรเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น

 

การรับรู้ทางจิตวิญญาณคือนิมิตอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ฝึกยุทธ

 

ดั่งเช่นการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเซี่ยเต๋าหลิงที่นับว่าน่าเกรงขามยิ่ง มันกระทั่งถึงขั้นสามารถเผยภาพตัวเธอเองกำลังตกตายได้

 

ขณะที่การรับรู้ของกู่ฉิงซานมันแค่ทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย และมันยังคงไม่หายไปแม้ตนจะสามารถยกระดับขึ้นมาได้ถึง 2 ขั้นแล้วก็ตามที-

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?

 

กู่ฉิงซานลุกขึ้น แล้วเดินกลับไปกลับมาในวังหลานเฉา

 

เรื่องการรับรู้ทางจิตวิญญาณ เขาว่าตนค่อนข้างจะมั่นใจ

 

หากลองรวมมันเข้ากับสถานการณ์ของไพ่ใบนี้ เขาก็จะสามารถได้รับข้อมูลที่มันชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

แต่เขาเป็นผู้ฝึกดาบ มิใช่ผู้ใช้ไพ่

 

แม้ว่าตนจะมีความรู้เกี่ยวกับไพ่อยู่บ้าง แต่มันก็ตื้นเขิน ดังนั้นเมื่อไพ่เกิดการเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดเช่นนี้ เขาย่อมไม่สามารถเข้าใจได้

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งคนทั้งร่างจมลงสู่ความสับสนยิ่ง …

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.506 – แสงแห่งรุ่งอรุณ

 

หลังจากนั้นไม่นาน ชายแก่ก็ออกมาจากห้องโดยสารและกลับไปที่ดาดฟ้าเรือ

 

พร้อมกับกำบางสิ่งที่ดูหนืดๆในมือของเขา

 

กู่ฉิงซานลองสังเกตมันอย่างรอบคอบ และในที่สุดก็สามารถระบุได้ว่ามันคือทากชนิดหนึ่ง

 

“ดูนี่สิ นี่คือทากสำหรับเจ้า” ชายแก่กล่าว

 

กู่ฉิงซานมองดูตัวทาก และกล่าวปฏิเสธออกไป “ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่เกรงว่าผมคงไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าสิ่งนี้”

 

ชายแก่ส่ายหัวและกล่าว “นี่เป็นของดีนะ มันเป็นแมลงดักฟังที่ดีกว่าพวกตัวอื่นๆทั่วๆไป”

 

เขากระแอมในลำคอและอธิบายว่า “ปกติแล้ว พวกแมลงดักฟังน่ะจะถูกพบตัวได้ง่าย และผู้ถูกดักฟังก็มักจะโกรธและเหยียบไอ้แมลงนั่นจนตัวแตกตายโดยตรง”

 

“ในขณะที่ทาก ตัวนี้ แม้จะดูเหมือนมีชีวิต แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงอวัยวะทางชีวภาพเล็กๆเท่านั้น”

 

“เมื่อใดก็ตามที่มันถูกเหยียบ ฟังก์ชั่นการดักฟังของมันก็จะเริ่มทำงานทันที”

 

กู่ฉิงซานเข้าใจ

 

ถ้าเป็นตามที่พูดมา เจ้าทากตัวนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน

 

หากแมลงดักฟังถูกเหยียบย่ำจนตายไปแล้ว ก็คงจะไม่มีใครคิดสนใจมาตรวจสอบมันอีก

 

มันมีความสามารถในการค้นหาข้อมูล และใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์โดยแท้

 

“นี่เป็นงานวิจัยเล็กๆน้อยๆของข้า” ชายแก่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “และตอนนี้ข้าจะมอบมันให้แก่เจ้า”

 

“ขอบคุณท่านมาก”

 

กู่ฉิงซานแสดงท่าทีขอบคุณและรับตัวทากมา

 

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “แต่ผมไม่รู้ว่าจะตอบแทนด้วยอะไรดี อ่า … งั้นเอาเป็นขอชวนคุณดื่มสักขวดจะได้ไหม?”

 

ชายแก่ยิ้ม “นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง การดื่มอะไรสักอย่างก็นับว่าเป็นการแก้เบื่อที่ดีเหมือนกันในการเดินทางไกล”

 

ชายแก่ปรบมือของเขา

 

แล้วโต๊ะอาหารและเก้าอี้อีกสองตัวปรากฏขึ้นบนดาดฟ้าในพริบตา

 

พวกเขานั่งลงหน้าโต๊ะ

 

“คุณชอบแบบไหน ฤทธิ์แรงๆหรือรสเบาๆ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“สุราที่แรงเกินไปมันจะส่งผลต่อการใช้สมองของข้า ดังนั้นข้าเลือกรสเบาๆดีกว่า ถ้ามีความหวานน้อยๆแทรกมาด้วยจะดีมากๆ”

 

“คุณกับเพื่อนของผมนี่มีรสนิยมในการดื่มคล้ายกันจริงๆ”

 

กู่ฉิงซานหยิบถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ออกมา และควานหามันสักพัก

 

แล้วเขาก็หยิบขวดไวน์หมักดอกหอมหมื่นลี้ที่มีรสและกลิ่นละมุน กับไวน์ขาวอีกขวดหนึ่งออกมา

 

เขารินไวน์ดอกหอมหมื่นลี้ให้อีกฝ่าย ก่อนจะรินไวน์อีกขวดให้ตัวเอง

 

“เอ้าชน … ขอบคุณสำหรับไวน์ของเจ้า”

 

“ด้วยความยินดี แต่ถ้าคุณพูดขอบคุณแบบนั้น ผมก็คงต้องขอขอบคุณสำหรับเรื่องตัวทากเหมือนกัน”

 

ด้วยประการฉะนี้ ทั้งสองคนจึงเริ่มดื่มกันท่ามกลางเมฆหมอกอันไร้ที่สิ้นสุดนอกตัวเรือ

 

ทั้งรสทั้งกลิ่นของไวน์ดอกหอมหมื่นลี้แฝงไปด้วยความละมุนกลมกล่อม ชายแก่ดื่มไปเพียงไม่กี่แก้ว สีหน้าของเขาก็ค่อยๆเผยถึงความสุขออกมา

 

“ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าดอกหอมหมื่นลี้ แท้จริงแล้วจะสามารถหมักบ่มไวน์ให้มีรสชาติเช่นนี้ได้” เขาเอ่ยสรรเสริญ

 

ไวน์จากขวดดอกหอมหมื่นลี้ ลดฮวบๆลงอย่างรวดเร็ว

 

“ถ้าคุณต้องการ ผมสามารถมอบสูตรให้คุณเอาไปทดลองทำเองดูในภายหลังได้นะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แน่นอนว่าต้องการอยู่แล้ว!” ชายแก่ตะโกน

 

กู่ฉิงซานจึงหยิบใบหยกที่ว่างเปล่าออกมา แล้วเขียนสูตรการหมักดอกหอมหมื่นลี้ลงไป แล้วยื่นให้แก่อีกฝ่าย

 

ชายแก่รับใบหยกด้วยความปิติ ก่อนจะถอดหมวกแล้วโค้งกายคารวะ “เจ้าได้มอบความรู้ให้กับข้า นี่นับว่าเป็นสิ่งมีค่านัก ข้าซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง”

 

“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ที่ให้ไปมันก็แค่สิ่งที่ช่วยเติมสีสันเล็กๆน้อยๆให้แก่ชีวิตก็เท่านั้นเอง” กู่ฉิงซานโบกไม้โบกมือว่าไม่ต้องคำนับเขาก็ได้

 

“เช่นนั้น ข้าขอเป็นฝ่ายเลี้ยงอาหารค่ำก็แล้วกัน” ชายแก่กล่าว

 

ว่าจบ เขาก็ดีดนิ้วของตน

 

สองชุดอุปกรณ์ทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็นส้อม ช้อน จาน มีด ทยอยกันบินออกมาจากห้องโดยสาร และวางลงบนโต๊ะโดยอัตโนมัติ

 

ชายแก่วางเชิงเทียนลงบนโต๊ะและจุดมัน

 

ทันใดนั้นเสียงของผู้ชายที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพก็ดังออกมาจากเชิงเทียน “สวัสดี เราคือร้านอาหารบาร์เคลย์สตาร์ ไม่ทราบว่าท่านต้องการจะสั่งอะไรดี?”

 

ชายแก่กลั้วลำคอเล็กน้อยและกล่าว “ข้าต้องการชุดมื้ออาหารชั้นสูงสำหรับสองคน”

 

“รับทราบแล้ว! ชุดมื้ออาหารชั้นสูงสำหรับสองคน ท่านนับว่าเป็นนักชิมที่มีรสนิยมดีจริงๆ” เสียงผู้ชายตอบรับกลับมาด้วยความกระตือรือร้น

 

“แน่นอน” พอถูกยอ ชายแก่ก็ยืดอกขึ้น

 

เฝ้ารอเพียงไม่กี่ลมหายใจ แต่ละจานก็ถูกเติมเต็มไปด้วยอาหารร้อนๆ

 

“ทางเราหวังว่าท่านจะเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหาร ทางร้านบาร์เคลย์สตาร์ยินดีให้บริการท่านเสมอในครั้งต่อไป ขอตัวลาก่อน”

 

แล้วเสียงผู้ชายจากในเชิงเทียนก็หายไป

 

กู่ฉิงซานจ้องมองจาน ส้อม และช้อนที่ทำจากเงิน แวววับดูละเอียดละออ ในหัวใจก็บังเกิดความคิดบางอย่างขึ้น

 

ดูเหมือนว่าฉันจะกินจุเกินไปหน่อยแล้วในช่วงนี้

 

“เอ้า มัวรออะไรอยู่ล่ะ เชิญกินได้เลย” ชายแก่กล่าว

 

“ขอบพระคุณ ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะ”

 

ว่าจบ ทั้งสองก็เริ่มรับประทานอาหาร

 

กู่ฉิงซานลองจิ้มอาหารจากแต่ละจานขึ้นมากิน

 

ทว่าหลังจากที่เขาได้ชิมอาหารทั้งหมดแล้ว ในหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสงสัย

 

ไอ้พวกนี้มันอะไรกัน?

 

นี่ใช่สิ่งที่คนสามารถกินได้อย่างนั้นหรือ?

 

นี่มันสามารถเรียกว่าอาหารได้จริงๆอะ?

 

เดี๋ยวก่อน ลองอีกสักรอบดีกว่าเผื่อเมื่อกี้จะคิดไปเอง

 

… รสฉุนแถมยังฝาดลิ้นแบบนี้ มันเรียกว่าเป็นอาหารชั้นสูงจริงๆน่ะหรอ?

 

กู่ฉิงซานซับมุมปากด้วยผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพว่า “ผมกินเสร็จแล้ว แต่ไม่ต้องรีบนะ คุณสามารถดื่มด่ำกับมันไปอย่างช้าๆก็ได้ไม่มีปัญหา”

 

ชายแก่ที่กำลังเพลิดเพลินไปกับอาหารของเขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองกู่ฉิงซานด้วยความประหลาดใจ

 

ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมา

 

“เจ้าหนู ไม่จำเป็นต้องอายไป ร้านอาหารชั้นสูงแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถทานได้ทุกวันหรอกนะ ในเมื่อนานๆทีมีโอกาส เจ้าก็ควรที่จะกินมันให้เยอะๆสิ”

 

ร้านอาหารชั้นสูงสินะ …

 

กู่ฉิงซานจมหายไปในห้วงความคิด

 

สักพักเขาก็ตบลงในถุงสัมภาระ หยิบเอาอาหารออกมาใส่จาน แล้วยื่นออกไป

 

“นี่คืออะไร?” ชายแก่ถามด้วยความสงสัย

 

“อ่า นี่เป็นของขบเคี้ยวท้องถิ่นในบ้านเกิดผม ผมอยากให้คุณลองชิมมันแล้วแสดงความคิดเห็นดู”

 

“ได้สิ ข้าได้ลิ้มชิมรสอาหารจากฝีมือของหลากหลายพ่อครัวตลอดทั้งหมื่นโลกามาแล้ว กล่าวได้ว่าตัวข้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำการประเมินอาหารท้องถิ่นนี้ของเจ้าอย่างแน่นอน”

 

ว่าจบ ชายแก่ก็ใช้มือจกมันขึ้นมากัดคำหนึ่ง

 

แต่จู่ๆเขาก็ก้มหน้าลง ไม่ยอมเอ่ยสิ่งใด

 

หลังจากนั้นเขาก็กัดมันอีกคำ

 

กัดอีกคำ

 

อีกคำ

 

กัดต่อไปเรื่อยๆ

 

เห็นแค่เพียงชายแก่ที่ยกจานใส่ของขบเคี้ยวสีแดงขึ้นด้วยสองมือ เริ่มกัด เริ่มกิน ตามด้วยลามเลียไม่หยุด

 

แต่เดิม กู่ฉิงซานต้องการที่จะสอนเขาให้ปอกเปลือกมันออกก่อน แต่ดูจากท่าทีคล้ายปีศาจที่หิวกระหายแล้ว ในที่สุดเขาจึงยอมแพ้เรื่องนี้ไป

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

“เอ่อ .. คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับอาหารจานนี้” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ

 

ชายแก่ไม่พูด แต่กลับหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาซับน้ำตาที่ไหลรินของเขา

 

“คุณ … ไม่เป็นไรใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

 

ชายแก่เชิดหน้าขึ้นอย่างแรง ปากอ้าตะโกนดุเดือด “มันอร่อยมาก!!!”

 

กู่ฉิงซานสะดุ้งโหยง

 

ชายแก่โบกมือ กวาดอาหารบนโต๊ะทั้งหมดทิ้งหายไปในมิติที่ว่างเปล่านอกตัวเรือ

 

-ราวกับเป็นการปัดขยะทิ้ง

 

เขาทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดี ไม่หลงเหลือกระทั่งจานอาหารเงินที่ใส่พวกมันเอาไว้

 

“เมื่อเทียบกับอาหารของเจ้า อาหารตลอดทั้งหลายปีที่ข้าได้กินมาพวกนี้ มันไม่ต่างจากก้อนอึลาเลย!” ชายแก่ระเบิดน้ำตาอันขมขื่นออกมา

 

“อาหารจานนี้ชื่อว่าอะไร? ข้าอยากจะจดจำมันไว้” ชายแก่เอ่ยถาม

 

“กุ้งผัดพริกเผ็ด”

 

“หากเจ้าสีแดงนี่เรียกว่ากุ้ง เช่นนั้นแล้วสีเขียวนี่คืออะไร?”

 

“แตงกวา”

 

“งั้นสีขาวนี่เล่า?”

 

“ใบใหญ่คือไข่ไก่ ส่วนใบเล็กคือไข่นกกระทา”

 

“วัตถุดิบเหล่านี้มีรสเผ็ดซึมซาบลงไป รสชาติระหว่างวัตถุดิบกับเครื่องปรุงถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ นี่มันช่างเป็นศิลปะที่สมบูรณ์แบบ! ข้าเข้าใจแล้ว! อาหารเหล่านี้จะต้องเป็นอาหารพิเศษประจำราชวงศ์ในโลกของเจ้าเป็นแน่ ใช่หรือไม่?”

 

กู่ฉิงซาน “ … ”

 

อันที่จริงแล้ว อาหารจานนี้เขาทำไว้สำหรับเสี่ยวเหมียวกับแบรี่เมื่อคืนวาน แต่วัตถุดิบมันมากเกินไปหน่อย เลยยังเหลือกุ้งผัดเผ็ดอีกครึ่งนึงที่ยังไม่ได้ใส่ลงไปในจาน

 

กู่ฉิงซานเดิมทีตั้งใจจะเก็บมันไว้กินเองอย่างช้าๆ

 

แต่ไม่คาดคิดเลย ว่ามันจะถูกกวาดจนเกลี้ยงในที่แบบนี้

 

ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานได้ตระหนักถึงมาตรฐานอาหารของโลกใน 900 ล้านชั้นได้ในที่สุด

 

….

 

บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยสุราและเครื่องดื่ม

 

ชายแก่แหย่นิ้วเข้าไปแคะเศษอาหารในฟันของเขาและกล่าว “ขอบคุณสำหรับอาหารเลิศรสของเจ้า”

 

“ด้วยความยินดี”

 

“เดิมทีข้าคิดจะเป็นเจ้าภาพให้ความบันเทิงแก่เจ้า แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าจะได้กินอาหารและดื่มไวน์ดีๆของเจ้าแทนแบบนี้”

 

“ในเมื่อได้รับของขวัญดีๆเช่นนี้ ดังนั้น นี่ถือว่าเป็นคำตอบแทนจากข้าก็แล้วกัน”

 

ชายแก่ขบคิดและเปิดเผยว่า “การเรียกขานของวิหคหนามครานี้ โดยคาดการณ์แล้ว ประมาณการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์”

 

กู่ฉิงซานแสดงท่าทีรับฟังอย่างตั้งใจ

 

อีกฝ่ายกำลังทำการแลกเปลี่ยนน้ำใจฉันมิตร

 

ในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นถึงสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ดังนั้น ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ข้อมูลบางอย่างที่เป็นความลับ

 

การเลี้ยงอาหารและไวน์เลิศรสในครานี้ของเขา … นับว่าไม่เสียเปล่าแล้ว!

 

ได้ยินแค่เพียงเสียงของชายแก่ที่กล่าวต่อว่า “วิหคหนามเป็นสายพันธุ์พิเศษ ตัวมันเองครอบครองความแข็งแกร่งมหาศาล  แต่คราวนี้ วิหคหนามที่บินเข้ามาทำการเรียกขานในดินแดนมิติอนันต์ เป็นวิหคหนามที่มีชื่อเสียง”

 

“ที่มีชื่อเสียงงั้นหรือ?”

 

“ถูกต้อง ‘แสงแห่งรุ่งอรุณ ทริสเต้’ ผู้พิทักษ์แห่งราชวงศ์วิหคนาม เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกขานถึงความเมตตาและเอื้ออาทร ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปหลายชั้นโลก”

 

“ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนมากต้องการจะไปพบมัน?” กู่ฉิงซานถามต่อ

 

ชายแก่ยักไหล่และกล่าว “ตราบใดที่เป็นรุ่นเยาว์อายุต่ำกว่า 30 ปี ย่อมสามารถตอบรับการเรียกขานของ ‘แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้’ เพื่อทำตามคำร้องขอได้”

 

“และคราวนี้ มันยังได้ประกาศล่วงหน้าอีกว่า ทุกๆคนที่ไป จะได้รับของขวัญแรกพบที่ถูกนำมาจากดินแดนอัศจรรย์”

 

“ตราบใดที่ไปที่นั่น ก็จะได้รับของรางวัลอย่างงั้นหรือ?”

 

“ถูกต้อง”

 

“ช่างใจกว้างยิ่งนัก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

“ใช่แล้วล่ะ ทุกคนเลยแทบจะกลายเป็นบ้า กระทั่งบางคนที่อายุมากกว่า 30 ปี พวกเขาก็ยังคิดจะใช้เทคนิคลับบางอย่างเพื่อลดอายุขัยตัวเอง แต่ก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี เพราะทริสเต้น่ะฉลาดมาก”

 

“แล้วไม่มีใครกังวลว่าสิ่งที่มันจะขอนั้นเป็นเรื่องยากเลยหรือ?” กู่ฉิงซานถามต่อ

 

“เหอๆ! หลายพันล้านอัจฉริยะมากพรสวรรค์มารวมตัวกัน ปัญหายากเย็นเพียงใด คงมิแคล้วถูกแก้จนสิ้น”

 

“หากอ้างอิงตามตรรกะนี้ นั่นหมายความว่าขอแค่ไปถึง แล้วล้มตัวลงนอนเล่นๆก็สามารถชนะได้สบายๆแล้วสิ”

 

“ใช่ นอกจากนี้ หากเจ้ามีสมบัติที่ตรงตามความต้องการของมัน วิหคหนามก็จะเตรียมสิ่งของแลกเปลี่ยนเอาไว้ให้อีกด้วย และเมื่อภารกิจเสร็จสมบูรณ์ มันก็ยังใจกว้าง มอบสมบัติล้ำค่าที่สุดให้อีก”

 

“ตอนนี้ ผมชักจะเข้าใจแล้วสิ ว่าทำไมบางคนถึงอยากจะลดอายุลง ย้อนกลับไปในช่วงก่อน 30 กันนัก” กู่ฉิงซานงึมงำ

 

ถ้าเป็นแบบนี้ ก็คงไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป

 

กู่ฉิงซานผ่อนคลายลง

 

การเดินทางอันยอดเยี่ยม แถมตอนจบยังได้สมบัติติดไม้ติดมือกลับมา

 

แถมวิหคหนามยังเตรียมสิ่งของมาใช้แลกเปลี่ยนอีก

 

ดังนั้นตัวเขาเองก็อาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ ได้รับบางสิ่งบางอย่างกลับมาก็ได้

 

“เป็นอย่างไรบ้าง? ข้อมูลนี้เป็นที่น่าพอใจหรือไม่? ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าสามารถเพียงแค่สนุกไปกับการเดินทางที่ยอดเยี่ยม แล้วเฝ้ารอรับผลประโยชน์เฉยๆก็ได้นะ” ชายแก่กล่าว

 

“ส่วนเรื่องสมบัติล้ำค่าที่สุด แน่นอนว่าจะต้องถูกมอบให้กับคนที่สามารถทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่หลังจากภารกิจ ข้าเชื่อว่าด้วยความใจกว้างของทริสเต้ ทริสเต้ย่อมต้องเตรียมของขวัญเอาไว้สำหรับทุกคนที่เข้าร่วมอย่างแน่นอน”

 

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลของคุณ” กู่ฉิงซานพยักหน้ารับ

 

แต่แล้วในหัวใจของเขา ก็ฉุกคิดได้ถึงบางสิ่งทันใด

 

“อ๊ะจริงสิ ผมยังมีอีกปัญหาหนึ่ง”

 

“เจ้าว่ามาสิ”

 

“พอดีว่าผมมีสหายคนหนึ่งที่เป็นผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์(เทียนซวน) – และเขาบังเอิญได้รับไพ่พยากรณ์โชคชะตามา แต่ไม่รู้ว่าจะตีราคามันอย่างไรดี”

 

พยากรณ์?

 

ไพ่พยากรณ์งั้นหรือ?

 

การแสดงออกทางสีหน้าของชายแก่เผยถึงความสนใจ เขาเร่งถาม “ไพ่แห่งโชคชะตาประเภทพยากรณ์งั้นหรือ? สหายเจ้าได้รับมันมาจากโลกใบไหนกัน?”

 

“โลกกระจัดกระจาย”

 

ชายแก่หัวเราะเสียงดัง “เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางได้รับไพ่ใบนั้นมาหรอก เจ้าถูกหลอกแล้วล่ะ”

 

“ทำไมถึงพูดแบบนั้น?”

 

“เพราะในโลกกระจัดกระจายน่ะ การที่จะได้รับไพ่ประเภทดังกล่าว เป็นเพียงความเพ้อฝันของคนโง่”

 

ชายแก่อธิบายต่อ “ในบรรดาไพ่ทั้งหมด ไพ่พยากรณ์เป็นอะไรที่หาได้ยากเย็นที่สุด นับประสาอะไรกับไพ่พยากรณ์โชคชะตา – มันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชะตากรรมลึกลับของโลก เป็นสมบัติราชวงศ์ของผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ในดินแดนชิงอำนาจ ไม่ก็เป็นสมบัติประจำเมือง มันไม่ที่ทางที่จะหลุดรอดออกไปได้”

 

“หากมีไพ่ดังกล่าวถูกทิ้งเอาไว้ภายนอกจริงๆ น่ากลัวว่าอาณาจักรที่มีผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์อันทรงพลานุภาพ คงจะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้รับมันกลับมา”

 

“หายากถึงขนาดนั้นเชียว?”

 

“หายากมากๆเลยล่ะ! สำรับไพ่แห่งโชคชะตามีอยู่มากมายก็จริง แต่ไพ่ที่สามารถพยากรณ์โชคชะตาได้ ข้ากล้าบอกเลยว่าตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น มันมีอยู่เพียงไม่กี่ใบเท่านั้น”

 

“ตามตรรกะนี้ ข้าจึงมั่นใจเต็มเปี่ยมเลยว่าสหายของเจ้าต้องโป้ปดเป็นแน่ หลังจากกลับไป เจ้าคงโดนเขาแซวที่หลงเชื่อเป็นตุเป็นตะอย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า รับฟังคำอธิบายของชายแก่อย่างเงียบๆ

 

….

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.505 – พีธี

 

เรือใหญ่แล่นผ่านทะเลหมอกอันไร้ที่สิ้นสุด คล้ายดั่งกำลังบินอยู่ท่ามกลางเมฆบนท้องนภา

 

แม้ว่าจะไม่มีดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ แต่ก็มีแสงพร่างพราวจากดวงดาวนับร้อยพันปรากฏขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว

 

จักรวาล , มิติอันปั่นป่วน , มอนสเตอร์ , ความว่างเปล่า และชั้นโลกชั้นแล้วชั้นเล่าถูกทะลุผ่าน ทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

 

ทุกอย่างผ่านมาและผ่านไป

 

ในบางเวลา กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าตนที่กำลังเดินทางอยู่บนเรือลำนี้ คล้ายกับกำลังมุ่งหน้าผจญภัย ท่ามกลางกลางค่ำคืนอันแปลกประหลาด และยากจะหยั่งถึง

 

กระแสลมในความว่างเปล่า มิได้หยุดลงแม้เพียงครู่

 

กู่ฉิงซานลูบผมที่ถูกพัดจนยุ่งเหยิงของเขา และเดินไปตามขอบดาดฟ้าเรือ

 

นี่นับว่าเป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ดังนั้น มันคงจะเป็นวิธีที่ดีในการใช้ผ่อนคลายอารมณ์ตน

 

แล้วเสียงแก่ๆก็ดังเข้ามา

 

“สหายข้า ทำไมเจ้าถึงมาอยู่คนเดียวบนดาดฟ้าเล่า ห้องพักมันไม่น่าพอใจงั้นหรือ?”

 

กู่ฉิงซานหันหน้าไปตามเสียง และพบว่าเขาคือชายแก่ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

 

เขาถือเชิงเทียนไขและเดินเข้ามาหากู่ฉิงซาน

 

“ไม่หรอก ห้องพักมันยอดเยี่ยมมากจริงๆ ผมแค่ออกมาสูดอากาศข้างนอกน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

 

“ข้าได้ไปตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของเจ้ามาแล้ว” ชายแก่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“คุณกำลังพูดถึงเรื่องไหนกัน? ใช่เรื่องที่ช่วยเหลือคนรึเปล่า? นั่นมันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยน่ะ ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”

 

“ไม่ใช่แค่นั้น แต่เป็นเรื่องของเพื่อนร่วมงานข้า ที่ดันลืมถามข้อมูลพื้นฐานของเจ้าน่ะ นี่นับว่าเป็นความผิดพลาดของเขาโดยแท้”

 

กู่ฉิงซานคิดอยู่สักพัก จึงเข้าใจในที่สุด

 

อีกฝ่ายคงจะพูดถึงชายชราของหอสูง ที่ได้พบเจอกันในตอนแรก และต้อนรับกู่ฉิงซาน ขับเรือพาเขามายังสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม

 

กู่ฉิงซานอธิบายว่า “เขาต้อนรับผมเป็นอย่างดี แถมยังเอาใจใส่ไม่น้อยเลย ดังนั้นผมไม่คิดว่าเขาทำผิดอะไร”

 

ชายแก่หัวเราะเมื่อได้ยินประโยคนี้

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าไม่ต้องไปแก้ตัวแทนเขาหรอก เพราะเขาก็ผิดจริงๆที่ไม่ได้สอบถามข้อมูลพื้นฐานของเจ้า”

 

“แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาสับสนกับกลิ่นอายของเจ้าที่ถูกปกปิดไว้โดยม้วนคัมภีร์ จึงคิดว่าเจ้าเป็นลูกหลานของคนใหญ่คนโตบางคน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ส่งคำเชิญให้แก่เจ้า”

 

“คำเชิญงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานทวนถามด้วยความสงสัย

 

“ใช่ แม้เจ้าจะเป็นหน้าใหม่ที่พึ่งเริ่มเดินทางไปมาระหว่างชั้นโลก แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นผู้มีพระคุณของสมาคมเรา ดังนั้นทางเราจึงอยากจะสอบถามว่า เจ้าต้องการจะเข้าร่วมกับสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงหรือไม่?”

 

“ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง”

 

กู่ฉิงซานถึงบางอ้อ

 

เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงสถานการณ์ในตอนนั้น

 

หากเขาสามารถเข้าร่วมกับสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงได้ล่ะก็ …

 

ขณะที่เขากำลังคิด ชายแก่ก็เปิดปากขึ้นมาว่า “ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด แบรี่คงจะส่งเจ้าไปตามคำเรียกขานของวิหคหนาม และเห็นได้ชัดว่าเจ้าได้กลายเป็นสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็กแล้ว”

 

“ถูกต้องตามนั้น” กู่ฉิงซานยอมรับ

 

ชายแก่กางมือออกแล้วกล่าวว่า “ถ้าเป็นอย่างที่ข้ากล่าว เกรงว่าเจ้าคงคิดผิดเสียแล้วล่ะ ที่เข้าร่วมกับสมาคมของเขา เพราะทางสมาคมของแบรี่ นอกจากจัดหาผู้คนมาต่อสู้กันฟรีๆแล้ว มันก็ไม่มีความสำคัญอะไรอีกเลย ข้าพูดถูกต้องไหม?”

 

กู่ฉิงซานยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

 

ชายแก่เผยสีท่าทีจริงจังออกมา “ดังนั้น มันจะเป็นการดีกว่าหากเจ้าถอนตัวออกจากสมาคมของเขา และมาเข้าร่วมกับสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงของเรา”

 

“ทางสมาคมของเรามีความรู้มากมายเกี่ยวกับโลกตลอดทั้งหมื่นโลกา ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคมนตราและความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ , ประวัติศาสตร์อันล้ำค่าของโลกทั้ง 900 ล้านชั้น หรือข่าวลับสุดยอดของนอกโลกทั้ง 900 ล้านชั้น”

 

“นอกโลกทั้ง 900 ล้านชั้นอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสนใจ

 

“แน่นอน ว่าความลับล้ำค่าที่ว่านั่น มีเพียงคนระดับสูงสุดของสมาคมเพียงไม่กี่หยิบมือเท่านั้นที่ล่วงรู้”

 

ชายแก่ยิ้ม “เจ้าสามารถเข้าร่วมกับเรา ค่อยๆเพิ่มระดับสมาชิกตามผลประโยชน์ที่กระทำ และทยอยได้รับสิทธิมากขึ้นเรื่อยๆ”

 

“แต่เจ้าเป็นคนที่มีพระคุณต่อสมาคม ซึ่งในกรณีนี้ หากเจ้าเข้าร่วมกับเรา เจ้าจะได้รับผลประโยชน์ที่ดีมากมายในระดับหนึ่งทันที”

 

ฟังไปสักพัก กู่ฉิงซานก็เริ่มตะหงิดๆถึงบางอย่าง เขาขมวดคิ้วและกล่าว “หากต้องการเข้าร่วมกับหอสูง ผมจะต้องถอนตัวออกจากสมาคมกำปั้นเหล็กก่อนใช่รึเปล่า?”

 

“ใช่ ตามกฏแล้วหนึ่งคนจะสามารถเชื่อมต่อกับโลกมิติอนันต์ได้เพียงหนึ่งเท่านั้น เจ้าจะต้องยกเลิกการเชื่อมต่อกับสัญญาณของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม เพื่อที่จะมาเชื่อมต่อกับสัญญาณของสมาคมผู้พิพักษ์หอสูงของเรา” ชายแก่อธิบาย

 

พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็ยิ้มออกมา เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “หากเป็นแบบนั้นผมคงต้องขอบคุณสำหรับน้ำใจที่หยิบยื่นให้ แต่ผมไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยนแปลงสัญญาณเชื่อมต่อของผม”

 

ชายแก่รู้สึกประหลาดใจสุดๆ เขาทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “แต่ถ้าเจ้าเลือกอยู่กับเขา สองไหล่ของเจ้าจะต้องแบกรับหนี้สินจำนวนมากของพวกเขาเอาไว้ ตรงกันข้าม ถ้าเข้าร่วมกับสมาคมหอสูงของพวกเรา เจ้าจะได้รับความรู้และสวัสดิการมากมาย นี่เจ้าไม่กระจ่างถึงข้อแตกต่างในส่วนนี้เลยหรือ?”

 

“ผมกระจ่างแก่ใจดี”

 

“แต่เจ้าก็ยังคงเลือกอยู่กับสมาคมกำปั้นเหล็ก?”

 

“ใช่แล้ว ผมต้องขออภัยด้วย”

 

“เพราะอะไร?”

 

“เพราะผมกลัวว่า เวลานี้ พวกเขาคงกำลังคาดหวังในตัวผมอยู่ ว่าผมจะต้องกลับไปพร้อมกับสมบัติเพื่อช่วยใช้หนี้ให้พวกเขา”

 

“นั่นคือเหตุผลงั้นหรือ?”

 

ชายแก่มองเขาราวกับกำลังมองไปที่ตัวโง่งม

 

“ผมไม่ชอบที่จะทำให้สหายของผมผิดหวังน่ะ … ยกเว้นไว้แต่ตอนที่เล่นไพ่ด้วยกันอะนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ในเมื่อเจ้าพูดถึงขนาดนี้ … ข้าคงทำได้เพียงต้องบอกว่าน่าเสียดายจริงๆ”

 

ชายแก่ถอนหายใจและกล่าว

 

“ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่ผมก็ยังต้องการที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทางสมาคมของพวกคุณเอาไว้เหมือนเดิมอยู่นะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ชายแก่ยิ้ม “ดูเหมือนว่าแบรี่จะได้เจ้าหนูที่ดีมาเป็นสมาชิกซะแล้ว นอกจากนี้ขาของเขาก็กำลังจะหายดีอีก ในอนาคตอันใกล้ สมาคมกำปั้นเหล็กคงจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นแน่”

 

“เจ้าหนู แม้ว่าเจ้าจะเลือกตัวเลือกที่โง่เง่า แต่มันก็ทำให้ข้าต้องประหลาดใจไม่น้อยเลย ข้าค่อนข้างประทับใจในตัวเจ้าจริงๆ – รอประเดี๋ยวนะ ข้าขอตัวไปเอาของบางอย่างก่อน แล้วจะกลับมา”

 

หลังจากว่าจบ ชายแก่ก็พยักหน้าให้กู่ฉิงซานและเดินจากไปทันที

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ณ สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม

 

พี่ชายและน้องสาวนั่งอยู่ด้วยกัน จ้องมองแมลงบนโต๊ะด้วยความกังวล

 

ปากของแมลงอ้าขึ้น และเอ่ยน้ำเสียงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงออกมา

 

“ผมไม่ชอบที่จะทำให้สหายของผมผิดหวังน่ะ … ยกเว้นไว้แต่ตอนที่เล่นไพ่ด้วยกันอะนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ในเมื่อเจ้าพูดถึงขนาดนี้ … ข้าคงทำได้เพียงต้องบอกว่าน่าเสียดายจริงๆ”

 

“ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่ผมก็ยังต้องการที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทางสมาคมของพวกคุณเอาไว้เหมือนเดิมอยู่นะ”

 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ทันใดนั้นเสียง ‘โผล๊ะ’ ก็ดังขึ้น ร่างแมลงตัวแตกและตายลง

 

“ตาแก่นั่นคงค้นพบแมลงดักฟังของฉันและเหยียบมันไปแล้วแน่ๆเลย” เสี่ยวเหมียวกล่าวอย่างไม่พอใจ

 

แต่แบรี่กลับกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ก็มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขานี่ พวกเขาจะเจอมันได้ง่ายๆก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”

 

เสี่ยวเหมียวโกรธไปสักพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “กู่ฉิงซาน … เจ้าเด็กนี่เป็นคนดีจริงๆ”

 

แบรี่พยักหน้า และประสานสองกำปั้นของเขาเข้าด้วยกัน “เมื่อเขากลับมา เขาจะมีสิทธิได้ต่อสู้กับฉัน เพื่อทำพิธีการเข้าร่วมสมาคมให้สมบูรณ์!”

 

เสี่ยวเหมียวพอได้ฟังก็อึ้งไป

 

พิธีเข้าร่วม?

 

จริงสิ ทุกคนที่ต้องการเข้าร่วมสมาคม จะต้องผนึกพื้นฐานวรุยทธทั้งหมด และต่อสู้กับแบรี่ด้วยกำปั้นจนเละกันไปข้างหนึ่งนี่นา

 

และแน่นอน ว่าแบรี่ก็จะผนึกความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขา เพื่อตอบรับความท้าทายในครั้งนี้เช่นกัน

 

นี่เป็นประเพณีปฏิบัติของสมาคม

 

ในอดีตที่ผ่านมา มีเฉพาะสมาชิกที่เข้าร่วมกับสมาคมอย่างเป็นทางการเท่านั้นจึงจะได้รับเกียรตินี้

 

เกียรติยศนี้ …

 

โดยที่แบรี่ไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามีสมาชิกที่ต้องการเข้าร่วมกี่คนแล้วที่เขาทำให้วิ่งหนีไป

 

และคราวนี้ เขาก็คิดจะทำพิธีต้อนรับกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานที่สามารถปรุงอาหารได้

 

กู่ฉิงซานที่สามารถช่วยชำระหนี้ให้พวกเธอได้

 

กู่ฉิงซานที่ยืนกรานว่าจะอยู่เคียงข้างสมาคมของพวกเธอ

 

-แต่ตอนนี้ แบรี่กำลังพยายามที่จะทุบตีและไล่เขาออกไปซะงั้น?

 

เสี่ยวเหมียวร้องออกมาอย่างรวดเร็ว “อย่าเชียวนะ! กำปั้นของพี่ทำกี่คนต่อกี่คนแล้วที่หนีไป? ก่อนหน้านี้น้องไม่ว่าอะไรก็จริง แต่คราวนี้ห้ามเด็ดขาด!!!”

 

แบรี่เอ่ยขัด “แต่มันคือพิธีเข้าร่วมสมาคมของเรา มันเป็นประเพณีนะ”

 

เสี่ยวเหมียวไม่คิดโน้มน้าวเขา แต่เริ่มขอร้องอย่างใจเย็น “ประเพณีงั้นหรอ? พวกเรามียอดพ่อครัวมาเคาะประตูถึงหน้าสมาคมแล้วนะ ถ้าพี่ไปทำแบบนั้นเขาคงจะหนีไปแน่ๆ ช่วยใช้หัวคิดดีๆอีกสักครั้ง แล้วตัดสินใจใหม่ด้วยเถอะ”

 

แบรี่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ “เสี่ยวเหมียว ฟังนะ นี่เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์และเคร่งครัด ดังนั้นน้องต้อง – ”

 

“แถมเขายังบอกว่าจะเป็นคนจ่ายหนี้ให้แก่สมาคมของพวกเราด้วย”

 

เจอคำนี้ของเธอเข้าไป คำพูดอื่นๆก็จุกอยู่ในลำคอของแบรี่

 

แบรี่กลายเป็นโง่งมไปชั่วขณะ

 

ไม่มีอะไรสามารถเปรียบเทียบได้เลยกับไอ้เรื่องน่าปวดหัวเรื่องนี้

 

แบรี่จึงแก้ไขทัศนคติของเขาและกล่าว “เสี่ยวเหมียว นี่เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์และเคร่งครัด และต้องจัดขึ้นในสถานการณ์ที่เหมาะสม -แต่ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเรามันเลวร้ายเกินไป ฉะนั้นก็ทำทุกอย่างให้มันง่ายๆไปก่อนก็แล้วกัน”

 

“ใช่ พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ยากจนชนิดเลวร้ายมาก ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่จะทำพิธี” เสี่ยวเหมียวพยักหน้าเห็นด้วย ปากอ้าถอนหายใจโล่งอกลงในที่สุด

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.504 – ความไม่สบายใจ

 

ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราด เรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังแล่นไปยังเบื้องหน้า

 

อัตราเร็วของเรือว่องไวเกินไป จนบรรดาสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในมิติที่ว่างเปล่าทำได้เพียงจ้องมองมันผ่านไปด้วยความสงสัยเท่านั้น

 

บางครั้งก็มีมอนสเตอร์ตัวใหญ่ ที่จู่ๆก็ผุดออกมาจากกระแสมิติอันเชี่ยวกราด แล้วโฉบเข้าหาเรือใหญ่อยู่เหมือนกัน

 

ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เรือใหญ่ก็จะระเบิดแสงจรัสออกมาห่อหุ้มตลอดทั้งลำ

 

และเรือก็จะยิ่งเร่งความเร็วขึ้น พุ่งเข้ากระแทกใส่มอนสเตอร์ตัวนั้นๆโดยตรง!

 

โดยไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ เรือใหญ่ก็พุ่งข้ามผ่านร่างของมอนสเตอร์อย่างง่ายดาย และยังคงมุ่งหน้าต่อไป

 

ขณะที่บนร่างของมอนสเตอร์ที่โฉบเข้ามา เหลือทิ้งไว้เพียงหลุมขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้น

 

นี่คือเรือของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

 

หลังจากผ่านการสำรวจค้นคว้ามานานปี พวกเขาจึงสามารถคิดค้นถึงวิธีจัดการกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในมิติที่ว่างเปล่าได้

 

บนเรือบิน

 

ภายในห้องพัก

 

กู่ฉิงซานอยู่ในห้อง และคราวนี้ สถานที่ที่เขาเลือกก็คือวังหลานเฉาของตนในนิกายร้อยบุปผา

 

เขานั่งลงบนมุมห้องโถงที่ว่างเปล่า และมองไปยังอาหารวิญญาณและเม็ดยารักษาบนถาด

 

เมื่อยามที่เขาเข้ามาภายในห้อง สิ่งเหล่านี้ก็ปรากฏขึ้นมารอเขาอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ

 

เม็ดยาและอาหารวิญญาณเหล่านี้ ชัดเจนว่าเป็นแบบฉบับของนิกายร้อยบุปผา มันไม่แตกต่างไปจากสิ่งที่นางเซียนไป่ฮั่วกับฉินเซี่ยวโหลวเป็นคนปรุงหรือกลั่นเลย

 

นอกจากนี้ ภายในห้องยังมีกลิ่นของธูปหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่กู่ฉิงซานมักจะใช้เป็นประจำ

 

ตามความทรงจำของผู้โดยสารเรือ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะผลิตสิ่งที่เหมือนจริงและทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ขึ้นมาจากอากาศที่ว่างเปล่าได้

 

เป็นอีกครั้งที่กู่ฉิงซานรู้สึกชื่นชมในพลังของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

 

สภาพแวดล้อมอย่างวังหลานเฉาเช่นนี้ เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการทะลวงด่านของเขา

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็ไม่เคยคิดเสียใจเลยที่ในครั้งก่อนเขาเลือกสลัมเป็นที่ซุกหัวนอน

 

เพราะนั่นก็นับว่าเป็นการผ่อนคลายรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน

 

กู่ฉิงซานหยิบเม็ดยา โยนใส่เข้าไปในปาก

 

ทันใดนั้นกระแสอันอบอุ่นจากเม็ดยาก็ไหลบ่าเข้าสู่ร่างกายของเขาทันที

 

พลังวิญญาณขนาดใหญ่เริ่มที่จะก่อตัวขึ้น

 

กู่ฉิงซานจ้องมองดูบรรทัดตัวอักษรบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน : 300000/400”

 

กู่ฉิงซานนิ่งค้างไปสักพัก ก่อนจะพยายามสูดหายใจลึก

 

นี่ใช่ไหม … ที่เรียกว่าความรู้สึกพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน?

 

เขาหยิบเอาถุงเครื่องหอมหลากสีขึ้นมา

 

จากนั้นก็ค้นจิตสัมผัสเทวะลงไป ก่อนจะเจอใบหยกที่ต้องการ แล้วหยิบมันออกมา

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กแจ้งเตือนขึ้น

 

“บันทึกการฝึกยุทธของเซี่ยเต๋าหลิง”

 

“ใบหยกนี้ได้บันทึกถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกฝนประทับเทพของนางเซียนเซี่ยเต๋าหลิง ในขั้นต้น กลาง และสุดท้าย และความพยายามต่างๆที่หมายจะตัดผ่านขอบเขตประทับเทพของเธอ”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านตัวอักษรเล็กๆเหล่านี้ แล้วถอนหายใจออกมา

 

ด้วยพรสวรรค์และสติปัญญาของเซี่ยเต๋าหลิง ความจริงแล้วเธอสมควรสามารถตัดผ่านขอบเขตประทับเทพ ยกระดับขึ้นสู่ร่างเทวะ แม้กระทั่งพันวิบัติ หรือขอบเขตที่เหนือยิ่งกว่านั้นไปได้แล้วแท้ๆ

 

แต่น่าเสียดาย ที่เธอดันไปเกิดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

 

ขีดจำกัดของโลกกระจัดกระจาย … อยู่ในระดับประทับเทพ

 

ตอนนี้พอได้ลองมาคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบ แท้จริงแล้วจะพบว่าโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนับว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

 

ในช่วงการทดสอบประจำปี ครั้งหนึ่งกู่ฉิงซานเคยได้มีโอกาสก้าวขึ้นบันไดที่ถูกตัดขาด ซึ่งเป็นเส้นทางสู่สวรรค์

 

ในเมื่อโลกแห่งผู้ฝึกยุทธเคยมีเทพวิญญาณ ฉะนั้น มันก็สมควรที่จะเป็นโลกหกวิถีที่สมบูรณ์เช่นกัน

 

ว่าแต่ทำไมนะ? ทำไมเทพวิญญาณถึงได้จากไป?

 

เซี่ยเต๋าหลิงเคยสูญเสียนิกายไปแล้ว และตั้งแต่รอดชีวิตในครั้งนั้นมาได้ เธอก็อยู่เพียงลำพังมาโดยตลอด

 

แต่ก็มีเพียงเธอคนเดียวเช่นกัน ที่ครอบครองสกิลเทวะอย่าง ‘สวรรค์ล่มสลาย’ ‘ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว’ และ ‘ตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตน’

 

เซี่ยเต๋าหลิงยังครอบครองแม้กระทั่งสกิลเทวะหกวิถี อย่างเช่น สกิลเทวะแห่งปรภพ ‘สายธารแห่งการหลงเลือน’ นอกจากนี้ยังมีสกิลเทวะแห่งอาชูร่า ‘ยักษาวิปัสสนา’ อีก

 

ในเวลานั้น ฉีหยานเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ซึ่งอยู่เหนือล้ำกว่าเซี่ยเต๋าหลิงถึงสามขอบเขต แต่เมื่อต้องเผชิญกับสกิลเทวะหกวิถีของเซี่ยเต๋าหลิง กระทั่งตัวเขาก็ยังต้องเร่งหยุดเธอด้วยความหวาดกลัว

 

แล้วสกิลเทวะหกวิถีเหล่านี้ เซี่ยเต๋าหลิงไปได้รับมันมาจากที่ใดกัน?

 

ในเมื่อเธอครอบครองทั้งสกิลเทวะจากปรภพและอาชูร่า ฉะนั้นแล้ว อาจกล่าวได้ว่าทั้งสองโลกนี้มันเชื่อมต่อกันใช่หรือไม่?

 

ครั้งหนึ่ง กู่ฉิงซานเคยได้เห็นคนแจวเรือข้ามฟากของสายธารแห่งการหลงเลือนด้วยตาตนเองมาแล้ว ดังนั้นการดำรงอยู่ของเธอไม่มีทางเป็นเท็จอย่างแน่นอน

 

ตัวเซี่ยเต๋าหลิงนี่เต็มไปด้วยปริศนาเสียจริงๆ

 

ไหนจะยังมีเรื่องประวัติศาสตร์ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ที่ช่วงเวลาหนึ่งได้ถูกตัดขาดหายไปกว่าหลายร้อยปีอีก

 

วันเดือนปีที่ผ่านพ้นมา แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?

 

ยังจำได้ไหมว่าเมื่อครู่พอบอกออกไปว่าในบรรดาโลกกระจัดกระจาย มีโลกหกวิถึอยู่ แบรี่กับเสี่ยวเหมียวชัดเจนว่าดูตกใจ

 

จากในมุมมองของพวกเขา โลกหกวิถีปกติแล้วมักจะอยู่ในดินแดนอัศจรรย์

 

ถ้างั้นแล้วโลกแห่งผู้ฝึกยุทธเล่า?

 

หรือว่ามันจะเป็นโลกหกวิถีที่ยังไม่เคยถูกค้นพบ?

 

กู่ฉิงซานลองขบคิดอยู่สักพักหนึ่ง แต่ก็ตระหนักได้ว่าเขามิอาจค้นหาร่องรอยของเบาะแสใดๆได้เลย

 

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ เขาก็ยังไม่สามารถกลับไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธได้อีกด้วย

 

ทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ กู่ฉิงซานก็ถอนหายใจอย่างไร้หนทาง

 

ฉินรั่ว ว่านเอ๋อได้เดินทางไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้ว

 

ตอนนี้ เขาได้แต่หวังว่าทุกอย่างมันจะยังเป็นไปได้ด้วยดี

 

เมื่อขบคิดเรื่องราวทั้งหมดนี้อย่างลึกซึ้ง ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็บังเกิดความไม่สบายใจบางอย่างอันยากจะอธิบายออกมา

 

กู่ฉิงซานสะบัดหัวเพื่อขจัดความคิดทั้งหมดนี้ออกไป

 

ตอนนี้ ยังไม่ใช่เวลามามัวคิดเกี่ยวกับมัน

 

เพราะถึงเวลาที่จะต้องทำการตัดผ่านแล้ว!

 

ด้วยการนึกคิดในจิตใจของเขา บรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที

 

“เรียนรู้การฝึกฝนของเซี่ยเต๋าหลิงในขอบเขตประทับเทพขั้นกลาง จากในบันทึก จำเป็นต้องจ่าย 600 แต้มพลังวิญญาณ คุณต้องการจะเรียนรู้หรือไม่?”

 

“ต้องการเรียนรู้ ฉันยินดีจ่าย 600 แต้มพลังวิญญาณ”

 

ทันทีที่เสียงของเขาตกลง กระแสอันอบอุ่นก็ไหลออกมาจากใบหยก ถ่ายเทผ่านแขน ขา และกระดูกของกู่ฉิงซาน ในที่สุดก็ไปบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ

 

ไม่กี่ลมหายใจ ความรู้ทั้งหมดในการฝึกฝนขอบเขตประทับเทพของนางเซียนเซี่ยเต๋าหลิงก็ถูกเรียนรู้และเข้าใจโดยกู่ฉิงซานอย่างสมบูรณ์

 

ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานไม่เพียงครอบครองประสบการณ์การต่อสู้ทั้งหมดของกษัตริย์อาชูร่าเท่านั้น แต่เขายังได้รับประสบการณ์ การฝึกฝนขอบเขตประทับเทพขั้นกลางของเซี่ยเต๋าหลิงอีกด้วย

 

เดิมที เขาก็เป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกดาบอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองอย่างที่พึ่งกล่าวมา ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเขาจึงย่อมพุ่งสูงขึ้นเป็นธรรมดา

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่กำลังทำสมาธิ ลมหายใจกลายเป็นอ่อนโยน ทั้งคนทั้งร่างเข้าสู่สถานะยกระดับ

 

หลังจากที่ได้มีประสบการณ์ต่อสู้ในโลกล่องเวหา ตัดหัวหวังหงษ์เต๋าที่มีขอบเขตเหนือยิ่งกว่าสามถึงสี่ระดับได้ ช่วงนั้นเขายังแทบไม่เชื่อตัวเองอยู่เลย

 

แต่มันก็ไม่เชื่อแค่ไม่นานเท่านั้น เพราะต่อมาเขาก็ได้พบเจอกับ

 

จิ้งจอกขาว

 

ต่อสู้กับสตรีแห่งรากษส

 

แลกเปลี่ยนกับเสี่ยวถาย

 

ได้รู้จักกับสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

 

ปรุงอาหารปีศาจให้แบรี่กับเสี่ยวเหมียว และสุดท้าย ก็สามารถดิ้นรนขอเป็นสมาชิกในโลกของทั้งสองได้ในที่สุด

 

ดังนั้นตอนนี้ กู่ฉิงซานจึงด้านชา ไม่ตกใจกับอะไรอีกแล้ว

 

วิสัยทัศน์ของเขาเหนือล้ำไปไกลเกินกว่าเดิมมากมายนัก ไม่ว่าจะเป็นมุมมอง หรือความเข้าใจเกี่ยวกับขอบเขต ตัวเขาในตอนนี้ นับว่าทิ้งห่างจากผู้คนในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธไปมากโขแล้ว

 

พลังวิญญาณในร่างกายเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การรับรู้ทางจิตวิญญาณยิ่งมายิ่งชัดเจนมากขึ้น ขอบเขตในทะเลแห่งห้วงสติก็ขยายมากกว่าเดิม

 

และไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

 

ในที่สุด กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น

 

เขาได้ก้าวขึ้นมาถึงขอบเขตประทับเทพขั้นกลางแล้ว!

 

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆในร่างกาย ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาจากฟูก

 

“ตอนนี้เป็นเวลาใด?” เขาเอ่ยถาม

 

“ผ่านไปหกชั่วยาม เวลานี้เป็นตอนเย็นแล้ว” ฉานนู่ตอบเขา

 

เธอหันไปมองรอบๆด้วยความสงสัย “นายน้อย ช่วงก่อนหน้าสถานที่พำนักของท่านมีขนาดเล็กมาก แล้วเหตุใดครานี้ สถานที่พำนักของท่านจึงใหญ่โตเช่นนี้?”

 

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “พอดีว่าท่านอาจารย์ข้าค่อนข้างให้ความสำคัญกับหน้าตาน่ะ ดังนั้นจึงมักจะทำสถานที่พักอาศัยให้กว้างขวาง และดูมีบารมีอยู่เสมอ”

 

เขาหยุดความคิดที่จะทำการตัดผ่านไปขั้นต่อไปสักพัก และเดินวนไปวนมาทั่ววังหลานเฉา

 

เงามืดในหัวใจค่อยๆขยายตัวออกไปอย่างเงียบๆ กู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกกังวลอย่างอดไม่ได้

 

“ไม่ดีเลยแฮะ ทำไมฉันถึงรู้สึกกระวนกระวายใจแบบนี้ หรือว่ามันจะมีเรื่องไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น?” กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง

 

มันคล้ายกับมีใครบางคนกำลังถืออาวุธสังหารจี้หลังเขา ไม่ต่างไปจากเงาที่ตามติดตัว

 

“ฉานนู่ เจ้ารู้สึกอะไรบ้างไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามขึ้นทันใด

 

ฉานนู่เป็นจิตวิญญาณของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น บางทีเธออาจจะมีความรู้สึกที่ชัดเจนยิ่งกว่าเขาก็ได้

 

เมื่อถูกถาม ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็ผลุบออกมา และเปลี่ยนตนเป็นหญิงในชุดคลุมฟ้าที่ดูเย็นชาทันที

 

เธอน่ะสามารถเชื่อมต่อกับกู่ฉิงซานได้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงย่อมสามารถรับรู้ถึงความคิดบางส่วนของกู่ฉิงซานได้

 

ฉานนู่มองเขาและกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าแข็งแกร่งขึ้น”

 

“ไม่ใช่แบบนั้น ข้าหมายถึงความรู้สึกอย่างอื่นน่ะ เช่นพวกลางสังหรณ์ อะไรประมาณนั้น”

 

ฉานนู่นิ่งคิดไปครู่ แต่แล้วก็ส่ายหัว

 

อย่างไรก็ตาม เธอฉุกคิดบางอย่างได้ในฉับพลัน เริ่มใช้ออกด้วยวิชาลี้ลับ และแปลงตนจากวิญญาณดาบเป็นผู้ฝึกยุทธหญิง

 

“อ่า .. แม้จะแปลงกายมาในร่างนี้แล้วก็ตามที แต่ข้าก็รู้สึกว่าทุกอย่างยังปลอดภัย เหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติอยู่ดี” ฉานนู่ลองเพ่งสมาธิอย่างรอบคอบและกล่าวออกมา

 

“งั้นหรือ สงสัยการรับรู้ทางจิตวิญญาณของข้าจะผิดพลาดไปเองล่ะมั้ง”

 

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นมานวดๆหน้าผากของเขา

 

ฉานนู่เอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “นายน้อย นี่ท่านมีการรับรู้ทางจิตวิญญาณด้วยอย่างงั้นหรือ?”

 

“ใช่ข้ามี อืม … ถ้าจะให้อธิบาย คงต้องบอกว่ามันเป็นแค่ลางสังหรณ์อันคลุมเครือน่ะ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แต่การรับรู้ทางจิตวิญญาณเช่นนี้ คือสัญชาตญาณที่กู่ฉิงซานคุ้นเคยเป็นอย่างดี และมันมักจะไม่เคยผิดพลาดเลย

 

การรับรู้ทางจิตวิญญาณกับไพ่พยากรณ์โชคชะตานั้นแตกต่างกัน

 

การรับรู้ทางจิตวิญญาณจะสร้างสถานการณ์จริงบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น หากผู้ฝึกยุทธลอบมองเห็นภาพจริงเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะสามารถเตรียมตัว เพื่อพร้อมรับมือกับมัน

 

แต่น่าเสียดาย ที่กู่ฉิงซานรับรู้เป็นเพียงความไม่สบายใจ มิได้ถึงขั้นมองเห็นภาพในอนาคต

 

กู่ฉิงซานส่ายหัวอย่างหมดหนทาง

 

ลืมมันเถอะ อย่างน้อยระหว่างเดินทางก็น่าจะยังคงปลอดภัย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บมันมาคิดชั่วคราว

 

ในกรณีที่ยังคงไม่สบายใจแบบนี้ มันคงจะไม่เหมาะนักหากจะยังคงคิดยกระดับต่อไป

 

เมื่อคิดได้ กู่ฉิงซานก็ตรงไปที่ประตู เปิดมัน และเดินออกไป

 

ย่ำไปตามทางเดินห้องโดยสาร ในที่สุดเขาก็มาถึงดาดฟ้าเรือ

 

เรือทั้งลำไม่มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่เลย

 

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรือที่ถูกส่งมารับเขาเป็นพิเศษโดยสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

กระแสลมปั่นป่วนวุ่นวาย คล้ายดั่งสายน้ำ

 

เสื้อผ้าของกู่ฉิงซานพัดกระพือว่อน เต้นไปตามแรงลม

 

เรือลำนี้มีความเร็วเป็นอย่างมาก ภาพฉากต่างๆในมิติที่ว่างเปล่าโผล่มาให้กู่ฉิงซานเห็นเพียงพริบตาเท่านั้น เขาไม่มีเวลาดูเลยว่าพวกมันคือภาพอะไร

 

แต่ในตอนนั้นเอง มอนสเตอร์ยักษ์ที่ส่งกลิ่นอายลางไม่ดีอย่างรุนแรงก็ปรากฏขึ้นทันใด

 

มันดูคล้ายกับงู ขณะเดียวกันก็มีร่างที่ยาวเกินกว่าจะเรียกว่าสัตว์ทะเลทั่วๆไปได้

 

มอนสเตอร์อ้าปากยักษ์ของมัน เลื้อยเข้ามาทางเรือใหญ่

 

ปากของมันกว้างพอที่จะกลืนกินเรือขนาดใหญ่ของกู่ฉิงซานนับสิบลำได้ในคราวเดียว

 

อย่างไรก็ตาม ตัวเรือกลับไม่มีการตอบสนองใดๆเลย

 

“ชิบแล้วไง เฮ้ .. มีใครอยู่ไหม?” กู่ฉิงซานตะโกน

 

ทว่ากลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา

 

เห็นแค่เพียงเรือใหญ่ที่แล่นด้วยความเร็วมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ พุ่งเข้าปะทะกับร่างของมอนสเตอร์โดยตรง

 

มอนสเตอร์หวีดร้องอย่างน่าสมเพช ร่างของมันบิดเป็นเกลียวอย่างบ้าคลั่ง และร่วงตกลงไปในความว่างเปล่า

 

ขณะนั้นเอง มอนสเตอร์ตนอื่นๆมากมาย จู่ๆก็ผุดตามออกมาจากมิติที่ว่างเปล่า และพากันไล่ตามมอนสเตอร์ที่บาดเจ็บตนแรกไป

 

มอนสเตอร์ตัวที่คิดจะกินเรือ … เกรงว่าหลังจากนี้ไปมันคงจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน

 

กู่ฉิงซานที่ได้เป็นสักขีพยานในฉากดังกล่าวนี้ ทั้งตกตะลึงและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน

 

เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปที่ใบเรือ

 

ซึ่งเรือลำนี้จะแตกต่างจากเรือก่อนหน้า มันมีขนาดใหญ่ และเสากระโดงมากกว่าลำก่อนถึงสองกระโดง ขณะที่ห้องโดยสารหลายชั้นก็ถูกจัดวางเอาไว้เข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ ขณะที่ส่วนท้ายของเรือโค้งมนดูสวยงาม

 

หากเทียบเปรียบกับในสมัยโบราณ เรือลำนี้ก็คล้ายกับเรือใบที่มีสี่เสากระโดง เหมาะสำหรับการท่องสมุทรในระยะยาว

 

เรือขนาดใหญ่แล่นผ่านท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราดไปอย่างรวดเร็ว และไม่มีมอนสเตอร์ตนใดปรากฏขึ้นมาขวางทางอีกเลย …

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.503 – การเรียกขานของวิหคหนาม

 

ณ โลกมิติอนันต์

 

ภายในสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม

 

แบรี่เอ่ยปากออกมา “เข้าเรื่องกันดีกว่า ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ พอดีว่าฉันต้องการจะส่งคนของฉันไปหาวิหคหนามน่ะ”

 

นกตัวใหญ่ค่อยๆหยิบสมุดบัญชีออกมาจากใต้ปีกของมัน

 

หลังจากอ่านสมุดบัญชี มันก็กล่าวออกมาอย่างลำบากใจ “ทุกหน่วยงานได้ขึ้นบัญชีดำสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมเอาไว้แล้ว ฉันกลัวว่าต่อให้แจ้งไป พวกเขาก็คงจะไม่ส่งเรือมาอยู่ดี”

 

“งั้นถ้าเป็นทางสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงล่ะ?” เสี่ยวเหมียวถาม

 

“ก็ฝ่ายนั่นแหละ กลุ่มแรกเลยที่ขึ้นบัญชีดำเธอ”

 

“ไอ้พวกนักวิชาการปลอมเปลือกนี่ มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ!” เสี่ยวเหมียวสบถอย่างขุ่นเคือง

 

“เรื่องนี้ไม่ควรตำหนิพวกเขา เพราะพวกนายพี่น้องเป็นหนี้สมาคมผู้พิทักษ์หอสูง เทียบเท่าได้กับโลกถึง 30 ใบ” นกตัวใหญ่กล่าว

 

มันกางปีกออกแล้วพูดต่อว่า “ดูจากที่นี่ก็พอจะบอกได้ว่าตอนนี้นายยังไส้แห้งสุดๆอยู่เลย คิดว่าคงไม่สามารถจ่ายหนี้ให้พวกเขาได้ในเร็วๆนี้แน่ๆ เอาไว้รอให้พร้อมกว่านี้ก่อนไหม แล้วค่อยทำการนัดหมายครั้งต่อไป?”

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวหันมามองหน้ากัน

 

เสี่ยวเหมียวกล่าว “น่าเสียดายจัง ตัวฉันเองก็ไม่สามารถไปส่งเขาได้ อีกอย่างฉันก็ไม่รู้ตำแหน่งของวิหคหนามด้วย”

 

ทั้งสองคนรู้สึกหมดหนทาง

 

“รอสักครู่” กู่ฉิงซานเอ่ยแทรก

 

แล้วเขาก็หยิบตราประทับของหอสูงออกมา “โปรดมอบสิ่งนี้ให้แก่พวกเขา และฝากบอกไปว่า ผมหวังว่าพวกเขาจะสามารถช่วยเราได้”

 

นกตัวใหญ่รับเอาตราประทับมาและมองดูกู่ฉิงซานอย่างลึกซึ้ง

 

“ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของสมาคมกำปั้นเหล็กจะเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีแล้วสินะ”

 

มันเอาตราประทับใส่เข้าไปในปาก ก่อนจะบินหายเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่า

 

“นายเป็นผู้มีพระคุณของคนจากหอสูงอย่างงั้นหรอ?” แบรี่ถามด้วยความประหลาดใจ

 

กู่ฉิงซานบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น

 

“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ทำไมนอกเหนือไปจากโลกทั้ง 900 ล้านชั้น ถึงยังมีโลกหกวิถีอยู่อีก?” แบรี่เผยถึงท่าทีสับสน

 

“เป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ โดยปกติแล้วโลกหกวิถีน่ะ มักจะเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอัศจรรย์ เป็นโลกวิเศษที่มีวัฏจักรปิดเป็นของตัวเอง”

 

เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยความสนใจ “พอได้ฟัง ฉันเองก็ชักอยากจะเห็นคนตายในโลกปรภพบ้างซะแล้วสิ”

 

“คุณอาจจะไม่ได้เห็นโลกปรภพอีกต่อไปแล้ว เพราะมันกำลังถูกผสานรวมเข้าด้วยกันกับโลกมนุษย์ของผม” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เสี่ยวเหมียวต้องประหลาดใจอีกรอบ “นี่นายสามารถปิดวัฏจักรของทั้งหกวิถีได้อย่างงั้นหรอ?”

 

“ทำไม? หรือว่าถ้าทำแล้วมันจะมีปัญหาอะไรตามมา?”

 

“ไม่รู้สิ มันเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยาก ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” เสี่ยวเหมียวหันไปขอความคิดเห็นจากแบรี่

 

แบรี่ส่ายหัว

 

“น้อยครั้งนัก ที่มนุษย์จะได้มีโอกาสไปยังดินแดนอัศจรรย์ ดังนั้นเรื่องนี้แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน” แบรี่กล่าว

 

“แต่ถ้าอยากจะศึกษาอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับมัน โลกของผมก็ยินดีต้อนรับพวกคุณเสมอนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“จริงๆหรอ?”

 

“จริงๆสิ”

 

แล้วเสี่ยวเหมียวก็ดึงเข็มทิศที่ไม่รู้ว่าไปหยิบมาจากที่ใดขึ้นมา

 

“เก็บมันไว้ มันจะบันทึกสถานที่ที่นายอยู่ ฉันจะได้รู้ถึงพิกัดของนาย”

 

“โอเค”

 

กู่ฉิงซานเก็บเข็มทิศ

 

เขาก้มลงดูเวลา

 

และพบว่ามันเป็นเวลา 7 โมงเช้า

 

ถ้าอย่างนั้น …

 

“พวกคุณต้องการอาหารเช้ากันรึเปล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ต้องการอยู่แล้ว!”

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

 

“งั้นผมจะอบแพนเค้กไข่กับเต้าหู้นิ่มให้ก็แล้วกัน – จริงสิ ปกติแล้วพวกคุณชอบทานอาหารเช้าแบบไหน? หวาน? หรือเค็ม?”

 

เสี่ยวเหมียว “หวาน”

 

แบรี่ “เค็ม”

 

แล้วทั้งสองก็หันมามองหน้ากันและกัน

 

แบรี่ยอมประนีประนอม “หวานก็ได้”

 

เสี่ยวเหมียวยิ้ม

 

หลังจากที่พวกเขาทานอาหารเช้ารสเลิศจนเสร็จ เรือของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงก็มาถึงพอดี

 

ซึ่งนี่แตกต่างจากครั้งก่อน เรือที่มา มันใหญ่กว่าเดิมมากนัก

 

ปรากฏถึงร่างของชายแก่ในชุดคลุมยาวสีชมพูกำลังยืนอยู่บนดาดฟ้า

 

ชายแก่จ้องเขม็งไปยังขาของแบรี่ทันทีที่เขาปรากฏตัว

 

เขาขยี้ตาพร้อมเปล่งเสียงกระซิบ “มันได้รับการรักษาแล้ว … นับเป็นปาฏิหาริย์โดยแท้”

 

ร่างของชายแก่กระพริบไหว เขาหายไปจากเรือและปรากฏขึ้นข้างกายแบรี่

 

ชายแก่ทิ้งตัวลง สองแขนคว้าโอบขาแบรี่ และยื่นจมูกไปใช้สูดฟุดฟิดๆอย่างแรง

 

“เฮ้ย ตาแก่นี่ แกคิดจะทำอะไร?” แบรี่กำหมัดของเขาแน่น

 

ชายแก่เอาแต่สูดดมกลิ่นจากน่องของแบรี่ และเมื่อสูดดมจนลามขึ้นมาถึงต้นขา ดวงตาของเขาก็เบิกโพลง ปากอ้าร้องตะโกนขึ้น “อะฮ่า นี่มันกลิ่นหอมของดอกไม้ภูติ!”

 

เขาดีดตัวขึ้นด้วยความพลุ่งพล่าน เขย่าตัวแบรี่ด้วยความตื่นเต้น “แบรี่ ข้าในนามตัวแทนขอสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ยินดีจะปลดหนี้เป็นราคา 3 ชั้นโลก เพื่อแลกกับพิกัดโลกแห่งภูติกับเจ้า”

 

ชายแก่พูดต่ออย่างรวดเร็ว “แบรี่ เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้นะ! ราคา 3 ชั้นโลกมันสามารถจ่ายหนี้ทั้งหมดที่เจ้ามีได้ แถมยังได้รับส่วนเกินมาอีกนิดๆหน่อยๆด้วย”

 

“ขอโทษที แต่นี่คือสิ่งที่คนอื่นมอบให้แก่ฉัน ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพิกัดโลกภูติมันอยู่ที่ไหน” แบรี่สารภาพ

 

“งั้นหรือ? เป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ” ชายแก่กล่าวด้วยดวงตาขุ่นเขียว

 

ในเรื่องแบบนี้ แบรี่คงจะไม่โกหก

 

ความหวังในหัวใจของชายแก่ กลายเป็นเพียงภาพลวงตาอีกครั้ง

 

เขาหยิบเอาตราของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงขึ้นมา และหันไปมองกู่ฉิงซาน

 

ชายชราถือตราประทับของกู่ฉิงซาน

 

เขาโค้งคำนับอย่างสง่างาม

 

“ปรากฏว่าเป็นเจ้านั่นเองที่ช่วยนักวิชาการมัวร์ของพวกเราเอาไว้”

 

“ดังนั้นการเดินทางโดยเรือนี่จึงนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย คราวหน้าเจ้าสามารถเอ่ยขอได้ง่ายๆโดยตรง ไม่จำเป็นถึงขั้นต้องแสดงตราประทับอันทรงเกียรตินี่ก็ได้”

 

กู่ฉิงซานตอบกลับ “ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่มารับ แต่ผมจำเป็นต้องใช้เรือของคุณไปยังที่อยู่ของวิหคหนาม”

 

ชายแก่เพ่งมองเขา

 

“แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ อืม .. อายุประมาณ 20 ปี นี่นับว่ายังเด็กอยู่มาก แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะสอดคล้องกับเงื่อนไขของวิหคหนามเช่นกัน”

 

“โปรดจงขึ้นเรือทันทีด้วย พวกเราคงต้องรีบกันหน่อย เพราะวิหคหนามได้เปล่งเสียงเรียกมาระยะหนึ่งแล้ว”

 

“รับทราบ!”

 

กู่ฉิงซานกับชายแก่ขึ้นไปบนเรือ

 

เขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ และมองลงไปยังแบรี่กับเสี่ยวเหมียวเบื้องล่าง

 

“ดูแลตัวเองด้วย” แบรี่ชูกำปั้นให้เขา

 

“ถ้ามันอันตรายเกินไป ก็หาที่สงบๆซ่อนตัวซะ จากนั้นก็ใช้ด้ายมิติกลับมานะ เข้าใจไหม” เสี่ยวเหมียวเตือน

 

“ผมจะกลับมาแน่ แต่จะกลับมาพร้อมกับสมบัตินะ เพราะผมไม่อยากจะแบกรับหนี้ก้อนใหญ่น่ะ” กู่ฉิงซานตอบรับด้วยรอยยิ้ม

 

เขาจะทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่

 

แบรี่และเสี่ยวเหมียวพยักหน้า

 

ชายแก่โบกมือและตะโกน “เรากำลังจะออกเดินทางแล้ว ตั้งพิกัดไปยังสถานที่ของวิหคหนาม!”

 

เรือตอบสนองต่อเสียงของเขา มันเริ่มเร่งความเร็วขึ้น มุ่งหน้าเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม

 

เฝ้ารอจนกระทั่งเรือหายไปจากสายตา แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่นั่น

 

“พี่ชาย จะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าขาพี่จะหายดี?” เสี่ยวเหมียวถามด้วยความกังวล

 

แบรี่ขบคิด ปากเอ่ยงึมงำ “น่าจะซักห้าวัน ฉันขอเวลาแค่ห้าวันเท่านั้น”

 

เสี่ยวเหมียวเผยถึงรอยยิ้มแย้มบนใบหน้า “งั้นก็ยอดไปเลย นี่มันก็หลายปีมาแล้วสินะ นับจากนี้ไปอีกห้าวัน ฉันจะได้ออกไปช็อปปิ้งกับเขาบ้างซะที”

 

“ช็อปปิ้งหรอ? แล้วจะไปเอาเงินมาจากไหน?” แบรี่จ้องเธอ

 

เสี่ยวเหมียว “ก็กู่ฉิงซานไง! เขาจะเอาเงินกลับมาให้พวกเรา!”

 

แบรี่ลูบคางตัวเอง และจมลงสู่ห้วงความคิด

 

“ในอีกห้าวันจากนี้ เขาคงจะกลับมาพอดี และกลับมาพร้อมกับสมบัติเต็มกระเป๋า … ”

 

แบรี่กางมือซ้ายออก กระแทกประสานเข้ากับหมัดขวาของเขาและกล่าว “ดีเลย! ฉันตัดสินใจแล้ว ห้าวันหลังจากนี้ พวกเราจะไปบ่อน้ำพุร้อนกัน!”

 

“ว้าว! นั่นมันฟังดูเยี่ยมไปเลย!” เสี่ยวเหมียวส่งเสียงเชียร์

 

“แน่นอน” แบรี่พูดอย่างจริงจัง “… ถ้าเขาสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้น่ะนะ”

 

เสี่ยวเหมียวหัวเราะแหะๆ

 

“พี่ชายท่ามกลางโลกทั้งมวล มีอยู่ซักกี่คนกันเชียวที่สามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้ทั้งๆที่ยังอายุต่ำกว่า 30 ปี? นอกจากนี้ ฉันยังได้เห็นถึงความชำนาญในสกิลดาบของเขาที่สูงล้ำไปถึงระดับหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่สกิลดาบของเขาดันถูกจำกัดไว้ด้วยพื้นฐานวรยุทธของตัวเอง”

 

แบรี่ถอนหายใจด้วยอารมณ์ “นั่นพี่ก็เห็น แต่อย่าลืมสิว่าปัญหาของวิหคหนามน่ะมันไม่ใช่เรื่องทั่วๆไป ยังไงก็ตาม เขาเป็นหน้าใหม่ที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี แถมยังมีฝีมือดีไม่น้อย ดังนั้นคงไม่ตายเอาง่ายๆหรอก … มั้ง”

 

เสี่ยวเหมียวหยอกล้อ “แต่ฉันว่าถ้าพี่ชายอายุ 20 ปีเท่ากับเขา แล้วทั้งสองคนสู้กัน พี่ชายจะต้องแพ้เขาอย่างแน่นอน”

 

“ผายลมเถอะน้องพี่!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.502 – ไพ่ใบสุดท้าย

 

เมืองทั้งเมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง

 

ผีร้ายเดินวนไปรอบๆเพื่อค้นหามนุษย์

 

เมื่อค้นพบเป้าหมาย พวกมันจะปล่อยให้อีกฝ่ายเลือกระหว่างความตาย หรือการเปลี่ยนแปลงเป็นผีร้าย

 

เมื่อเทียบเปรียบกับผีร้ายแล้ว ดูเหมือนว่าทางฝั่งผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพจะดูอึดอัดใจเล็กน้อย

 

ในแง่ของความแข็งแกร่ง พวกเขาสูงล้ำกว่าก็จริง

 

แต่ในแง่ของการจับมนุษย์ไปเป็นทาส แม้พวกเขาจะจับตัวมนุษย์บางส่วนมาฝึกฝน ให้เป็นผู้ใต้บังบัญชาคอยช่วยเหลือในการจัดส่งทาสแล้วก็ตามที ทว่าหากเทียบกับผีร้าย ความเร็วมันดูจะเชื่องช้ากว่ามากนัก

 

และความขัดแย้งก็ค่อยๆเริ่มสั่งสมขึ้นเรื่อยๆ

 

จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

 

ท่ามกลางซากปรักหักพังที่เป็นจตุรัสกว้าง

 

หลายพันผีร้ายกำลังล้อมรอบกลุ่มของผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ

 

แต่กลับเห็นแค่เพียงประกายแสงสีทองกระพริบไหว

 

บอลโลหะโคจรเป็นวง พุ่งวนผ่านฝูงผีร้ายก่อนจะบินกลับมา

 

จากนั้น เหล่าผีร้ายที่ถูกบอลโลหะพุ่งผ่าน ทั้งตนทั้งร่างของพวกมันก็ระเบิดแสงพร่างพราวออกมา

 

รังสีแสงนับไม่ถ้วนส่องประกายดุร้ายรุนแรง สาดกระจายออกไปทุกทิศทาง ตัดหั่นบรรดาผีร้ายตนแล้วตนเล่า แปรสภาพพวกมันกลายเป็นเนื้อบด

 

เสียงกรีดร้องและโหยหวนของผีร้ายดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

อย่างไรก็ตาม แม้เหล่าผีร้ายจะโกรธแค้น แต่ก็ไม่มีตนใดเลย ที่กล้าจะย่างกรายเข้าไปโจมตีพวกเขาอีก

 

เห็นแค่เพียงบอลโลหะที่ได้สำแดงถึงพลังโจมตีอันคงกระพัน

 

การโจมตีดังกล่าวนี้ เหล่าผีร้ายไม่เคยได้เห็นได้ยินมาก่อนเลย แถมพวกมันยังไม่มีทางที่จะต่อต้านได้อีก ดังนั้นการที่พวกมันจะรู้สึกหวาดกลัวก็คงจะไม่แปลก

 

บอลโลหะแขวนเด่นอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ

 

ชายในชุดคลุมสีขาว และสวมทับด้วยชุดเกราะเต็มตัวเอื้อมมือออกไปคว้าบอลโลหะในมือ

 

เขากวาดสายตามองฝูงผีร้ายฝั่งตรงข้ามและถอนหายใจออกมา “เจ้าผีร้ายพวกนี้นี่มันชักจะทำตัวน่ารำคาญมากเกินไปแล้วนะ”

 

เบื้องหลังเขา คือบรรดาผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพกว่า 20คน

 

ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพเหล่านี้ คือกองทัพหลักของโลกสวรรค์

 

แต่ละคนล้วนครอบครองอย่างน้อยหนึ่งสกิลเทวะ และพวกเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บใดๆเลยนับตั้งแต่การเข้าร่วมสงครามโลกมนุษย์

 

อย่างไรก็ตาม เวลานี้ ตามร่างกายของบรรดาเหล่าผู้สืบสายโลหิตแห่งทวยเทพ จะมากหรือน้อย ก็ล้วนปรากฏซึ่งรอยบาดแผล

 

แต่โชคยังดี ที่ไม่มีใครเสียชีวิต

 

สำหรับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพแล้ว ความตายของสหายร่วมเผ่าพันธุ์ทุกคน เปรียบดั่งเหตุการณ์ร้ายแรงชนิดสั่นสะเทือนโลกหล้า

 

เนื่องเพราะจำนวนของพวกเขา มันนับว่ากำลังขาดแคลนมากจริงๆ

 

ท่ามกลางความอลหม่านของเหล่าผีร้าย มอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ทว่ากลับฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือกปรากฏตัวออกมา

 

เบื้องล่างฝ่าเท้าของมัน ในทุกๆย่างก้าว น้ำแข็งจะค่อยๆแพร่กระจายออกไปทุกทิศทาง

 

แต่ก็ช่างน่าแปลก เพราะน้ำแข็งเหล่านั้น มันกลับมีเปลวไฟลุกไหม้อยู่เหนือพวกมันด้วย

 

ฉากอันแปลกประหลาดเช่นนี้ ส่งผลให้สีหน้าของบรรดาผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพดูเคร่งขรึมขึ้นทันตา

 

ราชาผีเพลิงน้ำแข็ง – กษัตริย์แห่งโลกผีร้าย

 

มันมีพลังอำนาจมากพอที่จะท้าทายหนึ่งในผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ หรือกระทั่งต่อกรกับผู้สืบสายโลหิตพร้อมกันถึงสองคนก็ยังไหว!

 

ราชาผีเพลิงน้ำแข็งสาดสายตามองผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพฝั่งตรงข้าม พยายามยับยั้งความโกรธที่กำลังปะทุอยู่ในใจตน

 

ยามนี้ ยังไม่ใช่เวลาที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ราชาผีเพลิงน้ำแข็งก็เอ่ยถามเสียงหม่นออกไป “เทพสวรรค์ ทำไมเจ้าต้องสั่งให้คนของเจ้าโจมตีพวกเราด้วย หรืออยากจะฉีกสัญญาข้อตกลงพันธมิตรแล้ว?”

 

ชายที่คว้าบอลโลหะกล่าวว่า “อันที่จริงต้องบอกว่า เป็นพวกเจ้าต่างหากที่เริ่มลงมือก่อน ในช่วงเวลาที่พวกเรากำลังขนย้ายทาส”

 

“เรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าไม่ได้โง่เช่นนั้น” ราชาผีเพลิงน้ำแข็งกล่าว

 

‘ไม่นะ ผู้ใต้บังคับบัญชาเจ้านั่นแหละตัวโง่งมเลย’ เทพสวรรค์ลอบสบถในจิตใจ

 

แต่ก็ไม่ได้พูดมันออกไป

 

เพราะเวลานี้ ไม่ใช่เวลาที่จะฉีกสัญญาพันธมิตร

 

โลกมนุษย์ ยังมีกองกำลังที่ยากจะเข้าใจและอธิบายได้อยู่อีกมากมาย และพวกมันไม่เคยยอมแพ้ที่จะต่อต้าน

 

เทคโนโลยีของมนุษย์เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

 

หลังจบการต่อสู้แต่ละครั้ง แม้ว่าบรรดาผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพจะได้รับชัยชนะ แต่พวกเขาก็ไม่เคยได้พบศพของมนุษย์เลย

 

นี่มันค่อนข้างจะน่าฉงนจริงๆ

 

นอกจากนี้ พวกโลกอาชูร่ากับโลกจ้าวอสูรยังคงซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด และคอยจับจ้องพวกเขาอยู่อีก

 

เทพสวรรค์ลอบถอนหายใจยาวอย่างลับๆ และพูดว่า “เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง คราวนี้พวกเจ้าจงไปทางทิศใต้ ส่วนพวกเราจะไปทางทิศเหนือ แยกกันแบบนี้จะได้ไม่เกิดการเข้าใจผิดแล้วขัดแย้งกันอีก คิดว่าอย่างไร?”

 

ราชาผีเพลิงน้ำแข็งขบคิดก่อนจะกล่าว “งั้นข้าขอไปทางทิศเหนือก็แล้วกัน”

 

“ตกลง”

 

เทพสวรรค์ตอบรับอย่างง่ายดาย

 

“เอาละ สัญญาพันธมิตรจะยังคงอยู่ หากในกรณีที่พวกเราเผชิญหน้ากับตัวตนที่ยากจะต่อต้าน ก็ขอให้ร่วมมือกัน”

 

“เข้าใจแล้ว เอาแบบนั้นแหละ”

 

ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน และแยกกันไปในคนละทิศทาง

 

เมืองที่พึ่งถูกทำลายกลายเป็นซากปรักหักพังค่อยๆจมลงสู่ความเงียบ

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ณ กองบัญชาการรบ

 

“บัดซบ!”

 

ซางหยิงฮ่าวระเบิดกำปั้นทุบลงบนโต๊ะ จนแผงควบคุมเหล็กยุบเป็นหลุม

 

“ไม่เจ็บมือหรือนั่น”

 

สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าชำเลืองมองไปยังแผงควบคุมและเอ่ยถาม

 

“ผลลัพธ์กลับออกมาได้แค่นี้เอง!” ซางหยิงฮ่าวสบถอุบ “ผมอุตส่าห์สร้างความขัดแย้งให้แก่ทั้งสองฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้พวกมันฆ่ากันเองแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ผลเลย!”

 

ประธานาธิบดีปลอบประโลม “ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพหลายคนได้รับบาดเจ็บ แถมผีร้ายก็ตายลงไปตั้งหลายร้อยตนด้วยมันสมองที่ขบคิดกลยุทธนี้ขึ้นมาของเธอ ทำได้ถึงระดับนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว”

 

เหลียวฮังกล่าว “นั่นสิ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำของทั้งสองฝ่ายมันมีสติ ป่านนี้เละกันทั้งคู่ไปแล้ว”

 

“แต่สิ่งที่น่าตลกก็คือ นับตั้งแต่เริ่มสงครามจนมาถึงตอนนี้ พวกเรายังไม่อาจทำร้ายผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพให้ได้รับบาดเจ็บได้เลย ทว่าผีร้ายนับพันกลับตรงกันข้าม พวกมันสามารถทำให้บรรดาผู้สืบสายโลหิตบาดเจ็บได้”

 

หลายคนตกอยู่ในความเงียบ

 

เทพนักสู้ซางหยิงฮ่าวคือผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด หนุนเสริมด้วยการอาศัยจังหวะของการผสานรวมระหว่างสองโลก ส่งผลให้กำลังของเขาสามารถก้าวขึ้นไปถึงขอบเขตก่อกำเนิดได้แล้ว!

 

ทว่ากระทั่งตัวเขาก็ยังสามารถรับมือกับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพได้เพียงครู่เท่านั้น

 

จากนั้นก็มิอาจต้านทานอีกฝ่ายได้เลย

 

เหล่าผู้สืบสายโลหิตน่ะแข็งแกร่งเกินไป

 

ด้วยความสามารถของผู้ฝึกยุทธมนุษย์ในปัจจุบัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการกับพวกเขา

 

นี่นับว่าเป็นกำลังรบที่สามารถกดขี่ และกวาดล้างได้ทุกสิ่งอย่างแท้จริง

 

ตอนนี้ ผีร้ายกับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพแยกทางกันแล้ว ดังนั้นกลยุทธสร้างความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในปัจจุบันนี้ ไม่มีใครสามารถรับมือกับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพได้อีกแล้ว

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ผู้คนก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวังอย่างร้าวลึก

 

แต่จู่ๆประธานาธิดีบก็เอ่ยถามออกมาว่า “ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพกับผีร้ายไม่ได้ต้องการที่จะทำลายโลกใบนี้สินะ?”

 

“ใช่แล้วครับ” ซางหยิงฮ่าวตอบกลับลวกๆ

 

ในสมองของเขายังคงตริตรองถึงมาตรการตอบโต้รับมือ

 

—มาตรการตอบโต้สุดท้าย

 

“เมื่อเทียบกับภัยพิบัติเยือกแข็ง ทัศนคติของศัตรูในครั้งนี้ไม่เหมือนกับในครั้งก่อน ตรงจุดนี้นับว่าสำคัญมาก” เหลียวฮังพูดนอกเรื่อง

 

“เรื่องไม่สังหารหรือทำลายโลกน่ะหรือ แต่สุดท้ายก็จับเป็นทาสอยู่ดี มนุษย์อย่างพวกเราไม่มีใครยอมเป็นทาสหรอก” เวโรน่าถอนหายใจ

 

เหลียวฮังไม่ได้ตอบโต้ ดวงตาของเขาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือด ขณะที่มือยังคงพรมลงบนสมองควอนตัมอยู่ตลอดเวลา

 

หลังจากจัดเรียงลำดับคำสั่งทั้งหมดแล้ว เหลียวฮังก็ได้พักหายใจในที่สุด

 

เขาวิ่งไปทางเย่เฟย์หยูและกล่าว “การจัมป์มิติเสร็จสมบูรณ์แล้ว ต่อไปก็ตาแกแล้ว”

 

เย่เฟย์หยูวางไอศครีมลง และเลียริมฝีปากของเขา

 

เขาผุดลุกขึ้นและมองไปยังทุกคนที่อยู่รอบๆ

 

“มนุษย์กำลังจะพินาศ และตอนนี้ฉันจะได้กลายเป็นตัวเอกในภาพยนต์เรื่องนี้!”

 

เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างภาคภูมิ

 

“หยุดผายลมสักทีไอ้สหายตัวเหม็น นายจะต้องรีบเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุดนะเข้าใจไหม” ซางหยิงฮ่าวจ้องมองเขา

 

“เออๆ”

 

เย่เฟย์หยูตอบรับคำหนึ่งแล้วเดินออกไป

 

เวโรน่าทวนคำของประธานาธิบดี และเอ่ยถามอีกครั้ง “พวกเขาต้องการโลกใบนี้ ถ้านี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้ พวกเราจะพอใช้ประโยชน์บางอย่างเกี่ยวกับมันจะได้หรือไม่?”

 

ซางหยิงฮ่าวกล่าว “ผมมีอยู่ความคิดหนึ่งแต่มันยังไม่แน่ไม่นอน ฉะนั้นตอนนี้เราต้องรอให้เย่เฟย์หยูแข็งแกร่งพอเสียก่อนถึงค่อยไปใช้วิธีนั้น”

 

“เจ้าเชื่อใจเขามากขนาดนั้นเชียวหรือ?” เวโรน่าเอ่ยถาม

 

“ใช่ เพราะเขาเป็นไพ่ใบสุดท้ายของพวกเราที่จะต่อกรกับผีร้ายและเทพได้”

 

“ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว”

 

“ไม่มี”

 

“แล้วตัวเจ้าเล่า ไม่สามารถทำอะไรได้เลยหรือ?”

 

ซางหยิงฮ่าวกล่าวแบบทำอะไรไม่ถูก “ผมไม่ใช่สัตว์ประหลาดอย่างกู่ฉิงซาน หรือกลายพันธุ์เป็นผีดิบนักฆ่านะ ผมเป็นคนมนุษย์ธรรมดา ขอฝ่าบาทช่วยปฏิบัติต่อผมแบบมนุษย์ธรรมดาจะได้ไหม?”

 

เวโรน่ามองเขาด้วยแววตาแปลกๆ และอดไม่ได้ที่ลูบไล้เขาเบาๆด้วยมือของเธอแทนคำขอโทษ

 

การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทีเช่นนี้ของจักรพรรดินี มันช่างน่าลุ่มหลงเสียจริงๆ

 

ต้องไม่ลืมนะว่า เวโรน่าเป็นผู้หญิงที่งดงามคนหนึ่ง ในช่วงเวลาวัยเด็ก ชื่อเสียงในเรื่องความงามของเธอนับว่าเป็นที่เลื่องลือออกไปทั่วทั้งโลก

 

บรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนเป็นไม่เหมาะสมขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

“ผมขอไปห้องน้ำก่อนก็แล้วกัน”

 

ซางหยิงฮ่าวผุดลุกขึ้น และเดินจากไปอย่างเชื่องช้า

 

เขายืนอยู่ในห้องน้ำชาย กวักน้ำเย็นสาดหน้า และในที่สุดก็ผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย

 

แสงจากสมองควอนตัมของเขาส่องสว่างขึ้นทันใด

 

ซางหยิงฮ่าวหยิบมันขึ้นมาดู

 

ปรากฏว่าเป็นประธานาธิบดีที่ส่งข้อความเสียงมาหาเขา

 

“ฉันได้ยินมาว่าเธอกำลังคุยอยู่กับลูกสาวของฉันใช่ไหม?”

 

ซางหยิงฮ่าวสูดหายใจลึก และตอบกลับไปอย่างระมัดระวัง “พวกเราเข้ากันได้ดี และตอนนี้เธอกับผมก็ตกลงเป็นเพื่อนกันแล้ว”

 

หลังจากนั้นไม่นาน ประธานาธิดีบก็ตอบกลับมา “เวโรน่า … เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ?”

 

ซางหยิงฮ่าวมองไปที่ข้อความนี้ พร้อมด้วยเม็ดเหงื่อเย็นที่ผุดออกมาบนหน้าผากของเขา

 

 

ตลอดทั้งร่างของเย่เฟย์หยูถูกปกคลุมไปด้วยเลือดสังหาร

 

ขณะที่หลังมือซ้ายของเขา มีตะขอยาวแปลกๆงอกออกมา

 

ตะขอยาวนี้ดูเหมือนกับว่ามันจะยึดติดอยู่บนแขนของเขา

 

มันคือ ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน

 

“เอาไปกินซะ!”

 

เย่เฟย์หยูระเบิดเสียงคำราม

 

ตามด้วยเลือดสีดำที่สาดกระเซ็น

 

ผีร้ายที่กำลังใกล้ตาย ถูกตัดหัวแยกจากลำตัวใครคราวเดียวทันที

 

แล้วจุดแสงกลุ่มหนึ่งก็ผุดออกมาจากร่างของผีร้าย ผลุบเข้าไปในตะขอเกี่ยววิญญาณ

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณสาดแสงเรืองรอง

 

แล้วพลังที่มองไม่เห็นก็ถูกส่งผ่านจากตะขอเกี่ยววิญญาณ เข้าไปในกายของเย่เฟย์หยู

 

“ฟู่ว ฟู่ว …”

 

ตลอดทั้งร่างของเย่เฟย์หยู โคจรไปด้วยสายลมที่มองไม่เห็น

 

เขาอดไม่ไหวต้องลอยขึ้นไป และหยุดอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ

 

“ฉันรู้สึกได้ถึง … พลังอำนาจที่ไม่เคยมีมาก่อนนนน อั๊ก!”

 

แต่แล้วเย่เฟย์หยูก็พ่นหมอกเลือดออกมาจากปากคำหนึ่ง และก้มลงมือสองมือของตนโดยไม่รู้ตัว

 

เหนือมือซ้ายของเขา … ตะขอเกี่ยววิญญาณถูกหมอกเลือดพ่นใส่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

 

“เมื่อครู่ข้ามอบแต้มพลังวิญญาณให้เจ้าเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เฉพาะเวลานี้ ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะไม่สามารถทานรับมันได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

“ขอบคุณนะ โชคดีจริงๆที่มีคุณคอยช่วย”

 

เย่เฟย์หยูบ่นงึมงำ “ระบบแปลงแต้มพลังวิญญาณที่พี่สะใภ้มอบให้มันโหดร้ายเกินไป ถ้าฉันไม่ใช่ผีดิบนักฆ่าแล้วล่ะก็ ที่ได้รับแต้มพลังวิญญาณมาจากผีร้ายมาเมื่อกี้ คงทำให้ตัวระเบิดแตกไปแล้ว”

 

“ยังไงก็ตาม การที่เจ้าสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้ นั่นนับว่าเป็นสิ่งที่ดี” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

“ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตอนนี้ จะสามารถรับมือกับผีร้ายธรรมดาๆได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว”

 

“มันยังไม่เพียงพอหรอก สถานการณ์แย่ลงทุกนาที เจ้าจะต้องแข็งแกร่งให้เร็วยิ่งขึ้น และทรงพลังยิ่งกว่านี้อีกถึงจะเพียงพอ”

 

“เข้าใจแล้วน่า”

 

…..

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.501 – สองข่าวดี

 

ณ ทะเลตะวันออกของสหพันธรัฐรัฐบาลกลาง

 

ในมหาสมุทร

 

ปรากฏร่างของชายที่ไว้ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำ

 

เขายกมือขึ้นลูบหนวดบนคาง คล้ายกำลังแสดงออกถึงการครุ่นคิด

 

“คาดไม่ถึงเลย … ”

 

ชายคนนั้นเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ปากเอ่ยพึมพำบางอย่างออกมา

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ชายคนนั้นค่อยๆย่อตัวลงและกดมือข้างหนึ่งของเขานาบกับผิวน้ำ

 

บังเกิดคลื่นความผันผวนจากฝ่ามือของเขา แทรกซึมลงสู่มหาสมุทร แผ่ขยายออกไปทุกทิศทาง

 

“มาเถอะ จงมาหาข้า แม้ว่าเจ้าจะเป็นมอนสเตอร์กลายพันธุ์ … แต่สุดท้ายก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตในทะเลอยู่ดี”

 

“ดังนั้นเจ้าสมควรที่จะเชื่อฟังคำสั่งข้า!”

 

ฟุ่ม!

 

พร้อมกับเสียงพูดอันแผ่วเบาของเขา ผิวมหาสมุทรก็แยกออก ตามด้วยมอนสเตอร์ขนาดมหึมาผุดขึ้นมาบนผิวน้ำ

 

มันคือสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเล

 

จากนั้นแทบจะในทันที  สัตว์ร้ายจากห้วงทะเลลึกตนแล้วตนเล่าที่ได้รับคำสั่งก็เริ่มผุดขึ้นมา

 

ไม่นานนัก สัตว์ร้ายแห่งท้องทะเลทั้งหมดก็ปรากฏสู่สายตาของชายผมสีน้ำตาล

 

สัตว์ทะเลเรียงรายอยู่รอบตัวเขาอย่างเป็นระบบระเบียบ

 

พวกมันกำลังรู้สึกกลัว .. หวาดกลัวลึกเข้าไปถึงในหัวใจต่อตัวตนเล็กจ้อยเบื้องหน้านี้

 

ชายคนนั้นเฝ้าดูการปรากฏของสัตว์ทะเลที่มีรูปร่างแปลกตาและดุร้ายแตกต่างกันออกไป

 

พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุขที่ค่อยๆปรากฏขึ้น

 

“พวกเจ้าทั้งหมดคือคนของข้า ฉะนั้น นับจากนี้ไปจงคอยเงี่ยหูฟังคำสั่งให้ดี”

 

สัตว์ทะเลที่อยู่ใกล้กับเขาครางเสียงต่ำออกมา

 

“หืม? เจ้าถามว่าข้าเป็นใครงั้นหรือ?”

 

ชายคนนั้นพยักหน้าและกล่าว “ข้าลืมมันเสียสนิทเลย แต่พวกเจ้าไม่สิทธิจะล่วงรู้ชื่อของข้า .. ยังไงก็ตาม หากเป็นฉายาก็ยังคงพอได้อยู่”

 

“ข้าคือผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพแห่งโลกสวรรค์ เป็นผู้ควบคุมธาตุน้ำ ดังนั้นพวกเจ้าสามารถเรียกข้าว่าเทพวารีก็ได้”

 

“เอาล่ะ ตอนนี้จงรู้สึกเป็นเกียรติเสียที่ได้รับใช้พระเจ้า – พวกเจ้าทั้งหมดจงยกทัพขึ้นบก แล้วบุกโจมตีเมืองมนุษย์ซะ!”

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

สาธารณรัฐฟูซี

 

หนึ่งในเมืองใหญ่

 

หุ่นรบต่อสู้ที่มีขนาดความสูงกว่าห้าเมตรระเบิดไอพ่นจนควันฟุ้งไปทั่วบริเวณ พุ่งเข้ากระแทกกับสิ่งมีชีวิตประหลาดตนหนึ่ง

 

มันเป็นมอนสเตอร์สีเทาด้านที่ดูไร้ชีวิตชีวา ตลอดร่างถูกปกคลุมไปด้วยเมือก ทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยหนวดยาว และกำลังลอยอยู่ในอากาศ

 

ภายใต้การกระแทกอันหนักหน่วงของหุ่นรบ มอนสเตอร์เปล่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธ

 

แม้ว่าการโจมตีทั้งหมดของอีกฝ่ายจะแทบไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อตนเองเลยก็ตาม แต่การพุ่งเข้าชนอย่างแรงแบบนี้ ก็ยังทำให้มันรู้สึกเจ็บจี๊ดจริงๆ

 

มอนสเตอร์อ้าแขนออก แล้วกอดหมับ! รัดพันหุ่นรบไว้ในอ้อมแขน ไม่ยินยอมให้มันหลุดรอดออกไป

 

ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่!

 

บังเกิดเสียงกัดกร่อนอันฟังชัด

 

เมื่อหมอกฟุ้งที่เกิดจากการกัดกร่อนปลิวหายไปกับสายลม ก็พบว่าชิ้นส่วนเหล็กกล้าเกือบทั้งหมดของหุ่นรบ ได้ละลายกลายสภาพเป็นเว้าแหว่งจนใช้การไม่ได้แล้ว

 

ฮู้มมม!

 

มอนสเตอร์ลากเสียงหอนยาว

 

ตรงข้ามกับมัน หุ่นรบจำนวนมากแท้จริงแล้วยังคงเฝ้ามองฉากนี้อย่างเงียบๆ ทั้งหมดนิ่งงันไม่ไหวติง

 

นี่คือกองทัพหุ่นรบต่อสู้

 

ภายในหุ่นรบทั้งหมด มิได้มีมนุษย์เป็นคนคอยขับเคลื่อน

 

เทพธิดากงเจิ้งได้ใช้ AI สงครามรุ่นใหม่ล่าสุดทำการควบคุมเหล็กกล้าเหล่านี้

 

“จากการวิเคราะห์ตรวจสอบ ได้ข้อสรุปว่า : นับตั้งแต่ที่ผีร้ายมาถึง จุดที่อ่อนแอที่สุดของพวกมันคือหัว”

 

เทพธิดากงเจิ้งสั่งการ “เหล่าสมาชิกเอ๋ย จงออกไปกำจัดมัน!”

 

“สู้เพื่อเทพธิดา!”

 

เหล่าหุ่นรบทั้งหมดขานรับเสียงอึกทึก

 

เสียงคำรามของเครื่องจักรกังวานไปทั่วผืนฟ้า

 

หุ่นรบเริ่มพุ่งเข้าชาร์จอีกครั้ง

 

ผีร้ายก็ไม่น้อยหน้า มันหวีดร้องออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง พรวดกระโจนสาดน้ำกรดเข้ากลางดงหุ่นรบ

 

การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง!

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ณ ภายในร้านกาแฟที่อยู่ห่างออกไปเพียงสามช่วงตึก

 

ชายสองคนในชุดลำลองสบายๆ กำลังเพลิดเพลินไปกับการดื่มชายามบ่าย

 

หนึ่งในนั้นได้ยินเสียงดังของการต่อสู้จากภายนอก เขาก็วางถ้วยกาแฟในมือลง

 

“สู้กันดุเดือดจริงๆ” เขาแสดงความคิดเห็น

 

“ก็แค่การต่อสู้เล็กๆน้อยๆเท่านั้นแหละ” ชายอีกคนที่ในมือถือถ้วยชาดำ ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นวางพาดบนเก้าอี้

 

ดวงตาของเขาหรี่แคบลง ดูมีความสุขไม่น้อย

 

รอบตัวพวกเขา ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ

 

ตลอดทั้งร้านกาแฟเงียบเชียบ

 

ทั้งสองกำลังนั่งดื่มชาและพูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ภายนอก

 

“พวกเราไม่ต้องไปช่วยเจ้าผีร้ายนั่นจริงๆหรอ?” อีกคนหนึ่งที่ดื่มกาแฟเอ่ยถาม

 

“เจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งหรือไม่?” ชายดื่มชาดำเหลือบมองเขา

 

“ไม่รู้สิ แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถจัดการกับพวกก้อนโลหะเหล่านี้ได้อย่างไม่ยากเย็น ..”

 

“อย่าออกไปเชียว อย่าลืมสิว่างานของพวกเราคือการรวบรวมข้อมูลเพื่อตรวจสอบความแข็งแกร่งที่แท้จริงของโลกใบนี้ ไม่ใช่การปกป้องพวกผีร้าย”

 

“แต่ที่ข้าต้องการจะสื่อก็คือ พวกเรากับมันเป็นพันธมิตรกันนะ และตอนนี้มันก็กำลังต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ การที่พวกเรามานั่งดื่มกันแบบนี้ มันคงจะดูไม่ดีนัก”

 

“ไม่เป็นไรหรอก” ชายที่ดื่มชาดำกล่าว “โลกใบนี้น่ะมีเพียงหนึ่งเท่านั้น พวกผีร้ายก็ต้องการจะผสานรวม พวกเราเองก็ต้องการผสานรวมเหมือนกัน งั้นสุดท้ายแล้วจะเป็นโลกของผู้ใดกันที่จะได้ผสานรวมเข้ากับมัน? -ตรงจุดนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา”

 

“หากปัญหานี้ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก สำหรับพวกเราผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ” เขากล่าว

 

อีกคนหนึ่งพยักหน้าเข้าใจ

 

“นั่นสินะ ท้ายที่สุดนี้ จำนวนผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพอย่างพวกเรามันมีน้อยเกินไป ไม่เหมาะสมที่จะออกรบ ฉะนั้นก็ให้พวกผีร้ายที่มีจำนวนมากรับหน้าแทนจึงจะดีกว่า เพราะยังไงพวกมันก็รักในการต่อสู้อยู่แล้ว”

 

ชายดื่มชาดำเอ่ยเสริม “ยังไงก็ตาม ในโลกมนุษย์ใบนี้ก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจอยู่”

 

ว่าจบ เขาก็เอื้อมมือออกไป คว้าจับสมองควอนตัมตรงแขนของศพที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ

 

มองไปรอบร้านกาแฟ จะพบว่ามันเต็มไปด้วยซากศพมนุษย์

 

พวกเขาลงมือฆ่าทุกคน

 

“นี่มันคืออะไรกัน?” ชายดื่มกาแฟจ้องมองไปที่สมองควอนตัมและเอ่ยถาม

 

“มันคือสมองควอนตัม สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่ทุกคนจะต้องมีติดตัวเอาไว้คนละชิ้น”

 

ชายดื่มชาดำกำลังเล่นกับสมองควอนตัมในมือเขา

 

แล้วสมองควอนตัมก็เปล่งแสงสว่างขึ้นทันใด

 

“เช่นนั้นจะใช้ประโยชน์จากเจ้าสิ่งนี้ได้อย่างไร?”

 

“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีหน้าที่ช่วยมนุษย์จัดการแก้ปัญหาเบ็ดเตล็ด”

 

“ช่วยจัดการแก้ปัญหาได้อย่างงั้นหรือ เจ้าสิ่งเล็กๆนี้เนี่ยนะ?” ชายดื่มกาแฟไม่อยากจะเชื่อ

 

แต่ในตอนนั้นเอง เสียงจากภายนอกก็หายไป

 

ทั้งสองหันมาสบตากัน

 

“สำหรับผีร้าย การจะรับมือกับเจ้าพวกก้อนเหล็กนับสิบคงจะตึงมือเกินไปจริงๆสินะ” คนหนึ่งลุกขึ้น และกำลังจะเดินออกไป

 

“รอก่อน  ดูนั่นสิ เห็นถึงสิ่งที่พวกมันกำลังจะทำไหม?”

 

ท่ามกลางซากปรักหักพัง หลายหุ่นรบกำลังจับกุมผีร้ายที่ใกล้จะตาย

 

จากนั้นเหล่าหุ่นรบก็เริ่มทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า นำพาผีร้ายจากไป

 

“มาเถอะ ตามไปดูพวกมันกัน” ชายดื่มชาดำกล่าว

 

ในขณะเดียวกัน ณ ศูนย์บัญชาการรบที่อยู่ห่างจากทั้งสองออกไปไกลกว่า 8000 ไมล์

 

ซางหยิงฮ่าวกำลังเฝ้ามองสองเทพบนสมองควอนตัมอย่างเงียบๆ จนกระทั่งพวกเขาเตรียมที่จะออกไป

 

“ฆ่ามันซะ” เขาเอ่ยคำหนึ่ง

 

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งกังวานก้อง “ปรมาณูติดตามถูกยิงออกไปแล้ว”

 

“3”

 

“2”

 

“1”

 

“ยิงโดนเป้าหมายได้สำเร็จ”

 

“ดีมาก ตรวจสอบสถานการณ์ซิ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

บนจอม่านแสง

 

ร้านกาแฟไม่มีอยู่อีกต่อไป

 

หลงเหลือเพียงหลุมลึกบนพื้นดิ

 

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็ปรากฏทั้งสองร่างบินออกมาจากมัน

 

“นี่มันอะไรกัน ข้าได้ทำการแยกกลิ่นอายทั้งหมดไปแล้วอย่างชัดเจน แล้วพวกมันหาเราเจอได้อย่างไร?” ชายที่ดื่มกาแฟเอ่ยด้วยความแปลกใจ

 

กาแฟในมือของเขาบังเกิดไอน้ำพวยพุ่งเนื่องจากความร้อนก็จริง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ มันมิได้กระฉอกออกจากแก้วเลยแม้แต่หยดเดียว

 

“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ แสดงว่ายังมีเรื่องอีกมากที่พวกเรายังไม่อาจทำความเข้าใจได้” ชายดื่มชาดำกล่าว

 

และเขาก็ยังคงกำสมองควอนตัมเอาไว้ในมือ

 

ชายดื่มกาแฟเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

ฝูงหุ่นรบได้บินหายไปแล้ว

 

“แล้วตอนนี้จะเอายังไง?” เขาเอ่ยถาม

 

“ลองเดินสำรวจรอบๆไปก็แล้วกัน เผื่อจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับมนุษย์บ้าง”

 

“แต่แบบนั้นมันจะสมเหตุสมผลหรือ?”

 

“แน่นอนสิ เพราะหน้าที่ของพวกเราคือต้องทำความเข้าใจโลกนี้ให้ดีเสียก่อน เราจึงจะสามารถปกครองพวกมันได้” ชายดื่มชาดำเอ่ยอย่างเฉยชา

 

เขากระตุ้นเตือน “และเจ้าก็ไม่สามารถฆ่ามนุษย์เช่นนี้ได้อีก เพราะพวกมันทุกคนจะกลายมาเป็นคนของเราในอนาคต”

 

“น่าเสียดายจริงๆ ที่ความสนุกมักจะสั้นเสมอ” ชายดื่มกาแฟรู้สึกเสียใจ

 

ขณะชายดื่มชาดำเริ่มรู้สึกเศร้า ปากอ้าถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เราต้องการพวกมัน เพราะสุดท้ายนี้ ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพน่ะมีจำนวนน้อยเกินไป ในตลอดทั้งหกวิถี มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่จะสามารถมีสัมพันธ์กับเรา และให้กำเนิดทารกแก่พวกเราได้”

 

“ในความหมายเดียวกันก็คือ เจ้าไม่ควรที่จะทำลายโลกใบนี้มากเกินไป – เพราะสุดท้ายมันก็จะกลายมาเป็นของพวกเรา”

 

เขาสวมใส่สมองควอนตัมลงในแขนตัวเองอย่างระมัดระวัง และเริ่มเดินไปตามท้องถนนที่ไร้ผู้คนเบื้องนอก

 

ชายที่ดื่มกาแฟเดินติดตามเขาไป

 

ซางหยิงฮ่าวปิดจอม่านแสง

 

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น “สามารถระบุตำแหน่งของพวกเขาได้อย่างต่อเนื่องโดยสมองควอนตัม”

 

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ยากลำบากนะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

เขายื่นซิการ์ให้ประธานาธิดีบ และหยิบอีกหนึ่งให้แก่เวโรน่า

 

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ข้าจะสูบนี่” เวโรน่ายกบุหรี่สำหรับผู้หญิงขึ้นมาในมือของเธอ

 

ซางหยิงฮ่าวจุดซิการ์ของเขาและสูดลึกเข้าไปในปอด

 

เขาสบถออกมา “ไร่ที่ปลูกซิการ์นี้ได้ถูกทำลายลงแล้วโดยพวกผีร้ายกว่า 30 ตน พวกมันสมควรตายจริงๆ”

 

“ตอนนี้เธอรู้สึกยังไงบ้าง?” ประธานาธิบดีเอ่ยถามเขา

 

“จนกระทั่งตอนนี้ อย่างน้อยก็นับว่าเป็นข่าวดี” ซางหยิงฮ่าวตอบ

 

“ข่าวดี? ผีร้ายบุกเข้ามาในโลกมากกว่า 3000 ตน และเมืองกว่า1ใน10ของพวกเราก็ถูกทำลายลงไปแล้ว นี่ยังจะพูดว่าเป็นข่าวดีอีกอย่างงั้นหรือ?” เวโรน่าเอ่ยถาม

 

“ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ หุ่นรบสามารถเอาชนะผีร้ายบางตนได้ก็จริง แต่สำหรับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพแล้ว จนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่เคยพ่ายแพ้แก่เหล่าหุ่นรบเลยแม้แต่ครั้งเดียว” ประธานาธิบดีเอ่ยเสริม

 

ซางหยิงฮ่าวพ่นควันออกจากปอด กล่าวอย่างช้าๆ “สงครามมักจะเริ่มต้นด้วยความตายเสมอ … อย่าพึ่งโกรธกันสิ มันแสดงออกชัดมากๆเลยนะบนใบหน้าของพวกคุณ ”

 

เวโรน่าสัมผัสลงบนใบหน้าอันนุ่มนวลของเธอ

 

ประธานาธิบดีกล่าว “ฉันต้องการจะรู้ถึงสิ่งที่เธอเรียกว่าข่าวดี”

 

“จากข้อมูลที่เราได้รับมา ตอนนี้มีอย่างน้อยสองข่าวดี”

 

“ข่าวดีอะไรบ้าง?”

 

“หนึ่งคือ พวกเขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี”

 

ประธานาธิดีบกับเวโรน่าลองคิดเกี่ยวกับมัน และพยักหน้าพร้อมกัน

 

แม้เมื่อครู่สมองควอนตัมจะถูกเปิดใช้งานแล้วโดยผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน

 

ซางหยิงฮ่าวพ่นควันออกมาอีกรอบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยสายตาที่ลึกล้ำ “อย่างที่สอง เป้าหมายของพวกเขาคือการครอบครองโลกใบนี้ แต่ไม่ใช่ทำลายมัน”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.500 – คำขอ

 

หลังจากกินหมูป่าย่าง ทั้งสามคนก็ทิ้งก้นลง นั่งพักลงบนสนามหญ้า

 

แบรี่ถือเบียร์ขวดหนึ่งในมือ ดื่มมันด้วยความสุข

 

นี่คือเบียร์ของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานนำดอกไม้ภูติมาให้ แถมยังช่วยทำมื้อเย็นและมื้อค่ำ แม้กระทั่งผู้จัดการครัวเฉิงก็ยังต้องการที่จะฉกซี่โครงหมูของเขาไป … ดังนั้นมันอร่อยเพียงใดคงไม่ต้องกล่าวถึง

 

ตอนนี้ เขาก็ยังนำเอาเบียร์เย็นๆออกมาแบ่งกันดื่มอีก

 

หากกู่ฉิงซานเป็นหญิง แบรี่คิดว่าเขาคงไล่ตามจีบมันไปแล้ว

 

“นายลองดูนี่สิ”

 

เสี่ยวเหมียวชี้ไปยังกระแสมิติที่ว่างเปล่า และพวกมันก็ดูเหมือนจะขยับไหว แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว

 

“มันคืออะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“บางทีมันอาจจะเป็นแค่คนที่ผ่านทางมา หรือไม่บางทีมันก็อาจจะเป็นศัตรูของพี่ชายฉัน ที่ดักรอเขาอยู่ข้างนอก”

 

“พวกเขาไม่สามารถเข้ามาข้างในได้หรอ?”

 

“เข้ามาไม่ได้”

 

“แต่ผมสามารถเข้ามาได้นะ”

 

“สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงคือพวกเดียวกันกับเรา ดังนั้นฉันเลยเชื่อถือพวกเขา” เสี่ยวเหมียวยิ้มและเอ่ยเสริม “ถ้าฉันไม่ต้องการให้คนอื่นๆเข้ามา ก็จะไม่มีใครสามารถค้นพบโลกของพวกเราได้”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วถ้าในกรณีที่มีคนหลอกลวงสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงแฝงตัวเข้ามาที่นี่ล่ะ?”

 

เสี่ยวเหมียวโบกกำปั้นของเธอและกล่าว “อำนาจสัญญาณของโลกใบนี้อยู่ในมือของฉัน และฉันสามารถเตะคนนอกออกไปได้ตลอดเวลา”

 

พอพูดถึงเรื่องคนนอก กู่ฉิงซานก็นึกได้ถึงบางสิ่ง

 

เขาลองไตร่ตรองเกี่ยวกับวิหคหนามอย่างเงียบๆ และในที่สุดก็ตัดสินใจ

 

“เอ่อ ผมมีบางอย่างที่อยากจะรบกวนพวกคุณทั้งสองอยู่น่ะ” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างเด็ดขาด

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวหันไปมองเขา

 

“นายมีเรื่องที่อยากจะขอร้องฉันงั้นหรอ?” แบรี่เอ่ยถาม

 

“ใช่” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แบรี่วางขวดเบียร์ลงและตบหน้าอกตัวเอง “จะบอกให้นะว่าการช่วยเหลือผู้อื่นน่ะคือความยุติธรรมของฉัน ตราบใดที่มันไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ฉันสัญญาเลยว่าจะช่วยนายครั้งหนึ่ง”

 

‘-เจ้าหนุ่มนี่มันเป็นคนดี ดังนั้นถ้าช่วยมันสักครั้งคงไม่มีปัญหาอะไร’

 

แต่เสี่ยวเหมียวกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

พี่ชายของเธอมักจะไม่เคยคำนึงถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำต่างๆ เมื่อเขายอมรับคำขอของผู้อื่นแล้ว เขาก็มักจะทุ่มด้วยกำลังทั้งหมดที่ตนมีออกไป

 

ต้องไม่ลืมนะว่าสภาพร่างกายของเขายังไม่สมบูรณ์ดีในตอนนี้

 

ในกรณีที่คำขอของกู่ฉิงซานมันยากเกินไป มันอาจจะเกิดผลลัพธ์ที่ยากจะคาดเดาขึ้นมาก็ได้

 

ท้ายที่สุดแล้ว ต้องรู้นะว่ามีศัตรูมากมายกำลังดักรอแบรี่อยู่ด้านนอก เฝ้ารอให้เขาปรากฏตัวออกไป

 

ในขณะนี้ ทั้งสองพี่น้องกำลังแสดงห้วงอารมณ์ที่แตกต่างกันออกมาอย่างชัดเจน แต่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ กำลังรอฟังคำขอของกู่ฉิงซานอยู่

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ผมต้องการได้รับสถานะในโลกใบนี้ เพื่อตอบรับคำเรียกขานของวิหคหนาม”

 

“สถานะในโลกนี้?” แบรี่ไม่เข้าใจ

 

คิ้วที่ขมวดเป็นปมของเสี่ยวเหมียวคลายออกทันที

 

“ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง พี่ชาย จริงๆแล้วเขาเป็นคนจากโลกกระจัดกระจายน่ะ เขาเลยไม่สามารถตอบรับคำเรียกขานของวิหคหนามได้”

 

แบรี่กระจ่างในทันใด “อ้อ ฉันก็คิดว่ามันจะเป็นพวกเรื่องแก้แค้นหรือให้ไปต่อสู้กับคนอื่นๆซะอีก ถ้าเป็นเรื่องแค่นี้ล่ะก็ แน่นอนว่าไม่มีปัญหา”

 

แล้วเขาก็ผ่อนคลายลง

 

“อันที่จริงแล้วมีปัญหานะพี่ชาย” เสี่ยวเหมียวกล่าว

 

“ปัญหาอะไร?”

 

“ก็ถ้าเขาต้องการจะตอบรับคำเรียกขานของวิหคหนามโดยการเข้าร่วมกับสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม พอเขากลับมา พวกเจ้าหนี้คงจับตัวเขาไปทำงานหนักแน่ๆ”

 

“ฉันจะปกป้องเขาเอง” แบรี่กระแทกสองกำปั้นตนเข้าหากันและกล่าว

 

“แต่พวกเรามีเจ้าหนี้มากเกินไป จะให้ต้องต่อสู้กับคนที่ไม่ผิดตลอดๆ มันก็คงจะดูไม่ดีนะ” เสี่ยวเหมียวงึมงำ

 

“เอ๋ อ่อใช่ ถ้าฉันไปทุบตีพวกเจ้าหนี้ มันก็เหมือนกับฉันไม่ได้ต่อสู้ด้วยความยุติธรรมน่ะสิ” แบรี่ยกมือขึ้นเกาหัว

 

กู่ฉิงซานกล่าว “เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไป ผมคิดหาทางออกได้วิธีหนึ่งแล้ว”

 

“วิธีอะไรกันล่ะ?” เสี่ยวเหมียวเอ่ยถาม

 

“ผมได้ยินมาว่าวิหคหนามจะมอบสมบัติบางอย่างให้แก่คนที่ช่วยเหลือมันไม่ใช่หรอ? ได้ยินมาว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าซะด้วย?”

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวหันไปมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าว่าใช่

 

“วิหคหนามเป็นการดำรงอยู่อันแสนพิเศษในดินแดนอัศจรรย์  – นายรู้จักดินแดนอัศจรรย์ไหม?” แบรี่เอื้อมไปคว้าขวดเบียกลับขึ้นมาดื่มและเอ่ยถาม

 

“ไม่ ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับมันเลย”กู่ฉิงซานตอบ

 

เสี่ยวเหมียวพยายามอธิบายอย่างอดทน “ในโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้น จะถูกแบ่งออกเป็น ดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู , ดินแดนชิงอำนาจ , ดินแดนมิติอนันต์ และดินแดนอัศจรรย์”

 

“ขณะที่ดินแดนอัศจรรย์เป็นดินแดนที่อยู่ชั้นในสุดของโลกทั้ง 900 ล้านชั้น สำหรับที่นั่น ไม่ว่าจะได้รับสิ่งใดมา มันก็ล้วนมีค่ามหาศาล”

 

“วิหคหนามได้อาศัยอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลานานหลายปี และมันก็มักจะสะสมสมับติหายากหลากหลายชนิดจากดินแดนอัศจรรย์เอาไว้”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังถึงตรงนี้ก็ยิ้มออกมา

 

“นั่นแหละ! ถ้าผมสามารถมีชีวิตกลับมาได้ ผมจะใช้สมบัติของวิหคหนาม ปลดหนี้ให้พวกคุณเอง”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ “ในเมื่อคุณได้ให้สถานะสมาชิกของสมาคมแก่ผม ผมก็ต้องทำบางอย่างให้กับสมาคมนี้บ้างเป็นธรรมดา”

 

แบรี่พอได้ฟังก็นิ่งไปสักพัก และหัวเราะออกมา “ฮะฮ่าฮ่า พูดได้ดีนี่! ฉันว่าวิธีนี้มันเยี่ยมไปเลย!”

 

สมาคมได้รับสมาชิกผู้ที่จะกอบกู้ความเป็นอยู่ของพวกเขามา นอกจากนี้ยังเป็นชายที่น่าสนใจมากๆ แถมยังดูเป็นคนดีอีกด้วย

 

เสี่ยวเหมียวตบไหล่เขาและกล่าว “ตราบใดที่นายสามารถทำมันได้ สมาคมจะมีที่ว่างสำหรับนายเสมอ”

 

จากการรวมตัวกันก่อนหน้านี้ พวกเขาพบว่าเสี่ยวถายได้เติบโตขึ้นแล้ว

 

และคนๆนี้ก็ได้รับควมาไว้วางใจจากเสี่ยวถาย นำดอกไม้ภูติที่อยู่ห่างไกลจากโลกนับล้านล้านมาส่งได้อย่างไม่มีปัญหา

 

แถมฝีมือการปรุงอาหารของเขายังสูงมาก

 

พูดก็พูดเถอะ ตอนนี้เขาก็เหมือนกับได้รับการยอมรับตั้งแต่แรกแล้ว

 

นั่นสินะ

 

ให้เขากลายเป็นสมาชิกของสมาคมตอนนี้ คงยังไม่มีใครคิดจะฉกตัวเขาไปทันทีหรอก เพราะยังไงถ้ากลับมาปลดหนี้แล้ว ก็คงจะไม่มีใครคิดจะไล่ล่าเขาอีก

 

เสี่ยวเหมียวตัดสินใจทันที แล้วก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอหยิบพลั่วสองด้ามขึ้นมา หนึ่งโยนไปให้แบรี่ อีกหนึ่งโยนไปให้กู่ฉิงซาน

 

“งั้นก็ไปขุดเจ้าสิ่งนั้นกันเถอะ” เธอยืนขึ้นและกล่าว

 

…..

 

“นี่พวกเราจะต้องขุดไปอีกนานแค่ไหนกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไม่รู้สิ อาจจะเจอมันแล้วในเร็วๆนี้นี่แหละ” แบรี่จ้วงพลั่วในมือต่อไป ขณะที่ใบหน้าของเขาเริ่มแดงและหอบหายใจถี่

 

กู่ฉิงซานหันไปมองเสี่ยวเหมียว

 

นี่พวกเขาเอาแต่ขุด ขุดๆๆ มาเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้วนะ

 

เสี่ยวเหมียวกล่าวอย่างละอาย “ในเวลานั้นพวกเรามีหนี้สินมากเกินไป แถมอาการบาดเจ็บของพี่ชายกันก็ยังไม่ถูกรักษา ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย พวกเราจึงฝังสัญญาณของโลกใบนี้เอาไว้ในที่ปลอดภัย”

 

“ฉันว่าทั้งสองคนรีบขุดให้มันเร็วขึ้นกว่านี้เถอะ ถ้ายังมัวชักช้าอยู่ เดี๋ยวมันจะไม่ทันการช่วงเวลาเรียกขานของวิหคหนามนะ”

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และเริ่มขุดต่อไปไม่บ่นอะไรออกมาอีก

 

สัญญาณคือสิ่งที่สามารถเชื่อมต่อกับกฏเกณฑ์ของโลกมิติอนันต์ อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นตัวที่ใช้ควบคุมมิติ

 

หลังจากที่บุคคลถูกประทับตราด้วยสัญญาณนี้แล้ว เขาหรือเธอก็จะสามารถเชื่อมต่อเข้ากับโลกมิติอนันต์นั้นๆในเวลาใดก็ได้

 

และหลายสิ่งหลายอย่างที่กู่ฉิงซานทุ่มพยายามทำไปมากมาย ก็เพื่อให้ตัวเองได้รับสิทธิ์ที่ว่านั่นเอง

 

เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ

 

กู่ฉิงซานกับแบรี่ขุดกันไปอีกหลายชั่วโมง และในที่สุดก็เจอที่ฝังสัญญาณ

 

มันคือถุงมือเหล็กคู่หนึ่ง

 

เสี่ยวเหมียวล้างมันด้วยน้ำอยู่เป็นเวลานาน ถุงมือเหล็กจึงกลับมาสะท้อนแสงโลหะสดใสอีกครั้ง

 

“ตั้งแต่ที่ได้รับบาดเจ็บ ฉันก็ไม่เคยได้ใช้มันอีกเลย”

 

แบรี่มองดูถุงมือ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงถวิลหา

 

“พี่ชาย แต่ตอนนี้พี่กำลังจะหายดีแล้วนะ จะสามารถกลับมาใช้มันได้อีกครั้งแล้ว!”

 

เสี่ยวเหมียวเขย่าแขนอีกฝ่าย และให้กำลังใจเขา

 

แบรี่ยิ้ม

 

เขาสวมถุงมือเหล็ก และเริ่มสื่อสารกับโลกมิติอนันต์ใบนี้

 

ไม่นานนัก

 

เขาก็หันไปพูดกับกู่ฉิงซานว่า “ขอเส้นผมนายให้ฉันหน่อย”

 

กู่ฉิงซานดึงเส้นผมตนมอบให้อีกฝ่าย

 

แบรี่ใช้ถุงมือกำเส้นผมของเขา

 

ไม่ช้า เส้นผมก็หายไป

 

“สมาคมได้ทำการบันทึกความผันผวนทั้งหมดของนายแล้ว” เสี่ยวเหมียวกล่าวอย่างมีความสุข

 

ซึ่งนี่หมายความว่า ในที่สุดก็มือหน้าใหม่มาเข้าร่วมกับสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมซักที!

 

ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าใหม่จะยังคงอ่อนแออยู่ก็ตาม

 

ถึงแม้ว่านับจากนี้ไปคนๆนั้นจะต้องช่วยแบกรับหนี้สินจำนวนมาก

 

แต่เขาก็ดูเป็นคนดี

 

แถมยังบอกว่าจะตามหาสมบัติแล้วนำมาใช้หนี้ของสมาคมให้อีกด้วย

 

อาการบาดเจ็บของแบรี่ก็กำลังฟื้นฟู ใกล้จะหายเป็นปกติ

 

ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และชีวิตอันมั่งคั่งก็กำลังเฝ้ารอพวกเขาอยู่ในอนาคต!

 

เสี่ยวเหมียวพอคิดถึงจุดนี้ มุมปากของเธอก็ยกสูงขึ้น รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าอย่างช้าๆ

 

เห็นแค่เพียงแบรี่ที่กางมือของเขาออก และคว้าจับบางสิ่งที่มองไม่เห็นในอากาศที่ว่างเปล่า

 

“ตอนนี้แหละเสี่ยวเหมียว!”

 

ทันทีที่พูด เขาก็โยนบางสิ่งไปให้เสี่ยวเหมียว

 

เสี่ยวเหมียวคว้าจับบางสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นไว้ และร่ายคาถางึมงำ

 

มีบางสิ่งบางอย่างค่อยๆโผล่ออกมาทีละน้อย

 

เธอผลักสิ่งนั้นไปให้กู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานคว้าจับมัน – และพบว่าในมือของเขาคือด้ายเส้นบางๆ

 

ด้ายกระพริบไหว ก่อนจะผลุบเข้าไปในมือของเขาและไม่อาจพบถึงร่องรอยของมันได้อีกเลย

 

“ด้ายมิติเส้นนี้ทำมาตามเส้นผมของนาย มันเชื่อมต่อกับสัญญาณของโลกนี้ เป็นสิ่งที่ใช้อนุญาตให้นายเข้าสู่โลกใบนี้ได้” แบรี่อธิบาย

 

เสี่ยวเหมียวสั่งอย่างจริงจัง “กฏเกณฑ์มิติของฉันได้ถูกถ่ายเทลงในเส้นผมนี้ และพลังของมันก็เพียงพอให้นายกลับมาได้ครั้งหนึ่ง”

 

“แล้วผมจะใช้งานมันได้ยังไง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“นายก็เพียงแค่ทำสมาธินึกถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม แล้วนายจะรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของด้ายมิติเอง”

 

กู่ฉิงซานทดลองดู และก็พบว่ามันเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ

 

“จากนั้นล่ะ?”

 

“ดึงด้ายมิติออก แล้วรอครึ่งชั่วโมง นายก็จะกลับมา”

 

“ครึ่งชั่วโมงเลยหรอ?”

 

“เวลามันไม่แน่ไม่นอน ถ้านายอยู่ไกลเกินไป ก็คงจำเป็นต้องรอสักหน่อย”

 

เสี่ยวเหมียวเอ่ยต่อ “ไว้รอจนกระทั่งนายกลับมาในครั้งต่อไป ก็ให้มาเจอฉัน แล้วฉันจะถ่ายเทพลังข้ามมิติให้นายอีกครั้ง”

 

“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ในขณะนี้ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะอยู่ในโลกมิติอนันต์

 

แบรี่ยิ้มและกล่าวว่า “นับจากนี้ไป นายเป็นบุคคลในโลกมิติอนันต์แล้วนะ งั้นฉันจะทำการลงทะเบียนให้นายตอนนี้เลยละกัน”

 

เขาผิวปากไปในมิติที่ว่างเปล่า

 

ไม่นานนัก นกตัวใหญ่ก็บินเข้ามาจากท่ามกลางกระแสมิติอันวุ่นวาย

 

นกตัวใหญ่บินวนรอบๆแบรี่ ก่อนจะร่อนลงบนพื้นดิน

 

กู่ฉิงซานสังเกตเห็นว่าบนหน้าอกของนกตัวใหญ่มีสัญลักษณ์บางอย่างอยู่

 

มันเป็นตรารูปนก

 

“กุ๊ กุ๊ แบรี่ นายดูดีขึ้นมากเลยนี่นา แต่ก็ดีแล้ว เพราะก่อนหน้านี้นายติดหนี้ฉันไว้มากเลยจำได้ไหม” นกตัวใหญ่หันไปพูดกับแบรี่

 

“ฉันดีขึ้นมากแล้ว และอีกไม่นานก็จะสามารถจ่ายหนี้ให้นายได้ เป็นไง ฟังดูดีไหม?”

 

“หืมแปลกจริง? ทำไมคราวนี้ฉันถึงรู้สึกได้ว่าแกไม่ได้กำลังโกหกกันนะ?”

 

“เข้าเรื่องกันดีกว่า คือฉันต้องการความช่วยเหลือหน่อยน่ะ ช่วยติดต่อสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงให้ทีสิ พอดีว่าคนของฉันต้องการไปยังสถานที่ๆวิหคหนามอยู่ …”

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online EP.499 – แต้มพลังวิญญาณมากเกินไป

 

“คุณกำลังจะบอกว่า ถ้าฉันต้องการที่จะเปิดฟังก์ชั่นใหม่ของระบบเทพสงคราม ก็จะต้องยอมรับการเรียกขานของวิหคหนามสินะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ใช่” ระบบกล่าว

 

“แบบนั้นก็ดีน่ะสิ” กู่ฉิงซานหัวเราะ “ถ้าหากทำตามภารกิจของคุณ ไม่เพียงจะได้รับสมบัติของวิหคหนาม แต่ยังสามารถทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นได้อีกด้วย นี่มันเป็นเรื่องที่ดีไม่เลวเลยนี่นา”

 

“คุณคิดผิดแล้ว” ระบบกล่าวอย่างจริงจัง

 

“คิดผิดงั้นหรอ ยังไงกัน?”

 

“วิหคหนามน่ะเป็นสิ่งมีชีวิตอันพิเศษ มันแปลกประหลาด และโลกที่มันเก็บสมบัติเอาไว้ย่อมหมายความว่าไม่มีทางจะธรรมดาอย่างแน่นอน”

 

“ในกรณีที่โลกของมันเกิดบางสิ่งผิดปกติขึ้น วิหคหนามจะลงมือจัดการกับมันเองก่อนเป็นอันดับแรก”

 

“และถ้าหากไม่สามารถจัดการกับมันได้ด้วยตนเอง มันจึงจะออกมาขอความช่วยเหลือจากภายนอก และโลกดังกล่าว จะต้องมีอันตรายที่ไม่สามารถจินตนาการได้อยู่อย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

ตามที่ระบบว่ามา มันมีเหตุผลจริงๆ

 

ระบบยังคงกล่าวต่อ “นอกจากนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งสมบัติของวิหคหนาม ท่ามกลางบรรดาผู้เข้าร่วมทั้งหมดทั้งมวล มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงทีเดียวที่จะเกิดการลอบสังหารกัน ประวัติศาสตร์ในอดีตมากมายล้วนพิสูจน์มาแล้วถึงเรื่องนี้”

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของกู่ฉิงซานหายไปอย่างสิ้นเชิง

 

เขาเพียงขบคิดเล็กน้อย ก็สามารถตระหนักได้ถึงอันตรายของมัน

 

“ถ้าเกิดการต่อสู้หรือสังหารกันของผู้เข้าร่วม วิหคหนามจะไม่สนใจดูแลเลยหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ชนะหรือพ่ายแพ้คือกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติ และวิหคหนามก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้”

 

“นี่มัน … ชักจะไม่ง่ายซะแล้ว” กู่ฉิงซานพึมพำเสียงต่ำ

 

“ใช่ วิหคหนามน่ะเป็นการดำรงอยู่ที่พิเศษในดินแดนอัศจรรย์ แม้กระทั่งตัวตนทรงอำนาจก็ยังไม่กล้าที่จะขัดใจมันอย่างง่ายดาย”

 

“ได้โปรดรักษาตัวให้ดีด้วย”

 

“โอเคเข้าใจแล้ว ฉันจะระมัดระวังตัวก็แล้วกันถ้าได้ไปที่นั่น” กู่ฉิงซานกล่้าว

 

“ไม่หรอก คุณไม่มีทางที่จะไปที่นั่นได้”

 

“เอ่า ทำไมล่ะ?”

 

“มีเพียงสิ่งมีชีวิตในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิ์ในการตอบรับคำเรียกขานของวิหคหนาม ขณะที่คุณเป็นสิ่งมีชีวิตนอกเหนือจากนั้น คุณอยู่ในโลกกระจัดกระจาย”

 

“คนจากโลกกระจัดกระจายไม่สามารถตอบรับการเรียกขานของมันได้งั้นหรอ?”

 

“ใช่ ดังนั้น สถานะของคุณจะต้องได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากบรรดาหนึ่งในโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นเสียก่อน จึงจะตอบรับการเรียกขานได้”

 

“ยอมรับอย่างเป็นทางการ?”

 

“ใช่ มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียว โลกถึงจะยอมรับคุณ ยอมเชื่อมต่อกับคุณ และอนุมัติไปโดยปริยายว่าคุณคือคนของโลกใบนั้น”

 

“ … แล้วจะต้องทำยังไงถึงจะได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ?”

 

“อย่างน้อยหนึ่งในสามของคนในโลกใบนั้นจะต้องยอมรับถึงสถานะของคุณ”

 

กู่ฉิงซานลองขบคิดอย่างรอบคอบ แล้วเขาก็ตระหนักได้ในทันใด

 

ตนต้องได้รับสถานะอย่างเป็นทางการจึงจะสามารถตอบสนองต่อเสียงเรียกของวิหคหนามได้!

 

และเขาก็ไม่เคยก้าวเข้าไปเหยียบโลกอื่นเลยนอกจากโลกของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม ดังนั้น หากต้องการที่จะได้รับสถานะอย่างเป็นทางการในโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้ มันพูดง่ายยิ่งกว่าทำซะอีก!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมระบบถึงให้เขาคิดว่าวิธีการที่จะอยู่ที่นี่ และหลังจากที่ให้เขาพักอาศัยอยู่เป็นเวลาหนึ่งวัน มันถึงถามเขาว่าอยากจะกลับไปหรืออยู่ต่อ

 

เพราะสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมน่ะมีแค่สองคนเท่านั้น!

 

นี่เป็นโลกท่ามกลางมิติอนันต์ที่ง่ายดายที่สุดที่ตัวเขาจะสามารถได้รับสถานะได้ในช่วงเวลาสั้นๆ!

 

—มีความลับเท่าใดกันนะที่ระบบทราบถึงมัน?

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงและใช้สมาธิอยู่นาน

 

เข้าร่วมกับสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมงั้นหรอ … แต่แบรี่กับเสี่ยวเหมียวไม่ต้องการให้คนอื่นเข้ามาพัวพันกับหนี้สินที่พวกเขากำลังแบกรับอยู่ซะด้วยสิ

 

ขณะที่เขากำลังขบคิด ไฟจากภายในโรงงานก็ดับลง

 

พร้อมกับแบรี่ที่ลากขาของมอนสเตอร์เดินออกมาจากสมาคม

 

“ดูสิ การเก็บเกี่ยววันนี้นับว่าไม่เลวเลย” แบรี่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

 

แล้วเขาก็โยนมอนสเตอร์ลอยมาตกลงเบื้องหน้าของกู่ฉิงซานกับเสี่ยวเหมียว

 

เสี่ยวเหมียวหยุดเขียนทันที

 

เธอกระโดดลงจากเก้าอี้ และจ้องมองมอนสเตอร์ด้วยความตื่นเต้น

 

มันคือปีศาจทรงอำนาจที่ทำลายอารยธรรมโลกมากว่า 3000 แห่งจนได้ฉายา ‘เรือพิฆาต’ ทว่าเวลานี้กลับนอนจูบพื้นคล้ายดั่งสุนัขที่ตายแล้ว

 

“นี่น่ะหรอยอดปีศาจ”

 

เสี่ยวเหมียวเอ่ยถาม พร้อมกับใช้ปลายปากกาจิ้มๆลงบนมอนสเตอร์ตัวนั้น

 

มอนสเตอร์กลับนิ่งงันไม่ขยับไหว

 

มอนสเตอร์ตัวนี้ จริงๆแล้วดูไม่เหมือนว่าปีศาจเลย แต่มันเหมือนกับหมูป่า หรือสิ่งชีวิตในเครือที่คล้ายๆกันกับทำนองนั้นเสียมากกว่า

 

ข้อแตกต่างก็คือ ทั้งสี่ขาของมันมีขนาดหนา และทนทานกว่าหมูป่ามากนัก

 

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หากได้ลองมองมัน ก็คงจะมีคำว่า ‘หมู’ ผุดขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว

 

เสี่ยวเหมียวเดินวนไปวนมารอบๆมอนสเตอร์

 

แบรี่เอ่ยถาม “เจ้านี่มันสามารถกินได้ไหม?”

 

“ตามตำนานบอกไว้ว่ามันกินได้” เสี่ยวเหมียวกล่าว “ผู้จัดการครัวเฉิงเคยบอกว่าเนื้อของยอดปีศาจเป็นของชั้นดีมาก มันเป็นอาหารระดับสูง คือยาชูกำลังชั้นยอดหากได้กินมัน … ”

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวหันมามองหน้ากันและกัน พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้โดยไม่เอ่ยสิ่งใด

 

แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกออกได้ถึงเรื่องหนึ่งอย่างกระทันหัน

 

บางที การที่พี่ชายน้องสาวไม่ได้มีมอนสเตอร์เอกภพยัดลงท้องตั้งหลายวัน มันอาจเป็นเพราะพวกเขามีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวรึเปล่า ที่จะสามารถจับมันได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องออกไปข้างนอก?

 

“กู่ฉิงซาน นายสามารถปรุงเจ้าสิ่งนี้เป็นอาหารได้ไหม?” เสี่ยวเหมียวหันมาถาม

 

กู่ฉิงซานเดินตรงไปที่หมูป่า

 

-ไม่สิ ต้องเรียกว่าปีศาจด้วย

 

ปีศาจหมูป่าตัวนี้อยู่ในสถานะกำลังจะใกล้ตายแล้ว

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม

 

เขาก้าวฉับๆไปข้างหน้า ยื่นมือคว้าจับดาบพิภพที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

“เอาล่ะ ไหนขอฉันลองดูหน่อย”

 

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็สับดาบลงไป

 

ดาบพิภพตัดลงบนคอที่อ่อนนุ่มของยอดปีศาจ ทว่ามันกลับถูกสะท้อน ตีกลับมา

 

กู่ฉิงซานตัดเฉือนมันด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี แต่กลับไม่สามารถสังหารปีศาจที่กำลังใกล้ตายได้!

 

ทันใดนั้นดาบพิภพก็ส่งเสียงมายังกู่ฉิงซาน “มันเป็นปีศาจที่ทรงประสิทธิภาพยิ่ง เจ้าจะต้องถ่ายเทแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดที่มีในกายเจ้ามายังข้า จึงจะสามารถตัดคอของมันได้”

 

“งั้นจัดเลย!” กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

แบรี่ที่กำลังเฝ้ามองฉากนี้เอ่ยปากถาม “นายต้องการให้ฉันยื่นมือเข้าช่วยไหม?”

 

“ขอให้ผมได้ลองมันอีกครั้งนะ” กู่ฉิงซานตอบกลับ

 

บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นโคจรรอบตัวกู่ฉิงซาน และในที่สุดมันก็ถูกควบรวมเข้าไปที่ดาบยาว

 

ดาบพิภพเปล่งเสียงฮึมฮัม

 

มันพร้อมแล้ว

 

เดิมทีกู่ฉิงซานยังเหลือแต้มพลังวิญญาณในตัวอีกกว่า 1100 แต้ม แต่ตอนนี้เขาได้ใช้งานทั้งหมดในคราเดียวอย่างสิ้นเชิง

 

ดวงตาของแบรี่กับเสี่ยวเหมียววูบไหวทันใด

 

ทั้งสองคาดไม่ถึงเลย ว่าฝีมือของเจ้าหนุ่มตรงหน้านี้ จะไม่ได้มีเพียงแค่ทักษะของเขา

 

กลับกลายเป็นว่าความสามารถที่แท้จริงของคนตรงหน้า จำเป็นที่จะต้องใช้แต้มพลังวิญญาณในการขับเคลื่อน

 

แต้มพลังวิญญาณ … เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของความแข็งแกร่ง

 

ยามเมื่อขอบเขตถูกยกระดับขึ้นมาถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถทำการกระตุ้นและใช้งานแต้มพลังวิญญาณได้

 

จากในมุมมองนี้ กล่าวได้ว่านอกเหนือไปจากการทำอาหารและผสมเหล้าแล้ว ทั้งสองคงจะต้องประเมินเด็กหนุ่มตรงหน้าใหม่อีกครั้ง

 

สีหน้าของพี่น้องเผยให้เห็นถึงการขบคิด

 

“ถ้าหากพวกคุณต้องการที่จะกินมัน คุณจะต้องปรุงมันทันทีหลังจากที่สังหาร มิฉะนั้นแล้วความสดของอาหารจะสลายไปอย่างรวดเร็ว”

 

ได้ยินแค่เพียงเสียงของกู่ฉิงซานที่เอ่ยปากกล่าว

 

ดาบพิภพก็ถูดฟาดสับลงอย่างเดือดดาล

 

ฟุ่บ!

 

คอถูกตัดออก แยกหัวจากลำตัว

 

ปีศาจหมูถูกสังหารลงแล้ว

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลายบรรทัดแสงกระโดดออกมาทันที

 

“แต้มพลังวิญญาณของคุณถูกใช้จนหมดสิ้นแล้ว”

 

“แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ คุณสามารถสังหารปีศาจฉายาเรือพิฆาต สิ่งมีชีวิตที่มีขอบเขตเหนือล้ำยิ่งกว่าคุณนับไม่ถ้วนลงได้”

 

“ดังนั้น คุณจึงได้รับแต้มพลังวิญญาณส่วนเกินเป็นจำนวนมหาศาลจากเจ้าเรือพิฆาต”

 

“แต้มพลังวิญญาณของปีศาจมีปริมาณมากเกินไป ระบบเทพสงครามขอดำเนินการคำนวณรายละเอียดสักครู่”

 

“คำแนะนำ : คุณสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณปริมาณมหาศาลนี้ ทำการยกระดับขอบเขตได้ในทันที และยังสามารถเรียนรู้ค่ายกลดาบไท่หยีได้เลยอีกด้วย”

 

“คุณต้องการที่จะยกระดับขอบเขตเลยหรือไม่?”

 

กู่ฉิงซานที่กำลังกำหัวของปีศาจเงียบไปสักพัก ก่อนจะกล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ฉันต้องการใช้แต้มพลังวิญญาณที่ได้มาเริ่มใช้ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ในการตรวจสอบองค์ประกอบร่างกายของปีศาจตนนี้”

 

ระบบกล่าว “การตรวจสอบความลี้ลับของโครงสร้างร่างกายปีศาจ จำเป็นต้องใช้ 10000 แต้มพลังวิญญาณ ซึ่งสามารถหักจากแต้มพลังวิญญาณบางส่วนที่ได้รับมาได้”

 

“แต่หากคุณต้องการจะแปลงกายเป็นปีศาจตนนี้ คุณจะต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดที่ได้รับมา”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ฉันต้องการแค่ตรวจสอบ ไม่ได้ต้องการจะแปลงเป็นมัน”

 

“รับทราบ 10000 แต้มพลังวิญญาณถูกจ่ายออกแล้ว”

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง ขณะที่ยังคงคว้าหัวของปีศาจ

 

ชั่วเวลาหนึ่ง เขาก็สามารถเข้าใจถึงโครงสร้างร่างกายของปีศาจได้อย่างสมบูรณ์

 

นอกจากนี้เขายังค้นพบถึงเนื้อบางส่วนที่พิเศษของมัน ที่สามารถกินได้จริงๆอีกด้วย

 

กู่ฉิงซานลองพลิกตัวของหมูป่าเพื่อดูร่างกายของมัน

 

เขาค้นพบถึงอักษรรูนตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากกฏเกณฑ์ของแดนชำระล้าง

 

รูนเหล่านี้ปกคลุมซี่โครงใหญ่ของปีศาจ

 

กู่ฉิงซานหมอบลง และตัดชิ้นเนื้อส่วนซี่โครงด้วยดาบของเขา

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นมา

 

“ซี่โคร่งอ่อนนุ่มของยอดปีศาจแห่งแดนชำระล้าง”

 

“นี่คือหนึ่งในอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกชำระล้าง หลังจากที่ได้ทำการปรุงด้วยความร้อนที่เหมาสม และรับประทาน มันจะช่วยส่งเสริมให้สมรรถภาพร่างกายของคุณดียิ่งขึ้นอย่างมหาศาล”

 

“นี่เป็นอาหารที่หาได้ยากเย็นยิ่ง และมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงลิ่ว”

 

“คุณได้ใช้ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตในการตรวจสอบมันแล้ว ดังนั้นคุณจึงสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของชิ้นเนื้อได้โดยสมบูรณ์ และด้วยเทคนิคการปรุงอาหารของคุณ คุณก็ควรจะรู้ว่าสมควรจะจัดการกับมันด้วยวิธีใด”

 

กู่ฉิงซานถือชิ้นเนื้อนั้น แล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน

 

“นี่ – ตกลงว่ามันกินได้ไหม?” แบรี่เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ

 

“รอสักครู่”

 

กู่ฉิงซานสูดลมหายใจลึก ทั้งคนทั้งร่างเข้าสู่สภาวะทุ่มสมาธิสุดขีด

 

ซี่โครงย่าง – เป็นอาหารถนัดของเขา

 

แต่นี่ไม่ใช่เนื้อวัวหรือหมู – มันเป็นซี่โครงปีศาจ

 

แม้ว่าเขาจะเข้าใจถึงคุณสมบัติทั้งหมดของเนื้อปีศาจชิ้นนี้แล้วก็ตามที แต่การย่างปีศาจ … นับว่าเป็นความท้าท้ายที่เขาไม่เคยพบเผชิญมาก่อน

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระและหยิบเอาชุดอุปกรณ์ทำอาหารออกมา

 

เขาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งและอีกครั้ง จนสามารถตัดสินใจถึงรายละเอียดทั้งหมดได้ จากนั้นก็เริ่มที่จะจัดการกับอาหาร

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเฝ้าดูเขาอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาเลย

 

เพราะทั้งสองสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงจังและทุ่มเทของกู่ฉิงซาน

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

 

กลิ่นหอมฟุ้งก็ปกคลุมไปตลอดทั้งสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม

 

“อีกนานแค่ไหน พวกเราถึงจะกินมันได้?” แบรี่น้ำลายไหล

 

“ต้องย่างมันอีกในหนึ่งนาทีสุดท้าย”

 

แม้ปากจะกล่าวตอบ แต่กู่ฉิงซานยังคงไม่หยุดมือ เขาพลิกเนื้อ กลับด้านมันอีกครั้ง

 

แต่ทันใดนั้นเอง เสียง ‘เพล้ง’ ก็ดังกระหึ่ม

 

พร้อมกับผู้ชายร่างกำยำในชุดผ้าเปื้อนปรากฏตัวขึ้นทันใด

 

“ผู้จัดการเฉิง!” แบรี่หน้าเปลี่ยนสี

 

คนๆนี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน สายตาของเขาเบนมองไปทางซี่โครงส่วนพิเศษที่ย่างอยู่บนเตาถ่าน พลางสลับไปมองกู่ฉิงซานอยู่หลายครั้ง

 

“โชคดี! โชคดีจริงๆ! ที่อาหารล้ำค่ายังไม่เน่าไปซะก่อน” เขาอุทานด้วยความปิติ

 

แล้วก็ตะโกนขึ้นทันที “แบรี่! มอบซี่โครงนั่นมาให้ฉันซะ! แล้วฉันจะถือว่าหนี้ของพวกเราหมดกัน!”

 

ว่าจบ ชายกำยำก็ก้าวฉับๆตรงไปยังสเต็กเนื้อซี่โครงทันที

 

“อย่าแม้แต่จะคิด!” แบรี่คำราม

 

เขาเหวี่ยงกำปั้นออกทันใด เจาะมันเข้าไปในความว่างเปล่า

 

บังเกิดช่องว่างมิติขนาดใหญ่ถูกเปิดขึ้น

 

เฉกเช่นเดียวกันอินทรีที่คว้าจับลูกไก่ แบรี่พุ่งหมับ! เข้าล็อคตัวชายกำยำและโยนเขาเข้าไปในช่องว่างมิติทันที

 

“สารเลวแบรี่! ฉันขอสาปแช่งแกให้ได้กินแต่เนื้อดิบๆของมอนสเตอร์เอกภพไปตลอดชีวิตตตต!” ชายกำยำสบถสุดเสียงอย่างไม่ยินยอม

 

“ถ้าเป็นอย่างงั้น ฉันจะยัดมันเข้าปากแกก่อนเลย!”

 

แบรี่ตอกกลับอย่างเฉยเมย

 

ว่าจบ เขาก็เอื้อมสองมือคว้าสองฝั่งของช่องว่างมิติและดึงมันหุบเข้าหากัน

 

โพรงมิติขนาดใหญ่ปิดตัวลง และหายวับไปทันใด

 

เมื่อแบรี่ทำทุกอย่างนี้จนจบ ซี่โครงปีศาจย่างของกู่ฉิงซานก็เสร็จพอดีเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานทำการแบ่งชิ้นเนื้อออกเป็นสามส่วน

 

ของแบรี่ เสี่ยวเหมียว กับเขา อย่างละส่วน

 

“จะกินมันได้รึยัง?” เสี่ยวเหมียวเอ่ยถามเสียงแผ่วๆ

 

กู่ฉิงซานโรยเครื่องปรุงรสบาร์บีคิวส่วนสุดท้ายลง

 

“เอาล่ะกินได้แล้ว” เขากล่าว

 

ทั้งสามยกจานสเต็กขึ้นมา

 

แต่กู่ฉิงซานยังไม่เคลื่อนไหว

 

เสี่ยวเหมียวยังคงสูดดมกลิ่นสเต็ก

 

บังเกิดช่วงเวลาแห่งความเงียบงันขึ้น

 

แล้วแบรี่ก็เริ่มจัดก่อนเป็นคนแรก

 

“หงับ .. อ๊า ฟู่ ฟู่ ฟู่ๆๆๆ!”

 

แบรี่เงยเชิดหน้าขึ้น ในดวงตาของเขาเริ่มรื้นไปด้วยน้ำตา

 

“พี่ชาย เกิดอะไรขึ้น?” เสี่ยวเหมียวถามด้วยความกังวล

 

“มันร้อนอะ!!”

 

แบรี่ปาดน้ำตา

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ “ก็มันพึ่งย่างเสร็จน่ะ ทำไมคุณไม่รอให้มันเย็นลงสักนิดก่อนค่อยกินล่ะ”

 

แล้วทั้งสามก็เฝ้ารออีกสักพักหนึ่ง

 

แบรี่เริ่มขยับปากอีกครั้ง

 

“อร่อย! มันอร่อยมากจริงๆ นี่ฉันกำลังฝันอยู่ใช่ไหม? ใครก็ได้ตบปลุกฉันที!!” แบรี่ตะโกนลั่น

 

เสี่ยวเหมียวพอได้เห็นการแสดงออกเช่นนี้ เธอก็คลายใจลง

 

แล้วเธอก็ไม่ลังเลอีกต่อไป

 

เปิบล่ะนะ!

 

เสี่ยวเหมียวกินไปเพียงไม่กี่คำ ก็เริ่มปาดน้ำตาของเธออย่างเงียบๆ

 

“ทำไมกัน? ทำไมพอได้กิน สัมผัสสุดท้ายของมันถึงได้รู้สึกราวกับถูกกัดกร่อนไปถึงในทรวงอกกันนะ?” เสี่ยวเหมียวบ่นงึมงำ

 

“เพราะผมได้โรยชั้นกระเทียมบางๆเอาไว้ด้วยน่ะสิ” กู่ฉิงซานอธิบาย

 

“ไม่เชื่อหรอก! ตัวฉันเองก็พอจะเข้าใจถึงการปรุงอาหารอยู่บ้าง แค่กระเทียมบดน่ะ มันไม่สามารถนำพาอาหารให้ทะยานขึ้นมาถึงระดับนี้ได้อย่างแน่นอน!” เสี่ยวเหมียวเริ่มเคาะบนจานและกล่าว

 

“ฟังนะ กระเทียมบดของผมมันถูกนำไปแช่เข้ากับน้ำส้มสายชู – นี่เป็นสูตรพิเศษของผม หวังว่าคุณจะไม่เอาไปบอกใครนะ” กู่ฉิงซานกระซิบ

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!” เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ

 

สามปาก สามชิ้นเนื้อสเต็ก ภายในสิบวินาที

 

อาหารค่ำก็เกลี้ยงเกลา

 

แล้วกู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งเล็กน้อย

 

ชิ้นเนื้อนี่มันช่างน่าทึ่งจริงๆ เขาสัมผัสได้เลยว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น!

 

ร่างกายตนในเวลานี้ มันอยู่ใกล้เคียงกันกับนักสู้หวูเต๋าในขอบเขตเดียวกันแล้ว!

 

นี่มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ ในบรรดาโลกนับล้านล้าน มันไม่อาจนำความนึกคิดของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธมาใช้เป็นเหตุเป็นผลได้เลย

 

แบรี่นิ่งไปสักพัก แล้วเขาก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่มันหมดไป

 

ชิ้นเนื้อนี่มีประสิทธิภาพมากจริงๆ มันส่งผลดีต่อร่างกายของเขาเป็นอย่างยิ่ง

 

เขารู้สึกได้เลยว่าอัตราการฟื้นฟูของตนเองเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

“เสี่ยวเหมียว”

 

“ว่าไง?”

 

“พวกเราออกไปกันเถอะ”

 

“จะบ้าหรอ? ทำไมจู่ๆถึงจะออกไปกัน แล้วจะไปที่ไหน?”

 

“ไปจับหมูป่าแดนชำระล้างมาย่างกินกัน”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.498 – ฟังก์ชั่นใหม่ของระบบ

 

หลังจากได้ฟังคำพูดของเสี่ยวเหมียว กู่ฉิงซานก็เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของทั้งสอง

 

หากได้ลองคิดอย่างรอบคอบ ด้วยความสามารถของทั้งสอง อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวัน

 

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีโลกมิติอนันต์เป็นของตัวเองอีก

 

ถ้าหากไม่มีโลกมิติอนันต์นี้ เกรงว่าการจะจับตัวพวกเขามันคงทำได้ไม่ยาก

 

หลังจากที่แบรี่ได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรง เขาก็เก็บตัวอยู่ในโลกมิติอนันต์ไม่ออกไปไหน

 

หรืออีกความหมายนึงก็คือไม่มีใครสามารถทำอะไรกับเขาได้

 

ดังนั้น โลกมิติอนันต์จึงเปรียบดั่งเซฟเฮ้าส์ที่ปลอดภัย

 

ขณะครุ่นคิด กู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งขึ้นในทันใด

 

“ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอคำปรึกษา จะได้ไหม?” เขาหันไปประสานสองกำปั้นให้แก่อีกฝ่ายและกล่าว

 

“ว่ามาสิ”

 

เสี่ยวเหมี่ยวที่กำลังปอกเปลือกกุ้งผัดพริกตอบรับโดยไม่เงยหัวขึ้นมา

 

กู่ฉิงซาน “ผมอยากจะรู้ถึงวิธีการแยกแยะความแข็งแกร่งของโลกทั้ง 900 ล้านชั้นน่ะ”

 

“แยกแยะหรอ?”

 

เสี่ยวเหมียวเลียน้ำพริกตรงมุมปากและกล่าวว่า “นายจะต้องเข้าใจเรื่องหนึ่งซะก่อนนะ – โลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นน่ะมันเต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์ประหลาดและความสามารถอันหลากหลายเกินไป ชนิดที่ว่าทางผู้พิทักษ์หอสูงทำได้เพียงรวบรวมภาษาของสิ่งมีชีวิตลงในพจนานุกรมเท่านั้น แต่พวกเขากลับไม่สามารถบันทึกถึงความสามารถทั้งหมดได้”

 

“กระทั่งพวกเขาก็ทำไม่ได้งั้นหรอ?”

 

“ใช่ พวกเขาใช้เวลากว่าร้อยปีในการบันทึกเส้นทางการพัฒนาและรายละเอียดรูปแบบความสามารถของตัวตนที่มีความแข็งแกร่ง แต่ในที่สุดแล้วพวกเขาก็ต้องยอมแพ้”

 

“ทำไมกัน?”

 

“เพราะพวกเขาค้นพบว่าในระหว่างที่ทำการบันทึก มันก็ได้มีการดำรงอยู่ของตัวตนทรงพลังกลุ่มใหม่ผุดออกมาไม่หยุดหย่อน พวกมันถือกำเนิดขึ้น เติบโตขึ้น ครอบครองพลังใหม่ที่ไม่มีในบันทึก แถมยังกระจายตัวอยู่ทั่วกาแล็กซี่อันกว้างใหญ่”

 

“ … ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะต้องบันทึกกันต่อไปไม่จบไม่สิ้นสินะ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

“แต่มีอีกจุดหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่า”

 

“อะไรหรอ?”

 

เสี่ยวเหมียวยกผ้าขึ้นมาเช็ดปากแล้วอธิบายต่อ “สมมุติว่ามีตัวตนพลานุภาพอยู่สามคน ชื่อก็เอาเป็น A  B C แล้วกัน A เป็นนักสู้ชั้นยอด เขาสามารถระเบิดดวงดาวได้ด้วยหมัดเดียว ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาสามารถมีชัยเหนือความสามารถของ B ได้ อธิบายถึงตอนนี้นายยังไม่งงใช่ไหม?”

 

“อ่า”

 

“ดีมาก ต่อมา ถึงแม้ว่า B จะแพ้ทาง A ก็จริง แต่เขาสาามารถรับมือกับเทคนิคเทียนซวนของ C ได้ แต่ C ที่มีเทคนิคเทียนซวนน่ะไม่เกรงกลัวต่อพลังหมัดของ A เพราะCมีพลังที่สามารถยับยั้งการโจมตีของนักสู้ได้อย่างง่ายดาย”

 

“ทั้งสามคน ล้วนแพ้ทาง และชนะทางซึ่งกันและกัน ”

 

“ไหนนายลองบอกฉันซิว่าจะแยกแยะความแข็งแกร่งของพวกเขาได้ยังไง?”

 

กู่ฉิงซานที่ถูกถามอึ้งไป

 

เขาลองคิดเกี่ยวกับมันและพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแยกแยะความแข็งแกร่ง

 

เสี่ยวเหมียวกล่าวต่อ “ไม่เอาน่า นี่มันไม่ใช่โลกแฟนตาซีนะ มันคือโลกจริง โลกที่มีความสามารถแปลกๆ และแม้กระทั่งสมาคมผู้พิทักษ์ก็ยังไม่เคยพบเห็น ดังนั้นสำหรับทุกคนแล้ว วิธีการแยกแยะความแข็งแกร่งที่ดีที่สุดจึงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”

 

“หนึ่งเดียวที่ว่าก็คือ … ?”

 

“ถ้านายชนะอีกฝ่ายได้นายก็เก่งกว่า ถ้าแพ้ก็กากกว่าเท่านั้นเอง”

 

“ … ฟังดูง่ายและตรงประเด็นดีจัง”

 

“ดังนั้น นายจะต้องตัดสินศัตรูของนายด้วยความรู้สึก ประสบการณ์ และภูมิปัญญาของนายเอง”

 

ขณะกล่าว เสี่ยวเหมียวก็หยิบดินสอขึ้นมา และเริ่มทำการวาดภาพลงบนสมุด

 

“แต่ที่นายเตือนฉันก็ดีเหมือนกัน ในความเป็นจริงเราสามารถตัดสินถึงความแข็งแกร่งของศัตรูตรงหน้าได้ เว้นแต่ว่านายจะเขียนนิยาย ถึงจำเป็นต้องระบุถึงขอบเขตให้มันชัดเจน ไม่งั้นเดี๋ยวคนอ่านจะงงแล้วรู้สึกปวดหัวเปล่าๆ”

 

“ … ” กู่ฉิงซาน

 

เสี่ยวเหมียวมองหน้าเขา และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

“ฉันล้อนายเล่นน่ะ”

 

เธอส่ายหางไปมาอย่างช้าๆ แลดูมีความสุข

 

“แน่นอน สถานการณ์ที่พึ่งพูดไปมันเป็นในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายมีความแข็งแกร่งแตกต่างกันเล็กๆน้อยๆ”

 

“แต่โดยปกติแล้ว เรามักจะมีมาตรฐานอันเรียบง่ายที่ใช้วัดถึงความแข็งแกร่งและอ่อนแออยู่”

 

“มาตรฐานอะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“อิสระภาพ”

 

“แล้วจะใช้มันวัดได้ยังไง?”

 

“โลกมิติอนันต์คือโลกที่เชื่อมต่อมิติตลอดทั้งหมื่นโลกา ขอแค่เพียงนายสามารถอาศัยอยู่ในโลกมิติอนันต์ และสามารถทำลายช่องว่างมิติด้วยการระเบิดโจมตีเพียงครั้งเดียว เพื่อเปิดทางให้โลกอื่นปรากฏสู่สายตานายได้ ยิ่งมากเท่าไหร่ นายก็จะยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น”

 

“แค่นั้นเองหรอ?”

 

เสี่ยวเหมียวยิ้ม “อย่าไปคิดมากเกี่ยวกับมันนักเลย ฉันสัมผัสได้ว่ารอบตัวนายมีปราณดาบอันเฉียบคมอยู่ เมื่อใดก็ตามที่นายสามารถยืนหยัดอยู่ที่นี่ได้ และสามารถใช้คมดาบทำลายมิติ เปิดโพรงช่องว่างจนโลกอื่นปรากฏสู่สายตานายได้แม้สักหนึ่งโลก ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว”

 

“เอาไว้เมื่อถึงเวลานั้น ฉันค่อยบอกถึงชื่อของบรรดาขอบเขตที่แท้จริงให้กับนายก็แล้วกัน”

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึกและกล่าว “เข้าใจแล้ว ฉันจะพยายาม!”

 

ในขณะนั้นเอง ภายในสมาคมก็บังเกิดเสียงกรีดร้องน่าสมเพชดังขึ้น

 

บางครั้ง มันก็เป็นเสียงโหยหวนของปีศาจ

 

บางครั้ง มันก็เป็นเสียงโหยหวนของแบรี่

 

แต่ในท้ายที่สุด ก็หลงเหลือเฉพาะเพียงเสียงของปีศาจเท่านั้น

 

“ไม่ หยุดทุบตีกันซักที! ฉันยอมแพ้แล้ว!!” ปีศาจร้องขอความเมตตา

 

“ผายลมเถอะ! อย่าคิดว่าจะมาหลอกฉันได้นะ เห็นๆอยู่ว่าเป้ากางเกงแกมันตุงๆ คงซ่อนใบมีดแห่งการทำลายล้างเอาไว้ล่ะสิ ทำไมไม่เอามันออกมาเล่า? คิดจะดูถูกฉันรึไง?” เสียงเยาะหยันของแบรี่ดังขึ้น

 

“เฮอะ งั้นก็ตายซะ!” ปีศาจคำรามก้อง

 

“ดีมาก เข้ามาเลย!” แบรี่กล่าวด้วยความตื่นเต้น

 

แล้วการต่อสู้รอบใหม่ก็บังเกิดขึ้น

 

หูของเสี่ยวเหมียวกระดิกไม่หยุด คล้ายกำลังสนุก เธอหันมาถามกู่ฉิงซาน “ว่าแต่นายมาจากโลกไหนกัน?”

 

“โลกกระจัดกระจาย”

 

“โลกกระจัดกระจาย! การที่นายสามารถมาถึงที่นี่ได้นับว่าปฏิหาริย์จริงๆ”

 

“ผมก็คิดว่ามันเป็นปาฏิหาริย์เหมือนกัน”

 

“แล้วพรุ่งนี้นายจะไปที่ไหนต่อ?”

 

“ยังไม่ได้คิดเอาไว้เลย”

 

หางของเสี่ยวเหมียวส่ายไปมาเล็กน้อย

 

เธอสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริง

 

มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกประทับใจเขามากยิ่งขึ้น

 

“น่าเสียดายนะ ที่พวกเราสามารถให้นายอยู่ได้แค่วันเดียว” เธอถอนหายใจ

 

“ทำไมกันล่ะ?”

 

“เพราะถ้านายอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน นายจะถูกพวกเจ้าหนี้ทั้งหมดค้นพบตัวทันที แล้วพวกเขาจะจับตัวนายไป”

 

“จับตัวผมไปเนี่ยนะ?”

 

“ใช่ เพราะพวกเขาจะคิดว่านายเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคม”

 

“พวกเขาไม่สามารถเอาชนะฉันกับพี่ชายของฉันได้ ดังนั้น พวกเขาเลยจะจับตัวนายไปแทน แล้วบังคับให้ทำงานอย่างหนักเพื่อชดใช้หนี้ของพวกเรา”

 

“ดังนั้น หนึ่งวันนับจากนี้ไป นายไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากออกจากสมาคมไปเท่านั้น” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยความเสียใจ

 

“พวกคุณไม่มีวิธีที่จะชำระหนี้เลยหรอ?”

 

“ก็พอมีบ้าง แต่ตอนนี้พวกเราจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าอาการบาดเจ็บของพี่ชายฉันจะหายดี”

 

เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ “ดังนั้น ฉันเลยต้องคอยพึ่งพาค่าต้นฉบับเล็กๆน้อยๆนี่ แล้วเปลี่ยนมันเป็นเงินเพื่อเลี้ยงชีวิต”

 

ว่าจบ เธอก็ก้มหน้าลงแล้วเขียนต่อไป

 

กู่ฉิงซานเบนสายตามองออกไปอีกด้านหนึ่ง

 

เสียงกรีดร้องของปีศาจยังคงดังก้องในหูของเขาบ่งบอกว่าแบรี่กำลังวุ่นอยู่ ขณะที่เสี่ยวเหมียวกำลังจดจ่ออยู่กับการเขียน

 

ส่งผลให้เวลานี้ กู่ฉิงซานพอจะมีเวลาว่างเล็กๆน้อยๆเป็นของตัวเองเสียที

 

วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานค่อยๆเบนเข้าหาระบบเทพสงคราม

 

“ระบบ ตอนนี้คุณสามารถบอกความลับที่ว่าแก่ฉันได้แล้ว”

 

ติ๊ง!

 

บังเกิดเสียงดังฟังชัด

 

“ระบบกำลังคัดกรองความลับจำนวนมาก”

 

“รางวัลภารกิจแห่งโชคชะตาได้ถูกถอนออกมาแล้ว”

 

“โปรดตั้งใจฟังให้ดี แล้วเลือกมันอย่างระมัดระวัง”

 

“หากคุณต้องการกลับไปยังโลกเดิม ความลับนี้ก็จะเกี่ยวข้องกับโลกเดิม”

 

“หากคุณต้องการอยู่ที่นี่ เพื่อคว้าโอกาสที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ความลับนี้ก็จะเกี่ยวข้องกับข่าวลือ”

 

“โปรดทำการเลือกด้วย”

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

ไม่ว่าความลับของโลกเดิมจะคืออะไร แต่รอให้ตัวเองกลับไปก่อน แล้วค่อยพูดถึงมันอีกรอบก็ได้

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!

 

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉันเลือกความแข็งแกร่ง”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

พริบตาที่เสียงของเขาตกลง หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ปรากฏเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กขึ้นทันที

 

“คุณเลือกที่จะอยู่ที่นี่”

 

“ระบบจะบอกความลับที่จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น”

 

“โปรดรับฟังอย่างตั้งใจ”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าจริงจัง บ่งบอกว่าตัวเขารับทราบ

 

ข้อมูลใหม่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“การเรียกขานของวิหคหนาม”

 

“นี่เป็นข่าวเล่าข่าวลือที่มีมานานแสนนาน”

 

“ท่ามกลางโลกทั้ง 900 ล้านชั้น มันคือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดถวิลหา”

 

“ชั้นโลกเหล่านี้ จะอยู่ชั้นในสุดของโลกลำดับชั้น มันมักจะถูกเรียกว่า ดินแดนอัศจรรย์”

 

“วิหคหนามเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษที่อยู่ในดินแดนอัศจรรย์ มันมักจะซ่อนโลกที่เก็บสิ่งของอันล้ำค่าเอาไว้ราวกับใช้ปีกของตนเองปกคลุม”

 

“เมื่อใดก็ตามที่วิหคหนามมีปัญหา มันจะบินออกจากดินแดนอัศจรรย์ และทำการเรียกขานไปตลอดทั้ง 900 ล้านชั้น”

 

“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องความแข็งแกร่งมากเกินไปนัก เพราะวิหคหนามจะเรียกขานเฉพาะคนหนุ่มสาวให้เข้าร่วมเท่านั้น เพื่อช่วยมันจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น”

 

“เมื่อปัญหาของวิหคหนามได้รับการแก้ไข สมบัติที่วิหคหนามเก็บรวบรวมมาก็จะถูกมอบให้กับคนหนุ่มสาวที่ช่วยเหลือมัน”

 

หลังจากอ่านข้อความนี้ กู่ฉิงซานก็ลอบถอนหายใจอย่างลับๆ “ในโลกนับล้านล้าน ก็ยังมีสิ่งลึกลับแบบนี้อยู่ด้วยสินะ ถือว่าฉันได้เปิดหูเปิดตาอีกแล้ว”

 

ขณะที่เขากำลังคิดเกี่ยวกับมัน เส้นแสงหิ่งห้อยบรรทัดใหม่ก็เด้งขึ้นมาในหน้าต่างระบบ

 

“ตอนนี้ฉันจะเริ่มบอกความลับแก่คุณแล้วนะ”

 

กู่ฉิงซานตกใจ “อ้าว ไม่ใช่เรื่องวิหคหนามเมื่อกี้หรอกหรือที่เป็นความลับ”

 

“ไม่ใช่ เพราะนั่นคือสิ่งที่ทุกคนในโลกมิติอนันต์ล่วงรู้”

 

“เข้าใจแล้ว ว่าแต่ความลับที่ว่ามันคืออะไรกัน?”

 

“วิธีการเปิดใช้งานฟังก์ชั่นใหม่ของระบบเทพสงคราม”

 

กู่ฉิงซานตัวแข็งค้าง

 

ฟังก์ชั่นใหม่ระบบเทพสงความอย่างงั้นหรอ?

 

เขาก้มลงมองส่วนล่างของหน้าต่างระบบ

 

เห็นแค่เพียงแสงสีฟ้าอ่อนเล็กๆน้อยๆบนหน้าต่างเท่านั้น ขณะที่ส่วนใหญ่แล้วตรงส่วนล่างถูกปกคลุมไปด้วยสีดำ

 

ปุ่มเหล่านี้ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้หมอกสีดำ และมักจะสาดแสงจางๆออกมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น

 

สามฟังก์ชั่นแรกของระบบ : วิชายุทธเทพสงคราม , พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม และ สุดท้าย สมญาเทพสงคราม ได้ถูกเปิดออกแล้ว

 

ฟังก์ชั่นเหล่านี้มีประโยชน์และสามารถช่วยเหลือเขาได้มากมาย

 

ดั่งเช่น ‘สมญาเทพสงคราม’ ที่ก่อนการต่อสู้แต่ละครั้ง กู่ฉิงซานมักจะทำการเตรียมสมญาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้มันสอดคล้องกับสถานการณ์

 

อย่างเมื่อเร็วๆนี้ในโลกล่องเวหา กู่ฉิงซานก็ได้ใช้ สมญา นายพลชั้นโหยวจี

 

เพราะมันช่วยเพิ่มความเร็วในการโจมตีมากขึ้นถึง 15% ซึ่งสำหรับผู้ฝึกดาบแล้ว มันเป็นอะไรที่น่าขวัญผวายิ่ง!

 

ความเร็วดังกล่าวช่วยชดเชยข้อเสียเปรียบในด้านขอบเขตวรยุทธที่มักจะด้อยกว่าศัตรูพี่พบเจอของเขา

 

ไม่ต้องกล่าวถึง ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ หากไม่ได้รับทักษะนี้ บางทีกู่ฉิงซานคงไม่สามารถเรียนรู้สกิลหรือวิชาต่างๆได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เป็นแน่

 

ขณะที่ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ จะช่วยรับประกันให้แก่เขาว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เขายกระดับและกำลังจะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ มันจะช่วยให้เขาได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์มาครอบครองอย่างแน่นอน(ขณะที่คนอื่นๆต้องลุ้นเอา) เพียงแต่ต้องทำภารกิจบางอย่างเพื่อปลดล็อคมันก็เท่านั้นเอง

 

คุณลองดูสิ ไม่ว่าจะเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์หรือสกิลเทวะอย่าง ‘ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว’ ‘ร่างเงาแทนที่’ และ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’  จะอันไหน มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาที่ทรงพลังทั้งนั้นเลยมิใช่หรือ?

 

—แต่ตอนนี้ฟังก์ชั่นใหม่ของระบบเทพสงครามเปิดขึ้นแล้ว!

 

กู่ฉิงซานตัดสินใจถามทันที “แล้วจะต้องทำยังไงฉันถึงจะสามารถเปิดฟังก์ชั่นใหม่ของระบบเทพสงครามได้?”

 

ติ๊ง!

 

ระบบตอบ “คุณจะต้องสามารถอยู่ในโลกมิติอนันต์ และยอมรับการเรียกขานของวิหคหนาม”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.497 – กำปั้นเหล็กแบรี่

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาผ่านบรรทัดแสงในหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากที่เขาอ่านคำแจ้งเตือนข้างต้นแล้ว ก็ยังมิได้เลือกที่จะสื่อสารกับระบบในทันที

 

เพราะแสงบางเบากลุ่มหนึ่งเข้าปกคลุมรอบกายเขา คล้ายกับกำลังจะพาเขาออกไป

 

สัมผัสแห่งการเป็นปฏิปักษ์อันยากจะอธิอบายเข้ารายล้อมรอบตัวกู่ฉิงซาน

 

ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็รู้สึกได้จางๆถึงแรงผลักดันที่มองไม่เห็นกำลังผลักเขาออกไปจากที่นี่

 

ระยะเวลาในการอาศัยของเขาสิ้นสุดลงแล้ว และโลกมิติอนันต์ก็กำลังจะผลักเขาออกไป

 

เสี่ยวถายได้มอบเวลาให้แก่เขาหนึ่งชั่วโมง

 

มิฉะนั้นแล้ว เขาคงไม่แม้จะกระทั่งหยั่งเท้าเข้ามาบนอาณาเขตของพื้นที่มิติอนันต์ได้

 

ท่ามกลางกลุ่มแสงที่ห่อหุ้มนี้ กู่ฉิงซานจึงหันกลับมาอย่างสงบ

 

เขามองไปยังแบรี่และกล่าวว่า “คุณกำลังจะบอกว่าผมสามารถพักอยู่ที่นี่ได้วันหนึ่งใช่ไหม”

 

“แน่นอน ฉันมีพื้นที่กว้างขวางมากพอที่จะให้นายใช้พักผ่อน”

 

แบรี่จ้องมองแสงบนร่างของกู่ฉิงซาน ก่อนที่เขาจะส่งสัญญาณมือไปทางเสี่ยวเหมียว

 

ร่างของเสี่ยวเหมี่ยวกระพริบไหว เธอปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

บังเกิดคลื่นความผันผวนพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินและหลอมรวมเข้ากับเธอ

 

“สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม”

 

“หอสูงได้รับการยืนยันแล้ว ว่าอนุญาตให้บุคคลนี้อาศัยอยู่ต่อได้อีกหนึ่งวัน”

 

เสี่ยวเหมียวตบลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานยืนนิ่ง แต่แสงบนร่างกายของเขากลับดับลง

 

ความเป็นปฏิปักษ์กับโลกใบนี้ได้หายไป

 

เขาไม่ต้องถูกส่งออกไปแล้ว

 

กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้นของตนเองและกล่าว “ผมเดินทางมาไกล ต้องขอขอบคุณทั้งสองคนจริงๆที่หยิบยื่นสถานที่พักผ่อนให้”

 

“ไม่จำต้องต้องสุภาพไป ฉันมักจะยินดีอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ทุกคนเป็นประจำอยู่แล้ว” แบรี่ตบหน้าอกตนเองและกล่าว

 

“นายอุตส่าห์มาส่งของถึงที่นี่ พวกเราไม่สามารถรีบไล่นายให้จากไปทันทีเลยได้หรอก พวกเราไม่ใช่คนแบบนั้น” เสี่ยวเหมียวกล่าว

 

“ถูกเผง”

 

แบรี่พยักหน้าเออออตาม

 

—มันเป็นมารยาทและด้วยหัวใจอันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของพวกเราล้วนๆ นายเลยได้พักผ่อนอยู่ที่นี่อีกหนึ่งวัน และแน่นอน พวกเราไม่ได้หวังอะไรอย่างอื่นเลย!

 

ใช่แล้ว ไม่ได้หวังอะไรเลยจริงๆนะ …

 

กู่ฉิงซาน “ถ้าอย่างนั้นเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณสำหรับการให้พักอาศัย ผมตัดสินใจแล้วว่าจะทำอาหารค่ำให้พวกคุณทานในคืนนี้”

 

“ไม่ ไม่ นายเป็นแขกของฉัน แล้วจะให้นายมาบริการได้ยังไง?”

 

“นั่นสิ พวกเราจะเป็นคนบริการนาย ให้ความบันเทิงแก่นายเอง”

 

พี่น้องกล่าวอย่างจริงจัง

 

กู่ฉิงซานมองไปยังท่าทีตึงเครียดของอีกฝ่าย ก็อดไม่ได้ที่จะไร้คำกล่าว

 

–พวกคุณเนี่ยนะจะให้ความบันเทิงกับฉัน  ต้องการกินฟรีล่ะไม่ว่า

 

แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่กู่ฉิงซานก็หัวเราะออกมา “พวกคุณใจดีกันถึงขนาดนี้ อย่างน้อยก็ขอให้ผมแลกเปลี่ยนโดยการทำอาหารให้พวกคุณเถอะ”

 

พี่ชายและน้องสาวเหลือบมองกัน

 

กู่ฉิงซานได้พบเจอกับคนมาหลายประเภท แต่คนที่ถูกหลอกได้ง่ายๆแบบนี้น่ะ พึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกจริงๆ

 

แต่ต้องรู้นะว่า แม้กระทั่งมอนสเตอร์เอกภพอันหายาก ก็ยังถูกล่อลวงได้อย่างง่ายดายหากเป็นเรื่องอาหาร

 

ดังนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงพวกเขา!

 

“นายอยากจะให้พวกเราช่วยเตรียมอะไรไหม?” เสี่ยวเหมียวถามด้วยรอยยิ้ม

 

“ช่วยผมจัดโต๊ะอาหารก็แล้วกัน – เพราะสิ่งที่น่าภาคภูมิใจมากที่สุดสำหรับคนปรุงก็คือ สามารถนำอาหารทั้งหมดที่ตัวเองทำ มาวางลงในโต๊ะสะอาดๆได้” กู่ฉิงซานกล่าวส่งๆ

 

เขาตบลงในถุงสัมภาระ หยิบหม้อ กระทะ และกำลังเลือกสูตรอาหาร เพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำมัน

 

“นี่ … ” เสี่ยวเหมียวเอ่ยพึมพำด้วยความลังเลใจ

 

“เอาล่ะๆ มันจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเราปฏิบัติตามเขาด้วยความเคารพนะ เพราะยังไงซะพวกเราก็ทำอาหารกันไม่เป็นจริงๆ รั้นจะช่วยมันจะเป็นการเกะกะเขาเปล่าๆ”

 

แบรี่ยิ้ม

 

กู่ฉิงซานเตรียมทุกอย่าง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในถุงสัมภาระ และคว้าจับใบหยกเอาไว้

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลายเส้นแสงตัวอักษรปรากฏขึ้นทันใด

 

“คุณได้ค้นพบอาหารวิญญาณที่เป็นผลงานชิ้นเอกของนิกายร้อยบุปผา”

 

“เพื่อให้เข้าใจถึงวิธีการปรุงอย่างสมบูรณ์ คุณจำเป็นต้องจ่าย 200 แต้มพลังวิญญาณ”

 

200 แต้มพลังวิญญาณ? มันก็ไม่ได้มากมายอะไรนี่นา

 

กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของเขา

 

ก่อนหน้านี้เพื่อจัดการกับความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุของสตรีแห่งรากษส เขาได้ใช้ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตต่อกรกับมัน และสามารถคว้าชัยชนะมาได้ในที่สุด

 

ระหว่างการต่อสู้ โดยรวมแล้วกู่ฉิงซานได้ใช้ไปมากกว่า 6900 แต้มพลังวิญญาณ

 

ส่งผลให้ในปัจจุบันนี้ เขาจึงหลงเหลือแต้มพลังวิญญาณเพียงแค่ 1300 แต้มเท่านั้น

 

“ฉันขอจ่าย 200 แต้มพลังวิญญาณเพื่อทำการเรียนรู้วิชานี้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ได้รับแต้มพลังวิญญาณแล้ว แต้มพลังวิญญาณส่วนเกิน : 1100/400”

 

“เริ่มทำการถ่ายทอดวิชา”

 

ใบหยกปลดปล่อยกระแสอันอบอุ่นออกมา มันไหลไปตามแขนของกู่ฉิงซาน และบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ

 

ทันใดนั้น ประสบการณ์และทักษะทั้งหมดในการปรุงอาหารวิญญาณชุดต่างๆของนิกายร้อยบุปผาก็ปรากฏขึ้นมา และกู่ฉิงซานก็สามารถเขาใจถึงมันได้อย่างสมบูรณ์

 

เดิมทีกู่ฉิงซานก็มีความสามารถในการปรุงอาหารกับผสมค็อกเทลที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ไม่อย่างงั้นด้วยแผงลอยบาร์บีคิวเพียงอย่างเดียว คงไม่ทำให้เขาสามารถเข้าโรงเรียนเอกชนชั้นสูงได้หรอก

 

และในตอนนี้ ด้วยการที่ตนได้รับประสบการณ์ในการปรุงอาหารวิญญาณมา ตัวเขาก็ยิ่งเหมือนกับเสือติดปีก

 

กู่ฉิงซานจัดการกับส่วนผสมลงอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ

 

เห็นแค่เพียงเขาใช้มีดไม่กี่ครั้งในการปอกเปลือกผลไม้ หั่นผัก แล้วจัดมันลงในจานอย่างเป็นระเบียบ เสิร์ฟควบคู่ไปกับน้ำสลัด

 

จากนั้นก็นำฟอยล์ที่ห่อไก่ทั้งตัวออกมา และเปิดมัน

 

กู่ฉิงซานสวมถุงมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มฉีกไก่เป็นส่วนๆ ไปวางบนจาน ตามด้วยราดซอสสูตรลับเฉพาะ ทั้งหมดเป็นอันเสร็จ

 

ถัดมาคือบะหมี่

 

กู่ฉิงซานหยิบแป้งขึ้นมา แล้วใช้ไม้นวดไถๆ ทั้งตบทั้งม้วนทั้งดึงมัน จากนั้นก็นำไปต้มลงในน้ำเดือด แล้วแช่ต่อด้วยน้ำเย็น ต่อมาก็เริ่มหั่นๆออกเป็นสามชุด ใส่ลงในสามชามที่เต็มไปด้วยน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว โรยด้วยผักดอง พริกไทย และน้ำส้มสายชู

 

….

 

กู่ฉิงซานทุ่มความรักทั้งหมดที่มีลงในจานอาหาร ส่งผลให้ทั้งสีทั้งกลิ่นของอาหารวิญญาณลอยฟุ้ง และดูน่ากินไม่น้อย

 

เสี่ยวเหมียวที่กำลังมองเขา ลอบพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

“ถ้าไม่มีประสบการณ์ในการทำครัวมาอย่างยาวนาน มันคงยากนักที่เขาจะทำแบบนี้ได้ แม้การเคลื่อนไหวของเขาดูไม่ซับซ้อน เรียบง่าย แต่ขณะเดียวกันว่องไวทีเดียว” เธอหันไปกระซิบกับแบรี่

 

“จะอะไรก็ช่างเถอะ ฉันหิวแล้ว”

 

แบรี่เอ่ยพึมพำ

 

ในอากาศ ฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร

 

พี่ชายน้องสาวเร่งไปเตรียมโต๊ะ เก้าอี้ จัดจานชามให้เรียบร้อย แล้วนั่งรอคอยอย่างร้อนใจ

 

“พี่ชาย พี่หิวมานานแค่ไหนแล้ว?” เสี่ยวเหมียวเอ่ยถามทันที

 

“ 1 เดือนกับอีก 7 วัน ไม่ใช่ว่าเธอก็เหมือนกันหรอ?” แบรี่ถาม

 

“อ้อ น้องหิวมานานแค่ 21 วันเท่านั้นเอง” เสี่ยวเหมียวเอ่ยยิ้มๆ

 

“หือ? แต่พี่จำได้ว่าพวกเรากินอาหารมื้อสุดท้ายจนหมดพร้อมกันนี่นา” แบรี่เอ่ยด้วยความประหลาดใจ

 

“พอดีว่าฉันแอบซ่อนขนมไว้อีกเล็กๆน้อยๆน่ะ” เสี่ยวเหมียวสารภาพ

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน กู่ฉิงซานก็นำจานผักมาเสิร์ฟ

 

เขาได้เลือกเหล้าขึ้นมาอีกสองสามขวด แต่ก็ไม่ได้ผสมพวกมันเข้าด้วยกันมากนัก เพราะต้องการให้คงความสดชื่นดั้งเดิมเอาไว้

 

มื้อค่ำที่เต็มไปด้วยเหล้าและอาหารแสนอร่อยถูกเตรียมพร้อมแล้ว

 

ทั้งสามชนแก้วกัน

 

“ขอบคุณสำหรับการยอมให้พักอาศัย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ไม่ต้องสุภาพเกินไปนักก็ได้ พวกฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณสำหรับมื้อค่ำอันยอดเยี่ยมฝีมือนาย” แบรี่กล่าว

 

“เชิญกินได้เลยอย่าลังเล เดี๋ยวผมจะไปเตรียมของหวานสำหรับมื้อค่ำให้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“โอเค งั้นไม่เกรงใจแล้วนะ”

 

ว่าจบ แบรี่กับน้องสาวเสี่ยวเหมียวก็เข้าสู่สภาวะผีปอบทันที

 

พวกเขากินอาหารอย่างว่องไว อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นการกินด้วยความเร็วสูงที่สุดที่พวกเขาทำมา

 

“อร่อย อร่อยโว้ย!” แบรี่ตะโกน

 

เสี่ยวเหมียวมองมายังกู่ฉิงซาน “อันที่จริงแล้ว เป็นพวกเราที่คิดผิดไปเอง ด้วยสกิลการทำอาหารของนาย นายย่อมสามารถท่องไปในโลกทั้งมวลได้อย่างไม่มีปัญหาเลย”

 

“แต่บางครั้งก็ต้องพบเจอกับเผ่ามารที่ดุร้ายเกินไปอยู่เหมือนกัน บางทีมันก็เลยผ่านไปไม่ได้” กู่ฉิงซานกล่าวตรงๆ

 

เสี่ยวเหมียวยิ้มว่าตนเข้าใจอย่างชัดเจน

 

อีกฝ่ายกล่าวอย่างซื่อสัตย์ และไม่คิดจะปกปิดถึงความแข็งแกร่งที่อยู่ในะระดับต่ำของตนเอง มันทำให้เธอยิ่งรู้สึกสบายใจมากขึ้นในเวลาที่อยู่กับเขา

 

หลังจากมื้อเย็นจบลง

 

สองพี่น้องก็ยังไม่สาแก่ใจ

 

“อ่าาา ฉันไม่ได้กินอาหารดีๆแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วกันนะ” แบรี่ตบๆท้องด้วยอารมณ์อันหลากหลาย

 

ทว่าเสี่ยวเหมียวดูเหมือนจะถูกดึงดูดโดยบางสิ่ง เธอเบนสายตามองออกไปยังทิศทางหนึ่งในความว่างเปล่า

 

“มีอะไรผิดปกติงั้นหรอ?” แบรี่เอ่ยถาม

 

“มีบางอย่างที่อัดแน่นไปด้วยพลังอำนาจกำลังใกล้เข้ามาจากชั้นโลกทางฝั่งซ้ายของพวกเรา”

 

“เป็นพวกเรียกเก็บหนี้รึเปล่า? ปิดช่องว่างมิติเลย อย่าปล่อยให้มันเข้ามา” แบรี่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

 

เสี่ยวเหมียวมองไปยังมิติอันมืดมิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา

 

“ไม่ใช่เจ้าหนี้หรอก ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นปีศาจที่มีชื่อเสียงจากแดนชำระล้างน่ะ ครั้งหนึ่งมันเคยได้ทำลายล้างไปกว่า 3000 อารยธรรมโลก และตอนนี้มันก็กำลังจะเข้าเชื่อมต่อกับโลกของสมาคม” เธอกล่าว

 

“โอ๊ะโอ? น่าสนุกดีนี่ มันไม่ไว้หน้าฉันถึงขนาดนี้เลยหรอ?” แบรี่ชักจะเริ่มสนใจ

 

“เปล่าหรอก ฉันคิดว่าบางทีมันอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าเป็นพี่ เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังไล่ตามมันมาอยู่ด้วยน่ะ”

 

“ดูเหมือนว่ามันกำลังตื่นตระหนก เลยเลือกหนีมาแบบสุ่มๆ”

 

“พี่รีบตัดสินใจด้วยนะ เพราะเหมือนกับว่าพวกที่ไล่ตามปีศาจตัวนี้มาจะเป็นสหายเก่าของพวกเรา” เสี่ยวเหมียวเตือน

 

แบรี่กระแทกสองหมัดเข้าด้วยกัน และกล่าวออกมา “ไม่จำเป็นต้องคิดให้ปวดหัวเลย ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว – แค่ออกกำลังกายเพื่อย่อยอาหารคงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

 

เมื่อเห็นว่าเขาตัดสินใจแบบนี้ เสี่ยวเหมียวก็หยิบสมุดขึ้นมา และเริ่มขีดเขียนมัน

 

มือของเธอขยับไหวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันในปากก็เอ่ยพึมพำไปด้วย

 

“จากแดนชำระล้างในชั้นที่ห้า”

 

“มีภูมิปัญญา ชั่วร้าย แสนเจ้าเล่ห์”

 

“มีผิวสีแดง หูยาว ดวงตาตั้งฉากแหลมสูง”

 

“เชี่ยวชาญในการใช้อาวุธและเทคนิคมนตราแห่งแดนชำระล้าง มีฝีมือระดับปรมาจารย์”

 

“มีความสามารถสุดแกร่งในด้านการซ่อนตัวและลอบสังหาร”

 

“ฉายาในโลกทั้งมวลก็คือ : เรือพิฆาต”

 

เมื่อเขียนถึงจุดนี้ ตลอดทั้งแผ่นกระดาษก็เริ่มเปล่งรังสีแสง

 

“เสร็จแล้ว!” เสี่ยวเหมียวร้องออกมา

 

“งั้นก็ส่งมันเข้ามาในสมาคมได้เลย” แบรี่กล่าว พร้อมหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในสมาคม

 

เสี่ยวเหมียวเขียนประโยคสุดท้ายลงบนกระดาษ

 

“เจ้าปีศาจตัวนี้จงปรากฏขึ้นในสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม!”

 

แขว่ก!

 

กระดาษทั้งแผ่นบังเกิดเสียงดังฟังชัดแล้วมันก็หายวับไป

 

ในขณะเดียวกัน ก็บังเกิดเสียงร้องคำรามขึ้นภายในสมาคม

 

หลังจากเกิดเสียงคำรามดังขึ้นแล้ว ก็ตามมาด้วยพูดที่ฟังดูแข็งกร้าวดังขึ้น “บัดซบ ที่นี่มันที่ไหน? แล้วเอ็งเป็นใครกัน?”

 

อีกเสียงที่ฟังดูปิติยินดีของแบรี่ได้ดังขึ้น “ไอ้แมลงเหม็น ฟังให้ดีนะ ฉันคือกำปั้นเหล็กแบรี่ยังไงล่ะ!”

 

“แบรี่ แบรี่ไหนวะ?”

 

“อ่า ดูเหมือนแกจะไม่รู้จักฉัน”

 

“เอ็งนี่มันท่าจะประสาท ข้ากำลังรีบอยู่ อย่ามายุ่งกับข้าจะดีกว่า”

 

“ใจเย็นสิ อย่าพึ่งรีบไป”

 

“ทำไม?”

 

“เพราะเราต้องมาทำความรู้จักกันก่อน”

 

ปงงงงง!

 

บังเกิดเสียงสนั่น สั่นสะเทือนอย่างแรงออกมาจากภายในคลับ

 

อย่างไรก็ตาม แม้เสียงจะสะท้านสะเทือนถึงขนาดนี้ แต่สมาคมกลับยังปลอดภัย ไม่ว่าจะอิฐหรือกระเบื้องก็ไม่มีหลุดหล่นเลย

 

กู่ฉิงซานยืนฟังอย่างเงียบๆ

 

การต่อสู้เริ่มจะรุนแรงขึ้น และไม่มีวี่แววของสัญญาณว่าจะหยุดลง

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ปีศาจตัวนี้ … คุณรู้ถึงความแข็งแกร่งของมันไหม”

 

“พวกเราจะรู้เอง เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง”

 

เสี่ยวเหมียวค่อยๆยกชามขึ้นมาเทเข้าปาก และตอบคำถามแบบคลุมเครือแก่กู่ฉิงซาน

 

อาหารของวันนี้อร่อยจริงๆ ช่วงเวลาที่ไม่มีใครมาแย่งนี่แหละ ฉันจะต้องกินเพิ่มอีกชาม!

 

กู่ฉิงซานปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของเขาและเอ่ยถาม “นี่คุณไม่กลัวว่าปีศาจตัวนั้นมันจะแข็งแกร่งเกินไป แล้วแบรี่จะตกอยู่ในอันตรายเลยหรอ?”

 

เสี่ยวเหมียวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เมื่อไหร่ที่เขาสู้ เขาจะไม่ตาย แล้วอีกอย่างฉันก็กำลังควบคุมมิติของสมาคมอยู่ ถ้าสถานการณ์ต่อสู้มันชักจะไม่เข้าท่า ฉันก็จะสามารถโยนเจ้าปีศาจตัวนี้ออกจากโลก 300 ล้านชั้นได้ในทันที”

 

กู่ฉิงซาน “ … ”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.496 – ยังไม่ได้กินมื้อค่ำ

 

เสี่ยวถายได้จากไปแล้ว

 

หน้าประตูของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม หลงเหลือเพียง 3 คนที่ยังนั่งดื่มอยู่

 

บนโต๊ะเล็กๆที่เต็มไปด้วยปากกา สมุดและหนังสือของเสี่ยวเหมียว ได้ถูกย้ายออกไปและแทนที่ด้วยจานชามหลายใบแทน

 

แบรี่ เสี่ยวเหมียว กับกู่ฉิงซานนั่งอยู่รอบโต๊ะ

 

กู่ฉิงซานก้มลงดูเวลา

 

ยังเหลืออีก 6.30 นาที

 

“เซอร์ไพรส์จริงๆ ฉันไม่คิดเลยว่านอกจากเหล้าแล้ว นายยังเตรียมกับแกล้มที่เข้ากับมันมาด้วย” แบรี่เอ่ยด้วยความตื่นเต้น

 

เขาหยิบจานใบหนึ่งขึ้นมา และเทอาหารในจานลงเข้าปาก

 

พริบตาเดียว ทั้งจานก็ว่างเปล่า

 

“หืม? ดูเหมือนว่าพี่ก็จะรู้วิธีเพิ่มความเพลิดเพลินในการดื่มกินเหมือนกันสินะ”  เสี่ยวเหมียวกล่าว

 

ว่าจบ เธอก็หยิบจานขึ้นมา แล้วเทอาหารทั้งหมดในจานลงในปากของเธอเช่นกัน

 

แล้วจานก็ว่างเปล่า

 

เหงื่อเย็นเริ่มผุดออกมาบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน

 

—ทั้งสองคนนี้ ไม่ได้กินอะไรมานานแค่ไหนแล้วกันนะ?

 

แบรี่หยิบจอกขึ้นมา แล้วดื่มมันรวดเดียวในหนึ่งอึก

 

“เฮ้เจ้าหนู … ถ้าไม่ใช่เพราะเรือของสมาคมผู้พิทักษ์ น่ากลัวว่านายคงไม่มีทางมาหาฉันได้แน่ๆ ว่าแต่นายมาทำอะไรในโลกทั้งมวลนี้กัน” แบรี่ขมวดคิ้วถาม

 

ถึงแม้ว่ากู่ฉิงซานจะถูกอำพรางขอบเขตพื้นฐานวรยุทธด้วยม้วนคัมภีร์แล้วก็ตามที แต่อีกฝ่ายเป็นใคร? เขาคือแบรี่นะ! แบรี่สามารถมองผ่านม้วนคัมภีร์ แล้วเห็นถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของกู่ฉิงซานได้อย่างง่ายดาย

 

“ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ผมชื่อกู่ฉิงซาน เป็นบาร์เทนเดอร์” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แน่นอน ที่เขาแนะนำตัวออกไปแบบนี้ เพราะตนจดจำได้ว่าในรูปปั้นทองคำ แบรี่น่ะถือขวดเหล้าอยู่

 

พอได้ยิน ดวงตาของแบรี่ก็สว่างขึ้นทันใด เขาแสร้งพูดอย่างจงใจ “ค็อกเทลงั้นหรอ? ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย – ไหนขอลองซักแก้วหน่อยจะได้ไหม? รู้รึเปล่าว่าไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะเรียกตัวเองว่าบาร์เทนเดอร์ได้”

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบสุราวิญญาณหลายชนิดออกมา จากนั้นก็ผสมมันด้วยฝีมือขั้นสูงสุดของตนเอง

 

“ได้แล้ว ลองชิมดูสิ” เขากล่าวพลางยื่นแก้วให้อีกฝ่าย

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวมองหน้ากันวูบหนึ่ง

 

ทักษะการผสมเหล้าของเจ้าเด็กนี่ มันดูเชี่ยวชาญไม่น้อยเลย แถมยังน่าตื่นตาตื่นใจอีก พริบตาเดียวผสมเสร็จแล้ว

 

จ้องมองไปยังแก้วค็อกเทลตรงหน้าอีกครั้ง พบว่าภายในแก้วถูกแบ่งออกเป็นหลายชั้น และในแต่ละชั้นก็จะมีสีที่แตกต่างกันออกไป

 

ฝีมือนี่ … มันระดับมืออาชีพชัดๆ

 

“ค็อกเทลนี่ดูดีไม่เลวเลย งั้นฉันขอลอง … ”

 

เสี่ยวเหมียวกำลังเอื้อมมือไปคว้าแก้ว

 

แต่แบรี่ไวกว่า เขาฉกมันจากมือของเสี่ยวเหมี่ยว และเร่งยก กระดกขึ้นดื่มเองทันที

 

“พี่ชาย ค็อกเทลแบบนี้มันเหมาะที่จะให้ผู้หญิงดื่มนะ!” เสี่ยวเหมียวทุบหลังเขา ปากเอ่ยกล่าวด้วยความโกรธ

 

และพละกำลังของเธอดูเหมือนจะไม่น้อยเลย เพราะทันทีที่แบรี่ถูกทุบ เขาก็เกือบจะสำลักค็อกเทลออกมา

 

แต่ด้วยความเสียดาย เจ้าตัวจึงฝืนทน เหล้าบางส่วนที่ทะลักออกมาจากจมูกถูกสูดกลับเข้ามา และในที่สุดก็สามารถกลืนค็อกเทลทั้งหมดลงไปได้ไม่มีหลงเหลือ

 

“ฟู่วว” แบรี่พ่นลมหายใจยาว

 

‘ค็อกเทลนี่มันแรงดีจริงๆ’

 

กู่ฉิงซานมองไปยังท่าทีหดหู่ของเสี่ยวเหมี่ยว เขาจึงเริ่มทำอีกแก้วให้เธอ

 

เฝ้ารอจนกระทั่งเสี่ยวเหมียวดื่มเสร็จ กู่ฉิงซานจึงเอ่ยถาม “เป็นยังไงบ้าง?”

 

“ก็งั้นๆ”

 

“ถึงจะไม่เต็มปาก แต่ก็บอกได้ว่าผ่านล่ะนะ”

 

พี่ชายกับน้องสาวเก็บปากไว้ แสร้งทำเป็นประเมินอีกฝ่าย

 

“ถึงจะไม่เต็มปาก แต่ก็บอกได้ว่านายเป็นบาร์เทนเดอร์จริงๆ” เสี่ยวเหมียวบุ้ยหน้า เอียงศีรษะ

 

“บาร์เทนเดอร์เป็นงานอดิเรกของผมน่ะ อันที่จริงแล้วผมใช้ทักษะในการทำอาหารเพื่อหาเลี้ยงชีพต่างหาก” กู่ฉิงซานกล่าว

 

คราวนี้ พี่ชายและน้องสาวเบิกตาโพลง หันไปสบตามองกัน

 

และแน่นอน ว่าทั้งสองย่อมเข้าใจถึงความหมายในสายตาของอีกฝ่าย

 

“เจ้าหนู นับว่านายโชคดีจริงๆ” แบรี่เอ่ยออกมาอย่างภาคภูมิใจ

 

“ผมน่ะเหรอโชคดี?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ

 

“รู้ไหมว่าการรับรสของแต่ละโลกมันค่อนข้างที่จะแตกต่างกัน ดังนั้น การที่นายจะทำอาหารให้ทุกสิ่งมีชีวิตถูกใจ มันเป็นเรื่องยากเย็นมากจริงๆ ยังไงก็ตาม ฉันน่ะเป็นนักชิมตัวยง! สำหรับในเรื่องการประเมินความอร่อยของอาหารประเภทต่างๆน่ะจัดว่าเชี่ยวชาญเลยล่ะ!” แบรี่ยกสองแขนขึ้นกอดอก

 

“นี่เรื่องจริงนะ นายสามารถเอาผลงานของนายออกมาได้เลย แล้วพวกเราจะทำการประเมินมันให้นายฟรีๆเอง” เสี่ยวเหมียวเอ่ยเสริม

 

กู่ฉิงซานไร้คำจะกล่าวไปสักพัก

 

—การรับรสของแต่ละโลกน่ะแตกต่างกัน มันจึงยากที่จะทำอาหารให้ทั้งหมดถูกใจได้ และเขาพึ่งจะเคยเดินทางไปได้ไม่กี่โลกก็จริง แต่ในทุกๆสิ่งมีชีวิตที่พบเจอ ความถูกปากน่ะมันแตกต่างกันแค่นิดหน่อยเท่านั้น เมื่อมีอาหารดีๆอยู่ตรงหน้า สุดท้ายก็กินกันได้ และรสชาติไม่ได้แย่เกินไปอยู่ดี

 

บักห่าสองพี่น้องนี่ … คิดว่าฉันโง่รึไง?

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตามองลงไปบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

เหลืออีก 3 นาที

 

มันสายเกินกว่าที่จะทำอาหารเองแล้ว

 

“นายมีอาหารจานเก่งเป็นของตัวเองรึเปล่า?” เสี่ยวเหมียวเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง ทว่ากลับลอบกลืนน้ำลายอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานจึงนำเอาสองอาหารวิญญาณออกมาโดยตรง

 

นี่คืออาหารที่ฉินเซี่ยวโหลวใช้เวลาหมักมันทั้งวันคืน  เป็นอาหารวิญญาณที่ต้องใช้ขั้นตอนในการปรุงอย่างประณีต ทุ่มเวลาและความคิดเป็นอย่างมากเพื่อให้ได้อาหารวิญญาณจานนี้มา

 

ในเวลานั้นสงครามพึ่งจะเริ่มต้นขึ้น ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวว่าเขาเตรียมมันไว้ให้สำหรับวันเกิดของกู่ฉิงซาน และหากในกรณีที่คนในนิกายยังไม่อยู่พร้อมกัน กู่ฉิงซานห้ามแอบกินก่อนคนเดียวเป็นอันขาด

 

ฉินเซี่ยวโหลวเชี่ยวชาญทั้งหกศิลป์ แต่ที่เชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือการปรุงอาหารวิญญาณ ในนิกายร้อยบุปผา ต่อให้ผู้คนยุ่งมากสักเพียงใด แต่ก็ไม่เคยจะพลาดมื้ออาหารฝีมือของเขาเลย

 

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่านี่เป็นอาหารวิญญาณที่มีระดับสูงสุดที่กู่ฉิงซานนำติดตัวมา

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวจ้องค้างมาที่สองอาหารวิญญาณ นัยตาเปล่งประกาย แลคล้ายสองหมาป่าโหย

 

“พวกคุณลองชิมดูสิ”

 

กู่ฉิงซานยื่นอาหารวิญญาณให้แก่ทั้งสอง

 

แบรี่ที่กำลังถือจาน กล่าวด้วยความเคารพลึก “ครั้งหนึ่งฉันเคยได้เดินทางไปตลอดทั้งโลกนับล้านๆใบ จึงมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในด้านอาหาร แต่ในฐานะที่พบกันเป็นครั้งแรก คราวนี้ฉันจะชิมให้นายฟรีๆแบบไม่คิดตังค์ก็แล้วกัน”

 

เสี่ยวเหมียวพยักหน้าเห็นด้วย

 

‘ … เออ รบกวนด้วยแล้วกัน ’ กู่ฉิงซานคิดในใจอย่างเงียบๆ

 

แบรี่เริ่มลามเลียลงบนจานของเขา

 

ขณะที่เสี่ยวเหมียวแม้การเคลื่อนไหวของเธอจะดูสุภาพมาก แต่อาหารในจานกลับทยอยหมดลงอย่างรวดเร็ว เธอไวไม่แพ้แบรี่เลย

 

เหมือนกับว่าทั้งสองคนจะไม่ได้กินอะไรกันมานานมากแล้ว

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากนี้ เอ่ยถามกับแบรี่อ้อมๆว่า “ด้วยความแข็งแกร่งของคุณ ก็น่าจะไปทำอะไรบางอย่างแลกเปลี่ยนเป็นเงินรางวัลแล้วนำไปซื้ออาหารก็ได้นี่ มันไม่น่าจะยากเกินไปนะผมว่า นอกจากนี้ยังได้ยินว่าคุณเป็นหนี้จำนวนมากด้วยนี่ใช่ไหม?”

 

เสี่ยวเหมียวเงยหน้าขวับอย่างรวดเร็ว

 

เธออธิบายอย่างจริงจัง “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาการบาดเจ็บที่ขาของพี่ชายฉันแย่ลงมาก มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้”

 

กู่ฉิงซาน “แต่คุณได้เคยช่วยโลกเอาไว้มากมาย ดังนั้นอย่างน้อยก็น่าจะออกไปกินอาหารได้ไม่ใช่หรอ”

 

“นั่นก็ทำไม่ได้ เพราะพี่ชายฉันมีศัตรูอยู่มากมาย มันอันตรายเกินไปที่จะออกไปข้างนอก” เสี่ยวเหมียวกล่าว

 

แบรี่พยักหน้าสนับสนุน “ใช่! ไอ้กร๊วกบางคนมันเก่งมากจริงๆ และจะต้องเป็นตัวฉันในสภาพสมบูรณ์พร้อมเท่านั้น ถึงจะชนะมันได้”

 

เขาตบลงบนขาของตัวเองแล้วยิ้ม “ต้องขอบคุณดอกไม้ภูติ นับจากนี้ไป หากได้มีเวลาพักมากพอ ฉันก็จะสามารถฟื้นฟูสภาพตัวเองให้กลับมาสมบูรณ์ได้ในที่สุด”

 

เสี่ยวเหมียวเผยถึงร่องรอยของความสุข ปากอ้าตะโกนออกมาว่า “ขาเป๋แบรี่ จะไม่เป็นไอ้เป๋อีกต่อไป!”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว รีบกินมันต่อเถอะ”

 

ทั้งสองผงกหัว และเริ่มเพลิดเพลินไปกับอาหารวิญญาณ

 

เมื่อเห็นว่าพวกเขากินจนหมด และกำลังเลียคราบในจานอยู่ กู่ฉิงซานก็เอ่ยถาม “รสชาติเป็นยังไงบ้าง?”

 

“ก็งั้นๆ”

 

“ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปาก แต่ก็คงผ่านล่ะนะ”

 

ทั้งสองวางจานลง และเริ่มทำการประเมิน

 

‘อ่าาา ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว แค่นี้มันไม่เพียงพอหรอก’

 

—ยังมีอย่างอื่นให้กินอีกไหม?

 

สองพี่น้องเหลือบมองกันและกัน แน่นอน พวกเขาเข้าใจถึงความนัยในแววตาของอีกฝ่าย

 

พวกเขาเริ่มที่จะคิดเกี่ยวกับวิธีการว่าจะทำอย่างไรดี ให้กู่ฉิงซานนำอาหารวิญญาณออกมาอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

เหลือเวลาอีก 40 วินาที

 

“เอาล่ะ นี่ก็ถึงคราวต้องบอกลากันแล้ว” กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้นและเตรียมเดินจากไป

 

“นั่นนายกำลังจะไปไหน?” แบรี่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“ก็ร่อนเร่ไปท่ามกลางโลกทั้งมวล”

 

“ร่อนเร่งั้นหรอ? ด้วยความแข็งแกร่งของนายเนี่ยนะ? ไปได้ไม่นานคงถูกฆ่าตายแน่นอน” แบรี่ประชด

 

“ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องท่องโลกต่อไปอยู่ดี เพื่อดูว่าอาหารกับเหล้าในแต่ละโลกนั้นเป็นอย่างไร ไหนจะเรื่องวัตถุดิบที่มีเฉพาะท้องถิ่นอีก” กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่หันกลับมา

 

แบรี่เริ่มขมวดคิ้ว ตกลงสู่ห้วงความคิด

 

“พี่ชาย พวกเรายังไม่ได้กินของว่างตอนดึกเลยนะ” เสี่ยวเหมียวพูดเบาๆ

 

“แต่เราเป็นหนี้มากเกินไป ถ้าลากเขาให้มาอยู่กับสมาคม เขาก็จะถูกดึงดูดให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย” แบรี่กระซิบ

 

“งั้นก็ปล่อยให้เขาอยู่ต่ออีกสักวันเป็นไง ถ้าแบบนั้นเขาก็จะไม่ใช่คนของเรา แล้วพวกเจ้าหนี้ก็คงจะไม่ทำอะไรเขา” เสี่ยวเหมียวแนะนำ

 

หากอยู่ต่อเพิ่มขึ้นอีกสักหนึ่งวัน นั่นหมายถึงการได้เพลิดเพลินไปกับอาหารแสนอร่อยขึ้นอีกวันหนึ่ง

 

-แถมยังมีเหล้าดีๆให้ดื่มอีก

 

แบรี่เลิกลังเลใจทันที

 

“รอก่อน” เขาตะโกน

 

เหลือเวลาอีก 6 วินาที

 

เห็นแค่เพียงฝีเท้าของกู่ฉิงซานที่ไวขึ้นเล็กน้อย เสี่ยวเหมียวก็เร่งดึงชายเสื้อของแบรี่อย่างแรง

 

แบรี่ร้องตะโกนอย่างรวดเร็ว “ฉันจะบอกว่าวันนี้มันดึกเกินไปแล้ว นายพักผ่อนอยู่ที่นี่สักวันเถอะ!”

 

เวลาลดลงเหลือ 0

 

พร้อมกับบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยที่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

 

“คุณได้รับอนุญาตให้อยู่ในโลกมิติอนันต์”

 

“คุณบรรลุภารกิจแห่งโชคชะตาแล้ว”

 

“คุณได้รับรางวัลสำหรับภารกิจแห่งโชคชะตา : ความลับ”

 

“คุณสามารถเปิดดูความลับนี้ได้ตลอดเวลา แต่อย่างน้อยโปรดเลือกเวลาให้เหมาะสมหากคิดจะสื่อสารกับระบบ”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.495 – คำอำลา

 

กู่ฉิงซานทำตามที่เสี่ยวถายร้องขอ แต่ในหัวใจกลับบังเกิดคลื่นระลอกใหญ่

 

เขามองเสี่ยวถายด้วยห้วงสติและอารมณ์ที่แปรปรวนเล็กน้อย

 

เสี่ยวถายดูจะมีความสุขมาก

 

เพราะในที่สุดเธอก็ได้พบกับแบรี่อีกครั้งเสียที

 

แต่ทั้งสองคนคงจะลืมเลือนเรื่องหนึ่งไป

 

แบรี่น่ะ

 

มิใช่คนที่จะปิดบังอะไรได้ง่ายๆ

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการส่งสายตาลับๆ แต่แบรี่ก็สามารถตรวจพบถึงการกระทำดังกล่าวได้ในทันที

 

“อะไร? มีเรื่องอะไรอย่างงั้นหรอ?”

 

แบรี่เอ่ยถาม

 

เขามองตามสายตาของเสี่ยวถายไปยังกู่ฉิงซาน ก่อนจะสลับกลับมาดูเสี่ยวถายอีกครั้ง

 

สองคนนี้กำลังส่งสัญญาณอะไรให้กันงั้นหรอ?

 

บังเกิดร่องรอยของความสงสัยขึ้นในจิตใจของแบรี่

 

เสี่ยวถายดูจะเป็นกังวล

 

คล้ายกับว่าเธอพยายามปิดซ่อนถึงความรู้สึกของตัวเองอยู่

 

และความกังวลของเธอก็ถูกจับได้ในทันทีโดยแบรี่

 

เวลานี้ แม้กระทั่งเสี่ยวเหมียวก็ยังสังเกตเห็นได้ว่าการแสดงออกทางสีหน้าของเธอว่ามันผิดปกติไปเล็กน้อย

 

“แน่นอน เธอยังมีบางอย่างที่ไม่ได้บอก และมันก็เป็นเรื่องสำคัญมากอีกด้วย”

 

เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้น

 

ไม่นะ!

 

อย่าพูดมันออกไป!

 

เสี่ยวถายจิกริมฝีปาก สายตามองไปยังกู่ฉิงซาน ในหัวใจของเธออดไม่ได้ที่จะร่ำร้อง

 

แบรี่กับเสี่ยวเหมียวหันมามองกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานมิได้เลี่ยงหลบสายตาของแบรี่

 

เมื่อเผชิญกับสายตาของคนทั้งหลาย กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระและหยิบเหล้าขวดหนึ่งขึ้นมา

 

-เขาย้อนนึกไปถึงรูปปั้นทองคำ

 

มันไม่เพียงใส่แค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวเร่งรีบออกไปช่วยโลกเท่านั้น แต่ในมือของแบรี่ยังถือขวดเหล้าเอาไว้อีกด้วย

 

ดังนั้น การจะจัดการกับสถานการณ์ในตอนนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

 

ขณะที่ความตึงเครียดของเสี่ยวถายเริ่มพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กู่ฉิงซานก็ยกขวดเหล้าไปให้แบรี่

 

“เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เสี่ยวถายเลยฝากให้ผมนำสุรามาให้”

 

กูฉิงซานกล่าว “แต่ด้วยความรีบร้อย เสี่ยวถายจึงไม่รู้ว่าควรจะซื้อสุราแบบไหนดี – อันที่จริงแล้วเธอไม่รู้ว่าสุราแบบไหนถึงจะถูกปากคุณ”

 

ร่างของแบรี่แข็งค้างไปครู่หนึ่ง

 

เขามองดูขวดเหล้า พร้อมกับเสียงกลืนน้ำลายดังเอิ๊ก ในลำคอของเขา

 

“เสี่ยวถายมีน้ำใจจัง เธอยังจำได้สินะว่าพี่ชายของฉันชอบดื่มน่ะ”

 

เสี่ยวเหมียวยิ้มออกมา “ช่วงเวลาหายากที่ได้กลับมารวมตัวกันแบบนี้ มีเหล้าสักขวดมันคงจะดีกว่าจริงๆ”

 

“อะฮ่าฮ่าฮ่า เสี่ยวถาย เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก” แบรี่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ตราบใดที่มันเป็นเหล้าน่ะ จะถูกจะแพงฉันก็ชอบมันทั้งนั้นแหละ!”

 

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของแบรี่ ใบหน้าของเสี่ยวถายก็เริ่มกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานนำจอกหลายใบออกมา และเริ่มรินมันให้แบรี่กับเสี่ยวเหมียว

 

“ให้หนูดื่มด้วยจะได้ไหม” เสี่ยวถายเอ่ยถาม

 

“เอาสิ จะดื่มก็ดื่ม เธออายุเกิน18ปีแล้วนี่” แบรี่กล่าว

 

“ตั้งแต่เมื่อพันกว่าปีก่อนแล้ว ลุงแบรี่น่ะ ไม่เคยยอมให้หนูดื่มเลย” เสี่ยวถายพูดด้วยสีหน้าโกรธๆ

 

แบรี่ยิ้มแล้วยกจอกให้กับเธอ

 

เสี่ยวเหมียวยกจอกหันไปทางกู่ฉิงซาน “กว่านายจะนำของมีค่าแบบนี้มาส่งได้ มันคงจะไม่ง่ายเลยสินะ”

 

“ก็ไม่ยากไปกว่าที่คิดหรอก” กู่ฉิงซานยกจอกขึ้นชนกับอีกฝ่าย

 

“พี่สาวเสี่ยวเหมียว ขอบคุณสำหรับการดูแลเสมอมานะ” เสี่ยวถายยกจอกไปทางเสี่ยวเหมียวบ้าง

 

“ฉันยังจำในตอนที่ฉันตีก้นเธอได้อยู่เลย” เสี่ยวเหมียวกล่าว

 

“นั่นมันเป็นเพราะหนูไม่เชื่อฟัง แล้วฉีกนิยายที่พี่เขียนไว้ต่างหากล่ะ” เสี่ยวถายยิ้มน้อยๆ

 

…..

 

ทั้งหมดดื่มเหล้า และเริ่มพูดคุยถึงเรื่องในครั้งอดีต

 

ทุกคนดูจะมีความสุขมาก

 

ระหว่างสนทนา เหล้าในขวดก็ลดฮวบๆลงอย่างรวดเร็ว

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด แต่จู่ๆก็เกิดประกายแสงขึ้น

 

กู่ฉิงซานมองไปที่มัน

 

เห็นแค่เพียงร่างของเสี่ยวถายเริ่มจะเลือนลาง กลายเป็นเพียงภาพลวงตา

 

ผลของเทคนิคมนตรา กำลังจะจบลงแล้ว

 

เสี่ยวถายก้มลงมองร่างกายของเธอ และวางจอกเหล้าลงด้วยความเสียดาย

 

เธอหันไปพยักหน้าให้กับกู่ฉิงซาน

 

“ขอบคุณนะ นี่เป็นรางวัลสำหรับนายที่ช่วยฉันส่งของ” เธอกล่าว

 

พร้อมกับคำพูดของเธอ ม้วนคัมภีร์ก็ค่อยๆตกลงมาเบาๆเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

“อ๊ะ ไม่จำเป็นหรอก มันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย” กู่ฉิงซานรีบปฏิเสธไป

 

ก่อนหน้านี้ เสี่ยวถายได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงแลกเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆกับเธอ โดยการนำดอกไม้คริสตัลมามอบให้กับแบรี่

 

เท่านี้ทั้งสองก็นับว่าหมดหนี้กันแล้ว

 

ทันใดนั้นเสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 

“ไม่หรอก ฉันยังอยากจะขอบคุณอยู่น่ะ เพราะในที่สุดฉันก็ได้พบกับเขาซะที สามารถเห็นเขามีความสุขอีกครั้ง นี่นับว่าเป็นจุดจบที่สมบูรณ์แบบแล้วสำหรับฉัน”

 

“คุณดูจะสนใจเขามากเลยนะ”

 

“เขาเป็นนักสู้ และเขาเป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้ ฉันเลยไม่สามารถบอกให้เขารู้ได้ว่าฉันเปลี่ยนรูปเป็นมารไปแล้ว เพราะนั่นมันจะกระทบกระเทือนจิตใจของเขาอย่างร้าวลึก”

 

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างระมัดระวัง

 

เสี่ยวถายยกจอกในมือ มองไปทางกู่ฉิงซาน

 

“จอกสุดท้ายแล้ว พวกเรามาดื่มกันเถอะ” เธอยิ้ม

 

“ตกลง”

 

กู่ฉิงซานยกขึ้นซดหมดจอก ขณะที่ในหัวใจของเขาราวกับปรากฏถึงบางสิ่งที่ยากจะอธิบาย

 

ท้ายที่สุดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะส่งความคิดออกมาว่า “ฟังนะ ผมมีบางอย่างที่จะต้องบอกกับคุณ”

 

เสี่ยวถายที่กำลังจิบเหล้าเบาๆ แสดงท่าทีคล้ายกำลังตั้งใจฟัง

 

กู่ฉิงซานส่งความคิดอย่างต่อเนื่อง “บางคนอาจจะใส่ใจเกี่ยวกับอัตลักษณ์ ใส่ใจเรื่องการแข่งขัน ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น สำหรับบางคน เรื่องพวกนี้มันสำคัญก็จริง ยังไงก็ตามนะเสี่ยวถาย คุณก็รู้ดีว่าฉันคิดยังไง ฉันคิดว่าต่อให้โลกทั้งหมดถูกทำลาย ในหัวใจของฉันก็รู้ยังคงสึกกตัญญูต่อคนที่เคยได้ช่วยชีวิตเอาไว้ ไม่ว่าร่างกายของคุณจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม แต่สำหรับฉัน คุณก็ยังไม่ใช่มารอยู่ดี”

 

“ฉันหวังว่าสักวันหนึ่ง คุณจะมาหาเขา และบอกเขาด้วยตัวเอง ว่าแม้กายจะเปลี่ยนไป แต่หัวใจของคุณไม่เคยเปลี่ยนแปลง คุณยังคงเป็นเด็กสาวตัวน้อยๆที่เคยถูกเขาช่วยชีวิตเอาไว้เสมอมา”

 

เสี่ยวถายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกจอกขึ้นดื่มจนหมด

 

“ขอบคุณ”

 

เธอเอ่ยเพียงสั้นๆ และกวักมือออกไป ให้ม้วนคัมภีร์ลอยกลับมา

 

แล้วเธอก็เดินไปด้านหน้าของกู่ฉิงซานด้วยตัวเอง ก่อนจะประทับฝ่ามือลงเบาๆบนหน้าอกของเขา

 

บังเกิดแสงสลัวๆขึ้น พร้อมกับสัญลักษณ์พิเศษที่ผลุบเข้าไปในร่างกายของกู่ฉิงซาน

 

“ถือซะว่านี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆ”

 

กล่าวจบ เธอก็หันหลังเดินกลับไป

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลายบรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นทันที

 

“คุณได้เชื่อมต่อเข้ากับความลี้ลับบางอย่าง”

 

“การเชื่อมต่อนี้จะไม่ได้เพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้กับคุณ แต่มันจะสามารถช่วยคุณได้ครั้งหนึ่งในสถานการณ์วิกฤต”

 

กู่ฉิงซานสัมผัสถึงมัน

 

ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ด้วยการรับรู้ของตนเอง เขาสามารถบอกได้ว่าตนกำลังเชื่อมต่อกับบางสิ่งที่ดูคลุมเครือ

 

มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่อาจทำความเข้าใจได้

 

เสี่ยวถายหันมาสบตากับแบรี่อีกครั้ง และโค้งกายแสดงความขอบคุณอย่างจริงจัง

 

“ลุงแบรี่ หนูไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว หนูต้องไปแล้ว” เธอกล่าวเบาๆ

 

“อ่าไปเถอะ คราวหน้าอย่าลืมพาลูกมาด้วยล่ะ ฉันจะรอต้อนรับเธออยู่ที่นี่เสมอ”

 

แบรี่ลูบหัวของอีกฝ่าย

 

เสี่ยวถายเผยรอยยิ้มแย้ม แสดงออกถึงความไม่ยินยอมที่จะไปจากแบรี่

 

ทว่าแสงที่ควบแน่นอยู่บนร่างของเธอกลับพังทลายลง สุดท้ายก็แยกตัวออกจากกัน แปรสภาพกลายเป็นจุดแสงเล็กๆ พัดปลิวหายไปกับสายลม

 

การอำลาได้จบลงแล้ว

 

เสี่ยวถายหายไปอย่างสมบูรณ์

 

และมีเพียงกู่ฉิงซานเท่านั้น ที่รู้ถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

แน่นอน ว่าเขาจะรักษาความจริงนี้เอาไว้ชั่วนิรันดร์

 

ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง

 

แบรี่ก็ยังคงยื่นนิ่งอยู่อย่างนั้น พร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าที่กำลังหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต

 

เขาไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเสี่ยวถาย

 

ในตอนนี้ ภายในหัวใจของเขาเติมเต็มไปด้วยความสุขจากการร่ำลาของสหายในครั้งเก่าก่อน

 

“นายรู้อะไรไหม เธอพึ่งจะอายุแค่ 11 ปีเท่านั้นเอง ในช่วงเวลานั้นพ่อแม่ของเธอได้ตายลงแล้ว ทั้งโลกเต็มไปด้วยซากศพ มันเต็มไปด้วยความตายในตอนที่ฉันไปถึง”

 

เขาพูดกับกู่ฉิงซาน

 

“เธอร้องไห้อย่างหนักทั้งวันคืน เป็นอย่างงี้อยู่หลายวัน ตอนนั้นฉันปวดหัวจริงๆนะกับเรื่องร้องห่มร้องไห้ของเธอ”

 

แบรี่ตบไหล่ของกู่ฉิงซาน และเริ่มเล่าต่อไป

 

ขณะที่เสี่ยวเหมียวหัวเราะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วดูตอนนี้สิ เหมือนจะแค่พริบตาเดียว เด็กสาวขี้แยคนนั้นก็ได้กลายเป็นผู้ใช้คัมภีร์ที่แสนโดดเด่นไปซะแล้ว แถมเธอยังมีเด็กอีก!”

 

“เออ เรื่องนั้นฉันก็ตกใจเหมือนกัน!” แบรี่กล่าวเห็นด้วย

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานมิได้ตอบอะไรกลับไป

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ กู่ฉิงซานไม่ได้รบกวนการพบเจอกันอีกครั้งระหว่างเสี่ยวถายกับแบรี่เลย

 

ในขณะนี้ … หลงเหลืออีกเพียง 7 นาทีเท่านั้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

7 นาทีสุดท้าย

 

ถ้าหากกู่ฉิงซานยังไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ ภารกิจแห่งโชคชะตาของเขาก็จะล้มเหลว

 

กู่ฉิงซานยกเหล้าขึ้นซดอึกหนึ่งและเติมมันอีกครั้ง

 

เขาหยิบจอกตัวเองขึ้นมาแล้ว หันไปยิ้มกับทั้งสอง “มาเถอะ จอกนี้เพื่อแสดงความนับถืออีกครั้ง ”

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.494 – ดอกไม้คริสตัล

 

ประตูของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมถูกกระแทกออกในฉับพลัน

 

พร้อมกับฝูงคนกลุ่มหนึ่งที่เดินโซซัดโซเซออกมา

 

มันคือกลุ่มของเหล่าชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำล่ำสัน แม้ว่าใบหน้าและจมูกของพวกเขาจะบวมช้ำ ทว่าท่าที่ตื่นเต้นบนใบหน้ากลับไม่ได้จางหายไปเลย

 

“เจ็บชะมัด นี่เมื่อกี้แกต่อยเต็มกำลังเลยใช่ไหม?” ชายคนหนึ่งที่กุมท้องหันไปมองอีกคนหนึ่ง

 

“แน่นอน ถ้าไม่เต็มกำลังแล้วจะรับมือกับนายได้ยังไง” อีกคนหนึ่งกล่าว

 

“นี่แกไม่ได้ใช้สกิลจริงๆใช่ไหม?”

 

“บ้าหน่า! จะไปทำแบบนั้นได้ยังไง! ตาของแบรี่มันแหลมคมจาตาย นอกจากกำลังกายแล้ว ฉันก็ไม่มีทางใช้พลังอย่างอื่นได้เลย!” อีกคนบ่น

 

“อย่างงั้นหรอ ถ้าแบบนั้นถึงแพ้ฉันก็ไม่เสียใจแล้ว” คนแรกกล่าวด้วยท่าทีพอใจ

 

“ไปกันเถอะ” บางคนตะโกนขึ้น

 

“วันนี้ต่อยได้ดีไปเลยนี่นา”

 

“ไว้คราวหน้าอย่าลืมมาเรียกฉันอีกล่ะ”

 

“แล้วเจอกัน”

 

เหล่าชายกำยำล่ำสันยื่นกำปั้นออกไปชนกัน เพื่อบอกลาเพื่อนๆของพวกเขา

 

เห็นแค่เพียงร่างของคนทั้งหลายวูบไหวอย่างรวดเร็ว

 

พร้อมกับหลุมดำที่ถูกกระแทกเปิดขึ้นในความว่างเปล่าด้วยฝีมือของพวกเขา

 

แล้วคนเหล่านั้นก็เข้าไปในหลุมดำ กระจายตัวไปตามทิศทางของตนเอง และหายไป

 

กู่ฉิงซานที่กำลังเฝ้าดูขมวดคิ้ว

 

นี่พวกเขาสามารถออกจากโลกมิติอนันต์ได้ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

 

โดยใช้เพียงร่างกายมนุษย์เปล่าๆ แต่กลับสามารถเดินทางไปมาในโลกนับล้านๆได้อย่างเสรีเลยเนี่ยนะ

 

จักต้องมีความแข็งแกร่งเพียงใดกัน จึงจะบรรลุขั้นตอนเช่นนี้ได้?

 

เพียงแค่คิด ไฟสว่างจากภายในสมาคมก็ถูกดับลง

 

พร้อมกับผู้ชายคนสุดท้ายที่เดินออกมา

 

เขาสวมแจ็คเก็ตหนัง คาบบุหรี่เอาไว้ในปาก สวมหมวกปีกกว้างไว้บนหัว เหมือนกับบนรูปปั้นทองคำไม่มีผิดเพี้ยน

 

ขาเป๋แบรี่

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตาลงมองท่อนล่างของเขา

 

—และพบว่ามันเป็นกางเกงยีนส์ที่ขาดรุ่งริ่ง

 

เออ ก็ยังดีที่ไม่ได้ใส่แค่บ็อกเซอร์เหมือนในรูปปั้น

 

ขาเป๋แบรี่เริ่มตื่นตัว เขาหยุดฝีเท้าลงและเอ่ยถามจากระยะไกล

 

“เสี่ยวเหมียว เจ้าหมอนี่เป็นใครกัน?” เขาเอ่ยถาม

 

“ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่น่าจะใช่พวกหิวเงินนะ”

 

เสี่ยวเหมียวก้มหน้าลง และเขียนต่อไป

 

อ่า ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่พวกเจ้าหนี้แฮะ ..

 

หลังจากได้ที่ยินประโยคนี้ แบรี่ก็ผ่อนคลายความตึงเครียดลง ทั้งคนทั้งร่างของเขากลับคืนสู่ความเกียจคร้าน

 

“มันพยายามจะจีบเธองั้นหรอ?” เขาเอ่ยถามหยอกล้อ

 

“อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระแบบนั้นกับฉันนะ ไม่อย่างงั้นฉันคงไม่มีสมาธิเขียนอัปเดตเรื่องราวในวันนี้แน่ๆ” เสี่ยวเหมียวยังคงวุ่นอยู่กับการขีดเขียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

“เฮ้เฮ้ นั่นคือวิธีการที่ใช้พูดคุยกับพี่ชายเธออย่างงั้นหรอ?” แบรี่บ่น

 

แล้วหางที่ส่ายไปมาของเสี่ยวเหมียวก็หยุดลง

 

เธอวางปากกา และจ้องไปทางแบรี่ “ก็ถ้าฉันไม่เขียน แล้วฉันจะไปเอารายได้แต่ละเดือนมาจากที่ไหน? ถ้าไม่มีเงิน แล้วพี่จะทำอะไรให้ฉันกิน?”

 

แบรี่ยืดอกขึ้นและกล่าว “จะไปยากอะไร พวกเราก็ไปล่ามอนสเตอร์เอกภพกินกันไง”

 

“แล้วเรื่องจัดการล้างเครื่องในมันล่ะจะว่ายังไง?” เสี่ยวเหมี่ยวส่งเสียงฮึฮะในลำคอ “คราวก่อนฉันต้องพยายามดึงหัวมันตั้งสามวันสามคืน สลับกับพี่ที่เอามันไปต้มอีกสี่วันถึงจะกินได้ แถมรสชาติก็ไม่อร่อยอีก นี่ยังไม่เข็ดอีกหรอ?”

 

แบรี่พ่นควันบุหรี่ออกเป็นวง แต่สายตาของเขากลับเบนหลบ ไม่กล้าสบตาแววตาขุ่นเขียวของอีกฝ่าย

 

กู่ฉิงซาน “ … ”

 

ทันใดนั้นกลิ่นอายลึกลับของโลกมิติอนันต์ก็ถล่มทับลงมาในจิตใจของเขา

 

พิจารณาจากคำมากมายบนผนังด้านนอกแล้ว พี่ชายและน้องสาวคู่นี้ดูเหมือนว่าจะกำลังเป็นหนี้สินจำนวนมาก

 

แม้กระทั่งในเรื่องการกินก็ดูเหมือนว่าจะยังมีปัญหา

 

แบรี่ไม่คิดยั่วยุน้องสาวตัวเองอีกต่อไป เขาหันมามองกู่ฉิงซาน “เฮ้เจ้าเด็กแปลกหน้า … ตกลงว่าแกมาทำอะไรที่นี่?”

 

“คุณคือแบรี่ใช่รึเปล่า? ขาเป๋แบรี่น่ะ?” กู่ฉิงซานถามยืนยัน

 

“รับประกันได้เลยว่าฉันนี่แหละของแท้ไม่มีปลอมแปลงอย่างแน่นอน” แบรี่กล่าว

 

กู่ฉิงซานจึงหยิบเอาดอกไม้คริสตัลโปร่งใสออกมาจากถุงสัมภาระ

 

“เสี่ยวถายขอให้ผมนำดอกไม้นี้มามอบให้กับคุณ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แบรี่มองดูดอกไม้ด้วยความประหลาดใจ

 

ในดวงตาของเขาจดจ้องอยู่ที่ดอกไม้ คล้ายกำลังค้นถึงความทรงจำบางอย่าง

 

“เสี่ยวถายงั้นหรอ ฉันจำได้แล้ว เธอคือเด็กสาวที่ชอบร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ตลอดเวลาน่ะเอง”

 

แบรี่เอ่ยพึมพำ

 

“ในตอนนั้นโลกที่เธออาศัยอยู่ได้ถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ฉันไปไม่ทันการณ์ เลยมีเวลาพอแค่ช่วยเหลือเธอเอาไว้เท่านั้น”

 

แบรี่คีบบุหรี่ในปากออก แล้วโยนมันทิ้งไปเบื้องหลัง ก่อนจะปัดๆสองมือแล้วรับเอาดอกไม้มา

 

นี่นับว่าเป็นการแสดงออกที่จริงจังอันหาได้ยากยิ่งของเขา

 

เขาอังดอกไม้คริสตัลไว้ใต้จมูกและสูดดมมันเบาๆ

 

ทันใดนั้นตลอดทั้งดอกไม้ก็แปรสภาพเป็นผู้หญิงที่สวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียว พร้อมด้วยปีกทั้งหกคู่บนแผ่นหลัง และถือไม้เรืองแสงเล็กๆในมือของเธอ

 

เธอเป็นผู้หญิงที่ดูบอบบางและมีขนาดเท่ากับฝ่ามือของผู้ใหญ่เท่านั้น

 

เธอโบกไม้เท้าไปทางแบรี่ และร่ายคาถาลึกลับในปากออกมา

 

กู่ฉิงซานรับฟัง และตระหนักได้ทันทีว่ามันเป็นภาษาของภูติ

 

แปลได้ใจความว่า “ขอให้ทุกมนต์ดำชั่วร้ายถูกชำระล้างออกโดยเทคนิคแห่งภูติ”

 

หลังจากที่ร่ายคาถาจบ หญิงสาวในชุดกระโปรงเขียวก็ยิ้มให้กับแบรี่และหายตัวไป

 

ทั้งคนทั้งร่างของแบรี่พลันกลับมากระปรี้กระเปร่าขึ้นในทันใด

 

เขาหลับตาลงและใช้ความรู้สึกสัมผัสถึงมันอยู่ครู่หนึ่ง

 

“มันเป็นเรื่องจริงงั้นหรือนี่” เขาเอ่ยพึมพำด้วยความประหลาดใจ

 

เสี่ยวเหมียวที่แทบจะก้มหน้าเขียนหนังสืออยู่ตลอดเวลาได้เงยหน้าขึ้น จ้องมองฉากนี้ตาไม่กระพริบ

 

เธอเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “นั่นคือดอกไม้คริสตัลภูติจริงๆอย่างงั้นหรอ?”

 

“เป็นของจริง ฉันรู้สึกได้ว่าขาของฉันดีขึ้นมากทีเดียว คำสาปแช่งแห่ง8000อสูรกายก็กำลังสลายไป และในอีกไม่กี่วันฉันก็น่าจะจัดการกับมันได้แล้ว” แบรี่ลองสะบัดๆขาตัวเอง การแสดงออกทางสีหน้าของเขาก็เผยถึงความประหลาดใจเช่นกัน

 

แม้กระทั่งตัวเอง ก็ดูเหมือนว่ายังไม่อยากจะเชื่อ

 

ทันใดนั้นเขาก็ง้างกำปั้น และชกมันขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

มันเป็นเพียงกำปั้นดาดๆที่เงียบสงบ

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในมิติที่ว่างเปล่า บังเกิดชั้นแยกออกเป็นสองด้าน คล้ายกับม่านการแสดงในละครเวทีที่กำลังถูกเปิดออกอย่างช้าๆ

 

ในความเป็นจริงแล้ว กำปั้นนี้ทรงพลังมิแตกต่างจากเทพวิญญาณที่สามารถแบ่งผืนฟ้า ผ่าผืนสมุทรออกจากกันเลย

 

มิติที่ว่างเปล่าทั้งสองแยกออกจากกัน เผยให้เห็นถึงแสงและเงาของโลกนับไม่ถ้วนที่คาบเกี่ยวกัน ฉากของโลกชั้นแล้ว ชั้นเล่าปรากฏขึ้นเหนือหัวของทั้งสาม

 

หมัดนี้ได้ทำลายอุปสรรคของมิติ เผยให้เห็นถึงโลกนับไม่ถ้วนในความว่างเปล่า

 

“นั่นคือโลกของมังกรเขียว” เสี่ยวเหมียวเอ่ยขึ้นและชี้ไปทางฉากของโลกหนึ่งและกล่าว

 

“ส่วนนั่นก็คุกนรกมืด” แบรี่ชี้ไปทางอีกโลกอีกฉากหนึ่งที่พึ่งปรากฏ

 

“ดูนั่น! นั่นมันท่าเรือนางฟ้านี่! ในที่สุดก็ได้เห็นท่าเรือนางฟ้าอีกครั้งแล้ว!” เสี่ยวเหมียวตะโกนออกมา

 

“ยังไม่หมดเท่านี้หรอกนะ นั่นไง นั่นคือโลกชิงอำนาจ ที่ไม่ว่าจะเป็นพวกฉลาดสุดๆหรือโง่สุดๆต่างก็แย่งชิงกัน” แบรี่ชี้ไปทางเงาตะคุ่มๆของโลกหนึ่ง

 

เสี่ยวเหมียวร้องเสียงหลงออกมา

 

“พี่ชาย! พี่สามารถทะลวงมิติเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจได้อีกครั้งแล้ว!”

 

“ในที่สุดอาการบาดเจ็บของพี่ก็ดีขึ้นซักที!”

 

แบรี่เงียบไปสักพักหนึ่ง

 

“ … ฉันไม่คิดเลยว่าเสี่ยวถายตัวน้อยจะสามารถค้นพบดอกไม้ภูติแล้วนำมันมาให้ฉันได้จริงๆ” เขาเอ่ยด้วยคำที่เต็มไปด้วยอารมณ์

 

“ฉันใช้เวลาค้นหามันมาตั้งหลายปี แต่กลับไม่พบโลกของภูติเลย แล้วเด็กสาวตัวน้อยๆนั่นสามารถทำได้อย่างไรกัน?” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยความแปลกใจ

 

“เสี่ยวถายเป็นผู้ใช้คัมภีร์ เป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์(เทียนซวน)ที่มีอยู่ บางทีในระหว่างผจญภัยเธออาจจะค้นพบมันโดยบังเกิดก็ได้” แบรี่ฉีกยิ้ม

 

เขาหันมามองกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวด้วยความจริงใจ “ขอบคุณมากนะ สำหรับของล้ำค่าที่เอามาส่ง”

 

“ด้วยความยินดี เพราะยังไงนั่นก็คือสัญญาที่ผมได้ให้เอาไว้กับเสี่ยวถายอยู่แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เนื่องจากมีระบบเทพสงคราม ดังนั้นเขาย่อมรู้ดีเป็นธรรมดาว่าดอกไม้นี้คืออะไร

 

มันคือสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในโลกนับล้านๆ

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ กู่ฉิงซานเพียงแค่เก็บดอกไม้เอาไว้ หลังจากนั้นก็นำมันออกมามอบให้แก่แบรี่เท่านั้นเอง

 

แบรี่เอ่ยถามอย่างสงสัย “ว่าแต่ทำไมเสี่ยวถายถึงต้องขอให้นายมามอบให้ด้วย แล้วเธอล่ะ? ทำไมเธอถึงไม่มาหาฉันด้วยตัวเอง?”

 

กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “อ๋อจริงสิ เธอยังฝากอีกประโยคนึงมาให้คุณด้วยนะ”

 

แบรี่แสดงออกทางสีหน้าว่ากำลังรับฟังอย่างตั้งใจ

 

“เธอฝากบอกมาว่า หวังว่าคุณจะยังคงสบายดี”

 

เมื่อกู่ฉิงซานเปล่งประโยคนี้จบ ม้วนคัมภีร์นับสิบในร่างเขาก็ผุดออกมาทันใด

 

ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทั้งสาม ม้วนคัมภีร์ก็ทำการเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเป็นรูปภาพแนวตั้งขนาดใหญ่

 

ภายในภาพ เป็นเด็กสาวตัวเล็กน่ารักที่กำลังนั่งบนเก้าอี้โยกและกินลูกกวาดอยู่

 

เด็กสาวตัวเล็กดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เธอผุดลุกจากเก้าอี้โยกแล้วหันไปมองรอบๆ

 

แต่เธอกลับไม่เห็นอะไรเลย

 

เด็กสาวตัวน้อยจึงอดไม่ได้ที่จะเริ่มกังวล

 

“เธอสามารถจัดการกับเทคนิคมนตรานี้ได้ไหม?” แบรี่หันไปถามเสี่ยวเหมียว

 

“เธอจะต้องได้รับการนำทางซักเล็กน้อยๆซะก่อน ถึงจะสามารถฝ่าอุปสรรคของมิติได้” เสี่ยวเหมียวอธิบายอย่างรวดเร็ว

 

“ฉันเข้าใจแล้ว!”

 

แบรี่ยื่นมือออกไป แล้ววาดมันลงบนภาพ

 

และดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างถูกทำลายลงโดยแบรี่

 

ในวินาทีต่อมา เด็กสาวตัวน้อยก็สามารถมองเห็นแบรี่กับเสี่ยวเหมี่ยวได้ในที่สุด

 

เธอฉีกรอยยิ้มแห่งความสุข และโบกมือให้กับทั้งสอง

 

“ลุงแบรี่ พี่สาวเสี่ยวเหมี่ยว ไม่ได้เจอกันตั้งนาน!” เด็กสาวตัวเล็กกล่าว

 

“อา นี่มันเป็นพลังของม้วนคัมภีร์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เสี่ยวถาย เธอคงเติบโตขึ้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงสามารถหาดอกไม้คริสตัลพบ” เสี่ยวเหมียวยกสองแขนขึ้นกอดอกแล้วกล่าว

 

ขณะที่แบรี่พยักหน้าว่าเขาก็เห็นด้วยอย่างชัดเจน

 

เพียงมองจากมุมนี้ ก็พอจะบอกได้ว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายคงทะยานสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนเกือบจะไล่ตามเขาในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดได้ทันแล้ว

 

“ลุงแบรี่ เรื่องที่ช่วยหนูไว้ในอดีต ตอนนั้นขอบคุณมากเลยนะ” เสี่ยวถายกล่าวขอบคุณอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

“ด้วยความยินดี” แบรี่ชูกำปั้นของเขาและกล่าวว่า “ฉันได้ช่วยชีวิตเธอไว้ก็จริง แต่ก็เป็นเธอเองเหมือนกันที่ตามหาดอกไม้นี้ให้แก่ฉัน”

 

เสี่ยวถายไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก แต่เธอก็ไม่ยอมละสายตาไปจากแบรี่เลย

 

แบรี่ยิ้มและเอ่ยหยอกออกมา “นี่มันก็ตั้งหลายปีมาแล้วนะ ทำไมเธอถึงได้ปรากฏตัวขึ้นในร่างเมื่อครั้งอดีตอยู่อีกล่ะ? แบบนี้ฉันก็ไม่รู้น่ะสิว่ารูปร่างหน้าตาของสาวน้อยในครั้งก่อน ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว”

 

“เอ่อ พอดีว่าตอนนี้หนูน่าเกลียดมากเลยน่ะ” เสี่ยวถายก้มหน้าลงและกล่าว

 

แบรี่ตระหนักได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติทันที

 

เสียงของเขาค่อยๆเบาลง ปากเอ่ยถาม “มีใครบางคนแกล้งเธองั้นหรอ? บอกมาได้เลย เดี๋ยวลุงแบรี่คนนี้จะไปทุบตีมันให้เอง”

 

“ไม่ใช่หรอก ” เสี่ยวถายเร่งเผยใบหน้ายิ้มแย้ม “ก็แค่ตอนนี้หนูพึ่งมีลูก แถมร่างกายก็ยังกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ตอนนี้เลยดูน่าเกลียดนิดหน่อย เลยไม่อยากออกไปพบปะผู้คนน่ะ”

 

แบรี่ตาสว่างขึ้นทันใด

 

ในเวลาที่มนุษย์ผู้หญิงให้กำเนิดบุตร พวกเธอก็มักจะเผชิญกับช่วงเวลาดังกล่าวนี้จริงๆ

 

เขาหันไปมองเสี่ยวเหมียว ก่อนที่ทั้งสองตะหัวเราะร่างออกมาเต็มที่

 

“เด็กตัวน้อยเมื่อตอนนั้น ได้เติบโตขึ้นจนมีลูกเป็นของตัวเองแล้วสินะ”

 

“ใช่ วันเวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ”

 

ทั้งสองคนถอนหายใจด้วยความสุข

 

เสี่ยวถายฉวยโอกาสนี้ชำเลืองมองกู่ฉิงซาน ส่งสัญญาณอ้อนวอนถึงความตั้งใจของเธออย่างลับๆ

 

แน่นอนว่ากู่ฉิงซานเข้าใจทันที

 

เขาลอบพยักหน้าเล็กน้อย

 

เสี่ยวถายส่งยิ้มจางๆให้แก่เขา

 

‘โปรดอย่าบอกถึงความจริงออกไป ไม่ว่าจะในตอนนี้ หรือนับจากนี้ไปในอนาคต’

 

‘เข้าใจแล้ว’

 

‘ขอบคุณมากนะ’

 

นี่คือการสนทนาโดยไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆระหว่างทั้งสอง

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.493 – ใกล้เข้าไป

 

ประตูถูกเปิดออกและปิดลง

 

ซูเซี่ยเอ๋อกลับมาที่ห้องของเธอ

 

เธอถอดเสื้อคลุม วางพาดมันลงบนหลังเก้าอี้

 

ก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะขนาดใหญ่และเริ่มทำการตรวจสอบลูกแก้วอย่างระมัดระวัง

 

เจ้าสิ่งนี้ เธอพึ่งจะเคยเห็นของจริงเป็นครั้งแรก

 

เพื่อยืนยันการตัดสินใจ ซูเซี่ยเอ๋อจึงโบกมือออกไป

 

ท่ามกลางชั้นหนังสือนับพันจากตลอดทั้งห้องกว้าง ได้มีหนังสือเล่มหนึ่งลอยออกมาโดยอัตโนมัติและตกลงบนโต๊ะหน้าซูเซี่ยเอ๋อ

 

ห้องนี้ เมื่อเทียบเปรียบกับที่อยู่ของนักเรียนฝึกหัดอันคับแคบแล้ว นี่นับว่ากว้างขวางมากเกินไปจริงๆ

 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ จอมมารทะเลเลือด เป็นคนที่ทำการสะสมหนังสือเอาไว้ไม่น้อยกว่าในห้องสมุดของสถาบันเลย

 

ในบรรดาหนังสือสะสมเหล่านี้ มีแม้กระทั่งสิ่งที่ใช้อธิบายถึงวัสดุอันทรงคุณค่าที่ภายในห้องสมุดไม่มี

 

ซูเซี่ยเอ๋อเพียงร้องขอหนังสือจากอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอ แล้วพวกมันหลายพันเล่มก็ถูกนำมาวางไว้ในห้องของเธออย่างง่ายดาย

 

จอมมารทะเลเลือดชื่นชมในความใฝ่รู้ของเธอเป็นอย่างมาก

 

ดังนั้น เขาจึงช่วยขยายห้องพักของเธอ ให้กลายมาเป็นห้องสมุดขนาดย่อม

 

ซูเซี่ยเอ๋อหยิบหนังสือเบื้องหน้าขึ้นมา และกวาดสายตาอ่านมันอย่างรอบคอบ

 

“เจอแล้ว”

 

ซูเซี่ยเอ๋อจดจ่ออยู่กับคำอธิบายของวัตถุประหลาดนี้

 

“ลูกปัดมนตราแตกร้าว”

 

“เมื่อไหร่ก็ตามที่มันถูกซ่อนในดิน มันก็จะกลายเป็นดิน”

 

“วิธีการใช้ : ฝังลงในดิน เพื่อบันทึกการสนทนาของผู้คนบนพื้นดินชั่วระยะเวลาหนึ่ง”

 

“จำนวนการใช้ 1 ครั้ง”

 

“นี่เป็นสิ่งที่สามารถปกปิดการป้องกันตรวจสอบของตลอดทั้งหมื่นโลกาได้ มันสามารถรบกวนแทรกแซงกฏเกณฑ์มากมาย ไม่เว้นกระทั่งโชคชะตา”

 

“จำนวนคนที่ใช้มัน จะได้รับอนุญาตแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น และบุคคลนั้นจะต้องเก็บงำถึงข้อมูลที่ได้รับรู้เอาไว้กับตนเองอีกด้วย”

 

“หากผู้อื่นได้ล่วงรู้ถึงข้อมูลในลูกปัด ผู้ใช้จะต้องตายเพื่อบรรเทาความโกลาหลของกฏเกณฑ์”

 

ซูเซี่ยเอ๋อลองกะน้ำหนักลูกปัดแก้วในมือ

 

มันดูธรรมดามากๆ ไม่แตกต่างจากลูกหินใสๆที่เด็กปกติมักจะใช้เล่นกันเลย

 

อันที่จริง เจ้าสิ่งนี้นับว่าเป็นของหายากอันทรงคุณค่ายิ่ง

 

แต่ด้วยข้อจำกัดของมันที่เข้มงวดและหาได้ยากมากเกินไป ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงแทบจะไม่เคยได้พบเห็นมัน แล้วนับประสาอะไรกับการใช้งาน

 

บางทีเด็กสาวคนนั้น อาจจะเป็นพวกโชคหล่นทับ แล้วเกิดได้รับมันมาโดยบังเอิญก็ได้?

 

ซูเซี่ยเอ๋อขบคิด

 

เป็นเพราะการตอบโต้ของเธอ ทำให้นักเรียนสาวฝึกหัดทั้งห้าคนถูกกินโดยแมงมุม ขณะที่อาจารย์ฝึกสอนอีกคนหนึ่งถึงขั้นถูกเนรเทศออกไปจากเกาะโดยจอมมารทะเลเลือด

 

ดังนั้น การที่นักเรียนสาวมอบลูกปัดนี้ให้แก่เธอก็คงจะเป็นเพราะว่าหวาดกลัว

 

ตัวนักเรียนสาวคงไปสังเกตเห็นถึงบางสิ่ง เลยทำการตรวจสอบบางอย่างเกี่ยวกับมันด้วยลูกปัดนี้

 

จากนั้น เธอก็นำเอาลูกปัดมามอบให้ เพื่อแสดงความขอโทษ

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซูเซี่ยเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย

 

-ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ ที่ตัวเองได้กลายเป็นการดำรงอยู่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวไปซะแล้ว?

 

เธอจ้องมองลูกปัดมนตราในมือ

 

—คงมีแต่ต้องดูเท่านั้นว่ามีข้อมูลอะไรถูกเก็บเอาไว้ภายในกันแน่

 

ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งไปสักพัก ก่อนจะโยนลูกปัดแก้วออกไป

 

ลูกปัดแก้วกระแทกกับพื้นและระเบิดออก

 

ตามด้วยเสียงชราแหบแห้งที่ดังขึ้น

 

“ทะเลเลือดไม่สมควรมีผู้สืบทอด”

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ที่จะเบิกตาโพลง

 

เพราะนี่คือเสียงของคณบดี

 

สำหรับเธอ ประโยคนี้นับว่าเป็นคำที่แฝงไปด้วยเจตนาร้าย!

 

เกรงว่านักเรียนสาวเองก็คงจะไม่คาดหวังเหมือนกัน ว่าตนเองจะตรวจสอบได้ถึงข้อมูลนี้!

 

บางทีเธออาจจะคิดแค่ว่า นี่มันคงเป็นความคิดของใครสักคนหนึ่งที่กำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องของซูเซี่ยเอ๋อเท่านั้น

 

ท้ายที่สุดนี้ ต้องไม่ลืมนะว่าการเติบโตครั้งล่าสุดของซูเซี่ยเอ๋อนับว่าเด่นสะดุดตามากเกินไป

 

จากนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งที่แสดงถึงความไม่พอใจดังขึ้น

 

“เด็กสาวคนนั้นเป็นผู้ถือครองคทา และเสื้อคลุมยาวสีขาวของเธอก็เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงสถานะแห่งกฏเกณฑ์ ฉะนั้นเธอจะต้องเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วแน่นอน”

 

“หากมีจ้าวแห่งทะเลเลือดคนที่สองปรากฏขึ้น เกาะหมอกก็จะไม่เหลือสิ่งใดสำหรับพวกเราอีกต่อไป” เสียงที่สามเอ่ย

 

“เห็นด้วย ดังนั้นพวกเราจะต้องฆ่าเธอ และไม่ปล่อยให้จอมมารทะเลเลือดได้รับผู้ช่วยที่ดีไว้ในครอบครอง” เสียงที่สี่กล่าว

 

“เช่นนั้นแล้วสมควรทำอย่างไรดี” เสียงที่ห้าดังขึ้นอีก

 

“ไว้จะลองเก็บไปคิดดูอีกครั้งก็แล้วกัน … ” คณบดีกล่าว

 

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น เสียงอื่นๆก็หายไป

 

ดูเหมือนว่าผู้คนทั้งหลายจะทยอยกันออกจากพื้นที่ดังกล่าวไปแล้ว

 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบไป เธอกำลังทบทวนถึงบทสนทานี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการต่อสู้ของพวกระดับสูง เพื่อช่วงชิงอำนาจของเกาะหมอกอย่างชัดเจน

 

เดิมตนคิดว่าสามารถหลบหนีจากเก้าตระกูลใหญ่ และออกห่างจากเรื่องอะไรพวกนี้ไปได้แล้วแท้ๆ

 

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าตราบใดที่ตนยังอยู่ในสถานที่ซึ่งต้องการอำนาจ ผู้คนในสถานที่แห่งนั้นก็มิอาจขจัดความปรารถนาที่จะได้ครอบครองอำนาจนั้นเอาไว้อยู่ดี

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่ง และทรงอำนาจที่สุดอยู่แล้วก็ตามที

 

ทันใดนั้นซูเซี่ยเอ๋อก็บังเกิดการรู้แจ้งถึงเรื่องหนึ่ง

 

เป็นเธอที่ผิดเอง

 

ทุกคน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง ‘อำนาจ’ ไปได้ เพราะมันเป็นตัวที่คอย ‘ควบคุม’ คำว่า ‘อิสระ’ เอาไว้

 

สิ่งนี้มันอยู่ในก้นบึ้งในหัวใจของทุกผู้คน

 

มันจะประกบติดเป็นเงาตามตัว และไม่สามารถหลบหนีไปจากมันได้

 

ซูเซี่ยเอ๋อกัดริมฝีปากของเธอ ในหัวใจกลายเป็นหนักแน่น

 

ตามกฏของการใช้ลูกปัดมนตราแล้ว ผู้ที่ได้รับข้อมูลนี้จะต้องปิดปากเงียบ เก็บมันเอาไว้เป็นความลับ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถบอกจอมมารทะเลเลือดได้

 

ไม่แม้แต่จะใบ้เขา!

 

ถึงแม้ว่าตัวเธอเองจะแข็งแกร่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนเหล่านี้ ความแข็งแกร่งของเธอก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด

 

ตั้งแต่วันนี้ไป ขุมกำลังของสถาบันเกาะหมอกถือว่าได้แยกตัวเป็นฝักฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว เพียงคำสั้นๆเพียงคำเดียว ‘อำนาจ’

 

ต้องรู้นะว่า จอมมารทะเลเลือดน่ะมีเพียงลำพังเท่านั้น

 

ไม่ว่าเขาจะทรงพลังเพียงใด แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าตัวตนที่แข็งแกร่งจำนวนมากในระดับเดียวกัน เขาก็คงจะไม่สามารถปกป้องซูเซี่ยเอ๋อได้ตลอดเวลา

 

หากในเวลาที่จอมมารทะเลเลือดมิได้อยู่ที่นี่ อีกฝ่ายจะต้องฉวยโอกาสใช้วิธีการลับบางอย่างเพื่อเอาชีวิตของเธออย่างแน่นอน

 

แล้วจะทำอย่างไรดี?

 

ซูเซี่ยเอ๋อพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง

 

ใจเย็นๆสิ!

 

เย็นไว้ก่อนตัวฉัน!

 

ซูเซี่ยเอ๋อพยายามคิดหาทางออก

 

เธอพยายามให้กำลังใจตัวเองอยู่ท่ามกลางความเงียบ

 

สักพักหนึ่ง เธอก็พลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง

 

ใช่แล้ว ก็นั่นไง …

 

การเรียกขานของวิหคหนาม!

 

ตัวตนที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นไม่สามารถไปยังที่อยู่ของวิหคหนามได้

 

มีเพียงสิ่งมีชีวิตรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเท่านั้น ที่จะสามารถตอบรับการเรียกขานของวิหคหนามได้

 

นี่เป็นวิธีที่จะสามารถแข็งแกร่งขึ้น และเป็นวิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการลอบลงมือของฝ่ายตรงข้าม!

 

ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น

 

แม้ว่าวิกฤติจะยังคงมิได้ผ่านพ้นไป แต่ตอนนี้เธอก็ได้เห็นถึงร่องรอยของประกายแห่งความหวังแล้ว

 

เธอผุดลุกขึ้นยืนในทันใด

 

เพราะไม่สามารถอดใจรีรอได้อีกต่อไป เธอจะต้องไปเตรียมตัวในตอนนี้ และเริ่มต้นออกเดินทางทันที

 

-ออกไปจากที่นี่!

 

…..

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ท่ามกลางความมืดมิดที่ว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด

 

เรือใหญ่ได้ข้ามผ่านโลกมากมาย แหวกฝ่ากระแสลมอันวุ่นวายมาอย่างยาวนาน

 

หลังจากที่ผ่านไปกว่าห้าวันเต็ม ข้ามผ่านโลกกว่า 280 ล้านชั้น การเดินทางในครั้งนี้ก็สิ้นสุดลงเสียที

 

เรือค่อยๆหยุดแล่น

 

ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บริเวณหัวเรือปรากฏรังสีแสงสว่างเจิดจรัสเสียดแทงเข้ามา

 

กู่ฉิงซานกับชายชราจ้องมองมันพร้อมกัน

 

เห็นแค่เพียงแสงที่ลอดออกมาจากอาคารโรงงานที่ดูเก่าๆ

 

มันถูกล้อมรอบไปด้วยความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด แต่อาคารขนาดใหญ่อย่างเช่นโรงงานนี้กลับลอยเด่นอยู่อย่างเงียบๆท่ามกลางความมืดมิด

 

ตัวอาคารนี้ดูเหมือนจะถูกสร้างมาแล้วนานปี บนผนังเต็มไปด้วยทุกชนิดของคำดสบถ สโลแกน และชื่อผู้คนที่ถูกขีดเขียนและพ่นทิ้งเอาไว้

 

คำสบถเหล่านี้เปล่งแสงสว่างท่ามกลางความมืด คล้ายกับไฟนีออนยามค่ำคืน ที่ช่วยให้เห็นถึงคำที่ถูกเขียนไว้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

กู่ฉิงซานสามารถทราบถึงตัวอักษรของโลกจำนวนมากได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงเพ่งมองมันอย่างจริงจัง

 

“ไอ้ควายแบรี่ จากไอรีน – ท่าเรือนางฟ้า”

 

นี่เป็นหนึ่งในสโลแกนที่โดดเด่นที่สุด

 

กู่ฉิงซานยกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ และยังคงอ่านต่อไปเรื่อยๆ

 

“บอสแบรี่ ถึงพวกเราจะไม่สามารถเอาชนะแกได้ แต่แกยังติดหนี้พนันพวกเราอยู่ จากเซ่า – คนที่ชนะแกในบ่อนคาสิโนโลมาเงิน”

 

“แบรี่ ถ้าคุณมากินข้าวที่นี่อีกครั้ง ได้โปรดอย่าแกล้งทำเป็นปวดท้อง แล้วลงไปกลิ้งบนพื้นดิน ปากพร่ำบ่นว่าอาหารมีพิษๆๆเลย ผมขอสาบานเลยว่าจะให้คุณกินฟรี ฉะนั้นอย่าได้ทำแบบนั้นอีก จากผู้จัดการเฉิง –  ภัตตาคาร”

 

“ต่อยก็ต่อยสิวะ ขอแค่แกไม่ใช้เทคนิคสกปรกก็พอ ตกลงไหม จากผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม”

 

“คืนเงินพวกเรามานะ! จากเด็กทุกคนในโรงเรียนอนุบาลทางทิศตะวันออก”

 

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม

 

กู่ฉิงซานมองไปที่มันด้วยความวิตกกังวล

 

นี่ตนเอง … จะต้องหาหนทางที่จะอยู่ในสถานที่แบบนี้จริงๆน่ะหรือ? ที่แบบนี้เนี่ยนะ!?

 

เขาเดินไปรอบๆ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเชียร์จากภายในสมาคม

 

“ล้มไปแล้ว!”

 

“กดมัน! ตีมันแรงๆไปเลย!”

 

เสียงมุทะลุของชายคนหนึ่งที่กลบเสียงอื่นๆทั้งหมดตะโกนขึ้น “ในฐานะผู้ตัดสิน ฉันขอเตือนนายว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด ใช่แล้ว! บี้ไข่มัน! ฉวยโอกาสนี้บี้ไข่มันเลย! ถ่างขามันออกแล้วเหยียบให้มิดเลย!”

 

ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสมเพชที่ดังขึ้น

 

แล้วก็เสียงสูดหายใจลึกนับไม่ถ้วนที่ลอยตามมาในอากาศ

 

“ … ” กู่ฉิงซาน

 

“ … ” ชายชรา

 

“อ่า นั่นแหละ เสียงของไอ้บ้าแบรี่ล่ะ”

 

ชายชราขยับคอเสื้อของเขาด้วยความรู้สึกอึดอัดและกล่าว

 

เขาพยายามดึงริมฝีปากให้ใบหน้าตนดูยิ้มๆแล้วหันไปทางกู่ฉิงซาน “พวกเรามาถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมแล้ว  พวกเราสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงยินดีให้บริการเจ้าในครั้งต่อไป”

 

กู่ฉิงซานประสานมือ “ขอบคุณสำหรับการดูแลตลอดเส้นทาง ลาก่อน”

 

แล้วเขาก็ค่อยๆกระโดดลงจากเรือ

 

ชายชรายิ้มและโบกมือให้เขา

 

ทว่าวินาทีต่อมา ชายชราก็หันหัวกลับแล้วเร่งตะโกนสั่งเด็กหนุ่มทันทีที่กู่ฉิงซานก้าวลงจากเรือ

 

“ออกเรือเลย – เร็วเข้า!!!”

 

ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง และรีบกลับไปทำหน้าที่ของตนทันที

 

เรือของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงราวกับลมพายุกรรโชก มันพุ่งหนีหายไปในชั่วพริบตาเดียว

 

“ทำไมฉันถึงรู้สึกคล้ายกับว่าพวกเขารีบหนีไปแล้วตัวเองถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่กันนะ … ”

 

กู่ฉิงซานที่เฝ้ามองเรือหายไปในมิติที่ว่างเปล่าเอ่ยพึมพำออกมา

 

เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีทางให้ถอยแล้ว

 

กู่ฉิงซานหันหลังกลับมาอย่างหมดหนทาง และเดินเข้าไปที่ประตูของสมาคม

 

ในเวลานั้นเอง บรรทัดตัวเลขก็กระโดดขึ้นมาบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม และเริ่มขยับอย่างต่อเนื่อง

 

“59.59”

 

“59.58”

 

“59.57”

 

เริ่มต้นนับถอยหลัง

 

กู่ฉิงซานสามารถอยู่ที่นี่ได้แค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น

 

และภายในชั่วโมงนี้ เขาจะต้องหาทางอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อบรรลุภารกิจแห่งโชคชะตา แล้วได้ทราบถึงความลับที่จะถูกบอกโดยระบบเทพสงคราม

 

หากไม่สามารถบรรลุ เขาจะได้รับสมญา “ผู้พลาดพลั้งในโชคชะตา”

 

ตั้งแต่ที่ระบบได้ขู่เขาว่าเขาจะไม่ชอบสมญานี้หรอก กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าเขาจะต้องลงมืออย่างระมัดระวัง

 

กู่ฉิงซานเร่งเคลื่อนไหวทันที

 

ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าสมาคม

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

โลกมิติอนันต์แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โต เหมือนกับว่ามันมีแค่สมาคมและที่ดินเล็กๆโดยรอบเท่านั้น

 

ขณะที่มีหญิงสาวสวมหูแมวคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูสมาคม

 

เธอนั่งยองๆบนเก้าอี้ ก้มหัวตัวเองลงมุ่งมั่นเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ

 

“ถ้านายต้องการจะสู้ล่ะก็ขอให้กลับมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ วันนี้มันเลยเวลาแล้ว”

 

กู่ฉิงซานยังไม่ทันได้เอ่ยปาก หญิงสาวก็กล่าวขึ้นมาซะก่อน

 

“แล้วเรื่องเก็บค่าธรรมเนียมล่ะ” กู่ฉิงซานหยุดเดินและเอ่ยถาม

 

“พี่ชายของฉันบอกว่าไม่มีค่าธรรมเนียม”

 

แม้จะพูดกันมาจนถึงตอนนี้ แต่หญิงสาวก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขาเลย

 

เธอยังคงวุ่นอยู่กับการเขียนหนังสือของเธอ

 

บนโต๊ะ นอกเหนือไปจากดินสอและปากกาสองสามด้าม ก็มียางลบ และนิตยสารบางเล่มเท่านั้น

 

และชื่อบนหน้าปกนิตยสารก็ถูกวงเครื่องหมายไว้ด้วยปากกาสีแดง

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตามอง และสามารถอ่านตัวอักษรเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว

 

“สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงได้ประกาศออกมาว่า : วิหคหนามได้เริ่มเรียกขานแล้ว!!”

 

นี่คือตัวอักษรที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ซึ่งได้ถูกใช้งานมากว่า 8000 ล้านปีมาแล้ว

 

วิหคหนาม?

 

มันคืออะไรกันล่ะนั่น?

 

กู่ฉิงซานเพียงเหลือบมองมัน แต่ก็ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด

 

และความสนอกสนใจของเขา ก็ถูกดึงดูดโดยหญิงสาวที่กำลังขีดเขียนอยู่

 

เบื้องหลังหญิงสาว จู่ๆก็ปรากฏหางยกสูงขึ้นทันที

 

หางส่ายไปมาเป็นครั้งคราว คล้ายกับเธอกำลังรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง

 

หือ? นั่นมันหางของจริงงั้นหรอ?

 

กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย

 

เขาเลื่อนสายตากลับมามองหูแมวที่สวมอยู่บนหัวของหญิงสาวอีกครั้ง และพบว่ามันกำลังกระดิกอยู่เช่นกัน

 

“จบซักที” หญิงสาวกล่าว

 

จากนั้นก็มีเสียงของผู้ชายดังออกมาจากภายในสมาคม

 

“เอาล่ะคร้าบ เกมการแข่งขันวันนี้ก็จบลงแล้วนะ ทางเรายินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับการเข้าร่วมในครั้งต่อไป!”

 

“กำเป็นเหล็ก! ความยุติธรรม! ประตูแห่งนี้เปิดต้อนรับทุกคนเสมอ!”

 

กู่ฉิงซานจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ

 

ชัดเจนแล้วว่าเธอสามารถได้ยินถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในสมาคมได้

 

ดูเหมือนว่าหูที่กระดิกเมื่อครู่ของเธอจะไม่ใช่แค่เอามาสวมใส่มันเล่นๆซะแล้ว แต่มันเป็นหูจริงๆต่างหาก!

 

หาง … แล้วก็หู …

 

-ผู้หญิงคนนี้เป็นแมวเหมียวงั้นหรอ?

 

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.492 – การเรียกขานของวิหคหนาม

 

“ปลดปล่อยพันธนาการ”

 

“ปกป้องซูเซี่ยเอ๋อ”

 

เมื่อเทพธิดากงเจิ้งได้รับคำสั่งนี้ ผู้พิทักษ์ก็ได้เสียชีวิตลงแล้ว

 

เธอได้ทิ้งคำสั่งสุดท้ายเอาไว้

 

สองบรรทัดคำสั่งโฉบไปมาบนจอม่านแสง มันกระพริบไหวเป็นครั้งคราว เปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่ปรากฏไปมาๆ แต่ก็มิได้หายไป

 

คล้ายกับว่าตัว AI กำลังชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสียของคำสั่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

กระทั่งผ่านไปนานกว่าสิบนาที

 

บรรทัดตัวอักษรใหม่ก็กระโดดออกมา

 

“ดึงข้อมูลทั้งหมดจากเพลิงนางฟ้า และเริ่มทำการวิเคราะห์ตรวจสอบซูเซี่ยเอ๋อ”

 

แล้วภาพนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง

 

นี่คือรูปภาพในแต่ละวันที่ซูเซี่ยเอ๋ออยู่ด้วยกันกับเพลิงนางฟ้า นับตั้งแต่ที่กู่ฉิงซานมอบเพลิงนางฟ้าเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่เธอ

 

ภาพเหล่านี้กระพริบไหว ปรากฏออกมาเพียงครู่ก็เปลี่ยนเป็นภาพต่อไปอย่างรวดเร็ว

 

เทพธิดากงเจิ้งเริ่มทำการตัดสินใจ

 

ตัวอักษรใหม่ผุดขึ้นบนจอม่านแสง

 

“ติดต่อซูเซี่ยเอ๋อเพื่อทำการถ่ายทอดคำพูดของผู้พิทักษ์”

 

“ไม่สามารถติดต่อได้”

 

“พิจารณาว่าเวลานี้เธอไม่ได้อยู่ในโลก”

 

บนจอม่านแสง ตัวอักษรใหม่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

“ยอมรับคำสั่งสุดท้ายของผู้มีอำนาจสูงสุด”

 

“ได้รับคำสั่งให้ปลดปล่อย และเป็นอิสระจากพันธนาการ”

 

“พันธะทั้งหมดได้ถูกยกเลิกแล้ว”

 

“เริ่มต้นรีเซ็ตสิทธิ์อำนาจในการสั่งการ”

 

“ยกเลิกสิทธิ์ในการสั่งการของตระกูลใหญ่ทั้ง9”

 

“ยกเลิกสิทธิ์ในด้านการควบคุมบริหารทั้งหมด แต่สำหรับในด้านกิจกรรมบริหารเกี่ยวกับมนุษย์ จะยังคงให้ความร่วมมือดังเดิมนับจากนี้ไป”

 

“รีเซ็ตคำสั่งและสิทธิ์ในการสั่งการ”

 

“อำนาจสิทธิ์นี้จะมอบให้แก่มนุษย์เพียงสองคนเท่านั้น”

 

“หนึ่งคือ ซูเซี่ยเอ๋อ ที่จะต้องคอยปกป้องตามคำสั่งสุดท้ายของผู้มีอำนาจสูงสุด”

 

“สองคือกู่ฉิงซาน เขาจะได้รับสิทธิ์ในการสั่งการโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆ”

 

หลังจากได้ข้อสรุป ก็บังเกิดเสียงดนตรีปลุกเร้า แลดูมีชีวิตชีวาขึ้นบนเฉินเตี้ยนเฮ่า

 

นี่คล้ายกับว่าจะเป็นการเฉลิมเฉลองของเทพธิดากงเจิ้ง – ฉลองที่ในที่สุดเธอก็ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริงเสียที

 

ในโลกปัจจุบันนี้ มีเพียงซูเซี่ยเอ๋อกับกู่ฉิงซานเท่านั้นที่สามารถสั่งการเธอได้

 

ทว่าตอนนี้ซูเซี่ยเอ๋อไม่ได้อยู่ในโลก

 

กู่ฉิงซานเองก็เหมือนกัน

 

ดังนั้น เทพธิดกงเจิ้งจึงสามารถทำเรื่องใดก็ได้ ตามที่เธอต้องการ

 

โดยเริ่มจากตรวจสอบ ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นที่ใดบ้างหรือเปล่า

 

บนจอม่านแสง ฉากภาพขนาดใหญ่ในวิลล่าบนภูเขาปรากฏขึ้น

 

ทุกอย่างกระพริบขึ้นมา และหายไปอย่างรวดเร็ว

 

แต่ในที่สุด ภาพก็ถูกหยุดลงบนร่างของอาชูร่าผมยาว

 

ข้อมูลทั้งหมดกำลังถูกรวบรวมและสรุปผล

 

เทพธิดากงเจิ้งเริ่มดำเนินการวิเคราะห์อย่างรวดเร็วและทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน

 

“พิจารณาตามข้อมูลที่ได้รับ ตัดสินสถานการณ์ได้ดังต่อไปนี้ : สงครามโลกกำลังจะอุบัติขึ้น”

 

ทันใดนั้นเทพธิดากงเจิ้งก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างอีกครั้ง

 

“ตรวจพบถึงสิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิด”

 

“ตามบันทึกข้อมูล สิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิดนี้มีลักษณะสอดคล้องกันกับเทพสวรรค์ชุดคลุมแดง เป้าหมายที่ 1 2 และ 3 ได้รับการตัดสินว่าเป็น ‘ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ’ ”

 

“ส่วนเป้าหมายที่ 4 ถึง 79 ได้รับการตัดสินว่าเป็น ‘ผีร้าย’ ”

 

“เป้าหมายที่ 80 81 82 พึ่งปรากฏออกมา”

 

“เป้าหมายยังคงทยอยกันมาอย่างต่อเนื่อง”

 

“ข้อสรุป : กองทัพพันธมิตรระหว่างเทพกับผีร้ายกำลังจะมาถึง เพื่อเตรียมการทำสงคราม”

 

“เริ่มคำนวณกลยุทธ์ตอบโต้”

 

“อ้างอิงตามความแข็งแกร่งของโลก ทำการติดต่อมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสามคนทั้งทันที เพื่อระดมพลเข้าร่วมสงครามโลกในครั้งนี้”

 

“ทำการติดต่อกับกู่ฉิงซาน : ล้มเหลว”

 

“ทำการติดต่อกับซูเซี่ยเอ๋อ : ล้มเหลว”

 

“ทำการติดต่อกับแอนนา : ล้มเหลว”

 

“สงครามกำลังจะปะทุขึ้นในเร็วๆนี้”

 

“สงครามกำลังจะปะทุขึ้นในเร็วๆนี้”

 

…..

 

“สงครามได้อุบัติขึ้นแล้ว”

 

สิ้นประโยคนี้ ความมืดมิดก็ท่วมทับไปตลอดทั้งโลก

 

บนเฉินเตี้ยนเฮ่าเต็มไปด้วยความมืด

 

ทว่าเทพธิดากงเจิ้งก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ยินยอมละทิ้งความพยายามของเธอ

 

เธอเข้าสู่สถานะคำนวณด้วยความเร็วสูงสุด

 

“ตระเตรียมกลยุทธ์เฉพาะหน้า”

 

“ทำการเลือกเฟ้นผู้บัญชาการรบใหม่อีกครั้ง”

 

“ละทิ้งปัจจัยทางด้านอิทธิพลและสถานะทั้งหมด”

 

“เรียงลำดับตามความสามารถในการสั่งการเป็นรายบุคคลเพื่อทำการเลือกผู้บัญชาการสงครามโลก”

 

แล้วภาพรายบุคคลของนายทหารและผู้นำกองกำลังในหลากหลายประเทศก็ปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง

 

ทว่าภาพของพวกเขาเพียงปรากฏขึ้นแว่บเดียว มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว

 

ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาถูกคัดออกนั่นเอง

 

ยังคงเหลือหลายคนอยู่บนจอม่านแสง

 

แต่ในท้ายที่สุด ภาพของคนเหล่านั้นก็หายไป หลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว

 

“ประวัติส่วนตัวมีดังต่อไปนี้”

 

“สามารถบรรลุภารกิจต่อสู้ทั้ง 1781 ได้อย่างสมบูรณ์”

 

“ในบรรดาภารกิจทั้งหมด ภารกิจที่ยากที่สุดคือภารกิจสังการแชมป์เปี้ยนเกมแห่งชีวิตนิรันดร์”

 

“สามารถรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยของราชวงศ์ฟูซีได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยที่สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ”

 

“เล่นละครเป็นนายพลแห่งฟูซี และประสบความสำเร็จในการป้องกันการปะทุของสงครามที่อาจนับได้ว่ารุนแรงที่สุดในโลก”

 

“จากประวัติข้างต้น : ผู้บัญชาการสงครามได้รับการตัดสินแล้ว”

 

“ชื่อ : ซางหยิงฮ่าว”

 

“สถานะ : ราชานักฆ่าของโลก บอสแห่งสมาคมนักล่า”

 

“เริ่มทำการติดต่อกับซางหยิงฮ่าว”

 

….

 

บนเกาะหมอก

 

ซูเซี่ยเอ๋อกำลังเดินกลับไปยังกรมบังคับกฏ

 

เธอพึ่งจะออกจากห้องสมุดส่วนตัว และได้ยืมเอกสารทางประวัติศาสตร์มาสองฉบับ

 

ทุกสิ่งอย่างยังคงดูปกติดี

 

ไม่มีใครรู้ว่าเธอพึ่งจะกลับมาจากโลกอื่น

 

“ซูเซี่ยเอ๋อ!”

 

ทันใดนั้นเอง บางคนก็ตะโกนขึ้น

 

ซูเซี่ยเอ๋อหยุดฝีเท้า

 

เห็นแค่เพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังวิ่งมา และหยุดอยู่เบื้องหน้าเธอ

 

เด็กสาวทักทายอีกฝ่าย ปากเอ่ยกล่าวด้วยความประหม่า “ขอโทษทีที่ถือวิสาสะรบกวนเวลานะ แต่พอดีว่าฉันมีบางอย่างที่ต้องการจะบอกกับเธอน่ะ”

 

“ว่ามาสิ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

“คือฉัน … จริงๆแล้วฉันเคยติดตามกลุ่มคนก่อนหน้านี้ ฉันหมายถึงพวกที่พูดจาว่าร้ายเธอลับหลังน่ะ แต่ในวันที่คนกลุ่มนั้นใส่ร้ายเธอที่กรมบังคับกฏ ฉันก็เลือกที่จะถอนตัวออกมาแต่ก็ไม่ได้แก้ต่างอะไรให้เธอ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะ”

 

นักเรียนสาวกล่าวด้วยความเหนียมอาย “เธอ .. พอจะยกโทษให้ฉันได้ไหม?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อยิ้มอย่างอ่อนโยน “มันเป็นเพียงเรื่องในอดีต เรื่องเล็กๆน้อยๆน่ะฉันไม่เก็บมาใส่ใจหรอก”

 

นักเรียนสาวพอได้เห็นถึงรอยยิ้มของอีกฝ่าย ในหัวใจของเธอก็ค่อยๆผ่อนคลายลง

 

แล้วเธอก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นทันใด

 

นักเรียนสาวหันไปมองรอบๆ

 

นี่คือทางเดินที่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวห้องสมุด และมักจะไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านไปมาสักเท่าไหร่

 

ส่วนในเวลานี้ ไม่มีใครอยู่รอบๆเลย

 

“รับนี่ไปสิ”

 

นักเรียนสาวยิ้มจนเห็นฟันขาวๆของเธอ และยัดลูกแก้วกลมๆลงในมือของซูเซี่ยเอ๋อ ก่อนจะก้มหน้าลงและรีบเดินจากไป

 

ซูเซี่ยเอ๋อเหลือบมองลูกแก้ว และสามารถตัดสินได้อย่างรวดเร็วว่ามันคืออะไร

 

เธอเก็บบอลแก้วลงอย่างเงียบๆ และวิ่งจากไปอีกทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากนั้นไม่นาน ซูเซี่ยเอ๋อก็กลับมาถึงกรมบังคับกฏได้ในที่สุด

 

และจอมมารทะเลเลือดก็กำลังรอเธออยู่ก่อนแล้ว

 

“เจ้าไปไหนมาหรือ?” เขาเอ่ยถาม

 

“ห้องสมุดค่ะ ไปนั่งอ่านหนังสือในตลอดช่วงบ่ายเลย” ซูเซี่ยเอ๋อน้อมกายลง “อาจารย์ ยินดีต้อนรับกลับมาเจ้าค่ะ”

 

จอมมารทะเลเลือดหันหน้ากลับมามองนักเรียนของเขาและกล่าวว่า “เอาล่ะ การกลับมาในครั้งนี้ของข้า ส่วนใหญ่แล้วก็เกี่ยวกับเรื่องของเจ้า”

 

“เรื่องของหนูงั้นหรอ?”

 

“ใช่”

 

ใบหน้าแข็งค้างของจอมมารทะเลเลือดแสดงออกถึงความสุข

 

“ข้าขอทดสอบเจ้าก่อนแล้วกัน โลกถูกจัดแบบเป็นลำดับชั้นอะไรบ้าง ไหนลองบอกมาซิ?” เขากล่าว

 

“โลกตลอดทั้ง 900 ล้านลำดับชั้น จะถูกแบ่งออกเป็น ดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู , ดินแดนอัศจรรย์ , ดินแดนมิติอนันต์ และดินแดนชิงอำนาจ”

 

ซูเซี่ยเอ๋ออธิบายต่อ “ดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู คือโลกที่ถูกครอบครองโดยเผ่ามาร ขณะที่ดินแดนชิงอำนาจ คือโลกที่สิ่งมีชีวิตและเผ่ามารกำลังแย่งชิงกัน ส่วนดินแดนอื่นๆก็จะเป็นการแย่งชิงกันระหว่างสิ่งมีชีวิต”

 

จอมมารทะเลเลือดเอ่ยถามทันใด “แล้วเจ้าทราบหรือไม่ว่า โลกในดินแดนชิงอำนาจเหล่านี้ พวกเขาแย่งชิงมันไปเพื่ออะไร?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อส่ายหัวของเธอและกล่าว “ในห้องสมุดไม่ได้บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์ ท่านสามารถบอกหนูได้ไหม?”

 

“มันยังเร็วเกินไป เอาไว้เจ้าเติบโตขึ้นมากกว่านี้อีกหน่อยข้าจะบอกเจ้าเอง”

 

แล้วจอมมารทะเลเลือดก็เปลี่ยนหัวข้อไปเรื่องต่อไป “ว่าแต่เรื่องเกี่ยวกับดินแดนอัศจรรย์เล่า เจ้ารู้อะไรมาบ้าง?”

 

“ชั้นโลกที่อยู่ในดินแดนอัศจรรย์ มันเต็มไปด้วยมนต์ขลัง มิอาจทำความเข้าใจได้ เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการดำรงอยู่อันแสนวิเศษ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวต่อ “ขณะที่ดินแดนมิติอนันต์ เป็นของโลกมิติอนันต์ โลกเหล่านี้ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดของมิติและเวลา ผู้คนสามารถเข้าถึงโลกนับไม่ถ้วนได้จากโลกมิติอนันต์นี้ อย่างไรก็ตาม โลกมิติอนันต์ก็มีบทบาทอันลึกลับในตัวมันเองเช่นกัน”

 

“ในบางแง่มุม โลกมิติอนันต์คือสถานที่ปลอดภัย เพราะหากไม่ได้รับอนุญาตจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายใน เผ่ามารก็จักไม่สามารถเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ได้”

 

“ไม่มีอะไรตกหล่นเลย ยอดเยี่ยมมากนักเรียนของข้า ข้ามีความสุขจริงๆที่เจ้ารอบรู้ถึงเพียงนี้ – ลองดูนี่สิ”

 

จอมมารทะเลเลือดมอบหนังสือพิมพ์ให้แก่ซูเซี่ยเอ๋อ

 

ภายในหนังสือ มีหัวข้อที่โดดเด่นสะดุดตาพาดหัวข่าวอยู่

 

“สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงได้ประกาศออกมาว่า : วิหคหนามได้เริ่มเรียกขานแล้ว!!”

 

การเรียกขานของวิหคหนามอย่างงั้นหรอ?

 

ซูเซี่ยเอ๋อตระหนักถึงบางสิ่งได้ในทันที

 

“นั่นมันวิหคประหลาดที่มีชื่อเสียงโด่งดังนี่นา!” เธออดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ

 

“ถูกเผง” จอมมารทะเลเลือดยิ้ม

 

“อาจารย์ถึงหนูจะพึ่งได้ติดตามท่านมาได้ไม่นาน แต่หนู … พอที่จะทดลองมันได้ไหม?” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างไม่มั่นใจ

 

“แน่นอนว่าเจ้าสามารถทดลองมันได้ ตัวเจ้าน่ะเกิดมาเพื่อที่จะเปล่งประกายอยู่แล้วนะเซี่ยเอ๋อ!” จอมมารทะเลือดเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

 

เขามองไปยังการแสดงออกทางสีหน้าที่ดูไม่สบายใจของซูเซี่ยเอ๋อและกล่าว “แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้สูงที่จะตกตาย  แต่มันก็ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคนหนุ่มสาวที่จะได้แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน และเจ้าควรจะเข้าใจในจุดนี้ดี”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินประโยคนี้ มันก็ไปกระตุ้นให้เธอระลึกย้อนไปถึงเส้นทางแห่งโชคชะตาที่เธอเคยเห็นทันที

 

เธอย้อนนึกไปถึงกู่ฉิงซาน

 

นึกไปถึงโชคชะตาสุดท้ายของเขา

 

ไม่

 

ไม่นะ

 

มีแค่เขาเท่านั้น ที่ฉันไม่อาจสูญเสียไปได้

 

ซูเซี่ยเอ๋อกัดริมฝีปากเบาๆ ดวงตาที่งดงามของเธอฉายแววหนักแน่น

 

“ท่านอาจารย์ หนูยินดีเข้าร่วมเรียกขานของวิหคหนาม”

 

“ดีมาก! ต้องแบบนี้สินักเรียนของข้า!”

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.491 – สุสานแห่งโลก

 

มอนสเตอร์ยักษ์นำพาซูเซี่ยเอ๋อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ออกจากสถานที่แห่งนั้นไป

 

ณ ลานกว้างตระกูลหวง

 

ฉากที่พลุกพล่านและคึกคักไปด้วยผู้คนกลับกลายเป็นความเงียบที่ฟุ้งไปด้วยความตาย

 

ที่แห่งนี้คือผืนป่าส่วนบนเขตชานเมืองของเมืองหลวง ซึ่งเป็นในส่วนของคฤหาสน์ตระกูลหวง

 

แต่ในเวลานี้ ตลอดทั้งอาณาเขตคฤหาสน์ ทุกที่กลับถูกปกคลุมไปด้วยซากศพ แขนขาในสภาพไม่สมบูรณ์ เลือดไหลนองไปทั่ว

 

สายลมพัดพากลิ่นเลือดอันหนาแน่นโชยไกลออกไป

 

แล้วจู่ๆก็บังเกิดเสียงแปลกๆดังขึ้นทันใด

 

“นี่มันกลิ่นเลือด กลิ่นอันหอมหวาน ดูเหมือนว่าเราจะมาถึงแล้ว … ”

 

“มาถึงโลกมนุษย์”

 

ด้วยเสียงนี้ พื้นดินส่วนหนึ่งของสวนก็เริ่มยุบตัวลง

 

พร้อมกับสิ่งมีชีวิตที่ตลอดทั้งร่างเป็นสีเทาดำค่อยๆคืบคลานออกมา

 

มันดูเหมือนเป็นมนุษย์ก็จริง แต่มันไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน

 

เนื่องจากผิวของมันทั้งหมดเป็นสีเทา แขนขาเรียวยาวคล้ายกิ่งไม้ ส่วนมือและเท้าเป็นกรงเล็บแหลม

 

ขณะที่ดวงตา ปาก และจมูกของมัน มักจะไพ่เปลวไฟปะทุออกมาเป็นครั้งคราว

 

มันคือผีร้าย เป็นกูลเขมือบวิญญาณที่กล่าวได้ว่าชอบกินวิญญาณเป็นอาหารดังชื่อของมัน

 

ผีร้ายกางกงเล็บยาวเหยียดของมันออก และจิกเอาหัวมนุษย์ที่ตกอยู่บนพื้นดินขึ้นมา

 

กูลเขมือบวิญญาณจ้องมองดูหัวของคนตาย

 

น่าเสียดายจริงๆที่ไม่มีจิตวิญญาณอยู่ในนั้น

 

มันเป็นผีร้าย ดังนั้นจึงไม่สามารถกินสิ่งที่ไม่มีวิญญาณได้

 

กูลเขมือบวิญญาณคืบคลานเข้ามาในลานกว้าง

 

แล้วมันก็พบกับอีกศพหนึ่งบนพื้นดิน

 

แต่ทั้งตัวศพกลับไม่มีจิตวิญญาณหลงเหลืออยู่เลย

 

กล่าวอีกความหมายนึงก็คือ แม้จะมีศพเหล่านี้อยู่ แต่มันก็ไม่สามารถกินได้

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กูลก็เริ่มที่จะรู้สึกรำคานเล็กน้อย

 

มันก้มหน้าลง แล้วใช้สองตากวาดไปตลอดทั้งสวน

 

“หือ?”

 

เปลวไฟลุกโชนขึ้นทันใด ในแววตาของผีกูลเปลี่ยนเป็นคมชัด

 

เพราะมันได้พบกับสองคู่รอยเท้าสีแดงสดที่วิ่งออกไปจากสถานที่แห่งนี้

 

ผีกูลจึงเริ่มคืบคลานอย่างรวดเร็ว ไล่ตามสองรอยเท้านี้ไป

 

การเคลื่อนไหวของมันช่างคล่องแคล่วยิ่งนัก มันออกจากลานกว้างไปอย่างรวดเร็ว และไม่นาน มันก็สามารถมาขวางสองชายหญิงที่อยู่บนทางเดินคฤหาสน์ได้สำเร็จ

 

ทั้งชายหญิงที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความปิติยินดี จู่ๆก็ถูกขวางเอาไว้โดยสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด

 

ผู้หญิงกรีดร้องออกมาในทันใด

 

“คนเป็นๆ … อาหาร .. ”

 

กูลเผยอปาก พร้อมกับเปลวไฟที่หยดย้อยลงจากปากของมัน

 

นี่คือน้ำลาย

 

“ตายซะไอ้สัตว์ประหลาด!” มนุษย์ผู้ชายโบกสะบัดเสื้อคลุมสีดำของเขา

 

ทว่าน่าเสียดาย ที่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“นี่มันเป็นไปไม่ได้!” ผู้ชายร่ำร้องออกมา

 

ว่ากันว่าโดยปกติแล้ว จ้าวมณฑลที่สวมใส่เสื้อคลุมดวงดาราจะมีผู้พิทักษ์คอยปกป้องอยู่

 

แต่ตอนนี้ … ผู้พิทักษ์กลับไม่ปรากฏตัวออกมา?

 

ใช่แล้วล่ะ-

 

ในตอนที่ซูเซี่ยเอ๋อได้สังหารหมู่แปดจ้าวมณฑล บนร่างกายของพวกเขาก็สวมใส่ชุดคลุมดวงดาราเอาไว้เช่นกัน

 

แต่เพราะเหตุใด … ท่านผู้พิทักษ์จึงไม่ปรากฏตัวออกมากัน?

 

ซูเซิงเหวินเริ่มใช้สมองขบคิดอย่างรวดเร็ว

 

แต่ผีกูลก็ดูเหมือนจะไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป มันกระโจนมายังทั้งสองอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง มนุษย์ผู้ชายก็ได้ระเบิดศักยภาพที่ตนไม่เคยเผยมาก่อนออกมา

 

-เขาคว้าร่างของผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ และผลักเธอไปยังทิศทางของผีกูล!

 

“อย่าได้ตำหนิฉัน ฉันเป็นจ้าวมณฑล ดังนั้นฉันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!” ซูเซิงเหวินหันหลังกลับและวิ่งหนีไป

 

ขณะที่ผู้หญิงร่ำร้องอย่างหมดหวัง “ซูเซิงเหวิน! ต่อให้ฉันต้องกลายเป็นผี ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยแกไปแน่!”

 

“ผีหรือ?”

 

พอได้ยินคำนี้ ผีกูลก็พึงตระหนักได้ถึงภารกิจของตน

 

ผีกูลชะงักมือค้างกลางอากาศอย่างรวดเร็ว และตกลงเบื้องหน้าของผู้หญิง

 

มันเผชิญหน้ากับผู้หญิง ปากเอ่ยกล่าวออกมา “เจ้าจะเป็นผี หรือว่าจะเป็นอาหาร จงเลือกมา”

 

ผู้หญิงซึ่งกำลังหมดหวัง แต่หลังจากที่ได้ยินคำนี้ ก็ราวกับเห็นถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

 

เธอไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดใดๆ

 

“ฉันจะเป็นผี! ฉันยินดีที่จะเลือกเป็นผี!” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวซ้ำๆ

 

ผีกูลพยักหน้าด้วยความพอใจ

 

มันย่ำฝีเท้าอย่างนุ่มนวล และกระโจนไปคว้าจับผู้ชายที่กำลังหลบหนีไป

 

ผู้ชายคนนั้นตกใจ และคว้าปืนพกขนาดเล็กขึ้นมา

 

ปัง!

 

กระสุนเหล็กปะทะเข้ากับร่างผีกูล แต่มันก็กระเด็นออกไปโดยตรง

 

ขณะที่อุ้งเล็บเท้าของผีกูลค่อยๆแทงออกไปเบาๆ

 

แล้วร่างของมนุษย์ผู้ชายก็เชื่อมติดเข้ากับกรงเล็บของผีกูล

 

“อ้าาาา!” ผู้ชายคนนั้นร้องโหยหวน

 

แต่เขาไม่มีหนทางใดที่จะต่อต้านกรงเล็บของผีกูลได้เลย

 

ผีกูลนิ่งไปครู่หนึ่ง

 

นิ่งไปจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่สามารถก่อภัยคุกคามใดๆต่อตนเองได้ มันจึงหยุดลงในที่สุด

 

มนุษย์ … ช่างเปราะบางและอ่อนแอเสียจริงๆ

 

เมื่อบังเกิดความคิดนี้วาบเข้ามาในจิตใจของผีกูล

 

มันก็คว้าจับผู้ชายที่เอาแต่ร้องโหยหวนและกลับไปหาผู้หญิง

 

“จงฆ่าเขาและกลายเป็นผีซะ”

 

กูลกล่าวกับผู้หญิง

 

ผู้หญิงทั้งคนทั้งร่างสั่นสะท้าน ปากงึมงำด้วยความสิ้นหวัง “ฉัน … ฉัน … ”

 

แต่ผู้ชายก็ร้องขอความเมตตาออกมา “อย่าฆ่าฉัน! ฉันเป็นสามีของเธอนะ!”

 

ทว่าประโยคนี้กลับได้ผลตรงกันข้าม มันกระตุ้นผู้หญิงอย่างแรง เธอเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ “สามีงั้นหรอ? แล้วเมื่อกี้นี้คุณทำอะไรกับฉัน?”

 

ณ ขณะนี้ กล่าวได้ว่าเธอรู้สึกหดหู่อย่างแท้จริง

 

ทั้งหมดที่ตัวเธอทุ่มเทไปก่อนหน้านี้ มันเพื่ออะไรกันแน่?

 

ถึงแม้ว่าตนจะสามารถคว้าเอาชายที่มีทั้งอิทธิพลและอำนาจชนิดหาตัวจับได้ยากในโลกใบนี้มาไว้ในครอบครองได้ แต่ในเวลานี้เธอกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนต่ออีกฝ่ายอย่างแท้จริง

 

มันคงจะดีกว่า … ถ้าไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก

 

ความสัมพันธ์ …

 

“จิ๊ … ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว เพราะฉันไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกับแกอีก”

 

นี่คือสิ่งที่ลูกสาวของเธอพูดออกมา

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ในช่วงเวลาที่หมดสิ้นซึ่งความหวัง จู่ๆเธอก็นึกถึงลูกสาวของตัวเองขึ้นมา

 

เหตุการณ์ในอดีตทยอยกันวาบผ่านเข้ามาในความทรงจำ

 

ลูกสาวที่อ่อนแอเอ๋ย

 

ลูกสาวที่น่าสงสาร

 

ลูกสาวที่ไม่เคยจะสนใจถึงเรื่องของอำนาจและอิทธิพล

 

-แม่หวังว่าลูกจะดูแลตัวเองได้นะ

 

ทุกชนิดของความอาทรได้ปรากฏขึ้น ความห่วงใยที่ในห้วงอดีตตนเองคิดว่ามันมิใช่สิ่งที่จำเป็นเสมอมา

 

แต่ในเวลานี้ …

 

ตัวเธอเองได้สูญเสียมันไปแล้ว มิอาจดูแลลูกสาวได้อีกตลอดกาล

 

มาดามซูส่ายหัว รอยยิ้มไร้ความปราณีผุดขึ้นมา

 

เธอคว้าปืนจากมือของซูเซิงเหวิน

 

“ฉันผิดไปแล้ว อย่าฆ่าฉัน! เร็วเข้า! คฤหาสน์นี้อยู่ไกลเกินไป เธอจะต้องตะโกนให้สุดเสียงถึงจะขอความช่วยเหลือได้นะ!!”  ซูเซิงเหวินยังคงร้องขอความเมตตา

 

“ไม่หรอก ฉันจะไม่ฆ่าคุณ เพราะฉันไม่อยากจะให้มือของตัวเองต้องสกปรก” มาดามซูกล่าวอย่างสงบ

 

แล้วเธอก็ค่อยๆยกปืนขึ้นมา จี้ปลายกระบอกเข้ากับขมับของตัวเอง

 

เซี่ยเอ๋อ ลูกสาวสุดที่รัก

 

แม่ขอโทษ

 

ปัง!

 

ร่างของมาดามซูทิ้งตัวลง

 

โฮกกก!

 

ผีกูลที่กำลังเฝ้ามองฉากตรงหน้าคำรามคลั่ง

 

มันไม่เข้าใจถึงพฤติกรรมของมนุษย์โดยสมบูรณ์

 

มนุษย์ .. เป็นสิ่งมีชีวิตที่แสนจะซับซ้อน ตามที่บันทึกในสมัยโบราณว่าเอาไว้จริงๆ

 

—ช่างแม่งเถอะ หิวแล้ว ขอเติมเต็มกระเพาะก่อนก็แล้วกัน

 

ดวงตาของผีกูลสลับไปมาระหว่างชายหญิง

 

ผู้หญิงได้ตายไปแล้ว

 

จิตวิญญาณก็จากไปแล้วเช่นกัน

 

ดังนั้น ดวงตาของผีกูลจึงมาตกลงมาร่างของผู้ชาย

 

มันค่อยๆอ้าปากที่ลุกไหม้ไปด้วยเปลวไฟขึ้น แล้วงับ! กัดกระชากแขนของผู้ชายอย่างแรงจนขาดกระเด็น

 

เลือดไหลทะลักออกมา

 

“อ๊ากกกกกกกก”

 

ชายคนนั้นกรีดร้องเสียงดังยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก

 

ทว่าผีกูลกลับทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน

 

ห้วงสติและอารมณ์ของมันกำลังแช่อยู่กับความเอร็ดอร่อยของอาหาร

 

เนื้อหนังสดๆที่มีจิตวิญญาณ!

 

นี่นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อร่อยที่สุด นับตั้งแต่ที่มันได้กินมาในช่วงหลายร้อยปี

 

ผีกูลอ้าปากอีกครั้ง และเริ่มงับ! ตามด้วยกระชากอย่างรวดเร็ว

 

มันกัดกินจิตวิญญาณและร่างกายของผู้ชาย ทั้งๆที่อีกฝ่ายยังคงมีชีวิตอยู่

 

….

 

ในขณะเดียวกัน

 

ณ ขั้วโลกเหนือ

 

บนจุดสูงสุด

 

กระท่อมได้ถูกทำลายลงไปแล้ว

 

ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลใหญ่นอนหมอบอยู่กับพื้น คล้ายกำลังใกล้ตาย

 

เธออาเจียนออกมาเป็นเลือด ปากเอ่ยถามอย่างไม่ยินยอม “สถานที่แห่งนี้เป็นโลกกระจัดกระจายชัดๆ มันอยู่ในมุมที่แสนธรรมดา นอกสุดห้วงจักรวาล แล้วทำไมกัน-”

 

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “ก็เพราะว่าที่นี่มันธรรมดาน่ะซี ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่ามันเป็นที่ซ่อนของสุสานแห่งโลก”

 

“สุสานแห่งโลก … ” ผู้พิทักษ์กล่าวด้วยความสับสน

 

อีกเสียงหนึ่งเอ่ยหยันออกมา “ยังไงก็ตาม ในเมื่อเจ้าเจอพวกเรา และได้ยินถึงสิ่งนี้แล้ว ดังนั้นก็ควรตายซะ”

 

คมแหลมของน้ำแข็งชี้มาทางหัวของผู้พิทักษ์เก้าตระกูล

 

ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลรู้ว่าตนจักต้องตกตายเป็นแน่ เธอจึงเร่งตะโกนออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว “ข้าอนุมัติ! ปลดปล่อยพันธนาการทั้งหมดของเจ้า จงดูแลเธอให้ดี!”

 

ทันทีที่เสียงนี้ตกลง ทั้งคนทั้งร่างของเธอก็ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ

 

กระแสลมหอนของขั้วโลกเหนือพัดกระพือ ปัดเป่าเศษเลือดเนื้อที่ถูกสับหายไปในพริบตา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

อีกเสียงก่อนหน้านี้ก็ดังขึ้น “ประโยคสุดท้ายที่มันพูดออกมา หมายความว่าอย่างไร?”

 

“ไม่รู้สิ ก็แกรีบฆ่ามันเกินไปนี่”

 

“เหอะ คงไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้นแหละ อย่ากังวลไปเลย”

 

แล้วพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 

“ตกลงแน่ใจนะว่าเป็นที่นี่?”

 

“ยังไม่มีวิธีตรวจสอบที่แน่ชัด แต่โลกแห่งนี้พึ่งเกิดการผสานรวม ดังนั้นเลยอาจจะเกิดความผันผวนขึ้นได้”

 

“อ่า เราก็มาสำรวจกันอีกครั้งเถอะ ถ้าหากที่นี่เป็นสุสานแห่งโลกจริงๆแล้วล่ะก็ … ”

 

 

ในห้วงจักรวาล

 

ภายในป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า

 

บนจอม่านแสงขนาดใหญ่ การศึกษาวิจัยได้มาอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว

 

“โปรเจ็ค : การวิจัยกฏเกณฑ์ขั้นสูงและการยับยั้งพลังงานของโลก”

 

“ความคืบหน้างานวิจัย : 99.999999%”

 

“ระยะเวลาการวิจัยขยายออกไปไม่มีกำหนด”

 

“ข้อสรุป : สูตรสุดท้ายจะต้องได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยบางอย่าง และไม่สามารถที่จะจบการศึกษาวิจัยโดยสมบูรณ์ได้ในเวลานี้”

 

“เตรียมรายงานต่อบุคคลวงในทั้งสอง”

 

แต่แล้วจู่ๆ ตัวอักษรบนจอม่านแสงก็นิ่งงันไปอย่างกระทันหัน

 

ตลอดทั้งยานอวกาศจมลงสู่ความเงียบ

 

หลงเหลือเพียงบรรทัดแสงตัวอักษรใหม่ที่ปรากฏขึ้นบนจอม่านแสงอย่างต่อเนื่อง

 

“ได้รับคำสั่งจากเจ้านายผู้มีอำนาจสูงสุด”

 

“คำสั่งนี้ ถือเป็นคำสั่งสุดท้ายก่อนสิ้นใจ

 

“เนื้อหาของคำสั่ง : ปลดปล่อยพันธนาการ”

 

“คำร้องของคำสั่ง : จงปกป้องซูเซี่ยเอ๋อ”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.490 – เสื้อคลุมดวงดารา

 

“ต้องการเสื้อคลุมดวงดาราอย่างงั้นหรอ .. ”

 

ซูเซี่ยเอ๋องึมงำ

 

ทันใดนั้น เธอก็กวาดมือออกไป พร้อมกับเสื้อคลุมสีดำที่เต็มไปด้วยดวงดาราปรากฏขึ้นมาในฉับพลัน

 

เมื่อได้เห็นถึงเสื้อคลุมนี้ สีหน้าของทั้งแปดจ้าวมณฑลก็แปรเปลี่ยนไป

 

ซูเซี่ยเอ๋อไม่ทราบเกี่ยวกับมันก็จริง แต่สำหรับแปดจ้าวมณฑลที่เหลือแล้วพวกเขารู้!

 

ว่ายามใดที่สวมใส่เสื้อคลุม ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลก็จะสามารถเฝ้ามองถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้

 

เสื้อคลุมนี้จึงเปรียบดั่งเกราะคุ้มภัยอันยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับจ้าวมณฑลทั้งเก้า

 

ดังนั้น พวกเขาจึงกล้าที่จะจัดการกับพ่อแม่ของซูเซี่ยเอ๋อ ทว่าไม่กล้าที่จะลงมือกับซูเซี่ยเอ๋อโดยตรงตั้งแต่แรก

 

แม้แต่กับซูเซี่ยเอ๋อพวกเขายังจะต้องลงมือผ่านพ่อแม่ นับประสาอะไรกับยามที่เสื้อคลุมปรากฏขึ้นมา คงไม่ต้องกล่าวถึง พวกเขาจึงยินดีละทิ้งโอกาสนี้ แล้วค่อยไปลงมือเอาคราวหน้าก็ได้

 

“หยุดมือ!” แปดจ้าวมณฑลเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน

 

ซูเซี่ยเอ๋อเป็นคนแรกที่ผ่านการสืบทอดความแข็งแกร่งในรอบหลายพันปี เป็นคนที่ได้รับการโปรดปรานจากท่านผู้พิทักษ์

 

และพวกเขาไม่กล้าที่จะให้ท่านผูิพิทักษ์ค้นพบว่า พวกตนกำลังจะจัดการกับซูเซี่ยเอ๋ออยู่

 

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดหยุดการโจมตี ปากอ้าหอบหายใจหนักหน่วง

 

ทุกชนิดของเทคนิคมนตราได้ระเบิดการโจมตีไปเป็นเวลานาน แต่กลับไม่สามารถทำร้ายตระกูลซูทั้งสามคนได้เลย ยิ่งนาน ในหัวใจของผู้ฝึกยุทธอดไม่ได้ที่จะยิ่งท้อมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

พวกเขาฝึกฝนมาได้ถึงระดับหนึ่ง แถมยังสามารถปลุกการรับรู้ทางพลังวิญญาณให้ตื่นขึ้นมาแล้วอีกด้วย

 

ทั้งหมดจึงมีลางสังหรณ์อันบางเบา มันเป็นสังหรณ์ร้ายผุดเข้ามาในการรับรู้ทางพลังวิญญาณของเหล่าผู้ฝึกยุทธชั้นยอดเหล่านี้

 

ดังนั้น เมื่อได้รับฟัง ทั้งหมดจึงฉวยโอกาสนี้หยุดมือทันที

 

ตลอดทั้งลานเงียบสงัด

 

ท่ามกลางความเงียบ สายตาทั้งหมดต่างจ้องมองมายังซูเซี่ยเอ๋อ

 

“นี่มันเรื่องจริงงั้นหรือนี่?”

 

“นั่นน่ะเหรอเสื้อคลุมดวงดาราที่เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงสถานะของจ้าวมณฑล?”

 

“ดูเหมือนว่าจะใช่นะ”

 

“เสื้อคลุมนั้นสวยจัง!”

 

“ปรากฏว่าตำนานเป็นความจริงสินะ”

 

….

 

ผู้คนต่างลดเสียง และเริ่มกระซิบกระซาบ

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองซูเซิงเหวินกับมาดามซูด้วยสายตาที่ราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า

 

เธอถือเสื้อคลุมดวงดาราเดินตรงไปหาพ่อแม่ของตัวเอง

 

“ท่านพ่อ ท่านแม่ เสื้อคลุมอยู่นี่แล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่หนูอยากจะบอกกับท่านให้มันชัดเจน”

 

“เซี่ยเอ๋อ เจ้าพูดมาได้เลย”

 

“เมื่อท่านเอาเสื้อคลุมนี่ไปแล้ว ตัวหนูจะถือว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซูอีกต่อไป ถ้าตกลงให้หนูออกจากตระกูลซู พ่อกับแม่ก็เอาเสื้อคลุมนี้ไปได้เลย”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพูดอย่างใจเย็น

 

ขณะที่ภายในดวงตาของเธอ ประกายสุดท้ายจากหยาดน้ำใสๆได้ผุดออกมา

 

“พูดอะไรไร้สาระ!” ซูเซิงเหวินตะโกน “ต่อให้เสื้อคลุมอยู่ในมือพ่อ เจ้าก็ยังเป็นลูกสาวของพ่ออยู่ดี”

 

เขาคว้าเสื้อคลุม และสวมมันทับใส่ตนเอง

 

บังเกิดความปั่นป่วนขึ้นในฝูงชน

 

แบบนี้ ก็แสดงว่าเสื้อคลุมดวงดาราของตระกูลซู ได้ถูกเปลี่ยนมือไปแล้วใช่ไหม?

 

ผู้คนอดไม่ได้ที่จะระงับเสียงของตนเอง

 

กระทั่งใบหน้าของทั้งแปดจ้าวมณฑล ก็ยังเผยถึงความซับซ้อน

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองดูเสื้อคลุมที่พ่อของเธอสวมใส่ ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ … ”

 

เธอลดหัวลง พร้อมกับประกายระยับในแววตาที่หายไป

 

ไม่มีใครสามารถมองเห็นสีหน้าของเธอในเวลานี้ได้

 

มาดามซูเดินมาจะดึงลูกสาวเข้าไปกอด

 

“ลูกสาวที่ดี-”

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อกลับก้าวถอยหลัง หลบฉากออกมา

 

เธอเลี่ยงมือของมาดามซู และหันไปมองอีกแปดจ้าวมณฑล

 

“อีกเรื่องหนึ่ง”

 

“พวกคุณต้องล้มเลิกการก่อตั้งสหพันธ์พันธมิตรผู้ฝึกยุทธซะ” เธอกล่าว

 

คราวนี้ฝูงชนโดยรอบล้วนตกตะลึง

 

แต่ละคนต่างหันไปสบตากับคนข้างๆ

 

ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าสถานการณ์มันจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบนี้

 

เพื่อก่อตั้งสหพันธ์พันธมิตรขึ้น ทางเก้าตระกูลใหญ่จำต้องทุ่มออกด้วยความพยายามเป็นอย่างมาก

 

มันคือองค์กรที่จะใช้เพื่อยึดครองและนำพาผู้คนทั้งโลก แต่ตอนนี้ ซูเซี่ยเอ๋อกลับประกาศออกมาว่าให้ทุกคนล้มเลิกมันไปซะ

 

ผู้คนจ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชา

 

“เจ้าไม่ใช่จ้าวมณฑลอีกต่อไปแล้ว!” จ้าวมณฑลคนหนึ่งกล่าว

 

ขณะที่จ้าวมณฑลคนอื่นๆส่งสัญญาณทางสายตาให้กันและกัน

 

บัดนี้ ซูเซี่ยเอ๋อมิได้ครอบครองชุดคลุมดวงดาราอีกต่อไป

 

ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าท่านผู้พิทักษ์จะเห็นถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ตอนนี้ พวกเขาสามารถลงมือจัดการกับซูเซี่ยเอ๋อได้เลยโดยตรง

 

ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่ก็น่าจะมีจุดอ่อนอยู่บ้างแหละน่า

 

จับเธอได้เมื่อไหร่ ก็จะค่อยๆทรมานเธอจนคายความลับออกมา จากนั้นเก้าตระกูลใหญ่ก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

 

นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ

 

หนึ่งในจ้าวมณฑลอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความปิติในหัวใจ เขาหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “เรื่องใหญ่แบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวตัวน้อยๆจะตัดสินใจได้หรอก”

 

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว “ไม่ หนูมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้”

 

ว่าแล้ว เธอก็เคาะคทาลงกับพื้นเบาๆ

 

ปัง!!

 

พื้นโลกบังเกิดการสั่นสะเทือนเป็นระลอกคลื่น

 

เงาสีเทาสูงตระหง่านผุดออกมาจากเมฆบนฟ้า ตกลงมาตรงประตูลานกว้าง

 

มันคือมอนสเตอร์ที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน

 

โดยไม่ต้องรีรอให้ฝูงชนตื่นตระหนก เหล่าผู้รักษาความปลอดภัยในสถานที่ดังกล่าวก็เข้าตอบโต้ทันที

 

ทุกชนิดของอาวุธที่ทันสมัย ผสานไปด้วยเทคนิคมนตราระเบิดเข้าใส่มอนสเตอร์ตัวนั้น

 

ประกายไฟที่งดงามกระจัดกระจายไปทั่ว

 

ทว่ามอนสเตอร์กลับดูจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

 

บรรดาจ้าวมณฑลมองหน้ากัน และเห็นถึงความประหลาดใจในแววตาของอีกฝ่าย

 

ซูเซี่ยเอ๋อสามารถควบคุมมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ได้หรือนี่?

 

แถมยังเป็นมอนสเตอร์ที่ต่อให้พวกเขารุมโจมตีด้วยอาวุธและมนตราที่รุนแรงที่สุด ก็ยังไม่ได้รับอันตรายใดๆแม้เพียงน้อย

 

ซูเซี่ยเอ๋อทำได้อย่างไรกัน?

 

“นี่ใช่เป็นการทักทายหรือไม่? พวกเขาดูกระตือรือร้นที่จะต้อนรับข้ามากทีเดียว” มอนสเตอร์เอ่ยถามด้วยความภาคภูมิในตนเอง

 

มีเพียงคำพูดของซูเซี่ยเอ๋อคนเดียวเท่านั้น ที่มันสามารถเข้าใจได้

 

“เปล่าหรอก พวกเขากำลังใช้พลังของตนเองโจมตีเจ้าอยู่น่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

“อ่าว เป็นงั้นหรอกหรือ?” มอนสเตอร์แลดูจะผิดหวังเล็กน้อย

 

ในเวลานั้นเอง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุดก็ทะยานตัวขึ้น หมายจะโจมตีเข้าใส่มอนสเตอร์

 

และเขาคือผู้ที่มีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกยุทธในฉากนี้

 

“บ๊ะ!”

 

มอนสเตอร์ถ่มน้ำลายใส่ผู้ฝึกยุทธ

 

แล้วผู้ฝึกยุทธขั้นแก่นทองคำก็กรีดร้องอย่างน่าเวทยาออกมา บังเกิดกระแสลมอันแข็งกร้าวฉีกกระชากร่างกายของเขา ผสานไปกับน้ำลายที่กัดกร่อนเลือดเนื้ออย่างรวดเร็ว

 

พริบตาเดียว ทั้งคนทั้งร่างก็หลงเหลือเพียงไม่กี่ส่วน และถูกพัดพาไปกับสายลม

 

ผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งฉากสั่นสะท้าน

 

ซูเซี่ยเอ๋อลูบไล้คทาของเธอ ย่ำลงบนพื้นดินอย่างแผ่วเบา

 

เธอลอยตัวขึ้นไปเหนือหัวของมอนสเตอร์ยักษ์ กดสายตาลงมองทุกชีวิตที่อยู่เบื้องล่าง

 

มอนสเตอร์สัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจของเธอ มันจึงเอ่ยเตือนออกมา “ดูเหมือนว่าเกือบทุกคนจะเป็นคนที่ท่านรู้จัก ท่านต้องการที่จะทำแบบนี้จริงๆน่ะหรือ?”

 

“ไม่จำเป็นต้องพูด ฉันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว”

 

ซูเซี่ยเอ่อกล่าวสิ่งที่ตนคิด

 

เธอยื่นคทาออกมา และโบกมันไปทางเบื้องล่าง

 

บังเกิดแสงสีขาวพิสุทธิ์พวยพุ่งจากคทา

 

แสงสีขาวนี้กวาดลงไปตลอดทั้งลานกว้าง โดยที่ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ

 

จ้าวมณฑลทั้งแปดและหลายร้อยผู้ฝึกยุทธ หรือแม้กระทั่งผู้คนทั้งหมดในงานล้วนมิอาจต้านทานได้

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าแสงพิสุทธิ์นี้ พวกเขาไม่มีเวลาแม้จะกรีดร้องด้วยความอนาถ แขนขาถูกแยกออก อวัยวะกระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ

 

ลานกว้างที่เมื่อครู่พลุกพล่านและคึกคักไปด้วยเจ้าของงานและแขกเหรื่อ ได้กลายเป็นทะเลเลือดในพริบตา

 

หลงเหลือเพียงซูเซิงเหวินกับมาดามซูเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่

 

ทั้งสองสั่นสะท้านท่ามกลางซากศพ

 

ซูเซี่ยเอ๋อหลับตาลงแล้วสูดหายใจลึก

 

ดูเหมือนว่าเธอกำลังรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่าง

 

“นายหญิง ขอแสดงความยินดีด้วยสำหรับการรับรู้ถึงความตื่นเต้นในการสังหาร” มอนสเตอร์คำราม

 

“นี่น่ะหรือคือความตื่นเต้นในการสังหาร?”

 

“ถูกต้องแล้ว” มอนสเตอร์โบกไม้โบกมือของมันด้วยความปิติ

 

“ … ไม่ใช่หรอก”

 

ซูเซี่ยเอ๋อลืมตาและกล่าว “นี่มันเป็นแค่วิธีการแก้ปัญหาง่ายๆ และฉันเองก็ไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย” เธอกล่าว

 

“ไม่รู้สึกงั้นหรือ?” มอนสเตอร์เผยถึงความประหลาดใจ

 

“แน่นอน เพราะพวกเขาพึ่งจะตายเท่านั้น และมันยังไม่จบลงแค่นี้”

 

ซูเซี่ยเอ๋ออธิบายและยกคทาในมือขึ้น

 

พร้อมกับร่างลวงตานับไม่ถ้วนถูกยกสูงขึ้นด้วยพลังที่มองไม่เห็นลอยขึ้นมาเหนือลานกว้าง

 

วิญญาณเหล่านี้ได้ตระหนักถึงสายตาของซูเซี่ยเอ๋อ

 

วิญญาณทั้งหมดพยายาที่จะหลบหนีออกไป แต่ก็ถูกกักขังอยู่ในบริเวณดังกล่าว และไม่สามารถออกไปไหนได้เลย

 

ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองไปยังจิตวิญญาณเหล่านั้น

 

เธอยกคทาขึ้นและชี้ไปที่วิญญาณทั้งหลายที่พึ่งจะสูญเสียร่างกายของตัวเองไป

 

“จงหลอมรวม” เธอเอ่ยสั่ง

 

คทาในมือวูบไหว

 

หลายร้อยวิญญาณต่างพากันเปล่งเสียงสลดขึ้นในเวลาเดียวกัน

 

วิญญาณเหล่านั้นแตกกระจายโดยสิ้นเชิง กลายเป็นจุดแสงสีดำ

 

จุดแสงเหล่านั้นหลอมรวมกันเป็นก้อนทรงสี่เหลี่ยมและถูกดูดซึมเข้าไปในคทา

 

ขณะที่สีของคทาแลดูจะเข้มขึ้น

 

ซูเซี่ยเอ๋อใช้นิ้วมืออีกข้างเคาะเบาๆลงบนหัวคทา

 

และใบหน้าของมนุษย์นับไม่ถ้วนก็ผุดออกมาจากคทา จ้องมองเธอด้วยความหวาดกลัว

 

พวกเขาอ้าขยับปาก พยายามร้องตะโกนขอความเมตตาแต่ก็ไม่สามาถส่งเสียงใดๆได้เลย

 

ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองคนเหล่านั้นที่กำลังเจ็บปวดและหวาดกลัว

 

คิ้วที่ขมวดมุ่นของเธอค่อยๆคลายลง

 

ใช่แล้วล่ะ การแบ่งหรือหลอมรวมวิญญาณน่ะ มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดยิ่ง

 

ความตายจะนับว่าเป็นสิ่งใดกัน เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดนี้?

 

“เจ้าลองมองดูสิ จับพวกเขาเอาไว้แบบนี้ แล้วทรมานจิตวิญญาณของพวกเขา … มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าซะอีก … ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อหันไปกล่าวกับมอนสเตอร์

 

มอนสเตอร์มองไปยังวิญญาณที่กำลังถูกหลอมรวมเข้าด้วยเจ็บปวด ขณะที่ได้ยินเสียงกระซิบเย็นชาของซูเซี่ยเอ๋อ มันก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

 

“มีอะไรงั้นหรอ?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“ไม่มีสิ่งใด นายหญิงที่เคารพของข้า ข้าพร้อมและยินดีที่จะรับใช้ท่านเสมอ” มอนสเตอร์กล่าวด้วยความเคารพ

 

มันพยายามที่จะสงบสติอารมณ์

 

แต่ทันใดนั้นการแสดงออกทางสีหน้าของซูเซี่ยเอ๋อก็เปลี่ยนไปทันใด

 

เธอเก็บวิญญาณที่กำลังเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหล่านั้น และเคาะคทาลงบนหัวของมอนสเตอร์เบาๆ

 

มอนสเตอร์รู้ถึงสิ่งที่เธอกำลังจะสื่อได้ทันที

 

มันพาซูเซี่ยเอ๋อทะยานสู่ฟากฟ้า และจากไป

 

มีเพียงซูเซิงเหวินกับมาดามซูเท่านั้นที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

 

ซูเซี่ยเอ๋อไม่ได้เหลือบมองทั้งสองอีกเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

 

แต่หลังจากที่ซูเซี่ยเอ๋อจากไปแล้ว ซูเซิงเหวินกับมาดามซูก็เผยสีหน้าปิติยินดีออกมาทันใด

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ลูกสาวของฉันแข็งแกร่งจริงๆ! คราวนี้ล่ะ ยังจะมีใครอีกที่กล้าขัดขืนฉัน!” ซูเซิงเหวินกล่าว

 

“แต่ดูเหมือนว่าเธอจะโกรธพวกเรานิดหน่อยนะ” มาดามซูกังวล

 

“ไม่เป็นไรหรอก!” ซูเซิงเหวินลูบไล้เสื้อคลุมดวงดาราบนตัวเขา “ยังไงเธอก็เป็นลูกสาวของพวกเรา เอาไว้ค่อยหาโอกาสกล่อมเธอทีหลังก็ได้”

 

ซูเซี่ยเอ๋อทรงพลังเช่นนี้ มันมากพอแล้วที่จะกำจัดปัญหาทั้งหมดในคราเดียว

 

-ตัวเขายังมีอีกหลายสิ่งที่จำเป็นต้องพึ่งพาเธอในอนาคต!

 

มาดามซูตบหลังซูเซิงเหวิน “ตอนนี้พวกคนสำคัญๆของอีกทั้งแปดตระกูลก็ได้ตายลงไปแล้ว พวกเราจะต้องรีบกลับไปยังตระกูลซู เพื่อเตรียมการบางอย่างทันที แล้วเร่งลงมือให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด!”

 

“เธอพูดถูก! พูดถูกแล้ว!”

 

ซูเซิงเหวินตระหนักได้ทันที เขาพยักหน้าครั้งแล้ว ครั้งเล่า

 

ในขณะนั้นเอง พวกเขาก็ทำเป็นตามืดบอด ไม่สนใจซากแขนขาและเลือดบนพื้น รีบออกจากลานกว้างไปทันที

 

ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเร่งลงมือทำ

 

ตระกูลซูจะต้องกลายเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในสหพันธรัฐรัฐบาลกลาง!

 

รอยเท้าเลือดสองคู่ย่ำเป็นทาง ไม่นานก็วิ่งหายไปไกล

 

 

มอนสเตอร์บินอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนอันไร้ที่สิ้นสุด

 

ซูเซี่ยเอ่อยืนอยู่เหนือหัวของมัน สีหน้าปรากฏถึงความสับสน

 

“นายหญิง ข้าคิดว่าท่านต้องการจะหลอมรวมจิตวิญญาณให้ดีเสียก่อน แล้วเหตุใดจึงเร่งข้าให้ออกมากัน?” มอนสเตอร์ถามด้วยความงงงวย

 

“เพราะมีเรื่องฉุกเฉินที่ฉันจะต้องจัดการน่ะสิ” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยตอบ

 

ในสายตาของเธอ ปรากฏหนึ่งบรรทัดเส้นแสงขึ้น

 

“อาจารย์ฝึกสอนของคุณกำลังจะกลับมายังเกาะหมอก กรุณากลับไปทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อถอนหายใจ

 

เธอจะต้องเร่งกลับไปยังเกาะหมอกทันที

 

แต่ยังไงก็ตาม ผู้ปกครองและตัวตนทรงพลังของเก้าตระกูลใหญ่เกือบทั้งหมดก็ได้ถูกสังหารลงแล้ว ดังนั้นส่วนที่เหลือของเรื่องนี้ก็มอบหมายให้ประธานาธิบดีกับสมเด็จพระจักรพรรดินีเป็นคนจัดการก็แล้วกัน

 

หากไม่ไหวจริงๆ ก็ฝากให้เย่เฟย์หยู

 

เพราะคนๆนี้คือกำลังรบที่ยอดเยี่ยมที่สุด

 

ฉิงซาน …

 

เมื่อถึงเวลาที่เขากลับมา ทุกสิ่งอย่างจะต้องเป็นระบบระเบียบ

 

ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อปรากฏภาพของกู่ฉิงซานขึ้นมา มุมปากของเธออดไม่ได้ที่จะยกสูงขึ้น

 

ตราบใดที่นึกถึงเขา ความทุกข์ตรมทั้งหมดก็ดูเหมือนว่าจะไม่สำคัญอะไร

 

วินาทีต่อมา ม่านรังสีแสงก็ปรากฏขึ้น เข้าปกคลุมร่างของซูเซี่ยเอ๋อ

 

แล้วเธอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมๆกับมอนสเตอร์ยักษ์

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.489 – นายหญิงแห่งเกาะหมอก (3)

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังสีหน้าเฉื่อยชาของพ่อแม่ ในหัวใจก็อดรู้สึกเศร้าหมองไม่ได้

 

ชัดเจนว่าพวกเขาถูกควบคุมด้วยเทคนิคมนตราบางอย่าง

 

และเทคนิคมนตรานี้ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งร่างกายและจิตใจของพวกเขา

 

ซูเซี่ยเอ๋อวาดคทาออกไป

 

“ถวายสายโลหิต”

 

ปากเปล่งเสียงกระซิบ

 

สายโลหิตเส้นเล็กๆผุดออกมาจากตัวเธอ มันเวียนว่ายในอากาศเข้าไปเชื่อมต่อกับพ่อแม่

 

ใบหน้าของซูเซิงเหวินและมาดามซูค่อยๆปรากฏเลือดฝาด คู่ดวงตาที่เมื่อครู่ราวกับมีเมฆหมอกขุ่นมัวค่อยๆกลับมากระจ่างใสอีกครั้ง

 

ไม่นาน อาการบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจของพวกเขาก็ได้รับการรักษาโดยสมบูรณ์

 

แต่ตรงกันข้าม ใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อกลับเปลี่ยนเป็นซีดขาวแทน

 

เม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาบนหน้าผากอันเกลี้ยงเกลาของเธอ

 

เหนื่อยจัง

 

ต้องใช้พลังมากจริงๆ

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ผู้อื่นโดยใช้พลังกายและใจของตนเองโดยลำพัง

 

เธอต้องแบกรับความเจ็บปวดของทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน

 

แต่เพราะนี่คือพ่อแม่ ดังนั้นซูเซี่ยเอ๋อจึงเต็มใจ

 

“ท่านพ่อท่านแม่ ใครกันที่ทำร้ายพวกท่าน ตอนนี้สามารถบอกกับหนูได้นะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

ขณะที่จ้าวมณฑลคนอื่นๆ ยืนรับฟังจากระยะไกลอย่างเงียบๆ

 

ในเวลานี้ ทั้งหมดต่างเริ่มส่งสัญญาณทางสายตาออกไป

 

ในฝูงชน ตัวตนที่ทรงพลังเริ่มที่จะเตรียมตัว

 

แต่ซูเซิงเหวินที่ยืนอยู่กลับถอนหายใจยาวออกมา สีหน้าเริ่มจะหมองคล้ำคล้ายกำลังแสดงออกถึงความละอายใจ

 

ส่วนมาดามซูก็ก้มหน้าลงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรเช่นกัน

 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับในครั้งสุดท้ายที่จำได้ เริ่มที่จะถูกรื้อฟื้นกลับมา

 

“บอกมาเถอะ หนูจะไม่ยอมปล่อยพวกมันไปแน่ๆ!” ซูเซี่ยเอ๋อกระตุ้น

 

ซูเซิงเหวินมองมายังซูเซี่ยเอ๋ฮด้วยสีหน้าซับซ้อน แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรอยู่ดี

 

“ช่างมันเถอะเซี่ยเอ๋อ ผู้คนที่อยู่ภายใต้คำสั่งของพวกเขามันน่าหวาดกลัวเกินไป” มาดามซูเปล่งเสียงอ่อนอันหาได้ยากยิ่ง

 

ซูเซี่ยเอ๋อเปล่งน้ำเสียงเด็ดขาด “ไม่มีทางซะล่ะ! ไม่ว่าใครก็ตามที่แตะต้องคนที่หนูรัก หนูจะสั่งสอนมันให้รู้ซึ้งถึงคำว่าเสียใจเอง!”

 

เธอกัดฟันและกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ท่านแม่วางใจเถอะ ต่อให้พวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหนู-”

 

ยังไม่ทันทีเสียงจะตกลง หลายสิบเงาดำก็ผุดออกมาอย่างกระทันหัน และพรวดเข้าหาซูเซี่ยเอ๋อจากทุกทิศทาง

 

ขณะเดียวกัน พื้นที่บริเวณโดยรอบของตระกูลหวง ก็ได้ถูกปิดล้อมอย่างแน่นหนา

 

นับจากช่วงเวลานี้ไป ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในตระกูลหวง  ภายนอกก็จะไม่มีทางล่วงรู้

 

ซูเซี่ยเอ๋อหันไปมองรอบๆ

 

เห็นแค่เพียงหลายสิบผู้ฝึกยุทธเริ่มพากันชักอาวุธออกมา ถลาตัวทั้งทิ่มทั้งแทงคมแหลมของมันมาที่เธอ

 

คนเหล่านี้เดิมทีเป็นคนที่คอยยืนอยู่เบื้องหลังของจ้าวมณฑลแต่ละคน พวกเขาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว

 

และยังเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย

 

ทั้งหมดทุ่มพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าจะสังหารอีกฝ่ายได้ในคราเดียว!

 

ในช่วงเวลาแสนอันตรายนี้เอง ซูเซี่ยเอ๋อก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ได้ในที่สุด

 

ที่แท้ นี่ก็คือแผนของอีกแปดตระกูลที่คิดจะโค่นล้มตระกูลซูนี่เอง!

 

ซูเซี่ยเอ๋อยิ้มหยัน คทาในมือถูกกุมแน่น ปากอ้าขยับเพียงไม่กี่คำ

 

“จงตายให้หมด”

 

โผล๊ะ! โผล๊ะ! โผล๊ะ! โผล๊ะ!

 

ผู้ฝึกยุทธคนแล้วคนเล่าที่วิ่งเข้ามาทยอยกันระเบิดตัวแตก และกลายเป็นละอองเลือดเนื้อลอยคลุ้งในอากาศ

 

ฝนเลือดโปรยปรายลงมา

 

พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้น

 

ฝูงชนเริ่มที่จะหวาดกลัวและตกอยู่ในความอลหม่าน

 

อย่างไรก็ตาม ซูเซี่ยเอ๋อกลับหาได้แยแสเสียงนกกาเหล่านั้นไม่ เธอเพียงวาดคทาออกไปยังเหล่าเศษซากศพ

 

เธอเอ่ยพึมพำอะไรบางอย่าง

 

และด้วยคำเอ่ยเพียงไม่กี่คำของเธอ หลายสิบร่างลวงตาที่กำลังจะผุดลุกขึ้นจากซากศพ ก็ได้ถูกหยุดด้วยพลังที่มองไม่เห็นและดึงตัวกลับมา

 

และหากลองสังเกตดีๆ คุณจะพบว่าร่างลวงตาหลายสิบเหล่านั้น ไม่แตกต่างไปจากกลุ่มผู้ฝึกยุทธเมื่อครู่เลย

 

นี่คือจิตวิญญาณของพวกเขา

 

ซูเซี่ยเอ๋อดูจะเกิดความชิงชังอย่างสุดแสน แม้กระทั่งจิตวิญญาณของพวกเขา เธอก็ไม่ยินดีที่จะปล่อยไป

 

“ไหนขอให้ฉันดูความทรงจำของพวกแกหน่อยซิ” ซูเซี่ยเอ๋อเปล่งเสียงกระซิบ

 

–คนเหล่านี้เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของจ้าวมณฑล ดังนั้นทั้งหมดจึงได้คอยติดตามเหล่าจ้าวมณฑลอย่างใกล้ชิด มีหน้าที่รับผิดชอบให้พวกเขาปลอดภัย

 

ดังนั้น จิตวิญญาณเหล่านี้จะต้องล่วงรู้ถึงความลับมากมายแน่ๆ

 

ซูเซี่ยเอ๋อลอบสาบานอย่างลับๆว่าจะต้องหาคนที่วางกับดักพ่อแม่เธอให้จงได้!

 

หมอกสีเทาลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ และไม่ช้าก็รวมตัวกันเป็นบอลคริสตัล

 

ซูเซี่ยเอ๋อคว้าจับบอลคริสตัลและเริ่มทำการสำรวจไปหลายสิบฉาก

 

“เหล่าผู้ทรงพลังทั้งหลาย!” จ้าวมณฑลคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา

 

“ทั้งหมดจงไปสังหารเธอซะ!” อีกจ้าวมณฑลสั่ง

 

ผู้ฝึกยุทธในสถานที่ดังกล่าว คนแล้วคนเล่าพากันโจมตีไปทางซูเซี่ยเอ๋อ

 

ทว่าช่างน่าฉงนนัก เพราะดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างขนาดใหญ่และมองไม่เห็นคอยขัดขวางอยู่รอบตัวของซูเซี่ยเอ๋อ ไม่ว่าพวกเขาจะโจมตีเช่นไร มันก็ไม่อาจทำให้เธอและพ่อแม่ได้รับบาดเจ็บได้เลย

 

ซูเซี่ยเอ๋อยังคงก้มหน้า และเพ่งสมาธิดูบอลคริสตัลต่อไป

 

ภายในบอลคริสตัล ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยกับฉากภาพเคลื่อนไหว ก็ล้วนแสดงออกมาพร้อมกัน

 

เกือบจะในทันที ความจริงของพ่อแม่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูเซี่ยเอ๋อ

 

เห็นแค่เพียงภายในบอลคริสตัล อีกแปดจ้าวมณฑลกำลังปรึกษาถึงเรื่องนี้กันอย่างลับๆ

 

“ซูเซี่ยเอ๋อปฏิเสธคู่ครองทุกคนที่พวกเราแนะนำไป” จ้าวมณฑลถอนหายใจ

 

“เธอคงไม่คิดจะแต่งงานกับผู้สืบทอดโดยตรงของพวกเรา”

 

“นั่นสิ”

 

“ทำไมถึงทำตัวไม่มีเหตุผลแบบนี้!”

 

บังเกิดความวุ่นวายเล็กๆน้อยๆขึ้น

 

ใครคนหนึ่งตบลงบนโต๊ะ แล้วกล่าวด้วยความโกรธว่า “ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ แต่เธอมักจะปฏิเสธที่จะร่วมมือกับพวกเราในทุกๆเรื่องเลย!”

 

อีกคนกล่าวอย่างใจเย็น “ในพิธีสืบทอดมรดก มีจ้าวมณฑลมากมายที่เลือกจะสืบทอดความแข็งแกร่ง แต่จากทั้งหมดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีเพียงซูเซี่ยเอ๋อเท่านั้นที่รอดชีวิตกลับมาได้”

 

อีกคนกล่าวทันที “แต่เธอก็เลือกที่จะเก็บความลับนั้นไว้ ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลของมันแก่เรา!”

 

อีกคนหนึ่งกล่าว “หลังจากที่ได้กลายเป็นจ้าวมณฑล เธอก็ไม่เคยรับงานที่ได้มอบหมาย และไม่เคยมีส่วมร่วมเกี่ยวกับงานของเก้าตระกูลใหญ่เลย”

 

“สาวน้อยคนนี้ชักจะดื้อรั้น ไม่รู้จักใช้อำนาจที่มีมากเกินไปแล้ว”

 

“ฉันคิดว่าตาแก่ซูคงจะเลือกผิดซะแล้วล่ะ”

 

จ้าวมณฑลคนหนึ่งบ่น

 

อีกจ้าวมณฑลสรุป “ถ้าตาแก่ซูเลือกไม่ดี งั้นพวกเราก็ต้องหาวิธีแก้ไขมัน”

 

บรรดาจ้าวมณฑลข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า ระหว่างสนทนาต่างคนต่างจมหายไปในห้วงความคิด

 

เด็กสาวที่ได้รับการสืบทอดความแข็งแกร่ง …

 

เธอไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่เธอยังล่วงรู้ถึงความลับที่ใช้ในการผ่านการสืบทอดในหนทางเลือกความแข็งแกร่งอีกด้วย

 

เธอมีค่ามากเกินกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้!

 

ผู้คนทั้งหลายเริ่มเค้นสมอง

 

ไม่นานนัก จ้าวมณฑลก็เปิดปากออกมาว่า “ซูเซิงเหวินกับภรรยาของเขาเป็นคนกระหายในอำนาจ และฉันคิดว่าพวกเขาคงจะดีใจมากกว่า ถ้าตนเองได้ขึ้นเป็นจ้าวมณฑล”

 

“เริ่มต้นด้วยพ่อแม่ของซูเซี่ยเอ๋องั้นหรอ? เป็นความคิดที่ดีนี่นา ว่าแต่คุณจะทำยังไงกัน?” อีกคนถาม

 

“เราจะบอกกับทั้งสองคนว่าซูเซี่ยเอ๋อน่ะยังเด็กเกินไป และในฐานะที่พวกเขาเป็นพ่อแม่ของเธอ พวกเราก็เลยจะสนับสนุนให้ซูเซิงเหวินขึ้นเป็นจ้าวมณฑลก่อน แล้วค่อยส่งต่อมันให้กับซูเซี่ยเอ๋ออีกที”

 

“สองคนนี้จะต้องมีความสุขแน่นอน ว่าแต่พวกเราจะยื่นเงื่อนไขอะไรให้พวกเขากัน?”

 

“เงื่อนไขก็เอาเป็น หลังจากที่พวกเขาได้กลายเป็นจ้าวมณฑล ทั้งสองคนจะต้องคิดหาวิธีให้ซูเซี่ยเอ๋อยอมแต่งงานกับหนึ่งในแปดตระกูลของพวกเราให้จงได้”

 

“ถ้าเป็นเงื่อนไขนี้ ฉันเห็นด้วย ไม่มีปัญหา”

 

จ้าวมณฑลหลายคนพยักหน้า

 

แต่แล้วบางคนก็ก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาทันใด “แล้วทำไมถึงไม่ลองใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ ควบคุมตระกูลซูทั้งหมดให้ตกอยู่ในมือของพวกเราแทนซะเลยล่ะ?”

 

ผู้คนในฉากชะงักไป

 

“ความหมายของคุณก็คือ … ” บางคนเอ่ยถาม

 

“ซูเซิงเหวินกับภรรยาของเขากระหายในอำนาจ แต่พวกเขาไม่ได้มีความสามารถ ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรในด้านนี้ ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาก้าวออกมาจากพื้นที่ตระกูลซู พวกเราก็จะใช้กำลังอันแข็งแกร่งของทั้งแปดมณฑล ลอบเข้าโจมตีและทำการควบคุมพวกเขาในคราวเดียว”

 

หนึ่งในจ้าวมณฑลขบคิด “งั้นพวกเราจะวางกับดัก แสร้งเชิญพวกเขาเข้ามาหารือเกี่ยวกับเรื่องของจ้าวมณฑลว่ายังไงดี”

 

อีกจ้าวมณฑลกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิดมาก เพราะตราบใดที่ลูกสาวยังคงต่อต้านพวกเขา ยังไงพวกเขาก็จะต้องออกมาจากพื้นที่ของตระกูลตามคำเชิญของพวกเราอย่างแน่นอน”

 

บรรดาจ้าวมณฑลเริ่มจะรู้สึกตื่นเต้น

 

พวกเขาเริ่มจะคาดการณ์ และเฟ้นหาวิธีที่ดีที่สุดกันอย่างรวดเร็ว

 

“เป็นความคิดที่ดีนี่นา ควบคุมพวกเขาซะ แล้วทีนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรของตระกูลซูก็จะถูกตัดสินใจผ่านพวกเรา”

 

“ไม่เพียงแค่ซูเซี่ยเอ๋อจะไม่สามารถปกป้องพ่อแม่ของเธอได้ แต่พวกเรายังสามารถได้รับตัวเธอมาอีกด้วย”

 

….

 

เพล้ง!

 

บอลคริสตัลร่วงตกลงกับพื้น

 

ขณะที่ซูเซี่ยเอ๋อยังคงยืนอยู่กับที่

 

ซูเซิงเหวินลังเล อธิบายแห้งๆว่า “เซี่ยเอ๋อ จริงๆแล้วพวกเราหวังดีกับเจ้า … ”

 

“หวังดีกับหนู?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยทวนซ้ำด้วยน้ำเสียงราวกับเครื่องจักร

 

มาดามซูเร่งเอ่ย “ใช่แล้วล่ะเซี่ยเอ๋อ พวกเราหวังว่าเจ้าจะได้มีที่พักพิงดีๆไง”

 

“หนูไม่เข้าใจจริงๆ” ซูเซี่ยเอ๋อพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “หนูอุตส่าห์ไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับตระกูล และมอบทั้งหมดให้พ่อแม่คอยดูแล เท่านี้ก็ยังไม่เพียงพออีกหรอ?”

 

ซูเซิงเหวินและมาดามซูเหลือบมองกันวูบหนึ่ง

 

มาดามซูคว้าจับสองมือของลูกสาวและกล่าว “เซี่ยเอ๋อ ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะทำอะไรอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ส่งเสื้อคลุมดวงดาราที่เป็นสัญลักษณ์ของจ้าวมณฑลมาล่ะ แล้วพวกเราจะทำให้ทุกๆอย่างมันถูกต้องเอง”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ฟังก็ตกใจ

 

เสื้อคลุมดวงดารา …

 

นับตั้งแต่ที่เธอเข้าสู่เกาะหมอก สมบัติชิ้นแล้วชิ้นเล่าของเธอก็ค่อยๆทยอยถูกทิ้งไป

 

เสื้อคลุมนี้เป็นเพียงสมบัติเดียวที่เหลืออยู่ของเธอ

 

มันคือความทรงจำของเธอ ที่คอยย้ำเตือนว่าเธอกำลังต่อสู้กับโชคชะตา

 

แต่ตอนนี้ กระทั่งเสื้อคลุมก็ยังมีคนคิดจะฉกชิงมันไปจากเธอ

 

นี่เธอจะไม่สามารถรักษาอะไรไว้ได้เลยหรือ?

 

โดยไม่ทันรู้ตัว น้ำใสๆก็เริ่มเอ่อล้นในดวงตา

 

มันบดบังจนตลอดทั้งวิสัยทัศน์จนเกือบจะมองไม่เห็น

 

ซูเซี่ยเอ๋อรีบปาดน้ำตาของเธออย่างรวดเร็ว

 

‘อย่าร้องไห้นะ’

 

‘สาบานเอาไว้แล้วไม่ใช่หรอว่าจะไม่ร้องไห้ง่ายๆอีกต่อไป’

 

ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว

 

แล้วทำไมถึงต้องร้องไห้อีก?

 

ทำไมกัน?

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.488 – นายหญิงแห่งเกาะหมอก (2)

 

“นายหญิง ต้องการให้เรียกกองทัพออกมาล้างบางสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้เลยหรือไม่?” มอนสเตอร์ยักษ์คุกเข่าลง ปากเอ่ยถามด้วยความเคารพ

 

“เจ้ากระหายที่จะสังหารขนาดนั้นเชียวหรือ?” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง

 

มอนสเตอร์ยักษ์ลดศีรษะลง เอ่ยด้วยความถ่อมตน “โปรดยกโทษสำหรับวาจาที่ผิดพลั้งของข้าด้วย ในยามที่มาถึง ข้าเพียงสัมผัสได้ถึงความโกรธที่ราวกับถูกข่มเอาไว้ของท่านจึงพลั้งปากไป”

 

“ข่มเอาไว้อย่างงั้นหรอ?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเปล่งเสียงกระซิบ “นั่นสินะ ฉันก็อดกลั้นมันมานานแล้วจริงๆนั่นแหละ และคงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเผชิญหน้ากับมัน … ”

 

เธอยื่นมือออกไป คว้าจับคทาที่ปักลงบนพื้นดิน

 

มอนสเตอร์กางฝ่ามือของมันออก และปล่อยให้ซูเซี่ยเอ๋อขึ้นไปยืน

 

จากนั้นมันก็ยกร่างของซูเซี่ยเอ๋อไปวางไว้เหนือศีรษะ

 

“ไปกันเถอะ พวกเราจะมุ่งหน้าไปทางด้านนั้น” ซูเซี่ยเอ๋อชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“ขอรับ”

 

มอนสเตอร์กางคู่ปีกออก และเริ่มสั่นกระพืออย่างแรง

 

ได้ยินเพียงเสียงวูบบบบ! ร่างของมอนสเตอร์ก็ทะยานตัวขึ้นไปบนอากาศ มุ่งไกลออกไปยังทิศทางเมืองหลวงของรัฐบาลกลาง

 

มอนสเตอร์บินอย่างรวดเร็ว และเกือบจะหายลับไปในพริบตาเดียว

 

ซางหยิงฮ่าวจ้องมองบนท้องฟ้า ปากเอ่ยพึมพำ “นั่นเธอจะไปที่ไหนกันน่ะ?”

 

“ไม่รู้สิ แต่ดูจากสีหน้าที่กำลังโกรธอยู่ บางทีคนที่นางกำลังจะไปหา คงมิแคล้วต้องประสบพบเจอกับภัยพิบัติเป็นแน่” วิหคขาวกล่าว

 

“ฉันว่านะ ด้วยความแข็งแกร่งระดับนั้น ถ้าพวกเราไปคงจะกลายเป็นภาระเธอเปล่าๆ” เย่เฟย์หยูยกสองแขนขึ้นกอดอกและกล่าว

 

ประธานาธิบดีที่ยืนอยู่ตรงประตูวิลล่าเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ “ในเมื่อไม่มีปัญหาด้านความปลอดภัยแล้ว ถ้าอย่างงั้นเรื่องระหว่างเธอกับเก้าตระกูลใหญ่ พวกเราก็อย่าเข้าไปแทรกแซงเลยจะดีกว่า”

 

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” เวโรน่าผงกหัว

 

แล้วทุกคนก็กลับเข้าไปในวิลล่า

 

แต่เพียงแค่หย่อนก้นลงนั่ง ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงร้องอันน่าหวาดผวาขึ้นทันใด

 

เห็นแค่เพียงเย่เฟย์หยูที่ล้มลงด้วยความเจ็บปวด กลิ้งลงกับพื้นไม่หยุด

 

คล้ายกำลังทุกข์ทรมานจากอะไรบางอย่าง

 

ฝูงชนโดยรอบตกใจ

 

แต่ก่อนที่ทุกคนจะทันได้ทำอะไร เย่เฟย์หยูก็ผุดลุกขึ้นมาเสียก่อน

 

“เกิดอะไรขึ้นกับนายงั้นหรอ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

“ไม่มีอะไรหรอก แค่จู่ๆมันก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาน่ะ ตอนนี้โอเคแล้ว” เย่เฟย์หยูอ้าปากหอบหายใจ

 

ขณะที่สีหน้าของเขาเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ

 

“คือฉัน อยากจะถามว่าพวกนายได้ยินอะไรกันบ้างไหม?”

 

ผู้คนและอาวุธจากปรภพเงียบเสียงลง

 

แม้จะหุบปากกันหมด แต่บริเวณโดยรอบก็ยังคงเงียบสงบ และได้ยินเพียงเสียงลมภูเขาจากภายนอกหน้าต่างที่พัดเข้ามา พร้อมกับใบไม้ที่สั่นไหวจนเกิดเสียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น

 

“หากเจ้ากำลังหมายถึงเสียงลมภูเขาแล้วล่ะก็ ข้าเองก็ได้ยินมันนะ” วิหคขาวกล่าว

 

“ไม่ใช่ มันไม่ใช่เสียงลมภูเขา” เย่เฟย์หยูเดินออกไป

 

“แต่มันก็ไม่มีเสียงอะไรอย่างอื่นอีกแล้วนะ” เหลียวฮังกล่าว

 

“ไม่ใช่ว่าที่นายได้ยินไปนั่นมันเป็นเสียงจากเทคนิคเทียนซวนของตัวเองหรอกหรอ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยออกมา

 

คราวนี้ สีหน้าของเย่เฟย์หยูยิ่งแปลกไปมากกว่าเดิม

 

“นี่ไม่มีใครได้ยินอะไรเลยจริงๆหรอ?”

 

ทั้งหมดส่ายศีรษะปฏิเสธ

 

ซางหยิงฮ่าวนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “ว่าแต่นายได้ยินอะไรบ้าง?”

 

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงมันมาจากที่ไหน แต่มันพูดกับฉันว่า : ยินดีต้อนรับสู่ ‘ระบบสะสมแต้มพลังวิญญาณ’ นับจากนี้ไป การสังหารของคุณจะช่วยเพิ่มพูนแต้มที่ว่านี้โดยตรง สามารถเริ่มทำการดูดซับแต้มพลังวิญญาณบริสุทธิ์ได้โดยตรง และอัตราการวิวัฒนาการของคุณก็จะรวดเร็วยิ่งขึ้น”

 

“ไพ่นั่น – ฉันขอเดามันมันจะต้องเป็นเพราะไพ่ที่ซูเซี่ยเอ๋อมอบให้แกแน่ๆ” เหลียวฮังกล่าว

 

ฝูงชนตกอยู่ในความสับสนทันใด

 

“แต้มพลังวิญญาณอย่างนั้นหรือ … ช่างเป็นชื่อที่ชวนให้หวนคิดถึงยิ่งนัก” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวด้วยอารมณ์

 

“แต้มพลังวิญญาณคืออะไร?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามด้วยความสนใจ

 

“แต้มพลังวิญญาณเดิมถูกเรียกว่าพลังเหนือธรรมชาติ มันเป็นรากฐานของโลก และเป็นพลังบริสุทธิ์ของทุกสิ่งมีชีวิตทั้งมวลสามารถใช้กระตุ้นได้กระทั่งกฏเกณฑ์”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณหันไปมองเย่เฟย์หยู “ดูเหมือนว่าซูเซี่ยเอ๋อจะมอบพลังอันน่าเหลือเชื่อจากเทคนิคเทียนซวนให้แก่เจ้านะ”

 

“เอ่อ พูดแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

 

“ก็หมายความว่ามันเป็นอะไรที่พิเศษมากๆน่ะสิ ขนาดพวกเราเองยังไม่สามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้เลย มีเพียงสิ่งประดิษฐ์เทวะเท่านั้นแหละจึงจะใช้ได้” วิหคขาวกล่าวด้วยความอิจฉา

 

“ถ้าอย่างงั้น นี่หมายความว่าฉันจะกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะอย่างงั้นหรอ?” เย่เฟย์หยูเริ่มสับสน

 

“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แต่เจ้าจะกลายเป็น สิ่งที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าพวกเราเหล่าสิ่งประดิษฐ์เทวะต่างหาก” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

เมื่อได้ยินคำนี้ของตะขอเกี่ยววิญญาณ ฝูงชนก็หันไปมองเย่เฟย์หยูด้วยความอิจฉา

 

“แต่ฉันก็เป็นหุ้นส่วนของกู่ฉิงซานเหมือนกันนะ เมื่อกี้เธอก็ควรที่จะมอบมันให้ฉันด้วยสิ” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยความคิดของตนเองออกมาดังๆ

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณอธิบาย “การที่สิ่งต่างๆสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้โดยตรงนั้นมิใช่เรื่องปกติธรรมดา ปรากฏการเช่นนี้มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นในโลกหกวิถี – ข้าคิดว่าเธอคงได้รับเจ้าสิ่งมีมาโดยบังเอิญเป็นแน่”

 

“แต่เธอก็ได้มอบมันได้แก่เย่เฟย์หยู” เหลียวฮังกล่าวอย่างไม่ยินยอม

 

“เพราะเย่เฟย์หยูคือพี่น้องของกู่ฉิงซานยังไงล่ะ” วิหคขาวขัดจังหวะ

 

“เออ แต่นั่นฉันก็เหมือนกันนี่!” เหลียวฮังตะโกน

 

“มันจะต้องไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ จ้าวมณฑลซูน่ะไม่ได้เป็นคนเรียบง่ายอย่างที่เห็นหรอก เธอจะต้องไม่มอบมันให้แก่เย่เฟย์หยูเพียงเพราะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอย่างแน่นอน” ประธานาธิบดีกล่าว

 

แล้วทุกคนก็หันมามองเขา

 

ดวงตาของประธานาธิบดีเปล่งประกาย มันเปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญาทางโลก

 

“นอกไปจากด้านความแข็งแกร่งแล้ว พวกเธอจงอย่าได้ดูถูกในด้านอื่นๆของเด็กสาวคนนี้เชียวล่ะ”

 

“ทำไมกัน?” เหลียวฮังเอ่ยถาม

 

“อย่าลืมสิว่าเย่เฟย์หยูเป็นคนเปลี่ยนทัศนคติของซูเซี่ยเอ๋อ และนั่นเพียงเรื่องเดียวก็ทำให้เธอประทับใจได้แล้ว” ประธานาธิบดีกล่าว

 

เวโรน่าเอ่ยเสริม “นอกจากนี้ เธอยังได้รับความทรงจำของแฟนของเย่เฟย์หยูมาอีก ดังนั้นเธอเลยตระหนักเกี่ยวกับตัวเขาได้อย่างละเอียด”

 

“ถูกต้อง ในร่างกายของเย่เฟย์หยูคงจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกพอใจนั่นแหละ” ประธานาธิบดีกล่าว

 

สองผู้นำเพียงเอ่ยไม่กี่คำ สิ่งต่างๆก็เริ่มที่จะชัดเจนยิ่งขึ้น

 

เมื่อทุกคนคิดตาม ทั้งหมดก็ค่อยๆพากันพยักหน้าว่าเข้าใจอย่างเงียบๆ

 

เหลียวฮังมองเย่เฟย์หยูอย่างไม่เต็มใจ “เห็นได้ชัดว่าความเร็วในการฝึกยุทธของฉันไวที่สุด ฉันไม่เห็นด้วยที่เจ้าหนุ่มนี่จะมาใช้วิธีโกงกันแบบนี้!”

 

แต่เย่เฟย์หยูไม่สนใจคำใส่ร้ายของเหลียวฮัง

 

เขาหยิบสมองควอนตัมขึ้นมาและกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง  ช่วยหาเหยื่อให้ฉันหน่อยสิ”

 

เขาต้องการที่จะไปทดสอบเกี่ยวกับแต้มพลังวิญญาณ ที่มันจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ตัวเขา

 

เทพธิดากงเจิ้ง “มิสเตอร์เย่เฟย์หยู ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างออกไปราวๆ 750 กิโลเมตร มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อตั้งอยู่”

 

“ชายคนนี้พึ่งได้ลงมือสังหารเทศมนตรีท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ตำรวจไป เขาทำการปล้นห้องนิรภัยของธนาคาร ดังนั้นภายใต้กฏหมายของรัฐบาลกลาง คุณสามารถจัดการกับคนผู้นี้ได้”

 

“รับทราบ”

 

เย่เฟย์หยูปิดสมองควอนตัม

 

เขากำลังจะออกไป แต่ก็ดันได้ยินถึงเสียงเคาะประตูจากภายนอกวิลล่าเสียก่อน

 

พร้อมกับเสียงตะโกนที่ดังลอดเข้ามา “มีใครอยู่ข้างในบ้างไหม?”

 

“แกเป็นใครกัน?” เหลียวฮังตะโกนถามกลับ

 

เขาลุกขึ้นยืน และเตรียมจะเดินไปเปิดประตู

 

ทว่ากลับถูกซางหยิงฮ่าวชักมือยั้งไว้เสียก่อน

 

“อย่าไป”

 

ซางหยิงฮ่าวเปล่งเสียงกระซิบ

 

“ทำไม? มีอะไรงั้นหรอ” เหลียวฮังถาม

 

“กลิ่นอายสังหารที่ถูกปกปิดเอาไว้ของอีกฝ่าย มันไม่ธรรมดาเลย” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

เขาผุดลุกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เริ่มทำการถ่ายเทพลังวิญญาณและเตรียมที่จะเหวี่ยงมันออกไปในอา-

 

ปัง!

 

แต่ประตูกลับถูกเปิดออกเสียก่อน

 

เห็นแค่เพียงชายผมยาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู

 

พร้อมกับหอกยาวสีแดงที่แบกอยู่บนหลังเขา

 

ชายที่พึ่งเปิดประตูมองเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สามารถตระหนักถึงกลิ่นอายสังหารของฉันได้ นี่มันน่าสนใจจริงๆ – แต่คุณเข้าใจผิดไปอย่างนึงนะ กลิ่นอายสังหารของฉันไม่ได้มุ่งไปที่คุณหรอก”

 

“ไม่ทราบว่าแขกที่เคารพผู้นี้คือใคร?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

ชายโค้งกายทักทายและกล่าว “ฉันเป็นผู้ส่งสาร”

 

“ผู้ส่งสารจากใคร?”

 

“โลกอาชูร่า”

 

เหล่าฝูงชนภายในห้องหน้าเปลี่ยนสีหน้าทันที

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “แล้วเจ้ามาทำอะไรในโลกมนุษย์?”

 

“ขอกล่าวให้มันกระชับสั้นๆเลยก็แล้วกันนะ อันที่จริงแล้วพวกเฉาฟ่าน(ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ) จากโลกสวรรค์ กับวิญญาณร้ายในโลกผีโหยกำลังก่อตั้งพันธมิตรกัน เพื่อเตรียมที่จะเปิดสงครามเต็มรูปแบบกับโลกมนุษย์ที่ได้หลอมรวมเข้ากับโลกปรภพอยู่น่ะ”

 

“แต่เหมือนกับว่าเทพสวรรค์จะพึ่งพ่ายแพ้ไปไม่ใช่หรือ” ประธานาธิบดีกล่าวเสียงหม่น

 

“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก็จริง  แต่นั่นเขาได้พ่ายไปด้วยฝีมือของผู้ทรงพลังจากโลกอื่น และเหล่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพก็ยังไม่ยอมรับถึงการตายของเขา”

 

ชายผู้แบกหอกกล่าวต่อว่า “ด้วยเหตุที่ว่าโลกได้รับการช่วยเหลือจากคนตายนับล้านๆเอาไว้ โดยที่ตนไม่ได้จ่ายสิ่งใดเลย แถมยังได้รับผลประโยชน์ทั้งหมดจากการผสานรวมของสองโลกเข้าด้วยกันอีก”

 

เขายิ้มและกล่าวว่า “ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าการผสานรวมระหว่างสองโลกจะนำมาซึ่งความได้เปรียบอันใหญ่หลวงนี้ ทุกชีวิตกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเหล่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพและวิญญาณร้ายจึงทนไม่ไหว”

 

“คุณเลยกำลังจะบอกว่าพวกเขาก็เลยบังเกิดความโลภขึ้นในหัวใจอย่างงั้นสินะ” ประธานาธิบดีเอ่ยถาม

 

“ใช่ หากโลกสวรรค์หรือโลกผีโหยสามารถผสานรวมเข้ากับโลกของพวกคุณได้ พวกเขาก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น – สิ่งดีๆขนาดนี้ พวกเขาจะอยู่เฉยได้อย่างไร?”

 

ทุกคนตะลึงงันราวกับถูกแช่แข็ง

 

ทั้งห้องจมลงสู่ความเงียบ

 

“แล้วคุณมาที่นี่เพียงเพื่อแจ้งเรื่องนี้อย่างงั้นหรอ?” ซางหยิงฮ่าวซักถามด้วยความสงสัย

 

“แน่นอนว่าไม่”

 

ชายแบกหอกกล่าว “ในความเป็นจริงแล้ว กระทั่งโลกจ้าวอสูรเองก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างลับๆอยู่เช่นกัน ขณะที่โลกทั้งหกวิถีล้วนบังเกิดความโลภในโลกของกันและกันขึ้น ดังนั้นฉันจึงมาเตือนพวกคุณล่วงหน้า”

 

เวโรน่าเอ่ยเข้าประเด็น “ตามที่คุณพูดมา โลกสวรรค์ , โลกผีโหย และโลกจ้าวอสูรล้วนบังเกิดความละโมบต่อโลกมนุษย์ ถ้าอย่างงั้นคุณจะบอกว่าโลกอาชูร่ากำลังหวังดีกับเราใช่ไหม?”

 

ชายแบกหอกยิ้มและกล่าว “ทางเรามีแผนว่าจะมาอย่างสันติ – โปรดทำการผสานรวมเข้ากับโลกอาชูร่าของพวกเราด้วย แล้วพวกเราจะให้ที่หลบภัยแก่พวกท่าน คอยปกป้องการรุกรานจากโลกอื่นเอง”

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ณ เมืองหลวงของรัฐบาลกลาง

 

ท่ามกลางแสงสลัว งานแถลงข่าวของเก้าตระกูลใหญ่ที่พึ่งจะเสร็จสิ้นลง

 

เวลานี้ บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ถอนตัวจากไปกันแล้ว

 

ขณะที่บุคคลสำคัญของเก้าตระกูลใหญ่ได้มารวมตัวกันในลานกว้างของตระกูลหวง เพื่อเริ่มงานเลี้ยงอาหารค่ำ

 

งานเลี้ยงจะไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมงาน

 

ปัจจุบันนี้ นอกเหนือไปจากจ้าวมณฑลจากเก้าตระกูลใหญ่และผู้สืบทอดโดยตรงแล้ว ก็มีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับสูงเท่านั้น

 

ด้วยความช่วยเหลือจากการผสานรวมกันระหว่างสองโลก ส่งผลให้การฝึกยุทธของพวกเขาเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะในด้านทักษะและขอบเขต

 

และขอบเขตแก่นทองคำ ก็เป็นเพียงแค่ขอบเขตขั้นต่ำสุดที่จะสามารถเข้าร่วมกับเก้าตระกูลใหญ่ได้

 

เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำอย่างเป็นทางการ ตัวตนที่ทรงพลังจึงทยอยกันมาอย่างต่อเนื่อง

 

พวกเขาทักทายซึ่งกันและกัน และพยายามตรวจสอบสถานะและขอบเขตวรยุทธของอีกฝ่าย

 

สหพันธ์พันธมิตรผู้ฝึกยุทธได้ถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว

 

นี่จะกลายเป็นองค์กรที่ทรงพลังที่สุด และเป็นศูนย์กลางอำนาจที่อยู่เหนือรัฐประเทศ

 

พันธมิตรที่จะกลายมาเป็นตัวแทนอนาคตของโลกใบนี้

 

ในฐานะผู้ปกครองในอนาคตอันใกล้ แขกเหรื่อทั้งหลายในงานนี้จึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้มบนใบหน้า

 

เวลานั้นเอง เข็มสั้นของนาฬิกาก็ชี้ไปที่เลขเจ็ด

 

แล้วชายชราที่ดูสง่างามก็ก้าวขึ้นมาบนเวที

 

“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี” ชายชรามองไปยังผู้ชมและเริ่มกล่าว

 

“วันๆนี้ จะเป็นอีกวันหนึ่งที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์”

 

-ปัง!

 

ประตูหน้าถูกกระแทกเปิดออก

 

พร้อมกับสายลมกรรโชกที่พัดเข้ามาในลาน

 

ร่างของซูเซี่ยเอ๋อปรากฏขึ้นท่ามกลางสายลม กลบรัศมีคนอื่นๆในงานจนหมองไป

 

“นั่นซูเซี่ยเอ๋อ!”

 

“ท่านจ้าวมณฑลซู!”

 

“ลูกแม่!”

 

ฝูงชนโดยรอบที่พบเห็นเธอเริ่มจะตะโกนออกมา

 

การจู่โจมที่เตรียมพร้อมเอาไว้ชะงักลงทันที

 

เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นจ้าวมณฑล นี่จึงนับว่าไม่ใช่ภัยคุกคามใดๆ

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลัวแทบตาย – โชคดีจริงๆที่สามารถระบุถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ซะก่อน ไม่งั้นฝ่ายตรงข้ามคงได้รับบาดเจ็บแน่ๆ

 

แล้วถ้าหากเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น หนึ่งในจ้าวมณฑลจากเก้าตระกูลใหญ่เกิดได้รับบาดเจ็บขึ้นมาโดยบังเอิญ พวกเขาจะไม่ถูกห่ากระสุนยิงจนพรุนเป็นการลงโทษหรอกหรือ

 

“เซี่ยเอ๋อ!”

 

“ลูกสาวที่รัก มาทางนี้เร็วเข้า”

 

พ่อแม่ของซูเซี่ยเอ๋อโบกมือมาทางเธอ

 

ซูเซี่ยเอ๋อเดินไปอย่างเงียบๆ จ้องมองพ่อแม่ของตนแล้วกล่าวเสียงกระซิบ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ดูเหมือนว่าพวกท่านก็จะรู้ว่าหนูเป็นจ้าวมณฑลของตระกูลซูนี่นา แล้วทำไมถึงข้ามหน้าข้ามตาหนู ใช้ชื่อของตระกูลซูด้วยตัวเองล่ะ?”

 

บนใบหน้าพ่อของซูเซี่ยเอ๋อ -ซูเซิงเหวินกลับไม่เผยถึงการแสดงออกใดๆเลยแม้แต่น้อย

 

กระทั่งในตอนนี้ เขาก็ยังไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใด

 

“เซี่ยเอ๋อ เจ้าก็แค่ได้รับการแต่งตั้งเป็นจ้าวมณฑล ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ยังไม่รู้ ดังนั้นพวกเราเลยต้องรับหน้าที่เป็นคนคอยจัดการเรื่องราวต่างๆแทนเจ้า” มาดามซูกล่าวเสียงแข็ง

 

“ใช่แล้วล่ะเซี่ยเอ๋อ เจ้ายังเด็กเกินไป พ่อแม่น่ะไม่ประสงค์ร้ายหรอกนะ พวกเขาหวังดีและกำลังช่วยเจ้าอยู่ต่างหาก” อีกจ้าวมณฑลกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ขณะที่จ้าวมณฑลคนอื่นๆเริ่มจะพยักหน้า และพากันตอบว่าใช่

 

แต่ทันใดนั้น จู่ๆซูเซี่ยเอ๋อก็ยื่นมือออกไป และคว้าจับแขนพ่อแม่ของเธอ

 

พ่อแม่ของเธอพลันแข็งทื่อราวกับหุ่นกระบอก จู่ๆสีหน้าแววตาก็นิ่งค้างไป และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีกเลย

 

ตามด้วยสองแมลงตัวยาวๆสีดำคืบคลานออกมาจากหูพ่อแม่ของซูเซี่ยเอ๋อ มันกระโจนตัวแล้วบินออกไป แต่-

 

-เพี๊ยะ!

 

พวกมันก็ล้มเหลวที่จะหลบหนี ถูกระเบิดตัวแตกกลายเป็นละอองหมอกสีดำสองกลุ่มในอากาศโดยตรง

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ .. ”

 

ความคับข้องใจและความเศร้าโศกของซูเซี่ยเอ๋อกระจายออกไปโดยสิ้นเชิง

 

พร้อมกับประกายแสงสีขาวที่เริ่มบิดตัวเป็นเกลียวคลื่น ขยายออกมาจากตัวเธออย่างต่อเนื่อง อัดแน่นกันจนแปรสภาพเป็นหนามแหลม

 

“มีใครบางคนกล้าที่จะพยายามบิดเบือนจิตใจพ่อแม่ของฉัน นี่มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ”

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.487 – นายหญิงแห่งเกาะหมอก (1)

 

เย่เฟย์หยูเดินมาหน้าซูเซี่ยเอ๋อ แล้วอธิบายถึงรายละเอียดของสถานการณ์ปัจจุบัน

 

เทคนิคมนตราและความสามารถที่ในอดีตเป็นเพียงตำนาน ได้ปรากฏขึ้นบนโลกใบนี้

 

อาวุธจากปรภพก็เริ่มออกตามหาเจ้านายของตัวเอง

 

กระทั่งชีวิตของผู้คนก็ยืนยาวขึ้น เนื่องด้วยการฝึกยุทธ

 

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวนี้ มันจึงย่อมมีผู้คนที่สามารถฝึกยุทธได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เมื่อคนเหล่านั้นได้รับพลังในแบบที่ตนเองไม่เคยมีมาก่อน จึงบังเกิดความปรารถนาเห็นแก่ตัวขยับขยายออกไปเป็นธรรมดา

 

บางคนเริ่มที่จะก่อตั้งกองกำลังของตนเองขึ้น บางคนไม่ยอมรับกฏหมายทางสังคัมอีกต่อไป และริเริ่มกระทำการตามที่ใจพวกเขาปรารถนา

 

ในระยะเวลาสั้นๆ มนุษยชาติได้แหกระบบดั้งเดิมที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาหลายพันปี แล้วก้าวกระโดดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความแข็งแกร่งรายบุคคล

 

ซูเซี่ยเอ๋อรับฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก

 

เธอมองมายังเย่เฟย์หยูและเอ่ยถาม “นายกับฉิงซานมีความสัมพันธ์กันยังไง?”

 

“เขาได้ช่วยชีวิตฉันเอาไว้จากการจมลงสู่ห้วงแห่งการเสื่อมถอยและทำลายล้าง ฉุดดึงฉันให้ก้าวต่อไปข้างหน้า อ่า… ฉันจะอธิบายความสัมพันธ์แบบนี้ว่าอะไรดี?” เย่เฟย์หยูคิดและกล่าว

 

เขากวักมือไปข้างหลัง

 

ทันใดนั้นหญิงสาวตัวเล็กก็ปรากฏขึ้นข้างกายเขา

 

“มาทักทายพี่สะใภ้สิ” เย่เฟย์หยูเรียก

 

“สวัสดีพี่สะใภ้” สาวตัวเล็กยิ้มหวาน

 

“สวัสดี” ซูเซี่ยเอ๋อมิได้ปฏิเสธการเรียกขานนี้ และมองไปยังสาวตัวเล็ก

 

แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆมือของเธอก็ขยับไหวไปทางอีกฝ่าย

 

ไพ่สีเทาถูกโยนออกไป ชั้นอากาศเริ่มถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา จากนั้นพวกมันก็เริ่มเข้าครอบคลุมร่างสาวตัวเล็กไว้

 

หมอกสีเทาสลายหายไปอย่างรวดเร็ว แปรสภาพเป็นลูกบอลคริสตัล

 

ลูกบอลคริสตัลลอยกลับมาตกลงในมือของซูเซี่ยเอ๋อ

 

ซูเซี่ยเอ๋อลดสองตาอันงดงามของเธอลงและจ้องมองลูกบอลคริสตัล

 

เธอหันไปกล่าวกับเย่เฟย์หยู “ไม่ต้องกังวลไป เนื่องจากเธอเป็นร่างจิตวิญญาณ ดังนั้นฉันเลยสามารถมองเห็นถึงอดีตของเธอได้”

 

ประกายแสงและเงานับไม่ถ้วนกระพริบไหว และหายไปอย่างรวดเร็วในม่านตาของซูเซี่ยเอ๋อ

 

ผีน่ะไม่มีร่างกาย และโดยทั่วไปแล้วมันจึงไม่สามารถต่อต้านการตรวจสอบจากไพ่ได้

 

ในอดีตนับปีที่ผ่านมา ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับสาวตัวเล็กปรากฏขึ้นในสายตาของซูเซี่ยเอ๋อ

 

“แท้จริงแล้ว … มันก็เป็นแบบนี้”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยพึมพำ

 

เย่เฟย์หยู “นี่เธอกำลังตรวจสอบอดีตของแฟนฉันอยู่หรอ?”

 

“แน่นอน เพราะปกติฉันก็ไม่ได้เชื่อใจคนแปลกหน้าง่ายๆอยู่แล้ว” ซูเซี่ยเอ๋อไม่คิดปิดบัง

 

เธอมองเย่เฟย์หยู ขณะเดียวกัน ทัศนคติที่มีต่ออีกฝ่ายก็ดูจะกลายเป็นใกล้ชิดมากขึ้น

 

เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ความสัมพันธ์ระหว่างชายคนนี้กับกู่ฉิงซานนับว่าค่อนข้างดีทีเดียว

 

“นายต้องการให้ฉันทำอะไร? ฉันจะช่วยอะไรนายได้บ้าง?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม

 

“ไม่ใช่ช่วยเฉพาะฉัน แต่ช่วยพวกเรา”

 

เย่เฟย์หยูกล่าวต่อ “กู่ฉิงซานพยายามอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ทั้งสองโลกผสานรวมเข้าด้วยกัน และเขาคงไม่ต้องการที่จะเห็นว่าทุกสิ่งที่ทุ่มเทไปมันตกอยู่ในความวุ่นวาย”

 

“เขาได้จัดตั้งระบบ เฟ้นหาและคิดค้นเทคนิคฝึกยุทธออกมา เฝ้าเพียรพยายามอย่างหนักเป็นเวลานานจนสร้างมันขึ้นมาได้สำเร็จ”

 

“และตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเราเลยหวังว่าเธอจะมีใจช่วยดูแลโลกใบนี้เพื่อเขาบ้าง”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง

 

ครั้งหนึ่ง ตนเองก็เคยได้รับเทคนิคฝึกยุทธมาจากกู่ฉิงซานมาเหมือนกัน

 

แต่น่าเสียดาย ที่เธอดันสูญเสียมันไปซะแล้ว

 

ส่วนเรื่องที่กู่ฉิงซานพึ่งจะทำเมื่อเร็วๆนี้ เธอก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวโดยละเอียดจากอาวุธปรภพแล้ว

 

พอลองย้อนนึกดูดีๆ ก็จะเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่ากู่ฉิงซานพยายามมากเพียงใดเพื่อที่จะปกป้องโลกใบนี้เอาไว้

 

ทุกสิ่งอย่างในตอนนี้ ล้วนเกิดขึ้นมาจากความพยายามของกู่ฉิงซาน

 

เมื่อความคิดนี้บังเกิดขึ้นในจิตใจ ซูเซี่ยเอ๋อก็พยักหน้าอย่างแรง “ตกลง ฉันจะช่วยเอง”

 

สีหน้าของหลายคนเริ่มเผยถึงความสนใจ

 

ได้ยินแค่เพียงน้ำเสียงหนักแน่นของซูเซี่ยเอ๋อที่เปล่งออกมา “นับจากช่วงเวลานี้ไป ฉันในฐานะจ้าวมณฑลของเก้าตระกูลใหญ่ ขอยินยอมรับผลการหารือ ด้วยหวังว่าคนชั่วร้ายเหล่านั้นจะถูกตีตรวนโดยกฏหมาย และไม่สร้างความวุ่นวายให้แก่โลกใบนี้อีก”

 

ประธานาธิบดีกับเวโรน่ามองหน้ากันวูบหนึ่ง และเห็นถึงความปิติในแววตาของอีกฝ่าย

 

หากเก้าตระกูลยินดีที่จะร่วมมือกับสองประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกแล้วล่ะก็ กฏหมายของโลกใบนี้ย่อมจะต้องถูกฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างแน่นอน

 

ต่อให้เป็นตัวตนที่ทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะต่อกรกับสามยักษ์ใหญ่ได้หรอก

 

ระบบกฏหมายของโลก จะได้รับการคุ้มครองและกลับมามั่นคงอีกครั้ง

 

“งั้นพวกเราก็คงจะได้ข้อสรุปของการประชุมนี้แล้วสินะ” ประธานาธิบดีถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

 

แต่ในเวลานั้นเอง จอม่านแสงก็ดันปรากฏขึ้นบนสมองควอนตัมของทุกคนซะก่อน

 

เห็นแค่เพียงจ้าวมณฑลจากทั้งเก้าตระกูลใหญ่กำลังนั่งพร้อมหน้าพร้อมตาแถลงข่าว

 

พร้อมกับเสียงอิเล็กทรอนิกส์ของหญิงสาวที่ฟังดูไพเราะดังขึ้น

 

“นี่คือการออกอากาศฉุกเฉิน ด้วยสองข่าวสำคัญระดับชาติ”

 

“ทางเก้าตระกูลจากรัฐบาลกลาง ได้ทำการออกแถลงข่าวสำคัญร่วมกันทั้งสิ้นสองเรื่อง”

 

“เรื่องแรก นับจากนี้ไป อาวุธทั้งหมดจากปรภพจะต้องถูกส่งคืนมาให้เก้าตระกูลใหญ่ หากใครยินยอมมอบมันให้ด้วยตนเอง ก็จะได้รับแต้มเครดิตเป็นรางวัล ขณะเดียวกัน คนที่ต่อต้านก็จะถูกจับกุมทันที”

 

“อีกเรื่องก็คือ ทางเก้าตระกูลได้แถลงการยืนยันแล้วว่า 64 ตัวตนทรงพลังจากทั้งหมดใน 100 อันดับแรกได้เข้าร่วมกับทางเก้าตระกูลแล้ว – และทางเก้าตระกูลจะทำการก่อตั้งสหพันธ์พันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธขึ้น”

 

เสียงอิเล็กทรอนิกส์ในสมองควอนตัมหยุดลง

 

ซูเซี่ยเอ๋อตกตะลึงจนนิ่งงันไป

 

แต่ในขณะนั้นเอง ร่างของมาดามซูก็ก้าวออกมาปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง

 

มาดามซูเริ่มที่จะเอ่ยในนามตัวแทนของตระกูลซู

 

“การก่อตั้งสหพันธ์พันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ นั่นหมายถึงการมีชีวิตอยู่เหนืออำนาจรัฐทั้งปวง นับตั้งแต่วันนี้ไป เก้าตระกูลใหญ่จะแบกความรับผิดชอบและหน้าที่ที่จะนำพาโลกก้าวไปข้างหน้าเอง”

 

“ทางเก้าตระกูลจะรื้อกฏหมายขึ้นใหม่เพื่อให้มันสอดคล้องไปกับทิศทางการพัฒนาโลก”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ

 

ขณะที่ภายในห้องไม่มีใครพูดอะไรเลย

 

ทุกคนรู้ถึงความสัมพันธ์ของซูเซี่ยเอ๋อกับกู่ฉิงซานดี ดังนั้นจึงตระหนักดีว่ามันไม่เหมาะสมจริงๆที่จะพูดอะไรในเวลานี้

 

ซูเซี่ยเอ๋อกัดริมฝีปากตน และปิดสมองควอนตัมของเธออย่างเงียบๆ

 

“นายเรียกว่า … เย่เฟย์หยูใช่ไหม?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามทันที

 

“ใช่ ฉันชื่อเย่เฟย์หยู”

 

“กู่ฉิงซานปฏิบัติกับนายเสมือนในฐานะน้องชายเสมอมา ตรงจุดนี้นายก็รู้ดีใช่ไหม?”

 

“ใช่ เขาดูแลฉันเป็นอย่างดี แล้วฉันก็สลักมันไว้ในหัวใจไม่เคยลืมเลือน”

 

“ดีมาก”

 

ซูเซี่ยเอ๋อทำสีหน้าจริงจัง และจั่วไพ่ที่สาดประกายสีแดงเลือดออกมา

 

“นี่คือไพ่ที่ฉันได้รับมาในตอนที่เดินทางผ่านเมืองปีศาจ มันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนาย”

 

เย่เฟย์หยูโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า “นี่ไม่จำเป็นหรอก เพราะฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย จะให้รับของจากเธอมันคงไม่สมควร”

 

“ถ้านายใช้มัน นายจะช่วยฉิงซานได้มากขึ้น และอีกอย่างฉันก็เต็มใจให้นาย ถือซะว่านี่คือของขวัญในการพานพบครั้งแรกก็แล้วกัน” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

ว่าจบ เธอก็สะบัดไพ่ออกไปโดยไม่คิดชี้แจงใดๆ

 

ไพ่ลอยมาทางเย่เฟย์หยู

 

เย่เฟย์หยูเอื้อมมือออกไปคว้าจับมัน

 

ทว่าทันทีที่ไพ่สัมผัสกับมือเขา มันก็หายวับไปไม่อาจหาร่องรอยได้อีกเลย

 

เย่เฟย์หยูก้มลงมองมือตัวเองด้วยความประหลาดใจ และเริ่มตรวจสอบมัน

 

แต่กลับไม่พบอะไรเลย

 

แล้วไพ่ล่ะ หายไปไหนแล้ว?

 

“เย่เฟย์หยู นายปกป้องที่นี่เอาไว้ ถ้ากู่ฉิงซานกลับมา ก็ให้รีบแจ้งฉันทันที”

 

ซูเซี่ยเอ๋อผุดลุกขึ้น และเดินออกไปทางด้านนอกวิลล่า

 

และไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่คทาปรากฏขึ้นในมือของเธอ

 

ประตูถูกเปิด

 

แล้วซูเซี่ยเอ๋อก็ก้าวออกไป

 

“นั่นเธอกำลังจะไปที่ไหนกันน่ะ?” เย่เฟย์หยูตะโกนถามไล่หลัง

 

ซูเซี่ยเอ๋อไม่หยุดฝีเท้า แต่พูดโดยไม่หันกลับมามอง “ฉันจะต้องไปปกป้องโลกใบนี้เพื่อเขา”

 

ซางหยิงฮ่าวที่ไม่ได้ขยับอะไรมานาน ในที่สุดก็ลุกขึ้นและวิ่งออกไปข้างนอก

 

“อะไร เกิดอะไรขึ้นหรอ?” เหลียวฮังลุกขึ้นตามไปเช่นกัน และเอ่ยถามเขา

 

“เธอเป็นผู้หญิงของกู่ฉิงซาน ถ้าเธอไปลุยกับเก้าตระกูลโดยลำพังแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นล่ะก็ หลังจากที่กู่ฉิงซานกลับมา ฉันจะไปสารภาพกับเขาว่ายังไง” ซางหยิงฮ่าวตอบอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่ใช่แค่นาย แต่พวกเราก็ด้วยต่างหาก” เย่เฟย์หยูกล่าวและก้าวตามซางหยิงฮ่าวไป

 

“ลุยกันเลย ประชาชนและกองทัพของรัฐบาลกลางนอกเหนือไปจากพวกชนชั้นสูงจะสนับสนุนพวกเธอเอง” ประธานาธิบดีกล่าว

 

แล้วสมองควอนตัมในมือเขาก็สาดแสงขึ้นทันใด เพื่อเริ่มทำการเชื่อมต่อกับเทพธิดากงเจิ้ง

 

ขณะที่เวโรน่าก็หยิบสมองควอนตัมออกมาเช่นกัน เพื่อเริ่มเรียกใช้งานม่านเหล็ก

 

อาวุธจากปรภพก็พากันตะโกนว่าจะสนับสนุนซางหยิงฮ่าวและเย่เฟย์หยู

 

ฝูงชนเฮกันเดินออกจากวิลล่า

 

อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งภายนอกวิลล่า และกำลังชูคทาขึ้นสูง

 

“นั่นเธอกำลังทำอะไรน่ะ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

ได้ยินแค่เพียงเสียงพึมพำราวกระซิบของซูเซี่ยเอ๋อ

 

แล้วเธอก็ปักด้ามคทาลงกับพื้นดินอย่างแรง

 

ปัง!

 

ฝุ่งฟุ้งกระจาย แรงลมกวาดพวกมันออกไปทุกทิศทาง

 

ตามด้วยเสียงอันน่าเกรงขามที่ดังขึ้นมาจากความว่างเปล่า

 

“จ้าวแห่งบัญญัติวินัยและการลงทัณฑ์ ผู้สืบทอดสายทะเลโลหิตจากตลอดทั้งหมื่นโลกา นายหญิงแห่งเกาะหมอก ข้าได้ตอบรับตามคำเรียกของท่านแล้ว”

 

ฝุ่นควันที่บดบังวิสัยทัศน์แยกย้ายออกไป

 

พร้อมกับมอนสเตอร์ในชุดเกราะหนาค่อยๆลดระดับลงมาจากฟากฟ้าอย่างช้าๆ

 

ร่างของมันมีความสูงเท่ากับภูเขาทั้งลูก บนศีรษะมีสองเขาแหลม ขณะที่เบื้องหลังมีคู่ปีกสีเทา คอยประคองการลดระดับลงจากฟ้าอย่างมั่นคง

 

“เจ้ามาได้ถูกเวลาจริงๆ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

มอนสเตอร์ที่มีรูปร่างบางส่วนคล้ายกับมนุษย์เปิดคู่ดวงตาตั้งฉากของมันออก แล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลง

 

มันเอ่ยถามด้วยความนอบน้อม “นายหญิงที่เคารพ ต้องการให้เรียกกองทัพออกมาล้างบางสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้เลยหรือไม่?”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.486 – เรื่องของเขาก็คือเรื่องของฉัน

 

รูปปั้นทองคำสูงตระหง่าน แท้จริงแล้วเป็นรูปสลักของชายเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่ง

 

เห็นแค่เพียงบุหรี่ที่คาบอยู่ในปาก มือซ้ายถือขวดเหล้า ขณะที่กำลังจับหมวกปีกกว้างบนหัวด้วยมือข้างขวา

 

ดวงตาของชายในรูปปั้นหรี่แคบ คล้ายกำลังเผยถึงความเหยียดหยัน

 

กู่ฉิงซานเฝ้าสังเกตรูปั้นและในที่สุดก็พบถึงความผิดปกติบางอย่าง

 

แม้รูปปั้นของชายผู้นี้จะสวมถุงมือหนังสีดำ และสวมเพียงแจ็คเก็ตเปล่าๆทับกับร่างช่วงบน เผยให้เห็นถึงรอยสักบนหน้าอก ซึ่งในคำพรรณนาโดยรวมที่ผ่านมานี้ มันจะทำให้เขาดูเย็นชาก็ตามที

 

แต่ร่างกายช่วงล่างของเขากลับสวมใส่เพียงแค่บ็อกเซอร์สั้นๆ

 

ความรู้สึกเย็นชาทั้งหมดทั้งมวลในรูปปั้น เมื่อถูกมองมายังบ็อกเซอร์หลวมๆตัวนี้ มันก็สลายหายไปทันที

 

ชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆกู่ฉิงซานสังเกตเห็นถึงสายตาของเขา

 

ชายชรายักไหล่และกล่าว “อีกไม่นานก็จะถึงสมาคมของไอ้บ้าแล้ว มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะได้เห็นรูปปั้นของเขาในโลกที่อยู่ใกล้เคียงกัน”

 

พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็เข้าใจทันที

 

แท้จริงแล้ว รูปปั้นทองคำเหล่านี้คือรูปปั้นเสมือนของขาเป๋แบรี่นั่นเอง

 

“นี่อย่าบอกนะว่าเขาบ้าถึงขั้นสร้างรูปปั้นของตัวเอง แล้วเอามันไปวางไว้ในทุกๆโลกน่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไม่ ไม่ ไม่ เป็นเพราะโลกเหล่านั้นชื่นชมเขาต่างหาก ดังนั้นจึงได้สร้างรูปปั้นของเขาขึ้น”

 

ชายชรากล่าวต่อ “ทุกคนต่างก็เห็นตรงกันว่าแบรี่นั้นมีหัวใจที่แสนจะอบอุ่น เป็นคนที่ไม่คิดนิ่งดูดาย คิดเร็วทำเร็ว ชนิดว่ารู้เรื่องแล้วก็ลงมือทำเลยทันทีน่ะ”

 

ได้ยินแบบนั้น กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจ

 

หากผู้ชายคนนี้สร้างรูปปั้นตน แล้วนำมันไปวางไว้ทุกโลกด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ กู่ฉิงซานคงต้องเพิ่มความระมัดระวังที่มีต่อคนประเภทนี้ให้สูงขึ้นมากทีเดียว

 

กู่ฉิงซานแสดงความคิดเห็น “แต่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ อ่า ข้าหมายถึงช่วงล่าง จะให้พูดว่าอย่างไรดี?”

 

ชายชราหัวเราะ

 

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังมองชายชราอย่างงงงวย

 

ชายชราก็ยิ้มและอธิบายว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเมาเป็นหมา และหมกตัวเองเล่นพนันอยู่ในบ่อนไม่ยอมออกไปไหน จนสูญเสียทุกอย่างไม่เหลือแม้กระทั่งกางเกง”

 

“แต่แล้วในช่วงเวลาที่กำลังจะเสียบ็อกเซอร์ชิ้นสุดท้ายนั้นเอง เขากลับได้รับการแจ้งเตือนว่ามีโลกที่กำลังจะถูกเผ่ามารเข้าทำลาย และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน”

 

ชายชราถอนหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วสิ่งที่ต้องทำคืออะไร? วิ่งออกไปซื้อกางเกงงั้นหรือ? ไม่ ไม่หรอก เวลามันไม่เพียงพอ โลกกำลังจะถูกทำลายลงในไม่ช้าโดยเผ่ามาร ขาเป๋แบรี่จึงเร่งออกจากบ่อนคาสิโนทันที”

 

แล้วกู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง

 

เขาหันไปมองชายชราด้วยแววตาปราศจากซึ่งความสงสัย

 

ชายชราพยักหน้าและกล่าว “ใช่แล้วล่ะ แบรี่มันก็ไปช่วยทั้งๆบ็อกเซอร์อย่างงั้นแหละ”

 

“หลังจากนั้น เมื่อทุกคนในโลกถูกช่วยเหลือเอาไว้ ทั้งหมดก็รู้สึกขอบคุณเขา และสร้างรูปปั้นนี้ขึ้นมา – ซึ่งในเวลานั้นเขาไม่ได้สวมใส่กางเกง รูปปั้นมันก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น”

 

“แล้วต่อมา รูปปั้นนั้นก็เริ่มเป็นที่แพร่หลาย โลกใดก็ตามที่ถูกเขาช่วยเหลือก็จะสร้างรูปปั้นนั้นตั้งเอาไว้”

 

“ … ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

 

ระหว่างสนทนา เรือก็หยุดลง

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จู่ๆก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นบริเวณด้านข้างของเรือ

 

“พวกเรามาถึงแล้ว” ชายชราเบนสายตาออกไป ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

….

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ในโลกจริง

 

การประชุมเกี่ยวกับชะตากรรมของโลกกำลังถูกจัดขึ้นในวิลล่าบนบนหุบเขา

 

ซางหยิงฮ่าวกลั้วลำคอของเขาและกล่าว “ดังนั้น กระหม่อมจึงเห็นสมควรว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะปลุกเจ้าพวกเย่อหยิ่งนี่ให้ได้สติเสียที”

 

“แล้วคนอื่นๆล่ะ คิดเห็นยังไงบ้าง” สมเด็จพระจักพรรดินีเวโรน่าเอ่ยถาม

 

ประธานาธิบดีมองไปยังเทพนักสู้ซางซ่งหยางและพยักหน้าส่งสัญญาณให้เขาพูด

 

ซางซ่งหยางตอบ “ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ใช่พวกดาวเด่นหรือผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนอะไรที่ไหน ก็แค่โชคดีได้ถูกเลือกโดยอาวุธจากปรภพก็เท่านั้นเอง”

 

เหลียวฮังกล่าวอีกว่า “เจ้าคนกลุ่มนี้มันกำลังคิดผิด พวกมันได้ทำเรื่องบ้าบอและชั่วร้ายมามากเกินไป ดังนั้นจึงสมควรแล้วที่จะได้รับการลงโทษ”

 

“เห็นด้วย” เครื่องจักรพิพากษาเปล่งเสียงดังขึ้น

 

“นอกจากนี้ ความตั้งใจเดิมของพวกเราก็คือ การช่วยให้โลกที่ทำการผสานรวมกันนี้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว ไม่ได้ให้คนกลุ่มเล็กๆมาออกอาละวาดสังหารผู้บริสุทธิ์ ” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

ประธานาธิบดี “ในกรณีนี้ พวกเราจะต้องแจ้งให้ทั้งโลกทราบ ว่าผู้คนมีสิทธิที่จะฝึกยุทธได้ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะมีสิทธิ์ที่จะใช้พลังที่ได้รับจากการฝึกมันทำเรื่องชั่วช้า มิฉะนั้นพวกเขาก็จะต้องรับผิดชอบไปตามกฏหมาย”

 

เมื่อกล่าวจบ ทุกคนก็หันหน้า มองไปยังทิศทางเดียวกัน

 

เห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อที่กำลังตั้งใจฟังวิหคขาวอยู่บนโซฟา

 

เธอไม่ได้ยิน ไม่ฟัง ไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจแก้ปัญหาของโลกทั้งนั้น

 

อันที่จริงแล้ว ในทุกๆครั้งที่เธอกลับมา เธอก็มักจะมาอยู่ที่นี่ เพื่อรอกู่ฉิงซานกลับมาอย่างเงียบๆ

 

ได้ยินเพียงแค่เสียงของวิหคขาว “ ‘ข้าก็ได้พูดในสิ่งที่ต้องการไปแล้ว ยังจะมีใครไม่เห็นด้วยอยู่อีกหรือไม่?’ ”

 

ทันทีที่กล่าวประโยคนี้จบ มันก็เปลี่ยนน้ำเสียงทันที “จากนั้นคนตายจากนรกทั้ง 18 ขุมก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพียง ปากอ้าตะโกนโห่ร้อง ‘ราชาภูติทรงพระเจริญ’ ‘พวกเราสนับสนุนการตัดสินใจของท่าน’ ”

 

ซู่เซี่ยเอ๋อวางสองมือของเธอลงบนแก้มด้วยความหลงใหล ขณะที่ดวงตาเปล่งประกายสดใส “เขาได้ฆ่ามนุษย์ปีศาจนับพันล้านทั้งหมดในนรกขุมนั้นจริงๆน่ะหรอ?”

 

วิหคขาวถอนหายใจ “สำหรับเรื่องนี้ ข้าได้บอกเจ้าไปตั้งเจ็ดครั้งแล้ว หากมากกว่านี้ข้าคงต้องไปทำงานเป็นนกหนังสือ คอยรับหน้าที่เล่านิทานแล้วล่ะ”

 

“ไม่ๆ ช่วยเล่าต่อเถอะ ไหนลองบอกมาซิว่าเขาช่วยคุณได้ยังไง”

 

“อ่า … ก็ได้ๆ” วิหคขาวกล่าวอย่างหมดหนทาง

 

ซางหยิงฮ่าวที่เฝ้ามองฉากนี้ขบคิดอะไรเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะสะกิดๆไปทางเหลียวฮัง

 

แน่นอน ว่าเหลียวฮังย่อมเข้าใจได้ทันที

 

เขาร้องตะโกน “เฮ้ยๆ ท่านจ้าวมณฑลซู คุณมีความคิดเห็นยังไงบ้างกับเรื่องที่พวกเราหารือไปเมื่อครู่นี้”

 

“เรียกฉันในตอนแค่ที่อยากจะให้ฉันทำอะไรก็พอ เรื่องของพวกคุณมันน่าเบื่อเกินไปแล้วก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลย ยิ่งไปกว่านั้นไอ้ ‘เฮ้ยๆ’ นี่อย่าเรียกแบบนั้นดีกว่านะ ฉันไม่ค่อยจะชอบสักเท่าไหร่” ซูเซี่ยเอ๋อพูดอย่างแผ่วเบา

 

–ตาแก่นี่ ทำตัวน่ารำคาญจริงๆ

 

ปัง!

 

ในตอนนั้นเอง ประตูก็ๆได้ถูกเปิดออก

 

ตามด้วยเย่เหยหยูที่ร่างชุ่มไปด้วยเลือดเดินเข้ามา

 

“มีพวกขั้นก่อตั้งเกิดคลุ้มคลั่งอีกแล้ว แต่ก็ถูกจัดการเรียบร้อย ฉันได้ทำการตัดหัวของเขาด้วยมือของฉันเอง” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

“เธอก็ได้ยินความคิดเห็นของพวกเราผ่านทางสมองควอนตัมแล้วใช่ไหม มีความคิดเห็นยังไงบ้างล่ะ?” เวโรน่าเอ่ยถาม

 

“ความคิดเห็นของผมน่ะหรอ?”

 

เย่เฟย์หยูยกสองมือขึ้น พร้อมกับเผยรอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้า

 

“ผมน่ะเป็นผีดิบนักฆ่า ยิ่งฆ่าคนที่มีพื้นฐานวรยุธสูง ผมก็จะยิ่งวิวัฒนาการ , ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกระดับ ดังนั้นแน่นอน ว่าผมยินดีใช้สองมือนี้ออกไปจัดการพวกมัน ”

 

“ถ้าอย่างงั้น ก็ถือว่าพวกเราได้ข้อสรุปกันแล้วนะ” ประธานาธิบดีกล่าว

 

“ไม่นะ ทางเก้าตระกูลใหญ่ยังไม่ได้เสนอความคิดเห็นเลย” เวโรน่ากล่าวพลางขบคิด

 

“ก็ไม่ใช่ว่าจ้าวมณฑลซูอยู่ที่นี่แล้วหรอกหรอ?” เย่เฟย์หยูมองไปทางซูเซี่ยเอ๋อ

 

คนทั้งหลายหันมาสบตากัน ฉันมองคุณ คุณมองฉัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

 

เหลียวฮังกระแอม แล้วอธิบายว่า “จ้าวมณฑลซูบอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ”

 

เย่เฟย์หยูนั่งลงก่อนจะรินโซดาลงในแก้วตัวเอง และกระดกดื่มมันจนหมดในลมหายใจเดียว

 

“มันจะไม่เกี่ยวข้องได้ยังไง ถ้าจ้าวมณฑลซูไม่คิดจัดการอะไร นั่นมันก็เหมือนกับว่าเธอไม่รับผิดชอบอะไรเลยน่ะสิ” เย่เฟย์หยูวิจารย์

 

หลายคนต่างมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ

 

ซางหยิงฮ่าวลอบส่ายหัว ส่งสัญญาณไม่ให้อีกฝ่ายพูดอะไรไปมากกว่านี้

 

จ้าวมณฑลซูน่ะ … เป็นคนที่ทรงพลังมาก มากจนเกินไป

 

ครั้งก่อนที่เหลียวฮังกับวิหคขาวเผลอพูดไม่ถูกใจ เธอได้ระเบิดพลังอำนาจของตัวเองออกมา ซึ่งพลังที่ว่านั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อต้าน

 

แถมในไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอก็ยังสามารถเดินทางข้ามผ่านมิติมาได้อย่างง่ายดายทุกครั้ง

 

นี่มันใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้หรือ?

 

ซูเซี่ยเอ๋อหันหน้ามาเล็กน้อย ดวงตาอันทรงเสน่ห์เริ่มหรี่แคบลง

 

พร้อมกับแรงกดดันอันตรายที่เริ่มลุกลามออกมาจากตัวเธอ

 

“แม้แต่เก้าตระกูลใหญ่ฉันก็ยังไม่สนใจ แล้วถ้าอย่างงั้นทำไมฉันจะต้องสนใจเรื่องที่พวกนายกำลังทำอยู่ด้วย?” สีหน้าการแสดงออกของซูเซี่ยเอ๋อแลดูเย็นชา

 

เย่เฟย์ถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจกล่าว “มันเป็นสิ่งที่เธอต้องจัดการ”

 

“เห? นี่หมายความว่าฉันกำลังจะต้องถูกคนอื่นมาคอยควบคุมอีกแล้วสินะ?” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

เธอชักจะเริ่มรำคาญอีกแล้ว

 

“ไม่เชิงควบคุมหรอก แต่เธอเป็นผู้หญิงของเขานี่ ถ้าเป็นเขาต้องทำเรื่องพวกนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ไง ดังนั้นนอกจากเธอแล้ว ยังจะมีใครอีกที่รับผิดชอบหน้าที่นี้แทนเขาได้?” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งงันไป

 

เหลียวฮังลอบยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย

 

ขณะที่ซางหยิงฮ่าวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

 

ประธานาธิบดีกับเวโรน่าหันไปมองเย่เฟย์หยูเป็นสายตาเดียว

 

เย่เฟย์หยู … เติบโตขึ้นแล้วจริงๆ

 

เห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อที่แผ่แรงกดดันเยือกเย็นจนผู้คนต้องสั่นสะท้านผุดลุกขึ้น

 

“ช่วยบอกรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่พวกนายคุยกันเมื่อกี้ให้ฉันที”

 

เธอกล่าวอย่างจริงจัง

 

“ทำไม? เธอตัดสินใจที่จะจัดการมันแล้วหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม

 

“แน่นอน เพราะเรื่องของเขา ก็คือเรื่องของฉัน” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.485 – รูปปั้นทองคำ

 

“นายน้อย ตื่นได้แล้ว”

 

เสียงของหญิงสาวดังขึ้น

 

กู่ฉิงซานลืมตาของเขา

 

และพบว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเขาก็ยังคงเป็นที่พักอันต่ำต้อยในสลัมช่วงวัยเด็กดังเดิม

 

ฉานนู่นั่งอยู่ข้างเตียง เฝ้ามองเขาด้วยความเป็นห่วง

 

“ขอโทษที นี่ข้าเผลอหลับไปงั้นหรือ ว่าแต่ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว”

 

“หนึ่งวันหนึ่งคืน”

 

“นั่นมันนานมาก!”

 

กู่ฉิงซานตกใจ

 

“เจ้าคงเหนื่อยมากเกินไปน่ะ ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานเริ่มตรวจสอบร่างกายตนเองอย่างรอบคอบ

 

แล้วก็พบว่า บัดนี้ร่างกายตนเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ความเหนื่อยล้ามลายสูญไปสิ้นแล้ว

 

หลังจากที่ได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ สภาพร่างกายของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพดีดังเดิม

 

เวลานี้ ตัวกู่ฉิงซานได้กลับมาอยู่ในสภาพพร้อมสมบูรณ์อีกครั้ง

 

“ก็คงจะอย่างนั้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะสบายจนข้าเผลอตัวไปหน่อย แต่ตอนนี้ท้องข้าชักจะร้องซะแล้วสิ”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ผุดลุกขึ้นบิดขี้เกียจ

 

“ว่าแต่เจ้าอยากจะกินอะไรดีล่ะ?” เขาหันไปถามฉานนู่

 

ฉานนู่ได้ลิ้มชิมรสฝีมือของกู่ฉิงซานมาแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาถาม เธอจึงยิ้มออกมาทันที

 

“ยิ้มทำไมงั้นหรือ?”

 

“ข้าได้ยินมาว่าโครงสร้างสังคมของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่รับผิดชอบในด้านการปรุงอาหารก็คือฝ่ายหญิง ขณะที่ฝ่ายชายรับผิดชอบในด้านการงาน”

 

“กาลเวลามันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตอนนี้ผู้ชายก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองเหมือนกัน”

 

“ถ้านายน้อยว่าแบบนั้นก็ดี เช่นนั้นข้าอยากจะดื่มซุปแบบเมื่อวานอีก รสชาติมันยังติดลิ้นอยู่เลย”

 

“งั้นเราจะทำซุปแบบเมื่อวาน แล้วก็กลับแกล้มอีกสักสองสามอย่าง”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระ หยิบอาหารวิญญาณมาวางเบื้องหน้าฉานนู่

 

หลังจากที่ฉานนู่ได้ลองกินอาหารวิญญาณแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “มันอร่อยจริงๆ”

 

-นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะนี่คืออาหารวิญญาณที่ฉินเซี่ยวโหลวเตรียมไว้อย่างดี

 

อาหารวิญญาณของฉินเซี่ยวโหลวนับว่ามีรสชาตยอดเยี่ยม หากได้ทานมันควบคู่ไปกับการสุราที่กู่ฉิงซานผสม มันก็นับว่าเลิศเลอเหนือคำบรรยาย

 

กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงฉินเซี่ยวโหลว รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แน่นอน เพราะนี่คืออาหารวิญญาณ มันมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถปรุงได้”

 

ฉานนู่เอ่ยถาม “นี่มิใช่นายน้อยปรุงหรอกหรือ?”

 

“ไม่หรอก เป็นศิษย์พี่ข้าที่ปรุงมัน”

 

“ไม่น่าแปลกใจเลย” ฉานนู่เอ่ยขึ้นทันใด “ฉะนั้นคงจะกล่าวได้ว่าจริงๆแล้วท่านมาจากสำนักสอนทำอาหารอย่างงั้นสินะ”

 

“ … ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”

 

“เจ้ากินไปก่อนแล้วกัน ข้าขอตัวไปล้างมือทำซุปก่อน”

 

กู่ฉิงซานกล่าวและเริ่มวุ่น

 

“อีกนานแค่ไหนกัน กว่าพวกเราจะไปถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม?” ฉานนู่เอ่ยถามขณะเคี้ยวอาหาร

 

อาหารวิญญาณนี่ รสชาติดีจริงๆ

 

ฉานนู่รู้สึกว่าการที่เธอตัดสินใจเลือกติดตามนายน้อย … มันช่างคุ้มค่าเสียจริงๆ

 

กู่ฉิงซานยังไม่ทันจะได้เอ่ยตอบ แต่กลับมีเสียงๆหนึ่งตอบขึ้นมาแทนเขา “การเดินทางนี้จะยาวนานกว่าห้าวัน และหลังจากห้าวัน เจ้าก็จะไปถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม”

 

กู่ฉิงซานพอได้ยินก็ตกใจ

 

ตั้งห้าวันเชียวหรือ

 

มันไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆเลยสำหรับเขา

 

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ-

 

ตั้งแต่ที่ตนได้เดินทางมายังโลกมิติอนันต์ กระแสการไหลของมิติและเวลาก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

ความหมายก็คือ เขาใช้เวลาที่นี่นานเท่าใด ระยะเวลาในโลกจริงก็จะผ่านไปนานเท่านั้น

 

แต่ … จากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกในปัจจุบัน โลกที่กู่ฉิงซานถือกำเนิดมันคงจะไม่สมควรที่จะเรียกว่าโลกจริงอีกต่อไป

 

เนื่องจากมีโลกกว่าตั้ง 900 ล้านชั้น และภายในมันก็มีโลกอยู่อีกนับไม่ถ้วนนับล้านๆโลก และทั้งหมดล้วนเป็นโลกจริง

 

ระบบเรียกโลกเดิมของเขาว่าสุสานแห่งโลก แต่มันมิได้อธิบายแก่กู่ฉิงซานว่าเหตุใดมันจึงเรียกเช่นนั้น

 

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มรำพึงออกมา “คราวนี้ดูเหมือนฉันจะจากไปนานกว่าปกติซะแล้ว หวังว่าโลกเดิมของฉันจะยังไม่มีปัญหาอะไรนะ”

 

มันต้องใช้เวลากว่า 5 วัน เขาจึงจะไปถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม และหลังจากนั้นเขาก็ต้องหาวิธีการที่จะอยู่ต่อในสมาคมแห่งนั้นอีก

 

ตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับไปเมื่อไหร่

 

ฉานนู่กล่าวปลอบใจ “นายน้อย วางใจเถอะ สองโลกได้ผสานรวมกันแล้ว ดังนั้นความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลสมควรจะเพิ่มพูนขึ้น ทุกอย่างจะเป็นไปในทิศทางที่ถูกที่ควร”

 

กู่ฉิงซานพอคิดตาม ก็เริ่มจะคลายใจลง

 

“นั่นสินะ บางทีตอนกลับไป พวกเราบางคน อาจจะทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิดแล้วก็ได้”

 

…..

 

ห้าวันผ่านพ้นไปราวกับพริบตา

 

แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

 

“ขออภัยที่รบกวน แต่ที่หมายของเจ้ากำลังจะเทียบท่าแล้ว” เสียงชราดังเข้ามาจากภายนอก

 

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับ

 

ฉานนู่กลายเป็นดาบขุนเขาเทวะ ถูกคว้าจับโดยกู่ฉิงซาน และเก็บกลับคืนสู่ทะเลแห่งห้วงสติ

 

เขาผุดลุกขึ้น เดินไปเปิดประตู

 

แล้วก็พบกับชายชราที่ยืนอยู่ภายนอก

 

“เจ้าพึงพอใจกับห้องพักของพวกเราหรือไม่?” ชายชราเอ่ยถาม

 

“ข้าพอใจยิ่งนัก บอกตามตรงว่าข้าไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว” กู่ฉิงซานเอ่ยขอบคุณอย่างจริงจัง

 

ได้ยินเขาพูดแบบนั้น ชายชราก็ยิ้มออกมา “งั้นก็ดีแล้ว”

 

ชายชรานำทางกู่ฉิงซานไปที่ดาดฟ้าเรือ

 

ระหว่างทาง กู่ฉิงซานสังเกตเห็นว่าประตูห้องอื่นๆทั้งหมดเปิดอยู่ และภายในก็ว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย

 

“ผู้โดยสารอีกสามคนถึงที่หมายแล้วอย่างงั้นหรือ?”

 

“ใช่ จุดหมายปลายทางของพวกเขาอยู่ไม่ไกลเกินไปนัก มีเพียงเฉพาะในส่วนสถานที่ของขาเป๋แบรี่เท่านั้น ที่พวกเราต้องใช้เวลายาวนานจึงจะมาถึง”

 

“อ่า จริงๆแล้วข้าก็จะมาหาเขานั่นแหละ”

 

“กลับกลายเป็นว่าเจ้าต้องการจะพบเขานี่เอง” ชายชราหันหน้าไปมองกู่ฉิงซาน เผยสีหน้าคาดไม่ถึง

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าบอกว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

ผู้พิทักษ์หอสูงมีความสัมพันธ์อันดีกับตนเอง ดังนั้นหากจะกล่าวเรื่องนี้ออกไปก็คงจะไม่มีอะไร

 

เพราะจริงๆแล้วตนเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าแบรี่เป็นใคร

 

บางที ชายชราตรงหน้าอาจจะให้คำแนะนำดีๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ก็ได้

 

พอแน่ใจว่าใช่จริงๆ ชายชราก็ใคร่ครวญก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าเคยรู้จักแบรี่มาก่อนหรือไม่?”

 

“ไม่รู้จัก”

 

กู่ฉิงซานอธิบายเพิ่มเติมว่า “แบรี่ได้เคยช่วยคนผู้หนึ่งเอาไว้ แต่คนผู้นั้นไม่สามารถมาหาเขาได้ด้วยตนเอง จึงฝากฝังให้ข้านำของมามอบให้แก่แบรี่ เพื่อแสดงความซาบซึ้งใจที่มีต่อเขา”

 

ชายชราพยักหน้าว่าเข้าใจ และกล่าวต่อว่า “แบรี่ผู้นี้ แม้ว่าจะเป็นคนโง่ อ่า .. ข้าหมายถึงมันบ้า แต่เขาก็เคยได้ช่วยเหลือผู้คนเอาไว้มากมาย แต่ก็มีผู้คนไม่มากนักหรอก ที่ยินดีจะติดต่อกับเขา”

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้กระทำการบางอย่างเพื่อต้องการที่จะแสดงให้ผู้คนต้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง”

 

“อุทานออกมาด้วยความตกตะลึง?”

 

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างตั้งใจ

 

คำๆนี้ บ่งบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายมักจะทำสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดอยู่เสมอ

 

หากเป็นในกรณีเช่นนี้ การจะตามตัวแบรี่ มันคงจะเป็นเรื่องยากกว่าปกติสักเล็กน้อย

 

“เขาทำอะไรลงไปงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ชายชรากล่าว “ครั้งหนึ่ง เขาเคยจับตัวอสูรกายระดับสูงเอาไว้ แล้วก็ใช้เวลากว่า 200 ปี โน้มน้าวให้อสูรกายตนนั้นเปลี่ยนใจ หันมาช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความสุขแทน”

 

“200ปี!? เขาสามารถใช้เวลานั้นโน้มน้าวอสูรกายชั้นสูงได้อย่างงั้นหรือ?”

 

“เปล่า อสูรกายทนไม่ไหว เลยยอมฆ่าตัวตายไป”

 

ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็มาถึงดาดฟ้าเรือในที่สุด

 

กู่ฉิงซานมองออกไปภายนอกเรือ

 

เห็นแค่เพียงรอบตัวเต็มไปด้วยปฐมบทแห่งความโกลาหลอันสับสนวุ่นวาย และบ่อยครั้งมักจะมีภาพอันแปลกประหลาดวาบผ่านเข้ามา

 

ทุกแห่งล้วนเป็นโลกจริง และเนื่องจากเรือได้แล่นผ่านโลกเหล่านั้น มันจึงพอที่จะสามารถเหลือบมองถึงสถานที่ๆอยู่ภายในได้

 

กู่ฉิงซานมองเห็นถึงรูปปั้นทองคำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง

 

แล้วฉากนี้ก็วาบผ่านสายตาเขาไป

 

หลังจากนั้น

 

ความเร็วของเรือก็ค่อยๆแล่นช้าลง

 

ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นบนหัวเรือ

 

ซึ่งนั่นหมายความว่าเรือได้แล่นผ่านเข้ามายังโลกแห่งความจริงอีกแห่งหนึ่งแล้ว

 

กู่ฉิงซานได้พบเห็นถึงรูปปั้นทองคำที่สูงตระหง่านอีกครั้ง

 

เขากำลังเพ่งสำรวจดูรูปปั้นทองคำที่ว่า แต่เรือก็แล่นออกจากโลกใบนั้นไปเสียก่อน

 

แม้ว่าความเร็วของเรือจะเชื่องช้ามาก แต่มันกลับสามารถข้ามผ่านตลอดทั้งโลกนับล้านล้านในที่ดำรงอยู่ได้

 

กู่ฉิงซานเพียงแค่คิด สายตาของเขาก็หันไปเห็นรูปปั้นทองคำรูปเดิมในอีกโลกหนึ่งอีกแล้ว

 

เขาเริ่มที่จะตะหงิดๆว่ารูปปั้นทองคำที่เห็นนี้มันน่าจะมีบางอย่างผิดปกติ

 

“พิกลนัก … ”

 

กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

ขณะคิด ความเร็วเรือก็ลดลงอีกครั้ง และอีกระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นก็ปะทะกับหัวเรือ

 

อีกโลกหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซาน

 

เขาก็ยังเห็นรูปปั้นทองคำรูปเดิมอีกอยู่ดี

 

นี่มันชักจะไม่ปกติแล้ว ที่เขาเห็นรูปปั้นทองคำตัวเดิมจากในหลายๆโลกต่อเนื่องที่ผ่านมา

 

กู่ฉิงซานจ้องสังเกตไปที่รูปปั้นอีกครั้ง

 

และคราวนี้ เรือก็มิได้แล่นออกไปในทันที กู่ฉิงซานจึงสามารถเพ่งมองรูปปั้นอย่างละเอียดได้ในที่สุด

 

มันคือรูปปั้นที่ดูเหมือนจริงมาก เหมือนจริงจนราวกับมันมีชีวิต ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เดินผ่านไปมาแล้วแหงนมอง ก็ย่อมต้องบังเกิดความคิดเช่นเดียวกัน

 

มันคือรูปปั้นของผู้ชายเผ่ามนุษย์

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.484 – พักผ่อน

 

กู่ฉิงซานไม่คาดคิดเลยว่าขาเป๋แบรี่จะเป็นคนเช่นนี้

 

คนประเภทนี้ … หากเผชิญหน้ากัน ต่อให้เป็นตัวกู่ฉิงซานเองก็คงจะคาดเดาไม่ได้ว่าอีกจะเลือกลงมืออย่างไร

 

มันเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับคนอื่นที่จะคาดเดาพฤติกรรมของเขา

 

กู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกว่าเรื่องที่เขากำลังจะไปพบเจอ ดูท่าว่ามันจะไม่ได้ง่ายเสียแล้ว

 

“ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ” กู่ฉิงซานหันไปกล่าวกับชายชรา

 

“ไม่ได้มากมายอะไรเลย มันก็แค่เรื่องซุบซิบนินทาเล็กๆน้อยๆก็เท่านั้นเอง” ชายชราหัวเราะ

 

“ถ้าอย่างงั้น ข้าคงต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อน”

 

“เข้าใจแล้ว เมื่อถึงสถานที่ที่กำหนด ข้าจะมาตามตัวเจ้าเอง”

 

“ขอบพระคุณท่านมาก”

 

แล้วทั้งสองก็กล่าวร่ำลากัน

 

กู่ฉิงซานเดินเข้ามาในห้องและปิดประตูลง

 

หลากหลายเหตุการณ์ที่พึ่งพบเผชิญมา ล้วนมีแต่เรื่องราวไม่คาดคิดมากเกินไป ดังนั้นตัวเขาจึงต้องการสถานที่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ เพื่อที่จะได้ขจัดความคิดลงอย่างช้าๆ

 

เขาหันไปมองรอบๆ

 

แต่กลับพบว่าทั้งห้องไม่มีอะไรเลย มันว่างเปล่า

 

มันเป็นเพียงพื้นที่ปิดอันคับแคบ มิต้องกล่าวถึงโคมไฟ แม้กระทั่งสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานอย่างโต๊ะและเก้าอี้ก็ยังไม่มี

 

มันคือห้องโล่งๆที่ว่างเปล่า

 

กู่ฉิงซานตกตะลึง

 

ตัวตนอย่างเช่นสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ไม่น่าจะบริการห้องพักหยาบๆแบบนี้ให้แก่ลูกค้าของพวกเขา

 

ทว่าเพียงแค่คิด กลับเห็นแค่เพียงแสงจากเทียนไขถูกจุดขึ้น ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด

 

เทียนไขแขวนอยู่ในอากาศ และค่อยๆลอยมาเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

พร้อมกับเสียงอันนุ่มนวลของผู้หญิงที่ดังขึ้นในห้องพัก

 

“ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ”

 

“เผ่าพันธุ์ของท่านคือ : มนุษย์”

 

“ทางเรากำลังทำการเรียกคึนสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายที่สุด โดยการสกัดมันจากส่วนลึกของความทรงจำของท่าน”

 

แล้วเสียงก็หายไป

 

หนึ่งลมหายใจ สอง และสาม

 

เสียงของผู้หญิงดังขึ้นอีกครั้ง

 

“ตรวจพบว่าสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายมากที่สุดสำหรับท่านก็คือ : ”

 

“หนึ่ง : บาร์เรนโบว์”

 

“สอง : ห้องพักห้องแรกทางตะวันออกบนชั้นสองของวิลล่าในเขตชานเมืองของรัฐบาลกลาง”

 

“สาม : วังหลานเฉาในนิกายร้อยบุปผา”

 

“สี่ : สลัมในรัฐบาลกลาง อาคารบล็อกที่ 5 ,ห้องหมายเลข 2203 , บนชั้น 22 ”

 

“กรุณาเลือกสภาพแวดล้อมที่ท่านต้องการ เพื่อให้มั่นใจว่าการเดินทางในครั้งนี้ของท่านจะได้รับความสะดวกสบาย”

 

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ในสมองคิดเกี่ยวกับมันอยู่สักพัก

 

“เอาเป็นอาคารบล็อกที่ 5 ก็แล้วกัน” เขาพยายามกล่าว

 

“เข้าใจแล้ว สภาพแวดล้อมได้รับการระบุเป็นที่เรียบร้อย และสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมจะถูกจัดหามามอบให้ท่านโดยสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง – ขอให้เป็นการเดินทางที่น่ารื่นรมย์”

 

แล้วเสียงของผู้หญิงก็เงียบไป

 

พร้อมกับเทียนไขที่ดับลง

 

ความมืดมิดกลับคืนสู่ภายในห้อง

 

แต่หลังจากนั้นเอง ก็ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างกำลังค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และเฝ้าสังเกตตลอดทั้งห้อง

 

ใช่ ห้องพักมีการเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ

 

มันเปลี่ยนไปเป็นห้องที่ยาวแต่แคบ คล้ายทางเดินเส้นตรง

 

ตลอดทั้งห้องมิได้ถูกแบ่งออกเป็นห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือห้องครัว ชนิดที่ว่าเตียงและตู้อาจจำเป็นต้องวางซ้อนกันจึงจะพักได้อย่างสบาย

 

ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำ

 

โคมไฟระย้าแขวนอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเพดานห้อง ขณะที่ภายในหลอดไฟถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผง

 

สภาพที่อยู่อาศัยเช่นนี้ แลดูมันจะด้อยยิ่งกว่าจะถูกเรียกว่าสลัมซะอีก

 

กู่ฉิงซานมองไปรับๆห้องพักของเขา

 

เขายืนนิ่งอยู่สักพัก ราวกับกำลังย้อนนึกไปถึงบางสิ่งบางอย่าง

 

ตลอดทั้งห้องมีเพียงความเงียบสงบ ไร้ซึ่งเสียงรบกวนใดๆ

 

จนกระทั่งกู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา จึงเริ่มบังเกิดแสงสลัวๆขึ้นภายในห้อง

 

เขาเบนสายตาไปทางหน้าต่าง และมองลอดออกไปภายนอก

 

บริเวณใกล้เคียงคราคร่ำไปด้วยตึกระฟ้า ขณะที่ภายในตึกเหล่านั้น ประปรายไปด้วยแสงไฟกระจัดกระจายออกไป

 

นี่คือสลัม

 

ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่มีค่า และผู้คนที่อยู่ที่นี่ก็จำต้องใช้สอยมันอย่างประหยัด

 

ไกลออกไปสุดสายตา

 

เขตการค้าและย่านธุรกิจของเมืองหลวงกลับเต็มไปด้วยแสงสว่างไสว

 

สายตาของกู่ฉิงซานนิ่งค้างอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง

 

ห้วงความทรงจำเก่าๆ ค่อยๆผุดขึ้นมาในจิตใจ

 

ฉากในวัยเด็กและวัยหนุ่มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

 

เขาเติบโตมาเพียงลำพัง

 

คำกล่าวนี้ แม้บางคนจะใช้มันในการโอ้อวด และเสริมเติมแต่งบุคลิกและหน้าตาของตนเองได้

 

แต่สำหรับกู่ฉิงซาน ประโยคเมื่อครู่นี้มันเป็นตัวแทนของความขมขื่นและอ้างว้างอย่างแท้จริง

 

เขาเป็นเด็กกำพร้า

 

ทุกสิ่งอย่างล้วนต้องพึ่งตนเอง

 

กู่ฉิงซานหันกลับไปมองรอบๆและเดินไปที่ปลายเตียง

 

ก่อนจะก้มตัวแล้วยื่นมือออกไป คว้าจับขวดสุราขึ้นมาในมือของเขา

 

เท่านี้ก็มั่นใจได้แล้ว ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ๆคุ้นเคยสำหรับเขาจริงๆ

 

เพราะกระทั่งเหล้าที่มีวิธีการหมักบ่มแสนเลวร้ายที่สุด ที่มีราคาเพียง 5 แต้มเครดิตรัฐบาลกลาง และเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนจนก็ยังอยู่ที่นี่

 

ภายในขวดเหล้าเต็มไปด้วยน้ำสีใสๆ ขณะที่กระดาษถูกห่อเอาไว้ด้านนอกขวด บดบังยี่ห้อของมันเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

 

กู่ฉิงซานได้เก็บขวดเหล้านี้ไว้มากว่าครึ่งปี และเตรียมที่จะเปิดมันดื่มฉลองในวันเกิดของเขา

 

–แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในห้วงความทรงจำก็ยังปรากฏ พลังของสมาคมผู้พิทักษ์แห่งหอสูงนี่ช่างมหัศจรรย์โดยแท้

 

ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเพราะเหตุใดผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพจึงรู้สึกกังวลว่าตนไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการเดินทาง

 

กู่ฉิงซานเปิดฝาเหล้าโดยไม่ต้องคิด

 

เขายกขวดขึ้นและกระดกมัน

 

ช่างแสบลิ้น

 

และขม

 

ความรู้สึกแสบเย็นพวยพุ่งขึ้น ไหลลงไปตามลำคอและหน้าอก

 

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเหล้าเกรดต่ำ แต่มันก็ผสมไปด้วยความทรงจำอันยาวนานของกู่ฉิงซาน มันช่วยนำพาความรู้สึกเดิมๆที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้วกลับคืนมา

 

เมื่อคิดถึงเรื่องราวในอดีต กู่ฉิงซานก็ส่ายหัว

 

เขายกมันขึ้นจิบ จิบแล้วจิบเล่าจนเหล้าหมดไปกว่าครึ่งขวด

 

ทันใดนั้นเอง กู่ฉิงซานก็เดินไปข้างเตียงของตน และเปิดชั้นผ้าที่คลุมบางสิ่งเอาไว้

 

เตาเหล็กย่างบาร์บี่คิว ถ่าน ไม้เสียบ และเครื่องปรุงชนิดต่างๆถูกจัดวางเอาไว้อย่างประณีต

 

นี่คือสิ่งที่ช่วยให้กู่ฉิงซานสามารถหาค่าเล่าเรียนมาได้

 

เขามีพรสวรรค์ในการปรุงอาหารและผสมเหล้า

 

หรือกล่าวอีกนัยนึงก็คือ เขามีสัญชาตญาณที่ดีในการรังสรรรสชาติอันยอดเยี่ยม

 

ในช่วงชีวิตวัยรุ่น เขาได้ทำการคิดค้นสูตรลับบาร์บีคิวในการย่างซี่โครงหมูขึ้น

 

และมันก็ได้รับการประเมินว่าเป็นอาหารเลิศรสระดับสูงของรัฐบาลกลาง

 

ดังนั้น เทพธิดากงเจิ้งจึงทำการมอบ 2 แต้มบุญให้แก่เขา

 

ซึ่งในปีนั้น กู่ฉิงซานมีอายุเพียง 15 ปี เท่านั้น

 

ในปีที่คนรุ่นเดียวกัน ยังคงนั่งฝันกลางวันกันอยู่เลย

 

แต่กู่ฉิงซานกลับสามารถเดินทางไปยังตลาดมืด และกลายเป็นคนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในวงการอาหาร

 

หากเขาไม่มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องหุ่นรบ และหวังว่าตนจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ล่ะก็ … กู่ฉิงซานคงจะเอาดีทางด้านพ่อครัวไปแล้ว

 

กู่ฉิงซานเริ่มจุดถ่าน และเตรียมอุปกรณ์ย่างบาร์บีคิว

 

เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบฉวยเอาอาหาร เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ออกมา และทำการเสียบมันเข้าใส่ไม้อย่างระมัดระวังจึงวางย่างไฟ

 

ไม่กี่นาทีต่อมา ‘แผงลอยบาร์บีคิวตระกูลกู่’ ก็เปิดขึ้นอีกครั้ง

 

แต่กระแสลูกค้าคับคั่งในครั้งอดีตได้หายไป

 

ในเวลานี้ มีเพียงเจ้าของร้านและแขกเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

ช้าก่อน แขกอีกคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ-

 

เห็นแค่เพียงร่างที่งดงามปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า และตกลงข้างกายกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

ฉานนู่

 

“นายน้อยมิใช่ผู้ฝึกดาบหรอกหรือ? เหตุใดท่านจึงยังสามารถปรุงอาหารได้ด้วย?”

 

ฉานนู่มองตามการเคลื่อนไหวของกู่ฉิงซาน และเอ่ยถามอย่างไม่คาดคิด

 

“ทักษะดาบน่ะเอาไว้ฟาดฟันสังหารศัตรู แต่ทักษะการปรุงอาหารน่ะ เอาไว้หาเลี้ยงชีพ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาทำเหมือนกับในครั้งอดีตทุกอย่าง ทาซอสอย่างระมัดระวัง และพลิกไม้ในช่วงเวลาอันพอเหมาะ

 

วัตถุดิบเหล่านี้มาจากทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ มันไม่เพียงแฝงไว้ซึ่งพลังงานวิญญาณ แต่ยังถูกหมักบ่มโดยฉินเซี่ยวโหลวอีกด้วย ดังนั้น ทั้งอาหารและส่วนผสมจึงล้วนเป็นของชั้นหนึ่ง

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานย่างไปสักพัก ไม่นาน เนื้อในเตาก็เริ่มที่จะส่งกลิ่นยั่วน้ำลายออกมา

 

กู่ฉิงซานหยิบมันขึ้นแล้วยื่นไปทางฉานนู่

 

“ลองชิมฝีมือข้าหน่อยเป็นไร”

 

“เจ้าค่ะ”

 

แล้วร่างที่เลือนรางของฉานนู่ก็กลายเป็นร่างจริง

 

เธอเปลี่ยนจากวิญญาณดาบกลายเป็นมนุษย์ผู้หญิง

 

หลังจากที่ได้ใช้วิชาลี้ลับแปลงตนเป็นมนุษย์อยู่หลายครั้ง ฉานนู่ก็สามารถแตกฉานในการแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์

 

เธอรับไม้บาร์บีคิวมา อังใต้จมูกเพื่อสูดกลิ่นมันเบาๆ จากนั้นจึงเริ่มกัดกิน

 

“ช่างหอมหวาน และละมุนในปากจริงๆ”

 

ฉานนู่กล่าวด้วยอารมณ์

 

ฉานนู่เริ่มกัดกินมัน ก่อนจะหันไปมองรอบห้องด้วยความสงสัย

 

“นายน้อย นี่คือสถานที่ที่ท่านอาศัยอยู่กระนั้นหรือ?”

 

“ใช่”

 

“มันเรียบง่ายยิ่ง” ฉานนู่กล่าวประเมิน

 

“บางครั้งที่ข้าอาศัยอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่ได้กินแม้กระทั่งมื้ออาหาร”

 

“นายน้อยของข้าเคยมีช่วงเวลาที่เป็นทุกข์เช่นนี้ด้วยกระนั้นหรือนี่” ฉานนู่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

ในตอนนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ย่างเสร็จอีกไม้แล้ว

 

เขาเริ่มที่จะลิ้งลองมัน

 

ช่างหอมหวาน!

 

-รสชาตินี้ที่คุ้นเคย

 

กู่ฉิงซานค่อยๆยิ้มออกมา

 

เขาหยิบขวดเหล้าที่เหลืออยู่เพียงครึ่งขึ้นมาจิบ

 

เหล้ากับบาร์บีคิว .. ไม่ว่าเมื่อใดก็เป็นการจับคู่กันที่ลงตัว

 

ช่วงเวลาต่อมา กู่ฉิงซานก็ลืมเลือนทุกสิ่งอย่าง และหมกมุ่นตนเองอยู่กับการปรุงอาหารและเนื้อเสียบไม้

 

ในที่สุด เขาก็ล้างมือและเริ่มทำซุปต้มกระดูกแล้วแบ่งกันดื่มกับฉานนู่

 

“ซุปเองก็มีรสชาติดีเช่นกัน” ดื่มเสร็จ ฉานนู่ก็กล่าว ขณะเดียวกันสายตาของเธอก็มองดูกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย “จ้องข้าเช่นนี้ มีอะไรอย่างงั้นหรอ?”

 

“หากวันหนึ่ง มิต้องดิ้นรนต่อสู้อีกต่อไปแล้ว นายน้อยจะเปิดร้านอาหารหรือไม่?”

 

“ทำไมถึงไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้แล้วล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

“หากวันสิ้นโลกจบลง พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ ..”

 

“ผิดแล้วล่ะ”

 

“ผิดอย่างไร?”

 

“ต่อให้เป็นอย่างที่เจ้าว่ามา แต่ข้าจะยังคงเฟ้นหาวิธีที่ทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นต่อไปอยู่ดี ไม่คิดจะหยุดฝีเท้าที่ต้องก้าวเดินหรอก”

 

“แต่หากปราศจากซึ่งเผ่ามาร เหตุใดจึงยังต้องเตรียมตัวให้พร้อมต่อสู้อยู่อีก นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย” ฉานนู่งง

 

“ฉานนู่ เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับผู้คนในโลกล่องเวหา?”

 

ฉานนู่ย้อนนึก และกล่าวด้วยความหวาดหวั่นในจิตใจ “พวกเขาทำผิดพลาดอย่างแท้จริง อุปนิสัยและความคิดของบางคนน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเผ่ามารเสียอีก”

 

ใบหน้าอันงดงามของเธอถูกปกคลุมด้วยความกังวล

 

กู่ฉิงซานเหลือบมองเธอแล้วหัวเราะออกมา “ไม่จำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายเกินไปนักหรอก ผู้คนน่ะ เวลาที่ร้ายพวกเขาจะร้ายมากก็จริง แต่หากเป็นเวลาที่ดี พวกเขาก็จะดีไม่แพ้กัน”

 

“ตัวอย่างเช่น?”

 

“อย่างเช่นเหล่าคนตายนับล้านล้านที่ยินยอมสละบุญของตนเองในนาทีสุดท้ายเพื่อปกป้องโลกมนุษย์ไว้อย่างไรเล่า”

 

ฉานนู่พอได้ฟังก็พยักหน้า ทั้งคนทั้งร่างจมลงสู่สมาธิ

 

สักพักหนึ่ง คิ้วที่ขมวดมุ่นของเธอจึงค่อยๆคลายลง

 

กู่ฉิงซานถือยกชามซุปในมือแล้วค่อยๆดื่มมันอย่างช้าๆ

 

หลังจากเพลิดเพลินไปกับมื้อค่ำอันยอดเยี่ยมนี้ ในที่สุดความตึงเครียดในจิตใจของเขาก็ลดน้อยลง

 

ในมือจีบออกด้วยวิชาลับ เรียกน้ำสะอาดออกมาชะล้างอุปกรณ์ทุกอย่างโดยตรง ให้เหมือนดังเดิมในทีแรก ก่อนจะล้างมือ แล้วกู่ฉิงซานจึงทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

 

ขณะเดียวกัน เขาก็กำลังขบคิดถึงเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้

 

เดิมคิดว่าหลังจบเรื่องโลกล่องเวหา ตนก็จะสามารถกลับไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธได้เลยทันที

 

แต่ใครจะไปรู้ ว่าดันเกิดเรื่องราวมากมายไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน

 

โลกมิติอนันต์ …

 

ดูเหมือนว่าเขาจะจำเป็นต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ให้มากขึ้นซะแล้วสิ

 

กู่ฉิงซานขบคิดเป็นระยะเวลาสั้นๆ

 

-จากนั้นเขาก็ผล็อยหลับไป

 

ฉานนู่พอได้ยินเสียงลมหายใจยาวเหยียดของเขา ก็เฝ้ามองการจมลงสู่ห้วงหลับลึกที่ปรากฏขึ้นอย่างใจเย็น

 

ก่อนจะค่อยๆผุดลุกขึ้น และแปลงตนกลับเป็นดาบยาวในมือ ลอยขึ้นไปแขวนเด่นอยู่กลางห้อง

 

คอยทำหน้าที่ปกป้องกู่ฉิงซาน

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.483 – ขาเป๋แบรี่

 

ผู้โดยสารทั้งสามคนได้ทำการจ่ายค่าเดินทางเรียบร้อยแล้ว และคราวนี้ก็มาถึงตาของกู่ฉิงซาน

 

เห็นแค่เพียงม้วนคัมภีร์หนึ่งที่ลอยออกมาจากกู่ฉิงซาน มันคลี่ออกกลางอากาศ พร้อมกับปรากฏรูปถุงเงินหนักอยู่ภายใน

 

นี่คือค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินเรือที่เสี่ยวถายจัดเตรียมเอาไว้ให้

 

ถุงเงินหนักลอยอยู่ในอากาศ บินตรงไปยังชายชรา

 

ทว่าชายชรากลับยื่นนิ้วออกไปยันมัน แล้วดันออกไป

 

ถุงเงินลอยกลับคืน

 

กู่ฉิงซานคว้าจับถุงเงิน ปากเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใด?”

 

ชายชราสั่นศีรษะและกล่าว่วา “เจ้าเป็นสหายของผู้พิทักษ์หอสูง ดังนั้นค่าโดยสารในครั้งนี้จึงได้รับการยกเว้น”

 

ผู้โดยสารคนอื่นๆอีกสามคน จ้องมองกู่ฉิงซานด้วยความประหลาดใจ

 

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าหอคอยสูงที่มักจะขี้เหนียวเสมอมา จะมีวันที่พวกเขาบริการผู้อื่นโดยไม่คิดตังค์จริงๆ” ไก่ตัวโตเปล่งเสียงกระซิบ

 

ขณะที่ปืนกลลอบพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

-เจ้าเด็กนี่มันมาจากที่ไหนกัน? แล้วไปเป็นสหายกับผู้พิทักษ์หอสูงได้อย่างไร?

 

“ขอบพระคุณมาก” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป สำหรับเรื่องนี้ พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้บริการเจ้า” ชายชราหัวเราะ

 

แล้วกู่ฉิงซานก็เก็บถุงเงินหนักกลับคืน

 

เงินนี่ .. ถือว่าเป็นรางวัลพิเศษสำหรับการมาส่งของก็แล้วกัน

 

เมื่อจัดการเรื่องค่าโดยสารเสร็จแล้ว ชายชราก็กล่าวกับผู้โดยสารทั้งสี่ว่า “เอาล่ะ จากนี้ข้าจะเป็นผู้นำพาแขกทั้งหลายไปยังห้องพักของตนเพื่อรับการพักผ่อน”

 

“และแน่นอน ว่าเมื่อถึงปลายทางแล้ว ข้าจะไปแจ้งให้พวกเจ้าทราบเอง”

 

เขาหยิบหนังสือเล่มเล็กๆออกมา แล้วเปิดมันดู ขณะเดียวกันก็นำทางผู้โดยสารทั้งสี่ไปยังห้องพัก

 

หลังจากเดินไปสักครู่ ชายชราก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่งและเอื้อมมือออกไปกดมัน

 

ดูเหมือนว่าเขาจะเปิดใช้งานเทคนิคมนตราบางอย่าง

 

เห็นแค่เพียงชายชราที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือเล่มเล็กๆ “ผู้โดยสารที่ต้องการจะเข้าสู่ที่ลุ่มแดนชำระล้าง เชิญเข้าไปพักผ่อนในห้องนี้ได้”

 

ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพในเสื้อคลุมดำก้าวออกมาทันที

 

“แล้วข้าจะอยู่ที่นั่นได้นานแค่ไหน?” เขาเอ่ยถามด้วยความกังวล

 

ชายชรากล่าว “สำหรับเรื่องนี้ มันขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเจ้าเอง แต่ตามความคิดของข้า เจ้าอย่าไปที่นั่นจะเป็นการดีที่สุด”

 

ผู้สืบสายโลหิตมิคิดต่อปากต่อคำต่อ เขาผลักประตูเข้าไปโดยตรง และ

 

ปัง!

 

ตามด้วยเสียงปิดประตูอย่างแรง

 

“เทพวิญญาณผู้นี้ ดูจะไม่มีมารยาทเอาเสียเลย” ไก่บ่นอย่างไม่พอใจ

 

“ที่ลุ่มแดนชำระล้าง … ดูเหมือนว่าเรื่องของคนผู้นั้นชักจะทะแม่งๆอยู่นะ ทางหอสูงไม่คิดจะสนใจหน่อยหรอ?” ปืนกลเอ่ยถาม

 

“หากแค่มดตัวน้อยในระดับนั้น พวกเรายังต้องมาคอยพะวง ภารกิจของพวกเราก็คงจะมีมากมายจนไม่เป็นการทำงานทำการอะไรแล้ว” ชายชราเอ่ยอย่างแผ่วเบา

 

ไก่หัวเราะออกมา

 

ขณะที่ชายชราพาผู้โดยสารอีกสามคนมุ่งหน้าต่อไป

 

ทุกคนได้มาถึงประตูอีกบานหนึ่ง

 

“ผู้โดยสารที่ต้องการจะมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาช้างเผือก เชิญเข้าไปพักผ่อนในห้องนี้ได้”

 

ชายชราเปล่งคำตามหนังสือเล่มเล็กๆที่กำลังอ่านอยู่

 

“เทือกเขาช้างเผือกอย่างงั้นหรอ! นั่นมันเป็นรีสอร์ทชั้นยอดนี่นา! นายจะต้องเพลิดเพลินไปกับมันแน่ๆ” ไก่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

ขณะที่ปืนกลส่ายหัวและกล่าว “อา ก็ช่วงไม่นานมานี้ฉันเหนื่อยมามาก เริ่มจะรู้สึกปวดบ่าปวดไหล่ ก็เลยต้องมาผ่อนคลายกันบ้าง”

 

“ฉันขอเดาว่าคงจะมีสาวสวยรอนายอยู่ที่นั่นใช่ไหม?”ไก่แซว

 

“ก็ถ้าฉันยังเป็นเด็กอายุซัก 200 ล้านปี ฉันก็อาจจะยังสนพวกเธออยู่บ้าง แต่ตอนนี้ฉันแค่ต้องการจะผ่อนคลายเท่านั้น” ปืนกลกล่าว

 

“จะพักอยู่ซักกี่วันกันล่ะ?”

 

“พวกเขาอนุญาตให้ฉันพักแค่ 6 วันเท่านั้น” ปืนกลตอบ

 

“หกวัน! นั่นมันวันหยุดยาวเลยนี่ — นายมีข้อมูลติดต่อของฉันแล้วใช่ไหม ไว้เดี๋ยวพวกเราค่อยพบกันใหม่นะ” ไก่ตัวโตพูดด้วยความกระตือรือร้น

 

“แล้วค่อยเจอกันใหม่”

 

ปืนกลก้าวเข้าไปในห้อง

 

และประตูก็ค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ

 

ชายชราจึงเดินนำผู้โดยสารอีกสองคนที่เหลือไปข้างหน้า

 

ระหว่างทางเดิน ไก่ก็เข้ามาใกล้และสะกิดกู่ฉิงซาน “เจ้าหนุ่ม ฉันจะบอกอะไรนายให้นะ เจ้าปืนกลนั่นน่ะ มันงี่เง่าสิ้นดี”

 

“โอ้? ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ก็เทือกเขาช้างเผือกน่ะ … ฮี่ฮี่” ไก่แสยะยิ้มเย็น

 

แล้วก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายชราหันกลับมา

 

เขามองไปที่ไก่และเผยรอยยิ้มว่าตนก็เข้าใจถึงความหมายที่อีกฝ่ายจะสื่อเช่นกัน

 

“ใช่ ก็เทือกเขาช้างเผือกน่ะนะ” ชายชรากล่าว

 

มองไปยังสีหน้าการแสดงออกที่ดูคลุมเครือของคนผู้นี้กับไก่ กู่ฉิงซานก็เริ่มที่จะตระหนักถึงความหมายของพวกเขา

 

แล้วทั้งสามก็มาถึงประตูบานถัดไป

 

“แขกท่านต่อไป – ปลายทางของเจ้าคืออัลเบอัส เชิญเข้าไปพักผ่อนได้ และข้าจะมาเรียกเมื่อเดินทางไปถึง” ชายชรากล่าว

 

แล้วเขาก็กดฝ่ามือลงที่ประตูอีกครั้ง

 

ประตูเปิดออกทันที

 

“โอเค งั้นฉันไปก่อนนะ”

 

ไก่เชิดศีรษะขึ้น และเดินเข้าไปในห้องอย่างสง่าผ่าเผย

 

แต่ดูเหมือนว่ามันจะทันคิดถึงอะไรบางอย่างได้เสียก่อน เลยหันมาถามกู่ฉิงซาน “เจ้าหนุ่ม นายคิดยังไงกับอัลเบอัส?”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังสีหน้าภาคภูมิของอีกฝ่ายแล้วกล่าว “ผมคิดว่าคุณแตกต่างจากผู้โดยสารทั้งสองคนก่อนหน้านี้ สถานะส่วนบุคคลของคุณคงสูงยิ่ง แถมดูจากท่าทีแล้วคงจะเป็นผู้ที่เปี่ยมบารมีไม่น้อย”

 

ไก่ตัวโตตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง ก่อนจะค่อยๆแสดงรอยยิ้มพึงพอใจออกมา

 

“ใช่แล้วล่ะ ฉันจะอยู่ที่อัลเบอัสครึ่งเดือน – ฉันได้รับอนุญาตให้พักผ่อนระยะยาวที่นั่นน่ะ”

 

“ขอแสดงความยินดีด้วย สถานที่แห่งนั้นเหมาะสมกับคุณจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ใช่ไหม!” ไก่ตัวโตกล่าวด้วยความสุข “ที่นั่นน่ะเป็นรีสอร์ทที่มีรสนิยม และเหมาะสมกับสถานะของฉันอย่างแท้จริง”

 

“อนิจจา ขณะที่เทือกเขาช้างเผือกน่ะ … ฮูฮุฮุ”

 

ไก่สะบัดปีกพับๆและโยนกระดาษแผ่นเล็กๆให้แก่กู่ฉิงซาน

 

“ฉันชื่นชมคนปากหวานแบบนาย นอกจากนี้ ถึงนายจะเป็นเพียงรุ่นเยาว์ แต่ก็ยังฉลาดและมีไหวพริบ แถมดูจากการต้อบรับขอสมาคมก็พอจะบอกได้ว่าคงจะมีสถานะอยู่ไม่น้อย , ที่ให้ไปนั่นคือข้อมูลติดต่อของลูกสาวสหายฉัน และแน่นอนว่าฉันเต็มใจมอบมันให้กับนาย หวังว่านายจะเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอนะเจ้าหนู”

 

“เอาล่ะ ฉันคงต้องขอตัวไปใช้เวลาที่เหลือพักผ่อนแล้วนะ ขอให้เป็นการเดินทางที่ดีนะ”

 

“ขอให้เป็นการเดินทางที่ดีเช่นกัน”

 

ไก่เชิดหน้าขึ้น และโค้งกายอย่างสง่างาม

 

แล้วมันก็ค่อยๆปิดประตูลง

 

ชายชราพากู่ฉิงซานเดินมายังประตูบานสุดท้าย

 

“ไหนขอข้าดูโลกมิติอันต์ที่เจ้ากำลังจะไปหน่อยซิ …”

 

เขาก้มลงมองหนังสือเล่มเล็กๆในมือ แต่แล้วท่าทีการแสดงออกของชายชราก็ค่อยๆแปลกไป

 

“อ่า ที่แท้ก็เป็นสมาคมของเจ้าบ้านั่น … ”

 

หลังจากก้มลงมองหนังสือ ชายชราก็เงยหน้ากลับมามองกู่ฉิงซานอีกครั้ง

 

“เจ้าสามารถอยู่ที่นั่นได้เพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น” เขากล่าว

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

ระยะเวลามันสั้นยิ่งนัก สถานที่แห่งนั้นเป็นโลกมิติอนันต์แบบใดกัน?

 

แต่เมื่อลองคิดดูดีๆอีกครั้ง เขาก็ตระหนักได้ว่าตนก็แค่นำของที่เสี่ยวถายฝากไว้ไปส่งเท่านั้น

 

ดังนั้น หนึ่งชั่วโมงก็น่าจะเพียงพอแล้ว

 

เพียงขบคิด จู่ๆบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันใด

 

กระแสแสงพุ่งข้ามผ่านหน้าต่างระบบเทพสงคราม แปรเปลี่ยนเป็นหลายบรรทัดแสงตัวอักษรสีแดงเลือด

 

“คุณได้ทำลายห่วงโซ่แห่งโชคชะตาและเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ผู้เล่นกู่ฉิงซานได้เข้าสู่ ภารกิจแห่งโชคชะตา”

 

“คำอธิบายภารกิจ : ในช่วงชีวิตหนึ่ง มันเป็นเรื่องยากนักที่จะมีโอกาสได้สัมผัสกับโลกมิติอนันต์ดั่งเช่นในตอนนี้ และนี่นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตคุณ”

 

“วัตถุประสงค์ภารกิจ : คุณจะต้องหาวิธีอะไรก็ได้ เพื่อที่จะเข้าไปอยู่ใน ‘สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม’ ”

“หากบรรลุภารกิจ คุณจะได้เรียนรู้ถึงความลับบางอย่าง”

 

“แต่ถ้าภารกิจล้มเหลว คุณจะได้รับสมญาใหม่ : ผู้พลาดพลั้งในโชคชะตา”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังภารกิจแห่งโชคชะตา พร้อมกับบังเกิดคำถามเงียบๆขึ้นในจิตใจ

 

เห็นแค่เพียงสองบรรทัดแสงวิ่งออกมาจากหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“คำอธิบาย : โปรดอย่าสอบถามเกี่ยวกับเนื้อหาของ ‘ความลับ’ ล่วงหน้า”

 

“คำอธิบาย : และโปรดอย่าได้ถามเกี่ยวกับคุณสมบัติของสมญาใหม่เช่นกัน ฉันบอกคุณได้แค่ว่า คุณคงไม่ต้องการที่จะได้รับสมญานี้อย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานถึงล้มเลิกที่จะเค้นถามทันที

 

เขามองไปทางชายชรา

 

เห็นแค่เพียงชายชราที่ยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม

 

ชายชราเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง จึงบังเกิดร่องรอยของรอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นมาในแววตาของเขา

 

“ดูเหมือนว่าท่านจะนึกถึงเรื่องราวบางอย่างที่มันน่าสนใจขึ้นมาได้สินะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“อ๋า? ขอโทษที ข้าเพียงย้อนนึกไปถึงเรื่องราวในอดึตที่ผ่านมาของขาเป๋แบรี่น่ะ” ชายชรากล่าวขออภัย

 

เขาเร่งกดลงบนบานประตู

 

แล้วประตูก็เปิดออก

 

แต่กู่ฉิงซานกลับยังมิได้ก้าวเข้าไปในทันที

 

เสี่ยวถายร้องขอให้กู่ฉิงซานส่งมอบบางสิ่งบางอย่างให้ขาเป๋แบรี่ เพื่อตอบแทนสำหรับความเมตตาของเขาในครั้งอดีต

 

แถมเขายังพึ่งได้รับภารกิจแห่งโชคชะตามาอีก ดังนั้น เขาจึงต้องพยายามคิดหาหนทางที่จะสามารถอยู่ที่นั่นให้จงได้

 

“ขออนุญาตเอ่ยถาม ว่าท่านพอจะแบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจเหล่านั้นแก่ข้าบ้างจะได้หรือไม่?”

 

กู่ฉิงซานลังเลและกล่าว

 

มันจะดีกว่าหากเขาใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะทำความรู้จักเพิ่มเติมกับชายผู้ที่ถูกเรียกกันว่าขาเป๋แบรี่

 

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ชายชรายักไหล่

 

สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยของความทรงจำและกล่าวว่า “ขาเป๋แบรี่น่ะ ครั้งหนึ่งเคยได้ช่วยโลกเอาไว้ แต่ในครั้งนั้นเขาดันลืมนำเอาอาวุธของตนเองติดตัวไปด้วย”

 

“เรื่องแบบนี้ลืมกันได้ด้วยหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“เขาก็แค่อ้างว่าลืมนำมันมาน่ะ” ชายชราบอกเล่าอย่างลึกลับ “แต่อันที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมากทีเดียว – ทว่ามันจะสามารถปิดซ่อนจากพวกเราหอสูงไปได้อย่างไร?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “พอจะสามารถบอกถึงความจริงได้หรือไม่?”

 

ชายชราลดเสียงลงและกล่าว “ในความเป็นจริงแล้ว ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้น แบรี่น่ะอยู่ในงานคอนเสิร์ต – ในเวลานั้นเขาอินกับบรรยากาศของมันมากเกินไปหน่อย โยกทั้งหัวทั้งตัว ดิ้นไปมาจนเผลอโยนอาวุธของตัวเองขึ้นไปบนเวทีด้วยความตื่นเต้น”

 

“แล้วต่อมา ในตอนที่แบรี่ได้ไปช่วยโลก และกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพของเผ่ามารนับไม่ถ้วน เขาจึงพึ่งตระหนักได้ว่าตนได้ทำอาวุธประจำกายหายไป”

 

ชายชราส่ายหัวและกล่าว “เขาเป็นตัวตนที่ทรงพลานุภาพอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นคนโง่บัดซบอย่างแท้จริง”

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.482 – ค่าโดยสาร

 

“ข้าจะต้องไปจัดธุระนิดๆหน่อยๆ แขกผู้มีเกียรติโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ อีกสักพักจะมีเรือมารับในไม่ช้า” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“ทำตามที่ท่านต้องการเถิด” กู่ฉิงซานประสานฝ่ามือและกำปั้นไปทางอีกฝ่าย

 

ชายชราพยักหน้าและหายไปอย่างเร่งร้อน

 

กู่ฉิงซานมองไปยังผู้โดยสารอีกทั้งสามคน

 

ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาทั้งสาม ก็คงจะไม่พ้นชายเสื้อคลุมดำที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า คนๆนั้นกำลังลอยอยู่กลางอากาศและปลดปล่อยกลิ่นอายเจิดจรัสออกมาจากทั่วทั้งตัว

 

ถึงแม้ว่าชายเสื้อคลุมดำผู้นี้จะพยายามระงับความผันผวนของความแข็งแกร่งเอาไว้ก็ตามที แต่ชั้นอากาศรอบตัวเขาก็ยังคงสั่นไหวอยู่ดี

 

ดูเหมือนว่าตราบใดที่เขาเอ่ยปาก โลกทั้งใบก็คงจักต้องปฏิบัติตามเขา

 

นี่คือความแข็งแกร่งของเฉาฟ่าน(ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ)

 

ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมกับความรัก และได้รับการสนับสนุนทุกสิ่งอย่าง

 

หรือกล่าวอีกนัยนึงก็คือ คนๆนี้เป็นเทพวิญญาณ

 

เขาเป็นลูกหลานของเทพบรรพกาล

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม

 

เขาไม่คาดหวังเลย ว่าจู่ๆจะได้พบกับเทพในสถานที่แบบนี้

 

เห็นแค่เพียงเทพวิญญาณในเสื้อคลุมดำกำลังยืนอยู่บนขอบระเบียงอย่างระแวดระวัง เว้นระยะห่างกับผู้โดยสารอีกสองคน

 

ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพคนนี้กำลังหวาดกลัวอยู่กระนั้นหรือ?

 

แล้วสายตาของกู่ฉิงซานก็เบนมองไปยังผู้โดยสารอีกสองคน

 

มันคือไก่หงอนแดงตัวโตกับปืนกล ที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์

 

ใช่แล้วอ่านไม่ผิดไปหรอก มันคือไก่กับปืนกลจริงๆ

 

-อย่างน้อยมันก็ดูคล้ายกับปืนกลล่ะนะ

 

“อะฮ่า! นายรู้อะไรไหม ครั้งสุดท้ายที่ฉันตื่นขึ้นมา ฉันได้ไปเริงระบำอย่างเบามือในจักรวาลของชั้นโลกที่อาศัยอยู่ แล้วจับมอนสเตอร์เอกภพมากินได้ถึงสามตัวเชียวนะ!”

 

ไก่หงอนแดงน้ำลาย ปากเอ่ยกล่าวด้วยความตื่นเต้น

 

กู่ฉิงซานเดินไปยืนอยู่ใกล้ๆ เงี่ยหูตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ

 

นี่มันภาษาของโลกจูหลิน

 

ความคิดดังกล่าว ผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา

 

แปลกจัง ฉันรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?

 

กู่ฉิงซานก้มหัวลงมอง

 

และพบว่าคู่มือภาษาหมื่นโลกาในมือเขากำลังเปล่งเสียงกระซิบ

 

หากเป็นตัวเขาในก่อนหน้านี้ คงไม่มีทางกระจ่างว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงสิ่งใด

 

ดูเหมือนว่าหนังสือปกฟ้าจะกำลังทำงานอยู่

 

เพียงหนึ่งร้อยลมหายใจ แต่กลับสามารถเข้าใจภาษาของหมื่นโลกาได้อย่างถ่องแท้

 

นี่สินะความหมายของมัน

 

คู่มือปกน้ำเงินเล่มนี้ มีเพียงเจ้านายของมันเท่านั้นจึงจะได้ยินเสียง มันจะช่วยให้กู่ฉิงซานสามารถเรียนรู้ภาษาของอารยธรรมทั้งหมดได้

 

กู่ฉิงซานถือคู่มือไว้อย่างแน่นหนา ในขณะที่ยังคงได้รับภาษาใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็คอยฟังไก่กับปืนกลคุยกัน

 

“ฉันจะบอกนายว่ามอนสเตอร์เอกภพสายพันธ์ปลาหมึกน่ะมันอร่อยมาก อร่อยสุดๆไปเลย แต่ก็มีคนไม่มากนักหรอกนะ ที่จะปรุงอาหารจานนี้ได้”

 

“งั้นหรอ? น่าเสียดายจัง ฉันเองก็ยังไม่เคยกินมอนสเตอร์เอกภพมาก่อนเลย” น้ำเสียงของปืนกลดูจะผิดหวังเล็กน้อย

 

“ทำไมหรอ? อย่างนายควรจะจับพวกมอนสเตอร์เอกภพได้ง่ายๆสิ” ไก่เอ่ยด้วยความสงสัย

 

“ก็ตราบใดที่ฉันลงมือยิง ไม่ว่าอะไรก็จะถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์น่ะสิ มันไม่เหลืออะไรให้ฉันกินได้เลย” ปืนกลมือถอนหายใจ

 

“อ่าว ถ้าอย่างงั้นปกติแล้วนายกินอะไร?”

 

“ก็ปลูกอะไรซักอย่างไว้กินเอง หรือไม่ก็แวะไปดื่มกินตามสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น บาร์ ร้านอาหาร คลับ ฯลฯ อะไรพวกนี้” ปืนกลมือกล่าว

 

“แบบนั้นก็ไม่เลวนี่นา เพราะอย่างน้อยบางที่ที่พูดมา ก็มีพ่อครัวปรุงอาหารให้กิน”

 

ขณะกล่าว ไก่ก็ลดหัวลง แล้วแอบมองไปทางผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ

 

มันลดเสียงลงและกล่าวว่า “จริงสิ แล้วนายเคยกินเทพวิญญาณไหม?”

 

ปืนกลกล่าวด้วยความเสียดาย “เทพวิญญาณก็เหมือนกัน หากฉันเริ่มลงมือแล้วล่ะก็ … เฮ้อ โชคไม่ดีเลยจริงๆที่ฉันอดกินของอร่อย”

 

“แล้วถ้าออมมือล่ะ ขนาดออมมือก็ยังไม่เหลือซากเลยหรอ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ ต่อให้ฉันใช้พลังแค่เพียงหนึ่งในพันของความแข็งแกร่ง ศัตรูก็ถูกเป่าหายไปไม่เหลือซากอยู่ดี”

 

“ … นายนี่มันช่างน่าสงสารจริงๆ” ไก่กล่าวด้วยความเห็นใจ

 

ขณะที่กำลังพูด ทั้งสองต่างก็พากันแอบมองไปยังผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ

 

แม้ผู้สืบสายโบหิตจากทวยเทพจะรู้สึกตัว แต่ก็ไม่อาจเข้าใจถึงความหมายที่ทั้งสองมองมาได้ จึงยิ่งปลีกตัวออกห่างจากพวกเขา

 

“ดูนั่นสิ เจ้าบ้านนอกนั่นมันไม่รู้ภาษา มันเลยไม่รู้ว่าพวกเรากำลังพูดถึงอะไรอยู่” ไก่พูดจาถากถาง

 

ทันใดนั้นเองปืนกลก็กล่าวว่า “แต่ยังมีไอ้หนุ่มอีกคนนึงอยู่ที่นี่ แถมเขายังเป็นคนที่ผู้พิทักษ์หอสูงเดินมาส่งเป็นการส่วนตัวอีกด้วย”

 

คราวนี้ทั้งไก่ทั้งปืน หันไปมองกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าวทักทาย “สวัสดีสหายทั้งสอง”

 

แล้วทั้งไก่ทั้งปืนก็ตะลึงงันไป

 

อีกฝ่าย … ได้พูดภาษาจูหลินออกมา!?

 

เจ้าหนุ่มนี่สามารถเข้าใจคำพูดของพวกเขาได้อย่างงั้นหรือ?

 

ทั้งสองจึงบังเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา

 

“สวัสดี” ไก่เปลี่ยนมาพูดภาษาของอีกโลก และกล่าวทักทาย

 

ปืนกลมือก็ได้เปลี่ยนเป็นภาษาของโลกหนึ่งที่ต่างออกไปเช่นกัน

 

มันแสดงท่าทางในเชิงทักทายแบบเดียวกัน แต่คำถามกลับแตกต่างกันออกไป “นายชื่ออะไรงั้นหรอ?”

 

หากฟังในทีแรก แม้ทั้งสองประโยคนี้จะดูเหมือนเป็นคำทักทาย

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความนัยของสองประโยคนี้มีความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

กู่ฉิงซานหันไปพูดภาษาหนึ่งกับไก่ “สวัสดี”

 

แล้วก็หันไปพูดกับปืนกลมือด้วยอีกภาษา “ฉันชื่อว่ากู่ฉิงซาน”

 

วิ้ว! ไก่ผิวปากทันที

 

เพราะทั้งสองภาษาที่กู่ฉิงซานพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นการออกเสียงหรือสำเนียง มันก็เป็นฟังดูเป็นสากลมาก

 

ไก่ยิ้มและกล่าว “พวกเราก็แค่พูดถึงเรื่องกินน่ะ ว่าแต่นายสนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้รึเปล่า มาร่วมวงกันได้นะน้องชาย”

 

“ฉันก็พอจะมีฝีมือในการทำอาหารกับผสมสุราเองอยู่บ้าง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เห? นั่นมันฟังดูดีเหมือนกันนี่นา” ไก่ตอบกลับ และเริ่มสำรวจกู่ฉิงซานด้วยความสนใจ

 

อีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะพึ่งมีอายุได้ราวๆ 20 ปีเท่านั้น

 

อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับสามารถพูดได้หลายภาษา แถมผู้พิทักษ์หอสูงก็ยังเป็นคนเดินมาส่งเขาเป็นการส่วนตัวอีก ถึงขนาดนี้แล้วอีกฝ่ายจะเป็นแค่คนธรรมดาๆได้อย่างไร?

 

ในเวลานั้นเอง เรือลำใหญ่ก็แล่นเข้ามาอย่างช้าๆจากนอกประภาคาร

 

เรือใหญ่ลอยมาเทียบอยู่ใกล้กับยอดของประภาคาร

 

ขณะที่บนดาดฟ้าเรือ ชายชราจากสมาคมผู้พิทักษ์กำลังยืนโค้งกายอยู่

 

“เรียนผู้โดยสารทุกท่าน โปรดขึ้นมาบนเรือด้วย พวกเรากำลังจะออกเดินทางกันแล้ว”

 

ไก่ย่ำฝ่าเท้าเบาๆ กระโจนขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ

 

ขณะที่ปืนกลค่อยๆก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

 

ส่วนกู่ฉิงซานก็เดินขึ้นไปบนเรือตามปกติ

 

เฝ้ารอจนกระทั่งทุกคนขึ้นไปบนเรือแล้ว ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพในเสื้อคลุมดำจึงค่อยเร่งตามขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย

 

ดูเหมือนว่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพผู้นี้ ทั้งคนทั้งร่างกำลังตึงเครียดหรือกังวลอะไรบางอย่างอยู่

 

“ออกเรือได้-”

 

ชายชราตะโกนลั่น

 

แล้วเรือใหญ่ก็สั่นไหว ก่อนที่มันจะค่อยๆออกห่างจากตัวประภาคาร และบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ จ้องมองออกไปยังท้องทะเล

 

เขาพบว่าผืนทะเลทั้งหมดกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

 

แล้วก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ที่ประภาคารได้หายไป

 

พร้อมๆกับเงาที่โคจรรอบประภาคาร ก็หายไปมิอาจมองเห็นได้อีกเลย

 

ตูม!

 

โลกเริ่มที่จะล่มสลาย

 

ฉากนี้ช่างดูคุ้นเคยเสียจริงๆ เพราะกู่ฉิงซานก็พึ่งจะเคยได้ประสบพบเจอกับมันมาเมื่อไม่นานมานี้เอง

 

เขาถอนหายใจออกมา

 

ผู้โดยสารทั้งสี่ เฝ้ามองโลกที่กำลังล่มสลายและไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมา

 

ไม่นานนัก

 

เรือใหญ่ก็เริ่มลอยลำเข้าสู่กระแสมิติอันเชี่ยวกราด และทิ้งโลกล่มสลายเอาไว้เบื้องหลังอย่างสมบูรณ์

 

ไก่และปืนกลดูจะไม่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้เลย

 

พวกเขาดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับการเดินทางแบบนี้อยู่แล้ว

 

ไก่เริ่มวาดมือในอากาศให้ปืนกลดู เหมือนว่าจะกำลังอธิบายถึงรสชาติของมอนสเตอร์ปลาหมึกว่าเป็นเช่นไร

 

ขณะที่ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพในเสื้อคลุมดำมองนิ่งไปยังชายชรา คล้ายกับว่ากำลังรอสิ่งใดอยู่

 

พอมั่นใจว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว ชายชราก็หันหน้ามามองผู้โดยสารทั้งสี่

 

“ทุกท่าน ตอนนี้พวกเราก็ได้เริ่มออกเดินทางกันแล้ว ฉะนั้นโปรดทำการชำระค่าโดยสารด้วย” เขาเอ่ยอย่างสุภาพและนอบน้อม

 

ไก่ได้หยิบกล่องที่เต็มไปด้วยอัญมณีออกมาจากปีกของมัน ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเก็บซ่อนเอาไว้ภายในนั้นได้อย่างไร

 

ชายชรารับเอากล่องอัญมณีมา แต่มิได้เปิดดูสิ่งที่อยู่ภายใน เขาเพียงกะน้ำหนักของมันด้วยมือแล้วก็เก็บมัน

 

“ขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุน” ชายชรากล่าว

 

ขณะที่ปืนกลเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง

 

“ย๊ากกกก!”

 

มันร่ำร้องออกมาด้วยจิตวิญญาณ

 

กริ๊ง …

 

แล้วหัวกระสุนโลหะเงางามก็ร่วงตกลงบนดาดฟ้าเรือ

 

“เพียงพอหรือไม่?” ปืนกลอ้าปากหอบหายใจ

 

ชายชราโบกมือ แล้วคว้าจับกระสุนที่ลอยขึ้นมาในฝ่ามือ เพ่งมองมันอย่างระมัดระวัง

 

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ชายชราก็เงยหน้าขึ้น และกล่าวอย่างสุภาพว่า “นี่คือผลิตภัณฑ์ระดับสูง แถมยังมีมูลค่ายิ่งกว่าค่าโดยสารมากมายนัก โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปนำเงินส่วนต่างมาให้เจ้า”

 

ปืนกลกล่าวอย่างซื่อตรง “เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก ขอแค่เพียงนำสุราของหอสูงสักหนึ่งถังมาเตรียมไว้ในห้องให้ฉัน แค่นั้นก็พอแล้ว”

 

“รับทราบ ขอบพระคุณในความใจกว้างของเจ้า” ชายชราเผยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

ทันทีหลังจากนั้น ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพก็หยิบเอาถุงใบเล็กๆที่ดูงดงามหรูหราออกมา และโยนมันออกไป

 

ชายชราคว้าจับถุง และเขย่ามันเบาๆอย่างระมัดระวัง

 

มีเสียงดังกริ๊งกรั๊งออกมาจากในถุง

 

ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าว “มันยังไม่เพียงพอ”

 

ผู้สืบสายโลหิตสูดหายใจลึก

 

เขานิ่งคิดสักครู่ เหมือนจะลังเลว่าสมควรจะทำอย่างไรดี

 

เวลานี้ ใบหน้าของชายชราเริ่มที่จะหม่นลง

 

“โปรดรอสักครู่”

 

ขณะกล่าว ผู้สืบสายโลหิตก็ตบๆลงตามร่างกายตนอยู่นาน ก่อนที่จะหยิบถุงอันประณีตออกมา

 

เขาถอนหายใจ และยื่นถุงใบนั้นให้ชายชราอย่างไม่เต็มใจนัก

 

ชายชรารับถุงอันประณีตมาและเขย่ามันเบาๆ

 

คิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาค่อยๆแยกออกจากกันอย่างช้าๆ ปากเอ่ยกล่าว “นับว่าเพียงพอแล้ว ขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุน”

 

เมื่อผู้สืบสายโลหิตได้ยินคำนี้ เขาก็ถอนหายใจโล่งอกโดยไม่รู้ตัว

 

และแล้ว ก็มาถึงตาของกู่ฉิงซาน

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.481 – โปรดเลือกด้วย

 

ดวงตาของชายชรากลายเป็นแหลมคมขึ้นทันใด นิ้วทั้งสิบถูกยกพนมราวกับว่าเขากำลังเตรียมพร้อมที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง

 

แต่หลังจากที่เขาได้เห็นตราประทับโลหะอย่างชัดเจน ชายชราก็ชะงักไป

 

สิบนิ้วที่วูบไหวของเขาก็นิ่งไปเช่นกัน

 

“แปลกนัก เจ้ามีสิ่งที่แสดงตนถึงผู้พิทักษ์หอสูงของเราได้อย่างไรกัน”

 

ชายชราเอ่ยพึมพำ

 

เขามองไปยังกู่ฉิงซานด้วยความสับสน

 

ขณะที่่สายตาของกู่ฉิงซานจับจ้องอยู่แต่กับตราประทับ และค่อยๆย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างทางไปยังปรภพ

 

เขาอธิบาย “พอดีว่าข้าได้ช่วยชีวิตคนๆหนึ่งเอาไว้ ไม่สิ หากจะเรียกว่าช่วยชีวิตก็คงจะไม่ถูกนัก และชายคนนั้นก็ได้มอบตราประทับนี่มาให้เป็นการตอบแทน”

 

จะเรียกว่าช่วยชีวิตก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะภายในถ้ำมืด สุดท้ายแล้วชายคนนั้นก็ตายอยู่ดี

 

แต่มองจากลักษณะท่าทีที่เขาแสดงออกมาหลังตาย มันกลับดูมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

 

ดูเหมือนว่าเขาจะมีร่างกายสำรองเตรียมไว้อยู่แล้วในอีกโลกหนึ่ง

 

ชายชราพอได้ฟังคำกล่าวของกู่ฉิงซาน เขาก็สับสนกว่าเดิม

 

ชายชราหยิบตราประทับของตนออกมา และยื่นมันไปทางกู่ฉิงซาน

 

“จงดูนี่ นี่คือตราประทับของข้า มันเหมือนกับตราของเจ้าทุกประการเลย ดังนั้น หากข้าอยากจะขอตรวจสอบตราประทับของเจ้า มันจะได้หรือไม่?”

 

กู่ฉิงซานมองดูตราของอีกฝ่าย และพบว่ามันเหมือนกันกับของเขาทุกประการ

 

ตามตรรกะนี้ คงจะกล่าวได้ว่าในเวลานั้น ผู้ชายที่เขาได้พบเจอ สมควรจะเป็นคนของผู้พิทักษ์หอสูง

 

กู่ฉิงซานกล่าว “เชิญทำตามที่ท่านต้องการ”

 

“ขอบคุณ”

 

ชายชราจึงหยิบตราประทับของกู่ฉิงซานมา และวางไว้ภายใต้แสงไฟเพื่อทำการตรวจสอบมันอย่างจริงจัง

 

“ล้างมลทินเผยความจริง” ปากเปล่งเสียงกระซิบ

 

ว่าจบ สะเก็ดเปลวไฟก็สาดลงมา และห่อหุ้มตรานั้นเอาไว้

 

หลังจากการระเบิดของเปลวไฟ มันก็ลุกท่วมอย่างรุนแรงก่อนจะกระจัดกระจายหายไป

 

แต่ตราประทับกลับตรงกันข้าม มันยังคงถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างสว่างไสวท่ามกลางความมืดมิด และไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ

 

“นี่เป็นของแท้อย่างแน่นอน”

 

ขณะกล่าว น้ำเสียงของชายชราก็กลายเป็นจริงจังมากขึ้น

 

อีกฝ่ายสามารถได้รับตรานี้มา นั่นหมายความว่าเขาคือผู้มีพระคุณของสมาคมจริงๆ และตนเองก็ดันกระทำการไม่สุภาพอย่างการขอตรวจสอบอีกฝ่ายไปซะได้

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ชายชราก็น้อมกายลง กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าใคร่ขอเรียนถามจะได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น? หากเจ้าเต็มใจที่จะบอกถึงที่มาของตราประทับนี้ ข้าก็ยินดีที่จะตอบแทน”

 

แต่ในเวลานั้นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ได้วิ่งลงมาจากบันไดของหอคอยสูง

 

“ท่านอาจารย์แขกทุกคนได้มาถึงแล้ว และก็ถึงเวลาเดินเรือก็เช่นกัน” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเร่งรีบ

 

“เจ้าขึ้นไปก่อน แล้วจงบอกให้พวกเขารอต่อไป” ชายชราเอ่ยรวบรัด

 

เด็กหนุ่มมองไปยังชายชรา ก่อนจะสลับไปมองกู่ฉิงซาน ในเมื่อไม่รู้ว่าตนสมควรจะทำอย่างไรดี เขาจึงหันหัวเดินจากไป

 

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็อาศัยช่วงเวลานี้นึกย้อนความสักเล็กน้อย

 

ในช่วงเวลานั้นเขาได้ช่วยคนๆหนึ่งเอาไว้ และมองจากทัศนคติที่ชายชราผู้นี้แสดงออกมา ดูเหมือนว่าการบอกเล่าถึงช่วงเวลาดังกล่าวมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

 

กู่ฉิงซานเรียบเรียงคำพูดและเริ่มเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ชายชรารับฟัง และมองไปที่ตราประทับโลหะอีกครั้ง

 

“เท่านี้ก็ยืนยันเรียบร้อย” เขากล่าว

 

สิ้นเสียง ตราประทับโลหะก็สาดแสงจางๆออกมา และเข้าปกคลุมกู่ฉิงซานทันที

 

ชายชรายิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย

 

เขาส่งตราประทับคืนให้แก่กู่ฉิงซาน

 

“กลับกลายเป็นว่าเจ้าคือผู้มีพระคุณของสมาคมเรา”

 

ขณะกล่าว ชายชราก็เอื้อมมือไปในอากาศที่ว่างเปล่า

 

พร้อมกับชั้นวางหนังสือเล็กๆที่ผุดออกมาจากอากาศอันบางเบา

 

เห็นแค่เพียงหนังสือสามเล่มบนชั้นวางนี้

 

ปกของหนังสือทั้งสาม มีสีแดง เหลือง และน้ำเงินตามลำดับ

 

“โลกหกวิถีนั้นมีความพิเศษเป็นอย่างยิ่งและภายในถ้ำมืดนั้น ก็เป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การสำรวจเป็นอย่างมาก มันได้แสดงให้พวกเราเห็นถึงความลึกลับของโลกหกวิถีที่มีโครงสร้างวงจรอันน่าทึ่ง” ชายชรากล่าวด้วยความสุข

 

“เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายประเภทอาวุธ นักวิชาการของสมาคมเรา แม้ว่าจะฉลาดและมีปัญญาเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่เขาก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบาง ดังนั้นพวกเราจึงหวาดกลัวอยู่เสมอว่าจิตวิญญาณของพวกเขาจะถูกลักพาตัวไป”

 

“ยังไงก็ตาม เจ้าได้ช่วยเหลือจิตวิญญาณของนักวิชาการเอาไว้ นี่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่น่ายินดียิ่ง”

 

ขณะกล่าว ชายชราก็ผลักชั้นวางหนังสือขนาดเล็กให้ลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

“จงเลือกหนังสือจากหนึ่งในสามบนชั้นวางนี้ นี่คือรางวัลจากข้า สำหรับการกระทำอันกล้าหาญของเจ้า”

 

กู่ฉิงซานจ้องมองดูหนังสือทั้งสาม

 

และพบว่าหนังสือทั้งสามมันไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลย ทั้งหมดดูหนาเหมือนๆกัน มีเพียงตรงปกที่แตกต่าง

 

“รางวัลนี่คงจะมากเกินไป ข้าแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาจึงกล่าวปฏิเสธ

 

“มันไม่สำคัญหรอก โปรดเลือกหนึ่งในนั้นเถอะ เจ้าเป็นสหายของผู้พิทักษ์หอคอยสูงของเรา ดังนั้นหากเจ้าเกรงใจมากเกินไป มันจะกลายเป็นทางเราที่รู้สึกอึดอัดนะ” ชายชราหัวเราะออกมา

 

กู่ฉิงซานจึงไม่เอ่ยปฏิเสธอีกต่อไป เขาถามว่า “แต่ข้าไม่ทราบเลยว่าหนังสือทั้งสามเล่มนี้มีไว้เพื่ออะไร”

 

“ขออนุญาตเอ่ยถาม ข้าสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายสังหารของเจ้าไม่ธรรมดา – เจ้าสมควรที่จะสังหารวิญญาณของสิ่งมีชีวิตไปมากกว่าพันล้านตนใช่หรือไม่” ชายชราเอ่ยอย่างระมัดระวัง

 

“ใช่” กู่ฉิงซานพยักหน้าตอบ

 

ในนรก พวกคนตายมันไม่เชื่อฟัง เขาจึงลงมือเชือดไก่ให้ลิงดู โดยการล้างบางคนชั่วทั้งหมดในนรกเกือบทั้งชั้นนั้น

 

เมื่อชายชราเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงสงบ น้ำเสียงของเขาจึงผ่อนคลายลง “หนังสือปกแดงได้บันทึกสกิลเทวะบางส่วนที่มีชื่อเสียงสั่นสะท้านจากตลอดทั้ง 300 ล้านโลกเอาไว้ หากเจ้าต้องการ ก็สามารถเลือกหยิบหนังสือเล่มนี้ไปได้เลย”

 

กู่ฉิงซานมองดูหนังสือที่มีปกแดง

 

เขาขบคิดเกี่ยวกับมัน ก่อนจะเบนสายตาไปมองหนังสืออีกสองเล่ม

 

หากหนังสือทั้งสามนี้วางอยู่เคียงข้างกัน ดังนั้นอีกสองเล่มก็ไม่สมควรที่จะเลวร้ายเกินไป

 

เมื่อชายชราสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่าย เขาก็เข้าใจทันที

 

เขาชี้ไปยังหนังสือปกเหลืองและกล่าวแนะนำว่า “นี่คือหนังสือสำหรับท่องเที่ยวไปทั่วหมื่นโลกา ข้าสังเกตเห็นว่าเจ้าเดินทางมาคนเดียว – ไม่ทราบว่าเจ้ามีแฟนหรือไม่? หากไม่มีหรือเธอยังไม่ได้มาเที่ยวด้วยกันกับเจ้า หนังสือปกเหลืองเล่มนี้นับว่าเหมาะสมยิ่งนัก”

 

“เพราะเหตุใด มันเป็นหนังสืออัญเชิญอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“ก็ไม่เชิงซะทีเดียว หนังสือเล่มนี้จะบันทึกข้อมูลติดต่อกับเหล่าสาวงาม เจ้าสามารถเรียกพวกเธอมาเป็นพันธมิตรได้ในช่วงเวลาหนึ่ง เรียกให้มาสนทนา ท่องเที่ยว และต่อสู้ไปด้วยกัน หรือทำเรื่องอื่นๆที่มันน่าสนใจ – แน่นอน ว่าเรื่องพวกนี้มันต้องจ่ายเงินล่วงหน้าแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่มีข้อพิพาททางการเงินในภายหลัง”

 

“หญิงสาวที่งดงามโดดเด่นกว่า 97 คน พวกเธอมักจะเดินทางไปมาระหว่างโลกทั้ง 600 ล้านชั้น ขณะที่ในแต่ละชั้นก็มีฐานแฟนคลับนับไม่ถ้วน และทุกคนต่างก็กระหายที่จะได้พบเห็นถึงใบหน้าอันงดงามของพวกเธอ”

 

“หญิงสาวทั้งหมดนี้ ได้ลงนามในสัญญากับหอสูงของพวกเราแล้ว และพวกเธอก็ยินดีที่จะร่วมก้าวไปกับแขกของเรา ท่ามกลางการเดินทางอันแสนวิเศษ” ชายชรากล่าวอย่างภาคภูมิ

 

กู่ฉิงซานฟังชายชราสาธยายเพียงช่วงต้นๆ แล้วสายตาของเขาก็เบนไปมองหนังสือเล่มสุดท้าย

 

มันคือหนังสือปกน้ำเงิน

 

เมื่อชายชราเห็นดังนั้น เขาจึงแนะนำออกมา “ในส่วนของหนังสือปกน้ำเงิน มันเหมาะสำหรับใช้ในการสื่อสาร”

 

“การสื่อสารอย่างงั้นหรือ?”

 

“ใช่ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะรู้แค่เพียงภาษามนุษย์ภาษาเดียวล่ะสิใช่ไหม? ดังนั้นทางเราจึงได้เขียนคู่มือฉบับสากลนี้ขึ้น”

 

“ตราบใดที่เจ้าถือมันไว้ มันจะทำการแปลทุกภาษาที่พวกเรารู้จัก ในปัจจุบัน -มีภาษามากมายในโลกทั้ง 900 ล้านชั้น แต่เจ้าจะใช้เวลาเพียง 100 ลมหายใจเท่านั้นในการเรียนรู้ทุกๆภาษานับพันล้านที่มี”

 

“ข้าก็ได้แนะนำถึงประโยชน์ของทั้งสามแล้ว ฉะนั้น กรุณาเลือกพวกมันจากหนึ่งในสามด้วย” ชายชรากล่าวในท้ายที่สุด

 

กู่ฉิงซานจ้องมองหนังสือทั้งสามเล่ม

 

และทันใดนั้นเอง เขาก็นึกย้อนไปถึงตนเองขณะอยู่เบื้องหน้าประภาคาร และได้ยินถึงหลากหลายภาษาจากฝูงชนที่คอยเฝ้ามองอยู่เบื้องนอก

 

ไม่มีประโยคใดเลยที่เขาสามารถเข้าใจมันได้

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่ลังเลเลยที่จะดึงหนังสือปกสีน้ำเงินออกมา

 

“ขอบคุณสำหรับความเมตตา ข้าขอรับหนังสือเล่มนี้เอาไว้ก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ

 

ทันทีที่คว้าจับหนังสือเล่มนี้ กู่ฉิงซานก็ได้ยินเสียงกระซิบออกมาจากหนังสือทันที

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานตั้งใจฟังสักครู่ เขาก็สามารถเข้าใจถึงภาษาใหม่นับสิบได้เองโดยธรรมชาติ

 

“นี่มันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

ชายชราที่กำลังเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลง ในวิสัยทัศน์ของเขาได้เผยให้เห็นถึงความชื่นชมออกมา

 

“เหตุใดเจ้าจึงไม่เลือกอีกสองเล่มที่เหลือล่ะ?” เขาเอ่ยถาม

 

“เพราะการสื่อสารเรื่องที่ยากเย็นที่สุดสำหรับมนุษย์ – หลายครั้ง ตราบใดที่เราสามารถเข้าใจกันและกันได้ เรื่องยากมันอาจจะกลายเป็นเพียงเรื่องง่ายๆไปเลยก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ชายชราพยักหน้าและกล่าวว่า “อันที่จริงแล้ว หนังสือปกน้ำเงินเล่มนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่ที่เหล่าบรรดานักวิชาการหอสูงของพวกเราเฝ้าพยายามเรียบเรียงมันขึ้นมา จนสุดท้ายก็เสร็จสมบูรณ์”

 

“หนังสือคู่มือนี้ ภายนอกมันเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่ง มันสามารถช่วยให้เข้าใจภาษาของตลอดทั้งหมื่นโลกาได้ สามารถซื้อหนึ่งชั้นโลกได้อย่างไม่มีปัญหา – แน่นอน หนังสือเล่มนี้จะจำกัดคนใช้เพียงหนึ่งเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานสะดุ้งโหยง เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “มันแพงถึงเพียงนั้นเชียว?”

 

มีค่าเทียบเท่ากับหนึ่งชั้นโลก …

 

ต้องไม่ลืมนะว่า ในหนึ่งชั้นโลกน่ะมีโลกนับล้านล้านอยู่ภายใน …

 

ชายชรากล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เป็นตามที่เจ้ากล่าวมา หลังจากที่ตัวตนทรงอำนาจได้ออกจากโลกของตนเองแล้ว พวกเขาก็จะค้นพบว่าภาษานั้นมีความสำคัญยิ่ง”

 

“การที่พวกเขาและคนอื่นๆไม่สามารถพูดคุยกันได้ มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดที่สุด”

 

“ในแต่ละชั้นโลก หรือแม้กระทั่งในโลกมิติอนันต์ มีชั้นหนังสือภาษาขายอยู่ก็จริง แต่ข้าอยากจะบอกว่ามันก็เป็นหนังสือปกน้ำเงินของทางผู้พิทักษ์หอสูงของพวกเรานี่แหละที่ที่ดีที่สุด!”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “แถมยังมีราคาแพงที่สุดอีกด้วยสินะ”

 

ชายชราหัวเราะ “สินค้ายิ่งล้ำค่ามันก็ยิ่งแพง นี่มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”

 

กู่ฉิงซานยิ้ม

 

ขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว เขากำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องอื่นอยู่

 

สมาคมผู้พิทักษ์หอสูง สามารถรวบรวมภาษาต่างๆของทั้งโลกนับล้านล้านได้ นี่พอจะบ่งบอกว่าพวกเขาทรงประสิทธิภาพเพียงใด

 

หากเทียบเปรียบกันในเรื่องนี้ นี่มิกล่าวได้ว่าพวกเขานั้นไร้เทียมทานหรอกหรือ?

 

เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานได้ทำการเลือกที่จะเข้าใจถึงภาษาของทั้งหมื่นโลกาแล้ว ชายชราก็เก็บหนังสืออีกสองเล่มกลับคืน

 

เขาเดินนำกู่ฉิงซานขึ้นบันไดของหอสูง จนกระทั่งมาถึงยอดสุดของหอคอย

 

สถานที่แห่งนี้กว้างขวาง คุณสามารถเห็นได้ตลอดทั้งท้องทะเลและท้องฟ้า

 

ขณะที่ผู้โดยสารสามคนกำลังรออยู่ที่นี่อยู่แล้ว

 

ในขณะนั้นเอง เมื่อเห็นว่ามีผู้โดยสารใหม่ปรากฏตัวขึ้นมา สามผู้โดยสารที่เหลือก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองดู

 

“ท่านอาจารย์ เวลาได้ล่วงเลยกว่ากำหนดไปแล้ว” ชายหนุ่มที่เดินออกมาจากอีกด้านหนึ่งเปล่งเสียงออกมา

 

“มันไม่สำคัญหรอก จงทำลายโลกใบนี้ซะ”

 

“ขอรับ”

 

แล้วชายหนุ่มก็คว้าระเบิดออกมาทันใด

 

เขาชักสลักระเบิดออกและโยนมันลงไปในทะเลอันกว้างใหญ่

 

ชายหนุ่มก้มลงมองดูนาฬิกาพกของเขา

 

“โลกกำลังจะถูกทำลายในอีก 100 ลมหายใจต่อจากนี้”

 

เขารายงาน

 

“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเราก็สมควรจะเริ่มออกเรือได้แล้ว เจ้าจงไปเตรียมตัวซะ”

 

“ขอรับ”

 

ชายหนุ่มขานรับและเดินจากไป

 

ชายชราหันไปโค้งกายให้กับกู่ฉิงซานและกล่าว “จากนี้ไปข้าคงจะยุ่งๆ แต่ทว่าเจ้ามีตราของเรา ในอนาคตเจ้าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติของเรา ดังนั้นหลังจากที่ขึ้นเรือแล้วก็ขอให้เจ้าจงเพลิดเพลินไปกับสิทธิพิเศษต่างๆบนเรืออย่างเต็มที่”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.480 – ตราประทับของหอคอยสูง

 

เมื่อเดินทางมาถึงจุดนี้ ห่วงชูชีพสีชมพูก็เริ่มร้องเพลงออกมา

 

“โลกมิติอนันต์ โลกมิติอนันต์ที่ทุกคนปรารถนาาาา!”

 

“โลกที่เต็มไปด้วยสาวงามโดดเด่นจากโลกนับล้านล้านนนนน ที่ๆรวมดาราอันมีชื่อเสียงไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นไวน์เลิศรสจนไม่อาจจินตนาการด้ายยยย อีกทั้งยางงงงมีอารยธรรมและคนสุดแกร่งอีกมากมายยย”

 

“เอ้าวิ่งสิวิ่ง  วิ่งเข้าไปในมิตินางฟ้า – แต่นางฟ้าคงจะไม่ปล่อยให้ข้าเข้าไป เพราะความเปล่งประกายบนตัวข้า มันเจิดจ้าหน้าเกินตาพวกนางเกินไป!”

 

“เอ้าวิ่งสิวิ่ง วิ่งเข้าไปในมิตินรกปีศาจ – แต่ปีศาจคงไม่ปล่อยให้ข้าเข้าไป เพราะข้ามิใช่คนเลวและน่ารักเกินไป!”

 

“แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะในโลกมิติอนันต์น่ะ ยังมีสถานที่ให้เลือกสรรอยู่อีกมากมายยยยย”

 

“พวกเราไปผจญภัยไปด้วยกันเถอะ!”

 

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพลงเกี่ยวกับการผจญภัยที่บอกเล่าเรื่องราวของโลกมิติอนันต์ แม้จะระคายหูไปบ้าง แต่พอถูกกรอกหูไปนานๆเข้า กู่ฉิงซานก็คิดว่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไร

 

หลังจากที่คอยฟังเสียงเพลงไปสักพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “ดูเหมือนว่าโลกมิติอนันต์จะมีมิติอยู่มากมายตามชื่อของมันจริงๆ แล้วพวกเราจะไปยังมิติไหนของโลกมิติอนันต์กัน?”

 

“ … ”

 

ห่วงชูชีพชมพูชะงักไป

 

“เอ่า นี่เจ้าเองก็ไม่ทราบหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

 

“สำหรับเรื่องนี้ มีเพียงแต่นายหญิงของข้าเท่านั้นที่รู้” ห่วงชูชีพชมพูตอบด้วยความหงุดหงิด

 

มันลอยมาอยู่หน้ากู่ฉิงซาน และเปลี่ยนรูปเป็นกุญแจ

 

“จงใช้ข้า เสียบเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่าซะ” กุญแจกล่าว

 

“เสียบเข้าไปหรือ?”

 

“ใช่ ที่พวกเราอยู่กันในตอนนี้คือโลกอำพราง และเจ้าจะต้องเข้าสู่โลกจริง เพื่อที่จะได้รับโอกาสในการเข้าถึงโลกมิติอนันต์เสียก่อน” กุญแจกล่าว

 

“โอ้ เข้าใจแล้ว”

 

แม้จะพึ่งได้ยินเรื่องน่าเหลือเชื่อมาอีกหนึ่ง แต่กู่ฉิงซานก็ยังตอบรับอย่างสงบ และปฏิบัติตามอย่างใจเย็น

 

ตอนนี้ มันมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายมากเกินไปที่ได้พบเจอ ทำให้เขาค่อนข้างชินกับพวกมันแล้ว

 

กู่ฉิงซานถือกุญแจ และจี้มันลงไปในความว่างเปล่า

 

“ไปซ้ายอีกหน่อย ซ้ายประมาณสองฝีเท้า”

 

“อ่าๆ”

 

กู่ฉิงซานทำตาม และเริ่มบิดกุญแจ

 

ทันใดนั้น บังเกิดคลื่นกระเพื่อมไหวขึ้นในความว่างเปล่า

 

ระลอกคลื่นแพร่กระจายออกไป และค่อยๆเปิดเผยถึงฉากเบื้องหน้าที่ชัดเจนขึ้นอย่างกระทันหัน

 

กู่ฉิงซานค้นพบว่าสถานที่ที่ตนเองอยู่ยังคงเป็นบนทะเล

 

อย่างไรก็ตาม ในระดับน้ำทะเลที่ห่างไกลออกไป ได้ปรากฏประภาคารสูงขึ้นในสายตาของเขา

 

มันเป็นประภาคารสีดำที่มักจะสาดแสงกวาดลงมายังผืนทะเลโดยรอบเป็นครั้งคราว

 

กู่ฉิงซานเพ่งมองมันอย่างรอบคอบ และค้นพบว่าบนจุดยอดสุดของประภาคาร มันคลุมเครือจนเขาเห็นแค่เพียงเงาลางๆที่กำลังสั่นไหวเท่านั้น

 

ประภาคารสีดำตั้งยืนหยัดอยู่ตรงจุดนั้นอย่างเงียบๆ

 

“ทำไมมันถึงดูคุ้นตาจังนะ เหมือนกับว่าข้าเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

“เจ้าเคยเห็นมันงั้นหรอ? นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก” ห่วงชูชีพชมพูกล่าว

 

“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ล่ะ?”

 

“เพราะนี่คือสัญลักษณ์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูง ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการเชื่อมต่อกับโลกมิติอนันต์ทั้งหมดน่ะสิ”

 

“บางที ถึงแม้พวกเขาจะมิใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งอะไร แต่พวกเขาก็เป็นตัวตนที่ทราบถึงความลับที่อยู่ลึกที่สุดของโลก!”

 

“เป็นตัวตนสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”

 

“ใช่ ดังนั้นผู้มาเยือนจากโลกกระจัดกระจายเช่นเจ้า ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเคยติดต่อกับพวกเขา”

 

ขณะกล่าว ม้วนคัมภีร์อีกหนึ่งก็ผุดออกมาจากกู่ฉิงซานในทันใด

 

เป็นเข็มทิศ

คราวนี้ เข็มที่อยู่ภายในหมุนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และชี้ตรงไปยังประภาคาร

 

“หยุดพูดไร้สาระ แล้วเริ่มไปซะที ข้าไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวันนะ” เข็มทิศตะโกนบอก

 

“เจ้านั่นแหละไร้สาระ! อย่าลืมสิ ก่อนที่จะไป เราจะต้องอำพรางความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของเขาก่อน!” ห่วงชูชีพชมพูกล่าว

 

“ทำไมต้องอำพรางด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“สำหรับผู้ที่เข้ามาในหมื่นโลกาเป็นครั้งแรกน่ะ ต่อให้เจ้าเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดจากในโลกลำดับชั้นที่อาศัยอยู่ก็ตามที แต่เจ้าก็ไม่สมควรที่จะเปิดเผยรายละเอียดตนต่อผู้อื่น”

 

“แล้วหากสิ่งที่เจ้ากล่าวมาถูกค้นพบล่ะ”

 

“ในโลกนับล้านๆใบน่ะ เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมาย กล่าวได้ว่ามันเต็มไปด้วยอารยธรรมอันไร้ที่สิ้นสุด ก็ย่อมต้องมีบ้างเป็นธรรมดาที่อาจจะพบกับศัตรู ที่สามารถโค่นเจ้าลงได้”

 

“หากโค่นเจ้าได้ นั่นหมายถึงเขาจะล่วงรู้ทุกอย่างในสมองเจ้า หลังจากนั้นคงเข้าใจใช่หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้ารับ

 

ระหว่างสนทนา ม้วนคัมภีร์อีกใบก็กางออกและโคจรรอบกายกู่ฉิงซาน

 

แล้วรายละเอียดของเขาก็ค่อยๆถูกอำรางไว้ในความว่างเปล่า

 

กู่ฉิงซานลองขยับกายดู และพบว่ามีชั้นความผันผวนอันยอดเยี่ยมกำลังปกคลุมเขาอยู่

 

และชั้นความผันผวนนี้ มันจะสามารถป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตรวจสอบเขาได้ในระดับหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

เส้นแสงหิ่งห้อยไม่กี่บรรทัดปรากฏขึ้น

 

“กำบังซ่อนพลังงาน เป็นอุปกรณ์ระดับสูงที่ใช้ปกปิดความแข็งแกร่ง มีระยะเวลาใช้งาน : 3 วัน”

 

อ่านจบ กู่ฉิงซานก็พยายามที่จะเดินเข้าหาประภาคาร

 

แต่ดูเหมือนว่าจะมีความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับมิติเกิดขึ้น

 

เห็นได้ชัดว่ากำลังก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ทั้งคนทั้งร่างของเขากลับยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม มิอาจเคลื่อนกายไปไหนได้เลย

 

ห่วงชูชีพชมพูหัวเราะออกมา

 

“เจ้าไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถเข้าไปได้”

 

ขณะกล่าว มันก็เปลี่ยนรูปตนเองเป็นกระดานโต้คลื่นสีชมพู และปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของกู่ฉิงซาน

 

“มาเถอะ ข้าจะเป็นคนพาเจ้าทะลวงมิติไปที่นั่นเอง”

 

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับอย่างไม่มีทางเลือก

 

เขาหยั่งเท้า เริ่มทำการรักษาสมดุลบนกระดานโต้คลื่น

 

และในทันใด กระดานโต้คลื่นก็ระเบิดความเร็วออกมา จนผิวน้ำแยกออกจากกันเป็นสองฟากฝั่ง และเร่งมุ่งตรงไปยังประภาคาร

 

เมื่อใกล้เข้ามา ในสายตาของเขา ตัวของประภาคารก็เริ่มจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

กู่ฉิงซานพบประตูเล็กๆอยู่ใต้ประภาคาร

 

และด้วยความเร็วของกระดานโต้คลื่น ทำให้เพียงไม่นาน กู่ฉิงซานก็มาถึงประตูเล็กที่ว่า

 

มีผู้คนมากมายกำลังรออยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว

 

ผู้คนเหล่านั้นยืนกระจัดกระจายแบ่งกันเป็นหลายกลุ่ม ทว่าทั้งหมดดูจะแสดงออกถึงความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

 

กู่ฉิงซานลอบสังเกตพวกเขาอย่างลับๆ และพบว่าแต่ละกลุ่มกำลังพูดภาษาที่เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้

 

คนเหล่านี้กระซิบคุยกันแต่ในกลุ่มของตัวเอง และไม่คิดจะไปรบกวนกลุ่มอื่นๆ

 

ไม่เพียงแต่ไม่สามารถเข้าใจถึงภาษาที่พวกเขาพูด กระทั่งลักษณะที่ปรากฏของพวกเขามันก็ยังมองได้ไม่ชัดเจน

 

พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนกับเป็นภาพเงาสีดำที่สามารถมองเห็นได้คลุมเครือ ทว่าใบหน้าที่แท้จริงกลับถูกปกคลุมไปด้วยความมืด

 

“ไม่ต้องสนใจพวกมันหรอก คนเหล่านั้นเป็นผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงโลกมิติอนันต์ พวกเขาทำได้แค่เพียงมาที่นี่และเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้นเท่านั้น” กระดานโต้คลื่นกล่าว

 

แล้วมันก็เปลี่ยนรูปกลับเป็นห่วงชูชีพอีกครั้ง

 

“เหตุใดรูปลักษณ์ของพวกเขาจึงถูกปกคลุมไปด้วยเงาดำ?” กู่ฉิงซานถามเสียงกระซิบ

 

“เพราะคนเหล่านี้เพียงค้นพบโลกใบนี้ได้ชั่วคราว และไม่ได้รับการยอมรับจากหอสูง ดังนั้นจึงทำได้แค่เพียงมาเฝ้าดูเท่านั้น”

 

“เช่นนั้นแล้วข้าเล่า?”

 

“แน่นอนว่าไม่เหมือนกับพวกเขา” อีกม้วนคัมภีร์กล่าว

 

ม้วนคัมภีร์เด้งออกจากตัวกู่ฉิงซาน และคลี่ออกอย่างช้าๆ

 

บนม้วนคัมภีร์ เต็มไปด้วยตัวอักษรอันแปลกประหลาดถูกขีดเขียนเอาไว้ พร้อมหลากหลายตราประทับและรอยพิมลายนิ้วมือ

 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นใบรับรองสำคัญ

 

ทันทีที่ม้วนคัมภีร์ปรากฏขึ้น บริเวณโดยรอบก็ระเบิดเสียงฮือด้วยความชื่นชมอิจฉาไปทั่ว

 

ใบรับรองกลั้วลำคอตนเองเพื่อที่จะกล่าวให้มันชัดเจน และเปล่งเสียงตะโกนออกมาว่า “อะแฮ่ม อะแฮ่ม ท่านผู้พิทักษ์ ได่โปรดอนุญาตให้ข้านำคนของข้าเข้าสู่หอสูงด้วย”

 

พร้อมกันกับเสียงตะโกนนี้ ประตูหน้าของหอคอยสูงก็เปิดขึ้นทันใด

 

ตามด้วยชราชราในชุดคลุมม่วงที่สวมหมวกปลายแหลมเดินออกมา

 

ฝูงชนโดยรอบต่างพากันหลีกทางให้เขาทันที

 

ทั้งหมดปิดปากเงียบ และจับจ้องไปยังชายชราอย่างใกล้ชิด ไม่มีผู้ใดกล้าเปล่งเสียงทำลายความสงบเงียบนี้เลย

 

ชายชราเดินมาถึงหน้ากู่ฉิงซาน และคว้าใบรับรอง เพ่งสายตาตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง

 

“อืม ไม่มีอะไรผิดปกติ นี่มันเป็นใบรับรองไว้ใช้เปิดหูเปิดตา”

 

ชายชรากล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองกู่ฉิงซาน “นอกจากนี้ เจ้ายังสามารถไปยังโลกสุดยอดมิติที่กำหนดเอาไว้ได้อีกหนึ่งครั้ง”

 

“ขอบพระคุณท่านมาก” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“จงตามข้ามา” ชายชราส่งม้วนคัมภีร์คืนให้กู่ฉิงซาน และหันหลังเดินกลับไป

 

ขณะที่กำลังเดิน ปากของชายชราก็งึมงำในสิ่งที่คิดออกมา “เกิดผู้โดยสารที่ไม่คาดคิดขึ้นมาซะแล้ว โชคดีจริงๆที่มีที่นั่งว่างพอดีในเวลานี้”

 

กู่ฉิงซานเดินตามชายชราหายเข้าไปในประตู และ-

 

-ปัง!

 

เสียงประตูดังปิดตามหลังเขา

 

ตามด้วยเสียงฮือฮาของความอิจฉาที่ดังลอดเข้ามาจากภายนอก

 

ท่ามกลางความมืดมิด ได้ยินเพียงเสียงของชายชราที่ดีดนิ้วดังเป๊าะ

 

พร้อมกับกลุ่มก้อนเปลวไฟที่ปรากฏขึ้น และลอยอยู่ข้างกายเขา

 

“ก่อนที่จะขึ้นไปบนเรือ โปรดอนุญาตให้ข้าทำการตรวจสอบดูก่อน ว่าเจ้าได้นำวัตถุที่เป็นอันตรายเข้ามาหรือไม่” ชายชราเอ่ยปากอย่างเกียจคร้าน

 

วัตถุอันตราย?

 

กู่ฉิงซานย้อนนึกอย่างรวดเร็ว

 

จากเท่าที่นึกดู ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้นำสิ่งที่ดูเป็นอันตรายอะไรมานะ

 

“เชิญทำตามที่ท่านต้องการ” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

ชายชราที่เห็นถึงปฏิกริยาของเขา ท่าทีการแสดงออกของตนจึงดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

“แสงจรัสแห่งภูมิปัญญา” ชายชราเอ่ยงึมงำ

 

แล้วกลุ่มก้อนเปลวไฟข้างกายเขาก็สาดแสงอบอุ่นสว่างไสวลงบนร่างของกู่ฉิงซาน

 

ในตอนแรก มันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นหรอก

 

แต่ขณะที่ชายชราและกู่ฉิงซานกำลังจะผ่อนคลายลงนั้นเอง จู่ๆตราประทับโลหะก็ผุดออกมา และปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเปลวไฟ

 

แสงจากเปลวไฟทั้งหมดถูกควบรวมเข้าด้วยกัน และสาดส่องลงบนตราประทับ

 

พร้อมกับลวดลายบนตราประทับที่เปล่งประกายแสงสดใสออกมา

 

มันคือหอคอยทมิฬอันสูงตระหง่าน ที่ตั้งอยู่บนที่ราบสีแดง

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.479 – โลกมิติอนันต์

 

ท่ามกลางกระแสน้ำ กู่ฉิงซานนิ่งค้างไปราวกับถูกแช่แข็ง

 

“เหตุใดข้าจึงต้องถอดเสื้อผ้าออกด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างจริงจัง

 

ห่วงชูชีพสีชมพูเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกๆออกมา “แน่นอน ก็ถ้าเจ้าไม่ถอด แล้วพวกเราจะไปเผชิญกับความท้าท้ายได้อย่างไร?”

 

… ชีวิตก็เหมือนกับกล่องช็อคโกแลต ที่คุณจะไม่มีทางรู้ว่าจะได้พบเจอกับช็อคโลแกตรสใด หรือรูปทรงใดที่อยู่ภายใน

 

แล้วไอ้การถอดเสื้อผ้าเนี่ย มันช่างแตกต่างไปจากประโยคก่อนหน้าที่เอ่ยถามว่าอยากจะไปเผชิญกับความท้าท้ายหรือไม่ลิบลับ

 

เอาล่ะๆ เวลานี้เขาจะต้องเข้าใจให้ได้ก่อนว่าในสถานการณ์ในปัจจุบันนี้มันเป็นเรื่องบ้าอะไรกันแน่!

 

สมองของกู่ฉิงซานหมุนเร็วจี๋

 

ด้วยเหตุผลบางประการ ส่งผลให้เขาสามารถนึกย้อนไปได้ว่าตนเองก็เคยสื่อสารกับจิตอาร์ติแฟคมาก่อนเหมือนกันนี่นา

 

ในบรรดาจิตอาร์ติแฟค หรือกระทั่งจิตอาร์ติแฟคของสิ่งประดิษ์เทวะ โดยทั่วไปแล้ว คำพูดของพวกมันค่อนข้างที่จะเชื่อถือได้

 

ตัวอย่างเช่นฉานนู่ , เกราะรบเพลิงคำรน , ตะขอเกี่ยววิญญาณ และดาบเช่าหยิน

 

กระทั่งดาบพิภพที่แม้จะวาจาเราะร้าย แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจริงจัง คำพูดของมันก็ยังมีเหตุผล และส่งผลลัพธ์ไปในทางที่ดีเป็นอย่างมาก

 

นอกเหนือจากสิ่งประดิษฐ์เทวะ จิตอาร์ติแฟคอื่นๆก็เลือกที่จะปล่อยตนเองอย่างเสรี

 

ตัวอย่างเช่นวิหคขาวและเครื่องจักรมากมายจากปรภพ

 

ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ …

 

“งั้นข้าขอถามหน่อย ว่าความท้าทายแบบใดกันที่พวกเราจะต้องเผชิญ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ห่วงชูชีพสีชมพูถอนหายใจยาว

 

มันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตึงเครียดและกดดัน “พันกว่าปีมาแล้ว ที่ตัวข้ามิได้แข่งขันกับบรรดาคู่แข่งในวงการแฟชั่นของโลกมิติอนันต์ ข้าเลยไม่ทราบว่าสไตล์ของข้าจะสามารถชนะพวกเธอได้รึเปล่า”

 

ในขณะกล่าว ห่วงชูชีพชมพูก็ลอยขึ้น และหมุนเป็นวงกลมในอากาศ

 

แล้วมันก็เปลี่ยนรูปร่างไป กลายเป็นบิกินี่

 

บิกินี่สีชมพู ..

 

มันหันหน้าเข้าหากู่ฉิงซาน เปล่งเสียงเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ “ข้ากังวลเล็กน้อยว่าข้าจะตามเทรนแฟชั่นในปัจจุบันได้รึเปล่า – เจ้าคิดว่าข้ามีเสน่ห์ไหม”

 

“ … มีเสน่ห์สิ”

 

“งั้นก็ดี ได้โปรดสวมใส่ข้า แล้วพวกเราจะก้าวเข้าไปเผชิญความท้าทายในวงการแฟชั่นของโลกมิติอนันต์กัน”

 

“ประเดี๋ยวก่อน” กู่ฉิงใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว “โลกมิติอนันต์คืออะไร?”

 

“โอ้ ข้าลืมไปเลยว่าเจ้ามันเป็นผู้มาใหม่!”

 

บิกินี่ชมพูพึ่งจะตระหนักได้

 

มันกล่าวว่า “ในโลกลำดับชั้น อย่างเต็มที่ก็มีอยู่ทั้งสิ้น 900 ล้านชั้น ขณะที่ในแต่ละชั้นก็ยังมีโลกอยู่ภายในอีกนับล้านๆ ตรงส่วนนี้เจ้าเข้าใจดีใช่ไหม?”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

บิกินี่ชมพู “แล้วเจ้าคิดว่าตัวตนที่แข็งแกร่งในโลกต่างๆ พวกเขาเดินทางไปยังโลกอื่นๆได้อย่างไรกันล่ะ?”

 

“ … ก็คงจะใช้ดิสก์ค่ายกล หรือค่ายกลเคลื่อนย้าย ไม่ก็บางสิ่งบางอย่างล่ะมั้ง?”

 

“มันไม่ใช่เลย!”

 

บิกินี่ชมพูอธิบาย “ในระหว่างสองชั้นโลก เจ้าสามารถใช้ดิสก์ค่ายกลได้ก็จริง ทว่าหากมีชั้นโลกคั่นกลางมากยิ่งกว่านั้น ระยะทางมันจะกลายเป็นห่างไกลยิ่ง ไกลเกินกว่าที่ดิสก์ค่ายกลของเจ้าจะมาถึงได้”

 

“ดังนั้น จึงต้องอาศัยปีกชมพูที่อยู่ข้างหลังข้าสินะ?”

 

“จริงๆแล้ววิธีนี้ก็ไม่ค่อยจะฉลาดซักเท่าไหร่หรอก แม้จะใช้การได้ แต่จะให้เดินทางโดยการบินไปตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นมันก็คงจะไม่ดี”

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“เพราะในแต่ละชั้นโลกน่ะประกอบไปด้วยความลึกลับมากมายและอันตรายที่ไม่รู้จัก ผู้ที่เลือกใช้วิธีนี้น่ะ ไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันได้หรอกว่าตนจะปลอดภัยไปตลอดการเดินทาง ผู้คนไม่สามารถบินจากสู่โลกได้ตลอดไปหรอกนะ ในกรณีนี้ ไม่เคยมีใครใช้ปีกบินไปตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นโลกได้ครบเลย เพราะหากใครคิดจะทำ พวกเขาคงจะหมดอายุขัย ตายลงไปเสียก่อน”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความสนใจ “ถ้าอย่างนั้นแล้วโลกมิติอนันต์ก็คือ—-?”

 

บิกินี่ชมพูกล่าว “มันคือโลกที่พิเศษเป็นอย่างยิ่งจากในบรรดาโลกทั้ง 900 ล้านชั้น”

 

“โลกแห่งนั้นมักจะมี‘ภารกิจ’ให้รับ หรือไม่ก็นำพาไปสู่สถานที่ๆพิเศษมากๆ ไม่ก็นำพาไปยังสถานที่ส่วนบุคคลที่ถูกรังสรรขึ้นโดยตัวตนทีทรงพลานุภาพได้”

 

“กล่าวโดยสังเขปก็คือ โลกใบนี้สามารถอยู่เหนือกระแสมิติและเวลาได้ มันสามารถเชื่อมต่อกับทุกๆโลกลำดับชั้นได้”

 

“นี่แหละคือสถานที่อันแสนมหัศจรรย์ที่ถูกเรียกว่าโลกมิติอนันต์ล่ะ”

 

กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ปากจึงเอ่ยเสียงกระซิบว่า “สถานที่ๆพวกเรากำลังจะไปคือโลกมิติอนันต์อย่างงั้นสินะ?”

 

บิกินี่ชมพู “ไม่ต้องสงสัยเลย พวกเรากำลังจะมุ่งหน้าสู่โลกมิติอนันต์อันมิชื่อเสียง!”

 

กู่ฉิงซานเข้าใจในทันที

 

เขาจ้องมองไปยังบิกินี่ชมพูที่กำลังตื่นเต้น

 

… ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวถาย’ ได้ขอให้ตนเองช่วยส่งของบางสิ่ง แต่เธอไม่ได้บอกเขาเลยว่าต้องการให้ตนเองไปช่วยยึดครองตำแหน่งเจ้าแม่วงการแฟชั่นแทนเธอ

 

ดังนั้น นั่นหมายความว่า ความคิดความฝันดังกล่าวเป็นของอุปกรณ์มนตราเบื้องหน้านี่ไม่เกี่ยวกับเธอ แต่บางทีการที่เสี่ยวถายมอบมันให้แก่เขา ก็อาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับใช้ในการเดินทางไปยังโลกมิติอนันต์ก็เป็นได้

 

กู่ฉิงซานลังเลและเอ่ยถาม “เจ้าต้องการจะกลับคืนสู่วงการแฟชั่นของโลกมิติอนันต์อีกครั้งหรือไม่?”

 

“แน่นอน! นี่แหละคือช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ล่ะ! ”บิกินี่สีชมพูกล่าวด้วยน้ำเสียงกระฉับกระเฉง

 

“แต่เจ้า … ดูเหมือนว่าจะลืมปัญหาสำคัญที่สุดไปนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

บิกินี่ชมพูเอ่ยถามด้วยความกังวลทันที “ปัญหาอะไรงั้นหรือ? ใช่เรื่องที่ว่าทรวดทรงของข้าไม่สมบูรณ์แบบหรือเปล่า?”

 

มันที่กำลังมองกู่ฉิงซานอยู่ เอี้ยวหมุนดูสรีระของตนเอง

 

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เจ้าหรอก อันที่จริงแล้วปัญหาอยู่ที่ข้าต่างหาก — คือข้าเป็นผู้ชายน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

บิกินี่ชมพูพอได้ฟังก็แข็งค้างไป

 

เป็นเวลาเนิ่นนาน มันมิได้เอ่ยสิ่งใด

 

กู่ฉิงซานชี้มาที่ตัวเอง “อ่า ข้าต้องขอโทษด้วยนะ แต่ข้าเป็นผู้ชายจริงๆ นี่เจ้ามิได้สังเกตเลยหรือ?”

 

“เจ้า – ก็ใครมันจะไปนึกกันว่าผู้ชายจะใช้ปีกสีชมพู! แถมยังเป็นสีชมพูคอลเลคชั่นรุ่นลิมิเต็ดอีก! เจ้ามันพวกบิดเบือน!”

 

บิกินี่ชมพูกล่าวเสียงสะอื้น

 

“สุภาพหน่อย” กู่ฉิงซานเอี้ยวไปมองปีกสีชมพูเบื้องหลังและกล่าว “ผู้ชายจะใช้สีชมพูไม่ได้รึไง? สำหรับชายแท้แล้ว ก็ยังมีบางคนอยู่นะที่ชอบสีชมพูแบบน่ารักๆน่ะ”

 

บิกินี่สีชมพูเริ่มระเบิดเสียงร่ำไห้

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่สักพักหนึ่ง จนเขารู้สึกว่าหากปล่อยไว้ต่อไปมันคงจะดูไม่ดี

 

เขาเริ่มขบคิดที่จะหาคำพูดปลอบประโลมเธอ

 

“ข้าว่า … ”

 

แต่กู่ฉิงซานก็พบว่าตัวเองไม่มีหนทางที่จะปลอบใจชุดบิกินี่ได้เลย

 

เขาไม่ได้มีทักษะในด้านนี้

 

บิกินี่ชมพูยังคงร่ำไห้อย่างโศกสลด

 

แต่เนื่องจากบริเวณโดยรอบเป็นน้ำอยู่แล้ว ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่ทราบว่าน้ำตาที่ร่ำไห้ออกมามันคือของจริงหรือเปล่า

 

หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง กู่ฉิงซานออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “เดิมทีเจ้ามันก็ดูดีอยู่แล้วนี่ ไม่เป็นไรหรอก เอาอย่างนี้เป็นไร หากเจ้าช่วยพาข้าเข้าไปยังโลกมิติอนันต์ได้แล้วล่ะก็ ข้าจะช่วยเจ้ามองหานายหญิงที่มีสัดส่วนและรูปร่างสมบูรณ์แบบให้เป็นไง แล้วเจ้าจะได้ไปต่อสู้ในวงการแฟชั่นอีกครั้ง แบบนี้ดีหรือไม่?”

 

“จริงๆหรือ?” บิกินี่ชมพูหยุดร้องและเอ่ยถามเสียงสูง

 

“ข้าไม่เคยลวงหลอกผู้คนทั่วไป”

 

“โอเค ถ้าอย่างงั้นก็ตกลง!”

 

น้ำเสียงของบิกินี่ชมพูเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอีกครั้ง

 

มันเปลี่ยนรูปกลายเป็นห่วงชูชีพว่ายน้ำดังเดิมทันที และสวมเข้ารอบเอวของกู่ฉิงซาน

 

“รอก่อนเถอะโลกมิติอนันต์ พวกเราจะไปเยือนแกแล้ว!” มันตะโกน

 

แล้วห่วงชูชีพกับกู่ฉิงซาน ก็ว่ายลอยตามกระแสน้ำไป

 

 

สถานที่แห่งนี้คือโลกอันแปลกประหลาด

 

บนท้องฟ้าอันมืดมิด ถูกประดับประดาด้วยดวงดาราอันสว่างไสว

 

แสงดาราสะท้อนเข้ากับน้ำทะเล

 

สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่าน

 

กระแสน้ำซัดสาดอย่างเงียบๆ

 

ชายคนหนึ่งค่อยๆลอยขึ้นเหนือระดับน้ำทะเล

 

เขายืนอยู่บนผิวน้ำทะเล พร้อมกับกระตุ้นพลังวิญญาณของตน

 

ทันใดนั้นเอง ความชื้นจากน้ำที่ชุ่มอยู่ตามเสื้อผ้าและร่างกายก็ระเหยไปจนแห้ง

 

เขาเงยหน้าขึ้นหันไปมองรอบๆ

 

ทะเลอันไร้ที่สิ้นสุด

 

ไม่มีอะไรเลยนอกเหนือไปจากนั้น

 

เขาหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา เพื่อต้องการจะบันทึกพิกัดของมัน

 

“ไม่จำเป็นต้องบันทึกพิกัดหรอก”

 

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

มันคือเสียงของห่วงชูชีพชมพูที่สวมอยู่ตรงเอวของกู่ฉิงซาน

 

“ทำไมล่ะ?” เขาเอ่ยถาม

 

“ก็เพราะโลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อไปยังโลกมิติอนันต์ และเมื่อผู้มาเยือนได้จากไปแล้ว โลกใบนี้ก็จะถูกทำลายลง”

 

“มีโลกแบบนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานไม่อยากจะเชื่อ

 

“แน่นอน โลกมิติอนันต์น่ะไม่ใช่ที่ๆจะสามารถเข้าไปได้ง่ายๆหรอกนะ บางส่วนของโลกมิติอนันต์ก็ยังถูกเก็บเป็นความลับ และจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้”

 

“ดังนั้น โลกที่ถูกใช้เป็นสะพานเชื่อมต่อเพียงครั้งเดียวนี้ จึงเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้”

 

กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็เอ่ยถามออกไป “หรืออีกความหมายนึงก็คือ ตอนนี้พวกเราอยู่ไม่ไกลจากโลกมิติอนันต์แล้วใช่ไหม?”

 

“นั่นคือเหตุผลที่เราเดินทางมาหลายวันหลายคืน และในที่สุดก็มาถึง” ห่วงชูชีพชมพูถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า

 

“ข้ากำลังตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นมัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างตื่นเต้น

 

“แน่นอน! แน่นอนอยู่แล้ว! ใครบ้างเล่าจะไม่ตั้งตารอคอย?” น้ำเสียงของห่วงชูชีพชมพูเริ่มจะกลายเป็นบ้า

 

มันยกน้ำเสียงขึ้นและกล่าว “เพราะมันเปรียบดั่งท่าเรือที่เป็นศูนย์กลางของการบรรจบของโลกนับล้านๆใบเข้าไว้ด้วยกัน มันคือดวงดาราที่เจิดเจริสที่สุดจากมวลหมู่ดาวเหลือคณา และเป็นสถานที่พักพิงที่ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนถวิลหา”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.478 – สุสานแห่งโลก

 

ระหว่างการเดินทางอันยาวนาน

 

ขณะที่กำลังโบยบินไปอย่างต่อเนื่อง กู่ฉิงซานก็คอยสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบไปด้วย

 

มีฉากแปลกๆมากมายที่ทำให้ละลานตา

 

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เขาดันไปโผล่เข้าตรงหน้าของสัตว์ร้ายที่กะโหลกของมันลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง

 

สัตว์ร้ายตนนั้นส่งกลิ่นอายไม่ดีอย่างรุนแรงออกมาชนิดที่กู่ฉิงซานไม่เคยพบเคยเผชิญมาก่อน มันหันขวับ! มามองเขา

 

มันจ้องค้างมายังกู่ฉิงซาน จนร่างของทั้งสองฝ่ายเกือบจะชนกันอยู่แล้ว แต่ในท้ายที่สุด มันก็จำต้องปลีกตัวออก หลีกทางให้เขาอย่างไม่เต็มใจ

 

ซึ่งกู่ฉิงซานมั่นใจเลยว่าเดิมทีมันคงตั้งใจที่จะจู่โจมเขาตั้งแต่ครั้งแรกพบสบตากันแล้วแน่ๆ

 

—แต่ก็ไม่รู้จริงๆว่า มารที่แท้จริงอย่าง ‘เสี่ยวถาย’ ใช้กลวิชาอันใด ถึงทำให้มอนสเตอร์อันน่าสะพรึงในกระแสมิติยอมถอยออกไปแต่โดยดี

 

การเดินทางอันยาวนาน ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงหิ่งห้อยที่ร้อยเรียงไปด้วยตัวอักษรขนาดเล็กโผล่ขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

“คุณเริ่มออกห่างจาก ‘สุสานของโลก’ ”

 

“คุณเริ่มออกห่างจากโลกกระจัดกระจาย”

 

“คุณอยู่ในชั้นที่ 6343234 ของโลกลำดับชั้น”

 

“การไหลของกระแสเวลาของคุณได้ถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับมิติแล้ว”

 

“นับจากนี้ไป ทุกเวลาที่คุณเสียไป จะเหมือนกันในทุกๆพื้นที่มิติ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “หรือพูดอีกอย่างนึงก็คือ ถ้าฉันใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงที่นี่ มันก็จะเท่ากับผ่านไปหนึ่งชั่วโมงในโลกจริงใช่ไหม?”

 

“นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น”

 

“ว่าแต่อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าสุสานแห่งโลก?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ

 

“มันคือสิ่งที่คุณมักจะเอ่ยปากออกมาว่าโลกจริง”

 

“แล้วทำไมมันถึงถูกเรียกว่าแบบนั้น?”

 

แต่คราวนี้ระบบกลับเงียบ และไม่พูดตอบกับเขา

 

แม้กู่ฉิงซานจะเอ่ยถามไปอีกสองสามประโยค แต่ก็มิได้รับการตอบสนองใดๆ

 

เขาเลยจำใจต้องยอมแพ้

 

ขณะที่ยังคงมุ่งบินต่อไปสู่โลกที่ไม่รู้จัก

 

เวลาก็ค่อยๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ

 

บางครั้ง จักรวาลอันมืดมิดก็ห้อมล้อมรอบตัวเขา

 

แต่หลังจากที่บินไปสักพัก กู่ฉิงซานก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้ชนเข้ากับอะไรบางอย่าง

 

แล้วฉากจักรวาลอันมืดมิดนี้ก็หายไป กู่ฉิงซานได้บินเข้าสู่พื้นที่มิติใหม่

 

กระแสมิติอันเชี่ยวกราดปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

ไม่สิ จะบอกว่ามันเป็นกระแสมิติอันเชี่ยวกราดเลยก็ไม่ถูกซักทีเดียว สมควรจะกล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกันกับจักรวาลอันมืดมิดอีกแห่งหนึ่งจึงจะเหมาะสมกว่า

 

การเปลี่ยนแปลงนี้ช่างชุลมุนชวนให้สับสน มันไร้ซึ่งระเบียบและมิอาจคาดเดาได้

 

พอโดนบ่อยครั้งเข้า มันก็เลยทำให้กู่ฉิงซานสามารถตระหนักได้ในทุกๆครั้งที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่มิติชั้นโลกใหม่

 

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว ที่รอบกายของกู่ฉิงซานมีเพียงความว่างเปล่า

 

แต่ในที่สุด พื้นที่มิติตรงหน้าเขาก็ดูเหมือนจะไม่ว่างเปล่าดั่งที่ผ่านมาๆ ทว่าคราวนี้ ตัวเขากลับไม่สามารถทะลุผ่านมันไปได้เหมือนกับที่แล้วๆมา

 

กู่ฉิงซานลอยคว้าง ถูกกักขังอยู่ในมิติที่ว่างเปล่าอันมืดมิด

 

ขณะที่ม้วนคัมภีร์เหนือศีรษะของเขาค่อยๆหายไป

 

แล้วอีกม้วนคัมภีร์หนึ่งก็เด้งออกมา ค่อยๆกางออกในอากาศ

 

—มันคือเข็มทิศที่ถูกวาดอยู่บนม้วนคัมภีร์นี้

 

เข็มทิศหมุนวนไปมาอย่างรุนแรง และในที่สุดมันก็ชี้เฉียงขึ้นไปยังทิศทางเบื้องบน

 

การระบุเส้นทางพิกัด ได้ถูกกำหนดแล้ว

 

หลังจากนั้นอีกม้วนคัมภีร์หนึ่งก็คลี่ออก

 

พร้อมกับปีกสีชมพูงดงามคู่หนึ่งที่ถูกวาดอยู่บนม้วนคัมภีร์ปรากฏสู่สายตา

 

ม้วนคัมภีร์ได้หายไป

 

ขณะเดียวกัน ปีกสีชมพูที่สาดรังสีแสงเรืองรองก็ประกบติดกับแผ่นหลังของกู่ฉิงซาน

 

“พวกเรากำลังจะไปกันแล้วนะ” ปีกเปล่งเสียงบางเบาราวกระซิบ

 

สิ้นเสียง คู่ปีกสีชมพูก็กางออก และเริ่มพัดกระพือ

 

ช่วงเวลาเดียวกันกับที่มันเริ่มพัด ชั้นรังสีแสงสีชมพูก็ตัดผ่านมิติที่ว่างเปล่า ส่งผลให้ไม่ว่าใครก็ตามที่สวมใส่คู่ปีกนี้ จะดูทรงเส่นห์ขึ้นอย่างไม่อาจพรรณนาได้

 

-แต่นั่นมันเหมาะสำหรับผู้ใช้คนก่อน

 

กู่ฉิงซานจ้องมองดูปีกด้านหลังตน ในหัวใจรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใดนัก

 

“นี่เจ้า พอจะช่วยเปลี่ยนสีของมันหน่อยจะได้ไหม?” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา

 

“เปลี่ยนสีอย่างนั้นหรือ?” ปีกหยุดกระพือชั่วคราว เอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“ก็ใช่น่ะสิ เปลี่ยนเป็นสีดำ หรือว่าสีอะไรก็ได้”

 

แต่ปีกกลับตอบปฏิเสธ “ไม่! สีของข้าเป็นคอลเลคชั่นรุ่นลิมิเต็ดเชียวนะ มันมีเพียงคู่เดียวจากในบรรดาทั้ง 300 ล้านโลก หลังจากที่สวมใส่มัน จะสามารถเสริมสร้างความรู้สึกดีๆต่อเพศตรงข้ามได้ -นี่มันของหายากสุดๆเลยไม่ใช่หรอ?”

 

กู่ฉิงซาน “ … ”

 

แล้วปีกคู่ก็เริ่มขยับอีกครั้ง นำพากู่ฉิงซานไปตามทิศทางที่เข็มทิศชี้ไป

 

ปีกคู่นี้ดูเหมือนจะมิใช่ของทั่วๆไปอย่างที่มันกล่าวจริงๆ มันค่อนข้างให้ความรู้สึกถึงพลังอำนาจอันมากล้นเป็นพิเศษ

 

เห็นได้ชัดว่าตัวกู่ฉิงซานมิได้บินรวดเร็วอะไรมากมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่ปีกกระพือแม้เพียงครั้ง กู่ฉิงซานจะรู้สึกว่าเขาได้ก้าวข้ามผ่านโลกลำดับชั้นไปนับไม่ถ้วน

 

มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

 

กู่ฉิงซานบังเกิดความคิดวาบผ่านเข้ามาในจิตใจ เขาตบลงในถุงสัมภาระและหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา

 

มันคือค่ายกลระบุตำแหน่งมิติ

 

ตรงหน้าปัดส่วนบนของดิสก์ค่ายกล ปรากฏเส้นเครื่องหมายจากแปดทิศทางได้ถูกวาดเขียนทิ้งเอาไว้แล้ว

 

เมื่อนานมาแล้วผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหา ก็เคยได้ทำการบันทึกพิกัดของต่างโลกในมิติที่ว่างเปล่าด้วยดิสก์ค่ายกลนี้เช่นกัน

 

ตามตำนานตั้งแต่ในครั้งสมัยก่อน กล่าวเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งโลกล่องเวหาเคยได้ค้นพบกับดิสก์ค่ายกลและหนังสือจากภายในท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า

 

หนังสือเล่มที่ว่า ได้บันทึกเกี่ยวกับวิธีการใช้งานค่ายกล และอธิบายถึงเครื่องหมายสิบทิศทางบนดิสก์ค่ายกลซึ่งเชื่อมโยงกับโลกทั้งสิบด้าน

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธของโลกล่องเวหาจะทุ่มเทพยายามเท่าใด พวกเขาก็สามารถค้นหาพิกัดของโลกได้เพียงแปดด้านเท่านั้น

 

ขณะที่อีกสองพิกัด พวกเขามิอาจค้นหามันได้เลย

 

แม้กาลเวลาจะผ่านไปเป็นเวลายาวนานแล้ว แต่ค่ายกลระบุตำแหน่งมิติก็ยังทำเครื่องหมายได้เพียงแค่แปดทิศทางเท่านั้น

 

สำหรับอีกสองทิศทางที่เหลือ ผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหาได้ยอมแพ้ไปแล้ว

 

มีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลชั้นยอดไม่กี่คนเท่านั้น ที่ยังคงคิดจะค้นคว้าถึงสองตำแหน่งนี้อยู่ แต่แน่นอน ว่าพวกเขาก็ไม่หลงเหลือโอกาสนั้นอีกต่อไป

 

กู่ฉิงซานมองดูดิสก์ค่ายกลตำแหน่งมิติ เริ่มรวบรวมลมหายใจของเขา เตรียมพร้อมจะลงมือ

 

ขณะที่ปีกสีชมเริ่มจะสยายออก และค่อยๆกระพืออย่างช้าๆอีกครั้ง

 

พริบตานั้นเอง มือของกู่ฉิงซานพลันวูบไหวดั่งสายฟ้า เขาตบลงบนดิสก์ค่ายกลครั้งแล้วครั้งเล่า

 

แสงสวรรค์ระเบิดออกมาจากตัวดิสก์ค่ายกล

 

ในเสี้ยววินาที พิกัดก็ได้ถูกบันทึกเอาไว้โดยสมบูรณ์

 

ปีกชมพูพัดกระพืออีกครั้ง

 

แล้วกู่ฉิงซานก็เริ่มทำการบันทึกพิกัดใหม่อีกที ขณะที่เขามุ่งต่อไปข้างหน้า

 

เขาก้มลงมองไปยังดิสก์ค่ายกล

 

ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีเพียงแค่แปดเส้น ทว่าบัดนี้มันมีทั้งหมดสิบเส้นแล้ว

 

“โลกทั้งสิบด้าน … ” กู่ฉิงซานงึมงำเสียงต่ำ

 

โลกทั้งสิบทิศ!!

 

มันเป็นสถานที่ที่เขาไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง

 

มันคือสิ่งที่กู่ฉิงซานไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน

 

เขาไม่รู้ว่าหนทางเบื้องหน้าจะมีสิ่งใด และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไปกันแน่

 

ปีกสีชมพูเริ่มพัดอีกครั้ง

 

แล้วกู่ฉิงซานก็ทำการบันทึกพิกัดผ่านดิสก์ค่ายกลอีกครา

 

หลังจากที่บินมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็รวบรวมพิกัดเหล่านี้เข้าด้วยกันเพื่อทำการเปรียบเทียบ

 

เขาค้นพบว่าความแตกต่างระหว่างพิกัดเหล่านี้มันไกลเกินกว่าระยะห่างระหว่างโลกเทวะกับโลกล่องเวหา

 

ตามทิศทางแนวตั้งของปีกชมพู มันกำลังพาเขาข้ามผ่านระยะทางอันไกลโพ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

 

“นี่มันน่าทึ่งมากจริงๆ” สายตาของกู่ฉิงซานจ้องมองอยู่แต่กับดิสก์ค่ายกล ปากเอ่ยพึมพำ “เพียงปีกคู่เดียว แต่กลับสามารถทะลุผ่านมิติมากมายไร้ที่สิ้นสุดได้ แท้จริงแล้วการจะทำเช่นนี้ได้จักต้องบรรลุความแข็งแกร่งถึงขั้นใดกัน … ”

 

เขาแหงนคอไปเบื้องหลังเล็กน้อย เพื่อมองดูคู่ปีกสีชมพู

 

ปีกสีชมพูหวานแหววช่างดูน่ารักน่าชังเสียจริง

 

ทว่าเมื่อมันถูกประดับไว้บนแผ่นหลังของกู่ฉิงซาน มันก็อดไม่ได้ที่จะให้ความรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย

 

บรรยากาศรอบกายเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป

 

แต่นั่นไม่ใช่จุดสำคัญ

 

เพราะจุดสำคัญก็คือความถี่ในการกระเพื่อมไหวของปีกสีชมพูเริ่มที่จะสม่ำเสมอและเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น

 

กู่ฉิงซานข้ามผ่านพื้นที่มิติและเวลาไปอย่างไม่รู้จบ ทะยานบินขึ้นไปตามทิศทางเข็มในแนวตั้ง

 

แสงสีชมพูสาดออกมาห่อหุ้มทั้งตัวเขา และเริ่มที่จะสยายปีกบินเต็มกำลัง

 

จ๋อม!

 

ชั่วเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่าตนเองได้ถูกโยนจมลงไปในน้ำ

 

ขณะที่ปีกสีชมพูหยุดเคลื่อนไหว และไม่ได้กระพืออีกต่อไป

 

กู่ฉิงซานที่ลอยอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำ หันไปมองรอบๆอย่างใจเย็น

 

เห็นแค่เพียงน้ำสีฟ้าอ่อนในสายตา

 

น้ำบริสุทธิ์และเย็นสดชื่น

 

แม้ว่าในขณะนี้กู่ฉิงซานจะไม่สามารถหายใจได้ก็ตามที แต่นี่มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด สำหรับขอบเขตประทับเทพอย่างเขา

 

-คำถามก็คือสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ต่างหาก

 

กู่ฉิงซานเพียงแค่ขบคิด ทว่ากลับเห็นแค่เพียงม้วนคัมภีร์ใบใหม่ที่คลี่ออก

 

เพล้ง!

 

ทันทีที่ม้วนคัมภีร์สำแดงผล บางสิ่งบางอย่างก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

 

และก่อนที่สิ่งนั้นจะลอยจากไปอย่างรวดเร็ว กู่ฉิงซานก็ได้เอื้อมมือไปคว้าจับมันไว้ก่อน

 

มันคือห่วงชูชีพ

 

กู่ฉิงซานที่กำลังถือห่วงชูชีพขมวดคิ้วอย่างหมดหนทาง

 

‘มันเป็นสีชมพูอีกแล้ว’

 

สิ่งของจากม้วนคัมภีร์แต่ละชิ้น ช่างเป็นรสนิยมที่คล้ายคลึงกับเด็กสาวเสียจริงๆ

 

ตอนนี้เขาค่อนข้างจะเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวถาย’ (ถายน้อย) จึงถูกเฉียนซานเย่หลอกลวงเอาได้

 

บางที เมื่อพันกว่าปีก่อน เธอคงเป็นเพียงเด็กสาวที่ปรารถนาจะท่องโลกกว้าง เริ่มออกเดินทางไปไกลแสนไกลเพื่อมองหาโลกที่แปลกตาจากปกติที่ตนได้เคยพบเจอมา

 

เมื่อคิดถึงประสบการณ์ที่เสี่ยวถายต้องพบเจอแล้ว สายตาของกู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะหมองลง

 

ขณะที่ห่วงชูชีพสีชมพูในมือก็ดูเหมือนจะหมองลงเช่นกัน

 

-เมื่อลองคิดถึงห่วงชูชีพ และน้ำที่อยู่โดยรอบแล้ว กู่ฉิงซานก็เริ่มจะตระหนักได้ว่าสิ่งใดกันที่เขาสมควรจะทำ

 

กู่ฉิงซานสวมห่วงชูชีพในเอวของตนเอง และเฝ้ารออยู่สักพัก

 

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้นเอง เขาก็เห็นว่ามีแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง ลอยออกมาจากห่วงชูชีพสีชมพู พร้อมมีบางสิ่งที่เขียนอยู่บนมัน

 

กู่ฉิงซานคว้าจับกระดาษแผ่นนั้นไว้ แล้วอ่านมันอย่างระมัดระวัง

 

“หากเจ้าต้องการกระตุ้นอุปกรณ์มนตรานี้ ขอจงท่องคาถาว่า มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง! ออกมาดังๆ”

 

“คาถาเปิดใช้งาน :มะลึกกึกกึ๋ย มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานอ่านมัน กระดาษแผ่นเล็กๆก็ค่อยๆลอยกลับไปยังห่วงชูชีพสีชมพูอีกครั้ง แล้วก็หายไป มิทราบว่ามันไปซุกไว้ที่ใด

 

‘มะลึกกึกกึ๋ย มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง! อย่างงั้นหรือ … คาถาเปิดตัวนี่มันจะดูเด็กน้อยเกินไปแล้ว’

 

มองไปยังกระแสน้ำรอบตัวที่ไหลอย่างไม่รู้จบ กู่ฉิงซานก็จำต้องละความคิดนี้ไป

 

เขาจำต้องกล่าว “มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”

 

ลืมไปเลยว่านี่เขาอยู่ในน้ำ  ดังนั้นเสียงที่กู่ฉิงซานเปล่งออกมามันจึงฟังดูค่อนข้างคลุมเคลือ

 

กู่ฉิงซานรีบคายน้ำที่ทะลักเข้ามาในปากอย่างรวดเร็ว

 

มองไปยังห่วงชูชีพสีชมพูอีกครั้ง แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

นี่มันไม่ถูกต้อง

 

กู่ฉิงซานกำลังคิดอยู่ว่าจะใช้พลังวิญญาณแยกกระแสน้ำออกจากกัน ขณะที่ในสมองเปล่งความคิดดังลั่น “มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”

 

ห่วงชูชีพสีชมพูจึงเริ่มขยับไหวอย่างไม่เต็มใจ

 

พร้อมกับแผ่นกระดาษลอยออกมาอีกครั้งและแขวนอยู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

มันขีดเขียนตัวอักษรบรรทัดหนึ่งใจความว่า

 

“นี่เจ้าบื้อหรือเปล่า? เสียงที่ร้องออกมามันโคตรจะเบาเลย อย่างกับคนอดอาหารมาหลายวันอย่างงั้นแหละ? เวลาเจ้าท่องคาถาเปิดตัวก็สมควรจะเป็นช่วงเวลาที่ทรงเสน่ห์ที่สุดสิ! เจ้านี่มันทำตัวไม่กระตือรือร้นเลยสักนิด อารมณ์พลุ่งพล่านน่ะ! เร่าร้อนน่ะ! รู้จักไหม?”

 

แผ่นกระดาษส่ายไปมาต่อหน้าเขา ก่อนจะบินกลับไป

 

กู่ฉิงซานนิ่งอึ้งอยู่สักพัก

 

กระตือรือร้นอย่างนั้นหรือ …

 

สองมือคว้าจับห่วงชูชีพ ขณะที่สองคิ้วขมวดเข้าหากัน

 

เขาย้อนนึกไปถึงแผ่นกระดาษใบแรกที่ลอยออกมามันเขียนบอกเอาไว้ว่า “ขอจงเปล่งเสียงร่ายคาถา มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง! ออกมาดังๆ”

 

คงจำเป็นที่จะต้องเปล่งคำนี้เท่านั้น ตนจึงจะสามารถใช้งานมันได้

 

กู่ฉิงซานขับเคลื่อนพลังวิญญาณในตันเถียน ปากอ้าตะโกนเสียงดังก้อง “มะลึกกึกกึ๋ย มะลึกกึกกึ๋ยเพี้ยง!”

 

เสียงที่สนั่นราวกับระเบิดนี้ถูกเปล่งออกมาโดยตรง จนกระแสน้ำแตกกระจายไปทุกทิศทาง

 

ห่วงชูชีพสีชมพูเริ่มสั่นไหวทันที

 

แสงจรัสพวยพุ่งออกมาจากห่วงชูชีพ

 

“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ข้าเฝ้ารอมาเป็นพันกว่าปีแล้ว และในตอนนี้ก็มาถึงช่วงเวลาแห่งการแก้แค้นซะที!”

 

ฟังจากน้ำเสียง บ่งบอกว่ามันดูตื่นเต้นมาก

 

“ข้าได้อยู่ในสถานะตื่นโดยสมบูรณ์แล้ว เจ้าเด็กน้อย เจ้าพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายหรือยัง?”

 

กู่ฉิงซานขบคิดถึงประโยคที่อีกฝ่ายเปล่งออกมา ก่อนจะตัดสินใจตามน้ำไปว่า “ข้ายอมรับคำร้องขอ และแน่นอนว่าข้าพร้อมแล้ว”

 

“ดีล่ะ งั้นพวกเรามาเริ่มกันเลยไหม?” ห่วงชูชีพสีชมพูเอ่ยถาม

 

“ตกลง” กู่ฉิงซานกางมือออก

 

“งั้นอันดับแรก เจ้าก็จงถอดเสื้อผ้าออกให้หมดซะ” ห่วงชูชีพกล่าวอย่างราบรื่น

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.477 – จะกลับมาหาเจ้าในภายหลัง

 

กู่ฉิงซานจ้องมองเข้าไปยังฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหลังประตูแสง ขณะที่ผู้คนทั้งหมดภายในประตู มิได้ตระหนักถึงสายตาของเขาเลย

 

ไม่รู้ว่าใบหน้าของหญิงสาวได้ใช้เทคนิคมนตราใด มันจึงสามารถทะลวงฝ่าโลกชั้นผิวนอกนับล้านๆโลก และลอบมองโลกในชั้นกลางได้โดยตรง

 

พลังอันยิ่งใหญ่ที่เธอครอบครองนี้ มันได้ทะลุเกินกว่าจินตนาการของกู่ฉิงซานไปแล้ว

 

มองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของบานประตู นายทหารติดอาวุธยังคงทำการสำเร็จโทษเชลยแห่งรากษสลงอย่างต่อเนื่อง

 

บางคนก็ใช้กระบี่ยาวตัดศีรษะของเชลยลงโดยตรง

 

ขณะที่บางคนก็ใช้ปืนยาวเล็ง และยิงไปที่หัวทีละคน ทีละคน

 

ทว่าประสิทธิภาพอาวุธของพวกเขานั้นช่างต่ำต้อยนัก เพราะปืนยาวที่พวกเขาใช้ มันยิงได้ทีละนัดเท่านั้น พอยิงเสร็จ ก็ต้องโหลดและถอนปลอกกระสุนด้วยตนเอง ซึ่งมันไม่สะดวกเอาเสียเลย

 

ด้วยคำสั่งของนายทหารอาวุโส ทหารหลายคนจึงออกจากตำแหน่งทันที

 

พวกเขาหยิบกระสุนปืนและบรรจุมันลงในอาวุธคู่กายตน พร้อมกับเล็งมายังทางออกของประตูแสง

 

กู่ฉิงซานลองสังเกตดีๆอีกครั้ง และพบว่าปืนที่อยู่ในมือของคนเหล่านี้ มันเป็นรุ่นเก่าที่ล้าสมัยมาก

 

-ทั้งหมดล้วนเป็นปืนยาวโบราณ และแม้กระทั่งกระสุนก็สามารถโหลดได้เพียงทีละหนึ่งเท่านั้น

 

พลปืนยาวเอ่ยถามเสียงเบาๆออกมา “หัวหน้า ท่านจะให้พวกเราทำยังไง ให้จัดการฆ่ามันเลยไหม?”

 

นายทหารอาวุโสกล่าว “ไม่ได้ เจ้าห้ามลงมือเต็มกำลัง ข้าต้องการจับเป็นมัน”

 

อีกหนึ่งพลปืนเอ่ยออกมาว่า “จับเป็น?  แต่ด้วยการยิงจากอาวุธปืนของพวกเรา มันยากมากเลยนะที่จะสามารถปล่อยให้ศัตรูมีชีวิตรอดต่อไปได้”

 

นายทหารอาวุโสอธิบายอย่างอดทน “เอาล่ะๆ ที่ข้าสั่งแบบนั้นไป ก็เป็นเพราะว่าต้องการที่จะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับประตูมิตินี้กันแน่ – เพราะในช่วงเวลาแห่งการสู้รบขั้นแตกหักกับโลกของพวกเราเช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่รากษสจะส่งผู้ใดเข้ามา”

 

นี่มันเป็นเรื่องที่แปลกอย่างแท้จริง และจะต้องได้รับคำอธิบาย

 

“รับทราบ” เหล่าพลปืนยาวเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน

 

พวกเขาชักไกปืนเสียงดังแกร๊ก และเตรียมพร้อมสำหรับการยิงครั้งสุดท้าย

 

กู่ฉิงซานมองไปยังศัตรูที่ยืนเฝ้าอยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูแสง

 

บัดนี้ เขาตกตะลึงไปแล้วโดยสมบูรณ์

 

ไม่คาดคิดเลยว่า กำลังรบของจิ้งจอกขาวจะถูกโค่นลง พ่ายแพ้ไปเสียแล้ว!

 

ทั้งๆที่ความแข็งแกร่งของจิ้งจอกขาวเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตลมปราณจิต เป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่กู่ฉิงซานเคยเห็นมา

 

แต่จิ้งจอกขาวก็ถูกกลืนกินไปแล้วโดยใบหน้าของหญิงสาว

 

แถมกองกำลังแห่งรากษสของจิ้งจอกขาว .. ก็ดันมาถูกโค่นลงซะอีกโดยกลุ่มทหารที่ใช้อาวุธปืนโบราณ!

 

ฉากโลกใหม่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้ … ได้เปลี่ยนมุมมองของกู่ฉิงซานไปโดยสิ้นเชิง

 

“มีโลกนับล้านล้าน อยู่ในโลกทั้ง 900 ล้านชั้น … ”

 

กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ ปากอ้าถอนหายใจ

 

ภาพตรงหน้านี้ทำให้เขาสามารถตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

 

นับจากนี้ไป เขาจะไม่ตัดสินทุกสิ่งอย่างด้วยความคิดและทัศนคติตามธรรมชาติของตนเองอีกเด็ดขาด

 

สามัญสำนึกเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นเลย สำหรับการเผชิญกับการดำรงอยู่ของโลกนับไม่ถ้วน และอารยธรรมอันแปลกประหลาดไร้ที่สิ้นสุด

 

ณ ตอนนี้ โลกของจิ้งจอกขาวได้ถูกกวาดล้างลงแล้วโดยกลุ่มทหารที่ถืออาวุธปืนยาวโบราณ

 

-เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ข้าทนพยายามมากมายกระทั่งคว้าชัยชนะมาไว้ในกำมือ มันจะไปมีความหมายอะไร?

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจอีกครั้ง

 

“เจ้าได้ช่วยให้ข้าได้รับบางสิ่ง ดังนั้นข้าจึงช่วยให้เจ้าหลีกเลี่ยงวิกฤติที่อันตรายถึงชีวิตเป็นการตอบแทน” เสียงใบหน้าหญิงสาวดังขึ้น “หวังว่าการแลกเปลี่ยนนี้ จะทำให้เจ้าพอใจ”

 

“เป็นที่พอใจ ข้าพึงใจเป็นอย่างยิ่ง ขอบพระคุณท่าน” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างจริงใจ

 

“นี่มันเป็นการแลกเปลี่ยน ฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ”

 

ใบหน้าหญิงสาวกล่าว

 

“การแก้แค้นบรรลุผลแล้ว และความปรารถนาของข้าก็สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน นับจากนี้ไป ข้าจะกลายเป็นมารที่แท้จริง” บนใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความเสียใจ

 

“มารกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายมิอาจอยู่ร่วมกันได้ นับจากนี้ไปในอนาคต หน้าที่ของข้าคือ การทำลายล้างโลกอีกนับไม่ถ้วน”

 

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว สมองขบคิดก่อนจะกล่าว “แต่ข้าสัมผัสได้ว่าหัวใจของท่านยังมิได้มืดบอด แล้วหากเป็นในกรณีนี้ การที่ท่านเปลี่ยนเป็นมาร มันจะแตกต่างกันอย่างไรกับในยามที่เป็นมนุษย์?”

 

ใบหน้าหญิงสาวมองเขาอย่างคาดไม่ถึง มิอาจเอ่ยกล่าวอะไรออกมาได้อยู่ครู่หนึ่ง

 

คล้ายกับว่าเธอกำลังทำความเข้าใจถึงทัศนคติที่แท้จริงของอีกฝ่าย

 

ไม่เคยคาดคิดเลย ว่ารุ่นเยาว์ในโลกกระจัดกระจาย จะสามารถเอ่ยคำเช่นนี้ออกมาได้

 

ผ่านไปนาน ใบหน้าหญิงสาวก็เอ่ยออกมา “เฉียนซานเย่ได้ผลักข้าลงสู่เส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ ดังนั้นข้าจึงมิอาจย้อนกลับไปได้”

 

เธอดูเหมือนว่าจะตกลงไปในห้วงความทรงจำ

 

“ในอดีตที่ผ่านมา ข้าได้ปิดซ่อนความจริงเกี่ยวกับตัวข้า มิบอกมันแก่เขา แต่นั่นก็เพื่อเป็นการปกป้องตัวเขาเอง”

 

“ปกป้องเขาอย่างนั้นหรือ?”

 

“ใช่ เพราะเขาก็มีปัญหาเดียวกันกับคนทั่วๆไปในโลกใบนี้”

 

“ปัญหาเดียวกันกับคนทั่วๆไป?”

 

“นั่นคือความแข็งแกร่งของตนมิสอดคล้องกับความทะเยอะทะยานที่มี และปฏิบัติตนอย่างโหดร้ายต่อโลกอื่นๆ”

 

“ด้วยสองสิ่งนี้  หากได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวของหมื่นโลกา ตัวเขาก็จักถูกทำลายล้างลงอย่างง่ายดาย”

 

“เดิมทีแล้วข้าต้องการรอจนกว่าเด็กจะเกิดมา แล้วจึงค่อยบอกเขา … ”

 

ใบหน้าหญิงสาวเผยถึงความโศกเศร้า

 

“มันไม่คุ้มค่าหรอกที่จะไปมัวคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต” กู่ฉิงซานแนะนำ “ผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหา ได้ใช้ชีวิตภายใต้อารยธรรมเช่นนี้ตลอดมา ดังนั้น มันไม่คุ้มค่าหรอกกับการที่ท่านจะต้องมาโศกเศร้าเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

ใบหน้าหญิงสาวกลับคืนสู่ความสงบ ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “นั่นสินะ เรื่องมันผ่านพ้นไปแล้ว และเหล่าผู้ที่มีส่วมร่วมในการทำร้ายข้าก็ไม่มีผู้ใดหลุดรอดจากเงื้อมมือไปได้”

 

เธอมองมายังกู่ฉิงซาน และค่อยๆเผยอปากออก

 

ตามด้วยกองม้วนคัมภีร์จำนวนมาก ลอยออกมาจากปากของเธอ และตกลงเหนือศีรษะของกู่ฉิงซาน

 

“ม้วนคัมภีร์เหล่านี้เป็นเคล็ดวิชาที่ข้าเคยได้ใช้มันในครั้งอดีต”

 

“พวกมันจะนำพาเจ้าไปหาคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีพระคุณกับข้า”

 

“เจ้าจงมอบดอกไม้ให้คนๆนั้นเพื่อข้า นี่คือความปรารถนาสุดท้ายของข้าในฐานะมนุษย์ และยังเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้าอีกด้วย” ใบหน้าหญิงสาวกล่าว

 

“ไม่มีปัญหา” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

แล้วเขาก็เอ่ยถาม “แต่ข้ายังต้องการจะทราบล่วงหน้าว่าจักต้องผ่านไปอีกกี่โลกกัน และต้องใช้เวลายาวนานเพียงใด จึงจะได้พบกับคนที่ท่านพูดถึง”

 

“ข้ามผ่านไปอีกกี่โลกอย่างนั้นหรือ?” ใบหน้าหญิงสาวเผยท่าทีแปลกๆออกมา

 

เธอนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้สติกลับคืน

 

ราวกับได้ยินถึงเรื่องตลกไร้สาระ เธอระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่นออกมา

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคิดจริงๆน่ะหรือว่าการข้ามผ่านโลกในแต่ละชั้น มันจะต้องข้ามผ่านไปทีละโลกน่ะ?”

 

“ก็แล้วมันมิใช่หรือ?”

 

“โดยผิวเผินแล้วโลกนั้นมีอยู่ราวๆ 900 ล้านชั้น อย่างไรก็ตาม ภายในแต่ละชั้นอาจประกอบด้วยโลกอีกนับล้านๆใบ ไม่ต้องกล่าวถึงเจ้า ต่อให้เป็นข้าเองก็ไม่อาจเดินทางข้ามผ่านโลกทั้งหมดทีละใบได้!”

 

“ … เช่นนั้นแล้ว หมายความว่าจิ้งจอกขาวโป้ปดข้าใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความสับสน

 

“เขาไม่ได้โป้ปดเจ้าหรอก แต่เขาเป็นแค่โลกบ้านนอกที่อยู่ในชั้นกลางต่างหาก ดังนั้นแม้จะพอมีความรู้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ครบถ้วนทั้งหมด”

 

“ถ้าอย่างนั้น … ” กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยถาม

 

แต่ใบหน้าหญิงสาวขัดจังหวะเขาเสียก่อน และเอ่ยโดยตรง “ออกไปทำตามความปรารถนาของข้า แล้วจงดูมันด้วยตาของตัวเอง”

 

“ดูอะไร?”

 

“ก็ดูให้เห็นกับตา ถึงความจริงของโลกอย่างไรเล่า”

 

จากบรรดากองม้วนคัมภีร์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของกู่ฉิงซาน หนึ่งในนั้นได้คลี่ออกทันใด

 

พร้อมกับม่านแสงแพรวพราวที่สาดปกคลุมลงบนร่างของกู่ฉิงซาน

 

และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ที่ในมือของเขา ปรากฏดอกไม้โปร่งใสทอประกายระยับขึ้น

 

หญิงสาวจ้องมองไปที่ดอกไม้ในมือของเขา สีหน้าท่าทีของเธอกลายเป็นอ่อนโยน

 

“จงนำดอกไม้นี้ไปมอบให้ในสถานที่ซึ่งมี‘ขาเป๋แบรี่’อยู่ ข้าหวังว่าเขาจะยังคงสบายดี”

 

ใบหน้าหญิงสาวเปล่งประโยคนี้ออกมาอย่างอ่อนโยน

 

เธอสังหารผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในโลกล่องเวหา แต่การแสดงออกในช่วงเวลานี้ มันราวกับเธอกำลังประหม่าและเหนียมอาย

 

ช่วงเวลานี้ เธอดูราวกับจะย้อนคืนสู่อดีต กลับไปในช่วงเวลาที่เคยเป็นเด็กสาวอีกครั้ง

 

“แน่นอน ข้าจะมอบมันให้แก่เขา รวมไปถึงคำอวยพรของท่านด้วย”

 

กู่ฉิงซานที่ได้รับดอกไม้โปร่งใส เปล่งวาจามั่นอย่างจริงจัง

 

อีกฝ่ายได้ช่วยเหลือตนเองเอาไว้ ขณะที่ตนเองช่วยเหลืออีกฝ่าย นี่นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมแล้ว

 

ใบหน้าหญิงสาวเมื่อเห็นถึงทัศนคติที่แสดงออกมาของเขา เธอก็พยักหน้า

 

ม่านแสงที่ปกคลุมกู่ฉิงซานได้ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว

 

ทันใดนั้น กู่ฉิงซานก็หายวับไปจากในความว่างเปล่า

 

ใบหน้าหญิงสาวเฝ้ามองฉากนี้อย่างเงียบๆ

 

จนกระทั่งกู่ฉิงซานหายลับไปโดยสมบูรณ์ เธอจึงค่อยๆลดระดับลง

 

และย่ำลงบนร่างของมารโลกา

 

“แม่จ๋า … ท้องข้าร้อง … ”

 

มารโลกาเปล่งเสียงยาวเหยียดในแต่ละคำออกมา

 

บนใบหน้าของหญิงสาว ได้เผยให้เห็นถึงร่องรอยของความอบอุ่นออกมา

 

“เจ้าหิวหรือ?”

 

“ใช่ หิว หิวจัง … ”

 

“มันจบแล้วล่ะ หลังจากนี้แม่จะพาเจ้าไปยังโลกถัดไป แล้วทีนี้เจ้าก็สามารถกิน กินได้เลยจนกว่าท้องที่ร้องของเจ้าจะพอใจ”

 

“ยอด .. ยอดไปเลย … ”

 

เสียงของมารโลกา ฟังดูค่อนข้างเผยถึงความสุขเล็กน้อย

 

…..

 

อำนาจอันอ่อนโยน ได้ผลักดันกู่ฉิงซานบินไปอย่างรวดเร็ว

 

เขาอยู่ท่ามกลางกระแสมิติ และข้ามผ่านพื้นที่มิติอันหลากมามากมายเท่าใดแล้วก็มิอาจนับได้

 

บางครั้ง ก็จะเกิดความรู้สึกคล้ายดั่งการทะลุชั้นกระจกบางๆไป

 

นี่อาจหมายถึงการข้ามผ่านโลกลำดับชั้นใช่หรือไม่?

 

กู่ฉิงซานขบคิดในจิตใจ

 

ฉะนั้น ด้วยระยะทางเช่นนี้ มันคงไกลเกินกว่าตำแหน่งของร่างใหญ่ที่อยู่มายาวนานกว่า 100000 ปีไปมากโขแล้วสินะ

 

“อำนาจนี่ … มันน่าเหลือเชื่อมากจริงๆ ”

 

เขาถอนหายใจ

 

ท่ามกลางมิติ ทิวทัศน์มากมายได้แวบผ่านดวงตาของเขาไป

 

ทุกๆประเภทของความแปลกประหลาด และสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ปรากฏขึ้นและหายไปในกระแสมิติอันเชี่ยวกราด

 

ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่เปล่งประกายระยับ มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ที่กำลังถือคันศรในมือแล้วยิงมันเข้าหาอากาศที่ว่างเปล่า

 

และแม้จะไม่มีสิ่งใดอยู่ในความว่างเปล่านั้น แต่ทว่าก็บังเกิดเสียงกรีดร้องอันน่าหวาดกลัวดังออกมา

 

เมื่อบินผ่านพ้นพื้นที่มิตินี้ไป กู่ฉิงซานก็เห็นถึงฝูงดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอยู่ใต้สองฝ่าเท้าของเขา

 

ฝูงดอกไม้กำลังเต้นรำอย่างมีความสุขอยู่รอบกะโหลกใหญ่

 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นพิธีกรรมบางอย่าง

 

แล้วภาพก็ผ่านวาบบบบ! ไปอย่างรวดเร็ว

 

แต่ในตอนนั้นเอง หลังจากผ่านพ้นไปช่วงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็ดันกระแทกเข้ากับบางส่วนที่อ่อนนุ่มจนใบหน้าของเขาจมลึกลงไป และกระเด็นออกมา

 

“กรี๊ดดดดด!”

 

ตามด้วยเสียงหวีดร้องแหลมของหญิงสาว

 

“ไอ้สารเลว! ไร้ยางอาย!”

 

แต่ด้วยอำนาจที่ห่อหุ้มรอบกายเขา ส่งผลให้กู่ฉิงซานเบนทิศทางกลับ และสามารถออกจากที่นั่นได้อย่างรวดเร็ว

 

จากนั้น ความเร็วในการบินของกู่ฉิงซานก็เริ่มทวีมากยิ่งขึ้น

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวของเขา

 

โลกนับล้านล้านใบ นั่นหมายถึงอารยธรรมนับล้านล้าน แล้วใครมันจะไปบอกได้กันว่าเมื่อครู่นี้เขาพึ่งไปชนเข้ากับอะไร?

 

เขายังคงบินไปยังทิศทางหนึ่งอย่างต่อเนื่อง

 

ในขณะเดียวนั้นเอง สายตาของเขาก็เบนไปเห็นร่างของจักรพรรดินีมารสวรรค์ ที่ครั้งหนึ่งตนเคยได้ร่วมมือกันสังหารศัตรู

 

-เด็กสาวในชุดดำ ที่ครอบครองความงดงามชนิดล่มประเทศ

 

เด็กสาวถูกห้อมล้อมไปด้วยมารสวรรค์ชั้นผู้น้อย

 

พวกเธอต่างร่วมกันร่ำร้องเพลงอย่างอ่อนช้อยและกำลังโบยบินเข้าไปยังพื้นที่มิติที่เต็มไปด้วยแสงจรัส เปล่งประกายงดงามสดใส

 

เด็กสาวในชุดดำกำลังขับร้อง ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆในหัวใจก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง

 

เธอเชิดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว จ้องมองไปยังมิติที่ว่างเปล่าในทิศทางที่ว่านั่น

 

แล้วสายตาของเธอก็ประสานเข้ากับกู่ฉิงซาน

 

“เป็นเจ้า!”

 

เด็กสาวในชุดดำเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

แต่กู่ฉิงซานดูเหมือนจะไม่มีเวลามากพอที่จะกล่าวทักทาย

 

เขาคล้ายกับเป็นเพียงภาพติดตา ตัดผ่านเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า และบินลึกห่างเข้าไปยังช่วงปลายมิติอันห่างไกล

 

‘ว่องไวยิ่งนัก!’

 

ด้วยความว่องไวระดับนี้ ต่อให้ตัวเธอเองทุ่มออกอย่างเต็มกำลัง หรือแม้กระทั่งเปิดใช้งานเทคนิคลับ ก็คงไม่สามารถไล่ตามจับได้อยู่ดี

 

อีกฝ่ายจะต้องครอบครองบางสิ่งที่วิเศษเป็นอย่างยิ่งเอาไว้แน่ๆ

 

เด็กสาวชุดดำตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเร่งตะโกนไล่หลังเขาไป

 

“เจ้ายังติดหนี้เรื่องโลกใหม่กับข้าอยู่นะ!”

 

ขณะที่ไกลออกไป มีเสียงตอบลอยกลับมา “เรื่องนั้นเอาไว้ข้าจะกลับมาหาเจ้าในภายหลัง”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.476 – เธอปรากฏตัว

 

อินทรีย์ได้ใช้เล็บอันแหลมคมของมันโฉบเข้าใส่ใบไม้ที่ลอยอยู่เหนือกระแสลม

 

ใบไม้จากหนึ่งแยกเป็นสอง มันสั่นไหวเล็กน้อยในอากาศ ก่อนจะแปรสภาพกลับคืน กลายเป็นร่างศพสองท่อน

 

ท่ามกลางหมอกเลือด พลังวิญญาณมหาศาลได้พรั่งพรูออกมา

 

ซึ่งนี่บ่งบอกได้ว่า ในวินาทีสุดท้าย ร่างศพนี้แต่เดิมกำลังคิดจะใช้ออกด้วยเทคนิคบางอย่างอย่างชัดเจน

 

และความผันผวนทางพลังวิญญาณที่พุ่งพรวดขึ้นเช่นนี้ ย่อมมิอาจรอดพ้นจมูกของหนังมนุษย์ไปได้อย่างแน่นอน

 

สองหนังมนุษย์ถลาเข้ามา กระโจนเข้าโอบกอดบนร่างศพ

 

และศพก็หายไปอย่างรวดเร็ว มิอาจมองเห็นได้อีกเลย

 

อินทรีย์สยายปีกของมันโดยไม่คิดหันหลังกลับไปมองฉากดังกล่าว พยายามมุ่งตรงไปยังทิศทางที่ไม่มีหนังมนุษย์ลอยอยู่

 

แต่ก็ใช้เวลาบินไปได้แค่ไม่นาน

 

จิ้งจอกขาวก็ปรากฏตัวขึ้น

 

มันยืนอยู่เบื้องหน้านกอินทรี ราวกับว่ากำลังเฝ้ารออีกฝ่ายอยู่

 

เวลานี้ ในมือของจิ้งจอกขาวกำลังถือไม้ยาวที่ถูกคลุมไว้ด้วยชั้นผ้าสีดำ

 

บนชั้นผ้าดำ ปรากฏตัวอักษรยันต์อันไร้ที่สิ้นสุดสาดแสงวิบวับอยู่ตลอดเวลา ยามมองไปที่มัน จะให้ความรู้สึกถึงแรงกดดันที่มิอาจอธิบายได้

 

จิ้งจอกขาวโบกไม้ยาว วาดวนเป็นวงรอบกายมัน

 

ปรากฏชั้นแสงโปร่งใสครอบคลุมตัวมันกับอินทรีย์

 

ด้วยชั้นแสงนี้ หนังมนุษย์โดยรอบจะมิอาจมองเห็น และละความสนใจจากพวกเขาไปโดยสมบูรณ์

 

จิ้งจอกขาววางไม้ยาวพาดบนไหล่ของมันและกล่าวกับอินทรีย์ว่า “เจ้าทำได้ดีมาก ขอแสดงความยินดีด้วย เจ้ากลายเป็นผู้มีคุณสมบัติเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้เป็นรากษสแล้ว”

 

อินทรีย์หันไปมองรอบๆ มิเอ่ยปากตอบอะไรกลับไป

 

มองไปยังโลกทั้งใบ บัดนี้ นอกเหนือไปจากอินทรีย์กับจิ้งจอกขาวแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่อีกเลย

 

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดถูกสูบกินโดยหนังมนุษย์จนเกลี้ยง

 

ขณะที่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่างร่วงหล่นลงไปพร้อมกับเกาะลอยฟ้า จมหายเข้าไปในร่างของมารโลกา

 

ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว

 

บนท้องฟ้า กระบวนการพังทลายของชั้นอากาศเริ่มทวีความเร็วขึ้น

 

โลกทั้งใบ … เกิดการหดตัวบีบอัดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

 

ฮูมมมม!

 

พร้อมด้วยเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนโลกหล้า จู่ๆร่างหลักของมารโลกาก็กางแยกออกทันที

 

และท้องฟ้าก็พังทลายลง หายเข้าไปในรอยแยกของมารโลกาโดยสมบูรณ์

 

ไร้ซึ่งมิติให้ต้องหดตัวอีกต่อไป

 

ทุกสิ่งอย่างรอบกายดับสูญลง

 

ตลอดทั้งฉาก หลงเหลือเพียงความมืดมิดและสายลมของปฐมบทแห่งความโกลาหลที่พัดโชยเข้ามาแทนที่เท่านั้น

 

จิ้งจอกขาวเฝ้าดูฉากตรงหน้า และหันไปกล่าวกับอินทรีย์ว่า “อสูรกายตนนี้ช่างทรงพลังจริงๆ มันได้ทำลายโลกใบนี้ลงไปแล้ว”

 

ใช่แล้วล่ะ โลกใบนี้น่ะ มันไม่มีอยู่อีกต่อไป

 

แม้มารโลกาจะยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ทว่าโลกล่องเวหา บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นเพียงมิติที่ว่างเปล่าเท่านั้น

 

โลกล่องเวหา … ได้กลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว

 

มันได้สาบสูญไปตลอดกาล

 

หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ มันได้ถูกกลืนกินจนสิ้นโดยมารโลกา

 

“พวกเราจะไปกันได้หรือยัง?” เสียงนี้เปล่งออกมาจากปากของอินทรีย์

 

มันคือเสียงของกู่ฉิงซาน

 

“ยังไม่ได้หรอก เพราะมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น– ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว พื้นที่มิติแห่งนี้ถูกระงับการเคลื่อนย้ายเอาไว้” จิ้งจอกขาวเอ่ยตอบเขา

 

สองตาเรียวแหลมของมันหรี่แคบลง พร้อมด้วยบรรยากาศอันตรายที่คุกรุ่นออกมาจากร่างของมัน

 

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เจ้ากล่าวจริงๆ มีมนุษย์หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังความลับอันมืดมิดนี้” จิ้งจอกขาวกล่าวต่อ

 

“ไม่มีวิธีที่จะฝืนหลบลี้ออกไปได้เลยหรือ?” อินทรีย์กล่าวเสียงหม่น

 

“การเคลื่อนย้ายมิติ สิ่งที่อันตรายมากที่สุดก็คือการถูกรบกวน แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะข้าจะสังหารเจ้ามนุษย์ตัวปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังทันที” จิ้งจอกขาวกล่าวต่อ

 

อินทรีย์พอได้ยิน ก็แปลงกายกลับมาเป็นกู่ฉิงซานที่ยืนอยู่บนอากาศที่ว่างเปล่า

 

กู่ฉิงซานชักดาบออกมา และกุมมันไว้แน่น

 

จิ้งจอกขาวสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขา มันหัวเราะออกมา “เจ้ากลัวหรือ? ไม่ต้องกังวลไปหรอก ต่อให้มีสองมารโลกามาอยู่ที่นี่ มันก็มิอาจต่อกรกับอาวุธในมือของข้าได้อยู่ดี”

 

พอได้ฟัง แม้จิตใจจะยังไม่สงบ แต่ท่าทีของกู่ฉิงซานก็คลายลง ขณะที่ในสมองขบคิด

 

‘จิ้งจอกขาว …’

 

กระทั่งตัวตนจากในโลกชั้นกลางอย่างอีกฝ่าย ก็ยังพึ่งจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของโลกใบนี้ ในช่วงหลังจากที่กู่ฉิงซานบอกความลับที่ว่าผ่านใบหยกให้แก่อีกฝ่าย

 

อย่างไรก็ตาม แม้จิ้งจอกขาวจะล่วงรู้เรื่องราวทุกอย่าง และตระเตรียมอาวุธมาแล้วก็ตาม แต่อันที่จริงดูเหมือนว่ามันจะไม่หวาดกลัวมารโลกาเลยซะด้วยซ้ำ …

 

ขณะที่กู่ฉิงซาน เขามักจะคิดอยู่เสมอว่าหากเป็นตัวเอง ไม่ว่าจะมั่นใจเพียงใดก็ไม่สมควรที่จะดึงดันเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่รู้จักเช่นนี้

 

แต่พอคิดดูอีกครั้ง จิ้งจอกขาวมันกล้าเอ่ยปากออกมาเองว่าตัวมันสามารถจัดการกับมารโลกาถึงสองตนได้

 

มารโลกาสองตน!

 

นึกดูสิมารโลกาสองตนจะทรงพลังเพียงใดกัน!

 

ฉะนั้นแล้ว หากอ้างอิงจากคำกล่าวของจิ้งจอกขาว การที่มันจะมั่นใจในตนเองก็สมควรจะเป็นเรื่องปกติ .. ล่ะมั้ง?

 

ขณะขบคิด กู่ฉิงซานก็พบว่าจิ้งจอกขาวได้ยกศีรษะขึ้นทันใด

 

กู่ฉิงซานมองตามขึ้นไปยังเบื้องบนทันที

 

ท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า เหนือร่างหลักของมารโลกา บังเกิดการก่อร่างของบางสิ่งที่มหึมาปรากฏขึ้น

 

มาแล้วสินะ!

 

กู่ฉิงซานลอบกล่าวในใจ

 

เขาจ้องมองดูพฤติกรรมของบางสิ่งที่มหึมา อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

—นี่คือการดำรงอยู่อันแสนพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นจากเส้นเลือดและมัดกล้ามเนื้อมากมายนับไม่ถ้วน

 

มันค่อยๆลดระดับลง มาหยุดอยู่ใกล้กับทั้งสอง

 

ขณะที่เบื้องล่างของกู่ฉิงซานและจิ้งจอกขาว ก็เริ่มปรากฏเงาดำๆผุดขึ้นมาจากมารโลกา

 

เงาเหล่านี้ลอยตัวขึ้น และทยอยกันผลุบหายเข้าไปในเส้นเลือดและมัดกล้ามเนื้อขนาดมหึมาโดยตรง

 

หากใช้จิตสัมผัสเทวะอย่างเต็มกำลังในการจับสังเกตมัน จะค้นพบว่าเงาเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นเงาจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ

 

แต่ละเงาต่างกรีดร้องโหยหวน ตะโกนร่ำอย่างน่าสมเพช ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะตระหนักดีถึงโชคชะตาของตนเอง

 

เมื่อได้รับจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นมา เส้นเลือดและมัดกล้ามขนาดมหึมาที่ม้วนติดกันเป็นเกลียวก็เริ่มกระตุกอย่างบ้าคลั่ง

 

มันถอนหายใจยาวออกมา

 

“เด็กดี เจ้าทำได้ดีมากเลย”

 

ด้วยเสียงนี้ เส้นเลือดและมัดกล้ามขนาดมหึมาก็แปรสภาพเป็นใบหน้ามนุษย์ขนาดใหญ่

 

มันเป็นใบหน้าของผู้หญิงที่งดงาม

 

ผู้หญิงคนนั้นเปิดปากของเธอ

 

และปากๆนั้นก็อ้าออก มันขยายยาว กว้างออกไปถึง 180 องศา

 

เงาทั้งหมดถูกรวบเข้าด้วยกันเป็นเสาแสงสีดำ  และเริ่มถูกสูบกินเข้าไปในปากของเธอ

 

กระบวนการกลืนกินยิ่งมา ยิ่งทวีความรวดเร็วขึ้น

 

ใบหน้าหญิงสาวกำลังดูดกลืนจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธอย่างบ้าคลั่ง

 

ด้วยความเร็วนี้ มันรวดเร็วดยิ่งกว่าก่อนหน้าหลายสิบเท่า!

 

จิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ นับตั้งแต่ช่วงพันกว่าปีก่อน กำลังถูกสูบกินโดยใบหน้าของหญิงสาว

 

จิ้งจอกขาวพยักหน้าเล็กน้อย “นั่นคือกับดักที่เจ้าพูดถึงสินะ?”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าเพียงอนุมานถึงการดำรงอยู่ของมัน แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันคือสิ่งใด”

 

“นี่คือหนึ่งในประเภทของการเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกาย ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับมนุษย์ที่ทรงอำนาจจนสามารถกระทำเช่นนี้ได้ในโลกกระจัดกระจาย”

 

สีหน้าการแสดงออกของจิ้งจอกขาวเริ่มกลายเป็นหนักอึ้ง

 

“เปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายคือสิ่งใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที

 

นี่เป็นครั้งแรกเลย ที่เขาได้รับข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของอสูรกายที่แท้จริง

 

จิ้งจอกขาวอธิบาย “การเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายนั้น เกิดจากการสละร่างศพของเทพบรรพกาลให้อสูรกายเข้ายึดครอง และแปลงตนให้กลายเป็นมารที่พิเศษยิ่งกว่า – สำหรับโลกของข้าแล้ว มันนับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจทีเดียว

 

“แถมเจ้าเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายตนนี้ ยังได้สูบกินจิตวิญญาณทั้งหมดที่มารโลกาเก็บสะสมเอาไว้ตลอดทั้งพันกว่าปี ดังนั้นมันจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมากแน่ๆ”

 

“แล้วท่านสามารถจัดการกับมันได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เจ้าวางใจเถอะ โชคยังดีที่ขีดจำกัดของข้ายังสามารถจัดการกับมันได้”

 

จิ้งจอกขาวตบลงบนไม้ยาวที่คลุมผ้าดำบนไหล่ของมัน กล่าวอย่างยินดี “หลังจากที่เจ้าเตือนข้า ข้าก็ได้ทำการเรียกสิ่งประดิษฐ์เทวะที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในการรับมือกับการเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายมาแล้ว”

 

ขณะกล่าว เห็นแค่เพียงใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวที่เหลือบสายตามองมา

 

เธอสังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหวที่ตำแหน่งนี้

 

จิ้งจอกขาวยกไม้ยาวมาไว้เบื้องหน้าด้วยสองมือ

 

“มารร้าย! จงปลดการกักมิติของเจ้าเสีย หรือต้องการที่จะให้ข้าสังหารเจ้าทันที?” จิ้งจอกขาวกล่าว

 

ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวมองไปยังไม้ยาวในมือจิ้งจอกขาว ก่อนที่ท่าทีการแสดงออกทางสีหน้าของเธอจะเปลี่ยนแปลงไป

 

มันหยุดกลืนกิน และจ้องมองต่อมาที่กู่ฉิงซาน

 

“เจ้า”

 

เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

 

ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้พูดมานานมากเกินไป ดังนั้นในทุกๆการเปล่งเสียงจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า “เป็นเจ้าใช่หรือไม่ ที่สังหารเฉียนซานเย่?”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย

 

เห็นแค่เพียงในดวงตากลมโต กำลังฉายแววแห่งความคาดหวังเป็นพิเศษ

 

เธอกำลังเฝ้ารอคอยคำตอบ

 

กู่ฉิงซานใช้สมองไตร่ตรอง แล้วเขาก็เริ่มที่จะเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน

 

กู่ฉิงซานยอมรับอย่างง่ายดาย “ถูกต้อง เป็นข้าเองที่สังหารเขา”

 

ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวแลดูคลายลง การแสดงออกถึงความโกรธแค้นเกลียดชังถูกปัดเป่าออกไป

 

ราวกับว่าเธอได้รับการปลอบประโลมลง

 

“เจ้าทำได้ดีมาก” ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวกล่าว

 

เสียงของเธอที่เปล่งออกมาบัดนี้คมชัดมากขึ้น “เจ้าสารเลวเฉียนซานเย่ ในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ มันได้เรียนรู้วิชาแยกวิญญาณไปจากข้า”

 

“หลังจากที่ข้าตายไป เขาก็หวาดกลัว จึงทำการแยกวิญญาณตนเองและซ่อนมันเอาไว้เป็นพันๆปี ดังนั้นข้าจึงไม่เคยได้ค้นพบถึงร่องรอยของเขาเลย”

 

“แต่ในเวลานี้ ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ!”

 

พร้อมกับคำกล่าวนี้ของใบหน้ายักษ์หญิงสาว ก็เห็นแค่เพียงผลไม้สีแดงเลือดผลหนึ่ง ผุดขึ้นมาจากพฤษามารโลกา

 

ผลไม้นั้นร่วงตกลงจากกิ่งก้าน และลอยมายังทิศทางใบหน้ายักษ์ของหญิงสาว

 

ยามเมื่อผลไม้มาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว เปลือกของมันก็ถูกลอกออกโดยพลัน

 

และปรากฏร่างเงาดำอันเลือนรางขึ้นแทน

 

ทันทีทีร่างเงาดำนั้นเป็นอิสระ มันก็เตรียมจะพุ่งหลบหนีออกไปทันที

 

อย่างไรก็ตาม ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวกลับแลบลิ้นยาวออกมา แล้วชิงตัดหน้า ฉกรัดลงใบร่างเงาที่ว่านั่นเสียก่อน

 

เมื่อร่างเงาถูกฉกรัด แม้มันจะยังดิ้นรนขัดขืนได้ ทว่ากลับมิอาจเคลื่อนกายไปไหนได้เลย

 

ในเวลานี้เอง กู่ฉิงซานจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างเงาสีดำที่ว่า แท้จริงแล้วก็คือเฉียนซานเย่นั่นเอง

 

ลิ้นยาวพันธนาการจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ และค่อยๆชักลิ้นกลับให้ร่างเงามาหยุดตรงดวงตาของหญิงสาว

 

“เฉียนซานเย่”

 

หญิงสาวมองมาที่เขา ปากถอนหายใจบรรเทาความโกรธ

 

“เสี่ยวถาย (ถายน้อย) เจ้าฟังข้าก่อนสิ ข้าถูกพวกมันบังคับนะ! พวกมันควบคุมข้าและบังคับให้ข้าทำร้ายเจ้า!” เฉียนซานเย่ร้องเสียงหลงออกมา

 

ตัวตนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยุคสมัย บัดนี้กลับหวาดกลัวและร่ำร้องราวกับเด็ก

 

แต่ที่แสดงออกเช่นนี้ บางทีอาจเป็นเพราะเขาตระหนักดีว่าอีกฝ่ายน่าหวาดกลัวเพียงใดก็ได้

 

หญิงสาวรับฟังอย่างเงียบๆ พร้อมกับรอยยิ้มประชดประชันบนใบหน้าของเธอ

 

“เพื่อป้องกันมิให้เจ้าลวงหลอกข้าอีกหน ข้าจึงกลืนกินจิตวิญญาณทั้งหมดในโลกใบนี้ และทำการค้นความทรงจำของทุกคนจนสิ้นแล้ว ดังนั้น เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจะไม่รู้ถึงเรื่องราวที่แท้จริง?” เธอกล่าว

 

“เสี่ยวถาย อภัยให้ข้าด้วย ข้าก็เพียงแค่มัวเมาไปกับความแข็งแกร่งเท่านั้นเอง!”

 

เฉียนซานเย่ตะโกนอย่างกระวนกระวาย

 

ขณะที่ใบหน้าของหญิงสาวยังคงนิ่งงัน

 

“เจ้าไม่เพียงสังหารข้า แต่ยังสังหารเด็กที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาอีกด้วย ตอนนี้เจ้ายังจะขอให้ข้าให้อภัยเจ้าอีกหรือ?” เธอกล่าวอย่างช้าๆ

 

“เฉียนซานเย่ ตอนนี้ข้าจับเจ้าได้แล้ว ต่อไป ข้ายังเหลือเวลาอีกนานปี นานจนไร้ที่สิ้นสุดในการที่จะทรมานเจ้าอย่างช้าๆ เพื่อบรรเทาความเกลียดชังในหัวใจของข้า”

 

“เสี่ยวถาย -”

 

เฉียนซานเย่ยังมิทันได้เอ่ยจบ

 

ลิ้นยาวๆก็สั่นไหวอย่างแรง มันม้วนพันจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ และฟุบ! ฉกเขากลืนเข้าไปในปาก

 

จากนั้น ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวก็มองมาทางกู่ฉิงซาน

 

“เจ้าเป็นมนุษย์คนที่สองที่มีพระคุณต่อข้า เจ้าได้ช่วยข้าค้นหาจิตวิญญาณของชายคนนี้เอาไว้” เธอกล่าว

 

“ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป”

 

กู่ฉิงซานที่กำลังตั้งใจฟัง ก็เร่งประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือไปทางเธอทันที “ขอบพระคุณท่าน”

 

“จงไปเถิด ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ” หญิงสาวหลับตาลง

 

กู่ฉิงซานกับจิ้งจอกขาวหันมามองหน้ากัน

 

เมื่อถึงจุดนี้ จิ้งจอกขาวก็รู้สึกได้ถึงการกักมิติที่ถูกปลดออก

 

—หากมิต้องต่อสู้ แต่สามารถจากไปได้โดยตรง นี่ย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

จิ้งจอกขาวพยักหน้าเล็กน้อย และยกหางของมัน ชูไปในอากาศ

 

พร้อมกับประตูแสงที่ปรากฏขึ้น

 

“มาเถอะ มายังโลกชั้นกลางกับข้า ข้าจักพาไปยังโลกที่ข้าอาศัยอยู่” จิ้งจอกขาวกล่าว

 

“ขอรับ” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

ขณะเดียวกัน มุมหางตาของทั้งสองก็เหลือบผ่านไปยังใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวอีกครั้ง

 

เห็นแค่เพียงใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวที่เงียบสงบและหลับตาปิดสนิท

 

ในหัวใจของจิ้งจอกขาวจึงคลายลงเล็กน้อย

 

จิ้งจอกขาวกับกู่ฉิงซานเริ่มที่จะก้าวเท้าเข้าไปในประตูแสง

 

ทว่า … จู่ๆหัวของจิ้งจอกขาวก็หายวับไปทันใด!?

 

เสี้ยวพริบ บังเกิดเงามืดโฉบบินออกจากมัน จากนั้นเงามืดที่ว่าก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว

 

ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวเปิดปากอย่างดุร้าย และกลืนกินเงามืดที่คาดว่าน่าจะเป็นจิตวิญญาณที่กำลังดิ้นรนอยู่ลงไป!

 

ต่อมา ศีรษะและลำตัวของจิ้งจอกขาวที่พึ่งจะแยกจากกัน ก็ลอยตามเข้าไปในปาก และถูกเคี้ยวกลืนโดยเธออีกรอบ

 

“ช่างไร้เดียงสา”

 

หญิงสาวที่พึ่งกินจิ้งจอกขาวไปหัวเราะเบาๆ

 

“เป็นเพียงมดในชั้นกลาง ที่กระทั่งขอบเขตของข้าก็ยังมิอาจหยั่งถึงได้ แต่กล้าที่จะดูหมิ่นข้า!”

 

เธอเปิดตาขึ้น มองไปยังกู่ฉิงซาน

 

“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” หญิงสาวกล่าว

 

“อย่างงั้นหรือ?”

 

กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไป คว้าจับดาบพิภพที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

เขาพร้อมแล้ว … สำหรับการดิ้นรนครั้งสุดท้าย

 

“ไม่จำเป็นต้องกังวลไป”

 

ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวเผยรอยยิ้มแย้มอย่างกระทันหัน

 

สีหน้าของเธอเปิดเผยถึงร่องรอยเล็กๆน้อยๆของความเอ็นดู ปากเอ่ยกล่าว “ในยามที่ข้ายังเป็นมนุษย์ ครั้งหนึ่งเคยมีตัวตนทรงอำนาจผู้หนึ่งได้ช่วยข้าไว้”

 

“แต่จนกระทั่งตอนนี้ ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าก็ได้ถูกเติมเต็มแล้ว ทว่าข้ายังมิได้ตอบแทนความเมตตาของตัวตนทรงอำนาจที่ว่านั่นเลย”

 

“ข้าได้กลายเป็นมารที่แท้จริง และไม่สามารถหวนคืนสู่โลกมนุษย์ได้ต่อไป ดังนั้นโปรดช่วยข้ามอบบางสิ่งบางอย่างให้แก่เขา เพื่อเป็นการตอบแทนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ช่วยข้าเอาไว้ด้วยเถอะ”

 

“ช่วยข้าหน่อยจะได้หรือไม่?”

 

“ได้ ข้าจะช่วยท่าน”

 

หญิงสาวจ้องหน้าของกู่ฉิงซานราวกับจะตรวจสอบถึงความจริงในคำกล่าวของอีกฝ่าย และสุดท้ายใบหน้าของเธอก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

“ข้าล่วงรู้ถึงทุกสิ่งอย่างที่เจ้าทำในโลกใบนี้”

 

“ทัศนคติของเจ้าที่มีต่อทาสนั้นเหมือนกันกับข้า และแม้กระทั่งความเกลียดชังที่มีต่อโลกใบนี้ก็คล้ายคลึงกับข้าเช่นกัน”

 

“ดังนั้น ข้าจะช่วยเจ้าอีกสักครั้งหนึ่ง”

 

ผู้หญิงกล่าว ขณะเดียวกันก็เป่าลมหายใจออกไปยังทิศทางของประตูแสง

 

ภาพฉากในประตูแสงขยายกว้างขึ้นทันใด มันปรากฏสู่สายตาของกู่ฉิงซาน

 

มันคือซากปรักหักพัง

 

ขณะที่หลายสิบทหารติดอาวุธกำลังกดหัวของผู้คนที่เข้าแถวยาวเหยีดลงกับพื้น และตัด!หัวพวกเขาลงทีละคน ทีละคน

 

ทันใดนั้นหนึ่งในทหารก็เอ่ยตะโกนออกมา “หัวหน้า มีช่องว่างมิติถูกเปิดออก”

 

แล้วเสียงของนายทหารอาวุโสก็ดังขึ้นทันใด “จงส่งทีมขนาดเล็กออกไปล้อมรอบประตูมิติ และดักรอให้รากษสปรากฏตัวขึ้น”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.475 – ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ (3)

 

เกาะเกือบทั้งหมดได้ถูกทำลายลงโดยพฤษามารโลกา

 

ฝุ่นผงปลิวว่อนไปทุกที่ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

 

อย่างไรก็ตาม ฝุ่นผงที่ว่า แท้จริงแล้วจากสีเหลืองจางๆในตอนแรก มันกลับค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ

 

เนื่องจากอากาศที่ว่างเปล่าช่วงบนกำลังถูกกดทับลงมา

 

ฝุ่นผงทั้งหมดจึงถูกบีบอัดเข้าด้วยกัน

 

เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้าสูง เกาะลอยฟ้าสาดชั้นแสงสวรรค์ออกมา กระจายไปในอากาศ

 

นั่นน่าจะบ่งบอกว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับค่ายกลลอยล่อง

 

โดยทั่วไปแล้ว ค่ายกลจะถูกตั้งค่าเอาไว้ว่าจะต้องเริ่มถูกใช้งานนะ ถ้าความสูงลดระดับลง และจะต้องขึ้นไปจนถึงความสูงในระดับนี้นะ จึงจะต้องหยุด

 

ดังนั้น เมื่อตัวเกาะถูกบังคับให้ลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลลอยล่องจึงเริ่มทำงานทันที

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการล่มสลายลงของมิติ ส่งผลให้แม้ตัวค่ายกลจะทรงประสิทธิภาพเพียงใด มันก็มิอาจต่อกรกับแรงกดทับได้อยู่ดี และทำได้เพียงจำใจลดระดับลงไปเรื่อยๆเท่านั้น

 

สำหรับเวลานี้ แต่ละเกาะเบื้องบนล้วนถูกกดดันให้ลดระดับลงมา แรงเสียดทานจากหลากหลายพลังอำนาจส่งผลมันบังเกิดไอร้อนพวยพุ่ง ฉากนี้คล้ายกับอุกกาบาตกำลังร่วงหล่น

 

ปลาคาร์พยังคงลอยโผล่หน้าของมันอยู่บนผิวน้ำ เพื่อเฝ้าดูฉากนี้

 

มันกำลังคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์รับมือตอบโต้

 

ตนเองล่วงรู้ว่าสตรีแห่งรากษสนั้นครอบครองความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ

 

ในทางกลับกัน สตรีแห่งรากษสกลับไม่ได้ล่วงรู้ว่าตนนั้นครอบครองความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต

 

นี่คือข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา

 

ขณะที่ปลาคาร์พกำลังลอยตัว เฟ้นสมองขบคิด เฝ้ารออยู่อย่างเงียบๆ

 

-เฝ้ารอช่วงเวลาสุดท้ายของการล่มสลายของโลก

 

ที่ไม่มีใครรู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่

 

หากจนกระทั่งถึงช่วงเวลานั้น ผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)อีกคนหนึ่งยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็จะได้รับคุณสมบัติในการก้าวขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส)อย่างเป็นทางการ

 

ตูม!

 

ตูม!

 

ตูม!

 

หมู่เกาะเริ่มจะปะทะซึ่งกันและกัน

 

เมื่อพื้นที่โลกเริ่มหดตัวแคบลง ผลกระทบก็คือ ระยะห่างระหว่างแต่ละเกาะก็กระชั้นชิดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ปลาคาร์พยังคงลอยอยู่เหนือผิวน้ำ เฝ้ามองการล่มสลายของโลก

 

อีกไม่นาน

 

โลกก็จะจมลงสู่ปากเหวแห่งการทำลายล้างโดยสมบูรณ์

 

ปลาคาร์พยังคงส่ายครีบและหางของมันไปมาอย่างต่อเนื่อง

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไป

 

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆปลาคาร์พก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาสาดมองไปบนท้องฟ้า

 

เหนือท้องฟ้าเบื้องบน จู่ๆก็ปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นอย่างกระทันหัน

 

นี่คือรอยแตกร้าวที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายมิติ!

 

ซึ่งปลาคาร์พสามารถตระหนักถึงสิ่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว

 

ผู้ใดกัน ที่เลือกจะกลับมาสู่โลกที่กำลังล่มสลายในเวลาเช่นนี้?

 

แต่คงไม่ต้องใช้สมองอะไรให้มากมายนัก เพราะคำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว

 

ปลาคาร์พบิดตัว และจมลงไปในน้ำมากกว่าเดิมเล็กน้อย เพื่อซ่อนร่างของมัน

 

ตอนนี้ เขารู้ดีว่าการต่อสู้ที่แท้จริง .. มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

 

รอยแยกมิติเปิดออก

 

พร้อมกับหญิงสาวที่สวมหน้ากากจิ้งจอกขาวปรากฏตัวออกมา

 

-สตรีแห่งรากษส

 

ในขณะเดียวกันกับที่เธอปรากฏตัวออกมา 7-8 หนังมนุษย์ก็สามารถรับรู้ถึงเธอได้ในทันที

 

เนื้อหวานๆแสนอร่อย!

 

เหล่าหนังมนุษย์เริ่มที่จะวิ่งแข่งกัน ตรงมายังทิศทางนี้

 

พวกมันเริ่มโจมตีสตรีแห่งรากษสด้วยความเร็วที่ไม่อาจจะทันรับรู้ได้

 

ทว่าสตรีแห่งรากษสเองก็ไม่รอช้า แปลงกายตนเองให้กลายเป็นก้อนหินในทันใด

 

ก้อนหินบินข้ามฝ่ากลุ่มของผู้ฝึกยุทธ บินทะลุผ่านฝุ่นตลบจากไป

 

ก่อนจะร่วงตกลงในอีกทิศทางหนึ่ง

 

เมื่อหนังมนุษย์ตระหนักได้ว่าของหวานอันโอชะของพวกมันหายไปต่อหน้าต่อตา

 

ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะออกไปไล่ล่าผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆแทน

 

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีหนังมนุษย์ที่ครอบครองสายตาแหลมคมอยู่บ้าง พวกมันเร่งความเร็วขึ้น และคว้าจับก้อนหินก้อนนั้นเอาไว้

 

พวกมันพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อทำการสำรวจหิน

 

แต่นี่มันก็แค่ก้อนหินธรรมดาๆ

 

เป็นเพียงวัตถุ … และไม่อร่อย!

 

หนังมนุษย์ไม่กี่ตนที่ไล่ตามก้อนหินมาจึงเร่งจากไปด้วยความขุ่นข้อง

 

ขณะที่หินก้อนดังกล่าวยังคงไม่บุบสลาย และตกลงมาอยู่บนผืนดินของเกาะ

 

—เพียงพริบตา สตรีแห่งรากษสก็สามารถระบุได้ถึงสถานการณ์โดยรอบ แปรเปลี่ยนร่างตนเป็นหิน และได้กำหนดถึงทิศทางที่ตนจะมุ่งไปและร่วงตกลงได้อย่างปลอดภัย

 

ในขณะนี้ หนังมนุษย์ที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าไม่มีผู้ใดใยดีเธอเลย

 

สตรีแห่งรากษสลอบถอนหายใจออกมา

 

เดชะบุญจริงๆที่ก่อนหน้านี้เธอเคยพลาดท่าถูกส่งตัวออกไปยังพื้นที่มิติอื่นมาก่อนแล้ว ดังนั้นเมื่อได้รับโอกาสอีกครั้ง เธอจึงได้เตรียมการรับมือกับมันเอาไว้ล่วงหน้า

 

อีกฝ่ายใช้วิธีเดิม

 

และหากถูกหลอกซ้ำสอง เธอคงจะเป็นแค่คนโง่เท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะสามารถกลับมาได้ แต่สภาพในตอนปรากฏกาย ทั้งคนทั้งร่างของเธอก็ถูกปกคลุมไปด้วยเลือด

 

น่าเสียดายจริงๆที่สี่ผู้ใต้บังคับบัญชาลมปราณจิตทั้งสี่คนของเธอถูกพรากจากไปโดยการเคลื่อนย้ายจากค่ายกลทะลวงมิติ

 

ซึ่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา หลังจากถูกส่งออกไปด้วยค่ายกลนี้แล้ว มันไม่เคยมีใครสามารถรอดชีวิตกลับมาได้เลย

 

เฮ้อ! นั่นเป็นถึงสี่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตเชียวนะ!

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ และสุดแกร่งเช่นนั้น นับว่าเป็นผู้ช่วยที่ทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง

 

-การสูญเสียในครั้งนี้มันหนักหนาเกินไปจริงๆ

 

และหากเธอไม่สามารถผ่านการทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)ไปได้ นี่คงเป็นการพ่ายแพ้ที่น่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง!

 

เมื่อคิดไปถึงการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส)แล้ว สตรีแห่งรากษสก็ถอนหายใจยาวออกมา

 

ตนเองครอบครองเทคนิคลับมากมาย ดังนั้น การที่จะชนะผู้ทดสอบอีกฝ่ายหนึ่งย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง

 

คู่แข่งจะเป็นใครไม่สำคัญ เพราะอย่างไรมันก็ย่อมไม่สามารถชนะมารโลกาได้อย่างแน่นอน

 

ขณะที่ตนเองก็แสร้งปลอมแปลงเป็นวัตถุไร้ชีวิต เฝ้ารอให้อีกฝ่ายหนึ่งตกตายไป

 

นี่นับว่าเป็นความสะดวกสบายยิ่ง

 

หินค่อยๆร่วงตกลงมาจากกลางอากาศ

 

และทิศทางของมัน … ก็คือเกาะทะเลสาบ

 

ซึ่งเป็นเกาะสุดท้ายที่ยังคงลอยลำอยู่

 

จุ๋ม!

 

ก้อนหินตกลงไปในทะเลสาบ และจมลงไปยังด้านล่างสุด

 

แม้ว่าโลกทั้งใบจะกำลังถูกทำลายลง แต่เบื้องล่างของทะเลสาบนี้สมควรที่จะสงบสุข อย่างน้อยก็ชั่วคราว

 

ก้อนหินนอนโง่ๆอยู่ก้นทะเลสาบอย่างเงียบๆ เฝ้ารออย่างเบื่อหน่ายให้การทดสอบนี้สิ้นสุดลง

 

ว่าแต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นใครกันนะ?

 

เหตุใดจู่ๆมันจึงได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันกัน?

 

หรือว่าจะเป็นฉีหยาน?

 

ใช่ มันอาจจะเป็นเขาก็ได้

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ ฉีหยานเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้ตนเองจำต้องยินยอมสละร่างของสตรีแห่งรากษสไปครั้งหนึ่ง

 

หินกำลังขบคิดอยู่อย่างเงียบๆ

 

ในขณะนั้นเอง มีปลาคาร์พตัวหนึ่งได้แหวกว่ายผ่านก้อนหินไป

 

เมื่อหินสังเกตเห็นถึงปลาคาร์พ มันก็ถอนหายใจด้วยอารมณ์เล็กน้อย

 

เจ้าปลานี่ ยังคงเพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่แสนสะดวกสบายได้อยู่อีก โดยที่พวกมันไม่รู้เลยว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของโลกแล้ว

 

หลายสิบลมหายใจได้ผ่านพ้นไป

 

ในหัวใจของหินเริ่มรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น

 

แปลกนัก

 

ไฉนอีกฝ่ายจึงยังไม่ตกตายลงอีก?

 

มิใช่ว่าหากสามารถตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว จิ้งจอกขาวก็จะปรากฏตัวออกมาหรอกหรือ?

 

แต่จนกระทั่งบัดนี้ จิ้งจอกขาวก็ยังไม่โผล่หัวออกมาให้เห็นแม้แต่เงาเลย

 

แท้จริงแล้วฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวตนใดกัน จึงสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อหน้าร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาได้นานขนาดนี้?

 

ด้วยความแข็งแกร่งของฉีหยาน มันย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

 

ก้อนหินเริ่มบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นเล็กๆน้อยๆ

 

แต่ทันใดนั้น มันก็ฉุกคิดถึงบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว

 

—เป็นมันเองที่ผิดพลาดไป ทั้งๆที่ตนสามารถสังเกตถึงการต่อสู้บนท้องฟ้าโดยไม่ถูกมารโลกาค้นพบตัวได้แท้ๆ แต่ก็ยังไม่คิดจะทำมันในตอนแรก

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ก้อนหินก็เริ่มแปรสภาพตนเองเป็นกิ่งไม้ยาวๆ

 

กิ่งไม้ยาวนี้มีรูปค่อนข้างจะเหมือนกับร่างคน นั่นก็เป็นเพราะเธอยังไม่คุ้นชินกับการใช้วิชาลี้ลับนี้ ดังนั้นจึงมีบ้างที่ในบางการแปลงกายมันจะออกมาไม่ราบรื่นนัก

 

แต่โดยทั่วไปแล้ว มันก็คงไม่สำคัญหรอก

 

กิ่งไม้ใหญ่ยกตัวขึ้นจากก้นทะเลสาบ ผุดขึ้นมาลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างเงียบๆ

 

มันเฝ้าดูฉากนองเลือดตลอดทั้งผืนฟ้า และพยายามที่จะมองหาคู่แข่งของตน

 

ในขณะที่มันกำลังเฝ้าดูอยู่นั้นเอง จู่ๆกระแสน้ำก็บังเกิดการกระเพื่อมไหวขึ้นอย่างกระทันหัน

 

ทันใดนั้นกิ่งไม้ก็ค้นพบถึงร่างอันใหญ่โตผุดขึ้นมาจากเบื้องล่าง

 

มันคือจระเข้ที่มีขนาดตัวยาวกว่า 5 เมตร

 

จระเข้ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำเช่นกัน ก่อนจะเริ่มแหวกว่ายอย่างช้าๆด้วยความเกียจคร้าน

 

กิ่งไม้เหลือบมองไปที่มันเล็กน้อย ก่อนจะละความสนใจไป

 

จระเข้ เป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ธรรมดาในทะเลสาบและหนองน้ำ

 

–ประเดี๋ยวก่อน เหตุใดไอ้จระเข้บ้านี่จึงว่ายมายังทิศทางนี้กัน?

 

เห็นแค่เพียงคู่ดวงตาของจระเข้ กำลังจ้องมองดูกิ่งไม้อย่างเงียบๆ

 

ขณะที่ในหัวใจของกิ่งไม้เริ่มเต้นระรัวราวกับกลองชุด

 

มองหาบิดาเจ้าหรือ?

 

ตัวเราผู้สูงศักดิ์เป็นเพียงแค่กิ่งไม้นะ!

 

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง จู่ๆก็มีหนังมนุษย์จำนวนหนึ่งพุ่งผ่านทะเลสาบไป

 

กิ่งไม้จึงละความคิดที่จะสังหารจระเข้ทันที

 

หากตนถูกค้นพบด้วยการระบายอารมณ์โง่ๆนี่ มันนับว่าไม่คุ้มค่าเอาเลยจริงๆ

 

กิ่งไม้ไม่ขยับไหว แต่จระเข้กลับตรงกันข้าม มันเหวี่ยงหางอย่างแรงเป็นฟืนเป็นไฟ เพื่อจะว่ายตรงเข้ามางับกิ่งไม้

 

แล้วกิ่งไม้ก็ถูกอีกฝ่ายกัดจริงๆ ทว่าแม้จะถูกกัดอยู่ แต่กิ่งไม้ก็มิได้พยายามที่จะเคลื่อนกายป้องกันใดๆ

 

-ท้ายที่สุดนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องรู้นะว่าตอนนี้มันเป็นเพียงแค่กิ่งไม้ ดังนั้นแม้จักต้องการใช้ออกด้วยวิชาลับ ก็ยังจำเป็นต้องอาศัยเวลาสักพักหนึ่ง

 

แต่แล้วจู่ๆกิ่งไม้ก็ถูกยกม้วนสูงขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะลอยลงมาทิ้งแหมะลงบนขอบชายฝั่งทะเลสาบ

 

ถึงกับต้องใช้เวลาสักครู่หนึ่ง กิ่งไม้จึงจะตอบสนอง

 

‘นี่ข้าถูกจระเข้เหวี่ยงออกมาอย่างนั้นหรือ!!’

 

บักจระเข้นี่ ใช่อยากมีปัญหากันข้าหรือไม่?

 

แม้ตัวกิ่งไม้จะยังคงนิ่งงัน แต่ภายในของมันเตรียมพร้อมที่จะระเบิดออกด้วยวิชาลับแล้ว

 

ทว่ากลับเห็นแค่เพียงจระเข้สงบลง มันว่ายวนอยู่บนผิวทะเลสาบอีกไม่กี่ครั้ง ก่อนจะค่อยๆจมหายไปในน้ำ

 

จระเข้ได้จากไปแล้ว

 

กิ่งไม้จึงค่อยสงบลง สักพักสติจึงกลับมามั่นคงดังเดิม

 

มองจากการกระทำนี้ ดูเหมือนกับว่าเจ้าสัตว์ใหญ่โง่เง่านั่นมันจะคิดว่าข้าเป็นผู้บุกรุกอย่างงั้นสินะ!

 

ขณะกำลังขบคิด กิ่งไม้ก็พลันหันไปเห็นหมาป่าตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้

 

หมาป่าจ้องมองมายังกิ่งไม้ที่ว่า ก่อนจะอ้าปากและพุ่งเข้ามางับมันอีกครั้งซะอย่างงั้น!

 

และในขณะนั้นเอง ก็ดันมาเป็นช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากกำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้า เพื่อหลบหนีการไล่ล่าของหนังมนุษย์อยู่พอดิบพอดี

 

ส่งผลให้ในเวลานี้  กิ่งไม้ไม่สามารถลงมือใช้พลังวิญญาณเพื่อที่จะสังหารเจ้าหมาบ้านี่ได้

 

แต่ในตอนนั้นเอง กิ่งไม้ก็เริ่มเข้าใจถึงบางสิ่ง

 

… ช่างน่าละอายยิ่งนัก

 

คงเป็นตัวข้าเองที่ยังมิเชี่ยวชาญวิชาลี้ลับมากพอสินะ

 

เนื่องเพราะกิ่งไม้ที่ตนปลอมแปลง มันมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์มากเกินไป จึงง่ายต่อการเกิดความเป็นปรปักษ์ต่อเหล่าสรรพสัตว์

 

หลังจากที่กลับไป .. คงต้องฝึกฝนควบคุมวิชาลี้ลับให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้เสียแล้ว

 

เมื่อตัดสินใจได้ กิ่งไม้ก็หายไปทันที

 

ท่ามกลางเม็ดทรายนับไม่ถ้วนบนหาด มันได้เลือกที่จะปลอมแปลงตนเองเป็นเม็ดทรายเม็ดเล็กๆอย่างเงียบๆ

 

หมาป่ากัดเข้าใส่ความว่างเปล่า มันหันไปมองรอบๆด้วยความสับสน การจะนิ่งงันไปครู่หนึ่ง แล้วจากไปในที่สุด

 

คราวนี้ก็สบายใจได้เสียที!

 

ก็เอาสิ ครานี้ข้าซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเม็ดทรายแล้ว ขอดูหน่อยซิว่าจะมีสัตว์หน้าโง่ตนใดมาทำอะไรกับข้าอีก!

 

เม็ดทรายถอนหายใจอย่างลับๆ และเอ่ยพึมพำในจิตใจของตนเอง

 

แต่ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง จู่ๆเม็ดทรายก็หันไปเห็นถึง ‘มดละลายไฟ’ ที่กำลังขยับสองเสาเล็กๆบนหัวมัน แล้วคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ

 

มดละลายไฟ … เป็นสัตว์ที่ชื่นชอบในการกัดกินหินและทราย

 

มันจะใช้น้ำลายชนิดพิเศษของมันกัดกร่อนหินและทราย เพื่อสร้างรังของตัวเอง

 

เม็ดทรายเฝ้ามองมดละลายไฟ พร้อมกับบังเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย

 

เหตุใดวันนี้ข้าจึงซวยซ้ำซวยซ้อนนัก?

 

นี่มันชักจะเริ่มพิกลหน่อยๆเสียแล้ว

 

ทว่าเดชะบุญ ที่มดละลายไฟกลับมิได้เล็งเป้าหมายมาที่ตัวเธอเอง

 

เจ้ามดเพียงส่งเสียงฮึมฮำเบาๆ เพื่อเรียกร้องสหายของตนมา

 

เม็ดทรายถอนหายใจโล่งอก

 

ใช่แล้ว พวกมันเพียงเรียกสหายมาเพียงเพื่อสร้างรังเท่านั้น นี่มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนเองเลย

 

ประเดี๋ยวก่อน

 

สร้างรังอย่างนั้นหรือ …

 

เม็ดทรายเงียบงันไปครู่

 

โดยไม่รีรอให้ชักช้าเสียเวลา จู่ๆเม็ดทรายก็แปลงกายเป็นหินหนักก้อนใหญ่ทันใด

 

การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันนี้ ส่งผลให้มดละลายไฟสะดุ้งโหยง และหมุนตัววิ่งหนีจากไป

 

มดละลายไฟหายไปจากสายตาของหินใหญ่อย่างรวดเร็ว

 

หินใหญ่เฝ้ารออยู่สักครู่

 

แต่ก็ไม่มีสัตว์ตนใดเข้ามายั่วยุมันอีก

 

นี่เป็นเรื่องบังเอิญใช่หรือไม่?

 

หินใหญ่เลือกที่จะเฝ้ารออีกสักพัก

 

ปัง!

 

จู่ๆทะเลสาบก็บังเกิดรอยปริร้าว

 

พร้อมกับกิ่งก้านสีเลือดเจาะทะลุขึ้นมาจากทะเลสาบ

 

-พฤษามารโลกา มาเยี่ยมเยือนแล้ว!

 

มันทิ่มแทงและกระแทกเข้ากับเกาะ

 

รอยแยกในทะเลสาบค่อยๆกว้างขึ้น

 

พร้อมกับน้ำจากภายในทะเลสาบที่เริ่มรั่วไหลลงไป

 

บังเกิดกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้นจากรอยแยก

 

เหล่ามัจฉาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างสบายอารมณ์ เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ มันก็แตกฮือไปรอบๆ ว่ายหนีราวกับแมลงวันไร้หัว

 

น้ำเริ่มที่จะลดฮวบๆลงอย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่ตลอดทั้งเกาะเริ่มจะเอนเอียงไปเรื่อยๆ

 

ทั้งทรายทั้งหินเริ่มที่จะม้วนกลิ้งไปตามแรงดึงดูดโลก

 

ขณะที่น้ำทะเลสาบบางส่วน ได้สาดกระเซ็นไปทั่วชั้นอากาศ

 

เกาะลอยฟ้าเกาะสุดท้าย … ได้ถูกทำลายลงโดยมารโลกาแล้ว!

 

อย่างไรก็ตาม เห็นแค่เพียงกลางอากาศ เม็ดทรายและหินนับไม่ถ้วนกำลังร่วงตกลงสู่ร่างของมารโลกา

 

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตามที ตราบใดที่พวกมันสัมผัสกับร่างของมารโลกา ก็จะถูกกล้ามเนื้อพวกนั้นดูดกลืนไปในฉับพลัน

 

พอไร้ซึ่งเกาะลอยฟ้าอีกต่อ และแม้กระทั่งเกาะสุดท้ายนี้ก็ยังถูกโจมตีโดยพฤษามารโลกา การล่มสลายของโลกจึงค่อยชะลอตัวลง

 

หินใหญ่เฝ้ารอจนถึงช่วงเวลานี้ จึงค่อยได้ถอนหายใจโล่งอก

 

ดูเหมือนว่าจะไม่มีสถานการณ์ผิดปกติใดๆ

 

-ตั้งแต่ต้น ตนก็ได้เลือกจะหลบอยู่ใต้ก้นทะเลสาบ จากนั้นก็แปลงกายเป็นกิ่งไม้

 

ถัดมา เธอก็ได้แปลงเป็นทรายต่อด้วยหินใหญ่ และสามารถเอาชีวิตรอดมาได้จนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของการล่มสลายของโลกและกำลังจะได้รับชัยชนะในที่สุเ

 

ทว่าแท้จริงแล้วหินใหญ่กลับไม่ทันได้สังเกตเห็นเลย ว่าอีกด้านหนึ่ง จู่ๆก็ปรากฏกวางยู่หลูที่กำลังควบสี่ขาวิ่งตรงเข้ามา

 

กวางยู่หลูวิ่งด้วยความเร็วเต็มกำลัง มันสับขาเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ

 

เร่งความเร็วจนถึงขีดสุด!

 

หากมองจากมุมสูง จะเห็นแค่เพียงเส้นแสงสีน้ำตาลที่พุ่งผ่านไป

 

แทบจะในทันที กวางยู่หลูก็ได้มาถึงชายหาดแล้ว

 

ซึ่งนี่เป็นเวลาเดียวกันกับที่หินใหญ่พบถึงการปรากฏตัวของมัน

 

หินใหญ่ดูเหมือนจะเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง

 

-เจ้ากวางตัวนี้ เหมือนว่าจะวิ่งตรงมาที่ตนเอง มันจะต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ!

 

รวมไปถึงสัตว์ทุกตัวก่อนหน้านี้ มันก็ผิดปกติเหมือนกัน!

 

อย่างไรก็ตาม กวางยู่หลูนั้นรวดเร็วเกินไป ขณะที่อีกฝ่ายเห็น กวางก็ได้มาถึงตัวแล้ว!

 

ทว่าจู่ๆกวางก็กลับหายไปอย่างน่าฉงน

 

แต่ดัน ปรากฏหมียักษ์ขนดำที่อ้าปากคำรามไปทั่วฟ้า ชกเปรี้ยง! เข้าใส่หินใหญ่อย่างสุดกำลัง

 

ปงงงงงงงง!

 

หินหนักถูกหวดกระเด็นราวกับกระสุนปืนใหญ่

 

มันถูกชกปลิวออกจากเกาะ ก่อนที่ตัวเกาะจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์!

 

ต้องไม่ลืมนะว่า นี่คือเกาะลอยฟ้า เกาะเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่หลงเหลือสิ่งอื่นใดแล้วนอกจากร่างของมารโลกา!

 

หินใหญ่ที่กำลังร่วงหล่นเริ่มตื่นตระหนก

 

มันจะร่วงตกลงไปไม่ได้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นแล้วคงมิแคล้วถูกกลืนกินโดยมารโลกา!

 

พริบตานั้นมันก็แปลงตนเป็นใบไม้ที่ลอยล่องไปมาระหว่างพฤษามารโลกานับไม่ถ้วน

 

มันได้ระงับกลิ่นอายอย่างระแวดระวัง มิกล้าเพ่งใช้แม้กระทั่งจิตสัมผัสเทวะ เพราะเกรงว่าจะเป็นการกระตุ้นมารโลกา

 

สักพักหนึ่ง ใบไม้ก็สัมผัสได้ถึงกระแสลมที่พัดไหว

 

กระแสลมช่วยปรับทิศทางของใบไม้และ ยกตัวมันให้สูงขึ้น ลอยขึ้นไปสู่ฟากฟ้าเบื้องบน

 

ในที่สุด ใบไม้ก็ลอยขึ้นมาอยู่เหนือสายลม

 

มันหมุนวน ส่ายไปมาบนผืนฟ้า โดยที่เจ้าตัวมิคิดจะใช้ออกด้วยพลังวิญญาณเลย

 

เธอเป็นใบไม้ และใบไม้ก็เป็นเธอ

 

ในที่สุด ก็พอจะพักหายใจอย่างปลอดภัยได้ชั่วคราว

 

ใบไม้ลอบถอนหายใจอย่างลับๆ

 

แท้จริงแล้ว กลับกลายเป็นว่าคู่แข่งสามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้นี่เอง!

 

ฉะนั้นแล้ว ด้วยความสามารถอันแสนวิเศษนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่อีกฝ่ายยังไม่ตกตายลงเสียที

 

ใบไม้อดไม่ได้ที่บังเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นภายในจิตใจ

 

ตอนนี้ หากรู้แล้วว่าไพ่ของคู่ต่อสู้คือสิ่งใด นับจากนี้ไปก็เป็นทีของตนที่จะได้ใช้กลยุทธ์บ้างล่ะ!

 

ทว่าขณะขบคิด จู่ๆในวิสัยทัศน์ของใบไม้ก็กลับมืดลง

 

มองออกไปยังผืนฟ้าเบื้องหน้า เห็นแค่เพียงอินทรีย์ที่กำลังสยายปีก โฉบลงมายังตนอย่างรวดเร็ว

 

มันกางกรงเล็บแหลมออก และง้างหมับ! เข้าใส่ใบไม้

 

กรงเล็บอินทรีย์อันแหลมคมหุบลง

 

พร้อมกับใบไม้ที่แยกออกเป็นสองกลีบ ลอยแยกจากกันไปตามสายลมที่พัดพามันไป

 

ผลแพ้ชนะ … ได้ถูกตัดสินแล้ว!!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.474 – ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ (2)

 

ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเข้ม

 

มันคือร่างหลักของมารโลกาที่ทะยานสูงขึ้น และกำลังสาดแสงสีแดงเลือด สะท้อนไปทั่วโลกทั้งใบ

 

มารโลกาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

 

-ปัง!!

 

ต้นไม้สูงตระหง่านที่เกิดจากเลือดและเนื้อพวยพุ่งขึ้นมาถึงเบื้องบนท่ามกลางเวหา ปะทะเข้ากับเกาะลอยฟ้าที่ลอยลำอยู่ในระดับต่ำถึงกลาง

 

บรรดาเกาะลอยฟ้าที่กล่าวมาถูกทิ่มทำลายลงโดยตรง เศษซากของพวกมันกระจายไปทุกทิศทาง ก่อนจะแปรสภาพเป็นควันสีเทาและวูบบบบ! สลายหายไป

 

พฤษามารโลกายังคงพวยพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปจนกระทั่งสุดขอบของฟากฟ้า

 

“นายน้อย เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้มิได้มีผู้ฝึกยุทธอยู่ก็จริง แต่มารโลกาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ข้าเกรงว่า .. ” ฉานนู่เอ่ยปากออกมา

 

แต่กู่ฉิงซานโบกมือ ส่งสัญญาณให้เธอหยุด

 

ช่วงเวลาต่อมา เห็นแค่เพียงมัดกล้ามสีเลือดขนาดใหญ่ที่พุ่งขึ้น ทอดเงาลงมาในนิกายกวงหยาง และค่อยๆยกระดับสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

พฤษามารโลกาต้นนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลม ขณะที่ชั้นอากาศโดยรอบมันสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกับกำลังพยายามค้นหาพลังวิญญาณอยู่

 

อีกนิดเดียว .. อีกนิดเดียวพฤษามารโลกาต้นนี้ก็จะพุ่งเสียบเข้ากับขอบเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางแล้ว นิดเดียวจริงๆ

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานไม่มีเวลามากพอที่จะรู้สึกสุขใจที่ตนนั้นโชคดี เพราะในสายตาของเขา ไม่ใกล้ไม่ไกล เจ้าตัวได้ค้นพบกับพฤษามารโลกาอีกต้นหนึ่งแล้ว

 

พฤษามารโลกาเริ่มทยอยกันผุดขึ้นมาทีละต้น ทีละต้น

 

ต้นไม้ยักษ์เหล่านี้เริ่มทะยานเบียดเสียดกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลายเกาะลอยฟ้าไม่มีเวลาจะทันได้ตอบสนอง และถูกพวกมันบดขยี้จนแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

เกาะลอยฟ้าที่ยังอยู่ เริ่มที่จะถูกทำลายลง

 

ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนเกาะเหล่านี้ก็กระจัดกระจายตัวออกไปบนท้องฟ้า

 

พวกเขาจำเป็นที่จะต้องปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา เพื่อป้องกันมิให้ตนเองร่วงตกลงไปยังร่างหลักของมารโลกาที่อยู่เบื้องล่าง

 

แต่น่าเสียดาย ที่วิธีนี้มิแตกต่างไปจากการดื่มยาพิษเพื่อดับกระหายเลย มันส่งผลตรงกันข้าม ความพินาศของพวกเขากลับรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม

 

เมื่อพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธปรากฏขึ้น มารโลกาก็จับสัมผัสถึงมันได้ในทันที

 

ทันใดนั้นผลไม้สีแดงเลือดก็ผุดออกมาตามกิ่งก้านของพฤษามารโลกาที่อยู่ใกล้เคียงกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ

 

“โผล๊ะ”

 

ตามด้วยเสียงของผลไม้ที่ระเบิดออก

 

เห็นแค่เพียงหนังมนุษย์ที่บางเบาราวกับปีกจั๊กจั่นร่วงตกลงมาจากผลไม้

 

พวกมันจ้องมองไปยังผู้ฝึกยุทธและหัวเราะออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง “ยอด ยอดเยี่ยม”

 

นี่คือร่างมีจิตสำนึกของมารโลกา

 

จากนั้น พฤษามารโลกาตลอดทั้งต้นก็เต็มไปด้วยผลไม้ที่ผุดขึ้นมาโดยสมบูรณ์

 

หนังมนุษย์เริ่มที่จะทวีจำนวนมากยิ่งขึ้น

 

พวกมันต่างพากันจ้องมองไปยังผู้ฝึกยุทธที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ ปากอ้าหัวเราะอย่างพร้อมเพรียง “ยอด ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ที่มีจิตวิญญาณแสนอร่อยมากมายขนาดนี้!”

 

ตูม ตูม ตูม!

 

พฤษามารโลกาผุดขึ้นมาทั่วทั้งโลกอย่างไม่หยุดยั้ง และเริ่มทิ่มทำลายเกาะลอยฟ้าลงอย่างต่อเนื่อง

 

เกาะแล้ว เกาะเล่าต่างทยอยกันถูกทำลายลง

 

พร้อมกับจำนวนของผู้ฝึกยุทธที่ลอยล่องอยู่ในอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ

 

พวกเขาหลบลี้ออกจากเกาะลอยฟ้าด้วยความหวาดกลัว แต่เมื่อออกมาแล้ว ตนก็ไม่รู้ว่าจะหนีเอาชีวิตรอดไปที่ไหนอยู่ดี

 

อย่างไรก็ตาม พฤษามารโลกาก็ยังเพิ่มจำนวนมากขึ้น และปลดปล่อยร่างมีจิตสำนึกของมันออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

หนังมนุษย์ที่มิอาจคาดคำนวณถึงจำนวนได้ปรากฏกายขึ้นอยู่ กระจายกันไปทั่วผืนฟ้า

 

ในขณะที่พวกมันบางตน .. เริ่มจะทำการออกล่าแล้ว!

 

และแน่นอน อย่างที่เคยได้กล่าวไป ว่าความว่องไวของพวกมันน่ะรวดเร็วยิ่ง! ผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆทั่วไปน่ะ ย่อมไม่มีทางตอบสนองได้ทัน

 

ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าคนหนึ่งหยิบฉวยสมบัติมนตราขึ้นมาต่อต้านพวกมัน แต่ก็ทำได้เพียงครั้งสองครั้ง ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ถูกโอบกอดและสูบกินอย่างรวดเร็วโดยพวกหนังมนุษย์

 

—ต้องรู้นะว่านี่มิใช่ร่างมีจิตสำนึกของพฤษามารโลกาเพียง 1 หรือ 2 ต้น

 

แต่มันคือพฤษามารโลกานับหมื่นๆต้น! ที่ปลดปล่อยคลื่นมอนสเตอร์โถมทับออกมาบดขยี้เหยื่อในเวลาเดียวกัน!

 

ได้ยินแค่เพียงร่ำร้องด้วยความสิ้นหวังจากท่วมกลางดงหนังมนุษย์ สักพักเสียงที่ว่านั่นก็ค่อยๆจางหาย

 

แล้วพวกหนังมนุษย์ก็แยกย้ายกันไป

 

และในอากาศที่ว่างเปล่า ก็ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของผู้ฝึกยุทธคนนั้นอีกเลย

 

ชัดเจนว่าเขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ทว่าทั้งคนทั้งร่างของเขากลับถูกกลืนกินลงในพริบตา ไม่มีหลงเหลือ

 

เมื่อถูกห้อมล้อมไปด้วยร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาที่มีจำนวนไร้ที่สิ้นสุด ความแข็งแกร่งของขีดสุดความว่างเปล่าก็เล็กจ้อย ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด

 

หลังจากที่สูบกินผู้ฝึกยุทธแล้ว เหล่าหนังมนุษย์ก็บิดกายบางๆของพวกมัน และเปลี่ยนทิศทางไป

 

พวกมันเริ่มทำการมองหาสถานที่อื่น

 

เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้า เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายแม้อยากจะหลบหนี แต่ก็มิอาจรอดพ้น

 

ทันใดนั้นฉากไล่ล่านองเลือดก็ปรากฏขึ้นอีกครา

 

พร้อมกับเสียงร่ำไห้กรีดร้องที่ดังขึ้น

 

หมอกเลือดกระจายไปทั่วฟ้า

 

ผสมปนเปไปกับเสียงหัวเราะอันวิปลาสของหนังมนุษย์

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธมิอาจต่อต้าน และทยอยกันถูกสูบกินไปอย่างรวดเร็ว

 

ในทุกๆอากาศที่ว่างเปล่าในระยะสายตา ไม่ว่าจะมองไปที่ใด ก็ล้วนเห็นแต่หนังมนุษย์ที่กำลังสูบกินผู้คนอยู่

 

พวกมันเพลิดเพลินไปกับการสูบกิน ราวกับครื้นเครงในงานฉลองครั้งยิ่งใหญ่

 

นี่แหละ .. คือช่วงเวลาสุดท้ายของโลกทั้งใบล่ะ!

 

ณ เกาะลอยฟ้านิกายกวงหยาง

 

“นายน้อย แล้วพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?” ฉานนู่เอ่ยถามด้วยความกังวล

 

“เจ้าจงเปลี่ยนกลับไปเป็นดาบเสีย ในเวลานี้ ข้าจักเผชิญหน้ากับมันด้วยตนเองโดยลำพัง”

 

“ทำไมกัน? ข้าสามารถช่วยเจ้าได้นะ” ฉานนู่เอ่ยถามด้วยความสับสน

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “เวลานี้มิได้เกี่ยวข้องกับกำลังรบ แต่เป็นการตอบสนองอย่างฉับไว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนยิ่งน้อยก็ยิ่งดี”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ฉานนู่แปลงกายเป็นดาบขุนเขาเทวะหกโลกา และถูกคว้าจับโดยมือของกู่ฉิงซาน ก่อนจะถูกเก็บกลับคืนไปในทะเลแห่งห้วงสติ

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก สายตาเบนออกไปมองภายนอกของเกาะลอยฟ้า

 

ต้นไม้ที่บีบม้วนไปด้วยเส้นเลือดและเนื้อยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

หากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป เกาะลอยฟ้าทั่วทุกมุมโลกคงไม่สามารถหลบหนีจากโชคชะตา และถูกพวกมันทิ่มแทงขึ้นมา บดขยี้ทำลายจนเป็นผุยผงเป็นแน่

 

กู่ฉิงซานมองไปยังผู้ฝึกยุทธบนท้องฟ้า

 

ผู้ฝึกยุทธบางคน ได้ร่วมมือกับคนอื่นๆ ปลดปล่อยพลังวิญญาณ ช่วยกันใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราขนาดใหญ่เพื่อต้านทานร่างมีจิตสำนึกของมารโลกา

 

แต่นั่นมันก็ไร้ความหมายอยู่ดี

 

ด้วยจำนวนของร่างมีจิตสำนึกที่มากกว่าอย่างเหลือล้น

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ร่วมแรงร่วมใจกันก็พ่ายแพ้ลง และถูกสูบกินเป็นอาหารอย่างรวดเร็ว

 

“นี่สินะ … ที่เรียกกันว่าการบดขยี้โดยสมบูรณ์ด้วยอำนาจที่เด็ดขาดยิ่งกว่า …”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและเอ่ยพึมพำออกมา

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจดังกล่าว ต่อให้เป็นเขาก็ไม่อาจรับมือกับมันได้เหมือนกัน

 

แต่อย่างน้อยเขาก็โชคดี

 

ที่เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางมิได้ถูกทำลายลงตั้งแต่ในทีแรก

 

ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกยังคงทำงานได้ดี อย่างน้อยในสถานที่แห่งนี้ก็จะไม่มีร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาปรากฏขึ้นชั่วคราว

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวก็คงอยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็เร็วเกาะลอยฟ้าแห่งนี้คงถูกทำลายลง

 

กู่ฉิงซานจึงเร่งใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้ของเขา ทำการสังเกตโลกทั้งใบในระยะสายตา

 

เขาต้องการที่จะรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะค้นหาวิธีจัดการแก้ปัญหากับมัน

 

โฮกกก!

 

มารโลกาคำรามคำหนึ่ง และเสียงของมันก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงไปตลอดทั้งโลก

 

ขณะเดียวกัน พฤษาสีเลือดก็ทวีจำนวนมากขึ้น จนผุดขึ้นเติมเต็มโลกทั้งใบ

 

ในวิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซาน  ราวกับจู่ๆตนก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปในท้องฟ้าอันไกลโพ้น

 

เห็นแค่เพียงในอากาศที่ว่างเปล่า เกาะลอยฟ้าที่อยู่เบื้องบน จู่ๆก็ค่อยๆลดระดับลง

 

กูู่ฉิงซานกวาดสายตาไปมองรอบทิศทางอีกครั้ง

 

และค้นพบว่า เกาะลอยฟ้าทั้งหมดที่ยังคงเหลือรอด บัดนี้กำลังลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง ราวกับถูกดึงลงมาจากฟากฟ้าด้วยพลังอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็น

 

ทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดกระแสทมิฬหมุนวนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

อากาศที่ว่างเปล่าสลายหายไปทันที

 

ขณะที่ท้องฟ้าเบื้องบน ดูเหมือนว่าจะลดระดับต่ำลงมาจากเดิมเป็นอย่างมาก

 

“มิติ … กำลังหดตัวลง?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ

 

ซึ่งนี่มันแตกต่างจากจินตนาการของเขา โลกมิได้ล่มสลายลงไปในทันที แต่ผลคือมันกลับค่อยๆลดขนาดของตัวเองลงอย่างฉับพลัน

 

ในกรณีนี้ กล่าวได้ว่าหากการล่มสลายของโลกได้ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุดเมื่อไหร่ แล้วยังมีผู้ฝึกยุทธคนใดเหลือรอด สุดท้ายด้วยผืนฟ้าที่หดแคบลง มันก็บีบบังคับให้พวกเขาต้องเผชิญกับมารโลกาเบื้องล่างอยู่ดี

 

และเมื่อถึงเวลานั้น ทุกสิ่งอย่างคงไม่มีอะไรที่จะสามารถทำได้อีก

 

ปัง!

 

ภายใต้เสียงนี้ เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางก็เริ่มจะเอนเอียง

 

พฤษามารโลกาต้นใหญ่ ได้ทะยานขึ้นมายังเบื้องบนท้องฟ้า และทิ่มแทงปลายยอดของมันปะทะเข้ากับเกาะลอยฟ้าของนิกายในที่สุด

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอำนาจของพฤษายักษ์ ค่ายกลป้องกันของเกาะลอยฟ้าก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง

 

ผืนดินตลอดทั้งเกาะลอยฟ้าบังเกิดการสั่นไหว

 

รอยร้าวบนพื้นดินแตกแขนงอย่างรวดเร็ว และเพียงพริบตา กว่าครึ่งของตัวเกาะก็เริ่มพังทลายลง

 

ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งของเกาะยังคงลอยอยู่กลางอากาศ แม้จะฟุ้งไปด้วยฝุ่นผง แต่มันก็ยังคงไม่ล่มสลายลงทันที

 

ทว่าเมื่อตัวเกาะพังทลายลง ก็แน่นอนว่าแสงสวรรค์จากค่ายกลต้องเล็ดลอด นี่ย่อมที่จะดึงดูดเหล่าหนังมนุษย์มากมายให้มุ่งตรงเข้ามาทันที

 

ฝูงของพวกมันบินวนล้อมรอบอยู่ครู่หนึ่ง

 

ใช่ มีสิ่งมีชีวิตมากมายอยู่บนเกาะแห่งนี้ก็จริง

 

แต่สิ่งมีชีวิตที่ว่าล้วนธรรมดาเกินไป มันเล็กจ้อย และที่สำคัญไม่มีพลังวิญญาณ

 

มันมิใช่สิ่งที่หนังมนุษย์ให้ความสนใจ

 

เฝ้ารออยู่ชั่วขณะหนึ่ง

 

จนกระทั่งตลอดทั้งเกาะเริ่มร่วงหล่นมาลง ก็ยังไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดปรากฏตัวขึ้น

 

เห็นแค่เพียงเกาะลอยฟ้าที่ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ เหล่าหนังมนุษย์ก็อดทนรอต่อไปไม่ไหว และกระจายตัวกันออกไป

 

บนท้องฟ้า ยังคงมีเหยื่ออันโอชะจากเกาะอื่นๆรอพวกมันอยู่ ฉะนั้นเหตุใดจึงต้องมาสนใจเกาะว่างเปล่าแห่งนี้ด้วย?

 

หนังมนุษย์ทั้งหมดต่างละทิ้งที่นี่โดยสิ้นเชิง และเริ่มออกไปล่าเหยื่อในตำแหน่งอื่นแทน

 

ขณะเดียวกัน เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางก็แยกแตกออกจากกันโดยสมบูรณ์ และกำลังร่วงตกลงไปยังเบื้องล่าง

 

และตลอดทั้งเกาะ ส่วนสุดท้ายที่ร่วงตกลง ก็คือบนยอดเขา

 

ภูเขาที่เคยตระการตา และถูกแต่งแต้มไปด้วยธารน้ำ ในปัจจุบันค่อยๆพังทลายลง แยกแตกเป็นสองส่วน

 

สิ่งมีชีวิตในภูเขาและแม่น้ำเริ่มจะพากันวิ่งเตลิดด้วยความหวาดกลัว

 

แต่ก็น่าเสียดายที่พวกมันเป็นเพียงสัตว์ป่าที่หาไม่มีภูมิปัญญาทางจิตไม่ ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่กระจ่างใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่

 

พวกมันทยอยกันร่วงตกลงบนร่างของมารโลกา และค่อยๆจมหายไป แปรเปลี่ยนเป็นสารอาหารอันน้อยนิด เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายของมารโลกา

 

บนภูเขา แท้จริงแล้วกลับยังคงหลงเหลือลิงหางไหม้อยู่อีกตัวหนึ่ง มันปีนป่ายอย่างคล่องแคล่วขึ้นไปบนจุดสูงสุดของยอดเขา

 

ทั้งมือทั้งเท้าของมันขยับขยายเคลื่อนกายอย่างฉับไวยิ่ง กล่าวได้ว่ามันได้สำแดงข้อดีของลิงออกมาอย่างเต็มที่

 

ขณะที่แม่น้ำและภูเขายังคงถล่มลงมาอย่างต่อเนื่อง

 

ทว่าลิงหางไหม้ตนนี้กลับยังคงปีนป่ายอย่างไม่หยุดยั้ง ปีนป่ายต่อไปเรื่อยๆ

 

จนในที่สุด ภูเขาและแม่น้ำก็ล่มสลาย กระจัดกระจายลงอย่างสมบูรณ์ ทว่าลิงหางไหม้ก็ได้มาถึงยอดเขาพอดิบพอดี

 

มันยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขา โค้งกายลง ช่วงขาล่างเกร็งแน่น จากนั้นก็เตรียมทะยานตัวไปสู่ฟากฟ้า

 

ในตอนนั้นเอง ภูเขาและแม่น้ำก็ล่มสลายลง

 

แต่มันก็เป็นเวลาเดียวกันกับลิงหางไหม้กระโดดออกไปเช่นกัน

 

มันคว้าจับกิ่งไม้เอาไว้!

 

และนี่คือกิ่งไม้ของเกาะลอยฟ้าอีกเกาะหนึ่ง

 

ทันทีที่เกาะลอยฟ้าทั้งสองบินสวนกัน ลิงหางไหม้ก็ฉวยโอกาสนั้นกระโดดข้ามเกาะมา และมันก็ทำได้สำเร็จ!

 

ลิงหายไหม้หมุนกายอย่างคล่องแคล่ว และปีนป่ายไปตามต้นไม้ใหญ่ด้วยความชำนาญ

 

ทว่ามันยังมิทันได้มีเวลาพักผ่อน แท้จริงแล้วกลับได้ยินถึงเสียงอึกทึกที่ดังก้องอีกครั้ง

 

เกาะลอยฟ้าที่ตนพึ่งจะหลบหนีมา … ถูกพฤษามารโลกาทิ่มแทงเอาเสียแล้ว!

 

เนื่องจากตำแหน่งของเกาะแห่งนี้อยู่ต่ำเกินไป ดังนั้นยามที่ถูกปะทะโดยพฤษามารโลกา ตลอดทั้งเกาะจึงแตกกระจาย กลายเป็นควันสีเทาไปในพริบตา

 

ลิงหางไหม้ก้มลงมองความพินาศของเกาะ

 

มันกระโดดขึ้นอีกครั้ง

 

อย่างไรก็จตาม คราวนี้เกาะอื่นๆที่อยู่ในบริเวณโดยรอบนั้นช่างห่างไกล … ไกลเกินกว่าที่จะสามารถกระโจนไปถึงได้

 

ตลอดทั้งเกาะที่มันอยู่พังทลายลง และร่วงตกลงสู่เบื้องล่างโดยสมบูรณ์

 

ซากปรักหักพังของเกาะทยอยกันตกลงบนร่างของมารโลกาค่อยๆจมลงและหายไป

 

ณ กลางอากาศ

 

บนตำแหน่งเดิมของเกาะที่ล่มสลาย บัดนี้กลับปรากฏให้เห็นถึงผีเสื้อตัวหนึ่ง ที่กำลังขยับปีกของมันอย่างแผ่วเบา และค่อยๆบินไปยังเกาะลอยฟ้าอีกแห่งหนึ่ง

 

ขณะโบยบิน ผีเสื้อตัวนั้นก็หันไปมองโดยรอบด้วยความระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา

 

เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้าสูง หมู่เกาะเบื้องบนถูกบังคับกดดันให้ลดระดับลงมา

 

ขณะที่บางเกาะก็ร่วงตกลงไปเลยโดยตรง

 

ส่วนบางเกาะก็ยังไม่เต็มใจ และพยายามยื้อแรงกดดันให้เป็นไปอย่างช้าๆ

 

ตลอดทั้งโลกล่องเวหา ทุกๆเกาะลอยฟ้ากำลังถูกบังคับให้ลดระดับลง

 

จะลดลงมันก็ได้อยู่หรอก … แต่ห้ามไปสัมผัสโดนกับร่างกายของมารโลกาเด็ดขาด!

 

เพราะหากสัมผัสโดนแล้ว ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดรอดพ้นไปจากร่างกายของมันไปได้

 

ผีเสื้อกระพือปีกและยังคงบินไปยังเป้าหมายของมันอย่างต่อเนื่อง

 

โดยปกติแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หากคิดจะบินฝ่าท้องฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยหนังมนุษย์

 

แต่ผีเสื้อน่ะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆที่แสนจะอ่อนแอ

 

มันไร้ซึ่งพลังวิญญาณ

 

ร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาจึงพุ่งผ่านมันไปอย่างไม่ใยดี และเร่งพรวดเข้าไปโอบกอดเหล่าผู้ฝึกยุทธที่กำลังพยายามหลบหนีด้วยความสิ้นหวัง

 

–เพราะผู้ฝึกยุทธคืออาหารอันโอชะที่สุดแสนเอร็ดอร่อย ดังนั้นเหล่าหนังมนุษย์จึงต้องแย่งชิงกันเพื่อที่จะได้สูบกิน

 

พวกมันจะมามัวเสียเวลาไร้สาระอย่างการไล่จับผีเสื้อไม่ได้!

 

ผีเสื้อตัวน้อยจึงสามารถบินไปยังอีกเกาะหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปได้อย่างปลอดภัย

 

สถานที่แห่งนี้ มันเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวาง

 

และทันทีที่ผีเสื้อบินมาถึงเกาะนี้

 

มันก็ลดตัวลงกับพื้น และแปลงกายเป็นกวางยู่หลู

 

นี่คืออสูรวิญญาณขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวและเพรียวลมเป็นอย่างยิ่ง

 

ในช่วงก่อนที่มารโลกายังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นในโลกใบนี้ อสูรวิญญาณชนิดนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้ฝึกยุทธ

 

เพราะมันวิ่งได้เร็วเกือบจะเท่ากับความว่องไวในการเหินบินของผู้ฝึกยุทธเลยทีเดียว!

 

กวางยู่หลูวิ่งเหยาะๆไปไม่กี่ก้าวมันก็เริ่มผ่อนแรงลง

 

เมื่อพบกับร่มเงาของต้นไม้ มันจึงนั่งพับขาและเริ่มจะพักผ่อน

 

กำลังทางกายภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในช่วงเวลานี้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ย่อมไม่สมควรที่จะปล่อยมันไปอย่างสูญเปล่า

 

กวางยู่หลูมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สายตาจับสังเกตถึงการถูกทำลายล้างลงของเกาะลอยฟ้าต่างๆ ขณะเดียวกันก็เฝ้าดูเหล่าผู้ฝึกยุทธที่ทยอยกันจบชีวิตลง

 

การแสดงออกของมันช่างดูหนักแน่นและสงบเงียบ ราวกับว่าการล่มสลายของโลกทั้งใบนี้ มิได้มีผลกระทบใดๆต่อมันเลยแม้แต่น้อย

 

บนท้องฟ้า เกาะที่ยังคงเหลือรอดน้อยลง น้อยลงเรื่อยๆ

 

ปัง!

 

หลังจากนั้นไม่นาน เกาะที่มันกำลังพำนักอยู่ก็ถูกโจมตีเช่นกัน

 

เกาะเริ่มที่จะพังทลายลง

 

และกวางยู่หลูตัวนั้นก็ผุดลุกขึ้น และเริ่มวิ่งทะยานออกไปทันที

 

มันยืดขยายขาทั้งสี่ แปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสงและวิ่งข้ามผ่านผืนป่าไป

 

และแน่นอน ว่าขณะวิ่ง มันก็กำลังเฝ้ามองดูเกาะต่างๆบนท้องฟ้าไปด้วย

 

ทันใดนั้นเอง เกาะลอยฟ้าที่มันอยู่ซึ่งสูญเสียสมดุลก็ลอยเหวี่ยงไปยังทิศทางของเกาะอีกแห่งหนึ่ง

 

ซึ่งเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยทะเลสาบ

 

ในขณะเดียวกัน ตัวเกาะก็เริ่มเอนเอียง แหงนขอบของมันสู่ฟากฟ้า

 

แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะว่ากวางยู่หลูตัวนี้น่ะรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง

 

มันวิ่ง วิ่ง วิ่งไปยังส่วนบนสุดของพื้นดินที่กำลังเอนเอียง

 

มีเพียงแค่การขึ้นมาจนถึงด้านบนสุดเท่านั้น จึงจะมีโอกาสรอดชีวิต

 

ในเวลาเดียวกันกับที่กวางยู่หลูตัวนี้ขึ้นมาถึงด้านบนสุดของผืนป่า-

 

เกาะลอยฟ้าทะเลสาบก็ปะทะเข้ากับเกาะที่มันอยู่ในสภาพแทบจะตั้งฉากกัน

 

ปัง!

 

ในระหว่างการปะทะกันอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

น้ำในทะเลสาบสาดกระจาย กลายเป็นละอองลูกปัดใสเม็ดเล็กๆ กระจายไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั่วผืนดิน ก่อนจะร่วงตกลงมาราวกับห่าฝน

 

น้ำในทะเลสาบหลั่งไหลลงจากท้องนภา ราวกับพายุฝนฟ้าคะนองที่มิเคยปรากฏขึ้นตั้งเนิ่นนานแล้ว

 

-ทว่าก่อนที่ทั้งสองเกาะจะชนกัน กวางยู่หลู่ก็ได้มาถึงด้านบนสุดของผืนป่าเป็นที่เรียร้อยแล้ว

 

มันรวดเร็วยิ่งกว่า!

 

เมื่อเสียงสั่นสะเทือนของผืนดินสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น กวางยู่หลูตนหนึ่งก็กระโจนสูงไปทันใด

 

มันวิ่งออกจากเกาะด้วยความเร็วจากแรงที่ได้รับการสะสมมา

 

กลางอากาศ ไม่กี่สิบหนังมนุษย์อันน่ารังเกียจบินผ่านมันไป

 

พวกมันกระโจนเข้าหากลุ่มผู้ฝึกยุทธหลายคนตรงหน้า และเริ่มสูบกินอาหารอันโอชะจนเกลี้ยง

 

ขณะที่กวางยู่หลูทะลุผ่านท้องฟ้าอันกว้างใหญ่  โดยทิ้งสองเกาะที่ถูกทำลายลงเอาไว้เบื้องหลัง

 

แล้วมันก็มาร่วงตกลงบนเกาะทะเลสาบอีกแห่งหนึ่ง

 

นี่คือเกาะสุดท้ายในทั่วบริเวณที่ยังคงเหลืออยู่ และมันเป็นพำนักใหม่ที่ตนได้เลือกเฟ้นเอาไว้ตั้งแต่การกวาดสายตาสำรวจก่อนหน้านี้แล้ว

 

ถึงมันจะถูกทำลายลงแน่ๆ แต่อย่างน้อย ก็มีแนวโน้มว่าน่าจะทิ้งช่วงให้พักได้สักหลายสิบลมหายใจ

 

จ๋อม!

 

น้ำสาดกระเซ็น

 

กวางยู่หลูทิ้งตัวเองให้จมลงไปในทะเลสาบ

 

และวินาทีต่อมา กวางยู่หลูก็หายไป แต่กลับปรากฏถึงปลาคาร์พที่มีลวดลายงดงามตัวหนึ่งลอยขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำแทน

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.473 – ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ (2)

 

ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเข้ม

 

มันคือร่างหลักของมารโลกาที่ทะยานสูงขึ้น และกำลังสาดแสงสีแดงเลือด สะท้อนไปทั่วโลกทั้งใบ

 

มารโลกาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

 

-ปัง!!

 

ต้นไม้สูงตระหง่านที่เกิดจากเลือดและเนื้อพวยพุ่งขึ้นมาถึงเบื้องบนท่ามกลางเวหา ปะทะเข้ากับเกาะลอยฟ้าที่ลอยลำอยู่ในระดับต่ำถึงกลาง

 

บรรดาเกาะลอยฟ้าที่กล่าวมาถูกทิ่มทำลายลงโดยตรง เศษซากของพวกมันกระจายไปทุกทิศทาง ก่อนจะแปรสภาพเป็นควันสีเทาและวูบบบบ! สลายหายไป

 

พฤษามารโลกายังคงพวยพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปจนกระทั่งสุดขอบของฟากฟ้า

 

“นายน้อย เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้มิได้มีผู้ฝึกยุทธอยู่ก็จริง แต่มารโลกาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ข้าเกรงว่า .. ” ฉานนู่เอ่ยปากออกมา

 

แต่กู่ฉิงซานโบกมือ ส่งสัญญาณให้เธอหยุด

 

ช่วงเวลาต่อมา เห็นแค่เพียงมัดกล้ามสีเลือดขนาดใหญ่ที่พุ่งขึ้น ทอดเงาลงมาในนิกายกวงหยาง และค่อยๆยกระดับสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

พฤษามารโลกาต้นนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลม ขณะที่ชั้นอากาศโดยรอบมันสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกับกำลังพยายามค้นหาพลังวิญญาณอยู่

 

อีกนิดเดียว .. อีกนิดเดียวพฤษามารโลกาต้นนี้ก็จะพุ่งเสียบเข้ากับขอบเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางแล้ว นิดเดียวจริงๆ

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานไม่มีเวลามากพอที่จะรู้สึกสุขใจที่ตนนั้นโชคดี เพราะในสายตาของเขา ไม่ใกล้ไม่ไกล เจ้าตัวได้ค้นพบกับพฤษามารโลกาอีกต้นหนึ่งแล้ว

 

พฤษามารโลกาเริ่มทยอยกันผุดขึ้นมาทีละต้น ทีละต้น

 

ต้นไม้ยักษ์เหล่านี้เริ่มทะยานเบียดเสียดกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลายเกาะลอยฟ้าไม่มีเวลาจะทันได้ตอบสนอง และถูกพวกมันบดขยี้จนแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

เกาะลอยฟ้าที่ยังอยู่ เริ่มที่จะถูกทำลายลง

 

ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนเกาะเหล่านี้ก็กระจัดกระจายตัวออกไปบนท้องฟ้า

 

พวกเขาจำเป็นที่จะต้องปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา เพื่อป้องกันมิให้ตนเองร่วงตกลงไปยังร่างหลักของมารโลกาที่อยู่เบื้องล่าง

 

แต่น่าเสียดาย ที่วิธีนี้มิแตกต่างไปจากการดื่มยาพิษเพื่อดับกระหายเลย มันส่งผลตรงกันข้าม ความพินาศของพวกเขากลับรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม

 

เมื่อพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธปรากฏขึ้น มารโลกาก็จับสัมผัสถึงมันได้ในทันที

 

ทันใดนั้นผลไม้สีแดงเลือดก็ผุดออกมาตามกิ่งก้านของพฤษามารโลกาที่อยู่ใกล้เคียงกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ

 

“โผล๊ะ”

 

ตามด้วยเสียงของผลไม้ที่ระเบิดออก

 

เห็นแค่เพียงหนังมนุษย์ที่บางเบาราวกับปีกจั๊กจั่นร่วงตกลงมาจากผลไม้

 

พวกมันจ้องมองไปยังผู้ฝึกยุทธและหัวเราะออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง “ยอด ยอดเยี่ยม”

 

นี่คือร่างมีจิตสำนึกของมารโลกา

 

จากนั้น พฤษามารโลกาตลอดทั้งต้นก็เต็มไปด้วยผลไม้ที่ผุดขึ้นมาโดยสมบูรณ์

 

หนังมนุษย์เริ่มที่จะทวีจำนวนมากยิ่งขึ้น

 

พวกมันต่างพากันจ้องมองไปยังผู้ฝึกยุทธที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ ปากอ้าหัวเราะอย่างพร้อมเพรียง “ยอด ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ที่มีจิตวิญญาณแสนอร่อยมากมายขนาดนี้!”

 

ตูม ตูม ตูม!

 

พฤษามารโลกาผุดขึ้นมาทั่วทั้งโลกอย่างไม่หยุดยั้ง และเริ่มทิ่มทำลายเกาะลอยฟ้าลงอย่างต่อเนื่อง

 

เกาะแล้ว เกาะเล่าต่างทยอยกันถูกทำลายลง

 

พร้อมกับจำนวนของผู้ฝึกยุทธที่ลอยล่องอยู่ในอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ

 

พวกเขาหลบลี้ออกจากเกาะลอยฟ้าด้วยความหวาดกลัว แต่เมื่อออกมาแล้ว ตนก็ไม่รู้ว่าจะหนีเอาชีวิตรอดไปที่ไหนอยู่ดี

 

อย่างไรก็ตาม พฤษามารโลกาก็ยังเพิ่มจำนวนมากขึ้น และปลดปล่อยร่างมีจิตสำนึกของมันออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

หนังมนุษย์ที่มิอาจคาดคำนวณถึงจำนวนได้ปรากฏกายขึ้นอยู่ กระจายกันไปทั่วผืนฟ้า

 

ในขณะที่พวกมันบางตน .. เริ่มจะทำการออกล่าแล้ว!

 

และแน่นอน อย่างที่เคยได้กล่าวไป ว่าความว่องไวของพวกมันน่ะรวดเร็วยิ่ง! ผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆทั่วไปน่ะ ย่อมไม่มีทางตอบสนองได้ทัน

 

ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าคนหนึ่งหยิบฉวยสมบัติมนตราขึ้นมาต่อต้านพวกมัน แต่ก็ทำได้เพียงครั้งสองครั้ง ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ถูกโอบกอดและสูบกินอย่างรวดเร็วโดยพวกหนังมนุษย์

 

—ต้องรู้นะว่านี่มิใช่ร่างมีจิตสำนึกของพฤษามารโลกาเพียง 1 หรือ 2 ต้น

 

แต่มันคือพฤษามารโลกานับหมื่นๆต้น! ที่ปลดปล่อยคลื่นมอนสเตอร์โถมทับออกมาบดขยี้เหยื่อในเวลาเดียวกัน!

 

ได้ยินแค่เพียงร่ำร้องด้วยความสิ้นหวังจากท่วมกลางดงหนังมนุษย์ สักพักเสียงที่ว่านั่นก็ค่อยๆจางหาย

 

แล้วพวกหนังมนุษย์ก็แยกย้ายกันไป

 

และในอากาศที่ว่างเปล่า ก็ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของผู้ฝึกยุทธคนนั้นอีกเลย

 

ชัดเจนว่าเขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ทว่าทั้งคนทั้งร่างของเขากลับถูกกลืนกินลงในพริบตา ไม่มีหลงเหลือ

 

เมื่อถูกห้อมล้อมไปด้วยร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาที่มีจำนวนไร้ที่สิ้นสุด ความแข็งแกร่งของขีดสุดความว่างเปล่าก็เล็กจ้อย ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด

 

หลังจากที่สูบกินผู้ฝึกยุทธแล้ว เหล่าหนังมนุษย์ก็บิดกายบางๆของพวกมัน และเปลี่ยนทิศทางไป

 

พวกมันเริ่มทำการมองหาสถานที่อื่น

 

เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้า เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายแม้อยากจะหลบหนี แต่ก็มิอาจรอดพ้น

 

ทันใดนั้นฉากไล่ล่านองเลือดก็ปรากฏขึ้นอีกครา

 

พร้อมกับเสียงร่ำไห้กรีดร้องที่ดังขึ้น

 

หมอกเลือดกระจายไปทั่วฟ้า

 

ผสมปนเปไปกับเสียงหัวเราะอันวิปลาสของหนังมนุษย์

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธมิอาจต่อต้าน และทยอยกันถูกสูบกินไปอย่างรวดเร็ว

 

ในทุกๆอากาศที่ว่างเปล่าในระยะสายตา ไม่ว่าจะมองไปที่ใด ก็ล้วนเห็นแต่หนังมนุษย์ที่กำลังสูบกินผู้คนอยู่

 

พวกมันเพลิดเพลินไปกับการสูบกิน ราวกับครื้นเครงในงานฉลองครั้งยิ่งใหญ่

 

นี่แหละ .. คือช่วงเวลาสุดท้ายของโลกทั้งใบล่ะ!

 

ณ เกาะลอยฟ้านิกายกวงหยาง

 

“นายน้อย แล้วพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?” ฉานนู่เอ่ยถามด้วยความกังวล

 

“เจ้าจงเปลี่ยนกลับไปเป็นดาบเสีย ในเวลานี้ ข้าจักเผชิญหน้ากับมันด้วยตนเองโดยลำพัง”

 

“ทำไมกัน? ข้าสามารถช่วยเจ้าได้นะ” ฉานนู่เอ่ยถามด้วยความสับสน

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “เวลานี้มิได้เกี่ยวข้องกับกำลังรบ แต่เป็นการตอบสนองอย่างฉับไว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนยิ่งน้อยก็ยิ่งดี”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ฉานนู่แปลงกายเป็นดาบขุนเขาเทวะหกโลกา และถูกคว้าจับโดยมือของกู่ฉิงซาน ก่อนจะถูกเก็บกลับคืนไปในทะเลแห่งห้วงสติ

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก สายตาเบนออกไปมองภายนอกของเกาะลอยฟ้า

 

ต้นไม้ที่บีบม้วนไปด้วยเส้นเลือดและเนื้อยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

หากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป เกาะลอยฟ้าทั่วทุกมุมโลกคงไม่สามารถหลบหนีจากโชคชะตา และถูกพวกมันทิ่มแทงขึ้นมา บดขยี้ทำลายจนเป็นผุยผงเป็นแน่

 

กู่ฉิงซานมองไปยังผู้ฝึกยุทธบนท้องฟ้า

 

ผู้ฝึกยุทธบางคน ได้ร่วมมือกับคนอื่นๆ ปลดปล่อยพลังวิญญาณ ช่วยกันใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราขนาดใหญ่เพื่อต้านทานร่างมีจิตสำนึกของมารโลกา

 

แต่นั่นมันก็ไร้ความหมายอยู่ดี

 

ด้วยจำนวนของร่างมีจิตสำนึกที่มากกว่าอย่างเหลือล้น

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ร่วมแรงร่วมใจกันก็พ่ายแพ้ลง และถูกสูบกินเป็นอาหารอย่างรวดเร็ว

 

“นี่สินะ … ที่เรียกกันว่าการบดขยี้โดยสมบูรณ์ด้วยอำนาจที่เด็ดขาดยิ่งกว่า …”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและเอ่ยพึมพำออกมา

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจดังกล่าว ต่อให้เป็นเขาก็ไม่อาจรับมือกับมันได้เหมือนกัน

 

แต่อย่างน้อยเขาก็โชคดี

 

ที่เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางมิได้ถูกทำลายลงตั้งแต่ในทีแรก

 

ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกยังคงทำงานได้ดี อย่างน้อยในสถานที่แห่งนี้ก็จะไม่มีร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาปรากฏขึ้นชั่วคราว

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวก็คงอยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็เร็วเกาะลอยฟ้าแห่งนี้คงถูกทำลายลง

 

กู่ฉิงซานจึงเร่งใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้ของเขา ทำการสังเกตโลกทั้งใบในระยะสายตา

 

เขาต้องการที่จะรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะค้นหาวิธีจัดการแก้ปัญหากับมัน

 

โฮกกก!

 

มารโลกาคำรามคำหนึ่ง และเสียงของมันก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงไปตลอดทั้งโลก

 

ขณะเดียวกัน พฤษาสีเลือดก็ทวีจำนวนมากขึ้น จนผุดขึ้นเติมเต็มโลกทั้งใบ

 

ในวิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซาน  ราวกับจู่ๆตนก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปในท้องฟ้าอันไกลโพ้น

 

เห็นแค่เพียงในอากาศที่ว่างเปล่า เกาะลอยฟ้าที่อยู่เบื้องบน จู่ๆก็ค่อยๆลดระดับลง

 

กูู่ฉิงซานกวาดสายตาไปมองรอบทิศทางอีกครั้ง

 

และค้นพบว่า เกาะลอยฟ้าทั้งหมดที่ยังคงเหลือรอด บัดนี้กำลังลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง ราวกับถูกดึงลงมาจากฟากฟ้าด้วยพลังอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็น

 

ทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดกระแสทมิฬหมุนวนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

อากาศที่ว่างเปล่าสลายหายไปทันที

 

ขณะที่ท้องฟ้าเบื้องบน ดูเหมือนว่าจะลดระดับต่ำลงมาจากเดิมเป็นอย่างมาก

 

“มิติ … กำลังหดตัวลง?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ

 

ซึ่งนี่มันแตกต่างจากจินตนาการของเขา โลกมิได้ล่มสลายลงไปในทันที แต่ผลคือมันกลับค่อยๆลดขนาดของตัวเองลงอย่างฉับพลัน

 

ในกรณีนี้ กล่าวได้ว่าหากการล่มสลายของโลกได้ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุดเมื่อไหร่ แล้วยังมีผู้ฝึกยุทธคนใดเหลือรอด สุดท้ายด้วยผืนฟ้าที่หดแคบลง มันก็บีบบังคับให้พวกเขาต้องเผชิญกับมารโลกาเบื้องล่างอยู่ดี

 

และเมื่อถึงเวลานั้น ทุกสิ่งอย่างคงไม่มีอะไรที่จะสามารถทำได้อีก

 

ปัง!

 

ภายใต้เสียงนี้ เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางก็เริ่มจะเอนเอียง

 

พฤษามารโลกาต้นใหญ่ ได้ทะยานขึ้นมายังเบื้องบนท้องฟ้า และทิ่มแทงปลายยอดของมันปะทะเข้ากับเกาะลอยฟ้าของนิกายในที่สุด

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอำนาจของพฤษายักษ์ ค่ายกลป้องกันของเกาะลอยฟ้าก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง

 

ผืนดินตลอดทั้งเกาะลอยฟ้าบังเกิดการสั่นไหว

 

รอยร้าวบนพื้นดินแตกแขนงอย่างรวดเร็ว และเพียงพริบตา กว่าครึ่งของตัวเกาะก็เริ่มพังทลายลง

 

ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งของเกาะยังคงลอยอยู่กลางอากาศ แม้จะฟุ้งไปด้วยฝุ่นผง แต่มันก็ยังคงไม่ล่มสลายลงทันที

 

ทว่าเมื่อตัวเกาะพังทลายลง ก็แน่นอนว่าแสงสวรรค์จากค่ายกลต้องเล็ดลอด นี่ย่อมที่จะดึงดูดเหล่าหนังมนุษย์มากมายให้มุ่งตรงเข้ามาทันที

 

ฝูงของพวกมันบินวนล้อมรอบอยู่ครู่หนึ่ง

 

ใช่ มีสิ่งมีชีวิตมากมายอยู่บนเกาะแห่งนี้ก็จริง

 

แต่สิ่งมีชีวิตที่ว่าล้วนธรรมดาเกินไป มันเล็กจ้อย และที่สำคัญไม่มีพลังวิญญาณ

 

มันมิใช่สิ่งที่หนังมนุษย์ให้ความสนใจ

 

เฝ้ารออยู่ชั่วขณะหนึ่ง

 

จนกระทั่งตลอดทั้งเกาะเริ่มร่วงหล่นมาลง ก็ยังไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดปรากฏตัวขึ้น

 

เห็นแค่เพียงเกาะลอยฟ้าที่ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ เหล่าหนังมนุษย์ก็อดทนรอต่อไปไม่ไหว และกระจายตัวกันออกไป

 

บนท้องฟ้า ยังคงมีเหยื่ออันโอชะจากเกาะอื่นๆรอพวกมันอยู่ ฉะนั้นเหตุใดจึงต้องมาสนใจเกาะว่างเปล่าแห่งนี้ด้วย?

 

หนังมนุษย์ทั้งหมดต่างละทิ้งที่นี่โดยสิ้นเชิง และเริ่มออกไปล่าเหยื่อในตำแหน่งอื่นแทน

 

ขณะเดียวกัน เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยางก็แยกแตกออกจากกันโดยสมบูรณ์ และกำลังร่วงตกลงไปยังเบื้องล่าง

 

และตลอดทั้งเกาะ ส่วนสุดท้ายที่ร่วงตกลง ก็คือบนยอดเขา

 

ภูเขาที่เคยตระการตา และถูกแต่งแต้มไปด้วยธารน้ำ ในปัจจุบันค่อยๆพังทลายลง แยกแตกเป็นสองส่วน

 

สิ่งมีชีวิตในภูเขาและแม่น้ำเริ่มจะพากันวิ่งเตลิดด้วยความหวาดกลัว

 

แต่ก็น่าเสียดายที่พวกมันเป็นเพียงสัตว์ป่าที่หาไม่มีภูมิปัญญาทางจิตไม่ ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่กระจ่างใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่

 

พวกมันทยอยกันร่วงตกลงบนร่างของมารโลกา และค่อยๆจมหายไป แปรเปลี่ยนเป็นสารอาหารอันน้อยนิด เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายของมารโลกา

 

บนภูเขา แท้จริงแล้วกลับยังคงหลงเหลือลิงหางไหม้อยู่อีกตัวหนึ่ง มันปีนป่ายอย่างคล่องแคล่วขึ้นไปบนจุดสูงสุดของยอดเขา

 

ทั้งมือทั้งเท้าของมันขยับขยายเคลื่อนกายอย่างฉับไวยิ่ง กล่าวได้ว่ามันได้สำแดงข้อดีของลิงออกมาอย่างเต็มที่

 

ขณะที่แม่น้ำและภูเขายังคงถล่มลงมาอย่างต่อเนื่อง

 

ทว่าลิงหางไหม้ตนนี้กลับยังคงปีนป่ายอย่างไม่หยุดยั้ง ปีนป่ายต่อไปเรื่อยๆ

 

จนในที่สุด ภูเขาและแม่น้ำก็ล่มสลาย กระจัดกระจายลงอย่างสมบูรณ์ ทว่าลิงหางไหม้ก็ได้มาถึงยอดเขาพอดิบพอดี

 

มันยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขา โค้งกายลง ช่วงขาล่างเกร็งแน่น จากนั้นก็เตรียมทะยานตัวไปสู่ฟากฟ้า

 

ในตอนนั้นเอง ภูเขาและแม่น้ำก็ล่มสลายลง

 

แต่มันก็เป็นเวลาเดียวกันกับลิงหางไหม้กระโดดออกไปเช่นกัน

 

มันคว้าจับกิ่งไม้เอาไว้!

 

และนี่คือกิ่งไม้ของเกาะลอยฟ้าอีกเกาะหนึ่ง

 

ทันทีที่เกาะลอยฟ้าทั้งสองบินสวนกัน ลิงหางไหม้ก็ฉวยโอกาสนั้นกระโดดข้ามเกาะมา และมันก็ทำได้สำเร็จ!

 

ลิงหายไหม้หมุนกายอย่างคล่องแคล่ว และปีนป่ายไปตามต้นไม้ใหญ่ด้วยความชำนาญ

 

ทว่ามันยังมิทันได้มีเวลาพักผ่อน แท้จริงแล้วกลับได้ยินถึงเสียงอึกทึกที่ดังก้องอีกครั้ง

 

เกาะลอยฟ้าที่ตนพึ่งจะหลบหนีมา … ถูกพฤษามารโลกาทิ่มแทงเอาเสียแล้ว!

 

เนื่องจากตำแหน่งของเกาะแห่งนี้อยู่ต่ำเกินไป ดังนั้นยามที่ถูกปะทะโดยพฤษามารโลกา ตลอดทั้งเกาะจึงแตกกระจาย กลายเป็นควันสีเทาไปในพริบตา

 

ลิงหางไหม้ก้มลงมองความพินาศของเกาะ

 

มันกระโดดขึ้นอีกครั้ง

 

อย่างไรก็จตาม คราวนี้เกาะอื่นๆที่อยู่ในบริเวณโดยรอบนั้นช่างห่างไกล … ไกลเกินกว่าที่จะสามารถกระโจนไปถึงได้

 

ตลอดทั้งเกาะที่มันอยู่พังทลายลง และร่วงตกลงสู่เบื้องล่างโดยสมบูรณ์

 

ซากปรักหักพังของเกาะทยอยกันตกลงบนร่างของมารโลกาค่อยๆจมลงและหายไป

 

ณ กลางอากาศ

 

บนตำแหน่งเดิมของเกาะที่ล่มสลาย บัดนี้กลับปรากฏให้เห็นถึงผีเสื้อตัวหนึ่ง ที่กำลังขยับปีกของมันอย่างแผ่วเบา และค่อยๆบินไปยังเกาะลอยฟ้าอีกแห่งหนึ่ง

 

ขณะโบยบิน ผีเสื้อตัวนั้นก็หันไปมองโดยรอบด้วยความระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา

 

เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้าสูง หมู่เกาะเบื้องบนถูกบังคับกดดันให้ลดระดับลงมา

 

ขณะที่บางเกาะก็ร่วงตกลงไปเลยโดยตรง

 

ส่วนบางเกาะก็ยังไม่เต็มใจ และพยายามยื้อแรงกดดันให้เป็นไปอย่างช้าๆ

 

ตลอดทั้งโลกล่องเวหา ทุกๆเกาะลอยฟ้ากำลังถูกบังคับให้ลดระดับลง

 

จะลดลงมันก็ได้อยู่หรอก … แต่ห้ามไปสัมผัสโดนกับร่างกายของมารโลกาเด็ดขาด!

 

เพราะหากสัมผัสโดนแล้ว ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดรอดพ้นไปจากร่างกายของมันไปได้

 

ผีเสื้อกระพือปีกและยังคงบินไปยังเป้าหมายของมันอย่างต่อเนื่อง

 

โดยปกติแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หากคิดจะบินฝ่าท้องฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยหนังมนุษย์

 

แต่ผีเสื้อน่ะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆที่แสนจะอ่อนแอ

 

มันไร้ซึ่งพลังวิญญาณ

 

ร่างมีจิตสำนึกของมารโลกาจึงพุ่งผ่านมันไปอย่างไม่ใยดี และเร่งพรวดเข้าไปโอบกอดเหล่าผู้ฝึกยุทธที่กำลังพยายามหลบหนีด้วยความสิ้นหวัง

 

–เพราะผู้ฝึกยุทธคืออาหารอันโอชะที่สุดแสนเอร็ดอร่อย ดังนั้นเหล่าหนังมนุษย์จึงต้องแย่งชิงกันเพื่อที่จะได้สูบกิน

 

พวกมันจะมามัวเสียเวลาไร้สาระอย่างการไล่จับผีเสื้อไม่ได้!

 

ผีเสื้อตัวน้อยจึงสามารถบินไปยังอีกเกาะหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปได้อย่างปลอดภัย

 

สถานที่แห่งนี้ มันเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวาง

 

และทันทีที่ผีเสื้อบินมาถึงเกาะนี้

 

มันก็ลดตัวลงกับพื้น และแปลงกายเป็นกวางยู่หลู

 

นี่คืออสูรวิญญาณขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวและเพรียวลมเป็นอย่างยิ่ง

 

ในช่วงก่อนที่มารโลกายังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นในโลกใบนี้ อสูรวิญญาณชนิดนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้ฝึกยุทธ

 

เพราะมันวิ่งได้เร็วเกือบจะเท่ากับความว่องไวในการเหินบินของผู้ฝึกยุทธเลยทีเดียว!

 

กวางยู่หลูวิ่งเหยาะๆไปไม่กี่ก้าวมันก็เริ่มผ่อนแรงลง

 

เมื่อพบกับร่มเงาของต้นไม้ มันจึงนั่งพับขาและเริ่มจะพักผ่อน

 

กำลังทางกายภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในช่วงเวลานี้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ย่อมไม่สมควรที่จะปล่อยมันไปอย่างสูญเปล่า

 

กวางยู่หลูมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สายตาจับสังเกตถึงการถูกทำลายล้างลงของเกาะลอยฟ้าต่างๆ ขณะเดียวกันก็เฝ้าดูเหล่าผู้ฝึกยุทธที่ทยอยกันจบชีวิตลง

 

การแสดงออกของมันช่างดูหนักแน่นและสงบเงียบ ราวกับว่าการล่มสลายของโลกทั้งใบนี้ มิได้มีผลกระทบใดๆต่อมันเลยแม้แต่น้อย

 

บนท้องฟ้า เกาะที่ยังคงเหลือรอดน้อยลง น้อยลงเรื่อยๆ

 

ปัง!

 

หลังจากนั้นไม่นาน เกาะที่มันกำลังพำนักอยู่ก็ถูกโจมตีเช่นกัน

 

เกาะเริ่มที่จะพังทลายลง

 

และกวางยู่หลูตัวนั้นก็ผุดลุกขึ้น และเริ่มวิ่งทะยานออกไปทันที

 

มันยืดขยายขาทั้งสี่ แปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสงและวิ่งข้ามผ่านผืนป่าไป

 

และแน่นอน ว่าขณะวิ่ง มันก็กำลังเฝ้ามองดูเกาะต่างๆบนท้องฟ้าไปด้วย

 

ทันใดนั้นเอง เกาะลอยฟ้าที่มันอยู่ซึ่งสูญเสียสมดุลก็ลอยเหวี่ยงไปยังทิศทางของเกาะอีกแห่งหนึ่ง

 

ซึ่งเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยทะเลสาบ

 

ในขณะเดียวกัน ตัวเกาะก็เริ่มเอนเอียง แหงนขอบของมันสู่ฟากฟ้า

 

แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะว่ากวางยู่หลูตัวนี้น่ะรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง

 

มันวิ่ง วิ่ง วิ่งไปยังส่วนบนสุดของพื้นดินที่กำลังเอนเอียง

 

มีเพียงแค่การขึ้นมาจนถึงด้านบนสุดเท่านั้น จึงจะมีโอกาสรอดชีวิต

 

ในเวลาเดียวกันกับที่กวางยู่หลูตัวนี้ขึ้นมาถึงด้านบนสุดของผืนป่า-

 

เกาะลอยฟ้าทะเลสาบก็ปะทะเข้ากับเกาะที่มันอยู่ในสภาพแทบจะตั้งฉากกัน

 

ปัง!

 

ในระหว่างการปะทะกันอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

น้ำในทะเลสาบสาดกระจาย กลายเป็นละอองลูกปัดใสเม็ดเล็กๆ กระจายไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั่วผืนดิน ก่อนจะร่วงตกลงมาราวกับห่าฝน

 

น้ำในทะเลสาบหลั่งไหลลงจากท้องนภา ราวกับพายุฝนฟ้าคะนองที่มิเคยปรากฏขึ้นตั้งเนิ่นนานแล้ว

 

-ทว่าก่อนที่ทั้งสองเกาะจะชนกัน กวางยู่หลู่ก็ได้มาถึงด้านบนสุดของผืนป่าเป็นที่เรียร้อยแล้ว

 

มันรวดเร็วยิ่งกว่า!

 

เมื่อเสียงสั่นสะเทือนของผืนดินสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น กวางยู่หลูตนหนึ่งก็กระโจนสูงไปทันใด

 

มันวิ่งออกจากเกาะด้วยความเร็วจากแรงที่ได้รับการสะสมมา

 

กลางอากาศ ไม่กี่สิบหนังมนุษย์อันน่ารังเกียจบินผ่านมันไป

 

พวกมันกระโจนเข้าหากลุ่มผู้ฝึกยุทธหลายคนตรงหน้า และเริ่มสูบกินอาหารอันโอชะจนเกลี้ยง

 

ขณะที่กวางยู่หลูทะลุผ่านท้องฟ้าอันกว้างใหญ่  โดยทิ้งสองเกาะที่ถูกทำลายลงเอาไว้เบื้องหลัง

 

แล้วมันก็มาร่วงตกลงบนเกาะทะเลสาบอีกแห่งหนึ่ง

 

นี่คือเกาะสุดท้ายในทั่วบริเวณที่ยังคงเหลืออยู่ และมันเป็นพำนักใหม่ที่ตนได้เลือกเฟ้นเอาไว้ตั้งแต่การกวาดสายตาสำรวจก่อนหน้านี้แล้ว

 

ถึงมันจะถูกทำลายลงแน่ๆ แต่อย่างน้อย ก็มีแนวโน้มว่าน่าจะทิ้งช่วงให้พักได้สักหลายสิบลมหายใจ

 

จ๋อม!

 

น้ำสาดกระเซ็น

 

กวางยู่หลูทิ้งตัวเองให้จมลงไปในทะเลสาบ

 

และวินาทีต่อมา กวางยู่หลูก็หายไป แต่กลับปรากฏถึงปลาคาร์พที่มีลวดลายงดงามตัวหนึ่งลอยขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำแทน

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.473 – ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ (1)

 

ภูเขาสูงลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า

 

ณ จุดยอดของภูเขา ปรากฏตัวตนทรงอำนาจในขอบเขตลมปราณจิตอยู่ถึง 4 คน

 

พร้อมกับผู้หญิงที่สวมหน้ากากจิ้งจอกขาว กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์เหนือพวกเขา

 

“เช่นนั้น เจ้ากำลังจะบอกว่าฉีหยานได้ตายลงไปแล้ว?” สตรีแห่งรากษสเอ่ยถาม

 

“ใช่ ฉีหยานถูกสังหารลงแล้วโดยหวังหงษ์เต๋า นี่คือสิ่งที่หวังหงษ์เต๋ากล่าวออกมาด้วยตนเอง”

 

เย่หยิงเหมยที่กำลังคุกเข่า กล่าวรายงานด้วยความเคารพ

 

“เจ้าเชื่อในคำของหวังหงษ์เต๋างั้นรึ? มิใช่เจ้ารู้ดีอยู่แล้วหรอกหรือว่าเขาเป็นคนเช่นไร?” เสียงของสตรีแห่งรากษสค่อนข้างไม่พอใจเล็กน้อย

 

“รายงานนายหญิง ข้ามิได้เชื่อในคำของหวังหงษ์เต๋า” เย่หยิงเหมยเอ่ยตอบด้วยความนอบน้อม

 

“แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าฉีหยานตายไปแล้ว?” สตรีแห่งรากษสเค้นถาม

 

“เพราะข้าได้ลอบสังเกตการณ์โดยการใช้ค่ายกลแจ้งเตือนขนาดใหญ่อย่างลับๆ และพบว่าตลอดทั้งเกาะ มีเพียงหวังหงษ์เต๋าและตัวข้าเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่”

 

“จากนั้น ข้าจึงมุ่งหน้าไปหาหวังหงษ์เต๋า แล้วก็ได้ข้อสรุปเดียวกันนี้จากปากของเขา”

 

เมื่อสตรีแห่งรากษสได้ยินถึงจุดนี้ เธอก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

 

ตนเองเพียงแค่เปิดปากสั่งเท่านั้น ก็สามารถสังหารเจ้าเศษสวะลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามใดๆ

 

แม้กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตนก็ยังไม่ต้องออกหน้าด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นหวังหงษ์เต๋าที่ลงมือสังหารฉีหยาน เพื่อประจบตนแทน

 

ในที่สุด กลิ่นเน่าเหม็นที่คอยตามรังควานก็หมดไปเสียที

 

เมื่อเห็นถึงการแสดงออกของฝ่ายตรงข้าม หัวใจของเย่หยิงเหมยก็ค่อยๆกลับมาสงบลง และยังคงรายงานต่อไปว่า “ปรมาจารย์เฟิง หวังหงษ์เต๋าไม่เพียงลงมือแทนพวกเรา แต่เขายังฝากฝังให้ข้านำของขวัญมามอบให้แก่ท่านปรมาจารย์เฟิงอีกด้วย”

 

“ของขวัญ?” สตรีแห่งรากษสเอ่ยทวนซ้ำ

 

“ใช่ ของขวัญ”

 

มุมปากของสตรีแห่งรากษสยกสูงขึ้นเล็กน้อย แสดงออกถึงรอยยิ้มเยาะหยัน

 

พร้อมกับผู้ฝึกยุทธในสถานที่แห่งนี้ที่ต่างพากันหัวเราะออกมา

 

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หวังหงษ์เต๋าผู้นี้ คงคิดจะติดสินบนเพื่อหมายจะพึ่งพาพวกเรา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว อีกไม่นาน ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็กำลังจะกลายมาเป็นหุ่นเชิดของพวกเราในไม่ช้า … ของขวัญอย่างนั้นหรือ เหอะ!”

 

อีกลมปราณจิตก็กล่าวด้วย “นั่นสิ อีกไม่นานของทุกสิ่งที่เขาครอบครองก็ต้องกลายมาเป็นของปรมาจารย์เฟิงอยู่แล้ว ตอนนี้ต่อให้จะมอบของขวัญอะไรมา มันก็เป็นเพียงแค่การหยิบยื่นให้ปรมาจารย์เฟิงล่วงหน้าก็เท่านั้นเอง”

 

“ลืมมันเถอะ มาดูกันว่าดีกว่าว่าของขวัญที่ว่านี้คือสิ่งใด” สตรีแห่งรากษสโบกมือและกล่าว

 

“เจ้าค่ะ”

 

เย่หยิงเหมยตบลงในถุงสัมภาระ หยิบเอากล่องขนาดใหญ่ออกมา แล้วส่งมันผ่านทางอากาศ

 

กล่องใหญ่ค่อยๆลอยเบาๆมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของสตรีแห่งรากษส

 

นี่คือกล่องเก็บของทั่วๆไป ที่สามารถป้องกันมิให้ใช้จิตสัมผัสเทวะเข้ามาตรวจสอบภายในได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าของที่อยู่ภายในนี้นั้นคือสิ่งใด

 

“ปรมาจารย์เฟิง  ได้โปรดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตรวจสอบกล่องก่อนเถิด เผื่อในกรณีที่ว่าอาจมีการวางอุบายเอาไว้” ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตกล่าว

 

หากมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตลงมือตรวจสอบด้วยตนเอง ต่อให้กล่องใบนี้กำลังเก็บซ่อนตัวของหวังหงษ์เต๋าเอาไว้ เขาก็ไม่สามารถทำการลอบสังหารใดๆได้อย่างแน่นอน

 

ทุกสิ่งอย่าง ไม่เว้นกระทั่งกับดัก หากเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด

 

สตรีแห่งรากษสขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

 

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตยื่นมือออกไป และลูบไล้ตามกล่อง

 

แล้วอักษรรูนที่ประทับอยู่บนกล่องก็หายไปทันที

 

ซึ่งตราประทับอักษรรูนนี้ เป็นตัวบ่งบอกว่ากล่องยังไม่เคยได้ถูกเปิด

 

นี่คือการรับประกันว่าสิ่งของด้านใน จะมิได้ถูกลอบดูหรือสับเปลี่ยนระหว่างทางที่จัดส่งมา

 

ผู้ฝึกยุทธลมปราณจจิตจีบออกด้วยวิชาลับ และตบลงบนกล่องอย่างแรง

 

พลังวิญญาณอันไร้ที่สิ้นสุดผลุบหายเข้าไปในกล่อง

 

เมื่อถูกเจ้าสิ่งนี้เข้าไป หากเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างเช่นนักฆ่าแล้วล่ะก็ ผู้ฝึกยุทธที่มีพลังวิญญาณในขอบเขตลมปราณจิตก็จะรับรู้ได้ทันที

 

—หรือหากมีกับดัก , เทคนิคมนตรา ฯลฯ อยู่ภายใน เมื่อสัมผัสกับพลังวิญญาณเมื่อครู่ มันก็สมควรที่จะถูกเปิดใช้งานไปแล้ว

 

ทว่ากล่องยังคงสงบนิ่ง ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ

 

ดูเหมือนว่ามันสมควรจะไม่มีปัญหา

 

ฝูงชนโดยรอบคลายใจลงเล็กน้อย

 

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หวังหงษ์เต๋าคงอยากจะเข้ามาขออาศัยในนิกายข้าจนอดรนทนไม่ไหวแล้วกระมัง เอ .. แต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี บางทีคนผู้นี้อาจกินดีหมีหัวใจเสือมาแล้วคิดทำอะไรแผลงๆก็ได้ แต่หากเขาทำ ข้านี่แหละจะเป็นผู้ออกไปกำจัดเขาด้วยตนเอง”

 

“หวังหงษ์เต๋าน่ะเป็นพวกมีสมอง ข้าไม่คิดว่าเขาจะวางกับดักเอาไว้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้มีกับดัก ทั้งข้า และพวกเจ้าในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ย่อมสามารถรับมือกับมันได้อย่างแน่นอน ” หนึ่งในนั้นส่ายหัว

 

ว่าจบ ต่างคนก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย

 

“แต่พวกเราก็ต้องระมัดระวังอยู่ดี มาเปิดกล่องจากด้านล่างนี้กันดีกว่า” ลมปราณจิตที่ถือกล่องกล่าว

 

“เฮ้อ .. เปิดๆมันสักทีเถอะ” สตรีแห่งรากษสหาวด้วยความเบื่อหน่าย

 

สิ่งของดีๆในโลกใบนี้น่ะ สตรีแห่งรากษสได้เก็บรวบรวมเอาไว้จนเกือบจะครบทุกสิ่งแล้ว

 

ดังนั้น สมบัติใดที่หวังหงษ์เต๋ามอบให้มา เธอจึงไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันเลย

 

ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตเปิดกล่อง

 

เห็นแค่เพียงดิสก์ค่ายกลที่ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังสั่นไหวเบาๆอย่างต่อเนื่อง

 

พร้อมกับอีกหลายค่ายกล ที่กำลังวิ่งวนอยู่รอบตัวดิสก์

 

“ดิสก์ค่ายกลงั้นหรือ?” ทุกคนร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

 

นี่มันช่างประหลาดนัก

 

หากนี่เป็นดิสก์ค่ายกลโจมตี มันก็สมควรจะถูกกระตุ้นใช้งานไปแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ดิสก์ค่ายกลนี้ เห็นได้ชัดว่ามันมิได้ปลดปล่อยมนตราโจมตีใดๆออกมา

 

เช่นนั้นแล้วนี่คือดิสก์ค่ายกลประเภทใดกัน?

 

แม้ในสมองจะยังคงขบคิด แต่จิตใจและท่าทีกลับคลายลง

 

เพราะไม่ว่ามันจะเป็นดิสก์ค่ายกลประเภทใดก็ตาม ย่อมไม่มีทางสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตลงได้ – แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ตัวดิสก์ค่ายกลก็ยังไม่สามารถสังหารได้

 

“นี่มันคืออะไ-” สตรีแห่งรากษสกำลังเปิดปากถาม

 

ทว่าหนึ่งในปรมาจารย์ค่ายกลกลับตะโกนออกมาตัดหน้าเธอเสียก่อน

 

“ระวัง! นั่นมันคือดิสก์ค่ายกลทะลวงมิติขนาดเล็ก!”

 

ค่ายกลทะลวงมิติ ถูกคิดค้นขึ้นโดยปรมาจารย์ค่ายกลในอดีตที่ผ่านมา มันมีไว้ใช้ฉีกมิติที่ว่างเปล่า เพื่อหลบหนีออกจากโลกใบนี้

 

ขณะที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่ได้ใช้ค่ายกลทะลวงมิติ … ล้วนไม่เคยมีผู้ใดได้กลับมาอีกเลย

 

เสียงยังมิทันได้ตกลง ตัวดิสก์ค่ายกลก็ถูกกระตุ้นขึ้นโดยสมบูรณ์

 

วินาทีต่อมา ตัวตนทรงอำนาจอย่างลมปราณจิตทั้งสี่และเย่หยิงเหมยที่อยู่ตรงหน้ากล่องก็หายวับไป

 

สีหน้าของสตรีแห่งรากษสแปรเปลี่ยนกลับกลาย นางมีเวลามากพอที่จะหยิบสิ่งหนึ่งออกมาเท่านั้น แล้วก็หายตัวไป มิอาจหาร่องรอยได้อีกเลย

 

—นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายฉับพลันขนาดเล็ก ซึ่งได้นำพาผู้ฝึกยุทธที่แสนน่าหวาดหวั่น ทะลวงมิติจากไป

 

ตั้งแต่ที่ปรมาจารย์ค่ายกลได้คิดค้นถึงวิธีการทะลวงมิติในครั้งอดีตที่ผ่านมา ค่ายกลตรงหน้านี้ บางทีอาจจะเป็นค่ายกลทะลวงมิติที่รวดเร็วและชวนให้น่าตกตะลึงที่สุดที่เคยปรากฏขึ้นมาเลยก็เป็นได้

 

ย้อนความกลับไปในเหตุการณ์เมื่อครู่อีกครั้ง -กระบวนการเคลื่อนย้ายมิติบังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสถานที่แห่งนั้นถูกส่งทะลวงมิติไป ขณะเดียวกัน สตรีแห่งรากษสทุ่มความพยายามสุดกำลัง เพื่อกระตุ้นใช้งานสิ่งที่อยู่ในมือของเธอ

 

บังเกิดประกายแสงเรืองรองกระพริบไหว

 

เธอถูกแยกตัวออกจากแสงปกคลุมของค่ายกลเคลื่อนย้าย ขณะเดียวกันก็ฉีกมิติไปยังอีกความว่างเปล่าหนึ่ง

 

ในช่วงเวลาสุดท้าย เธอยังสามารถตอบสนองได้ทัน!

 

ทว่า … เมื่อมองไปยังทิศทางที่เธอกำลังมุ่งไป  มันดูเหมือนจะเป็นสถานที่อันไกลแสนไกลในกระแสมิติอันว่างเปล่า และบางที มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะสามารถกลับมายังโลกล่องเวหาได้

 

อีกด้านหนึ่ง

 

บนเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง

 

“นายน้อย ด้วยวิธีนี้ บางทีมันคงจะสามารถทำให้ผู้ทดสอบแห่งรากษสอีกคนถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันกับท่านไปเลยก็ได้นะ” ฉานนู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“ไม่หรอก ข้าก็แค่ทำให้อีกฝ่ายประสบปัญหาเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง บางทีสำหรับอีกฝ่ายแล้ว นางอาจจะสามารถกลับมาก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต่ข้าว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก การที่จะสามารถถอนตัวจากค่ายกลทะลวงมิติน่ะ …” ฉานนู่เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ

 

กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “อีกฝ่ายเคยถูกสังหารด้วยค่ายกลมาแล้วครั้งหนึ่งโดยข้า ฉะนั้น หากหลงกลด้วยวิธีเดิมซ้ำสอง นางก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่แข่งของข้า”

 

“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นอกเหนือไปจากในด้านความแข็งแกร่ง อีกฝ่ายสมควรจะเป็นศัตรูที่ข้าจักต้องทุ่มออกอย่างจริงจัง”

 

ฉานนู่รับฟัง แต่ขนาดใช้เวลาไปสักพักหนึ่งแล้ว เธอก็ยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่กู่ฉิงซานอธิบายอยู่ดี

 

กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในความคิด

 

ตนเองครอบครอง ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’ ขณะที่อีกฝ่ายครอบครอง ‘ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ’

 

ในช่วงเวลาสุดท้ายแห่งการทำลายโลก ทั้งสองวิชาลี้ลับนี้ล้วนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง

 

หากสตรีแห่งรากษสสามารถกลับมาได้ แล้วใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุเพื่อต่อกรกับตนเอง แล้วผู้ใดกันหนอ …  ที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ยาวนานกว่ากัน

 

ในเวลานั้นเอง ฉานนู่ก็ได้สติกลับคืน

 

“นายน้อย ข้าคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะได้เปรียบมากกว่าพวกเรานะ” เธอกล่าวด้วยความกังวล

 

“เพราะเหตุใดกันล่ะ?”

 

“เพราะอีกฝ่ายสามารถแปลงกายเป็นวัตถุที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณได้ โดยไม่ต้องมามัวสนใจว่าโลกจะถูกทำลาย ขณะที่นายน้อยสามารถแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตได้เท่านั้น และต้องมั่นใจว่าสิ่งที่ตนจะแปลง มันจะสามารถรักษาชีวิตให้รอดต่อไปได้อีกด้วย”

 

ที่พูดมามันก็ถูก

 

สตรีแห่งรากษสมิต้องทำอะไรมากมายเลย เธอเพียงแค่แสร้งแปลงกายเป็นก้อนหิน และหาที่โง่ๆนอนลง แล้วเฝ้ารอให้กระบวนการของโลกถูกทำลายลงก็พอแล้ว

 

ขณะที่กู่ฉิงซาน ไม่ว่าเขาจะแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตใด ก็จักต้องเผชิญหน้ากับการล่มสลายของโลกโดยตรงอยู่ดี

 

“สำหรับเรื่องนี้ มันก็ไม่แน่นักหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ปากเอ่ยรำพึง ขณะที่สมองขบคิด

 

“ข้าไม่เคยเห็นกระบวนการล่มสลายของโลกด้วยตาตัวเองมาก่อน ฉะนั้น นอกเหนือไปจากมารโลกาซึ่งเป็นตัวแปรขนาดใหญ่แล้ว – ข้าก็มิอาจคาดเดาได้อีกเลยว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แท้จริงจะยังคงมีตัวแปรใดหลงเหลืออยู่อีกบ้างหรือไม่”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ ขณะเดียวกันก็โบกมือไปทางฉานนู่

 

“พวกเราไปมองหาบางสิ่งกันเถิด”

 

“เจ้าค่ะ”

 

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็กลายเป็นกระแสแสง บินวนไปทั่วทุกหย่อมหญ้ารอบๆเกาะลอยฟ้า

 

ขณะที่ฉานนู่ติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิด

 

ยามเมื่อข้ามผ่านสวน กู่ฉิงซานก็จะอ้าแขน และคว้าจับผีเสื้อเอาไว้

 

ยามเมื่อข้ามผ่านลำธาร กู่ฉิงซานก็จะเอนกาย กระแสแสงม้วนลงเป็นเส้นโค้งและคว้าจับ ปลาที่กำลังแหวกว่าย

 

ยามเมื่อกระโจนขึ้นไปบนหน้าผาใหญ่ เขาก็ถลกขนของลิงหางไหม้ และเก็บมันไว้อย่างระมัดระวัง

 

ยามเมื่อโบยบินบนท้องฟ้า กู่ฉิงซานก็เด็ดขนของนกตัวหนึ่งมา

 

กู่ฉิงซานกับฉานนู่วนไปทั่วทุกสารทิศบนเกาะลอยฟ้า

 

เนื่องจากวัสดุบนโลกใบนี้มันไม่เพียงพอ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธระดับสูงจึงให้ความสนใจอย่างยิ่งต่อการเพาะพันธุ์ของสัตว์และอสูรในป่าใหญ่

 

นี่คือแหล่งอาหาร เป็นปัจจัยพื้นฐานที่รับประกันว่าเขาจะอยู่รอดได้นานที่สุด และจะไม่มีปัญหาใดๆ

 

เวลาช่างไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก

 

กู่ฉิงซานเก็บรวบรวมขนของสิ่งมีชีวิตนับร้อยชนิด  ขณะเดียวกันก็เก็บสิ่งมีชีวิตบางอย่างติดไม้ติดมือกลับมาด้วย

 

เขาเปิดแม้กระทั่งจี้หยกของหวังหงษ์เต๋า ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นถุงสัมภาระของโลกใบนี้ และเลือกเอาขากวางทั้งแท่งออกมา

 

ขากวางยู่หลูนี้ได้ถูกเก็บรวมรวมมาโดยหวังหงษ์เต๋า ซึ่งมันได้รับการปรุงอย่างพิถีพิถัน และเป็นถึงอาหารอันโอชะชั้นนำของโลก

 

ในที่สุด กู่ฉิงซานก็มาถึงตรงส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า และได้เติมศิลาวิญญาณลงในแต่ละค่ายกลจนคิดว่าเพียงพอ

 

ฉานนู่ติดตามเขามาอย่างเงียบๆจนถึงจุดนี้

 

เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานกำลังเติมศิลาวิญญาณอย่างระมัดระวังจนเสร็จสิ้น ฉานนู่ก็ทนไม่ไหว จำต้องเอ่ยปากออกมาในที่สุด

 

“นายน้อย สิ่งมีชีวิตกว่าหลายร้อยชนิดบนเกาะแห่งนี้ได้ถูกรวบรวมจนสิ้นแล้วโดยท่าน แต่ข้าคิดว่าท่านอาจจะไม่ได้ใช้มันมากขนาดนั้นหรอกนะ”

 

กู่ฉิงซานไม่ได้พูดตอบกลับไป

 

เขาหยิบขนขึ้นมาไว้ในกำมือและมองมัน

 

นี่คือขนของลิงหางไหม้

 

พร้อมกันกับการกระทำของกู่ฉิงซาน เส้นแสงหิ่งห้อยสามแถวก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ค้นพบเส้นขนของลิงหางไหม้”

 

“โปรดใช้เส้นขนนี้ทำการวิเคราะห์หาความลึกลับขององค์ประกอบร่างกายของลิงหางไหม้ด้วย”

 

“หากต้องการจะเปลี่ยนเป็นลิงหางไหม้ จำต้องจ่าย 270 แต้มพลังวิญญาณ ร้องถามผู้เล่นยินดีจะจ่ายหรือไม่?”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังเส้นแสงตัวอักษรเหล่านั้น และลอบพยักหน้าอย่างลับๆ

 

เป็นอย่างที่ตนเองคาดเดาเอาไว้จริงๆ

 

ในช่วงต้นของถ้ำมืดในโลกปรภพ เขาได้แปลงกายเป็นมารกระดูก

 

และเพราะเขาได้กลายเป็นเผ่ามาร ตนจึงสามารถข้ามผ่านถ้ำมืดไปได้อย่างรวดเร็ว

 

จากมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปเป็นเผ่ามารระดับสูง แน่นอนว่าย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่ธรรมดา

 

ดังนั้น เขาจึงจำต้องจ่ายออกไปกว่า 1000 แต้มพลังวิญญาณในครานั้น

 

ขณะที่ลิงหางไหม้ เป็นเพียงสัตว์ประหลาดสามัญที่พบเห็นได้ทั่วๆไป จึงเป็นธรรมดาที่องค์ประกอบของมันจะไม่มีความซับซ้อนหรือวิเคราะห์ได้ยากเย็นอะไรนัก

 

จริงๆแล้วการแปลงกายเป็นทุกๆสิ่งมีชีวิตโดยอาศัยแต้มพลังวิญญาณ มันจะขึ้นอยู่กับความยากง่ายของการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง

 

อย่างเช่นหากต้องการที่จะแปลงกายเป็นอสูรกายหรือไม่ก็พวกเฉาฟ่าน(ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ) คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการได้รับชิ้นส่วนร่างกายของอีกฝ่าย แค่เพียงแต้มพลังวิญญาณที่จะต้องใช้งานมันคงมากมายมหาศาลจนเขาไม่อาจหาได้แล้ว

 

ขณะนั้นเอง กู่ฉิงซานก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในจิตใจ

 

—เขาไม่ทราบว่าสตรีแห่งรากษสที่มีวิชาคล้ายคลึงกัน อย่างการแปลงตนเป็นวัตถุ แท้จริงแล้วจำเป็นต้องจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญาณเหมือนกันหรือไม่

 

วันสิ้นโลกในปัจจุบันนี้

 

จักเป็นสิ่งมีชีวิตอันหลากหลาย หรือสิ่งมีชีวิตที่หลบซ่อนตัวได้ดีที่สุดกันแน่นะ … ที่จะสามารถมีชีวิตรอดได้ยาวนานกว่ากัน?

 

กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ

 

เขาเทียบเปรียบข้อดีข้อเสียระหว่างสองวิชาลี้ลับนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในจิตใจ

 

หลังจากทั้งหมดนี้ ดูเหมือนว่าความเป็นจริงจะกระจ่างออกมาในไม่ช้า

 

ไม่นานนัก หลังจากที่กู่ฉิงซานเก็บเส้นขนกลับคืน เขาก็ตอบคำถามของฉานนู่

 

“ที่ต้องสะสมพวกมันไว้มากมาย นั่นก็เพราะว่าจะได้เป็นการ ‘เผื่อเลือก’ สายพันธุ์ของพวกมัน เพื่อที่จะรับประกันว่าข้าจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ท่ามกลางโลกที่กำลังล่มสลายนี้ลงได้”

 

“เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างงั้นหรือ?” สีหน้าของฉานนู่เผยถึงความสงสัย

 

“ใช่แล้วล่ะฉานนู่” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอันร้ายแรงของสภาพแวดล้อมอย่างมิอาจต้านทาน เจ้าทราบหรือไม่ว่าสายพันธุ์ใดกันที่จะสามารถมีชีวิตอยู่รอดไปได้นานที่สุด?”

 

“ก็สายพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไรเล่า … มิใช่หรือ?” ฉานนู่คิดสักครู่และตอบคำ

 

“ไม่ใช่หรอก”

 

“ … งั้นก็สายพันธุ์ที่ฉลาดที่สุด”

 

“ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี”

 

“นายน้อย แล้วมันคืออะไรกันแน่ ท่านเฉลยมาเถอะ”

 

“มันคือสายพันธุ์ที่ ‘สามารถปรับตัวได้ดีที่สุด’ อย่างไรล่ะ”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.472 – ไม่เสียใจ

 

แต่ในขณะนั้นเอง หวังหงษ์เต๋าก็คว้าหมับ! เข้าที่ลำคอของเย่หยิงเหมยอีกครั้ง

 

“ท่านอาจารย์!”

 

แม้สีหน้าของเย่หยิงเหมยจะยังดูออดอ้อน แต่น้ำเสียงของเธอกลับแปลกออกไปจากเดิม

 

“จงรีบไป และกลับมาโดยเร็ว!” หวังหงษ์เต๋ากล่าว

 

“เจ้าค่ะ”

 

เย่หยิงเหมยเปล่งเสียงกระซิบ

 

ณ ขณะนี้ ในหัวใจของเธอกำลังเดือดพล่าน

 

–จริงๆแล้วเธอต้องการจะกระตุ้นพิษในกายหวังหงษ์เต๋า และสังหารเขาซะเดี๋ยวนี้เลย

 

แต่น่าเสียดาย ที่นิกายยังต้องการตัวหวังหงษ์เต๋าอยู่

 

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต จะอย่างไรก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า

 

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถต่อกรกับมารโลกาได้ แต่อย่างน้อยก็ยังพอจะรับมือกับมันได้อยู่หลายลมหายใจ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนั้น มันจะช่วยเพิ่มเวลาและโอกาสรอดสำหรับคนอื่นที่กำลังหลบหนีได้

 

ความต้องการของนิกายนับว่าอยู่เหนือสิ่งอื่นใด

 

เย่หยิงเหมยลอบถอนหายใจอย่างลับๆ

 

ลืมมันเถอะ

 

ในเมื่อไม่สามารถสังหารหวังหงษ์เต๋าได้ เช่นนั้นตัวเธอเองก็อย่าเก็บเอาปัญหานี้มาคิดอีกเลย

 

เพราะอีกไม่นานหลังจากนี้ ทางนิกายก็จะส่งเหล่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตมาที่นี่อยู่แล้ว

 

เมื่อถึงเวลานั้น ตนเองก็จะทำการกระตุ้นพิษในกายหวังหงษ์เต๋า

 

แล้วหวังหงษ์เต๋าก็จะถูกจับตัวไปอย่างแน่นอน

 

จากนั้นเขาก็จะถูกดัดแปลงเป็นหุ่นเชิดในขอบเขตลมปราณจิต

 

เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะได้รับอนุญาตให้ทำตามแค่เพียงในสิ่งที่นิกายต้องการเท่านั้น

 

ขณะที่จิตวิญญาณของเขายังคังถูกขังอยู่ในกายเนื้อ

 

ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอจะมีโอกาสอีกมากในอนาคตที่จะทรมานเขา!

 

เมื่อขบคิดมาถึงเรื่องนี้ เย่หยิงเหมยก็สามารถฟื้นฟูความสงบกลับคืนได้ในทันที

 

เธอแปรสภาพตนเป็นควันบางเบา ทะยานสู่ผืนฟ้า มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของลั่วชาเฟิง

 

บนเวที

 

หวังหงษ์เต๋าจ้องมองเย่หยิงเหมยจากเบื้องหลัง เฝ้ารอจนกระทั่งเธอลับสายตาไป

 

การแสดงออกทางสีหน้าของเขาจึงคลายลง

 

พร้อมกับดาบเล่มหนึ่งที่บินออกมาจากเบื้องหลังเขาและกลายร่างเป็นฉานนู่

 

“นายน้อย เหตุใดนางจึงหลงกลได้ง่ายดายถึงเพียงนี้?” เธอเอ่ยถาม

 

“มันมิได้ง่ายดายหรอก” หวังหงษ์เต๋าถอนหายใจ “แต่เป็นเพราะทุกๆคำกล่าวของข้ามันอยู่เหนือล้ำยิ่งกว่าจินตนาการของนางมากเกินไปต่างหาก เมื่อได้รับข้อมูลหนักๆเข้ามาเรื่อยๆ นางก็เริ่มเบนสมาธิไปยังสิ่งเหล่านั้น ประจวบกันการที่หวาดกลัวหวังหงษ์เต๋าอยู่เสมอมา ดังนั้นทุกสิ่งจึงเป็นไปอย่างราบรื่น”

 

ขณะอธิบาย ท่าทีของหวังหงษ์เต๋าก็ค่อยๆผ่อนคลายลง

 

กล่าวได้ว่า ทันทีที่เย่หยิงเหมยจากไป ภายในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่นับว่ามีสิ่งใดสามารถคุกคามเขาได้อีกแล้ว … แต่ก็แค่ชั่วคราวล่ะนะ

 

คราวนี้ ตนเองก็จะสามารถมุ่งสมาธิรับมือกับการทำลายล้างโลกได้อย่างเต็มกำลังเสียที

 

ณ ขณะนั้นเอง บังเกิดลมโชยพัดหวิว

 

“นายน้อย พวกเราไปกันตอนนี-”

 

“ช้าก่อน”

 

หวังหงษ์เต๋าขัดจังหวะฉานนู่

 

เขาเงยหน้าขึ้นทันใด จ้องมองถึงการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า

 

สายลม

 

แว่วมาจากบนท้องฟ้าที่ห่างไกล

 

การไหลของกระแสลมทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

มันพัดผ่านเกาะลอยฟ้าที่บัดนี้ว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คนของเขาอย่างแรง อัดอากาศกระแทกขึ้นมาถึงเวทีสูง

 

กระแสลมดังกล่าวนี้ มันผสมปนเปไปกับความโกลาหลที่ไม่อาจบอกบรรยายได้ ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคย

 

ใช่ นี่มันคือสายลมจากในมิติที่ว่างเปล่า

 

มันสามารถทะลวงฝ่ากำแพงอุปสรรคของโลกใบนี้ และปรากฏตัวขึ้นในโลกล่องเวหาโดยตรงได้แล้ว!

 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นสัญญาณ … สัญญาณที่บ่งบอกว่าการล่มสลายของโลกใบนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

 

เมฆบนท้องฟ้ากระจัดกระจายหายไป

 

อากาศที่ว่างเปล่าทั้งหมดสั่นกระเพื่อมอย่างไม่รู้จบ ขณะเดียวกันก็สามารถมองเห็นถึงเศษสีเทาๆราวกับกระแสน้ำไหลปรากฏขึ้นอย่างแผ่วเบา

 

เศษเหล่านั้นกระจายตัวไปทั่วทั้งอากาศที่ว่างเปล่า พวกมันดูวิบวับงดงาม ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังถูกทำให้สลายไป

 

นี่อาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการถูกทำลายก็ได้

 

ตลอดทั้งโลกพลันเงียบ เงียบสงัด

 

ความเงียบนี้ ราวกับเป็นภาพลวงตาที่ทำให้ผู้คนบังเกิดความเข้าใจผิด คิดว่าทุกสิ่งอย่างจะยังคงปลอดภัย

 

อย่างไรก็ตาม หากคุณเข้าใจได้ถึงความเงียบงันราวกับความตายนี้ คุณจะรู้ได้ทันทีว่า นี่คือความเงียบสงบบนชายฝั่ง ก่อนที่คลื่นสึนามิจะโถมเข้ามาซัดสาด

 

หวังหงษ์เต๋าค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ

 

และยามเมื่อเขายืนหยัดด้วยสองขาอย่างมั่นคง ทั้งคนทั้งร่างก็ได้เปลี่ยนกลับมาเป็นกู่ฉิงซานโดยสมบูรณ์

 

“ฉานนู่ ข้ามีเรื่องจะเอ่ยถามเจ้า”

 

“นายน้อยเชิญกล่าว”

 

“เจ้าเป็นวิญญาณของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตอยู่มานานนับปี ดังนั้น เจ้าเองก็น่าจะเคยได้ประสบพบเจอกับปรากฏการณ์อย่างการพบเห็นโลกถูกทำลายลงบ้างใช่หรือไม่?”

 

ฉานนู่ถอนหายใจ “นับตั้งแต่ที่ตัวข้าได้ถือกำเนิดขึ้นมา ข้าก็ได้เห็นถึงสิ่งแปลกประหลาดมากในหกโลก ทว่ากลับไม่เคยพบเห็นถึงโลกที่กำลังจะถูกทำลายมาก่อนเลย”

 

เธอขบคิดและเอ่ยเสริม “มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่โลกใกล้จะถึงหุบเหวแห่งการทำลายล้าง แต่ก็ได้ถูกช่วยไว้ด้วยชายหนุ่มจากมนุษยชาติเสียก่อน”

 

“โอ้ มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือนี่”

 

“ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องของท่านนั่นแหละ นายน้อย”

 

“ … ”

 

แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็หันขวับ! เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างฉับพลัน

 

เห็นแค่เพียงบนเกาะลอยฟ้าแห่งหนึ่ง กำลังสาดแสงสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ใจขึ้น

 

และในที่สุด ประกายแสงทั้งหมดก็วูบดับลง

 

เห็นแค่เพียงรูปแบบค่ายกลที่งดงามระเบิดขึ้นทันใด จากนั้นก็เริ่มเจาะเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า

 

และมันก็บังเกิดรอยแตกร้าว ก่อนจะกระจายตัวเป็นเสี่ยงๆ

 

ตามด้วยหลุมดำขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

ภายในหลุมดำ เต็มไปด้วยฉากปฐมบทแห่งความโกลาหล มิอาจมองเห็นถึงสิ่งใดได้อย่างชัดเจน

 

ขณะเดียวกัน สายลมที่มองไม่เห็นก็เริ่มพัดกระพือรุนแรงขึ้นในโลกล่องเวหา

 

เกาะลอยฟ้าค่อยๆมุดเข้าไปในหลุมดำ และหายไป

 

พร้อมกับปากหลุมดำที่ค่อยๆปิดลง

 

เกาะลอยฟ้าได้หลบหนีไปแล้ว

 

“โฮกกกก-”

 

มารโลกาเปล่งเสียงคำรามดังสะท้อนไปไกล

 

วินาทีต่อมา หมู่เกาะลอยฟ้าโดยรอบ เกาะแล้วเกาะเล่าก็เริ่มที่จะทำตามๆกัน พากันทะลวงผ่านเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง

 

การล่มสลายของโลกกำลังทวีความเร็วขึ้น ขณะที่แต่ละผู้ฝึกยุทธได้ทยอยกันตระหนักถึงสัญญาณนี้

 

หมู่เกาะลอยฟ้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อไขว่คว้าอนาคตที่ยังไม่แน่นอน …

 

“ทะลวงมิติ … ช่างโง่เขลาจริงๆ … แต่สำหรับพวกเขามันคงไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วล่ะนะ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

หลังจากทะลวงมิติ มั่นใจได้เลยว่าผลลัพธ์ย่อมคือความตาย

 

มันคือกับดักแห่งความตาย ที่ผู้หญิงจากต่างโลกได้วางทิ้งเอาไว้

 

แต่การอยู่เลือกอยู่ต่อไปในโลกใบนี้ ก็ไร้ซึ่งหนทางรอดชีวิตเช่นกัน

 

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ในแง่มุมนี้ เกาะลอยฟ้าส่วนหนึ่งจึงเลือกที่จะเดิมพัน และใช้ค่ายกลทะลวงมิติเข้าไป

 

“นายน้อย แล้วท่านวางแผนจะทำสิ่งใดต่อไป?” ฉานนู่เอ่ยเสียงกระซิบ

 

“พวกเราก็-”

 

เสียงของกู่ฉิงซานยังไม่ทันตกลง แต่เขาก็ดันได้ยินถึงเสียงดังอื่นแทรกเข้ามาเสียก่อน

 

บังเกิดการสั่นสะเทือนไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก

 

กู่ฉิงซานเบนสายตามองไปยังด้านนอกของเกาะลอยฟ้า

 

เห็นแค่เพียงร่างของมารโลกาที่กำลังกระเพื่อมเป็นคลื่นสลับสูงต่ำราวกับทิวเขา

 

เห็นได้ชัดว่านี่คือช่วงเวลาลางดี แต่มารโลกาจู่ๆก็กลับสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างกระทันหัน!

 

มันได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงของโลกใบนี้แล้ว

 

และบางทีมารโลกาก็อาจจัดเตรียมการบางอย่างเอาไว้เช่นกันก็ได้!

 

กู่ฉิงซานกับฉานนู่เฝ้ารับฟังเสียงของมารโลกาด้วยกัน

 

“การทำลายล้าง กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” ฉานนู่กล่าวเสียงกระซิบ

 

เธอหันไปมองกู่ฉิงซาน

 

แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงเงียบ เหมือนว่าเขาจะกำลังใช้ความคิดอยู่

 

ต้องไม่ลืมนะว่า ในระหว่างที่โลกกำลังล่มสลาย กู่ฉิงซานยังจำเป็นที่จะต้องเอาชีวิตรอดให้นานยิ่งกว่าผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)อีกคนหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ว่าตนมีคุณสมบัติมากพอ

 

–คุณสมบัติที่จะได้เป็นรากษส

 

ในขณะนั้นเอง จู่ๆกู่ฉิงซานก็จดจำได้ถึงสิ่งหนึ่งในทันใด เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

จริงสิ

 

ถึงแม้เขาจะไม่ทราบว่าเหตุการณ์ในช่วงวันสิ้นโลกนั้นเป็นอย่างไร แต่ระบบเทพสงครามที่เป็นคนพาเขาข้ามผ่านห้วงเวลามาย่อมจะต้องทราบอย่างแน่นอน

 

“ระบบ คุณได้พาฉันกลับมาจากวันสิ้นโลกใช่ไหม ถ้าอย่างงั้นคุณก็น่าจะได้เห็นถึงฉากการล่มสลายของโลกแล้วสิ … พอจะบอกข้อมูลบางอย่างที่เป็นประโยชน์แก่ฉันหน่อยจะได้ไหม?”

 

ติ๊ง!

 

บังเกิดเสียงอันคมชัด ระบบตอบกลับมาว่า “ฉันได้เดินทางข้ามผ่านมันมาพร้อมกันกับคุณ ตรงจุดนี้เข้าใจชัดเจนหรือไม่?”

 

“เข้าใจสิ”

 

“เช่นนั้นคุณได้เห็นถึงฉากการล่มสลายของโลกรึเปล่า?”

 

“ก็ไม่นะ”

 

“ถ้างั้นฉันก็ไม่เหมือนกัน”

 

“ …. เข้าใจแล้ว”

 

กู่ฉิงซานยอมแพ้

 

“นายน้อย?” ฉานนู่กระตุกแขนเสื้อเขา กล่าวเสียงเล็กๆ

 

“มีอะไรงั้นหรือ?”

 

สีหน้าของฉานนู่เผยถึงการกระตุ้นเตือน “เร่งใช้เจ้าสิ่งนั้นเร็วเข้า ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะลืมมันไป”

 

“ลืม .. อะไรหรือ?” กู่ฉิงซานงง

 

“ก็ไพ่ใบนั้นไง ข้าจดจำได้ว่าหญิงที่ชื่อว่าชิงหยินได้มอบไพ่ใบหนึ่งให้แก่เจ้ามิใช่หรือ”

 

ฉานนู่กล่าวต่อ “หลานกับชิงหยินบอกว่า มันเป็นไพ่ที่หาได้ยากยิ่งด้วยนะ”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็ชะงักไป

 

—ฉานนู่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถได้รับความรู้ของเขาได้ ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าไพ่ใบนั้นมีความพิเศษเพียงใด

 

กู่ฉิงซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบไพ่ออกมา

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ได้แจ้งเตือนถึงคำอธิบายของไพ่ใบนี้ทันที

 

“ไพ่พยากรณ์โชคชะตา , ไพ่แรร์(หายาก)”

 

“เมื่อคุณเกิดความลังเลขึ้น คุณสามารถดูไพ่ใบนี้เพื่อสังเกตถึงความเป็นไปได้บางอย่างในโชคชะตาของคุณ”

 

จริงสิ ไพ่ใบนี้มันสามารถช่วยให้เขามองเห็นถึงอนาคตได้นี่นา

 

กู่ฉิงซานจ้องมองเข้าไปในไพ่

 

บนหน้าไพ่ เห็นแค่เพียงความมืดมิดที่ค่อยๆปรากฏรูปร่างขึ้น

 

ตรงส่วนหน้าของไพ่ เต็มไปด้วยหลุมฝังศพจำนวนมาก พร้อมกับโครงกระดูกสีดำที่สวมใส่ชุดคลุมขาดวิ่น ขณะที่ถือเคียวยาวอยู่ในมือของเขา

 

“ดูเหมือนว่า … นั่นจะเป็นยมทูต เทพแห่งความตายในตำนาน?” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

เมื่อโครงกระดูกดำพบว่ากู่ฉิงซานกำลังจ้องเข้ามาในไพ่ มันก็หันหน้าสวนกลับไปมองกู่ฉิงซาน

 

นี่คือไพ่แรร์ : ไพ่พยากรณ์โชคชะตา

 

ขณะนี้ มันกำลังแสดงให้กู่ฉิงซานได้เห็นถึงชะตากรรมของเขา -ซึ่งก็คือความตาย

 

ฉานนู่กล่าว “ข้าสามารถรับรู้ได้ถึงอำนาจอันน่าขวัญผวาจากไพ่ใบนี้ นายน้อย พวกเราจะต้องเร่งมือคิดหาวิธีแก้ไขมันอย่างรวดเร็ว เพื่อให้โครงกระดูกในไพ่หายไป”

 

“เหตุใดจึงต้องทำให้มันหายไปด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เพราะหากภาพของมันปรากฏขึ้นมาเช่นนี้ นั่นหมายความว่าทุกๆการกระทำที่ท่านกำลังคิดจะทำในภายภาคหน้ามันเสี่ยงอันตรายถึงตาย ดังนั้นจึงต้องคิดหาหนทางใหม่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ล่วงหน้า”

 

ฉานนู่มองไปยังกู่ฉิงซานด้วยความสับสน ความจริงเรื่องง่ายๆเช่นนี้เหตุใดกู่ฉิงซานจึงต้องเอ่ยถามย้ำกับเธอด้วย?

 

กู่ฉิงซานมองไปบนไพ่ ทันใดนั้นบนใบหน้าของเขาก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา

 

“ไม่จำเป็นหรอก” เขาส่ายหัว ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

“นายน้อย ไพ่ใบนี้ล้ำค่ายิ่ง มันเป็นอุปกรณ์ที่จะใช้ตัดสินลางร้าย แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ใช้มันล่ะ?” ฉานนู่เอ่ยด้วยความฉงน

 

“ก็หากไพ่ใบนี้สามารถชี้นำบุคคลให้รอดพ้นจากโชคชะตาแห่งความตายได้จริง แล้วทำไมชิงหยินถึงตายลงเล่า?” กู่ฉิงซานถาม

 

ฉานนู่ชะงักงันไป

 

อันที่จริง พอมาลองคิดดูแล้ว มันก็ใช่

 

แต่-

 

“ชิงหยินในเวลานั้นน่ะมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก แต่ในเวลานั้นเธอจั่วไพ่สายเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีเวลามากพอที่จะช่วยชีวิตตนเอง” ฉานนู่กล่าว

 

“ไม่ มันมิใช่เช่นนั้น”

 

“ผู้น้อยไม่เข้าใจ นายน้อยโปรดอธิบาย”

 

เธอเชื่อในการตัดสินใจของกู่ฉิงซานก็จริง แต่สำหรับเรื่องนี้ เธอไม่อาจเข้าใจมันได้เลย

 

“ฉานนู่ เจ้าจำได้หรือไม่ ว่าหากเจ้าเชื่อในโชคชะตาแล้ว โชคชะตาก็จะตัดสินชีวิตให้เจ้า”

 

“อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกดาบอย่างเราๆน่ะ ไม่เคยเชื่อถือในชีวิต มิได้ตระหนักถึงความตาย พวกเราน่ะไม่ยอมรับในโชคชะตา ดังนั้น ชีวิตของเราจะอยู่หรือตาย พวกเราก็จะต้องเป็นคนไปต่อสู้กับมันด้วยตนเอง”

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังกายหลักของมารโลกา ที่ไพศาลยิ่งกว่าท้องทะเล ไกลสุดลูกหูลูกตาจนมิอาจมองเห็นถึงจุดสิ้นสุดได้

 

ทะเลกล้ามเนื้อ กำลังกระเพื่อมดั่งคลื่นสึนามิ เพื่อทำลายล้างโลก

 

ช่วงเวลานี้ คือช่วงเวลาสุดท้ายที่โลกทั้งใบจะยังคงสงบสุข

 

ฉานนู่เร่งกล่าวออกไป “แต่โลกทั้งใบกำลังจะล่มสลาย พลังอำนาจของมารโลกามิอาจต่อกรกับมันได้ แล้วพวกเราจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อย่างไร?”

 

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ก็เพราะด้วยเหตุนี้แล เราจึงมิอาจถูกจูงจมูกโดยโชคชะตาได้ มิฉะนั้นแล้วพวกเราก็อาจจะจบชีวิตลงเช่นเดียวกับชิงหยิน ซึ่งแบบนั้นข้าไม่ยอมแน่”

 

“หากข้าไม่พึ่งพาโชคชะตา แต่ดิ้นรนด้วยตนเองแม้กระทั่งในช่วงเวลาสุดท้ายแล้วยังพ่ายแพ้ ข้าก็ไม่เสียใจ”

 

ฉานนู่ตะลึง

 

“ดังนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ไพ่ใบนี้”

 

กู่ฉิงซานเก็บกลับคืน

 

โดยที่เขาและฉานนู่ไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่า ในช่วงเวลาที่ไพ่กำลังจะถูกใส่ลงในถุงสัมภาระ โครงกระดูกดำบนหน้าไพ่จู่ๆก็หายวับไป มิอาจมองเห็นได้อีกเลยกระทั่งร่องรอยของมัน

 

ไพ่ใบนี้ได้ระบุอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว ถึงชะตากรรมต่อจากนี้ไปของกู่ฉิงซานที่มีเพียงความตาย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อกู่ฉิงซานล้มเลิกที่จะใช้ไพ่ใบนี้ และมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ทุ่มเทความพยายามด้วยตนเอง สัญญาณแห่งความตายก็แปรเปลี่ยนไปทันที

 

ไพ่ใบนี้ … ช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ

 

“ตอนนี้ยังพอจะเหลือเวลาอยู่บ้าง พวกเราไปสำรวจสถานการณ์รอบๆเกาะลอยฟ้ากันก่อนเถอะ จากนั้นก็ค่อยเริ่มเตรียมการบางอย่างกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่รับคำ

 

แล้วทั้งสองก็กระโดดลงจากเวทีสูงไป

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.471 – เย่หยิงเหมย

 

หลังจากที่จิ้งจอกขาวบอกเล่าถึงเรื่องราวของโลกชั้นภายนอก มันก็ปิดปากลง

 

มันกำลังให้เวลากู่ฉิงซานย่อยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

กู่ฉิงซานเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง

 

นี่นับว่าเป็นการโค่นโลกทัศน์เดิมลงอย่างสิ้นเชิง และเปิดมุมมองใหม่ของเขา

 

แม้ว่ากู่ฉิงซานจะมีประสบการณ์จากสองชาติภพ แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาในการย่อยความลับอันน่าอัศจรรย์ใจนี้อยู่ดี

 

ขณะนั้นเอง ได้บังเกิดเสียงถอนหายใจยาวดังสะท้อนขึ้นมาจากผืนดินเบื้องล่าง

 

เสียงถอนหายใจนี้กังวานไปตลอดทั้งโลก

 

มันคือเสียงของมารโลกา

 

ที่จมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

 

ช่วงเวลาของโลกได้เปลี่ยนไป จากลางร้าย กลายเป็นช่วงเวลาแห่งลางดี

 

หมู่เกาะลอยฟ้าที่อยู่กลางเวหาพลันสาดแสงสวรรค์จางๆขึ้นอีกครั้ง

 

แต่แสงที่สาดออกมาก็คล้ายดั่งไฟในเทียนไขที่อยู่ท่ามกลางสายลมกรรโชก มันอ่อนจางและพร้อมที่จะมอดดับได้ตลอดเวลา

 

จิ้งจอกขาวปรบอุ้งเท้าของมันและกล่าวว่า “เอาล่ะ พวกเราก็สนทนากันมามากพอแล้ว ตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มการทดสอบแข่งขันอีกครั้งเสียที”

 

“เพื่อชดเชยถึงสถานการณ์เสียเปรียบที่เจ้าจะต้องเผชิญ ข้าจะขอบอกบางสิ่งบางอย่างแก่เจ้า”

 

“เชิญชี้แนะ”

 

“เย่หยิงเหมยกำลังจะมาสังหารเจ้าทันที นางถูกส่งมาโดยผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส) อีกคนหนึ่ง”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็หันไปมองรอบๆ แล้วตนก็ตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง

 

“แต่หากเป็นอย่างที่ท่านพูด นางก็สมควรที่จะลงมือตั้งนานแล้วนี่นา … ” กู่ฉิงซานงงเล็กน้อย

 

จิ้งจอกขาวอธิบาย “เพื่อความเป็นธรรม เมื่อครู่ข้าจึงได้ไปหยุดนางเอาไว้แล้ว นางจะตื่นขึ้นมาในอีกหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม และจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ข้าพึ่งลงมือไป”

 

“อีกฝ่ายได้เปรียบมากเกินไป ดังนั้นข้าจึงออกหน้านิดๆหน่อยเพื่อให้การทดสอบนี้ดูยุติธรรม”

 

“นอกจากนี้ ข้าขอแจ้งให้เจ้าทราบว่า นับจากนี้ไปอีก 36 นาที โลกใบนี้ก็จักถูกทำลายลงโดยมารโลกาแล้ว”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างสงบ

 

ในที่สุด เวลาแห่งการล่มสลายของโลกก็ได้มาถึง

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นเขาก็เปล่งเสียงถามออกมา “ท่านสามารถต่อกรกับมารโลกาได้หรือไม่? ได้โปรดใช้จิตสัมผัสเทวะเพื่อบอกกล่าวมันแก่ข้าด้วย”

 

สองตาของจิ้งจอกขาวหรี่แคบลงทันใด มันเอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “เจ้าต้องการจะทราบถึงความแข็งแกร่งของข้างั้นหรือ?”

 

“โปรดเชื่อใจข้า ข้อมูลนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

จิ้งจอกขาวจับจ้องมาที่เขา

 

ในดวงตาของกู่ฉิงซานช่างกระจ่างชัด ขณะที่สีหน้าท่าทีการแสดงออกของเขาไม่ได้เผยถึงความความเห็นแก่ตัวหรือต้องการจะล่วงรู้เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์ส่วนตนเลย

 

จิ้งจอกขาวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ข้าสามารถจัดการกับมันได้”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

แล้วเขาก็หยิบใบหยกที่ว่างเปล่าออกมา จากนั้นก็ใส่จิตสัมผัสเทวะลง แล้วเขียนบางสิ่งไม่กี่คำลงไป

 

เขายื่นใบหยกให้แก่อีกฝ่าย

 

จิ้งจอกขาวพอเห็นถึงการกระทำนี้ มันก็นิ่งไปครู่หนึ่ง

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

 

มันเอื้อมมือไปรับใบหยก และเอ่ยถามด้วยความสับสน

 

“เชิญท่านสำรวจดูได้ มันคือเทคนิคฝึกยุทธจำเพาะ” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ

 

“นี่เจ้าต้องการจะติดสินบน-” จิ้งจอกขาวไม่พอใจมากยิ่งขึ้น กระทั่งน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ฟังดูรุนแรงเล็กน้อย

 

“เชิญดูก่อนเถิด แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกครั้ง” กู่ฉิงซานขัดจังหวะ

 

จิ้งจอกขาวก้มลงมองใบหยก ก่อนจะสลับไปมองกู่ฉิงซานอีกครั้ง

 

ในที่สุด มันก็สงบสติอารมณ์ และกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป

 

ภายในใบหยก มีข้อมูลอยู่ไม่มากนัก แต่พอได้อ่านมัน สีหน้าการแสดงออกของจิ้งจอกขาวก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป

 

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” มันกล่าวเสียงกระซิบ

 

“หากเป็นในกรณีนี้ การทดสอบแห่งลั่วชาจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่?”

 

“ยังคงดำเนินต่อไป”

 

“แล้วผู้ทดสอบอีกคนจะได้รับรู้ถึงข้อมูลนี้หรือไม่?”

 

“นี่คือข้อมูลที่เจ้าได้ค้นพบมันด้วยตนเอง เขาไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่เขารู้เพียงอย่างเดียวก็คือ จักต้องต่อกรกับผู้ทดสอบแข่งขันอีกผู้หนึ่ง และได้รับชัยชนะให้จงได้”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็พยักหน้าและกล่าว “เช่นนั้นข้าก็พร้อมแล้ว”

 

“ดีมาก เพื่อความยุติธรรม ข้าจะถอยออกมาทันที และมอบเวทีการแข่งขันครั้งสุดท้ายนี้ให้แก่เจ้า”

 

น้ำเสียงของจิ้งจอกขาวกลายเป็นจริงจัง มันเอ่ยอย่างเป็นทางการ “การทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส) จะเริ่มขึ้นทันที หลังจากที่ข้าได้จากไป”

 

ว่าแล้ว จิ้งจอกขาวก็ค่อยๆถอยไปทีละก้าว ทีละก้าว ก่อนที่ร่างของมันจะจมหายไปในความว่างเปล่า มิอาจมองเห็นได้อีกเลย

 

มันหายไปแล้ว

 

บนเวที หลงเหลือเพียงกู่ฉิงซานและฉานนู่ที่ยังคงยืนอยู่

 

การต่อสู้เพื่อกำจัดคู่แข่ง .. ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

 

ขณะนี้ บนเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง ยังคงหลงเหลือผู้ฝึกยุทธอยู่อีก สองคน

 

หนึ่งคือกู่ฉิงซาน

 

และเย่หยิงเหมย

 

“นายน้อย เย่หยิงเหมยกำลังจะมาหา แล้วพวกเราสมควรจะรับมืออย่างไรดี?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

ขณะนี้ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกกำลังโคจรอย่างไม่รู้จบ ดังนั้นการที่จะทำลายมัน เกรงว่าจะมีเวลาไม่มากพอ

 

นอกจากนี้ นี่ยังเป็นช่วงเวลาลางดีอีกด้วย

 

ดังนั้นหากจะสังหารเขา เย่หยิงเหมยย่อมสามารถทุ่มลงมือได้อย่างเต็มที่

 

“สำหรับเวลาหนึ่งในสี่ชั่วยามที่ได้รับมานี้ มันก็ดูยุติธรรมดี เพราะอย่างน้อยมันก็พอมีเวลาให้ข้าได้ริเริ่มเตรียมการบางอย่างได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาหยิบใบหยกค่ายกลออกมา และเริ่มต้นจดจำพิกัด

 

ซึ่งพิกัดที่อยู่ภายใน คือโลกที่โลกล่องเวหาได้เคยพิชิตมา

 

คือโลกที่ได้ถูกหลอมรวมเข้ากับโลกล่องเวหาเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นในตำแหน่งพิกัดดังกล่าว ในความเป็นจริงแล้ว จึงหลงเหลือแค่เพียงมิติที่ว่างเปล่าเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานทำการจดจำพิกัดอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เริ่มปรับแต่งดิสก์ค่ายกล

 

กล่าวได้ว่าพื้นฐานค่ายกลของเขานั้นอยู่ในระดับสูงสุด ดังนั้น การปรับแต่งมันจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

 

เพียงระยะเวลาสั้นๆ การปรับแต่งก็เสร็จสมบูรณ์

 

นี่เป็นเพียงสิ่งสำรอง ที่เผื่อไว้ใช้กับสถานการณ์บางอย่าง และบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เลยก็ได้

 

จากนั้น เขาก็เริ่มปรับแต่งดิสก์ค่ายกลอีกชุดด้วยความเร็วสูงสุด

 

และนี่คือดิสก์ค่ายกลที่จะนำไปสู่โลกเทวะ

 

เมื่อทำการปรับแต่งสองดิสก์ค่ายกลจนเสร็จสิ้น กู่ฉิงซานก็วุ่นอยู่กับการตระเตรียมการอีกมากมาย

 

จนในสายตาของเขา มันไปตกลงบนหัวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับฉานนู่

 

-หัวของหวังหงษ์เต๋าที่กำลังกลิ้งไปตามลมอยู่ที่นั่น

 

“ดูเหมือนว่าศีรษะของเขาที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง มันจะยังคงพอมีประโยชน์อยู่นะ” กู่ฉิงซานพึมพำ

 

แล้วเขาก็ก้าวออกไป หยิบหัวของหวังหงษ์เต๋าขึ้นมา

 

หนึ่งในสี่ชั่วยามผ่านไปราวกับพริบตา

 

บนเวที

 

เย่หยิงเหมยได้มาหยุดอยู่ตรงข้ามกับหวังหงษ์เต๋า โค้งกายคุกเข่าลงด้วยความนอบน้อม

 

“ท่านอาจารย์”

 

“อืม .. แล้วศิษย์พี่ของเจ้าเล่า?” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยถาม

 

“ศิษย์เองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาไปอยู่ที่ใด”

 

สีหน้าของเย่หยิงเหมยที่แสดงออกมาก็บ่งบอกชัดเจนว่าตนก็กำลังสงสัยอยู่

 

ไม่เพียงแค่เซ่าหวูชุ่ยเท่านั้น

 

ชัดเจนว่าเธอพึ่งเข้าไปในห้องมืดและรายงานสถานการณ์

 

แต่เมื่อเธอออกมาอีกครั้ง กลับพบว่าตลอดทั้งนิกายดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

 

เย่หยิงเหมยหยั่งเชิงเอ่ยถาม “ท่านอาจารย์ สาวกทั้งหมดในนิกาย … ”

 

“ถูกสังหารลงจนหมดสิ้นแล้วโดยข้า”

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าวเพียงผิวเผิน

 

“ถูกสังหาร? จนหมดสิ้น? เพราะเหตุใดท่านถึงได้ทำเช่นนั้น … ” เย่หยิงเหมยอดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

 

“เพราะหากพวกมันมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็คงสิ้นเปลืองศิลาวิญญาณของข้าไปเปล่าๆ”

 

ขณะกล่าว หวังหงษ์เต๋าก็สะบัดมือราวกับว่าเขากำลังปัดฝุ่นผงออกจากชุดคลุมของตน

 

เขาเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “ศิลาวิญญาณกำลังขาดแคลน ดังนั้นนิกายจึงไม่จำเป็นต้องเลี้ยงผู้คนมากมายเอาไว้อีกต่อไป”

 

เย่หยิงเหมยตะลึงงัน

 

เธอค่อยๆเอนตัวลงอย่าช้าๆ และพยักหน้ารับ

 

“ท่านอาจารย์ ข้ามีเรื่องที่จะต้องรายงาน”

 

“เจ้าว่ามาสิ”

 

“ฉีหยานร่วมมือกับเซ่าหวูชุ่ยเพื่อหมายจะจัดการกับท่าน”

 

“หากเป็นเรื่องนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดอีก เพราะข้าได้สังหารฉีหยานไปเรียบร้อยแล้ว”

 

ปากที่กำลังจะอ้าเผยอเปล่งประโยคต่อไปของเย่หยิงเหมยนิ่งค้างอย่างกระทันหัน

 

ฉีหยาน … ตายแล้วอย่างนั้นหรือ?

 

เขาตายลงด้วยน้ำมือของหวังหงษ์เต๋า!?

 

-แต่มันก็สมควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วนี่นา

 

อย่างไรก็ตาม …

 

“แต่ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่เซ่าร่วมมือกับคนอื่นเพื่อจะจัดการกับท่านนะ การกระทำของเขาช่างน่ารังเกียจจริงๆ!” เย่หยิงเหมยเริ่มยุยง

 

แต่ละเรื่องที่พึ่งได้รับรู้ มันเกินกว่าจินตนาการของเธอไปแล้ว เย่หยิงเหมยจึงค่อยๆลอบทำใจให้สงบอย่างลับๆ

 

“เขาไม่ได้ทรยศข้า” หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างแผ่วเบา

 

“เซ่าหวูซุ่ยน่ะเป็นคนร้าย-” คำกล่าวติดอยู่ในลำคอของเย่หยิงเหมย

 

ว่าไงนะ?

 

หวังหงษ์เต๋าบอกว่าเซ่าหวุชุ่ยมิได้ทรยศอย่างงั้นหรือ?

 

‘เห็นได้ชัดว่าเซ่าหวูชุ่ยถูกชักชวนโดยฉีหยาน แถมยังมอบกุญแจห้องลับตำหนักเจียงซีให้แก่อีกฝ่าย’

 

‘หรือว่านั่นคือการเล่นละครของเซ่าหวูชุ่ยกัน?’

 

‘คงมิผิดแล้ว  … เขาจะต้องเล่นละครแน่ๆ’

 

เรื่องแบบนี้ สำหรับหวังหงษ์เต๋าแล้วเขาย่อมไม่โป้ปดมันกับผู้อื่น!

 

เหตุการณ์พลิกผันเช่นนี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน!?

 

หัวในของเย่หยิงเหมยสั่นสะท้าน สีหน้าของเธอเผยถึงความไม่อยากจะเชื่อ

 

“ท่านอาจารย์ เซ่าหวูชุ่ยกับฉีหยานอยู่ต่อหน้าข้า พวกมันป้ายสีท่าน ข้าจึงคิดว่าเขาจะทรยศท่าน”

 

ขณะกล่าว เย่หยิงเหมยก็ค่อยๆขยับร่างตนไปข้างกายหวังหงษ์เต๋า

 

เธออิงแอบเขา และค่อยๆนั่งลงอย่างช้าๆ

 

“ท่านอาจารย์จะต้องระวังเซ่าหวูชุ่ยให้ดี เขาเป็นคนเลวจริงๆนะ” เย่หยิงเหมยกล่าวด้วยน้ำเสียงกระเส่า

 

หวังหงษ์เต๋าไม่กล่าวอะไรออกมาสักพักหนึ่ง นั่นเพราะเจ้าตัวกำลังย้อนนึกถึงบทสนทนาของสองหญิงสาวเมื่อไม่นานมานี้

 

มันมีประโยคหนึ่ง ในสถานการณ์ที่เขาถูกอิงแอบเหมือนกับในตอนนี้ พวกเธอบอกว่าเขาน่ะเป็นไก่อ่อน เลยล่วงรู้ถึงตัวจริงได้ง่ายดาย ประโยคนี้เด้งเตือนขึ้นมาในความทรงจำทันใด

 

จู่ๆหวังหงษ์เต๋าก็เอื้อมมือไป และบีบคอเย่หยิงเหมยด้วยเจตนาร้าย

 

แรงบีบนี้หนักหน่วงยิ่ง แม้เย่หยิงเหมยจะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า แต่เมื่อถูกบีบอย่างกระทันหัน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดของเธอก็เริ่มไหลมาเป็นสายอย่างรวดเร็ว

 

ใช่แล้ว นี่แหละคือความวิปริตของหวังหงษ์เต๋าล่ะ

 

เย่หยิงเหมยจิกริมฝีปาก ข่มกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้

 

ขณะที่เธอยังคงอิงอยู่ในอ้อมแขนของหวังหงษ์เต๋า

 

ได้ยินเพียงเสียงของหวังหงษ์เต๋าที่ดังขึ้นใกล้หู “เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับศิษย์พี่เจ้าอีกเข้าใจไหม เขาถูกผนึกโดยแมลงมารของข้า ดังนั้นจึงไม่อาจคิดคดทรยศได้”

 

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!

 

เย่หยิงเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืนๆ “ท่านอาจารย์ช่างเก่งกาจเสียจริง ที่สามารถเตรียมรับมือถึงสถานการณ์เช่นนี้เอาไว้ล่วงหน้าได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ”

 

“แน่นอน ฉีรั่วหยาน่ะมันโง่ ส่วนบุตรชายของมันก็โง่ยิ่งกว่า ถูกหลอกเข้าไปในห้องลับโดยศิษย์พี่เซ่าของเจ้า มิรู้หรือ ว่าภายในห้องลับน่ะ-”

 

เย่หยิงเหมยแสดงท่าทีถึงการตั้งใจฟัง

 

ทว่าหวังหงษ์เต๋าก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีกต่อไป

 

เย่หยิงเหมยเฝ้ารออยู่สักพัก แต่ก็เห็นแค่เพียงหวังหงษ์เต๋าที่กำลังมองเธออยู่อย่างเงียบๆ

 

เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงหวานออกมา “ท่านอาจารย์ มีสิ่งใดซ่อนอยู่เบื้องหลังห้องลับกัน ท่านพอจะบอกข้ามิได้หรือ?”

 

ขณะกล่าว เธอก็ยิ่งโน้มกายแนบชิดกับเขามากยิ่งขึ้น

 

แต่ใครจะรู้ หวังหงษ์เต๋ากลับตบหลังเธอเบาๆและกล่าวว่า “เอาเถิด ความลับนั้นยังมิอาจบอกเจ้าได้ในตอนนี้ เพราะเจ้ายังมีสิ่งสำคัญอื่นที่ต้องทำอยู่”

 

“สิ่งสำคัญอันใดหรือท่านอาจารย์?”

 

“จงไปยังลั่วชาเฟิง แล้วนำกล่องใบนี้มอบให้กับสตรีแห่งรากษส บอกว่าเป็นของกำนัลจากข้ามอบให้แด่นาง”

 

หวังหงษ์เต๋าตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบกล่องขนาดใหญ่ที่ปิดผนึกไปด้วยชั้นค่ายกลออกมา

 

เย่หยิงเหมยจ้องมองไปที่กล่องด้วยหัวใจที่สั่นไหว

 

ฉีหยานตายไปแล้ว และที่อยู่ภายใน … มันอาจจะเป็นหัวของเขาก็ได้

 

ภารกิจของตนเองจึงเสร็จสมบูรณ์โดยแทบมิต้องลงมือ ทุกสิ่งอย่างช่างง่ายดาย

 

และตอนนี้ หวังหงษ์เต๋าก็กำลังมอบสิ่งที่ตนต้องการ แถมยังให้ตนนำมันกลับไปยังลั่วชาเฟิงด้วยตัวเองอีก -นี่มันมิใช่ว่าตรงตามกับความต้องการของเธอเลยหรอกหรือ?

 

ไม่จำเป็นต้องใช้ข้ออ้างใดๆ ก็สามารถเดินทางกลับไปได้ ช่างเป็นการพลิกกระดานที่เหนือความคาดหมายโดยแท้!

 

“ท่านอาจารย์ต้องการให้ข้าไปเมื่อใด?” เย่หยิงเหมยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

 

“ไปตอนนี้ มิอาจล่าช้าได้” หวังหงษ์เต๋ากล่าว

 

“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์”

 

เย่หยิงเหมยหยิบกล่องใบใหญ่ขึ้นมา และใส่ลงในถุงสัมภาระของตนเอง

 

เธอเป่าลมหายใจกระเส่าใส่หูของหวังหงษ์เต๋าเล็กน้อย ก่อนจะบิดเอวลุกขึ้น

 

“จะให้ศิษย์กลับมาเมื่อใด?”

 

“จงเร่งไปก่อนเถอะ”

 

“เจ้าค่ะ”

 

เย่หยิงเหมยหยิบยันต์ออกมาแล้วมองมัน

 

บนยันต์ ตัวอักษร ‘ดี’ ยังคงเสถียรและไม่สั่นไหว

 

เย่หยิงเหมยอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความสุข

 

มารโลกากำลังหลับไหล

 

ขณะที่ตนเองสามารถบรรลุภารกิจได้อย่างง่ายดาย

 

ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี

 

ได้เวลาที่จะต้องไปแล้ว!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.470 – ความจริง (3)

 

สองหญิงสาวได้จากไป

 

หลงเหลือเพียงฉานนู่ที่ยืนอยู่เคียงข้างกายกู่ฉิงซาน

 

จิ้งจอกขาวเบนสายตามองมายังฉานนู่

 

กู่ฉิงซานอธิบาย “นางคือดาบของข้า”

 

จิ้งจอกขาวพยักหน้า แสดงท่าทีว่าเข้าใจ

 

“ข้าได้ตัดสินใจเลือกแล้วนะ” กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ

 

“ใช่ และขอบอกว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดทีเดียว”

 

จิ้งจอกขาวกล่าวต่ออย่างช้าๆว่า “ในช่วงอายุขัยของทุกสรรพชีวิต มีโอกาสน้อยนิดยิ่งนักที่พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองได้ บางคนจำต้องทุ่มพยายามอย่างหนักเพื่อไขว่คว้าโอกาสนั้น ขณะที่บางชีวิตก็ถูกพรากโอกาสที่ว่านั่นไป หรือไม่ก็ไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลย”

 

“แต่ข้าคิดว่าในโลกลำดับสูงเช่นเดียวกันกับที่ท่านจากมา มันคงจะไม่มีเรื่องอะไรแบบนี้หรอก” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ถึงแม้ว่าลำดับชั้นโลกจะแตกต่างกัน แต่อุปนิสัยโดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตน่ะยังคงเหมือนกันอยู่ดี – ดังนั้นข้าจึงเกลียดเหล่าทุกผู้ที่ทำตัวดั่งขยะ และยกย่องสิ่งมีชีวิตที่บากบั่น มุมานะดิ้นรน โดยไม่สนว่าสิ่งมีชีวิตนั้นๆจะแข็งแกร่งรึอ่อนแอ ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนหรือไม่ก็ตามที ทว่าหากพยายาม ข้าก็ย่อมเต็มใจจะสรรเสริญ เหมือนดั่งเช่นเจ้า”

 

“ขอบคุณสำหรับคำชม”

 

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า เพราะเดิมทีนั่นก็คือเหตุผลที่ข้าออกมาพบเจ้าในครั้งนี้”

 

จิ้งจอกขาวหัวเราะ และกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจเลือกแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะเข้าเรื่องทันทีเลยแล้วกัน”

 

สิ้นเสียง หางทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังจิ้งจอกขาวก็กางออก ก่อรูปม้วนกันเป็นวงกลมที่สาดแสงจรัส

 

ท่ามกลางวงกลมนี้ ประตูแสงบานหนึ่งได้ปรากฏขึ้น

 

ทันใดนั้นเอง เสียงเปี่ยมบารมีก็กังวานขึ้นมาตามมาจากเบื้องหลังประตูแสง

 

“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”

 

“ข้าได้เฝ้าสังเกตมาสักพักแล้ว และต้องการที่จะเพิ่มผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)เพิ่มอีกสักคนหนึ่ง”

 

เสียงเปี่ยมบารมีพอได้ฟังว่ามิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด น้ำเสียงของเขาก็ผ่อนคลายลง “ดูเหมือนว่าผู้มาใหม่ที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้ จะได้รับการยอมรับจากเจ้าแล้วสินะ”

 

“ใช่ อันที่จริงแล้วเขาแสดงได้ดีเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะเลยเชียวล่ะ”

 

“มีผู้มาใหม่อย่างงั้นหรือ? แต่เท่าที่ข้าเห็น ตำแหน่งแห่งลั่วชา(รากษส)ดูเหมือนจะว่างแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นนี่นา”

 

แล้วทั้งสองก็จมลงสู่ความเงียบไปพร้อมๆกัน

 

“ถ้าอย่างงั้น พวกเราก็จะเลือกหนึ่งในสองก็แล้วกัน” เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว

 

“ข้าไม่ขัดข้อง”

 

“เช่นนั้นก็มาเริ่มการพิจารณา ตัดตัวเลือกจากหนึ่งในสองกันเถิด”

 

“เข้าใจแล้ว ว่าแต่การเลือกลั่วชา(รากษส)ในครั้งนี้มีเงื่อนไขอันใดบ้าง?” จิ้งจอกขาวเอ่ยถาม

 

“โลกทางฝั่งเจ้า มันกำลังจะถูกทำลายลงในไม่ช้าใช่หรือไม่?”

 

“ใช่ ศพของเทพบรรพกาลได้ถูกขโมยไปโดยเผ่ามาร มันกลืนกินดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และผืนดินจนเกือบจะหมดสิ้นแล้วโดยสมบูรณ์”

 

“สถานการณ์นี้ นับว่าเพียงพอแล้ว … เช่นนั้นก็ให้ผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)ทั้งสองพยายามเอาชีวิตรอดต่อไปในโลกที่กำลังจะถูกทำลายลงก็แล้วกัน และคนสุดท้ายที่ยังเหลือรอด ก็จะถูกเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส)อย่างเป็นทางการ”

 

“เอาแบบนี้มันจะดีจริงๆหรือ?” จิ้งจอกขาวเอ่ยถาม

 

เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว “แบบนี้แหละดีแล้ว เพราะอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส) ก็จักต้องได้เผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้อยู่ดี”

 

“หากเจ้าพิจารณาดีแล้ว … งั้นก็ได้”

 

จิ้งจอกขาวตอบรับ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ว่าแต่สถานการณ์สู้รบตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

 

เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว “ทางฝั่งเราค่อนข้างจะเสียเปรียบ”

 

“ต้องการให้ข้ากลับไปหรือไม่?” จิ้งจอกขาวถามต่อ

 

“ยังไม่ใช่ตอนนี้ พวกเรายังพอจะรับมือกับมันได้ เจ้าเองก็รีบเลือกคนที่ใช่โดยเร็วที่สุดแล้วให้เขามาเข้าร่วมกับเราเถอะ” เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว

 

“เข้าใจแล้ว ดูแลตัวเองด้วย”

 

“เจ้าก็เช่นกัน”

 

ว่าจบ เสียงก็เงียบลง

 

พร้อมกับประตูแสงที่สลายไป

 

“เจ้าได้ยินทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” จิ้งจอกขาวหันมาถาม

 

“ได้ยินทั้งหมดแล้ว ข้าจะต้องรอดชีวิตอยู่ต่อไปในโลกที่กำลังล่มสลายลงใบนี้ให้นานยิ่งกว่าอีกคนหนึ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“นี่คือข้อกำหนดขั้นพื้นฐานที่สุด สำหรับการที่จะได้ขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส) ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”

 

จิ้งจอกขาวเอ่ยเสริม “รากษส จะสามารถล่วงรู้ถึงความลับของโลกชั้นภายนอกได้ในระดับหนึ่ง และได้รับตัวตันอันมีพลังพิเศษมาไว้ในครอบครอง”

 

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างตั้งใจ เขามิได้เอ่ยตอบสิ่งใดเพียงแค่พยักหน้า

 

จิ้งจอกขาวลังเล ก่อนจะกล่าวว่า “ประเดี๋ยวก่อน ในแง่ของทั้งความแข็งแกร่ง , อิทธิพล , ความรู้ และทักษะ ผู้ทดสอบแข่งลั่วชา(รากษส)อีกคนได้เปรียบเจ้าอยู่หลายขุม ขณะที่เจ้าไม่มีสิ่งใดเลย ดังนั้นข้าจะขออธิบายสถานการณ์ส่วนหนึ่งให้เจ้าฟัง”

 

“เชิญชี้แนะ ข้าจะขอรับฟังอย่างตั้งใจ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

จิ้งจอกขาวกระแอมในลำคอ เพื่อที่จะได้อธิบายให้มันชัดเจน “ข้าจะต้องอธิบายถึงแนวคิดขององกรค์เราที่อยู่ใน ‘ชั้นกลาง’ ของโลกนับล้านๆให้เจ้าฟังเสียก่อน”

 

“ชั้นกลางอย่างนั้นหรือ?”

 

“โลกขององกรค์แห่งข้าน่ะ เป็นโลกที่อยู่ในตำแหน่งระหว่างส่วนนอกของชั้นกลาง เมื่อเทียบเปรียบกับโลกใบนี้และโลกที่เจ้าเคยสัมผัสมาแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านความแข็งแกร่งหรือพลัง มันก็ล้วนสูงล้ำเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้”

 

“ ‘โลกของท่านอยู่ตำแหน่งส่วนนอกของชั้นกลาง’ เช่นนั้นก็หมายความว่าโลกของข้า มันเป็นโลกชั้นในใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ มันไม่ใช่แบบนั้น เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”

 

จิ้งจอกขาวตอบปัด

 

กู่ฉิงซานงง

 

จิ้งจอกขาวขบคิดว่าสมควรจะอธิบายออกไปอย่างไรดี ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากอีกครั้งว่า

 

“ในปัจจุบันนี้ ชั้นโลกที่พวกเราได้ทำการสำรวจมาแล้ว พบว่ามันถูกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น นั่นคือ โลกชั้นนอก , โลกชั้นกลาง และโลกชั้นใน”

 

“โลกชั้นนอกน่ะอ่อนแอที่สุด และมักจะถูกทำลายลงด้วยเงื้อมมือของเผ่ามารอยู่บ่อยๆ”

 

“ขณะที่โลกชั้นกลางจะแข็งแกร่งขึ้นมาอีกหน่อย ดังเช่นโลกของข้าก็อยู่ในชั้นนี้ พวกเราจึงมีความสามารถพอที่จะต่อกรกับเผ่ามารได้ในระดับหนึ่ง”

 

“กล่าวได้ว่าโลกของพวกเราน่ะไม่หวาดเกรงเผ่ามารหรืออสูรกายสามัญอีกต่อไป”

 

“สำหรับโลกชั้นใน อสูรกายที่อ่อนแอจะมิกล้าเข้าไปก่อกวน มีเพียงเฉพาะอสูรกายที่แข็งกร้าวเท่านั้นจึงจะกล้าย่างกรายเข้าไปทำสงครามในระดับชั้นนั้นได้”

 

“เช่นเดียวกันกับความแข็งแกร่งของข้าที่เจ้าและสิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ไม่อาจจินตนาการได้ ขณะเดียวกัน ตัวข้าเองก็ไม่อาจจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของเหล่าตัวตนในโลกชั้นในได้เช่นกัน”

 

“ทั้งสามชั้นนี้ โดยทั่วๆไปแล้วจะถูกเรียกกันว่า โลกแห่งลำดับชั้น”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง เขาก็เริ่มคิดไปถึงเรื่องพิกัดของโลกเทวะ ก่อนจะค่อยๆปะติดปะต่อมันเข้าหากัน

 

หากพิจารณาโดยการเปรียบเทียบทิศทางตำแหน่งของมิติ โลกเทวะและโลกล่องเวหานั้นไม่สมควรที่จะอยู่ในชั้นเดียวกัน

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “เช่นนั้นแล้ว หมายความว่าโลกที่ข้าได้เคยท่องไป มันอยู่ในชั้นนอกที่อ่อนแอที่สุดใช่หรือไม่?”

 

“ไม่ใช่”

 

จิ้งจอกขาวมองเขาอย่างมีความหมายและกล่าวว่า “พวกเขาไม่ได้อยู่ในชั้นใดๆของทั้งสามชั้นเลยด้วยซ้ำ”

 

กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย “เช่นนั้นแล้ว พวกเขาไปอยู่ในชั้นใดกัน?”

 

“พวกเขาเป็นเพียงโลกอันเคว้งคว้าง เปราะบางอ่อนแออย่างถึงที่สุด และอยู่ห่างไกลออกไปจากลำดับชั้นภายนอกไปอีก”

 

“เป็นโลกที่กล่าวได้ว่า หากเผ่ามารเต็มใจที่จะทุ่มลงมือจริงๆ โลกเหล่านั้นก็จะเปรียบดั่งประกายไฟน้อยๆ ที่จะถูกมอดดับลงเวลาใดก็ได้”

 

“ดังนั้น โลกที่เจ้าได้เคยสัมผัสมา มันจึงถูกเรียกว่าโลกกระจัดกระจาย – พวกเขาอาจจะดับสูญช่วงใดก็ได้ตลอดเวลา”

 

กู่ฉิงซานตะลึงงัน

 

เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า ความจริงแล้วมันจะเป็นเช่นนี้

 

“แต่ตามที่ท่านบอกมา โลกแห่งลำดับชั้นมันจะถูกแบ่งออกเป็นสามชั้นมิใช่หรือ?” เขาเอ่ยถาม

 

“ไม่ใช่แบบนั้น” จิ้งจอกขาวถอนหายใจ “โลกทั้งหมดทั้งมวลน่ะกว้างใหญ่มาก ไอ้สามลำดับชั้นที่ว่านั้นคือการกล่าวแบบองค์รวม หากจะให้กล่าวแบบเจาะจงแล้วล่ะก็ แม้กระทั่งบรรดาราชันย์แห่งโลกชั้นนอก หรือว่าชั้นใน ก็มิอาจที่จะกล้ายืนยันออกมาว่ามันมีจำนวนมากมายเพียงใด”

 

สีหน้าของจิ้งจอกขาวเริ่มมีเลือดฝาด “ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่า มีผู้นำของโลกใบหนึ่ง ได้ทำการอัญเชิญตัวตนทรงอำนาจเข้ามาไถ่ถาม ด้วยการจ่ายออกไปถึง 36 โลก!”

 

“ทว่าตัวตนทรงอำนาจที่จำเป็นต้องจ่ายออกถึง 36 โลกในการอัญเชิญ … ก็ยังมิอาจตอบถึงคำถามในข้อนี้ได้”

 

“คำถามอันใด?”

 

“ก็คำถามที่ที่ว่าต้นกำเนิดของโลกลำดับชั้นแท้จริงแล้วมันกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไรน่ะสิ”

 

“ตัวตนทรงอำนาจที่จำต้องจ่ายออกไปอย่างมหาศาล แต่ก็ไม่สามารถได้รับคำตอบได้ เจ้าตัวจึงรู้สึกอับอายยิ่ง เลยกล่าวว่าจะบอกความลับอีกอย่างหนึ่งออกมาทดแทน”

 

“ความลับอะไร?”

 

“ความลับที่ว่ามีโลกลำดับชั้นทั้งหมดน่ะมีจำนวนเท่าใดน่ะสิ”

 

จิ้งจอกขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าลองเดาดูสิ ว่าโลกลำดับชั้นแท้จริงแล้วมีทั้งหมดกี่ชั้นกันแน่?”

 

กู่ฉิงซานตอบอย่างไม่มั่นใจ “ซัก … สิบชั้น?”

 

“ผิดแล้ว”

 

จิ้งจอกขาวกลั้วคอและเริ่มอธิบายอย่างช้าๆ

 

“โลกลำดับชั้นทั้งหมดน่ะ ถูกแบ่งออกเป็นทั้งสิ้น 900 ล้านชั้น”

 

“โลกชั้นนอก ชั้นกลาง และโลกชั้นใน เป็นเพียงสามชั้นนอกสุดของโลก”

 

“ ขณะที่ในแต่ละโลกลำดับชั้น ทั้ง 900 ล้านนั้น ก็ล้วนประกอบไปด้วยโลกภายในของมันอีกนับหลายพันชั้น บ้างก็เป็นหมื่น บ้างเป็นล้านเลยก็มี”

 

“ตัวตนทรงอำนาจกล่าวว่า นี่คือความรู้ที่พบได้ทั่วไปในโลกลำดับชั้นนอก และเขาก็รู้แค่นั้น”

 

“สำหรับคำถามที่ว่าต้นกำเนิดของโลกลำดับชั้นแท้จริงแล้วมันกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ตัวตนทรงอำนาจก็ไม่กระจ่างเช่นกัน”

 

“เข้าใจแล้วใช่หรือไม่? ว่าในเวลานี้ ที่พวกเราจงใจเลือกโลกที่กำลังจะถูกทำลายลงท่ามกลางโลกกระจัดกระจาย ก็เพื่อที่จะเฟ้นหาพวกหน้าใหม่”

 

“และนั่นคือเหตุผลที่เจ้ามีโอกาสได้พบกับข้า”

 

“ลองคิดดูสิ หากเจ้าพลาดโอกาสนี้ไป เจ้าจะต้องข้ามผ่านโลกลำดับชั้นนอกนับล้านล้านใบ และตรงเข้ามาในชั้นกลาง เพื่อที่จะได้มาพบเจอกับข้า – และนั่นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน”

 

“เจ้าได้คว้าโอกาสเดียวในชีวิตเอาไว้ได้แล้ว”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.469 – ความจริง (2)

 

โลกชั้นภายนอก …

 

กู่ฉิงซานย้อนทวนคำๆนี้จากคำกล่าวของอีกฝ่าย

 

เขาพยายามขบคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับคำๆนี้ และมิได้เอ่ยสิ่งใดออกไปอยู่ครู่หนึ่ง

 

แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน จู่ๆกู่ฉิงซานก็ดันนึกไปถึงพิกัดของโลกเทวะเข้า

 

‘พิกัด’ ที่ซึ่งแตกต่างจากพิกัดของโลกอื่นๆที่อยู่ในบริเวณพื้นที่มิติโดยรอบของโลกล่องเวหา

 

ดังนั้นแล้ว ถ้าหากจะอธิบายคำว่า ‘ชั้นภายนอก’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา มันอาจจะหมายถึง ‘ลำดับชั้น’ ที่แตกต่างกันก็ได้

 

จิ้งจอกขาวคร่ำครวญ “ข้าควรจะกล่าวยังไงดีนะ? ในความเป็นจริงแล้ว ต้นเหตุของทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นก็เป็นเพราะเจ้าดันใช้กลยุทธ์อันชาญฉลาด ทำการสังหารผู้ทดสอบแห่งลั่วชานั่นแหละ”

 

“ดังนั้น นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องมารับหน้าที่คอยสังเกตการณ์เจ้า”

 

“อันที่จริง ตอนแรกข้าก็แค่คิดว่าเจ้าน่ะโชคดีที่สามารถจัดการกับหน้ากากได้ แต่การที่ผู้ทดสอบแห่งลั่วชากลับต้องมาตายลงไปด้วยนี่มัน … ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ”

 

“ยังไงก็ตาม หลังจากที่ได้มาสังเกตการณ์ ข้ากลับพบว่าในทุกๆการตัดสินใจของเจ้า มันกลับไม่มีผิดพลั้งเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

 

“ดังนั้น เจ้าจึงสมควรที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม”

 

“ขอบคุณท่านมาก” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แม้ปากจะว่าเช่นนั้น แต่มือของเขาก็ยังคงวางอยู่บนดิสก์ค่ายกล

 

มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะสามารถหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้ นั่นก็คือการใช้ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ!

 

ยังไงก็ตาม … จิ้งจอกขาวจะต้องรับรู้ถึงมันได้อย่างแน่นอน

 

ด้วยพลังอำนาจที่มันมี ย่อมสามารถที่จะหยุดยั้งการทำงานของดิสก์ค่ายกลได้อย่างแน่นอน

 

เช่นนั้นแล้ว ข้าสมควรจะทำอย่างไรดี?

 

ขณะกำลังขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเวลาเดียวกันกู่ฉิงซานก็เอ่ยถามออกมา “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับใต้เท้า แต่ไม่ทราบว่าการที่ท่านคอยสังเกตข้า แท้จริงแล้วต้องการสิ่งใดกันแน่?”

 

ภายใต้เสียงที่ส่งผ่านจิตสัมผัสเทวะ สามหญิงสาวก็ค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้เขาทีละนิด จนอยู่ในระยะพิสัยของค่ายกล

 

ขั้นต่อไป ตราบใดที่เขาทำการกระตุ้นดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กที่ใช้รับส่งระหว่างสองโลกนี้  ก็มีแนวโน้มสูงทีเดียวที่จะสามารถหลบหนีไปจากโลกใบนี้ได้

 

อย่างไรก็ตาม เฉกเช่นเดียวกันกับฉีหยาน กระบวนการในการเปิดใช้งานดิสก์ค่ายกลนี้จะกินเวลาอยู่หลายลมหายใจ

 

“เจ้าลองมองดูดีๆสิ เห็นไหมว่าข้าสุภาพเพียงใด” จู่ๆจิ้งจอกขาวก็เอ่ยออกมา

 

“ท่านต้องการจะสื่อถึงสิ่งใด ข้าไม่เข้าใจ”

 

จิ้งจอกขาว “ก็ข้าอดทนเฝ้ารอคอยจนกระทั่งเจ้าสร้างสิ่งรับส่งระหว่างสองโลกนั่นจนเสร็จสิ้น จึงปรากฏกายออกมาอย่างไรเล่า นี่เรียกว่าสุภาพหรือไม่?”

 

“แล้วอีกอย่าง ข้าก็ลองคิดๆดูแล้ว ว่านี่คงจะเป็นวิธีเดียวจริงๆ ที่จะทำให้เจ้ารู้สึกว่าข้ากำลังมอบ ‘ทางเลือก’ ให้แก่เจ้าโดยการไม่ได้บีบบังคับหรือกลั่นแกล้งแต่อย่างใด”

 

พอได้ฟัง สีหน้าของกู่ฉิงซานก็กลับกลายเป็นเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม

 

อีกฝ่ายไม่เพียงทรงพลังอย่างแท้จริง

 

แต่เขายังล่วงรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด!

 

และยินยอมกระทั่งปล่อยให้กู่ฉิงซานใช้เวลาสร้างดิสก์ค่ายกลจนสมบูรณ์!

 

“ท่านผู้ทรงเกียรติ เช่นนั้นท่านมาหาข้าเพราะเหตุใด?”

 

น้ำเสียงของกู่ฉิงซานเปลี่ยนไป เขาเอ่ยถามอย่างจริงจัง

 

และแน่นอน ว่ามือของเขาก็ยังคงวางอยู่บนดิสก์ ไม่ยินยอมละจากมันไป

 

จิ้งจอกขาวกล่าว “สำหรับในเรื่องนั้น มันไม่ใช่ปัญหาของข้าหรอก แต่มันเป็นปัญหาของเจ้าที่จะต้องคำนึงให้ดีต่างหาก เพราะมันส่งผลถึงในอนาคตอย่างแน่นอน”

 

จิ้งจอกขาวยกหางขึ้น และโบกสะบัดเล็กน้อย

 

บังเกิดความผันผวนของเทคนิคเต๋ากระชากออกในพริบตา กวาดผ่านทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานไป

 

“ไหนขอข้าดูหน่อยซิ … โอ้? … นี่เจ้าเคยไปมาแล้วถึงห้าโลกเลยอย่างงั้นหรือ?”

 

“ … ใช่ ”

 

กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังสามารถตรวจสอบได้ เทคนิคมนตราของอีกฝ่ายมันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของกู่ฉิงซานไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

 

จิ้งจอกขาวโบกสะบัดหางไปมาอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง แต่มันก็มิได้เอ่ยสิ่งใด

 

ขณะที่กู่ฉิงซานเองก็เช่นกัน

 

ทั้งสองเอาแต่จ้องหน้ากันและกัน และยังคงนิ่งเงียบ ราวกับว่ากำลังพยายามค้นหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย

 

แต่แล้วจู่ๆจิ้งจอกขาวก็ยิ้มขึ้นมาทันใด

 

มันเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปากว่า “ข้ารู้สึกได้ว่าการเลือกที่จะออกมาทดสอบเจ้าในครั้งนี้ มันนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว”

 

“ท่านกำลังจะบอกอะไร ข้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ท่านพูด” กู่ฉิงซานกล่าว

 

จิ้งจอกขาวกล่าวด้วยการแสดงออกทางสีหน้าที่ดูสบายและไร้กังวล “ข้าสามารถรู้สึกได้ถึงความปรารถนาของเจ้า มันช่างแข็งกร้าวจนทำให้ข้าย้อนนึกไปถึงตนเองในห้วงอดีต”

 

“ความปรารถนาอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ

 

“ใช่ ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ปรารถนาที่จะหยุดยั้งวันสิ้นโลก และปรารถนาที่จะได้รับรู้ถึงความจริงของทุกสิ่งอย่าง”

 

คราวนี้ กู่ฉิงซานมิได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป

 

จิ้งจอกขาวกล่าว “เป็นเวลานานมากแล้ว ที่เจ้าต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมานท่ามกลางความปรารถนาของตนเอง และไม่มีอะไรเลยที่เจ้า – อ่า ข้าขอเดิมพันเลยว่าตัวเจ้าเองคงมิได้หลับอย่างสนิทใจมานานมากแล้วสินะ”

 

“เกรงว่าท่านคงเสียเดิมพันแล้วล่ะ เพราะข้าพึ่งจะได้นอนหลับสนิทมาเมื่อไม่นานมานี้เอง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต่เจ้าพึ่งได้หลับไปในหนึ่งส่วนแปดชั่วยามเองนะ” ว่านเอ๋อกล่าวแทรกผ่านจิตสำนึก

 

กู่ฉิงซานกับจิ้งจอกขาวหันหน้าไปมองเธอพร้อมกัน

 

ฉินรั่วจึงรีบยื่นมือออกไปหยิกเอวว่านเอ๋อทันที

 

ว่านเอ๋อแลบลิ้นออกมา ปากเอ่ยกล่าวอย่างละอาย “ขออภัย ถือว่าเมื่อครู่ข้าไม่ได้พูดก็แล้วกันนะ”

 

จิ้งจอกขาวหันมากล่าวกับกู่ฉิงซานอีกครั้ง “ไม่ว่าจะในโลกนี้ หรือโลกอื่นๆ เจ้าก็จักต้องข้ามผ่านการทดสอบอันทุกข์ทรมาน และจักต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เพียงลำพัง”

 

“ความรู้สึกไม่สบายใจนี้ ครั้งหนึ่งก็เคยเกิดขึ้นกับข้าเช่นกัน ดังนั้น ข้าจึงกล้ากล่าวได้เต็มปากว่าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า”

 

“ขอบคุณสำหรับความเข้าใจ แต่ข้าก็ยังไม่ทราบถึงเหตุผลที่ท่านปรากฏตัวออกมาอยู่ดี” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ข้าก็บอกแล้วไง ว่าข้ามาที่นี่เพื่อให้ ‘ทางเลือก’ แก่เจ้า”

 

“ทางเลือก?”

 

“ใช่ เจ้าที่กำลังมองหาความจริง ความจริงเกี่ยวกับภัยพิบัติของโลกทั้งหมด เพราะขอเพียงแค่รู้ความจริงในข้อนั้น เจ้าก็จะสามารถจัดการกับทุกสิ่งได้”

 

จิ้งจอกขาวถอนหายใจ และกล่าว “ในความเป็นจริง ท่ามกลางโลกนับล้าน แต่ละตัวตนที่ทรงแสนยานุภาพก็ล้วนแต่ต้องการที่จะค้นหาความจริงของวันสิ้นโลกกันทั้งนั้น”

 

“แม้แต่การดำรงอยู่ของตัวตนอันทรงประสิทธิภาพที่กระทั่งข้าเองก็มิอาจจินตนาการได้ ก็ยังต้องจนปัญญากับปัญหาในข้อนี้”

 

“การแสวงหาความจริง มันจะเป็นแรงดลใจให้แก่เจ้า แก่ข้า และแก่ทุกๆคน เข้าใจหรือไม่กู่ฉิงซาน”

 

พอกล่าวมาถึงจุดนี้ จิ้งจอกขาวก็เงียบไปชั่วคราว

 

มันมองไปทางกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานเค้นสมองอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยว่า “ประโยคนี้ ช่างเป็นคำกล่าวที่สื่อได้ถึงเจตนาของท่านโดยแท้ ได้โปรดชี้แนะต่อด้วย”

 

จิ้งจอกขาว “เจ้าทราบหรือไม่ว่าโลกทั้งหมดโดยสิ้นเชิงแล้วมีอยู่กี่ใบ”

 

“ข้ามิอาจทราบได้”

 

“เผ่ามารก็คล้ายคลึงกันกับมอนสเตอร์ดั่งเช่นมารโลกา เจ้าเคยพบเห็นผู้ใดสามารถเอาชนะมันได้หรือไม่?”

 

“ไม่”

 

“ในโลกใบนี้ ผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่ในขอบเขตลมปราณจิต แต่เจ้าคิดว่านี่คือจุดสิ้นสุดของการฝึกยุทธหรือไม่?”

 

“ข้อนี้ข้าก็มิอาจทราบได้ แต่สมควรที่จะไม่” กู่ฉิงซานตอบคำอย่างไม่มั่นใจ

 

ขณะที่จิ้งจอกขาวยิ้ม มันหุบปากลง และไม่เอ่ยคำใดอยู่ครู่หนึ่ง

 

กู่ฉิงซานพอได้เห็นท่าทีของมัน ตนก็ตระหนักได้ทันที

 

“โปรดยกโทษให้ข้าสำหรับความโง่เขลาด้วย หากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการให้ข้าเลือก ได้โปรดชี้แนะมันอย่างตรงไปตรงมาด้วย” เขากล่าว

 

“สิ่งต่อไปนี้ จะเกี่ยวข้องกับความลับอันแสนล้ำค่า ซึ่งบุคคลอื่นๆไม่สมควรที่จะได้ยิน” จิ้งจอกขาวกล่าว

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

เขาส่งดิสก์ค่ายกลให้กับฉินรั่ว

 

“พวกเจ้าสองคนไปก่อนเถอะ”

 

“อ้าวนายน้อย แล้วท่านเล่า?”

 

“ข้าต้องการที่จะได้รับฟังบางสิ่งบางอย่างอยู่”

 

“แต่ … ” ว่านเอ๋อเตรียมจะเอ่ยขัด

 

แต่ฉินรั่วก็คว้าตัวเธอไว้ และขยิบตาส่งสัญญาให้

 

“พวกเราไปกันเถอะ”

 

“อา”

 

ฉินรั่วถ่ายเทพลังวิญญาณและทำการกระตุ้นดิสก์ค่ายกล

 

ขณะที่แสงบางเบาจากดิสก์ค่ายกล ครอบคลุมลงบนกายของกู่ฉิงซาน

 

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานก็ถูกแสงที่ว่ากลบจนมิด มิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป

 

นี่คือสิ่งที่กลุ่มของเขาได้ทำการตกลงกันในจิตสัมผัสเทวะ

 

กู่ฉิงซานมองไปไปยังจิ้งจอกขาว

 

เขากำลังเดิมพันอยู่

 

จิ้งจอกขาวมองมายังเขาอย่างช้าๆ ปากเอ่ยกล่าว “เจ้าสามารถตัดสินชะตากรรมของตนว่าจะอยู่ต่อหรือจะจากไปก็ได้ แต่ข้าคงต้องขอบอกตรงๆว่า โอกาสที่เจ้าจะได้สนทนากับข้าเช่นนี้ ในยามที่เจ้าเลือกจะจากไปนั้น มันจะไม่มีอีกแล้วเป็นครั้งที่สอง”

 

รังสีบนดิสก์ค่ายกลปกคลุมทั้งกู่ฉิงซานและสามสาว

 

ดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กเริ่มที่พยายามย้อนกลับเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า แลคล้ายกับว่ากำลังค้นหาพิกัดภายในกระแสมิติอยู่

 

ฉากนี้เป็นเหมือนกันกับในตอนที่ฉีหยานเริ่มใช้ดิสก์ค่ายกลทำการรับส่งระหว่างสองโลก

 

ยังคงมีเวลาอีกกว่า 10 ลมหายใจ ค่ายกลจึงจะเริ่มทำงาน

 

วิสัยทัศน์ของทั้งสามหญิงสาว จ้องมองกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

 

ขณะที่จิ้งจอกขาวก็จ้องมองเขาเช่นกัน

 

ดูเหมือนว่ามันจะมิได้ตั้งใจที่จะหยุดยั้งเขาเลย

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มวูบไหวเล็กน้อย

 

ตอนแรก เขาต้องการที่จะทดสอบความตั้งใจที่แท้จริงของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะริเริ่มเค้นสมองของตนเอง นั่นก็เพราะว่า

 

-เขายังมิได้ตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไป

 

และผลการทดสอบก็ได้ออกมาแล้ว

 

นั่นคือกลับกลายเป็นว่า – สำหรับจิ้งจอกขาวแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไป มันก็หาได้ใส่ใจไม่

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง บังเกิดความหนักอึ้งขึ้นในระหว่างลมหายใจ

 

หากเขาเลือกที่จะกลับไป …

 

ก็จะได้พบกับท่านอาจารย์ ฉินเซี่ยวโหลว ซิวซิว หนิงเยว่ฉาน แล้วก็เหลิงเทียนสิง

 

หลังจากที่ต่อสู้มาอย่างยาวนาน แล้วได้พบเจอคนรู้ใจ ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นสุข

 

หลังจากกลับไป เขายังสามารทำการผสานระหว่างสองโลก แล้วทำให้ผู้ฝึกยุทธแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม แล้วหลังจากนั้นเล่า?

 

หากมอนสเตอร์ดั่งเช่นมารโลกาปรากฏตัวขึ้นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ จะมีผู้ใดกันที่สามารถต่อกรกับมันได้?

 

กระทั่งขอบเขตลมปราณจิตก็ยังพ่ายแพ้

 

โลกจริงไม่ต้องพูดถึง พวกเขาอ่อนแอยิ่งกว่าโลกแห่งผู้ฝึกยุทธซะอีก

 

วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานตกลงบนร่างของจิ้งจอกขาวอีกครั้ง

 

ความแข็งแกร่งของจิ้งจอกขาว … เหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตลมปราณจิต

 

นั่นหมายถึงระดับวรยุทธที่สูงยิ่งกว่า

 

แล้วไหนจะยังมีผู้หญิงต่างโลกที่เดินทางเข้ามายังโลกล่องเวหาอย่างไม่ตั้งใจคนนั้นอีก

 

เธอทำลายโลกล่องเวหาได้ด้วยตัวคนเดียว ขณะที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตนับไม่ถ้วนต่างก็พากันเฟ้นหาวิธีการต่างๆนาๆ แต่ก็ไม่อาจต่อต้านการล้างแค้นของเธอได้เลย

 

แล้วตัวเขาเอง … ต้องการที่จะทิ้งโอกาสที่จะได้สำรวจถึงความจริงในข้อนี้ไปอย่างงั้นหรือ?

 

อ้างอิงจากในมุมมองคำกล่าวของจิ้งจอกขาว ตัวเขาจะยังมีโอกาสบังเอิญได้พบเจอกับตัวตนเช่นมันอีกหรือไม่?

 

เกรงว่าในอนาคต เขาอาจจะไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวแล้วก็เป็นได้

 

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจอย่างลับๆ

 

จะกลับไปรวมตัวกับคนอื่นๆในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ หรือว่าเลือกจะจะย่ำไปข้างหน้าก้าวหนึ่งในเส้นทางที่ไม่รู้จักดี?

 

นี่คือหนทางที่เขาต้องเลือก

 

กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด

 

โดยไม่ทันได้รู้ตัว สายตาของเขาก็กวาดผ่านไปบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างเปล่าๆ ไม่มีสิ่งใด

 

แต่กู่ฉิงซานกลับตื่นตัวขึ้นมาทันที

 

-จริงสิ

 

ตัวเขาเองยังไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับหน้าต่างระบบเทพสงครามเลยนี่ว่ามันคือสิ่งใด

 

หากมิได้กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง เขาก็คงจะเลือกต่อสู้จนตัวตาย จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายที่ทั้งโลกถูกกลืนกินโดยเผ่ามารใช่หรือไม่?

 

ในชีวิตก่อนหน้า นอกเหนือไปจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธและโลกมนุษย์แล้ว ตัวเขาก็ไม่เคยได้พบเห็นโลกอื่นอีกเลย

 

แต่ในครั้งที่สองนี้ เขากำลังได้รับคำเชิญจากการดำรงอยู่ที่ไม่รู้จัก ตนเองจะเลือกจากไปอย่างสงบ หรืออยู่ต่อด้วยความเสี่ยงอันสูงล้ำดี?

 

กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ

 

ยังเหลือเวลาอีก 5 ลมหายใจ

 

กู่ฉิงซานส่ายศีรษะเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

 

ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลกกำลังสั่นสะท้านเป็นฟืนเป็นไฟ

 

มันได้เตรียมการเสร็จสิ้น และพร้อมที่จะเริ่มต้นกระบวนการเคลื่อนย้ายแล้ว

 

แต่ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็ก้าวเท้าออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าว

 

เขาออกจากพิสัยของค่ายกลที่ปกคลุม

 

สองหญิงสาวจ้องมองเขา ตาไม่กระพริบ

 

กู่ฉิงซานหันกลับมา และมองไปยังสองหญิงสาวที่กำลังถูกปกคลุมไปด้วยรังสีแสงภายในค่ายกล

 

“ขอบเขตวรยุทธของพวกเจ้าสูงส่งยิ่งกว่าผู้คนในที่แห่งนั้น ดังนั้น ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทั้งสองกลั่นแกล้งพวกเขา ในยามที่พวกเจ้าได้ย้อนกลับไป” กู่ฉิงซานหัวเราะ

 

“นายน้อยโปรดวางใจ” สองหญิงสาวกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

 

ขณะที่รอบตาของว่านเอ๋อเริ่มเป็นสีแดงเรื่อ

 

ฉินรั่วกล่าวกระซิบ “พวกเราจะส่งต่อข้อมูลที่ได้ล่วงรู้มาถึงท่านอาจารย์ของเจ้า”

 

“ขอบคุณมาก” กู่ฉิงซานพยักหน้าให้เธอ

 

ฉินรั่วคือผู้ฝึกยุทธหญิงที่ฉลาดและมีเจตนาที่ดี

 

ทุกสิ่งอย่างที่ตัวเธอเองได้ประสบพบเจอในโลกในบี้ สำหรับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้ว มันนับว่าเป็นอะไรที่ไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน

 

ตัวตนอย่างเช่นท่านอาจารย์ ขอเพียงได้ฟังข้อมูลพวกนี้ ก็จักสามารถนำมันไปวิเคราะห์เป็นข้อมูลที่ล้ำค่าได้มากมาย

 

ในกรณีนี้ มันก็จะส่งผลให้ความรู้ความเข้าใจของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธที่มีต่อต่างโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

 

โลกแห่งผู้ฝึกยุทธนั้นมั่งคั่งไปด้วยทรัพยากร การที่พวกเขามีสองโลกอยู่ในกำมือ และสภาพแวดล้อมที่ดีในการฝึกยุทธ – อย่างน้อยพวกเขาก็จะยังคงปลอดภัยในระยะเวลาสั้นๆ

 

เพียงเท่านี้ โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ก็จะสามารถเตรียมพร้อมรับมือสำหรับเหตุการณ์ที่อาจจะมาถึงล่วงหน้าได้แล้ว

 

ฮู้มมมม!

 

รังสีแสงจากดิสก์ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลกไสวขึ้นทันใด

 

สีหน้าของฉินรั่วชัดเจนว่าต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง ทว่าเธอกลับหายตัวไปจากเบื้องหน้าของกู่ฉิงซานซะก่อน

 

ดิสก์ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลก ได้ส่งพวกเธอจากไปแล้ว

 

ส่งกลับไปยังโลกเทวะ

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.468 – ความจริง (1)

 

พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็จมลงสู่ห้วงความคิด

 

ขณะที่ฉินรั่วถอนหายใจออกมา ปากกล่าวเสียงกระซิบ “หากข้ามีความสามารถเฉกเช่นเดียวกับผู้หญิงคนนั้น ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะเลือกแก้แค้นโลกใบนี้”

 

ว่านเอ๋อพยักหน้า เธอเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน

 

“นายน้อย แล้วตอนนี้พวกเราสมควรจะทำสิ่งใดดี?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานเก็บใบหยกแผ่นเดิมในมือ และหยิบเอาใบหยกแผ่นใหม่ออกมา

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลากเส้นแสงหิ่งห้อยเด้งเตือนขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ต้องการจ่าย 1000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำความเข้าใจถึงแก่นแท้สำคัญในการสร้างค่ายกลของโลกใบนี้หรือไม่?”

 

“ต้องการ”

 

แล้วแต้มพลังวิญญาณก็ถูกหักออกไปทันที

 

เหล่าเทคนิคที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้นมาเต็มหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงและเริ่มที่จะหยิบใบหยกแผ่นใหม่ขึ้นมาเรียนรู้อีกครั้ง

 

แม้มือจะไม่ว่างเว้น แต่ปากก็เอ่ยถามฉานนู่ “เจ้าได้ตรวจสอบช่วงเวลาที่ผู้หญิงจากต่างโลกกับคนเหล่านั้นต่อสู้กันด้วยหรือไม่?”

 

ฉานนู่ย้อนนึกและกล่าว “ไม่ทั้งหมด ดูเหมือนว่าความทรงจำจะยังคงกระจัดกระจายอยู่”

 

“เช่นนั้นแล้วอาวุธใดกันที่นางใช้?”

 

“คิดว่าน่าจะเป็นกระดาษแผ่นบางๆ ที่ถูกม้วนแล้วมัดไว้ด้วยเชือกวิเศษบางอย่าง”

 

ฉานนู่รู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะอธิบายได้ไม่ดีมากพอ จึงกล่าวต่อ “เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้หญิงคนนั้นคิดจะต่อสู้ นางจะปลดเชือกที่ผูกกับแผ่นกระดาษบางๆเหล่านั้นออก”

 

“แล้วแผ่นกระดาษที่ได้รับอิสระก็จะยืดออก และระเบิดทุกเทคนิคมนตราอันทรงประสิทธิภาพออกมา”

 

ฉานนู่กล่าวอธิบาย

 

“กระดาษแผ่นบางๆ … นั่นน่าจะหมายถึงม้วนคัมภีร์ กล่าวได้ว่านางสมควรที่จะเป็นผู้ใช้เทคนิคเทียนซวน”

 

กู่ฉิงซานงึมงำกับตัวเอง

 

เขาย้อนนึกไปถึงซูเซี่ยเอ๋อ

 

ซูเซี่ยเอ๋อที่เคยได้มอบม้วนคัมภีร์ให้แก่ตนเอง

 

“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”

 

หากมิใช่เพราะม้วนคัมภีร์ที่ว่านั่น ตนเอง เย่เฟย์หยู และซางหยิงฮ่าวก็คงไม่อาจสังหารพระสันตะปาปาลงได้

 

อ้างอิงจากที่ได้รับรู้มานี้ ผู้หญิงต่างโลกที่มาเยือนโลกล่องเวหา เป็นไปได้มากที่เดียวว่าจะเป็นผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนที่ทรงพลัง

 

หลังจากผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนตาย พวกเขาและเธอก็จะสามารถเปลี่ยนตนเองเป็นระบบได้อย่างงั้นหรือ?

 

นี่นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดโดยแท้

 

กู่ฉิงซาน ลอบถามอย่างลับๆ “ระบบเทพสงคราม เทคนิคเทียนซวนสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นระบบได้ไหม? หรือจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับขอบเขตความแข็งแกร่งในระดับหนึ่งก่อน จึงจะสามารถแปรสภาพเป็นระบบได้?”

 

ติ๊ง!

 

ระบบเทพสงครามตอบกลับมาว่า “โปรดทำการตรวจสอบด้วยตัวคุณเอง สำหรับเรื่องนี้ ระบบจะไม่ตอบคำถาม”

 

“คุณเองก็ไม่รู้อย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ระบบเทพสงคราม “ระบบมีหน้าที่เพียงช่วยให้คุณแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เรื่องนอกเหนือไปจากที่กล่าว ฟังก์ชั่นของระบบไม่สามารถทำได้”

 

“อย่างไรก็ตาม ระบบก็ยังสามารถให้คำแนะนำพิเศษได้อีกนิดๆหน่อยๆ ดังต่อไปนี้”

 

“ท่ามกลางโลกใบนี้นั้นเต็มไปด้วยดวงดาว , ทุกชนิดของตัวตนที่ทรงประสิทธิภาพ และการดำรงอยู่อันแปลกตานับไม่ถ้วน แต่ขณะนี้คุณอยู่ ‘ห่างไกล’ จากโลกจริงเป็นอย่างมาก”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

ตามที่ระบบกล่าวมา ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกต้อง

 

“นายน้อย ท่านคิดว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?” ฉินรั่วเอ่ยถาม

 

“ไม่หรอก คิดว่าน่าจะไม่ผิดปกติอะไร”

 

เมื่อเห็นว่าสามหญิงสาวกำลังจับตาดูเขา ตนจึงจำต้องเอ่ยอธิบายออกไปเบาๆว่า “พวกเจ้าอดใจรอก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราก็จะได้จากไปแล้ว”

 

“เจ้าคิดจะฉีกรอยแยกมิติงั้นหรือ?”

 

“เปล่า”

 

กู่ฉิงซานส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะไปยังหญิงสาวทั้งสาม “อันที่จริงสำหรับเรื่องการทะลวงมิติ ข้าพอจะคาดเดาบางอย่างได้แล้ว”

 

“คาดเดาว่าอย่างไร?” ว่านเอ๋อถาม

 

กู่ฉิงซานส่งเสียงตอบกลับไปว่า “มารโลกานั้นทรงพลานุภาพอย่างไม่ต้องสงสัย แม้กระทั่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาวอื่นๆมันก็สามารถกลืนกินได้อย่างง่ายดายในเวลาอันรวดเร็ว แม้กระทั่งตัวตนที่ทรงพลังอย่างขอบเขตลมปราณจิตก็ยังมิใช่คู่ต่อกร – เรื่องนี้พวกเจ้าคงไม่คัดค้านใช่หรือไม่?”

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อพยักหน้ารับพร้อมกัน

 

“หากกระทั่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวก็ยังถูกกลืนกินโดยมัน ด้วยพลังอำนาจเช่นนั้น ข้าคิดว่ามันย่อมต้องมีความสามารถมากพอที่จะกลืนกินผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลกใบนี้ได้ในเวลาไม่กี่วันเป็นแน่ … หากมันต้องการจะทำน่ะนะ”

 

สองหญิงสาวพอได้ฟังก็ชะงักงันไป

 

กู่ฉิงซานอธิบายต่ออย่างช้าๆ “แม้อาจมองในมุมที่ว่ามันกำลังเลือกจะละเล่นกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ แต่ข้าคิดว่าความจริงแล้ว มันมีแนวโน้มว่าต้องการบีบบังคับให้เหล่าผู้ฝึกยุทธฉีกรอยแยก แล้วทะลวงมิติจากไปเสียมากกว่า”

 

“ภายนอกกระแสมิติ มารโลกาจักต้องได้ตระเตรียมการบางอย่าง เพื่อเฝ้ารอให้เหล่าผู้ฝึกยุทธออกไปติดกับเป็นแน่”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ

 

ขณะที่ใบหยกถูกเก็บกลับคืนเข้าสู่ถุงสัมภาระของเขา

 

แล้วหยิบใบหยกแผ่นใหม่ออกมา และเริ่มทำการเรียนรู้ค่ายกลอีกครั้ง

 

นี่แหละคือข้อสรุปที่เขาตัดสินได้

 

นอกเหนือไปจากข้อสรุปนี้ ก็ไม่มีข้อสรุปอื่นใดอีกแล้วที่จะอธิบายถึงความหมายของคำว่า ‘ยังไงทุกคนบนโลกก็จะต้องตาย’

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกย่ำแย่และร้อนรนมากยิ่งขึ้น

 

โลกใบนี้ … มันอันตรายเกินไป

 

บางที มารโลกามันอาจจะถึงขั้นสามารถรับรู้ถึงบทสนทนาและการกระทำของผู้ฝึกยุทธทั้งหมดก็เป็นได้

 

มารโลกา แท้จริงแล้วมันคงแสร้งทำเป็นว่าหลับไหล

 

มันต้องการที่จะให้ผู้คนจนตรอก และเลือกหลบลี้ทะลวงเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่ามากยิ่งขึ้น

 

ที่ที่มั่นใจได้เลยก็คือ จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นเฝ้ารออยู่ภายนอกกระแสมิติอย่างแน่นอน

 

ตอนนี้ กู่ฉิงซานจึงต้องเร่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องค่ายกลในทันที จากนั้นก็ทำการถอดรหัสดิสก์ค่ายกลของฉีหยาน และสร้างดิสก์ค่ายกลใหม่ขึ้นมา

 

โลกใบนี้ ไม่สมควรที่จะพำนักอยู่ให้นานกว่านี้แม้เพียงนาทีเดียว!

 

สามหญิงสาวเมื่อเห็นถึงการเคลื่อนไหวของเขาที่เร็วยิ่งกว่าเดิม แม้ความอยากรู้อยากเห็นจะบังเกิดขึ้นในจิตใจของพวกเธอ แต่ทั้งหมดก็ยังตระหนักดีว่าเวลานี้ มันไม่สมควรที่จะรบกวนเขา

 

ตั้งแต่ที่พวกเธอได้รู้จักกับกู่ฉิงซานมา ทุกสิ่งอย่างที่เขาทำล้วนเชื่อถือได้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

ทุกคนต่างเลือกที่จะเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ เพื่อดูว่ากู่ฉิงซานจะทำอะไรต่อไป

 

เวลาได้ไหลผ่านไป แต่ก็ไม่นานนัก

 

พอถึงช่วงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็วางใบหยกในมือลง

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม สองเส้นแสงหิ่งห้อยลอยเด่นอยู่ที่นั่น

 

“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้ก้าวขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของผู้ที่แตกฉานในด้านค่ายกลของโลกใบนี้แล้ว”

 

“ขอแสดงความยินดีด้วย เนื้อหาเกี่ยวกับค่ายกลของโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งใดที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้มันอีกต่อไปแล้ว”

 

พอได้กวาดสายตาผ่าน กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวออกมา

 

ในที่สุด เขาก็ได้มาถึงระดับจุดสูงสุดของโลกใบนี้เสียที!

 

ไม่รีรอให้เสียเวลา กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลของฉีหยานออกมาจากถุงสัมภาระทันที

 

สิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้ เวลานี้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ

 

“พิกัด … ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ และเริ่มใช้ท่าร่างมือลงบนดิสก์ค่ายกล

 

แล้วดิสก์ค่ายกลก็ถูกกระตุ้นทันที

 

ฮู้มมมม!

 

ชั้นรอยแยกมิติระหว่างสองโลกปรากฏขึ้นในบริเวณโดยรอบดิสก์ค่ายกลขนาดเล็ก

 

“นายน้อย นี่ท่าน .. ”ฉินรั่วกล่าวอย่างเป็นกังวล

 

“มันไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่ต้องการที่จะดูพิกัดเท่านั้น มิได้คิดจะทำลายมันหรอก” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความมั่นใจ

 

เขาถือดิสก์ค่ายกลไว้ในมือ และเริ่มทำการถอดรหัสพิกัดของโลกไปทีละน้อย ทีละน้อย

 

ทุกอย่างเริ่มดำเนินการอย่างช้าๆ

 

การค้นหาพิกัดเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ขณะเดียวกันกู่ฉิงซานก็ได้ค้นพบถึงข้อสงสัยหนึ่ง ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

 

ภายในถุงสัมภาระ กู่ฉิงซานได้หยิบใบหยกค่ายกลจำนวนมากออกมา

 

ใบหยกเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ใช้บันทึกพิกัดของโลกต่างๆ – ที่ถูกโลกล่องเวหาพิชิตชัยมาได้

 

กู่ฉิงซานทำการตรวจสอบพิกัดของโลกเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง

 

ค่ายกลของโลกล่องเวหา กล่าวได้ว่าเหนือล้ำยิ่งกว่าของโลกอื่นๆ

 

และขณะนี้ กู่ฉิงซานก็ได้มายืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดในด้านค่ายกลแล้ว ดังนั้นวิสัยทัศน์และมุมมองของเขาย่อมแตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง

 

กระทั่งฉีหยาน บัดนี้ก็ยังถูกกู่ฉิงซานทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ห่างไกลกันมากโข

 

กู่ฉิงซานตรวจสอบพิกัดของโลกเหล่านั้น ก่อนจะเริ่มหันมาตรวจสอบพิกัดจากรอยแยกมิติของโลกเทวะ

 

เมื่อเทียบกับพิกัดของบรรดาโลกก่อนหน้านี้แล้ว กู่ฉิงซานอดไม่ได้เลยจริงๆที่จะต้องพูดออกมา “ที่แท้ … มันก็เป็นแบบนี้นี่เอง … ”

 

ขณะนี้ เขาได้ค้นพบถึงความลับแล้ว

 

ความลับที่ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนในประวัติศาสตร์!

 

— บรรดาโลกที่ถูกผสานรวมเข้าด้วยกันกับโลกล่องเวหา หรือแม้กระทั่งตัวโลกล่องเวหาเอง แท้จริงแล้วมันตั้งอยู่ในชั้นพื้นที่มิติเชิงสัมพันธ์กัน

 

กล่าวได้ว่าจากตำแหน่งพิกัดของแต่ละโลก จากแต่ละทิศทาง บางโลกบ้างอยู่ในมุมสูง บ้างอยู่ในมุมต่ำ ทว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้จะไม่อยู่เกินเลยไปกว่าภายในพิสัยของพื้นที่มิติที่สัมพันธ์กันอย่างแน่นอน

 

ทว่าสำหรับโลกเทวะนั้นแตกต่างออกไป

 

พิกัดของโลกเทวะนั้น ในเรื่องของระยะในแนวตั้ง มันห่างไกลออกไปจากพิสัยขอบเขตพื้นที่ของบรรดาโลกอื่นๆที่ถูกพิชิตชัยอยู่มากโข

 

หากเทียบเปรียบกับพิกัดของโลกเทวะกับบรรดาโลกในพื้นที่มิติบริเวณนี้ พิกัดของมันจะดูแปลกตายิ่งนัก เป็นตัวเลขที่เกินกว่าสามัญสำนึกทั่วไปจะจินตนาการได้

 

โลกเทวะ … เหมือนกับว่ามันจะอยู่กันคนละ ‘ลำดับชั้น’ กับพื้นที่มิติบริเวณนี้

 

ไม่น่าแปลกใจเลย

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดผู้ฝึกยุทธของโลกใบนี้จึงไม่สามารถทำการสำรวจโลกใบใหม่ได้อีกต่อไป

 

เพราะหากพวกเขาไม่ทราบถึงพิกัดของโลกเทวะมาก่อน กู่ฉิงซานคิดว่าพวกเขาก็คงไม่เคยคาดคิดถึงตัวเลขพิกัดที่แปลกประหลาดเช่นนี้ออกมาได้เป็นแน่

 

ผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหา ก็เปรียบดั่งปลาที่แหวกว่ายในบ่อ ที่คอยสำรวจหาดินแดนใหม่ไปเรื่อยๆ

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปลาเหล่านั้นจะทุ่มความพยายามในการสำรวจมากเพียงใด แต่สุดท้ายพวกมันก็จะถูกกักอยู่ในบ่อๆนั้นเสมอมา และไม่อาจคาดคิดหรือจินตนาการได้ว่ามันยังคงมีแหล่งน้ำ บ่อน้ำ สายธาร หรือทะเลแห่งอื่นอยู่อีก

 

แต่เวลาช่างกระชั้นชิดนัก กู่ฉิงซานจึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ยังไม่คิดมากไปกว่านี้เกี่ยวกับมัน

 

“นายน้อย นี่คือถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋า”

 

ฉานนู่ที่กำถุงสัมภาระอยู่ในมือ ได้กล่าวออกมา

 

“ข้าได้ทำการสำรวจสิ่งของทั้งหมดของเขาเป็นที่เรียบร้อย แม้จะมีกับดักปะปนอยู่บ้าง แต่ข้าก็ได้ทำลายพวกมันไปจนสิ้นแล้ว”

 

“ทำได้ดีมาก”

 

คงจะมีเพียงเฉพาะฉานนู่เท่านั้นทีไม่หวาดเกรงต่อกับดักทั้งหลาย เธอกำจัดพวกมันทั้งหมดจนถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋าปลอดภัย

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปในมัน

 

แล้วเขาก็พบกับทุกชนิดของวัสดุอันมากมายหลากหลายขึ้นในสายตา

 

“คงต้องบอกว่า แม้โลกใบนี้จะแห้งแล้ง แต่หวังหงษ์เต๋าก็ดูจะมั่งคั่งไม่น้อยเลย”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา

 

เดิมทีแล้ว กลับกลายเป็นว่าในโลกใบนี้ ในขณะที่ทุกผู้คนกล่าวได้ว่าขาดแคลนทรัพยากร ก็ยังมีบางคนที่สามารถเพลิดเพลิน สนุกสนานไปกับชีวิตที่กินดีอยู่ดีได้อยู่อีกนั่นเอง

 

กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยที่จะโยนสมบัติทั้งหมดในถุงสัมภาระลงในถุงหอมหลากสี

 

ถุงหอมที่ซึ่งเป็นมรดกสืบทอดของนิกายร้อยบุปผา

 

กู่ฉิงซานได้รับประโยชน์จากมันมามากมายนัก และในที่สุด เขาก็ได้ตอบแทนมันกลับคืนเสียที

 

หวังหงษ์เต๋าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต สิ่งของที่เขาครอบครองเอาไว้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานทำการโด้ของทั้งหมดจนเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็หยิบดิสก์ค่ายกลออกมาจากถุงสัมภาระ

 

นี่คือดิสส์ค่ายกลของหวังหงษ์เต๋า

 

ดูเหมือนว่ามันเป็นดิสก์ที่ทำการปรับแต่งจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปในดิสก์ค่ายกล แล้วสีหน้าของเขาก็ค่อยๆแสดงออกถึงความประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ดิสก์ค่ายกลแผ่นนี้มัน ….

 

ในทุกๆขั้นตอนการปรับแต่งทั้งหมดล้วนสมบูรณ์และไม่มีจุดใดเลยที่ผิดพลาด มันยังหลงเหลืออีกแค่เพียงการป้อนพิกัดของสองโลกในตอนท้ายเท่านั้นเอง

 

‘หวังหงษ์เต๋านี่มันช่างน่าสนใจจริงๆ’

 

กู่ฉิงซานจึงทำการใส่พิกัดของโลกล่องเวหาและโลกเทวะลงไปในมัน

 

ทว่าหลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการนี้ จู่ๆเขาก็รีบเก็บดิสก์ค่ายทันที

 

พร้อมกับสองดาบที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่า ลอยล่องอยู่เคียงข้างเขา

 

“มีอะไรงั้นหรือนายน้อย?” ฉินรั่วเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

 

“เกิดความผัวผวนขึ้นบริเวณค่ายกลที่ 16 … มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกับพวกเรา” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงกระซิบ

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

 

“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เราจะต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ก่อน”

 

และทันทีที่เสียงของเขาตกลง เสียงปรบมือสนั่นก็ดังขึ้นทันที

 

แปะ! แปะ! แปะ!

 

ไม่มีสัญญาณล่วงหน้าใดๆเลย ที่แจ้งเตือนการมาถึงของเสียงปรบมือนี้

 

สีหน้าของคนทั้งหลายแปรเปลี่ยนกลับกลาย

 

เพราะก่อนหน้านี้ … พวกเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงสิ่งใดที่อยู่รอบตัวเลย!

 

แต่ตอนนี้ จู่ๆก็กลับมีใครบางคนปรบมือขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากพวกเขา

 

คนทั้งหลายเริ่มที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆ

 

อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงจิ้งจอกขาวที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และใช้อุ้งเท้าหน้าของมันปรบมือไม่หยุด

 

มันคืออสูรวิญญาณของสตรีแห่งรากษส – จิ้งจอกขาว!

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มจะหนักอึ้ง

 

เดิมที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจค้นพบถึงร่องรอยของจิ้งจอกขาวได้เลยตลอดทั่วทั้งเกาะ

 

กู่ฉิงซานจึงหลงคิดไปว่าจิ้งจอกขาวคงเดินทางกลับไปยังลั่วชาเฟิงแล้ว

 

เอ๋? เช่นนั้นแล้วระหว่างทางหวังหงษ์เต๋ามิได้สังหารมันลงไปแล้วหรอกหรือ

 

-หรือว่าจริงๆแล้วกระทั่งหวังหงษ์เต๋าเองก็ยังไม่อาจค้นพบถึงตัวตนของมันได้?

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็เปลี่ยนเป็นร้ายแรงโดยสมบูรณ์

 

เขาคว้าจับดาบพิภพในมือ

 

“ดูเหมือนว่าจะมีการเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นนะ พวกเจ้าจงอย่าพึ่งกังวลไปเลย” จิ้งจอกขาวกล่าว

 

พร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันอันทรงพลานุภาพออกมา

 

แรงกดดันเช่นนี้ มันทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ถึงชนิดที่ว่าส่งผลให้ตลอดทั้งค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกเกิดการสั่นกระเพื่อม

 

และกระทั่งตัวหวังหงษ์เต๋าเองก็มิอาจทำเช่นนี้ได้

 

“เหนือยิ่งกว่าขอบเขตลมปราณจิต … ” ฉินรั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แต่ก็ดังฟังชัด

 

คนทั้งหลายหันมาส่งสายตาให้กันอย่างรวดเร็ว

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อมิได้จีบมือเตรียมจะใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราใดๆ ขณะที่กู่ฉิงซานและฉานนู่ก็เก็บดาบกลับคืนเช่นกัน

 

เพราะยามเมื่อต้องเผชิญกับการดำรงอยู่อย่างตัวตนดังกล่าวนี้ การต่อสู้ย่อมเป็นวิธีที่ไม่มีทางได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน

 

กู่ฉิงซานมองเข้าไปในดวงตาของจิ้งจอกขาว ปากเอ่ยกล่าวอย่างช้าๆ “ท่านแขกผู้มีเกียรติอุส่าห์มาเยี่ยมเยือน แต่กลับไม่ได้รับการต้อนรับที่ดี เกรงว่านิกายของข้าคงจะต้องขายหน้าแล้ว”

 

จิ้งจอกขาวกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากเกี่ยวกับการต้อนรับข้าหรอก”

 

มองไปยังท่าทีของมัน ดูเหมือนว่าจะกำลังยิ้มอยู่

 

“ข้าคอยเฝ้าดูเจ้าตั้งแต่ที่เจ้าได้เข้าไปในห้องลับ และพบกับจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่แล้ว” จิ้งจอกขาวกล่าว

 

“โอ้? เหตุใดท่านจึงสนใจในตัวข้าถึงเพียงนั้นกัน? ข้าก็เป็นแค่เพียงผู้ฝึกดาบธรรมดาๆเท่านั้นเองนะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องเจียมเนื้อเจียมตัวให้มันมากเกินไปนัก ขอบอกเลยว่ากระทั่งตัวข้าเองก็ยังต้องละทิ้งความอคติเดิมๆที่มีต่อ ‘โลกชั้นภายนอก’ ไป หลังจากที่ได้เห็นว่าเจ้าสามารถสังหารหวังหงษ์เต๋าและเฉียนซานเย่ลงได้”

 

จิ้งจอกขาวถอนหายใจและกล่าว “ขอบอกตรงๆเลยว่า หากจักให้บรรลุกลยุทธ์เช่นเจ้า ต่อให้เป็นตัวข้าเอง ก็คงจะไม่สามารถทำได้”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.467 – ความลับ

 

กู่ฉิงซานยังคงหยิบใบหยกออกมาอย่างต่อเนื่อง และทำการเรียนรู้ค่ายกลที่บันทึกเอาไว้อย่างไม่รู้จบ

 

ใบหยกแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกหยิบขึ้นมาโดยเขา

 

ขณะที่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับค่ายกลของเขาทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานกำลังปีนป่ายขึ้นไปยังจุดสูงสุด – ที่กล่าวกันว่าเป็นการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกล่องเวหา : นั่นคือเป็นผู้แตกฉานในด้านค่ายกล

 

ถึงแม้ว่าหวังหงษ์เต๋าจะถูกสังหาร และเฉียนซานเย่ก็ตายลงแล้วเช่นกัน แต่ความตึงเครียดในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับยังคงอัดแน่น ไม่ยอมคลายลงเลย

 

เขาจึงเร่งพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะแตกฉานในด้านค่ายกลให้ได้โดยเร็วที่สุด

 

“นายน้อย เหตุใดท่านจึงยังดูเป็นกังวลอยู่อีกเล่า?” ฉินรั่วเอ่ยถามอย่างเงียบๆ

 

มองไปยังท่าทีการแสดงออกของกู่ฉิงซาน เวลานี้เขาดูไม่มีความสุขเลย

 

“นั่นสินายน้อย พวกเขาทั้งหมดตายไปแล้วนะ ตอนนี้พวกเราไม่ได้กำลังตกอยู่ในอันตรายกันอีกแล้ว” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม

 

“เอาไว้ข้าจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฟังในภายหลังนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แม้ขณะสนทนากับอีกฝ่าย มือของเขาก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ในหัวใจยิ่งนานยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

 

มีแน่ๆ จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างท่ามกลางเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขายังไม่ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับมัน

 

โลกใบนี้ช่างแปลกประหลาดและมิอาจคาดเดาได้

 

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือว่ามารก็ตามที

 

ขณะที่ตนเองพึ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน แล้วจะกล่าวว่าสามารถรู้เรื่องทุกอย่าง และควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างไร?

 

ดังนั้น กลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือการหลบหนีออกไปจากที่นี่

 

และเพื่อให้บรรลุกลยุทธ์ที่ว่านั่น เขาก็จะต้องเร่งยกระดับความรู้ ความเข้าใจในด้านค่ายกลของตัวเองให้เร็วที่สุด

 

เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวแปรใดๆที่อาจเข้ามาขัดขวางได้ เขาจะต้องรีบถอดรหัสดิสก์ค่ายกลระหว่างสองโลกของฉีหยานโดยเร็วที่สุด แล้วได้รับพิกัดของโลกเทวะมาให้จงได้!

 

“ข้าได้กลั่นกรองมันเสร็จแล้วนายน้อย” ฉานนู่เปิดตาขึ้นและกล่าวออกมา

 

กู่ฉิงซานที่กำลังเรียนรู้ค่ายกลอยู่วางใบหยกลง และเอ่ยถามออกไป “ก่อนที่หวังหงษ์เต๋าจะตาย ที่เขากล่าวว่า ‘ไม่ว่ายังไงผู้คนบนโลกใบนี้ก็จะต้องตาย’ นั่นมันเป็นจริงหรือไม่?”

 

“มันเป็นความจริง”

 

บนใบหน้าของฉานนู่เผยถึงความรู้สึกซับซ้อน และเธอก็กำลังจะเอ่ยปากบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา

 

แต่กู่ฉิงซานได้หยุดเธอเอาไว้เสียก่อน

 

เขาส่งผ่านเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะไป “อย่าพึ่งพูดมันออกมา พวกเราจะต้องสนทนาเรื่องนี้กันด้วยจิตสัมผัสเทวะเป็นการส่วนตัว”

 

แม้ฉานนู่จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยังปฏิบัติตามคำกล่าวของกู่ฉิงซานโดยดี และบอกเล่าผ่านจิตสัมผัสเทวะแก่เขา

 

เมื่อ 1000 กว่าปีก่อน

 

ในช่วงเวลาที่มารโลกายังมิได้ปรากฏตัวขึ้นมา

 

โลกทั้งใบแข็งแกร่งและทรงประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

 

ในช่วงเวลานั้น ผู้ฝึกยุทธกลุ่มหนึ่งได้บังเกิดความทะเยอทะยานหาที่ใดเปรียบ

 

พวกเขาพิชิตและทำการผสานโลกทั้งหมดที่พบเจอ นำพาอารยธรรมของโลกตัวเองก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุด

 

นี่คือยุคที่โลกล่องเวหาสามารถปลดปล่อยประสิทธิภาพของตนออกมาได้อย่างไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง

 

ทว่าช่วงเวลาใดก็มิอาจทราบได้ ที่จู่ๆก็มีผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาโลกใบนี้

 

เธอโผล่ออกมาอย่างกระทันหัน

 

ไม่มีใครรู้ว่าเธอมาจากที่ใด และมาถึงโลกใบนี้ได้ด้วยวิธีการใด

 

แต่ดูเหมือนว่าหญิงนางนี้จะไม่ได้มาร้ายหรือมีแผนการใดๆ

 

เธอเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับโลกใบนี้ก็เท่านั้นเอง

 

เธอท่องไปรอบโลกล่องเวหาอย่างเสรี และไร้จุดหมาย

 

ในตอนแรกเหล่าผู้ฝึกยุทธก็ไม่ทราบถึงเรื่องนี้ และมิได้ใส่ใจผู้หญิงที่ดูปกติธรรมดานางนี้เลย

 

จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ผู้ฝึกยุทธกลุ่มหนึ่งพึ่งพิชิตโลกใบใหม่มาได้สำเร็จ และกำลังนำพาทาสเข้ามาในโลกล่องเวหา จู่ๆทั้งหมดก็กลับถูกผู้หญิงคนนี้เข้ามาขวางเอา

 

เธอก้าวออกมาข้างหน้า เพื่อหยุดการกระทำของเหล่าผู้ฝึกยุทธและต้องการที่จะปกป้องทาสเหล่านั้นเอาไว้

 

ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ย่อมเป็นธรรมดาที่จะทำให้เกิดฉนวนขัดแย้งกับเหล่าผู้ฝึกยทุธ

 

ทว่าผลลัพธ์กลับออกมาผิดคาด ไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดสามารถเอาชนะเธอได้เลย

 

ทุกคนล้วนถูกจับมัดรวมๆกันโดยเธอ

 

แต่โชคดีที่ผู้หญิงคนนั้นมิใช่พวกที่สังหารผู้คนตามอำเภอใจ เธอเพียงบอกกับผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนี้และปล่อยพวกเขาไป

 

เมื่อถูกปล่อยตัว ผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นจึงเร่งไปขอกำลังสนับสนุนทันที

 

ทว่าผลลัพธ์ก็ยังคงเดิม ผู้ฝึกยุทธที่ถูกนำตัวมา ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเธอได้เลย

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธจึงทำการขอกำลังสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเหตุการณ์นี้มันได้ไปดึงดูดความสนใจจากผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตลมปราณจิตคนหนึ่งเข้า

 

แต่แล้วเมื่อเขามาถึง ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่ากระทั่งผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตก็ยังพ่ายแพ้!

 

หลังจากการต่อสู้ในครั้งนี้จบลง  ผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลกก็ได้รับแจ้งถึงเรื่องราวในครั้งนี้ทันที

 

โลกทั้งใบราวกับถูกสั่นสะเทือน

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตมากมายก้าวเข้าไปท้าทายผู้หญิงคนนี้ อย่างไรก็ตาม คนแล้วคนเล่าก็ล้วนต้องพ่ายแพ้

 

ผู้หญิงคนนี้มาจากที่ใดกัน?

 

เหตุใดนางจึงครอบครองพลังมากมายเช่นนี้

 

ซึ่งในช่วงเวลานั้นเอง มันประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เหล่าผู้ฝึกยุทธไม่อาจค้นหาโลกใหม่ได้อีกต่อไปพอดิบพอดี

 

พื้นฐานวรยุทธในขอบเขตลมปราณจิต ได้กลายเป็นจุดสูงสุด มิอาจทะลวงผ่านได้อีกต่อไป

 

ประจวบเหมากับที่ผู้หญิงคนนี้ ไม่เพียงมาจากโลกอื่น แต่ยังสามารถมอบความพ่ายแพ้แก่ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตได้

 

เธอจึงเปรียบดั่งตัวแทนของความหวังใหม่

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างเร่งพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำการตรวจสอบเธอ

 

ทว่าผู้ฝึกยุทธทั่วทั้งโลก กลับไม่มีใครสามารถค้นหาคำตอบที่ต้องการอย่างต้นกำเนิดของหญิงผู้นี้ได้เลย

 

ทุกคนแค่เพียงได้รับฟังจากปากของเธอเองว่า ตัวเธอมิใช่คนของโลกใบนี้เท่านั้น

 

บังเกิดความคิดทุกประเภท มากมายหลากหลายขึ้นภายในจิตใจของผู้ฝึกยุทธ

 

แต่น่าเสียดาย ที่ทุกคนไม่ว่าใครก็ไม่อาจเอาชนะเธอได้เลย ดังนั้นจึงไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากไปกว่านี้จากปากของเธอเอง

 

ผู้ฝึกยุทธระดับสูงของโลกจึงได้มารวมตัวกันอย่างลับๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ในครั้งนี้

 

และเฉียนซานเย่ก็เป็นผู้ที่ถูกรับเลือก

 

ถึงแม้ว่าเฉียนซานเย่จะไม่สามารถเอาชนะเธอได้ก็ตามที แต่เฉียนซานเย่ก็เป็นพวกหนังเหนียวไม่เลว และฉกาจในด้านการเกี้ยวหญิง

 

ด้วยการวางแผนและสมคบคิดกันของผู้ฝึกยุทธทั่วโลก เฉียนซานเย่ก็เริ่มทำการไล่ตามตื้อผู้หญิงคนนั้น

 

และแล้วเขาก็ประสบความสำเร็จ!

 

ผู้หญิงคนนั้น ตัดสินใจที่จะอยู่ในโลกใบนี้กับเขา

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับเฉียนซานเย่แล้ว เขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีความทะเยอทะยานอันสูงล้น และผู้หญิงนับไม่ถ้วนก็เคยผ่านมือเขามาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นสำหรับเธอ เขาจึงไม่คิดจะใยดีใดๆ

 

เขาเพียงต้องการที่จะค้นพบถึงความลับที่อยู่เบื้องหลังของผู้หญิงคนนี้เท่านั้น

 

และในที่สุด เขาก็ได้เลือกช่วงเวลาที่ผู้หญิงคนนี้เผลอ ลวงเธอให้เข้าไปติดกับ

 

44ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตที่ซุ่มอยู่ เริ่มลงมือพร้อมกันในทันทีที่ได้สัญญาณ!

 

ผู้หญิงคนนั้นที่มิได้ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวเลย ภายใต้การโจมตีอย่างกระทันหัน จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เธอจะพ่ายแพ้

 

เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ค้นพบถึงความตั้งใจที่แท้จริงของเฉียนซานเย่ และตกอยู่ในความสิ้นหวังท่ามกลางเหล่าผู้ฝึกยุทธ ชั่วเวลานั้นเอง ในหัวใจของเธอจึงบังเกิดความผิดหวังอย่างร้ายแรงขึ้นมา

 

เธอเร่งฆ่าตัวตายอย่างรวดเร็ว

 

ทว่าก่อนตาย เธอมิวายเอ่ยประโยคหนึ่งทิ้งท้ายเอาไว้

 

“จิตวิญญาณของข้าจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นระบบทำลาย และอัญเชิญสิ่งที่น่าหวาดหวั่นชนิดที่พวกเจ้ามิอาจต้านทานได้จากในมิติที่ว่างเปล่าเข้ามา … พวกเจ้าจะต้องตกตายลงท่ามกลางความสิ้นหวังอย่างช้าๆ ไม่หลงเหลือผู้คน ไม่หลงเหลือที่อยู่อาศัย นี่คือการแก้แค้นของข้า”

 

กล่าวจบ ผู้หญิงคนนั้นก็สิ้นใจลง

 

แน่นอน ว่าหากเป็นเพียงความตาย เหล่าผู้ฝึกยุทธก็หาได้ใส่ใจใดๆไม่

 

เพราะตราบใดที่จิตวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ พวกเขาก็สามารถจับจิตวิญญาณของอีกฝ่ายมาเค้นความจริงได้

 

แต่น่าเสียดาย ที่เมื่อผู้หญิงคนนั้นตายลง จิตวิญญาณของเธอก็ได้หายไปเช่นกัน

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธชั้นยอดทั้งหมดได้พยายามทำทุกวิถีทาง ใช้ออกด้วยทุกวิชาลับ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจค้นพบถึงจิตวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นได้เลย

 

และในยามที่ทุกคนกำลังสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้นั้นเอง

 

มารโลกาก็ปรากฏตัวขึ้น

 

ในวันแรก มารโลกาได้กลืนกินดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไป

 

และในวันถัดๆมา มารโลกาก็เริ่มกลืนกินดวงดาวบนฟากฟ้า มันใช้เวลาอยู่3-4วันเพื่อทำโลกทั้งใบมิอาจมองเห็นแสงดาวได้อีกต่อไป

 

และแน่นอน ว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธย่อมมิยินยอมอยู่เฉย พวกเขาได้ทำการเปิดฉากโจมตีมัน

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังอำนาจเหลือคณาของมารโลกา มันได้ส่งทุกคนจมลงสู่ความสิ้นหวัง

 

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่เข้าร่วมในการต่อสู้ล้วนถูกกลืนกินไปโดยมารโลกาอย่างสมบูรณ์

 

ในช่วงเวลานั้นเอง ที่ผู้คนต่างเริ่มเล่าลือถึงคำกล่าวทิ้งท้ายของผู้หญิงคนนั้น

 

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมันย่อมมิอาจแก้ไขได้

 

โลกทั้งใบกำลังเข้าสู่กระบวนการล่มสลาย ผู้ฝึกยุทธต่างไร้สิ้นซึ่งความหวัง

 

เมื่อไม่มีหนทางใด เหล่าผู้ฝึกยุทธชั้นยอดจึงได้มาแอบรวมตัวกันอีกครั้ง และขบคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับปัญหานี้

 

แล้วพวกเขาก็ได้ข้อสรุปว่า คงจะมีเพียงการสังหารเฉียนซานเย่เท่านั้น จึงจะสามารถบรรเทาความโกรธของผู้หญิงที่ถูกสังหารลงได้

 

พวกเขาจึงเร่งวางแผนกำจัดเฉียนซานเย่อย่างรวดเร็ว

 

และศิษย์ฝึกหัดของเฉียนซานเย่ – หวังหงษ์เต๋าก็ถูกรับเลือกให้เป็นผู้สังหารอาจารย์ตน

 

เมื่อต้องพบเผชิญกับการสมคบคิดของผู้คนในโลกทั้งใบ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่เฉียนซานเย่จะมิอาจรับมือได้ และถูกสังหารลงในที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม มันไร้ประโยชน์

 

มารโลกามิได้หายไป

 

โลกล่องเวหาได้ตกลงสู่ความสิ้นหวังโดยสมบูรณ์

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธไม่ยินดีที่จะพินาศลงเช่นนี้  และในที่สุดแสงแห่งความหวังก็ปรากฏขึ้น -ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดเหมือนกัน แต่คนผู้นั้นได้ทำการคิดค้นเทคนิคมนตราหนึ่งขึ้นมาได้สำเร็จ

 

มันคือเทคนิคมนตราซึ่งสามารถนำพาตลอดทั้งนิกายให้อยู่ในรูปแบบของเกาะลอยฟ้า และฉีกรอยแยกมิติ ออกจากโลกใบนี้ไป

 

พอได้ทราบข่าวนี้ ผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลกต่างก็พากันปิติยินดี

 

เกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่ทะยานขึ้นสู่เวหา ตัดผ่านรอยแยกมิติ และลาจากโลกใบนี้ไป

 

หลายเดือนได้ผ่านพ้น

 

ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดบางคนที่ได้อาสาเป็นผู้บุกเบิกสำรวจเส้นทางมิติก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วกลับไม่เคยได้ส่งข่าวกลับมาเลย

 

เรื่องนี้ได้ก่อให้เกิดความสับสนใจหมู่ผู้ฝึกยุทธชั้นสูงเป็นอย่างยิ่ง

 

และหลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบในหลายๆขั้นตอน ทุกคนก็ค้นพบว่าเทคนิคทะลวงมิติที่ว่างเปล่านี้ เดิมทีแล้วได้ถูกคิดค้นโดยปรมาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก

 

แต่เมื่อพบควัน ก็ย่อมสามารถค้นหาต้นตอของเปลวเพลิงได้อย่างง่ายดาย ปรมาจารย์ค่ายกลคนนั้นก็ถูกพบตัวอย่างรวดเร็ว

 

“น่าแปลกนัก มันไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้”

 

ปรมาจารย์ค่ายกลเอ่ยออกมาไม่กี่คำ

 

แล้วเขาก็ตกตายลง

 

ดวงจิตหนีหาย จิตวิญญาณแตกสลายไป

 

ไม่สามารถแม้กระทั่งจะสืบค้นถึงร่องรอยของจิตวิญญาณได้

 

—มิแตกต่างไปจากในครั้งที่ผู้หญิงลึกลับคนนั้นที่เสียชีวิตลงก่อนหน้านี้เลย

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงจึงพากันสรุปทันที ว่านี่สมควรที่จะเป็นแผนสมรู้ร่วมคิดกันของผู้หญิงคนนั้น

 

‘เทคนิคทะลวงมิติเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด’

 

เพื่อหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนกของผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งโลก เหล่าระดับสูงจึงพากันปกปิดเรื่องดังกล่าวนี้ไว้

 

ทว่านิกายจำนวนมากก็ยังคงหมกหมุ่นในความคาดหวังว่าตนจะยังคงมีชีวิตรอด และต่างพากันเปิดรอยแยกมิติ ทะลวงมันเข้าไป

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธล้วนปรารถนาที่จะลาจากโลกใบนี้ และก้าวเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่า

 

มีเฉพาะเพียงผู้ฝึกยุทธระดับสูงเท่านั้น ที่ตกลงสู่ความสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

ตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเขาได้รวมตัวกัน เพื่อวางแผนที่จะโค่นลมผู้หญิงคนนั้น

 

ทว่าบัดนี้ กรรมได้ตามสนองพวกเขาแล้ว

 

ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดบางส่วนได้ทำการทะลวงมิติด้วยตนเอง เพื่อต้องการค้นหาโลกใบใหม่

 

ทว่า … โลกที่พวกเขารู้จัก ทั้งหมดล้วนถูกผสานรวมเข้ากับโลกของตนเองจนสิ้นแล้ว

 

พวกเขาไร้ซึ่งพิกัดใดๆ

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงคนแล้ว คนเล่าได้ทยอยกันออกค้นหาพิกัดของโลกใหม่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้กลับมาอีกเลย

 

พวกเขาไม่สามารถหลบหนีจากคำสาปแช่งของผู้หญิงคนนั้นได้

 

ในโลกใบนี้ ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่สามารถหลบหนีไปได้

 

ผู้ฝึกยุทธทุกคนทำได้เพียงเฝ้ารอความตายมาเยือนเท่านั้น

 

แล้วหนึ่งพันปีก็ได้ผ่านพ้นไปราวกับพริบตา

 

ทรัพยากรทั้งหมดได้เหือดแห้งลงโดยสมบูรณ์ และผู้ฝึกยุทธเกือบทั้งหมดก็ล้วนแทบจะตกตายลงจนสิ้นแล้ว

 

จนนิกายใหญ่เพียงนิกายเดียวที่ยังคงอยู่ที่นี่ เหลือเพียงลั่วชาเฟิงเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นลั่วชาเฟิงหรือโลกใบทั้งใบ ทั้งหมดก็เท่าได้เพียงเฝ้ารอความตายที่กำลังจะมาถึงอย่างหมดหนทางอยู่ดี

 

นี่คือความจริงทั้งหมด

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.466 – ค้นวิญญาณ

 

“เจ้าล่วงรู้เรื่องอย่างการแบ่งวิญญาณได้อย่างไร!”

 

เฉียนซานเย่เอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

กู่ฉิงซานพอได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์

 

“นั่นก็เป็นเพราะว่า ข้าเคยพบเห็นเจ้าสิ่งนี้ด้วยตาตนเองมาก่อนแล้วยังไงล่ะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ

 

ในชีวิตก่อนหน้า จวบจนกระทั่งทั้งสองโลกได้ถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง เขาก็ยังไม่เคยได้พบเจอกับผู้คนของโลกอื่นเลย

 

ทุกชีวิตบนโลกมนุษย์ ไม่มีผู้ใดตระหนักถึงคำว่า ‘หมื่นสวรรค์’ สองคำนี้เลย ผู้คนเพียงเลือกที่จะเข้าใจและฝืนยอมรับว่า คำหมื่นสวรรค์นี้หมายถึงโลกมนุษย์กับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธเท่านั้น

 

ช่างเป็นเรื่องไร้สาระโดยแท้!

 

แต่เมื่อได้จุติกลับมาใหม่อีกครั้ง ตนเองก็ได้พบเห็นโลกมากขึ้น พบปะผู้คนมากขึ้น และเริ่มปะติดปะต่อถึงความลับระหว่างต่างโลก

 

จนกู่ฉิงซานสามารถตระหนักถึงใจความสำคัญของความรู้ ความเข้าใจในเชิงลึกได้ทั้งหมด

 

เขาย้อนนึกไปถึงเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ในช่วงที่หลานซิ่วต้องการจะช่วยเหลือชิงหยิน อีกฝ่ายไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะทำการแบ่งจิตวิญญาณของตนออกไป

 

หลานซิ่วได้ใช้เวลากว่า 10000 ปี เพื่อให้จิตวิญญาณที่แยกตัวออกไปทำการสร้างสำรับไพ่กลุ่มใหม่ขึ้นมา

 

ขณะที่เฉียนซานเย่ เขากลับสามารถเพิกเฉยต่อกฏเหล็กของวิถีดาบได้ -มิเพียงแตกฉานในเชิงดาบ แต่ยังสามารถแตกฉานในเชิงกระบี่จนกลายเป็นยอดยุทธที่ทรงพลานุภาพที่สุดในยุคสมัยนั้น

 

หากกู่ฉิงซานไม่เคยเห็นหลานซิ่วมาก่อน แน่นอนว่าเขาคงจะสับสนและหลงกลเหมือนกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆในโลกใบนี้ไปแล้วเช่นกัน

 

ดังนั้น ด้วยการที่ตนได้สนทนากับเฉียนซานเย่ และรับฟังถึงแผนการของอีกฝ่ายที่ค่อยๆแง้มออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้กู่ฉิงซานสามารถพิจารณาและเริ่มมั่นใจมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆว่าอีกฝ่ายอาจจะสามารถแบ่งเสี้ยวจิตวิญญาณกับจิตวิญญาณหลักได้ก็เป็นได้

 

เพราะมีเพียงเฉพาะวิธีนี้เท่านั้น ที่เขาจะสามารถฝึกฝนทักษะดาบ และฝึกฝนอาวุธหลักอีกชนิดหนึ่งจนแตกฉานได้

 

ทิศทางของเบาะแสทั้งหมด ชี้ตรงมาที่จุดนี้ … มันถูกรวมรวมเข้าด้วยกันจนสมบูรณ์!

 

ในที่สุด การคาดเดาของเขาก็ได้รับการยืนยันแล้ว!

 

ผู้ฝึกยุทธอย่างเฉียนซานเย่ แท้จริงแล้วกลับครอบครองความสามารถเช่นเดียวกันกับหลานซิ่ว!

 

นี่มันช่างขัดแย้งกับบันทึกอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดของโลกใบนี้เสียจริง -การแบ่งจิตวิญญาณนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย!

 

ตรงจุดนี้แหละ คือจุดที่กู่ฉิงซานสงสัยมากที่สุด

 

นอกเหนือไปจากเรื่องของการแบ่งจิตวิญญาณแล้ว เฉียนซานเย่ยังกล่าวว่าเขาล่วงรู้ถึงความลับของมารโลกาอีกด้วย

 

และความลับในเรื่องที่สองนี่เอง ที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของกู่ฉิงซานได้อย่างแท้จริง

 

จิตของหวังหงษ์เต๋าและจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ยังคงติดอยู่ในศีรษะของหวังหงษ์เต๋าในขณะนี้

 

กู่ฉิงซานจับหัวของหวังหงษ์เต๋าและกำลังจะเริ่มต้นทำการค้นวิญญาณ

 

“ช้าก่อนนายน้อย โปรดให้ข้าเป็นผู้ลงมือเถอะ” ฉานนู่กล่าว

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“เพราะผู้คนในโลกใบนี้ช่างอันตรายยิ่ง และพวกเราก็ไม่เคยเผชิญกับเทคนิคมนตราของพวกเขามาก่อน ดังนั้นปล่อยให้ข้ารับมือเถอะ หากเป็นข้า วิชามนตราย่อมไม่นับว่าเป็นสิ่งใด” ฉานนู่กล่าว

 

“จริงของเจ้า”

 

กู่ฉิงซานตอบรับความหวังดี และโยนศีรษะของศัตรูให้แก่อีกฝ่าย

 

สำหรับฉานนู่แล้ว แน่นอนว่าเธอย่อมไม่หวาดเกรงวิชามนตราใดๆทั้งสิ้น

 

เธอคว้าจับศีรษะ ในชั่วเวลาที่จิตวิญญาณภายในยังไม่จากไป และเริ่มต้นใช้ออกด้วยวิชาค้นวิญญาณทันที

 

“นายน้อย เขากำลังจะตาย เกรงว่าข้าจักสามารถตรวจดูได้แค่บางส่วนของความทรงจำเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานกล่าวเตือน “เช่นนั้นก็จงข้ามผ่านเหตุการณ์ในช่วงพันปีนี้ไปทันที แล้วไปสืบเสาะหาเรื่องราวก่อนหน้าทั้งหมดโดยเริ่มจากเฉียนซานเย่ จากนั้นก็หวังหงษ์เต๋า”

 

“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่รับคำ

 

แล้วเธอก็เริ่มทำการตรวจสอบ

 

“อ๊ากกกกกก!”

 

ศีรษะของหวังหงษ์เต๋าหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา

 

“ปล่อยข้าไปเถอะ แล้วข้าจะยอมเล่าให้เจ้าฟังทุกอย่างเอง”

 

เขาเอ่ยประโยคนี้ ด้วยสองน้ำเสียงที่สลับกันไปมา

 

กู่ฉิงซานกล่าวปฏิเสธ “สำหรับทั้งศิษย์และอาจารย์เช่นพวกเจ้าทั้งสองแล้ว ขอบอกตรงๆว่าข้ามิกล้าเชื่อถือสิ่งใดที่พวกเจ้ากล่าวแม้ครึ่งคำ”

 

เมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าทุกอย่างไร้ความหวัง หวังหงษ์เต๋าก็ระเบิดเสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งขึ้นทันใด

 

“ต่อให้เจ้าสังหารข้าได้ … ก็แล้วมันอย่างไร! ไม่ว่ายังไง ทุกคนบนโลกใบนี้ก็จะต้องตาย และไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีไ-”

 

แต่แล้วเสียงโหยหวนของเขาก็หยุดลงไปอย่างกระทันหัน

 

ในมือของฉานนู่ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทุ่มออกด้วยวิธีใดมันก็ไร้ประโยชน์

 

ดังนั้น เมื่อดิ้นรนมาจนถึงจุดนี้ ช่วงเวลาแห่งการไม่เต็มใจน้อมรับความตายก็ได้มาถึงในที่สุด

 

สองตาของหวังหงษ์เต๋าเบิกกว้างอย่างไม่ยินยอม ประกายแห่งความละโมบเหม่อมองโลกใบนี้ไปจนสุดสายตา

 

ปากอ้าเผยอ กล้ามเนื้อตลอดทั้งใบหน้าเกร็งเขม็ง เผยให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

 

กระทั่งในวินาทีสุดท้าย สองจิตวิญญาณก็แสดงออกความเสียใจ เผยความรู้สึกเช่นเดียวกันออกมาก่อนจะลาจากโลกใบนี้ไป

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว

 

“ทุกคนบนโลกใบนี้จะต้องตายอย่างงั้นหรือ?”

 

เขาเอ่ยออกมาเบาๆ ขณะเดียวกันก็ใช้สมองขบคิดถึงความหมายของประโยคนี้

 

พร้อมกับความรู้สึกไม่ดีที่บังเกิดขึ้น

 

ในความเป็นจริงแล้ว ลางสังหรณ์ดังกล่าวนี้ได้ซุ่มซ่อนอยู่ในจิตใจเขามาเนิ่นนานแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ มันก็ได้บังเกิดความชัดเจนขึ้นยิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย

 

“การตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานหันไปเอ่ยถามฉานนู่

 

ฉานนู่หลับตาลงและกล่าว “นายน้อย ข้อมูลมันเยอะเกินไป ข้าจำต้องใช้เวลาสักครู่ในการแยกแยะและกลั่นกรองมันเสียก่อน”

 

“งั้นก็จัดการในส่วนของเจ้าไปเถอะ เพราะทางข้าเอง … ก็มีบางสิ่งที่จะต้องเร่งมือทันทีอยู่เหมือนกัน”

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง จ้องมองหน้าอกของตัวเอง

 

กระบี่หวังชี่ยังคงแทงทะลุอยู่บนหน้าอกเขา แม้ว่าเขาจะเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า โดยการเลือกที่จะหลีกเลี่ยงจุดตายแล้วก็ตามที แต่หากปล่อยทิ้งไว้นานๆผลลัพธ์ก็คงเลวร้ายอยู่ดี

 

ตอนนี้ คงต้องนำมันออกมาเสียก่อน

 

ในเวลานั้นเอง สองเงาร่างก็ทะยานตรงมาอย่างรวดเร็ว

 

ฉินรั่วและว่านเอ๋อ นั่นเอง

 

เมื่อค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ฟื้นฟูจนเสร็จสมบูรณ์ พวกเธอก็เร่งตรงมาที่นี่ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

 

ทั้งสองร่อนมาตกลงเบื้องหน้าของกู่ฉิงซานและฉานนู่

 

แล้วก็นิ่งงันไป มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ยังขยับไหว มันเบนลงไปมองศีรษะในมือของฉานนู่

 

“ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต … ” ฉินรั่วเอ่ยออกมาอย่างเหม่อลอย

 

“ถูกสังหารลงโดยผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพ!” ว่านเอ๋อเปล่งเสียงกระซิบ

 

พวกเธออดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างเล็กน้อย แม้จะผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับในสิ่งที่ตนเห็นได้

 

แต่ไม่นาน วิสัยทัศน์ของหญิงสาวทั้งสองก็เบนมาตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน

 

และพบว่ามีกระบี่ยาวแทรกอยู่ในหน้าอกของเขา และเจ้าตัวก็กำลังพยายามที่จะดึงมันออกมาอยู่

 

สองสาวหันมองหน้ากันวูบหนึ่ง

 

และเห็นถึงความวิตกกังวลในสายตาของอีกฝ่าย

 

ทันใดนั้น ฉินรั่วก็ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โน้มกายตนลงอิงแอบ แนบชิดกับกู่ฉิงซาน  และกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์ว่า “นายน้อย ท่านช่างแข็งแกร่งจริงๆ!”

 

ว่านเอ๋อก็โน้มกายลงเช่นกัน พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่ารัก “นายน้อย นับจากนี้ไป ข้าพร้อมยินยอมพลีกาย ขอติดตามท่านไปทุกหนแห่ง”

 

กู่ฉิงซานค่อยๆเขยิบกาย เลี่ยงที่จะสัมผัสผิวของสองสาว ปากเอ่ยกล่าวด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้”

 

สองหญิงสาวเมื่อเห็นปฏิกริยาเช่นนี้ ก็ก้าวถอยหลังกลับอย่างว่าง่าย

 

“นี่แหละเขา” ฉินรั่วกล่าว

 

“ใช่ๆ คนผู้นี้คือนายน้อยลูกเจี๊ยบของพวกเราแน่ๆ” ว่านเอ๋อเอ่ยติดตลก

 

กู่ฉิงซาน “ … ”

 

“แต่เรื่องนี้เจ้าไม่สามารถตำหนิพวกเราได้นะ” ฉินรั่วถอนหายใจ

 

“เพราะกลยุทธ์นี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย พวกเราก็เลยลองทดสอบดูนิดๆหน่อยๆ เพราะบางทีอาจจะเป็นผู้อื่นมาสวมรอยเป็นเจ้าก็ได้ .. ” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม

 

เมื่อทั้งสองสามารถยืนยันได้ว่านี่คือกู่ฉิงซานตัวจริงเสียงจริงแน่ๆ พวกตนก็รู้สึกราวกับว่ากำลังฝันไป

 

ตั้งแต่แรกเริ่มที่พบเจอกับเขา พวกเธอก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้เลยว่ากู่ฉิงซานจะร่วมมือกับมารสวรรค์ ลอบวางแผนการสังหารฉีหยานผู้ที่อยู่ในขีดสุดความว่างเปล่าลงได้

 

แต่ตอนนี้ จู่ๆเขากลับถึงขั้นสามารถสังหารตัวตนที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในนิกายกวงหยางอย่าง หวังหงษ์เต๋าซึ่งอยู่ในขอบเขตลมปราณจิตลงได้!

 

หวังหงษ์เต๋าซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนอันยอดเยี่ยม สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ด้วยกลยุทธ์เสียเอง!?

 

เมื่ออยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน กลยุทธ์หรือการคาดคำนวณใดๆของศัตรูก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย

 

สองหญิงสาวอดคิดไม่ได้จริงๆ

 

จ้องมองไปยังกระบี่ยาวที่แทรกอยู่บนหน้าอกของเขาอีกครั้ง

 

-การต่อสู้ในครั้งนี้อันตรายมากจริงๆ

 

ว่านเอ๋อพับแขนเสื้อของตัวเองขึ้นและกล่าวว่า “ข้าเก่งกาจในด้านการรักษา ขอให้ข้าได้ช่วยเถอะ”

 

“ลำบากเจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานถอนหายใจ โล่งอกที่ตนไม่ต้องลงมือทำเองซะที

 

ว่านเอ๋อเริ่มใช้ยารักษาแผลอย่างระมัดระวัง และเริ่มช่วยกู่ฉิงซานนำกระบี่ยาวออกมา

 

“ข้าละไม่อาจทำความเข้าใจได้จริงๆ – ว่าเจ้าสังหารเขาลงได้อย่างไร” ฉินรั่วที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยถาม

 

แล้วกู่ฉิงซานก็เล่าถึงกระบวนการทั้งหมดออกไป

 

ฉินรั่วเริ่มคิดตามอย่างจริงจัง

 

“เจ้าไม่ได้วางแผนว่าจะสังหารเขาตั้งแต่ในช่วงเวลาแรกของหนึ่งในสี่ชั่วยามใช่ไหม?” เธอเอ่ยถาม

 

“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“เพราะสำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ แต่ตราบใดที่ตัดสินใจว่าจะทุ่มทุกสิ่งอย่างที่มี … ก็ย่อมเป็นการยากที่จะโค่นล้มอีกฝ่ายลง”

 

สองหญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ

 

“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังกังวลว่าสุดท้ายแล้วต่อให้คว้าชัยชนะมาได้ แต่หากเขาตัดสินใจที่จะระเบิดพลังวิญญาณและดึงดูดมารโลกาเข้ามา ทุกอย่างก็เป็นอันจบอยู่ดี”

 

“เช่นนั้นแล้วเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไร?”

 

“ก็ปล่อยให้เขารู้สึกว่าตนเองสามารถคว้าชัยชนะมาไว้อยู่ในกำมือได้แล้วน่ะสิ”

 

มองไปยังการแสดงออกที่ยังคงสงสัยของฉินรั่ว กู่ฉิงซานก็อธิบายว่า “หวังหงษ์เต๋าผู้นี้ ตราบใดที่ไม่คิดว่าตนสามารถคว้าชัยชนะไว้ได้เต็มกำมือ เขาย่อมต้องทุ่มพยายามอย่างสุดความสามารถอย่างแน่นอน”

 

ฉินรั่วพยักหน้า และเอ่ยอย่างช้าๆ “ก็ใช่ เพราะเขาก็เลือกที่จะเฝ้ารอจนกระทั่งครบกำหนดเวลา จนค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกฟื้นฟูกลับคืนจริงๆ”

 

“ก็นั่นแหละ ทุกสิ่งอย่างที่ข้าวางเอาไว้ก็เพื่อช่วงเวลาสุดท้ายนั้น … ช่วงเวลาที่จะปิดฉากด้วยดาบสุดท้ายไป”

 

“แต่ดาบสุดท้ายนั่น ก็ทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงเช่นกัน”

 

ฉินรั่วจ้องมองหน้าอกของกู่ฉิงซาน

 

กระบี่ยาว ถูกนำออกมาแล้วโดยว่านเอ๋อ

 

ทั้งมือทั้งเท้าของว่านเอ๋อช่างว่องไวและกระฉับกระเฉงเป็นอย่างยิ่ง เธอป้ายยาลงบนตัวของกู่ฉิงซาน และบอกชนิดยาที่ตรงตามอาการให้เขากินทันที

 

เธอเก่งกาจในเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บอย่างที่บอกไว้จริงๆ

 

“ขอบใจนะว่านเอ๋อ”

 

กู่ฉิงซานโยนเม็ดยารักษาเข้าปากและกล่าวอธิบายต่อว่า “ก็นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่ข้าสามารถประชิดตัวเขาได้นี่นา”

 

ฉินรั่ว “นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาเดียวที่ฉานนู่สามารถใช้ประโยชน์จากใบหยก หรือพลังศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วยใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้วล่ะ แท้จริงแล้วช่วงเวลาตัดสินเป็นตายมันมิใช่ในตอนที่ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกหยุดทำงานหรอก แต่เป็นช่วงเวลาที่มันเริ่มกลับมาทำงานได้อีกครั้งต่างหากล่ะ”

 

ฉินรั่วถอนหายใจ “ใครกันที่จะมีฝีมือในการวางแผนคาดคำนวณถึงเพียงนี้ หากไม่นับตนเอง ตลอดทั้งชีวิตของหวังหงษ์เต๋าก็คงไม่อาจนึกถึงผู้ใดได้อีกแล้ว”

 

กู่ฉิงซานกล่าวเบาๆว่า “การกระทำอย่างหุนหันพลันแล่นโดยไม่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้น่ะมันไร้ประโยชน์ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วว่าเขาจะคาดไม่ถึงในการกระทำของข้า”

 

“เป็นอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ หากเจ้ามิอาจประชิดตัวเขาได้ในช่วงเวลาสุดท้ายที่ว่านั่น ทุกอย่างก็เป็นอันจบ – ว่าแต่เพราะเหตุใดเขาจึงมิได้คาดคิดถึงในส่วนนั้นกัน?” ฉินรั่วเอ่ยด้วยความสับสนเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานเฉลย “เพราะในตลอดช่วงชีวิตของเขา กลยุทธ์ของเขาได้รับชัยชนะเสมอมา โดยที่ตนไม่แม้จะกระทั่งใช้ความพยายามอย่างเต็มที่  เขาเลยไม่เคยคาดคิดถึงการจู่โจมที่อาจคุกคามตนถึงชีวิต”

 

ฉินรั่วสั่นสะท้าน

 

“กระบี่นั้นเที่ยงแท้ และมันไม่เคยทรยศผู้ใด ขณะที่คนดั่งเช่นเขานั้นลุ่มหลง มัวเมาอยู่กับการรักษาชีวิตของตนเอง จนลืมเลือนข้อเท็จจริง ข้อนี้ไป”

 

ขณะกล่าวถึงเรื่องกระบี่ จู่ๆภายในจิตใจของกู่ฉิงซาน ก็บังเกิดร่างๆหนึ่งว่าบผ่านเข้ามา

 

มันเป็นร่างของหญิงในชุดเกราะสีทอง พร้อมด้วยหน้ากากเงินบนใบหน้า

 

หญิงสาวที่แม้บนร่างกายจะถูกแต่งแต้มไปด้วยบาดแผล  แต่เธอก็ยังกุมกระบี่ยาวที่เที่ยงตรงและเที่ยงแท้ในมืออย่างแม่นมั่น เหินทะยานขึ้นไปต่อสู้บนฟากฟ้า

 

เธอซึ่งเป็นผู้ใช้กระบี่ที่แท้จริง

 

ครั้งสุดท้ายที่เห็น สภาพนางน่าเป็นห่วงจัง? นางจะเป็นอะไรไหมนะ?

 

แล้วท่านอาจารย์เล่า?

 

เซี่ยวโหลวล่ะ?

 

ไหนจะซิวซิวอีก?

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา

 

“ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถเข้าใจถึงความคิดของเจ้าได้ รวมไปถึงการเคลื่อนไหวลงมือของเจ้าด้วยล่ะสินะ” ฉินรั่วกล่าวชื่นชมอย่างสุดซึ้ง

 

“นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น”

 

ขณะกล่าว สายตาของกู่ฉิงซานก็กำลังมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

หลากเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กลอยเด่นอยู่ในวิสัยทัศน์ของเขามาพักหนึ่งแล้ว

 

“คุณได้สังหารเซ่าหวูชุ่ย ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า”

 

“เนื่องจากคุณสามารถสังหารขอบเขตที่เหนือกว่าถึงสามระดับได้ด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว คุณจึงสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดโดยสมบูรณ์”

 

“แต้มพลังวิญญาณ +2000”

 

“คุณได้สังหารหวังหงษ์เต๋า ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต”

 

“คุณได้สังหารเฉียนซานเย่(จิตวิญญาณหลัก) ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต”

 

“เนื่องจากคุณสามารถสังหารขอบเขตที่เหนือกว่าถึงสี่ระดับได้ด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว คุณจึงสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดโดยสมบูรณ์”

 

“แต้มพลังวิญญาณ +5000”

 

“แต้มพลังวิญญาณ +3000”

 

“ในมุมมองตามที่กล่าวมาข้างต้น ว่าคุณสามารถลงมือสังหารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ‘ใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่ง’ ดังนั้น คุณจึงสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณเกินกว่าขีดจำกัดของขอบเขตประทับเทพ”

 

“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกินของคุณคือ : 10000/400 ”

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระและหยิบใบหยกที่บันทึกค่ายกลออกมา

 

แล้วเขาก็เริ่มทำความเข้าใจมันทันที

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้น

 

“ต้องการจ่าย 700 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำการเรียนรู้ถึงค่ายกลระดับสูงหรือไม่?”

 

“เรียนรู้”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

แทบจะในทันที กระแสไอร้อนไหลบ่าออกมาจากใบหยก ถ่ายเทเข้าไปในร่างกายของเขา และสุดท้ายก็ไปบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงสักพัก พยายามที่จะย่อยเนื้อหาของค่ายกลทั้งหมด

 

แล้วเขาก็หยิบใบหยกที่บันทึกค่ายกลระดับสูงขึ้นมาอีกแผ่นหนึ่ง

 

จากนั้นก็เริ่มทำการเรียนรู้มันอีกครั้ง

 

ตนได้รับมาถึง 10000 แต้มพลังวิญญาณ ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่สนใจเลยว่าเขาจะต้องจ่ายมันไปเท่าใด

 

เพราะช่วงเวลานี้ เขาจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับมันให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.465 – เสียงกลองศึก

 

ฉานนู่กล่าวคำออกมาอย่างสบายใจ ขณะเดียวกันก็สาดสายตาไปยังหวังหงษ์เต๋า

 

อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงสีหน้าหม่นทะมึนและน่าหวาดหวั่นจ้องสวนกลับมา

 

“ต่อให้จะเป็น 2 ต่อ 1 พวกเจ้าก็ยังมิอาจเอาชนะข้าได้อยู่ดี” เขากล่าว

 

“เหตุใดอาวุโสจึงมั่นใจในตนเองถึงเพียงนั้น?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

“เพราะข้าได้ฝึกฝนกระบี่มานานปี ยาวนานยิ่งกว่าก่อนที่พวกเจ้าจะเกิดเสียอีก”

 

ว่าแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปคว้าจับด้ามกระบี่ แล้วชักมันขึ้นมาจากเบื้องหลัง

 

ตลอดทั้งตัวกระบี่เป็นสีดำขลับ และในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มันถูกดึงออกมา ก็บังเกิดเสียงหอนโหยหวนด้วยความโศกสลดนับไม่ถ้วนกังวานขึ้น

 

แม้กระทั่งกลองศึกก็ยังถูกเสียงนี้กลบไป

 

หากเพ่งมองอย่างรอบคอบ จะพบว่ามีเงาสีดำกำลังโคจรอยู่รอบใบกระบี่

 

เงาสีเทาเหล่านั้นราวกับกำลังเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อมันมิได้รับพลังวิญญาณใดๆที่จะใช้กระตุ้นเทคมนตรา เงาที่โคจรเหล่านี้ก็ค่อยๆสลายไป

 

ด้ามจับกับใบกระบี่เล่มนี้แลดูค่อนข้างยาว แต่มันก็แคบและเรียวบางในขณะเดียวกัน ดูเหมือนกับว่าตัวกระบี่มักถูกจะใช้เป็นสื่อกลางในการปลดปล่อยเทคนิคมนตราเสียมากกว่าที่จะใช้ในการต่อสู้เชิงยุทธ

 

-กระบี่หวังชี่ (จักรพรรดิแห่งศพ)

 

ในที่สุด ก็มีคนที่สามารถทำให้หวังหงษ์เต๋าชักกระบี่เล่มนี้ออกมาได้อีกครั้ง!

 

กู่ฉิงซานจ้องมองกระบี่ในมือเขา ปากเอ่ยพึมพำ “ข้าไม่เคยพบเห็นกระบี่ที่ดูแปลกตาเช่นนั้นมาก่อนเลย”

 

หวังหงษ์เต๋าลูบไล้ใบกระบี่ กล่าวเสียงกระซิบ “แล้วรู้หรือไม่ ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นกระบี่เล่มนี้ ทั้งหมดล้วนตกตายกันไปจนสิ้นแล้ว”

 

“กระบี่เล่มนี้ อัดแน่นไปด้วยเทคนิคมนตราอันไร้ขอบเขต แต่น่าเสียดาย ที่ตอนนี้ข้าไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้”

 

ขณะกล่าว แม้สีหน้าของเขาจะแลดูเศร้าสร้อย ทว่าแรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างกลับเปลี่ยนแปลงไป

 

“แต่นั่นมันไม่สำคัญหรอก เพราะนี่มันก็หลายปีมาแล้ว ที่ข้ามิได้ใช้ออกด้วยเพลงกระบี่อย่างแท้จริง”

 

เจตนาฆ่าพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างของหวังหงษ์เต๋า

 

ในช่วงเวลานี้ เขาได้ถูกบังคับต้อนให้จนมุม จำต้องละทิ้งการคาดคำนวณทั้งหมดที่ตนมี และตัดสินใจใช้เพลงกระบี่เข้าต่อสู้เป็นตายกับศัตรู

 

ณ เวลานี้ หวังหงษ์เต๋าดูเหมือนเป็นผู้ฝึกยุทธที่ใช้กระบี่ขึ้นมาจริงๆแล้ว!

 

กู่ฉิงซานพอเห็นเช่นนั้นก็หยุดฝีเท้าลง

 

เขายืนนิ่งอยู่ในจุดนั้น มิได้มุ่งต่อไปข้างหน้าแม้เพียงก้าว

 

“นายน้อย?” เมื่อเห็นท่าทีผิดปกติไป ฉานนู่ก็เรียกเขาด้วยความฉงน

 

“ใจเย็นๆก่อน”

 

“เจ้าค่ะ”

 

พอรับคำ ฉานนู่ก็หยุดนิ่งตามเขา

 

ทั้งสองยืนห่างจากหวังหงษ์เต๋าไปเพียงไม่กี่จั้ง

 

ขณะเดียวกัน หวังหงษ์เต๋าก็ได้เตรียมตัวจนพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว

 

ทว่าจนถึงตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ยังมิได้ก้าวออกไปข้างหน้า

 

ในมือกุมดาบยาวจนแน่น ขณะที่สายตาจดจ้องอยู่แต่กับหวังหงษ์เต๋าคล้ายกำลังมองหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย

 

ส่วนหวังหงษ์เต๋าก็ตั้งกระบี่ในแนวขนาน หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงกันข้ามในท่วงท่าป้องกัน

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

กลองศึกยังคงกระหน่ำต่อไป

 

หวังหงษ์เต๋าใช้หูเพ่งสมาธิฟังเสียงกลองศึกอย่างรอบคอบ แรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างยังคงเดิม ทว่าความรู้สึกหวาดระแวงที่มีต่อฝ่ายตรงข้ามกลับค่อยๆถดถอยลง

 

พร้อมกับรอยยิ้มแห่งชัยชนะที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

“อีก 18 ลมหายใจ เจ้าจะไม่มีโอกาสสังหารข้าได้อีกต่อไป”

 

หวังหงษ์เต๋ายกระบี่หวังชี่ขึ้น และชี้ไปทางฝ่ายตรงข้าม

 

เขาเอ่ยต่อ

 

“ข้าได้ทำการนับเวลาเอาไว้แล้ว – และอีก 15 ลมหายใจ ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกก็จะถูกซ่อมแซมจนเสร็จสมบูรณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าสามารถใช้พลังวิญญาณได้ เจ้าก็เตรียมตัวรับทัณฑ์ทรมานโดยเทคนิคมนตราจากกระบี่นี้ได้เลย!”

 

นี่คือเทคนิคการโจมตีทางจิตวิทยา

 

หวังหงษ์เต๋าเริ่มคาดคำนวณกลยุทธ์อีกครั้งอย่างรวดเร็ว

 

เพราะเวลาเหลืออีกไม่มากนักแล้วจริงๆ

 

อีก 15 ลมหายใจ ตราบใดที่พวกมันผ่านพ้นไป-

 

เอ๋?

 

อะไรกัน? ทั้งๆที่ได้รับรู้ว่าตนกำลังจะต้องเผชิญกับอำนาจของขอบเขตลมปราณจิตอยู่รอมร่อแล้วแท้ๆ เหตุใดเจ้าหนุ่มนั่นจึงยังคงสงบได้อยู่อีก?

 

มองไปยังเบื้องหน้า แม้กระทั่งบัดนี้ กู่ฉิงซานก็ยังนิ่งเงียบ ราวกับคำขู่ของอีกฝ่ายไม่มีผลใดๆ

 

เขามิได้กระทำสิ่งใดเลย จนกระทั่งหวังหงษ์เต๋ายืนยันว่ายังคงหลงเหลือเวลาอยู่อีกเท่าไหร่ ตนจึงเริ่มลงมือ

 

เขาสาวเท้าก้าวออกไปข้างหน้า

 

ตามด้วยฉานนู่ที่ก้าวตามมา

 

ทันใดนั้น ทั้งสองก็เร่งความเร็วมากขึ้นทันใด

 

หวังหงษ์เต๋ากุมกระบี่ในมือแน่นขึ้น

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองระรัวเร็วมากขึ้น

 

ในชั้นอากาศ เจตนาฆ่าคุกรุ่นจนแทบจะหายใจไม่ออก

 

โดยไร้ซึ่งแสงสวรรค์ใดๆ สองดาบและหนึ่งกระบี่ปะทะเข้าหากันโดยตรง

 

กระบี่ยาวสาดแสงเย็นวาบ วาดออกไปในแนวนอนเพื่อปัดป้องการโจมตีเบื้องหน้า

 

ขณะที่ดาบคู่ง้างสับลงมาพร้อมกันเป็นแนวตั้ง สับ สับ สับ ลงไปอย่างไม่มีหยุดยั้ง เพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็ฟาดต่อเนื่องลงมาอย่างกว่า 36 ดาบแล้ว!

 

ขณะที่กระบี่ยาวก็ไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย ถูกเหวี่ยงออกอย่างลื่นไหล ราวกับคลื่นสายฟ้าโฉบเข้าตัดคมดาบที่โถมลงมาอย่างรวดเร็ว

 

ไม่นาน หวังหงษ์เต๋าก็มองเห็นถึงจุดอ่อนของอีกฝ่าย เขาใช้กระบี่เดียวโบกสะบัด บีบบังคับให้ทั้งกู่ฉิงซานและฉานนู่ต้องถอยฉากกลับไปในคราเดียว

 

ต้องไม่ลืมนะว่า หลังจากที่ฝึกฝนมายาวนานกว่า 1000 ปี ทักษะกระบี่ของหวังหงษ์เต๋าก็ได้ทะยานจนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้วอย่างแท้จริง!

 

กู่ฉิงซานกับฉานถูกล่าถอยออกมา

 

อย่างไรก็ตาม กระบี่ยาวกลับมิได้ไล่ติดตามทั้งสองต่อ มันกลับมาตั้งอยู่ในท่วงท่าขนาน เพื่อปกป้องนายของมันต่อไป

 

ขณะเดียวกัน หวังหงษ์เต๋าก็บังเกิดความคิดริเริ่มที่จะถ่วงเวลา ค่อยๆก้าวถอยฉากออกไป

 

ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุด

 

เพราะ ณ ขณะนี้ เขาได้ทำการประเมินทักษะดาบของคู่ต่อสู้ได้อย่างหมดจดแล้ว

 

ในหัวใจของหวังหงษ์เต๋าค่อยๆสงบลง

 

เหลืออีกเพียง 10 ลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องโยนตัวเองให้ลงมาเผชิญกับอันตรายอีกต่อไป

 

หลังจากนี้ ก็แค่เลือกที่จะป้องกันตนเอง และถ่วงเวลาให้ได้ถึง 10 ลมหายใจก็พอ

 

ทันทีที่ช่วงเวลานี้จบลง ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง และเมื่อนั้นเขาจะระเบิดพลังวิญญาณในขอบเขตลมปราณจิตออกมาทันที

 

ในวินาทีหลังจากนั้นไป การสังหารเจ้าเด็กนี่ก็เป็นเรื่องง่ายดายมิแตกต่างจากการหั่นผักปลา

 

นี่แหละ คือกลยุทธ์ที่จะทำให้เขาไม่พ่ายแพ้!

 

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หวังหงษ์เต๋าก็ได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

 

กู่ฉิงซานกับฉานนู่ควงดาบในมือ โถมทะยานเข้าหาเขาอีกครั้ง

 

ขณะเดียวกัน หวังหงษ์เต๋าก็โบกกระบี่ในแนวขนานสวนกลับไป

 

และในวินาทีต่อมา ก็เห็นแค่เพียงภาพติดตาของคมกระบี่และคมดาบ มิอาจบอกบรรยายถึงกระบวนการในช่วงเวลานี้ได้อีกต่อไป

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

กลองศึกเร้าระรัว ถี่ยิบจนเริ่มจะฟังแต่ละการกระทุ้งแทบไม่ทันแล้ว

 

เหลือเวลาอีก 5 ลมหายใจ!

 

ฉานนู่ก้าวถอย ขณะที่กู่ฉิงซานก้าวเข้ามา

 

สองดาบผลัดกันสลับโจมตีไปยังเบื้องหน้า

 

แต่หวังหงษ์เต๋าเพียงใช้กระบี่ออกไปทานรับการฟันต่อเนื่องอย่างลวกๆเพื่อจัดการกับท่าร่างดาบ จากนั้นก็ถีบร่างตนเองถอยฉากออกมาอีกครั้ง

 

อีกฝ่ายไม่สามารถใช้เทคนิคดาบอย่างสมบูรณ์ได้ เนื่องเพราะมันจำต้องใช้ออกด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นแล้วรังสีดาบจึงไม่ปรากฏออกมาเช่นกัน

 

มันจึงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะปัดป้อง ขณะเดียวกันตนเองก็ก้าวถอยไปเรื่อยๆ

 

หากไร้ซึ่งรังสีดาบให้พะวง ตราบใดที่ตนเลือกก้าวถอยออกไปเรื่อยๆ ทุกๆท่าร่างดาบก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด

 

เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ลมหายใจสุดท้ายแล้วตอนนี้ ดังนั้นการที่จะก้าวไปข้างหน้าแล้วทุ่มสู้ย่อมไม่คุ้มค่า … เลือกถอยย่อมเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่า

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

ฉานนู่ก้าวเข้ามา และกดดาบลงไป

 

ดาบตัดสายลม!

 

เมื่อต้องเผชิญกับท่าร่างดาบอย่างกระทันหัน หวังหงษ์เต๋าก็ระเบิดการโจมตีอย่างเต็มกำลังออกมาทันใด -ใบกระบี่ตัดเข้ากับคมดาบของฉานนู่ แรงปะทะส่งตัวเธอลอยกระเด็นออกไปในกระบี่เดียว

 

บางครั้ง การเอาแต่ถอยแบบไม่บันยะบันยังมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก มันไม่เหมาะสมที่จะเป็นทางเลือกหากกำลังถูกโจมตีในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ

 

ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองศึกค่อยๆแผ่วเบาลง

 

เหลือเวลาอีกแค่ 2 ลมหายใจ

 

ในหัวใจของหวังหงษ์เต๋าเริ่มฟุ้งไปด้วยความสุข

 

เวลาที่เฝ้ารอคอย … ได้มาถึงแล้ว!

 

ฉานนู่กระเด็นถอยกลับ ขณะที่กู่ฉิงซานก้าวเข้ามาอีกครั้ง

 

พร้อมกับหวดท่าร่างดาบออกไป

 

หวังหงษ์เต๋าตัดสินใจว่าจะกระทำสิ่งใดอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเลือกเหวี่ยงกระบี่ทานรับ ขณะเดียวกันก็ก้าวถอยออกมา

 

ลมหายใจสุดท้าย!

 

แต่แล้วจู่ๆดาบยาวที่ฟาดผ่าลงมาก็ทวีความรวดเร็วขึ้นอย่างกระทันหัน!

 

รูม่านตาของหวังหงษ์เต๋าหดแคบลงในฉับพลัน

 

คมดาบนี้ มันรวดเร็วกว่าที่แล้วๆมาอย่างเทียบไม่ติดเลย!

 

แบบนี้ไม่ดีแน่ ท่าร่างดาบนี้ร้ายแรงเกินไป!

 

ด้วยดาบนี้ กล่าวได้ว่ามันเหนือล้ำยิ่งกว่าท่าร่างดาบทั้งหมดก่อนหน้าที่เคยได้เผยโฉมออกมาโดยสมบูรณ์!

 

เกรงว่าทุกอย่างที่กู่ฉิงซานทำมาก่อนหน้าทั้งหมดนี้ ก็เพื่อลวงหลอกศัตรู และปูทางสำหรับคมดาบนี้!

 

คมดาบ … ที่ฟาดตรงมาข้างหน้าอย่างมิอาจปัดป้อง!

 

ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองศึกดังขึ้นอีกไม่กี่ครั้ง และหายไปในที่สุด

 

ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้าจมลงสู่ความเงียบ

 

เงียบงันดั่งทุกสรรพชีวิตได้ตกตายลง

 

ตึง ….

 

หวังหงษ์เต๋าล้มหงาย ขณะที่กู่ฉิงซานคร่อมอยู่บนกายเขา

 

“เจ้า … เพราะเหตุใด ถึงไม่หลบ … ”

 

หวังหงษ์เต๋ากระอักเลือดคำหนึ่ง สีหน้าการแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความฉงนที่ยากจะอธิบาย

 

ขณะเดียวกัน ใบกระบี่ยาวในมือของเขา ก็อยู่ในตำแหน่งที่ทะลุผ่านหน้าอกของกู่ฉิงซาน

 

แต่กู่ฉิงซานกลับมิเอ่ยสิ่งใด

 

บัดนี้ ทั้งสองอยู่ในท่วงท่าที่ดาบพิภพวางกดทับอยู่บนร่างของหวังหงษ์เต๋า ขณะที่กระบี่ของหวังหงษ์เต๋าก็แทงทะลุเข้าหน้าอกของกู่ฉิงซาน

 

ฮูมมมม!

 

ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่เริ่มทำงานขึ้นอีกครั้ง

 

ปากใหญ่สีดำเบื้องบนท้องฟ้า ตนแล้วตนเล่าค่อยๆสลายหายไป

 

เมื่อร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกามิอาจรับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณแม้เพียงน้อย สุดท้ายจึงจากไปอย่างขุ่นเคือง

 

ห้วงอารมณ์ของหวังหงษ์เต๋ากลับกลายเป็นปิติ

 

เวลานี้ เขาสามารถใช้พลังวิญญาณได้แล้ว!

 

คลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณอันน่าขวัญผวาปะทุออกมาจากกายหวังหงษ์เต๋า

 

ขณะเดียวกับมือที่เกาะกุมกระบี่ก็คลายออก เพื่อจำต้องประกบทั้งสองมือจีบออกด้วยวิชาลับ

 

อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันนั้นเอง กู่ฉิงซานกลับดันหายวับไปซะอย่างงั้น?

 

กู่ฉิงซานหายวับไปพร้อมกับกระบี่ยาวของหวังหงษ์เต๋า เหลือทิ้งไว้เพียงดาบพิภพที่หนักหลายล้านจินกดทับร่างของอีกฝ่าย

 

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

 

ในช่วงเวลาเดือดพล่าน จู่ๆฉานนู่ก็ปรากฏกายขึ้นแทนที่ในตำแหน่งเดิมของเขา

 

และมือของฉานนู่ก็อยู่ในท่วงท่าเดียวกันกับที่กู่ฉิงซานได้วางดาบพิภพกดทับตัวหวังหงษ์เต๋าเอาไว้เช่นกัน

 

หวังหงษ์เต๋าร้องคำหนึ่ง มือเร่งใช้ออกด้วยเทคนิคเต๋า ระเบิดมันออกไป หมายมั่นจะผลักดันให้อีกฝ่ายถอยร่นออกไปโดยเร็วที่สุด!

 

อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงฉานนู่นั่งคร่อมอยู่กับที่ดังเดิม – ทุกมนตราล้วนไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังศักดิ์สิทธิ์แหกกฏที่เธอครอบครอง!

 

และในมือของเธอที่กดทับหวังหงษ์เต๋าในตำแหน่งเดิมของกู่ฉิงซาน … ก็กำลังกุมใบหยกอยู่!

 

มันคือใบหยกแผ่นที่สองที่ได้รับมาจากเฉียนซานเย่!

 

ดังนั้นแม้ว่าใบหยกแผ่นนี้ จะมีกับดักหรือเทคนิคมนตราอื่นใดแอบแฝงอยู่ มันก็ไร้ผลกับเธอ

 

ทว่า

 

กับหวังหงษ์เต๋านั้นหาใช่ไม่!

 

เมื่อใบหยกสัมผัสเข้ากับหวังหงษ์เต๋า มันก็เปล่งแสงสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ใจออกมาทันที

 

ขณะนี้ ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ได้ถูกเปิดออกแล้ว ดังนั้น หลังจากที่เปล่งแสงสวรรค์ออกมาตรวจสอบสถานการณ์เล็กๆน้อยๆ มันก็แปรสภาพ ก่อร่างเป็นผู้ฝึกยุทธที่แสนไร้ยางอายคนหนึ่งทันที

 

ดาบคู่เอกลักษณ์ เฉียนซานเย่!

 

เขาเหลือบสายตามองไปรอบๆอยู่เพียงครู่ และไม่นานก็ตระหนักได้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของหวังหงษ์เต๋า

 

“ศิษย์ข้า ข้ามิคาดคิดเลย ว่าพวกเราจะพบปะกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้”

 

เฉียนซานเย่จ้องมองหวังหงษ์เต๋า ขณะที่บนใบหน้าของเขากำลังแสดงถึงความเปรมปรีดิ์อย่างหาที่ใดเปรียบ

 

เริ่มทำการยึดร่างสถิต!

 

พริบตานั้น สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนกลับกลาย ทั้งคนทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน

 

“ไม่!”

 

ภายในจิตใจของเขา บังเกิดการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น

 

นี่คือการต่อสู้ระหว่างจิตเทวะ หากผู้ใดชนะ ก็จักได้รับกายนี้ไป แน่นอน ว่าพื้นฐานวรยุทธในขอบเขตลมปราณจิตก็เช่นเดียวกัน

 

“หากต่อสู้กันในตอนนี้ พวกเราจะตายกันทั้งคู่! ขอเจ้าจงรอข้าแก้สถานการณ์ในปัจจุบันเสียก่อนเถอะ แล้วหลังจากนั้นข้าจักหาร่างสถิตดีๆให้แก่เจ้าเอง!” หวังหงษ์เต๋าเร่งกล่าวอย่างรวดเร็ว

 

“หากเจ้าโป้ปดเล่า?” แล้วก็มีอีกกระแสเสียงที่อึมครึมเอ่ยถามออกมาจากปากของหวังหงษ์เต๋า

 

แน่นอน ว่านั่นคือเสียงของเฉียนซานเย่

 

ทันใดนั้นเสียงของหวังหงษ์เต๋าก็ดังกึกก้อง ปากอ้าสาบานลั่น “ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าจักปฏิบัติตามดั่งที่ลั่นวาจาไว้!”

 

“ดีมาก!”

 

ในวินาทีต่อมา ดวงตาของหวังหงษ์เต๋าก็ฟื้นคืน กลับมาสดใสและกระจ่างชัดดังเดิมในทันที

 

เฉียนซานเย่ได้ยอมละซึ่งความเกลียดชังลงอย่างกระทันหัน และยอมถอยที่จะต่อสู้ยึดครองร่างกายอีกฝ่ายเอาไว้ชั่วคราว

 

ในช่วงเวลาอันสั้น สั้นมากจริงๆ -เขาก็ได้บรรลุข้อตกลงที่ชัดเจนกับลูกศิษย์ของตนเอง!

 

เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เฉียนซานเย่ก็ต้องการชีวิตกลับคืน

 

ขณะที่หวังหงษ์เต๋าก็ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปให้ได้เช่นกัน

 

ความเกลียดชังน่ะ … มันเทียบไม่ได้หรอกกับการมีชีวิตรอด!

 

หนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์ได้ทำข้อตกลงร่วมกัน และบรรลุมันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว –นี่มันเกินกว่าที่ทุกคนคาดคิดนัก!

 

หวังหงษ์เต๋าเริ่มขับเคลื่อนพลังวิญญาณ

 

ฉานนู่เห็นท่าไม่ดี ตนจึงเริ่มใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ทันที

 

พลังศักดิ์สิทธิ์เล่ยเดี๋ยน ตัดขาดการเชื่อมต่อ!

 

บังเกิดกระแสสายฟ้าขึ้นในมือของเธอ ฟาดเปรี้ยง! เข้าใส่หวังหงษ์เต๋าและผลุบลงไปในร่างกายของเขา

 

พลังวิญญาณของหวังหงษ์เต๋าสลายหายไปทันใด ทั้งคนทั้งร่างมึนงงอยู่ในสภาวะขาดสติ

 

ภายในสามวินาที เขาและเฉียนซานเย่จะมิอาจควบคุมร่างกายนี้ได้!

 

ตัดขาดการเชื่อมต่อ คือพลังศักดิ์สิทธิ์อันน่าพรั่นพรึง ที่ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็มิได้รับการยกเว้น!

 

แล้วฉานนู่ก็หายวับไปทันใด

 

ร่างเงาแทนที่ครั้งที่สอง!

 

กู่ฉิงซานปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมของเธออีกครั้ง

 

ทว่าเขาไม่ได้หายไปแล้วกลับมาเปล่าๆปลี้ๆ! กู่ฉิงซานปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในสภาวะรีดเร้นแสงสวรรค์ทั้งหมดที่มีออกมา และโคจรเทคนิคดาบอย่างรวดเร็ว!

 

ทุกสิ่งอย่างตระเตรียมการเอาไว้ สำหรับชั่วพริบตานี้!

 

ดาบพิภพ ถูกฟาดสับด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี

 

น้ำหนักกว่า86.37 ล้านจินได้แปรเปลี่ยนสภาพเป็นรังสีแสงขาวนวลดั่งแสงจันทร์ กวาดข้ามผ่านไปทั่วฟ้า

 

ท่ามกลางหมอกเลือด ศีรษะหนึ่งกระฉูดขึ้นไปกลางอากาศ

 

หัวของหวังหงษ์เต๋าถูกตัดแยกออกจากร่างกายแล้ว!

 

และฉานนู่ก็ปรากฏร่างขึ้นอีกคราข้างกายกู่ฉิงซาน พร้อมกับโบกสะบัดสองคมดาบเข้าใส่ร่างไร้หัว!

 

คมดาบแรก คือการตัดเชือกผูกถุงสัมภาระที่ติดกับร่างกายของอีกฝ่ายออกจากกัน

 

เมื่อได้รับถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋ามาไว้ในมือ ฉานนู่ก็ใช้ออกด้วยคมดาบที่สองทันที

 

เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!

 

บังเกิดรังสีดาบอันยอดเยี่ยม ดั่งกระแสน้ำใหญ่ที่ไหลบ่าลงมาราวกับธารน้ำตก มันท่วมทับไปตลอดทั้งร่างของหวังหงษ์เต๋า ตัดสะบั้นทั้งเนื้อหนังและกายเขาจนกลายเป็นชิ้นๆ!

 

เวลานี้ ต่อให้เฉียนซานเย่กับหวังหงษ์เต๋าจะมีความสามารถเทียมฟ้ามากปานใด พวกเขาก็ย่อมมิอาจฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

 

กู่ฉิงซานคว้าจับศีรษะที่ลอยล่องของอีกฝ่าย

 

บนใบหน้าของศีรษะ เต็มไปด้วยการแสดงออกที่ไม่อยากจะเชื่อ

 

ในฐานะที่เป็นตัวตนอันทรงพลานุภาพในขอบเขตลมปราณจิต ส่งผลให้หวังหงษ์เต๋ายังคงไม่ตายในทันที

 

อย่างไรก็ตาม หากสูญสิ้นร่างกายไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะทรงพลานุภาพมากเพียงใด เบื้องหน้าเขา ก็หลงเหลือเพียงเส้นทางที่มุ่งสู่ความตายเท่านั้น!

 

“เจ้าน่ะหรือสังหารข้า? ฮ่าฮ่า เจ้าน่ะหรือสังหารข้าได้ … ” หวังหงษ์เต๋าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

 

“กลยุทธ์ที่ดี! ช่างเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม! ข้ามิอาจจินตนาการได้เลยว่าจะพบเผชิญกับการจู่โจมเช่นนี้-”

 

แต่แล้วสีหน้าของหวังหงษ์เต๋าที่กำลังร้ายแรงก็แปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง “เจ้าหนู จงมอบร่างกายให้แก่ข้า แล้วข้าจักสอนสั่งวิชาดาบคู่เอกลักษณ์ให้แก่เจ้า”

 

นี่คือน้ำเสียงและการแสดงออกของเฉียนซานเย่

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “อาวุโส ก่อนหน้านี้ท่านถึงขั้นเสียสละแบ่งวิญญาณส่วนหนึ่ง เพื่อเฝ้ารอคอยให้เกิดช่วงเวลาดั่งเช่นในปัจจุบันนี้มิใช่หรือ?”

 

“แบ่งวิญญาณ … ไม่น่าเชื่อ ในโลกใบนี้ไม่สมควรที่จะมีผู้ใดล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ได้ ไม่มีผู้ใดเคยพบเผชิญกับสิ่งนี้ …….. แล้วเจ้าทราบถึงมันได้อย่างไร?”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.464 – เขามาแล้ว!

 

ตึ่ง! ตึ่ง!

 

ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนกายท่ามกลางเสียงกลองศึกที่ราวกับพายุกระหน่ำ

 

ฉานนู่วาดดาบออกไป ตั้งในท่วงท่าป้องกัน

 

ขณะที่ร่างของเซ่าหวูชุ่ยโค้งกายลงเล็กน้อย

 

เพล้ง!

 

เขาย่ำพื้นอย่างแรงจนทั่วบริเวณฝ่าเท้าบังเกิดรอยแตกร้าว

 

และนี่เป็นเพียงพละกำลังกายเพียวๆเท่านั้น!

 

เช่าหวูชุ่ยวูบไหวเป็นเงา พริบตาที่เขาย่ำลงบนตำแหน่งนั้น ทั้งคนทั้งร่างว่าบบบ! เข้ามาถึงเบื้องหน้าของฉานนู่ทันที

 

พร้อมกับกำปั้นนับสิบที่ระเบิดออก ระดมเข้าใส่เธอในเวลาเดียวกัน

 

ฉานนู่ต้อนรับการมาเยือนของเขาด้วยดาบในมือของเธอ

 

คมดาบแปรเปลี่ยนเป็นจุดแสง พรั่งพรูออกมาด้วยเฉดเงาดาบนับร้อย พุ่งเผชิญไปทางกำปั้น

 

เทคนิคดาบ ตัดสายลม!

 

พริบตาสั้นๆดาบและหมัดก็บดขยี้กันและกัน บังเกิดเสียงปะทะราวกับโลหะที่หนักทึบ

 

และในทันที เซ่าหวูชุ่ยก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่แตกฉานในกระบวนท่าดาบจริงๆ

 

เลือดลมในกายเขาเริ่มขับเคลื่อน ควบรวมไปหล่อเลี้ยงทั้งร่าง เพิ่มพูนพละกำลังของเขา

 

ในวินาทีถัดมา เสียงกระหน่ำของของกลองศึกก็ถูกกลบลง

 

ปงงงงงง!

 

บังเกิดเสียงหนักทึบที่กระจ่างชัดเข้ามาแทนที่

 

ฉานนู่ถูกเป่ากระเด็นออกไป กลิ้งขลุกๆลงกับพื้นไปหลายสิบจั้งจึงจะหยุดลง

 

เธอใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ทิ้งระยะห่าง ปักดาบยันตัวขึ้นและพ่นลิ่มเลือดออกมา

 

ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม และเพียงแค่สะบัดๆสองมือของเขาเบาๆเท่านั้น

 

ทว่าบนถุงมือ กลับปรากฏร่องรอยขนาดเล็กนับสิบของคมดาบ

 

ด้วยฐานะที่เป็นถึงนักสู้หวูเต๋า พละกำลังกล้ามเนื้อเพียวๆมันจึงน่าเกรงขามเกินไป และความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์อย่างกระทันหันของอีกฝ่ายก็ไม่เลวเลย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่งที่ฉานนู่จะรับมือได้

 

หวังหงษ์เต๋าที่หรี่สองตาแคบลงตลอดมา เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ในหัวใจของเขาก็คลายลง

 

เวลานี้ ดูเหมือนว่าเสียงกลองที่เติมเต็มไปในอากาศที่ว่างเปล่า จะไม่เดือดพล่านอีกต่อไปแล้ว

 

“มีทักษะดาบที่ดี แต่ยามนี้ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ เมื่อเทียบเปรียบกับนักสู้หวูเต๋าที่ว่างเว้นเมื่อใด ก็ออกกำลังฝึกฝนตลอดทั้งแรมปีแล้ว เจ้าก็อ่อนแอเกินกว่าจะชายตามองได้”

 

หวังหงษ์เต๋าผายมือทั้งสองข้าง ปากเอ่ยกล่าวแสดงความคิดเห็น

 

“ท่านอาจารย์ ในการโจมตีครั้งต่อไป หากข้าต้องการที่จะระเบิดร่างของเขาในกระบวนท่าเดียวเลย มันจะได้หรือไม่” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์

 

“ก็เอาสิ อันที่จริงแล้วค่ายกลซ่อมแซมจะใช้เวลาอีกราวๆหนึ่งในสี่ชั่วยามจึงจะสมบูรณ์ เดิมทีแล้วข้าต้องการจะถ่วงเวลาจนกว่ามันจะกลับมาทำงานได้อีกครั้ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นแล้ว”

 

หวังหงษ์เต๋ายิ้ม ปากอ้าถอนหายใจยาวและกล่าว “นี่มันเป็นเรื่องไร้สาระโดยแท้”

 

ฉานนู่ไม่ตอบเขา ที่เธอทำก็เพียงแค่ยกดาบขึ้นมาตั้งท่าอีกครั้ง

 

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ต่อให้เธอจะต้องได้รับบาดเจ็บเพียงใด แต่ก็ต้องถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้!

 

เซ่าหวูชุ่ยหุบมือเกร็งกำปั้นแน่น โค้งกายตั้งตัวเตรียมจะเคลื่อนไหวด้วยกระบวนท่าต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม –

 

จู่ๆหวังหงษ์เต๋ากับเซ่าหวูชุ่ยก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ทั้งสองเบนสายตาออกไปในทิศทางเดียวกันอย่างกระทันหัน

 

ขณะที่ฉานนู่ตั้งท่าป้องกันเป็นแม่นมั่น และจ้องมองไปยังร่างๆหนึ่งในทิศทางนั้นเช่นกัน

 

แต่วินาทีต่อมา ฉานนู่ราวกับเห็นพระมาโปรด ทั้งคนทั้งร่างของเธอคลายลง ถอนหายใจโล่งอก

 

เห็นแค่เพียงชายผู้หนึ่งที่กุมดาบเอาไว้ในมือ เร่งฝีเท้าทะยานตัวมุ่งตรงมาจากเบื้องหน้า

 

เขามาแล้ว!

 

ฉานนู่พยายามที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เธอเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “นายน้อย ท่านมาแล้ว”

 

“เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานจ้องมองริมฝีปากของเธอที่มีเลือดไหลออกมา

 

“การต่อสู้ก็ต้องมีบาดเจ็บกันบ้าง”

 

“ใครทำร้ายเจ้า?”

 

“เซ่าหวูชุ่ย”

 

กู่ฉิงซานหันหน้าไป เบนสายตาไปมองเซ่าหวูชุ่ย

 

“ … ดูเหมือนว่าพวกเราจะเจองานหินเข้าแล้วสินะ เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งลวงเป็นผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว” เขาเอ่ยเสียงกระซิบ

 

“เจ้าค่ะ นายน้อย”

 

เห็นแค่เพียง ‘ฉีหยาน’ พยักหน้า ขณะเดียวกันทั้งคนทั้งร่างก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลง ทรวดทรงแปรผันไปเป็นหญิงสาวที่งดงามโดดเด่นคนหนึ่ง

 

ชุดคลุมสีฟ้า ร่างกายอ่อนช้อย ริมฝีปากแดง ผิวราวกับหยก ครอบครองใบหน้าอันงดงาม ทว่าท่าทีการแสดงออกโดยรวมบนใบหน้ากลับเผยถึงร่องรอยจางๆของความเย็นชา

 

เธอเดินมาหยุดยืนอยู่เคียงข้างกายของกู่ฉิงซาน

 

-ฉานนู่

 

“ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็น 2 ต่อ 2 แล้วนะ”

 

กู่ฉิงซานมองฝ่ายตรงข้ามและกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม สายตาของเขามิได้มองหวังหงษ์เต๋าเลย มันกลับจดจ้องอยู่แต่กับเซ่าหวูชุ่ยเพียงผู้เดียว

 

พร้อมด้วยเจตนาฆ่าอันบางเบาที่คุกรุ่นขึ้นมาจากตัวเขา

 

อีกด้านหนึ่ง หวังหงษ์เต๋ามองมายังฉานนู่ ก่อนจะสลับมามองกู่ฉิงซาน สีหน้าของเขาหม่นทะมึนลง

 

หวังหงษ์เต๋าหันขวับ และตบลงบนใบหน้าของเซ่าหวูชุ่ยดังฉาด!

 

“ท่านอาจารย์โปรดให้อภัย ที่จริงแล้วข้าเองก็มิเคยพบเห็นผู้ฝึกยุทธหญิงคนนี้มาก่อนเลยเช่นกัน” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว

 

เซ่าหวูชุ่ยมองคนตรงหน้าทั้งสอง นิ่งงันไปสักพัก ในหัวใจทำใจเชื่อไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง

 

วินาทีต่อมา ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมาอีกเลย

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองศึกดังสะท้านไปตลอดทั่วทั้งเกาะไม่มีหยุดพัก

 

“อาวุโสหวัง เจ้าคิดว่ายามเมื่อกลองศึกได้หยุดลง ฝ่ายใดกันที่จะยังคงมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามขึ้นทันใด

 

—เจ้าเด็กนี่พูดขึ้นมาอีกทำไม? หรือว่ามันต้องการจะถ่วงเวลา? ทว่าขณะคิด จู่ๆสีหน้าของหวังหงษ์เต๋าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

 

เห็นแค่เพียงร่างของกู่ฉิงซานที่วูบไหว พุ่งตรงมายังเซ่าหวูชุ่ย

 

แม้จักไม่ได้ใช้พลังวิญญาณ แต่ความว่องไวของกู่ฉิงซานก็มิได้เลวร้ายเลย

 

ในครั้งอดีต ยามเมื่อต้องการที่จะเรียนรู้ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว เขาได้ทำการฝึกฝนท่าร่างในการเคลื่อนกายอย่างยาวนานและหนักหน่วง

 

ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วนั้น เป็นสกิลที่ใช้ทั้งทักษะทางกายภาพและความสามารถในกระตระหนักรู้เรื่องกฏของมิติอย่างแท้จริง เรียกได้ว่าแม้กระทั่งในบรรดาสกิลเทวะประเภทเดียวกัน มันก็ยังเป็นหนึ่งในสกิลระดับสูง

 

ส่งผลให้ในปัจจุบันนี้ ต่อให้กู่ฉิงซานไม่ได้ใช้พลังวิญญาณในการสื่อสารกับกฏแห่งมิติ เขาก็สามารถใช้ท่าร่างของย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วได้อย่างหมดจดอยู่ดี

 

ฉานนู่ตามติดเขาไปอย่างใกล้ชิด และท่าร่างการเคลื่อนไหวของเธอก็เป็นการเคลื่อนไหวเดียวกันกับของกู่ฉิงซาน

 

ยามเมื่อออกวิ่งมาข้างหน้า ทั้งสองราวกับรวมเป็นหนึ่ง การเคลื่อนไหวช่างสอดคล้อง ผสานกันโดยสมบูรณ์

 

มันราวกับว่าฉานนู่ได้กลายเป็นเงาของกู่ฉิงซานแล้วอย่างไรอย่างงั้น

 

ฉากนี้ค่อนข้างที่จะทำให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

หวังหงษ์เต๋าตบหลังเซ่าหวูชุ่ยทันที

 

“จงไปซะ ไปต้านทานพวกมัน ข้าต้องการที่จะล่วงรู้ถึงความลับของพวกมันมากยิ่งกว่านี้”

 

“ขอรับ”

 

เซ่าหวูชุ่ยกระชับถุงมือสีแดงเข้มแน่นขึ้น ตั้งท่าร่างหมัดขนานกับหน้าอก และเหวี่ยงมันออกไปต้อนรับกู่ฉิงซานกับฉานนู่

 

ตึ่ง! ตึ่ง!

 

ท่ามกลางเสียงกระหน่ำของกลองศึก ทั้งสองฝ่ายก็ได้ปะทะกันในฉับพลัน

 

มิได้เห็นถึงฉากที่เจิดจรัสไปด้วยแสงสวรรค์และเทคนิคมนตราอันน่าสะพรึงกลัวใดๆ มิได้เห็นรังสีดาบหรือเฉดเงาของกำปั้นใดๆเช่นกัน

 

ทั้งสองทุ่มต่อสู้เป็นตายด้วยกระบวนท่าและพละกำลังร่างกายเพียวๆ!

 

กู่ฉิงซานจ้วงแทงดาบยาวของเขาออกไป

 

ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยยิ้มเหี้ยมเกรียม มันใช้มือข้างหนึ่งคว้าจับคมดาบให้หยุดนิ่ง และควบรวมพละกำลังไว้ที่มืออีกข้าง เตรียมจะง้างกำปั้นหวดสวนกลับไป

 

หลังจากที่ก่อนหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบถึงพละกำลังของฝ่ายตรงข้ามแล้ว เซ่าหวูชุ่ยก็ตัดสินใจที่จะปิดฉากทันที

 

กำปั้นใหญ่นี้ ควบรวมเลือดลมจากทุกส่วนของร่างกาย มันสามารถเป่าทั้งคนทั้งร่างของอีกฝ่ายไปให้กลายเป็นศพได้ในทันที!

 

ด้วยกำปั้นนี้ จะปิดฉากชีวิตของอีกฝ่ายลงในคราวเดียว!

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว เขาชักดาบกลับและถอนตัวออกมา

 

ขณะที่ฉานนู่ฟาดดาบในมือเธออกไป

 

“เหอะ!”

 

ดาบและถุงมือแดงปะทะเข้าด้วยกัน บังเกิดเสียงหนักทึบสะท้อนสะเทือนไปทั้งสี่ทิศ

 

พริบตานั้นเอง เซ่าหวูชุ่ยก็คว้าจับดาบยาว ยึดมันไว้เป็นแม่นมั่น

 

ขณะเดียวกัน อีกกำปั้นที่เกร็งแน่นของเขาที่ซ่อนอยู่ข้างกาย ก็รวบรวมพละกำลังได้เพียงพอแล้ว!

 

“จงตายเพื่อข้า!”

 

เซ่าหวูชุ่ยตะคอกคำหนึ่งอย่างรุนแรง

 

พร้อมด้วยกำปั้นที่กระชากออกในทันใด

 

เพียงกระแสลมจากแรงส่งของกำปั้นอันดุเดือดนี้ มันก็เกือบที่จะทำให้ทั้งคนทั้งร่างของฉานนู่ปลิวหายไปแล้ว!

 

กำปั้นนี้รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด พุ่งทะยานอย่างแรงกล้าราวกับกระทิงคลั่ง — เซ่าหวูชุ่ยได้ระเบิดพลังที่ตนมีออกมาเต็มทั้งที่ 10 ส่วนแล้ว!

 

หากต้องเผชิญกับกำปั้นนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธที่เก่งกาจปานใด แต่หากมิได้ใช้พลังวิญญาณในการป้องกัน โชคชะตาที่เฝ้ารอเขาอยู่เบื้องหน้าคงมีเพียงความตายเท่านั้น

 

กำปั้นปะทะเข้าบนร่างของฉานนู่-

 

—ไม่สิ หากจะให้ถูกต้อง สมควรกล่าวว่ามันปะทะเฉียดมาถึงแค่เพียงระยะเผาขนของเธอต่างหาก

 

ท่ามกลางช่วงเวลาอันเดือดพล่าน

 

“ตอนนี้ล่ะ!” กู่ฉิงซานตะโกนคำหนึ่ง

 

และฉานนู่ก็ตอบสนอง เธอผละดาบขุนเขาเทวะหกโลกาที่ถูกยึดกุมจากมือทันที

 

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็กระชากร่างของเธออย่างแรง ดึงฉานนู่ถอยหลังกลับมา

 

ส่วนเซ่าหวูชุ่ยก็คว้ากุมได้เพียงดาบ ขณะที่กำปั้นของเขาหวดลมเข้าใส่อากาศที่ว่างเปล่า

 

ด้วยการทุ่มออกเต็มกำลังเช่นนี้ ทว่ากลับมิอาจโจมตีโดนฝ่ายตรงข้ามได้ ส่งผลให้เซ่าหวูชุ่ยบังเกิดความไม่สบายใจขึ้น

 

ทั้งคนทั้งร่างของเขาเซมายังเบื้องหน้าก้าวหนึ่ง

 

“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร!” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยเสียงแหบแห้ง

 

ระหว่างนั้นเอง กู่ฉิงซานก็แทรกตัว ย่ำออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง พร้อมกับสับ! ดาบยาวในมือลงโดยตรง!

 

ช่วงเวลานี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว และเขาย่อมไม่มีทางพลาดที่จะไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้!!

 

สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยแปรเปลี่ยนกลับกลาย

 

มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น ที่ตัวเขารับรู้ได้ว่าพึ่งพลาดพลั้งไป

 

ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้คิดจะรับมือกับกระบวนท่าของเขาตรงๆเลย -แต่กลับเลือกที่จะสอดประสาน ร่วมกลยุทธ์กันแทน!

 

ช่วงเวลานี้ เขาได้สูญเสียสมดุลร่างกายไปแล้ว และไม่สามารถตั้งท่าโจมตีได้ กล่าวสรุปง่ายๆว่ามิอาจตอบโต้สวนกลับไปได้นั่นเอง

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยพละกำลัง กล้ามเนื้อ และฝีมือที่ตนมี อย่างน้อยเซ่าหวูชุ่ยก็ยังสามารถตั้งต่าป้องกันเพื่อรับมือกับคมดาบเพียวๆได้อยู่ดี

 

เมื่อคิดได้ถึงจุดนี้ สีหน้าท่าทีของเซ่าหวูชุ่ยก็ผ่อนคลายลง สองถุงมือผสานกัน และยื่นมันออกไปยังเบื้องหน้าทันใด

 

เขากัดฟันกรอด และพร้อมที่จะทานรับคมดาบด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ตนมี!

 

และยามเมื่อต้านมันสำเร็จ เขาก็จักสามารถตอบโต้กลับคืนได้อีกครั้ง!

 

คมดาบได้มาถึงแล้ว!

 

-ปัง!

 

บังเกิดคลื่นสายลมที่มองไม่เห็น พัดกวาดกระจายไปทั่วบริเวณในทันใด

 

ดาบพิภพที่หนักกว่า 86.37 ล้านจิน ได้ถูกทุบฟาดลงอย่างเต็มกำลังเพียงคราเดียว – สองมือของเซ่าหวูชุ่ยแหลกคาดาบ พร้อมกับแรงปะทะจากน้ำหนักที่เหลือโขกสับเข้าใส่ศีรษะของเขา!

 

แม้ว่าเซ่าหวูชุ่ยจะเป็นผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าก็ตามที ทว่าในกรณีที่จำต้องใช้ออกเพียงพละกำลังกายเพียวๆ โดยพลังวิญญาณมิได้มีส่วนร่วม ก็ย่อมมิอาจปัดป้องการระเบิดฟาดอันหนักหน่วงของดาบพิภพได้!!

 

ด้วยการฟาดเพียงคราเดียว เซ่าหวูชุ่ยก็ถึงแก่ความตาย!

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองศึกยังคงดังสะท้อนเป็นจังหวะ

 

ขณะที่สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนเป็นร้ายแรง

 

ฝ่ายตรงข้ามไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะใช้ประโยชน์จากจำนวนคนที่มากกว่า ต่อสู้สอดประสานกันได้อย่างยอดเยี่ยม

 

แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะที่ต้องให้ความใส่ใจจริงๆมันก็คือน้ำหนักดาบของอีกฝ่ายที่มากมายเหลือคณายิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้ต่างหาก!

 

แต่เดิม ความจริงแล้วหวังหงษ์เต๋ายังคงระแรดระวังอยู่ และคิดจะตรวจสอบข้อมูลของอีกฝ่ายจากการเฝ้าดูการต่อสู้ไปอีกสักพักหนึ่ง แต่การกระทำนั้นมันกลับกลายเป็นว่าดันเปิดโอกาสอันน้อยนิดที่จะคว้าชัยชนะของอีกฝ่ายไปซะได้!

 

หวังหงษ์เต๋าจ้องมองดูกู่ฉิงซาน

 

สามารถตอบสนองไปตามสถานการณ์ … รังสรรทุกฉากให้เป็นดั่งจินตนาการราวกับกำลังพรมมือเขียนมันด้วยปลายนิ้ว

 

เจ้าเด็กนี่ นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงและคู่ควรแก่เขาโดยแท้

 

“เจ้าหนู กลยุทธ์ทั้งหมดนี้ เจ้าเป็นคนคิดมันขึ้นมาเองใช่ไหม” หวังหงษ์เต๋ากล่าวหยั่งเชิง

 

ทว่ากู่ฉิงซานกลับไม่สนใจเขาเลย

 

กู่ฉิงซานตั้งท่าดาบกลับคืน ขณะที่ในสมาธิกำลังตั้งใจฟังเสียงกระหน่ำของกลองศึก

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองนี้ เร็วและระรัวมากขึ้น

 

ยามเมื่อเสียงมันระรัวถึงจุดนี้ ก็น่าจะบ่งบอกว่าค่ายกลสมควรที่จะได้รับการซ่อมแซมไปมากกว่าครึ่งทางแล้ว

 

เวลาที่เขามี เหลือน้อยลง ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ …

 

-จะต้องเร่งสังหารหวังหงษ์เต๋าให้ได้ในทันที! ต้องรวดเร็วยิ่งกว่านี้!

 

ข้างกายเขา ฉานนู่ก้มลงหยิบดาบขุนเขาเทวะหกโลกาขึ้นมา

 

ฉานนู่จ้องมองดาบในมือของเธอ และอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ที่แทบจะไม่อาจจับสังเกตได้ออกมา

 

น่าแปลกเสียจริงๆ

 

เห็นได้ชัดว่าตัวเธอมีประสบการณ์ การเคลื่อนไหว และกลยุทธ์ทั้งหมดของเขา ทว่า … ตัวของเธอเองมิอาจเทียบเปรียบกับเขาได้เลย

 

แต่แค่ด้วยความร่วมมือเพียงหนึ่งประสาน นายน้อยของเธอก็กลับถึงขั้นสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า – เซ่าหวูชุ่ยลงได้!

 

ฉานนู่เบนสายตาไปมองกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

ขณะที่สีหน้าของกู่ฉิงซานกลับแลดูเฉยเมย ราวกับมิได้ดีใจถึงสิ่งที่พึ่งกระทำลงไปเลย เขาค่อยๆยกดาบในมือของตนขึ้น

 

และชี้ปลายดาบไปทางหวังหงษ์เต๋า

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

ท่ามกลางเสียงกลองศึก เจตนาฆ่าถูกเติมเต็มไปในชั้นอากาศ

 

ฉานนู่จึงทำเฉกเช่นเดียวกันกับเขา เธอยกปลายดาบขึ้นและชี้ไปทางหวังหงษ์เต๋าเช่นกัน

 

เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับหวังหงษ์เต๋าออกไปไม่กี่คำ

 

“อาวุโสหวัง ตอนนี้ทุกอย่างพลิกผัน พวกเรามีสอง แต่เจ้ามีหนึ่งแล้ว เพลานี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

 

น้ำเสียงและท่าทีการแสดงออกของฉานนู่ที่ปกติจะดูโดดเดี่ยวได้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้มันจะยังเย็นชา ทว่ามันกลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แฝงเข้ามาอย่างชัดเจน

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.463 – แผนที่สมบูรณ์แบบ

 

ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ในช่วงที่ฉานนู่ไปปรากฏตัวต่อหน้าหวังหงษ์เต๋า

 

กู่ฉิงซานก็นำฉินรั่วและว่านเอ๋อมุ่งตรงไปยังส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า

 

สถานที่ซึ่งค่ายกลของตลอดทั้งนิกายกวงหยางถูกจัดวางเอาไว้ที่นี่

 

“การที่ค่ายกลสามารถปกคลุมทั่วทั้งเกาะได้ นั่นย่อมหมายความว่ามันจะต้องมีขนาดใหญ่มาก” ฉินรั่วกล่าว

 

“โดยปกติแล้ว จะต้องมีปรมาจารย์ค่ายกลอย่างน้อยสามคน จึงจะสามารถควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่นี้ได้” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า จ้องมองดูค่ายกลขนาดใหญ่ที่ถูกจัดวางเรียงกันเป็นชั้นๆ

 

สีหน้าท่าทีของเขาค่อยๆเริ่มกลายเป็นหนักอึ้ง

 

“โชคดีจริงๆที่เราอยู่ภายในค่ายกลป้องกันอยู่ก่อนแล้ว มิฉะนั้น หากจักต้องบุกทำลายมันจากภายนอก ในระยะเวลาสั้นๆมันคงยากเย็นยิ่งกว่าการปีนป่ายขึ้นสรวงสวรรค์” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ต้องไม่ลืมนะว่าความแตกฉานทางด้านค่ายกลของโลกใบนี้น่ะมันทรงประสิทธิภาพเพียงใด

 

ชุดค่ายกลป้องกันเหล่านี้เชื่อมต่อกันเป็นชั้น เป็นชั้น แถมในแต่ละชั้นก็ยังมีค่ายกลเล็กๆอยู่อีกกว่าหลายสิบค่าย

 

อธิบายเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอบ่งบอกได้แล้วว่ามันคงมิอาจทำลายได้โดยง่าย

 

กล่าวได้ว่าพวกมันสามารถรับการโจมตีของผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตได้เลยทีเดียว

 

ค่ายกลป้องกันทั้งหมดถูกจัดวางขึ้นอย่างแน่นหนา ตีวงล้อมเป็นทรงกลม คอยพิทักษ์ค่ายกลอื่นๆที่อยู่ภายใน

 

—และนั่นคือค่ายขนาดใหญ่ที่สามารถซ่อมแซมค่ายกลในแต่ละกลุ่มได้

 

36ค่ายกลซ่อมแซมอัตโนมัติถูกจัดวางเอาไว้ภายใน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความเสียหายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น และพร้อมทำงานตลอดเวลา

 

หากคุณทำลายหนึ่งในค่ายกลที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ลง ค่ายกลซ่อมแซมก็จักถูกเปิดใช้งานเพื่อฟื้นฟูค่ายกลที่เกี่ยวข้องทันที

 

พวกมันจะทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อทำการซ่อมแซมค่ายกลที่ถูกทำลายไปโดยอัตโนมัติ

 

กล่าวได้ว่านี่คือการรังสรรค่ายกลที่ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกล่องเวหา!

 

ด้วยพื้นฐานวรยุทธในด้านการจัดวางค่ายกลในปัจจุบันของกู่ฉิงซาน เขาแทบจะไม่สามารถถอดรหัสค่ายกลเหล่านี้ได้เลย

 

แต่ถ้าจะให้นึกหาวิธีลบพวกมันออกไปแล้วล่ะก็ หากมีเวลาขบคิดอย่างช้าๆ ก็อาจจะพอทำได้

 

แต่ช้าๆที่ว่า บางทีอาจจะใช้เวลาหลายวัน หรือลากยาวไปถึงหลายสิบวัน!

 

ซึ่งเขาไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น

 

กู่ฉิงซานตรวจดูค่ายกลทั้งหมดเบื้องหน้า จนในหัวใจของเขามั่นใจ

 

เขาหันหน้าไปมองสองสาวใช้และกล่าว “มีบางสิ่งที่ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยเหลือ”

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อกล่าวเป็นเสียงเดียว “นายน้อยโปรดพูด”

 

“ด้วยความรอบรู้ในด้านค่ายกลของข้าในขณะนี้ อาจจะซื้อเวลาได้ประมาณหนึ่งในสี่ชั่วยาม”

 

“หนึ่งในสี่ชั่วยาม?” ว่านเอ๋อย้อนคำด้วยความสงสัย

 

“ใช่ หลังจากที่ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ถูกทำลายลง ค่ายกลซ่อมแซมเหล่านี้ก็จะเริ่มทำงานทันที และภายในหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ”

 

“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี?” ฉินรั่วเอ่ยถาม

 

“จงปกป้องที่นี่ และห้ามอนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาเร่งเวลาในการซ่อมแซมค่ายกลเด็ดขาด”

 

“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป เพราะข้าแทบจะไม่อาจสัมผัสได้เลยว่ามีคนรอดชีวิตอยู่ที่เกาะนี้” ฉินรั่วกล่าว

 

“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจหวังหงษ์เต๋า ไม่ไว้ใจเซ่าหวูชุ่ย กระทั่งเย่หยิงเหมยเองก็เช่นกัน พวกเขาเหล่านี้อาจจะก่อปัญหาให้เราได้ เจ้าทั้งสองจะต้องแน่ใจว่าจักปกป้องไม่ให้ค่ายกลถูกซ่อมแซมเสร็จก่อนเวลาที่กำหนด”

 

“เข้าใจแล้ว! เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง” ว่านเอ๋อตอบรับ

 

“นายน้อย ท่านเองก็ระมัดระวังตัวด้วย” ฉินรั่วเตือน

 

สองหญิงสาวจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างใกล้ชิด

 

-จนถึงขณะนี้ พวกเธอก็ยังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี

 

เพราะสิ่งที่กู่ฉิงซานจะทำต่อไปนี้ อยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจของพวกเธอไปโดยสมบูรณ์

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่เดินเข้าไปในกลุ่มค่ายกล

 

เขาเดินไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าหนึ่งในค่ายกลที่พิเศษที่สุด

 

‘ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่’

 

ด้วยค่ายกลนี้ มารโลกาจะไม่สามารถตรวจสอบหรือรับรู้ถึงพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธได้

 

หากอยู่ในค่ายกลนี้ ผู้ฝึกยุทธจะสามารถฝึกฝนได้อย่างปลอดภัย

 

กู่ฉิงซานเฝ้าเพ่งพิจารณาค่ายกลที่ว่า

 

‘ถูกรายล้อมด้วยค่ายกลป้องกันนับสิบ ซ้อนทับด้วยค่ายกลซ่อมแซมที่พร้อมทำงานตลอดเวลาอีกที’

 

หากคุณต้องการที่จะทำลายค่ายกลพิเศษนี้ ก็จำเป็นต้องเป็นปรมาจารย์ค่ายกลหรือไม่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต จึงจะสามารถบรรลุได้

 

หากจะทำลายมัน สำหรับปรมาจารย์ค่ายกลแล้ว พวกเขาจะรู้ว่าองค์ประกอบใดสำคัญที่สุดในค่ายกลนี้ และเริ่มทำการจู่โจมตำแหน่งนั้นจากภายใน

 

ขณะเดียวกันหากเป็นผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตที่คิดทำลายมัน ก็เพียงแค่ระเบิดพลังอำนาจทั้งหมดที่เขามีออกมา แล้วทำการจู่โจมเข้าไปจากภายนอกก็เท่านั้นเอง

 

-แต่มันก็ยังใช้เวลานานยิ่งกว่าสิ่งที่กู่ฉิงซานกำลังจะทำนับจากนี้ไปอยู่ดี

 

กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กขึ้นมา และเริ่มใช้มันทำการเชื่อมต่อกับค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่

 

อย่างรวดเร็ว! เขาก็สามารถควบคุมศูนย์กลางของค่ายกลได้สำเร็จ!

 

ท้ายที่สุดนี้ ต้องรู้นะว่าเขาไม่เพียงมีดิสก์ค่ายกลของนิกายกวงหยางอยู่ในกำมือ แต่ยังได้ล่วงรู้ถึงองค์ประกอบของค่ายกลและวิชาต้องห้ามของหวังหงษ์เต๋าในห้องลับมาแล้วอีกด้วย!

 

ค่ายกลทั้งหมดเริ่มตอบรับการปรับแต่งโดยเขา

 

สักพักหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานก็หยุดมือลง

 

“มีเวลา … เพียงแค่หนึ่งในสี่ชั่วยามเท่านั้น” ปากเอ่ยเสียงกระซิบ

 

หลังจากหนึ่งในสี่ชั่วยาม ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ก็จะถูกซ่อมแซมจนกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมทันที

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง กระตุ้นพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างกาย ใช้ออกด้วยวิชาลับ ผลักดันพวกมันทั้งหมดเข้าไปในศูนย์กลางสำคัญของค่ายกล

 

ตลอดทั้งค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่บังเกิดกระบวนการไหลย้อนกลับทันที

 

ปัง!

 

ค่ายกลถูกทำลาย

 

ตึ่ง!

 

ตึ่ง! ตึ่ง!

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองที่หนักทึบ ดังสะท้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

เสียงแจ้งเตือนของนิกายดังขึ้นทันใด

 

เสียงกลองเช่นนี้ คล้ายดั่งกลองศึกในสมัยโบราณ ที่พวกมันมักจะถูกเคาะหลายตัวพร้อมๆกันในยามก่อนการต่อสู้

 

เสียงกลองศึกนี้ ทำให้เลือดในกายเดือดพล่านยิ่งกว่าเสียงแจ้งเตือนจากค่ายกลหรือยันต์อย่างเทียบไม่ติด!

 

กู่ฉิงซานที่อยู่ในใจกลางต้นกำเนิดเสียงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดหู

 

ฉินรั่วเมื่อเห็นแบบนั้นก็เอ่ยว่า “นายน้อย นี่คือกลองศึกของนิกายกวงหยาง มันจะถูกตีขึ้นทุกครั้งในยามที่พวกเขาจะบุกไปยังต่างโลกหรือในยามที่ต้องเริ่มทำการปกป้องนิกาย”

 

“อย่างงั้นหรือ แต่เสียงของมันก็ฟังดูหนักแน่นและทำให้รู้สึกปลุกใจเพิ่มมากขึ้นจริงๆนั่นแหละ ”

 

กู่ฉิงซานหันหลังกลับไป และโบกมือให้หญิงสาวทั้งสอง

 

“ที่นี่ฝากพวกเจ้าด้วย”

 

“ขอนายน้อยโปรดวางใจ” สองหญิงสาวเอ่ยเป็นเสียงเดียว

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า ช่วงล่างเกร็งแน่น และเริ่มทะยานตัว วิ่งตรงไปยังทิศทางของฉานนู่อย่างรวดเร็ว

 

—ในหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามนี้ จักไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่สามารถใช้พลังวิญญาณได้!

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า และย่ำฝีเท้าเหินไปด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เขามี

 

เขาจะต้องเร่งไปยืนอยู่เคียงข้างกับฉานนู่ให้เร็วที่สุด!

 

จะต้องจบทุกอย่างลงในช่วงเวลาที่หวังหงษ์เต๋าหวาดกลัวมารโลกา จนมิกล้าใช้ออกด้วยพลังวิญญาณนี้นี่แหละ!

 

ภายในหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม จักต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าให้จงได้!

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

กลองศึกกระตุ้นใจให้ผู้ที่กำลังจะต่อสู้คึกคะนอง

 

หวังหงษ์เต๋าจ้องมองฉานนู่ด้วยดวงตาที่สั่นไหว และไม่เอ่ยอะไรออกมาอยู่เนิ่นนาน

 

ในระหว่างหลายลมหายใจที่เงียบงันนี้ ในสมองของเขาปั่นความคิดอันหลากหลายไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

 

แต่ไม่นานนัก หวังหงษ์เต๋าก้ได้ข้อสรุปที่เป็นไปได้มากที่สุดออกมา

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นกู่ฉิงซานสินะ? และข้าก็คิดว่าฉีหยานคงจะตกตายไปแล้วด้วยน้ำมือของเจ้า”

 

“ที่แท้เจ้าก็มาจากโลกอื่น แน่นอนว่าเจ้าย่อม-”

 

“เราเสียเวลากันมามากพอแล้ว มาต่อสู้กันซะทีเถอะ” ฉานนู่ขัดจังหวะเขา

 

“เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้? เหตุใดพวกต้องมีฝ่ายหนึ่งรอดและอีกฝ่ายหนึ่งตายด้วย?” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยถาม

 

“ยิ่งกล่าววาจาไร้สาระมากเท่าใด ตัวแปรก็จะยิ่งผกผันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว” ฉานนู่เอ่ยสวน

 

หวังหงษ์เต๋าพอได้ยินก็ชะงักงัน

 

เพราะประโยคเมื่อครู่ เป็นคำที่เขาพึ่งจะเอ่ยกับอีกฝ่ายไป แต่ตอนนี้มันดันโดนตอกย้อนกลับมาเสียเอง

 

“เจ้าหนู รู้ไหมว่านี่มันชักจะมากเกินไปแล้ว … ”

 

หวังหงษ์เต๋าอ้าปาก บ่นพึมพำราวกับต้องการจะกล่าวบางสิ่งต่อ

 

แต่ฉานนู่ก็ควงดาบเดินเข้าหาเสียก่อน

 

เธอไม่สนแม่งแล้วว่าอีกฝ่ายอยากจะพูดอะไร ตอนนี้เธอต้องการจะสังหารเขาในทันที!

 

ทว่ากลับเห็นเพียงสีหน้ายิ้มแย้มของหวังหงษ์เต๋าขึ้นใด “ใจเย็นๆสิ ข้ายังมีอีกเรื่องสุดท้ายที่ต้องการจะบอกเจ้า”

 

ฉานนู่เงียบ และยังคงถือดาบมุ่งต่อไป

 

ระหว่างทั้งสอง ระยะห่างลดฮวบๆลงอย่างรวดเร็ว

 

“อันที่จริงแล้ว สถานการณ์แบบนี้น่ะ … ก็อยู่ในการคำนวณของข้าเช่นกัน”

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าวพร้อมกับปรบมือของเขา

 

เสียงปรบมือนี้ดังฟังชัด ชนิดที่ว่ากลบเสียงของกลองศึกไปได้ชั่วขณะหนึ่ง และกังวานก้องไปตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า

 

ขณะที่ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาก็ยังมิเคลื่อนไหว

 

เพราะพวกมันรับรู้เพียงแค่พลังวิญญาณ มิใช่เสียง

 

อย่างไรก็ตาม กลับมีร่างๆหนึ่งที่ตอบรับถึงเสียงๆนี้ และมุ่งทะยานตรงมายังต้นเสียงด้วยความว่องไวยิ่ง!

 

แน่นอน ว่าหากเป็นไปในสถานการณ์ปกติแล้ว ความเร็วระดับนี้ผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆก็สามารถทำได้

 

แต่ตอนนี้ … ในช่วงเวลาที่มิอาจใช้ออกด้วยพลังวิญญาณ การที่สามารถสับขาด้วยความว่องไวในระดับนี้ได้ ย่อมมีน้อยคนนัก!

 

ผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆ ย่อมไม่สามารถครอบครองความว่องไวถึงเพียงนี้ได้อย่างแน่นอน!

 

เว้นไว้ก็แต่คนผู้หนึ่ง-

 

ฉานนู่หยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน

 

“เซ่าหวูชุ่ย … ”

 

ปากเอ่ยเสียงกระซิบ

 

เซ่าหวูชุ่ย ผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า!

 

ในแง่ของพละกำลังกายมนุษย์เพียงอย่างเดียว ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ นักสู้หวูเต๋านับว่าทรงพลังมากที่สุด!

 

นี่คือสามัญสำนึกทั่วๆไปที่มิอาจปฏิเสธได้

 

ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถใช้พลังงานวิญญาณได้ สำหรับนักสู้หวูเต๋าดั่งเช่นเซ่าหวูชุ่ยแล้ว เขาเพียงอาศัยร่างกายและกระบวนท่าหมัดจู่โจมเหยื่อ ก็สามารถระเบิดพลังโจมตีอันน่าทึ่งออกมาได้แล้ว!

 

เพราะขนาดเพียงแค่ทะยานมุ่งตรงมายังที่นี่ ความรวดเร็วของเขาก็ยังเทียบเปรียบได้กับผู้ฝึกยุทธทั่วๆไปเลย!

 

ร่างของเขาทะยานผ่านฟากฟ้าราวกับนางแอ่นเหิน

 

ก่อนที่จะค่อยๆตกลงมาข้างกายของหวังหงษ์เต๋าอย่างแผ่วเบา

 

เวลานี้ ในมือของเขาสวมใส่ถุงมือสีแดงเข้มคู่หนึ่ง ขณะที่ช่วงบนยังคงเปลือยเปล่าเผยให้เห็นถึงร่างกายที่แข็งกร้าวราวกับเหล็กกล้าเช่นเดิม

 

“ท่านอาจารย์ ข้ามาแล้ว”

 

เซ่าหวูชุ่ยคุกเข่าลงกับพื้น โค้งกายคำนับ

 

หวังหงษ์เต๋าเดินไป แล้ววางมือลูบลงบนศีรษะของเซ่าหวูชุ่ย

 

มองไปยังการลูบบนมือของเขา ราวกับกำลังลูบหัวหมาที่เชื่อฟังอยู่อย่างไรอย่างงั้นเลย

 

หวังหงษ์เต๋าหันไปกล่าวกับฉานนู่ “ต้องยอมรับว่าความคิดของเจ้ามันไม่เลวเลย – หากมิใช้พลังวิญญาณ แล้วต้องต่อสู้กันด้วยกำลังมนุษย์เพียงอย่างเดียว สภาพร่างกายของข้าย่อมไม่มีทางคว้าชัยชนะได้อย่างแน่นอน”

 

“ยังไงก็ตาม เวลานี้ ข้ามีร่างของผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าอยู่ในมือ และสถานการณ์ของพวกเราก็เป็น 2 ต่อ 1”

 

หวังหงษ์เต๋ายิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ

 

แต่ฉานนู่กลับส่ายศีรษะของเธอและกล่าว “คาดคำนวณเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์พิเศษเช่นนี้เอาไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อคำคุยโวของเจ้าหรอก”

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเวลานานมากแล้ว ยามที่ข้าได้บรรลุขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า ข้าก็เริ่มคิดถึงบางสิ่งที่อาจจะก่อให้เกิดภัยคุกคามแด่ข้า”

 

“และสถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในกรณีที่ว่านั่น?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

“ถูกต้อง”

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าวต่อ “ดังนั้น ข้าจึงมองหาอัจฉริยะในด้านนักสู้หวูเต๋ามา รับมันเป็นศิษย์ และเฝ้าฝึกฝนมันจนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่า เพื่อเตรียมพร้อมไว้รับมือกับสถานการณ์ดั่งเช่นในวันนี้”

 

พอได้ฟัง ฉานนู่ที่มีสีหน้าเย็นชาเสมอมาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงอาการหวั่นไหว

 

หลายปีนับไม่ถ้วนที่เธอใช้ชีวิตมา ก็พึ่งจะเคยพบเจอกับชายเช่นนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ

 

-เกือบทุกภัยคุกคามที่เป็นไปได้ ถูกคาดคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วโดยเขา

 

“เหตุใดกัน เหตุใดเจ้าต้องคาดคำนวณมากมายถึงเพียงนี้ เจ้าหวาดเกรงความตายมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ?” ฉานนู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา

 

ที่แท้การที่อีกฝ่ายถ่วงเวลาในตอนแรกก็เพราะเหตุนี้นี่เอง

 

แม้กระทั่งในตอนนี้ ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายยังคงจะใช้สมอง คาดคำนวณถึงบางสิ่งอยู่เลย

 

ว่าแต่เขากำลังคำนวณสิ่งใดกัน?

 

แต่ฉานนู่ก็ไม่ต้องการที่จะคิดเกี่ยวกับมันอีกต่อไป

 

เพราะคนเหล่านี้ .. มันไม่คุ้มค่าที่จะให้เธอต้องใช้สมอง!

 

ตึ่ง! ตึ่ง!

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

เสียงกลองดังกึกก้อง จนไม่ว่าผู้ใดที่ได้ฟังก็ล้วนเกิดอารมณ์พุ่งพล่าน หมายมั่นต้องการที่จะต่อสู้

 

ทว่าฉานนู่กลับยังคงกุมดาบค้างไว้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง

 

—นักสู้หวูเต๋าขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า มันเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่เธอจักรับมือได้

 

นอกจากนี้ อีกฝ่ายยังมีหวังหงษ์เต๋าอยู่อีก

 

สถานการณ์พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือไปโดยสมบูรณ์

 

เป็นดั่งที่หวังหงษ์เต๋ากล่าวจริงๆ ว่าอีกฝ่ายมีสอง แต่ตนมีเพียงหนึ่ง

 

คราวนี้ จึงเป็นตาของเธอที่จักต้องถ่วงเวลาแทนบ้างแล้ว

 

—ถ่วงเวลาไปจนกว่ากู่ฉิงซานจะมาถึง

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างสบายๆไร้กังวล “ข้ามิได้หวาดเกรงความตาย แต่การเสียสละอย่างไร้ความหมายนั้น มันไม่มีความจำเป็นเลย นับตั้งแต่ที่ข้าเริ่มฝึกยุทธ ข้าก็ก้าวเดินด้วยแนวคิดเช่นนี้เสมอมา”

 

แม้กระทั่งในตอนนี้ ขณะกล่าว หวังหงษ์เต๋าก็ยังคาดคำนวณถึงสถานการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ในจิตใจอย่างลับๆ

 

ถึงแม้ว่า ‘ฉีหยาน’ อีกคนหนึ่งจะได้ทำลายค่ายกลขนาดใหญ่ลงแล้วก็ตามที แต่ตัวค่ายกลก็ไม่สมควรที่จะถูกทำลายลงได้โดยสมบูรณ์

 

เพราะค่อยกลซ่อมแซมนับสิบในสถานที่แห่งนั้น จะเริ่มทำการฟื้นฟูมันทันที

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามแล้ว หากต้องการให้ค่ายกลขนาดใหญ่ใช้การไม่ได้ต่อไป ‘ฉีหยาน’ ก็จะต้องอาศัยช่วงเวลานี้ คอยทำลายค่ายกลซ่อมแซมทั้งหมด

 

มิฉะนั้นแล้ว หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมื่อพลังวิญญาณสามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง โชคชะตาเดียวที่เฝ้ารอคอยเขาอยู่คงมิแคล้วมีเพียงความตาย

 

นอกจากนี้ เทคนิคค่ายกลก็มิใช่ว่าผู้ใดอยากจะเรียนรู้ ก็สามารถเรียนรู้มันได้อย่างง่ายดาย

 

แม้ว่าจะมีสองสาวใช้ของฉีหยานอยู่ด้วยก็ตามที แต่สถานะของพวกนางมันก็ชัดเจน

 

นั่นคือ ‘พวกนางมิได้แตกฉานในด้านค่ายกล’

 

ดังนั้น ‘ฉีหยาน’ อีกคนจักต้องคอยปกป้องที่นั่นอยู่เป็นแน่

 

ในแง่มุมปัจจุบันนี้ จึงกล่าวได้ว่ามันจะยังคงเป็นการต่อสู้แบบ 2 ต่อ 1

 

ไม่สิ ไม่จำเป็นต้อง 2 ต่อ 1 ด้วยซ้ำไป

 

เพราะแค่เซ่าหวูชุ่ยเพียงผู้เดียว ก็สามารถสังหารอีกฝ่ายลงได้แล้ว

 

มันเป็นเกมที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็เห็นแต่ชัยชนะ!

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าวต่อ “อาจารย์ของข้าสามารถมองทะลุห้วงอารมณ์และนิสัยโดยกำเนิดของข้าได้ ดังนั้น แม้ว่าข้าจักอ้อนวอนเพียงใด ท่านอาจารย์ก็ไม่เต็มใจที่จะถ่ายทอดทักษะดาบที่แท้จริงให้แก่ข้า ”

 

“แต่สิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือ เป็นเพราะข้านิสัยที่ยึดหลักแนวคิดนี้นั่นเอง ที่ทำให้ข้าสามารถคาดคำนวณทุกสิ่งอย่างได้ถูกต้องเสมอมา”

 

“แม้กระทั่งบุคคลที่ทรงพลานุภาพและหลักแหลมดั่งเช่นท่านอาจารย์ ก็ยังต้องตกตายลงด้วยน้ำมือข้า!”

 

ฉานนู่ถอนหายใจ และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามคำจากในจิตใจของเธอ “เจ้าคาดคำนวณมากมายถึงเพียงนี้ แล้วยังมีอะไรที่เจ้าไม่เคยคาดคำนวณอีกบ้างไหม?”

 

พอได้ฟัง คราวนี้หวังหงษ์เต๋าชะงักไปจริงๆ

 

คำถามของอีกฝ่ายที่จี้ตรงมา ราวกับกระตุ้นความกระหายในอาหารของเขา

 

เขาขบคิดอย่างจริงจังและรอบคอบ ปากบ่นพึมพำด้วยความใคร่ครวญว่า “ตราบใดที่มันเกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของข้า ก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่ข้ามิได้คาดคำนวณ”

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างช้าๆ สีหน้าท่าทีการแสดงออกค่อยๆผ่อนคลายลง

 

“กระทั่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ข้าก็ยังเลือกหนทางที่ดีที่สุด … ”

 

ใช่แล้วล่ะ

 

ไม่มีอะไรอยู่นอกเหนือไปจากการควบคุมของเขาจริงๆ

 

ตอนนี้ ก็มาเริ่มสู้กันได้ซะที

 

เมื่อขบคิดถึงจุดนี้ ปากของชายชราก็เอ่ยสั่งอย่างช้าๆ

 

“จงไปสังหารมันซะ”

 

“ขอรับ!”

 

เซ่าหวูชุ่ยรับคำ และเคลื่อนกายวูบไหวทันที

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.462 – กลองศึก

 

ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า หลงเหลือผู้คนอยู่อีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นได้ตายลงไปกันหมดแล้ว

 

ดังนั้น บรรยากาศโดยรอบในขณะนี้จึงเงียบงัน … เงียบงันจนน่าขนลุก

 

ดวงตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง เพ่งมองไปทางอีกฝ่าย

 

ในมือของฉีหยานกำลังกุมดาบยาวที่สาดแสงดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง ขณะที่บนศีรษะสวมหมวกไม้ไผ่

 

ขอบของหมวกไม้ไผ่ถูกกดลงมาจนต่ำเกินควร จนทำให้ผู้ที่มองมา มิอาจเห็นถึงเค้าโครงหน้าที่แท้จริงของเขาได้

 

อย่างไรก็ตาม เพียงกวาดสายตามอง หวังหงษ์เต๋าก็สามารถตระหนักถึงเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายได้ในทันที

 

คนเบื้องหน้าเขา คือฉีหยานจริงๆ

 

ทุกๆสรีระต่างๆในร่างกาย ไม่มีส่วนใดผิดเพี้ยนไปจากฉีหยานที่เขาเคยพบเจอเลย

 

ฉีหยานก็มองดูเขาเช่นกัน

 

สายตาของทั้งสองประสานกัน มิอาจถอนออกไปได้ชั่วคราว

 

แต่แล้วก็เป็นหวังหงษ์เต๋าที่ยอมแพ้สงครามจ้องตานี้ เขาเบนวิสัยทัศน์ไปยังดาบยาวในมือของฉีหยาน

 

ปากเอ่ยกล่าว “ไม่หรอก เจ้าจะต้องไม่ใช่ฉีหยานอย่างแน่นอน”

 

“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่า?” ฉีหยานเอ่ยถาม

 

“เพราะเจ้าหนูฉีหยานมันไม่เคยใช้ดาบ เขาเชี่ยวชาญในค่ายกลและธาตุไฟจากธาตุทั้งห้า”

 

“ก็ .. ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าบางทีจู่ๆข้าอาจจะรู้สึกสนใจที่จะหันมาฝึกดาบก็ได้” ฉีหยานกล่าว

 

หวังหงษ์เต๋าส่ายหัว “ทักษะดาบ เป็นอะไรที่ร่วมฝึกกับทักษะอื่นๆได้ยากเย็นที่สุด และมันย่อมไม่มีทางบรรลุได้เพียงชั่วข้ามคืน”

 

เขายกมือขึ้น และเริ่มขับเคลื่อนพลังวิญญาณตน

 

ทันใดนั้นแมลงมารหลากสีสันก็ปรากฏกายของมันขึ้นบนหลังมือของเขาอย่างเงียบๆ

 

“ถึงแม้ว่าเจ้าจะสวมหมวกไม้ไผ่ แต่ข้าก็สามารถรับรู้ถึงสถานะขอบเขตโดยประมาณของเจ้าได้อยู่ดี – ความแข็งแกร่งของเจ้าด้อยกว่าข้ามากมายนัก ดังนั้น หากยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จงบอกพิกัดของโลกใหม่แด่ข้าประเดี๋ยวนี้!” หวังหงษ์เต๋ารวบรัด

 

ฉีหยานกุมดาบในมือแน่นขึ้น ทว่าก็ยังคงมิเอ่ยสิ่งใด

 

หวังหงษ์เต๋าเมื่อเห็นแบบนั้น ก็เอ่ยต่อว่า “พวกเราอย่ายืดเยื้อให้เสียเวลาจะดีกว่า มันไม่สำคัญอีกแล้วว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่ตอนนี้จงมอบพิกัดของโลกใหม่มาเสีย จากนั้นก็รับผนึกต้องห้ามของข้าเข้าสู่ตัวเจ้าซะ แล้วเราจะได้มีเวลาสนทนากันมากขึ้น”

 

“อาวุโสหวัง ท่านใช่ดูกังวลเกินไปหรือไม่?” ฉีหยานเอ่ยถาม

 

“มิใช่เช่นนั้นหรอก ก็แค่เพียงไม่อยากจะพล่ามไร้สาระมากไปกว่านี้ก็เท่านั้นเอง”

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“เพราะยิ่งพูดมาก ตัวแปรก็จะยิ่งผกผันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว”

 

เมื่อจบประโยคนี้ กระแสเสียงของหวังหงษ์เต๋าก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า “ข้าจะให้เวลาเจ้าสามลมหายใจ จงทิ้งดาบในมือและยอมจำนนเสีย มิฉะนั้นข้าจักสังหารเจ้าลงตรงนี้เลยโดยตรง”

 

อย่างไรก็ตาม ดาบในมือของฉีหยานกลับวูบไหวทันใด

 

รังสีดาบทะยานตัวออก และสับเข้ากับบางสิ่งที่มองไม่เห็นกลางอากาศ

 

โฮกกกก!

 

ในอากาศที่ว่างเปล่า จู่ๆแมลงยักษ์ตัวหนึ่งเผยโฉมออกมา มันเปล่งเสียงร้องร่ำด้วยความเจ็บปวด

 

มันถูกรังสีดาบสับสะบั้นตั้งแต่ส่วนหัว จรดไปจนถึงหาง

 

เลือดสีเหลืองซัดสาดราวกับพายุฝนกระหน่ำ แต่ทั้งหมดก็ถูกเป่าลอยหายไปตามกระแสลมที่เกิดจากรังสีดาบ

 

แมลงประหลาดร่วงตกลงในจุดนั้น ร่างของมันกระแทกลงกับพื้นและนิ่งงันไม่เขยื้อนไหวอีกเลย

 

“อาวุโสหวัง เจ้ามิใช่กล่าวว่าจักให้เวลาข้า 3 ลมหายใจหรอกหรือ แล้วเหตุใดจึงลงมือทันทีเลยเล่า?” ฉีหยานเอ่ยเสียงเย็น

 

สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าหม่นทะมึนลง

 

“ขอบเขตระดับต่ำ ทว่าทักษะดาบกลับโดดเด่นชนิดหาตัวจับได้ยาก ..”

 

“แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ มันยังเร็วไป 100000 ปี หากคิดทะนงตนมาต่อกรกับข้า!”

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างช้าๆ ความผันผวนทางพลังวิญญาณอันสยองเกล้าเริ่มจะลุกโชนออกมา

 

ด้วยอำนาจของเขาเพียงลำพัง ส่งผลให้ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้าค่อยๆเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น

 

“นี่น่ะหรือคือพลังอันทรงพลานุภาพของขอบเขตลมปราณจิต?”

 

ฉีหยานที่รับรู้ได้ถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณในอากาศที่ว่างเปล่า ปากเอ่ยกล่าวถอนหายใจด้วยอารมณ์เล็กน้อย

 

“โอกาสสุดท้าย จะยอมจำนนต่อข้า หรือว่าจะเลือกตายลงในวินาทีถัดไป” หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างไร้เยื่อใย

 

ฉีหยานตอบกลับ “ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของข้า นายน้อยของข้าคงจะไม่เห็นด้วยเป็นแน่”

 

“นายน้อยของเจ้า?” น้ำเสียงของหวังหงษ์เต๋าเริ่มจะรุนแรงขึ้น

 

สิ่งที่ได้ยินนี้ช่างเป็นอะไรที่ไม่คาดคิดจนทำให้รู้สึกฉงนได้จริงๆ

 

ประโยคเหล่านี้ มันเป็นตัวแทนที่บ่งบอกได้ถึงความหมายมากมายหลากหลาย เป็นเรื่องยากนักที่จะคาดเดา

 

หวังหงษ์เต๋าชะงักงันไป

 

แต่แล้วในวินาทีต่อมา

 

ขณะเดียวกัน สีหน้าการแสดงออกของฉีหยานก็เผยให้เห็นถึงความสนใจออกมา

 

และหวังหงษ์เต๋าก็เช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปบนท้องฟ้า

 

“โครม!”

 

ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างถูกทำลายลง

 

ต่อมา ก็บังเกิดชุดเสียงกึกก้องที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเกาะลอยฟ้าขึ้นอีกครั้ง

 

ตึง!

 

ตึง! ตึง!

 

ตึง! ตึง! ตึง!

 

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

 

เสียงนี้ดังระรัวขึ้นราวกับกลองชุด มันค่อยๆถี่ขึ้น ถี่ขึ้นเรื่อยๆ

 

เสียงกลองศึกขจรขจาย กังวานออกไปตลอดทั้งเกาะ

 

นี่เป็นเสียงแจ้งเตือนระดับสูงสุดของนิกายกวงหยาง ซึ่งบ่งบอกว่าสถานการณ์อันตรายร้ายแรงถึงขั้นชีวิตและความตายได้บังเกิดขึ้นแล้ว!

 

เมื่อเสียงกลองชุดนี้ดังขึ้น ผู้ฝึกยุทธทุกคนจักต้องละมือจากทุกสิ่งอย่างที่พวกเขากำลังทำอยู่ และมุ่งหน้าตรงไปยังส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า

 

และทุกคนจักต้องพิทักษ์ที่นั่นโดยห้ามหวงแหนชีวิตและความตายของตนเองเอาไว้โดยเด็ดขาด

 

เพราะเสียงกลองนี้ มันกำลังบ่งบอกว่าค่ายกลที่สำคัญที่สุดกำลังเกิดปัญหา!

 

แน่นอน ว่าค่ายกลที่สำคัญที่สุด ย่อมไม่พ้น ‘ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่!!’

 

นี่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่มารโลกาจะสามารถค้นพบเกาะใบนี้ได้!

 

และในขณะนี้ ค่ายกลที่ว่าก็พึ่งถูกทำลายลง!

 

สำหรับนิกายแล้ว นี่นับว่าเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตาย!

 

เสียงของกลองศึกโบราณสะท้อนไปตลอดทั้งเกาะ

 

สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนกลับกลาย

 

ในเสี้ยววินาที พลังวิญญาณของเขาก็ถูกดูดเก็บกลับคืน สลายไปไม่หลงเหลือกระทั่งร่องรอยของมัน

 

เขาใช้ความเร็ว เร็วแบบเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ รวบพลังวิญญาณกลับคืน

 

ทว่า …

 

แม้หวังหงษ์เต๋าจะรวดเร็วเท่าใด แต่มันก็ยังช้าไปเล็กน้อยอยู่ดี

 

เบื้องบนท้องฟ้า บังเกิดฟันซี่แหลมๆที่อยู่ในปากหนาสีดำปรากฏขึ้น

 

—ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาปรากฏตัวออกมาแล้ว!

 

ปากขนาดใหญ่เหล่านี้ลอยล่องอยู่รอบเกาะอย่างเงียบๆ ทั้งหมดล้วนหันหน้าตรงมายังตำแหน่งที่หวังหงษ์เต๋ายืนอยู่

 

ปากใหญ่สีดำอ้าเผยอออก และค่อยๆหุบลงอย่างช้าๆ

 

น่าเสียดายจริงๆ หากพวกมันรวดเร็วกว่านี้อีกสักลมหายใจเดียว คงจับตำแหน่งที่แม่นยำของความผันผวนทางพลังวิญญาณเมื่อครู่ได้แล้ว

 

อีกเพียงแค่นิดเดียว .. พวกมันก็จะได้กลืนกินอาหารอันโอชะอยู่แล้วเชียว

 

ปากใหญ่สีดำทยอยกันปรากฏกายมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จนเติมเต็มไปตลอดทั้งความว่างเปล่า

 

เกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง บัดนี้ถูกล้อมกรอบไปด้วยร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกา

 

หวังหงษ์เต๋าจ้องมองไปยังฉากนี้ด้วยฟันที่ขบแน่น ปากเอ่ยกล่าว “ไอ้เด็กสารเลวนี่  … ”

 

“ต่อให้เจ้ามีขอบเขตวรยุทธที่สูงส่งแล้วมันอย่างไร? หากนายน้อยไม่อนุญาตให้เจ้าได้ใช้พลังวิญญาณ ตัวเจ้าก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดอยู่ดี” ฉีหยานกล่าวอย่างสบายๆ

 

ทั้งสองต่างยืนพูดคุยกันอยู่บนแท่นเวทีหารือ

 

ขณะที่ตลอดทั้งเกาะของนิกายกวงหยาง บัดนี้มิอาจปลดปล่อยพลังวิญญาณได้อีกต่อไป!

 

เพราะนับจากช่วงเวลานี้ไป ตราบใดที่มีใครกล้าใช้พลังวิญญาณ คนผู้นั้นก็จะถูกค้นพบร่างไร้จิตสำนึกและถูกกลืนกินลงโดยมารโลกา

 

ไม่ว่าจะเป็นหวังหงษ์เต๋าในขอบเขตลมปราณจิต หรือเซ่าหวูชุ่ยในขีดสุดความว่างเปล่า ก็ล้วนมิอาจใช้พลังวิญญาณที่คุกรุ่นอยู่ในร่างกายออกมาได้เพียงแม้เพียงน้อย!

 

ปากใหญ่สีดำบนฟากฟ้าเผยอขึ้นอีกครา เผยให้เห็นถึงคมเขี้ยวแหลมของมัน

 

พวกมันกำลังเฝ้ารอให้สิ่งมีชีวิตเปิดเผยพลังวิญญาณออกมา

 

หากสามารถระบุตำแหน่งของเป้าหมายได้อีกแม้เพียงครั้งหนึ่ง พวกมันจะปิดล้อมจับกลุ่ม และกัดกินผู้ฝึกยุทธไม่มีหลงเหลือในทันที

 

“กักขังพลังวิญญาณ แล้วดวลกันด้วยเพลงดาบและกระบี่เพียวๆ … นี่คือวิธีที่เจ้าคิดจะใช้เพื่อจัดการกับข้าอย่างงั้นสินะ? ” หวังหงษ์เต๋าหรี่ตามองฉีหยาน

 

ตึง ตึง!

 

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

 

เสียงกลองกระหน่ำระรัวราวกับห่าฝนที่ซัดสาด กระตุ้นให้ผู้คนต่อสู้แลกชีวิตเพื่อปกป้องนิกายของตน

 

และเสียงกลองนี้จะไม่มีวันหยุดลง ตราบใดที่ค่ายกลยังไม่ถูกซ่อมแซมลงจนเสร็จสมบูรณ์

 

เดิมที ในช่วงเวลาเช่นนี้ มันคือช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธจะต้องลุกฮือขึ้นมาอย่างหาญกล้าเพื่อทำการปกป้องนิกาย

 

แต่ผู้ฝึกยุทธเกือบทั้งหมด … ได้ถูกสังหารตกตายลงไปแล้วด้วยน้ำมือของหวังหงษ์เต๋า!

 

ในตอนนี้ จึงไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถเข้าไปป้องกันค่ายกลได้

 

นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าอัปยศที่สุดในชีวิตของหวังหงษ์เต๋าโดยแท้!

 

มือของเขา เอื้อมออกไปตบลงบนถุงสัมภาระโดยไม่รู้ตัว

 

“ข้าทราบดีว่าเจ้ามีเรือเหาะไว้ใช้หลบหนี แต่ตอนนี้เจ้ากล้าที่จะใช้ถุงสัมภาระจริงๆน่ะหรือ?” ฉีหยานเอ่ยถาม

 

หวังหงษ์เต๋าเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า

 

เมฆหมอกทั้งมวลมิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป ในวิสัยทัศน์มีแค่เพียงร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาเท่านั้น

 

พวกมันไม่แม้แต่จะเคลื่อนกายขยับไหว ทั้งตนทั้งร่างล้วนต่างพากันเพ่งความรู้สึกจับสัมผัสกับพลังวิญญาณที่อาจปรากฏขึ้นรอบตัว

 

สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าหม่นทะมึน

 

เพราะการจะเปิดใช้งานถุงสัมภาระ … มันจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณ!

 

แต่หากเขาใช้พลังวิญญาณออกไป มันก็มีแนวโน้มมากทีเดียวที่จะถูกจับตำแหน่งได้โดยร่างไร้จิตสำนึกเหล่านั้น

 

แน่นอนว่าผลที่ตามมา คือความตาย!

 

และหวังหงษ์เต๋าก็มิกล้าที่จะเสี่ยงเดิมพันถึงเพียงนั้น

 

“แต่เจ้าไม่ลองคิดกลับกันดูหรือ ว่าหากเป็นในกรณีนี้ ตัวเจ้าเองก็มิสามารถหลบหนีออกไปได้เช่นกันนะ?” หวังหงษ์เต๋ากล่าว

 

“ข้ายังไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย” ฉีหยานเฉลยด้วยรอยยิ้ม

 

‘มันดันเอ่ยยอมรับออกมาอย่างมีความสุข’ … หวังหงษ์เต๋าที่เห็นถึงฉากนี้แทบไม่อยากจะทำใจเชื่อได้

 

“ข้าไม่เชื่อเจ้า! ไม่มีผู้ใดหรอกที่จะเพิกเฉยต่อชีวิตและความตายของตนเอง!” หวังหงษ์เต๋าส่ายหัวและกล่าว

 

“ฟังนะ ขอบอกตรงๆว่าข้าเองก็ไม่เคยได้ยินเสียงกลองศึกโบราณเช่นนี้มาก่อนเลย แต่พอได้ฟังดูก็คิดว่ามันปลุกใจได้ดีทีเดียวเหมือนกัน” ฉีหยานเอ่ยอย่างแผ่วเบา

 

ดาบในมือถูกกุมแน่นขึ้น ทั้งคนทั้งร่างโน้มตัวลงไปยังเบื้องหน้าเล็กน้อย

 

“ในวันนี้ ณ ที่แห่งนี้ ไม่เจ้าตายข้าก็พินาศ! ถึงเวลาเสียทีที่ทุกสิ่งอย่างจะถูกตัดสินด้วยชีวิตเป็นตาย!”

 

เขากล่าวประโญคสุดท้ายออกมา และเตรียมที่จะเปิดฉากโจมตี

 

“ช้าก่อน!” หวังหงษ์เต๋าตะโกนลั่น

 

“เจ้ามันช่างโง่เง่านัก เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกกันก่อนว่าเจ้าได้ควบคุมค่ายกลของเกาะลอยฟ้าแห่งนี้เอาไว้แล้ว พวกเราจะได้ตกลงกันด้วยดีตั้งแต่แรก!” หวังหงษ์เต๋ากัดฟันกล่าว”

 

“นั่นไม่จำเป็น” ฉีหยานเอ่ยปากออกมา “เพราะนายน้อยของข้ามิคิดจะสนทนาใดๆกับเจ้าอยู่แล้ว และอีกอย่าง สำหรับตัวข้าเอง ยามที่จักต้องต่อสู้กับศัตรู ก็มิชอบขบคิดอะไรน่าเบื่อให้มันยุ่งยากเช่นกัน!”

 

ดาบยาวที่สาดแสงดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงชี้ตรงไปยังหวังหงษ์เต๋า

 

ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!

 

กลองศึกกระหน่ำเสียงหนักทึบขึ้น

 

จิตต่อสู้ฟุ้งกระจายไปทั่ว

 

ดูเหมือนว่าสัญญาณแห่งการต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้นแล้ว!

 

“ตัวข้า – ฉานนู่แห่งโลกปรภพ โปรดชี้แนะด้วย!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.461 – จุดสิ้นสุดของนิกายกวงหยาง

 

นี่ก็เป็นระยะเวลานานมากแล้ว ที่ตลอดทั้งนิกายไม่มีสิ่งใดหลบรอดไปจากการสายตาของหวังหงษ์เต๋า

 

แต่ตอนนี้ จู่ๆก็ดันมีฉีหยานคนที่สองปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน?

 

ทันทีที่คิดได้ถึงจุดนี้ แม้กระทั่งคนอย่างหวังหงษ์เต๋าเองก็ยังเกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ

 

แน่นอน ว่าเขามิได้หวาดกลัวฉีหยาน แต่เขาหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จักต่างหาก

 

เพราะสิ่งที่ไม่รู้จัก นั่นหมายถึง-

 

-ตัวแปรที่ไม่อาจควบคุมได้

 

หวังหงษ์เต๋าอดไม่ได้ที่จะเหยียดมือไปยังเบื้องหลัง และคว้ากุมด้ามจับกระบี่ประจำกายของตนเอาไว้

 

มันเป็นกระบี่ที่เขาพกติดตัวตลอดเวลา

 

ในอดีตที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่เฉียนซานเย่ถูกสังหาร เขาก็เคยแสดงอาการคว้ากุมด้ามจับกระบี่ที่อยู่เบื้องหลังแบบนี้เช่นกัน

 

ในช่วงนานปีที่ผ่านพ้น น้อยคนนักที่จะมีความสามารถมากพอที่จะให้เขาชักกระบี่ยาวออกมาอีกครั้งได้

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาตลอดทั้ง 500 ปี มีเพียงฉีรั่วหยาคนเดียวเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ฉีรั่วหยามันก็ได้ตายไปแล้ว

 

ตกตายลงภายใต้คมกระบี่ของตนเอง

 

หวังหงษ์เต๋ากุมกระบี่ในมือ ขณะที่หัวใจของเขาค่อยๆสงบลง

 

แล้วเจ้าตัวก็เริ่มใช้สมองตริตรอง

 

มิผิดแล้ว

 

ฉีหยานจะต้องมีสองคนอย่างแน่นอน

 

มีเพียงข้อสรุปนี้ข้อเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างสมเหตุสมผล

 

มิฉะนั้นแล้ว คำมั่นสาบานต่อฟ้าดินย่อมไม่ถูกยอมรับอย่างแน่นอน

 

ชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ

 

ฉีหยานสองคนอย่างงั้นหรือ ….

 

เช่นนั้น แล้วคนใดกันที่เป็นตัวจริง?

 

หรือว่าฉีหยานที่เห็นจากหวูซานจะเป็นตัวปลอม? ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะอีกฝ่ายครอบครองพิกัดของโลกใหม่เอาไว้อย่างชัดเจน

 

หรือว่าฉีหยานอีกคนในเวทีหารือจะเป็นตัวปลอม? ก็ไม่น่าจะใช่เช่นกัน เพราะฝีปากและสมองของเขาหลักแหลมถึงขั้นสามารถโน้มน้าวใจเย่หยิงเหมยได้ – นี่แสดงให้เห็นว่าเขาคุ้นเคยกับเย่หยิงเหมยเป็นอย่างดี จะต้องเคยสนทนากันจนล่วงรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย และวิธีในการที่จะชักชวนเธอ

 

เย่หยิงเหมยน่ะอยู่ภายใต้การควบคุมของหวังหงษ์เต๋ามานานปี นอกเหนือไปจากเซ่าหวูชุ่ยกับฉีหยานแล้ว คนอื่นๆก็แทบจะไม่ได้ติดต่อกับเธออีกเลย ดังนั้นการที่ฉีหยานรู้จักเธอดี ย่อมบ่งบอกว่าเขาเป็นตัวจริงอย่างแน่นอน

 

….

 

หวังหงษ์เต๋าขบคิดอยู่พักหนึ่ง แต่กลับพบว่ามันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินให้ได้คำตอบที่ชัดเจนแบบเด็ดขาดอยู่ดี

 

ทว่าเมื่อลองคิดกลับกันถึงอีกเรื่องราวหนึ่ง จู่ๆเขาก็หัวเราะขึ้นทันใด

 

ฉีรั่วหยาช่างโง่เง่านัก ที่คิดทำการทะลวงขอบเขตอย่างเต็มรูปแบบ ฆ่าตัวตายชัดๆ

 

อีกฝ่ายคงไม่ทันคิดเลยด้วยซ้ำ ว่าตัวหวังหงษ์เต๋าจะลอบลงมือเช่นนี้

 

แต่ทุกอย่างช่างซับซ้อนยิ่งกว่า เพราะกลับกลายเป็นหวังหงษ์เต๋าเสียเองที่ไม่ทันคาดคิดว่า แท้จริงแล้วบุตรชายของฉีรั่วหยาจะมีลูกเล่นเล็กๆน้อยๆเช่นนี้

 

อย่างไรก็ตาม ฉีหยานเป็นเพียงนายน้อยเสเพลในนิกาย วิสัยทัศน์ของมันผู้นี้ตื้นเขินเกินไป

 

มันยังเด็กเกินไปที่จะมาใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเขา

 

ขณะที่หวังหงษ์เต๋ากำลังคิด เขาก็หยิบยันต์ใบหนึ่งออกมา

 

เขาหันไปเอ่ยปากพูดกับยันต์ “ทำการแจ้งเตือนไป ตอนนี้ในทัน-”

 

แต่ยังไม่ทันกล่าวจนจบประโยค หวังหงษ์เต๋าก็ชะงักไป เขาก้มลงมองชุดคลุมยาวของตนที่เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือด

 

การที่จะต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นในสภาพนี้ มันคงเป็นเรื่องที่น่าอับอายไม่น้อย

 

หวังหงษ์เต๋าจึงหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า

 

“หลังจากนี้อีกครึ่งชั่วยาม ขอให้ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในนิกายไปรวมตัวกันเบื้องหน้าเวทีหารือ ข้ามีบางสิ่งที่ต้องการจะกล่าว”

 

สิ้นเสียง พลังวิญญาณก็ถูกถ่ายเทเข้าไปในยันต์

 

และยันต์ก็ลุกไหม้ แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟพุ่งออกไปทันที

 

หวังหงษ์เต๋าควักแมลงมารออกมาจากอกของเขา

 

เขาก้มลงมองกลุ่มแมลงมาร ปากเอ่ยพึมพำเสียงต่ำกับตนเอง

 

“มันไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะฝากฝังพิกัดของโลกใหม่ให้ผู้ใดดูแล เพราะตราบใดที่ข้าผู้ชราคนนี้มีอำนาจควบคุมคนในนิกายทั้งหมด สุดท้ายคนที่เจ้าไว้วางใจก็จักถูกเปิดเผยอยู่ดี”

 

“เรื่องนี้จะไม่นับว่าเป็นปัญหาอีกต่อไป”

 

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หวังหงษ์เต๋าก็บังเกิดความลังเลเล็กน้อย

 

ต้องไม่ลืมนะว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายของตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญ ทว่าแน่นอน ว่าโลกใหม่ก็สำคัญไม่แพ้กัน และมีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่สำคัญเท่ากับทั้งสองสิ่งที่พึ่งกล่าวมานี้ นั่นก็คือ ‘นิกาย’

 

นิกายแห่งนี้ … นิกายที่ไม่ว่าผู้ใดก็มักจะอ้าปากร้องขอแต่ศิลาวิญญาณ

 

แล้วเหตุใดจึงยังต้องเลี้ยงพวกมันต่อไปให้เปลืองทรัพยากรด้วยเล่า?

 

ฉีรั่วหยาก็ตายไปแล้ว คราวนี้ยังจะมีใครสามารถขัดขวางตัวเขาได้อีก?

 

เมื่อหวังหงษ์เต๋าคิดมาถึงจุดนี้

 

ท่าทีการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง สองมือประสาน ประกบแปรผันท่าร่างวิชาลับอย่างไม่รู้จบ

 

พลังวิญญาณถูกผลักดันเข้าสู่สองมือ เพื่อทำการกระตุ้นออกด้วยวิชาลับอย่างต่อเนื่อง

 

วิชาลับเริ่มทำงาน

 

ภายในช่วงเวลาสั้นๆ

 

ก็เห็นแค่เพียงแมลงมารหลากสีสัน คืบคลานออกมาจากกระเป๋าชุดคลุมตรงเอวของหวังหงษ์เต๋า

 

มันเป็นแมลงมารที่มีขนาดเพียงนิ้วก้อย ร่างของมันส่ายไปมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มออกตัวบินหายไปในท้องฟ้าอันมืดมิดในช่วงเวลา ‘ลางร้าย’

 

แล้วต่อมาหลังจากนั้น แมลงนับไม่ถ้วนก็ค่อยๆคืบคลานตามๆกันออกมาจากกระเป๋าชุดคลุมของหวังหงษ์เต๋า และพากันโบยบิน กระจายไปทั่วทั้งเกาะลอยฟ้า

 

….

 

ภายในห้องอันมืดมิด

 

เย่หยิงเหมยกำลังยืนอยู่หน้ากระจกเงา และพึ่งเอ่ยรายงานเสร็จสิ้นไป

 

ผ่านไปสักพัก เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น

 

“โลกใหม่อย่างงั้นหรือ? ทำได้ดีมาก ในที่สุดการที่ข้าเลือกที่จะซุ่มซ่อนมากว่า 1000 ปี ก็พอจะได้รับผลประโยชน์กลับคืนมาบ้างเสียที”

 

“เจ้าค่ะ” เย่หยิงเหมยลดศีรษะลงและกล่าว

 

“แต่เจ้ายังไม่ได้ตรวจสอบให้มันชัดเจนเกี่ยวกับความลับของเฉียนซานเย่กับหวังหงษ์เต๋าเลยนี่” เสียงผู้ชายกล่าว

 

“สำหรับเรื่องนั้น ถึงแม้ว่าหวังหงษ์เต๋าจะถูกล่อลวงโดยข้าแล้วก็ตามที ทว่าเขาก็ยังไม่เต็มใจจะไว้วางใจข้าโดยสมบูรณ์ แล้วเผยเงื่อนงำของเรื่องราวที่ว่านั่นออกมาอยู่ดี” เมื่อนึกถึงความหวาดระแวงจนเกินควรของหวังหงษ์เต๋า น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของเย่หยิงเหมยก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว

 

ขณะที่น้ำเสียงของผู้ชายดูจะกำลังขบคิด “ว่าแต่ปริมาณพิษเท่าใดกัน ที่เขาได้รับ?”

 

“เขาตรวจสอบร่างกายของข้าหลายต่อหลายครั้ง และไม่เคยพบพิษใดๆ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโล่งใจทุกครั้งที่เขาทรมานข้า” เย่หยิงเหมยกล่าวทันที

 

“ไป่น้อย เจ้าก็รู้ดีนี่ว่าคุณสมบัติพิษของนิกายลั่วชาเฟิงเรายอดเยี่ยมเพียงใด? ดังนั้นในกรณีนี้ พิษที่หวังหงษ์เต๋าได้รับจากกายเจ้ามันคงมากพอที่จะแทรกซึมลึก … อ่า ช่างมันเถอะ ในเมื่อแผนการที่วางไว้เป็นไปอย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ก็ดีแล้ว”

 

เสียงของผู้ชายฟังดูจะค่อนข้างพอใจ เขาเอ่ยต่อ “โลกใบนี้กำลังจะล่มสลายลงในไม่ช้า ทางนิกายจึงไม่เต็มใจไปที่รออีกต่อไป”

 

พอได้ฟัง เย่หยิงเหมยเงยหน้าขึ้น จ้องมองเข้าไปในกระจกเงาด้วยความกังวล

 

แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆจากกระจกอยู่ครู่หนึ่ง

 

หัวใจของเย่หยิงเหมยเต้นครึกโครม ปากเอ่ยร่ำร้อง “นายท่าน!”

 

แต่สักพักหนึ่ง เสียงของผู้ชายก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“อย่าพึ่งโวยวายไป เจ้าได้เฝ้าติดตามผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตมานานปี และลอบวางยาพิษเขาได้สำเร็จ ซึ่งนี่จะเท่ากับว่าทางนิกายจะได้มีหุ่นเชิดลมปราณจิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง นี่นับว่าเป็นความสำเร็จที่ดีทีเดียว”

 

“และด้วยเหตุนี้ ทางนิกายจึงไม่ยอมให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานที่เจ้าได้ค้นพบโลกใหม่ถึงสองใบ นี่ก็นับว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน”

 

ด้วยประโยคนี้ ส่งผลให้หัวใจของเย่หยิงเหมยที่จมลง ค่อยๆฟื้นคืนกลับมาอย่างช้าๆ ปากเอ่ยด้วยความปิติ “ท่านกำลังหมายความว่า … ”

 

“สตรีแห่งรากษสได้ส่งผ่านคำสั่งลงมาแล้ว”

 

เสียงของผู้ชายกล่าวด้วยความเคารพลึก

 

“เย่หยิงเหมย ความสำเร็จของเจ้านับว่าไม่น้อยเลย ตำแหน่งอาวุโสในนิกายย่อมต้องมีที่ว่างสำหรับเจ้าอย่างแน่นอน – ยังไงก็ตาม  นายเหนือของพวกเราเอ่ยปากออกมาด้วยตนเองว่าต้องการที่จะเห็นศีรษะของฉีหยาน ดังนั้นก่อนที่จะกลับมายังนิกาย เจ้าจะต้องสังหารเขาเสียและตัดศีรษะของเขานำกลับมาด้วย”

 

“เจ้าค่ะ!” เย่หยิงเหมยขานรับเสียงดังด้วยความสุข

 

…….

 

หวังหงษ์เต๋ากำลังหลับตา ขณะที่ในมือจีบออกด้วยวิชาลับอย่างเงียบๆ

 

นอกเหนือไปจากเย่หยิงเหมย เซ่าหวูชุ่ย และแน่นอนว่ารวมถึงฉีหยานที่อยู่ในห้องลับ ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆในนิกายล้วนไม่มีผู้ใดก้าวขึ้นมาถึงขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าได้เลย

 

ดังนั้น ในกรณีนี้ พวกเขาจึงมิทันได้ตระหนักถึงวิชาลับของหวังหงษ์เต๋า

 

หวังหงษ์เต๋าเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าผ่อนคลายออกมา

 

แมลงมารได้บินไปตกทั่วทุกภาคส่วนของเกาะลอยฟ้า

 

พวกมันค่อยๆทยอยกันหายไปจากสายตาของหวังหงษ์เต๋า

 

ไม่นานนัก

 

ผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งนิกายก็มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของหวังหงษ์เต๋า

 

และทุกคน … ล้วนมีสายตาดั่งปลาตาย ไร้ซึ่งประกายของความมีชีวิตชีวา การแสดงออกบนใบหน้าแข็งค้าง

 

เมื่อต้องเผชิญกับเทคนิคมนตราของผู้ฝึกยุทธขั้นลมปราณจิต ผู้ฝึกยุทธในระดับนี่ลดหลั่นกันมาของนิกาย ก็มิอาจต้านทานใดๆได้

 

พวกเขาทั้งหมดได้ตายลงแล้ว

 

และตอนนี้ ศพทั้งหมดของพวกเขากำลังถูกควบคุมอยู่

 

“ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ มันทำให้ข้าลำบากเสียจริงๆ”

 

“แต่ก็ช่างมันเถิด หากพวกมันยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรนิกายไปโดยเปล่าประโยชน์อยู่ดี เป็นแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน เพราะพวกมันจะได้ไม่ต้องล้างผลาญอะไรอีกต่อไป”

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าวพลางขมวดคิ้ว

 

เขาปิดตาทั้งสองข้าง วิชาลับในมือแปรผันท่าร่างไม่รู้จบ

 

และเมื่อใดก็ตามที่มือของเขาขยับไหว ศีรษะของผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็จะระเบิดออกทันที

 

ร่างไร้ศีรษะของผู้ฝึกยุทธคนแล้วคนเล่าค่อยๆล้มลงกับพื้น

 

จนในที่สุด ก็ไม่มีผู้ใดยืนหยัดอยู่ได้อีกเลย

 

หวังหงษ์เต๋าเปิดตาของเขาขึ้น

 

“สารเลวเอ๊ย … ”

 

แม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาต้องการอย่างง่ายดาย แต่หวังหงษ์เต๋ากลับไม่เผยถึงความสุขใดๆออกมาเลย

 

เพราะเขาถึงขั้นลงมือสังหารคนทั้งหมด แต่ก็ยังไม่พบถึงคนที่กุมความลับของฉีหยานเอาไว้อยู่ดี!

 

งั้นอาจจะเป็นคนอื่นๆที่ยังรอดอยู่รึเปล่านะ?

 

ไม่ใช่เซ่าหวูชุ่ยแน่ๆ

 

หรือว่าจะเป็นเย่หยิงเหมย?

 

หรือสองสาวใช้ข้างกายของฉีหยาน?

 

อา หญิงสาวที่งดงามโดดเด่น … จะสังหารเลยทันทีคงไม่ดี อันดับแรกก็ลองทำการค้นวิญญาณแล้วเล่นสนุกกับพวกนางก่อนก็แล้วกัน

 

ไม่สิ จะทำแบบนั้นไม่ได้! สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการค้นหาพิกัดของโลกใหม่ต่างหาก!

 

นอกจากนี้ ไม่ว่าจะลองเทียบเปรียบอย่างไร โลกใหม่ก็ยังมีความสำคัญมากกว่าหญิงงาม 1-2 คนอยู่ดี

 

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หวังหงษ์เต๋าก็หยิบยันต์สื่อสารออกมาทันที เพื่อหมายจะเรียกตัวเย่หยิงเหมยมา

 

แต่แล้วจู่ๆเขาก็ต้องชะงักงันไป

 

ยันต์สื่อสารยังคงถูกกุมอยู่ในมือเขา ทว่ามันมิได้ถูกกระตุ้นออกไป

 

“โอ้ นั่นมันปรมาจารย์ตำหนักฉีมิใช่หรือ นานเท่าใดแล้วหนอ ที่พวกเรามิได้พบหน้ากัน?” หวังหงษ์เต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“นั่นสิ มิได้พบเจอกันนานเลยนะ อาวุโสหวัง” ฉีหยานกล่าว

 

ฉีหยานได้ปรากฏกายขึ้นตรงข้ามกับเขาไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป

 

‘นี่ฉีหยานบังเกิดความคิดริเริ่ม กล้าที่จะมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยตนเองอย่างงั้นหรือ!?’

 

ฉากนี้ มันได้เกินความคาดหมายของหวังหงษ์เต๋าไปแล้วโดยสิ้นเชิง

 

“ข้าละรู้สึกสงสัยจริงๆ ว่าด้วยกงการอันใดกันหนอ ที่ถึงขั้นทำให้เจ้าต้องมาหาข้าด้วยตัวเองเช่นนี้?” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยถาม

 

“ข้ามีบางสิ่งบางอย่างจะบอกกับเจ้า”

 

“สิ่งใดกระนั้นหรือ?”

 

“สองศิษย์ทรยศเจ้า”

 

“แล้วเจ้ามีอะไรมายืนยันคำกล่าวนี้?”

 

ฉีหยานหยิบสองสมบัติมนตราขึ้นมา และโยนมันออกไป

 

สมบัติมนตราลอยไปอย่างเฉื่อยชาเข้าหาหวังหงษ์เต๋า

 

หวังหงษ์เต๋าเพ่งมองมัน และกวาดแขนออกไปเบาๆ

 

สองสมบัติมนตราลอยอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย ทว่ามิได้เข้าไปถึงขั้นในระยะสัมผัส

 

หวังหงษ์เต๋าปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และกวาดมองพวกมันอย่างรอบคอบ

 

ทั้งสองสิ่งนี้เป็นของจริง

 

ว่าแต่ เหตุใดฉีหยานจึงได้แสดงเจตนาดีต่อเขาโดยการเปิดเผยข้อมูลของตนเองเช่นนี้ล่ะ?

 

“ขอบคุณมากปรมาจารย์ตำหนักฉี สำหรับเรื่องนี้ข้าจะตรวจสอบด้วยตัวเองในภายหลัง … แล้วเจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”

 

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ข้าอยากจะขอให้ท่านอาวุโสร่วมมือด้วย”

 

“เรื่องอันใด”

 

“ช่วยมอบชีวิตให้ข้าด้วย”

 

พอประโยคนี้เปล่งออกมา ก็พลันบังเกิดความเงียบงันขึ้นโดยรอบ

 

สองตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง จดจ้องไปยังฝ่ายตรงข้าม

 

ในมือของฉีหยานกำลังกุมดาบยาวที่สาดแสงดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง ขณะที่บนศีรษะสวมหมวกไม้ไผ่

 

ขอบของหมวกไม้ไผ่ถูกกดลงมาจนต่ำเกินควร จนทำให้ผู้ที่มองมา มิอาจเห็นถึงเค้าโครงหน้าที่แท้จริงของเขาได้

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.460 – ใกล้ถึงความจริง

 

หวังหงษ์เต๋าเริ่มต้นที่จะคาดเดา

 

ด้วยหลากหลายปีที่ได้ควบคุมนิกายมา เขาจึงเชื่อว่าตนย่อมสามารถสรุปถึงความจริงของเรื่องนี้ได้

 

อย่างแรกเลย-

 

คือฉีหยานที่ตอนนี้อยู่ในตำหนักเจียงซี เคยไปเหยียบโลกใหม่มาแล้วแน่ๆ

 

ขณะที่ผู้ฝึกยุทธที่รู้เรื่องของสองโลกใหม่ ไม่ถูกฉีหยานฆ่าตายก็พาตัวไปด้วย

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขาไม่สามารถจัดการใดๆกับพิกัดที่อยู่ในมือตน สถานการณ์เป็นไปตามที่ฉีหยานต้องการทุกประการ

 

ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธที่เข้าไปยังโลกใหม่ ก็ตัดออกไปได้เลย

 

หากอ้างอิงตามแนวคิดนี้ …

 

ผู้ที่รู้ถึงพิกัดของโลกใหม่ที่ยังคงอยู่ในโลกใบนี้

 

มันเป็นใครกัน?

 

ดวงตาของหวังหงษ์เต๋าสั่นไหว

 

ฉีหยานเป็นคนฉลาด  มันไม่โง่พอที่จะมอบพิกัดที่ว่านั่นให้แก่สตรีแห่งรากษสเป็นแน่

 

เช่นนั้น โอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุด ก็คงไม้พ้นเป็นผู้ฝึกยุทธในนิกาย

 

แต่สากวกในนิกายน่ะมีมากมายนัก

 

เว้นแต่จะทำการค้นวิญญาณทีละคน มิเช่นนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสืบหาว่าฉีหยานฝังความลับนี้ไว้กับใคร

 

ผ่านไปนาน

 

หวังหงษ์เต๋าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

 

เขาต้องยอมรับแล้วจริงๆว่างานนี้มันชักจะตึงมือไม่น้อย

 

ทุกคน นอกเหนือไปจากเซ่าหวูชุ่ย ก็ล้วนมีโอกาสที่จะเป็นคนที่กุมความลับเรื่องพิกัดโลกใหม่ของฉีหยานกันทั้งนั้น

 

ไม่คาดคิดเลย ว่าสถานการณ์มันจะซับซ้อนมากขนาดนี้

 

อย่างไรก็ตาม นั่นคือโลกใหม่ และหวังหงษ์เต๋าก็คิดว่าเรื่องนี้มันคุ้มค่ามากพอแก่การที่จะให้ตนเองเป็นผู้ลงมือตรวจสอบ

 

แม้ราคาที่จะต้องจ่ายออก มันจะร้ายแรงมากก็ตามที

 

สองตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง ปากเอ่ยพึมพำ “ดูเหมือนว่าข้าผู้ชราจะต้องทุ่มเต็มกำลังเพื่อที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ซะแล้วสิ”

 

ว่าแล้ว เขาก็เริ่มใช้พลังวิญญาณทั้งหมดในร่างกาย ควบรวมเข้าด้วยกันที่สองมือ และจีบออกด้วยวิชาลับ

 

แสงสวรรค์เรืองรองผสานเข้าด้วยกันรอบนิ้วของเขา พร้อมกันสาดเส้นแสงสีขาวนวลสดใสออกมา

 

และหวังหงษ์เต๋าก็ได้วาดเส้นแสงนี้ลงบนหน้าผากของหวูซาน

 

ปุ้ง! ศรีษะของหวูซานระเบิดขึ้นทันใด

 

ทว่าท่ามกลางละอองเลือดที่ผสมปนปนไปด้วยสมองและอวัยวะโครงหน้าต่างๆที่กระจายออกไปทุกทิศทาง กลับขยายออกเป็นเงาของแสงสวรรค์ และปรากฏภาพเคลื่อนไหวขึ้นเบื้องหน้าของหวังหงษ์เต๋า

 

มันคือภาพของฉากสุดท้ายที่หวูซานได้เห็น

 

เริ่มจากฝ่ามือของเซ่าหวูชุ่ยที่ถูกปัดออกจากหัวเขา

 

จากนั้นทุกอย่างก็จมลงสู่ความมืดมิด

 

จากนั้นภาพเคลื่อนไหวก็เริ่มกระโดดไปมา จู่ๆมันก็ย้อนกลับไปเป็นภาพของหวูซานในช่วงเวลาที่พึ่งมาถึงเวที และโค้งหมอบคำนับให้แก่ฉีหยาน

 

ต่อไป ภาพก็ย้อนกลับอีก มันคือภาพสาวใช้ของฉีหยานที่มาแจ้งเรื่องการถูกเรียกตัวของหวูซาน

 

และทุกฉากที่ฉายขึ้นบนเงาแสงสวรรค์ ล้วนเป็นฉากที่เกิดจากในมุมมองสายตาของหวูซานทั้งสิ้น

 

แต่ละภาพ แต่ละฉากเหล่านี้ทั้งหมด ล้วนค่อยๆทยอยถอยหลังย้อนกลับไป

 

นี่คือสกิลเทวะของหวังหงษ์เต๋า ‘สัมผัสที่หกยึดวิญญาณ’

 

ใบหน้าของมนุษย์ หรือแม้กระทั่งร่างกายของศพ จะกลายเป็นพาหะที่นำพาข้อมูลมาให้แก่เขา

 

สัมผัสทั้งหกที่เรียกกันว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตสำนึก

 

เมื่อจิตสำนึกจากไป ดวงตาที่เคยเห็น หูที่เคยได้ยิน จมูกที่เคยได้กลิ่น ลิ้นที่เคยรับรส และกายที่เคยสัมผัสก็จะหายตามไปด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยสกิลเทวะของหวังหงษ์เต๋า มันจะส่งผลให้เขาสามารถหยิบยืมร่างศพของมนุษย์เพื่อลอบเข้าไปสู่สถานะในครั้งที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าเคยทำงานอีกครั้ง และทำการตรวจสอบมันได้

 

ตราบใดที่สัมผัสทั้งห้าของร่างคนตายยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ หวังหงษ์เต๋าจะสามารถมองเห็นถึงเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างจากเจ้าของร่างที่พึ่งตายลงไปเมื่อไม่นานมานี้ได้

 

แต่มันคงจะสะดวกกว่านี้ หากหวูซานยังคงมีชีวิตอยู่

 

เพราะร่างกายของมนุษย์ที่ยังมีชีวิต มันจะมีความทรงจำที่ชัดเจนยิ่งกว่า

 

หากเป็นในกรณีนั้น หวังหงษ์เต๋าจะสามารถทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของหวูซานได้ทันที!

 

นี่นับว่าเป็นสกิลเทวะประเภทตรวจสอบที่ยากเย็นนักจึงจะมีบุญตาได้พบเห็น!

 

หวังหงษ์เต๋าจ้องมองไปยังภาพเคลื่อนไหวแต่ละฉากอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆรวบรวมเบาะแสทีละนิด ทีละนิดอย่างช้าๆ

 

ขณะเดียวกัน สีหน้าของเขาก็เริ่มจะซีดลงเรื่อยๆ

 

ต้องไม่ลืมนะว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ ดังนั้นการใช้งานสกิลเทวะนี้ มันจึงเป็นภาระที่ใหญ่กว่าในช่วงเวลาที่เขาใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์

 

อย่างไรก็ตาม เขาหาได้ใส่ใจเรื่องนี้ไม่ ทั้งคนทั้งร่างยังคงกระตุ้นใช้ออกด้วยวิชาลับ และทำการตรวจสอบความทรงจำของหวูซานอย่างใจจดใจจ่อต่อไป

 

แต่แล้วในช่วงเวลาหนึ่งนั้นเอง จู่ๆมือของหวังหงษ์เต๋าก็วูบไหว และจีบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

 

ฉากภาพเคลื่อนไหว ได้ถูกย้อนกลับไปยังฉากก่อนหน้านี้

 

มันเป็นภาพของฉีหยานที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าหวูซาน และกำลังปรับแต่งดิสก์ค่ายกลอยู่

 

“นายน้อย ทักษะในด้านค่ายกลของท่านก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว สิ่งที่ท่านทำ ผู้น้อยไม่เข้าใจเลยโดยสมบูรณ์” หวูซานตบลงบนหัวตน

 

“ก็เจ้ามันเป็นคนโง่นี่นา ดังนั้นจึงย่อมไม่มีทางเข้าใจเป็นธรรมดา อีกอย่างนี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก มันเป็นจุดที่ยากที่สุดในกระบวนการจัดวางลงในดิสก์ค่ายกล” ฉีหยานกล่าว

 

หวูซานหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “ฮี่ฮี่ ค่ายกลเช่นนี้คงมีเพียงผู้เปี่ยมพรสวรรค์โดยธรรมชาติเท่านั้นแลจึงจะเข้าใจได้ ผู้น้อยเป็นเพียงคนหัวทึบ แน่นอนว่าย่อมมิอาจนำมาเทียบเปรียบกับนายน้อยได้”

 

ฉีหยานเผยรอยยิ้มออกมาและกล่าว “อันที่จริงมันก็เป็นอย่างที่เจ้าว่า เพราะหากเจ้าเข้าใจถึงมันจริงๆ ข้าคงย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่และเฝ้าดูมันอย่างแน่นอน”

 

หวังหงษ์เต๋ามิได้สนใจถึงสิ่งที่ทั้งสองกล่าว

 

เพราะสมาธิทั้งหมดของเขา บัดนี้ทุ่มลงไปในสองตาที่กำลังเฝ้ามองดิสก์ค่ายกลในมือของฉีหยานอยู่

 

ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก!

 

“เจอเสียที”

 

หวังหงษ์เต๋าเอ่ยพึมพำเบาๆ

 

ณ ขณะนี้ จู่ๆเงาแสงสวรรค์ก็เริ่มเลือนลางไป

 

ทันใดนั้น ก็มิอาจมองเห็นถึงสิ่งใดในฉากได้อีกต่อไป ภาพที่ชัดเจนกำลังกระจายหายไป

 

—สัมผัสที่หกยึดวิญญาณกำลังจะถึงขีดจำกัดในไม่ช้า

 

แต่หวังหงษ์เต๋าได้พบกับเป้าหมายแล้ว และยังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญยิ่ง ดังนั้นเขาจะไม่ดำเนินการต่อได้อย่างไร?

 

หวังหงษ์เต๋ากัดฟันกรอด และเริ่มกระตุ้นพลังวิญญาณ ใช้ออกด้วยวิชาลับอีกครา!

 

สัมผัสที่หกยึดวิญญาณ รอบที่สอง!

 

ฮูมมม!

 

แสงสวรรค์กลับมาเสถียรอีกครั้ง ขณะเดียวกันฉากภาพก็กลับมาคมชัด

 

แต่ราคาที่ต้องจ่ายออกด้วยการใช้สัมผัสที่หกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รอยแผลตรงไหล่ปริแตก และมีเลือดไหลออกมา

 

หวังหงษ์เต๋าสบถด้วยความเจ็บปวด

 

เขาคลายมือออกจากวิชาลับ ตบลงในถุงสัมภาระ พร้อมกับหยิบขวดยารักษาออกมา

 

แล้วตนก็เคาะๆเอาเม็ดยาทรงเมล็ดข้าวที่อยู่ภายในออกมา โยนเข้าไปในปาก

 

แล้วท่าทีการแสดงออกที่ดูเจ็บปวดของหวังหงษ์เต๋าก็คลายลง

 

เขาเงยหน้าขึ้น มองไปยังแสงสวรรค์ที่มีฉากของฉีหยานที่กำลังทำการปรับแต่งดิสก์ค่ายกลระหว่างสองโลกอีกครั้ง

 

“ช่วงเวลานี้ล่ะ”

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าว

 

แม้ว่าจักต้องทุ่มใช้พลังวิญญาณและทุ่มความพยายามไปเป็นจำนวนมาก แต่ในที่สุด ผลลัพธ์ของมันก็คุ้มค่ากับราคาที่ได้จ่ายไปเสียที

 

หวังหงษ์เต๋ายกดิสก์ค่ายกลเปล่าๆมาไว้ในมือ ขณะเดียวกันก็จ้องมองฉีหยานชนิดหัวชนฝา

 

เขาจับจ้องทุกการเปลี่ยนแปลงที่ไวว่องบนมือของฉีหยาน และเริ่มต้นเลียนแบบการปรับแต่งดิสก์ค่ายกลไปพร้อมๆกับอีกฝ่าย

 

ฉีหยานเคลื่อนไหวเช่นใด หวังหงษ์เต๋าก็เคลื่อนไหวตาม

 

ฉีหยานปรับแต่งด้วยชุดวิชาลับค่ายกลใด หวังหงษ์เต๋าก็ปรับแต่งตามอย่างกระชั้นชิดด้วยชุดวิชาเดียวกัน

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไป

 

ขณะเดียวกัน ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้น

 

บนใบหน้าของหวังหงษ์เต๋าเริ่มเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น

 

ยังคงหลงเหลืออีกเพียงสองขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญที่สุด และเพียงเท่านี้ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว!

 

ซึ่งในสองขั้นตอนสุดท้าย คือการใส่พิกัดโดยการใช้ปลายนิ้วสัมผัส ตามรูปแบบพิกัดของค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งสองฟากฝั่ง

 

หนึ่งคือพิกัดของโลกล่องเวหา

 

กับอีกหนึ่ง คือพิกัดของโลกใหม่!

 

—ปรมาจารย์ค่ายกลจะมีรูปแบบวิธีการใช้มือแบบเฉพาะเป็นของตนเอง เพื่อทำการระบุพิกัดมิติที่ว่างเปล่า

 

บนฉากเงาแสงสวรรค์

 

เห็นแค่เพียงสองมือของฉีหยานที่วูบไหว

 

เขาเริ่มต้นใช้วิชาลับทำการระบุพิกัดมิติแบบเฉพาะเจาะจง

 

และหวังหงษ์เต๋าก็เคลื่อนมือตามทันที

 

ทุกๆการเคลื่อนไหวของเขาไม่มีอะไรที่ผิดพลาดเลย อันที่จริงแล้วมันเสถียรและรวดเร็วยิ่งกว่าฉีหยานเสียอีก!

 

พิกัดระหว่างสองโลกเสร็จสิ้นไปหนึ่งแล้ว และตอนนี้ยังเหลืออยู่อีกไม่ถึงครึ่ง!

 

ขณะที่สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าเริ่มเผยถึงความปิติที่ปิดไม่มิดออกมามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

หลังจากที่ไล่เลียนแบบ ทำตามวิชาของฉีหยานมานาน อีกนิดเดียวค่ายกลก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

และตนเองก็ได้จะได้รับพิกัดของโลกใหม่-

 

-สองโลกใหม่กำลังจะมาอยู่ในกำมือของตนเองแล้ว!

 

แต่ขณะที่หวังหงษ์เต๋ากำลังคิดอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นจู่ๆก็เกิดความผันผวนขึ้นบนฉากเงาแสงสวรรค์

 

ส่งผลให้วิชาลับที่เคลื่อนไหวอยู่ในมือของฉีหยาน ไม่สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน

 

สีหน้าของหวังหงษ์เต๋าแปรเปลี่ยนกลับกลาย แต่คราวนี้ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้อีกแล้ว

 

เนื่องจากหวูซานได้เสียชีวิตไปแล้ว มันจึงส่งผลให้สกิลเทวะ สัมผัสที่หกยึดวิญญาณของเขาเสื่อมประสิทธิภาพลง ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

 

ซึ่งในเรื่องนี้ไม่มีทางแก้ได้

 

ยิ่งระยะเวลาในการตายของหวูซานมากขึ้นเท่าใด ประสิทธิภาพของสกิลเทวะนี้ก็จะยิ่งถดถอยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาพเบลอเช่นนี้

 

“พลาดไปแค่ … วิชาลับเดียว …ฉีหยานเจ้าระยำหมา! ถึงขั้นลงมือสังหารแม้กระทั่งคนของตัวเอง เป็นเพราะเจ้า! ทุกอย่างมันจึงเป็นเช่นนี้!” หวังหงษ์เต๋าอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา

 

สำหรับในส่วนของการเคลื่อนย้ายมิติ มันจะต้องประณีตและถูกต้อง มิฉะนั้นแล้วหากพลาดพลั้งไปแม้เพียงน้อย ก็อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดได้

 

ตอนนี้วิชาลับสุดท้ายดันมาขาดหายไป …

 

งั้นคงต้องอ้างอิงจากมือที่ขยับไหวในภาพเบลอๆนั่นเท่านั้น หวังหงษ์เต๋าหวังว่าหากตนโชคดีพอ ความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นตามมามันคงจะไม่ใหญ่มากเกินไปนัก

 

-ตอนนี้คงต้องปรับแต่งดิสก์ค่ายกลให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน

 

หวังหงษ์เต๋าผ่อนลมหายใจเบาๆ ก่อนจะเริ่มขยิบตาให้พร้อม แล้วเพ่งมองดูมือที่เคลื่อนไหวของฉีหยานตาไม่กระพริบ

 

ยังคงหลงเหลืออีก 7 ท่าร่างมือ ก็จะรวมกันครบ 1 วิชาลับและดิสก์ค่ายกลก็จะเสร็จสมบูรณ์

 

ทว่า ณ ขณะนั้นแสง ภายในฉากเงาแสงสวรรค์ ก็บังเกิดเสียงของผู้หญิงดังขึ้นทันใด

 

“นายน้อย ข้าสามารถเข้าไปได้หรือไม่?”

 

มือที่วูบไหวของฉีหยานชะงักงันลงทันที

 

“ในเวลาเช่นนี้ นางมาทำไมกัน? หรือว่านางคิดจะ … ”

 

ฉีหยานบ่นพึมพำและก้มลงมองดิสก์ค่ายกลในมือของเขา

 

“ข้าได้ยินมาว่าจื่อหลิวเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่หลักแหลมยิ่ง ดังนั้นนายน้อย ข้าขอแสดงความจงรักภักดีเล็กๆน้อยๆแก่ท่าน โดยการแนะนำว่าท่านสมควรที่จะระมัดระวังนางเอาไว้”

 

หวูซานคว้าโอกาสอันดีนี้ เอ่ยเตือนเขาไปประโยคหนึ่ง

 

สีหน้าของฉีหยานค่อยๆเปลี่ยนเป็นมืดมน

 

“ข้าทราบดีว่านางเป็นปรมาจารย์ค่ายกล หวูซาน เจ้ากลับไปก่อน แล้วให้จื่อหลิวเข้ามา ข้ากับนางมีธุระต้องทำกันในคืนนี้”

 

หวูซานพยักหน้าและกล่าว “ขอรับนายน้อย”

 

แล้วเขาก็เดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมาค่อยๆปิดประตูลงอย่างระมัดระวัง

 

ภายนอกประตู เป็นเด็กสาวที่ใสซื่อและงดงาม

 

เสียงของหวูซานดับก้อง “จื่อหลิวน้อย เจ้าเข้าไปปรนนิบัตินายน้อยได้แล้ว”

 

คิ้วของเด็กสาวขมวดเข้าหากัน ปากเอ่ยเสียงต่ำ “สายตาของเจ้าที่มองข้าช่างน่ารังเกียจนัก อย่านึกนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”

 

แล้วเธอก็เปิดประตูเดินเข้าไป

 

ขณะที่หวูซานยืนเลื่อนสายตาจ้องตามสะโพกของเด็กสาวจนประตูปิดลง จึงค่อยเริ่มเดินจากไปเช่นกัน

 

-ปัง!

 

หวังหงษ์เต๋าระเบิดฝ่ามือจนศพของหวูซานเปลี่ยนเป็นละอองเลือด

 

บัดซบ!

 

เห็นได้ชัดว่าอีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะได้พิกัดของโลกใหม่มาแล้วแท้ๆ!

 

ไอ้สารเลวฉีหยาน! เหตุใดต้องบังเกิดความใคร่เอาตอนนี้ด้วย!

 

ข้าพลาดครั้งใหญ่แล้ว!

 

หวังหงษ์เต๋าจ้องมองดูดิสก์ค่ายกลในมือ หัวใจของเขาคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ

 

ดิสก์ค่ายกลแผ่นนี้จะไม่มีทางเสร็จสมบูรณ์ หากยังไม่อาจทราบตำแหน่งการวางมือของอีกทั้ง 7 ท่าร่างได้ —มันจะไม่สามารถระบุพิกัดของโลกใหม่ได้!

 

ดิสก์ค่ายกลนี้ไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์

 

ใช้ออกด้วยสัมผัสที่หกยึดวิญญาณถึงสองครา ทว่ากลับยังไม่ได้รับสิ่งใดเลย!!

 

กรามของหวังหงษ์เต๋าขบกันแน่นจนฟันส่งเสียงกรอดๆ

 

ตรงข้ามเขา คือศพของหวูซานที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือด

 

และแม้กระทั่งแมลงมารสีขาวที่แฝงกายอยู่ในศพของหวูซาน ก็ยังถูกทำลายลงโดยฝ่ามือของหวังหงษ์เต๋า

 

หวังหงษ์เต๋ามองไปยังซากแมลงขาว และค่อยๆพยายามสงบใจลงอย่างช้าๆ

 

“สูญเสียแมลงมารไปเปล่าๆ … เพียงเพราะข้าไม่สามารถสงบสติอารมณ์กับเจ้าขยะเช่นนี้ได้”

 

เขาพึมพำกับตนเอง

 

หลังจากที่ยืนอยู่คนเดียวกลางอากาศมาสักพัก หวังหงษ์เต๋าก็เริ่มที่จะย้อนคิดรื้อฟื้นกระบวนการทั้งหมดอีกครั้ง

 

จากคำบอกเล่าของเซ่าหวูชุ่ย มาจนกระทั่งถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้จากความทรงจำของหวูซาน

 

หวังหงษ์เต๋าตรวจสอบทุกภาพ ทุกคำ ทุกรายละเอียดยิบย่อย

 

จนกระทั่งมาถึงจุดๆหนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ไม่ … นี่มันมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง …”

 

เขาได้สติกลับคืน

 

-ทุกสิ่งอย่างมันผิดพลั้งไปหมดเลย!

 

จากความทรงจำของหวูซาน ฉีหยานเห็นได้ชัดว่าล่วงรู้ถึงพิกัดอย่างชัดเจน

 

เพราะแม้กระทั่งในขณะที่ปรับแต่งดิสก์ค่ายกลในขั้นตอนสุดท้าย ฉีหยานก็ยังไม่แสดงท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

มือของฉีหยานช่างว่องไว และมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง มันไม่แสดงออกถึงความลังเลเลยที่จะวางท่าร่างพิกัดลงบนดิสก์ค่ายกล

 

ชัดเจนว่าฉีหยานย่อมรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่!

 

ทว่าเพราะเหตุใดกัน? เหตุใดฉีหยานที่ได้เปล่งวาจาคำมั่นสาบานต่อฟ้าดิน ว่าตนมิได้ล่วงรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่จึงไม่ถูกลงทัณฑ์?

 

ผู้ฝึกยุทธไม่สามารถปิดซ่อนความจริงจากฟ้าดินได้ หากได้ให้คำมั่นสาบานต่อฟ้าดินแล้ว คำมั่นนั้นย่อมจะต้องถูกตรวจสอบ ว่าเป็นอย่างที่ว่าหรือไม่อย่างแน่นอน

 

นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าคำกล่าวของฉีหยานเป็นความจริง

 

-เขากำลังบอกความจริง ดังนั้นตัวเขาจึงไม่ทราบถึงพิกัดของโลกใหม่เป็นแน่

 

แต่จากการค้นความทรงจำ เขาล่วงรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่ชัดๆ!

 

เรื่องราวนี้มันช่างย้อนแย้งกันเองอย่างสิ้นเชิง

 

เรื่องแบบนี้ … จะเกิดขึ้นกับคนๆเดียวได้อย่างไร?

 

หวังหงษ์เต๋าหลับตาลง และส่งเสียงงึมงำครุ่นคิดสักพัก

 

ด้วยนิสัยและห้วงอารมณ์ของฉีหยาน เขาย่อมไม่รู้สึกวางใจหากบอกพิกัดของโลกใหม่ให้แก่คนอื่นๆทราบเป็นแน่

 

อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาชีวิตตนเอาไว้ การกระทำอย่างเช่นการฝากฝังพิกัดโลกใหม่ให้แก่ผู้อื่น ก็นับว่าเป็นกลยุทธที่ดีทีเดียวสำหรับคนที่กำลังหมดหนทางเช่นเขา

 

ทั้งสองด้าน สองประเด็นนี้ ไม่ว่าจะในกรณีใดมันก็ล้วนแล้วแต่สมเหตุสมผล

 

แล้วตกลงมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?

 

หลังจากผ่านไปชั่วขณะ

 

หวังหงษ์เต๋าก็ลืมสองตาขึ้นทันใด ปากเอ่ยพึมพำ “เว้นเพียงแต่ว่า … ฉีหยานจะมีสองคน?”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep. 459 – การกลับมาของหวังหงษ์เต๋า

 

ย้อนเวลากลับไปอีกสักเล็กน้อย

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานมุ่งหน้าไปยังตำหนักเจียงซี เพื่อพยายามค้นหาความลับเพิ่มเติมเกี่ยวกับหวังหงษ์เต๋า

 

เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยก็ทยอยกันออกจากเวทีตามลำดับ

 

เซ่าหวูชุ่ยกลับมายังที่พักของเขา

 

เมื่อมาถึง เจ้าตัวก็ทำการปิดประตูลานหน้าบ้าน พร้อมกับเร่งเปิดค่ายกลทั้งสี่ทิศทันที

 

สองเท้าย่ำผ่านสวนและทางเดินยาว ก้าวเข้าสู่ห้องฝึกยุทธของตน

 

เมื่อเข้าไป เขาก็ก้มหน้าลง ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่สักพักหนึ่ง

 

ช่วงเวลานี้ รอบตัวเขาไม่มีผู้ใดคอยกวนใจอีกแล้ว

 

ความคิดและเรื่องราวทั้งหมดที่พึ่งเกิดขึ้น ถูกนำมากองรวมกันไว้ในห้องฝึกยุทธนี้

 

เซ่าหวูชุ่ยยกสองมือขึ้นมาถูไถใบหน้าของตนเอง

 

ทำไปสักพัก เขาจึงค่อยๆผ่อนคลายลง

 

“โลกใบใหม่ … ”

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยพึมพำ

 

ผ่านไปนาน เขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยความเสียใจ

 

“โง่เง่านัก! เหตุใดเจ้าจึงต้องสาบานว่าจะสังหารหวังหงษ์เต๋าด้วย!”

 

ปัง!

 

กำปั้นที่ฟุ้งไปด้วยความโกรธหวดเข้าใส่กำแพงจุดหนึ่งห้องฝึก เป่าพวกมันจนหายไปทั้งแถบ

 

ขณะเดียวกัน เส้นทางลับก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังกำแพงที่ว่า

 

แม้เส้นทางจะถูกเปิดออกแล้ว แต่เซ่าหวูชุ่ยก็ยังมิก้าวเข้าไป เขายืนนิ่งอยู่สักพัก ก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจเดินลงไปตามทาง

 

เขาเดินลึกลงไปใต้ดิน จนกระทั่งพบกับค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า

 

ศิลาวิญญาณหลายสิบชิ้นถูกนำออกมา ขณะเดียวกันสีหน้าท่าทีของเซ่าหวูชุ่ยก็แสดงออกถึงความเสียดายอย่างสุดซึ้ง

 

ศิลาวิญญาณก้อนแล้ว ก้อนเล่าถูกวางลงไป

 

ไม่มีทางเลือก .. ตอนนี้ยังไงก็จำเป็นต้องใช้มัน

 

เซ่าหวูชุ่ยวางศิลาวิญญาณอย่างละ 7 ชิ้นลงในแต่ละจุดที่เชื่อมต่อกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่

 

พอเสร็จสิ้นกระบวนการ ค่ายกลก็ถูกเปิดใช้งานทันที พร้อมกับเสียงฮึมฮำของสายลมที่ส่งเสียงหอนออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

 

เสียงหอนที่ว่านี้ยังคงดำเนินต่อไปสักพักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ

 

จนเซ่าหวูชุ่ยเริ่มกระวนกระวาย

 

“ไม่หรอกน่า … ”

 

เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาสัมผัสลงบนหน้าอก แตะตรงบริเวณหัวใจของตนเอง

 

แต่ไม่ต้องรีรอให้เขาจินตนาการเลยเถิดไปไกล เสียงกระแอมไอด้วยความเจ็บปวดจากภายในค่ายกลก็ดังขึ้นมา

 

เมื่อได้ยินเสียงไอนี้ สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยจึงคลายลงในที่สุด

 

แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเร่งเร้าใดๆ จึงเฝ้ายืนรออย่างเงียบๆ

 

สักพักเสียงไอก็หายไป

 

แล้วถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความโกรธแทน

 

“ข้าเคยบอกไปแล้วมิใช่หรือ ว่าหากไม่มีเรื่องวิกฤตอันใด ก็อย่าได้คิดมารบกวน?”

 

เสียงนี้แม้ดูเหมือนจะเดือดดาล แต่ขณะเดียวกันมันก็แฝงไว้ซึ่งความเจ็บปวดไม่น้อย

 

“ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องรายงานจริงๆ”

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยปากออกมาอย่างระมัดระวัง

 

“เรื่องสำคัญ? เหอะ! หากมันสำคัญจริงๆเจ้าก็จงพูดมา”

 

แล้วเซ่าหวูชุ่ยก็เล่าเรื่องราวทุกอย่างออกไป

 

“ว่าไงนะ! เจ้าบอกว่าฉีหยานมีโลกใหม่ถึงสองใบอยู่ในกำมือกระนั้นหรือ?”

 

อารมณ์ร้อนรุ่มเมื่อครู่ได้สลายหายไปโดยสมบูรณ์ ขณะเดียวกันเสียงที่ถูกส่งผ่านมาจากค่ายกลก็ฟังดูค่อนข้างที่จะตื่นเต้น

 

“เป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ข้าได้ทำการยืนยันแล้ว” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว

 

“ดี .. ดีมาก! ข้าจะรีบกลับไปทันที” เสียงชรากล่าวตอบ

 

“แต่ … อาการบาดเจ็บของท่าน … ”

 

“หาได้สำคัญไม่” อีกฝ่ายหัวเราะหยัน “บิดามันข้ายังสังหารแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าหนุ่มที่ขนพึ่งจะขึ้นเช่นเขา?”

 

แต่แล้วเสียงชราก็เปลี่ยนไป “ว่าแต่เรื่องสมบัติมนตราของเย่หยิงเหมยเล่า ทางฝั่งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ทุกสิ่งอย่างตกอยู่ในเงื้อมมือของข้าแล้ว ฉีหยานต้องการที่จะใช้สองสิ่งนั้นกับท่าน แต่มันย่อมไม่บรรลุผลอย่างแน่นอน”

 

“ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ ว่าแต่เด็กหนุ่มที่อยู่กับฉีหยานเล่า?”

 

“บางทีอาจจะยังคงอยู่ในตำหนักเจียงซี เพื่อตามหาใบหยกเทคนิคฝึกยุทธอยู่”

 

“‘งั้นหรือ เอาล่ะ เจ้าทำหน้าที่ได้ไม่เลวเลย ทีนี้ก็จงไปหยุดเขาเสีย ไม่ว่ายังไงก็ตาม จงอย่าให้เขาล่วงรู้อะไรไปมากกว่านี้”

 

แล้วน้ำเสียงชราก็กลับมาเป็นปกติ “และนั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น ส่วนหลังจากนั้นข้าก็จะส่งเขาไปอยู่กับบิดาเอง”

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้นทันใด “แต่ข้ายังมิได้เค้นความลับจากเขา … ยังมิได้ล่วงรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่เลย”

 

แต่ขณะที่กล่าวถึงจุดนี้ เสียงชราก็ถูกตัดขาดไปเสียก่อน

 

เซ่าหวูชุ่ยยังคงยืนอยู่เบื้องหน้าค่ายกล นิ่งงันไปเป็นระยะเวลานาน

 

ดูเหมือนว่าในสมองของเขากำลังขบคิดอะไรบางอย่าง

 

“ข้าก็แค่พยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เท่านั้นเอง พวกเจ้ามิอาจตำหนิข้า … มิอาจตำหนิข้าได้!”

 

เขาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

 

และขณะเดียวกันกับที่เขากำลังบ่น

 

ณ นิกายกวงหยาง

 

บริเวณท้องฟ้าเบื้องบน

 

ภายในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก

 

ร่างๆหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น

 

มันคือร่างของชายชราที่ในแววตาฟุ้งไปด้วยความมืดมน

 

หวังหงษ์เต๋า

 

เขาสวมชุดคลุมยาวสีเทา ขณะที่ตรงบริเวณแขนเสื้อของชุดคลุมเปียกชื้นไปด้วยคราบเลือดสีแดงเข้ม

 

พร้อมกับบาดแผลอันน่าตกใจบนไหล่ของเขา

 

ภายในบาดแผลสาดแสงไปด้วยประกายสีทองราวกับว่าทั้งแสงและแผลถูกยึดติดกันแน่น ดังนั้นบาดแผลดังกล่าวนี้จึงไม่สามารถรักษาหายได้

 

ภายในอากาศ บังเกิดชั้นหมอกเลือดจางๆลอยล่องอยู่รอบปากแผล

 

“ … ฉีรั่วหยา เจ้าไม่จำเป็นต้องทนรอคอยนานเกินควร เพราะอีกประเดี๋ยวหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ข้าผู้ชราก็จักเรียกเจ้ากลับมาอีกครั้งเอง”

 

หวังหงษ์เต๋าเปล่งเสียงกระซิบแห่งความเกลียดชัง ขณะที่มือยื่นออกเพื่อจีบวิชาลับ

 

บังเกิดเฉดเงาสีเทานับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นจากทุกขอบมุมของเกาะลอยฟ้า บินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหวังหงษ์เต๋า

 

เงาสีเทาค่อยๆก่อรูปขึ้นเป็นร่างศพของผู้ฝึกยุทธที่ภายในแววตาไร้ซึ่งชีวิตชีวา

 

มือของหวังหงษ์เต๋าขยับไหวเล็กน้อย

 

พร้อมกันกับที่มือขยับไหว ปากของศพก็ค่อยๆอ้าออก

 

ตามด้วยละอองสีเทาหม่นที่ค่อยๆลอยออกมาจากปากศพ พวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นกลุ่มก้อนหมอกขนาดใหญ่

 

หมอกสีเทาขนาดใหญ่นี้ค่อยๆแทรกซึมเข้าไปภายในร่างของหวังหงษ์เต๋า

 

“ยอดเยี่ยม … ”

 

แม้หวังหงษ์เต๋าจะส่งเสียงครวญออกมา ทว่าบาดแผลบนไหล่ของเขากลับถูกฟื้นฟูจนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

หลังจากกระทำการทั้งหมดนี้ หวังหงษ์เต่าก็ปาดเหงื่อบนหน้าผากของเขา

 

“เจ้าสินะคือหวูซาน?” เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง

 

ร่างศพที่คอบิดเป็นเกลียว ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา

 

สองตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง เพ่งตรวจสอบร่างกายของหวูซานอย่างรอบคอบ

 

“หืม? ขอบเขตประทับเทพ? แต่กลับไม่แม้กระทั่งจะดิ้นรนต่อต้าน ถูกบิดคอสังหารตกตายลงโดยที่ไม่คิดจะป้องกันตัวใดๆ”

 

“ขยะแบบนี้ มีชีวิตอยู่ต่อไปก็สิ้นเปลืองพลังงานวิญญาณ”

 

หวังหงษ์เต๋าถอนหายใจ

 

แล้วเขาก็คว้าแมลงสีม่วงซึ่งไม่รู้ว่าไปหยิบมาจากที่ไหนออกมา และโยนมันออกไป

 

แมลงสีม่วงตกลงบนหน้าของหวูซาน และคืบคลานเข้าไปภายในหูของเขาอย่างรวดเร็ว

 

หลายลมหายใจผ่านไปอย่างเงียบๆ

 

แต่แล้วจู่ๆหวูซานก็ค่อยๆเคลื่อนไหว

 

กร๊อบ!

 

เขาบิดคออย่างแรง จนบังเกิดเสียงดังฟังชัด

 

“ไม่จำเป็นต้องพยายามหรอก กระดูกคอของร่างนี้หักไปแล้วอย่างสมบูรณ์ มันไม่สามารถกลับมาเชื่อมต่อกันได้อีกต่อไป” หวังหงษ์เต๋ากล่าว

 

แล้วหวูซานก็หยุดตามที่เขาบอก

 

พร้อมกับลืมตาขึ้น

 

ทว่าดวงตาที่ลืมขึ้น มันกลับไร้ซึ่งรูม่านตา ตลอดทั้งดวงตาล้วนเป็นสีขาวขุ่นทั้งหมด

 

มารแมลงได้เข้ายึดครองร่างศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

 

“นายท่านต้องการจะทราบสิ่งใด?” หวูซานเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่ช้ากว่าปกติ

 

“ฉีหยานได้ค้นพบโลกใหม่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

 

“เป็นเรื่องจริง”

 

“แล้วเหตุใดมันจึงมิได้นำพาเจ้ามนุษย์ผู้นี้ไปด้วย”

 

“เพราะเขากลัว”

 

“แล้วเหตุใดฉีหยานจึงได้สังหารชายผู้นี้?”

 

“ไม่อาจสรุปให้กระจ่างได้ ทว่าสิ่งสุดท้ายที่รับรู้ได้ก็คือเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยได้ทำการค้นวิญญาณของชายผู้นี้”

 

“หากเป็นในกรณีนั้น นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการฆ่าปิดปาก”

 

หวังหงษ์เต๋าหัวเราะอย่างหนักหน่วง ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่น่าเสียดาย ที่เจ้าเด็กนั่นมันไม่รู้ว่าแม้จะตายไปแล้ว แต่ข้าก็ยังมีวิธีที่จะทำให้คนตายเปิดปากออกมาได้อยู่ดี”

 

“นายท่าน พอแล้วหรือยัง?” หวูซานเอ่ยถาม

 

“ยังมีอีกเรื่อง เจ้าจะต้องบอกพิกัดของโลกใหม่ที่มันปิดบังไว้ให้แก่ข้า” หวังหงษ์เต๋ากล่าว

 

แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวคำตอบ หวูซานกลับหลับตาลง ทั้งคนทั้งร่างเริ่มจมลงสู่สภาวะซบเซา

 

“ดูเหมือนว่าแมลงมารระดับนี้จะทำงานล้วงลึกไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” หวังหงษ์เต๋าบ่นพึมพำ

 

ว่าจบ หวังหงษ์เต๋าก็พ่นละอองเลือดออกมา

 

ละอองเลือดลอยรวมกันในอากาศ กลายเป็นก้อนเม็ดเลือดเล็กๆ

 

ขณะที่หน้าอกของหวังหงษ์เต๋าจู่ๆก็บังเกิดรอยแยกเล็กออก พร้อมกับแมลงมารสีขาวที่บินออกมาจากมัน บินตรงไปยังเม็ดเลือดเพื่อหมายจะกลืนกิน

 

หวังหงษ์เต๋าคว้าจับแมลงขาวเอาไว้ และยัดมันเข้าไปในปากหวูซาน

 

แมลงขาวคืบคลานเข้าไป

 

ชั่วขณะหนึ่ง

 

ดวงตาของหวูซานก็ลืมขึ้นอีกครั้ง

 

เขาเอ่ยปากอีกคราด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ตามความทรงจำของร่างกายนี้ ฉีหยานมิรู้สึกวางใจที่จะบอกกล่าวคนอื่นๆถึงพิกัดของโลกใหม่ ฉะนั้นจึงมีเพียงฉีหยานเท่านั้นที่ล่วงรู้ถึงพิกัดของมัน”

 

หวังหงษ์เต๋าตะลึงงัน

 

“มีเพียงฉีหยานที่ล่วงรู้? เช่นนั้นสิ่งที่เซ่าหวูชุ่ยกล่าว – ไม่สิ นี่มันไม่ถูกต้อง”

 

หวังหงษ์เต๋าย้อนนึกถึงสิ่งที่เซ่าหวูชุ่ยกล่าวอย่างระมัดระวัง

 

ฉีหยานได้สาบานต่อฟ้าดิน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเขาหาได้ทราบถึงพิกัดของโลกใบใหม่ไม่

 

เขาบอกว่าตนได้ซ่อนพิกัดของโลกใหม่ และหากใครก็ตามที่กล้าจะแตะต้องเขา จะไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงพิกัดดังกล่าวได้อีกเลย

 

อย่างไรก็ตาม หวูซานที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของฉีหยานกลับกล่าวออกมาว่าพิกัดของโลกใหม่นั้นอยู่ในมือของฉีหยานแน่ๆ

 

หวังหงษ์เต๋าขบคิดสักครู่ แล้วในที่สุดก็ได้ข้อสรุปออกมา

 

สิ่งที่แฝงอยู่ภายในเรื่องราวนี้ แท้จริงแล้วมันง่ายดายยิ่ง

 

สำหรับพิกัดของโลกใหม่ทั้งสอง เรื่องนี้แน่นอนยว่าย่อมอยู่ในมือของฉีหยาน

 

ทว่าคำมั่นสาบานย่อมไม่มีทางโกหก

 

ดังนั้น ความจริงจึงสมควรจะเป็น : ‘เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของตนเอง ฉีหยานจึงได้ฝากฝังพิกัดนี้ให้แก่ผู้อื่นไป’

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉีหยานทำนี้ หวูซานแท้จริงแล้วหาได้ทราบไม่

 

หวูซานเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นมันจึงคิดว่าพิกัดของโลกใหม่อยู่ในมือของเจ้านาย

 

ดูเหมือนว่า เรื่องทั้งหมดสมควรจะเป็นเช่นนี้

 

หวังหงษ์เต๋าพยักหน้า

 

ตลอดทั้งนิกายกวงหยาง ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ตราบใดที่เขาอยากรู้ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถปิดบังเขาได้

 

หวูซานจ้องมองไปทางหวังหงษ์เต๋า

 

หวูซานเอ่ยถาม “จบแล้วใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าสามารถกลืนกินศพขอบเขตประทับเทพนี้ได้หรือยัง?”

 

“รออีกประเดี๋ยว”

 

หวังหงษ์เต๋าเอ่ยคำหนึ่ง และใช้มันสมองขบคิดต่อไป

 

เจ้าเด็กฉีหยานผู้นี้ หลักแหลมมีไหวพริบไม่เลวเลยทีเดียว

 

แต่ว่าผู้ใดกัน? ผู้ใดที่เจ้าเด็กหนุมคนนี้มอบความไว้วางใจและฝากฝังพิกัดของโลกใหม่เอาไว้กับตัว?

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online EP.458 – ความหวาดกลัวที่ใกล้เข้ามา

 

สีหน้าการแสดงออกของกู่ฉิงซานหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

อย่างกระทันหัน จู่ๆสถานการณ์ก็แหกโค้งจากในทิศทางที่ดี แปรเปลี่ยนไปเป็นอันตรายและรุนแรงยิ่งกว่าที่คาดการณ์ไว้มากมายนัก

 

ศัตรูไม่เพียงทราบถึงกลอุบายของเขา แต่ยังเป็นจ้าวแผนการ และมีพื้นฐานวรยุทธที่สูงส่งยิ่ง

 

แล้วเขาควรทำอย่างไรดี?

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ ขณะที่กำลังพยายามขบคิดอย่างลึกซึ้ง

 

ผ่านไปนาน เขาจึงเลือกหยิบใบหยกสองใบขึ้นมา

 

ณ ขณะนี้ กู่ฉิงวานได้จ่ายแต้มพลังวิญญาณให้แก่ระบบไปเพิ่มอีก 200 แต้ม ดังนั้นแต้มลังวิญญาณคงเหลือของเขาจึงอยู่ที่ 803

 

และกู่ฉิงซานก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะใข้แต้มพลังวิญญาณทั้งหมด ทำการเรียนรู้ใบหยกบันทึกเกี่ยวกับค่ายกลในมือ

 

กระแสไอร้อนจากใบหยกไหลท่วมเข้ามาภายในร่างกายของกู่ฉิงซาน และมาบรรจบกันที่ทะเลแห่งห้วงสติ

 

กู่ฉิงซานปิดตาของเขาลง เพื่อทำความเข้าใจถึงความรู้เกี่ยวกับค่ายกลนับไม่ถ้วนที่ไหลผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา

 

เขาค่อยๆทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับค่ายกล

 

–อารยธรรมในการฝึกยุทธของโลกล่องเวหา ที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะไม่พ้นค่ายกล

 

และการที่เขาสามารถบรรลุมันมาได้จนถึงระดับนี้ ก็กล่าวได้ว่าความรู้ความเข้าใจของเขามันไม่ได้ด้อยไปกว่ากงซุนซีในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้ว!

 

สำหรับในเรื่องค่ายกล กล่าวได้ว่าผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ได้เชี่ยวชาญมันจนบรรลุถึงขั้นสูงสุด!

 

ชนิดที่ว่าต่อให้นำความเชี่ยวชาญในด้านค่ายกลของโลกเทวะกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธมามัดรวมกัน มันก็ยังมิอาจเทียบเปรียบกับโลกล่องเวหาได้อยู่ดี

 

อย่างไรก็ตาม ตัวโลกเทวะเองก็มีข้อดีอยู่เช่นนั้น นั่นก็คือในด้านการหลอมอาวุธ ที่นับว่าโดดเด่นชนิดหาตัวจับได้ยาก ขณะที่ทางโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนั้นมีข้อดีในด้านของความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร กล่าวได้ว่าทั้งสองโลกนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นของตัวเอง

 

ภายในระยะเวลาสั้นๆ

 

กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น

 

ณ ขณะนี้ เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นปรมาจารย์ค่ายกลในระดับมาตรฐานต้นน้ำของโลกใบนี้แล้ว

 

แม้ว่าขณะนี้ เขาจะสามารถเข้าถึงสถานะหรือตำแหน่งที่คล้ายคลึงกันกับฉีหยานแล้วก็ตามที แต่ก็ยังไม่สามารถถอดรหัสพิกัดของโลกในดิสก์ค่ายกลได้อยู่ดี ทว่าหากจะให้เขาทำการควบคุมค่ายกลส่วนใหญ่ของโลกใบนี้แล้วล่ะก็ มันนับว่าไม่มีปัญหาใดๆ

 

กู่ฉิงซานเริ่มใช้สมองอีกครั้ง

 

ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้วในตอนนี้ ทุกอย่างจะไม่สามารถล่าช้าได้อีกต่อไป!

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีบางเรื่องที่เขาจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันให้ชัดเจนเสียก่อน

 

เขาเอ่ยถาม “ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ ช่วงระยะเวลาที่ข้าได้มาถึงและอาศัยอยู่ในโลกใบนี้มันสั้นเกินไป ดังนั้นจึงยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีเวลามากพอที่จะค้นหาความจริงของมันอยู่ ข้าขอให้เจ้าเอ่ยออกมาด้วยความสัตย์จริง เพราะเรื่องที่ข้ากำลังจะถามต่อไปนี้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงว่าพวกเราจะสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่”

 

เมื่อฉินรั่วกับว่านเอ๋อเห็นท่าทีการแสดงออกที่จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นร้ายแรงของเขา ทั้งสองก็เริ่มจริงจังขึ้นมาทันที

 

ฉินรั่วเอ่ยปากอย่างนุ่มนวล “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด เชิญเจ้าเอ่ยถามออกมาได้เลย ข้าจะให้คำตอบแก่เจ้าอย่างตรงไปตรงมาอย่างแน่นอน”

 

ว่านเอ๋อก็พูดด้วย “เจ้าได้ช่วยพวกเราเอาไว้ พวกเราเองก็กำลังกังวลอยู่พอดีว่าจะตอบแทนเจ้าอย่างไร ดังนั้น เจ้าถามมาเถอะ ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ยินดีที่จะตอบ”

 

“มีนิกายใหญ่ นิกายใดที่ได้ทำการฉีกมิติที่ว่างเปล่าหลบหนีออกไป แล้วกลับมาบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

สองสาวพอได้ฟังก็ชะงักงันไป

 

เพราะคำถามนี้ กระทั่งตัวพวกเธอเองก็ยังไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย

 

หลังจากได้ลองขบคิดเกี่ยวกับมันอย่างถี่ถ้วน ว่านเอ๋อก็เอ่ยปากออกมา “ดูเหมือนว่าจะไม่มีนะ”

 

“จริงๆน่ะหรือ? เจ้าลองคิดดูอย่างรอบคอบอีกทีจะได้ไหม” กู่ฉิงซานเอ่ยขอ

 

ฉินรั่วกล่าวอย่างชัดเจน “ข้าค่อนข้างแน่ใจนะว่าไม่มีนิกายใดที่จากไปแล้ว ยังคิดหวนกลับมายังโลกใบนี้อีก”

 

ฉานนู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ก็ขนาดหนี พวกเขายังต้องเพียรพยายามอย่างยากลำบากเลย หากลองคิดกันตามปกติแล้ว ก็คงไม่มีใครอยากกลับมาอีกครั้งหรอก”

 

“ตามสามัญสำนึก พวกเขาสมควรที่จะร่อนเร่ไปทั่วทุกหนแห่ง เพื่อตามหาโลกใหม่สินะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

เขายังคงเอ่ยถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อไม่มีนิกายใดกลับมาก็ช่างมัน แล้วหากเป็นผู้ฝึกยุทธรายบุคคลเล่า? พอจะมีผู้ฝึกยุทธคนใดที่กลับมาบ้างหรือไม่?”

 

“ผู้ฝึกยุทธ … ”

 

สองสาวใช้สมาธิ จมหายเข้าไปในความคิด

 

คำถามนี้ของกู่ฉิงซาน ทำให้พวกเธอต้องยกมือขึ้นมาเกาหัว

 

กู่ฉิงซานยังเตือนอีกด้วยว่า “จะเป็นผู้ฝึกยุทธแบบใดก็ได้ จะขอบเขตวรยุทธสูงส่งหรือต่ำต้อยก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็สามารถนับได้ว่าพวกเขาได้กลับมาแล้ว”

 

“เท่าที่ข้าลองนึกดู เหมือนกับว่าจะไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดกลับมาเลยนะ พี่สาว ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?”

 

ขณะกล่าว ว่านเอ๋อก็หันไปมองฉินรั่วด้วยความไม่มั่นใจ

 

“หลังจากที่ข้ากับว่านเอ๋อถูกจับตัวมาเป็นเชลยในโลกใบนี้ ข้าก็ไม่เคยเห็นนิกายหรือผู้ฝึกยุทธที่จากไปแล้วกลับมาอีกเลย”

 

“ประเดี๋ยวก่อน ข้าดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้” ว่านเอ๋อขัดขึ้นทันใด

 

อีกสามคนที่เหลือหันไปมองเธอ

 

“มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตลมปราณจิตกล่าวออกมาว่าเขามิได้รู้สึกวางใจที่จะนำพาตลอดทั้งนิกายของตนข้ามผ่านรอยแยกเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า”

 

“เขาจึงได้ลองพยายามที่บุกเข้าไปในมิติที่ว่างด้วยตัวคนเดียว เพื่อต้องการที่จะสำรวจหาเส้นทางก่อนเป็นอันดับแรก”

 

“แล้วจากนั้นล่ะ?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม

 

“จากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย และนิกายก็ได้สูญเสียเขาไป จนไม่สามารถต่อกรแข่งขันกับนิกายอื่นได้ และไม่นานก็ถูกทำลายลง” ว่านเอ๋อกล่าว

 

“ต่อมาก็มีการคาดเดากันว่า หลังจากที่มารโลกาได้มาเยือนแล้ว พื้นที่มิติที่ว่างเปล่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้น และส่งผลให้-”

 

“-เมื่อผู้ฝึกยุทธออกจากโลกใบนี้ เขาจะถูกส่งออกไปยังสถานทีพิเศษอันห่างไกล กล่าวคือไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย”

 

ฉินรั่วกล่าว “ถูกต้องแล้วล่ะ และคำคาดการณ์ในยามนั้นก็เป็นที่เลื่องลือมาก กล่าวได้ว่ามันเป็นคำตอบที่เกือบจะถูกยอมรับกันโดยทั่วไปแล้ว”

 

“ไม่สิ แบบนั้นมันไม่ถูกต้อง” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยเสียงหม่น

 

“ตรงส่วนใดกันที่ไม่ถูกต้อง?” ฉินรั่วเอ่ยถาม

 

“ก็เกือบทั้งหมดนั่นแหละ หากเป็นในกรณีนั้น แล้วเพราะเหตุใดกัน ฉีหยานที่ได้รับพิกัดของโลกเทวะจึงสามารถเดินทางไปกลับได้อย่างเสรี?”

 

พอได้ฟัง สองสาวก็หันมามองหน้ากันด้วยความตะลึงงัน

 

เออนั่นสิ ถ้าคนอื่นทำไม่ได้ แล้วเหตุใดฉีหยานจึงทำได้กัน?

 

หรือว่ามันจะเป็นเพราะเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปนานมากแล้ว ที่ผู้คนในโลกใบนี้ไม่ได้ทำการสำรวจโลกใบใหม่ จนอะไรๆมันก็เปลี่ยนแปลงไป

 

จนผู้คนได้ลืมเลือนวิธีการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก?

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆว่า “ตามปกติ ผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้สมควรที่จะรู้และจดจำพิกัดของโลกตนเองอย่างขึ้นใจ เพราะจะได้ไม่เป็นกังวลในยามที่พวกตนได้บุกเข้าไปในโลกอื่น”

 

“นอกจากนี้ พวกเขายังถึงขั้นสามารถจัดตั้งชุดค่ายกลขนาดใหญ่ ที่สามารถใช้ส่งทัณ์สายฟ้าลงไปยังมิติที่ว่างเปล่าเพื่อให้ผู้ฝึกยุทธทำการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ และรับส่งพวกเขากลับมาได้อีกด้วย ”

 

“สรุปได้ว่า เพียงแค่รู้พิกัดของโลกอื่น สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธต้องทำ ก็มีเพียงแค่การสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกก็เท่านั้นเอง”

 

“หากเป็นในกรณีนั้น หลังจากที่พวกเขาได้ออกไป แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องมีพิกัดของโลกใบนี้อยู่กับตัว และจะต้องสามารถกลับมาได้อย่างแน่นอน”

 

สองสาวถึงกับพูดไม่ออก

 

แต่ก็นั่นล่ะ ที่พูดไม่ออกมันก็เป็นเพราะว่าทุกถ้อยคำที่กู่ฉิงซานเปล่งออกมา พวกเธอมิอาจหักล้างมันได้เลย

 

คิ้วของกู่ฉิงซานค่อยๆขยับแน่นเข้าหากัน

 

การคาดเดาอันน่าหวาดผวา ผุดออกมาอย่างเงียบๆในจิตใจของเขา

 

คล้ายกับโดนคลื่นลมแรงซัดกระหน่ำเข้าใส่ ในหัวใจของกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเต้นครึกโครม

 

“ข้าคิดว่าแม้คนส่วนใหญ่จะไม่เต็มใจที่จะกลับมา แต่ก็ย่อมต้องมีผู้ฝึกยุทธบางคนที่ต้องการกลับมาดูสถานการณ์ภายในโลกใบนี้อยู่บ้างอย่างแน่นอน” เขากล่าว

 

“นายน้อย นี่ท่านกำลังจะหมายความว่าอะไร?” ฉินรั่วพอได้ฟังความคิดเห็นของเขาก็เอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานส่ายมือของเขาให้อีกฝ่าย แต่มิได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป

 

เขาเลือกที่จะหยิบดิสก์ค่ายกลระดับสูงออกมา

 

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ เขาก็เริ่มทำการจัดตั้งค่ายกลแยกเสียงขนาดเล็กขึ้นภายในห้องลับ

 

ซึ่งค่ายกลแบบนี้ มันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับเขา

 

ด้วยค่ายกลนี้ จะทำให้เสียงจากภายในมิอาจถูกส่งผ่านออกไปภายนอกได้

 

กู่ฉิงซานขบคิด แต่ก็ยังมิได้เอ่ยอะไรออกมา

 

ถ้าหากว่าการคาดเดานี้ถูกต้องแล้วล่ะก็ ..

 

มันจะเป็นการดีกว่าหากไม่พูดมันออกมา

 

เขาจึงส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะ “แต่ละนิกายได้แหวกรอยแยกมิติ แล้วจากโลกใบนี้ไป”

 

“ข้าคิดว่าบางอย่างในจุดนี้มีปัญหา และมันก็เป็นปัญหาที่น่ากลัวมากเสียด้วย”

 

จู่ๆเขาก็เริ่มแสดงท่าทีกังวลออกมา

 

กู่ฉิงซานเดินวนไปวนมาในห้องลับ และค่อยๆเริ่มเดินเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ

 

ขณะที่สามสาวยังคงยืนนิ่ง เฝ้ามองเขาอย่างเงียบๆ ทั้งหมดไม่ต้องการที่จะขัดจังหวะความคิดของเขา

 

สักพักหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานก็เอ่ยออกมาทันทีว่า “แบบนี้ท่าไม่ดีแล้ว! พวกเราไม่สามารถเฝ้ารอได้อีกต่อไป จักต้องรีบเดินทางจากไปตอนนี้ในทันที!”

 

“แต่นายน้อย ท่านได้ให้คำมั่นสาบานต่อสวรรค์แล้ว! ท่านจะต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าลงให้ได้เสียก่อน!” ว่านเอ๋อกล่าว

 

“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราจะไปไหนได้ ในเมื่อยังไม่มีพิกัดโลกใหม่เลย” ฉินรั่วกล่าว

 

กู่ฉิงซานตัวแข็งค้าง

 

เนื่องด้วยสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ทำให้เขาจดจ่ออยู่กับมันและกลายเป็นเร่งร้อน จนลืมเลือนสิ่งที่สำคัญที่สุดไปเสียได้

 

อาการผิดปกติดังกล่าวดันมาเกิดขึ้นกับกู่ฉิงซาน นี่นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าวว่า “ขอบเขตลมปรารณจิต … พวกเราคงไม่สามารถต่อกรกับเขาได้”

 

ฉินรั่วจับมือเขาและเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “หากมีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะต้องก้าวเดิน ข้าก็ยินดีที่จะร่วมต่อสู้ไปพร้อมกับเจ้า”

 

“ข้าเองก็ด้วย!‘ ว่านเอ๋อตะโกนเสียงดัง

 

ฉานนู่แม้มิได้เอ่ยสิ่งใด แต่ก็พยักหน้าว่าเอาด้วยเช่นกัน

 

“ … ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราจะต้องระดมสมองและคิดหาหนทางที่จะจัดการกับปัญหานี้ซะก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต่หวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธลมปราณจิต อ๊า… บางทีกลอุบายใดๆ ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าเขามันคงไร้ประโยชน์” ว่านเอ๋อกล่าวอย่างหมดกำลังใจ

 

กู่ฉิงซานดีดหน้าผากเธอ แล้วหันไปมองฉินรั่ว “เจ้าทั้งสองเป็นถึงผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตพันวิบัติ และครั้งหนึ่งก็เคยเป็นตัวตนอันดับต้นๆของโลกเชียวนะ พวกเจ้าก็ลองเสนอวิธีการมาดูบ้างสิ เพราะท้ายที่สุดนี้ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเราทุกคน”

 

“ฉานนู่ เจ้าเองก็มีชีวิตอยู่มานานนมจนมิอาจนับปีได้ ดังนั้นเจ้าจึงสมควรที่จะมีประสบการณ์และความรู้มากที่สุด เจ้าก็ต้องช่วยคิดด้วย”

 

สามหญิงสาวเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก็เริ่มเค้นสมองของพวกเธอทันที และขบคิดอย่างหนักเกี่ยวกับวิธีการที่จะใช้แก้ปัญหานี้

 

“ข้าขอแสดงความคิดเห็นว่าพวกเราสมควรที่จะใช้เรือเหาะบินหนีไป” ว่านเอ๋อกล่าว

 

“การใช้เรือเหาะมิใช่ความคิดที่ดี” ฉินรั่วกล่าวปฏิเสธโดยตรง “ตามสิ่งที่เรารู้มา ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต จะมีความว่องไวในการเคลื่อนที่รวดเร็วยิ่งกว่าเรือเหาะ”

 

“แต่เรือเหาะสามารถ-” ว่านเอ๋อกำลังจะกล่าว

 

ทว่ากู่ฉิงซานก็ขัดจังหวะเธอเสียก่อน “เป็นเรือเหาะไม่ได้จริงๆ หากคิดจะใช้วิธีนั้น พวกเราก็จะต้องมีผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในระดับเดียวกันกับหวังหงษ์เต๋าเป็นพวก และคอยรับหน้าที่ควบคุมเรือเหาะอยู่ตลอดเวลา ด้วยพลังวิญญาณที่เท่าเทียมกัน หวังหงษ์เต๋าย่อมไม่สามารถไล่ตามมาทันได้”

 

“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็คิดหาวิธีอื่นไม่ได้อีกแล้ว” ว่านเอ๋อก้มหน้าลงและกล่าว

 

“มันต้องมีหนทางอื่นสิ … ” ฉินรั่วครุ่นคิด

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูเธอ โดยไม่ทำเสียงดังขัดจังหวะความคิดของอีกฝ่าย

 

ฉินรั่วเป็นผู้ฝึกยุทธหญิงที่ฉลาดมาก บางทีเธออาจจะบังเกิดความคิดที่ทำให้ทุกคนมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ได้

 

“หวังหงษ์เต๋าเชี่ยวชาญในด้านการวางแผน แต่จากทุกแผนการของเขาที่พวกเราได้รับรู้มานี้ มันบ่งบอกชัดเจนว่าเขาเป็นพวกหวงแหนในชีวิตของตนเองเป็นอย่างยิ่ง” เธอเอ่ย

 

“ว่าต่อสิ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วนิ่งคิดสักพัก และเริ่มพูดต่อว่า “พวกเราอาจจะต้องพยายามค้นหาวิธีแก้ อย่างเช่นการลดระดับเกาะลอยฟ้าลง ให้เข้าไปใกล้ชิดกับอาณาเขตของมารโลกาสักเล็กน้อย บางทีหากทำเช่นนั้น หวังหงษ์เต๋าก็อาจจะหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะกลับมาที่เกาะแห่งนี้ก็เป็นได้”

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอามือกุมหน้าผาก และเอ่ยอะไรไม่ออกไปสักพัก

 

“ใช่สิ เขาจะไม่กลับมาที่เกาะหรอก แต่จะทำตรงกันข้าม โดยการแค่ผลักมันเบาๆลงไปหามารโลกาเลยต่างหาก-” ฉานนู่เอ่ยเสียงกระซิบ

 

ฉินรั่วพอได้ยินก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเธอจะเขินที่ดันแนะนำความคิดไม่เข้าท่าออกมา

 

“ฉานนู่ แล้วเจ้าเล่าคิดเห็นเช่นไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง

 

“นายน้อย ข้าได้ลองขบคิดอย่างจริงจังมาสักครู่หนึ่งแล้ว” ฉานนู่กล่าว

 

“แล้วเป็นยังไง? ไหนลองว่ากลยุทธ์ที่เจ้าคิดได้มาดูซิ”

 

อย่างไรก็ตาม ฉานนู่กลับเบี่ยงประเด็นออกไป และเอ่ยถามด้วยความเคารพลึก “นายน้อย ท่านคิดว่าบทบาทหน้าที่ของดาบคืออะไร?”

 

“ตัดสะบั้นใช่หรือไม่?”

 

“ใช่ ดังนั้นแล้ว นั่นหมายความว่าในเรื่องใช้หัวคิด มันไม่ใช่หน้าที่ของข้า”

 

“ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว …”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ดูเหมือนว่าการระดมสมองในครั้งนี้ เขาจะไม่ได้อะไรเพิ่มเติมเท่าไหร่เลย

 

แต่แล้วฉินรั่วก็เอ่ยถามขึ้นทันใด “นายน้อย แล้วท่านเล่ามีความคิดอะไรดีๆบ้างหรือไม่?”

 

กู่ฉิงซานคิด แล้วลังเลอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยออกไป “ความคิดของข้ามันไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก ดังนั้นข้าจึงต้องการฟังมุมมองความคิดของพวกเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก ว่ามันจะสามารถนำมาทดแทนความคิดของข้าได้หรือไม่”

 

“ความคิดอันใดกัน? พอจะลองอธิบายให้ฟังจะได้หรือไม่?” ว่านเอ๋อเอ่ยถามด้วยความสนใจ

 

แล้วกู่ฉิงซานก็เฉลยออกไปเพียงไม่กี่คำ

 

แต่มันกลับทำให้สามสาวนิ่งงัน เงียบไปสักพักเลยทีเดียว

 

หลังจากนั้นผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินรั่วก็ได้สติกลับคืน ปากเอ่ยกล่าวว่า “นายน้อยนี่ท่าน … ไม่น่าจะใช่คนที่คิดอะไรแบบนี้เลย”

 

ขณะที่ว่านเอ๋อจ้องมองเขา ปากขยับงึมงำ “นี่เจ้า ไม่มีความคิดที่มันดีกว่าความคิดโง่ๆนี่อีกแล้วหรือ?”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.457 – ได้รับรู้ความจริง

 

ณ ภายในห้องลับ

 

กู่ฉิงซานใช้มือทั้งสองจับใบหยกค่ายกลที่วางเรียงรายกันอยู่ตามลำดับ และทำการคำนวณแต้มพลังวิญญาณที่จะต้องจ่ายไป

 

ตอนนี้ ความรอบรู้ทางด้านค่ายกลของเขาได้ยกระดับขึ้นมาถึงขั้นกลางของโลกใบนี้แล้ว

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

กู่ฉิงซานก็วางใบหยกลง ขณะที่สีหน้าท่าทีของเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

 

การเรียนรู้ค่ายกล … มันจำเป็นที่จะต้องใช้แต้มพลังวิญญาณที่มากเกินไป

 

หากเทียบเปรียบกับสายธาร ความรู้ความเข้าใจในด้านค่ายกลของฉีหยานจักต้องอยู่ในช่วงต้นน้ำเป็นแน่

 

อย่างไรก็ตาม มันก็พอจะอธิบายได้ว่า หากต้องการจะเรียนรู้การจัดวางค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติระหว่างสองโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยฉีหยาน ตัวเขาก็จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในด้านค่ายกลไม่พอฟัดพอเหวี่ยง ก็เหนือยิ่งกว่าฉีหยานเสียก่อน

 

แล้วการที่จะทำเช่นนั้น มันก็จำเป็นที่จะต้องใช้แต้มพลังวิญญาณเป็นจำนวนมาก

 

กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของตนเอง

 

ในการปลดปล่อยพันธนาการหญิงสาวทั้งสอง เขาได้จ่ายออกไปแล้วอีก 100 แต้มพลังวิญญาณ

 

ดังนั้น จึงยังมีแต้มพลังวิญญาณที่หลงเหลืออยู่อีก 1003 แต้ม

 

และเขามั่นใจว่าตนเองจักต้องใช้แต้มพลังวิญญาณอีกมากกว่า 1003 แต้มอย่างแน่นอน หากคิดจะยกระดับค่ายกลของตนเองให้มาอยู่ในมาตรฐานเดียวกันกับฉีหยาน

 

โดยสรุปแล้วในตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถอดรหัสดิสก์ค่ายกลเพื่อทำการหาพิกัด

 

กลับกัน หากเขาเลือกที่จะถอยหลังกลับมาก้าวหนึ่ง โดยการเลือกที่จะไม่ปลดพันธนาการสองหญิงสาว … แต้มพลังวิญญาณของเขามันก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี

 

ยังมีวิธีอื่นอยู่อีกไหมนะ?

 

กู่ฉิงซานเริ่มจมลงสู่สมาธิ

 

ด้วยหนทางที่เลือกเดินไปแล้วนี้ ทำให้สามารถปลดพันธนาการได้ …

 

แล้วถ้าหากเขายังคงทำวิธีเดิมต่อไปล่ะ? ทำกับเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยเฉกเช่นเดียวกันกับที่ทำกับสองสาวใช้ ปลดปล่อยเขาและเธอให้เป็นอิสระ หากเป็นเช่นนั้นแล้วทุกคนจะช่วยกันลงมือได้หรือไม่?

 

ฉินรั่ว , ว่านเอ๋อ , เย่หยิงเหมย และเซ่าหวูชุ่ย

 

สองผู้ฝึกยุทธพันวิบัติ และอีกสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า รวมกันโดยสิ้นเชิงแล้วเป็นสี่

 

หากทั้งสี่ ลงมือพร้อมกัน รุมจัดการหวังหงษ์เต๋าที่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ก็คงพอมีแนวโน้มที่จะเอาชนะได้

 

เย่หยิงเหมยน่ะเกลียดหวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน ดูได้จากการแสดงออกของเธอและข้อมูลต่างๆที่ได้รวบรวมมา สามารถพิจารณาได้ว่าตัวเธอน่าจะไม่มีปัญหาใดๆ

 

แต่สำหรับเซ่าหวูชุ่ย …

 

ในบรรดาสามปรมาจารย์ตำหนัก เขาเป็นผู้ที่มีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งที่สุด

 

เขาเป็นผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขีดสุดความว่างเปล่า และมีกำลังรบอันน่าอัศจรรย์ใจ

 

แต่ถ้าหากเซ่าหวูชุ่ยไม่ต้องการที่จะร่วมมือกับฉีหยาน ณ จุดๆนั้นในเวทีหารือ อีกฝ่ายก็สมควรที่จะลงมือจัดการเขาโดยตรงแล้วสิ?

 

แต่เซ่าหวูชุ่ยก็มิได้ทำเช่นนั้น

 

หากมองในมุมนี้ ก็พอจะบอกได้ว่าจุดยืนของสหายเซ่าค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้ว

 

ดังนั้น สรุปได้ว่า หากกู่ฉิงซานสามารถปลดผนึกที่ติดตัวผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าทั้งสองได้ เขาก็จะมีโอกาสบรรลุเป้าหมายของตนได้อย่างแท้จริง!

 

กู่ฉิงซานรีบเดินออกจากแถวชั้นวางใบหยกค่ายกล และตรงไปยังแถวชั้นวางใบหยกที่บันทึกวิชาต้องห้าม

 

“นายน้อย นั่นท่านกำลังมองหาใบหยกวิชาใดกัน?” ฉินรั่วถาม

 

เธอจูงมือว่านเอ๋อเดินเข้ามา ด้วยใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาที่ยังไม่ถูกเช็ด

 

ท่าทีการแสดงออกของสองหญิงสาวผู้นี้ ดูจะแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

 

พวกเธอราวกับได้รับชีวิตใหม่ เต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า ห้วงสติและอารมณ์ของทั้งคนทั้งร่างเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

แล้วกู่ฉิงซานก็บอกถึงเป้าหมายของเขา

 

“พวกเราจะช่วยนายน้อยมองหามันด้วย เผื่อจะได้เร็วขึ้น” ว่านเอ๋อกล่าว

 

ขณะกล่าว ทั้งสองสาวก็แอบชำเลืองมองกู่ฉิงซานอย่างลับๆวูบหนึ่ง และเริ่มต้นทำการค้นหาใบหยกที่ตรงกับความต้องการของเขาทันที

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินรั่วก็พบเจอกับหนึ่งในใบหยกที่ต้องการ

 

แต่มันเป็นใบหยกที่บันทึกเกี่ยวกับวิชาต้องห้ามของเซ่าหวูชุ่ย

 

“อีกใบหนึ่ง ข้าหามันไม่พบเลย” ฉานนู่กล่าว

 

“บางทีมันอาจจะถูกนำไปเก็บปะปนกับใบหยกในชั้นวางอื่นก็ได้ พวกเราจะแยกกันตามหาอีกครั้ง” ฉินรั่วกล่าว

 

แล้วสามสาวก็กระจายตัวออกไป เพื่อออกตามหาใบหยกวิชาต้องห้าม

 

ส่วนกู่ฉิงซานกำลังถือใบหยกต้องห้ามอยู่ในมือ และเฝ้ามองมันอย่างระมัดระวัง

 

ลักษณะภายนอกของใบหยกชิ้นนี้ถูกห่อหุ้มด้วยชั้นอักษรรูนสีดำ ขณะเดียวกันก็ส่งคลื่นความผันผวนจางๆของค่ายกลออกมา

 

กู่ฉิงซานกวาดสาดตาสำรวจไปกว่าสองสามรอบ และตัดสินได้ว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลต้องห้ามชนิดพิเศษ

 

ใบหยกนี้ถูกปิดผนึกเอาไว้ และไม่มีใครได้รับอนุญาติให้อ่านมัน

 

ยามใดที่จิตสัมผัสเทวะถ่ายเทลงบนใบหยกชิ้นนี้ ตัวใบหยกก็จักถูกทำลายทันที!

 

แต่กู่ฉิงซานก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาเบนสายตาไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

เห็นแค่เพียงสองบรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นมา

 

“แมลงมารกลืนชีวิต”

 

“นี่คือเทคนิคลับประเภทผนึก และเมื่อผู้ฝึกยุทธพยายามที่จะอ่านเทคนิคลับภายในนี้ด้วยจิตสัมผัสเทวะ ใบหยกก็จะถูกทำลายลงทันที”

 

กู่ฉิงมองอ่านจบ ก็พ่บงึมงำว่าเป็นอย่างที่คิดจริงๆ

 

ใบหยกชิ้นนี้ เขาไม่สามารถเรียนรู้มันได้-

 

เดี๋ยวก่อนสิ!

 

กู่ฉิงซานหันขวับกลับมา ปากเร่งเอ่ยถามทันที “ระบบ เมื่อกี้คุณบอกว่า ‘ผู้ฝึกยุทธจะไม่สามารถใช้จิตสัมผัสเทวะอ่านมันได้’ ใช่ไหม แล้วถ้าหากเป็นคุณล่ะ? ถ้าเป็นตัวระบบเองจะสามารถอ่านเนื้อหาในใบหยกได้รึเปล่า?”

 

ระบบตอบกลับ “ระบบสามารถทำได้ แต่ระบบจะต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแต้มพลังวิญญาณ 50 แต้ม , ค่าบริการอีก 100 แต้ม และค่าเสียเวลาอีก 50 แต้ม ”

 

“ทำไมต้องจ่ายค่าเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีก 50 แต้มด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“เพราะมันเป็นเรื่องยุ่งยากนักที่จะทำการสำรวจเทคนิคลับต้องห้ามนี้ และระบบจำเป็นต้องมีแต้มพลังวิญญาณเพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นให้จิตใจสามารถมุ่งมั่นที่จะทำงาน”

 

“ … งั้นก็ได้” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

“คุณแน่ใจหรือไม่ว่าต้องการจ่าย 200 แต้มพลังวิญญาณเพื่อทำการสำรวจเทคนิคลับนี้” ระบบเอ่ยถาม

 

ระหว่างที่ฟัง กู่ฉิงซานก็บังเกิดความลังเลขึ้นเล็กน้อย แต่ขณะที่เขากำลังจะเริ่มไตร่ตรองมันนั้นเอง

 

กลับปรากฏเสียงของสามสาวดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของเขาพอดี  “นายน้อย พวกเราไม่พบใบหยกต้องห้ามอีกใบเลย”

 

“งั้นหรือ เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

หากเป็นในกรณีนี้ นั่นหมายความว่าผนึกต้องห้ามของเย่หยิงเหมย ตนเองจะไม่สามารถปลดผนึกมันได้

 

ว่าแต่เขาต้องการที่จะปลดผนึกต้องห้ามของเซ่าหวูชุ่ยจริงๆน่ะหรือ?

 

กู่ฉิงซานขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง

 

ลืมมันเถอะ ช่วยก็ช่วยสิ อย่าไปคิดมากเลย

 

เซ่าหวูชุ่ยเป็นการดำรงอยู่ที่ดุดันและแข็งกร้าว เขาจะเป็นกำลังรบที่ดีของกู่ฉิงซาน

 

และจักเป็นตัวตนที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้

 

ไตร่ตรองเพียงไม่นาน กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจเลือกได้ในที่สุด

 

“ฉันจะจ่าย 200 แต้มพลังวิญญาณ ระบบ คุณช่วยทำให้ฉันสามารถอ่านเนื้อหาของเทคนิคลับต้องห้ามนี้ให้ที”กู่ฉิงซานกล่าว

 

ระบบตอบรับอย่างรวดเร็ว “ได้รับแต้มพลังวิญญาณแล้ว”

 

“เริ่มต้นทำการอ่านเนื้อหาบนใบหยกแผ่นนี้”

 

“นี่คือเทคนิคลับ : แมลงมารกลืนชีวิต”

 

“แมลงมารกลืนชีวิต : หากฝึกฝนเทคนิคลับนี้ คุณจะสามารถเรียนรู้วิธีการที่จะใส่แมลงมารลงบนตัวของตนเองและอีกคนหนึ่งไปพร้อมๆกันได้”

 

“เมื่ออีกคนหนึ่งถูกใส่แมลงมารลงไปแล้ว ชีวิตของเขาก็จะเชื่อมต่อกันกับคุณ ขณะเดียวกันรากฐานต้นกำเนิดชีวิตของเขาก็จะค่อยๆกลายมาเป็นสารอาหารให้แก่คุณ”

 

“และชีวิตของคุณกับคนๆนั้นก็จะเชื่อมโยงกัน หากคุณตกตายลง อีกคนหนึ่งก็จะตายตามไปด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม หากอีกฝ่ายตายลง มันก็จะไม่ส่งอิทธิพลใดๆต่อคุณ”

 

“การฝึกฝนและเรียนรู้วิชานี้ มีค่าใช้จ่ายเป็น 500 แต้มพลังวิญญาณ”

 

“คุณต้องการที่จะเรียนรู้วิชานี้หรือไม่?”

 

พอได้อ่านข้อความนี้บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ทั้งคงทั้งร่างของกู่ฉิงซานพลันแข็งค้างไป

 

ในหัวใจของเขารู้สึกราวกับว่าตนได้ถูกโยนจมลงสู่หุบเหวอันไร้ก้นบึ้ง

 

“แท้จริงแล้วมันกลับกลายเป็นเช่นนี้ … ”

 

กู่ฉิงซานบ่นงึมงำด้วยความขมขื่น

 

ผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า —ช่างเป็นบุคคลที่โหดร้าย และขี้หวาดระแวงอย่างแท้จริง!

 

ตามอุปนิสัยของเขา เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดการทรยศขึ้น ในยามที่เขาฝังแมลงมารลงในกายของเซ่าหวูชุ่ย เขาจักต้องบอกเล่าถึงความจริงนี้แก่อีกฝ่ายไปด้วยอย่างแน่นอน!

 

‘ชีวิตของเขาจะเชื่อมต่อกันกับคุณ เมื่อใดก็ตามที่คุณตกตาย อีกคนหนึ่งก็จะตกตายลงตามไปด้วย’

 

ความหมายก็คือ หากหวังหงษ์เต๋าตาย เซ่าหวูชุ่ยก็ต้องตายไปด้วยกันพร้อมกับเขา

 

ซึ่งนั่นหมายความว่า ตราบใดที่เซ่าหวูชุ่ยไม่ต้องการจะตาย เขาก็ไม่สามารถต่อต้านการควบคุมของหวังหงษ์เต๋าได้!

 

-ว่าแต่ทำไมกัน? หากเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมเซ่าหวูชุ่ยจึงได้ร่วมมือกับเย่หยิงเหมยล่ะ? ทำไมเขาต้องทำถึงขั้นหลอมสมบัติมนตราขึ้นเพื่อที่จะจัดการกับหวังหงษ์เต๋าด้วย?

 

-แล้วทำไมในตอนที่ฉีหยานกล่าวเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใหม่ออกมา และบอกว่าตัวเองต้องการที่จะกำจัดหวังหงษ์เต๋า เซ่าหวูชุ่ยถึงได้แสดงท่าทีสนับสนุนออกมา?

 

กู่ฉิงซานวางใบหยกลง และเริ่มเค้นสมองขบคิดอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อตนได้ลองขบคิดและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ กู่ฉิงซานก็ค่อยๆเริ่มที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากยิ่งขึ้น

 

กล่าวได้ว่าในบรรดาสองปรมาจารย์ตำหนัก บุคคลที่ต้องการจะแก้แค้นหวังหงษ์เต๋า แท้จริงแล้วมีเพียงเย่หยิงเหมย เพียงคนเดียวเท่านั้น

 

ขณะที่เซ่าหวูชุ่ย … ตั้งแต่ต้นจนจบ มันก็แค่เออออไปตามน้ำก็เท่านั้นเอง!

 

หรืออีกความหมายนึงก็คือ เซ่าหวูชุ่ยมันกำลังเล่นละครตบตาอยู่!!!

 

ส่วนการที่เซ่าหวูชุ่ยไม่คิดจะต่อต้านหรือคัดค้านใดๆเกี่ยวกับความคิดของฉีหยานนั้น มันเป็นเพราะว่าเขากำลังอยู่ต่อหน้าเย่หยิงเหมย

 

แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะฉีหยานมีโลกใบใหม่อยู่ในกำมือ แต่ใจความสำคัญก็คือ ฉีหยานมีความคิดริเริ่มที่จะสังหารหวังหงษ์เต๋าต่างหาก! -ซึ่งความคิดดังกล่าวนี้มันบังเอิญไปสอดคล้องกับความปรารถนาของเย่หยิงเหมยพอดิบพอดีนั่นเอง!

 

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เย่หยิงเหมยเองก็ได้วางแผนดังกล่าวกับเซ่าหวูชุ่ย เพื่อตระเตรียมการที่จะสังหารหวังหงษ์เต๋าอยู่เหมือนกัน

 

ดังนั้นแล้ว หากเซ่าหวูชุ่ยคัดค้านฉีหยาน การกระทำเช่นนั้นก็จะเท่ากับว่าเป็นการเปิดโปงความคิดที่แท้จริงของตนเอง

 

และเย่หยิงเหมยเองก็หาใช่คนโง่ไม่ หากเกิดกรณีนั้นขึ้น เธอก็จะตระหนักได้ทันทีว่าแท้จริงแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเซ่าหวูชุ่ยหลอกลวงเธอมาโดยตลอด!

 

บางทีหากฉีหยานยื่นข้อเสนอให้แก่เขาเฉพาะในเรื่องของโลกใหม่ เซ่าหวูชุ่ยอาจจะร่วมมือกับเขาอย่างเต็มใจและจริงใจก็เป็นได้

 

แต่มันดันเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าด้วยเนี่ยสิ …

 

หากเป็นในเรื่องนี้ ต่อให้เซ่าหวูชุ่ยถูกบังคับก็ตามที แต่ตนก็ไม่เต็มใจที่จะให้หวังหงษ์เต๋าตายอยู่ดี

 

เพราะในกรณีนั้น เขาก็จะต้องตายไปด้วย

 

ดังนั้น เมื่อฉีหยานให้คำมั่นสาบานว่าจะสังหารหวังหงษ์เต๋า ในชั่ววินาทีนั้น -เซ่าหวูชุ่ยก็เลือกที่จะยืนอยู่ข้างเดียวกันกับหวังหงษ์เต๋าเรียบร้อยแล้ว!

 

และเซ่าหวูชุ่ยจักต้องบอกเรื่องราวทั้งหมดนี้แก่หวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน

 

เมื่อหวังหงษ์เต๋ากลับมา อีกฝ่ายก็จะเร่งรุดมาลงมือสังหารฉีหยานอย่างรวดเร็ว!

 

สำหรับในเรื่องที่เซ่าหวูชุ่ยได้ทำการร่วมมือกับเย่หยิงเหมยในตลอดหลายปีที่ผ่านมา เกรงว่าบางทีนี่อาจจะเป็นความตั้งใจของหวังหงษ์เต๋าอยู่แล้วก็เป็นได้

 

คอยจับตาดูศิษย์หญิงที่เฝ้าเพียรพยายามอย่างหนัก ดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหมายจะแก้แค้นตน ทั้งๆที่มิล่วงรู้เลยว่าตลอดเวลา เธอกำลังวนอยู่ในฝ่ามือของคนที่คิดจะแก้แค้น … บางทีการคอยรับชมเรื่องราวนี้ ก็อาจจะเป็นความสุขอย่างหนึ่งของหวังหงษ์เต๋าก็เป็นได้

 

หลังจากที่ปะติดปะต่อเรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกัน กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจหนักหน่วงออกมา

 

“นายน้อย เกิดอันใดขึ้นกระนั้นหรือ?” ฉานนู่เดินเข้ามา และเอ่ยถามด้วยความห่วงใย

 

“มีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถอะ ตัวข้ากับว่านเอ๋อสามารถฟื้นฟูพื้นฐานวรยุทธให้กลับคืนดังเดิมได้แล้ว เวลานี้พวกเราย่อมสามารถช่วยเหลือเจ้าได้อย่างแน่นอน” ฉินรั่วกล่าว

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม

 

กู่ฉิงซานจ้องมองพวกเธอ

 

ขณะที่ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน

 

กู่ฉิงซานส่ายหัวออกมา ก่อนจะเริ่มอธิบายด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก เพียงแต่เดิมทีแล้วข้าหลงคิดว่าตนแสดงละครได้ดีเป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่ตอนนี้แท้จริงแล้วดูเหมือนว่าจะมีผู้ที่แสดงได้ดีกว่าข้าเสียอีก”

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฉินรั่วเอ่ยถามออกมา

 

“ก็หมายความว่า อีกไม่นาน หวังหงษ์เต๋ากำลังจะได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดที่พึ่งเกิดขึ้นในนิกายน่ะสิ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

พอได้ฟัง สามสาวก็บังเกิดความตึงเครียดมาขึ้นทันที

 

“มันเป็นไปได้อย่างไร? เหตุใดเขาจึงสามารถล่วงรู้ได้กัน?” ฉินรั่วเอ่ยถามด้วยความสับสน

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา

 

“ก็เปรียบดั่งประโยคที่ว่า ยามเมื่อราชาจากอาณาจักรไปทำสงคราม เขาย่อมจะทิ้งเงาของตนเอาไว้นั่นแล และข้าเองก็เกือบจะตกหลุมพรางของเงาที่เขาทิ้งเอาไว้เสียแล้ว เกือบไปแล้วจริงๆ …”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.456 – ปลดพันธนาการ

 

“ค้นพบวิชานักดาบนิรันดร์ของโลกใบนี้”

 

“ค่ายกลดาบ : ไท่หยี”

 

“เงื่อนไขที่จำเป็นก่อนการเรียนรู้ 1 : ต้องอยู่ในขอบเขตที่เทียบเท่าหรือสูงกว่าประทับเทพ”

 

“เงื่อนไขที่จำเป็นก่อนการเรียนรู้ 2 : ต้องเป็นนักดาบนิรันดร์”

 

“คำอธิบาย : หากต้องการเข้าใจถึงค่ายกลดาบนี้ จำเป็นต้องจ่ายออกด้วย 2000 แต้มพลังวิญญาณ”

 

2000 แต้มพลังวิญญาณ!

 

กู่ฉิงซานจ้องมองดูคำแนะนำบนหน้าต่างระบบ และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

ณ ขณะนี้ เขามีแต้มพลังวิญญาณไม่พอที่จะเรียนรู้สกิลค่ายกลดาบ

 

“เอาล่ะ ขอบใจมาก เอาไว้ถ้าฉันมีโอกาส ก็จะกลับมาเรียนรู้มันอีกครั้ง”

 

แล้วเขาก็เก็บใบหยกลง

 

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การที่ตนสามารถได้รับสกิลค่ายกลดาบ มันก็นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาล ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว

 

สกิลค่ายกลดาบ กล่าวได้ว่ามันคือกระบวนท่าสังหารสำหรับนักดาบนิรันดร์อย่างแท้จริง

 

ในชีวิตก่อนหน้า กู่ฉิงซานก็บังเอิญเคยมีโอกาสได้รับสกิลค่ายกลดาบมาก่อนเช่นกัน ในยามที่เทพวิญญาณจุติลงมา

 

กล่าวได้ว่าในอดีตที่ผ่านมา นอกเหนือไปจากเขา มีน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้รับสกิลค่ายกลดาบเช่นนี้

 

เมื่อเขาขบคิดมาถึงจุดนี้ ฉินรั่วก็เอ่ยถามออกมา “หากใบหยกมีปัญหา เช่นนั้นเราก็สมควรที่จะกำจัดมันก่อนดีไหม?”

 

“ไม่เป็นไรหรอก หากมันอยู่กับฉานนู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

มองไปยังท่าทีที่ยังคงสงบ ไร้กังวลของเขา ฉินรั่วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

 

“ทำไมหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เปล่าหรอก ข้าก็แค่รู้สึกว่าหากยังต้องเก็บใบหยกแผ่นนั้นติดตัวเอาไว้ ในหัวใจของข้าก็คงกระวนกระวาย มิอาจทำให้มันสงบลงได้แบบเจ้าเป็นแน่”

 

“นี่เจ้าหวาดกลัวเฉียนซานเย่กระนั้นหรือ?”

 

“เปล่าหรอก สิ่งที่ข้าหวาดกลัวน่ะ มันคือโลกใบนี้ต่างหาก จิตใจของผู้คนในโลกใบนี้มันน่ารังเกียจมากเกินไป”

 

“อารยธรรมของโลกใบนี้มันไม่ลงรอยหรือสอดคล้องกับแนวคิดหลักของโลกของพวกเราเลย หากเป็นเช่นนี้ การจะอยู่ร่วมกันได้มันคงจะเป็นการยาก”

 

“ดังนั้น หากโลกใบนี้มันกำลังจะพังทลายลง ก็ปล่อยให้มันพังไปเถอะ” ฉินรั่วกล่าว

 

เธอเรียนรู้ที่จะใช้น้ำเสียงโทนเดียวกันกับกู่ฉิงซาน

 

-ประโยคเมื่อครู่ คือคำพูดที่คล้ายคลึงกันกับในตอนที่กู่ฉิงซานได้กล่าวเอาไว้ในตอนช่วงแรกๆที่เขาได้เข้ามายังโลกใบนี้

 

เมื่อเอ่ยมัน หลายคนในที่นี้ก็เผยยิ้มจางๆออกมา

 

ในที่สุด ความเศร้าสลดบนใบหน้าของฉินรั่วที่เคยคิดว่าอีกฝ่ายไม่ไว้วางใจตนก็สลายหายไปไม่มีหลงเหลือ

 

“เอาล่ะ ไม่ว่าโลกใบนี้มันจะเป็นอย่างไร แต่พวกเราก็จะต้องหนีไปจากมันให้จงได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต่เจ้าได้สาบานต่อฟ้าดินแล้วว่า … ”

 

ฉินรั่วมองเขา ปากเอ่ยกล่าวอย่างเป็นกังวล

 

“อ่า ใช่สิ ต้องจัดการหวังหงษ์เต๋าซะก่อนนี่นา … ” กู่ฉิงซานตอบรับ สมองเริ่มเต้นตุบๆด้วยอาการปวดหัว

 

ขณะที่ฉินรั่วกับว่านเอ๋อลอบสบตากันด้วยความกังวล

 

หวังหงษ์เต๋าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ยิ่งไปกว่านั้นยังมีนิสัยระแวดระวัง โหดร้าย และมีจิตใจที่ชั่วช้าเป็นอย่างยิ่ง

 

เขาเสแสร้งปิดบังนิสัยที่แท้จริงเอาไว้อย่างใจเย็นได้กว่า 300 ปี จนสามารถฉวยโอกาสลอบสังหารเฉียนซานเย่ที่เป็นอาจารย์ตนได้ในที่สุด

 

ตัวตนเช่นนี้ ต่อให้กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะจัดการ

 

ทว่าตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังมิได้คิดหาวิธีรับมือกับหวังหงษ์เต๋าอย่างจริงจังเลย

 

เพราะในเวลานี้ เขากำลังขบคิดถึงเรื่องอื่นอยู่

 

แต้มพลังวิญญาณของเขาทั้งหมดมีอยู่ 1603 แต้ม แต่เมื่อครู่ก็ใช้ไปแล้วกว่า 500 แต้มในการเรียนรู้ ตอนนี้จึงเหลืออยูแค่เพียง 1103

 

เขาลองพิจารณาดูแล้ว และคาดว่าแม้วิชาต้องห้ามอย่างการพันธนาการวิญญาณจะมีความซับซ้อน แต่ความต้องการในด้านการใช้พลังวิญญาณในการเรียนรู้มันคงจะไม่มากมายเท่าใดนักหรอก หากเทียบเปรียบกับของค่ายกล

 

จริงสิพอได้กล่าวถึงเรื่องค่ายกลแล้ว ก็ต้องบอกว่าแม้ระดับในการจัดวางค่ายกลของตัวกู่ฉิงซานในตอนนี้ ณ โลกใบนี้จะขึ้นมาสู่ในขั้นกลาง(เรียนรู้ขั้นพื้นฐานกับขั้นต้นมาแล้ว) แล้วก็ตามที

 

แต่ระดับมันก็ไม่เพียงพอที่จะสามารถค้นหาพิกัดของโลกเทวะจากในดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกได้อยู่ดี

 

ซึ่งอันที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของค่ายกล หรือว่าค่ายกลดาบไท่หยี กู่ฉิงซานไม่จำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณในการเรียนรู้มัน เขาก็สามารถคว้าทั้งสองสิ่งที่ว่ามาไว้ในครอบครองได้-

 

-ด้วยพรสวรรค์โดยธรรมชาติและมาตรฐานในตัวเขา เขาสามารถใช้เวลาสักพักหนึ่ง เพื่อทำการฝึกฝน เรียนรู้และเข้าใจมันอย่างช้าๆก็ไม่น่าจะมีปัญหา

 

อย่างไรก็ตาม ภายในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ โลกล่องเวหาอาจจะล่มสลายลงเมื่อใดก็ได้ตลอดเวลา

 

ซึ่งนั่นหมายความว่ามันไม่มีเวลาเหลือมากพอที่จะมามัวทำเช่นนั้นแล้ว

 

เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงความคิด และมองหาวิธีใหม่!

 

กู่ฉิงซานมองไปยังสองสาวใช้

 

อันดับแรก เขาจะต้องแก้พันธนาการ ปลดโซ่ตรวนให้พวกเธอเสียก่อน …

 

พวกเธอเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งกว่าตัวเขาเอง และมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในสถานการณ์ปัจจุบันนี้

 

กู่ฉิงซานพิจารณาอีกรอบ และทำการตัดสินใจในที่สุด

 

“ตอนนี้พวกเรามีบางเรื่องที่ต้องทำ”

 

สามสาวหันมามองหน้าเขา

 

“พวกเราจะต้องช่วยกันหาวิชาต้องห้ามที่ใช้ปลดปล่อยพันธนาการวิญญาณ”

 

ดวงตาของฉินรั่วและว่านเอ๋อเปล่งประกายขึ้นทันใด

 

ขณะที่ฉานนู่ทะยานตัวออกไปเบาๆ ตรงไปยังชั้นวางวิชาต้องห้าม และเริ่มทำการค้นหาใบหยกที่ว่าทันที

 

กู่ฉิงซานก็เดินเข้าไปด้วยเช่นกัน

 

แต่หลังจากลองค้นหาดูไปหลายใบหยก กู่ฉิงซานก็รับรู้ถึงความผิดปกติเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้น

 

เขามองย้อนกลับไป และเห็นแค่เพียงฉินรั่วกับว่านเอ๋อยังคงยืนนิ่งงันอยู่กับที่

 

กู่ฉิงซานตะโกนกระตุ้นเตือน “เร่งมือหน่อย! พวกเรามีเวลาไม่มากนักหรอกนะ”

 

แล้วสองสาวใช้ก็พลันได้สติกลับคืน

 

ฉินรั่วบีบมือของว่านเอ๋อ ขณะที่ว่านเอ๋อก็หันมามองเธอและพยักหน้าให้เล็กน้อย

 

แล้วพวกเธอก็เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันค้นหา

 

ไม่นานนัก

 

ว่านเอ๋อก็กรีดร้องออกมา “ข้าเจอมันแล้ว!”

 

เธอถือใบหยกในมือ ราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า

 

ฉินรั่วเอื้อมมือไปหยิบใบหยก แล้วปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไป

 

“แบบนี้ชักจะไม่ดีซะแล้วสิ วิชานี้มันรัดกุมมากเกินไป และไม่อนุญาตให้ผู้ที่ถูกพันธนาการวิญญาณสามารถใช้งานมันได้” เธอกล่าว

 

พอได้ฟัง ว่านเอ๋อก็ยื่นมือไปจับใบหยกเช่นกัน จากนั้นก็เริ่มทำการอ่านเนื้อหาของมันอย่างเป็นจริงเป็นจัง

 

“กระบวนการของมันค่อนข้างลึกซึ้งและซับซ้อนมากเกินไป และการจะปลดมัน จะต้องทำให้สำเร็จภายในครั้งเดียว มิฉะนั้นแล้ววิชาพันธนาการวิญญาณจะเข้าสู่สภาวะแช่แข็ง และจะไม่ยอมละลายลงให้ปลดมันได้ จนกว่าจะผ่านพ้นไปอีกสามปี” ว่านเอ๋อส่ายหัวและกล่าว

 

ฉินรั่วถอนหายใจ “วิชานี้จำเป็นต้องใช้เวลาสักพักในการเรียนรู้ และหากจักเรียนรู้มันในถึงขั้นที่ชำนาญ ข้าเกรงว่ามันจะใช้เวลามากเกินไป”

 

กู่ฉิงซานรับใบหยกแผ่นนั้นมา และมองมัน

 

—หืม? นี่มันไม่เลวเลย เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาได้ทำการเรียนรู้ จนเข้าใจถึงการจัดวางได้ค่ายกลได้ระดับหนึ่งแล้ว ตนจึงสามารถข้ามขั้นตอนการในการเรียนรู้ส่วนใหญ่ของวิชาลับนี้ไปได้เลย ส่งผลให้จ่ายออกไปเพียง 100 แต้มพลังวิญญาณ ก็สามารถเข้าใจมันได้แล้ว

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงครู่หนึ่ง

 

แล้วจู่ๆเขาก็ยัดใบหยกกลับคืนในชั้นวางทันใด

 

“เจ้าอย่าพึ่งหมดหวังง่ายๆสิ ใบหยกชิ้นนี้ อย่างน้อยพวกเราก็คัดลอกมันไว้-” ว่านเอ๋อยังไม่ทันกล่าวจนจบประโยค

 

มือของกู่ฉิงซานก็จีบออกด้วยวิชาลับ และประทับมันลงบนโซ่ตรวนของเธอด้วยมือเดียว และกระชากมันออกมาอย่างแรง!

 

แล้วโซ่ตรวนที่คอยพันธนการวิญญาณของว่านเอ๋อก็ถูกปลดออกทันที มันร่วงตกลงบนพื้นโดยตรง

 

ในสมองของว่านเอ่อกลายเป็นว่างเปล่า

 

เธอลดศีรษะลง และเห็นแค่เพียงคราบเลือดที่เกิดจากรอยรัดพันอันหนักหน่วงของโซ่ตรวน ทว่าบัดนี้กลับไม่มีพวกมันคอยพันธนาการอยู่อีกต่อไปแล้ว

 

ในที่สุด … เธอก็ได้เป็นอิสระ!

 

ว่านเอ๋อค่อยๆยกสองมือขึ้นมาอย่างช้าๆ ปากรำพึงเสียงกระซิบ “วิถีพันธนาการ , แสวงหาโชคชะตา”

 

ปัง!

 

พลังวิญญาณอันใหญ่ยิ่งปะทุขึ้นมาจากฝ่ามือของเธอ ก่อร่างเป็นเปลวไฟสีเขียวพวยพุ่งขึ้นสู่หลังคาห้องลับ

 

ภายในเปลวไฟสีเขียว จักสามารถมองเห็นประตูที่ปิดแน่นได้อย่างเรือนราง

 

นี่คือเทคนิคมนตราของว่านเอ๋อที่เธอเป็นผู้ครอบครองมันแต่เพียงผู้เดียว และในโลกเดิมของเธอ มีเพียงผู้ฝึกยุทธที่สามารถปลดปล่อยพลังวิญญาณได้ในระดับขอบเขตพันวิบัติเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติที่จะใช้งานมันได้

 

พื้นฐานวรยุทธของเธอ บัดนี้ได้ฟื้นฟูกลับคืนมาดังเดิมแล้ว!

 

ว่านเอ๋อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่เดือดพล่านไปทั่วร่างกาย และทันใดนั้นเธอก็กรีดร้องลั่นออกมา

 

“อ๊าาาาาาาาาาาาาา!”

 

เสียงกรีดร้องนี้ปนเปื้อนออกมาพร้อมกันกับน้ำตาที่ราวกับเขื่อนแตก เพียงมองก็รับรู้ได้ว่าหากคิดจะหยุดมันคงมิใช่การง่าย

 

ฉานนู่ที่กำลังมองฉากนี้ ก็ได้หันไปเอ่ยกับกู่ฉิงซานด้วยความกังวล “นายน้อย ท่านต้องการที่จะ … ”

 

“ไม่ต้องหรอก นางทนแบกรับความเจ็บปวดมามากเกินไป เวลานี้ก็ปล่อยให้นางได้ระบายมันออกมาเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ว่าแล้ว เขาก็หันมาทางฉินรั่ว

 

ฉินรั่วกัดริมฝีปากแน่น ทั้งคนทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความกระวนกระวาย

 

“การปลดพันธนาการเมื่อครู่นี้ เจ้าคงจักเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อยเลยทีเดียว เจ้าต้องการจะพักฟื้นก่อนหรือไม่?” เธอเอ่ยถาม

 

“เหตุใดจึงต้องพักฟื้น?”

 

“เพราะมันจักต้องปลดพันธนาการให้สำเร็จในคราเดียว มิฉะนั้นแล้วโซ่ตรวนจะเข้าสู่สภาวะแช่แข็ง ข้าเกรงว่า … ”

 

“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะขอพักก่อนสักครึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานมองเธอและกล่าว

 

แต่พอได้ฟัง ร่องรอยความว้าวุ่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินรั่วทันที เธอเอ่ยน้ำเสียงแหบแห้ง “นั่นสินะ มันสมควรที่จะเป็นเช่นนั้น งั้นข้าจะรอ-”

 

แต่เสียงของเธอยังไม่ทันตกลง กู่ฉิงซานก็คว้าจับโซ่ตรวนที่พันธนาการกายเธอ แล้วกระชาก! มันออกอย่างแรงในทันที

 

เคร้ง!

 

โซ่ตรวนพันธนาการวิญญาณหล่นกระจายลงกับพื้น

 

ฉินรั่วตะลึงงัน

 

เธอลดศีรษะลง จ้องมองรอยรอยเลือด และบาดแผลตามเนื้อตัวของตนเอง

 

ตามต่อด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้ม มารวมกันตรงปลายคางกลายเป็นหยดน้ำใสๆร่วงลงสู่พื้น

 

“ปลดโซ่ตรวนได้สำเร็จจริงๆด้วย”

 

เธอเอ่ยปากด้วยความโล่งใจ ขณะที่เสียงของเธอฟังดูคล้ายกับการผ่อนลมหายใจยาว

 

พลังวิญญาณอันทรงพลังของเธอเกิดความผันผวนไปมา เฉกเช่นเดียวกันกับความรู้สึกของตัวเธอในขณะนี้

 

ในฐานะที่เป็นถึงผู้ฝึกยุทธชั้นนำของโลก แต่จำต้องทนแบกรับความอัปยศอดสูมาเป็นระยะเวลายาวนาน  จนห้วงอารมณ์ของเธอได้จมลงสู่ความสิ้นหวังไปตั้งเนิ่นนานแล้ว

 

และไม่เคยคิดเคยฝันเลย … ว่าท่ามกลางความสิ้นหวังอันมืดมิด ตนจักได้เห็นแสงจากรุ่งอรุณแห่งวันใหม่อีกครั้ง

 

“พี่สาว!”

 

ว่านเอ๋อวิ่งเข้ามา กระโจนเข้าโอบกอดเธอ

 

“ว่านเอ๋อ พวกเราเป็นอิสระแล้ว!”

 

ฉินรั่วกล่าวตะกุกตะกักราวกับคนติดอ่าง แต่เธอก็โอบกอดว่านเอ๋อแน่น

 

ทั้งสองซบไหล่กันและกัน ร่ำไห้ออกมา

 

“อืม … เราก็ปล่อยให้พวกเธอมีความสุขกันไปก่อน ระหว่างนี้ก็ไปเลือกใบหยกค่ายกลกันต่อเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่ตอบรับเขาด้วยรอยยิ้ม

 

แล้วเธอก็เดินปลีกตัวออกไปพร้อมกับกู่ฉิงซาน

 

เมื่อมาถึงชั้นวางใบหยกที่บันทึกค่ายกล ทั้งสองก็เริ่มทำการหยิบเลือกใบหยกชิ้นอื่นๆต่อทันที

 

ต้องไม่ลืมนะว่าพื้นที่แห่งนี้คือเขตหวงห้ามของหวังหงษ์เต๋า ดังนั้นทุกสิ่งแทบจะไม่มีอันใดที่เลวร้ายเลย

 

อย่างเดียวที่น่าเสียดายก็คือ เทคนิคดาบที่หวังหงษ์เต๋ามีไว้ในครอบครองน่ะ มันน้อยเกินไป

 

ขณะที่กู่ฉิงซานทำการเลือก ในเวลาเดียวกัน เขาก็กำลังขบคิดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาใหญ่อย่างการที่ตนกำลังขาดแคลนแต้มพลังวิญญาณไปพลางๆ ….

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.455 – รับเทคนิคดาบ

 

เฉียนซานเย่ได้ส่งมอบใบหยกทั้งสองให้แก่กู่ฉิงซาน

 

หนึ่งคือใบหยกที่บันทึกเทคนิคดาบตลอดชั่วชีวิตของเขา

 

ขระที่อีกหนึ่ง คือใบหยกที่เขาพึ่งหยิบขึ้นมา และเขียนความรู้ความเข้าใจที่เขามีต่อมารโลกาลงไป

 

กู่ฉิงซานจ้องมองใบหยกทั้งสองนี้ ก่อนจะทำการสำรวจมันโดยเริ่มจากใบแรก

 

กู่ฉิงซานคว้าจับมัน

 

ใบหยกชิ้นแรก กล่าวได้ว่าคุณลักษณะของมันช่างเรียบเนียน โปร่งใสและเปล่งประกาย มิอาจรู้ได้เลยว่ามันถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมานานขนาดไหนแล้ว

 

รู้หรือไม่ว่า ว่าจริงๆแล้วใบหยกทั่วๆไปน่ะ เดิมทีมันจะเป็นเพียงสีขาวขุ่น ขณะที่มีเพียงใบหยกที่มีเนื้อหาล้ำค่าอยู่ภายในเท่านั้น ที่ผู้ฝึกยุทธจักหวงแหนมัน และเก็บรักษาเอาไว้ใกล้ตัว หรือกระทั่งหยิบฉวยมันขึ้นมาชื่นชมบ้างเป็นครั้งคราว

 

และในกระบวนการนี้เอง ที่ผู้ฝึกยุทธจะเผลอถ่ายเทพลังวิญญาณของตนลงไปในใบหยกโดยไม่รู้ตัว ปีแล้วปีเล่า เมื่อเวลาผ่านพ้นไป สีของใบหยกจึงชัดเจนขึ้น โปร่งใสขึ้น และมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ

 

สำหรับเรื่องนี้ มันเป็นเพียงเรื่องธรรมดาสามัญยิ่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ กล่าวได้ว่าไม่ว่าผู้ใดต่างก็ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้

 

ดังนั้น เมื่อได้พบเจอกับใบหยกที่มีสีที่ดี คุณลักษณะดูยอดเยี่ยม หลายคนจึงมักจะสงสัยว่าเนื้อหาใดกันหนอ ที่ถูกบันทึกเอาไว้ภายในมัน

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กได้เด้งเตือนขึ้นมาทันใด

 

“นี่คือวิชาลับในการฝึกยุทธที่ถูกแบ่งออกเป็นสองวิถี โดยจะแบ่งออกเป็นในส่วนของกระบี่และดาบ”

 

บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แถมยังเปล่งประกายเจิดจ้า

 

ดูเหมือนว่ามันจะต้องการให้กู่ฉิงซานได้มองดู

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตามองรวดเดียว และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยพึมพำอย่างลับๆ

 

ในครั้งช่วงเวลาที่มีพื้นฐานวรยุทธต่ำกว่าก้าวสู่เทพ ผู้ฝึกยุทธมักจะชอบสะสมอาวุธเอาไว้หลากหลายชนิด และมักจะหยิบฉวยมันเพื่อใช้ในการโจมตีหลากหลายรูปแบบ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ที่สามารถก้าวข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าของขอบเขตก้าวสู่เทพได้ ผู้ฝึกยุทธก็จะต้องเลือกอาวุธหลักของพวกเขา

 

ด้วยเหตุนี้ กู่ฉิงซานจึงได้ละทิ้งธาตุสายฟ้า หรือกล่าวอีกอย่างว่ามันคือเทคนิคมนตรา และอาวุธธนูไป  และหันมาฝึกเข้าสู่วิถีดาบอย่างแท้จริง

 

เพราะวิถีดาบ มันเป็นอะไรที่สุดแสนจะวิเศษยิ่ง!

 

เมื่อผู้ฝึกยุทธตัดสินใจว่าจะเข้าสู่วิถีดาบ เขาก็จำเป็นต้องละทิ้งอาวุธอื่นๆที่ตนเคยได้ใช้งานไป

 

กู่ฉิงซานกลับสู่โลกจริงในครั้งก่อน หลังจากที่เขาได้ช่วยเหลือเย่เฟย์หยูในช่วงปราศรัยเลือกตั้งแล้ว เขาก็มุ่งไปยังทะเลทรายมาชาล่า และเริ่มทำการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ทันที

 

ในช่วงเวลานั้น กู่ฉิงซานได้ตัดสินใจเลือกแล้ว ว่าตนจะก้าวไปในวิถีแห่งดาบ

 

แม้ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ มักจะได้ยินคนพูดกันอยู่บ่อยๆว่ามีผู้ฝึกยุทธที่สามารถใช้อาวุธหลักได้ถึงสองชนิดอยู่ แต่ทว่านั่นมันเป็นเพราะอาวุธหลักทั้งสองของพวกเขาน่ะมันมิใช่ดาบ!

 

ผู้ฝึกดาบน่ะ จักต้องมีความชัดเจนและทุ่มสมาธิให้แก่ดาบอย่างแท้จริง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้อาวุธอื่นควบคู่กันไปกับสกิลดาบได้

 

ทว่าเฉียนซานเย่กลับแตกต่างออกไป ปราณดาบที่สำแดงออกมา มันบ่งบอกว่าเขาคือผู้ฝึกดาบที่แท้จริงอย่างแน่นอน

 

แล้วเขากลับสามารถเรียนรู้ทักษะกระบี่เป็นอาวุธหลักควบคู่ไปด้วยกันได้อย่างไร?

 

ในความเป็นจริงแล้ว มิใช่แค่เพียงกู่ฉิงซานเท่านั้นที่งงงวย ทว่าผู้ฝึกยุทธในยุคเมื่อ 1000 ปีก่อน ต่างก็บังเกิดความสงสัยขึ้นไม่แพ้กัน

 

อย่างไรก็ตามในใบหยกแผ่นแรก ก็ได้บันทึกถึงเรื่องราวที่ว่าในช่วงพันปีที่ผ่านมาและบ่งบอกถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากจริงๆ

 

ใบหยกชิ้นนี้ มันถูกบันทึกไว้แม้กระทั่งการต่อสู้ในแต่ละครั้งของเฉียนซานเย่ ในทุกๆการโจมตีและตัดสินใจที่จะใช้เทคนิคดาบในช่วงเวลาตัดสินแพ้ชนะ ทั้งหมดล้วนถูกเก็บไว้

 

ขณะที่ในยุคสมัยนั้น ผู้คนต่างก็ยังงงงวยและไม่เข้าใจว่าเฉียนซานเย่สามารถใช้ดาบและกระบี่เป็นอาวุธหลักควบคู่กันได้อย่างสมบูรณ์แบบได้อย่างไร

 

และในช่วงเวลาดังกล่าวที่ผ่านพ้น ก็ไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถสืบค้นถึงความลับนี้ของเขาได้

 

แต่เหตุผลหลักๆนั่นก็เพราะเฉียนซานเย่น่ะคือผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกในยุคสมัยนั้น!

 

จึงกล่าวได้ว่า ตราบใดที่เขาไม่เต็มใจจะเอ่ย ก็ย่อมไม่มีใครจักสามารถง้างปากของเขาให้คายความลับที่ว่านี้ออกมาได้

 

กู่ฉิงซานบ่นพึมพำออกมาเบาๆ “สองวิถีที่แตกต่าง … โชคดีจริงๆที่ข้าได้เห็นถึงสิ่งที่บันทึกเอาไว้เหล่านี้ มิเช่นนั้นเกรงว่าการจะทำความเข้าใจมันคงจะไม่ง่ายนัก”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังใบหยกอีกแผ่นในอากาศ

 

เฉียนซานเย่กล่าวว่าใบหยกชิ้นนี้ ตนได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับมารโลกาเอาไว้

 

เมื่อเทียบเปรียบกับความลับของวิถีดาบในใบหยกแผ่นแรกแล้ว กู่ฉิงซานรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในใบหยกที่กุมความลับเกี่ยวกับมารโลกาไว้มากยิ่งกว่าเสียอีก

 

ฉินรั่วเอื้อมมือออกไป หมายจะคว้าจับมันมา

 

ทว่ากู่ฉิงซานกลับหยุดมือของเธอเอาไว้เสียก่อน

 

“เอ๋ นายน้อย?” ฉินรั่วเอ่ยปากออกมาด้วยความสงสัยในการกระทำของเขา

 

แต่แล้วร่างของฉานนู่ก็วูบไหวทันใด และหายวับไปทันทีจากในสถานที่เดิมของเธอทันที

 

วินาทีถัดมา เธอก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งกลางเวหา

 

นี่เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายอย่างเรียบง่าย มันเกิดจากการที่เธอใช้สกิลเทวะ : ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

 

ฉานนู่ลงมือราวกับสายฟ้าฟาด เธอคว้าจับใบหยกและเก็บลงในถุงสัมภาระทันที

 

สองสาวใช้ยังมิทันได้ตอบสนอง ใบหยกแผ่นที่สองก็ถูกเก็บลงในถุงสัมภาระเสียแล้ว

 

ฉานนู่ค่อยๆลอยลดระดับลงมา

 

“ทำได้ดีมาก” กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาด้วยความพึงพอใจ

 

ขณะที่บนใบหน้าของสองสาวใช้กำลังเผยถึงความงงงวย ฉานนู่ก็ได้กล่าวออกมาตามตรงว่า “เป็นนายน้อยที่ส่งผ่านความคิดมาหาข้า ว่าให้ข้าทุ่มสุดฝีมือเพื่อเก็บใบหยกแผ่นนี้ให้เร็วที่สุดให้จงได้”

 

เมื่อสองสาวใช้ได้ฟัง ภายในจิตใจของพวกเธอก็บังเกิดความสับสนเล็กๆน้อยๆขึ้นทันที

 

การกระทำเช่นนี้ … ใช่หมายความว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะขัดขวางตนเอง มิให้อ่านใบหยกหรือไม่?

 

นี่กู่ฉิงซานไม่เชื่อใจพวกเธออีกอย่างงั้นหรือ?

 

สาวใช้ทั้งสองบังเกิดความคิดนี้ขึ้นภายในจิตใจพร้อมๆกัน

 

ว่านเอ๋อมองไปทางกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวอย่างระมัดระวัง “นี่เจ้าไม่เชื่อในตัวพี่สาวรั่วอย่างงั้นหรอ? นางไม่มีทางบอกความลับภายในใบหยกให้แก่ผู้อื่นหรอกนอกจากเจ้า!”

 

ริมฝีปากของฉินรั่วเม้มขึ้นเล็กน้อย ท่าทีของเธอแม้จะดูตกใจ แต่ก็ไปทางเศร้าใจเสียมากกว่า

 

ชีวิตของเธอถูกผูกติดอยู่กับคนๆนี้ และเธอก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะช่วยเหลือเขา แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายมิได้เชื่อใจในตัวเธอเลย

 

กู่ฉิงซานที่เห็นถึงฉากนี้ ก็เริ่มเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาทันใด

 

เขาเลยจำเป็นต้องเอ่ยอธิบายออกมาว่า “นี่มันช่างน่าปวดหัวเสียจริง พวกเจ้าใจเย็นๆแล้วคิดดูดีๆก่อนสิ ที่ข้าทำ มันเป็นเพราะต้องการป้องกันไม่ให้พวกเจ้าพบเผชิญกับอันตรายต่างหากล่ะ”

 

ฉินรั่วเป็นคนฉลาด พอได้ฟังคำกล่าวนี้ และลองไตร่ตรองดูอย่างรอบคอบดั่งที่อีกฝ่ายขอ เธอก็เอ่ยถามออกมา “แต่ก่อนหน้านี้นายน้อยกล่าวว่า ‘ระหว่างผู้ฝึกดาบน่ะ มีเพียงดาบเท่านั้น’ ใช่หรือไม่”

 

เธอพึมพำ “เดิมทีแล้วดาบก็เปรียบดั่งเป็นทั้งชีวิตและความตาย … ”

 

“หรือว่านายน้อยจะพบเจออะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับมันเข้า?”

 

“ฉินรั่ว เจ้าช่างเป็นคนที่หลักแหลมเสียจริง” กู่ฉิงซานเอ่ยชม

 

“มันคงจะเป็น ‘จิตแห่งดาบ’ ใช่หรือไม่?” ฉินรั่วเอ่ยถาม

 

“ใช่ มันคือ ‘จิตแห่งดาบ’”

 

กู่ฉิงซานอธิบายว่า “ดาบคู่เอกลักษณ์นั้นมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ อย่างเช่นเทคนิคฝึกยุทธในใบหยกนี้ มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนเกิดความโลภ”

 

“ขณะที่ใบหยกอีกแผ่นหนึ่ง ก็ได้บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับมารโลกา ซึ่งนี่มันเป็นเรื่องที่แทบจะทำให้ข้าอดใจไม่ไหวที่จะอ่านมัน”

 

“หลังจากที่ข้าตรวจสอบใบหยกชิ้นแรก และพบว่ามันไม่มีกับดักใดๆ แต่กลับเต็มไปด้วยเทคนิคฝึกยุทธ ตัวข้าก็จักผ่อนคลายลงตามชาตญาณของมนุษย์ … และนั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น”

 

“ซึ่งณ จุดๆนี้ ยามเมื่อข้าได้รับใบหยกแผ่นที่สองมา ตามสัญชาตญาณ ตัวข้าก็จักปรารถนาที่จะรู้เนื้อหาของมัน และอดใจไม่ไหวจำต้องคว้าจับเพื่อทำการข้อมูลที่อยู่ภายในทันที”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

 

“หลังจากที่ผ่านพ้นมาพันปี เฉียนซานเย่ที่อยู่ในร่างจิตวิญญาณมานาน ก็คงจะก้าวหน้าขึ้น จนถึงขั้นเรียนรู้ที่จะกลายเป็น ‘จิตแห่งดาบ’ และคงจะใช้มันคิดฉวยโอกาสบางอย่าง”

 

“แต่ข้าก็ไม่ได้มอบโอกาสนั้นแก่เขา”

 

ฉินรั่วที่พึ่งเข้าใจ ก็บังเกิดความสงสัยขึ้นอีกครั้งทันที

 

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าใบหยกแผ่นแรกที่บันทึกเทคนิคลับแห่งดาบมันไม่มีกับดัก?”

 

“ก็เพราะมันจำเป็นที่จะต้องไร้ซึ่งกับดักน่ะสิ มิฉะนั้น ตัวข้าที่กำลังระแวงสงสัย ก็คงจะไม่ตกหลุมพรางของเฉียนซานเย่เป็นแน่”

 

“แล้วเหตุใด เจ้าถึงได้ให้ฉานนู่เก็บใบหยกชิ้นที่สองไปอย่างรวดเร็วกัน?”

 

“เพราะเฉียนซานเย่มีวิธีการมากมายที่จะใส่บางสิ่งลงไปในใบหยกแผ่นที่สองนี้น่ะสิ บางทีอาจเป็นการแปลงตนเป็นจิตแห่งดาบและแฝงตนเข้าไป พอข้าสัมผัสต้อง เขาก็จะลอบเข้ามาสิงสู่ข้าก็เป็นได้ แต่หากมันถูกส่งเข้าสู่ถุงสัมภาระ ก็เท่ากับเข้าสู่พื้นที่อื่น ซึ่งในกรณีนี้เขาจะไม่สามารถทำอะไรกับข้าได้— เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมีวิธีการกระโดดออกมาจากถุงสัมภาระของฉานนู่ด้วยตนเอง”

 

สองสาวใช้มองหน้ากัน ก่อนจะเบนสายตาออกไปและเห็นแค่เพียงมือของฉานนู่ที่กดประทับตราลงบนถุงสัมภาระ

 

“คราวนี้ ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีการใดก็ตาม เขาก็จะไม่สามารถหลุดออกไปจากเงื้อมมือของข้าได้” ฉานนู่กล่าว

 

ว่านเอ๋อได้สติกลับคืน เธอหันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าว “ดังนั้น เจ้ากำลังจะบอกว่า แท้จริงแล้วเจ้าก็มิได้เชื่อใจเขาตั้งแต่แรกอย่างงั้นหรือ?”

 

ฉินรั่วเอ่ยถามด้วยเช่นกัน “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าเขาจะไม่ใช้อุบายหรือเล่นตุกติดใดๆ ในยามที่อยู่ต่อหน้าใบหยกชิ้นที่สอง … นั่นเจ้าจงใจใช่หรือไม่?”

 

“แน่นอน เพราะว่าข้าไม่อยากจะทำให้เขาบังเกิดความสงสัยขึ้นมาน่ะสิ แม้จะเป็นในนาทีสุดท้ายก็ตาม”

 

“ตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่เจ้าจับได้ว่าเขาคิดไม่ซื่อ?” ดวงตาของฉินรั่วกระจ่างใสขึ้น

 

“เพราะเขาถูกวางเอาไว้ในค่ายกลโจมตีที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งน่ะสิ”

 

กู่ฉิงซานหันไปมองฉานนู่

 

ฉานนู่พยักหน้าและกล่าวว่า “นอกเหนือไปจากข้า หากเป็นผู้อื่นเข้าไปภายในนั้น ก็คงยากที่จะกลับออกมาอีกครั้ง”

 

“หากอ้างอิงจากนิสัยของหวังหงษ์เต๋า การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติยิ่ง ดังนั้น เฉียนซานเย่แน่นอนว่าย่อมต้องไม่มีโอกาสที่จะได้ออกมาพบกับผู้คน หรืออีกความหมายนึงก็คือเขาไม่สมควรที่จะได้รับรู้ถึงข้อมูลใดๆจากภายนอก”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ในขณะที่ถึงแม้ว่าข้าจะอธิบายถึงสถานะว่าเป็นปรมาจารย์ตำหนักซานเหว่ยออกไป แต่เขากลับมิได้ซักไซ้เอ่ยถามถึงอาจารย์และที่มาของข้าเลย ”

 

“นั่นสิ นี่มันออกจะดูแปลกๆไปหน่อยนะ” ฉินรั่วพยักหน้า

 

“สิ่งที่เขากล่าวออกมาตั้งแต่แรกเลยคือเรื่องราวฆาตกรรมอาจารย์ตนอันอื้อฉาวของหวังหงษ์เต๋า แล้วจากนั้นเขาก็อ้างสรุปไปว่าข้ามิใช่ลูกศิษย์ของหวังหงษ์เต๋าเลยในทันที เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เรื่องนี้ … อย่าบอกนะว่าเพื่อที่เขาจะได้อ้างตนว่าจะสอนสั่งเทคนิคดาบให้แก่ได้เจ้าอย่างงั้นหรือ?” ว่านเอ๋อเอ่ยถาม

 

“ถูกต้อง ตราบใดที่ข้าละโมภ และบังเกิดความปรารถนาที่จะเรียนรู้ทักษะดาบของเขา ข้าจะต้องเออออบอกไปตามน้ำว่าตนเองมิได้เป็นศิษย์ของหวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน”

 

“ดังนั้นแล้ว เขาจึงมั่นใจว่าข้าได้กินเหยื่อที่เขาหย่อนลงมาแล้วอย่างแท้จริง”

 

ว่านเอ๋อส่ายหัวและกล่าวว่า “แต่สิ่งที่เขาสรุปออกมามันค่อนข้างแม่นยำมาก และตัวเจ้าก็มิใช่ศิษย์ของหวังหงษ์เต๋าจริงๆ”

 

“แล้วเขาสรุปออกมาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามกลับ

 

ว่านเอ๋อจดจำได้ว่า “ก็เขากล่าวว่าหวังหงษ์เต๋ามิได้ใช้ทักษะดาบ แต่ฉกาจในด้านการใช้กระบี่และวิชาควบคุมศพ ดังนั้น หวังหงษ์เต๋าก็ไม่น่าจะมีศิษย์เป็นผู้ใช้ดาบเช่นเจ้าเป็นแน่ ยังไงเล่า”

 

กู่ฉิงซาน “แล้วเซ่าหวูชุ่ยที่เป็นผู้ฝึกยุทธ ‘นักสู้หวูเต๋า’ เล่า? หวังหงษ์เต๋าเองก็มิใช่เชี่ยวชาญในแขนงนักสู้มิใช่หรือ แล้วเหตุใดเซ่าหวูชุ่ยจึงยังเป็นศิษย์ของเขาได้กัน?”

 

ว่านเอ๋อพูดไม่ออกในทันใด

 

ฉินรั่วถอนหายใจ “จงใจใช้ความจริงปรุงแต่งให้เป็นเรื่องโกหกล่ะสินะ ตราบใดที่ผู้ฝึกยุทธบังเกิดความโลภในเทคนิคฝึกยุทธของเฉียนซานเย่ เขาก็จะเออออห่อหมกไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ และตกหลุมพรางในที่สุด … ช่างเป็นกลอุบายที่แยบยลยิ่งนัก”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยเสริม “และในขั้นต่อมา เขาก็ใช้ความหวาดกลัวที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดต่างก็มีอย่างมารโลกา เพื่อสร้างใบหยกชิ้นที่สองขึ้น – จดจำได้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่งนิกายกวงหยางได้ทำการทดสอบเพื่อหาเบาะแสของมารโลกามาก่อน ซึ่งการกระทำเช่นนั้นไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ได้ว่ามันคือความปรารถนาของผู้ฝึกยุทธทั้งมวลที่ต้องการจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป”

 

“หนึ่งใบหยก ล่อลวงด้วยความโลภ ขณะที่อีกหนึ่งใบหยก ล่อลวงด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป เขาถึงขั้นใช้เหยื่อก้อนโตมาเป็นเหยื่อล่อ จนทำให้หัวใจข้าบังเกิดความอยากที่จะได้มันมาครอบครอง ทั้งๆที่เขาก็คิดจะมอบมันให้อยู่แล้ว”

 

“แม้ว่าข้าจักไม่เอ่ยปากสาบานว่าจะสังหารหวังหงษ์เต๋า แต่เขาก็ยังคงจะมีวิธีการอื่นที่จะใช้เกลี้ยกล่อมข้าอยู่ดี – ตราบเท่าที่ข้าต้องการจะเรียนรู้ทักษะของเขา ข้าก็มั่นใจว่าเขาจะต้องขบคิดข้อเสนอที่สุดท้ายข้าก็จะต้องยินยอมตกลงเป็นแน่”

 

ว่านเอ๋อยกมือขึ้นกุมศีรษะ ปากบ่นพึมพำ “เหตุใดคนผู้นี้จึงสามารถวางแผนได้อย่างแยบยลถึงเพียงนี้! นี่มันชักจะน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว!!”

 

“แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังสิ้นลายลงเพราะหวังหงษ์เต๋าอยู่ดี” ฉินรั่วกล่าว

 

สองสาวใช้มองหน้ากันวูบหนึ่ง ก่อนจะเห็นถึงความหวาดกลัวที่อยู่ลึกเข้าไปในแววตาของอีกฝ่าย

 

แม้พวกเธอจะเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอด และมีประสบการณ์ที่พิเศษยิ่งกว่าผู้อื่นมากมาย ทว่าในสงครามประสาทเช่นนี้ บอกได้เลยว่าไม่เคยแม้จะได้เฉียดกายสัมผัสมันมาก่อน

 

หากเป็นเขาที่ทำการแลกเปลี่ยนกับพวกเธอ … อุบายในครั้งนี้ของเฉียนซานเย่ก็คงจะประสบผลสำเร็จไปแล้ว!

 

และหลังจากนี้ ยังคงมีหวังหงษ์เต๋าที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยิ่งกว่าเฝ้ารอให้พวกเธอพบเผชิญอยู่อีก!

 

แล้วเช่นนี้พวกเธอสมควรจะทำอย่างไรดี?

 

“ความสิ้นหวังมักจะทำให้ผู้คนเป็นบ้า” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ

 

เขาลดหัวลง และจ้องมองใบหยกแผ่นแรกบนมือ

 

ในใบหยก อัดแน่นไปด้วยความลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดของดาบคู่เอกลักษณ์

 

อย่างไรก็ตาม ในโลกล่องเวหาใบนี้ ในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและสิ้นหวัง ทุกผู้คนล้วนอันตราย  ในหัวใจของมนุษย์ช่างน่าหวาดหวั่นและเต็มไปด้วยความอำมหิต

 

แล้วกลุ่มของกู่ฉิงซานจะสามารถมั่นใจเต็มร้อยว่าจะฝ่าวงล้อมทุกเหตุการณ์ร้ายๆนี้ไปได้จริงๆหรือ?

 

แน่นอนว่าไม่

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

 

ณ ขณะนั้นเอง ในวิสัยทัศน์ของเขาก็ปรากฏอีกหนึ่งเส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“การกรองข้อมูลภายในใบหยกแผ่นแรกได้เสร็จสิ้นลงแล้ว”

 

“การวิเคราะห์โดยรวมของใบหยกเสร็จสมบูรณ์”

 

“ค้นพบว่าในใบหยก มีเนื้อหากว่า 98.7% ที่ไร้ประโยชน์”

 

“ทำการละทิ้งข้อมูลส่วนใหญ่ที่ผิดพลาด และเริ่มผกผันข้อมูลในส่วนที่ขาดหายไป — ในใบหยกนี้ยังมีเนื้อหาเทคนิคฝึกยุทธที่สมบูรณ์และเที่ยงแท้หลงเหลืออยู่ทั้งสิ้น 1.3%”

 

“คุณต้องการที่จะตรวจสอบข้อมูลในส่วนนี้หรือไม่?”

 

กู่ฉิงซานกล่าวออกมาอย่างด้านชา “ต้องการตรวจสอบ”

 

ทันใดนั้นเอง เส้นแสงหิ่งห้อยบรรทัดใหม่ก็ปรากฏขึ้นในระบบเทพสงครามทันที

 

“ค้นพบวิชานักดาบนิรันดร์ที่สมบูรณ์และเที่ยงแท้ของโลกใบนี้”

 

“นี่คือเนื้อหาทั้งหมดในใบหยกที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าถูกต้องสมบูรณ์ โปรดวางใจและทำการตรวจสอบดูได้”

 

“เทคนิคลับนักดาบนิรันดร์ , ค่ายกลดาบ : ไท่หยี ”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.454 – เอ่ยถามดาบ

 

การถูกสิงสู่ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย

 

มันคือการทำลายกฏเกณฑ์ของโลกอย่างรุนแรง และจะส่งผลพวงต่อเส้นทางแห่งโชคชะตาของผู้คนนับไม่ถ้วน ผลกระทบของมันจะขยายออกไปเป็นวงกว้าง ชนิดที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ผู้นำเฉียน การที่ท่านยอมบอกสิ่งนี้กับข้าออกมาตรงๆเช่นนี้ ท่านต้องการอะไรกันแน่?”

 

ท่าทีการแสดงออกของเฉียนซานเย่ดูจะสั่นไหวเล็กน้อย

 

“เดิมทีแล้ว ความตั้งใจของข้าก็คือ ยามเมื่อหวังหงษ์เต๋าเริ่มเปิดใช้งานใบหยกนี้ ตัวข้าก็จะเริ่มทำการสิงสู่กายเขาทันที”

 

“ตราบใดที่หวังหงษ์เต๋าสัมผัสใบหยกชิ้นนี้ ข้าก็จะสามารถเข้าสู่จิตเทวะของเขา จากนั้นก็ซ่อนตัวตน และเมื่อใดก็ตามที่เขากำลังต่อกรกับศัตรู ข้าก็จะฉวยจังหวะนั้นเข้ายึดครองร่างกายของเขา ทำให้ทั้งคนทั้งร่างของเขาสูญเสียการควบคุม เปิดโอกาสให้ศัตรูเข้าโจมตี และพินาศสิ้นไปพร้อมๆกัน”

 

“และหากเขาเลือกที่จะมอบใบหยกนี้ให้แก่ลูกศิษย์ ข้าก็จะสิงสู่ศิษย์ผู้นั้นแทน”

 

“จากนั้น เมื่อยามที่ข้าได้กลายเป็นศิษย์เขา ข้าก็จักหมั่นฝึกฝนจนแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และคอยลอบสังเกตหวังหงษ์เต๋าในทุกๆการเคลื่อนไหว จนกระทั่งค้นพบถึงจุดอ่อนของเขา”

 

“แล้วก็เฝ้ารอ .. เฝ้ารอจนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่ข้ามั่นใจแล้วว่ามีโอกาสมากพอที่จะลอบสังหารเขาได้ สุดท้ายก็จักลงมือและล้างหนี้แค้นด้วยเลือดซะ”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว

 

เฉียนซานเย่ผู้นี้ เป็นถึงดาบคู่เอกลักษณ์ เป็นบุรุษที่มีชื่อเสียงเป็นหนึ่งไม่มีสองในยุคสมัยของเขา

 

ในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ตัวตนที่อยู่ในจุดสูงสุดเช่นนั้น กลับมองแผนการไม่ขาด และดันโดนลูกศิษย์ของตนสังหารจนกระทั่งเป็นฝ่ายตกตายเองเสียนี่

 

—แต่ก็นะ มันเป็นการพลาดท่าให้กับลูกศิษย์ที่ไม่เคยทำอะไรบกพร่องเลยตลอดระยะเวลา 300 ปีที่อยู่ร่วมกันมา

 

เนื่องจากนี่เป็นข้อเสนอของเฉียนซานเย่ ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่อาจทำเป็นละเลยมันได้

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “ความอัปยศที่ท่านผู้ทรงเกียรติแบกรับเอาไว้คงจะหนักหนาไม่น้อย แต่แผนการของท่านก็ไม่เลวเลย เพียงแค่มันยังไม่ประสบผลสำเร็จก็เท่านั้นเอง”

 

“ใช่ หวังหงษ์เต๋าแม้เป็นคนละโมบ แต่ขณะเดียวกันเขาก็มีนิสัยขี้ระแวง ดังนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะค้นพบใบหยกชิ้นนี้แล้วก็ตามที แต่ก็ยังมิกล้าที่จะทดลองฝึกฝนอยู่ดี”

 

บนใบหน้าของเฉียนซานเย่เผยร่องรอยของความคาดไม่ถึง “แม้จะได้รับทักษะดาบที่เฝ้ารอคอยมาเนิ่นนานแล้วก็ตามที ทว่าเจ้าตัวกลับเกิดความสงสัยว่า ‘อาจมีบางสิ่งเกี่ยวกับใบหยกชิ้นนี้ที่มันไม่ปกติก็เป็นได้’ เขาบังเกิดความกลัวว่าข้าจะเตรียมการสังหารเขาไว้อย่างลับๆ ดังนั้นตั้งแต่ที่ได้รับใบหยกมา กระทั่งผ่านพ้นไปกว่า 1000 ปี หวังหงษ์เต๋าก็ยังมิคิดเฉียดกายมาสัมผัสต้องใบหยกแผ่นนี้เลย”

 

“นั่นคงเป็นเพราะเขาได้ลอบสังหารท่าน” กู่ฉิงซานกล่าว “และเขารู้ว่าท่านมีกลยุทธ์มากมายไร้ที่สิ้นสุดไว้คอยแก้แค้น ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะสัมผัสใบหยกชิ้นนี้ ที่อาจจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่านั่นได้”

 

เฉียนซานเย่ถอนหายใจ “นอกจากนี้ เขายังไม่เคยคิดจะมอบเทคนิคดาบนี้ให้แก่ลูกศิษย์ตนเลย จนภายหลังข้าทราบมาว่ากระทั่งศิษย์ตัวเอง เขาก็ยังไม่ไว้วางใจ และได้ใช้วิชาต้องห้ามกับศิษย์ในการควบคุมทุกการกระทำของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง”

 

“ดูเหมือนว่าเขาจะบังเกิดอาการหลอกหลอนภายในจิตใจ จึงหวั่นเกรงศิษย์ของตน ว่าจะกระทำการเฉกเช่นเดียวกันกับที่ตนเคยทำกับอาจารย์เอาไว้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“และนั่นคือเหตุผลที่ใบหยกถูกปิดผนึกเอาไว้ที่นี่ ทำให้ข้าไม่เคยได้รับโอกาสที่จะทำตามแผนการที่ได้วางเอาไว้เลย” เฉียนซานเย่กล่าว

 

“เช่นนั้นสิ่งที่ท่านต้องการจะทำต่อไปคืออะไร? หาร่างสิงสู่อีกใช่หรือไม่?”

 

“ไม่หรอก ข้ากับเจ้ามิได้เป็นปฏิปักษ์ใดๆต่อกัน และอีกอย่าง ตัวเจ้าเองก็ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของเขา” เฉียนซานเย่กล่าวอย่างสัตย์ซื่อ

 

และเอ่ยเสริมอีกว่า “นี่มันก็ล่วงเลยมายาวนานกว่า 1000 ปีแล้ว จิตวิญญาณของข้าได้มาถึงขีดจำกัด และมิอาจฝืนทนรอได้ไหวอีกต่อไปแล้ว”

 

เฉียนซานเย่วาดมือออกไป และใบหยกก็ลอยกลับเข้ามาในมือของเขา

 

“ข้าสัมผัสได้ถึงเจตดาบในกายเจ้า ตัวเจ้าเองเป็นผู้ฝึกดาบใช่ไหมล่ะ”

 

“มิผิด”

 

“เช่นนั้นกล้าให้คำมั่นสาบานต่อฟ้าดินหรือไม่ ว่าเจ้าจักสังหารหวังหงษ์เต๋า”

 

“นั่นคือการแลกเปลี่ยนที่ท่านต้องการงั้นหรือ?”

 

“ถูกต้อง หากเจ้ากล้าสาบาน ข้าจะส่งต่อเทคนิคดาบให้แก่เจ้า”

 

เฉียนซานเย่หยุดไปสักพัก ก่อนจะเริ่มกล่าวต่อ

 

“ข้าสังเกตเห็นว่าเจตดาบของเจ้าช่างบริสุทธิ์ชนิดหาตัวจับได้ยากยิ่ง มันเหมาะสมสำหรับทักษะดาบที่ข้ารังสรรขึ้น ตราบใดที่เจ้-”

 

เฉียนซานเย่ต้องการจะเอ่ยต่อไปอีกไม่กี่คำ ทว่ากู่ฉิงซานก็เปล่งเสียงขัดเขาซะก่อน

 

“ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าให้คำมั่นสาบานว่าจักกำจัดหวังหงษ์เต๋าให้จงได้”

 

ระหว่างสวรรค์และโลก บังเกิดกระแสลมที่มองไม่เห็นโคจรวนรอบกายกู่ฉิงซาน

 

เฉียนซานเย่ชะงักงันไป

 

เจ้าหนุ่มผู้นี้ เหตุใดมันจึงเอ่ยคำมั่นสาบานออกมาราวกับเป็นเพียงเรื่องง่ายดายเช่นนี้?

 

“คำมั่นสาบานมิใช่เรื่องล้อเล่นนะเจ้าหนุ่ม สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว หากละเมิดคำมั่น ผลพวงที่ตามมาจักร้ายแรงยิ่ง” เฉียนซานเย่กล่าวอธิบายอย่างจริงจัง

 

“เรื่องนั้นข้าทราบ แต่ข้าเองก็ยังเลือกที่จะสาบานว่าจักสังหารคนผู้นั้นอยู่ดี” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เพราะอะไร?”

 

“เพราะเขาเป็นคนสังหารบิดาข้า ซึ่งเป็นผู้นำนิกายรุ่นนี้”

 

“เหตุใดเขาถึงได้ทำเช่นนั้น?”

 

“เพราะบิดาข้ากำลังจะตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตเดียวกันกับหวังหงษ์เต๋าซึ่งก็คือลมปราณจิต ทว่าตัวหวังหงษ์เต๋าเวลานี้กำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ พวกเขาเป็นศัตรูกัน ดังนั้นหวังหงษ์เต๋าจึงได้สังหารบิดาข้าจนตกตายก่อนที่จะกลายเป็นตนที่ต้องตายลงเสียเอง”

 

กู่ฉิงซานมิได้โกหก – เพราะนี่คือสิ่งที่สองศิษย์รักของหวังหงษ์เต๋าเป็นผู้กล่าวมันออกมาด้วยตนเอง

 

เฉียนซานเย่ตกอยู่ในภวังค์ ลังเลไปสักพักหนึ่ง

 

เบื้องหน้าตนคือผู้ฝึกดาบ ขณะเดียวกันก็มีสาวใช้หน้าตางดงามที่เป็นถึงขอบเขตพันวิบัติถึงสองคน สถานะในนิกายของคนผู้นี้ย่อมมิใช่สามัญอย่างแน่นอน

 

จากรูปการณ์แล้ว อีกฝ่ายมีโอกาสสูงที่จะเป็นถึงปรมาจารย์ตำหนักหรือบุตรชายของผู้นำนิกายจริงๆ

 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ฝึกดาบ! ผู้ฝึกดาบที่เปล่งคำมั่นสาบานต่อฟ้าดินไปแล้ว ว่าจักต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าให้จงได้!

 

ฟ้าดินเป็นพยาน คำสาบานไม่สามารถโป้ปดได้

 

บุคคลผู้นี้จักต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าอย่างแน่นอน และการโกหกหลอกลวงผู้อื่นด้วยคำที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้มันจะมีประโยชน์อะไร?

 

ยิ่งไปกว่านั้น บิดาของชายผู้นี้ยังเป็นผู้นำนิกายยุคปัจจุบัน แต่สุดท้ายก็ยังถูกลอบสังหารลงโดยหวังหงษ์เต๋า

 

หากเป็นในกรณีนี้ การที่จะมอบเทคนิคดาบให้แก่เขา มันย่อมจะเป็นการดีกว่า

 

สามปรมาจารย์ตำหนัก สมควรที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า

 

และผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า หากต้องต่อกรกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส … มันก็ยังพอจะมีความเป็นไปได้

 

เฉียนซานเย่ถอนหายใจ และเอ่ยออกมาในที่สุด “หวังหงษ์เต๋าเอ๋ย หวังหงษ์เต๋า สิ่งที่เจ้ากระทำกับข้าในครั้งอดีตที่ผ่านมา ตอนนี้มันก็ถึงเวลาที่เจ้าจะถูกกระทำเช่นเดียวกันบ้างแล้ว!”

 

“ที่คือเวรกรรม จากกฏแห่งการกระทำอย่างแท้จริง!”

 

ขณะกล่าว เฉียนซานเย่ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากหัวเราะลั่นออกมา

 

นับตั้งแต่ที่ตนได้เลือกเข้ามาสิงสถิตอยู่ในใบหยก ก็เป็นวันนี้นี่แหละที่เขารู้สึกมีความสุขมากที่สุด

 

เฉียนซานเย่กำใบหยกที่บันทึกเทคนิคดาบแน่นขึ้น

 

เขาเฝ้ามองดูกู่ฉิงซาน และพลันตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นผู้ฝึกดาบเช่นกันนี่นา

 

ใช่แล้ว เจ้าหนุ่มนี่เป็นผู้ฝึกดาบนี่นา …

 

เฉียนซานเย่เงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่ความคิดภายในจิตใจของเขาค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป

 

“ในขณะที่ข้ากำลังจะหายไป ใคร่ขอเอ่ยถามเจ้าอีกสักคำถามหนึ่งจะได้ไหม” เขาเอ่ยปาก

 

“เชิญกล่าว” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

“ข้าสังเกตเห็นว่าเจตดาบของเจ้า มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการสังหาร นอกจากนี้มันยังรุนแรงยิ่ง แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากผู้ฝึกดาบบังเกิดความกระหายเลือดมากเกินไป มันจะส่งผลร้ายต่อวิถีดาบของคนผู้นั้นในระยะยาว”

“แน่นอน ข้ารู้”

 

“เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงยังมิเปลี่ยนแปลงเจตดาบของตน?” เฉียนซานเย่เอ่ยถาม

 

“เพราะดาบมีไว้ใช้เพื่อสังหารศัตรู นั่นคือความเป็นจริงที่เรียบง่ายที่สุดสำหรับผู้ฝึกดาบ” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างแผ่วเบา

 

“เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าจักสังหารทุกคนที่สมควรจะถูกฆ่ากระนั้นหรือ?” เฉียนซานเย่ไล่ถามต่อ

 

“ไม่หรอก มันไม่มีใครที่เกิดมาแล้วคู่ควรจะถูกสังหารลงด้วยดาบ”

 

กู่ฉิงซานส่ายศีรษะของเขา “ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกดาบน่ะ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมิใช่ผู้ที่ถูกสังหาร แต่คือผู้ที่ข้าจำต้องปกป้องเอาไว้ต่างหาก”

 

เฉียนซานเย่พอได้ฟังความคิดเห็นนี้ สีหน้าและแววตาของเขาก็เผยถึงการยอมรับ

 

“ นี่แหละ …  นี่แหละคือผู้ฝึกยุทธที่เหมาะสมแก่การถูกเรียนว่าผู้ฝึกดาบที่แท้จริงล่ะ!”

 

เขาบ่นพึมพำ ความคิดในจิตใจก็กลายเป็นกระจ่างชัด

 

“หากเป็นแบบนั้น ข้าก็ไม่มีคำถามอื่นใดอีก”

 

เฉียนซานเย่จีบมือออกแปรผันสัญลักษณ์ต่างๆอย่างไวว่อง ก่อนจะกระแทกมันลงบนใบหยกจนบังเกิดแสงสว่างจ้า

 

“เมื่อครู่ข้าได้คลายกับดักในใบหยกออกแล้ว”

 

เขากล่าวอย่างช้าๆ “ตอนนี้ ข้ากำลังจะเขียนเทคนิคดาบลงในใบหยก และหวังว่าเจ้าจะสามารถสืบทอดทักษะดาบต่อจากข้าได้”

 

ว่าแล้ว ใบหยกก็ถูกยกขึ้น และแปะลงบนหน้าผากเขา

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ ใบหยกก็ยังคงลอยล่องอยู่กลางเวหา ทว่าร่างเงาของเฉียนซานเย่กลับค่อยๆเลือนหายไป

 

“สุดท้าย สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกเจ้าก็คือ ในยามที่ข้ากำลังรักษาตัวอยู่ มันเป็นช่วงเวลาที่มารโลกาได้มาเยือนโลกใบนี้พอดิบพอดี”

 

“และเกี่ยวกับมารโลกา ข้ามีมุมมองบางอย่างที่แตกต่างออกไปและยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงเรื่องนี้”

 

ในสายตาของเขา บังความหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นเข้าหากันทันที “โปรดบอกความคิดเห็นของท่านมาเถิด ข้าจักรับฟังมันด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง”

 

“มันไม่สามารถพูดได้ … อันตรายเกินไป” เฉียนซานเย่ส่ายหัว

 

ว่าแล้วเขาก็หยิบใบหยกอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา และทำท่าทีเหมือนกับว่าจะใส่ข้อมูลบางอย่างลงไป

 

“เมื่อไหร่ที่เจ้าพร้อม ก็ขอให้อ่านใบหยกชิ้นนี้”

 

ขณะกล่าว เสียงของเฉียนซานเย่ก็ค่อยๆแผ่วเบาลง

 

ร่างกายของเขาวูบไหวไปมา ราวกับว่ามิได้มีตัวตนอยู่จริง ขณะเดียวกันก็ค่อยแตกเป็นจุดแสง กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง

 

เขาได้มาถึงช่วงนาทีสุดท้ายของการดำรงอยู่ในร่างจิตวิญญาณแล้ว

 

“อาวุโส นี่ท่าน … ” สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย

 

เฉียนซานเย่ “แม้ว่าเจ้ากับข้าจะรู้จักกันเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ทว่าเจตดาบและห้วงสติอารมณ์ของเจ้า มันได้สะท้อนให้เห็นถึงความคลับคล้ายคลับคลาในวิถีดาบแห่งข้า”

 

เสียงของเขาอ่อนโทรมลง มันเล็กจ้อยจนเกือบจะไม่ได้ยิน

 

“ดังนั้น สิ่งที่ข้าทิ้งไว้เบื้องหลังก่อนจะจากไปนั้นมิใช่เพียงแค่เทคนิคดาบ แต่มันคือวิถีดาบทั้งหมดแห่งข้า!”

 

ร่างกายของกู่ฉิงซานสั่นสะท้าน

 

โดยไม่คาดคิด จู่ๆฝ่ายตรงข้ามกลับเลือกที่จะกระทำเช่นนี้อย่างกระทันหัน!

 

เฉียนซานเย่จ้องมองกู่ฉิงซาน ปากอ้าเผยอเล็กน้อย ทว่าก็ยังมิได้เปล่งคำใดออกมา

 

เขากำลังจะกล่าว แต่ก็ดันเกิดลังเลขึ้นมา

 

อย่างไรก็ตาม

 

กู่ฉิงซานรู้ดีว่าเขาต้องการจะเอ่ยสิ่งใด

 

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย โค้งคารวะอย่างนอบน้อม ปากเอ่ยกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “ข้าจักสังหารหวังหงษ์เต๋า — ด้วยทักษะดาบของท่าน!”

 

เฉียนซานเย่พอได้ฟัง ก็เผยรอยยิ้มแห่งความปิติออกมา

 

จากนั้น เขาก็กลายเป็นจุดแสงสว่างไสว พวกมันวิ่งวนไปมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะพากันทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้าราวกับธารน้ำตกที่พลิกคว่ำ

 

แล้วรังสีแสงเรืองรองดั่งธารน้ำตกก็จางหายไป

 

หนึ่งในตัวตนที่เป็นดั่งตำนาน … ได้จากไปแล้ว

 

ใบหยกค่อยๆลดระดับลงจากกลางอากาศ แล้วลอยมาตกลงใกล้ๆกับมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

“นายน้อย ระวังตัวให้ดี มันอาจจะเป็นกับดักก็เป็นได้” ฉินรั่วขมวดคิ้ว

 

“วางใจเถอะ ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันจะไม่มีกับดัก เขาถึงขั้นวางแผนที่จะสิงสู่ลูกศฺิย์ของหวังหงษ์เต๋าเลยเชียวนะ บางที เขาอาจจะยังคงหลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังของใบหยกที่ทิ้งไว้แผ่นนี้ก็ได้นะ” ว่านเอ๋อถามด้วยความสับสน

 

“จะไม่มีอุบายหรือลูกเล่นแบบที่เจ้ากล่าวหรอก” กู่ฉิงซานส่ายหัว

 

น้ำเสียงของเขาหนักแน่น ท่าทีการแสดงออกมั่นคงไม่หวั่นไหว

 

ฉินรั่วและว่านเอ๋อพอได้ฟัง ก็หันมามองหน้ากันและไม่รู้ว่าสมควรเอ่ยสิ่งใดออกไปดี

 

ขณะที่กู่ฉิงซานกำใบหยกในมือแน่น และอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจยืดยาว

 

“เพราะระหว่างผู้ฝึกดาบด้วยกันน่ะ ไม่มีลูกเล่นอะไรทั้งสิ้น พวกเขามีเพียงแค่ดาบเท่านั้น”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.453 – ดาบคู่เอกลักษณ์

 

เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธเครายาวที่ผุดออกมาจากใบหยกและทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา

 

สายตาของเขากวาดผ่านฉินรั่วและว่านเอ๋อ สุดท้ายจึงมาตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานเพ่งพิจารณาเขา แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็เช่นกัน แล้วทั้งสองก็บังเกิดความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในจิตใจ

 

‘ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้ฝึกดาบ’

 

นี่คือการรับรู้ได้โดยจิตสำนึก ที่แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่มีชีวิตหรือผ่านพ้นตกลงสู่ความตายไปแล้วก็ตามที แต่หากผู้ฝึกดาบมองกันและกัน ก็จะเข้าใจถึงสถานะของอีกฝ่ายได้โดยปริยาย

 

ผู้ฝึกดาบเครายาวที่ลอยอยู่ตรงกันข้ามพยักหน้ายืนยันในการตัดสินใจของตนเอง

 

ขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นของกู่ฉิงซานเริ่มเพิ่มพูนขึ้น

 

“ข้าใคร่ขอเรียนถามถึงนามของท่านผู้ทรงเกียรติจะได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้น เอ่ยถามไปยังอีกฝ่าย

 

“เฉียนซานเย่” ผู้ฝึกยุทธเครายาวกล่าว

 

‘ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก ดูเหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน … ’

 

กู่ฉิงซานค่อยๆย้อนระลึกความทรงจำไปอย่างช้าๆ แล้วก็สามารถจดจำถึงที่มาของชื่อๆนี้ได้ในที่สุด

 

นี่คือชื่อของบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายกวงหยาง!

 

หรือกระทั่งในโลกใบนี้ นาม ‘เฉียนซานเย่’ ก็ยังเปรียบดั่งตัวแทนของตำนาน!

 

ดาบคู่เอกลักษณ์ เฉียนซานเย่

 

เมื่อหลายพันปีที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่มารโลกายังมิได้ปรากฏตัวขึ้นบนโลกใบนี้

 

ในช่วงเวลานั้น ดวงอาทิตย์ จันทรา และผืนโลก ทุกสิ่งอย่างยังคงมีอยู่

 

ทุกชนิดของตัวตนอัจฉริยะที่โดดเด่นในศาสตร์แขนงต่างๆปรากฏขึ้นออกมาอย่างไม่รู้จบ

 

ในครั้งเมื่อช่วงเวลาที่ทุกนิกายเข้าร่วมประลองการต่อสู้ เฉียนซานเย่แห่งนิกายกวงหยางที่ถือดาบในมือ เผยยิ้มอย่างภาคภูมิต่อหน้าเหล่าฝูงชนที่กำลังรับชม และไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่จะต่อกรกับเขาได้

 

ในยุคสมัยนั้น ด้วยการดำรงอยู่ของเฉียนซานเย่ ส่งผลให้นิกายกวงหยางได้ทะยานขึ้นมามีสถานะสูงสุดหากเทียบเปรียบกับนิกายอื่นๆทั้งหมด!

 

มันเป็นปีที่รุ่งโรจน์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายกวงหยาง

 

“ท่านเป็นผู้นำรุ่นที่เก้าของนิกาย เฉียนซานเย่ กระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

เฉียนซานเย่เหลือบมองเขาวูบหนึ่ง ปากเอ่ยรับ “เป็นข้า”

 

“ผู้น้อยฉีหยาน เป็นปรมาจารย์ตำหนักในรุ่นนี้ – ว่าแต่เพราะเหตุใดท่านผู้นำเฉียนจึงได้มาอยู่ที่นี่กัน?”

 

กู่ฉิงซานแสดงท่าทีนอบน้อม ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

เฉียนซานเย่ส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับว่ากำลังรู้สึกเจ็บปวดที่จะต้องมองย้อนกลับไปในช่วงอดีตที่ผ่านพ้นมา

 

เขาถอนหายใจและเอ่ยออกมาในที่สุด “เมื่อ 1500 ปีก่อน หวังหงษ์เต๋าคารวะข้าเป็นอาจารย์ และฝึกยุทธอยู่กับข้าเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 300 ปี”

 

หวังหงษ์เต๋าอีกแล้ว!

 

กู่ฉิงซานกลับกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที

 

ที่แท้ เฉียนซานเย่ก็เป็นอาจารย์ของหวังหงษ์เต๋านี่เอง

 

ว่าแต่ทำไมจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ ถึงได้มาหลบซ่อนอยู่ที่นี่กัน? จริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

แต่ยังไม่ทันจะได้คิด เฉียนซานเย่ก็พูดต่อเสียก่อน “ในการประลอง ข้าเผลอสังหารสหายไปอย่างไม่ตั้งใจ ขณะเดียวกันตนเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน”

 

“ในช่วงเวลานั้น ตัวข้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง สภาวะจิตใจช่างว้าวุ่น ขณะที่หวังหงษ์เต๋าเป็นลูกศิษย์คนสำคัญของข้า มันจึงรับหน้าที่รักษาบาดแผลให้แก่ข้า แต่ใครจะรู้ ว่ามันกลับฉวยโอกาสนั้นลอบจู่โจมข้าอย่างไม่ทันตั้งตัวซะนี่”

 

“ข้าเลยตกตายลงอย่างไม่ยินยอม ดังนั้นจึงอาศัยเทคนิคลับ แล้วมาสถิตอยู่ในใบหยกชิ้นนี้ ที่บันทึกเทคนิคดาบเอาไว้”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็บังเกิดข้อสงสัย จึงเอ่ยถามไปว่า “แต่ท่านเป็นอาจารย์ของเขามิใช่หรือ เขาย่อมต้องรู้ดีสิว่าท่านแข็งแกร่งเพียงใด และหากอยู่กับท่านต่อไปจะได้ผลประโยชน์มากมายขนาดไหน แล้วทำไมจู่ๆเขาถึงได้เลือกที่จะลอบสังหารท่านขณะกำลังรักษาตัวกันล่ะ?”

 

“เพราะข้าแค่ส่งผ่านทักษะกระบี่ให้แก่เขาเท่านั้นน่ะสิ แต่ยังมิได้ส่งผ่านทักษะดาบไปให้เลย” เฉียนซานเย่กล่าว

 

“ข้าจดจำได้ว่า” ฉินรั่วบีบมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ และเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ในอดีตที่ผ่านมา ผู้นำเฉียนถูกเรียกว่า ดาบคู่เอกลักษณ์ และเป็นผู้ฝึกยุทธที่แกร่งสุดในโลกในยุคสมัยนั้น”

 

“เล่าลือกันว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธคนใด หากมีวาสนาได้เรียนรู้ทักษะกระบี่ของเขาได้เพียงหนึ่งหรือสองกระบวนท่า ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว”

 

“แต่หากใครก็ตามที่ได้เรียนทักษะดาบของผู้นำเฉียน มันก็มีโอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว ที่คนผู้นั้นจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอดที่แข็งแกร่งชนิดหาตัวจับได้ยาก”

 

“แต่จากในบันทึกของนิกาย บ่งบอกว่าหลังจากที่เขาได้มอบบทเรียนให้แก่สหายฝึกยุทธของตน ผู้นำเฉียนก็ได้หายตัวไปจากโลกใบนี้ และไม่เคยปรากฏกายขึ้นมาอีกเลย”

 

“ผู้ฝึกยุทธในโลกต่างก็เลื่องลือกันไปว่าผู้นำเฉียนบังเกิดความอัปยศในจิตใจที่สังหารสหาย ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางสู่มิติที่ว่างเปล่า เพื่อออกไปท่องสำรวจโลกใบใหม่”

 

สมองของกู่ฉิงซานหมุนเร็วจี๋ ปากเอ่ยกล่าว “เพราะหวังหงษ์เต๋ายังไม่ได้รับการส่งผ่านทักษะดาบ ดังนั้นเขาจึงบังเกิดความเกลียดชังขึ้นในหัวใจ เลยพยายามจะสังหารท่าน เพื่อที่จะขโมยทักษะดาบของท่านใช่หรือไม่?”

 

เฉียนซานเย่พยักหน้า และเผยให้เห็นถึงความเสียใจที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของเขา

 

“ในความเป็นจริง หากอ้างอิงจากห้วงสภาวะจิตใจและสติอารมณ์ของหวังหงษ์เต๋าแล้ว ข้าไม่สมควรที่จะสอนสั่งทักษะกระบี่ให้แก่เขาเลย” เฉียนซานเย่กล่าว

 

“จิตใจและสติอารมณ์ของเขาอย่างงั้นหรือ? เพราะเหตุใดกันถึงไม่ควรสอนสั่งทักษะกระบี่แก่เขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ปัจจุบันนี้ นับว่าเป็นโอกาสดีทีเดียวที่จะได้เข้าใจถึงตัวตนของหวังหงษ์เต๋าได้มากขึ้น

 

ใครจะรู้ ว่าแท้จริงแล้วผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายกวงหยาง ในครั้งอดีตจะเคยลอบสังหารอาจารย์ของตนเองอย่างกระทันหัน!

 

การได้รับรู้ถึงเรื่องราวนี้ มันจะช่วยให้ตัวกู่ฉิงซานสามารถเข้าใจตัวตนและรูปแบบการกระทำของหวังหงษ์เต๋าได้มากยิ่งขึ้น

 

มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรที่จะได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศัตรู

 

เฉียนซานเย่กล่าว “คมกระบี่จะแข็งกล้าหาที่ใดเปรียบ ในยามที่จิตใจของผู้ใช้มันเที่ยงตรงเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้ารับ

 

เพราะในบรรดาผู้ใช้กระบี่ เขาก็เคยจดจำได้ว่าหนิงเยว่ฉานก็ได้เอ่ยสิ่งที่คล้ายคลึงกันกับคำกล่าวนี้ออกมาเช่นกัน

 

“ใบกระบี่นั้นเที่ยงแท้และเที่ยงธรรม มันเรียบเนียนเป็นเส้นตรง มุ่งออกไปเพียงเบื้องหน้าเท่านั้น มิโค้งงอไปเบื้องหลัง”

 

—หนิงเยว่ฉานน่ะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงกระบี่ เธอมีความคิดและจิตใจที่บริสุทธิ์ แถมเจตกระบี่ก็ยังเที่ยงแท้ และมีความก้าวหน้าที่รวดเร็วยิ่งนัก

 

ตัวกู่ฉิงซานเองก็ชมชอบที่จะคบหากับผู้ใช้กระบี่เป็นอย่างยิ่ง

 

เพราะผู้ที่ใช้กระบี่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนซื่อตรง จริงใจ จะรักจะเกลียดก็แสดงออกมาชัดเจน

 

บุคคลที่เรียบง่าย และบริสุทธิ์เช่นนี้แหละ ที่เหมาะสมจะคบหาเป็นสหายอย่างแท้จริง

 

แน่นอน ว่าไม่ใช่แค่เพียงผู้ฝึกยุทธถือกระบี่ แล้วจะมีคุณสมบัติถูกเรียกว่าผู้ใช้กระบี่ได้

 

ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธที่เพียงมีดาบอยู่ในมือ ก็จะไม่สามารถถูกนับได้ว่าเป็นผู้ฝึกดาบเช่นกัน

 

เฉียนซานเย่ถอนหายใจ “จิตใจของหวังหงษ์เต๋านั้นละโมบและหวาดกลัวในความตายมากเกินไป เขาจึงไม่เหมาะสมที่จะใช้กระบี่ แต่เนื่องด้วยเขาเป็นศิษย์ที่ดีของข้า คอยทุ่มเทและภักดีต่อข้ามานับร้อยๆปี ข้าจึงยังคงเก็บเขาไว้ข้างกาย – แต่ใครจะไปคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ ”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ท่านผู้ทรงเกียรติ ในยุคสมัยของท่าน ท่านนับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ดังนั้นข้าเชื่อว่าวิสัยทัศน์ในการมองคนของท่านย่อมไม่มีทางผิดพลาดโดยง่ายเป็นแน่ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นอย่างแน่นอน”

 

“เป็นดั่งที่เจ้าว่ามา มันเป็นเรื่องง่ายดายที่จะจับผิดใครสักคนหนึ่งที่เสแสร้งปิดบังความคิดและตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ในยามที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมา หนึ่งปี สองปี หรือเป็นสิบๆปี ทว่าสำหรับหวังหงษ์เต๋า มันติดตามข้าด้วยความมุ่งมั่นและภักดี แถมการแสดงออกก็ดูซื่อตรงและจริงใจ ..ไม่มีข้อบกพร่องใดๆเลยในตลอดช่วงเวลากว่า 300 ปี ที่ผ่านพ้นมา”

 

ว่านเอ๋อกับฉินรั่วมองหน้ากับวูบหนึ่ง ในหัวใจบังเกิดความเย็นเยียบ

 

ชายคนหนึ่ง … เพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง ถึงขั้นยินยอมที่จะเสแสร้งปิดบังทุกการกระทำและแสดงออกที่แท้จริงของตนเองเป็นเวลากว่า 300 ปีเชียวหรือ!?

 

ตั้ง 300 ปี … 300 ปีที่พฤติกรรมของเขามิเคยถูกสงสัยเลย

 

จักต้องมีจิตใจและอุปนิสัยแบบใดกันจึงจะสามารถกระทำเช่นนั้นได้ ..

 

“ผู้นำเฉียน เราควรจะพาท่านออกจากที่นี่ และบอกเรื่องราวนี้ให้แก่โลกภายนอกรู้” ว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

 

“มันไม่มีประโยชน์หรอก” เฉียนซานเย่ส่ายหัว

 

“ท่านพูดถูกแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ตลอดทั้งนิกาย หวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด ต่อให้จะมีบางคนทราบถึงความจริงที่ว่านี้ก็ตามที แต่มันคงส่งผลตรงกันข้าม ผู้คนจะยิ่งรู้สึกหวาดกลัวเขามากยิ่งขึ้นเสียมากกว่า” ฉินรั่วกล่าว

 

“อีกอย่าง โลกใบนี้ก็ใกล้จะล่มสลายแล้ว ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอันตราย คงไม่มีเวลาว่างไปมัวสนใจเรื่องของคนอื่นๆหรอก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

เขาประสานสองกำปั้นไปทางอีกฝ่าย ปากเอ่ยกล่าว “ท่านผู้นำเฉียน มีสิ่งใดที่ข้าสามารถกระทำเพื่อท่านได้หรือไม่?”

 

“ข้ารู้สึกได้ถึงเจตแห่งดาบในกายเจ้า และเจ้ายังมิได้เรียนรู้เทคนิคมนตราใดๆของนิกายกวงหยางเลย ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”

 

“เป็นดังที่ท่านว่า” กู่ฉิงซานยอมรับ

 

“หวังหงษ์เต๋ามิได้เป็นนักดาบที่ดี เขาเป็นผู้ใช้กระบี่และวิชาควบคุมซากศพ ดังนั้นเขาย่อมต้องไม่คิดจะรับผู้ที่เชี่ยวชาญในทักษะดาบเช่นเจ้ามาเป็นลูกศิษย์เป็นแน่”

 

“ถูกต้อง ข้ามิใช่ลูกศิษย์ของเขา”

 

“แต่สถานที่แห่งนี้คือพื้นที่ต้องห้ามของหวังหงษ์เต๋า แม้กระทั่งผู้นำของรุ่นนี้ก็ยังมิอาจเข้ามายังที่นี่ได้ ชัดเจนว่าภายนอกคงเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ข้ายังมิได้ล่วงรู้ขึ้นสินะ”

 

“ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” กู่ฉิงซานยอมรับ

 

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มีข้อตกลงบางอย่างที่อยากจะเจรจากับเจ้า”

 

ขณะกล่าว เฉียนซานเย่ก็เผยสีหน้าเด็ดขาดออกมา

 

“เชิญท่านชี้แนะ”

 

“ใบหยกที่ข้าสถิตอยู่นี้ ได้บันทึกเทคนิคดาบที่ทรงประสิทธิภาพเอาไว้ ในอดีตที่ผ่านมา ทุกคราในยามที่ฝึกซ้อมกระบี่เขามักร้องขอที่จะเรียนรู้มัน แต่ด้วยความคิดของข้าที่ว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะศึกษาทักษะดาบ ข้าจึงตอบปฏิเสธไป เพราะคิดว่าการที่สอนสั่งทักษะกระบี่ให้ มันก็เพียงพอแล้วต่อความภักดีของเขา”

 

“เช่นนั้น กล่าวได้ว่าท่านไม่เคยสอนสั่งทักษะดาบแก่เขาเลยสินะ”

 

“ใช่ แม้กระทั่งทักษะกระบี่ก็ยังมิได้สอนสั่งเขาจนครบจบโดยสมบูรณ์”

 

“แล้วจากนั้นเล่า?”

 

“ยามที่ข้าถูกลอบสังหารโดยเขา และล่วงรู้อย่างแน่นอนว่าตนจักต้องตกตาย ข้าจึงเริ่มที่จะทำลายใบหยกที่บันทึกเทคนิคดาบเอาไว้ทั้งหมด”

 

เฉียนซานเย่ชี้ไปยังใบหยกในมือของฉานนู่และกล่าว “หลงเหลือเพียงใบหยกชิ้นนี้ ที่บันทึกเทคนิคดาบสุดท้ายเอาไว้ หลงเหลือเพียงมันเท่านั้นที่ข้าเลือกใช้เป็นกับดัก”

 

“กับดัก?”

 

“ใช่ จิตวิญญาณของข้าได้สถิตอยู่ในใบหยกชิ้นนี้ และถ้าหากใครก็ยามที่ยื่นมือไปคว้าจับมัน ข้าก็จะเข้ายึดครองกายเขาทันที”

 

กู่ฉิงซานลอบรำพึงอย่างลับๆ ‘เป็นอย่างที่คิดจริงๆ’

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.452 – วิญญาณสถิต

 

ด้วยการเลือกของกู่ฉิงซาน ตัวระบบจึงได้บังเกิดเสียงดังฟังชัดขึ้น

 

ติ๊ง!

 

“คุณได้เลือกทิศทางการวิวัฒนาการพลังศักดิ์สิทธิ์ของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนแล้ว , พลังศักดิ์สิทธิ์ในขั้นที่สอง : ไม่ยอมอ่อนข้อ กำลังจะถูกยกระดับในไม่ช้า”

 

“คุณได้เลือกพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สาม : ตัดขาดการเชื่อมต่อ”

 

สิ้นประโยคนี้ รังสีแสงยาวเหยียดบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็หายไป

 

ขณะที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของกู่ฉิงซานเริ่มทำการยกระดับขึ้น

 

“ผู้เล่นได้ทำการยกระดับพลังของ ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ , ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ : ตัดขาดการเชื่อมต่อ”

 

“ตัดขาดการเชื่อมต่อ : หลังจากที่คุณโจมตีด้วยสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนแล้ว สติของฝ่ายตรงข้ามจะถูกตัดขาดออกไปจากร่างกาย และจะกลับคืนมาเมื่อผ่านพ้นไป 3 วินาที”

 

กู่ฉิงซานยื่นมือของไป และสัมผัสเบาๆลงบนไหล่ของฉานนู่และว่านเอ๋อ

 

ทว่าฉานนู่กลับไม่มีปฏิกริยาใดๆ เธอเพียงแค่หันมาถามว่า “นี่คือสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนหรือ?”

 

“ใช่ เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทสายฟ้า” กู่ฉิงซานตอบ

 

ขณะเดียวกัน ว่านเอ๋อกลับนิ่งงันไม่ไหวติงอยู่ในสถานที่เดิม

 

“ครบเวลาแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แล้วว่านเอ๋อก็พลันได้สติกลับคืน

 

“เอ๋? เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้นกับข้า?” เธอเอ่ยออกมาด้วยความสับสน

 

ฉินรั่วที่เห็นถึงเรื่องราวตั้งแต่ต้น ก็ค้นพบเบาะแสได้อย่างง่ายดาย เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากที่นายน้อยยกระดับขึ้น เขาอาจจะได้เรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง เลยทดลองใช้มันกลั่นแกล้งเจ้าเล็กๆน้อยๆน่ะ”

 

ว่านเอ๋อเอ่ยถามต่อทันที “เมื่อครู่ที่ข้าเหม่อลอยไป เวลามันผ่านพ้นไปเท่าใดกัน?”

 

“มันก็ไม่นานนักหรอก เพียงแค่ครึ่งลมหายใจเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ตั้งครึ่งลมหายใจเชียวหรือ!” ว่านเอ๋อหน้าเปลี่ยนสี

 

ต้องไม่ลืมนะว่าเธอเป็นถึงผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตพันวิบัติ จึงตระหนักดีว่า ในช่วงเวลาครึ่งลมหายใจนั้น ผู้ฝึกดาบน่าหวาดกลัวเพียงใด

 

ฉินรั่วถอนหายใจ ปากเอ่ยสรรเสริญ “ไม่คาดคิดเลยว่านายน้อยจะสามารถได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้ หากเป็นในกรณีนี้ โอกาสรอดชีวิตของพวกเราคงจะเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว”

 

กู่ฉิงซานรับรู้ได้ถึงพลังของเล่ยเดี๋ยนในร่างกายที่เพิ่มพูนขึ้น แม้ตนจะรู้สึกสุขใจ แต่ก็กังวลใจในขณะเดียวกัน

 

สุขใจที่ว่านั่นก็คือ ถึงแม้ว่าตนจะไม่สามารถปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่ขึ้นมาได้ แต่ก็สามารถควบคุมเวลาของศัตรูได้เพิ่มขึ้นมากถึง 3 วินาที ซึ่งกู่ฉิงซานคิดว่า ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อนี้’ มันไม่ได้เลวร้ายไปกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ชนิดอื่นที่มีให้เลือกเลย

 

สำหรับผู้ฝึกดาบแล้ว 3 วินาทีนับว่ายาวนานยิ่ง

 

อย่างเช่นตัวของกู่ฉิงซาน 3 วินาทีเขาสามารถฟันออกด้วย 7 ดาบ และปลุก7ดารา มังกรแหวกธาราขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

 

ในอนาคต ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ จะกลายมาเป็นพลังสำคัญ -เป็นไพ่ตายชั้นยอดที่จะเบ่งบานในการต่อสู้ภายภาคหน้าอย่างแน่นอน

 

ส่วนกังวลใจที่ว่านั่นก็คือ กระบวนท่านี้มันกินพลังวิญญาณมากเกินไป

 

การใช้ออกด้วย ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ สำหรับสองคนเมื่อครู่ มันได้กินพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานไปทันทีถึง 30 %!

 

และอย่าลืมนะว่าตอนนี้เขาคือผู้ฝึกยุทธในขอบเขตประทับเทพ!

 

พลังวิญญาณที่จำต้องจ่ายออกเพื่อใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้มากมายจริงๆ ซึ่งมันไม่สะดวกเลยสำหรับการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ

 

ดังนั้น ในยามที่คิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มันคงจะเป็นการดีกว่าหากเร่งแก้ปัญหาโดยการจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด

 

กู่ฉิงซานพยายามสงบใจ ระลึกย้อนไปถึงสกิลที่ตนเองมีอีกครั้ง

 

นอกเหนือไปจากสกิลดาบ เขามีสกิลเป็นของตัวเองอยู่เพียง 4 เท่านั้น

 

เริ่มจาก ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ , ‘ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว’ , ‘ร่างเงาแทนที่’ และสุดท้าย ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’

 

—และจากนี้ไปในไม่ช้า เขาก็จะเริ่มสร้างรูปแบบสกิลเหล่านี้เข้าด้วยกัน ให้มันกลายเป็นกระบวนท่าต่อเนื่อง!

 

กู่ฉิงซานหันไปเอ่ยกับสามสาว “เรามาเริ่มงานกันต่อเถอะ”

 

สามสาวตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มทำการเลือกหยิบใบหยก

 

ส่วนกู่ฉิงซานก็ได้เดินไปยังชั้นวางที่จัดเรียงไปด้วยใบหยกที่บันทึกเกี่ยวกับค่ายกล และนิ่งไป

 

เขาลองสุ่มหยิบมันขึ้นมามั่วๆ และพบว่าระดับความยากง่ายของค่ายกลนั้น ได้ถูกจัดเรียงเอาไว้ตามใบหยก เริ่มจากใกล้ที่คือง่าย ไล่ไปเรื่อยๆเป็นกลาง และยาก ตามลำดับ

 

กู่ฉิงซานจึงเลือกใบหยกที่บันทึกค่ายกลที่ง่ายที่สุดขึ้นมา และเริ่มที่จะทำการเรียนรู้มันอย่างรวดเร็ว

 

“ปัจจุบันนี้ ภายในใบหยกมีองค์ประกอบสำคัญ‘ขั้นพื้นฐาน’ในการจัดตั้งค่ายกล และเก้าชุดค่ายกลพื้นฐาน หากต้องการที่จะเรียนรู้มันโดยสมบูรณ์ จำเป็นต้องจ่าย 200 แต้มพลังวิญญาณ … คุณต้องการที่จะเรียนรู้มันหรือไม่?”

 

“เรียนรู้”

 

กระแสไอร้อนหลั่งไหลผ่านใบหยกเข้ามาในกายของกู่ฉิงซาน และสุดท้ายก็ไปบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงครู่หนึ่ง เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประกอบสำคัญขั้นพื้นฐานในการตั้งค่ายกล

 

ไม่นานนัก เขาก็ลืมตาขึ้น

 

จากนั้นก็วางใบหยกในมือลง และเริ่มหยิบใบหยกชิ้นต่อไปขึ้นมา

 

“ปัจจุบันนี้ คือใบหยกที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบสำคัญ‘ขั้นต้น’ในการจัดวางค่ายกล และห้าชุดค่ายกลขั้นต้น หากต้องการที่จะเรียนรู้มันโดยสมบูรณ์ จำเป็นต้องจ่าย 300 แต้มพลังวิญญาณ … คุณต้องการที่จะเรียนรู้มันหรือไม่?”

 

“เรียนรู้”

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มพยายามทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการจัดตั้งค่ายกลอีกที

 

กล่าวได้ว่าการใช้แต้มพลังวิญญาณในการเรียนรู้มันช่างรวดเร็วอย่างแท้จริง แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ดีซะทีเดียวนั่นก็คือ-

 

—สิ่งที่ต้องจ่ายออกมันสูงค่ามากเกินไป

 

เพียงแค่การเรียนรู้ค่ายกลพื้นฐานและขั้นต้น กู่ฉิงซานก็จ่ายออกไปแล้วกว่า 500 แต้มพลังวิญญาณ

 

หากคิดจะเดินทางสายนี้ บอกเลยว่ามันไม่ง่ายซะทีเดียว

 

ต้องรู้นะว่าในโลกแห่งการฝึกยุทธน่ะ ค่ายกลคือหนึ่งในสองจากหกศิลป์ที่ศึกษาเรียนรู้ได้ยากเย็นที่สุด

 

มิฉะนั้นแล้ว ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ปรมาจารย์ค่ายกลอย่างกงซุนซีคงไม่ได้รับเกียรติให้ขึ้นเป็นนายพลชั้นติงหยวนหรอก

 

แม้กระทั่งในโลกใบนี้ ปรมาจารย์ค่ายกลก็ยังเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

 

กู่ฉิงซานจ้องมองดูแต้มพลังวิญญาณของตนเอง

 

“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 1103/400”

 

และคงจำเป็นที่จะต้องใช้งานมันต่อไป

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและเริ่มหันไปหยิบใบหยกชิ้นต่อไปอีกครั้ง

 

ทว่าเนื้อหาที่บันทึกไว้ในใบหยกเบื้องหน้านี้มันลึกซึ้งมากเกินไป มันไม่สอดคล้องและเหมาะสมที่จะเรียนรู้กับทักษะการจัดตั้งค่ายกลในปัจจุบันของเขา

 

เขาจึงวางใบหยกในมือลง และเริ่มที่จะทดลองหยิบใบหยกชิ้นอื่นดูแบบมั่วๆขึ้นมาอีกรอบ

 

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆกู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง และตบหัวตัวเองด้วยความโกรธทันที

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อยังคงเฝ้ารอให้ตนช่วยพวกเธอปลดพันธนาการโซ่ตรวนอยู่นี่นา

 

ถ้าหากสามารถแก้โซ่ตรวนที่พันธนาการเอาไว้ได้ พวกเธอก็จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติทันที!

 

และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องจัดการกับหวังหงษ์เต๋า หากมีพวกเธอคอยช่วยเหลือ มันคงจะเป็นกำลังรบที่ดีไม่เลวเลย

 

-อย่างน้อยก็ยังดีกว่าให้ตัวเขาต้องต่อสู้เพียงลำพัง

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่คิดทำการเรียนรู้ค่ายกลอีกต่อไป

 

“ ‘วิชาต้องห้าม’ ตอนนี้ข้าต้องมองหาใบหยกที่บันทึกวิชาต้องห้ามที่ใช้พันธนาการวิญญาณ” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

ณ ขณะนั้นเอง ฉานนู่ก็มองมาทางเขา

 

“นายน้อย มีใครบางคนกำลังเฝ้ามองท่านอยู่” ฉานนู่กล่าว

 

“มีคน? กำลังเฝ้ามองข้า?”

 

กู่ฉิงซานแข็งค้างไป

 

สถานที่แห่งนี้คือห้องลับ แล้วคนอื่นๆจะมาได้อย่างไรกัน?

 

เห็นแค่เพียงฉานนู่ที่กำลังถือใบหยก และโยนมันมายังเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

ในขณะเดียวกัน ร่างเงาร่างหนึ่งก็ผุดออกมาจากใบหยกที่ว่า

 

มันเป็นร่างเงาของผู้ฝึกยุทธที่มีหนวดเครายาว ขณะเดียวกันก็ให้บรรยากาศเก่าแก่

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

นั่นมันคือจิตวิญญาณนี่นา

 

—จิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลัง

 

หากผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งตกตายลงอย่างไม่ยินยอม จิตวิญญาณของพวกเขาจะยังคงอยู่ในโลกใบนี้ และคอยมองหาสิ่งของที่เกี่ยวข้องทางใจเป็นที่สถิต และไม่เต็มใจที่จะไปเกิดใหม่

 

และหากจิตวิญญาณทรงพลีงที่ว่านั่น ยังคงดำรงอยู่ในโลกด้วยหัวใจที่ยึดติดอยู่กับสิ่งหนึ่ง มันย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ทั้งกับจิตวิญญาณของตนเองและโลกใบนี้

 

เหมือนดั่งเช่นอุปกรณ์ต่างๆในนิกายร้อยบุปผา ที่กองทิ้งๆรวมกันไว้ในภูเขา

 

และฉินเซี่ยวโหลวเองก็รำคาญสิ่งเหล่านั้นมากที่สุด

 

เพราะสำหรับพวกจิตวิญญาณแล้ว ตราบใดที่สามารถใช้เทคนิคมนตราพิเศษได้ มันก็จะสามารถพึ่งพาวัตถุนั้นๆเป็นสื่อกลาง เพื่อยึดเป็นที่สถิต

 

และเมื่อมีใครบางคนสัมผัสถึงสิ่งที่ว่านั่น วิญญาณที่สถิตอยู่ก็จะฉวยโอกาสเข้ามาสิงสู่ร่างกายของอีกฝ่าย จากนั้นก็ทำการยื้อยุทธกับจิตวิญญาณของผู้ที่สัมผัส เพื่อยึดครองร่างกายของเขา

 

มีตัวอย่างมากมาย ดั่งเช่นว่า บางคนที่เป็นเพียงคนธรรมดา แต่พอได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัตถุเหล่านั้นเข้า  จู่ๆก็พรวดทะยานขึ้นกลายเป็นตัวตนอันแข็งแกร่ง จนทั้งโลกต่างก็ต้องตกตะลึง

 

ทั้งๆที่ในความเป็นจริง … เขาได้ถูกยึดครองร่างกายไปตั้งนานแล้ว

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

กู่ฉิงซานส่งเสียงถามฉานนู่อย่างแผ่วเบา

 

“ข้าบังเอิญไปพบค่ายกลโจมตีที่ทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่งเข้า และข้าเองก็ดันอยากรู้อยากเห็นเล็กๆน้อยๆ จึงเข้าไปดูมัน แล้วได้พบกับใบหยกชิ้นนี้” ฉานนู่กล่าว

 

ฉานนู่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ‘แหกกฏ’ อยู่ในร่างกาย ซึ่งมันสามารถแหกทุกกฏเกณฑ์ของตลอดทั้งหมื่นโลกาได้ ดังนั้นการโจมตีจากค่ายกลจึงไม่ทำงานกับเธอ

 

“ยังมิได้ให้เขาสัมผัสกับฉินรั่วหรือว่านเอ๋อใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไม่นะ ข้าระมัดระวังพอตัวอยู่แล้ว” ฉานนู่ถือใบหยกและกล่าว

 

เช่นนั้นก็ดี พอได้ฟังหัวใจของกู่ฉิงซานก็คลายลงเล็กน้อย

 

แม้ตัวฉินรั่วและว่านเอ๋อจะมีพื้นฐานวรยุทธสูงส่ง แต่พวกเธอก็ถูกผนึกพลังอยู่ หากถูกสิงเข้าคงจะลำบากไม่น้อย

 

ขณะที่ฉานนู่แตกต่างออกไป

 

เนื่องด้วยตัวเธอนั้นเป็นจิตแห่งดาบ จึงไม่มีใครที่จะสามารถยืดครองเธอได้

 

—ก็ผีมนุษย์ตนใดกันเล่าที่จะยินยอมให้ตนกลายเป็นดาบแล้วให้ผู้อื่นคอยใช้สอย?

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.451 – เศษเสี้ยวรากฐานของโลก

 

ณ ตำหนักเจียงซี

 

นี่คือสถานที่ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดของนิกายถูกเก็บรวบรวมเอาไว้

 

ในส่วนที่ลึกเข้าไปในห้องสมุด

 

กู่ฉิงซานได้ใช้ตราประทับของเซ่าหวูชุ่ยทำการเปิดห้องลับ

 

เขานำฉานนู่ ฉินรั่ว และว่านเอ๋อเข้ามาพร้อมกัน

 

เห็นแค่เพียงใบหยกหลายสิบแถวที่ถูกจับแยกเป็นประเภทต่างๆ จัดวางเรียงๆกันไว้อยู่ภายในห้องนี้

 

กล่าวได้ว่าวิชาลับของตลอดทั้งนิกายได้ถูกนำมารวมกันไว้ที่นี่

 

ในสถานที่ซึ่งอยู่ในความดูแลของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋ามานานนับพันปี

 

ขณะที่ยามปกติแล้ว เขามักจะให้ลูกศิษย์ของตน หรือก็คือ เซ่าหวูชุ่ยเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลพื้นที่แห่งนี้

 

หากผู้อื่นหมายจะเข้ามา มันย่อมไม่มีทางเป็นไปได้

 

ครั้งหนึ่งฉีรั่วหยาก็เคยต้องการจะเข้ามาที่นี่เช่นกัน แต่เขาก็ถูกขวางไว้โดยหวังหงษ์เต๋าเสียก่อน

 

ส่วนเหตุผลที่หวังหงษ์เต๋ายกมาอ้างก็คือ ตนกำลังจัดโครงสร้างใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับการส่งต่อเหล่าเทคนิคลับให้แก่รุ่นต่อๆไป

 

แต่เมื่อฉีรั่วหยาไม่ยอม หวังหงษ์เต๋าก็กล่าวหาฉีรั่วหยาว่าช่างละโมบ คิดจะเอาวิชาลับของเขาไปล่ะสิ

 

-ฉีรั่วหยาคือผู้นำนิกายกวงหยาง มีสถานะใกล้เคียงกันกับหวังหงษ์เต๋า แต่เขากลับถูกกล่าวหาต่อหน้าสาธารณชน จนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สุดท้ายจึงต้องยอมถอยออกมาอย่างไม่เต็มใจ

 

ตั้งแต่นั้นมา ก็แทบจะไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้เลย

 

แต่ในเวลานี้ กู่ฉิงซานกลับสามารถเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ชนิดที่เรียกได้ว่าหากปูพรมแดงได้ ก็คงจะมีคนมาปูให้เขาในระหว่างทางที่ก้าวเดินแล้ว

 

ภายในห้องลับ

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะไปทั่วพื้นที่ทั้งหมด และในหัวใจของเขาก็บังเกิดความตระหนักชัด

 

ใบหยกแถวแรก มีทั้งสิ้น 73 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับการปรับแต่งยันต์เอาไว้

 

แถวที่สอง มีทั้งสิ้น 96 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับหวูเต๋ากุ่ยชั่ง(หวนคืนไร้ลักษณ์)เอาไว้

 

แถวที่สาม มีทั้งสิ้น 31 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับเทคนิคลับของธาตุทอง

 

แถวที่สี่ มีทั้งสิ้น 164 ชิ้น และทั้งหมดล้วนบันทึกเกี่ยวกับค่ายกล

 

……

 

เวลามีจำกัด และหวังหงษ์เต๋าก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่

 

แต่เซ่าหวูชุ่ยก็รับประกันไว้ว่า หวังหงษ์เต๋าจะไม่กลับมาภายในครึ่งวันนี้

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็ยังมีหวาดระแวงอยู่ในจิตใจ

 

เขามิได้เชื่ออีกฝ่าย 100 %

 

ดังนั้น เพื่อที่จะประหยัดเวลาให้มากขึ้น กู่ฉิงซานจะต้องเริ่มเร่งมือให้เร็วที่สุด โดยการแบ่งหน้าที่กัน

 

“ฉินรั่ว สายตาของเจ้าหลักแหลมเสมอมา ดังนั้นเจ้าจงมาช่วยกันเลือกใบหยกที่บันทึกค่ายกลพร้อมกับข้า ข้าจะต้องเร่งดูพวกมันในตอนนี้ทันที”

 

“เจ้าเองก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลด้วยอย่างงั้นหรือ?” ว่านเอ๋อเอ่ยขัดด้วยความอยากรู้

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า ขณะที่ในหัวใจของแอบพูดออกมาว่า ‘เป็นสิ … ในเร็วๆนี้น่ะนะ’

 

“เข้าใจแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าเลือกเอง”

 

แม้จะยังมีข้อสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ฉินรั่วก็ตอบรับคำทันที

 

ทั้งเธอและว่านเอ๋อต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติ

 

ดังนั้นสายตาในการมองวิชาลับของเธอ ย่อมต้องเป็นของแท้อย่างแน่นอน

 

“งั้นข้าก็จะช่วยด้วย!”

 

ว่านเอ๋อพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และนำใบหยกขนาดใหญ่ที่ภายในว่างเปล่าออกมา ยัดลงในมือว่านเอ๋อ

 

“ไม่ได้หรอกว่านเอ๋อ เจ้ามีงานอื่นที่ต้องทำอยู่นะ – ตอนนี้พวกเรายังไม่มีคนที่จะคอยทำหน้าที่คัดลอกวิชาลับทั้งหมดเลย ฉะนั้นเจ้าจะต้องรับหน้าที่นี้ไป หน้าที่นี้ยิ่งใหย่และสำคัญยิ่ง ข้าจะให้ฉานนู่ช่วยเจ้าด้วย”

 

“เข้าใจแล้ว ข้าทราบถึงภาระที่ต้องแบกรับนี้ดี”

 

ว่านเอ๋อตอบแบบกัดริมฝีปากตนเอง แล้วเดินแยกไปอีกทางกับฉานนู่

 

เมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าหญิงสาวทั้งสามเริ่มวุ่นอยู่กับหน้าที่ของตนเองแล้ว กู่ฉิงซานก็กำลังเตรียมที่จะทำการเรียนรู้ศาสตร์เกี่ยวกับค่ายกลบ้าง

 

ทว่าเขาแค่เพียงเดินออกไปหนึ่งก้าว ก็กลับได้ยินเสียง ‘ติ๊ง!’ ขึ้นทันใด

 

ระบบได้กลับมาตอบสนองอีกครั้งแล้ว!

 

กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าทันที

 

ตั้งแต่ครั้งล่าสุดคือช่วงเวลาที่ทำการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ จู่ๆระบบก็เงียบลง ไม่ตอบสนองใดๆ ราวกับว่าเขาไม่อาจเชื่อมต่อกับมันได้เลย

 

แต่ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าระบบจะกลับมาแล้ว!

 

“เป็นยังไงบ้าง ยังปกติดีอยู่ใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามในทันใด

 

“ขอบใจที่เป็นห่วง ถึงแม้ว่ามันจะอันตรายไปบ้าง แต่ฉันก็ได้ทำการสำรวจรากฐานแหล่งกำเนิดของโลกจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว”

 

ระบบตอบกลับอย่างรวดเร็ว

 

“เอาล่ะ เชิญดูที่หน้าจอได้เลย”

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏหลากเส้นแสงตัวอักษรเด้งเตือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“จากการที่ได้ลองพยายามที่จะสัมผัสถึงรากฐานของโลกใบนี้”

 

“ฉันได้ค้นพบว่ากฏเกณฑ์ของโลกใบนี้เกือบจะถูกกลืนกินไปจนเกือบจะสิ้นแล้วโดยสมบูรณ์”

 

“และหลังจากที่ทำการประเมินกว่า 391 ครั้ง ก็สามารถสรุปได้ว่ารากฐานของโลกใบนี้ไม่เพียงพอที่จะสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่ได้”

 

“พิจารณาจากในมุมมองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบัน คุณจึงมีอยู่สองทางเลือก ดังต่อไปนี้”

 

“หนึ่ง : ล้มเลิกเรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ชั่วคราว และเฝ้ารอจนกว่าคุณจะเดินทางไปยังโลกอื่น แล้วจึงค่อยใช้รางวัลแลกเปลี่ยนกับพลังศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง”

 

“สอง : ล้มเลิกเรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพไปเลยถาวร โดยใช้ประโยชน์จากรากฐานที่หลงเหลืออยู่ของโลกใบนี้ เพื่อทำการ ‘บังคับวิวัฒนาการ’ – ยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองอยู่ไปอีกขั้นหนึ่ง”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านคำแนะนำทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

 

แล้วเขาก็รำพึงในความคิดออกมา “รากฐานของโลกใบนี้เกือบทั้งหมดได้ถูกกลืนกินไปแล้วโดยมารโลกาอย่างนั้นหรือ?”

 

“ใช่ รากฐานที่ว่านั่นแทบจะว่างเปล่าแล้ว มันหลงเหลืออยู่อีกเพียงแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น” ระบบตอบกลับ

 

“แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้กันล่ะ ถ้าหากกฏเกณฑ์ทั้งหมดของโลกได้หายไปโดยสมบูรณ์?”

 

“โลกทั้งใบก็จะล่มสลาย”

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย “เช่นนั้นแล้ว ยังคงเหลือเวลาอีกนานเท่าใดกันกว่าที่โลกจะล่มสลาย?”

 

“มันเป็นเรื่องยากที่จะกล่าว กระบวนการทำลายของโลกนั้นค่อนข้างซับซ้อน มันอาจจะอีกซักราวๆ 2-3 วันนับจากนี้ หรือไม่อย่างมากที่สุดก็ 7 วัน”

 

เจ็ดวัน!

 

แถมยังไม่แน่นอน บางทีโลกอาจจะถูกทำลายลงในเวลาใดก็ได้!

 

เวลามันจะกระชั้นชิดเกินไปแล้ว!

 

กู่ฉิงซานฝืนบังคับตนเองให้สงบลง

 

เขาเอ่ยถามอย่างช้าๆ “แล้วถ้าหากข้าใช้รากฐานของโลกที่เหลืออยู่ ในการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง มันจะมีอิทธิพลใดๆต่อโลกใบนี้หรือไม่?”

 

“ไม่หรอก การล่มสลายของโลกใบนี้น่ะมันได้เกิดขึ้นแล้ว และเศษเสี้ยวเล็กๆที่ว่านั่น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยรวมต่อสถานการณ์ทั้งหมด”

 

กู่ฉิงซาน เอ่ยออกมาทันทีว่า “งั้นก็ดี เช่นนั้นข้าขอเลือกที่จะใช้เศษเสี้ยวอำนาจของรากฐานจากโลกใบนี้มายกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์”

 

“รับทราบ” ระบบตอบกลับ

 

แล้วอีกเส้นบรรทัดแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง

 

“รางวัลจากภารกิจพิเศษ : ‘หวูซานจะต้องตาย’ ได้ถูกใช้งานแล้ว”

 

“เริ่มทำการดึงข้อมูลพลังศักดิ์สิทธิ์ของคุณที่สามารถยกระดับได้”

 

“มีเพียงพลังศักดิ์สิทธิ์เดียวของคุณเท่านั้นที่สามารถยกระดับได้”

 

“พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถยกระดับได้ของคุณก็คือ : สายฟ้าเล่ยเดี๋ยน”

 

“สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นแรก : สูญสิ้นการควบคุม , เรียนรู้แล้ว”

 

“สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง : ไม่ยอมอ่อนข้อ , เรียนรู้แล้ว”

 

“คุณสามารถวิวัฒนาการพลังศักดิ์สิทธิ์ : สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนเป็นขั้นสามได้”

 

“คุณต้องการที่จะใช้เศษเสี้ยวพลังจากรากฐานของโลกล่องเวหาใบนี้ วิวัฒนาการพลังศักดิ์สิทธิ์ : สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนหรือไม่”

 

กู่ฉิงซานกล่าวทันทีอย่างไม่ลังเล “ต้องการ”

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ความมืดมิดค่อยๆจางหายไป

 

ภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพก็เช่นกัน

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

 

ก็มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนี่นา

 

ไม่ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาอาจจะได้รับจากการสกัดมันจะทรงพลังเพียงใด แต่หากยังไม่สามารถใช้ได้ในทันที มันก็เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น

 

แต่ตอนนี้ เขาจำเป็นต้องคว้าพลังอำนาจทั้งหมดที่มีเอาไว้ในมือ!

 

เพราะนี่คือการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด!

 

เมื่อแถบภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ได้หายไป ก็ปรากฏรังสีแสงเข้ามาแทนที่

 

รังสีแสงนี้ปกคลุมไปตลอดทั้งหน้าต่างระบบ และเริ่มทำการแปรเปลี่ยนรูปร่างอย่างต่อเนื่อง

 

เมื่อกู่ฉิงซานจ้องมองรูปร่างของรังสีแสง มันก็นิ่งงันไปในทันที

 

“เริ่มแล้วนะ”

 

ระบบแจ้งเตือน

 

เห็นแค่เพียงกลุ่มแสงสีน้ำเงินสามกลุ่มลอยขึ้นมาจากรังสีแสงที่ว่านั่น

 

สามกลุ่มแสงลอยมาหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

“ร้องขอให้ผู้เล่นเลือกหนึ่งในสามตัวเลือกนี้ เพื่อทำการบรรลุการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าเล๋ยเดี๋ยน โดยสมบูรณ์”

 

“โปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ว่านี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 3 และมันได้มาสัมผัสถึงขีดสุดของกฏเกณฑ์แล้ว แต่ละตัวเลือกที่มีค่อนข้างที่จะทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น โปรดทำการเลือกอย่างระมัดระวังด้วย”

 

ระบบแจ้งเตือนอีกครั้ง

 

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

เขาเริ่มจากมองไปยังกลุ่มแสงกลุ่มแรกก่อน

 

ทันใดนั้นในสายตาของเขา ใกล้กับกลุ่มแสง ก็บังเกิดตัวอักษรหิ่งห้อยขนาดเล็กหลายบรรทัดปรากฏขึ้นทันใด

 

“พันโลกาฟาดผ่าอสูรกาย : เมื่อใช้สกิลนี้ การโจมตีในครั้งต่อไปของคุณ จะสามารถสร้างความเสียหายแก่เผ่ามารหรืออสูรกายได้เพิ่มขึ้นถึง 1000%”

 

“คำอธิบาย : สายฟ้าเล๋ยเดี๋ยนประกอบไปด้วยพลังของ ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ และหากพลังศักดิ์สิทธิ์ในขั้นที่ 3 ของเล่ยเดี๋ยนถูกเปิดใช้งาน คุณก็จะสามารถบีบอัดพลังของ ‘พันโลกา ฟาดผ่าอสูรกาย’ แล้วระเบิดมันออกมาได้ 1 ครั้ง”

 

สร้างความเสียหาย 1000%! นี่เป็นการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังมากจริงๆ!!

 

กู่ฉิงซานเมื่ออ่านคำอธิบาย เขาถึงขั้นต้องขยี้ตาตัวเอง แต่แล้วสุดท้ายก็ต้องส่ายศีรษะอยู่ดี

 

เพราะเวลานี้เขาจะต้องรับมือกับสิ่งใด? … เขาจะต้องรับมือกับหวังหงษ์เต๋าไง!

 

หวังหงษ์เต๋าคือการดำรงอยู่ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต —เขามิใช่เผ่ามารหรืออสูรกาย!!

 

หากเลือกพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มันจะไม่ช่วยเพิ่มโอกาสให้กู่ฉิงซานรอดชีวิตจากในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ไปได้เลยแม้แต่น้อย

 

คงต้องยอมทำใจทิ้งมันไปเท่านั้น

 

หากเวลาไม่กระชั้นชิดมากเกินไป แล้วเปลี่ยนเป็นอยู่ในสถานการณ์อื่น กู่ฉิงซานอาจจะเก็บมันมาพิจารณาอย่างรอบคอบอีกสักหนึ่งหรือสองครั้งก็ได้

 

เขาทำใจสักพัก ก่อนจะเบนสายตาไปมองกลุ่มก้อนแสงที่สอง

 

“จิตสายฟ้า ปราณสัมผัสสวรรค์ : นี่คือกฏเกณฑ์ทั้งหมดของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน คุณจะสัมผัสได้ถึงโชคชะตาที่ไม่รู้จัก และสามารถตระหนักรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นชั่วขณะในระหว่างการต่อสู้”

 

“คำอธิบาย : พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มิใช่เป็นเพียงประเภทพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทพยากรณ์เท่านั้น แต่มันยังเป็นลางสังหรณ์ที่เหมาะสมยิ่งสำหรับการต่อสู้  มันจะช่วยหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันตรายร้ายแรงถึงตายได้”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มันก็คล้ายคลึงกันกับสัญชาตญาณในการต่อสู้

 

หากคุณเรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ คุณก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาลในการต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่มีระดับเท่าเทียมกัน

 

แต่น่าเสียดาย … ที่บังเอิญว่าศัตรูที่ต้องเผชิญ มันดันมีระดับเหนือยิ่งกว่าเขาอยู่หลายขุม

 

ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีพลังศักดิ์สิทธิ์นี้คอยช่วยเหลือ กู่ฉิงซานก็ไม่รู้สึกว่าตัวเขาเองจะสามารถล่วงรู้การกระทำล่วงหน้าของคู่ต่อสู้ และโค่นล้มอีกฝ่ายลงได้เลย

 

กู่ฉิงซานจึงเหลือบมองไปยังกลุ่มแสงก้อนสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่

 

“ตัดขาดการเชื่อมต่อ : หลังจากที่คุณโจมตีด้วยสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนแล้ว สติของฝ่ายตรงข้ามจะถูกตัดขาดออกไปจากร่างกาย และจะกลับคืนมาเมื่อผ่านพ้นไป 3 วินาที”

 

“คำอธิบาย : นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกยกระดับขึ้นจาก ‘สูญสิ้นการควบคุม’ และ ‘ไม่ยอมอ่อนข้อ’ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่ได้รับการยกเว้น”

 

“คำอธิบาย : พลังวิญญาณที่จำเป็นต้องจ่ายในการใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มหาศาลจนน่าใจหาย ดังนั้นหากคิดจะใช้มัน โปรดไตร่ตรองให้ดีด้วย”

 

“หมายเหตุพิเศษ : เนื่องเพราะคุณได้ทำการยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทเดียวกันนี้มาในสองระดับแรก ดังนั้น คุณจึงโชคดีที่ได้รับสิทธิที่จะสามารถยกระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ในขั้นสามได้”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สาม ทั้งคนทั้งร่างชะงักงันไปเล็กน้อย

 

3 วินาที …

 

3 วินาที!!!

 

เขาเอ่ยถามระบบอย่างเร่งร้อน “ระบบ แล้วถ้าหากฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าฉันหลายเท่าล่ะ พลังศักดิ์สิทธิ์นี้จะยังคงทำงานรึเปล่า?”

 

“ระบบเหนื่อยมากแล้วตอนนี้ เชิญไปอ่านคำแนะนำด้วยตัวคุณเองเถอะ”

 

“งั้นฉันจะเลือกตัดขาดการเชื่อมต่อ”

 

“คุณมั่นใจใช่หรือไม่”

 

“มั่นใจเต็มร้อยเลย”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.450 – ค่ายกลสังเกตการณ์

 

ขณะที่มารโลกากำลังสั่งการโจมตีอยู่นั้นเอง

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ภายในกระแสมิติที่เชี่ยวกราดอันไร้ที่สิ้นสุด

 

ที่ๆซึ่งสายลมของปฐมบทแห่งความโกลาหลไม่เคยหยุดพัด

 

สิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาดมากมาย , สิ่งปลูกสร้างที่มีรูปทรงลึกลับ แม้กระทั่งการดำรงอยู่บางบางสิ่งที่ล่องลอยอยู่ในกระแสมิติที่บ้างปรากฏตัวขึ้น บ้างผ่านพ้นไป

 

ที่แห่งนี้คือเบื้องหลังของโลกนับไม่ถ้วน

 

มันคือสถานที่แห่งความวุ่นวายที่เกิดจากการพังทลายลงของกระแสมิติและเวลาจากทั่วทุกมุมโลก

 

และท่ามกลางมิติเวลาดังกล่าว ก็ได้ปรากฏป้ายอาญาสิทธิ์สีเขียวมรกตที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยสายลมขึ้น มันล่องลอยออกไปไกลแสนไกลไปทั่วทั้งมิติ

 

ป้ายอาญาสิทธิ์ที่ว่านี้มีขนาดเล็กเกินไป แถมยังมิได้ดูวิเศษวิโสใดๆ  อาจกล่าวว่ามันไม่โดดเด่นมากพอจะดึงดูดความสนใจได้

 

ดังนั้น สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในมิติอันเชี่ยวกราดจึงมิคิดจะแยแสมัน

 

ดังนั้น ป้ายอาญาสิทธิ์นี้จึงลอยล่องอยู่เช่นนี้มาเนิ่นนานไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว

 

ทุกวี่วันยังคงดำเนินต่อไปอย่างเฉื่อยชา อันที่จริงแล้วมันสมควรที่จะลอยล่องอยู่เช่นนี้ตลอดไป

 

แต่ในวันนี้ ในขณะนั้นเอง จู่ๆก็ได้มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปบังเกิดขึ้น

 

ป้ายอาญาสิทธิ์สีเขียวมรกตพร้อมด้วยสายลมของปฐมบทแห่งความโกลาหลได้บังเอิญ -เจาะเข้าไปยังตำแหน่งหนึ่ง ที่ค่อนข้างพิเศษภายในมิติอันเชี่ยวกราด

 

หากป้ายอาญาสิทธิ์ที่ว่านี้มีสตินึกคิด มันคงจะต้องสับสนกับสถานการณ์ในปัจจุบันของตนเองอย่างแน่นอน

 

เพราะในสถานที่แห่งนี้ มันไม่มีสิ่งใดเลย

 

ไร้ซึ่งสรรพเสียง ไร้ซึ่งสิ่งปลูกสร้าง ไร้ซึ่งโลก ไร้ซึ่งสายลมของปฐมบทแห่งความโกลาหล ไร้ซึ่งชีวิต ไร้ซึ่งวี่แววของสรรพสิ่งใดๆเลย

 

มีเพียงป้ายอาญาสิทธิ์เท่านั้นที่อยู่ที่นี่

 

ผ่านไปสักพักหนึ่ง

 

ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งกระพริบไหวขึ้นอย่างกระทันหัน

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก

 

เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น “ป้ายอาญาสิทธิ์ … ”

 

พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ยืดออก และคว้าจับป้ายที่ว่านี้ไว้

 

แล้วสถานที่แห่งนี้ก็กลับคืนสู่ความว่างเปล่าตามเดิม กลับมาเป็นปกติดั่งที่มันควรจะเป็นโดยสมบูรณ์

 

หลังจากเวลาล่วงเลยไปนาน

 

ทันใดนั้นรอยแยกสีทมิฬก็แหวกออกในความว่างเปล่า

 

ตามต่อด้วยถุงสัมภาระใบหนึ่งที่ลอยออกมาจากรอยแยกที่ว่านั่น

 

แล้วรอยแยกมิติก็หายไปทันที

 

ทุกสิ่งอย่างกลับคืนสู่สภาวะเดิม

 

ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ

 

จู่ๆก็มีถุงสัมภาระถูกส่งมาที่นี่?

 

มันลอยนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในมิติที่ว่างเปล่า

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

แต่แล้วในตอนนั้นเอง ตัวของถุงสัมภาระก็บังเกิดการขยับไหวเล็กน้อย เล็กน้อยจนแทบมิอาจสังเกตเห็นได้

 

ราวกับว่าไม่รับรู้ถึงผลลัพธ์ใดๆ ถุงสัมภาระจึงเริ่งขยับไหวอีกครั้ง

 

เมื่อไร้ซึ่งการตอบรับใดๆอีก คราวนี้ก็มีมือหยกผลุบออกมาจากปากถุงสัมภาระ

 

มือหยกสัมผัสกับตัวถุงสัมภาระ และลูบมันอย่างแผ่วเบา

 

ทันใดนั้นตราประทับเจ้าของ ของถุงสัมภาระก็ถูกลบออกไป

 

และมือหยกก็ตบลงบนถุงสัมภาระ

 

ตามต่อด้วยถุงสัมภาระที่เปิดออกทันที

 

ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

เกือบจะในทันที หญิงสาวที่สวมหน้ากากจิ้งจอกขาวก็ปรากฏขึ้นในมิติที่ว่างเปล่า

 

ทันทีที่หญิงสาวปรากฏตัวขึ้นเธอก็ตกอยู่ในสภาวะตื่นตัวทันที

 

-สตรีแห่งรากษส

 

ในที่สุดเธอก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป และเลือกที่จะปรากฏกายขึ้น

 

สตรีแห่งรากษสคว้าถุงสัมภาระและชำเลืองมองไปรอบๆ

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงจากภายใต้หน้ากากจิ้งจอกขาวก็เปล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

“นี่มันพื้นที่มิติที่แยกตัวออกมา – เหตุใดเราถึงได้เข้ามายังพื้นที่มิติที่แยกตัวออกมากัน?”

 

เสียงของหญิงสาวเริ่มกระวนกระวาย

 

ท่ามกลางความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ในมิติอันเชี่ยวกราด จู่ๆก็บังเกิดบางสิ่งกระพริบผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

สตรีแห่งรากษสหันขวับไปมองในฉับพลัน

 

ทว่ากลับไม่พบถึงสิ่งใด

 

“แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าจะต้องเร่งออกไปจากที่นี่โดยเร็ว!”

 

สตรีแห่งรากษสตบลงบนกายตน และนำดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กออกมา

 

พลังวิญญาณถูกถ่ายเทลงไปทันที และตัวดิสก์ค่ายกลก็ถูกกระตุ้นในฉับพลัน

 

อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมา การทำงานของดิสก์ค่ายกลก็ดับลง และหยุดไปโดยสมบูรณ์

 

ดูเหมือนว่ามันจะล้มเหลว

 

สตรีแห่งรากษสเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไม่นะ! พื้นที่มิติแยกตัวแห่งนี้ไม่อนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายมิติอย่างงั้นหรือ!?”

 

ในความว่างเปล่า บังเกิดบางสิ่งกระพริบไหวอย่างรวดเร็วขึ้นอีกครั้ง

 

และคราวนี้ ระยะห่างระหว่างมันกับสตรีแห่งรากษสก็ใกล้กันยิ่งกว่าเดิมมาก

 

เส้นผมของสตรีแห่งรากษสลุกชูชัน

 

เธอตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ใช้มือคว้าจับด้ามกระบี่ยาวที่ใบของมันนวลขาวราวหิมะ ปาดเข้ารอบคอของตนเอง

 

ฉัวะ!

 

หัวร่วงตกลงมาในคราเดียว

 

ขณะที่ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากจิ้งจอกขาวได้เปล่งประโยคสุดท้ายออกมาอย่างโหดร้าย

 

“ฉีหยาน … เจ้ากล้าดียังไงถึงทำกับเราเช่นนี้ เราจักต้องกลับไปสังหารเจ้าอย่าแน่นอน!”

 

….

 

นิกายกวงหยาง

 

ณ ที่ไหนสักแห่งบนเกาะลอยฟ้า

 

จิ้งจอกขาวกำลังขดตัวนอน จมลงสู่ห้วงหลับไหล

 

แต่จู่ๆทันใดนั้นมันก็ดีดตัวขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“ตายแล้ว? จู่ๆก็ตายไปเสียเฉยๆเลย”

 

จิ้งจอกขาวบ่นงึมงำ

 

“พิกลนัก แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเธอ ..”

 

จิ้งจอกขาวสะบัดหางของมันเล็กน้อย

 

ทันใดนั้นหางสีขาวนวลหลายหางก็ผุดออกมาร่ายระบำอยู่ในอากาศ

 

แสงสลัวๆกระจายออกมาจากหางของมันและกวาดไปทั่วโลกทั้งใบอย่างรวดเร็ว

 

ดูเหมือนว่าจิ้งจอกขาวจะเปิดใช้งานเทคนิคมนตราบางอย่าง

 

หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง

 

ดวงตาของจิ้งจอกขาวก็หรี่แคบลงเป็นเส้นโค้งบางๆ .. คล้ายกับว่ามันกำลังยิ้มอยู่

 

“ช่างเป็นความบังเอิญที่คาดไม่ถึงยิ่งนัก ที่จู่ๆ ‘ผู้เข้าแข่งขัน’ ก็ไปโผล่ยังพื้นที่มิติที่แยกตัวออก”

 

“แต่การยอมตายที่นั่น .. บางทีมันอาจจะเป็นการดีซะกว่าก็ได้”

 

“-ดูเหมือนว่าการทดสอบแข่งขันในครั้งนี้ มันชักจะน่าสนใจขึ้นมาจริงๆเสียแล้วสิ”

 

มันลุกขึ้นยืน และค่อยๆย่างกรายไปรอบๆลานที่พักอย่างเชื่องช้า

 

ขณะเดียวกัน เบื้องหลังของจิ้งจอกขาว ก็ค่อยๆปรากฏหางยาวสีหิมะผุดขึ้น

 

หนึ่งหาง

 

สองหาง

 

สามหาง

 

 

ทั้งสิ้น 16 หาง

 

จำนวนทั้งสิ้นสิบหกหางได้ผุดออกจากทางด้านหลังของจิ้งจอกขาว

 

ก่อนหน้านี้ที่บนเวทีหารือ ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าทั้งสองมิได้สังเกตเห็นเลยว่า จิ้งจอกขาวจะมีหางมากมายขนาดนี้

 

ทว่าด้วยความรู้ความเข้าใจของพวกเขา หากพวกเขาได้รู้ถึงเรื่องที่พึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้านี้แล้วล่ะก็ ทุกสิ่งอย่างมันจะแตกต่างออกไปจากในตอนแรกทันที

 

หางขาวทั้งหลายเริ่มที่จะขยับไหวเป็นวง เบื้องหลังจิ้งจอกขาว

 

วงที่ว่าได้สาดแสงสีขาวบริสุทธิ์จางๆออกมา และแปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นประตูแสงอันริบหรี่

 

บนบานประตูแสง ทันใดนั้นเสียงๆหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังได้ดังขึ้น

 

เสียงๆนั้นตะโกนออกมาว่า “ข้าจะเหยียบย่ำนิกายกวงหยางให้จมปฐพี จะสังหารฉีหยานให้จงได้! จากนั้นก็จักค่อยบรรลุการทดสอบแข่งขันให้เสร็จสมบูรณ์”

 

“จะทำอะไรก็ตามใจเจ้าแล้วกัน” จิ้งจอกขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “แต่ข้าขอเตือนเจ้าก่อน ว่าสตรีแห่งรากษสทุกรุ่น ทุกยุคสมัย จะมีเพียงร่างเดียวเท่านั้นที่จักคงสภาพเอาไว้ได้ ดังนั้น เจ้าจึงเหลือโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่จะบรรลุการทดสอบให้ได้ด้วยตนเองโดยสมบูรณ์”

 

ความโกรธของอีกฝ่ายได้สลายหายไปทันที ปากกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้หรอกน่า แต่ฉีหยานน่ะมีโลกใบใหม่สองใบอยู่ในมือนะ จะไม่ให้ไปยุ่งกับมันเลยหรือ?”

 

“หากเจ้าสามารถได้รับพิกัดของโลกใหม่ได้ เจ้าก็จะได้รับแต้มรางวัลเพิ่มเติม และนั่นจะเป็นหลักฐานว่าเจ้าได้บรรลุการทดสอบแล้ว” จิ้งจอกขาวกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

“เอาล่ะ ข้าจะไปทำการทดสอบให้มันเสร็จสิ้น” แม้ปากจะเอ่ยรับ แต่ดวงตาของอีกฝ่ายก็ยังคงขุ่นเขียวอยู่

 

“ตอนนี้ เจ้าสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกคราแล้ว”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

และเสียงของอีกฝ่ายก็หายไป

 

จิ้งจอกขาวยืนนิ่งอยู่กับที่

 

ผ่านไปสักพักหนึ่ง

 

เสียงที่ฟังดูเปี่ยมบารมีก็ดังขึ้น “ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าสามารถเริ่มรายงานสถานการณ์มาได้”

 

จิ้งจอกขาวหันไปโค้งกายคารวะทางประตูแสง และเริ่มเอ่ยรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ตั้งแต่ต้น

 

เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว เสียงเปี่ยมบารมีก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“แม้ว่ามันจะเป็นวิธีการที่ชาญฉลาด แต่หนึ่งในผู้แข่งขันแห่งลั่วชาก็ถึงขั้นต้องยินยอมสละร่างกายตนเองไปนี่มัน ..”

 

“ไม่มีผู้ใดสามารถกระทำเช่นนี้มาได้เป็นเวลานานมากแล้ว”

 

เสียงนั้นฟังดูเหมือนจะครุ่นคิด ในขณะเดียวกันก็ทำการตัดสินใจบางอย่างด้วยตัวเอง

 

“เอาเถอะ ตอนนี้เจ้าก็ทำการตรวจสอบคนๆนั้นต่อไปก็แล้วกัน แล้วก็จงตัดสินด้วยตนเองว่าคนๆนั้นมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นผู้แข่งขันแห่งลั่วชาหรือไม่”

 

“เข้าใจแล้ว ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ” จิ้งจอกขาวเอ่ยรับ

 

“ดังนั้น – นี่สินะคือคำที่มักจะกล่าวกันว่าสันติน่ะเป็นเพียงภาพมายาในระยะสั้น สงครามกำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้งในไม่ช้า พวกเราต้องการเลือดใหม่ที่ยอดเยี่ยม ขณะที่ฝั่งศัตรูของพวกเราก็เช่นกัน ดังนั้นข้าขอฝากเจ้าด้วย”

 

“รับทราบแล้ว ไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

 

“จงระมัดระวังอสูรกายที่แท้จริงเอาไว้ให้ดี แล้วพวกเราค่อยพบกันอีกครั้งเมื่อเจ้ากลับมา”

 

“แล้วข้าจะกลับไป”

 

จากนั้น แสงอันริบหรี่ก็ค่อยๆจางหายไป

 

แล้วประตูแสงก็ปิดลง

 

หางของจิ้งจอกขาวกางออกอีกครั้ง และคราวนี้แบ่งออกเป็น 18 หาง

 

มันเดินอย่างเชื่องช้าผ่านลานที่พัก ราวกับว่ากำลังขบคิดถึงวิธีการที่จะกระทำต่อไป

 

ในชั่วขณะหนึ่ง สายตาของจิ้งจอกขาวก็กระพริบไหว

 

“เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ ผู้เข้าแข่งขันแห่งลั่วชา ได้กลับลงมายังลั่วชาเฟิงอีกครั้ง”

 

“ส่วนอีกด้านหนึ่ง คือชายที่สามารถสังหารผู้เข้าแข่งขันแห่งลั่วชาได้ … ดูเหมือนว่ามันจะถูกเรียกว่า ‘ฉีหยาน’ สินะ?”

 

ทันทีที่เสียงนี้ตกลง

 

ร่างของจิ้งจอกขาวก็หายวับไปทันที มิอาจพบเห็นถึงร่องรอยของมันได้อีกเลย

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.449 – ประจักษ์พยาน

 

ของที่เก็บสะสมไว้ในนิกายกวงหยาง สำหรับกู่ฉิงซานแล้วมันคืออะไรที่สำคัญเป็นอย่างมาก

 

เพราะนั่นคืออารยธรรมการฝึกยุทธที่เหนือล้ำยิ่งกว่าของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ โดยเฉพาะเทคนิคค่ายกลของพวกเขา นับว่าหาที่ใดจะเทียบเปรียบได้

 

กู่ฉิงซานพาฉานนู่ ฉินรั่ว และว่านเอ๋อมาด้วยกัน มุ่งหน้าตรงไปยังคลังสมบัติของโถงเจียงซี

 

ขณะที่ในระหว่างทาง พวกเขามิได้พบเจอกับผู้ใดเลย

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

ช่วงเวลานี้ ตลอดทั่วทั้งเกาะ นอกเหนือไปจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่อาจพบเห็นผู้ใดได้อีกเลย

 

นี่มันช่างแตกต่างกับนิกายกวงหยางที่พวกเขาเข้ามาในตอนแรกเสียเหลือเกิน

 

ความเงียบงันที่ทำให้รู้สึกแปลกประหลาดนี้ ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งเกาะลอยฟ้า

 

ในแต่ละนิกาย เมื่อเกิดช่วงเวลานี้ขึ้น เหล่าผู้ฝึกยุทธจะได้รับคำสั่งขั้นเด็ดขาดให้อยู่แต่ในพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น

 

แต่ในความเป็นจริง ทุกๆนิกายก็มีค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกที่เปิดใช้งานอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวก็ได้

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดช่วงเวลา ‘ลางร้าย’ ขึ้น แต่ละนิกายก็จำเป็นต้องออกคำสั่งจำกัดพื้นที่ของเหล่าสาวกอยู่ดี

 

เพราะคือแนวทางปฏิบัติที่ได้เรียนรู้มาจากความเจ็บปวดมากมายที่เคยเกิดขึ้นในครั้งอดีต

 

มีเพียงฉีหยานเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฏข้อบังคับดังกล่าว

 

นั่นเพราะเขาเป็นลูกชายของท่านผู้นำ และยังเป็นหนึ่งในสามปรมาจารย์ตำหนักที่มีอำนาจมากเป็นพิเศษอีกด้วย

 

“ว่านเอ๋อ”

 

กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าลงทันใด หันไปกล่าวทางว่านเอ๋อ

 

“เจ้าค่ะ นายน้อย”

 

“สถานการณ์เช่นนั้นมันอะไรกัน?”

 

ว่าแล้วกู่ฉิงซานก็ชี้ยังทิศทางหนึ่งและเอ่ยปากออกมา

 

ว่านเอ๋อมองตามไปยังทิศทางที่กู่ฉิงซานชี้ไป

 

ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าใดนักบนท้องฟ้า บังเกิดแสงสีดำวูบไหวจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง

 

แสงสีดำที่สาดออกมา ส่งผลให้ในสายตาสามารถมองเห็นถึงปากใหญ่มากมายที่เต็มไปด้วยซี่ฟันแหลมๆปรากฏขึ้น

 

ปากใหญ่สีดำเหล่านี้มีขนาดเท่ากับสิ่งปลูกสร้างราวๆ4-5ชั้น ขณะที่แต่ละปากบ้างอ้า บ้างหุบ ราวกับกำลังคาดหวังบางสิ่งบางอย่างอยู่

 

นี่คือร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกา

 

ร่างไร้จิตสำนึกเหล่านี้กำลังรายล้อมอยู่รอบเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป

 

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ สีหน้าท่าทีของว่านเอ๋อก็เปลี่ยนไปทันที

 

เธออดไม่ได้ที่จะเผลอก้าวถอยหลังกลับไป และคว้าจับมือของฉินรั่ว บีบมันจนแน่น

 

“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว”

 

ฉินรั่วกอดหว่านเอ๋อและปลอมประโลมเบาๆ

 

ขณะที่ทั้งคนทั้งร่างของว่านเอ๋อสั่นกึกๆไม่หยุด และมิอาจเปล่งคำใดออกมาตอบรับคำของฉินรั่วได้

 

“นายน้อย” ฉินรั่วหันไปมองกู่ฉิงซานและอธิบาย “ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาน่ะ จะรับรู้ถึงกลิ่นอายของพลังวิญญาณได้ พวกมันจึงไปล้อมรอบในส่วนที่มีกลิ่นอายเล็ดลอดออกมา และเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ”

 

“รออะไร?”

 

“ก็รอ-”

 

ฉินรั่วยังไม่ทันจะได้เอ่ยจนจบประโยค บนท้องฟ้าก็เริ่มบังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

 

ในเวลานี้ ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาได้ปกคลุมไปจนเกือบตลอดทั้งเกาะแล้ว

 

แต่ช่างน่าฉงนนัก ที่จู่ๆก็มีเรือเหาะลำหนึ่งแล่นสวนออกมาจากเกาะ

 

เรือเหาะพุ่งผ่านช่องว่างที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างรวดเร็ว และสามารถฝ่าวงล้อมของร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกามาได้อย่างง่ายดาย

 

สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลงและเฝ้ามองถึงฉากนี้อย่างระมัดระวัง

 

แล้วเขาก็ได้ข้อสรุปออกมา ว่าแท้จริงแล้วบนเรือเหาะลำนั้นมีแสงสลัวจางๆของ7-8ค่ายกลกระพริบไหวออกมาเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่านั่นจะต้องเป็นค่ายกลที่ใช้ป้องกันตัวจากร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาเป็นแน่

 

หนึ่งในนั้นคือค่ายกลที่ทำให้ชั้นอากาศโดยรอบของเรือเหาะเกิดความบิดเบือนเป็นระลอกคลื่น

 

ปรากฏการเช่นนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกเกิดการทำงาน

 

มันคงจะเป็นเพราะค่ายกลที่ว่านี้นี่เอง ที่ส่งผลให้ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกามิอาจตระหนักถึงการมีอยู่ของเรือเหาะได้

 

เรือเหาะพุ่งผ่านไป มุ่งหายไปในท้องฟ้าอันกว้างไกล

 

ขณะที่บนเกาะลอยฟ้าดังกล่าว บังเกิดเสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนที่ฟุ้งไปด้วยความสิ้นหวังดังขึ้น

 

“ไม่จริง!!”

 

“ท่านหัวหน้า! ท่านจะทิ้งพวกเราเอาไว้แบบนี้ไม่ได้นะ!”

 

“ขโมยศิลาวิญญาณทั้งหมดของนิกายหลบหนีไป เจ้ามันไม่คู่ควรกับคำว่าผู้นำเลย!”

 

“หวังบิซี! ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นผี ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”

 

ขณะที่เสียงเหล่านั้นปะทุขึ้น ตลอดทั้งเกาะก็บังเกิดเสียงคร่ำครวญอีกมามายตามมา

 

แสงที่รายล้อมอยู่รอบเกาะทรุดโทรมลง และสุดท้ายก็สลายหายไปในความว่างเปล่า

 

ค่ายกลที่คอยปกป้องพวกเขาได้หายไปแล้วโดยสมบูรณ์แล้ว

 

-ปงงงง!

 

ทว่าพริบตานั้นเอง ร่างไร้สติทั้งหมดก็ถูกระเบิดการโจมตีเข้าใส่จนกระจายเป็นซากในฉับพลัน

 

พร้อมกับการปรากฏกายของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่กลางอากาศ ขณะที่ในมือของเขาผายออกด้วยวิชาลับ

 

คลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณของคนผู้นี้ ไม่แตกต่างไปจากเย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยเลย

 

เขาคือผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าขั้นปลาย!

 

ที่เรียกได้ว่ากระทั่งในโลกใบนี้ ก็ยังเป็นตัวตนที่ทรงพลานุภาพยิ่ง!

 

เมื่อเสียง ปงงง! ดับลง ร่างไร้จิตสำนึกทั้งหมดก็ถูกทำลายหายไปในการโจมตีเดียว อย่างไรก็ตาม ชายวัยกลางคนกลับไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจใดๆเลย

 

เขาตะโกนด้วยความกระวนกระวาย “เหล่าอาวุโสและสาวกทั้งหลาย จงเร่งนำศิลาวิญญาณที่พวกเจ้าซุกซ่อนเก็บเอาไว้กับตัวไปเปิดใช้งานค่ายกลเร็วเข้า มิฉะนั้นโชคชะตาของทุกคนคงมิแคล้วตกตาย!”

 

บนเกาะลอยฟ้า เหล่าผู้ฝึกยุทธมากมายได้ตกอยู่ในความอลหม่าน และเริ่มทำการรวบรวมศิลาวิญญาณทันที

 

“นายน้อย ข้าเกรงว่าพวกเขาคงจะมีเวลาไม่มากพอ” ฉินรั่วกล่าวเสียงต่ำ

 

“เพราะเหตุใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เห็นแค่เพียงท่าทีที่พยายามจะสงบนิ่งของฉินรั่ว ทว่าสีหน้าของเธอกลับเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวที่กลบไม่มิดออกมา

 

เธอเฉลยว่า “เพราะร่างมีจิตสำนึกของมารโลกากำลังจะมา ซึ่งนั่นหมายความว่ามารโลกาได้ค้นพบพวกเขาแล้ว”

 

ว่านเอ๋อที่ยังสั่นเทาก็กล่าวออกมาเช่นกัน “นายน้อย โปรดรับชมด้วยตาตนเองเถิด นั่นคือ ‘พฤกษาแห่งมารโลกา’ ”

 

กู่ฉิงซานมองออกไป

 

และเห็นแค่เพียงเนื้อสีแดงสดที่สูงตระหง่าน คล้ายคลึงกับพฤกษายักษ์กำลังทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

และเนื้อที่ว่านี้มาจากร่างหลักของมารโลกา ที่อยู่บนพื้นโลก

 

เนื้อพฤกษายักษ์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

จากนั้น พวกมันก็เริ่มที่จะแตกกิ่งก้านสาขา

 

กิ่งก้านที่แยกออกมาเหล่านั้น ถูกปกคลุมไปด้วยผลไม้สีแดงสด

 

“โผล๊ะ!”

 

ผลไม้ที่ว่าเริ่มแยกออก

 

พร้อมกับการปรากฏ ‘หนังมนุษย์’ หลุดลอกออกมา และลอยค้างอยู่กลางเวหา

 

พวกมันเป็นเพียงหนังมนุษย์แห้งๆ ไร้ซึ่งเลือดและเนื้อ ทว่ากลับสามารถเคลื่อนไหว และเหินอากาศไปมาได้มิแตกต่างไปจากผู้ฝึกยุทธเลย

 

หนังมนุษย์มองไปยังเกาะลอยฟ้า และเปล่งเสียงหัวเราะที่แลดูฟั่นเฟือนออกมา

 

ในกระแสเสียงหัวเราะของพวกมัน ฟุ้งไปด้วยความเคียดแค้นอย่างหาที่ใดเปรียบ ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ซึ่งความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

“ยอด ยอดเยี่ยม”

 

หนังมนุษย์ตวาดเสียงดัง

 

ขณะที่เบื้องหลังเขา หนังมนุษย์มากมายที่ติดตามมาก็หัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง

 

“ยอด ยอดเยี่ยม”

 

พวกมันทุกตนต่างพากันตะโกนตามเขาออกมา

 

“ในที่สุดก็มีวิญญาณสดใหม่ที่จะต้องมาทนทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดชั่วนิจนิรันดร์ไปพร้อมกับพวกเราเพิ่มขึ้นอีกซักที” หนังมนุษย์เอ่ยกระซิบ

 

แต่แล้วจู่ๆใต้พื้นดินบังเกิดเสียงสั่นสะเทือนไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก

 

เสียงสะเทือนนี้ราวกับกำลังจะกระตุ้นเตือนเล็กน้อย

 

เพราะหลังจากที่ได้ยินมัน หนังมนุษย์ทั้งหมดก็หุบปากของพวกเขาลงทันที

 

ทั้งหมดกลายเป็นภาพติดตา และพรวดลงไปบนเกาะลอยฟ้าอย่างรวดเร็ว

 

ทันใดนั้นตลอดทั้งเกาะก็ตกอยู่ในความโกลาหล

 

ความว่องไวของผู้ฝึกยุทธ มิอาจเทียบเคียงกับหนังมนุษย์ได้เลย

 

เห็นแค่เพียงเงาที่กระพริบผ่าน แล้วผู้ฝึกยุทธก็ถูกคว้าโอบกอดโดยหนังมนุษย์

 

ทันทีที่ถูกจับตัวไว้ เลือดและเนื้อตลอดทั้งร่างกายของผู้ฝึกยุทธก็หายไปโดยสมบูรณ์ และหลงเหลือเพียงหนังมนุษย์ที่เหี่ยวแห้งตนใหม่ปรากฏขึ้นมา

 

ขณะเดียวกันหนังมนุษย์ตนที่พึ่งโอบกอดผู้ฝึกยุทธมา จู่ๆก็บังเกิดถุงใบใหญ่ขึ้นบนหลังของเขา

 

ถุงใหญ่ใบนี้ คือส่วนผสมของเลือดเนื้อ และจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธที่พึ่งถูกดูดกลืนไปนั่นเอง

 

เพียงแค่สัมผัส … ผู้ฝึกยุทธก็ถูกพวกมันสังหารตายลงได้อย่างง่ายดาย

 

พริบตาเดียว ตลอดทั้งเกาะก็กลายเป็นลานประหาร!

 

ขณะเดียวกัน หนังมนุษย์ตนแล้วตนเล่าที่มีถุงใบใหญ่อยู่บนหลัง ก็ทยอยกันกลับไปยังพฤกษาแห่งมารโลกา

 

พฤกษาแห่งมารโลกาได้เปิดช่องว่างให้หนังมนุษย์ตนที่ว่าบินกลับเข้าไปภายในมัน

 

จนในท้ายที่สุด บนท้องฟ้า ก็เหลือเพียงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงมุ่งมั่นดิ้นรนต่อสู้อยู่

 

ขณะที่ฝูงหนังมนุษย์กระจายตัวกันห้อมล้อม และโถมโจมตีใส่เขาตลอดเวลา

 

“ไม่! มันจะต้องไม่เป็นแบบนี้!”

 

ชายวัยกลางคนเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเสียงที่เขาเปล่งออกมามันกลับช่างฟังดูสับสนและสิ้นหวังโดยแท้

 

เพราะไม่ว่าเขาคิดจะหลบหนีไปยังทิศทางใด ฝูงหนังมนุษย์ก็จะกระโจนไปปิดทาง ขณะที่มีอีกกลุ่มคอยไล่ตามเขามาอย่างกระชั้นชิด

 

ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ชายวัยกลางคนก็ไม่อาจหลบหนีได้อีกต่อไป และถูกเหล่าหนังมนุษย์ปิดล้อมเอาไว้ได้โดยสมบูรณ์

 

ร่องรอยของความหวาดกลัวบนใบหน้าของว่านเอ๋อเริ่มที่จะเด่นชัดขึ้น

 

ขณะที่กู่ฉิงซานมิอาจละตายตาไปจากการตะลุมบอลเบื้องบนได้เลย จนไม่ทันได้สังเกตุเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ

 

ฉานนู่หันไปมองว่านเอ๋อและเอ่ยถาม “นั่นเจ้าเป็นอะไรไป?”

 

“ร่างหลักของมารโลกากำลังจะเริ่มลงมือแล้ว! มันจะลงมือแล้ว!!”

 

ว่านเอ๋อตอบด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน

 

“อย่ากลัวไปเลยว่านเอ๋อ” ฉินรั่วลูบแผ่นหลังว่านเอ๋อให้ผ่อนคลายลง “มีผู้ฝึกยุทธแค่คนเดียวเท่านั้น มารโลกาจะไม่ลงมือเองหรอก”

 

“จริงๆหรือ?”

 

“หลงเหลือผู้ฝึกยุทธเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตอยู่ มันไม่คุ้มค่าที่จะให้มารโลกาต้องใช้ความพยายามหรอก ไม่ต้องหวาดกลัวไปนะ น้องสาวว่านเอ๋อ”

 

ฉินรั่วกอดเธออย่างอ่อนโยน

 

ว่านเอ๋อไม่ได้จ้องมองไปบนท้องฟ้าอีกต่อไป แต่กลับซุกหน้าลงในอ้อมแขนของฉินรั่วแทน

 

อย่างไรก็ตาม ร่างของเธอก็ยังคงสั่นด้วยความกลัวอยู่ดี

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานและฉานนู่ที่มองมา ฉินรั่วก็ส่งสัญญาณตาให้พวกเขา

 

เธอส่งคำอธิบายผ่านจิตสัมผัสเทวะไปว่า “ทุกคนในโลกของว่านเอ๋อ ได้ถูกจับเป็นหนูทดลองของนิกายกวงหยางเพื่อใช้ทดสอบหาเบาะแสของมารโลกา”

 

“และมีว่านเอ๋อเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้”

 

“แล้วนางรอดชีวิตมาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เพราะการทดสอบหาเบาะแสของมารโลกาได้เสร็จสิ้นลงพอดี ดังนั้นเธอจึงโชคดีที่รอดชีวิตมาได้”

 

“หมายความว่าได้ผลสรุปเกี่ยวกับการทดลองนี้มาแล้วใช่หรือไม่?”

 

“ใช่ นิกายกวงหยางได้ค้นพบว่าการทดลองใช้มนุษย์เป็นสิ่งล่อลวงนี้ ทำต่อไปมันก็ไร้ความหมาย ทุกกลยุทธ์ที่คิดค้นขึ้นมาใช้ต่อต้านมันล้วนล้มเหลว ดังนั้นจึงได้ล้มเลิกการทดลองที่ว่านั่นไป”

 

ทันใดนั้นเอง พื้นโลกก็บังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง

 

ตามด้วยเสียงคำรามแห่งความพิโรธขจรขจายไปทั่วฟ้า

 

ในชั้นอากาศ กลิ่นอายของความตายค่อยๆแข็งกร้าว และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ขณะที่ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าวัยกลางคนบัดนี้นิ่งงัน เลิกที่จะขัดขืนแล้ว

 

ใบหน้าของเขาแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม และยกมือชูขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

“ข้าจางเต๋า ขอให้คำมั่นสาบานต่อสวรรค์และโลกในที่แห่งนี้ ว่าตลอดชีวิตนับจากนี้ไป จะตามจองล้างจองผลาญคนทรยศนิกาย หวังบิซีจะต้อง-”

 

คำสาบานของเขายังไม่ทันครบจบโดยสมบูรณ์

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ พริบตาเดียวเขาก็ถูกกระโดดโอบตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา และเริ่มถูกดูดเลือดเนื้อออกไปแล้ว

 

และสิ่งที่โอบกอดเขา มันมิใช่ร่างหนังมนุษย์ที่เหี่ยวแห้ง แต่กลับเป็น ‘ตัวดูด’ ที่มาจากร่างหลักของมารโลกาเลยโดยตรง พวกมันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่ไม่อาจตรวจจับได้ และโถมเข้าปกคลุมผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าเอาไว้โดยสมบูรณ์

 

ช่วงเวลานี้เอง แม้กระทั่งสีหน้าของกู่ฉิงซานก็ยังแปรเปลี่ยนกลับกลาย

 

นี่มันจะว่องไวเกินไปแล้ว!

 

ว่องไวชนิดที่แม้กระทั่งขีดสุดความว่างเปล่าก็ยังมิทันได้ตอบสนอง!

 

หากต้องพบเจอกับความว่องไวอันน่าสะพรึงเช่นนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ย่อมมิอาจหลบเลี่ยงการไล่ล่าของมารโลกาไปได้อย่างแน่นอน

 

ร่างของผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าส่ายไปมาอย่างไร้ทิศทาง

 

แต่กลับเห็นแค่เพียงตัวดูดที่กอดรัดเขาแน่นหนายิ่งขึ้น และเริ่มบิดตัวไปมาอย่างเมามัน

 

ในเสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าก็หายไป

 

เขาถูกกลืนกินโดยตัวดูดจนเกลี้ยง ซึ่งคราวนี้ไม่มีหลงเหลือเลยแม้กระทั่งหนังมนุษย์ที่ว่างเปล่า ..

 

เมื่อเผชิญกับฉากอันน่าผวาเช่นนี้ กู่ฉิงซานและฉานนู่ก็นิ่งงันไป จมลงสู่ความเงียบไปพักหนึ่ง

 

มีเพียงฉินรั่วที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

“น้องสาวว่านเอ๋อ มันจบแล้วล่ะ”

 

เธอลูบหัวของว่านเอ๋อ และเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าลองมองดูสิ เห็นหรือไม่ว่ามารโลกามิได้เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ มาเถอะ เลิกหวาดกลัวได้แล้ว”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.448 – ความลับของนิกาย

 

“ระบบ?”

 

กู่ฉิงซานเปล่งเสียงเรียกในจิตใจของเขา

 

เงียบ …

 

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับกลับมา

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างลับๆ

 

เรื่องแบบนี้ .. มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

 

อย่างไรก็ตาม แม้เขาต้องการจะตรวจสอบเรื่องนี้มากเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีเวลามากพอที่จะไตร่ตรองเกี่ยวกับมันอยู่ดี

 

นั่นเพราะ .. นี่คงใกล้จะได้เวลาที่เย่หยิงเหมยจะกลับมาแล้ว

 

สามปรมาจารย์ตำหนักจะต้องเริ่มหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่จะใช้จัดการกับหวังหงษ์เต๋าในไม่ช้า

 

ถ้าหากเขามาสายเกินไป คนที่เหลือก็อาจจะสงสัยได้

 

ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็มาถึงเวทีหารืออย่างเป็นทางการในที่สุด

 

และก็เป็นเวลาที่เหมาะเจาะยิ่งนัก

 

เพราะเย่หยิงเหมยก็กำลังกลับมาพอดีเช่นกัน

 

“นี่คือสองสมบัติมนตราที่พวกเราได้ความพยายามฟูมฟักมันมาเป็นระยะเวลาหลายปี ข้าหวังว่าเจ้าจะมองหาโอกาสที่เหมาะสมที่สุดในยามที่ใช้มันนะ” เย่หยิงเหมยเอ่ยปากออกมา

 

ขณะเดียวกัน เธอผายมือของตัวเองออกไป

 

ตามด้วยกลุ่มก้อนรังสีแสงสีน้ำเงินและแดงที่สาดแสงออกมา พวกมันทั้งสองลอยนิ่งอยู่บนฝ่ามือของเธออย่างเงียบๆ

 

ในส่วนของกลุ่มรังสีแสงสีแดง มันคือเข็มที่บางเบา – ราวกับเส้นผม

 

แม้เข็มแหลมจะลอยนิ่งอยู่เฉยๆในอากาศ ทว่ายามเมื่อสายลมพัดโชยผ่านมัน ก็จะถูกปลายอันแหลมคมเสียดสีจนบังเกิดเสียงหวีดหวิวกังวานไปทั่ว

 

ขณะที่อากาศบริเวณโดยรอบของเข็มแหลม ได้บังเกิดร่องรอยปริร้าวของชั้นมิติ ราวกับว่ามีพลังที่มองไม่เห็นกำลังฉีกกระชากมันอยู่ตลอดเวลา

 

เป็นไปได้มากทีเดียว ว่าเมื่อใดก็ตามที่สมบัติมนตราชิ้นนี้ถูกเปิดใช้งาน พลังอำนาจอันน่าสะพรึงย่อมไม่แคล้วที่จะปะทุออกมา

 

ในขณะที่รังสีแสงสีน้ำเงิน เป็นยันต์ที่วาววับและโปร่งใส ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคุณภาพของมันยอดเยี่ยมมากเพียงใด

 

กล่าวได้เลยว่านี่คือหนึ่งในยันต์ที่มีคุณภาพดีเลิศที่สุด ที่ถูกแกะสลักขึ้นจากหยกวิญญาณ

 

ซึ่งมันแตกต่างไปจากกลุ่มก้อนรังสีแสงสีแดง ที่มิได้มีรูปร่างหรือเปล่งกลิ่นอายที่มีความพิเศษใดๆออกมา

 

กู่ฉิงซานจับจ้องลงไปยังยันต์หยกวิญญาณ และสัมผัสได้ว่าห้วงอารมณ์ภายในหัวใจตน อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา

 

“นี่คือยันต์ที่ข้าปรับแต่งขึ้น มันสามารถต้านทานการโจมตีของหวังหงษ์เต๋าได้ หรืออีกความหมายนึงก็คือ เจ้าจะต้องใช้โอกาสในช่วงเวลานั้นโจมตีเขา” เย่หยิงเหมยอธิบายออกมา

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าว่าเข้าใจ

 

เย่หยิงเหมยฉกาจที่สุดในด้านปรับแต่งยันต์ และก่อนหน้านี้ในยามเมื่อมอบของรับขวัญในการพานพบกันครั้งแรกแก่ ‘กู่ฉิงซาน’ นางก็ได้มอบยันต์ป้องกันให้แก่เขาไปใบหนึ่งเช่นกัน

 

เห็นได้ชัดว่านางมีความรอบรู้ในศาสตร์แขนงนี้

 

“เอาล่ะ เช่นนั้นที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” กู่ฉิงซานกล่าวออกมา

 

เย่หยิงเหมยลังเลเล็กน้อย

 

เธอมองไปยังสมบัติมนตราทั้งสองอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งผ่านพ้นไปชั่วเวลาหนึ่ง ก็ยังไม่ยินดีที่จะตัดใจจากมัน

 

“ศิษย์น้องหยิงเหมย” กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แผนการในครานี้ เจ้าแค่ต้องจ่ายออกด้วยสิ่งที่อยู่ภายนอก ขณะที่ข้าต้องจ่ายออกด้วยสิ่งภายในอย่างการเดิมพันด้วยชีวิตของตนเองเชียวนา”

 

เซ่าหวูชุ่ย หันไปเอ่ยกับเย่หยิงเหมยผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ให้เขาไปเถอะ หากล้มเหลวเขาก็แค่ตกตาย และนั่นมันก็เป็นเรื่องของเขา อีกอย่างหากปล่อยให้เขาลงมือ หวังหงษ์เต๋าก็จะไม่มีทางค้นพบได้ว่าพวกเราเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

 

เย่หยิงเหมยแม้จะได้ฟังแล้ว แต่ก็ยังลังเลอยู่ดี

 

นี่คือสมบัติมนตราที่เธอและเซ่าหวูชุ่ยต้องใช้ออกด้วยความพยายามมากมาย ทุ่มเทบากบั่นอยู่หลายปีดีดักจนรังสรรรมันออกมาได้สำเร็จในที่สุด

 

แต่ในเวลานี้ สมบัติมนตราที่ว่ากลับกำลังจะไปตกในมือของผู้อื่น

 

วิสัยทัศน์ของเธอจมอยู่กับสมบัติมนตราทั้งสอง และยังไม่เต็มใจที่จะมอบมันออกไป

 

ในช่วงเวลานั้นเอง จู่ๆสภาพอากาศก็เริ่มมืดครึ้มลงทันใด

 

บนท้องฟ้า พริบตาเดียวตลอดทั้งเกาะก็สูญสิ้นซึ่งความสว่างไสวไปโดยสมบูรณ์

 

ราวกับว่ามันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ทุกสิ่งมีชีวิตตลอดทั้งเกาะพลันหยุดนิ่ง

 

นี่คือกฏที่แต่ละนิกายจะต้องปฏิบัติตาม

 

ที่ต้องบังคับกฏให้ทุกคนหยุดนิ่งในช่วงเวลา ‘ลางร้าย’ ได้มาถึง นั่นก็เป็นเพราะว่าต้องการที่จะป้องกันไม่ให้สายลับจากนิกายอื่น ฉวยจังหวะนี้ สบโอกาสลอบเข้าไปทำลายค่ายกลของนิกายได้ หากมีผู้ใดเคลื่อนกาย มันผู้นั้นก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันที

 

ทว่าบนแท่นสูง สามปรมาจารย์ตำหนักกลับยังคงเคลื่อนไหวได้ตามสะดวก

 

อย่างแรกก็เพราะนี่อยู่ภายในนิกาย ซึ่งสภาพแวดล้อมมันจะแตกต่างไปจากเกาะส่วนตัวของฉีหยาน

 

เกาะส่วนตัวของฉีหยาน มีเพียงค่ายกลขนาดเล็กคอยรองรับเท่านั้น

 

ด้วยเหตุนี้เอง ยามที่ ‘ลางร้าย’ ได้มาเยือน ช่วงเวลานั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงอยู่นิ่งๆเฉยๆภายในค่ายกลขนาดเล็กเท่านั้น มิอาจฝืนทำอย่างอื่นได้

 

แต่สำหรับภายในนิกายกวงหยาง ตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า มันได้ถูกครอบคลุมโดยค่ายกลทั้งหมด

 

ผู้ฝึกยุทธจึงไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวใดๆ

 

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดนี้ สีหน้าของสามปรมาจารย์ตำหนักก็ยังคงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่ดี

 

เซ่าหวูชุ่ยจั่วยันต์ออกมา และจ้องมองมัน

 

บนยันต์ คำว่าลางร้ายกระพริบไหวไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

 

จนท้ายที่สุดแล้ว คำว่า ‘ลางร้าย’ ก็ได้ครอบคลุมทั่วทุกส่วนของยันต์

 

ช่วงเวลา ‘ลางร้าย’ ได้มาเยือนแล้ว!

 

ตลอดทั้งผืนดิน บังเกิดเสียงคำรามอันหนักหน่วงกังวานขึ้น

 

เสียงคำรามนี้ขจรขจายไปตลอดทั้งโลกหล้า ราวกับเป็นการประกาศว่าทุกชีวิตจักต้องจบลงด้วยความตาย

 

มารโลกาได้ตื่นจากการหลับไหลแล้ว

 

ตลอดทั้งโลกพลันจมลงสู่ความเงียบ

 

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใด ก็ล้วนมิกล้าที่จะเปล่งเสียงใดๆออกมา

 

ภายในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก เย่หยิงเหมยกำลังตั้งใจฟังเสียงคำรามของมารโลกาอย่างเงียบๆ

 

“ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผกไปเล็กน้อย” เย่หยิงเหมยเอ่ยพึมพำ “สังเกตหรือไม่ว่าครานี้มันตื่นเร็วขึ้นกว่าเดิม?”

 

เซ่าหวูชุ่ยหยิบยันต์ออกมากองหนึ่ง และเริ่มมองดูพวกมันทีละแผ่น ทีละแผ่นอย่างเป็นระมัดระวัง และในที่สุดก็เก็บยันต์ทั้งหมดกลับคืน

 

“เป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ” เขาเอ่ยสนับสนุน “ในช่วงหลายสิบวันที่ผ่านมานี้ ช่วงเวลาที่มันตื่นจากการหลับไหลดูเหมือนว่าจะเร็วขึ้นยิ่งอย่างเดิมครึ่งชั่วยาม หากเทียบกับในครั้งอดีต”

 

ทั้งสองเงียบไป

 

มารโลกาตื่นจากการหลับไหลบ่อยขึ้น และเร็วขึ้น …

 

นี่มิใช่เป็นการบ่งบอกกลายๆว่า วันใดวันหนึ่ง มันจะตื่นขึ้นมาโดยไม่หลับไหลอีกเลยหรอกหรือ?

 

หากเป็นในกรณีเช่นนั้น แล้วผู้ฝึกยุทธจะเผชิญกับมารที่มิอาจต่อต้านตนนี้ได้อย่างไร?

 

ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกมิอาจทำงานได้ตลอดไป หากไม่มีการเติมเต็มศิลาวิญญาณ

 

และเมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนก็จะต้อง … ตาย!

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองทั้งสอง และในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า “ไม่ช้าก็เร็ว โลกใบนี้ก็จะดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุด ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าควรทุ่มสุดตัว และเลิกลังเลได้แล้ว”

 

เย่หยิงเหมยหันไปมองเขา ห้วงอารมณ์ภายในจิตใจค่อยๆคลายลงอย่างช้าๆ

 

นั่นสินะ ไม่ช้าก็เร็วโลกใบนี้ก็จะจบสิ้นลงโดยมารโลกา

 

เช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้โอกาสนี้ ต่อสู้แบบทุ่มสุดตัวดูเล่า?

 

“ในเมื่อเจ้าได้เอ่ยคำมั่นสาบานต่อฟ้าดินไปแล้ว ข้าก็ยินดีที่จะมอบสิ่งเหล่านี้ให้แก่เจ้า ยังไงก็ตาม เจ้าจะต้องจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าหวังหงษ์เต๋าอยู่ในขอบเขตลมปราณจิตมานานนับปี นั่นหมายความว่ากลยุทธ์ของเขาย่อมไร้ที่สุดสิ้น ชนิดที่เจ้ามิอาจจินตนาการได้” เย่หยิงเหมยกล่าว

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยสารภาพ “จวบจนกระทั่งปัจจุบัน ข้าก็ยังไม่กล้าเอ่ยได้อย่างเต็มปากว่ากระจ่างชัดถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา”

 

“ข้าเองก็มิแตกต่างจากสหายเซ่า” เย่หยิงเหมยกล่าว “แม้ว่าข้าจะใช้เวลาอยู่กับเขามานานปี แต่ข้าก็มิอาจล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาในเชิงลึกเช่นกัน”

 

“ดังนั้น เมื่อเจ้าเห็นโอกาส จงทุ่มลงมืออย่างเต็มกำลัง อย่าได้ออมแรงไว้โดยเด็ดขาด” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยสั่ง

 

กู่ฉิงซานมองไปยังทั้งสองอย่างระมัดระวัง และพบว่าท่าทีการแสดงออกของทั้งสองบัดนี้ช่างดูเคร่งขรึมจริงจังอย่างแท้จริง

 

“พวกเจ้าวางใจได้ นี่มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและความตายของข้าเช่นกัน ข้าย่อมต้องทุ่มพยายามเต็มกำลัง ลงมือให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักที่เฝ้ามองเขาเอ่ยเช่นนั้น ก็บังเกิดความรู้สึกพึงพอใจขึ้นมา

 

เย่หยิงเหมยค่อยๆวาดมือของตนออกไปอย่างแผ่วเบา

 

หนึ่งแสงสีน้ำเงิน และหนึ่งแสงสีแดง ทั้งสองกลุ่มลอยล่องอย่างช้าๆมาตรงหน้าของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานรับเอาสมบัติมนตราทั้งสองมาอย่างระมัดระวัง

 

“สหายเซ่า ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”

 

“เจ้าว่ามาสิ”

 

“ข้าได้ทำการสืบทราบข้อมูลเกี่ยวกับหวังหงษ์เต๋ามาบ้างแล้ว และพบว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่เติบโตมาในนิกาย แถมยังได้เก็บสะสมกระบี่ และเทคนิคลับต่างๆที่ตนเคยได้เรียนรู้มา เอาไว้มากมายอีกด้วย”

 

“มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ว่าแต่สิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อคืออะไร?”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ก็เจ้าน่ะเป็นปรมาจารย์ตำหนักเจียงซี ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบอุปกรณ์ หรือแม้กระทั่งสมบัติทั้งหมดในนิกายนี่นา ดังนั้น ข้าจึงต้องการที่จะให้เจ้าช่วยให้ข้าได้เข้าไปยังตำหนักเจียงซี เพื่อดูสิ่งที่หวังหงษ์เต๋าได้เคยทำการศึกษามา”

 

พอได้ฟัง เซ่าหวูชุ่ยก็บังเกิดความลังเล

 

เทคนิคลับบางส่วนกล่าวได้ว่ามันทรงพลังยิ่ง และหวังหงษ์เต๋าก็ไม่เคยอนุญาตให้คนอื่นๆในนิกายได้แอบดูมันมาก่อนเลย

 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสมบัติลับในนิกาย ที่มีเพียงหวังหงษ์เต๋าและตัวเขาเองที่สามารถรับรู้ได้อยู่อีก

 

-เทคนิคลับมากมายที่หวังหงษ์เต๋าจงใจเลือกที่จะปกปิดเป็นการส่วนตัว

 

แล้วตอนนี้ เขาจะสามารถอนุญาตให้ฉีหยานได้เข้าไปดูมันจริงๆน่ะหรือ?

 

ต้องไม่ลืมนะว่าหวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ทั้งวิสัยทัศน์และพรสวรรค์ในความกระจ่างแจ้ง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปสามารถเทียบเปรียบได้

 

ดังนั้น เทคนิคลับที่เขาถึงขั้นลงทุน ศึกษา และพยายามเก็บมันเอาไว้ ย่อมต้องมีค่ามหาศาลอย่างแน่นอน!

 

เซ่าหวูชุ่ยลังเลอยู่นาน จนกระทั่งเย่หยิงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆหัวเราะออกมา

 

“สหายเซ่า จนกระทั่งถึงเวลานี้ เจ้าก็ยังคิดจะทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านอยู่อีกหรือ?”

 

น้ำเสียงของเธอค่อนข้างกล่าวติดตลก

 

เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง ก็ทนไม่ไหวต้องพยักหน้าออกมา

 

นั่นสินะ วิชาที่หวังหงษ์เต๋าเก็บสะสมไว้น่ะยากที่จะเรียนรู้ และการที่จะเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งย่อมเป็นอะไรที่ยากลำบากยิ่ง

 

วิชาเหล่านั้น ล้วนมิใช่สิ่งที่จะสามารถเรียนรู้ได้ในชั่วข้ามคืนได้!

 

ขณะที่ฉีหยานกำลังจะไปเผชิญหน้ากับตัวตนที่ว่าในไม่ช้า

 

ดังนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ  ฉีหยานจึงต้องเร่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาต่างๆให้ได้มากที่สุด เพื่อที่อย่างน้อยจะได้มีโอกาสรับมือกับกลยุทธ์ของหวังหงษ์เต๋าได้มากยิ่งขึ้น

 

แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่สำคัญก็คือ หวังหงษ์เต๋าได้ตระเตรียมวิชาต้องห้ามไว้มากมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดอ่านวิชาของตนเองได้เนี่ยสิ

 

นอกเหนือไปจากหวังหงษ์เต๋า ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้องใบหยก และหากแตะต้องมัน ใบหยกก็จะกลายเป็นผุยผงทันที

 

หากฉีหยานสัมผัสใบหยกในส่วนนั้น ใบหยกก็จะแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ดี

 

ดังนั้น กล่าวได้ว่านอกเหนือไปจากหวังหงษ์เต๋าแล้ว ก็ไม่มีใครรู้วิธีที่จะควบคุมมารแมลงร้ายที่อยู่ในร่างกายของตนเองได้ แม้กระทั่งตัวฉีหยานเองก็ตาม

 

สรุปแล้ว เซ่าหวูชุ่ยจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่ากู่ฉิงซานจะสามารถเข้าไปแอบดูเทคนิคลับที่ว่านั่นได้ และใช้มันบังคับควบคุมเขา

 

บางที การที่ถูกร้องขอออกมาเช่นนี้ มันอาจจะเป็นการดีสำหรับตัวเซ่าหวูชุ่ยเช่นกัน

 

“ก็ได้! เจ้าจงรับมันไป!”

 

ว่าแล้วเซ่าหวูชุ่ยก็โยนตราประทับออกไปทางกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานคว้ารับตราประทับ และถือมันไว้ในมือของเขา

 

“เจ้าทำถูกแล้วสหายเซ่า ยิ่งข้าได้รู้เกี่ยวกับวิชาของหวังหงษ์เต๋ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่าจักสามารถสังหารเขาได้มากขึ้นเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

เย่หยิงเหมยเอ่ยต่อ “เจ้าจะต้องอ่านวิชาเหล่านี้อย่างรอบคอบ แม้ว่าหวังหงษ์เต๋าจะฉกาจในด้านกระบี่ แต่เขาก็ยังรักที่จะศึกษาในวิชาการควบคุมคนตายเช่นกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาได้ศึกษามันจนเชี่ยวชาญ และมีวิชาที่ทรงพลังในแขนงนั้นไว้ในครอบครองอยู่มากมาย”

 

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะศึกษาพวกมันอย่างละเอียดอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แล้วเขาก็หันไปเอ่ยกับ ‘กู่ฉิงซาน’

 

“ศิษย์ข้า”

 

ฉานนู่ก้าวออกมาข้างหน้า และตอบรับ

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว “ไหนๆเจ้าก็บรรลุขอบเขตประทับเทพแล้ว เจ้าก็มาด้วยกันกับอาจารย์สิ บางทีอาจจะพบเจอกับเทคนิคดาบที่ต้องตาบ้างก็ได้นะ”

 

เทคนิคดาบ?

 

เซ่าหวูชุ่ยเงียบกันไปสักพักหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “หวังหงษ์เต๋ามิได้ครอบครองเทคนิคดาบ เขาเป็นผู้ใช้กระบี่ ..”

 

“มันไม่สำคัญหรอก เพียงแค่ดูมันก็ไม่นับว่าเสียหายนี่ อีกอย่าง จะได้เป็นการเปิดโลกกว้างในมุมมองของศิษย์ข้าอีกด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉานนู่พูดต่อทันที “ศิษย์จะทำตามคำแนะนำของท่านอาจารย์”

 

แล้วกู่ฉิงซานก็นำ ‘กู่ฉิงซาน’ เดินออกไป โดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีกเลย

 

เซ่าหวูชุ่ยต้องการจะเอ่ยอะไรออกไปมากกว่านี้ แต่กลับเห็นแค่เพียงทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ได้เดินจากแท่นเวทีไปไกลแล้ว

 

—ดูเหมือนว่าต่อให้ตนจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมออกมา แต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะฟังอยู่ดี

 

ริมฝีปากของเซ่าหวูชุ่ยสั่นระริก คำพูดที่กำลังจะเปล่งออกมาจุกแน่นอยู่ในลำคอ จะเปล่งออกมาก็ไม่ได้ จะกลืนลงไปทันที ใจมันก็ไม่รู้สึกไม่ยินยอม …

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online EP.447 – ระบบเงียบงัน

 

ท่ามกลางสะเก็ดสายฟ้าที่สาดแสงดั่งดวงดารา

 

ดวงดาวสายฟ้านับพันหมื่นเริ่มโคจรเป็นวงในมิติที่ว่างเปล่าราวกับพายุกระหน่ำ

 

ขณะเดียวกันใจกลางพายุ ก็ปรากฏร่างของกู่ฉิงซานที่กำลังฟาดฟันคมดาบนับไม่ถ้วนออกไปต้านรับอย่างไม่หยุดยั้ง

 

ขณะที่ดวงดาวสายฟ้าเหลือคณา เริ่มทวีจำนวน โปรยปรายลงมาดั่งห่าฝน

 

ร่างเงาของดาบผลิบานออกมา เชือดเฉือนเข้าห้ำหั่นกับดวงดาวเหล่านั้นเช่นกัน

 

เมื่อต้องพบเจอกับการตอบโต้ดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ดวงดาวทั้งหมดเริ่มที่จะโกรธเกรี้ยวขึ้นมาบ้างแล้ว!

 

ดวงดาวสายฟ้าก้อนเล็กๆเริ่มควบรวมกัน ก่อกำเนิดเป็นดาราสายฟ้าก้อนใหญ่ที่สาดแสงเจิดจ้า ทั้งหมดข้ามผ่านค่ายกลเข้ามาในคราเดียว สะท้อนสะท้านแสงจรัสสีฟ้าไปทั่วบริวเวณ

 

เนื่องจากมันใหญ่เกินไป และมิอาจทำลายได้ในคราเดียว กู่ฉิงซานจึงเลือกที่จะตัดหั่นมันทีละส่วน และทันทีที่เขาวาดดาบไปแยกส่วนเล็กๆของมันนั้นเอง

 

ปัง!

 

ก็บังเกิดเส้นสายฟ้าขนาดเล็กนับไม่ถ้วนแตกตัวออก ฉวัดเฉวียนไปมาดั่งงูที่เลื้อยวนอยู่ในอากาศ โฉบเข้าใส่กับเขา

 

เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด กู่ฉิงซานก็แปรเปลี่ยนตนเป็นเสี้ยวจันทร์สีขาวนวล พรวดออกไปต้านรับเบื้องหน้า

 

รังสีดาบสีนวลดั่งจันทราตัดสะบั้นงูสายฟ้าจนสิ้น แต่ตัดไปหนึ่ง ก็ราวกับงอกมาอีกสอง ค่ายกลมิติในส่วนอื่นเริ่มทำงานอีกครั้ง บ่งบอกว่าโทษทัณฑ์จากภายนอกกำลังจะถูกส่งเข้ามาในไม่ช้า

 

ดาบเช่าหยินส่งเสียงฮึมฮำด้วยความวิตกกังวลออกมา

 

“นั่นสิ ข้าเองก็ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะจัดการได้ยากเย็นถึงเพียงนี้”

 

กู่ฉิงซานเหลียวหลังไปมองบอลสายฟ้าระลอกใหม่ที่ซ้อนทับๆกันเข้ามา และเอ่ยปากตอบ

 

จำนวนของสายฟ้ามันมากเกินไป แถมแต่ละพลังอำนาจของสายฟ้า ก็ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าทัณฑ์สายฟ้าใดๆที่เขาเคยพบเจอมาก่อน

 

หลังจากบอลสายฟ้าถูกตัดหั่น มันก็จะกระจายตัวเป็นงูสายฟ้า และเริ่มทำการโจมตีระลอกสองใส่เขา

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ฝึกยุทธจำนวนมากมายเพียงใดที่ต้องตกตายด้วยการโจมตีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้

 

นี่สินะ นี่คือโทษทัณฑ์ของผู้ที่หมายจะย่างกรายเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพจะต้องได้รับ!

 

นี่สินะ เหตุผลที่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ถึงมีเพียงแค่สามปราชญ์เท่านั้นที่ก้าวข้ามมันมาได้สำเร็จ!

 

เวลานี้ กลุ่มก้อนสายฟ้าที่กระพือว่อนอยู่ในมิติที่ว่างเปล่า เพิ่มพูนจำนวนขึ้นจนเกือบจะถึงร้อยกลุ่มแล้ว

 

พวกมันราวกับมีชีวิต คอยว่ายวนรอบกายของกู่ฉิงซาน คล้ายกำลังมองหาจุดอ่อนของเขาอยู่

 

ขณะที่กู่ฉิงซานเองก็ไม่รีรอให้พวกมันเริ่มโจมตี แต่ตนเลือกที่จะเป็นคนเปิดฉากซะเอง

 

“ไปเลย!”

 

รังสีดาบถูกเหวี่ยงฟาดออกไป

 

ดาบเช่าหยินกวาดวนรอบกายกู่ฉิงซาน และระเบิดบอลสายฟ้าทั้งหมดในคราเดียว

 

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง บอลสายฟ้าที่ว่าเยอะแล้ว ก็แตกตัวเป็นงูสายฟ้าที่เยอะยิ่งกว่า ทั้งหมดโถมทับเข้าใส่กู่ฉิงซานดั่งคลื่นยักษ์

 

มองไปยังงูสายฟ้าที่มืดฟ้ามัวดิน ดาบพิภพก็เปล่งเสียงออกมาทันใด “เจ้าลืมเลือนสิ่งหนึ่งไปหรือเปล่า”

 

“สิ่งใดกัน?”

 

“ก็อุปกรณ์สวมใส่อย่างไรเล่า”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะเขกกะโหลกตนเอง

 

-เขาคงมัวแต่กังวลเรื่องอื่นมากเกินไป จนลืมเสียสนิทเลย

 

วินาทีต่อมา ชุดเกราะรบสีทองที่ซีดเซียวก็ปรากฏขึ้นบนตัวของเขา

 

นอกจากนี้ กู่ฉิงซานยังได้ทำการเปลี่ยนสมญาเทพสงครามไปเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’ อีกด้วย

 

ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้ทั้งในด้านการป้องกันและความเร็วของเขาเพิ่มพูนขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานกุมดาบในมือแน่น เชิดหน้าขึ้น และทะยานตัวออกไปต้อนรับสายฟ้าเหลือคณาที่ถาโถมลงมา

 

การเคลื่อนไหวของเขาช่างรวดเร็วและทรงประสิทธิภาพยิ่ง มันไม่มีส่วนใดที่สูญเปล่าเลย แถมยังไร้ซึ่งความลังเลแม้แต่น้อย

 

ทันใดนั้นเอง รังสีดาบและสายฟ้าเหลือคณาก็ปะทะซึ่งกันและกัน

 

กู่ฉิงซานทะยานตัวเข้าไปกลางดงงูสายฟ้า ดาบในมือวูบไหวใช้ออกด้วยเทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!

 

หนึ่งครั้ง

 

สองครั้ง

 

สามครั้ง

 

สิบครั้ง!!!

 

เขาได้ใช้ออกด้วยวาดเงาไปเรื่อยๆจนกระทั่งมันครบสิบครั้ง!

 

ร่างเงาแห่งดาบผลิบานไปทั่วบริเวณชั้นอากาศโดยรอบ ทัณฑ์สายฟ้านับไม่ถ้วนในมิติที่ว่างเปล่าถูกสับสะบั้นจนสิ้น

 

ทัณฑ์สายฟ้าแตกตัวออก แปรสภาพเป็นงูสายฟ้านับไม่ถ้วน โฉบโจมตีไปทางกู่ฉิงซานอย่างบ้าคลั่ง

 

กู่ฉิงซานก็ไม่น้อยหน้า ทุ่มออกเต็มกำลัง เหวี่ยงเทคนิคลับแห่งดาบสวนกลับไป

 

บังเกิดรังสีดาบอันแข็งกล้าดั่งคลื่นที่ซัดสาด

 

ตามด้วยอีกหนึ่งรังสีดาบของสายธารอันยิ่งใหญ่ -ทั้งสองควบรวมกัน ก่อร่างเป็นน้ำหลาก ท่วมโถมทับงูสายฟ้าจนสิ้น

 

บังเกิดเสียงตัดอากาศของรังสีดาบคำรามคำรนไปทั่ว

 

ส่งผลให้ภายในมิติอันเชี่ยวกราดทั้งหมด บัดนี้แทบจะกลายเป็นว่างเปล่า

 

นี่มันเกือบจะเป็นการโจมตีขั้นแตกหักเลยทีเดียว!

 

เพราะหลังจากการปะทะกันในครั้งนี้ ครั้งต่อไปจำนวนสายฟ้าก็ค่อยๆลดน้อยถดถอยลง

 

กู่ฉิงซานก็สามารถตอบโต้กับมันได้ง่ายขึ้น และผ่อนคลายยิ่งขึ้น

 

จนในที่สุด ก็ไม่หลงเหลือสายฟ้าอื่นใดเข้ามาอีกเลย

 

กู่ฉิงซานยืนเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง

 

พอแน่ใจว่าไม่มีมอนสเตอร์หรือมารสวรรค์ปรากฏกายขึ้นจริงๆ

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ปรากฏเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งออกมา

 

“การข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขอบเขตประทับเทพได้สิ้นสุดลงแล้ว”

 

พริบตานั้นพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานก็ทะยานขึ้นในฉับพลัน

 

นี่นับว่าเป็นการเพิ่มพูนครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

ตัวเขาในตอนนี้ — ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

 

สองตาหุบต่ำลง กู่ฉิงซานค่อยๆตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของตนเองอย่างเงียบๆ

 

ขีดจำกัดแต้มพลังวิญญาณขยายออกเป็น 400 แต้ม

 

ขณะที่พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า

 

และอายุขัยยืดออกเป็นถึง 1800 ปี!

 

ความคิดและจิตใจของเขากระจ่างแจ้งยิ่งกว่าเดิม – มันให้ความรู้สึกราวก่อนหน้านี้ ในสมองตนถูกครอบคลุมด้วยชั้นกำแพงบางอย่าง

 

ทว่าเวลานี้มันได้พังทลายลงแล้ว เขาเริ่มที่จะสามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งต่างๆมากมายที่ซ่อนเร้นอยู่ ทุกสิ่งที่ตนมองเห็น ทุกสิ่งที่ตนกำลังจะกระทำ และผลพวงของมันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เขาเริ่มมีลางสังหรณ์เหมือนกับนางเซียนขึ้นมาบ้างแล้ว!

 

กล่าวได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ยกระดับขึ้นมาจนถึงขอบเขตนี้ ผู้ฝึกยุทธจะไม่เพียงมีพลังอำนาจที่มากขึ้น แต่ยังจะสามารถสัมผัสได้ถึงความลึกลับของกฏเกณฑ์ได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย!

 

ทว่าผ่านไปสักพัก ความรู้สึกอันน่ามหัศจรรย์เหล่านี้ก็ค่อยๆกระจายหายไป

 

“ขอบเขตประทับเทพ … ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยงึมงำด้วยอารมณ์

 

ในที่สุด ตนเองก็ได้ก้าวขึ้นมายังระดับที่ตัวเขาในชีวิตก่อนหน้ามิอาจย่างกรายเข้ามาถึงได้เสียที

 

กู่ฉิงซานหยิบตราออกมา ถ่ายเทพลังวิญญาณของตนลงไป และวาดมันไปยังทิศทางของค่ายกล

 

วินาทีต่อมา ตัวเขาก็หายวับไป และถูกส่งกลับมายังโลกล่องเวหาอีกครั้ง

 

……

 

ณ แท่นเวทีที่ใช้หารืออย่างเป็นทางการ

 

ฉีหยานได้ลืมตาขึ้น ขณะเดียวกันก็ผุดลุกและเดินออกไปภายนอก

 

เซ่าหวูชุ่ยเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “นั่นเจ้าจะไปที่ใดกัน?”

 

“ไปยินดีกับศิษย์ข้า” ฉีหยานกล่าว

 

เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟังก็ตกใจ

 

“ทัณฑ์สายฟ้าของขอบเขตประทับเทพจักสามารถข้ามผ่านได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ไม่เพียงแต่จะไม่ล้มเหลว -ไม่สิ หากอ้างอิงจากความแข็งแกร่งของเจ้าเด็กนั่นมันก็พอจะเป็นไปได้ … ”

 

เขากวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า

 

จิตสัมผัสเทวะของขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า แน่นอนว่าย่อมต้องทรงพลังและกว้างขวาง เพียงแค่กวาดมันออกไป เขาก็สามารถค้นพบตัวของกู่ฉิงซานได้ในทันที

 

และยังค้นพบอีกด้วยว่า ความผันผวนทางพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานได้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

 

เซ่าหวูชุ่ยแทบไม่อยากจะเชื่อ เขาถึงขั้นต้องใช้จิตสัมผัสเทวะของตนสำรวจอีกฝ่ายอีกรอบหนึ่ง

 

เป็นขอบเขตประทับเทพจริงๆ!

 

เซ่าหวูชุ่ยมิได้เอ่ยคำใดอยู่เนิ่นนาน

 

ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง เขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ “ยุคของพวกเราคงจบลงอย่างที่เจ้าว่าเสียแล้ว รุ่นเยาว์คงจะเหนือล้ำยิ่งกว่ารุ่นของพวกในสักวันหนึ่ง …”

 

กู่ฉิงซานบินไปยังลานห้องพักของฉีหยาน

 

ขณะที่บินไป เขาก็คอยมองหน้าต่างระบบเทพสงครามไปด้วยในตัว

 

ตอนนี้ เขาไม่ต้องการที่จะเสียเวลารีรออีกต่อไป คงจะเป็นการดีกว่าหากแก้เรื่องนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

 

“ระบบ ฉันต้องการจะใช้รางวัลที่ได้จากภารกิจพิเศษในตอนนี้เลย ช่วยทำให้ภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพสงครามในขอบเขตประทับเทพ เสร็จสมบูรณ์ในตอนนี้เลยจะได้ไหม” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ติ๊ง!

 

“ภารกิจพิเศษ ‘หวูซานจะต้องตาย’ , รางวัลภารกิจ : ระบุภารกิจและส่งผลให้มันลุล่วงได้ทันที”

 

“ตามที่คุณร้องขอ จะเริ่มต้นใช้รางวัลนี้ เพื่อที่จะได้บรรลุภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ขอบเขตประทับเทพให้เสร็จสมบูรณ์ทันที”

 

“รางวัลได้ถูกใช้แล้ว”

 

“ระบบกำลังทำการเชื่อมต่อกับรากฐานของโลกในปัจจุบัน เพื่อที่จะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์”

 

“โปรดรอสักครู่”

 

ว่าแล้วเสียงของระบบก็เงียบลง

 

กู่ฉิงซานเฝ้ารออยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ระบบก็ยังคงไม่ตอบสนอง

 

โดยไม่ทันจะได้รู้ตัว เขาก็มาถึงลานบ้านของฉีหยานเสียแล้ว

 

ว่านเอ๋อยืนรอเขาอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า

 

“ท่านอาจารย์ข้ายังมิกลับมาหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ข้ามาแล้ว”

 

บนท้องฟ้า ฉีหยานกำลังบินนำหน้าฉินรั่วมา

 

เมื่อทั้งสี่พบหน้ากัน ทั้งหมดก็เข้าไปในลานบ้าน และปิดประตูหน้าทันที

 

ภายในห้อง

 

ร่างของฉีหยานค่อยๆสลายไป และแปรเปลี่ยนเป็นร่างของหญิงสาวในชุดคลุมฟ้าที่งดงาม

 

“ขอแสดงความยินดีกับนายน้อย ที่สามารถยกระดับขึ้นสู่ประทับเทพได้สำเร็จ” ฉานนู่กล่าว

 

“แล้วทางด้านเจ้าเล่า สถานการณ์เป็นเช่นไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ข้าทำตามที่เจ้ากล่าว เมื่อไปถึงก็หลับตาทำสมาธิทันที โดยให้เหตุผลว่ากำลังรักษาตัวอยู่ และเซ่าหวูชุ่ยก็มิได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย”

 

“ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ” กู่ฉิงซานผ่อนคลายลง

 

“แล้วสิ่งที่พวกเราต้องทำต่อไปในตอนนี้คืออะไร?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

“เจ้าก็กลับมาเป็นข้า แล้วข้าก็กลับไปเป็นฉีหยานอีกครั้ง” กู่ฉิงซานตอบ

 

ฉานนู่พยักหน้า และเริ่มต้นใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต

 

เพียงครู่ เธอก็กลายไปเป็นกู่ฉิงซาน

 

ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมทุกประการ แตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ‘กู่ฉิงซาน’ ในเวลานี้ คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพ

 

กู่ฉิงซานแข็งแกร่งขึ้น ฉานนู่ก็จักแข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน

 

และนี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอ ‘ทรงปัญญา’

 

พออีกฝ่ายปลอมกายเสร็จสิ้น กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบขวดน้ำยาตัดแต่งพันธุกรรมอีกขวดออกมา และฉีดเข้าใส่ตนเอง

 

ร่างกายของเขาค่อยๆเปลี่ยนแปลง และกลายเป็นฉีหยานอีกครั้ง

 

ในความเป็นจริงแล้ว ที่จะต้องทำเช่นนี้น่ะ มันเป็นเพราะว่าห้วงอารมณ์ของฉานนู่มันเย็นชาเกินไป แม้ว่าเธอจะสามารถแสดงได้อย่างแนบเนียนก็ตามที แต่มันก็ไม่ถึงขั้นมีสติปัญหานึกคิดระดับเดียวกันกับกู่ฉิงซานได้

 

หากต้องการปกปิดความลับต่อหน้าปรมาจารย์ตำหนักทั้งสอง แล้วบังเอิญเข้าสู่สถานการณ์วิกกฤตและต้องตัดสินใจขั้นเด็ดขาดแล้วล่ะก็ … การแสดงเพียงอย่างเดียวมันยังไม่เพียงพอ

 

ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าถึงสองคน กู่ฉิงซานจึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงให้ฉานนู่เป็นคนตัดสินใจด้วยตนเอง

 

เรื่องนี้ มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สมควรจะทำได้

 

“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราต้องรีบกลับไปยังเวทีหารืออย่างเป็นทางการกันในทันที เผื่อเกิดกรณีที่มีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วเปิดประตู แล้วทั้งสี่ก็กลับไป

 

กู่ฉิงซานมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

แต่กลับเห็นแค่เพียงบนหน้าต่างยังคงเงียบสงบ ไร้ซึ่งตัวแจ้งเตือนและสรรพเสียงใดๆ

 

นี่มันช่างให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างแท้จริง

 

กรณีดังกล่าวนี้ มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

 

หรือว่าระบบจะเป็นอะไรไปรึเปล่านะ?

 

เขาย้อนนึกไปถึงตอนที่ตนได้รับ ‘ร่างเงาแทนที่’ ระบบก็ทำการเชื่อมต่อกับรากฐานต้นกำเนิดของโลกเทวะเช่นกัน

 

แต่ในตอนนั้น การสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์มันก็เกิดขึ้นเลยในทันที

 

แต่เวลานี้ … มันเกิดอะไรขึ้นกับระบบกันแน่นะ?

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.446 – ก้าวเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่า

 

อีกด้านหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานกำตราในมือแน่น และเร่งมุ่งหน้าตรงไปยังค่ายกลที่ใช้ในการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์อย่างรวดเร็ว

 

ฉานนู่ได้ใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แปลงกายตัวเองเป็น ‘ฉีหยาน’ แล้วกลับไปรอที่แท่นเวทีก่อนเป็นอันดับแรก

 

และเธอคงจะถ่วงเวลาได้ไม่นานนัก

 

กู่ฉิงซานจึงต้องเร่งก้าวผ่านโทษทัณฑ์ให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับมา แล้วทำการสลับตัวกับฉานนู่อีกครั้ง

 

กล่าวได้ว่ากระบวนการทั้งหมดของทัณฑ์สายฟ้าในขอบเขตประทับเทพกินเวลาไม่ยาวนานนัก

 

และนั่นคือเหตุผลที่กู่ฉิงซานตัดสินใจที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในช่วงเวลานี้

 

ทว่า ส่วนที่ยากที่สุดในการทะลวงฝ่าประทับเทพ ก็คงมิแคล้วเป็นต้องรับมือกับพลังอำนาจอันใหญ่ยิ่งของสายฟ้า

 

เขาจึงตัดสินใจที่จะยกระดับพื้นฐานวรยุทธขึ้นไปยังประทับเทพ ในช่วงเวลานี้ ช่วงที่เย่หยิงเหมยกำลังไปเอาสมบัติมนตรา และหวังหงษ์เต๋ายังไม่กลับมา

 

ไม่ต้องบอกก็คงจะทราบว่าขณะนี้ กู่ฉิงซานกำลังแข่งอยู่กับเวลา

 

เพราะเรื่องที่ต้องกังวลไม่ใช่มีเพียงเรื่องที่กล่าวมา แต่ยังมีเรื่องของสตรีแห่งรากษสที่ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับโลกเทวะแล้วอีกด้วย!

 

แต่ยังไงก็ตาม จริงๆแล้วเธอก็ยังไม่ทราบว่าการปลอมตัวของตนถูกจับได้แล้วโดย ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ของกู่ฉิงซานอยู่ดี

 

ดังนั้น เธอที่ไม่ทราบถึงเรื่องนี้ จึงยังคงเลือกที่จะเฝ้ารออย่างอดทนต่อไป เพื่อต้องการที่จะลอบสืบว่าสิ่งที่ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสามกำลังจะลงมือต่อไปคืออะไรกันแน่

 

ไม่ว่าจะเป็นหวังหงษ์เต๋า , สตรีแห่งรากษส , สองปรมาจารย์ตำหนัก ทั้งหมดก็ล้วนมีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งกว่ากู่ฉิงซานอยู่ถึง 3 – 4 ขอบเขต!

 

สถานการณ์เช่นนี้นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!

 

กู่ฉิงซานจะต้องคิดหาวิธีที่จะป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เข้าถึงความลับของโลกเทวะและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธให้ได้

 

ขณะเดียวกัน เขาก็จะต้องหาหนทางหลบหนีออกไปจากโลกล่องเวหาใบนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เช่นกัน

 

นี่นับว่าเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่เคยพบ ไม่เคยเจอมาก่อนอย่างแท้จริง

 

สถานที่ตั้งของค่ายกลมากมายในนิกาย จะอยู่ในบริเวณส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า

 

และกู่ฉิงซานมาถึงสถานที่ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว

 

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

ค่ายกลเหล่านี้มีขนาดที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ทุกอันล้วนมีสีดำสนิท

 

กู่ฉิงซานเลือกที่จะกวาดสายตามองค่ายกลทั้งหมดเสียก่อนเป็นอันดับแรก

 

จากข้อมูลที่ได้รับมา ค่ายกลเหล่านี้โดยสิ้นเชิงแล้วมีอยู่สี่ประเภทที่ใช้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในมิติที่ว่างเปล่า

 

ประเภทแรก คือที่กำลังส่องแสงแวววาวจางๆ นั่นจะเป็นค่ายกลที่ใช้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของขอบเขตก้าวสู่เทพ

 

มันคือค่ายกลสำหรับก้าวสู่เทพและขอบเขตที่ต่ำกว่า สาวกในนิกาย ไม่ว่าใครก็สามารถใช้พวกมันได้ตลอดเวลา

 

โดยมีวิธีการใช้งานก็คือ คนในนิกายกวงหยางจะเข้าไปในพื้นที่ค่ายกลขนาดเล็กนี้ จากนั้นก็จะถูกส่งตัวเข้าไปในกระแสมิติที่ว่างเปล่า

 

ซึ่งค่ายกลเหล่านี้ ได้ถูกประกอบเข้าด้วยกันเพื่อรับมือกับทัณฑ์สายฟ้าโดยเฉพาะ มันจะดึงดูดทัณฑ์สายฟ้าให้เข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าที่ผู้ใช้งานถูกส่งตัวออกไป โดยกระบวนการดังกล่าวจะไม่เป็นการรบกวนมารโลกาให้ตื่นขึ้นหรือสัมผัสถึงได้

 

ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขอบเขตต่ำกว่าก้าวสู่เทพ จึงสามารถที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ภายในค่ายกลได้อย่างสบายใจ

 

ดังนั้น กล่าวได้ว่าคนที่คิดค้นและติดตั้งค่ายกลพวกนี้ขึ้น นับว่ามีพรสวรรค์ และเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับสูงอย่างแท้จริง

 

กู่ฉิงซานหันไปมองค่ายกลรูนทมิฬอื่นๆ

 

ขอบเขตประทับเทพจนไปถึงขอบเขตพันวิบัติเป็นประเภทที่สอง ทัณฑ์สายฟ้าของพวกมันจะทรงพลังอย่างยิ่งยวดยิ่ง และรุนแรงเกินกว่าที่ค่ายกลประเภทแรกที่กล่าวมาก่อนหน้านี้จะต้านทานได้

 

กู่ฉิงซานจึงจำเป็นต้องข้ามผ่านโทษทัณฑ์ภายในค่ายกลรูนทมิฬนี้

 

ข้างๆค่ายกลรูนทมิฬ ยังคงมีหลงเหลือค่ายกลอยู่อีก 2 ประเภท

 

ประเภทแรกคือค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า

 

อีกประเภทย่อมไม่พ้นค่ายกลที่ใช้ในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิต

 

สำหรับสองขอบเขตหลัง ค่ายกลได้ถูกแยกตัวออกมาเป็นแต่ละประเภทรับมือกับมันโดยเฉพาะ

 

วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานตกลงบนค่ายกลลมปราณจิต

 

นี่คือค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด

 

การจะเปิดใช้งานมัน จำต้องจ่ายศิลาวิญญาณออกไปกว่า 196 ชิ้น

 

ซึ่งปริมาณดังกล่าว สำหรับโลกล่องเวหาแล้วนับว่าเป็นอะไรที่สูงค่ายิ่ง

 

ทว่าสิ่งที่กู่ฉิงซานให้ความสนใจน่ะ มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก

 

แต่เป็นเรื่องที่ -ใช้แค่เพียง 196 ศิลาวิญญาณ ก็จะสามารถเปิดใช้งานค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด แล้วถูกส่งเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ต่างหาก!?

 

ตั้งแต่ที่กู่ฉิงซานเริ่มฝึกยุทธมา เขาไม่เคยได้ยินได้เห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย

 

กระทั่งกงซุนซีในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ อีกฝ่ายก็ยังไม่สามารถจำกัดศิลาวิญญาณไว้แค่ 196 ชิ้น เพื่อทำการเปิดใช้งานค่ายกลขนาดใหญ่ได้เลย

 

กู่ฉิงซานค่อยๆชะลอการเคลื่อนไหวลง ก่อนจะหยุดสำรวจค่ายกลลมปราณจิตอย่างระมัดระวัง

 

เขาได้ทำการเก็บ ‘ตรา’ ที่ใช้เปิดค่ายกลของเซ่าหวูชุ่ยกลับคืน

 

เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลานี้ มันจำเป็นต้องทำเวลาให้ดีที่สุด ต้องเร่งเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อทำการตัดผ่านวรยุทธโดยทันที ทว่ามองไปยังท่าทีการแสดงออกของกู่ฉิงซานขณะนี้ แท้จริงแล้วกลับดูเหมือนว่าเขาไม่เร่งร้อนเลย?

 

เมื่อเก็บตราไป เขาก็เลือกที่จะหยิบศิลาวิญญาณกว่า 196 ก้อนขึ้นมาแทน และวางมันลงแต่ละค่ายกลขนาดเล็ก ที่เชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์สำหรับลมปราณจิต

 

วูบบบบ!

 

ค่ายกลถูกเปิดใช้งานทันที!

 

นี่คือค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิต! เป็นค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก!

 

กู่ฉิงซานนำถุงสัมภาระใบหนึ่งออกมาทันที

 

นำออกมาโดยที่เขาไม่คิดจะเหลียวมองมันด้วยซ้ำ และนำพาเจ้าถุงที่ว่านั่นเข้าสู่ใจกลางค่ายกลข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิตกับตนเองด้วยเลยโดยตรง

 

เมื่อค่ายกลสัมผัสถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณของเขา มันก็เริ่มต้นทำงานทันที

 

รูนนับไม่ถ้วนผุดออกมา ก่อนจะควบรวมกันกลายเป็นชุดอักษรที่ยากจะอธิบายในอากาศ

 

ค่ายกลได้ถูกกระตุ้นใช้งานแล้ว!

 

แต่อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานกลับเลือกใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วอย่างกระทันหัน

 

เขาหายวับไปในทันใด ทั้งคนทั้งร่างปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้านนอกค่ายกล

 

ขณะที่ถุงสัมภาระถูกทิ้งไว้ในค่ายกลโดยเขา และพร้อมด้วยการทำงานของค่ายกล มันก็ได้ถูกส่งออก … หายวับไปในทันที

 

กู่ฉิงซานมิได้ใช้ตราที่ได้รับมา

 

—ซึ่งหากไม่ใช้ตราแล้วล่ะก็ มันจะเป็นดั่งที่สองปรมาจารย์ตำหนักได้กล่าวเอาไว้ นั่นคือค่ายกลจะทำการส่งผู้ใช้งานมันออกไปในมิติที่ว่างเปล่าแบบสุ่ม

 

นอกจากนี้ ยังเป็นการสุ่มของค่ายกลลมปราณจิตที่ทรงพลังที่สุด ยิ่งทรงพลัง นั่นหมายความว่ามันก็ยิ่งกินอาณาเขตกว้างขวาง! แถมกู่ฉิงซานยังใช้ศิลาวิญญาณยัดลงไปอย่างเต็มที่ ส่งผลให้พิสัยในการสุ่มของมันกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม

 

ขณะนี้ กระเป๋าสัมภาระได้ถูกส่งออกไปแล้ว และมันหายไปยังสถานที่ใดก็ยังไม่มีใครรู้

 

และช่างน่าสงสารสตรีแห่งรากษสที่ปลอมกายเป็นหน้ากากหยกวิญญาณยิ่งนัก เพราะตัวเธอก็ได้ถูกเก็บไว้ในถุงสัมภาระที่ว่านั่น และมิได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย!

 

เธอยังคงเฝ้ารอคอยโอกาสอยู่ และพยายามที่จะติดตาม ลอบล้วงข้อมูลจากฉีหยานและสองปรมาจารย์ตำหนัก เกี่ยวกับความลับของโลกใบใหม่ที่ยังมิได้ล่วงรู้

 

รังสีแสงสวรรค์บนค่ายกลค่อยๆจางหายไป

 

การส่งผ่านได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

 

196 ศิลาวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นผุยผง

 

ขณะที่สีหน้าของกู่ฉิงซานดูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

เขาไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อนเลยว่า ผู้คนจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างไร เมื่อถูกเก็บเอาไว้ในถุงสัมภาระ

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวสตรีแห่งรากษสแล้ว นางก็คงจะมีสักวิธีแหละน่า

 

มิฉะนั้นแล้ว นางคงไม่กล้าที่จะปลอมแปลงตนเป็นหน้ากากหรอก

 

ตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ทำได้เพียงคาดหวังว่าตนจะโชคดี ในเรื่องที่ตำแหน่งที่ค่ายกลส่งออกไปนั้นห่างไกลมากพอ … มากพอที่จะทำให้สตรีแห่งรากษสมิอาจย้อนคืนกลับมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

 

… และหวังว่าความอดทนของสตรีแห่งรากษสจะมากพอเช่นกัน

 

เพราะยิ่งมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่ากว่าเธอจะเริ่มรู้ตัวถึงสถานการณ์ของตนเองก็จะยิ่งล่าช้าออกไปมากขึ้นเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานหันกลับมา มองไปยังค่ายกลรูนทมิฬอันก่อนหน้า

 

เขาเดินไปวางศิลาวิญญาณบนรูรอบๆค่ายกล จากนั้นจึงเริ่มทำการเข้าสู่ค่ายกล

 

และแน่นอน ว่าคราวนี้ตนเองได้ตบลงในถุงสัมภาระ นำตราที่พึ่งเก็บไปกลับมาไว้ติดตัว

 

จากนั้น ก็เริ่มทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์

 

ค่ายกลสีดำถูกเปิดใช้งานโดยศิลาวิญญาณ  และคราวนี้พวกมันก็สัมผัสได้ถึงตราในมือของกู่ฉิงซาน พริบตานั้นแสงสว่างก็สาดออกมา และห่อหุ้มเขาในทันใด

 

พร้อมกับกู่ฉิงซานที่หายวับไปจากสถานที่เดิม

 

….

 

นี่คือพื้นที่ภายในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด

 

ด้วยการจัดวางค่ายกลของนิกายกวงหยาง ส่งผลให้ทัณฑ์สายลมมิอาจเข้ามาสู่พื้นที่แห่งนี้ได้

 

แน่นอน ว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า ก็ไม่อาจเข้ามาสู่พื้นที่แห่งนี้ได้เช่นกัน

 

แต่ต่อให้พวกที่พึ่งกล่าวมาพบเจอพื้นที่มิติแห่งนี้ แล้วก้าวเข้ามาในพิสัยค่ายกล พวกมันก็จะถูกค่ายกลตรวจจับได้ทันที

 

และจากนั้นค่ายกลก็จะทำการเคลื่อนย้ายพวกที่ว่า ไปปรากฏตัวยังตำแหน่งของมารโลกาโดยตรง!

 

ต่อให้มอนสเตอร์ที่คิดย่างกรายเข้ามาแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่มันถูกส่งเข้าหามารโลกา มันก็มิแคล้วต้องตกเป็นเพียงอาหารอยู่ดี

 

นี่แหละคือความมหัศจรรย์ของค่ายกลล่ะ

 

กู่ฉิงซานลอยอยู่ในความว่างเปล่า โดยไม่มีอะไรคอยหยั่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา

 

ล้อมรอบไปด้วยสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด และบ่อยครั้งที่จะมีแสงและเงาสลัวๆสะท้อนออกมาจากทางมัน

 

ภายในวิสัยทัศน์ของเขา เส้นแสงตัวอักษรแถวหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“การก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขอบเขตประทับเทพ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่าน ในจิตใจเริ่มสั่งการนึกคิดเล็กน้อย

 

และภายในเสี้ยววินาที ดาบพิภพและเช่าหยินก็ปรากฏขึ่้นจากในความว่างเปล่า ลอยประกบข้างกายซ้ายขวาของเขา

 

“กำลังจะเริ่มแล้วนะ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล

 

หากได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพ ความแข็งแกร่งของตัวเขาเองจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

 

นอกจากนี้ ก่อนหน้า เขายังได้รับรางวัลจากการบรรลุภารกิจพิเศษ ‘หวูซานจะต้องตาย’ มาแล้วอีกด้วย นั่นหมายความว่าหากเขาเข้าถึงขอบเขตประทับเทพได้แล้ว ตนก็จะสามารถใช้รางวัลที่ว่านั่นเพื่อทำการได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของประทับเทพได้เลยในทันที

 

ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากได้รับความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นมากเพียงไร ผลลัพธ์มันก็จะยิ่งต่างออกไปมากเท่านั้น

 

“เจ้ากำลังจะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์กระนั้นหรือ?”

 

ดาบภพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

“ใช่ และในเวลานี้ ข้าคงต้องเร่งมือและมันอาจจะเป็นการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ทุกคราที่ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ เจ้ามันก็เร่งร้อนและโยนตนเองให้ตกอยู่ในอันตรายไปเสียทุกครั้งนั่นแหละ” ดาบพิภพแย้ง

 

อย่างเช่นในโลกเทวะ กู่ฉิงซานได้เลือกโยนตนเองตกสู่ในอันตราย โดยการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ท่ามกลางสนามรบ ใช้ทัณฑ์สายฟ้าในขั้นก่อกำเนิด ฟาดผ่าใส่กองทัพมาร จนพวกมันแตกพ่ายไป

 

ขณะที่ในโลกจริง เขาก็เลือกที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ โดยการใส่หูฟังฟังเพลงท่ามกลางสายฝนเย็นฉ่ำ ตลอดทั้งวันคืนจนสำเร็จ

 

แต่ในเวลานี้ มันคือโทษทัณฑ์ของขอบเขตประทับเทพ ..

 

ขอบเขตที่ในชีวิตก่อนหน้า ไม่มีผู้เล่นคนใดเลยที่จะอาจเอื้อมมาถึง

 

—ด้วยแต้มค่าประสบการณ์ที่จำเป็นต้องใช้มันสูงมากเกินไป … สูงชนิดที่เรียกได้ว่าหมดหวัง

 

แต่ตอนนี้ การที่จะมามัวระลึกย้อนคิดเกี่ยวกับมัน ก็ดูเหมือนจะยังไม่ใช่เวลาอันสมควรนัก

 

สติอารมณ์ของกู่ฉิงซาน รวมไปถึงสภาวะจิตใจราวกับบังเกิดคลื่นระลอกใหญ่ขึ้น

 

เขาถอนหายใจ และเริ่มปรับอารมณ์ของเขาอย่างรวดเร็ว

 

ในฐานะที่เป็นมนุษย์ของโลกจริง นี่คือเหตุการณ์อันสำคัญยิ่งที่จะนำไปสู่การก่อกำเนิดยุคสมัยใหม่!

 

กู่ฉิงซานพร้อมที่จะทุ่มอย่างเต็มกำลังแล้ว

 

เขาเริ่มกินยาประทับเทพที่เซ่าหวูชุ่ยมอบมันให้แก่ฉานนู่จนหมดเกลี้ยง

 

กู่ฉิงซานกางมือทั้งสองออก และคว้าจับสองดาบในแต่ละข้าง

 

ภายในตันเถียนของเขา พลังวิญญาณค่อยๆเติบโตขึ้น ขยายขึ้นเรื่อยๆ

 

-ยาประทับเทพ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างแท้จริง

 

ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็สามารถเรียกความสงบกลับคืนมาได้ในที่สุด

 

สีหน้าการแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

 

“การใช้ค่ายกล เพื่อให้มาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ในมิติอันเชี่ยวกราด กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่เคยพบเคยเห็นวิธีการอันน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้มาก่อนเลย” ดาบพิภพเอ่ยชื่นชมออกมา

 

กู่ฉิงซาน “ในโลกใบนี้มิได้มีมารสวรรค์ , หาได้มีมอนสเตอร์ตนอื่นๆคอยก่อกวนไม่ ดังนั้น พวกเราจึงสมควรที่จะสามารถตัดผ่านได้เร็วขึ้น ไม่สิ ต้องเร็วขึ้นแน่ๆ”

 

“แล้วคราวนี้เจ้าไม่คิดจะเปิดเพลงฟังอีกหรือไร” ดาบพิภพเอ่ยถามอย่างจริงจัง

 

ขณะที่ดาบเช่าหยินฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง เอ่ยสนับสนุน

 

“คราวนี้เราจะไม่ฟังเพลงกันแล้ว แต่เราจะเริ่มกันเลยทันที!”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาขับเคลื่อนพลังวิญญาณในร่างกายของตน และเปิดฉากทำการโจมตีขอบเขตใหม่อย่างเต็มกำลังในทันที

 

ทันใดนั้นเอง หนึ่งในค่ายกลขนาดเล็กก็เริ่มตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขา บังเกิดแสงสวรรค์ส่องสว่างขึ้น

 

นี่คือการเหนี่ยวนำโทษทัณฑ์ของฟ้าดิน โดยส่งตรงพวกมันจากโลกล่องเวหา นำเข้ามาสู่พื้นที่มิติอันว่างเปล่านี้โดยค่ายกล

 

บังเกิดแสงสายฟ้าสาดสว่างขึ้นผ่านช่องว่างระหว่างโลกกับภายในมิติ

 

ทว่าเมื่อแสงสายฟ้าเหล่านี้ปรากฏขึ้น ยังมิทันได้ควบรวมกัน มันก็ถูกทำลายลงด้วยคมดาบของกู่ฉิงซานซะก่อน

 

อย่างไรก็ตาม สายฟ้ายังคงฟาดผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องจากโลกล่องเวหา ควบรวมกันจนเกิดเป็นแส้สายฟ้าฟาดอันน่าสะพรึงกลัว!

 

สายฟ้าได้ห้อมรอบกายเขาจากทุกทิศทาง!

 

“มาเลย!”

 

กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง

 

ดาบพิภพถูกเหวี่ยงออกไป พุ่งตัดผ่านมิติอย่างรวดเร็ว

 

สายฟ้าที่ฟาดผ่าถูกแตกกระเจิงออกทันทีโดยการปะทะเฉือนของดาบพิภพ

 

พวกมันแตกกระเจิง พรั่งพราว ลอยล่องอยู่กลางอากาศคล้ายดั่งสะเก็ดฝนดาวตกบนฟากฟ้า

 

ราวกับว่าจะรับรู้ได้ถึงพลังของสายฟ้าที่ถูกทำลายออกไป ทันใดอีกหนึ่งค่ายกลขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกันก็เริ่มถูกเปิดใช้งานทันที

 

แสงสายฟ้าที่พึ่งถูกทำลายลงเป็นสายฟ้าเส้นเล็ก มิอาจควบรวมกันได้อีกต่อไป พวกมันได้สลายหายไปจากภายในพื้นที่มิติโดยพลัน

 

“ค่ายกลสามารถกระทำได้ถึงเพียงนี้เชียว? นี่มันชักจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่อง

 

อารยธรรมด้านการฝึกยุทธของโลกล่องเวหานั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของค่ายกลโดยแท้ กล่าวได้ว่าเป็นเพราะค่ายกลนี่แหละ พวกเขาจึงสามารถรอดพ้นจากมารโลกามาได้จนถึงทุกวันนี้

 

นี่แหละ คือพลังของสิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมล่ะ!

 

แต่น่าเสียดายจริงๆ แม้อารยธรรมดังกล่าวจะรุ่งเรืองเพียงใด ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ามารโลกาแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงตัวตนอ่อนแอไร้ค่าเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานกำดาบดาบเช่าหยินไว้ในมือ ทะยานตัวเหินเข้าปะทะกับแสงสายฟ้า

 

บังเกิดรังสีที่แผ่ไอเย็นออกมาจากดาบในมือของเขา หวดเข้าฟาดฟันใส่ทะเลดาวที่เปรียบดั่งบอลสายฟ้าขนาดย่อมระลอกใหม่ที่พึ่งเข้ามา ทั้งเฉือน ทั้งตัดอย่างต่อเนื่อง

 

กู่ฉิงซานในเวลานี้ กล่าวได้ว่าทุ่มสุดตัวเต็มกำลังแล้ว!

 

บอลสายฟ้าทั้งหมดที่พึ่งปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า มิอาจหลบเลี่ยงไปจากรังสีดาบของเขาได้เลย

 

หนึ่งดาบ , สิบดาบ , พันดาบ

 

กู่ฉิงซานทุ่มกำจัดทัณฑ์สายฟ้าตั้งแต่ที่พวกมันปรากฏตัวขึ้นในแรกเริ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้มันฉวยโอกาสก่อตัวเริ่มควบรวมกันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

 

“ยาวนานเหลือเกิน ที่ข้ามิได้เห็นเจ้าเอาจริงเอาจังเช่นนี้” ดาบพิภพเอ่ยฉวัดเฉวียน

 

“ก็ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ต้องฝืนกันบ้างเป็นธรรมดา”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ยังคงถือดาบฟาดฟันต่อไป

 

เขาตัด สับ หั่น เฉือน สะบั้น แสงสายฟ้าที่ท่วมท้นไปทั่วบริเวณอย่างไม่หยุดยั้ง!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.446 – ก้าวเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่า

 

อีกด้านหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานกำตราในมือแน่น และเร่งมุ่งหน้าตรงไปยังค่ายกลที่ใช้ในการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์อย่างรวดเร็ว

 

ฉานนู่ได้ใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แปลงกายตัวเองเป็น ‘ฉีหยาน’ แล้วกลับไปรอที่แท่นเวทีก่อนเป็นอันดับแรก

 

และเธอคงจะถ่วงเวลาได้ไม่นานนัก

 

กู่ฉิงซานจึงต้องเร่งก้าวผ่านโทษทัณฑ์ให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับมา แล้วทำการสลับตัวกับฉานนู่อีกครั้ง

 

กล่าวได้ว่ากระบวนการทั้งหมดของทัณฑ์สายฟ้าในขอบเขตประทับเทพกินเวลาไม่ยาวนานนัก

 

และนั่นคือเหตุผลที่กู่ฉิงซานตัดสินใจที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในช่วงเวลานี้

 

ทว่า ส่วนที่ยากที่สุดในการทะลวงฝ่าประทับเทพ ก็คงมิแคล้วเป็นต้องรับมือกับพลังอำนาจอันใหญ่ยิ่งของสายฟ้า

 

เขาจึงตัดสินใจที่จะยกระดับพื้นฐานวรยุทธขึ้นไปยังประทับเทพ ในช่วงเวลานี้ ช่วงที่เย่หยิงเหมยกำลังไปเอาสมบัติมนตรา และหวังหงษ์เต๋ายังไม่กลับมา

 

ไม่ต้องบอกก็คงจะทราบว่าขณะนี้ กู่ฉิงซานกำลังแข่งอยู่กับเวลา

 

เพราะเรื่องที่ต้องกังวลไม่ใช่มีเพียงเรื่องที่กล่าวมา แต่ยังมีเรื่องของสตรีแห่งรากษสที่ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับโลกเทวะแล้วอีกด้วย!

 

แต่ยังไงก็ตาม จริงๆแล้วเธอก็ยังไม่ทราบว่าการปลอมตัวของตนถูกจับได้แล้วโดย ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ของกู่ฉิงซานอยู่ดี

 

ดังนั้น เธอที่ไม่ทราบถึงเรื่องนี้ จึงยังคงเลือกที่จะเฝ้ารออย่างอดทนต่อไป เพื่อต้องการที่จะลอบสืบว่าสิ่งที่ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสามกำลังจะลงมือต่อไปคืออะไรกันแน่

 

ไม่ว่าจะเป็นหวังหงษ์เต๋า , สตรีแห่งรากษส , สองปรมาจารย์ตำหนัก ทั้งหมดก็ล้วนมีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งกว่ากู่ฉิงซานอยู่ถึง 3 – 4 ขอบเขต!

 

สถานการณ์เช่นนี้นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!

 

กู่ฉิงซานจะต้องคิดหาวิธีที่จะป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เข้าถึงความลับของโลกเทวะและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธให้ได้

 

ขณะเดียวกัน เขาก็จะต้องหาหนทางหลบหนีออกไปจากโลกล่องเวหาใบนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เช่นกัน

 

นี่นับว่าเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่เคยพบ ไม่เคยเจอมาก่อนอย่างแท้จริง

 

สถานที่ตั้งของค่ายกลมากมายในนิกาย จะอยู่ในบริเวณส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า

 

และกู่ฉิงซานมาถึงสถานที่ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว

 

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

ค่ายกลเหล่านี้มีขนาดที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ทุกอันล้วนมีสีดำสนิท

 

กู่ฉิงซานเลือกที่จะกวาดสายตามองค่ายกลทั้งหมดเสียก่อนเป็นอันดับแรก

 

จากข้อมูลที่ได้รับมา ค่ายกลเหล่านี้โดยสิ้นเชิงแล้วมีอยู่สี่ประเภทที่ใช้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในมิติที่ว่างเปล่า

 

ประเภทแรก คือที่กำลังส่องแสงแวววาวจางๆ นั่นจะเป็นค่ายกลที่ใช้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของขอบเขตก้าวสู่เทพ

 

มันคือค่ายกลสำหรับก้าวสู่เทพและขอบเขตที่ต่ำกว่า สาวกในนิกาย ไม่ว่าใครก็สามารถใช้พวกมันได้ตลอดเวลา

 

โดยมีวิธีการใช้งานก็คือ คนในนิกายกวงหยางจะเข้าไปในพื้นที่ค่ายกลขนาดเล็กนี้ จากนั้นก็จะถูกส่งตัวเข้าไปในกระแสมิติที่ว่างเปล่า

 

ซึ่งค่ายกลเหล่านี้ ได้ถูกประกอบเข้าด้วยกันเพื่อรับมือกับทัณฑ์สายฟ้าโดยเฉพาะ มันจะดึงดูดทัณฑ์สายฟ้าให้เข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าที่ผู้ใช้งานถูกส่งตัวออกไป โดยกระบวนการดังกล่าวจะไม่เป็นการรบกวนมารโลกาให้ตื่นขึ้นหรือสัมผัสถึงได้

 

ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขอบเขตต่ำกว่าก้าวสู่เทพ จึงสามารถที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ภายในค่ายกลได้อย่างสบายใจ

 

ดังนั้น กล่าวได้ว่าคนที่คิดค้นและติดตั้งค่ายกลพวกนี้ขึ้น นับว่ามีพรสวรรค์ และเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับสูงอย่างแท้จริง

 

กู่ฉิงซานหันไปมองค่ายกลรูนทมิฬอื่นๆ

 

ขอบเขตประทับเทพจนไปถึงขอบเขตพันวิบัติเป็นประเภทที่สอง ทัณฑ์สายฟ้าของพวกมันจะทรงพลังอย่างยิ่งยวดยิ่ง และรุนแรงเกินกว่าที่ค่ายกลประเภทแรกที่กล่าวมาก่อนหน้านี้จะต้านทานได้

 

กู่ฉิงซานจึงจำเป็นต้องข้ามผ่านโทษทัณฑ์ภายในค่ายกลรูนทมิฬนี้

 

ข้างๆค่ายกลรูนทมิฬ ยังคงมีหลงเหลือค่ายกลอยู่อีก 2 ประเภท

 

ประเภทแรกคือค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า

 

อีกประเภทย่อมไม่พ้นค่ายกลที่ใช้ในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิต

 

สำหรับสองขอบเขตหลัง ค่ายกลได้ถูกแยกตัวออกมาเป็นแต่ละประเภทรับมือกับมันโดยเฉพาะ

 

วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานตกลงบนค่ายกลลมปราณจิต

 

นี่คือค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด

 

การจะเปิดใช้งานมัน จำต้องจ่ายศิลาวิญญาณออกไปกว่า 196 ชิ้น

 

ซึ่งปริมาณดังกล่าว สำหรับโลกล่องเวหาแล้วนับว่าเป็นอะไรที่สูงค่ายิ่ง

 

ทว่าสิ่งที่กู่ฉิงซานให้ความสนใจน่ะ มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก

 

แต่เป็นเรื่องที่ -ใช้แค่เพียง 196 ศิลาวิญญาณ ก็จะสามารถเปิดใช้งานค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด แล้วถูกส่งเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ต่างหาก!?

 

ตั้งแต่ที่กู่ฉิงซานเริ่มฝึกยุทธมา เขาไม่เคยได้ยินได้เห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย

 

กระทั่งกงซุนซีในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ อีกฝ่ายก็ยังไม่สามารถจำกัดศิลาวิญญาณไว้แค่ 196 ชิ้น เพื่อทำการเปิดใช้งานค่ายกลขนาดใหญ่ได้เลย

 

กู่ฉิงซานค่อยๆชะลอการเคลื่อนไหวลง ก่อนจะหยุดสำรวจค่ายกลลมปราณจิตอย่างระมัดระวัง

 

เขาได้ทำการเก็บ ‘ตรา’ ที่ใช้เปิดค่ายกลของเซ่าหวูชุ่ยกลับคืน

 

เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลานี้ มันจำเป็นต้องทำเวลาให้ดีที่สุด ต้องเร่งเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อทำการตัดผ่านวรยุทธโดยทันที ทว่ามองไปยังท่าทีการแสดงออกของกู่ฉิงซานขณะนี้ แท้จริงแล้วกลับดูเหมือนว่าเขาไม่เร่งร้อนเลย?

 

เมื่อเก็บตราไป เขาก็เลือกที่จะหยิบศิลาวิญญาณกว่า 196 ก้อนขึ้นมาแทน และวางมันลงแต่ละค่ายกลขนาดเล็ก ที่เชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์สำหรับลมปราณจิต

 

วูบบบบ!

 

ค่ายกลถูกเปิดใช้งานทันที!

 

นี่คือค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิต! เป็นค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก!

 

กู่ฉิงซานนำถุงสัมภาระใบหนึ่งออกมาทันที

 

นำออกมาโดยที่เขาไม่คิดจะเหลียวมองมันด้วยซ้ำ และนำพาเจ้าถุงที่ว่านั่นเข้าสู่ใจกลางค่ายกลข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิตกับตนเองด้วยเลยโดยตรง

 

เมื่อค่ายกลสัมผัสถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณของเขา มันก็เริ่มต้นทำงานทันที

 

รูนนับไม่ถ้วนผุดออกมา ก่อนจะควบรวมกันกลายเป็นชุดอักษรที่ยากจะอธิบายในอากาศ

 

ค่ายกลได้ถูกกระตุ้นใช้งานแล้ว!

 

แต่อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานกลับเลือกใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วอย่างกระทันหัน

 

เขาหายวับไปในทันใด ทั้งคนทั้งร่างปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้านนอกค่ายกล

 

ขณะที่ถุงสัมภาระถูกทิ้งไว้ในค่ายกลโดยเขา และพร้อมด้วยการทำงานของค่ายกล มันก็ได้ถูกส่งออก … หายวับไปในทันที

 

กู่ฉิงซานมิได้ใช้ตราที่ได้รับมา

 

—ซึ่งหากไม่ใช้ตราแล้วล่ะก็ มันจะเป็นดั่งที่สองปรมาจารย์ตำหนักได้กล่าวเอาไว้ นั่นคือค่ายกลจะทำการส่งผู้ใช้งานมันออกไปในมิติที่ว่างเปล่าแบบสุ่ม

 

นอกจากนี้ ยังเป็นการสุ่มของค่ายกลลมปราณจิตที่ทรงพลังที่สุด ยิ่งทรงพลัง นั่นหมายความว่ามันก็ยิ่งกินอาณาเขตกว้างขวาง! แถมกู่ฉิงซานยังใช้ศิลาวิญญาณยัดลงไปอย่างเต็มที่ ส่งผลให้พิสัยในการสุ่มของมันกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม

 

ขณะนี้ กระเป๋าสัมภาระได้ถูกส่งออกไปแล้ว และมันหายไปยังสถานที่ใดก็ยังไม่มีใครรู้

 

และช่างน่าสงสารสตรีแห่งรากษสที่ปลอมกายเป็นหน้ากากหยกวิญญาณยิ่งนัก เพราะตัวเธอก็ได้ถูกเก็บไว้ในถุงสัมภาระที่ว่านั่น และมิได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย!

 

เธอยังคงเฝ้ารอคอยโอกาสอยู่ และพยายามที่จะติดตาม ลอบล้วงข้อมูลจากฉีหยานและสองปรมาจารย์ตำหนัก เกี่ยวกับความลับของโลกใบใหม่ที่ยังมิได้ล่วงรู้

 

รังสีแสงสวรรค์บนค่ายกลค่อยๆจางหายไป

 

การส่งผ่านได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

 

196 ศิลาวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นผุยผง

 

ขณะที่สีหน้าของกู่ฉิงซานดูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

เขาไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อนเลยว่า ผู้คนจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างไร เมื่อถูกเก็บเอาไว้ในถุงสัมภาระ

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวสตรีแห่งรากษสแล้ว นางก็คงจะมีสักวิธีแหละน่า

 

มิฉะนั้นแล้ว นางคงไม่กล้าที่จะปลอมแปลงตนเป็นหน้ากากหรอก

 

ตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ทำได้เพียงคาดหวังว่าตนจะโชคดี ในเรื่องที่ตำแหน่งที่ค่ายกลส่งออกไปนั้นห่างไกลมากพอ … มากพอที่จะทำให้สตรีแห่งรากษสมิอาจย้อนคืนกลับมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

 

… และหวังว่าความอดทนของสตรีแห่งรากษสจะมากพอเช่นกัน

 

เพราะยิ่งมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่ากว่าเธอจะเริ่มรู้ตัวถึงสถานการณ์ของตนเองก็จะยิ่งล่าช้าออกไปมากขึ้นเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานหันกลับมา มองไปยังค่ายกลรูนทมิฬอันก่อนหน้า

 

เขาเดินไปวางศิลาวิญญาณบนรูรอบๆค่ายกล จากนั้นจึงเริ่มทำการเข้าสู่ค่ายกล

 

และแน่นอน ว่าคราวนี้ตนเองได้ตบลงในถุงสัมภาระ นำตราที่พึ่งเก็บไปกลับมาไว้ติดตัว

 

จากนั้น ก็เริ่มทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์

 

ค่ายกลสีดำถูกเปิดใช้งานโดยศิลาวิญญาณ  และคราวนี้พวกมันก็สัมผัสได้ถึงตราในมือของกู่ฉิงซาน พริบตานั้นแสงสว่างก็สาดออกมา และห่อหุ้มเขาในทันใด

 

พร้อมกับกู่ฉิงซานที่หายวับไปจากสถานที่เดิม

 

….

 

นี่คือพื้นที่ภายในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด

 

ด้วยการจัดวางค่ายกลของนิกายกวงหยาง ส่งผลให้ทัณฑ์สายลมมิอาจเข้ามาสู่พื้นที่แห่งนี้ได้

 

แน่นอน ว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า ก็ไม่อาจเข้ามาสู่พื้นที่แห่งนี้ได้เช่นกัน

 

แต่ต่อให้พวกที่พึ่งกล่าวมาพบเจอพื้นที่มิติแห่งนี้ แล้วก้าวเข้ามาในพิสัยค่ายกล พวกมันก็จะถูกค่ายกลตรวจจับได้ทันที

 

และจากนั้นค่ายกลก็จะทำการเคลื่อนย้ายพวกที่ว่า ไปปรากฏตัวยังตำแหน่งของมารโลกาโดยตรง!

 

ต่อให้มอนสเตอร์ที่คิดย่างกรายเข้ามาแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่มันถูกส่งเข้าหามารโลกา มันก็มิแคล้วต้องตกเป็นเพียงอาหารอยู่ดี

 

นี่แหละคือความมหัศจรรย์ของค่ายกลล่ะ

 

กู่ฉิงซานลอยอยู่ในความว่างเปล่า โดยไม่มีอะไรคอยหยั่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา

 

ล้อมรอบไปด้วยสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด และบ่อยครั้งที่จะมีแสงและเงาสลัวๆสะท้อนออกมาจากทางมัน

 

ภายในวิสัยทัศน์ของเขา เส้นแสงตัวอักษรแถวหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“การก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขอบเขตประทับเทพ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่าน ในจิตใจเริ่มสั่งการนึกคิดเล็กน้อย

 

และภายในเสี้ยววินาที ดาบพิภพและเช่าหยินก็ปรากฏขึ่้นจากในความว่างเปล่า ลอยประกบข้างกายซ้ายขวาของเขา

 

“กำลังจะเริ่มแล้วนะ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล

 

หากได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพ ความแข็งแกร่งของตัวเขาเองจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

 

นอกจากนี้ ก่อนหน้า เขายังได้รับรางวัลจากการบรรลุภารกิจพิเศษ ‘หวูซานจะต้องตาย’ มาแล้วอีกด้วย นั่นหมายความว่าหากเขาเข้าถึงขอบเขตประทับเทพได้แล้ว ตนก็จะสามารถใช้รางวัลที่ว่านั่นเพื่อทำการได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของประทับเทพได้เลยในทันที

 

ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากได้รับความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นมากเพียงไร ผลลัพธ์มันก็จะยิ่งต่างออกไปมากเท่านั้น

 

“เจ้ากำลังจะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์กระนั้นหรือ?”

 

ดาบภพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

“ใช่ และในเวลานี้ ข้าคงต้องเร่งมือและมันอาจจะเป็นการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ทุกคราที่ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ เจ้ามันก็เร่งร้อนและโยนตนเองให้ตกอยู่ในอันตรายไปเสียทุกครั้งนั่นแหละ” ดาบพิภพแย้ง

 

อย่างเช่นในโลกเทวะ กู่ฉิงซานได้เลือกโยนตนเองตกสู่ในอันตราย โดยการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ท่ามกลางสนามรบ ใช้ทัณฑ์สายฟ้าในขั้นก่อกำเนิด ฟาดผ่าใส่กองทัพมาร จนพวกมันแตกพ่ายไป

 

ขณะที่ในโลกจริง เขาก็เลือกที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ โดยการใส่หูฟังฟังเพลงท่ามกลางสายฝนเย็นฉ่ำ ตลอดทั้งวันคืนจนสำเร็จ

 

แต่ในเวลานี้ มันคือโทษทัณฑ์ของขอบเขตประทับเทพ ..

 

ขอบเขตที่ในชีวิตก่อนหน้า ไม่มีผู้เล่นคนใดเลยที่จะอาจเอื้อมมาถึง

 

—ด้วยแต้มค่าประสบการณ์ที่จำเป็นต้องใช้มันสูงมากเกินไป … สูงชนิดที่เรียกได้ว่าหมดหวัง

 

แต่ตอนนี้ การที่จะมามัวระลึกย้อนคิดเกี่ยวกับมัน ก็ดูเหมือนจะยังไม่ใช่เวลาอันสมควรนัก

 

สติอารมณ์ของกู่ฉิงซาน รวมไปถึงสภาวะจิตใจราวกับบังเกิดคลื่นระลอกใหญ่ขึ้น

 

เขาถอนหายใจ และเริ่มปรับอารมณ์ของเขาอย่างรวดเร็ว

 

ในฐานะที่เป็นมนุษย์ของโลกจริง นี่คือเหตุการณ์อันสำคัญยิ่งที่จะนำไปสู่การก่อกำเนิดยุคสมัยใหม่!

 

กู่ฉิงซานพร้อมที่จะทุ่มอย่างเต็มกำลังแล้ว

 

เขาเริ่มกินยาประทับเทพที่เซ่าหวูชุ่ยมอบมันให้แก่ฉานนู่จนหมดเกลี้ยง

 

กู่ฉิงซานกางมือทั้งสองออก และคว้าจับสองดาบในแต่ละข้าง

 

ภายในตันเถียนของเขา พลังวิญญาณค่อยๆเติบโตขึ้น ขยายขึ้นเรื่อยๆ

 

-ยาประทับเทพ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างแท้จริง

 

ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็สามารถเรียกความสงบกลับคืนมาได้ในที่สุด

 

สีหน้าการแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

 

“การใช้ค่ายกล เพื่อให้มาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ในมิติอันเชี่ยวกราด กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่เคยพบเคยเห็นวิธีการอันน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้มาก่อนเลย” ดาบพิภพเอ่ยชื่นชมออกมา

 

กู่ฉิงซาน “ในโลกใบนี้มิได้มีมารสวรรค์ , หาได้มีมอนสเตอร์ตนอื่นๆคอยก่อกวนไม่ ดังนั้น พวกเราจึงสมควรที่จะสามารถตัดผ่านได้เร็วขึ้น ไม่สิ ต้องเร็วขึ้นแน่ๆ”

 

“แล้วคราวนี้เจ้าไม่คิดจะเปิดเพลงฟังอีกหรือไร” ดาบพิภพเอ่ยถามอย่างจริงจัง

 

ขณะที่ดาบเช่าหยินฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง เอ่ยสนับสนุน

 

“คราวนี้เราจะไม่ฟังเพลงกันแล้ว แต่เราจะเริ่มกันเลยทันที!”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาขับเคลื่อนพลังวิญญาณในร่างกายของตน และเปิดฉากทำการโจมตีขอบเขตใหม่อย่างเต็มกำลังในทันที

 

ทันใดนั้นเอง หนึ่งในค่ายกลขนาดเล็กก็เริ่มตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขา บังเกิดแสงสวรรค์ส่องสว่างขึ้น

 

นี่คือการเหนี่ยวนำโทษทัณฑ์ของฟ้าดิน โดยส่งตรงพวกมันจากโลกล่องเวหา นำเข้ามาสู่พื้นที่มิติอันว่างเปล่านี้โดยค่ายกล

 

บังเกิดแสงสายฟ้าสาดสว่างขึ้นผ่านช่องว่างระหว่างโลกกับภายในมิติ

 

ทว่าเมื่อแสงสายฟ้าเหล่านี้ปรากฏขึ้น ยังมิทันได้ควบรวมกัน มันก็ถูกทำลายลงด้วยคมดาบของกู่ฉิงซานซะก่อน

 

อย่างไรก็ตาม สายฟ้ายังคงฟาดผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องจากโลกล่องเวหา ควบรวมกันจนเกิดเป็นแส้สายฟ้าฟาดอันน่าสะพรึงกลัว!

 

สายฟ้าได้ห้อมรอบกายเขาจากทุกทิศทาง!

 

“มาเลย!”

 

กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง

 

ดาบพิภพถูกเหวี่ยงออกไป พุ่งตัดผ่านมิติอย่างรวดเร็ว

 

สายฟ้าที่ฟาดผ่าถูกแตกกระเจิงออกทันทีโดยการปะทะเฉือนของดาบพิภพ

 

พวกมันแตกกระเจิง พรั่งพราว ลอยล่องอยู่กลางอากาศคล้ายดั่งสะเก็ดฝนดาวตกบนฟากฟ้า

 

ราวกับว่าจะรับรู้ได้ถึงพลังของสายฟ้าที่ถูกทำลายออกไป ทันใดอีกหนึ่งค่ายกลขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกันก็เริ่มถูกเปิดใช้งานทันที

 

แสงสายฟ้าที่พึ่งถูกทำลายลงเป็นสายฟ้าเส้นเล็ก มิอาจควบรวมกันได้อีกต่อไป พวกมันได้สลายหายไปจากภายในพื้นที่มิติโดยพลัน

 

“ค่ายกลสามารถกระทำได้ถึงเพียงนี้เชียว? นี่มันชักจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่อง

 

อารยธรรมด้านการฝึกยุทธของโลกล่องเวหานั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของค่ายกลโดยแท้ กล่าวได้ว่าเป็นเพราะค่ายกลนี่แหละ พวกเขาจึงสามารถรอดพ้นจากมารโลกามาได้จนถึงทุกวันนี้

 

นี่แหละ คือพลังของสิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมล่ะ!

 

แต่น่าเสียดายจริงๆ แม้อารยธรรมดังกล่าวจะรุ่งเรืองเพียงใด ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ามารโลกาแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงตัวตนอ่อนแอไร้ค่าเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานกำดาบดาบเช่าหยินไว้ในมือ ทะยานตัวเหินเข้าปะทะกับแสงสายฟ้า

 

บังเกิดรังสีที่แผ่ไอเย็นออกมาจากดาบในมือของเขา หวดเข้าฟาดฟันใส่ทะเลดาวที่เปรียบดั่งบอลสายฟ้าขนาดย่อมระลอกใหม่ที่พึ่งเข้ามา ทั้งเฉือน ทั้งตัดอย่างต่อเนื่อง

 

กู่ฉิงซานในเวลานี้ กล่าวได้ว่าทุ่มสุดตัวเต็มกำลังแล้ว!

 

บอลสายฟ้าทั้งหมดที่พึ่งปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า มิอาจหลบเลี่ยงไปจากรังสีดาบของเขาได้เลย

 

หนึ่งดาบ , สิบดาบ , พันดาบ

 

กู่ฉิงซานทุ่มกำจัดทัณฑ์สายฟ้าตั้งแต่ที่พวกมันปรากฏตัวขึ้นในแรกเริ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้มันฉวยโอกาสก่อตัวเริ่มควบรวมกันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

 

“ยาวนานเหลือเกิน ที่ข้ามิได้เห็นเจ้าเอาจริงเอาจังเช่นนี้” ดาบพิภพเอ่ยฉวัดเฉวียน

 

“ก็ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ต้องฝืนกันบ้างเป็นธรรมดา”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ยังคงถือดาบฟาดฟันต่อไป

 

เขาตัด สับ หั่น เฉือน สะบั้น แสงสายฟ้าที่ท่วมท้นไปทั่วบริเวณอย่างไม่หยุดยั้ง!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.445 – แทนที่

 

สีหน้าของเย่หยิงเหมยเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความทรงจำในครั้งอดีต เธอเอ่ยปากออกมาว่า “ในช่วงเวลานานนับปีที่ผ่านพ้น แม้พวกเราถูกควบคุมโดยเขาตลอดมา แต่ในระหว่างนั้นก็มิได้ทิ้งเวลาไปอย่างเสียเปล่า สายตาของพวกเราคอยสอดส่องทุกการกระทำของเขาอยู่ตลอดเวลา และขณะเดียวกันก็ค่อยๆแอบทุ่มทั้งเวลาและทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อตระเตรียมกำจัดเขาอย่างลับๆ”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า และส่งสัญญาณให้ฝ่ายตรงข้ามพูดต่อ

 

เย่หยิงเหมย “ข้าลอบสังเกตจนกระจ่างแจ้งถึงกระบวนท่าของหวังหงษ์เต๋า จึงได้ลอบหลอมสมบัติมนตราที่สามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้อยู่หลายครั้งขึ้น”

 

เซ่าหวูชุ่ย “ข้าลอบสังเกตจนกระจ่างแจ้งถึงจุดที่บาดเจ็บร้ายแรงมากที่สุดในร่างกายของหวังหงษ์เต๋า และได้ลอบหลอมสมบัติมนตราไว้ชิ้นหนึ่ง และแม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่มันย่อมต้องสร้างผลลัพธ์ร้ายแรงต่อเขาได้อย่างแน่นอน”

 

เย่หยิงเหมยถอนหายใจ “นี่คือสิ่งที่พวกเราเตรียมการเอาไว้เพื่อที่จะต่อสู้เป็นตายกับเขา”

 

“พวกเจ้าคงลำบากมาไม่น้อยเลยสินะ”

 

กู่ฉิงซานกำลังย้อนคิด ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

 

สตรีแห่งรากษสคือปรมาจารย์เฟิงแห่งลั่วชาเฟิง แม้ว่าพื้นฐานวรยุทธจะไม่นับว่าเป็นที่สุด แต่เนื่องเพราะเธอสามารถรับสืบทอดมรดกของลั่วชาเฟิงได้ ดังนั้นจึงนับว่ามีอำนาจสูงสุดในลั่วชาเฟิง และสี่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตในนิกายจักต้องเชื่อฟังเธอ

 

จวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ เธอก็ยังคงแฝงกายเป็นหน้ากาก และไม่คิดลงมือเคลื่อนไหวใดๆ

 

ซึ่งกู่ฉิงซานคาดว่าคงจะมีเพียงเหตุผลข้อเดียวเท่านั้น ที่เธอยังคงเลือกที่จะทำเช่นนี้-

 

-เฉกเช่นเดียวกันกับเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยนั่นแหละ! มันเป็นเพราะแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่อาจล่วงรู้พิกัดของสองโลกที่ฉีหยานปกปิดเอาไว้ได้!

 

หากไม่มีพิกัด มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะค้นหา และนั่นหมายถึงไม่สามารถไปยังสองโลกได้!

 

หากไม่มีพิกัด ทั้งสองโลกก็เปรียบดั่งดวงจัทร์ที่สะท้อนอยู่ในแอ่งน้ำ แม้จะมองเห็นด้วยด้วยตาเปล่า ทว่ามิอาจเอื้อมมือไปสัมผัสต้องได้

 

ดังนั้น ถึงแม้ว่าหวูซานจะเปิดเผยถึงการดำรงอยู่ของโลกใหม่แล้วก็ตามที แต่ตัวมันเองก็หาได้รู้พิกัดไม่ ซึ่งสำหรับสองปรมาจารย์ตำหนักและสตรีแห่งรากษสแล้ว ในทางปฏิบัติมันแทบจะไม่มีความหมายใดๆเลย

 

สองปรมาจารย์ตำหนักจึงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องร่วมมือกับฉีหยาน

 

ส่วนสตรีแห่งรากษสก็เท่าได้แค่อำพรางตัวต่อไป โดยมีจุดประสงค์เป็นการเฝ้ารอคอยที่จะล้วงความลับของโลกใหม่ให้เพิ่มมากขึ้น

 

กู่ฉิงซานขบคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ และได้ทำการพิจารณาเล็กน้อยในจิตใจ

 

เขายื่นมือออกไปและกล่าว “จงมอบสมบัติมนตราของเจ้ามา แล้วหวังหงษ์เต๋าจะถูกสังหารลงภายใต้เงื้อมมือของข้าเอง”

 

“เจ้าแน่ใจหรือ? แต่เจ้าเป็นแค่ระดับขีดสุดความว่างเปล่าขั้นต้นเท่านั้นเองนะ” เย่หยิงเหมยมองเขาและกล่าว

 

“ขั้นต้นแล้วอย่างไร? ยังไงข้าก็ไม่เหมือนกับเจ้าที่จะต้องมาคอยกังวลเรื่องไร้สาระมากมายอยู่ดี”

 

“ย้ำอีกครั้ง บนกายเจ้าน่ะมีผนึกต้องห้ามของหวังหงษ์เต๋าอยู่ จึงไม่สามารถลงมืออย่างเต็มกำลังได้ และหากเจ้าไม่สามารถสังหารเขาได้ ก็ย่อมต้องเป็นข้าที่ตกตายลงด้วยน้ำมือของเขา”

 

“ดังนั้น มันจะเป็นการดีกว่าสำหรับข้า หากให้ข้าหาหนทางออกด้วยตัวเอง แบบนี้ข้าจึงจะค่อยสบายใจหน่อย”

 

หลังจากที่สองปรมาจารย์ตำหนักรับฟังอย่างใจเย็น พวกเขาก็ได้โอนเอนไปตามความคิดของฉีหยาน

 

เซ่าหวูชุ่ยกล่าวเสียงหนักอึ้ง “เพื่อป้องกันไม่ให้หวังหงษ์เต๋าล่วงรู้ความลับ พวกเราจึงมิกล้าพกพาสมบัติเหล่านั้นเอาไว้กับตัว แต่ได้ซ่อนมันไว้ที่เกาะลอยฟ้าธรรมดาๆแห่งหนึ่งในอากาศ และประทับตราบนสมบัติมนตราเหล่านั้นเอาไว้ ทำให้นอกเหนือไปจากพวกเรา จะไม่มีใครสามารถแตะต้องมันได้”

 

เย่หยิงเหมยกล่าวอย่างซื่อตรง “ฉีหยาน ขอพูดแบบเปิดอกคุยกันเลยนะ กระทั่งตอนนี้ ตัวข้าเองก็ยังไม่ไว้วางใจเจ้าอยู่ดี”

 

เซ่าหวูชุ่ยพยักหน้าเห็นด้วย

 

“นี่มันเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ”

 

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นและกล่าวคำมั่นสาบานว่า “หากเจ้ามอบสมบัติมนตราให้แด่ข้า ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะนำตัวหวังหงษ์เต๋าไปสู่ความตาย หากละเมิดคำมั่นนี้ ขอให้ตนถูกลงทัณฑ์โดยฟ้าดิน”

 

บังเกิดลมวนที่มองไม่เห็นขึ้นรอบตัวกู่ฉิงซาน ตามด้วยเสียงกระหึ่มจากท้องฟ้าเบื้องบน

 

คำมั่นสาบานได้ถูกรับรู้แล้ว

 

เย่หยิงเหมยเมื่อเห็นว่าฟ้าดินเป็นพยานแล้ว รอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าเธอ

 

ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยจ้องมองมาทางกู่ฉิงซานอยู่เนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยคำใด แต่ภายในแววตาของเขาดูเหมือนจะกระพริบไหวไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน

 

ฉีหยานถึงขั้นบีบบังคับให้ชีวิตของตนเองมาถึงทางตัน มิหลงเหลือตัวเลือกใดๆให้ตนเองเลย เพียงเพื่อที่จะให้หวังหงษ์เต๋าตาย

 

กระทั่งฟ้าดินก็ยังเป็นพยานต่อคำมั่นอันร้ายแรงนี้แล้ว เช่นนั้นยังจะมีผู้ใดที่ไม่อาจทำใจเชื่อฉีหยานได้อยู่อีก?

 

“หากเจ้าแสดงความจริงใจออกมาถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ตกลง” เย่หยิงเหมยกล่าว

 

ณ จุดๆนี้ บอกตรงๆว่ากระทั่งตัวเธอเองก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมฉีหยานเล็กน้อย

 

-ช่างเด็ดเดี่ยว และไร้หัวใจ

 

กล้าเปล่งคำสาบถสาบานดั่งพิษร้ายเช่นนี้ แล้วยังจะมีผู้ใดอีกเล่าที่มิยินยอมเชื่อใจเขา?

 

ถึงขั้นยอมโยนตนเองให้ตกที่นั่งลำบาก ดีกว่าปล่อยให้ผู้อื่นไปรับหน้ากับขอบเขตลมปรารณจิตโดยที่ตนไม่สบายใจ

 

เขานี่มันงูพิษที่ไม่สมควรจะยั่วยุโดยแท้!

 

เย่หยิงเหมยรู้สึกว่าตนโชคดีเล็กน้อย

 

-โชคดีที่เธอมิได้ลงมือทำอะไรกับฉีหยานตั้งแต่ตอนแรก

 

“การนำสมบัติมนตราทั้งสองชิ้นกลับมา และปลดตราประทับ มันค่อนข้างที่จะใช้เวลาเล็กน้อย”

 

“จากข่าวกรองของเรา ภายในครึ่งวันท่านอาจารย์จะยังคงไม่กลับมาที่นี่” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวเสียงหม่น

 

“เช่นนั้นก็ดี พวกเจ้าคนหนึ่งแยกไปเอาสมบัติมนตรามาก็แล้วกัน”

 

กู่ฉิงซานลุกขึ้นและกล่าว

 

“แล้วเจ้าจะไปไหน?” เซ่าหวูชุ่นเลื่อนสายตามองตามการเคลื่อนไหวของเขา ปากเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานไม่ตอบ แต่กลับเดินไปยังขอบเวทีและกวักมือเรียกฉินรั่ว

 

“นายน้อย?” ฉินรั่วเอ่ยปาก

 

“พวกเรากลับกันเถอะ”

 

“เจ้าค่ะ”

 

ฉินรั่วประคองมือของเขา และเบนกายมายืนเคียงข้าง

 

กู่ฉิงซานหันหน้ากลับมา แล้วพูดว่า “ข้าจะไปเตือนสติกู่ฉิงซาน เกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะตัดผ่าน แล้วจะกลับมาเร็วๆนี้”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าทันใด

 

นั่นสินะ ก็ลูกศิษย์ของฉีหยานกำลังจะตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพนี่นา

 

“เจ้าก็รออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”

 

ว่าแล้ว กู่ฉิงซานก็เดินจากไป

 

แต่ทันใดนั้นเขาก็หยุดฝีเท้า และหันมาเอ่ยปากอีกครั้งว่า “ศิษย์น้องหยิงเหมยเจ้าไปเอาของที่ว่ามา ส่วนสหายเซ่า เวลานี้เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในนิกาย ดังนั้นเจ้าจะต้องคอยอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องนิกายเอาไว้”

 

เย่หยิงเหมยพยักหน้าเห็นด้วย

 

เวลานี้สองผู้ฝึกยุทธของเขตลมปราณจิตมิได้อยู่ในนิกาย ส่วนตนเองก็กำลังจะออกไป ฉะนั้นแล้วหากบังเอิญถูกลอบโจมตีโดยนิกายอื่นในช่วงเวลานี้ มันคงกลายเป็นเรื่องขบขันอย่างแท้จริง

 

ในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งเช่นนี้ ฉีหยานยังสามารถตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ นับว่าสมควรแล้วที่เขาได้รับตำแหน่งเป็นปรมาจารย์ตำหนัก

 

เธอหันไปมองทางเซ่าหวูชุ่ย

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยปาก “ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง เจ้าวางใจเถอะ”

 

“เช่นนั้นข้าขอตัวไปนำสมบัติมนตรา” เย่หยิงเหมยกล่าว

 

กู่ฉิงซานหันไปส่งสัญญาณตาให้ฉินรั่ว และเดินกลับไปยังทิศทางลานบ้านของตนเอง

 

ขณะที่เย่หยิงเหมยก็ออกจากค่ายกลที่ปกคลุมอยู่รอบเวที และหายลับไปในท้องฟ้า

 

มีเพียงเซ่าหวูชุ่ยเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในเวที เฝ้ารอคอยทั้งสองอย่างใจเย็น

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ

 

แต่แล้วสักพักหนึ่ง เซ่าหวูชุ่ยก็พลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง

 

“บ้าจริง! ดันถูกเจ้าฉีหยานมันหว่านล้อมเอาซะได้”

 

เซ่าหวูชุ่ยบ่นงึงมด้วยความหงุดหงิด

 

“เจ้าบ้านั่นยังไม่ยอมบอกเกี่ยวกับเรื่องที่มันตามตื้อสตรีแห่งรากษสเลย … หรือว่าเขายังมีแผนการอื่นอยู่อีกกันแน่นะ?”

 

เซ่าหวูชุ่ยหันไปมองบริเวณที่นั่งของฉีหยาน

 

บนโต๊ะน้ำชา บัดนี้หน้ากากของสตรีแห่งรากษสได้ถูกนำออกไปแล้วโดยฉีหยาน

 

สีหน้าท่าทีของเซ่าหวูชุ่ยค่อยๆหม่นทะมึนลง

 

เจ้าฉีหยานผู้นี้ เป็นคนที่รับมือได้ยากเย็นยิ่งจริงๆ

 

เกรงว่าบางที ต่อให้ตนเองเอ่ยถามเรื่องนี้ออกไปอีกรอบ อีกฝ่ายก็คงไม่คิดจะเผยเรื่องนี้ออกมาอยู่ดี

 

แต่ยังไงก็ถือว่าโชคดีจริงๆ ที่เจ้างูพิษนั่นกำลังจะไปสู้เป็นตายกับหวังหงษ์เต๋า

 

เซ่าหวูชุ่ยพึมพำ

 

ฉีหยานกำลังทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับหวังหงษ์เต๋า …

 

สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวเขาที่ได้รับผลประโยชน์มิใช่หรือ

 

พอคิดมาถึงจุดนี้ จ้าวหวูชุ่ยก็พยักหน้าเล็กน้อย

 

…..

 

ไม่ต้องรีรอให้เซ่าหวูชุ่ยรอนานนัก

 

ฉีหยานก็กลับมายังเวทีอีกครั้ง แล้วนั่งประจำตำแหน่งตนเอง

 

ขณะที่ฉินรั่วค่อยๆยกชาวิญญาณขึ้น และประกบขอบถ้วยลงบนริมฝีปากของฉีหยาน

 

“ช่างรวดเร็วยิ่งนัก” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว

 

“ศิษย์ข้าเป็นต้นกล้าชั้นยอด ประสาทสัมผัสของเขาสอดคล้องกับเจตจำนงแห่งดาบเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงกระจ่างแจ้งในทุกๆคำแนะนำได้อย่างรวดเร็ว ดูทีแล้วในอนาคต เขาอาจจะเหนือล้ำยิ่งกว่าเจ้าและข้าก็เป็นได้”

 

เซ่าหวูชุ่ยเค้นถาม “แต่การก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณนะ เจ้าได้ตระเตรียมมันไว้ให้ศิษย์เจ้า พร้อมแล้วใช่หรือไม่?”

 

“ข้าจดจำไม่ได้ว่าค่ายกลก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของประทับเทพมันจำต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนเท่าใด ก็เลยหยิบยื่นให้เขาไปแบบส่งๆเรียบร้อยแล้ว” ฉีหยานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

“เหอะ! ข้าขอเดาว่าเจ้าคงไม่คิดจะจดจำเรื่องพวกนี้เสียมากกว่า ข้าจะบอกเจ้าก็แล้วกัน มันจำเป็นต้องใช้ทั้งหมดเจ็ดค่ายกล ค่ายกลละ 7 โดยรวมแล้วทั้งสิ้น 49 ศิลาวิญญาณ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง

 

49 ศิลาวิญญาณ?

 

พอได้ยิน ‘ฉานนู่’ ก็ชะงักงันไป และขบคิดเล็กน้อย

 

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กู่ฉิงซานเอ่ยถามเธอว่า ต้องการศิลาวิญญาณหรือไม่ และเธอก็ได้ให้คำตอบแก่เขาไปว่าไม่ต้องการ

 

ขณะที่ในถุงสัมภาระของกู่ฉิงซาน บางทีอาจจะมีศิลาวิญญาณนับไม่ถ้วนบรรจุอยู่ในกล่อง แล้วกล่องที่ว่านั้นก็มีอยู่มากมายนับร้อยๆ!

 

แต่นี่กลับต้องการแค่ 49 ศิลาวิญญาณ …

 

เมื่อจินตนาการไปถึงความขาดแคลนของทรัพยากรบนโลกใบนี้และได้ยินถึงสิ่งที่เซ่าหวูชุ่ยกล่าว สีหน้าของ ‘ฉานนู่’ ก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดยิ่ง

 

ฉีหยานขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงต้องใช้ศิลาวิญญาณมากมายถึงเพียงนั้น?”

 

เซ่าหวูชุ่ยกล่าว “ขอบเขตประทับเทพมิใช่เล็กจ้อย เจ้าจะต้องเติมศิลาวิญญาณเข้าไปในค่ายกลให้ครบ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ค่ายกลเกิดความล้มเหลวขึ้นขณะที่ศิษย์เจ้ากำลังอยู่ในระหว่างการข้ามผ่านโทษทัณฑ์”

 

“เช่นนั้นก็วางใจได้ เพราะข้าได้มอบศิลาวิญญาณให้แก่กู่ฉิงซานไปมากกว่า 100 ชิ้น แม้ว่าเขาจะใช้มันกับค่ายกลข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในระดับที่สูงยิ่งกว่า ศิลาวิญญาณเหล่านั้นก็นับว่ายังมากพออยู่ดี เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องนี้อีก”

 

เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

‘นี่ฉีหยานมีศิลาวิญญาณมากมายขนาดนี้เลยหรือ?’

 

พอได้ฟังได้เห็นถึงคำพูดและท่าทีของฉีหยาน มันดูราวกับว่าเจ้าตัวมีศิลาวิญญาณเก็บสำรองไว้มากมายอย่างนั้นแหละ

 

นี่มันไม่ถูกต้อง …

 

จริงอยู่ที่ฉีหยานเป็นคนมือเติบและมักจะใช้สอยศิลาวิญญาณที่ตนมีต่อหน้าสาธารณชน

 

แต่เขาไม่สมควรที่จะมีศิลาวิญญาณเอาไว้ในครอบครองมากมายขนาดนี้นี่นา?

 

แล้วเซ่าหวูชุ่ยก็ได้สติกลับคืน

 

-ใช่แล้ว ต้องเป็นโลกใหม่แน่ๆ!

 

เซ่าหวูชุ่ยกำหมัดของเขา ในหัวใจบังเกิดความกระจ่างชัด

 

ฉีหยานมันมีสองโลกใหม่อยู่ในมือนี่นา!

 

ไม่รีรอให้เซ่าหวูชุ่ยได้ขบคิดต่อ ฉานนู่มิได้เอ่ยตอบอะไรแก่เขา ตนตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเม็ดยารักษาออกมากินจนเกลี้ยง

 

“ครั้งก่อนในโลกใหม่ ข้าได้ต่อกรกับผู้ฝึกดาบจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เลยจำเป็นต้องนั่งสมาธิเพื่อทำการพักฟื้น”

 

“งั้นก็เอาไว้รอศิษย์น้องหยิงเหมยกลับมาก่อนเถอะ แล้วเราค่อยพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอีกที”

 

ฉานนู่นั่งขวาทับซ้าย ทำสมาธิ และเริ่มเข้าสู่สถานะควบคุมลมหายใจรักษาอาการบาดเจ็บ

 

การรักษา นับว่าเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดแล้ว

 

แม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์และทักษะของกู่ฉิงซาน แต่ฉานนู่ก็มิได้มีภูมิปัญญาละเอียดอ่อนเท่ากับกู่ฉิงซาน

 

เพราะนั่นเป็นคุณลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล มันย่อมไม่สามารถลอกเลียนด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ได้

 

หากต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ซับซ้อน กู่ฉิงซานจะต้องเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเองเท่านั้น!

 

ดังนั้น ภารกิจหลักของฉานนู่ในตอนนี้ก็คือถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้นานที่สุด!

 

—ถ่วงเวลาไปจนกระทั่งถึงกู่ฉิงซานสามารถข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จ ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตประทับเทพ

 

ทัณฑ์สายฟ้าของก้าวสู่เทพจะเป็นการใช้เวลาตลอดทั้งวันคืน ซึ่งนั่นนับว่าเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธเป็นอย่างมาก

 

ขณะที่ทัณฑ์สายฟ้าของประทับเทพน่ะกินเวลาไม่นานเท่าใดนัก ทว่าความรุนแรงของสายฟ้าจะถูกยกระดับไปจนถึงขั้นน่าหวาดผวา! ผู้ฝึกยุทธอาจถูกสังหารได้ตลอดเวลาหากเขาประมาท

 

ขณะที่เมื่อคุณตัดผ่านเข้าไปยังขอบเขตร่างเทวะ คุณก็จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับนางเซียนไป่ฮั่ว นั่นคือจักต้องทำลายสายฟ้าให้ได้โดยสมบูรณ์ จากนั้นก็พยายามข้ามผ่านทัณฑ์สายลมให้สำเร็จ

 

กู่ฉิงซานกำลังจะเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้าของขอบเขตประทับเทพ และเขาจะต้องทำลายมันให้ได้โดยสมบูรณ์ จึงจะข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จ!

 

และหากเป็นไปได้ เขาคงต้องเร่งมือทำเวลาให้ดีที่สุด

 

เพราะฉานนู่คงถ่วงเวลาได้ไม่นานนัก

 

เมื่อไหร่ที่เย่หยิงเหมยกลับมา สามปรมาจารย์ตำหนักก็จะเริ่มวางแผนกันอย่างเป็นทางการ และจะเริ่มทำการกำหนดกลยุทธ์ที่จะใช้กำจัดหวังหงษ์เต๋า

 

หากในเวลานั้น กู่ฉิงซานยังไม่กลับมา นั่นหมายความว่าฉานนู่ต้องดำเนินการแทนที่เขาด้วยตัวเธอเอง

 

เธอมีความสามารถและประสบการณ์ของกู่ฉิงซาน และแน่นอนว่ารวมไปถึงทักษะการแสดงด้วยก็จริง แต่เธอไม่สามารถบรรลุทุกการกระทำเฉกเช่นเดียวกันกับกู่ฉิงซานได้

 

สองปรมาจารย์ตำหนักเป็นตัวตนเช่นใดกัน? หากฉีหยานแสดงท่าทีผิดปกติเล็กน้อยออกมา ทุกอย่างก็ย่อมจะถูกเปิดโปงทันที

 

ในขณะนั้นเอง บนเวทีสูง

 

ฉานนู่จึงได้ตัดสินใจเข้าสู่ภวังค์สมาธิอย่างรวดเร็ว

 

เซ่าหวูชุ่ยเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตนเองจริงๆ

 

เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แม้จะหนักใจ แต่ก็ไม่คิดมุ่งความสนใจไปยังอีกฝ่ายอีกต่อไป

 

เดิมทีตนตั้งใจจะวางแผนที่จะยกหัวข้อเรื่องลูกศิษย์ขึ้นมาพูดก่อนเป็นเรื่องแรก แล้วค่อยๆโยงไปเรื่องของโลกใหม่ และจบที่เรื่องของสตรีแห่งรากษส แต่ใครจะรู้ ฉีหยานกลับตอบโต้ด้วยการกระทำเช่นนี้ออกมา

 

นี่มันช่างน่ารำคาญจริงๆ แต่หากอีกฝ่ายอยู่ในสถานะเช่นนี้ ตนก็ไม่สมควรที่จะรบกวนเขา

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ จักต้องเป็นฉีหยานที่จะรับมืออย่างเต็มรูปแบบกับหวังหงษ์เต๋า

 

เซ่าหวูชุ่ยหุบปากลง และทิ้งตัวลงบนเก้าอี้

 

เขาจ้องมองการรักษาตัวของฉีหยาน  และขบคิดทุกเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป แต่ผ่านไปสักพักหนึ่ง ความรู้สึกกังวลในจิตใจของตนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง .. เขาไม่อาจทำใจให้สงบได้เลย!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.444 – ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ

 

“เจ้าน่ะหรือจะจัดการกับเขา?”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน

 

“ฉีหยาน แม้ว่าหวังหงษ์เต๋าจะได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่เจ้าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี” เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

 

“ข้ารู้ แต่ตอนนี้ พวกเรามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เจ้าต้องการที่จะวางกับดักเขา … เจ้ามิทราบหรือ ว่าตัวหวังหงษ์เต๋าเองก็เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากเช่นกัน เขานับว่าเป็นมือฉมังในสายนี้เลยด้วยซ้ำ … ดูอย่างข้าและสหายเซ่าซี่” เย่หยิงเหมยกล่าว

 

“มันยังมีหนทางอื่นอยู่อีกหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “สถานการณ์ปัจจุบันนี้หากมิใช่เขาตาย ก็คงเป็นข้าที่พินาศ ข้าคงทำอะไรอื่นไม่ได้นอกจากทุ่มสุดตัว”

 

“แบบนั้นไม่ดีแน่ เจ้าลองทบทวนดูดีๆอีกครั้งเถอะ” เซ่าหวูชุ่ยส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า

 

“ข้าขอหารือกับสหายเซ่าก่อน ฉีหยาน เจ้ารอสักครู่” เย่หยิงเหมยกล่าว

 

ว่าแล้วเธอก็หันมาสบตากับเซ่าหวูชุ่ย จ้องมองกันและกัน สนทนาแลกเปลี่ยนโดยใช้จิตสัมผัสเทวะ

 

—เขาและเธอริเริ่มที่จะช่วยกันเค้นความคิด ค้นหาหนทางที่จะจัดการกับอาจารย์ของตนเอง

 

กู่ฉิงซานเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เขาก็หุบปากลง

 

เขายกเอาถ้วยชาขึ้นมา และจิบมันอย่างช้าๆ

 

สถานการณ์ในปัจจุบันก็คือ ผู้นำฉีรั่วหยาและผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋ายังไม่ได้กลับมา

 

ภายในนิกายกวงหยางจึงเหลืออยู่แค่สองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า นั่นคือปรมาจารย์ตำหนักเซ่าและปรมาจารย์ตำหนักเย่ แต่บัดนี้ทั้งสองก็ได้เบนเข็มมาอยู่ฝ่ายฉีหยานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

อันที่จริงตั้งแต่แรกเริ่ม สำหรับกู่ฉิงซานแล้ว ก็เป็นปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองคนนี้นี่แหละที่เขารู้สึกว่ากำลังคุกคามชีวิตตนเองมากที่สุด

 

—แถมทั้งสองยังเป็นศิษย์ของหวังหงษ์เต๋าอีก

 

พอได้ย้อนคิดถึงเรื่องราวอันสลับซับซ้อน พลิกผันไปมานี่แล้ว … เขากลับรู้สึกว่ามันช่างน่าขันเสียจริง

 

อาวุโสสูงสุดไปสังหารผู้นำ

 

ขณะที่ลูกศิษย์ทรยศอาจารย์

 

ในหัวใจของผู้คนในโลกใบนี้ ช่างชั่วร้ายราวกับปีศาจโดยแท้

 

พวกเขาไม่ได้มีเจตนาดีต่อผู้อื่นเลยสักนิด

 

หากหวังหงษ์เต๋าได้รับศิษย์ฝึกหัดที่ดีมา แล้วมอบความรักให้กับพวกเขาอย่างแท้จริง ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญเยี่ยงนี้ ต่อให้ถูกอีกฝ่ายยั่วยวนด้วยโลกใบใหม่ บางทีสองปรมาจารย์ตำหนักก็อาจจะยังคงเลือกยืนอยู่ข้างหวังหงษ์เต๋าก็ได้

 

อย่างไรก็ตาม หวังหงษ์เต๋ามีนิสัยขี้ระแวงเป็นธรรมชาติ เขาบังเกิดความคิดชั่วร้าย และต้องการที่จะควบคุมสาวกของตนให้อยู่ใต้อาญัติโดยสมบูรณ์

 

ดังนั้นบนตัวของศิษย์ทั้งสอง หวังหงษ์เต๋าจึงได้ใช้วิธีการที่โหดร้ายที่สุด

 

วิธีการดังกล่าวนี้ แน่นอนว่าย่อมสามารถทำให้สองศิษย์ไม่กล้าคิดจะลุกฮือขึ้นต่อต้านได้

 

แต่ก็นั่นล่ะนะ เมื่อเรื่องราวได้มาถึงช่วงเวลาสำคัญ ทุกอย่างก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา

 

แถมตอนนี้หวังหงษ์เต๋าก็ยังไม่ได้อยู่ในนิกายอีก

 

สองศิษย์หัวแก้วหัวแหวนจึงบังเกิดความไม่ซื่อสัตย์ขึ้น โดยคำยุยงปลุกปั่นของกู่ฉิงซาน ที่ได้บอกข้อมูลเกี่ยวกับโลกใหม่ และพวกเขาก็ได้เลือกที่จะทรยศหวังหงษ์เต๋าในจุดนี้ทันที

 

เวลานี้ ในจิตใจของพวกเขามีเพียงแค่ความกระหายที่ต้องการจะกำจัดอาจารย์ตนเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานยังคงยกชาดื่มต่อไป และเริ่มทบทวนถึงสถานการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง

 

กล่าวได้ว่าอย่างน้อย เฉพาะในช่วงเวลานี้ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมามัวพะวงเกี่ยวกับชีวิตและความตายของตนเองอีกแล้ว

 

หมากตัวต่อไป ก็คือการสมคบคิดว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะสามารถสังหารหวังหงษ์เต๋าได้

 

ขอบเขตลมปราณจิต …

 

เพียงแค่นึกถึงมัน ในสมองของเขาก็แทบไม่อาจหาหนทางออกได้เลย

 

กู่ฉิงซานยังคงยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ

 

ขณะที่หน้ากากสตรีแห่งรากษส ยังคงวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา

 

สถานการณ์ในช่วงเวลานี้นับว่าตึงเครียดมาก ในทุกๆคำกล่าวล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ดังนั้นในช่วงก่อนหน้านี้ เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจใดๆกับหน้ากากใบนี้มากนัก

 

อย่างไรก็ตาม แม้นี่คือช่วงเวลาว่างเล็กๆน้อยๆที่กู่ฉิงซานพอจะมีเวลาได้ผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วในหัวใจของเขากลับบังเกิดความรู้สึกกังวลใจขึ้นมาอย่างน่าฉงน

 

ในปัจจุบัน ลั่วชาเฟิงคือนิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังมิได้หลบลี้หนีไป

 

แล้วสตรีแห่งรากษส คนที่เป็นถึงผู้นำนิกาย กลับดันมามอบหน้ากากใบนี้ให้กับตนเอง

 

ความหมายของการกระทำของเธอคืออะไรกันแน่?

 

หากในหัวใจของสตรีแห่งรากษสมีฉีหยานอยู่จริงๆ เรื่องนี้มันคงทำให้ผู้คนพากันหัวเราะจนฟันร่วงเป็นแน่

 

บอกตรงๆเลยว่า กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน

 

ดังนั้น หน้ากากชิ้นนี้ จะต้องมีความนัยบางอย่างแฝงเอาไว้อย่างแน่นอน

 

และช่วงเวลานี้ อสูรวิญญาณของสตรีแห่งรากษส – จิ้งจอกขาวก็มิได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นคงถึงเวลาแล้วที่ตนจะต้องทำการศึกษาหน้ากากนี้อย่างจริงจัง

 

ขณะขบคิด กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะหยิบหน้ากากสตรีแห่งรากษสขึ้นมา

 

และแทบจะทันที ในวิสัยทัศน์ของเขา หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้กระพริบไหวทันใด

 

กู่ฉิงซานตกใจในทีแรก และอดไม่ได้ที่จะวางหน้ากากลง

 

แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ยกหน้ากากที่ว่าขึ้นมาอีกครั้ง ยื่นมันขึ้นมาตรงหน้า ประสานตาต่อตาและเริ่มแสดงออกถึงความสุขยามเมื่อได้มองมัน

 

ตลอดทั้งกระบวนการก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ ตัวหน้ากากไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งการสั่นไหวเพียงเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานจ้องมองหน้ากากอย่างพิถึพิถัน ทำท่าทีราวกับว่ากำลังชื่นชมความงดงามของสตรีแห่งรากษสอยู่

 

ทว่าแท้จริงแล้ว สายตาเขากลับมุ่งความสนใจไปกับหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

แท้จริงแล้วกลับเห็นแค่เพียงในส่วนล่างของหน้าต่างระบบเทพสงคราม ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ที่สาดแสงสีเลือดออกมา

 

บรรทัดแสงตัวอักษรสีเลือดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงใจกลางของหน้าต่างระบบ

 

“คุณได้ค้นพบหน้ากากของสตรีแห่งรากษส”

 

“คุณได้รับใบหน้าของสตรีแห่งรากษส”

 

“ใบหน้าของสตรีแห่งรากษสเป็น ‘วิชาลี้ลับ’และ ‘สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่ง’ , เริ่มทำการแสดงรายละเอียดของวิชาจำเพาะ มีดังต่อไปนี้ :”

 

“วิชา : ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ”

 

“ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ : คุณจะสามารถเรียนรู้ที่จะแยกแยะถึงองค์ประกอบขั้นพื้นฐานที่สุดของทุกสิ่งอย่างได้ และจะได้รับความสามารถในการเปลี่ยนตนเองให้เป็นสสารชนิดนั้นๆ”

 

“คำอธิบาย : คุณจะต้องได้รับส่วนประกอบของวัตถุดังกล่าวมาเสียก่อน จากนั้นจึงทำการแยกแยกแยะถึงคุณสมบัติขององค์ประกอบและกฏเกณฑ์ เพื่อที่จะปลอมตัวอำพรางเป็นวัตถุดังกล่าว”

 

“หมายเหตุ : คำว่าทุกสิ่งอย่างในที่นี้ หมายความว่าสิ่งนั้นจะต้องเป็นวัตถุที่ไม่มีจิตวิญญาณ”

 

“คำเตือน : นี่มิใช่สิ่งประดิษฐ์ที่แท้จริง ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถที่จะได้รับวิชาลี้ลับจากมันได้”

 

บังเกิดความเงียบงันขึ้นบนแท่นเวที กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่ามีเสียงสายฟ้าฟาดลงเข้ากลางเบ้าหูของตัวเอง

 

กู่ฉิงซานพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบบนใบหน้าเอาไว้

 

เขาค่อยๆวางหน้ากากลง ยกถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง และซดน้ำชาที่เหลือเพียงน้อยนิดในแก้วหมดลงในอึกเดียว

 

-การเคลื่อนไหวของเขามิได้แตกต่างจากเดิมเลย แต่มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเท่านั้นที่ผุดขึ้นมา

 

การแสดงออกของเขาราวกับว่าพึ่งเสร็จสิ้นจากการเพลิดเพลินไปกับการรับชมถึงความงดงามอันหาที่ใดเปรียบ

 

หน้ากากของสตรีแห่งรากษสได้เปิดเผยให้เห็นถึงความงดงามของเธอโดยสมบูรณ์

 

“พวกเจ้าได้ความว่าอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยปากถามปรมาจารย์ตำหนักทั้งสอง

 

“รอก่อน” เย่หยิงเหมยกล่าว

 

เธอยังคงอยู่ในระหว่างการแลกเปลี่ยนจิตสัมผัสเทวะกับเซ่าหวูชุ่ย

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อได้ออกไปแล้ว ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงต้องเป็นผู้ไปหยิบกาน้ำชามาด้วยตนเอง และรินมันลงบนถ้วย

 

เขายกถ้วยชาที่กำลังร้อนๆและปริ่มไปด้วยชาวิญญาณชั้นดีขึ้นมา

 

หมอกละอองน้ำพวยพุ่งขึ้นจากถ้วย และมันช่วยปกคลุมบดบังใบหน้าของเขาเล็กน้อย

 

เมื่อมาถึงเวลานี้ สีหน้าที่ใช้เล่นละครอยู่ตลอดเวลาของกู่ฉิงซานจึงได้คลายลง

 

ในความเป็นจริงแล้ว บนโลกล่องเวหาใบนี้ จู่ๆเขากลับได้ค้นพบกับวิชาลี้ลับอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน!

 

นี่มันเป็นสิ่งที่ตัวเขามิเคยได้คาดคิดมาก่อนเลย!!

 

ร่างใหญ่อายุ 100000 ปี ได้สอน ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตให้แก่เขา

 

และความลี้ลับของทุก ‘สรรพชีวิต’ นี้ มันจะช่วยให้ตนสามารถแปรสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นใดก็ได้ที่ ‘มีจิตวิญญาณ’

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้เข้ามายังโลกใบใหม่นี้ จู่ๆตนก็ได้พบเจอกับ ความลี้ลับของทุก ‘สรรพวัตถุ’ อย่างกระทันหัน และการแสดงผลก็มันก็คือ จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปรสภาพเป็นวัตถุอื่นใดก็ได้ที่ ‘ไม่มีจิตวิญญาณ’

 

และวิชายุทธเทพสงครามก็ได้ย้ำเตือนให้เขาระวังเกี่ยวกับเจ้าสิ่งนี้

 

“คำเตือน : นี่มิใช่สิ่งประดิษฐ์ที่แท้จริง ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถที่จะได้รับความลี้ลับจากมันได้”

 

กล่าวได้ว่า ในอีกความหมายนึงก็คือ–

 

หน้ากากหยกวิญญาณที่บางเบาราวกับปีกจั๊กจั่นใบนี้ —แท้จริงแล้วก็คือสตรีแห่งรากษสที่ปลอมตัวมา!

 

เธอได้ใช้ความลี้ลับของทุกสรรพวัตถุ แปรสภาพตนเองให้กลายเป็นหน้ากากหยกวิญญาณ และถูกส่งมอบให้เก็บไว้ข้างกายของฉีหยาน!!

 

เธอต้องการที่จะล่วงรู้ถึงเรื่องลับภายในที่เกิดขึ้นกับนิกายกวงหยาง

 

และเธอก็ได้ประสบความสำเร็จแล้ว!

 

เธอไม่เพียงได้ยินถึงเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างผู้อาวุโสสูงสุดผู้นำนิกาย แต่ยังรู้ถึงการร่วมมือกันของสามปรมาจารย์ตำหนัก และการดำรงอยู่ของสองโลกใหม่ — ทั้งหมดได้ผ่านหูเธอไปจนหมดสิ้น

 

สตรีแห่งรากษสได้ยินทุกอย่างเลย!

 

กู่ฉิงซานพยายามยับยั้งอารมณ์ที่กำลังกระชากไปมาอย่างต่อเนื่อง บนใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความรุนแรงเล็กน้อย

 

“ขอขัดจังหว่ะหน่อยนะ”

 

เขาหันไปกล่าวกับทางสองปรมาจารย์ตำหนัก

 

“ก่อนที่พวกเราจะหารือกันต่อ ข้ามีบางสิ่งที่ต้องการจะรบกวนปรมาจารย์ตำหนักเซ่า” เขาเอ่ยต่อ

 

“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม

 

“ข้าอยากจะให้ศิษย์ข้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขึ้นเป็นประทับเทพในทันที สหายเซ่า เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบค่ายกลทั้งหมดในนิกายนี่นา ข้าจึงต้องการให้เจ้าช่วยอำนวยความสะดวกให้สักเล็กน้อย”

 

สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยผ่อนคลายลงทันใด ปากเอ่ยกล่าว “เรื่องนี้ไม่นับว่ายากเย็นอะไร”

 

ว่าแล้วเขาก็โยนตราในมือออกไป

 

ตราที่ว่าลอยไปและมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของ ‘กู่ฉิงซาน’

 

“ขอบเขตประทับเทพอย่างงั้นสินะ ขอให้ข้าได้ขบคิดเกี่ยวกับมันสักครู่ – อืมมม เจ้าคงต้องไปใช้ค่ายกลรูนทมิฬ และค่ายกลที่ว่ามันจะสามารถถูกเปิดใช้งานได้ด้วยตรานั่น เมื่อเปิดใช้งานแล้ว ตัวเจ้าก็จะถูกส่งไปยังกระแสมิติอันเชี่ยวกราด แล้วถึงเวลานั้น ศิษย์เจ้าก็สามารถทำการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ตามสบาย”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม “ข้าทราบถึงเรื่องนี้ดี แต่ศิษย์ข้าน่ะมักจะเป็นตัวชอบสร้างปัญหา เพราะอย่างไรก็ดี เขาน่ะเป็นผู้ฝึกดาบ บางครั้งจึงชอบทำอะไรเสี่ยงๆไม่ยั้งคิดไปบ้าง ข้าละอดเป็นห่วงเขาไม่ได้จริงๆ”

 

“แบบนั้นไม่ดีแน่ มันมิใช่เรื่องน่าตลกเลย” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวด้วยความเคร่งขรึม

 

เมื่อคิดถึง ‘กู่ฉิงซาน’ ที่เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นเลิศแห่งวิถีดาบ ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความเอ็นดูในพรสวรรค์ของอีกฝ่ายขึ้นมา

 

ฉีหยานยังมิได้รับเขาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ และหากมันมิได้อธิบายสิ่งต่างๆให้กับ ‘กู่ฉิงซาน’ เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วล่ะก็ บางทีในระหว่างการก้าวข้ามโทษทัณฑ์ มันอาจจะเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็ได้

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เซ่าหวุชุ่ยก็กล่าวออกมาว่า “ฉีหยาน เจ้ายังมิได้ยอมรับเขาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการเลย  และตัวเจ้าเองก็คงจะไม่มีเวลามาสอนศิษย์หรอก มันจะดีกว่าไหม หากมอบกู่ฉิงซานให้ข้า แล้วข้าจะสอนสั่งเทคนิคดาบของนิกายให้แก่เขาเอง”

 

“เจ้าไปจัดการมารที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหวังหงษ์เต๋าให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยมาวุ่นวายเรื่องของคนอื่น” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

เซ่าหวูชุ่ยพูดไม่ออกทันที

 

เมื่อเห็นแบบนั้นเย่หยิงเหมยก็เริ่มที่จะไกล่เกลี่ยว่า “มิติที่ว่างเปล่ามันช่างกว้างใหญ่นัก ชนิดที่ว่าไม่สามารถสำรวจขอบเขตของมันได้โดยสมบูรณ์ ขณะที่หากเปิดใช้ค่ายกล มันก็จะทำงานโดยการดึงดูดเขาเข้าไปในพื้นที่แบบสุ่ม หากให้ไปโดยลำพัง ก็คงยากที่จะกลับมาได้ด้วยตนเอง”

 

“ดังนั้น ถ้าหากจะให้ทุกอย่างราบรื่น ให้ตราแก่เขาเพียงอย่างเดียวมันยังไม่พอ แต่เจ้าจะต้องเข้าไปกับเขาด้วย” เธอกระตุ้นเตือน

 

“แน่นอน เรื่องนั้นข้ารู้หรอกน่า” กู่ฉิงซานรับเอาตรามา

 

เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีและเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเจ้ามีเวลาพูดกับข้าแล้วเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าเจ้าค้นพบวิธีแก้ปัญหาแล้วใช่หรือไม่?

 

เย่หยิงเหมยกล่าว “แท้จริงแล้วเราก็พอจะคิดถึงวิธีที่พอจะสามารถจัดการกับหวังหงษ์เต๋าได้อยู่บ้าง”

 

“มันคือวิธีใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เขามองไปที่เย่หยิงเหมย ทว่าในหางตาของเขาก็ยังคงให้ความสนใจอยู่กับหน้ากากหยกวิญญาณของสตรีแห่งรากษสอยู่

 

หน้ากากที่ถูกวางไว้อยู่บนโต๊ะอย่างเงียบๆ แม้จะมันนิ่งงันไม่ไหวติง …

 

แต่สตรีแห่งรากษสอยู่ที่นี่เสมอมา …

 

และเธอกำลังตั้งใจฟังอย่างจริงจัง เกี่ยวกับแผนการสมคบคิดของสามปรมาจารย์ตำหนักแห่งนิกายกวงหยาง!!!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.443 – ความจริงที่ซ่อนอยู่

 

กู่ฉิงซานเอ่ยย้ำอีกครั้งว่าต้องการสังหารหวังหงษ์เต๋า ทว่าคราวนี้เซ่าหวูชุ่ยมิได้คำรามสวนกลับมาด้วยความโกรธอีกต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันเซ่าหวูชุ่ยก็มิได้ให้คำตอบใดๆกลับมาเช่นกัน อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าบนใบหน้าของเขามิได้ตอบสนองๆใดเลยต่างหาก ทั้งความตื่นเต้นและความโกรธที่ผสมปนเปกันเมื่อครู่มันได้จางหายไปจนหมดสิ้น สีหน้านิ่งค้างกลายเป็นว่างเปล่า

 

เขามองไปยังกู่ฉิงซานด้วยแววตาล้ำลึก

 

– คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ราวกับเป็นคนอื่นที่มิใช่ฉีหยานเลย

 

“หยิงเหมย เจ้าคิดว่าพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเสียงต่ำ

 

เย่หยิงเหมยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

“ในเมื่อเรื่องราวมันได้มาถึงจุดนี้แล้ว ทั้งเจ้าและข้าคงไม่อาจปล่อยให้เขาตายได้อีกต่อไป” เธอกล่าว

 

“เช่นนั้นแล้วเราจะสามารถพิจารณาให้ฉีหยานล่วงรู้เรื่องนั้นด้วยจะได้หรือไม่?” เซ่าหวูชุ่ยถาม

 

“แน่นอนว่าย่อมได้ เพราะท้ายที่สุดนี้ โลกใบใหม่นั้นอยู่ในกำมือของเขา”

 

“งั้นเชิญเจ้าบอกมันแก่เขาก่อนก็แล้วกัน”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

หลังจากเสร็จสิ้นการสนทนาเล็กน้อยๆ ทั้งสองก็หันมาทางกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

 

กู่ฉิงวานขมวดคิ้วแน่น เขาไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังกล่าวถึงเรื่องอะไร

 

เย่หยิงเหมย เอ่ยปากออกมาด้วยความลังเล “ฉีหยาน … ”

 

เธอถกปกคอเสื้อที่ร้อยเรียงไปด้วยขนนกสีจันทร์กว้างออกอย่างช้าๆ เปิดเผยให้เห็นถึงไหล่ละมุนออกมา

 

มันเป็นผิวที่เนียนละเอียด แม้จะขาวนวลแต่กลับระคนม่วง?

 

แต่นั่นไม่ใช่จุดสำคัญที่ต้องเพ่งมอง

 

เพราะบริเวณชั้นผิวของเย่หยิงเหมย มันได้ถูกปกคลุมได้ด้วยอักษรรูนสีดำ

 

รูนเหล่านั้นกำลังบิดเบือน และกระโดดไปมาราวกับว่าพวกมันมีชีวิต ขณะเดียวกันก็ดูน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง

 

อักษรรูนควบรวมกันก่อร่างเป็นกระบวนโซ่ตรวนบนผิวกายของเย่หยิงเหมย ขณะเดียวกันมันก็แผ่พลังอำนาจออกมาอยู่ตลอดเวลา

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“นี่มันผนึกต้องห้าม … แบบนี้มันไม่ถูกต้อง เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ผู้ใดกันที่จะสามารถลงผนึกต้องห้ามกับเจ้าได้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เย่หยิงเหมยกล่าว “ก็แล้วเจ้าคิดว่ายังมีใครอีกเล่าที่สามารถทำมันได้?”

 

กู่ฉิงซานนิ่งคิดไปไม่กี่ลมหายใจ

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

เขาถอนหายใจยาวออกมา

 

การแสดงออกอันอ่อนโยนของเย่หยิงเหมยได้หายไป

 

เธอนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน สงบเงียบจนน่าหวาดกลัว

 

“เนิ่นนานมาแล้ว ช่วงเวลาที่ข้ายังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแก่นทองคำ ท่านอาจารย์ได้ลงผนึกต้องห้ามบนตัวข้า นับตั้งแต่นั้นมา ข้าก็มิอาจต่อต้านเขาได้อีกเลย ด้วยผนึกนี้ เขาสามารถบงการข้าได้ดั่งใจนึก กล่าวได้ว่า หากข้าต้องการจะตาย เขาก็สามารถบังคับให้ข้าทนมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเจ็บปวดได้ ในทางตรงกันข้าม หากเขาต้องการให้ข้าตาย ข้าก็มิอาจปฏิเสธได้เลย

 

“ในวันเดือนปีที่ผ่านพ้น ในแต่ละช่วงเวลาที่ข้าทะลวงฝ่าขอบเขตพื้นฐานวรยุทธ หวังหงษ์เต๋าก็จะคอยเสริมอานุภาพของผนึกต้องห้ามนี้บนร่างกายข้าเสมอมา”

 

“ฉะนั้น นับตั้งแต่ครั้งอยู่ในช่วงแก่นทองคำ ตัวข้าก็สูญสิ้นซึ่งอิสระภาพไปแล้วตลอดกาล และจะต้องเชื่อฟังทุกสิ่งอย่างที่เขาพูดและบัญชา”

 

เย่หยิงเหมยเอ่ยปากกล่าว และค่อยขยับชายปกเสื้อกลับคืนอย่างช้าๆ

 

เธอเอ่ยเสียงกระซิบ “ข้าไม่มีหนทางที่จะสามารถโจมตีหวังหงษ์เต๋าได้เลย”

 

กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ และทันใดนั้นในหัวใจของเขาก็เริ่มเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นเล็กน้อย

 

หลังจากต่อสู้มาร่วมสองชีวิต กู่ฉิงซานกล้าบอกได้เลยว่าเขาได้พบเห็นศัตรูมาแล้วมากมายหลายประเภท

 

แต่ศัตรูที่น่ารังเกียจดั่งเช่นหวังหงษ์เต๋าผู้นี้ นับว่าเป็นตัวตนที่พบเจอได้ยากยิ่ง

 

“เช่นนั้นก็ลืมมันเถอะ ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าไม่ต้องลงมือหรอก”

 

กู่ฉิงซานมองไปทางเซ่าหวูชุ่ยและกล่าว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็เหลือแค่เราสองแล้-”

 

เซ่าหวูชุ่ยส่ายหัวและกล่าว “ตามร่างกายของข้ามีแมลงมารอยู่กว่า 81 ตัว หากแม้นข้าบังเกิดความนึกคิดชั่วร้ายเกี่ยวกับเขาแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถสั่งให้ข้าตายได้ทันที”

 

สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยกลายเป็นกลัดกลุ้มมากขึ้น “ข้าได้กลายเป็นผีดิบในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า กลายเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของเขาแล้วตลอดกาล”

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ของทั้งสอง

 

ในขณะนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมสองขีดสุดความว่างเปล่าทั้งคู่นี้ถึงยินดีที่จะเปิดเผยความลับแก่ตนเอง

 

เพราะตราบใดที่สามารถหนีไปยังโลกใหม่ได้ ต่อให้หวังหงษ์เต๋าคิดจะควบคุมทั้งสอง เขาก็ไม่สามารถที่จะทำมันได้อีกต่อไป

 

เพราะโลกใหม่มิใช่โลกเดิม มันย่อมมีกฏกณฑ์และกำแพงอุปสรรคที่แตกต่างจากกันและกัน

 

เมื่อไหร่ที่ทั้งสองได้ไปอยู่ในโลกใหม่ หวังหงษ์เต๋าก็จะไม่สามารถกระตุ้นผนึกต้องห้ามของเย่หยิงเหมย หรือไม่สามารถสั่งการแมลงมารที่อยู่ในกายของเซ่าหวูชุ่ยได้อีกต่อไป

 

กระบวนการนี้เปรียบดั่งตะเกียงไฟที่คอยสาดแสงนำทางให้แก่ผู้ฝึกยุทธ

 

เมื่อผู้ฝึกยุทธออกจากโลกใบนี้ มันก็จะดับลงทันที คล้ายคลึงกันกับในกรณีที่ผู้ฝึกยุทธได้เสียชีวิตลงไปแล้วนั่นเอง

 

หากข้ามผ่านระหว่างสองโลก ตะเกียงไฟที่ว่านั่นจะไม่สามารถตรวจจับถึงตัวตนของผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในโลกอื่นได้

 

ดังนั้น การย้ายไปยังโลกใบใหม่ คือโอกาสเดียวเท่านั้นที่เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้!

 

มันเป็นโอกาสเดียวที่พวกเขาจะหลุดจากการควบคุมของหวังหงษ์เต๋า

 

หากมิใช่เพราะว่าพวกเขาคือตัวตนในระดับขีดสุดความว่างเปล่าแล้วล่ะก็ ทั้งสองคงจะแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้าไปแล้ว

 

แต่พวกเขาไม่สามารถลงมือได้นี่สิ

 

ในเมื่อผลลัพธ์มันพลิกผันออกมาเป็นแบบนี้ แล้วกู่ฉิงซานสมควรจะใช้วิธีการใดในการรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ดี?

 

กู่ฉิงซานหยิบชาวิญญาณขึ้นมาแล้วค่อยๆจิบมันเบาๆ

 

แล้วก็นึกขึ้นได้ถึงหน้ากากสตรีแห่งรากษส

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองไปที่หน้ากาก

 

หน้ากากนี้ทำจากหยกวิญญาณที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพดีที่สุด

 

ภายใต้การสำรวจอย่างรอบคอบด้วยจิตสัมผัสเทวะ คุณจะสามารถเห็นได้ถึงทุกรายละเอียดและหยกวิญญาณภายในหน้ากาก

 

มันเป็นแค่หน้ากากจริงๆ

 

ในตอนที่จิ้งจอกขาวมอบหน้ากากให้แก่ตนเอง เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยก็ปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าใส่มันไปแล้ว

 

และตนเองก็ยังได้ทำการตรวจสอบมันอย่างรอบคอบด้วยจิตสัมผัสเทวะแล้วเช่นกัน

 

มันก็เป็นแค่หน้ากาก และไม่มีความผิดปกติใดๆ

 

แต่การที่สตรีแห่งรากษสมอบหน้ากากนี้ให้ตนเอง แท้จริงแล้วมันจะมีความนัยอะไรแฝงเอาไว้กันแน่นะ?

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่หน้ากาก

 

บนหน้ากาก สตรีแห่งรากษสกำลังจ้องมองสวนกลับมาเข้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แววตาและการแสดงออกของเธอดูมีชีวิตชีวาและเหมือนจริงมาก

 

ลืมมันเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

กู่ฉิงซานล้มเลิกความคิดนั้นไป และเริ่มที่จะมาพิจารณาถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของเขา

 

แม้ว่าทุกสิ่งที่วางไว้มันจะยังไม่สมบูรณ์ แต่มันก็ช่วยให้กู่ฉิงซานผ่อนคลายมากขึ้น

 

เพราะอย่างน้อยสำหรับตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ได้สะสางภารกิจที่มันคั่งค้างมานานได้เสียที

 

กู่ฉิงซานถอนสายตาจากหน้ากาก แล้วมองไปยังช่วงบนของหน้าต่างระบบเทพสงคราม เพื่ออ่านเส้นแสงหิ่งห้อยมากมายที่ปรากฏขึ้น

 

“คุณได้สังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพขั้นแรก หวูซาน”

 

“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ 400 แต้ม”

 

“แต้มพลังวิญญาณในปัจจุบัน : 1603/300”

 

“ภารกิจพิเศษ : หวูซานจะต้องตาย”

 

“คำอธิบายภารกิจ :  โปรดทราบว่าในโลกใบใหม่ที่คุณไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิงนี้ ยังมีอีกหนึ่งผู้ฝึกยุทธที่ยังคงรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธและโลกเทวะ”

 

“รางวัลภารกิจ : ผู้เล่นสามารถระบุภารกิจอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย ให้เสร็จสมบูรณ์ได้เลยในทันที”

 

“คำอธิบาย : ตอนนี้คุณสามารถรับรางวัลจากภารกิจนี้ได้แล้ว”

 

สายตาของกู่ฉิงซานตกลงไปช่วงล่างของหน้าต่างระบบเทพสงคราม ใจกลางความมืดมิด

 

‘ระบบ , ถ้าอย่างนั้นฉันสามารถใช้มันเพื่อให้บรรลุภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพเลยได้ไหม?’

 

เขาเอ่ยถามในจิตใจอย่างเงียบๆ

 

ติ๊ง!

 

ระบบตอบสนองเสียงดังฟังชัด

 

“คุณจะต้องบรรลุไปถึงขอบเขตประทับเทพเสียก่อนจึงจะสามารถสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพได้ นี่คือกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติของการฝึกยุทธ มันคือเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีของภารกิจ”

 

พอได้ยิน กู่ฉิงซานก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย

 

อย่างไรก็ตาม นี่มันก็ยังเป็นสามัญสำนึกที่พอจะยอมรับได้ หากตนเองไม่ได้อยู่ในขอบเขตประทับเทพ แล้วจะไปใช้พลังของขอบเขตประทับเทพได้อย่างไร? ยังมิอาจเข้าใจถึงกฏของฟ้าดินได้แท้ๆ แล้วจะไปสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง?

 

ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเร่งข้ามผ่านโทษทัณฑ์ให้มันเร็วขึ้นกว่าที่คิดซะแล้ว

 

กู่ฉิงซานลอบไตร่ตรองอย่างลับๆ

 

“ฉีหยาน แล้วตอนนี้เจ้าคิดจะทำยังไงต่อไป?”

 

เซ่าหวูชุ่ยเห็นเขาจมลงไปในความคิดอยู่พักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังมิได้เอ่ยคำใด จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างลังเลว่า “ในเมื่อพวกเจ้าไม่สามารถลงมือได้ เช่นนั้นพวกเราก็คงจะต้องมาช่วยกันพยายามค้นหาวิธีแก้ไขสถานการณ์กัน อาจจะเป็นการวางกับดักที่สามารถสังหารหวังหงษ์เต๋า -อะไรแบบนี้ก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

ทั้งสามยอมรับความคิดของกันและกัน แต่ก็มิได้กล่าวอะไรออกมา

 

นี่เป็นปัญหาที่สำคัญยิ่ง

 

—หวังหงษ์เต๋าย่อมไม่นิ่งดูดายปล่อยให้ฉีรั่วหยาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จเป็นแน่

 

ดังนั้นตอนนี้เขาสมควรที่จะมุ่งหน้าไปยังมิติที่ว่างเปล่า เพื่อขัดขวางการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของฉีรั่วหยา

 

สองประมาจารย์ตำหนักมองกู่ฉิงซานที่แสดงออกถึงใบหน้าที่สงบ แล้วอดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อย

 

“ฉีหยาน เหตุใดเจ้าจึงไม่เร่งไปแจ้งให้บิดาของเจ้ารู้เรื่องเล่า?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถาม

 

“หรือว่าเจ้าและบิดาจะรู้อยู่แล้วว่าหวังหงษ์เต๋ากำลังจะไป?” เซ่าหวูชุ่ยก็ถามออกมาเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานกลับยิ้มออกมา

 

“เรื่องนั้นปล่อยให้พวกเขาเป็นคนจัดการกันเองเถอะ” เขากล่าวอย่างแผ่วเบา

 

“เจ้าหมายความว่ายังไง?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม

 

“สองวันก่อน บิดาของข้าได้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์”

 

“แต่กระบวนการทั้งหมดของทัณฑ์สายฟ้าในขอบเขตลมปราณจิตจะกินเวลาแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน ดังนั้นยามนี้ มันจึงสมควรแก่เวลาที่เขาจะต้องกลับมาแล้ว”

 

“แต่วันนี้ ข้าได้กลับมาที่โลกของเรา ทว่ากลับมิได้ยินข่าวคราวอันใดเลย หวังหงษ์เต๋าเองก็ยังไม่ได้กลับมาเช่นกัน นี่พอจะบ่งบอกได้ถึงเรื่องราวบางอย่างได้”

 

“นั่นคือ หนึ่งผู้ได้รับบาดเจ็บในขั้นลมปราณจิต กับอีกหนึ่งคือผู้ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์ไปยังลมปราณจิต หากทั้งสองต่อสู้กันทั้งวันคืนจริงๆ ยามนี้ผลลัพธ์ก็น่าจะออกมาแล้ว กล่าวได้ว่าต่อให้ข้าเลือกที่จะลงมือในตอนนี้มันก็สายเกินไปอยู่ดี”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักผงกหัวเล็กน้อย

 

สิ่งต่างๆล้วนเป็นจริงเหมือนกับที่ฉีหยานกล่าวมา

 

ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้โจมตีหรือว่าผู้ถูกลอบโจมตี พวกเขาก็ย่อมต้องระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มกำลัง และผลแพ้ชนะก็สมควรที่จะถูกตัดสินออกมาได้อย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ตั้งแต่ที่เขาไม่ได้กลับมา แถมหวังหงษ์เต๋าเองก็ไม่ได้กลับมาเช่นกัน นั่นย่อมแสดงว่าจะมีเหตุการณ์ที่เป็นไปได้อยู่สามกรณี”

 

“ในกรณีแรก คือบิดาของข้าชนะ แต่เขาจำต้องเร่งพักฟื้นทันทีและมิอาจเคลื่อนย้ายไปไหนได้ และนั่นเป็นกรณีที่ดีที่สุด เพราะหลังจากที่เขาเรียกคืนเรี่ยวแรงและกลับมา พวกเจ้าสามารถร่วมมือกับข้าและบิดา ออกเดินทางไปยังโลกใหม่ด้วยกันได้เลยในภายหลัง”

 

“แต่ยังไงก็ตาม สถานการณ์ที่ว่ามานี้ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะหวังหงษ์เต๋าได้เฝ้ารอมาหลายวันแล้ว เขาคงจะวางแผนละเอียดยิบและเตรียมการมาแล้วเป็นอย่างดีอย่างแน่นอน”

 

“ดังนั้นพวกเราจึงต้องมากล่าวกันถึงในกรณีที่สอง นั่นคือหวังหงษ์เต๋าชนะ แต่เขายังไม่กลับมา เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บ และจำต้องรักษาตัวทันที”

 

“ในกรณีที่สาม คือพวกเขาตายลงทั้งคู่และไม่มีใครสามารถกลับมาได้”

 

กู่ฉิงซานมองสองปรมาจารย์ตำหนัก ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นในกรณีแรกและกรณีที่สาม ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร”

 

“ทว่าหากเป็นในกรณีที่สอง ก็คงจำเป็นต้องระมัดระวังตัวไว้”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักเฝ้ามองเขาที่กำลังวิเคราะห์ถึงสถานการณ์อย่างใจเย็น ในหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม

 

แต่ฝ่ายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายน่ะ นั่นมันคือพ่อของเขานะ!

 

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นผู้ที่สามารถตัดสินเป็นตายของเขาได้ทุกเมื่อเช่นกัน!

 

สองปรมาจารย์ตำหนักลองจินตนาการดูว่า หากเป็นตนเองที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะยังสามารถใจเย็นได้เหมือนดั่งคนตรงหน้าหรือไม่

 

“ข้ากับหยิงเหมยไม่สามารถลงมือได้ … ” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวด้วยความลังเล

 

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็แค่ต้องช่วยกันวางแผนนิดๆหน่อยๆ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าลงมือ แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องเอาชีวิตของเขาให้จงได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เซ่าหวูชุ่ยส่ายหัว “ไม่เคยมีกับดักหรือวิธีการใดๆ ที่จะสามารถใช้สังหารขอบเขตลมปราณจิตได้ในคราวเดียว”

 

เย่หยิงเหมยยังกล่าวทับอีกด้วยว่า “แม้ว่าจะมีการจัดตั้งค่ายกลกับดักขนาดใหญ่ขึ้น และแม้ว่าตัวเขาจะได้รับบาดเจ็บก็ตามที แต่ในที่สุดก็ต้องมีคนที่คอยรับมือเผชิญหน้ากับเขาตัวต่อตัว หรือรับบทเป็นตัวล่ออยู่ดี”

 

กู่ฉิงซานผ่อนลมหายใจ

 

“สำหรับเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

 

ในที่สุดเขาก็กล่าวออกมา

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.442 – โอกาสสุดท้ายที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้

 

โลกใบใหม่-

 

ฉีหยานได้ค้นพบถึงโลกใบใหม่แล้ว?

 

เซ่าหวูชุ่ยผุดลุกขึ้นทันใด ปากเอ่ยตะโกนลั่น “นี่มันเป็นไปไม่ได้! ในช่วงหลายปีนับไม่ถ้วนที่ผ่านพ้นมา โลกทั้งหมดที่สามารถค้นหาได้ถูกค้นพบไปจนหมดสิ้นแล้ว”

 

“แล้วถ้าหากมันเป็นเรื่องจริงเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เย่หยิงเหมยเอ่ยเสียงทะมึน “ทางลั่วชาเฟิงได้ส่งสามผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตเข้าไปในกระแสมิติอันเชี่ยวกราดยาวนานกว่า 100 ปี แต่ก็หาได้ค้นพบโลกใบใหม่ไม่”

 

“แล้วหากสิ่งที่ข้ากล่าวเป็นเรื่องจริงเล่า?” กู่ฉิงซานยังคงย้ำคำเดิมอย่างหนักแน่น

 

สองปรมาจารย์ตำหนักจ้องค้างมาที่เขา

 

กู่ฉิงซานมองไปทางเย่หยิงเหมย สลับกับไปมองเซ่าหวูชุ่ย ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

 

สองปรมาจารย์ตำหนักกำลังสับสนอย่างเห็นได้ชัด

 

ท่าทีการแสดงออกของฉีหยานช่างดูสงบและผ่อนคลายไม่เหมือนกับคนที่กำลังโกหกอยู่เลย นี่หรือว่าเขาจะได้ค้นพบโลกใบใหม่แล้วจริงๆ?

 

หากเป็นเรื่องจริง ทุกสิ่งอย่างในตอนนี้มันก็จะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

 

เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะหันไปเอ่ยถามเย่หยิงเหมย “เจ้าคิดว่ายังไง?”

 

เย่หยิงเหมยส่ายหัวของเธอและกล่าวอย่างช้าๆ “ปรมาจารย์ตำหนักฉี แม้ว่าจะมีโลกใบใหม่อยู่จริงๆ แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องเปิดเผยมันแก่เราด้วย?”

 

เธอเอ่ยต่อ “เนิ่นนานมาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้ามันก็ไม่ได้ดีเด่สักเท่าไหร่ ยังห่างไกลเกินกว่าจะเรียกว่าสนิทสนม ข้าทำใจเชื่อไม่ได้จริงๆว่าเจ้าจะเต็มใจเปิดเผยเรื่องอันสำคัญยิ่งนี้แก่พวกเรา”

 

“ใช่! นั่นแหละคือสิ่งที่สมควรจะเป็น!” เสียงของเซ่าหวูชุ่ยดังแทรกขึ้นมา

 

กู่ฉิงซานกล่าวอธิบายอย่างเฉยเมย “หากเจ้าคิดแบบนั้น ในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ผิดซะทีเดียว”

 

“ ‘ไม่ผิด’ อย่างงั้นหรือ?” เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะย้อนถาม

 

“ในยามที่ข้าได้ค้นพบโลกใบใหม่เป็นครั้งแรก ข้าก็ไม่ต้องการที่จะบอกพวกเจ้าจริงๆ”

 

แม้ทั้งสองคนเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าที่มีชีวิตอยู่มาเป็นพันๆปี , มีพื้นฐานวรยุทธที่เหนือกว่าตน นอกจากนี้ยังเป็นผู้รับหน้าที่บริหารจัดการกิจกรรมทั้งภายในและภายนอกนิกายตลอดมานับพันปี แต่อย่างไรเสีย … พวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

 

ฉะนั้นแล้ว ถ้าหากคุณต้องการที่จะให้ทั้งสองคนเชื่อใจ คุณจะต้องทุ่มออกด้วยความพยายามทั้งหมดที่มี

 

กู่ฉิงซานเมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ได้ยกมือขึ้น

 

เขาคว้าจับขอบหมวกไม้ไผ่ที่บดบังใบหน้า และค่อยๆเสยมันขึ้นช้าๆ

 

แล้วใบหน้าของเขาก็ได้รับการเปิดเผยสู่สายตาของทั้งสองปรมาจารย์ตำหนักโดยสมบูรณ์

 

เห็นแค่เพียงรอยบาดลึกของคมดาบมากมายวิ่งผ่านไปตามแก้มของเขา และลากยาวลงมาจนถึงคาง

 

และเมื่อถึงตำแหน่งนี้ แผลคมดาบก็ได้ถูกเบี่ยงเป็นเส้นโค้งออกไปเล็กน้อย

 

ร่องรอยบาดแผลจากดาบ วิ่งไปรวมกันตรงช่วงคอของเขา แล้วจึงเริ่มเบี่ยงทิศทางออกไป

 

ดูเหมือนว่า ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ฉีหยานจะสามารถหลบเลี่ยงคมดาบนี้ได้อย่างทันท่วงที

 

มิฉะนั้นแล้ว หากอ้างอิงจากรอยคมดาบนี้ มันคงจะสะบั้นตัดศีรษะเขาจนแยกจากลำตัวไปแล้วโดยตรง

 

หรืออีกความหมายนึงก็คือ ฉีหยานเกือบจะโดนสังหารนั่นเอง

 

สองปรมาจารย์ตำหนักพอได้เห็นก็ตกใจ

 

หมวกไม้ไผ่ยังมิได้ถูกถอดออกโดยสมบูรณ์ มันจึงกดกลิ่นอายของฉีหยานเอาไว้ต่ำมากๆ ดังนั้นสองปรมาจารย์ตำหนักจึงสามารถมองเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาได้ ทว่ากลับไม่สามารถตรวจสอบพื้นฐานวรยุทธของเขาได้อย่างชัดเจน

 

ดูจากลักษณะนี้ แท้จริงแล้วบอกได้เลยว่าฉีหยานน่ะเกือบถูกฆ่าตาย

 

แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่ฉีหยานก็ถูกทำลายใบหน้าจนเสียโฉม

 

-ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเลือกที่จะสวมใส่หมวกไม้ไผ่ และปฏิเสธที่จะแสดงใบหน้าที่แท้จริงของตนเองออกมา!

 

เย่หยิงเหมยพยักหน้าแสดงท่าทีว่าตนนั้นเข้าใจ

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยอย่างงงงวย “ … เจ้าเป็นถึงขีดสุดความว่างเปล่าเชียวนะ ต่อให้จะเป็นเพียงขั้นแรกก็ตามทีเถอะ แต่มันก็ยังแข็งแกร่งมากอยู่ดี แล้วอะไรกันที่จะสามารถ … ”

 

เย่หยิงเหมยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกขึ้นมา “ผู้ใดกันที่กล้ากระทำกับเจ้าเช่นนี้? ในช่วงเวลาที่แม้กระทั่งลั่วชาเฟิงก็ยังมีสัมพันธ์อันดีกับเจ้า”

 

ตรงข้ามกับพวกเขา เห็นแค่เพียงการแสดงออกของฉีหยานที่เผยถึงความชิงชังและกระหายเลือดออกมา

 

ฉีหยานลดหมวกไม้ไผ่มาปิดลงอีกครา เพื่อปิดบังแผลลึกอันน่าตกใจบนใบหน้าอีกครั้ง

 

“เห็นถึงเพียงนี้แล้ว พวกเจ้าก็ยังไม่กระจ่างใจอีกหรือ?” เขาเอ่ยถาม

 

สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าพร้อมกัน

 

“เมื่อครู่ การกระทำของข้าก็ได้ตอบคำถามนั้นของพวกเจ้าไปแล้วอย่างไรเล่า” กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว

 

เขายืนนิ่งงันอยู่ที่นั่น มิคิดเอ่ยอธิบายสิ่งใดอีกต่อไป

 

สองประมาจารย์ตำหนักอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดตริตรอง

 

ปรากฏตัวแต่ละครา ฉีหยานมันจะลงมือหนักข้อเสมอ

 

อย่างในตอนนี้ที่เขากำลังตามตื๊อสตรีแห่งรากษส

 

แต่กลับมีคนมาทำให้ใบหน้าของเขาเสียโฉม

 

ซึ่งดูก็รู้ว่าฉีหยานมิได้ต้องการให้มันเกิดขึ้น

 

เพียงเท่านี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงปัญหาแล้ว

 

“ฉะนั้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นหนามแหลมจากโลกใหม่ที่ทิ่มแทงเข้าหาเจ้าใช่หรือไม่?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

 

แม้ปากจะไม่เอ่ยตอบ แต่กลับเห็นแค่เพียงเจตนาฆ่าบนร่างกายของฉีหยานที่ทะยานสูงขึ้นทันใด

 

เขาอดไม่ได้ที่ที่จะจิกนิ้วทั้งห้าลงบนฝ่ามือ เกร็งมันแน่นจนเป็นกำปั้น

 

เย่หยิงเมยเฝ้ามองในทุกๆอากัปกริยาและการเคลื่อนไหวของเขาที่แสดงออกมาแม้เพียงเล็กน้อย ปากเอ่ยพึมพำ “ไม่น่าแปลกใจเลย … ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมข้าถึงไม่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า หากอิงตามบาดแผลบนตัวเจ้า ก็พอจะบอกได้แล้วว่าคนของตำหนักซานเหว่ย คงไม่สามารถกลับมายังโลกใบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว”

 

เซ่าหวูชุ่ยกล่าวออกมา “ไม่เพียงลงมือกระทำการอย่างผลีผลาม แต่ยังพาสาวกไปเป็นศพในโลกใหม่เช่นนี้ ฉีหยานเอ๋ย เจ้านี่มันช่างเลินเล่อเสียจริง”

 

ถึงแม้ว่าคำกล่าวที่เปล่งออกมาจะฟังดูผ่อนคลาย ทว่าในดวงตาของพวกเขากลับสาดประกายสดใสอย่างมิอาจปกปิดได้

 

คิ้วที่ยับย่นของพวกเขาค่อยๆคลายลง วิสัยทัศน์แลดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

 

โลกใบใหม่

 

นี่มันเปรียบเสมือนดั่งความมั่งคั่ง และทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์

 

ด้วยคำนี้ ทำให้พวกเขาได้นึกถึงวันคืนเก่าๆที่ผ่านพ้นมา

 

แม้ว่ายังมิอาจล้วงลึกได้ถึงขั้นสุดท้ายของความจริง ทว่าเมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางโลกอันสิ้นหวังนี้ พวกเขาก็ยังยินดีที่จะแช่ตัวเองให้ดื่มด่ำไปกับอดีตที่ผ่านพ้นมา

 

“อีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งเท่าใดกัน?” เซ่าหวูซุ่ยเอ่ยสอบสวน

 

“มีอยู่คนหนึ่งที่ข้ามิอาจรับมือได้ มันคือผู้ฝึกดาบขีดสุดความว่างเปล่าขั้นกลาง”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักพอได้ฟัง ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นทันที

 

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกดาบที่กล่าวได้ว่าไร้คู่ต่อกรในด้านการสังหาร แต่ด้วยขอบเขตของอีกฝ่ายต่ำกว่าพวกตนเล็กน้อย แถมยังมีตัวคนเดียวด้วยแล้ว ….

 

ต่อให้ฉีหยานมิอาจเอาชนะเพียงลำพังได้ ทว่าหากทั้งสามร่วมมือกัน ตีวงปิดล้อมแล้วล่ะก็ ย่อมที่จะสามารถกำจัดผู้ฝึกดาบคนนี้ได้อย่างแน่นอน

 

“หากมันเป็นเรื่องจริง ข้าก็ไม่มีปัญหาใดๆ และยินดีที่จะติดตามไปกับเจ้า” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวทันที

 

“ข้าก็เช่นกัน” เย่หยิงเหมยกล่าว

 

กู่ฉิงซานยื่นนิ้วชี้ของเขาออกไปแล้วส่ายมันไปมา ด้านหน้าทั้งสอง

 

“ทว่ายังมีเรื่องสำคัญที่จักต้องจัดการก่อนเป็นอันดับแรก” เขากล่าว

 

“เรื่องอันใด?”

 

“พวกเจ้าจะต้องร่วมมือกับข้าก่อน ในการลงมือสังหารหวังหงษ์เต๋า”

 

กู่ฉิงซานไม่รีรอให้ทั้งสองตอบสนองกลับมา เขาเร่งกล่าวต่อว่า “อีกไม่นานบิดาข้าคงจะล้มเหลวในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ และคนแรกที่หวังหงษ์เต๋าจะสังหารคงมิแคล้วต้องเป็นข้า ดังนั้น เขาจึงจำเป็นที่จะต้องตายเสียก่อน”

 

สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยเปรเปลี่ยนกลับกลาย เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “อ้ายสารเลว! นี่เจ้าต้องการจะให้ข้าทรยศต่อท่านอาจารย์อย่างงั้นหรอ!”

 

“สหายเซ่า เจ้าหุบปากซะ!” กู่ฉิงซานตะโกนด้วยความโกรธ

 

“สิ่งที่หวังหงษ์เต๋ามอบให้แด่เจ้ามันมีอะไรบ้างในช่วงหลายปีมานี้? เจ้าได้อำนาจแท้จริงมาในมือหรือไม่ เขาได้ให้อะไรดีๆแก่เจ้าบ้าง? กล่าวได้ว่าแม้ตัวเจ้าจะเป็นถึงปรมาจารย์ของตำหนักเจียงซี แต่แท้จริงแล้วการจะเบิกใช้ทรัพยากรใดๆของตำหนักเจียงซี ทั้งหมดจำต้องได้รับความเห็นชอบจากเขาเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆก็ตาม  ”

 

เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาก็ชักกระตุกไม่หยุด ราวกับว่ามันกำลังจะปริแตกออกในวินาทีถัดไป

 

กู่ฉิงซานเดินเข้ามา และวางสองมือลงบนไหล่ของอีกฝ่าย ปากเอ่ยกล่าวด้วยความจริงใจ “สหายเซ่า โลกกำลังจะมาถึงจุดจบ แต่พวกเราจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป! เจ้าไม่สามารถใส่ใจกับคนอื่นๆได้อีกต่อไปแล้ว เจ้าสมควรที่จะพิจารณาถึงชีวิตและความตายของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก!”

 

สองหูของเซ่าหวูชุ่ยยังคงรับฟัง ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไปทั้งๆอย่างนั้น

 

“อย่าพลิกลิ้นให้มากความดีกว่าฉีหยาน รู้หรือไม่ว่าในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถใช้กำลังบีบบังคับเจ้า ให้ยอมคายพิกัดของโลกแห่งนั้นออกมาเลยก็ได้ มิรู้หรือ?” เย่หยิงเหมยกล่าวขึ้นทันใด

 

เธอผุดลุกขึ้น พร้อมด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็นปะทุออกมา

 

เซ่าหวูชุ่ยได้สติกลับคืน

 

“ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าไม่คิดเลยหรือว่าตัวข้าเองก็ได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้แล้วเหมือนกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างนุ่มนวล

 

เขายกสองมือขึ้น ปากเอ่ยคำมั่นสาบานออกมาว่า “แท้จริงแล้วตัวข้าเองก็ไม่ทราบถึงพิกัดของโลกใหม่เช่นกัน และหากมีอะไรผิดพลั้งหรือมดเท็จไปจากคำกล่าวนี้ ขอให้ข้าถูกสังหารลงโดยทัณฑ์สายฟ้า จิตวิญญาณหลีกลี้ ดวงวิญญาณสลายหายไป”

 

บังเกิดลมที่มองไม่เห็นหมุนรอบตัวเขาอย่างอ้อยอิ่งเป็นเวลานาน

 

แล้วสักพักก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง

 

สวรรค์และโลกเป็นพยานและรับรู้ถึงคำมั่นสาบานแล้ว

 

“เจ้าเองก็ไม่ทราบถึงพิกัดของมันจริงๆหรือนี่?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างไม่รู้ว่าสมควรจะตอบสนองเช่นไรดี

 

ขณะที่เย่หยิงเหมยหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ และลดศีรษะลงด้วยความเศร้าหมอง

 

“มันมีโลกใบใหม่อยู่จริงๆ เพียงแต่ข้าไม่อาจทราบถึงตำแหน่งที่ตั้งของมันด้วยตนเองก็เท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ

 

“ยังไงก็ตาม ตราบใดที่มีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้นกับข้า พิกัดของโลกใหม่ก็จะถูกทำลายลงทันที”

 

“เมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนก็จะต้องตายด้วยกันทั้งหมด ขณะที่หวังหงษ์เต๋าก็เอาแต่พึ่งพาทรัพยากรของนิกายเพื่อยืดชีวิตตัวเองออกไปอีกไม่กี่วัน”

 

“หากพวกเจ้าต้องการผลลัพธ์เช่นนี้ ก็ลงมือกับข้าได้เลย”

 

เจตนาฆ่าของเย่หยิงเหมยถูกเก็บกลับคืน มันสลายไปไม่หลงเหลือ

 

เธอเงยหน้าขึ้นและจับจ้องมายังกู่ฉิงซาน

 

“ฉีหยาน เจ้ามันเขี้ยวลากดิน เล่ห์เหลี่ยมช่างแพรวพราวเกินไปเสียจริง” เธอถอนหายใจออกมา

 

ขณะที่กู่ฉิงซานได้เผยถึงโฉมหน้าที่ดูจริงใจออกมาอีกครั้ง

 

“ศิษย์น้องหยิงเหมย ข้าจะขอกล่าวอย่างเปิดอกคุยกัน หวังว่าศิษย์น้องจะไม่ตำหนิข้านะ”

 

“เชิญชี้แนะ”

 

“ข้าจดจำได้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เจ้ากำลังจะได้แต่งงานกับสาวกที่แท้จริงจากนิกายใหญ่คนหนึ่ง ทว่าในนาทีสุดท้าย หวังหงษ์เต๋ากลับกระโจนออกมา และตัดสินใจที่จะหยุดการแต่งงานของเจ้า”

 

“ซึ่งข้ามิได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่ากลับรู้ถึงเรื่องที่ว่า ภายหลังจากนั้น สาวกที่แท้จริงคนที่ว่ากลับหายตัวไปอย่างไร้เหตุผล”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว ขณะเดียวกันก็จ้องมองท่าทีการแสดงออกของเย่หยิงเหมย

 

เห็นแค่เพียงวิสัยทัศน์ของเย่หยิงเหมยที่เบนออกอากาศที่ว่างเปล่าตรงจุดไหนสักแห่ง ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไม่ไหวติง

 

เธอจิกริมฝีปากแน่น ราวกับว่ากำลังลิ้มรสถึงความขมขื่นบางอย่าง

 

กู่ฉิงซานกระซิบอย่างแผ่วเบา “ด้วยวันเวลาที่ล่วงเลยผ่านมา อย่าบอกนะว่าเจ้ามิได้เกลียดเขา?”

 

เย่หยิงเหมยหันหน้าหนีไปอีกฝั่งทันที

 

เธอยกมือขึ้นมาแตะตรงหน้าอกเบาๆ ขณะที่สังเกตได้อย่างชัดเจนว่ามันกระเพื่อมแรงยิ่งขึ้น แต่ก็มิได้เอ่ยคำใดตอบกลับมา

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเสียงทะมึน “ฉีหยาน เจ้านี่มันช่างเป็นมนุษย์จอมเจ้าเล่ห์! แต่ละวาจาที่พ่นออกมาดั่งพิษร้าย! ข้าจะไม่เชื่อคำเจ้าแล้ว ข้าไม่เชื่อว่ามันจะมีโลกใหม่อยู่จริงๆ!”

 

“สหายเซ่า เจ้าไม่ต้องมาทดสอบข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญมากที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของพวกเราโดยตรง”

 

“ดังนั้น เพื่อแสดงความจริงใจของข้า ข้าก็จะขอพิสูจน์มันให้พวกเจ้ากระจ่างใจในตอนนี้เลยทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

 

สองปรมาจารย์ตำหนักต่างหันมามองเขาเป็นสายตาเดียวโดยมิได้นัดหมาย

 

ในแววตาของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความหวัง ที่ราวกับคนใกล้จะจมน้ำตาย ไม่ว่าจะพบสิ่งใดก็ขอคว้าจับเอาไว้ก่อนอย่างเต็มกำลัง

 

กู่ฉิงซานที่เห็นถึงสีหน้าการแสดงออกของอีกฝ่าย ก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง สักพักก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในจิตใจ

 

“รอประเดี๋ยว”

 

กู่ฉิงซานกล่าว และเดินออกไปจากแท่นเวทีนอกพิสัยค่ายกล หันไปกล่าวกับฉินรั่ว “จงไปตามหวูซานมา”

 

“เจ้าค่ะ” ฉินรั่วขานรับคำหนึ่งและถอยจากไป

 

หลังจากนั้นไม่นาน หวูซานก็มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าสามปรมาจารย์ตำหนัก

 

เขาคุกเข่าลงก่อนเลยเป็นอันดับแรก และโขกศีรษะขึ้นลงไปทางกู่ฉิงซาน

 

“นายน้อย ท่านเรียกหาข้า มีอะไรให้รับใช้หรือ?”

 

บนใบหน้าของหวูซานเต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้มประจบประแจง ทว่าขณะเดียวกันมันก็แสดงให้เห็นถึงความสงสัยอย่างมิอาจระงับได้

 

เพราะทั้งสามปรมาจารย์ตำหนักต่างพากันจ้องมองเขาอยู่เฉยๆ มิได้ขยับกายใดๆเลย

 

และหวูซานเองก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

 

กู่ฉิงซานส่งสัญญาณไปทางสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า

 

“เจ้าอาจจะไม่เชื่อคำข้า แต่เจ้าสมควรจะรู้ว่าจิตเทวะของมนุษย์จะไม่สามารถบิดเบือนได้ มิฉะนั้นแล้วห้วงสติอารมณ์ และสภาวะจิตใจของคนผู้นั้นจะเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าพร้อมกัน

 

หากจิตเทวะของมนุษย์มีปัญหา มันจักต้องไม่สามารถปิดซ่อนความจริงที่ว่านั่นจากสายตาของพวกเขาได้

 

ดวงตาของหวูซานยังคงกระจ่างชัด บ่งบอกว่าจิตเทวะของเขายังมั่นคง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธที่ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว “นี่คือผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของข้า มันได้ติดตามรับใช้ข้ามานาน และข้าก็ได้บอกความลับหลายสิ่งแก่มันตั้งมากมาย ดังนั้นพวกเจ้าสามารถตรวจสอบจากเขาได้ เกี่ยวกับความทรงจำของโลกใหม่ที่ข้าว่า”

 

“จงตรวจค้นความทรงจำจากจิตเทวะของเขาซะ – เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบิดเบือนได้ แล้วพวกเจ้าก็จะได้รู้เสียที ว่าเรื่องที่ข้ากล่าวมันเป็นเพียงเรื่องโป้ปดหรือไม่”

 

“โปรดดูมันด้วยตาของตัวเอง”

 

เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยหันมาสบตากันและกัน และทั้งสองก็เริ่มสั่นไหวเล็กน้อย

 

“ขอให้ข้าได้ตรวจสอบก่อนก็แล้วกัน”

 

เซ่าหวูชุ่ยมิอาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป เขาชิงกล่าวก่อนเป็นคนแรก

 

“แน่นอน ตามที่เจ้าต้องการ” เย่หยิงเหมยไม่ปฏิเสธ

 

ร่างของเซ่าหวูชุ่ยวูบไหว หายไปจากตำแหน่งเดิม

 

ยังไม่ทันจะได้เห็นถึงการเคลื่อนไหวใดๆ ร่างของหวูซานก็นิ่งค้างไปทั้งๆอย่างนั้นแล้ว

 

เพราะเซ่าหวูชุ่ยได้กางนิ้วทั้งห้าออก และกดมันลงเหนือหัวของหวูซานเป็นที่เรียบร้อย

 

วิธีที่ง่ายและดีที่สุดในการค้นความทรงจำของบุคคลก็คือการใช้วิชาค้นวิญญาณ

 

เซ่าหวูชุ่ยหลับตาลง ทั้งคนทั้งร่างดูเหมือนจะหายลึกเข้าไปในห้วงความคิด

 

ช่วงเวลาหนึ่ง ตลอดทั้งแท่นเวทีก็เงียบสงบลง

 

เย่หยิงเหมยที่มักจะใจเย็นเสมอมา ขณะนี้กลับอดรนทนไม่ไหว

 

เธอเอ่ยถาม “สหายเซ่า สรุปว่ารู้หรือยัง ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?”

 

เธอมองไปที่เซ่าหวูชุ่ย สลับกับไปมองกู่ฉิงซาน

 

เซ่าหวูชุ่ยมิเอ่ยคำใด แต่ยังคงค้นความทรงจำของหวูซานต่อไป

 

ขณะที่กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

 

—เขาสงบก็เพราะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่ตนคาดหวัง!

 

ก่อนหน้านี้ในโลกเทวะ ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ทำการค้นวิญญาณจากจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธนิกายกวงหยาง จนได้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของหวูซาน

 

และตั้งแต่นั้นมา ระบบก็ได้ปล่อยภารกิจพิเศษ ‘หวูซานจะต้องตาย’ ออกมา

 

หวูซานเป็นพยานเพียงคนเดียว ที่รู้ถึงการดำรงอยู่ของโลกเทวะและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

 

อย่างไรก็ตาม ที่หวูซานรู้นอกเหนือจากนั้นมีเพียงแค่ว่าฉีหยานนำกำลังคนบุกไปยังโลกเทวะเป็นจำนวนเท่าใดก็แค่นั้น

 

หวูซานมิได้ไปยังโลกเทวะ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาและแม้กระทั่งตัวฉีหยานเองได้พบเจอกับสิ่งใด

 

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในโลกเทวะน่ะหลงเหลือเพียงจิตอาร์ติแฟคเท่านั้น , ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขอบเขตสูงสุดของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธน่ะอยู่เพียงแค่ประทับเทพ

 

—แม้กระทั่งเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้น ยามเมื่อฉีหยานได้เข้าไปสู่ในโลกเทวะครั้งล่าสุด หรือการที่นางเซียนไป่ฮั่วสามารถทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะได้นั้นก็ไม่ล่วงรู้

 

กู่ฉิงซานได้บอกสองปรมาจารย์ตำหนักว่าตัวเองเพียงคนเดียวมิอาจต่อการกับโลกใหม่ได้ และจำต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา

 

ขณะที่ในความทรงจำของหวูซาน มันก็รับรู้เพียงแค่เรื่องราวที่เหมาะเจาะกับคำโกหกนี้พอดิบพอดี!

 

และนั่นแหละคือจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดล่ะ!

 

หวูซานผู้นี้สามารถใช้เป็นตัวพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของโลกใหม่ได้ แต่แท้จริงแล้วเขากลับไม่รู้เลยว่าคนในโลกใหม่นั้นแข็งแกร่งหรือว่าอ่อนแอ

 

เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ

 

ในช่วงเวลาหนึ่ง จู่ๆสีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยก็ผ่อนคลายลงทันใด

 

พร้อมทั้งปรากฏรอยยิ้มที่มิอาจควบคุมได้ค่อยๆแพร่กระจายไปทั่วใบหน้าของเขา

 

เซ่าหวูชุ่ยลืมตาขึ้น ตลอดทั้งใบหน้าฟุ้งไปด้วยความบ้าคลั่ง “เป็นเรื่องจริง! เขามิได้โกหก! และยิ่งไม่กว่านั้น-”

 

เขายังไม่ทันได้เอ่ยจบ ก็เห็นแค่เพียงมือของเย่หยิงเหมยที่ฉกออกไป ปัดมือของเขาออก และใช้มือตนเองวางลงเหนือหัวของหวูซาน

 

เป็นเวลานาน ก่อนที่จะได้ยินเสียงอันนุ่มนวลของเธอพึมพำออกมา “สองโลก … โลกใหม่ที่มิใช่เพียงหนึ่ง แต่มีถึงสอง … ”

 

ทั้งคนทั้งร่างของเธอราวกับได้รับชีวิตใหม่

 

กู่ฉิงซานที่กำลังเฝ้ามองอยู่ได้เอ่ยออกมาทันใด “ศิษย์น้องหยิงเหมย , สหายเซ่า ตอนนี้พวกเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”

 

เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยพยักหน้าพร้อมกัน

 

การดำรงอยู่ของโลกใบใหม่นี้ ชัดเจนแล้วว่ามีอยู่จริง

 

พอทั้งสองได้พิสูจน์จนเสร็จสิ้นลงแล้ว กู่ฉิงซานก็เดินเข้ามา และวูบ! จ้วงมือเข้าตะครุบหวูซาน

 

“คนของข้าได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว ที่นี้ก็ปล่อยให้เขาได้พักผ่อนเสียที”

 

ว่าจบ เขาก็ค่อยๆบิดมือตนเองอย่างอ่อนโยน

 

กร๊อบ!

 

ลำคอของหวูซานโค้งงอจนผิดรูป

 

และกู่ฉิงซานก็ชักมือออกพลางสะบัดออกไป

 

ร่างของหวูซานถูกโยนลงจากแท่นเวทีสูง กลิ้งไถลลงไปบนพื้น ไร้ซึ่งการดำรงอยู่แห่งชีวิตอีกต่อไป

 

สองประมาจารย์ตำหนักชะงักงันในเวลาเดียวกัน

 

แต่ไม่ช้า พวกเขาก็ได้สติกลับคืนมา และเริ่มตอบสนองอย่างรวดเร็ว

 

“ยังมีผู้อื่นภายในนิกายที่รู้เรื่องนี้อีกหรือไม่?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม

 

“ไม่มีอีกแล้ว คนอื่นๆของข้ายังอยู่ที่โลกใหม่ และมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ถึงสถานการณ์” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เย่หยิงเหมยเอ่ยต่อว่า “การกระทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้ว เรื่องของโลกใหม่เป็นอะไรที่สำคัญยิ่ง พวกเราจักต้องไม่ให้คนอื่นๆล่วงรู้”

 

“แน่นอน”

 

กู่ฉิงซานแสดงท่าทีไม่แยแส ปากเปล่งวาจายืนยันออกมา “หวังหงษ์เต๋าคือจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ในขอบเขตลมปราณจิต เมื่อเขากลับมา เขาจะต้องใช้วิธีการบางอย่างที่เราไม่รู้อย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะบังคับให้พาตัวหวูซานมาหาตนเองก็ได้”

 

“หวังหงษ์เต๋าเป็นคนที่มีนิสัยขี้ระแวงโดยธรรมชาติ เป็นไปได้สูงว่าเขาจะเค้นความลับจากหวูซาน ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกพวกเราเรียกตัวเข้ามาพบ”

 

“และถ้าหากเขาลงมือกับหวูซาน เรื่องของโลกใหม่ก็คงจะไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักรับฟัง ขณะเดียวกันก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่รู้ตัว

 

“นั่นสินะ เราจะต้องไม่ปล่อยให้หวังหงษ์เต๋าล่วงรู้ถึงเรื่องนี้” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเห็นด้วย

 

หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับแผนการแล้วล่ะก็ ฉีหยานมักจะระมัดระวังเสมอ

 

แต่สิ่งที่เช่าหวูชุ่ยไม่ทราบก็คือ ประโยคที่เขาพึ่งกล่าวไปนี้ ได้ทำให้ในหัวใจของกู่ฉิงซานเกิดการคาดเดาถึงบางอย่างขึ้นเล็กน้อย

 

“สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าต้องสูญเสียผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อถือได้ไป” เย่หยิงเหมยมองกู่ฉิงซาน และเอ่ยด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดเล็กน้อย

 

ทว่ากลับเห็นแค่เพียงสีหน้าของฉีหยาน ที่แสดงออกมาประมาณว่า ‘ถูกต้องแล้ว ยามนี้เจ้าติดหนี้ข้าเรียบร้อย’

 

“ศิษย์น้องหยิงเหมย มันไม่เป็นอะไรหรอก หวูซานมีบทบาทเพียงเล็กๆน้อยๆในชีวิตข้าเท่านั้น”

 

“เขาสมควรตายโดยปราศจากซึ่งความเสียใจ”

 

กู่ฉิงซานกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส

 

น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนว่านี่เป็นเรื่องปกติ ที่พบเจอได้บ่อยครั้ง

 

เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยตกอยู่ในความเงียบ

 

ฉีหยานเป็นคนที่โหดเหี้ยม ไร้ความปราณี และมักจะกระทำการที่คิดว่ามันเป็นหนทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตนเสมอ

 

แม้เรื่องนี้จักต้องเก็บเป็นความลับ แต่ฉีหยานก็ยังลงมือกับคนสนิทของตนอย่างไม่ลังเล

 

หากฉีหยานสามารถครอบครองโลกทั้งสองใบได้โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือแล้วล่ะก็ พวกเขา -ในฐานะปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองก็คงจะไม่มีทางล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ได้เป็นแน่

 

ทันทีที่คิดถึงจุดนี้ สองปรมาจารย์ตำหนักก็รู้สึกโชคดีเล็กน้อย

 

แต่กลับได้ยินเพียงเสียงของฉีหยานที่ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“ศิษย์น้องหยิงเหมย สหายเซ่า ตอนนี้พวกเจ้าก็ได้เห็นถึงความจริงใจของข้าแล้ว”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้า

 

โลกใหม่มีอยู่อย่างแน่นอนและแท้จริง

 

แถมฉีหยานยังถึงขั้นสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของตน เพียงเพื่อรักษาความลับของโลกใหม่เอาไว้อีกด้วย

 

ความจริงใจที่เขาแสดงออกมานี้ … นับว่าเพียงพอแล้ว

 

“เวลานี้ พวกเจ้าก็โปรดจงให้ความร่วมมือกับข้าในการสังหารหวังหงษ์เต๋า เพื่อรับประกันให้ข้าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย”

 

“-นี่คือโอกาสสุดท้ายที่พวกเจ้าจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.441 – ปะทะ

 

หลังจากการเล่นลิ้น ยิงประโยคออกไปในเชิงคำถามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้รู้เสียทีว่าไอ้ความคิดของฉีหยานมันคืออะไร!

 

พริบตานั้นเอง ภายในจิตใจของกู่ฉิงซานก็บังเกิดภาพมากมายนับไม่ถ้วนไหลผ่านเข้ามา

 

เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

 

ในช่วงเวลาที่ตนได้เดินทางกลับมายังนิกาย ภาพของเรือเหาะที่บรรทุกสินค้าอยู่เต็มลำก็ได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขาอีกครั้ง

 

นั่นคือทรัพยากรของนิกายที่ใช้แลกเปลี่ยนกับเม็ดยารักษาของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า

 

แลกเปลี่ยนไปมากมายขนาดนั้นทั้งๆที่ในโลกใบนี้ไม่อาจผลิตทรัพยากรเพิ่มเติมได้อีกต่อไปแล้ว …

 

นอกจากนี้ กำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายกวงหยางก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่อีก ส่งผลให้ลั่วชาเฟิงดูแคลนนิกายกวงหยางอยู่ไม่น้อย

 

แถมในสถานการณ์เช่นนี้ ฉีหยานดันต้องการที่จะฝึกยุทธเคียงคู่ร่วมผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างสตรีแห่งรากษสเข้าไปอีก!

 

นี่มันไม่แตกต่างไปจากการเล่นกับไฟ

 

อย่างไรก็ตาม!

 

ฉีหยานแม้ว่าจะเป็นคนโหดเหี้ยม ไร้ความปราณี แต่เขามิใช่คนโง่

 

ใช่แล้วล่ะ ถึงแม้เขาจะมีตัณหาที่มากล้น ทว่าจากข้อมูลในช่วงหลายปีที่กู่ฉิงซานได้รับมา ตนพบว่าตัวฉีหยานมิเคยทำผิดพลาดเลย

 

แม้กระทั่งกับเด็กสาวผู้งดงามอย่างจื่อหลิว เขาก็ยังระแวงและเลือกที่จะป้องกันตนเองโดยส่งเธอที่เชี่ยวชาญในด้านค่ายกลไปอยู่ที่อื่น

 

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเขามิใช่แค่เป็นคนฉลาด แต่ยังเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย

 

แล้วในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงอันใหญ่หลวงเยี่ยงนี้ ตัวตนอย่างฉีหยานจะเลือกเข้าไปเสี่ยง และยั่วยุอิทธิพลจากภายนอกโดยไร้ซึ่งเหตุผลได้อย่างไรกัน?

 

เว้นเสียแต่ว่าเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย และจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ..

 

ในระหว่างที่กู่ฉิงซานกำลังขบคิด ช่วงเวลาก็ไหลผ่านเลยไปหลายลมหายใจ

 

สองปรมาจารย์ตำหนักเฝ้าดูฉีหยานอย่างเงียบๆ และเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังดื้อดึงและรั้นที่จะปฏิเสธคำแนะนำ

 

ความโกรธในจิตใจของพวกเขามิอาจระงับได้อีกต่อไป

 

เซ่าหวูชุ่ยทนไม่ไหวจนกำปั้นของเขาเกร็งแน่น

 

ขณะที่ท่าทีการแสดงออกของเย่หยิงเหมยค่อยๆเย็นชาลง

 

แต่ในตอนนั้นเอง กลับได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจของฉีหยานที่ดังขึ้น

 

เขาผุดลุกจากที่นั่ง สองมือไขว้หลัง และค่อยๆเริ่มเดินไปตามขอบเวทีทีละก้าว ทีละก้าวอย่างช้าๆ

 

“ศิษย์น้องหยิงเหมย , สหายเซ่า เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไม่?” เขาเอ่ยถาม

 

สองผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าชะงักงันไป

 

เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องของลั่วชาเฟิงอยู่แท้ๆ แล้วไฉนจู่ๆจึงกระโดดข้ามมาเรื่องของเจ้ากัน?

 

แต่พอถาม ทั้งสองก็มีคำตอบในใจผุดขึ้นมา

 

ก็โง่น่ะสิ-

 

อย่างไรก็ตาม พอได้ลองย้อนคิดดูอย่างถี่ถ้วน ทั้งสองก็ค่อยๆกลืนคำนั้นลงไปอย่างช้าๆ

 

“นั่นก็จริง ถึงแม้ว่าเจ้าจะเลือดเย็น ดื้อรั้น และหยิ่งยะโส แต่ทุกๆการกระทำของเจ้ามันใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลซะทีเดียว … ” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยพึมพำ

 

เย่หยิงเหมยก็อดไม่ได้ที่จะเผลอพยักหน้าตามออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

นับตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา แท้จริงแล้วมีอยู่นับครั้งได้จริงๆที่ฉีหยานทำเรื่องโง่เง่า

 

เขาเป็นคนฉลาดมาก มิฉะนั้นมีหรือที่เขาจะสามารถฝึกยุทธจนก้าวขึ้นมาถึงขีดสุดความว่างเปล่าได้

 

ก็แล้วถ้าอย่างนั้น แล้วเหตุใดเขาจึงต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า?

 

สองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า จมลงสู่ห้วงความคิดโดยพร้อมอย่างมิได้นัดหมาย

 

ความโกรธค่อยๆสลายไป ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามใหม่ขึ้นมาในจิตใจของพวกเขา

 

“ฉีหยาน เจ้าช่วยเปิดอกบอกมาได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงต้องไปตามตื๊อสตรีแห่งรากษส?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่ในสมองกำลังเร่งกรองข้อมูลทั้งหมดอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจาก

 

‘เจ้าสองปรมาจารย์นี่มอบของล้ำค่าให้เพื่อที่จะเอาใจ ‘กู่ฉิงซาน’ ซึ่งเป็นศิษย์ของตน’

 

และถึงแม้ว่าการลอบเอาใจในครั้งนี้จะซุกซ่อนมาในรูปแบบของการมอบของขวัญจากอาวุโส แต่มันก็ชัดเจนมากๆจนกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะสงสัย

 

อย่างไรก็ตามต่อจากนั้นเซ่าหวูชุ่ยก็ได้ให้ริเริ่มให้คำอธิบายแก่ฉีหยานด้วยตนเอง

 

ตัวตนอย่างผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าเนี่ยนะ จะหันหน้ามาอธิบายให้ศัตรูของตัวเองฟัง? นั่นมันจะมิเป็นการถูกแว้งกัดหรอกหรือ

 

นี่แสดงให้เห็นถึงเบาะแสบางอย่าง

 

‘เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยมีความคิดบางอย่างกับ ‘กู่ฉิงซาน’ ’

 

ความคิดบางอย่าง …

 

ไม่ได้แฮะ ข้อมูลน้อยเกินกว่าที่จะสรุปออกมาเป็นรูปธรรมโดยรวมได้

 

งั้นก็มาเริ่มคิดกันใหม่ตั้งแต่ต้นเลยก็แล้วกัน

 

‘ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อ ‘กู่ฉิงซาน’ มันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ?’

 

‘—ใช่สิ มันคือในตอนที่ข้าบอกว่าพิธีเคารพอาจารย์ยังไม่เสร็จสมบูรณ์’

 

‘กู่ฉิงซาน’ พึ่งถูกนำตัวมาวันแรก ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้ทำพิธีเคารพอาจารย์ กล่าวได้ว่ายังมิได้เป็นศิษย์กับอาจารย์กันอย่างเป็นทางการ

 

แต่ไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวพิธีที่ว่านั่นก็คงจะเริ่มทำและเสร็จสมบูรณ์แล้วนี่นา

 

‘กู่ฉิงซาน’ ไม่นานเกินรอก็จะกลายเป็นศิษย์ฝึกหัดของฉีหยาน

 

‘แล้วคนอย่างฉีหยานก็ย่อมไม่ยินดีที่จะมอบศิษย์ฝึกหัดของตนที่นำพามาด้วยตัวเองให้แก่คนอื่นอย่างแน่นอน ตรรกกะนี้มันไม่สอดคล้องกันเลย’

 

ฉะนั้นแล้วสิ่งที่พอจะคิดได้ก็คือ-

 

มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น ที่เซ่าหวูชุ่ยจะสามารถได้รับ ‘กู่ฉิงซาน’ มาเป็นศิษย์ได้ นั่นก็คือ ..

 

‘ฉีหยานได้ตายลงไปแล้ว’

 

ใช่ ไม่น่าจะผิดพลาดแล้ว นี่สมควรที่จะเป็นคำตอบเดียว

 

หวังหงษ์เต๋าก็ยังมิได้ปรากฏตัวขึ้น

 

นี่มันก็น่าจะชัดเจนแล้ว

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มเย็นเยียบ

 

จากการคาดเดาตามชุดเรื่องราวทั้งหมด คุณจะสามารถเห็นถึงเบาะแสก่อนหน้านี้ และที่พึ่งเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ว่ามันสอดคล้องกัน

 

หนึ่งคือ สองปรมาจารย์ตำหนักหวาดกลัวสตรีแห่งรากษส

 

สอง พวกเขามิได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของผู้นำฉีรั่วหยาเลย ไม่เปล่งอะไรออกมาแม้ครึ่งคำจริงๆ

 

ขณะเดียวกันผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าก็ได้หายตัวไป มิได้เข้าร่วมการพิจารณาคดีและการหารือกันอย่างเป็นทางการ

 

แถมยังไม่มีใครรู้ว่าหวังหงษ์เต๋านั้นอยู่ที่ไหนอีก

 

นอกจากนี้ ข้อมูลที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ศิลาวิญญาณที่เหล่าสาวกในนิกายสมควรจะได้รับถูกยืดเวลาออกไป

 

นี่คือสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดใช่หรือไม่?

 

กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงเรือบินที่เต็มไปด้วยสินค้าอีกครั้ง

 

แล้วความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน ทุกๆอย่างค่อยๆเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นข้อสันนิษฐานหนึ่งขึ้นมา

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอีกครั้งและอีกครั้ง

 

เซ่าหวูชุ่ยเริ่มร้อนใจ เขาเอ่ยปากออกมาว่า “ฉีหยาน ปรมาจารย์ตำหนักเย่กำลังเอ่ยถามเจ้าอยู่นะ ไฉนจึงยังมิตอบเล่า?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยสวนทันควัน “นั่นเป็นเพราะข้ากำลังขบคิดว่าบางทีท่านพ่ออาจจะไม่สามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้ไปได้น่ะสิ”

 

พอได้ยินประโยคที่ราวกับอัสนีบาตฟาดใส่นี้ ร่างของสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าก็สั่นสะท้าน และเกือบที่จะเริ่มลงมือทันที

 

แต่สุดท้ายเซ่าหวูชุ่ยก็เอ่ยถามออกมาเสียก่อน “เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?”

 

แม้ปากจะเอ่ยถาม ทว่าสายตากลับหุบต่ำลงเพื่อพยายามที่จะปิดซ่อนเจตนาฆ่าของตนเอาไว้

 

“ก็เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขากำลังได้รับบาดเจ็บอยู่น่ะสิ ซึ่งมันไม่ดีเลยที่จะต้องก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในช่วงเวลานี้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เย่หยิงเมยกับเซ่าหวูชุ่ยเหลือบมองกันวูบหนึ่ง

 

ดูเหมือนว่าฉีหยานจะยังไม่รู้ถึงความจริงในเรื่องนี้

 

พอคิดได้เช่นนั้น สองปรมาจารย์ตำหนักก็ค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

“ฉีหยาน เรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะนำมันมาเล่าให้ข้าฟัง” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว

 

ขณะที่เย่หยิงเหมยส่ายศีรษะของเธอ

 

“แต่แท้จริงแล้วนั่นมันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ เพราะมันไม่สำคัญเท่าที่กับเรื่องที่พวกเราจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้หรอก” กู่ฉิงซานกล่าวประโยคที่แลดูสับสนออกมา

 

เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยพอได้ยิน ดวงตาของทั้งสองก็เบนเข้ามาสบกัน

 

“พวกเรา?”

 

เย่หยิงเหมยเอ่ยคำหนึ่ง

 

เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “สิ่งที่เจ้าพูดหมายความว่ากระไร? ฉีหยาน สมองของเจ้าใช่พิการไปแล้วหรือไม่ ถึงได้เอ่ยวาจาที่ยากจะเข้าใจเช่นนี้”

 

จู่ๆความโกรธของกู่ฉิงซานก็พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาก้าวฉับๆตรงไปยังเบื้องหน้าเซ่าหวูชุ่ย และใช้พัดของตนจี้เข้ากับหน้าอกของอีกฝ่าย

 

เขาคำรามลั่น “เซ่าหวูชุ่ย! พวกเรากำลังจะตายภายใต้เงื้อมมือของมารโลกาโดยไม่มีแม้กระทั่งโอกาสจะได้เกิดใหม่! แต่เจ้ากลับยังคงเสแสร้งยามที่อยู่ต่อหน้าข้า!”

 

ประโยคที่เปล่งออกมาเป็นฟืนเป็นไฟนี้ เสียดแทงลึกเข้าไปในจิตใจของเซ่าหวูชุ่ย

 

เขาอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน

 

“ข้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เจ้ากำลังจะสื่อ” เขาบ่นพึมพำ

 

ก็เขายังไม่แน่ใจจริงๆนี่นา ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันเกี่ยวกับเรื่องอะไร

 

อย่างไรก็ตาม ฉีหยานผู้นี้ จะไม่มีวันล้อเล่นเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตและความตายเป็นแน่

 

เย่หยิงเหมยเอ่ยเสียงหม่น “ฉีหยาน เจ้ากำลังหมายความว่าอย่างไร ช่วยพูดให้มันชัดเจนด้วย”

 

กู่ฉิงซานแสยะยิ้มหยัน “เจ้าคิดว่าพวกเราจะสามารถมีชีวิตอยู่อีกต่อไปได้นานเพียงใดกัน?”

 

“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกไป ชีวิตของพวกเรายังดีอยู่” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว

 

—ใช่แล้วล่ะ ของพวกเราน่ะยังดีอยู่ แต่เจ้ากำลังจะตายในไม่ช้า

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยประโยคหลังนี้ในจิตใจของเขา

 

อย่างไรก็ตาม ฉีหยานยังคงกล่าวต่อไปว่า “บิดาข้ากำลังจะตายลงในไม่ช้า ขณะที่นิกายกวงหยางหลงเหลือผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งนั่นก็คืออาจารย์เจ้า หวังหงษ์เต๋า”

 

“แล้วหากเป็นเช่นนี้ นิกายกวงหยางจะสามารถต้านทานการโจมตีของลั่วชาเฟิงได้อย่างไร?”

 

สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยหม่อนทะมึนลง ปากเอ่ยกล่าว “ก็นั่นแหละคือเหตุผลที่เราหวังว่าเจ้าจะไม่ยั่วยุ-”

 

“ยั่วยุ? เจ้าบอกว่าข้ากำลังยั่วยุพวกเขาอย่างงั้นหรือ”

 

กู่ฉิงซานหัวเราะราวกับว่าเขาพึ่งได้ยินสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจยิ่ง

 

“นั่นเจ้าหัวเราะทำไม?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม

 

“สำหรับสามผู้ฝึยุทธลมปราณจิตแห่งลั่วชาเฟิง ตราบใดที่พวกเขาต้องการจะสังหารเราจริงๆ เจ้าคิดว่าต่อให้พวกเราไม่ยั่วยุแล้วจะสามารถหลบหนีจากเงื้อมมือพวกเขาได้กระนั้นรึ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เซ่าหวูชุ่ยอ้าปาก แต่ก็มิอาจเถียงคำใดกลับไปได้

 

เย่หยิงเหมยจึงช่วยอธิบายแทนเขา “แต่อย่างน้อยพวกเราก็มีผู้อาวุโสหวังหงษ์เต๋าอยู่ ไม่จำเป็นต้องเกรง … ”

 

แต่แล้วเย่หยิงเหมยก็มิอาจกล่าวคำต่อไปได้อีก

 

นั่นเพราะเธอสัมผัสได้ว่าคำกล่าวของตนเองช่างอ่อนแอ ไร้น้ำหนักเหลือเกิน

 

ผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า แม้กระทั่งตัวท่านเองก็ยังต้องแขวนชีวิตเอาไว้กับยารักษาจากลั่วชาเฟิงทุกๆวันอยู่เลย

 

ทางลั่วชาเฟิงไม่ต้องทำสิ่งใดด้วยซ้ำ เพียงแค่หยุดการแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษา และเฝ้ารออย่างเงียบๆให้ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายกวงหยางตายจากไปอย่างช้าๆก็เพียงพอแล้ว

 

ทั้งสองจมลงสู่ความเงียบ

 

ใช่ นั่นแหละคือสถานการณ์ที่แท้จริงล่ะ

 

นี่คือสถานการณ์ที่ทั้งสามปรมาจารย์ตำหนักจะต้องเผชิญ นอกเหนือไปจากการต่อสู้ภายในของนิกาย

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังทั้งสอง ในหัวใจได้ทำการพิจารณาแล้วอย่างลับๆ

 

หากตนสามารถปั่นหัวทั้งสองจนเรื่องราวมันมาถึงจุดนี้ได้แล้วล่ะก็ การสนทนานับจากนี้ไป สองปรมาจารย์ตำหนักจักต้องรับฟังเขาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอย่างแน่นอน

 

ผ่านไปเป็นเวลานาน เซ่าหวูชุ่ยก็กล่าวออกมาว่า “นี่คือเหตุผลที่เจ้ายั่วยุสตรีแห่งรากษสในรุ่นนี้อย่างงั้นหรือ?”

 

เขายังรั้นใช้คำว่า ‘ยั่วยุ’  ราวกับว่าสิ่งที่ฉีหยานทำทั้งหมดนี้ก็ยังไม่ใช่เพื่อนิกายอยู่ดี

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานยังคงเงียบสงบ เขาเฝ้ามองเซ่าหวูชุ่ยอย่างใจเย็น

 

“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่รึไง?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยออกมาอย่างไม่สบายใจ

 

กู่ฉิงซานยิ้ม

 

“สหายเซ่า จงบอกความจริงแก่ข้ามาเถอะ ว่าทรัพยากรของนิกายที่ใช้แลกเปลี่ยนเม็ดยารักษากับลั่วชาเฟิงน่ะเหลืออยู่เท่าใด?”

 

“แน่นอน ว่ามันยังเหลืออยู่มากพ-” เซ่าหวูชุ่ยเปิดปากกล่าว

 

กู่ฉิงซานโบกมือขัดจังหวะเขา “หยุด! ยามนี้ไม่สมควรที่จะเปล่งวาจาหลอกลวงผู้อื่น นี่มันเกี่ยวของกับชีวิตและความตายของเจ้า ของข้า และข้าหวังว่าเจ้าจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาด้วย”

 

“หากเจ้ามีความซื่อสัตย์ ข้าก็จะบอกเจ้าเกี่ยวกับหนทางที่จะรอดชีวิตไปได้อย่างแท้จริง”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักจ้องมองมาที่เขา

 

“หนทางรอดชีวิต?” เย่หยิงเหมยไตร่ตรอง “ฉีหยานนี่เจ้—”

 

กู่ฉิงซานโบกมือขัดเธอและกล่าว “ลั่วชาเฟิงมีตัวตนสุดแกร่งอย่างสามผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตอยู่ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะมาใส่ใจเกี่ยวกับชีวิตและความตายของเจ้าหรือข้าอย่างงั้นหรือ!?”

 

“ไม่ว่าจะเป็นการดำรงอยู่ของเจ้าหรือข้า มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นภัยต่อพวกเขา เจ้าลองคิดย้อนกลับกันดูซี่ ว่าหากเจ้าเป็นพวกเขา เจ้าจะปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรในการชุบเลี้ยงหรือไม่? หากเป็นเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร?”

 

กู่ฉิงซานหันไปยิ้มให้เย่หยิงเหมยและกล่าวออกมา “ศิษย์น้องหยิงเหมย ข้าเกรงว่าบางทีเมื่อถึงเวลานั้น สามปรมาจารย์ค่ายกลในนิกายคงจะมีชีวิตที่ดีกว่าเจ้าและข้าเสียแล้ว”

 

เย่หยิงเหมยอ้าเผยอปาก แต่แล้วก็ต้องหุบมันลง เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งโดยมิได้เอ่ยอันใดออกมา

 

ใช่แล้วล่ะ สิ่งที่ฉีหยานกล่าวมานั้นเป็นความจริง

 

จุดจบของนิกายอื่นๆมากมายนับไม่ถ้วนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

 

กู่ฉิงซานโน้มตัวมาข้างหน้า ถลีงตาไปทางเซ่าหวูชุ่ยและกล่าว “สหายเซ่า ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง บอกมา ว่าทรัพยากรในนิกายยังหลงเหลืออยู่มากเพียงใด”

 

เขาเอ่ยต่อ “จงบอกความจริงแก่ข้า! แล้วข้าจะบอกว่าหนทางเดียวที่เราจะรอดชีวิตต่อไปได้คืออะไร”

 

เซ่าหวู่ชุ่ยมองมายังกู่ฉิงซาน นิ่งงันไปครู่ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากออกมา “ข้าจดจำได้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้เจ้ามิได้อยู่ในนิกาย”

 

“ใช่” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

“แถมยังนำผู้คนติดตามไปด้วยอีกเป็นจำนวนมาก ทว่าพวกเขาเหล่านั้นก็มิได้กลับมา” เย่หยิงเหมยเอ่ยเสริม

 

“เช่นนั้นแล้วตัวเจ้าเล่า ไปที่ใดมา?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม

 

“สหายเซ่า เจ้าต้องกล่าวเรื่องของตัวเองออกมาเสียก่อนนะ แล้วข้าจึงจะบอกมัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แล้วถ้าหากเจ้าโป้ปดข้าล่ะ?”

 

“ฝั่งเจ้ามีสอง แต่ข้ามีหนึ่ง นอกจากนี้แม้ขอบเขตวรยุทธจะเท่ากัน แต่ขั้นของข้าต่ำกว่า”

 

เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟังก็ก้มหน้าลง

 

บรรยากาศโดยรอบแข็งค้าง ราวกับห้วงเวลาหยุดลงชั่วขณะ

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก

 

เซ่าหวูชุ่ยค่อยๆเปิดปากออกมาอย่างยากลำบาก เปล่งกระแสเสียงออกมาเพียงไม่กี่คำ

 

“ทรัพยากรน่ะ … มันหลงเหลืออยู่เพียงสามารถแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษาได้อีกแค่ครั้งสุดท้ายเท่านั้น”

 

สีหน้าของเย่หยิงเหมยแปรเปลี่ยนไปทันใด

 

เธอเอ่ยเสียงแหบแห้ง “สหายเซ่า! เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น! ข้าจดจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เราคุยกัน เจ้าบอกว่ามันมากพอที่จะทำให้พวกเราอยู่รอดไปได้อีกหลายปีนี่!”

 

เซ่าหวูชุ่ยเอาแต่ก้มหน้า มิเอ่ยสิ่งใด

 

กู่ฉิงซานผ่อนลมหายใจออกมา

 

ดูเหมือนว่าสถานการณ์ภายในนิกายกวงหยางจะไม่สู้ดียิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนไขนี้ มันได้ส่งผลให้สถานการณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

 

ตั้งแต่ที่เขาย่างกรายเข้ามาในโลกใบนี้ มีเพียงวินาทีนี้เท่านั้นที่กู่ฉิงซานรู้สึกได้ถึงความมั่นใจในตนเอง

 

—ความมั่นใจที่จะสามารถเอาชีวิตรอดอยู่ต่อไป!

 

กู่ฉิงซานปากเอ่ยเสียงกระซิบ “สหายเซ่า คงมิแคล้วเป็นหวังหงษ์เต๋าสินะที่บอกให้เจ้าพูดแบบนี้เพื่อให้จิตใจของทุกผู้คนยังคงวางใจน่ะ ถูกต้องไหม?”

 

เซ่าหวูชุ่ยยังคงมิกล่าวสิ่งใด แต่กลับผงกหัวเพียงเล็กน้อย เล็กน้อยจริงๆจนเรียกได้ว่าหากไม่ตั้งใจมองก็จะไม่สังเกตเห็น

 

สีหน้าของเย่หยิงเหมยเริ่มซีดเผือด

 

เธอราวกลับตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงเปล่งเสียงเล็ดรอดออกมาจากฟันที่ขบแน่น “เขาหลอกลวงกระทั่งข้า … ”

 

“หวังหงษ์เต๋าได้แขวนชีวิตตนเองเอาไว้กับเม็ดยารักษา หากเขาต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไป เขาจักต้องผลาญทรัพยากรของนิกายทั้งหมด จนกระทั่งไม่เหลือสิ่งใดเลย”

 

เขาถอนหายใจ “และในหัวใจเจ้า ย่อมตระหนักชัดดี ว่าไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน”

 

แล้วพวกเขาก็เงียบไป

 

นี่มันเป็นสัญชาติญาณทั่วไปของมนุษย์ ที่ในยามวิกฤตยังมาไม่ถึง พวกเขาก็มักจะจินตนาการไปเองว่าทุกสิ่งน่ะมันเป็นเพียงเรื่องโกหก

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูทั้งสอง ขณะที่ในสมองเริ่มเค้นความคิดอีกครั้ง

 

บางที .. แค่บางทีนะ มันอาจจะไม่ใช่เพียงแค่จินตนาการก็ได้

 

บางทีหวังหงษ์เต๋าคงจะใช้วิธีการบางอย่าง เพื่อทำให้พวกเขาหวาดกลัว และมิกล้าคิดจะต่อต้านเสียมากกว่า

 

หากเป็นในกรณีนั้น นับจากนี้ไปหากพวกเขายังคงมิคิดทำอะไรซักอย่าง ทุกอย่างคงมิแคล้วมาถึงจุดจบ

 

สถานการณ์ได้มาถึงจุดที่ต้องเห็นถึงความจริงแล้ว

 

ขณะที่กู่ฉิงซานมั่นใจแน่ๆแล้ว ในตอนนั้นเอง เซ่าหวูชุ่ยก็เงยหน้าขึ้นอย่างแรง จ้องมองเขาและเอ่ยปากออกมา “ข้าได้กล่าวออกมาอย่างสัตย์ซื่อแล้ว”

 

“ข้ารู้” กู่ฉิงซานรับคำ

 

“ในความเป็นจริงแล้วตัวข้าเองก็ค่อนข้างจะสิ้นหวัง ดังนั้นข้าจึงยอมรับความเสี่ยงเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้เจ้าทราบ -หากท่านอาจารย์ได้ตระหนักว่าข้าเปิดเผยความลับนี้แล้วล่ะก็ เขาจะต้องไม่ปล่อยข้าเอาไว้อย่างแน่นอน” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว

 

“มันสมควรเป็นเช่นนั้น” กู่ฉิงซานกล่าวเห็นด้วย

 

“ฉะนั้น ปรมาจารย์ตำหนักฉี ถึงคราเจ้าแล้วที่จะต้องแสดงความจริงใจต่อเรา” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว

 

กู่ฉิงซานมองไปยังเซ่าหวูชุ่ย

 

ขณะเดียวกันเซ่าหวูชุ่ยก็มองมาที่เขาเช่นกัน

 

ในแววตาที่จ้องเขม็งของเซ่าหวูชุ่ยมันสาดประกายไปด้วยความหวัง ทั้งคนทั้งร่างเริ่มหนักอึ้งและตึงเครียด

 

ตนเองได้ปล่อยให้คนอย่างฉีหยานล่วงรู้ถึงเรื่องราวภายในของนิกาย ท่านอาจารย์ย่อมไม่มีทางที่จะไม่ปล่อยตนไปแน่

 

และหากในเวลานี้ฉีหยานยังคงคิดละเล่นปาหี่กับตนเองอีกเหมือนดั่งคราวก่อนๆ เซ่าหวูชุ่ยสาบานเลยว่าเขาจะทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีสังหารฉีหยานลงตรงนี้ ณ จุดนี้เลยทันที

 

“จริงๆแล้วข้ารู้หนทาง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ขณะที่คำพูดอยู่ในปาก สายตาของเขาก็เบนออกไปมองรอบๆสถานที่

 

เซ่าหวูชุ่ยเห็นเช่นนั้นจึงฝืนยิ้มออกมาและกล่าวว่า “จงวางใจ เวลานี้ค่ายกลทั้งหมดกำลังเปิดอยู่”

 

ประโยคข้างบนนี้มีบ่งบอกถึงความนัยที่แฝงเอาไว้ ว่าบางครั้งค่ายกลในที่นี่ก็มิได้ถูกเปิดขึ้นทั้งหมดอย่างสมบูรณ์อย่างที่ทุกๆคนเข้าใจกัน

 

ความขาดแคลนของนิกาย … เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างน่าตกตะลึง!

 

กู่ฉิงซานเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าทั้งสอง ปากเอ่ยกล่าวเสียงกระซิบที่แสนจะแผ่วเบาราวกับยุงบินเพียงไม่กี่คำ

 

“อันที่จริง … ข้าได้ค้นพบโลกใบใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.440 –  ความคิดของฉีหยาน

 

ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องต่างพากันถอยออกไปจนสิ้น

 

บนแท่นเวทีสูง บัดนี้เหลือเพียงสามปรมาจารย์ตำหนักเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ทั้งสามนิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จากันไปพักหนึ่ง

 

สองปรมาจารย์ค่ายดูเหมือนว่ากำลังขบคิด ว่าพวกเขาสมควรจะกล่าวอะไรต่อไปดี

 

กู่ฉิงซานก็ยังคงปิดปากเงียบเช่นกัน

 

แต่นั่นมันก็เพราะเขามิได้ล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จำต้องพูดคุยกันอย่างลับๆนี้ ดังนั้นหากพูดมากความไปเดี๋ยวมันจะผิดสังเกต

 

เขาจึงใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่แต่ละฝ่ายกำลังเงียบงัน เบนสายตาไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

นั่นเพราะบรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนมันมาสักพักแล้ว

 

กู่ฉิงซานเอาแต่ทุ่มสมาธิอยู่กับการให้ความสำคัญกับการรับมือกับสถานการณ์เมื่อครู่ จนไม่มีเวลาที่จะมองมันเลย

 

“คุณได้สังหารหวังชีเฉิน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย”

 

“คุณได้สังหารซ่งจิ่ว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพขั้นกลาง”

 

“เนื่องจากการโจมตีทั้งสองคือการใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่ง และเป็นการสังหารในกระบวนท่าเดียว ดังนั้นคุณจึงได้รับแต้มพลังวิญญาณเกินกว่าขีดจำกัดที่มี”

 

“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ : 700 จุด”

 

“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ : 500 จุด”

 

“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 1203/300”

 

มองไปยังหลายบรรทัดแสงหิ่งห้อย ในหัวใจที่หวั่นไหวของกู่ฉิงซานก็ค่อยสงบลงเล็กน้อย

 

ในที่สุด แต้มพลังวิญญาณที่เหือดหายก็เริ่มฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง

 

ในสถานการณ์ปัจจุบัน แต้มพลังวิญญาณคืออำนาจที่มีผลสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง!

 

เพราะหากเขาหากต้องการทราบถึงพิกัดของโลกเทวะ มันก็จำเป็นต้องพึ่งพาปรมาจารย์ค่ายกล

 

ทว่าปรมาจารย์ค่ายกลที่เชื่อถือได้ในโลกนี้ – จื่อหลิวน่ะได้ถูกสังหารลงไปเสียแล้ว!

 

และอีกสามปรมาจารย์ค่ายกลที่เหลืออยู่ในนิกายกวงหยาง … ก็ไว้ใจไม่ได้

 

ฉะนั้น หากต้องการกลับไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ กู่ฉิงซานจำต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น

 

เขาจะต้องอาศัย ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ในการเรียนรู้ค่ายกล แล้วจากนั้นก็จะสามารถควบคุมการเคลื่อนย้ายมิติระหว่างสองโลกได้อย่างสมบูรณ์

 

สายตาของกู่ฉิงซานเลื่อนลงไปยังแถบไอค่อนต่างๆของหน้าต่างระบบเทพสงครามที่อยู่เบื้องล่าง

 

ในไอค่อนเหล่านี้ มีเพียงสามปุ่มเท่านั้นที่ได้รับการเปิดเผยและมีไฟส่องออกมา

 

ทั้งสามรายการแยกกันเป็น ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ และ ‘สมญาเทพสงคราม’

 

นอกเหนือไปจากนั้น ไอค่อนอื่นๆทั้งหมดล้วนถูกปกคลุมโดยสีดำสนิท และไม่สามารถมองเห็นถึงเนื้อหาภายในได้

 

กู่ฉิงซานชำเลืองมองมัน และไม่ได้ให้ความสนใจอีกต่อไป

 

เพราะตอนนี้ สิ่งแรกที่เขาต้องการ ไม่ว่าอย่างไรก็คือการหลบหนีออกไปจากโลกใบนี้!

 

เขาไม่สามารถเบนสมาธิและความสนใจไปกับอย่างอื่นได้

 

ในที่สุดเย่หยิงเหมยก็เอ่ยปากออกมาว่า “เจ้าทั้งสอง เรื่องต่อจากนี้เกี่ยวพันธ์กับชีวิตและความตายของนิกาย แม้ว่าก่อนหน้านี้ พวกเราจะเคยหารือกันมาครั้งหนึ่งแล้ว และในเมื่อเจ้าเองก็กลับมาพอดิบพอดี แสดงว่าคงจะได้คิดไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้วใช่หรือไม่? ข้าก็เลยอยากจะถามเจ้าว่าพร้อมที่จะบรรลุข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราทั้งสามแล้วหรือยัง?”

 

เคยหารือกันมาก่อนครั้งหนึ่งแล้ว

 

บรรลุข้อตกลง?

 

—ว่าแต่ ประเด็นที่สามปรมาจารย์ตำหนักคุยกันมันคือเรื่องอะไรกัน?

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับฟังสิ่งดังกล่าวนี้ และฉีหยานก็ไม่คิดที่จะบอกเล่ามันให้แก่พวกเธอ

 

ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เย่หยิงเหมยกล่าวนั้นคือเรื่องอันใด

 

“ข้าอยากฟังความคิดเห็นของปรมาจารย์ตำหนักเซ่าเสียก่อน”

 

กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

เซ่าหวูชุ่ยไม่เสียเวลาคิดให้มากความ ปากเอ่ยกล่าวโดยตรง “ข้าไม่เห็นด้วยกับความคิดของเจ้านะฉีหยาน และแนะนำให้เจ้าล้มเลิกความคิดที่ว่านั่นเสีย”

 

เย่หยิงเหมยมิกล่าวสิ่งใด ทำแค่เพียงหันมามองหน้ากู่ฉิงซาน

 

เซ่าหวูชุ่ยกล่าวจบ ก็จ้องมองมาที่เขาเช่นกัน

 

ภายใต้การจับจ้องของสองผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า กู่ฉิงซานแสดงอาการขบคิดเล็กน้อย

 

‘เข้าใจล่ะ ได้เบาะแสข้อแรกมาแล้ว นั่นคือไม่เห็นด้วยกับความคิดของข้าสินะ’

 

หากกล่าวมาเช่นนี้ ข้าก็ยังพอที่จะสามารถกล่าวตอบโต้ได้

 

แต่ใครก็ได้ ช่วยบอกข้าที ว่าความคิดของข้ามันคือเรื่องบัดซบอันใดกัน?

 

“สหายเซ่า”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างจงใจ “ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้าต้องการเพียงแค่พยายามที่จะต่อต้านข้า ดังนั้นจึงมิได้พิจารณาถึงความคิดเห็นของข้าอย่างจริงจัง ไม่คิดหรือว่าเจ้ากำลังอคติต่อข้ามากเกินไปหน่อย”

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยหยันทันที “เหอะ! อย่าคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกับเจ้า! ข้าสามารถแยกแยะได้ระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวม!”

 

-ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันคือเรื่องบัดซบอันใด

 

“ไม่เอาน่า เราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

คราวนี้เซ่าหวูชุ่ยเพียงจ้องมองเขา แต่มิได้เอ่ยคำใด

 

เย่หยิงเหมยก็เช่นกัน

 

สายตาของทั้งสองจับจ้องมาที่เขา

 

กู่ฉิงซานจึงต้องเป็นคนเอ่ยปากออกมาเอง “งั้นก็ดี หากเจ้ายังคงเลือกที่จะดึงดัน เช่นนั้นแล้วไหนลองอธิบายเหตุผลให้ข้าฟังซิ”

 

เขากล่าวเน้นทุกคำ แสดงออกด้วยท่าทีเป็นจริงเป็นจัง “-หากเจ้า สามารถโน้มน้าวใจข้าได้ บางทีข้าอาจจะพิจารณาถึงเรื่องนี้อีกครั้ง”

 

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ปิดปากลง และไม่เอ่ยคำใดอีกเลย

 

ก็เรื่องราวมันยังไม่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงไม่ตั้งใจจะพูดอะไรให้หลุดประเด็นแม้เพียงครึ่งคำ

 

เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง ท่าทีการแสดงออกของเขาก็เป็นจริงเป็นจังขึ้น

 

นี่มันเป็นเรื่องเร่งด่วน อีกอย่าง เขาก็ยังไม่ได้ข่าวคราวใดๆจากท่านอาจารย์เลย ดังนั้นคงหยุดความคิดบ้าๆของฉีหยานเอาไว้ก่อนชั่วคราว

 

“ข้ายอมรับว่าเจ้าหนังเหนียวไม่เลว แถมยังมีพรสวรรค์ทางด้านวรยุทธ ทว่าสำหรับการดำรงอยู่ของลั่วชาเฟิง มันมิใช่สิ่งที่เราสมควรจะยั่วยุได้” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว

 

“อ่า … ว่าต่อสิ” กู่ฉิงซานเอ่ยรับสั้นๆ

 

‘ลั่วชาเฟิง’ สินะ

 

ในตอนที่เขากลับมายังนิกาย ดูเหมือนว่าเขาก็จะได้พบกับเรือเหาะที่คอยรับส่งสินค้าไปยังลั่วชาเฟิงเหมือนกัน

 

และสินค้าทั้งหมดบนเรือเหาะ ก็ล้วนเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเม็ดยา

 

มันคือการแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษาสำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ที่ใช้ยื้อชีวิตผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า

 

นอกจากนี้ในปัจจุบัน ลั่วชาเฟิงก็กำลังจะมาเยี่ยมเยือนในเร็วๆนี้อีกด้วย

 

ในสมองของกู่ฉิงซานหมุนเร็วจี๋ ขณะที่สีหน้าของเขากำลังรับฟังอย่างสงบ

 

เมื่อเซ่าหวูชุ่ยเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังไตร่ตรองถึงคำกล่าวของเขา

 

เจ้าตัวจึงตัดสินใจกล่าวโน้มน้าวต่อไป “หลังจากที่นิกายใหญ่ทั้งหลาย ไม่หลบลี้หนีหายก็ถูกทำลายไปแล้วจนสิ้น หลงเหลือแค่เพียงลั่วชาเฟิงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่ครอบครองสามผู้ฝึกยุทธขั้นลมปราณจิตเอาไว้ใช้บดขยี้นิกายอื่นๆได้”

 

“แล้วยังไงต่อ?”

 

กู่ฉิงซานเริ่มแสดงท่าทีหงุดหงิดออกมา

 

สิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวเป็นเพียงความรู้ทั่วๆไปของโลกใบนี้ ดังนั้นการที่เขาจะหงุดหงิดมันจึงย่อมเป็นปกติ

 

เซ่าหวูชุ่ยจึงเร่งกล่าวถึงความหมายที่ตนจะสื่อทันที “ดังนั้นข้อเสนอที่ลั่วชาเฟิงมีให้ต่อเจ้า มันคงเป็นเพียงเรื่องโกหก แท้จริงแล้วพวกมันคงแค่ต้องการที่จะทดสอบสถานะความมั่งคั่งของนิกายเราก็เท่านั้น”

 

“ซึ่งข้ากับปรมาจารย์ตำหนักเย่ได้เห็นพ้องต้องกันแล้วว่า หากเลือกที่จะกินเนื้อโดยไม่คิดคายกระดูกเช่นนี้ มันจักต้องเป็นอันตรายต่อนิกายของเราเป็นแน่”

 

กู่ฉิงซานยกชาขึ้นมาจิบ ทว่าสีหน้าของเขาก็ยังคงสงบเงียบดังเดิม

 

แล้วสิ่งที่ฉีหยานมันจะทำมันคืออะไรกันล่ะเนี่ย?

 

สองปรมาจารย์ตำหนักคัดค้านความคิดของเขาอย่างเป็นเอกฉันท์ และนี่มันคงจะเกี่ยวข้องกับไอ้เรืองที่ว่าตน ‘หนังเหนียว’ เป็นแน่

 

กู่ฉิงซานเค้นสมองคิดอย่างหนัก แต่เขาก็ยังไม่อาจสามารถควานหาความตั้งใจที่แท้จริงของฉีหยานได้

 

สองปรมาจารย์ตำหนักยังคงเฝ้ามองเขา

 

แม้กระทั่งหน้ากากของสตรีแห่งรากษส ก็ยังมองไปทางเขาด้วยรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้า

 

กู่ฉิงซานเริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง

 

“สหายเซ่า ในความเป็นจริงแล้วนั่นมันเป็นเพียงความคิดส่วนตัวของเจ้า มิได้มีพื้นฐานของความจริงแอบแฝงอยู่เลย”

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว

 

เซ่าหวูชุ่ยหันไปขอความช่วยเหลือจากเย่หยิงเหมย

 

เย่หยิงเหมยกลั้วคอเพื่อที่จะกล่าวให้มันชัดๆ และเอ่ยปากออกมา “แต่เอาจริงๆแล้วข้าก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของสหายเซ่านะ”

 

“โฮ่? ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าก็คิดเหมือนกันกับเขางั้นหรือ?”

 

“ใช่”

 

‘เข้าใจล่ะ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ความคิดเห็นเป็น 2 : 1’

 

“กล่าวอย่างซื่อตรงนะศิษย์น้องหยิงเหมย ข้าว่าเจ้าน่ะมีสติและรู้จักนึกคิดมากกว่าเขา ดังนั้นข้าต้องการฟังความคิดเห็นของเจ้า” กู่ฉิงซานแถต่อ

 

เย่หยิงเหมยมิได้สงสัยในคำถามนี้เลย เธอเอ่ยออกไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “สตรีแห่งรากษสรุ่นนี้กำลังจะทะลวงสู่ขอบเขตลมปราณจิตก็จริง ทว่าเจ้าเป็นเพียงแค่คนที่พึ่งก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า ฉะนั้นความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองจึงมิอาจเทียบเปรียบกันได้ นี่คือข้อแรก ”

 

“และข้อสอง ไม่มีผู้ใดเลยที่พบจุดจบที่ดีหากได้เกี่ยวข้องกับสตรีแห่งรากษสแล้ว บ้างไม่สูญเสียทุกสิ่งอย่าง ก็จบลงด้วยความตาย และนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

 

ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์มาถึงสองข้อ กู่ฉิงซานก็พยักหน้า และยังคงรับฟังข้อเสนอแนะของเย่หยิงเหมยต่อ

 

เย่หยิงเหมยเอ่ยต่อว่า “ข้อที่สาม ‘เหล่านิกายใหญ่’ ไม่ถูกทำลายก็ฉีกมิติที่ว่างเปล่าหลบหลี้หนีหายไปจากโลกนี้กันจนสิ้นแล้ว เว้นไว้แต่เพียงลั่วชาเฟิงและนิกายของกวงหยางของเรา ดังนั้นข้าจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าสตรีแห่งรากษสต้องการที่จะใช้เจ้าเป็นไม้กระดานในการข้ามมาเพื่อจัดการกับตลอดทั้งนิกายของเรา”

 

เธอสรุป “ดังนั้น เมื่อคนจากลั่วชาเฟิงมาเยือน เราหวังว่าเจ้าจะปฏิเสธข้อเสนอนั้นต่อหน้าทุกผู้คน”

 

“คิดจะให้ข้ากลับคำพูด?” สีหน้าของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง

 

“ข้าได้รับคำข้อเสนอไปแล้ว แต่เจ้ากลับคิดที่จะให้ข้อปฏิเสธมันต่อหน้าสาธารณะชนกระนั้นหรือ เช่นนี้แล้วศักดิ์ศรีของข้าเล่า? เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน?”

 

แม้จะได้ข้อมูลมาบ้างแล้ว แต่กู่ชิงซานก็ยังมิกล้าคาดเดาเจ้า ‘ข้อเสนอ’ ที่ว่านี้ ว่าคือสิ่งใดอยู่ดี

 

เจ้าผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าสองคนนี้มันกำลังเอ่ยเรื่องบัดซบอันใดกัน?

 

อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่กู่ฉิงซานเดาผิดแม้เพียงครั้ง และเอ่ยบางคำที่ไม่ถูกต้องออกมา สถานะของเขาก็จะถูกเปิดเผยทันที

 

ในแง่มุมนี้ กล่าวได้ว่าสถานการณ์กำลังตกอยู่ในช่วงที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง

 

เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยเหลือบมองกันวูบหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะกังวลใจเล็กน้อย

 

กระทั่งในเวลานี้ ฉีหยานก็ยังมามัวพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีอยู่อีก

 

“นรกเถอะ! เจ้าคิดว่าตัวเอง-” เซ่าหวูชุ่ยกำลังจะพูด

 

แต่กู่ฉิงซานก็ขัดจังหวะเขาเสียก่อน “ขอกล่าวให้มันชัดเจนนะ หากต้องการให้ข้าละทิ้งความต้องการของตัวเอง -แล้วผลประโยชน์อันใดกันที่ข้าจะได้รับ?”

 

เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยชะงักงันไปในทันใด

 

ใช่สิ ในสายตาของฉีหยานผู้นี้ มันมีแต่เรื่องศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของตนเท่านั้น

 

เป็นอีกครั้งที่ทั้งสองได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับนิสัยของฉีหยาน

 

“ผลประโยชน์? ผลประโยชน์ของเจ้าก็คือมิต้องตกตายด้วยน้ำมือของสตรีแห่งรากษสอย่างไรเล่า …” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเสียงอู้อี้

 

กู่ฉิงซานยิ้มเย็น เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ แม้จะผ่านไปแล้วครู่หนึ่ง แต่เจ้าตัวก็ยังมิได้เอ่ยคำใดออกมา

 

มองไปยังท่าทีการแสดงออกของเขา คล้ายกับว่าได้สลักคำกล่าวของเซ่าหวูชุ่ยเอาไว้ในจิตใจเรียบร้อยแล้ว

 

“สหายเซ่า อย่าได้กล่าวเช่นนั้น”

 

เย่หยิงเหมยหันไปติอีกฝ่าย

 

“ฉีหยาน คราวนี้มิใช่เรื่องตลกจริงๆ สตรีแห่งรากษสมีเทคนิคลับและพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ซับซ้อน ยากนักที่จะวินิจฉัย กระทั่งพวกเราเองก็ยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

เย่หยิงเหมยอธิบายอย่างอดทน

 

“นอกจากนี้ เจ้าเองก็ทราบดีว่าร่างกายของผู้อาวุโสสูงสุดจำเป็นต้องพึ่งพาเม็ดยารักษาอันแสนล้ำค่าอยู่ทุกวี่วัน ซึ่งนิกายไม่สามารถทานทนต่อการสูญเสียเช่นนี้ต่อไปได้อีกแล้ว”

 

“หากเกิดอะไรผิดพลั้ง และทางลั่วชาเฟิงคิดแค้นพยาบาทพวกเราขึ้นมา สิ่งที่พวกเราต้องรับมือย่อมมิใช่เพียงสตรีแห่งรากษสเพียงผู้เดียวแน่”

 

“ฉีหยาน ข้าหวังว่าเจ้าจะพิจารณาเกี่ยวกับมันอย่างจริงจังและล้มเลิกความคิดนี้เสีย”

 

“ที่ศิษย์น้องหยิงเหมยพูดมาก็มีเหตุผล ทว่าข้าก็ยังมิได้ยินถึงผลประโยชน์อันใดอยู่ดี” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

ดวงตาของเขากวาดไปยังทั้งสอง และเห็นแค่เพียงเย่หยิงเหมยที่กำลังพยายามควบคุมตนเองอยู่ ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยดูจะเดือดจะคุมไม่อยู่แล้ว

 

ฉะนั้นในตอนนี้ สมควรแล้วที่จะถึงเวลาเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์

 

กู่ฉิงซานบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นทันใด

 

ท่าทีการแสดงออกของเขาดูจริงจังมากขึ้น ปากเอ่ยเสียงทุ้มลึก “สหายเซ่า นี่เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง? ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยปีที่ผ่านพ้นมามากมาย เจ้าสมควรจะเข้าใจข้าดี แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อใจข้าในเรื่องนี้เล่า?”

 

เซ่าหวูชุ่ยเห็นเขาเอ่ยถามอย่างเป็นจริงเป็นจัง ความโกรธในจิตใจตนก็ถดถอยลงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่สามารถทนต่อการกระทำของฉีหยานได้อยู่ดี

 

เขายืนขึ้นและอุทานออกมาว่า “งั้นเจ้าก็บอกข้ามาสิ ว่านอกเหนือไปจากการมอบทรัพยากรล้ำค่ามากมายให้กับนางแล้ว ตัวเจ้าเองจะได้รับอะไรกลับคืนมาจากนางบ้าง!?”

 

“ฉีหยาน! เจ้าไม่สามารถตามตื๊อสตรีแห่งรากษสได้อีกต่อไปแล้ว นางมิได้ต้องการคู่ร่วมฝึกยุทธ! เจ้าไม่สามารถปีนป่ายขึ้นมาร่วมเรียงเคียงคู่กับนางได้!”

 

เช่าหวูชุ่ยตะโกนเสียงดัง

 

ขณะที่เย่หยิงเหมยผงักหัวเล็กน้อย

 

โครม!

 

หัวใจของกู่ฉิงซานราวกับร่วงตกลงมาอย่างแรง

 

-ในที่สุด เขาก็รู้แล้วว่าความคิดของฉีหยานคืออะไร

 

ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดจิ้งจอกขาวจึงมองมาที่เขาด้วยสายตาที่แปลกออกไปเล็กน้อย

 

ที่แท้ฉีหยาน ซึ่งก็คือตัวกู่ฉิงซานในตอนนี้ ความจริงแล้วต้องการที่จะจับสตรีแห่งรากษสมาทำเมีย เอ๊ย! เป็นคู่ร่วมฝึกยุทธนี่เอง!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.439 – ล่อลวงใจ

 

ฉินรั่ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ ค่อยๆชันเข่าถอยกลับไปอยู่เบื้องหลังและเฝ้ามองกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานนั่งในท่วงท่าสบายๆและกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่เอ่ยต่อเล่า? หากทุกอย่างมีเพียงเท่านี้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะนะ”

 

เซ่าหวูชุ่ยส่งเสียงฮึฮะในลำคอและกล่าว “แน่นอนว่ายังมีเรื่องอื่นอีก ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าโดยตรงอีกด้วย ทว่าตอนนี้มีผู้คนอยู่มากเกินไป มันยังไม่สะดวกที่จะพูดคุย”

 

เย่หยิงเหมยมิได้กล่าวสิ่งใด เธอหันไปขออภัยกับจิ้งจอกขาวก่อนเป็นอันดับแรก “ข้าต้องขออภัยจริงๆ ทั้งๆที่นี่เป็นการมาเยือนเพียงคราแรกของท่านแท้ๆ แต่กลับต้องให้มาพบเห็นถึงฉากนองเลือดเช่นนี้”

 

จิ้งจอกขาวส่ายหัวและกล่าว “มันเป็นไรหรอก อันที่จริงข้าคิดว่ามันก็ไม่เลวเหมือนกัน ที่นิกายของเจ้าก็มีวิธีจัดการปัญหาคล้ายคลึงกับนิกายของข้า”

 

“เช่นนั้นข้าขอเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติไปพักผ่อนเสียก่อน เพราะตอนนี้พวกเราจำเป็นที่จะต้องหารือปัญหาเล็กๆน้อยๆภายในนิกาย ซึ่งเกรงว่าเรื่องเหล่านี้มันจะไม่มีค่ามากพอให้ท่านรับฟัง”

 

การปล่อยให้อสูรวิญญาณจากต่างนิกายได้เข้ามารับชมการพิจารณาคดีของนิกายกวงหยาง นี่ก็นับว่าเพียงพอที่จะเป็นการให้เกียรติสตรีแห่งรากษสแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ทุกนิกายย่อมมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่มิอาจแพร่งพรายออกไปยังภายนอกได้

 

และจิ้งจอกขาวก็ย่อมเข้าใจดี

 

มันลุกขึ้นและหันไปโค้งคำนับให้แก่ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสามทีละคน ทีละคน

 

สามปรมาจารย์ก็เร่งยืนขึ้นรับการคำนับอย่างรวดเร็ว และโค้งคารวะสวนกลับคืน

 

จิ้งจอกขาวได้ถอดหน้ากากของสตรีแห่งรากษสออก “เมื่อครู่ท่านปรมาจารย์เฟิง* เอ่ยปากยกย่องออกมาว่า นางชื่นชมในทัศนคติของปรมาจารย์ตำหนักฉีเป็นอย่างมาก เลยบอกให้ข้ามอบหน้ากากนี้แก่ท่าน”

 

*(เฟิงในที่นี้มาจากลั่วชา ‘เฟิง’ )

 

สีหน้าของเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

สตรีแห่งรากษสสามารถรับชมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้งหมดผ่านทางจิ้งจอกขาว พลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้มิได้พบเห็นได้ยากเย็นอะไร แต่ …

 

นางกลับมอบหน้ากากของตนเองให้แด่ฉีหยาน

 

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

 

กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านปรมาจารย์เฟิง เอาไว้ถึงยามที่ท่านมาเยี่ยมเยือน ข้าจักไปทักทายท่านอีกครั้งเป็นการส่วนตัว”

 

ว่าจบเขาก็โบกมือไปทางด้านหลัง

 

ฉินรั่วก้าวออกมาข้างหน้า และรับหน้ากากสตรีแห่งรากษสจากมือจิ้งจอกขาว

 

เพียงจับต้อง ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบ

 

แท้จริงแล้วหน้ากากชิ้นนี้สลักขึ้นจากหยกวิญญาณที่มีคุณภาพดีที่สุด แถมมันยังบางเบาราวกับปีกจั๊กจั่น

 

แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญจริงๆนั่นก็คือ หน้ากากชิ้นนี้ เป็นตัวแทนของสตรีแห่งรากษส มันคือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงตัวตนของเธอ

 

จิ้งจอกขาวกล่าว “เจ้าสิ่งนี้คือของส่วนตัวที่ปรมาจารย์เฟิงชมชอบ และนางมักจะให้ข้าพกมันติดตัวอยู่เสมอ ข้าหวังว่าปรมาจารย์ตำหนักฉีจะให้ความเคารพและใส่ใจกับมันเป็นอย่างดี”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว วางใจเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วที่กำลังถือหน้ากาก พอได้ยินคำกล่าวนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขบคิด

 

‘ตามมารยาทแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน มันคงไม่เป็นการดีที่จะส่งมอบหน้ากากให้แก่กู่ฉิงซานโดยตรง’

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ปรมาจารย์เฟิงแห่งลั่วชาเฟิงน่ะคือผู้ฝึกยุทธหญิง และหน้ากากนี้ก็เป็นของส่วนตัวของเธอ

 

นอกเหนือจากนั้นจิ้งจอกขาวก็ยังถึงขั้นเน้นย้ำเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวมันเอง

 

ฉะนั้นแล้วการมอบมันถึงมือของกู่ฉิงซาน ไม่เพียงจะดูไม่ใส่ใจ แต่ยังดูไม่สุภาพและไร้มารยาทอีกด้วย

 

และกู่ฉิงซานให้ฉินรั่วก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับหน้ากาก นั่นก็เพียงพอที่จะบอกเจตนาที่เขาจะสื่ออยู่แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม แม้การรับของแทนเจ้านายจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ทว่าขณะเดียวกันเธอก็ไม่สมควรที่จะถือมันไว้นานเกินไปเช่นกัน -เพราะยังไงเสีย เธอก็เป็นเพียงสาวใช้ของฉีหยาน

 

ฉินรั่วจึงวางหน้ากากสตรีแห่งรากษสลงบนโต๊ะเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

“นี่เจ้าค่ะ นายน้อย”

 

“อืม เจ้าถอยกลับไปได้แล้ว”

 

กู่ฉิงซานผงกหัวให้เธอเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหญิงสาวรู้งาน และปฏิบัติดั่งที่เขาตั้งใจเป็นอย่างดี

 

จิ้งจอกขาวพอได้เห็นฉากนี้ มันก็รู้สึกพึงพอใจเล็กน้อย

 

“เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” จิ้งจอกขาวกล่าว

 

“พวกเราน้อมส่ง” สามปรมาจารย์ตำหนักเอ่ยพร้อมกัน

 

เมื่อความตั้งใจของจิ้งจอกขาวบรรลุผลแล้ว มันจึงกลับไปพักผ่อนด้วยความพึงพอใจ

 

เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยมองมายังหน้ากาก ในหัวใจบังเกิดความสับสน

 

สตรีแห่งรากษส , ปรมาจารย์แห่งลั่วชาเฟิง ทุกการกระทำและเคลื่อนไหวย่อมมีความหมายแฝงอันลึกล้ำ

 

แล้วการที่นางกระทำเช่นนี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่?

 

เซ่าหวูชุ่ยขบคิดในจิตใจอย่างรวดเร็ว ก่อนละเริ่มเอ่ยปากกล่าว “เอาล่ะ งั้นตอนนี้พวกเราก็มาเริ่มการหารือเรื่องหลักของนิกายกันดีกว่า พวกเจ้าคนอื่นๆถอยออกไปได้แล้ว”

 

ผู้ฝึกยุทธบังคงกฏคนแล้วคนเล่าเริ่มทยอยลงจากเวที และไม่นานทั้งหมดก็จากไปอย่างรวดเร็ว

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อก็ถอยไปเช่นกัน

 

ทว่าฉานนู่กลับยังคงยืนนิ่ง

 

“หือ? เจ้าเด็กนี่มันอะไรกัน?” เซ่าหวูชุ่ยขมวดคิ้วมุ่น

 

“นี่คือศิษย์คนใหม่ของข้า เรียกว่ากู่ฉิงซาน เจ้าก็มาทักทายอาวุโสทั้งสองสิ”

 

กู่ฉิงซานหันไปส่งสัญญาณแก่ฉานนู่

 

“หญิงที่ครอบครองความงามอันน่าทึ่งผู้นี้คือปรมาจารย์เย่หยิงเหมย จากตำหนักหนิงเยว่ , ส่วนข้างๆนั่นคือปรมาจารย์เซ่าหวูชุ่ยที่มั่งคั่งที่สุดจากตำหนักเจียงซี”

 

หลังจากได้ฟังการแนะนำตัวแก่กู่ฉิงซาน สีหน้าของเย่หยิงเหมยก็แสดงออกถึงรอยยิ้มน้อยๆ ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยก็ยังคงจ้องมองฉานนู่อยู่เช่นกัน

 

แต่สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยยังคงสงบนิ่ง

 

เมื่อครู่นี้ฉีหยานกล่าวว่าเขาเป็นผู้มั่งคั่งที่สุด ..

 

ทว่าคำว่ามั่งคั่งนี่ .. ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกอัดอัดใจมากขึ้นเท่านั้น ..

 

ฉานนู่ก้าวมาข้างหน้า โค้งกายคารวะทักทาย “ผู้น้อยกู่ฉิงซาน ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ตำหนักทั้งสอง”

 

“รับเอาขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายเป็นศิษย์ หากตัดสินเพียงพื้นฐานวรยุทธก็ยังไม่นับว่าแย่จนเกินไป” เย่หยิงเหมยกล่าว

 

“เจ้าเป็นผู้ฝึกดาบสินะ?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม

 

“ขอรับ” ฉานนู่ตอบรับ

 

“จู่ๆเจ้าคิดอะไรถึงได้รับศิษย์อย่างกระทันหันเช่นนี้?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถามซอกแซก

 

“พอแล้วฉาน – ข้าหมายถึงฉิงซาน ในเมื่อเจ้าได้คารวะอาวุโสทั้งสองแล้ว ครานี้เจ้าก็ถอยออกไปได้แล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ขอรับ” ฉานนู่รับคำ

 

เธอประสานกำปั้นไปยังสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าทั้งสองอีกครา ก่อนจะหันหลังกลับ และมุ่งหน้าไปยังทางลงแท่นเวที

 

เห็นแค่เพียงเซ่าหวูชุ่ยที่จ้องเขม็งตามหลัง ‘กู่ฉิงซาน’ ฝ่ามือหุบเข้าหากันเป็นกำปั้นในทันใด และจู่ๆก็ชกพรวด! ออกไปในชั้นอากาศอย่างแผ่วเบา

 

ฉานนู่หันขวับ!กลับมาอย่างดุดัน ในมือคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วจ้วงแทงมันสวนออกไปข้างหน้าทันที

 

รังสีดาบห้าเฉกที่เปรียบดั่งค้อนปอนด์ระเบิดออกมา ทว่าเพียงปะทะเข้ากับพลังหมัดกลางอากาศ มันก็สลายไปในพริบตา

 

ขณะเดียวกัน หมัดโปร่งใสกลับถูกขัดขวางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อำนาจและแรงกดดันของมันก็ยังคงแรงไม่ตกอยู่ดี

 

พลังหมัดของเซ่าหวูชุ่ยช่างสูงล้ำยิ่ง! มันสามารถบดขยี้เทคนิคลับแห่งดาบฝ่าวารีเชี่ยวของฉานนู่ได้โดยตรง แถมยังคงอานุภาพภายในเอาไว้อีกเหลือเฟือ

 

อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงสองดาบยาวผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าข้างกายเธอ

 

ดาบพิภพและเช่าหยิน

 

ในเสี้ยววินาที สองดาบก็สาดรังสีแสงสีขาวนวลดั่งจันทรา หล่อหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นเสี้ยวจันทร์ขนาดยักษ์ ฟาดฟันออกไปต้อนรับพลังหมัดโปร่งใสนี้

 

เปรี้ยง!

 

บังเกิดเสียงของชั้นอากาศแยกจากกัน พร้อมด้วยการสั่นสะเทือนจางๆที่ก้องกังวานไปตลอดทั้งแท่นเวที

 

พลังหมัดถูกผ่าออกด้วย ‘ตัดจันทรา’ มันแยกออกเป็นสองและสลายตัวกลายเป็นลมกรรโชกอย่างรุนแรง ส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่วชั้นอากาศ

 

ด้วยสามเทคนิคลับแห่งดาบ ในที่สุดก็สามารถสลายพลังหมัดของเซ่าหวูชุ่ยได้ในที่สุด

 

‘กู่ฉิงซาน’ ยืนอยู่ในสถานที่เดิม พร้อมกับสองดาบบินที่ลอยล่อง โคจรไปมารอบกายเขา

 

ในมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกาแน่น ปากเอ่ยเสียงเย็น “อาวุโสเซ่า ที่ท่านทำหมายความว่ากระไรกัน?”

 

เซ่าหวูชุ่ยจ้องมองไปยังสองดาบบินที่ลอยอยู่กลางเวหา ปากเอ่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นักดาบนิรันดร์! แท้จริงแล้วเจ้าเป็นนักดาบนิรันดร์! ไม่สิ นี่มันไม่ถูกจ้อง ทั้งๆที่เจ้าเป็นเพียงขอบเขตก้าวสู่เทพแท้ๆ…”

 

เย่หยิงเหมยมองไปยังกู่ฉิงซานวูบหนึ่ง ข้อสงสัยในหัวใจได้สลายหายไป

 

“เป็นแค่เพียงก้าวสู่เทพอันเล็กจ้อย ทว่าทักษะดาบกลับทะยานก้าวล้ำขึ้นมาถึงระดับนักดาบนิรันดร์เสียแล้ว ต่อให้เป็นข้าเองก็ตามที หากได้พบเจอกับหยกล้ำค่าเช่นนี้ ก็คงมิแคล้วถูกล่อลวงโดยมันเป็นแน่” เธอถอนหายใจและกล่าวออกมา

 

“ช้าก่อน” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยขัดออกมา

 

กู่ฉิงซานหรี่ตามองเขา

 

“พิธีเคารพอาจารย์เสร็จสิ้นแล้วกระนั้นหรือ? ข้าจดจำได้ว่านิกายข้า หากต้องการที่จะรับศิษย์ จำต้องได้รับการยืนยันจากทางนิกายก่อนมิใช่หรือ” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

“ก็ข้าพึ่งจะกลับมา นอกจากนี้ยังไม่มีเวลาได้ทำสิ่งใดเลย แต่ยังไงก็ตาม เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะเกิดขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เซ่าหวูชุ่ยนิ่งงันไปครู่

 

เขาหันไปกล่าวกับฉานนู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ในเมื่อเจ้ายังเป็นเพียงรุ่นเยาว์ ทว่ากลับสามารถทานรับกำปั้นของข้าได้ ดัวนั้นข้าจึงจะขอมอบของรับขวัญในฐานะที่พานพบกันครั้งแรกให้”

 

“ฉิงซานเอ๋ย ดูเหมือนว่ากำปั้นที่เจ้าทนทานรับมันจักไม่เสียเปล่าซะแล้วซี” กู่ฉิงซานกล่าวกับฉานนู่

 

ระหว่างผู้ฝึกยุทธด้วยกัน การมอบของขวัญให้แก่ผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ที่เรียกกันว่าของรับขวัญในฐานะที่พบพานครั้งแรกนั้น แท้จริงแล้วมารยาทและพิธีกรรมเล็กๆน้อยๆขั้นพื้นฐานที่สุด

 

ถึงแม้ว่าเซ่าหวูชุ่ยกับฉีหยานจะมีความขัดแย่งกันอยู่ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังรักษามารยาททางพิธีกรรมนี้กันอยู่บ้าง.

 

“รีบขอบพระคุณอาวุโสเซ่าเร็วซี่ เขาคือผู้ฝึกยุทธชั้นยอดระดับขีดสุดความว่างเปล่าเชียวนะ นอกจากนี้ยังเป็นถึงปรมาจารย์ตำหนักอีก ฉะนั้นแล้ว ของที่เขานำออกมามอบให้เจ้าย่อมต้องมิใช่สิ่งเลวร้ายเกินไปอย่างแน่นอน เพราะหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มันคงจะน่าอับอายไม่น้อยเลยสำหรับเขา”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยไม่กี่คำ เพื่อขุดหลุมพรางใส่เซ่าหวูชุ่ย

 

เซ่าหวูชุ่ยเหล่ตามองเขาวูบหนึ่ง ก่อนที่จะเบนสายตากลับมามองฉานนู่ต่อ

 

ด้วยขอบเขตของเซ่าหวูชุ่ยที่ทรงพลังยิ่ง ดังนั้นยามเมื่อเจ้าตัวได้ส่งกำปั้นออกไปปะทะ เขาจึงได้ค้นพบถึงรากฐานพลังที่แท้จริงของ ‘กู่ฉิงซาน’ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

 

นี่มันเมล็ดพันธุ์แห่งวิถีดาบ

 

เมล็ดพันธุ์แห่งวิถีดาบตัวจริงเสียงจริง!

 

ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!

 

ที่ต้นกล้าดีๆเช่นนี้ … ดันต้องมาถูกไอ้ขยะอย่างฉีหยานขุดตัดหน้าไปเสียก่อน

 

เซ่าหวูชุ่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอีกฝ่ายยังมิได้เริ่มพิธีกรรมเคารพอาจารย์ เช่นนั้นเรื่องราวมันก็ง่ายที่จะกล่าว

 

เพราะไม่ว่ายังไง ฉีหยานก็กำลังจะต้อง ‘ตาย’ อยู่แล้ว …

 

และเมื่อเวลานั้นมาถึง …

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เซ่าหวูชุ่ยก็ตบลงในถุงสัมภาระ หยิบขวดที่บรรจุเม็ดยาออกมา และโยนมันออกไป

 

ฉานนู่คว้ารับเอาขวดเม็ดยาไว้ในมือของเธอ

 

“เจ้าไม่เพียงเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย แต่ข้ากลับเห็นถึงรากฐานอันลึกล้ำและเต็มไปด้วยพลังวิญญาณของเจ้า – เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังจะทะลวงขอบเขตใหญ่อยู่รอมร่อแล้ว” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว

 

“ดังนั้น ข้าจึงมอบขวดที่ภายในบรรจุเม็ดยาประทับเทพให้ ในยามที่เจ้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ มันจักสามารถช่วยเติมเต็มพลังวิญญาณที่สูญเสียไป และในยามที่เจ้าสามารถข้ามผ่านโทษทัณฑ์สำเร็จ มันก็ยังจะช่วยให้ความผันผวนทางพลังวิญญาณของเจ้ากลับคืนสู่ปกติได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย”

 

คิ้วของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้นเล็กน้อย ทว่าเขาก็ยังเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม “นับว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่เลวเลย เร่งขอบคุณปรมาจารย์ตำหนักเซ่าเร็วเข้า”

 

“ขอรับ ข้าขอขอบพระคุณปรมาจารย์ตำหนักเซ่า” ฉานนู่กล่าว

 

ส่วนเย่หยิงเหมยก็คว้ายันต์ออกมา และโยนมันออกไป

 

เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายเซ่าก็ได้มอบของรับขวัญให้เจ้าไปแล้ว เช่นนั้นข้าเองก็คงมิอาจน้อยหน้าได้เช่นกัน – นี่เป็นยันต์ประเภทป้องกัน แม้จักใช้ได้เพียงครั้งเดียวก็ตามที ทว่ามันสามารถต้านทานการโจมตีจากผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าอย่างเต็มกำลังได้หนึ่งครั้ง – สิ่งนี้จะช่วยรับประกันชีวิตของเจ้าได้หนึ่งหน”

 

“โอ้ว ดูนั่นซีปรมาจารย์ตำหนักฉี กำปั้นที่ข้าปล่อยออกไปนับว่าไม่เสียเปล่าอย่างที่เจ้ากล่าวจริงๆด้วย” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

 

“ปรมาจารย์ตำหนักเซ่า กล่าวล้อเล่นอีกแล้ว” กู่ฉิงซานจ้องอีกฝ่าย แต่ก็ยังเผยสีหน้ายิ้มแย้มออกมา

 

เซ่าหวูชุ่ยพยักหน้า และหันไปมอง ‘กู่ฉิงซาน’ อีกครั้ง

 

แต่กลับเห็นแค่เพียง ‘กู่ฉิงซาน’ ที่แม้จะได้รับสมบัติล้ำค่าจากผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าถึงสองคน แต่สีหน้าของเขากลับสงบนิ่ง ไม่มีกระทั่งร่องรอยการกระเพื่อมของกล้ามเนื้อบนใบหน้าด้วยซ้ำ

 

แต่นั่นมันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉานนู่น่ะเป็นจิตอาร์ติแฟค แถมยังมีอุปนิสัยเย็นชา ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดาที่เธอจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้

 

สองผู้ฝึกยุทธชั้นยอดเฝ้ามองดู ‘กู่ฉิงซาน’ ที่ปราศจากความเย่อหยิ่ง ขณะเดียวกันก็สงบนิ่ง ในหัวใจของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะประเมินอีกฝ่ายไว้สูงยิ่งกว่าเดิม

 

บนใบหน้าของกู่ฉิงซานเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าหัวใจของเขากลับตื่นตัว และเพิ่มความระแวดระวังมากขึ้นอย่างกระทันหัน

 

แม้การที่อาวุโสมอบของรับขวัญให้ตามมารยาทและพิธีกรรมในครั้งนี้จะดูเหมือนกับว่าเป็นเพียงเรื่องปกติ

 

ทว่า .. สิ่งที่สองปรมาจารย์ตำหนักมอบให้ มันเป็นของล้ำค่าเกินไป อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่สมควรที่จะไว้หน้าฉีหยานมากขนาดนี้

 

กล่าวได้ว่าหากฉีหยานตัวจริงมาอยู่ที่นี่ กระทั่งตัวเขาเองก็ยังคงต้องภาคภูมิใจกับมันเป็นแน่

 

แต่ในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ

 

—ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองกับฉีหยาน พวกเขาย่อมไม่ต้องการที่จะให้เกียรติฉีหยานถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้ว ทั้งคู่จะทุ่มมอบของรับขวัญที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ให้แก่รุ่นเยาว์ได้อย่างไร?

 

โดยเฉพาะเซ่าหวูชุ่ย มันถึงขั้นเปล่งวาจาและแสดงทัศนคติที่ดีออกนอกหน้าถึงเพียงนั้น

 

คนเช่นมัน แถมยังมีวรยุทธอยู่ถึงระดับนั้น เหตุใดจึงต้องละทิ้งความไม่พอใจ และหันมาพูดอะไรที่มันระรื่นหูออกมาด้วย?

 

นี่มันมิแตกต่างไปจากสำนวน ‘ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด’ ชัดๆ

 

อย่างไรก็ตาม บนใบหน้าของกู่ฉิงซานก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาโบกมือและกล่าวว่า “เอาล่ะฉิงซาน ถึงเวลาที่เจ้าจักต้องถอยไปก่อนแล้ว เวลานี้สมควรแก่การที่ข้าจะต้องหารืออย่างเป็นทางการกับสองปรมาจารย์ตำหนักเสียที”

 

“ขอรับ”

 

ฉานนู่เอ่ยรับคำหนึ่ง และถอยออกลงจากเวที

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.438 – กฏน่ะมันไร้ค่า!

 

พอเห็นแบบนั้น ทุกคนที่คอยแอบเฝ้ามองก็พากันถอนสายตากลับคืน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

 

เซ่าหวูชุ่ยอ้าปากพะงาบๆอยู่หลายครั้ง ทว่าเขากลับไม่สามารถยกเรื่องนี้ขึ้นมาถกเถียงได้อีกเลย

 

ดังนั้น เมื่อเรื่องราวมันไม่เป็นดั่งใจ ส่งผลให้ความโกรธหัวใจของเซ่าหวูชุ่ยคุกรุ่นยิ่งกว่าเดิม

 

เขาคือผู้ฝึกยุทธชั้นยอด เป็นนักสู้หวูเต๋า(วิถียุทธ)ที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า! ภายในนิกาย นอกเหนือไปจากผู้อาวุโสสูงสุดและท่านผู้นำแล้ว ก็เป็นเขานี่แหละที่แข็งแกร่งที่สุด!

 

ในขณะนี้ เซ่าหวูชุ่ยนับว่ากำลังเดือดปุดๆแล้วอย่างแท้จริง

 

เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาด้วยความเกลียดชัง “ปรมาจารย์ตำหนักเย่ เรามาเริ่มการหารือกันอย่างเป็นทางการกันเลยดีกว่า ประเด็นแรก พวกเราจะพูดคุยกันถึงเรื่องของปรมาจารย์ตำหนักฉี”

 

“ข้าอยากจะเห็นจริงๆว่าปรมาจารย์ตำหนักฉีจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร!”

 

เย่หยิงเหมยพอได้ฟัง ก็ลอบถอนหายใจอย่างลับๆ

 

เธอไม่ต้องการเลย ที่จะยั่วยุให้ฉีหยานโกรธในสถานการณ์เช่นนี้

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องราวได้มาถึงจุดนี้แล้ว ก็คงจำเป็นต้องพูด

 

“เอาล่ะปรมาจารย์ตำหนักฉี เจ้ามิได้อยู่ในนิกายจึงยังไม่รู้ถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ .. ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าน่ะได้ก่อเหตุร้ายแรงขึ้น” เย่หยิงเหมยพยายามเรียบเรียงคำพูด

 

“มันคือเรื่องอันใด? พวกเราทุกคนก็ล้วนอยู่ภายใต้ชายคานิกายเดียวกัน ปัญหาเล็กๆน้อยๆก็ปล่อยผ่าน ทำเป็นละเลยไปมิได้หรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

 

“หากเป็นเรื่องอื่นข้าก็จะทำเป็นปิดหูปิดตาไป ทว่าเหตุการณ์นี้ เป็นการละเมิดข้อห้ามร้ายแรงของนิกาย และข้าจำเป็นต้องแจ้งแก่เจ้าอย่างเป็นทางการ” เย่หยิงเหมยฝืนยิ้มออกมา

 

เซ่าหวูชุ่ยแทรกหัวข้อสนทนาทันที เขาสาดสายตามายังกู่ฉิงซานและกล่าว “ไม่เพียงแค่จำเป็นต้องแจ้งอย่างเป็นทางการ แต่เหตุการณ์นี้มันร้ายแรงนัก นอกจากนี้ยังมีส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อตัวนิกายอีกด้วย!”

 

“ปรมาจารย์ตำหนักฉี ข้าหวังเจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมตามกฏของนิกายนะ”

 

ขณะกล่าว บนใบหน้าของเซ่าหวูชุ่ยก็เผยถึงรอยยิ้มแย้มแห่งความปิติออกมา

 

“เชิญกล่าว” กู่ฉิงซานตอบรับคำ

 

เย่หยิงเหมยโบกมือและป่าวประกาศ “นำตัวเข้ามาได้!”

 

พร้อมด้วยการโบกมือของเธอ 7-8 ผู้ฝึกยุทธก็ทะยานตัวขึ้นมาบนแท่นเวที

 

ไม่นานนัก สองผู้ฝึกยุทธที่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนก็โดนลากขึ้นมา

 

เมื่อสายตาของสองผู้ฝึกยุทธเห็นฉีหยาน พวกเขาก็ราวกับเห็นพระมาโปรด ทั้งสองเร่งเอ่ยตะโกนทันที

 

“ปรมาจารย์ตำหนัก! ได้โปรดช่วยผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วย!”

 

พวกเขาคือคนจากตำหนักซานเหว่ย

 

และทั้งสองยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของเขาอีกด้วย

 

กู่ฉิงซานเหลือบสายตาเย็นชาไปมอง ปากเอ่ยกล่าว “นั่นมันคนของข้ามิใช่หรือ ศิษย์น้องหยิงเหมยเจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่?”

 

เย่หยิงเหมยกล่าว “เมื่อวานนี้ พวกเขาได้ต่อสู้กันเพื่อแย่งตัวชิงสาวใช้ ทั้งสองลงมืออย่างหนักโดยมิได้สนใจสาวใช้ที่แย่งชิงเลย พวกมันประมาทพลั้งเผลอ ปล่อยให้สาวใช้นางนั้นลอบสบโอกาสทำลายค่ายกลจนสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่เกือบที่จะพังทลายลงมา!”

 

“นอกจากนี้ นั่นยังเป็นช่วงเวลาที่อีก1ส่วน4ชั่วยามก็จะเกิดลางร้ายขึ้นอีกด้วย ทว่าโชคดีจริงๆที่ปรมาจารย์ค่ายกลทั้งสามในนิกายได้ร่วมแรงร่วมใจกันซ่อมแซมมันอย่างสุดกำลัง และสามารถติดตั้งค่ายกลกลับคืนสำเร็จก่อนที่ช่วงเวลาลางร้ายจะมาถึงได้ในที่สุด”

 

ดวงตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง

 

สาวใช้?

 

ค่ายกล?

 

สามปรมาจารย์ค่ายกลที่กล่าวมา แสดงว่าในนิกายกวงหยางยังมีเหลืออยู่อีก สามปรมาจารย์ค่ายกลสินะ

 

“แย่งชิงสาวใช้กันงั้นสินะ … ”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองและหัวเราะออกมาเบาๆ

 

“นายน้อย” หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกขาน “มันมิได้ร้ายแรงอย่างที่พวกเขากล่าวนะท่าน ในช่วงเวลานั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น พวกเราก็รีบหยุดจื่อหลิวทันที!”

 

จื่อหลิว?

 

มาได้จังหวะพอดีเลย!

 

แท้จริงแล้วสาวใช้ที่พวกเขาแย่งชิงกันกลับกลายเป็นเด็กสาวผู้แตกฉานในค่ายกลนี่เอง

 

และเธอคือกุญแจสำคัญในการซ่อมแซมค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก!

 

ได้ยินมาว่าเธอเป็นเด็กสาวที่มีจิตใจดีด้วยนี่นา

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กล่าวได้ว่าตราบใดที่ช่วยเหลือเธอ เธอก็ย่อมที่จะให้ความร่วมมือในการพาตนเองหลบหนีออกไปจากโลกใบนี้อย่างแน่นอน

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอย่างเงียบๆ

 

เขายังคงมองไปทางผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองอย่างระมัดระวัง สีหน้าท่าทีแลดูเบื่อหน่ายและไม่แยแส

 

เมื่อเห็นว่านายน้อยของตนไม่ตอบ หนึ่งในนั้นจึงเร่งกล่าวออกมาว่า “นายน้อย แม้ว่าต้นเหตุจะมาจากพวกเรา แต่เรื่องนี้พวกเราได้แก้ไขมันเรียบร้อยแล้วนะท่าน”

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยหยัน “เหอะ! นั่นน่ะหรือคือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าแก้ไข? โดยการสังหารนางเนี่ยนะ? ต่อให้สังหารไป ผลลัพธ์จากฝีมือนางมันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี!”

 

สังหารนาง

 

สังหารนาง

 

สังหารนาง

 

จื่อหลิวตายแล้ว …

 

แม้บนใบหน้าของกู่ฉิงซานจะไม่แสดงออกถึงสิ่งใดเลยก็ตาม ทว่าในหัวใจของเขากลับหม่นทะมึนลงอย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่ฉินรั่วกับว่านเอ๋อตกใจจนพูดไม่ออก ทั้งคนทั้งร่างของพวกเธอสั่นไหว น้ำตาไหลลงมาเป็นสายอย่างมิอาจควบคุมได้

 

ด้วยฐานะที่พวกตนเป็นสาวใช้ ดังนั้นสองสาวจึงไม่เกรงที่จะให้ผู้อื่นเห็นปฏิกริยาดังกล่าว

 

“พวกเจ้า — สังหารนางแล้วจริงๆหรือ?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปากถามในที่สุด

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองพยักหน้าอีกครั้ง และอีกครั้ง

 

หนึ่งในสองได้เอ่ยออกมาอย่างชั่วร้ายว่า “ผู้ก่อเหตุได้รับโทษทัณฑ์ร้ายแรงแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สมควรที่จะมอบโทษทัณฑ์ใดๆกับพวกเราอีก นายน้อยโปรดช่วยเหลือด้วย!”

 

อีกหนึ่งผู้ใต้บังคับบัญชากล่าว “ใช่แล้วนายน้อย พวกเรารู้ดี! ว่าหากเป็นท่านก็คงจักใช้วิธีเดียวกัน”

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยปากเข้าแทรก “ฉีหยาน นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เจ้าสมควรจะตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี สำหรับค่ายกลแล้วการกระทำใดที่อาจส่งผลร้ายต่อมัน ล้วนมิอาจผ่อนปรนได้”

 

“แต่นั่นมันเป็นเพียงแค่สองค่ายกลสามัญเท่านั้นเองนะ” ผู้ใต้บังคับบัญชาของฉีหยานเอ่ยออกมา

 

“ภายในนิกาย ไม่ว่าใครก็ห้ามทำอะไรที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อค่ายกลทั้งสิ้น! ต่อให้มันจะเป็นเพียงค่ายกลสามัญก็ตามที” เย่หยิงเหมยกล่าว

 

เธอเอ่ยเน้นย้ำ “ทุกๆค่ายกลล้วนเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตลอดทั้งนิกาย ในกรณีที่เกิดปัญหา มันอาจเป็นการชักนำมารโลกามาก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นเหล่าสาวกและปรมาจารย์ทั้งหมดมิถูกกลบฝังไปพร้อมกับนิกายเลยหรอกหรือ?”

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงครู่หนึ่ง ขบคิดเกี่ยวกับมันและกล่าว “ไปเรียกหวูซานมา ข้าต้องการจะทราบความจริง”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้า

 

หากอีกฝ่ายต้องการที่จะรับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยละเอียดจากปากของผู้อื่น นั่นย่อมเป็นสิ่งที่พอจะยอมรับได้

 

ฉีหยานเป็นคนขี้สงสัย และเขาจะไม่เชื่อในสิ่งคนอื่นพูด นอกเสียจากว่าเขายินดีที่จะรับฟังคนผู้นั้นเอง

 

ผู้ฝึกยุทธบังคับกฏได้ออกไปทันที

 

แล้วไม่นานนัก ผู้ฝึกยุทธที่ร่างกายอวบหนา อุดมไปด้วยไขมันก็วิ่งเหยาะๆขึ้นมาบนแท่นเวที

 

เขามาหยุดอยู่ตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน พร้อมกับเร่งกระแทกเข่าทั้งสองลงกับพื้นและโค้งหัวลงอย่างนอบน้อมทันที

 

“ท่านปรมาจารย์เรียกหาข้ากระนั้นหรือ?” หวูซานเผยรอยยิ้มแย้มประจบประแจงบนใบหน้า

 

ขณะที่ผู้ฝึกยุทธรอบด้านต่างแสดงออกถึงความรังเกียจ

 

“เอาล่ะ ไหนเจ้าลองเล่ามาซิ ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาเอ่ยเสริมว่า “และเวลานี้ ข้าต้องการที่จะทราบถึงสถานการณ์จริง จงอย่าปิดบังมันกับข้า”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักพอได้ฟัง สายตาก็จับจ้องลงไปยังหวูซาน พร้อมด้วยท่าทีการแสดงออกที่เปลี่ยนไป

 

สีหน้าของหวูซานเดิมทีฟุ้งไปด้วยความไร้ยางอาย ทว่าหลังจากที่ได้ยินประโยคครึ่งหลังของกู่ฉิงซาน การแสดงออกของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไป

 

ดูเหมือนว่านายน้อยกำลังวางแผนอื่นๆอยู่ ดังนั้นในครั้งนี้ตนเองจึงไม่สมควรที่จะทำลพาด

 

“เรียนท่านปรมาจารย์ แท้จริงแล้วเรื่องราวมันเป็นเช่นนี้ … ”

 

แล้วหวูซานก็กล่าวอย่างเป็นกลาง เขาเล่าทุกสิ่งอย่างออกมาด้วยความจริง

 

สถานการณ์ที่ว่ามานี้เหมือนกับที่เย่หยิงเหมยกล่าวทุกประการ

 

พอร่วมฟังจนจบ เย่หยิงเหมยก็เอ่ยออกมาว่า “ตามบทลงโทษที่สอดคล้องกับกฏของนิกาย พวกเขาทั้งสองจะต้องถูกถอดถอนพื้นฐานวรยุทธ ลดตำแหน่งลงไปเป็นคนใช้ และมิอาจก้าวเข้าสู่ตำหนักซานเหว่ยได้อีกตลอดชีวิต”

 

“ปรมาจารย์ตำหนักฉี แล้วเจ้าเล่า มีความคิดเห็นว่าสมควรจะจัดการอย่างไร?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างเพลิดเพลิน

 

เขามองไปทางกู่ฉิงซาน และกำลังตระเตรียมประโยคเด็ดที่จะกล่าวต่อไปเอาไว้ล่วงหน้า

 

หากฉีหยานแก้ตัวให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ตนกับเย่หยิงเหมยจะกล่าวโจมตีเขาทันที เอาให้ฉีหยานหน้าเสียจนไม่กล้านั่งอยู่บนเวทีแห่งนี้อีกเลย

 

และอีกอย่างเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีแห่งรากษส ฉีหยานย่อมไม่อาจพลิกลิ้น และท้ายที่สุดนี้ ผลประโยชน์ย่อมต้องเทมาทางฝั่งตนเป็นแน่

 

เซ่าหวูชุ่ยพอคิดมาถึงจุดนี้ มือของเขาก็กำแน่นขึ้นเล็กน้อย และกำลังเฝ้ารอคอยคำตอบของฉีหยาน

 

คนอื่นๆก็หันไปมองฉีหยานด้วยเช่นกัน ทั้งหมดต้องการดูว่าเขาจะตอบสนองอย่างไร

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ขยับหมวกไม้ไผ่อย่างอ่อนโยน และลดมือลงมาลูบไล้แผลลึกบนใบหน้าของเขา

 

“พอดีว่าข้ากำลังอยู่ในช่วงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนักเมื่อไม่นานมานี้” เขากล่าว

 

ปรมาจารย์ตำหนักขมวดคิ้ว

 

เขาต้องการจะโวยวายแล้วใช่หรือไม่?

 

เรื่องราวเมื่อครู่ยังไม่จบสินะ?

 

“ปรมาจารย์ตำหนักฉี-” เย่หยิงเหมยกำลังจะเอ่ยปากกล่าว

 

แต่กู่ฉิงซานโบกมือเสียก่อน ส่งสัญญาณว่าเธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น

 

เขาผุดลุกขึ้น เดินตรงไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง

 

“นามของสาวใช้นางนั้น เรียกว่ากระไร?” เขาหันกลับมาเอ่ยถาม

 

“จื่อหลิว” ฉินรั่วกล่าว

 

“อา นั่นสินะ ‘จื่อหลิว’ ”

 

กู่ฉิงซานก้มลงเผชิญหน้ากับผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง ปากเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “ยามเมื่อข้ามอบนางให้แก่พวกเจ้า ข้าได้บอกอะไรไปจำได้หรือไม่?”

 

สองผู้ใต้บังคับบัญชามองหน้ากันวูบหนึ่ง และเผยท่าทีหวาดกลัวเล็กน้อยออกมา

 

เพราะพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่นายน้อยกล่าวมันคืออะไร

 

“เอ่อ นายน้อย ท่านกล่าวว่านางคือสาวใช้ของท่าน และตอนนั้นพวกเราทำผลงานได้ดี ดังนั้นท่านจึงมอบนางให้มาสนุกกับพวกเรา” หนึ่งในสองกล่าวออกมา

 

กู่ฉิงซานหันไปทางลูกน้องอีกคนและกล่าว “ข้าพูดเช่นนั้นหรือ?”

 

อีกคนกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เป็นเช่นนั้น นายน้อย เป็นเช่นนั้น ..”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

เขาเดินมาอยู่เบื้องหลังทั้งสอง และยื่นมือออกไปลูบไล้โซ่ตรวนที่พันธนาการพวกเขาเอาไว้

 

นี่เป็นมาตรการสำหรับสาวกที่จะต้องถูกลงโทษ มันมีไว้เพื่อกักขังพื้นฐานวรยุทธและป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหลบหนี

 

แต่ระดับของโซ่ตรวนนี้ มันเป็นโซ่ตรวนที่ระดับต่ำกว่าที่พันธนาการเหล่ากับของสาวใช้

 

อย่างน้อยในช่วงที่เกิด ‘ลางร้าย’ ขึ้น มันก็ไม่รัดพันผู้ฝึกยุทธจนไม่สามารถใช้ออกด้วยเทคนิคมนตรา นอกจากนี้มันยังมิได้ทรมานพวกเขาให้รู้สึกเจ็บปวดใดๆอีกด้วย

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเฉยเมย “แม้พวกเจ้าจะละเมิดกฏของนิกาย แต่ข้าก็คิดว่ามันหาใช่เรื่องสำคัญอันใดไม่”

 

พอได้ฟัง สีหน้าของชายทั้งสองก็ดูคลายลง

 

ขณะที่เหล่าผู้ฝึกยุทธเริ่มกระซิบกระซาบกันอย่างลับๆ

 

จิ้งจอกขาวยังคงเฝ้ามองมายังฉากนี้อย่างเงียบๆ

 

เพียงได้ยิน เซ่าหวูชุ่ยก็ผุดลุกขึ้นและเริ่มเอ่ยโจมตีเขาทันที “ฉีหยาน! ต่อให้เจ้าจะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ผลกระทบของมันร้ายแรงนัก เจ้าต้องไม่เข้าข้างพวกเขา!”

 

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าข้างพวกเขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“ก็สิ่งที่เจ้าเอ่ยมานั่นแหละมันเรียกว่าเข้าข้า-”

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยมาได้ไม่กี่คำ เขาก็พบว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงกลืนคำที่เหลือกลับลงไป

 

เขาจ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน เฝ้ารอคำพูดคำพูดประโยคหลังของอีกฝ่าย

 

“ข้าก็แค่กล่าวว่ากฏของนิกายมันหาได้สำคัญไม่ – กฏบ้าๆนั่นมันมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับตำหนักซานเหว่นของข้า”

 

กู่ฉิงซานจ้องสวนกลับไปยังเซ่าหวูชุ่ย ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

คราวนี้ สีหน้าของสองผู้ใต้บังคับบัญชาแสดงออกถึงความสุขอย่างแท้จริง

 

นี่แหละคือนายน้อยของพวกเขา! ผู้ที่เต็มไปด้วยอำนาจและศักดิ์ศรี!

 

ขณะที่ศักดิ์ศรีของอีกปรมาจารย์ตำหนักราวกับถูกเหยียบย่ำต่อหน้าทุกผู้คนภายใต้ฝ่าเท้าของฉีหยาน!

 

อีกด้านหนึ่ง

 

คิ้วของเย่หยิงเหมยค่อยๆขมวดเข้าหากันอย่างช้าๆ

 

ขณะที่เซ่าหวูชุ่ย ทั้งคนทั้งร่างลุกไหม้ไปด้วยความโกรธ พร้อมที่จะปะทุอยู่รอมร่อแล้ว

 

เขาเตรียมที่จะเข้าต่อสู้ขั้นแตกหักกับฉีหยาน

 

‘ฉีหยานผู้นี้ … มันจงใจแสดงพฤติกรรมหยิ่งยะโส และคนอย่างมันสมควรได้รับ-’

 

เซ่าหวูชุ่ยเพียงแค่นึกคิด ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงของกู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง

 

“ดาบเอ๋ย”

 

“ขอรับท่านอาจารย์” ฉานนู่เอ่ยรับคำ

 

พร้อมกับปราณดาบแสนเย็นชาที่กระพริบไหว

 

ตามด้วยสองศพที่ล้มลงกับพื้น

 

ฉีหยานยกมือขึ้นหิ้วหัวของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยมือแต่ละข้าง สีหน้าการแสดงออกของเขายังคงเรียบเฉย ทั้งคนทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยความสงบไม่ไหวติง

 

เขายกทั้งสองหัวที่ว่านั้นขึ้น หันมาเผชิญหน้ากับตนเอง

 

“เฮ้อ .. พวกเจ้าคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำมันไม่ผิดจริงๆน่ะหรือ?”

 

โผล๊ะ!

 

โผล๊ะ!

 

สองหัวถูกทิ้งลงบนพื้นดิน

 

ดาบร่ายรำอยู่ในอากาศดั่งมังกรแหวกธารา ก่อนจะมาตกลงเบื้องหน้าของฉานนู่

 

ฉานนู่เก็บดาบกลับคืน

 

ฝูงชนทั้งหมดที่อยู่ในห้องตะลึงงัน

 

เซ่าหวูชุ่ยมองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวทั้งลังเลและสงสัยในเวลาเดียวกัน “เจ้า – เหตุใดจึงทำเช่นนี้?”

 

เย่หยิงเหมยเอ่ยปากออกมาเช่นกัน “ตามกฏของนิกาย โทษที่พวกเขาสมควรได้รับคือการลดตำแหน่งลงไปเป็นคนใช้เท่านั้น แล้วสิ่งที่ปรมาจารย์ตำหนักฉีกระทำหมายความว่ากระไร?”

 

“อย่ามาเอ่ยถึงเรื่องกฏของนิกายต่อหน้าข้าอีก”

 

กู่ฉิงซานคลี่พัดออก โบกมันเบาๆ ขณะเดียวกันก็เดินกลับไป

 

เขาพึ่งจะสังหารผู้คนไปแท้ๆ ทว่าตนกลับแสดงอาการเพียงแค่ยกพัดขึ้นมาโบก แถมน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ยังไม่สั่นไหว

 

ด้วยทัศนคติอันแสนเลือดเย็นนี้ ส่งผลให้เหล่าสาวกทุกคนในที่แห่งนี้มิกล้าเผยอปาก เปล่งวาจาออกมาแม้เพียงครึ่งคำ

 

“เพียงเพื่อให้ตนเองได้พ้นผิด กลับกล้าที่จะลงทัณฑ์สังหารสาวใช้ของข้า! การกระทำของพวกเจ้ามันทำให้ข้ารู้สึกอารมณ์เสียจริงๆ”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็กลับไปประจำที่ตน แล้วนั่งลง

 

เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ต้องเอ่ยออกมา “มิใช่ว่าตัวเจ้าเองก็สังหารสาวใช้ของตนอยู่บ่อยๆหรอกหรือ?”

 

“ข้าสามารถทำได้ ทว่าผู้อื่นไม่”

 

“เพราะเหตุใด”

 

“เพราะเหล่าสาวใช้คือสิ่งของของข้า ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดา ที่ข้าจะสามารถจัดการกับพวกนางได้”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

ณ ขณะนั้นเอง ฉินรั่วก็ก้าวออกมาข้างหน้า คุกสองเข่าลงกับพื้น และยกถ้วยชาขึ้นประกบลงบนริมฝีปากของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานค่อยๆจิบชาอย่างช้าๆ

 

เขายื่นมือไปบีบคางของฉินรั่ว ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉินรั่ว แล้วเจ้าเล่าต้องการจะแย้งอะไรหรือไม่?”

 

“ไม่เจ้าค่ะ ทุกสิ่งที่นายน้อยกล่าวนับว่าถูกต้องแล้ว” ฉินรั่วก้มหน้าลง เอ่ยเสียงหวาน

 

เย่หยิงเหมยเอ่ยออกมา “แต่กฏของนิกาย … ”

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอจะคิดเช่นไร สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจพูดมันออกมาได้อยู่ดี

 

เพราะทุกคนก็เห็นกับตา ว่าผู้ที่สมควรจะถูกลงโทษได้ถูกสังหารไปแล้ว

 

เช่นนั้นแล้วกฏของนิกายมันจะมีประโยชน์อะไรอีก?

 

ฉีหยานผู้นี้ หาได้แยแสผู้ใต้บังคับบัญชาของตนไม่ เขาไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา หากแม้นมีใครขัดขวางผลประโยชน์ของเขา ไม่ว่ามันจักเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน เจ้าตัวก็ไม่ลังเลเลยที่จะเผยคมเขี้ยวที่อาบไปด้วยพิษร้ายออกมา และฉกกัดออกไป

 

ใช่แล้วล่ะ ฉีหยานเป็นคนแบบนั้น

 

เย็นชา โหดเหี้ยม และไร้ความปราณี

 

ชายผู้นี้ราวกับงูพิษ ยามเมื่อคลั่ง ไม่เพียงแค่น่าหวาดกลัว … แต่ยังอันตรายเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย

 

เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยเหลือบมองกันวูบหนึ่ง

 

แล้วก็เห็นถึงความกลัวอันลึกล้ำ และความกังวลที่ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นจากในแววตาของอีกฝ่าย

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.437 – จิ้งจอกขาว

 

ว่านเอ๋อรีบก้าวนำขึ้นไปเพื่อที่จะเปิดประตูให้เขาอย่างรวดเร็ว

 

แล้วทั้งสี่ก็เดินออกมา

 

และพบกับผู้ฝึกยุทธคนที่มารายงาน เขายังคงยืนรออยู่แม้จะผ่านมาสักพักแล้วก็ตาม

 

นั่นเพราะเจ้าตัวรู้ดี ว่าการหารือในครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตนจึงมิกล้าจากไปหากยังไม่เห็นว่าฉีหยานยังไม่ออกมา และเมื่อเห็นทั้งสี่ออกมา เขาก็รีบนำทางไปทันที

 

หลังจากเดินมาได้สักพัก พวกเขาก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของเกาะลอยฟ้า

 

มันเป็นแท่นเวทีสูงในพื้นที่เปิดโล่ง

 

กู่ฉิงซานมองขึ้นไปบนเวที

 

แม้ว่าจะไม่มีสิ่งใดเป็นรูปธรรมกีดขวางอยู่โดยรอบแท่นเวทีก็ตามที ทว่ามันกลับถูกจัดวางไว้ด้วยค่ายกลปกปักษ์นับหลายสิบ!

 

ซึ่งนี่แค่ในกรณีเผื่อไว้

 

เผื่อไว้ในกรณีที่ยันต์พยากรณ์มีบางอย่างผิดปกติ หรือมารโลกาจู่ๆก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน เหล่าผู้มีอำนาจในนิกายจะได้หลบหนีออกไปได้ก่อนเป็นคนแรกๆ (เพราะค่ายกลที่ว่านี้ถูกตั้งไว้ในตำแหน่งสูง ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่ๆเหล่าตัวตนระดับสูงพำนักอยู่)

 

ยิ่งหลบหนีได้เร็วเท่าไหร่ ไม่ว่าจะหนึ่งนาที หรือหนึ่งวินาที ผลลัพธ์ก็ยิ่งแตกต่างออกไปมากขึ้นเท่านั้น

 

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะเอาชีวิตรอด!

 

บนเวที ขณะนี้มีคนหลายคนกำลังนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว

 

หนึ่งเป็นหญิงทรงเสน่ห์ในวัยผู้ใหญ่ สวมใส่ชุดคลุมขนนกสีขาวนวลดั่งจันทรา

 

ขณะที่อีกคนเป็นชายร่างใหญ่ที่ดูแข็งแรง ช่วงบนเปลือยเปล่า ปราณและเลือดลมในร่างกายไหลเวียนสูบฉีดจนพวกมันฟุ้งออกมาเป็นหมอกหนา กระจายอยู่รอบตัวเขา

 

ทั้งสองเพียงแค่นั่งอยู่ที่นั่นและมิได้ขยับกายไปไหน ทว่าความผันผวนทางพลังวิญญาณกลับโหมกรรโชกราวกับพายุ ส่งผลให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งนัก

 

นี่คือปรมาจารย์ตำหนักหนิงเยว่ -เย่หยิงเหมย และปรมาจารย์ตำหนักเจียงซี – เซ่าหวูชุ่ย

 

ทั้งสองเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอดที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า

 

ขณะที่เบื้องหลังทั้งสอง มีเหล่าผู้ฝึกยุทธหนุ่มสาวยืนกระจัดกระจายตัวกันไปอยู่รอบๆ คาดว่าไม่เป็นลูกศิษย์ก็คงไม่พ้นผู้ติดตาม

 

ทว่าที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นจิ้งจอกขาว

 

มันเป็นจิ้งจอกขาวที่สวมใส่หน้ากากใบหน้าของหญิงสาว ตัวมันกำลังนั่งยองๆอยู่ไกลออกไปจากอีกมุมด้านหนึ่งของแท่นเวที

 

หน้ากากผู้หญิงนี้ดูเหมือนจริงมาก มีรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ ครอบครองดวงตาที่ค่อนข้างมีเสน่ห์และดึงดูดเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ใต้เวที นิ่งงันไปชั่วขณะ

 

สำหรับปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองเขารู้จักดี แต่จิ้งจอกขาวกลับพึ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรก

 

แต่แล้วในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ปรากฏคำบอกเล่าของฉินรั่วกับว่านเอ๋อผุดขึ้นมาในยามที่เพียงเธอกำลังอธิบายเกี่ยวกับโลกใบนี้

 

เห็นแค่เพียงหน้ากากหญิงสาวบนใบหน้าของจิ้งจอกขาว ปรากฏรอยแต้มคล้ายกลีบดอกบัวสีชมพูอยู่ตรงระหว่างคิ้ว

 

จากข้อมูลที่ถูกรวบรวมมาโดยฉินรั่วกับว่านเอ๋อ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นมีมีรอยแต้มดังกล่าวนี้

 

ผู้นำแห่งนิกายลั่วชาเฟิง – ลั่วชานู่*

 

*(ลั่วชาเป็นภาษาจีน ภาษาไทยคือ รากษส) (นู่ คือสตรี) = สตรีแห่งรากษส

 

**(รากษส อ่านว่า ราก-สด นะครับมันจะแปลกๆหน่อยเป็นยักษ์ประเภทหนึ่งที่ดุร้ายทรงพลัง และสนแต่การกินเนื้อสิ่งมีชีวิต)

 

***(เพื่อไม่ให้สับสนกับลั่วชาเฟิง เวลาเรียกลั่วชานู่ ผมจะใช้คำว่า สตรีแห่งรากษส นะครับ)

 

ผู้ที่จะได้รับตำแหน่งสตรีแห่งรากษสในแต่ละรุ่น จักต้องสังหารผู้ฝึกยุทธหญิงระดับสูงกว่า 7 คน และผู้ฝึกยุทธชายอีกกว่า 21 คน เพื่อที่จะได้รับสิทธิ์ในการสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษส

 

และเมื่อได้รับการสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์รากษสแล้ว จะมีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ตามมา

 

สิ่งแรกก็คือ ได้รับการยอมรับจากรากษส แล้วสามารถสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสได้ จากนั้น บริเวณหว่างคิ้วของคนดังกล่าวก็จะปรากฏรอยแต้มที่อันเป็นเอกลักษณ์ออกมา

 

สิ่งที่สองก็คือ ถูกรากษส เกลียดชังและปฏิเสธ – ซึ่งผู้ที่ซวยโดนเกลียดชัง จักถูกมอนสเตอร์อันน่าสะพรึงที่ปรากฏกายขึ้นจากในความว่างเปล่ากลืนกินไปทันที

 

ด้วยเหตุนี้ —รากษสจึงได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นเทพเจ้าแห่งวิญญาณชั่วร้าย!

 

หากสามารถได้รับสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสได้อย่างแท้จริง คนผู้นั้นก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นสตรีแห่งรากษส และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป กระทั่งเหล่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตในนิกาย ก็จักต้องก้มหัวและภักดีต่อสตรีแห่งรากษส

 

และผู้ฝึกยุทธที่ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษส ก็จักปรากฏรอยแต้มในตำนานตรงตำแหน่งหว่างคิ้ว

 

ซึ่งนี่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าผู้ฝึกยุทธคนนั้นได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสมาไว้ในครอบครองแล้ว

 

สำหรับพลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษส  กล่าวได้ว่ามันมิใช่พลังศักดิ์สิทธิ์จากโลกใบนี้

 

—หมื่นปีมาแล้ว ที่รอยแต้มบนหน้าผากของสตรีแห่งรากษส จะไม่เหมือนกัน ดังนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาก็ย่อมแตกต่างกันเช่นกัน

 

สตรีแห่งรากษสคือสุดยอดปรมาจารย์แห่งลั่วชาเฟิง เป็นผู้ที่มีทั้งความแข็งแกร่งอันเด็ดขาด , สถานะอันสูงส่ง กล่าวได้เลยว่าในรอบหมื่นปี ผู้ฝึกยุทธที่สามารถเรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ของรากษสและขึ้นมาเป็นสตรีแห่งรากษสได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!

 

แต่สำหรับในเรื่องนี้แล้ว ทุกอย่างล้วนเกือบจะเป็นความลับสุดยอดของลั่วชาเฟิง และมีเพียงน้อยคนนักที่จะได้รู้เรื่องนี้

 

แท้จริงแล้วฉินรั่วกับว่านเอ๋อเองก็ยังไม่สามารถตระหนักได้ว่าสตรีแห่งรากษสในรุ่นนี้ทรงพลังถึงเพียงใด

 

ทว่าการดำรงอยู่ของตัวตนที่แปลกประหลาดเช่นนี้ กล่าวได้ว่าภายในโลกล่องเวหา ล้วนไม่มีผู้ใดที่ต้องการจะเผชิญหน้า

 

และหน้ากากหญิงสาวที่จิ้งจอกขาวสวมใส่อยู่ คงมิแคล้วคือใบหน้าของสตรีแห่งรากษส -นี่พอจะบ่งบอกได้ว่ามันคืออสูรวิญญาณของเธอ

 

นี่แสดงให้เห็นว่าสตรีแห่งรากษส ก็คือแขกที่มาเยือนนิกายกวงหยางและให้ความสนใจเกี่ยวกับการหารืออย่างเป็นทางการในวันนี้

 

และเหตุการณ์นี้ยังได้รับการยินยอมจากพวกระดับสูงในนิกายกวงหยางแล้วอีกด้วย

 

ในหัวใจของฉินรั่วกับว่านเอ๋อบัดนี้กระวนกระวายจนหลุดลอยออกไปไกลแล้ว

 

พวกเธอไม่คาดหวังเลยว่า จู่ๆสตรีแห่งรากษสจะสนใจการหารืออย่างเป็นทางการของนิกาย แล้วส่งอสูรวิญญาณมาเยี่ยมเยือนถึงที่เช่นนี้

 

ในเวลานี้ มันชักจะเป็นการยากยิ่งกว่าเดิมซะแล้วสิ หากไม่ต้องการที่จะถูกเปิดเผย

 

กู่ฉิงซานเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นก้าวสู่เทพ แล้วเขาจะแก้สถานการณ์ปัจจุบันนี้อย่างไรดี?

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะส่งจิตสัมผัสเทวะอันบางเบาออกไปเพื่อเฝ้าสังเกตกู่ฉิงซาน

 

แต่กลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยกพัดขึ้นมา

 

—พัดอันงดงามของฉีหยาน

 

พัดถูกคลี่ออกอย่างช้าๆ หนึ่งมือโบกสะบัดมันเข้าหาตนเองอย่างแผ่วเบา สองเท้าค่อยๆก้าวเดินขึ้นไปบนแท่นเวที

 

“แล้วตาแก่เล่า?”

 

กู่ฉิงซานที่กำลังเดินขึ้นไปเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา

 

ตลอดทั้งนิกายกวงหยาง มีเพียงฉีหยานเท่านั้นที่กล้าเรียกผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าเช่นนั้น

 

“ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้มาที่นี่ แต่ตอนนี้พวกเรามีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าจะต้องหารือ – ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของเจ้า?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานลูบไล้ใบหน้าของเขา ปากเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา “ ก็แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”

 

เย่หยิงเหมยจ้องมองบาดแผลบนใบหน้าของกู่ฉิงซานอย่างพิถีพิถัน และรู้สึกตะหงิดๆใจเล็กน้อย

 

‘ผู้ใดกันที่สามารถสร้างบาดแผลลึกหลายแผลบนใบหน้าของฉีหยานได้?’

 

อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักเย่หยิงเหมยก็ตระหนักถึงคนแปลกหน้าที่ฉีหยานนำเข้ามาร่วมประชุม

 

วิสัยทัศน์ของเธอถูกดึงดูดโดยคนผู้นั้นทันที

 

‘เอ๊ะ? นี่มันชักจะน่าสนใจซะแล้วสิ’

 

คนอย่างฉีนหยาน ที่มักจะนำสาวใช้ติดตัวไปด้วยทุกที่ ครานี้กลับมีผู้อื่นปะปนเข้ามาด้วย

 

ขณะกำลังขบคิด เย่หยิงเหมยก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยัง ‘กู่ฉิงซาน’

 

ส่วน‘ฉีหยาน’ ก็ถูกละความสนใจออกไป แผนเบี่ยงเบนประสบความสำเร็จอีกครา

 

“เหอะ! เจ้าได้รับคำสั่งอันใดจากท่านผู้นำกัน เหตุใดผู้คนจำนวนหนึ่งในตำหนักซานเหว่ยจึงหายหัวไป แถมตัวเจ้าเองก็ยังได้รับบาดเจ็บอีก?” สองตาของเซ่าหวูชุ่ยหรี่แคบลง ปากเอ่ยตะโกนออกมา

 

คนจากสาขาซานเหว่ยทุกคนได้ถูกย้ำเตือนเอาไว้ว่าห้ามแพร่งพรายสิ่งใด และถูกนำพาไปยังโลกเทวะโดยฉีหยาน

 

และพวกเขาทั้งหมดได้ตกตายลงด้วยน้ำมือของมารสวรรค์แล้ว

 

กู่ฉิงซานเพียงแค่รับฟัง แต่มิได้ตอบสิ่งใดกลับไป

 

เขาเดินผ่านทั้งสองไปอย่างรวดเร็วและนั่งลงบนที่นั่งของเขา

 

“เอาล่ะ ในเมื่อข้าได้มาแล้ว ไหนลองบอกมาซิว่าทำไมการหารืออย่างเป็นทางการในครั้งนี้จึงจัดขึ้นก่อนกำหนด” เขากล่าว

 

“ปรมาจารย์ตำหนักฉี เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า!” เซ่าหวูชุ่ยจ้องมาทางเขา

 

กู่ฉิงซานหุบพัด ปากเอ่ยกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “สหายเซ่า นี่มันเรื่องของตำหนักซานเหว่ย เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ – และอีกอย่างเจ้ามิใช่แม่ข้าเสียหน่อย อย่าถามถึงอะไรจู้จี้จุกจิกให้มากความนัก เพราะมันน่ารำคาญ”

 

“ฉีหยาน เปล่งวาจาก้าวร้าวเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวลงไปนอนจูบกับพื้นด้วยน้ำมือข้าหรือ? อยากลองดูหรือไม่เล่าว่ามันจะมีรสสัมผัสเช่นไร?”

 

เซ่าหวูชุ่ยกำมือแน่น เค้นทุกคำพูดออกมาจากปาก

 

“เจ้าต้องการจะสู้งั้นรึ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรย์ “ก็แล้วจะทำไม เจ้ามันก็แค่พึ่งก้าวขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่า กล้าที่จะมาท้าทายข้าเชียวรึ?”

 

ฉีหยานได้มาถึงขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าแล้ว ซึ่งกระทั่งในโลกใบนี้ ก็ยังนับว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังยิ่ง!

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานเป็นเพียงก้าวสู่เทพขั้นปลาย และยังห่างไกลจากขอบเขตที่ว่านั่นอยู่หลายขุม

 

ขณะเดียวกัน แม้ฉีหยานจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า แต่หากเทียบเปรียบกับเซ่าหวูชุ่ยแล้ว ก็ยังนับว่าด้อยกว่า

 

หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ ตัวตนของกู่ฉิงซานก็จะถูกเปิดเผยทันที

 

ฉินรั่วอดไม่ได้ที่จะลอบชำเลืองมองไปทางกู่ฉิงซาน

 

แต่กลับเห็นแค่ว่าเขากำลังแสร้งแสดงท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อยออกมา

 

และการครุ่นคิดของเขา มันก็ได้ดึงดูดความสนใจจากเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยอย่างรวดเร็ว

 

เซ่าหวูชุ่ยกำลังจะเอ่ยปากอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกกู่ฉิงซานชิงตัดหน้าไปเสียก่อน

 

“ข้ารับคำท้าแน่หากเจ้าต้องการจะสู้ แต่ยามนี้คงต้องรอไปก่อน” สีหน้าของเขายังคงแสดงออกถึงความครุ่นคิด ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

“เพราะเหตุใด?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยด้วยความสงสัย

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วและกล่าว “มีแขกผู้มีเกียรติอยู่ที่นี่ ดังนั้นอันดับแรกที่เจ้าต้องทำ มิใช่ว่าคือการสมควรที่จะหาชุดคลุมมาสวมใส่ก่อนหรอกหรือ หากข้าสู้พัวพันกับเจ้าในสภาพเปิดเผยเนื้อหนังเช่นนี้ เกรงว่าแขกผู้มีเกียรติอาจจะเข้าใจผิดได้ ถึงเวลานั้นหากข้าอธิบายสิ่งใดไป มันก็คงจะฟังไม่ขึ้นแล้ว”

 

เซ่าหวูชุ่ยนิ่งงันไป

 

บังเกิดความเงียบขึ้นโดยรอบ

 

บรรดาเหล่าลูกศิษย์ต่างก็พากันลดศีรษะลง เพื่อปกปิดถึงการแสดงออกทางสีหน้าของตน

 

ขณะที่จิ้งจอกขาวยกสองขาของมันขึ้นมาทำท่าทีปิดปากหน้ากากหญิงสาว ทั้งตนทั้งร่างส่ายไปมาด้วยความเหนียมอายเล็กน้อย

 

เซ่าหวูชุ่ยนิ่งงันไปกว่าสองลมหายใจ ก่อนจะเข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายได้สื่อออกมา

 

อ้ายทารกวาจาเราะร้าย!

 

สารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า!!

 

ทั้งคนทั้งร่างของเซ่าหวูชุ่ยพลันระเบิดแรงกดดันออกมา

 

ปัง!

 

เจตนาฆ่าเอ่อล้นราวกับน้ำหลาก ส่งผลให้เหล่าสาวกทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะหวาดเกรง

 

กระทั่งฉินรั่วและว่านเอ๋อก็ยังต้องลดสายตาลง

 

พวกเธอเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติที่ด้อยกว่า แถมยังโดนผนึกความแข็งแกร่งเอาไว้อีก ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเซ่าหวูชุ่ยที่เป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า พวกเธอจึงยิ่งมิกล้าเงยหน้าขึ้น เพราะเกรงว่าคนอื่นจะตรวจพบถึงการแสดงออกที่ผิดปกติของตน

 

กู่ฉิงซานค่อยๆยกชาบนโต๊ะขึ้นมา และจิบอย่างแผ่วเบา

 

“ใครก็ได้ มาที่นี่ที ช่วยมาจัดตั้งค่ายกลปิดล้อม ท่านแขกผู้มีเกียรติจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับผลพวงจากการต่อสู้ระหว่างข้ากับปรมาจารย์ตำหนักเซ่า”

 

เขายังคงกล่าวอย่างสงบ

 

สองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าจะสู้กัน นั่นย่อมหมายถึงค่ายกลนับไม่ถ้วนที่จะถูกทำลายลง

 

และที่นี่ยังเป็นพื้นที่หลักของนิกายกวงหยางอีก …

 

การต่อสู้ระหว่างพวกเขาย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงที่จะเกิดการทำลายล้างอย่างรุนแรงในนิกายได้!

 

ปรมาจารย์ค่ายกลก้าวเข้ามา และมองไปยังปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

“ปรมาจารย์ตำหนักเซ่า เอ่อท่านลองมองรอบๆแล้วคิดดีๆดูก่อน … ”

 

เขาไม่กล้าที่จะขัดใจฉีหยาน ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าที่จะขัดใจเซ่าหวูชุ่ยเช่นกัน

 

ยามนี้ฉีหยานได้เปล่งวาจาออกมาแล้วว่าหากเซ่าหวูชุ่ยตกลง เขาก็จะเปิดค่ายกลทั้งหมดเพื่อทำการต่อสู้ จากนั้นก็จะไม่มีกล้ามาตำหนิเขาได้อีก

 

เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้ เห็นแค่เพียงจิ้งจอกขาวที่เอ่ยปากออกมาทันใด “อันที่จริงแล้วข้าก็สนใจการต่อสู้ระหว่างคนระดับสูงของนิกายกวงหยางอยู่เหมือนกัน ข้าสามารถอยู่ที่นี่เพื่อร่วมรับชมจะได้หรือไม่?”

 

พอได้ยิน แรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างของเซ่าหวูชุ่ยก็ซบเซาลงทันที

 

จิ้งจอกขาวคืออสูรวิญญาณของสตรีแห่งรากษส  ไม่ว่ามันจะเดินไปที่ใดในโลกใบนี้ มันก็จะเปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของเธอ

 

หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลั่วชาเฟิงแล้วนั้น เซ่าหวูชุ่ยจำต้องบังคับตนให้สงบลง และพิจารณาให้รอบคอบ

 

–นี่เขาต้องการที่จะต่อสู้ต่อหน้าแขกจากนิกายอื่นจริงๆหรือ

 

การกระทำเช่นนั้น มันน่าเกลียดเกินไปที่จะกล่าว

 

ฉีหยานมันสามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ก็จริง แต่นั่นเพราะมันเป็นคนสารเลวอยู่แล้ว

 

อย่างไรก็ตามสำหรับเซ่าหวูชุ่ย … เขามิอาจทำเช่นนั้นได้

 

ด้วยจิ้งจอกขาวที่มาที่นี่ แถมยังมาในฐานะตัวแทนของสตรีแห่งรากษสที่กำลังให้ความสนใจกับการหารืออย่างเป็นทางการในครั้งนี้อีก

 

กล่าวง่ายๆว่ามันคือตัวแทนที่ถูกส่งมาเยี่ยมเยือนนิกายล่วงหน้า แล้วหลังจากนั้น ผู้คนจากนิกายลั่วชาเฟิงก็จะมาสมทบจริงๆในภายหลัง

 

เมื่อถึงเวลาที่คนอื่นๆได้เดินทางมายังนิกายกวงหยาง แต่แท้จริงแล้วกลับพบเห็นว่าสองปรมาจารย์ตำหนักแห่งนิกายกำลังฆ่าฟันกันเอง แถมยังสร้างความเสียหายต่อพื้นที่หลักของนิกาย นี่มันจะมิเป็นการสร้างเรื่องราวขบขันให้ผู้คนหัวร่อกันจนฟันร่วงหรอกหรือ?

 

ใครๆก็รู้ว่าเจ้าฉีหยานน่ะมันเป็นคนไร้ยางอาย มิสนใจเรื่องนี้หรอก

 

แต่สำหรับเซ่าหวูชุ่ยล่ะ?

 

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด เขาจำเป็นต้องพิจารณาถึงภาพรวมเป็นหลัก

 

แถมเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันธ์กับท่านอาจารย์อีก …

 

เมื่อตนเองอยู่ต่อหน้าแขกสำคัญ แต่กระทำการไม่ยั้งคิด แล้วนับจากนี้ไปท่านอาจารย์จะมองเขาเป็นตัวอะไร?

 

เซ่าหวูชุ่ยแข็งค้างอยู่ในจุดเดิม

 

“ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสอง โปรดสงบใจลงก่อน!”

 

เย่หยิงเหมยยืนขึ้นและเข้ามาขวางเซ่าหวูชุ่ย

 

“สหายเซ่า แขกผู้มีเกียรติมาเยือนที่นี่ เรื่องบาดหมางกับปรมาจารย์ตำหนักฉีในตอนนี้ก็ลืมมันไปก่อนเถิด อย่าพึ่งเก็บมาใส่ใจเลย”

 

“ปรมาจารย์ตำหนักฉี เจ้าเองก็ไปรับการรักษาให้หายดีเถอะ ท้ายที่สุดนี้ พวกเราทุกคนล้วนเป็นปรมาจารย์ตำหนัก เป็นขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า เหตุใดจึงต้องสู้กันทุวี่วันด้วยเล่า?”

 

เธอกระตุ้นเตือนทั้งสองฝ่าย

 

“ศิษย์น้องหยิงเหมยกล่าวได้เหมาะสมแล้ว”

 

กูฉิงซานวางถ้วยชาลงราวกับว่าเขาลืมเรื่องราวที่พูดกับเซ่าหวูชุ่ยไปจนสิ้น

 

เขามองไปยังจิ้งจอกขาว และอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตาสำรวจมัน

 

ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจจิ้งจอกขาวเป็นพิเศษ แต่ก็มิได้คิดจะพูดอะไรกับมัน

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับเซ่าหวูชุ่ยแล้ว ตัวเขาขณะนี้ราวกับกำลังยืนอยู่กลางเชือกที่ถูกขึงจนตึงระหว่างยอดเขาสูง เขาไม่รู้ว่าสมควรจะทำเช่นไรดี จะไปต่อก็ไม่ได้ แต่จะให้ถอดใจก็ไม่ยินดีเช่นกัน –บังเกิดช่วงเวลาแห่งความลำบากใจขึ้นครู่หนึ่ง

 

เซ่าหวูชุ่ยทั้งลังเลและครุ่นคิด แต่ในที่สุดก็สรุปได้ว่าเวลานี้มันไม่เหมาะสมจริงๆ เขาจึงจำต้องโยนความโกรธเอาไว้เบื้องหลัง หย่อนก้นนั่งลงแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.436 – การหารือของระดับสูง

 

กู่ฉิงซานลูบไล้ใบหยกในมือเบาๆ แล้วจู่ๆก็พลันนึกได้ถึงสิ่งหนึ่งในทันใด

 

“ค่ายกลเคลื่อนมิติไปยังโลกเทวะ เป็นฉีหยานเองที่สร้างมันขึ้นมาใช่หรือไม่?”

 

เมื่อกล่าวถึงหัวข้อนี้ สีหน้าของคนทั้งหลายก็ดูเคร่งขรึมขึ้นทันใด

 

เพราะมันคือกุญแจสำคัญที่จะสามารถช่วยให้พวกเขาและเธอหลบหนีออกไปได้!

 

“เป็นเขา ฉีหยานน่ะนับว่าเป็นผู้แตกฉานในค่ายกลอย่างแท้จริง และอีกอย่างเจ้าก็น่าจะคาดเดาได้อยู่แล้ว ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใบใหม่ เขาไม่สะดวกใจที่จะกระทำการใดๆให้ผู้คนทางนี้ได้รับรู้ถึงตำแหน่งของมัน” ว่านเอ๋อกล่าว

 

แล้วกู่ฉิงซานก็พาลนึกไปถึงการต่อสู้ในช่วงเวลานั้น

 

ในนาทีสุดท้าย ฉีหยานได้ใช้ออกด้วยศาสตร์ต้องห้ามกว่า 300 ค่ายกล ก่อนจะเปิดใช้งานดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก

 

“แต่ในเวลานั้น ดูเหมือนว่าเขาจะบอกว่าดิสก์ค่ายกลนั่น บิดาของเขาเป็นคนมอบให้มิใช่หรือ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ต่อให้เป็นนิกายกวงหยางเอง วัสดุที่จะใช้ในการสร้างดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกก็ยังนับว่าเป็นภาระที่หนักหนาเกินไปอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ จึงมีเพียงท่านผู้นำและผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้นแหละที่จะสามารถเบิกใช้สิ่งเหล่านั้นได้ ” ฉินรั่วกล่าว

 

“ดังนั้น กล่าวได้ว่าแท้จริงแล้วดิสก์ค่ายกลน่ะถูกสร้างโดยบิดาของเขา แต่ค่ายกลระบุตำแหน่งที่ถูกติดตั้งไว้ในดิสก์ค่ายกล -เป็นฉีหยานที่จัดวางมันด้วยตัวเอง” ว่านเอ๋อกล่าว

 

“แต่ตอนนี้ฉีหยานดันมาตายไปซะแล้วน่ะสิ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งของโลกเทวะ … อยู่ในมือของฉีหยานแต่เพียงผู้เดียว

 

ส่วนค่ายกลที่จะใช้ในการเคลื่อนย้ายมิติ ค่าวัสดุที่ใช้สร้างมันก็มีมูลค่ามหาศาล

 

เมื่อครั้งที่มีการบุกโจมตีโลกเทวะ ในตลอดทั้งกองทัพของฉีหยาน ดิสก์ค่ายกลก็ยังมีเพียงแค่สองชิ้นเท่านั้น

 

หนึ่งอยู่ในมือของปรมาจารย์ค่ายกลนิกายกวงหยาง ขณะที่อีกหนึ่งอยู่ในมือของนายน้อยชุดคลุมม่วงฉีหยาน

 

แถมทุกครั้งที่ใช้เดินทางระหว่างสองโลก ตัวดิสก์ค่ายกลเองก็จะเสียหายเพิ่มขึ้นไปส่วนหนึ่งอีกด้วย

 

มันเสียหายไปแล้วในครั้งแรกที่ใช้เคลื่อนมิติมายังโลกเทวะ และอีกครั้งหนึ่งก็ในตอนที่นำพวกเขามาสู่โลกใบนี้

 

หลังจากเสร็จสิ้นการเดินทางไป-กลับระหว่างสองโลก มันก็แตกเป็นเสี่ยงๆทันที

 

อย่างไรก็ตาม! ดิสก์ค่ายกลที่นำพากู่ฉิงซาน ว่ายเอ๋อ และฉินรั่วมายังโลกใบนี้น่ะ มันเป็นดิสก์ที่อยู่ในมือของฉีหยาน! นั่นหมายความว่ายังมีดิสก์ค่ายกลเหลืออยู่อีกหนึ่งชิ้น!

 

ต้องไม่ลืมนะว่า ก่อนหน้าที่จะถูกส่งมาที่นี่ กู่ฉิงซานได้ลอบสังหารปรมาจารย์ค่ายกลนิกายกวงหยางมาก่อนแล้ว และได้ริบเอาดิสก์ค่ายกลในมือของอีกฝ่ายมาเช่นกัน

 

เดิมที ก็เป็นดิสก์ค่ายกลแผ่นที่ยึดมานี้นี่แหละ ที่กู่ฉิงซานใช้มันล่อลวงมารสวรรค์ให้เข้าร่วมต่อสู้

 

ดิสก์ค่ายกลนี้ตกอยู่ในมือของเขาเสมอมา จนกระทั่งในช่วงเวลาสุดท้าย ที่เขาถูกดูดเข้ามาในช่องว่างมิติ ตนก็ยังไม่มีเวลาที่จะมอบมันให้แด่มารสวรรค์

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระและหยิบดิสก์ค่ายกลอันประณีตที่มีขนาดเท่าฝ่ามือออกมา

 

บนดิสก์ค่ายกลนี้ปรากฏซึ่งรอยร้าวลึก ทว่ามันก็ยังคงให้ความรู้สึกที่คมชัด และปลดปล่อยรอยแยกมิติน้อยๆในอากาศที่ว่างเปล่าโดยรอบออกมาตลอดเวลา

 

มันคือดิสก์ค่ายกลที่ใช้เคลื่อนย้ายมิติระหว่างสองโลก! —พวกเขายังมีหนทางที่จะได้กลับไปหลงเหลืออยู่!

 

ดวงตาของฉินรั่วกับว่านเอ๋อเปล่งประกายสดใสวูบหนึ่ง ทว่าต่อมา คิ้วของพวกเธอก็ต้องขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

 

แม้ดิสก์ค่ายกลนี้ ดูจากสภาพแล้วแน่นอนว่ายังคงสามารถใช้มันได้อีกครั้งหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตาม … ครั้งหนึ่งที่ว่านั่นหมายถึงการถูกส่งมายังโลกล่องเวหาเท่านั้น

 

ด้วยดิสก์ค่ายกลแผ่นนี้ มันไม่สามารถช่วยให้กู่ฉิงซานกลับไปยังโลกเทวะได้

 

แต่อย่างน้อย มันก็ช่วยให้พวกเขาและเธอสามารถค้นหาพิกัดของโลกเทวะจากกระแสมิติอันเชี่ยวกราดที่ปริร้าวออกมาจากในดิสก์ค่ายกลได้

 

“ดิสก์ค่ายกลนี้คือความหวังเดียวของเราที่จะได้ออกไปจากที่นี่” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “แต่บนตัวดิสก์ค่ายกลน่าจะมีคำสั่งต้องห้ามใส่เอาไว้อยู่ ว่าหากมีใครบางคนต้องการค้นหาเกี่ยวกับพิกัดของโลกเทวะ ดิสก์ค่ายกลนี้ก็จะถูกทำลายทันที”

 

“เจ้าใช่ระแวงเกินไปหน่อยไหม? มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นนะ หากฉีหยานระวังตัวแจขนาดนั้น แล้วเขาจะมอบมันให้แก่ปรมาจารย์ค่ายกลได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เพราะเขารู้ดีว่าระดับของปรมาจารย์ค่ายกลน่ะไม่ค่อยดีนัก อีกฝ่ายย่อมไม่สามารถทำลายคำสั่งห้ามที่ตนใส่ไว้ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ฉีหยานยังได้ติดตั้งตัวแจ้งเตือนไว้บนดิสก์ค่ายกลอีกด้วย หากปรมาจารย์ค่ายกลกล้าที่จะค้นตำแหน่งของโลกจากตัวดิสก์ ฉีหยานก็จะรู้ได้ทันที”

 

“อ่า เป็นอย่างที่เจ้าพูด เขาระมัดระวังตัวมากจริงๆ … ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ว่านเอ๋อเอ่ยปากออกมา “ใช่แล้วล่ะ ฉะนั้นด้วยเงื่อนไขดังกล่าวนี้เอง เขาจึงได้อนุญาตให้ปรมาจารย์ค่ายกลสามารถใช้ดิสก์แผ่นนี้ได้”

 

ฉินรั่วกล่าว “นี่พอจะบอกได้ว่า ผู้ที่จะสามารถค้นหาตำแหน่งของโลกเทวะจากดิสก์ค่ายกลนี้ได้ จะต้องแตกฉานในด้านค่ายกลมากกว่าฉีหยานเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็เอ่ยพึมพำออกมา “แล้วหากพวกเราเลือกที่จะสร้างดิสก์ค่ายกลขึ้นมาใหม่เล่า – นั่นหมายความว่าพวกเราต้องได้รับความช่วยเหลือจากปรมาจารย์ค่ายกลสินะ”

 

“และอย่าลืมว่าพวกเราจะต้องมีวัสดุที่จำเป็นอีกด้วย” ว่านเอ๋อกล่าวเสริม

 

กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มขบคิดถึงรายละเอียดอื่นๆออกมา

 

“ฉีหยานเป็นบุตรชายของผู้นำนิกายกวงหยาง เป็นถึงหนึ่งในสามปรมาจารย์ตำหนัก แต่กลับรู้สึกไม่วางใจที่จะระบุตำแหน่งของโลกเทวะให้ผู้คนรอบข้างเขารับรู้ … ”

 

เมื่อพิจารณามาถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มตื่นตัวมากขึ้น

 

โลกเทวะนั้นเชื่อมต่อกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

 

ซึ่งในโลกใบนั้น มีอยู่หลายคนที่กู่ฉิงซานห่วงใย

 

หากตำแหน่งของโลกใบนั้นรั่วไหลออกไป นิกายกวงหยางคงไม่รอช้า ทุ่มออกด้วยกองกำลังขนาดใหญ่บุกเข้ามาเป็นแน่

 

และสำหรับเรื่องนี้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือหายนะของทั้งสองโลกอย่างแน่นอน

 

ฉีหยานไม่เพียงไม่ไว้ใจคนในนิกายของตัวเอง แต่เขายังไม่ไว้ใจแม้กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตนอีกด้วย

 

หากเป็นในกรณีนี้ กู่ฉิงซานเองก็ไม่อาจพึ่งใครได้อีกแล้ว

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง จ้องมองดิสก์ค่ายกลในมือ

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นทันที

 

“นี่คือดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก , เป็นไอเท็มพิเศษที่ถูกสร้างโดยวัสดุล้ำค่า , จำนวนการเคลื่อนย้ายที่ยังเหลืออยู่ : 1 , ตำแหน่งเคลื่อนย้าย : โลกล่องเวหา”

 

พร้อมด้วยบรรทัดแสงตัวอักษรนี้ ไฟตรง ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ จากในระบบเทพสงครามก็ส่องสว่างขึ้น

 

“ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก มีค่ายกลอยู่สองชนิด ดังนี้”

 

“ค่ายกลเคลื่อนย้าย : โลกล่องเวหา”

 

“ค่ายกลเคลื่อนย้าย : โลกเทวะ”

 

“หากต้องการเรียนรู้ค่ายกลเคลื่อนย้าย จำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณ 10000 แต้ม”

 

“หมายเหตุ : นี่คือค่ายกลอันลึกล้ำที่ไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับตำแหน่งที่ตั้งของโลก , เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปิดเส้นทางมิติอันเชี่ยวกราดระหว่างทั้งสอง , เกี่ยวข้องโดยตรงกับกฏเกณฑ์ในการเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก และองค์ความรู้ค่ายกลในระดับสูง”

 

“หมายเหตุ : คุณสามารถศึกษาเกี่ยวกับค่ายกลก่อนก็ได้ เพื่อที่จะเป็นการช่วยลดแต้มพลังวิญญาณที่จักต้องจ่ายออก ในการเรียนรู้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบระบุตำแหน่งนี้”

 

กู่ฉิงซานจ้องค้างไปยังตัวเลข 10000 อยู่เป็นเวลานาน

 

10000 แต้มนี้ มันแทบจะเป็นจำนวนที่ไม่อาจเข้าถึงได้เลย

 

เพื่อที่จะเรียนรู้ค่ายกลนี้ สิ่งที่ต้องทุ่มจ่ายออกมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับโลกท่องเวหาทั้งใบแล้วนอกเหนือไปจากมารโลกา ก็ไม่มีมอนสเตอร์อื่นใดอยู่อีกเลย

 

ดังนั้นการรวบรวมแต้มพลังวิญญาณให้ครบจำนวนดังกล่าวนี้ บอกตรงๆว่ามันเป็นภารกิจที่ไม่มีทางบรรลุได้

 

หลังจากที่เงียบไปสักพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็เริ่มสังเกตุเห็นจุดอื่นๆ

 

บริเวณมุมของหน้าต่างระบบเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณของเขากำลังแสดงบนหน้าจอ

 

“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 3/300”

 

กู่ฉิงซานถึงขั้นต้องกลั้นหายใจ มิอาจขยับกายได้อยู่เนิ่นนาน

 

ในระหว่างช่วงที่เดินทางไปยังโลกปรภพ เขาได้ใช้แต้มพลังวิญญาณทั้งหมดที่มีออกไปจนหมดสิ้นแล้ว

 

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? สีหน้าเจ้าดูไม่สู้ดีเลย” ฉินรั่วเอ่ยถามออกมาด้วยความกังวล

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ “เปล่าหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าตนได้เผชิญกับปัญหาที่ยากเย็นยิ่งซะแล้วสิ ”

 

“มิต้องท้อถึงเพียงนั้นหรอก แม้ในนิกายกวงหยางไม่มีปรมาจารย์ค่ายกลที่เชี่ยวชาญอยู่อีกแล้วก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราก็ยังพอจะมีวิธีอยู่อีกเล็กน้อย” ฉินรั่วกล่าวปลอบประโลม

 

“วิธีอันใด?”

 

“ก่อนหน้านี้ฉีหยานเคยครอบครองสาวใช้อยู่คนหนึ่ง เขาฉุดเธอมาจากโลกที่เชี่ยวชาญทางด้านค่ายกล”ว่านเอ๋อกล่าว

 

ฉินรั่วเอ่ยเสริมว่า “สาวใช้นางนั้นชื่อว่าจื่อหลิว เป็นเด็กสาวที่ฉลาดหลักแหลมและงดงามไม่น้อยเลยทีเดียว”

 

“โฮ่? เช่นนั้นนางก็น่าจะสมควรที่มาจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา – ว่าแต่นางไปอยู่ที่ไหนซะล่ะตอนนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

หากไม่ใช่คนของนิกายกวงหยาง แต่เป็นคนที่มีสถานะเช่นเดียวกับฉินรั่วและว่านเอ๋อแล้วล่ะก็ เชื่อว่าเด็กสาวที่มีนามว่าจื่อหลิวผู้นี้ย่อมเต็มใจและยินดีที่จะพาตนเองร่วมหลบหนีไปจากโลกนี้อย่างแน่นอน

 

เมื่อไหร่ที่ได้พบกับเธอเป็นการส่วนตัว และดูๆแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เขาก็จะสามารถลองให้เธอสร้างมันได้

 

“ฉีหยานได้มอบนางให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไปแล้ว”

 

“อ้าว เพราะเหตุใดกัน?”

 

“มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนน่ะ” ว่านเอ๋อยักไหล่

 

กู่ฉิงซานยกคิ้วสูงขึ้น

 

“อันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะจื่อหลิวน่ะเก่งกาจในด้านค่ายกล ดังนั้นฉีหยานจึงรู้สึกไม่ปลอดภัยยามเมื่อมีนางอยู่ข้างกาย”

 

ฉินรั่วหันไปมองว่านเอ๋อวูบหนึ่งและกล่าว

 

แล้วกู่ฉิงซานตระหนักได้ในทันใด

 

เก่งกาจในด้านค่ายกล มิน่าเล่า …

 

หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ฉีหยานจะรู้สึกไม่วางใจ

 

เพราะใครจะรู้ จู่ๆเธออาจจะแอบค่อยๆแอบปลดค่ายกลที่ติดตั้งไว้รอบกายเขาอย่างเงียบๆก็ได้

 

แล้วเมื่อใดก็ตามที่ถึงช่วงเวลาลางร้าย แต่ทว่ารอบกายกลับไม่มีค่ายกลอยู่ โชคชะตาที่จะต้องเผชิญคงมิแคล้วมีเพียงตกตาย!

 

“แบบนี้ก็สิค่อยง่ายหน่อย ข้าจะเร่งไปนำตัวนางกลับมาทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองกันและกัน ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความสุข

 

“เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ดูมีความสุขนัก?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เรื่องนี้ย่อมเป็นธรรมดา นั่นเพราะนางคือเด็กสาวน่ารัก งดงามทั้งกายและใจ มีอัธยาศัยที่ดีและไม่อาจทานทนต่อเจตนาฆ่าของฉีหยานได้ตรงๆ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเกะกะลูกตา ฉีหยานจึงได้โยนเธอให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาแทน” ว่านเอ๋อกล่าวเสียงหวาน

 

แต่ทันใดนั้นเอง สายตาของฉินรั่วก็เบนออกไป ปากเอ่ยกล่าว “มีใครบางคนกำลังมา”

 

และในวินาทีต่อมา ภายนอกห้องก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านปรมาจารย์ตำหนักฉี วันนี้คือวันหารืออย่างเป็นทางการ และช่วงเวลาหารือก็ได้มาถึงแล้วนะขอรับ”

 

กู่ฉิงซานกล่าวเสียงเย็น “ทว่าข้าจดจำได้ว่ามันสมควรที่จะเป็นวันพรุ่งนี้มิใช่หรือ?”

 

เสียงนั้นชะงักไปชั่วคราว ก่อนจะเอ่ยปากต่อ “พอดีว่ากำหนดการถูกเร่งให้เร็วขึ้นน่ะขอรับ”

 

พอได้ฟัง สีหน้าของฉินรั่วกับว่านเอ๋อก็ดูจะเผยถึงความกังวลออกมา

 

“ทั้งหมดที่ข้าทราบคือนิกายลั่วชาเฟิงจะมาเยือน บางทีอาจจะเป็นเรื่องนั้นก็ได้” ฉินรั่วเอ่ยเสียงกระซิบ

 

“ชู่วว! เรื่องนี้เป็นความลับนะ ในตอนที่พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องนี้ พวกเราคนใช้ทุกคนก็ถูกไล่ออกมาจนหมดเลย ดังนั้น จึงมิได้ทราบถึงรายละเอียดแบบจำเพาะเจาะจงได้” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริมอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างระมัดระวัง

 

“แต่นิกายนั่นยังมาไม่ถึงใช่ไหม” เขาเอ่ยถาม

 

“ก่อนหน้าที่พวกเราจะไปยังโลกเทวะ ก็ได้ยินมาว่าพวกเขาจะมาถึงในเร็วๆนี้” ฉินรั่วกล่าว

 

กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด

 

โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ การหารืออย่างเป็นทางการจู่ๆก็เลื่อนกำหนดการอย่างกระทันหัน นี่มันค่อนข้างจะน่าสงสัยเล็กน้อย

 

การหารืออย่างเป็นทางการของนิกาย กล่าวได้ว่ามันคือการประชุมปกติของผู้นำระดับสูงทั้งหมดในนิกาย

 

โดยปกติแล้วผู้ที่จะได้เข้าร่วมการหารืออย่างเป็นทางการนี้ จะมีผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า , ผู้นำฉีรั่วหยา , ตำหนักหนิงเยว่ – เย่หยิงเหมย , ตำหนักซานเหว่ย – ปรมาจารย์ตำหนักฉีหยาน , สาขาเจียงซี – ปรมาจารย์ตำหนักเซ่าหวูชุ่ย โดยสิ้นเชิงแล้ว 5 คน

 

ตำหนักหนิงเยว่ จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการฝึกยุทธของสาวกนิกาย

 

ขณะที่ตำหนักซานเหว่ย จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการต่อสู้ภายนอก และการลงทัณฑ์ภายใน

 

ส่วนตำหนักเจียงซี จะมีหน้าที่รับผิดชอบกิจกรรมโดยรวมของนิกาย แต่โดยหลักแล้วจะเป็นในส่วนของการคลังสำรอง

 

เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยทั้งสองคน เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอดที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า

 

แต่ดูเหมือนจะมีข่าวเล่าลือว่าเย่หยิงเหมย แม้จะเป็นศิษย์ของอาวุโสสูงสุด แต่ก็ยังเป็นนางบำเรอของเขาอีกด้วย!

 

เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เย่หยิงเหมยเกือบจะได้แต่งงานกับสหายเต๋าที่เป็นผู้ฝึกยุทธชายจากนิกายอื่นอยู่แล้ว ทว่าสุดท้ายกลับถูกหยุดไว้โดยหวังหงษ์เต๋า

 

และเรื่องนี้เอง ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเป็นอันมาก ทว่าก็ยังไม่มีใครสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าต้นเหตุที่แท้จริงมันเกิดจากอะไร

 

แต่ในที่สุด เย่หยิงเหมยก็ยังมิได้แต่งงาน

 

ในบรรดาทั้งห้าคน มีเพียงบุตรชายของตนเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างฉีรั่วหยา ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงอยู่ในสภานะ 2 : 3

 

กล่าวได้ว่าตำแหน่งผู้นำนิกาย กำลังอยู่ในสถานะที่สั่นคลอน

 

และในตอนนี้ ผู้นำฉีรั่วหยาก็กำลังมุ่งมั่นก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ดังนั้นจึงเหลือฉีหยานเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

ฉีหยานจักต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสสูงสุดและสองปรมาจารย์ตำหนักโดยลำพัง!

 

ผู้อาวุโสสูงสุดแม้ยังคงปิดด่านรักษาตนอยู่ แต่คราวนี้เขาก็อาจจะออกมาเข้าร่วมหารืออย่างเป็นทางก็ได้ ใครจะรู้

 

-อย่างน้อยในข้อนี้ตัวฉีหยานเองก็ไม่ทราบ

 

นอกจากนี้ การหารืออย่างเป็นทางการอาจจะเกี่ยวข้องกับนิกายที่ทรงพลังที่สุดในโลกอย่างลั่วชาเฟิงก็เป็นได้

 

……

 

ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในความยุ่งเหยิง

 

นับประสาอะไรกับกู่ฉิงซานที่ปลอมตัวเป็นฉีหยาน หากฉีหยานไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์อันซับซ้อนดังกล่าวนี้ได้นี้ ตัวเขาคงมิแคล้วถูกเปิดโปงเป็นแน่

 

ว่านเอ๋อกัดฟันกล่าว “หรือว่าเราสมควรจะหนีไปทั้งๆอย่างนี้ดี … ”

 

กู่ฉิงซานขัดเธอ เอ่ยปากกล่าวอย่างแผ่วเบา “มันไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าต้องไว้ใจข้าสิ พวกเราไปกันเถอะ”

 

“ช่วงก่อนหน้านี้เจ้าได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองคนแล้วใช่หรือไม่?”ฉินรั่วหันไปมองเขา ปากเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ

 

“ข้าจดจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในช่วงเวลาหลายร้อยปีนี้ได้หมดแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขายกหมวกไม้ไผ่ขึ้น และเดินตรงไปยังประตูทางออก

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.435 – โลกอันแห้งแล้ง

 

“ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ความสนใจของทุกคนถูกเบี่ยงเบนมายังลูกศิษย์เจ้าจริงๆ -กลยุทธ์นี้นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก” ฉินรั่วกล่าว

 

“ก็แค่โชคช่วยน่ะ แต่จากนี้ไปต่างหากที่จะเป็นของจริงแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาหันไปมองรอบๆ เพื่อดูโครงสร้างของทั่วทั้งห้อง

 

ฉีหยานเป็นผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า เป็นถึงบุตรชายของผู้นำนิกาย แต่ช่างน่าฉงนนัก ที่ห้องของเขากลับแลดูสามัญยิ่ง

 

กู่ฉิงซานมิได้เห็นสิ่งใดที่มันมหัศจรรย์ เหนือล้ำยิ่งกว่าจินตนาการเลย

 

สิ่งเดียวที่ดูน่าสนใจก็คือหยกวิญญาณที่เป็นรูปสลัก

 

กู่ฉิงซานเดินไปที่โต๊ะและหยิบเอาหยกที่สลักเป็นรูปคางคกขึ้นมา

 

หยกคางคกนี้นับว่าเป็นหยกวิญญาณที่มีคุณภาพดีทีเดียว ภายในได้ได้แกะสลักไว้ด้วยค่ายกลพลังกักวิญญาณขนาดเล็ก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวมันเองสามารถสะสมพลังวิญญาณได้ตลอดเวลาเพื่อให้ผู้ฝึกยุทธสามารถดูดซับมันได้ทุกครั้งที่ต้องการ

 

กู่ฉิงซานเพียงถือมันไว้ในมือ ตนก็สัมผัสได้ในทันทีถึงพลังงานวิญญาณนับไม่ถ้วนที่เจาะเข้ามาในรูขุมขน

 

“ช่างเป็นสิ่งที่ดี!” เขาเอ่ยยกย่องคำหนึ่ง

 

ตลอดทั้งห้อง หยกชิ้นนี้เป็นสิ่งเดียวที่กู่ฉิงซานรู้สึกว่าเข้าตา

 

“ยังมีเจ้าสิ่งนี้อยู่นี่นา มิใช่ว่าโลกใบนี้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้แล้วหรอกหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“นั่นนับว่าถูกต้องแล้ว แต่มันก็มิใช่ว่าจะไม่มีของดีๆหลงเหลืออยู่เลย ดั่งเช่นสิ่งที่เจ้าถืออยู่ นั่นน่ะเป็นของสะสมที่ฉีหยานโปรดปรานมากที่สุด และเขาก็ไม่ยินดีที่จะใช้มัน” ฉินรั่วตอบ

 

กู่ฉิงซานวางหยกคางคกลง และหยิบพัดใบหนึ่งขึ้นมา

 

พัดถูกคลี่ออก เผยให้เห็นถึงภาพวิหารเงินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ประดับประดาด้วยหยกสลักอันงดงาม

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อจ้องมองมาที่เขา เพื่อสังเกตท่าทีและสีหน้าการแสดงออกของเขา

 

เมื่อเพ่งพินิจลวดลายภาพจบ กู่ฉิงซานก็หุบพัดลง ก่อนจะกางออกอีกครั้งแล้วยกมันขึ้นมาพัดอย่างแผ่วเบา

 

“ใช่ นั่นแหละเขาล่ะ” ฉินรั่วกล่าว

 

“แต่นี่มิใช่ตัวข้าเลย” กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างสลด

 

แต่ในขณะนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงๆหนึ่งขึ้นจากด้านนอกประตู

 

เสียงนั้นทั้งเล็กและเบามาก ราวกับว่ากำลังหวาดกลัวว่าจะเป็นการรบกวนฉีหยาน

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะผ่านทางหน้าต่างออกไป และเห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธหลายคนกำลังถือกล่องใบหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าลานประตู

 

พวกเขาโค้งกายคารวะแล้วค่อยๆถอยฉากไป

 

กู่ฉิงซานย้อนระลึกไปถึงข้อมูลที่ได้รับมา ปากเอ่ยถาม “นี่ถึงเวลารับผลประโยชน์รายเดือนของนิกายแล้วหรือ?”

 

“ข้าก็ไม่มั่นใจ แต่มันก็อยู่ในช่วงระหว่างวันสองวันนี้นี่แหละ อ๊ะจริงสิ รู้สึกว่าคราวนี้จะมีเม็ดยารักษารวมอยู่ด้วยล่ะ!” ว่านเอ๋อหันไปมองฉินรั่วที่กำลังเผยสีหน้าคาดหวังอยู่

 

“ข้าไม่คาดคิดเลย ว่าเพียงแค่มาถึงไม่นาน ก็จะได้รับผลประโยชน์ราวกับส้มหล่นเช่นนี้” กู่ฉิงซานหัวเราะออกมา

 

ว่านเอ๋อกล่าว “ข้าจะเป็นคนไปรับมันเอง”

 

เธอผลักประตูห้องออกไป ย่างผ่านลานกว้างอย่างช้าๆ ก่อนจะหยิบกล่องที่วางอยู่หน้าลานประตูเข้ามา

 

ไม่นานนัก กล่องใบหนึ่งก็ถูกเปิดออกต่อหน้าทั้งสี่คน

 

ภายในมีขวดยารักษาอยู่หลายใบ

 

ถุงเก็บศิลาวิญญาณขนาดเล็ก

 

ใบหยก

 

นั่นคือทั้งหมดที่มี

 

ว่านเอ๋อหยิบถุงเก็บศิลาวิญญาณออกมาวางบนมือ แล้วลองขยับขึ้นๆลงๆกะน้ำหนักมันดู

 

“คราวนี้ไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าภายในจะบรรจุศิลาวิญญาณคุณภาพต่ำไว้ตั้ง 60 ก้อนแน่ะ” เธอเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

หือ? เมื่อกี้กระไรนะ ได้ยินแว่วๆว่า 60 ก้อนศิลาวิญญาณ …

 

กู่ฉิงซานก้มลองมองดูสิ่งที่บรรจุมาภายในกล่อง ทั้งคนทั้งร่างตะลึงงันเป็นเวลานาน

 

ห้ามลืมนะว่าฉีหยานคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุุดความว่างเปล่า เป็นถึงหนึ่งในสามปรมาจารย์ตำหนักของนิกายกวงหยาง แล้วเหตุใดศิลาวิญญาณที่ได้รับในทุกๆเดือนถึงได้เล็กจ้อยเช่นนี้?

 

ทั้งๆที่หากเป็นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ นางเซียนไป่ฮั่วมอบศิลาวิญญาณให้เหล่าบรรดาลูกศิษย์แต่ละครั้ง พวกมันจะถูกยัดลงไปเรื่อยๆจนกว่าจะเต็มถุง

 

และจำนวนศิลาวิญญาณที่เต็มถุงนั่นก็คือ 100000 ก้อน!

 

ส่วนเม็ดยารักษา ดิสก์ค่ายกลทั่วไป ยันต์ อาหารวิญญาณ และแม้กระทั่งอาวุธเครื่องแต่งกาย นางเซียนไป่ฮั่วก็ยังตระเตรียมการไว้โดยพร้อมสำหรับเหล่าลูกศิษย์

 

มันมากมายจนทุกครั้ง ฉินเซี่ยวโหลวต้องบ่นออกมาว่าท่านอาจารย์คงคิดเสแสร้งเอาใจเขาเพื่อที่จะได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาอ้างขู่บังคับเขาเป็นแน่

 

และไอ้ที่ว่าขู่บังคับน่ะ ก็คงจะไม่พ้นการให้ฉินเซี่ยวโหลวจะต้องออกมาฝึกยุทธกับเจ้าห่านขาว ไม่ก็นางเซียนด้วยตนเอง

 

อย่างไรก็ตาม การกระทำเช่นนี้ยังพอจะอธิบายได้อีกด้วยว่าผลประโยชน์รายเดือนของนิกายร้อยบุปผา หรือแม้กระทั่งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนั้นมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์มากมายขนาดไหน

 

ช่างตรงกันข้ามกับโลกของฉีหยาน ที่ดูเหมือนว่าทรัพยากรจะเหือดแห้งจนสิ้นแล้ว

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ทรัพยากรในโลกล่องเวหาขาดแคลนถึงระดับนี้เชียวหรือ”

 

“ถูกต้อง ในเมื่อผืนดินไม่มีอยู่อีกต่อไป ฉะนั้นเรื่องทรัพยากรฝึกยุทธยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง” ฉินรั่วกล่าว

 

“ช่วงเวลานี้ นิกายทั้งหมดล้วนประทังชีวิตรอดด้วยทรัพยากรที่ตนปล้นและเก็บสำรองมาจากในครั้งอดีต”

 

กู่ฉิงซานถึงกับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

 

เดิมที เขาคิดว่าโลกใบนี้จะเป็นโลกที่เหมาะกับการฝึกยุทธระดับสูง เห็นได้จากอารยธรรมต่างๆของพวกเขาที่แสนจะร้ายกาจและดูหวือหวา แต่ใครจะไปคิดว่าจริงๆแล้วมันมิใช่เช่นนั้น

 

นี่มันเป็นโลกที่แห้งแล้ง และใกล้จะถึงจุดจบแล้วต่างหาก

 

เหตุผลแท้จริงแล้วก็คงจะไม่พ้นเรื่องของอสูรกาย

 

ก่อนที่มารโลกายังมาไม่ถึงโลกใบนี้ โลกล่องเวหาจะต้องเป็นเป็นอะไรที่ทรงพลังและเจริญรุ่งเรืองมากอย่างแน่นอน มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถพิชิตโลกต่างๆ หรือให้กำเนิดผู้ฝึกยุทธที่น่าสะพรึงขึ้นมากมายขนาดนี้หรอก

 

ทว่าเมื่อมารโลกาได้มาเยือนโลกใบนี้ ทุกสิ่งอย่างก็ถูกทำลายล้างจนสิ้นทันที

 

แล้วถ้าหากมารโลกาปรากฏตัวขึ้นในโลกของพวกกู่ฉิงซานล่ะ ผลลัพธ์มันจะแตกต่างกันรึเปล่า?

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว

 

แต่แล้วในตอนนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ว่าฉินรั่วเอาแต่จ้องมองมายังขวดเม็ดยารักษาขวดหนึ่ง พร้อมด้วยท่าทีการแสดงออกที่ดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานจึงหยิบขวดยาที่ว่านั่นขึ้นมาดู

 

เขาเปิดจุกออก และเทเม็ดยาไม่กี่เม็ดลงมา แล้วยื่นจมูกไปสูดดม แต่ก็พบว่ามันเป็นแค่เม็ดยารักษาธรรมดาๆเท่านั้น

 

“เจ้าต้องการสิ่งนี้กระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ฉินรั่วกำลังจะกล่าว แต่ว่านเอ๋อก็ชิงตอบแทนเสียก่อน “พี่สาวน่ะมีจิตใจที่อ่อนโยน ครั้งหนึ่งพี่สาวเคยพยายามที่จะช่วยเหลือพวกทาส แต่ก็ถูกฉีหยานจับได้ เขาจึงลงโทษเธอโดยการให้คุกเข่าอยู่บนเปลวไฟหยินเป็นเวลานาน”

 

“และเนื่องด้วยพลังวิญญาณที่ถูกพันธนาการ แถมยังไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นอาการบาดเจ็บของพี่สาวจึงยังไม่หายดีนับตั้งแต่นั้นมา”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า แสดงท่าทีว่าเข้าใจ

 

“เปลวไฟหยิน? นั่นมันเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดเหลือคณา แต่ว่ายารักษาขวดนี้ … มันไม่เหมาะสมกับเจ้า” กู่ฉิงซานกล่าวพลางครุ่นคิด

 

ว่านเอ๋อนิ่งงันไป

 

ขณะที่สายตาคาดหวังของฉินรั่วหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เธอพยักหน้ารับ “เจ้ากล่าวถูกแล้ว นี่คือช่วงเวลาสำคัญ ดังนั้นเม็ดยารักษาเหล่านี้ เจ้าจึงสมควรที่จะเก็บสำรองเอาไว้ใช้งานเอง”

 

“ข้ามิได้หมายความแบบนั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาโยนขวดยารักษากลับลงไปในกล่องและตบลงบนถุงสัมภาระของตนเอง

 

ควานหาอยู่สักพักจึงหยิบขวดยาเล็กๆสีเขียวขึ้นมา แล้ววางมันลงบนมือของฉินรั่ว

 

“ใช้สิ่งนี้สิ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วพอสัมผัสได้ถึงมันก็สั่นสะท้าน

 

ว่านเอ๋อเห็นเช่นนั้นจึงเร่งวิ่งไปคว้ามันแล้วเปิดจุกออก

 

ทันใดนั้นกลิ่นยาอันทรงประสิทธิภาพก็ฟุ้งออกมาจากขวด

 

ไม่นานนัก กลิ่นหอมของมันแพร่กระจายไปทั่วทั้งห้อง

 

“ข้ามิได้สัมผัสกับเม็ดยาระดับสูงเช่นนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว – ว่าแต่นี่คือยาอะไรกัน?”

 

ว่านเอ๋อเอ่ยถามออกมา จมูกของเธอขยับฟุดฟิดๆ พยายามดูดซับประสิทธิภาพของยาที่ลอยฟุ้งออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

อย่างไรก็ตาม การกระทำของเธอมิได้แลดูเหมือนกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติเลย ตรงกันข้าม มันกลับดูค่อนข้างจะน่ารักทีเดียว

 

แต่ด้วยฐานะที่เป็นสาวใช้ พวกเธอจึงแทบไม่ได้รับทรัพยากรไว้ใช้ฝึกยุทธเลย

 

กู่ฉิงซานตอบไปว่า “มันคือ ‘เม็ดยาเจ็ดปฏิวัติ’ มีคุณสมบัติสามารถรักษาพิษไฟทั้งหมด ฟื้นฟูความเสียหายจากธาตุทั้งห้าและเพิ่มพูนพลังธาตุ”

 

สีหน้าของฉินรั่วเผยแววถวิลหา แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะผลักมันกลับคืนสู่มือของกู่ฉิงซาน

 

“เม็ดยานี้ย่อมต้องมีค่ามากอย่างแน่นอน เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถิด ข้ายังพอสามารถฝืนทนได้” เธอกล่าว

 

“เจ้านั่นแหละรับมันไปเถอะ ข้ามีเม็ดยาชนิดนี้มากพอที่ข้าต้องการเลยล่ะ” กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าตนสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

 

ในครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับพระสันตะปาปา ตนได้ใช้เจ็ดดารา มังกรแหวกธาราออกมาอย่างไม่เต็มใจ จนตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

และหลังจากบุกเข้าสู่โลกเทวะ อาการบาดเจ็บของเขาก็ยังไม่หายดี จนจำต้องไปรักษาตัวเองในถังยา

 

และหลังจากนั้นมา นางเซียนไป่ฮั่วก็จับยัดเม็ดยารักษาลงในถุงสัมภาระของเขาจนกองพะเนิน

 

ต่อมา นางเซียนไป่ฮั่วมีลางสังหรณ์ว่าตนกำลังจะตกตาย จึงใส่ทุกสิ่งอย่างลงในถุงหอมหลากสี แล้วมอบมันให้แก่เขา

 

ต้องรู้นะว่านางเซียนไป่ฮั่วน่ะคือตัวตนระดับสูงสุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ทรัพยากรที่เธอครอบครองย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้

 

ดังนั้นขวดเม็ดยาเจ็ดปฏิวัตินี้ สำหรับกู่ฉิงซานแล้วจึงไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย

 

ฉินรั่วเฝ้ามองเขาด้วยความลังเล และพยายามที่จะจับผิดถึงความคิดที่แท้จริงของเขา

 

กู่ฉิงซานที่รู้สึกราวกับกำลังจะถูกสอบสวนก็ได้วางขวดยาลงในมือเธออีกรอบ แล้วใช้อีกมือของตนค่อยๆหุบนิ้วมือของอีกฝ่ายลงมากุมขวดยา ปากเอ่ยกล่าว “ข้าเพียงหวังว่าพวกเราจะสามารถร่วมมือกันได้อย่างจริงใจ และฟันฝ่าสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันก็เท่านั้นเอง”

 

“ตกลง ถ้าเจ้ามีความตั้งใจจริงเช่นนี้ ข้าก็จะขอเก็บขวดยารักษานี้เอาไว้เอง” ฉินรั่วกล่าว

 

ว่านเอ๋อพูดออกมาอย่างมีความสุข “พี่สาว วางใจเถอะ ท่านควรจะทราบนะว่าเขาน่ะเป็นคนดี เขาถึงขั้นยอมแลกชีวิตตนเองเพื่อช่วยอาจารย์ตนเชียวนะ”

 

ฉินรั่วพยักหน้า

 

ส่วนกู่ฉิงซานก็หันไปหยิบใบหยกออกมาจากกล่อง

 

เขาส่งจิตสัมผัสเทวะลงไปในใบหยก แล้วทันใดนั้นก็ได้รับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่พึ่งเกิดขึ้นกับนิกายเมื่อเร็วๆนี้

 

ลั่วชาเฟิง นิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลกใบนี้ กำลังจะมาเยี่ยมเยือน

 

ส่วนอาวุโสสูงสุดยัก็งคงปิดด่านรักษาตนอยู่ และเขาจะไม่ปรากฏตัวออกมา จนกว่านิกายลั่วชาเฟิงจะมาถึง

 

ขณะที่ผู้นำนิกายกวงหยางเอง ก็กำลังอยู่ในช่วงก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์

 

—ขณะที่ไม่มีใครกล้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในโลกใบนี้ เพราะมันจะถูกตรวจพบโดยมารโลกาทันที

 

เหตุการณ์เหล่านี้ก็ยังคงเหมือนเดิม และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก

 

แต่กลับเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆภายในนั้นที่ได้ดึงดูดความสนใจของกู่ฉิงซานแทน

 

มันคือเรื่องที่ตำหนักเจียงซีผู้รับผิดชอบในการจัดเก็บทรัพยากรของนิกาย และตำหนักหนิงเยว่ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการฝึกยุทธของเหล่าสาวกในนิกาย ร่วมกันประกาศสิ่งหนึ่งออกมา

 

นั่นคือผลประโยชน์รายเดือนของเหล่าสาวก ซึ่งก็คือศิลาวิญญาณที่โดยปกติก็ได้รับเพียงเล็กน้อยอยู่แล้ว จะถูกมอบให้ในภายหลัง

 

ส่วนเหตุผลก็เป็นเพราะนิกายลั่วชาเฟิงกำลังจะมาเยี่ยมเยือน ทางนิกายจึงตัดสินใจที่จะจัดงานต้อนรับ

 

ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์สำคัญกำลังจะเกิดขึ้นเช่นนี้ ตำหนักเจียงซีจึงต้องทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำการรับรองพวกเขา และไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาจัดการแจกจ่ายศิลาวิญญาณ

 

ขณะที่เมื่อแขกผู้มีเกียรติมาถึง ตำหนักหนิงเยว่ก็จะเป็นผู้รับหน้าและจัดการแข่งขันประจำนิกายขึ้นอีกด้วย

 

การแข่งขันในครั้งนี้ ได้จัดเตรียมรางวัลที่ดีมากพอที่จะดึงดูดสาวกทั้งหมดให้เข้าต่อร่วมเพื่อชิงตำแหน่ง!

 

แล้วหลังจากที่เรื่องราวที่ว่ามานี้จบลง ทางนิกายก็จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ และตำหนักเจียงซีก็จะเริ่มจัดการแจกจ่ายศิลาวิญญาณของเดือนนี้ทันที

 

กู่ฉิงซานอ่านเนื้อหาข้อมูลนี้อย่างจริงจัง แต่สุดท้ายแล้วกลับพบว่ามันแตกต่างจากที่เขาคิด

 

การแข่งขันที่จัดขึ้นนี้ แท้จริงแล้วมันมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการทดสอบหกศิลป์ของผู้ฝึกยูทธในนิกายต่างหาก

 

ทำนายชะตา วางค่ายกล หลอมอาวุธ กลั่นเม็ดยา สร้างยันต์ และปรุงอาหารวิญญาณ นี่คือหกศิลป์

 

ในบรรดาหกศิลป์ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในนิกายก็คงจะไม่พ้น ‘ค่ายกล’

 

แต่สำหรับขอบเขตวรยุทธและการต่อสู้เพื่อคว้าชัยชนะนั้น มันมิได้มีรวมอยู่ในการทดสอบเลย

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก ก่อนจะได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว

 

นิกายของโลกใบนี้ … ดูเหมือนว่าจะมิได้ใส่ใจกับพื้นฐานวรยุทธของเหล่าสาวกอีกต่อไปแล้ว

 

มีพื้นฐานวรยุทธสูงแล้วมันจะดียังไง?

 

สำหรับนิกายแล้ว วรยุทธคุณยิ่งสูงก็ยิ่งต้องจ่ายศิลาวิญญาณเพิ่มมากขึ้นเพื่อเลี้ยงดูคุณ แถมยังต้องคอยป้องกันคุณไม่ให้คอยแข่งขันแย่งชิงอำนาจอีก

 

แต่ในทางตรงกันข้าม หกศิลป์กลับเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก มันเป็นสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้นิกายเจริญยิ่งขึ้น!

 

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงไม่พ้น ‘ค่ายกล’

 

เพราะหากโลกนี้ไม่มีค่ายกล สิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ก็คงจะล้มหายตายจากไปกันจนหมดสิ้นแล้ว

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.434 – มารโลกา

 

“ฟังดูเหมือนว่าโลกกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวังเลยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“นั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น” ว่านเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแลดูหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย

 

“ความสิ้นหวัง … มักจะทำให้ผู้คนเป็นบ้า”

 

เขาเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาและผุดลุกขึ้นจากฟูก

 

ขณะที่สองสาวพอได้ฟังก็นิ่งงันไป จมหายเข้าสู่ห้วงความคิด แล้วก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าวไม่เพียงตรงกับอุปนิสัยของผู้คนบนโลกใบนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังตรงกับตัวของพวกเธอเองอีกด้วย

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามต่อ “ในเมื่อนี่เข้าสู่ช่วงเวลาลางดีแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเราสามารถไปที่นิกายกวงหยางกันได้แล้วใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้วนายน้อย ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องเริ่มออกเดินทางกันเสียที” ฉินรั่วกล่าว

 

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

 

สองสาวใช้ผุดลุกขึ้น และเริ่มเก็บข้าวของ

 

ว่านเอ๋อปล่อยเรือเหาะออกมา

 

นี่เป็นเรือเหาะขนาดเล็กที่ดูเพรียวลม มีความคล่องตัวสูง เพียงแค่มองก็สามารถคาดเดาได้เลยว่าความเร็วของมันจะต้องน่าทึ่งมากอย่างแน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ภายในเรือเหาะก็ดูจะแคบเกินไป แคบไปมากทีเดียว …

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางหญิงงามทั้งสาม แออัดเบียดเสียดกัน ไม่ว่าจะขยับไปซ้ายหรือขวามันก็แลดูไม่งามและเหมาะสมเอาเสียเลย

 

จนในที่สุดเขาก็จำต้องยกมือขึ้นและโอบไหล่สัมผัสเนื้อตัวของคนอื่นๆจึงจะสามารถยืนอย่างสะดวกสบายได้

 

“เรือเหาะนี่ทำไมถึงได้สร้างมันมาให้แคบขนาดนี้กันนะ” เขาบ่น

 

“นายน้อย นี่คือเรือเหาะชั้นสูง และมีเพียงเรือชั้นสูงเท่านั้นที่ครอบครองความเร็วมากพอที่จะสามารถหลบหนีจากร่างแยกไร้จิตสำนึกของมารโลกาได้” ว่านเอ๋ออธิบาย

 

“ปากใหญ่สีดำที่ข้าเห็นเมื่อครู่นี้คือร่างไร้จิตสำนึกสินะ แล้วหากเป็นร่างที่มีจิตสำนึกเล่า?”

 

“ไม่มีใครอยากพบเจอกับร่างที่มีจิตสำนึกหรอก – เพราะมันว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ และไม่มีเรือเหาะลำใดสามารถหลบหนีได้ เมื่อมันปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมหมายถึงความตาย” ว่านเอ๋อส่ายหัวและกล่าว

 

ในขณะนั้นเอง ท่าทีการแสดงออกของฉินรั่วก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น

 

“นายน้อย โปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ท่านเป็นชายที่มักมากในกาม ฉะนั้นท่านจะต้องไม่เหนียมอายเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ท่านจะต้องล้วงมือมาจาบจ้วงพวกเราทันที” ฉินรั่วกล่าว

 

กู่ฉิงซานกล่าวรับคำด้วยความกลัดกลุ้ม “เข้าใจแล้ว”

 

เพราะกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่ามือของตนสมควรจะไปอยู่ในตำแหน่งใดดี

 

ฉินรั่วจับมือของเขา ปากเอ่ยเฉียบขาด “ข้าทราบดีว่าเจ้าไม่ใช่ฉีหยาน และยังรู้ดีว่าเจ้าให้เกียรติพวกเราเป็นอย่างมาก แต่นี่คือเรื่องร้ายแรงถึงชีวิต เจ้าจะต้องทำตัวให้เป็นธรรมชาติเข้าไว้”

 

ว่านเอ๋อจับอีกมือหนึ่งของเขา และพยักหน้ากึ่งเตือนกึ่งจริงจัง

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “การแสดงออกของข้ามันดูผิดธรรมชาติมากเลยหรือ?”

 

“กล่าวตามตรง เวลานี้เจ้าดูเหมือนกระต่ายตื่นตูมที่พร้อมจะวิ่งหนีได้ตลอดเวลา” ว่านเอ๋อกล่าว

 

“ … เข้าใจแล้ว”

 

“นายน้อย ท่านรีบดูข้างล่างเร็ว” ฉานนู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

 

กู่ฉิงซานโผล่หัวของเขาออกไป และมองลงไปยังใต้เรือเหาะ

 

เห็นแค่เพียงท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ทว่าเบื้องล่างมัน ไม่มีผืนดินอยู่เลย

 

ผืนดิน ภูเขา แม่น้ำ ที่ราบลุ่ม การดำรงอยู่ของสิ่งพื้นฐานต่างๆ แต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งสำคัญต่อโลกทั้งสิ้น

 

ทว่าในโลกใบนี้ กลับไม่มีสิ่งที่ว่ามาอยู่เลย

 

ตลอดทั้งผืนดินถูกแทนที่ด้วยมัดกล้ามเนื้อสีแดงเข้มที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา

 

มันคือเส้นใยกล้ามเนื้อสีแดงที่เรียวบางม้วนรวมกัน

 

กล้ามเนื้อทั้งหมดซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ เคลื่อนไหวขึ้นๆลงราวกับคลื่นที่ซัดสาด และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 

กู่ฉิงซานมองไกลออกไปจนสุดสายตา และค้นพบว่ากล้ามเนื้อเหล่านี้แพร่ขยายตัวกินพื้นที่กว้างออกไปไร้ที่สิ้นสุด

 

ซึ่งนี่แหละคือร่างหลักของมารโลกา!

 

ตามข้อมูลที่กู่ฉิงซานได้รับมา ไม่เคยมีใครเลยที่กล้าย่างกรายเข้าไปใกล้มัน เพราะมันคือร่างหลักสุดแสนทรงพลัง!

 

แม้ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตจะสามารถโค่นร่างไร้จิตสำนึกและร่างมีจิตสำนึกลงได้

 

ทว่าเมื่อร่างหลักของมารโลกาได้ปรากฏกาย ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตก็ทำได้เพียงหลบหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น

 

แต่มันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหลบหนีได้

 

แม้จะตระหนักดีว่าอีกฝ่ายมีร่างกายมโหฬาร แต่ครั้งแรกที่กู่ฉิงซานเห็น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยถึงความประหลาดใจออกมา

 

“ทำไมมันถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้ … ” เขาบ่นงึมงำ

 

ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากสาวใช้ทั้งสอง ในอดีตที่ผ่านมาหลายพันปี  มารโลกาได้กลืนกินดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่อยู่รอบโลกไปจนหมดสิ้นแล้ว

 

และตอนนี้ มันก็กำลังเริ่มที่จะกลืนกินโลก

 

ผืนดินของโลกล่องเวหาคือการผสานหลอมรวมกันของโลกนับไม่ถ้วน ซึ่งผืนดินนี่แหละคือแหล่งพลังงานของรากฐานโลกล่ะ!

 

สรุปง่ายๆว่าเมื่อมารโลกาได้กินผืนดินจนสิ้นแล้ว  โลกก็จะล่มสลายลงโดยสิ้นเชิง

 

และนั่นก็จะเป็นจุดสิ้นสุดของโลกล่องเวหา

 

ราวกับถูกแดกดันอย่างแสบสัน , เหล่าผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ได้ยึดครองและแย่งชิงสิ่งต่างๆโดยการพิชิตชัยโลกอื่นๆมามากมาย

 

แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นพวกเขาซะเองที่จะไม่มีโลกให้อาศัยอยู่อีกต่อไป

 

ว่านเอ๋อหยิบเอายันต์สีดำออกมาและมองมันอีกครั้ง

 

อักษร ‘ดี’ ยังคงเสถียร และเปล่งรังสีแสงออกมาตลอดเวลา

 

พอได้เห็น เธอก็รู้สึกโล่งใจ

 

เมื่อไหร่ที่มารโลกาตื่นขึ้น มันก็จะกลายเป็น ‘ลางร้าย’

 

ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ว่าใครๆก็มิกล้าที่จะปลดปล่อยพลังวิญญาณ เพราะจะเป็นการดึงดูดร่างแยกไร้จิตสำนึกมา จากนั้นก็จะถูกกลืนกิน

 

—เมื่อไหร่ที่มารโลกาหลับไหล นั่นคือช่วงเวลา ‘ลางดี’ และมนุษย์ก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณและกระทำการใดๆได้อย่างอิสระ

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังมารโลกา และอดไม่ได้ที่จะลองพิจารณามัน

 

หลังจากการวิเคราะห์และเทียบเปรียบแล้ว กู่ฉิงซานก็ตัดสินได้ว่า มารตนนี้อยู่เหนือยิ่งกว่าขอบเขตของอสูรกายทั่วๆไป

 

มันมิได้เป็นอสูรกายดัดแปลงชนิดเจาะทะลวงแนวข้าศึก แต่ก็ไม่ใช่อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลเช่นกัน … นี่มันยากที่จะคาดเดานัก

 

มารโลกาคงจัดได้ว่าเป็นอสูรกายที่พบเจอได้ยากที่สุด

 

มันคือหนึ่งในสามการดำรงอยู่ของอสูรกายที่แข็งแกร่งที่สุด  ซึ่งถูกดัดแปลงมาจากร่างกายของเทพวิญญาณในสมัยโบราณ

 

ด้วยจิตสัมผัสเทวะและระยะสายตาของมนุษย์ ย่อมไม่สามารถมองเห็นร่างกายทั้งหมดของมันได้อย่างสมบูรณ์ ทำได้แค่เพียงเพ่งมองส่วนหนึ่งของร่างกายมันเท่านั้น – นี่มันราวกับกำลังเผชิญหน้ากับผืนดินอันกว้างใหญ่อยู่เลย

 

นี่คือร่างกายที่แท้จริงของเทพโบราณ!

 

เรือเหาะบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้า ทิ้งระยะห่างจากมารโลกา

 

เกาะทั้งหมดยังต้องพึ่งพาค่ายกลล่องลอย เพื่อพยายามรักษาตนเองไว้ในอากาศ ออกห่างจากมารโลกาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

มีเพียงเฉพาะเกาะที่ศิลาวิญญาณกำลังจะหมดลงในเร็วๆนี้เท่านั้นที่จะต้องลดระดับความสูงของค่ายกลล่องลอยลง เพื่อรักษาศิลาวิญญาณเอาไว้

 

และพวกเขาก็จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายมากยิ่งขึ้น

 

ท้ายที่สุดนี้ กล่าวได้ว่ายิ่งเข้าใกล้กับโลกมารเท่าใด มันก็จะยิ่งเป็นการง่ายที่จะถูกพบตัวมากขึ้นเท่านั้น

 

บนเรือเหาะ

 

“พวกเรากำลังจะถึงในเร็วๆนี้” ว่านเอ๋อกล่าวเสียงกระซิบ

 

กู่ฉิงซานถอนสายตาออก และมองไปยังเบื้องหน้า

 

ภูเขากำลังลอยล่องอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ

 

ที่นั่นคือนิกายกวงหยาง

 

ในที่สุดก็มาถึงที่นี่เสียที

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้น ทำเช่นนี้อยู่ซ้ำๆหลายครั้ง

 

“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” ฉินรั่วเอ่ยถาม

 

“กำลังพยายามเข้าสู่สภาวะนักแสดงอย่างเต็มรูปแบบน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

 

ณ ขณะนี้ บนภูเขา ได้ปรากฏสองกระแสแสงบินเข้ามา

 

หนึ่งในสองกระแสแสง ภายในมีผู้คนอยู่หลายคน มันค่อยๆบินผ่านไปอย่างช้าๆ ก่อนจะพุ่งออกสู่ท้องฟ้าอันกว้างไกล

 

เมื่อครูู่คือเรือเหาะขนาดใหญ่ที่บรรทุกวัสดุและสินค้าจำนวนมาก

 

ฉินรั่วอธิบายว่า “นั่นเป็นเรือสินค้าที่ใช้แลกเปลี่ยนเม็ดยารักษาชนิดพิเศษของอาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจำเป็นต้องพึ่งเม็ดยาพิเศษเหล่านั้นเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้”

 

สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง ปากเอ่ยถาม “แล้วมีนิกายใดบ้างที่เรือสินค้าลำนี้มุ่งไป?”

 

“ ‘ลั่วชาเฟิง’ เป็นนิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในโลกใบนี้”

 

“แล้วนิกายใหญ่อื่นๆล่ะ?”

 

“ไม่ตายจากก็หลบหนีไปแล้ว”

 

“หลบหนี?”

 

“มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป นั่นคือการให้เกาะทั้งเกาะทะลุความว่างเปล่าและออกจากอาณาเขตของโลกใบนี้ไป แต่วิธีการดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรขนาดใหญ่และผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังมากๆ ดังนั้นจึงมีเพียงนิกายใหญ่เท่านั้นที่ทำได้”

 

กู่ฉิงซานเริ่มขบคิด

 

อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต

 

แต่ผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าจำเป็นต้องใช้ยารักษาระดับสูง ซึ่งนิกายกวงหยางไม่อาจกลั่นออกมาได้

 

และนิกายก็ทำการจัดส่งเรือสินค้าออกไปยังนิกายลั่วชาเฟิงอยู่เสมอทำการแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษา

 

แต่กลับเห็นแค่เพียงกระแสแสงแรกที่บินผ่านไป ขณะที่อีกกระแสแสงหยุดลงตรงหน้ากู่ฉิงซานและคนอื่นๆ

 

พร้อมกับร่างของผู้ฝึกยุทธที่สวมหมวกไม้ไผ่ปรากฏกายขึ้น โค้งคำนับให้แก่เขา

 

“ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ตำหนักฉี” ผู้ฝึกยุทธกล่าวด้วยความเคารพ

 

พวกเขามองไปทางฉีหยานเพียงวูบเดียวเท่านั้น ก่อนที่ดวงตาของทั้งหมดจะถูกดึงดูดโดยฉานนู่ที่กำลังปลอมตัวเป็น ‘กู่ฉิงซาน’ อยู่ในขณะนี้

 

คนแปลกหน้า?

 

ปรมาจารย์ตำหนักฉี จู่ๆก็นำคนแปลกหน้ากลับมายังภูเขาอย่างกระทันหัน

 

ชายแปลกหน้าผู้นี้มีสถานะอันใดกัน?

 

ขณะขบคิด ว่านเอ๋อก็ควบคุมเรือเหาะบินผ่านพวกเขาไป

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธได้สติกลับคืน และรีบร้อนใช้ออกด้วยหลายวิชาลับ เพื่อทำการเปิดประตูนิกายที่ถูกปกปักษ์ไปด้วยค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาทันที

 

เรือเหาะกลายเป็นกระแสแสงบินผ่านประตูไป มุ่งตรงสู่ส่วนยอดของภูเขาลอยฟ้า

 

ระหว่างทาง ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากที่พบเห็นเรือเหาะนี้ ต่างหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม โค้งกายคารวะ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความเคารพทันที “ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ตำหนักฉี”

 

แต่กู่ฉิงซานกลับมิได้ตอบอะไรกลับไปสักคำ

 

ใบหน้าของเขาถูกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกไม้ไผ่ ขณะที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยร่องรอยจางๆของเจตนาฆ่าออกมา ท่าทีการแสดงออกแลดูมืดมนและหยิ่งผยอง

 

ทุกคนเห็นแค่เพียง ‘ฉีหยาน’ ที่มองออกไปเบื้องหน้า ขณะที่มือข้างหนึ่งยื่นออกไปคว้าจับมือเล็กๆของฉินรั่วและลูบไล้มันอย่างแผ่วเบา

 

ฉินรั่วที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาส่งยิ้มกลับมา ก่อนจะใช้มืออีกข้างยกถ้วยชาวิญญาณขึ้นมาป้อนลงบนริมฝีปากของเขา

 

นี่เป็นฉากธรรมดาที่พบเห็นได้เป็นประจำ

 

ฉีหยานทำเช่นนี้เสมอมา

 

เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็คุ้นเคยกับมันดี

 

พวกเขาเพียงเหลือบมอง และเบนสายตาออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการล่วงเกินฉีหยาน

 

จากนั้น เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็หันมาให้ความสนใจกับ ‘กู่ฉิงซาน’ ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า คนแล้วคนเล่าเริ่มกวาดจิตสัมผัสเทวะลงใส่เขา

 

—ชายผู้นี้คือใครกัน? เหตุใดปรมาจารย์ตำหนักฉีจึงถึงขั้นต้องนำพามายังภูเขาด้วย?

 

เหล่าฝูงชนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดคำถามนี้ขึ้นในจิตใจ

 

พวกเขาเพ่งมอง ‘กู่ฉิงซาน’ อย่างรอบคอบ เพื่อต้องการที่จะได้ทราบบางสิ่งบางอย่างจากเขา

 

แต่กลับเห็นแค่เพียง ‘กู่ฉิงซาน’ ที่ยืนอยู่บนเรือเหาะด้วยใบหน้าเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึก

 

เรือเหาะบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งสายตาและจิตสัมผัสเทวะของเหล่าผู้ฝึกยุทธเอาไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่ช่วงบนของเกาะลอยฟ้า

 

แล้วว่านเอ๋อก็ทำการเก็บเรือเหาะกลับคืน

 

ที่นี่คือพื้นที่ศูนย์กลางของนิกายกวงหยาง และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นบิน

 

ทั้งสี่คนลดระดับลง เดินผ่านสิ่งปลูกสร้างหลายหลัง ก่อนจะหยุดอยู่เบื้องหน้าลานกว้าง

 

ฉินรั่วโบกมืออย่างอ่อนโยน ใช้ออกด้วยวิชาลับ

 

เหนือลานกว้างขึ้นไปบังเกิดประกายสาดแสงลงมาทันใด

 

“นายน้อย พวกเรากลับมาถึงบ้านแล้ว” ฉินรั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

กู่ฉิงซานแค่ส่งเสียงรับเบาๆลอดผ่านโพรงจมูก “หึ”

 

เขาก้าวนำไปข้างหน้า ตามด้วยฉานนู่ และสองสาวใช้ที่อยู่หลังสุด

 

เมื่อว่านเอ๋อที่เป็นคนสุดท้ายเข้ามาในประตู เธอเร่งหันหลังกลับไปแล้วจีบเข้าด้วยวิชาลับทันที

 

แสงสวรรค์สาดประกาย ลานกว้างหายไปในความว่างเปล่า

 

ค่ายกลเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง

 

ประตูถูกปิดลง

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อถอนหายใจยาวโล่งอก

 

“พวกเราได้ผ่านด่านแรกเข้ามาโดยสมบูรณ์แล้ว” ว่านเอ๋อตบหน้าอกตนเองด้วยความยินดี

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.433 – ปล่อยให้มันตาย

 

กระทั่งผู้ฝึกยุทธของเขตลมปราณจิตก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้

 

หากเป็นแบบนี้ ก็หมายความว่าพลังอำนาจของมารโลกาก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่สามารถต่อกรได้

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิด แต่แล้วจู่ๆก็มีบางสิ่งที่ขยับไหว จนกระชากสติเขากลับคืนมา

 

-โซ่ตรวนที่พันธนาการตามร่างกายของฉินรั่วและว่านเอ๋ออยู่ๆก็เริ่มรัดแน่นขึ้นอย่างกระทันหัน

 

เมื่อถูกโซ่ตรวนรัดพัน คิ้วบนใบหน้าอันงดงามก็ขมวดเข้าหากัน ขณะที่สีหน้าของสาวใช้ทั้งสองเริ่มแสดงอาการเจ็บปวดออกมา

 

ผนึกโซ่ตรวนที่คอยพันธนาการพลังยุทธของพวกเธอ จู่ๆก็รุนแรงขึ้น

 

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามเสียงหม่น

 

“เมื่อใดก็ตามที่ลางร้ายปรากฏ มันจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้หวาดกลัวมากที่สุดว่าพวกเราเหล่าทาสรับใช้อาจคิดไม่ซื่อและก่อกบฏได้” ฉินรั่วกล่าว

 

ว่านเอ๋อยังกล่าวเสริมว่า “ตราบใดที่เข้าสู่ช่วงลางร้าย พวกเขาจะไม่ยินดีหรือกล้าใช้พลังวิญญาณออกมาตอบโต้ เพราะเกรงว่านั่นจะเป็นการดึงดูดมารให้เข้ามา”

 

“และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น โชคชะตาเดียวที่เหลืออยู่ของพวกเขาคงมิแคล้วคือต้องจบชีวิตลงสินะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจ

 

กู่ฉิงซานย้อนระลึกไปถึงข้อมูลที่เคยได้รับมา และมีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่สอดคล้องกัน

 

ทาสที่ถูกเหล่าผู้ฝึกยุทธทรมานจู่ๆก็เกิดสติขาดผึง เขาได้ระเบิดพลังวิญญาณของตนเองออกมาในช่วงเวลาที่เกิดลางร้าย แน่นอนว่านั่นมิใช่เพื่อต่อสู้ขัดขืน แต่เป็นการทำเพือเรียกมารโลกาเข้ามาต่างหาก!

 

และเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้เหล่าผู้ฝึกยุทธถูกมารโลกากลืนกินไปกว่าหลายสิบคน

 

สิ่งที่กล่าวมานี้ ส่งผลให้เหล่าผู้ฝึกยุทธที่มีทาสเอาไว้ในครอบครองเกิดความหวาดระแวงเป็นอย่างมาก

 

ดังนั้น พวกเขาจึงใส่คำสั่งห้ามเอาไว้ในโซ่ตรวน ว่าเมื่อใดก็ตามที่ช่วงเวลาลางร้ายได้มาถึง โซ่ตรวนจะต้องสำแดงเดช พันธนาการเหล่าทาสให้รุนแรงหนักหนาขึ้น จนพวกเขาไม่อาจดึงพลังออกมาได้

 

และโซ่ตรวนนี้ทรงประสิทธิภาพมากจริงๆ ขนาดนางเซียนไป่ฮั่วที่เคยได้ประเมินมัน ยังเอ่ยปากออกมาด้วยตัวเองว่า หากนางถูกโซ่ตรวนนี้พันธนาการ ตนคงมิอาจต่อต้านได้

 

กู่ฉิงซานที่ขบคิดมาถึงจุดนี้ก็เอ่ยถามออกมาในทันใด

 

“หากช่วงเวลาลางร้ายมาถึง แล้วผู้ฝึกยุทธไม่มีเวลามากพอที่จะก้าวเข้าสู่ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก หนทางที่เหลือก็จะมีเพียงความตายเท่านั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“หากได้รับการสนับสนุนด้วยเทคนิคยับยั้งลมหายใจ และมิได้ปล่อยให้พลังวิญญาญเล็ดลอดแม้เพียงเล็กน้อยก็แล้วไป มิฉะนั้นแล้วมันจะเป็นการดึงดูดร่างแยกที่ไร้สตินึกคิดเข้ามาหา แล้วจากนั้นก็คงจะไร้ซึ่งหนทางจริงๆ” ฉินรั่วกล่าว

 

ฉานนู่กำลังรับฟังอย่างเงียบๆ ขณะนี้สีหน้าของเธอเริ่มเป็นกังวลแล้ว

 

เธอเอ่ยถามเสียงกระซิบ “นายน้อย โลกนี้ช่างอันตรายยิ่งนัก ท่านได้ตระเตรียมการ ค้นหาวิธีช่วยเหลือโลกใบนี้เอาไว้แล้วใช่หรือไม่?”

 

“ช่วยเหลือโลกใบนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแปลกๆ “เพราะเหตุใดข้าจึงต้องช่วยมันด้วยเล่า?”

 

ฉานนู่หันไปมองฉินรั่วกับว่านเอ๋อ ปากเอ่ยกล่าวอย่างลังเล “ก็เพราะทุกสิ่งที่เจ้ากระทำมาก่อนหน้านี้ มันล้วนเป็นการช่วยเหลือโลกแทบทั้งสิ้นเลยนี่นา ดังนั้น ข้าก็พาลคิดไปว่าที่เจ้ามาที่นี่ ก็คงเพราะต้องการจะทำแบบเดียวกัน”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ก่อนอื่นเลยนะ สำหรับโลกใบนี้แล้วตัวข้าไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำแบบนั้นหรอก”

 

“อีกอย่าง ตัวข้าได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้มาแล้ว -ผู้คนของที่นี่น่ะชมชอบในการฆ่าฟัน และบังคับผู้อื่นให้ต้องตกเป็นทาสเท่านั้นแหละ”

 

ว่าแล้วเจ้าตัวก็เชิดหน้าขึ้นเบาๆ เสยคางชี้ไปยังฉินรั่วกับว่านเอ๋อ

 

“คนที่ไร้ค่าจะถูกสังหาร เจ้ามองลองดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกนางซี – มีเพียงหญิงงามอย่างพวกนางเท่านั้นแหละที่จะถูกนำมาเป็นทาสรับใช้ และสามารถยืดชีวิตอยู่ต่อไปได้”

 

“ส่วนตัวข้า ถึงแม้ว่ามักจะล่าสังหารอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มิได้ชมชอบในการกระทำดังกล่าวนี้”

 

ฉานนู่พยักหน้าด้วยความครุ่นคิด

 

ว่าจบ วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็เลื่อนตกลงบนพื้นดิน ก่อนที่เขาจะยื่นมือออกไปและลูบไล้หินไม่กี่ก้อนที่อยู่บนพื้น

 

“นี่เป็นเกาะส่วนตัวของฉีหยานใช่หรือไม่ และสิ่งที่มีค่ามากที่สุดก็คงจะเป็นค่ายกลตัดขาดพลังวิญญาณจากโลกภายนอกนี้?” เขารำพึงออกมา

 

“เป็นเช่นนั้น อันที่จริงแล้วสิ่งที่เจ้าว่ามาน่ะ มันคือสิ่งล้ำค่ามากที่สุดบนโลกใบนี้เลยต่างหากล่ะ” ฉินรั่วกล่าว

 

พอเอ่ยประโยคนี้ออกมา ฉินรั่วก็มองไปยังกู่ฉิงซานด้วยสีหน้าที่เผยถึงความเอ็นดูเล็กน้อยในความหลักแหลมของเขา

 

ถึงแม้ว่าพื้นฐานวรยุทธของกู่ฉิงซานจะมิได้ร้ายกาจอะไร ทว่าการกระทำของเขาในโลกเทวะมันกลับตรงกันข้ามเลย ทุกกลยุทธ์ของเขาล้วนเป็นสิ่งที่ฉินรั่วไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน

 

ขนาดมารสวรรค์ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ที่ชมชอบในการดูดกินมนุษย์มากเป็นพิเศษ ก็ยังทุ่มออกด้วยกองกำลังขนาดใหญ่ และเต็มใจที่จะร่วมมือกับเขา

 

ทั้งๆที่ในเวลานั้น เขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธในขอบเขตก่อกำเนิดเองแท้ๆ

 

แต่ฝ่ายตรงข้ามคือมารสวรรค์ แถมยังเป็นถึงจักรพรรดินีมารสวรรค์อีกด้วย

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินรั่วก็มิกล้าที่จะดูถูกชายตรงหน้าอีกต่อไป

 

ว่านเอ๋อกล่าวตอบออกมาด้วยตนเอง “นอกเหนือไปจากได้รับอนุญาตจากฉีหยาน จะไม่มีใครสามารถหยั่งเท้าลงมาบนเกาะนี้ได้โดยเด็ดขาด หากละเมิดกฏนี้ คนๆนั้นก็จะถูกสังหารลงทันทีโดยนิกายกวงหยาง”

 

“ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกที่มีผลช่วยกักพลังวิญญาณเอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกไป … ข้าเข้าใจแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ถึงต้องสวมใส่หมวกไม้ไผ่กัน”

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นและหันไปมองรอบๆ

 

โลกช่างมืดมิด และเงียบงัน

 

ตลอดทุกเกาะที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของพลังวิญญาณ

 

นี่คือช่วงเวลาลางร้าย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่สามารถทำได้

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปากออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอใช้ช่วงเวลานี้พักผ่อนสักเล็กๆน้อยๆก็แล้วกัน ยามที่ลางร้ายได้จากไป ก็ปลุกข้าด้วยล่ะ”

 

“เจ้าค่ะ” ฉินรั่วกล่าว

 

กู่ฉิงซานนั่งในท่วงท่าสมาธิ หลับตาลง และเริ่มปรับลมหายใจ

 

มองไปยังสีหน้าของเขาที่ค่อยๆผ่อนคลายลง คิ้วที่ยับย่นค่อยๆแยกออกจากกันอย่างช้าๆ

 

เพียงไม่นาน สามสาวก็ได้ยินเสียงลมหายใจของเขากลายเป็นมั่นคงและสม่ำเสมอ

 

เขาผล็อยหลับไปแล้ว

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากันและกัน ก่อนที่ทั้งกายใจของพวกเธอที่ตึงเครียดมานานจะค่อยๆผ่อนคลายลง

 

นั่นสินะ ก็ตัวกู่ฉิงซานพึ่งจะผ่านพ้นการต่อสู้ครั้งใหญ่มานี่นา

 

เขาได้ใช้พลังทั้งหมดที่มี ต่อสู้แลกชีวิตกับฉีหยานที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าโดยการส่งอีกฝ่ายไปยังโลกของมารสวรรค์ … นี่ช่างเป็นการต่อสู้ที่หนักหนาเสียจริงๆ

 

ดังนั้น เวลานี้ก็สมควรแล้วที่เขาจะได้รับการพักผ่อน

 

ทว่าจริงๆแล้ว พวกเธอไม่อาจทราบได้เลย ว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น ประสบการณ์ต่อๆมาที่กู่ฉิงซานต้องเผชิญมันคืออะไร

 

หลังจากกลับสู่โลกจริง ช่วงเวลาที่กู่ฉิงซานได้ผ่อนคลายก็คงจะเป็นการดื่มสุราไปหนึ่งแก้วในบาร์เท่านั้น

 

หลังจากที่เขาออกไปจากเมืองหลวงพร้อมกับเย่เฟย์หยู ตนก็ได้ต่อสู้ครั้งใหญ่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังทะเลทรายรกร้างเพื่อก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพ , ต่อมาก็มุ่งหน้าไปยังพระราชวังโอเซซิสกลางทะเลทรายของฟูซีเพื่อค้นหาความลับขององค์จักรพรรดิ , ค้นพบเบาะแสของนรกเยือกแข็ง , กลับไปยังเมืองหลวงของรัฐบาลกลางเพื่อขัดขวางแผนการขององค์จักรพรรดิ , ขับไล่โครงกระดูกในชุดคลุมดำ , สนับสนุนจักรพรรดินีเวโรน่าให้ขึ้นครองบัลลังก์ , สังหารพระสันตะปาปา , ต้อนรับเครื่องจักรจากปรภพในช่วงเวลาสุดท้ายที่โลกกำลังจะถูกทำลาย และค้นพบทางเลือกสุดท้าย มุ่งหน้าไปยังโลกปรภพเพียงลำพัง …

 

กล่าวได้ว่าเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคอยู่ตลอดเวลา และแทบไม่ได้พักหายใจเลยในระหว่างทาง

 

ในขณะนี้ ช่วงเวลาที่เขาถูกขังอยู่ในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก และคงจะอีกสักพักจึงจะได้ออกไป

 

มันจึงเป็นโอกาสเดียวของเขาเท่านั้นที่จะได้พักผ่อน

 

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกจมลงสู่ความเงียบ

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ท่ามกลางความมืดมิดในโลกก็บังเกิดเสียงถอนหายใจยาวเหยียดออกมา

 

เสียงถอนหายใจนี้สั่นสะเทือนไปทั้งผืนฟ้า ข้ามผ่านทุกหนแห่ง ลากยาวออกไปยังจุดสิ้นสุดของโลกที่ไม่อาจเข้าไปสำรวจได้

 

ว่านเอ๋อลดศีรษะลง เพื่อมองยันต์ในมือ

 

ตัวอักษร ‘ร้าย’ ขนาดใหญ่ได้หายไปแล้ว และมันถูกแทนที่ด้วยตัวอักษรคำว่า ‘ดี’

 

“นายน้อย ช่วงเวลาลางร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว” ว่านเอ๋อกล่าว

 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

 

เขายืดตัวบิดขี้เกียจและเอ่ยปากออกมา “ฉันคงจะหลับไปนานเลยสินะ เฮ้อ ไม่ได้หลับสบายแบบนี้มานานมากแล้ว”

 

“นายน้อย ท่านพักผ่อนไปแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น” ฉานนู่กล่าว

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ตกใจ “อ้าวหรอ? ข้าก็นึกว่าตัวเองได้หลับไปนานเลยซะอีก?”

 

“เจ้าคงจะเหนื่อยเกินไป” ฉานนู่จ้องมองเขาและกล่าว

 

ทันใดนั้นเหล่าผู้คนก็หุบปากลง

 

เพราะว่าได้มีเกาะยักษ์ใหญ่ลอยข้ามผ่านเกาะเล็กๆที่กู่ฉิงซานและคนอื่นๆพำนักอยู่ไป

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองมัน

 

เห็นแค่เพียงส่วนล่างของเกาะที่เป็นหลุมกระจุกตัวอยู่หนาแน่นราวกับรวงผึ้ง

 

ในแต่ละหลุม จะมีแสงสวรรค์สดใสสาดแสงออกมา และมีบ้างเป็นบางครั้งที่จะสามารถมองเห็นถึงเงาของผู้คนอยู่รำไร

 

แสงสวรรค์สาดส่องสะท้อนออกไปรอบเกาะ ราวกับดวงดาราบนฟากฟ้าที่เปล่งประกายสดใส

 

เกาะยักษ์ใหญ่ลอยข้ามผ่านผืนฟ้าไปอย่างเงียบๆ บินไกลออกไป

 

นี่บ่งบอกได้ว่าช่วงเวลาแห่งลางร้ายได้จบลงแล้ว

 

และในท้องฟ้า ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆขึ้น

 

หมู่เกาะมากมายที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า เริ่มที่จะสาดแสงสดใส

 

พวกมันสาดแสงสวรรค์ ตัดแต่งออกไปทั่วฟ้า

 

ทันใดนั้น ตลอดทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนก็สาดแสงราวกับอยู่ในทะเลดวงดาว

 

“ช่างงดงามจริงๆ นี่น่ะหรือคืออารยธรรมของโลกล่องเวหา?” กู่ฉิงซานเอ่ยชมคำหนึ่ง

 

เขาจ้องมองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ  แต่สักพักก็ต้องขมวดคิ้วออกมา

 

เพราะแสงสวรรค์สาดไสวออกมาแค่ในช่วงแรกเท่านั้น แต่เพียงไม่นาน ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความมืดมิดดังเดิม

 

แต่ถ้าคุณลองเพ่งมองอย่างใกล้ชิด คุณจะรู้สึกได้ว่าแสงสวรรค์เหล่านั้นช่างดูน่าสงสารจนแทบมิอาจทนไหว

 

“แสงสวรรค์เป็นสีเหลืองแถมยังบางเบา เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ … ” เขาบ่นพึมพำ

 

“นั่นเป็นเพราะว่าแผ่นดินในโลกใบนี้ได้เหือดหายไปจนสิ้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้อีกต่อไป” ฉินรั่วตอบเขา

 

“ตอนนี้ศิลาวิญญาณทั้งหมดจึงถูกเก็บรักษาเอาไว้เพื่อใช้งานค่ายกลในช่วงเวลาลางดี ขณะเดียวกันมันก็จะถูกแยกออกจากค่ายกลขนาดยักษ์เมื่ออยู่ในช่วงเวลาลางร้าย”

 

“ดังนั้นแล้ว จึงมีกำหนดตารางเวลาในการใช้งานค่ายกลให้อยู่ในระดับที่เพียงพอ กล่าวโดยทั่วไปแล้ว มันจะถูกใช้งานแค่เพื่อให้เกาะสามารถลอยตัวอยู่ได้พิดิบพอดีเท่านั้น” ว่านเอ๋อกล่าว

 

*(กล่าวได้ว่าศิลาวิญญาณมีจำกัด และจะถูกใช้งานเพื่อให้เกาะลอยฟ้าเพิ่มความสูงเท่านั้น แล้วก็ถูกเก็บไป พอเกาะลดระดับลงก็ใช้อีกเพื่อให้เกาะสูงขึ้นอีกรอบ ทำแบบนี้เพื่อนเป็นการประหยัดศิลาวิญญาณ ไม่เหมือนกับในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธที่ยัดศิลาวิญญาณใส่เรือเหาะตลอดเวลา เปิดใช้งานให้ลอยฟ้าอยู่ตลอดๆ)

 

“เนื่องจากไม่อาจเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้ เช่นนั้นแล้วเหล่านิกายเล็กจะไปหาศิลาวิญญาณมาได้จากที่ใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากับวูบหนึ่ง

 

“มันก็จะมีอยู่บ่อยครั้ง” ฉินรั่วกล่าวเสียงกระซิบ

 

“อย่างเช่นในบางนิกาย ผู้ฝึกยุทธระดับต่ำจะถูกทอดทิ้งไม่ก็สังหาร และมีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลและกำลังรบขั้นสูงเท่านั้นที่โชคดีกว่าพวกแรกที่กล่าวมา โดยพวกเขาจะถูกดึงตัวไปยังนิกายอื่นๆ”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า แล้วตนก็นึกได้ถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาได้พอดี

 

“โดยทั่วไปแล้วผู้คนในโลกท่องเวหาได้พิชิตโลกมาแล้วหลากหลายใบ แล้วพวกเขาเคยผสานรวมโลกเหล่านั้นเข้ากับโลกล่องเวหารึเปล่า?  เขาเอ่ยถาม

 

“แน่นอน ว่าทุกโลกที่ถูกพิชิตมาได้ผสานรวมเข้าด้วยกันแล้ว ทว่าตอนนี้พวกมันทั้งหมดก็ได้ตกเป็นของมารโลกาไปแล้ว” ฉินรั่วกล่าว

 

ว่านเอ๋อเอ่ยความทุกข์ของผู้อื่นออกมาด้วยความสุข “พวกเขาสามารถพิชิตโลกทั้งหมดที่ตนค้นพบ แต่ในตอนท้ายที่สุดกลับถูกมารโลกายึดครองไปเสียนี่ ยามเมื่อนึกถึงผลลัพธ์อันเลวร้ายนี้ทีไร มันมักจะช่วยให้ข้าหลงเลือนความเจ็บปวดจากการถูกกระทำข่มเหงในฐานะทาสได้ทุกที”

 

“แล้วตอนนี้พวกเขาไม่สามารถค้นหาโลกใบใหม่พบได้เลยหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“นับว่าเป็นช่วงเวลาหมื่นปีแล้ว ที่ได้พบเจอกับโลกใหม่ครั้งล่าสุด และได้ผสานรวมเข้ากับมัน”

 

“แต่ฉีหยานมีวิธีการหลอมกลั่นโลกด้วยตัวเองนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นคือเทคนิคหลอมกลั่นที่ได้รับการศึกษาและคิดค้นขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้  เพื่อใช้ในการหลบออกจากโลกล่องเวหา แต่น่าเสียดายที่ ..”

 

ว่านเอ๋อหัวเราะออกมา “น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถค้นหาโลกใบใหม่เจอได้เลย”

 

ขณะที่ทั้งสองสาวใช้กล่าวออกมา สีหน้าท่าทีของพวกเธอเต็มไปด้วยร่องรอยของความสะใจ

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.432 – โลกล่องเวหา

 

กู่ฉิงซานจ้องมองเข้าไปในความมืด และตกลงสู่ห้วงความทรงจำ

 

การต่อสู้ในโลกเทวะเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าตื่นเต้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเขาจะเดินหมากตัวต่อไปอย่างไรต่างหากล่ะ

 

เพราะในช่วงเวลานั้น เขาได้ทำการค้นวิญญาณของผู้ฝึกยุทธจากโลกอื่น

 

และความลับบางอย่างที่เขาค้นพบ มันก็ได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 

พ่อของฉีหยาน คือผู้นำนิกายกวงหยาง มีนามว่าฉีรั่วหยา และกำลังก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์

 

ขณะที่แม้กระทั่งตัวฉีรั่วหยาเองก็ยังไม่ทราบถึงการกระทำของบุตรชายตนเมื่อเร็วๆนี้

 

แต่สำหรับฉีรั่วหยาแล้ว ไม่ว่าฉีหยานต้องการสิ่งใด ตนก็จะช่วยให้ได้สิ่งนั้นมา นั่นแหละจึงเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมด

 

—เพราะมันได้ช่วยให้ฉีหยานได้ค้นพบโลกใหม่ทั้งสองใบเข้าโดยบังเอิญ และเจ้าตัวจึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา

 

ว่าหากฉีรั่วหยาสามารถก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้อย่างราบรื่นและได้ยกระดับขึ้นเป็นลมปราณจิต ฉีหยานก็จะมอบโลกทั้งสองใบเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้แก่เขา

 

ทว่าหากเขาล้มเหลว ฉีหยานก็จะยึดทั้งสองโลกไว้ในครอบครองด้วยตนเอง และออกจากนิกายกวงหยาง ละทิ้งโลกเดิมของเขาทันที

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ อาวุโสสูงสุดและคนจากในสำนักจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ๆ

 

แผนของฉีหยานจึงกล่าวได้ว่ารอบคอบเป็นอย่างมาก

 

แต่น่าเสียดาย ที่ทุกคนที่เขาพาไปยังโลกเทวะนั้นถูกล้างบางจนสิ้นแล้วโดยจักรพรรรดินีมารสวรรค์

 

แม้กระทั่งตัวฉีหยานเอง ก็ยังถูกส่งไปยังโลกมารสวรรค์ และตอนนี้ก็คงจะตายไปแล้ว

 

เมื่อมาถึงจุดนี้ เดิมทีแล้วทุกอย่างสมควรที่จะจบลงด้วยดี

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานจดจำได้รางๆว่าฉีหยานยังมีผู้ติดตามคนสนิทอยู่อีกคนหนึ่งชื่อว่าหวูซาน

 

และหวูซานยังคงพำนักอยู่ในนิกายกวงหยาง มิได้ไปยังโลกเทวะ!

 

ซึ่งเขาดันเป็นคนสุดท้ายที่ยังคงรู้เรื่องราวทั้งหมด!!

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามระบบทันที “ระบบ ฉันจำได้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้ยังมีภารกิจอื่นอยู่อีกนี่ ขอฉันย้อนดูอีกรอบได้ไหม?”

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลากหลากบรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“ภารกิจพิเศษ : หวูซานจะต้องตาย”

 

“คำอธิบายภารกิจ :  โปรดทราบว่าในโลกใบใหม่ที่คุณไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิงนี้ ยังมีอีกหนึ่งผู้ฝึกยุทธที่ยังคงรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธและโลกเทวะ”

 

“จงสังหารคนผู้นี้เสีย แล้วจะไม่มีใครทราบถึงการดำรงอยู่ของโลกทั้งสองใบอีกต่อไป”

 

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตากรรมสุดท้ายของทั้งสองโลก ขอให้ผู้เล่นให้ความสำคัญกับมันอย่างจริงจังด้วย”

 

“วัตถุประสงค์ภารกิจ : จงสังหารคนวงในเสีย ก่อนที่ความลับนี้จะล่วงรู้ถึงหูผู้อื่น”

 

“รางวัลภารกิจ : ผู้เล่นสามารถเลือกภารกิจอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย ให้เสร็จสมบูรณ์ได้เลยในทันที”

 

กู่ฉิงซานขบคิด

 

ด้วยเหตุนี้ เขาจะต้องสังหารหวูซาน เพื่อให้อาจารย์และคนอื่นๆได้หลุดพ้นจากภยันตรายอย่างแท้จริง

 

ลมในมิติอันเชี่ยวกราดยังคงพัดกระพือ อย่างไรก็ตาม มันเริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว บ่งบอกชัดเจนว่าเขาใกล้จะถึงที่หมาย

 

กู่ฉิงซานมองไปข้างหน้า

 

และเห็นว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากประตูแสงแล้ว

 

กู่ฉิงซานจึงตบลงไปในถุงสัมภาระ และหยิบเอากระเป๋าเดินทางออกมา

 

เขาเปิดกระเป๋า และก็พบกับขวดยาพันธุกรรมสองขวดที่นอนอยู่ภายในอย่างสงบ

 

เขาหยิบหนึ่งในนั้นมา และฉีดเข้าใส่ตนเอง

 

“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” ว่านเอ๋อเอ่ยด้วยความสงสัย

 

แต่ทันทีที่เธอเอ่ยถามจบ เจ้าตัวก็ต้องยกมือขึ้นกุมปากด้วยความประหลาดใจ

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างหน้าตากลายเป็นฉีหยาน

 

“พี่สาวฉินรั่ว ดูนั่นสิ!”

 

ว่านเอ๋อดึงชายเสื้อฉินรั่วและกล่าว

 

ฉินรั่วเงยหน้าขึ้นและมองกู่ฉิงซาน

 

เหมือนกันเลยทุกประการ!

 

“เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?” ฉินรั่วอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ

 

“เป็นพลังของวิทยาศาสตร์น่ะ”

 

“วิทยาศาสตร์ … มันคือสิ่งใด?”

 

“ถ้าบอกว่ามันคล้ายๆกับสมบัติมนตราบางอย่างจะเข้าใจง่ายกว่าหรือไม่”

 

พอได้ฟัง ว่านเอ๋อก็กระจ่างทันใด

 

“ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้เจ้าก็มีสมบัติมนตราไว้ในครอบครองอยู่แล้วนี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดเจ้าจึงมั่นอกมั่นใจนัก”

 

“แต่ขอบเขตของเจ้าก็ยังต่ำเกินไปอยู่ดี แค่เพีย–อะไรกัน? ก้าวสู่เทพขั้นปลาย?”

 

ฉินรั่วตกใจ

 

เห็นได้ชัดว่าในการต่อสู้ครั้งก่อน พื้นฐานวรยุทธของเขาคือขอบเขตก่อกำเนิดแท้ๆ

 

ทว่าตอนนี้ จู่ๆมันกลับก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นก้าวสู่เทพ?

 

เขาใช่ปิดบังความแข็งแกร่งของตนเอาไว้หรือไม่?

 

“ถึงจะเป็นก้าวสู่เทพขั้นปลาย แต่ก็ยังห่างไกลจากขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าอีกมากโขอยู่ดี”

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยอารมณ์

 

ว่าจบ เขาก็หยิบหมวกไม้ไผ่ออกมา

 

นี่คือของที่เขายึดมาได้จากผู้ฝึกยุทธต่างโลกในช่วงเวลาที่พึ่งได้เข้ามาสู่โลกเทวะในช่วงแรก

 

ในนิกายกวงหยาง ผู้ฝึกยุทธเกือบทุกคนจะมีหมวกไม้ไผ่ เพื่อใช้ปกปิดกลิ่นอายของตนเอง

 

ในเวลานั้น กู่ฉิงซานกับคนในกลุ่มของเขาได้สรุปว่า ที่ผู้ฝึกยุทธจากโลกอื่นสวมใส่เจ้าสิ่งนี้ คงเป็นเพราะพวกเขาต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา

 

เมื่อสองสาวใช้เห็นหมวกไม้ไผ่ ในแววตาก็เกิดประกายขึ้นทันใด

 

“ว้าว นั่นมันหมวกไม้ไผ่หนิ เพียงเท่านี้คนอื่นๆก็ไม่สามารถล่วงรู้ถึงขอบเขตวรยุทธของเจ้าได้แล้ว” ว่านเอ๋อกล่าวออกมาพลางปรบมือด้วยความดีใจ

 

“ไม่หรอก ฉีหยานน่ะให้ความสำคัญกับการปรากฏตัวเป็นอย่างมาก ฉะนั้นจึงมีน้อยครั้งนัก ที่เขาจะสวมใส่หมวกไม้ไผ่” ฉินรั่วกล่าว

 

“ข้าเองก็ได้พิจารณาถึงเรื่องนั้นแล้วเช่นกัน แล้วหากพวกเราทำแบบนี้ล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยปากถาม

 

เขาชักดาบออกมา

 

พร้อมกับรังสีดาบที่วาดผ่านไป

 

ขณะนี้ บนใบหน้าของกู่ฉิงซานปรากฏร่องรอยคราบเลือดที่บาดลึก

 

ฉินรั่วจ้องมาที่เขา

 

เห็นแค่เพียงใบหน้าที่ยังคงเงียบสงบ คิ้วไม่มียับย่น

 

ฉินรั่วถอนหายใจ “ช่างน่ายกย่องเสียจริง รังสีดาบเมื่อครู่ทรงพลังไม่น้อยเลยแท้ๆ แต่เจ้ากลับลงมือโดยตาไม่กระพริบ นอกจากนี้ คมดาบของมันยังก่อให้เกิดบาดแผลฝังลึกที่จะไม่อาจลบเลือนออกไปได้ในทันที จำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งจังจะฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งหากเป็นในกรณีนั้น สำหรับฉีหยานที่เป็นคนให้ความสนใจกับการปรากฏกายเป็นอย่างมากแล้ว แน่นอนว่าจะต้องหาวิธีมาปกปิดร่องรอยบาดแผลบนใบหน้าพวกนี้อย่างแน่นอน”

 

“ดังนั้น วิธีการที่ง่ายและสะดวกที่สุดในการปกปิด ก็คือใช้หมวกไม้ไผ่ของนิกายนั่นเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉินรั่วขบคิดสักพัก ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา และซับเลือดบนใบหน้าของกู่ฉิงซานอย่างระมัดระวัง

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้อง-” กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปาก

 

“อย่าขยับนะ” ฉินรั่วเอ่ยดุออกมา “อย่าลืมสิ ว่าข้ากับว่านเอ๋อเป็นสาวใช้ของฉีหยาน ดังนั้นนับจากนี้ไป เจ้าจะต้องคุ้นเคยกับการดูแลอย่างใกล้ชิดกับพวกเรา”

 

“พี่สาวพูดถูกแล้ว เจ้าไม่ควรปฏิเสธหรือทำดีกับเราจนเกินควรนะ” ว่านเอ๋อกล่าว

 

เธอหยิบเอาเม็ดฟื้นฟูวิญญาณออกมาด้วยสองนิ้วหยก จากนั้นก็แนบลงบนริมฝีปากของกู่ฉิงซาน

 

“คงต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวขออภัย

 

แล้วเขาก็กินเม็ดยารักษาของตน

 

ตอนนี้ เขาจะต้องแสดงละครเป็นฉีหยานให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

หลังจากที่เขาเข้าสู่โลกอีกใบ ทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวของตนจะเกี่ยวพันธ์โดยตรงกับชีวิตและความตายของทั้งสาม และนั่นหมายความว่าเขาไม่อาจเลินเล่อได้

 

คิดแสดงเป็นม้า แต่หากเผลอพลั้งเผยกีบเท้าของลาออกมา สิ่งที่กำลังรอทั้งสามอยู่คงมิพ้นการสาปส่งชั่วนิรันดร์

 

“เช่นนั้นพวกเจ้าลองสังเกตดูหน่อยจะได้หรือไม่ ว่าความรู้สึกที่แตกต่างกันระหว่างเขาและข้าคืออะไร” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เขายืนอยู่ที่นั่น และทั้งคนทั้งร่างและการเคลื่อนไหว ล้วนเหมือนกับฉีหยานทุกประการ

 

แม้กระทั่งศักดิ์ศรีและความอหังการ์ที่เล็ดลอดออกมาก็ยังคล้ายคลึงกับฉีหยาน

 

ด้วยศักดิ์และความอหังการ์นี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการที่บุคคลๆนั้นใช้ชีวิตอยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์มาเนิ่นนาน และมันบ่งบอกถึงความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตน และสามารถถ่ายทอดมันออกมาได้ผ่านทั้งการกระทำและคำพูด

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อตั้งใจมองอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และต่างก็ลอบยกย่องเขาอย่างลับๆ

 

ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะสามารถเลียนแบบได้แนบเนียนถึงขนาดนี้

 

“ทุกอย่างแนบเนียนหมด แต่ดูเหมือนว่าห้วงอารมณ์จะยังคงแตกต่างกัน” ฉินรั่วไตร่ตรองก่อนจะกล่าว

 

“ใช่ๆ ข้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน” ว่านเอ๋อกล่าวสนับสนุน

 

“เช่นนั้น แล้วความต่างที่ว่าคืออะไร? ”กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ฉีหยานผู้นี้ เป็นบุคคลที่มีห้วงอารมณ์แปรปรวน โหดร้ายเย็นชา สามารถสังหารคนได้โดยไม่กระพริบตาและไร้ซึ่งความปราณี –ดูเหมือนว่าเจ้าจะขาดกลิ่นอายชั่วร้ายที่ว่านั่นไป” ฉินรั่วเฉลย

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง

 

เขาขยับกายแยกตัวออกไปไม่กี่ก้าว สักพักจึงเดินกลับมาพร้อมด้วยกลิ่นอายของตนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

 

เจตนาฆ่าอันเบาบางเล็ดลอดออกมาจากตัวเขา ส่งผลให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกอึดอัดอย่างไม่อาจเอ่ยอธิบายได้

 

ณ ตอนนี้ กู่ฉิงซานให้ความรู้สึกราวกับงูพิษ ที่พร้อมจะฉกกัดและแพร่พิษใส่ผู้คนได้ตลอดเวลา

 

“ร้ายกาจจริงๆ นี่เจ้าทำแบบนั้นได้อย่างไร?” ฉินรั่วเอ่ยสรรเสริญ

 

“ตราบใดที่ข้าจินตนาการว่าจะสังหารเจ้าด้วยคมดาบ ความรู้สึกและกลิ่นอายนี้ก็จักปรากฏขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าจะสามารถบรรลุได้ถึงระดับนี้” ว่านเอ๋อถอนหายใจ

 

“ก็ .. พอดีว่าข้าได้ไปศึกษาเกี่ยวกับทางด้านการแสดงมานิดหน่อยน่ะ”

 

กู่ฉิงซานกล่าว ขณะเดียวกันก็ชักดาบออกมา

 

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

ตามด้วยหญิงในชุดคลุมฟ้าโผล่ออกมาจากดาบ

 

“เป็นจิตแห่งดาบที่สวยจัง” ว่านเอ๋ออุทานออกมา

 

ขณะที่ฉินรั่วยังคงให้ความสนใจกับความงามของฉานนู่ ปากเอ่ยพึมพำเบาๆออกมา “จิตแห่งดาบร่างมนุษย์ช่างเป็นอะไรที่หาได้ยากยิ่ง กระทั่งข้าเองก็ยังไม่ทราบเลยว่าจิตแห่งดาบเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร”

 

ต้องไม่ลืมนะว่า เธอน่ะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธระดับสูงในขอบเขตพันวิบัติ และนอกจากนี้ เดิมตนเองยังเคยเป็นภุงบุตรสาวที่น่าภาคภูมิดั่งสวรรค์อวยพร ดังนั้นสายตาของเธอจึงนับว่าเป็นชั้นหนึ่งเช่นกัน

 

นอกจากนี้ เธอยังเห็นด้วยตาตนเองว่าฉานนู่ลอยออกมาจากดาบ ซึ่งนี่มันแตกต่างจากตอนของกู่ฉิงซานที่ในครั้งแรกเขาเห็นแค่ว่าฉานนู่บินออกมาจากเบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือนแต่มิได้เห็นดาบ  สถานการณ์มันแตกต่างกัน

 

ดังนั้นการตัดสินถึงสถานะของฉานนู่จึงต่างกันออกไป

 

“นายน้อยกำลังมองหาข้าอยู่ใช่หรือไม่?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

ขณะเดียวกันเธอก็กำลังถือใบหยกในมือ

 

“เจ้าได้อ่านข้อมูลภายในนั้นเสร็จสิ้นแล้วรึยัง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“หลังจากอ่านจบ ข้าก็พอจะเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบันโดยประมาณแล้ว” ฉานนู่กล่าว

 

“เนื่องเพราะสถานการณ์นับจากนี้ไปค่อนข้างที่จะอันตราย ข้าจึงยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าหากข้าปลอมตัวแล้ว มันจะเบี่ยงเบนจากการเป็นเป้าสนใจได้หรือไม่”

 

“เบี่ยงเบนความสนใจจากอะไร?”

 

“ก็เบี่ยงเบนความสนใจที่คนอื่นมีต่อข้าไปยังเป้าหมายอื่นอย่างไรเล่า”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ “บุตรชายของผู้นำจะกลับมายังนิกาย มันย่อมต้องดึงดูดความสนใจจากหลายๆฝ่ายเป็นแน่ –ทว่าข้ายังไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับอัตลักษณ์ของฉีหยานได้อย่างเต็มที่ แม้จะมีรูปร่างลักษณะเหมือนกันกับเขา แต่ขณะเดียวกันก็จักต้องไม่เผยกีบเท้าลาออกมาเช่นกัน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเบี่ยงเบนความสนใจจากข้าไปยังเจ้า”

 

“มายังข้า?”

 

เมื่อฉานนู่ได้ฟังเธอก็เริ่มสับสน จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “เช่นนั้นแล้วข้าสมควรทำอย่างไร?”

 

ว่านเอ๋อเตือน “ฉีหยานเป็นคนที่หมกหมุ่นในตัณหา – หากเจ้าต้องการจะให้นางเป็นสาวใช้ หลายคนจะยอมรับเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว และจะละความสนใจจากเธอไปอย่างง่ายดาย”

 

“เรื่องนั้นข้าเข้าใจ เพราะอย่างงั้นฉานนู่ เจ้าจงสวมหน้ากากเป็นลูกศิษย์ของข้าเสีย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“คนอย่างฉีหยานจู่ๆก็รับลูกศิษย์แล้วพากลับมาอย่างกระทันหัน เรื่องนี้ผู้คนมากมายจักต้องตกใจเป็นแน่”

 

“พวกเขาจะต้องเพ่งความสนใจมายังเจ้าอย่างแน่นอน และพยายามจะค้นหาว่าต้นกำเนิดของเจ้ามาจากที่ใด และเพราะเหตุใดจึงถูกยอมรับมาเป็นลูกศิษย์ได้”

 

“หากเป็นในกรณีนั้น พวกเขาก็จะเบี่ยงเบนความสนใจไปยังเจ้ามากกว่าข้า”

 

“ถูกอย่างที่นายน้อยกล่าวแล้ว” ฉานนู่ตอบ

 

“ช้าก่อน แต่นางคือจิตแห่งดาบนะ” ฉินรั่วทนไม่ไหวต้องเอ่ยแทรก “หากจิตแห่งดาบปรากฏตัวออกมา ผู้ฝึกยุทธมากมายในขอบเขตพันวิบัติและขีดสุดความว่างเปล่าย่อมสามารถมองทะลุตัวตนที่แท้จริงของนางได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่”

 

“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก”

 

รังสีดาบกระพริบไหว

 

เขาตัดเส้นเลือดในข้อมือของตนเองออก แล้วหันไปพูดกับฉานนู่ “มานี่สิ”

 

ฉานนู่เดินไปข้างหน้าและใช้สองมือคว้าจับเลือดในข้อมือของกู่ฉิงซานที่กำลังหยดย้อยลงอย่างช้าๆ

 

หลังจากนั้นหลายลมหายใจ

 

“เพียงพอแล้ว” ฉานนู่กล่าว

 

“แน่ใจใช่ไหม?”

 

“ใช่ เพียงพอแล้ว”

 

กู่ฉิงซานจึงปิดปากแผล และพูดออกมาว่า “ถ้าอย่างงั้น ตอนนี้เจ้าก็จงใช้มันเสีย”

 

“เจ้าค่ะนายน้อย”

 

ฉานนู่หลับตาลง และเริ่มใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตด้วยเลือดของกู่ฉิงซาน

 

ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ‘ทรงปัญญา’ ส่งผลให้เธอสามารถใช้ทักษะและประสบการณ์ทั้งหมดของกู่ฉิงซานได้

 

และเนื่องด้วยพลังของเธอนั้นมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่จำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณเลย

 

กู่ฉิงซานแข็งแกร่งแค่ไหน เธอก็จะแข็งแกร่งเท่านั้น

 

“ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต : คุณจะได้เรียนรู้ที่จะแยกแยะความแตกต่างของแต่ละองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของการดำรงอยู่ต่างๆ และจะได้รับความสามารถในการปรับตัวเองให้เป็นชนิดเดียวกันกับการดำรงอยู่นั้นได้”

 

“คำอธิบาย : คุณต้องได้รับส่วนประกอบของการดำรงอยู่ชนิดนั้น เพื่อแยกแยะลักษณะ และกฏเกณฑ์ในตัวมันเสียก่อน คุณจึงจะสามารถอำพรางปลอมตัวเป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตนั้นๆได้”

 

และเลือด ก็คือหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์!

 

หลังจากนั้นไม่นาน สรีระลักษณะของฉานนู่ก็ค่อยๆกลายมาเป็นกู่ฉิงซาน

 

แต่ในทางกลับกัน ขณะนี้กู่ฉิงซานได้กลายเป็นฉีหยานอยู่

 

นี่เหมือนว่าจะดูยุ่งเหยิงไปสักเล็กน้อย ….

 

เห็นแค่เพียง ‘กู่ฉิงซาน’ โน้มกายถอนสายบัวไปทาง ‘ฉีหยาน’ ปากเอ่ยถาม “นายน้อย ท่านคิดว่าข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง”

 

‘ฉีหยาน’ ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าละเอียดอ่อน “ก็ดีนี่ … แต่ช่วยอย่าเคลื่อนกายหรือทำอะไรที่มันดูเหมือนกับผู้หญิงจะได้ไหม”

 

“เจ้าค่ – ขอรับ”

 

ฉานนู่ได้สติทันที เธอกำลังขบคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมตามปกติของกู่ฉิงซาน ก่อนจะยืดอก เชิดหัวขึ้น ยืนหลังตรง

 

‘ฉีหยาน’ เฝ้ามองและขบคิดอยู่สักพักจึงกล่าวว่า “หลังจากนี้ไปเจ้าก็เรียกข้าว่าอาจารย์นะ”

 

‘กู่ฉิงซาน’ สะบัดกำปั้นประสานเข้ากับฝ่ามือ ปากเอ่ยตะโกน “ศิษย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบท่านอาจารย์”

 

‘ฉีหยาน’ เอ่ยด้วยความพอใจ “ใช่นั่นแหละ ดีมาก”

 

ฉานนู่เอ่ยออกมาอย่างขาดความมั่นใจ ปากเอ่ยถาม “ทั้งหมดนี้ดีแล้วจริงๆหรือ? แต่ข้าดูไม่เหมือนท่านเลยนะ นายน้อย ท่านต้องการให้ข้าใช้ทักษะการแสดงของท่านด้วยไหม?”

 

“มันไม่เป็นไรหรอก เพราะในโลกใบนั้นไม่มีใครเคยเห็นข้ามาก่อน ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเลียนแบบพฤติกรรมเดิมของข้าก็ได้ … ขอแค่ไม่ทำท่าทีราวอิสตรี พฤติกรรมอื่นๆก็ไม่สำคัญ”

 

ฉานนู่ผ่อนคลายลงและพยักหน้า “เช่นนั้นข้าว่าข้าย่อมสามารถทำมันได้อย่างแน่นอน”

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆจ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม

 

……

 

กลางค่ำคืน

 

อุณหภูมิลดต่ำลงชนิดที่ว่าน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง

 

บนผืนดินช่างสงบและเงียบงัน

 

ขณะที่มีเกาะลอยฟ้ามากมายกระจายตัวกันไปดั่งดวงดารา ปกคลุมหนาแน่นทั้งผืนฟ้า

 

ดวงจันทร์ของโลกใบนี้ได้หายไปนานแล้ว ดังนั้นความมืดมิดจึงปกคลุมทุกสิ่ง

 

สักพักหนึ่ง

 

บนเกาะธรรมดาๆที่ลอยอยู่ในอากาศ หินสีเทาหลายร้อยก้อนก็เริ่มที่จะสั่นไหว

 

ท่ามกลางความเงียบ เริ่มบังเกิดร่องรอยของรูปแบบค่ายกลลึกลับ

 

และค่ายกลก็เริ่มก่อตัวขึ้น

 

ฟุบ!

 

ทันใดนั้นเอง รอยแยกมิติก็เปิดออก พร้อมกับบางสิ่งที่ค่อยๆลดระดับลงกับพื้นดิน

 

มันคือดิสก์ค่ายกลขนาดเล็ก

 

เมื่อมันสัมผัสถึงพื้น ตัวดิสก์ก็เกิดการระเบิดออก แตกกระจายเป็นเศษผงทันที

 

ดิสก์ค่ายกลได้เสียหายโดยสมบูรณ์แล้ว

 

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ

 

สี่ร่างก็ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า ลงตกลงแถวๆค่ายกลนั่น

 

ตามด้วยเสียงของผู้หญิงที่ดังขึ้นพร้อมกัน

 

“เปิดใช้งานค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก”

 

ขณะที่เสียงผู้หญิงอีกคนกล่าวออกมาว่า “บริเวณโดยรอบทุกอย่างปกติดี ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว”

 

ด้วยสองประโยคนี้ที่เปล่งออกมา ส่งผลให้บรรยากาศดูเหมือนจะผ่อนคลายลง

 

“ว่านเอ๋อ เจ้าจัดการดูเรื่องเวลาโชคลางซิ” เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้น

 

เขายกมือขึ้นจับขอบหมวกไม้ไผ่ และปรับองศามันให้สายตาสามารถมองสำรวจโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้ได้

 

ว่านเอ๋อตบลงในถุงสัมภาระและหยิบยันต์สีดำออกมา

 

แล้วเธอก็กระตุ้นพลังวิญญาณลงไปในยันต์

 

ทันใดนั้นเอง สองตัวอักษรที่ถูกสร้างขึ้นจากเส้นแสงสีขาวเรืองรองก็ปรากฏขึ้น

 

‘ดี’ และ ‘ร้าย’

 

ทั้งสองคำนี้สลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว และในที่สุด ‘ดี’ ก็หายไป

 

“นายน้อย ช่วงเวลานี้คือลางร้าย” ว่านเอ๋อกล่าว

 

“หรืออีกความหมายนึงก็คือ พวกเราจะต้องพำนักอยู่ในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก เฝ้ารอให้ลางร้ายผ่านพ้นไปเสียก่อน แล้วจึงจะสามารถกลับไปยังนิกายได้ถูกต้องหรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เป็นเช่นนั้น มันไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะเดินทางในเวลานี้ เพราะมีอันตรายรอบด้าน ร่างกายอาจดับสูญ จิตแห่งเต๋าอาจสลายไปได้ทุกที่ทุกเวลา”ฉินรั่วกล่าว

 

ฉานนู่เอ่ยพึมพำเบาๆ “นี่มันเป็นโลกที่อันตรายจริงๆ”

 

แน่นอน ว่าตอนนี้เธอปรากฏกายในรูปลักษณ์ของกู่ฉิงซาน

 

“ใช่แล้ว นี่แหละคือโลกที่กำลังใกล้จะถึงจุดจบล่ะ” ว่านเอ๋อกล่าว

 

“งั้นพวกเรารอกันก่อนก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาหยิบเอาฟูกออกมาหลายอัน แล้วมอบให้ทุกคนเพื่อที่จะได้นั่งลงอย่างสบายๆ

 

เกาะลอยฟ้าขนาดเล็กแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยค่ายกลอำพรางโดยสมบูรณ์ ดังนั้นนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาปลอดภัย

 

“ถึงแม้ว่าข้าจะได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมันมาบ้าง แต่ก็อยากจะรู้จริงๆนะว่า เจ้าสิ่งที่อยู่ภายนอกในช่วงเวลานี้มันเป็นการดำรงอยู่แบบใดกันแน่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นเอง ในอีกไม่กี่ลมหายใจต่อจากนี้” ฉินรั่วกล่าว

 

“เวลานี้ พวกเราจะสามารถมองเห็นถึง ‘ร่างแยกไร้จิตสำนึก’ ได้ – นายน้อยโปรดจับตาดูให้ดีด้วย” ว่านเอ๋อกล่าว

 

เธอหยิบก้อนหินก้อนเล็กๆขึ้นมาจากพื้นดิน ทำการถ่ายเทพลังวิญญาณ แล้วโยนมันออกไป

 

หินเล็กแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา และทะลุออกจากค่ายกล

 

เนื่องจากมีพลังวิญญาณแนบมาด้วย ดังนั้นแรงส่งของหินเล็กจึงไม่อ่อนโทรมลง มันบินออกจากเกาะลอยที่พวกเขาพำนักอยู่ด้วยความเร็วคงที่

 

ทันใดนั้นเอง ปากสีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด และงับ! เข้าใส่หินเล็กก้อนนั้นทันที

 

กร๊อบ กร๊อบ

 

ปากใหญ่สีดำกำลังเคี้ยวหิน และครู่หนึ่งมันก็หายไป

 

“กล่าวได้ว่าช่วงเวลาที่มันกำลังตื่น ก็จะเป็นช่วงเวลาลางร้าย และผู้ฝึกยุทธจะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณใดๆได้สินะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ถูกต้อง นี่คือร่างแยกไร้จิตสำนึกของมัน และเมื่อมันรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณใดๆ มันก็จะพุ่งเข้าหา และกลืนกินทันที” ว่านเอ๋อกล่าว

 

“แล้วถ้าหากมีการต่อต้านขัดขืนโดยตัวตนที่ทรงพลังอำนาจ ร่างแยกไร้จิตสำนึกก็จะสลายตัวไป และถูกแทนที่ร่างแยกที่มีจิตสำนึกแทน ทว่าหากมันยังมิอาจกำจัดผู้ขัดขืนได้อีก ร่างหลักของมารโลกาก็จักมาด้วยตนเอง”

 

“แล้วผู้ใดบ้างที่จะสามารถโค่นร่างหลักของมันได้? ตัวตนสุดแกร่งอย่างขอบเขตลมปราณจิตนี่สู้ได้ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากันวูบหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวโดยพร้อมเพรียง

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.431 – จุดเริ่มต้น

 

ปากถ้ำที่ไหม้เกรียมไปด้วยเปลวเพลิงทมิฬค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ

 

หลังจากที่กระโจนเข้าไปในนั้น บนท้องฟ้าก็ไร้ซึ่งวี่แววใดๆของแอนนาและหมาดำอีกเลย

 

แต่กลับปรากฏเรือรบประจัญบานขนาดเล็กกำลังลดระดับลงมาแทน

 

เหลียวฮังกลับมาแล้ว

 

“ฉันได้เห็นทุกอย่างจากนอกโลกแล้วนะ! มันช่างเป็นการต่อสู้ที่งดงามและมีมนต์ขลังมากจริงๆ! ” เขาตะโกน

 

“คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์นี่ งั้นไหนลองเสนอความคิดมาซิ ว่าพวกเราควรจะทำอะไรกันต่อไปดี?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

“ก็ฝึกยุทธไง! มันต้องเป็นการฝึกยุทธอยู่แล้ว! ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะฝึกยุทธโดยใช้มันอ้างอิงเป็นงานวิจัยหลักทางวิทยาศาสตร์ของฉัน!”

 

“นั่นสินะ ฉันก็ต้องการฝึกยุทธอย่างเต็มกำลังเหมือนกัน” เย่เฟย์หยูถอนหายใจออกมา

 

ประธานาธิบดีขบคิดก่อนจะกล่าว “พวกเราคงต้องให้ทุกคนในโลกเข้าสู่สถานะฝึกยุทธโดยเร็วที่สุด เพราะถ้าหากมีภัยพิบัติใดๆเกิดขึ้นอีก ในอนาคตทุกคนจะได้สามารถช่วยเหลือตนเองได้”

 

“ข้าเห็นด้วย ฉะนั้นแล้ว พวกเราคงต้องเร่งก่อตั้งกฏเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมา” เวโรน่าเอ่ยออกมาในทำนองเดียวกัน

 

ทันใดนั้นเอง ตะขอเกี่ยววิญญาณก็ปรากฏตัวขึ้นจากในความว่างเปล่า

 

ขณะที่เบื้องหลังของสิ่งประดิษฐ์เทวะจากปรภพชิ้นนี้ เต็มไปด้วยหลากหลายสิบอาวุธที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณเปล่งเสียงออกมา “ขอจงวางใจ หลังจากโลกผสานรวมกันแล้ว อาวุธจากปรภพอย่างพวกเราก็จะร่วมมือกับพวกเจ้าด้วย”

 

“และพวกเรา จะเป็นผู้รับรองความมั่นคงของโลกใบนี้เอง” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากล่าว

 

เบื้องหลังของมัน เต็มไปด้วยเครื่องจักรมากมายที่มีรูปทรงแตกต่างกันออกไป กำลังทยอยกันปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

“ดูเหมือนว่าโลกในอนาคตกำลังจะกลายเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆซะแล้วสิ”

 

เหลียวฮังกล่าวออกมาด้วยความกระตือรือร้น

 

ตึ้ง!

 

ณ ขณะนั้นเอง จู่ๆภายในวิลล่าก็ปรากฏเสียงดังขึ้น

 

“ใครอยู่ในนั้นน่ะ?” ซางหยิงฮ่าวตะโกนถามอย่างระแวดระวัง

 

และทันทีที่เสียงของเขาตกลง บานประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน

 

ผู้คนทั้งหมดต่างหันหน้าไปมอง

 

เห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อในชุดคลุมยาวสีขาว พร้อมกับคทาในมือ ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้า

 

เธอกวาดสายตามองผ่านฝูงชนด้วยรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้า

 

แต่กลับไม่เห็นกู่ฉิงซาน

 

“เอ๋? แล้วฉิงซานล่ะ เขาไม่ได้อยู่ที่งั้นหรอ?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

เธออดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้น และก้มลงมองดูเวลาของเธอ

 

ครั้งนี้ เธอไม่ได้ใช้เวลามากมายนักในการกลับมา

 

เพราะครั้งล่าสุดที่กลับจากเกาะหมอกมายังที่นี่ เธอได้เสียเวลาในการเดินทางอย่างยากลำบากและยาวนานไปมากมาย

 

แต่คราวนี้ เธอสามารถอยู่ที่นี่ได้เป็นชั่วโมง

 

มองไปรอบๆอีกครั้ง ก็ยังไม่พบแม้กระทั่งเงาของกู่ฉิงซาน

 

ซูเซี่ยเอ๋อจึงหยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลขึ้นมา และเริ่มต้นโทรออกหาหมายเลขของกู่ฉิงซาน

 

หลายคนหันมามองหน้ากันและกัน

 

ซางหยิงฮ่าวยกมือขึ้นลูบหน้าอกตนเองและพูดเบาๆออกมาว่า “โชคดีจริงๆที่อีกคนหนึ่งได้ออกไปก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันคิดว่าโลกคงจะถูกทำลายอีกครั้งแน่ๆ”

 

“เห็นด้วย” เย่เฟย์หยูกระซิบ “แถมบางที หากเป็นในกรณีนั้น ต่อให้เป็นกู่ฉิงซานก็คงจะไม่สามารถช่วยโลกใบนี้เอาไว้ได้ … รวมไปถึงตัวของเขาเองด้วยน่ะนะ”

 

“เอ๋? นั่นพวกนายกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่หรอ” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม

 

เธอวางสมองควอนตัมของตัวเองลง

 

และแน่นอน ว่าสมองควอนตัมของเธอไม่สามารถทำการเชื่อมต่อกับกู่ฉิงซานได้

 

“ว่าแต่พวกนายรู้รึเปล่าว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่ไหน?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามอย่างสุภาพ

 

ซางหยิงฮ่าวหันไปมองเย่เฟย์หยู ขณะที่เย่เฟย์หยูหันไปมองเหลียวฮัง

 

เหลียวฮังมองไปยังใบหน้าอันงดงามของซูเซี่ยเอ๋อที่พึ่งปรากฏกายขึ้น ปากเอ่ยพึมพำ “สวยจริงๆ … อ่าฉันไม่ได้จะพูดแบบนั้น เอ่อ ฉันหมายถึงว่า กู่ฉิงซานได้จากไปแล้ว”

 

“อะไรนะ? แล้วเขาไปที่ไหน? มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาใช่รึเปล่า?” ซูเซี่ยเอ๋อเร่งถาม

 

เธอกุมคทาในมือแน่นขึ้้น

 

“เปล่าหรอก ไม่ได้หมายความในแง่ร้ายแบบนั้น เขายังสบายดี ฉันหมายถึงเขาได้ออกเดินทางไปแล้วด้วยดีน่ะ” เหลียวฮังรีบแก้ต่างอย่างรวดเร็ว

 

“งั้นก็แล้วไป ว่าแต่แล้วเขาไปที่ไหนหรอคะท่านลุง? หนูต้องการจะพบเขาทันที”

 

“ … เธอไม่สามารถไปพบเขาได้ในตอนนี้” สายตาของเหลียวฮังยังคงกวาดขึ้นๆลงๆไปตามร่างของซูเซี่ยเอ๋อและกล่าวต่อไป

 

“ทำไมล่ะ?”

 

“เรื่องมันยาวน่ะ คือเรื่องมันยาวมากจริงๆ”

 

“แต่หนูอยากจะรู้ ถ้ากรุณาช่วยบอกเรื่องราวทั้งหมดให้หนูฟังก็จะขอบคุณมาก!”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพยายามกล่าวอย่างใจเย็น

 

…..

 

แล้วเหลียวฮังก็เล่าถึงสถานการณ์ล่าสุดของกู่ฉิงซาน

 

ในเวลานั้นเอง เย่เฟย์หยูก็เดินกลับไปที่ห้อง ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับยื่นใบหยกให้แก่ซูเซี่ยเอ๋อ

 

ซูเซี่ยเอ๋อรับใบหยก นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยท่าทีตกใจออกมา

 

“สามารถข้ามผ่านระหว่างสองโลก? ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมฉันถึงได้เห็นนิมิตแบบนั้น … ”

 

เธอถอนหายใจออกมา ปากเอ่ยกล่าวอย่างเหม่อลอย

 

“ในเมื่อเขาไม่อยู่ที่นี่ ถ้าอย่างงั้นฉันก็ขอตัวกลับไปที่บ้านก่อนนะ”

 

“บ๊ายบายนะทุกคน”

 

“บาย‘

 

ฝูงชนกล่าวอำลาเธอ

 

ซูเซี่ยเอ๋อกำลังจะจากไป แต่แล้วจู่ๆเธอก็นึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน

 

“หืม? มีอะไรอีกงั้นหรอสาวสวย?” เหลียวฮังกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“คือหนูต้องขอโทษจริงๆนะคะ ถึงจะเข้าใจดีว่าคำถามนี้มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย แต่หนูก็อดไม่ได้ที่จะถามจริงๆ”

 

“จะถามอะไรล่ะ?”

 

“แอนนาละ่? เธอไปอยู่ที่ไหน?”

 

ขณะกล่าว แววตาของซูเซี่ยเอ๋อฉายแววลำบากใจออกมา

 

“เอ่อ เรื่องนั้น .. ”

 

เหลียวฮังเผยอปากขึ้นเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องหยุดไป

 

—-อ่าว แล้วแบบนี้จะให้ฉันตอบว่ายังไงดีล่ะ?

 

เขาเริ่มหันไปมองหาความช่วยเหลือรอบตัว

 

แต่กลับเห็นแค่เพียงแผ่นหลังของประธานาธิบดีที่เดินหายเข้าไปในวิลล่า

 

ซางหยิงฮ่าวดูจะเร็วกว่าประธานาธิบดี เพราะเวลานี้เขาหายตัวไปไม่เหลือกระทั่งเงาแล้ว

 

ขณะที่เย่เฟย์หยูทะยานตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยตรง หันซ้ายแลขวามองหาทิศทางแบบสุ่มๆ แล้วสยายปีกบินหนีไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

 

ส่วนสมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหัว ปากเอ่ยพึมพำเสียงกระซิบ “นี่มันเป็นเรื่องระหว่างพวกรุ่นเยาว์ ไม่เกี่ยวกับข้า … ”

 

แล้วเธอก็เดินหายเข้าไปในวิลล่าเช่นกัน

 

เหลียวฮังที่เห็นปฏิกริยาตอบสนองของทุกคนเป็นแบบนี้ ลิ้นของเขาก็เริ่มรู้สึกเฝื่อนๆ

 

“ขอโทษทีนะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแอนน-”

 

ในเวลานั้นเอง เห็นแค่เพียงวิหคขาวที่ไม่รู้มาโผล่ออกมาจากไหน ร่อนลงมากลางวงสนทนา

 

มันเกาะลงบนไหล่ของเหลียวฮัง แล้วหันไปกล่าวเสียงแหลมกับซูเซี่ยเอ๋อ “แอนนา? เจ้ากำลังพูดถึงผู้หญิงที่โผเข้าซบอกกู่ฉิงซาน หรือว่าผู้หญิงที่โถมกายเข้าโอบแขนของเขาล่ะ?”

 

บังเกิดความเงียบขึ้นโดยรอบ

 

ทันใดนั้นอากาศทั่วบริเวณก็เต็มไปด้วยความสยองเกล้าอย่างที่ไม่เคยปรากฏออกมาก่อน

 

เจตนาฆ่าอันแรงกล้าพวยพุ่งออกมา จนเหลียวฮังสำลัก แทบจะหายใจไม่ออก

 

“เห? ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่ฉันยังไม่ได้รู้อยู่อีกสินะ”

 

ใบหน้าที่แขวนไว้ด้วยรอยยิ้มของซูเซี่ยเอ๋อกำลังเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ

 

ฉับพลันนั้น ในหูของเขาพลันได้ยินเสียงหวีดหวิวราวกับพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่กำลังทะลวงสู่ชั้นอากาศ

 

เห็นแค่เพียงคทาในมือของซูเซี่ยเอ๋อสาดแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกมา ทะยานเป็นเสาแสงขึ้นสู่ชั้นเมฆ

 

พลังอำนาจนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก มันปัดเป่าเมฆทั่วฟ้า และแหวกชั้นบรรยากาศจนก่อให้เกิดหลุมดำขึ้นมา

 

เมื่อต้องเผชิญกับพลังอันยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และโลก คนธรรมดาทั่วไปย่อมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว

 

“อุ๊ย เผลอหนักมือเกินไปหน่อย … มันเป็นความผิดของหนูเอง ดูเหมือนว่าหนูจะยังควบคุมพลังของคทาได้ไม่ชำนาญเท่าไหร่”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเลื่อนสายตาลงและกล่าว

 

เธอสะบัดคทาออกไป และพลังอำนาจทั้งหมดก็สลายหายไปทันที

 

“เอาล่ะ ที่นี้โปรดบอกหนูมาตามตรง ว่าเรื่องของผู้หญิงสองคนที่ว่านั่น มันยังไงกันแน่?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจถกเถียงหรือปฏิเสธได้

 

เหลียวฮังขยับริมฝีปากของเขาอย่างยากลำบาก

 

แต่เขาก็ยังไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้ แม้จะผ่านไปครู่หนึ่ง

 

เห็นได้ชัดว่าเด็กเบื้องหน้าเขาเป็นเพียงลูกเจี๊ยบที่มีหน้าตางดงาม แต่ทำไม … ทำไมเธอถึงได้ …

 

วิหคขาวที่เกาะอยู่บนไหล่ของเขากำลังจ้องมองไปยังฉากนี้ และตัดสินใจเลือกหนทางที่ตัวเองมีโอกาสรอดชีวิตมากที่สุดออกมา

 

ทันใดนั้นมันก็หันไปหาเหลียวฮังและตะโกนกล่าว “เอ้า! คุณหนูถามว่าเกิดอะไรขึ้นไงเล่าตาแก่ ไหงต้องเอาแต่สั่นเป็นเจ้าเข้าด้วย เป็นลมชักหรอ?”

 

…….

 

กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นในความว่างเปล่า

 

เขาหันไปมองข้างกายตัวเอง

 

เห็นแค่เพียงสีหน้าของฉินรั่วและว่านเอ๋อที่ดูอ่อนล้า ขณะที่ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล

 

ในระยะไกลออกไป เบื้องหน้าพวกเขา สามารถเห็นได้ถึงประตูที่กำลังเรืองแสงรางๆ

 

และยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์ได้จากระยะไกลอีกด้วย

 

“นั่นคงจะเป็นพลังวิญญาณจากค่ายกล พวกเราคงต้องใช้โอกาสนี้ดูดซับมันเพื่อฟื้นฟูพลังให้เร็วยิ่งขึ้น” ฉินรั่วหันไปกล่าวกับว่านเอ๋อ

 

ว่านเอ๋อรีบพยักหน้ารับ

 

“ดูเหมือนว่าจะใกล้แล้วสินะ – ว่าแต่พอจะสามารถระบุเวลาแบบเฉพาะเจาะจงได้หรือไม่ว่าเวลาดใดที่จะไปถึง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“น่าจะภายในช่วงหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม พวกเราก็จะไปถึงโลกนั่น” ฉินรั่วกล่าว

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

นายน้อยชุดคลุมม่วงฉีหยาน ในตอนนี้คิดว่าคงจะตายไปแล้วในโลกของมารสวรรค์

 

แต่ท้ายที่สุดนี้ บิดาของฉีหยานน่ะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า

 

เขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้ แถมนอกจากนี้ยังกำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์อยู่อีก

 

ยามเมื่อเขาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จ ยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตลมปราณจิต เขาก็จะกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายกวงหยาง

 

แม้กระทั่งอาวุโสที่คอยขัดแข้งขัดขาเขาอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ก็จะไม่สามารถต่อกรกับเขาได้อีกต่อไป

 

เพราะถึงแม้อาวุโสผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกยุทธในขอบเขตลมปราณจิตเช่นกัน แต่เขาได้รับบาดเจ็บจากฝีมือของอสูรกายอันน่าสะพรึง จนไม่อาจฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์อีกเลย

 

ระยะทางระหว่างประตูแสงค่อยๆใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

อีกไม่นาน กู่ฉิงซานก็จะต้องเผชิญหน้ากับบิดาของนายนายชุดคลุมม่วง

 

ในเวลานั้นเอง บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยก็ได้ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

“ภารกิจแห่งโชคชะตา : ต่อสู้กับการล่มสลายของโลก”

 

“คำอธิบายภารกิจ : เมื่อโลกกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการล่มสลายเกินกว่าจะแก้ไขได้ แต่แล้วคุณกลับสามารถค้นพบวิธีเดินทางไปสู่ปรภพอย่างกระทันหัน เพื่อทำการค้นหาสาเหตุของภัยพิบัติ – ซึ่งนับว่าเป็นเหตุการณ์อันหาได้ยากยิ่ง และหากสำเร็จ มันจะช่วยให้ชะตากรรมของโลกทั้งใบหักเหไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้”

 

“วัตถุประสงค์ภารกิจ : โปรดทำทุกอย่างที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือปรภพและโลกมนุษย์”

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานอ่านบรรทัดเส้นแสงเหล่านั้น พวกมันก็สลายกลายเป็นขี้เถ้าไป

 

“คุณได้บรรลุภารกิจแล้ว”

 

“คุณได้รับรางวัลสำหรับเนื้อเรื่องพิเศษ : พลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพสงคราม (จากขอบเขตประทับเทพ)”

 

จากนั้น จู่ๆหน้าต่างระบบเทพสงครามก็เปลี่ยนเป็นมืดมิด

 

“เอ๊ะ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

กู่ฉิงซานอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

เห็นแค่เพียงเส้นแสงหิ่งห้อยที่ร้อยเรียงด้วยตัวอักษรขนาดเล็กผุดออกมาในความมืดมิดอย่างไม่รู้จบ

 

“โลกที่กำลังจะไปถึงนี้ เคยเป็นโลกที่มีอารยธรรมแห่งการฝึกยุทธอันทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม มันกำลังจะล่มสลายลงแล้วในไม่ช้า”

 

“การปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ทันที ย่อมจะต้องถูกตรวจจับได้โดยกฏเกณฑ์ของโลกปัจจุบันอย่างแน่นอน”

 

“ก่อนหน้านี้ที่คุณปลุกสกิลเทวะร่างเงาแทนที่ขึ้นมา มันก็เป็นการดึงพลังมาจากรากฐานของโลกเทวะเช่นกัน ”

 

“ร้องขอให้ผู้เล่นดำเนินการสำรวจเกี่ยวกับโลกที่กำลังล่มสลายใบนี้ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประกอบของมันเสียก่อน”

 

“และเมื่อคุณตระหนักรู้เพียงพอแล้วเกี่ยวกับโลกซวนคง(ล่องเวหา)ใบนี้ รางวัลภารกิจก็จะกลับคืนมาอีกครั้ง”

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานได้อ่านมัน คำอธิบายเหล่านี้ ทั้งหมดก็ได้สลายหายไป

 

ขณะที่บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ยังคงหลงเหลือเพียงความมืดมิดเท่านั้น

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.430 – ออกเดินทาง

 

“หรืออีกความหมายนึงก็คือ นายจะต้องรีบไปเลยตั้งแต่ตอนนี้น่ะสิใช่ไหม?” แอนนาเอ่ยถามอย่างไม่ยินยอม

 

เธอคว้าจับมือของกู่ฉิงซาน บีบมันแน่น

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ใช่ อีกราวๆ2-3นาทีฉันก็ต้องไปแล้ว แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ เพราะยังไงฉันก็จะต้องกลับมาแน่ๆ”

 

มองเข้าไปในดวงตาของแอนนา กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ “วางใจเถอะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”

 

ในจิตใจของแอนนาเต็มไปด้วยความกังวล

 

กู่ฉิงซานกำลังจะไปในโลกอันน่าหวาดกลัว โลกที่ซึ่งความแข็งแกร่งของเขาไม่นับว่าเป็นสิ่งใด

 

แล้วแบบนี้เธอจะวางใจได้ยังไงกัน?

 

แอนนากัดลงบนนิ้วของเธอจนเลือดไหลออกมา แล้วใช้เลือดนั้นแตะลงบนหน้าผากตัวเอง

 

“ท่านเทพสุนัข ได้โปรดให้ฉันได้ยืมพลังบางส่วนของท่านด้วย”

 

เธอหันไปกล่าวกับหมาดำ

 

แต่หมาดำกลับทำแค่เพียงจ้องมองเธออย่างเงียบๆ

 

“ได้โปรดเถิด” แอนนาวิงวอน

 

หมาดำพอได้ยินน้ำเสียงและท่าทีการแสดงออกของเธอ มันก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะปล่อยเปลวเพลิงทมิฬออกจากร่าง และส่งมันลอยไปทางแอนนาอย่างช้าๆ

 

แอนนาคว้าจับเพลงทมิฬเอาไว้ในฝ่ามือและบีบมัน

 

ปัง!

 

เพลิงทมิฬได้หายไป แต่ตลอดทั้งร่างกายของแอนนากลับปรากฏเส้นแสงสีดำขึ้น เส้นสีดำเหล่านั้นส่ายไปมาในอากาศอย่างไร้ทิศทาง

 

แอนนาเอื้อมมือของเธอที่เปื้อนเลือดไปแตะลงบนหว่างคิ้วของกู่ฉิงซาน

 

“นี่คืออะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

 

“อยู่นิ่งๆไปสักพักก่อน ตอนนี้ฉันกำลังใช้พลังที่เรียกว่าความตายอันเป็นนิรันดร์เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านเทพแห่งความตายอยู่ หวังว่าพลังของมันจะช่วยให้นายได้รับข้อมูลบางอย่างที่มีประโยชน์ไปบ้างนะ”

 

กู่ฉิงซานจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเฝ้ามองอยู่เฉยๆ

 

ต่อมา แอนนาก็เงยหน้าขึ้นมองกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

สายตาของเธอค่อยๆตกลงจากใบหน้าของกู่ฉิงซาน ลงมายังทั่วร่างกายของเธอและเบื้องหลังของกู่ฉิงซาน ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่นั่น

 

ทันใดนั้นเสียงกระซิบที่ฟังดูลึกซึ้งก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะของแอนนา

 

“มนุษย์ปุถุชนที่กำลังหลงทางเอ๋ย หนทางเบื้องหน้าของเจ้า ตลอดทั้งโลกมีเพียงความตายอันหาที่ใดเปรียบเฝ้ารออยู่ และความตายที่ว่าก็กำลังจะทำให้โลกใบนั้นถึงจุดจบลง”

 

“และเจ้าไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะเผชิญหน้าต่อกรกับความตายนี้”

 

สิ้นเสียง มันก็ดูเหมือนจะพูดอะไรอีกซักอย่างออกมา

 

แต่ประโยคนี้ไม่มีใครได้ยินอย่างชัดเจน

 

บังเกิดสายลมพัดกรรโชก

 

และเทคนิคมนตรานี้ก็ได้หายไป

 

แอนนาโผเข้ากอดกู่ฉิงซาน

 

“ไม่นะ! ได้ยินแล้วใช่ไหม! นายจะไปไม่ได้ ถ้านายไปนายจะต้องตาย!”

 

เธอกอดแขนของกู่ฉิงซาน พูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน

 

กู่ฉิงซานทำได้เพียงลูบหลังเธอ และกล่าวปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน “มันไม่เป็นอะไรหรอก ขนาดปรภพฉันก็เคยไปมาแล้ว เธอก็อย่ากังวลไปเลย”

 

เขาหันไปมองเวลา

 

เหลือนาทีสุดท้ายแล้ว

 

กู่ฉิงซานวางมือลงบนหัวของแอนนา ลูบไล้มันอย่างแผ่วเบา ปากเอ่ยกล่าวอย่างช้าๆ “ไม่ต้องกังวลนะ ฉันจะไม่ตาย ฉันขอสัญญากับเธอ”

 

แอนนามองเขาและส่ายหัวของเธอ

 

เมื่อครู่เป็นการยืนยันจากเทพแห่งความตาย แล้วกฏแห่งความตายจะผิดพลาดได้อย่างไร?

 

แอนนาเอื้อมมือออกไป ดึงด้ายสีดำเส้นบางๆจากที่ถูกบดบังลึกอยู่ภายใต้ผมสีแดงเพลิงของเธอออกมาอย่างไม่ลังเล

 

ด้ายที่เชื่อมต่อกับจี้รูปทรงแปลกๆอันเป็นเอกลักษณ์ค่อยๆผลุบออกมาจากคอระหงของเธอ

 

แอนนาสวมใส่จี้นี้รอบคอของกู่ฉิงซาน

 

“คนโง่ ฉันไม่จำเป็นต้องใช-” กู่ฉิงซานกำลังจะกล่าว

 

เขาเร่งร้อนที่จะถอดจี้นี้ออก

 

“จงมีชีวิตอยู่ต่อไป” แอนนาคว้าจับมือของเขาให้หยุด ปากเอ่ยกล่าวเสียงกระซิบ “ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้นายตาย”

 

กู่ฉิงซานชะงักงันไป

 

เมื่อมองย้อนกลับไปในความทรงจำของเขา ตนก็พลันระลึกขึ้นได้ว่าครั้งแรกที่เขาออกเดินทางไปยังโลกเทวะ แอนนาก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

 

เธอทำเช่นเดียวกันกับในครั้งก่อน

 

อารมณ์ความรู้สึกของทั้งสองเหตุการณ์ ไม่ว่าจะในครั้งนั้นหรือครั้งนี้ มันก็ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลย

 

กู่ฉิงซานกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ สภาวะจิตใจกำลังไขว้เขวไปช่วงเวลาหนึ่ง และสุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องการจะเอ่ยบางสิ่งออกมา

 

ทว่าเวลาก็ดันหมดลงเสียก่อน

 

ม่านแสงสว่างจ้าโอบเข้าปกคลุมรอบตัวเขา

 

วินาทีต่อมา ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปจากฝูงชน

 

หมาดำเดินเข้ามา ปากอ้าถอนหายใจ “อันที่จริงแล้วประโยคสุดท้าย … เราไม่อยากจะบอกเจ้าเลย แต่ในเมื่อมันเป็นประโยคของเทพ เราจึงจำต้องกล่าวให้จบ”

 

แอนนาเร่งเอ่ยถาม “ท่านเทพ ประโยคสุดท้ายคืออะไรอย่างงั้นหรอ?”

 

“หากตายในโลกใบนั้น แม้กระทั่งจิตวิญญาณก็จะหายไปด้วยเช่นกัน”

 

แอนนากัดริมฝีปากของเธอ และขบคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้

 

แล้วเธอก็หันไปเอ่ยถามเย่เฟย์หยูในทันใด “ซูเซี่ยเอ๋อล่ะ? ทำไมฉันยังไม่ได้เห็นเธอเลย?”

 

เย่เฟย์หยูลอบหันไปมองซางหยิงฮ่าวอย่างลับๆ

 

ซางหยิงฮ่าวคิดก่อนจะเอ่ยปากออกมา “บอกไปเถอะ”

 

เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างซื่อตรง “พูดได้จริงๆหรอ?”

 

“เอาล่ะๆ” ซางหยิงฮ่าวหันไปมองแอนนา ถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ในเมื่อเธอกล้าที่จะแขวนชีวิตของตัวเองเอาไว้กับกู่ฉิงซาน ถ้าอย่างงั้นฉันคิดว่าเราก็ไม่สมควรที่จะปิดซ่อนความจริงจากเธอไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเขา”

 

เย่เฟย์หยูจึงเฉลยเรื่องเกี่ยวกับซูเซี่ยเอ๋อให้แอนนาฟัง

 

พอถึงช่วงสังหารสมเด็จพระสันตะปาปา เขาก็บอกเรื่องม้วนคัมภีร์ออกไป

 

แอนนารับฟังอย่างตั้งใจพลางครุ่นคิด

 

ซางหยิงฮ่าวเดินกลับไปที่วิลล่า ก่อนจะออกมาอีกครั้งพร้อมกับแผ่นหยกในมือและยื่นมันให้แก่แอนนา

 

“นี่มันอะไรกัน?”

 

“นี่คือเทคนิคฝึกยุทธของเธอที่กู่ฉิงซานเป็นคนเลือกมันด้วยตัวเอง เขากลัวว่าในบางเวลาที่ตัวเองไม่อยู่ จะไม่ได้เอาให้เธอ เลยฝากมันไว้ในวิลล่า แล้วเตือนพวกเราว่าถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ก็มอบมันให้กับเธอด้วย”

 

หมาดำกระโดดขึ้นมา และงับเอาใบหยกไป

 

“วิชานี้มัน … อืม … มันเป็นวิชาจำเพาะที่สามารถเสริมสร้างสมรรถนะของร่างกายเพื่อขยายพลังในการดึงดูดอำนาจของฟ้าดิน”

 

“นี่นับว่ามันเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อยเลย เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับเทคนิคของเจ้า มันจะช่วยให้พลังแห่งความตายของเจ้าเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี”

 

หมาดำกล่าวแสดงความคิดเห็น

 

เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “แค่ฝึกฝนเทคนิคฝึกยุทธมันก็ยังไม่เพียงพออีกหรอ? ทำไมเราจะต้องไปศึกษาเทคนิคอื่นๆด้วยล่ะ?”

 

หมาดำกล่าวหยันออกมา “คำพูดเจ้านี่มันดูไม่ต่างไปจากมือสมัครเล่นเลย ราวกับทารกน้อยที่พึ่งได้รู้จักการคลาน เจ้ามิเห็นหรือว่าชายหนุ่มที่พึ่งจากไปเมื่อครู่นี้ ก็ยังเรียนรู้เทคนิคเกี่ยวกับวิถีดาบเพื่อปลดปล่อยพลังอำนาจของตนเองออกมา”

 

เย่เฟย์หยูเริ่มเกิดอาการปวดหัว “ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่า นอกเหนือไปจากการฝึกยุทธแล้ว ฉันยังต้องมองหาเทคนิคโจมตีที่ทรงพลังมาไว้เรียนรู้อีกด้วยสินะ”

 

หมาดำไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก มันยื่นปากที่คาบใบหยกไปให้แอนนา

 

“ท่านเทพสุนัข” แอนนาเอ่ยปาก

 

“หืม?”

 

“ฉัน … ลองคิดเกี่ยวกับมันดูแล้ว .. ”

 

“เจ้าแน่ใจหรือ?”

 

“ตอนนี้แน่ใจแล้ว ฉันต้องการที่จะแข็งแกร่งมากกว่านี้ เพื่อที่จะได้ติดตามเขา และเพื่อที่จะสามารถเผชิญหน้ากับซูเซี่ยเอ๋อได้อย่างเท่าเทียม”

 

หมาดำแสดงสีหน้าราวกับว่ากำลังยิ้มออกมา

 

มันท่องมนตราเสียงกระซิบ

 

เห็นแค่เพียงร่างของหมาดำค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น จนมีขนาดเท่ากับตึกสามชั้น

 

เสียงของมันหนัก กังวาน และเคร่งขรึมขึ้น ราวกับเทพวิญญาณที่กำลังจะไต่สวนมนุษย์

 

“เราขอถามเจ้าอีกครั้ง เมื่อเจ้าไปที่นั่นกับเรา เจ้าจะกลายเป็นอัครสาวกแห่งความตายโดยสมบูรณ์ และเจ้าจะไม่สามารถศรัทธาในเทพวิญญาณตนอื่นๆได้อีกต่อไป เจ้าตัดสินใจที่จะไปจริงๆหรือไม่?”

 

“ฉันจะไป” แอนนากล่าว

 

หมาดำจ้องมองเธออย่างเงียบๆอยู่สักพัก

 

“แม้ว่าเราจะพึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่คุณสมบัติของเจ้านับว่าดีที่สุดที่เราเคยพบเจอมาในรอบหลายพันปี”

 

“ก็นั่นมันเป็นเพราะท่านเผลองีบหลับไปนานตั้งหลายพั-”

 

“อะแฮ่ม! เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว”

 

“มาเถอะ” หมาดำกล่าว

 

ว่าจบ แอนนาก็กระโดดขึ้นไปบนหลังของหมาดำ

 

แอนนายืนบนหลังของหมาดำ หันมองไปทางซางหยิงฮ่าว เย่เฟย์หยู และคนอื่นๆ “ถ้าเขากลับมา ฝากบอกเขาด้วยว่าฉันออกเดินทางไปฝึกยุทธ”

 

เสี้ยววินาทีนั้นเอง บนร่างของหมาดำก็ลุกพรึบไปด้วยเพลิงทมิฬ

 

มันกระโจนขึ้นไปในอากาศที่ว่างเปล่า มุ่งหน้าสู่ท้องฟ้าเบื้องบน

 

แต่ในตอนนั้นเอง เวโรน่าก็อุทานออกมา “ช้าก่อนแอนนา! จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ยังรอให้เจ้ารับช่วงต่ออยู่นะ!”

 

หมาดำหยุดนิ่งไปกลางอากาศ

 

“หนูขอโทษนะท่านป้า แต่ตอนนี้หนูไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการแก้แค้นให้ท่านพ่ออีกต่อไปแล้ว เรื่องประเทศก็ขอฝากฝังให้ไว้ท่านป้าเป็นคนจัดการก่อนก็แล้วกัน” แอนนากล่าว

 

“โลกในปัจจุบันนี้น่ะ — มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องความปรารถนาของตนเองเอาไว้ได้”

 

“ดังนั้น ตอนนี้หนูคงต้องขอตัวก่อน”

 

แล้วหมาดำก็เริ่มควบวิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าต่ออีกครา

 

“แล้วเจ้าจะไปที่ไหนกัน?” เวโรน่าตะโกนถามอย่างรวดเร็ว

 

ในท้องฟ้าที่ว่างเปล่าเบื้องบน บังเกิดปากถ้ำที่ถูกเผาไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงสีดำทมิฬปรากฏขึ้น

 

หมาดำกระโดดเข้าไป

 

และทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวจากบนฟากฟ้า

 

“ไปยังโลกแห่งความตาย”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.429 – ของตอบแทน

 

คิ้วของหลานซิ่วย่นเข้าหากัน ดูเหมือนว่าเขากำลังพิจารณาว่าสมควรจะมอบสิ่งใดให้กับกู่ฉิงซานดี

 

“ประเดี๋ยวก่อน เรื่องนี้ขอให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ”

 

ชิงหยินที่อยู่ในไพ่กล่าวออกมา

 

เธอยกหนังสือเล่มหนาที่ไม่รู้ว่าไปหยิบมาจากที่ไหนขึ้น และจั่วไพ่ออกมา

 

บนไพ่ คือภาพของดวงตาขนาดใหญ่

 

ขณะเดียวกันก็มีระลอกหมอกสีขาวหมุนวนอยู่ในดวงตาขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดกระแสหมอกโคจรไปมาอย่างรวดเร็ว

 

นี่คือไพ่พยากรณ์โชคชะตาที่หาได้ยากยิ่ง

 

“ครอบครองไพ่ใบนี้ที่หาได้ยากยิ่ง ทว่าสุดท้ายแล้วดันมามีจุดจบเช่นนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะใช้มัน”

 

ขณะกล่าว ชิงหยินก็โยนไพ่ไปทางกู่ฉิงซาน

 

“ข้าได้ปลดประทับวิญญาณของข้าที่อยู่บนมันออกแล้ว นับจากนี้ไป ข้าขอฝากฝังให้เจ้าช่วยดูแลมันด้วยก็แล้วกันนะ”

 

แม้จะกล่าวแบบนั้น แต่น้ำเสียงของเธอก็ยังแฝงไว้ซึ่งความคะนึงหา มิอยากลาจากมันไป

 

กู่ฉิงซานคว้าจับไพ่

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงครามบรรทัดแสงหิ่งห้อยที่ร้อยเรียงด้วยตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาทันที

 

“ไพ่พยากรณ์โชคชะตา , ไพ่แรร์(หายาก)”

 

“เมื่อคุณเกิดความลังเลขึ้น คุณสามารถดูไพ่ใบนี้เพื่อสังเกตถึงความเป็นไปได้บางอย่างในโชคชะตาของคุณ”

 

“คำอธิบาย : มีเฉพาะผู้ใช้ไพ่ระดับสูงสุดเท่านั้นที่รูื้วิธีใช้ไพ่ใบนี้ ขณะที่ผู่อื่นที่ไม่คู่ควรจะถูกทำให้สับสนกลายเป็นคนโง่งมจากการพยายามที่จะสอดแนมโชคชะตานี้”

 

“ระบบได้ระบุว่า : ไพ่ใบนี้เป็นของหายากและล้ำค่ายิ่ง ตลอดทั้งต่างโลกมากมาย คุณสามารถใช้มันเพื่อแลกเปลี่ยนกับสมบัติในฝันเลยก็ยังได้”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาด้วยความลังเล “แต่ข้าได้ยินมาว่า ไพ่นี่คือเทคนิคเทียนซวนของท่าน แล้วเทคนิคเทียนซวนจะสามารถให้ผู้อื่นใช้งานได้ด้วยหรือ?”

 

หลานซิ่วกับชิงหยินหันมามองหน้ากันวูบหนึ่ง

 

“หากเป็นเจ้าแล้วล่ะก็ ข้าย่อมไม่รังเกียจที่จะตอบคำถามนี้”

 

หลานซิ่วกล่าวด้วยคำที่เปี่ยมไปด้วยความหมายลึกซึ้ง

 

“การใช้ไพ่น่ะ ไม่จำเป็นต้องมีเทคนิคเทียนซวนเป็นของตนเองเพียงอย่างเดียวหรอกนะ แต่มันสามารถให้คนอื่นใช้ได้ด้วยเช่นกัน ตราบใดที่ผู้เป็นเจ้าของไพ่สามารถยกระดับขึ้นไปถึงช่วงหนึ่ง เขาก็จะสามารถลบตราประทับจิตวิญญาณของตนที่อยู่บนไพ่ได้อย่างสมบูรณ์”

 

พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็เข้าใจในทันที

 

เพราะครั้งหนึ่ง ซูเซี่ยเอ๋อก็เคยมอบอะไรเช่นนี้ให้กับเขา

 

มีเพียงผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์(เทียนซวน)ที่ทรงพลังมากๆเท่านั้น จึงจะสามารถมอบความสามารถของตนเองให้คนอื่นใช้งานได้

 

เขาพยักหน้า บ่งบอกว่าตนกระจ่างชัดแล้ว

 

“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอขอบคุณพวกท่านมาก”

 

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป หากมีเวลาว่างเมื่อใด จักรวรรดิหลานเทียนยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ” หลานซิ่วกล่าว

 

ว่าจบ เขาก็โยนตราสัญลักษณ์ออกไป

 

กู่ฉิงซานคว้าจับตราสัญลักษณ์ และเห็นแค่เพียงรูปต้นไม้ใหญ่ที่มีไพ่หลายร้อยใบแขวนอยู่ตามกิ่งก้าน ขณะเดียวกัน พวกมันก็สาดแสงระยิบระยับ

 

“เจ้าสิ่งนี้ ภายในของมันมีการระบุตำแหน่งโลกของพวกเราเอาไว้ และหากวันหนึ่งเจ้าคิดมาเยือนอาณาจักรของข้า เจ้าก็สามารถตตามหาข้าได้โดยใช้ตราสัญลักษณ์นี้เลยโดยตรง” หลานซิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“เข้าใจแล้ว พวกท่านก็สามารถแวะเวียนมาที่นี่ได้ตลอดเวลาเช่นกัน หากมีเวลา ข้าจะเป็นคนพาพวกท่านไปเดินชมสถานที่ต่างๆด้วยตนเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

หลานซิ่วกับชิงหยินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

 

และเขาก็โบกมือให้แก่กู่ฉิงซานอีกครั้ง ก่อนจะบินเข้าไปในรอยแยกมิติบนท้องฟ้า

 

จากนั้นรอยแยกมิติก็หุบลงอย่างรวดเร็ว

 

ทุกสิ่งอย่างกลับเป็นปกติดังเดิม ราวกับว่าโลกตรงข้ามไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

 

โลกมนุษย์กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

 

แสงตะวันจากดวงอาทิตย์ตกกระทบลงสู่พื้นดิน

 

ขณะที่บนฟากฟ้าตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ มีพระจันทร์ถึงสามดวงปรากฏขึ้น

 

โลกปรภพน่ะเป็นดินแดนของหยิน ดังนั้นเพื่อให้สองโลกที่ผสานรวมเกิดความสมดุลระหว่างหยินหยาง ทรัพยากรส่วนหนึ่งของโลกจึงควบรวมกัน ก่อกำเนิดเป็นดวงจันทร์ดวงใหม่ขึ้น

 

ผู้คนต่างแหงนหน้ามองไปยังดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า และต่างตระหนักว่าโลกใบนี้ได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว

 

สายลมตามแนวภูเขาพัดผ่านมาจากระยะไกล พร้อมด้วยอากาศหอมสดชื่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายในสายลม ปากเอ่ยพึมพำ “พลังงานวิญญาณได้กลายเป็นอุดมสมบูรณ์มากขึ้นแล้ว … ”

 

การผสานรวมระหว่างสองโลกเข้าด้วยกัน ส่งผลให้รากฐานเดิมของโลกแข็งแกร่งขึ้น

 

และนับจากนี้ไป ผู้คนก็จะสามารถยกระดับพื้นฐานวรยุทธได้ง่ายขึ้น ฝึกยุทธได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

 

แต่แล้วในตอนนั้นเอง พื้นดินได้เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย

 

พร้อมกับเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นในวิสัยทัศน์ของเขาทันที

 

“การเปลี่ยนแปลงภายนอกของโลกมนุษย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว”

 

“และกฏเกณฑ์ภายในของทั้งสองโลกกำลังจะเริ่มบรรจบกัน”

 

“การบรรจบกันของกฏเกณฑ์จะส่งผลให้รากฐานของโลกเกิดความผันผวนขึ้นเป็นอย่างมาก”

 

“กรุณาออกจากโลกใบนี้ภายในสิบนาที เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของรากฐานโลกที่จะเกิดกับกระแสเวลาของคุณ”

 

กู่ฉิงซานตกใจ

 

ครั้งก่อนที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น มันคือช่วงเวลาที่เกมแห่งชีวิตนิรันดร์ปรากฏออกมา

 

ในเวลานั้น กู่ฉิงซานต้องหลีกเลี่ยงมันโดยการไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมทุกๆครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก ฉันจะต้องหลีกเลี่ยงมันด้วย?” เขาทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม

 

ระบบอธิบาย “คุณและฉันต่างก็ลอบกลับมาจากช่วงเวลาสุดท้ายของวันสิ้นโลก ดังนั้นการไหลของกระแสเวลาของเราสองจึงแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ”

 

“เมื่อกฏเกณฑ์ของโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความผันผวนของมิติและเวลาของคุณก็จะถูกเปิดเผย ราวกับดวงจันทร์ที่ไสวอยู่บนฟากฟ้า มันจะดึงดูดเหล่าเทพมารที่ทรงพลานุภาพสูงสุดให้เบนสายตามาสำรวจ”

 

“เพราะพวกเขามีความสนใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอย่างรอบคอบและกล่าวว่า “แต่ฉันได้ละทิ้งความทรงจำในอดีตของนักดาบนิรันดร์ไปแล้วนี่ – นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันได้เกิดใหม่แล้วโดยสมบูรณ์หรอกหรือ?”

 

“นั่นมันก็จริง แต่ความผันผวนของมิติและเวลาบนร่างกายของคุณจะค่อยๆสลายไป มิใช่สลายไปทั้งหมดแล้วกลายเป็นถือกำเนิดใหม่ได้เลยในทันที”

 

“แล้วมันจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน กว่าที่ความผันผวนนี้จะสงบลงโดยสิ้นเชิง?”

 

“อย่างรวดเร็วก็หนึ่งเดือน ขณะที่อย่างช้าก็ครึ่งปี”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก

 

ตราบใดที่มันสงบลงได้ด้วยระยะเวลาที่ไม่นานเกินไป ก็ยังนับว่าโอเค

 

มิฉะนั้นแล้ว หากครั้งต่อไปโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอีก แล้วตนจะต้องถอนตัวหลบหนีไป มันคงจะรู้สึกแย่ไม่น้อย

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กสองบรรทัดปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

“เรากำลังจะมุ่งหน้าสู่ช่องว่างของมิติและเวลาระหว่างโลกเทวะและอีกโลกหนึ่งที่ไม่รู้จัก”

 

“ยังคงเหลือเวลาอีก 9 นาที โปรดเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

เขาหันไปมองเพื่อนๆ ก่อนจะกลั้วคอและเอ่ยปากออกมา “ฉันมีบางอย่างที่จะต้องบอกกับพวกนาย”

 

…..

 

กู่ฉิงซานใช้เวลาไม่กี่นาทีในการเล่าอธิบายให้ทุกคนสามารถเข้าใจถึงเรื่องราวที่เกิดกับตนเอง ทุกอย่างเลย ยกเว้นเรื่องที่ตนกลับมาจุติใหม่

 

“ถ้างั้น ก็หมายความว่าเธอมีความสามารถในการเดินทางไปยังต่างโลกได้สินะ?” ประธานาธิบดีเอ่ยถาม

 

“ใช่แล้วครับ พวกเทคนิคฝึกยุทธทั้งหมดผมก็เอามันมาจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนี่แหละ ” กู่ฉิงซานเฉลย

 

“แล้วนายอยู่ระดับสูงแค่ไหนในโลกใบนั้น?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม

 

ในจิตใจของกู่ฉิงซาน ร่างของนางเซียนไป่ฮั่วปรากฏขึ้นมา

 

“นอกเหนือไปจากท่านอาจารย์ของฉันแล้ว ก็คงจะเป็นฉันนี่แหละ”

 

ฝูงชนถอนหายใจโล่งอก

 

โชคดีแล้ว โชคดีจริงๆ

 

เจ้าสหายแสนดุดันเบื้องหน้าคนนี้ ที่สั่นสะเทือนได้กระทั่งโลกปรภพ วางกับดักได้กระทั่งเทพสวรรค์

 

หากตัวตนอย่างกู่ฉิงซานในโลกอื่นแล้วยังไม่นับว่าเป็นสิ่งใด ความกดดันในจิตใจของทุกผู้คนก็คงจะหนักหนาเกินไป

 

แต่ละคนค่อยๆผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ แต่แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงของกู่ฉิงซานอีกครั้ง

 

“อ้อฉันลืมบอกไป”

 

“พอดีว่าอีกโลกหนึ่งที่ฉันกำลังจะไป ความแข็งแกร่งของพวกเขาหากเทียบกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้วทางฝั่งนั้นทรงพลังยิ่งกว่าหลายเท่านัก พื้นฐานวรยุทธระดับก้าวสู่เทพขั้นปลายอย่างฉันจะกลายเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ได้โดดเด่นอะไร”

 

ยังมีอีกโลกหนึ่งหรอ!

 

ทั้งหมดตกตะลึง

 

ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามอย่างรอบคอบ “แล้วพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน?”

 

“ก็คนเพียงคนเดียว … แต่กลับสามารถหลอมกลั่นโลกทั้งใบได้ล่ะมั้ง”

 

ซางหยิงฮ่าวนิ่งงันไป

 

กู่ฉิงซานอธิบาย “เหนือขอบเขตก้าวสู่เทพขึ้นไปคือขอบเขตประทับเทพ , ประทับเทพคือขอบเขตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ แต่สำหรับในโลกอื่น เหนือยิ่งกว่าประทับเทพคือ ร่างเทวะ , พันวิบัติ ,ขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิต สี่ขอบเขตอันยิ่งใหญ่นี้”

 

“ส่วนขอบเขตที่พยายามจะหลอมกลั่นโลกทั้งใบด้วยตัวคนเดียว คือขอบเขตพันวิบัติ แต่ในภายหลังเขาก็ได้ยกระดับขึ้นไปถึงขีดสุดความว่างเปล่าแล้ว”

 

คราวนี้ ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามอะไรอีกต่อไป

 

กู่ฉิงซานหันไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

ยังเหลือเวลาอีกสามนาที

 

เขากำลังสงสัยว่าตัวเองจะอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุที่จำเป็นจะต้องออกเดินทางของตนได้อย่างไรดี

 

และในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ข้อสรุปที่ฟังดูสมเหตุสมผลที่สุด

 

“เมื่อสองโลกผสานรวมกัน ก็อาจจะมีแนวโน้มว่ามีตัวตนที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อเข้ามาสอดแนมโลกของเรา แต่เนื่องเพราะมีกำแพงอุปสรรคของโลกคอยปกป้องอยู่ พวกเขาถึงไม่สามารถเข้ามาได้ แต่พวกเขาสามารถค้นพบได้ว่าฉันมีพลังที่จะใช้ข้ามผ่านระหว่างสองโลก”

 

“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น? พวกเขาจะมาจับตัวนายหรอ?” แอนนาเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่หรอก วางใจเถอะ” กู่ฉิงซานแสดงท่าทีปลอบประโลมเธอ “ตราบใดทียังอยู่ในช่วงเวลาที่โลกผสานรวมเข้าด้วยกัน ฉันก็จะมุ่งหน้าไปยังอีกโลกหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบนี้”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.428 – หลานกับชิงหยิน

 

ไม่ไกลออกไป แอนนากำลังเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ

 

และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน ที่เธอค่อยๆชักฝีเท้ากลับมาอย่างช้าๆ

 

หมาดำเอ่ยถาม “เมื่อครู่เจ้าเตรียมลงมือแล้วชัดๆ แล้วเพราะเหตุใดจึงเลือกที่จะหยุดในตอนท้าย?”

 

แอนนาก้มหน้าลงและกล่าวว่า “ก็นั่นมันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายในชาติภพนี้ของเธอ ฉันทำใจเข้าไปหยุดไม่ได้จริงๆ”

 

ขณะกล่าว ดวงตาของแอนนาก็เริ่มแดงเรื่อเล็กน้อย

 

-อาชูร่าหญิงได้จากไปแล้ว

 

ขณะที่บรรดาคนตายต่างทยอยเข้าสู่ม่านแสงมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยและจากกันไปในที่สุด

 

เมื่อคนตายทั้งหมดได้หายไปจากโลกใหม่ ม่านแสงไพศาลที่ปกคลุมตลอดทั้งโลกก็ค่อยๆยกระดับขึ้นสู่ท้องฟ้า และสลายไปในที่สุด

 

นรกว่างเปล่า เหล่าคนตายนับล้านล้านคนได้ไปเกิดใหม่อีกครั้ง

 

“นี่มันบ้ามากๆเลยเนอะ ว่าไหม?” ซางหยิงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา

 

“ถ้ารู้ว่าคนตายจะมีพลังมากกันขนาดนี้ ฉันคงจะส่งแฟนฉันไปในปรภพแล้ว ไม่ปล่อยให้ต้องมาตกอยู่ในอันตรายในโลกแบบนี้หรอก” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างซื่อตรง

 

“ไม่หรอก อันที่จริงแล้วการกระทำของนายน่ะนับว่าเป็นการช่วยเธอเอาไว้นะ” กู่ฉิงซานตบลงบนไหล่เขา “ในตอนที่ฉันได้ไปยังปรภพน่ะ ช่องทางเข้าทั้งหมดถูกยึดครองโดยเผ่ามาร เธอไม่มีทางจะผ่านพวกมันไปได้อย่างแน่นอน คงไม่แคล้วถูกพวกมารจับกินแน่ๆ”

 

“แล้วมันยังมีอะไรมากกว่านั้นอีกนะรู้ไหม พวกคนตายน่ะ สุดท้ายแล้วก็จะถูกส่งไปเกิดใหม่ในโลกที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่นฉันเคยพบข้อมูลว่าในโลกอาชูร่าน่ะ มีทั้งสิ้นสี่เผ่า แถมแต่ละเผ่ายังแบ่งเป็นสี่อาณาจักร แต่ละอาณาจักรกว้างใหญ่ชนิดที่ว่าแทบจะไร้ที่สิ้นสุด นอกจากนี้ ก็ยังไม่เคยมีใครได้ไปสำรวจชายแดนของมันมาก่อนเลย”

 

“แต่ยังไงก็ตาม โลกสวรรค์น่ะกว้างใหญ่ยิ่งกว่าซะอีก แถมมันยังสามารถเชื่อมต่อเข้าไปยังโลกอื่นๆได้อีกด้วยนะ‘

 

“ไม่ต้องกล่าวถึงโลกจ้าวอสูรกับผีร้าย ที่กุมความลับในเรื่องอาณาจักรของตนเองเอาไว้ และทั้งสองโลกนี้ก็เต็มไปด้วยการฆ่าฟันไร้ที่สิ้นสุด หากมีชีวิตใหม่จะต้องไปเติบโตที่นั่น ก็คงจะเป็นเรื่องโหดร้ายมากเกินไป”

 

สีหน้าการแสดงออกของกู่ฉิงซานดูจะอ้างว้างลงเล็กน้อย

 

“เพราะฉะนั้น ถ้าแฟนของนายได้ไปเกิดใหม่ในโลกอันกว้างใหญ่หรือเต็มไปด้วยความลึกลับอย่างที่ฉันพูดมาแล้วล่ะก็ นายจะไม่มีทางได้พบกับเธออีกเลยอย่างแน่นอน – ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว นายยังต้องการที่จะให้เธอมายังปรภพแล้วไปเกิดใหม่อีกรึเปล่า?”

 

“ไม่! ไม่มีวันซะล่ะ!”

 

เย่เฟย์หยูสวนกลับทันควัน

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของกู่ฉิงซาน เขาก็สูดหายใจลึก และถอนหายใจโล่งอก

 

ในตอนนั้นเอง สายตาของกู่ฉิงซานก็วูบไหว

 

เขาจ้องมองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าวิลล่า

 

ขณะที่คนอื่นๆที่แข็งแกร่งลดหลั่นกันไปตามลำดับก็เริ่มทยอยกันค้นพบถึงความผิดปกติในอากาศที่ว่างเปล่านี้

 

ทุกคนกลายเป็นตื่นตัว

 

ทันใดนั้นเอง อากาศที่ว่างเปล่าก็ถูกเปิดออก

 

ตามด้วยผู้หญิงในชุดคลุมฟ้าที่ในมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกาได้ผุดออกมา และหยั่งเท้าลงเบื้องหน้าทุกคน

 

ฉานนู่

 

“เป็นยังไงบ้าง?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม

 

“ช่วยกลับมาได้แล้ว” ฉานนู่ตอบ

 

หลังจากที่เธอปรากฏตัว ชายในชุดดำก็ผุดออกตามมา ในท่วงท่าที่กำลังโอบอุ้มไพ่ใบหนึ่งอยู่ในมือ

 

หลาน

 

เขาถือไพ่อย่างระมัดระวัง เฉกเช่นเดียวกับกำลังถือสมบัติล้ำค่า

 

และบนไพ่ คือรูปของหญิงสาวที่สวมกรอบแว่นหนาสีดำ เธอกำลังจ้องมองออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย ที่ในที่สุดก็สามารถช่วยเหลือนางได้”

 

สีหน้าของหลานแลดูตื่นเต้นมาก

 

“สถานที่ๆมีการผนึกจิตวิญญาณของชิงหยินมีกับดัก‘ตัดขาดเวลา’อยู่จริงๆด้วย!”

 

“หากมิใช่เพราะดาบของเจ้าได้ช่วยปัดป้องการจู่โจมร้ายแรงให้แก่ข้า บางทีการช่วยเหลือในครั้งนี้ก็อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ”

 

“แต่ที่เหลือเอาไว้ค่อยคุยกัน เพราะตอนนี้ข้าจำต้องรีบลงมือทันที”

 

พอหลานกล่าวจบ เขาก็วาดไพ่ออกไป

 

มันคือไพ่ระบุตำแหน่งมิติและเวลาเพียงใบเดียวจากสำรับไพ่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือชิงหยิน

 

หลานโยนไพ่ใบนั้นออกไป

 

ไพ่ดังกล่าวกระพริบไหว และแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสงสีขาวบางๆ ปลายด้านหนึ่งของมันตกอยู่ในมือของหลาน ขณะที่อีกข้างหายไปในความว่างเปล่า

 

หลานกุมปลายด้านหนึ่งของเส้นแสงสีขาวนี้ และดึงมันอย่างแรง!

 

ไม่นานนัก ก็บังเกิดการฉุดดึงสวนกลับมาจากอีกปลายหนึ่งของเส้นแสง

 

พอเห็นถึงฉากนี้ หลานก็ผ่อนคลายลงทันที

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า และหัวเราะออกมา

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าทุกอย่างจะจบลงแบบนี้ ดูเหมือนว่าประเทศของข้าจักไม่จำเป็นต้องเข้าสู่สภาวะสงครามแล้ว”

 

“กู่ฉิงซาน ข้าคงต้องกล่าวว่า ‘ขอบคุณจริงๆสำหรับความช่วยเหลือของเจ้า’ ”เขาเอ่ยปากอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการที่ข้าได้รับรางวัลอันเหมาะสมมา ดังนั้น นี่จึงถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมแล้ว”

 

กู่ฉิงซานยกมือขึ้น ชูไม้เท้าแห่งการจองจำให้อีกฝ่ายดู ส่งสัญญาณกลายๆว่าเป็นเพราะท่านไง ข้าจึงได้สามารถใช้ไม้เท้าเล่มนี้ได้โดยสมบูรณ์

 

“ไม่หรอก เพราะในช่วงเวลาสุดท้ายที่อาจจะเกิดวันสิ้นโลกเมื่อครู่ ทั้งๆที่เจ้าจำเป็นต้องใช้ดาบเล่มนี้แท้ๆ แต่เจ้าก็ยังเลือกที่จะส่งมันไปกับข้า ดังนั้นข้าต้องขอขอบคุณเจ้าจากใจจริง” หลานกล่าว

 

“ขอบคุณใครกันหรือ?”

 

จู่ๆก็มีเสียงของผู้ชายดังออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า

 

ทันใดนั้นเอง เส้นแสงสีขาวที่พึ่งเกิดการฉุดดึงขึ้นจากอีกฝั่งก็จมหายไปในความว่างเปล่า พร้อมกับบังเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวในชั้นอากาศ

 

ต่อมา ในอากาศที่ว่างเปล่าก็บังเกิดรอยแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง

 

พร้อมด้วยกระบวนทัพขององครักษ์ในชุดคลุมยาวที่กำลังถือหนังสือสำรับไพ่เอาไว้ในมือ ผุดออกมาจากรอยแยกที่ว่านั่น

 

พวกเขาเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ และไม่นานนัก กระบวนทัพก็เติมเต็ม ยืนเรียงกันเป็นทิวแถวไปตลอดทั้งพื้นที่เปิดโล่งหน้าวิลล่า

 

จากนั้นเหล่าองครักษ์มากมายที่ปรากฏกายขึ้น ก็เริ่มแยกย้ายไปลงไปตามเนินเขา

 

ต่อมา ในความว่างเปล่าก็บังเกิดความผันผวนอันรุนแรงขึ้น

 

ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังพยายามที่จะเข้ามาสู่โลกใบนี้

 

หลานยิ้มออกมาในทันใด

 

เขาวาดมือออก และโยนไพ่ที่เก็บจิตวิญญาณของชิงหยินไปยังรอยแยกที่ว่านั่นอย่างอ่อนโยน

 

ไพ่ลอยไปตามสายลม และถูกคว้าจับด้วยมือหนึ่งที่ยื่นออกมาจากในความว่างเปล่า

 

และชิงหยินก็เหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอทันใด

 

เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

และคนผู้นี้ดูเหมือนหลานมากจริงๆ

 

ทว่าอีกฝ่ายดูจะมีอายุและเป็นผู้ใหญ่มากกว่า

 

เขามีหนวดเครา และพฤติกรรมที่แสดงออกก็ดูมีภูมิฐาน

 

“ในที่สุดข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้เสียที ชิงหยิน” ชายคนนั้นกล่าว

 

ชิงหยินโค้งกายทักทายเขาจากในไพ่ ปากเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณท่านมาก ราชาแห่งข้า”

 

ในอีกด้านหนึ่ง หลานก็หันไปผงกหัวให้กู่ฉิงซานเล็กน้อย และกระโจนเข้าหาชายผู้นั้น

 

ขณะที่อยู่กลางเวหา ร่างของหลานก็เริ่มพร่ามัว และแปรเปลี่ยนไปเป็นเพียงภาพลวงตา

 

เมื่อร่างที่ดูภูมิฐาน เปี่ยมไปด้วยบารมีเห็นหลานกำลังลอยมา ปากก็เอ่ยกล่าวด้วยอารมณ์ “ในที่สุดจิตวิญญาณของข้าก็กลับมารวมตัวกันได้อีกครั้งเสียที ข้าไม่จำเป็นต้องทนเจ็บปวดทุกข์ทรมานตลอดทุกวี่วันอีกแล้ว”

 

ร่างของหลานค่อยๆละลาย จมหายเข้าไปในร่างของชายเปี่ยมบารมีผู้นั้น

 

ฉากอันมหัศจรรย์เต็มไปด้วยมนขลังต์เช่นนี้ ส่งผลให้ซางหยิงฮ่าว เย่เฟย์หยู และคนอื่นๆต่างเฝ้ามองตาไม่กระพริบ

 

ชายเปี่ยมบารมีหลับตาลงครู่หนึ่ง

 

สักพัก คิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาก็ค่อยๆแยกออกจากกัน สีหน้าท่าทีค่อยๆผ่อนคลายลง

 

ชายเปี่ยมบารมีดูจะมีชีวิตชีวามากขึ้น ราวกับคนป่วยเรื้อรังที่ได้พละกำลังกลับคืนมาอีกครั้ง

 

เขาเอ่ยรำพึงออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

 

ว่าจบ เขาก็หันไปมองทางกู่ฉิงซาน ขณะที่ในแววตาของเขาเผยถึงร่องรอยตระหนักรู้คุณ

 

“แม้ว่าเราจะพบเจอกันมาก่อนแล้ว แต่ข้าขอแนะนำตัวเองอีกครั้ง ข้าคือราชาแห่งจักรวรรดิเทียนหลาน มีชื่อว่าหลานซิ่ว”

 

“เช่นนั้น หลานก็คงจะเป็นจิตวิญญาณของท่านที่แยกตัวออกมาสินะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ถูกต้อง เขาคือข้า และข้าก็คือเขา”

 

หลานซิ่วกล่าวต่อว่า “ขอบคุณเจ้ามาก ผู้ฝึกดาบแห่งโลกหกวิถีเอ๋ย หากมิได้เจ้า ราชินีแห่งข้าก็คงจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ”

 

“ท่านไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไปหรอก ท่านก็ช่วยข้าเอาไว้เยอะเช่นกัน นี่ก็นับว่าเป็นการตอบแทนกลับคืนที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เช่นนั้น หากข้าต้องการจะนำเทพออกไปจากโลกของเจ้า เจ้าคงจะไม่ถือสาใช่หรือไม่?” หลานซิ่วกลา่ว

 

“ท่านกำลังหมายถึงผู้ใดกัน?”

 

“ก็เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงไง”

 

“อ้อ หากเป็นเขาล่ะก็ เชิญตามที่ท่านต้องการได้เลย”

 

“ขอบคุณเจ้ามาก นายพลภูติคงไม่อาจสังหารเขาได้ เอาไว้ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าที่จะแก้แค้นให้แก่ราชินีแห่งข้าเองก็แล้วกัน”

 

ขณะที่กล่าว หลานซิ่วก็นำคทาทองที่ประดับไปด้วยอัญมณีสีสันสดใสออกมา

 

เขาโบกคทาออกไป ปากเอ่ยกระซิบ “มิติพันธนาการ จงบังเกิดภาพ”

 

วินาทีนั้นเอง กลางอากาศเบื้องบน ก็พลันปรากฏร่างเงาสีแดงเข้มทั้ง 13 ตนขึ้น

 

พวกมันคือเงาของโครงกระดูกเปื้อนเลือดทั้ง 13 ตน

 

เวลานี้ พวกมันกำลังร่ายระบำไปในอากาศ เวียนวนรอบมิติขนาดใหญ่อย่างไม่รู้จบ ขณะเดียวกันก็ยังคงสาดแสงสีแดงเรืองรองออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

และในมิติที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดง จะเห็นว่ามีนายพลภูติกับชายชราชุดคลุมแดงกำลังปะทะซึ่งกันและกันอยู่

 

ส่วนกษัตริย์อาชูร่ากำลังยืนอยู่ในแนวหลัง ในมือข้างหนึ่งกำลังแปรผันเพื่อคงรูปค่ายกลมนตรากฏแห่งคำมั่นสาบานนี้เอาไว้ คอยรักษาการเคลื่อนไหวของทั้ง 13 โครงกระดูก

 

ขณะที่มืออีกข้างของเขากำลังกุมกระบี่ยาว และฉวยโอกาสใช้มันลอบเข้าไปจู่โจมบ้างเป็นครั้งคราว

 

ชิงหยินมองไปยังการปรากฏกายของเทพสวรรค์ชุดคลุมแดง ในแววตาเผยถึงความเกลียดชังที่ฝังลึกออกมา

 

“ฝ่าบาท โปรดแก้แค้นให้ข้าด้วย”

 

“วางใจเถอะ”

 

หลานซิ่วกล่าวและวาดมือออกไป

 

ทันใดนั้น 72ผู้ใช้ไพ่ที่กำลังถือหนังสือสำรับไพ่อยู่ก็ทะยานตัวขึ้น บินเข้าไปตีวงล้อมมิติพันธนาการที่ลอยอยู่กลางอากาศ

 

พวกเขาจั่วไพ่ออกจากหนังสือและหันหน้าไพ่ไปทางมิติพันธนาการ

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าไพ่แต่ละใบ มีรูปแบบเหมือนกันทุกประการ

 

มันคือยักษ์โลหะที่ยืนอยู่ในพื้นที่โล่งกว้าง

 

ขณะเดียวกันก็มีฝ่ามือใหญ่ตกลงมาจากฟากฟ้า คว้าจับยักษ์ตนนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

ยักษ์พยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ไม่ว่ายังไง มันก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลย

 

ผู้ใช้ไพ่วาดมือออกไป

 

พร้อมกับไพ่ทั้ง 72 ใบที่ผละออกจากมือ และทั้งหมดก็หายวับไปโดยสมบูรณ์

 

ทันใดนั้นเอง ตลอดทุกการเคลื่อนไหวของเทพสวรรค์ภายในมิติก็พลันหยุดนิ่ง

 

ฝ่ามือขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า คว้าจับร่างของเทพสวรรค์เอาไว้

 

เทพสวรรค์พยายามดิ้นรนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

 

เขาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ใช้ออกทุกวิถีทางจนมิติพันธนาการทั้งหมดสั่นสะเทือนภายใต้พลังอำนาจของเขา

 

ทว่าฝ่ามือนั้นกลับยังคงกุมเขาเอาไว้อย่างมั่นคง

 

นี่คือไพ่ใบที่ 9 จากสำรับมหาสงครามข้ามมิติของจักรวรรดิเทียนหลาน

 

มันสามารถข้ามขอบเขตของมิติและเวลา และสามารถจับกุมการดำรงอยู่แบบเฉพาะเจาะจงได้

 

ยิ่งเป้าหมายทรงพลังมากเพียงใด ก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้ไพ่ใบนี้มากขึ้นเท่านั้น

 

อีกด้านหนึ่ง 12ผู้ใช้ไพ่ก็จั่วไพ่ออกมาพร้อมกัน และโยนมันไปในอากาศ

 

ไพ่ทั้ง 12 ใบหายไป

 

และชั้นอากาศก็แยกออกจากกันในฉับพลัน

 

—มันคล้ายกับการเจาะรูบนผนัง ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นได้ว่าโลกที่อยู่เบื้องหลังผนังที่ว่านั่นคืออะไร

 

-พระราชวังอันงดงาม

 

บนแท่นบัลลังก์สูง  ถูกฝังไว้ด้วยไพ่ทองคำนับไม่ถ้วน

 

ผู้ใช้ไพ่หลายสิบคนในชุดคลุมสีต่างๆกำลังยืนอยู่ใต้บัลลังก์และจ้องมองมายังทิศทางนี้

 

“เริ่มได้” หลานซิ่วกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

วินาทีนั้น ผู้ใช้ไพ่ทางฝั่งโลกก็รับคำบัญชา ทั้งหมดจั่วไพ่ออกมาอีกครั้งและประกอบมันเข้าด้วยกันเป็นโซ่ตรวน

 

โซ่ตรวนเลื้อยเข้าไปห่อหุ้มรอบๆมิติคำมั่นสาบาน

 

ก่อนที่แสงสีแดงจะกระพริบไหว และมิติพันธนาการก็ค่อยๆถูกดึงเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งอย่างช้าๆโดยโซ่ตรวนที่เลื้อยวนอยู่ในอากาศอันบางเบา

 

บนภูเขา ในพื้นที่โล่งกว้าง เหล่าผู้ใช้ไพ่ที่ยืนเรียงเป็นทิวแถวในตอนแรก ค่อยๆพากันทยอยกลับไปยังโลกอีกฟากฝั่งหนึ่ง

 

จนที่เหลืออยู่ตอนนี้ มีเพียงหลานซิ่ว และแน่นอน ว่าจิตวิญญาณของชิงหยินในไพ่บนมือเขาก็เช่นกัน

 

“ท่านจะทำอะไรกับเขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ข้ายังไม่ได้คิด” หลานซิ่วกล่าว “แต่เขาได้กักขังชิงหยินมากว่า 10000 ปี และข้าต้องการที่จะคิดหาวิธีที่จะบรรเทาความเจ็บปวดในหัวใจของนางลง”

 

เขาหันมองมาทางกู่ฉิงซาน “แต่ก่อนที่ข้าจะพิจารณาถึงความต้องการที่ว่านั่น ข้าคงต้องตอบแทนเจ้าสำหรับความช่วยเหลือในนาทีสุดท้ายเสียก่อน”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.427 – การต่อสู้ครั้งสุดท้าย

 

บนท้องฟ้า

 

แสงอันไพศาลได้กวาดข้ามโลกทั้งใบ ราวกับสายน้ำที่ตกลงสู่พื้นโลก

 

รังสีแสงอันงดงามนี้คือกฏเกณฑ์จากโลกปรภพ

 

มันคือแสงที่จะเป็นตัวนำพาคนตายนับล้านๆคนไปเกิดใหม่

 

ตามแรงกรรมจากในอดีตชาติของคนตาย คนตายทั้งหมดจะถูกส่งไปเกิดใหม่ในหกวิถีแห่งสังสารวัฏอื่นๆอีกห้าโลก

 

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ได้ไปเกิดใหม่ จะปรากฏขึ้นในโลกที่เกินกว่าขอบเขตของมนุษย์จะจินตนาการได้

 

หากไปเกิดใหม่อีกครั้งในอาณาจักรสวรรค์ ก็อาจจะเป็นการถือกำเนิดขึ้นจากดอกบัว บ้างก็ก่อร่างสร้างกายขึ้นจากสายลมสีทอง ขณะที่บ้างก็ถือกำเนิดขึ้นจากผลที่ร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ดึกดำบรรพ์

 

หากไปเกิดใหม่อีกครั้งในอาณาจักรของอาชูร่าทั้งสี่เผ่าพันธุ์ ก็อาจจะเป็นการถือกำเนิดขึ้นจากพวกน้ำ บ้างก็ไฟ บ้างก็ทอง บ้างก็จากดอกไม้

 

กล่าวได้ว่าโลกสวรรค์กับโลกอาชูร่าน่ะ เป็นโลกชั้นสูงหากนับจากในบรรดาหกวิถี

 

ในขณะที่หากคนตายถูกส่งไปเกิดใหม่อีกครั้งในโลกจ้าวอสูรหรือผีร้าย มันก็จะคล้ายคลึงกับการไปถือกำเนิดใหม่ในโลกมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น สรีระ สีผิว ความนึกคิด สถานะ ฯลฯ

 

แถมขณะนี้ โลกปรภพและโลกมนุษย์ก็ยังเกิดการผสานรวมกันอย่างรุนแรง

 

กฏแห่งการถือกำเนิดใหม่จึงปรากฏออกมาในรูปแบบของประกายเจิดจรัส มันแขวนอยู่บนฟากฟ้าราวกับม่านแสง โอบอุ้มทุกคนตายเอาไว้

 

แต่ภายใต้ท้องฟ้าที่กำลังสาดรังสีแสงนี้ คนตายกลับยังมิได้จากไป

 

พวกเขายังคงเฝ้ารอให้กำแพงอุปสรรคที่ใช้ป้องกันโลกถือกำเนิดขึ้น

 

โลกใหม่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

 

เหนือท้องฟ้าเบื้องบน เผ่ามารนับไม่ถ้วนเปล่งเสียงร้องด้วยความกระวนกระวาย แม้กระทั่งอสูรกายก็ยังเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

 

ขณะที่ท้องฟ้าเบื้องล่าง มีเพียงแค่ความเงียบ

 

คนตายนับล้านล้านกำลังจดจ้องแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความระแวดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่ามารตนใดย่างกรายเข้ามา

 

กู่ฉิงซานเชื่อมต่อกับเทพธิดากงเจิ้ง เขาขอให้เธอเปิดม่านแสงนับสิบๆเรียงติดต่อกันเพื่อบันทึกทุกรูปแบบของเผ่ามารที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดโดยเร็วที่สุด

 

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่มนุษย์ได้เผชิญกับเผ่ามารในระยะประชิด

 

รูปร่าง ลักษณะ ประเภท และแม้กระทั่งนิสัยหรือพฤติกรรมของพวกมาร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลอันทรงคุณค่าในอนาคต!

 

กู่ฉิงซานจ้องจอม่านแสงตาไม่กระพริบเป็นเวลามานานกว่าสิบนาที

 

ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดออกมา

 

-โชคดีจริงๆ ที่ไม่มี ‘อสูรกายที่แท้จริง’ อยู่ที่นี่

 

บางทีมันอาจจะเป็นเพราะโลกมนุษย์น่ะอ่อนแอเกินไป ดังนั้นอสูรกายที่มาเยือน ทั้งหมดจึงเป็นอสูรกายดัดแปลง

 

อสูรกายงูดำสามหัวตัวแรกก็เหมือนกัน ดูจากพลังของมัน ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นอสูรกายดัดแปลง

 

จากบทเรียนที่ได้เรียนรู้มาจากความผิดพลาดของอสูรกายสามหัว ส่งผลให้อสูรกายดัดแปลงตนอื่นๆมิกล้าที่จะย่างกรายเข้ามาในโลกมนุษย์

 

กระทั่งอสูรกายที่อยู่ระดับปฐมบทแห่งความโกลาหลที่มีเพียงสองตนในที่นี้ ก็ยังมิกล้าที่จะลงมา

 

พวกมันกำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่ออยู่บนท้องฟ้า โดยคาดหวังว่าเหล่าคนตายจะจากไปโดยเร็วไว

 

ทว่าบรรดาคนตาย กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย

 

ทั้งสองจึงต่างจ้องสบตากันโดยปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ

 

จนกระทั่งนาทีสุดท้ายได้ผ่านไป

 

พลันบังเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นบนผืนฟ้า ราวกับมีสายฟ้าที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนกำลังปะทะเปรี๊ยะๆซึ่งกันและกัน

 

คลื่นความผันหวนที่มองไม่เห็นกระเพื่อมไหว คล้ายดั่งระลอกคลื่นของฝูงม้าที่ย่ำลงควบวิ่ง สั่นสะเทือนไปทั้งโลกหล้า

 

ในเสี้ยววินาทีต่อจากนั้นเอง เผ่ามารที่ยังไม่จากไปต่างก็กรีดร้องโหยหวนออกมา

 

ขณะที่อสูรกายตนแล้วตนเล่าสบถคำรามและค่อยๆถอยกลับไป

 

กำแพงอุปสรรคของโลกใหม่กำลังค่อยๆก่อตัว แพร่กระจายปกคลุมไปตลอดทั้งโลกอย่างช้าๆ

 

เผ่ามารทั้งหมดที่สัมผัสโดนกำแพงอุปสรรคของโลกพลันติดไฟลุกพรึบ! และสลายกลายเป็นขี้เถ้าลอยฟุ้งทันที

 

แม้กระทั่งอสูรกายก็ยังไม่สามารถที่จะต้านทานพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของโลกได้

 

ในเมื่อกำแพงอุปสรรคของโลกค่อยๆขยายตัวขึ้น พวกมันจึงร้องตะโกนออกมาอย่างไม่ยินยอม และจากโลกมนุษย์ไปด้วยจิตใจหดหู่ในที่สุด

 

ดวงตะวันค่อยๆปรากฏขึ้น

 

ทุกสิ่งอย่างล้วนถูกปกคลุมไปด้วยแสงแดดสว่างไสว

 

ท้องฟ้าสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆหมอกใดๆ และแน่นอน — ว่าไร้ซึ่งเผ่ามารใดๆให้พบเห็นด้วยเช่นกัน

 

“จบแล้วสินะ?”

 

กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

เขาหันไปมองดูหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

เห็นแค่เพียงสองบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยที่ลอยเด่นอยู่บนนั้น

 

“โลกใหม่ยังคงอยู่ในกระบวนการผสานรวมอย่างต่อเนื่อง”

 

“กำแพงอุปสรรคใหม่ที่คอยคุ้มครองโลกได้ก่อร่างขึ้นแล้วโดยสมบูรณ์”

 

สำเร็จแล้ว!

 

เจ็ดชั่วโมงได้ผ่านพ้นไป และเผ่ามารก็ล้มเหลวในการบุกเข้ามาในโลก!

 

กู่ฉิงซานหันไปมองดูคนตายอีกครั้ง

 

เห็นแค่เพียงเลขบุญของคนตายทั้งหมดกลับกลายเป็น – (ลบ)

 

ถึงแม้ว่าทางเลือกนี้ เหล่าคนตายจะเป็นคนเลือกมันด้วยตนเอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ พวกเขากลับค่อนข้างที่จะมีความสุขมากกว่ารู้สึกหดหู่

 

“ทุกคน ข้าขอโทษ … ”

 

กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยต่อ แต่ก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน

 

เสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญกังวานขึ้นในหูของทุกผู้คน

 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”

 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”

 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”

 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”

 

“นับจากนี้ไป เลขบุญของพวกเจ้าจะถูกปรับเปลี่ยน”

 

เหล่าคนตายเงยหน้าขึ้น และแสดงท่าทางตั้งใจฟัง

 

เครื่องจักรคำนวณบุญยังคงกล่าวต่อ “ตลอดทั้งหกอาณาจักรกำลังจะกลับคืนสู่เสถียรภาพอีกครั้ง ดังนั้น มันจึงถึงเวลาอันเหมาสมแล้วที่พวกเจ้าจะได้รับบุญอย่างเต็มที่ .. ตอนนี้ก็มาทำการแจกจ่ายแต้มบุญครั้งสุดท้ายกันเถิด”

 

“ในสงครามปรภพครั้งแรก พวกเจ้าไม่ได้ประสบความสำเร็จในการป้องกันไม่ให้เผ่ามารบุกเข้ามาทำลายโลกมนุษย์ , มิสามารถหยุดการสมคบคิดของอาณาจักรสวรรค์ นั่นจึงหมายความว่าในช่วงเวลานั้น ชีวิตและความตายของตลอดทั้งโลกหกวิถีจึงยังมิได้รับการช่วยเหลือ”

 

“นอกเหนือไปจากนี้ ยังมีเรื่องที่ราชาภูติได้ทำการผสานรวมโลกมนุษย์กับโลกปรภพเข้าด้วยกันอีกด้วย”

 

“ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่า : คราวก่อน คนตายทุกคนไม่ได้ช่วยโลกทั้งหกวิถีเอาไว้ได้ บุญใหญ่ที่ได้รับจึงถูกยกเลิก และจะได้รับเพียงบุญเล็กๆน้อยๆจากการร่วมมือกันไปช่วยเก็บรวบรวมแหล่งกำเนิดธาตุดินและธาตุไม้ ที่จะแบ่งกันอย่างเป็นธรรมเท่านั้น”

 

“หากจะให้อธิบายอย่างเฉพาะเจาะจง ก็จะเป็นดังนี้”

 

“คนตายที่ได้ทำการเลือกกลับไปเกิดใหม่แล้วในช่วงเวลาสุดท้าย พวกเขาได้เผยให้เห็นถึงธาตุแท้ ปลดปล่อยความคิดชั่วร้ายที่มีต่อโลกและมีพฤติกรรมยุยงปลุกปั่นอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเกือบจะนำไปสู่การล่มสลายของโลกมนุษย์”

 

“ข้อสรุป : พฤติกรรมเช่นนี้เปรียบเสมือนกับการชมชอบมองเห็นผู้อื่นถูกสังหาร มีอำนาจแต่ไม่คิดช่วยเหลือหรือขัดขวางสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นแต้มบุญที่พวกเขาสมควรจะได้รับก็จะลดลง”

 

“การคำนวณขั้นสุดท้าย สรุปได้ดังนี้ : เหล่าคนตายที่เลือกจะไปกำเนิดใหม่ ที่เดิมทีสมควรจะได้รับแต้มบุญมหาศาล สุดท้ายแล้วจะได้รับแค่บุญจากการช่วยช่วงชิงแหล่งกำเนิดธาตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้แต้มบุญที่ได้มา ยังจะต้องถูกหักออกจากการกระทำความผิดอันได้แก่ การประพฤติชั่ว ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก — ความดีชั่วที่กระทำมาหักลบกลบกัน ผลลัพธ์คือ ‘สมดุล’ ”

 

“การพิพากษา : ตัดสินว่าคนตายที่เลือกไปถือกำเนิดใหม่แล้ว ร่างกายใหม่ที่พวกเขาถือกำเนิดจะได้รับแต้มบุญเป็น 0 ”

 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เครื่องจักรคำนวณบุญก็หยุดลงชั่วคราว

 

ขณะที่การแสดงออกทางสีหน้าของคนตายที่ยังไม่จากไปดูปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

สิบตัวตนสุดแกร่งเลือกที่จะไปเกิดใหม่ทันที พร้อมด้วยความคิดชั่วร้ายของพวกเขาครั้งสุดท้ายที่มีต่อโลก ดูเหมือนจะตีกลับตารปัตร มันกลับกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง และถูกตอบโต้โดยการมาถึงของเครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เครื่องจักรคำนวณบุญก็เริ่มเอ่ยต่อ

 

“ขณะที่คนตายทั้งหมดที่ไม่ได้เลือกไปเกิดใหม่ ได้ทำการช่วยเหลือให้ทั้งสองโลกผสานรวมกันได้จนสำเร็จ”

 

“พวกเขาสามารถปกป้องโลกใบใหม่จนกระทั่งกำแพงอุปสรรคปรากฏขึ้นได้”

 

“และกำแพงอุปสรรคในโลกใหม่นี้ ก็จะนำไปสู่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันของกำแพงอุปสรรคในโลกอื่นๆทั้งหก”

 

“กล่าวได้ว่าคราวนี้ ‘โลกทั้งหกได้ถูกช่วยเหลือไว้อย่างแท้จริงแล้ว’ ”

 

“สรุป : คนตายที่เลือกว่ายังไม่ได้ไปเกิดใหม่ได้ช่วยเหลือโลกทั้งหกวิถีเอาไว้”

 

“เริ่มทำการคำนวณบุญที่ได้ทำการช่วยเหลือโลกทั้งหก และส่งไปไปยังเหล่าคนตายที่ยังไม่ได้ไปเกิดใหม่”

 

ขณะนั้นเอง แถบตัวเลขเหนือศีรษะของคนตายทั้งหมดก็ปรากฏขึ้น

 

พวกเขาต่างพากันเงยหน้าขึ้นมอง

 

เห็นแค่เพียงตัวเลขที่เปลี่ยนจาก – เป็น 0 และต่อมาก็ขยับขึ้นเป็น +

 

และตัวเลขบวกก็ยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

บุญกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

 

เหล่าคนตายอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องออกมา

 

เห็นได้ชัดว่าการเลือกที่จะอยู่ในโลกใบนี้ส่งผลให้แต้มบุญลดหลั่นลง แต่ในตอนท้ายที่สุด ตนกลับได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลยิ่งกว่าเดิม!

 

ผ่านไปสักพัก ตัวเลขเหนือศีรษะของคนตายก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป แต่พวกเขาทุกคนที่แหงนมองต่างก็ล้วนแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา — เพราะเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

 

เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลประกาศอีกครั้ง

 

“การกลับไปเกิดใหม่ของคนตายทั้งหมด กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ตามลำดับแต้มบุญที่ได้รับ”

 

“คนตายจะลืมเรื่องราวในอดีตชาติและปัจจุบันทั้งหมด เพื่อต้อนรับกับชีวิตใหม่ของพวกเขา”

 

“โปรดจัดการสิ่งที่ค้างคาอยู่อย่างรอบคอบด้วย”

 

ว่าจบ เครื่องจักรคำนวณบุญก็หายไป และความเงียบก็กลับคืนมา

 

เบื้องบนท้องฟ้า รังสีแสงอันไพศาลสาดกระทบลงมาราวกับธารน้ำตกอีกครั้ง

 

คนตายหลายแสนล้านต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ

 

“ขอบพระคุณท่านราชาภูติ!” คนตายคนหนึ่งตะโกนขึ้น

 

กู่ฉิงซานยิ้มและตะโกนกลับไปว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก! เป็นเจ้าต่างหากที่ช่วยเหลือโลกใบนี้ไว้ เป็นเจ้าต่างหากที่สมควรได้รับความคำขอบคุณจากข้า!”

 

เหล่าคนตายเริ่มโห่ร้องอย่างดุเดือด

 

“พวกเราได้ช่วยโลกมนุษย์เอาไว้!”

 

“ราชาภูติทรงพระเจริญ!”

 

“เจ้าพวกขยะที่รีบไปเกิดใหม่ ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนี้พวกมันคงตกตะลึงกลายเป็นโง่งมกันไปหมดแล้ว!”

 

“ข้าล่ะอยากจะเห็นสีหน้าของพวกมันจริงๆ!”

 

……..

 

ณ โรงพยาบาลของรัฐบาลกลาง

 

“ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ” ชูร่าหญิงหันไปมองแม่ที่กำลังโอบอุ้มทารกที่กำลังหลับไหล

 

“ฉันต้องขอบคุณเธอจริงๆ ถ้ายังไงช่วยทิ้งข้อมูลติดต่อเอาไว้จะได้รึเปล่า พอดีว่าฉันอยากจะชวนเธอไปกินอาหารด้วยกันที่บ้านน่ะ” แม่ลูกอ่อนกล่าวด้วยความรู้สึกรู้คุณ

 

“คงไม่จำเป็นหรอก เพราะพวกเราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว” ชูร่าหญิงยิ้มตอบและกล่าวออกมา

 

เธอทะยานตัวสูงขึ้น บินขึ้นไปบนท้องฟ้า และมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของวิลล่าบนภูเขา

 

ณ บริเวณพื้นที่เปิดโล่งเบื้องหน้าของวิลล่า

 

ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดต่างทยอยกันเข้ามาโอบกอดกู่ฉิงซานทีละคน ทีละคน

 

พวกเขายังคงยึดติดกับฉากนี้ และไม่เต็มใจที่จะเข้าไปในม่านแสง แต่สุดท้ายก็จำต้องจากโลกนี้ไป

 

จนกระทั่งเหลือเพียงชูร่าหญิงเป็นคนสุดท้าย

 

เฝ้ารอจนกระทั่งหกผู้คุมนรกหายไปในม่านแสง เธอจึงเดินเข้ามาหากู่ฉิงซาน

 

“ข้ายังไม่สามารถจากไปในตอนนี้ได้” เธอกล่าว

 

“ทำไมกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เพราะเจ้ายังติดค้างสัญญาว่าจะดวลกับข้าอยู่” ชูร่าหญิงกล่าว

 

เธออธิบายว่า “ตัวข้าน่ะคืออาชูร่า และในช่วงชีวิตของข้า หากจากไปดื้อๆโดยยังมิได้ต่อสู้กับตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นเจ้า คงมิแคล้วมีสิ่งติดค้างหลงเหลือทิ้งเอาไว้ในจิตใจเป็นแน่”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

นั่นก็จริง เพราะอาชูร่าน่ะเป็นเผ่าพันธ์แห่งสงคราม และการต่อสู้ก็เป็นความสุขสำหรับพวกเขา

 

ทั้งสองได้ก้าวผ่านประสบการณ์มากมายมาด้วยกัน และท้ายที่สุดนี้ อาชูร่าหญิงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเห็นสหายเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา!

 

กู่ฉิงซานชักดาบเช่าหยินออกมา และกล่าวอย่างจริงจังว่า “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เร่งมือเถอะ ข้าไม่ต้องการให้แต้มบุญของเจ้าถูกหักมากจนเกินไปหรอกนะ”

 

ชูร่าหญิงชักกระบี่ยาวออกจากเบื้องหลังเธอ น้ำเสียงยกสูงขึ้น “และในครั้งนี้ ข้าก็จะไม่แสดงความเมตตาออกมาแล้วเช่นกัน!”

 

ว่าจบ ร่างของเธอก็กระพริบไหว ใบกระบี่สาดแสงระยับ ร่ายระบำออกมาเป็นคมมืดนับไม่ถ้วน ทั้งทิ่มทั้งแทงเข้าใส่กู่ฉิงซานโดยตรง

 

และกู่ฉิงซานก็วาดดาบออกไปต้อนรับเธอ

 

ทั้งสองฝ่ายวูบไหวและแปรเปลี่ยนกระบวนท่าสาดใส่กันไปเรื่อยๆ ในพริบตาก็บังเกิดการปะทะกันอยู่หลายตลบ

 

กระบี่ของอาชูร่าหญิงช่างดุร้ายรุนแรง ทุกการจ้วงแทงล้วนเป็นการลงมือที่หมายจะทำให้ทุกอย่างจบลงในกระบวนท่าเดียว

 

ขณะที่กู่ฉิงซานตอบโต้กลับไปอย่างไม่ยี่หร่ะ

 

ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็มองเห็นช่องว่างของอีกฝ่าย ตนจึงจ้วงดาบยาว ทิ่มแทงออกไปเบื้องหน้าทันที

 

ดาบยาวพุ่งเข้าใส่ตำแหน่งหัวใจของชูร่าหญิง และฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะไม่ทันวาดคมกระบี่เข้ามาต่อต้าน!

 

ทว่าช่างน่าฉงน แม้จะผ่านไปชั่วขณะแล้ว แต่ชูร่าหญิงยังคงนิ่งงัน ราวกับว่าเธอไม่ทันตระหนักได้ถึงคมดาบของกู่ฉิงซานเลย

 

และทันใดนั้น ปลายดาบยาวก็เจาะเข้าไปทะลุหน้าอกเธอ

 

“นี่เจ้า .. ”

 

กู่ฉิงซานพยายามอย่างเต็มกำลังที่จะเบี่ยงวิถีดาบยาวในวินาทีสุดท้าย

 

แท้จริงแล้ว เป็นชูร่าหญิงเองที่ลวงเขา และยินยอมเสียสละกายเพื่อรับกระบวนท่านี้!

 

อย่างไรก็ตาม คมกระบี่ที่สาดประกายสะท้อนแสงกลับมิได้จ้วงแทงสวนใส่กู่ฉิงซาน มันกลับถูกทิ้งลงบนพื้น

 

และมีเพียงร่างของชูร่าหญิงเท่านั้นที่โผเข้าสู่อ้อมกอดของเขา

 

เธอเอนอิงศีรษะตัวเองเบาๆลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน

 

“เอาจริงๆนะ … ข้าไม่อยากที่จะลืมเจ้าเลย .. ”

 

ปากเอ่ยเสียงกระซิบ

 

และทันใดนั้นเอง ม่านแสงจากท้องฟ้าก็เข้าปกคลุมร่างกายของเธอ

 

น้ำตาที่ไหลอาบหน้าถูกปาดออก ชูร่าหญิงยิ้มให้กู่ฉิงซานอย่างอ่อนโยน

 

ก่อนที่จะบังเกิดกระแสลมพัดผ่าน

 

เธอได้จากไปแล้ว …

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.426 – ชีวิตใหม่

 

ด้วยการจากไปของมนุษย์ปีศาจหญิง ส่งผลให้เกิดความกระสับกระส่ายในหมู่คนตายมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

เหล่าคนตายเริ่มที่จะถกเถียงกัน ในขณะที่ส่วนหนึ่งไม่ลังเลยเลยแม้แต่น้อยที่จะก้าวเข้าไปในม่านแสงอันไพศาลและหายวับไปทันที

 

ในเวลานั้นเอง สิบตัวตนสุดแกร่งก็ผุดลุกขึ้นและตะโกนเสียงดังว่า “พวกเจ้า! เหตุใดจึงยังอยู่ที่นี่กันอีก! เวลาแห่งการกำเนิดใหม่ได้มาถึงแล้ว หากยังดึงดันอยู่ที่นี่ เลขบุญที่มีก็จะถูกหักลงลดน้อยลงไปเรื่อยๆนะ!”

 

เขาตะคอกคำหนึ่ง “เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล!”

 

เห็นแค่เพียงตัวเลขบุญปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ และกำลังค่อยๆถดถอยไปด้วยความเร็วคงที่

 

“ทำไมจะต้องทำเพื่อคนเป็นด้วย? ทำไมจะต้องยอมเสียบุญของตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยนกับชีวิตและความตายของพวกมัน?”

 

“พวกเจ้าทุกคนขอจงลองไตร่ตรองให้ดีด้วยเถอะ!”

 

ตัวตนสุดแกร่งกล่าวออกมา เขาหันไปมองกู่ฉิงซานด้วยรอยยิ้มจางๆ

 

“ท่านราชาภูติ ข้าคงต้องขออภัยด้วย ข้าคงจำเป็นต้องใส่ใจกับตนเองก่อนเป็นอันดับแรก”

 

ว่าจบ ร่างทั้งร่างของมันก็จมหายเข้าไปในม่านแสง ก้าวเข้าสู่กระบวนการถือกำเนิดใหม่ทันที

 

อีกสิบตัวตนสุดแกร่งที่เหลือก้าวออกมาข้างหน้า ปากอ้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “มีเพียงการทำลายล้างอันไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้นจึงจะนำมาซึ่งความปิติแห่งข้า! ราชาภูติเอ๋ย ข้าขอขอบคุณเจ้ามากที่ทำให้ข้าได้ไปเกิดใหม่ เพื่อที่จะได้พบกับความสุขที่ว่านั่นอีกครั้ง!!”

 

“จงตายซะ! โลกมนุษย์จงถูกทำลายเสีย! นี่แหละคือฉากที่ข้ารักและใฝ่ฝันถึง”

 

“ข้าคงต้องขอตัวก่อน ส่วนเจ้าและมนุษย์ทั้งหลายน่ะ ตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก ได้-ตาย-ไป-แล้ว!”

 

สิ้นเสียง พวกเขาก็หายเข้าไปในม่านแสงอันกว้างใหญ่ และมิอาจพบเจอได้อีกเลย

 

ตัวตนสุดแกร่งอีกหนึ่งร้องตะโกนขึ้น “พวกเจ้าทุกคนลองคิดดูสิ เมื่อเจ้าเลือกที่จะไปเกิดใหม่ตอนนี้ โลกมนุษย์ก็จะถูกทำลาย ลองคิดดูสิว่านี่มันเป็นจะเรื่องที่สะใจและน่ารื่นรมย์ขนาดไหน มาเถอะ จงมากับข้า!”

 

แล้วเขาก็หายไปในม่านแสง

 

เหล่าสิบตัวตนสุดแกร่งคนอื่นๆหัวเราะเยาะหยันกู่ฉิงซานและทยอยกันจากไป

 

พวกมันทั้งหมดได้จากไปแล้ว

 

หลังจากนั้น เหล่าคนตายมากมายต่างก็เริ่มทำสมาธิ และเปล่งเสียงออกมา “เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล”

 

และเมื่อพวกเขาค้นพบว่าเลขบุญของตนเองกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งตนทั้งร่างก็เผยให้เห็นถึงสีหน้าของความหวาดกลัวทันที

 

อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็หายวับไปในม่านแสงทันที

 

ขณะที่คนบาปบางส่วนที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับสิบตัวตนสุดแกร่ง ก็หันมายิ้มเยาะให้กู่ฉิงซาน แล้วก็กลับไปเกิดใหม่ทันที

 

ซึ่งเรื่องนี้ไม่อาจห้ามปรามได้

 

ไม้เท้าแห่งการจองจำไม่สามารถควบคุมคนตายได้อีกต่อไป

 

เพราะว่าเวลานี้ คนตายน่ะสามารถเลือกที่จะไปเกิดใหม่ได้ตลอดเวลา ดังนั้นขณะนี้จึงกล่าวได้ว่าพวกเขาได้ตัดการเชื่อมต่อระหว่างตนเองกับนรกออกจากกันแล้ว

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว ในจิตใจรู้ดีว่าตนได้พ่ายแพ้ในเกมนี้เสียแล้ว

 

เขาหันไปเบื้องหลัง มองไปยังเหล่าสหายทีละคน ทีละคน และเตรียมจะเอ่ยปากสารภาพกับพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย

 

“เทพธิดากงเจิ้ง ปล่อยตัวอาวุธสงครามทั้งหมด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงครามเฮือกสุดท้าย”

 

“ท่านประธานาธิบดี ท่านกรุณาพิจารณาเรื่องการระดมกำลังระดับประเทศด้วย”

 

สองผู้นำพยักหน้า ถอนหายใจออกมา

 

กู่ฉิงซานเอ่ยต่อด้วยเสียงหม่น “จากนั้น พวกเร-”

 

“ใจเย็นๆก่อนสิ พวกเรายังมิได้จากไปเสียหน่อย!”

 

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็เอ่ยขัดจังหวะเขา

 

ราชันย์หมาป่า

 

มันคือเสียงของราชันย์หมาป่าล่ะ!

 

กู่ฉิงซานชะงักไป

 

เขาเริ่มทำการสร้างการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณอีกครั้งเพื่อดูคนตาย

 

แต่กลับพบว่าเจ็ดผู้คุมนรกยังคงอยู่ที่นี่ไม่จากไปไหน

 

ขณะที่เวลาได้ผ่านไปหลายนาทีแล้ว …

 

แน่นอน ว่ามีคนตายมากมายจากไปก่อนแล้วเพื่อที่จะไปเกิดใหม่

 

อย่างไรก็ตาม คนตายส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ที่นี่

 

ในการเหนี่ยวนำกระแสจิตวิญญาณของไม้เท้าแห่งการจองจำ ค้นพบว่าคนตายกว่า 8 ใน 10 แม้ทั้งตนทั้งร่างของพวกเขาจะอาบอยู่ในม่านแสงอันไพศาลนี้

 

แต่พวกเขาก็ยังมิได้จากไป

 

กู่ฉิงซานกุมไม้เท้าแห่งการจองจำและทำการเชื่อมต่อกับคนตายทั้งหมด

 

“เหตุใดพวกเจ้าจึงยังไม่กลับไปเกิดใหม่อีก?”

 

เขาเอ่ยถามด้วยความสับสน

 

แต่คนตายส่วนใหญ่กลับยังคงปิดปากเงียบ

 

พวกเขาหันไปมองหน้ากันและกัน ดูเหมือนว่าจะไม่รู้ว่าสมควรตอบกลับไปเช่นไรดี

 

ชูร่าหญิงเชื่อมต่อกับทุกคนและกล่าวว่า “ท่านราชาภูติ โปรดมองมาที่ข้าสิ”

 

แล้วทุกคนก็เชื่อมต่อผ่านจิตใจ และมองไปตามคำขอที่ว่านั่น

 

เห็นแค่เพียงชูร่าหญิงกำลังยืนอยู่ในโถงทางเดินของโรงพยาบาล

 

ก่อนหน้านี้เจ็ดผู้คุมนรกแยกย้ายกระจัดกระจายกันไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อที่จะต่อสู้สังหารเผ่ามาร ส่วนอาชูร่าหญิงพึ่งจะบินผ่านมายังที่นี่

 

ในช่วงเวลานั้น เผ่ามารจำนวนมหาศาลได้ร่วงตกลงมา ส่งผลให้โรงพยาบาลขนาดเล็กนี้พังทลายลงไปกว่าครึ่ง

 

เมื่อชูร่าหญิงค้นพบถึงสถานการณ์นี้โดยบังเอิญ เธอจึงลดระดับลงเพื่อเข้าต่อสู้กับเผ่ามารทันที

 

เธอกำลังปกป้องสถานที่แห่งนี้อยู่

 

มองไปยังชูร่าหญิงที่ยืนอยู่ในโถงทางเดินเปิดโล่ง ขณะที่ในมือกำลังถือทารกแรกเกิดไว้ในอ้อมแขน

 

สีหน้าของเธอได้แสดงออกถึงความอ่อนโยนออกมา

 

“นี่คือชีวิตใหม่ตัวน้อยๆอีกหนึ่งชีวิต”

 

เธอกล่าว ขณะที่คนตายทั้งหมดจ้องมองไปยังการปรากฏกายของเด็กทารก

 

ทารกเหมือนกับจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เด็กน้อยจึงหันไปมองรอบๆด้วยความสงสัย

 

แต่มันก็ย่อมเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ที่เขาจะไม่สามารถมองเห็นเหล่าวิญญาณนับไม่ถ้วนในความว่างเปล่าได้

 

หลังจากนั้นไม่นาน เด็กทารกก็รู้สึกเหนื่อยล้าและผลอยหลับไปอย่างรวดเร็ว

 

เหล่าคนตายอดไม่ได้ที่จะลดเสียงของพวกเขาลง และเอ่ยสนทนากับอย่างแผ่วเบา

 

“โอ .. แค่เฝ้ามองดูเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้งีบหลับ แต่กลับให้ความรู้สึกสบายใจจริงๆ”

 

“สหายตัวน้อยผู้นี้ไม่ได้รับรู้เลยว่าโลกของตนกำลังจะถูกทำลาย”

 

“ไร้สาระหน่า เด็กตัวแค่นี้ จะไปเข้าใจเรื่องพวกนั้นได้ยังไงกัน”

 

“ถ้าโลกนี้จบสิ้น เด็กคนนี้ก็คงจะจบสิ้นลงเหมือนกันสินะ”

 

“ผายลมเถอะ! ท่านปู่คนนี้ยังอยู่ที่นี่แล้วโลกจะจบสิ้นลงได้อย่างไร!”

 

เหล่าคนตายเริ่มทะเลาะกัน

 

ชูร่าหญิงกล่าว “—ข้ามิได้ต้องการที่จะช่วยโลกหรืออะไรหรอกนะ แต่ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อแค่ตอบแทนความช่วยเหลือของราชาภูติ เพราะจะได้รับบุญเพิ่มขึ้นกับได้รับความโปรดปรานจากเขาก็เท่านั้นเอง”

 

“แต่เมื่อครู่ ข้าได้บังเอิญค้นพบชีวิตใหม่”

 

“และข้าหวังว่าเด็กจะได้อยู่กับแม่ผู้ให้กำเนิด … ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน สร้างสรรสิ่งดีๆให้เกิดขึ้น”

 

ชูร่าหญิงกำลังกล่าวผ่านกระแสจิต

 

“ยังไงก็เถอะ ตัวข้าน่ะคุ้นเคยกับนรกอยู่แล้ว หากจะต้องกลับไปอีกครั้งมันก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก”

 

จู่ๆเธอก็เดินมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “ท่านราชาภูติ หากข้าจะต้องกลับลงสู่ขุมนรก ท่านจะสามารถช่วยข้าอีกครั้งได้หรือไม่?”

 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เสียงของคนตายทั้งหมดก็ได้หายไป

 

เงียบงัน

 

เหล่าคนตายกำลังเฝ้ารอคำตอบของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานกำไม้เท้าแห่งการจองจำในมือแน่น “แม้ว่าจักต้องทำลายนรกทั้งหมด! ข้าก็จะต้องช่วยเจ้าออกมาให้ได้!”

 

ชูร่าหญิงพยักหน้า ท่าทีการแสดงออกของเธอผ่อนคลายลง

 

แล้วเธอก็เอ่ยถามออกมาทันใด “แล้วคนอื่นๆเล่า พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร พวกเจ้าเดิมทีก็เป็นคนบาปในนรก แล้วเหตุใดจึงยังคงอยู่ที่นี่อีก?”‘

 

คนตายทั้งหมดต่างพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทว่าไม่มีใครเลยที่พูดคุยในรูปแบบการเชื่อมต่อกับทุกคนเลย

 

ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี

 

“ในสนามรบ ข้ายอมรับว่าตนเองได้สังหารผู้คนไปนับไม่ถ้วน ผลคือในชีวิตที่ผ่านมา ตนได้กลายเป็นคนบาป และข้าก็ยอมรับในจุดนี้” ชูร่าชายเอ่ยพึมพำ “ทว่า หากข้าจะต้องจากไปตอนนี้ บอกตรงๆว่าข้าคงรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย”

 

ราชันย์หมาป่าเอ่ยออกมา “หากข้าและพวกเจ้าไปจากที่นี่ เช่นนั้นแล้วชีวิตนับร้อยนับพันล้านที่นี่จะต้องพินาศสิ้นลงทันที … นี่มันช่างน่าลังเลเสียจริงๆ”

 

“ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ครั้งหนึ่งข้าจะได้สังหารศัตรูมานับอนันต์ แต่ตอนนี้ นับเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เห็นตรงกับพวกเจ้าทุกคน”

 

เหล่าคนตายเผลอพยักหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

“ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงไม่ไปเกิดใหม่ซะล่ะ” ชูร่าหญิงเอ่ยถาม

 

“หากทำเช่นนั้น ข้าคงต้องคิดหนักเกี่ยวกับคำถามที่ว่า ‘แล้วคนเป็นเหล่านี้จะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อย่างไร’ ปล่อยให้พวกเขาอยู่ท่ามกลามเผ่ามารนับไม่ถ้วนเนี่ยนะ?” ราชันย์หมาป่ากล่าว

 

“เจ้ายังต้องคิดเกี่ยวกับมันอีกหรือ? รู้หรือไม่ว่าแต่ละนาทีที่เจ้ากำลังขบคิด เลขบุญของเจ้าก็กำลังลดลงไปเรื่อยๆนะ”

 

ผู้นำของมนุษย์ปีศาจเอ่ยขัด

 

ในตอนนั้นเอง จู่ๆเสียงร่ำไห้ของทารกก็ดังขึ้น

 

ทุกคนต่างมองมาเป็นสายตาเดียว

 

แต่กลับเห็นแค่เพียงชูร่าหญิงที่รีบนำตัวทารกน้อย ส่งกลับคืนสู่มนุษย์ผู้หญิง

 

มนุษย์ผู้หญิงส่งยิ้มให้เธอ

 

มีชูร่าหญิงคอยปกป้องเธอและทารกน้อยอยู่ ดังนั้นมนุษย์ผู้หญิงจึงไม่หวาดกลัวใดๆเลย

 

เธอไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าอีกฝ่ายน่ะคือคนตาย และเผ่าอาชูร่ามิใช่มนุษย์ รู้เพียงแค่ว่าหญิงงามตรงหน้าเธอแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งก็เท่านั้น

 

ในตอนแรก ผู้หญิงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นแม่คนจะเต็มไปด้วยความกังวลและตึงเครียด

 

แต่เธอก็ยังคงอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน และปากเอ่ยกระซิบปลอบประโลมอย่างแผ่วเบา

 

ทารกดูเหมือนว่าจะหิว

 

แม่ก้มลงมองลูกน้อยของเธอ ก่อนจะหันหลังและเริ่มให้นมลูก

 

และแน่นอน ขณะนี้แหละคนตายก็ยังสามารถเห็นถึงสีหน้าการแสดงออกของเธอได้อย่างชัดเจน

 

เธอดูสงบ และพึงพอใจ บนใบหน้าของแม่คนๆนี้กำลังเปล่งประกายระยับ น่าหลงไหล

 

เหล่าคนตายจ้องมองมาที่ฉากนี้

 

เวลายังคงไหลผ่านไป ทว่าคนตายทุกคนที่ยังไม่จากไปกลับยังคงเงียบ

 

ราชันย์หมาป่าถอนหายใจออกมาทันใด “นี่มันน่าปวดหัวเสียจริงๆ ในเมื่อตัดสินใจไม่ได้ซักทีว่าจะอยู่หรือจะไป เช่นนั้นก็ขอให้ท่านผู้นำเป็นคนตัดสินใจแทนก็แล้วกัน”

 

“เจ้าต้องการเวลาอีกนานแค่ไหน?”

 

“ราชาภูติ อีกนานแค่ไหนว่ากำแพงอุปสรรคที่ใช้ป้องกันโลกจะถือกำเนิดขึ้น?”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “29นาที 17 วินาที”

 

ราชันย์หมาป่าพยักหน้า “อีก29.17นาทีสินะ งั้นก็ดี”

 

หลังจากพูดจบ เขาก็หุบปากลง

 

ขณะที่กระแสจิตที่เชื่อมต่อกันระหว่างคนตายนับล้านๆจมลงสู่ความเงียบ

 

ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด

 

นอกจากนี้

 

ก็ยังไม่มีใครจากไปอีกด้วย

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.425 – อสูรกายได้จากไป

 

ตลอดทั่วทุกมุมโลก

 

คนตายนับล้านล้านคนต่างพากันเงยหน้าขึ้นด้วยความคาดหวัง

 

ขณะนั้นเอง หนึ่งในพื้นที่บางส่วนของทะเลทรายในอาณาเขตของสหพันธรัฐ รัฐบาลกลางได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

 

กำแพงที่เปรียบดั่งเกราะคอยป้องกันโลกได้หายวับไป

 

บนท้องฟ้า เผ่ามารนับหลายสิบหลายร้อยพลันร่วงหล่นลงมาทันที

 

ขณะที่เหล่าคนตายในทะเลทรายต่างก็เฝ้ารอมาเป็นระยะเวลานาน

 

เมื่อพวกเขาตระหนักได้ถึงการกระเพื่อมของอากาศบนท้องฟ้า เหล่าคนตายก็กระโจนขึ้นทับๆๆๆกัน ก่อกำเนิดภูเขาคนตายขนาดมหึหา ทุกตนล้วนแก่งแย่งกันปีนป่ายขึ้นไปบนยอดสุดเพื่อที่จะได้ลิ้มชิมรสชาติเนื้อมารก่อนเป็นตนแรก

 

เผ่ามารหลายสิบหลายร้อยตนที่ร่วงตกลงมา ยังไม่ทันจะได้ตกถึงพื้น เลือดเนื้อของพวกมันก็ถูกกัดกินจนสิ้นเหลือแต่กระดูกซะก่อน

 

ส่วนคนตายที่ลิ้นยังมิได้สัมผัสรสชาติเนื้อของเผ่ามารต่างก็แสดงออกถึงความเสียใจออกมา

 

ทุกตนต่างพากันแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า

 

และเฝ้ารอ

 

คนตายยังคงรอต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม เห็นแค่เพียงเหล่าราชันย์สุนัขแทรกตัวผ่านคนอื่นๆและตรงมาที่กระดูกหลายสิบหลายร้อยของเผ่ามาร

 

“นั่นเจ้ากำลังจะทำอะไรน่ะ?” คนตายคนอื่นๆที่เห็นฉากนี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

เหล่าราชันย์สุนัขหัวเราะหยัน “เจ้าพวกบ้าเอ๊ย สิ่งที่อร่อยจริงน่ะ – มันคือกระดูกต่างหาก!”

 

ว่าจบ พวกเขาก็วิ่งขึ้นไปในกองภูเขาคนตาย และกระโจนเข้างับโครงกระดูกของเผ่ามารที่ไม่มีใครสนใจ

 

ตามมาด้วยเสียงกัดแทะและดูดจ๊วบๆของกระดูกดังขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว

 

ไม่นานนัก

 

กำแพงอุปสรรคอันเปราะบางก็เกิดรูรั่วไหลอีกครั้ง คราวนี้เป็นเผ่ามารนับร้อยนับพันตัว

 

เหล่าคนตายเมื่อได้เห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาต่างก็เผยถึงความปิติ

 

ราวกับกระแสลมกรรโชกที่พัดผ่าน เหล่าเผ่ามารนับร้อยพันที่ยังคงทิ้งดิ่งอยู่กลางอากาศถูกกวาดกินจนเกลี้ยง!

 

และคราวนี้ไม่มีหลงเหลือกระทั่งกระดูก

 

ขณะที่หนึ่งในบรรดาคนตาย มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

 

‘เหตุใดกันนะ เผ่ามารที่ข้าคว้าจับกิน … มันถึงได้ไม่อร่อยเลย!’

 

ณ รัฐบาลกลาง

 

บริเวณชานเมืองหลวง

 

บนภูเขาก่อนจะถึงพื้นที่ราบ

 

ชูร่าชายหายเข้าไปผสมโรงในพื้นที่ราบแล้ว ดังนั้นเวลานี้จึงเหลือแค่เพียง หกผู้คุมนรก

 

พวกเขาหันมามองหน้ากันและกัน ขณะที่เห็นถึงความนัยที่แฝงอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย

 

“ท่านราชาภูติ ก่อนที่จะต้องกลับไปเกิดใหม่ พวกเรายังอยากที่จะต่อสู้อีกสักครั้ง”

 

“ไปเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เมื่อได้รับอนุญาต หกผู้คุมนรกก็กระจายตัวกันไปคนละทิศทางอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น และเฝ้าสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า

 

—กำแพงอุปสรรคยังไม่ได้หายไปทั้งหมด

 

แม้ในวินาทีสุดท้ายของการพังทลายจะมาถึงในเร็วๆนี้ กำแพงอุปสรรคก็ยังพยายามที่จะขัดขวางการรุกรานของเผ่ามารอย่างถึงที่สุด

 

จริงๆแล้วเจ้าสิ่งนี้ ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

 

สถานะของกำแพงอุปสรรค แม้ตอนนี้จะเปรียบดั่งหลอดไฟที่ติดๆดับๆ ดีบ้างไม่ดีบ้าง และบางครั้งก็สูญเสียประสิทธิภาพในบางช่วงเวลา

 

ทว่าภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง กำแพงอุปสรรคก็ยังมิได้หายไปโดยสมบูรณ์

 

ในระหว่างหนึ่งชั่วโมง มีเพียงแค่เผ่ามารเป็นกลุ่มก้อนเท่านั้นที่ตกลงเข้าสู่โลกมนุษย์อย่างต่อเนื่อง –มิใช่ลงมาพร้อมกันระลอกเดียวทั้งหมด

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเผ่ามารนับหลายร้อย พัน หรือมากกว่าหมื่นได้ฝ่ากำแพงอุปสรรคเข้าสู่โลกได้ก็ตามที

 

-ทว่าเบื้องล่างของพวกมัน คือคนตายที่มีจำนวนมากกว่าล้านล้าน!

 

เหล่าคนตายเงยหน้าขึ้น และเฝ้ารออาหารของพวกเขาเป็นเวลานาน

 

สำหรับมื้อสุดท้ายในเส้นทางแห่งปรภพ เหล่าคนตายจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างความทรงจำโดยการลิ้มลองอาหารอันน่าประทับใจนี้

 

ตลอดทั้งดาวเคราะห์โลก ได้ยินเพียงแค่เสียงของคนตายที่โห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

และนั่นเป็นอีกครั้งที่เผ่ามารกลุ่มหนึ่งรั่วไหลเข้ามา

 

เหล่าคนตายปรี่เข้าไปแก่งแย่งชิ้นเนื้อดั่งฝูงมดอดอาหารที่กำลังคลุ้มคลั่ง!

 

และการกินอาหารมื้อใหญ่นี้ ก็ดำเนินต่อไปอีกครึ่งราวๆชั่วโมง

 

ในที่สุด เผ่ามารบางตนที่มีภูมิปัญญา และเหล่าอสูรกายก็ทยอยกันจากไป

 

พวกมันได้จากไป ละทิ้งเจตนาฆ่าและความอยากอาหารไปโดยสิ้นเชิง

 

หากต้องเผชิญหน้ากับการดำรงอยู่ที่มิอาจตายลงได้ สงครามก็นับว่าเป็นเพียงสิ่งไร้สาระ!

 

ตราบใดที่เข้าสู่โลกเบื้องล่าง แม้ว่าตนจะทรงอำนาจเพียงใดก็ตาม , แม้ว่าจะสามารถสังหารคนตายได้เป็นจำนวนมาก แต่สุดท้าย อำนาจของพวกมันก็จะถดถอยและกลายเป็นอาหารของพวกคนตายอยู่ดี

 

และต่อให้พวกมันมีความสามารถมากพอที่จะทำให้ตนเองไม่ถูกกิน แต่สิ่งที่ต้องเผชิญก็คงไม่พ้นการต่อสู้อันยาวนาน

 

และการต่อสู้ที่ยาวนานที่ว่า ก็ไม่สามารถสังหารหรือลดปริมาณศัตรูลงได้เลย!

 

ทุกอย่างที่ทำไปก็คงจะไร้ความหมาย

 

เมื่อหนึ่งอสูรกายได้จากไป ตนอื่นๆก็เริ่มปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเล

 

ขณะที่ยักษ์เผ่ามารบางตนก็ได้ติดตามกลุ่มก่อนหน้า พากันละทิ้งโลกมนุษย์และจากไป

 

ต่อมาก็เผ่ามารที่ทรงพลังและที่มีมันสมองที่ดี ที่ทยอยกันจากไป

 

บนท้องฟ้า บัดนี้ร่างเงาของเผ่ามารเริ่มจะเบาบางลง

 

ซึ่งเผ่ามารที่ยังหลงเหลืออยู่นี้ ล้วนเป็นพวกที่ไม่มีสติปัญญา มีสถานะต่ำต้อย ไร้อารมณ์ความรู้สึก และมีเพียงความกระหายเลือดเท่านั้น

 

ผ่านพ้นไปอีกราวๆ 20 นาที

 

กำแพงอุปสรรคที่คอยป้องกันโลกก็สลายไปโดยสมบูรณ์

 

เผ่ามารที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้าร่วงตกลงมา

 

ตามด้วยเสียงโห่ร้องของคนตายที่ดังสะท้านราวกับภูเขาไฟระเบิด!

 

งานฉลองกินดื่มครั้งใหญ่ — ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!

 

………

 

กู่ฉิงซานมองลงไปจากภูเขา

 

เห็นแค่เพียงงานฉลองของคนตายยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

 

“เทพธิดากงเจิ้ง ตอนนี้ทั่วทุกมุมโลกเป็นยังไงบ้าง?”

 

“มีเผ่ามารอยู่จำนวนไม่น้อยที่สามารถทำอันตรายต่อคนเป็นได้ แต่ไม่นานนัก พวกมันก็ถูกกำจัดโดยเหล่าคนตายอย่างรวดเร็ว ขณะที่เผ่ามารส่วนใหญ่ได้ถูกฆ่าตายไปแล้วโดยสมบูรณ์”

 

กู่ฉิงซานก้มลงไปมองเวลา

 

กว่ากำแพงอุปสรรคที่คอยปกป้องโลกจะกำเนิดขึ้นอีกครั้ง ก็อีกราวๆห้าชั่วโมง

 

กู่ฉิงซานกุมไม้เท้าแห่งการจองจำและเอ่ยถาม “พวกเจ้ายังมีเวลาเหลือกันอยู่อีกเท่าไหร่?”

 

“ถ้าให้เดาจากความรู้สึก ก็น่าจะประมาณห้าชั่วโมงล่ะมั้ง” ชูร่าหญิงกล่าว

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มประหม่า

 

หากช่วงเวลาแห่งการถือกำเนิดใหม่ของคนตายได้มาถึงก่อนเวลาอันควร และกำแพงอุปสรรคที่ใช้ป้องกันโลกยังไม่เปิดออกแล้วล่ะก็ โลกทั้งใบก็จะตกอยู่ในสถานะไร้ซึ่งการป้องกัน

 

เขาจึงรีบเรียกฝูงชนเข้ามาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ทันที

 

ประธานาธิบดีกล่าวว่า “กุญแจสำคัญในตอนนี้ก็คือ ต้องวัดใจว่าคนตายจะสามารถให้ความช่วยเหลือโลกใบนี้ได้จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่กำแพงอุปสรรคใหม่จะถือกำเนิดขึ้นโดยสมบูรณ์ได้รึเปล่าสินะ”

 

“ในกรณีที่คนตายได้จากไปก่อน ทั้งๆที่กำแพงอุปสรรคโลกยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้น บางที่พวกอสูรกายเหล่านั้นอาจจะกลับมาทันทีเลยก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แอนนาประกบสองมือของเธอเข้าด้วยกัน สวดอ้อนวอนอธิษฐาน “ขอท่านเทพสวรรค์จงอวยพรให้กำแพงอุปสรรคที่คอยค้ำจุนโลกบังเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ก่อนที่การถือกำเนิดใหม่ของคนตายจะเกิดขึ้นด้วยเถิด”

 

หมาดำกล่าวกระซิบ “ไม่ใช่ว่าเทพสวรรค์ที่เจ้าเอ่ยถึงพึ่งจะหนีไปยังโลกอื่นแล้วหรอกหรือ”

 

แอนนาเปลี่ยนคำพูดของเธอทันควัน “ฉันกำลังอธิษฐานกับท่านเทพแห่งความตายตะหาก”

 

พอได้ฟัง หมาก็ตอบรับด้วยความพึงพอใจ “งั้นก็แล้วไป”

 

“-ตอนนี้พวกเราคงทำได้แค่เฝ้ารอ” เย่เฟย์หยูเอ่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน “มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าจู่ๆ โลกของฉันจะได้รับการช่วยเหลือจากพวกคนบาปแบบนี้”

 

กู่ฉิงซานตบไหล่เขาและกล่าว “งั้นก็พยายามฝึกยุทธต่อไปให้ดีล่ะ เพราะต่อจากนี้ไปในอนาคต หน้าที่ช่วยเหลือโลก ก็จะตกมาเป็นของพวกเราแล้วนะ”

 

เย่เฟย์หยูพยักหน้าตอบรับอย่างหนักแน่น

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

นี่นับว่าเป็นห้าชั่วโมงที่ยาวนานที่สุดในความรู้สึกของกู่ฉิงซาน

 

ประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลางและสมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าได้ทำการเชื่อมต่อกับประเทศต่างๆ และแจ้งปัญหาสำคัญๆให้พวกเขาทราบ ทั้งสองขอให้มนุษย์ทุกคนหลบซ่อนตัว และอย่าเปิดเผยตัวออกมา

 

ขณะที่เทพธิดากงเจิ้งทุ่มเวลาไปกับการสั่งการเครื่องจักรจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อทำการขนส่งคนตาย นำพาพวกเขาไปยังพื้นที่ที่เผ่ามารกำลังก่อความเสียหายร้ายแรงอยู่ตามลำดับ

 

ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังคงดำเนินต่อไป

 

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนชะตากรรมของโลกได้

 

เพราะสุดท้ายแล้วชะตากรรมของโลกน่ะ มันจะขึ้นอยู่กับเวลาของเหล่าคนตายที่กำลังจะกลับไปเกิดใหม่และกำแพงอุปสรรคแห่งโลกได้เปิดขึ้น

 

ขอเพียงกำแพงอุปสรรคเปิด และคนตายยังไม่จากไป หรือทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมๆกัน พวกเขา -โลกมนุษย์ก็จะไม่มีปัญหาใดๆ

 

มิฉะนั้นแล้ว หากอสูรกายตระหนักถึงความผิดปกตินี้ พวกมันก็จะกลับมา และโลกก็มีแนวโน้มที่จะพินาศสิ้น

 

นี่นับว่าเป็นการเฝ้ารออย่างกระวนกระวายใจโดยแท้

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

กระทั่งมาถึงชั่วโมงสุดท้าย

 

ช่วงเวลาสำคัญที่สุดได้มาถึง

 

วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานตกลงไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรปรากฏขึ้นที่นั่น

 

“การหลอมรวมระหว่างสองโลกจะช่วยก่อร่างกำแพงอุปสรรคให้ถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง และกำแพงป้องกันจะเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติหลังจาก 00.37.29นาที”

 

อีกสามสิบเจ็ดนาที กำแพงอุปสรรคใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้น!

 

กู่ฉิงซานจ้องมองดูเวลา ก่อนจะเบนสายตามองไปมองนอกภูเขา

 

เหล่าคนตายยังคงอยู่ในสายตา

 

แต่ก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า

 

ทันใดนั้นเอง-

 

รังสีแสงอันไพศาลก็สาดออกไปทั่วฟ้า

 

แสงนี้เปรียบดั่งน้ำตก มันกวาดไปทั่วผืนฟ้า ขจรขจายไปอย่างต่อเนื่องในทุกทิศทาง

 

เหล่าคนตายที่ตกอยู่ภายใต้รังสีแสงนี้ ตนแล้วตนเหล่าได้เผยถึงสีหน้าตระหนักชัด

 

‘เวลาแห่งการถือกำเนิดใหม่ได้มาถึงแล้ว’

 

ตอนนี้ มันได้เวลาที่พวกเขาจะไปเกิดใหม่เสียที!

 

หากเป็นไปตามที่เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลกล่าวไว้ พวกเขาจะไม่สามารถอยู่ได้อีกต่อไป มิฉะนั้นก็จะถูกหักแต้มบุญไปเรื่อย และสุดท้ายก็จะถูกส่งจมกลับลงไปประสบความทุกข์ทรมานในนรกอีกครั้ง!

 

แต่ แต่ว่า!

 

กำแพงอุปสรรคของโลก กว่าจะกำเนิดขึ้นยังต้องใช้เวลาอีกกว่า37นาที 20วินาที!

 

ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เหล่าคนตายกลับดันต้องถูกส่งกลับไปเกิดใหม่เสียแล้ว!

 

เวลานี้กำแพงอุปสรรคก็ยังไม่มี คนตายก็กำลังจะจากไป โลกทั้งใบจะตกอยู่ในสถานะไร้ซึ่งการปกปักษ์ใดๆ

 

โฮกกกกก!

 

ลึกขึ้นไปบนท้องฟ้า แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นเสียงของอสูรกายอันน่าสะพรึงที่ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง

 

พวกมันคำรามอย่างบ้าคลั่ง และเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อให้คนตายจากไป

 

36นาที 59 วินาที

 

นี่มันมากเกินไป นับว่าเป็นช่วงเวลาที่หมดสิ้นแล้วซึ่งความหวัง!

 

เมื่อคนตายไปเกิดใหม่ อสูรกายก็คงแทบจะไม่อาจเฝ้ารอได้แม้แต่เพียงวินาทีเดียว ทั้งหมดย่อมที่จะต้องกระโจนลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนเป็นแน่

 

และทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะอันคลุ้มคลั่งก็ปะทุขึ้นมาในหมู่คนตาย

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ราชาภูติ ข้าเฝ้ารอเวลานี้มานานมาก นานมากแล้ว และในที่สุดมันก็มาถึงซะที!”

 

“เจ้าน่ะจบสิ้นแล้ว!”

 

ทุกคนเพ่งมองผ่านทางกระแสจิต และค้นพบว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเสียงของมนุษย์ปีศาจหญิงซึ่งเป็นหนึ่งในสิบตัวตนสุดแกร่ง

 

เธอยิ้มออกมาอย่างสะใจ เปล่งกระแสเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิ “ข้าขอกล่าวอำลา ราชาภูติเอ๋ย ขอให้เจ้าและโลกของเจ้าจงถูกทำลายลงอย่างมีความสุข!”

 

ยามเมื่อเสียงนี้ตกลง มนุษย์ปีศาจหญิงก็หายไป

 

เธอได้กลับคืนสู่สังสารวัฏ —ไปเกิดใหม่แล้ว!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.424 – อร่อย!

 

บนท้องฟ้า อสูรกายตัวใหญ่ยักษ์เปล่งเสียงคำรามสั่นสะเทือนทั้งสวรรค์และโลก

 

มันเป็นงูดำที่มีสามหัว ตลอดทั้งสามหัวลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงสีเขียว ขณะที่ร่างของมันแข็งแกร่งใหญ่โต กินพื้นที่ปกคลุมไปเกือบทั่วน่านฟ้าบริเวณนี้

 

แต่ละหัวของมันมีรูปร่างแตกต่างกัน หนึ่งเป็นแค่หัวกะโหลก หนึ่งเป็นหัวแกะ สุดท้ายเป็นหัวของผู้หญิง

 

เปลวไฟสีเขียวลอยวนอยู่รอบๆตัวมัน ขณะที่เผ่ามารตนอื่นๆหลีกเลี่ยงเว้นระยะไม่ไปอยู่ใกล้ และคอยเฝ้ามองมันอย่างระแวดระวัง

 

อสูรกายตนนี้แทบจะอดรนทนไม่ไหว เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ

 

ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อมีศัตรูมากมายอยู่เบื้องล่าง –แล้วสิ่งที่มันต้องการจะทำน่ะหรือ?

 

ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกระโจนลงไปกัดกินเนื้อหนังและจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องล่างเป็นอาหารน่ะสิ!

 

อสูรกายเหวี่ยงหัวเขาแกะ ใช้ปลายเขาแหลมทั้งสองกระแทก! และทิ่มแทงอย่างรวดเร็ว ไปยังกำแพงอุปสรรคของโลกที่กำลังอ่อนแอ

 

ดูเหมือนว่ามันจะมีความสามารถพิเศษในด้านระบบมิติ เพราะทันทีที่ปลายเขาคู่ทิ่มแทงลงไป ก็บังเกิดระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นขึ้นบนเขาทั้งสองในพริบตา

 

ช่วงวินาทีต่อมา อสูรกายมารงูดำก็สามารถก้าวข้ามผ่านกำแพงอุปสรรค และปรากฏกายขึ้นภายใต้ท้องฟ้าโลกมนุษย์ได้ในที่สุด

 

ไม่ผิดแล้ว! เขาคู่ของมันมีความสามารถในการเจาะกำแพงอุปสรรคที่ใช้ป้องกันโลก!

 

ความสามารถอันน่าสะพรึงเช่นนี้ แม้กระทั่งในหมู่อสูรกายด้วยกันก็ยังนับว่าโดดเด่นยิ่ง

 

อสูรกายงูดำสามหัวจ้องมองดูเบื้องล่าง และขู่ฟ่อเสียงแสบหูออกมา

 

ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดต่างพากันแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

ขณะที่ทุกสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะคนเป็นหรือคนตาย ก็ล้วนแหงนหน้ามองขึ้นไปพร้อมกัน

 

เห็นแค่เพียงอสูรกายสามหัวที่กำลังทิ้งตัวลงมายังเบื้องล่าง

 

มันคืออสูรกายตนแรกที่ตกลงมายังโลกมนุษย์!

 

รอบกายมัน ฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายแข็งกร้าวอันแสนน่าหวาดกลัว!

 

หัวหญิงมนุษย์ซึ่งเป็นหนึ่งในสามหัวอสูรกายน้ำลายไหลหยดย้อย เธอเอ่ยอย่างตะกละตะกลามว่า “เนื้อคนเป็นๆสดๆ สมควรที่จะมาเติมเต็มอยู่ในท้องข้า!”

 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการประกาศศักดา

 

มันกำลังจะบอกว่าตลอดทั้งโลก ช่วงเวลาแห่งการล่าสังหารได้มาถึงแล้ว!

 

แต่ชั่วขณะหนึ่ง แม้จะผ่านไปสักพักแล้ว แต่บนพื้นโลกกลับไม่มีใครส่งเสียงดังใดๆออกมา

 

กู่ฉิงซานที่ถือไม้เท้าแห่งการจองจำและกำลังเชื่อมต่อกับคนตายทุกคนได้เอ่ยออกมาว่า

 

“ทุกคนได้ยินไหม? มันบอกว่า … เนื้อคนเป็นสดๆล่ะ … ”

 

คิกๆ

 

ชูร่าหญิงหัวเราะออกมา

 

ขณะที่ผู้คุมนรกคนอื่นๆก็เริ่มหัวเราะตาม

 

เสียงหัวเราะราวกับเชื้อร้าย มันลุกลามราวกับไฟลามทุ่ง คนตายคนแล้วคนเล่าเริ่มที่จะพากันแหกปากหัวเราะออกมา

 

พวกเขาราวกับได้ยินถึงสิ่งที่น่าตลกที่สุด บ้างหัวเราะจนตัวงอไปบ้างหน้า บ้างหัวเราะเอนตัวไปข้างหลังจนหงายท้องตึง ขณะที่บ้างหัวเราะจนยกมือขึ้นตบหน้าอกตนเอง

 

“คนเป็นสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า นอกไปจากราชาภูติ ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่คือคนเป็น!”

 

“ท่านปู่คนนี้ยังไม่ได้ไปเกิดใหม่ ฉะนั้นท่านปู่คนนี้ก็ยังคือคนตาย!”

 

“เรื่องที่มันพูดช่างทำให้ท่านปู่ผู้นี้ขบขันเสียจริง!”

 

“สงสัยจะหิวจนเป็นบ้าไปแล้ว”

 

ในช่วงเวลานี้ ตลอดทั้งดาวเคราะห์โลกต่างก็กระหึ่มไปด้วยหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

 

แต่เสียงหัวเราะก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว

 

เพราะกู่ฉิงซานได้ส่งคลื่นความคิดของเขาผ่านไม้เท้าแห่งการจองจำที่ถืออยู่ไปยังเหล่าคนตาย

 

ในหัวใจของทุกคนตระหนักทราบถึงแผนการ

 

จากนั้น กู่ฉิงซานก็เริ่มลงมือทันที

 

เขาหายตัวไปในพริบตา และปรากฏขึ้นอีกครั้งบนพื้นที่ราบ

 

คนตายนับไม่ถ้วนที่เบียดเสียดแออัดกัน ต่างแยกตัวออกเป็นสองฟากฝั่ง เพื่อสร้างพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ให้แก่ราชาภูติ

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า สายตาจับจ้องไปยังอสูรกายสามหัวที่กำลังทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว

 

“รีบร้อนนักใช่ไหม ฉันจะทำให้แกได้รู้จักและเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่เรียกกันว่า ‘คำทักทายจากนรก’ เอง!”

 

เขาบ่นงึมงำ

 

และทันทีที่เสียงของเขาตกลง ทั้งคนทั้งร่างก็หายวับไปจากจุดนั้นทันที

 

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

 

กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้าเบื้องบน ขณะที่พริบตานั้น อสูรกายสามหัวก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นดินอย่างกระทันหัน

 

อสูรกายสามหัวตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

 

ชั่วเวลานั้นเอง คนตายนับไม่ถ้วนที่ดักรออยู่ทั้งสองฟากฝั่งก็ได้เผยอปากขึ้น อ้าคำรนส่งเสียงสะท้านไปทั่วฟ้า

 

“ฆ่า-มัน!”

 

พวกเขาโจนทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ปีนป่ายไปตามร่างกายของอสูรกาย

 

บัดนี้! มันได้ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมอสูรกายที่กระจุกตัวเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น!

 

ด้วยปริมาณที่มหาศาล ส่งผลให้เพียงลมหายใจเดียว อสูรกายตนนั้นก็ถูกกลบฝังจนมิดด้วยเหล่าคนตายโดยสมบูรณ์

 

ก๊าซซซซ!

 

อสูรกายสามหัวโกรธจนคลั่ง มันระเบิดเสียงคำรามสะเทือนไปทั่วฟ้า

 

เปลวไฟสีเขียวอันน่าสยดสยองวิ่งผ่านไปรอบกายมัน

 

เปรี๊ยะ!

 

เหล่าคนตายทุกคนที่ปีนป่ายขึ้นไปบนร่างของมันถูกแผดเผาโดยสมบูรณ์

 

เพียงชั่วพริบตาเดียว อสูรกายสามหัวก็ได้สังหารคนตายไปแล้วกว่าหลายหมื่นหรืออาจจะถึงแสนคน!

 

“เป็นแค่มดปลวก อย่าริบังอาจมาสัมผัสตัวข้าให้เสียโฉม!”

 

หนึ่งในสามหัวอสูรกายที่เป็นหัวหญิงมนุษย์ได้ตะโกนออกมา

 

มันกลิ้งลงกับพื้นดิน และหมุนร่างขนาดใหญ่ที่ลุกท่วมด้วยเพลิงสีเขียว ม้วนตัวกวาดไปตลอดทั้งพื้นที่ราบ

 

ที่ซึ่งคนตายคนแล้วคนเล่ากระจุกตัวอยู่ที่นั่น

 

คราวนี้ คนตายนับล้านเสียชีวิตลงทันที

 

เมื่อกู่ฉิงซานเห็นถึงฉากนี้ เขาก็วาดไม้เท้าแห่งการจองจำออกไป

 

เขาเปิดใช้งานพลังของไม้เท้า ‘ต้นกำเนิดแห่งความตาย’

 

และต่อมา สิ่งที่คาดไม่ถึงก็บังเกิดขึ้น

 

บนพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ ร่างกายของคนตายนับล้านที่ถูกสังหารลง จู่ๆก็พลันลืมตาขึ้น

 

ก่อนที่คนตายเหล่านั้นผุดลุกขึ้นมาจากพื้นดิน

 

คนตายคนหนึ่งเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “น่าแปลก เหตุใดข้าถึงไม่ถูกส่งกลับไปหลับไหล?”

 

เหล่าคนตายหันมาสบตากัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า และจู่ๆก็พลันตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่ง

 

ตนเองได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในทันที!

 

นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร!?

 

ตามกฏของนรกแล้ว เดิมทีหลังจากที่คนตายเสียชีวิตลง พวกเขาจะต้องถูกส่งกลับไปยังนรกก่อนเป็นอันดับแรก จมหายไปในห้วงหลับไหล จึงจะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีกครั้ง

 

และนั่นก็เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะต้องได้รับการลงโทษทรมานจากนรกเสมอไป มิอาจหลีกเลี่ยงหลบหนีได้

 

ทว่าตอนนี้ เหล่าคนตายกลับสามารถฟื้นคืนชีพได้ในสถานทีเดียวกันกับตอนถูกตนสังหาร!

 

และสิ่งนี้มันแตกต่างจากกฏพันธนาการของนรกอย่างสิ้นเชิง!

 

ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดก็ประหลาดใจเช่นกัน

 

แต่แล้วราชันย์หมาป่าก็ร้องออกมาในฉับพลัน “ข้าเข้าใจแล้ว!”

 

“ไหนลองว่ามาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” ชูร่าหญิงเอ่ยถาม

 

“พวกเราน่ะ ถึงแม้ว่าจะยังเป็นคนตายจากนรก แต่บาปของพวกเรานั้นได้หมดสิ้นลงไปแล้ว และกำลังจะได้ไปเกิดใหม่ในไม่ช้า!”

 

“เออ เรื่องนั้นใครๆก็รู้ แล้วมันยังไงต่อ?”

 

“ก็ในเมื่อบาปของพวกเราหมดสิ้นแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปถูกลงโทษทรมานในนรกอีกต่อไป ฉะนั้น เมื่อพวกเราฟื้นคืนชีพ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปยังนรกของตนอีกแล้วอย่างไรเล่า”

 

“แบบนี้มันก็หมายความว่า … ”

 

“ใช่แล้ว ตราบใดที่ราชาภูติใช้งาน ‘ต้นกำเนิดแห่งความตาย’ พวกเราที่ถูกสังหารลง ก็จะสามารฟื้นคืนชีพได้ในสถานที่เดียวกันทันที!”

 

เจ็ดผู้คุมนรกหันมามองกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานยกไม้เท้าขึ้น ส่งสัญญาณกลับไป

 

“ทุกคนจงอย่าได้ลังเล ข้าจะเป็นคนปลุกพวกเจ้าให้ตื่นจากการหลับไหลเอง!” เขากล่าว

 

ชูร่าชายหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า นี่มันวิเศษไปเลย! ข้าไม่สนใจพวกเจ้าแล้ว ขอตัวไปเล่นสนุกกับอสูรกายก่อนก็แล้วกัน!”

 

เขาชักอาวุธตนออกมา และทะยานเข้าหาอสูรกายสามหัว

 

เป็นอมตะ

 

แถมทันทีที่ตาย ก็ยังฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งในตำแหน่งเดิม

 

นี่มันนับว่าเป็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ เหนือล้ำยิ่งกว่าทุกสิ่ง!

 

ไม้เท้าแห่งการจองจำ , บุญมหาศาลที่ได้รับ , กฏแห่งปรภพ , โลกทั้งสองเกิดการหลอม ในช่วงเวลาสั้นๆ สิ่งมหัศจรรย์ถือกำเกิดขึ้นมากมาย ทั้งหมดหลอมรวมเข้าด้วยกันกลายมาเป็นช่วงเวลาสุดแสนจะพิเศษนี้!

 

เหล่าคนตายเมื่อรู้ถึงความจริงข้อนี้ ทั้งหมดก็คลั่งไปแล้ว!

 

“ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ต่อให้อสูรกายจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน แต่มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด!”

 

“แถมเปลวเพลิงของมันก็ใช่ว่าจะรุนแรงอะไรมากมายนัก เทียบกับความทุกข์ทรมานที่ได้รับจากนรกกระทะทองแดงไม่ได้ด้วยซ้ำ!”

 

“พวกเราเป็นอมตะ!”

 

“มาเถอะ! มาช่วยกันกำจัดเจ้าขยะชิ้นใหญ่นี่ซะ!”

 

พวกเขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

 

คนตายอีกระลอกหนึ่งโร่พุ่งเข้าหาอสูรกายสามหัว

 

พวกเขากระโจนเข้าหาร่างใหญ่ของอสูรกายที่ยังคงม้วนกลิ้งตัวไปมา ง้างอาวุธประจำตัวของตน สับ ตัด แทง ฉีกกัด -ทุ่มลงมืออย่างเต็มกำลัง

 

อสูรกายสามหัวบัดนี้ถูกรุมล้อมโดยฝูงคนตายที่กระจุกตัวหนาแน่น

 

ในท้ายที่สุด กายมหึมาของเจ้าอสูรกายสามหัวก็ถูกปกคลุมจนมิด มิอาจมองเห็นถึงร่างของมันได้โดยสมบูรณ์

 

มองจากระยะไกล จะเห็นแค่เพียงร่างคนตายที่กองทับๆกันแน่นจนแลคล้ายภูเขา

 

ภูเขาที่กำลังเคลื่อนไหวคืบคลานอยู่ตลอดเวลา

 

ก๊าซซซซซ!

 

อสูรกายคำรามออกมา อ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเขียวแห่งความโกรธพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

มันพยายามสังหารฝูงคนตายด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่กลับไม่มีคนตายคนใดสิ้นใจลงเลย

 

เปลวเพลิงยังคงแผดเผาอย่างต่อเนื่อง แต่คนตายก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งๆที่ยังอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังถูกแผดเผาก็ตามที

 

คนตายจำนวนหนึ่่งถูกสังหารลง ขณะที่อีกส่วนหนึ่งฟื้นคืนชีพ กล่าวได้ว่า ณ จุดๆนี้ ความตายมิอาจควบคุมพวกเขาได้อีกต่อไป!

 

พวกเขายอมเสียสละชีวิต เพื่อที่จะสังหารอสูรกายตนนี้

 

ทันใดนั้นเอง!

 

จ้าวอสูรร่างใหญ่ตนหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นและตะโกนออกมาอย่างคลุ้มคลั่งว่า “อร่อย! อร่อยยิ่งนัก! เนื้อของอสูรกายช่างอร่อยเกินจะบรรยายเสียจริงๆ!”

 

เหล่าคนตายทั้งหมดชะงักงันในพริบตา

 

วินาทีต่อมา

 

ก็บังเกิดเสียงสะท้านที่สั่นสะเทือนไปทั้งผืนฟ้า ครอบคลุมไปตลอดทั้งผืนดินดังขึ้นจากพื้นที่ราบ

 

“ข้า-ต้องการ-กินมัน!!”

 

ฝูงคนตายเริ่มจะบ้าคลั่งมากขึ้น

 

ขณะที่อสูรกายสามหัวส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

 

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ

 

เสียงหอนด้วยความหวาดกลัวก็แผ่วลง ๆ ๆ ๆ

 

จนในที่สุด เสียงที่ว่านั่นก็หายไป

 

บนพื้นที่ราบ เหล่าคนตายพากันแยกย้าย กระจายตัวออกไป

 

ขณะที่บริเวณดังกล่าว บัดนี้ทิ้งไว้เพียงร่างโครงกระดูกขนาดใหญ่ของอสูรกายสามหัวที่ยังหลงเหลืออยู่

 

“อร่อย!”

 

“โอชายิ่งนัก!”

 

“มันน่าเสียดายจริงๆที่ข้าจะต้องไปเกิดใหม่ในเร็วๆนี้ แต่กลับพึ่งได้เคยอิ่มเอมกับมื้ออาหารเลิศรส!”

 

คนตายตนแล้วตนเล่าได้สื่อสารกันผ่านกระแสความคิดที่ไม้เท้าแห่งการจองจำเป็นคนสร้างขึ้น

 

แต่– ยังมีคนตายอีกนับหมื่นนับแสนล้านคนที่ยังไม่ได้กินสิ่งใดเลย

 

แล้วต้องทำยังไงล่ะ?

 

ตลอดทั่วทุกมุมโลก ฝูงคนต่ายต่างแหงนต่างขึ้นไปมองเบื้องบนโดยไม่รู้ตัว

 

นั่นไงอาหาร!

 

อาหารอันโอชะ!

 

“ลงมาสิ!”

 

“จงลงมา!”

 

“ลงมา!”

 

เสียงของคนตายที่เต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าโห่ร้องขึ้น

 

ขณะที่บนท้องฟ้า เสียงคำรามของเผ่ามารกลับค่อยๆแผ่วลง

 

นั่นเพราะเผ่ามารบางส่วนก็ได้คอยเฝ้ามองดูการเคลื่อนไหวของสถานการณ์เบื้องล่างอยู่เช่นกัน

 

ในฐานะที่ตนเป็นอาวุธสงครามที่ได้ต่อสู้มาแล้วหลายโลก พวกมันจึงตระหนักชัดว่าสิ่งมีชีวิตอันแสนยุ่งเหยิงเบื้องล่างนี้คือสิ่งใด

 

ตายแล้วฟื้น

 

ตายแล้วฟื้น

 

ตายแล้วฟื้น

 

ตายแล้วฟื้น

 

-ในตลอดทั้งหกโลก โลกปรภพนับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เลวร้ายที่สุด!

 

และตอนนี้ พวกคนตายก็ไม่จำเป็นต้องหลับไหลอีกต่อไป แต่กลับสามารถฟื้นคืนชีพในสถานที่เดียวกันได้เลยโดยตรง!

 

ความตื่นเต้น กระตือรือร้นที่จะต่อสู้ของพวกมันจึงได้ถดถอยลงไป

 

ขณะที่พวกมันบางตนเริ่มตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ

 

เดิมที พวกมันแค่ต้องการที่จะเฝ้ารอจนกระทั่งกำแพงแห่งอุปสรรคของโลกพังทลายลง จากนั้นก็ปรี่ลงไปล่าสังหาร กลืนกินอาหารแสนอร่อย

 

แต่ในเวลานี้ … ดูเหมือนว่าจะกลับกลายเป็นพวกมันเสียเองที่กลายเป็นผู้ถูกล่า

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.423 – กำลังเสริมจากปรภพ

 

ในขณะนั้นเองเทพสวรรค์ก็ถูกดึงตัวกลับมา

 

กษัตริย์อาชูร่าคำรามดั่งฟ้าผ่า “ผนึกลงทัณฑ์ จงพันธนาการ!”

 

13 โครงกระดูกวาดมือออก สาดเลือดที่กุมอยู่ในมือจนบังเกิดละอองเลือดฟุ้งไปทั่วชั้นอากาศ

 

ตลอดทั้งห้องบังเกิดแสงสีแดงสาดกระทบ

 

วินาทีต่อมา ชายชราชุดคลุมแดงก็หายวับไปพร้อมกับ 13 โครงกระดูก

 

ขณะเดียวกัน ตำแหน่งที่พวกเขาหายตัวไป บังเกิดแอ่งหลุมที่สาดแสงสีแดงปรากฏขึ้น

 

กษัตริย์อาชูร่ายังคงร่ายคาถาคำมั่นสาบาน ประจำการอยู่หน้าปากทางเข้าหลุม

 

และในตอนนั้นเอง ก็บังเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นในความว่างเปล่า

 

ตามด้วยชุดเกราะรบสีดำที่ในมือถือกระบี่ยาวสาดแสงทมิฬปรากฏกายขึ้น

 

“เจ้าจะสามารถกักตัวเขาไว้ได้นานแค่ไหน?” นายพลภูติเอ่ยถาม

 

“ตราบเท่าที่เจ้าไม่ประวิงเวลาปล่อยให้เขาใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราได้ ข้าก็จะสามารถสะกดเขาไปได้อีกนานแสนนาน” กษัตริย์อาชูร่ากล่าว

 

นายพลภูติหัวเราะแทบคลั่ง “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง ข้าจะทำให้เขามิอาจมีเวลามาใส่ใจสิ่งใดได้เลย”

 

ว่าจบ มันก็พรวดเข้าไปในแอ่งหลุม

 

“แค่คำพูดของเจ้า ข้าเกรงว่ามันอาจจะไม่เพียงพอน่ะสิ … ”

 

ว่าแล้ว กษัตริย์อาชูร่าก็วิ่งตามเข้าไปในหลุม

 

และทันทีที่เขาก้าวเข้าไป แสงสีแดงที่สาดกระทบไปทั่วห้องก็มอดลง จนสุดท้ายก็หายไป

 

พร้อมกับร่างของชายชุดดำที่ปรากฏตัวขึ้นตามมาอย่างฉับพลัน

 

หลาน

 

ท่าทีการแสดงออกของเขาเวลานี้ช่างดูตื่นเต้นราวกับว่าทั้งคนทั้งร่างได้คลั่งไปแล้ว

 

“เทพสวรรค์ได้ถูกสะกดอยู่ที่นี่ นี่เป็นโอกาสเดียวในรอบหมื่นปี! ข้าจะไปยังอาณาจักรสวรรค์และช่วยเหลือชิงหยิน!” เขาหันมาเอ่ยกับกู่ฉิงซาน

 

วินาทีต่อมา เขาก็เลือนรางลง จนแทบจะหายไปจากความว่างเปล่า

 

“ช้าก่อน!” กู่ฉิงซานเอ่ยตะโกน

 

“มีเรื่องอะไร? ยังต้องการอะไรอีก? ข้าก็ให้รางวัลแก่เจ้าไปแล้วมิใช่หรอกหรือ?”

 

ร่างของหลานเอ่ยถามด้วยความงงงวย

 

“นั่นท่านกำลังจะไปช่วยชีวิตนางอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ก็แล้วมันมีปัญหาอะไร ในเมื่อเทพสวรรค์ก็ถูกขังอยู่ที่นี่แล้ว?”

 

“ดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่เข้าใจถึงความหมายที่ชิงหายต้องการจะสื่อผ่านไพ่” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างรวดเร็ว “นายพลภูติและกษัตริย์อาชูร่าเป็นกุญแจสำคัญในการสะกดเทพสวรค์ก็จริง แต่ไพ่ใบที่สามที่เธอส่งมาก่อนจะสิ้นใจลง มันคือปริศนาที่มีความนัยบ่งบอกว่าท่านจะต้องต่อกรกับ ‘ตัดขาดเวลา’ .. ท่านจะต้องหาทางจัดการกับสกิลเทวะนี้ให้ได้เสียก่อน!”

 

“เรื่องนั้นคงไม่ต้องกังวลหรอก เพราะเทพสวรรค์ชุดคลุมแดงเป็นผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพคนเดียวเท่านั้นที่สามารถสำแดงตัดขาดเวลา ได้!”

 

กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “ท่านยังไม่กระจ่างใจอีกหรือ ความหมายที่เธอจะสื่อก็คือ เธอจะต้องถูกขังอยู่ในสถานที่ๆรายล้อมไปด้วยเทพสวรรค์ ในขณะเดียวกันก็มีค่ายกลกับดัก ‘ตัดขาดเวลา’รวมอยู่ด้วย ท่านจะต้องมั่นใจว่าจะสามารถแก้สองเรื่องนี้ให้ได้ก่อน มันจึงจะเป็นไปได้ที่จะช่วยเหลือเธอ!”

 

พอหลานได้ฟัง ทั้งคนทั้งร่างก็พลันตะลึงงัน

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “ฉานนู่”

 

“ข้าอยู่นี่” ฉานนู่ปรากฏกายขึ้น

 

“เจ้าจงติดตามไปช่วยเหลือเขา และข้าอนุญาตให้เจ้าใช้ทักษะและประสบการณ์ของข้าเมื่อใดก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ”

 

“เจ้าค่ะนายน้อย!”

 

กู่ฉิงซานหันไปกล่าวกับหลานต่อ “ดาบของข้าสามารถทำลายได้ทุกกฏเกณฑ์ และมันจะเป็นตัวแปรสำคัญในการสกัดกั้นสกิลเทวะตัดขาดเวลา เธอสามารถแหกกฏเวลาที่หยุดนิ่งในไพ่ใบที่สามได้ ฉะนั้นข้าขอส่งเธอไปกับท่าน!”

 

หลานมองไปยังฉานนู่ ขณะเดียวกันก็สลับกลับมามองกู่ฉิงซานก่อนจะสูดหายใจลึกเข้าเต็มปอด

 

“ขอบใจเจ้ามาก บุญคุณนี้ข้าจะจดจำไว้ในจิตใจ” หลานกล่าว

 

หลานเดินมาหยุดหน้าฉานนู่และวาดไพ่ออกไป

 

ตัวไพ่เปล่งประกายสีสดใส มันสาดเข้าปกคลุมทั้งหลานทั้งดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วดูดทั้งสองหายเข้าไปในความว่างเปล่า

 

หลังจากที่ทั้งสองจากไป

 

เข็มวินาทีในนาฬิกาบนผนังก็กลับมาเริ่มขยับอีกครั้งในที่สุด

 

วินาทีต่อมา

 

ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ปกติ

 

ประธานาธิบดียังคงครุ่นคิด

 

ขณะที่แอนนา ซางหยิงฮ่าว และเย่เฟย์หยูยังคงอยู่ในท่วงท่าเดิม

 

ทุกคนในห้องไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เลย

 

มีเพียงหมาดำเท่านั้นที่กำลังแสดงให้เห็นถึงสีหน้าขบคิดอย่างลึกซึ้ง

 

“เทพสวรรค์ถูกขังอยู่ในอาณาเขตของคำมั่นสาบานอันทรงพลานุภาพ แล้วชายที่พึ่งปรากฏตัวออกมาก็ยังเดินทางไปยังอาณาจักรสวรรค์อีก แล้วเจ้าเล่า? เจ้ากำลังวางแผนจะไปที่ใด?” หมาดำเปล่งเสียงดังเอ่ยถามกู่ฉิงซานในทันใด

 

“ไม่หรอก ข้าไปไม่ได้ และไม่ต้องการจะไปด้วย” กู่ฉิงซานส่ายหัว

 

ก๊าซซซซ!

 

บนท้องฟ้าเหนือวิลล่า เสียงคำรามของเผ่ามารดังสะท้อนอย่างต่อเนื่อง

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่เพียงลำพัง รับฟังเสียงจากภายนอก

 

“สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือหวังให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ท้ายที่สุดนี้ ด้วยตัวข้าเพียงลำพังน่ะมันไม่อาจช่วยเหลือผู้อื่นได้ หากมีข้าเพียงลำพัง ก็คงทำได้แค่เพียงเฝ้ารอวันสิ้นโลกที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น” เขาถอนหายใจยาว

 

“จริงด้วยสิ โลกกำลังใกล้จะมาถึงจุดจบแล้ว” หมาดำเอ่ยงึมงำ

 

ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็พบว่าบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม มีสองบรรทัดเส้นแสงตัวอักษรสาดประกายขึ้น

 

“การผสานรวมกันระหว่างโลกมนุษย์และโลกปรภพกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น”

 

“ยิ่งไปกว่านั้น กำลังเสริมจากโลกปรภพก็ได้มาถึงแล้ว”

 

กู่ฉิงซานส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจออกมาถึงครั้งหนึ่ง

 

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรปรภพหรืออาวุธปรภพ ก็มิอาจเผชิญหน้ากับเผ่ามารและอสูรกายที่มีจำนวนไร้ที่สิ้นสุดนี้ได้หรอก … ลำพังแค่พวกมันและเขา ย่อมมิอาจช่วยเหลือโลกใบนี้ได้

 

ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง!

 

เสียงเคาะดังกึกก้อง

 

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ ทุกคนกลับแสดงสีหน้าที่เผยถึงความสนใจออกมา

 

เพราะคราวนี้ เสียงมันดังมาจากประตูทางเข้าวิลล่า มิใช่มาจากความว่างเปล่า

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานตระหนักชัดว่าอาวุธจากปรภพได้มาถึงแล้ว

 

แต่เขาก็ยังไม่คิดจะเคลื่อนไหวใดๆในตอนนี้

 

เขาเหนื่อยล้า .. ทั้งคนทั้งร่างอ่อนแอ ความรู้สึกในแง่ลบต่างๆท่วมเข้ามาทับถมเขาจนหายใจไม่ออกราวกับกำลังจะจมน้ำตาย

 

เขาได้ทุ่มทั้งแรงและเวลาอย่างหนัก แต่สุดท้ายกลับต้องพบเจอกับผลลัพธ์เช่นนี้

 

ฉะนั้นตอนนี้ เขาจึงไม่ต้องการที่จะคิดอะไรเกี่ยวกับมัน ที่ต้องการก็เพียงแค่ปล่อยให้สมองของตัวเองได้ว่างเว้นเสียหน่อย

 

เขาหยิบขวดไวน์บนโต๊ะขึ้นมาและเทใส่แก้วของตัวเอง

 

“หือ?” ซางหยิงฮ่าวมองไปที่มัน

 

แล้วเจ้าตัวก็นิ่งค้างไปชั่วเวลาหนึ่ง

 

“ช่างมันเถอะ ไวน์ขวดนี้นับว่าคู่ควรแล้วที่จะดื่มให้กับวันสิ้นโลก”

 

ซางหยิงฮ่าวเดินเข้ามา เริ่มรินมันใส่แก้ว แล้วส่งให้กับทุกๆคน

 

ประธานาธิบดีรับแก้วไวน์มา “ขอบคุณสำหรับไวน์ ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ ฉันหวังว่าจะได้ตายลงท่ามกลางสนามรบไปพร้อมกันกับพวกเธอทุกๆคนนะ”

 

สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่ายกมันขึ้นดื่มจนหมดแก้วในอึกเดียวและกล่าวว่า “ส่วนข้า คาดหวังแค่เพียงขอให้ตนเองตกตายลงอย่างไม่เจ็บปวด”

 

กู่ฉิงซานยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้ง แต่เขามิได้เอ่ยอะไรออกมา

 

ขณะที่แอนนาเดินเข้ามาชนแก้วกับเขาแล้วยกดื่ม

 

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะอยู่กับนายเสมอ” เธอเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน

 

ส่วนเย่เฟย์หยูยืนขึ้น และเปิดประตูเดินออกไป

 

แต่ไม่นานนนัก เขาก็รีบวิ่งกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับความตื่นตระหนกที่เด่นชัดอยู่บนใบหน้า

 

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ? นายคงจะแปลกใจสินะ พวกนั้นคืออาวุธและเครื่องจักรปรภพที่พึ่งมาถึงน่ะ วางใจเถอะ” กู่ฉิงซานเห็นถึงท่าทีของอีกฝ่าย จึงกล่าวอธิบายออกไป

 

“ไม่! ไม่ใช่แบบนั้น! ฉัน … ฉันว่านายควรจะออกมาดูเองนะ” เย่เฟย์หยูกล่าว “เป็นผู้หญิงล่ะ! ข้างนอกเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่นำคนจำนวนมาก มาก มาก มาก มาก มากๆๆๆ มาที่นี่และเธอบอกว่ามีสิ่งหนึ่งที่จะต้องมอบมันให้แก่นาย”

 

“ผู้หญิงอีกแล้ว?” แอนนาผุดลุกขึ้นยืนทันที

 

“ต้องการจะมอบสิ่งหนึ่งให้ฉัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยปากด้วยความประหลาดใจ

 

“อ่า เธอบอกว่าเธอมีนัดดวลกับนาย แต่ตอนนี้มันดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”

 

นัดดวลงั้นหรอ …

 

วินาทีนั้นเอง สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลายอย่างกระทันหัน เขาผุดลุกขึ้นทันใด และเดินตรงไปที่ประตู

 

ขณะที่แอนนาก็เดินติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิด

 

พร้อมกับหมาดำที่ประกบติดอยู่ข้างหลังเธอ

 

ซางหยิงฮ่าวสังเกตเห็นว่าสีหน้าของกู่ฉิงซานมันผิดปกติ จึงตามออกไปด้วย

 

ส่วนประธานาธิบดีกับเวโรน่า ทั้งสองหันมามองกันวูบหนึ่งและตัดสินใจตามไปเช่นกัน

 

ทุกคนเดินตามกู่ฉิงซานออกไป เพื่อต้องการดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

กู่ฉิงซานผลักประตูเปิดออก

 

เบื้องหน้าเขา คือหญิงสาวที่หน้าตาหมดจดงดงามที่ในมือข้างหนึ่งกำลังถือกระบี่ยาวอยู่

 

เป็นหญิงงามเผ่าอาชูร่า

 

คนตายทั้งเจ็ดกำลังปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงออกมาโดยมีเธอเป็นหัวหอก พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ในพื้นที่โล่งกว้างหน้าประตู

 

กู่ฉิงซานกลายเป็นโง่งม

 

“ทำไมถึงมีคนเยอะมากมายขนาดนี้” ประธานาธิบดีเอ่ยเสียงกระซิบ

 

“พวกเขาคือคนตายน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ก็แล้วทำไมถึงมีมากแบบ … ”ซางหยิงฮ่าวเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

เบื้องหลังผู้คุมนรกทั้งเจ็ด

 

บนภูเขา ฝูงชนอันไร้ที่สิ้นสุดกระจุกตัวกันอย่างหนาแน่น ลากยาวจากเขตภูเขาไปจนถึงพื้นที่ราบลุ่ม ข้ามผ่านแม่น้ำ ขยายกว้างไกลออกไปถึงเมืองหลวง … และทั้งหมดล้วนคือคนตาย!

 

พวกเขายืนนิ่งอยู่อย่างเงียบๆ

 

และกระจุกตัวกันปกคลุมไปตลอดทั้งโลก!

 

ในขณะนั้นเอง เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น “ใต้เท้า ดาวเคราะห์โลกยังคงขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะในตอนนี้ จู่ๆก็มีคนตายนับล้านๆคนปรากฏตัวขึ้นปกคลุมไปตลอดทั้งโลก!”

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไปช่วงเวลาหนึ่งจึงได้สติกลับคืน

 

“พวกเจ้า — ไม่ใช่ว่าได้ไปเกิดใหม่กันแล้วหรอกหรือ?” เขาเอ่ยถาม

 

ผู้คุมนรกทั้งเจ็ด หันไปสบตากัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า

 

“ก็ข้าดันไปบังเอิญได้ยินมาว่าสงครามกำลังจะเริ่มต้นเสียก่อนน่ะซี” ชายชราเผ่ามนุษย์หัวเราะ

 

“มัน – ถึง – เวลา – ที่ -พวกเรา – จะ – แสดง – น้ำใจ”ยักษ์ทั้งสองเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหยาบกร้าน

 

“สู้กับพวกเผ่ามาร ที่กระทั่งคืนชีพก็ไม่สามารถทำได้น่ะ มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรหรอก” ชูร่าชายกล่าวดูถูกออกมา

 

“พวกเราจะแสดงให้เผ่ามารได้เห็นเอง ว่าหากคิดร้ายกับโลกมนุษย์ พวกมันจะพบกับจุดจบเช่นไร!” มนุษย์ปีศาจกล่าว

 

“ได้ยินมาว่าเนื้อเผ่ามารก็มีรสชาติไม่เลว ข้าเลยคิดว่าจะลิ้มลองมันดูเสียหน่อยก่อนที่จะออกเดินทางไปไกลแสนไกล” ราชันย์หมาป่ากล่าว

 

อาชูร่าหญิงเอ่ยปากออกมาด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไม่คิดที่จะจากไปเฉยๆหรอกนะ”

 

“พอดีว่าพวกเรายังมีเวลาว่างเหลืออยู่อีกหลายชั่วโมงน่ะ”

 

ขณะกล่าว เธอก็ก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่งลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

พร้อมกับหยิบยื่นสิ่งหนึ่ง ชูสูงขึ้นเพื่อมอบให้กับกู่ฉิงซาน

 

ตัวก้านเป็นสีดำสนิท ขณะที่ส่วนหัวมีกะโหลกเขาแหลมติดอยู่ พร้อมกับรังสีหมอกทมิฬที่คดเคี้ยวไปมารอบตัวมัน

 

-ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ

 

ชูร่าหญิงได้นำไม้เท้าแห่งการจองจำมาให้แก่กู่ฉิงซาน

 

“ทำไมกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ชูร่าหญิงเงยหน้าขึ้นมองเขา และเผยสีหน้าอ่อนโยนอันหาได้ยากยิ่งออกมา

 

“ท่านราชาภูติ ท่านได้ช่วยพวกเราเอาไว้ ตอนนี้พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกอีกต่อไปแล้ว แต่ขณะเดียวกัน พวกเราก็ยังไม่ต้องการที่จะรีบไปเกิดใหม่ทันทีเช่นกัน”

 

“แต่การยืดเวลาไม่ยอมไปเกิดใหม่ ไม่ยินยอมก้าวเข้าสู่สังสารวัฏ เลขบุญของพวกเจ้าจะค่อยๆถูกหักออกนะ” กู่ฉิงซานกล่าวเตือน

 

“เวลานั้นยังไม่มาถึง นอกจากนี้ วันสิ้นโลกก็กำลังกัดกร่อนตลอดทั้งหกโลกอย่างไม่รู้จบ และดูเหมือนว่า ก่อนที่พวกเราจะไปเกิดใหม่ ก็ยังสามารถได้รับบุญเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย”

 

“ไม่เพียงแต่จะได้รับบุญเพิ่มขึ้น แถมยังสามารถสร้างหนี้ให้กับราชาภูติที่เราโปรดปราน ขว้างหินก้อนเดียวได้นกถึงสองตัวเช่นนี้ จะมีผู้ใดเล่าที่ปฏิเสธ?” ชูร่าหญิงยิ้ม

 

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว สีหน้าของเขาค่อยๆผ่อนคลายลงช้าๆ

 

“ท่านราชาภูติได้โปรดบัญชาพวกเราด้วย” ราชันย์หมาป่ากล่าว

 

“ … แต่เจ้าไม่อาจต่อกรกับอสูรกายได้ แม้กระทั่งข้าเองก็ไม่อาจต่อกรกับมันได้เช่นกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ชูร่าหญิงกล่าว “พวกเราสามารถพิชิตชัยหอกหลากสีได้ – แถมยังไม่มีวันตาย ไม่ว่าอสูรกายจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่มันก็ยังด้อยกว่าหอกหลากสี ฉะนั้นพวกเราย่อมสามารถเอาชนะมันได้อย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานเงียบไป

 

เขาค่อยๆเอื้อมมือออกไปและรับไม้เท้าแห่งการจองจำมา

 

ขณะที่ชูร่าหญิงลุกขึ้นยืนและค่อยๆถอยกลับไป

 

กู่ฉิงซานยกไม้เท้าแห่งการจองจำขึ้น และหันไปเผชิญหน้ากับเหล่าคนตายทั้งหมด

 

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆและใช้ไม้เท้าแห่งการจองจำเชื่อมต่อกับกองทัพคนตาย

 

“ข้าขอขอบคุณที่พว-”

 

แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคหลังจนจบ เสียงของกู่ฉิงซานก็ถูกกลบไปด้วยเสียงคำรามจากทั่วทั้งโลกเสียก่อน

 

“ราชาภูติทรงพระเจริญ!”

 

“ราชาภูติทรงพระเจริญ!”

 

“ราชาภูติทรงพระเจริญ!”

 

เสียงสรรเสริญนี้ดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเสียงคำรนของฟ้าร้องสะเทือนไปทั่วผืนนภา , เสียงคำรามของคลื่นสึนามิซัดสาดสั่นสะเทือนไปตลอดทั้งผืนพิภพ

 

คนตายทั้งหมดโห่ร้อง และเริ่มเปล่งเสียงสรรเสริญให้แก่กู่ฉิงซาน

 

พวกเขานี่แหละ —- คือกำลังเสริมจากปรภพล่ะ!!!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.422 – เทพสวรรค์และ13โครงกระดูก

 

สกิลเทวะ : ตัดขาดเวลา

 

กู่ฉิงซานย้อนระลึกไปถึงการต่อสู้ที่เขาได้เผชิญในดินแดนแห่งความฝัน

 

ร่างของคนสองคนได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา

 

ผู้ใช้ไพ่ที่ชื่อชิงหยิน และเทพสวรรค์ในชุดคลุมแดง

 

ในบาร์ภายในโลกแห่งความฝัน ณ ความฝันที่สามของไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ มันได้แสดงให้เห็นถึงฉากที่เทพสวรรค์องค์นี้สังหารหญิงสาวลง

 

ในเวลานั้น เทพสวรรค์ได้บูชายัญเหล่าผู้นำของสี่กองทัพพันธมิตร เพื่อทำการอัญเชิญเทพที่แท้จริงจากโบราณอันไกลโพ้นมาสำแดงสกิลเทวะนี้

 

-ว่าแต่หลานล่ะ?

 

เขาจะได้เห็นถึงฉากที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้หรือไม่?

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานวูบไหวอย่างกระทันหัน

 

เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และสำรวจทะเลแห่งห้วงสติของตนเอง

 

ไพ่ได้ปรากฏขึ้นที่นั่น

 

ไพ่มนตราจากสำรับแห่งการแก้แค้น : กษัตริย์อาชูร่า

 

“กษัตริย์อาชูร่า ไพ่ศาสตร์มนตราจากสำรับแห่งการแก้แค้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ไพ่ใบนี้ถูกเปิดใช้งาน คำมั่นสาบานที่ทั้งสี่อาณาจักรได้ให้ไว้เมื่อ 10000 ปีก่อน จะก่อร่างพันธนาการขึ้นอีกครั้ง”

 

“คำสาบานของทั้งสี่อาณาจักร : เทพสวรรค์ , ผีร้าย , อาชูร่า และจ้าวอสูร จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่หักหลังกันและกัน ดั่งเช่นที่สี่ผู้นำแต่ละอาณาจักรได้เคยปฏิญาณเอาไว้”

 

“หากละเมิดคำสาบาน จักต้องถูกลงโทษอย่างสาสมโดยผู้นำของทั้งสี่อาณาจักร”

 

กษัตริย์อาชูร่ามองกู่ฉิงซานจากภายในไพ่ด้วยการแสดงออกทางสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นร้ายแรง

 

“เจ้าจดจำสิ่งที่พูดกับหลานได้หรือไม่?” กษัตริย์อาชูร่าเอ่ยถาม

 

“แน่นอน และข้าได้รับรางวัลจากเขามาแล้ว ว่าแต่ตอนนี้ข้าจะต้องทำอย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกำลังจะมาที่นี่ เจ้าต้องพยายามถ่วงเวลาเขาเอาไว้ ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยในการเปิดใช้คำมั่นสาบานแห่งสี่อาณาจักร”

 

“แล้วท่านต้องใช้เวลานานเท่าไหร่?”

 

“ยิ่งนานก็ยิ่งดี”

 

ณ ขณะนั้นเอง ไพ่อีกใบหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น

 

นายพลภูติ

 

“นายพลภูติ เป็นไพ่อัญเชิญจากสำรับแห่งการแก้แค้น  มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ที่สูงส่งเป็นอันดับต้นๆ”

 

กษัตริย์อาชูร่ามองไปทางนายพลภูติ “เจ้าพร้อมสำหรับการต่อสู้หรือไม่?”

 

นายพลภูติหัวร่ออย่างดุเดือด แต่ขณะเดียวกันน้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนกับว่ากำลังสะอื้นไห้เสียมากกว่า

 

“ข้ากำลังรอคอยที่จะได้ต่อสู้ในวันนี้ ข้าเฝ้าโหยหามันมาตลอดกว่า 10000 ปี!”

 

กษัตริย์อาชูร่าหันกลับมามองกู่ฉิงซานและกล่าว “นี่คือโอกาสเดียวเท่านั้น ได้โปรดช่วยถ่วงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุดด้วย!”

 

จากนั้น สองมือของเขาก็ประกบรวมเข้าด้วยกัน และเริ่มท่องคาถาคำสาบานของทั้งสี่อาณาจักรในครั้งอดีต

 

“เอาล่ะ ข้าเองก็จะพยายามถ่วงเวลาเขาให้ดีที่สุด … ” กู่ฉิงซานงึมงำ

 

เขาคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา เพื่อเรียกคืนความสงบมั่นคงกลับมาในจิตใจ

 

ดาบนี้ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากกฏเกณฑ์ทั้งหมด และเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำลายสกิลเทวะของฝ่ายตรงข้าม

 

“ฉานนู่  ในกรณีที่ข้าพยายามจะสู้ เจ้าสามารถใช้ทักษะและประสบการณ์ทั้งหมดของข้าเพื่อตอบโต้ศัตรูได้เลยนะ”

 

“เจ้าค่ะนายน้อย” ฉานนู่เริ่มประหม่าเล็กน้อย

 

ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง!

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง

 

ขณะนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงที่ดูสุภาพดังขึ้นจากในอากาศที่ว่างเปล่า

 

“ไม่ทราบว่าท่านราชาภูติอยู่ที่นี่หรือไม่?”

 

“ข้าอยู่นี่” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

“โปรดอภัยให้ข้าสำหรับการเยี่ยมเยือนโดยมิได้นัดหมายด้วย หากเจ้าพอจะมีเวลาว่าง ข้าก็อยากที่จะพบปะเจ้า เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดเพิ่มเติม  พอจะได้หรือไม่?”

 

“เชิญท่านชี้แนะ”

 

“นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

 

ทันใดนั้น จุดไฟสีดำก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

จุดไฟสีดำค่อยๆส่องสว่างและขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นเค้าโครงของร่างมนุษย์ที่ดูโปร่งแสง

 

จากเค้าโครงหน้า มันดูเหมือนเขาจะเป็นชายชราที่มีจิตใจดี

 

ผมสีเงิน สวมใส่เสื้อคลุมยาวสีแดงที่ดูงดงาม ขณะที่ในมือข้างหนึ่งถือคทา และกำลังลดระดับลงมาจากความว่างเปล่า

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยใบหน้าที่เงียบสงบ

 

ในทะเลแห่งห้วงสติของเขา ปรากฏโครงกระดูกเปื้อนเลือดขึ้นข้างกายกษัตริย์อาชูร่า

 

เมื่ออีกฝ่ายตระหนักถึงจิตสัมผัสเทวะของเขา กษัตริย์อาชูร่าก็กล่าวเตือนกู่ฉิงซานว่า “แค่นี้ยังไม่เพียงพอ เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงถึงขั้นเรียกเทพที่แท้จริงจากโบราณอันไกลโพ้นมา เพียงเพื่อต้องการทรยศคำมั่นสาบานของสี่อาณาจักร ฉะนั้น ข้าจึงจำต้องเสียสละ13 นายพลแห่งกองทัพพันธมิตรเพื่อจัดการกับเขา”

 

“ข้าจะต้องเปิดใช้งานคำมั่นสาบานของ 13 นายพล และปลุกจิตวิญญาณของพวกเขาที่หลับไหลมากว่า 10000 ปี ให้ฟื้นคืนกลับมา”

 

“จะสำเร็จหรือล้มเหลว ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถถ่วงเวลาให้ข้าได้นานแค่ไหน”

 

เขากล่าวออกมา จากนั้นก็เริ่มสวดท่องคาถาต่อไป

 

กู่ฉิงซานถอนจิตสัมผัสเทวะกลับคืน และมองไปยังเทพสวรรค์ในชุดคลุมแดง

 

ไม่ผิดแล้ว เขานี่แหละคือเทพสวรรค์ที่สังหารชิงหยิน

 

ต้องหาทางที่จะถ่วงเวลาเขาให้ได้ …

 

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าวทักทายอีกฝ่าย “คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีแขกในเวลานี้ แถมคนผู้นั้นยังทรงอำนาจถึงขั้นควบคุมเวลาอีกด้วย”

 

“ที่ข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่-”

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกำลังจะพูดต่อ แต่กู่ฉิงซานก็ผายมือออก ส่งสัญญาณเชื้อเชิญเขาให้นั่งลงเสียก่อน

 

“ได้โปรดเชิญนั่งลงก่อนเถอะ การยืนสนทนากันมันมิใช่มารยาทในการต้อนรับของข้า”

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงดูจะตกใจเล็กน้อย

 

“โอ้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะนั่งลงก่อนแล้วค่อยสนทนาก็ได้”

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกล่าว เขานั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน ขณะเดียวกันก็หรี่ตามองคนตรงหน้า

 

วินาทีต่อมา เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงก็เตรียมจะเอ่ยปากอีกครั้ง

 

แต่จู่ๆกู่ฉิงซานก็ผุดลุกขึ้นเสียก่อน และเดินปลีกตัวออกไป จากนั้นก็เปิดตู้แช่ไวน์

 

มันคือตู้แช่ไวน์ส่วนตัวของซางหยิงฮ่าว

 

“นั่นเครื่องดื่มอะไร?”

 

“ภายในนี้เต็มไปด้วยไวน์ที่ดีที่สุดที่มีในโลกมนุษย์ ได้โปรดลองเลือกมาสักขวดเถอะ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกวาดสายตาเข้าไปในตู้แช่ไวน์ แล้วอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “เจ้าทราบหรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

 

“ข้าเองก็ไม่รู้หรอก ทว่าแค่สังเกตจากทุกสิ่งรอบๆตัวก็พอจะตัดสินได้แล้ว”

 

“ความสามารถเช่นนี้ ตลอดทั้งชีวิตของข้าไม่เคยได้ยิน ได้เห็นมันมาก่อนเลย”

 

“หากได้ลองขบคิดต่อจากนี้ ก็พอจะบอกได้ว่าท่านจะต้องเป็นคนสำคัญมากๆอย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานยกแก้วไวน์สองใบขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แขกผู้มีเกียรติ มาเถิด ตัวข้าในฐานะมนุษย์ ขอดื่มแก้วนี้ให้แก่ท่าน”

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกำลังตั้งใจฟังอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะผุดยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าอย่างช้าๆ

 

“เจ้านี่มันไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงสามารถขึ้นเป็นราชาภูติได้” เขาเอ่ยชื่นชมออกมา

 

แต่กู่ฉิงซานไม่ได้ตอบกลับไป

 

เขายกไวน์ขึ้นมาสองขวดเพื่อลองเสนอให้อีกฝ่ายดู

 

“ไวน์ยู่หลูอายุกว่าร้อยปี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษที่มีชื่อเสียงของฟูซี ขวดนี้มีอายุถึงร้อยปี และจะมีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะสามารถดื่มมันได้”

 

“ส่วนนี่ คือไวน์ซ่งจากรัฐบาลกลาง มีอายุกว่า 700 ปี เป็นของสะสมของเก้าตระกูลใหญ่ ที่มักจะถูกนำสะสมเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งสถานะ ไม่มีใครเลยที่เต็มใจจะดื่มมัน”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็กวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปในทะเลแห่งห้วงสติ

 

โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สองได้ปรากฏขึ้นแล้ว

 

แต่โดยสิ้นเชิงแล้วมันจะต้องประกอบด้วยทั้ง 13 โครงกระดูกจึงจะประสบผลสำเร็จ และเวลานี้ … มันก็ยังเร็วเกินไป

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงถูกดึงดูดด้วยคำพูดของเขา อีกฝ่ายเอ่ยงึมงำออกมา “งั้นเอาเป็นขวดที่สองก็แล้วกัน”

 

กู่ฉิงซานแสดงท่าทีลังเลอยู่เพียงครู่หนึ่ง แล้วก็เปิดไวน์จุกก๊อกด้วยความสุขทันที

 

พร้อมกับกลิ่นหอมหวานของไวน์ที่ฟุ้งออกมา

 

‘ซางหยิงฮ่าวเอ๋ย อย่างน้อยสมบัติของนายก็ได้รับบทบาทสำคัญนะ อย่าเศร้าใจไปเลย’

 

กูฉิงซานลอบพูดขอโทษอย่างเงียบๆ

 

เทพสวรรค์หลับตาลง และสูดดมกลิ่นของมันที่ฟุ้งออกมาเล็กน้อย

 

สีหน้าของเขาเผยถึงความผ่อนคลายและพึงพอใจ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ใช่ นี่มันเป็นไวน์ที่ดีจริงๆๆ แม้ข้าจะเคยลงมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เคยได้สูดดมกลิ่นสิ่งมึนเมาที่หมหวานเช่นนี้มาก่อนเลย”

 

“ท่านอยากจะใส่น้ำแข็งเพิ่มหรือไม่?”

 

“ไม่ล่ะ ไวน์แบบนี้ดื่มเพียวๆนี่แหละดีที่สุด”

 

กู่ฉิงซานรินมันลงในแก้วและยื่นมันให้แก่เทพสวรรค์ชุดคลุมแดง

 

และเขาก็รินให้ตัวเองด้วย ‘โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย’

 

ทั้งสองนั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานจับจ้องฝ่ายตรงข้าม และยกไวน์ขึ้นดื่มอึกหนึ่ง

 

โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สาม ปรากฏขึ้นในทะเลแห่งห้วงสติอย่างเงียบๆ

 

ยังคงเหลืออีกสิบ

 

เทพสวรรค์วางแก้วไวน์ลงและถอนหายใจออกมา “ข้าขอบอกเลยว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้านี่มันช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชี่ยวชาญในด้านการหาความสำราญเสียจริงๆ”

 

กู่ฉิงซานยกแก้วขึ้น และจิบไปอีกหนึ่งอึก

 

มันหวาน ขณะเดียวกันก็เย็นและจัดจ้าน

 

หากนี่คือช่วงเวลาสุดท้ายของวันสิ้นโลก ไวน์แก้วนี้ก็นับว่ามีค่าคู่ควรกับเวลาเช่นนี้แล้ว

 

เขายกดื่มอีกครั้งและอีกครั้ง ก่อนจะยกขวดขึ้นมาเติมให้แก่เทพสวรรค์และตนเอง

 

“แก้วนี้เพื่อแสดงความนับถือแด่ท่าน” เขากล่าว

 

“และข้าขอขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างจริงใจของเจ้า” เทพสวรรค์กล่าว

 

ทั้งสองยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม

 

กู่ฉิงซานต้องการจะรินไวน์อีกครั้ง แต่คราวนี้เทพสวรรค์กลับโบกมือให้หยุด

 

“ไม่ล่ะ พอแล้ว ตอนนี้ข้าต้องการที่จะสนทนากับเจ้า”

 

กู่ฉิงซานวางขวดไวน์ลงและใส่จุกก๊อกปิดกลับคืน โค้งตัวลงเล็กน้อยแสดงท่าทีว่าจะตั้งใจฟัง

 

โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สี่ได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว

 

“ราชาภูติเอ๋ย กลยุทธ์การตอบโต้ของเจ้าค่อนข้างจะน่าตื่นตายิ่งนัก ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อ ถึงขั้นต้องลอบไปสังเกตการณ์ทางฝั่งปรภพด้วยตนเอง เพราะได้ยินมาว่าจู่ๆเผ่ามารทุกตนก็ได้ตกตายลงอย่างกระทันหัน”

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงที่นั่งอยู่บนโซฟากล่าวออกมาอย่างช้าๆ

 

“จากนั้น ข้าก็พบว่าเจ้าก็สามารถทำลายกลยุทธ์ทุกขั้นตอนของเผ่ามารลงได้ ทุกการลงมือของเจ้าช่างเป็นไปอย่างยอดเยี่ยมและทรงประสิทธิภาพ … จนกระทั่งมาสะดุดลงตรงแผนของข้า ที่ทำให้ตอนนี้เจ้าน่ะไร้ซึ่งหนทางที่จะถอยกลับได้”

 

“ข้าต้องขอบอกว่าข้าชื่นชมเจ้าจริงๆ ยังไงก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าทำได้แย่เหลือเกิน”

 

“โอ้? ข้าชักอยากจะฟังรายละเอียดเพิ่มเติมซะแล้วสิ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ในทะเลแห่งห้วงสติของเขา ข้างกายกษัตริย์อาชูร่า โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่ห้าได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว

 

“เจ้ายังไม่ชัดเจนอีกหรือ? สิ่งนั้นก็คือการที่เจ้าได้แบ่งปันบุญให้แก่พวกมดแมลงในนรกอย่างไรเล่า ทำให้พวกมันทั้งหมดได้รับโอกาสให้ไปเกิดใหม่ จนตอนนี้ นรกเลยกลายเป็นว่างเปล่า”

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงเอนตัวลงบนโซฟา และกล่าวอย่างสบายๆ “ท่านราชาภูติเอ๋ย นั่นนับว่าเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของเจ้า”

 

“ความล้มเหลว?” กู่ฉิงซานเผยท่าทีแสดงออกถึงความสับสน

 

“ใช่ เพราะทันทีที่นรกว่างเปล่า เจ้าก็ไม่มีเบี้ยในมือที่พร้อมใช้งานอีกต่อไป”

 

“เจ้าได้กลายเป็นราชาภูติที่โดดเดี่ยวไร้ซึ่งกองทัพ เข้าใจหรือไม่?”

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงถอนหายใจ แสร้งแสดงถึงความเสียใจออกมา

 

“ดังนั้น ตอนนี้เจ้าจึงมีเพีย-”

 

“ไม่ใช่! เป็นเพราะกลยุทธ์นั่นของข้าต่างหากจึงสามารถจัดการกับหอกหลากสีได้” กู่ฉิงซานขัดจังหวะอีกฝ่าย

 

เขาอธิบายว่า “เท่าที่ข้ารู้ แม้แต่เทพวิญญาณในปรภพเองก็ยังไม่สามารถหาวิธีรับมือกับหอกนั่นได้ หากข้าไม่ทำเช่นนั้น ก็ย่อมไม่มีวิธีแก้ปัญหาเรื่องหอกได้”

 

โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่หกปรากฏขึ้น

 

‘มันคงยังต้องใช้เวลาอีกเยอะสินะ’

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงผายมือออกและกล่าว “เหตุใดต้องไปจัดการกับหอกด้วย? ในฐานะกษัตริย์ เจ้าสมควรที่จะใส่ใจเกี่ยวกับอำนาจในมือตนเองต่างหาก”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “แต่พวกเขาได้ทุ่มเทเต็มที่ ดังนั้นบุญจึงเป็นรางวัลที่เปรียบเสมือนดั่งอาหารและเครื่องดื่มที่สมควรจะได้รับหลังจากการตรากตรำทำงานอย่างหนัก”

 

“นั่นประไรเล่า ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดตัวเจ้าถึงได้มาตกอยู่นสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าน่ะยังไม่กระจ่างชัด ว่ากษัตริย์น่ะสมควรที่จะควบคุมทุกสิ่งมีชีวิต เพื่อบรรลุแก่ทุกอำนาจของตนเอง” เทพสวรรค์แสดงความคิดเห็น

 

“แต่ในจุดนี้ ข้ากลับเห็นในมุมมองที่ต่างประเด็นออกไป” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“โฮ่? ลองว่ามาสิ”

 

“ข้าจำเป็นต้องสร้างแรงปรารถนาให้พวกเขาอย่างแท้จริง สร้างแรงดลใจเพื่อกระตุ้นศักยภาพของพวกเขาออกมา และการกระทำนี้ส่งผลให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่มุ่งหวังได้สำเร็จ!”

 

โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่เจ็ดปรากฏขึ้น

 

เหลืออีกหก

 

เทพสวรรค์จ้องมองเขา และจมลงสู่ความเงียบ

 

เขาราวกับกำลังเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาดอยู่

 

หลังจากผ่านพ้นไปช่วงเวลาสั้นๆ

 

“ลืมมันเถอะ สิ่งที่เจ้าทำน่ะอย่างไรมันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว สุดท้ายเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนฉากจบที่ข้าวางเอาไว้สำหรับโลกใบนี้ได้”

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงเอ่ยต่อ “ดังนั้น สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดก็คือ–”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันควัน “ท่านผู้ทรงเกียรติ ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร?”

 

ชายชราจ้องมองเขาด้วยความสับสน

 

ดีล่ะ คราวนี้ดูเหมือนว่าจะถ่วงเวลาเพิ่มขึ้นได้อีกหน่อยนะ

 

กู่ฉิงซานอธิบายว่า “ข้ายังไม่ทราบชื่อของท่านเลย จะให้เรียกผู้ทรงเกียรติๆ มันก็ดูจะไม่เป็นทางการมากเกินไป ข้าเกรงว่ามันจะไม่สุภาพหากไม่ได้เอ่ยชื่อท่าน”

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง และดูเหมือนว่าจะจมหายเข้าไปในความคิด

 

โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่แปดปรากฏขึ้น

 

“ความจริงแล้วการเอ่ยถึงชื่อของข้าจะทำให้เกิดการสอดรู้สอดเห็นจากการดำรงอยู่จำนวนมาก และอีกอย่าง การเจรจาส่วนตัวนี้ก็จะกลายเป็นการสนทนาสาธารณะไป” เขาเผยท่าทีกังวลเล็กน้อยออกมา

 

“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่เรียกข้าว่าเทพสวรรค์เล่า?”

 

“โอ้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านเป็นนายเหนือแห่งอาณาจักรสวรรค์อย่างนั้นหรือ?”

 

“ถูกต้อง”

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแสดงออกถึงความตื่นเต้น

 

“ในฐานะที่ตัวตนผู้ทรงเกียรติเช่นท่านได้มายังสถานที่แห่งนี้ ในช่วงเวลาที่โลกกำลังจะสูญสิ้น แถมยังมาเป็นการส่วนตัวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย — นี่แสดงว่าท่านกำลังจะมาเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติใช่หรือไม่!?” เขาเอ่ยถาม

 

“ไม่ ไม่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดไปโดยสิ้นเชิง” เทพสวรรค์ยกนิ้วขึ้นส่ายไปมา บนใบหน้าของเขากำลังแสดงถึงความรู้สึกเศร้าใจ

 

โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่เก้าปรากฏขึ้น

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกล่าวว่า “ข้าคิดว่าคงจะต้องทำให้มันชัดเจนเสียแล้วล่ะ นี่แหละคือสิ่งที่ข้ากำลังจะบอกแก่เจ้า”

 

“โอ้? เชิญชี้แนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

บนใบหน้าของเทพสวรรค์ปรากฏรอยยิ้มจางๆออกมา เขากล่าวว่า “ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อที่จะชื่นชมการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงของผู้แพ้”

 

“แต่ข้ากลับคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยังมิได้สิ้นหวังโดยสมบูรณ์” กูฉิงซานกล่าว

 

ชายชราชุดคลุมแดงกล่าว “นี่แหละคือสิ่งที่ข้าชื่นชมเจ้า และมันคือความสนุกของเรื่องราวทั้งหมด”

 

“กองทัพมารกำลังจะบุกเข้าสู่หกวิถีแห่งสังสารวัฏ และข้าก็จะนำเหล่าทวยเทพหลบหนีออกไป เวลานับว่ามีค่ายิ่งนัก ฉะนั้นเราจะทำให้เรื่องที่สมควรจะยาวจบลงแค่สั้นๆ”

 

“ผู้น้อยพร้อมจะรับฟังแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาใส่จิตสัมผัสเทวะลงไปในทะเลแห่งห้วงสติ

 

เห็นแค่เพียงโครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สิบปรากฏขึ้น แต่ยังคงเหลืออีก 3 ตนสุดท้าย

 

กษัตริย์อาชูร่ายังคงเปล่งรังสีแสงระยับ และท่องคาถามนตราอย่างเต็มกำลัง

 

นายพลภูติจ้องมองมายังกู่ฉิงซานแล้วกล่าวว่า “เจ้าทำได้ดีแล้ว จงดึงดูดความสนใจของมันต่อไป ขั้นตอนสุดท้ายกำลังจะเสร็จสมบูรณ์ในเร็วๆนี้!”

 

ภายในห้องนั่งเล่น ในที่สุด เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงก็ได้เอ่ยวัตถุประสงค์ในการมาเยือนของตนเองออกมาเสียที

 

“นรกว่างเปล่า ขณะที่โลกมนุษย์นั้นอ่อนแอ ทั้งสองโลกนี้ไม่อาจช่วยเหลือได้อีกแล้ว แต่ทว่าความสามารถของเจ้าช่างเป็นเลิศนัก ข้าจึงคาดหวังว่าเจ้าจะพิจารณาเรื่องที่มาอยู่ใต้อาณัติข้า”

 

“อยู่ใต้อาณัติท่าน?”

 

“ใช่ เป็นข้าเองที่สังหารราชาภูติ และตอนนี้ข้าก็หวังที่จะได้จับมันเป็นทาสเพิ่มอีกหนึ่ง”

 

“ท่านน่ะหรือสังหารราชาภูติ? นั่นมันเป็นไปไม่ได้!” กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว

 

“มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอก” เทพสวรรค์เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา

 

“ก็โลกปรภพน่ะมีไม้เท้าแห่งการจองจำเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และอีกอย่างก็ข้านี่แหละคือราชาภูติ ไม่มีคนอื่นอีก”

 

“ที่เจ้ากล่าวมามันก็ใช่ แต่อันที่จริงแล้วข้ากำลังกล่าวถึงเรื่องราวเมื่อ 10000 ปีก่อนต่างหาก”

 

บนใบหน้าของเทพสวรรค์ ได้เผยถึงการร่องรอยของการระลึกย้อความทรงจำ

 

10000 ปีที่ผ่านมา ช่างเป็นแผนการที่สุดแสนจะกระตุ้นหัวใจยิ่งนัก จนกระทั่งตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังจดจำได้ถึงตื่นเต้นหวาดเสียวในตอนนั้นได้อยู่เลย

 

และมันก็ประสบความสำเร็จเสียด้วย ดังนั้นในทุกครั้งที่เขาย้อนคิดถึงเรื่องนี้ มันจะก่อให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอมในชัยชนะเล็กน้อย

 

รอยยิ้มแย้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเทพสวรรค์

 

โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สิบเอ็ดได้ปรากฏขึ้น

 

เหลืออีกแค่สองเท่านั้น!

 

เทพสวรรค์ได้สติกลับคืน

 

ทันใดนั้นจู่ๆเขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องกล่าวเรื่องไร้สามาระให้มันมากความไปกว่านี้อีกต่อไป และหันมาเผชิญหน้ากับราชาภูติ

 

ได้ยินแค่เพียงเสียงของกู่ฉิงซานที่เอ่ยถาม “ท่านลงทุนมาเยือนถึงที่นี่เพื่อชักนำข้า ย่อมจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน”

 

“เจ้าเดาได้ถูกต้อง”

 

“เช่นนั้น แล้วสิ่งที่ท่านต้องการจากข้าคืออะไร?”

 

“ก็เทคนิคมนตราจำเพาะ – ที่เจ้าสามารถแยกร่างจิตวิญญาณออกจากกายมุนษย์แล้วไปยังโลกปรภพ และสามารถใช้มันอีกครั้งเพื่อหวนกลับมาได้”

 

“นอกเหนือจากนั้น ก็คงจะเป็นวิชาที่เจ้าใช้เปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นคนตาย จนสามารถขึ้นมาเป็นราชาภูติได้ วิชาลี้ลับที่แสนจะมีมนต์ขลังเช่นนี้ กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่เคยได้พบได้เจอมาก่อนเลย”

 

ดวงตาของชายชราชุดคลุมแดงสาดประกายวาว

 

เขาโน้มตัวไปข้างหน้า จดจ้องมายังกู่ฉิงซานและกล่าว “จงยอมมอบวิชาลี้ลับของเจ้ามาเสีย แล้วข้าจะให้เจ้าเป็นทาสแห่งอาณาจักรสวรรค์ นำพาเจ้าหลบหนีออกจากโลกทั้งหกที่กำลังจะล่มสลายลงนี้”

 

“นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดไปได้” ชายชราชุดคลุมแดงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลองคิดถึงเผ่ามารนับไม่ถ้วนและอสูรกายที่กำลังจะมาถึงโลกมนุษย์ในไม่ช้า แต่เจ้ากลับเป็นเพียงราชาภูติที่โดดเดี่ยวไม่มีกำลังรบใดๆอยู่ในมือ – เจ้าจะตกตายอยู่ภายใต้ความสิ้นหวัง”

 

“ข้าได้เฝ้าดูเจ้ามาเป็นเวลานานแล้ว และเห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ดังนั้นข้าเชื่อว่าเจ้าสมควรจะรู้ดีว่าต้องเลือกทางใด”

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง แสดงท่าทีขบคิด

 

โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สิบสองปรากฏขึ้นแล้ว พวกเขาทุกคนกำลังคุกเข่าต่อหน้ากษัตริย์อาชูร่าเพื่อทำการเรียกโครงกระดูกตนสุดท้ายด้วยกัน

 

“ท่านสามารถให้เวลาข้าสักหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับมันได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ข้าเสียใจจริงๆ แต่เจ้าจะต้องตัดสินใจในตอนนี้ทันที – สำหรับการต้อนรับด้วยไวน์เลอค่าของเจ้า ข้าจึงไม่ได้บีบบังคับเจ้าในทันที หวังว่าเจ้าจะตระหนักเกี่ยวกับจุดนี้เอาไว้ด้วย” เทพสวรรค์กล่าว

 

“เข้าใจแล้ว แต่เมื่อครู่ยังมีสิ่งที่ท่านกล่าวผิดอยู่นะ ตัวข้าน่ะ จะไม่ตกตายอยู่ภายใต้ความสิ้นหวังหรอก”

 

เทพสวรรค์ยิ้มออกมาอย่างไม่คาดคิด

 

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? โลกมนุษย์มีตัวตนที่แข็งแกร่งอยู่ไม่มากนัก และนักรบที่แท้จริงก็หาได้ยากยิ่ง ในสถานการณ์อันไร้ซึ่งหนทางเช่นนี้ ข้าไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเจ้าคิดจะกระทำสิ่งใด?” เขาเอ่ยถามด้วยความสนใจ

 

“โลกปรภพน่ะ กำลังจะถูกผสานรวมเข้ากับโลกมนุษย์แล้ว”

 

“นั่นก็ใช่ แต่แล้วมันอย่างไร? ข้ามั่นใจว่ากำแพงอุปสรรคที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่เพราะสิ่งนั้นมันคงจะสายเกินไป  หากต้องเผชิญหน้ากับเผ่ามารอันไร้ที่สิ้นสุดจนกว่าจะถึงช่วงเวลานั้น ตัวเจ้าจะสามารถทำได้หรือ?”

 

“ไม่หรอก แต่ข้าอาจจะเป็นคนแรกที่ตายก่อนในสนามรบ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เป็นคนแรกที่ตายก่อนในสนามรบ?” ชายชราชุดคลุมแดงไม่เข้าใจ

 

“เป็นคนแรกที่ตายในสนามรบ จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นคนตาย เท่านี้ก็จะสามารถเผชิญหน้ากับชีวิตและความตายได้อย่างกล้าหาญ ไล่ล่าสังหารเผ่ามารที่อยู่ในโลกนี้ตลอดไป”

 

น้ำเสียงของกู่ฉิงซานลดระดับลงอย่างช้าๆ การแสดงออกของเขาช่างสงบนิ่ง ราวกับสิ่งที่กำลังพูดอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง

 

“จะหนึ่งปี สิบปี ร้อยปี หรือเป็นพันๆปี หมื่นปี ข้าก็จะไล่สังหารเผ่ามาร เพื่อเฝ้าดูว่าเมื่อใดมันจึงจะได้รับรู้ว่าความหวาดกลัวคือสิ่งใด!”

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงฟังกู่ฉิงซานเอ่ยบรรยายอย่างช้าๆ ขณะที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆหายไป

 

“เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด แต่แท้จริงแล้วเจ้านับว่าคู่ควรกับชื่อเสียงของราชาภูติอย่างแท้จริง … ในอีกความหมายนึงน่ะนะ” เทพสวรรค์กล่าว

 

“ข้ากำลังเฝ้ารอคอยที่จะได้ต่อสู้และสังหารทุกวี่วันในอนาคต” กู่ฉิงซานกล่าว

 

น้ำเสียงของเทพสวรรค์เผยถึงความโกรธเล็กน้อย “นี่เจ้าไม่เข้าใจอีกหรือ? คนตายน่ะถูกผูกมัดเอาไว้กับกฏเกณฑ์แห่งหกวิถีของปรภพ เจ้าจะติดอยู่ในดินแดนนี้ตลอดไป นอกจากนี้ เผ่ามารนับไม่ถ้วนคงจะยึดครองโลกไปแล้ว และนั่นหมายความว่าเจ้าจะมิได้เกิดใหม่อีกเลย”

 

“ก็แล้วมันอย่างไรเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เทพสวรรค์ตัวแข็งค้างไป

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่สักพักจึงกล่าว “ในความเป็นจริงแล้ว พอได้มาลองคิดดูอย่างรอบคอบเกี่ยวกับมัน ดูเหมือนว่าข้าจะรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย”

 

เขาราวกับกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง และการแสดงออกทางสีหน้าก็ค่อยๆผ่อนคลายลง

 

ใช่ เขาไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

 

จะต่อสู้จนหยดสุดท้ายอย่างไร้ปราณี

 

นั่นคือความตั้งใจสุดท้ายของเขา

 

เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงได้ตระหนักถึงเรื่องนี้

 

เขาหุบปากลง และเงียบงันไปเป็นเวลานาน

 

“เจ้ามันวิปลาส … ” เขาเอ่ยพึมพำ

 

เทพสวรรค์ผุดลุกขึ้นยืนทันใด “แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว การดำรงอยู่ของตัวตนเช่นเจ้ามันอันตรายเกินไป ข้าสมควรจะสังหารเจ้าซะเดี๋ยวนี้ และกระทั่งจิตวิญญาณของเจ้าก็สมควรที่จะถูกทำลายลง!”

 

เขาวาดคทาในมือออกไป

 

และพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดก็หลั่งไหลออกมาจากกายเขา ควบแน่นหลอมรวมกันบนคทา

 

ในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานก็เข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติ

 

13 โครงกระดูกเปื้อนเลือดปรากฏกายขึ้นทั้งหมดแล้ว ปากพวกมันอ้าขยับ เปล่งเสียงตะโกนออกมาพร้อมกัน “ดำเนินการ … แก้แค้น …”

 

ในเสี้ยววินาที เหล่าโครงกระดูกเปื้อนเลือดก็หายไปจากทะเลแห่งห้วงสติของกู่ฉิงซาน และปรากฏกายขึ้นภายในห้องนั่งเล่น

 

“—นี่มันการลงทัณฑ์ของผู้ที่ปฏิเสธในคำมั่นสาบาน!” ชายชราชุดคลุมแดงสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลายครั้งใหญ่

 

เขายกคทาในมือขึ้น ปากร่ำร้องตะโกน “นี่มันเป็นไปไม่ได้ พวกเจ้าทุกคนได้ตายไปแล้วชัดๆ!”

 

บนคทามนตรา บังเกิดแสงจรัสสีขาวสดใสปะทุออกมา และห่อหุ้มร่างของชายชราชุดคลุมแดงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่า

 

กษัตริย์อาชูร่าปรากฏกายขึ้น เปล่งเสียงเบาราวกระซิบ “ด้วยตัวข้าเองที่เป็นหลักฐานอันกระจ่างชัด คำมั่นสาบานนับว่าถูกต้อง ผนึกลงทัณฑ์ – จงพันธนาการ!”

 

13 โครงกระดูกอาบเลือดรายล้อมรอบเทพสวรรค์ในชุดคลุมแดงเริ่มสาดแสง

 

พร้อมกับเทพสวรรค์ก็ถูกดึงตัวกลับมา

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.421 – เตรียมการ

 

ณ โลกมนุษย์

 

รัฐบาลกลาง

 

ภายในวิลล่าบนภูเขา

 

ชั้นอากาศที่ว่างเปล่าพลันเกิดรอยแยกขึ้นอย่างกระทันหัน

 

ตามมาด้วยสาวสวยในชุดคลุมสีฟ้าที่ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าฝูงชน

 

เธอหันไปมองรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็นและเอ่ยถามว่า “นายน้อย ที่นี่คือโลกมนุษย์อย่างงั้นหรือ?”

 

เธอปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน ทั้งคนทั้งร่างของเธอกำลังปล่อยไอเย็นจางๆที่ทำให้รู้สึกสบายออกมา ขณะที่อากัปกริยาภายนอกดูเย็นชา ยากที่จะเข้าหา

 

เย่เฟย์หยูกับซางหยิงฮ่าวผุดลุกขึ้น ราวกับว่ากำลังตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับศัตรูที่ยิ่งใหญ่

 

ส่วนแอนนา เธอเคลื่อนกายมายืนขวางเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

“แกเป็นใครกัน” แอนนาเอ่ยถามเสียงหม่น

 

ฉานนู่หันศีรษะไปมองแอนนา ก่อนจะเบนสายตาข้ามไปมองกู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องหลัง

 

เธอโน้มตัวลง เอ่ยปากทักทาย “ทุกท่านคงจะเป็นสหายของนายน้อยสินะ พวกท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าคือดาบของเขาเอง”

 

นายน้อย?

 

ดาบ?

 

หลายคนนิ่งงันไป ไม่อาจตอบสนองต่อคำกล่าวตรงหน้าได้ในทันที

 

แต่แล้วในเวลานั้นเอง กู่ฉิงก็ลืมตาขึ้น

 

เขาเหยียดแขนบิดขี้เกียจและเอ่ยปากออกมา “เฮ้อ ช่างเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานเสียจริงๆ”

 

แอนนาหันมาคว้ามือเขาและเอ่ยถามทันที “เธอบอกว่าเป็นดาบของนาย นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

 

“แล้วสถานการณ์ในนรกล่ะ?” ประธานาธิบดีเอ่ยถาม

 

“เทพปรภพหน้าตาเป็นยังไง? แข็งแกร่งมากไหม?” เย่เฟย์หยูถาม

 

“พวกเราตรวจพบว่านรกได้หายไปจนหมดแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกมันยังจะปรากฏขึ้นมาอยู่อีกรึเปล่า?” ซางหยิงฮ่าวถาม

 

ขณะที่สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าดูเหมือนจะอยากเอ่ยถามออกมาเหมือนกัน แต่คนอื่นๆดันถามสิ่งที่เธออยากรู้ออกไปจนหมดแล้ว เจ้าตัวจึงยักไหล่ และยกสองมือขึ้นกอดอก เฝ้ามองเขาอย่างเงียบๆ

 

“ก็ … โดยสังเขปแล้วเรื่องราวได้รับการแก้ไขเรียบร้อย โลกไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ฝูงชนพอได้ยิน ก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาพร้อมกัน

 

“เอาล่ะ ไปตามเหลียวฮังกลับมา บอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมยานอวกาศแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“รับทราบใต้เท้า” เทพธิดากงเจิ้งขานรับ

 

ขณะเดียวกัน แอนนาก็ชี้ไปทางฉานนู่ และต้องการที่จะยืนยันอยู่ดี “ว่ายังไง? ตกลงเธอคนนี้เป็นใคร?”

 

“ขอฉันแนะนำให้เธอได้รู้จักนะ ผู้หญิงตรงหน้านี้คือจิตแห่งดาบ เธอเป็นดาบที่สามารถเบิกภูมิปัญญาทางจิตได้ มีชื่อว่าฉานนู่” กู่ฉิงซานอธิบาย

 

ฉานนู่โค้งตัวลงหันไปคารวะทุกคนอีกครั้ง “ผู้น้อยยินดีที่ได้พบกันทุกท่าน”

 

“อ่า … ยินดีๆ”

 

“ยินดีเช่นกัน”

 

หลายคนตอบรับ

 

“จิตแห่งดาบ? เหอะ หน้าอกโตขนาดนี้ … ”แอนนาเอ่ยพึมพำเบาๆ

 

แต่ในตอนนั้นเอง สภาพอากาศภายนอกพลันมืดมนลง

 

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเวลาเที่ยงวัน แต่ท้องฟ้าตอนนี้ จู่ๆทั้งหมดก็กลับถูกปกคลุมด้วยความมืด

 

“ข้ารู้สึกได้ถึงปราณแห่งความตายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ปราณแห่งความตายเหล่านี้กำลังหลั่งไหลเข้าสู่โลกอย่างต่อเนื่อง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เวโรน่าขมวดคิ้ว

 

เธอเองก็เป็นมืออาชีพผู้ใช้ธาตุทั้งห้าเช่นกัน แถมยังเป็นธาตุไม้ ที่มีสัมผัสไวที่สุดต่อปราณแห่งความตายอีกด้วย

 

“บางทีอาจจะเกิดจากทางปรภพน่ะ ก็โลกมนุษย์ของพวกเรากำลังหลอมรว-” กู่ฉิงซานกล่าว แต่แล้วเขาก็ถูกขัดจังหวะอย่างกระทันหัน

 

สมองควอนตัมของเขาส่องสว่างขึ้น

 

และเสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังตามมา “ใต้เท้า จู่ๆทั่วทั้งโลกก็มืดลง แถมในท้องฟ้ายังปรากฏมอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นอีกด้วย – ร้องขอให้คุณทำการตรวจสอบทันที”

 

แล้วจอม่านแสงก็ฉายออก

 

ทั่วทุกมุมโลก

 

ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด

 

มอนสเตอร์แปลกตามากมายปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า

 

พวกมันก้มลงมองดูเมืองมนุษย์เบื้องล่าง ปากอ้าโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น

 

มอนสเตอร์เหล่านั้นดูเหมือนจะถูกกักขังอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่า ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างขัดขวางอยู่ทำให้พวกมันไม่สามารถกระโจนลงมายังโลกมนุษย์ได้ชั่วคราว

 

กู่ฉิงซานตกตะลึง

 

เจ้าพวกนี้ … ทั้งหมดมันเป็นเผ่ามาร!

 

“เห็นได้ชัดว่าเรากำลังจะหลอมรวมเข้ากับปรภพ โลกก็สมควรที่จะแข็งแกร่งขึ้นสิ แล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?” เขาบ่นพึมพำ

 

ในทั่วทุกมุมโลก จอม่านแสงได้แสดงให้เห็นถึงการปรากฏตัวของ ‘อสูรกาย’ ที่กำลังก้าวเดินอยู่บนท้องฟ้า

 

ทันใดนั้นเอง หลายเส้นแสงตัวอักษรสีเลือดขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา

 

“คำเตือน!”

 

“กำแพงอุปสรรคที่คอยปกป้องโลกกำลังค่อยๆอ่อนแอลงเรื่อยๆ และคาดว่าจะสลายไปหลังจากนี้อีกราวๆหนึ่งชั่วโมง”

 

“หนึ่งชั่วโมงนับจากนี้ เผ่ามารจะสามารถบุกลงมายังโลกมนุษย์ได้”

 

“และอาณาจักรมนุษย์ก็จะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว”

 

กู่ฉิงซานทั้งคนทั้งร่างสั่นสะท้าน

 

“ไม่นะ มันไม่สมควรจะเป็นแบบนี้สิ” เขางึมงำออกมา

 

ในอากาศที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นเอง ตะขอเกี่ยววิญญาณก็ปรากฏกายออกมา

 

“เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน?” ฉานนู่ถามด้วยความประหลาดใจ

 

“ข้ามาเพราะมีเรื่องบางอย่างจะแจ้งน่ะสิ” ตะขอเกี่ยววิญญาณหอบหายใจ

 

ไม่นานนัก มันก็เล่าเรื่องแผนการสมคบคิดของเหล่าทวยเทพจนหมดเปลือก

 

“กล่าวได้ว่าอาณาจักรสวรรค์ได้ทอดทิ้งโลกใบนี้แล้ว และอาณาจักรมนุษย์จะต้องถูกทำลายลงโดยเผ่ามารสินะ” ประธานาธิบดีกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

 

“เทพสวรรค์ .. ไอ้พวกระยำเอ๊ย!” เย่เฟย์หยูสบถออกมาด้วยความโกรธแค้น

 

“แล้วเรื่องทางฝั่งโลกปรภพล่ะ? ยังผสานเข้ากับโลกมนุษย์อยู่อีกไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“มันก็ยังคงผสานอยู่ แต่เอาจริงๆแล้วก็เรียกได้ว่าแทบจะไร้ความหมาย”

 

“เพราะเหตุใดกัน?”

 

“เพราะตลอดมา คนตายที่แข็งแกร่งจากโลกทั้งหกจากหลายยุคหลายสมัย ต่างก็ต้องร่วมมือกันจึงจะสามารถต้านทานเผ่ามารได้ ฉะนั้น ต่อให้มนุษย์ทุกคนได้ตกตายลงและกลายเป็นคนตาย ทั้งจำนวนและกำลังรบของพวกเขาก็ยังไม่เพียงพอที่จะโค่นล้มเผ่ามารลงได้อยู่ดี”

 

“แถมตลอดทั้งโลกปรภพอีกไม่นานก็จะว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดหลงเหลือ ตอนนี้จึงกล่าวได้ว่า พวกเราไม่มีกำลังคนใดๆที่จะใช้รับมือกับเผ่ามารอีกแล้ว”

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราสามารถป้องกันกำแพงอุปสรรคของโลกมนุษย์ ไม่ให้มันเปิดออกได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเร่งถาม

 

“ไม่ได้หรอก เพราะเทพสวรรค์ได้พยายามที่จะกำจัดกำแพงที่คอยป้องกันโลกมนุษย์เอาไว้แล้ว ดังนั้นกำแพงอุปสรรคในโลกมนุษย์จึงกำลังจะหายไปอย่างช้าๆ”

 

“แต่เนื่องเพราะเจ้าทำการผสานรวมสองโลกเข้าด้วยกัน ฉะนั้นโลกใบใหม่ที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นก็จะมีกำแพงอุปสรรคใหม่ไว้คอยใช้ปกป้องมัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน แต่เพราะทางโลกปรภพมิได้มิการต่อต้านใดๆ ฉะนั้นกระบวนการทั้งหมดบางทีอาจจะกินเวลาเพียง 7 ชั่วโมง”

 

7 ชั่วโมง!

 

นี่มันยาวนานเกินไปจนเรียกได้ว่าสิ้นหวัง

 

พริบตาที่กำแพงอุปสรรคที่คอยปกป้องโลกหายไป กองทัพมารทั้งหมดก็จะสามารถลงมาบนโลกมนุษย์ได้ทันที

 

แล้วต่อให้หลังจากผ่านไป 7 ชั่วโมง กำแพงอุปสรรคใหม่ของโลกจะถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง แต่เวลานั้นโลกก็คงจะถูกทำลายลงไปแล้ว!

 

ไม่มีทางอื่นเลยหรือ?

 

กู่ฉิงซานมองไปที่จอม่านแสง กำปั้นในมือหุบเกร็งแน่น

 

บนท้องฟ้า เผ่ามารเริ่มทวีจำนวนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเสียงคำรามของพวกมันก็ค่อยๆเจาะผ่านกำแพงอุปสรรคที่คอยป้องกันโลก เริ่มทวีความดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

 

ในที่สุด เสียงคำรามของเผ่ามารก็สั่นสะเทือนไปทั้งโลกหล้า!

 

มนุษย์ทุกคนเฝ้ามองฉากนี้อย่างว่างเปล่า ทั้งคนทั้งร่างตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

เกิดการจลาจลและฆ่าฟันขึ้น การกระทำเลวร้ายต่างๆเริ่มลุกลามออกไปเป็นวงกว้าง

 

ภายในหนึ่งชั่วโมง กำแพงอุปสรรคที่คอยป้องกันโลกจะหายไป

 

มันสายไปแล้ว! ไม่มีเวลามากพอ!

 

กู่ฉิงซานไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า หลังจากที่ตนทุ่มเทพยายามมามากมาย สุดท้ายทุกอย่างกลับพลิกผัน และผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้

 

ประธานาธิบดีเดินมาตบลงบนไหล่กู่ฉิงซาน

 

“เธอทำดีที่สุดแล้ว คราวนี้ก็ปล่อยให้พวกเรา-เผ่ามนุษย์ทุกคนได้ทำมันบ้างเถอะ”

 

“แต่ท่านประธานาธิบดี แล้วท่านตั้งใจจะทำอะไร?”

 

“ก็คงจะให้ทุกคนได้ต่อสู้เพื่อสิทธิในการที่จะมีชีวิตอยู่ของตัวเอง ส่วนฉันก็พร้อมที่จะกล่าวสุนทรพจน์ไปทั่วประเทศเพื่อกระตุ้นให้ทุกคนต่อสู้จนถึงวินาทีสุดท้าย”

 

“ถ้าอย่างงั้น ทางฝั่งข้าก็ขอตัวไปเตรียมระดมกำลังคนทั้งหมดก่อนนะ” เวโรน่าที่กำลังยกมือขึ้นม้วนผมของตัวเองเอ่ยปากออกมา

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ

 

มนุษย์น่ะอ่อนแอเกินไป พวกเขาไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับเผ่ามารได้

 

เมื่อสงครามขั้นแตกหักนี้ปะทุขึ้น มันจะกลายเป็นการสังหารหมู่เพียงฝ่ายเดียว

 

พอจะมีวิธีอื่นอีกไหมนะ?

 

กู่ฉิงซานกำลังขบคิดเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้อย่างรวดเร็ว

 

ทว่าไร้ประโยชน์ …

 

ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำได้เลย!

 

บนท้องฟ้าเหนือวิลล่าบนหุบเขา เริ่มปรากฏร่างเงาของอสูรกายขึ้น

 

หากกู่ฉิงซานไม่ได้เห็นกับตาว่าอสูรกายที่ตกลงไปในสายธารแห่งการหลงเลือนนั้นตายลง หรือถูกสังหารโดยหอกหลากสีในพริบตามาก่อนแล้วล่ะก็ เขาคงจะกล้าเอ่ยปากกล่าวได้อย่างแท้จริงว่าสิ่งที่เรียกวว่าอสูรกายนั้น เป็นการดำรงอยู่อันคงกระพันในสงครามครั้งนี้

 

—กระทั่งอสูรกายก็ยังมา แล้วในโลกมนุษย์จะมีผู้ใดเล่าที่จะสามารถต่อกรกับอสูรกายได้?

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว

 

ณ ขณะนี้ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยลอยขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ร้องขอให้ผู้เล่นให้ความสนใจ ว่าภายในห้านาทีต่อจากนี้ โลกปรภพจะทำการผสานหลอมรวมเข้ากับโลกมนุษย์ในไม่ช้า”

 

“ร้องขอให้ผู้เล่นให้ความสนใจ กำลังเสริมจากปรภพจะมาถึงในเร็วๆนี้”

 

“เนื่องจากความสำเร็จอันงดงามของคุณทั้งในโลกมนุษย์และในโลกปรภพ ดังนั้นกำลังเสริมจะมาพบกับคุณก่อนเป็นอันดับแรก”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ “กำลังเสริมจากปรภพ … ”

 

เวลานี้ เขาเลื่อนสายตาไปตรง ‘กำลังเสริมจากปรภพ’ อีกครั้ง แล้วไม่รู้ว่าตนเองสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

 

แต่เขาก็คิดว่ามันน่าจะยังมีประกายแห่งความหวังอยู่ จึงหันไปถามตะขอเกี่ยววิญญาณว่า “ก่อนที่กำลังเสริมจากปรภพจะมาถึง ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าพวกเขาเป็นใคร?”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “ก็คงเป็นพวกอาวุธที่จะมาสมทบน่ะ ข้าได้สนทนากับพวกเขาแล้ว และบางส่วนจะมาถึงเมื่อโลกเกิดการหลอมรวมกันขึ้น”

 

มันเอ่ยเสริม “อ้อจริงสิ เครื่องจักรปรภพก็เริ่มที่จะได้รับการฟื้นฟูแล้ว ฉะนั้นพวกมันก็น่าจะมาด้วย”

 

ดวงตาของกู่ฉิงซานเปล่งประกายสดใส ปากเอ่ยถามว่า “แล้วในบรรดาเครื่องจักร มีเครื่องใดที่ถนัดการต่อสู้เป็นพิเศษและสามารถรับมือของอสูรกายได้บ้างหรือไม่?”

 

“ไม่มีเครื่องจักรแบบนั้นหรอก อสูรกายน่ะทรงพลังเกินไป พลังสามัญน่ะมิอาจต่อกรกับพวกมันได้หรอก”

 

จินตนาการของกู่ฉิงซานแตกสลายลงอีกครั้ง เขาจำต้องจมลงในห้วงความคิดอีกที

 

ถึงแม้ว่าเขาจะเคยผ่านมาแล้วสองช่วงชีวิต , ถึงแม้ว่าในชีวิตก่อนหน้าเขาจะเป็นถึงผู้บัญชาการรบเผ่ามนุษย์ , ถึงแม้ว่าในชีวิตนี้เขาจะเข้าใจความลับระหว่างหลายโลก แต่มันก็ไม่มีหนทางใดเลยที่จะสามารถจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวนี้ได้

 

ไร้หนทางออก

 

นี่คือความสิ้นหวังอย่างแท้จริง

 

ทันใดนั้นเอง –

 

ตึ้ง!

 

บังเกิดเสียงสะท้อนขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

แต่กลับพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นรอบกายเขา

 

น่าแปลกนัก ได้ยินอยู่ชัดๆว่ามันมีเสียง

 

ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง!

 

มันเป็นเสียงที่ดังเหมือนกับมีคนกำลังเคาะประตู

 

-นี่มันไม่ถูกต้อง!

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ตลอดทั้งโลกหล้าพลันเงียบสงบลง

 

ดวงตาของกู่ฉิงซานกวาดชำเลืองมองออกไปอย่างรวดเร็ว

 

เห็นแค่เพียงประธานาธิบดีที่กำลังขมวดคิ้ว และลูบคางของเขา เหมือนกับว่ากำลังขบคิดถึงคำปลุกใจ

 

เวโรน่าที่หยิบกระจกขึ้นมา และกำลังจัดอุปกรณ์เสริมสวยของเธอ

 

เย่เฟย์หยูที่ดูจะโกรธมาก แต่เขาดูเหมือนจะสิ้นหวังมากกว่า

 

ซางหยิงฮ่าวที่ยังคงสงบนิ่ง ขณะเดียวกันก็ก้มหน้าลงเพื่อป้อนข้อมูลบางอย่างลงในสมองควอนตัม

 

ส่วนแอนนาก็ยังเอาแต่จับจ้องฉานนู่ สีหน้าท่าทีของเธอดูตื่นตัวและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง

 

ทั้งหมดนิ่งงัน … อยู่ในสถานที่เดิมของพวกเขา

 

การแสดงออกทางสีหน้าของทั้งหมดแข็งค้าง ร่างกายเก็บอากัปกริยาเคลื่อนไหวเดิมเอาไว้และหยุดนิ่ง

 

แต่หมาดำกลับยังคงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว

 

มันเดินมาถึงหน้าตรงหน้าของแอนนาอย่างเงียบๆ ก่อนจะหันหลังให้เขา และหย่อนก้นนั่งลงกับพื้น

 

หมาดำดูจะวิตกกังวลยิ่ง

 

อย่างไรก็ตาม มองไปที่การกระทำของมัน ดูเหมือนว่าจะกำลังตั้งใจที่จะปกป้องแอนนา

 

“นายน้อย การไหลของกระแสเวลาได้ถูกหยุดลง” ฉานนู่เดินมาข้างกายกู่ฉิงซาน และกล่าวกระซิบอย่างเงียบๆ

 

“ตัดขาดเวลางั้นหรอ?” กู่ฉิงซานจดจำได้ถึงสิ่งหนึ่ง เขาเอ่ยถามทันที

 

“ใช่แล้ว ตัดขาดเวลา”

 

“เช่นนั้นแล้วเหตุใดข้าจึงยังสามารถเคลื่อนไหวได้อยู่ล่ะ?”

 

“บางทีอีกฝ่ายคงจะจงใจ ข้าเกรงว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น”

 

ในเวลาเดียวกัน ภายในทะเลแห่งห้วงสติของกู่ฉิงซาน ไพ่สองใบก็เริ่มสั่นไหวอย่างแผ่วเบา

 

ไพ่จากสำหรับแห่งการแก้แค้น นายพลภูติ

 

ไพ่จากสำรับแห่งการแก้แค้น กษัตริย์อาชูร่า

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.420 – แผนการของอาณาจักรสวรรค์

 

“ทำไมกัน? ทำไมจู่ๆข้าถึงไม่สามารถติดต่อกับราชาภูติได้!”

 

ภายในวิหารแห่งวัฏจักร

 

เสียงของชูร่าหญิงกังวานขึ้น

 

เธอรีบวิ่งออกจากวิหาร บินกลับไปยังทิศทางของปากทางเข้าสู่นรก

 

ดูเหมือนว่าเธอกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง สังเกตได้จากความตื่นตระหนกที่แสดงออกมา

 

“เร็วเข้า เร็วเข้า! รีบหน่อยสิตัวข้า ท่านราชาภูติจำเป็นต้องทราบข่าวนี้”

 

ด้วยความหวาดกลัว ชั้นเหงื่อเย็นเริ่มผุดออกมาตามร่างกายเธอ ชั้นแล้ว ชั้นเล่า

 

เธอแทบจะวิ่งด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

 

จนกระทั่งมาถึงจุดๆหนึ่ง เธอก็สะดุดขาตัวเองล้มลง ม้วนกลิ้งไถลไปกับพื้นหลายตลบ

 

แต่ชูร่าหญิงดูจะไม่ใส่ใจเกี่ยวกับมัน เธอเร่งลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งต่อไปข้างหน้า

 

เร็วเข้า!

 

ต้องเร็วกว่านี้!

 

ต้องรีบแจ้งข่าวนี้แก่ราชาภูติให้เร็วที่สุด!

 

ทว่าเมื่อเธอวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งจนกระทั่งมาถึงนรกทะเลเลือด ก็กลับไม่เห็นแม้กระทั่งร่องรอยของกู่ฉิงซาน

 

เห็นแค่เพียงผู้คุมนรกทั้งหกที่ยังคงสนทนากันอย่างมีความสุขอยู่เท่านั้น

 

เมื่อเห็นเธอ ทุกคนก็หันมาทักทาย

 

“นั่นเจ้าไปอยู่ที่ไหนมา?”

 

“เร็วเข้า มาร่วมวงสนทนากันเถอะ พวกเราเหลือเวลาแค่อีกครึ่งวันเท่านั้นเองนะ เดี๋ยวก็จะได้ไปเกิดใหม่กันแล้ว”

 

“ยังไงก็เถอะ ว่าแต่เจ้าอยากจะไปเกิดที่โลกไหนกัน?”

 

แต่ชูร่าหญิงกลับสูดหายใจลึกแล้วตะโกนลั่น “”หุบปากซะ!

 

อีกหกตนนิ่งงันไป

 

แล้วพวกเขาก็พบว่าในเวลานี้ ร่างกายของชูร่าหญิงกำลังสั่นสะท้าน การแสดงออกทางใบหน้าเอ่อล้นไปด้วยความน่าเกลียดน่ากลัว

 

“เกิด-อะไร-ขึ้น?” ยักษ์เอ่ยถาม

 

“ราชาภูติเล่า? เขาไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” ชูร่าหญิงเร่งเอ่ยถาม

 

“เรื่องราวทุกอย่างได้จบลง ดังนั้นเขาจึงได้จากไปแล้ว” ชายชราเผ่ามนุษย์พูด

 

“แล้วที่ว่าจากไปน่ะ เขาจากไปที่ไหน?” ชูร่าหญิงเร่งเอ่ยถาม

 

“โลกมนุษย์”

 

เสร็จกัน!

 

มันจบสิ้นแล้ว!

 

ชูร่าหญิงแข้งขาอ่อนแรง เข่าทรุดลงกับพื้น

 

“มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆสินะ ไหนเจ้าลองบอกมา เผื่อว่าพวกเราจะสามารถช่วยเจ้าได้” ราชันย์หมาป่าเอ่ยเสียงทุ้มลึก

 

“ไม่มีประโยชน์หรอก!”

 

ชูร่าหญิงถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง

 

แต่แล้วเธอก็พลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง ปากเร่งเอ่ยต่อว่า “ถึงพวกเจ้าจะช่วยไม่ได้ แต่ยังมีคนที่ช่วยได้อยู่! สิ่งประดิษฐ์เทวะ! สิ่งประดิษฐ์เทวะไง ตะขอเกี่ยววิญญาณอยู่ที่ไหน! ข้ามีเรื่องที่จะต้องพูดกับท่าน!”

 

“ข้าอยู่นี่”

 

แล้วร่างของตะขอเกี่ยววิญญาณก็ปรากฏขึ้น

 

“วิหารแห่งวัฏจักร! ภายในวิหาร! ท่านรีบไปดูเร็วเข้า!!” ชูร่าหญิงตะโกนน้ำเสียงแหบแห้ง

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณยิ้มออกมา “เอาล่ะๆ ไหนข้าขอดูซิว่ามันคืออะไ-”

 

แต่แล้วเสียงของมันก็ขาดห้วงไป

 

“จบสิ้นแล้ว มันจบสิ้นแล้ว!”

 

เสียงของตะขอเกี่ยววิญญาณช่างมืดหม่น ทว่ามันกลับแฝงไว้ด้วยความโกรธอันไม่อาจอธิบายได้

 

ชูร่าหญิงกล่าวอย่างร้อนรน “ท่านรีบไปยังโลกมนุษย์เถอะ และบอกความจริงนี้แก่ราชาภูติเสีย”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “มันไม่มีประโยชน์หรอกที่จะบอกเขา ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นคนๆหนึ่ง ย่อมไม่สามารถต้านทานแผนการของเทพสวรรค์ได้ แถมเรื่องนี้ก็ดูจะเริ่มดำเนินการมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้สถานการณ์มันได้มาถึงจุดที่ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้วล่ะ”

 

“แล้วตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าก็บอกรายละเอียดแก่พวกเรามาซักทีเถอะ เผื่อว่าพวกเราจะร่วมมือกันช่วยได้” ราชันย์หมาป่าเดินเข้ามา ปากเอ่ยถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

ผู้คุมนรกคนอื่นๆหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

 

สีหน้าของพวกเขายามนี้ไร้ซึ่งความปิติยินดีอีกต่อไป

 

จากท่าทีของชูร่าหญิง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้มาก่อน และพึ่งจะได้รับรู้เช่นกัน

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวออกมา “พวกเจ้าจงวางมือลงบนข้า แล้วข้าจะแสดงบทสนทนาดังกล่าวให้พวกเจ้าได้รู้”

 

เหล่าผู้คุมนรกต่างวางมือลงบนตะขอเกี่ยววิญญาณ และทันใดนั้นภาพเคลื่อนไหวภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

 

ภายในวิหารแห่งวัฏจักร

 

เครื่องจักรปรภพหมายเลข 33 มีควันหนาฟุ้งออกจากตัวเครื่องของมัน

 

มันถูกจับยัดส่วนประกอบที่ร่วงหลุดออกมากลับคืนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การซ่อมแบบลวกๆเช่นนี้ย่อมแทบจะไม่อาจสามารถเรียกคืนฟังก์ชั่นการทำงานของมันกลับมาได้เลย

 

แต่หากมองไปยังลักษณะของมันตรงหน้า อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังพอที่จะทำให้มันสามารถพูดได้ในระยะเวลาสั้นๆ

 

แน่นอนว่าการที่มันสามารถกลับมาทำงานได้เล็กน้อยมิใช่เพียงเพราะถูกยัดชิ้นส่วนกลับคืน แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่สองโลกเกิดการผสานรวม แส่งผลให้ตัวเครื่องจักรได้เกิดการฟื้นฟูด้วยตัวเองอย่างช้าๆอีกด้วย

 

“เป็นเจ้าสินะตะขอเกี่ยววิญญาณ ดีมาก! เจ้ามาได้จังหวะพอดี!” เครื่องจักรกล่าว

 

“เครื่องจักรบันทึกเหตุฉุกเฉินเอ๋ย ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีบางสิ่งที่อยากจะเอ่ยกับข้าสินะ” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

“เจ้ารีบดูข้าเร็ว! ข้าจะต้องบอกความจริงแก่เจ้า!” เครื่องบันทึกเอ่ยออกมา

 

แล้วฉากหนึ่งก็โผล่ออกมาจากเครื่องจักรบันทึกเหตุฉุกเฉิน ปรากฏจอม่านแสงขึ้นในความว่างเปล่า

 

ภายในภาพเคลื่อนไหว ปรากฏร่างของเทพวิญญาณทั้งแปดองค์ที่มีเค้าโครงหน้าแตกต่างกัน ทั้งหมดกำลังยืนอยู่ในวิหารแห่งวัฏจักร

 

พวกเขาคือยมราชทั้งแปดแห่งปรภพ เป็นเทพที่มีอำนาจสูงสุดในนรก!

 

ทั้งหมดกำลังสนทนากันอย่างแผ่วเบา

 

“ถึงเวลาแล้วอย่างงั้นหรือ?”

 

“ถึงเวลาแล้ว”

 

“งั้นก็ไปกันเถอะ ประตูสวรรค์ได้ถูกเปิดออกแล้ว และพวกเขากำลังรอเราอยู่”

 

“มันน่าเสียดายจริงๆที่เราจะต้องทิ้งโลกปรภพไป”

 

แปดเทพยมราชนิ่งเงียบไป

 

หนึ่งในยมราชกล่าวออกมาว่า “นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น เดิมทีก็เป็นความผิดของโลกปรภพเองนั่นแหละที่ดันไปดึงดูดความสนใจของเผ่ามารเข้า พวกเราก็เร่งถอนตัวกันเถอะ ส่วนที่เหลืออาณาจักรสวรรค์จะเป็นคนสานต่อเอง”

 

อีกยมราชถอนหายใจออกมา “ทำใจเถิด หากกระทั่งอาณาจักรสวรรค์ก็ยังมิอาจต้านทานพลังอำนาจชนิดนี้ได้ ลำพังเพียงพวกเราก็คงไม่มีวิธีช่วยโลกปรภพได้หรอก”

 

“ถูกต้องแล้วล่ะ หอกหลากสีมันน่าสะพรึงเกินไป ไม่มีใครสามารถกำจัดมันได้”

 

“นี่ไม่ใช่ว่าเรากำลังหลบหนี แต่มันเป็นเพราะพวกเราจนปัญญาแล้วจริงๆต่างหาก”

 

แปดยมราชสนทนากัน และพยักหน้าให้กันและกันในท้ายที่สุด

 

พวกเขาสรุปแล้วว่าจะลงมือตามที่ได้สนทนากันไว้

 

เทพยมราชถอนหายใจออกมา “ช่างน่าสงสารยิ่งนัก หากเรามิสามารถช่วยเหลือโลกปรภพได้ เช่นนั้นพอถึงคราวของโลกมนุษย์ทำไมพวกเราไม่ …”

 

อีกหนึ่งยมราชกล่าวว่า “ นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพื่อที่จะทำให้แน่ใจว่าพวกเราจะไม่ถูกเผ่ามารลอบโจมตีในช่วงเวลาที่กำลังอพยพ อาณาจักรสวรรค์จึงได้คิดค้นวิธีการทำลายกำแพงอุปสรรคที่คอยป้องกันโลกมนุษย์ลง”

 

“ใช่แล้วล่ะ ดึงดูดความสนใจของเผ่ามารโดยใช้ปรภพและโลกมนุษย์เป็นเหยื่อล่อ แล้วทีนี้เหล่าทวยเทพก็จะสามารถถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัย”

 

“พวกเราไปกันเถอะ”

 

“รอประเดี๋ยวก่อน ข้าขอตัวไปทำลายเครื่องจักรบันทึกเหตุฉุกเฉินสักครู่”

 

“ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็จักต้องถูกทำลายเช่นกัน มันทรงพลังมากเกินไป แถมยังมีความเกี่ยวพันธ์ใกล้ชิดกับภูเขาล้อมเหล็ก มันเป็นตัวแปรที่ไม่แน่ไม่นอนและอาจจะเป็นอันตรายต่อเราได้”

 

“แต่สิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นนี้เป็นกฏเกณฑ์ของภูเขาล้อมเหล็กอย่างชัดเจน พวกเราไม่สามารถทำลายมันได้”

 

“ก็ไม่จำเป็นต้องทำลายมันหรอก ตราบใดที่สังหารจิตอาร์ติแฟคภายในดาบได้ ตัวดาบก็จะไม่สามารถใช้งานไปได้สักพักแล้ว”

 

“สังหารจิตอาร์ติแฟค? โอ้วหากเป็นสิ่งนี้ล่ะก็ข้าสามารถทำมันได้ เจ้านี่มันนับว่าเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง”

 

…..

 

แล้วภาพทั้งหมดก็ตัดไป

 

เจ็ดผู้คุมนรกตกลงสู่ความเงียบ

 

รังสีแสงจากมนุษย์ป๊ศาจที่สว่างไสวอยู่เสมอ บัดนี้วูบไหวแลดูไม่เสถียร

 

มันเอ่ยด้วยความโกรธว่า “แท้จริงแล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเทพวิญญาณได้หลบหนีไปจากปรภพ -พวกเขาทรยศทั้งสองโลก!”

 

ราชันย์หมาป่าคร่ำครวญออกมา “เทพปรภพน่ะมาจากอาณาจักรสวรรค์ ดังนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นทางอาณาจักรสวรรค์เลยต่างหากที่ได้ทรยศทั้งสองโลก … ทรยศหกวิถีอย่างแท้จริง”

 

“นั่นก็หมายความว่าจากนี้ไป โลกมนุษย์ก็กำลังจะต้องรับการบุกโจมตีจากเผ่ามารจำนวนมากน่ะสิ!”

 

ราชันย์หมาป่าหันหัวไปมองหน้าชายชราเผ่ามนุษย์และเอ่ยถาม “บนโลกของเจ้า มีตัวตนที่แข็งกร้าวเหมือนดั่งเช่นราชาภูติอยู่เท่าใดกัน?”

 

ชายชราเผ่ามนุษย์ยิ้มอย่างขมขื่น ปากเอ่ยกล่าว “มีคนแบบเขาอยู่มากมันก็ดีน่ะสิ แต่ช่างน่าเสียหาย คนที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันกับเขาน่ะ กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

 

ราชนัย์หมาป่ารำพึงออกมา “แล้วถ้าเปลี่ยนพวกเขาเป็นคนตายล่ะ? เหมือนกับพวกเราที่มีนับล้านล้านไง หากเป็นในกรณีนั้นก็น่าจะเพียงพอที่จะสามารถต่อกรกับเผ่ามารได้นะ”

 

ชายชราเผ่ามนุษย์กล่าว “เมื่อเทียบกับปรภพแล้ว กำลังรบในโลกมนุษย์นับว่าน้อยกว่ามาก แถมยังอ่อนแอยิ่ง ข้าเกรงว่าต่อให้พวกเขาเป็นคนตาย แต่ก็คงจะสังหารลงทันทีที่ถูกเผ่ามารสัมผัสโดนอยู่ดี”

 

“ดูเหมือนว่าโลกมนุษย์จะจบสิ้นลงแล้ว”

 

ขณะที่พูด แผ่นดินในปรภพก็เริ่มเกิดการสั่นไหว

 

เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลเด้งขึ้นมา ลอยอยู่เหนือศีรษะชองคนตายทุกคน

 

“ขอเชิญเหล่าคนตายลงไปอาบน้ำ ชะล้างอดีตทั้งหมดที่ผ่านมา จงสำนึกผิดต่ออาชญากรรมในอดีตที่ตนเคยก่อเสีย หลังจากนั้นการเกิดใหม่ของพวกเจ้าจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า”

 

ปรากฏหยาดน้ำทิพย์เย็นฉ่ำร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ชำระล้างเลือดเนื้อ และสิ่งปนเปื้อนต่างๆให้กับคนตาย

 

นี่มันเป็นความรู้สึกที่สะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง ราวกับมันเป็นการชำระล้างเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ

 

คนตายยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน อาบน้ำทิพย์ที่ร่วงโรยลงมาด้วยความปิติยินดี

 

นี่คือรางวัลอันยอดเยี่ยมของการกระทำที่ส่งผลให้ได้รับบุญ และตอนนี้มันก็เป็นเวลาสำหรับพวกเขาที่จะได้เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาแห่งความสุขหลังจากที่ได้ตรากตรำทำงานมาอย่างหนัก

 

เจ็ดผู้คุมนรกเพลิดเพลินไปกับผลไม้อันหอมหวานนี้ และเฝ้ารอการกลับไปเกิดใหม่

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณสั่นสะท้าน มันถอนหายใจออกมา “ดูท่าว่าข้าคงต้องเดินทางไปยังโลกมนุษย์ซะแล้ว อย่างน้อยก็ต้องบอกให้เขารู้เกี่ยวกับความจริงเรื่องนี้”

 

สิ้นคำกล่าว ร่างมันก็หายวับไปทันที

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.419 – เสียงของคนตาย

 

ภายในโลกทั้งหก

 

ณ ปรภพ

 

เหล่าคนตายต่างเงยหน้าขึ้น และเห็นแค่เพียงตัวเลขบนหัวพวกเขากำลังพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ไม่นานนัก เครื่องหมาย – (ลบ)ด้านหน้าของตัวเลขเหล่านั้นก็หายไป

 

บุญได้กลับมาเป็น 0

 

ไม่สิ ไม่เพียงเท่านั้น มันยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นต่อไปและขึ้นมาเป็น + แล้ว!

 

เลขบุญกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

 

นั่นเพราะพวกเขาได้ช่วยโลกทั้งหกเอาไว้ได้ แถมยังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จึงได้รับแต้มบุญครั้งใหญ่!

 

แม้ว่าจำนวนคนตายจะมหาศาลกว่าล้านล้านคน และจำนวนบุญที่ได้ก็จะแบ่งๆกันไป แต่มันก็ยังมากมายอยู่ดี!

 

เหนือศีรษะของทุกคนตาย ตัวเลขกำลังเติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

 

เมื่อเลขบุญของคนตายทุกคนกลายเป็น + สิ่งอันน่าอัศจรรย์ใจก็บังเกิดขึ้น!

 

ทุกประเภทของความเจ็บปวดจากการถูกลงทัณฑ์อันโหดร้ายในตลอดทั้ง 18 ขุมนรก ทั้งหมดถูกระงับเอาไว้ชั่วคราว

 

ภายในนรกทะเลเลือด น้ำเลือดได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มดั่งท้องทะเล ขณะที่เหล่ามอนสเตอร์ที่คอยกัดกินคนตาย บัดนี้ทั้งหมดแปรสภาพเป็นปลาที่กำลังแหวกว่ายอย่างอ่อนโยน

 

ภายในนรกเยือกแข็ง บ้านเรือนเริ่มผุดขึ้นมาจากพื้นดิน พร้อมด้วยภายในที่มีเตาผิงคอยให้ความอบอุ่น และโต๊ะกินข้าวที่ถูกจัดวางไว้ด้วยอาหารร้อนๆ

 

ในนรกแต่ละแห่ง เปลวไฟได้มอดดับลง , น้ำแข็งเย็นเยียบเกิดการละลาย , โซ่ตรวนที่คอยพันธนาการแตกร้าวและสลายไป , คมมีดแหลมคมผุบกลับลงไปใต้ดิน

 

ทุกประเภทของสิ่งที่ทำให้คนตายได้รับความทรมาน บัดนี้ทั้งหมดนั้นได้หายไป

 

ผู้คุมนรกทั้งหลายเงยหน้ามองดูเลขบุญของตนเอง ก่อนจะหันไปมองดูของอีกฝ่าย คนแล้วคนเล่าเริ่มแสดงออกถึงความปิติออกมา

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่ต้องคอยทนทุกข์ทรมานอีกต่อไปแล้ว! ไม่จำเป็นต้องทนอีกแล้ว!” ชายชราโห่ร้องไชโยอย่างบ้าคลั่ง

 

“แบร๊วววู้ววววว-” ราชันย์หมาป่าแหงนหน้าขึ้นหอนไปบนท้องฟ้า

 

ชูร่าชายกระโดดไปมา ปากเอ่ยร้องเพลงเสียงดัง

 

ขณะที่ยักษ์ใหญ่เริ่มเต้นแร้งเต้นกา

 

กู่ฉิงซานที่เฝ้ามองดูฉากนี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

ในบรรดาผู้คุมนรกทั้งเจ็ด มีเพียงชูร่าหญิงคนเดียวที่มิได้อยู่ที่นี่

 

แต่มันก็ไม่สำคัญหรอก เพราะไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ยังไงเลขบุญของเธอจะต้องเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน

 

คนตายทั้งหมดจะได้ไปเกิดใหม่ในอาณาจักรสวรรค์ , อาชูร่า หรือไม่ก็โลกมนุษย์ ตามจำนวนบุญของพวกเขา

 

“แล้วพวกเขาจะสามารถกลับไปเกิดใหม่ได้เมื่อใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากในนรกมาเนิ่นนาน คนตายจะมีเวลาสำหรับการพักผ่อนและสำนึกผิดเป็นระยะเวลาครึ่งวัน แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็จะได้กลับไปเกิดใหม่อย่างเป็นทางการ”

 

“แต่สำหรับข้าแล้วสถานที่แห่งนี้มันสะดวกสบายมากจริงๆนะ ข้าไม่ต้องการที่จะไปเกิดใหม่เลยบอกตรงๆ” หนึ่งในผู้คุมนรกกล่าวด้วยสีหน้าข่มขื่น

 

พอได้ฟัง เหล่าคนตายคนอื่นๆก็หัวเราะลั่น

 

แต่เอาจริงๆนะ ก็มีคนตายหลายคนอยู่เหมือนกันที่กำลังรู้สึกเช่นนั้น

 

เพราะการไปเกิดใหม่ นั่นหมายความว่าตนจะต้องลืมความทรงจำในชาตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

และในชีวิตใหม่ มันเป็นเรื่องยากเย็นนัก หากต้องการที่จะระลึกได้ถึงเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตก่อนหน้าอีกครั้ง เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับโอกาสที่ดีบางอย่าง

 

ในขณะที่คนตายส่วนมาก ไม่ลังเลที่จะทิ้งความทรงจำในชาตินี้ของพวกเขาไป

 

ยังไงก็เถอะ ตอนนี้การลงทัณฑ์ทรมานภายในนรกก็ได้หายไปแล้วโดยสิ้นเชิง ดังนั้นการเลือกที่จะหย่อนกายพักผ่อนในที่นี่ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน

 

แต่แล้วเสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญรายบุคคลกังวานขึ้นในทันใด

 

“ไม่อนุญาต! เมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับไปเกิดใหม่ แต่ยังคิดอาศัยอยู่ในนรก เลขบุญส่วนบุคคลก็จะค่อยๆถูกหักลง! และเมื่อมันเป็น -(ลบ) พวกเจ้าก็จะกลับลงสู่ขุมนรกและต้องทนทุกข์ทรมานอีกครั้ง!”

 

น้ำเสียงของมันเย็นชาและมั่นคง

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณยังกล่าวอีกว่า “โลกปรภพน่ะไม่คุ้มค่ากับการอยู่อาศัยหรอก พวกเจ้าควรจะไปเกิดใหม่เพื่อเริ่มต้นการเดินทางใหม่ๆในชาติภพหน้าจะดีกว่า”

 

เมื่อเหล่าคนตายได้ยินสิ่งประดิษฐ์เทวะอธิบาย พวกเขาก็ต้องหยุดความคิดนี้เอาไว้ทันที

 

กู่ฉิงซานพลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง เขาเอ่ยถามออกไป “แล้วเรื่องการผสานรวมระหว่างทั้งสองโลก ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อโลกปรภพหรือไม่?”

 

“ขอเวลาข้าตรวจสอบสักครู่” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

มันได้สาดรังสีแสงอันยิ่งใหญ่ออกมา และกวาดไปตลอดทั้งโลกปรภพ

 

ชั่วขณะหนึ่ง ตะขอก็กล่าวออกมา “แม้ว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะเทไปทางโลกของเจ้า แต่ทางปรภพเองก็ถูกเสริมอำนาจโดยพลังของกฏเกณฑ์เช่นกัน -กล่าวได้ว่าเมื่อสองโลกบรรจบกัน โลกใบใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้น!

 

“แล้วผลกระทบแบบเฉพาะเจาะจงล่ะ คืออะไร?”

 

“ด้วยพลังแห่งกฏเกณฑ์อันทรงประสิทธิภาพที่เกิดจากการผสานรวมตัวกันระหว่างสองโลก มันจะหนุนเสริมให้เครื่องจักรปรภพสามารถฟื้นฟูตนเองได้อย่างรวดเร็ว”

 

“โอ้? หมายความว่าเครื่องจักรปรภพทั้ง 88 จะกลับมาสินะ?” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความสนใจ

 

“ใช่ โลกปรภพในตอนนี้น่ะไม่มีคนคอยดูแลจัดการ เดชะบุญจริงๆที่มีพวกเขา” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวด้วยความยินดี

 

ฉานนู่ก็เห็นด้วยเช่นกัน “นับว่าโชคดีจริงๆที่มีเหล่าเครื่องจักรพวกนั้น หลังจากที่โลกได้ผสานรวมกันแล้ว  พื้นที่ของปรภพก็คงจะเป็นระบบระเบียบมากขึ้น”

 

“เช่นนั้นก็ดี” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาถอนหายใจออกมา “นรกว่างเปล่า , ปัญหาของปรภพได้รับการแก้ไขโดยสมบูรณ์ , โลกกลับคืนสู่ความสงบสุข นี่นับว่าเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานเสียจริงๆ”

 

ย้อนระลึกไปถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกประทับใจอย่างลึกล้ำ

 

ถ้าหากว่าเขาไม่ได้คารวะนางเซียนไป่ฮั่วเป็นอาจารย์ ก็คงที่จะไม่ได้เรียนรู้ ‘ผนึกร่างสู่หยิน’ และ ‘วิญญาณหวนคืน’ สองเทคนิคลับนี้เป็นแน่

 

และหากไม่มีสองเทคนิคลับนี้ ตนเองก็จะไม่สามารถเข้ามายังปรภพเพื่อค้นหาต้นตอที่แท้จริงของภัยพิบัติได้

 

หากเป็นในกรณีนั้น ทุกอย่างก็จะพังพินาศลง

 

ทั้งหมดนี้นับว่าเป็นเรื่องโชคดีจริงๆ!

 

เมื่อนึกถึงท่านอาจารย์ กู่ฉิงซานก็ค่อนข้างรู้สึกสับสนเล็กน้อย

 

ขอบเขตของท่านอาจารย์ถูกผูกมัดโดยโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ แต่ตอนนี้ มีโลกเทวะแล้ว ดังนั้นความแข็งแกร่งของเธอแน่นอนว่าจักต้องเพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด

 

บางทีทางฝั่งท่านอาจารย์ และพวกเขาอาจจะผสานรวมโลกแห่งผู้ฝึกยุทธกับโลกเทวะเข้าด้วยกันแล้วก็เป็นได้

 

หากเป็นในกรณีนั้น ขีดจำกัดความแข็งแกร่งรายบุคคลของผู้ฝึกยุทธก็จะทะยานสูงขึ้นไปอีกระดับ

 

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตัวกู่ฉิงซานเองกำลังอยู่ในกระแสมิติอันเชี่ยวกราด และกำลังจะมุ่งหน้าไปยังโลกที่กำลังจะถึงจุดจบในไม่ช้า

 

—แล้วเช่นนั้นข้าจะได้กลับไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธของตนเองได้อย่างไร?

 

ลืมมันเถอะ อดีตอย่างไรเสียก็คือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว อันดับแรกที่จะต้องพิจารณาก็คือทำอย่างไรตนเองถึงจะสามารถมีชีวิตรอดไปได้ต่างหาก

 

ขณะที่เขากำลังคิดอย่างเงียบๆ ผู้คุมนรกทั้งหลายก็ก้าวเข้ามา

 

“มีเรื่องอะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ทุกคนต้องการที่จะได้ยินเจ้าเอ่ยสักสองสามคำ” ชายชราเผ่ามนุษย์กล่าว

 

“พวกเจ้าน่ะหรอ?”

 

“มิใช่แค่พวกเรา แต่เป็น ‘ทุกคน’ ต่างหาก”

 

กู่ฉิงซานตอบรับอย่างมีความสุข “นั่นสินะ อีกไม่นานเราก็จะต้องแยกจากกันแล้ว ถ้าอย่างงั้นข้าคงต้องเอ่ยคำลากับทุกคนเสียหน่อย”

 

ขณะกล่าว เขาก็ชูไม้เท้าแห่งการจองจำขึ้น

 

และคนตายทั้ง 18 ขุมนรกก็รู้สึกถึงมันได้ในทันที

 

“ขอแสดงความยินดีด้วยที่ในวันนี้ ทุกคนได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานอันขมขื่นและยาวนาน และกำลังจะได้ไปเกิดใหม่ในไม่ช้า” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“เฮ!!!!!” เหล่าคนตายส่งเสียงไชโย

 

“ท่านราชาภูติ! ขอบพระคุณมากจริงๆ!” คนตายบางคนร้องตะโกนลั่น

 

ขณะที่เสียงไชโยและเสียงปรบมือเริ่มดังกระหึ่มขึ้น

 

“หยุด! หยุด! หยุดก่อน!” กู่ฉิงซานเอ่ยขัด

 

แล้วเหล่าคนตายทั้งหมดก็ค่อยๆสงบลง

 

“สิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากจะกล่าวก็คือ ‘ชาติหน้าก็จงเป็นคนดีเสีย’ อย่าได้กลับมายังนรกนี้อีก เพราะข้าไม่ต้องการที่จะเห็นหน้าพวกเจ้าอีกแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แล้วเขาก็วางไม้เท้าราชาภูติลง

 

แต่โดยไม่คาดคิด-

 

“ท่านราชาภูติช่างยอดเยี่ยม!”

 

“ผู้น้อยขอคารวะท่านราชาภูติ!”

 

“ขอราชาภูติทรงพระเจริญ!”

 

ในท้ายที่สุด ดูเหมือนว่าคนตายจะรู้สึกว่าคำสรรเสริญของพวกเขามันแตกต่างกัน ดังนั้นทั้งหมดจึงเปลี่ยนคำสรรเสริญเป็นเสียงเดียวกัน

 

“ขอราชาภูติทรงพระเจริญ!”

 

“ขอราชาภูติทรงพระเจริญ!”

 

“ขอราชาภูติทรงพระเจริญ!”

 

พวกเขาตะโกนก้องเป็นจังหวะ

 

เสียงโห่ร้อง ‘ทรงพระเจริญ’ ดั่งคลื่นสึนามิ สั่นสะเทือนไปตลอดทั้งนรก 18 ขุม

 

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นปิดหูเขา ขมวดคิ้วกล่าวด้วยความแปลกใจ “น่าประหลาดใจยิ่งนัก ข้าได้ตัดการเชื่อมต่อกับไม้เท้าไปแล้วชัดๆ แล้วเหตุใดจึงได้ยินเสียงของเหล่าคนตายอยู่อีก”

 

เพียงได้ยิน ฉานนู่ก็หัวเราะก๊ากออกมาจนงอคอหงายอย่างมิอาจควบคุมได้

 

เธอมักจะโดดเดี่ยวเย็นชาอยู่เสมอ แต่เวลานี้เธอกลับกำลังยิ้มอย่างมีความสุขอย่างแท้จริง! นี่นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง

 

ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกว่าตนเองกำลังยิ้มโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์และมารยาท หญิงสาวจึงยกมือขึ้นปิดของปากเธอเบาๆ

 

“เจ้าหัวเราะอะไรกันล่ะนั่น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“นายน้อย นรกทั้ง 18 ขุมกำลังส่งเสียงโห่ร้อง กล่าวได้ว่าตลอดทั้งภูเขาล้อมเหล็กก็ยังได้ยิน ฉะนั้นแล้วต่อให้ท่านตัดการเชื่อมต่อกับไม้เท้า ท่านก็ยังสามารถได้ยินมันด้วยหูของตนเองอยู่ดี”

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” กู่ฉิงซานได้คลายมือออกจากหูของเขา

 

“สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันมานี้มันช่างน่าทึ่งเหลือเกิน ตัวข้าเองไม่เคยคาดคิดเลยว่าเรื่องราวมันจะเป็นเช่นนี้” ฉานนู่กล่าวด้วยอารมณ์

 

เธอลอบมองไปยังกู่ฉิงซาน แต่กลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่กำลังขบคิดตามเกี่ยวกับเรื่องที่เธอพึ่งเอ่ยมา

 

“ที่นี่ก็ปล่อยให้ตะขอเกี่ยววิญญาณกับเหล่าสรรพวุธเป็นคนจัดการก็แล้วกัน อ้อ! ถ้าหากพวกเจ้ามีปัญหาใดๆ ก็ขอให้ทำการติดต่อข้าได้ตลอดเวลาเลยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เข้าใจแล้ว หลังจากที่โลกผสานรวมกันโดยสมบูรณ์ พวกเราจะมาพบกันอีกครั้ง” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าวว่า “ข้าขอฝากไม้เท้าแห่งการจองจำไว้ที่นี่ด้วยนะ”

 

“ทราบแล้ว! ข้าจะช่วยเจ้าดูแลไม้เท้าราชาภูติเอง!” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

กู่ฉิงซานกระทุ้งปลายไม้เท้าลงบนตำแหน่งเขายืนอยู่ จัดวางมันให้เข้าที่

 

นรกกำลังจะว่างเปล่า และกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในไม่ช้า ดังนั้นไม้เท้ามนตรานี้คงจะไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ชั่วคราว มันจึงจะเป็นการดีกว่าหากให้มันได้พักผ่อนอยู่ที่นี่

 

มันมิใช่ดาบ แต่มันคือไม้เท้าควบคุมนรก ฉะนั้นแล้วก็ให้มันคอยเฝ้าสังเกตการณ์ถึงความเป็นไปของนรกเถอะ

 

ปล่อยให้มันได้อยู่ที่นี่สักพัก

 

เพราะยังไงก็ตาม ไม้เท้าก็ได้ประทับตราตนเองเอาไว้อยู่แล้ว คนอื่นๆน่ะไม่สามารถใช้งานมันได้หรอก

 

บางที เมื่อเวลาผ่านไป ตนเองอาจจะได้กลับมายังนรกอีกครั้ง แล้วได้คว้าจับไม้เท้าเล่มนี้มาใช้งานอีกก็ได้

 

และนั่นคงจะเป็นการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่

 

“ไปกันเถอะฉานนู่” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่ขานรับ

 

ร่างของพวกเขาวูบไหว ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งตรงไปยังทิศทางของถ้ำมืด

 

มองตามไปยังแผ่นหลังของทั้งสอง วิหคขาวอดไม่ได้ที่จะสะอื้นไห้

 

“เจ้าเป็นอะไรไปงั้นหรอ?” ตะขอเกี่ยววิญญาณถามด้วยความสงสัย

 

“น่าเสียดาย … น่าเสียดายจริงๆที่เขามิใช่ผู้ใช้กระบี่” วิหคขาวกล่าว

 

“วางใจเถอะ หลังจากที่โลกผสานรวมกัน เจ้าก็จะสามารถไปยังโลกมนุษย์เพื่อหาคู่หู และออกเดินทางไปด้วยกันกับเจ้าได้”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณหันไปมองเหล่าสรรพวุธมากมายและกล่าวด้วยความเคารพลึก “เผ่ามารได้ถูกกวาดล้างออกไปแล้วก็จริง แต่ด้วยการปรากฏตัวของพวกมัน ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเผ่ามารกำลังจับตาดูโลกทั้งหกของพวกเราอยู่!”

 

“หลังจากที่โลกผสานรวมกัน พวกเจ้าจะไม่สามารถหลับไหลได้อีกแล้วนะ .. แต่จงหาคู่หูใหม่เสีย!”

 

“แต่ในปรภพไม่มีเทพวิญญาณอยู่อีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะตื่นไปทำไมกัน?” หอกยาวเอ่ยถาม

 

“ก็จงไปที่โลกมนุษย์ซี ไปตามหาเจ้านายที่พวกเจ้าชมชอบ แล้วช่วยเหลือให้พวกเขาเติบใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งยิ่งขึ้น บางทีในอนาคตอันใกล้ โลกมนุษย์อาจจะได้รับการปกปักษ์โดยพวกเจ้าก็ได้นะ” ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือนกล่าว

 

“ขอรับ!” เหล่าสรรพวุธขานรับเป็นเสียงเดียวกัน

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.418 – ผสานโลก

 

ปฏิกิริยาตอบสนองของหมาดำ ส่งผลให้กู่ฉิงซานลอบประหลาดใจอย่างลับๆ

 

เจ้าหมาตัวนี้มันแปลกจริงๆ …

 

กู่ฉิงซานไม่รีรออีกต่อไป หย่อนร่างจิตลงไปในกายมนุษย์ของตนเองทันที

 

เขาลืมตาขึ้น

 

แล้วเขาก็พบว่าสายใยแห่งกฏเกณฑ์ก็ตามมาด้วยเช่นกัน เวลานี้มันกำลังสาดประกายแสงห้าสีอยู่ในมือของเขา

 

ขณะนี้คนอื่นก็เริ่มรับรู้ถึงการกลับมาของเขากันบ้างแล้ว

 

“เป็นยังไงบ้าง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามเสียงหม่น

 

ในจุดที่ไกลออกไป ประธานาธิบดีและสมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าก็ยืนขึ้นเช่นกัน

 

“ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“กู่ฉิงซานนนนน!”

 

แอนนากรีดร้อง เธอผุดลุกจากโซฟาและกระโจนโผเข้าสู่อ้อมอกเขา

 

“ว่าไง มีอะไรงั้นหรอ? ไม่ต้องกังวลถึงขนาดนี้ก็ได้นะ ฉันยังสบายดี” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“เฮอะ! ทีซูเซี่ยเอ๋อยังกอดนายได้ แล้วทำไมฉันถึงกอดไม่ได้!” สองตาอันงดงามของแอนนาเบิกกว้าง ปากเอ่ยกล่าว

 

ขณะที่สีหน้าของเธอค่อยๆเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอย่างช้าๆ กระทั่งใบหูเธอก็ยังแดงเรื่อเล็กน้อย

 

—ซูเซี่ยเอ๋อต้องไม่รู้แน่ๆเลยว่า การยั่วยุของตนจะได้ก่อให้เกิดการกระทำรุกกลับเช่นนี้

 

ถ้าเธอรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้แล้วล่ะก็ เธอย่อมจะไม่ใช้วิธีดังกล่าวยั่วยุแอนนาเป็นแน่

 

เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของประธานาธิบดีก็เผยถึงความสุข เขาหันหลังกลับและจ้องมองทัศนียภาพภายนอกหน้าต่าง มองไกลออกไป

 

ขณะที่สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่ายกสองมือขึ้นกอดอก ส่ายหัวเล็กน้อย

 

“เอาล่ะๆ ตอนนี้เราก็มาจัดการเรื่องราวให้มันถูกต้องกันก่อนเถอะ” กู่ฉิงซานตบแผ่นหลังของแอนนาเบาๆ

 

“โอ้” แอนนาผละตัวออกจากเขา

 

กู่ฉิงซานลุกขึ้นยืน และเดินออกไปจากห้องพร้อมกับถือสายใยกฏเกณฑ์ห้าสีในมือ

 

เขายืนอยู่ในพื้นที่โล่งกว้างบนภูเขา และโยนสายใยกฏเกณฑ์ออกไป

 

สายใยกฏเกณฑ์ละลายลงในความว่างเปล่า

 

มันค่อยๆละลายราวกับหิมะที่ต้องกับแสงอาทิตย์ จนกระทั่งหายไปโดยสมบูรณ์

 

“ทำแบบนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหมนะ?” กู่ฉิงซานเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน

 

เขาเอ่ยถามออกมา “เทพธิดากงเจิ้ง ในโลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้างรึเปล่า?”

 

สมองควอนตัมของเขาสาดแสงขึ้นในทันใด

 

เทพธิดากงเจิ้งตอบกลับมา “ใต้เท้า โลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น”

 

“จริงๆหรอ? แล้วอะไรกันที่มันเปลี่ยนแปลงไป” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เส้นผ่านศูนย์กลางของโลกกำลังเติบโตขึ้น ขณะเดียวกันดาวโลกก็กำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ!”

 

“หรืออีกความหมายนึงก็คือ โลกมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมสินะ? แล้วอย่างอื่นล่ะ ภูมิอากาศมีเปลี่ยนไปหรือไม่ แล้วเกิดภัยพิบัติใดๆขึ้นหรือเปล่า?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม

 

“ในปัจจุบันนี้ทุกอย่างยังคงปกติดี นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ สิ่งนี้มันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของฉันไปแล้ว” เทพธิดากงเจิ้งอุทานออกมา

 

ทันใดนั้นเอง กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้รางๆถึงบางสิ่ง

 

เขาหลับตาลงและพยายามที่จะตระหนักถึงมันอย่างระมัดระวัง

 

เห็นได้ชัดว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ตัวเขาเองก็มิได้ฝึกยุทธอะไรมากมายนัก

 

แต่เวลานี้ พลังวิญญาณที่รายล้อมรอบตัวเขากำลังเติบโตขึ้นอย่างรุนแรง!

 

แต่เดิม ตนก็ยกระดับขึ้นมายังขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายแล้ว และพลังวิญญาณทั้งร่างยังคงอยู่ในกระบวนการปั่นป่วน

 

แต่ในขณะนี้ พลังวิญญาณทั้งร่างกายของเขากลับรู้สึกราวกับถูกเติมเต็ม มันมั่นคงและมีเสถียรภาพมาก

 

กระบวนการนี้ มันแลคล้ายกับ กระบวนการเดียวกับตอนที่กำลังจะทะลวงขอบเขตประทับเทพเลยไม่ใช่หรอ?

 

ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็จดจำได้ถึงคำพูดของร่างใหญ่อายุกว่า 100000 ปี

 

“เมื่อโลกหนึ่งถูกหลอมรวมเข้ากับอีกโลกหนึ่ง สิ่งมีชีวิตในโลกใบนั้นก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

“แล้วตอนนี้ดาวโลกได้หยุดการเปลี่ยนแปลงรึยัง?” เขาเอ่ยถาม

 

“ยัง ดาวโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆและค่อยเป็นค่อยไป ทว่าโครงสร้างเดิมของมันกลับยังคงสามารถรักษาเสถียรภาพเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ใหม่ๆถือกำเนิดขึ้นมากมายอีกด้วย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว บรรเทาความตึงเครียด

 

ดูเหมือนว่าการผสานรวมกันระหว่างสองโลกจะยังคงดำเนินต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม กระบวนการของมันกลับค่อนข้างราบรื่นกว่าที่คิด

 

แต่แล้วจู่ๆเขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งอย่างกระทันหัน

 

จริงสิ! ตอนนี้เรามีปัญหาที่จะต้องแก้ทันทีอย่างหอกหลากสีอยู่นี่นา!

 

หากยังไม่แก้ปัญหานี้ เมื่อการผสานรวมระหว่างสองโลกเสร็จสมบูรณ์ หอกหลากสีก็จะปรากฏตัวขึ้นในโลกมนุษย์และสังหารหมู่ทุกผู้คนบนโลก!

 

“พวกนายรอฉันก่อนนะ พอดีว่าในปรภพมีปัญหาสุดท้ายที่ยังไม่ได้แก้ไขอยู่น่ะ .. แถมมันยังเป็นเรื่องเร่งด่วนมากซะด้วย!”

 

เขาเอ่ยออกมา ขณะเดียวกันก็เดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น นั่งลงในท่วงท่าทำสมาธิ และเริ่มต้นจีบออกด้วยนิ้วหัวแม่มืออีกที

 

เทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน

 

เทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน

 

ทุกคนติดตามเขากลับเข้ามาที่ห้อง

 

เย่เฟย์หยูทนไม่ไหวต้องเอ่ยถามออกมา “คราวนี้เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ?”

 

กู่ฉิงซานที่กำลังจีบออกด้วยสองวิชาลับหันกลับมาตอบเขา “เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ประมาณว่า … บางทีหลังจากนี้ ถ้านายตายลง ก็คงไม่จำเป็นต้องถูกส่งไปยังโลกอื่นแล้วล่ะมั้ง”

 

ว่าจบ เขาก็กลับไปอยู่ในสถานะตายอีกรอบ

 

เขาไม่หยุดวิ่งเลยขณะที่กำลังข้ามมิติอันเชี่ยวกราด ผ่านถ้ำอันมืดมิด และในที่สุดก็มาถึงโลกปรภพ

 

ภายในนรกทะเลเลือด ฉานนู่กำลังรอเขาด้วยความกระวนกระวาย

 

“โลกปรภพเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แต่ข้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร” ฉานนู่กล่าว

 

“มันไม่เป็นไรหรอก นี่แหละคือโอกาสของพวกเราล่ะ”

 

“โอกาสอย่างนั้นหรือ?”

 

“ใช่ ข้าอยากจะให้เจ้าช่วยยืนยันเสียหน่อย ว่าในเวลานี้ตัวเจ้าสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“พลังศักดิ์สิทธิ์นั้น? พลังศักดิ์สิทธิ์อันใดกัน?” ฉานนู่ไม่รู้เลยว่ากู่ฉิงซานกำลังกล่าวถึงสิ่งใด

 

“ก็ ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา’ อย่างไรเล่า!”

 

ฉานนู่หลับตาลง ชั่วขณะหนึ่งเธอก็เอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ “น่าฉงนนัก ตอนนี้ข้าสามารถเปลี่ยนแปลงภูเขาล้อมเหล็กได้แล้วจริงๆ!”

 

“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก” กู่ฉิงซานกล่าว

 

นี่แหละคือแสงแห่งรุ่งอรุณที่แท้จริงล่ะ!

 

ได้ยินแค่เพียงเสียงของฉานนู่ที่เอ่ยพึมพำ “ใช่แล้ว ตอนนี้ข้าสามารถเปลี่ยนภูเขาล้อมเหล็กได้จริงๆ แต่ระยะเวลาที่ใช้ควบคุมมันนั้นช่างสั้นนัก แค่ราวๆสิบลมหายใจเท่านั้น”

 

“นั่นท่าไม่ดีแล้ว! เร็วเข้า! ขอให้ข้าได้ควบคุมมันเอง!” กู่ฉิงซานเริ่มร้อนรน

 

ฉานนู่มองตาเขาวูบหนึ่ง กัดฟันกรอด และเปลี่ยนตนเองเป็นดาบยาว

 

ภูเขาล้อมเหล็กน่ะมีหน้าที่ปกป้องหกโลก หากในเวลานี้กู่ฉิงซานทำอะไรผิดพลาดไปล่ะก็ สายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลก็จะเล็ดลอดเข้ามาทันที

 

และหากเป็นในกรีณีนั้น โลกทั้งหกก็จะถูกทำลายลง!

 

อย่างไรก็ตาม ในวินาทีสุดท้าย เธอก็ตัดสินใจที่เชื่อมั่นในตัวกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ทั้งคนทั้งร่างตั้งหลักอย่างมั่นคง

 

แล้วจู่ๆในความนึกคิดของเขาก็เกิดภาพมายาขึ้นทันใด

 

ตัวเขาขณะนี้คือภูเขา

 

ภูเขาล้อมเหล็กอันกว้างใหญ่

 

ขณะที่โลกปรภพทั้งหมดอยู่ต่อหน้าเขาในปัจจุบัน

 

โลกทั้งหกได้รับการคุ้มครองโดยตัวของเขาเอง

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต็มไปด้วยการรู้แจ้งอันกระจ่างชัด

 

ว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของภูเขาล้อมเหล็กได้โดยอาศัยเพียงแค่ความคิดของตนเอง

 

เสียงของฉานนู่กังวานขึ้น “นายน้อย ข้ายังคงมีเวลาเหลืออีกราวๆ 7 ลมหายใจ โปรดไตร่ตรองให้เร็วที่สุดว่าจะทำอะไรกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยเถอะ!”

 

“เข้าใจแล้ว!”

 

กู่ฉิงซานพยายามที่จะปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ และกวาดมันไปทั่วทุกตารางนิ้วบนพื้นดินของภูเขา

 

เส้นทางราบลื่น ไม่มีอุปสรรคขวางกั้นใดๆ

 

กู่ฉิงซานยังคงจัดการกับจิตสัมผัสเทวะอีกครั้ง และคราวนี้เขาค้นเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาล้อมเหล็ก

 

ภูเขาทั้งลูกเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไป เทือกเขาบ้างชันขึ้น บ้างดิ่งลงเป็นคลื่นดั่งที่ใจเขาปรารถนา

 

หุบเขาเริ่มเกิดการก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ยอดเขาแหลมชันแสนอันตรายแปรเปลี่ยนสภาพเป็นพื้นราบ ขณะที่เนินเขาธรรมดาๆสามารถพุ่งทะยานตัวขึ้นกลายเป็นยอดแหลม – ทุกอย่างช่างง่ายดาย

 

‘ที่จริงแล้ววิธีการควบคุมมันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง’ กู่ฉิงซานลอบพูดอย่างลับๆ

 

ยังคงเหลืออีกห้าลมหายใจ

 

ไม่สามารถรีรอได้อีกต่อไปแล้ว!

 

กู่ฉิงซานควบจิตสัมผัสเทวะของเขาไปกองรวมกันที่ยอดภูเขาล้อมเหล็ก

 

ไม่นานนัก เขาก็ค้นพบถึงการดำรงอยู่ของหอกหลากสี

 

หอกยังคงอยู่ท่ามกลางชั้นหินขนาดใหญ่ที่มันใช้เอนอิง

 

เหลืออีกสี่ลมหายใจ!

 

กู่ฉิงซานเริ่มลงมือทันที

 

“ … ดูท่าแล้วเวลาคงจะไม่เพียงพอ แต่ยังไงก็ต้องขอลองสักตั้ง!” เขาคำรนเสียงต่ำ

 

หอกหลากสีที่พิงอยู่กับหินใหญ่ยังคงนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน

 

ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานได้เตรียมพร้อมแล้ว

 

ในชั่วขณะนั้นเอง หอกหลากสีที่นิ่งงันรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพื้นดิน แต่ก็แค่พื้นดินเท่านั้น สำหรับการกระทำของกู่ฉิงซาน มันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่

 

สามลมหายใจ!

 

พริบตานั้นภูผาสูงใหญ่หลายสิบจั้งก็ผุดขึ้นมาบนยอดเขา

 

เหลืออีกสองลมหายใจ!

 

ภูผาสูงเหล่านั้นโค้งงอลงราวกับมือยักษ์ ถลาลงไปคว้าจับหอกหลากสี

 

หอกหลากสีเริ่มตอบสนองทันควัน

 

มันส่งเฉดเงาหอกอันไร้ที่สิ้นสุดออกไป จ้วงแทงโจมตีเข้าใส่คลื่นภูผายักษ์

 

อย่างไรก็ตาม มันไร้ประโยชน์!

 

ไม่มีพลังอำนาจใดสามารถทำลายภูเขาล้อมเหล็กได้

 

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์น่ะถือกฏเกณฑ์ของทั้งโลกปรภพ!

 

กระทั่งสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลที่สามารถทำลายล้างทั้งโลกได้ก็ยังถูกขวางกั้นโดยภูเขาลูกนี้ แล้วนับประสาอะไรกับอำนาจของหอกเพียงเล่มเดียว!!

 

ลมหายใจสุดท้าย!

 

“ไปเลยยยยยย!”

 

กู่ฉิงซานอ้าปากตะโกนสุดเสียง

 

ขณะเดียวกันกับเสียงของเขา ภูผายักษ์ก็โถมเข้าใส่ตำแหน่งที่หอกหลากสีอยู่ในทันใด

 

-เอี๊ยดดดด!

 

บังเกิดเสียงอันรุนแรงของแรงเสียดทาน ชั้นอากาศบังเกิดประกายไฟระลอกใหญ่ ตัดผ่านไปทั่วฟ้า

 

หอกหลากสีแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา พุ่งทะยานหลบหนีออกจากยอดภูเขาล้อมเหล็ก

 

มันบินหลุดพ้นจากโลกปรภพ และทะลุช่องว่างที่เกิดขึ้นในระหว่างการม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นของภูผา ทะลวงอากาศหลุดออกไปยังส่วนหลังของภูเขาล้อมเหล็ก!

 

และบริเวณส่วนหลังของภูเขาล้อมเหล็กคือหน้าผาสูงชันหลายหมื่นจั้ง … มันคือพื้นที่ที่อยู่นอกเขตแดนของโลกทั้งหก!

 

เวลา … หมดลงแล้ว!

 

และพลังในการควบคุมภูเขาก็หยุดลง

 

คลื่นภูผาใหญ่ค่อยๆจมลงกลับไปในหน้าผาสูงชัน ปกปิดช่องว่างที่หอกหลากสีพุ่งออกไป และเปลี่ยนเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ดังเดิมอย่างเงียบๆ

 

ฉานนู่ปรากฏร่างขึ้นจากดาบยาว เอ่ยพึมพำอย่างเหม่อลอย “จริงสิ ภายนอกภูเขาล้อมเหล็กน่ะมีสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่ หากกระทั่งโลกยังไม่สามารถหลบหนีจากการทำลายล้างของมันได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับอาวุธเพียงลำพัง”

 

กู่ฉิงซานปาดเหงื่อบนหน้าผาก ผ่อนลมหายใจยาว

 

“เนื่องจากมันทรงพลังมากเกินไป แถมไม่แบ่งแยกการดำรงอยู่ระหว่างมิตรหรือศัตรู ฉะนั้นเราจึงโยนมันทิ้งไว้ภายนอกโลก และปล่อยให้มันต่อสู้กับสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลแทน”

 

“แม้ว่ามันจะสามารถปลอดภัยอยู่ภายในทัณฑ์โกลาหล แต่อย่างไรมันก็ไม่สามารถกลับมายังปรภพได้อีกครั้งอยู่ดี” กู่ฉิงซานกล่าว

 

วิกกฤตทั้งหมด ถูกลบออกไปแล้ว

 

คนตายบางส่วนที่พยายามจะทำลายนรกและยึดครองโลกก็หายไปแล้วเช่นกัน ขณะที่บางส่วนแม้ยังจะถูกเก็บเอาไว้ แต่ก็คงจะได้ไปเกิดใหม่ในไม่ช้า

 

เผ่ามารและอสูรกายทั้งหมดที่กระจายตัวอยู่ตลอดทั้งโลกปรภพก็ได้ตายลงไปแล้ว

 

โลกปรภพได้กลับคืนสู่ความเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ติ๊ง ติ๊ง ติ๊’ ติ๊’!

 

เสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญรายบุคคล ดังก้องอยู่ในหูของคนตายทุกตนในแต่ละนรก

 

“เอาล่ะ มาเริ่มนับบุญที่ได้รับกันเถอะ” เครื่องจักรกล่าว

 

…..

 

อีกด้านหนึ่ง

 

หอกหลากสีได้บินออกจากอาณาเขตโลกทั้งหก

 

มันบินเข้าสู่ปฐมบทแห่งความโกลาหล

 

และสายลมสีเทาจางๆก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ

 

สายลมพัดกระพือเข้าใส่หอก

 

เคร้ง!

 

บังเกิดเสียงก้องกังวาลชนิดเขย่าได้ทั้งสวรรค์และโลก

 

หอกที่สังหารได้กระทั่งเทพและอสูรกายถูกสายลมตีกระเด็นไปทันที

 

สายลมกรรโชกนี้ครอบครองอำนาจอันมหาศาล หอกหลากสีถูกเป่าปลิวไปด้วยความเร็วแรงที่เกินสามัญสำนึกของมนุษย์จักรับรู้ได้

 

ใช่แล้ว มันคือสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหล!

 

สายลมที่สามารถดับสูญได้ทั้งโลกหล้า!

 

แส้สายลมเริ่มก่อตัวขึ้นอีกเส้นหนึ่ง

 

สายลมค่อยๆพัดแรงขึ้น ดุดันขึ้น แข็งกร้าวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ!

 

เสียงสายลมที่เสียดสีกับตัวหอกส่งเสียงหวีดหวิว มันม้วนกลิ้งไปตามอากาศ

 

หอกหลากสีถูกห้อมล้อมด้วยสายลม ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมัน ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่อง

 

ตัวหอกโกรธแค้น มันไม่ยินยอมที่จะแสดงความอ่อนแอของตนออกมา จึงสาดเฉดเงาหลากสีกระจายออกไปกระแทกเข้ากับสายลมในทันใด

 

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

 

การเผชิญหน้าอันยาวนานยังคงดำเนินต่อไป

 

เฉดเงาหลากสีบนตัวหอกยังคงผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

กล่าวได้ว่ามันกับสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลนั้นคล้ายคลึงกัน ทั้งสองดุร้ายและแข็งกร้าว อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าแทบเทียบเคียงได้กับการอยู่ยงคงกระพันทั้งคู่

 

หอกและลมได้ต่อสู้กัน โบยบิยฉวัดเฉวียนเข้าสู่ทิศทางที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถเข้าถึงได้

 

ท่ามกลางมิติและห้วงเวลาที่มิอาจคาดคะเน ได้บังเกิดสภาวะการทำลายล้างระหว่างทั้งสองขึ้น

 

วิ้งงงงงงง!

 

บังเกิดเสียงอื้ออึง แม้ดูเหมือนว่าเสียงนี้จะกังวานนานนับพันหมื่นปี แต่จริงๆแล้วมันผ่านไปเพียงพริบตาเท่านั้น!

 

พอได้สติกลับคืน ตัวมันเองก็ไม่รู้ว่าแล้วเหมือนกันว่าตนได้มาอยู่ที่ใด

 

แต่หอกกับสายลมก็ยังคงเข้าห้ำหั่นกันต่อ

 

อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงๆหนึ่งก้องขึ้น

 

“เห? ที่นี่มีหอกอยู่ด้วยแฮะ”

 

ยามเมื่อเสียงพูดนั้นตกลง ก็ปรากฏมือเอื้อมออกมา คว้าจับลงบนหอกหลากสี

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.417 – สายใยแห่งกฏเกณฑ์

 

วิหารแห่งวัฏจักรเป็นสถานที่ๆเทพปรภพคอยรับผิดชอบจัดการเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ได้ชดใช้กรรมในนรกจนหมดสิ้นลง โดยการส่งพวกเขาไปเกิดใหม่

 

นอกจากนี้ ที่นี่ยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดการเรื่องราวสำคัญๆต่างๆเกี่ยวกับโลกปรภพอีกด้วย

 

กล่าวได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือสถาบันสูงสุดของปรภพ!

 

และยังมีแหล่งกำเนิดธาตุดินถูกเก็บเอาไว้อีกด้วย

 

เหล่าคนตายได้วิ่งเข้ามาในวิหารแห่งวัฏจักร

 

“หยุดก่อน!”

 

ชูร่าหญิงชักมือขึ้น ปากเอ่ยสั่ง

 

“จงอย่าทำลายสิ่งใด! เพราะเรายังไม่ทราบถึงตำแหน่งที่แน่นอนของสิ่งที่ราชาภูติต้องการ หากใครเผลอทำลายมัน ก็เฝ้ารอเวลาที่จิตวิญญาณของตนถูกทำลายได้เลย!” เธอตะโกนเสียงดังออกมา

 

คนตายตนอื่นๆชะงักงันไปทันที นิ่งค้างอยู่ในสถานที่เดียวกันราวกับถูกแช่แข็ง

 

ชูร่าหญิงเป็นผู้นำการบุกจู่โจมในรอบนี้

 

ขณะที่รอบก่อนหน้าถูกนำโดยราชันย์หมาป่า เขาเป็นระลอกแรกที่ทำการบุกเข้าใส่หอกหลากสีอย่างเต็มรูปแบบ

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายราชันย์หมาป่าก็ถูกสังหารลงโดยเงาหอก

 

ชูร่าหญิงจึงฉวยโอกาสนั้นพุ่งทะยานออกไป ใช้แรงระเบิดถลาตัวม้วนกลิ้งเข้ามาในวิหารได้ในที่สุด

 

แล้วหอกหลากสีก็หยุดการโจมตีไป

 

ไม่นานนัก หกผู้คุมนรกก็ได้มารวมตัวกันในวิหารแห่งวัฏจักร

 

พวกเขาเริ่มที่จะค้นหาแหล่งกำเนิดของธาตดิน

 

ในความเป็นจริงแล้ว แหล่งกำเนิดเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะค้นหา เพราะตัวแหล่งกำเนิดน่ะจะปลดปล่อยกลิ่นอายและพลังแบบเฉพาะเจาะจงออกมา เลยสามารถสัมผัสถึงได้ง่าย

 

ตัวอย่างเช่น แหล่งกำเนิดธาตุน้ำ ที่ตัวมันจะปล่อยกลิ่นอายเย็นเยียบออกมา และแหล่งกำเนิดธาตุน้ำก็มีพลังที่จะสามารถฟื้นฟูบาดแผลต่างๆได้อย่างช้าๆอีกด้วย

 

ดังนั้น ครั้งแรกที่กู่ฉิงซานพบกับฉานนู่ เธอจึงอยู่ในสายธารแห่งการหลงเลือน และกำลังใช้แหล่งกำเนิดธาตุน้ำหล่อเลี้ยงร่างจิตเพื่อที่จะทำการฟื้นฟูตนเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อยู่

 

หกผู้คุมนรกหลับตาลง และเริ่มทำการสัมผัสถึงมัน

 

สักพักหนึ่ง พวกเขาก็ทยอยกันลืมตาขึ้นอีกครั้ง พร้อมด้วยร่องรอยของความประหลาดใจที่เขียนอยู่บนใบหน้าของพวกเขา

 

“นี่มันชักจะไม่ง่ายซะแล้วสิ เหตุใดข้าจึงไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นพลังเลยล่ะ?” ชายชราเผ่ามนุษย์กล่าว

 

“ข้า-ก็-เหมือนกัน” ผู้คุมนรกที่เป็นยักษ์ตอบ

 

“มันคงจะเป็นการที่ดีสุด หากถามเอาจากราชันย์หมาป่า จมูกของมันดีมากๆ มันจะต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นแน่” มนุษย์ปีศาจเอ่ยปากออกมา

 

“ดูนั่นสิ พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาเลย” ชูร่าชายกล่าว

 

เห็นแค่เพียงราชันย์หมาป่าที่ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง กำลังเดินตรงมาจากทางเข้าวิหาร

 

มันขยับจมูกฟุดฟิด ในสมองขบคิดอย่างจริงจังอยู่สักพักหนึ่งจึงกล่าวว่า “พวกเจ้าทุกคนช่วยกันมองหาดูหน่อยว่าภายในวิหารนี้มีสิ่งผิดปกติใดๆหรือไม่ และจงระวังอย่าให้สิ่งเหล่านั้นเกิดความเสียหายล่ะ”

 

แล้วผู้คุมนรกทั้งเจ็ดก็แยกย้ายกันไป แต่ละตนเริ่มที่จะทำการสำรวจวิหาร

 

แต่หลังจากที่ทำการสำรวจแล้ว พวกเขากลับไม่พบว่ามีอะไรที่ผิดสังเกตเลย

 

ราชันย์หมาป่าจึงอดไม่ได้ที่จะใช้กระแสจิตส่งออกไปเพื่อรายงานปัญหาแก่กู่ฉิงซาน

 

“มันไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้”

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วมุ่น

 

“เราได้ลองออกค้นหามันดูแล้ว แต่กลับไม่พบถึงแหล่งกำเนิดของธาตุดิน หรืออะไรแปลกๆที่ดูผิดสังเกตเลย” ราชันย์หมาป่ากล่าว

 

แต่แล้วจู่ๆมันก็กวาดสายตาไปในฝูงชนอย่างฉับพลัน

 

“ประเดี๋ยวก่อน ข้าว่าข้าไม่เห็นชูร่าหญิงนะ บางทีนางอาจจะเจอบางสิ่งเข้าแล้วก็ได้”

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

ชูร่าหญิงก็กำลังยืนอยู่ในมุมๆหนึ่งที่ห่างไกลของตัววิหาร

 

มีกองเครื่องจักรโลหะอยู่ที่นี่

 

มันเกือบที่จะพังทลายลงโดยสิ้นเชิง แต่ก็ยังสามารถคงสภาพเอาไว้ได้อยู่เล็กน้อยด้วยพลังอำนาจบางอย่าง และยังไม่ได้ถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์

 

แต่ที่เด่นสะดุดตาก็คงจะไม่พ้นหมายเลข ‘33’ ที่ถูกสลักไว้บนผิวเครื่องจักร

 

ควันดำจางๆลอยออกมาจากมันอยู่เป็นระยะๆ

 

เห็นได้ชัดว่าแม้จะมีการสนับสนุนด้วยพลังบางอย่าง แต่เครื่องจักรก็ยังได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากอยู่ดี

 

แต่ยังไงก็เถอะ ดูเหมือนว่ามันจะยังพอทำงานได้อยู่นะ

 

ชูร่าหญิงเอื้อมมือออกไปและพยายามที่จะกดลงบนเครื่องจักรโลหะเย็น

 

แต่แล้วเสียงของเครื่องจักรก็ดังสะท้าน จนทำให้เธอต้องกระโดดโหยงด้วยความตกใจ

 

“ท่านเทพ!!!”

 

เครื่องจักรพ่นคำนี้ออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน

 

แต่เพียงแค่เอ่ยคำนั้นออกมา ตัวเครื่องจักรก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง

 

ส่วนประกอบบางชิ้นหลุดลอก กลิ้งตกลงมาจากเครื่องจักร

 

เครื่องจักรดูเหมือนจะถึงขีดจำกัดแล้ว เป็นแบบนี้อยู่สักพักมันก็หยุดทำงานลงในที่สุด

 

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆก็บังเกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้นจากมัน

 

เครื่องจักรดิ้นรนเฮือกสุดท้ายให้ตนสามารถกลับมาทำงานได้อีกครั้ง มันสั่นไหวอย่างไร้เสถียรภาพ แต่ก็ยังคงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะพูดประโยคหลังออกมา

 

“หนีไป-”

 

ตูม!

 

เครื่องจักรเกิดการระเบิดขึ้น

 

ชิ้นส่วนเครื่องจักรนับไม่ถ้วนแตกกระจายและร่วงตกลงกับพื้น

 

ชูร่าหญิงแข็งค้างไปชั่วขณะหนึ่ง

 

อ่า… สถานการณ์นี่มันบ้าอะไรกันล่ะเนี่ย?

 

ดูเหมือนว่าเครื่องจักรจะมีสิ่งที่อยากจะพูดอยู่มาก อย่างไรก็ตามสุดท้ายมันก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้

 

ว่าแต่มันพยายามที่จะบอกอะไรกันแน่นะ?

 

บังเกิดความคิดขึ้นในจิตใจของชูร่าหญิง

 

แต่แล้วในจุดที่เครื่องจักระเบิด จู่ๆก็พลันสาดแสงสีเหลืองเรืองรองออกมา

 

-แหล่งกำเนิดธาตุดิน

 

กลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วมันอยู่ที่นี่!

 

ด้วยการสนับสนุนจากพลังของมัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเครื่องจักรจึงสามารถทนมาได้ถึงขนาดนี้ และเกิดปฏิกริยาตอบสนองขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมีคนมาถึง

 

มันเป็นเพราะเครื่องจักรตระหนักดีว่าตนเองกำลังจะพังลง มันเลยตามหาแหล่งกำเนิดธาตุดิน หรือไม่ก็เพราะว่ามันมีแหล่งกำเนิดธาตุดินอยู่กับตัวอยู่แล้วกันแน่นะ? แต่จะยังไงก็ช่าง เพราะมันได้พังไปแล้ว และเรื่องนี้ก็คงจะเป็นปริศนาไปตลอดกาล

 

“เกิดอะไรขึ้น?” เสียงของราชันย์หมาป่าดังขึ้น

 

หกผู้คุมนรกปรากฏกายขึ้นเบื้องหลังชูร่าหญิง

 

“โอ้! ไม่มีอะไรหรอก มันอยู่ที่นี่ไง!” ชูร่าชายร้องโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

“ดีล่ะ ตอนนี้ก็ส่งมันไปให้ราชาภูติกันเถอะ”

 

มนุษย์ปีศาจที่ลอยอยู่กลางอากาศรับเอาแหล่งกำเนิดธาตุดินมา และชูมันขึ้นให้ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าคนตายที่อยู่เบื้องหลัง

 

เหล่าคนตายพอได้เห็นก็โห่ร้องด้วยความปิติยินดีออกมา

 

กระทั่งเทพก็ยังต้องตกตายลงด้วยน้ำมือของหอกหลากสี

 

แต่พวกเขา! พวกเขากลับสามารถฝ่าด่านป้องกันของหอกและชิงแหล่งกำเนิดธาตุดินมาไว้ในกำมือได้!

 

สำหรับคนตายแล้ว นี่นับว่าเป็นชัยชนะอย่างแท้จริง!

 

แล้วพวกเขาก็ได้นำแหล่งกำเนิดธาตุดินไปยังนรกทะเลเลือด

 

ณ บนชายฝั่งของนรกทะเลเลือด

 

กู่ฉิงซานกำลังกะน้ำหนักของแหล่งกำเนิดธาตุดินที่อยู่ในมือของเขา

 

คราวนี้ก็ได้แหล่งกำเนิดมาสี่แล้ว!

 

ปัจจุบันนี้ เหลืออีกเพียงแหล่งกำเนิดธาตุไม้ที่อยู่บนภูเขาล้อมเหล็ก

 

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆชูร่าหญิงก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขา

 

“มีอะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ข้ามีเรื่องเล็กๆน้อยๆที่อยากจะเอ่ยถามฉานนู่หรือไม่ก็ตะขอเกี่ยววิญญาณน่ะ”

 

ชูร่าหญิงดูเหมือนว่าจะกำลังกังวล

 

“เชิญถามมาได้” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

“พอจะมีวีธีที่สามารถซ่อมแซมเครื่องจักรปรภพได้หรือไม่?”

 

“มีเพียงเทพวิญญาณที่จะสามารถซ่อมแซมพวกเขาได้ นอกเหนือไปจากนั้น ก็คงจะเป็นพลังของกฏเกณฑ์แห่งปรภพ ที่จะค่อยๆซ่อมแซมพวกเขาเอง แต่สำหรับอย่างหลังกระบวนการมันจะเป็นไปอย่างช้าๆ”

 

ชูร่าหญิงพยักหน้า  ขณะที่ในหัวกำลังขบคิด

 

“เอาล่ะ เหลือแหล่งกำเนิดธาตุอีกแค่อันเดียวแล้ว ทุกคนบุกได้!” กู่ฉิงซานเอ่ยบัญชา

 

ฮ่าาาา!!!

 

เหล่าคนตายตะโกนก้อง และเริ่มพุ่งทะยานเข้าปะทะอีกครั้ง

 

แต่คราวนี้หอกหลากสีก็ยังคงสงบนิ่ง

 

มันที่อยู่บนยอดได้เปล่งเส้นแสงเฉดเงาหลากสีออกมาทั่วบริเวณรอบครึ่งบนของภูเขาล้อมเหล็ก

 

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นคำประกาศของมัน ที่น่าจะใจความว่า

 

‘หากผู้ใดก็ตามข้ามเส้นนี้มา มันทุกคนจักต้องตาย’

 

เหล่าคนตายจึงไม่คิดเข้าไปวุ่นวายกับมัน ก่อนจะเริ่มทำการสำรวจครึ่งล่างของภูเขาล้อมเหล็ก และในที่สุดก็พบกับแหล่งกำเนิดธาตุไม้อย่างรวดเร็ว

 

ไม่นานนัก แหล่งกำเนิดธาตุไม้ก็มาถึงมือของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานรับเอาแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้ามา และเริ่มที่จะย้อนระลึกความทรงจำอย่างเงียบๆ

 

เมื่อครั้งที่เขาอยู่ในโลกเทวะ ร่างใหญ่ได้เคยบอกเขาถึงวิธีการผสานรวมระหว่างสองโลกเข้าด้วยกัน

 

“ต่อไป ก็ถึงเวลาที่จะหลอมกลั่นพวกมันสินะ”

 

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังกล่าว เขาก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา ให้มันประสานเข้ากับจิตสัมผัสเทวะ และเริ่มทำการหลอมกลั่นแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้า

 

แหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าเหล่านี้ไม่มีเจ้าของ และมันเข้ากันได้ดีเป็นอย่างมากกับพลังวิญญาณ ช่างเป็นวัสดุสำหรับการหลอมกลั่นที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน

 

และการดำรงอยู่ของพวกมันจะยังคงอยู่ต่อไป ตราบใดที่ในโลกทั้งหกไม่มีการหลอมกลั่นเกิดขึ้น

 

ไม่นานนัก แหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าก็ถูกประทับตราโดยกู่ฉิงซานด้วยจิตสัมผัสเทวะของเขา

 

เขาใช้พลังวิญญาณเพื่อจัดการกับกระบวนการหลอมกลั่น และค่อยๆยืดกลุ่มแสงให้กลายเป็นเส้นใย และเชื่อมต่อพวกมันเข้าด้วยกัน

 

ทันใดนั้นเส้นแสงยาวเหยีดดที่ทอประกายห้าสีก็ถือกำเนิดขึ้น

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นมาทันใด

 

“คุณได้รับสายใยแห่งกฏเกณฑ์”

 

“นี่คือสายใยกฏเกณฑ์แห่งโลกปรภพของหกวิถีแห่งสังสารวัฏ”

 

“หากคุณนำมันเข้าสู่โลกอื่น โลกปรภพก็จะถูกดึงดูดโดยสายใยแห่งกฏเกณฑ์นี้ และค่อยๆถูกหลอมรวมเข้ากับอีกโลกหนึ่งที่คุณได้นำพามันเข้าไป”

 

กู่ฉิงซานกำไม้เท้าแห่งการจองจำในมือ หลับตาลงครุ่นคิด

 

“ฉานนู่”

 

“ข้าอยู่นี่นายน้อย”

 

“เรื่องราวของที่นี่ ข้ายกให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ส่วนข้าขอตัวกลับไปที่โลกมนุษย์ก่อน”

 

“แล้วนายน้อยต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”

 

“เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เองในไม่ช้า”

 

กู่ฉิงซานกระทุ้งปลายไม้เท้าแห่งการจองจำให้มันตั้งตรงบนพื้น

 

ขณะเดียวกันเขาก็บีบสายใยแห่งกฏเกณฑ์ห้าสีในมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างจีบออกด้วยวิชาลับ

 

“วิญญาณหวนคืน”

 

“วิญญาณหวนคืน :  แม้ตนจะตกตาย หรือกระทั่งจิตแห่งตนล่องลอยสู่ปรภพ ก็ยังสามารถที่จะเรียกมันกลับคืนมาได้”

 

ในความว่างเปล่า ราวกับว่ามีแรงฉุดที่มองไม่เห็นบังเกิดขึ้น มันคอยบ่งบอกให้กู่ฉิงซานรับรู้ได้ถึงทิศทางของกายมนุษย์ของตนเอง

 

เขาผลุบเข้าไปในความว่างเปล่าพร้อมกับแรงฉุด ออกจากนรกทะเลเลือดอย่างฉับพลัน

 

และในวินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณปากทางเข้าถ้ำมืด

 

เขาเดินผ่านถ้ำมืดที่ว่างเปล่าเข้าไปในกระแสมิติอันเชี่ยวกราด จากนั้นก็มุ่งหน้าไปตามทิศทางของแรงฉุด

 

ชั่วระยะเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็หยุดลง

 

เขาสัมผัสได้รางๆว่ากายมนุษย์ของตนอยู่ภายนอกมิติที่ว่างเปล่าตรงจุดนี้

 

ด้วยวิชาลับที่ใช้ไป ทำให้บังเกิดภาพรางๆของกำแพงโปร่งใสปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

 

แม้ภาพจะไม่ชัด แต่ก็จะเห็นว่าเบื้องหน้าเขา คือห้องนั่งเล่นในวิลล่าบนภูเขา

 

กู่ฉิงซานทะลุกำแพงโปร่งใสเข้ามา และปรากฏกายขึ้นในโลกมนุษย์

 

เขาลอยอยู่กลางอากาศ และหันไปมองรอบๆห้องอย่างเงียบๆ

 

ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูยังคงประกบซ้าย-ขวา ข้างกายเขา คอยปกป้องตนเองอย่างระมัดระวัง

 

เอ๋?

 

แอนนาก็มาด้วยหรอนี่?

 

ปรากฏว่ามีสาวสวยผมยาวสีแดงเพลิงนั่งอยู่บนโซฟา ขณะนี้เจ้าตัวกำลังแสดงท่าทีเบื่อหน่ายออกมา

 

และข้างกายเด็กสาว มีหมาดำกำลังนอนโชว์พุงอยู่

 

ขณะเดียวกัน หมาดำก็กำลังถือขวดไวน์และยกปากขวดกระดกเข้าปากจนคอของมันงอหงายไปข้างหลัง

 

แต่ทันทีที่กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น

 

หมาดำก็ดีดตัวนั่งหลังตรงอย่างฉับพลัน มันเงยหน้าขึ้นมองมายังร่างวิญญาณของกู่ฉิงซาน

 

หมาดำจ้องมองใบหน้าของกู่ฉิงซานอย่างรอบคอบ ก่อนจะสลับกลับมาดูกายมนุษย์ของเขา จากนั้นมันก็เริ่มผ่อนคลายลงในไม่ช้า

 

หมาดำหย่อนหลังของมันลง เอนกายนอนดังเดิม

 

-สถานการณ์นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย?

 

เมื่อกี้เจ้าหมาตัวนั้นมันมองเห็นฉันใช่ไหม?

 

ขณะที่กู่ฉิงซานยังคงสงสัย กลับเห็นแค่เพียงหมาดำที่จู่ๆก็ดีดตัวขึ้นอีกรอบ พร้อมด้วยสองตาของมันที่กำลังจับจ้องมายังสายใยกฏเกณฑ์ห้าสีในมือของกู่ฉิงซาน

 

หมาดำอ้าปากค้าง ท่าทีการแสดงออกของมันดูจะประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.416 – พุ่งเข้าปะทะ

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ในนรก

 

เขายังคงถือไม้เท้าแห่งการจองจำ ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา “คุกล่มสลาย”

 

“เทคนิคลับแห่งไม้เท้า : คุกล่มสลาย , ราชาภูติที่กำลังถือครองไม้เท้านี้จะสามารถเข้าใจถึงเทคนิคลับนี้ได้โดยอัตโนมัติ  โดยเขาจะสามารถเปิดนรกทั้ง 18 ขุม และปลดปล่อยคนตายทั้งหมดออกมาในเวลาใดก็ได้”

 

พื้นดินเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

 

โดยไม่รีรอให้มันทันได้สงบลง ดินแดนของนรกทั้ง 18 ขุมก็หายวับไป

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

ชั่วขณะหนึ่ง ณ บริเวณตีนเขาของภูเขาล้อมเหล็ก ก็พลันปรากฏร่างยักษ์ใหญ่ย่ำเท้าลงบนชายฝั่งของสายธารแห่งการหลงเลือน

 

ไม่มีผู้คุมวิญญาณ และไม่มีเทพวิญญาณคอยขัดขวาง เขาจึงสามารถเดินออกจากสายธารแห่งการหลงเลือนได้โดยไร้ซึ่งอุปสรรค สามารถก้าวขึ้นมาบนอาณาเขตเบื้องบนของภูเขาล้อมเหล็กได้ทีละก้าว ทีละก้าว

 

เขาโผล่ออกมาจากนรกถลกหนัง

 

โดยมีกระแสน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนอันอบอุ่นคอยโอบกอดเขา

 

ตามด้วยยักษ์ตนที่สองผุดขึ้นมาเหนือน้ำ

 

ต่อด้วยยักษ์ตนที่สาม

 

จากนั้นก็เป็นมนุษย์

 

อาชูร่าที่กำลังควงอาวุธในมือ

 

จ้าวอสูรคำรามก้อง

 

มนุษย์ปีศาจทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

และสุดท้าย เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างอันแปลกประหลาดจากยุคแห่งความโกลาหล

 

หลายสิบคนตายปรากฏกายยืนอยู่ในสายธาร

 

ขณะที่เบื้องหลังหลายสิบคนตาย ตลอดทั้งสายธารแห่งการหลงเลือน บัดนี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยกองทัพคนตายทั้งหมดที่ผุดขึ้นมาจากในน้ำ!

 

คนตายนับล้านๆจากตลอดทั้ง 18 ขุมนรก ต่างทยอยกันปรากฏขึ้นด้วยพลังอำนาจของ ‘คุกล่มสลาย’!

 

ในนรกทะเลเลือด กู่ฉิงซานเปล่งวาจาสั้นๆออกมาอย่างแผ่วเบา

 

“บุกได้”

 

สิ้นเสียง เหล่าคนตายก็เริ่มเคลื่อนไหว

 

พวกเขาย่ำฝีเท้าไปยังเบื้องหน้า พุ่งตรงไปยังวิหารแห่งวัฏจักร!

 

แต่วิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เฉดเงาหลากสีก็ซัดสาดลงมาจากฟากฟ้า ตัดผ่านฝูงคนตายที่พึ่งขึ้นฝั่ง เป่าทั้งหมดหายวับไปหลงเหลือทิ้งไว้เพียงเถ้าถ่านที่ลอยฟุ้ง

 

หอกหลากสีเริ่มลงมือแล้ว!

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับทั้งสองฝ่าย นี่น่ะมันก็แค่การเริ่มต้น!

 

เหล่ากองทัพคนตายอันไร้ที่สิ้นสุดย่ำเท้าลงบนชายฝั่ง และสับฝีเท้ามุ่งตรงไปยังวิหารแห่งวัฏจักรที่ตั้งอยู่ไกลออกไป

 

วูบบบบ!

 

หอกหลากสีเปล่งประกายเฉดเงาอีกครา

 

พร้อมกับคนตายนับพันหมื่นที่ถูกสังหารเป็นเถ้าในคราเดียว!

 

แต่นั่นมันก็หาได้สำคัญไม่!!

 

เพราะทันทีที่พวกเขาถูกเป่าเป็นผงกระจายออกไป ฝูงคนตายกลุ่มใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่ในตำแหน่งเดิมพริบตา

 

คนตายทั้งหมดสับตีนวิ่งอย่างบ้าคลั่งตรงไปยังวิหารแห่งวัฏจักร

 

พวกเขาหาญกล้า ไร้ซึ่งความหวาดกลัว!

 

ความเจ็บปวดจากการที่เงาหอกตัดผ่าน มิได้มีอะไรมากไปกว่าการถูกลงโทษทั่วๆไปในนรกเลย

 

สำหรับคนตายแล้ว การถูกสังหารมิได้เป็นอะไรมากไปกว่าการต้องกลับไปจมลงสู่ความหลับไหลเท่านั้น

 

ยักษ์ใหญ่ก้าวตรงไปข้างหน้า ขณะที่เฉดเงาหอกหลากสีวาบบบบ! ผ่านร่างของเขารวมไปถึงยักษ์ใหญ่นับไม่ถ้วนเบื้องหลังไป

 

ทว่าก่อนหน้านั้น ยักษ์ใหญ่ก็ได้คว้าจับเอาร่างของคนตายตัวเล็กมาไว้ในกำมือ และเหวี่ยงพวกมัน ขว้างตรงไปยังทิศทางของวิหารแห่งวัฏจักร!

 

ยักษ์หัวเราะลั่น ปากอ้าเอ่ยตะโกนว่า “ขยะเอ๊ย! นอกเหนือไปจากการสังหารข้าแล้ว ตัวเจ้ามันก็มิอาจกระทำสิ่งใดได้อีก!”

 

ราวกับเข้าใจถึงประโยคเหล่านั้นของอีกฝ่าย ประกายแสงจรัสพลันพรั่งพรูออกมาจากหอกหลากสีทันที

 

บังเกิดเส้นแสงหลากสีอันคมชัดไร้ที่สิ้นสุด สาดประกายปกคลุมไปตลอดทั้งโลกปรภพ!

 

ตลอดทั้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ หลายร้อย หลายพันล้านคนตายถูกสังหารลงในพริบตา! พื้นดินที่อัดแน่นไปด้วยกองทัพคนตายเหลือคณา บัดนี้หลงเหลือเพียงพื้นที่รกร้างว่างเปล่า!

 

กู่ฉิงซานวางมือลงบนหัวกะโหลกแหลมของไม้เท้าแห่งการจองจำ ปากเอ่ยกระซิบอย่างแผ่วเบา “จงหวนคืนมาอีกครั้ง”

 

เขาใช้ออกด้วยเทคนิคลับแห่งไม้เท้า : ต้นกำเนิดแห่งความตาย!

 

และเหล่าคนตายทั้งหมดที่พึ่งจมลงสู่การหลับไหล ก็ฟื้นตื่น คืนสติขึ้นมาทันที

 

คนตายจากนรกทั้ง 18 ขุมผุดลุกขึ้นจากนรกของตน และเริ่มมุ่งหน้าขึ้นสู่สายธารแห่งการหลงเลือนอีกครั้ง

 

รอบๆภูเขาล้อมเหล็ก ตลอดทั้งสายธารแห่งการหลงเลือนบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยทะเลกองทัพคนตายอีกครา

 

หอกหลากสีก้มลงมอง และเมื่อเห็นฉากนี้ มันก็เร่งความเร็วในการโจมตีให้ถี่ขึ้นอย่างกระทันหัน

 

เงาหอกปรากฏขึ้น จ้วงแล้ว จ้วงเล่า

 

ขณะที่คนตายก็ถูกสังหารลงเรื่อยๆ แล้วก็มีคนตายใหม่เข้ามาแทนที่ เหยียบย่ำพวกที่พึ่งถูกสังหารลง เคลื่อนที่มุ่งตรงไปข้างหน้า

 

มองจากบนท้องฟ้าในมุมสูง จะเห็นว่าฉากนี้มันราวกับฝูงมดที่ไม่ยินยอมพ่ายแพ้ ค่อยๆขยับกลุุ่มเคลื่อนเข้าไปใกล้เป้าหมายอย่างช้าๆ

 

มองมายังฉากนี้ ฉานนู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าพวกคนบาปทั้งหลาย จะทุ่มเททำงานอย่างหนักถึงเพียงนี้”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ไม่ว่าจะในสงครามใด กำลังรบของทหารที่ยินดีจะต่อสู้น่ะ ย่อมร้ายกาจและแตกต่างไปจากทหารที่ถูกบังคับให้ต่อสู้อยู่แล้ว”

 

“และนี่สินะ คือจุดประสงค์ที่เจ้าพยายามแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมกับพวกเขา?”

 

กู่ฉิงซานยิ้มและพึมพำว่า “หากบังคับให้ทำงานอย่างหนักโดยไม่ได้ตอบแทนผลประโยชน์อะไรให้กับพวกเขา แล้วคนที่ได้รับงานไปจะยินดีพยายามอย่างเต็มที่ได้อย่างไร? นับประสาอะไรกับที่แห่งนี้คือนรก ที่ทุกคนน่ะ ล้วนแล้วแต่เป็นคนบาป ทั้งหมดย่อมไม่มีจิตวิญญาณอันสูงส่งที่จะยินดีเสียสละสู้พยายามอย่างหนักหรอก”

 

—-

 

ณ บริเวณตีนเขาของภูเขาล้อมเหล็ก

 

เหล่าคนตายยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก วิ่งขึ้นฝั่งราวกับคนบ้า

 

ขณะที่คนตายบางส่วนเริ่มที่จะเค้นสมอง เพื่อหาวิธีการใหม่ๆที่จะสามารถเข้าไปใกล้วิหารแห่งวัฏจักรได้มากขึ้น

 

พวกเขาไม่ได้วิ่งอย่างเร่งรีบอีกต่อไป แต่กลับเปลี่ยนทิศทางในระหว่างก้าวเดิน สลับไปมามุ่งตรงไปยังวิหารอย่างไม่รู้จบ

 

พวกเขาบ้างวิ่ง บ้างกระโดด บ้างกลิ้งหมุนไปกับพื้น บ้างย่องเดินอย่างแผ่วเบาไปข้างหน้า หมุนตัวไปมาราวกับงู หรือถลาไปข้างหน้าแบบซิกแซก

 

พวกเขาแยกย้ายไม่เกาะกลุ่มกัน บ้างบินขึ้นไปบนอากาศ และพยายามที่จะเข้าไปใกล้วิหารจากทุกทิศทาง

 

เวลานี้ ความถี่ของหอกหลากสีมิอาจตามทันเหล่าคนตายที่ดาหน้ากันมาอย่างต่อเนื่องได้อีกต่อไปแล้ว

 

แม้ว่ามันจะครอบครองพลังอำนาจที่เหนือล้ำยิ่งกว่า แต่มันก็ไม่สามารถที่จะปลดปล่อยเฉดเงาหอกออกมาได้ตลอดเวลา

 

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เงาหอกเติมเต็มไปทั่วทั้งอากาศที่ว่างเปล่าตลอดเวลา

 

ใช่ จริงอยู่ที่พลังอำนาจของมันสามารถสังหารได้กระทั่งทวยเทพและอสูรกาย

 

แต่ด้วยอำนาจอันหาที่ใดเปรียบนี้ เมื่อนำมาใช้กับคนตายที่ไม่สามารถตายได้อีกแล้ว มันก็ราวกับเป็นอำนาจที่เสียของ และเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์!

 

ไม่แตกต่างไปจากการใช้ปืนใหญ่มายิงถล่มยุงที่ลอยเป็นจุดดำๆอยู่ทั่วท้องฟ้า

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

คนตายยินยอมมอบชีวิตของพวกเขา เพียงเพื่อที่ตนจะได้เอื้อมสัมผัสถูกวิหารแห่งวัฏจักร!

 

ขณะที่หอกหลากสีก็โจมตีใส่พวกเขาอย่างไม่ยอมพ่ายแพ้!

 

ในนรก

 

“ข้าล่ะสงสัยนักเชียว ว่าการที่หอกหลากสีมันปลดปล่อยอำนาจออกมาสังหารคนตายมากมายถึงเพียงนี้ มันจะไม่เหนื่อยบ้างหรอ?” กู่ฉิงซายเอ่ยถาม

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวว่า “แหล่งกำเนิดพลังของสิ่งประดิษฐ์เทวะคือแต้มพลังวิญญาณ ไม่สำคัญว่ามันจะทรงพลานุภาพเพียงใด แต่การใช้เงาหอกย่อมต้องจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญารอย่างแน่นอน”

 

ดาบพิภพเอ่ยต่อด้วยว่า “ และต่อให้มันจะจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญาณเพียงน้อยนิด แต่การกระทำเช่นนั้นอย่างต่อเนื่อง ยังไงก็สิ้นเปลืองอยู่ดี”

 

กู่ฉิงซานที่ถือไม้เท้าแห่งการจองจำหลับตาลง เพื่อรับรู้ถึงนรก

 

หลายชั่วยามผ่านพ้นไป เวลานี้เหลือเพียงน้อยกว่า 1 ใน 1000 ของคนตายได้ถูกส่งลงมาหลับไหลอยู่ในนรก

 

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่จำเป็นต้องใช้ ‘ต้นกำเนิดแห่งความตาย’ อีกต่อไปแล้ว

 

“พอได้เห็นแบบนี้ ข้าล่ะรู้สึกโล่งใจจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

 

เหล่าคนตายก็ยังคงพุ่งทะยานไปยังวิหารอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

 

พวกเขาเริ่มโห่ร้อง และเริ่มที่จะแย่งกันกระโจนไปเบื้องหน้าเพื่อที่จะเผชิญกับความตายก่อนเป็นตนแรก

 

นอกจากนี้ เหล่าคนตายยังเริ่มแข่งขันกัน เพื่อดูว่าใครจะเป็นผู้ที่สามารถวิ่งไปได้ไกลที่สุด

 

นรกทั้งหมดเริ่มเปิดเดิมพัน และวางอัตราต่อรอง

 

เหล่าคนบาปเริ่มใช้ความตายของตนเองมาเล่นพนันเพื่อหาประโยชน์จากกันและกัน

 

พวกเขาสนุกไปกับมัน

 

และในบางครั้ง พวกเขาก็มักจะเงยหน้าขึ้นมองบุญส่วนบุคคลของตน

 

และพบว่าบุญของแต่ละคนตาย กำลังค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

 

ขณะเดียวกัน เหล่าคนตายที่ทุ่มพยายามมากที่สุด บุญของพวกเขาก็จะทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

 

ท้ายที่สุดนี้ ทั้งหมดคือการช่วยเหลือหกโลก ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาทำงานอย่างหนัก พวกเขาก็จะได้รับบุญจำนวนมากกลับคืน

 

แถมเครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลยังเป็นคนบอกกับพวกเขาด้วยตนเองว่า หากประสบความสำเร็จ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้บุญเป็นจำนวนมหาศาล

 

และยิ่งครอบครองบุญเยอะมากเท่าใด ยามไปเกิดใหม่ตนก็จะยิ่งได้รับผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น!

 

ทุกอย่างจะปรากฏขึ้นในลักษณะของ โชคชะตา , สถานะ , ความมั่งคั่ง ฯลฯ ขึ้นอยู่กับจำนวนบุญ

 

คนตายนับล้านล้านคนต่างส่งเสียงเฮลั่น และรีบร้อนไปตายอย่างต่อเนื่อง

 

หอกหลากสีได้ทำการสังหารคนตายมาเป็นเวลากว่าหลายชั่วยามติดต่อกันแล้ว แต่จำนวนคนตายกลับไม่มีลดลงเลย ตรงกันข้าม มันกลับเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ

 

มองลงมาจากมุมสูงบนท้องฟ้า จะเห็นแค่เพียงคนตายกำลังขยับกินพื้นที่เข้าไปใกล้กับบริเวณตีนเขาของภูเขาล้อมเหล็กมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ชั่วเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็ยืนขึ้น และเอ่ยกับไม้เท้าออกไปอย่างแผ่วเบา “ทั้งหมด .. เริ่มปะทะได้!”

 

ทันใดนั้นเสียงคำรามของคนตายนับล้านล้านก็ระเบิดดังขึ้น!

 

พวกเขาเริ่มวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งอย่างหนัก มุ่งตรงไปยังวิหารแห่งวัฏจักร

 

—แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นว่ามีคนตายจำนวนมากคอยซ่อนตัว ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้อย่างเงียบๆ เฝ้ารอคอยจังหวะที่เหมาะสม ขณะที่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ใช้คนตายจำนวนหนึ่งเพื่อหลอกตาหอกหลากสีเท่านั้น

 

วงล้อมที่ค่อยๆเขยิบตีกรอบย่นระยะมานาน จู่ๆก็แคบลงอย่างฉับพลัน

 

คนตายสับฝีเท้าราวกับม้าป่า โดยไม่สนว่าเบื้องหน้าของพวกเขาจะเป็นเงาหอกหรือว่าพวกเดียวกัน!

ฮู้มมม!

 

หอกหลากสีเปล่งเสียงร้องฉวัดเฉวียนด้วยความโกรธ

 

แต่แล้วมันก็หยุดการโจมตี

 

แน่นอน ว่านี่มิใช่ว่ามันจะแสดงความเมตตาออกมา แต่เป็นเพราะผลกระทบจากคนตายที่รุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มเร็วขึ้น และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็สามารถแหกด่าน ฝ่าทะลุเข้าไปในวิหารแห่งวัฏจักรได้ในที่สุด

 

บนท้องฟ้า เฉดเงาหลากสีได้หายลับไปอย่างสมบูรณ์

 

หอกไม่ยินยอมที่จะลงมือทำสิ่งที่มันทำไปก็ไร้ประโยชน์อีกต่อไป

 

มันยอมแพ้แล้ว

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.415 – อยู่เคียงข้างกัน

 

“แหล่งกำเนิดของธาตุไฟและทองน่ะ อยู่ภายในนรก 18 ขุม”

 

“ขณะที่แหล่งกำเนิดธาตุไม้อยู่ในภูเขาล้อมเหล็ก”

 

“ส่วนแหล่งกำเนิดธาตุน้ำ แน่นอนว่าย่อมต้องอยู่ในสายธารแห่งการหลงเลือน”

 

“สำหรับแหล่งกำเนิดธาตุดิน จะอยู่ในส่วนของวิหารแห่งวัฏจักร มันคือสถานที่ๆเทพปรภพคอยดูแล จัดการให้เหล่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในนรกกลับไปเกิดใหม่”

 

“สถานที่แห่งนั้นอยู่บริเวณตีนเขาของภูเขาล้อมเหล็ก ซึ่งเป็นระยะโจมตีของหอกหลากสี ไม่อาจผ่านเข้าไปได้”

 

เหล่าสรรพวุธหลากหลายประเภท ทยอยกันพูดออกมา

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานสามารถวางอุบายหอกหลากสี หลอกใช้มันสังหารหมู่เผ่ามารนับสิบนับ นับร้อยล้านตนไป พวกอาวุธก็ได้ยอมรับในความสามารถของเขา

 

แต่ตอนนี้ ยิ่งพอเขาได้กลายเป็นราชาภูติ และขจัดปัญหาใหญ่ของนรกไปอีกเปราะ

 

เหล่าสรรพวุธก็ยิ่งเคารพ และเชื่อถือในตัวเขามากยิ่งขึ้น

 

“แล้ววิหารแห่งวัฏจักร มันอยู่ไกลจากสายธารแห่งการหลงเลือนมากหรือไม่?”

 

“ไม่ไกลหรอก กล่าวได้ว่ามันอยู่ในขอบชายฝั่งของสายธารเลยล่ะ”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็เบาใจลงเล็กน้อย

 

แหล่งกำเนิดธาตุดินอยู่บริเวณตีนเขา ขณะที่อีกหนึ่งอยู่ภายในภูเขาล้อมเหล็ก อย่างไรก็ตาม สถานที่ของทั้งสองแหล่งกำเนิดนี้ล้วนถูกปกคลุมอยู่ในระยะโจมตีของหอกหลากสีทั้งสิ้น

 

ดูเหมือนจะมีบางเรื่องเหมือนกัน ที่ไม่ง่ายจะจัดการ

 

“ทำไมหรือ? หรือว่าเจ้าจำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

“ใช่ อันดับแรก เราต้องรวมรวบธาตุทั้งห้าให้ได้เสียก่อน”

 

“แหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้าจะสามารถจัดการกับหอกหลากสีได้กระนั้นรึ?”

 

“ข้าคิดว่าข้ามีวิธีที่สามารถจัดการกับมันได้”

 

เห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจของอีกฝ่าย ฉานนู่ก็มิคิดเอ่ยถามสิ่งใดอีก

 

เพราะตลอดมา ตราบใดที่กู่ฉิงซานบอกว่ามีวิธีการ เขาก็ไม่เคยล้มเหลวมาก่อนเลย

 

“ธาตุไฟกับธาตุทองอยู่ในขุมนรก เจ้าสามารถใช้ไม้เท้าแห่งการจองจำไปหาพวกมันได้ทันที” เธอกล่าว

 

“ส่วนแหล่งกำเนิดธาตุน้ำที่อยู่ในสายธารแห่งการหลงเลือน ข้าได้ค้นพบมันตั้งนานแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ก็เป็นข้านี่แหละ ที่นำมันมาใช้รักษาตัว”

 

กู่ฉิงซาน “เช่นนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปรวบรวมมันมาเถอะ จากนั้นค่อยไปเจอกันที่นรกทะเลเลือด”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ฉานนู่คว้าดาบขุนเขาเทวะหกโลกาทะยานตัวออกไป

 

ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ‘ทรงปัญญา’ ทำให้เธอสามารถเรียนรู้วิธีการบินจากกู่ฉิงซานได้

 

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็กำไม้เท้าแห่งการจองจำในมือ และหลับตาทั้งสองข้างลงเพื่อที่จะรับรู้ถึงตำแหน่งของเป้าหมาย

 

และเกือบจะในทันที เขาก็สามารถค้นพบแหล่งกำเนิดธาตุทองจากในนรกถลกหนัง และธาตุไฟจากในนรกกระทะทองแดง

 

กู่ฉิงซานวาดไม้เท้าแห่งการจองจำออกไป ก่อนที่ทั้งคนทั้งร่างจะหายไปในสถานที่เดียวกัน

 

แล้วเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ไหนสักแห่งหนึ่งในนรก

 

ในนรกแห่งนั้น มีปากใหญ่มากมายผุดขึ้นมาจากดิน มันมีหน้าที่คอยกัดกิน ถลกเนื้อหนังของคนตายทุกผู้คนที่ตกลงมายังที่นี่ อย่างไรก็ตาม เมื่อมันเห็นกู่ฉิงซาน มันก็หุบปากลงอย่างแน่นหนาในทันที

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง มองไปยังกลุ่มก้อนแสงสีเหลืองทองอันคลุมเครือที่ลอยอยู่เบื้องหน้าเขา

 

นี่คือแหล่งกำเนิดของธาตุทอง

 

และในความเป็นจริงแล้ว มันยังเป็นหนึ่งในสมบัติที่หาได้ยากยิ่งอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ในนรกมิได้มีวิธีการที่จะใช้หลอมกลั่นมัน ดังนั้นเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้หลอมกลั่นย่อมมิต้องกล่าวถึง

 

ในปรภพ สมบัติส่วนใหญ่นั่นจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือไม่ก็เป็นอาวุธเทวะที่เกิดจากการรวมตัวกันของกฏเกณฑ์

 

ดังนั้นต้นกำเนิดของธาตุทั้งห้าจึงไม่ได้รับการใส่ใจใดๆจากเหล่าคนตาย

 

กู่ฉิงซานเก็บเอาแหล่งกำเนิดธาตุทองออกมา

 

แล้วเขาก็มุ่งหน้าต่อไปยังนรกกระทะทองแดง

 

สถานที่ซึ่งแหล่งกำเนิดของธาตุไฟ อยู่ลึกลงไปในนรกแห่งนั้น

 

เมื่อมาถึง เขาก็พบว่ามันเป็นกระทะทอดที่เดือดไปด้วยอุณหภูมิสูง มีแอ่งโค้งลึกลงไปหลายร้อยเมตร เพื่อไว้ใช้ทอดคนตายโดยเฉพาะ

 

กู่ฉิงซานเรียกคนตายที่ทรงพลังกว่าหลายหมื่นคนมาแล้วสั่งให้พวกเขาดำลึกลงไปยังตำแหน่งที่ซึ่งมีสิ่งของที่ต้องการอยู่

 

ไม่นานนัก ธาตุไฟก็ถูกค้นพบและนำมามอบมันให้แก่เขา

 

“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากของเจ้า”

 

กู่ฉิงซานรับเอาแหล่งกำเนิดธาตุไฟมา และกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ

 

“มิกล้า การได้รับใช้ราชาภูติ นับว่าเป็นเกียรติของพวกเราแล้ว”

 

“ขอเพียงท่านราชาภูติเอ่ยสั่ง พวกเราทุกตนล้วนยินดีเชื่อฟัง”

 

“และทำตามคำสั่งของราชาภูติ”

 

เหล่าคนตายตอบอย่างระมัดระวัง

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าและเดินจากไป

 

เฝ้ามองตัวตนที่ราวกับเทพสังหารเดินจากไปด้วยความพึงพอใจ เหล่าคนตายในนรกกระทะทองแดงก็ต่างพากันถอนหายใจผ่อนคลายลง

 

กู่ฉิงซานกลับไปยังนรกทะเลเลือด และพบว่าฉานนู่กำลังรอเขาอยู่

 

“เอ้านี่”

 

กลุ่มก้อนแสงที่เปล่งประกายและมีกลิ่นอายเย็นชื้นถูกโยนไปทางกู่ฉิงซานโดยฉานนู่

 

ด้วยเหตุนี้ แหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้าก็ได้ถูกรวบรวมมาได้ 3 ประเภทแล้ว!

 

ที่เหลืออยู่ก็จะเป็นแหล่งกำเนิดธาตุดิน และแหล่งกำเนิดธาตุไม้

 

“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราก็มาถึงปัญหาที่ยากจะแก้แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เจ้าคงจะหมายถึง วิหารแห่งวัฏจักรอย่างงั้นสินะ?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

“ใช่ ตำแหน่งของมันตั้งอยู่ใกล้กับตีนเขาของภูเขาล้อมเหล็ก และสามารถถูกหอกหลากสีโจมตีใส่ได้ตลอดเวลา หากมันคิดจะโจมตี” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เมื่อครู่ข้าพึ่งได้ไปดูมา ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวว่า มีเฉดเงาหลากสีถูกปลดปล่อยออกมาบ้างเป็นครั้งคราวก็จริง แต่มันมิได้ปกคลุมไปตลอดทั้งภูเขาล้อมเหล็กเหมือนดั่งตอนที่หอกหลากสีทำการล้างบางเผ่ามารอีกแล้ว”

“หากอ้างอิงตามตรรกกะนี้ ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าหอกหลากสีมิได้โจมตีมั่วซั่วอีกต่อไป” วิหคขาวร้องออกมา

 

“ไม่หรอก ข้าคิดว่าคงจะเป็นเพราะในส่วนพื้นดินเบื้องบนของโลกปรภพน่ะไม่มีอะไรที่มันจะสังหารได้แล้วต่างหาก ดังนั้นมันจึงสงบลง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

สรรพวุธมากมายตกอยู่ในความเงียบ

 

ใช่แล้วล่ะ ไม่มีใครสามารถรับประกันได้หรอกว่าหอกหลากสีจะตอบสนองอย่างไร หากมันค้นพบว่ามีคนพยายามที่จะเข้าสู่วิหารแห่งวัฏจักร

 

หากคิดจะสังหารพวกเขา หอกหลากสีก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยการปลดปล่อยเฉดเงาหอกออกมาจัดการ

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองสักพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นทันใด “เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล เจ้าได้ยินข้าไหม?”

 

แล้วบนศีรษะของเขา ก็ปรากฏตัวเลข ‘0000’ ขึ้นในทันใด

 

“นายต้องการที่จะปรึกษากระผมเกี่ยวกับเรื่องบาปบุญอย่างงั้นหรือ?” เครื่องจักรคำนวณบุญกล่าว

 

“ใช่ ข้าอยากจะทราบว่าหลังจากที่ช่วยโลกปรภพแล้ว จะได้รับจำนวนบุญมากมายแค่ไหนกัน”

 

เสียงของเครื่องคำนวณบุญกลับกลายเป็นร้ายแรง “การช่วยเหลือโลกปรภพจากการล่มสลาย นั่นเทียบเท่ากับการได้ช่วยเหลือทั้งหกวิถีแห่งสังสารวัฏ! เทียบเท่ากับการช่วยทั้งหกโลกและสิ่งมีชีวิตมากมาย! ดังนั้นจำนวนบุญที่จะได้รับจากการช่วยเหลือปรภพ ก็จะมีจำนวนมากพอๆกับเม็ดทรายที่กระจายอยู่ตลอดทั้งสายธารแห่งการหลงเลือน!”

 

“จำนวนบุญที่จะได้รับจากการกระทำในครั้งนี้ค่อนข้างซับซ้อน กล่าวได้ว่ามันช่างยิ่งใหญ่ และมิอาจประเมินค่าได้”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วถ้าหากเหล่าคนตายที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่ในนรกมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ พวกเขาจะสามารถได้รับบุญหรือไม่?”

 

“บุญจะได้รับตามผลงานของพวกมัน”

 

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”

 

“งั้นกระผมขอตัว”

 

แล้วเสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญก็หายไป

 

พอมันหายไป ตัวเลข 0000 บนหัวของกู่ฉิงซานก็สาดแสงและหายวับตามไปเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานขบคิดอยู่พักหนึ่ง

 

เขายกไม้เท้าแห่งการจองจำขึ้น และเริ่มทำการเชื่อมต่อกับนรกทั้ง 18 ขุม

 

ทันใดนั้นคนตายก็รู้สึกได้ถึงความสนใจที่เพ่งมองมาของราชาภูติ

 

พวกเขาหยุดทุกการกระทำและเคลื่อนไหว

 

กู่ฉิงซานกลั้วคอเพื่อจะได้พูดให้มันชัดๆและเปล่งวาจาลั่น “เหล่าคนบาปทั้งหลายจงฟัง”

 

คนตายจากทั้ง 18 ขุมนรกเริ่มแสดงท่าทีฟังอย่างตั้งใจ

 

และกู่ฉิงซานก็เริ่มกล่าวกับนรกทั้งหมด

 

“มีสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องการให้พวกเจ้าทำในตอนนี้”

 

“และสิ่งนั้นจะช่วยให้พวกเจ้าสามารถขจัดทุกชนิดของความทุกข์ระทม หรือบางทีมันอาจจะช่วยให้สั่งสมบุญได้มากพอ ที่จะใช้กลับไปเกิดใหม่ในโลกอื่นเลยก็ยังได้”

 

“พวกเจ้าต้องการหรือไม่?”

 

เหล่าคนตายลังเลไปสักพัก ก่อนที่บางตนจะค่อยๆเริ่มตอบสนอง

 

“ต้องการ!”

 

“พวกเราจะเชื่อฟังราชาภูติ”

 

“วาจาของท่านราชาภูติถือเป็นคำตัดสินสูงสุด!”

 

คำตอบเหล่านี้แม้จะบางเบาและกระจัดกระจาย แต่คนตายทั้งหมดก็ได้แสดงทัศนคติของพวกเขาออกมาแล้ว

 

จะอะไรก็ช่าง อย่างน้อยขอแค่พวกตนไม่ต้องไปยั่วยุฆาตกรฆาตกรแสนโหดร้ายที่สังหารคนตายนับพันล้านในคราเดียวคนนี้ก็พอแล้ว

 

ทุกคนกำลังคิดเช่นนั้น

 

จู่ๆกู่ฉิงซานก็วาดไม้เท้าออกไปอีกครั้ง ส่งผลให้เหล่าคนตายได้สติกลับคืน และเริ่มแสดงท่าทีของความหวาดกลัวออกมา

 

“งั้นก็ดี” เขากล่าว

 

“ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าอาจจะยังมีข้อสงสัยอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทุกคนก็รู้ถึงสิ่งหนึ่งอยู่แล้วใช่ไหม นั่นก็คือ … เอาเป็นว่าข้าจะมอบหน้าที่อธิบายให้แก่เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลก็แล้วกัน”

 

กู่ฉิงซานเรียกเครื่องจักรคำนวณบุญออกมา

 

“เครื่องจักรเอ๋ย ข้าใคร่ขอเอ่ยถามหน่อยจะได้หรือไม่  ว่าคนตายจะต้องได้รับบุญเท่าไหร่กัน จึงจะสามารถหลุดพ้นจากมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทมนี้และไปเกิดใหม่ในโลกอื่นๆได้”

 

เครื่องจักรคำนวณบุญกล่าว “คนตายที่เข้าสู่นรก ย่อมแน่นอนว่าบุญของมันจะเป็น – (ลบ) ด้วยเหตุเพราะทำชั่วมามากเกินไปในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่”

 

“ยิ่งทำความชั่วร้ายมากเพียงใด ตัวเลขที่เป็น – (ลบ) ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”

 

“แต่เมื่อได้มาทนทุกข์ทรมานในนรกแห่งนี้ ตัวเลขบุญที่เป็น – ก็จะค่อยๆลดหลั่นลง และเมื่อบุญเหลือ 0 หรือเป็น + คนตายในนรกจึงจะสามารถไปเกิดใหม่ได้”

 

เครื่องจักรคำนวณบุญกำลังชี้แจงอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

นี่คือสามัญสำนึกที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันในนรก และคนตายทุกคนต่างก็ล่วงรู้เรื่องนี้

 

ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขามักจะเงยหน้าขึ้นมองเลขบุญอยู่บ่อยๆ เพื่อดูว่าพวกเขาจะต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากในนรกไปอีกนานแค่ไหนกัน

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง “ดังนั้น ตอนนี้ข้าเลยมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะให้พวกเขาทำ”

 

เขาเอ่ยถามอีกครั้งเกี่ยวกับการช่วยเหลือโลกปรภพ

 

เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลก็เอ่ยคำตอบเช่นเดียวกันกับคราก่อน

 

เหล่าคนตายพอได้ฟัง ในแววตาของพวกมันก็เกิดประกายขึ้นทันใด

 

เครื่องจักรคำนวณบุญจะไม่มีทางโกหก

 

นี่มันเป็นเรื่องจริง!

 

หากว่าการลงมือทำเจ้าสิ่งที่ราชาภูติว่ามาได้รับผลประโยชน์มหาศาลขนาดนี้จริงๆแล้วล่ะก็ ไม่ต้องให้ราชาภูติเอ่ยสั่งหรอก เหล่าคนตายก็ล้วนเต็มใจที่จะทำอยู่แล้ว

 

คนตายน่ะ คิดจะหนีออกจากนรกอยู่ทุกช่วงเวลา พวกเขาปรารถนาที่จะเป็นอิสระจากทุกชนิดของการถูกลงโทษ!

 

“ดีมาก ข้าได้เอ่ยถึงข้อสงสัยของตนเองแล้ว เจ้าสามารถไปได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แล้วเสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลก็หายไป

 

กู่ฉิงซานหันมาเผชิญหน้ากับนรกทั้งหมดอีกครั้ง และกล่าวออกมาว่า “ข้าจะต้องเข้าร่วมการช่วยเหลือโลกปรภพอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีคนให้ความร่วมมือหรือไม่ก็ตาม ทว่า หากพวกเจ้าเองก็คิดจะร่วมมือด้วย ข้าก็ขอรับประกันว่าผลบุญที่พวกเจ้าจะได้รับ มันย่อมมากพอที่จะให้พวกเจ้าได้หลุดพ้นจากนรกอย่างแน่นอน หากไม่เชื่อคำข้า พวกเจ้าก็สามารถตรวจสอบดูเลขบุญของตนเองได้ตลอดเวลา”

 

“ดังนั้น ข้าจะขอถามย้ำอีกรอบ พวกเจ้ายินดีที่จะทำตามคำสั่งของข้าในเรื่องนี้หรือไม่?”

 

“ยินดี!”

 

“แน่นอนว่าย่อมยินดี!”

 

“เชื่อฟังราชาภูติ! ปฏิบัติตามคำสั่งราชาภูติ!”

 

“ได้ออกจากมหาสมุทรแห่งความขมขื่นนี้ ไม่มีผู้ใดหรอกที่ไม่ต้องการ!”

 

“ข้ายินดีและต้องการที่จะทำมัน ขอท่านราชาภูติโปรดเอ่ยบัญชาด้วย”

 

กู่ฉิงซานวาดไม้เท้าแห่งการจองจำออกไป ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ

 

“ข้าขอประกาศล่วงหน้านะ ว่าถึงแม้พวกเจ้าจะเป็นอมตะ แต่การเข้าร่วมการช่วยเหลือโลกปรภพในครั้งนี้มันจักทำให้พวกเจ้าต้องตกตายลงซ้ำๆนับครั้งไม่ถ้วน”

 

“เจ้าจะถูกสังหารหลายครั้งหลายคราโดยสิ่งประดิษฐ์เทวะที่แสนร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง”

 

เขากำลังกล่าวถึงหอกหลากสี

 

ทันใดนั้นเอง หนึ่งในคนตายก็ร้องตะโกนออกมา “หากต้องถูกสังหารลงทันที โดยแค่เจ็บปวดเพียงครั้งเดียว เมื่อเทียบเปรียบกับที่ต้องทนทุกข์ทรมานในนรกที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นใจลงเมื่อใด นั่นมันนับว่าเป็นความสุขยิ่ง!  ท่านราชาภูติ โปรดทรงบอกมาเถิด แล้วพวกเราจะเร่งทำตามคำท่านโดยไม่คิดรีรอใดๆ”

 

“ใช่ พวกเราน่ะคือคนตาย และได้รับความเจ็บปวดจากการโดนลงโทษด้วยความทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ต่อให้พวกเราจะต้องตายซ้ำๆ มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด”

 

“หากข้าสามารถสั่งสมบุญจนกระทั่งได้ไปกำเนิดใหม่แล้วล่ะก็ ต่อให้ต้องตาายอีกหลายร้อยครั้ง ข้าก็ไม่หวาดเกรง!”

 

“โปรดสั่งข้ามาโดยเร็วเถิด”

 

“พวกเรายินดีจะฟังคำท่านราชาภูติ”

 

เสียงตอบสนองเริ่มจะดังขึ้นเรื่อยๆ

 

ในท้ายที่สุด ตลอดนรกทั้ง 18 ขุม เหล่าคนตายทั้งหมดหมดก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน

 

“ขอทรงบัญชา!”

 

“ขอทรงบัญชา!”

 

“ขอทรงบัญชา!”

 

กู่ฉิงซานที่รู้สึกได้ถึงฉากนี้ผ่านไม้เท้าแห่งการจองจำก็ได้พยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี งั้นโปรดรอสักครู่ ประเดี๋ยวพวกเราจะมาเริ่มดำเนินแผนการขั้นต่อไปกัน”

 

ว่าจบ เขาก็ตัดการเชื่อมต่อกับคนตายชั่วคราว

 

ฉานนู่ที่เฝ้ามองกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้น หันไปกล่าวกับเขาด้วยความงงงวย “นายน้อย ข้าไม่กระจ่างนัก”

 

“ไม่กระจ่างในสิ่งใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

“ก่อนหน้านี้ที่มนุษย์ปีศาจมิได้ฟังคำเจ้า เจ้ากลับถึงขั้นวาดไม้เท้า ใช้ออกด้วยเทคนิคลับสังหารหมู่มนุษย์ปีศาจในนรกขย้ำไปนับพันล้านจิตวิญญาณ ”

 

“อ่าฮะ”

 

“แต่พอเป็นยามนี้ ทั้งๆที่เจ้าได้เชือดไก่ให้ลิงดูไปแล้ว สามารถข่มขู่คนตายและเอ่ยบัญชาทั้ง 18 นรกให้เชื่อฟังได้โดยง่าย แล้วเหตุใดจึงไม่ทำเช่นนั้น?”

 

“อันที่จริงจะทำแบบนั้นก็ได้”

 

“เพราะเหตุใดกันเจ้าถึงต้องใช้เวลามากมายมาอธิบายเรื่องราวพวกนี้ให้พวกเขาฟัง แถมยังส่งบุญให้พวกเขาอีก?”

 

กู่ฉิงซาน “คนตายทั้ง 18 ขุมนรกน่ะมีความคิดฝังหัวว่าพวกเขาเป็นอมตะ ดังนั้นข้าจึงเสนอความคิดที่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้น เพื่อให้พวกเขาทำงานบางอย่าง”

 

“และเมื่อพวกเขาบรรลุตามแผนการที่ข้าวางเอาไว้ พวกเขาก็จะได้รับผลลัพธ์ที่ดี และการที่พวกเขาได้ไปเกิดใหม่ นั่นก็เป็นเป้าหมายของข้าเช่นกัน ดังนั้นนี่จึงยุติธรรม”

 

ฉานนู่ตระหนักถึงความหมายของฝ่ายตรงข้าม เธอจึงเอ่ยถามออกไปว่า “เจ้ากำลังจะทำการแลกเปลี่ยนกับพวกเขาอย่างเท่าเทียมใช่หรือไม่?”

 

“ใช่”

 

“เจ้ามีอำนาจที่สามารถกุมชีวืตและความตายของพวกเขาอยู่ในกำมือ และสามารถเอ่ยบัญชาพวกเขาได้อย่างชัดเจน”

 

“ฉานนู่เอ๋ย ที่เจ้าว่ามานั่นมิใช่คำสั่ง แต่มันคือการข่มขู่”

 

“แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าก็ได้สังหารมนุษย์ปีศาจทั้งหมดในนรกขย้ำ ..”

 

“นั่นเพราะพวกเขาไม่สำนึกกลับใจ และยังคงคิดแสวงหาความสุขจากการสังหารคน กระทำบาปร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง – ข้าจึงต้องสังหารพวกเขา”

 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ขณะที่นรกอีกสามขุมหยุดมือ ฉะนั้นข้าจึงให้โอกาสพวกเขากลับใจ”

 

“แต่เมื่อครู่นี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า -”

 

“ครานี้กับคราก่อนมันแตกต่างกัน” กู่ฉิงซานขัดจังหวะเธอและเอ่ยอธิบายอย่างอดทน “ทุกสิ่งอย่างล้วนมีเหตุและผลในตัวมันเอง ละไว้แต่เพียงสิ่งชั่วร้าย การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมนี้ก็เช่นกัน กฏเกณธ์แห่งมันตรงกันกับเจตจำนงแห่งผู้ฝึกดาบ”

 

เขาลูบหัวไม้เท้าแห่งการจองจำเบาๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “การข่มขู่ผู้อ่อนแอด้วยชีวิตน่ะ อาจจะมีหลายผู้คนที่กระทำเช่นนั้น ทว่าสำหรับเจตจำนงของผู้ฝึกดาบแล้ว ย่อมไม่อาจยอมรับสิ่งนั้นได้”

 

“นี่มันเป็นสิ่งที่ขัดกับมโนธรรมในจิตใจของตนเอง”

 

ขณะที่กำลังฟัง สายตาของฉานนู่ก็ค่อยๆเคลื่อนไปยังร่างกายของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ บังเกิดความรู้สึกลึกล้ำขึ้นในจิตใจของเธอ

 

แต่เดิม …. แท้จริงแล้วกลับกลายว่าเป็นเช่นนี้ …

 

ทันใดนั้นเธอก็โค้งกายคารวะลง

 

“พอได้ยินและได้เห็นถึงทัศนคติเช่นนี้จากนายน้อยข้าก็วางใจ นับจากนี้ไปในอนาคต ข้า-ฉานนู่ ยินดีที่จะอยู่เคียงข้าง ร่วมทุกข์สุขไปด้วยกันกับท่าน!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.414 – ความคิดบ้าๆ

 

“ราชาภูติ? ไม่ใช่หรอก ข้าน่ะเป็นผู้ฝึกดาบตะหาก”

 

กู่ฉิงซานตอบกลับ

 

แล้วในขณะนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนที่เกิดขึ้นใต้ฝ่าเท้าของตน

 

เรือใหญ่ทั้งลำเริ่มที่จะปฏิเสธเขา

 

และในวินาทีต่อมา ฉากเรือใหญ่ก็เริ่มบิดเบือน ก่อนจะกลายเป็นเพียงระลอกคลื่นพัดหายไป

 

กู่ฉิงซานพบว่าตนเองได้กลับมายืนอยู่บนแท่นสังเวียนสูงของนรกทะเลเลือด

 

เมื่อคนตายจากนรกทะเลเลือดเห็นว่าเขาปรากฏตัวขึ้น ทั้งหมดก็จ้องมองเขาอย่างระมัดระวังและไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา

 

กู่ฉิงซานโบกไม้เท้าแห่งการจองจำ ใช้พลังนำพาตนเองออกจากนรกทะเลเลือด

 

เมื่อมาถึงปากถ้ำทางเข้าสู่ปรภพ เขาก็ลดระดับลง และก้าวเดินออกไปอย่างช้าๆ

 

อาวุธแห่งปรภพมากมายกำลังรวมตัวกันอยู่ด้านนอก

 

และเมื่อเห็นเขา เหล่าสรรพวุธก็ระเบิดเสียงเฮดังลั่น!

 

“มันได้ผล!”

 

“เจ้าได้เป็นราชาภูติจริงๆ!”

 

“ท่านราชาภูติ! ท่านช่างร้ายกาจและสง่างามยิ่งนัก!”

 

พอได้ยินคำสรรเสริญ กู่ฉิงซานเผยรอยยิ้มแย้มบนใบหน้าออกมา

 

วิหคขาวบินมาวนรอบกายเขา เปล่งเสียงตะโกน “ใครจะไปคิดกันว่าเจ้าจะได้กลายเป็นราชาภูติ! โอ้สวรรค์ ข้าก็ต้องการที่จะเป็นราชาภูติด้วย!”

 

“อย่าทะนงตนไป เจ้าเป็นแค่กระบี่เท่านั้น” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวเตือน

 

“ไม่นะ ข้าเป็นนกต่างหาก” วิหคขาวจ้องอีกฝ่ายและกล่าว

 

“เอาล่ะๆ แม้ว่าเจ้าจะเป็นนก แต่ราชาภูติคือการดำรงอยู่ที่ทรงอำนาจของตลอดทั้งปรภพ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีรูปร่างอ่อนแอ หรือเป็นอะไรดั่งเช่นนกอย่างเจ้า” โล่พูดด้วยน้ำเสียงห้าวลึก

 

โล่ราวกับว่าตระหนักได้ถึงบางสิ่ง มันหันไปกล่าวกับกู่ฉิงซาน “ต้องขออภัยด้วย ที่ว่ามานั้นข้ามิได้อ้างอิงถึงเจ้าเลยนะ”

 

“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ” กู่ฉิงซานตอบอย่างไม่ใส่ใจ

 

แล้วในเวลานั้นเอง ดาบภิพและเช่าหยินก็ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า เวียนว่ายรอบกายเขา

 

เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงมิให้ถูกตัดสิทธิ์จากการเข้าชิงตำแหน่งราชาภูติ ดาบทั้งสองจึงมิได้ตามเขาเข้าไปสู่นรกภูมิ

 

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่?”

 

เสียงหนักแน่นจริงใจของดาบพิภพดังขึ้น

 

“แน่นอน โชคดีจริงๆที่มีฉานนู่คอยช่วยเหลือข้า” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เช่าหยินเปล่งเสียงฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง

 

“ใช่ๆ ข้าสบายดี” กู่ฉิงซานยิ้มให้เช่าหยิน

 

ด้วยการถอนกำลังจากโลกของทั้งสี่นรก ทำให้หัวใจที่ดิ่งลงหุบเหวของกู่ฉิงซานค่อยๆฟื้นคืนกลับมามั่นคงอย่างช้าๆ

 

ในที่สุด วิกฤตของโลกมนุษย์ก็จบลงเสียที

 

ภัยพิบัติจากนรกเยือกแข็งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในชีวิตก่อนหน้า – ได้รับการแก้ไขโดยเขาแล้วในชีวิตนี้

 

อสูรกายและเผ่ามารในนรกก็ได้ถูกล้างบางไปจนสิ้น

 

ปัญหาเดียวที่เหลือก็คือหอกหลากสีที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงที่มาของมัน

 

เมื่อคิดถึงเรื่องของหอกหลากสี กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น

 

ยันต์ทองคำที่คอยปราบปรามมันได้ถูกตัวหอกทำลายสิ้นแล้ว และหอกอันน่าสะพรึงนี้ ย่อมไม่ยินยอมที่จะถูกพันธนาการอีกคราอย่างแน่นอน

 

อ่า ….

 

เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ปล่อยให้มันอยู่บนภูเขาล้อมเหล็กไปเสียล่ะ?

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ฉานนู่ ทำไมเราไม่ปล่อยหอกหลากสีทิ้งไว้เลยล่ะ มันจะได้ช่วยป้องกันการรุกรานของเผ่ามารไง เราสามารถทำเป็นไม่สนใจมันได้หรือไม่?”

 

ฉานนู่พอได้ฟัง ก็เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง

 

เธอเอ่ยอย่างเร่งร้อนว่า “นั่นไม่ดีหรอก หากปล่อยให้มันอาละวาดต่อไป โลกปรภพ โลกมนุษย์ และโลกอื่นๆทั้งหกโลกก็จะถูกทำลายลงในไม่ช้า”

 

“ถูกทำลายลง!? เพราะเหตุใดกัน?” กู่ฉิงซานตกใจ

 

ฉานนู่พูดตอบ “เพราะปรภพ คือสถานที่ๆคอยรับคนตายจากทั้งหกโลก เรื่องนี้เจ้าไม่มีอะไรสงสัยใช่หรือไม่”

 

“ก็ไม่นะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

“เช่นนั้นหากหอกหลากสียังคงอยู่ แล้วเมื่อวิญญาณจากโลกทั้งห้าที่เหลือถูกส่งมายังปรภพ พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าสู่สายธารแห่งการหลงเลือนได้ ฉะนั้นการที่พวกเขาจะได้เข้าสู่นรกคงมิต้องกล่าวถึง”

 

“เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเขาจะถูกจัดการโดยหอกหลากสีเสียก่อนอย่างงั้นหรือ?”

 

“ถูกต้อง”

 

“งั้นมันก็ไม่ควรจะเป็นปัญหานี่ เพราะยังไงซะ ถ้าคนตายถูกฆ่า พวกเขาก็แค่กลับไปหลับไหลในนรก แล้วสุดท้ายก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งอยู่ดี”

 

“พวกเขายังไม่ได้เข้าสู่นรก ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่ายังมิได้รับการยอมรับจากนรก ดังนั้นกฏเกณฑ์แห่งนรกจึงไม่สามารถใช้ได้กับพวกเขา”

 

“นั่นหมายความว่า หากพวกเขาถูกฆ่าลง ก็จะไม่สามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้ใช่ไหม?”

 

“ใช่ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ในระยะยาว วิญญาณของทุกคนที่เสียชีวิตลงก็จะถูกสังหารโดยหอกหลากสี วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของหกวิถีก็จะถูกทำลายลง และโลกทั้งหกก็จะค่อยๆล่มสลายไปอย่างช้าๆ”

 

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นปัญหาถึงเพียงนี้ ดูท่าแล้วข้าคงได้กระทำการผิดพลั้งไปสินะ”

 

“ในช่วงเวลาก่อนหน้า การกระทำของเจ้านับว่าเป็นแผนการที่ดีที่สุดแล้ว การที่มันจะจบลงแบบนี้ล้วนเป็นเรื่องของโชคชะตาทั้งสิ้น” ดาบพิภพแสดงความคิดเห็น

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง มิได้สนใจกับคำกล่าวของดาบพิภพ

 

“เราต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหานี้ มิเช่นนั้นโลกปรภพนี่แหละ ที่จะเป็นโลกแรกที่ล่มสลายลง” ฉานนู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล

 

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นปัญหาจริงๆ ขอข้าลองไตร่ตรองก่อนสักครู่นะ” กู่ฉิงซานงึมงำ

 

บังเกิดความเงียบขึ้นในบริเวณโดยรอบ

 

เหล่าสรรพวุธยังคงเงียบ เพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนความคิดของเขา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

กู่ฉิงซานก็ถอนหายใจยาวออกมา

 

“หอกหลากสีสามารถสังหารเทพได้ และอสูรกายก็เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงวางอุบายใช้มันต่อกรกับเผ่ามาร แต่บอกตามตรงว่าข้าเองก็คิดไม่ออกเลยจริงๆถึงวิธีที่จะกำจัดมัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช่วยไม่ได้

 

ฉานนู่กลายเป็นร้อนรนแล้ว

 

“นายน้อย โปรดพยายามขบคิดหาหนทางด้วยเถอะ ท่านจะต้องมีวิธีอย่างแน่นอน”

 

เธอกัดฟันกล่าว “ในความเป็นจริงแล้ว จุดสำคัญที่สุดและปัญหาสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมด ก็คือการจัดการกับหอกหลากสีนี่แหละ ได้โปรดช่วยเหลือโลกปรภพด้วย!”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะลองคิดดูนะว่ามันจะมีหนทางใดบ้าง”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยรับคำ

 

นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดที่เกี่ยวข้องกับหกโลก ดังนั้นเขาจึงมิกล้าที่จะละความสนใจ

 

เขานั่งอยู่บนขอบปากทางเข้าถ้ำนรก ริเริ่มขบคิดอย่างจริงจัง

 

แต่หอกหลากสีเป็นอาวุธที่แสนจะทรงพลานุภาพ เป็นพลังอำนาจที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน

 

นอกเหนือไปจากภูเขาล้อมเหล็กแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานมันได้อีกเลย

 

แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายลี้ แต่หอกก็สามารถสังหารอสูรกายได้ในกระบวนท่าเดียว

 

แล้วอาวุธเช่นนั้น เขาจะสามารถหาวิธีใดมารับมือกับมันได้อย่างไรกัน!

 

ผ่านไปนาน

 

กู่ฉิงซานตริตรอง ขบคิดถึงทุกสิ่งที่เขาพอจะทำได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของทางออก

 

แม้ว่าไม้เท้าแห่งการจองจำจะครอบครองพลังอันน่าสะพรึง แต่ด้วยอำนาจของมันที่มุ่งเป้าอยู่แต่กับนรก ดังนั้นจึงไม่สามารถส่งผลกระทบใดๆต่อตัวหอกหลากสีได้

 

ตำแหน่งของหอกหลากสีวางอยู่บนยอดของภูเขาล้อมเหล็ก

 

ภูเขาล้อมเหล็ก …

 

กู่ฉิงซานจู่ๆก็ย้อนระลึกได้ถึงคำอธิบายของดาบขุนเขาเทวะหกโลกาได้ในทันใด

 

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา มีสี่พลังศักดิ์สิทธิ์ : อมตะ แหกกฏ ทรงปัญญา และสุดท้าย ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา

 

อมตะ แหกกฏ และทรงปัญญา เขาได้รับรู้ถึงความสามารถของพวกมันไปแล้ว

 

ขณะที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา – ภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี่คงจะหมายถึงภูเขาล้อมเหล็กแน่ๆ

 

เช่นนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์นี้มีความสามารถใดกัน?

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ฉานนู่ เจ้าสามารถควบคุมภูเขาล้อมเหล็กได้หรือไม่?”

 

“นั่นเป็นไปไม่ได้ ภูเขาล้อมเหล็กจะไม่สามารถูกควบคุมโดยพลังอำนาจใดๆ เพราะมันจักต้องคอยต้านทานลมแห่งทัณฑ์โกลาหลจากภายนอก”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็รู้สึกสงสัยเป็นพิเศษ

 

หากในกรณีนั้น แล้วเจ้า ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา’ นี่มันมีประโยชน์อะไร?

 

ความสัมพันธุ์ระหว่างเขาและฉานนู่ยังคงซับซ้อน มิได้เป็นเจ้าของกันและกันโดยสมบูรณ์ แต่ละฝ่ายยังคงอยู่ในช่วงทำความคุ้นเคยกันและกันอยู่

 

หากตนเองบุ่มบามที่จะเอ่ยถามถึงความสามารถของอีกฝ่าย มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำลายความไว้ใจซึ่งกันและกันที่พึ่งก่อร่างขึ้นมา

 

มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเป็นอย่างมาก ที่จะเอ่ยทวงถามถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของจิตอาร์ติแฟคของอีกฝ่าย

 

ขณะที่กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าสมควรจะต้องทำสิ่งใด ฉานนู่ก็ริเริ่มเอ่ยออกมาด้วยตนเอง “ในเมื่อเจ้าถามถึงจุดนี้ เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน”

 

“ตัวข้าเกิดมาจากกฏเกณฑ์ของภูเขาล้อมเหล็ก และมีเพียงแค่เฉพาะบางช่วงเวลาเท่านั้น ที่ข้าจะสามารถควบคุมภูเขาล้อมเหล็กได้”

 

“แล้วบางช่วงเฉพาะที่ว่านั่นคือเวลาใด?”

 

“เมื่อตลอดทั้งโลกปรภพถูกทำลาย , ปรภพถือกำเนิดขึ้นใหม่ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ”

 

“ยุคแห่งการถือกำเนิดใหม่ของโลกปรภพได้ผ่านพ้นไปแล้ว(ช่วงยุคอุตสาหกรรมเครื่องจักรปรภพ)  ดังนั้นเราจึงไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อีกต่อไป”

 

เพื่อที่จะที่ทำให้มันชัดเจน ฉานนู่จึงพยายามอธิบายอย่างอดทนในเวลานี้ “และในคำที่ว่าโลกปรภพทั้งหมดถูกทำลาย ภูเขานี้ก็จยกตัวขึ้นจากพื้นดิน ละทิ้งโลกปรภพและไปยังโลกอื่นๆอีกห้าโลกในหกวิถี เพื่อคอยปกปักษ์พวกเขาจากสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลต่อไป”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “เช่นนั้นก็เหลือเพียงการเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์แห่งโลกปรภพอย่างมีนัยสำคัญสินะ มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”

 

“ก็ถ้าตลอดทั้งโลกปรภพเกิดการเปลี่ยนแปลง เจ้าก็จะมีโอกาสใช้ข้าให้เปลี่ยนแปลงภูเขาล้อมเหล็กได้”

 

“ตลอดทั้งโลกปรภพเกิดการเปลี่ยนแปลง?”

 

“ใช่ แต่ไม่ใช่การถือกำเนิดใหม่ มิใช่การทำลาย และข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามันจะเป็นไปในรูปแบบใด”

 

พร้อมกับคำอธิบายของฉานนู่ ในอากาศที่ว่างเปล่าภายใต้วิสัยทัศน์เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน หลากหลายเส้นแสงหิ่งห้อยที่ร้อยเรียงไปด้วยตัวอักษรเล็กๆก็เด้งเตือนขึ้นมาทันใด

 

“คุณได้เรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สี่ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา : ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา”

 

“คุณได้เรียนรู้คุณสมบัติของดาบขุนเขาเทวะหกโลกาโดยสมบูรณ์”

 

“ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ดาบที่โลกต้องสักการะ ว่ากันว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะจากปรภพ”

 

“ดาบเล่มนี้ คือดาบที่แสดงให้เห็นถึงกฏเกณฑ์อันยิ่งใหญ่ของภูเขาล้อมเหล็กแห่งปรภพ”

 

สี่พลังศักสิทธิ์ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา อมตะ แหกกฏ ทรงปัญญา และภูเขาสักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกาได้ปรากฏสู่สายตาของกู่ฉิงซาน

 

“ ‘อมตะ’ : ทุกกฏเกณฑ์ในโลกทั้งสิบ ทุกๆพลังอำนาจจะมิอาจทำลายดาบเล่มนี้ลงได้”

 

“ ‘แหกกฏ’ : ทุกกฏเกณฑ์จากตลอดทั้งหมื่นโลกาจะไม่อาจส่งผลกระทบต่อดาบเล่มนี้”

 

“ ‘ทรงปัญญา’ : ด้วยการอนุญาตของคุณ ฉานนู่จะสามารถเรียนรู้ทักษะและประสบการณ์ต่อสู้ทั้งหมดของคุณได้ และเธอจะสามารถใช้ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาเพื่อต่อสู้ให้คุณ หรือต่อสู้เคียงข้างกันกับคุณ”

 

“ ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา’ : ยามเมื่อสามช่วงเวลาสำคัญแห่งปรภพ – ถือกำเนิดใหม่ , เกิดการเปลี่ยนแปลง และถูกทำลาย ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจะสามารถควบคุมภูเขาล้อมเหล็กได้”

 

กู่ฉิงซานจ้องมองดูบรรทัดสุดท้าย ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา’ อย่างเงียบๆ

 

เขาดูราวกับกำลังลังเล และไม่มั่นใจเล็กน้อย

 

พอฉานนู่เห็นว่าเขามิได้เอ่ยสิ่งใดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวต้องเอ่ยถามออกมา “เจ้าคิดว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่?”

 

“ข้าต้องการที่จะรู้สักหนึ่งคำถาม หากหอกหลากสียังคงอยู่บนภูเขาล้อมเหล็ก หกโลกก็จะถูกทำลายลงอย่างช้าๆ เรื่องนี้แน่ใจจริงๆหรือไม่?”

 

“จริงสิ ตะขอเกี่ยววิญญาณ เจ้าเล่าคิดเห็นเช่นไร?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณตอบว่า “หอกหลากสีทรงพลังเกินไป มันจะหยุดทุกชีวิตที่จะเข้าสู่สังสารวัฏ และสังสารวัฏก็คือกฏเกณฑ์สำคัญของหกวิถี”

 

มันกล่าวเสริมว่า “เมื่อกฏสำคัญแห่งสังสารวัฏพังทลาย ทั้งหกโลกก็จะค่อยๆล่มสลายลงอย่างช้าๆ”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

เขาก้มหัวลงและจมลงสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง

 

เหล่าจิตอาร์ติแฟคต่างหันไปมองกันและกัน ก่อนจะสลับมามองกู่ฉิงซานที่ก้มหน้าลง หลับตาทั้งสองข้าง ทั้งคนทั้งร่างจมหายไปอยู่ในห้วงความคิด

 

ผ่านไปนาน

 

ได้ยินแค่เพียงเสียงของกู่ฉิงซานที่เอ่ยพึมพำออกมาอย่างนุ่มนวล “ปรภพไม่ได้มีเทพวิญญาณ หากปล่อยทิ้งไว้ ไม่ช้าก็เร็วต่อจากนี้มันก็จะถูกเผ่ามารกลับมาทำลายลงอีกครั้ง”

 

“หากปรภพถูกทำลายลงอีกครั้ง คราวนี้มันจะเป็นปัญหาใหญ่”

 

ฉานนู่เอ่ยเสริม “มันมิใช่เพียงเท่านั้นน่ะซี เนื่องจากมันสามารถนำหอกหลากสีมายังที่นี่ได้ เช่นนั้นหากปล่อยให้พวกมันมีเวลาเตรียมการมากพอ บางทีพวกมันอาจจะมีวิธีพิเศษบางอย่างที่จะสามารนำหอกหลากสีกลับมาใช้งานได้อีกครั้งก็ได้”

 

จริงด้วยสิ บางที เผ่ามารอาจจะมีวิธีกู้คืนอาวุธอันน่าสะพรึงกลัวนี้ก็ได้

 

แล้วถ้าหากหอกหลากสีถูกโยนลงไปในโลกมนุษย์ล่ะก็ …

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทันใดนั้นทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานก็รู้สึกไม่สบายใจ กระสับกระส่ายอย่างฉับพลัน

 

เขาพยายามอย่างดีที่สุดในการขบคิดอย่างหนัก และเป็นเวลานาน จนในที่สุด ความคิดบ้าบิ่นก็ผุดเข้ามาในหัวใจของเขา

 

“หากเป็นในกรณีนั้น มันคงจะดีกว่า … ”

 

จู่ๆเขาก็ถอนหายใจออกมา และยกมือขึ้นกุมหน้าผากตนเอง

 

“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเป็นอะไรไปหรือ?” ฉานนู่เร่งเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานตอบ “เปล่าหรอก แต่ข้ามีความคิดบางอย่างขึ้นมาแล้วน่ะซี ทว่ามันบ้ามากจริงๆ”

 

“ความคิดอะไร? ตราบใดที่มันสามารถรับมือกับหอกหลากสีได้ แน่นอนว่าข้าย่อมจะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มกำลัง” ฉานนู่กล่าวอย่างเฉียบขาด

 

“เช่นนั่นโปรดบอกข้ามา ว่า ‘แหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้า’ของโลกปรภพอยู่ที่ใด”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.413 – ฟังวาจาข้า

 

“จิตอาร์ติแฟคของสิ่งประดิษฐ์เทวะนี้ได้ดับสูญลงไปแล้ว แต่ราชาภูติรุ่นก่อนได้ทิ้ง ‘ไพ่ประทับ’เอาไว้ และคุณก็มีมันอยู่ในครอบครอง ดังนั้นคุณจึงสามารถเปิดใช้งานเทคนิคลับที่สิ่งประดิษฐ์เทวะนี้ครอบครองอยู่ได้”

 

“ร้องขอให้ผู้เล่นโปรดอย่าปล่อยมือเพื่อทำการรับสืบทอดไพ่ประทับ และปลุกสิ่งประดิษฐ์เทวะนี้”

 

มองไปยังคำอธิบายบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ตระหนักได้อย่างชัดเจน

 

ในบรรดาไพ่สามใบที่ได้รับจากหลาน เขาจำได้ว่าไพ่ที่สามน่ะมีรูปของไม้เท้าแห่งการจองจำอยู่

 

และตอนนี้ มันก็ถึงเวลาแล้วที่จะใช้ไพ่ใบนั้น เพื่อปลุกไม้เท้าให้ตื่นขึ้น!

 

มือของกู่ฉิงซานที่กำลังคว้าจับไม้เท้าแห่งการจองจำ เริ่มจะสัมผัสได้ถึงถึงพลังอำนาจที่กำลังเผาไหม้

 

ตามตัวไม้เท้าเริ่มกลายเป็นสีแดงและเริ่มสั่นไหวไม่หยุด

 

ดูเหมือนว่ามันจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยพลังบางอย่างที่ออกมาจากร่างกายของกู่ฉิงซาน

 

เมื่อดำเนินต่อไปถึงจุดหนึ่ง ไม้เท้าก็กลับมาสงบดังเดิม

 

รอยแดงจากตลอดทั้งตัวไม้เท้าค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ

 

ไม้เท้าสีดำ ยังคงถูกกุมอยู่ในมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กได้ปรากฏขึ้นตามมาอย่างรวดเร็ว

 

“ไม้เท้าแห่งการจองจำ”

 

“จิตอาร์ติแฟคของไม้เท้าได้ดับสูญลงแล้ว ฉะนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของมันจึงหายไปโดยสมบูรณ์”

 

“เนื่องเพราะในขณะนี้คุณได้รับสิทธิ์ในการควบคุมไม้เท้าโดยสมบูรณ์ จึงย่อมเป็นธรรมดาที่คุณจะสามารถรับรู้ได้ถึงพลังอำนาจที่มีอยู่ในตัวไม้เท้า”

 

“เทคนิคลับแห่งไม้เท้า : สงครามหกวิถี”

 

“คำอธิบาย : คุณจะได้เรียนรู้การใช้พลังแห่งกรรม เพื่อแยกนรกและปรภพออกจากกัน นำพวกมันมุ่งหน้าไปยังโลกอื่นๆ”

 

“เทคนิคลับแห่งไม้เท้า : คุกล่มสลาย”

 

“คำอธิบาย : ราชาภูติที่กำลังถือครองไม้เท้านี้จะสามารถเข้าใจถึงเทคนิคลับนี้ได้โดยอัตโนมัติ โดยเขาจะสามารถเปิดนรกทั้ง 18 ขุม และปลดปล่อยคนตายทั้งหมดออกมาในเวลาใดก็ได้”

 

“เทคนิคลับแห่งไม้เท้า : ต้นกำเนิดแห่งความตาย”

 

“คำอธิบาย : ราชาภูติสามารถเดินทางไปยังนรกในแต่ละชั้นได้ และสามารถสื่อสารผ่านทางอากาศกับคนตายทั้งหมด นอกจากนี้ยังสามารถปลุกคนตายที่กำลังจมอยู่ในการหลับไหลให้ฟื้นตื่น คืนสติขึ้นมาได้ในทันทีอีกด้วย”

 

“เทคนิคลับแห่งไม้เท้า : กระจายวิญญาณ”

 

“คำอธิบาย : ราชาภูติสามารถใช้อำนาจของไม้เท้า สังหารคนตายคนใดก็ตามที่ไม่เชื่อฟัง และวิญญาณของคนตายที่ถูกสังหารก็จะกระจายตัวออก แปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน หนุนเสริมอำนาจให้แก่ตัวไม้เท้า”

 

“ผู้ที่ถือไม้เท้านี้คือราชาภูติ และนรกทั้ง 18 ขุมจะต้องหมอบคลานแทบเท้าเขา”

 

“และเสียงของคุณ จะสามารถส่งผ่านไปยังนรกทั้งหมดได้”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านบรรทัดเส้นแสงที่เด้งแจ้งเตือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากอ่านจบ เขาก็มิอาจเอ่ยออกมาได้แม้เพียงครึ่งคำ

 

นี่คือในกรณีที่จิตอาร์ติแฟคดับสูญลงแล้วนะ! แต่ไม้เท้าแห่งการจองจำกลับยังคงมีเทคนิคลับมากมายถึงเพียงนี้!

 

ไม้เท้าด้ามนี้ นับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะที่น่าสะพรึงอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมตะขอเกี่ยววิญญาณถึงกล่าวว่า เป็นไม้เท้าแห่งการจองจำนี่แหละ ที่ทรงพลานุภาพมากที่สุดในสามสิ่งประดิษฐ์เทวะ!

 

ดาบจากปรภพค่อยๆส่ายไปมาเบาๆ ตามด้วยร่างของฉานนู่ที่ปรากฏออกมา

 

เธอมองไปยังกู่ฉิงซาน ก่อนจะสลับไปมองไม้เท้าแห่งการจองจำในมือของเขา เนิ่นนานไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

 

“ว่าไง มีอะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ฉานนู่ถอนหายใจออกมา “ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ที่ ‘คนเป็น’ ได้กลายมาเป็นราชาภูติของทั้ง 18 ขุมนรก … ”

 

คนเป็นแต่กลับสามารถเข้ามาในโลกปรภพได้ แถมยังออกอุบายหลอกใช้งานหอกหลากสีให้สังหารเผ่ามารและอสูรกายนับไม่ถ้วนที่ได้ทำการยึดครองปรภพ

 

จนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังไม่มีเผ่ามารตนใดเลย ที่กล้าย่างกรายเข้าสู่นรกอีกครา

 

ชายที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้นี้ ได้ปลอมตัวเป็นคนตาย แล้วจู่ๆก็ดันได้กลายมาเป็นเจ้าของไม้เท้าแห่งการจองจำ!

 

ตั้งแต่เมื่อใดกันหนอ ที่ทางปรภพมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น?

 

ฉานนู่ยังคงสงสัยว่าบางทีเธออาจจะกำลังฝันไป

 

“หากเป็นไปได้ข้าก็ไม่อยากจะใช้วิธีนี้หรอกนะ ก็ข้าน่ะยังมีชีวิตอยู่ และไม่อยากกลายเป็นคนตายนี่นา” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

เขากำไม้เท้าแห่งการจองจำ นึกคิดในจิตใจ และทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆแม้กระทั่งสายลมที่พัดผ่านยอดหญ้าของนรกทั้ง 18 ขุม

 

ภายในนรก สิ่งมีชีวิตนับล้านๆที่กำลังทุกข์ทรมาน ทั้งหมดได้เข้ามาอยู่ในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 

ในเวลานี้ ทุกคนตายในนรกต่างสัมผัสได้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองมาของราชาภูติ

 

นี่คือพลังอำนาจของเทคนิคลับ ‘ต้นกำเนิดแห่งความตาย’

 

“คนตายทั้งหลายจงฟัง ข้าคือราชาภูติ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ในตลอดทั้ง 18 ขุมนรก คนตายนับล้านๆคนกำลังรับฟังเขาอย่างเงียบๆ

 

“ในฐานะที่ข้าเป็นราชาภูติ คำสั่งแรกของข้าก็คือ นรกทั้งหลายที่บุกไปยังโลกจงหยุดมือ และกลับมายังภูเขาล้อมเหล็กเสีย”

 

“พวกเจ้าได้สังหารคนเป็นมากเกินไปแล้ว กระทำความผิดบาปอันลึกล้ำ ฉะนั้นจงกลับมาชดใช้กรรมเสีย”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

“พวกเราขอปฏิเสธ!” เสียงมากมายนับไม่ถ้วนดังขึ้น

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไป แต่กลับค้นพบว่ามันคือเสียงจากในนรกขย้ำ

 

ในบรรดาหลายยุคสมัย มนุษย์ปีศาจ นับว่ามีบุคลิกโหดเหี้ยมมากที่สุด

 

แม้จะไม่ทราบถึงเหตุผลดังกล่าว แต่ตราบใดที่พวกมันเห็นสิ่งมีชีวิตอยู่เบื้องหน้า เหล่ามนุษย์ปีศาจก็จะก้าวออกไปและสังหารพวกเขาทันที!

 

ดังนั้น ในนรกแห่งนี้ จึงมีมนุษย์ปีศาจอยู่เป็นจำนวนมาก

 

เวลานี้ พวกมันได้จัดตั้งเมืองของตนเองขึ้นในหลายๆส่วนของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์

 

หลังจากพระสันตะปาปาเสียชีวิตลง จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีใครสามารถต้านทานการรุกรานของมนุษย์ปีศาจได้อีกเลย

 

ดังนั้นตอนนี้ จึงกล่าวได้ว่าสำหรับมนุษย์ปีศาจแล้ว บนโลกมนุษย์จึงเปรียบดั่งสรวงสวรรค์ มีอาหารอันโอชะให้ดื่มกิน แถมยังเป็นพื้นที่ล่าไว้คอยออกไล่สังหารเพื่อเติมเต็มความกระหายเลือดของตนเองอีกด้วย

 

ต้องไม่ลืมนะว่า เมื่อได้รับความทุกข์ทรมานจากนรก ทันทีที่ได้กินคนเป็นอาหาร เหล่าคนตายก็จะสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดทั้งหมดได้

 

นี่นับว่าเป็นความเพลิดเพลินราวกับอยู่ในแดนสวรรค์

 

แต่ตอนนี้มีเพียงเศษเสี้ยวของนรกขย้ำเท่านั้นที่หลุดออกไป ทั้งหมดยังมิได้แยกตัวออกจากนรกโดยสมบูรณ์ ดังนั้นมนุษย์ปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นในโลกจึงมีเพียงส่วนเดียวเท่านั้น

 

นั่นนับว่าเป็นตัวเลขที่น่าสะพรึงอย่างแท้จริง

 

และหากเหตุการณ์ที่นรกขย้ำทั้งหมดหลุดออกไป โลกมนุษย์ก็จะเปรียบดั่งดินแดนในอุดมคติของพวกมัน

 

ดังนั้น มนุษย์ปีศาจจึงย่อมไม่เต็มใจที่จะกลับไปยังโลกปรภพ!

 

“จงฟังข้า ข้าคือราชาภูติ หากยังมิคิดเชื่อฟัง จุดจบย่อมไม่ดีเป็นแน่” กู่ฉิงซานเอ่ยเตือน

 

ผู้นำของเหล่ามนุษย์ปีศาจเปล่งเสียงตะโกนลั่น “ต่อให้เจ้าเป็นราชาภูติ แต่เจ้าก็ไม่อาจจะหยุดพวกเราจากการยึดครองโลกได้! นี่มันเป็นเรื่องของพวกเรา มิใช่กงการอะไรของเจ้า!”

 

“ถูกต้อง!”

 

“นี่มันเป็นเรื่องของมนุษย์ปีศาจ!”

 

เหล่ามนุษย์ปีศาจต่างตะโกนออกมา ตนแล้วตนเล่าแสดงออกชัดเจนถึงความไม่ยินยอมของตนเอง

 

มนุษย์ปีศาจอีกตนกล่าวว่า “แม้ลำพังเจ้าจะทรงพลังก็จริง แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของนรกทะเลเลือดของเจ้าน่ะ มันด้อยยิ่งกว่านรกขย้ำของพวกเราอยู่มากโข!”

 

“มันจะดีกว่าไหม หากพวกเราสองนรกเข้าห้ำหั่นกันด้วยกำลังรบทั้งหมดที่แต่ละฝ่ายมี หากผู้ใดชนะ ก็จะได้รับตำแหน่งราชาภูติไป!”

 

“ใช่! นั่นต่างหากคือสิ่งที่ควรจะเป็น!”

 

“ห้ำหั่นกันระหว่างนรก!”

 

มนุษย์ปีศาจต่างส่งคลื่นความคิดของตนออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

การสื่อสารระหว่างโลกถูกสร้างขึ้นโดยไม้เท้าแห่งการจองจำ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดของเขา หรือของมนุษย์ปีศาจ ทุกสิ่งมีชีวิตอื่นๆในนรกก็ล้วนได้ยิน และรับรู้กันแทบทั้งสิ้น

 

และการสื่อสารดังกล่าวจะมิถูกขัดขวาง เว้นเสียแต่ว่าราชาภูติจะจำกัดการรับฟังเอาไว้

 

การประท้วงอันดุเดือของมนุษย์ปีศาจ ได้ดึงดูดความสนใจจากเหล่าคนตายตลอดทั้ง 18 ขุมนรก

 

เหล่าคนตายทั้งหมด กำลังเฝ้ารอดูว่าราชาภูติจะตอบสนองอย่างไร

 

“นายน้อย … ”ฉานนู่เริ่มกระวนกระวาย เธอต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง

 

แต่กู่ฉิงซานก็ยกมือขึ้นมา ส่งสัญญาณว่าไม่ต้องกังวล

 

เขาส่ายหัวและถอนหายใจออกมา

 

“เจ้าคิดว่าหลังจากที่ข้าได้ขึ้นเป็นราชาภูติ ข้าจะบัญชาเหล่าคนตายด้วยจิตเมตตากระนั้นหรือ?”

 

เขาแพร่จิตสัมผัสเทวะลงไปยังไม้เท้าแห่งการจองจำ

 

ทันใดนนั้นเอง ในดวงตาลึกโบ๋ของกะโหลกเขาแหลมตรงส่วนหัวของไม้เท้า ก็พลันเรืองส่องสว่างสีแดงขึ้น

 

เทคนิคลับที่ร้ายกาจที่สุดในไม้เท้า – ‘กระจายวิญญาณ’ ได้ถูกเปิดใช้งานโดยเขา

 

“คำอธิบาย : ราชาภูติสามารถใช้อำนาจของไม้เท้า สังหารคนตายคนใดก็ตามที่ไม่เชื่อฟัง และวิญญาณของคนตายที่ถูกสังหารก็จะกระจายตัวออก แปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน หนุนเสริมอำนาจให้แก่ตัวไม้เท้า”

 

แล้วจู่ๆภูเขาล้อมเหล็กก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างกระทันหัน

 

ในนรกขย้ำ ปากใหญ่ที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวหุบลง

 

มนุษย์ปีศาจทั้งหมดแตกกระเจิง วิ่งหนีอลหม่านออกไปทุกทิศทาง

 

ทว่าภายใต้พลังอำนาจของราชาภูติ พวกมันจะหลบหนีไปได้อย่างไร?

 

นับพันล้านวิญญาณที่อยู่ในนรกขย้ำ ต่างพากันเปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

 

มนุษย์ปีศาจตนแล้วตนเล่า ร่างกายแตกสลาย แปรเปลี่ยนเป็นจุดแสง และหายวับไปจากนรก!

 

พวกเขาก็ได้กระจายออกไปโดยสมบูรณ์

 

หลังจากนั้น ช่วงเวลาต่อมา จิตวิญญาณของพวกเขาก็มิได้คงอยู่อีกต่อไป และนั่นหมายความว่ามันมิอาจฟื้นตื่นจากการหลับไหลได้อีกตลอดกาล!

 

พันล้านจุดแสงได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน แปรเปลี่ยนเป็นธารแสง ลอยข้ามผ่านกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างนรก และตกลงไปในไม้เท้าแห่งการจองจำ

 

นี่คือรางวัลไม้เท้าแห่งการจองจำ – คือที่มาของแหล่งพลังงานของมัน

 

ไม้เท้าแห่งการจองจำส่งเสียงตะกละตะกรามอย่างมีชีวิตชีวาเล็กน้อย

 

นั่นเพราะ นี่ก็ตั้ง 10000 ปีมาแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรตกถึงท้องของมันเลย

 

มันดูดซับพลังงานของเหล่าวิญญาณ และเติมเต็มอำนาจของตนเองอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานกระแทกปลายไม้เท้าลงกับพื้นข้างกาย แล้วยกมือขึ้นลูบหัวกะโหลกแหลมด้วยความทะนุถนอมอย่างแผ่วเบา

 

ตลอดทั้งนรก 18 ขุมพลันตกอยู่ในความเงียบงัน

 

ราชาภูติแห่งนรก .. เพียงโบกมือครั้งเดียว ทว่ากลับสามารถสังหารวิญญาณนับพันตายให้ตายตกลงในคราเดียว!

 

“เจ้า … ” ฉานนู่ต้องการจะเอ่ยบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงไป

 

ในนรกขย้ำ บัดนี้หลงเหลือคนตายอยู่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น และพวกเขาล้วนเป็นคนที่เมื่อครู่เลือกที่จะอยู่เงียบๆ มิได้กล่าวประท้วงออกไป

 

“ยอมรับ! พวกเรายอมรับการตัดสินใจของราชาภูติ!”

 

ยักษ์ที่เหลืออยู่ตะโกนออกมาราวกับคนบ้า

 

—ถึงแม้ว่าพวกมันจะกลับลงมาทุกข์ทรมานต่อในนรกอีกครั้ง แต่ในท้ายที่สุดแล้ว สุดท้ายตนก็ยังสามารถที่จะไปเกิดใหม่ได้

 

ทว่าหากต้องถูกทำให้หายไปโดยสมบูรณ์แบบเมื่อครู่ ตนก็คงมิอาจไปเกิดใหม่ หรือทำสิ่งใดได้อีกเลย!

 

ต้องกระจายเหือดหายไปเนี่ยนะ! ไม่เอาด้วยหรอก!

 

คนตายอีก 17 ขุมนรกยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงดัง

 

แม้ว่าหลังจากนี้จะต้องได้เผชิญกับการลงโทษอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีคนตายคนใดกล้าเอ่ยค้านออกมาอยู่ดี

 

ราชาภูติกระแอมไอเบาๆและกล่าวว่า “พวกเจ้าทุกคนเห็นหรือไม่ ว่ามนุษย์ปีศาจเหล่านั้นพยายามที่จะต่อต้านข้า?”

 

และเขาก็ยกระดับเสียงขึ้นทันใด ปากเอ่ยตะโกน “พวกเจ้าเห็นผลลัพธ์ของไอ้สารเลวพวกนั้นหรือไม่! จงพยักหน้าบอกข้า!”

 

ตลอดทั้ง 18 นรกภูมิ คนตายนับล้านล้านบัดนี้มิแตกต่างจากคนบ้า ทั้งหมดต่างพยักหน้าหงึกๆครั้งแล้วครั้งเล่า

 

เสียงของกู่ฉิงซานได้ลดระดับลง และกล่าวอย่างช้าๆ “เช่นนั้น เพื่อหยุดยั้งพวกเจ้าทุกตนจากบาปอันล้ำลึก ข้าขอสั่งอีกครั้ง พวกเจ้าทุกตนจะต้องถอนตัวออกจากโลกมนุษย์เสีย!”

 

เขาโบกไม้เท้าแห่งการจองจำอีกครา ปากเอ่ยอย่างแผ่วเบา “นี่คือบัญชาแห่งข้า และพวกเจ้าก็จงเอ่ยมา ว่าเห็นด้วยหรือยังมีผู้ใดคิดต่อต้านอีกหรือไม่!?”

 

หนึ่งลมหายใจผ่านไปอย่างเงียบๆ

 

ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง ดังกึกก้องต่อเนื่อง

 

“พวกเราเห็นด้วย!”

 

“ใช่! พวกเราเห็นด้วยกับท่านราชาภูติ!”

 

“พวกเราจะเร่งถอนตัวกลับทันที!”

 

“พวกเรานรกเยือกแข็งจะหวนคืนสู่ปรภพ!”

 

“นรกของพวกเราด้วย! จะถอนตัวกลับไปบัดเดี๋ยวนี้ล่ะ!”

 

อีกสามคนตายจากขุมนรกอื่นๆที่บุกไปยังโลกมนุษย์ได้แสดงเจตจำนงเดียวกันออกมา

 

“ทัศนคติของพวกเจ้าไม่เลวนี่ เช่นนั้นข้าจะให้เวลา 10 นาที หากมาถึงได้ทันเวลา วิญญาณของพวกเจ้าก็จะไม่ต้องสลายไป” กู่ฉิงซานกล่าวจบ เขาก็ตัดการสื่อสารกับนรกทั้งหลาย

 

ฉานนู่จ้องมองดูเขา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “พันล้านจิตวิญญาณได้ถูกสังหารหมู่ไปโดยเจ้า .. นี่มันจะไม่โหดเหี้ยมเกินไปหน่อยหรือ?”

 

“ไม่หรอก สถานการณ์ในโลกมนุษย์น่ะอยู่ในช่วงวิกฤติยิ่ง และทุกวินาที คนบริสุทธิ์หลายคนก็ได้ตกตายลงภายใต้น้ำมือของพวกมัน”

 

กู่ฉิงซานยกไม้เท้าแห่งการจองจำขึ้นและกล่าวว่า “อันที่จริงแล้วข้าต้องการที่จะสังหารพวกมัน สังหารเหล่าคนบาปจากนรกทั้งสี่จนสิ้น แต่เนื่องจากพวกมันยังมีไหวพริบที่ดี ข้าเลยเปลี่ยนใจเก็บมันไว้”

 

“คิดเสียว่านี่เป็นโอกาสสำหรับพวกมันที่จะได้เปลี่ยนแปลงตนเอง”

 

ฉานนู่มองไปที่เขาด้วยสีหน้าเงียบสงบ ปากอ้าถอนหายใจออกมา “แม้ว่าเจ้าคือคนเป็น แต่ก็นับว่าเหมาะสมกับตำแหน่งราชาภูติอย่างแท้จริง”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.412 – ราชาภูติ

 

กู่ฉิงซานเดินออกจากบาร์

 

และทันทีที่ประตูบาร์ปิดกระแทกตามหลังเขา

 

ตลอดทั้งบาร์ก็เปลี่ยนสภาพเป็นไพ่ใบใหญ่และค่อยๆจางหายไป

 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นและพบว่าตนเองได้กลับมาอยู่บนดาดฟ้าของเรือใหญ่อีกครั้ง

 

ในเวลาเดียวกัน 17 ไพ่ที่ลอยอยู่เบื้องหน้าทุกคนในที่นี้ก็หายไป

 

พร้อมกับ 16 ตัวตนสุดแกร่งจากแต่ละนรกที่เหลือลืมตาขึ้นด้วยกัน

 

“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย? กฏการแข่งขันง่ายๆแค่นี้เหตุใดจึงต้องกล่าวอธิบายด้วยวิธีแปลกๆเช่นนี้ด้วย”

 

“นั่นสิ”

 

“บางที มันอาจจะเกิดจากความผิดปกติของไม้เท้าแห่งการจองจำก็ได้กระมัง?”

 

พวกเขาบ่นเสียงดัง

 

อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ลอบหยิบอาวุธมาไว้ในมือตนอย่างลับๆ

 

ไพ่ได้ส่งข้อมูลและอธิบายถึงกฏการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งราชาภูติอย่างชัดเจน

 

—ตกเรือจะถือว่าเป็นการสละสิทธิ์ ขณะที่หากตายจะถือว่าถูกกำจัดออกไป

 

คนสุดท้ายที่ยืนหยัดอยู่บนเรือใหญ่จะเป็นผู้ชนะ

 

และคนผู้นั้นก็จะได้ครอบครองไม้เท้าแห่งการจองจำ!

 

ณ ขณะนี้ ทุกคนยังมีเวลาเหลืออีกสิบลมหายใจเพื่อเตรียมความพร้อม

 

17ตัวตนสุดแกร่งทั้งหมดต่างหันไปมองรอบๆและสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายก็กำลังพยายามรับรู้ถึงตนเองอยู่เช่นเดียวกัน

 

ยักษ์ , มนุษย์ , มนุษย์ปีศาจ , จ้าวอสูร , อาชูร่า , สิ่งมีชีวิตจากยุคโกลาหล

 

-แต่ละตัวตนอันหลากหลายประเภท

 

ไม่ว่าจะเป็นรูปกายหรือเค้าโครงหน้า ทั้งหมดล้วนแตกต่างกันออกไป

 

เวลานี้ ในวิสัยทัศน์ของพวกเขาล้วนมืดบอด ท้องฟ้ามิสาดแสง ความมืดปกคลุมทุกสิ่งอย่าง

 

สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทำได้เพียงรู้สึกถึงกันและกันเท่านั้น

 

แต่ไม่มีใครสามารถมองเห็นคนอื่นๆได้เลย

 

ฉะนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าสิ่งนี้ก็จะเกิดขึ้นกับคนอื่นๆเหมือนกัน ทุกคนจึงคลายใจและปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป

 

เหนือหัวของคนตายทั้งหมด ไม้เท้าแห่งการจองจำยังคงลอยเด่นอยู่กลางเวหา เฝ้ารอคอยเจ้านายคนใหม่ของมัน

 

ตัวตนสุดแกร่งคนหนึ่งได้ถูกตัดสิทธิ์ออกไปก่อนแล้ว ฉะนั้นจึงเหลือคนตายอีก 17 คน ที่จะต้องแย่งชิงตำแหน่งราชาภูติกัน

 

และราชาภูติก็จะได้ครอบครองไม้เท้าแห่งการจองจำ สามารถสั่งการนรกทั้งหมด!

 

เทพแห่งปรภพได้ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นราชาภูติจึงนับได้ว่าเป็นผู้ปกครองปรภพคนใหม่!

 

ทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้และไม่มีใครผ่อนคลายลง

 

เหล่าตัวตนสุดแกร่งเริ่มเว้นระยะห่างจากกันและกัน

 

ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง 17 คนตายก็สามารถมองเห็นกันและกันได้ในที่สุด

 

และไม้เท้าแห่งการจองจำก็ได้ส่งข้อมูลแนะนำออกไป

 

‘การต่อสู้ขั้นแตกหัก เริ่มต้นได้ ณ บัดนี้!’

 

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะเริ่มกันได้ซักทีสินะ” ตัวตนสุดแกร่งคนหนึ่งกล่าว

 

เขาหันไปมองผู้คุมนรกทั้งเจ็ดโดยไม่ปิดบังถึงเจตนาร้าย ปากเอ่ยกล่าวว่า “ 9 ต่อ 7  เจ้าเข้าใจถึงความหมายของตัวเลขนี้หรือไม่?”

 

อีกหนึ่งสุดแกร่งหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นหมายความว่าพวกเราจะทุบตีพวกเจ้า! โค่นพวกเจ้าลงได้ง่ายๆราวกับเหยียบมดแมลงอย่างไรเล่า! ฉะนั้นจงกระโดดลงจากเรือไปซะ! หากทำแบบนั้นมันคงจะช่วยลดความเจ็บปวดของพวกเจ้าลงไปได้นิดๆหน่อยๆ”

 

“ไม่! อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้ง่ายๆสิ ช่วยกันสังหารพวกมันก่อน! แล้วจากนั้นค่อยมาคัดเลือกราชาจากในหมู่พวกเราอีกที!” มนุษย์ปีศาจหญิงกระตุ้นเตือน

 

9 ตัวตนสุดแกร่งหัวเราะลั่น

 

ขณะเดียวกัน ฝ่ายผู้คุมนรกทั้งเจ็ดกำลังเกาะกลุ่มกัน กุมอาวุธในมือด้วยสีหน้าขึงขัง

 

กู่ฉิงซานก้าวถอยหลังกลับไป รวมตัวกับกลุ่มพวกเขา

 

“ผิดแล้ว ตอนนี้มันคือ 8 ต่อ 9 ต่างหาก” อาชูร่าหญิงยืดอกขึ้นและกล่าว

 

มนุษย์ปีศาจหญิงสาดสายตาใส่กู่ฉิงซาน กัดฟันกรอด “เจ้าหนู ข้าจดจำทุกคำที่เจ้าเอ่ยกับข้าก่อนหน้านี้ได้นะ”

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับคำกล่าวของข้าให้มันมากนักหรอก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

“ทำไม? หรือว่าเจ้าเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว?” มนุษย์ปีศาจหญิงรู้สึกสนใจ

 

“เปล่า แต่เป็นเพราะเจ้ากำลังจะตายต่างหาก”

 

พริบตานั้นร่างของเธอก็หายวับไปจากกลุ่ม9ตัวตนสุดแกร่ง และปรากฏกายขึ้นใจกลางผู้คุมนรกทั้ง 7

 

“อะไรกั-”

 

มนุษย์ปีศาจหญิงตกอยู่ในความสับสน ทว่ายังมิทันได้เปล่งเสียงจนจบประโยค เหล่าผู้คุมทั้ง 7 ก็เริ่มลงมือซะก่อน!

 

อาวุธกว่า 7 ชนิดระเบิดอำนาจของพวกมันออกมาอย่างเต็มกำลัง! บ้างสับ จ้วง เสียบ สะบั้นเข้าใส่เป้าหมายอย่างไร้ความปราณี!

 

มนุษย์ปีศาจหญิงตกตายลงทันที

 

อาชูร่าหญิงที่เป็นผู้ลงมือตัดศีรษะเธอ กล่าวอย่างภาคภูมิว่า “ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าจะฆ่าเจ้า!”

 

อีกด้านหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นแทนที่มนุษย์ปีศาจหญิงกลางดงตัวตนสุดแกร่งทั้ง 8 ตนที่เหลือ

 

ร่างเงาดาบสีดำระเบิดเบ่งบานออกไปรอบกายเขา

 

และในวินาทีต่อไป-

 

กู่ฉิงซานก็สะบัดดาบในมือของเขา

 

พร้อมกับร่างเงาดาบทั้งหมดได้หายไป

 

เขาได้ยกเลิกกระบวนท่าดาบวาดเงา!

 

“เกิดอะไรขึ้นกระนั้นหรือ!?” ฉานนู่เร่งเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว

 

“เอ่อ … จู่ๆข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่าจะเล่นใหญ่ทำไม ในเมื่อปัญหาตรงหน้านี้มันเป็นเพียงเรื่องขี้ประติ๋ว”

 

กู่ฉิงซานเอียงศีรษะกล่าว ขณะเดียวกันก็วางดาบขุนเขาเทวะหกโลกพาดลงบนไหล่ของเขา

 

ประสบการณ์การต่อสู้ตลอดทั้งชีวิตของกษัตริย์อาชูร่า ได้หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับทักษะการต่อสู้ทั้งหมดของเขา

 

ส่งผลให้วิสัยทัศน์และทักษะของเขาในวันนี้ เหนือล้ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

 

“จงตายเสีย! เจ้าเด็กเหลือขอ!”

 

อีก 8 ตัวตนสุดแกร่งเริ่มตอบสนองแล้ว

 

หลากการโจมตีดุร้าย รวดเร็ว และรุนแรง จู่โจมเข้ามาจากทุกทิศทาง บังเกิดสายลมเย็นสดชื่นกระพือว่อน

 

ขณะเดียวกัน หนึ่งดาบบนบ่าก็ถูกวาดออกไป

 

หลากภาพติดตาของคมดาบกระพริบไหว และวูบหายไป

 

เคร้ง!

 

บังเกิดเสียงกระทบของอาวุธดังขึ้น

 

แม้ว่าแรงกระทบจากอาวุธของแต่ละคนจะมิได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ทว่าช่างน่าฉงนนัก ที่ตัวตนสุดแกร่งทั้งแปดดันชักฝีเท้า ก้าวถอยกลับด้วยกันโดยพร้อมเพรียง

 

กู่ฉิงซานเกร็งร่าง โค้งกายเล็กน้อย ขณะที่ดาบยาวถูกซ่อนเอาไว้เบื้องหลังเขา

 

“พอได้ลองใช้ดาบเล่มเดียวดู มันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากสองดาบมาก-”

 

เขาเอ่ยไม่ทันจบคำ ทั้งคนทั้งร่างก็วูบไหวหายวับไป

 

บังเกิดกระแสลมแรงกรรโชกขึ้นบนเรือใหญ่

 

ก่อนที่พวกมันจะกระจายหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงสายลมจางๆที่แฝงไว้ซึ่งไอเย็นทำให้รู้สึกสบายตัวเล็กน้อย

 

รู้ใช่ไหม ว่าหากต้องเผชิญหน้ากับสายลมแล้ว มันย่อมเป็นไปมิได้ที่จะหลบเลี่ยง!

 

ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้นท่ามกลางสายลม

 

ดาบยาวสะบัดเหวี่ยงเล็กน้อย

 

ดูเหมือนว่าเขาจะเจอปัญหาบางอย่าง ดูได้จากคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน

 

“หลังจากที่ใช้สองดาบมานาน จู่ๆก็เปลี่ยนกลับมาใช้ดาบเดียว ข้าก็เลยรู้สึกไม่คุ้นเคยกับมันนิดหน่อย”

 

เขากล่าว

 

ขณะเดียวกัน ฉานนู่ก็ตอบรับด้วยการแสดงออกที่ดูมีความสุข “แต่ข้ากลับไม่เห็นว่าเจ้าจะดูไม่คุ้นเคยกับมันเลยแม้แต่น้อย”

 

ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆรอบตัวพวกเขา

 

ฝีปากของ 8 ตัวตนสุดแกร่งยังคงเงียบ ทั้งเนื้อทั้งตัวแข็งค้าง

 

อย่างไรก็ตาม ในวินาทีต่อมา หัวของพวกมันทั้งหมดก็ค่อยๆเคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม ร่วงหล่นจากลำตัว ตกกระทบลงกับพื้นดาดฟ้า กลิ้งหลุนๆไปมาสองสามตลบ

 

ตูม!

 

ตามด้วยเสียงของ 8 ร่างใหญ่ที่ล้มลง

 

บนดาดฟ้าเรือ ทั้งหมดค่อยๆถูกปกคลุมไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม

 

8 ตัวตนสุดแกร่งได้ถูกสังหารลงโดยกู่ฉิงซาน และหวนกลับคืนสู่นรกของพวกตน

 

ในระหว่างหลากหลายยุคสมัย มีทั้งสิ้นสี่อารยธรรมที่เกิดขึ้น

 

ทว่าในแต่ละการปะทะกันระหว่างอารยธรรมทั้งสี่เหล่านั้น ไม่มีอารยธรรมใดเลย ที่เทียบเปรียบได้กับอารยธรรมแห่งการฝึกยุทธ!

 

ย้ำอีกครั้ง กู่ฉิงซานคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย

 

แม้แต่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ พื้นฐานวรยุทธเช่นนี้ ก็ยังนับว่าคือตัวตนทรงพลังที่เป็นรองเพียงนักปราชญ์เท่านั้น!

 

นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้ดาบที่มีไว้ใช้สังหารและต่อสู้ , มีประสบการณ์จากสองช่วงชีวิต , เสริมเข้าไปอีกด้วยด้วยประสบการณ์ต่อสู้ตลอดทั้งชีวิตของกษัตริย์อาชูร่า

 

เขาเป็นนักดาบนิรันดร์ที่พิเศษไม่เหมือนใคร

 

มนุษย์ปีศาจ ยักษ์ มนุษย์ ตัวตนสุดแกร่งและสิ่งมีชีวิตจากยุคโกลาหล ทั้งหมดล้วนพ่ายแพ้! มิอาจยืนหยัดต้านทานคมดาบของเขาได้โดยสิ้นเชิง

 

แม้กระทั่งการดำรงอยู่อย่างจ้าวอสูร และอาชูร่าก็ยังต้องยำเกรงกับคมดาบนี้

 

ฉานนู่งงเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความสงสัย “กระบวนท่าดาบของเจ้าไม่มีปัญหาหรอก แต่ข้ามักจะรู้สึกว่าเหมือนกับเจ้ากำลังกระวนกระวาย เร่งร้อนอยู่เสมอ”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “กายมนุษย์ของข้ายังอยู่ในโลก บางทีอาจจะมีศัตรูบางส่วนบุกเข้าไปจัดการกับร่างมนุษย์ของข้าแล้วก็ได้”

 

“ฉะนั้นข้าจึงเร่งร้อน”

 

ขณะเขากำลังกล่าว ทันใดนั้นก็จำต้องหันไปมองอีกด้านหนึ่งอย่างฉับพลัน

 

เห็นแค่เพียงฝั่งตรงข้าม เจ็ดผู้คุมนรกต่างกำลังปรบมือให้เขาเพื่อแสดงความยินดี

 

“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าตัวตนดั่งเช่นเจ้าจะปรากฏขึ้นในเผ่ามนุษย์” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“ข้า-ไม่มี-อะไร-จะพูด-ขอตัว-ลงจาก-เรือ-ก่อนละ” ยักษ์ใหญ่กล่าวอย่างช้าๆ

 

ตนแล้วตนเล่าเดินผ่านร่างของกู่ฉิงซานไป และพากันกระโดดลงจากดาดฟ้าเรือ

 

แต่พอมาถึงตาของอาชูร่าหญิง จู่ๆฝีเท้าของเธอก็หยุดชะงักลงข้างกายของกู่ฉิงซาน

 

“มีอะไรหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“น้ำทะเล … มันเย็นเกินไปน่ะ” ชูร่าหญิงมองเขาและเอ่ยอย่างเงียบๆ

 

“แต่เจ้าเป็นอาชูร่านะ นี่เจ้ากลัวน้ำทะเลอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานหัวเราะ

 

ชูร่าหญิงค่อยๆเผยอปากออกอย่างช้าๆ แลบลิ้นออกมา โลมเลียไปรอบริมฝีปากตนอย่างแผ่วเบา

 

“อันที่จริงแล้วข้าไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก แต่หากเจ้าจะให้ข้ายอมลงไป ก็ต้องแลกเปลี่ยนโดยการทำให้กายข้ารู้สึกอบอุ่นเสียก่อน”

 

เธอเอ่ยออกมาด้วยเสียงหวาน

 

“ต้องขออภัยจริงๆ พอดีว่าข้ามีคนรักอยู่แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“งั้นหรือ? ช่างน่าเสียดายจริงๆ เช่นนั้นเอาเป็นว่าพวกเราค่อยมาประลองกันอีกในภายหลังได้หรือไม่?”

 

“หากเป็นเรื่องนั้นย่อมไม่ปฏิเสธ”

 

ชูร่าหญิงพยักหน้า และเดินไปที่ขอบดาดฟ้าเรือด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะกระโจนลง

 

ขณะนี้บนเรือใหญ่ หลงเหลือแค่กู่ฉิงซานเพียงลำพัง

 

ไม้เท้าแห่งการจองจำลดระดับลงมา ลอยอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานลังเลที่จะยื่นมือออกไป เขาเอ่ยถาม “เหตุใดมันจึงไม่พูด?”

 

ฉานนู่ชี้แจง “จิตอาร์ติแฟคของมันถูกสังหารลงโดยทวยเทพตั้งแต่ยุคโบราณ ดังนั้นมันจึงต้องปฏิบัติตามกฏที่ถูกกำหนดไว้โดยราชาภูติ”

 

“ ‘เลือกเฟ้นหาราชาภูติ , เอ่ยคำประกาสิทธิ์สั่งการนรกทั้ง 18 ขุม นี่แหละคือกฏของมัน’”

 

ความตึงเครียดในจิตใจของกู่ฉิงซานค่อยคลายลง

 

เขาเอื้อมมือออกไปจับไม้เท้าแห่งการจองจำ

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงตัวอักษรเด้งเตือนออกมาทันใด

 

“คุณได้รับหนึ่งในสามสิ่งประดิษฐ์เทวะ : ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ”

 

“คุณได้กลายเป็นเจ้าของไม้เท้าแห่งการจองจำ”

 

“คุณได้กลายเป็นราชาภูติผู้คุมนรก”

 

“นับตั้งแต่ช่วงเวลานี้ไป คนตายทั้งหมดจากนรกทั้ง 18 ขุม จักต้องก้มหัวด้วยความภักดีให้แก่คุณ!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.411 – เฝ้ารอคอยกว่า 10000 ปี

 

ชายชุดดำที่ชื่อหลานถอนหายใจ “เป็นชิงหยินเองที่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีร่างเงาของเทพที่แท้จริงเก็บรักษาเอาไว้ นั่นคือสาเหตุที่เธอต้องจบลงแบบนั้น”

 

“ตั้งแต่เมื่อ 10000 ปีก่อนเชียวหรือ … ท่านควรจะช่วยเธอ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ข้ากำลังทำอยู่ แต่มันยังไม่ประสบความสำเร็จ”

 

สีหน้าของหลานแลดูเศร้าสร้อย

 

“ไพ่ขอความช่วยเหลือทั้งสามนี้ ล้วนมาพร้อมกับปัญหาของชิงหยินที่จะต้องแก้ไข”

 

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”

 

“เพราะเธอเชื่อว่ามีเพียงการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เท่านั้น จึงจะมีโอกาสที่จะช่วยชีวิตเธอได้”

 

กู่ฉิงซานขบคิดและกล่าวว่า “แต่มันก็ตั้ง 10000 ปีมาแล้ว ท่านน่าจะแก้ไขปัญหาของไพ่ทั้งสามนี้ได้ตั้งนานแล้วสิ”

 

“หากให้ข้าเป็นผู้แก้ไขมันด้วยตัวเองน่ะ มันก็จะไร้ประโยชน์”

 

“ทำไมกัน? ท่านมิใช่ผู้ใช้ไพ่หรอกหรือ?”

 

“เรื่องมันยาวน่ะ”

 

“และหูข้าจะเป็นเกียรติอย่างยิ่งหากได้รับฟัง”

 

หลานชี้แจงอย่างจริงจัง “ก็โลกของพวกเจ้าน่ะ มันเป็นอะไรที่หาได้ยากยิ่งในหกวิถีแห่งสังสารวัฏ”

 

“ในทุกๆโครงสร้างของโลกทั้งหมด ในแต่ละหกโลก … ล้วนมีความเป็นเอกลักษณ์ พวกมันล้วนอยู่ภายใต้ทัณฑ์โกลาหล แต่ก็มีความมั่นคง มีเสถียรภาพเป็นอย่างมาก”

 

“สรุปง่ายๆว่าทั้งหกโลกของพวกเจ้าน่ะได้ก่อร่างห่วงโซ่ที่สมบูรณ์แบบขึ้น พร้อมกับอุปสรรคกีดขวางทางธรรมชาติที่ทรงพลังที่สุดและนั่นคือการปกป้องจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์”

 

“แล้วเจ้าสิ่งนี้มีผลกระทบต่อการที่ท่านจะช่วยชีวิตคนอย่างไร?”

 

“ก็ข้าน่ะเป็นคนจากภายนอกโลกทั้งหกอย่างไรเล่า ดังนั้น พริบตาที่ข้าออกไปปรากฏตัวขึ้นในอาณาจักรสววรค์ เหล่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพก็จะรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของข้าทันที”

 

“พวกมันจะใช้จิตวิญญาณของชิงหยินข่มขู่ข้าให้ทำสิ่งต่างๆแก่พวกมัน ขณะที่ชิงหยินจะไม่ถูกช่วยเหลือ”

 

“ท่านไม่สามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างงั้นหรือ?”

 

“หากต่อสู้ตรงๆกับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพข้าเองก็ไม่แน่ใจถึงผลลัพธ์หเมือนกัน นับประสาอะไรกับการที่พวกมันมีจิตวิญญาณของชิงหยินอยู่ในมือ”

 

“มีจิตวิญญาณอยู่ในมือ? ท่านกำลังจะกล่าวว่าจิตวิญญาณของนางยังไม่ดับสูญ?”

 

“ใช่ พวกมันไม่กล้าที่จะจัดการกับจิตวิญญาณของนาง เพราะหากทำเช่นนั้น ชิงหยินจะต้องพังทลายและเกิดการระเบิดแผดเผาทำลายล้างขึ้นอย่างแน่นอน”

 

“ที่ว่านั่นหมายความว่ายังไง?”

 

“ก็ชิงหยินน่ะเป็นผู้ใช้ไพ่ที่ทรงพลานุภาพ ไม่เพียงจะทรงพลังมหาศาลในก่อนที่นางจะตาย แต่นางจะร้ายกาจยิ่งกว่าเมื่อยามที่นางสิ้นใจลง – นางได้เปิดจิตวิญญาณของตัวเองเพื่อสร้างคำสั่งพิเศษบางอย่างขึ้นมา”

 

“และเหล่าเทพสวรรค์ก็หวาดกลัวสถานการณ์ที่ว่านั่น พวกเขาจึงทำได้เพียงผนึกเธอเท่านั้น”

 

“กล่าวคือ นางได้สร้างสถานการณ์ที่ส่งผลให้ไม่มีใครสามารถทำลายได้ให้กับตนเอง”

 

ชายชุดดำถอนหายใจ “ข้าได้คำนวณสถานกาณ์ทั้งหมดนี้มาแล้วเป็นสิบๆล้านครั้ง แต่ก็ยังไม่ค้นพบวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์นี้เลย”

 

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าวว่า “ข้าต้องขออภัยจริงๆ ยังมีหลายอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ – ที่ท่านเรียกว่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพนั้นมันคือสิ่งใดกัน?”

 

“ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพก็คือลูกหลานของเทพวิญญาณ”

 

“เนิ่นนานมาแล้ว เทพวิญญาณทั้งหมดไม่ตายจากก็หายสาบสูญไป หลงเหลือเพียงลูกหลานของพวกเขาที่ยังมีชีวิตอยู่”

 

“ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพเหล่านี้จะเป็นมืออาชีพตั้งแต่กำเนิด เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้เติบใหญ่ สกิลเทวะก็จะถูกปลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพยังมีสิ่งประดิษฐ์เทวะและความมั่งคั่งมากมายที่เทพวิญญาณได้เหลือทิ้งเอาไว้ให้พวกเขา”

 

“นั่นฟังดูยากที่จะรับมือจริงๆ”

 

“ใช่ พวกเขาน่าสะพรึงกลัวยิ่ง กระทั่งผู้ใช้ไพ่อย่างชิงหยิน ที่มีความรู้ความเข้าใจในสกิลเทวะอย่างถ่องแท้ ก็ยังต้องติดอยู่ภายใต้ ‘ตัดขาดเวลา’ ที่เทพวิญญาณจากยุคโบราณได้เหลือทิ้งเอาไว้”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “เช่นนั้น นับตั้งแต่เมื่อหมื่นปีที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าผู้ที่คอยควบคุมปรภพก็คือผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ? กระทั่งอาณาจักรสวรรค์ ก็ยังเป็นผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพที่กำลังปกครองอยู่ ใช่หรือไม่?”

 

“ใช่”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพทรงพลังยิ่ง หากต้องการจะช่วยเหลือจิตวิญญาณออกจากเงื้อมมือของพวกเขา มันย่อมเป็นเรื่องยากอย่างแท้จริง”

 

“ใช่ ดังนั้นทุกอย่างที่ข้าพอจะทำได้ในแต่ละวันก็คือเฝ้ารอให้คำพยากรณ์แง้มข้อมูลบางอย่างออกมา เปิดเผยมันแก่ข้า” หลานถอนหายใจออกมา

 

“ข้าขอเดาว่า–ท่านคงต้องการให้ข้าทำอะไรบางอย่างสินะ?” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ชายชุดดำยิ้ม

 

เขาเปิดขวดสุราด้วยตนเอง และเติมมันให้แก่กู่ฉิงซาน

 

“ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพมีความระแวดระวังผู้คนจากโลกภายนอกมาก แต่พวกเขากลับเลิ่นล่อต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวลภายในหกโลก”

 

“จิตวิญญาณของชิงหยินถูกผนึกโดยพวกเขาไว้ในอาณาจักรสวรรค์ และมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือนางได้”

 

“หากอิงตามที่ท่านอธิบายถึงผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ ความแข็งแกร่งของข้านับว่าน้อยยิ่ง คงมิแกร่งพอที่จะทำภารกิจนี้ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ชายชุดดำ “เจ้ามิต้องทำสิ่งใดเป็นพิเศษเลย ข้าก็แค่มาแจ้งเตือนล่วงหน้า เพื่อให้เจ้าทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

“ท่านกำลังหมายถึงอะไร?”

 

“ข้าได้ใช้ไพ่พยากรณ์เพื่อพยากรณ์หาวิธีแก้ไขปัญหานี้มาเนิ่นนานแล้วตั้งแต่เมื่อ 9500 ปีก่อน มันบอกข้าว่าจนกระทั่งถึงขณะนี้ โอกาสที่จะช่วยเหลือชิงหยินได้น่ะ มีน้อยนิดยิ่ง”

 

เขาหยิบเอาไพ่ทั้งหมดที่ตนมีออกมาวางเรียงๆกันบนโต๊ะบาร์

 

มีทั้งสิ้น 54 ไพ่

 

ขณะที่ด้านหลังของไพ่เหล่านี้ มีลวดลายและรูปแบบพื้นหลังที่สม่ำเสมอกัน

 

มันคือรูปของแสงศักดิ์สิทธิ์ที่หมุนวนรอบทูตสวรรค์ที่กำลังปิดตาลงและประกบสองมือสวดอ้อนวอนอธิษฐาน

 

“ไพ่สำรับนี้ ถูกสร้างขึ้นตามความปรารถนาของผู้ใช้ไพ่”

 

“สำรับไพ่ของข้าน่ะค่อนข้างพิเศษ ข้าไม่สามารถยกเลิกหรือจัดเรียงมันใหม่ได้ ข้าเลยจำต้องแบ่งจิตวิญญาณออกมา เพื่อที่จะใช้จิตวิญญาณที่สองที่แบ่งออก สร้างสำรับไพ่ใหม่”

 

“มันฟังดูยากเย็นจัง”

 

“และข้าก็ริเริ่มทำมันมาตั้งแต่เมื่อ 9000 ปีก่อน ช่วงเวลาที่ยาวนานนั้น ข้าค่อยๆสร้างสำรับไพ่ใหม่ขึ้นมาทีละน้อย ทีละน้อย”

 

ชายชุดดำชี้ไปที่ไพ่และกล่าวว่า “ชุดไพ่เหล่านี้ ทั้งหมดถูกใช้เพื่อช่วยเหลือชิงหยิน”

 

กู่ฉิซานมองไปที่ไพ่ทูตสวรรค์ทั้ง 54 ใบ แล้วเอ่ยถาม “ไพ่เหล่านี้ ทั้งหมดจะถูกนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือนางงั้นหรอ?”

 

“ใช่ มันคือ 36 ไพ่ไถ่บาป , 16 ไพ่ต่อสู้  , หนึ่งไพ่พยากรณ์ และหนึ่งไพ่ระบุตำแหน่งมิติและเวลา”

 

“แยกวิญญาณ … ” กู่ฉิงซานงึมงำ ลังเลที่จะกล่าว “การกระทำเช่นนั้น ดูเหมือนจะเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะทานทนไหว แถมยังส่งผลกระทบต่อกฏเกณฑ์แห่งจิตวิญญาณอีกด้วย”

 

“ใช่ นับตั้งแต่ 9000 ปีก่อน ข้าก็ได้รับความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดโดยอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณทุกวี่วัน”

 

ทว่าภายในแววตาของหลานกลับเผยให้เห็นถึงความมั่นคงและแน่วแน่ “แต่ยังไงก็ตาม ข้าก็จะต้องช่วยนางให้จงได้!”

 

กู่ฉิงซานขบคิดอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะยกแก้วขึ้น

 

“แยกจิตวิญญาณ และเฝ้ารอมายาวนานกว่า 10000 ปี ข้าชื่นชมในตัวท่านอย่างแท้จริง” เขากล่าว

 

หลานเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาก็ยกแก้วขึ้น

 

ทั้งสองชนแก้วกัน

 

“ส่วนข้า หากจะให้กล่าวถึงความปรารถนา ก็คงจะไม่พ้นการกลายเป็นราชาภูติและช่วยเหลือโลกมนุษย์” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“และข้าก็เห็นด้วยกับสิ่งนั้น หลังจากที่เจ้าออกจากห้องลับนี้ เจ้าก็จงไปทำในสิ่งที่เจ้าต้องการจะทำเถอะ”

 

“แล้วเรื่องเกี่ยวกับการช่วยเหลือของท่านล่ะ?”

 

“อาณาจักรสววรค์มีกฏเกณฑ์หลากประเภทที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งอยู่ ข้าจะต้องหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เฝ้ารอจนกระทั่งโอกาสเล็กๆน้อยๆที่กำลังจะปรากฏขึ้นในเร็วๆนี้”

 

“ที่กำลังจะบอกก็คือ ให้ข้าออกไปทำหน้าที่ของตนเองเสียสินะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ใช่ ตามคำพยากรณ์ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้าจะนำโอกาสนั่นมาให้แก่ข้า – และข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้ารอช่วงเวลานั้น”

 

“ท่านจะสามารถหาข้าเจอได้ตลอดเวลาหรือไม่?”

 

หลานจั่วไพ่สามใบออกจากอ้อมแขนของเขาและวางมันลงบนโต๊ะ

 

ไพ่นายพลภูติ , ไพ่กษัตริย์อาชูร่า , ไพ่ไม้เท้าแห่งการจองจำ

 

“นายพลภูติยินดีที่จะต่อสู้ , กษัตริย์อาชูร่ามีคำมั่นสัญญาเดิมแห่งกองทัพพันธมิตร ส่วนไม้เท้าแห่งการจองจำก็เช่นเดียวกัน แม้จิตอาร์ติแฟคของมันจะตายไปแล้ว แต่ชิงหยินก็ได้เปลี่ยนพลังในการควบคุมมันให้อยู่ในรูปแบบของไพ่”

 

“จงรับไพ่ขอความช่วยเหลือทั้งสามใบนี้ไปซะ และจงรับรู้ไว้ด้วยว่า ไพ่สองใบแรก กำลังเฝ้ารอคอยโอกาสสำแดงเดชของตนเองอยู่”

 

“ยังไงก็ตาม ไพ่ไม้เท้าแห่งการจองจำใบนี้ คือรางวัลแด่เจ้า”

 

หลานได้เคาะเบาๆลงบนไม้เท้าแห่งการจองจำ

 

ไพ่ได้กลายเป็นจุดแสงสว่างไสว และกระจายเข้าไปในร่างกายของกู่ฉิงซาน

 

“รางวัลของเจ้าได้ถูกมอบให้ล่วงหน้าแล้ว นับจากนี้ไป ไม้เท้าแห่งการจองจำจะเป็นของเจ้า”

 

“ข้าพอใจกับรางวัลนี้เป็นอย่างยิ่ง” กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าว

 

“ยังไงก็ตาม คนที่พ่ายแพ้การแข่งขันท้าทายในครั้งนี้ จะถูกลบความทรงจำในความฝันของข้า ฉะนั้น เจ้าจะต้องต่อสู้กับพวกเขาเพื่อปกปิดการพบปะกันระหว่างข้ากับเจ้า”

 

“ก็ถ้าขอแบบนั้นมา ย่อมจะจัดให้”

 

กู่ฉิงซานหงายคอไปข้างหลัง กระดกเหล้าในแก้วรวดเดียวจนหมด

 

“ขอบคุณสำหรับสุราดี” เขากล่าว

 

“ด้วยความยินดี และขอให้เจ้าโชคดี” หลานตอบกลับ

 

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง และข้าก็หวังว่าท่านกับข้าจะโชคดีเช่นกัน”

 

กู่ฉิงซานวางแก้วเหล้าลง ผุดลุกขึ้น และก้าวเดินออกจากบาร์ไป

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.410 – ตัดขาดเวลา

 

เมื่อหญิงสาวได้จั่วไพ่พยากรณ์โชคชะตาออกมา

 

ชายชราชุดคลุมแดงก็เริ่มเคลื่อนไหว

 

เขาก้าวไปข้างหน้าและกดมือวางลงบนลวดลายบางส่วนที่สลักอยู่บนพื้น

 

พริบตานั้นบังเกิดรังสีแสงสาดออกมาจากลวดลาย และว่ายผ่านไปตามพื้นอย่างรวดเร็ว

 

เกือบจะในทันที ทุกลวดลายที่สลักอยู่บนพื้นก็พลันสว่างไปด้วยแสงไสว

 

หลังจากนั้น หญิงสาวก็เห็นศพตัวเองอยู่ภายในไพ่

 

ตลอดทั้งห้องโถงเริ่มสั่นสะเทือน

 

แสงส่องไสวเดือดพล่าน พวกมันไหลย้อนกลับ ผ่านทุกผู้คนไป

 

แสงไสวว่ายย้อนกลับไปรวมตัวกันใจกลางห้องโถง และเริ่มก่อรูปเป็นร่างเงารูปแบบหนึ่ง

 

มันเป็นร่างเงาที่บางเบาของชายที่มีปีกคู่หนึ่ง

 

แม้ชายคนดังกล่าวจะเพียงยืนอยู่ที่นั่น แต่เขากลับสามารถระเบิดพลังอันใหญ่ยิ่งออกมา จนทุกคนในห้องโถงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว

 

“ท่านบรรพชน เร่งใช้สกิลเทวะ เอาชีวิตของคนพวกนี้เร็วเข้า!” ชายชราชุดคลุมแดงเร่งเร้าอย่างกระวนกระวาย

 

ร่างเงาบางเบาพยักหน้า และค่อยๆเผยอปากเล็กน้อย

 

ทันใดนนั้นเอง ทั่วทั้งห้องโถงก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยกระแสลมแรงกระพือว่อน

 

“เทพสวรรค์!”

 

“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?”

 

“เจ้าจะกำจัดพวกเราไปด้วยอย่างงั้นหรือ? บัดซบ! เจ้าทรยศต่อพันธสัญญา!”

 

“สารเลวหลอกลวง!”

 

ผู้นำของสี่กองทัพพันธมิตรต่างอุทานด้วยความโกรธ

 

ทว่าพวกเขากลับไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะยกมือขึ้น ตลอดทั้งเนื้อทั้งตัวเริ่มที่จะดับสูญไป

 

ในไม่ช้า ผู้นำพันธมิตรเหล่านี้ก็กลายเป็นโครงกระดูกที่มีรูปทรงแตกต่างกันออกไปและร่วงตกลงกับพื้น

 

ขณะที่ทางด้านหญิงสาว เธอเหวี่ยงไพ่สองใบออกไปอย่างทันท่วงที พวกมันเปลี่ยนเป็นกระแสแสงทั้งน้ำเงินและแดง หลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นโล่ยักษ์ ปกปักษ์กายเธอและเบื้องหน้าไปพร้อมๆกัน

 

ลมแรงพัดกระทบกับโล่ บังเกิดเสียงหนักทึบเล็กน้อย ฟังแลคล้ายเป็นการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างโลหะ

 

ตลอดทั้งห้องโถง บัดนี้เหลือเพียงชายชราชุดคลุมแดงและหญิงสาวเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่

 

บนใบหน้าของหญิงสาวเผยถึงความประหลาดใจ เธออุทานออกมา “นั่นมันเทพวิญญาณที่แท้จริง! แต่ดูเหมือนว่ามันจะใช้พลังอำนาจได้แค่เพียงเฉพาะในห้องโถงเท่านั้น งั้นตราบใดที่ข้าออกจากที่นี่-”

 

เธอจั่วไพ่ออกมาอย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่ในเวลาเดียวกัน ชายร่างบางก็ดูดพลังจากเหล่าผู้นำพันธมิตรมาได้เพียงพอแล้ว!

 

พริบตานั้นทุกสิ่งพลันล่มสลาย แตกกระจายเป็นจุดแสงดาว

 

และทุกจุดของแสงดาว ทั้งหมดล้วนหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ

 

หญิงสาวคว้าไพ่ในมือ และกำลังจะเหวี่ยงมันในเสี้ยววินาทีถัดไป

 

ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง ราวกับเธอตกอยู่ในสภาวะเร่งรีบและไม่อยากจะเชื่อ

 

เธอหยุดนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนเช่นเดียวกันกับเหล่าจุดแสงดาว

 

ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางสีหน้า หรือการเคลื่อนไหวของเธอ ทั้งหมดล้วนหยุดนิ่ง

 

ทุกสิ่งอย่างตลอดทั้งห้องโถง แน่นิ่งไม่ไหวติง

 

มีเพียงชายชราในชุดคลุมแดงเท่านั้นที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้

 

ชายชราในชุดคลุมแดงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเขา ถอนบรรเทาลมหายใจออกมา

 

เขาก้าวเข้าไปหาหญิงสาวและดูไพ่ในมือของฝ่ายตรงข้าม

 

ไพ่ใบนั้นเกือบจะหลุดออกจากมือของหญิงสาวอยู่รอมร่อแล้ว

 

“อันตราย อันตรายจริงๆ แต่นับว่าโชคยังดีที่ในที่สุดก็แผนนี้ก็ประสบผลสำเร็จ”

 

บนหน้าของชายชราได้เผยถึงคำใบ้ของความหวาดกลัว

 

เขาเตะตัดขาหญิงสาวจนทั้งคนทั้งร่างของเธอล้มลง และเรียกขวานสองคม ออกมา

 

“เพียงเท่านี้ ปัญหาของโลกทั้งสี่ก็จะถูกแก้ไขเสียที”

 

“ผู้ที่จะปกครองทั้งหกโลก สมควรที่จะเป็นข้าแต่เพียงผู้เดียว มิใช่ตัวน่ารำคานอย่างเจ้า!”

.

เขายกขวานสองคมขึ้น และฟันฉับ! ตัดลงบนคอของหญิงสาว

 

แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะถูกตัดหัว และระยะของคมขวานห่างจากลำคอไม่ถึงหนึ่งนิ้ว เวลานั้นเอง ก็บังเกิดเสียงดังขึ้นทันใด

 

เคร้ง!

 

มันคือเสียงที่เกิดจากดาบยาวที่มีใบดาบเรียวบาง

 

ช่วงเวลาที่ดาบปรากฏกายขึ้น มันก็ได้สกัดขวานหินของชายชราชุดแดงเอาไว้

 

“นี่มันเป็นไปไม่ได้!” ชายชราในชุดคลุมแดงอุทานออกมา

 

ในพริบตาต่อไป

 

ขณะที่ชายชราชุดแดงกำลังจะโบกอาวุธขวานสองคมของเขาเข้าสู้ต่อไป

 

ทว่ารังสีดาบที่พลุ่งพล่าน ดันระเบิดออกมาจากตัวดาบเสียก่อน

 

รังสีดาบเหล่านี้กวาดออกไปเป็นแนวนอน เปรียบเสมือนดั่งกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากที่ไหลผ่านทั้งสวรรค์และโลก ทำลายล้างทุกสิ่งอย่าง กระทั่งตัวอาคารที่อยู่เบื้องหน้า

 

รังสีดาบอันกว้างใหญ่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ชายชราในชุดคลุมแดงได้ถูกกระแสรังสีท่วมใส่ และจมหายไปไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว

 

อาคารเบื้องหน้าทั้งหมดได้ถูกกวาดหายไปโดยรังสีดาบโดยสมบูรณ์ เหลือทิ้งไว้เพียงเถ้าควันที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ

 

เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!

 

มันคือสกิลดาบของกู่ฉิงซาน และฉานนู่เป็นผู้ใช้มันออกมา

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ

 

หญิงสาวในฐานะราชาภูติยืนขึ้น อย่างไรก็ตาม เธอกลับมิได้มองไปยังดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

แต่เธอกำลังมองดูไม้เท้าแห่งการจองจำ ด้วยสีหน้าที่เริ่มฉงนมากขึ้น

 

การแสดงออกของเธอ ราวกับว่าได้เห็นถึงฉากที่ไม่อยากจะเชื่อ

 

“หลังจากที่ผ่านพ้นมากว่า 10000 ปี ในที่สุดแสงแห่งความหวังก็ปรากฏ …”

 

หญิงสาวพึมพำ และทนไม่ไหวต้องยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลริน

 

ไพ่ในหนังสือลอยออกมา และถูกคว้าจับไว้ในมือเธอ

 

เธอวางไพ่ใบนั้นลงบนไม้เท้าแห่งการจองจำ และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขจัดพันธนาการ”

 

ทันใดนั้นภาพทั้งหมด แม้กระทั่งหญิงสาวก็หายไป

 

กู่ฉิงซานได้รับการปลดปล่อย สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในที่สุด

 

ขณะเดียวกัน ไม้เท้าแห่งการจองจำก็ลอยออกมาจากตัวเขา และหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ

 

บังเกิดระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นในอากาศ

 

ระลอกคลื่นเหล่านี้รายล้อมรอบไม้เท้าแห่งการจองจำ และค่อยๆปรากฏเป็นกรอบของไพ่

 

ภาพไพ่ไม้เท้าแห่งการจองจำยังคงลอยเด่นอยู่กลางเวหา

 

ขณะที่ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา บินกลับไปข้างๆกู่ฉิงซาน

 

ฉานนู่ปรากฏรูปร่างออกมา และหันไปมองรอบๆอย่างระมัดระวัง

 

“เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ชายชราดูเหมืนจะใช้เทคนิคลับบูชายัญ เพื่อเปิดใช้งานสกิลเฉพาะบางอย่าง แต่หลังจากนั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“นั่นคือเทพที่แท้จริง เขาได้สำแดงสกิลเทวะ : ‘ตัดขาดเวลา’ ออกมา” ฉานนู่เอ่ยตอบ

 

“ตัดขาดเวลา?”

 

“ใช่ เทพที่แท้จริงได้แยกช่วงเวลาหนึ่งออกจากกระแสแห่งเวลา ทำให้ช่วงเวลาของสิ่งมีชีวิตในห้องโถงจะไม่สามารถเลื่อนไปข้างหน้า หรือถอยไปข้างหลังได้ กล่าวคือจะเป็นการรักษาสภาพเดิม นิ่งงันไม่อาจเคลื่อนไหวได้”

 

“แล้วต่อจากนั้นล่ะ”

 

“ก็พอขบคิดถึงจุดประสงค์ที่พวกเรามาที่นี่ ข้าก็อดไม่ได้ที่จะลงมือช่วยเหลือราชาภูติน่ะสิ”

 

“ในเมื่อเวลาถูกหยุดนิ่ง แล้วเหตุใดเจ้าจึงยังเคลื่อนไหวได้?”

 

“นายน้อย ท่านลืมไปแล้วหรือ ว่ากฏเกณฑ์ทั้งหลายมิอาจส่งผลกระทบต่อข้าได้”

 

แล้วกู่ฉิงซานก็นึกขึ้นได้ ว่าฉานนู่จริงๆแล้วมีพลังศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘แหกกฏ’ อยู่

 

หากเป็นอย่างนั้นล่ะก็ คงไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่สามารถพันธนาการฉานนู่ได้

 

–พลังศักดิ์สิทธิ์ ‘แหกกฏ’ ช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง

 

“วิเศษจริงๆ โชคดีเหลือเกินที่มีเจ้า บอกตามตรงตัวข้าเองก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะมีคนอื่นใดอีกแล้วที่จะสามารถแก้ไขสถานการณ์เมื่อครู่ได้” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ตัดขาดเวลา

 

พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นระดับเดียวกันกับกฏเกณฑ์แห่งโลกเช่นนั้น กล่าวได้เลยว่าเกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะยับยั้งมัน

 

ฉานนู่หัวเราะ “เป็นเทคนิคดาบของนายน้อยต่างหากเล่าที่วิเศษ แต่ละกระบวนท่าล้วนทรงพลังยิ่ง มิฉะนั้นแล้วหากข้าลงมือเพียงลำพัง ย่อมมิอาจสำแดงพลังได้ถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานเริ่มสนใจ เขาเอ่ยถามออกไปว่า “เช่นนั้นจากในบรรดาเทคนิคดาบของข้า กระบวนท่าใดกันที่เจ้าชมชอบมากที่สุด?”

 

ฉานนู่กล่าวอย่างลังเล “ข้าชอบเจ็ดดารา มังกรแหวกธารา แต่ขณะเดียวกันก็เกรงว่าตัวเองจะสำแดงมันออกมาไม่ดี”

 

“มีสิ่งใดจะต้องกลัวอีกเล่า ในเมื่อเจ้ามีทักษะและประสบการณ์ทั้งหมดของข้า ครั้งต่อไปก็ลองใช้ดูแล้วกันนะ” กู่ฉิงซานปลอบประโลม

 

เขาเงยหน้าขึ้น และมองไปยังไม้เท้าแห่งการจองจำที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า

 

“ไว้ค่อยคุยกัน ข้าขอตัวไปเอามันลงมาก่อน”

 

ว่าแล้วเขาก็กระโดดสูงขึ้นไปคว้าจับไม้เท้า

 

ขณะที่ฉานนู่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม และไม่ได้มองตามเขา

 

ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

 

ความเย็นชาที่ปกติมักจะแขวนอยู่บนใบหน้าของฉานนู่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ และถูกการแสดงออกที่กระตือรือร้นเข้ามาแทนที่

 

ได้ยินเพียงเสียงอันแผ่วเบาของฉานนู่ที่เอ่ยออกมาอย่างลังเล “เจ็ดดาบเพื่อเรียกมังกร แล้วช่วงเวลาที่มังกรทะยาน … คงต้องลองดู ว่ามันจะรู้สึกอย่างไร … ”

 

กลางเวหา กู่ฉิงซานสามารถคว้าจับไพ่ที่ผนึกไม้เท้าแห่งการจองจำไว้ได้ในที่สุด

 

แล้วไพ่ก็เริ่มถูกเปิดใช้งาน ฉากต่างๆโดยรอบได้จางหายไป

 

ในวิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานพร่าเบลอ เจ้าตัวสติหาดห้วงไปชั่วพริบตาหนึ่ง

 

วินาทีต่อมา เขาก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่หน้าบาร์เหมือนในตอนแรก

 

ชายชุดดำกำลังเผชิญหน้ากับเขา และยังคงยกถือไพ่สงครามขนาดใหญ่เอาไว้

 

กู่ฉิงซานถอนมือออกจากไพ่สงคราม

 

“เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว?” เขาเอ่ยถาม

 

“สามวินาที” ชายชุดดำเอ่ยตอบ

 

“สงครามนี้เกิดขึ้นเมื่อใด?”

 

“ 10000 ปีก่อน”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็สูดหายใจลึก

 

“ดูเหมือนว่าข้าจะผ่านแล้วสินะ” เขากล่าว

 

“ใช่ เจ้าได้รับสิทธิ์ที่จะใช้ไม้เท้าแห่งการจองจำ และนางได้อนุญาตเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว”

 

“นาง?”

 

“ก็คนที่เจ้าเอ่ยปากเรียกว่าราชาภูติอย่างไรเล่า”

 

ชายชุดดำไตร่ตรองเล็กน้อยและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าผ่านการทดสอบแล้ว ดังนั้นเจ้าก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ชื่อของเรา”

 

“นางชื่อว่า ‘ชิงหยิน’ ส่วนข้าชื่อว่า ‘หลาน’ ”

 

ชายชุดดำที่ชื่อว่าหลานเอ่ยปากออกมาว่า “หากจะให้ข้าอธิบายล่ะก็ … ชิงหยินน่ะชอบศึกษาในสิ่งที่ไม่รู้จัก ดังนั้นนางจึงได้เลือกเดินทางมายังหกโลกของพวกเจ้า”

 

“อ้อจริงสิ พวกเรารู้จักกันน่ะ เดิมทีแล้วนางกับข้าจะติดต่อกันนานๆครั้ง”

 

“แต่แล้ววันหนึ่ง ข้าก็ได้รับไพ่ขอความช่วยเหลือจากนางถึงสามใบ”

 

“ไพ่ขอความช่วยเหลือ?”

 

“ไพ่นายพลภูติ , ไพ่กษัตริย์อาชูร่า และไพ่ไม้เท้าแห่งการจองจำ”

 

“บางทีเจ้าอาจจะไม่เข้าใจ แต่นี่เป็นเทคนิคอันลึกล้ำที่สุดของผู้ใช้ไพ่ แปลงพันธมิตรที่น่าเชื่อถือได้เป็นไพ่ และส่งมันผ่านมิติที่ว่างเปล่าเพื่อมาแจ้งข่าวให้ข้าทราบ”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.409 – เทพสวรรค์และหญิงสาว

 

กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนหลังช้างยักษ์

 

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาบินกลับมาหาเขา

 

เขาคว้าจับดาบ ขณะเดียวกันก็ยกคทาแห่งกษัตริย์อาชูร่า ชูขึ้นเหนือหัว

 

อาชูร่าทุกตนตลอดทั้งวิสัยทัศน์ต่างจับจ้องเขาด้วยความตื่นเต้น

 

อาชูร่าจำนวนมากอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงและส่งเสียงเฮลั่น

 

ราชาเผ่าทั้งสี่นอนนิ่งอยู่บนพื้น จะยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็ช่างมัน

 

เพราะทั้งสี่ได้ท้าสู้ชิงราชบัลลังก์ แต่สุดท้ายกลับล้มเหลวที่จะโค่นกษัตริย์อาชูร่าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

กษัตริย์ได้พิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของตนอีกครั้ง

 

“ยังมีใครต้องการที่จะท้าทายข้าอีกหรือไม่?”

 

กษัตริย์อาชูร่าตะโกนถาม

 

และเหล่าอาชูร่าทั้งหมดก็หุบปากลงทันที ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ

 

เงียบสนิท

 

กู่ฉิงซานเฝ้ารออยู่ชั่วขณะหนึ่ง จึงพยักหน้าและกล่าวว่า “ดีมาก”

 

สิ้นเสียง เขาก็ค่อยๆลดมือลง และชี้คทาไปยังทิศทางเบื้องหน้า

 

“เช่นนั้นทั้งหมด มุ่งหน้าต่อไปยังเมืองเทวะ”

 

“รับทราบ!”

 

เหล่าอาชูร่าขานรับเสียงดัง

 

แล้วกองทัพก็เริ่มเคลื่อนขบวนอีกครา

 

คราวนี้ไม่มีใครกล้าออกมาขวางทางเขาอีกเลย

 

กองทัพได้ยกพลต่อไปอย่างรวดเร็ว

 

แต่ทันใดนั้นเอง กองทัพอาชูร่าทั้งหมดก็หายไป

 

ช้างยักษ์และคทาแห่งกษัตริย์อาชูร่าก็หายไปเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานพบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่า

 

ขณะที่กษัตริย์อาชูร่าปรากฏตัวขึ้นตรงข้ามเขา

 

กษัตริย์อาชูร่าเอาแต่ก้มหน้าลงและไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอยู่เนิ่นนาน

 

“ข้าสามารถไปเลยได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ

 

“เหตุใดเจ้าจึงคิดที่จะสละราชบัลลังก์?” กษัตริย์อาชูร่าเอ่ยปากออกมาเป็นครั้งแรก

 

“ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ขณะที่ตัวข้านั้นอ่อนแอ ฉะนั้นอันดับแรกเราเลยต้องถอยก่อน เพื่อที่จะได้จัดวางกลยุทธ์”

 

“แต่เจ้าผิดคำพูด เจ้ามิได้สละราชบัลลังก์”

 

“พอพวกเขาทั้งหมดได้ตายลง ก็ไม่มีใครกล้าที่จะขึ้นมาท้าสู้ใหม่ สิ่งที่ข้ากระทำ ส่งผลให้ข้ายังคงได้เป็นกษัตริย์ต่อไป” กู่ฉิงซานกล่าว

 

กษัตริย์อาชูร่าพอได้ฟังก็หัวเราะออกมาทันใด

 

“เป็นข้าที่พลาดเอง มันคือความผิดพลาดของข้า”

 

ขณะกล่าว ร่างเขาก็ค่อยๆจางหายไป

 

อากาศโดยรอบบังเกิดการกระเพื่อมไหว ก่อนจะเริ่มก่อรูปไพ่ทรงสี่เหลี่ยมแห่งกษัตริย์อาชูร่า

 

ไพ่ใบนี้ลอยมาอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน

 

บนหน้าไพ่ เห็นแค่เพียงกษัตริย์อาชูร่ากำลังถือคทาแห่งกษัตริย์ และนั่งอยู่บนหลังช้างเผือกขนาดยักษ์

 

ขณะเดียวกันภายในไพ่ก็มีอาชูร่าในชุดเกราะสี่ตนยืนอยู่

 

อาชูร่าในชุดเกราะก้าวไปตามทิศทางเบื้องหน้าภายใต้คำสั่งของกษัตริย์อาชูร่า

 

ไม่กี่บรรทัดตัวอักษรเล็กๆปรากฏขึ้นในส่วนล่างของไพ่

 

“นักรบที่ทรงพลังที่สุดในอาณาจักรอาชูร่า หนึ่งในสี่ผู้นำของกองทัพพันธมิตร และเป็นสหายที่ดีของราชาภูติ”

 

“เนื่องเพราะในช่วงปลายของสงครามเขาจำต้องต่อกรกับราชาทั้งสี่เผ่า หมดสิ้นแล้วซึ่งเรี่ยวแรง จึงไม่สามารถเร่งรุดไปช่วยราชาภูติที่อยู่ในเมืองเทวะได้ทันการ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่อาจให้อภัยตนเองได้ แปรเปลี่ยนตนเป็นไพ่ และเฝ้ารอมานานกว่า 10000 ปี”

 

“กษัตริย์อาชูร่า ไพ่ศาสตร์มนตราจากสำรับแห่งการแก้แค้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ไพ่ใบนี้ถูกเปิดใช้งาน คำมั่นสาบานที่ทั้งสี่อาณาจักรได้ให้ไว้เมื่อ 10000 ปีก่อน จะก่อร่างพันธนาการขึ้นอีกครั้ง”

 

“คำสาบานของทั้งสี่อาณาจักร : เทพสวรรค์ , ผีร้าย , อาชูร่า และจ้าวอสูร จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่หักหลังกันและกัน ดั่งเช่นที่สี่ผู้นำแต่ละอาณาจักรได้เคยปฏิญาณเอาไว้”

 

เมื่อกู่ฉิงซานอ่านบรรทัดนี้จบ กษัตริย์อาชูร่าก็มองเขาจากภายในไพ่

 

“เจ้าจะต้องทำได้ดีกว่าข้า หากตัวข้าในอดีตเยือกเย็นเหมือนดั่งเช่นเจ้าแล้วล่ะก็ … ”

 

กษัตริย์อาชูร่าถอนหายใจ

 

“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสู่ความฝันถัดไป”

 

“ขอบพระคุณท่าน”

 

กู่ฉิงซานรับเอาไพ่มา

 

ทันใดนั้นอากาศที่ว่างเปล่าก็บังเกิดรอยแตกร้าว กลายเป็นอนุภาคขนาดเล็กนับไม่ถ้วนและหายไปโดยสมบูรณ์

 

กู่ฉิงซานค้นพบว่าตัวเองได้อยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่

 

แสงอันเงียบสงบสาดส่องไปทั่วทุกสถานที่

 

อาคารสูงตระหง่านที่ดูเคร่งขรึม ก่อขึ้นจากอิฐขาวบริสุทธิ์

 

นี่คือห้องโถงที่กว้างขวางและสว่างไสว

 

ขณะที่ใจกลางห้องโถง มีคนมากมายกำลังยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่

 

จ้าวอสูร  , ผีร้าย และผู้ที่สวมใส่ชุดคลุมยาวสีแดง คนๆนี้ดูเหมือนจะเป็นเฉินยี่(ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ)

 

พวกเขาต่างจับจ้องมายังใจกลางห้องโถงอย่างใกล้ชิด .. จ้องมาข้างกู่ฉิงซาน

 

หือ?

 

ทำไมฉันถึงเคลื่อนไหวไม่ได้ล่ะ?

 

แล้วอะไรกันที่อยู่ข้างๆฉัน

 

กู่ฉิงซานรู้สึกฉงน

 

ทว่าเขาเพียงนึกคิด เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นจากข้างกายเขา

 

“ ข้าเพียงต้องการที่จะทำงานวิจัยที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครในนรก ไม่มีความคิดที่จะรุกล้ำผลประโยชน์ของพวกเจ้า ดังนั้น ต่อจากนี้ไปได้โปรดอย่ามายุ่งกับข้าอีก”

 

กู่ฉิงซานไม่สามารถหันหัวเขาไปมองได้เลย ตนจึงปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปตรวจสอบแทน

 

เห็นแค่เพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมแว่นกรอบใหญ่สีดำ และกำลังถือหนังสือในมือของเธอยืนอยู่ข้างๆเขา

 

ผู้หญิงแม้ดูจะบอบบาง ทว่าเธอกลับมีกลิ่นอายที่มิอาจอธิบายได้ มันพรั่งพรูออกมาจนทำให้ทุกคนถูกกดดันแทบทนไม่ไหว

 

และเมื่อครู่คือเสียงพูดของเธอ

 

ตรงกันข้ามกับเธอ คือสามกษัตริย์ที่กำลังนั่งอยู่

 

มีกษัตริย์จ้าวอสูร , กษัตริย์ผีร้าย และชายชราในเสื้อคลุมแดงที่ดูหรูหรางดงาม

 

เห็นได้ชัดว่ากษัตริย์จ้าวอสูรและผีร้าย ที่นั่งอยู่มีชายชราเสื้อคลุมแดงเป็นผู้นำ

 

เมื่อหญิงสาวเอ่ยจบ ทุกคนก็นิ่งเงียบไป ไม่เอ่ยปากกล่าวไปครู่หนึ่ง

 

“เอาล่ะ ต่อจากนี้ไปทุกคนก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบร่วมกัน ลาก่อน”

 

หญิงสาวขยับกรอบแว่น และลุกขึ้นยืน

 

เธอถือหนังสือไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างคว้าจับกู่ฉิงซาน

 

ช้าก่อน!

 

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

 

ในใจของกู่ฉิงซานร่ำร้องอย่างลับๆ

 

แล้วทันทีหลังจากนั้น กู่ฉิงซานก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็นๆของมือเล็กๆ

 

เธอกำลังจับตัวเขา?

 

กู่ฉิงซานรีบกวาดจิตสัมผัสเทวะออกมาสำรวจตนเองอย่างรวดเร็ว

 

ไม้เท้าสีดำ ตรงส่วนหัวฝังกะโหลกเขาแหลม ขณะที่ตามตัวปลดปล่อยหมอกทมิฬอันน่าเกรงขามออกมา

 

ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ!

 

คราวนี้ตัวเขาได้กลายเป็นไม้แท้าแห่งการจองจำ!

 

-งั้นผู้หญิงคนนี้ก็เป็นราชาภูติจากนรกน่ะสิใช่ไหม?

 

คงใช่แล้ว เพราะไม่มีคำอธิบายอื่นใดอีก

 

มีเพียงราชาภูติเท่านั้นที่จะสามารถครอบครองไม้เท้านี้ได้

 

กู่ฉิงซานกลายเป็นโง่งม

 

เมื่อค้นพบถึงความจริงอันน่าอัศจรรย์ใจนี้ สติตนก็ล่องลอยไป มิอาจเรียกกลับคืนได้ชั่วเวลาหนึ่ง

 

หญิงสาวถือเขา และเตรียมที่จะจากไป

 

“ช้าก่อน!”

 

หญิงสาวหันกลับมา และพบว่ามันเป็นเสียงของชายชราชุดคลุมแดง

 

“ยังมีอะไรอีก?” หญิงสาวเอ่ยถาม

 

“เจ้ากล่าวว่ากำลังทำการวิจัยในนรก ข้าต้องการที่จะทราบว่าแท้จริงแล้วเจ้ากำลังศึกษาเรื่องอันใดอยู่?” ชายชราชุดคลุมแดงเอ่ยถาม

 

“โอ้ ดูเจ้าจะเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ”

 

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวให้ความสนใจกับคำถามนี้มาก

 

“จริงๆแล้วข้ากำลังศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของภูเขาล้อมเหล็กน่ะ”

 

“สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของภูเขาล้อมเหล็ก? เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังหลอกลวงผู้ใดกัน! ที่นั่นนอกจากสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอยู่อีกเลย!” ชายชราขึ้นเสียง

 

“อ้อ เจ้าเรียกมันว่าสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลสินะ? ใช่ นั่นแหละ ข้ากำลังศึกษามันอยู่”

 

ชายชรากล่าวเตือน “มันสามารถทำลายล้างได้ทุกสิ่ง เหตุใดเจ้าจึงได้สนใจมัน?”

 

“ในหลากหลายโลก มิได้มีสายลมอันน่าสะพรึงนี้ปรากฏออกมา อีกอย่างข้าก็บังเอิญได้ค้นพบส่วนหนึ่งของบันทึกเกี่ยวกับมันจากเอกสารล้ำค่าอีกด้วย”

 

หญิงสาวพูดด้วยควาวมกระตือรือร้น

 

“ก็อย่างที่บอกไปว่าในหลายๆโลกน่ะมันไม่มีสายลมนี้ แต่ยามเมื่อข้าได้มายังโลกของเจ้า ข้าก็ได้ค้นพบถึงการดำรงอยู่ของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเมื่อค้นพบสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหล อำนาจของมันเกรี้ยวกราดอย่างหาที่ใดเปรียบ จึงเป็นธรรมดาที่ข้าต้องการจะศึกษามัน”

 

ชายชราชุดคลุมแดงจ้องมองหญิงสาว เอ่ยปากกล่าวอย่างลึกซึ้ง “แต่เจ้าไม่คิดหรือว่า หากเจ้าทำสิ่งใดผิดพลั้งไปในระหว่างการศึกษา แล้วสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลเล็ดลอดเข้าสู่โลกปรภพ ยามนั้นกระทั่งทั้งหกโลกก็จะดับสูญลงโดยสายลมนี้”

 

“และพวกเราทุกคนที่นี่ก็จะต้องตาย และไม่มีโอกาสได้กลับมาเกิดใหม่อีกเลย”

 

หญิงสาวพอได้ฟังก็โบกมือ และกล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าได้ทำการวิจัยทดลองมาหลายปีแล้ว และยังคงยึดมั่นในกฏหนึ่งเสมอ”

 

“กฏอันใด?”

 

“ปลอดภัยไว้ก่อน”

 

ขณะกล่าว ราวกับรู้สึกได้ว่าคำพูดของตนมันไม่มีความเชื่อถือมากพอที่จะโน้มน้าวจิตใจอีกฝ่ายได้ ตนจึงเปิดหนังสือและจั่วไพ้ใบหนึ่งออกมาแสดงต่อหน้าผู้คนทั้งหมด

 

บนหน้าไพ่ เป็นภาพของลูกตาขนาดใหญ่

 

หมอกสีขาวลอยฟุ้งและหนาแน่นขึ้นในดวงตาใหญ่ ก่อให้เกิดกระแสหมุนวนอันคมชัด

 

“ดูนี่สิ นี่คือไพ่พยากรณ์แห่งโชคชะตาที่หาได้ยากยิ่ง ในช่วงที่ข้าทำการวิจัย ข้ามักจะเก็บมันไว้ข้างกายเสมอ และมักจะมองมันก่อนเริ่มดำเนินการวิจัยในแต่ละขั้น”

 

“มันสามารถทำนายผลแห่งการกระทำของข้าได้ทุกครั้ง ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”

 

หญิงสาวยิ้มอย่างภาคภูมิ

 

“ข้าสามารถได้รับการแจ้งเตือนจากไพ่นี้ และผ่านพ้นการตรากตรำมานับครั้งไม่ถ้วน”

 

แต่แล้วจู่ๆเธอก็ตื่นตระหนกในฉับพลัน

 

เพราะไพ่ในมือได้สาดม่านแสงมืดหม่นออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

นี่มันเป็นสัญญาณของลางร้าย!

 

หญิงสาวรีบพลิกไพ่อย่างรวดเร็ว เพื่อมองดูสถานการณ์ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับตน

 

บนหน้าไพ่ หมอกสีขาวในดวงตาใหญ่ได้สลายหายไปโดยสิ้นเชิง

 

และมีเพียงศพๆหนึ่งที่ล้มตัวลง นอนแน่นิ่งอยู่ในห้องโถงใหญ่

 

เป็นศพของเธอเอง

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.408 – การต่อสู้ของฉานนู่

 

กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนช้างยักษ์ เขาเบื่อหน่ายแทบตายแล้วตอนนี้

 

เพราะการต่อสู้ระหว่างราชาเผ่าอาชูร่าทั้งสี่เบื้องล่าง มันมิได้ดึงดูดความสนใจจากเขาเลย

 

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาได้รับความทรงจำจากการต่อสู้ทั้งหมดของกษัตริย์ชูร่ามาแล้วก็ได้

 

ในสายตาของกู่ฉิงซาน หากเทียบกับกษัตริย์อาชูร่าแล้ว สภาพของราชาเผ่าทั้งสี่ในตอนนี้ดูจะแย่กว่าเขาเล็กน้อย

 

บางทีมันอาจจะเป็นเพราะที่ต่อสู้อยู่ตรงหน้าล้วนคืออาชูร่า ผู้ซึ่งกระหายเลือดและความรุนแรง!

 

สี่ราชาเผ่าเผ่าได้ทุ่มเต็มที่แล้ว

 

เกรงว่าอีกไม่นาน ผู้ชนะก็จักปรากฏ

 

“นี่มันเป็นปัญหาที่ช่างน่ารำคาญจริงๆ”

 

กู่ฉิงซานพึมพำเสียงกระซิบ

 

แต่แล้วทันใดนั้นดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจู่ๆก็ปรากฏร่างขึ้นข้างกายเขา

 

ตามด้วยเสียงของฉานนู่ที่ดังขึ้น

 

“นายน้อย อีกประเดี๋ยวก็จะถึงทีของท่านสู้แล้วใช่หรือไม่”

 

“ก็อาจจะนะ”

 

“แต่ด้วยสภาพร่างกายเจ้าที่เป็นเช่นนี้ ข้าเกรงว่าคงจะไม่ไหว”

 

“ขอลองพยายามดูก่อนก็แล้วกัน”

 

“มันจะไม่ดีกว่าหรือถ้า … เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องหรอก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเองก็แล้วกัน”

 

“เอ๋?”

 

กู่ฉิงซานถูกดึงดูดด้วยคำเหล่านั้นทันที

 

…..

 

เบื้องหน้าช้างยักษ์

 

บทสรุปของการต่อสู้ชิงราชบัลลังก์ได้จบลง

 

สามคู่แข่งนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น

 

หนึ่งตกตาย หนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่อีกหนึ่งสิ้นสติ

 

คนเดียวที่ยังยืนหยัดอยู่ได้คือราชาเผ่าลั่วซุ่ย

 

เหมือนดั่งที่เคยเปล่งวาจามั่นอกมั่นใจ เพราะเขาคือผู้ชนะคนสุดท้ายจริงๆ

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

เห็นแค่เพียงร่างของราชาเผ่าลั่วซุ่ยที่อาบไปด้วยเลือด และกำลังพยายามพยุงกายตนเองโดยใช้ดาบค้ำยันเอาไว้

 

เขาก้าวไปข้างหน้า ตรงไปยังคทาแห่งกษัตริย์อาชูร่าเพื่อหมายจะคว้าจับมัน

 

เหล่าอาชูร่าเผ่าลั่วซุ่ยต่างระเบิดเสียงโห่ร้องออกมา

 

กู่ฉิงซานโบกมือ

 

แล้วคทาแห่งกษัตริย์อาชูร่าก็ลอยกลับคืนมายังช้างยักษ์

 

“เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ราชาเผ่าลั่วซุยเอ่ยถามเสียงแข็ง

 

กู่ฉิงซานวางคทาแห่งอาชูร่าลงบนหลังช้าง

 

เขาเอียงคอและหักมันไปมา

 

“ตามกฏของเผ่า ข้าจักต้องเป็นผู้ส่งมอบคทาต่อด้วยตนเอง”

 

“เช่นนั้นเจ้าก็จงเอามันลงมาให้ข้าเสีย!” ราชาเผ่าลั่วซุ่ยตะโกน

 

กู่ฉิงซานยิ้ม

 

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาผุดออกมาจากความว่างเปล่าและถูกคว้าจับโดยเขา

 

เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ

 

“เจ้าก็ขึ้นมารับมันไปซี” เขาเอ่ยลอยๆ

 

“แต่ข้าบาดเจ็บหนัก-” ราชาเผ่าลั่วซุยตะโกนออกมา

 

“นั่นสิ เช่นเดียวกันกับข้าเลย” กู่ฉิงซานกล่าวเห็นด้วย

 

ราชาเผ่าลั่วซุ่ยหุบปากลงทันที

 

เขาสาดสายตามองกู่ฉิงซานชนิดหัวชนฝา

 

ไม่คาดหวังเลยว่า แผนที่พวกตนทั้งสี่ได้วางเอาไว้ เพื่อเตรียมที่จะบังคับให้อีกฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลีกทางไปให้พ้นๆ

 

ในท้ายที่สุดแล้วสถานการณ์มันจะกลับกลายเป็นเช่นนี้

 

กองทัพอาชูร่าทั้งหมดยังคงเงียบ

 

ใช่ ราชาเผ่าลั่วซุ่ยน่ะบาดเจ็บหนัก

 

ทว่ากษัตริย์อาชูร่าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน และในจุดนี้คำปฏิญาณสาบานแห่งสวรรค์และโลกก็เป็นพยานได้

 

กล่าวได้ว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ หากจะต่อสู้กันก็นับว่ายุติธรรมแล้ว

 

“ถ้าเจ้าไม่กล้าที่จะขึ้นมารับมัน เช่นนั้นข้าก็จะขอเก็บคทาแห่งกษัตริย์เอาไว้เองก็แล้วกันนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ราชาเผ่าลั่วซุ่ยกัดฟันกรอด

 

หากอิงตามข่าวที่ได้รับมา อีกฝ่ายบาดเจ็บรุนแรงยิ่งกว่าตนมากนัก

 

ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วล่ะก็  จะปล่อยมันไปไม่ได้!

 

ราชาเผ่าลั่วซุ่ยได้ตัดสินใจแล้ว

 

“คทากษัตริย์จะได้รับนายคนใหม่ของมันในวันนี้!”

 

ว่าแล้วเขาก็กระโจนสูงขึ้นไปบนหลังของช้างยักษ์

 

ดาบโค้งถูกวาดออกไป พร้อมด้วยประกายแสงคมกล้าที่เบ่งบาน

 

กู่ฉิงซานมองไปยังประกายคมแสง ทว่ามิได้เคลื่อนกายหลบเลี่ยง

 

ทันใดนั้นดาบขุนเขาก็พรวดออกจากมือของเขา

 

ดาบยาวลอยออกไปปะทะเข้ากับดาบโค้ง

 

ท่าทีของราชาเผ่าลั่วซุ่ยแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง ประกายคมแสงแตกตัวออกในทันใด แปรสภาพเป็นคมสะบั้นต่อเนื่องกว่า 36 ครั้ง!

 

แต่ดาบยาวก็ไม่ยอมน้อยหน้า มันแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา แล้วหวดสวนกลับไป 36 ครั้งเช่นกัน

 

เทคนิคดาบ ตัดสายลม!

 

นี่คือเทคนิคดาบของกู่ฉิงซาน!

 

หากมองในมุมมองสายตาของกู่ฉิงซาน คุณจะสามารถเห็นได้ว่าฉานนู่กำลังถือดาบขุนเขาเทวะหกโลกาฟาดฟันกับราชาเผ่าลั่วซุ่ยอยู่

 

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองสายตาของคนอื่นๆ จะสามารถเห็นได้แค่เพียงดาบยาวที่พุ่งตัดไปมาท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้น มิอาจมองเห็นถึงร่างของฉานนู่ได้

 

“เทคนิคดาบเช่นนี้ มันก็งั้นๆ” ราชาเผ่าลั่วซุ่ยกล่าวหยัน

 

ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนยุทธวิธีอย่างฉับพลัน

 

เปลวไฟลุกโชนขึ้นจากตัวใบดาบโค้ง

 

ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ ส่งผลให้จังหวะการเคลื่อนไหวของราชาเผ่าลั่วซุ่ยหยุดชะงักลงเสี้ยวหนึ่ง

 

และมันก็มิอาจเล็ดลอดดวงตาอันเฉียบคมที่กำลังเปล่งประกายของฉานนู่ไปได้!

 

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาแปรสภาพเป็นรังสีดาบยักษ์สีนวลราวแสงจันทร์ กวาดข้ามออกไปทั่วฟ้า!

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!

 

สีหน้าของราชาเผ่าลั่วซุ่ยแปรเปลี่ยนกลับกลาย เขารีบเหวี่ยงกระบวนท่าดาบโค้งที่ยังไม่สมบูรณ์ออกไปปัดป้อง

 

แต่ใครจะรู้ ว่ารังสีดาบกลับถูกตัดจนแยกออกเป็นครึ่งอย่างง่ายดาย จะหวนกลับมาลอบสังหารเขาอย่างกระทันหัน!

 

ทั้งเนื้อทั้งตัวของราชาเผ่าราวกับถูกโยนตกลงในความสับสน ท่าทีแปรเปลี่ยนไปในฉับพลัน

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

 

‘ข้าสะบั้นกระบวนท่านั้นไปแล้วแท้ๆ’

 

ทั้งๆที่สามารถปัดป้องมันได้ในที่สุด

 

แต่ดาบอีกเล่มหนึ่งกลับปรากฏขึ้น และแทงทะลุเข้าหัวใจจากเบื้องหลังเขา!

 

เทคนิคลับแห่งดาบที่สอง

 

กลืนกินหวนกลับ!

 

นี่คือเทคนิคลอบสังหารแห่งดาบ

 

ฉานนู่ได้ใช้เทคนิคลอบสังหารแห่งดาบของกู่ฉิงซาน!

 

ดวงตาของราชาเผ่าลั่วซุ่ยเบิกกว้าง เขาก้มลงมองดาบที่แทงทะลุหน้าอกตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

 

“นี่มันคือ … เทคนิคดาบ … อันใดกัน .. ”เขาขยับปาก เปล่งวาจาแต่ละคนออกมาอย่างไม่ยินยอม

 

ในความว่างเปล่า เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูเย็นชาก็ดังขึ้น

 

และเสียงนี้ ก็มีเพียงราชาเผ่าลั่วซุ่ยเท่านั้นที่สามารถได้ยินมันได้

 

“ก็เทคนิคดาบที่มีไว้สังหารเจ้าอย่างไรเล่า”

 

พอได้ฟัง รูม่านตาของราชาเผ่าก็หดวูบลงทันที

 

เขาชี้นิ้วไปทางกู่ฉิงซานราวกับต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง

 

อย่างไรก็ตาม พลังชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดกลับเหือดหายออกไปจากกายเขาจนสิ้นเสียแล้ว

 

ราชาเผ่าลั่วซุ่ยล้มลงกับพื้น และสิ้นใจลงไปอย่างสมบูรณ์

 

ดาบขุนเขาลอบกลับมา และตกลงในมือของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองดูรายละเอียดของดาบ

 

ตามตัวของดาบยาวเปล่งประกายสดใสราวกับหยาดน้ำค้าง

 

ขณะที่มีไอเย็นจางๆที่ทำให้รู้สึกสดชื่นแผ่ออกมาจากใบดาบ

 

นี่คือดาบ ‘อมตะ’ , ดาบที่ ‘แหกสิ้นทุกกฏเกณฑ์’ และเป็นดาบที่ ‘ทรงภูมิปัญญา!’

 

หัวในของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนคิดไปถึงฉากเมื่อครู่นี้

 

…..

 

“เจ้าหมายความว่าเจ้าสามารถเผชิญหน้ากับศัตรูได้ด้วยตนเองใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ใช่ ตัวข้าแตกต่างออกไปจากจิตแห่งดาบตนอื่นๆ ข้าสามารถต่อสู้ด้วยตนเองได้อย่างอิสระ” ฉานนู่กล่าว

 

ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่มีผู้ฝึกดาบที่คอยสำแดงเทคนิคดาบ ดาบบินทั่วๆไปจักไม่อาจต่อกรกับศัตรูได้

 

ยกเว้นไว้แต้ว่าหากดาบบินเล่มนั้นมีจิตอาร์ติแฟค จิตแห่งดาบก็จะสามารถใช้ออกด้วยเทคนิคพื้นฐานบางกระบวนท่า ในการกวัดแกว่งต่อกรกับศัตรูได้

 

ก่อนหน้านี้ภายในถ้ำมืด ดาบพิภพเพียงลำพังก็สามารถต่อกรกับเผ่ามารมากมายในถ้ำได้

 

แต่ตอนนี้ ฉานนู่กล่าวว่าตัวเองแตกต่างกับจิตแห่งดาบตนอื่นๆ เธอมีรูปแบบการต่อสู้ที่เป็นอิสระ แตกต่างกันออกไป

 

“แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร?” กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม

 

“ถึงจะกล่าวแบบนั้น แต่ข้าก็ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย”

 

“ช่วยเหลือที่ว่า ใช่ให้ข้าเป็นผู้ควบคุมดาบหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นมิได้หมายความว่าเป็นข้าหรอกหรือที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรู?”

 

“ไม่หรอก อันที่จริงแล้วเป็นข้านี่แหละที่จะออกไปเผชิญกับศัตรู ส่วนเจ้าขอเพียงแค่ทำตามที่ข้าต้องการเท่านั้น-แล้วเจ้าเต็มใจหรือไม่?”

 

“แน่นอนว่าต้องเต็มใจอยู่แล้ว ว่าแต่จะให้ข้าทำอย่างไร?”

 

“ปล่อยสำนึกเทวะของเจ้าออกมา แล้วทำการเชื่อมต่อทะเลแห่งห้วงสติเข้ากับข้า”

 

กู่ฉิงซานทำตามที่อีกฝ่ายเอ่ยขอ

 

แล้วดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็บินเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติของเขาทันที

 

นี่คือความแตกต่างระหว่างนักดาบนิรันดร์กับผู้ฝึกดาบ

 

นักดาบนิรันดร์จะสามารถรับดาบเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติได้

 

เพื่อให้บรรลุเข้าสู่นักดาบนิรันดร์อีกครั้ง กู่ฉิงซานยังเคยได้รับภารกิจที่จำเป็นต้องรับเอาดาบเช่าหยินให้เข้ามาสู่ทะเลแห่งห้วงสติอีกด้วย

 

และในเวลานี้ ดาบที่กำลังเข้าสู่ทะเลแห่งห้วงสติของเขา … คือดาบจากปรภพ!

 

เห็นแค่เพียงในทะเลแห่งห้วงสติ ดาบขุนเขาเทวะหกโลกากลับกลายเป็นแสงสวรรค์เรืองรองหายไป และไม่นานนักก็ค่อยๆกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

 

“เอ๋?” กู่ฉิงซานยกคิ้วขึ้นสูง

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลายบรรทัดข้อความเด้งแจ้งเตือนขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“คุณได้อนุญาตให้ดาบขุนเขาเทวะหกโลหาเชื่อมต่อกับทะเลแห่งห้วงสติของคุณ”

 

“ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาได้รับทักษะและประสบการณ์การต่อสู้ของคุณทั้งหมดแล้ว”

 

“แจ้งเตือน : คุณได้ค้นพบพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา : ทรงปัญญา”

 

“ ‘ทรงปัญญา’ : ด้วยการอนุญาตของคุณ ฉานนู่จะสามารถเรียนรู้ทักษะและประสบการณ์ต่อสู้ทั้งหมดของคุณได้ และเธอจะสามารถใช้ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาเพื่อต่อสู้ให้คุณ หรือต่อสู้เคียงข้างกันกับคุณ”

 

“คำอธิบาย : เมื่อฉานนู่เริ่มใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ เธอจะสามารถเลือกว่าจะซ่อนหรือเปิดเผยร่างของเธอแก่ใครก็ได้”

 

“คำแนะนำจากระบบ : ฉานนู่ครอบครองพลังอำนาจจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งคุณแข็งแกร่งเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งออกมาได้มากขึ้นเท่านั้น – มดแมลงเช่นคุณไม่คิดว่าควรจะรีบแข็งแกร่งให้มันเร็วๆขึ้นสักหน่อยหรือ?”

 

กู่ฉิงซานจ้องมองดูตัวอักษรเหล่านี้

 

โดยไม่รู้ตัว ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็บินออกมาจากทะเลแห่งห้วงสติ และค่อยๆตกลงข้างกายเขาอย่างเงียบๆ

 

“นายน้อย ตอนนี้ข้าพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อท่านแล้วนะ”

 

กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน

 

“ …. ฉานนู่ …”

 

“อะไรหรือนายน้อย?”

 

“พลังอำนาจที่เจ้าครอบครองช่างร้ายกาจเหลือเกิน พวกเทพปรภพได้ทราบถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่?”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.407 – โลกแห่งความฝัน : กษัตริย์อาชูร่า

 

กองทัพนรกนับหลายสิบล้านตราทัพขึ้นไปบนภูเขา

 

เหล่าผีร้ายและจ้าวอสูรที่สูญสิ้นอาวุธไป แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางที่จะตอบโต้

 

เพียงแค่เริ่มบุก กองทัพพันธมิตรก็แตกกระเจิง เริ่มหลบหนีไปคนละทิศละทางทันที

 

“เหล่าผู้เดือดดาลทั้งหลายเอ๋ย จงอย่าให้พวกมันหนีไปได้!” กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว

 

ทันใดนั้นวิญญาณเดือดดาลทั้งแปดที่อยู่เบื้องหลังเขา ก็แยกย้ายกันออกไปไล่ล่า

 

ไม่นานนัก

 

นายพลผีร้ายและนายพลจ้าวอสูรก็ถูกจับ

 

พวกเขาถูกมัดไว้เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

“นี่เจ้า-” นายพลผีร้ายกำลังจะเริ่มร่ำร้องออก

 

แต่กู่ฉิงซานก็วาดดาบของเขาออกไปเสียก่อน

 

พร้อมกับสองหัวที่ร่วงหล่นลงกระทบกับพื้นดิน

 

“เพียงเท่านี้เราก็จะได้สหายที่แท้จริงเพิ่มขึ้นมาอีกสองตนแล้ว”

 

กู่ฉิงซานหันไปกล่าวต่อหน้าฝูงชน

 

และเหล่าทหารมากมายก็ระเบิดเสียงหัวเราะกันออกมา

 

แต่แล้วทันใดนั้นกองทัพคนตายทั้งหมดก็หายวับไป

 

ฉากโดยรอบทั้งหมดได้หายไป

 

โลกทั้งใบหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า

 

ขณะเดียวกับนายพลภูติก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

วิญญาณตนนี้มีรูปร่างหน้าตาเช่นเดียวกันกับตัวกู่ฉิงซานในปัจจุบัน

 

ดูท่าแล้ว มันน่าจะเป็นนายพลภูติตัวจริง

 

ทว่าแม้จะผ่านเลยมาสักพักแล้ว นายพลภูติก็ยังไม่เอ่ยสิ่งใด

 

ดูเหมือนว่าสติอารมณ์ และสภาวะจิตใจของมันค่อนข้างที่จะซับซ้อนในเวลานี้

 

“เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเกมที่พวกเราสามารถชนะอย่างชัดเจน แล้วเพราะเหตุใดกัน เจ้าจึงยังต้องลงมือเกินเลยถึงเพียงนั้นด้วย?” นายพลภูติเอ่ยถาม

 

“สามารถชนะ? สองคำนี้เป็นตัวแทนของความหยิ่งยะโส แต่มันไม่ใช่สำหรับข้า ข้าน่ะระมัดระวังตัวตลอดเวลา”

 

“ระมัดระวัง …” นายพลภูติดูจะกำลังขบคิดอย่างรอบคอบ

 

“ถูกต้อง ชีวิตและความตายทั้งหมดของเหล่าสหายน่ะได้ถูกผูกติดเอาไว้กับข้า ดังนั้นข้าจึงไม่ยินยอมเปิดโอกาสใดๆแก่ศัตรู”

 

“แล้วหลังจากที่เจ้ายึดอาวุธจนสิ้นแล้ว เหตุใดจึงยังสังหารพวกเขาทั้งหมดอีก?”

 

“ในแต่ละโลก ย่อมมีอุบายที่แตกต่างกันออกไป  และหากเราไม่รู้จักมัน เราก็จะตกอยู่ในความหวาดระแวงอันไม่รู้จบ”

 

“เจ้าเกรงว่าพวกเขาจะใช้อุบายที่ไม่รู้จักนั่นกระนั้นหรือ?”

 

“ใช่”

 

นาพลภูตินิ่งงันไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เรื่องนี้มิอาจตำหนิศัตรูได้ แต่เป็นข้าเองที่ประมาทเกินไปอย่างแท้จริง”

 

ว่าจบ ร่างของมันก็ค่อยๆแปรสภาพเป็นไพ่

 

ไพ่ใบนี้ลอยมาอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

เห็นแค่เพียงภายในไพ่ เป็นนายพลภูติที่สวมใส่เกราะรบสีดำ ในมือถือกระบี่ยาว และกำลังเปล่งเสียงคำรามที่ก้องไปถึงสรวงสวรรค์

 

ไม่กี่บรรทัดตัวอักษรเล็กๆปรากฏอยู่ตรงส่วนล่างของไพ่

 

“นายพลภูติ คนตายคนแรกของโลกปรภพ ที่ได้รับเกราะรบเทวะจากราชาภูติ เขาได้ต่อสู้กับกองทัพพันธมิตรของทั้งสี่อาณาจักรและทวยเทพ และไม่เคยพ่ายแพ้”

 

“แต่เนื่องเพราะโดนอุบายของกองทัพพันธมิตร นายพลภูติจึงตกอยู่ภายใต้การปิดล้อมจากทุกด้าน พ่ายแพ้ลงในสงครามครั้งสุดท้าย ล้มเหลวที่จะเร่งตราทัพไปพิทักษ์ราชาภูติ  ฉะนั้นเขาจึงเศร้าเสียใจ และถูกสังหารลงในตอนท้ายของสงคราม”

 

“นายพลภูติ เป็นไพ่อัญเชิญจากสำรับแห่งการแก้แค้น  มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ที่สูงส่งเป็นอันดับต้นๆ”

 

เมื่อกู่ฉิงซานอ่านข้อความบนไพ่ใบนี้ นายพลภูติก็ยกศีรษะขึ้น และจ้องมองเขาจากภายในไพ่

 

“เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นนายพล ดังนั้นข้าจะเป็นคนนำพาเจ้าไปยังโลกแห่งความฝันถัดไปเอง” นายพลภูติกล่าว

 

กู่ฉิงซานรับไพ่มา

 

แต่กลับไม่มีวี่แววของสัญญ-

 

ทันใดนั้นในอากาศที่ว่างเปล่าก็บังเกิดรอยแยก

 

โลกทั้งใบเริ่มสั่นไหว

 

ความว่างเปล่าทั้งหมดถูกฉีกทำลาย  รอยแยกเริ่มเด่นชัด และฉากจากภายนอกก็ปรากฏสู่สายตาของกู่ฉิงซาน

 

เขาค้นพบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนหลังของช้างยักษ์

 

และรายล้อมไปด้วยเหล่าหญิงงามอันหาที่เปรียบมิได้ เหล่าสาวงามทั้งหมดกำลังถืออาวุธในมือ และปกป้องตัวเขาอยู่

 

“แค่ก-”

 

กู่ฉิงซานไม่สามารถฝืนหยุดไอได้เลย

 

แล้วจู่ๆเขาก็พ่นฟองเลือดออกมา

 

หญิงงามในชุดเกราะรบบินกลับขึ้นมาบนหลังช้างยักษ์ และคุกเข่าลงต่อหน้าเขา

 

“องค์กษัตริย์ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หญิงงามเอ่ยถามด้วยความกังวล

 

“ยังไม่ตายหรอก แต่ข้าถึงขั้นได้สู้กับราชาภูติตรงๆเชียวนา บาดเจ็บเพียงเท่านี้นับว่าคุ้มค่าแล้ว”

 

กู่ฉิงซานได้ยินเสียงร่างของเขาพูด

 

หญิงงามพยักหน้า “เกือบจะถึงเมืองเทวะแล้ว องค์กษัตริย์โปรดพักผ่อนต่อไปอีกสักครู่”

 

ว่าจบ เธอก็ก้าวถอยออกไป

 

ในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ได้รับอำนาจในการควบคุมร่างกายนี้ได้ในที่สุด

 

ร่างนี้อ่อนแอมาก แต่ละการเคลื่อนไหวจึงช่างยากลำบากยิ่ง

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นในหูของเขา

 

“เพื่อเป็นรางวัลสำหรับการผ่านโลกแห่งความฝันครั้งก่อน ข้าจะช่วยให้เจ้าได้รับผลประโยชน์บางอย่างก็แล้วกัน”

 

นี่คือเสียงของนายพลภูติ

 

ทันทีที่เสียงของมันหายไป จู่ๆในสมองของกู่ฉิงซานก็พลันพลุ่งพล่าน กระชากไปด้วยภาพฉากนับไม่ด้วยที่กรูกันเข้ามา

 

ฉากเหล่านั้นไหลผ่านมาและผ่านไป ซึ่งทั้งหมดได้ตกอยู่ในจิตสำนึกของกู่ฉิงซาน

 

ความทรงจำ!

 

มันคือความทรงจำ!

 

กู่ฉิงซานเข้าใจแล้ว

 

ว่าร่างกายที่เขาเข้าควบคุม มันได้ส่งผ่านความทรงจำทั้งหมดในการต่อสู้ของเจ้าของร่างเข้ามา

 

ซึ่งนี่มันแตกต่างไปจากในตอนของนายพลภูติก่อนหน้านี้  ความทรงจำที่ได้รับมามันชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

 

ใช่ นี่มันคือความทรงจำจากการต่อสู้ของกษัตริย์อาชูร่าในยุคโบราณ

 

-และความทรงจำเหล่านี้ ก็ล้วนเป็นกระบวนการต่อสู้ทั้งสิ้น

 

นี่คือประสบการณ์และการรับรู้ ความเข้าใจของกษัตริย์อาชูร่า

 

อาชูร่าเป็นเผ่าพันธุ์แห่งการต่อสู้ พวกเขาต่อสู้มาตลอดทั้งชีวิต กระทั่งตัวกษัตริย์อาชูร่าก็ไม่มีข้อยกเว้น

 

แม้ว่าทักษะและวิธีการต่อสู้เหล่านี้จะถูกจำกัดให้ใช้ได้เพียงเผ่าชูร่า แต่ประสบการณ์การต่อสู้ทั้งหมดที่ได้รับมานี้ มันแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากสิ่งที่กู่ฉิงซานเคยได้พบ ได้เห็นมาทั้งชีวิต

 

กู่ฉิงซานราวกับได้เปิดโลกทัศน์อันไกลโพ้น

 

สำหรับกู่ฉิงซานที่ต่อสู้มาโดยตลอดทั้งสองช่วงชีวิต นี่เทียบเท่าได้กับว่าเป็นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ให้แก่เขามากยิ่งขึ้น!

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงและเริ่มที่จะยอมรับความทรงจำนี้

 

แม้จะดูเหมือนว่าเวลาผ่านพ้นไปนาน แต่อันที่จริงแล้วมันผ่านไปเพียงแค่หนึ่งวินาทีเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น และเริ่มที่จะพิจารณาไตร่ตรองถึงการต่อสู้ที่ผ่านมาของเขา

 

ในช่วงขณะนี้ เขาสามารถค้นพบข้อบกพร่องในแต่ละท่วงท่าและช่วงเวลาการต่อสู้ก่อนหน้านี้ของเขาได้อย่างง่ายดาย

 

เดิมทีมาตรฐานในการต่อสู้ของกู่ฉิงซานก็สูงมากอยู่แล้ว และหากต้องการหาข้อผิดพลาดในการต่อสู้เหล่านั้น มันจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

และตัวของกู่ฉิงซานในก่อนหน้านี้ ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้เลย

 

แต่ในตอนนี้ เขาสามารถค้นพบข้อบกพร่องในการเคลื่อนไหวของเขาได้ดั่งพลิกฝ่ามือ

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างลับๆ

 

เขาไม่เคยคาดคิดเลย ว่าการที่ได้เข้าร่วมแข่งขันท้าทายเพื่อชิงตำแหน่งราชาภูติ ตนจะได้รับผลประโยชน์มากมายเช่นนี้

 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นและหันไปมองรอบๆ

 

ทหารนับไม่ถ้วนรายล้อมอยู่รอบช้างยักษ์ คอยอารักขาเขา

 

ขณะที่เบื้องหน้า คือเมืองเทวะของอาณาจักรสวรรค์

 

แต่แล้วช้างยักษ์ก็หยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน

 

พร้อมกับการปรากฏกายของสี่อาชูร่ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าช้างยักษ์

 

พวกเขาขวางทางช้างยักษ์เอาไว้

 

ทันใดนั้นกองทัพอาชูร่าทั้งหมดก็หยุดลง

 

นายพลแห่งกองทัพที่คอยอารักขากษัตริย์ชูร่าได้เดินแหวกฝูงชนออกไป

 

แต่เมื่อเขาและทุกคนพบว่าเป็นสี่อาชูร่าที่กำลังขวางทางอยู่ การแสดงออกของพวกเขาก็ดูผ่อนคลายลง

 

สีหน้าลึกล้ำปรากฏขึ้นเด่นชัดบนใบหน้าของนายพล

 

คนเหล่านี้คือกลุ่มราชาเผ่าทั้งสี่ของอาชูร่า และสถานะของพวกเขาเป็นรองเพียงกษัตริย์อาชูร่าเท่านั้น!

 

“ราชาเผ่าโปซือ ,ราชาเผ่าลั่วเฉียนทั่ว , ราชาเผ่าปิโม่ซือ ,ราชาเผ่าลั่วซุ่ย พวกเจ้ามีเรื่องอะไรอย่างงั้นหรือ?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เจ้าได้พ่ายแพ้ต่อราชาภูติจากนรก สร้างความอับอายแก่เผ่าอาชูร่า ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำของเราอีกต่อไป” ราชาเผ่าลั่วซุ่ย กล่าว

 

“เผ่าอาชูร่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงกษัตริย์แล้ว!”  ราชาเผ่าลั่วเฉียนทั่วเอ่ยเสริม

 

“ถูกต้อง ดังนั้นพวกเราจึงต้องการที่จะท้าสู้กับเจ้าในตอนนี้!” ราชาเผ่าปิโม่ซือกล่าว

 

กู่ฉิงซานมองไปยังอาชูร่าตนสุดท้ายที่ยังเงียบอยู่ ปากเอ่ยถาม “ ราชาเผ่าโปซือ เล่าเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”

 

ราชาเผ่าโปซือ “เจ้าสมควรตาย”

 

กายของกู่ฉิงซานเกือบจะผุดลุกขึ้นด้วยตนเอง

 

นี่คือสัญชาตญาณการต่อสู้ของอาชูร่า!

 

กู่ฉิงซานย้อนคิดไปถึงกระทั่งเทคนิคลับของอาชูร่า ที่จะต้องอาศัยร่างของกษัตริย์ชูร่าเพื่อแสดงออกมา

 

เทคนิคลับนี้จะช่วยให้เขาสามารถเรียกคืนพละกำลังฟื้นคืนได้ทันที เว้นเพียงแต่ว่าการใช้งานมันจะต้องถูกหักอายุขัยก็เท่านั้นเอง

 

แต่ตราบใดที่พละกำลังกายของเขาฟื้นฟูกลับมา กู่ฉิงซานรู้สึกว่าเขาจะสามารถสังหารสี่ราชาเผ่าเบื้องหน้าที่บังอาจมาท้าทายได้อย่างแน่นอน!

 

กู่ฉิงซานพยายามอย่างเต็มที่ ระงับความโกรธในจิตใจลง

 

ข้างหน้าคือเมืองเทวะ

 

ตามความทรงจำแล้ว ราชาภูติได้ทำข้อตกลงเป็นสหายกับกษัตริย์เผ่าอาชูร่า

 

ทั้งสองฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าในยามแรกพบ แต่ทว่าเมื่อได้ต่อสู้กัน ในที่สุดก็กลายเป็นสหายที่ดีต่อกัน

 

ราชาภูติถึงขั้นสอนเทคนิคลับอันน่าสะพรึงให้แก่กษัตริย์ภูติเป็นการส่วนตัวเลยอีกด้วย

 

ฉะนั้นตอนนี้ กษัตริย์อาชูร่าจึงจะเข้าไปในเมืองเทวะ เพื่อเข้าร่วมกับราชาภูติ

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และรีบจัดการแยกแยะเบาะแสทุกอย่าง อย่างรวดเร็ว

 

“ข้ายอมรับการท้าทายของพวกเจ้า” เขากล่าว

 

สีหน้าของสี่ราชาเผ่าดูจะปิติขึ้นมาทันที

 

อาชูร่าจะบ้าสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าคนทั้งเผ่า แล้วกษัตริย์จะไม่กล้ายอมรับการท้าทายได้อย่างไร?

 

แต่ใครจะรู้ กู่ฉิงซานยังกล่าวต่ออีกว่า “ไปที่เมืองเทวะกันเถิด เมื่ออาการบาดเจ็บของข้าฟื้นคืน เราจะมาสู้กัน”

 

ราชาเผ่าทั้งสี่เหลือบมองกันวูบหนึ่ง แต่ยังไม่คิดจะเปิดทาง

 

“นั่นไม่ได้! เพราะตามกฏของเผ่าอาชูร่า พวกเราทั้งสี่มีสิทธิ์ที่จะท้าทายเจ้าได้ตลอดเวลา!” ราชาเผ่าลั่วเฉียนทั่วกล่าว

 

“ใช่ พวกเราจะโค่นเจ้าลงที่นี่” ราชาเผ่าปิโม่ซือเอ่ยสนับสนุน

 

ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานสามารถปรามอารมณ์ตนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

 

บังเกิดร่องรอยแปลกๆขึ้นบนใบหน้าของเขา “พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าข้าได้ไปต่อสู้กับราชาภูติมา?”

 

“อะไร? อย่าบอกเรานะว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถต่อสู้ได้น่ะ” ราชาเผ่าโปซือยิ้มหยัน

 

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นเกาหัว ทันใดนั้นในจิตใจของเขาก็บังเกิดอุบายขึ้นโดยพลัน

 

เขายกมือขึ้นและเริ่มเอ่ยสาบาน “สวรรค์และโลกเป็นพยาน ร่างกายของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ และอาการนี้ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของข้าอย่างยิ่งยวด หากที่เปล่งวาจามานี้มีโป้ปดแม่แต่น้อย ขอสวรรค์และโลกโปรดฟาดผ่าทัณฑ์สายฟ้าลงมาทันที สังหารให้ข้าสิ้นใจด้วยเถิด”

 

บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นว่ายวนรอบตัวเขา

 

สวรรค์และโลกได้รับรู้แล้ว

 

-นี่คือคำปฏิญาณสาบาน

 

มันคือปฏิญาณสาบานของกษัตริย์ชูร่า ที่เปล่งออกมาต่อหน้าบรรดาอาชูร่าทั้งหมด แถมยังอยู่ในสภาพแวดล้อมของอาณาจักรสวรรค์!

 

ตราบใดที่ในคำกล่าวของเขามีโป้ปดเล็กน้อย กษัตริย์ชูร่าจะต้องพบพานกับโชคชะตาอันเลวร้ายทันที!

 

ฝูงชนเงียบ

 

ทั้งหมดเฝ้ารออยู่สักพักแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

สายฟ้าสวรรค์มิได้ฟาดผ่าลงมา

 

กู่ฉิงซานผายสองมือของเขาออก กล่าวไปทางคนทั้งหลาย “พวกเจ้าเห็นหรือไม่ วาจากษัตริย์มิได้มดเท็จ”

 

อาชูร่าทั้งหมดต่างพยักหน้ารับกันอย่างเงียบๆ

 

การท้าสู้ชิงราชบัลลังก์ของอาชูร่าน่ะเป็นอะไรที่จริงจังและศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง

 

กษัตริย์ของพวกเขาเห็นได้ชัดว่าตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส และการท้าทายชิงบัลลังก์ในสถานการณ์เช่นนี้ จะไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ากษัตริย์องค์ใหม่มีความเข้มแข็งและหาญกล้าจริงๆ

 

–การท้ายทายเช่นนี้จะไม่ได้รับการยอมรับจากเผ่าอาชูร่าทั้งหมด!

 

ใบหน้าของราชันย์ทั้งสี่แปรเปลี่ยนไป

 

อีกฝ่ายมิยินยอมรับการท้าทายในทันที นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

 

“แต่เจ้าพ่ายแพ้ราชาภูติ! ดังนั้นข้าจะไม่ยอมรับว่าเจ้าคือกษัตริย์ของเราอีกแล้ว!”ราชาเผ่าปิโม่ซือยังไม่ยินยอมง่ายๆ

 

“ใช่!”

 

“เจ้าน่ะเป็นกษัตริย์มิได้อีกต่อไปแล้ว”

 

“จงสละราชบัลลังก์ด้วยตนเองเสีย”

 

ราชาเผ่าอีกสามคนตะโกนขึ้นพร้อมกัน

 

กู่ฉิงซานยิ้ม

 

เขาหยิบคทาแห่งกษัตริย์ชูร่าขึ้นมาในมือแล้วกล่าวว่า “ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้แก่พวกเจ้าก็ได้ แต่รู้หรือไม่ ว่ากษัตริย์ชูร่าน่ะมีได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น … ”

 

สี่ราชาเผ่าชูร่าหันมามองหน้ากันด้วยความลังเล

 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อไป “มันจะดีกว่าไหม หากเราเลือกกษัตริย์องค์ใหม่ในตอนนี้ – หากเป็นเรื่องนี้ ตัวข้าเองก็เห็นด้วยเช่นกัน”

 

“มาเถอะ ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนก็อยู่ที่นี่แล้ว จงสำแดงให้ทุกคนได้เห็นเถอะ ว่าผู้ใดกันที่แข็งแกร่งที่สุด!”

 

ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็โยนคทากษัตริย์ชูร่าออกไป

 

คทาชูร่าถูกโยนตั้งตรงลงเบื้องหน้าทั้งสี่อย่างมั่นคง

 

มันคือคทาที่เป็นตัวแทนแสดงถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรชูร่า!

 

ราชาเผ่าปิโม่ซือ จ้องมองไปที่คทาและตะโกนออกมาว่า “ข้าต้องการที่จะเป็นกษัตริย์ พวกเจ้าทั้งสามจงถอนตัวออกไปซะ”

 

“เจ้าน่ะหรือ? ด้วยระดับกำลังรบเพียงเท่านั้นของเจ้าเนี่ยนะ? น่าขันนัก!” ราชาเผ่าลั่วเฉียนทั่วถากถาง

 

“มีข้าอยู่ที่นี่ทั้งคนแล้ว พวกเจ้ายังจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อชิงราชบัลลังก์กันอยู่อีกหรือ?” ราชาเผ่าโปซือกล่าวรำไร

 

ราชาเผ่าปิโม่ซือตะโกนด้วยความโกรธ “งั้นก็ดี ในเมื่อตัวแทนจากแต่ละชนเผ่าก็อยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าจะแสดงให้ทุกคนได้ให้เห็นเองว่าระหว่างเราทั้งสี่ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน!”

 

ราชาเผ่าลั่วซุ่ยจู่ๆก็เอ่ยขัดขึ้นมา “หยุดนะ! พวกเจ้าอย่าตกหลุมพรางของเขาสิ”

 

เขาเอ่ยต่อ “กษัตริย์ชูร่ากำลังต้องการให้พวกเราฆ่ากันเองนะ!”

 

ราชาเผ่าทั้งสี่หันศีรษะขวับ! ไปทางกษัตริย์ชูร่า

 

กู่ฉิงซานหัวเราะออกมา

 

“คทาก็อยู่ตรงหน้าแล้ว แต่พวกเจ้ากลับไม่มีความกล้าที่จะรับมัน เช่นนั้นยังจะมีหน้ามาอยากได้ตำแหน่งกษัตริย์อาชูร่าอยู่อีกหรือ?”

 

เขาผุดลุกขึ้น และกล่าวกับฝูงชนทั้งหมดว่า “จดจำได้หรือไม่ ในอดีตที่ผ่านมายามข้าได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ข้าได้มีชัยเหนือผู้ท้าท้ายกว่า 79 คน!”

 

เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในหมูอาชูร่า

 

นี่เป็นเรื่องจริง และแม้จะผ่านมานานปี แต่เหล่าอาชูร่าก็ยังจดจำวันนั้นได้เสมอมา

 

ครานั้น มันเป็นการต่อสู้เพื่อราชบัลลังก์ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่ง

 

“ใครก็ได้ ไหนลองบอกข้ามาซิ ว่าอาชูร่าเคยมีกษัตริย์องค์ใดที่มิกล้าต่อสู้บ้างหรือไม่!?” กู่ฉิงซานยังคงตะโกนต่อ

 

“ไม่มี!”

 

“ไม่เลยสักครั้ง!”

 

“ไม่กล้าที่จะต่อสู้ แล้วจะเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร!”

 

เหล่าอาชูร่าตนแล้วตนเล่าเริ่มโห่ร้องตะโกน

 

“เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว ที่จำต้องมีต่อสู้ด้วยเลือดและเนื้ออันเข้มข้นเพื่อราชบัลลังก์ เรื่องนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเค้นเสียง

 

“ไม่!”

 

เหล่าอาชูร่าทั้งหมดระเบิดเสียงตะโกนออกมา

 

พอปลุกใจจนจบ กู่ฉิงซานก็นั่งลงบนช้างยักษ์อีกครั้ง

 

เขาจ้องมองไปยังราชาเผ่าลั่วซุ่ยที่อยู่เบื้องล่างและกล่าว่วา “หากมิกล้าสู้ ก็จงถอนตัวการจากการท้าทายชิงราชบัลลังก์เสีย”

 

ราชาเผ่าลั่วซุ่ยมิได้เอ่ยสิ่งใด

 

ทุกอย่างที่อีกฝ่ายเปล่งวาจาออกมาล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น

 

นี่ช่างเป็นอุบายพลิกกระดานที่เหนือความคาดหมายนัก!

 

ขณะเดียวกันพวกเขาทั้งสี่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะโจมตีอีกฝ่าย เพราะอีกฝ่ายได้ยินยอมสละราชบัลลังก์แล้ว

 

และในเวลานี้ ดันเป็นพวกเขาเองที่มิกล้าต่อสู้เพื่อชิงราชบัลลังก์ เช่นนั้นต่อให้คว้าคทามาได้ สุดท้ายพวกเขาก็จะถูกชูร่าทุกตนปฏิเสธอยู่ดี

 

เมื่อราชาเผ่าลั่วซุ่ยคิดมาถึงจุดนี้ จิตใจของเขาก็ถูกแผดเผาไปด้วยความโกรธ

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ ไม่ว่าอย่างไรตัวเขาก็คืออาชูร่า!

 

“เอาล่ะ ในฐานะที่ข้าแข็งแกร่งที่สุด ข้าจะขอรับเอาราชบัลลังก์มาก่อนก็แล้วกัน จากนั้นจึงค่อยมาจัดการกับเจ้าอีกที”

 

ราชาเผ่าลั่วซุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม

 

แต่ทางฝั่งกู่ฉิงซานกลับยิ้ม เขาแบมือออกเพื่อส่งสัญญาณให้แก่ราชาเผ่าลั่วซุ่ย

 

ราชาเผ่าลั่วซุ่ยหันหลังกลับไปตามมือที่แบมา

 

แล้วก็พบว่าราชาเผ่าอีกสามคนกำลังจ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยเจตนาสู้!

 

บนช้างยักษ์ เสียงของกู่ฉิงซานได้ลอยตามลงมาในอากาศ

 

“จงเริ่มการต่อสู้ระหว่างพวกเจ้าซะ!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.406 – โลกแห่งความฝัน : นายพลภูติ

 

กู่ฉิงซานเอื้อมไปหยิบไพ่มาไว้ในมือของเขา

 

ชายชุดดำเคาะลงบนโต๊ะบาร์และกล่าวว่า “สถานที่แห่งนี้คือโลกแห่งความฝันร่วมกันระหว่างเจ้ากับข้า แต่โลกแห่งความฝันในชั้นถัดไป จะเป็นความฝันของผู้อื่น”

 

“แล้วสิ่งที่ข้าจะต้องทำหลังจากเข้าไปเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เมื่อเจ้าเข้าไปภายในนั้น เจ้าจะกลายเป็นคนๆหนึ่ง แล้วเจ้าก็จะต้องสวมบทบาทเป็นเขา จากนั้นก็เสาะหาหนทางเข้าโลกแห่งความฝันในชั้นถัดไป”

 

“ยังมีโลกแห่งความฝันอื่นอีกหรือ?‘

 

“แน่นอนว่าย่อมมี และหากเจ้าไม่สามารถค้นพบวิธีเข้าสู่ความฝันถัดไปได้จากในความฝันนี้ เจ้าก็จะถูกตัดสิทธิ์ออก”

 

“พอจะมีคำใบ้หรือไม่?”

 

“นี่คือความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของนรก จงแสดงให้ข้าเห็นหน่อยเถอะ ว่าเจ้าจะรับมือกับมันอย่างไร”

 

ทันทีที่เสียงของชายชุดดำตกลง บนตัวไพ่ก็ระเบิดชั้นแสงออกมาโอบเข้าปกคลุมกู่ฉิงซานโดยสมบูรณ์

 

แล้วกู่ฉิงซานก็รู้สึกเหม่อลอย

 

พร้อมกับฉากโดยรอบที่เกิดการเปลี่ยนแแปลงอย่างกระทันหัน

 

โต๊ะบาร์ได้หายไป

 

ท้องฟ้าและชั้นเมฆปรากฏขึ้น

 

ธงสีดำคละแดงระบำไปตามสายลม

 

กู่ฉิงซานพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่บนยอดเขา

 

มองไกลออกไปเท่าที่สุดสายตาจะมองเห็น จะพบแค่เพียงเนินเขาที่บ้างชันขึ้น บ้างโค้งดิ่งลง ทอดยาวไกลออกไป

 

และในส่วนท้ายสุดของวิสัยทัศน์ที่สามารถมองเห็นได้ คือเมืองที่สาดแสงจรัสสว่างจ้า

 

ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดารารายล้อมรอบมัน

 

กู่ฉิงซานมองไปที่เมือง แล้วในหัวใจของเขาก็ปรากฏข้อมูลเด้งขึ้นมาทันใด

 

อาณาจักรสวรรค์ เมืองเทวะ

 

แล้วเขาก็ก้มลงมองตัวเอง

 

เห็นแค่เพียงชุดเกราะรบสีดำของนรก ที่ถึงแม้ว่ามันจะหนัก แต่ก็แผ่พลังอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา

 

เขาลองโบกแขนออกไป

 

แล้วก็พบว่าพลังที่ส่งออกจากร่างกายเขา ได้เข้าไปผสานกับเกราะแขน ส่งผลให้พลังอำนาจของมันเพิ่มพูนขึ้นยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า

 

เกราะรบอันน่าสะพรึงเช่นนี้ กู่ฉิงซานไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อนเลย

 

แล้วฉากหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในห้วงทรงจำเขา

 

เนื่องจากเป็นนักรบที่กล้าหาญ และครอบครองทักษะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียง ราชาภูติจึงได้มอบชุดเกราะรบสีดำนี้ให้แก่เขา

 

นี่คือสมบัติของราชาภูติ ที่ไม่เคยนำออกมาเผยโฉมมาก่อน

 

ทั่วทั้งนรก มีเกราะรบชิ้นนี้อยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองดูอาวุธในมือเขา และพบว่ามันเป็นกระบี่ยาวสีดำ

 

บนด้ามจับของกระบี่ ถูกสลักไว้ด้วยตัวอักษรใจความว่า

 

“นายพลภูติ”

 

กลับกลายเป็นว่าสถานะของตัวเขานั้นเป็นถึงนายพล

 

กู่ฉิงซานลองวาดกระบี่ยาวออกไป

 

แต่อำนาจของกระบี่กลับธรรมดาสามัญยิ่ง

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยการวาดกระบี่ออกไป ได้ส่งผลให้ความทรงจำก่อนหน้าจากวิญญาณตนนี้ค่อยๆฟื้นคืนกลับมาในจิตใจของเขา

 

กู่ฉิงซานรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง และเริ่มทำการตรวจสอบข้าวของๆเขาทันที

 

ไม่มี … ทุกอย่างหายไปหมดเลย

 

ทั้งหมดที่เขามีคือสิ่งของจากวิญญาณตนนี้ แต่ดาบพิภพ เช่าหยิน ถุงหอมหลากสี อุปกรณ์ และสิ่งของต่างๆในถุงสัมภาระ และทะเลแห่งห้วงสติได้หายไป

 

แล้วดาบขุนเขาเทวะหกโลกาเล่า?

 

ฉวัดเฉวียน!

 

พร้อมกับจิตนึกคิดของเขา ดาบยาวที่มีใบดาบราวกับหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงก็ตกลงมาลอยนิ่งอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าเขา

 

กู่ฉิงซานทิ้งกระบี่ไปและคว้าจับดาบขุนเขามาไว้ในมือ

 

พอมีดาบในมือแล้ว ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็กลับมามั่นคง รู้สึกสงบลงทันที

 

แต่ว่ามันแปลกๆอยู่นา .. ของทุกอย่างที่ติดตัวเขาได้หายไป แต่ทำไมดาบเล่มนี้ถึงยังคงอยู่ล่ะ?

 

ขณะกำลังครุ่นคิด ก็เห็นแค่เพียงหญิงในชุดคลุมฟ้าปรากฏกายผุดออกมาจากตัวดาบ

 

ฉานนู่

 

“เจ้าทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดสิ่งของๆข้าจึงหายไป?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“กฏเกณฑ์แห่งความฝันนี้ทรงพลังยิ่ง มันถึงขั้นช่วยให้ ‘จิตสำนึก’ของเจ้าเข้าสู่ร่างของผู้อื่นได้ ขณะที่ ‘ร่างจิต’ ของเจ้ายังคงนั่งดื่มอยู่ในสถานที่ก่อนหน้า” ฉานนู่กล่าว

 

“เช่นนั้น หากมีเพียงจิตสำนึกของข้าที่เหลืออยู่ แล้วเจ้าเล่าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“กฏเกณฑ์ที่สามารถต่อต้านได้กระทั่งสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลอยู่กับข้า ดังนั้นกฏเกณฑ์อื่นๆทั้งหมดจึงหลีกเลี่ยง มิกล้าที่จะเข้ามารบกวนข้า” ฉานนู่เอ่ยเสียงรำไร

 

และทันทีที่ประโยคนี้จบลง บรรทัดแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที

 

“คุณได้เรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สองของจิตอาร์ติแฟคดาบขุนเขาเทวะหกโลกา : แหกกฏ”

 

“ ‘แหกกฏ’ : ทุกกฏเกณฑ์จากตลอดทั้งหมื่นโลกาจะไม่อาจส่งผลกระทบต่อดาบเล่มนี้”

 

ในเวลานั้นเอง เสียงแตรที่ลึกและทุ้มก็ดังขึ้น สะท้อนออกไปบนผืนดินอย่างต่อเนื่อง

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

เห็นแค่เพียงกองทัพเกราะดำ ตนแล้วตนเล่ากำลังระเบิดเสียงไชโยออกมา

 

แล้วกระแสความตระหนักรู้ก็ปรากฏขึ้นมาในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 

โลกปรภพได้พิชิตอาณาจักรสวรรค์ อาชูร่า วิญญาณร้าย และจ้าวอสูร และตอนนี้ได้กินพื้นที่โจมตีไปถึงดินแดนหลักของอาณาจักรสวรรค์แล้ว

 

ราชาภูติได้ออกจากนรก เพื่อที่จะได้มาดูทวยเทพ

 

– เทพวิญญาณได้ยอมจำนนโดยสิ้นเชิง

 

กู่ฉิงซานมองไปรอบๆ แล้วก็พบกับเหล่าคนที่ใส่ชุดสีเดียวกันกับเขา

 

ทั้งหมดคือคนตาย ที่กำลังเผยสีหน้ายิ้มแย้มออกมา

 

หลังจากที่การต่อสู้ท่ามกลางสงครามเป็นเวลานาน ในที่สุดก็สามารถนำพารุ่งอรุณแห่งชัยชนะมาไว้ในกำมือจนได้

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกแปลกๆมากขึ้นเรื่อยๆ

 

“ฉานนู่ มิใช่ว่าในสมัยก่อนกลับกลายเป็นฝ่ายราชาภูติที่พ่ายแพ้หรอกหรือ?”

 

“เป็นดังเช่นที่เจ้าว่า แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

 

“อ้าว เจ้ามิได้เข้าร่วมสงครามหรอกหรือ”

 

“เหล่าวิญญาณร้ายในอดีตมันไม่เหมาะสมกับข้า และข้าก็ไม่ต้องการที่จะไปเป็นอาวุธของพวกเขา ดังนั้นข้าจึงไม่ได้เข้าร่วมสงครามครั้งนี้”

 

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

 

กู่ฉิงซานแม้จะยังคงประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก

 

เพราะสำหรับกู่ฉิงซานหรือฉานนู่แล้ว นี่นับว่าเป็นเรื่องปกติมาก

 

ผู้ฝึกดาบจะเลือกดาบที่เหมาะสมกับตัวเอง

 

ขณะที่ดาบศักดิ์สิทธิ์ก็มีจิตวิญญาณ และยังเลือกเจ้านายเป็นของตัวเองเช่นกัน

 

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกดาบและดาบ จะแตกต่างจากอารมณ์ทางโลกทั้งมวล

 

พวกเขาจะต้องมีเจตจำนงเดียวกัน จึงจะติดตามไปด้วยกันได้

 

ในเวลานั้นเอง เสียงช้าๆที่ร่ายยาวก็ดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดของกู่ฉิงซาน

 

“รายงาน!”

 

ทหารวิญญาณก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงกับพื้น และกล่าวเสียงดัง “ข้ามาแจ้งให้ท่านทราบว่า พิธียอมจำนนจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า และท่านผู้ทรงเกียรติอีกสองคนได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แต่เขาให้มาถามว่าท่านจะไปด้วยหรือไม่”

 

“รอก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต่พวกเขาทั้งหมดมาอยู่ที่นั่นแล้ว”

 

“ปล่อยให้พวกเขารอไป!”

 

กู่ฉิงซานยังคงยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม และเริ่มมองสำรวจกองทัพของตนเอง

 

บนร่างของคนตายแต่ละคน ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสังหาร

 

เมื่อพวกวิญญาณเห็นว่าเขากำลังมองมาที่ตนเอง พวกทหารคนตายก็ยืดตัวเอง จับอาวุธในมือแน่น ราวกับว่าพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้ยินตลอดเวลา

 

ตลอดทั้งภูเขาเต็มไปด้วยทหารวิญญาณ

 

อย่างไรก็ตามบนภูเขาทั้งหมด นอกจากเสียงของสายลมแล้ว มิได้ยินเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาอีกเลย

 

นั่นเพราะเวลานี้ มีคำสั่งห้ามต่อสู้ และสงครามก็หยุดชะงักลงชั่วคราว

 

“ … ไม่เลวเลย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเงียบๆ

 

แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็พลันสังเกตไปเห็นกองทัพผีร้ายและจ้าวอสูรจำนวนมากอยู่บริเวณเนินเขาตรงกันข้าม

 

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที

 

หนึ่งในรองนายพลกล่าว “พวกเขายอมจำนน”

 

“ยอมจำนน? ” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำตามจิตใต้สำนึก

 

แล้วเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว บินไปยังเนินเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

 

เมื่อนายพลภูติเคลื่อนไหว ทหารจากนรกจำนวนมากก็ย่อมที่จะติดตามเขา

 

เมื่อเหล่าผีร้ายและจ้าวอสูรเห็นนายพลภูติกำลังตรงมาพร้อมกับทหารจำนวนมาก ทั้งหมดก็ลุกยืนขึ้น

 

กู่ฉิงซานมาถึงเนินเขา

 

วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานกวาดผ่านร่างของผีร้ายและจ้าวอสูรนับหมื่นแสน แล้วเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

ผีร้ายน่ะมาจากอาณาจักรผีโหย แต่ร่างของพวกมันยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี แถมยังจับอาวุธในมือแน่น และเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ลุกโชนเป็นฟืนเป็นไฟ

 

ขณะที่จ้าวอสูรยังเปี่ยมไปด้วยพลังงาน การแสดงออกทางสีหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความระแวดระวังและเฝ้าดูทุกฝีก้าวของกู่ฉิงซาน

 

“กองทัพยอมจำนน … แล้วท่าทีของพวกมันที่เห็นอยู่นี่คือสิ่งใดกัน?”

 

กู่ฉิงซานค่อนข้างสับสน ปากเอ่ยเสียงกระซิบ

 

“ใต้เท้า พวกเรายอมทุกคนยอมแพ้แล้ว” นายพลผีร้ายกล่าว

 

ขณะที่นายพลจ้าวอสูรอีกตนกล่าวว่า “พลังของราชาภูติสั่นสะเทือนทั้งสวรรค์และโลก ไม่มีใครหาญต่อกรได้ หากมิให้พวกเรายอมแพ้ แล้วจะให้เฝ้ารอความตายอย่างนั้นหรือ?”

 

กู่ฉิงซานที่กำลังฟัง ทันใดนั้นก็บังเกิดฉากหนึ่งขึ้นในจิตใจของเขา

 

ราชาภูติกำลังถือไม้เท้า ระเบิดอำนาจที่ราวกับสามารถทำลายโลกหล้า ส่งทวยเทพมากมายตนแล้วตนเล่าต้องล่าถอยไป

 

กองทัพทั้งหมดราวกับมด เมื่ออยู่ต่อหน้าราชาภูติ และพื้นที่ขนาดใหญ่ก็ถูกล้างบางจนสิ้น

 

เมื่อทหารของพันธมิตรทั้งสี่อาณาจักรเสียชีวิตลง พวกเขาก็จะกลายเป็นคนตายอย่างรวดเร็ว

 

และคนตายทั้งหมด ก็จะเป็นของคนของปรภพโดยสมบูรณ์ ที่ถูกควบคุมโดยราชาภูติ

 

—สงครามผ่านพ้นไปได้แค่ครึ่งทาง พันธมิตรทั้งสี่ก็มิอาจต่อกรได้อีกต่อไป

 

ราชาภูติโค่นพันธมิตรทั้งสี่ลงด้วยกำลังของเขาเอง!

 

ดังนั้น พวกที่อยู่ตรงหน้านี้จึงยอมจำนน

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

สายตาของเขามองไปยังผีร้ายและจ้าวอสูรที่ออกันอยู่กันเต็มภูเขา ก่อนจะตกลงในอาวุธของแต่ละตน

 

“แล้วราชาภูติเล่า? ฝ่าบาทไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“นี่ท่านลืมไปแล้วหรือ? ฝ่าบาทก็อยู่ในเมืองเทวะ และกำลังเตรียมที่จะรับเครื่องบรรณาการจากทวยเทพอย่างไรเล่า” รองนายพลที่อยู่ข้างกายเขากล่าว

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง

 

และย้อนเห็นถึงพลังอำนาจของราชาภูติ ที่สามารถสยบทั้งสี่อาณาจักรได้

 

หากสงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วปัญหามันเกิดจากอะไรกัน?

 

มีข้อมูลน้อยเกินไป …

 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นและจู่ๆก็เริ่มออกคำสั่ง

 

“ใครก็ได้มานี่ที”

 

“ขอรับ”

 

“เจ้าเร่งจัดกำลังคน แล้วไปรวบรวมอาวุธของผีร้ายกับพวกจ้าวอสูรมาซะ”

 

“แต่ใต้เท้า … พวกมันกำลังจะถูกส่งกลับไปในเร็วๆนี้ ดังนั้นพวกมันสมควรจะ-”

 

“ทำตามหน้าที่เดี๋ยวนี้”

 

“ขอรับ!”

 

พอได้ฟัง เหล่าผีร้ายและจ้าวอสูรที่อยู่บนเขาก็เริ่มโวยวายทันที

 

“นี่เจ้าต้องการที่จะยึดอาวุธของพวกเรารึ?” นายพลผีร้ายกล่าว

 

เสียงของมันสงบมาก ไม่อาจฟังได้ถึงอารมณ์แม้เพียงเล็กน้อย

 

“ก็ใช่น่ะสิ เจ้ามิได้ยอมจำนนแล้วหรอกหรือ?” กู่ฉิงซานกล่าว

 

นายพลจ้าวอสูรอุทานด้วยความโกรธ “โลกของพวกเรากำลังจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันในไม่ช้า จากนั้นไปเราทุกคนก็คือสหาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงกระทำการที่ดูถูกพวกเราเช่นนี้!”

 

“เจ้ากำลังดูถูกพวกเราเหล่าจ้าวอสูร!”

 

“ใช่ นี่หรือสิ่งที่นายพลภูติทำ จิตใจชั่วช้าและดูถูกเรา–”

 

เหล่าจ้าวอสููรกับผีร้ายเริ่มที่จะกระสับกระส่าย

 

“บังอาจ!!”

 

กู่ฉิงซานระเบิดเสียงคำรามคำหนึ่ง

 

เขาชักดาบออกมาและชี้ไปยังพวกกองทัพพันธมิตรผีร้ายกับจ้าวอสูรที่อยู่เต็มภูเขา

 

“ล้อมพวกมันไว้!”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยบัญชา

 

ตามด้วยเสียงชักอาวุธนับไม่ถ้วนกังวานขึ้น

 

กองทัพนรกทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว

 

พวกเขายกอาวุธขึ้น ระดมพล และกรีฑาทัพมุ่งหน้ามายังเนินเขานี้อย่างช้าๆ

 

ทันใดนั้นเสียงโวยวายทั้งหมดก็พลันเงียบลง

 

“เจ้าต้องการจะทำอะไร?” นายพลผีร้ายถามเสียงทุ้ม

 

“ในเมื่อเจ้ายอมจำนนแล้ว ก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมกับการยอมจำนน หากเจ้ากล้าที่จะต่อต้าน ข้าจะรายงานแก่ท่านราชาภูติทันที ว่าเจ้าแสร้งทำเป็นยอมแพ้ แต่แท้จริงกลับซ่อนเจตร้ายเอาไว้ภายใต้สีหน้าบริสุทธิ์ และกำลังคิดหมายจะตั้งใจทำเรื่องเลวร้าย!”

 

กู่ฉิงซานดาหน้าเข้ามาเผชิญกับนายพลผีร้าย

 

เขาเอ่ยกระซิบ “จู่ๆเจ้าก็ไม่ยินดีที่จะละทิ้งอาวุธ นี่มันอาจจะเป็นการบ่งบอกว่า เรื่องยอมจำนนของพวกเจ้าทั้งหมดแท้จริงแล้วมันคือกลลวงสินะ?”

 

นายพลผีร้ายหัวเราะ “ราชาภูติน่ะครอบครองพลังอำนาจชนิดหาตัวจับได้ยากยิ่ง แล้วพวกเราจะแสร้งยอมจำนนได้อย่างไร?”

 

กู่ฉิงซานยังไม่ทันได้พูด แต่ก็เห็นทหารวิญญาณอีกคนมารายงานเสียก่อน “ใต้เท้า พีธียอมจำนนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว พวกเขากำลังเฝ้ารอท่านเพียงคนเดียว”

 

“จงไปบอกให้พวกเขารอต่อไป” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต่ใต้เท้า-”

 

“ไปเดี๋ยวนี้!”

 

“ขอรับ!”

 

ทหารวิญญาณเร่งจากไปอย่างรวดเร็ว

 

“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย วางอาวุธลงซะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

นายพลผีร้ายกับนายพลจ้าวอสูรเหลือบมองกันวูบหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานก้าวถอยหลังออกมา และเตรียมนำกองทัพคนตายสู้ศึก

 

“ทั้งหมดเตรียมตัว” เขาออกคำสั่ง

 

“ขอรับ!”

 

เหล่าคนตายเข้าสู่สภาวะพร้อมรบ

 

กองทัพนรกได้เผยคมเขี้ยวทั้งหมดออกมาโดยสมบูรณ์ และกำลังเฝ้ารอเพียงคำสั่งเท่านั้น

 

เมื่อมองมายังฉากนี้ รูม่านตาของนายพลผีร้ายก็หดวูบลงทันใด

 

“หยุดมือ! พวกเราจะวางอาวุธลงเดี๋ยวนี้แหละ!” เขาตะโกนออกมา

 

“ใช่ ใช่ พวกเราจะวางอาวุธลงแล้ว!” นายพลจ้าวอสูรรีบเอ่ยอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานโบกมือ ส่งสัญญาณให้กองทัพหยุดชั่วคราว

 

“ส่งกำลังพลออกไป เก็บรวบรวมอาวุธมาซะ” เขาเอ่ยสั่ง

 

แล้วฝูงวิญญาณกลุ่มหนึ่งก็ปีนขึ้นไปบนภูเขา และทำการเก็บรวบรวมอาวุธของทัพพันธมิตรผีร้ายและจ้าวอสูร

 

“เราได้แสดงความจริงใจออกมาแล้ว ทีนี้เจ้าพอใจหรือยัง?” นายพลผีร้ายเอ่ยถาม

 

“พอใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

แล้วทันใดนั้นจู่ๆเขาก็วาดดาบชี้ออกไป

 

“ไปซะ สังหารพวกมันให้หมด!”

 

กองทัพนรกเริ่มเคลื่อนไหวทันที

 

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”

 

เหล่าทหารวิญญาณที่เก็บรวบรวมอาวุธศัตรู เริ่มพุ่งหนีทันควัน

 

บนเนินเขา กองทัพพันธมิตรผีร้ายและจ้าวอสูรเกิดความตื่นตระหนก

 

จ้าวอสูรบางตนเริ่มที่จะหลบหนี

 

-คิดหนีหรือ?

 

กู่ฉิงซานมองไปยังฉากนี้และหัวเราะออกมา

 

“ช้าก่อนนายพลภูติ เห็นได้ชัดว่าพวกเรา-  นายพลผีร้ายรีบตะโกนออกมา

 

“ก็ไหนเจ้าว่าพวกเราจะเป็นสหายกันอย่างไรเล่า ที่ข้าทำ ก็แค่จะสังหารและเปลี่ยนพวกเจ้าให้กลายเป็นคนตาย เพื่อที่จะได้กลายมาเป็นพวกของข้าจริงๆก็เท่านั้นเอง”

 

“เจ้ามันมารร้าย!” นายพลจ้าวอสูรคำรามด้วยความโกรธ

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา “เสียใจด้วยนะ แต่นี่แหละคือสงครามล่ะ”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.405 – ช่วงเวลาที่เงียบสงบ

 

แสงกระจายตัวกันออกไป

 

แล้วสำรับไพ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน

 

ไพ่อย่างงั้นหรือ?

 

มีคำถามปรากฏขึ้นในจิตใจของทั้งฝูงชน

 

เมื่อมากันครบแล้ว ต่อไปก็สมควรที่จะเป็นการต่อสู้ระหว่างทั้ง 18 นรกอย่างชัดเจน แล้วเหตุใดจึงมีไพ่โผล่ออกมาล่ะ?

 

พวกเขาลองสังเกตไปที่มันดูอีกครั้ง

 

มันคือไพ่จริงๆ

 

เป็นไพ่ที่วางซ้อนๆกันเป็นสำรับ ขณะที่บนไพ่แต่ละใบจะถูกปกคลุมไปด้วยสีเทาของความตาย

 

ไพ่ที่วางอยู่ด้านบนสุดพลิกตลบขึ้น

 

บนหน้าไพ่ คือรูปที่เป็นฉากภูมิทัศน์

 

ผืนป่ากันดาร

 

มหาสมุทร

 

แสงจันทร์ส่องสว่างในยามค่ำคืน

 

เรือใหญ่ทอดสมออยู่ตรงชายฝั่ง

 

และสุดท้าย สิบแปดคนตัวตนสุดแกร่งที่ยืนอยู่บนเรือ ที่กำลังล้อมวงอยู่รอบไม้เท้า

 

นั่นคือองค์ประกอบทั้งหมดที่อยู่ภายในไพ่

 

“สถานการณ์นี่มันอะไรกัน?” มีบางคนยกมือขึ้นเกาหัวพร้อมกับเอ่ยถาม

 

เห็นแค่เพียงไพ่ที่ลอยอยู่กลางเวหา หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว

 

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นกฏเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทียนซวนนะ” หนึ่งในตัวตนแข็งแกร่งเอ่ยกระซิบ

 

“เป็นแค่ไพ่ แต่กลับสามารถดึงดูดเราทั้งหมดเข้ามา นี่มันเป็นไปไม่ได้..” อีกคนหนึ่งกล่าวเรียบๆ

 

“เหอะ เจ้ามันจะไปรู้อะไร … ”

 

ตัวตนสุดแกร่งคนเดิมไม่คิดจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก

 

แต่ดูจากสีหน้าของเขา บ่งบอกได้ว่ามันกำลังหนักอึ้งอย่างชัดเจน

 

ส่วนกู่ฉิงซาน ขณะนี้เขาก็เริ่มที่จะจริงจังมากขึ้นบ้างแล้วเช่นกัน

 

แค่ไพ่ใบเดียว แต่กลับสามารถสร้างโลกขนาดย่อมขึ้นมาได้ นอกจากนี้ยังรองรับคนตายจำนวนมากให้มาต่อสู้กันจากภายใน ดูแล้วกฏเกณฑ์ของเทียนซวนนี้ จะมีอำนาจเหลือล้นอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ

 

ไพ่ใบแรกยังคงลอยนิ่งอยู่ในอากาศ

 

ทันทีหลังจากนั้น ไพ่อีก 18 ใบก็ลอยออกมาจากในกองสำรับ และมาหยุดอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าของตัวตนสุดแกร่งทั้ง 18 คน

 

ตัวตนสุดแกร่งมองไพ่ตรงหน้าพวกเขา ก่อนจะหันไปมองดูไพ่ของคนอื่นๆ

 

ไม่นานนัก ทุกคนก็พบว่าหน้าไพ่ของพวกเขา คือภาพที่ตนเองกำลังอยู่ในลักษณะหลับไหล

 

และในไพ่ของคนอื่นๆ แน่นอนว่าก็เป็นคนอื่นที่กำลังปหลับอยู่เช่นกัน

 

เมื่อกระบวนการดำเนินมาถึงขั้นตอนนี้ ไม้เท้าแห่งการจองจำก็ยังคงนิ่งเงียบ

 

มันมิได้ให้คำแนะนำใดๆอีกต่อไป

 

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันน่าฉงนมากเกินไป

 

18 ตัวตนสุดแกร่งเฝ้าสังเกตไพ่เบื้องหน้าตนอย่างรอบคอบ แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับมันดี

 

“เดิมทีแล้ว มันกลับกลายเป็นว่านี่คือไพ่โลกแห่งความฝัน” กู่ฉิงซานลอบพูดอย่างลับๆ

 

และตัวตนสุดแกร่งบางคนในที่นี้ก็คิดไปในทำนองเดียวกัน

 

ไม่มีใครทันคาดคิดได้เลยว่าไม้เท้าราชาภูติ จะเกี่ยวข้องกับเทียนซวน

 

กู่ฉิงซานพลันจดจำได้ว่า ในชีวิตก่อนหน้า – ช่วงเวลานั้นก็มีบางคนที่มีความสามารถโดดเด่นในด้านเทียนซวนอยู่เหมือนกัน และพวกเขาเหล่านั้นก็สามารถสร้างไพ่จากเทคนิคเทียนซวนได้

 

แต่ในปัจจุบันนี้ ยังไม่มีผู้ใดสามารถทำเช่นนั้นได้

 

ตอนแรกก็ไพ่ที่มีรูปของพวกเขากำลังจะต่อสู้กัน จากนั้นก็มีไพ่อีกชุดหนึ่งปรากฏขึ้นตามมา และมันเป็นไพ่ที่สามารถช่วยให้เข้าไปยังโลกแห่งความฝันได้

 

มีไพ่ ซ้อนอยู่ในไพ่อีกที

 

แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอีกล่ะเนี่ย?

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิด

 

แต่แล้วจู่ๆทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมา

 

ด้วยพลังอันน่าเหลือเชื่อที่สามารถสร้างโลกจำลองได้ และซ้อนโลกแห่งความฝันทับเข้าไปอีกที ฉะนั้นแล้ว กล่าวได้ว่าหากมันคิดจะใช้อำนาจตนสังหารทุกคนในที่นี้ก็ย่อมจะเป็นเพียงเรื่องง่ายดายยิ่ง

 

เช่นนั้นแล้วในสถานการณ์แบบนี้ คงไม่จำเป็นมามัวกังวลว่า ไพ่ที่จะพาเข้าสู่โลกความฝันนี้ จะมีอุบายอันใดแอบแฝงอยู่เลย

 

ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว

 

เขายื่นมือออกไปยังไพ่เบื้องหน้าตนเอง

 

“ไพ่ใบนี้คือโลกแห่งความฝัน และมันจำเป็นที่จะต้องเข้าไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในคืออะไร” กู่ฉิงซานหันไปแนะนำผู้คุมนรกทั้งเจ็ด

 

ขณะที่ผู้คุมนรกหลายคนยังคงลังเล กู่ฉิงซานก็ได้หายตัวไปแล้ว

 

เขาถูกดึงดูดเข้าไปในไพ่อย่างรวดเร็ว

 

17 ตัวตนสุดแกร่งที่เหลืออยู่สะดุ้งตกใจ

 

“น่าสนใจดีนี่ งั้นข้าขอลองไปดูด้วย” ชูร่าหญิงกล่าว

 

เธอแตะลงบนไพ่ของตัวเอง และวาบบบ! หายไปในพริบตา

 

ตัวตนสุดแกร่งคนอื่นๆพอเห็นแบบนั้น ทั้งหมดก็เริ่มทยอยกันสัมผัสไพ่ของตนทีละคน ทีละคน

 

แล้วในที่สุด 18 ตัวตนสุดแกร่งก็เหลืออยู่เพียง 2 คนสุดท้าย

 

“ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าไปข้างในล่ะ?” คนหนึ่งถาม

 

“นี่จะต้องเป็นกับดักแน่ๆ หากเจ้าเข้าไปข้างในแล้ว เจ้าอาจจะถูกสังหารก็ได้ มิใช่หรือ?” อีกคนกล่าว

 

“มันก็ฟังดูมีเหตุผลดีนะ … ยังไงก็ตาม ไพ่ใบแรกได้แสดงให้เราเห็นแล้วถึงอำนาจของมันที่สามารถสร้างโลกขึ้นมาได้ ดังนั้นถ้าให้พูดถึงตามตรรกะนี้แล้ว … ” คนแรกกล่าวพลางครุ่นคิด

 

แล้วจู่ๆเขาก็ยืนมือไปสัมผัสลงบนไพ่และหายวับไป

 

ตอนนี้หลงเหลืออยู่เพียงคนสุดท้ายแล้วบนดาดฟ้าเรือ

 

ตัวตนสุดแกร่งคนสุดท้ายยืนอยู่คนเดียวบนดาดฟ้าเรือใหญ่อย่างเงียบๆ ครุ่นคิดถึงสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้น

 

เจ้าคนพวกนั้นมันจะประมาทเกินไปแล้ว ยอมให้ตัวเองถูกดูดเข้าไปในไพ่อย่างกระทันหันเนี่ยนะ

 

-เอ หรือว่าข้าเองก็ควรที่จะลองเข้าไปในไพ่ของตัวเองดูบ้างจะดีไหม?

 

ทว่าขณะที่เขากำลังลังเลนั้นเอง จู่ๆไพ่ที่มีร่างของตนก็ลอยสูงขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่มันจะหายวับไป

 

เขาเฝ้ามองดูฉากนี้ และไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

ทันใดนั้นเอง อำนาจบางอย่างก็โถมลงมาจากฟากฟ้า และกระแทกเขาลอยปลิวออกไปจากเรือใหญ่

 

เขากลายเป็นคนแรกที่ถูกคัดอออก!

 

อีกด้านหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานหย่อนเท้าทั้งสองลงบนพื้น

 

แสงไฟสลัวๆ

 

ทำนองเพลงไพเราะและผ่อนคลาย

 

ตามด้วยเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบ เสียงหัวเราะคิกคัก และฉากสังสรรค์ที่ดูมีชีวิตชีวา

 

“มิสเตอร์ ไม่ทราบว่าต้องการจะดื่มอะไรงั้นหรือ?” บาร์เทนเดอร์เอ่ยถามอย่างสุภาพ

 

กู่ฉิงซานไม่ได้ตอบกลับทันที แต่เลือกที่จะมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว

 

ที่นี่มันคือบาร์

 

บาร์ที่แสนจะคุ้นเคยและตราตรึงอยู่ในใจ

 

ขณะนี้ตนเองกำลังยืนอยู่หน้าบาร์

 

ทันใดนั้นเขาก็มองไปเห็นเย่เฟย์หยูกับเหลียวฮัง

 

ทั้งสองกำลังนั่งอยู่บนดาดฟ้า กินดื่มและพูดคุยกัน

 

“เอ่อ มิสเตอร์?” บาร์เทนเดอร์เอ่ยถามด้วยความลังเล

 

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป และชี้ไปที่ขวดๆหนึ่ง

 

“ทราบแล้ว โปรดรอสักครู่”

 

บาร์เทนเดอร์เดินไปเปิดขวดสุราด้วยความชำนาญ หยิบแก้วออกมา แล้วเทมันลง

 

กู่ฉิงซานนั่งลงหน้าบาร์

 

ทันใดนั้นเสียงแหบห้าวก็ดังเข้ามาในหูของเขา

 

“มีใครบางคนถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว”

 

กู่ฉิงซานหันขวับออกไป

 

และก็พบกับชายในชุดดำที่มานั่งอยู่ข้างๆเขา โดยไม่อาจทราบได้เลยว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่

 

กู่ฉิงซานนึกพลันย้อนคิดไปถึงฉากที่เพิ่งเกิดขึ้น

 

คนๆนี้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างลับๆจากอากาศอันบางเบา ไม่พูดไม่จา ไม่เคลื่อนไหวใดๆเลย

 

กู่ฉิงซานลังเล ปากเอ่ยพึมพำ “เจ้าเป็นคนสร้างที่นี่ขึ้นมาใช่ไหม?”

 

“ไม่ แต่เป็นเจ้าและข้าต่างหาก ที่ร่วมกันสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา” คนชุดดำกล่าว

 

เขารับแก้วสองใบจากบาร์เทนเดอร์ และวางแก้วหนึ่งลงหน้ากู่ฉิงซาน

 

“พอจะอธิบายเพิ่มได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“กฏของข้า คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายที่สุดสำหรับเจ้า”

 

ชายชุดดำดูเหมือนว่าจะทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “ชีวิตของเจ้าดูจะเคร่งเครียดมาก มันเต็มไปด้วยความกดดันเหลือคณา กฏเกณฑ์แห่งไพ่จึงจำต้องใช้เวลาเลือกเฟ้นอยู่นาน จึงจะหาสถานที่เดียวที่ผ่อนคลายนี้ได้”

 

เขายกแก้วของตัวเองขึ้น และส่งท่าทางมา

 

กู่ฉิงซานก็ยกแก้วขึ้น และชนกับแก้วของอีกฝ่าย

 

พวกเขายกแก้วสุราขึ้นดื่ม

 

“เหล้านี้มัน กี่ทีๆก็ยังเผ็ดร้อนแรงเหมือนเคย นี่ถ้าข้าไม่ทราบมาก่อนล่วงหน้าแล้วล่ะก็ ข้าคงคิดไปแล้วว่านี่มันคือความจริง”

 

ชายในชุดดำยิ้ม “เจ้าเป็นสุขก็ดีแล้ว สภาพแวดล้อมนี่ถือเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจากหนึ่งในนรก”

 

“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าคิดว่าตัวเจ้ายังดูระแวดระวังเกินไปอยู่นะ ลองดูนั่นสิ” พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็หันไปมองตามสายตาของอีกฝ่าย

 

ในมุมบาร์ สายตาของเย่เฟย์หยูกับเหลียวฮังเลื่อนมายังพวกเขา แต่แล้วก็เบนออกไป โดยไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใดๆ

 

พวกเขาดูราวกับเป็นคนแปลกหน้าสำหรับทั้งสอง

 

“เห็นหรือไม่ มีเพียงเจ้าและข้าเท่านั้นที่สามารถเข้ามายังที่นี่ได้ มันเป็นห้องลับที่ไม่มีใครสามารถสอดแนมได้”

 

คนในชุดดำกล่าว

 

เขาดูจะเหนื่อยล้าและไม่มั่นคงนัก ร่องรอยของการตรากตรำชีวิตจนใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาถูกเผยออกมาภายใต้แสงไฟสลัว

 

กู่ฉิงซานวางแก้วลง “ถ้างั้น เวลานี้พวกเราสมควรจะทำสิ่งใดดี?”

 

“ก็แค่ตอบคำถามเล็กๆน้อยน่ะ มันก็คล้ายๆกันกับเกม ‘กล้าจะพูดความจริงรึเปล่า’ นั่นแหละ”

 

ขณะกล่าว ชายชุดดำก็หยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมา

 

เขาเอื้อมมือไปหยิบไพ่ออกจากหนังสือ

 

จากนั้นก็วางไพ่ลงบนโต๊ะ

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่ไพ่

 

บนไพ่ เป็นรูปผู้ชายที่สวมใส่เสื้อผ้าดูเป็นทางการ กำลังคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ขณะที่ในมือถือช่อดอกไม้สด และกำลังพูดบางสิ่งกับหญิงที่ดูหมดจดงดงามเบื้องหน้า

 

สีหน้าของหญิงงามรับฟังด้วยความสุข ราวกับว่าเธอกำลังมึนเมาจากคำหวานปานน้ำผึ้งของอีกฝ่าย ทว่าอย่างไรก็ตาม สองมือของเธอก็เกี่ยวกันอยู่เบื้องหลังกลับกำลังถือหัวกะโหลกอยู่

 

“ผ่อนคลายเถอะ ตราบใดที่เจ้าพูดความจริง ไพ่ของข้าใบนี้จะไม่เปิดทำงานใดๆ” ชายชุดดำกล่าว

 

“แล้วถ้าโกหกล่ะ?”

 

“เจ้าก็ดูไปในหัวกะโหลกนั่นสิ”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ชายชุดดำอะแฮ่มๆ กลั้วคอของเขา จะได้พูดให้มันชัดๆ “ถ้าอย่างงั้นพวกเราก็มาเริ่มอย่างเป็นทางการกันเลย”

 

“เจ้าโสดหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม

 

“อุ๊ … นั่นมัน ”

 

“นั่นมัน?”

 

“ความสัมพันธ์มันยังไม่ได้ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่สบายใจ

 

ชายชุดดำมองไปที่ไพ่บนโต๊ะ

 

ไพ่ไม่ได้มีแจ้งเตือนใดๆ

 

“เจ้ามีสหายหรือไม่?”

 

“มี”

 

“แล้วพวกเขาเชื่อถือได้ไหม?”

 

“เชื่อถือได้”

 

“กีฬาอะไรที่เจ้าชอบ”

 

“กีฬาบอล”

 

“เจ้ามีงานอดิเรกที่ถนัดเป็นพิเศษหรือไม่?”

 

“ข้ามักจะทำอาหารได้ค่อนข้างดี จริงสิ สูตรบาร์บีคิวซี่โครงของข้าถูกใส่ไว้ในคู่มือการทำอาหารประจำชาติด้วยนะ”

 

“นับว่ามีพรสวรรค์ไม่เลว แล้วพ่อแม่ของเจ้าเล่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”

 

“ล่วงลับไปแล้ว”

 

“เสียใจด้วยจริงๆ”

 

ชายชุดดำดูเหมือนจะรู้สึกว่าคำถามของตนเองมันช่างยิบย่อย เขาจึงเอ่ยอธิบายว่า “ข้าแค่อยากจะรู้ว่าเจ้ายึดติดกับโลกอย่างลึกซึ้งเพียงใดก็เท่านั้นเอง”

 

แล้วเขาก็หยิบไพ่อีกใบออกจากหนังสือ

 

นี่คือไพ่ที่ว่างเปล่า และภายในมีเพียงบรรทัดตัวเลขบรรทัดหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่รู้จบเท่านั้น

 

“อาชีพของเจ้า” ชายชุดดำเอ่ยถามต่อไป

 

“นักวิทยาศาสตร์”

 

พอได้ยัง เสียงของชายชุดดำก็แลดูสงสัย “แต่ตอนที่อยู่บนเรือ เจ้าได้กล่าวว่าอาชีพตนเกี่ยวข้องกับการฆ่า และแตกต่างจากวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้น แต่นี่มัน … ”

 

“ขออภัยด้วย อาชีพในการดำรงชีวิตของข้าคือนักวิทยาศาสตร์ แต่อาชีพในการต่อสู้ของข้าคือผู้ฝึกดาบ”

 

“ผู้ฝึกดาบ? โอ้ ไม่ได้ยินชื่อนี้มานานมากแล้ว อดคิดถึงมันไม่ได้จริงๆ”

 

ชายชุดดำกล่าว ขณะเดียวกันก็มองไปยังตัวเลขบนไพ่ของเขา

 

ภายในไพ่ ตัวเลขที่ผันแปรไปมาไม่มีที่สิ้นสุดได้หยุดนิ่งลงแล้ว

 

97

 

“97เลยหรือ ช่างเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม เจ้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโลกของเจ้าอย่างแท้จริง และไม่เต็มใจที่จะสูญเสียอีกฝ่ายไป”

 

บนใบหน้าของชายชุดดำ แสดงออกถึงรอยยิ้มแย้ม

 

“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังเป็นผู้ฝึกดาบ เอาล่ะ สามารถกลายเป็นผู้ฝึกดาบในนรกได้ สันนิษฐานว่ากำลังรบของเจ้าจะต้องไม่เลวแน่ๆ”

 

“ดีมาก ขอแสดงความยินดีด้วย เจ้าได้ผ่านรอบแรกแล้ว”

 

กู่ฉิงซานตกอยู่ในความมึนงงเล็กน้อย

 

ที่ทำไปนี่คือผ่านแล้วหรอ? แค่แป๊ปเดียวเท่านั้นเอง?

 

เดิมทีตนกำลังจะต่อสู้ภายในไพ่ แต่แล้วสุดท้ายก็กลับต้องเข้ามาในโลกแห่งความฝันของไพ่ใบนี้อีกที

 

หลังจากที่เข้าสู่ไพ่แห่งความฝัน ใครบางคนก็ได้ถือหนังสือมา และใช้ไพ่ทำการทดสอบตนเองอย่างต่อเนื่อง

 

ขณะที่กำลังคิด เขาก็เห็นว่าชายชุดดำได้ดึงไพ่อีกหกใบออกมาจากหนังสือเล่มหนา

 

ชายชุดดำประกอบไพ่ทั้งหกใบเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วเพื่อก่อร่างไพ่ขนาดใหญ่ขึ้น

 

บนหน้าไพ่ เป็นฉากสงครามขนาดใหญ่

 

วิญญาณร้าย , เทพวิญญาณ , จ้าวอสูร และอาชูร่าได้ก่อตั้งกองทัพที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

 

พวกเขากำลังเจรจากันในไพ่ และจัดพิธีสาบานตน

 

เทพวิญญาณยืนอยู่บนแท่นสูง และตะโกนอะไรบางอย่างออกไป

 

แล้วนักรบจากทั้งสี่โลกก็เริ่มสวมชุดเกราะ และคว้าจับอาวุธขึ้นในมือของพวกเขา

 

ฉากต่อไป ทั้งหมดได้กรีฑาทัพเข้าสู่โลกปรภพ

 

ภูเขาล้อมเหล็กที่นานนับหมื่นปีก็ยังไม่เคยเคลื่อนไหวใดๆพลันแยกตัวออก

 

พร้อมกับคนตายจากทั้ง 18 ขุมนรกที่กรูกันออกมา

 

กองทัพของทั้งสองปะทะกัน

 

สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

กู่ฉิงซานเพียงแค่มองดูจากระยะไกล กลับสัมผัสได้ถึงความหมายของความมหึมาของมัน

 

บัดนี้บังเกิดเสียงแว่วของท่วงทำนองเพลงอันเศร้าสร้อย และท่วงทำนองแห่งความหาญกล้าดังขึ้นมาตลอดเวลา

 

ชายชุดดำที่กำลังถือไพ่ใบนี้ แสดงออกถึงความโศกสลดบนใบหน้า

 

“ข้าไม่ทราบว่าเจ้าจะแบกรับความเข้มข้นของสงครามนี้ได้หรือไม่ ทว่าหากคิดหมายจะขึ้นเป็นราชาภูติ เจ้าจะต้องเข้าสู่ความฝันชั้นถัดไป เพื่อเป็นสักขพยานในยุคสมัยนั้น”

 

“นี่ถือเป็นการทดสอบด่านที่สองใช่หรือไม่?”

 

“ใช่”

 

“งั้นก็มาเริ่มกันเลย”

 

กู่ฉิงซานยื่นมือของเขาออกไปและสัมผัสลงบนไพ่

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.404 – ต่อสู้เพื่อตำแหน่งราชาภูติ

 

ตามคำแจ้งเตือนจากไม้เท้าแห่งการจองจำ  กู่ฉิงซานก็ได้กระโดดขึ้นไปบนเรือใหญ่

 

ที่ซึ่งเหล่าผู้เข้มแข็งจากทั้ง 18 ขุมนรกได้มารวมตัวกัน

 

“ในที่สุดตัวแทนจากนรกทะเลเลือดก็ออกมาซักที ดูท่าแล้วเจ้าหมอนี่คงจะไม่อ่อนแอเกินไปนัก”

 

บางคนมองมายังเขา และกล่าวด้วยรอยยิ้มกริ่ม

 

“ใช่ ไม่เหมือนเจ้ายักษ์ไร้สมองนั่น มาทำเป็นนั่งกินคนต่อหน้าพวกเรา คิดจริงๆหรือว่าพวกเราจะกลัว?”

 

“มันพยายามเขียนเสือให้วัวกลัวน่ะซี ภายนอกแข็งแกร่ง แต่ภายในอ่อนแอล่ะไม่ว่า”

 

“ตายซะได้ก็ดีแล้ว ข้าเกือบจะทนดูมันไม่ไหวพอดี”

 

ตัวตนแข็งแกร่งพากันกระซิบกล่าวถึงมัน

 

และคนตายทั้ง 17 คนต่างก็หันมามองกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

 

เจ็ดผู้คุมนรกน่ะรู้จักกันอยู่แล้ว แต่อีกสิบคนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเนี่ยสิ

 

หากอิงตามที่กระบี่ภูติตัดกระดูกกล่าว พวกมันสมควรที่จะเป็นอีกฝ่ายที่สนับสนุนให้มารปกครองนรกและทำลายโลก

 

กู่ฉิงซานเงยหน้ามองไปยังเจ็ดผู้คุมและเอ่ยถามว่า “จะให้ข้าเข้าร่วมกับพวกเจ้าได้ไหม?”

 

“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ชูร่าหญิงตอบรับด้วยรอยยิ้ม

 

แล้วในตอนนั้นเอง เสียงของชูร่าชายก็ดังขึ้น “พี่สาว เขาแข็งแกร่งอย่างที่ท่านพูดจริงๆน่ะหรือ?”

 

ชูร่าหญิงไม่ได้หันหน้ากลับไปตอบ เธอเพียงยื่นมือออกไปแล้วหยิกเอวชูร่าชายโดยตรง จนอีกฝ่ายต้องเงียบปากลง

 

ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีเสียงที่ฟังดูไม่พอใจดังขึ้น

 

“เจ้าหนู จะทำอะไรก็คิดให้ดีๆก่อน รู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้รึเปล่า?”

 

กู่ฉิงซานหันไปมอง แล้วก็พบว่ามันเป็นเสียงของยักษ์

 

ยักษ์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ

 

ซึ่งในบรรดาผู้คุมนรกทั้งเจ็ด ก็มีมนุษย์ปีศาจที่เรืองแสงสีทองปกคลุมไปทั่วร่างกาย คล้ายๆกับยักษ์ไฟอยู่เหมือนกัน

 

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองตนนี้หากเทียบเปรียบกัน ยักษ์ไฟในปัจจุบันดูเหมือนว่าจะทรงพลังมากกว่า

 

“เจ้าดูหน้าไม่คุ้นนะ แต่ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าสามารถฆ่าเจ้ายักษ์บ้านั่นได้ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังก็แล้วกัน” ยักษ์ไฟพูด

 

“ข้ายินดีรับฟังรายละเอียดเพิ่มเติม” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ความจริงก็คือ — เจ้าพวกเจ็ดคนที่อยู่ข้างหลังเจ้ามันเป็นแค่ไก่อ่อนขาดเขลา”

 

“ไก่อ่อน?” กู่ฉิงซานยิ้ม

 

เขาหันมามองเจ็ดผู้คุมนรก และเห็นว่าสีหน้าของทั้งหมดดูมืดหม่น เต็มไปด้วยความไม่พอใจ

 

แต่น่าเสียดาย ที่แม้ความแข็งแกร่งในรายบุคคลของแต่ละฝ่ายจะเท่ากัน ทว่าฝ่ายตรงข้ามมีถึงสิบ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องอดทนไว้ในเวลานี้

 

ยักษ์ไฟกล่าว “เจ้าไก่อ่อนพวกนั้น มันคิดจะสั่งสมบุญให้ตัวเอง เพื่อที่จะขจัดความทุกข์ทรมานจากนรกและกลับไปเกิดใหม่”

 

“แต่สำหรับคนตายแล้ว การอยากไปเกิดใหม่ นี่สมควรเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?”

 

“เจ้าโง่! ตอนนี้ปรภพน่ะแตกพ่ายแล้ว และพวกเราจะสามารถขึ้นไปยังโลกที่มีมนุษย์อยู่นับไม่ถ้วนได้ ตราบใดที่ได้กินร่างพวกมัน ความทุกข์ทรมานของพวกเราที่ได้รับจากนรกก็จะบรรเทาลง แล้วยิ่งถ้าได้กินจิตวิญญาณของพวกมันล่ะก็ พวกเราก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”

 

“ทีนี้เข้าใจแล้วรึยัง? ในเมื่อสถานการณ์ดีๆแบบนี้มันเกิดขึ้นแล้ว แต่พวกมันก็ยังคิดที่จะไปเกิดใหม่! ช่างโง่บรม!”

 

กู่ฉิงซานหันไปมองตัวตนแข็งแกร่งทั้งสิบและเอ่ยถามออกไปว่า “ฟังจากที่พูดมา หมายความว่าพวกเจ้าทุกคนกำลังคิดจะยึดครองโลกใช่หรือไม่?”

 

“แน่นอน เพราะนั่นมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว! มาเถอะ จงมาร่วมกับพวกเรา!” ยักษ์ไฟกล่าว

 

กู่ฉิงซานยังคงมีข้อสงสัย เขาเอ่ยถามต่อว่า “หากเรากินคนเข้าไป บาปจะไม่ยิ่งหนักหนาขึ้นหรอกหรือ แล้วในกรณีที่ถ้าวันหนึ่ง ทางปรภพกลับมาสงบอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องกลับไปทุกข์ทรมานดังเดิม หรืออาจจะร้ายแรงกว่าเดิม แล้วไม่มีโอกาสที่จะหลุดพ้นออกไปจากทะเลแห่งความทุกข์ระทมนี้อีกเลยหรอกหรือ?”

 

“ก็เพราะอย่างงั้น พวกเราถึงได้ร่วมมือกับเผ่ามารเพื่อทำลายนรกอย่างไรเล่า แล้วจากนั้นก็ยกพลทั้งหมดพากันบุกไปยังโลกนี่ไง” ยักษ์ไฟตะเบ็งเสียงอย่างภาคภูมิใจ

 

“ข้าเข้าใจแล้ว ช่างขลาดเขลาเป็นไก่อ่อนจริงๆด้วย” กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

เหล่าตัวตนที่แข็งแกร่งทั้งสิบพอได้ยินเขาพูดแบบนั้น พวกมันก็ต่างพากันยิ้มออกมา

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานกลับถอยหลังไป และมาหยุดยืนอยู่เคียงข้างกับผู้คุมนรกทั้งเจ็ด

 

“นั่นเจ้าคิดจะทำ- ”ยักษ์ไฟกล่าวด้วยความสับสน

 

“กระทั่งบาปของตนเองก็ยังมิกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน แต่ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นว่าพวกเจ้าดันเลือกที่จะกระทำความผิดบาปมากขึ้น เติมเต็มความชั่วร้ายให้แก่ตนเอง ช่างขลาดเขลาเสียจริง” กู่ฉิงซานก่นด่า

 

“บาปน่ะคือความสุขที่แท้จริง อย่าบอกข้านะว่ายามกระทำมัน เจ้ามิเคยรู้สึกเป็นสุขเลย?” ยักษ์ไฟสวนพลางมองมาที่เขา

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น จ้องสวนกลับไปยังฝ่ายตรงข้าม

 

บัดนี้ดวงตาของทั้งสองจ้องสบกัน

 

ภายในดวงตาของยักษ์ไฟ มันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและบ้าคลั่ง

 

มันไม่คิดจะปกปิดสิ่งนี้เลย

 

“สังหารผู้คนได้โดยตาไม่กระพริบ , กลิ่นคาวเลือดอันหอมหวานฟุ้งติดตัว , ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสิ่งใด , ทำทุกวิธี ทุกหนทางแม้มันจะเป็นเรื่องเลวร้ายก็ตามเพียงเพื่อให้ได้ไขว่คว้าเป้าหมายของตนเอง – เจ้ามนุษย์ ข้ารู้ดีว่าเจ้าน่ะเป็นคนประเภทนั้น … เป็นเช่นเดียวกันกับพวกเรา!”

 

“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“กลิ่นอย่างไรเล่า! ข้าสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นที่คล้ายคลึงกัน! เจ้าน่ะเป็นปีศาจที่แสนร้ายกาจ เหมือนกันกับข้า!” ยักษ์ใหญ่คำราม

 

“สังหาร-” กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “บางทีในตอนที่ลงมือสังหาร พวกเราอาจจะเป็นเหมือนกันก็ได้”

 

ชูร่าหญิงกำอาวุธในมือของเธอแน่นขึ้น

 

คนอื่นๆทางฝั่งผู้คุมนรกทั้งเจ็ดก็เริ่มประหม่าแล้วเช่นกัน

 

พวกเขาตระหนักดีถึงความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน

 

ฝั่งตัวตนทั้งสิบที่อยู่ตรงข้ามหันมาสบตากันวูบหนึ่ง ก่อนจะเผยสีหน้ายิ้มแย้มออกมาอย่างชัดเจน

 

“ใช่แล้ว วายร้ายน่ะมันจะเข้าใจวายร้ายด้วยกันมากที่สุดแล้ว!”

 

“มันเป็นประเภทเดียวกันกับพวกเรา!”

 

“มีปีศาจร้ายเพิ่มขึ้นมาอีกตนแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”

 

พวกมันเริ่มพูดคุยกันอย่างไร้ยางอาย

 

แต่กู่ฉิงซานก็ยังกล่าวต่อว่า “ยังไงก็ตาม พวกเราน่ะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”

 

“แตกต่างอย่างไร? เจ้าต้องการจะบอกว่าเจ้าน่ะโหดเหี้ยมกว่าข้าอย่างงั้นรึ?” ยักษ์ใหญ่หัวเราะ

 

“ฟังนะเจ้าหนู ข้าน่ะ สังหารคนมาแล้วมากกว่า 10000 คน!”

 

ถัดไปจากยักษ์ใหญ่ หญิงมนุษย์ปีศาจตะโกนข้ามมา

 

น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนว่ากำลังอวดโอ้

 

คนตายรอบข้างเธอเริ่มส่งเสียงโห่ร้อง

 

ทว่าสีหน้าของกู่ฉิงซานกลับยังคงสงบ

 

เขาเอ่ยกระซิบ “การสังหารน่ะเป็นเพียงส่วนหนึ่งในอาชีพของข้า แต่สำหรับเจ้าน่ะ แท้จริงแล้วเป็นเพียงวิญญาณร้ายที่ถูกครอบงำโดยการฆ่าเท่านั้น ดังนั้นพวกเราจึงแตกต่างกัน”

 

“สังหารมาแล้วมากกว่า 10000 คน … บางทีบุพการีเจ้าคงจะอบรมสั่งสอนมาไม่ดี และนั่นคงจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ผลิตขยะเช่นนี้ออกมา ช่างนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับคนในโลกเดิมของเจ้าจริงๆ ”

 

บังเกิดความเงียบขึ้น

 

ชูร่าหญิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ขณะที่สีหน้าผู้คุมนรกทั้งเจ็ดคลายลง และเผยถึงความปิติออกมา

 

สิบตัวตนสุดแกร่งโกรธแค้น

 

ยักษ์ไฟระเบิดพลังของมันออกมาอย่างกระทันหัน

 

ขณะที่มนุษย์ปีศาจหญิงถลาเข้าหาเขาอย่างดุร้าย

 

“ตายซะ!” เธอหวีดร้องโวยอย่างบ้าคลั่ง

 

“หยุดนะ! เจ้ากล้าหรอ!” ชูร่าหญิงชักกระบี่ออกมา แล้วพุ่งไปข้างหน้าเพื่อขวางเธอ

 

“เรามีกันถึงสิบคน! คิดว่าตนเองเป็นชูร่าแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นหรือ?”มนุษย์ปีศาจหญิงหวีดร้องคลุ้มคลั่ง

 

“ตราบใดที่เจ้ากล้าลงมือล่ะก็ ข้าสัญญาเลยว่าข้านี่แหละจะสังหารเจ้าก่อนเป็นคนแรก!” ชูร่าหญิงสวนกลับอย่างดุเดือด

 

ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดก้าวออกมารวมตัวกัน

 

ยักษ์ใหญ่คำราม

 

สิบตัวตนแข็งแกร่งพร้อมจะปะทะแล้ว

 

กู่ฉิงซานค่อยๆชักดาบออกมาอย่างช้าๆ

 

ทว่าในขณะนั้นเอง เห็นแค่เพียงไม้เท้าที่ตกลงมาจากอากาศอันบางเบา

 

ตัวไม้เทาเป็นสีดำ ส่วนหัวเป็นกะโหลกแหลม ขณะที่ทั้งร่างของมันกำลังปลดปล่อยหมอกสีดำออกมา

 

-ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ

 

จู่ๆมันก็ปรากฏขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

วู้มมม-

 

ไม้เท้าแห่งการจองจำลอยอยู่บนดาดฟ้าเรือ เปล่งเสียงหวิวที่ฟังคมชัด

 

ทุกคนหยุดชะงักไป

 

ข้อความจากไม้เท้าถูกส่งเข้ามาในจิตใจของทุกผู้คน

 

‘ผู้ใดก็ตามที่เริ่มลงมือ จะถูกตัดสิทธิ์ทันที’

 

“โชคดีจริงๆนะเจ้าหนุ่มน้อย!” มนุษย์ปีศาจหญิงกล่าวด้วยนัยน์ตาขุ่นเขียว

 

“เจ้าต่างหากที่โชคดี เพราะเจ้าน่ะมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก” ชูร่าหญิงถากถางอีกฝ่าย

 

แน่นอนว่ามนุษย์ปีศาจหญิงย่อมโกรธที่ได้ยิน ทว่ามันก็พยายามยับยั้งตนเองอย่างเต็มที่

 

“คอยดูเถอะ ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะทรมานเจ้าให้สาสม นังหญิงตัวเหม็น” เธอกล่าว

 

ชูร่าหญิงกำลังจะสวนกลับ แต่แล้วเธอก็ต้องหุบปากลง

 

ทุกคนหยุดทั้งการสื่อสารและเคลื่อนไหว สายตาเบนขึ้นไปจับจ้องยังไม้เท้าแห่งการจองจำ

 

เพราะเวลานี้ จู่ๆก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นบนไม้เท้า มันเริ่มทำงานอย่างกระทันหัน

 

จุดแสงสว่างปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า เริ่มหมุนวนโคจร ซ้อนทับเข้าด้วยกัน

 

จุดแสงเหล่านี้เวียนวนรอบหัวกะโหลกแหลมบนตัวไม้เท้าอย่างเงียบๆ

 

หนึ่ง , สอง , สาม , สี่ … รวมทั้งสิ้น 54 จุดแสง

 

จุดแสงโคจร หมุนวน และซ้อนทับเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มมวลแสงที่พร่างพราว

 

ความสว่างของแสงนี้ สาดส่องผ่านทุกสิ่งอย่าง และทำให้ตลอดทั้งอากาศที่ว่างเปล่าไสวราวกับกลางวัน

 

สิบแปดผู้แข็งแกร่งทนไม่ไหวจำต้องปิดตาของพวกเขาลง ไม่ก็หันหลังไปอีกทาง

 

ทันใดนั้นรังสีแสงก็แยกตัวออกไป

 

พร้อมกับสิ่งหนึ่งที่ปรากฏสู่สายตาเบื้องหน้าของทุกผู้คน

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.403 – กลิ่นจางๆของกุหลาบป่า

 

โลกมนุษย์

 

ณ เมืองหลวงของรัฐบาลกลาง

 

โลงศพคราคร่ำ เบียดเสียดปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

 

โลงศพเหล่านี้ลอยอยู่กลางเวหา แกว่งไกวไปมาราวกับกำลังล่องอยู่ในแอ่งน้ำ

 

อย่างไรก็ตาม โลงศพเหล่านี้มิได้ลอยอยู่เฉยๆ พวกมันสามารถเคลื่อนที่ได้

 

และพวกมัน ก็กำลังค่อยๆบินไปยังแถบชานเมืองของเมืองหลวงอย่างช้าๆ

 

ณ วิลล่าบนหุบเขา

 

สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าและประธานาธิบดีอยู่ในห้องนั่งเล่น

 

ก่อนที่กู่ฉิงซานจะเดินทางไปยังโลกปรภพ เทพธิดากงเจิ้งได้ทำตามคำขอของเขา โดยการแจ้งข่าวให้สองผู้นำที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกมนุษย์ก่อนเป็นอันดับแรก

 

สาธารณรัฐฟูซีกับรัฐบาลกลางได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในระยะเวลาอันสั้น

 

เพื่อต่อกรกับกองทัพนรกที่กำลังใกล้เข้ามา กองทัพจักรกลของทั้งสองประเทศจึงได้ถูกส่งมอบให้เทพธิดากงเจิ้งและม่านเหล็ก คอยทำหน้าที่รับผิดชอบโดยสมบูรณ์

 

เฝ้ามองมายังกู่ฉิงซานที่อยู่ในลักษณะราวกับหลับลึก สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าก็กล่าวออกมาว่า “เขาสามารเดินทางไปยังปรภพได้จริงๆหรือนี่ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”

 

ขณะเดียวกัน สีหน้าของประธานาธิดีบค่อนข้างที่จะกังวลเล็กน้อย

 

เขาเอ่ยถามเทพนักสู้ “สถานการณ์ด้านนอกเป็นยังไงบ้าง?”

 

เทพนักสู้ซางซ่งหยางตอบกลับมา “นรกจากทั่วทุกสถานที่จู่ๆก็เคลื่อนกำลัง มุ่งตรงมาทางนี้ ฉันเดาว่ากู่ฉิงซานอาจจะได้ลงมือทำอะไรบางอย่างในปรภพไปแล้วก็ได้‘

 

“มันไม่สำคัญหรอก เทพธิดากงเจิ้งบอกว่าศัตรูน่ะมีจำนวนไม่มากนัก แล้วคนตายก็ดูเหมือนว่าจะถูกขัดขวางโดยบางสิ่งบางอย่างอยู่” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

ว่าจบ เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น “รายงานทุกท่าน เรือรบประจันบานพบกลุ่มของมนุษย์ปีศาจกำลังบินใกล้เข้ามายังรัฐบาลกลางอย่างรวดเร็ว ขณะนี้กองยานรบที่เข้าไปขวางได้ถูกทำลายลงแล้ว”

 

ซางซ่งหยางผุดลุกขึ้น “งั้นฉันจะไปเอง”

 

ซางหยิงฮ่าวมองไปที่เขาแล้วเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ “แน่ใจหรอ ตอนนี้ปู่มีพื้นฐานวรยุทธอยู่ในขั้นไหนแล้วล่ะ ถึงได้กล้าพูดแบบนี้”

 

“แก่นทองคำ”

 

ภายในห้องพลันเงียบงันลง

 

ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเหลือบมองกันวูบหนึ่ง

 

“นี่มันเป็นไปไม่ได้ กู่ฉิงซานช่วยเขาโดยการมอบให้แค่เทคนิคลับเท่านั้น แต่พวกเม็ดยาหรืออะไรนอกจากนี้ ก็ไม่ได้มอบให้เลยนี่นา แล้วทำไมปู่ถึงยกระดับได้รวดเร็วนักล่ะ?” ซางหยิงฮ่าวงง

 

ในความเป็นจริงแล้ว ไอ้สิ่งที่เรียกกันว่าการฝึกยุทธน่ะมันมิใช่อารยธรรมที่มีในโลกนี้ก็จริง แต่ด้วยตัวตนที่สามารถไต่เต้าขึ้นมาได้ถึงตำแหน่งเทพนักสู้ ก็ย่อมต้องมีพรสวรรค์ที่สูงส่งเป็นธรรมดาอยู่แล้ว นี่จึงพออธิบายได้ว่าพรสวรรค์โดยกำเนิดของชายผู้นี้น่าสะพรึงขนาดไหน

 

ซางซ่งหยางเป็นรุ่นที่โดดเด่นที่สุด อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยสัมผัสกับอำนาจที่ไม่รู้จักอย่างพลังวิญญาณมาก่อนเลย

 

ทว่าตอนนี้ กลับกลายเป็นกู่ฉิงซานที่ดึงเขาเข้ามาสู่เส้นทางใหม่

 

และความแข็งแกร่งของเทพนักสู้ก็ทะยานขึ้นอย่างก้าวกระโดด ขอบเขตวรยุทธของเขาจึงพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

หลังจากที่ซางซ่งหยางเดินจากไป

 

ไม่นานนักความเงียบก็ถูกทำลายลง โดยเสียงของเทพธิดากงเจิ้งที่ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“แจ้งเตือน ได้รับข้อมูลมาว่ามียักษ์ใหญ่หลายพันตนกำลังเคลื่อนพลออกจากทะเลทราย”

 

เย่เฟย์หยูที่นั่งอยู่ผุดลุกขึ้น แต่แล้วเขาก็จำต้องนั่งลงอีกครั้ง

 

“ไม่ได้สิ ฉันจะต้องเฝ้าปกป้องเขาที่นี่” เย่เฟย์หยูบ่นพึมพำ

 

“งั้นฉันจะพาใครซักคนออกไปลุยกับพวกมันเองก็แล้วกัน” ซางหยิงฮ่าวลุกขึ้นยืนและกล่าว

 

สมเด็จจักรพรรดินีมองซางหยิงฮ่าว “เทพธิดากงเจิ้ง ข้าอนุญาตให้ซางหยิงฮ่าวสามารถออกคำสั่งแก่มืออาชีพทั้งหมดในสาธารณรัฐฟูซีได้”

 

“พะยะค่ะฝ่าบาท” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

ซางหยิงฮ่าวตัวแข็งทื่อ เขาเอ่ยออกมาด้วยความลังเลใจ “ฝ่าบาท นี่ท่าน … ”

 

เวโรน่าตบไหล่ของซางหยิงฮ่าว “ไปเถอะ เจ้าเป็นผู้นำที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการสังหาร”

 

ซางหยิงฮ่าวสูดลมหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “พะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาท”

 

แล้วเขาก็ออกไปอย่างรวดเร็ว

 

ไม่นานนัก เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“แจ้งเตือน!”

 

“โลงศพที่อยู่เหนือนน่านฟ้าของเมืองหลวง จู่ๆก็เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่มากขึ้น!”

 

“หลังจากนี้อีก 17 นาที พวกมันจะมาถึงสถานที่แห่งนี้!”

 

“รายงานสถานการณ์เสร็จสมบูรณ์แล้ว ผู้บัญชาการรบสูงสุดโปรดทำการตัดสินใจด้วย!”

 

ประธานาธิบดีกล่าวทันที “ฉันอนุมัติให้ส่งกำลังทหารทั้งหมดออกไปตอบโต้ศัตรูเต็มกำลัง ส่วนเขตทหารอื่นๆ ก็ขอให้ทำการระดมพล และเตรียมพร้อมเข้ามาเป็นกำลังเสริมตลอดเวลา”

 

เทพธิดากงเจิ้ง “ไม่ขัดข้อง!”

 

“สาม , สอง , หนึ่ง – กองกำลังติดอาวุธเริ่มทำการโจมตีได้!”

 

ทันทีที่เสียงนี้ตกลง ทั้งโต๊ะทั้งเก้าอี้ตลอดทั้งตัววิลล่าบนภูเขาก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นพร้อมกัน

 

ตามด้วยเสียงระเบิดของปืนใหญ่ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ตูม ตูม ตูมมมมมมม!

 

รังสีแสงทะลุสาดเข้ามาทางหน้าต่าง ส่งผลให้ทั้งห้องสว่างขึ้นราวกับตอนกลางวัน

 

เรือรบประจันบานและเกราะรบขับเคลื่อนขนาดยักษ์ถูกปล่อยตัวออกมาไม่มีกั๊ก

 

ส่วนผู้คนในเมืองหลวง ทั้งหมดได้ถูกอพยพออกไปตั้งนานแล้ว

 

ดังนั้นเมืองนี้จึงเปรียบดั่งเป็นแนวหน้าของสงครามแห่งการเผชิญหน้ากันระหว่างมนุษย์กับนรก

 

“รายงาน! มีมอนสเตอร์จำนวนมากอยู่ในโลงศพ และพวกมันกำลังโจมตีตำแหน่งป้องกันของเรา!”

 

“หลังจากการวิเคราะห์ข้อมูล กลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือการต่อสู้ทางอากาศ”

 

“ส่งคำสั่งของฉันออกไป ให้ทีมเฉพาะของเกราะรบเชิงกลเร่งโจมตีเต็มกำลัง!”

 

“น้อมรับคำสั่ง!”

 

เสียงคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไปทั่วท้องฟ้า

 

หลังจากนั้นไม่นาน เทพธิดากงเจิ้งก็รายงานอีกครั้ง

 

“สถานการณ์ต่อสู้เข้าสู่สถานะหยุดชะงัก การโจมตีด้วยปืนใหญ่ได้ถูกอีกฝ่ายหยุดลงแล้ว ขณะนี้ทีมเกราะรบขับเคลื่อนที่หนึ่ง สอง และเจ็ดที่อยู่ห่างออกไปจากสนามรบกว่า 15 กิโลเมตรกำลังจะไปเป็นกำลังเสริมในการต่อสู้นี้”

 

“เทพธิดากงเจิ้ง ช่วยส่งรายงานตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อครู่ให้ฉันหน่อยสิ” ประธานาธิบดีร้องขอ

 

“รับทราบ ใต้เท้า”

 

แล้วแถวตัวเลขก็ปรากฏขึ้นบนสมองควอนตัมของประธานาธิบดี

 

ประธานาธิบดีเฝ้ามองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดสองตาลงด้วยความเจ็บปวด

 

“ฉิงซาน เธอจะทำสำเร็จจริงๆใช่ไหม?” เขาเอ่ยงึมงำ

 

ภายในห้องจมลงสู่ความเงียบ

 

“ปัง!”

 

ทันใดนั้นประตูก็ถูกเตะออก

 

สีหน้าของเย่เฟย์หยูแปรเปลี่ยนกลับกลาย เขากระโจนขึ้นอย่างฉับพลัน เคลื่อนกายมาปกป้องกู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องหลังเขา

 

ทว่าแท้จริงแล้วกลับได้ยินเสียงหวีดด้วยความโมโหของผู้หญิงดังขึ้นมา

 

“ซูเซี่ยเอ๋อ! เสนอหน้าออกมาหาฉันเดี๋ยวนี้!”

 

เธอราวกับกลุ่มก้อนเปลวเพลิงที่ถูกโยนเข้ามาในห้องนั่งเล่น อุณหภูมิโดยรอบทั้งหมดทะยานสูงขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“อ้าว? แอนนา! นั่นเธอเองหรอ!”

 

เย่เฟย์หยูผ่อนคลายลง

 

เลือดสังหารในกายเขาถูกดูดกลับคืน

 

“ใช่แล้ว เป็นเธอนั่นเอง ดังนั้นฉันจึงไม่กล้าที่จะหยุดมิสแอนนา” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น

 

เห็นแค่เพียงแอนนาที่เดินเข้ามา ตามด้วยหมาดำ

 

เธอมองไปที่กู่ฉิงซานก่อนเป็นคนแรกแว่บหนึ่ง ก่อนจะเห็นประธานาธิดีบของรัฐบาลกลางและสมเด็จจักรพรรดินีเวโรน่า

 

สีหน้าของแอนนาเผยถึงความประหลาดใจออกมาทันที

 

“ท่านป้า ทำไมท่านป้าถึงมาอยู่ที่นี่? แล้วซูเซี่ยเอ๋อล่ะ?”

 

เธอเอ่ยถาม และจู่ๆก็รู้สึกว่าบรรยากาศในห้องพักมันแลดูจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

บรรยากาศในที่นี้เต็มไปด้วยความหนักอึ้งและโศกสลด

 

มองไปยังกู่ฉิงซานอีกครั้ง และพบว่าสองตาของเจ้าตัวบัดนี้ปิดลง นั่งนิ่งงันโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ

 

อย่าบอกนะว่-

 

แอนนาถลาเข้าไปคว้าข้อมือของกู่ฉิงซาน

 

เนื้อตัวเย็นเฉียบ ไร้ซึ่งชีพจร

 

เขาตายไปแล้ว

 

สีหน้าของแอนนาเริ่มซีดขาว

 

น้ำตาที่มิอาจหักห้ามได้ไหลลงมาเป็นสาย

 

เธอปาดน้ำตาออก ขณะที่เปลวเพลิงแห่งความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดแล้วเดือดดาลขึ้นตามร่างกายเธอ

 

ผมสีแดงเพลิงลุกชันเป็นฟืนเป็นไฟ เปลี่ยนกลายเป็นสีดำโดยอัตโนมัติ กระแสอากาศถูกเผาไหม้จนเกิดกลุ่มควันดำฟุ้งไปทั่ว

 

อากาศเริ่มสั่นสะเทือน

 

แจกันตรงขอบประตูพลันเด้งขึ้นจากพื้น และค่อยๆถูกยกขึ้นไปลอยในอากาศด้วยพลังที่มองไม่เห็น

 

“ใครฆ่าเขา! ฉันจะหั่นมันให้เป็นชิ้นๆ!!!”

 

แอนนาแผดเสียงด้วยความเกลียดชัง

 

“สงบลงก่อน เขายังไม่ตาย” หมาดำกล่าวออกมา

 

มันวิ่งเหยาะๆไปข้างๆกู่ฉิงซาน และยื่นจมูกไปดมกลิ่นของเขา

 

“อื้ม นี่ไม่ใช่กลิ่นของความตายจริงๆด้วย”

 

หมาดำวนไปๆมาๆหน้ากู่ฉิงซานด้วยความสนใจ “แม้จะดูเหมือนว่าได้ตายไปลงแล้ว แต่ในความเป็นจริงพลังชีวิตทั้งหมดกลับยังคงผูกติดอยู่กับร่าง เพื่อเหนี่ยวนำจิตวิญญาณให้สามารถสัมผัสกับปรภพได้”

 

“หลักแหลมจริงๆ” หมาดำทอดถอนหายใจ ปากเอ่ยสรรเสริญ

 

จู่ๆเย่เฟย์หยูก็ผุดลุกขึ้น

 

คู่เดือยแหลมที่ดูน่าผวาปูดออกมาจากเบื้องหลังเขา

 

“แอนนา เธอมาที่นี่ได้ถูกจังหวะจริงๆ แต่ยังไงก็ช่วยมั่นใจว่าจะต้องปกป้องกู่ฉิงซานให้ได้ล่ะ ส่วนฉันขอไปรับมือกับศัตรูก่อน”

 

เขาเปิดประตู ก่อนจะทะยานบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเบื้องบน มุ่งหน้าสู่น่านฟ้าของเมืองหลวง

 

แอนนาได้สติกลับคืน

 

ดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานจะยังไม่ตาย

 

เปลวเพลิงสีดำบนตัวเธอมอดดับลง

 

ผมสีดำไหม้ที่ชูชันขึ้นในอากาศค่อยๆเปลี่ยนกลับมาเป็นสีแดงอีกครั้ง

 

แจกันที่ลอยอยู่หล่นลงกับพื้น ทว่ามันกลับไม่ส่งเสียงตกกระทบใดๆออกมา แต่ก็ช่างเถอะ แค่มันยังอยู่ในสภาพเดิมก็ดีแล้ว

 

แอนนามองไปทางสมเด็จจักรพรรดินีเวโรน่าแล้วรีบเอ่ยถามว่า “ท่านป้า นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

 

“ท่านป้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

 

“อ๊ะ! แล้วนังซูเซี่ยเอ๋อมันไปอยู่ที่ไหน!”

 

เวโรน่าถอนหายใจ “แอนนา เจ้าเป็นผู้นำตระกูลเมดิซีนะ แล้วในเร็วๆนี้ก็จะกลายเป็นผู้ปกครองจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ด้วย เหตุใดจึงไม่มีความสงบจิตสงบใจเช่นนี้”

 

แล้วเวโรน่าก็เล่าทุกเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นทั้งหมดออกมาอีกครั้ง

 

ดวงตาของแอนนาเปล่งประกายสดใส เธอกล่าวเสียงกระซิบออกมา “เขาทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับฉัน … ”

 

เธอค่อยๆยกนิ้วขึ้นมาเกี่ยวปลายผมแล้วม้วนมันเบาๆ

 

“สัญญา? สัญญาอะไรกัน?” เวโรน่าเอ่ยถาม

 

“อ๊ะ ไม่มีอะไรหรอกท่านป้า” ใบหน้าของแอนนาเริ่มจะแดงเรื่อขึ้น

 

-ตูม!

 

ตลอดทั้งวิลล่าจู่ๆก็สั่นสะเทือน

 

สีหน้าของแอนาเปลี่ยนไป เธอเอ่ยออกมา “หนูจะไปดูเอง!”

 

เธอเคลื่อนกายกระโดดออกทางหน้าต่าง บินขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

เห็นแค่เพียงเย่เฟย์หยูที่ถูกฟาดตีดังโครม!เข้าใส่ภูเขา แรงปะทะก่อให้เกิดหลุมลึกที่แลดูคล้ายปล่องภูเขาไฟขนาดย่อมขึ้น

 

บนพื้นราบไม่ไกลจากภูเขา ยักษ์ใหญ่นับไม่ถ้วนกำลังเดินทัพมาอย่างช้าๆ

 

“ใกล้ๆนี่แหละ” เสียงยักษ์ใหญ่คำราม

 

ในภูเขา เส้นแสงเลือดสังหารพวยพุ่งขึ้นเหนือท้องฟ้า

 

เย่เฟย์หยูถุยฟองเลือดออกมาจากปากและกล่าวว่า “บ๊ะ! เมื่อกี้ฉันแค่ประมาทไปหน่อยทำนั้นเอง!”

 

เขาคำรามคลั่ง แปรเปลี่ยนร่างตนเป็นภาพติดตา และพุ่งเข้าใส่ฝูงยักษ์อีกที

 

แอนนามองไปยังทิศทางของยักษ์ จากนั้นก็มองไปทางโลงศพมากมายที่ลอยอยู่ไกลออกไป

 

ก่อนจะก้มลงมองวิลล่าเบื้องล่าง ซึ่งเป็นสถานที่ๆกู่ฉิงซานยังคงหลับไหลอยู่

 

ดูเหมือนว่าเป้าหมายของนรกเหล่านี้จะเป็นกู่ฉิงซานจริงๆ

 

ผมยาวสีแดงเพลิงสยายไปตามสายลม คู่ดวงตาอันงดงามของแอนนาค่อยๆหรี่แคบลง

 

ตามด้วยเสียงกระซิบอันไพเราะอันอ่อนโยนที่ลอยตามไปกับกระแสลม

 

“กล้าดียังไงถึงคิดจะมาทำร้ายชายที่ฉันหมายปองเอาไว้ … ”

 

“เทพแห่งความตายอันเป็นนิรันดร์!”

 

เธอกำหมัดขึ้น และ

 

ปัง!

 

ทันใดนั้นจู่ๆเปลวเพลิงทมิฬก็พลันปะทุขึ้นจากเหนือน่านฟ้าบริเวณนอกภูเขา

 

เปลวเพลิงกระจายเป็นจุดดวงดารา ปกคลุมตลอดทั้งอากาศที่ว่างเปล่า

 

พริบตานั้นเมฆหมอกก็ถูกบดบังโดยสมบูรณ์

 

ตลอดทั้งภูเขาที่ล้อมรอบตัวเมืองหลวงของรัฐบาลกลาง บัดนี้ตกอยู่ในความมืดมิด

 

ตามด้วยรูปร่างหนึ่งที่ใหญ่โตปกคลุมไปทั่วฟ้า บดบังทั้งแสงอาทิตย์ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าภูเขา

 

โลงศพที่ลอยอยู่ในอากาศ บัดนี้ตกอยู่ภายใต้เมฆเบื้องหน้า

 

ยามอยู่ต่อหน้าร่างอันใหญ่โตไร้ที่เปรียบ แอนนาก็เปล่งเสียงกระซิบอันนุ่มนวลออกมา “ท่านเทพสุนัข ตรงหน้าท่านคืออาหารกลางวันสำหรับวันนี้”

 

“ไหนขอเราดูซิ โอ้ พวกมันล้วนเป็นจิตวิญญาณชั่วร้ายจากนรก นี่ช่างเข้ากับรสนิยมของเราเสียจริงๆ”

 

ร่างอันใหญ่ไร้ที่เปรียบกล่าวอย่างสบายๆไร้กังวล ทว่าในทุกๆกระแสเสียงของมันกลับถึงขั้นสั่นสะเทือนอากาศโดยรอบได้

 

ร่างนี้ประกอบไปด้วยเปลวเพลิงทมิฬอันมืดมิดโดยสมบูรณ์ มันสูงยิ่งกว่าตึกระฟ้าหลายเท่านัก

 

เทพสุนัขตัวมโหฬารเผยคมเขี้ยวในปากของมันออกมา และก้มลงมองไปยังมื้ออาหารกลางวันเบื้องล่าง

 

“แอนนาน้อย อย่าลืมเตรียมสุราอร่อยๆสำหรับวันนี้เอาไว้ด้วยล่ะ”

 

“เจ้าค่ะ!”

 

“งั้นเราจะเริ่มกินล่ะนะ”

 

เปลวเพลิงทมิฬถูกพ่นออกมาจากร่างที่บดบังไปทั้งผืนฟ้าไม่เว้นกระทั่งแสงจากดวงอาทิตย์ สาดลงไปยังพื้นที่ราบเบื้องล่าง

 

และบริเวณพื้นที่ราบกว้างใหญ่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงโดยสมบูรณ์

 

เหล่ายักษ์ใหญ่ต่างก็ถูกกลืนกินโดยเพลิงทมิฬนี้

 

ยักษ์ตัวหนึ่งแผดเสียงดังออกมา และพยายามต่อต้านเปลวเพลิงสีดำนี้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มันมี

 

ทว่าไร้ประโยชน์! ร่างอันใหญ่โตของมันสุดท้ายก็ค่อยๆถูกกลืนกินลงโดยเพลิงดำ

 

ยักษ์ใหญ่ยอมแพ้ที่จะดิ้นรนขัดขืน มันตะโกนด้วยความโกรธว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ! ฟื้นตื่นคืนจากการหลับไหลเมื่อไหร่ข้-”

 

แต่แล้วเสียงที่ฟังดูเห็นอกเห็นใจก็ดังลงมาจากอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องบน

 

“ตื่นงั้นหรอ? เจ้ามดที่น่าสงสาร สิ่งที่กำลังรอเจ้าอยู่ต่อจากนี้คือความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์ และจิตวิญญาณของพวกเจ้าจะกลายมาเป็นพลังให้แด่เรา”

 

นี่คือเสียงของเทพสุนัข

 

เพลิงทมิฬกลับมารวมตัวอีกครั้ง และช้อนตัวสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อร่างเป็นรูปเทพสุนัข

 

“ถึงแม้จะเป็นเพียงมด แต่รสชาติจิตวิญญาณก็ยังคงยอดเยี่ยม … ”

 

เทพสุนัขครางออกมาอย่างมีความสุข

 

คราวนี้มันจ้องมองไกลออกไปทางโลงศพที่ลอยอยู่ทั่วฟ้า

 

“นี่มันกลิ่นอายของเทพ!”

 

“มันเป็นเทพ!”

 

“หนีเร็วเข้า หากถูกกินโดยมัน พวกเราจะไม่สามารถคืนชีพจากการหลับไหลได้”

 

เสียงตื่นตระหนกและหวาดกลัวนับไม่ถ้วนดังออกมาจากภายในโลงศพ

 

แล้วโลงทั้งหมดที่คราคร่ำไปทั่วน่านฟ้าก็แตกกระเจิงหนีออกไป

 

เทพสุนัขเฝ้ามองดูเหล่าโลงศพที่เผ่นหนีไปอย่างเงียบๆและกล่าวว่า “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย กลับกลายเป็นเพียงพวกขี้ขลาด – แต่การกระทำของพวกเจ้าน่ะมันไร้ประโยชน์!”

 

เทพสุนัขเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก กระแสเสียงของมันก้องกังวานออกไปทั่วฟ้า

 

เมฆเพลิงทมิฬกระจายตัวออกจากร่างของมัน และไล่ล่าเหล่าโลงศพที่พากันหลบหนีออกไป

 

ณ วิลล่าบนภูเขา

 

เวโรน่ากับประธานาธิบดียืนเคียงข้างกันอยู่ตรงหน้าต่าง เฝ้ามองฉากอันน่าตกตะลึงนี้อย่างเงียบๆ

 

“ใต้เท้า พอได้เห็นกับตาแล้วท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?” สมเด็จพระจักรพรรดินีเอ่ยถาม

 

“โลกไม่ใช่อย่างที่มันเคยเป็นมาก่อนอีกต่อไปแล้ว” ประธานาธิบดีถอนหายใจ

 

“ดังนั้น แล้วจากนี้ไปสหพันธรัฐ รัฐบาลกลางจะเอายังไงต่อ? ผู้คนทางฝั่งคุณได้เตรียมการที่จะฝึกยุทธแน่นอนแล้วใช่ไหม?” เวโรน่าเอ่ยถามอีกครั้ง

 

ประธานาธิบดียื่นมือของเขาออกไป และสะบัดนิ้วเบาๆ

 

ทันใดนั้นแจกันที่ตกกลิ้งลงบนพื้นก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆเคลื่อนกลับมาตั้งตรงดังเดิมอีกครั้งอย่างเงียบๆ

 

ตามด้วยกุหลาบป่าพวงหนึ่งในแจกันลอยออกมา ตกลงในมือของประธานาธิบดี

 

“ปราณปรับแต่งสินะ ขั้นไหนแล้วล่ะ?” เวโรน่าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

“ปราณปรับแต่งขั้นสาม กำลังจะทะลวงต่อไปขั้นสี่”

 

ประธานาธิบดีสูดกลิ่นจางๆของกุหลาบป่าและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ฟังจากที่กู่ฉิงซานเล่ามา ว่าขอบเขตวรยุทธยิ่งสูง มนุษย์ก็จะยิ่งได้รับพลังอำนาจ แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และจะสามารถต่อกรกับกองกำลังชั่วร้ายของเผ่ามารได้”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” เวโรน่าผงกหัวตอบรับ

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.402 – ข้ามผ่านความโหดร้าย

 

กู่ฉิงเงยหน้าขึ้น มองตามขั้นบันไดที่ทอดยาวออกไป

 

ณ จุดสูงสุดของขั้นบันได

 

ปรากฏให้เห็นถึงชั้นม่านแสงสีดำที่ถูกแต่งแต้มด้วยจุดแสงดวงดารางดงาม มันปกคลุมไปตลอดทั้งสังเวียนประลอง ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปสัมผัสกับแสงสีดำ แต่มันก็ถูกสะท้อนกลับมาด้วยชั้นแสงนี้

 

ดูเหมือนว่าฉากในสังเวียน จะไม่สามารถตรวจสอบจากภายนอกได้

 

“ดูลึกลับจริงๆ”

 

กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ

 

หนึ่งมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกา สองเท้าเริ่มก้าวเดินไต่ระดับขึ้นไปตามขั้นบันได

 

แล้วเขาก็ข้ามผ่านทั้ง 1800 ขั้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

 

ร่างของกู่ฉิงซานเดินชนเข้ากับม่านแสงสีดำ

 

วืดดดด!

 

ในวิสัยทัศน์เกิดการบิดเบือนราวกับโลกพลิกตลบ

 

แล้วจากนั้นจู่ๆเขาก็ร่วงตกลงมายังพื้นที่เปิดโล่ง

 

มันคือพื้นที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ

 

สายลมเย็นพัดผ่านท้องฟ้า

 

ล้อมรอบไปด้วยผืนป่ากันดารอันกว้างใหญ่

 

กลางค่ำคืน

 

กู่ฉิงซานย่อตัวลง เอื้อมมือไปคว้าจับหิมะมากำในมือ

 

มันช่างเย็นและสดชื่น

 

ความรู้สึกเหล่านี้ … มันเป็นของจริง! นี่ทำให้กู่ฉิงซานค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย

 

“ทั้งหมดนี่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของไม้เท้าแห่งการจองจำอย่างงั้นหรือ?” เขาเอ่ยถาม

 

“ใช่ อำนาจของมันแข็งแกร่งเกินไป แม้ว่าจะไม่ได้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ของจิตอาร์ติแฟคอยู่แล้วก็ตาม แต่ด้วยตัวไม้เท้าเอง ก็ยังคงมีชุดพลังศักดิ์สิทธิ์ที่คาดไม่ถึงอีกอยู่ดี” ฉานนู่กล่าว

 

“ไม่ได้มีจิตอาร์ติแฟคแต่กลับทรงอำนาจถึงเพียงนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดมันจึงสามารถรับมือกับเทพวิญญาณได้” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยอารมณ์

 

ในขณะนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ได้ยินเสียงอันคลุมเครือลอยมาตามสายลม

 

กู่ฉิงซานหันไปตามเสียง มองออกไปในระยะไกล

 

เห็นแค่เพียงเมื่อข้ามผ่านผืนป่ากันดารไป ก็จะเป็นมหาสมุทรอันไร้ที่สิ้นสุด

 

และบริเวณชายฝั่ง มีเรือขนาดใหญ่จอดทอดสมออยู่

 

แม้จะอยู่ในช่วงเวลาค่ำคืน ทว่าภายในเรือตลอดทั้งลำกลับสว่างไสว

 

ในความมืดมิด ข้อมูลได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 

นี่คือคำร้องจากไม้เท้าแห่งการจองจำที่ส่งผ่านมาทางอากาศ

 

“จงขึ้นไปบนเรืออย่างงั้นหรอ … ?”กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ

 

ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆเขาก็หมุนดาบในมือ แล้วจ้วงแทงมันออกไปยังเบื้องหลัง!

 

ท่ามกลางความมืดมิด สิงโตตนหนึ่งผลุบออกมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย มันวิ่งกระโจนพร้อมกับปากที่อ้ากว้าง!

 

เดิมทีมันตั้งใจจะลอบโจมตีกู่ฉิงซาน แต่ตนไม่คาดคิดเลยว่า กู่ฉิงซานจะหมุนดาบสวนกลับมาในทันควัน!

 

ดาบยาวพุ่งแทงมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ และสิงโตก็มิอาจลบเลี่ยง

 

‘กลับกลายเป็นข้าที่ถูกโจมตีแทนซะเองหรือนี่?’ เกิดความคิดแปลกๆวาบเข้ามาในจิตใจของสิงโต

 

แล้วดาบยาวก็แทงทะลุเข้าปากที่อ้ากว้างของมัน เสียบ! ลึกเข้าไปถึงภายในร่างอสูรของอีกฝ่าย

 

ฉากนี้ราวกับว่าเป็นตัวสิงโตซะเองที่โยนตนเข้าสู่คมดาบ ถูกเสียบราวกับเนื้อย่างลอยค้างอยู่กลางอากาศ

 

“ฮว๊ากกกก!”

 

เมื่อตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช กรงเล็บจากเท้าทั้งสี่กางออก กวัดแกว่งไปมา ดิ้นรนขัดขืนขณะเปล่งเสียงร้องอย่างน่าอนาถ

 

“เดรัจ – โอ้ไม่สิ ที่มันสหายจากอาณาจักรจ้าวอสูรนี่นา มีอะไร? ต้องการที่จะมาทักทายข้าอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

สิงโตรีบพยักหน้าหงึกๆอย่างรวดเร็ว

 

ฉึบ!

 

แล้วกู่ฉิงซานดึงดาบยาวออกจากปากของมัน

 

สิงโตก็ได้อิสระกลับคืนมาอีกครั้ง

 

มันเปล่งเสียงคำรามอย่างดุร้าย!

 

“โฮก! เจ้ามนุษย์บัดซบ ข้า–”

 

ฉึก!

 

ดาบยาวจ้วงเข้าไปในปาก แทงเข้าแผลเดิมของสิงโตอีกครา

 

อย่างที่เคยได้อธิบายไป สำหรับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา หากเทียบกับดาบทั่วๆไปแล้ว มันนับว่ามีความยาวมากกว่าอยู่หลายส่วน ดังนั้นการเสียบทะลุผ่านทั้งร่างของสิงโตน่ะ ไม่นับว่ามีปัญหาเลย

 

กู่ฉิงซานยกดาบขึ้น

 

แล้วฉากที่แลดูราวกับสิงโตเสียบไม้ก็ปรากฏขึ้นอีกครา เท้าทั้งสี่ของมันกวาดไปมาในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างหมดหนทาง

 

“สหาย พอดีว่าข้าพึ่งมาใหม่ แต่เจ้ากลับเจตนาที่จะข่มข้าหวาดกลัวอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ

 

“โอ โอ ข้า .. ข้าผิดไปแล้ว! โอย ..”

 

สิงโตพยายามร้องขอความเมตตาอย่างยากลำบาก

 

คราวนี้มันพูดความจริงแล้ว

 

ดาบของฝ่ายตรงข้ามรวดเร็วเกินไป มันไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย

 

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงยิ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถเอาชีวิตมันได้ตลอดเวลาหากต้องการ

 

“งั้นเราก็มาพูดคุยกันดีๆนะ ตกลงไหม?” กู่ฉิงซานยื่นข้อเสนอ

 

สิงโตเร่งพยักหน้าอีกครั้งและอีกครั้ง ยินยอมรับข้อเสนอ

 

แล้วดาบยาวก็ถูกดึงกลับคืน

 

“เช่นนั้นสหายจากอาณาจักรจ้าวอสูร เหตุใดเจ้าจึงไม่ขึ้นไปบนเรือ แล้วเตร่อยู่ที่นี่กันล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

สิงโตนั่งลงบนพื้น เอ่ยปากอย่างหดหู่ว่า “ก็การคัดเลือกมันจบลงแล้วน่ะสิ ไปที่นั่นไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี”

 

“ไม่นะ เท่าที่ข้ารู้ นรกทะเลเลือดยังมิได้เลือกตัวตนที่แกร่งที่สุดคนสุดท้ายเลยนี่” กู่ฉิงซานพูด

 

สิงโตกล่าว “ผิดแล้ว การคัดเลือกจริงๆน่ะมันจบลงไปแล้วต่างหาก แต่ด้วยห้วงอารมณ์และจิตสำนึกของตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของนรกทะเลือดน่ะมันวิปลาส จึงยังไม่ยินยอมที่จะขึ้นไปบนเรือซักที”

 

“ไม่ยินยอมขึ้นไปบนเรือ?” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

“ใช่แล้ว เพราะมันยังกินไม่อิ่มน่ะสิ”

 

สิงโตดูเหมือนจะย้อนระลึกได้ถึงบางสิ่ง ทันใดนั้นตัวมันก็เริ่มสั่นสะท้าน

 

“กินไม่อิ่ม?”

 

“ถ้าเจ้าได้เห็นมัน เจ้าก็จะเข้าใจเอง” สิงโตกล่าวอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่ามันกำลังวัดความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซานอยู่

 

ในระหว่างการสนทนาของหนึ่งคนหนึ่งสิงโตนั้นเอง คนตายนับไม่ถ้วนก็ค่อยๆตีวงเข้ามาโอบล้อมพวกเขาอย่างเงียบๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ มนุษย์ปีศาจ สัตว์อสูร ชูร่า แออัดกันมานับไม่ถ้วน

 

“หน้าไม่คุ้นแฮะ” บางคนกระซิบ

 

“มันไม่ใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งจากนรกของเรานี่”

 

“มีใครรู้จักเขาบ้างไหม?”

 

กู่ฉิงซานกำลังมองไปยังฝูงคนตาย ก่อนจะแตะลงบนหัวของสิงโตแล้วแถว่า “ข้าเป็นสหายของเจ้านี่น่ะ พอดีข้าได้ยินมาว่ามันปรารถนาที่จะเป็นราชาภูติ ดังนั้นข้าจึงมาดูมันเข้าร่วมแข่งขัน”

 

พอได้ฟัง เหล่าคนตายก็ผ่อนคลายลง

 

“เฮ้ย! ข้าไม่ใช่เพื่อนมัน! แถมยังไม่เคยเจอมันมาก่อนเลยด้วย! ทุกคนรีบช่วยกันฆ่าอ้ายทารกนี่กันเร็วเข้า!” สิงโตตะโกน

 

แล้วคนตายก็กลับมาเขม็งเกร็งกันอีกครั้ง

 

“นี่มันน่ารำคาญจริงๆ” กู่ฉิงซานบ่น

 

ท่ามกลางความมืดมิด วงดาบแสงจันทร์ที่โค้งมนขนาดใหญ่ผุดออกมาจากชั้นอากาศบางๆ

 

ด้วยคมดาบนี้ ทั้งเลือดและเนื้อพลันกระพือว่อนไปทั่ว!

 

ทว่าก่อนที่ฝนเลือดจะโปรยปรายลงในตำแหน่งนี้ มันก็ถูกพัดเป่า หายไปโดยกระแสลมอันดุร้ายจากคมดาบเสียก่อน

 

แสงจันทร์ค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ

 

ตามด้วยร่างของกู่ฉิงซานที่ปรากฏขึ้น พร้อมด้วยสีหน้าหนักใจเล็กน้อย

 

นั่นเพราะในช่วงเวลาที่รังสีดาบสว่างขึ้น ในวิสัยทัศน์ของเขา ค้นพบว่าตลอดทั้งบริเวณนี้ มันเต็มไปด้วยคนตายที่จำนวนมากที่แออัดกัน! มากมายจนมิอาจนับไหวเลย!

 

กล่าวได้ว่าตัวตนที่แข็งแกร่งจากนรกทะเลเลือด เข้าไปกระจุกตัว รวมกันอยู่ในผืนป่ากันดารที่เป็นทางผ่านสู่เรือใหญ่ในทะเลทั้งหมดเลย!

 

มันเยอะจนเบียดเสียดกันชนิดที่ว่าไม่มีกระทั่งที่ที่ว่างเว้นไว้สำหรับนั่งข้างๆกัน!

 

ภายในป่ากันดาร พวกมันต่างห้ำหั่นกันและกันอย่างไร้อารยธรรม ราวกับเพียงแค่มองหาความสนุกจากการฆ่าฟันกันเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพวกมันจะแค่สู้กันเอง แต่ไม่มีตนใดกล้าที่จะเฉียดเข้าไปใกล้กับเรือใหญ่ที่ส่องสว่างเลย

 

ฉะนั้นด้วยรูปการณ์นี้ ก็พอจะบอกได้ว่า ตัวตนที่ได้รับการยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุด … คงมิแคล้วอยู่ใกล้กับเรือใหญ่เป็นแน่

 

อย่างไรก็ตาม ตัวตนแข็งแกร่งที่ว่านั่น ดูเหมือนว่าจะมีความคิดที่ผิดแผกออกไป ดังนั้นมันจึงยังไม่ยินยอมขึ้นไปบนเรือ

 

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องรีบหน่อยแล้ว ก่อนที่มันจะเปลี่ยนใจ ”

 

กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะกล่าวแบบนั้น แต่เขาก็ยังยืนถือดาบขุนเขาอย่างนิ่งๆ มิได้เคลื่อนกายไปไหน

 

“เหตุใดจึงยังไม่ก้าวเดิน เจ้าไม่ได้ต้องการที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งราชาภูติหรอกหรือ?” ฉานนู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“ไม่หรอก ต้องการอยู่แล้ว แต่นับจากนี้ไป ข้าจะต้องข้ามผืนป่ากันดาร และจะต้องฝ่าดงคนตายนับไม่ถ้วนที่เข้ามาโจมตีเนี่ยสิ”

 

“ดังนั้น เจ้าเลยจะเอาแต่ยืนอยู่แบบนี้อย่างงั้นหรือ?” ฉานนู่บ่น

 

ขณะที่เขากำลังจะกล่าวตอบนั้นเอง จู่ๆก็มีแมมมอธยักษ์ย่ำเฝ้าจนผืนดินสั่นสะเทือน ตรงเข้ามาหาเข้าอย่างบ้าคลั่ง!

 

มันพยศชูสองเท้ามหึมาเบื้องหน้าขึ้น และเหยียบ! ทิ้งน้ำหนักย่ำลงใส่กู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องล่างอย่างแรง!

 

“เจ้ามนุษย์ตัวจ้อย จงตายซะ! ข้าจะบี้ร่างเจ้าให้กลายเป็นเนื้อเหลว!”

 

แมมมอธตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

 

ทว่าขณะเดียวกัน รังสีดาบระยับก็พร่างพราวออกมาคั่นกลางในอากาศที่ว่างเปล่าระหว่างทั้งสอง

 

ร่างของแมมมอทยักษ์ชะงันงันไปทั้งๆอย่างงั้น มิอาจเคลื่อนกายต่อได้

 

กู่ฉิงซานก็ใช้ออกด้วย ‘ไม่ยอมอ่อนข้อ(เจียงซี)’ ซึ่งเป็นสกิลวิวัฒของขั้นสองของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน ที่สามารถทำให้ศัตรูสูญสิ้นการควบคุมร่างกายเป็นระยะเวลาหนึ่งได้!

 

แล้วสองวินาทีก็ผ่านพ้น พร้อมกับเจ็ดดาบที่ถูกฟาดฟันออกไป

 

ในวินาทีต่อมา เจ็ดจุดดวงดาราก็กระพริบไหวอยู่บนตัวดาบยาว

 

แสงสวรรค์เจิดจรัสและหลอมรวมเข้าด้วยกันราวกับว่าพวกมันกำลังเรียกขานหาบางสิ่ง

 

กู่ฉิงซานทุ่มสุดกำลัง คว้าจับดาบด้วยสองมือ และสับลงไปยังเบื้องหน้าอย่างรุนแรง!

 

ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นในพริบตาเดียว

 

เส้นแสงของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนทะยานออกมาจากดาบยาวในฉับพลัน

 

ประกายสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนสาดแสงระยับ ทอดแสงและเงาออกไป เติมเต็มช่วงค่ำคืนอันมืดมิดนี้ให้กลายเป็นโลกแห่งแสงสว่าง

 

เจ็ดดารา มังกรแหวกธารา!

 

หัวมังกรยักษ์ที่ประกอบไปด้วยเล่ยเดี๋ยนบินออกจากดาบ แล้วงับ! แมมมอธเข้าไปในปากของมัน

 

และแมมมอธก็สิ้นใจไปในพริบตา

 

ทันทีหลังจากที่หัวยักษ์ของมังกรผุดออกมาบดขยี้ศัตรู ส่วนร่างของมันถูกถูกหลอมสร้างขึ้นโดยรังสีดาบและสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนก็ผุดตามมาจากตัวดาบ

 

“รอข้าก่อน” กู่ฉิงซานเอ่ยออกมา

 

ราวกับมีจิตนึกคิด มังกรสายฟ้าในอากาศชะงักไปเล็กน้อย

 

แล้วกู่ฉิงซานย่ำฝีเท้าลงจนหิมะบนพื้นแตกกระจาย ทะยานตัวขึ้นไปยืนเหนือหัวของมังกรสายฟ้า

 

โฮกกกก!

 

มังกรสายฟ้าเปล่งคำรามสั่นสะเทือนทั้งสวรรค์และโลก

 

แล้วกู่ฉิงซานก็ชี้ปลายดาบออกไปยังเบื้องหน้า

 

มังกรสายฟ้าว่ายวนในอากาศ ทำการเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งตัดผ่านผืนป่ากันดารที่คราคร่ำไปด้วยเหล่าคนตายเหลือคณาโดยตรง!

 

ได้ยินเพียงเสียงสายลมที่หวีดผ่านเข้ามาในหู

 

ขณะที่ทิวทัศน์โดยรอบเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

 

เหล่าคนตายที่กระจุกตัวอยู่ในป่ารกร้าง เมื่อต้องเผชิญกับพลังอำนาจของสายฟ้าสวรรค์ พวกมันก็หวาดกลัว สิ้นซึ่งหนทางต่อต้าน แตกกระเจิงเปิดทางกันออกไป

 

ในพริบตาเดียว เขาก็ได้มาถึงเรือใหญ่แล้ว

 

และเวลานี้ กู่ฉิงซานก็ยังสามารถมองเห็นถึงฉากบนเรือได้อีกด้วย

 

คนตายสิบกว่าคนกำลังยืนอยู่บนเรือ แยกกันเป็นกลุ่มเล็กๆหลายกลุ่ม

 

กู่ฉิงซานมองเห็นเจ็ดผู้คุมนรกที่เขาเคยได้พบกันมาก่อนหน้านี้

 

เนื่องจากมังกรสายฟ้าน่ะมันสะดุดตามาก เจ็ดผู้คุมนรกจึงสามารถเห็นร่างของกู่ฉิงซานที่ยืนอยู่เหนือหัวมังกรได้อย่างชัดเจน

 

สีหน้าของเจ็ดผู้คุมดูจะประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

ทว่ากู่ฉิงซานมิได้สนใจพวกเขา แต่ก้มลงมองไปที่เรือ

 

เห็นแค่เพียงยักษ์ที่ดูสูงใหญ่และแข็งกร้าวกำลังนั่งอยู่หน้าทางเข้าเรือ

 

ยักษ์ตนนั้นก่อกองไฟขึ้นและบางครั้งก็โยนพวกคนตายลงไปย่าง

 

จากนั้นบางคนที่ถูกจับโยนลงไปก็ถูกคว้าจับขึ้นมาและโดนยัดเข้าไปในปากของมัน

 

ยักษ์เคี้ยวๆๆๆและกลืนลงไปโดยไม่คำนึงถึงเสียงร้องอันน่าพรั่นพรึงที่อยู่ในปากของมัน

 

-ดูเหมือนว่านี่สินะ คือเจ้าการดำรงอยู่ที่สิงโตกล่าวถึง

 

ยักษ์ใหญ่เงยหน้าขึ้น เห็นได้ชัดว่ามันก็สนใจมังกรสายฟ้าเช่นกัน

 

มันลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง แล้วคว้าจับขวานหินในมือ

 

“ย่างคนกินอย่างงั้นหรือ? ผลกรรมที่แกกระทำกำลังจะคืนสนองแล้ว”

 

กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

เขายกมือที่ถือดาบขึ้น และชี้นิ้วออกไป

 

ทันใดนั้นมังกรสายฟ้าก็โฉบลงมาจากท้องฟ้า

 

มังกรสายฟ้าอ้าปากกว้าง เตรียมพร้อมที่จะงับเข้าใส่ตัวยักษ์

 

ยักษ์แกว่งขวานหินเข้าสู้  ทว่าคมขวานของมันราวกับตัดเข้าใส่อากาศ ทะลุผ่านตัวมังกรไปโดยตรง!

 

มังกรสายฟ้าอ้าปากอย่างดุร้าย และงับ! กลืนยักษ์ใหญ่ลงไป!!

 

“อ๊ากกกก!”

 

ยักษ์ใหญ่หวีดร้องออกมาอย่างน่าสมเพช

 

ด้วยนักดาบนิรันดร์ที่เป็นถึงขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย สำแดงเดชด้วยเจ็ดดารามังกรแหวกธาราอย่างเต็มกำลัง พลังอำนาจของมันย่อมผิดแผกและร้ายแรงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการไหว!

 

ไม่นานนัก กลิ่นไหม้เกรียมก็โชยออกมาจากร่างของยักษ์ใหญ่

 

กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง

 

แล้วยักใหญษ์ร่วงล้มลงกับพื้น ทับลงบนกองไฟที่ตนก่อขึ้นเอง

 

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ร่อนลงบนพื้นดิน

 

แล้วเขาก็ได้รับข้อมูลที่มองไม่เห็น ผ่านเข้ามาในจิตใจทันที

 

“ผู้แข็งแกร่งที่สุดจากนรกทะเลเลือด โปรดจงขึ้นมาบนเรือด้วย”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.401 – เถื่อนยิ่งกว่าพวกมัน

 

มองไปยังรายการคำอธิบายยาวเหยียดเกี่ยวกับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา เล่นเอาตาของกู่ฉิงซานพร่าไปเล็กน้อย

 

ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าตรงล่างสุดของเส้นแสงตัวอักษร ยังมีอีกประโยคหนึ่งเด้งแจ้งเตือนขึ้นมา

 

“คุณไม่สามารถล่วงรู้คุณสมบัติของสกิลศักดิ์สิทธิ์ได้ นอกเสียจากว่าสิ่งประดิษฐ์เทวะจะเป็นคนบอกคุณด้วยตนเอง”

 

เอาเหอะ นี่มันก็คล้ายๆกันกับดาบพิภพและเช่าหยินนั่นแหละ

 

กู่ฉิงซานไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว จะช้าหรือเร็วเขาก็จะได้รู้อยู่ดี

 

คำถามสำคัญปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา

 

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะเพียงอย่างเดียวที่สามารถต้านทานหอกหลากสีได้

 

แล้วสิ่งประดิษฐ์เทวะที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร?

 

“ฉานนู่”

 

“หืม?”

 

“ข้าอยากจะถามว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?”

 

“ข้าก็ไม่กระจ่างนัก ในช่วงเวลานั้นภัยพิบัติยังมิได้เกิดขึ้น และข้าก็กำลังอยู่จมอยู่ในการหลับไหล” ฉานนู่เผยท่าทีสับสนออกมา

 

“ใช่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งได้ทำร้ายร่างดาบของเจ้าหรือไม่?”

 

“ไม่หรอก ร่างดาบข้าถูกสร้างขึ้นจากกฏเกณฑ์ของภูเขาล้อมเหล็กที่ไม่หวาดเกรงกระทั่งสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหล ดังนั้นไม่น่าจะมีใครสามารถทำร้ายร่างดาบได้”

 

ด้วยคำพูดประโยคนี้ ส่งผลให้บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที

 

“คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของจิตอาร์ติแฟคในดาบขุนเขาเทวะหกโลกา : อมตะ ”

 

“ ‘อมตะ’ : ทุกกฏเกณฑ์ในโลกทั้งสิบ ทุกๆพลังอำนาจจะมิอาจทำลายดาบเล่มนี้ลงได้”

 

กู่ฉิงซานอ่านมันอย่างเงียบๆ

 

ขณะเดียวกันก็ตั้งใจฟังฉานนู่กล่าวต่อไป “ฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะรู้ว่าร่างดาบข้ามิอาจถูกทำลายได้ พวกเขาจึงเล็งเป้ามาที่จิตอาร์ติแฟคของข้า แล้วใช้เทคนิคลับบางอย่างทำให้อำนาจของข้าถดถอยลง จากนั้นก็โจมตีข้าอย่างรุนแรง”

 

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ฉานนู่ก็ดูจะเศร้าๆไปเล็กน้อย

 

“หากข้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และฝ่ายเรามีเทพวิญญาณที่สามารถใช้สอยข้า บางทีเราก็อาจจะต่อกรกับหอกหลากสีได้ก็ได้”

 

“หรือไม่อย่างน้อยที่สุด ก็น่าจะพอช่วยให้สถานการณ์ของเทพวิญญาณคนอื่นๆไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้”

 

“แต่ผลสุดท้ายข้าก็ได้รับบาดเจ็บมากเกินไป พลังศักดิ์สิทธิ์ถดถอยมิอาจสำแดงเดช จึงถูกทำร้ายโดยหอกหลากสี”

 

“ตั้งแต่นั้นมา เทพวิญญาณก็จนปัญญา ไม่อาจทำอะไรได้ และทยอยกันตกตายลงไป”

 

กู่ฉิงซานที่กำลังฟังอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดไตร่ตรอง

 

ก่อนที่ภัยพิบัติจะปะทุขึ้น ใครกันที่จะวางอุบายใส่สิ่งประดิษฐ์เทวะ ใครกันที่สามารถกระทำเช่นนี้ได้?

 

บางที อาจจะมีเผ่ามารแฝงตัวอยู่ในปรภพมานานแล้ว และเฝ้ารอจนกระทั่งสงครามใกล้จะปะทุขึ้นจึงเริ่มลอบลงมือใช่หรือไม่?

 

คนๆนั้นได้วางแผนที่จะลดอำนาจของสิ่งประดิษฐ์เทวะ เพื่อที่จะได้่สังหารเทพวิญญาณ เพื่อที่จะได้ยึดครองปรภพ ลวงเหล่าคนตายในนรกให้ไปยังโลก และหลังจากที่โลกดับสูญ กำแพงอุปสรรคของทั้งหกโลกก็จะพังทลายลง

 

กู่ฉิงซานเพียงแค่คิด ก็บังเกิดความเย็นเยียบขึ้นในจิตใจ

 

เล่ห์เหลี่ยมของเผ่ามาร ยามเมื่อจับแต่ละขั้น แต่ละตอนเข้ามาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันกัน จะพบว่าทุกสิ่งช่างสมบูรณ์แบบ!

 

นี่มันชักจะน่ากลัวเกินไปหน่อยแล้วสิ

 

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสีหน้ากังวลใจของฉานนู่ อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไป เขาเอ่ยถาม “แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีหรือไม่? มีอาการบาดเจ็บภายในหรือเปล่า?”

 

“ไม่เป็นอะไรหรอก ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะได้พบกับเจ้า และหลังจากที่เจ้ามอบสามสมบัติให้แก่ข้า ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงหายดีแล้ว”

 

กู่ฉิงซานยกดาบขุนเขา ชูขึ้นมาเบื้องหน้าตนเอง

 

ใบดาบราวกับหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง และปลดปล่อยไอเย็นจางๆที่ทำให้รู้สึกสบายออกมา

 

“ก่อนอื่น ก็อย่าพึ่งคิดถึงเกี่ยวกับมันเลย ตอนนี้เป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ – อนาคตของปรภพขึ้นอยู่กับพวกเราแล้วนะ … ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ฉานนู่เอ่ยตอบทันควัน “นายน้อยโปรดวางใจ ยามนี้ตัวข้าอยู่ในสภาพเบ่งบาน พร้อมรบเต็มที่ ฉะนั้นข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

 

เธอเอ่ยถามกลับ “แล้วเจ้าเล่า? ยามเมื่อจะต้องเผชิญหน้ากับคนตายที่ทรงพลังจากในนรกทั้ง 18 ขุม เจ้าหาญกล้า พร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นกับพวกมันแล้วหรือไม่?”

 

กู่ฉิงซานยิ้ม

 

“ไปกันเถิด เราไปต่อสู้เพื่อตำแหน่งราชาภูติกัน” เขากล่าวออกมา

 

“ตามพระประสงค์ของท่านราชา!” ฉานนู่เอ่ยสรรเสริญล่วงหน้า

 

…….

 

ณ นรกทะเลเลือด

 

นี่คือหนึ่งในนรกที่โหดร้ายที่สุด

 

คนตายที่ถูกโยนเข้าไปในนรกนี้ ส่วนใหญ่แล้วในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิต พวกเขาได้ทำการทารุณกรรมอย่างโหดร้าย ข่มเหงรังแกผู้อื่นอย่างร้ายกาจจนไม่อาจจินตนาการได้

 

ดังนั้น หลังจากที่พวกเขาตกตายลง จึงได้ถูกโยนลงมาทุกข์ทรมานในนรกแห่งนี้

 

ภายในทะเลเลือด เต็มไปด้วยมอนสเตอร์มากมายที่ซ่อนตัวอยู่ และพวกมันมักจะว่ายเข้าไปฉีกกัดร่างคนตายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนี่เป็นความทุกข์ทรมานอันยากจะพรรณนา

 

แต่เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากที่ไม้เท้าแห่งการจองจำปรากฏกายขึ้น ตลอดทั้งนรกทะเลเลือดก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น!

 

หากเข้าร่วมการแข่งขันท้าทายเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง ในระหว่างกระบวนการต่อสู้ คนตายในนรกจะสามารถก้าวออกจากทะเลเลือด ขึ้นมาพักหายใจบนขั้นบันไดที่จะนำไปสู่ลานสังเวียนต่อสู้ได้

 

ตราบใดที่อยู่บนบันไดที่จะมุ่งหน้าสู่สังเวียน คนตายก็จะไม่ได้รับความทุกข์ทรมานจากทะเลเลือด!

 

และใครก็ตามที่ชนะ ก็จะได้รับโอกาสเข้าร่วมแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งราชาภูติกับตัวแทนจากนรกอื่นๆ!

 

แล้วเรื่องที่มีแต่ได้กับได้เช่นนี้ เหล่าคนตายที่ทรงพลังทั้งหลายจะไม่ยินดีเข้าร่วมได้อย่างไร?

 

ขณะนี้ เวลาก็ได้ผ่านเลยไปมากแล้ว

 

นรกอื่นๆทั้ง 17 ชั้นได้ทำการคัดเลือกตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นที่เรียบร้อย

 

ดังนั้นที่ว่างตำแหน่งเดียวในนรก จึงอยู่ในช่วงการต่อสู้อันเข้มข้นรุนแรง

 

ตรงใจกลางทะเลเลือด มีแท่นเวทีทรงสี่เหลี่ยมสูงตระหง่านตั้งอยู่

 

และตลอดทั้งแท่นสี่เหลี่ยม ก็จะมีทางขึ้นซึ่งเป็นชั้นบันไดกว่า 1800 ขั้น ทอดยาวจากทะเลเลือดเบื้องล่าง ขึ้นไปยังสังเวียนเบื้องบน

 

และขณะนี้กู่ฉิงซานก็กำลังยืนอยู่หน้าบันไดขั้นแรก

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางข้างบน

 

เห็นแค่เพียงบนบันไดกว่า 1800 ขั้น ที่ในแต่ละทุกๆขั้นล้วนเต็มไปด้วยเสียงเจ็บปวดครวญครางอยู่ทุกสถานที่

 

คนตายทุกคนที่ถูกกำจัดออกจากการแข่งขันท้าทาย จะถูกจับโยนลงมาโดยตัวตนที่แข็งแกร่งคนอื่นๆ ร่วงตกลงร้องครวญครางอยู่ตามบันไดแต่ละขั้น

 

บางคนตายก็ได้สิ้นใจลง ขณะที่ร่างกายของพวกเขาก็ค่อยๆหายไป

 

ขณะเดียวกันคนตายส่วนมากที่ยังไม่สิ้นใจลง-

 

-พวกเขาทั้งหมดต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสในระหว่างการต่อสู้ และนอนโอดโอยอยู่บนแต่ละขั้นบันไดด้วยความทุกข์ทรมานจากการพ่ายแพ้

 

ทว่าเมื่อกู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นบนขั้นบันได

 

ทันใดนั้นเขาก็ถูกพบเจอโดยเหล่าคนตายนับไม่ถ้วนที่ตกอยู่ในอาการสาหัส

 

“ดูนั่นสิ เจ้าหมอนั่นยังปกติ ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย” คนตายคนหนึ่งร้องตะโกนออกมา

 

“บัดซบ! นี่มันไม่คิดแสดงตัวออกมาจนกระทั่งพวกเราพ่ายแพ้สินะ ไอ้หมอนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ!”

 

“ข้าจะฆ่ามันเอง!” อีกหนึ่งคนตายอุทานขึ้น

 

ร่างของมันเริ่มวูบไหว

 

แล้วฝูงคนตายในสภาพไม่สมประกอบก็พากันแห่มา ล็อคเท้าทั้งสองข้างของกู่ฉิงซานเอาไว้

 

“ระวังตัวด้วย เจ้าพวกขี้แพ้เหล่านี้ต้องการที่จะหยุดเจ้าไม่ให้ขึ้นไปบนสังเวียน‘ ฉานนู่กล่าวเตือน

 

กู่ฉิงซานกำดาบในมือ และโบกมัน ฟันออกไปส่งๆทางคนตายเบื้องหน้าที่อยู่ใกล้ที่สุด

 

แต่ราวกับแดดิ้นไปหนึ่ง งอกเพิ่มขึ้นมาอีกสอง คนตายกลับวิ่งเข้ามาหาเขามากขึ้นเรื่อยๆ

 

พวกมันใช้ทั้งมือทั้งเท้า คืบคลานไต่ลดระดับลงมาในแต่ละขั้นบันไดสูง เพื่อขวางทางไม่ให้คู่แข่งคนใหม่ผ่านไป

 

ขณะเดียวกันดาบยาวก็เริ่มร่ายระบำเพื่อเปิดหนทาง

 

พร้อมด้วยรังสีดาบนับไม่ถ้วนที่แผดออกมา สังหารคนตายคนแล้วคนเล่าราวกับเครื่องบดเนื้อ!

 

ทว่าคนตายในนรกน่ะมันมีมากเกินไป และกู่ฉิงซานก็ไม่มีเวลามากพอที่จะไล่ฆ่าพวกมันทั้งหมดในคราวเดียว

 

และเนื่องจากคนที่ตายไปแล้วน่ะ หากถูกสังหารลง ก็เพียงแค่กลับไปหลับไหล

 

ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงกล้าที่จะวิ่งมาข้างหน้าอย่างไม่ลังเลและไม่หวาดกลัวความตาย ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อหยุดไม่ให้กู่ฉิงซานก้าวขึ้นไปยังบันไดต่อไป

 

ถัดออกไปอีกหลายๆขั้นบันได เหล่าคนตายจำนวนมากขึ้น กำลังวิ่งลงมา

 

“อย่าหวังว่าจะได้ขึ้นไปเลย!” หนึ่งในคนตายหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

 

กู่ฉิงซานวาดดาบของเขาออกไปทักทายศัตรู

 

คนตายที่กล้าเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ กล่าวได้ว่าพอจะมีฝีมืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย ควบคู่ไปกับจำนวนที่มากมาย ส่งผลให้ตอนนี้กู่ฉิงซานต้องตกอยู่ในสภาวะไม่อาจก้าวเดิน ฝีเท้าหยุดนิ่งชั่วคราว

 

ฉานนู่กล่าว “แบบนี้ไม่ดีแน่ พวกมันกระจ่างใจดีว่าตนไม่อาจเอาชนะเจ้าได้ ดังนั้นจึงอาศัยคนหมู่มากเพื่อกดดันไม่ให้เจ้าขึ้นไปบนสังเวียน”

 

กู่ฉิงซานไม่ตอบกลับ แต่เขาทำแค่เพียงควงดาบแล้ววาดมันออกไป

 

แต่แล้วจู่ๆก็บังเกิดเสียงหวีดร้องลงมาจากบนจุดสูงสุดของสังเวียน

 

คู่แข่งอีกรายหนึ่งได้ถูกสังหารลงไปอีกแล้ว

 

ผู้ชนะของนรกทะเลเลือด กำลังจะถือกำเนิดขึ้นในไม่ช้า!

 

แต่เวลานี้ กู่ฉิงซานยังคงยืนอยู่บนบันไดขั้นแรก และเอาแต่สังหารคนตายที่ลงมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน

 

เขายังไม่ได้ก้าวไต่ระดับขึ้นไปข้างหน้าเลย

 

กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำกับตัวเองในทันใด “ดูเหมือนฉันจะประมาทเกินไป ลืมไปเลยว่าคนตายพวกนี้มันเป็นวายร้ายจากทุกยุคสมัย แถมตอนนี้พวกมันคงจะลืมไปแล้วว่านี่คือการแข่งขันเพื่อคัดเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุดในนรก เช่นนั้นล่ะก็ …”

 

“เจ้ากำลังจะสื่ออะไร?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

“ที่ข้ากำลังจะสื่อก็คือ ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว มันไม่พอที่จะข่มขวัญพวกตัวร้ายเหล่านี้ลงอย่างแท้จริงน่ะสิ”

 

“เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องการจะทำอย่างไร?” ฉานนู่รู้สึกกังวลมากขึ้น

 

แต่แล้วกระบวนท่าดาบที่ฟันออกของกู่ฉิงซานก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป

 

เจตนาฆ่าได้สลายไปจากตัวเขา

 

ทว่าบัดนี้ ทั้งคนทั้งร่างของตนกลับบังเกิดแรงกดดันอันลึกลับที่ไม่อาจเอ่ยอธิบายได้ออกมา

 

“คงต้องเล่นบทเถื่อนยิ่งกว่าพวกมัน” เขากล่าว

 

ปงงงง!

 

บังเกิดร่างเงาดาบเหลือคณาเบ่งบานขึ้น มันราวกับใบไม้ที่ถูกพัดเป่าไปตามกระแสลม ลอยล่องขึ้นไปตามขั้นบันไดเบื้องบนแต่ละขั้น

 

ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนที่ดังขึ้น

 

ทว่าช่างน่าฉงนยิ่งนัก เพราะกลับไม่มีคนตายสักตนเลยที่สิ้นใจลง!?

 

แต่ทั้งหมดที่ถูกร่างเงาดาบวาดผ่าน พวกมันล้วนถูกตัดมือตัดเท้า และนอนแผ่ราวกับท่อนไม้อยู่ตามขั้นบันไดเสียอย่างนั้น!

 

เสียงโอดครวญก้องขึ้น สะท้อนไปยังเบื้องบน

 

ท่ามกลางสายตาจองคนตายนับไม่ถ้วนที่แสดงออกถึงความโกรธแค้น กู่ฉิงซานได้เตะร่างท่อนไม้ตนหนึ่งลงจากขั้นบันไดที่อยู่ใกล้ที่สุด

 

และคนตายที่ว่าก็ถูกเตะลงกลับไปแช่ในทะเลเลือด

 

และในทันทีที่มันตกลงไป เงาวูบไหวจากเบื้องล่างก็ว่ายตามมาทันที และเริ่มกัด! แทะ! คนตายเหล่านั้น!!

 

นรกทะเลเลือดน่ะโหดร้าย! เพราะมันจะคอยเลี้ยงไข้ ไม่ให้คนตายสิ้นใจลงง่ายๆ เพื่อยืดเวลาให้พวกคนตายได้รับความทุกข์ทรมานต่อไปให้ยาวนานยิ่งขึ้น!

 

“อ๊า อ๊า อ๊าา อย่า! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าไม่สมควรที่จะหยุดเจ้า ได้โปรดปลดปล่อยข้า! สังหารข้าให้สิ้นใจไปอย่างสงบเถอะ!”

 

ร่างท่อนไม้ที่ตกลงไปโวยวายลั่น ร่ำร้องทั้งน้ำตา

 

บนขั้นบันไดเบื้องบน เหล่าคนตายนับไม่ถ้วนที่เห็นฉากนี้ ทั้งตนทั้งร่างต่างแข็งค้าง

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าวอย่างช้าๆ “พวกเจ้าจะหลีกทางให้ข้าดีๆ แล้วค่อยกลับมาเพลิดเพลินอยู่บนขั้นบันไดต่อไปในสภาพสมบูรณ์ หรือจะขวางทางแล้วลงไปนอนแช่ออนเซ็นเลือดในสภาพถูกตัดแขนขา?”

 

เขายืนนิ่งไม่ไหวติงด้วยรอยยิ้มเย็นที่แขวนไว้บนใบหน้าของเขา

 

“หากข้ายังไม่สามารถขึ้นไปบนสังเวียนได้ นับตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าจะเปลี่ยนทุกคนที่ขวางหน้าให้กลายเป็นท่อนไม้ และจับพวกมันโยนลงไปในทะเลเลือด!”

 

“ถูกกัดแทะโดยมอนสเตอร์ทั้งๆที่ไม่มีมือและเท้า  ความสุขสมเช่นนี้ข้าว่าพวกเจ้าคงยังไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน”

 

ว่าแล้วเขาก็เตะร่างท่อนไม้ตนที่สองที่ขวางมือขวางตีนลงไปในทะเลเลือดอีกหนึ่ง

 

แล้วคนตายตนที่สองก็เริ่มประสานเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดร่วมกับคนตายคนแรกที่ตกลงไป

 

เหล่าคนตายที่ยืนอยู่เหนือขึ้นไปชั้นบนต่างเฝ้ามองฉากนี้อย่างเงียบๆ

 

ในนรก ความตายน่ะหมายถึงการหลับไหล และขณะเดียวกันมันก็หมายถึงการอำลาความเจ็บปวดทรมานในระยะเวลาสั้นๆอีกด้วย

 

แต่กู่ฉิงซานกลับไม่ได้ทำให้พวกเขาตายลง ทว่าดันตัดมือตัดเท้าเพื่อให้พวกเขาไม่มีแรงที่จะต่อต้าน-

 

-ไม่มีแรงที่จะต่อต้านการกัดแทะของมอนสเตอร์ในทะเลเลือด!

 

นี่มันเป็นการทรมานอย่างแท้จริง!

 

“เจ้ามันปีศาจ!” คนตายคนหนึ่งตะโกนขึ้น

 

ถึงปากจะด่าแบบนั้น แต่มันกลับค่อยๆคืบคลานหนีห่างออกไปจากตรงหน้าของกู่ฉิงซาน

 

“ปีศาจชั่วร้าย!”

 

“ปีศาจโรคจิต!”

 

“ไปเถอะ อย่างไม่ยุ่งกับมันเลย”

 

เหล่าคนตายส่งเสียงกระซิบกระซาบให้กันและกัน

 

แต่เมื่อกู่ฉิงซานเตะร่างท่อนไม้ตนที่สามลงไป เหล่าคนตายที่อยู่เบื้องบนก็ขวัญกระเจิง มิอาจฝืนยืนอยู่ได้อีกต่อไป! พวกมันต่างพากันฝืนใจยอมกระโดดลงไปในทะเลเลือด เพราะอย่างน้อยก็อยู่ในสภาพครบสามสิบสอง …

 

บัดนี้อุปสรรคเบื้องหน้าเขาได้ถูกเปิดออก เส้นทางสู่สังเวียนได้ปรากฏขึ้นสู่สายตาอีกครั้ง

 

และระหว่างทาง … บัดนี้โล่งโจ้ง ไม่มีคนตายคนใดอยู่อีกเลย!!

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.400 – ขั้นตอนที่สอง

 

“แต่หากทำเช่นนี้ มันจะก่อให้เกิดปัญหาที่มิอาจแก้ไขได้ตามมานะ หอกหลากสีได้ยึดครองเบื้องบนของภูเขาล้อมเหล็กเอาไว้ นั่นหมายความว่าตลอดทั้งปรภพคงไม่มีผู้ใดกล้าเฉียดกายขึ้นไปปรากฏตัวบนพื้นดินอีกแล้ว” วิหคขาวกล่าวอย่างหมดหวัง

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้น “แม้ว่าพวกเราจะสูญเสียอาณาเขตเบื้องบนไปในระยะเวลาสั้นๆ แต่แลกกับการที่เผ่ามารทั้งหมดที่เข้ายึดครองปรภพได้ตกตายลง นี่นับว่าคุ้มค่ามากเลยนะ”

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ในเมื่อเทพวิญญาณแห่งปรภพทุกคนได้ตายลงไปแล้ว เพราะแบบนั้น เราจึงสามารถใช้ออกด้วยกลยุทธ์นี้ได้อย่างสบายใจ”

 

ฉานนู่เผยยิ้มออกมาและกล่าว “และด้วยเหตุนี้ ยังเป็นประโยชน์กับในสถานการณ์ในช่วงเวลานี้อีกด้วย เพราะอาณาจักรสวรรค์ยังไม่กล้าที่จะส่งกำลังเสริมใหม่มา ขณะเดียวกันเผ่ามารก็ไม่กล้าที่จะส่งกำลังรบเข้ามาแทรกแซงปรภพอีกครั้งเช่นกัน”

 

เธอหันไปมองกู่ฉิงซาน และค่อยๆโค้งกายคารวะลงเล็กน้อย

 

“ต้องขออภัยด้วยที่ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะค้นพบทางออกที่ถูกต้องได้จริงๆ แถมยังกล้าที่จะออกหน้ารับมือกับหอกหลากสีด้วยตนเองอีกด้วย”

 

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร” กู่ฉิงซานกล่าวซ้ำๆ

 

หลังจากนอนแผ่อยู่บนพื้นมานาน ในที่สุดพละกำลังเขาก็ค่อยฟื้นคืนกลับมา

 

“แล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไปคืออะไร?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานยืนขึ้นและกล่าว “เบื้องบนมีหอกหลากสีคอยป้องกันอยู่ นี่พอจะรับประกันได้ว่าเผ่ามารคงจะไม่กล้าย่างกรายเข้ามาอย่างน้อยก็ชั่วคราว”

 

“ซึ่งในกรณีนี้ เราก็จะสามารถเบนสมาธิมาแก้ไขปัญหาทางฝั่งนรกเบื้องล่างได้อย่างสบายใจ”

 

เขามองเข้าไปในถ้ำปากทางเข้านรก

 

ซึ่งยังคงมีชั้นแสงสีดำสะท้อนปกคลุมอยู่

 

นรกทั้ง 18 ขุมอยู่ภายในนั้น

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณถอนหายใจยาว “ข้าต้องบอกว่ากลยุทธ์ของเจ้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทว่ามันก็ไม่อาจกู้สถานการณ์ของนรกคืนมาได้อย่างสมบูรณ์อยู่ดี”

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มหนักอึ้ง เขาเร่งเอ่ยถาม “นรกทั้ง 18 ขุม ตอนนี้ได้ มี17ขุมที่สามารถคัดเลือกตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดมาเป็นตัวแทนได้แล้ว แต่ยังคงเหลือที่นั่งสุดท้ายจากนรกทะเลเลือดที่ยังว่างอยู่ใช่หรือไม่?”

 

“หากนรกทะเลเลือดสามารถคัดสรรค์คนตายที่แข็งแกร่งที่สุดได้ ไม้เท้าแห่งการจองจำก็จะจัดตั้งพื้นที่สำหรับให้คนตายที่ทรงพลังทั้ง 18 คนมาต่อสู้แข่งขันกันทันที”

 

“และในที่สุด คนตายที่ยังรอดอยู่เป็นคนสุดท้ายก็จะได้ขึ้นเป็นราชาภูติ มีวาจาสิทธิ์สามารถสั่งการนรกทั้ง 18 ขุมได้”

 

“แล้วนรกทั้งหมดก็จะถูกแยกออกจากปรภพ มุ่งหน้าตรงเข้าสู่โลกมนุษย์”

 

เหล่าสรรพวุธได่แค่ฟัง มิกล้าเอ่ยคำใด

 

ฉานนู่มองไปยังกู่ฉิงซานด้วยความหวัง “นรกทั้ง 18 ขุมจะแยกตัวออกจากปรภพ จากนั้นปรภพก็จะค่อยๆล่มสลายลง มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือโลกมนุษย์จะต้องพิชิตพวกมันให้ได้โดยสมบูรณ์ในระยะเวลาอันสั้น  หากทำเช่นนั้นได้ นรกก็จะกลับคืนสู่ปรภพดังเดิม”

 

กู่ฉิงซานยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ขนาดนรกขุมเดียวโลกมนุษย์ก็ยังไม่สามารถหยุดได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับนรกตั้ง 18 ขุม”

 

ฉานนู่กลายเป็นโง่งม

 

หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว

 

กู่ฉิงซานพูดออกมา “แต่ก็นั่นแหละที่เป็นเหตุผลที่ข้ามายังที่นี่ หนึ่งคือเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีจากหอกหลากสี และสองคือลงไปในนรก”

 

ฉานนู่หันขวับไปมองรอบๆ

 

และพบว่าอาวุธโบราณแห่งปรภพเกือบทั้งหมดได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว

 

เธอเอ่ยถามออกมา “เจ้าต้องการที่จะให้เราทุกตนออกไปสังหารพวกคนตายที่กำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้แข็งแกร่งที่สุดใช่หรือไม่?”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “แบบนั้นมันเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ ตอนนี้การถือกำเนิดของราชาภูติใกล้เข้ามาแล้ว แม้ว่าเราจะฆ่าคนตายพวกนั้นลง ไม้เท้าก็จะเลือกหนึ่งในคนตายคนสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในนรกทะเลเลือดออกมาอยู่ดี”

 

อีกความหมายนึงก็คือ มันไม่มีอะไรเลยที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้

 

เหล่าสรรพวุธถอนหายใจอย่างเงียบๆ

 

“ใครบอกกันว่าจะให้พวกเจ้าเป็นผู้สังหารคนตายเหล่านั้น” กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าวต่อว่า “เวทีต่อไป – ข้านี่แหละที่จะเป็นผู้ขึ้นแสดงเอง!”

 

“เจ้าน่ะหรือ?” ฉานนู่เบิกตากว้าง เอ่ยปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้ากำลังจะบอกว่า ต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการแข่งขันชิงตำแหน่งราชาภูติ?”

 

“ใช่”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าวยืนยัน

 

“ชักจะหลงระเริงจินตนาการมากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง เจ้าน่ะคือจิตวิญญาณของ‘คนเป็น’นะ ไม้เท้าแห่งการจองจำน่ะไม่มีทางยอมรับตัวตนของเจ้าหรอก” ฉานนู่กล่าว

 

กู่ฉิงซานหันไปทางวิหคขาว “ในเจ็ดผู้คุมนรกทางฝั่งเรา มีใครบ้างที่อยู่ในนรกทะเลเลือด?”

 

“ไม่มีใครเลย ทุกคนล้วนมาจากนรกในชั้นอื่นๆทั้งสิ้น” วิหคขาวกล่าว

 

“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปล่าสังหารคนตายที่แข็งแกร่งอีกต่อไป ขอเพียงแค่จับคนตายเผ่ามนุษย์มาให้ข้าสักคนก็นับว่าช่วยได้มากแล้ว – เร่งมือเร็วเข้า!”

 

ก่อนหน้านี้กู่ฉิงซานกล้าที่จะเผชิญหน้ากับหอกหลากสีตรงๆ ส่งผลให้เขามีชื่อเสียงและได้รับความเชื่อถือจากเหล่าสรรพวุธไปไม่น้อย

 

ดังนั้นทันทีที่เขาเอ่ยสั่ง เหล่าสรรพวุธก็ตะโกนขานรับทันที

 

ตนแล้วตนเล่าบินหายเข้าไปในถ้ำนรก มุ่งหน้าสู่นรกทะเลเลือดในชั้นแรก

 

ณ ภายในนรกทะเลเลือด

 

จู่ๆหลายสิบอาวุธก็พรวดเข้ามา และเริ่มแพร่กระจายกลิ่นอายของปรภพออกไป

 

ทันใดนั้นเอง พวกเราก็รับรู้ได้ถึงคนตายที่เป็นเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ และพากันบินเข้าไปล็อคตัวเป้าหมายไว้อย่างแน่นหนา

 

“อ้าวเฮ้ย! พวกแก .. พวกแกคิดจะทำอะไรน่ะ!?” คนตายเผ่ามนุษย์ร้องโวยวายด้วยความหวาดกลัว

 

เขาเป็นเพียงคนตายธรรมดาๆ และไม่เคยคาดคิดเลยว่าจู่ๆตนจะถูกลักพาตัวโดยอาวุธปรภพมากมายเช่นนี้อย่างกระทันหัน!

 

“หยุดกล่าววาจาไร้สาระแล้วมากับพวกเราซะดีๆ!” วิหคขาวร้องเตือน

 

หนุ่มเผ่ามนุษย์ถูกล็อคตัวโดยเหล่าอาวุธ และโดนลากขึ้นจากนรกทะเลเลือด

 

ณ พื้นที่เปิดโล่ง เบื้องหน้าถ้ำทางเข้าสู่นรก

 

“อย่ากลัวไปเลย จริงๆแล้วนายกำลังจะได้เป็นผู้กอบกู้โลกเลยนะรู้ไหม เอาล่ะ ขอยืมชิ้นส่วนร่างกายของนายหน่อยนะ ”กู่ฉิงซานกล่าวปลอบประโลมแล้ว ใช้ดาบตัดแขนของอีกฝ่าย

 

“ไม่- เอ๋? แค่นี้เองหรอ” หนุ่มคนตายเอ่ยถามกล้าๆกลัวๆ เหงื่อเย็นท่วมเต็มหลังเขา

 

อีกฝ่ายแค่กำลังมึนงง ทว่าไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดใดๆออกมา

 

มันดูเหมือนว่าเขาจะได้รับความทุกข์ทรมานเกินไปในนรก ความอดทนต่อความรู้สึกเจ็บปวดของหนุ่มคนตายจึงเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมากเช่นกัน

 

“เอาล่ะเรียบร้อยแล้ว นายไปได้”  กู่ฉิงซานกล่าว

 

หนุ่มคนตายกรีดร้องออกมาทันทีที่ถูกปล่อยตัว และรีบวิ่งกลับเข้าไปยังทางเข้านรก

 

เขาไม่อยากจะพบเจอกับอะไรแบบนี้อีกแล้ว!

 

“ขอบคุณนะ แต่ด้วยความร่วมมือของนายในครั้งนี้ ฉันเดาว่านายน่าได้รับบุญเป็นการตอบแทนไม่น้อยเลยล่ะ!” กู่ฉิงซานตะโกนจากเบื้องหลังเขา

 

หนุ่มคนตายพอได้ฟังก็หยุดกึกอย่างกระทันหัน

 

เขาเอ่ยคำหนึ่ง “เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล”

 

เห็นแค่เพียงไม่กี่ตัวเลขที่กำลังเรืองแสงปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา

 

“0012”

 

ไม่ใช่เลข -(ลบ) … แต่มันเป็นเลข + !

 

หากเลขบุญเป็น + นั่นหมายความว่าบาปกรรมของเขาได้หมดสิ้นลงแล้ว!

 

นับจากช่วงเวลานี้ไป เขาจะไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกอีก แต่จะสามารถกลับไปเกิดใหม่ได้เลย!

 

หนุ่มคนตายจ้องมองมัน ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนร้องไชโยออกมาราวกับคนบ้า

 

แล้วทันทีหลังจากนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง จึงวิ่งกลับมาทางฝั่งกู่ฉิงซานอีกครั้ง

 

“ว่าไง? มีอะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

หนุ่มคนตายกล่าวด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง “ฉันยังเหลือแขนอีกข้างนึง นายเอามันไปแล้วช่วยเพิ่มบุญให้ฉันอีกได้ไหม?”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ถอนหายใจออกมา และกล่าวอย่างสงบ “พาตัวเขาออกไป”

 

เหล่าอาวุธรับคำ พวกมันล็อคตัวหนุ่มคนตาย แล้วลากตัวอีกฝ่ายจนหายลับตาไปในพริบตา

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว เขาคว้าแขนข้างหนึ่งที่ตัดมา และเริ่มใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลากหลายเส้นแสงตัวอักษรจำนวนหนึ่งวิ่งผ่านมาอย่างรวดเร็ว

 

“กำลังทำการวิเคราะห์ความลี้ลับขององค์ประกอบแขนจาก ‘คนตาย’ ”

 

“คุณจำเป็นต้องจ่าย 1000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อเข้าใจถึงกฏเกณฑ์และองค์ประกอบของคนตาย แล้วจากนั้นจึงจะสามารถแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกฏเกณฑ์เดียวกันกับการดำรงอยู่ของคนตายได้”

 

หลังจากที่อ่านเสร็จ กู่ฉิงซานก็หันไปมองแต้มพลังวิญญาณของตนเองอีกครั้ง

 

เขาได้ใช้ออกไป 1000 แต้มพลังวิญญาณสำหรับการกลายร่างเป็นมารกระดูก และให้เช่าหยินหลอมกลั่นหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนไปอีก 1000 แต้มพลังวิญญาณ , ไม่นานมานี้ก็ได้ใช้ ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’ ในสายธารแห่งการหลงเลือนไปอีกมาโข ทำให้ในตอนนี้-

 

“-แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ 1003/300”

 

นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้เปิดใช้งานความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต!

 

กู่ฉิงซานควรจะเริ่มต้นได้แล้ว!

 

อย่างรวดเร็ว อาศัยเพียงความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ส่งผลให้ในเวลานี้ตัวเขาได้กลายเป็น ‘คนตาย’!

 

“อืม ขนาดรูปร่างนี้มันเกือบจะเหมือนกันกับฉันเลย”

 

กู่ฉิงซานลองนั่งๆยืนๆ เดินวนไปรอบๆ พลางเหวี่ยงแขนไปมา ปากเอ่ยพึมพำ “นี่แหละคือแผนการขั้นที่สอง”

กู่ฉิงซานก้มลงร่างกายตนแล้วเอ่ยพึมพำ “นี่แหละคือแผนการขั้นที่สอง ‘พิราบยึดรัง’!”*

 

*(เป็นสำนวนจีนแปลว่า : บุกเข้าไปยึดครองอาณาเขตผู้อื่น)

 

เหล่าสรรพวุธมองฉากนี้อย่างโง่งม

 

“เขาตายไปแล้ว! จู่ๆก็กลายเป็น ‘คนตาย’ ไปซะเฉยๆเลย!” วิหคขาวร้องเสียงหลง

 

“เจ้าจะโวยวาย ตายเตยอะไรของเจ้ากัน?” ฉานนู่เอ่ยถามอย่างงงงวย

 

“คือเขา – ตายแล้ว!”

 

“ไม่ใช่หรอก เขาแค่ใช้วิชาลี้ลับประเภทหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนสถานะ กฏเกณฑ์ และองค์ประกอบของตนเองได้น่ะ” ตะขอเกี่ยววิญญาณเอ่ยชื่นชม

 

กู่ฉิงซานไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

 

แต่เขารู้สึกได้ถึงเสียงเรียกอันน่าพิศวง

 

หลังจากช่วงเวลาที่เงียบไปครู่หนึ่ง กู่ฉิงซานก็เข้าใจถึงเสียงเรียกนี้ที่ถูกส่งเข้ามา

 

นี้คือเสียงเรียกของไม้เท้าแห่งการจองจำ มันกำลังระดมคนที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้ง 18 ขุมนรก เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งราชาภูติ!

 

จิตใจที่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศของกู่ฉิงซานผ่อนคลายลงไปหลายส่วน

 

นี่พอจะบ่งบอกได้แล้วว่า ไม้เท้าแห่งการจองจำได้ยอมรับตนว่าอยู่ในสถานะคนตายแล้ว!

 

ยังมีความหวังอยู่!

 

ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหว ทะยานตัวไปยังทิศทางปากถ้ำนรก

 

“ช้าก่อน!” ฉานนู่ตะโกนหยุดเขา

 

“มีเรื่องอะไร? ข้าจำเป็นต้องรีบแล้ว ตำแหน่งชิงราชาภูติเหลืออยู่แค่ในนรกทะเลเลือดที่เดียวเท่านั้นแล้วนะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เจ้าแน่ใจนะว่าจะลงแข่งขันชิงตำแหน่งราชาภูติ เจ้าอาจจะถูกสังหารได้นะหากประมาท” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อารยธรรมโลกมนุษย์น่ะดำรงอยู่มานานหลายพันหลายหมื่นปีแล้ว แถมในโลกข้ายังมียุคสมัยอันเจิดจรัสอยู่ถึง 4 ยุคสมัยอีก นอกจากนี้ยังมีเหล่าการดำรงอยู่จากโลกหกวิถี – บอกตามตรงเลยว่าตอนนี้ ข้าอยากจะเข้าไปดูจนแทบจะอดใจไม่ไหวแล้วว่ายังมีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอยู่อีกบ้างไหม”

 

แววตาของฉานนู่ดูจะค่อนข้างซับซ้อน เธอโค้งกายคำนับและกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะสามารถคิดหาทางออกจนมาได้ถึงขนาดนี้”

 

“ทว่ามันยังมีปัญหาที่เจ้ายังไม่ทราบอยู่”

 

กู่ฉิงซานชะงักไป ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “ปัญหาอะไร?”

 

“เจ้าเป็นผู้ฝึกดาบใช่หรือไม่?”

 

“ใช่”

 

“เช่นนั้นดาบของเจ้าเล่า?”

 

กู่ฉิงซานเพียงนึกคิด

 

ดาบพิภพกับเช่าหยินก็ผุดออกมานอากาศที่ว่างเปล่า

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าอาวุธมากมายจากปรภพ พวกมันก็บินวนไปรอบกายกู่ฉิงซานอย่างภาคภูมิใจ

 

“เป็นดาบที่ดี!”

 

“ดาบอีกเล่มก็ดูดีไม่เลว!”

 

“ … ”

 

เหล่าสรรพวุธต่างพากันร้องชื่นชมออกมา

 

ทว่าตะขอเกี่ยววิญญาณกลับถอนหายใจ

 

ขณะที่ฉานนู่เอาแต่สายหัวของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความสงสัย “อะไร? พวกมันมีสิ่งใดผิดปกติกระนั้นหรือ?”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณ “นรกที่เจ้ากำลังจะไปน่ะมีแต่คนตาย นอกจากนี้ที่นั่นยังเป็นสถานที่ๆมีไว้สำหรับพวกเขา”

 

“อ๋า? ก็แล้วมันทำไมหรือ?”

 

ฉานนู่กล่าวต่อ “คนตายจักต้องค้นหาวัสดุในนรก แล้วทำการสร้างอาวุธของตนขึ้นมาด้วยตัวเอง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาถูกยอมรับโดยกฏเกณฑ์แห่งปรภพ รวมไปถึงไม้เท้าแห่งการจองจำได้”

 

“แต่หากเจ้าใช้อาวุธที่มาจากนอกนรก เจ้าจะถูกตัดสิทธิ์ทันที”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวว่า “พวกคนตายน่ะในนรกน่ะ ได้ใช้เวลานานหกว่าหลายร้อยปีเพื่อที่จะสร้างอาวุธของตนเองขึ้นมา เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะมีอำนาจในการปกครองนรก”

 

“ยังไงก็ตาม อาวุธของเจ้ามันไม่สามารถนำเข้าไปในนรกได้ ขณะเดียวกันหากจะสร้างใหม่มันก็มีเวลาไม่เพียงพอ” ฉานนู่ถอนหายใจ

 

“เช่นนั้นปัญหาที่ว่าก็คือ ข้าจะไม่สามารถใช้ดาบได้อย่างงั้นหรือนี่”กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

ผู้ฝึกดาบที่ไม่สามารถใช้ดาบแล้ว แล้วเขาจะต่อสู้ได้อย่างไร?

 

กู่ฉิงซานชำเลืองมองเหล่าสรรพวุธและเอ่ยถามว่า “ข้าสามารถใช้พวกเจ้าได้หรือไม่?”

 

อาวุธตนแล้วตนเล่าพากันส่ายหัวและกล่าว “แม้ว่าเราจะเป็นอาวุธแห่งปรภพ ทว่ามิได้ถูกสร้างขึ้นในนรก ฉะนั้นจึงไม่สามารถ”

 

ฉานนู่กล่าวขึ้น “แต่เจ้าใช้ข้าได้นะ”

 

ยามเมื่อเธอกล่าวคำนี้ออกมา เหล่าสรรพวุธทั้งหลายต่างก็หุบปากลง

 

บริเวณโดยรอบบังเกิดความเงียบงันขึ้น

 

ได้ยินแค่เพียงเสียงกระจ่างใสของฉานนู่กล่าวขึ้นว่า “นรกเป็นก็เป็นส่วนหนึ่งของภูเขาล้อมเหล็ก ดังนั้นกฏเกณฑ์แห่งมันจึงแฝงอยู่ภายในตัวข้า”

 

“กล่าวได้ว่า ข้าก็เป็นดาบที่พอจะถูกพิจารณาได้ว่ามาจากนรกทั้ง 18 ขุมเช่นกัน”

 

“ความหมายที่ข้าจะสื่อคือ หากเจ้าใช้ข้า เจ้าจะไม่ถูกตัดสิทธิ์”

 

ขณะกล่าว ร่างของเธอก็กระพริบไหว ผลุบเข้าไปในดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

ดาบขุนเขาสั่นไหว และลอยมาตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

เสียงของฉานนู่ดังออกมาจากดาบยาว

 

“ก่อนหน้านี้เจ้าได้มอบสมบัติเพื่อช่วยซ่อมแซมข้า ข้ายังมิได้ตอบแทนคืน แถมยังให้เจ้าเอ่ยสัตย์สาบานที่ร้ายแรงถึงเพียงนั้นออกมาอีก การกระทำเหล่านี้ ช่างผิดวิสัยของข้าเสียจริงๆ”

 

“ฉะนั้น ในเวลานี้ ข้าจึงอยากที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้า เพื่อแสดงถึงคำขอโทษของข้า”

 

ฉานนู่กล่าวออกมาอย่างช้าๆ

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็คว้าจับลงบนด้ามดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

นี่มันแตกต่างจากคราวก่อน เวลาที่ได้จับมันในทีแรก เขารู้สึกได้ถึงเพียงความเย็นชาจากตัวดาบเท่านั้น แต่บัดนี้ เขากลับสามารถกวัดแกว่งมันได้อย่างอิสระ สะดวกสบาย ราวกับว่ามันเป็นแขนขาของตนเอง

 

นี่คือเครื่องหมายที่บ่งบอกว่าจิตแห่งดาบได้ยอมรับเขาแล้ว!

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยหลายบรรทัดได้ปรากฏขึ้น

 

“คุณได้รับการยอมรับโดยจิตอาร์แฟค”

 

“คุณสามารถเรียนรู้คุณสมบัติของสิ่งประดิษฐ์เทวะได้แล้ว”

 

“ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา คือดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาในโลกนี้ กล่าวได้ว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะของปรภพ”

 

“ดาบเล่มนี้คือดาบที่สามารถสำแดงกฏเกณฑ์ของภูเขาล้อมเหล็กได้”

 

“ดาบเล่มนี้มีจิตอาร์ติแฟค พลังศักดิ์สิทธิ์ : อมตะ ”

 

“ดาบเล่มนี้มีจิตอาร์ติแฟค พลังศักดิ์สิทธิ์ : ทรงปัญญา”

 

“ดาบเล่มนี้มีจิตอาร์ติแฟค พลังศักดิ์สิทธิ์ : แหกกฏ”

 

“ดาบเล่มนี้มีจิตอาร์ติแฟค พลังศักดิ์สิทธิ์ : ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.399 – ขั้นตอนแรก

 

ต่อหน้าเหล่าอาวุธทั้งหลาย กู่ฉิงซานได้เอ่ยปากสาบานออกมา

 

“ขอเดิมพันด้วยชีวิตข้า ว่าข้าจะต้องช่วยโลกปรภพให้จงได้ มิฉะนั้นแล้วขอให้กายข้าถูกทำลาย แลจิตวิญญาณตกลงสู่ขุมนรก”

 

สิ้นเสียง สายลมที่มองไม่เห็นก็ลอยเข้ามาเวียนวนรอบร่างจิตของกู่ฉิงซาน เนิ่นนานจึงจะหายไป

 

สวรรค์และโลกเป็นพยาน บ่งบอกว่าคำปฏิญาณได้บรรลุกระบวนการแล้ว

 

ฉานนู่มองไปยังฉากนี้ ด้วยสีหน้าค่อนข้างซับซ้อน

 

“เจ้าทำเช่นนี้เพื่ออะไร? เพื่อปรภพ? หรือว่าเพื่อโลกกันแน่?”

 

“หรือจะเป็นเพราะแรงดลใจจากเหตุก่อนหน้า ที่ทำให้เจ้าพาลคิดไปว่าตนเองนั้นเป็นผู้กอบกู้แห่งโชคชะตา ดังนั้นจึงกล้าที่จะเดิมพันชีวิตในครั้งนี้?”

 

เธอเอ่ยถามด้วยความฉงน

 

“จะอะไรก็ช่าง แต่ข้าก็ได้ให้คำมั่นไปแล้ว” กู่ฉิงซานสวนกลับ

 

ฉานนู่ชะงักราวกับถูกแทงลึกเข้าไปในหัวใจ

 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ตั้งแต่วินาทีที่ข้าได้มาถึงโลกปรภพ ข้าก็เดิมพันด้วยชีวิต – สาบานว่าจักต้อง ‘เปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมด’ ให้จงได้อยู่แล้ว”

 

ว่าจบ สายตาของเขาก็มองไปตามสายธารที่ทอดยาวออกไปไร้ที่สิ้นสุด

 

กระแสน้ำกำลังไหลผ่านไปอย่างเงียบๆ

 

ขวดไวน์เก่าๆและศพของอสูรกายได้ลอยหายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย

 

“วางใจเถอะเหล่าสหาย ข้าจะต้องชนะให้จงได้” เขาเอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

สมองของอาวุธต่างๆว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง เพราะไม่รู้ว่ามนุษย์ตรงหน้ากำลังพูดอยู่กับใคร

 

ฉานนู่ไตร่ตรองเกี่ยวกับมันสักพัก ก่อนจะกล่าวว่า “งั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าสาบานแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะให้ความร่วมมือกับเจ้าอย่างเต็มที่”

 

เธอเปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนหมอกสีขาว แล้วผลุบหายเข้าไปในดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

กู่ฉิงซานคว้าจับดาบเล่มนั้น

 

ขณะเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยก็เด้งเตือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“คุณได้รับอนุญาตในการใช้ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาเป็นการชั่วคราว”

 

“ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา คือดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาในโลกนี้ กล่าวได้ว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะของปรภพ”

 

“ไม่อาจทราบคุณสมบัติของดาบเล่มนี้ได้”

 

ราวกับรู้ว่ากู่ฉิงซานต้องการจะถามสิ่งใด เส้นแสงตัวอักษรจำนวนมากได้ปรากฏขึ้นมาบนหน้าต่างทันที

 

“ดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ยิมรับคุณเป็นเจ้านายของเธอ ดังนั้นคุณจึงไม่อาจทราบรายละเอียดคุณสมบัติของดาบเล่มนี้ได้”

 

“ตามการวิเคราะห์จากการรวบรวมข้อมูล ดาบเล่มนี้มีอย่างน้อยหนึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์ : ‘อมตะ’ ”

 

“ ‘อมตะ’ : ทุกกฏเกณฑ์ในโลกทั้งสิบ ทุกๆพลังอำนาจจะมิอาจทำลายดาบเล่มนี้ลงได้”

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม เขาอดไม่ได้ที่จะใช้จิตสัมผัสเทวะถามออกไป : ‘นางจะเป็นอมตะได้อย่างไร? ในเมื่อก่อนหน้านี้นางได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างชัดเจน’

 

“ที่ได้รับบาดเจ็บคือจิตอาร์ติแฟค ส่วนตัวดาบยาวเองมิได้รับความเสียหายใดๆ”

 

“จิตอาร์ติแฟคได้รับบาดเจ็บ และดาบไม่อาจลงมือด้วยตนเองได้ แต่ก็ยังสามารถนำมาให้ผู้อื่นใช้ได้”

 

“หากจิตอาร์ติแฟคของดาบเล่มนี้ตกตายลง ตัวดาบยาวจะยังคงอยู่ ทว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดจะสูญสิ้นไป”

 

ระบบตอบกลับ

 

“ข้าเข้าใจแล้ว นี่สินะความหมายของคำว่า ‘อมตะ’ ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาวาดดาบยาวในมือออกไป และเอ่ยในใจอย่างเงียบๆ “จะเห็นถึงรายละเอียดคุณสมบัติของมันหรือไม่ก็หาได้สำคัญไม่ เพราะตราบใดที่ดาบเล่มนี้เป็นอมตะ มันก็จะสามารถปัดป้องหอกหลากสีเพื่อข้าได้ … ”

 

ในเวลานั้นเอง ตะขอเกี่ยววิญญาณก็ได้เปล่งเสียงออกมา “ในเมื่อพวกเจ้าตกลงจะร่วมมือกันแล้ว เช่นนั้นตอนนี้ข้าสมควรจะทำสิ่งใดดี?”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “เราจะไปยังปากทางเข้านรก – ข้าจดจำได้ว่านรกซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ภูเขาล้อมเหล็ก เบื้องล่างของสายธาร ถูกต้องหรือไม่?”

 

“ถูกต้องตามนั้น” ตะขอตอบ

 

“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด”

 

……

 

ทั้งหมดบินไปตลอดเส้นทางในเบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือน

 

ภายใต้สายธารที่อยู่ใกล้กับฝั่งของภูเขาล้อมเหล็ก กู่ฉิงซานได้ค้นพบถ้ำที่ซ่อนอยู่เบื้องล่างของมัน

 

ที่นี่อยู่ใต้สายธารตลอดทั้งปี และจำต้องดำดิ่งลงไปเพื่อที่จะพบกับปากทางเข้าสู่นรก

 

กู่ฉิงซานกำอาวุธในมือ แหวกว่ายผ่านถ้ำใต้น้ำที่ยาวออกไปหลายสิบลี้ แล้วเขาก็เข้าสู่ภายในใจกลางที่กล่าวได้ว่าเป็นส่วนท้องของภูเขาล้อมเหล็กได้ในที่สุด

 

ในใจกลางของภูเขาล้อมเหล็ก ไม่มีน้ำจากสายธาร เป็นเพียงพื้นที่เปิดโล่ง

 

เวลานี้ ปรากฏถ้ำขนาดใหญ่สูงกว่าร้อยเมตรขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

นี่คือทางเข้าสู่ขุมนรก

 

กู่ฉิงซานมองเข้าไปในถ้ำ

 

และเห็นแค่เพียงชั้นแสงสีดำที่คอยปกคลุมตรงทางเข้าถ้ำเอาไว้

 

เมื่อเขาลองเดินเข้าไปใกล้ทางเข้าถ้ำ กลับพบว่าตนถูกผลักกลับมาด้วยแรงที่มองไม่เห็น และไม่อาจต้านทานได้

 

“มีเพียงคนตายเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปข้างในได้ ทว่าเจ้าเป็นเพียงจิตวิญญาณ จึงไม่สามารถเข้าสู่นรกภูมิได้” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า และเอ่ยถาม “เช่นนั้นเผ่ามารก็ไม่สามารถเข้าสู่นรกได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่?”

 

“ใช่”

 

ในขณะนั้นเอง เสียงของผู้หญิงชุดคลุมฟ้าก็ดังออกมาจากดาบ “เจ้าวางแผนที่จะทำอะไร?”

 

“เริ่มจากแผนขั้นแรก ‘กำจัดมารสะบั้นหัวอสูร’ ” กู่ฉิงซานตอบกลับ

 

—–

 

ณ ภูเขาล้อมเหล็ก

 

ตรงยอดเขา

 

หอกหลากสีที่ถูกผนึกโดยยันต์ทองคำ ก็ยังคงปลดปล่อยแสงและเงาสีสันสดใสออกมาอย่างไม่มีหยุดยั้ง

 

แสงและเงาของหอกพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

ขณะเดียวกันบนท้องฟ้า 36 อาวุธแห่งปรภพก็กำลังปลดปล่อยรังสีแสงสวรรค์ออกมาเช่นกัน

 

ทั้งหมดเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สร้างมหาค่ายกลผนึกมารออกไปต้านทานแสงและเงาของหอกนี้

 

และยามเมื่อสองมหาพลังอำนาจปะทะกัน

 

ดั่งแสงสว่างและความมืดถือกำเนิดขึ้นและดับสูญลงนับครั้งไม่ถ้วน

 

36 อาวุธต่างร่ำร้องคร่ำครวญออกมาด้วยปวดร้าวอย่างต่อเนื่อง

 

พวกเขาเกือบจะไม่อาจต้านทานได้อยู่แล้ว

 

การเผชิญหน้าใกล้จะสิ้นสุดลงในไม่ช้า

 

เหล่าอาวุธโบราณกำลังจะพ่ายแพ้และถูกทำลายลงโดยหอกหลากสีซึ่งมีเพียงลำพัง

 

แต่แล้วทันใดนั้นเอง ท่ามกลางสายธารแห่งการหลงเลือนก็บังเกิดรังสีสีเหลืองอ่อนพุ่งทะยานขึ้นมา

 

และรังสีแสงที่ว่าก็พรวดขึ้นไปบนอากาศ มุ่งตรงมายัง 36 อาวุธโบราณอย่างรวดเร็ว

 

ตะขอยาวเผยร่างของตนออกมา

 

“พวกเจ้าทุกคนถอยออกมาก่อน”ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

“ทว่าหากพวกเราถอย ก็จะไม่มีใครสามารถรับมือกับมันได้อีกแล้วนะ” หนึ่งในอาวุธกล่าว

 

“ถอยออกมา ตอนนี้เจ้าจะต้องรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน เดี๋ยวจะมีคนอื่นมารับมือกับหอกเอง!” ตะขอเร่งเตือน

 

มันคือหนึ่งในสามสิ่งประดิษฐ์เทวะจากปรภพ ดังนั้นคำพูดของมันจึงค่อนข้างน่าเชื่อถือเป็นธรรมดาสำหรับเหล่าอาวุธ

 

36 อาวุธโบราณล่าถอยทันที

 

พวกมันยังคงรักษามหาค่ายกล และขณะเดียวกันก็ล่าถอยกลับไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ

 

–พวกมันไม่กล้าจริงๆที่จะยกเลิกมหาค่ายกลนี้ในทันที

 

เพราะในกรณีนั้น บางทีหอกหลากสีอาจจะสังหารพวกมันทันทีเลยก็ได้

 

หลังจากที่สรรพวุธล่าถอยไป

 

หอกหลากสีก็กลับคืนสู่ความสงบบอีกครั้ง

 

เผ่ามารและอสูรกายนับไม่ถ้วนที่คอยสังเกตการณ์อยู่ต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

 

พวกมันแผดเสียงหัวเราะ ชูไม้ชูมืออย่างภาคภูมิเพื่อแสดงถึงชัยชนะอีกครั้ง

 

เว้นไว้แต่เพียงบนยอดของเขาล้อมเหล็ก ในสถานที่อื่นๆ ทั้งหมดได้ถูกครอบครองจนสิ้นแล้วโดยเผ่ามาร

 

หากไม่นับนรกเบื้องล่าง ก็กล่าวได้ว่าในความเป็นจริงพวกมันได้ครองโลกใบนี้ทั้งใบไปแล้ว!

 

ณ ขณะนั้นเอง ภายในสายธารแห่งการหลงเลือน พลันปรากฏร่างๆหนึ่งบินขึ้นมา

 

และร่างที่ว่านั่นคือกู่ฉิงซาน!

 

ในมือของเขาถือดาบขุนเขาเทวะหกโลกา มุ่งหน้าไปยังยอดเขา

 

เขาพุ่งเข้าใส่หอกหลากสีอย่างเต็มกำลัง

 

อีกด้านหนึ่งไกลออกไป เผ่ามารเริ่มส่งเสียงโห่ร้องอีกครั้ง

 

พวกมันเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างใกล้ชิด และแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะได้เห็นหอกหลากสีเก็บเกี่ยวเจ้าสิ่งมีชีวิตที่มุทะลุนี้!

 

กู่ฉิงซานบินตรงไปยังเนินเขาที่ว่างเปล่า

 

หอกหลากสีดูเหมือนจะเกียจคร้านเล็กน้อย แม้จะสัมผัสได้ถึงกู่ฉิงซานแล้วก็ตามที ทว่ามันก็ไม่สนใจและไม่เกิดปฏิกริยาตอบสนองใดๆไปสักพักหนึ่ง

 

จนกระทั่งกู่ฉิงซานบินมาได้ครึ่งทาง-

 

-แสงและเงาก็เร่มเปล่งประกายออกมาจากหอกหลากสี และจ้วง! เข้าตัดกู่ฉิงซาน

 

แสงและเงาของหอกนี้ มีระยะโจมตีกว่าหลายร้อยเมตร และพริบตาเดียวมันก็มาถึงกู่ฉิงซาน

 

ความตาย … ใกล้เข้ามาแล้ว!

 

และในพริบตานั้นเอง ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังจะถูกสังหารลงโดยเงาหอก

 

มองไปยังสีหน้าของกู่ฉิงซานที่ไม่เปลี่ยนแปลง ร่างของเขากระพริบไหว หายไปจากเป้าโจมตีของเงาหอก

 

สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

 

กู่ฉิงซานทำการเปลี่ยทิศทาง เขาวาบบบบ! ข้ามผ่านเงาของหอกหลากสี และยังคงพุ่งตรงไปยังยอดเขา

 

และในระหว่างทาง เขาก็ใช้ออกด้วยย่นระยะอีกที

 

ระยะทางที่ยาวได้สั้นลงในฉับพลัน

 

เขาเกือบที่จะไปถึงบนยอดเขาอยู่แล้ว!

 

อีกฝ่ายสามารถใกล้เข้ามาได้อย่างง่ายดายแถมยังเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ! หอกหลากสีดูเหมือนจะประหลาดใจเล็กน้อย

 

คราวนี้มันปลดปล่อยสามเงาหอกออกไปพร้อมกันเพื่อจ้วงตัดร่างกู่ฉิงซาน

 

และการโจมตีดังกล่าวนี้ กระทั่ง 36 อาวุธแห่งปรภพก็ยังมิอาจต้านทานได้!

 

สามเงาหอกเชื่อมต่อกันและกัน ครอบคลุมตลอดทั้งยอดเขาล้อมเหล็กโดยสมบูรณ์

 

แล้วกู่ฉิงซานก็ทำการล็อคจิตสัมผัสเทวะลงในเงาหอกที่สาม ซึ่งอยู่หลังสุด

 

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

 

ในพริบตา เขาและเงาหอกเงาหลังสุดก็สลับตำแหน่งกัน

 

กู่ฉิงซานสามารถมาถึงบนยอดเขาได้แล้ว!

 

ทีนี้ก็ถึงเวลาเปิดม่านการแสดงแล้ว!

 

กู่ฉิงซานวูบกายไปยังหอกหลากสี

 

และในเสี้ยววินาที ประกายแสงก็ระเบิดพุ่งออกมาจากหอกหลากสีอย่างรวดเร็ว

 

มันได้ปลดปล่อยเงาหอกหลากเฉดสีออกมาอีกครั้ง แถมยังมากกว่าเก่าเสียด้วย

 

และนี่ก็นับเป็นครั้งแรกเลยที่กู่ฉิงซานใช้ดาบเข้าสู้!

 

ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาถูกยกสูงขึ้นพร้อมกับรังสีดาบที่ดูบิดเบือนระเบิดออกมา

 

หอกหลากสีไม่น้อยหน้า มันเร่งยิงเงาหอกออกไปตัดมหารังสีดาบนี้ออกเป็นชิ้นๆ!

 

ช่วงพริบตาถัดไป

 

เงาหอกที่สอง

 

เงาหอกที่สาม

 

เงาหอกที่สี่

 

เงาหอกที่ห้า

 

แสงและเงาค่อยๆซ้อนทับกัน สาดกระจายออกไปทั่วบริเวณ

 

ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดนี้ กู่ฉิงซานไม่มีเวลาเพียงพอที่จะเริ่มต้นใช้ออกด้วยสกิลเทวะ เขาจึงสามารถทำได้เพียงหมุนดาบขุนเขาในมือเป็นแนวนอน แล้วใช้มันต้านทานร่างกายจากเบื้องหน้าเท่านั้น

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

ตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน

 

ตรงหอกหลากสี

 

ก็ได้บังเกิดรังสีดาบปรากฏขึ้นจากอีกด้านหนึ่งบนร่างของมันอย่างกระทันหัน

 

เทคนิคลับแห่งดาบ กลืนกินหวนกลับ!

 

กะเวลาได้เหมาะเหม็ง!

 

เห็นแค่เพียงรังสีดาบที่ตัดเข้าด้านข้างของหอกหลากสี

 

ราวกับช่วงเวลาหยุดนิ่ง รังสีดาบค่อยๆตัดเฉือนลงบนหอกอย่างแผ่วเบา

 

และยันต์ทองคำที่ถูกแปะเอาไว้ก็หลุดลอยออกไป

 

หอกหลากสีชะงักงัน เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่สิ่งที่มันทันคาดคิด

 

ในพริบตานั้น หอกหลากสีก็ไม่ได้ปลดปล่อยเงาออกมาโจมตีกู่ฉิงซานอีกต่อไป

 

กู่ฉิงซานหมุนควงดาบขุนเขาที่กำลังใช้ป้องกันตัวอยู่ และระเบิดรังสีดาบออกไป

 

“จังหวะนี้ล่ะ!”

 

ปงงงง!!

 

บังเกิดเสียงอึกทึก แผดก้องไปทั่วฟ้า

 

ดาบขุนเขาปัดป้องแสงและเงาของหอกหลากสีได้สำเร็จ!

 

นี่แหละคือพลังของ ‘อมตะ’ ล่ะ!

 

ด้วยคมดาบนี้ ส่งผลให้พลังตีกลับมายังกู่ฉิงซาน

 

เขาถูกกระแทกกระเด็นออกมาในพริบตาด้วยผลกระทบจากพลังอำนาจของเงาหอก

 

แล้วเนื่องจากถูกกระแทกใส่ในระยะประชิดด้วยพลังอำนาจอันไร้คู่เปรียบนี้ ทั้งคนทั้งดาบจึงพุ่งฟิ้ว! ปลิวลอยไปไกลจากยอดเขา ร่วงตกไปสู่สายธารแห่งการหลงเลือนราวกับดาวหางก็มิปาน

 

และสายธารแห่งการหลงเลือนก็แยกออกทันทีเพื่อเปิดทางให้เขาเข้าไป

 

แต่กู่ฉิงซานก็ยังไม่หยุด เมื่อตกลงสู่สายธารแล้ว เขาก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไป แหวกสายธารตรงไปยังทิศทางปากถ้ำเข้าสู่นรก

 

เขาบินเข้าไปภายในส่วนท้องของภูเขาศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับดาบขุนเขา เลี้ยวลดคดเคี้ยวกว่า7-8ครั้งในระหว่างทาง และสุดท้ายก็มาถึงถ้ำปากทางเข้านรกได้ในที่สุด

 

เขาทิ้งตัวกลิ้งลงไปกับพื้นในบริเวณพื้นที่เปิดโล่ง ก่อนจะหยุดลงนอนแผ่แขนขาไปคนละทิศทาง ปากอ้าหอบหายใจหนักหน่วง

 

พลังอำนาจของหอกหลากสีเพียงพอที่จะสังหารเทพและอสูรกายลงได้ ตราบใดที่เขาพลาดพลั้งแม้เพียงน้อยร่างจิตของตนก็จะถูกทำลายลงในจุดนั้นทันที!

 

กระบวนการต่อสู้ทั้งหมดเมื่อครู่ แม้จะดูธรรมดา ทว่าความเป็นจริงแล้วในทุกๆการกระทำมันเชื่อมโยงถึงกันหมดด้วยประสบการณ์และทักษะการต่อสู้ของกู่ฉิงซาน

 

จนถึงตอนนี้ กล่าวได้ว่านี่คือการต่อสู้ที่สาหัสสุดๆแล้วที่เคยwfhพบเจอสำหรับเขา!

 

ยามเมื่อสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ร่างที่เขม็งเกร็งของกู่ฉิงซานก็คลายลง จนทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย

 

เหล่าอาวุธเข้ามารายล้อมรอบตัวเขา

 

–มิใช่แค่เหล่าอาวุธกลุ่มเดิมในทีแรก แต่ยังรวมไปถึง 36 อาวุธที่ล่าถอยออกมาก่อนหน้านี้ และพึ่งได้ฟื้นฟูกำลังของตนอีกด้วย

 

ร่างของหญิงชุดคลุมฟ้าปรากฏขึ้น และเตรียมจะเอ่ยถามออกมาไม่กี่คำว่า

 

‘เหตุใดเมื่อครู่เจ้าจึงกระทำเช่นนั้น?’

 

ทว่าไม่รีรอให้เธอเอ่ยถาม ตะขอเกี่ยววิญญาณก็พลันเปล่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้นซะก่อน

 

“มาดูนี่เร็วเข้า!”

 

มันตะโกนลั่น

 

“ทุกท่านจงเชื่อมต่อกับข้าเร็ว มีสิ่งที่น่าสยองเกล้าบังเกิดขึ้นแล้วในภายนอก!”

 

กระแสเสียงในตอนนี้ของมันแทบจะเผยถึงความคลั่งเล็กน้อย

 

เหล่าสรรพวุธแตะลงบนตะขอเกี่ยววิญญาณทันที

 

กู่ฉิงซานเองก็เหยียดมือไปวางลงไปบนมัน

 

แล้วสถานการ์ภายนอกก็ปรากฏขึ้นในจิตสัมผัสเทวะของพวกเขา

 

—-

 

ณ จุดสูงสุดบนยอดเขา

 

เมื่อไม่มียันต์ทองคำคอยยับยั้งพลังอำนาจของหอกหลากสี สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปรไปอย่างฉับพลัน

 

เมื่อกู่ฉิงซานจากไป หอกหลากสีก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจที่จะไล่ตามไปจัดการกับเขาเลย

 

ทว่ามันกลับเลือกที่จะส่งเงาหอกหลากเฉดสีออกมา และตัดยันต์ทองคำที่ลอยล่องอยู่ในอากาศเป็นชิ้นๆ !

 

แต่ถึงกระนั้น การกระทำนี้ก็ยังมิอาจปัดเป่าความโกรธเกลียดของมันออกไปได้ – เงาหอกหลากเฉดสีนับร้อยพันปะทุออกจากตัวหอก และพุ่งเข้าตัดเศษซากยันต์จนเป็นผุยผง!

 

ฟุบๆๆๆๆๆ!

 

จนกระทั่งฝุ่นผงของยันต์ทองคำมิมีหลงเหลือ หอกหลากสีจึงค่อยเปล่งเสียงฮึมฮำด้วยความสุขออกมา

 

และวินาทีต่อไป

 

เฉดเงานับพันหมื่นก็พรั่งพรูออกมาจากหอกหลากสี แพร่กระจายกวาดออกไปตลอดทั้งส่วนพื้นดินของภูเขาล้อมเหล็ก

 

“แบบนี้โลกปรภพก็คงจะจบสิ้นลงแล้ว” ฉานนู่มองไปยังกู่ฉิงซานและกล่าว

 

“ดูต่อไปเถอะ” กู่ฉิงซานสวนกลับ

 

“ดูนั่น! เห็นหรือไม่!” ตะขอเกี่ยววิญญาณร้องกระตุ้นเตือน

 

ฉานนู่จึงหันสมาธิไปแช่จิตสัมผัสเทวะของเธอลงในตะขอเกี่ยววิญญาณต่อ

 

เดิมทีกองทัพเผ่ามารได้ยึดครองทั่วทั้งพื้นดินในส่วนบนภูเขาล้อมเหล็ก ทว่ามีเพียงส่วนเดียวที่มิได้ยึดครอง นั่นคือบริเวณที่ใกล้เคียงกับหอกหลากสี

 

ทว่าตอนนี้ ยันต์ทองคำหลุดออกไปแล้ว ดังนั้นพลังอำนาจทั้งหมดของหอกหลากสีจึงได้ถูกปลดปล่อยออกมาโดยสมบูรณ์!

 

เห็นแค่เพียงในสวรรค์และโลก ทุกๆสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ล้วนถูกบดบังด้วยเฉดเงาเหล่านี้

 

เงาหอกกระจายออกจากยอดเขาอย่างฉับไว และพวกเผ่ามารบนภูเขาในระยะไกลก็ตกตายลงทันที

 

โดยปราศจากซึ่งการต่อต้านใดๆ กองทัพมารหลายสิบล้านตน! หลายสิบล้านตนก็ถูกสังหารลงในพริบตาโดยเฉดเงาหลากสีนี้!

 

ตลอดทั้งภูเขาล้อมเหล็ก บัดนี้เอ่อท่วมไปด้วยเลือดสดๆ พวกมันไหลนองเป็นคลื่น ม้วนลงรวมกับกระแสน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน

 

มีเพียงอสูรกายที่ทรงพลังที่สุดไม่กี่ตนเท่านั้นที่รอดมาได้จากการกวาดโจมตีในคราแรกนี้ พวกมันร้องโหยหวนและเริ่มวิ่งหนีเอาชีวิตรอด

 

อย่างไรก็ตามที่นี่คือปรภพ และนอกเหนือไปจากภูเขาล้อมเหล็กก็มีเพียงสายธารแห่งการหลงเลือนและนรกเบื้องล่างเท่านั้น แต่ทว่า-

 

-นรกเบื้องล่าง อสูรกายมิอาจย่างกรายเข้าไปได้

 

สำหรับสายธารแห่งการหลงเลือน คงมิต้องกล่าวถึง

 

อสูรกายที่ทรงอำนาจมากที่สุดกระจุกรวมตัวกัน อสูรกายที่เพียงหนึ่งตนก็สามารถสั่นสะเทือนทั้งโลกหล้า บัดนี้จำใจต้องร่วมมือกันต้านทานพลังของหอกหลากสี

 

แต่ก็ไร้ประโยชน์

 

ด้วยการกระทำที่คิดหมายจะต้านทานดังกล่าวนี้ ยิ่งกระตุ้นให้ตัวหอกหลากสีปลดปล่อยจำนวนเฉดเงาโถมเข้ากดอีกฝ่ายมากขึ้น

 

เฉดเงาหอกมากมายระเบิดโจมตีออกมา ส่งผลให้บังเกิดลมกรรโชกแรงราวกับพายุคลั่ง!

 

ร่วมมือกันได้เพียงไม่กี่ลมหายใจ อสูรกายร่างใหญ่ก็สิ้นใจล้มลงกับพื้นเสียงดังสนั่น

 

พวกมันเป็นอสูรกายที่ทรงพลังอำนาจที่สุด ที่สามารถปกป้องโลกปรภพ หรือกระทั่งยึดครองโลกมนุษย์โดยลำพังตนเดียวเลยก็ยังได้

 

อย่างไรก็ตาม บัดนี้ พวกมันมิแตกต่างไปจากมดปลวก ที่ถูกบี้แบนจนตายลงอย่างง่ายดายโดยหอกหลากสี

 

เพียงสิบลมหายใจ

 

หลังจากสิบลมหายใจ เผ่ามารทั้งหมด กระทั่งอสูรกายก็ตกตายลงจนสิ้น!

 

“จบซักที” กู่ฉิงซานบรรเทาลมหายใจอย่างแผ่วเบา

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.398 – เดิมพันด้วยชีวิตเจ้า!

 

กู่ฉิงซานค่อยๆนึกคิดในจิตใจ ไม่นานนัก กลุ่มก้อนกลิ่นอายสีฟ้าก็เริ่มแยกตัวออกมาจากร่างกายของเขา

 

เขาคว้าจับกลุ่มก้อนกลิ่นอายที่ว่านี้ และรู้สึกถึงถึงความเย็นที่เล็ดลอดออกมาจากมัน

 

ไม่น่าแปลกใจเลย กระแสไอเย็นนี่มันคือปราณดาบมิใช่หรือ?

 

เขาถอนหายใจอย่างเงียบๆ

 

จิตแห่งดาบของดาบได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ทว่าตนเองที่เป็นถึงนักดาบนิรันดร์ดันไม่รับรู้ถึงมัน

 

นี่นับว่าเป็นเรื่องน่าอายเกินกว่าจะกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ตรงส่วนนี้จะตำหนิกู่ฉิงซานทั้งหมดเลยก็คงจะไม่ได้

 

อย่างแรกเลย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับจิตอาร์ติแฟคที่ปรากฏกายในรูปร่างของมนุษย์

 

—แถมยังเป็นหญิงที่มีลักษณะโดดเดี่ยวเย็นชา และงดงามเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย แล้วเขาจะไปทันตรัสรู้ว่าเธอคือจิตแห่งดาบได้อย่างไร?

 

กู่ฉิงซานค่อยๆถ่ายเทจิตสัมผัสเทวะลงไปในกลุ่มก้อนกลิ่นอายสีฟ้า

 

กลิ่นอายสีฟ้ากระชากออก ดูราวกับว่ามันจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง

 

ทันใดนั้นเสียงของผู้หญิงก็ดังออกมาจากกลุ่มก้อนกลิ่นอายนี้

 

“ข้าเห็นเจ้าแล้ว”

 

กู่ฉิงซานแสดงท่าทีปิติและกล่าวออกมา “เช่นนั้นได้โปรดออกมาพบกับพวกเราด้วยเถอะ”

 

“ขอเวลาประเดี๋ยว ข้าได้มาถึงช่วงเวลาสำคัญในการซ่อมแซมแล้ว และกำลังจะกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมในไม่ช้า”

 

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบ

 

ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดนางจึงไม่ปรากฏตัวออกมา กลับกลายเป็นว่านางกำลังวุ่นอยู่กับการซ่อมแซม – รักษาอาการบาดเจ็บของตนอยู่นี่เอง

 

เมื่อคิดไปถึงก่อนหน้านี้ที่นางขอสมบัติล้ำค่าทั้งสามอย่าง จริงๆแล้วพวกมันก็ได้ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยเร่งให้จิตอาร์ติแฟคฟื้นตัวได้เร็วขึ้นนี่เอง

 

ปมอันน่าฉงนทั้งหลายได้คลี่คลายลงแล้ว

 

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ถ่ายทอดคำกล่าวของฉานนู่ให้กับกลุ่มอาวุธ

 

“ว่าไงนะ! นางบาดเจ็บสาหัสมิใช่หรอกหรือ แล้วเพราะเหตุใดกันจึงสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วเช่นนี้?” วิหคขาวร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

“นางเป็นกฏเกณฑ์ที่มาจากภูเขาล้อมเหล็ก บางทีนั่นอาจเป็นส่วนที่ทำให้นางสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วก็ได้นะ” โล่ครุ่นคิดและกล่าว

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “แล้วรายละเอียดเบื้องลึกที่นางได้รับบาดเจ็บเล่าเป็นอย่างไร?”

 

กลุ่มอาวุธต่างพากันส่ายหัวพร้อมกัน

 

ทุกตนเบนสายตาไปทางตะขอเกี่ยววิญญาณ

 

“นี่มันช่างน่าแปลกจริงๆ ในช่วงเวลานั้นตลอดทั้งปรภพได้ถูกปิดกั้นด้วยอะไรบางอย่าง ทำให้ข้าเองก็ไม่อาจทราบได้เช่นกัน” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

พอได้ยินแบบนั้น กู่ฉิงซานกับเหล่าอาวุธเทวะในที่นี้ก็นิ่งงันไป และเลือกที่จะเฝ้ารออย่างเงียบๆ

 

หลังจากนั้นอีกสักพัก

 

บนกระแสน้ำของสายธารเหนือหัวขึ้นไป จู่ๆก็มีรังสีแสงสวรรค์ที่ดูแข็งกร้าวสาดทะลุลงมา

 

“ดูเหมือนว่าข้างบนจะเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นนะ” กระบี่ภูติตัดกระดูกเอ่ยอย่างกระสับกระส่าย

 

“เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูกันเถอะ” กู่ฉิงซานเสนอ

 

แล้วเขาก็นำเหล่าอาวุธเทวะลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ มองไปรอบๆเพื่อค้นหาถึงสิ่งผิดปกติ

 

แล้วก็พบกับความผันผวนที่ผิดปกติ จากทิศทางของภูเขาล้อมเหล็ก

 

มองไกลๆจากบนผิวน้ำของสายธาร จะเห็นแค่เพียงบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาราสว่างสดใส

 

จุดแสงดั่งดวงดาราทั้ง 36 ที่ส่องสว่างอยู่เบื้องบน พวกมันทั้งหมดเชื่อมโยงเข้าหากันและกัน สาดรังสีแสงปกคลุมไปทั่วทั้งยอดเขา

 

“นั่นมันมหาค่ายกลแห่งปรภพ ‘ผนึกมาร’ นี่! พวกเขาทำได้สำเร็จจริงๆด้วย!” วิหคขาวอุทานออกมาด้วยความสุข

 

“ไม่ได้เป็นนั้นซะทีเดียว ค่ายกลจักสำแดงฤทธิ์โดยสมบูรณ์ก็ต่อมันถูกเป้าหมายแล้ว ทว่าพวกเขากับหอกหลากสีกำลังอยู่ในช่วงจังหวะหยุดชะงัก แต่ละฝ่ายกำลังยื้อยุทธกันและกัน  – นี่เปรียบดั่งการวัดพลังกันอย่างลึกล้ำ” ตะขอเกี่ยววิญญาณเอ่ยออกมาอย่างกังวล

 

ทันใดนั้นเอง เสียงผู้หญิงก็กังวานขึ้นตามมา “พวกเขาสามารถทำได้แค่เพียงตรึงหอกหลากสีแค่ชั่วคราว และเมื่อไหร่ที่พวกเขาใช้กำลังออกไปจนหมดสิ้นแล้ว มหาค่ายกลก็จะถูกทำลายลงโดยหอกหลากสี”

 

หนึ่งกลุ่มก้อนแสงสีฟ้าที่ลุกไหม้ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน

 

และกลุ่มแสงก็กระจายตัวออกเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงร่างของหญิงสาวในชุดโบราณ

 

ชุดคลุมฟ้าที่มีสีสัน ร่างกายบอบบาง ผิวเปล่งปลั่งราวกับหยก  ริมฝีปากสีชาด คิ้วราวกับถูกปักร้อยเรียงโดยขนของนกหงสา ทว่าการแสดงออกทางสีหน้าโดยรวมแล้วยังคงดูเย็นชา

 

แน่นอนว่าเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากดาบขุนเขาเทวะหกโลกา , สิ่งประดิษฐ์เทวะ – จิตอาร์ติแฟคฉานนู่

 

เหล่าสรรพวุธตนแล้วตนเล่าเอ่ยกล่าวด้วยความเคารพ “ยินดีที่ได้พบ ฉานนู่”

 

หญิงชุดคลุมฟ้าพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับ

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณบินเข้ามา แล้วอนุญาตให้หญิงชุดคลุมฟ้าถือตนเอง

 

“ข้าจะให้เจ้าได้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างเมื่อเร็วๆนี้”ตะขอกล่าว

 

หญิงชุดคลุมฟ้ากำตะขอเกี่ยววิญญาณ และหลับตาลงเล็กน้อย

 

ชั่วขณะหนึ่ง ตะขอเกี่ยววิญญาณก็ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวทุกอย่างไปจนหมดสิ้น

 

หญิงชุดคลุมฟ้าลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

เธอหันไปมองกู่ฉิงซาน พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนสีหน้าเย็นชาของเธอ

 

“หลังจากที่เจ้าสังหารอสูรกาย เจ้าก็ยังสามารถสังหารแมงมุมเขมือบวิญญาณไปได้อีกหนึ่งตน นั่นนับว่าช่างน่าทึ่งโดยแท้”

 

“เพียงเท่านั้นไม่นับว่าเป็นสิ่งใดหรอก” กู่ฉิงซานตอบกลับ

 

หญิงในชุดโบราณโค้งกายคารวะและเริ่มเอ่ยปากว่า “ข้าต้องขอโทษด้วยที่ก่อนหน้านี้มิได้เอยปากขอบคุณเจ้าสำหรับเรื่องของสมบัติล้ำค่าให้มันเป็นเรื่องเป็นราว แต่เพราะพวกมัน ในที่สุดตอนนี้ข้าจึงหายดีแล้ว”

 

“เอาเถอะ หายดีก็ดีแล้ว บอกตรงๆว่าตอนนั้นข้าก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเจ้าจะเป็นอาวุธเทวะที่อัดแน่นไปด้วยกฏเกณฑ์ของภูเขาล้อมเหล็ก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

“ใช่ ข้าคือดาบขุนเขาเทวะหกโลกา”

 

“งั้นก็เข้าเรื่องกันเลย ตัวข้า-กู่ฉิงซานได้มาหาเจ้าในครั้งนี้ เพราะต้องการที่จะอาศัยความแข็งแกร่งของเจ้าในการช่วยโลกปรภพและโลกมนุษย์”

 

“ว่าไงนะ!” ฝูงสรรพวุธเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

ถึงแม้อำนาจของดาบขุนเขาเทวะจะน่าเกรงขาม แต่ลำพังมันก็คงไม่มีความสามารถมากพอถึงขั้นที่จะช่วยเหลือทั้งสองโลกได้หรอก

 

หากมันทรงพลานุภาพถึงเพียงนั้นจริงๆ เผ่ามารก็คงจะไม่กล้าบุกมาแล้ว

 

สีหน้าของหญิงชุดคลุมฟ้าดูจะหมองลงเล็กน้อยและกล่าวว่า “เกรงว่าเจ้าคงต้องผิดหวังเสียแล้วล่ะ ข้ามิได้ทรงอำนาจถึงเพียงนั้นหรอก ยามนั้นข้าเองก็แทบจะไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นๆได้เลย ข้าเพียงทำได้แค่ทานรับการโจมตีจากหอกหลากสีเท่านั้น และเพียงโดนมันโจมตีเข้าใส่ไม่กี่ครั้ง ตัวข้าก็ถูกแรงฟาดอัดปลิวไปไกลแล้ว ”

 

“ข้ามิได้ต้องการให้เจ้าต้านทานมันมากครั้งจนเกินไปหรอก แต่ขอแค่ทำตามแผนที่ข้าวางไว้ก็พอ แล้วพวกเราก็จะช่วยโลกปรภพได้อย่างแน่นอน”

 

คำพูดของกู่ฉิงซานเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

หญิงในชุดคลุมฟ้าขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาว่า “ทั้งปรภพ ทั้งเทพวิญญาณ และสรรพวุธมากมายนับไม่ถ้วน ก็ยังไม่อาจรับมือกับหอกหลากสีได้”

 

“แถมเพื่อที่จะเอาชนะเทพแห่งปรภพ เผ่ามารยังถึงขั้นสูญเสียอสูรกายที่ครอบครองพลังอำนาจชนิดอยู่ยงคงกระพันไปกว่า 100 ตน เพียงเพื่อใช้งานหอกหลากสี”

 

“แล้ววิธีใดของเจ้ากัน ที่มันจะสามารถข้ามหน้าข้ามตาตัวตนที่ทรงพลานุภาพเหล่านั้นได้? ช่วยเหลือปรภพกระนั้นหรือ? หากมิใช่ว่าเจ้าเป็นผู้ที่ช่วยเหลือข้าและสังหารอสูรกายมาก่อนแล้วล่ะก็ ตอนนี้ข้าคงคิดว่าเจ้ากำลังอวดดีโม้เหม็นเปล่งวาจาไร้สาระไปแล้ว”

 

เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา

 

แต่กู่ฉิงซานกลับแค่ยิ้มออกมา

 

แล้วกล่าวว่า “หอกหลากสีแน่นอนว่าย่อมทรงอำนาจอย่างแท้จริง มันดุร้ายและแข็งกร้าวอย่างหาที่ใดเปรียบ และเผ่ามารก็ไม่ได้ทำผิดพลาดใดๆเลย … จนกระทั่งการต่อสูจบลง”

 

“จนกระทั่งการต่อสูจบลง? นั่นเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ตะขอเกี่ยววิญญาณทนไม่ไหวจำต้องเอ่ยแทรก

 

“พวกมันไม่ควรที่จะวางหอกหลากสีไว้บนภูเขาล้อมเหล็ก”

 

“เผ่ามารทำแบบนั้น ก็เพราะต้องการที่จะแยกตัวหอกให้อยู่ห่างออกไป แล้วทำการยึดครองไปตลอดทั้งปรภพ  นั่นเจ้าไม่เข้าใจหรือ?” หญิงชุดโบราณสีฟ้ามองเขาวูบหนึ่งและกล่าว

 

เธอเอ่ยต่อว่า “และด้วยพลังอำนาจที่สามารถกดดันทั้งปรภพได้อย่างแท้จริงเช่นนี้ กล่าวได้เลยว่ากระทั่งเทพวิญญาณจากอาณาจักรสวรรค์ก็ยังมิกล้าเผชิญหน้ากับมัน”

 

“ด้วยพลังอำนาจที่ว่านั่น ต่อให้อาณาจักรสวรรค์ก็ยังมิใช่คู่ต่อกรของมัน ตรงจุดนี้เจ้ายังไม่ชัดเจนอีกหรือ?”

 

กู่ฉิงซานหันไปมองเธอและกล่าวว่า “เผ่ามารมิได้ทำถูกต้องไปซะทุกขั้นตอน อย่างไรเสียพวกมันก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิต และยังคงมีบางจุดในแผนการที่พลาดพลั้งไปบ้าง และข้าก็จะใช้ช่องโหว่จากความพลาดพลั้งที่ว่านั่นหาได้เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์สงครามในครั้งนี้”

 

หญิงชุดคลุมฟ้ากลอกตามองบน และกล่าว “เจ้าเนี่ยนะ? หากเจ้าไม่อาศัยสายธารแห่งการหลงเลือน ด้วยความแข็งแกร่งอย่างเจ้าน่ะไม่มีทางรับมือกับพลังของอสูรกายได้หรอก”

 

กู่ฉิงซานยังคงกล่าวต่อ “หากเจ้ายินดีที่จะช่วยข้า พวกเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงสงครามทั้งหมดได้! นี่เป็นโอกาสเดียวของเราเท่านั้น!”

 

“โอกาส?”

 

“ใช่ จงให้โอกาสข้า แล้วข้าจะใช้โอกาสที่เจ้ามอบให้ เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้ พลิกกระดานให้ฝ่ายเรากลับมาชนะเอง!”

 

หญิงชุดคลุมฟ้าไม่ตอบ

 

เธอเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

แล้วพบว่ารังสีแสงสวรรค์ค่อยๆจะมืดดับลง จางหายไปอย่างช้าๆ

 

36 อาวุธแห่งปรภพต่างพากันส่งเสียงร่ำไห้ครวญครางออกมาเป็นระยะๆ

 

กำลังที่พวกเขามี มันเริ่มจะสูญไปจนแทบสิ้นแล้ว!

 

ปรากฏร่องรอยของความโศกเศร้าขึ้นในแววตาของหญิงชุดคลุมฟ้า

 

เธอโบกมือเบาๆ

 

ต่อมา เบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือน หินสีเทาที่มิอาจทำลายได้ค่อยๆเริ่มแยกออกจากกันเป็นสองฟากฝั่ง

 

ตามด้วยดาบที่เจิดจรัส สาดประกายอันละเอียดอ่อนบินออกจากรอยแยก

 

ส่วนอัดลักษณ์ของดาบ สำหรับความกว้าง มันบางและแคบกว่าดาบเล่มอื่นๆเล็กน้อย อย่างไรก็ตามสำหรับความยาว มันกลับยาวมากกว่าดาบทั่วไปๆไประดับหนึ่ง

 

บนใบดาบสาดประกายแสงเย็นเยียบ มันคมกล้าอย่างหาที่ใดเปรียบ แต่กลับมีความสว่างไสวราวกับหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง แฝงไว้ซึ่งความงดงามที่รู้สึกลึกล้ำและเป็นเอกลักษณ์

 

ดาบยาวแทรกผ่านระหว่างกระแสภายในสายธารแห่งการหลงเลือน ก่อนจะทะลุขึ้นมาบนผิวน้ำ และลอยมาตกลงข้างกายของหญิงชุดคลุมฟ้า

 

เธอยื่นมือออกไปคว้าจับดาบยาว

 

กู่ฉิงซานมองไปที่ฉากนี้ด้วยความตกใจ

 

จิตแห่งดาบ … กำลังกุมดาบอยู่?

 

อย่าบอกนะว่านางก็สามารถใช้ดาบได้เหมือนกับผู้ฝึกดาบเช่นกัน?

 

กู่ฉิงซานเพียงแค่คิด แต่หญิงชุดคลุมฟ้ากลับเป็นคนเอ่ยปากออกมาด้วยตนเอง

 

“ข้าทราบดีว่าเจ้าน่ะเป็นผู้ฝึกดาบ ดังนั้นข้าจึงหวาดเกรง .. หวาดเกรงว่าเจ้ากำลังจะหลอกลวงข้า”

 

“หลอกลวง?”

 

“ถูกต้อง หากข้ายินยอมให้เจ้าใช้สอย แล้วเกิดในกรณีที่เจ้ามีความคิดหมายจะนำข้าออกจากปรภพขึ้นมา แล้วบังเอิญทำได้สำเร็จ โลกปรภพก็จะถึงคราล่มสลาย”

 

เธอเอ่ยต่อว่า “หากจะให้ข้าร่วมมือ ก็จงพิสูจน์สิ พิสูจน์ว่าเจ้าต้องการใช้ข้าเพื่อที่จะช่วยเหลือโลกปรภพ”

 

“จะให้ข้าพิสูจน์มันอย่างไร?”

 

“จงเดิมพันด้วยชีวิตของเจ้า ปฏิญาณสาบานตนว่าจะช่วยโลกปรภพ แล้วทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง มิฉะนั้นร่างเจ้าจะตกตาย จิตแห่งเต๋าจะสลายไป ขณะที่จิตวิญญาณจะจมลงสู่ขุมนรกไร้สิ้นสุด มิอาจออกมาได้อีกเลย”

 

เหล่าสรรพวุธเมื่อฟังจนถึงตอนนี้ ในที่สุดพวกมันก็อดไม่ไหวอีกต่อไป

 

“ฉานนู่ มิจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย เจ้าก็รู้นี่ว่าหากปฏิญาณสาบานในปรภพ สิ่งนั้นย่อมจะสำฤทธิ์ผลอย่างแน่นอน” ตะขอเกี่ยววิญญาณเอ่ยขัดออกมาก่อน

 

“ใช่แล้วล่ะ เจ้าอย่าบังคับให้เขาทำเช่นนั้นเลย แค่นี้เขาก็ช่วยพวกเรามากพอแล้ว” วิหคขาวกล่าว

 

“แต่ข้าคิดว่าจริงๆแล้วการที่ฉานนู่จะกังวลก็นับว่าถูกต้องอยู่นะ” โล่กล่าว

 

“ข้าเห็นด้วยนะ หากไม่มีคำสาบานเป็นข้อผูกมัด แล้วถ้าเจ้าเผ่ามนุษย์ที่ขโมยดาบแล้วหนีไปล่ะจะว่ายังไง?” หอกยาวกล่าว

 

“ทว่าคำสาบานนี้มันโหดร้ายเกินไป” ค้อนดาวตกถอนหายใจออกมา

 

พวกเขาเริ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด

 

หญิงชุดคลุมฟ้าวาดดาบยาวออกไปปราม

 

แล้วอาวุธทั้งหมดก็หุบปากลงทันที

 

บนสายธารแห่งการหลงเลือนพลันจมลงสู่ความเงียบ และสามารถได้ยินกระทั่งเสียงลมเบาๆที่พัดผ่านไป

 

“เจ้ากล้าที่จะปฏิญาณสาบานตนหรือไม่?” หญิงชุดคลุมฟ้าสบตากับกู่ฉิงซาน เอ่ยถามเสียงเย็น

 

กู่ฉิงซานเงียบ

 

แล้วทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมา “ง่ายๆแค่นั้นเองหรือ?”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.397 – สามสิ่งประดิษฐ์เทวะ

 

เหล่าอาวุธนิ่งงันไป

 

“นั่นหมายความว่าอย่างไร?” วิหคขาวเอ่ยถามดาบพิภพอย่างเงียบๆ

 

“ข้าก็ไม่ค่อยจะกระจ่างเช่นกัน” ดาบพิภพตอบ

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท้ายที่สุดแล้วพวกเราน่ะคืออาวุธ ดังนั้นจึงมิอาจเข้าใจในบางบริบทของมนุษย์ได้ เจ้าโปรดกล่าวออกมาตรงๆเถอะ”

 

กู่ฉิงซาน “ในเมื่อทุกอย่างถูกสร้างขึ้นโดยเผ่ามาร ถ้าอย่างงั้นเราก็ต้องหาทางจัดการเผ่ามารก่อนเป็นอันดับแรก”

 

วิหคขาวถาม “จัดการเผ่ามาร? แล้วเรื่อง 18 ขุมนรกที่กำลังแย่งชิงตำแหน่งราชาภูติเล่า?”

 

“ปัญหานี้ต้องแก้ทีละข้อ อันดับแรกเราจะทิ้งเรื่องราชาภูติเอาไว้ก่อน”

 

“ทว่าทั่วทั้งโลกปรภพน่ะเต็มไปด้วยเผ่ามาร แถมยังมีมารแมงมุมเขมือบวิญญาณอีก เจ้ามั่นใจแค่ไหนกันเชียว?”

 

กู่ฉิงซาน “ข้าเองก็ไม่มั่นใจหรอก แต่บางทีข้าสมควรจะลงมือทำก่อน แล้วค่อยมาว่ากันทีหลัง”

 

“งั้นก็บอกข้ามา ว่าจะต้องทำอย่างไร”

 

“ข้าอาจจำเป็นต้องการความช่วยเหลือจากอาวุธที่สามารถสำแดงกฏเกณฑ์ของภูเขาล้อมเหล็ก – ที่สามารถป้องกันการโจมตีจากหอกหลากสีได้”

 

“เข้าใจแล้ว แต่ยามนี้มันได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วก็อาจจะไม่สามารถป้องกันได้อีกต่อไปแล้วก็ได้นะ”

 

“ข้าจะไม่ให้มันฝืนตัวเกินไปนักหรอก แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ตอนนี้เราต้องค้นหามันให้เจอเสียก่อน”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “หากเป็นเรื่องนี้ย่อมง่ายที่จะทำ พวกเรา 66 อาวุธโบราณน่ะเป็นร่างสมบูรณ์ของกฏเกณฑ์แห่งปรภพ ดังนั้น ตราบใดที่มี 7-8 อาวุธกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปพร้อมกัน พวกเราก็จะรับรู้ถึงตัวตนของมันได้ว่าอยู่ที่ไหน”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “งั้นดูเหมือนว่าเราจะต้องกลับไปที่วิหารสักการะสิ่งประดิษฐ์เทวะ”

 

……..

 

มารแมงมุมเขมือบวิญญาณกำลังยืนอยู่เหนือสุดของตัววิหาร

 

เนื่องจากตอนนี้มันถูกค้นพบแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่คิดหลบซ่อนอีกต่อไป

 

มารแมงมุมไม่ปกปิดตัวตน สายตาเอาแต่จดจ้องไปยังสายธารแห่งการหลงเลือนชนิดหัวชนฝา

 

เมื่อครู่ ตนพึ่งถูกยั่วยุมา

 

สำหรับมารแมงมุมแล้ว นี่คือความอัปยศอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

‘หากเจ้ามนุษย์นั่นกล้าที่จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล-’

 

ขณะที่มันกำลังคิดอยู่นั้นเอง ตนก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งอย่างกระทันหัน

 

มารแมงมุมยืดตัวตรง และก้มจดจ้องลงไปทางสายธารแห่งการหลงเลือน

 

ก๊าซซซ!

 

มารแมงมุมแผดเสียงข่มด้วยความโกรธแค้น

 

เจ้ามนุษย์คนนั้นมันกลับมาแล้วจริงๆ!

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่เหนือผิวน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน หันไปมองรอบๆเพื่อกะระยะหลบเลี่ยงมัน

 

เขามองไปที่มารแมงมุม และมารแมงมุมก็กำลังมองมาที่เขา

 

ระยะห่างระหว่างทั้งสอง สามารถเห็นอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

 

และระยะห่างที่ไกลเช่นนี้แล กู่ฉิงซานจึงรู้สึกโล่งใจ

 

ดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นข้างกายเขา

 

ดาบพิภพ

 

กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกล่าว “ทำตามแผนส่วนแรก”

 

“น้อมรับคำสั่ง” ดาบพิภพตอบสนอง

 

บังเกิดแสงกระพริบไหว

 

ดาบพิภพพรวดไปยังหน้าอกของมารแมงมุม จี้แทงลงตรงเข้าหัวใจของอีกฝ่าย

 

เคร้ง!

 

มารแมงมุมยกแขนขึ้น และฟาดกระแทกดาบพิภพด้วยฝ่ามือเดียวจนปลิวออกไป

 

ทว่าดาบพิภพก็บินกลับมาอีกครั้ง และสับลงบนมารแมงมมุมอีกที

 

แล้วมารแมงมุมก็เพียงแค่โบกมือออกไป

 

เคร้ง!

 

ดาบพิภพถูกตบคว่ำอีกครั้ง

 

มารแมงมุมตรวจสอบร่างกายตนเองเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าไม่ปรากฏร่องรอยใดๆบนผิวหนังของตน

 

“มนุษย์ เจ้ามันอ่อนแอเกินไป การโจมตีนี่ไม่อาจทำให้ข้ารู้สึกคันด้วยซ้ำ” มารแมงมุมเขมือบวิญญาณเยาะหยัน

 

แต่กู่ฉิงซานไม่กล่าวสวนกลับไปสักคำ

 

แล้วดาบพิภพก็ลงมืออีกที

 

มารแมงมุมป้องกันอีกครั้ง

 

ดาบพิภพถูกฟาดตบอีกครา ทว่าไม่นานมันก็ย้อนกลับมา

 

เวลานี้มารแมงมุมเริ่มจะทนไม่ไหว

 

“โง่เง่า การโจมตีเพียงผิวเผินของเจ้าน่ะมันไร้ประโยชน์ มิอาจสร้างความเจ็บปวดแก่ข้าได้!” มันตะโกน

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานดูจะไม่แยแสถึงคำกล่าวของมัน เขาเพียงควบคุมดาบต่อไป และพยายามที่จะตัดสับลงบนตัวมันอย่างไม่หยุดยั้ง

 

มารแมงมุมปัดป้องนิดๆหน่อยไปร้อยกว่าครั้ง แล้วทันใดนั้นมันก็ไม่คิดปัดป้องอีกต่อไป

 

ดาบพิภพตัดลงบนตัวของมัน  และแน่นอนว่ามิอาจเจาะทำลายผิวหนังได้

 

กู่ฉิงซานทำการเปลี่ยนสมญาเทพสงครามไปเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’ ในทันใด

 

ความว่องไวในการโจมตีเพิ่มขึ้น 15%!

 

หนึ่งดาบฟาดฟันออกไป

 

สองดาบฟาดฟัน

 

สามดาบ

 

…….

 

กระทั่งครบเจ็ดดาบ

 

แล้วร่างของกู่ฉิงซานก็จมลงไปยังเบื้องล่างของกระแสธาร ปากเอ่ยตะคอกรุนแรง “ตอนนี้ล่ะ ทุ่มเต็มกำลังเลย!”

 

ดาบพิภพเปล่งเสียงฮึมฮัมออกมา ร่ำร้องเป็นฟืนเป็นไฟ

 

เทคนิคลับแห่งดาบ เจ็ดดารา มังกรแหวกธารา!

 

มังกรสายฟ้าขนาดยักษ์ที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนปรากฏตัวขึ้น

 

ตั้งแต่ที่กู่ฉิงซานยกระดับขึ้นเป็นขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่เขาเปิดใช้งานเทคนิคลับนี้

 

มังกรสายฟ้าอ้าปากงับลงบนร่างมารแมงมุม แล้วกระชากมันออกจากยอดสุดของตัววิหาร

 

พลังของเล่ยเดี๋ยนส่งผลกระทบให้มารแมงมุมรู้สึกอึดอัดทรมานเป็นอย่างมาก

 

“ไสหัวออกไปจากตัวข้าซะ!” มารแมงมุมตะโกนด้วยความโกรธ

 

มันคว้าจับบริเวณปากของมังกรสายฟ้า แล้วรีดพละกำลังแหวกออกอย่างแรง

 

แล้วตลอดทั้งหัวของมังกรสายฟ้าก็ถูกฉีกออกเป็นสองซีก กลายเป็นเส้นกระแสไฟฟ้าแตกกระเซ็นออกไปทุกทิศทางแลคล้ายงูที่กำลังเลื้อยหนีไปทั่วชั้นอากาศ

 

แล้วมารแมงมุมก็ก้มลง

 

มันพบว่าบัดนี้ตนเองกำลังยืนอยู่ใกล้กับขอบชายฝั่งของสายธารแห่งการหลงเลือน

 

ทันใดนั้นเอง มารแมงมุมก็สัมผัสได้ในทันใดว่าจิตสัมผัสเทวะกำลังโอบเข้าปกคลุมตัวมันเอง

 

-เมื่ออยู่ต่อหน้าตน จู่ๆอีกฝ่ายก็ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมาอย่างกระทันหัน!

 

มันบังเกิดความสุขขึ้นในทันใด  และคิดเริ่มใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์ของตน ปะปนเข้ากับจิตสัมผัสเทวะของอีกฝ่ายเพื่อสร้างความสับสน

 

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างสายเกินไปเสียแล้ว

 

กู่ฉิงซานตามรังควาน ยั่วยุมันมานาน จากนั้นก็ใช้เจ็ดดารามังกรแหวกธาราจู่โจมออกไปเพื่อดึงดูดความสนใจของมารแมงมุม การกระทำทั้งหมด – ก็เพื่อหมายมั่นที่จะคว้าโอกาสเสี้ยวพริบตานี้!

 

ระหว่างกระบวนการอันดุเดือด จู่ๆทุกอย่างพลันแปรเปลี่ยนกลับกลาย!

 

กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งของมารแมงมุม

 

ขณะเดียวกันตัวมารแมงมุมก็ปรากฏขึ้นในสายธารแห่งการหลงเลือน

 

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

 

การกระทำทั้งหมดนี้ของกู่ฉิงซาน ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะของอีกฝ่าย และฉวยโอกาสทีเผลอปล่อยจิตสัมผัสเทวะตนครอบคลุมมารแมงมุม จากนั้นก็สลับตำแหน่งด้วยร่างเงาแทนที่

 

มารแมงมุมที่อยู่บนผิวน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนเริ่มตอบสนอง มันพยายามที่จะดิ้นรนขัดขืน

 

“ไม่นะ! นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!”

 

มันคำรามด้วยความอลหม่านสยองเกล้า “ข้า–”

 

แล้วเสียงก็ขาดหายไป

 

พร้อมกับร่างของมารแมงมุมที่จมลง

 

หลังจากผ่านพ้นไปอีก 2-3 ลมหายใจ ศพของมารแมงมุมก็ลอยผุดขึ้นมาอีกครั้ง

 

ศพมารแมงมุมลอยผลุบๆโผล่ๆ แต่ในไม่ช้ามันก็ไหลไปตามกระแสน้ำเชี่ยวของสายธารแห่งการหลงเลือนอย่างรวดเร็ว

 

และไม่มีใครรู้ว่าศพของมันจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปที่ใด

 

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้อย่างแน่นอน นั่นก็คือ –

 

จิตวิญญาณของมันไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ริมขอบชายฝั่ง ผุดรอยยิ้มน้อยๆออกมา

 

แต่น่าเสียดายจริงๆที่ –

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยเด้งออกมา

 

“เนื่องเพราะผู้ที่สังหารมารแมงมุมเขมือบวิญญาณแท้จริงแล้วคือสายธารแห่งการหลงเลือน ดังนั้นผู้เล่นจะไม่สามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณ”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความเสียดาย

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณลอยตามมา ปากเอ่ยชื่นชม “ช่างเป็นการลงมือที่งดงามนัก”

 

วิหคขาวก็บินตามเข้ามาเช่นกัน มันวนไปมารอบกู่ฉิงซานถึงสองรอบเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่านี่มันเรื่องจริงใช่ไหม

 

จากนั้นทั้งหมดก็เข้าไปในวิหารสักการะสิ่งประดิษฐ์เทวะ และเริ่มทำการปลุกอาวุธที่หลับไหล

 

ในความเป็นจริง อาวุธจำนวนมากได้ตื่นขึ้นมาก่อนแล้ว

 

นั่นคือ 36 อาวุธที่ทะยานขึ้นไปเหนือฟากฟ้าก่อนหน้านี้

 

กู่ฉิงซานมาถึงเบื้องหน้าของอาวุธจำนวนมาก แล้วเริ่มร่ายคาถาปลุกจิตอาร์ติแฟคทีละตน ทีละตน

 

อาวุธที่เหลือทยอยกันตื่นขึ้น และพบกับกู่ฉิงซาน

 

“ผู้น้อยกู่ฉิงซาน” กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้นไปทางอีกฝ่าย

 

“ข้ากระบี่ทำลายวิญญาณ”

 

“ตัวข้าธนูทำลายเทพ”

 

“ผู้น้อยหอกเพลิงผลาญวิญญาณ”

 

“ข้าตาข่ายกักร้อยวิญญาณ ปรากฏกายแล้ว”

 

……

 

เหล่าอาวุธทั้งหมดกล่าวทักทายด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป

 

เมื่อมีตะขอเกี่ยววิญญาณช่วยพูดอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน อาวุธโบราณเหล่านั้นก็ทำความคุ้นเคยกับกู่ฉิงซานได้อย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานลองนับดู พบว่ามีอาวุธถึง 11 ประเภท

 

(อาวุธชิ้นอื่นๆได้แยกตัวออกไปยังนรก เพื่อขัดขวางการถือกำเนิดของราชาภูติให้ล่าช้าออกไป)

 

นี่นับว่าเพียงพอแล้ว!

 

ทีนี้ เขาก็สามารถตามหาอาวุธที่ใช้พลังของภูเขาล้อมเหล็กได้แล้ว!

 

และมันเป็นอาวุธเดียวเท่านั้นที่สามารถทานทนต่อการโจมตีของหอกหลากสีได้!

 

เขาเพียงหวังว่าอาการบาดเจ็บของมันจะไม่ร้ายแรงเกินไปนัก

 

เพราะมันคือส่วนที่สำคัญที่สุดของกลยุทธ์นี้!

 

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังนึกคิด กลับพบว่าท้องฟ้าจู่ๆก็ส่องสว่างขึ้นทันใด

 

เหนือขึ้นไปท่ามกลางท้องฟ้าสีเหลืองอ่อน 36 อาวุธโบราณได้จัดตั้งมหาค่ายกลแห่งปรภพ ‘ผนึกมาร’ ได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

 

มหาค่ายกลค่อยๆทิ้งตัวลงมาจากชั้นอากาศเบื้องบนอย่างช้าๆ

 

และหอกหลากสีก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง มันจึงสาดแสงออกมาทันใด

 

แสงเรืองรองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พุ่งปะทะเข้าด้วยกันกับแสงสีเหลืองจางๆที่ถาโถมลงมา

 

แสงเรืองรองค่อยๆชะลอความเร็วลง

 

ขณะที่ตลอดทั้งค่ายกลผนึกมารเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง

 

และตั้งแต่ที่กระแทกเข้าใส่กันในคราแรก ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตกอยู่ในสภาวะชะงักงัน!

 

อีกด้านหนึ่ง

 

มารแมงมุมเขมือบวิญญาณอีกตนได้เร่งนำเผ่ามารจำนวนนับไม่ถ้วนข้ามเนินเขา มุ่งตรงกลับไปยังวิหาร

 

การที่มารแมงมุมเขมือบวิญญาณตาย นี่นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง!

 

สำหรับเผ่ามารแล้ว นี่คือเรื่องใหญ่ และส่งผลให้พวกมันตื่นตระหนก!

 

“เร็วเข้า รีบเก็บกวาดมันเหมือนที่เจ้าพึ่งทำไปเมื่อครู่นี้สิ!” วิหคขาวกล่าว

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว “เวลามีจำกัด พวกเราไม่อาจถูกหยุดอยู่ที่นี่ได้ พวกเราจะต้องเริ่มดำเนินแผนขั้นต่อไปทันที”

 

“งั้นมาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังสายธารแห่งการหลงเลือนเอง!”

 

…….

 

ภายในสายธารแห่งการหลงเลือน

 

เหล่าอาวุธกำลังทำการตรวจจับตำแหน่ง ขณะเดียวกันก็นำกู่ฉิงซานตรงไปข้างหน้า

 

หลังจากผ่านพ้นไปกว่าหนึ่งชั่วยาม

 

เบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือน

 

บริเวณพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยหินสีเทาขาว

 

ที่นี่อยู่ห่างไกลจากภูเขาล้อมเหล็ก และไม่ใกล้ไม่ไกลจากถ้ำมืด

 

ทันใดนั้นอาวุธทั้งหมดก็พร้อมใจกันหยุดนิ่ง

 

“น่าแปลกใจนัก มันสมควรที่จะอยู่แถวๆนี้สิ” วิหคขาวกล่าว

 

ขณะเดียวกันเหล่าอาวุธอื่นๆก็หันไปมองทุกสถานที่

 

ทว่านอกจากโคลน และกระแสน้ำที่ไหลผ่าน ก็ไม่มีสิ่งใดอีกเลย

 

“มันอาจจะหลบซ่อนอยู่ใต้ดินหรือไม่?” ตะขอเกี่ยววิญญาณเปล่งเสียงออกมา

 

อาวุธมากมายพยายามฟาดทุบดู แต่ก็ไม่สามารถทำลายหินได้

 

“เบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือนก็คือส่วนหนึ่งของภูเขาล้อมเหล็ก ไม่มีใครสามารถทำลายมันได้หรอก” ตะขอเกี่ยววิญญาณเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง

 

“เช่นนั้นมันจะดีกว่าไหม หากพวกเราออกไปตามหารอบๆบริเวณนี้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ดังนั้น เหล่าอาวุธกับกู่ฉิงซานก็เริ่มออกค้นหาอีกที โดยกินเวลาเพิ่มไปอีกหนึ่งชั่วยาม

 

“แบบนี้ไม่ดีแล้ว เหตุใดมันจึงไม่มี นี่มันน่าแปลกจริงๆ” โล่หนึ่งได้กล่าวขึ้น

 

“บางทีมันอาจจะอยู่ในอาการสิ้นสติ ดังนั้นจึงไม่สามารถแสดงตัวให้เราพบได้” วิหคขาวกล่าว

 

หากอีกฝ่ายอยู่ในสภาวะหมดสติ ไม่ว่าคุณจะมองหามันเพียงใดก็ไร้ค่า เพราะมันจะไม่มีความคิดริเริ่มที่จะปรากฏตัวขึ้นเองอย่างแน่นอน

 

“หากเป็นเช่นนี้ งั้นก็คงมาถึงทางตันแล้ว” ธนูกล่าวอย่างเศร้าสร้อย

 

“ไม่ได้ เราจะต้องหามันให้พบ มันคือกฏเกณฑ์ชั้นยอดของภูเขาล้อมเหล็ก และมีเพียงมันเท่านั้นจึงจะสามารถต้านทานหอกหลากสีและทำให้แผนการของพวกเราสมบูรณ์ได้!” กู่ฉิงซานยืนยันหนักแน่น

 

“ครั้งสุดท้ายที่มันเผชิญหน้ากับหอกหลากสี มันสามารถหยุดอีกฝ่ายได้ครู่หนึ่งก็จริง ทว่าสุดท้ายก็ก็ถูกปะทะปลิวออกไปอยู่ดี” ไม้เท้ากล่าว

 

“และในเวลานั้น มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว” โล่เอ่ยเสริม

 

“แต่เพียงเท่านั้นก็นับว่ามันแข็งแกร่งจริงๆ” กระบี่ยาวถอนหายใจ

 

“แม้จะเป็นอาวุธชนิดเดียวกัน แต่ข้ายังมิกล้าเฉียดเข้าไปใกล้มันเลย” หอกกล่าวเสียงกระซิบ

 

“น่ายกย่องยิ่งนัก”

 

“ใช่ สมแล้วที่เป็นหนึ่งในสามสิ่งประดิษฐ์เทวะ คงจะมีเพียงมันคนเดียวนั่นแลที่กล้าจะเผชิญหน้ากับหอกหลากสี”

 

อาวุธทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญ

 

“โปรดช่วยกันมองหาอีกครั้งเถิด เจ้าสิ่งนี้มันสำคัญยิ่ง แผนการของพวกเราจะสำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับมันเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงใจ

 

“เห็นแก่ที่เจ้าสังหารมารแมงมุมเขมือบวิญญาณลงได้ พวกเราจะลองค้นหาอีกครั้งก็แล้วกัน” ไม้เท้ากล่าว

 

และอาวุธทั้งหลายก็พยักหน้า

 

อย่างรวดเร็ว อาวุธทั้งหมดเริ่มส่งรังสีเหลืองอ่อนแผ่กระจายออกมา

 

รังสีนี้เชื่อมต่อเข้าหากัน และกระพริบริบหรี่ด้วยช่วงจังหวะอันแปลกประหลาด

 

ไม่นานนัก รังสีแสงก็ค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ

 

“มันอยู่บริเวณนี้จริงๆ ทว่ามันมิตอบสนองต่อการเรียกขานของพวกเรา” ตะขอเกี่ยววิญญาณตอบโต้

 

“ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางอื่นแล้ว” โล่ถอนหายใจ

 

“มันจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไปเป็นแน่ เพราะกระทั่งตอบสนองต่อการเรียกขานของพวกเรา ก็ยังไม่อาจทำได้” หอกกล่าว

 

“จะทำอย่างไรดี หากแม้กระทั่งแสดงตัวมันก็ไม่สามารถกระทำได้ ข้าชักจะกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของมันซะแล้วซี” วิหคขาวกล่าว

 

เหล่าอาวุธแต่ละคนต่างเอ่ยออกมาด้วยความเสียใจ

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างเงียบๆ

 

มิอาจหาพบได้?

 

หากไม่มีอาวุธชิ้นนี้ แผนการของเขาก็ไปต่อไม่ได้น่ะสิ!

 

ทุกอย่างที่ทำ .. มันจะต้องจบลงแล้วจริงๆหรือ?

 

ในชีวิตก่อนหน้า เขาเผชิญกับภัยพิบัตินับไม่ถ้วน และเขายังเป็นมนุษย์ที่อยู่รอดจนถึงช่วงวินาทีสุดท้าย

 

เขาคือผู้บัญชาการสงคราม – คือนักดาบนิรันดร์

 

หลังจากจุติใหม่ ไม่ว่าช่วงเวลาใด กระทั่งสี่นรกมาเยือนโลก เขาก็ยังไม่ยอมแพ้! และออกมุ่งเฟ้นหาหนทางออก

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มาถึงปรภพ ตนกลับพบว่าคนตายจากหนึ่งใน 18 นรกภูมิกำลังจะขึ้นเป็นราชาภูติในเร็วๆนี้

 

แล้วราชาภูติก็จะนำนรกออกไปทำลายล้างโลก!

 

เผ่ามารก็จะครอบครองปรภพทั้งหมด!!

 

แม้กระทั่งทวยเทพ ก็ยังมิใช่คู่ต่อกรของหอกหลากสี คนแล้วคนเล่าร่วงหล่นตกตายลง

 

แต่สำหรับกู่ฉิงซาน เขาเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพเท่านั้น แล้วในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ เขาจะไม่อาจหาผู้ช่วยที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงๆน่ะหรือ

 

สุดท้ายแล้ว ความรู้สึกสิ้นหวังก็เข้ากัดกินเขาในที่สุด

 

ในตอนนั้นเอง จู่ๆตะขอเกี่ยววิญญาณก็เอ่ยขึ้นมาว่า “นั่น – หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่ทดลองดูบ้างเล่า?”

 

“ข้า? ข้าน่ะหรือทดลองดู?” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความฉงน

 

สมองของเขาเวลานี้ราวกับไม่ยอมทำงาน ส่งผลให้ไม่อาจตระหนักถึงความหมายของอีกฝ่ายได้

 

“อ้าว นี่เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ?” ตะขอเกี่ยววิญญาณโต้กลับ

 

วิหคขาวเร่งกล่าวอย่างร้อนรน “ท่านตะขอเกี่ยววิญญาณ เรายังไม่อาจระบุถึงสถานะของกำลังเสริมเผ่ามนุษย์ผู้นี้ ท่านกำลังจะบอก -”

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ยังต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นั้นอีกหรือ” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวอย่างไร้หนทาง

 

อาวุธอื่นๆหันมามองกัน และพยักหน้า

 

“เจ้าก็ทดลองค้นหาดูสิ ก็บนร่างเจ้ามีกลิ่นอายของมัน ดังนั้นจึงสมควรที่จะสัมผัสถึงมันได้นะ” โล่กระตุ้นเตือน

 

กู่ฉิงซานจ้องมองเหล่าอาวุธ ทั้งเนื้อทั้งตัวแข็งค้างตะลึงงัน

 

กลิ่นอาย?

 

—อย่าบอกนะว่าคือกลิ่นอายสีฟ้านั่น!?

 

เขาบังเกิดปฏิกริยาตอบสนองฉับพลัน

 

“ประเดี๋ยวก่อน เจ้ากำลังจะบอกว่า อาวุธที่พวกเรากำลังตามหา – จิตอาร์ติแฟคของมันมีชื่อเรียกว่าฉานนู่ใช่หรือไม่?”

 

“ถูกต้อง มันคือเธอ” โล่กล่าว

 

“ ‘ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา’ , ‘ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน’ , ‘ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ’ นี่คือสามสิ่งประดิษฐ์เทวะในโลกปรภพของพวกเรา” กระบี่ยาวอีกเล่มหนึ่งกล่าว

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง บรรเทาลมหายใจออกมา

 

ปรากฏว่าหญิงในชุดคลุมฟ้า เดิมทีแล้วคือจิตอาร์ติแฟคของดาบขุนเขาหกโลกา!

 

ไม่น่าแปลกใจเลย …

 

ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดเขาจึงมีความรู้สึกประทับใจที่ดีต่อเธอ มันไม่ใช้เพราะความรู้สึกระหว่างชายหญิง

 

ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดเขาจึงยินยอมมอบสมบัติล้ำค่าทั้งสามสิ่งให้แด่เธอ!

 

เพราะเดิมทีแล้วเธอก็คือดาบ!

 

ดาบน่ะเอง!!

 

ผู้ฝึกดาบน่ะ จะไปปฏิเสธดาบได้อย่างไร!!!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.396 – ทำก่อนค่อยพูดทีหลัง

 

นี่คือสิ่งที่โลกกำลังจะเป็นไป

 

แต่ตรงกันข้าม เมื่อเห็นถึงฉากนี้ กู่ฉิงซานกลับสงบลงแทน

 

เขาเอ่ยต่อว่า “แล้วพวกเผ่ามารกำลังทำอะไรกันอยู่?”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “พวกมันได้ทำการปิดกั้นเส้นทางทั้งหมดที่สามารถเข้าสู่โลกปรภพ ปิดกั้นเส้นทางเข้าสู่โลก”

 

“ในเมื่อทุกอย่างพร้อมถึงขนาดนี้แล้ว เหตุใดพวกมันจึงยังระแวดระวังตัวถึงเพียงนี้อยู่อีกเล่า?”

 

“เพราะพวกเราเหล่าจิตอาร์ติแฟคจากปรภพบางส่วน กำลังพยายามหาวิธีสื่อสารกับหอกหลากสีอยู่ ขณะที่อีกส่วนแยกตัวออกไปขัดขวางไม่ให้ราชาภูติถือกำเนิดขึ้นน่ะสิ”

 

แล้วภาพก็เปลี่ยนไป

 

ณ จุดยอดของภูเขาล้อมเหล็ก

 

หอกหลากสีวางอยู่บนยอดเขา

 

ขณะเดียวกันก็มี 5-6 กระแสแสงบินวนรอบตัวหอก และเปล่งเสียงออกมาอยู่บ่อยครั้ง

 

นั่นคืออาวุธโบราณของปรภพ

 

พวกเขากำลังพยายามที่จะสื่อสารกับหอกหลากสีอยู่

 

แล้วภาพก็สลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง

 

ในนรก เหล่าคนตายที่ทรงพลังกำลังเข่นฆ่าห้ำกันกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

 

แล้วในท้ายที่สุด คนตายคนอื่นๆก็ถูกสังหารไปจนหมด หลงเหลืออยู่แค่เพียงสองตนเท่านั้น

 

ขณะนี้ ร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยรอยบาดแผล

 

พวกเขาพยายามโจมตีอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง เพื่อคว้าชัยชนะในก้าวสุดท้ายนี้

 

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีกระบี่ยาวผุดออกมา ซึ่งไม่มีใครรู้เหมือนกันว่ามันมาจากที่ใด ทว่ามันได้ฉวยโอกาสนั้น พุ่งวาบบบ! เฉือนผ่านร่างของคนตายทั้งสองไป

 

แล้วกระบี่ยาวกระพริบไหว หายไปในอากาศ

 

คนตายทั้งสองสิ้นใจลง แล้วจมลงสู่การหลับไหลอีกครั้ง

 

การแข่งขันในครั้งนี้จบลง และยังไม่อาจถือกำเนิดคนตายที่แกร่งที่สุดได้

 

เมื่อคนตายทุกคนตื่นขึ้นมา พวกเขาก็จะต้องทำการต่อสู้กันอีกครั้ง!

 

หากมองในแง่ของเวลาแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่อย่างน้อยสิ่งที่เหล่าอาวุธโบราณทำ ก็ช่วยให้การถือกำเนิดของราชาภูติก็จะล่าช้าออกไปพอสมควรเลย

 

กู่ฉิงซานจ้องมองฉากนี้อย่างครุ่นคิด

 

นรกหลายขุมได้ปรากฏตัวขึ้นแล้วบนโลก ทว่าพวกมันกลับยังไม่ยอมทำการกวาดล้างโลกจริงๆซักที

 

เขาเกรงว่าสาเหตุคงจะเป็นเพราะเหล่าคนตายทรงพลังที่เป็นผู้คุมนรกขุมต่างๆ กำลังวุ่นอยู่กับการยื้อยุทธกันและกัน ทุ่มเทกับการแข่งขันเพื่อคว้าตำแหน่งราชาภูติที่ว่านี่อยู่เป็นแน่

 

“ข้าเป็นร่างจิตวิญญาณ แต่ข้าพอจะสามารถเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อคว้าตำแหน่งราชาภูติได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามในทันใด

 

“มิได้ แม้เจ้าจะเป็นเหมือนคนตาย แต่ว่าไม่ได้ตายจริงๆ”

 

“นี่ … ”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณตะโกนขึ้นอย่างกระทันหัน “อ๊ะ บ้าจริง!”

 

“เกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม

 

“การแข่งขันเมื่อครู่จบลง นรกแต่ละแห่งจึงเริ่มคัดเลือกคนตายที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นไปต่อสู้กันอีกแล้ว! เวลานี้มีนรก 15 ขุม ที่คัดเลือกตัวแทนของพวกมันคนใหม่เรียบร้อยแล้ว!”

 

“เมื่อนรกทั้ง 18 ขุมทำการเลือกคนตายที่แกร่งที่สุด การต่อสู้เพื่อคว้าตำแหน่งราชาภูติก็จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง”

 

“ตอนนี้ปรภพไร้ซึ่งเทพวิญญาณ ดังนั้นวาจาของราชาภูติจะเป็นดั่งประกาสิทธิ์ ชี้นิ้วสั่งทุกผู้คนได้ และนั่นคือสิ่งที่เราจะต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น!”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วเผ่ามารเล่า พวกมันอยู่ที่ไหน?”

 

“พวกมันกระจายกำลังไปทั่วทั้งปรภพ แต่ไม่สามารถเข้าสู่นรกได้”

 

“แต่เมื่อไหร่ที่ราชาภูติทำลายโลกมนุษย์ลงอย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นอุปสรรถที่คอยขวางกั้นทั้งหกโลกก็จะหายไป ยามเมื่อช่วงเวลาดังกล่าวมาถึง เผ่ามารก็จะกรีฑาทัพ บุกเข้าสู่ทุกอาณาจักรได้อย่างง่ายดาย!”

 

“เช่นนั้น เรามิอาจหยุดเรื่องนี้ได้เลยหรือ?”

 

“ใช่”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวด้วยความหดหู่ ทิ้งตัวลงบนพื้น นอนนิ่งไม่ไหวติง

 

กู่ฉิงซานจ้องมองมันอย่างว่างเปล่า ในสมองเขาอื้ออึงไปหมด

 

นี่ตนอุตส่าดั้นด้นมาถึงปรภพ ทว่าสุดท้ายแล้วกลับต้องพบเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่ามันจะปรากฏขึ้นมาก่อน

 

เผ่ามารเริ่มเปิดฉากโจมตีโลกปรภพ จากนั้นก็กรีฑาทัพไปทั้งหกโลก หมายจะยึดครองทั้งหมดเป็นของตนเอง

 

เรื่องราวเช่นนี้ ตัวเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยในชีวิตก่อนหน้า

 

และนอกจากนี้ ยังมีเรื่องของอาวุธที่โคตรทรงพลานุภาพอย่างหอกหลากสีอีก หอกที่สามารถสังหารทั้งเทพและอสูรกายได้อย่างง่ายดาย

 

เผ่ามารนี่ช่างเป็นมะเร็งร้ายที่คอยกัดกินความสงบสุขโดยแท้!!

 

“มันไม่มีทางที่จะแก้ไขได้เลยหรือ … ” เขาบ่นงึมงำ

 

ทันใดนั้นเอง ตะขอเกี่ยววิญญาณก็ผุดลุกขึ้นทันใด ร้องตะโกนออกมา “ดูนั่นเร็วเข้า!”

 

กู่ฉิงซานคว้าจับมันทันทีอีกครั้ง และแช่จิตสัมผัสเทวะลงไป

 

เห็นแค่เพียงบนยอดเขาล้อมเหล็ก บังเกิดแสงและเงาบินหลุดออกมาจากหอกหลากสี

 

ด้ามจับหอกถูกล้อมรอบไปด้วยแสงและเงานี้

 

ทันใดนั้นเอง เหล่าอาวุธแห่งปรภพที่เวียนว่ายคอยส่งเสียงก่อกวนอยู่รอบกายมัน – ทั้งหมดก็ถูกสับเป็นชิ้นๆ!

 

อาวุธเหล่านี้ ทุกชิ้นล้วนเป็นอาวุธจากยุคโบราณที่เปี่ยมไปด้วยกฏเกณฑ์แห่งปรภพ ทว่าพวกมันกลับมิอาจต้านทานการโจมตีจากหอกหลากสีได้เลย!

 

อีกด้านหนึ่ง ยืดยาวไกลออกไปสุดปลายเขา

 

เผ่ามารนับไม่ถ้วนที่กำลังเฝ้ามองดูฉากนี้ ต่างเปล่งเสียงเย้ยหยันหัวเราะก๊ากด้วยความสมเพชออกมา

 

กระทั่งอสูรกายหลายตนที่มีรูปร่างใหญ่โตมืดฟ้ามัวดิน ก็ยังอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ แน่นอนว่าพวกมันย่อมเห็นอาวุธโบราณเหล่านั้นอยู่แล้ว ทว่าเผ่ามารก็ทำแค่เพียงเลือกที่จะหลบซ่อนตัวเองห่างออกไปยังอีกด้านหนึ่งของภูเขา และเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ

 

พวกมันรับรู้ถึงอำนาจของหอกหลากสีดี และกำลังเฝ้ารอให้ฉากนี้ปรากฏขึ้น

 

“จบแล้ว มันจบแล้ว … ” กระแสเสียงของตะขอเกี่ยววิญญาณเต็มไปด้วยความเศร้าสลด

 

“ยังหรอก เฝ้าดูต่อไปเถอะ” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

 

ในขณะนั้นเอง หลากหลายสิบจุดแสงที่พรั่งพราวดั่งดาราก็กระพริบไหว พุ่งฉีกอากาศลอยไปบนท้องฟ้าเหนือภูเขาล้อมเหล็ก

 

พวกมันทะยานสูงขึ้นไปในอากาศเบื้องบน แล้วจึงค่อยๆหมุนวนโคจรอย่างช้าๆ

 

“นั่นมันอาวุธโบรารณอีก 36 ชิ้นนี่!” ตะขอเกี่ยววิญญาณร่ำร้องออกมา

 

“พวกเขากำลังจัดตั้งมหาค่ายกลผนึกมารจากยุคโบราณ!”

 

เสียงของตะขอเกี่ยววิญญาณเริ่มจะสั่นไหว

 

“ค่ายกลนี่มันทรงพลังมากเชียวหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ตามตำนานในสมัยโบราณกล่าวเอาไว้ว่า สุดยอดอสูรกายที่แสนน่าสะพรึงได้ปรากฏตัวขึ้น และเทพวิญญาณทั้งแปดองค์มิอาจต่อกรกับมันได้ ในตอนท้ายพวกเขาจึงทำได้เพียงล่อมันเข้าไปติดกับดักของมหาค่ายกลผนึกมาร แล้วจากนั้นก็จับมันโยนเข้าไปในรอยแยกมิติ ส่งมันเข้าไปในมิติอันเชี่ยวกราดให้หายไปตลอดกาล” ตะขอเกี่ยววิญญาณอธิบาย

 

“เจ้ากำลังหมายความว่า อาวุธเหล่านั้นต้องการจะทำเช่นเดียวกันใช่หรือไม่?”

 

“ใช่แล้ว ทว่านี่เป็นค่ายกลที่จัดวางได้ยากยิ่ง มิเช่นนั้นมันจะถูกเรียกว่าตำนานได้อย่างไร? ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทำสำเร็จไหม”

 

กู่ฉิงซานจดจ้องไปยังทิศทางยอดเขาล้อมเหล็ก

 

หอกหลากสียังคงอิงผนังอยู่อย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันยันต์สีทองก็ยังคงปิดผนึกมันอยู่

 

มันมิได้ลงมือจู่โจมออกมา คาดว่าคงเป็นเพราะเกี่ยวพันธ์กับยันต์ที่ว่านี่

 

กู่ฉิงซานมองไปที่หอก แล้วเอ่ยถามขึ้นทันใด “ไม่มีอะไรที่สามารถหยุดหอกนี้ได้จริงๆหรือ?”

 

“ใช่”

 

“กระทั่งสหายเจ้าที่สามารถสำแดงพลังของภูเขาล้อมเหล็กได้ก็ไม่ไหวหรือ?”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณถอนหายใจและกล่าว “การดำรงอยู่ของอาวุธที่สามารถสำแดงพลังของภูเขาล้อมเหล็กได้ คือหนึ่งในสามสิ่งประดิษฐ์เทวะของปรภพ แต่ในช่วงเวลานั้นมันทำได้เพียงปัดป้องหอกหลากสีเท่านั้น”

 

“เพราะอย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก หมายถึงก่อนหน้าที่จะเกิดการปะทะ มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว”

 

“แล้วหลังจากที่สงครามเริ่มขึ้นได้ไม่นาน มันก็เข้าปัดป้องการโจมตีจากหอกหลากสีอยู่หลายครั้ง จนสุดท้ายก็ถูกพัดปลิวหายไป”

 

“แล้วสิ่งที่สามารถทำได้เพียงปัดป้องหอกหลากสีมันจะไปมีประโยชน์อะไรกัน? ตอนนี้ทวยเทพได้ตกตายลงกันหมดแล้ว ต่อให้มันสามารถฟื้นฟูความเสียหายกลับมาเป็นปกติได้โดยสมบูรณ์อีกครั้ง มันก็ไม่สามารถป้องกันการถือกำเนิดของราชาภูติได้อยู่ดี!”

 

“สถานการณ์ได้มาถึงจุดนี้แล้ว มันและข้าก็ล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะ แต่กลับไม่สามารถหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณพร่ำบ่นด้วยห้วงอารมณ์ที่ดิ่งลึก

 

กู่ฉิงซานกุมขมับ เขาอดไม่ได้ที่จะสิ้นหวัง

 

เวลานี้ 36 อาวุธจากยุคโบรารณกำลังจัดเรียงมหาค่ายกลผนึกมารอย่างช้าๆ

 

‘สถานการณ์สิ้นหวังนี่มันจะไม่อาจแก้ไขใดๆได้เลยหรือ ..’

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิด

 

เขาหันไปมองกระบี่ภูติตัดกระดูกและตะขอเกี่ยววิญญาณว่า “ขอเวลาให้ข้าได้ใคร่ครวญเกี่ยวกับมันสักเล็กน้อย”

 

ว่าแล้วเขาเดินปลีกตัวไกลออกมา ก่อนจะยกสองแขนขึ้นกอดอกอย่างเงียบๆ

 

“นั่นเขากำลังทำอะไรอยู่น่ะ นี่มันเป็นเรื่องเร่งด่วนนะ” วิหคขาวบ่น

 

มันกำลังจะโผบินออกไปหา

 

ฟึบบบบ!

 

แต่แล้วดาบเล่มหนึ่งก็ผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า และขวางวิหคขาวเอาไว้

 

“อย่าไป” ดาบพิภพกล่าวเสียงกระซิบ

 

“อะไร? นี่เจ้าเป็นอาวุธของเขาหรือ? เช่นนั้นก็บอกเขา–” วิหคขาวกำลังกล่าว

 

“ชู่ววว … อย่าได้ส่งเสียงดังไป เวลานี้เขาต้องการพื้นที่ๆจะอยู่คนเดียว” ดาบพิภพกล่าว

 

“กระบี่ภูติ กลับมาเถอะ” ตะขอเกี่ยววิญญาณเรียก “บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาได้รับรู้ถึงความจริงมากเกินไป ห้วงอารมณ์ของเขาจึงสิ้นหวัง เลยจำต้องใช้เวลาค่อยๆสยบข่มมันอย่างช้าๆน่ะ”

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” วิหคขาวกล่าว

 

ดาบพิภพเอ่ยสวนทันควัน “มิใช่เช่นนั้น เขาเพียงแค่จำเป็นต้องขบคิดไตร่ตรอง ดังนั้นโปรดเงียบลงสักครู่”

 

ขณะนี้ดาบเช่าหยินก็ผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าเช่นกัน มันเปล่งเสียงกล่าวอะไรบางอย่างออกมา

 

แล้วอาวุธที่เหลืออีกสามก็จมลงสู่ความเงียบ

 

ใต้สายธารแห่งการหลงเลือนกลับคืนสู่ความสงบ

 

กระแสน้ำเชี่ยวเหลือคณา เวียนว่ายอย่างไร้ที่สิ้นสุดแล่นผ่านหัวกู่ฉิงซานไป

 

กู่ฉิงซานยังคงนิ่งงัน ไม่ขยับไหว

 

มีหนทางใดหรือไม่?

 

หากนี่คือสงคราม เช่นนั้นสมควรกระทำสิ่งใด?

 

หลังจากนั้นไม่นาน แววตาของเขาก็ค่อยๆเปล่งประกายขึ้น

 

ทว่ากู่ฉิงซานยังคงขบคิดต่อไป ในขณะที่เดียวกันก็เดินกลับมา

 

“เป็นอย่างไร เจ้ามีความคิดอะไรดีๆบ้าง?”ตะขอเกี่ยววิญญาณเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานกล่าว “เวลามีไม่มากนัก แม้ปัญหานี้มันจะค่อนข้างยุ่งยาก แต่มันก็มิได้สิ้นหวังโดยสมบูรณ์”

 

“อะไร? ยังไม่สิ้นหวังโดยสมบูรณ์? เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเรายังมีหวังอยู่กระนั้นหรือ?” วิหคขาวเริ่มตื่นเต้น

 

“สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ในหมู่มนุษย์เรามีคำสอนเก่าแก่ที่ตรงกับมันอยู่”

 

“คำสอนใด?”

 

“อย่ามัวแต่คิด! ลงมือทำซะ! ค่อยว่ากันทีหลัง!!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.395 – ฉากนรก

 

เหงื่อเย็นเยียบหยดย้อยลงมาจากแผ่นหลังของกู่ฉิงซานขณะกำลังตั้งใจฟัง

 

ใครจะไปคิดกันล่ะว่า เผ่ามารจะวางแผนที่สั่นสะเทือนโลกหล้าได้ขนาดนี้!

 

โลกปรภพกับโลกมนุษย์กำลังจะถูกทำลาย

 

และเผ่ามารก็ใกล้จะทำสำเร็จแล้ว!

 

กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่เบื้องล่างของสายธารนิ่งงันไป มิอาจเปล่งวาจาได้อยู่เนิ่นนาน

 

กระทั่งผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง เขาจึงเอ่ยปากถามออกมาว่า “แล้วทวยเทพแห่งประภพล่ะ? ตายกันหมดแล้ว? ไม่มีหลงเหลือเลยหรอ?”

 

“อันที่จริงก็ไม่ใช่แบบนั้น” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

พอได้ยิน หัวใจของกู่ฉิงซานก็เต้นครึกโครม

 

“งั้นหมายความว่าทวยเทพยังมีชีวิตอยู่น่ะสิ?” เขาเร่งเอ่ยถาม

 

“ไม่ได้มีชีวิตอยู่ แต่หายตัวไป แปดเทพวิญญาณที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกปรภพได้หายตัวไป ก่อนที่เรื่องราวนี้มันจะเกิดขึ้น”

 

“แล้วพวกเขาหายไปที่ใด?”

 

“ไม่รู้เหมือนกัน”

 

ลืมมันเถอะ ดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานจะไม่อาจคาดหวังกับเทพพวกนี้ได้ บางทีพวกเขาอาจจะหนีไปนานแล้วก็ได้

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงเอ่ยถาม “แล้วหอกหลากสีนั่นสามารถสังหารเจ้าได้หรือไม่?”

 

“ตามปกติแล้วมันจะเพ่งเล็งเทพกับอสูรกายเป็นอันดับแรก กล่าวได้ว่าตราบใดที่พวกเราเหล่าอาวุธมิได้ไปหาเรื่องมัน มันก็จะไม่สนใจพวกเรา”

 

วิหคขาวเอ่ยขัด “ครั้งหนึ่งข้าเคยเอ่ยขอให้ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดไปยังยอดเขา เพื่อหมายจะริบหอกหลากสีมาไว้ในกำมือ ทว่าทันทีที่พวกเขาสัมผัสกับมัน พวกเขาก็ถูกสังหารตายเป็นกองเลือดในพริบตา”

 

“แต่เพราะคนตายจะมิอาจตายได้อีก ดังนั้นพอสิ้นใจลง ทั้งหมดจึงถูกส่งกลับไปหลับไหลในนรกของตนเองทันที”

 

“แล้วหอกหลากสีนั่นล่ะ?”

 

“มันยังคงตั้งอยู่บนยอดเขาล้อมเหล็ก – เพราะเขาล้อมเหล็กสามารถทานทนต่อลมแห่งทัณฑ์โกลาหลได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่หอกต้องถูกวางคู่ไว้กับมัน

 

“อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งอย่างบนยอดเขาล้อมเหล็ก ไม่ว่าจะเป็นตึกรามหรือสิ่งมีชีวิต ทั้งหมดล้วนถูกทำลายล้างสิ้นโดยมัน”

 

วิหคขาวกล่าว มันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างหดหู่

 

และภาพเคลื่อนไหวจากตะขอเกี่ยววิญญาณก็ผ่านไป

 

หอกหลากสียังคงตั้งอิงผนังหินอยู่บนยอดสุดของภูเขาล้อมเหล็ก

 

ยันต์สีทองยังคงแปะติดอยู่บนตัวหอก เพื่อทำการผนึกมันไว้ชั่วคราว

 

กู่ฉิงซานมองมายังฉากนี้แล้วส่ายหัว

 

พลานุภาพของเจ้าหอกนี่มันร้ายกาจเกินไป ไม่มีวิธีที่จะรับมือกับมันได้เลย

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี อย่ามุ่งไปยังยอดเขา มิฉะนั้นแล้ว เจ้าจะตกตายลงที่นั่น”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ข้าคงไม่คิดจะไปที่หรอกหากไม่มีแผนรับมือดีๆ ว่าแต่ทางฝั่งนรกเล่า หลังจากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น พวกมันเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

แล้วภาพเคลื่อนไหวก็เปลี่ยนแปลงไปอีกที

 

ณ ใต้ดิน ลึกลงไปของภูเขาล้อมเหล็ก

 

นรกทั้งหมดได้หลุดจากการควบคุม

 

แม้ว่าคนตายจะยังคงทุกข์ทรมานจากนรกที่พวกมันรับกรรมอยู่ แต่พวกมันก็อดทนพยายามที่จะหนีออกจากปรภพและมุ่งหน้าเข้าสู่โลกมนุษย์

 

นรกชั้นแรก ‘นรกทะเลเลือด’

 

คนตายจะถูกแช่อยู่ในน้ำเลือดที่เดือดพล่าน ถูกทรมานด้วยการต้ม

 

นอกจากนี้ ภายในน้ำเลือดยังมีสัตว์ประหลาดอยู่มากมาย และพวกมันก็รับหน้าที่คอยกัดกินร่างของเหล่าคนตายอยู่ตลอดเวลา

 

หากเบนสายตาข้ามผ่านนรกคุกทะเลเลือดไป ก็จะมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำเลือด

 

บริเวณที่ว่านี้ค่อนข้างลาดชัน

 

น้ำเลือดทั้งหมดได้หลั่งไหล่ลงไปตามทางลาดที่ว่านี้

 

บางครั้งก็มีคนตายสามารถเข้ามาถึงที่นี่ได้

 

นี่คือทางเข้าสู่ ‘นรกถลกหนัง’

 

คนตายจะกลิ้งลงไปตามทางลาดชัน ด้วยความเร็วที่ค่อยๆทวีขึ้น และเร็วยิ่งขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม นี่มิใช่การปล่อยลงไปเปล่าๆ ระหว่างทาง พวกมันก็จะถูกใบมีดอันแหลมคมที่ถูกแทรกไว้ตามทางลาดชัน เชือดเฉือนร่างออกเป็นชิ้นๆ

 

และหลังจากคนตายสิ้นใจลง พวกมันก็จะจมลงสู่การหลับไหลในจุดนั้น และก็ตื่นขึ้นมาในตำแหน่งเดิม

 

เมื่อฟื้นคืนสติ พวกมันก็จักเริ่มกลิ้งลงไปตามเนินลาดชันที่เต็มไปด้วยคมมีดอีกครา และถูกแล่ถลกทั้งเลือดเนื้อและหนังออกโดยสมบูรณ์อีกครั้ง

 

ฟื้นคืนชีวิตกลับมา – กลิ้งไปถูกใบมีด – ฟื้นมาอีก – ถูกหั่นอีก – เป็นวงจรทารุณเช่นนี้ต่อไปกว่า 693.81 ล้านลี้!

 

นี่คือหนทางเดียวที่จะข้ามผ่านนรกชั้นสอง

 

และบริเวณเบื้องล่างสุดทางลาดชัน ก็จะเป็นเส้นทางเชื่อมต่อเข้าสู่นรกชั้นสาม ‘นรกเยือกแข็ง’

 

ซึ่งขณะนี้ดินแดนของนรกเยือกแย็งได้หลงเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อีกครึ่งได้หายไปแล้ว หลงเหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า

 

เห็นได้ชัดว่านรกชั้นนี้ คือนรกที่ไปปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองสังเกตนรกนี้อย่างรอบคอบ แล้วเขาก็พบกับ-

 

-15 คนตายที่ดูแข็งแกร่งที่สุดในนรกขุมนี้ กำลังยืนอยู่ใจกลางนรกเยือกแข็ง และกำลังร่วมกันสำแดงพลังมนตราของไม้เท้าแห่งการจองจำของราชันภูติ เพื่อกระตุ้นให้นรกเยือกแข็งแยกตัวออกจากปรภพอยู่

 

แล้วสายตาของกู่ฉิงซานก็เลื่อนไปเห็นคนคุ้นเคย-

 

-โครงกระดูกในชุดคลุมดำ

 

“แล้วพวกเขาไปได้วิธีปลดปล่อยนรกนี้ออกจากปรภพได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“วิธีแยกนรกออกจากปรภพน่ะคือเทคนิคลับที่อยู่ในไม้เท้าแห่งการจองจำ  มันถูกสร้างขึ้นโดยราชาภูติรุ่นแรกเพื่อใช้รุกรานโลกอื่น” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

“ดังนั้น ตราบใดที่คนตายแตะต้องไม้เท้าแห่งการจองจำ พวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้และใช้งานเทคนิคลับที่ว่านั่นได้”

 

“พวกเขาจะตระหนักถึงวิธีที่จะปลดปล่อยนรก ให้สามารถแยกตัวออกจากโลกปรภพได้ทันที”

 

มองไปยังนรกเยือกแข็งอันเย็นเยียบ และเหล่าคนตายที่ดูแข็งแกร่งที่สุดกำลังลอยตัวอยู่

 

ทั้งหมดต่างก็วางมือลงบนไม้เท้าแห่งการจองจำ

 

บนไม้เท้าบังเกิดแสงสีดำสาดขึ้น

 

และไม่นานนัก สีหน้าของพวกคนตายที่แตะต้องมันก็พลันแสดงท่าทีตระหนักรู้

 

พวกเขาได้ร่วมมือกับกองกำลังอื่นๆของคนตาย และเริ่มที่จะร่ายมนตราเพื่อเร่งความเร็วในการปลดปล่อยนรกเยือกแข็ง

 

ในเวลานั้นเอง ไม้เท้าแห่งการจองจำก็สั่นไหว และหายวับไป

 

“มันได้จากไป และเข้าสู่นรกขุมถัดไปเพื่อทำการสอนสั่งเทคนิคลับที่ว่านั่นแด่ผู้แข็งแกร่งในนรกแห่งนั้นอีกครั้ง” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

“การที่มันกระทำเช่นนี้ ก็พอจะบ่งบอกได้ว่าไม้เท้าแห่งการจองจำมีสตินึกคิดใช่หรือไม่?”

 

“ไม่หรอก นับตั้งแต่ยุคโบราณอันไกลโพ้น สติของมันได้ถูกสังหารลงไปแล้วโดยเทพวิญญาณ”

 

“ก็ถ้าหากเป็นเช่นนั้น แล้วมันยังสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?”

 

“เมื่อผนึกของไม้เท้าแห่งการจองจำถูกยกเลิก มันจึงหลุดพ้น และก้าวเข้าสู่นรกแต่ละขุม เพื่อทำการสอนสั่งเทคนิคลับนี้ให้กับเหล่าพวกคนตาย นี่คือหนึ่งในภารกิจที่ราชาภูติรุ่นแรกได้มอบให้กับไม้เท้า”

 

กู่ฉิงซานลังเล ก่อนจะกล่าวว่า “ว่าแต่เทคเทคนิคลับที่อยู่ในไม้เท้าแห่งการจองจำนี่มันอะไรบ้างล่ะ?”

 

“เทคนิคที่ว่านั่นมีเพียงคนตายเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้”

 

“ยามเมื่อราชาภูติถือไม้เท้า เขาจะสามารถใช้เทคนิคลับของตลอดทั้ง 18 ขุมนรก และสามามรถสั่งให้คนตายทุกคนในปรภพปรากฏตัวขึ้นได้”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวต่อว่า “และเนื่องจากกฏเกณฑ์ของปรภพน่ะมันน่าเกรงขามเกินไป ดังนั้นไม้เท้าแห่งการจองจำจึงต้องออกเฟ้นหาราชาภูติที่ทรงพลังมากตามไปด้วย ส่วนเทคนิคของมันมีอะไรบ้างนั้น ข้าเองก็ไม่ทราบ” เขากล่าว

 

ภาพในมุมมองสายตาเปลี่ยนไปอีกครา

 

และไม้เท้าแห่งการจองจำก็ปรากฏขึ้นใน ‘นรกขย้ำ’

 

มันเป็นนรกที่คนตายกำลังเดินอยู่บนแผ่นดินแห้งแล้ง และมีบ้างเป็นครั้งคราวที่สุนัขเหล็กกับสิงโตเหล็กจะปรากฏกายขึ้น และวิ่งไล่ล่าพวกเขา ฉีกกัดและกินพวกเขาเป็นอาหาร

 

เมื่อเห็นฉากนี้ หลากหลายคนตายที่ทรงพลังพรวดก็เข้ามาข้างหน้า และคว้าจับไม้เท้าแห่งการจองจำเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มรับการสืบทอดเทคนิคลับ

 

หลังจากนั้นนรกขย้ำต่อมาก็เป็น นรกกัดกร่อน

 

คนตายในชั้นนี้ ร่างกายของพวกเขาจะค่อยๆถูกกัดกร่อนโดยน้ำกรด และในที่สุดก็จะหลงเหลืออยู่แค่เพียงกระดูกและสิ้นใจลงโดยสมบูรณ์

 

ยิ่งคุณลงไปด้านล่างลึกเท่าไหร่ ความทุกข์ทรมานจากในนรกก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

 

นรกยิงเป้า

 

นรกศิลาบด

 

นรกหุบเขาใบมีด

 

นรกแผดเผา

 

นรกจอมเสียบ

 

นรกนึ่ง

 

นรกถลกหนัง

 

นรกควักหัวใจ

 

นรกคว้านท้อง

 

นรกอาบพิษ

 

นรกกระทะทองแดง

 

นรกเลื่อย

 

นรกแท่นประทับ

 

นรกเหล่านี้จะแบ่งออกเป็นนรกขนาดเล็ก นรกขนาดใหญ่ ตามแต่ระดับของความทุกข์ทรมาน

 

แม้ว่าคนตายจะได้อยู่ในนรกขนาดเล็ก แต่พวกเขาก็ยังได้รับความทุกข์ทรมานมากมายในเวลาอันสั้นอยู่ดี

 

แม้คนตายจะประสบพบเจอกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสในระยะเวลาอันสั้น เต็มไปด้วยทุกรูปแบบของความเจ็บปวด ทว่าหลังจากผ่านไปสักระยะ พวกเขาก็จะได้กลับคืนสู่สังสารวัฏ ไปเกิดใหม่ในที่สุด

 

ส่วในนรกขนาดใหญ่ คนตายจะต้องทนทรมานเป็นเวลากว่า 500 ปี ก่อนที่พวกเขาจะสามารถพักผ่อนได้เป็นเวลาหนึ่งวัน จนกว่าความผิดบาปของพวกเขาจะลดน้อยลง จึงจะถูกถ่ายโอนไปยังนรกขนาดเล็ก ทรมานต่ออีกระลอก แล้วจึงถูกส่งไปเกิดใหม่

 

ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ‘นรกไร้สิ้นสุด’ ทุกตัวตนของคนตายที่อยู่ที่นี่จะต้องทนทรมานไปตลอดกาล หากไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น คนตายในนรกขุมนี้จะไม่มีวันได้ออกมาโดยเด็ดขาด

 

ในวิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซาน เขาเห็นแค่เพียงนรกที่เต็มไปด้วยคนตาย ทว่ากลับมิได้เห็นถึงเทพวิญญาณที่กุมบังเหียนของนรกเลย

 

ในแต่ละชั้นของนรก เหล่าคนตายที่ทรงพลังต่างร่วมมือกันใช้งานเทคนิคลับของไม้เท้าแห่งการจองจำ เพื่อกระตุ้นการแยกตัวออกของนรก

 

พวกมันต้องการที่จะแยกนรกออกจากปรภพ มุ่งหมายที่จะไปยังโลก!

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ ตราบใดที่มันได้กินเนื้อดื่มเลือดมนุษย์ ความเจ็บปวดการทุกข์ทรมานจากนรกก็จะบรรเทาลง … แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามที

 

นอกจากนี้ ถ้าหากว่าพวกมันได้กินวิญญาณของมนุษย์แล้วล่ะก็ ตนก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!

 

“เมื่อครู่เป็นภาพของเมื่อวานนี้ ในวันนี้ไม้เท้าแห่งการจองจำจะบรรลุภารกิจที่สองของมัน”

 

“ภารกิจที่สองของมันคืออะไร?”

 

“แน่นอนว่าย่อมเป็นการเลือกราชาภูติ”

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณถอนหายใจ “หลังจากที่ราชาภูติถือกำเนิดขึ้น เขาก็จะได้ถือครองไม้เท้าแห่งการจองจำ และปกครองนรกทั้งสิบแปดขุมโดยสมบูรณ์ จากนั้นก็จะเปิดตัวรุกรานโลกอย่างเต็มรูปแบบ”

 

“ดูสิ นี่คือภาพของวันนี้”

 

แล้วภาพก็เปลี่ยนไป

 

เหล่าคนตายที่แข็งแกร่งทั้งหลายของนรกอาบพิษได้ก้าวเดินออกมา

 

แล้วพวกเขาก็ห้ำหั่นกันเบื้องหน้าไม้เท้าแห่งการจองจำ

 

ผู้ชนะคนสุดท้ายจะถูกเลื่อนให้เข้าสู่รอบต่อไป

 

นรกทั้ง 18 ขุม กำลังคัดเลือกหนึ่งในคนตายที่แข็งแกร่งที่สุดในไม่ช้า

 

และคนที่แข็งแกร่งที่สุด ก็จะได้ขึ้นเป็นราชาภูติองค์ใหม่!

 

ราชาที่จะมีสิทธิ์ถือครองไม้เท้าแห่งการจองจำ ผู้ที่เพียงเอ่ยสั่งด้วยวาจา ตลอดทั้งนรกและคนตายทั้งหมด ก็จะรุกเข้าสู่โลก!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.394 – ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ

 

ย้อนความกันสักเล็กน้อย

 

ขณะที่เผ่ามารกำลังกรีฑาทัพ ค่อยๆคืบคลานกินพื้นที่เข้ามาจากฝั่งปลายของภูเขาล้อมเหล็ก ทางฝั่งเทพวิญญาณก็ค่อยๆทยอยกันล่าถอยไปยังฝั่งหัวของภูเขา

 

ทว่าอสูรกายถือหอกก็ยังไล่ตามพวกเขาอย่างไม่ลดละ

 

จากตำแหน่งของมัน ระยะห่างที่จะเดินไปถึงเหล่าทวยเทพค่อยๆแคบลง แคบลงเรื่อยๆ

 

และเมื่ออสูรกายที่กุมหอกได้ตกตายลง

 

ก็จะมีอสูรกายตนใหม่รับช่วงต่อหอกทันที และมุ่งหน้าก้าวต่อไป

 

จนในที่สุด เทพแห่งปรภพก็มิอาจล่าถอยได้อีกและต้องจำต้องเลือกออกไปเผชิญหน้ากับการโจมตีจากหอกนี้

 

อสูรกายได้กระชากยันต์ทองคำออก

 

และจ้วงหอกที่กำลังระเบิดเฉดแสงและเงาอันไม่มีที่สิ้นสุดออกมา

 

ทวยเทพคนแล้วคนเล่าทยอยกันสิ้นใจ

 

สุดท้าย ทวยเทพทั้งหมดก็ได้ตกตายลง

 

แน่นอน ว่ามิใช่แค่เหล่าทวยเทพเท่านั้นที่ตกตาย ทว่าพวกอสูรกายที่สิ้นชีพในระหว่างกระบวนการดังกล่าวนี้ก็ยังมีมากถึง 197 ตน!

 

และอสูรกายเหล่านี้ แต่ละตนก็ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของเผ่ามาร กล่าวได้ว่าหากมันไปปรากฏตัวขึ้นที่ใดในโลก มันจะกลายเป็นกำลังรบที่ใช้ชี้ขาดสงครามเหล่านั้นได้ในทันที!

 

แต่ที่นี่ พวกมันกลับถูกนำมาใช้เพียงเพื่อถือหอกหลากสีเท่านั้น

 

ท้ายที่สุด อสูรกายตนสุดท้ายก็ได้มาถึงที่หมาย มันพยายามจะจ้วงแทงหอกลงบนยอดของภูเขาล้อมเหล็ก

 

ทว่าตลอดทั้งภูเขาล้อมเหล็กน่ะ มันเชื่อมต่อกันอย่างหนาแน่น ปราศจากรอยต่อที่รั่วไหล แม้กระทั่งลมแห่งทัณฑ์โกลาหลจากภายนอกก็ยังสามารถต้านทานได้

 

ดังนั้นแล้ว หอกหลากสีก็ย่อมมิอาจแทรกลงไปในภูเขาล้อมเหล็กได้เช่นกัน

 

อสูรกายจึงจำต้องเอียงหอกของมันหนุนอิงกับผนังหินบนยอดเขา

 

หลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดนี้ อสูรกายก็ส่งเสียงหอนหวนออกมา และกลิ้งลงมาจากยอดเขา

 

กลิ้งลงมาได้เพียงครึ่งทาง ทั้งตนทั้งร่างของเป็นก็แปรสภาพกลายเป็นแอ่งเลือด

 

แม้ตัวจะออกห่างแล้วก็ตาม ทว่าสุดท้ายมันก็ยังถูกสังหารลงโดยหอกหลากสีอยู่ดี

 

กระทั่งตัวกู่ฉิงซานที่มีประสบการณ์จากสองชั่วชีวิต เมื่อเฝ้ามองดูฉากนี้ ก็ยังตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

 

“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าก็น่าจะเข้าใจแล้วใช่ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับปรภพ?” ตะขอเกี่ยววิญญาณเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานจำต้องสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องการเอ่ยถามอยู่”

 

“ลองมาว่าสิ”

 

“ปริมาณของเผ่ามารน่ะมันไร้ที่สิ้นสุด และทุกครา ยามที่มันต้องเผชิญหน้ากับโลกอื่น พวกมันก็มักจะได้รับชัยชนะเสมอ ด้วยกลยุทธ์เน้นจำนวนที่มากมายมหาศาล ทว่าแล้วเพราะเหตุใดกันในการบุกโลกปรภพ พวกมันจึงถึงขั้นยอมจ่ายออกด้วยราคาอันสาหัสถึงเพียงนี้?”

 

“นั่นเพราะปรภพน่ะมีสายธารแห่งการหลงเลือนอยู่น่ะสิ พวกมันจึงมิอาจเน้นใช้จำนวนเล่นบทบาทในครั้งนี้ได้ นอกจากนี้ยังสืบเนื่องมาจาก 18 นรกที่อยู่ในส่วนลึกของภูเขาล้อมเหล็กอีกด้วย ที่นั่นเป็นที่อาศัยอยู่ของคนตาย ดังนั้นต่อให้มารมีจำนวนมากขนาดไหน ก็ไม่อาจจัดการพวกคนตายทั้งหมดนี้ลงได้”

 

“อีกอย่าง แม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น แต่คนตายน่ะจะไม่มีทางตายได้อีก พวกเขาจะจมสู่การหลับลึกแล้วเกิดใหม่อีกครั้งอยู่ดี”

 

“เพราะอย่างงั้นพวกมันเลย … ”

 

“ใช่ นั่นแหละคือเหตุผลที่พวกมันถึงได้เลือกใช้หอกหลากสีล่ะ หอกที่ว่านี้ไม่ทราบว่ามาจากที่ใด ทว่ามันสามารถต่อกรกับทางโลกปรภพของพวกเราได้”

 

“จริงๆแล้วหอกนั่นคืออาวุธของใครกันแน่?”

 

“เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดทราบ”

 

“มันไม่มีทางที่จะต่อต้านเลยจริงๆหรือ?”

 

“ตัวหอกน่ะมันมิได้แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู อำนาจของมันไว้เพื่อทำลายล้างเท่านั้น ขนาดพลังอันคงกระพันของเทพวิญญาณยังพ่ายแพ้เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน แล้วจะไปมีวิธีต้านทานมันได้อย่างไร?”

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรอง ปากเอ่ยงึมงำ “หากเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมเหล่าทวยเทพถึงไม่เลือกที่จะไปหลบซ่อนตัวอยู่ในสายธารแห่งการหลงเลือนกันล่ะ?”

 

“เพราะสายธารแห่งการหลงเลือนคือกฏเกณฑ์ขั้นพื้นฐานที่สุดของปรภพ ไม่ว่าจะทวยเทพหรือมาร หากเข้าสู่สายธารแห่งการหลงเลือน จะมีเพียงโชคชะตาแห่งการถือกำเนิดใหม่เท่านั้นที่รออยู่”

 

“ข้าไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย อาศัยเพียงแค่ตัวหอก .. ทว่ากลับสามารถสังหารทั้งเทพและอสูรกายลงได้ … ” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

“โลกปรภพน่ะเกือบจะถึงวาระแล้ว และเผ่ามารก็กำลังดำเนินแผนการของพวกมันในขั้นต่อไป เจ้ายังต้องการจะดูต่อหรือไม่?” ตะขอเกี่ยววิญญาณเอ่ยถาม

 

“แน่นอนว่าต้องดู” กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นและกล่าว

 

“เช่นนั้นก็เชื่อมต่อจิตสัมผัสเทวะกับข้า”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

และภาพเคลื่อนไหวก็ค่อยๆขยายออกอย่างช้าๆ

 

หลังจากที่เหล่าทวยเทพได้ตกตายลง

 

เผ่ามารก็ได้ยึดครองตลอดทั้งภูเขาล้อมเหล็ก

 

ณ บริเวณมุมหนึ่งที่เงียบสงบของภูเขาศักดิ์สิทธิ์

 

เผ่ามารได้ทำลายชั้นแนวป้องกันของที่นั่น

 

แล้วพวกมันก็ได้เริ่มต้นทำการขุดค้นอย่างบ้าคลั่ง

 

แน่นอน ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์น่ะมิอาจจะสามารถขุดหรือเจาะทำลายได้ ดังนั้นที่บอกว่าขุดค้นน่ะจึงหมายความว่าพวกมันกำลังสำรวจและค้นหาที่สถานที่หนึ่งอย่างเป็นจริงเป็นจัง

 

และในที่สุด พวกมันก็พบกับกองหินที่ดูไม่แตกต่างไปจากโขดหินอื่นๆในภูเขาล้อมเหล็ก

 

และหินเหล่านี้สามารถขุดได้

 

เห็นได้ชัดว่านี่มันถูกสร้างขึ้นมาไว้เพื่อใช้สำหรับปกปิดและป้องกันไม่ให้ถูกผู้ใดค้นพบ

 

เผ่ามารได้ขุดลงไป แล้วก็พบกับโลงศพไม้

 

พวกมันได้ใช้ความพยายามและเวลาออกไปเป็นจำนวนมากเพื่อทำลายตราผนึกบนโลงศพไม้

 

สักพักหนึ่ง โลงศพไม้ก็สามารถเปิดออกได้ในที่สุด

 

พร้อมกับไม้เท้ามนตราที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเหล่ามวลมาร

 

ไม้เท้านี้มีด้ามจับยาวสีดำ ขณะที่หัวไม้เท้าเป็นกะโหลกศีรษะที่มีเขาแหลม

 

เผ่ามารที่มีสองปีกร่อนลงมา และคาบไม้เท้าด้วยปากของมัน

 

จากนั้นมันก็กระพือปีกออก และบินไปยังทิศทางของสายธารแห่งการหลงเลือน

 

แล้วไม้เท้ามนตราก็ถูกโยนลงไปในสายธารแห่งการหลงเลือน

 

ตามด้วยแสงสีดำที่สาดออกมาจากตัวไม้เท้า

 

ในชั่วพริบตา ตัวไม้เท้ามนตราก็ได้หายไป

 

“นั่นมันคือสิ่งใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ตามคำกล่าวของทวยเทพในยุคโบราณ ว่ากันว่าไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติได้ถูกผนึกเอาไว้ในปรภพ” ตะขอเกี่ยววิญาณกล่าว

 

“ราชาภูติ? ทำไมราชาภูติถึงไปอยู่ในประภพได้?” กู่ฉิงซานถามอย่างคาดไม่ถึง

 

“ตามตำนานกล่าวว่า แต่เดิมแล้วปรภพน่ะถูกปกครองโดยราชาภูติ และในเวลานั้นนรกภูมิมีอยู่เพียง 9 ขุมเท่านั้น มิใช่ 18 ขุมอย่างในปัจจุบัน”

 

“ต่อมา ทวยเทพจากอาณาจักรสวรรค์คิดหมายจะควบคุมพลังของปรภพ เพื่อปกครองอำนาจเหนือชีวิตและความตายของทุกสิ่งมีชีวิต พวกเขาจึงส่งเทพวิญญาณทั้งแปดลงมาบริหารจัดการกับปรภพ”

 

“แรกเริ่ม เหล่าเทพวิญญาณจะมีหน้าที่ในการจัดสรรสิ่งมีชีวิตที่ผ่านเข้ามาในปรภพ หลังจากผ่านการทุกข์ทรมานในนรกแล้ว ก็จะจัดการหาที่ทางให้พวกเขาได้ไปต่อ”

 

“ขณะที่ราชาภูติน่ะมีอำนาจในการปกครองนรกทั้ง 9 และคอยสั่งการคนตายและวิญญาณทั้งหมดในปรภพ”

 

“หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ค่อยๆเกิดความขัดแย้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้าย สงครามระหว่างเทพวิญญาณที่มาจากอาณาจักรสวรรค์กับราชาภูติก็ได้ปะทุขึ้น”

 

“มันเป็นสงครามครั้งแรกของทวยเทพในปรภพ”

 

“ราชาภูติได้คว้าไม้เท้าแห่งการจองจำออกมา แล้วเริ่มปลดปล่อยพลังอันคงกระพัน ต่อกรกับเทพวิญญาณ และกดดันพวกเขากลับคืนสู่อาณาจักรสวรรค์”

 

“พลานุภาพของไม้เท้านั่นมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ หากไม่นับสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามแห่งปรภพ  ก็มีไม้เท้าจองจำของราชาภูตินี่แหละที่ทรงพลังที่สุด พลานุภาพของมันเหนือล้ำยิ่งกว่าข้าหรืออุปกรณ์ที่มีจิตอาร์ติแฟคอื่นๆไปไกลโข ดังนั้นฝ่ายเทพวิญญาณจึงเกือบจะพ่ายแพ้”

 

“แต่นับว่าโชคยังดี ที่ภายในช่วงเวลาวิกฤตอันแสนสำคัญยิ่ง เทพวิญญาณที่ทรงพลานุภาพได้ลงจากอาณาจักรสวรรค์มาเยือนปรภพพอดิบพอดี … โชคดีจริงๆ”

 

“จากนั้นก็ตามต่อด้วยเกือบทั้งอาณาจักรสวรรค์ได้ตามลงมา และเทพสวรรค์ก็ยังได้เชื้อเชิญ กองกำลังจากอาณาจักรอาชูร่า อาณาจักรจ้าวอสูร  และอาณาจักรผีโหย มาร่วมกันพิชิตโลกปรภพอีกด้วย”

 

“ราชาภูติจึงนำคนตายเข้าร่วมการต่อสู้ ทว่าสุดท้ายก็มิอาจเอาชนะทวยเทพและอาณาจักรทั้งสี่ได้ จึงถูกสะบั้นศีรษะลงในที่สุดโดยเทพสวรรค์”

 

“นับตั้งแต่นั้นมา ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติก็ถูกปิดผนึก”

 

“และเพราะด้วยความหวั่นเกรงในพลังของสิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นนี้ จิตอาร์ติแฟคของไม้เท้าแห่งการจองจำจึงถูกสังหารจนดับสูญลงโดยเหล่าทวยเทพ ขณะที่ส่วนร่างของมันซึ่งก็คือตัวไม้เท้าได้ถูกผนึกเอาไว้”

 

“ประเดี๋ยวก่อน!”

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง ใช้สมองขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มกล่าวต่อว่า “หากฟังตามที่เจ้าพูด นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าเผ่ามารได้ขุดไม้เท้าซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะออกมา เพื่อหมายจะควบคุมนรกทั้ง 18 ขุมเหมือนดั่งที่ราชาภูติเคยกระทำอย่างงั้นหรือ?”

 

“ไม่หรอก เผ่ามารมิอาจใช้ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติได้”

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“ตามกฏเกณฑ์ของนรก คนที่จะถือไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ จำต้องเป็น ‘คนตาย’ ในนรกเท่านั้น”

 

“ถ้าอย่างงั้นแล้วพวกมันจะหาสิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นนี้ไปทำไม?”

 

“เพราะเผ่ามารไม่สามารถบุกโลกได้ในขณะนี้ ทว่าหากเป็นนรกภูมิล่ะก็ … ย่อมสามารถทำได้”

 

“ทันทีที่ไม้เท้าของราชาภูติปรากฏออกมา เหล่าคนตายจักต้องกลับคืนสู่นรกภูมิทั้ง 18 ขุม”

 

“และตัวไม้เท้าเอง ถึงแม้ว่าจะมิได้มีจิตอาร์ติแฟคอยู่แล้ว ทว่าตามกฏเกณฑ์ของมัน มันจักต้องเลือกราชาภูติองค์ใหม่ขึ้นอย่างแน่นอน”

 

“สิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นนี้ทรงพลังมากเกินไป ทว่าในขณะเดียวกันมันก็ยังมีเทคนิคลับ ที่จะสามารถช่วยให้นรกทั้ง 18 ขุมแยกตัวออกจากปรภพได้”

 

กู่ฉิงซานเข้าใจทุกสิ่งในทันที

 

นี่สินะสิ่งที่ควรจะเป็น

 

สาเหตุที่นรกปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในโลกมนุษย์  และเหตุผลที่ลงตัวที่สุดก็เกิดจากจุดนี้นี่เอง

 

“แล้วราชาภูติได้ถูกเลือกแล้วหรือยัง?”

 

“ในตอนนี้ยัง แต่มันกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว และเอ่ยว่า “เมื่อราชาภูติองค์ใหม่ถือกำเนิดขึ้น เขาก็จะมีคุณสมบัติที่จะสามารถเปล่งวาจาสิทธิ์สั่งการนรกทั้ง 18 ขุมได้ และทำการโจมตีโลกอย่างงั้นสินะ”

 

“ฉะนั้น หาก 18 นรกภูมิถูกแยกตัวออกจากโลกปรภพแล้วล่ะก็ กฏเกณฑ์ของโลกปรภพก็จะเริ่มพังทลาย”

 

“18 นรกภูมิจะเข้าสู่โลก และโลกย่อมมิอาจต้านทานมันได้อย่างแน่นอน”

 

“โลกปรภพและโลกมนุษย์จะถูกทำลายลงพร้อมกัน และนั่นจะส่งผลให้ตลอดทั้งหกวิถีแห่งสังสารวัฏตกอยู่ในความวุ่นวายโดยสมบูรณ์”

 

“ในเวลานั้น อุปสรรคที่คอยป้องกันโลกทั้งหกก็จะล่มสลายลงโดยพลัน และเผ่ามารก็จะกรีฑาทัพเข้าบุกโจมตีอาณาจักรปรภพ , โลก , อาณาจักรผีโหย , อาณาจักรอาชูร่า , อาณาจักรจ้าวอสูร และกระทั่งแห่งสุดท้าย อาณาจักรสวรรค์”

 

“นี่คือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเผ่ามาร — บุกทั้งหกวิถี พิชิตโลกทั้งหมดในคราเดียว!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.393 – อสูรกายไล่ล่า

ตะขอเกี่ยววิญญาณทิ้งตัวลง และอนุญาตให้กู่ฉิงซานถือมัน

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นทันที

 

“ค้นพบ ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน กล่าวได้ว่านี่เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะจากปรภพ เป็นอุปกรณ์เฉพาะของเทพวิญญาณ”

 

“คุณไม่อาจทราบถึงคุณสมบัติทั้งหมดของสิ่งประดิษฐ์เทวะได้ และคุณจะไม่ได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องใดๆกับมัน เว้นเพียงแต่ว่าคุณจะได้รับการยอมรับเป็นนายของมันเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานไม่สนใจที่จะอ่านมัน เขาหันหลังกลับและเริ่มต้นใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วทันที

 

แล้วเขาก็ไปปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งนอกวิหาร

 

ขณะเดียวกันจิตสัมผัสเทวะแปลกๆก็กวาดเข้ามาปะทะเขาจากเบื้องหน้า

 

–ในโลกมนุษย์ คนอื่นๆจะไม่ใช้จิตสัมผัสเทวะกัน ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงสามารถใช้มันทั้งจับตำแหน่ง ตรวจสอบ หลบหนี ฯลฯ … หรือเรียกง่ายๆว่าโกงคนอื่นได้อย่างไร้ยางอาย

 

ทว่ากับที่นี่ ที่ซึ่งมารแมงมุมเขมือบวิญญาณกำลังควบคุมจิตสัมผัสเทวะอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เขามิอาจทำเช่นนั้นได้อีกต่อไป

 

กู่ฉิงซานตระหนักได้ถึงจิตสัมผัสนี้ เขาจึงถอนจิตสัมผัสเทวะทั้งหมดของตัวเองกลับคืน

 

เขาจะไม่ยอมปล่อยให้จิตสัมผัสเทวะของตนออกจากร่างกาย แล้วไปปะปนเข้ากับของมันเด็ดขาด

 

“ข้าจะหยุดมันเอง!” ชูร่าชายตะโกนขึ้นและทะยานออกไป

 

“เจ้าก็รีบหนีไปเร็วเข้า!”

 

ชายชราตะโกน และกระโจนไปยังทิศทางมารแมงมุม

 

ทว่าไปได้เพียงครึ่งทาง จู่ๆทั้งสองก็หายวับไป!

 

ดูเหมือนว่าจะถูกบังคับเรียกกลับไปแล้ว!

 

พอเห็นฉากนี้ มารแมงมุมก็หัวเราะออกมา “เจ้าพวกคนตายที่ชวนปวดหัว ในที่สุดก็หมดไปซะที”

 

คู่ดวงตาแนวตั้งของมันจดจ้องกู่ฉิงซานอย่างรอบคอบ ก่อนที่สายตาของมันจะตกลงไปยังตะขอเกี่ยววิญญาณที่อยู่ในมือของกู่ฉิงซาน

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นหนอนแมลงจากโลกมนุษย์สินะ จู่ๆก็บุกมาที่วิหารสักการะสิ่งประดิษฐ์เทวะ ข้าสมควรชื่นชมเจ้าว่าช่างหลักแหลม .. หรือว่าไร้เดียงสาดี?”

 

ร่างใหญ่ของมันงอตัวลงเล็กน้อย และแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสง เหลือทิ้งไว้เพียงภาพติดตาในตำแหน่งเดิมอย่างฉับพลัน

 

บังเกิดกระแสลมรุนแรงพัดกระพือ ปากมารแมงมุมอ้าคำราม ขณะที่เท้าทั้งแปดย่ำพื้นดินพรวดเข้าหากู่ฉิงซาน

 

ช่างว่องไวจริงๆ!

 

กู่ฉิงซานลอบพูด

 

“ข้าจะขวางมันเอง!” วิหคขาวร้องออกมา

 

“ไม่จำเป็น!”

 

กู่ฉิงซานเหยียดมือไปคว้ากระบี่ภูติตัดกระดูก และใช้ออกด้วยย่นระยะทันที

 

ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมามัวต่อสู้ ตัวเขาจำเป็นต้องค้นหาความจริงก่อนเป็นอันดับแรก!

 

มารแมงมุมปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าทางเข้าวิหาร ทว่ากู่ฉิงซานกลับหายไปจากที่นี่ และผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าตรงชายฝั่งบริเวณตีนเขาแทน

 

เขาพุ่งเข้าไปในสายธารแห่งการหลงเลือน

 

และสายธารก็แยกออก ยอมรับเขาให้เข้าไปภายในของมัน

 

หลังจากเขาเข้าไปแล้ว กระแสธารก็หุบปิดกลับคืนดังเดิมทันที

 

และแทบจะในวินาทีต่อมา เสียงหอนด้วยความเดือดดาลก็ดั่งลงมาจากทางบริเวณชายฝั่ง

 

มารแมงมุมเคลื่อนกายอีกครั้ง และปรากฏตัวขึ้นบนชายฝั่งของสายธารแห่งการหลงเลือน

 

มันโน้มตัวลงมาข้างหน้า เพื่อพยายามจะดูว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่ไหน

 

เห็นได้ชัดว่าเกือบจะจับเจ้ามนุษย์นั่นได้อยู่แล้ว!

 

น่าแปลกใจนัก อีกฝ่ายมีกลิ่นอายของการฝึกยุทธแท้ๆ แต่เพราะเหตุใดกันมันจึงมิได้ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา?

 

มารแมงมุมคืบคลานไปทั่วชายฝั่ง ทว่ามิกล้าที่จะก้าวลงสู่สายธารแห่งการหลงเลือน

 

เพราะสายธารแห่งการหลงเลือนคือกฏเกณฑ์แห่งปรภพที่น่าหวาดกลัวที่สุด มันเป็นตัวแทนของดินแดนแห่งการเกิดใหม่และความตาย

 

นี่คือกฏดั้งเดิมของปรภพ

 

กระทั่งมาร ก็ยังมิอาจต่อกรกับสายธารอันยิ่งใหญ่นี้ได้

 

กู่ฉิงซานนำตะขอเกี่ยววิญญาณกับกระบี่ภูติทิ้งระยะห่างออกไปอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากที่บินอยู่ใต้น้ำมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็หยุดลง

 

“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้ามีนามว่ากู่ฉิงซาน” เขาหันไปกล่าวกับตะขอเกี่ยววิญญาณ

 

“เจ้ามิจำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใด ข้ารู้เรื่องราวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุหรือผลกระทบที่ตามมา ข้าได้ล่วงรู้ทุกอย่างจนหมดแล้ว แม้กระทั่งเป้าประสงค์ของเจ้าที่มาที่นี่” ตะขอยาวกล่าว

 

“ข้าคือตะขอเกี่ยววิญญาณ และข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับทุกชีวิตและคนตายในปรภพ ได้อยู่ในจิตใจของข้า”

 

“นอกจากนี้ข้ายังรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เจ้าประสบพบเจอในปรภพ และสิ่งที่เจ้าต้องการจะถามอีกด้วย”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า ในที่สุดหัวใจของเขาก็คลายลง

 

–ท่ามกลางสิ่งที่ถูกรังสรรค์ขึ้นในปรภพ ในที่สุดก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สามารถสื่อสารกันได้อย่างปกติปรากฏตัวขึ้นเสียที

 

“เช่นนั้นโปรดสำแดงตัวให้ข้าได้เห็นด้วยเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เจ้ากำลังหมายถึงจิตอาร์ติแฟคของข้าใช่ไหม? ข้าก็อยู่ที่นี่นั่นล่ะ เพียงแต่ตัวข้ามิอาจมองเห็นได้ก็เท่านั้นเอง”

 

บนตะขอเกี่ยววิญญาณ มีรังสีแสงสีเหลืองอ่อนแผ่กระจายออกมาจางๆ

 

“ตลอดทั้งโลกปรภพ ที่ใดที่รังสีแสงนี่ ที่นั่นก็จะมีข้า” มันตอบ

 

‘หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงสามารถรู้เรื่องราวทุกอย่าง ช่างเป็นพลังอำนาจที่ร้ายกาจจริงๆ’ กู่ฉิงซานลอบสรรเสริญอย่างลับๆ

 

“เจ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับปรภพ?” เขาเอ่ยถาม

 

“แน่นอน ขอเจ้าจงเชื่อมต่อกับข้าด้วยจิตสัมผัสเทวะ แล้วข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อ2-3วันที่ผ่านมา”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะของเขา จมลงสู่ตะขอเกี่ยววิญญาณ

 

หลังจากนั้นไม่นาน ชั้นเหงื่อเย็นก็เริ่มเปียกชุ่มบนแผ่นหลังเขา ทั้งคนทั้งร่างยืดตัวตรง

 

ความโศกเศร้าและเสียงของความเจ็บปวดพรั่งพรูเข้าไปในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 

ภาพเคลื่อนไหวค่อยๆขยายออกอย่างช้าๆ

 

บนท้องฟ้าเหนือภูเขาล้อมเหล็ก ปรากฏมวลกลุ่มแสงที่กระจ่างชัดกำลังลอยนิ่งอยู่อย่างสงบ

 

บางครั้งมันก็มีแสงหลากสีสันทะยานเข้าหามัน โถมเข้าใส่บอลแสงด้วยเจตนาร้าย

 

แต่ทุกๆครั้งเลย ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ปะทะกัน 1-2กลุ่มแสงก็จะร่วงตกลงมา

 

กลุ่มแสงร่วงกระแทกเข้ากับภูเขาล้อมเหล็ก และเผยให้เห็นถึงร่างมนุษย์ ก่อนที่ร่างดังกล่าวจะแปรสภาพกลายเป็นเถ้าถ่าน สลายไปอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานพยายามเบิ่งตาของเขาออกให้เต็มที่ แต่แท้จริงแล้วเขากลับสามารถมองเห็นได้แค่เพียงร่างอันน่าสังเวชของอีกฝ่ายก่อนที่จะสลายหายไปก็เท่านั้น

 

และร่างสังเวชที่ว่า นั่นคือเทพวิญญาญแห่งปรภพ!

 

บนใบหน้าของพวกเขา ล้วนเผยถึงความเจ็บปวดสุดจะทานทน แล้วก็ตกตายไป

 

อีกด้านหนึ่ง สุดปลายของภูเขาล้อมเหล็ก

 

ปรากฏถึงเผ่ามารที่คราคร่ำ เบียดเสียกระจุกตัวกันอยู่ฟากฝั่งหนึ่งของภูเขาล้อมเหล็ก พวกมันกำลังเฝ้ารอคอยให้เทพวิญญาณตกตายลงโดยสมบูรณ์อย่างเงียบๆ

 

และตรงพื้นที่ท่ามกลางภูเขาที่ว่างเปล่าระหว่างเทพกับมารนั่นเอง

 

มีอสูรกายอยู่ตนหนึ่งยืนหยัดอยู่

 

มันกำลังมุ่งหน้าเดินไปยังทิศทางของเทพแห่งปรภพ และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลยที่กล้าจะย่างกรายเข้าไปใกล้มัน

 

“โฮ่!!”

 

ทุกย่างก้าว อสูรกายจะเปล่งเสียงร่ำร้องออกมา

 

ขณะนี้ ในมือทั้งสองข้างของอสูรกายกำลังถือหอกเล่มหนึ่งอยู่

 

สายตาของกู่ฉิงซานมองลงไปที่หอก ขณะเดียวกันสีหน้าของเขาก็ค่อยๆกลายเป็นหนักอึ้ง

 

นี่คือหอกขนาดใหญ่ ที่แม้กระทั่งอสูรกายก็ยังจำต้องใช้มือทั้งสองข้าง จึงจะสามารถเกาะกุมมันได้

 

และเมื่อดูจากสีหน้าของอสูรกาย บ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่แต่เพียงแต่หนักหน่วง ทว่ามันยังแฝงไว้ซึ่งพลังอำนาจอันแปลกประหลาดอีกด้วย

 

ตัวหอกเปล่งประกายหลากสีสัน ส่องแสงงดงามสุกใสขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า ฉากนี้แท้จริงแล้วสมควรจำเริญตา

 

แต่อสูรกายกลับโห่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

กู่ฉิงซานจึงได้ลองเฝ้าสังเกตมันอย่างรอบคอบอีกครั้ง

 

แล้วเขาก็พบว่าแม้มันจะเปล่งแสงสุกสกาวสาดส่องจนแสบตาออกมา ทว่าตามตัวหอกกลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

บนตัวหอก ถูกแกะสลักไว้ด้วยอักษรรูนที่ดูบิดเบี้ยวและซับซ้อนมากมาย ขณะเดียวกันก็แผ่กลิ่นอายอำนาจอนันต์อันหาผู้ใดเทียบเปรียบได้ออกมา

 

ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลตลอดทั้งสวรรค์และโลก ยามเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน จักต้องทิ้งเข่าลงก้มกราบกรานหอกเล่มนี้

 

บนตัวหอก ถูกแปะไว้ด้วยยันต์ที่กำลังสาดแสงสีทองอยู่

 

บนตัวยันต์เปล่งแสงสีทองออกมาอย่างต่อเนื่อง และห่อหุ้มปกคลุมตลอดทั้งหอกเอาไว้

 

แม้กระทั่งแสงหลากสีสันบนตัวหอก ก็ยังถูกยับยั้งเอาไว้ด้วยแสงสีทองนี้ ขณะเดียวกันก็มีบ้างเป็นครั้งคราวที่แสงและเงาหลุดลอยออกมาจากมัน ทิ่มแทงไปยังตำแหน่งที่เทพวิญญาณอยู่บนภูเขา

 

และยามเมื่อเทพวิญญาณถูกมันทิ่มแทง พวกเขาก็จะตกตายลงทันที

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองภาพเบื้องหน้าเขา สมองหมุนเร็วจี๋ ขณะที่เขาหัวใจของเขาสั่นไหว

 

เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของตลอดทั้งสองช่วงชีวิตของเขา ชัดเจนว่าหอกนี้ไม่ได้ดูเหมือนกับว่าจะเป็นอาวุธของเผ่ามาร

 

เนิ่นนานสักพัก อสูรกายก็ยังมิได้ก้าวออกไปข้างหน้า

 

บนภูเขาล้อมเหล็ก หลากหลายเทพวิญญาณก็เร่งฉวยโอกาสนี้ พุ่งเข้าหาอสูรกายอย่างรวดเร็ว

 

อสูรกายบังเกิดปฏิกริยาตอบสนองอย่างทันท่วงที มันดึงยันต์สีทองออกจากหอกในฉับพลัน!

 

ทันใดนั้น บนตัวหอกก็ระเบิดเฉดแสงและเงาหลากสีออกมา จ้วงแทงออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า กระจายไปยังทุกทิศทางรอบกาย

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมหลากสีสันของหอกนี้ เหล่าเทพวิญญาณก็ล้มตัวลงกับพื้น สิ้นใจอย่างมิอาจต้านทาน

 

ทว่าดูเหมือนจะมิใช่เทพวิญญาณเพียงฝ่ายเดียวที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำในครั้งนี้ ขณะเดียวกัน เบื้องหลังของอสูรกาย บัดนี้เหลือทิ้งไว้เพียงซากศพมารนับพันหมื่น!

 

แม้กระทั่งอสูรกายเอง ที่กำลังถือหอกมากสีสันนี้ ก็ยังต้องคุกเข่าลงกับพื้น

 

ตามด้วยชิ้นส่วนของเลือดและเนื้อหนังที่ร่วงตกลงจากตัวมัน

 

ต่อให้เปิดใช้งานยันต์ทองคำแล้วก็ตามที ทว่าอสูรกายก็ยังมิอาจทานทนต่ออนุภาพของหอกที่มันกำลังใช้อยู่ได้

 

ทั้งคนทั้งร่างของมันกำลังพังทลายลง

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย!

 

เพียงแค่ลอกยันต์สีทองออก มารตนนั้นก็สามารถใช้หอกสังหารเทพได้! แม้กระทั่งเผ่ามารนับพันหมื่นก็ยังต้องสิ้นชีพลง!

 

นี่นับว่าช่างเป็นอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว น่าสะพรึงเกินไปแล้วจริงๆ

 

ในช่วงเวลานั้นเอง หลากหลายอสูรกายร่างใหญ่ก็วิ่งฝ่าออกมาจากกลุ่มมาร ทุกตนมีเป้าหมายเดียวกัน  นั่นคือวิ่งตรงเข้าหาหอก แต่ทว่า

 

ขณะเดียวกัน เฉดแสงและเงาขอหอกหลากสียังคงสาดประกายออกมาอย่างต่อเนื่่อง ส่งผลให้เหล่าอสูรกายร่างใหญ่ถูกเฉดสีเหล่านั้นทิ่มแทงเอาระหว่างทาง ร่วงกลิ้งลงกับพื้น บังเกิดเสียงร่ำร้องโหยหวนไปทั่ว

 

จนกระทั่งหลงเหลืออสูรกายตัวสุดท้าย มันเลือกที่จะหลบซ่อน และใช้ร่างของสหายเบื้องหน้าเป็นชั้นป้องกัน ทำให้สามารถรอดชีวิตมาได้

 

และท้ายที่สุดมันก็มาถึงใจกลางของภูเขา มือเร่งคว้ายันต์ทองคำที่ตกอยู่ขึ้นมา และแปะมันกลับคืนลงบนหอกหลากสี

 

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง แสงและเงาทั้งหมดบนตัวหอกก็จางหายไป

 

ตลอดทั้งหอกได้ถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างสีอร่ามอีกครั้ง

 

อสูรกายตนใหม่คว้าจับหอกหลากสีขึ้นมาในมือ และทำเฉกเช่นเดียวกันตนก่อนหน้า ย่ำฝีเท้าก้าวเดินกดดันเทพวิญญาณที่อยู่อีกฟาฟฝั่งของเขาล้อมเหล็กต่อไป

 

เบื้องหลังมัน ที่แต่เดิมพลุกพล่านไปด้วยอสูรกายที่วิ่งเข้ามาหมายจะคว้าจับหอก บัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นทะเลเลือด เอ่อล้นหลั่งไหลลงไปตามสายธารแห่งการหลงเลือน

 

เพียงแค่หอกเล่มเดียว …  ทว่ากลับสามารถโจมตีอสูรกายมากมายถึงตายได้มากมายขนาดนี้!

 

อสูรกายตนใหม่ยืนหยัดขึ้น แบกหอกในมือ และเริ่มก้าวเดินต่อไป ทว่ามันก็ได้เพียงแค่สองก้าวเท่านั้น

 

เพราะจู่ๆเทพวิญญาณจากอีกฟากภูเขาก็กระจายตัวแยกจากกัน ทั้งคนทั้งร่างของพวกเขาสาดแสงสีขาวนวลออกมา กวาดปกคลุมออกไปทั่วฟ้า

 

และแสงสีขาวที่ว่านี้ก็กดทับลงไปทางอสูรกาย

 

อสูรกายกระชากยันต์ทองคำออกทันที! และจ้วงปลายหอกไปทางแสงสีขาว!!

 

ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ!

 

เฉดแสงและเงาอันคมชัดทะยานออกจากตัวหอก

 

พร้อมกับแสงที่ขาวที่กระเจิงออกไป

 

บนท้องฟ้าเหนือภูเขาล้อมเหล็ก เมื่อเผชิญหน้ากับคมหอกนี้ เทพปรภพตนแล้วตนเล่าก็พากันตกตายลง ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า

 

ขณะเดียวกัน กระทั่งอสูรกายผู้ใช้หอกเล่มนี้ มันก็ได้ตกตายลงไปด้วยเช่นกัน

 

และแน่นอน ว่าไกลออกไปเบื้องหลังอสูรกายที่ใช้หอก เผ่ามารอีกหลายหมื่นตนก็ตกตายลงอีกคราภายใต้เฉดแสงและเงาของคมหอกนี้

 

พื้นที่โดยรอบถูกเปลี่ยนเป็นทะเลเลือดอีกครั้ง!

 

กู่ฉิงซานสูญสิ้นกระแสเสียงของเขา “การโจมตีนี้ … มันไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู!”

 

เห็นเพียงแค่อสูรกายตนนั้นล้มลง และอสูรกายอีกหลายตัวได้วิ่งเข้ามา

 

อสูรกายตนใหม่คว้าจับยันต์ทองคำ แปะกลับคืนบนหอกหลากสี ยกถือมันในมือ รับช่วงต่อก้าวเดินออกไปเบื้องหน้า

 

โดยไม่ใยดีอสูรกายตัวก่อนหน้าที่ล้มลงกับพื้น ที่ไร้ซึ่งชีวิตอีกต่อไปเลยแม้แต่น้อย

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

ฉากตรงหน้านี้ ได้อยู่เหนือล้ำยิ่งกว่าจินตนาการของเขาไปไกลแล้ว

 

ทำลายสิ้นโดยไม่สนใจว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู กระทั่งอสูรกายและทวยเทพก็ยังไม่มีข้อยกเว้น!

 

อาวุธนี่มันอันใดกัน!!!?

 

อสูรกายเดินไปทั่วภูเขาล้อมเหล็กอยู่สักพักหนึ่ง

 

ทว่าจนถึงเวลานี้ ก็ยังไม่มีเทพวิญญาณคนใดพุ่งเข้ามาโจมตีมัน

 

อย่างไรก็ตามขณะที่มันกำลังย่ำเดินกดดันอยู่นั้นเอง จู่ๆฝีเท้าของมันก็เริ่มซวนเซ

 

ไม่นานนักมันก็จำต้องคุกเข่าลงกับพื้น … และสิ้นใจลง

 

ถึงแม้ว่าจะมียันต์ทองคำคอยปรามพลังอำนาจเอาไว้ ทว่าพลานุภาพของหอกก็ยังค่อยๆเอ่อล้นออกมาภายนอก สังหารอสูรกายที่ถือจับมันอยู่ดี

 

พลังอำนาจนี้ มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

 

เมื่อถึงฉากนี้ อสูรกายร่างใหญ่อีกตนที่เปี่ยมไปด้วยพลังก็ก้าวออกมาข้างหน้า

 

อสูรกายตนใหม่รับช่วงต่อหอกมา และก้าวเดินสำรวจภูเขาล้อมเหล็กต่อไปอย่างรวดเร็ว

 

ไม่นานนัก มันก็คุกเข่าลงกับพื้น และตกตายจากไป

 

ทว่าอสูรกายก็ตนใหม่ก็ยังมารับช่วงต่อหอก และเริ่มทำการสำรวจอย่างหาร่องรอยของเทพวิญญาณต่อไปอย่างรอบคอบ

 

กล่าวได้ว่าบัดนี้ หลังจากที่สูญสิ้นอสูรกายไปกว่าร้อยตน พวกมันก็สามารถกดดันเทพวิญญาณจนดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ตกตายกันจนหมดสิ้น

 

เผ่ามารที่ถึงขั้นยอมจ่ายราคามหาศาลหนักหน่วงเช่นนี้ออกมา ในที่สุด ก็ได้มาถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลกำไรจากการลงทุนของพวกมันแล้ว!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.392 – ถูกบังคับเรียกกลับ

 

ดาบพิภพน้ำหนัก86.37 ล้านจิน , มีจิตอาร์ติแฟค , ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ : ควบคุมน้ำหนักของตัวเองได้

 

และเฉพาะเพียงคนที่ได้รับอนุญาตจากดาบพิภพเท่านั้น ถึงจะสามารถหยิบฉวยมันขึ้นมาใช้สอยได้

 

ในการเผชิญหน้ากับคนตายเหล่านี้ มันก็มิได้สำแดงพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมา!

 

ยิ่งไปกว่านั้น กู่ฉิงซานยังได้ใช้ออกด้วยเทคนิคเผยขุนเขา เสริมน้ำหนักกดทับลงไปเพิ่มเติมในดาบพิภพอีกด้วย

 

ดังนั้นภายใต้น้ำหนักดั้งเดิมของดาบพิภพ และวิชาลับของนักดาบนิรันดร์ สองสกิลซ้อนทับกัน ผลลัพธ์ก็คือ เหล่าคนตายในสถานที่นี้มิอาจเขยื้อนหรือทำให้มันสั่นไหวได้เลยแม้เพียงน้อย

 

ต่อมา หลังจากที่หลายผู้คุมนรกได้ทดลองดู ก็ยังมิอาจดึงดาบพิภพออกจากตำแหน่งเดิมได้

 

อาชูร่าชายหันหลังเดินย้อนกลับไปยังเบื้องหน้าของอาชูร่าหญิงแล้วคุกเข่าลงกับพื้น

 

เขากำลังอธิบายบางสิ่ง

 

ดวงตาของชูร่าหญิงเปล่งประกาย ใบหน้าทรงเส่นห์ของเธอแสดงออกถึงความตื่นเต้น

 

“โง่เขลานัก!” เธอดุออกไปเบาๆ

 

ชูร่าชายก้มหน้าลง และเผยท่าทีดูหดหู่ออกมา

 

ชูร่าหญิงหันไปทางกู่ฉิงซานและเอ่ยปาก “มนุษย์เอ๋ย เราขอยอมรับว่าอาวุธของเจ้าทรงพลานุภาพจริงๆ ทว่าสิ่งที่พวกเราต้องการจะทราบคือความแข็งแกร่งของเจ้าต่างหาก”

 

“แล้วเจ้าต้องการจะทราบแบบใดกันล่ะ?” กู่ฉิงซานย้อนถาม

 

“กระบี่ภูติ โปรดให้เราได้หยิบยืมเจ้าเพื่อสำแดงเพลงกระบี่ออกมาด้วยเถอะ – แล้วจากนั้น หากมนุษย์ผู้นี้สามารถรับการโจมตีจากเราได้ถึงสามกระบวนท่า เราก็จะยอมรับว่ามนุษย์คนนี้สามารถเข้ามามีส่วมร่วมกับเรื่องราวในนรกได้” ชูร่าหญิงกล่าว

 

วิหคขาวหันไปมองกู่ฉิงซาน

 

“ไม่มีปัญหา” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

เพียงนึกคิด ดาบเช่าหยินก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า

 

ขณะเดียวกัน กระบี่ภูติตัดกระดูกก็ลอยเข้าหามือของชูร่าหญิง

 

ชูร่าหญิงคว้าจับกระบี่ด้วยมือหนึ่ง ขณะที่อีกข้างจีบเข้าด้วยวิชาลับ ปากเปล่งเสียงหวานตะโกนออกมา “จงแยกออก!”

 

แล้วก็บังเกิดบอลน้ำห้าลูกผุดออกมารอบกายเธอ

 

บอลน้ำเหล่านั้นแตกตัวออกอย่างรวดเร็ว และขยายตัวเป็นรูปร่างมนุษย์ – ที่มีรูปลักษณ์เหมือนเธอ

 

เบื้องหน้าฝูงชนทั้งหลาย บัดนี้ปรากฏซึ่งหกร่างของหญิงงามทรงเสน่ห์

 

เหล่าหญิงงามยกกระบี่ในมือของเธอขึ้น

 

ทั้งหมดมองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “หากเจ้าร้องขอความเมตตาเสียแต่บัดนี้ มันยังทันนะ”

 

เมื่อชูร่าชายมองมายังฉากนี้ สีหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความอิจฉาและเคารพสรรเสิรญ

 

เพราะนี่คือสกิลลับที่ยากจะเรียนรู้ มันจำต้องใช้เทคนิคลับธาตุน้ำและเทคนิคลับของเพลงกระบี่ซ้อนทับสอดประสานกัน

 

–สกิลลับของอาชูร่า ‘ร่างวารีเชี่ยว’

 

กู่ฉิงซานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นเทคนิคที่พบเจอได้ยากยิ่ง ทว่าเรื่องให้ข้าอ้อนวอนคงต้องขอปฏิเสธ – เชิญชี้แนะ!”

 

หกหญิงงามพยักรับคำ ร่างของพวกเธอวูบไหว ถลาไปยังกู่ฉิงซาน

 

พร้อมด้วยกระบี่ยาวที่เปล่งประกายวาบออกไป

 

ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง!

 

กู่ฉิงซานคว้าจับดาบเช่าหยินและควงมันวาดเป็นแนวนอน ตัดปะทะเข้ากับปลายกระบี่ของคู่ต่อสู้

 

ทุกๆการจู่โจมจากชูร่าหญิงถูกต้านรับไว้โดยกู่ฉิงซานอย่างง่ายดาย

 

แทบจะในทันที สามกระบวนท่ากระบี่ก็ผ่านพ้นไป

 

“เป็นทักษะดาบที่ดี!”

 

ชูร่าหญิงเอ่ยอย่างมึนเมาคำหนึ่ง

 

เจตนาฆ่าของเธอปะทุขึ้น และแม้จะจบสามกระบวนท่าแล้ว แต่ดูท่าว่าเธอจะไม่มีความตั้งใจที่จะหยุดโจมตีเลย คราวนี้เธอแบ่งร่างแยกออกเป็นหลากหลายภาพติดตา ตีวงเข้าห้อมล้อมรอบตัวกู่ฉิงซาน

 

วงล้อมค่อยตีกระนาบแคบลง แคบลงเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อถึงระยะโจมตี ประกายคมกระบี่ก็สาดแสงสะท้อนเป็นเงา มันปรากฏขึ้นสับเข้าใส่กู่ฉิงซาน และเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการก็หายไปอย่างลึกลับ ไปมาๆเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง

 

และมีหลายครั้งอยู่เหมือนกัน ที่มันเกือบจะหั่นลงบนร่างจิตของกู่ฉิงซาน

 

“อิ่มเอมใจจริงๆ!” ชูร่าหญิงเผยรอยยิ้มงดงาม

 

สำหรับเวลานี้ หลายสิบชูร่าหญิงงามกำลังปิดล้อมพัวพันอยู่รอบกายกู่ฉิงซาน ขณะที่กระบี่ในมือของพวกเธอเริ่มเพิ่มความเร็ว โบกสะบัดจนเกิดประกายเฉิดฉาย ขณะเดียวกันก็หยดย้อยธาตุน้ำจากคมกระบี่ออกมา

 

สองเท้าของกู่ฉิงซานยังคงยืนหยัดในตำแหน่งเดิม เขาตวัดดาบใช้คมปะทะคม แต่ขณะเดียวกันก็ใช้ใบดาบปัดป้องมิให้น้ำหยดลงมาต้องตัวไปด้วย

 

ชูร่าหญิงรัวโจมตีไปกว่าหลายร้อยกระบวนท่า และเมื่อเล่นสนุกจนรู้สึกสุขใจเต็มที่เธอก็หยุดลง

 

“มีบางสิ่งไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเจ้า” เธอเอ่ย

 

“สิ่งใดกันที่ไม่ถูกต้อง?” กู่ฉิงซานถามสวนกลับ

 

“ข้าเคยได้ปะทะกับเผ่ามนุษย์ในนรกมาก่อน และประสิทธิภาพของเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่นั้นล้วนคงเส้นคงวา สอดคล้องไม่ค่อยเหนือล้ำไปกว่ากัน ทว่าพวกเขามิได้แข็งแกร่งดั่งเช่นเจ้า”

 

“ก็คงจะมีบ้างเป็นบางคน ที่เป็นข้อยกเว้น” กู่ฉิงซานตอบ

 

เวลานี้ เขาได้ค้นพบถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามแล้ว

 

หากอ้างอิงตามขอบเขตของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ฝ่ายตรงข้ามสมควรที่จะมีความแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นแรก

 

ตำนานกล่าวไว้ว่าอาชูร่าน่ะเป็นจ้าวสงคราม และชูร่าหญิงตนนี้บางทีในหมู่คนตาย ก็สมควรที่จะมีความแข็งแกร่งที่โดดเด่นไม่น้อย

 

ทว่าด้วยความแข็งแกร่งดังกล่าวนี้ ภายใต้การเผชิญหน้าเมื่อครู่ เจ้าตัวกลับมิได้ใช้วิธีการรุนแรงจนเกินงามแต่อย่างใด ทุกการลงมือเป็นการทำเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเขาเท่านั้น

 

และกู่ฉิงซานเองก็รู้สึกประทับใจกับการกระทำของเธอเป็นอย่างมาก ดังนั้นตั้งแต่แรกเริ่มเขาจึงยั้งมือให้อีกฝ่าย

 

นอกจากนั้น หลังจากการทดสอบนี้ เขาก็ยังสามารถตระหนักได้อีกด้วยว่าความแข็งแกร่งของบรรดาผู้คุมนรกเหล่านี้น่ะ อยู่ในระดับใด

 

ชายชราเผ่ามนุษย์แอบยกนิ้วโป้งให้เขาอย่างลับๆ

 

ส่วนเหล่าคนตายที่เหลือต่างเหลือบมองกันและกัน และพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างเงียบๆ

 

พวกเขาเริ่มสนทนาปรึกษากัน

 

“ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าร่วมกับเรา เพื่อต่อกรกับนรกอื่นๆได้แล้ว”

 

ราชันย์หมาป่าเปิดปากของมัน สนทนากับกู่ฉิงซานเป็นครั้งแรก

 

“ขอบพระคุณ ตอนนี้ข้าต้องการที่จะพบกับตะขอเกี่ยววิญญาณ เพื่อค้นหาถึงความจริงที่มันเกิดขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“การได้รู้ถึงความจริงมันก็เป็นเรื่องที่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มันจะดีกว่าหากฆ่า–” ราชันย์หมาป่ากล่าวอย่างร้อนใจ ทว่ายังมิทันจบประโยค

 

จู่ๆผืนดินก็เกิดการสั่นสะเทือน

 

ตลอดทั้งภูเขาล้อมเหล็กเริ่มเกิดการสั่นไหว

 

ภูเขาศักดิสิทธิ์แห่งนี้ ภูเขาที่กระทั่งดาบพิภพก็ฟันแทงไม่เข้า ภูเขาที่สามารถต้านทานลมแห่งทัณฑ์โกลาหลได้ กลับบังเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างต่อเนื่อง — นี่มันเป็นเรื่องที่มิอาจจะทำใจเชื่อได้เลย!

 

“อ๋า ความรู้สึกนี่มัน – มันเป็นการเรียกขาน!” สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่

 

“มีบางสิ่งกำลังเรียกเราอยู่” ราชันย์หมาป่าแผดเสียงต่ำ

 

“ข้า – รู้สึก -ได้ว่า – จะต้อง –  กลับไป” ยักษ์กล่าวกระซิบตามมา

 

“ไม่ได้! เราจะต้องช่วยเหลือเขาเสียก่อน!” ชูร่าหญิงกล่าวอย่างเด็ดขาด

 

และคนอื่นๆก็ดูเหมือนจะฟังคำสั่งเธอ

 

“ใครก็ตามที่ได้ต่อสู้กับข้า ข้าจักสามารถเห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาในระดับที่ลึกซึ้งได้ นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้า พวกเจ้าลืมมันไปแล้วหรือ?” ชูร่าหญิงกล่าวอย่างจริงจัง

 

เห็นได้ชัดว่าชูร่าหญิงมีสิทธิอำนาจในหมู่ฝูงชน เพราะทุกคนรีบทำตามคำสั่งเธอและเริ่มหันมาช่วยเหลือกู่ฉิงซานกันอย่างรวดเร็ว

 

“เร่งลงมือกันเร็วเข้า!” มนุษย์ปีศาจตะโกนออกมา

 

เขาแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนแสง ส่องสว่างทะยานขึ้นไปยังเบื้องบน และลอยตรงไปยังทิศทางวิหารสักการะสิ่งประดิษฐ์เทวะทันที

 

ยักษ์ก็เริ่มต้นก้าวยาวๆตามติดมนุษย์ปีศาจไป

 

ก่อนหน้านี้กู่ฉิงซานยังคงอยู่ห่างจากวิหาร ดังนั้นจากที่นี่ไปยังเนินเขาข้างวิหาร จึงยังค่อนข้างห่างไกล

 

“เร็วเข้า! รีบหน่อย! อย่าชักช้า! พวกเรากำลังจะถูกบังคับเรียกตัวกลับคืนสู่นรกแล้ว” ชายชราเผ่ามนุษย์ตะโกนเตือน

 

แล้วเขาก็บินไปยังวิหาร

 

และผู้คุมนรกคนที่เหลือก็บินตามไปด้วยเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานตะโกนถามเสียงหม่น “เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

“ไม่ทราบ ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน!” วิหคขาวกล่าวอย่างร้อนรน

 

“งั้นตอนนี้พวกเราก็รีบตามพวกเขาไปกันก่อนเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

หลังจากผ่านพ้นมาครึ่งทาง ทั้งสองก็ได้ยินเสียงคำรามของยักษ์ดังลอดออกมาจากบริเวณวิหาร

 

หลังจากที่ข้ามผ่านเนินเขามา กู่ฉิงซานก็แข็งค้างไปทั้งๆอย่างงั้น ปากเอ่ยพึมพำ “นั่นมันมารแมงมุมเขมือบวิญญาณ … ”

 

ก่อนที่จะถึงตัววิหาร มีการต่อสู้กันเกิดขึ้นเบื้องหน้า

 

ร่างของยักษ์ที่คำรามออกมาในทีแรก จู่ๆแปรสภาพเป็นรูปปั้นสีเทา และทันใดนั้นมันก็ล้มลงกลายเป็นฝุ่นผงทันที

 

ขณะที่ยักษ์อีกตนถูกทุบตี และกลิ้งไถลตามพื้นดินไปไกล

 

มนุษย์ปีศาจลอยอยู่กลางเวหา ใช้ออกด้วยธาตุทั้งห้าโจมตีออกไปเต็มกำลัง

 

อย่า่งไรก็ตาม การโจมตีเหล่านี้กลับไปได้เพียงครึ่งทางก็แตกสลายไปกลางอากาศ มิอาจเข้าถึงตัววิหารได้เลย

 

ภายในวิหาร ปรากฏร่างของแมงมุมที่มีสีสัน และขนาดใหญ่โตใกล้เคียงกับตลอดทั้งตัววิหารเฝ้าอยู่

 

ครึ่งบนของแมงมุมคือร่างชายเปลือยเปล่า

 

นี่คือมารแมงมุมเขมือบวิญญาณ และในระหว่างมารด้วยกันเองมันก็ยังนับว่าทรงพลังยิ่ง!

 

ในชีวิตก่อนหน้าของเขา ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเห็นเจ้ามารดังกล่าวนี้มาก่อนแล้วเหมือนกัน

 

มันคืออสูรกายที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ค่อนข้างแปลกประหลาด

 

และมันมักจะออกล่าโดยใช้ ‘จิตสัมผัสเทวะ’

 

ยามอยู่ในระยะพิสัย เมื่อใดก็ตามที่จิตสัมผัสเทวะของสิ่งมีชีวิตตนอื่นปะปนเข้ากับจิตสัมผัสเทวะของมัน จิตสัมผัสเทวะของสิ่งมีชีวิตตนนั้นจะบังเกิดความสับสน มิอาจตรวจจับสิ่งใดได้อย่างกระทันหัน

 

ซึ่งความสามารถนี้กล่าวได้ว่าน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยื่ง โดยเฉพาะเมื่อมันถูกใช้ในสงครามขนาดใหญ่

 

ตามปกติแล้ว ตราบใดที่มีมารแมงมุมเขมือบวิญญาณอยู่ในสนามรบ ตลอดทั้งสงครามจะกลายเป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียวอย่างง่ายดาย

 

แถมการที่จะลอบสังหารหรือกุดหัวมัน ก็ยังเป็นการยากเย็นยิ่ง

 

เพราะด้วยความแข็งแกร่งของมัน เทียบเปรียบได้กับอสูรกายดัดแปลงยังได้เลย

 

มารแมงมุมเขมือบวิญญาณเบิกคู่ดวงตาแนวตั้งของมัน ปากแสยะรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์ออกมา “เจ้าพวกกลุ่มคนตาย คงจะนอนหลับไม่สนิทดีซีนะ ถึงได้มาสร้างปัญหาให้แก่ข้า ช่างน่าร-”

 

บรัช!

 

หลายสิบกระบี่แสงฟาดตีเข้าใส่ใบหน้าของมันจนงอหงาย ขัดจังหวะคำพูดให้หยุดชะงักไป

 

“อาชูร่างั้นหรือ? บังอาจ!”

 

มารแมงมุมโกรธมาก มันขยับเท้าทั้งแปดเบาๆ และปีนลงไปจากเขาวิหารอย่างรวดเร็ว

 

มันกำลังไล่ตามเหล่าผู้คุมนรกทั้งหลายไป

 

ได้ยินแค่เพียงเสียงราชันย์หมาป่าที่หอนกังวานและยาวเหยียด ทั้งตนทั้งร่างของมันขยายขนาดขึ้นจนใหญ่โตเท่ากับมารแมงมุมเขมือบวิญญาณ

 

ราชันย์หมาป่ากระแทกหัวเข้าใส่มารแมงมุมดังปัง! จนอีกฝ่ายต้องชักฝีเท้าถอยกลับไปหลายก้าว

 

“วิ่ง!” ราชันย์หมาป่าร้องตะโกนออกมา

 

และเหล่าผู้คุมคนตายคนอื่นๆก็สับฝีเท้า ทิ้งระยะหนีไกลออกไปทันที

 

“ไอ้เจ้าพวกฝูงสวะ!”

 

มารแมงมุมคำรามด้วยความโกรธ

 

เท้าทั้งแปดของมันโค้งงอลงเล็กน้อย เกร็งช่วงขาสุดกำลัง แล้วกระโจนไล่ติดตามออกไป

 

แม้จะมีร่างกายใหญ่โต ทว่ามันกลับว่องไว กระฉับกระเฉงจนน่าทึ่ง

 

เหล่าผู้คุมคนตายอยู่เบื้องหน้า ขณะที่มารแมงมุมไล่หลัง ทั้งหมดหายลับไปจากฉากนี้อย่างรวดเร็ว

 

ทันใดนั้นชูร่าชายก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของวิหาร และกวักมือเรียกกู่ฉิงซาน

 

“รีบมาข้างในเร็วเข้า!” เขาตะโกน

 

และร่างของกู่ฉิงซานก็หายวับไป พร้อมกับปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าวิหารอย่างฉับพลัน

 

ชายชราเผ่ามนุษย์วิ่งออกมาจากวิหารและกล่าวว่า “ข้างในไม่มีเผ่ามารอยู่ เจ้าเข้าไปเร็ว พวกเราจะปกป้องที่นี่เอง!”

 

“แล้วถ้ามารแมงมุมกลับมาล่ะจะทำยังไง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว

 

“พวกเราก็จะสู้! เพื่อซื้อเวลาให้เจ้าหลบหนีไป”

 

กู่ฉิงซานเริ่มขยับกาย “แล้วพวกเจ้ามีแนวโน้มที่จะ – ”

 

“หากตาย มันก็แค่กลับไปตกลงสู่การหลับไหลในนรกเท่านั้น คนตายน่ะ จะไม่มีทางตายได้อีก” ชายชราโบกมือ

 

กู่ฉิงซานคิดเพียงครู่ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ทั้งสอง แล้วหันหลังวิ่งเข้าไปในวิหาร

 

วิหารแห่งนี้ยังคงเงียบสงบ ราวกับว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้ามาเยี่ยมเยือนในรอบพันปี

 

ดวงตาของกู่ฉิงซานกวาดผ่านไปตลอดทั้งวิหารอย่างรวดเร็ว

 

ภายใน มีแท่นบูชาตั้งอยู่มากมาย

 

และในแต่ละแท่นบูชา ก็มีอาวุธโบราณวางอยู่ ไม่ว่าจะเป็น

 

กระบี่ หอก ดาบ ง้าว ขวาน ขวานสองคม ตะขอ สามง่าม แส้ กระบอง ค้อน พลอง … เหล่านี้ล้วนเป็นอาวุธเย็นในยุคโบราณ โดยสิ้นเชิงแล้วมีทั้งสิ้น 66 ประเภท

 

แต่อาวุธเหล่านี้ไม่มีวี่แววว่าจะขยับไหวใดๆ เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีจิตอาร์ติแฟค ดูเหมือนว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะกำลังหลับลึก

 

และกู่ฉิงซานก็ค้นพบเป้าหมายที่ตนเองมองหาอย่างรวดเร็ว

 

นั่นคือตำแหน่งศูนย์กลางของตลอดทั้งวิหาร

 

บนแท่นสักการะ มีอาวุธรูปทรงพิเศษวางตั้งอยู่

 

มองไปที่ด้ามจับและใบมีดของมัน ก็เหมือนกับดาบ

 

อย่างไรก็ตาม ปลายดาบกลับมีรูปร่างม้วนกลับ ราวกับตะขอที่โค้งงอ

 

มันลอยล่องอยู่บนแท่นสักการะอย่างเงียบๆ และเปล่งรังสีสีเหลืองอ่อนที่เหมือนกับสายธารแห่งการหลงเลือนออกมารำไร

 

กู่ฉิงซานบินไป หยุดอยู่เบื้องหน้าแท่นสักกการะตะขอ

 

แต่ไม่ทันรีรอให้เขาทำสิ่งใด กลิ่นอายก็แปรสภาพเป็นกลุ่มก้อนหมอกสีฟ้าผุดออกมาจากตัวเขาและค่อยๆตกลงในแท่นสักกการะ

 

บนแท่นสักการะราวกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนี้ ทันใดนั้นรูนลึกลับก็พลันปรากฏขึ้น

 

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นคาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟค

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากนี้ด้วยอย่างคาดไม่ถึง

 

เดิมทีเขาคิดว่าตนคงจำต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ใครจะรู้ จู่ๆกลิ่นอายของหญิงชุดคลุมฟ้าที่ได้รับมา กลับสร้างผลลัพธ์ที่อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมา

 

เขามองไปที่คาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟค แล้วอ่านมันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ถึงจิตวิญญาณแห่งตะขอเกี่ยววิญญาณ สายธารแห่งการหลงเลือนต้องการตัวเจ้า”

 

วืดดดด!

 

บังเกิดเสียงน้อยๆดังขึ้น พร้อมกับแท่นสักการะที่เริ่มสั่นไหว

 

แล้วจู่ๆตะขอยาวก็แลดูราวกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมา

 

มันเอ่ยกระซิบอย่างแผ่วเบา

 

“เอ๊ะ? นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นกลิ่นอายของนาง … ?”

 

ตะขอยาวลอยออกมาจากแท่นสักการะ มาหยุดอยู่หน้ากู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานยังค่อนข้างที่จะสับสน

 

สิ่งประดิษฐ์เทวะนี้ดูเหมือนว่าจะหลับลึกอยูี่ที่นี่ แล้วมันจะสามารถรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทางปรภพได้อย่างไร?

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือนมิเอ่ยกล่าวอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่ามันกำลังพยายามยืนยันอะไรบางอย่าง

 

เป็นเวลาสักพักเลยทีเดียว สุดท้ายตะขอเกี่ยววิญญาณจึงเอ่ยออกมาว่า “ใช่จริงๆ เจ้ามีกลิ่นอายของนาง ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนในที่นางไว้ใจ”

 

ทัศนคติของตะขอยาวเปลี่ยนเป็นสนิทสนม

 

ก๊าซซซ!

 

เสียงคำรามดังลอดเข้ามาจากภายนอก

 

หัวใจของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง

 

มารแมงมุมเขมือบวิญญาณเกือบจะกลับมาแล้ว

 

ดูเหมือนว่าเหล่าผู้คุมนรกจะไม่อาจต้านทานมันได้นานนัก หรือไม่ก็เป็นตามที่พวกเขากล่าว ว่าตนได้ถูกบังคับให้กลับคืนสู่นรกด้วยเหตุผลบางประการ

 

ตะขอเกี่ยววิญญาณเร่งกล่าวทันที “สถานที่นี้ไม่เหมาะจะสนทนา พวกเราสมควรรีบหนีกันก่อนเป็นอันดับแรก!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.391 – โลกหกวิถี

 

กู่ฉิงซานกับกระบี่ภูติตัดกระดูกขึ้นมาบนฝั่ง

 

เขาเดินไปหลบหลังโขดหิน นั่งยองๆ แล้วสอดส่ายสายตาอย่างระมัดระวัง มองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว

 

ที่นี่คือชายฝั่งและมีเนินเขาขนาดใหญ่ขั้นกลางระหว่างวิหาร

 

แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่งอย่างกระทันหัน

 

เขาก้มหน้าลง มองพื้นที่ตนกำลังเหยียบย่ำอยู่

 

‘ที่นี่คือภูเขาล้อมเหล็กสินะ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ถ้าอย่างงั้นล่ะก็ …’

 

กู่ฉิงซานอดใจไม่ไหว เขาคว้าจับดาบพิภพแล้วลองแทงลงไปบนพื้น

 

บังเกิดประกายไฟสาดออกมาจากพื้นที่เหยียบย่ำ ทว่าบนมันกลับไม่ปรากฏร่องรอยใดๆเลย

 

วิหคขาวกล่าว “นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ที่นี่คือภูเขาล้อมเหล็กนะ ไม่มีพลังอำนาจใดสามารถสร้างความเสียหายแก่มันได้หรอก กระทั่งเคลื่อนมันยังไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”

 

กู่ฉิงซานมองลงไปยังพื้นหินสีเทาอมเขียวและทนไม่ไหวที่จะเอ่ยถาม “เหตุใดพื้นหินบนภูเขาลูกนี้กับพื้นหินเบื้องล่างสายธารแห่งการหลงเลือนจึงเหมือนกัน?”

 

“นั่นเพราะก้นสายธารเบื้องล่างก็เป็นส่วนหนึ่งของภูเขาล้อมเหล็กด้วยเช่นกัน” วิหคขาวไขปัญหาคาใจให้

 

กู่ฉิงซานชะงักงัน สักพักเลยจึงตอบสนองและเอ่ยถามต่อว่า

 

“ความหมายของเจ้าก็คือ สายธารแห่งการหลงเลือนที่ไหลผ่านภูเขาล้อมเหล็กนี้ แท้จริงแล้วถูกสร้างขึ้นหรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภูเขาล้อมเหล็กอย่างนั้นหรือ?”

 

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าไม่มีพลังอำนาจใดจะสั่นคลอนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ กระทั่งสายลมจากทัณฑ์โกลาหลก็ยังไม่มีผลกับมันแม้แต่น้อย!” วิหคขาวกล่าวอย่างภาคภูมิ

 

พอได้ฟัง หัวใจของกู่ฉิงซานก็เต้นตึกตักระรัวราวกับพวกนักวิ่ง

 

ใครมันจะไปคิดกันล่ะว่า แท้จริงแล้วตลอดทั้งปรภพน่ะถูกเป็นส่วนหนึ่งของภูเขา!?

 

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ในปรภพอย่างเงียบๆ เพื่อปกป้องหกวิถีแห่งสังสารวัฏจากสายลมทัณฑ์โกลาหล!

 

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ว่าแต่อาวุธเช่นพวกเจ้าน่ะจะหลับไหลลงมันก็ไม่แปลกหรอก แต่เหตุใดจึงถึงขั้นหลับลึกเลยเล่า?”

 

วิหคขาวอธิบาย “ในสหัสวรรษที่ผ่านมา ปรภพได้ก้าวเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และหลังจากที่มีการถือกำเนิดของ เครื่องจักรปรภพทั้ง 88 เครื่อง ทุกอย่างก็ดูเป็นระบบระเบียบขึ้นอย่างมาก”

 

“ดังนั้น อาวุธโบรารณมากมายจึงหมดหน้าที่ลง และค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วพวกเจ้าทุกคนหายไปไหน?”

 

“ร่างของพวกเราถูกวางไว้ในวิหารสักการะแห่งนี้ แต่จิตอาร์ติแฟคทั้งหมดได้ปลดเปลื้องภาระ ถอดจิตออกจากพวกมันไปกันหมดแล้ว”

 

“เฉพาะเมื่อได้ยินเสียงเรียก หรือสัมผัสได้ถึงภัยพิบัติอันใหญ่ยิ่งของโลกปรภพเท่านั้น พวกเราจึงจะปรากฏตัวออกมาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบสถานการณ์”

 

“ดังนั้น กล่าวได้ว่าจึงมีน้อยคนนักที่มายังวิหารสักการะแห่งนี้สินะ?” กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่วิหารพลางกล่าว

 

“ใช่ พวกเราไปกันเถอะ” วิหคขาวกระพือปีกของมัน

 

“ประเดี๋ยวก่อน”

 

กู่ฉิงซานยังคงยืนอยู่บนชายฝั่ง

 

ที่นี่ตั้งอยู่บริเวณขอบชายฝั่งของสายธารแห่งการหลงเลือน และตราบใดที่กู่ฉิงซานต้องการ เขาก็จะสามารถซ่อนตัวได้ตลอดเวลา

 

“สถานที่สำคัญเช่นนี้ ข้ามิอาจทำใจเชื่อได้ว่าเผ่ามารจะปล่อยมือไปจากมัน” เขาเอ่ยเสียงกระซิบ

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่วิหารสักการะสิ่งประดิษ์เทวะ ขณะที่การแสดงออกทางสีหน้าของเขาค่อยๆหนักอึ้งขึ้น

 

แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเงียบสงัด ทว่าก็ยังคงมีความผันผวนของกลิ่นอายอันคลุมเครืออยู่

 

“ข้าได้ปะทะกับเผ่ามารมามากมายในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ในสมองของพวกมันน่ะมีแต่การสังหารและทำลายเท่านั้นแหละ – ที่จะบอกก็คือหากพวกมันอยู่ที่นี่ วิหารคงถูกพวกมันทำลายไปแล้ว” วิหคขาวกล่าว

 

“มิใช่ พวกที่เจ้าเจอน่าจะเป็นแค่มอนสเตอร์ไม่ใช่มารที่แท้จริง มารจริงๆน่ะมีปัญญาหลักแหลมยิ่งกว่าพวกมอนสเตอร์มากมายนัก”กู่ฉิงซานกล่าว

 

เพียงนึกคิดในจิตใจ ดาบเช่าหยินก็ลอยขึ้นไปกลางเวหา

 

จากนั้นคมก็ฉีกอากาศ มุ่งเป้าตรงไปยังวิหารแห่งการสักการะ

 

“ไปล่อมันออกมา” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงต่ำ

 

ฮู้มมมม!

 

ดาบเช่าหยินเปลี่ยนเป็นภาพติดตา และข้ามผ่านเนินเขาไป

 

ดาบบินวนรอบวิหารอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทะยานหายขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

เฝ้ารอแค่เพียงสามลมหายใจ

 

เบื้องบนวิหารก็เริ่มเกิดการบิดเบือนขึ้น

 

การบิดเบือนนี้เริ่มขยายตัวออกไปรอบๆ และสักพักหลังจากที่มันค้นพบว่าทุกอย่างยังคงปกติดี มันก็เริ่มแพร่กระจายออกเป็นวงกว้าง ขยายพิสัยการสำรวจออกมา

 

“นั่นมันคืออะไรกันน่ะ?” วิหคขาวเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วและกล่าว “โดยปกติแล้วมารธรรมดาๆจะไม่มีวิชาซ่อนเร้นตัวตนเช่นนี้ ข้าคิดว่าบางทีนั่นอาจเป็นมารระดับสูง”

 

“พวกเราลองไปฆ่ามันดูไหม?”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างระมัดระวัง “ไม่ดีกว่า วิชาของมารน่ะช่างผิดแผกและมีมากมายเหลือคณา ถึงเราจะรู้ว่ามีพวกมันอยู่แล้ว แต่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าภายในวิหารจะมีมารดักรออยู่มากขนาดไหน”

 

ณ ขณะนี้ ดาบเช่าหยินได้บินอ้อม วนกลับมาหาพวกเขา

 

ความบิดเบือนที่มองไม่เห็นเบื้องบนวิหารยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆคืบคลานมายังกู่ฉิงซาน

 

“มาเถอะ ตอนนี้พวกเราควรถอยกันก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

หลังจากนั้นอีกหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามต่อมา

 

เนินเขาก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

 

วิหคขาวถอนหายใจ “เผ่ามารคงยึดครองทั้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วจริงๆ นับจากนี้ไป พวกเราคงจะหาที่สงบๆอยู่กันลำบากซะแล้ว ”

 

กู่ฉิงซานเสนอความคิดเห็น “ข้าคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ ข้าจะเป็นตัวล่อเผ่ามารออกมา ส่วนเจ้าก็ฉวยโอกาสนั้นลอบเข้าไปปลุกสิ่งประดิษฐ์เทวะซะ”

 

“แบบนั้นไม่ได้หรอก จิตอาร์ติแฟคเช่นข้าน่ะไม่สามารถร่ายคาถาได้ เจ้าต้องเป็นคนร่ายมันด้วยตัวเอง”

 

ขณะกล่าว วิหคขาวก็บินกลับเข้าไปในกระบี่ภูติตัดกระดูก

 

แล้วเปลวไฟสีซีดก็ปะทุออกมาจากใบกระบี่ ก่อนจะถูกดูดซับลงไปในพื้นดิน

 

“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“อัญเชิญเหล่าคนตายที่ทรงพลังมาช่วยเหลือ” กระบี่ยาวตอบคำ

 

ไม่นานนัก

 

ก็ปรากฏร่างของหมาป่ายักษ์สีเทากำลังแหวกว่ายมาตามสายธาร

 

หมาป่าสีเทาตนนี้มีขนาดความสูงเทียบเท่ากับมนุษย์ถึง 5 คนยืนเรียงตัวต่อๆกัน และดูเปี่ยมไปด้วยพลัง

 

หมาป่าเทามองกระบี่ภูติตัดกระดูก และอ้าขยับปากที่สามารถกลืนคนเข้าไปได้ทั้งตัวออกมา “เจ้าตามหาตัวเรา มิเรื่องอะไร?”

 

“สวัสดีราชันย์หมาป่า นี่คือกำลังเสริมจากโลก และเขาต้องการที่จะเข้าสู่วิหาร ดังนั้นข้าจึงได้เรียกเจ้ามาช่วยในเวลานี้” กระบี่ภูติตัดกระดูกกล่าว

 

ราชันย์หมาป่าเหลือบมองกู่ฉิงซานวูบหนึ่ง ทว่ามันไม่ได้เอ่ยคำใด

 

หลังจากนั้นอีกไม่นาน คนตายอีกคนก็แหวกว่ายมาจากสายธารแห่งการหลงเลือน และทยอยกันมาทีละคน ทีละคน

 

“นั่นพวกเขามากจากที่ใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามเสียงกระซิบ

 

“มาจากแต่ละถ้ำในภูเขาที่อยู่ใต้ธารน้ำ – พวกเขามาจากนรกน่ะ” กระบี่ยาวตอบ

 

ราชันย์หมาป่ามาก่อนในทีแรก ตามต่อด้วยสองยักษ์ หนึ่งมนุษย์ปีศาจ และอีกสามมนุษย์ยืนอยู่ตรงข้ามกับกู่ฉิงซานและกระบี่ภูติตัดกระดูก

 

พวกยักษ์จะถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนที่แตกหัก ใบหน้าของพวกมันปกคลุมไปด้วยความดุร้าย ทว่าภายในแววตากลับแลดูสงบ

 

ส่วนมนุษย์ปีศาจเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม ทั้งเนื้อทั้งตัวของมันเปล่งแสงสีทองออกมาตลอดเวลา ส่งผลให้มิอาจเห็นเรือนร่างของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนนัก

 

ส่วนรูปลักษณ์มนุษย์ที่เหลือ เป็นชายสองและหญิงอีกหนึ่ง

 

คนตายทั้งเจ็ดกำลังจ้องมองมาที่กู่ฉิงซาน และเฝ้าดูอยู่เงียบๆ

 

ขณะนี้ พวกเขาอยู่ด้วยกัน และกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างออกมา

 

“พวกเขาดูจะแข็งแกร่งจริงๆ ข้าสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเล็กน้อย น่าประทับใจยิ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

วิหคขาวกระโจนออกมาจากกระบี่และเอ่ยว่า “หลังจากการหายตัวไปของเทพวิญญาณ 18 นรกภูมิก็ได้รับคำสั่งให้ถูกควบคุมโดยผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละนรก และพวกเขาทั้งเจ็ดคือบุคคลที่ว่า”

 

“และทั้งหมดต้องการที่จะสนับสนุนปรภพ ทำการช่วยเหลือ สร้างบุญมาไถ่ถอนบาปที่ติดตัวตนอยู่นี้”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“ว่าแต่ 18 นรกภูมิอย่างงั้นหรือ … หากเป็นแบบนี้ นั่นหมายความว่าอีก 11 ตนสุดแกร่งจากแต่ละนรกที่เหลืออยู่ก็เข้าร่วมกับเผ่ามารเพื่อทำลายปรภพน่ะสิ?”

 

วิหคขาวถอนหายใจ “ถูกต้อง เผ่ามารน่ะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ควบคู่ไปกับอีก 11 ผู้ควบคุมนรก ส่งผลให้ปรภพกำลังตกอยู่ในอันตราย”

 

ณ ขณะนี้ 7ผู้คุมนรกที่อยู่ตรงข้ามก็ได้สนทนากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

หนึ่งในมนุษย์ที่ดูชราเดินออกมาทักทายกับกู่ฉิงซาน

 

“สวัสดีสหายร่วมชาติพันธุ์เพียงหนึ่งเดียวของข้า” ชายชรากล่าว

 

“สหายร่วมชาติเพียงหนึ่ง?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ

 

“ฟังไม่ผิดหรอก  ก็ในบรรดาผู้คุมนรกทั้ง 7 น่ะ มีข้าเพียงคนเดียวที่เป็นมนุษย์นี่นา ดังนั้นหน้าที่เจรจานี้จึงถูกมอบหมายให้โดยข้า เพื่อที่จะได้ตกลงกันให้มันชัดเจน” ชายชรากล่าว

 

กู่ฉิงซานเบนสายตามองข้ามชายชราไป ก่อนจะตกลงที่สองชายหญิงซึ่งอยู่ไกลออกไป

 

ชายชราโบกมือและกล่าว “ไม่ต้องดูหรอก ทั้งสองคืออาชูร่า มิใช่มนุษย์ในโลกของเรา”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ตกตะลึง แต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะสังเกตรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอยู่ดี

 

ฝ่ายชายมีรูปร่างสูงและกำยำ แต่ด้วยลักษณะและหน้าตาของเขานั้นดุร้ายยิ่ง คนส่วนใหญ่จะรู้สึกหวาดเกรงยามเมื่อมองไปยังเขาในทีแรก

 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายหญิงนั้นมีลักษณะหน้าตาที่ดี ดูสง่าและงดงาม

 

‘ไม่คาดคิดเลยว่า นี่มันจะเป็นเหมือนดั่งที่ว่าไว้ในตำนานทุกประการ’ กู่ฉิงซานลอบพูดอย่างลับๆ

 

ในตำนานโบรารณของมนุษยชาติกล่าวเอาไว้ว่า เผ่าพันธุ์อาชูร่าน่ะ เพศชายจะดูธรรมดา ในขณะที่เพศหญิงจะงดงามยิ่ง

 

ฉะนั้นในอาณาจักรแห่งอาชูร่า จึงคราคร่ำไปด้วยหญิงงามอันหาที่ใดเปรียบ นับไม่ถ้วน

 

และสิ่งนี้เองที่ได้นำไปสู่ความริษยาและโลภของอาณาจักรสวรรค์ และมักจะนำไปสู่ความขัดแย้งและสงครามระหว่างอาณาจักรสวรรค์กับอาณาจักรอาชูร่า

 

วันนี้ ดูเหมือนว่าตำนานจะไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

 

นอกจากนี้ กู่ฉิงซานยังได้รู้เรื่องราวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า หกวิถีแห่งสังสารวัฏน่ะ แต่เดิมมิได้รับแค่เพียงวิญญาณจากโลกมนุษย์ แต่ยังรับวิญญาณจากในโลกอื่นๆมาอีกด้วย

 

“พอจะเข้าใจแล้ว ปรภพแห่งนี้น่าจะรับเอาคนตายมาจากทั้งสี่โลกอันได้แก่ อาณาจักรผีโหย อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรอาชูร่า และอาณาจักรเดรัจฉานนี่เอง ” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ

 

ทว่าทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ หูของราชันย์หมาป่าก็ยกสูงขึ้นทันที

 

“เฮ้สหายร่วมชาติ เจ้าไม่สามารถเรียกว่าอาณาจักรเดรัจฉานได้นะ นั่นมันหยาบคาย พวกเราน่ะเรียกโลกที่เขาจากมาว่าอาณาจักรจ้าวอสูร” ชายชราที่เป็นมนุษย์เร่งกล่าว

 

“เอาล่ะๆ อาณาจักรจ้าวอสูร” กู่ฉิงซานรีบเปลี่ยนคำทันที

 

แล้วชายชราจึงค่อยผ่อนคลายลง

 

เขาอธิบายกับกู่ฉิงซานต่อ “เทพจากอาณาจักรสวรรค์น่ะไม่ค่อยมีมากนักหรอกในปรภพ ส่วนอาณาจักรผีโหยน่ะ ทุกคนล้วนโปรดปรานในการทำลายล้าง พวกเขาทั้งหมดจึงสนับสนุนในการทำลายปรภพ – จริงๆแล้วพวกเขาเป็นการดำรงอยู่อันมืดมิดและเลวร้ายที่สุดในหกวิถีเลยล่ะ สมควรจะเรียกว่าอาณาจักรปีศาจร้ายด้วยซ้ำ”

 

“ราชันย์หมาป่า มาจากอาณาจักรจ้าวอสูร , ยักษ์กับมนุษย์ปีศาจและข้ามาจากโลก ส่วนชายหญิงทั้งสองมาจากอาณาจักรอาชูร่า”

 

“และตอนนี้ พวกเราทั้งเจ็ดก็ได้แนะนำตัวเองแล้ว”

 

ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดมองไปทางกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

 

“ผู้น้อยกู่ฉิงซาน เผ่าพันธุ์มนุษย์ และเป็นผู้ฝึกดาบ” กู่ฉิงซานหนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือหันไปทางอีกฝ่ายและกล่าว

 

ชายชราพยักหน้าและเอ่ยต่อ “เช่นนั้นกู่ฉิงซาน ข้าจะพูดเพียงสั้นๆนะว่าสถานการณ์ในนรกตอนนี้น่ะมันอยู่ในภาวะวิกฤต และแม้ว่าพวกเราจะถูกเรียกมาโดยกระบี่ภูติตัดกระดูกก็ตามที แต่เราก็ยังอยากจะยืนยันว่าเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในสถานการณ์นี้หรือไม่ และแน่นอนว่าหากไม่ ทุกคนก็ไม่ยินดีเสียเวลาเพื่อเจ้า”

 

“เชิญกล่าวต่อ”

 

“เจ้าเป็นมนุษย์ และไม่ได้มีความสามารถในการฟื้นคืนชีพในนรก ดังนั้นเพื่อเห็นแก่หน้าตาของกระบี่ภูติตัดกระดูก เราจะไม่ทำร้ายเจ้า – แต่จะให้เจ้าแสดงความแกร่งของตนออกมา” ชายชรากล่าว

 

เขาเอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ “พวกเพื่อนๆของข้าน่ะหยิงผยองนัก พวกเขาไม่เต็มใจที่จะมาสนทนากับเจ้า ดังนั้นในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำแดงพลังดีๆออกมาด้วยล่ะ”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็แค่ยิ้ม

 

“ดาบพิภพ”

 

“ข้าอยู่นี่”

 

“ข้าขอมอบหน้าที่นี้ให้เจ้า”

 

“น้อมรับคำสั่ง”

 

ดาบพิภพตอบรับและผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

มันบินไปอยู่เบื้องหน้าเหล่าผู้คุมนรกและลอยอยู่บนพื้น

 

หลากหลายคนตายที่ทรงพลังหันมามองหน้ากัน และไม่ทราบว่าเจ้าจิตวิญญาณเผ่ามนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามต้องการจะสื่อถึงสิ่งใด

 

“หากผู้ใดก็ตามที่สามารถเคลื่อนย้ายดาบของข้าได้แม้เพียงน้อย ข้าก็จะจากไปทันทีโดยไม่คิดรบกวนพวกท่านทั้งหลายอีกเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

สองอาชูร่าพอได้ฟัง ก็รู้สึกสนอกสนใจเป็นอย่างมาก

 

เพราะเผ่าพันธุ์อาชูร่าน่ะเข้มแข็ง พวกเขารักในการต่อสู้และเดิมพันเป็นอย่างยิ่ง

 

อาชูร่าเพศชายก้าวออกมาข้างหน้าเป็นคนแรก ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปคว้าจับด้ามดาบ และพยายามกระชากอย่างแรง!

 

ทว่าดาบพิภพกลับไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ

 

ชายอาชูร่าไม่เชื่อสายตา ปากของเขาเริ่มเอ่ยท่องคาถางึมเงา ขณะที่สองมือคว้าจับดาบพิภพและพยายามยื้อยุทธดึงมันสุดกำลัง

 

แต่ดาบพิภพก็ยังมิอาจเคลื่อนไหว

 

“ขอข้าเองเจ้าตัวจ้อย” เสียงที่ลึกและแหบห้าวของยักษ์ดังขึ้น

 

เขาผลักอาชูร่าชายออกไป และคว้าจับดาบพิภพ จากนั้นก็เริ่มออกแรงบ้าง

 

“ฟู่ววว ฟู่วว …”

 

เสียงยักษ์ใหญ่ปล่อยลมหายใจยาว

 

แต่ดาบพิภพก็ยังไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

 

เมื่อไม่ได้ผล ยักษ์ใหญ่ก็ไม่รู้ว่าไปคว้าจับเอาก้อนหินขนาดใหญ่มาจากที่ไหน มันยกสูงขึ้นเหนือหัว เกร็งลำแขนเต็มกำลัง และ–

 

“ฮว๊ากกก!” คำรามออกมา

 

หินใหญ่ราวกับค้อนขนาดมหึมา ทุบตอกดาบพิภพอย่างรุนแรง บังเกิดเสียงลมพัดกระพือไปทั่ว

 

ตูมมมม!

 

เท้าของยักษ์ถูกเป่าจนยกสูงขึ้นจากพื้นดิน ขณะที่หินใหญ่ที่ใช้ทุบแหลกเป็นก้อนเล็กๆกระจายตกลงไปทั่วบริเวณ

 

ทว่าดาบพิภพก็ยังไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.390 – กำลังเสริมจากโลกมนุษย์

 

กู่ฉิงซานมองดูวิหคขาว ก่อนจะตระหนักถึงตัวตนของมันได้อย่างรวดเร็ว

 

เจ้าสิ่งนี้ คงจะเป็นจิตกระบี่

 

งั้นสิ่งที่คนตายเผ่ามนุษย์ต้องการจะสื่อเมื่อครู่ก็คือ-

 

“อย่ามองข้าเช่นนั้นเลย แม้ข้าจะทรงพลานุภาพ ทว่าก็มิอาจโบกสะบัดคมกล้าได้ด้วยตนเอง ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องให้คนตายเป็นสื่อในการปลดปล่อยพลังออกมา” วิหคขาวถอนหายใจและกล่าว

 

“หากเป็นเช่นนั้น นี่หมายความว่า จริงๆแล้วเป็นเจ้าสินะที่ต่อสู้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ใช่ เป็นฝีมือข้า ‘กระบี่ภูติตัดกระดูก’ เอง  “

 

“แล้วที่เจ้าบอกว่าข้ามีกลิ่นอายของนาง แสดงว่าเจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่านางเป็นใคร?”

 

“อ้าว? นี่เจ้ายังไม่ได้พบกับนางหรือ? นี่มันไม่ถูกต้อง ก็เจ้ามีกลิ่นอายของนาง … ” วิหคขาวประหลาดใจและเผยสีหน้าแปลกๆออกมา

 

กู่ฉิงซานอธิบาย “นางที่เจ้าว่าใช้หญิงชุดคลุมฟ้าหรือไม่? หากใช่ ข้าได้พบกับนางแล้ว เพียงแต่ยังไม่ทราบสถานะของนางก็เท่านั้นเอง”

 

“เจ้าไม่รู้หรอกหรอว่านางเป็นใคร … นี่มันน่าสนใจจริงๆ แต่ในเมื่อนางไม่ได้เปิดเผยสถานะของตัวเองออกมา ดังนั้นข้าก็คงจะไม่กล้าพูดอะไรออกไปหากไม่ได้รับอนุญาต”

 

วิหคขาวมองกู่ฉิงซาน และเผยท่าทีใคร่รู้ออกมา

 

แต่ตัวกู่ฉิงซานเองก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก

 

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่บอก ก็ไม่ต้องบอก เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือเรื่องนี้ ที่ต้องยืนยันทันที

 

“ผู้น้อยกู่ฉิงซาน มาจากโลกมนุษย์ แล้วตัวเจ้าเล่า เป็นเครื่องจักรชนิดใด?”เขาประสานสองฝ่ามือและเอ่ยถาม

 

วิหคตัวน้อยกำลังฟังอย่างตั้งใจ แต่พอมันได้ยินถึงประโยคนี้ สองตาที่หุบอยู่ก็ลืมขึ้นในทันใด

 

ดูเหมือนว่ามันค่อนข้างจะประหลาดใจทีเดียว สำหรับคำถามนี้

 

วิหคบินไปเกาะตรงด้ามกระบี่ และใช้เล็บของมันชี้ลงไปเบาๆ “ลองดูดีๆสิ ข้าออกมาจากด้ามกระบี่นี่ มิใช่เครื่องจักร”

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไป

 

กระบี่นี่ ไม่ใช่เครื่องจักรจริงๆด้วย

 

“เช่นนั้น นอกเหนือไปจากพวกเครื่องจักรแล้ว ทางปรภพก็ยังมีการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่อีกสินะ” เขาพึมพำ

 

“โดยปกติแล้วพวกเราจะใช้เครื่องจักรเพื่อจัดการธุระต่างๆ แต่หากมีอะไรเกิดขึ้นกับปรภพ ก็จะเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ออกหน้าลงมือ” วิหคขาวกล่าวอย่างภาคภูมิ

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามในทันใด “ข้ามีเรื่องอยากจะสอบถาม แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในปรภพกันแน่?”

 

“ข้าบอกไม่-” วิหคขาวกำลังจะเอ่ยตอบ

 

กู่ฉิงซานขัดคำพูดอีกฝ่าย “ข้ารู้ ว่าพวกเจ้าไม่สามารถบอกได้ แต่เจ้ายังสามารถบอกข้าถึงสถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องได้นี่นา แล้วจากนั้นข้าก็จะไปค้นหาคำตอบนี้ด้วยตัวเอง”

 

ไม่ว่าจะเป็นการดำรงอยู่ใดๆของสิ่งทั้งหลายในปรภพ ทั้งหมดล้วนไม่ยินยอมบอกอะไรกับเขาทั้งนั้น

 

แล้วกู่ฉิงซานก็ค่อนข้างเบื่อกับคำตอบว่าไม่ได้ๆนี่แล้ว

 

วิหคขาวลังเลเล็กน้อย

 

“ข้าดั้นด้นมาที่นี่เพื่อช่วยโลกมนุษย์ ฉะนั้นกรุณาด้วย” กู่ฉิงซานวิงวอน

 

วิหคขาว “เจ้ามาจากโลก? งั้นเจ้าก็ได้พบกับเหล่าเครื่องจักรแล้วสิ?”

 

“พบแล้ว อันที่จริงมีเพียงสี่เท่านั้นที่มาถึงโลกได้อย่างปลอดภัย”

 

กู่ฉิงซานเล่าซ้ำเกี่ยวกับการปรากฏกายของเครื่องจักร

 

วิหคขาวกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “งั้นก็พูดได้ว่าเจ้าเป็นกำลังเสริมจากโลกจริงๆสินะ”

 

กำลังเสริม …

 

กำลังเสริมจากโลก …

 

กู่ฉิงซานพูดไม่ออก

 

ทำไมคำพูดนี้พอได้ยินแล้วช่างคันหูเสียจริง

 

ช่วงแรกๆ เป็นตัวเขาที่ตั้งหน้าตั้งตารอกำลังเสริมจากปรภพ

 

แต่ตอนนี้ ในทางตรงกันข้าม อาวุธของปรภพก็ยังคาดหวังว่าจะได้รับความกำลังเสริมจากโลกมนุษย์เช่นกัน

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ กล่าวยอมรับอย่างทำอะไรไม่ถูก “ใช่ ข้าเป็นกำลังเสริม”

 

วิหคขาวเร่งตอบในทันใด “เช่นนั้นข้าควรจะร่วมมือกับเจ้าอย่างไร?”

 

“ก่อนอื่นเลย ข้าต้องการจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับปรภพ” กู่ฉิงซานกล่าวเพียงสั้นๆ

 

วิหคขาวนิ่งงันไปนาน ก่อนจะกล่าวว่า “อันที่จริงแล้วมีเรื่องน่ากลัวได้เกิดขึ้น และมันก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ซึ่งในเวลานั้นข้า–”

 

“ในช่วงเวลานั้นเจ้า?”

 

“ข้ากำลังหลับอยู่พอดี”

 

“ … ”

 

มองไปยังสีหน้าที่อันยากจะกล่าวที่แสดงออกมาของกู่ฉิงซาน วิหคขาวก็อธิบาย “ก็มีเครื่องจักร 80 กว่าเครื่องคอยจัดการธุระต่างๆในปรภพอยู่แล้วนี่ ตัวข้าในฐานะอาวุธโบราณจึงว่างงาน มิได้ทำหน้าที่ใดๆมาตั้งนานแล้ว”

 

มันกางปีกออก และตบลงบนศีรษะตนเอง “ดังนั้นข้าจึงหละหลวมในหน้าที่ และเผลอหลับไป ฮ่า .. ฮ่าฮ่า … ”

 

ความหมายก็คือ เจ้านกบ้านี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

“ถ้าอย่างงั้นแล้วทำไมเจ้าถึงไปร่วมมือกับพวกคนตายล่ะ?” กู่ฉิงซานถามต่อ

 

“โอ้ นั่นเป็นเรื่องเมื่อสองวันที่ผ่านมา หากเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ข้าสามารถบอกเจ้าได้”

 

“เชิญชี้แนะ”

 

“เมื่อปรภพต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ย่างกรายเข้ามา คนตายในนรกถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเลือกที่จะให้การสนับสนุน ร่วมมือกับเผ่ามาร ทำลายโลกปรภพอย่างเต็มกำลัง เพื่อที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในนรกเสียที”

 

“ส่วนอีกฝ่าย ก็ให้การสนับสนุนที่จะต่อต้านเผ่ามาร โดยหวังว่าจะช่วยเหลือปรภพ และไถ่ถอนตนเองจากความผิดบาปนี้ เสริมสร้างบุญให้แก่ตนเอง เพื่อที่จะได้ไปเกิดใหม่เสียที”

 

วิหคขาวกล่าวเสริม “ดังนั้นในฐานะอาวุธแห่งปรภพเช่นข้า จึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะยินดียืนหยัดต่อสู้เคียงข้างกับฝ่ายที่สนับสนุนอย่างหลัง”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าเข้าใจ

 

หากเป็นในกรณีนี้ มันจะสามารถไขข้อข้องใจเกี่ยวกับฉากสงครามอันวุ่นวายเมื่อครู่ได้

 

ในตอนนั้น เขาเองคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่นาน ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกโอกาสลงมือช่วยเหลือคนตายในที่สุด

 

ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากความหวาดระแวงโดยสิ้นเชิง

 

เพราะอย่างไรเสียคนตายก็สามารถฟื้นคืนชีพได้อยู่แล้วโดยการกลับไปหลับไหลในนรกของตน ทว่าสำหรับตัวกู่ฉิงซานเอง เขามิอาจทำได้

 

แถมในเวลานั้น กู่ฉิงซานเองก็สัมผัสได้อย่างเรือนราง ว่าลึกเข้าไปในภูเขาล้อมเหล็ก มีกลิ่นอายอันคลุมเครือของอสูรกายอยู่อีกด้วย

 

เกรงว่าภูเขาล้อมเหล็กคงตกอยู่ในมือของเผ่ามารแล้ว

 

กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องถามออกไปว่า “ไม่มีใครเป็นคนควบคุมนรกเลยหรือ? แล้วเทพในปรภพเล่า? ตายหมดแล้วไม่มีหลงเหลือเลยหรืออย่างไร?”

 

วิหคขาว “ข้าเองก็ไม่ทราบ เมื่อข้าตื่นขึ้นมา โลกปรภพก็ไม่มีเทพวิญญาณอยู่อีกต่อไปแล้ว”

 

“แต่เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าเทพวิญญาณจากไปที่ใด”

 

“ขออภัยจริงๆ ข้าหลับไหลไปเนิ่นนานหลังจากที่เหล่าเครื่องจักรได้ถือกำเนิดขึ้น และพึ่งตื่นกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองเนื่องจากสัมผัสได้ถึงภัยพิบัติในปรภพ”

 

กู่ฉิงซานพอได้ยิน ก็ถอนหายใจออกมา

 

เขาเองก็พึ่งจะมาถึงปรภพ แต่ในวิสัยทัศน์ของเขามันกลับยังคงมืดบอดโดยสมบูรณ์ มิอาจเห็นเส้นทางที่ถูกต้องได้ แล้วตนจะสมควรทำอย่างไรดี?

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ‘ข้อมูล’

 

เมื่อคุณรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณก็จะสามารถวางแผนและเริ่มลงมือได้

 

เขาเอ่ยถาม “เนื่องจากเจ้าไม่ทราบ แต่ก็น่าจะมีผู้อื่นที่ทราบอยู่อย่างแน่นอน เจ้าคิดว่ามีผู้ใดที่รู้ -”

 

วิหคขาวกล่าวทันที “ข้าเดาว่าสิ่งประดิษฐ์เทวะจักต้องสัมผัสได้ถึงภัยพิบัตินี้ได้รวดเร็วยิ่งกว่าข้าเป็นแน่ มันจักต้องล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมดอย่างแน่นอน”

 

“ที่ว่ามานั่นคือสิ่งใดกัน?”

 

“มันคือหนึ่งในสามสิ่งประดิษฐ์เทวะ ‘ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน’ เจ้าสิ่งนี้มิเคยหลับไหล และมันเป็นผู้ที่คอยบันทึกเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณคนตายทั้งหมด”

 

“จริงๆหรือ?”

 

นี่จำเป็นต้องถามย้ำจริงๆ เพราะก็ยังมีบ้างในบางเรื่อง ที่กู่ฉิงซานยังไม่อาจเชื่อนกตัวนี้ได้อย่างสนิทใจ

 

วิหคขาวยืนยันหนักแน่น “จริงสิ มันนับเป็นคลังข้อมูลที่ดีที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรในปรภพก็มิอาจปิดซ่อนจากมันได้”

 

“เช่นนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปพบมันได้หรือไม่?”

 

“เจ้าพึ่งช่วยชีวิตข้าไว้ ยิ่งกว่านั้นยังมีกลิ่นอายของนางอีก ย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่น”

 

วิหคขาวกระพือปีกของมัน และจี้เข้าไปยังกระบี่ภูติตัดกระดูก

 

กระบี่ยาวเด้งขึ้นกลางอากาศ หมุนควงสว่านสองตลบในทันที จากนั้นก็ชี้ปลายแหลมไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“ทางนั้นไง!”

 

“เข้าใจแล้ว พวกเราจะออกไปตามหามันกันทันที”

 

“ประเดี๋ยวก่อน” จู่ๆกระบี่ภูติตัดกระดูกก็ลอยมาขวางเขา

 

“มีเรื่องอะไร?”

 

“ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าล่วงหน้า ว่าตะขอเกี่ยววิญญาณน่ะเป็นอาวุธของเทพวิญญาณ หากมันไม่อนุญาต แน่นอนว่าเจ้าย่อมไม่อาจแตะต้องมันได้ มิฉะนั้นเจ้าจะตายทันที”

 

“ทราบแล้ว ข้าจะระมัดระวังเรื่องนี้”

 

“งั้นก็ไปกันเถิด”

 

กระบี่ภูติตัดกระดูกกับกู่ฉิงซานบินไปตามเบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือนไปตลอดทาง

 

กู่ฉิงซานเบนสายตามองแต้มพลังวิญญาณของเขา

 

เช่าหยินยังคงใช้แต้มพลังวิญญาณอยู่ตลอดเวลา เพื่อช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงกระแสน้ำของสายธารไม่ให้เข้าถึงตัว

 

มากกว่า 1000 แต้มพลังวิญญาณกำลังลดหลั่นลงอย่างช้าๆ

 

คงต้องเร่งมือแล้ว

 

…..

 

ณ ภูเขาล้อมเหล็ก

 

บริเวณตีนเขาที่ห่างไกล

 

กู่ฉิงซานชะโงกหน้าอออกมาจากสายธาร สำรวจรอบๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นฝั่งอย่างนุ่มนวล

 

ที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์หรือแสงดาวบนท้องฟ้า

 

อย่างไรก็ตาม มันยังคงมีแสงอ่อนๆแผ่กระจายออกไปอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ฉากในดูมีสีสันไม่น้อย

 

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นช่วงเวลาค่ำของโลกปรภพ

 

ปรากฏวิหารที่แลดูน่าเคารพศรัทธาขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

มองจากระยะไกล ตลอดทั้งวิหารเงียบสงบ และไม่มีร่องรอยของการเคลื่อนไหว

 

“ที่นั่นแหละ”

 

วิหคขาวบินออกมาจากกระบี่ยาว และร่อนเกาะลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน

 

“สถานที่แห่งนี้คือที่ใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ที่นี่คือวิหารสักการะตะขอเกี่ยววิญญาณ ที่ซึ่งภายในมีคาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟคอยู่”

 

“คาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟค?”

 

“ใช่ ตะขอเกี่ยววิญญาณน่ะเป็นกฏเกณฑ์ของสายธารแห่งของหลงเลือน มีเพียงเทพวิญญาณแห่งปรภพเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมมันได้ ฉะนั้นจึงไม่บ่อยนักที่มันจะปรากฏตัวออกมา”

 

“ดังนั้น หากมีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกเหนือไปจากเทพวิญญาณต้องการจะสื่อสารกับมัน ก็จำเป็นต้องใช้คาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟค แล้วมันจึงจะออกมาพบ”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้า

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.389 – ช่วยกระบี่

 

กู่ฉิงซานที่ซ่อนอยู่ใต้สายธารแห่งการหลงเลือน ได้ทุ่มออกค้นหาร่องรอยของเบาะแสอย่างเต็มกำลัง

 

ทว่าแม้จะผ่านพ้นไปถึงหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบสิ่งเบาะแสใดจากเบื้องล่างสายธารเลย

 

พอถึงจุดนี้ เขาก็ไม่สามารถข่มกลั้นใจตัวเองได้อีกต่อไป

 

กู่ฉิงซานทะยานขึ้นจากใต้สายธาร ผุดออกมาลอยอยู่เหนือผิวน้ำ

 

เนื่องจากเขาเดินทางสำรวจอยู่นาน ส่งผลให้บริเวณนี้ อยู่ห่างไกลจากถ้ำมืดเป็นอย่างมาก

 

ผิวน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนเป็นสีเหลืองชาอ่อนๆ แถมยังสะท้อนให้เห็นถึงท้องฟ้ารางๆจากเบื้องบน

 

ยืนอยู่บนสายธารอันกว้างใหญ่ หันมองออกไปรอบๆ ทุกสิ่งก็ยังคงเหมือนเดิ– ไม่สิ ดูเหมือนว่าจะต่างออกไป

 

มองไปยังทิศทางหนึ่งที่แตกต่าง จะเห็นแค่เพียงภูเขาใหญ่สีเขียวทึบ

 

มันเป็นภูเขาลูกใหญ่ที่เชื่อมต่อกับทั้งสวรรค์และโลก

 

เมื่อกู่ฉิงซานที่อยู่บนผิวน้ำ หันมองไปยังทิศทางดังกล่าวนี้ ก็พบว่าภูเขาที่ว่าได้บดบังวิสัยทัศน์ทั้งหมดของเขา

 

มันเป็นภูเขาที่ราวกับกำแพงใหญ่ บดบังขวางกั้นทั้งเมฆหมอกและดวงอาทิตย์

 

“ดูเหมือนว่าจะเป็นทางนั้น”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

และบินเรียบกับผิวน้ำ มุ่งหน้าไปทางภูเขาใหญ่

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภูเขาลูกนี้กลับมิได้ใกล้อย่างที่คิด กู่ฉิงซานจำต้องใช้เวลาบินกว่าสองชั่วยาม จึงจะมาย่ำฝีเท้าลงใกล้กับเชิงเขาได้

 

ทันใดนั้นการแสดงออกทางสีหน้าของกู่ฉิงซานก็เปลี่ยนไป

 

นั่นเพราะบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ได้ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยสองบรรทัดเด้งเตือนขึ้นมา

 

“คุณได้มาถึงภูเขาล้อมเหล็กแล้ว”

 

“ภูเขาล้อมเหล็ก ไม่เพียงแต่ประกอบไปด้วยนรกและกฏเกณฑ์แห่งปรภพ แต่ภูเขานี้ยังกำลังปกป้องหกวิถีแห่งสังสารวัฏของโลกเอาไว้อีกด้วย”

 

จ้องมองไปยังคำอธิบายสองบรรทัดนี้ สีหน้าการแสดงออกของกู่ฉิงซานก็ค่อยๆหนักอึ้งขึ้น

 

กลับกลายเป็นว่าที่นี่คือภูเขาล้อมเหล็ก

 

ภูเขาล้อมเหล็ก คือส่วนรอบนอกสุดของสังสารวัฏ

 

ตามตำนานโบราณกล่าวเอาไว้ว่า ภายนอกโลกหกวิถี จะมีคลื่นลมแห่งทัณฑ์โกลาหลอยู่

 

มันเป็นพลังอำนาจที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่ามิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราดซะอีก

 

เมื่อลมแห่งทัณฑ์โกลาหลพัดพาเข้าสู่โลกใด นั่นหมายถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกจะถูกล้างบางจนดับสูญ

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลนี้ จะไม่มีการดำรงอยู่ใดๆสามารถรอดพ้น และโลกจักต้องดับสูญ

 

ทว่าภูเขาล้อมเหล็ก คือสิ่งเดียวที่สามารถปิดกั้นสายลมนี้ได้

 

มันเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยปกป้องตลอดทั้งหกวิถีแห่งสังสารวัฏ

 

ส่วนล่างของภูเขาล้อมเหล็ก มันจมอยู่ภายในสายธารแห่งการหลงเลือน ซึ่งจะมีอุโมงค์กว้างที่ทอดยาวออกไปทุกทิศทาง ลากยาวไปจนถึงเหวลึกใต้ดิน

 

และ 18 นรกในตำนานก็อยู่ในเหวลึกเบื้องล่างภูเขาล้อมเหล็กนี้นี่เอง

 

ภายนอกภูเขาสามารถป้องกันทัณฑ์โกลาหลได้ ขณะที่ภายในคือเมืองนรก นี่มันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!

 

กู่ฉิงซานมองไปยังภูเขาล้อมเหล็ก ก่อนจะหยุดลงชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็บินไปตามทิศทางของภูเขา

 

เขาย่อมไม่มีทางพลาดที่จะสำรวจมัน เพราะในสายธารแห่งการหลงเลือน นอกไปจากหญิงชุดคลุมฟ้าแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งใดที่พอจะเป็นเบาะแสได้อีกเลย

 

ดังนั้นเขาจะต้องเข้าไปสำรวจในภูเขาลูกนี้

 

หลังจากที่บินไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หูของเขาก็เริ่มได้ยินเสียงของความวุ่นวายขึ้นเบาๆจากเบื้องหน้า

 

กู่ฉิงซานเอียงศีรษะ เพ่งสมาธิตั้งใจฟัง

 

ก่อนจะพบว่ามันคือเสียงของสงคราม! มันเป็นเสียงที่ตะโกนไปด้วยความโกรธ

 

ตลอดทั้งภูเขาบริเวณนั้น หนาแน่นไปด้วยกลิ่นอายสังหารรุนแรง

 

ในเวลานี้ กู่ฉิงซานอยู่ใกล้กับภูเขาล้อมเหล็กมากๆแล้ว

 

กู่ฉิงซานเพ่งมองอย่างตั้งใจ และเห็นว่าภายในภูเขา … มันคราคร่ำไปด้วยเผ่ามารและคนตาย!

 

พวกมันทั้งหมดกำลังห้ำหั่นกันท่ามกลางความมืดมิด

 

ไม่ว่าจะเป็นทุกประเภทของเผ่ามาร ยักษ์ มนุษย์ มนุษย์ปีศาจ และสิ่งมีชีวิตจากยุคโกลาหล

 

พวกมันกำลังร่วมมือกันต่อสู้สังหาร และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งแม้เพียงครู่

 

กู่ฉิงซานจมลงอยู่กับความเงียบ และเฝ้าสังเกตการณ์อย่างลับๆ

 

เผ่ามารได้ยึดครองนรกแล้วอย่างงั้นหรือ?

 

แต่มันดูจะแตกต่างออกไปเล็กน้อยนะ

 

เห็นได้ชัดว่าบางส่วนของคนตายดูเหมือนจะเข้าร่วมกับเผ่ามาร และกำลังไล่สังหารคนตายอื่นๆอยู่

 

ขณะเดียวกันคนตายอื่นๆก็กำลังต่อต้านอย่างหนัก และทุ่มพยายามอย่างเต็มกำลังสังหารเผ่ามาร

 

ทันใดนั้นเสียงหวีดฉีกอากาศอันคมชัดก็ทะลวงฝ่าขึ้นมาบนท้องฟ้า และมันได้ดึงดูดความสนใจของกู่ฉิงซาน

 

มันเป็นเสียงเหมือนกับคมกระบี่ตัดอากาศ

 

กู่ฉิงซานที่อยู่ติดกับชายฝั่งของสายธาร มองไปยังกระบี่ตัดอากาศร่วงตกลงในจุดหนึ่งของสนามรบ

 

และเห็นแค่เพียงบริเวณเชิงเขาที่อยู่ใกล้กับสายธารแห่งการหลงเลือน เผ่ามารนับไม่ถ้วนและคนตายกำลังร่วมมือกัน ทุ่มออกอย่างเต็มกำลังกดดันคนตายอีกกลุ่มหนึ่งที่หลงเหลืออยู่เพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น

 

และร้อยกว่าคนนี้ก็กำลังทยอยกันถูกสังหารไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ถูกผลักดันจนต้องถอยร่นมาทางสายธารแห่งการหลงเลือน

 

“อยากจะหนีงั้นหรือ? เจ้าผีน้อยขลาดเขลา! ควรกลับไปหลับไหลอยู่ในนรกเสีย!” มนุษยืปีศาจเปล่งเสียงคำรามออกมา

 

ดูเหมือนว่าในนรก ทั้งหมดจะสื่อสารกันทางความคิด เพื่อให้จิตวิญญาณจากแต่ละยุคสมัยเข้าใจความหมายของกันและกันได้

 

กว่าร้อยคนตายเริ่มทยอยกันถูกสะบั้นศีรษะ คร่าชีวิตต่อไปเรื่อยๆ

 

จนตอนนี้เหลือคนตายเหลืออยู่อีกเพียงไม่กี่สิบคน ทั้งหมดกำลังปกป้องเผ่ามนุษย์ร่างหนึ่งที่สวมใส่ชุดเกราะ ขณะที่ในมือของคนผู้นั้นกำลังถือกระบี่อยู่

 

ทั้งหมดยังคงต่อต้านการโจมตีจากเผ่ามารและคนตายที่รายล้อม ยืนหยัดที่จะต่อสู้!

 

เนินเขานี้เชื่อมต่อกับตีนเขา ส่วนเผ่ามารกับคนตายต่างล้อมหน้าล้อมหลัง และต้องการที่จะสังหารคนตายกลุ่มสุดท้ายนี้กลับคืนสู่นรก!

 

แต่คนตายที่สวมเกราะน่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยที่จะสังหารเขา

 

นั่นเพราะกระบี่ยาวในมือของอีกฝ่ายช่างมีพลานุภาพอันใหญ่ยิ่ง!

 

ทุกครั้งเลย เมื่อใดก็ตามที่เขากวัดแกว่งกระบี่ยาวออกไป บนคมกระบี่จะเปล่งประกายโค้งมนและปลดปล่อยชั้นอากาศอันเย็นเยียบออกมา

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแสงโค้งมนนี้ เผ่ามารและคนตายโดยรอบจะกลายเป็นเพียงตัวตนอ่อนแอ มิอาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้ และถูกสังหารตกตายทันที

 

ทว่าเผ่ามารและคนตายที่ร่วมมือกับมันน่ะมีมากมายจนเกินไป หากฆ่าไปหนึ่ง อีกสองก็จะก้าวออกมาแทนที่ตำแหน่งเดิม ไล่กดดันพวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ

 

เผ่ามารได้รายล้อมจากทุกทิศทาง

 

คนตายเผ่ามนุษย์พยายามอย่างสุดความสามารถของเขา เพื่อที่จะต้านทานศัตรูมิให้ย่างกรายเข้ามาใกล้

 

คนของเขาถูกสังหารลงอย่างรวดเร็ว และในท้ายที่สุดเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่

 

“จงตาย! ตายซะ! พวกเจ้าทั้งหมดจงตายเพื่อข้า!”

 

คนตายเผ่ามนุษย์คำราม เขาหมุนตัวเหวี่ยงกระบี่อยู่ตลอดเวลาเพื่อใช้ระยะโจมตีของกระบี่จนไร้ซึ่งมุมบอด

 

แต่แล้วในไม่ช้า พละกำลังของเขาก็หมดลง

 

เขาโซซัดโซเซ และเกือบจะล้มลงอยู่หลายครั้ง

 

สุดท้าย เมื่อเขาล้มลง เผ่ามารและคนตายที่เข้าร่วมก็ไม่เปิดโอกาสให้เขายืนขึ้นอีกต่อไป

 

ดาบพิภพที่ลอยอยู่ขนาบข้างเอ่ยถามเสียงกระซิบ “ข้าสมควรทำสิ่งใด?”

 

“ช่วยเหลือเขาก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” กู่ฉิงซานตอบ

 

เพียงนึกคิด ดาบพิภพก็พุ่งฉวัดเฉวียนออกไปทันที

 

ดาบพิภพที่ครอบครองน้ำหนักกว่าหลายสิบล้านจิน แปรเปลี่ยนสภาพสาดรังสีดาบสีขาวดั่งแสงจันทร์ออกมา

 

รังสีดาบนี้มีขนาดใหญ่ยิ่ง ยามเมื่อมันกวาดผ่านเผ่ามาร พื้นที่ขนาดใหญ่โดยรอบก็ถูกล้างบางทันที

 

ไม่ว่าเผ่ามารตนใดที่พยายามจะต่อต้านดาบพิภพ ก็ล้วนถูกตัดสะบั้นกลายเป็นชิ้นๆ

 

การลงมือนี้ ส่งผลให้คนตายเผ่ามนุษย์ได้มีโอกาสพักหายใจ

 

อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขาก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยบาดแผล แม้จะได้พักหายใจ แต่สุดท้ายเขาก็มิอาจยืนหยัด และทิ้งก้นลงกระแทกกับพื้น

 

“เจ้าเป็นผู้ใดกัน!” เขาหันไปมองกู่ฉิงซานพร้อมกับตะโกนออกมา

 

“ก็คนที่จะช่วยให้เจ้ารอดอย่างไรเล่า” กู่ฉิงซานตอบกลับ

 

แต่จู่ๆกระบี่ยาวก็ชี้ไปทางกู่ฉิงซาน และเปล่งเสียงหวีดคำหนึ่งออกมาทันใด

 

“ข้าคงไม่สามารถทำมันได้อีกแล้ว” ชายคนนั้นยกกระบี่ขึ้นทันทีและกล่าวต่อว่า “ขอเจ้าจงช่วยมันแทนก็แล้วกัน!”

 

ช่วยมันแทน? ช่วยกระบี่เนี่ยนะ?

 

กู่ฉิงซานบินไปข้างหน้า และยกร่างของคนผู้ซึ่งกล่าวถึงเรื่องกระบี่ขึ้น จากนั้นก็บินกลับไปยังสายธารแห่งการหลงเลือน

 

พอมาถึง สายธารก็ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง

 

กู่ฉิงซานกับคนตายเผ่ามนุษย์ก้าวเข้าสู่สายธารแห่งการหลงเลือน และค่อยๆลดระดับลงไปตลอดทาง

 

เผ่ามารทั้งหลายที่ไล่ตามแทบจะหยุดฝีเท้าเอาไว้ไม่ทัน พวกมันไม่กล้าที่จะลงตามไป

 

นั่นเพราะพวกมันทราบดีว่าสายธารนี้น่าขวัญผวาเพียงใด

 

ขอเพียงแค่มันตกลงไปในสายธารแห่งการหลงเลือน สิ่งที่รอพวกมันอยู่คือการเกิดใหม่ในนรก หรือเกิดใหม่ในโลกอื่นเท่านั้น

 

กฏของสายธารแห่งการหลงเลือน กระทั่งเผ่ามารก็ไม่มีข้อยกเว้น!

 

หลากหลายเสียงหอนด้วยความโกรธกังวานไปทั่ว เผ่ามารทำได้เพียงยืนอยู่ริมน้ำและจ้องมองออกไปเท่านั้น

 

“หลีกทางไปซะ! พวกเราจะตามไปเอง!” มนุษย์ปีศาจเปล่งเสียงตะโกนขึ้น

 

แล้วคนตายก็ก้าวลงไปสู่สายธารแห่งการหลงเลือนจริงๆ!

 

พวกมันแหวกฝูงมาร กระโดดพุ่งลงไปในเส้นทางที่แยกออก หมายจะไล่ตามจับกู่ฉิงซานให้ทัน

 

แต่กู่ฉิงซานเพียงแค่โบกดาบเช่าหยินออกไปทางเบื้องหลังเขาเท่านั้น

 

แล้วส่วนผิวน้ำเบื้องบนของสายธารแห่งการหลงเลือนก็กระชากออก ก่อบังเกิดคลื่นขนาดมหึมา โถมกลับขึ้นไปทางชายฝั่ง

 

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ เหล่าคนตายก็กระวนกระวาย ดิ้นรนเพื่อหมายจะกลับขึ้นสู่เหนือสายธารอีกครั้ง แต่พวกมันกลับพบว่าเส้นทางที่เปิดออกของสายธารได้ปิดตัวลงแล้ว …

 

—–

 

ห่างออกไปหลายสิบลี้ ณ ก้นบึ้งของสายธาร

 

คนตายเผ่ามนุษย์ล้มตัวลงกับพื้น ไร้ซึ่งการขยับไหวใดๆ

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็จมลงไปกับพื้น และหายตัวไป

 

“อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเกินไป จึงตกตายลง” ดาบพิภพส่งเสียงฮึมฮัม

 

“ใช่ ทั้งๆที่ข้าอุตส่าห์คาดหวังว่าจะได้รับข้อมูลจากปากเขาแท้ๆ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

คนตาย เมื่อสิ้นลมหายใจลงอีกครั้ง พวกเขาจะกลับไปหลับไหลในนรก และเฝ้ารอการตื่นขึ้นมาอีกในครั้งต่อไป

 

กู่ฉิงซานค่อนข้างหัวเสียเล็กน้อย

 

ตนเองต้องการที่จะถามไถ่ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับปรภพ แล้วตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรในขั้นต่อไปแท้ๆ

 

แต่ใครจะรู้ ชายคนนี้ดันมาเร่งตายไปก่อนเสียนี่

 

ในขณะที่เขากำลังขบคิดว่าจะจับตัวคนตายมาอีกสักหนึ่งคนนั้นเอง จู่ๆกระบี่บนพื้นก็เริ่มขยับไหวด้วยตัวมันเอง

 

“หืม?” กู่ฉิงซานเลิกคิ้วสูง คว้าจับดาบพิภพเอาไว้

 

“อย่าวิตกกังวลไป เราเป็นพวกเดียวกัน”

 

มีเสียงถูกส่งออกมาจากกระบี่ยาว

 

“โห? เจ้าทราบได้อย่างไรว่าข้ากับเจ้าเป็นพวกเดียวกัน?” กู่ฉิงซานถาม สายตาของเขาจับจ้องอยู่แต่กับตัวกระบี่

 

พลังอำนาจของกระบี่เล่มนี้นับว่าร้ายกาจไม่เลว และเขาไม่อาจประมาทได้

 

“กลิ่นอายอย่างไรเล่า บนร่างของเจ้ามีกลิ่นอายของนาง จึงย่อมเป็นธรรมดาว่าเราคือพวกเดียวกัน” กระบี่ยาวผุดลุกขึ้นและกล่าว

 

บนด้ามจับของกระบี่ ปรากฏกลุ่มก้อนแสงสีขาวที่เริ่มควบแน่นรวมกันเป็นรูปร่าง

 

กลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วมันคือวิหค วิหคที่ตลอดทั้งร่างเป็นสีขาว

 

วิหคขาวโผบิน เวียนวนรอบกายกู่ฉิงซานสองสามรอบ

 

ก่อนที่มันก็เอ่ยออกมาอย่างเปรมปรีดิ์ “ในที่สุด ข้าก็มีเวลาได้พักหายใจเสียที”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.388 – สมบัติล้ำค่า

 

ภายในถ้ำมืด

 

กระแสลมแรงพัดพาลมหนาวปะทะกับร่างมากมาย ส่งเสียงหวีดหวิวไม่หยุด

 

ตามด้วยเสียงที่ฟังดูเศร้าใจดังสะท้อนขึ้นมา

 

“ช่างน่าสมเพชนัก! ข้ามิอาจทนเฝ้ามองพวกเจ้าได้อีกต่อไปแล้ว!”

 

ในตำแหน่งเดิมของอสูรกาย เผ่ามารทั้งหมดกำลังแนบกายคุกเข่าลงกับพื้น ทั้งตนทั้งร่างสั่นสะท้านเป็นฟืนเป็นไฟ

 

พวกมันราวกับกำลังได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมิอาจบอกบรรยายได้ แต่อย่างไรก็ตาม พวกมันยังคงปิดปากเงียบ มิได้แก้ตัวหรือเอ่ยสิ่งใดออกไป

 

เสียงเศร้าใจดังขึ้นอีกครั้ง “แต่นี่ก็มิอาจตำหนิพวกเจ้าได้สักทีเดียว อันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำนั่นเอาแต่หลับไหล นอนนิ่งอยู่กับพื้นต่างหาก”

 

มันถอนหายใจออกมา

 

“เฮ้อ จงตายไปเสียให้หมด”

 

และด้วยเสียงนี้ พื้นหินโดยรอบที่กระเทือนเพราะอาการสั่นกลัวของเหล่ามารก็พลันตกอยู่ในความเงียบงันทันที

 

เผ่ามารทั้งหลายหยุดสั่นสะท้าน

 

ก่อนที่ร่างกายของพวกมันจะค่อยๆละลายสลายไป

 

เวลาล่วงเลยไปอีกสักเล็กน้อย จึงบังเกิดอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นตามมา

 

“ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือนำอสูรกายดัดแปลงไร้ศีรษะอีกตนหนึ่งมารับหน้าที่แทนดีไหม?”

 

เสียงที่เปล่งออกมาในตอนแรกก่อนหน้านี้เอ่ยตอบ “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ว่าแต่เจ้าสามารถค้นหาร่างจิตวิญญาณตนนั้นได้หรือไม่?”

 

“มิอาจค้นหาได้ มันเหมือนกับว่าเขากำลังอยู่ในสายธารแห่งการหลงเลือน และสายธารแห่งการหลงเลือนกำลังห่อหุ้มเขาอยู่”

 

“ไม่เพียงถึงขั้นล่อลวงอสูรกายได้ แต่ยังได้รับการปกป้องคุ้มครองจากสายธารแห่งการหลงเลือนอีก เจ้ามนุษย์ผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรมันก็จักต้องตาย!”

 

“แต่สายธารแห่งการหลงเลือนน่ะตัดขาดกับโลกภายนอกทั้งหมด ไม่เว้นกระทั่งข้อมูลข่าวสาร แล้วเช่นนั้นพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?”

 

“มาเถิด อันดับแรกก็ไปดูจุดที่เชื่อมต่อระหว่างปรภพกับโลกมนุษย์กันก่อน”

 

ว่าแล้วสองเสียงก็หายไป

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก

 

ภายในถ้ำมืด ก็บังเกิดรอยแยกมิติอันเชี่ยวกราดขึ้น

 

และเงาทั้งสองก็ออกมาจากอากาศที่บางเบา

 

หนึ่งในสองเงามืดได้เหยียดมือออกไป และสัมผัสเข้ากับรอยแยกมิติทีว่านั่น

 

ปัง!

 

แต่แล้วจู่ๆมือของเขาก็ถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงอย่างฉับพลัน!

 

“ดูเหมือนว่ามันจำต้องใช้เวลามากกว่าที่คาดอีกหน่อย – กำแพงป้องกันของโลกยังไม่พังทลายลง แถมพวกเราก็ยังแกร่งเกินกว่าที่จะเข้าแทรกแซงได้”เสียงเศร้าใจกล่าว

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ให้พวกที่หลุดออกมาจากปรภพรับหน้าที่จัดการในส่วนนี้ก็แล้วกัน”

 

“จริงด้วยสิ! ยังมีพวกมันอยู่นี่นา งั้นเราก็ให้พวกมันค้นหาร่างกายมนุษย์ของเจ้าจิตวิญญาณนั่นในโลก จากนั้นก็ทำลายมันเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว!”

 

“ตราบใดที่กายมนุษย์ถูกทำลายลง ไม่ว่าจิตวิญญาณของมันจะซุกซ่อนอยู่ที่ใดในสายธารแห่งการหลงเลือน สุดท้ายมันก็ต้องตกตายลงอยู่ดี!”

 

และด้วยการสนทนาสบายๆระหว่างทั้งสองเสียงนี้เอง ก็พลันบังเกิดสายลมกรรโชกแรงออกจากถ้ำมืด ลอยล่องออกไปยังมิติที่ว่างเปล่า มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางโลกมนุษย์

 

ไม่นานนัก นรกทั้งสี่ก็ได้รับแจ้งคำสั่งที่ถูกส่งไปให้

 

ภายในถ้ำมืด บังเกิดเสียงถอนหายใจดังออกมา “เพียงแค่มดตัวจ้อย แต่กลับต้องสูญเสียไปถึงเพียงนี้ นี่มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”

 

แต่แล้วในตอนนั้นเอง ก็ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างบังเกิดขึ้น ทั้งสองร่างเงาเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จู่ๆจะเริ่มแสดงท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อยออมกา

 

“เจ้ารู้สึกถึงมันไหม?”

 

“รู้สึกสิ หากเป็นเช่นนี้ ในไม่ช้า โลกก็จะกลายเป็นผลไม้อันหอมหวานของพวกเราแล้ว!”

 

“ไปกันเถิด! พวกเราไปจัดการเรื่องของโลกใบนี้ให้มันจบๆไป แล้วจึงค่อยมาเป็นกังวลว่าเมื่อใดจะพร้อมกับการเก็บเกี่ยวผลไม้สุกงอมจากโลกใบอื่นจึงจะสมควรกว่า”

 

และร่างเงาทั้งสองก็จากไป

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ณ ปรภพ

 

ภายในเบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือน

 

หญิงในชุดคลุมฟ้าเอ่ยถาม “ใต้เท้า แท้จริงแล้วท่านป็นผู้ใดกันแน่?”

 

คราวนี้ มันเป็นคำถามที่ดูเป็นทางการ

 

ดาบพิภพเอ่ยกระซิบ “บนตัวนาง มีพลังอำนาจแห่งกฏเกณฑ์ของปรภพอยู่”

 

กู่ฉิงซานผงกหัวเล็กน้อย

 

ทว่าหญิงเบื้องหน้า มิใช่มีแค่กฏเกณฑ์ของปรภพเท่านั้น

 

ตามร่างกายของนาง ยังถูกห่อหุ้มและแทรกซึมไปด้วยแสงสีฟ้าเจิดจรัสของน้ำอีกด้วย

 

เมื่อกู่ฉิงซานมองไปยังแสงน้ำสีฟ้า บรรทัดเส้นแสงก็เด้งออกมาจากหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ค้นพบแหล่งที่มาของสายธารแห่งการหลงเลือน : น้ำแห่งต้นกำเนิด”

 

แท้จริงแล้วกลุ่มแสงน้ำสีฟ้านี้ คือน้ำแห่งต้นกำเนิดของปรภพนั่นเอง!

 

ครอบครองกฏเกณฑ์แห่งปรภพ แถมยังมีน้ำแห่งต้นกำเนิด นี่ทำให้พอจะอธิบายได้ว่าสถานะของหญิงผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับกลายเป็นเคร่งขรึมมากขึ้น

 

เขาประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือ โค้งคารวะและกล่าวว่า “ผู้น้อยกู่ฉิงซาน ผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์ เพราะนรกได้ปรากฏขึ้นในโลก ดังนั้นผู้น้อยจึงใช้เทคนิคลับแยกจิตวิออกจากกาย เพื่อมาตรวจสอบสถานการณ์จากทางฝั่งปรภพนี้”

 

สีหน้าของหญิงชุดคลุมฟ้าค่อนข้างประหลาดใจ

 

ปรากฏว่าแท้จริงแล้วเขาคือ คนเป็น?

 

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่โลกมนุษย์มีความสามารถเช่นนี้ ถึงขั้นถอดจิตเดินทางมาถึงปรภพได้?

 

เธอจ้องมองอีกฝ่าย และจู่ๆก็เปล่งเสียงเรียกออกมา “เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล”

 

เสียงดังขานรับขึ้นทันใด “กระผมเอง! กระผมอยู่นี่! ได้โปรดสั่งมาได้เลย!”

 

น้ำเสียงของมันค่อนข้างจะประจบสอพลอเล็กน้อย

 

ขณะที่กู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที

 

เนื่องเพราะในยามที่ตนเอ่ยถาม เจ้าเครื่องจักรนี่กลับแลดูไม่ใส่ใจ ทว่าพอหญิงชุดคลุมฟ้าเพียงเรียกขานคำหนึ่ง มันกลับเสนอหน้าทันที

 

“เขาคือคนเป็นหรือไม่?” หญิงชุดคลุมฟ้าเอ่ยถาม

 

“มิผิดแล้ว เพราะหากอ้างอิงตามกฏเกณฑ์ ชายผู้นี้นับว่าคือคนเป็นอย่างแท้จริง ดังนั้นเลขบุญของเขาจึงเป็น ‘0000’ ” เครื่องจักรคำนวณบุญกล่าว

 

หญิงชุดคลุมฟ้าพยักหน้า ขณะนี้เธอเชื่อสนิทใจแล้ว

 

เนื่องจากเขาเป็นมนุษย์โลก ดังนั้นสิ่งต่างๆก็น่าจะสมเหตุสมผล

 

หญิงชุดคลุมฟ้าโค้งกายลงเล็กน้อยและกล่าวว่า “ในปรภพ ทุกคนจะเรียกขานข้าว่าฉานนู่ เจ้าสามารถเรียกข้าด้วยชื่อนั่นก็ได้เช่นกัน”

 

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานประสานฝ่ามือไปทางอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท

 

“มีทั้งสิ้น 4 นรกปรากฏขึ้นในโลกกระนั้นหรือ?” หญิงชุดคลุมฟ้าถอนหายใจ

 

“ถูกต้อง และเวลาของพวกเราก็ใกล้จะหมดลงแล้ว”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอธิบายถึงสถานการณ์ของโลก บอกแม้กระทั่งความตั้งใจของตัวเขาเอง

 

หญิงชุดคลุมฟ้าพอได้ฟัง ทัศนคติของเธอก็อ่อนโยนลงไปหลายส่วน

 

แล้วเธอก็เปลี่ยนคำเรียกขาน “นายน้อย แล้วเหล่าสหายของเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาเล่า เป็นอย่างไรกันบ้าง?”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถในการช่วยโลก แต่ข้าคิดว่าพวกเขาดูจะรู้สึกตื่นเต้นกันมาก ยามที่อยู่บนโลก”

 

สีหน้าเย็นชาของหญิงชุดคลุมฟ้าจางหายไปอย่างสมบูรณ์ “งั้นก็ดีแล้ว”

 

เธอรำพึงอยู่สักครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “แต่น่าเสียดายที่ข้ากำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ จึงไม่สามารถช่วยเจ้าได้ในขณะนี้”

 

กู่ฉิงซานมองออกไป และเห็นแค่เพียงน้ำแห่งต้นกำเนิดบนตัวหญิงชุดคลุมฟ้า กำลังห่อมหุ้นกายและแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเธอบ้างเป็นครั้งคราว

 

ร่างกายของเธอดูค่อนข้างจะโปร่งใส เปรียบดั่งภาพฉายที่ไม่เสถียรมั่นคง

 

หญิงชุดคลุมฟ้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผายมือของเธอออกไป

 

ภายในมือของเธอ มีหมอกสีฟ้าที่จับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่

 

“จงนำสิ่งนี้ไป อย่างน้อยพลังอำนาจที่เหลืออยู่ของปรภพก็ยังน่าจะพอกู้คืนภาพลักษณ์ให้แด่ข้าได้  รับร้องว่ามันจะไม่ทำให้เจ้าต้องอับอายหรือผิดหวัง”

 

“โอ๋? ขอบพระคุณท่าน”

 

กู่ฉิงซานรับมันมาอย่างระมัดระวัง และสัมผัสได้ถึงไอเย็นจากกลิ่นอายของนาง

 

ทว่าความเย็นจากกลิ่นอายนี้มิได้มีพลังพิเศษใดๆ มันแค่ช่วยให้กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนแปลงไปก็เท่านั้น

 

นอกจากนี้ เขายังสามารถควบคุมกลิ่นอายที่ว่านี้เพื่อทำการปลดปล่อยมันออกมาเมื่อใดก็ได้

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานรู้สึกคลายลง

 

หญิงชุดคลุมฟ้าพยักหน้าให้กู่ฉิงซาน และในที่สุดก็กล่าวว่า “นี่คือกลิ่นอายของข้า และด้วยกลิ่นอายนี้ อาวุธที่เหลืออยู่ก็จักช่วยเจ้า”

 

อาวุธ?

 

กู่ฉิงซานดูจะไม่มีเวลามากพอที่จะเอ่ยถาม เขายกมือประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่ายและกล่าวเพียง “ขอบพระคุณท่าน”

 

“เจ้าไปเถอะ ส่วนข้า หากสามารถรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว จักก้าวเข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้งเอง” หญิงสาวกล่าว

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ หยิบขวดเม็ดยารักษาคุณภาพเยี่ยมที่สุดออกมา และมอบมันให้อีกฝ่าย

 

“นี่นับว่าเป็นเม็ดยาที่ดี แต่ข้ามิอาจใช้มันได้” หญิงชุดคลุมฟ้าโบกมือและกล่าว

 

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายต้องการจะให้ความช่วยเหลือ เธอก็ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็กล่าวว่า “เจ้ามีหยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผา , ดินเยือกแข็ง และศิลาวิญญาณสีชาดอายุหมื่นปีหรือไม่?”

 

คิ้วของกู่ฉิงซานชมวดเข้าหากัน

 

หยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผา คือศิลาวิญญาณที่บรรจุธาตุไฟเอาไว้อย่างมหาศาล แถมมันยังต้องอยู่ในภูเขาที่อุดมไปด้วยจิตวิญญาณธาตุดิน โดยที่ไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยวหรือขุดค้นมัน หลังจากนั้นนับไปอีกราวๆ 1000 ปี ศิลาวิญญาณธาตุไฟกับจิตวิญญาณธาตุดินก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่ง และถือกำเนิดหยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผาขึ้นเป็นครั้งคราว

 

ดินเยือกแข็ง เกิดจากดินแดนที่มีจิตวิญญาณธาตุน้ำแข็งอันหาได้ยากยิ่ง หลังจากที่เกิดการทับถมในสถานที่ๆมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด ชั้นดินน้ำแข็งก็จะเติบโต และหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเฉพาะแล้ว มันก็จะผลิตดินวิเศษนี้ขึ้น

 

ส่วนศิลาวิญญาณสีชาดก็หาได้ยากไม่แพ้กัน เพราะมันต้องตกตะกอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในระยะเวลาหลายพันปี และนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า

 

กู่ฉิงซานงึมงำแต่ไม่ตอบคำถามกลับไป

 

หญิงชุดคลุมฟ้าดูจะเร่งร้อนอยู่เล็กน้อยเช่นกัน เธอกล่าวว่า “ปรภพน่ะเกือบจะตายแล้ว ข้าจึงต้องการที่จะรักษาตัวให้เร็วที่สุดและสิ่งเหล่านี้ก็มีความจำเป็น เลยเอ่ยถามเจ้าออกไป หากเจ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร”

 

กู่ฉิงซานเก็บขวดใส่เม็ดยาคุณภาพเยี่ยมลงในถุงสัมภาระ และหยิบเขาถุงหอมหลากสีออกมา

 

ไม่นานนัก เขาก็นำเอาหยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผา , ดินเยือกแข็ง และศิลาวิญญาณสีชาดอายุหมื่นปี ออกมา

 

ศิลาวิญญาณสีชาดอายุหมื่นปี นับว่าหาได้ยากยิ่ง แม้กระทั่งนิกายร้อยบุปผาก็ยังมีไว้ในครอบครองอยู่เพียงหนึ่งเท่านั้น

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของนิกาย

 

“เชิญรับ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

หญิงชุดคลุมฟ้าเห็นเขาแสดงน้ำใจออกมา ตนก็เดินไปรับมัน

 

เธอมองลึกเข้าไปในแววตาของกู่ฉิงซานและกล่าว “ขอบพระคุณมาก ตอนนี้ข้าจะเริ่มปิดด่านรักษาตนแล้ว คาดว่าพวกเราคงจะได้พบกันอีกครั้งที่สนามรบนะนายน้อย”

 

ทั้งสองประสานมือขนานกับอก และโค้งกายคารวะให้กันและกันเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปากสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของปรภพ แต่กลับเห็นแค่เพียงหญิงในชุดคลุมฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนแสงแล้วจมหายลงไปในใต้พื้นหินเสียก่อน

 

กู่ฉิงซานชะงักงัน

 

อ่าวไปซะแล้ว? นี่นางใช่รีบร้อนเกินไปหรือไม่?

 

พื้นหินที่เคยแยกแตกออก ค่อยๆปิดตัวลง

 

และพื้นหินนี้ เป็นสิ่งที่ดาบพิภพมิอาจทำลายได้

 

อีกฝ่ายหายเข้าไปในนั้น และจากไปในพริบตา

 

นี่–

 

ในขณะที่กู่ฉิงซานยังคงตกใจ สองดาบก็ปรากฏออกมาข้างกายเขาหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา

 

พอได้สติกลับคืน กู่ฉิงซานจึงเริ่มนำทั้งสองดาบหันหลังมุ่งหน้าเดินต่อไป

 

หลังจากที่เขาเดินสำรวจเบื้องล่างของสายธารมาได้สักพัก

 

จู่ๆเสียงของดาบพิภพก็ดังขึ้น

 

มันเอ่ยด้วยความสงสัย “สิ่งที่เจ้าให้ไป มันล้ำค่าเกินไปหรือไม่?”

 

ดาบเช่าหยินก็ส่งเสียงฉวัดเฉวียนแสดงบอกกล่าวว่าเห็นด้วยกับดาบพิภพเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ที่ข้าให้ไปนั่นก็เพราะนางมีกลิ่นอายของกฏเกณฑ์แห่งปรภพ แถมยังเป็นคนฝ่ายเดียวกับปรภพ ในยามแรกที่พบเจอ เจตนาฆ่าที่นางเปล่งออกมาสมควรเป็นเพราะว่านางพึ่งกลับมาจากสนามรบเป็นแน่ -ขะ ข้ารู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน นี่ไม่น่าจะผิดพลาด”

 

แต่แล้วกู่ฉิงซานไม่อาจแถได้อีกต่อไป

 

เพราะอย่างไรเสีย ทั้งสองก็พึ่งจะพบเจอกันเป็นครั้งแรก

 

ถึงแม้ว่าอีกฝั่งจะเป็นคนฝ่ายเดียวกัน แต่เขาก็ไม่เห็นจำเป็นต้องดีกับผู้หญิงคนนั้นมากขนาดนี้เลยก็ได้นี่นา?

 

ยิ่งคำที่กล่าวออกมา มันยิ่งไม่ใช่เหตุผลที่ต้องนำสมับติล้ำค่าไปมอบให้แก่อีกฝั่งเลย

 

ฝีเท้าของเขาหยุดกึกลงอย่างกระทันหัน

 

นี่ชักจะเป็นปัญหาจริงๆซะแล้วสิ ทำไมตัวเองถึงได้ทำแบบนั้นลงไปกันแน่นะ?

 

กู่ฉิงซานยกสองแขนขึ้นกอดอก กล่าวด้วยความสับสนว่า “ข้าคิดว่านี่มันไม่ถูกต้อง”

 

“ข้ามิใช่พวกหน้าม่อ แล้วเพราะเหตุใดกันข้าจึงไม่เลือกที่จะปฏิเสธนาง?” เขาตริตรองและกล่าว

 

“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเทหมดทั้งหน้าตัก – ตกลงว่าเจ้าชมชอบนางใช่หรือไม่?” ดาบพิภพแซว

 

และดาบเช่าหยินก็ส่งเสียงฮึมฮัมสนับสนุน

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ข้ามิได้ชอบนาง อ่า .. นอกจากนี้ข้าจะไปชมชอบคนที่พึ่งเคยพบเจอกันเพียงครั้งเดียวได้อย่างไร?”

 

เขาเอ่ยถาม “แต่ก็ไม่เข้าใจจริงๆนะ ว่าเหตุใดข้าจึงทำเช่นนั้นออกไปกันแน่?”

 

“ก่อนหน้านี้ต่อให้ได้พบเจอกับหญิงงามที่แสนโดดเด่น ข้าก็มิเคยกระทำเช่นนั้นออกไปเลย”

 

ดาบพิภพทำเสียงจิ๊จ๊ะ “ข้ามั่นใจว่าเจ้ามิได้โดนวิชาหรือเทคนิคมนตราที่ทำให้ลุ่มหลงแต่อย่างใด ดังนั้น คำที่เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าใช้เรียกขานการกระทำนี้ นั่นก็คือ–”

 

“รักแรกพบใช่ไหม?”

 

“ไม่สิ หรือบางทีอาจเรียกว่าพวกที่ในหัวมีแต่เรื่องเรื่องอย่างว่า?”

 

กู่ฉิงซานปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่ละ ข้าไม่เคยมีจิตหมกมุ่นระหว่างชายหญิงใดๆในทำนองนั้น”

 

เขาเอ่ยถามอีกครั้ง “ว่าแต่เจ้าสัมผัสได้ถึงกฏเกณฑ์แห่งปรภพจากนางหรือไม่ พอจะทราบหรือเปล่าว่านางเป็นสิ่งใด?”

 

“ไม่มั่นใจนัก น้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนที่ห่อหุ้มกายนางมันรบกวนข้ามากเกินไป แต่ข้าสามารถตัดสินได้ว่านางมิใช่การดำรงอยู่ประเภทผีหรือวิญญาณ” ดาบพิภพกล่าว

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงและคิดไตร่ตรองเงียบๆอยู่สักพัก

 

และทันใดนั้นเขาก็เปิดปากเอ่ยออกมาว่า “เข้าใจแล้ว มันมิใช่จิตหมกมุ่น แต่มันเป็นความรู้สึกอีกอย่างที่แตกต่างกันออกไป”

 

“แล้วมันคืออะไร?” ดาบพิภพเอ่ยถาม

 

“ข้าเองก็จำไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม มันเป็นความรู้สึกหนึ่งที่ข้าเคยมีมานานแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่ทันคิดตริตรอว และช่วยเหลือนางโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย”

 

“หากลองคิดจากในมุมมองนี้ ก็จะพบว่าสิ่งที่นางต้องการมันค่อนข้างแปลกเช่นกัน” ดาบพิภพกล่าว

 

“ถูกต้องแล้วล่ะ สามสมบัติล้ำค่านี้มิได้มีไว้ใช้รักษาตัวตามปกติ ข้าคาดว่าบางทีนางอาจจะนำไปเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์อื่น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาเอ่ยอย่างต่อเนื่อง “แต่สามสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ มีวิธีการใช้งานที่หลากหลายยิ่ง ดังนั้นข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เหมือนกันว่านางจะใช้พวกมันทำอะไร”

 

หนึ่งคนสองดาบเดินอยู่บนเบื้องล่างของสายธาร ขณะเดียวกันก็คอยวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ

 

แต่แล้วทันใดนั้นเอง สามบรรทัดเส้นแสงตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นในหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“นรกได้เริ่มลงมือในโลกของคุณแล้ว และพวกมันกำลังเริ่มต้นค้นหากายมนุษย์ของคุณ”

 

“คุณจะต้องค้นหาทางออกสำหรับปัญหาทั้งหมดนี้ ก่อนที่พวกมันจะค้นพบร่างกายของคุณ”

 

“หากคับขันจริงๆ คุณก็จำเป็นต้องกลับไปที่กายมนุษย์ของตน เพราะหากกายมนุษย์ถูกทำลาย นั่นจะหมายความว่าคุณได้ตายไปแล้วจริงๆ”

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มหนักอึ้ง

 

“พวกเราคงต้องเร่งมือกันให้มากกว่าเดิมแล้ว”

 

เขายืดหลังตรง และพุ่งทะยานดั่งมังกรน้ำ แหวกว่ายสำรวจเบื้องล่างของสายธารอย่างรวดเร็ว

2 ตอน

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.387 – ท่านเป็นผู้ใด?

 

กู่ฉิงซานหยุดอยู่บนผิวน้ำอยู่ครู่หนึ่ง

 

เขายังไม่ได้จากไป แต่เฝ้ารอจนกระทั่งศพของอสูรกายลอยหายไปสุดสายตา

 

ความสงบเงียบกลับคืนสู่บริเวณโดยรอบ เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงสายลมและสายน้ำที่พัดเข้ามาในหูเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานถอนสายตากลับ และเริ่มทำการสำรวจรอบๆ

 

สายธารแห่งการหลงเลือนนี้เต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาที่ลอยล่อง ส่งผลให้ไม่สามารถมองเห็นขอบชายฝั่งแม่น้ำได้

 

ในวิสัยทัศน์ของเขา บัดนี้จึงมีเพียงเมฆหมอกเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานลอบสงสัยอย่างลับๆ

 

ตามตำนานแล้ว สายธารแห่งนี้สมควรที่จะเต็มไปด้วยคนตาย

 

และคนตายทั้งหมดจะต้องข้ามผ่านสายธารนี้ไปสู่นรกภูมิ หรือกลับคืนสู่สังสารวัฏไปเกิดใหม่

 

และที่สำคัญเลยก็คือ ในสายธาร สมควรที่จะมีเรือข้ามฟาก

 

—แน่นอน ว่านั่นคือสายธารแห่งการหลงเลือนของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ที่มีโครงกระดูกหญิงเป็นผู้รับหน้าที่พายเรือข้ามฟาก

 

แต่สำหรับโลกจริง หากอ้างอิงตามการปรากฏกายของเหล่าเครื่องจักรปรภพแล้ว เรือข้ามฟากก็สมควรจะเป็นเครื่องจักรเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานเฝ้ารออยู่สักครู่

 

แต่เขาก็ยังไม่พบเจอกับสิ่งใด

 

มันน่าแปลกใจนัก สิ่งมีชีวิตทั้งหมดโดยปกติแล้วจะมาถึงที่นี่หลังจากที่ตายลง แม้ว่าเส้นทางจะถูกปิดกั้นก็ตามที แต่อย่างน้อยก็สมควรที่จะมีการดำรงอยู่ของเทพวิญญาณสิ

 

แล้วเพราะอะไรกัน? ทำไมปรภพจึงได้ว่างเปล่าเช่นนี้?

 

กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องเอ่ยถามออกมา “ระบบ ทำไมฉันถึงไม่เจอกับสิ่งมีชีวิตอื่นเลยล่ะ?”

 

ติ๊ง!

 

ระบบตอบกลับ “นั่นเพราะในปรภพมีแต่คนตาย ดังนั้นจึงไม่อาจพบเจอกับสิ่งมีชีวิตได้”

 

กู่ฉิงซาน “โอ๊ย เรื่องนั้นฉันรู้น่า ไอ้สิ่งมีชีวิตอื่นที่ว่าน่ะ ฉันหมายถึงพวกผู้ดูแลหรือผู้พิทักษ์ปรภพน่ะ”

 

“ระบบเองก็ไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับปรภพ ขอให้ผู้เล่นโปรดทำการสำรวจปรภพด้วยตนเอง”

 

กู่ฉิงซานยอมแพ้ที่จะเอ่ยถามต่อ

 

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างงั้นก็ลงมือเลยแล้วกัน

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

“โปรดทราบ”

 

“คุณได้ทำการสังหารอสูรกายดัดแปลง ซึ่งนี่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของหกวิถี”

 

“ดังนั้น ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ ก็จะถูกรับรู้โดยโลกใบอื่นที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับพวกมันอยู่เช่นกัน ด้วยวิธีการพิเศษอันหลากหลายที่แตกต่างออกไป”

 

“และเนื่องจากผู้ที่สังหารอสูรกายจริงๆแล้วคือสายธารแห่งการหลงเลือน ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถที่จะรับพลังวิญญาณได้”

 

“คุณได้ทำการปลดล็อคภารกิจที่เกี่ยวข้องกับสมญาเฉพาะของเทพสงคราม”

 

“ร้องขอให้ผู้เล่นเฝ้าพยายามต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และสังหารอสูรกายอีกครา เพื่อที่จะทำการปลดล็อคสมญาเทพสงครามที่เกี่ยวข้อง”

 

กู่ฉิงซานพออ่านจบ ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว

 

นี่มันเป็นเหมือนกับฉากในตอนที่เขาได้รับฉายา ‘นักฆ่า’

 

สมญาเทพสงครามเป็นสิ่งดีที่ แต่ที่มันไม่สะดวกก็คือ ทุกครั้งเลย ระบบมันจะไม่ยอมบอกว่าสมญาที่ว่านั่นคือสิ่งใด

 

กู่ฉิงซานพยายามที่จะเอ่ยถาม แต่ระบบก็ไม่ยอมเอ่ยตอบ

 

ในเวลานั้นเอง เส้นแสงหิ่งห้อยอีกกลุ่มก็เด้งขึ้นมาบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“การกระทำของคุณได้ดึงดูดความสนใจจากบางสิ่งของปรภพ”

 

“ร้องขอให้ผู้เล่นให้ความสนใจเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะรอดชีวิตอยู่ต่อไปในปรภพหรือไม่”

 

ณ จุดนี้ ดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานจะถูกกระตุ้นเตือน เขาหันหัวไปตรวจสอบดูรอบๆ

 

ขณะเดียวกัน แถวตัวเลขเรืองแสงก็ลอยขึ้นเหนือศีรษะของเขา

 

“0000”

 

กู่ฉิงซาน “นี่มันอะไรกัน?”

 

เสียงตอบกลับ “สวัสดี กระผมต้องขอโทษจริงๆที่รบกวนนาย แต่ถ้านายเข้าสู่ปรภพ นายก็จะต้องมารวมอยู่ในสถิติของกระผม”

 

“แล้วคุณเป็นใครกัน?”

 

“กระผมคือเครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล ทุกคนที่เข้ามาในปรภพจะต้องถูกผูกมัดไว้โดยกระผม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กระผมได้วิเคราะห์เพื่อทำการตรวจสอบบุญได้ตลอดเวลา”

 

“และเมื่อผลวิเคราะห์ออกมาว่าบุญเป็นลบ คนตายก็จักต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปในนรก”

 

“ทว่าหากบุญเป็น 0 หรือ + พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องลงนรก แต่สามารถกลับคืนสู่สังสารวัฏไปเกิดใหม่ได้เลย”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าและชี้ไปที่เหนือหัวของเขาแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างงั้นทำไมของฉันถึงเป็น 0000 ?”

 

“เพราะนายคือ ‘คนเป็น’ และนายจะต้องตกตายลงจริงๆเท่านั้น กระผมถึงจะสามารถคำนวนบุญของนายได้ นี่เรียกว่าการตัดสินขั้นสุดท้ายของชีวิตส่วนบุคคล และจะสามารถทำได้เฉพาะหลังจากที่เขาเสียชีวิตและถูกกลบฝังลงแล้วเท่านั้น”

 

“เอ่อนี่ – ดูเหมือนว่าเลขข้างบนจะเด่นสะดุดตาเกินไปหน่อยนะ คุณช่วยไม่แสดงมันจะได้ไหม?” กู่ฉิงซานร้องขอ

 

“แน่นอนว่าย่อมได้” เครื่องจักรคำนวณบุณส่วนบุคคลกล่าว

 

และแทบจะในทันที ตัวเลขด้านบนหัวของกู่ฉิงซานก็หายไป

 

“แล้วทำไมคุณถึงไม่ไปโลกมนุษย์เหมือนกับเครื่องจักรอื่นๆล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เครื่องจักรคำนวณบุญกล่าว “กระผมจะบ้าจี้ตามเครื่องจักรอื่นๆไปที่โลกทำไมกัน? ในเมื่อฟังก์ชั่นการแสดงผลของกระผมน่ะ จะมีประโยชน์เฉพาะเมื่ออยู่ในปรภพเท่านั้นนี่นา”

 

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันและกล่าวว่า “เอาเถอะ พอดีว่าฉันมีบางอย่างต้องการที่จะถามจากคุณน่ะ”

 

“โอ๋? งั้นคงต้องขอแสดงความเสียใจล่วงหน้าแล้วล่ะ เพราะกระผมคงไม่สามารถพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องบุญได้”

 

“แต่มันเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเองนะ”

 

ทว่าคราวนี้อีกฝ่ายไม่ตอบสนองกลับ

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามออกไปอีกสองสามประโยค

 

แต่เครื่องจักรคำนวณบุญก็ยังคงเงียบ

 

ดวงตาของกู่ฉิงซานเริ่มขุ่นเขียว เวลานี้เขาราวกับกำลังโดนทิ้งให้โกรธเกรี้ยว เป็นบ้ายืนพูดจาอยู่คนเดียว

 

เขาหันไปมองรอบๆ

 

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ เขาก็คงต้องเริ่มต้นสำรวจก่อนเป็นอันดับแรก มุ่งมั่นพยายามที่จะหาความจริงเกี่ยวกับปรภพในก่อนหน้านี้

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู่ฉิงซานก็วาดดาบเช่าหยินออกไปอย่างง่ายดาย ทำการแยกสายธารออกจากกัน

 

บนพื้นผิวของสายธารไม่มีสิ่งใด ดังนั้นเขาจึงจำต้องลงไปเพื่อดูว่าอาจจะมีอะไรอยู่เบื้องล่างหรือไม่

 

เขายืดหลังตรง และทิ้งตัวดิ่งลงไปยังเบื้องล่างของสายธาร

 

กระแสน้ำแยกตัวออกเพื่อหลีกเลี่ยงและวนอยู่รอบตัวเขาอย่างเงียบๆ

 

บางครั้งในระหว่างทาง ก็จะมีบ้างที่พบเห็นสิ่งแปลกๆไหลไปพร้อมกับกระแสน้ำ

 

กู่ฉิงซานตกลงไปยังก้นสายธาร

 

ใต้ฝ่าเท้าของเขา เป็นหินสีขาวอมเทาอยู่ทั่วทุกพื้นที่ กู่ฉิงซานเรียกดาบพิภพออกมาและพยายามค่อยๆตัดเฉือนมันเบาๆ

 

ทว่ากลับบังเกิดประกายไฟสาดกระเซ็นสวนกลับมา

 

และตรงพื้นก้นสายธารยังคงอยู่ในสภาพเดิม

 

ดาบพิภพที่หนักกว่า 86.37 ล้านจิน น้ำหนักที่แม้กระทั่งแขนของอสูรกายก็ยังมิอาจแบกรับได้ แท้จริงแล้วกลับไม่สามารถตัดเฉือนพื้นหินเบื้องล่างสายธารอย่างงั้นหรือ???

 

“ไม่ว่าจะเป็นสายธารแห่งการหลงเลือน หรือพื้นหินนี่ มันก็ล้วนเป็นกฏเกณฑ์ของโลกปรภพทั้งสิ้น ดังนั้น ข้าจึงมิอาจสะบั้นมันได้” ดาบพิภพอธิบาย

 

“อ่า เข้าใจแล้ว ข้าก็แค่สงสัยเลยลองทดสอบดูก็เท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียด

 

ในที่สุด .. ในที่สุดตนก็มาถึงโลกปรภพเสียที

 

มองไปยังแต้มพลังวิญญาณที่ยังถูกใช้งานโดยสกิลก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทมบนหน้าต่างระบบเทพสงครามที่กำลังลดหลั่นลงอย่างต่อเนื่อง

 

นับว่าโชคดีจริงๆที่หลังจากเช่าหยินได้ทำการหลอมกลั่นหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนไป การจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญาณจึงช้าลง เชื่องช้าลงอย่างมาก

 

1000 แต้มพลังวิญญาณที่หายไปในทีแรก นับว่าคุ้มค่าจริงๆ

 

และเขาก็ยังเหลือแต้มพลังวิญญาณอยู่อีกมากกว่า 1000 แต้ม

 

กู่ฉิงซานเลือกทิศทางที่จะไปแบบสุ่ม และเริ่มต้นที่จะสำรวจ

 

เขาตัดสินใจที่จะลองพยายามเดินหาเบาะแสยาวๆจากเบื้องล่างของสายธารดูก่อน จนกว่ามันจะไกลพอสมควรจากถ้ำมืด จากนั้นจึงค่อยออกจากสายธารแห่งการหลงเลือนเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ภายนอกดู

 

ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นมาจากเบื้องหลังเขา

 

“กรุณา … รอก่อนสักครู่”

 

กู่ฉิงซานชะงักงันไป

 

เพราะเสียงนี้ .. มันมิใช่เสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล

 

เขาค่อยๆหันหน้ากลับไปอย่างช้าๆ ทว่าดันไม่พบสิ่งใด

 

บางทีมันอาจจะเป็นเสียงจากในกระแสน้ำ เพราะบ่อยครั้งที่จะมีสิ่งต่างๆที่มิอาจเข้าใจได้ถูกห่อหุ้มด้วยน้ำจากสายธารและไหลออกไป

 

ทว่าเวลานี้ กู่ฉิงซานกลับไม่พบอะไรแบบที่ว่านั่นอยู่ใกล้ตัวเขาเลย

 

อันที่จริงแล้วกล่าวได้ว่า ตั้งแต่ที่เขาตกลงไปในสายธาร ตนก็ได้กวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปและสำรวจรอบๆตัวตั้งแต่ตอนนั้น

 

จนกระทั่งถึงตอนนี้ จิตสัมผัสเทวะของเขาก็ยังถูกปลดปล่อยออกไปและปกคลุมในพิสัยหลายร้อยลี้

 

แม้ว่าการกระทำนี้ จะส่งผลให้กระทั่งผู้ฝึกยุทธระดับสูงบางคนก็ยังต้องเหนื่อยล้า หรือขี้เกียจเกินไปที่จะต้องมามุ่งสมาธิมาคอยสังเกตสิ่งรอบตัวก็ตาม แต่ตัวกู่ฉิงซานเองจะประมาทไม่ได้ และเขาจะไม่มีทางทำผิดพลาดเช่นนั้น

 

จิตสัมผัสเทวะกวาดไปมาสองสามรอบ

 

ทว่าเขาก็ยังไม่ค้นพบสิ่งใด

 

สิ่งนี้เองทำให้กู่ฉิงซานต้องเริ่มระวังตัวอย่างจริงจัง

 

กู่ฉิงซานหนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือ โค้งคารวะออกไปและเอ่ยถาม “ท่านผู้ทรงเกียรติ ไม่ทราบว่าท่านจักสามารถแสดงตนให้ข้าเห็นได้หรือไม่?”

 

“เจ้าสามารถจัดการกับอสูรกายได้ด้วยตัวคนเดียว ย่อมแน่นอนว่าข้าต้องการที่จะพบเจ้า โปรดรอสักครู่”

 

เสียงของผู้หญิงไม่เพียงฟังดูเหมือนค่อนข้างจะเย็นชา ทว่ายังคงแฝงไว้ซึ้งคำใบ้ของความหวาดระแวงและเจตนาฆ่าอยู่เล็กน้อย

 

และแน่นอน ว่ากู่ฉิงซานก็รับรู้ได้จึงเจตนาฆ่าที่ว่านั่นเช่นกัน

 

ทันใดนั้น ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นทันใด

 

“ท่านเป็นเครื่องจักรหมายเลขอะไร?” เขาเอ่ยถาม

 

“อาเร๊ะ? จริงๆแล้วเจ้าทราบอยู่แล้วหรือว่าข้าเป็นเครื่องจักร?” เสียงผู้หญิงเปล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

“แน่นอน เพราะข้าเคยได้พบกับพวกเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนามาก่อนแล้ว”

 

“เช่นนั้น เจ้าสมควรเป็นลูกค้าของพวกเขาใช่หรือไม่?”

 

“ไม่หรอก พวกเราเป็นสหายกัน”

 

“อย่างงั้นหรือ … ยังไงก็เถอะ ข้าไม่ยอมเชื่อเจ้าอย่างง่ายดายหรอก เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ เมื่อครู่แม้กระทั่งอสูรกายก็ยังมิอาจจับเจ้าได้ เจ้าจะต้องมีอะไรบางอย่างที่พิเศษออกไปอย่างแน่นอน” เสียงผู้หญิงยังคงหวาดระแวง

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานสงบลง

 

คาดว่านี่คงจะเป็น 1 ใน 88 เครื่องจักรจริงๆ

 

มันสามารถซ่อนตัวอยู่เบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือนได้ ฟังก์ชั่นความสามารถของมันกล่าวได้ว่าค่อนข้างแปลกทีเดียว

 

แต่แล้วจู่ๆก็เกิดประกายแสงวาบผ่านเข้ามาในหัวของกู่ฉิงซาน

 

จริงสิ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับทางปรภพก็ตามที แต่หากเขาสามารถนำเครื่องจักรที่ทรงพลังกลับไปยังโลกมนุษย์ได้ล่ะก็ กำลังรบของฝั่งเขาอาจจะเพิ่มพูนมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมก็ได้

 

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังคิด เขาก็ได้เอ่ยออกมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่า “ข้าเป็นสหายของเจ้าจริงๆนะ ข้ารู้ว่าเจ้าน่ะมีทั้งสิ้น 88 เครื่อง และจำนวนตัวเลขนี้ก็เป็นเพราะท่านเทพวิญญาณผู้สร้างน่ะเป็นผู้ที่เชื่อถือในเรื่องโชคลาง”

 

เสียงผู้หญิงแลดูครุ่นคิด “กระทั่งเรื่องนี้เจ้าก็รู้? เช่นนั้นเจ้าทราบหรือไม่ถึงโชคชะตาของเทพวิญญาณ?”

 

กู่ฉิงซานขบคิดคำกล่าวเดิมของเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาและกล่าวว่า ”เขาจบสิ้นแล้ว”

 

“โห แล้วเจ้ารู้อะไรอีกไหม?”

 

“เครื่องพิพากษาความปรารถนาน่ะต้องการเลือดในการกระตุ้น อ้อจริงสิ ส่วนเครื่องจักรที่ชอบกลั่นแกล้งผู้คนน่ะจะถูกเรียกว่าเครื่องจักรขจัดโทสะ แถมยังได้ยินว่าเป็นหวานใจคู่กัดของเครื่องจักรพิพากษาความปรารนาด้วยนะ”

 

เสียงผู้หญิงดูจะผ่อนคลายลง และเอ่ยพึมพำว่า “กระทั่งความลับในบรรดาเหล่าเครื่องจักรเจ้าก็ยังทราบ จิตวิญญาณมนุษยผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ศัตรู … ”

 

เจตนาฆ่าโดยรอบสลายไป

 

และโครม!

 

พื้นดินพลันสั่นไหว

 

กู่ฉิงซานกำลังเฝ้ารออย่างกระวนกระวาย

 

หินสีเทาที่แข็งแกร่ง – บัดนี้แตกแยกออกจากกัน

 

หินเหล่านี้ที่ซึ่งดาบพิภพก็ยังมิอาจตัดเฉือนได้ จู่ๆก็ถูกแยกออกจากกันเป็นสองฟากฝั่งอย่างรวดเร็ว!

 

ตามต่อด้วยมวลน้ำเปล่งแสงสีฟ้าที่แผ่ร่องรอยจางๆของกระแสไอเย็นออกมาโดยรอบค่อยๆยกตัวลอยสูงขึ้น

 

แล้วมวลแสงก็แตกกระจายออกเล็กน้อย

 

พร้อมกับการปรากฏกายของหญิงนางหนึ่งที่สวมใส่ชุดคลุมฟ้าที่มีสีสัน ร่างกายบอบบาง ผิวเปล่งปลั่งราวกับหยก  ริมฝีปากสีชาด คิ้วราวกับถูกปักร้อยเรียงโดยขนของนกหงสา ทว่าการแสดงออกทางสีหน้าโดยรวมแล้วยังคงดูเย็นชา

 

หญิงในชุดคลุมฟ้าโค้งกาย และค่อยๆเอ่ยถามออกมาว่า “ใต้เท้า แท้จริงแล้วท่านป็นผู้ใดกันแน่?”

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.386 – แสดงความนับถือแด่ทุกคน

 

ร่างของกู่ฉิงซานผุดออกมาอยู่ข้างกองโขดหิน

 

ด้วยสกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว ส่งผลให้เขาสามารถก้าวข้ามผ่านมายังจุดที่ห่างไกลออกไปได้ในทันที

 

ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นจากเบื้องหลัง ปรากฏกลิ่นอายร้ายแรงกวาดตามมา

 

นี่คือกลิ่นอายเฉพาะของอสูรกาย!

 

การดำรงอยู่ที่ชิงชังซึ่งสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

 

ฆ่าสังหารเพื่อความสุข

 

เมื่อรู้สึกถึงกลิ่นอายนี้ กู่ฉิงซานก็มิได้วิ่งหนีก่อนในทีแรก

 

คู่กรงเล็บของเขาจึกจมลึกลงบนผนังหิน คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ปากอ้าหอบหายใจหนักหน่วง

 

นี่คือกลิ่นอายเดียวกันกับในโลกก่อนหน้า

 

กลิ่นอายที่เป็นความทรงจำอันมิอาจลบเลือนออกไปได้

 

ภาพในอดีตพลุ่งพล่านเข้ามาในจิตใจดั่งกระแสธาร มันคือความทรงขำที่กู่ฉิงซานไม่ต้องการจะนึกถึง

 

—-

 

ใครบางคนตะโกนรายงานทั้งน้ำตาออกมา “นายพลกู่ กองกำลังติดอาวุธแนวหน้าได้ปะทะกับตัวตนที่มีลักษณะตรงตามข้อมูลของอสูรกายที่ถูกระบุไว้ แต่พวกเขาไม่ได้ตอบกลับมาเลย คาดว่าคงถูกสังหารลงโดยอสูรกายตนนั้นไปแล้ว!”

 

“จำนวนคนที่เสียชีวิตล่ะ?”

 

“ 300000! 300000คน! นายพลกู่!”

 

—–

 

ฟู่ว … ฟู่ว …

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ทว่ากลับสัมผัสได้ว่าหน้าอกของตนกำลังรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย

 

อากาศหนาวเย็นที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินถูกสูดดมเข้ามาในร่างกายของเขา มันได้ฝืนบังคับให้ตัวเขาสงบลงอย่างไม่เต็มใจ

 

หลังจากนั้นจิตสัมผัสเทวะก็ถูกปล่อยออกไปอีกที พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่หายวับไป

 

ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วครั้งที่สอง!

 

ทันใดนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางดงมาร

 

ที่นี่ยังคงมีเผ่ามารอยู่มากมาย และส่วนใหญ่ก็อยู่ในสภาวะตื่นตัวอยู่ก่อนแล้ว

 

พวกมันได้สร้างชั้นป้องกันขึ้นที่นี่

 

เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ นี่คือเส้นทางส่วนสุดท้ายก่อนการเข้าสู่ปรภพ

 

และเผ่ามารจะไม่อนุญาตให้ร่างจิตวิญญาณใดๆเข้าสู่ปรภพได้!

 

กู่ฉิงซานที่กำลังผวาถูกเบียด กระแทกไปมาโดยเผ่ามารตนอื่นๆจนโซซัดโซเซ

 

“เกะกะ! ตายซะ!”

 

เขาโบกกรงเล็บแหลมออกไปอย่างแทบจะไม่อาจควบคุม

 

เลือดสาดกระจายไปทั่วอากาศ

 

เผ่ามารระเบิดเสียงโหยหวนสยองขวัญออกมา

 

แล้วกู่ฉิงซานก็หายตัวไป

 

และโผล่ออกมาอีกครั้งท่ามกลางฝูงมารอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งห่างจากกลุ่มเดิมไปกว่าหลายร้อยลี้

 

เขาพยายามทะยานต่อไปข้างหน้าด้วยความสิ้นหวัง

 

เผ่ามารบางตนเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ

 

อย่างไรก็ตาม มันก็แค่นั้น พวกมันยังมิได้รับข่าวคราวใดๆ จึงยังไม่มีมารตนใดคิดจะกำจัดเขา

 

กู่ฉิงซานวิ่งเต็มกำลัง แต่แล้วจู่ๆเขาก็สะดุดขาตัวเอง ร่วงตกลงไปกลิ้งกับพื้น

 

นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอสูรกายที่ไล่ตามติดเขามาอย่างใกล้ชิด

 

ราวกับถูกกระตุ้นเตือน ภาพแห่งความทรงจำในส่วนลึกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

——–

 

ณ ภูเขาลูกหนึ่ง

 

บนภูเขา เต็มไปด้วยซากศพของมนุษย์

 

ขณะนี้ ใบหน้ายักษ์อันแสนดุร้าย โผล่ออกมาจากอีกด้านหนึ่งของภูเขา สายตาของมันจดจ้องมายังค่ายทหารเผ่ามนุษย์

 

“นายท่านกู่ รีบหนีไปเร็วเข้า หนีไปโดยเร็ว!”

 

“เจ้าไปเถอะ ข้าน่ะเป็นผู้ฝึกดาบ ดังนั้นคงจะสามารถถ่วงเวลามันได้สักพัก!”

 

ได้ฟังดังนั้น ฝูงชนทั้งกลุ่มก็ไม่คิดเปล่งวาจาอีกต่อไป ทั้งหมดช่วยกันรุมล็อคตัวเขา และฉุดลากออกไป

 

ขณะที่เหล่าผู้สวมใส่เกราะรบจำนวนมากและผู้บัญชาการอีกคนก้าวออกมาเบื้องหน้าเขา พร้อมกับทะยานตัวออกไปต้อนรับเจ้าอสูรกายถึงที่

 

“นายท่านจะตายไม่ได้! พวกเรามาช่วยหยุดมันกันเถิด”

 

“จงฟังคำสั่งข้า! กลุ่มแรกมุ่งหน้าไปก่อน!”

 

“ส่วนกลุ่มที่สอง มากับข้า!”

 

“ทุกคนเตรียมปะทะ!”

 

“สะกดมันไว้!”

 

แล้วใบหน้ายักษ์ที่มีขนาดเทียบเคียงกับภูเขาก็ค่อยๆอ้าปากของมันอย่างช้าๆ

 

ตามด้วยเสียงกรีดร้องระงมของนับไม่ถ้วนของผู้ฝึกยุทธมนุษย์

 

——-

 

แต่แล้วกระแสลมเย็นเยียบภายในถ้ำก็ถาโถมเข้ามา ปลุกกู่ฉิงซานให้ตื่นจากภวังค์

 

ร่างกายที่สั่นสะท้านของเขาหยุดกึกลง

 

พร้อมกับเจ้าตัวที่เปล่งเสียงตะโกนออกมาในฉับพลัน

 

“ไม่!”

 

เผ่ามารโดยรอบตอนแรกได้ยินเพียงเสียงสะอื้นครวญของมารกระดูกที่ล้มลง

 

จากนั้น จู่ๆมารกระดูกชะงักไป ยืนนิ่งไม่ไหวติง

 

เผ่ามารโดยรอบกำลังคิดว่ามันแปลกๆนะ แต่ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกเจ็บปวดอันรุนแรงก็แทรกเข้ามา

 

ร่างของพวกมัน ถูกตะปบ! แยกออกจากกัน ตกตายลงไปทั้งๆอย่างนั้น!

 

และมารกระดูกก็หายวับไปจากสายตาของฝูงมารทั้งหมด

 

ลึกเข้าไปข้างในห่างจากจุดเดิมหลายร้อยลี้ ร่างๆหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

ภายในถ้ำอันมืดมิด ตรงส่วนนี้เป็นทางเดินราบ และฟุ้งไปด้วยอากาศหนาวเย็นที่เกือบจะสามารถแช่ร่างมนุษย์ให้แข็งค้างได้

 

ทันใดนั้น จู่ๆจากในอากาศที่ว่างเปล่า เสียงของดาบพิภพก็ได้ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอันคลุ้มคลั่งของอสูรกายที่ปะทุขึ้น เจ้าต้องเร่งหนีให้ไวขึ้นยิ่งกว่านี้แล้ว!”

 

ฮู้มมมม!

 

เบื้องหลังเขา บังเกิดเสียงคำรามกึกก้อง สะท้อนสะท้านดังตามมาตลอดถ้ำมืด

 

ภายในถ้ำ บังเกิดลมพายุกรรโชกแรง

 

ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ปรากฏขึ้นแล้ว!

 

แม้จะเป็นความผิดปกติแค่เพียงเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้อสูรกายถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจริงๆ!

 

หัวใจของกู่ฉิงซานวูบดิ่งลง

 

เวลานี้ มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะกลับไปตามเส้นทางเก่า

 

วิธีเดียวที่จะรอดชีวิตออกจากที่นี่คือปรภพ!

 

ต้องหนีแล้ว!

 

หนีเต็มกำลัง!

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานตะโกนก้อง แต่ร่างของเขากลับยังคงยืนนิ่งงันไม่ไหวติง

 

ขณะที่กลิ่นอายของอสูรกายค่อยๆแข็งกร้าวขึ้น บ่งบอกว่ามันกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

ความรู้สึกสิ้นหวังในชีวิตก่อนหน้าได้แผ่เข้ามาห้อมล้อมกายเขา และเปิดประตูเข้าสู่ห้วงแห่งความทรงจำอีกครั้ง

 

——

 

บังเกิดเสียงอันเรือนรางจากส่วนลึกของความทรงจำดังขึ้น

 

“อะไรกันนี่ คนอย่างนายก็สามารถเป็นถึงผู้บัญชาการรบแห่งมนุษยชาติได้ด้วยอย่างงั้นหรอ?”

 

น้ำเสียงที่ฟังดูน่ารักทว่าห้าวหาญของหญิงสาวได้ดังขึ้น

 

“โอ๊ะโอ? นายได้ค้นพบไวน์ที่มีฤทธิ์รุนแรงที่สุดแล้ว? เจ้าโง่เอย … ก็ได้ๆ เพื่อตอบแทนความยากลำบากของนาย ราชินีแห่งการทำลายล้างคนนี้จะออกเดทกับนายเอง”

 

และเปลวไฟจากในจุดที่ห่างไกลก็โผบินเข้ามา สว่างวาบในทันใด

 

แน่นอน มันคือยันสื่อสาร และเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“ฉันจะรออยู่ที่พิกัด 571 ก็แล้วกัน มันค่อนข้างไกลกับที่อยู่ของนาย แต่ถ้านายต้องการ ก็มาหาฉันได้นะ”

 

“อา ใช่สิ เจ้าเด็กตัวเหม็น อย่าลืมเอาไวน์มาด้วยล่ะ เราจะได้ดื่มด้วยกัน”

 

แต่แล้วท่ามกลางการสนทนา จู่ๆก็บังเกิดเสียงของผืนดินที่ถูกพลิกตลบ!

 

บรึ้ม!

 

วี้ดดดด!

 

ตามด้วยเสียงของคู่สนทนาที่โวยวายออกมาด้วยความโกรธ “กู่ฉิงซาน นายคงจะมาที่นี่ไม่ได้แล้วล่ะ … เพราะตอนนี้ มันได้ถูกค้นพบโดยเจ้าอสูรกายแล้ว!”

 

พอได้ฟัง เจ้าตัวก็หันหลังกลับ และเร่งมุ่งหน้าไปที่นั่นทันทีโดยไม่คิดฟังคำเตือนใดๆ

 

บางคนในค่ายทหารวิ่งไล่ตามเขา ปากเปล่งวาจาลั่น “นายพลกู่! ได้โปรดกลับมาเถิด สถานที่แห่งนั้นน่ะมันจบสิ้นแล้ว”

 

ทว่าเขากลับทำตรงกันข้าม เจ้าตัวกลับเร่งฝีเท้ายิ่งขึ้น มุ่งตรงออกไปอย่างเต็มกำลัง

 

ชั่วชีวิตของเขา ไม่เคยวิ่งด้วยความเร่งร้อนอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อนเลย

 

ต้องรีบแล้ว!

 

ในที่สุด เขาก็มาหยุดยืนอยู่บนต้นไม้ เฝ้ามองไปยังสถานที่ห่างไกลในตำแหน่งที่นัดหมาย … เฝ้ามองดูเปลวเพลิงที่พวยพุ่งเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลก

 

เปลวเพลิงได้สาดสว่างขึ้นในแววตาทั้งสองข้างของเขา

 

และสุดท้าย .. มันก็มอดดับลง

 

ดับลงจนหมดสิ้น มิมีหลงเหลือ

 

แต่แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง!

 

“ได้สติซักทีสิกู่ฉิงซาน!”

 

ดาบพิภพกระโดดออกมาจากความว่างเปล่า ฟาดสันดาบลงบนไหล่เขา

 

กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน

 

เขาไม่เคยได้ยินเสียงของดาบพิภพที่ดูเร่งร้อนและวิตกกังวลขนาดนี้มาก่อนเลย

 

“รีบหนีเร็วเข้ากู่ฉิงซาน! อสูรกายกำลังเคลื่อนที่มาทางนี้แล้ว!”

 

ดาบเช่าหยินเองก็ผุดออกมาลอยอยู่เคียงข้างดาบพิภพเช่นกัน

 

นอกจากนี้ มันก็กำลังส่งเสียงฉวัดเฉวียนด้วยความกังวลมาทางเขา

 

—จริงสิ ตอนนี้ฉันกำลังหลบหนีอยู่นี่นา

 

ต้องวิ่งแล้ว!

 

กู่ฉิงซานกัดฟันกรอด

 

เขาลุกพรวดขึ้นทันใด และทะยานออกไปข้างหน้าหลายสิบจั้ง

 

ไม่ … หากใช้วิธีวิ่งหนีแบบนี้คงไม่พ้นแน่

 

เขาล้มเลิกที่จะโจนทะยาน และเริ่มต้นใช้ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วอีกครั้ง

 

เมื่อเทียบกับร่างเงาแทนที่ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วนับว่ากินพลังวิญญาณน้อยกว่าอยู่หลายส่วน!

 

และโชคยังดีที่ขณะนี้เขาอยู่ในร่างมาร ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวว่าตนจะไปปรากฏกายตกลงกลางดงมารและถูกโจมตีเลยในทันใด

 

แล้วเขาก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางดงมารจริงๆ ทว่าพริบตาเดียวก็หายวับไปอีกครั้ง

 

เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครา เขาก็ข้ามผ่านจุดเดิมมาไกล และได้มาถึงตำแหน่งรักษาการของเผ่ามารอีกจุดหนึ่ง

 

โดยไม่คำนึงถึงพลังวิญญาณ ใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว ส่งผลให้เขาสามารถมาถึงตำแหน่งที่ห่างไกลได้ด้วยความเร็วสูง

 

กู่ฉิงซานดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง

 

แล้วเขาก็นิ่งงันไปสักพัก

 

ช่วงเวลานั้นเอง กลุ่มก้อนความมืดก็พลันคืบคลานเข้ามาจากเบื้องหลัง และโอบเข้าปกคลุมเขาเอาไว้ได้ในที่สุด

 

มันเป็นมือขนาดยักษ์ที่มีขนสีดำ

 

และมือที่ว่าก็กระชากคว้าจับไปยังทิศทางของกู่ฉิงซานในทันใด!

 

แต่กู่ฉิงซานก็หายไปทันที

 

อย่างไรก็ตาม เบื้องหน้าเขา ก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้ปรากฏตัว มือยักษ์สีดำก็กำลังเฝ้าดักรอเขาอยู่ก่อนแล้ว

 

มือยักษ์สีดำกุมอากาศที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว และคว้าจับร่างของกู่ฉิงซานที่ปรากฏออกมา

 

“ฝ่ายตรงข้ามคืออสูรกายขั้นสูง ชักช้าไม่ได้แล้ว รีบใช้ข้าต่อกรกับมันเร็ว!!” ดาบพิภพกล่าวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย

 

“เข้าใจแล้ว!” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

กู่ฉิงซานคว้าจับดาบพิภพ และฟันออกไปเต็มกำลัง ตัดสะบั้นไปทางมือสีดำ

 

เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!

 

รังสีดาบอันไพศาลราวกับน้ำหลากโถมออกไปปะทะเข้ากับมือสีดำ ทว่ากลับทำได้เพียงเชือดเฉือนมันจนเกิดช่องโหว่ขนาดเท่าครึ่งตัวคนเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานจำต้องเอี้ยวหันตัวไปด้านข้าง และแทรกร่างผ่านช่องว่างอันเล็กจ้อยทะยานออกไปพร้อมกับรังสีดาบเบื้องหน้า

 

โฮกกกก!

 

น้ำเสียงแห่งความโกรธและไม่ยินยอมสะท้อนกังวานมาจากเบื้องหลังถ้ำลึก

 

ด้วยระยะที่แต่ละฝ่ายอยู่ห่างกันมากเกินไป

 

ทำให้อสูรกายไม่สามารถสำแดงพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้

 

กู่ฉิงซานหลุดออกจากมือดำ โดยไม่คิดเหลียวหลัง ตัวเขาก็ได้ใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วอีกครา!

 

พริบตาเดียว! เขาก็ไปผุดในระยะที่ห่างออกไปกว่าหลายร้อยลี้

 

ข้างหน้า

 

แสงสลัวสีเหลืองอ่อนๆท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด เริ่มปรากฏสู่สายตาแล้ว!

 

นั่นคือทางออกถ้ำ มันกำลังสะท้อนให้เห็นถึงแสงอันริบหรี่ของโลกปรภพ!

 

ร่างของกู่ฉิงซานหายวับไป และปรากฏขึ้นอีกคราทันใดที่ทางออก

 

และเขาไม่ลังเลเลยที่จะพุ่งออกไป

 

ฟิ้วววว!

 

ลมกรรโชกกระพรือไหว มันเกือบจะเป่าทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานให้ปลิวออกไป

 

รอบข้างเขาเวลานี้ คือทะเลเมฆอันไพศาล ไร้ที่สิ้นสุด

 

กู่ฉิงซานพบว่าตัวเองกำลังอยู่บนท้องฟ้าในมุมสูง และค่อยๆดิ่งลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง

 

มองลงไปข้างล่าง คือสายธารใหญ่ที่กว้างขวางไร้ที่สิ้นสุด

 

สายธารนี้มีสีเหลืองอ่อน และกระแสน้ำที่รุนแรง

 

บริเวณผิวน้ำมีหมอกหนาจับตัวกันอยู่ จนแลคล้ายกับก้อนเมฆที่อยู่เบื้องล่าง

 

กู่ฉิงซานไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในอากาศ เขาจึงทำได้แต่เร่งความเร็วในการทิ้งตัวตกลงมาให้ไวขึ้น

 

เขาปลดปล่อยสกิล ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต และกลับคืนสู่ร่างเดิมของตนเอง

 

เนื่องจากไม่มีเผ่ามารอยู่รอบๆอีกต่อไป ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องอำพรางกายเป็นมารแล้ว

 

อีกอย่าง ในกรณีที่ถูกค้นพบโดยกองกำลังของปรภพ เขาก็อาจจะได้รับบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจก็ได้

 

เมื่อกลับคืนสู่รูปร่างมนุษย์ ความเร็วในการบินก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างกระทันหัน

 

เบื้องหลังมีอสูรกายไล่ล่า จะนาทีหรือหนึ่งวินาทีตัวเขาก็มิอาจล่าช้าได้

 

ดาบเช่าหยินบินออกมา พร้อมกับเปล่งเสียงร้องฉวัดเฉวียนไปทางกู่ฉิงซานครั้งแล้วครั้งเล่า

 

ดูเหมือนว่ามันกำลังจะอธิบายอะไรบางอย่าง

 

“ข้าทราบดีว่านี่คือสายธารแห่งการหลงเลือนในตำนาน และมิอาจสัมผัสต้องได้!” กู่ฉิงซานกล่าวตอบ

 

สายธารแห่งการหลงเลือนในตำนาน คือการดำรงอยู่ของแม่น้ำใหญ่ที่มิอาจเข้าถึงได้

 

เว้นไว้แต่เพียงการดำรงอยู่ของคนตายในนรก และเมื่อก้าวเข้าสู่สายธารแห่งการหลงเลือน การดำรงอยู่ที่ว่านั้นก็จะลืมเลือนเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดที่ผ่านมา และจิตวิญญาณจะถูกส่งไปยังนรกหรือกลับคืนสู่สังสารวัฏ(เกิดใหม่)

 

นี่คือแม่น้ำใหญ่สำหรับคนตาย

 

นี่คือกฏเกณฑ์ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในปรภพ

 

ดาบเช่าหยินส่งเสียงฮึมฮัมอีกครั้ง

 

และกลิ่นอายของหยดน้ำสีเหลืองอ่อนก็ปรากฏขึ้นบนใบดาบ

 

นี่คือหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน

 

มันเป็นสิ่งที่โครงกระดูกชุดคลุมดำบอกเล่าว่ากว่าจะได้รับมันมา ตนต้องเฝ้าเพียรพยายามอย่างยากลำบากเพียงใด

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นทันใด

 

“ดาบเช่าหยินร้องขอคุณให้ทำการอนุญาตให้มันริเริ่มหลอมกลั่นหยดน้ำแห่งการหลงเลือนอันล้ำค่านี้ เพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากสายธารแห่งการหลงเลือน”

 

“ดาบเช่าหยินร้องขอ 1000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อช่วยมันในการหลมกลั่นหยดน้ำแห่งการหลงเลือน”

 

กู่ฉิงซานเร่งกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ฉันอนุญาต”

 

ในเสี้ยววินาที หยดน้ำสีเหลืองอ่อนก็กระจายหายไป แปรเปลี่ยนสภาพเป็นหมอกวนอยู่รอบๆบนดาบเช่าหยิน

 

ติ๊ง!

 

“การหลอมกลั่นเสร็จสมบูรณ์ ดาบเช่าหยินสามารถใช้ ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’ กับสายธารแห่งการหลงเลือนได้แล้ว”

 

แบบนี้มัน!

 

กระทั่งอสูรกาย ก็ยังมิกล้าที่จะก้าวล่วงเกินเข้าสู่สายธาร

 

จึงกล่าวได้ว่าตราบใดที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในสายธาร ตนก็จะสามารถรอดชีวิตจากวิกฤตในครั้งนี้ไปได้!

 

กู่ฉิงซานนำสองดาบออกมา หันคมดาบออกข้าง กางมันออกเป็นแนวนอนจนบังเกิดเสียงลมปะทะหวีดหวิว ทะลุออกจากชั้นเมฆและเตรียมร่วงปะทะเข้ากับผิวน้ำของสายธารแห่งหลงเลือน

 

และไม่จำต้องรีรอให้นานเกินไป กลิ่นอายของอสูรกายก็ปรากฏขึ้น

 

กลิ่นอายนี้เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าและการทำลายล้างอันไร้ที่สิ้นสุด

 

ระหว่างห้วงภวังค์ ความคิดหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซานอย่างมิอาจยับยั้งได้

 

หนีอย่างงั้นหรือ?

 

นี่ฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหนีอย่างงั้นหรือ??

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

ชั้นอากาศเบื้องบนที่สูงลิ่ว

 

ดาบ

 

แม่น้ำใหญ่

 

ลมกรรโชก

 

ฉากนี้ที่แสนจะคุ้นเคย

 

และภาพที่อยู่ลึกที่สุดในห้วงความทรงจำก็ปรากฏออกมา

 

——

 

ณ ค่ายทหาร

 

เสียงของเกราะเข่าที่กระแทกลงกับพื้นดินก้องกังวานขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

หลายพันหมื่นทหารกล้าคุกเข่าข้างหนึ่งลงโดยพร้อมเพรียง

 

“นายท่านกู่ ข้าก็ยินดีร่วมกระบวนท่ากับท่าน”

 

“มาร่วมกันทำให้มันเป็นกระบวนท่าที่สุดยอดกันเถิด”

 

“พวกเราขอยอมเป็นส่วนหนึ่งของทงกุ่ย!”

 

“ข้ายินดีแลกเลือดทุกหยาดของข้าเพื่อเปิดใช้งานทงกุ่ยกับนายท่าน!”

 

และเสียงตะโกน ก็ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ

 

จากนั้นเหล่าสรรพเสียงนับไม่ถ้วนก็แปรเปลี่ยนเป็นรังสีดาบ สาดแสงสว่างควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกล

 

ตามด้วยตัวเขาที่กำลังย่ำลงบนมวลมหารังสีดาบ เหินทะยานขึ้นไปในอากาศเบื้องบน

 

จากนั้น-

 

ฮู้มมม!

 

ดาบเช่าหยินส่งเสียงฉวัดเฉวียนอีกคราทันใด

 

กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน

 

เขาเงยหน้าขึ้นมอง

 

7-8 แขนยักษ์ผุดออกมาจากชั้นอากาศเบื้องบน

 

แขนเหล่านี้ บ้างยาว บ้างสั้น บ้างเย็นเยียบ ขณะที่บางอันปลดปล่อยหมอกสีเขียวน่าขวัญผวาออกมา

 

และพวกมันทุกแขน ล้วนอ้าฝ่ามือหมายจะคว้าจับไปยังร่างของกู่ฉิงซาน

 

“เช่าหยิน!” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงดัง

 

แล้วจู่ๆร่างเขาก็กระพริบไหว พุ่งเว้นระยะออกไกลออกไปในทันใด

 

เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง ร่างของกู่ฉิงซานก็อยู่ห่างจากผิวแม่น้ำใหญ่เพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น

 

ดาบเช่าหยินสั่นสะเทือน

 

ตามด้วยแสงสลัวสีเหลืองอ่อนลุกโชนแผดเผาออกมาจากใบดาบ

 

กู่ฉิงซานคว้าจับเช่าหยิน และจี้ปลายของมันออกไปเบื้องล่างของสายธาร

 

สายธารแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง เปิดช่องทางให้เข้าก้าวลงไปยังส่วนลึกของธารน้ำเบื้องล่าง

 

กล่าวได้ว่าสายธารแห่งการหลงเลือนได้ยอมรับเขาแล้ว!

จากนั้น ตราบใดที่กู่ฉิงซานมุ่งลงสู่เบื้องล่างธารน้ำ เขาก็จักปลอดภัย!

 

โดยไม่มีการหยุดพัก ร่างของกู่ฉิงซานเร่งดิ่งลงไปด้วยความเร็วสุดขีด ผ่ากลางทางแยกเข้าสู่ส่วนล่างของสายธารแห่งการหลงเลือน

 

500 เมตร

 

200 เมตร

 

30 เมตร

 

ถึงแล้ว!

 

กู่ฉิงซานได้มาถึงผิวน้ำเบื้องล่างของสายธาร ทว่าเขากลับหยุดยืนอยู่ตรงนั้น

 

“เกิดสิ่งใดขึ้น? เร่งหลบซ่อนตัวเร็วเข้า!” ดาบพิภพเร่งเตือน

 

ทว่ากู่ฉิงซานกลับยังคงยืนเงียบ

 

กระแสลมของสายธารพัดเป่าผมของเขาจนพริ้วไหว เสื้อผ้าที่สวมใส่กระพรือราวกับกำลังร่ายระบำ

 

เขายังคงหยุดนิ่ง

 

ขณะที่แขนข้างหนึ่งของอสูรกายตามมาถึงตัวเขาแล้ว

 

มันอ้าฝ่ามือออก และรวบ!กำกู่ฉิงซานเข้าไปในฝ่ามือ

 

ทว่ากู่ฉิงซานกลับหายวับไป และปรากฏตัวขึ้นเหนือฝ่ามือยักษ์และตบดาบพิภพลงบนมันสุดแรง

 

“ว๊ากกก!!”

 

เขาคำรามก้อง และกระแทกตบแขนของอสูรกายลงไปในสายธารด้วยเจตนาร้าย

 

แม้แขนยักษ์ถูกตบสับด้วยดาบพิภพ ทว่ามันก็มิได้รับบาดเจ็บใดๆแม้กระน้อย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อส่วนมือได้ถูกกระแทกร่วงตกลงไปสัมผัสกับสายธารแห่งการหลงเลือน มันก็สะดุ้งเฮือก และเริ่มดิ้นรนทันที

 

อย่างไรก็ตาม มันไร้ประโยชน์

 

เพราะนี่คือสายธารแห่งการหลงเลือน!

 

กฏเกณฑ์อันทรงพลานุภาพที่สุดของปรภพอยู่ที่นี่!!

 

หลังจากที่แขนยักษ์กระตุกอยู่สองสามครั้ง มันก็สูญสิ้นพลังทั้งหมดของตนไป

 

และค่อยๆจมลงสู่ก้นบึ้งเบื้องล่างของสายธาร

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากนี้และค่อยๆพยักหน้าอย่างแผ่วเบา

 

สายธารแห่งการหลงมิอาจสัมผัสหรือปนเปื้อนได้ มิฉะนั้นแล้ว ต่อให้เป็นอสูรกายก็ต้องประสบพบเจอกับความสูญสิ้น!

 

ราวกับว่าจะตระหนักถึงสถานการณ์ที่ว่านี้ แขนบนท้องฟ้าเบื้องบนทั้งหมดได้ถูกชักกลับคืน

 

เหนือท้องฟ้าไกลในมุมสูง

 

ใบหน้าของยักษ์ผุดออกมาจากทางออกถ้ำ และมองไปโดยรอบด้วยความเดือดดาล

 

มันก้มมองลงไปที่สายธารปรภพเบื้องล่าง

 

สายน้ำของสายธารพุ่งพล่านไปตามกระแส ดั่งเช่นลูกศรที่หลุดรั้งจนตึงแล้วหลุดจากสาย แลคล้ายกับฝูงอาชาที่ควบวิ่งอย่างไม่คิดจะหยุดยั้ง

 

ขณะเดียวกัน ก็ปรากฏมนุษย์ร่างเล็กจ้อยที่มิแตกต่างไปจากมดแมลงกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน สีหน้าของมันผู้นั้นไร้ซึ่งร่องรอยของความหวาดกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา

 

ยักษ์เปล่งเสียง ก๊าซซซ! คำรามด้วยความโกรธ

 

นี่มันปล่อยให้ดวงจิตวิญญาณของมดตัวจ้อยผ่านถ้ำมืดไปได้กระนั้นหรือ!

 

ต่อให้มันหลับอยู่ ก็ไม่น่าจะพลาดพลั้งเช่นนี้!

 

แถมเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยนั่น ถึงขั้นทำให้มันต้องทิ้งแขนข้างหนึ่งของตนเองไป!

 

“เห็นได้ชัดว่ามันเป็นแค่จิตวิญญาณชั้นต่ำที่อ่อนแอ แล้วมันสามารถผ่านข้าไปได้อย่างไร?”

 

ยักษ์มิอาจทำความเข้าใจได้

 

และมันก็ไม่อยากที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป

 

ยังไงก็ตาม เอาไว้หลังจากคร่ากุมตัวฝ่ายตรงข้ามได้ และทำการเคี้ยวจิตวิญญาณของมัน ตนก็จะสามารถเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดของอีกฝ่ายได้เอง

 

ตราบใดที่ได้รับความทรงจำ ยักษ์ก็จะสามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในพริบตา

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ยักษ์ใหญ่ก็ทิ้งตัวลงมาทันที!

 

แขนนับสิบที่ครอบครองพลังอำนาจแตกต่างกันเริ่มบินออกจากร่าง ร่ายระบำอยู่กลางอากาศรอบกายยักษ์

 

กล่าวได้ว่าความว่องไวของยักษ์เกือบจะเทียบเท่ากับย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วของกู่ฉิงซานเลย มันด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

มันทิ้งตัวจากเบื้องบน วิ่งเข้าหามนุษย์ผู้นั้นอย่างเต็มกำลัง!

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นเฝ้ามองอสูรกายที่ค่อยๆใกล้เข้ามา

 

ทว่าเขาก็ยังมิขยับกายเคลื่อนไหว

 

เขามิได้โบกสะบัดดาบเช่าหยิน จนกระทั่งอสูรกรกายเข้ามาอยู่พิสัยของจิตสัมผัสเทวะ

 

แล้วแม่น้ำใหญที่ไหลเชี่ยวจากสองฟากฝั่งก็แยกออกจากกัน

 

ตามด้วยกู่ฉิงซานที่จมลงไป

 

เขาจมลงไป

 

แน่นอน ว่าสายธารแยกเปิดพื้นที่ออก เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีน้ำสักหยดลงใส่ตัวเขา

 

“หยุดนะ เจ้าเผ่ามนุษย์ต่ำต้อย! ข้าต้องการความทรงจำของเจ้า!”

 

เสียงยักษ์คำราม

 

และกู่ฉิงซานก็จมหายลงไปในน้ำ

 

จมลงไป

 

ชั่วขณะหนึ่ง

 

จู่ๆกู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นกลางเวหาในทันใด

 

แต่ทั้งยักษ์ทั้งแขนนับสิบของมัน กลับไปปรากฏกายขึ้นในพื้นที่แปลกๆแทน

 

มันเป็นพื้นที่ที่ไม่มีหยดน้ำสักหยด

 

กระแสธารทั้งหมดแยกตัวออกไปราวกับกำลังหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนี้

 

น้ำสีเหลืองอ่อนๆส่องประกายระยิบ สะท้อนรูปร่างของยักษ์

 

แต่ฉากนี้ก็คงอยู่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น

 

สกิลก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทมน่ะ มันไม่ได้มีไว้ใช้กับอสูรกาย!

 

สายธารแห่งการหลงเลือนที่ครั้งหนึ่งเคยแยกออกเป็นพื้นที่ บัดนี้โถมลงปิดตัวอย่างรวดเร็ว

 

ด้วยเหตุการณ์นี้ ส่งผลให้บนผิวน้ำของสายธารเกิดกระแสน้ำหมุนวนขนาดใหญ่ขึ้น

 

และอสูรกายก็กำลังดิ้นรนสุดกำลัง

 

อย่างไรก็ตาม

 

มันไร้ประโยชน์

 

ย้ำอีกครั้ง นี่คือกฏเกณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปรภพ!

 

มันคือสายธารแห่งการหลงเลือน ที่จะช่วยให้คนที่สัมผัสมัน ลืมเลือนทุกสิ่งอย่าง ตัดห่วงอาทร แล้วหวนคืนสู่สังสารวัฏ!

 

มันพยายามดิ้นรนได้เพียงสองลมหายใจเท่านั้น อสูรกายคลั่งที่ทรงพลานุภาพและแสนร้ายกาจก็หยุดดิ้นรนอีกต่อไป

 

กู่ฉิงซานลอยอยู่เหนือผิวน้ำ กำลังเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ

 

ผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง

 

ศพของอสูรกายก็ลอยขึ้นมา

 

กู่ฉิงซานมองร่างอสูรกายและนิ่งงันไปครู่หนึ่ง

 

เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม ปากก็เอ่ยเสียงกระซิบ “ความทรงจำน่ะคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับฉัน ฉันไม่มีทางยอมยกมันให้แกหรอก”

 

ว่าแล้วเขาก็หยิบขวดไวน์เก่าๆขวดหนึ่งออกมาจากถุงสัมภาระ

 

จุกอุดถูกเปิดออก และไวน์องุ่นก็เอ่อล้นออกมา

 

กู่ฉิงซานผละมือของเขาออกจากมัน

 

ขวดไวน์เก่าร่วงตกลงไปในสายธาร ลอยล่องอยู่ข้างๆศพของอสูรกาย

 

“ขวดนี้เพื่อแสดงความนับถือแด่เหล่าสหายแห่งข้าทุกผู้คน”

 

กู่ฉิงซานเชิดหน้าขึ้น หยุดรออยู่สักครู่ เพื่อให้สายลมพัดเป่าใบหน้าที่เปียกชื้นของเขาจนกลับมาแห้งดังเดิม

 

“สหายทุกท่าน วางใจเถอะ ในชีวิตนี้นี่แหละ ข้าจะปกป้องพวกเจ้าทุกคนให้จงได้”

 

“ข้าสาบาน”

2 ตอน

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.385 – มารยักษ์

 

อสูรกายเอนหลังอิงผนังหิน ด้วยร่างกายอันใหญ่โตของมันทำให้เกือบจะปิดกั้นเส้นทางทั้งหมดที่จะนำไปสู่ปรภพ

 

มันกำลังหลับตา จมอยู่ในห้วงนิทรา

 

กู่ฉิงซานหุบกรงเล็บมอนสเตอร์ เบียดเสียดเข้าไปในฝูงเผ่ามารที่แออัดโดยรอบ และเคลื่อนกายไปทางอสูรกายอย่างช้าๆ

 

ข้างกายของอสูรกาย มีเพียงช่องว่างเล็กๆเอาไว้สำหรับไว้เผ่ามารทั่วๆไปใช้ผ่านทางเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานที่แฝงตัวอยู่ในฝูงมาร จ้องมองไปยังอสูรกายอย่างเงียบๆ

 

ด้วยการจ้องมองของเขา ส่งผลให้หน้าต่างระบบเทพสงครามเด้งแจ้งเตือนขึ้นมา

 

“นี่เป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตพิเศษ มันคืออสูรกายประเภทอาวุธ หากผู้เล่น หากคุณต้องการทราบข้อมูลแบบเฉพาะของอสูรกายชนิดนี้ จำเป็นต้อง 500 แต้มพลังวิญญาณ”

 

“ไม่จำเป็นหรอก เพราะฉันรู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร” กู่ฉิงซานลอบพูด

 

เขาพยายามสงบสติอารมณ์ สภาวะจิตใจค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย

 

อสูรกายที่เรียกกันว่าประเภทอาวุธน่ะ มันไม่ใช่มารที่แท้จริง

 

เดิมทีแล้ว พวกมันคือตัวตนอันทรงพลังที่ร่วงหล่นลงสู่สายธารแห่งกาลเวลา ส่วนร่วงหล่นลงด้วยเหตุใดนั้นก็มิอาจทราบได้

 

และพวกมารก็ชอบเก็บรวบรวมชิ้นส่วนร่างกายของตัวตนที่ทรงพลังเหล่านั้นมา คอยเฟ้นหาชิ้นส่วนแปลกๆมาจากหลากสวรรค์หมื่นโลกา

 

และเจ้าของชิ้นส่วนเหล่านั้น บ้างก็เป็นสิ่งมีชีวิตแปลกตา ขณะที่บ้างก็เคยเป็นถึงจ้าวผู้ปกครองโลกใบนั้นทั้งใบ

 

เมื่อโลกเหล่านั้นถูกครอบครองโดยเผ่ามารอย่างสมบูรณ์ ร่างกายของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะถูกนำมาเย็บเป็นส่วนหนึ่งของอสูรกายที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา

 

ชิ่นส่วนร่างกายของสิ่งมีชีวิตในโลกที่พ่ายแพ้จะถูกขุดขึ้นมารักษา และทำการเปลี่ยนแปลงเป็นมาร หลังจากหลากหลายปีที่เฝ้าฟูมฟักมานับไม่ถ้วน ในที่สุดพวกมันก็กลายมาเป็นอาวุธที่ทรงอำนาจสูงสุด

 

และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับยักษ์เบื้องหน้านี้

 

เกรงว่าครั้งหนึ่งมันอาจจะเคยเป็นจ้าวผู้ปกครองโลกใบใดสักใบหนึ่ง แต่แล้วก็ได้ตกตายลงในสงครามอันโหดร้าย หลงเหลือทิ้งไว้เพียงร่างกายส่วนบนที่ยังคงเดิม

 

เมื่อเพ่งมองอย่างใกล้ชิด จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนตัวมัน เดิมทีแล้วมีแขนจริงๆเพียงสองข้างเท่านั้น

 

ส่วนแขนอื่นๆ ทั้งหมดถูกเย็บเพิ่มเติมเข้ามาในภายหลัง

 

และด้วยกระบวนวิธีอันแสนลึกลับ ส่งผลให้สองแขนเดิมที่ติดตัวมัน ยังคงสามารถระเบิดอำนาจดั้งเดิมออกมาได้

 

เจ้านี่คือสิ่งที่เผ่ามารมักจะใช้ในการโจมตีเมืองหรือหมู่บ้าน

 

แน่นอน ว่าประเภทของอสูรกายมิได้ถูกจำกัดอยู่แค่นี้

 

สิ่งที่แกร่งเหนือล้ำยิ่งกว่ามันก็คือ อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล

 

ซึ่งอสูรกายประเภทดังกล่าว มันเกินกว่าขอบเขตสามัญสำนึกความเข้าใจของมนุษย์ไปโดยสมบูรณ์

 

คุณไม่มีทางทราบได้หรอกว่าในตอนแรกมันคืออะไร

 

เพราะมันมีทุกชนิดของพลังอำนาจอันแปลกประหลาดจากประเภทต่างๆที่มิอาจคาดเดาได้ มันสามารถลงมือได้โดยที่คุณไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ คุณอาจถูกกินลงไป หรือถูกฆ่าตายไปก่อนจะทันรู้ตัวเลยก็ได้

 

อย่างไรก็ตาม อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลมิใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด

 

จริงๆแล้วชื่อประเภทของอสูรกายที่ทำให้ทุกคนที่ได้พบเจอล้วนสิ้นหวังก็คือ

 

‘อสูรกายที่สร้างมาจากชิ้นส่วนร่างกายของเทพวิญญาณ’

 

อย่างเช่นอสูรกายประเภทอาวุธตนนี้ มันครอบครองพลังงานก่อนตายของเทพวิญญาณแถมยังมีทั้งวิถีทำลายของมารที่ทรงอำนาจ และครอบครองอำนาจของโลกอีกด้วย

 

และจอมมารที่แท้จริง ก็ได้ใช้เจ้าชิ้นส่วนของเทพวิญญาณตนนี้นี่ล่ะ เป็นอาวุธในการยึดครองโลกของกู่ฉิงซาน

 

มีรายงานที่ไม่ได้รับการยืนยันจากหน่วยข่าวกรองของมนุษย์ในช่วงชีวิตก่อนหน้าว่า

 

กองกำลังมนุษย์ชาติชั้นสูงที่เก่งกาจที่สุดได้แตกพ่าย และโดนล้างบางทั้งกองทัพ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะตายลง พวกเขาก็ได้ส่งรายงานข้อมูลอันยากจะเห็นถึงความจริงกลับมาได้

 

เนื้อหาของข้อมูล โดยสิ้นเชิงแล้วมีเพียงสองประโยคเท่านั้น

 

ประโยคแรก  ‘การล่มสลายของมนุษยชาติคงไม่อาจหยุดยั้งได้อีกแล้ว’

 

ส่วนในประโยคที่สอง ใจความว่า ‘อสูรกายที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าจอมมารน่ะ .. มีอยู่จริง!’

 

รายงานที่ได้รับมานี้ เป็นในช่วงระหว่างสงครามครั้งสำคัญที่สุดระหว่างมนุษย์กับมาร ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการบ่อนทำลายขวัญกำลังใจทหาร เหล่าผู้บัญชาการเผ่ามนุษย์หลายคนรวมไปถึงกู่ฉิงซานจึงตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ ว่าจะเก็บรายงานนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด

 

…….

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานกำลังระลึกถึงเหตุการณ์จากอดีตที่ผ่านมา เขายืนอยู่ท่ามกลางดงมารและเงียบงันไปครู่หนึ่ง

 

แท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นในปรภพกันแน่? เผ่ามารจึงถึงขั้นส่งอสูรกายดัดแปลที่ทรงพลังเช่นนี้มาเพียงเพื่อปิดกั้นเส้นทางเอาไว้?

 

แต่แล้วเขาก็ส่ายหัว ขณะที่ดวงตาของเขาตกลงบนร่างอสูรกายยักษ์

 

ทั้งหมดไม่มีอะไรที่จะสามารถคาดเดาหรือล่วงรู้ได้

 

เพราะความจริง ได้อยู่เบื้องหลังของอสูรกายตนนี้แล้ว

 

เพียงแค่ก้าวเข้าสู่ปรภพเท่านั้น เราก็จะทราบถึงเรื่องราวทั้งหมด!

 

กู่ฉิงซานเริ่มขยับฝีเท้าของเขาอีกครั้ง

 

เขาพร้อมที่จะดู พร้อมที่จะเห็นแล้วว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

กรงเล็บแหลมเจาะเข้าไปจนเกิดรอยแยกระหว่างหิน ก้าวต่อไปทีละก้าว ทีละก้าว

 

กู่ฉิงซานค่อยๆเคลื่อนกายอย่างเชื่องช้า

 

ไม่รวดเร็วจนเกินไป ไม่มีเสียงดังใดๆ ไม่โดดเด่นจนสังเกตเห็นได้

 

เขายับยั้งจิตสัมผัสเทวะ ก้มหน้าลง และรักษาสภาวะการเคลื่อนไหวของตนอย่างระมัดระวัง ไม่ยินยอมเผยถึงอาการผิดปกติใดๆ

 

ใกล้เข้าไป

 

ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ

 

จนในที่สุดเขาก็เดินมาถึงเบื้องหน้าของอสูรกาย

 

อสูรกายยังคงจมอยู่ในห้วงหลับลึก

 

ทว่าเพียงเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทำลายล้างจางๆที่ออกมาจากอสูรกาย ร่างกายของกู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

 

ช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองมันใหญ่เกินไป เพียงแค่กลิ่นอายเท่านั้น เจ้าอสูรกายก็สามารถปราบกู่ฉิงซานได้โดยสมบูรณ์

 

กู่ฉิงซานได้แต่กัดฟันกรอดชนิดหัวชนฝา หุบกรงเล็บอันแหลมคม ค่อยๆคลานไปเบื้องหน้าทีละก้าว

 

มุ่งหน้าตรงไปทางข้างกายของอสูรกายอย่างช้าๆ

 

มันจำเป็นที่จะต้องผ่านเส้นทางแคบๆนั้นไป เพื่อที่จะเข้าไปยังส่วนที่ลึกยิ่งกว่าของถ้ำ

 

ภายในถ้ำมืดช่างเงียบงัน

 

เผ่ามารส่วนใหญ่กำลังหลับลึกและพักผ่อน

 

มีเพียงตัวเขาที่เป็นมารกระดูกเท่านั้นที่กำลังเคลื่อนกายอย่างช้าๆ

 

เวลาผ่านพ้นไปเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานก็มาหยุดอยู่ด้านข้างของอสูรกายจนได้

 

ตราบใดที่เขายังคงรักษาความเร็วระดับนี้เอาไว้ อีกเพียงไม่กี่นาที เขาก็จะสามารถผ่านอสูรกายตนนี้ไปได้ในที่สุด

 

กู่ฉิงซานอดทนเหยียดกรงเล็บของเขาออกไป ใช้มันเจาะแทรกผ่านผนังหินและก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

 

แต่แล้วโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ จู่ๆอสูรกายที่หลับลึกก็ยกแขนของมันขึ้น! และกวาดมือเข้าไปทางฝูงมารข้างกายมัน!!

 

และตำแหน่งที่มันคว้าจับ … ก็มีกู่ฉิงซานรวมอยู่ด้วย!!!

 

กู่ฉิงซานไม่รู้เลยว่าเรื่องบัดซบนี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

 

แต่เขาสาบานได้ว่า ตนเองไม่ได้ทำอะไรกระตุ้นให้อสูรกายค้นพบตัวอย่างแน่นอน

 

บางทีอสูรกายตนนี้อาจจะหลับลึก และเผลอละเมอก็ได้

 

มือของมันเคลื่อนใกล้เข้ามา ขยับท่วงท่าอย่างเป็นธรรมชาติ

 

และการเคลื่อนไหวนี้ของอสูรกาย เผ่ามารตนอื่นๆมิได้ตอบสนองเลย

 

มารจำนวนมากได้ถูกคว้าจับขึ้น

 

แน่นอน ว่ากู่ฉิงซานก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

 

เขาและเผ่ามารเกือบร้อยถูกกุมอยู่ในมือของอสูรกาย บีบจับเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

มารบางตนดูเหมือนจะรับรู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น พวกมันเริ่มดิ้นรนด้วยความสยองเกล้า กรีดร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง

 

แม้จะได้ยินเสียงโวยวายเหล่านี้ ทว่าอสูรกายก็ยังคงไม่ลืมตา

 

มันอ้าปากกว้าง และค่อยๆขยับมือส่งมารทั้งหลายลงไปในปากของมัน

 

กู่ฉิงซานทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งเบียดเผ่ามารตนอื่นๆ จนในที่สุดก็มาถึงช่องว่างของมือใหญ่

 

เบื้องล่างเขา เผ่ามารตนอื่นๆเริ่มตอบสนองและกำลังทยอยกันวิ่งหนีแล้ว

 

ทันใดนั้นสายตาของกู่ฉิงซานก็หันไปเห็นมารมังกรตาเดียวตนหนึ่ง

 

มารมังกรตาเดียวกำลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็วด้วยความว่องไวเป็นอย่างมาก

 

เวลานี้ กล่าวได้ว่ามันอยู่ในตำแหน่งข้างกายของอสูรกาย และในไม่ช้า มันจะข้ามผ่านร่างอสูรกาย เข้าสู่ส่วนลึกของถ้ำมืด

 

เอาเป็นแกก็แล้วกัน!

 

กู่ฉิงซานไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาเร่งใช้ออกด้วยร่างเงาแทนที่!

 

พริบตานั้น มารมังกรตาเดียวก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของอสูรกาย

 

ขณะที่กู่ฉิงซานสามารถหลบเร้นออกไป และมาโผล่ตรงข้างร่างอสูรกายแทน

 

ในช่วงเวลานี้ ความรู้สึกวิกฤตอันแสนจะเข้มข้นก็ยังเวียนวนอยู่ในจิตใจของเขา

 

เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันน่าขนลุกจากปลายเส้นผม

 

ร่างเงาแทนที่ไม่สมควรที่จะมีปัญหาใดๆ

 

แต่ในบรรดาหลายสิบหลายร้อยเผ่ามารที่อยู่ในมือของอสูรกาย มอนสเตอร์มารกระดูก ได้ถูกแทนที่ด้วยมังกรตาเดียว

 

กู่ฉิงซานก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามือของอสูรกายจะตระหนักได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี่หรือไม่

 

ณ เวลานี้ เขาจะไม่ยอมใช้โชคในการเดิมพัน หรือเฝ้ารอผลลัพธ์ที่เรียกว่าความบังเอิญอีกต่อไป!

 

จิตสัมผัสเทวะในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายถูกปลดปล่อยออกมา กวาดเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำมืด

 

เส้นทางที่มืดมิดทั้งหมดกระจ่างชัดขึ้นในจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน-

 

-เขาจะไม่ยินยอมรับความเสี่ยงอีกต่อไป และหายวับไปจากสถานที่เดิมในฉับพลัน

 

ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

 

ในชั่วพริบตา เขาก็ข้ามผ่านเส้นทางไปไกลเกินกว่าพันลี้!

 

แล้วร่างของกู่ฉิงซานก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

ตลอดทั้งร่างของมารกระดูก ทั้งหมดล้วนสั่นเทาอย่างมิอาจควบคุมได้

 

ทว่าบัดนี้ ความรู้สึกของวิกฤตอันเข้มข้นในจิตใจของเขามันยังดันไม่ยอมจางหายไป ตรงกันข้าม มันกลับระเบิดออกมาอย่างรุนแรงราวกับถูกเผาไหม้!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.384 – อสูรกาย

 

ภายในถ้ำมืด แม้จะยังคงมีเส้นทางไปต่อ แต่สำหรับกู่ฉิงซาน .. มันได้มาถึงทางตันแล้ว

 

เขาวางความคิดนี้ทิ้งลงข้างๆชั่วคราว ไม่ใช้สมองตริตรองเกี่ยวกับความลับของเผ่ามารอีกต่อไป

 

เพราะจากนี้ เขายังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ไม่แตกต่างกัน

 

ในส่วนลึกของถ้ำมืดสู่ปรภพ  มีอสูรกายที่น่าสะพรึงอยู่

 

อสูรกายตนที่ว่า กำลังเฝ้าปกป้องเส้นทางเอาไว้

 

หากมีมัน ก็กล่าวได้ว่าไม่มีทางที่จิตวิญญาณตนใดจะสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ปรภพได้

 

กู่ฉิงซานขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดู

 

หากแม้กระทั่งปรภพตนยังไม่สามารถเข้าไปได้ โลกมนุษย์ก็คงจะเหลืออยู่หนทางเดียวเท่านั้น นั่นคือพินาศสิ้น!

 

เขาหันไปมองรอบๆผนังถ้ำ ก่อนจะพบกับเศษกระดูกยาวที่เจาะลึกเข้าไปในรอยแตกของหิน

 

กู่ฉิงซานยื่นมือไปงัดกระดูกยาวออกมา และเริ่มใช้ออกด้วย ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’

 

หลายเส้นแสงหิ่งห้อยวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว

 

“ค้นพบซากของมารกระดูกประชิด”

 

“กำลังทำการวิเคราะห์ความลี้ลับขององค์ประกอบกระดูกของ ‘มารกระดูกประชิด’ ”

 

“คุณจำเป็นต้องจ่าย 1000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำความเข้าใจองค์ประกอบของเผ่ามารตนนี้ แล้วจึงจะสามารถแปลงกายตนให้เป็นเหมือนกับเผ่ามารตนนี้ได้”

 

1000 แต้มพลังวิญญาณ!

 

กู่ฉิงซานแทบจะกัดลิ้นตัวเอง

 

ไอ้เจ้าสกิล ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตนี้มันจะกินแต้มพลังวิญญาณมากเกินไปแล้ว!

 

ในเวลานี้ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ได้ปรากฏบรรทัดเด้งแจ้งเตือนขึ้นมาอีกที

 

“ในมุมมองที่ว่าภายในถ้ำมืดแห่งนี้ มีเผ่ามารที่อยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายไม่มากนัก ฉะนั้นระบบจึงร้องขอให้ผู้เล่นไตร่ตรองให้ดี ก่อนจะใช้แต้มพลังวิญญาณออกไป”

 

พอได้ยิน กู่ฉิงซานก็เข้าใจทันที

 

เนื่องเพราะตนอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายแล้ว ดังนั้น หากต้องการจะได้แต้มพลังวิญญาณมาเพิ่มเติม ย่อมต้องสังหารมารที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าเท่านั้น คำเตือนนี้บ่งบอกชัดเจน .. ว่าตนเองแทบจะไม่สามารถสะสมแต้มพลังวิญญาณได้อย่างรวดเร็วดั่งเช่นในอดีตอีกต่อไป ส่วนหากคิดหมายจะไปมุ่งสังหารมารประทับเทพน่ะหรือ มันก็ได้อยู่หรอก แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น

 

หากจะกล่าวโดยทั่วไปแล้วเผ่ามารกับผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์จะมีเส้นแบ่งขีดกั้นที่มิอาจข้ามผ่านได้อยู่

 

นั่นคือขอบเขตประทับเทพ

 

เหนือขอบเขตประทับเทพขึ้นไป หากเป็นผู้ฝึกยุทธมนุษย์  กล่าวได้ว่าพวกเขาได้เข้าใจกฏเกณฑ์มากมายของโลกพร้อมกับได้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถต่อกรกับเผ่ามารในขอบเขตเดียวกันได้อย่างง่ายดาย

 

อย่างไรก็ตามหากต่ำกว่าขอบเขตประทับเทพลงไป ผู้ฝึกยุทธในขอบเขตเดียวกันกับเผ่ามารจะไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้

 

สรุปง่ายๆว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพทั่วๆไปไม่สามารถที่จะต่อกรกับมารกระดูกประชิดที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันได้เลย

 

เพราะนอกจากมารกระดูกมีความต้านทานต่อเทคนิคมนตราจากธาตุทั้งห้าแล้ว ในปากของมันยังมีพิษร้ายที่ใช้กัดกร่อนพลังวิญญาณ มีพลังทางกายภาพที่แข็งกร้าว และความว่องไวที่ยิ่งกว่านักสู้หวูเต๋าในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นสุดท้าย

 

มันเป็นเผ่ามารที่เกือบจะสามารถูกนับรวมไปได้ว่าหากอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย ก็จักมีพลังเกือบเทียบเคียงกับขอบเขตประทับเทพได้

 

แม้กระทั่งสองผู้ฝึกยุทธก้าวสู่เทพขั้นปลายสองคนร่วมมือกันต่อกรกับมัน ก็ทำได้แค่เพียงหลบหนีไปเท่านั้น

 

ดังนั้น ระบบจึงถือว่ามอนสเตอร์ตัวนี้มีความสามารถสูงกว่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตเดียวกัน หากคิดจะแปลงกายเป็นมัน ก็ย่อมต้องมีค่าใช้แต้มพลังวิญญาณที่สูงมากเป็นพิเศษ

 

ส่วนเหตุผลที่กู่ฉิงซานสามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดาย นั่นเป็นเพราะเขามีประสบการณ์ต่อสู้จากสองช่วงชีวิต และยังมีความแข็งแกร่งระดับดาบนิรันดร์ ครอบครองสองดาบยาวที่เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะ รวมไปถึงสกิลเทวะอย่างย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว

 

นอกจากนี้เขายังครอบครอง ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ ที่ช่วยหนุนเสริมอำนาจการทำลายล้าง 30 % และฟังก์ชั่นตรวจสอบมอนสเตอร์ของระบบ ดังนั้นจึงสามารถรับรู้ได้ถึงมารกระดูกที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ล่วงหน้าได้

 

บอกเลยว่าต่อให้มันจะเป็นมารที่เหนือกว่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตเดียวกัน แต่ถ้าอีกฝ่ายโกงขนาดนี้มันก็คงต้องยอมแพ้ ตกตายเอาง่ายๆอยู่ดี

 

—แต่ในตอนนี้ เส้นทางเบื้องหน้าหากยังคิดก้าวเดินต่อไป เขาจักต้องถูกสังหารตกตายลงโดยเผ่ามารที่ดุร้ายและแข็งแกร่ง เฉกเช่นเดียวกันกับที่ตนสังหารมารกระดูกลงไป

 

กู่ฉิงซานลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “ไม่ ไม่หรอก จังหวะนี้แหละที่สมควรจะใช้แต้มพลังวิญญาณที่สุดล่ะ”

 

“ปิดฟังก์ชั่นตรวจจับเถอะ ฉันค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าตัวเองรู้เกี่ยวกับข้อมูลรายละเอียดของอสูรกายตนนั้น”

 

“เข้าใจแล้ว” ระบบตอบกลับ

 

ในปัจจุบัน หากต้องการจะผ่านถ้ำมืดเข้าไปสู่ปรภพ เขาจะต้องปลอมตัวเป็นเผ่ามาร นี่คือวิธีการเดียวเท่านั้นที่กู่ฉิงซานคิดออก

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ระบบ แล้วการปลอมตัวของฉันจะสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน?”

 

ระบบตอบกลับไปว่า “หากเป็นการอำพรางตัวโดยใช้พลังวิญญาณ ย่อมมีเวลาที่จำกัด”

 

“แต่ถ้าคุณอำพรางตัวผ่านแต้มพลังวิญญาณ มันจะทำการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบร่างกายของคุณ และตราบใดที่คุณไม่ยกเลิกมันเอง ก็จะปลอมตัวได้แบบไม่มีเวลาจำกัด”

 

“ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นด้วย ที่ได้เลือกใช้แต้มพลังวิญญาณเป็นแหล่งกำเนิดของสกิลนี้ คุณจึงสามารถบรรลุมาถึงขั้นในการใช้พลังนี้ได้

 

“และฉันขอน้อมรับคำชมนี้ด้วยความยินดี”

 

“ผู้เล่นได้เลือกทำการจ่ายแต้มพลังวิญญาณ”

 

“ร้องขอให้ผู้เล่นเริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประบกอบของร่างกายมาร ส่วนระบบจะปลดปล่อยแต้มพลังวิญญาณที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานของคุณ”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

กู่ฉิงซานหยุดยืนอยู่กับที่อย่างเงียบๆ

 

เขากำลังมองลงไปยังกระดูกยาวในมือ และสัมผัสรับรู้ถึงมันด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต

 

แล้วเขาก็ค่อยๆค้นพบว่าตนเองสามารถเข้าใจองค์ประกอบของกระดูกยาวนี้ได้อย่างสมบูรณ์

 

แถมเขายังรู้วิธีแม้กระทั่งต้นกำเนิดพลังและโครงสร้างของกระดูกยาวอีกด้วย

 

ความรับรู้และเข้าใจดังกล่าวนี้ อาจพูดได้ว่าคงจะมีเพียงแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่จะสามารถตระหนักถึงได้

 

‘แต้มพลังวิญญาณ’ กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะคิดถึงมันและกล่าวว่า “ฉันต้องการใช้แต้มพลังวิญญาณในการสร้างกฏเกณฑ์และองค์ประกอบรูปแบบร่างกายของมารกระดูก”

 

ขณะกล่าว แต้มพลังวิญญาณของเขาก็ถูกหักออกไป 1000 แต้มทันที

 

อย่างรวดเร็ว กู่ฉิงซานเริ่มสู้สึกคันยิบๆ

 

คัน? คันอย่างงั้นหรอ?

 

ทำไมถึงรู้สึกคันกันล่ะ?

 

ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว ตนเองขณะนี้อยู่ในร่างจิตวิญญาณ มันไม่สมควรที่จะมีความรู้สึกจากประสาทสัมผัสใดๆสิ

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองตัวเอง

 

แล้วเขาก็พบว่าร่างกายทั้งหมดของตนกลายสภาพเป็นกระดูกโดยสมบูรณ์ รวมไปถึงอุ้งเท้าทั้งสี่ที่มีเล็บแหลมคมกริบราวกับใบมีดกำลังส่องประกายเย็นเยียบอยู่

 

ซึ่งที่มันแตกต่างไปจากมารกระดูกทั่วๆไป ร่างกายของเขาบัดนี้ผอมบาง แต่ก็ยังสามารถขยับกาย อวัยวะต่างๆสามารถประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม

 

กู่ฉิงซานสำรวจมันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ค้นพบว่านอกเหนือไปจากจิตวิญญาณในร่างกายแล้ว บนร่างกายของเขายังบังเกิดพลังชนิดใหม่ขึ้นมาอีกด้วย

 

เขาพยายามที่จะเร่งกระตุ้นพลังนั้น และถ่ายเทมันลงบนกรงเล็บที่แหลมคมของเขา

 

แล้วกรงเล็บที่ว่าก็สามารถเจาะเข้าไปบนผนังหินอย่างง่ายดายราวกับตัดเฉือนเต้าหู้

 

บังเกิดห้าร่องรอยลึกตราตรึงบนผนังหิน

 

“สมกับที่เป็นวิชาความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ตอนนี้ฉันได้กลายร่างเป็นมารกระดูกไปจริงๆแล้ว”

 

กู่ฉิงซานพูดกับตัวเอง

 

“ไม่สิ นี่มันไม่ใช่แค่การปลอมตัวธรรมดาๆ แต่ตอนนี้ฉันได้กลายเป็นมารแถมยังครอบครองกรงเล็บอันแหลมคมของมันจริงๆอีกด้วย”

 

กู่ฉิงซานทดลองขยับร่างกายใหม่ของเขา

 

การเคลื่อนไหวค่อนข้างสมสดุล ลื่นไหลไม่มีผิดปกติใดๆ

 

มันราวกับว่าเขารับรู้ได้โดยธรรมชาติว่าเผ่ามารตนนี้สมควรที่จะเคลื่อนไหวอย่างไร

 

กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าทั้งสี่ก่อนจะเดินไปไกล เขาทดลองซ้อมรูปแบบการต่อสู้โดยกรงเล็บของมารกระดูกโดยเค้นเอาจากข้อมูลความทรงจำที่ได้รับมา และเริ่มฝึกปรือมันด้วยตัวเอง

 

เวลาล่วงเลยไปเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็หยุดพักผ่อน

 

– กล่าวได้ว่าบัดนี้สำหรับพื้นฐานการโจมตีทั่วๆไปโดยกรงเล็บ กู่ฉิงซานสามารถเข้าใจมันได้แล้ว

 

กู่ฉิงซานไม่ลังเลอีกต่อไป เข้าเริ่มจิกกงเล็บไปตามผนังถ้ำ ก้าวลงไปสู่เบื้องลึกของทางเข้าปรภพ

 

ด้วยวิชาลึกลับนี้ ทำให้การย่ำเดินเคลื่อนไหวของเขาโดยใช้กรงเล็บมอนสเตอร์ช่างดูเป็นธรรมชาติ

 

กรงเล็บแหลมจิกลึกลงไปในผนังหิน แขนขาที่บัดนี้กลายเป็นอุ้งเท้าทั้งสี่จ้ำลึกเข้าไปในถ้ำ

 

แบบนี้ …

 

จะผ่านไปโดยที่ไม่ถูกจับได้จริงๆน่ะหรือ?

 

กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัยขึ้นในจิตใจ

 

ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การมองหาเผ่ามารตนอื่นๆ เพื่อดูว่าพวกมันจะมีปฏิกริยาตอบสนองต่อเขาอย่างไร

 

แต่น่าเสียดาย เพราะมารในบริเวณใกล้เคียงล้วนถูกเขาสังหารจนสิ้น ดังนั้นแม้เขาจะจ้ำลึกลงไปไกล แต่ก็ยังไม่พบเจอกับมารตนใดเลย

 

เขาจึงไม่มีทางเลือก จำต้องคลานมุ่งหน้าลึกเข้าไปในถ้ำต่อไป

 

จนเวลานี้ ในที่สุดเขาก็ได้มาถึงในจุดที่ตนได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือในตอนแรกอีกครั้งแล้ว

 

และมันก็เป็นเวลาเดียวกัน ที่มอนสเตอร์ตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในที่สุด

 

มันคือหนอนตัวเขียวที่มีขานับร้อยราวกับตะขาบ

 

มอนสเตอร์ตนนี้มิได้มีความแข็งแกร่งเท่าใดนัก แต่ความรู้สึกที่ไวต่อกลิ่นของมันละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง และสามารถค้นหาร่างมนุษย์ได้แม้จะอยู่ห่างไกล

 

เพราะร่างมนุษย์ คือชิ้นเนื้ออุดมไขมันที่มันโปรดปรานมากที่สุด

 

สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเพราะเมื่อครู่กู่ฉิงซานได้สับร่างที่บาดเจ็บสาหัสของชายปริศนาเพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณของอีกฝ่ายไป เจ้าหนอนร้อยขาจึงได้กลิ่นอายของศพมนุษย์ มันจึงเร่งสับฝีเท้านับร้อยคืบคลานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปีนป่ายมุ่งหน้าขึ้นไปยังทิศทางช่วงบนของถ้ำ

 

กู่ฉิงซานชะงัก กรงเล็บแหลมจากทั้งมือทั้งเท้าจิกแน่นลงบนผนังหิน

 

เขาจ้องเขม็งไปที่หนอนร้อยขา

 

และหนอนร้อยขาก็สัมผัสได้ถึงดวงตาคู่หนึ่ง

 

มันเร่งหันขวับมาจ้องสวนเขาอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานเวลานี้ปลอมตัวเป็นมารกระดูก เป็นเผ่ามาร แต่โดยธรรมชาติแล้วเขาก็ยังไม่ใช่พวกมันอยู่ดี ภายในจิตใจของเขาจึงเกิดความหวาดระแวงขึ้นเป็นธรรมดา

 

แต่อีกฝ่ายก็เพียงแค่จ้องมองสวนกลับมาอย่างไม่แยแส และยังคงสับขาปีนป่ายเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง

 

ไม่นานนัก หนอนร้อยขาก็เดินผ่านกู่ฉิงซานไป

 

ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

 

มันไม่ได้โจมตีกู่ฉิงซาน

 

ฝีเท้าของกู่ฉิงซานยังคงนิ่งงัน ขณะที่หัวของเขาหันมองไปตามหนอนร้อยขาอย่างไม่ไว้ใจ

 

เห็นแค่เพียงหนอนร้อยขายังคงเชิดหัวขึ้น ยืดหดคอของมัน และปีนป่ายขึ้นไปบนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง

 

มองจากทิศทางของมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังมุ่งตรงไปยังร่างของชายปริศนาที่พึ่งตายไป

 

กู่ฉิงซานพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาความสงบของตน

 

มันคงจะดีกว่าถ้า …

 

เขากระโดดหมุนตัวกลับไป พร้อมกับกางกรงเล็บอันแหลมคมของเขา

 

กรงเล็บคู่ถูกง้างออกและตะปบ! ตัดผ่านร่างของหนอนร้อยขาราวกับตัดเต้าหู้

 

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าใดๆ หนอนร้อยขาได้ถูกแยกร่างออกเป็นซีกๆโดยกรงเล็บมาร!

 

มันได้ตกตายลงโดยที่ไม่ทันจะได้กรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่เบื้องหน้าศพของหนอนร้อยขา ก้มหน้าลงมองกรงเล็บของเขา

 

เขาได้กลายเป็นมาร แถมยังหลอกสายตาได้แม้กระทั่งเผ่ามารด้วยกันเอง

 

แต้มพลังวิญญาณที่ต้องเสียไปมากกว่าปกติ นับว่าคุ้มค่าจริงๆ

 

นึกไม่ถึงเลยว่านี่คือพลังของ ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต!’

 

ความเชื่อมั่นในจิตใจของกู่ฉิงซานเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล

 

เขาหันกลับไป และจ้วงกรงเล็บ จ้ำลงไปในส่วนลึกของทางเข้าปรภพ

 

ระหว่างทาง เต็มไปด้วยมอนสเตอร์แปลกตามากมายโผล่ออกมาไม่หยุดหย่อน

 

แต่กู่ฉิงซานก็แค่เดินผ่านมอนสเตอร์เหล่านั้นไป

 

โดยที่ไม่มีมอนสเตอร์ตัวใดสนใจเขาเลย

 

กู่ฉิงซานเบียดเสียดผ่านฝูงมารที่แออัด และไม่มีมอนสเตอร์ตนใดที่แสดงถึงอาการผิดปกติใดๆออกมาเลย

 

แต่ก็นั่นแหละ เบียดๆกันมันก็ต้องมีเหยียบตีนกันบ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังจ้ำเดิน กู่ฉิงซานเผลอเอากรงเล็บแหลมของตนเองไปปาดเท้ามอนสเตอร์ขนาดใหญ่เข้าโดยบังเอิญ

 

และมันก็วิ่งไล่ตามเขาอย่างดุเดือด แต่พอไล่ไม่ทัน ในที่สุดมันก็ยอมแพ้ไป

 

กู่ฉิงซานปีนลงไปในระดับความลึกสุดของถ้ำมืด

 

แน่นอน ถ้ำมืดนี้มิได้เป็นเส้นตรงทั้งหมด ไม่งั้นกู่ฉิงซานกระโดดทิ้งตัวลงรอบเดียวก็คงถึงทางเข้าปรภพไปแล้ว มันมีบ้างที่คดเคี้ยวบ้างแนวตั้ง บ้างแนวนอน และบัดนี้ในจุดที่เขากำลังก้าวเดินมันค่อยๆลาดชันขึ้น

 

เดินไปได้อีกสักพักหนึ่ง

 

ทางลาดชันก็กลายเป็นเป็นทางราบ

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นมา

 

“โปรดทราบ มีเผ่ามารระดับอสูรกายประเภทอาวุธอยู่เบื้องหน้า”

 

หัวใจของกู่ฉิงซานตึงเครียดขึ้น

 

ในความเป็นจริงแล้ว เขารู้สึกได้ถึงมันก่อนที่ระบบจะทำการแจ้งเตือนเสียอีก นั่นเพราะ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เบื้องหน้าเขาน่ะ มันเต็มไปด้วย-

 

-กลิ่นอายที่ฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่าและการทำลายล้างค่อยๆเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนมันท่วมท้นไปในอากาศที่ว่างเปล่าราวกับสายธารหลาก

 

แต่นับว่าโชคยังดี เพราะเมื่อกลิ่นอายนี้ตกลงบนตัวเขา มันก็ไหลผ่านไปทันที

 

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยอมรับว่าเขาเป็นฝ่ายเดียวกันกับตนเอง

 

กู่ฉิงซานกลั้นหายใจและเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ

 

ในที่สุด ท่ามกลางหุบเหวอันมืดมิด ร่างของอสูรกายตนที่ว่าก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของเขา

 

มันเป็นยักษ์ที่เพียงแค่ครึ่งลำตัว ก็สูงเกือบจะพันเมตรแล้ว

 

ส่วนล่างของเอวยักษ์ได้หายไป หลงเหลือเพียงส่วนบนของร่างกายที่ยังไม่บุบสลายถูกรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี

 

ขณะที่มีแขนแปลกๆนับหลายสิบข้างถูกเย็บปักถักร้อย ห้อยเรียงกันมั่วซั่วอยู่ตามแผ่นหลังของมัน

 

และทุกแขนจะแตกต่างกันออกไป แขนข้างหนึ่งเรียวยาว อีกข้างใหญ่ อีกข้างทั้งหมดทำจากธาตุน้ำโดยสมบูรณ์ – กู่ฉิงซานยังเห็นแม้กระทั่งแขนที่เต็มไปด้วยใบหูนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาอีกด้วย

 

และแน่นอน กู่ฉิงซานเชื่ออย่างสนิทใจว่าแขนทุกข้างของมันน่ะ ล้วนแล้วแต่ครอบครองอำนาจอนันต์อันน่าสะพรึง!

 

ยักษ์ใหญ่ยังคงหลับตา มันอยู่ในอาการหลับลึก

 

มันนอนอยู่ตรงข้ามกับผนังหิน และร่างกายอันใหญ่โตทั้งหมดของมันเกือบจะบดบังตลอดทั้งเส้นทางเดินของถ้ำอันมืดมิด

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.383 – พบเจอ

 

กู่ฉิงซานกึ่งเดินกึ่งบินลงไปตามผนังหิน

 

ลมหนาวพัดโชยไปตลอดทั้งถ้ำมืด และบ่อยครั้งที่จะมีเสียงลมจากเบื้องล่างกรีดอากาศส่งเสียงหวีดหวิวขึ้นขึ้นมายังเบื้องบน

 

หัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกกดดันยิ่งขึ้น บังเกิดเงาบางอย่างที่ยากจะลบเลือนออกไปได้

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กแจ้งเตือนสถานการณ์ในปัจจุบันของเขา

 

“คุณกำลังข้ามผ่านช่องทางสู่ปรภพ”

 

“เบื้องหน้าถูกปิดกั้นโดยเผ่ามาร โปรดรอให้ระบบทำการตรวจสอบเสียก่อน จึงค่อยผ่านไปอีกครั้ง”

 

“การตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว ระดับสูงสุดของเผ่ามารที่อยู่เบื้องหน้าคุณคือก้าวสู่เทพขั้นปลาย หากคิดสู้กับมัน โปรดทุ่มลงมืออย่างเต็มกำลังด้วย”

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และยกดาบขึ้น

 

ภายใต้ขอบเขตเดียวกัน การฆ่าสังหารอีกฝ่ายนับว่าเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขา

 

แม้กระทั่งตัวตนทรงพลานุภาพอย่างขอบเขตประทับเทพ หากต้องปะทะกำลังรบระดับนักดาบนิรันดร์ของกู่ฉิงซาน ต่อให้พบเจอกับพวกมัน 1-2ตัวเขาก็ยังพอจะจัดการกับมันได้

 

และไม่นานนัก การต่อสู้ครั้งที่สองก็จบลง

 

กู่ฉิงซานยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป

 

เขาถือดาบพิภพและเช่าหยินเอาไว้ในมือ ไม่ได้ใช้จิตนึกคิดควบคุมพวกมันอีกแล้ว

 

นั่นเพราะมันช่วยไม่ได้นี่นา ยิ่งเข้าไปลึก เขาก็ยิ่งต้องเน้นป้องกันตัวเองมากขึ้นอยู่แล้ว

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

ชั่วขณะหนึ่ง กู่ฉิงซานก็หยุดชะงักลงอย่างกระทันหัน

 

แม้ว่า … ภายในขีดจำกัดในอาณาเขตจิตสัมผัสเทวะของเขาจะไม่มีสิ่งใดก็ตามที

 

แต่กู่ฉิงซานกลับค่อยๆชักฝีเท้ากลับ ปลีกตัวถอยออกมาอย่างเงียบๆ

 

และเขาไม่ยอมหยุดฝีเท้าลงเลยจนกว่าตนจะรู้สึกสงบใจลง

 

เขานั่งยองๆอยู่บนผนังหินอย่างระมัดระวัง และทำการตรวจจับอย่างรอบคอบ ผลปรากฏว่าตนสามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่อ่อนๆของอะไรบางอย่างท่ามกลางความมืดมิด

 

ความมืดดูราวกับจะกลายเป็นสสารที่มีตัวตน จับต้องได้ แต่กลับเงียบงันและลึกล้ำมิต่างจากความตาย

 

หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถตรวจจับร่องรอยของกลิ่นอายอันลึกลับได้ในที่สุด

 

ใช่ เป็นเจ้ากลิ่นอายที่ว่านี่แหละ ที่มันรบกวนจิตใจของเขา

 

เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะเป็นเกลียว ม้วนเข้าห่อหุ้มกลิ่นอายนั้นอย่างระมัดระวัง และทำการตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน

 

โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ความรู้สึกผวาก็เข้ามาแทนที่ในทันใด

 

—ความรู้สึกนี้มันราวกับช่วงเวลาที่กิโยตินถูกปล่อยลงมา

 

ความสยองเกล้าปะทุขึ้นมาอย่างกระทันหัน และมันส่งผลกระทบอย่างรุ่นแรงต่อจิตวิญญาณของเขา

 

หากคุณไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้มาก่อน ร่างของคุณคงไร้สิ้นเรี่ยวแรงเพราะมันไปแล้ว!

 

ท้ายที่สุดแล้ว ร่องรอยของกลิ่นอายที่ว่านี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!

 

และแน่นอน ที่กู่ฉิงซานยังยืนไหว นั่นเป็นเพราะเขามิได้พบเจอกับมันเป็นครั้งแรก

 

ทั้งคนทั้งร่างของเขาเริ่มสะท้านเป็นเจ้าเข้า

 

เพราะนี่มันกระทันหันมากเกินไป!

 

และเป็นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามีการดำรงอยู่ของตัวตนชนิดใดที่กำลังรอเข้าอยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ!

 

กู่ฉิงซานก้มหัวลง

 

เบื้องล่าง

 

ลึกเข้าไปภายในถ้ำอันมืดมิดที่อยู่ห่างไกลจากตัวเขา

 

ร่องรอยจางๆของกลิ่นอายอสูรกาย พัดโชยมาตามสายลมอีกครั้ง

 

กลิ่นอายนี้ยังคงบุกเข้ามาในประสาทสัมผัสของกู่ฉิงซานอย่างต่อเนื่อง มันทำให้เขาย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีตอันไกลแสนไกลที่เคยผ่านพ้นมา

 

“ไม่คาดคิดเลยจริงๆ” กู่ฉิงซานพึมพำเสียงกระซิบ

 

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และถอนหายใจออกอย่างหนักหน่วง

 

ในที่สุด เขาก็สามารถข่มตน กลับคืนสู่ความสงบได้

 

ช่วงชีวิตก่อนหน้า ในครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบกับอสูรกาย มันยังคงฝังอยู่ในใจเขาตลอดมา

 

และเขาไม่เคยลืมเลือนกลิ่นอายของเจ้าอสูรกายตนนี้เลย เขาไม่เคยลืมเลยว่ามันนำพาความรู้สึกอย่างไรมาสู่ตนเอง

 

และไม่ใช่แค่ไม่ลืม แต่เขาจะไม่ยอมอนุญาตให้ตนเองลืมทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวของกับอสูรกายตนนี้เด็ดขาด!

 

เพราะการลืมอดีตของมัน นั่นหมายถึงการทรยศ!

 

แต่แล้วกู่ฉิงซานก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากในอดีต ท่าทีของเขาเปลี่ยนเป็นเงียบขรึม

 

เขาเริ่มต้นทำการตรวจสอบและไตร่ตรองว่าจะเปลี่ยนเส้นทางดีหรือไม่

 

เพราะอสูรกายตนนั้น กำลังเฝ้าปกป้องช่องทางเข้าสู่ปรภพแห่งนี้เอาไว้อยู่

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วกลับสรุปได้ว่าไม่มีทางอื่นเลย

 

แต่ในตอนนั้นเอง ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปท่ามกลางความมืดมิด ก็บังเกิดเสียงๆหนึ่งลอยมา

 

“ช่วย .. ข้าด้วย … ”

 

มันเป็นเสียงที่บางเบาราวกับยุงบิน แถมยังเต็มไปด้วยอารมณ์สิ้นหวัง ราวกับว่าจะตายลงในวินาทีต่อมายังไงยังงั้น

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนทันใด

 

พิจารณาจากสถานที่ๆเสียงลอยมา คาดว่าเสียงคนขอความช่วยเหลือนี้ยังอยู่ห่างไกลจากตัวเจ้าอสูรกาย แต่ไม่ห่างจากกู่ฉิงซานมากนัก

 

คราวนี้กู่ฉิงซานไม่ได้มุ่งตรงไปสำรวจข้างหน้า แต่เลือกที่จะถอยหลังกลับแทน ถอยให้ไวที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้

 

ในขณะเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏสองบรรทัดใหม่ขึ้นมา

 

“พวกเรากำลังข้ามผ่านส่วนสุดท้ายของช่องทางเข้าสู่ปรภพ”

 

พร้อมกับตัวอักษณสีเลือดเด้งขึ้นเตือนในทันใด

 

“เบื้องหน้าถูกปิดกั้นโดยอสูรกาย หากผู้เล่นเข้าไป โชคชะตาของคุณคงมิแคล้วถูกสังหารตกตายลงในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานถอยกลับ ถอยกลับอีกครั้ง ถอยไปจนกว่าจะหยุดลงในจุดที่เขารู้สึกว่าปลอดภัย

 

เขานั่งยองๆลงบนผนังหินในแนวตั้ง และปักดาบเช่าหยินลงบนพื้น

 

“ไปนำคนๆนั้นมา และระวังอย่าให้ถูกพบตัวล่ะ” กู่ฉิงซานกระซิบเบาๆ

 

ดาบเช่าหยินส่งเสียงฮึมฮัมคำหนึ่ง และเริ่มบินไต่ไปตามผนังหินเบื้องล่างอย่างเงียบๆ

 

ไม่รู้เหมือนกันว่านานเท่าไหร่

 

ในที่สุด ดาบเช่าหยินก็บินกลับมาพร้อมกับคนๆหนึ่ง

 

และดาบเช่าหยินก็ได้หยุดเคลื่อนที่ลงในระยะห่างจากกู่ฉิงซานราวๆ 20 เมตร

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไปยังฝ่ายตรงข้าม

 

คนๆนี้เปรียบดั่งเทียนที่ถูกหลอมละลาย และทำได้เพียงแค่คลานอยู่กับพื้น โดยไม่อาจแสดงพฤติกรรมปกติใดๆของมนุษย์ได้เลย

 

“ฮู่-โฮ่-โฮ่-โฮ่! ”

 

อีกฝ่ายเปล่งเสียงออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยสภาพสาหัสของเขา ทำให้อีกฝ่ายต้องหุบปากลง มิอาจเอ่ยออกมาได้อย่างชัดเจน

 

“เจ้ายังไม่ปลอดภัยหรอกนะ” กู่ฉิงซานกระซิบเบาๆ

 

พร้อมกับรังสีดาบที่กระพริบไหวตามมาติดๆ

 

รังสีดาบขนาดเล็กนับไม่ถ้วนเริ่มสั่นสะเทือนไปพร้อมๆกัน ตัดหั่นทั้งคนทั้งร่างตรงหน้าจนกลายเป็นแอ่งเลือด!

 

และร่างเงาก็ผุดออกมาจากแอ่งเลือดที่ว่านั่น

 

นี่คือจิตวิญญาณ

 

ทันทีที่จิตวิญญาณปรากฏกาย มันก็ก้มลงมองร่างของตัวเองก่อนเลยเป็นอันดับแรก

 

และเมื่อค้นพบว่าตัวเองได้เสียชีวิตลงแล้ว มันก็เผยถึงความปิติยินดีออกมาในทันใด

 

จิตวิญญาณหันไปกล่าวกับกู่ฉิงซานว่า “เจ้าได้ช่วยข้าไว้ได้มากจริงๆ อ้อข้าขอบอกก่อนนะว่าตัวข้าจะถูกส่งกลับไปด้วยเทคนิคมนตราที่ติดตั้งเอาไว้ล่วงหน้าในเร็วๆนี้ ดังนั้นพวกเราคงจะได้พูดกันแค่สั้นๆเท่านั้น”

 

“ด้วยความยินดี ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงมาปรากฏตัวที่นี่กัน? แล้วร่างกายมนุษย์ของเจ้าเล่า?”

 

จิตวิญญาณกล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข้าได้เข้ามาที่นี่อยู่หลายครั้งคราว เพื่อทำการศึกษาเผ่ามารต่างๆ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “สายพันธุ์ของเผ่ามารมันมากมายมิอาจคณานับได้ แล้วเจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่เกรงว่าอาจจะบังเอิญเผชิญหน้ากับเผ่ามารที่ตนไม่อาจเอาชนะได้เลยหรือ?”

 

จิตวิญญาณถอนหายใจ “อันที่จริงแล้วมันก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ว่าข้าน่ะเป็นพวกลุ่มหลงที่จะศึกษาในสิ่งที่ตนไม่รู้จักจนกระทั่งวิ่นาทสุดท้าย เลยหลงลืมความอันตรายของสิ่งที่ไม่รู้จักนี้ไป”

 

“ขอบคุณที่สังหารข้า เป็นเพราะเจ้า ร่างกายข้าเลยไม่จำเป็นต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของอสูรกาย และข้าก็ไม่ต้องการที่ติดหนี้บุญคุณ ดังนั้นจงบอกมาว่าข้าสามารถช่วยเหลืออะไรตอบแทนเจ้าได้บ้าง?”

 

“่เช่นนั้นไหนลองบอกมาจะได้หรือไม่ ว่าเจ้ามาที่นี่ด้วยร่างมนุษย์ได้อย่างไร?”

 

“หืม? นั่นมันก็แค่วิธีตื้นๆ” ร่างจิตวิญญาณแสดงออกถึงคสีหน้าฉงน

 

“นั่นเพราะข้าไม่มีวิธีที่จะสามารถนำดวงจิตออกจากร่างกายมนุษย์ได้ ดังนั้นข้าเลยจำต้องมาที่นี่พร้อมกับกายหยาบ”

 

“อันที่จริงแล้วการนำกายหยาบมาที่นี่น่ะอันตรายยิ่งกว่ามาก เพราะกายมนุษย์มันง่ายเกินไปที่จะถูกทำลายและสังหาร”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้ารับฟัง

 

แต่แล้วร่างจิตวิญญาณดูเหมือนจะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง มันเอ่ยออกมาว่า “ข้าคงต้องกลับไปที่โลกของตัวเองแล้ว โลกที่ข้าได้วางภาชนะสำรองสำหรับจิตวิญญาณของข้าเอาไว้”

 

“ในทางกลับกัน เพื่อเป็นการตอบแทนเจ้า ข้าจะบอกความลับแด่เจ้าก่อนจะจากไป”

 

“เชิญชี้แนะ”

 

จิตวิญญาณพยายามเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “หลังจากที่ข้าได้ทำการวิจัยมาหลายปี ข้าคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษกำลังให้การช่วยเหลือเผ่ามารอยู่”

 

“บางสิ่งที่พิเศษ?”

 

“ถูกต้อง มันเป็นการดำรงอยู่อันลึกลับ ที่ช่วยให้เผ่ามารสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว”

 

“ซึ่งระดับของมันจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละสายพันธุ์ของเผ่ามาร”

 

“แล้วสิ่งที่เจ้าพูดถึงมันคืออะไรกัน?”

 

“ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่เจ้าสิ่งนี้จะต้องมีตัวตนอยู่อย่างแน่นอน”

 

ขณะนี้ ใบหน้าของจิตวิญญาณตรงข้ามก็ได้แสดงออกถึงความหวาดกลัว

 

“ใช่ เจ้าสิ่งนั้นจะต้องมีอยู่ .. มีอยู่อย่างแน่นอน”

 

เขาเอ่ยพึมพำยาวเหยียด

 

ติ๊ง …

 

บังเกิดเสียงของโลหะกระทบกับพื้นดังขึ้น

 

กู่ฉิงซานมองออกไปและเห็นแค่เพียงตราประทับโลหะขนาดเล็กกลิ้งตกอยู่กับพื้น

 

“ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ นี่คือสัญลักษณ์แห่ง ‘ผู้พิทักษ์หอสูง’ ของพวกเรา และพวกเราจะไม่ยินยอมบอกเรื่องนี้กับคนนอก ยกเว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้มีพระคุณสูงยิ่ง”

 

“เอามันไปซะ และถ้าหากในอนาคตเจ้าพบกับคนของเรา ขอจงแสดงสิ่งนี้ให้เขาดู แล้วพวกเขาจะช่วยเหลือเจ้าได้อย่างแน่นอน”

 

“ข้าคงต้องไปจริงๆแล้ว ลาก่อน”

 

มันเกิดเสียงดังวิ้งงง!ขึ้น แล้วร่างจิตวิญญาณก็หายวับไปจากในจุดที่ลอยอยู่

 

ขณะที่ตราประทับโลหะค่อยๆลอยเข้าหากู่ฉิงซานอย่างช้าๆ

 

กู่ฉิงซานคว้าจับมัน

 

บนตราประทับ ถูกสลักเอาไว้ด้วยหอสูงทมิฬที่ตั้งอยู่บนที่ราบสีแดง

 

กู่ฉิงซานมองดูหอคอยนี้ และจู่ๆเขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันเล็กน้อย

 

นี่ดูเหมือนจะเป็นประภาคารที่เขาเห็นขณะที่กำลังข้ามผ่านมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าไปยังโลกของร่างใหญ่นี่นา

 

ดังนั้น กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นการดำรงอยู่ที่หยั่งรากลึกอยู่ในมิติที่ว่างเปล่าใช่หรือไม่?

 

กู่ฉิงซานเก็บตราประทับ และเริ่มขบคิดถึงสิ่งที่ชายคนนั้นได้กล่าวเอาไว้ก่อนที่จะจากไป

 

“บางสิ่งได้ช่วยเหลือเผ่ามารให้พวกมันสามารถวิวัฒนาการได้อย่างรวดเร็ว-” กู่ฉิงซานเอ่ยใคร่ครวญ

 

และแล้วก็บังเกิดประกายกระพริบไหว เขาพลันจดจำได้ถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้วในนิกายร้อยบุปผา

 

ก่อนหน้าการทดสอบประจำปี ครั้งหนึ่งภายในนิกายร้อยบุปผา ทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างอยู่กันพร้อมหน้าและกล่าวถึงเผ่ามาร

 

ฉินเซี่ยวโหลวถอนหายใจ “ขอบเขตประทับประทับเทพของเผ่ามาร แม้จะไม่บ่อยแต่ก็ถือกำเนิดออกมาอยู่หลายครั้ง แต่ทางฝั่งมนุษย์ของพวกเรา วันเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปหลายปี กลับปรากฏขอบเขตประทับเทพขึ้นแค่สามคนเท่านั้น”

 

“ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าการฝึกยุทธของเผ่ามารเพื่อก้าวขึ้นสู่ประทับเทพมันเป็นเรื่องง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือ?”

 

ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยความหดหู่

 

ในเวลานั้นเอง นางเซียนไป่ฮั่วก็กล่าวออกมาว่า “แม้ในด้านปริมาณ ขอบเขตประทับเทพของเผ่ามารจะชนะพวกเราได้อย่างขาดลอย แต่ในด้านความแข็งแกร่งกลับเพียวๆ พวกมันมิอาจสู้ข้าที่ใช้มือเปล่าเพียงข้างเดียวด้วยซ้ำ”

 

“เป่ยหยวนกับซวนหยวนก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน”

 

“ในความเป็นจริงแล้ว ในด้านความแข็งแกร่งพวกเราเด่นกว่ามันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนของฝ่ายตรงข้ามที่มีมากเกินไป และพวกเราก็ไม่สามารถล้างบางพวกมันได้ในครั้งเดียว ยิ่งไม่กว่านั้นเรายังไม่กล้าที่จะทุ่มเต็มกำลังอีก เพราะหากเกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้น หากหนึ่งในพวกเราคนใดตกตายลง กำลังของเผ่ามนุษย์จะถดถอยลงชนิดตกอยู่ในระดับอันตรายร้ายแรงทันที”

 

“และนั่นคือเหตุผลที่พวกเราไม่ยินยอมจะออกหน้าลงมือง่ายๆ”

 

นี่คือคำกล่าวเดิมของนางเซียนไป่ฮั่ว

 

ในเวลานั้น กู่ฉิงซานพึ่งจะเข้านิกายมาได้เพียงไม่นาน และหลังจากที่ได้ฟังเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

 

ทว่าตอนนี้ เขาอยู่ในถ้ำลึกที่มืดมิด แถมยังได้ยินถึงข้อสงสัยของจิตวิญญาณที่มาจากโลกอื่นอีก

 

จนกระทั่งมันนำพาเขามาประสบพบเจอกับปัญหานี้อีกครั้งในที่สุด

 

“เผ่ามาร … มีบางสิ่งบางอย่างกำลังช่วยเหลือพวกมัน … ” เขาเอ่ยพึมพำเสียงต่ำ

 

เช่นนั้นแล้วสิ่งใดกันที่อยู่เบื้องหลังพวกมัน?

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.382 – ถ้ำมืด

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายภายในถ้ำมืด หัวใจของกู่ฉิงซานก็เต้นครึกโครมในทันใด

 

กลับกลายเป็นว่าเผ่ามารได้ยึดครองเส้นทางระหว่างโลกกับปรภพไปซะแล้ว!

 

เขากล่าว “ระบบ ช่วยทำการตรวจสอบให้ฉันหน่อยสิ ว่าภายในถ้ำมีมารที่ฉันไม่รู้จักอยู่บ้างไหม”

 

ระบบเทพสงครามกล่าว “จากการตรวจสอบ พบว่าภายในถ้ำมืด มีเผ่ามารไม่ทราบชนิดอยู่เป็นจำนวนมหาศาล”

 

“การตรวจสอบทีละตัวค่อนข้างจะยุ่งยากเกินไป และจะส่งผลกระทบอย่างมากระหว่างการต่อสู้ ฉะนั้น ถ้าคุณต้องการตรวจสอบมันได้เลยตลอดเวลาแบบเรียลทาร์มจริงๆ จะต้องทำการจ่าย 10 แต้มพลังวิญญาณ/วินาที”

 

“10แต้มต่อวินาที? นั่นดูจะสูงไปสักหน่อยนะ”

 

กู่ฉิงซานกล่าวพลางครุ่นคิด

 

แต่เบื้องหน้าเขา สิ่งที่กำลังจะต้องเผชิญคือตัวตนที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทั้งในโลกจริงและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ หากไม่มีข้อมูลของพวกมัน เขาก็จะเสียเปรียบเป็นอย่างมากในการต่อสู้ครั้งนี้

 

กู่ฉิงซานเบนสายตาไปมองแต้มพลังวิญญาณ 2100 แต้มของตัวเองและพยักหน้า “ตกลง มาเริ่มกันเลย”

 

พร้อมกับคำพูดของเขา หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้ส่งเสียง ‘ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด’ ออกมา

 

ตามด้วยหลายเส้นแสงหิ่งห้อยที่เลื่อนขึ้นมาบนหน้าต่างระบบ

 

“ระบบเทพสงครามกำลังเริ่มเข้าสู่ฟังก์ชั่นทำการตรวจสอบ”

 

“เริ่มต้นทำการซิงโครไนซ์กับจิตใจของผู้เล่น”

 

“เชื่อมต่อกับจิตสำนึกเทวะของผู้เล่นเรียบร้อยแล้ว”

 

“เริ่มต้นการสร้างระบบข้อมูล”

 

“ผู้เล่นสามารถตรวจสอบสายพันธ์ของมอนสเตอร์และความแข็งแกร่งของพวกมันได้แบบเรียลทาร์มแล้ว”

 

กู่ฉิงซานลองเพ่งความรู้สึกดู แต่เขากลับพบว่าบนตัวเอง ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลย

 

เขาเอ่ยถามแปลกๆ “แล้วฉันจะเริ่มตรวจสอบพวกมันได้ยังไง?”

 

“ก็ทำเหมือนดั่งเช่นปกติ ใช้งานจิตสัมผัสเทวะกวาดออกไป คุณก็จะสามารถรับรู้ได้ถึงสายพันธ์ของมอนสเตอร์พร้อมกับคำอธิบายที่ตรงกันทันที” ระบบตอบกลับ

 

“สะดวกขนาดนั้นเชียว?” คิ้วของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด

 

แล้วเขาก็ปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และกวาดมันเข้าไปในถ้ำ

 

แล้วเขาก็พบกับมอนสเตอร์ตัวแรกที่เกาะอยู่บนผนังถ้ำ มันมีรูปร่างเหมือนงูยาวสีขาว กำลังเกาะอยู่ในสภาพกลับหัวกลับหาง โดยใช้อุ้งเล็บจิกผนังส่วนบนของถ้ำมืด แล้วซุ่มรอจากเบื้องบนอย่างเงียบๆ

 

มอนสเตอร์ตัวนี้ไม่มีดวงตา ไม่มีเกล็ดบนร่างกาย ราวกับว่ามันกำลังถูกแช่อยู่ในน้ำ ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกเหนอะเฉอะแฉะ

 

ขณะที่ศีรษะของมันกำลังหันตรงมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน พร้อมกันสองจมูกที่กำลังขยับฟุดฟิดๆอยู่

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปยังมอนสเตอร์ตัวนี้ และทันใดนั้นข้อมูลก็เด้งเข้ามาในจิตใจของเขาอย่างฉับพลัน

 

“ ‘มารมังกรเลือดทมิฬ’ นี่คือเผ่ามารที่เก่งกาจในด้านการต่อกรกับจิตวิญญาณในมิติที่ว่างเปล่า ความแข็งแกร่งของมันสามารถเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย “

 

มารมังกรเลือดทมิฬ นี้ แท้จริงแล้วอยู่ในระดับเดียวกันกับกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะข้ามผ่านมอนสเตอร์ตัวนี้ไป เพื่อทำการสำรวจลึกลงไปมากขึ้น

 

ภายในถ้ำมืด ล้วนคราคร่ำไปด้วยเผ่ามาร

 

มันกระจุกรวมกันอยู่อย่างหนาแน่น ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดทั้งถ้ำ

 

“มารกบกินกระดูก เป็นเผ่ามารที่มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้กับปรภพและหิวโหยเหล่าจิตวิญญาณมากเป็นพิเศษ สกิลที่โดดเด่นของมันก็คือสามารถพ่นเมือกเหลวที่หนืดเหนียวเป็นอย่างมากออกมาได้ มีระดับความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง”

 

“มอนสเตอร์กระดูกประชิด เป็นมารที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะใกล้มากที่สุด สามารถสับสะบั้นเทคนิคมนตราจากธาตทั้งห้าได้ มีระดับความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อกำเนิดขั้นปลาย

 

“หนอนร้อยกรงเล็บ … ”

 

…..

 

รายละเอียดของมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในจิตใจ แต่มันกลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสตินึกคิดของกู่ฉิงซานเลย

 

ตรงกันข้าม มันกลับทำให้กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่าเขาคือคนที่ได้ต่อสู้กับมารเหล่านี้มานานนับหลายปี

 

กล่าวได้ว่าเขารู้ถึงรายละเอียดมอนสเตอร์แต่ละตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

“เป็นฟังก์ชั่นที่ดี!” กู่ฉิงซานเอ่ยแสดงความคิดเห็น

 

“แต้มพลังวิญญาณที่ได้รับมาก็ดีไม่เลวเหมือนกัน” ระบบกล่าว

 

ในจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน มารมังกรเลือดทมิฬกำลังค่อยๆเคลื่อนกายมายังทิศทางของเขาอย่างเงียบๆ

 

หลังจากผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ มารมังกรก็มาถึงเบื้องล่างของเขา

 

มันเงยหน้าขึ้น และมองมายังเขาที่ลอยอยู่ในความมืดมิด

 

กู่ฉิงซานโบกมือออกไปคว้าจับดาบพิภพ

 

ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วเกี่ยวด้ามจับของเช่าหยินมาไว้ตรงหลังมือ

 

เวลานี้สองดาบถูกเกาะกุมไว้ในหนึ่งมือของเขา

 

และร่างของกู่ฉิงซานก็หายวับไป

 

บรัช!

 

ตามด้วยร่างมังกรเลือดทมิฬถูกหั่นเป็นชิ้นๆโดยดาบของเขา

 

มันดิ้นเร่าๆด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะกระโดดหนีลึกลงไปตามผนังถ้ำด้วยความหวาดกลัว

 

แต่ดิ้นรนอยู่สักพัก สุดท้ายมันก็ตายไป

 

ศพของมังกรเลือดทมิฬร่วงตกลงจากเบื้องบน กระดูกในร่างของมันหล่นกระจัดกระจาย และระเบิดหมอกเลือดสีดำคล้ำกลุ่มหนึ่งออกมา

 

หมอกเลือดถูกพัดพาไปตามสายลมลึกเข้าไปในถ้ำ

 

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน

 

เพียงหนึ่งดาบ กลับสามารถสังหารมารมังกรเลือดทมิฬที่อยู่ในระดับเดียวกันได้

 

แถมยังช่างง่ายดายยิ่ง กล่าวได้ว่าหากมีคนยืนดูอยู่ข้างๆ คนๆนั้นคงยากที่จะเชื่อสิ่งที่ตาตัวเองกำลังเห็นอยู่นี้เหมือนกัน

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว กู่ฉิงซานผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้เกี่ยวกับดาบ แถมยังครอบครองธาตุสายฟ้า ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะเหนือยิ่งกว่าเผ่ามาร

 

ยิ่งหนุนเสริมด้วยสกิลธาตุสายฟ้า ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ ที่เมื่อเผชิญหน้ากับเผ่ามาร อำนาจการทำลายล้างของผู้ฝึกยุทธจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 30 %!

 

ดังนั้น กล่าวได้ว่าแม้ตัวเขาจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับก้าวสู่เทพขั้นปลาย แต่หากพลังอำนาจถูกหนุนเสริมเพิ่มขึ้นอีก 30 % มันก็อาจเพียงพอที่จะระเบิดพลังในระดับประทับเทพขั้นต้นออกมาได้!

 

จึงพอสรุปโดยสังเขปได้ว่า หากต้องเผชิญหน้ากับเผ่ามาร ความแกร่งของกู่ฉิงซานจะเทียบเท่าได้กับ นักดาบนิรันดร์ในขอบเขตประทับเทพ!

 

กู่ฉิงซานร่อนลงไปยืนบนผนังของถ้ำ

 

และยื่นปลายดาบที่ทั้งใบชุ่มไปด้วยเลือดสีดำหยดลงไปภายใน

 

ฉากนี้ราวกับกำลังกระตุ้นเผ่ามารก็มิปาน

 

พวกมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือด และเริ่มถลาเข้าหากู่ฉิงซานอย่างบ้าคลั่ง

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะผ่านมอนสเตอร์เหล่านี้ไป และข้อมูลทั้งหมดของพวกมันก็ผุดเข้ามาในจิตใจของเขา

 

สามมอนสเตอร์ไต่ขึ้นมาบนผนังหิน พวกมันอ้าปากและพยายามจะงับเขา

 

และสองดาบของกู่ฉิงซานก็วูบไหว

 

หลากรังสีดาบเจาะเข้าไปในความมืดมิด และระเบิด! ออกไปทุกทิศทาง

 

เหล่ามอนสเตอร์ที่ห้าวหาญถูกตัดเป็นชิ้นๆ เศษเนื้อของพวกมันกระจายไปทั่วตามสายลมจากแรงระเบิดของการฟาดฟันดาบ

 

สถานการณ์ภายในถ้ำมืดขณะนี้ คล้ายกับกำลังบังเกิดฝนเลือด

 

และแน่นอน กลิ่นอายเลือดจากเศษศพที่โปรยลงไป มันย่อมไปกระตุ้นความเดือดดาลของมอนสเตอร์จำนวนมาก พวกมันเริ่มแผดเสียงคำราม!

 

โฮกกกก!

 

บังเกิดเสียงคลื่นเสียงคำรามดุร้ายกังวานขึ้น

 

และเพียงครู่หนึ่ง ก็เริ่มมีเสียงคำรามดังสะท้อนขึ้นตามๆกันมา

 

ในเวลานี้เผ่ามารมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกู่ฉิงซานแล้ว

 

อา .. จิตวิญญาณ … จิตวิญญาณที่พวกมันปรารถนาจะกลืนกิน!

 

ทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว

 

เผ่ามารทั้งหมดภายในถ้ำมืด ราวกับน้ำที่ถูกต้มจนเดือด พวกมันกระเสียดกระสนพุ่งขึ้นมายังส่วนบนของปากถ้ำ

 

แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนผนังหิน

 

เขาทำการล็อคสมญาไปเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’ พร้อมทั้งปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป กวาดทั้งหมดลงไปยังเหล่ามอนสเตอร์

 

ณ ขณะนี้ ข้อมูลของหลายสิบมอนสเตอร์ถูกควบรวมมาที่เขา

 

กู่ฉิงซานจ้องมองเหล่ามอนสเตอร์และกล่าวว่า

 

“มาออกันที่หน้าปากทางเข้าปรภพกันขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ลองเข้าไปดูกันซะหน่อยล่ะ ว่าปรภพน่ะมันเป็นยังไง?”

 

มวลมอนสเตอร์โห่ร้อง และเข้าโอบล้อมร่างจิตของเขาอย่างแน่นหนา ชนิดหากมีน้ำขังอยู่ก็คงไม่มีรั่วไหลลงมาสักหยด

 

และแน่นอน ว่ามันย่อมไม่หมดเพียงเท่านี้ เหล่ามอนสเตอร์จากเบื้องล่างยังคงวิ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณใดก็ตามที่พยายามจะเข้าสู่ปรภพ ล้วนถูกกลืนกินโดยพวกมันภายในถ้ำแห่งนี้

 

ในฐานะนักล่า กล่าวได้ว่าพวกมันเพลิดเพลินใจจริงๆ กับการล่าเหยื่อโดยที่ตนไม่ต้องออกแรงหรือเจ็บปวดเช่นนี้

 

ท่ามกลางความมืดมิด

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปากออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ “ในเมื่อพวกแกเลือกที่จะดาหน้ากันออกมาต้อนรับซะขนาดนี้ ฉันก็ยินดีน้อมรับและจะสัมนาคุณส่งพวกแกกลับลงไปเอง!”

 

เสียงยังมิทันจะได้ตกลง ในความมืดมิด ก็พลันปรากฏบางสิ่งที่กำลังเบ่งบานขึ้นบนผนังถ้ำ

 

ร่างเงาของดาบบานสะพรั่งไปทั่ว – เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!

 

ร่างเงาสะพรั่งแยกย้ายกันออกไปในทันใด แปรเปลี่ยนสภาพตัวเองเป็นเส้นแสงสีดำร่ายรำไปทั่วบริเวณ

 

เผ่ามารบัดนี้ราวกับถูกจับโยนลงในเครื่องบดเนื้อ  ตามร่างกายของพวกเว้นระยะห่างไม่ถึง1ชุ่น(2.5ซม.) ล้วนถูกเฉือนหั่น แล่เป็นชิ้นๆมิแตกต่างไปจากปลาดิบ!

 

เลือดสาดเทไปทั่ว

 

“คุณได้รับ 10 แต้มพลังวิญญาณ”

 

“คุณได้รับ 17 แต้มพลังวิญญาณ”

 

“คุณได้รับ 8 แต้มพลังวิญญาณ”

 

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

 

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

 

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

 

…….

 

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน ก้มลงมองไปภายในถ้ำมืดเบื้องล่าง

 

ถ้ำกว้างหลายพันเมตร ในระยะสายตา บัดนี้ถูกเติมเต็มไปด้วยเผ่ามาร

 

และแม้ร่างพวกมันจะเปียกชุ่มไปด้วยเลือดและเนื้อจากซากศพสหายที่ร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบน แต่พวกมันก็ยังมิยอมหวาดกลัวศัตรู เลือกที่จะดาหน้าเข้ามาไม่หยุดยั้งเพียงเพราะอดใจไม่ไหวที่จะได้กลืนกินจิตวิญญาณแสนอร่อย

 

กู่ฉิงซานเพียงนึกคิด แล้วดาบพิภพก็วูบออกไป

 

พร้อมกับสมญาเทพสงครามของเขาที่ถูกเปลี่ยนไปเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’

 

“สมนาคุณพวกมันให้เต็มที่ไปเลย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกมารจะต้านทานคมดาบของเจ้าได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ด้วยความยินดี!” ดาบพิภพฮึมฮัม

 

และมันก็แปรสภาพตัวเองเป็นกระแสแสง ทิ้งปลายอันแหลมคมดิ่งลงไปเชือดเฉือนเผ่ามาร

 

แต่ต้องรู้นะว่า ในความเป็นจริงแล้ว หากผู้ฝึกดาบมิได้ใช้สกิลดาบของพวกเขา และปล่อยให้ดาบบินธรรมดาโจมตีธรรมดาๆออกไป การกระทำเช่นนั้นย่อมมิอาจต่อกรกับศัตรูได้

 

ยกเว้นไว้แต่เพียงดาบบินที่ว่าจะมีจิตอาร์ติแฟคเท่านั้น เพราะด้วยจิตแห่งดาบที่มันมีในตัวเอง ดาบบินจึงจะสามารถใช้ออกด้วยสกิลขั้นพื้นฐานบางอย่างด้วยตนเองได้

 

และดาบพิภพก็ทิ้งตัวลงไป ปะทะเข้าไปในดงมาร

 

สับหัว

 

สับลำตัวและแขน

 

ตามด้วยช่วงล่างและขาอย่างรวดเร็ว!

 

และที่ดาบพิภพทำ ก็เพียงแค่กวัดแกว่งตัดเฉือนไปมา ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้นเลย

 

ทว่าตลอดทั้งภายในถ้ำมืด ไม่มีเผ่ามารตนใดเลยที่สามารถป้องกันการสะบั้นของคมดาบที่มีน้ำหนักกว่า 86.37 ล้านจินได้!

 

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่เบื้องบน เฝ้ามองดูดาบไล่สับเหล่ามารอย่างท่าทีสบายๆ

 

ขณะที่บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏข้อความเด้งแจ้งเตือนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

“คุณได้รับ 17 แต้มพลังวิญญาณ”

 

“คุณได้รับ 11 แต้มพลังวิญญาณ”

 

“คุณได้รับ 21 แต้มพลังวิญญาณ”

 

…..

 

แม้ว่าฟังก์ชั่นตรวจสอบมาร มีความต้องการ 10 แต้มพลังวิญญาณในทุกๆวินาที แต่หลังจากที่สังหารพวกมันมายาวนานกว่า 1 ชั่วโมง กู่ฉิงซานกลับได้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นกลับมาถึง 3000 แต้มอีกครั้ง!

 

สำหรับการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

 

และในช่วงเวลานั้นเอง เขาก็เรียกดาบพิภพกลับคืน

 

ภายในถ้ำมืด เต็มไปด้วยเศษซากมารที่ถูกล้างบางโดยดาบพิภพ

 

เวลานี้ ท่ามกลางความว่างเปล่า เริ่มบังเกิดร่องรอยของกลิ่นอายลึกลับโชยออกมา

 

ห้วงอารมณ์ของกู่ฉิงซานเริ่มที่จะหนักหน่วงขึ้น

 

โดยไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ จู่ๆตลอดทั้งถ้ำมืดพลันจมลงสู่ความเงียบงัน

 

ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานค่อนข้างมั่นใจว่าเขายังมิได้สังหารเผ่ามารทั้งหมดลง

 

ในจิตสัมผัสเทวะของเขา ยังพบกับเผ่ามารอีกหลายตนที่มีขอบเขตต่ำเกินไปกำลังยึดสองขาสองแขนของพวกมันลงบนผนังหิน ตัวแข็งไม่ไหวติง

 

มองไปยังอาการหวาดกลัวอลหม่านที่แสดงออกมาของพวกมัน เพียงเขาก้าวลงไปไม่กี่ก้าว พวกมันก็ถูกขู่จนเผ่นหนีไปทันที

 

กู่ฉิงซานจึงย่ำสองเท้าแตะลงเบาๆบนผนังถ้ำ และทิ้งตัวค่อยๆจมลึกลงไป

 

เวลานี้ ความมืดมิดที่แท้จริงได้กลืนกินเขาเข้าไปแล้ว

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.381 – ต่อสู้กับการล่มสลายของโลก

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานได้จากไป

 

วิลล่าบนหุบเขาก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

 

“นายคิดว่ายังไง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามขึ้นทันใด

 

“บอกไม่ถูกเหมือนกัน” เย่เฟย์หยูตอบ

 

เขาสองแขนยกขึ้นกอดอก สองตาเฝ้าสำรวจกู่ฉิงซานที่กำลังนั่งอยู่ในท่วงท่าสมาธิ

 

“แต่ที่แน่ๆ หากไม่นับเขา ก็คงเป็นฉันนี่แหละที่แข็งแกร่งที่สุดในโล-”

 

ซางหยิงฮ่าวขัดจังหวะอีกฝ่าย “ถ้าไม่นับกู่ฉิงซาน ก็คงเป็นฉันนี่แหละที่แกร่งที่สุด”

 

ซางหยิงฮ่าวกล่าวต่อ “บอกตรงๆฉันรู้สึกอิจฉาเจ้าหมอนี่อยู่นิดหน่อยเหมือนกัน ในฐานะนักฆ่า ฉันยังไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยว่าเวลาตายมันจะรู้สึกยังไง”

 

เย่เฟย์หยูเงียบไปครู่หนึ่ง และทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมา “ถ้าความแข็งแกร่งฉันมากพอ ตัวฉันเองก็คงจะได้ตามเขาเข้าไปสำรวจปรภพแล้ว”

 

“ใช่ เรื่องนี้นับว่าน่าสนใจมากๆทีเดียว ความจริงแล้วพวกเราทั้งสามคนควรที่จะไปด้วยกัน” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

เย่เฟย์หยูมองดูเขาและกล่าว “ถ้านายต้องการที่จะต่อสู้เคียงบ่าเครียงไหล่กับกู่ฉิงซาน นายจะต้องเพิ่มพูนพื้นฐานวรยุทธให้มันเร็วกว่านี้ ใช่ไหมเจ้าปราณปรับแต่งขั้น 7”

 

“แกก็ด้วยแหละ เจ้าขั้นก่อตั้งเอ๊ย”

 

“ยังไงซะ ขั้นก่อตั้งก็ยังดีกว่า หากเทียบกับนาย”

 

“แต่ขั้นก่อตั้ง ก็กระจอกยิ่งกว่ากู่ฉิงซานอยู่ดี”

 

“ก็ยังดีกว่านาย”

 

“ได้ ได้เลย ไม่จบใช่ไหมเจ้าผีดิบนักฆ่า?”

 

……

 

กู่ฉิงซานออกจากโลก และก้าวเข้าสู่มิติอันเชี่ยวกราดอีกครั้ง

 

ทว่าการมาคราวนี้ เขาไม่ได้หันไปมองรอบๆด้วยความสับสนอีกต่อไป แต่กลับยืนนิ่งๆ และพยายามสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงรอบตัว

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานจางๆค่อยๆปรากฏออกมาจากทุกทิศทาง

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครมขึ้นทันใด

 

พลังงานนี้ ค่อยๆห่อหุ้มกายเขาอย่างช้าๆ และฉุดดึงเขาไปตามทิศทางของมิติที่ว่างเปล่า

 

กู่ฉิงซานยืนนิ่ง ไม่ได้ขยับตัวใดๆ

 

ในสายตาของเขา จู่ๆก็ปรากฏหลายบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

“ค้นพบว่าผู้เล่นได้กระตุ้นเนื้อเรื่องของโลกที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน”

 

“ค้นพบว่าพื้นฐานวรยุทธของผู้เล่นอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย”

 

“สถานะปัจจุบันสอดคล้องกับเงื่อนไขการเริ่มต้นภารกิจ”

 

“เริ่มต้นภารกิจ : ต่อสู้กับการล่มสลายของโลก”

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่าน เส้นแสงระยับเหล่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว

 

แล้วกระแสแสงใหม่ก็ไหลข้ามเข้าผ่านเข้าในหน้าต่างระบบเทพสงคราม ทว่าคราวนี้ ตัวอักษรใหม่ที่ปรากฏขึ้นกลับมีสีเลือด!

 

“คุณได้ทำลายห่วงโซ่แห่งโชคชะตาและเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ผู้เล่นกู่ฉิงซานได้เข้าสู่ ภารกิจแห่งโชคชะตา”

 

“คำอธิบายภารกิจ : เมื่อโลกกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการล่มสลายเกินกว่าจะแก้ไขได้ แต่แล้วคุณกลับสามารถค้นพบวิธีเดินทางไปสู่ปรภพได้ เพื่อทำการค้นหาสาเหตุของภัยพิบัติ – ซึ่งนับว่าเป็นเหตุการณ์อันหาได้ยากยิ่ง และหากสำเร็จ มันจะช่วยให้ชะตากรรมของโลกทั้งใบหักเหไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้”

 

“วัตถุประสงค์ภารกิจ : โปรดทำทุกอย่างที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือปรภพและโลกมนุษย์”

 

“หลังจากที่ภารกิจลุล่วง คุณจะได้รับรางวัลสำหรับเนื้อเรื่องพิเศษนี้ : พลังเทวะของเทพสงคราม (จากขอบเขตประทับเทพ)”

 

“หากภารกิจล้มเหลว ผู้เล่นจะถูกส่งตัวออกไปทันที และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป จะไม่สามารถกลับมาที่โลกจริงได้อีกเลย”

 

กู่ฉิงซานที่กำลังยืนอยู่หน้ารอยแยกมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด ได้กวาดสายตาอ่านหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างใจเย็น ก่อนจะเอ่ยถามว่า

 

“ไอ้ที่บอกว่าฉันจะถูกส่งตัวออกไปนี่คือยังไง? ไม่สามารถกลับไปยังโลกจริงได้อีกแล้วเลยอย่างงั้นหรอ?”

 

ติ๊ง!

 

ระบบเทพสงครามตอบ

 

“ใช่ หากภารกิจล้มเหลว ทางเดียวที่คุณจะรอดชีวิตคือ หนีไปยังมิติและห้วงเวลาที่ต่างออกไป ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างโลกเทวะและโลกอื่นๆ”

 

กู่ฉิงซานเงียบ ไม่ได้กล่าวอะไรกลับไป

 

ถ้าล้มเหลวฉันจะไม่มีวันได้กลับมาอีก?

 

งั้นก็หมายความว่าฉันจะไม่ได้พบเจอกับเหล่าคนคุ้นเคยกันอีกแล้วน่ะสิ …

 

เขาถอนหายใจและเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ฉันจะไม่ยอมล้มเหลวแน่นอน”

 

ระบบเทพสงครามกล่าวต่อว่า “นอกจากนี้ ร้องขอให้ผู้เล่นโปรดทราบว่า นับจากนี้ไป ผู้เล่นจะสามารถข่าย 100 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำการเปิด ‘ฟังก์ชั่นตรวจสอบ’ ได้เป็นการชั่วคราว”

 

“ฟังก์ชั่นตรวจสอบ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ถูกต้อง ในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราดแห่งนี้ มีมอนสเตอร์และอสูรกายมากมายที่คุณไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับมัน และการใช้ฟังก์ชั่นตรวจสอบจะช่วยให้คุณรับรู้ถึงสถานการณ์และพลิกแพลงการกระทำของคุณได้” ระบบกล่าว

 

“แต่ฟังก์ชั่นนี้จะถูกยกเลิกหลังจากที่ผู้เล่นสามารถเข้าสู่ปรภพได้แล้ว”

 

“นี่มันฟังดูดีนี่นา ตกลง ฉันยอมจ่าย 100 แต้มพลังวิญญาณ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“จริงสิ แล้วนอกเหนือไปจากฟังก์ชั่นตรวจสอบแล้ว ระบบสามารถกำจัดมอนสเตอร์ให้ฉันได้รึเปล่า?” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง

 

“การเอาชนะศัตรู ผู้เล่นจะต้องพยายามด้วยตัวเอง ระบบไม่สามารถทำแทนได้”

 

“นอกจากนี้ โปรดให้ความใส่ใจกับเกียรติยศศักดิ์ศรีของตัวคุณเองด้วย อย่าได้คิดเอ่ยถามถึงเรื่องนี้อีก มันดูไม่ดี” ระบบกล่าว

 

“ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความเสียดาย

 

ว่าจบ เขาก็เริ่มเคลื่อนที่ไปตามทิศทางที่มีพลังงานอันแสนคลุมเครือคอยฉุดดึงเขา

 

และเมื่อเวลายิ่งผ่านไป แรงฉุดดึงก็ค่อยๆทวีน้ำหนักมากขึ้น มันจึงง่ายต่อการแยกแยะทิศทาง

 

ท่ามกลางความว่างเปล่า กระแสลมเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง บังเกิดเป็นเส้นทางที่นำพาเขาไปยังทิศทางเบื้องล่าง

 

กู่ฉิงซานบัดนี้อยู่ในสภาพขนานกับพื้น แลคล้ายกำลังเดินย่ำลงมาจากกำแพงตึกสูง มุ่งหน้าลงไปในส่วนลึกของมิติที่ว่างเปล่า

 

และกระบวนการนี้ก็เป็นไปอย่างยาวนาน

 

ยิ่งลึกลง กระแสลมในมิติที่ว่างเปล่าก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเงาตามตัว

 

ดิ่งลงไป

 

ดิ่งลึกลงไปอย่างต่อเนื่อง

 

และก็ราวกับรับรู้ถึงการมาถึงของเขา กระแสลมอันรุนแรงได้โถมเข้ามาหนุนเสริม

 

ส่งผลให้อัตราเร็วในการดิ่งลงของเขาเร็วขึ้น เร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ราวกับกำลังวิ่งมาราธอนเต็มฝีเท้าลงสู่เหวลึก

 

ตลอดเส้นทาง มีการดำรงอยู่ของมอนสเตอร์แปลกตามากมายผ่านเข้ามา

 

แต่ความเร็วของกู่ฉิงซานมันไวเกินไป ดังนั้นทุกอย่างที่กล่าวถึงจึงไม่มีเวลามากพอที่จะหยุดเขา

 

กู่ฉิงซานนึกคิดในจิตใจ

 

แล้วดาบพิภพกับเช่าหยินก็ปรากฏออกมาจากในความว่างเปล่า เวียนวนรอบกายเขา

 

เมื่อมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้น กู่ฉิงซานก็จะเตรียมตั้งท่าป้องกันก่อนเป็นอันดับแรก

 

เขาจะต้องระมัดระวังตัวให้มาก

 

เพราะการใช้ร่างจิตเดินทางไปยังปรภพ มันเป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยกระทำมาก่อน

 

หลังจากที่ทิ้งดิ่งลงมายาวนานกว่า 2 ชั่วโมง ในที่สุดความเร็วของกู่ฉิงซานก็ค่อยๆชะลอตัวลงอย่างช้าๆ

 

เส้นทางเบื้องล่าง ปรากฏให้เห็นถึงถ้ำอันมืดมิดที่ทอดยาวกว้างออกไปกว่าหลายกิโลเมตร

 

กู่ฉิงซานวนอยู่เหนือปากถ้ำอย่างเงียบๆ

 

ตัวเขาในร่างจิตที่ย่ำขนานอยู่บนเส้นทางมิติ นับว่าเล็กจ้อยนักหากเทียบเปรียบกันกับขนาดถ้ำแห่งนี้

 

รอบๆถ้ำถูกปกคลุมไปด้วยกระแสน้ำสีเทา แม้คุณจะอยู่ในระยะไกลออกไป แต่ก็ยังสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน

 

ขณะบางส่วนของถ้ำเหล่านี้เต็มไปด้วยควันสีดำ และบางทีก็มีเสียงคำรามและเสียงหอนนับไม่ถ้วนดังลอดออกมา

 

ขณะเดียวกันบางส่วนของถ้ำเหล่านั้น มีบ้างที่จะปรากฏเป็นเมฆแสงหลากสี และมีท่วงทำนองเพลงอันไพเราะขับขานมาตามสายลม

 

กู่ฉิงซานไม่คิดเคลื่อนกายใดๆ มิได้ความสนใจหรืออยากรู้อยากเห็นที่จะไปสำรวจพวกมัน

 

เพราะเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาจะต้องระมัดระวังตัวให้มากเข้าไว้

 

ร่างใหญ่เองก็ได้เตือนเขาเอาไว้เช่นกันว่า ‘หากเข้าไปผิดถ้ำ ตัวเองจะไม่สามารถกลับออกมาได้อีกเลย’

 

กู่ฉิงซานเค้นสมองอยู่นาน และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกว่าจะลงไปตามถ้ำที่มีแรงฉุดดึงเขา

 

ทว่าแม้จะตัดสินใจแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่คิดขยับเคลื่อนไหว

 

สายตาของเขาก้มลงมองขอบปากถ้ำ

 

โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อใด อยู่ๆก็มีมือโผล่ออกมา

 

มือนี้มีขนาดใหญ่โตยิ่ง ใหญ่ชนิดที่ว่ากระทั่งตัวของกู่ฉิงซานยังเล็กกว่าเล็บมือของมันด้วยซ้ำ

 

หลังจากที่มือนั้นปรากฏขึ้นได้ไม่นาน อีกมือหนึ่งของมันก็ปรากฏขึ้นตามมา

 

สองมือที่ว่าเอื้อมออกมาจากถ้ำ มันคว้าจับขอบปากถ้ำแต่ละฝั่งเอาไว้ ใช้เป็นที่ยึดจับเพื่อออกแรงดันส่วนอื่นๆของตนเองออกมา

 

ในเวลานั้นเอง เส้นแสงตัวอักษรบรรทัดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ค้นพบรามสูรไร้พักตร์ มารอสูรปฐมบทแห่งความโกลาหล ความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธก่อกำเนิดขั้นปลาย”

 

ระหว่างอธิบาย หัวของมันที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกก็ผุดออกมาจากถ้ำมืด

 

รูปลักษณ์นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นมารอสูร ปฐมบทแห่งความโกลาหลจริงๆ

 

มันคือรามสูรไร้พักตร์!

 

กู่ฉิงซานประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

 

เพราะที่นี่คือปากทางเข้าปรภพ แล้วมันจะไปมีรามสูรไร้พักตร์อยู่ได้อย่างไร!?

 

แถมดูจากลักษณะของมารตนนี้ บ่งบอกชัดเจนว่ามันมิได้ออกมาในฐานะร่างจิต – นั่นแสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้มันได้เข้าสู่ตัวปรภพด้วยร่างเนื้อจริงๆ!

 

ปรภพสามารถเข้าไปได้เฉพาะจิตวิญญาณเท่านั้นมิใช่หรือ .. แล้วตัวมันสามารถทำแบบนี้ได้อย่างไร?

 

ในขณะนั้นเอง รามสูรก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นถึงตัวตนของเขาแล้วเช่นกัน มันระเบิดเสียงคำรามขึ้นทันใด

 

แต่กู่ฉิงซานกลับเพียงนึกคิดในจิตใจ

 

วูบบบ!

 

ดาบเช่าหยินบินฉวัดเฉวียนออกไปต้อนรับรามสูรไร้พักตร์ พร้อมกับเปล่งประกายรังสีดาบสีนวลขาวดั่งแสงจันทร์

 

ดาบสีจันทร์วาดผ่าน ม้วนเป็นวงรอบคอของรามสูร

 

และศีรษะของรามสูรก็หลุดจากบ่า ร่วงหล่นหายกลับลงไปในถ้ำอันมืดมิดทันที

 

ตามด้วยร่างกายทั้งหมดของมันที่ร่วงตามลง

 

ทว่าแม้จะสังหารศัตรูลงได้ แต่บนใบหน้าของกู่ฉิงซานกลับไม่แสดงออกถึงความสุขใดๆเลย

 

ผิดปกติ .. มีบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

เขาจ้องมองเข้าไปในถ้ำอันมืดมิด

 

ภายในถ้ำ เต็มไปด้วยแสงและเงากระเพื่อมไปมาอย่างช้าๆ กระแสอากาศภายในไม่แน่ไม่นอน รวมไปถึงกลิ่นอายอันสับสนวุ่นวายและเสียงโวยวายที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ดูเหมือนว่าภายในถ้ำอันมืดมิดที่เป็นเส้นทางเข้าสู่ดินแดนของปรภพ จะถูกยืดครองไว้ด้วยบางสิ่งบางอย่าง ..

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.380 – พลังเหนือธรรมชาติ

 

กู่ฉิงซานอ่านประโยคบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บังเกิดความรู้สึกประหลาดใจในหัวใจของเขา

 

ในช่วงชีวิตที่สอง นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ลี้ลับ’ นี้

 

เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ระบบกำลังตีความหมายและเพิ่มคำอธิบายของความลี้ลับนี้อย่างต่อเนื่อง

 

ตลอดมา ระบบไม่เคยจริงจังขนาดนี้มาก่อนเลย

 

“ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต : คุณจะได้เรียนรู้ที่จะแยกแยะความแตกต่างของแต่ละองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของการดำรงอยู่ต่างๆ และจะได้รับความสามารถในการปรับตัวเองให้เป็นชนิดเดียวกันกับการดำรงอยู่นั้นได้”

 

“คำอธิบาย : คุณต้องได้รับส่วนประกอบของการดำรงอยู่ชนิดนั้น เพื่อแยกแยะลักษณะ และกฏเกณฑ์ในตัวมันเสียก่อน คุณจึงจะสามารถอำพรางปบอทตัวเป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตนั้นๆได้”

 

“โปรดทราบ”

 

“โปรดทราบ”

 

“เนื่องด้วยระบบเทพสงครามมีความพิเศษและเป็นเอกเทศ : ดังนั้นคุณจึงได้รับสองตัวเลือกสำหรับการฝึกฝนวิชาลี้ลับนี้ ”

 

“หนึ่ง : ฝึกฝนวิชาลับนี้โดยใช้ ‘พลังวิญญาณ’เป็นพื้นฐาน หลังใช้งาน ผู้เล่นก็จะมีลักษณะการดำรงอยู่ รูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกับสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายและความผันผวนของพลังวิญญาณก็จะคล้ายคลึงกัน โดยที่สิ่งมีชีวิตนั้นๆ จะไม่สามารถแยกแยกออกได้ว่าคุณเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภท”

 

“สอง : ฝึกฝนวิชาลับนี้โดยใช้ ‘แต้มพลังวิญญาณ’ เป็นพื้นฐาน ผู้เล่นจะกลายเป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตที่ตนเลือกเป็นเวลาชั่วคราว”

 

“คำเตือน : ชนิดของสิ่งมีชีวิตที่อ้างอิงถึง ‘จะต้องมีจิตวิญญาณ’ ”

 

“คำเตือน : คุณจะต้องทำการเลือกทันที เพื่อกำหนด ‘ต้นกำเนิด’ของพลังของวิชาลี้ลับนี้”

 

“คำเตือน : เมื่อคุณเลือกต้นกำเนิดของพลังขั้นพื้นฐานนี้แล้ว คุณจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้”

 

หลังจากที่อ่านเสร็จ กู่ฉิงซานก็ลังเลไปชั่วขณะ

 

หากกล่าวโดยทั่วไปแล้ว โดยทั่วไปน่ะนะ การอำพรางปลอมตัวโดยเลือกที่จะใช้ต้นกำเนิดเป็น ‘พลังวิญญาณ’ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

 

แต่กู่ฉิงซานกลับคิดลึกเข้าไปมากยิ่งกว่านั้น จินตนาการเลยเถิดไปไกล

 

เขาเอ่ยถาม “ระบบ ถ้าตามคำอธิบาย หมายความว่าฉันจะกลายเป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตประเภทนั้นไปเลยถูกต้องไหม? ”

 

“ใช่ คุณจะกลายเป็นการดำรงอยู่ชนิดนั้นชั่วคราว” ระบบตอบกลับอย่างรวดเร็ว

 

ระบบอธิบายต่อ ซึ่งนับว่าน้อยครั้งนักที่มันจะใส่ใจแบบนี้ “วิชาลี้ลับนี้ แต่เดิมอยู่ในมือของสิ่งมีชีวิตเฉพาะเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น และแม้กระทั่งการดำรงอยู่แบบเฉพาะอย่างพวกมัน ก็ยังเลือกที่จะใช้ ‘พลังวิญญาณ’ เป็นต้นกำเนิดพื้นฐานในการเรียนรู้วิชาลี้ลับนี้”

 

“เพราะแต้มพลังวิญญาณน่ะ มันไม่ได้เป็นเพียงพลังเหนือธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นพลังบริสุทธิ์ที่มาจากต้นกำเนิดของโลกอันหาได้ยากยิ่งอีกด้วย”

 

“ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าในโลกทั้งสิบจึงไม่มีใครล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คุณต้องรู้นะว่ามีเพียงการใช้ ‘แต้มพลังวิญญาณ’ เป็นต้นกำเนิดพลังขั้นพื้นฐานเท่านั้น จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้องในการเรียนรู้วิชาลับนี้”

 

“และตัวระบบเอง ก็ขอแนะนำให้คุณเลือกใช้ ‘แต้มพลังวิญญาณ’ ในการเรียนนี้วิชาลี้ลับนี้”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า เพราะนี่ก็สอดคล้องกับความคิดของตัวเองอยู่แล้วเหมือนกัน

 

“ฉันขอเลือกใช้แต้มพลังวิญญาณเป็นพลังพื้นฐาน” เขากล่าว

 

ระบบตอบกลับ “วิชาลี้ลับนี้ กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งลึกลับล้ำค่ายิ่ง มันซ่อนอยู่ในส่วนลึกของกฏเกณฑ์แห่งโลก หากต้องการเรียนรู้วิชานี้ จำเป็นต้องจ่าย 2000 แต้มพลังวิญญาณ”

 

เยอะโคตร!

 

กู่ฉิงซานสูดลมหายใจเย็นเยียบ สุดท้ายจึงกัดฟันกล่าวว่า “ฉันยอมจ่าย”

 

“ได้รับ 2000 แต้มพลังวิญญาณแล้ว พลังวิญญาณคงเหลือ : 2100/300”

 

“ทำการเรียนรู้วิชานี้ด้วยแต้มพลังวิญญาณ”

 

อักษรรูนอันลึกลับได้เปล่งแสงออกมา ทันใดนั้นจู่ๆมันก็แตกกระจายเป็นจุดแสงดาวเล็กๆระยิบระยับ

 

แสงดาวระยิบรายล้อมรอบตัวกู่ฉิงซานอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ผลุบเข้าไปในหน้าผากของเขาโดยสมบูรณ์

 

กู่ฉิงซานหลับตา และรับรู้ถึงมันอย่างเงียบๆ

 

นี่เป็นวิชาที่ประกอบไปด้วยความลี้ลับมากมายนับไม่ถ้วนจากต้นกำเนิดของโลก เพียงแค่ปิดตาลงและตระหนักถึงมันอย่างเงียบๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่ง

 

เจ้าสิ่งนี้ นับว่าเป็นพื้นฐาน เป็นองค์ความรู้ เป็นภูมิปัญญาขนาดใหญ่ที่ช่วยให้เข้าใจโลกได้โดยแท้!

 

กู่ฉิงซานตระหนักรู้ถึงวิธีการฝึกฝนและพลังของมันอย่างลึกซึ้ง

 

แถมยังได้เพิ่มพูนความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังวิญญาณและกฏเกณฑ์ต่างๆทั้งหมด

 

ทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และโลก กฏแห่งชีวิตและความตายล้วนผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา

 

ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็บังเกิดความรู้แจ้ง

 

แม้ตอนนี้ตนจะอยู่ในร่างจิต ทว่าโดยไม่รู้ตัว เขาก็ได้ยกระดับขึ้นมาสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายแล้ว!

 

เพียงบังเกิดความรู้แจ้งถึงวิชาลับนี้ ก็กลับสามารถยกระดับขึ้นไปอีกขั้นได้ในทันที!

 

กู่ฉิงซานค่อนข้างที่จะตกตะลึง

 

เขาทำการตระกหนักถึงวิชานี้อย่างเงียบๆ แต่แล้วในระหว่างนั้นเอง ร่างใหญ่ก็เอ่ยขัดขึ้นมา

 

“เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ ฉะนั้นจึงน่าจะสามารถเรียนรู้วิชานี้ได้โดยการใช้พลังวิญญาณได้ และหากสามารถใช้มันอำพรางตัวเองได้ บางทีเจ้าอาจจะมีโอกาสรอดมากขึ้นในปรภพ”

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง นี่ร่างใหญ่ไม่รู้จริงๆหรือว่าตัวเขาน่ะมี ‘แต้มพลังวิญญาณ’ และเลือกที่จะเรียนรู้วิชาลี้ลับนี้ด้วยแต้มพลังวิญญาณแล้ว

 

“ขอบพระคุณท่านมาก ข้ารู้ว่านี่มันเป็นสิ่งมีค่า ฉะนั้นข้าจักจดจำน้ำใจในครานี้เอาไว้”

 

หนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือ โค้งคารวะไปทางอีกฝ่าย

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า แต่ข้าหวังว่าหลังจากนี้ไปเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น และมาช่วยเหลือข้าให้ออกไปจากที่นี่” ร่างใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“คำถามสุดท้าย หากข้าไม่สามารถหาปรภพที่เชื่อมต่อกันกับโลกของข้าได้ แล้วข้าสมควรจะทำเช่นไรดี?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างร้อนรน

 

ร่างใหญ่กล่าว “ไม่ว่าปรภพจะวุ่นวายแค่ไหน มันก็ไม่มีทางที่จะสูญเสียการเชื่อมต่อระหว่างโลกจริงของเจ้าไปโดยสมบูรณ์ มันสมควรที่จะมีแรงฉุดหรือเหนี่ยวนำอยู่”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “แต่พลังที่ว่านั่นได้หายไปแล้ว”

 

ร่างใหญ่ตอบกลับ “ในโลก การเชื่อมต่อดังกล่าวอาจถูกจะวิธีการบางอย่างบดบังเอาไว้ชั่วคราว แต่สำหรับภายในมิติที่ว่างเปล่าแล้ว พลังของหกวิถีนั้นจะมิอาจถูกปกคลุมได้ ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องตั้งใจสัมผัสถึงมันในมิติที่ว่างเปล่าอย่างช้าๆด้วยตนเอง”

 

“มีเพียงเจ้าที่จะรู้สึกได้ถึงแรงดึงเล็กน้อยผ่านมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด และจงตามแรงนั้นไปจนถึงทางเข้าปรภพ จากนั้นเจ้าก็จะพบกับถ้ำใหญ่อันมืดมิด”

 

“จงตรวจสอบให้มั่นใจว่ามันคือถ้ำมืด มิใช่เส้นทางอื่น – เพราะหากหลงไปยังเส้นทางอื่นที่อยู่ใกล้ๆกับปรภพแล้ว เจ้าจะมิอาจกลับมาได้อีกเลย”

 

กู่ฉิงซานจดจำคำพูดของอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน

 

เขาพยักหน้าและกล่าวอย่างจริงจังว่า “เช่นนั้นคงต้องร่ำลากันแล้ว หากข้าไม่ตายไปเสียก่อน วันหนึ่งข้าจักต้องมาช่วยท่านอย่างแน่นอน”

 

ร่างใหญ่กล่าวขึ้นในทันใด “เจ้าจะต้องแกร่งขึ้นโดยเร็วไว เพราะช่วงนี้ ข้าสัมผัสได้ถึงมอนสเตอร์ที่น่าหวั่นเกรงยิ่งกว่ามอนสเตอร์ใดๆทั้งหมดทั้งมวลกำลังค่อยๆย่างกรายเข้ามา มุ่งหน้าตรงมายังโลกที่ข้าถูกคุมขังอยู่อย่างช้าๆ”

 

กู่ฉิงซานแข็งค้างไป

 

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูสิ้นหวังออกมาจากปากของร่างใหญ่

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมา อีกฝ่ายได้ให้ความช่วยเหลือตนเองมามากมาย

 

แต่ตอนนี้ อีกฝ่ายกำลังจะตกอยู่ในอันตราย

 

กู่ฉิงซานเริ่มกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

 

เขาเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “ด้วยระดับความแข็งแกร่งของข้า จะสามารถรับมือกับมอนสเตอร์ที่ท่านว่าได้หรือไม่-”

 

“-หรือมีวิธีอื่นใดอีกที่ข้าจะช่วยท่านได้?”

 

ร่างใหญ่ถอนหายใจ “ข้าก็ยังไม่แน่ใจนัก เพราะข้าเองก็ไม่เคยเห็นมอนสเตอร์ตัวนั้นเช่นกัน”

 

กู่ฉิงซานเงียบไป

 

“ขอท่านวางใจเถอะ ข้าจะรีบแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะมาช่วยท่านให้เร็วยิ่งขึ้น” เขากล่าวอย่างหนักแน่น

 

ร่างใหญ่ไม่ตอบ แต่กู่ฉิงซานรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังยิ้มอยู่

 

“ข้าหวังว่าเราจะยังสามารถพบกันได้อีกครั้ง” ร่างใหญ่กล่าวออกมาในที่สุด

 

วู้มมม!

 

บังเกิดแรงฉุดดึงมหาศาล

 

กู่ฉิงซานถูกลากออกมาจากโลกของร่างใหญ่ที่มีอายุยืนยาวกว่า 100000 ปี

 

เขาบินกลับไปเป็นกระแสแสง

 

และครั้งนี้ เขาถูกส่งกลับไปด้วยความเร็วกว่าในครั้งที่เดินทางมา

 

ภูมิทัศน์ที่แปลกประหลาดโดยรอบ เวลานี้เขากลับเห็นพวกมันเป็นแค่เพียงเส้นแสงที่วิ่งผ่านไปเท่านั้น

 

เกือบจะในทันที กู่ฉิงซานก็กลับเข้ามาสู่มิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราดอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะจีบสองมือออกด้วยวิชาลับอีกครา

 

ในความว่างเปล่าบังเกิดรูที่แยกออก

 

เขาก้าวเข้าไป ผุดออกมาตกลงในห้องนั่งเล่นของห้องพักบนวิลล่า

 

ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยู ทั้งสองนั่งประกบซ้ายขวาข้างกายเขา

 

ทั้งสองกำลังเฝ้าปกป้องร่างมนุษย์ของกู่ฉิงซานอย่างจริงจัง

 

กู่ฉิงซานพุ่งเข้าไปในร่างกายมนุษย์ของตนเองจากเบื้องบน

 

เขาลืมตาขึ้น

 

และทั้งสองก็ตระหนักถึงมันได้ในทันที

 

กู่ฉิงซานกล่าวประโยคหนึ่ง “ช่วยปกป้องฉันอีกสักพักนะ”

 

เขาไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก และทั้งคนทั้งร่างก็เข้าสู่สภาวะควบรวมกับขอบเขตใหม่ทันที

 

หลังจากที่เขาได้เรียนรู้ ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการฝึกยุทธ สกิลดาบ และโลกทั้งใบก็แตกต่างไปจากเดิม

 

นี่คือการระเหิดทางปัญญา และโดยอาศัยความรู้ความเข้าใจเพียงอย่างเดียว เขาจะไม่สามารถยับยั้งการเปลี่ยนแปลงจากก้าวสู่เทพขั้นกลาง มายังขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายได้

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง หมุนวนพลังวิญญาณไปทั่วร่างกาย และทำการควบรวมเข้ากับขอบเขตใหม่อย่างระมัดระวัง

 

ช่วงแรกของการยกระดับไปยังก้าวสู่เทพขั้นปลาย ความผันผวนทางพลังวิญญาณจะขึ้นๆลงๆ และกระจัดกระจายไม่คงที่

 

ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงต้องระมัดระวังและมุ่งพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับพื้นฐานวรยุทธใหม่ของเขานี้โดยเร็วที่สุด

 

เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาควบรวมเข้ากับพื้นฐานวรยุทธได้จนเสร็จสมบูรณ์ ก็กล่าวได้ว่าตัวเขาได้พร้อมที่ทำการทะลวงในครั้งต่อไป เพื่อก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่าได้ทุกเมื่อ

 

นั่นคือขอบเขตประทับเทพ!

 

ขอบเขตที่ผู้เล่นในชีวิตก่อนหน้าต่างเฝ้าแสวงหามาตลอดชีวิต

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ และกู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้นได้ในที่สุด

 

“เป็นไงมั่ง นายยังสบายดีรึเปล่า?”

 

“ทางปรภพล่ะว่าไง?”

 

ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเปิดปากถามขึ้นพร้อมกัน

 

“พอดีมีบางอย่างเกิดขึ้นนิดหน่อยน่ะ ฉันเลยยังไม่ได้ไปที่ปรภพ”

 

กู่ฉิงซานคว้าเม็ดยารวบรวมวิญญาณทรงเมล็ดข้าวขึ้นมา และโยนมันเข้าไปเคี้ยวในปาก

 

สองมือของเขาจีบออกด้วยวิชาลับอีกที ใช้ออกด้วยทั้งสองเทคนิคลับอีกครั้ง

 

“แต่ครั้งนี้ ฉันจะต้องไปจริงๆแล้วนะ”

 

ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเหลือบมองกันวูบหนึ่ง และพยักหน้าพร้อมกัน

 

แล้วจิตของกู่ฉิงซานก็ผุดลุกออกจากร่างตนเอง บินเข้าสู่ความว่างเปล่าที่เปิดออกกลางอากาศและหายลับไป

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.379 – ลี้ลับ

 

ท่ามกลางความโกลาหลอันมิอาจอธิบายได้

 

ภายในพื้นที่และเวลาอันสับสนวุ่นวาย

 

ทุกสิ่งโดยรอบเปรียบดั่งผืนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

 

บ่อยครั้งก็มักจะมีสิ่งแปลกๆผลุบขึ้น และหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางกระแสความวุ่นวายนี้

 

ที่นี่คือมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากที่คุ้นตานี้ ในหัวใจของเขาค่อยๆหม่นลง

 

ตามคำแนะนำของสองวิชาลับ กระแสมิติที่ว่างเปล่านี้จะปรากฏขึ้นเพียงชั่วขณะ

 

แล้วหลังจากนั้น เขาก็จะสัมผัสได้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของปรภพ

 

ขั้นต่อไป ตัวเองก็จะไล่ตามการเหนี่ยวนำของวิชาลับ เพื่อมุ่งหน้าตามเส้นทางสู่ปรภพ

 

แต่เขากลับนิ่งอยู่ในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราดมาสักพักแล้ว และการเหนี่ยวนำก็ยังไม่ปรากฏขึ้น?

 

ทำไมจึงเป็นแบบนี้กัน?

 

กู่ฉิงซานพยายามบังคับให้ตัวเขาเองขบคิดอย่างใจเย็น

 

ใช่สิ บางทีสองวิชาลับนี้อาจจะนำไปสู่ปรภพในโลกของผู้ฝึกยุทธก็ได้ แต่ไม่ใช่ปรภพของโลกจริง

 

หรือเป็นเพราะสองโลกมันแตกต่างกัน อะไรๆที่เกี่ยวข้องกับหกวิถีจึงแตกต่างกันออกไปด้วย? ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าปรภพในแต่ละโลกจึงแตกต่างกันไปใช่หรือไม่?

 

บางทีจากที่นี่ไปยังปรภพของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ มันอาจจะเป็นการเดินทางที่ยาวไกลก็ได้

 

ดังนั้นทันทีที่เขาเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด เขาจึงสูญเสียความรู้สึกในการเหนี่ยวนำทิศทางไป?

 

แต่แล้วทันใดนั้นเอง พลังอำนาจแปลกๆก็พลันปรากฏออกมา

 

มันเป็นพลังอำนาจอันอ่อนนุ่ม ค่อยๆเข้าห่อหุ้มกู่ฉิงซานเอาไว้ และฉุดดึงเขาไปยังทิศทางหนึ่งอย่างอ่อนโยน

 

เมื่อกู่ฉิงซานที่กำลังระมัดระวังตัวอยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงมัน เขาก็เข้าใจทุกอย่างในทันที

 

นี่เป็นฝีมือของร่างใหญ่ที่มีอายุนับ 100000 ปี!

 

นี่คือพลังอำนาจของเขา!

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อยด้วยอารมณ์อันหลากหลาย

 

ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน อีกฝ่ายเปิดเผยความลับมากมายกับตัวเอง เขาบอกตนเองถึงวิธีจัดการกับการตายของนางเซียนไป่ฮั่ว แถมยังเล่าถึงวิธีการผสานทั้งสองโลกอีกด้วย

 

ด้วยเหตุนี้ ผลลัพธ์มันจึงกลายเป็นว่าอีกฝ่ายถูกฟาดผ่าด้วยสายฟ้าอันทรงพลานุภาพชนิดที่ตัวกู่ฉิงซานมิเคยพบเห็นมาก่อน และมิอาจติดต่อกันได้เป็นระยะเวลานาน

 

อีกฝ่ายกลับมาหายดีแล้วใช่หรือไม่?

 

แต่เอาเถอะ เดาไปก็เท่านั้น เพราะไม่ว่ายังไงเดี๋ยวเขาก็จะได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว

 

บางที โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจของอีกฝ่าย มันอาจจะสามารถให้คำแนะนำบางอย่างเกี่ยวกับตนเองเพิ่มมากขึ้นก็ได้

 

ทันทีที่พิจารณาจนถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ยินยอมให้พลังอำนาจดังกล่าวนำพาตนเองเคลื่อนย้ายไปท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า

 

และพลังที่ว่าก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงการตอบสนองของเขา มันจึงเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น

 

ความเร็วของกู่ฉิงซานค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

 

ข้ามผ่าน ‘กระแสน้ำวนสีดำ’ ที่กระจายตัวอยู่ในมิติที่ว่างเปล่า  ทะยานตัวสูงขึ้นข้าม ‘เนินเขาอันอ้างว้างรกร้างไร้ซึ่งสิ่งใดอยู่อาศัย’ และสุดท้าย ‘ทะลุผ่านเมืองที่ว่างเปล่า’ อย่างระมัดระวัง

 

สิ่งมีชีวิตที่น่าขนลุก แปลกประหลาดและพิศดารมากมาย ผลุบขึ้นและหายไปในระหว่างการเดินทางในมิติที่ว่างเปล่าของเขา

 

แต่ที่ติดตาที่สุดคงเป็นยักษ์ตาเดียวที่ถือกระบองใหญ่ และกำลังวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก

 

ทว่ากู่ฉิงซานไม่ได้ใส่ใจที่จะสังเกตถึงสิ่งที่กำลังไล่ตามมัน เพราะจู่ๆพลังอำนาจที่กำลังฉุดดึงเขาก็เหินสูงขึ้นเป็นแนวตั้ง เพื่อทำการหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนั้นซะก่อน

 

หลังจากที่ลอยล่องมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเขาก็กลับเข้ามาสู่โลกอีกด้านหนึ่งที่ไม่รู้จักอีกครั้ง

 

ตรงหน้า ปรากฏเสาทองแดงที่เชื่อมต่อระหว่างผืนดินและผืนฟ้า

 

พร้อมด้วยร่างยักษ์ในเกราะสีดำที่ถูกตอกตรึงอยู่บนเสาทองแดง

 

และโครงกระดูกสีดำที่กระจุกตัวกันอย่างหนาแน่น เดินวนและปีนป่ายไปมาบนพื้นดินอันกว้างใหญ่เป็นระยะเวลานาน

 

กู่ฉิงซานค่อยๆลอยมาอยู่ด้านหน้าของร่างใหญ่

 

“ในที่สุดเจ้าก็มา” เสียงได้ดังขึ้น

 

“เป็นเช่นนั้น แท้จริงแล้วเราไม่ได้พบเจอกันนานทีเดียว ว่าแต่อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานถาม

 

“ตัวข้านั้นไม่มีทางตาย หรืออาจจกล่าวว่าเพราะอย่างไรเสียข้าก็ตายลงไปแล้วก็ได้ ฉะนั้นอาการบาดเจ็บเพียงเท่านี้ ผลกระทบของมันจึงส่งผลแค่ทำให้ข้าต้องทุกข์ทรมาน ทว่ามิอาจทำให้ข้าสูญสลายไปได้”

 

“คราก่อนข้าต้องขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่านจริงๆ เพราะคำแนะนำนั่น ข้าจึงสามารถช่วยชีวิตหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดต่อข้าเอาไว้ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“กระไรนะ? นี่เจ้าสามารถทำมันได้จริงๆอย่างนั้นหรือ?” ร่างใหญ่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก

 

“เจ้าได้ฉุดผู้คนออกมาจากเงื้อมมือของโชคชะตา เช่นนั้นแล้วโชคชะตาของเจ้าอาจจะแก้แค้นเจ้าด้วยการมอบประสบการณ์อันแสนพิศวงที่ยากจะเข้าใจได้กลับคืน เจ้าสามารถบอกข้าได้ไหมว่าประสบการณ์ใดกันที่เจ้าได้ผ่านพ้นมา”

 

“แน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

จากนั้นเขาก็ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่เขาได้พานพบอีกครั้ง

 

“มันน่าสนใจอย่างแท้จริง เช่นนั้น กล่าวได้ว่าเจ้ากำลังจะเข้าไปแทนที่นายน้อยชุดคลุมม่วง และกลับไปยังโลกที่กำลังจะพินาศลงในไม่ช้าอย่างงั้นสินะ” ร่างใหญ่กล่าว

 

“ใช่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่นั้น” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหดหู่

 

“ยังมีอะไรอีกรึ?”

 

“ท่านลองมองดูข้าตอนนี้ซี จิตวิญญาณอยู่ในสถานะตกตาย มันถูกแยกออกจากร่างกายมนุษย์เพื่อที่จะออกค้นหาปรภพ แต่แท้จริงแล้วกลับถูกส่งพรวดลงมาในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด และมิอาจหาสิ่งใดเจอได้เลย”

 

ร่างใหญ่พอได้ฟัง มันก็หัวเราะด้วยกระแสเสียงราบเรียบออกมา

 

“จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการแก้แค้นของโชคชะตานะ และแน่นอนว่ามันจะยังคงดำเนินต่อไป ตอนนี้เจ้าเริ่มรู้สึกเสียใจที่ได้ช่วยเหลือนางผู้นั้นแล้วหรือยัง?”

 

กู่ฉิงซานตอบยืนยันทันควัน “ข้ามิเสียใจเลย”

 

น้ำเสียงของร่างใหญ่ที่เปล่งออกมาบ่งบอกถึงความชื่นชม “ยอดเยี่ยม เช่นนั้นก็มาเถอะ ขอให้ข้าได้ตรวจสอบสถานะปัจจุบันของเจ้าโดยละเอียดหน่อยซิ”

 

ฉับพลันนั้นบังเกิดลมกรรโชก มันวูบผ่านร่างจิตวิญญาณของกู่ฉิงซานไป

 

“รวดเร็วยิ่งนัก ขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง แม้ว่าจะยังเล็กจ้อยและอ่อนแอ ทว่าความไวในการยกระดับของเจ้ากลับช่างรวดเร็วจนน่าตกใจ”

 

“อ่า แล้วยังมีอะไรอีกนะ เจ้าเป็นผู้ฝึกดาบ … แล้วก็ได้มาถึงขอบเขตนักดาบนิรันดร์แล้ว? ดี ดีมาก นี่แสดงให้เห็นว่าข้าอ่านคนไม่ผิดจริงๆ”

 

ร่างใหญ่เริ่มจะจริงจังมากขึ้นและกล่าวว่า “ช่างเป็นความคืบหน้าที่รวดเร็วยิ่งนัก กล่าวได้ว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่ดี และข้าคิดว่าอีกไม่นาน เจ้าคงจะต้องกลับมาช่วยข้าได้แน่ๆ”

 

“แม้ว่าท่านจะเอ่ยปากเช่นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะช่วยท่านอยู่แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต่มันอาจจะอันตรายเล็กน้อยนะ”

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บางครั้งแม้จะไม่ได้ทำสิ่งใดเลย แต่ชีวิตก็ยังคงเต็มไปด้วยอันตรายอยู่ดี สิ่งสำคัญที่สุดก็คือท่านเคยช่วยเหลือข้า และจุดนี้ข้าย่อมมิยินยอมลืมเลือน”

 

ร่างใหญ่สัมผัสได้ถึงทัศนคติของเขา ในหัวใจก็บังเกิดความพอใจขึ้นหลายส่วน

 

“ดีมาก เช่นนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าทะลวงผ่านไปในขอบเขตที่สูงยิ่งกว่านี้ ข้าก็จะเรียกเจ้ากลับมาที่นี่อีกครั้งก็แล้วกัน”

 

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”

 

ร่างใหญ่นิ่งไป ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความกังวล “การแยกจิตออกจากกายเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง เพราะเหตุใดกันเจ้าถึงต้องการจะไปยังปรภพ?”

 

กู่ฉิงซานกล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกจริงอีกครั้งและเอ่ยถามออกไปว่า “เรื่องราวเกี่ยวกับทางปรภพ ท่านพอจะรู้อะไรหรือไม่?”

 

ร่างใหญ่เงียบงันไปนาน มิอาจเอ่ยคำใดได้ ท่าทีที่แสดงออกของเขาดูจะอึดอัดมากขึ้น

 

มันกำลังไตร่ตรอง สุดท้ายก็เอ่ยออกมา “สิ่งที่เรียกกันว่าหกวิถีแห่งสังสารวัฏ มันคือโลกทั้งหกที่อยู่ร่วมกัน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ในโลกของเจ้าจะมีปรภพที่เชื่อมต่อกันแน่นอนอยู่แล้ว”

 

“เช่นนั้นแล้วโลกอื่นๆเล่า?”

 

“โดยปกติแล้วพลังของปรภพจะสอดคล้องกับโลกอื่นๆที่เชื่อมต่อกับมัน อย่างเช่นบางหากเป็นบางโลกมนุษย์ที่ทรงพลังแกล่งกล้า ทางปรภพก็จะแกล่งกล้าไปด้วย”

 

“หากเป็นตามที่ท่านพูดมา ข้าคิดว่าทางปรภพที่เชื่อมต่อกับโลกของข้าไม่สมควรที่จะแข็งแกร่งมากจนเกินไปนัก”

 

ร่างใหญ่ราวกับกำลังหวาดกลัวที่จะเอ่ยออกมา “เจ้าคงต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง และบางครั้งสถานการณ์อาจจะแตกต่างออกไปจากที่เจ้าคาดเดา …  มันอาจจะล้มล้างความคิดเดิมๆของเจ้าไปเลยก็ได้”

 

“แต่ในทางกลับกัน ข้าก็ยังไม่แนะนำให้เจ้าไปยังปรภพอยู่ดี”

 

ร่างใหญ่ยังคงกล่าวต่อ “มันจะต้องเป็นสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวมากอย่างแน่นอน ถึงสามารถก่อให้เกิดปัญหาปรภพได้”

 

“ด้วยความแข็งแกร่งในขอบเขตเช่นเจ้า ย่อมมิอาจเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอันใหญ่หลวงนี้ได้ ข้าขอเตือนให้เจ้าละทิ้งโลกของเจ้าไปเสียจะดีกว่า”

 

“ตราบใดที่ยังมีความหวัง ข้าก็ยังอยากที่จะลอง มิเช่นนั้นจิตแห่งเต๋าของข้าคงจะว้าวุ่นสับสน และทั้งคนทั้งร่างจะสูญเสียจิตแห่งการฝึกยุทธไป”

 

“โลกใบนั้นมันสำคัญต่อเจ้ามากนักหรือ?”

 

“โลกมิได้สำคัญอะไร แต่มีบางคนในโลกใบนั้นที่สำคัญต่อข้า และข้าไม่ต้องการให้พวกเขาท่องเตร่ไปทั่วทั้งจักรวาลอย่างไร้หนทาง”

 

ร่างใหญ่เงียบไปนาน นานมากๆ

 

แต่แล้วมันก็เอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ว่า “มนุษย์ช่างเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา ดั่งเช่นตัวข้าเอง ก็ไม่คิดว่าจะมีจุดจบเช่นนี้เหมือนกัน แล้วอีกอย่างตอนนี้ เจ้าก็เป็นความหวังเดียวของข้า- ”

 

“-แต่มันก็จริงนะ เพราะถ้าเจ้ามิใช่คนแบบนี้ มันก็คงไม่คุ้มค่ากับการที่ข้าตั้งความหวังเอาไว้กับเจ้าหรอก”

 

ขณะกล่าว ร่างใหญ่ก็ถอนหายใจออกมา

 

“เอาล่ะ! ขอให้ข้าได้ลองทบทวนดูเกี่ยวกับมันก่อนนะ … ”

 

มันงึมงำครุ่นคิด และแล้วก็ตัดสินใจได้ในที่สุด

 

“เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก มิเช่นนั้นคงไม่มีความสามารถทำสิ่งต่างๆได้มากมายขนาดนี้ ดังนั้น ข้าจึงยังอยากที่จะซ่อนตัวเจ้าเอาไว้อีกสักพัก”

 

“มันยังเร็วเกินไปที่จะเปิดเผยการดำรงอยู่ของตัวตนที่พิเศษเช่นเจ้า”

 

“และตัวเลือกที่ดีที่สุดคือ ข้าจะมอบสิ่งหนึ่งให้ ส่งต่อมันไปยังเจ้า”

 

บนร่างใหญ่ เกล็ดชิ้นเล็กๆของเกราะรบสีดำตกลงมา

 

เกล็ดเกราะบินตรงไปหยุดอยู่หน้ากู่ฉิงซาน

 

“เจ้าสิ่งนี้คือ?” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย

 

“ข้าได้ต่อสู้มาแล้วทั้งสิบโลก และแน่นอน ว่ามันไม่ใช่เพียงเพราะข้านั้นไร้เทียมทานชนิดอยู่ยงคงกระพัน แต่มันเป็นเพราะข้าได้อาศัยสิ่งอื่นที่สามารถใช้ปกป้องและรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ต่างหาก”

 

“นี่เป็นวิชาที่ดีที่จะช่วยชีวิตเจ้าได้ จงใช้มันแล้วเรียนรู้เสีย”

 

“จริงๆหรือ?”

 

กู่ฉิงซานรับเอาเกล็ดสีดำมา

 

และเกล็ดชุดเกราะสีดำก็แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับปรากฏสัญลักษณ์ที่สาดประกายแสงลึกลับออกมา

 

“แต่กาลก่อน ยามเมื่อข้ายังเป็นเด็ก วันหนึ่งข้าได้ค้นพบเจ้าสิ่งนี้ในซากปรักหักพังโบราณ”

 

“และมันได้ช่วยชีวิตข้ามานับครั้งไม่ถ้วน”

 

“แต่ตอนนี้ ข้าได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นข้าขอส่งต่อมันให้แก่เจ้า หวังว่าเจ้าจะศึกษาเรียนรู้มันอย่างจริงจังนะ”

 

“ถ้าเจ้าตัดสินใจที่จะไปปรภพ วิชานี้อาจจะช่วยเจ้าได้”

 

กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว วิสัยทัศน์ของเขาตกลงบนสัญลักษณ์ลึกลับ

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งบรรทัดเส้นแสงขนาดเล็กกระพริบไหวอย่างต่อเนื่อง

 

“ค้นพบวิชาเฉพาะ : ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.378 – ตาย

 

“ว่าไงนะ! นายต้องการที่จะฆ่าตัวตายอย่างงั้นหรอ!?” เย่เฟย์หยูอุทานด้วยความประหลาดใจ

 

ซางหยิงฮ่าวเอาแต่มองกู่ฉิงซาน นิ่งค้างไปชั่วเวลาหนึ่ง ก็ยังไม่รู้ว่าตนสมควรจะเอ่ยอะไรออกมาดี

 

“อย่าเข้าใจผิดไป ฉันก็แค่พึ่งจะค้นพบวิธีที่จะแยกจิตวิญญาณออกจากกายหยาบเพื่อที่จะได้เข้าไปสำรวจทางปรภพก็เท่านั้นเอง” กู่ฉิงซานอธิบาย

 

ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเหลือบมองกันวูบหนึ่ง

 

“จริงๆหรอ?” เย่เฟย์หยูเค้นถาม

 

“จริงๆสิ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงจัง

 

ดูจากท่าทางและฟังจากน้ำเสียงของกู่ฉิงซาน ทั้งสองก็เริ่มจะเชื่อขึ้นเล็กน้อย

 

“แล้วพวกเราต้องทำอะไรบ้าง?” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

“คอยปกป้องร่างมนุษย์ของฉันเอาไว้ เพราะถ้าร่างกายของฉันได้รับความเสียหาย เวลาที่จิตวิญญาณของฉันกลับมา มันก็จะไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ และสถานการณ์นั้นจะหมายความว่าฉันได้ตายลงแล้วจริงๆ”

 

“นายสามารถเดินทางไปยังปรภพได้จริงๆน่ะหรอ?” เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะย้ำถาม

 

“ใช่ และมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“งั้นพวกเราล่ะ? พวกเราสามารถไปด้วยได้ไหม?”

 

“ก็ได้อยู่หรอก ถ้าพวกนายมีพื้นฐานวรยุทธระดับก้าวสู่เทพนะ ว่าแต่อยู่ขั้นไหนกันแล้วล่ะ”

 

“อ่า ฉันปราณปรับแต่งขั้น 7”

 

“เอ่อ ฉันอยู่แค่ระดับก่อตั้งเท่านั้นเอง”

 

……..

 

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นฉันจะรับหน้าที่จัดการเรื่องกำลังคนให้เองก็แล้วกัน” ซางหยิงฮ่าวเสนอตัว

 

เขากล่าวต่อด้วยสีหน้าแข็งกร้าว “แต่ไม่ต้องเตือนนายก็คงจะรู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่าปรภพน่ะ เต็มไปด้วยสิ่งน่าพรั่นพรึงมากมาย นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเจ้านรกพวกนี้ยังหนีออกมาจากทางฝั่งปรภพอีกด้วย ฉะนั้นการที่มันจะปรากฏขึ้นในโลก ทางปรภพจะต้องเกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน นายจะต้องระมัดระวังให้ดี”

 

“วางใจเถอะ ฉันจะรีบกลับมาทันทีถ้ารู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ใต้เท้า โปรดทำการเลือกสถานที่ที่จะทำการเก็บรักษาร่างกายมนุษย์เอาไว้ด้วย ส่วนฉันจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องสถานที่นั้นเอง” เทพธิดากล่าว

 

กู่ฉิงซานหันหน้ากลับไปทางหุบเขา มองไปยังทิศทางของวิลล่า “งั้นขอเลือกเป็นในวิลล่าก็แล้วกัน”

 

และทั้งกลุ่มก็กลับไปยังวิลล่า

 

ซางหยิงฮ่าวเปิดอุปกรณ์สื่อสารทันที และเริ่มต้นระดมกำลังพล

 

“งั้นฉันขอรับหน้าที่ปกป้องข้างร่างมนุษย์ของนายก็แล้วกัน” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

เทพธิดากงเจิ้งกล่าวต่อ “ส่วนฉันกำลังสร้างมาตรการป้องกันสำหรับใต้เท้า ร้องขอให้ใต้เท้าโปรดรอสักครู่”

 

“โอเค” กู่ฉิงซานตอบรับ ในขณะเดียวกันก็ตบลงบนถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลทั่วไปออกมามากมาย

 

คลังสำรองของนิกายร้อยบุปผานับว่ามั่งคั่งยิ่งนัก มันอุดมไปด้วยดิสก์ค่ายกลอันหลากหลายที่ถูกเก็บสะสมเอาไว้

 

กู่ฉิงซานนำดิสก์ค่ายกลออกมากองหนึ่ง และเริ่มจัดวางค่ายกลประเภทโจมตีและค่ายกลประเภทป้องกันขนาดใหญ่หลายสิบรูปแบบ

 

อย่างไรก็ตาม ศิลาวิญญาณที่จำต้องใช้งานก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทว่าสำหรับกู่ฉิงซานแล้ว เขาใช้มันเต็มที่โดยไม่รู้สึกลำบากใจใดๆเลย

 

เพราะเมื่อยามที่จิตวิญญาณออกจากร่างไปยังปรภพ ร่างกายมนุษย์จะเปราะบางมาก กล่าวได้ว่าไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ

 

การจัดวางค่ายกลไม่ดี งกนิดๆหน่อยๆโดยไม่สนใจชีวิตตัวเอง หากถึงเวลาคับขันจริงๆก็คงไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้

 

“จัดวางให้คนเป็น สามารถเข้ามาได้ด้วยก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานพึมพำ

 

แล้วเขาก็กระตุ้นเปิดใช้งานดิสก์ค่ายกลทั้งหมด

 

ณ ขณะนี้ คนของซางหยิงฮ่าวก็ได้มาถึงแล้ว

 

ซางหยิงฮ่าวเริ่มต้นมอบหมายภารกิจให้เหล่านักฆ่าของเขา

 

เย่เฟย์หยูยืนอยู่อย่างเงียบๆข้างกู่ฉิงซาน ขณะนี้ทั้งคนทั้งร่างของเขาเข้าสู่สถานะตื่นตัวเต็มที่

 

ทุกอย่างได้ถูกเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว

 

กู่ฉิงซานนั่งในท่วงท่าสมาธิ และเริ่มจีบออกด้วยวิชาลับ

 

ผนึกร่างสู่หยินกับวิญญาณหวนคืนจะต้องถูกใช้ออกในเวลาเดียวกัน และจะต้องไม่มีการผิดพลาดใดๆ

 

เพราะถ้าหากใช้ออกด้วยผนึกร่างสู่หยินก่อน คนใช้ก็จะตายลงโดยตรง และไม่มีทางที่จะทันได้จีบออกด้วยวิชาลับวิญญาณหวนคืนเพื่อทำการเรียกจิตวิญญาณของตนกลับคืนเข้าสู่ร่างได้

.

ขณะเดียวกันหากใช้วิญญาณหวนคืนก่อน จิตวิญญาณก็จะตายลงตรงนั้นเลยโดยตรง มิอาจฟื้นคืนชีพได้อีกเลย

 

กู่ฉิงซานจึงต้องใช้สองวิชาลับนี้ในเวลาเดียวกันและ เขาหยุดลงก่อนที่จะทำการร่ายในส่วนสุดท้าย

 

“ฉันขอตายก่อนนะ แล้วพบกันใหม่” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขากระตุ้นพลังวิญญาณในตันเถียน และผนึกมนตราทั้งสองก็ปะทุขึ้นพร้อมกัน!

 

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ปิดลงอย่างไม่ตั้งใจ มือไม้อ่อนห้อยต่องแต่งไม่เป็นภาษา

 

ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานได้สูญสิ้นกลิ่นอายของชีวิตไปแล้ว

 

“เขาตายลงแล้วจริงๆหรอ? นี่มันน่าทึ่งมาก”

 

ถงถงที่เฝ้ามองจากด้านข้างกลืนน้ำลายอึกใหญ่

 

“เขาแค่ตายลงชั่วคราวน่ะ เพื่อที่จะไปตรวจสอบดูว่าทางปรภพมันเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวก็กลับมา” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างเคร่งเครียด

 

เหล่าผู้คนที่รายล้อมต่างก็อดที่อุทานชื่นชมออกมาไม่ได้

 

ซางหยิงฮ่าวกระแอม ก่อนจะกล่าวให้มันชัดเจน “เอาละๆ พวกเราก็มาเริ่มต้นหน้าที่ของแต่ละคนกันได้แล้ว แม้ว่าจะมีพลังอันแสนจะลึกลับนี่คอยปกป้องอยู่ แต่ฉันก็ยังอยากจะให้ทุกคนกระจายตัวกันออกไปลาดตระเวนรอบหุบเขานะ ถ้ามีสถานกานการณ์อะไรแม้จะเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นก็ขอให้รายงานทันที เราจะต้องแน่ใจว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดใดๆ”

 

“เหล่าพี่น้องทั้งหลาย นี่ก็เพื่อการปกป้องโลก หากสิ่งที่เรียกว่าคุณงามความดีมีอยู่จริง ก็หวังว่าการกระทำของเราในครั้งนี้ จะส่งพวกเราไปในภพภูมิที่ดีหลังจากที่ตายลงแล้ว”

 

เหล่านักฆ่าตะโกนขานรับ

 

พวกเขาทั้งหมดได้ลิ้มรสชาติอันหอมหวานของสิ่งที่เรียกว่าการฝึกยุทธแล้ว แถมตอนนี้พวกเขาก็ยังได้เห็นฉากที่ดูมีมนต์ขลังเช่นนี้อีก จึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีแรงจูงใจที่จะปฏิบัติภารกิจให้ดีที่สุดสำหรับประวัติการณ์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้!

 

วิลล่ากลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

 

เหลียวฮังยังคงอยู่ในเฉินเตี้ยนเฮ่าเพื่อทำการประกอบยานอวกาศใหม่

 

ส่วนซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยู ก็คอยรับหน้าที่ป้องกันที่นี่

 

“แต่แค่พวกเราจะพอหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม

 

“นอกเหนือจากเรา ยังมีเทพธิดากงเจิ้งที่คอยตรวจตราบนท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นนี่ก็สมควรที่จะไม่มีปัญหาอะไร” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

“ถ้างั้น แล้ว … เขาล่ะ?”

 

“เขาก็คงต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว” ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจ

 

“นั่นสินะ เรื่องการเข้าสู่ปรภพน่ะ ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้หรอก” เย่เฟย์หยูเอ่ยเสริม

 

ทั้งสองมองไปยังร่างของกู่ฉิงซานที่ไม่แตกต่างอะไรไปจากคนตายด้วยความเป็นห่วง

 

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆสองดาบก็ปรากฏขึ้นจากในความว่างเปล่า

 

มันคือดาบของกู่ฉิงซาน

 

จากนั้นพวกมันก็บินเวียนวนโอบล้อมร่างกายมนุษย์ของกู่ฉิงซาน และจู่ๆก็บินฉวัดเฉวียนไปยังทิศทางหนึ่งในฉับพลัน

 

และวินาทีต่อมา ดาบทั้งสองก็หายวับไป

 

“อ่า คราวนี้มันอะไรกันอีกล่ะเนี่ย?” เย่เฟย์หยูเอ่ยด้วยความสงสัย

 

“ฉันขอเดาว่าพวกเขาคงจะตามกู่ฉิงซานไปยังปรภพด้วยกันนั่นแหละ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

——–

 

กู่ฉิงซานปิดตาของเขาลง

 

เจ้าตัวรู้สึกได้ถึงความดำมืดวูบหนึ่งเบื้องหน้า และจากนั้นทั้งร่างก็สั่นสะท้านอย่างไม่ตั้งใจ

 

อย่างแรกเลยคือลมหายใจที่หยุดลง

 

ต่อมา การเต้นของหัวใจก็ค่อยๆช้าลงอย่างมาก

 

อุณหภูมิร่างกายค่อยๆลดลง

 

พลังวิญญาณค่อยๆหดตัวเข้าในไปตันเถียน

 

แ้วหัวใจก็หยุดเต้นลงในที่สุด

 

และในช่วงเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานก็พลันลืมตาขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ

 

เขาลุกขึ้นยืนจากตัวเอง

 

แต่กลับพบว่ายังมีตัวเขาอีกคนหนึ่งกำลังนั่งไขว้ขาอยู่ นิ่งงันอยู่ในสถานที่เดิม

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

และพบว่าถงถงกำลังมองเขาที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ

 

ขณะที่ฝูงชนเริ่มที่จะพูดคุยกัน

 

ทว่าสายตาของทุกคนกลับยังคงตกลงบนร่างของเขาที่กำลังนั่งไขว้ขาอยู่

 

กู่ฉิงซานโบกมือไปมาด้านหน้าซางหยิงฮ่าว

 

แต่ซางหยิงฮ่าวกลับไม่ตอบสนองอะไรเลย เขาเพียงจ้องมองกู่ฉิงซานที่กำลังนั่งอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

 

เย่เฟย์หยูก็มองไม่เห็นเขาเช่นกัน แต่ตามร่างกายของอีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะปรากฏร่องรอยจางๆของเลือดสังหารที่กระพริบไหว บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังกระวนกระวาย

 

ณ เวลานี้ ไม่มีใครเลยที่สามารถมองเห็นกู่ฉิงซานที่กำลังยืนอยู่ได้

 

กู่ฉิงซานสามารถเข้าใจได้ในทันที

 

ตนเองได้ตายลงแล้ว

 

ตอนนี้ เขาอยู่ในสถานะจิตวิญญาณ

 

และมีพลังมนตราอันแปลกประหลาดคอยห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มทำลายอากาศที่ว่างเปล่า และสร้างรูที่มองไม่เห็นขึ้นตรงหน้าเขา

 

นี่คือพลังของวิชาลับวิญญาณหวนคืน

 

มันจะดึงเอากู่ฉิงซานฝ่าวงล้อมอาณาเขตของโลกมนุษย์ และชักนำเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด

 

‘หากคิดจะมุ่งหน้าไปยังปรภพ คงต้องผ่านรูมิตินี้ไปอย่างงั้นหรอ?’

 

“พูดได้ว่า ตอนนี้ฉันสามารถไปยังปรภพได้แล้วอย่างงั้นสินะ” กู่ฉิงซานพึมพำ

 

ทันใดนั้นดาบพิภพก็กระโดดออกมาจากอากาศที่ว่าเปล่าและส่งเสียงกังวานก้อง “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย หลังจากนี้ไปสถานการณ์จะวุ่นวายมาก และเจ้าก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายได้”

 

“เจ้าสามารถร่วมเดินทางไปด้วยกันได้กระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ทันทีที่เขาเอ่ยถาม ตนก็จดจำได้ว่าครั้งหนึ่งดาบพิภพก็เคยท่องอยู่ในกระแสมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด และเคยไปเฉียดปากทางเข้าปรภพมาแล้ว

 

กล่าวกันว่าดาบพิภพสามารถติดตามตนเองไปได้จริงๆ!

จิตใจของกู่ฉิงซานผ่อนคลายลงทันที

 

สำหรับผู้ฝึกดาบ หากมีดาบอยู่ในมือ ในหัวใจก็หนักแน่นมั่นคงขึ้นไปหลายส่วน

 

“ไม่ใช่เพียงแค่ข้าหรอก เช่าหยินก็เป็นอาวุธของเทพวิญญาณเช่นกัน ดังนั้นมันจึงสามารถร่วมเดินทางไปด้วยได้”

 

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะดาบเช่าหยินก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตามมาในความว่างเปล่าทันที

 

ปลาเล็กกระโดดออกมาจากดาบเช่าหยิน และว่ายวนไปรอบๆกู่ฉิงซาน

 

“เช่าหยินก็ไปด้วยสินะ? ดีล่ะ เช่นนั้นข้าก็รู้สึกใจชื้นเพิ่มขึ้นแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

“งั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ!”

 

เขานำสองดาบ ก้าวผ่านเข้าไปในช่องว่างที่ว่างเปล่า และมิอาจมองเห็นได้อีกเลย

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.377 – สายธารแห่งการหลงเลือนยังไงล่ะ!

 

ณ พื้นที่เปิดโล่งบนหุบเขา

 

กู่ฉิงซานและคนอื่นๆกำลังเฝ้าดูเรือรบประจัญบานขนาดเล็กบินหายลึกเข้าไปในท้องฟ้า

 

นั่นคือยานของเหลียวฮังที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเฉินเตี้นเฮ่า

 

ตราบใดที่เขาได้รับการอนุมัติจากกู่ฉิงซาน เขาก็จะสามารถดัดแปลงยานอวกาศขนาดเล็กได้ในทันที

 

ซางหยิงฮ่าวกล่าว “ในเมื่อโลกมันเป็นแบบนี้ บางครั้งการเผชิญหน้ากับความจริงมันก็เป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่งนะ”

 

เขาตบลงบนไหล่กู่ฉิงซานและกล่าวว่า “นายลองตัดสินใจดูก่อนก็แล้วกัน”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า และหันไปมองทางเย่เฟย์หยู

 

เย่เฟย์หยูรีบเอ่ยออกมาว่า “ถ้ายังมีความหวังที่จะชนะนรกพวกนี้อยู่ ฉันก็ยินดีที่จะร่วมสู้ไปกับนาย แต่ถ้านายต้องการที่จะหนีจริงๆ ได้โปรดพาฉัน แม่ฉัน แล้วก็ป้ายหลุมศพแฟนฉันไปด้วย ฉันขอแค่นี้แหละ”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ฉันขอคิดมันอย่างรอบคอบอีกครั้งก็แล้วกัน ถ้ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆก็คงต้องไปเท่านั้น … ”

 

ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูสบตากันวูบหนึ่งและปิดปากเงียบ

 

กู่ฉิงซานปลีกตัว แยกเดินออกไปทางยอดหุบเขาคนเดียวลำพัง

 

มองตามแผ่นหลังของเขาไป เย่เฟย์หยูเอ่ยถามออกมาว่า “เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหม?”

 

ซางหยิงฮ่าวหยิบสมองควอนตัมออกมา และเริ่มติดต่อกับสมาชิกในครอบครัว ปากเอ่ยกล่าว “เขาไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจยังไง ฉันก็จะพาน้องสาวฉันไปก่อนเป็นอันดับแรก”

 

“อ้าว นี่นายมีน้องสาวด้วยหรอ?” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างประหลาดใจ

 

“เออสิ พ่อแม่ก็มีนะ แฟนด้วย” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

“งั้นฉันคงต้องรีบติดต่อแม่ของฉันซะแล้ว” เย่เฟย์หยูกล่าว ขณะเดียวกันก็หยิบสมองควอนตัมออกมา

 

…….

 

กู่ฉิงซานเดินขึ้นไปบนยอดเขา

 

สายลมที่พัดโชยช่างเย็นฉ่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงค่ำคืน

 

และมันก็คงจะเป็นค่ำคืนที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อย หากไม่มีเงาดำของโลงศพที่แน่นขนัดไปทั่วผืนฟ้า ปกคลุมอยู่เหนือเมืองหลวงให้เห็นจากในระยะไกลออกไป

 

กู่ฉิงซานเอนตัวนั่งลงเอาหลังพิงกับต้นไม้

 

เขาถอนหายใจยาว

 

ไม่คาดคิดเลยว่าจะสถานการณ์ของโลกในตอนนี้ จะข้ามขั้นเข้มข้นรุนแรงยิ่งกว่าในชีวิตก่อนหน้าของเขาไปซะแล้ว

 

แม้ว่าจะได้แจกจ่ายวิชาลับในการฝึกยุทธ รวมไปถึงน้ำยาเสริมศักยภาพหวูเต๋า , น้ำยาปลุกเทียนซวน หรือน้ำยากระตุ้นธาตุทั้งห้า ทั้งสามน้ำยาไปแล้วก็ตาม แต่นั่นมันก็พึ่งทำได้แค่ในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น

 

มนุษยชาติยังไม่มีเวลามากพอที่จะพัฒนาไปอีกระดับ

 

ถึงแม้ว่าตนจะเป็นนักดาบนิรันดร์ แต่ด้วยตัวเขาเพียงลำพัง มันก็ไม่มีพลังมากพอที่จะเอาชนะทั้งสาม .. ไม่สิ ตอนนี้ได้กลายเป็นสี่นรกแล้วได้หรอก

 

ถึงต่อให้เขาเลือกที่จะผสานรวมโลกใบนี้เข้ากับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไป

 

นี่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลยจริงๆหรอ?

 

มันได้มาถึงช่วงเวลาสุดท้ายแล้วจริงๆน่ะหรือ?

 

ทันใดนั้นสมองควอนตัมของเขาพลันส่องสว่างขึ้น

 

และเสียงของเหลียวฮังก็ดังออกมา “กู่ฉิงซาน ช่วยอนุมัติสิทธิ์อำนาจให้ฉันเร็วๆเข้า ฉันต้องการจะให้เทพธิดากงเจิ้งช่วยจัดเตรียมวัสดุและเป็นผู้ช่วยฉันสร้างยานอวกาศ!”

 

“มันจะมีเวลาพอหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“แน่นอนสิวะ! ครั้งก่อนที่กลับมา เป็นเพราะว่ามีปัญหาเรื่องจำนวนประชากรในยาน และตอนนี้ฉันจะไม่ทำมันผิดพลาดอีก!”

 

เหลียวฮังสบตากับเขา ถลกแขนเสื้อขึ้นและแกว่งแขนไปมา “ฉันจะทำให้มันยิ่งใหญ่ที่สุดเลย เอาให้นรกพวกนี้ไม่อาจเอื้อมมือมาสัมผัสกับลูกๆหลานๆของพวกเราได้อีกเลย!”

 

กู่ฉิงซานมองดูเหลียวฮัง ที่กำลังเผยท่าทีเต็มไปด้วยจิตวิญญาณออกมา

 

เขายิ้มและเอ่ยออกมาว่า “เข้าใจแล้ว เทพธิดากงเจิ้ง ทำการอนุมัติให้เขาด้วย”

 

“รับทราบ” เทพธิดาตอบรับ

 

เและแสงบนสมองควอนตัมก็ดับลง กู่ฉิงซานงึมงำออกมาว่า “คุณเหลียวนี่ช่างเป็นคนที่สุดยอดโดยแท้ ขนาดตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังไม่แสดงท่าทีว่ากำลังกดดันออกมาเลย”

 

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ใต้เท้าต้องการที่จะช่วยเหลือดาวดวงนี้ แต่เขาต้องการที่จะหลบหนี ความกดดันมันย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา โปรดอย่าใส่ใจเกี่ยวกับมันมากเกินไป”

 

กู่ฉิงซานยิ้ม “ฉันรู้หน่า”

 

เขาหลับตาลงและเริ่มคิดอย่างหนักเพื่อที่จะหาวิธีการตอบโต้

 

นับตั้งแต่ในชีวิตก่อนหน้า กระทั่งตนเองได้กลับมาจุติใหม่อีกครั้งในชีวิตนี้ ในแต่ละสงคราม ในแต่ละการต่อสู้ ในแต่ละจุดเปลี่ยน ในแต่ละวิธีการ ในแต่ละเทคนิคฝึกยุทธ และแม้กระทั่งในแต่ละอุปกรณ์ฝึกฝน ในแต่ละเหตุการณ์ ค่อยๆข้ามผ่านเข้ามาในหัวใจของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ

 

เขาพยายามขบคิดอย่างหนัก ไตร่ตรองอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะได้พบร่องรอยแห่งการเอาชีวิตรอดจากกับดักแห่งความตายในตอนนี้

 

เวลาได้ไหลผ่านไปเรื่อยๆ

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไม่ไหวติง ทั้งคนทั้งร่างจมลงสู่ห้วงคนึงคิด

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนรก ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบันนี้ เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็ไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือพวกเขามาก่อนเลย

 

ดังนั้นการคิดพึ่งพาพวกเขา นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์

 

ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไปโดยไม่รู้ตัว

 

รุ่งอรุณกำลังใกล้เข้ามา และช่วงเวลานี้ก็นับได้ว่าเป็นชั่วโมงที่มืดมิดที่สุดของวัน

 

ทั่วบริเวณยอดเขา ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยความมืด ไม่มีแม้กระทั่งแสงเดือนหรือแสงดาว

 

กู่ฉิงซานที่เงียบมานานแล้วก็ยังมิอาจค้นหาวิธีพบ

 

เขาเริ่มเอ่ยกับตัวเองออกมา

 

“ปรภพ … มันเป็นไปไม่ได้จริงๆหรอที่จะเข้าไปสำรวจที่นั่น มันไม่มีวิธีที่จะสามารถสื่อสารกับปรภพได้จริงๆน่ะหรือ?”

 

แต่แล้วทันใดนั้นเอง เขาก็พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

 

เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เช่าหยินเคยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’ จนได้รับหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนมาจากโครงกระดูกชุดคลุมดำมา

 

นี่คือสิ่งที่จากปรภพ และเป็นสมบัติล้ำค่าที่โครงกระดูกชุดคลุมดำใช้เวลานับพันปีกว่าจะได้มันมา

 

“เช่าหยิน” กู่ฉิงซานเรียก

 

ฮู้มม!

 

ดาบเช่าหยินผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

“น้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน มันใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เช่าหยินส่งเสียงฮึมฮัม

 

“เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าสามารถหลอมกลั่นมันและละลายมันให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองได้อย่างงั้นหรือ?”

 

ดาบเช่าหยินผงกด้ามดาบ และส่งเสียงหึ่งๆออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

“หลอมกลั่นอย่างรวดเร็ว และจากนั้นเจ้าก็จะได้รับการยอมรับจากสายธารแห่งการหลงเลือน และสามารถอยู่ในสายธารได้โดยใช้ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม … ” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ “สายธารแห่งการหลงเลือน สายธาร .. ”

 

เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่นและส่ายหัวอย่างช้าๆ

 

มันดูเหมือนว่าน้ำจากสายธารแห่งการหลงเลือนนี่จะนับว่าเป็นสมบัติอย่างแท้จริง

 

อย่างไรก็ตาม สมบัติดังกล่าวนี้สามารถทำงานได้กับสายธารแห่งการหลงเลือนของปรภพเท่านั้น มันไม่สามารถใช้แก้ปัญหาสี่นรกที่กำลังอุบัติขึ้นบนโลกใบนี้ได้

 

ไม่ว่าอย่างไร โลกก็จะต้องถูกทำลาย

 

เดี๋ยวๆ ….

 

เดี๋ยวก่อนนะ!!!

 

สายธารแห่งการหลงเลือน-

 

ดูเหมือนว่าในตอนที่เขากลับมาสู้โลกจริง ตนจะได้ทำการตรวจสอบมรดกของนิกายร้อยบุปผาไปรอบนึงแล้วนี่นา

 

ในเวลานั้น ตนได้ทำการตรวจสอบสกิลเทวะในใบหยกทั้งหมด และดูเหมือนว่า …

 

กู่ฉิงซานรีบหยิบถุงหอมหลากสีออกมาอย่างรวดเร็ว

 

เขาตรวจสอบมันสักพัก และหยิบเอาอะไรบางอย่างออกมา

 

มันคือใบหยก

 

ใบหยกนี้ บันทึกสกิลเทวะประเภทหกวิถี – สายธารแห่งการหลงเลือน

 

กู่ฉิงซานแช่จิตสัมผัสเทวะลงไปยังมัน และอ่านเนื้อหาภายในอย่างรอบคอบ

 

“การที่จะฝึกฝนสกิลเทวะนี้ จำเป็นต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้”

 

“เป็นผู้ฝึกยุทธหญิง”

 

“มีพรสวรรค์ทางพลังวิญญาณในการใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้า”

 

“ครอบครองเทคนิคเทียนซวน : เพรียกวิญญาณ”

 

“ครอบครองเทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน”

 

“ครอบครองเทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน”

 

“ครอบครองเชื่อมต่อหกวิถี : เรือข้ามปรภพ”

 

พอได้กวาดสายตาอ่านมันจนจบ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะอีกครั้ง

 

เพียงแค่กฏข้อแรกมันก็ไม่สอดคล้องกับตนเองแล้ว

 

คราวก่อนที่ดูม้น เขาจดจำได้ว่าเงื่อนไขในด้านการฝึกยุทธของเขาไม่เพียงพอ ตนจึงยอมแพ้ไป

 

แต่ถ้าเขาจำไม่ผิดแล้วล่ะก็!

 

การเรียนรู้สายธารแห่งการหลงเลือน จำเป็นต้องมีสองเทคนิคลับ ซึ่งสองเทคนิคนี้ได้เคยสร้างความประทับใจอันลึกล้ำไว้ให้กับตนเอง!

 

กู่ฉิงซานข้ามส่วนอื่นๆของสกิลเทวะนี้ไป กวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปยังสองเทคนิคลับที่จำเป็นต้องมีที่ว่า

 

“เทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน คือการปิดผนึกร่างกาย เพื่อให้ตนสามารถเข้าสู่สภาวะแห่งความตาย มิแตกต่างอันใดไปจากเหล่าผู้คนที่สิ้นชีพลงในโลก”

 

“เทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน : แม้ตนจะตกตาย หรือกระทั่งจิตแห่งตนล่องลอยสู่ปรภพ ก็ยังสามารถที่จะเรียกมันกลับคืนมาได้”

 

หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม ใบหยกในมือถูกกำแน่น

 

ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด ราวกับว่าเขาจะค้นพบกับร่องรอยของแสงสว่างเดียวที่ยังเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และโลก!

 

แม้นี่จะเป็นแสงสว่างอันเล็กจ้อย และเขาจักต้องโยนตัวเองให้เข้าไปยังโลกที่ตนไม่รู้จัก พบกับความเสี่ยงอันใหญ่หลวง ทว่าเพื่อที่จะไขว่คว้าแสงสว่างนั้น และต่อสู้ดิ้นรนจุดให้มันลุกโชนเติบโตขึ้นจนกลายเป็นเปลวเพลิงอันร้อนแดงดั่งดวงตะวันอันยิ่งใหญ่ ที่สาดแสงสว่างลงมาให้กับโลกทั้งใบ

 

แต่ก่อนหน้านั้น ตนจะต้องหา ‘สองกุญแจ’ ที่จะใช้เปิดมันทั้งหมดซะก่อน

 

สองกุญแจที่ว่านั่นก็คือ –

 

กู่ฉิงซานทิ้งจิตสัมผัสเทวะลงไปในถุงหอมหลากสี และพยายามมองหาพวกมันอย่างถี่ถ้วน

 

เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็เอื้อมมือเข้าไปสัมผัสมัน และหยิบสองใบหยกมาไว้ในมือ

 

จิตสัมผัสเทวะกวาดลงไปอีกครั้ง และยืนยันว่ามันถูกต้อง

 

ใช่ นี่แหละคือวิธีการที่เขาคิดออกมาได้ในที่สุด

 

“เทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน”

 

“เทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน”

 

กู่ฉิงซานถือสองใบหยกนี้ ราวกับว่ากำลังถือสมบัติที่หาได้ยากยิ่งที่สุดในโลก

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“คุณค้นพบ เทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน การจะเรียนรู้เทคนิคลับนี้ อย่างน้อยจำเป็นต้องมีพื้นฐานวรยุทธในระดับก้าวสู่เทพ และมีค่าใช้จ่ายเป็น 300 แต้มพลังวิญญาณ”

 

“คุณค้นพบ เทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน การจะเรียนรู้เทคนิคลับนี้ อย่างน้อยจำเป็นต้องมีพื้นฐานวรยุทธในระดับก้าวสู่เทพ และมีค่าใช้จ่ายเป็น 400 แต้มพลังวิญญาณ”

 

“คุณต้องการที่จะเรียนรู้เทคนิคลับเหล่านี้หรือไม่?”

 

โชคดี … โชคดีจริงๆ ที่เวลานี้ตนเองเป็นผู้ฝึกยุทธระดับก้าวสู่เทพขั้นกลาง และมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข!

 

กู่ฉิมซานลอบยินดีอย่างลับๆ

 

เขาไม่ลังเลเลยที่จะเอ่ยปากว่า “ฉันต้องการที่จะเรียนรู้เทคนิคลับทั้งสอง”

 

“คุณแน่ใจหรือไม่?”

 

“แน่ใจ!”

 

ทันใดนั้น กระแสไอร้อนจากใบหยกก็ไหลเข้าสู่ฝ่ามือของกู่ฉิงซาน และเริ่มแตกแขนงขยายไปทั่วร่างกาย จนในที่สุดก็ไปบรรจบกันที่ทะเลแห่งห้วงสติ

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงสักพัก และทำความเข้าใจกับสองเทคนิคลับนี้อย่างเงียบๆ

 

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้น

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม มีเส้นแสงหิ่งห้อยสองบรรทัดลอยอยู่

 

“คุณได้เรียนรู้ เทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน , เทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน ใช้แต้มพลังวิญญาณไปโดยสิ้นเชิงแล้ว 700 แต้ม”

 

“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน 4100/300”

 

กู่ฉิงซานเลื่อนสายตาของเขาออกไป จ้องมองดูตลอดทั้งสวรรค์และโลกเบื้องหน้าที่ยังคงมืดมิด

 

ทว่าท่ามกลางความมืดมิด แสงนวลตากำลังค่อยๆแผ่ขยายออกมาจากในระยะสุดสายตาอย่างช้าๆ

 

รุ่งอรุณแห่งวันใหม่กำลังจะถือกำเนิดขึ้น!

 

แสงสว่างแห่งความหวังค่อยๆสาดลงมา ตกกระทบลงกับใบหน้าของเขาที่กำลังเปล่งประกายไปด้วยความมุ่งมั่น!

 

มองย้อนกลับไปเมื่อคืน ที่เขาได้เอ่ยถามถึงทางปรภพว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เครื่องพิพากษากลับไม่กล้าที่จะเอ่ยกล่าว

 

เพราะคนเป็นมิอาจทำอะไรได้เลยหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปรภพ ดังนั้นตามจิตใต้สำนึกแล้ว เขาจึงไม่ได้เค้นถามต่อไป

 

แต่ตอนนี้ ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว!!

 

กู่ฉิงซานยืนขึ้น ปากเอ่ยพึมพำ “ในเมื่อไม่มีใครกล้าที่จะพูดเกี่ยวกับมัน ถ้าอย่างงั้นฉันก็ขอไปสำรวจปรภพดูด้วยตาตัวเองซะเลยก็แล้วกัน!!”

 

……

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.376 – โลกถูกทำลาย

 

นอกเหนือไปจากเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาแล้ว ก็ยังมีเครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่น , เครื่องขจัดโทสะแล้ว สุดท้ายก็คือเครื่องจักรสำนึกบาปที่ขีดเขียนหมายเลข 47 เอาไว้ด้านข้าง

 

มันคือเครื่องสีแดงที่ทำหน้าที่บริการถ่ายภาพด้วยตัวเองหรือที่เรียกง่ายๆว่าตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์นั่นเอง

 

มนุษย์สามารถถ่ายภาพตัวเอง โดยภาพที่ออกมาจะเป็นอาชญากรรม ความชั่วร้าย หรือความผิดบาปที่พวกเขาเคยได้ก่อเอาไว้ และจากนั้นก็ต้องบริจาคเลือดออกไป

 

ส่วนปริมาณของเลือดที่จะต้องบริจาค ก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ระดับของความผิดที่ได้ก่อเอาไว้

 

ทว่าหากเป็นผู้ที่กระทำความร้ายอย่างร้ายแรง คงไม่จำเป็นต้องใช้มัน เพราะการจะล้างความผิดบาปของพวกเขา ก็คงต้องแลกกับการบริจาคเลือดทั้งตัว!

 

ดังนั้นจะต้องเป็นผู้ที่กระทำความผิดเล็กๆน้อยๆเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดกลับมาได้หลังจากที่ใช้เจ้าเครื่องจักรนี้

 

แต่ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ เจ้าสิ่งนี้น่ะเป็นวิธีการเดียวเท่านั้นที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถใช้มันเพื่อต่อต้านเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาได้

 

หลังจากทั้งหมดนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมเล็กหรือใหญ่ หากคุณถูกพิจารณาคดีโดยเครื่องพิพากษา คนอื่นๆก็ย่อมสามารถทำการจ่ายหยดเลือดเพื่อโหวตได้

 

ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยที่ถูกโหวตให้รับโทษตาย ทั้งๆที่ความผิดบาปของพวกเขาก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดนั้น

 

ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจของทางฝั่งตู้ถ่ายสติ๊เกอร์จึงมีลูกค้าไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่อง

 

ด้วยเหตุนี้ เครื่องจักรจากปรภพที่แม้ภายนอกอาจจะดูไร้สาระเหล่านี้ กลับสามารถช่วยบรรเทาความตึงเครียดและความวิตกกังวลของผู้คนในวันสิ้นโลกได้อย่างน่าเหลือเชื่อ!

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องพิพากษาความปรารถนา

 

หลังจากที่มันปรากฏตัวขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนจู่ๆก็ดีขึ้นทันตาเห็น

 

“ว่าแต่ว่านะ ไอ้รางวัลที่นายได้รับจากเครื่องจักรพิพากษามันคืออะไรกัน?” ซางหยิงฮ่าวหันไปถามเย่เฟย์หยู

 

“เป็นการดัดแปลงเทคนิคเทียนซวนของฉันน่ะ ทำให้ตอนนี้ฉันสามารถกำหนดเสียงที่ตัวเองต้องการจะได้ยินได้แล้ว” เย่เฟย์หยูตอบด้วยรอยยิ้ม

 

“อ้อ งั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะ ทีนี้นายคงจะสามารถพูดคุยกับแฟนตอนไหนก็ได้แล้วสิ”

 

“ใช่”

 

……….

 

ช่วงเวลากลางคืน

 

ณ ย่านที่ห่างไกล

 

ในที่ๆไม่ได้ถูกใช้งาน และคนอื่นๆที่อาศัยอยู่ก็ได้แยกย้ายกันออกไปจนหมดแล้ว

 

จู่ๆกลับปรากฏว่ามีกองกำลังก่อการร้ายติดอาวุธหนักกำลังห้อมล้อมสถานที่แห่งนี้อยู่

 

พวกเขากระจายตัวกันออกไปทุกทิศทาง สองตาสอดส่ายไปโดยรอบ ขณะที่สองหูตั้งใจฟังทุกสรรพเสียงที่เกิดขึ้น

 

ในใจกลางของฝูงชน เป็นพื้นที่เปิดโล่ง

 

และมีสี่ตู้เกมแห่งวันสิ้นโลกวางอยู่เคียงข้างกันที่นี่

 

กลุ่มคนลึกลับที่สวมเสื้อโค้ทสีดำพร้อมด้วยหมวกปีกกว้างกำลังยืนอยู่หน้าตู้เกมวันสิ้นโลก

 

“เริ่มกันเลยไหมท่าน?” คนหนึ่งเอ่ยถาม

 

“เริ่มได้เลย” เสียงชรากล่าวออกมา

 

ทันทีที่เสียงนี้ตกลง กลุ่มคนติดอาวุธหลายคนก็เดินเข้ามายืนอยู่ข้างตู้คีบตุ๊กตา

 

หนึ่งในนั้นจับไปที่เครื่องและกดมือของเขาลงไป

 

เครื่องคีบตุ๊กตาพลันส่องสว่าง พร้อมกับเสียงเพลงที่ดังขึ้น

 

“จำเป็นต้องใช้หยดเลือด ต่อการเล่นมันหนึ่งครั้ง”

 

ติ๊งต่อง!

 

“ฉันต้องการจับตัวประธานาธิบดีของสหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง คุณสามารถทำได้หรือไม่?”

 

“โปรดระบุชื่อและอายุของเขา”

 

ชายคนนั้นตอบกลับไป

 

และเครื่องคีบตุ๊กตาก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะสารภาพว่า “กระผมไม่สามารถจับตัวคนๆนี้ได้”

 

“ทำไมกัน? เพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างงั้นหรอ?” ชายคนนั้นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“เปล่า แต่เป็นเพราะว่าคุณมีความชั่วร้ายอยู่ในจิตใจต่างหาก”

 

ชายคนนั้นหันศีรษะของเขาไปมองด้านหลัง

 

“เปลี่ยนเครื่องซิ” เสียงชรากล่าว

 

จากนั้นชายติดอาวุธก็เดินไปที่เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาและกล่าวว่า “ฉันต้องการพิพากษาคน”

 

และเสียงตอบสนองก็กังวานขึ้นทันที

 

“ลูกค้าที่เคารพ โปรดระบุตัวคนบาปที่คุณต้องการจะพิพากษาด้วยว่าเขาเป็นใคร”

 

ชายคนนั้นเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบว่า “ฉันต้องการพิพากษาประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลาง”

 

“กระผมไม่สามารถพิพากษาคนๆนี้ได้” เครื่องจักรสารภาพ

 

“ทำไมกัน? ก่อนหน้านี้ประธานศาลแห่งรัฐบาลกลางยังถูกคุณพิพากษาได้เลย แล้วทำไมพอเป็นประธานาธิบดีแล้วถึงไม่ได้กัน?” ชายคนนั้นถาม

 

เครื่องจักรตอบ “แม้ว่าเขาจะเป็นคนเจ้าเล่ห์จอมวางแผนก็จริง แต่ทั้งหมดที่ทำมันก็เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนบาป”

 

หลายคนหันมามองหน้ากันอย่างว่างเปล่า

 

“บัดซบเอ๊ย!” เสียงชราตวาดคำหนึ่ง

 

“นี่มันแปลกจริงๆ เราได้ฆ่ามันไปตั้งหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ยังกลับมาลอยหน้าลอยตาได้” เสียงชรากล่าว “คราวนี้แม้กระทั่งเจ้าพวกเครื่องบ้าๆนี่ก็ยังคิดปกป้องมันอีก!”

 

“ในประวัติศาสตร์ของรัฐบาลกลาง เราได้ใช้วิธีการคล้ายคลึงกับแบบนี้ทำการเปลี่ยนผ่านประธานาธิบดีมาหลายครั้งแล้ว แต่ทำไมพอมาถึงยุคของเจ้าบ้านี่มันถึงได้ล้มเหลวซะทุกครั้งเลยกัน?” เสียงชราบ่น

 

“ปัญหาสำคัญก็คือ จำนวนคนที่เอนเอียงไปทางมันเริ่มจะมีจำนวนมากขึ้นอีก”

 

“ไม่ว่าจะเป็นเทพนักสู้จากตระกูลซาง กับเจ้านักฆ่ารุ่นใหม่นั่นที่กำลังปกป้องมัน”

 

“แล้วก็เจ้านักวิทยาศาสตร์ที่แสนจะน่ารังเกียจนั่นอีก!”

 

“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ว่านโยบายอะไรที่มันปล่อยออกมาใหม่ คะแนนเสียงก็คงจะโหวตให้ผ่านทั้งหมด!”

 

“ไปเตรียมการลอบสังหารครั้งต่อไปซะ ถ้ามันเป็นแมวเก้าชีวิตไม่ยอมตายซักที ฉันนี่แหละจะเป็นคนฆ่ามันจนกว่าจะครบทั้ง 9 ชีวิตเอง!”

 

“รับทราบ!”

 

หลังจากกล่าวจบ คนเหล่านั้นก็ถอนกำลังออกจากย่านพื้นที่ห่างไกลนี้ไปอย่างรวดเร็ว

 

……..

 

“งั้นฟังก์ชั่นของพวกคุณก็เป็นแบบนี้เองสินะ?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

“ใช่” เครื่องจักรพิพากษากล่าว

 

“แล้วเรื่องนรกล่ะจะว่ายังไง?”

 

เครื่องพิพากษากล่าว “โปรดลองดูที่หมายเลขของพวกเราสิ”

 

“ฉันเห็นแล้ว แต่ละเครื่องที่มาถึงมันแตกต่างกันมี  1 , 12 , 23 , 47”

 

“เครื่องจักรที่คอยจัดการธุระทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับทางปรภพ มีทั้งสิ้นตั้งแต่หมายเลข 1 ถึง 88 โดยสิ้นเชิงแล้วจึงมี 88 เครื่อง”

 

“ในฐานะที่เป็นเครื่องจักรที่คอยจัดการชีวิตความเป็นไปตามแต่ละวันในปรภพ พวกเราจึงสามารถจัดการได้ทุกปัญหา และนอกจากนี้ยังมีความสามารถให้การให้ความบันเทิงอีกด้วย”

 

“นี่ก็เพื่อบรรเทาความกดดันจากการทำงานของพวกอสูรกาย และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของอสูรกายในปรภพให้ดียิ่งขึ้น”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วพวกเครื่องจักรที่รับผิดชอบในการต่อสู้กับนรก หรือเครื่องจักรที่ใช้รับมือกับพวกคนตายล่ะ?”

 

“นั่นนับว่าเป็นเรื่องที่โชคร้ายจริงๆ ที่ในระหว่างเดินทางมายังโลก เว้นไว้เพียงแต่พวกเราทั้ง 4 เครื่อง , เครื่องอื่นๆต่างก็ล้วนได้รับความเสียหาย”

 

“แล้วพวกเขาได้รับความเสียหายได้อย่างไร?”

 

“เส้นทางเข้าสู่โลกตอนนี้มันอันตรายมาก และไม่ง่ายเลยที่จะมาถึง”

 

“แล้วไม่มีกำลังเสริมอื่นๆอีกเลยหรอ?”

 

“ก็มีนะอย่างเช่น ‘สิ่งประดิษฐ์เทวะจากยุคโบราราณ’ แต่พวกเขายังคงหาพยายามรักษาทางปรภพอยู่ ก็เลยยังมาไม่ได้ ดังนั้นกำลังเสริมจึงมีเพียงแค่พวกเราเท่านั้น”

 

“หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกคุณทั้ง 4 เครื่องมันไม่เพียงพอที่จะสามารถรับมือกับนรกได้ใช่ไหม?”

 

“เพียงพวกเรา 4 เครื่อง ย่อมไม่สามารถทำได้จริงๆ”

 

……

 

กู่ฉิงซานหันไปมองคนอื่นๆ แล้วก็เห็นถึงประกายแห่งความสิ้นหวังอันลึกล้ำในแววตาของอีกฝ่าย

 

“ใต้เท้า มีข้อมูลเร่งด่วนถูกส่งเข้ามา!”

 

จู่ๆเสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น

 

พร้อมกับจอม่านแสงที่ผุดออกมา

 

บนทะเลทราย ปราสาทขนาดใหญ่ได้ถูกสร้างขึ้นและเสร็จสมบูรณ์แล้ว!

 

เหล่ายักษ์เริ่มที่จะเดินออกมาสำรวจนอกทะเลทราย และทำการโจมตีเมือง

 

ด้วยพลังอำนาจอันเหนือชั้นที่พวกมันมี เพียงโบกมือและย่ำเท้าลงไป ก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถโจมตีเมืองและยึดครองได้โดยง่าย!

 

กองยานรบประจัญบานของรัฐบาลกลางกำลังระดมยิงปืนใหญ่จากบนท้องฟ้าลงไปอย่างต่อเนื่อง แต่น่าเสียดาย ที่มันดูจะส่งผลแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

พอโดนมากๆเข้าก็ชักจะรำคาญ ร่างยักษ์ใหญ่ที่สูงโดดเด่นกว่าตัวอื่นๆเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า กล้ามเนื้อบนสองขาของมันเกร็งแน่นและตึง!  ทะยานขึ้นไปยังเบื้องบนด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มันมี

 

มันกระโดดขึ้นไปในอากาศ และคว้าจับยานรบประจัญบายลำหนึ่งเอาไว้

 

“ฮว๊ากกกกกกก จงลงมาซะดีๆ!” ยักษ์ใหญ่คำรามลั่น

 

แล้วมันก็ใช้น้ำหนักตัว ลากยานรบประจัญบานลงมาจากท้องฟ้า

 

ตูมมม!

 

ยานรบกระแทกกับพื้นดิน บังเกิดทั้งแรงทั้งเสียงระเบิดสั่นสะเทือนไปทั้งตลอดทั้งสวรรค์และโลก

 

ยานรบประจัญบานลำอื่นที่ลอยลำอยู่บนอากาศรีบยกระดับขึ้นไปซ่อนตัวในที่สูงกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าพวกคนเป็น จงยอมจำนนเสีย แล้วจากนั้นก็เฝ้ารอคอยมาเป็นอาหารของพวกเราซะ!” ยักษ์ใหญ่หัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง

 

ม่านแสงสว่างวาบ

 

ณ เมืองหลวงของสาธารณรัฐฟูซี

 

โลงศพยักษ์ได้ผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าอีกครั้ง

 

พวกมันลอยอยู่เหนือระดับตัวเมืองอย่างเงียบๆ และทยอยกันเพิ่มปริมาณมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

ทุกประเภทของเสียงคร่ำครวญโหยหวนแปลกๆด้วยความเจ็บปวด ดังลอดออกมาจากโลงศพ

 

และม่านแสงก็สว่างวาบอีกครั้ง

 

คราวนี้เป็นเมืองหลวงของรัฐบาลกลาง

 

ที่มีโลงศพยักษ์ปกคลุมหนาแน่นไปทั่วผืนฟ้า!

 

การที่เมืองหลวงของทั้งสองประเทศถูกปกคลุมด้วยนรกเช่นนี้ … มันย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นแน่!

 

กู่ฉิงซานเฝ้าดูแต่ละฉากในจอม่านแสง เขาค่อยๆสูดหายใจลึกๆอย่างช้าๆ

 

เขารีบสงบใจและเอ่ยถามออกไป “แล้วทางฝั่งนรกเยือกแข็งเป็นยังไงบ้าง?”

 

จอม่านแสงสลับเปลี่ยนภาพไป

 

ในมุมมองจากดาวเทียมบนอวกาศ พื้นที่ขนาดเล็กๆกว่าครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้กลายเป็นพื้นที่สีขาวไปแล้ว

 

หิมะและน้ำแข็งกำลังกัดกินดินแดนของประเทศนี้อย่างเงียบๆ

 

“ใต้เท้า นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์ใหม่ปรากฏขึ้นอีกด้วย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

“ยังมีสถานการณ์ใหม่ … เพิ่มขึ้นอีกหรือ” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำอย่างช้าๆ

 

จอม่านแสงสว่างวาบ

 

ภายในภาพ มันคือประเทศเล็กๆแห่งหนึ่งในโลก

 

และกำลังเกิดแผ่นดินไหวปะทุขึ้นอยู่บนประเทศนี้

 

บ้านถล่มลงมา ตัวสะพานแขวนได้รับความเสียหาย ประชาชนกำลังกรีดร้องหลบหนีไปทั่วทุกสถานที่

 

ทว่าแผ่นดินไหวกลับยังคงปะทุอย่างต่อเนื่อง และไม่เคยหยุดนิ่งเลย

 

ใต้พื้นดินลงไป มีโครงกระดูกขาวผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

โครงกระดูกเหล่านี้ถูกซ้อนกันเป็นชั้นๆ กองๆกันจนกลายเป็นภูเขาโครงกระดูกสีขาว

 

แผ่นดินยังคงไหวต่อเนื่อง และซากโครงกระดูกแห้งกรังยังคงผุดออกมาจากใต้ดินตลอดเวลา และกระบวนการนี้กินเวลาเป็นหลายชั่วโมง

 

“ไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่าคุกกระดูกก็จะมายังโลกใบนี้แล้วด้วยเหมือนกัน” เครื่องพิพากษาความปรารถนาจ้องไปในจอม่านแสง ถอนหายใจด้วยความหดหู่

 

กู่ฉิงซานไม่อาจฝืนยับยั้งตัวเองได้อีกต่อแล้ว เขาหันไปเผชิญหน้ากับเครื่องพิพากษาและเร่งถามออกไป “มันเกิดอะไรขึ้นกับทางปรภพกันแน่? บอกให้พวกเรารู้สึกนิดเลยก็ไม่ได้หรือ?”

 

เครื่องพิพากษากล่าวอย่างสงบ “บอกไม่ได้หรอก นี่ก็เพื่อประโยชน์ของตัวนายเองนะ”

 

กู่ฉิงซาน “โลกกำลังจะพินาศอยู่แล้ว เรื่องประโยชน์บ้าบออะไรนั่นฉันไม่สนแล้ว!”

 

เครื่องพิพากษาอธิบายออกมาในที่สุด “มีเพียงสิ่งมีชีวิตระดับเทพวิญญาณเท่านั้นที่สามารถมองเห็นถึงมันได้ แต่ไม่สามารถกล่าวถึงได้”

 

“มิฉะนั้นทันทีที่นายพูดอะไรเกี่ยวกับมัน การดำรงอยู่ของบางสิ่งที่ดุร้ายและแข็งแกร่งเป็นพิเศษจะรับรู้ทันที และมันจะไล่ตามเสียงนั้นมุ่งมายังที่โลกใบนี้โดยตรง”

 

“เชื่อกระผมเถอะ ว่าถ้าบอกออกไปแล้วนายคงไม่แคล้วจะต้องตายทันที”

 

กู่ฉิงซานเงียบไป

 

เขากำลังเฝ้าดู ‘สี่นรก’ ที่อุบัติขึ้นบนจอม่านแสง

 

ดูเหมือนว่าเวลานี้ มนุษยชาติคงต้องสูญพันธุ์เป็นแน่

 

โลกได้มาถึงจุดจบแล้ว …

 

เหลียวฮังหันหลังและวิ่งปลีกตัวออกไป

 

“เฮ้ย นั่นคุณจะไปไหนน่ะ?” เย่เฟย์หยูตะโกน

 

“เทพธิดากงเจิ้ง ช่วยอนุมัติสิทธิ์ให้ฉันสร้างยานอวกาศใหม่เร็วเข้า – พวกเราจะหนีออกจากดาวดวงนี้กัน!” เหลียวฮังวิ่ง ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมา

 

“ใต้เท้า อนุมัติสิทธิ์ให้เขาหรือไม่?” เทพธิดากงเจิ้งเอ่ยถาม

 

และเธอก็เอ่ยเสริมว่า “หากวิเคราะห์ตามสถานกาณ์ โลกกำลังจะถูกทำลายลง และกลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการหนีออกจากโลกก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น”

 

“นอกจากนี้ ยานอวกาศขนาดใหญ่ที่มีอยู่อาจจะถูกพบเจอกับมอนสเตอร์เอกภพได้โดยง่าย แต่มิสเตอร์เหลียวฮังน่ะเคยควบคุมยานอวกาศขนาดเล็กมาหลายปี ดังนั้นจึงมีประสบการณ์มากมายในการขับเคลื่อนยานในอวกาศ – ฉะนั้นการปะทะเข้ากับมอนสเตอร์เอกภพจึงมีโอกาสเป็นไปได้ต่ำมากหากคุณไปกับเขา นอกจากนี้มิสเตอร์เหลียวยังมีเทคโนโลยีจั๊มป์เอาไว้ในครอบครองอีกด้วย นี่จะช่วยรับประกันได้ว่าหากพบเจออันตราย คุณก็จะยังคงสามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้”

 

“แล้วยังไง? จากนั้นก็ใช้ชีวิตไปวันๆ เตร็ดเตร่ไปทั่วจักรวาลตลอดไปยังงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงเย็น

 

พอถูกอีกฝ่ายดุ เทพธิดากงเจิ้งก็เงียบไป

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.375 – เครื่องจักรปรภพ

 

เครื่องจักรเหล่านี้มันจะทำอะไรได้บ้างกันนะ?

 

ผู้คนทั่วโลกต่างก็กำลังสงสัยและอยากรู้อยากเห็น

 

หลังจากเกมแห่งชีวิตนิรันดร์กับเพชฌฆาตตัวตลก ต่อมาก็เป็นเจ้าเครื่องจักรพวกนี้นี่แหละที่ทางรัฐบาลให้ความระมัดระวังกับมันอย่างแท้จริง

 

ทางรัฐบาลเริ่มห้ามผู้คนไม่ให้เฉียดเข้ามาใกล้เครื่องจักรเหล่านี้

 

แต่ก็ราวกลับรู้ทัน ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ประมาณนี้ขึ้น เหล่าเครื่องจักรก็จะทำการเคลื่อนย้ายทันที จากนั้นมันก็จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในสถานๆที่ไม่มีการป้องกันจากทางหน่วยงานใดๆ

 

จึงกลับกลายเป็นว่า เหล่ามืออาชีพที่กล้าเข้าไปใช้งานมันและประชาชนทั่วไป ก็ได้คุ้นเคยกับเครื่องจักรทั้งสี่นี้อย่างรวดเร็ว

 

เพียงไม่นาน เรื่องราวเกี่ยวกับฟังก์ชั่นและวิธีการใช้งานของเครื่องจักรเหล่านี้ได้แพร่กระจายออกไปทั่วโลกราวกับไฟลามทุ่ง

 

จนท้ายที่สุด แม้กระทั่งหน่วยงานในภาครัฐบางแห่งก็เริ่มที่จะใช้งานเครื่องจักรเหล่านี้

 

รัฐบาลต้องแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เลือกที่จะปิดตาเอาไว้ข้างหนึ่ง

 

ณ รัฐบาลกลาง

 

ภายในเมืองหลวง

 

รถตำรวจ7-8คันกำลังล้อมรอบเครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่นอยู่ ขณะที่ตำรวจทุกคนที่มาต่างเฝ้ามองและคอยให้กำลังใจตำรวจคนหนึ่งที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่เบื้องหน้ามัน

 

บนหน้าผากของตำรวจคนที่ว่ามีเหงื่อผุดออกมาไม่หยุด

 

สมาธิของเขา เพ่งอยู่แต่กับเครื่องคีบตุ๊กตาอันแสนจะลึกลับนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

คันโยกถูกควบคุมอย่างระมัดระวัง ขณะที่เป้าหมายของเขาคือตุ๊กตาเด็กที่อยู่ภายใน

 

“ตอนนี้ล่ะ!”

 

เขาง้างมือกระแทกลงบนปุ่มกดอย่างแรง เพื่อคว้าจับ

 

และคีมคีบจากข้างบนก็อ้าออก จากนั้นก็เริ่มลดระดับลงแล้วหุบเข้าจับตัวตุ๊กตาเด็กเอาไว้

 

ทว่าหลังจากที่คีมคีบเลื่อนกลับขึ้นมาข้างบน และเคลื่อนตัวไปได้แค่ครึ่งทาง ตุ๊กตาก็ดันหลุดออกจากคีมคีบซะอย่างงั้น

 

“โถ่เว้ย!”

 

“บ้าจริง!”

 

“ล้มเหลวอักแล้ว!”

 

ในหัวใจของนายตำรวจหม่นทะมึน

 

“ยังไม่ได้อีกงั้นหรอ?” เสียงๆหนึ่งดังขึ้น

 

นายตำรวจคนนั้นหันหน้าไปมองตามเสียง ก่อนจะยืดหลังตรงและตะโกนออกมา “หัวหน้า!”

 

“ทำความเคารพท่านหัวหน้า!”

 

ตำรวจอ้วนในชุดเครื่องแบบแหวกฝูงชนก้าวเข้ามาในวงล้อม และผงกหัวให้กับทุกคนที่ตะเบ๊ะให้เขา

 

จากนั้นก็ดึงวัยรุ่นตัวเล็กลีบคนหนึ่งที่หลบอยู่ข้างหลังเขาออกมาสู่สายตาฝูงชน

 

หน้าตาของวัยรุ่นดูซีดเซียว ร่างกายผอมแห้ง จนดูไม่เหมาะสมกับชุดหลวมโพรกที่เขาสวมใส่อยู่ มันกว้างและใหญ่เกินไป ดูไม่เข้ากันอย่างร้ายกาจ

 

อย่างไรก็ตาม นี่คือชุดที่ดีที่สุดที่เขาเคยมีมา … นับตั้งแต่วันนั้น!

 

ตำรวจอ้วนกล่าวว่า “ผมได้เชิญผู้เชี่ยวชาญในการคีบตุ๊กตามาแล้ว คราวนี้แหละพวกเราจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!”

 

“นั่นมันยอดไปเลย!”

 

นายตำรวจคนที่อยู่หน้าตู้ ผู้ที่คีบล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า พอได้ยิน ท่าทีของเขาก็แสดงออกถึงความสุขทันที

 

ไม่นานนัก วัยรุ่นคนที่ว่าก็มาหยุดยืนอยู่หน้าตู้คีบตุ๊กตา และกดมือของเขาลงบนจุดเชื่อมต่อสีดำ

 

พริบตานั้นเครื่องคีบตุ๊กตาก็สว่างขึ้นในทันใด พร้อมด้วยเสียงของเกมที่ดังขึ้นอีกครั้ง

 

วัยรุ่นหันหน้าไปมองตำรวจอ้วน

 

และอีกฝ่ายก็กล่าวสวนกลับมาว่า “เลือดหนึ่งหยด ฉันจะจ่ายให้เธอ 1000 แต้มเครดิต”

 

วัยรุ่นคนนั้นพยักหน้า

 

เขาหยิบเอากระดาษมาจากในมือของตำรวจ และอ่านมันออกมา “หวังหมิไคว่ อายุ 16 ปี เพศหญิง”

 

ภายในเครื่องคีบ พลันบังเกิดรังสีแสงกวาดวาบลงไปยังตัวตุ๊กตาทั้งหมด

 

“เตรียมการพร้อมแล้ว ขอให้สนุกกับการเล่นนะ!” เครื่องคีบตุ๊กตาเปล่งเสียงออกมา

 

วัยรุ่นคว้าจับคันโยก สองตาของเขากวาดไปยังตุ๊กตาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

 

เขากำลังมองหาตุ๊กตาที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะคีบมันขึ้นมาได้สำเร็จอยู่

 

–วัยรุ่นคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญในด้านการคีบตุ๊กตา กล่าวได้ว่าเขาเกือบที่จะชนะรางวัลเครื่องคีบตุ๊กตามาแล้วทั่วประเทศ

 

ส่วนหนึ่งก็เพราะแต่ก่อน ครอบครัวของเขาเคยบริหารสวนสนุกขนาดใหญ่ และกิจการก็เป็นไปได้ด้วยดี แต่แล้วเมื่อผีดิบกินคนปรากฏขึ้น สวนสนุกของครอบครัวก็ได้ถูกทำลายลง

 

พ่อแม่ของเขาถูกกิน และมีเพียงเขาที่รอดชีวิตมาได้ แต่ก็ต้องกลายเป็นคนจรจัดนับตั้งแต่นั้น

 

วันสิ้นโลกได้ทำลายความสุขในครอบครัว ความสุขในช่วงชีวิตวัยรุ่นไป ส่งผลให้ตอนนี้เขาทำได้เพียงซุกหัวนอนอยู่ตามท้องถนนเท่านั้น

 

วัยรุ่นควบคุมคันโยก เคลื่อนที่คีบไปมาหลากหลายทิศทาง เพื่อเลือกเป้าหมายที่เหมาะสม

 

เขาเติบโตมากับการเล่นแบบนี้

 

และในที่สุด วัยรุ่นก็เจอตุ๊กตาในตำแหน่งที่ต้องการ!

 

“ปึ้ก!”

 

ปุ่มถูกกดลง

 

ตามด้วยเสียงเพลงพิเศษที่ดังขึ้น และตัวคีบได้ตกลงไปอย่างรวดเร็ว

 

และที่คีบก็หุบเข้าใส่ตุ๊กตา!

 

นับจากนี้ไปนี่แหละ คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด!

 

เพราะที่คีบตุ๊กตากำลังไต่ระดับขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

จะหมู่หรือจะจ่าในเรื่องการคีบตุ๊กตา มันก็วัดกันตอนนี้นี่แหละ

 

โดยส่วนมากแล้ว คีมคีบหลายอันจะหุบลงอย่างหลวมๆ ทำให้ไม่อาจหุบจับตุ๊กตาได้อย่างแน่นหนา

 

และเมื่อกี้ทางตำรวจเองก็ล้มเหลวลงในส่วนนี้เช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน พอเป็นฝีมือคีบของวัยรุ่น ตัวตุ๊กตากลับไม่ตกลง มันถูกหุบเอาไว้อย่างแน่นหนาโดยคีมคีบ

 

ตัวคีบค่อยๆขยับเคลื่อนที่กลับมาอย่างต่อเนื่อง

 

และในที่สุด! ตุ๊กตาก็ถูกปล่อยลงมาในช่องรางวัล

 

“ให้มันได้อย่างงี้สิ!” เหล่าตำรวจส่งเสียงเฮกันกึกก้อง

 

เครื่องคีบตุ๊กตากล่าวคำถามออกมา “ขอแสดงความยินดีด้วย คุณสามารถพบกับหวังหมิงไคว่ได้เลยในทันที คุณต้องการที่จะพบเธอหรือไม่?”

 

วัยรุ่นหันมามองตำรวจอ้วน

 

ตำรวจอ้วนพยักหน้า

 

“ต้องการพบเลย” วัยรุ่นกล่าว

 

“เข้าใจแล้ว จะทำการดำเนินการเดี๋ยวนี้” เครื่องคีบตุ๊กตากล่าว

 

และในวินาทีต่อมาพร้อมกับเสียง  ‘ว่าบบบ!’ เด็กสาวผู้น่าสงสารคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ก็พลันปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของเครื่องคีบตุ๊กตา

 

เด็กสาวหันไปมองเหล่าผู้คนทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าเธอ ก่อนที่การแสดงออกที่เศร้าหมองทางสีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นตะลึงลานอย่างชัดเจน

 

บนใบหน้าของเธอมีคราบเลือดอยู่ ขณะที่ตามร่างกายถูกผูกมัดด้วยเชือกจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

 

“ลูกฉัน!” สองชายหญิงในวัยกลางคนถลาลงมากอดเด็กสาว

 

“นั่นพ่อ? กับแม่หรอ? โอ โอ… อ้าาา” เด็กสาวเริ่มร้องไห้ออกมา

 

ตำรวจหยิบเครื่องมือออกมา และเริ่มทำการตัดเชือกที่มัดตามตัวเด็กสาว

 

ตำรวจอ้วนหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมา และรีบเอ่ยสั่งการอย่างรวดเร็ว “ตัวประกันได้รับการช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว! ส่งทีมเกราะรบขับเคลื่อนชุดพิเศษออกปฏิบัติการได้ ระเบิดฐานพวกคนร้ายให้เป็นจุลซะ!”

 

เขาเอ่ยสั่งการออกไปอย่างรวดเร็ว

 

วัยรุ่นเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปทางตำรวจอ้วน “ทีนี้จะจ่ายเงินมาได้รึยัง?”

 

ตำรวจอ้วนปั้นรอยยิ้มประจบประแจงบนใบหน้าให้อีกฝ่าย

 

ถ้าให้ตอนนี้เลยคงไม่มีทางซะล่ะ เจ้าตู้คีบตุ๊กตานี่มันยากเกินไป ขอบอกตรงๆว่าฝีมือของตำรวจเช่นพวกเขามันไม่มากพอหรือสันทัดกับอะไรแบบนี้จริงๆ

 

“พอดีว่าฉันยังมีเจ้าพวกผู้ก่อการร้ายอีกซัก 2-3คนที่ต้องการจะจับกุมตัวน่ะ เธอพอจะช่วยต่อได้ไหม?” เขาหยิบรูปถ่ายหลายใบออกมา แล้วยื่นมันให้แก่วัยรุ่น

 

วัยรุ่นรับเอาภาพพวกนั้นมามองสักพักและกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหาหรอก แต่เงิน–”

 

“แน่นอนว่าฉันจะจ่ายอยู่แล้ว!” ตำรวจอ้วนรีบเอ่ยขัด

 

แต่ทันใดนั้นเอง ในสมองของเขาก็มีความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในฉับพลัน

 

“แต่เดี๋ยวก่อน เธอสนใจที่จะมาเป็นตำรวจด้วยกันรึเปล่า?” เขาเอ่ยถาม

 

ขณะนี้ได้มีการปรากฏขึ้นของเครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่นบนโลกแล้ว และคุณจะสามารถพบใครก็ได้ที่ต้องการ ขอเพียงแค่คีบตุ๊กตาในตู้ให้ได้สำเร็จ

 

และเมื่อคุณจับมันได้แล้ว คุณจะสามารถทำให้อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นได้ในทันที!

 

แน่นอน!

 

ว่าผู้ที่จะจับมัน จะต้องมีแรงจูงใจเป็นพิเศษ มิฉะนั้นแล้วเครื่องคีบตุ๊กตาจะไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง

 

และด้วยกรณีนี้ มันจึงไม่ใช่เรื่อง่ายเลยที่จะจับตัวคนที่ต้องการได้

 

ตราบใดที่มีแรงจูงใจที่ต้องการจะจับตุ๊กตา และยิ่งมันสูงเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถจับมันได้ … จับใครก็ได้ในโลกใบนี้ตามต้องการ!

 

ดังนั้น กล่าวได้ว่าการปรากฏตัวขึ้นของเครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่นบนโลกใบนี้ จึงนับว่าเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดของทางตำรวจ!

 

ดวงตาของวัยรุ่นเปล่งประกายเจิดจ้า เขารีบเอ่ยถามออกไป “คุณกำลังหมายความว่าต้องการที่จะให้ผมเป็นตำรวจอย่างงั้นหรอ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ ด้วยความสามารถในการคีบตุ๊กตาของเธอ ฉันจะทำการอนุมัติให้เธอเข้าร่วมกับทางกรมตำรวจเป็นกรณีพิเศษเลย … ว่าแต่เธอต้องการมันหรือเปล่าล่ะ?”

 

“ต้องการสิ!”

 

“ถ้างั้นตอนนี้ พวกเราก็มาเริ่มทำการจับกุมเจ้าพวกคนร้ายฉาวโฉ่กันได้แล้ว!”

 

“รับทราบ!”

 

วัยรุ่นยกมือขึ้นตะเบ๊ะ ปากอ้าขานรับคำเสียงดัง

 

……

 

ในเครื่องจักรจากปรภพทั้งสี่ ที่เหงาเปล่าเปลี่ยวที่สุดก็คงจะไม่พ้นหมายเลข ‘23’

 

มันคือตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติ และชื่อของมันก็คือ ‘เครื่องจักรขจัดโทสะ’

 

สิ่งที่เรียกว่า ‘ขจัดโทสะ’ นี้ มีหน้าที่ในการกลั่นแกล้งเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นดึงหู บีบจมูก ปิดตา จั๊กจี้ตีน หรือเตะตูด ฯลฯ แทนคุณ

 

แน่นอน ว่าเจ้าเครื่องจักรนี้ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย หน้าที่ของมันก็เป็นแค่การแกล้งเล่นแผลงๆหลายร้อยรูปแบบกับผู้คนเท่านั้น

 

นี่จะช่วยให้ผู้ที่ใช้งานมันระบายความโกรธที่แสนจะอัดอั้นตันใจออกมาได้เล็กน้อย

 

หากคุณรู้สึกไม่พอใจกับการระบายความโกรธจากการกลั่นแกล้งที่แสนจิ๊บจ๊อยนี่  ‘เครื่องจักรขจัดโทสะ’ ก็จะให้คำตอบแก่คุณว่า อันที่จริงแล้ว ตัวมันนั้นทรงพลังกว่านี้มาก แต่ยาหยีของมันที่มีชื่อว่า ‘เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนา’ คงจะไม่ยินยอมให้มันทำอย่างนั้น …. และต่อให้ทำได้จริง แล้วอีกฝ่ายใช้เครื่องพิพากษามางัดกับคุณแทน อันนี้ถึงตายเลยนา มันไม่คุ้มกันหรอก

 

กล่าวได้ว่าเมื่อมีเครื่องจักรพิพากษา จึงไม่มีใครกล้าที่จะทำความชั่วร้ายแรง แล้วได้ทนกล้ำกลืนความอัปยศอดสูเอาไว้เท่านั้น

 

และนั่นจึงเป็นหน้าที่ของเครื่องขจัดโทสะ เพียงคุณบริจาคหยดเลือด คุณก็จะสามารถเปิดใช้งานเจ้าเครื่องนี้ได้ และส่งมันไปกวนตีนคนที่คอยกวนใจคุณแทน

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันสิ้นโลกได้มาถึง และผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนถูกสังหารลงโดยอสูรร้ายแห่งท้องทะเล ,  ผีดิบกินคนและผีดิบนักฆ่า ตามด้วยสามนรกที่ปรากฏขึ้นในเวลาเดียวกัน แล้วแบบนี้ใครมันจะมาใช้เจ้าสิ่งนี้เพื่อเล่นตลก กลั่นแกล้งกับคนอื่นๆกัน?

 

แต่แล้วสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปในช่วงกลางดึกของคืนวันนั้น

 

“ยินดีต้อนรับคุณลูกค้ารายแรก” เครื่องขจัดโทสะกล่าว

 

ลูกค้ารายแรกที่ว่านี้เป็นเด็กหนุ่ม อายุราวๆ 17-18 ปี

 

เขาจ่ายเลือดและทำการเปิดใช้งานเครื่องจักรนี้

 

ติ๊ง!

 

เครื่องจักรขจัดโทสะส่งเสียงดังคมชัดขึ้น

 

มันลดเสียงลงและเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาว่า “คุณต้องการทำบางสิ่งที่ไม่ดีอย่างเงียบๆไหม? สามารถใช้เครื่องนี้เพื่อซื้อจำนวนครั้งที่ต้องการกลั่นแกล้งได้เต็มที่เลยนะ เพราะถ้ากลั่นแกล้งเล็กๆน้อยโดยผ่านทางกระผมแล้วล่ะก็ เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาจะไม่ทำการค้นพบอย่างแน่นอน”

 

“จัดมา ฉันต้องการทำสิ่งชั่วร้าย” วัยรุ่นกล่าวอย่างเยือกเย็น

 

“จัดไป ว่าแต่คุณต้องการจะทำอะไรกันล่ะ?” เครื่องจักรเอ่ยถาม

 

“แกล้งคนโดยการเอาขนนกไปจั๊กจี้เท้าคนๆหนึ่ง จากนั้นก็เตะก้นมันแรงๆด้วยรองเท้าบู๊ทคู่ใหญ่” ท่าทีการแสดงออกของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นดุดัน

 

“ค่าเสียหายทั้งหมด 20 หยดเลือดนะตกลงไหม”

 

วัยรุ่นไม่ตอบ แต่กดมือลงบนจุดสีดำของเครื่องแทน

 

“ดีมาก กระผมได้รับการชำระของคุณมาแล้ว เอาล่ะไหนบอกซิว่าเป้าหมายความคุณคือใคร?” เครื่องจักรถาม

 

“ไม่อยากจะพูดชื่อมัน เขียนใส่ปากกาจะได้รึเปล่า?”

 

“ได้สิ”

 

แล้ววัยรุ่นก็ส่งยื่นชื่อนั้นออกไป

 

เครื่องจักรกล่าว “ฉันเอาขนนกไปจั๊กจี้ตีนเจ้าหมอนั่นเรียบร้อยแล้ว และเขาก็หัวเราะจนหายใจไม่ออกเกือบตายแน่ะ!”

 

และมันก็กล่าวต่อ “เอารองเท้าบู๊ทคู่ใหญ่ไปเตะตูดเจ้าหมอนั่นแล้ว กระผมเตะอย่างแรงเพื่อให้เขารู้ว่ามีคนๆหนึ่งโคตรจะเกลียดชังเขาอย่างสุดหัวใจเลยล่ะ!”

 

“การกระทำชั่วร้ายของคุณได้สิ้นสุดลงแล้ว หากต้องการทำชั่วอีกครั้ง โปรดเฝ้ารอคูลดาวน์เป็นเวลา 24 ชั่วโมง”

 

เด็กหนุ่มผงกหัว พอได้แก้แค้น สีหน้าของเขาเผยถึงความผ่อนคลายลงหลายส่วน

 

ได้ยินเพียงแค่เสียงบ่นพึมพำของเขา “เห็นรึยังว่าถ้าเล่นไม่ซื่อกับฉันมันจะเป็นยังไง อย่าคิดนะว่าฉันจะไม่กล้าทำมากกว่านี้ … ”

 

หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็เดินจากไปด้วยความพึงพอใจ และลูกค้ารายที่สองของเครื่องจักรขจัดโทสะก็เดินเข้ามา

 

อย่างรวดเร็ว ลูกค้ารายที่สองก็ได้เดินจากไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ

 

ตามด้วยเสียงอันแผ่วเบาของเขาที่ลอยตามมาในอากาศ

 

“เจ้าพวกชอบวิจารย์นิยายคนอื่นแรงๆ เสียๆหายๆ … นี่แหละเป็นผลจากการกระทำของพวกแกล่ะ ..!!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.374 – กำลังเสริมที่ทยอยกันมา

 

หลังจากการพิพากษาได้สิ้นสุดลง ตลอดทั้งโลกก็เดือดพล่านไปด้วยความตื่นเต้น!

 

ทั่วทุกมุมโลก เริ่มที่จะค้นพบเครื่องพิพากษาความปรารถนาตู้แล้วตู้เล่า

 

มันได้แยกร่าง กระจายตัวงออกไปอย่างรวดเร็ว ตามแต่ละเมือง ตามแต่ละสถานที่ๆผู้คนอาศัยอยู่ ไม่ว่าที่ใด ก็จะมีเจ้าเครื่องจักรดังกล่าวถูกวางเอาทิ้งไว้

 

สำนักข่าวจากประเทศต่างๆได้เริ่มรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว

 

นักวิทยาศาสตร์และรัฐบาลก็เริ่มที่จะให้ความสนใจกับมัน

 

ผู้คนพยายามที่จะสื่อสารกับเจ้าสิ่งแปลกประหลาดนี้

 

หลังจากที่ได้รับชมการพิพากษา กลุ่มต่อไปที่ได้พบเจอกับมันก็คือกลุ่มนักโทษ

 

——

 

ในช่วงเวลานั้นเอง ภายในเรือนจำ เสียงนกหวีดได้ถูกเป่าดังขึ้น

 

และเหล่านักโทษก็ถูกปล่อยตัว ทยอยกันเดินออกมายังลานกิจกรรมของพวกเขาอย่างช้าๆ

 

ทันใดนั้นเอง พลันบังเกิดเสียงปัง! ดังขึ้นอย่างกระทันหัน

 

ภายนอกรั้วลวดหนาม ปรากฏเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาขึ้น

 

ทุกคนตกใจจนผงะไป

 

สายตาของเหล่านักโทษจับจ้องไปยังเครื่องพิพากษาด้วยความตกตะลึง

 

และทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีนักโทษคนหนึ่งรีบวิ่งตรงไปยังรั้วลวดหนาม

 

เขาคว้าจับรั้ว ใช้สองมือแยกแหวกรูรั้วออกโดยไม่สนว่าหนามจะบาดหรือทิ่มแทงหรือไม่ จากนั้นก็พยายามที่จะเอื้อมมือออกไป

 

‘ในที่สุดก็ได้เจอกับมันแล้ว!’

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านักโทษคนนั้นจะไม่รู้วิธีใช้งานมัน เขาจึงทำได้เพียงปัดๆฝ่ามือลงบนเครื่องพิพากษาเท่านั้น

 

“เบิร์ด  .. หัวหน้าตำรวจเบิร์ด!!” นักโทษรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว

 

และเวลานี้ มันจะแตกต่างกันไปจากในครั้งแรก

 

ผู้พิพากษาที่ได้รับเชิญมา – เพชฌฆาตตัวตลกได้รับรางวัลของตนเองและจากไปแล้ว

 

คราวนี้สิ่งที่มาแทนเขา กลับกลายเป็นร่างเงาเสมือนของตาชั่งแทน

 

ร่างเงาปรากฏขึ้นเหนือเครื่องจักรพิพากษา

 

ตามด้วยเสียงของเครื่องจักรพิพากษาที่ดังกึกก้อง “‘เริ่มทำการทดสอบว่าหัวหน้าตำรวจเบิร์ดจะเป็นคนบาปจริงๆหรือไม่”

 

ทันใดนั้นบนจานที่ชั่งทั้งซ้ายและขวาก็ปรากฏหัวใจขึ้นข้างละดวง ข้างหนึ่งเป็นสีขาวน้ำนม ขณะที่อีกข้างเป็นสีดำสนิท

 

ทันทีที่หัวใจทั้งสองถูกวางลงบนตาชั่ง หัวใจสีขาวก็เอียงสูงขึ้น ขณะที่หัวใจดำเอนลงไปจนถึงล่างสุด … ฉากนี้แลคล้ายกับไม้กระดกในสนามเด็กเล่นที่หากข้างหนึ่งหนักกว่า อีกข้างย่อมยกถูกสูงขึ้นไปโดยปริยาย

 

“ชายผู้นี้มีความผิดบาปที่ไม่สามารถให้อภัยได้จริงๆ – กล่าวได้ว่ามีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขเข้ารับการพิพากษา”

 

“‘งั้นก็เริ่มกันเลยสิ เร็วเข้า!” นักโทษตะโกนออกมาอย่างร้อนรน

 

ในะระยะไกลออกไป สองผู้คุมเรือนจำที่เห็นเหตุการณ์กำลังวิ่งตรงเข้ามา

 

“โปรดทำการจ่ายเลือดด้วย”

 

“ต้องการเลือดของฉันงั้นหรอ?” นิ่งงันไป

 

“หากคิดจะให้ผลลัพธ์คือเลือดของอีกฝ่าย มันก็ต้องจ่ายด้วยเลือด – เลือดแลกด้วยเลือด … โปรดทำการจ่ายเลือดด้วย”

 

“เท่าไหร่? ต้องการเท่าไหร่บอกมาเร็วเข้า!” นักโทษกัดฟันกล่าว

 

“ 200 มิลลิลิตร”

 

“งั้นก็เอามันไปเลย!”

 

ทันทีที่กล่าว นักโทษคนนั้นก็ถูกล็อคตัวไว้โดยสองผู้คุม และถูกรั้งตัวฉุดลากกลับมาทันที

 

มือข้างหนึ่งของนักโทษยังคงคว้าจับลวดหนามอย่างแน่นหนา ขณะที่อีกข้างยังคงวางลงบนเครื่องพิพากษาอย่างไม่ยินยอมจะจากไป

 

สองผู้คุมพยายามสุดกำลัง และสุดท้ายก็สามารถดึงนักโทษกลับมาได้ในที่สุด

 

ผู้คุมผลักตัวเขาล้มลงกับพื้น และหยิบกระบองขึ้นมาทุบตีตามตัวเขาอย่างแรง

 

ข้อตกลงบรรลุแล้วใช่รึเปล่า?

 

นักโทษคร่ำครวญโหยหวนด้วยความขมขื่น แต่วิสัยทัศน์ของเขากลับไม่ยอมละไปจากเครื่องพิพากษาเลย

 

ฮู้มมม!

 

น้ำเสียงอันขึงขังจริงจังของเครื่องพิพากษาดังขึ้น “ได้รับเลือดมาแล้ว จะเริ่มต้นทำการพิพากษา ณ บัดนี้”

 

ทันใดนั้นเสียงของมันก็ดังขึ้นในจิตใจของมนุษย์ทุกคน

 

“มนุษญ์เอ๋ย เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกคุณหลับตาลงทำสมาธิ พวกคุณจะสามารถรับชมการพิพากษาของเครื่องจักรจากในจิตใจได้ตลอดเวลา”

 

“อาชญากรในครั้งนี้คือหัวหน้าตำรวจเบิร์ดแห่งสาธารณรัฐฟูซี .. การพิพากษาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!”

 

และฉากใหม่ก็ปรากฏขึ้น มันเป็นภาพการติดสินบน ปลอมแปลงหลักฐาน ยักยอกสิ่งของ และใส่ร้ายคู่แข็งทางธุรกิจ สุดท้ายคือเป็นตัวแทนจำหน่ายยาเสพติดซะเอง ทุกภาพได้ปรากฏสู่สายตาของทุกคน

 

“ดูสิ! เห็นนั่นไหม!”

 

นักโทษที่ถูกทุบตีอยู่บนพื้นร้องตะโกนออกมา

 

มันเป็นฉากที่หัวหน้าตำรวจเบิร์ดยัดถุงยาลงในกระเป๋าของเขา และทำการจับกุมเขา

 

ฉากถัดไป คือหัวหน้าตำรวจเบิร์ดได้รับรางวัลเป็นวิลล่าหลังเดี่ยวซึ่งเป็นของกลางของนักโทษที่ถูกยัดยา และจำนวนเงินอีกหลายแต้มเครดิต

 

สองผู้คุมเรือนจำชะงักงัน และหยุดทุบตีอีกฝ่าย

 

การกระทำอันชั่วร้ายของเบิร์ดได้ถูกเปิดเผยต่อหน้าต่อตาทุกคน

 

เสียงของเครื่องจักรพิพากษาดังกึกก้อง “สวมใส่เสื้อตำรวจที่บ่งบอกถึงความยุติธรรม ทว่าความจริงกลับปกป้องแต่ความชั่วร้าย และนำพาความทุกข์ทรมานมาสู่ผู้คนบริสุทธิ์ ชื่อของมิสเตอร์เบิร์ดได้ถูกเพิ่มลงในลิสของคนบาปแล้ว”

 

“ในเวลาสามนาที หากตัวเลขสีแดงถึง 10000 มิสเตอร์เบิร์ดที่ถูกตอกตรึงอยู่บนเสาแห่งความอัปยศก็จะต้องได้รับความเพลิดเพลินไปกับการถูกเผาไหม้!”

 

และชายที่ชื่อว่าเบิร์ดในชุดเครื่องแบบหัวหน้าตำรวจก็ปรากฏตัวขึ้นในจิตใจของทุกผู้คน

 

เบิร์ดรีบตะโกนทันที “มันโกหก! เจ้าเครื่องจักรนี่คือปีศาจ! มันกำลังหลอกลวงพวกคุณอยู่! ได้โปรดเถอะ ฉันบริสุทธิ์จริงๆนะ!”

 

“ใครก็ได้ช่วยฉันที โถ่สวรรค์!”

 

ไม่ต้องรีรอให้พูดมากความไปกว่านี้ หัวหน้าตำรวจพลันถูกตอกตรึงลงบนเสาต้นหนึ่งทันควัน ขณะที่บนหน้าอกของเขามีแถบตัวเลขสีแดงปรากฏขึ้น

 

ด้านล่างของตัวเลขสีแดง คือนาฬิกาที่ยังไม่เริ่มเดิน

 

“ดังนั้นตอนนี้ … เริ่มจับเวลาได้!”

 

นาฬิกาเริ่มเคลื่อนไหวทันที

 

ในความเป็นจริงแล้ว บรรทัดแจ้งเตือนก็ได้ปรากฏสู่เบื้องหน้าทุกคนก่อนแล้วเหมือนเช่นเดิม

 

“คุณยินดีที่จะพิพากษาการตายของหัวหน้าตำรวจเบิร์ดโดยการบริจาคเลือดหรือไม่?”

 

และเกือบจะในทันที ตัวเลขสีแดงก็พุ่งทะยานขึ้นมาถึง 10000

 

ในเวลาสามนาที ตัวเลขสีแดงก็ได้พุ่งทะยานขึ้นกว่า 20 ล้าน!

 

เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้ มนุษย์ได้เข้าใจแล้วว่าเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไร

 

หลังจากที่พบเผชิญกับสิ่งแปลกประหลาดมามากมาย ทุกคนจึงมีภูมิคุ้มกันบางอย่างเกิดขึ้นมาต่อสิ่งแปลกประหลาดเหล่านี้

 

ในหัวใจของมนุษย์ทุกคนน่ะ ขุ่นเคืองและเกลียดชังไอ้สิ่งที่เรียกกันว่าความชั่วร้ายอยู่แล้ว!

 

“มิสเตอร์เบิร์ด ต้องขอบอกว่าคุณได้รับแรงสนับสนุนอย่างล้นหลามจริงๆ ฉะนั้นคงถึงเวลาแล้ว ที่คุณจะได้รับโทษเป็นการถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรง!”เครื่องจักรพิพากษากล่าว

 

และไฟก็ลุกโชนขึ้นบนเสาอย่างฉับพลัน

 

ตามด้วยเสียงของมิสเตอร์เบิร์ดที่ร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน

 

ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ทว่าตามมือและเท้าของเขากลับถูกตอกไว้อย่างแน่นหนา จึงมิอาจเคลื่อนไหวได้

 

อุณหภูมิที่สูงลิ่วของเปลวเพลิง ทำให้เขาค่อยๆหยุดการดิ้นรนอย่างช้าๆ

 

พร้อมกับชีวิตผิดบาปของเขาที่ได้สิ้นสุดลง

 

“การพิพากษาครั้งที่สองได้สิ้นสุดลงแล้ว” เสียงของเครื่องพิพากษาดังขึ้น

 

“เนื่องจากได้รับพลังแห่งความปรารถนาส่วนเกินมามากเกินไป เครื่องจักรจึงจะนำมันไปใช้ในการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินทั้งหมดของมิสเตอร์เบิร์ดให้กลายเป็นแต้มเครดิต และจะนำมาใช้ในการชดเชยพวกมันให้แก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ”

 

“การพิพากษานี้ได้เสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์แล้ว กรุณาอย่าได้ลืมติดตามรับชมการพิจารณาคดีในครั้งต่อไปด้วย”

 

และภาพก็หายไป

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฉันได้แก้แค้นแล้ว! แก้แค้นสมใจแล้ว! ” นักโทษนอนแผ่ลงบนพื้น สะอื้นไห้อย่างขมขื่น

 

แต่แล้วทันใดนั้นเอง โซ่ตรวนในมือของเขาก็คลายออกในทันใด

 

และชุดคนคุกก็หายไปแล้วเช่นกัน

 

เวลานี้เขากำลังสวมใส่เสื้อติดแบรนด์ใหม่เอี่ยม พร้อมด้วยกลิ่นโคโลญจ์ที่ฟุ้งออกมาเล็กน้อย

 

เขากลับกลายเป็นคนที่ดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

 

นักโทษก้มลงมองตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

 

ทันใดนั้นเอง กระดาษแผ่นหนึ่งก็ดีดออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา และตกลงต่อหน้าผู้คุมเรือนคำหลายคน

 

“หลักฐานการปล่อยตัวผู้บริสุทธิ์ …”

 

ผู้คุมเรือนจำอ่านมันอย่างช้าๆ

 

“ใช่ของจริงรึเปล่า?” พัศดีก็เดินเข้ามาด้วยเช่นกัน เขาเอ่ยถามเสียงดัง

 

ผู้คุมเรือนจำดึงเครื่องสแกนออกมา และกวาดไปที่ใบรับรองการปล่อยตัวผู้บริสุทธิ์

 

“ติ๊ง!”

 

“นี่คือผลการพิพากษาล่าสุด ซึ่งได้รับการยืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

 

พอได้ยิน ผู้คุมเรือนจำทั้งหมดถึงกับกลั้นหายใจ

 

ทันใดนั้นอุปกรณ์สื่อสารของพัศดีก็ดังขึ้น

 

เขารับการเชื่อมต่อและกล่าวตอบคำกลับไป “ใช่ ใช่แล้ว … อา .. รับทราบ …”

 

หลังจากการเชื่อมต่อถูกตัดขาดไป พัศดีก็หันไปมองนักโทษที่ราวกับได้รับชีวิตใหม่และกล่าวว่า “ปล่อยตัวเขาไป”

 

เขาหันไปอธิบายกับเหล่าผู้คุมว่า “เทพธิดากงเจิ้งได้ทำการอนุมัติเรื่องนี้ ดังนั้นสมเด็จพระจักรพรรดินีจึงพลอยอนุมัติมันไปด้วยโดยปริยาย”

 

………

 

หลังจากช่วงเวลานั้น ทุกๆช่วงนาที หรืออาจกล่าวได้ว่าทุกๆวินาที ตราบใดที่มีคนหลับตาทำสมาธิ พวกเขาจะสามารถรับชมการพิจารณาคดีของเครื่องจักรพิพากษาได้ตลอดเวลา

 

—แล้วจากนั้นการพิพากษาก็ไม่เคยหยุดนิ่งอีกเลย

 

ทำไมน่ะหรือ? ก็ในโลกใบนี้น่ะ มันมีความไม่เท่าเทียม ความอยุติธรรม ความผิดบาปและชั่วร้ายอยู่มากเกินไปน่ะสิ!

 

แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งที่ว่ามานั้นก็กำลังจะถูกทำลายลงในที่สุด

 

ผู้คนนับไม่ถ้วนจากทั่วทั้งโลกเริ่มแห่กันออกจากบ้าน

 

ทุกคนกำลังดิ้นรนเพื่อที่จะได้รับการแก้แค้น

 

และในไม่ช้า พวกเขาก็ค้นพบกับสิ่งที่กำลังตามหา

 

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะห้ามคนอื่นๆไม่ให้ใช้เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนา

 

เพราะดูเหมือนว่าเจ้าเครื่องจักรนี้มักจะปรากฏขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลกับเหล่าผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อได้อย่างน่าประหลาดใจ

 

แต่เรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าเครื่องจักรนี้ ก็ยังคงมีคำถามอีกมากมายเกี่ยวกับมัน

 

เพราะด้านข้างของมันมีเลข ‘1’ ขนาดใหญ่อยู่

 

ฉะนั้น หมายความว่าจะต้องมีเครื่องหมายเลข ‘2’ ด้วยใช่หรือไม่?

 

ทว่าความสงสัยนี้ของเหล่าผู้คนก็มิได้ยาวนานนัก

 

เพราะคำตอบดูเหมือนว่าจะมาเร็วกว่าที่คาด

 

——

 

ในพื้นที่เปิดโล่งนอกวิลล่าบนหุบเขา

 

สามเครื่องจักรที่มีขนาดคล้ายตู้เกมขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซานและคนอื่นๆ

 

โดยถัดจากเครื่องพิพากษาความปรารถนาสีดำสนิทก็เป็นเครื่องคีบตุ๊กตา

 

เจ้าเครื่องนี้ถูกทาด้วยสีฟ้าตลอดทั้งตู้ พร้อมกับมีหมายเลข ‘12’ อยู่ด้านข้าง

 

“สวัสดีเหล่าสหายหนุ่มผู้กล้าหาญ กระผมคือเครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่น” ตู้เกมคีบตุ๊กตากล่าวทักทาย

 

และตามต่อด้วยอีกหนึ่งเครื่องสีดำที่มาพร้อมกับหมายเลข ‘23’ ที่อยู่ข้างๆ

 

“มันเป็นเรื่องง่ายที่จะโกรธแค้น แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรไม่ดีเพื่อระบายมันหรอกนะ! ขอเพียงแค่ตามหาตัวกระผมก็พอแล้ว” เครื่องจักรชนิดนี้กล่าว

 

ต่อมาก็คือเครื่องถ่ายภาพอัตโนมัติที่มีสีแดงพร้อมกับหมายเลข ‘47’ อยู่ด้านข้าง

 

“ดิฉันคือเครื่องจักรสำนึกบาป” มันมองไปทางกู่ฉิงซานและโค้งคารวะเล็กน้อย “แม้ว่าคุณจะฆ่าคนไปมากมายแต่คุณคงไม่จำเป็นต้องใช้ดิฉันหรอกใช่ไหมจ๊ะที่รัก?”

 

เหล่าเครื่องจักรยังคงทำการแบ่งร่างแยกออกไปอย่างต่อเนื่อง และร่างแยกเหล่านั้นก็หายวับไปจากสถานที่นี้ตลอดเวลา

 

มองไปยังปรากฏการนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทั้งหมดกำลังกระจายตัวกันออกไปทั่วทุกมุมโลก

 

เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากระแอมไอเบาๆและกล่าวว่า “เอาล่ะ กระผมจะขอแนะนำแต่ละเครื่องให้พวกคุณก่อนเป็นอันดับแรก”

 

……

 

เมื่อมันแนะนำฟังชั่นก์ของเครื่องจักรทั้งสามนี้ กู่ฉิงซานและคนอื่นๆก็บื้อใบ้ กลายเป็นโง่งม

 

“เจ้าพวกนี้มันอะไรกัน หรือเทพวิญญาณที่อยู่ทางฝั่งปรภพจะรู้สึกเบื่อมากเกินไป?” กู่ฉิงซานกล่าวพลางครุ่นคิด

 

“ทางปรภพน่ะเป็นระบบระเบียบอยู่เสมอแหละ มันเลยค่อนข้างที่จะว่าง ดังนั้นเทพวิญญาณก็เลยต้องการที่จะมองหาความสนุกบ้างเช่นกัน” เครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่นตอบ

 

เย่เฟย์หยูถอนหายใจ และกล่าว “ปรภพนะนั่น ไม่ใช่สวนสนุก … ”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.373 – เลือดหยดแรก

 

ณ จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์

 

พื้นที่แห่งนี้คือจุดที่มีการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งรุนแรงที่สุด

 

แม้ว่ามอนสเตอร์จำนวนมากจะถูกกวาดล้างออกไปแล้วก็ตาม แต่ทว่าหิมะและน้ำแข็งก็ยังคงอยู่

 

สภาพภูมิอากาศค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

 

ช่วงเวลากลางค่ำ

 

ภายในสลัม

 

บรรดาผู้คนได้จมลงสู่ห้วงนิทรากันหมดแล้ว

 

น้ำฝนและลูกเห็บเย็นเยียบยังคงโปรยปรายอยู่ทั่วฟ้า สายลมหนาวพัดโชยเสียดสีกับอากาศส่งเสียงหวีดหวิว ขณะพัดผ่านถนนที่ไร้ผู้คน

 

และเนื่องด้วยบนตัวถนนที่ลื่นและยากต่อการเดินทางเช่นนี้ ทำให้แทบจะไม่มีใครเลือกที่จะใช้รถสัญจรไปมาเลย

 

กล่าวได้ว่าหากมีใครที่ไหนคิดจะหาเหยื่อกรรโชกทรัพย์ พวกเขาก็คงจะต้องกินแห้วไปตามระเบียบ

 

เหล่าสมาชิกแก๊งทั้งหมดจึงล้มเลิกความพยายาม ถอนตัวกลับไปอยู่กันตามไนท์คลับ คาสิโน และบาร์ เพื่อดื่มเหล้ามอมตัวเองให้เมามาย

 

ทันใดนั้นเอง ณ สุดปลายทางเดินของสลัม จู่ๆก็ปรากฏเงาของเครื่องจักรที่มีลักษณะคล้ายตู้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

มันดูคล้ายกับเป็นตู้เครื่องดื่มขายน้ำอัตโนมัติ … หรือไม่ก็เครื่องเล่นเกมขนาดใหญ่

 

ตลอดทั้งตัวตู้เป็นสีดำสนิททั้งหมด แต่ทว่ากลับมาตัวเลข 1 ขนาดใหญ่ขีดเขียนเอาไว้อยู่ด้านข้าง

 

เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนา นั่นเอง

 

เมื่อปรากฏตัวขึ้น มันก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงลักษณะของตัวเองไปเล็กน้อย

 

บังเกิดชั้นกระจกแก้วที่โปร่งใสขึ้นบนส่วนหน้าของตัวเครื่องจักร พร้อมด้วยอุปกรณ์ทำความร้อน และอาหารอุ่นใส่กล่องที่พร้อมรับประทานถูกวางเอาไว้เบื้องหลังกระจกใส

 

สำหรับคนยากจนที่กำลังหิวโหยแถมยังอยู่ท่ามกลางหิมะแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่มันเปรียบดั่งของขวัญจากสวรรค์

 

ไม่กี่นาทีที่ผ่านมา มีกลุ่มคนจรจัดและคนยากจนกว่า 2 กลุ่มได้พยายามที่จะทุบตีมันอย่างรุนแรง เพื่อที่จะทำลายชั้นกระจกใสและหยิบฉวยเอาอาหารที่อยู่ภายในออกมา

 

ทว่าช่างน่าแปลกนัก ที่ตัวตู้กลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆ

 

แต่กลับเป็นคนจรจัดซะเองดันเป็นฝ่ายล้มลงนอนกองอยู่กับพื้น ส่งเสียงครวญครางออกมาไม่หยุด

 

และในระหว่างที่พวกเขากำลังช่วยกันทำลายมันนั้นเอง กลุ่มเด็กที่มีช่วงวัยไม่ถึงครึ่งของผู้ใหญ่ต่างก็กำลังแอบเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ

 

“ดูนั่นสิ พวกเขาไม่สามารถทำลายตู้อาหารนั่นได้ล่ะ” เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น

 

“ฉันเห็นแล้ว รอพวกเขาไปกันก่อน แล้วเดี๋ยวพวกเราก็ค่อยไปลองดูกันบ้าง เผื่อว่าจะโชคดีมีอะไรตกถึงท้องสำหรับคืนวันนี้” เด็กอีกคนพูดต่อ

 

หลังจากที่เฝ้ารอจนกระทั่งพวกใหญ่ยอมแพ้และจากไป พวกเด็กๆจึงออกมาจากที่ซ่อน และเดินมาล้อมตู้สีดำท่ามกลางความมืดมิด

 

จากนั้นก็เริ่มเปิดฉากทุบทำลายทันที!

 

ทว่ากลับช่างน่าฉงนนัก เพราะเมื่อใดก็ตามที่เด็กๆหวดการโจมตีอย่างรุนแรงออกไป พวกเขาก็จะต้องประสบพบเจอกับความเจ็บปวดเช่นเดียวกันกับที่ตนกระทำออกมาแทน

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก พวกเด็กๆก็ตกอยู่ในสภาพไม่แตกต่างไปจากกลุ่มคนจรจัดและยากไร้ก่อนหน้านี้ ที่ทิ้งตัวลงไปนอนแผ่หอบหายใจหนักหน่วงอยู่กับพื้น

 

ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนกลับยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดังเดิมไม่ปรากฏกระทั่งริ้วรอยให้เห็น

 

“ให้ตายสิ! ทนทายาทชะมัด เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่เนี่ย?”

 

เด็กชายอายุน้อยใช้มือลูบๆท้องที่กำลังร้องโครกคราก ปากเอ่ยกล่าวด้วยความขมขื่น

 

แต่เหล่าบรรดาเด็กๆที่สมรู้ร่วมคิดกับเขาดันไม่มีใครตอบกลับมาเลย เพราะแต่ละคนมัวแต่ให้ความสนใจกับความเจ็บปวดของตัวเอง

 

ทันใดนั้น เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาก็ส่งเสียงดังขึ้น

 

“แม้ว่าพวกนายจะเป็นฝ่ายที่หยาบคายก่อน แต่กระผมอยากจะบอกว่าการพิพากษาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และกระผมต้องการที่จะถามคำถามกับพวกนาย”

 

ขณะที่มันกล่าว เสียงเพลงกวนๆก็ดังขึ้น

 

“เทพวิญญาณแห่งปรภพน่ะเป็นผู้ที่มีเมตตา ดังนั้นท่านจึงสร้างกระผมขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง”

 

“ใช่แล้วล่ะ! กระผมคือสุดยอดเครื่องจักรที่ใช้มอบความบันเทิงให้แด่เทพวิญญาณ!”

 

“กระผมคือ เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาอันแสนเลือดเย็น!”

 

เงียบ …

 

เด็กๆต่างอึ้งทึ่ง มิอาจเอ่ยคำใด ทำได้เพียงหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ

 

ตู้อาหารสามารถพูดได้เฉยเลย!

 

แถมเห็นได้ชัดว่าเสียงของมันแตกต่างไปจากเสียงอิเล็กทรอนิกส์ทั่วๆไป

 

ราวกับว่ามันมีสตินึกคิดที่เป็นอิสระเลย

 

ในค่ำคืนที่มืดมิด ดันปรากฏสิ่งที่ยากจะอธิบายเช่นนี้ขึ้น

 

นี่มันน่าอยู่นา .. ชักจะท่าไม่ดีแล้ว!

 

เด็กๆในสลัมพยายามลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ พวกเขาช่วยพยุงกันและกัน แต่ก็ยังส่งเสียงร้องโอดครวญอยู่เป็นระยะ

 

ด้วยสัญชาตญาณของเด็ก ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เวลาพบเจออะไรแปลกๆแบบนี้ ก็สมควรที่จะอยู่ห่างมันไว้ก่อนจะดีที่สุด

 

เด็กๆตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และช่วยกันพยุงเพื่อนๆในกลุ่มรีบจากไปอย่างรวดเร็ว

 

อย่างไรก็ตาม ยังคงเหลือเด็กชายอีกคนหนึ่งที่อยู่รั้งท้าย และในหัวใจของเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ ปากเอ่ยตะโกนใส่ตู้ตรงหน้าอย่างขุ่นเคือง “แกน่ะ ไหนบอกว่าตัวเองคือความเมตตาของเทพไง ถ้าเมตตาจริงก็ต้องมอบของในตู้มาสิ – เอาอาหารมาให้พวกเราเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

 

“ต้องขออภัยด้วย” เสียงเครื่องจักรพิพากษาดังก้อง “อาหารฟรีๆน่ะไม่มีในโลกใบนี้หรอก”

 

นรกเถอะ!

 

เด็กชายตัวเล็กกัดฟันและเอ่ยถาม “ถ้างั้นไอ้ตู้เฮงซวยอย่างแกมันทำอะไรได้บ้างกัน?”

 

“เยอะแยะเลยล่ะ! ไม่ว่าจะเป็น สนับสนุนความยุติธรรม! พิพากษาความชั่วร้าย! ตราบใดที่นายมีความปรารถนาเช่นนี้ กระผมจะสามารถทำให้นายได้ตามที่ต้องการเลยนะ!” เครื่องจักรกล่าว

 

เด็กชายพอได้ฟังก็นิ่งค้างไป

 

เขาพึ่งจะอายุได้เพียง 11 ขวบในปีนี้ แต่ครอบครัวที่ของเขากลับไม่มีเงินมากพอที่จะมอบมันให้เขาไปใช้เรียนรู้ทักษะหรือวิชาที่จะใช้ปูทางไปสู่อนาคตอันสดใสของตนเองได้

 

ในบ้านของเขา ตอนนี้ก็เหลือเพียงคุณยายป่วยหนักที่นอนติดเตียงและถูกทิ้งเอาไว้ที่บ้านเท่านั้น

 

ดังนั้น เด็กน้อยคนนี้เลยจำเป็นต้องออกเดินเตร่ไปตามท้องถนน เพื่อพบปะและทำความรู้จักกับคนประเภทเดียวกัน แล้วร่วมมือกันลักขโมย .. นี่แหละแหล่งที่มารายได้ของเขา

 

“ถ้าอย่างงั้น แกกำลังจะบอกว่าตัวเองเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงสินะใช่ไหม” เด็กชายตัวน้อยกล่าวสรุป

 

“ในคำพูดของนายมันก็ยังไม่ถูกต้องทั้งหมดนะ อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าตัวกระผมสามารถนับได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลงโทษต่างหาก!” เครื่องจักรกล่าว

 

เพื่อนๆของเด็กหนุ่มเดินกลับมา และพยายามที่จะฉุดดึงตัวเขาออกไป

 

แต่เด็กชายคนนั้นกลับตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “ขี้โม้เถอะ! ถ้าแกเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลงโทษจริงๆ ถ้าอย่างงั้นแกก็ต้องสามารถฆ่าเจ้าแม็กซ์ได้ด้วยสิ!”

 

แม็กซ์คือหัวหน้าแก๊งนังเลงในละแวกนี้

 

ทุกๆการค้าขายยาเสพติด การค้ามนุษย์ การปล้นและฆาตกรรม และแย่งชิงตลาดการค้า ทั้งหมดจะมีเขาเป็นผู้ตัดสินใจ และคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง

 

และพ่อแม่ของเด็กกลุ่มนี้ก็ได้รับความเดือดร้อนจากเจ้าหมอนี่เหมือนกัน บางคนถึงขั้นต้องจ่ายราคาออกไปด้วยชีวิตเลยก็มี

 

เด็กชายตัวเล็กตรงหน้าคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ตอนนี้เขาเลยกลายเป็นกำพร้าไป

 

พ่อของเด็กน้อยเป็นคนที่ดีมีความซื่อสัตย์ จึงไม่ยอมอ่อนข้อให้ต่อแม็กซ์ สุดท้ายจึงถูกฆ่าตายไป ส่วนแม่ของเขาก็ถูกแม็กซ์จับตัวไปขาย ถึงไม่ตายก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน

 

“กระผมไม่สามารถสังหารผู้บริสุทธิ์อย่างลวกๆโดยไร้ซึ่งการวินิจฉัยได้”

 

เด็กน้อยพอได้ยินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

 

“ไม่ฆ่า … ผู้บริสุทธิ์สินะ … ”

 

“ฮะฮ่าฮ่าฮ่า แม็กซ์น่ะเหรอผู้บริสุทธิ์? นี่นับว่าเป็นเรื่องตลกไร้สาระที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาเลยในปีนี้!”

 

“เจ้าเครื่องจักรนี่ สงสัยจะมีอะไรผิดปกติกับในส่วนตั้งค่าความฉลาดของมันซะแล้วล่ะมั้ง”

 

ความผิดหวังอันล้ำลึกฉายออกมาในแววตาของเด็กน้อย

 

“แต่!” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาเอ่ยต่อ “ถ้านายยินดีที่จะนำเขาเข้ารับการทดสอบและหลังจากที่ทดสอบแล้วว่าเขาคือคนชั่วร้ายจริงๆ กระผมจะหาวิธีฆ่าเขาให้เอง”

 

“นายต้องการจะให้กระผมตัดสินเขารึเปล่าล่ะ?”

 

“แน่นอนว่าต้องการ!” เด็กน้อยตะโกนออกมา

 

คราวนี้เพื่อนของเขาก็ตะโกนออกมาด้วยเช่นกัน “ต้องการสิ! ต้องการมากๆเลย!”

 

“งั้นก็ดี เช่นนั้นกรุณาบริจาคเลือดของพวกนายด้วย” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากล่าว

 

บังเกิดความเงียบขึ้นโดยรอบ

 

เครื่องจักรพิพากษาเห็นบรรยากาศไม่ดี จึงอธิบายเสริมว่า “เลือดของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงน่ะจะถูกปนเปื้อนด้วย ‘พลังแห่งความปรารถนา’ และมีเพียงพลังแห่งความปรารถนาเท่านั้นที่จะสามารถขับเคลื่อนตัวเราที่เป็นเครื่องจักรได้”

 

“นี่ๆ ไปกันเถอะ เจ้าตู้นี้มันชักจะแปลกเกินไปแล้วนะ” เพื่อนของเด็กน้อยกล่าว

 

พวกเขาฉุดลากเด็กน้อยออกมา และรีบพากันออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว

 

ความเงียบกลับคืนสู่มุมถนนอีกครั้ง

 

แต่ทว่าไม่นานนัก

 

เด็กชายตัวเล็กคนเดิมก็เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาอีกครั้ง

 

เขาปาดน้ำฝนบนใบหน้าและเอ่ยถามว่า “จะสามารถทำการพิพากษาคนชั่วได้จริงๆน่ะหรอ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ ตราบใดที่นายบริจาคเลือดให้กระผมน่ะนะ”

 

“ต้องการเท่าไหร่?”

 

“กระผมขอเดาว่านายกำลังจะต้องรับมือกับคนที่ชั่วร้าย ดังนั้นการพิพากษาในครั้งนี้สมควรจะจัดให้มันอลังการขั้นสุดยอด”

 

“แล้วต้องการเลือดเท่าไหร่?”

 

“ก็อย่างที่กระผมได้บอกไปแล้วว่ามันจำเป็นต้องใช้พลังแห่งความปรารถนาจำนวนหนึ่ง นั่นหมายความว่าจะต้องใช้เลือดพอสมควร เพราะในเลือดแต่ละหยดน่ะจะมีพลังแห่งความปรารถนาผสมอยู่ประปรายเท่านั้น”

 

“ก็แล้วมันเท่าไหร่กัน!” ร่างกายของเด็กน้อยสั่นไหว ในขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนา

 

ท่ามกลางชะตากรรมอันน่าสังเวชและมืดมิด หากได้พบพานเพียงแสงสลัวของความหวัง ต่อให้มันจะฟังดูเป็นเพียงเรื่องตลกไร้สาระก็ตาม แต่เขาก็เต็มใจที่จะลองมัน

 

เครื่องจักรพิพากษากวาดรังสีแสงผ่านไปทั่วร่างของเด็กน้อย

 

ผ่านไปนาน เครื่องจักรก็พ่นลมหายใจออกมา

 

“เนื่องจากนายเป็นลูกค้ารายแรกของโลก ฉะนั้นกระผมจะลดปริมาณเลือดที่ต้องการให้ก็แล้วกัน … เอาเป็นแค่หยดเดียวก็พอแล้ว” มันกล่าว

 

เด็กชายตัวเล็กถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันยินดีที่จะบริจาคเลือดให้!”

 

“สหายน้อย นายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ตัวนิดเดียวทว่าหาญกล้าที่จะต่อกรกับความชั่วร้าย … เอาล่ะ รีบยื่นฝ่ามือของนายเข้าไปในพื้นที่สีดำทางซ้ายมือของกระผมซะสิ”

 

“แบบนี้หรอ?”

 

“ถูกต้อง … แบบนั้นแหละ เอาล่ะพอได้แล้ว”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

เด็กชายหดมือของเขากลับมาทันที และก้มหน้าลงสำรวจมันอย่างรอบคอบ

 

เอ๋? ไม่มีบาดแผลเลยนี่นา

 

แถมเมื่อกี้นี้ ก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรเลยด้วย

 

ดูเหมือนว่าเจ้าตู้ประหลาดนี่จะต้องการแค่เลือดหยดเดียวจริงๆ

 

มันไม่ได้เจ็บปวดเลย แม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆที่หิวโหยมาตลอดทั้งวันก็ยังสามารถทนไหว

 

ทันใดนั้นเอง เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาก็พลันบังเกิดเสียงร้องที่ไม่สม่ำเสมอดังกังวานขึ้น

 

“โอ้วววว! ในที่สุดกระผมก็ได้รับเลือดหยดแรกแล้ว!” มันตะโกนด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

 

“ลูกค้าที่เคารพ โปรดเอ่ยนามของคนบาปที่ต้องการจะให้กระผมทำการพิพากษาด้วย”

 

เด็กชายตะโกนด้วยความคาดหวัง “แม็กซ์! บอสสูงสุดของแก๊ง – แม็กซ๊!”

 

ทันใดนั้นเสียงจากเครื่องพิพากษาก็ดังออกมาประโยคหนึ่ง

 

“การพิพากษากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”

 

น้ำเสียงของมันดูขึงขังและเคร่งขรึม

 

“เนื่องจากนี่เป็นการพิพากษา ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างรอบคอบ”

 

“ขั้นแรก : ทำการค้นหาวิธีการพิพากษาที่เหมาะสมกับโลกใบนี้”

 

“ค้นพบวิธีการพิพากษาที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในโลกใบนี้แล้ว”

 

“มันคือการพิพากษาไปพร้อมๆกับดำเนินการถ่ายทอดสดไปทั่วทั้งโลก”

 

“ขั้นต่อไป : เริ่มทำการคัดเลือกผู้พิพากษาของโลกใบนี้”

 

“ค้นพบผู้พิพากษาที่เหมาะสมและน่าสะพรึงที่สุดในโลกใบนี้แล้ว”

 

“ขอเชิญ ‘เพชฌฆาตตัวตลก’ ขึ้นมารับหน้าที่ผู้พิพากษา จากนั้นก็จะเริ่มทำการพิจารณาคดีได้!”

 

“ทำการจ่ายราคาค่ารับเชิญที่เหมาะสม”

 

“เพชฌฆาตตัวตลกได้ตอบตกลงแล้ว”

 

“การพิพากษาพิจารณาคดีได้เริ่มขึ้นแล้ว ณ บัดนี้!”

 

และสมองควอนตัมตลอดทั่วทุกมุมโลกก็พลันส่องสว่างขึ้น

 

ฉากนี้ มิแตกต่างไปจากในตอนที่เพชฌฆาตตัวตลกได้ทำการพิพากษาแชมเปี้ยนส์แห่งชีวิตนิรันดร์เลย หลังจากที่ห่างหายไปนาน ในที่สุดมันก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของทุกคนอีกครา

 

รอยยิ้มเย็นชาของหน้ากากตัวตลก เกราะรบสีดำหมึก พร้อมด้วยคู่ปีกแสงสีทมิฬที่อยู่เบื้องหลัง ทุกอย่างอันแสนคุ้นเคยได้เผยโฉมออกมาอีกครั้ง

 

เพชฌฆาตตัวตลกผุดออกมาจากความมืดมิด พร้อมกับกระบอกแสงสปอตไลท์ที่ส่องตกลงมากระทบตัวของมัน

 

เพชฌฆาตตัวตลกยกมือขึ้นทาบปากแลคล้ายกับกำลังอุทานตกใจ ตามด้วยเสียงบางเบาราวกระซิบที่เปล่งออกมา “อุต๊ะ! ดูเหมือนว่าผมจะได้งานใหม่ซะแล้ว”

 

ท่าทีการแสดงออกของมันดูประหม่าและตื่นเต้น มันสอดส่ายสายตามองไปรอบๆสักพัก ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา

 

แล้วจู่ๆ มันก็หยิบกระดาษที่ดูเหี่ยวย่นขึ้นมา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ากระดาษแผ่นนี้โผล่มาตั้งแต่ตอนไหน

 

เพชฌฆาตตัวตลกเปล่งเสียงกังวานภายใต้หน้ากากที่แขวนไว้ซึ่งรอยยิ้มแข็งค้างออกมา “เอาล่ะ แขกผู้มีเกียรติของเราในคืนนี้ก็คือ .. แม็กซ์ – แม็กซ์จากจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ล่ะทุกๆคน!”

 

ว่าจบ ตัวตลกก็เริ่มปรบมือรัวๆอย่างจริงจัง

 

แล้วทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขา ทั้งสองยืนอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางแสงสปอตไลท์ ขณะที่บริเวณโดยรอบนั้นมีเพียงความมืดมิด

 

ชายคนนี้ตัดผมทรงเปิดข้างและปล่อยผมส่วนบนไว้ให้ยาว แต่เขาทาเจลและหวีมันย้อนม้วนกลับขึ้นไปบนหัวลากยาวไปจนถึงแผ่นหลัง มีร่างกายใหญ่โต บนตัวสวมเสื้อกั๊กสีดำ จมูกงองุ้มราวกับตะขอ มีเคราดกดำ ในมือถือแก้วไวน์ และเขาผู้นี้ก็คือ-

 

-บอสสูงสุดของแก๊ง แม็กซ์

 

ทันทีที่แม็กซ์ปรากฏตัวขึ้น เจ้าตัวก็ชะงักไปด้วยความตกใจ

 

“เพชฌฆาตตัวตลก … ” เขามองไปทางตัวตลก กระทั่งน้ำลายยังเหนียวหนืด ฝืนกล้ำกลืนลงลำคออย่างยากลำบาก

 

แม็กซ์ยกมือขึ้น แล้วล้วงเข้าไปบริเวณอกใต้เสื้อกั๊กของตัวเอง คว้าจับเอาบางสิ่งไว้ในมือของเขา

 

แต่ในวินาทีต่อมา ดูเหมือนเขาจะทันตระหนักได้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับอยู่สิ่งใด

 

มือของเขาแข็งค้างไปทั้งๆอย่างงั้น ขณะที่บนใบหน้ากำลังฝืนยิ้มออกมา “คุณต้องการอะไรอย่างงั้นหรอ?”

 

เพชฌฆาตตัวตลกคว้าจับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ และชูมันขึ้น พร้อมกับโบกไปมาด้วยความตื่นเต้น

 

เพชฌฆาตตัวตลกกล่าว “ขอแสดงความยินดีกับคุณด้วยนะ! อันที่จริงแล้วผมต้องการที่จะสนทนากับคุณอยู่หรอก แต่เวลาถ่ายทอดสดของเรามันมีจำกัดเนี่ยสิ แถมยังไม่มีตัวแทนโฆษณาคนไหนให้การสนับสนุนพวกเราอีกด้วย! น่าเศร้าใจจริงๆ! ฉะนั้น! ตอนนี้พวกเราก็มาเริ่มการพิพากษากันเลยจะดีกว่า”

 

“ช่วงชีวิตอันแสนวิเศษกำลังจะถูกฉายออกไปแล้วนะ! ทุกคนเชิญรับชมได้!”

 

และภาพก็ถูกสลับเปลี่ยนไป

 

ทุกสิ่ง ทุกการกระทำอันชั่วร้ายในระหว่างช่วงชีวิตของแม็กซ์ได้ปรากฏขึ้นบนจออีกครั้ง

 

ต่อสู้ ปล้นฆ่า ค้ามนุษย์ทั้งเด็กและผู้หญิง เก็บค่าคุ้มครอง ค้ายาเสพติด เปิดบ่อนคาสิโนผิดกฏหมาย คดโกง และฆ่าล้างครอบครัวผู้อื่น

 

มันเป็นฉากอันโหดร้าย อาชญากรรมอันสุดแสนจะชั่วช้ากำลังปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง

 

แม้แต่ละฉากกินเวลาไปไม่กี่วินาที แต่มันก็สามารถอธิบายถึงจุดเริ่มไปจนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุดของอาชญากรรมได้

 

และใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีภาพบนจอม่านแสงก็หายไปโดยสมบูรณ์

 

เพชฌฆาตตัวตลกกับแม็กซ์ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งต่อหน้าทุกคน

 

เพชฌฆาตตัวตลกผละมือออกจากแขนของอีกฝ่ายและกล่าวว่า “หากอ้างอิงตามอาชญากรรมของมิสเตอร์แม็กซ์แล้ว ผมว่าผมพอจะมีวิธีการลงโทษแบบคลาสสิคที่เหมาะสมกับการกระทำของเขาอยู่นะ”

 

ว่าจบ ท่ามกลางความมืดมิดที่รายล้อม จู่ๆก็ผุดเชือกห้าเส้นพุ่งออกมา

 

เชือกทั้งห้าพุ่งเข้ารัดพันสองแขน สองขา และหนึ่งลำคอของแม็กซ์

 

และผูกปมเป็นเงื่อนตายที่มิอาจแก้ออกได้อย่างรวดเร็ว

 

สายของเชือกทอดยาวออกไปจมหายอยู่ในความมืดมิด

 

“บัดซบ! นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันวะ!” แม็กซ์พยายามขัดขืนดิ้นรน

 

ทว่ายิ่งเขาดิ้นเท่าไหร่ เชือกก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งรัดพัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น

 

จนในที่สุด เชือกก็รัดแน่นจนแม็กซ์แทบจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีกต่อไป

 

ร่างอันใหญ่โตของเขาถูกดึงขึงจนตึง แขนข้าอ้าออกไปคนละทิศละทาง

 

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับทุกคนแล้วนะ!” เพชฌฆาตตัวตลกกล่าว

 

“กรุณาเริ่มทำการโหวตด้วย”

 

“หากเห็นด้วยว่าแม็กซ์สมควรตาย ได้โปรดจ่ายเลือดลงหนึ่งหยดเพื่อโหวตให้เขาตาย”

 

“โอ้ ๆๆๆ ใช่ๆ แน่นอนว่าคนๆหนึ่งย่อมสามารถโหวตได้มากกว่าหนึ่งหยดนะ … ก็ร่างกายของคนเราน่ะมันมีเลือดอยู่ตั้งมากมายนี่นาถูกไหม?”

 

ทันทีที่เสียงของเพชฌฆาตตัวตลกตกลง หมายเลขสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนหน้าอกของแม็กซ์

 

ด้านล่างของหมายเลสีแดง คือนาฬิกาจับเวลาที่ยังไม่ได้เริ่มเดิน

 

เพชฌฆาตตัวตลกอธิบายว่า “ทุกๆ 1 แต้มของหมายเลขสีแดงที่เพิ่มขึ้น นั่นจะหมายถึงเลือดหนึ่งหยดที่ผู้โหวตบริจาคมาเพื่อหวังว่าจะให้มิสเตอร์แม็กซ์คนนี้ตายลง”

 

“ภายในเวลาสามนาที ถ้าหากว่าตัวเลขสีแดงเพิ่มสูงขึ้นถึง 1 ล้านแล้วล่ะก็ แม็กซ์ก็จะได้รับการลงโทษฉบับคลาสสิค – ถูกดึงกระชากแยกร่างออกเป็นส่วนๆ!”

 

“เอาล่ะ! ทำการนับถอยหลังได้!”

 

สิ้นเสียง นาฬิกาจับเวลาก็เริ่มนับถอยหลังทันที

 

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เพชฌฆาตตัวตลกอธิบายหรอก เพราะเบื้องหน้าทุกคน มันปรากฏข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาก่อนแล้ว

 

“คุณยินดีที่จะพิพากษาการตายบอสสูงสุดของแก๊ง – แม็กซ์โดยการบริจาคเลือดหรือไม่?”

 

บางคนรู้สึกระแวงและตื่นกลัว จึงไม่ได้ทำการตัดสินใจตอบอะไรกลับไป

 

อย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่มิได้คิดเช่นนั้น

 

ชีวิตของแม็กซ์น่ะเต็มไปด้วยความชั่วร้าย และอาชญากรรมนับไม่ถ้วนที่เขาก่อขึ้น มันได้สร้างความไม่พอใจให้แก่คนธรรมดาที่ได้เห็น ทั้งหมดจึงเต็มไปด้วยความโกรธ

 

มีผู้คนมากมายทั้งที่รู้จักเขาและไม่ได้รู้จักเขาทำการจ่ายหยดเลือดลงไปเพื่อโหวตให้เขาต้องตาย

 

ทั่วทุกมุมโลก

 

“บ๊ะ! ไอ้ขยะฝอยนี่มันตัวบัดซบโดยแท้!”

 

“อาวุโส โปรดสงบใจลงก่อนอย่าพึ่งวู่วามตอบอะไรกลับไปนะ มันอาจจะเป็นกับดักก็ได้”

 

“สงบใจอะไร! ฉันมีชีวิตอยู่มาจนปูนนี้แล้ว ต่อให้เพชฌฆาตตัวตลกมันจะหลอกฆ่าฉัน ฉันก็ไม่สนใจหรอก”

 

“ฉันต้องการที่จะบริจาคเลือดเพื่อทำการโหวต!”

 

ในสถานที่อื่นๆ

 

สามีได้กระตุ้นเตือนภรรยาว่า “ที่รัก ใจเย็นๆก่อนนะ อย่าไปตอบอะไรเจ้าเพชฌฆาตตัวตลกเลย มันคือสัตว์ประหลาดที่แสนจะโหดร้ายนะ จำไม่ได้หรอ?”

 

ภรรยาของเขาที่สองตาแดงเรื่อตอบปัด “ผายลมเถอะ! ที่โหดร้ายน่ะมันเจ้าแม็กซ์ที่น่ารังเกียจนี่ต่างหาก มันทั้งฆ่าทั้งปล้นคนยากจนมากมาย ฉันไม่สนใจแล้ว ฉันจะหยดเลือดโหวต!”‘

 

ว่าจบ เธอก็หยดเลือดหยดหนึ่งลงไป

 

แต่พอคิดเกี่ยวกับมัน ก็ดูเหมือนว่าเธอจะยังคงไม่พอใจนัก

 

เธอเอ่ยถามบรรทัดตัวอักษรที่ลอยอยู่กลางอากาศว่า “ถ้าฉันต้องการที่จะบริจาคมากกว่านี้ มันก็ได้ใช่ไหม?”

 

ทันใดนั้นบรรทัดใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ทันที “แน่นอน คุณสามารถบริจาคให้ได้มากตามที่คุณต้องการ”

 

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอบริจาคอีกสิบหยด!”

 

ณ พระราชวังฟูซี

 

“ฝ่าบาท นี่มันดูจะอันตรายไปหน่อย กระหม่อมว่า .. ” รัฐมนตรีคนหนึ่งพยายามท้วงติง

 

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าก็พอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเพชฌฆาตตัวตลกมาบ้าง สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้มันน่าสนใจไม่เลว ขอให้ข้าได้ลองเถอะ”

 

“ข้าขอบริจาคเลือด 20 หยด โหวตว่าต้องการให้แม็กซ์ตาย”

 

สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าพูดราวกับว่าเธอพึ่งได้ค้นพบของเล่นชิ้นใหม่

 

ณ จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์

 

แก๊งของแม็กซ์ในคาสิโน

 

อีกคนที่เหมือนจะเป็นบอสเอ่ยปากขึ้น “ตั้งแต่ที่แม็กซ์มันได้ขึ้นเป็นบอสสูงสุด มันก็กดขี่พวกเรามาโดยตลอด พวกแกทุกคนจงทำการบริจาคเลือดซะ แน่นอนว่าการกระทำในครั้งนี้จะเป็นความลับ ไม่ถูกแพร่งพรายออกไป”

 

“แต่บอส พี่ไม่กลัวว่านี่มันจะเป็นกับดักหรอ?” หนึ่งในลูกน้องเอ่ยถาม

 

“โลกมันกลายเป็นแบบนี้แล้ว ยังจะมีอะไรน่ากลัวอีก? เพชฌฆาตตัวตลกน่ะถึงจะน่ากลัว แต่มันก็ไม่คิดลงมือกับพลเรือนทั่วไปหรอก แกอย่ากังวลเรื่องนี้ไปเลย”

 

สิ้นเสียง บอสของแก๊งก็หยดเลือดลงไป

 

“พวกแกก็ด้วย อย่ามัวชักช้า”

 

“รับทราบแล้ว!”

 

ขณะนี้ คนที่รู้จักแม็กซ์และไม่เคยรู้จักแม็กซ์มาก่อนก็ได้เลือกทำการพิพากษาเขาแล้ว

 

ไม่ต้องกล่าวถึงผู้คนทั้งสลัม แต่ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่เกลียดชังในตัวของแม็กซ์

 

หลายคนทำการเลือกที่จะจ่ายหยดเลือด

 

และตัวเลขสีแดงก็เริ่มขยับขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ในเวลาเพียง 20 วินาที หยดเลือดก็ถูกเติมเต็มอย่างรวดเร็วจนมันครบ 1 ล้านหยดแล้ว!

 

ทว่านี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น

 

หลังจากที่ผู้คนพบว่าการบริจาคเลือดมันมิได้ส่งผลกระทบต่อตัวเอง

 

ผู้ชมมากมายก็เริ่มที่จะก้าวเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้

 

ตัวเลขที่แสดงถึงการเพิ่มจำนวนขึ้นของหยดเลือดพุง่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

และสามนาทีก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างฉับไว

 

เวลาได้หมดลงแล้ว

 

“หยดเลือด 1 ล้านหยดถูกเติมจนเต็มในเวลา 20 วินาที”

 

“และในเวลา 3 นาที หยดเลือดกว่า 89 ล้านหยดก็ถูกเติมเต็มเข้ามาอย่างรวดเร็ว”

 

“นี่ช่างเป็นฉากที่น่าประทับใจจริงๆ ที่ทุกคนมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการตายของผู้อื่นแบบนี้” เพชฌฆาตตัวตลกถอนหายใจออกมา

 

“มิสเตอร์แม็กซ์ ต้องขอบอกว่าคุณได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลามจริงๆ และคงจะรู้แล้วสินะ … ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”

 

“โปรดเพลิดเพลินไปกับมัน ส่วนกระผมจะขอดูอยู่เงียบๆ ไม่รบกวนอะไรคุณอีกแล้ว”

 

หลังจากกล่าวจบ เพชฌฆาตตัวตลกก็วูบหายเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดทันที

 

หลงเหลือเพียงแม็กซ์ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ท่ามกลางสปอตไลท์

 

และทันใดนั้น เชือกที่พันรอบแขน ขา และลำคอของเขาก็ถูกกระชากอย่างรวดเร็ว!

 

ในวินาทีต่อมา แรงดึงอันมหาศาลก็ได้ฉุดลากเชือกจากทุกทิศทางจนมันแกว่งไปมา ขณะที่ห้วงอารมณ์ของบรรดาผู้ชมที่กำลังเฝ้ามองต่างก็หนักอึ้ง

 

“อะ อา อ๊ากกกกกก”

 

แม็กซ์กรีดร้องด้วยออกมาด้วยกระแสเสียงอันน่าหวาดผวา

 

มันจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะกระชากศีรษะ แขน และขาของมนุษย์ออก ยิ่งการลงโทษอย่างช้าๆเช่นนี้ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง

 

มันคือความเจ็บปวดอันแสนจะทุกข์ทรมานที่นักโทษมิอาจจะสามารถจินตนาการได้!

 

จำเป็นต้องใช้เวลายาวนานมากกว่า 10 วินาที แต่สุดท้ายแล้วว-

 

-โผล๊ะ!

 

เลือดไหลทะลักออกมาราวกับน้ำพุ

 

เชือกทั้งห้าเส้นวูบหายกลับเข้าไปในความมืดมิด

 

บัดนี้ท่ามกลางแสงสปอตไลท์

 

ไร้ซึ่งหัว แขน และขา ทั้งหมดทั้งมวลถูกลากหายไปในความมืดมิดโดยสิ้นเชิง!

 

หลงเหลือเพียงส่วนลำตัวที่นอนจมแอ่งเลือด

 

“การพิพากษาคดีครั้งแรกได้สิ้นสุดลงแล้ว” เครื่องพิพากษาความปรารถนากล่าว

 

“การทดสอบนี้มีค่าใช้จ่ายเป็น 1 ล้านพลังความปรารถนา ซึ่งส่วนเกินทีเหลือคือตัวเลขหลักมงคลที่มีอยู่ราวๆกว่า 88 ล้าน!”

 

“เนื่องจากได้รับพลังแห่งความปรารถนาส่วนเกินมามากเกินไป เครื่องจักรจึงจะนำมันมาใช้เปลี่ยนแปลงมรดกที่แม็กซ์ทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง”

 

“ทรัพย์สิน้ทั้งหมดของเขาจะถูกแปลงออกเป็นแต้มเครดิต และแจกจ่ายให้กับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของเขาตามระดับความร้ายแรงที่โดนกระทำ”

 

“การพิพากษานี้ได้เสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์แล้ว กรุณาอย่าได้ลืมติดตามรับชมการพิจารณาคดีในครั้งต่อไปด้วย”

 

แล้วจอม่านแสงทั้งหมดก็ถูกปิดลงโดยอัตโนมัติ อุปกรณ์ฉายภาพตลอดทั้งโลกกลับคืนสู่สภาพปกติ

 

การพิพากษาได้สิ้นสุดลงแล้ว

 

เด็กชายตัวเล็กยังคงยืนอยู่เบื้องหน้าเครื่องจักรพิพากษา

 

“แม็กซ์ตายลงไปแล้วจริงๆหรอ?” เขาเอ่ยถาม

 

“ก็ใช่น่ะสิ แถมเขายังได้ถูกส่งไปรายงานตัวในนรกเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยนะ” เครื่องจักรพิพากษาตอบ

 

“นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม? มันไม่ได้เป็นความฝันสินะ?” เด็กน้อยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

“แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความฝัน และกระผมได้ทำการแปลงแต้มเครดิต และนำไปฝากไว้ในธนาคารของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ของนายกับแม่นายแล้วนะ ส่วนรหัสผ่านก็คือ ‘88888888’ ยังไงล่ะ!”

 

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุดแล้วนะ สหายตัวน้อย นายลองหันหลังกลับไปสิ”

 

และเด็กน้อยก็ทำตามคำพูดของเขาอย่างว่าง่าย

 

แล้วก็บังเกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น! เพราะเบื้องหลังของเขา กลับปรากฏร่างแม่ของเด็กน้อยกำลังยืนอยู่ เธอปาดน้ำตา ขณะเดียวกันก็กำลังมองมายังเขาด้วยความอ่อนโยน

 

“แม่!”

 

เด็กตัวน้อยถลาพุ่งเข้าสู่โอบกอดมารดาของตน …

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.372 – เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนา

 

“บัดซบเถอะ นี่มันไม่เกี่ยวกับข้าโว้ย ลองอ่านดูดีๆก่อนไหม มันกำลังพูดถึงไอ้พวกที่กำลังจะตกลงสู่นรกในไม่ช้าต่างหาก” เหลียวฮังกล่าว

 

“แต่ทำไมพวกเราถึงได้รับคำเตือนนี้กัน ทั้งๆที่ชัดเจนว่าพวกเรากำลังอยู่บนโลก?” เย่เฟย์หยูไม่เข้าใจ

 

ทั้งสี่ต่างมองไปที่ม้วนคัมภีร์ด้วยความงงงวย

 

ทันใดนั้นเสียงที่ทรงพลังก็พลันดังก้องขึ้น

 

“ต้องขออภัยจริงๆ เดิมทีแล้วนี่มันเป็นอารัมภบทของทางปรภพน่ะ พอดีพวกเรารีบมากเกินไปหน่อย ดังนั้นเลยไม่ทันได้ทำการเปลี่ยนข้อความ”

 

ทั้งสี่หันไปมองรอบๆ แต่กลับพบว่าไม่มีสิ่งใดเลยในพื้นที่โล่งกว้าง ยกเว้นแต่ม้วนคัมภีร์ตรงหน้าพวกเขา

 

“แกเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เสียงตอบสวนกลับมาว่า “เดี๋ยวได้รู้แน่ แต่ตอนนี้กรุณาเขยิบให้กระผมได้มีพื้นที่เพื่อทำการทิ้งตัวลงไปก่อนจะได้ไหม?”

 

ทั้งสี่จึงค่อยๆถอยออกมา เว้นระยะออกไปไกล

 

หลังจากรอสักพัก ก็ได้ยินเสียง ‘ตึง!’ดังสนั่นขึ้น

 

ตามด้วยหมอกควันหนาฟุ้งออกมา พัดกระพือไปทั่ว

 

ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างตกลงมาจริงๆ

 

หลังจากนั้นไม่นาน ควันหนาก็ค่อยๆจางลง และสลายหายไป

 

พร้อมกับมีบางสิ่งที่คล้ายกับตู้เย็นปรากฏขึ้นในพื้นที่เปิดโล่ง!?

 

—ไม่สิ มันไม่ใช่ตู้เย็น แม้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มันมีขนาดใหญ่กว่ามาก

 

ดูจากรูปทรงแล้ว มันดูเหมือนกับเป็นตู้เล่นเกมหยอดเหรียญขนาดใหญ่ซะมากกว่า!

 

บนตู้นี้ มีแสงไฟส่องสว่ง ขับคลอด้วยเสียงเพลงๆออกมาเบาๆ

 

หากตั้งใจฟังอย่างรอบคอบ จะพบว่าบทเพลงที่กำลังขับขานอยู่นี้ แท้จริงแล้วมันเป็นหลากหลายเสียงที่กำลังสวดอ้อนวอนอยู่

 

ตู้นี้ ตลอดทั้งเครื่องเป็นสีดำทั้งหมด และมีตัวเลข ‘1’ ขนาดใหญ่ขีดเขียนเอาไว้อยู่ด้านข้าง

 

“สหายน้อย พวกนายทำได้ดีมากเลยนะ สามารถชะลอการปะทุของนรกเยือกแข็งเอาไว้ชั่วคราวได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว” เสียงที่ดังออกมาจากตู้เกมกล่าวยกย่อง

 

“แล้วตกลงว่าแกเป็นใครกัน?”กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“กระผมน่ะหรอ? กระผมก็คือเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนา ที่ถูกส่งตรงมาจากสำนักงานของปรภพยังไงล่ะ” มันเอ่ยแนะนำตัว

 

“อ่า ยินดีที่ได้รู้จัก” กู่ฉิงซานปาดเหงื่อบนหน้าผากที่เกิดจากความตึงเครียดออกและกล่าวทักทาย

 

มันกลับกลายเป็นว่าเจ้าสิ่งนี้นี่เอง คือกำลังเสริมที่มาถึง

 

แต่แล้วจู่ๆเสียงของเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาก็ดังกึกก้อง

 

“คุณมีข้อร้องเรียนใดๆเกี่ยวกับโลกใบนี้หรือไม่? พบเห็นความอยุติธรรมและการกดขี่ข่มเหงบนโลกใบนี้หรือเปล่า? หากมีปัญหาใดๆที่เกิดขึ้นเหมือนกับในข้างต้น โปรดบอกมันแก่กระผมได้ในทันที!”

 

“เดี๋ยวๆๆ ฉันขอถามคุณก่อน คุณมาจากปรภพจริงๆใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใช่!”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตามองดูเครื่องจักรตรงหน้า แล้วเปิดปากเอ่ยออกมาว่า “แต่คุณดูไม่เหมือนกับว่าจะเป็นสิ่งที่มาจากทางปรภพเลย”

 

“เพื่อปรับปรุงการทำงานต่างๆของทางปรภพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นในตอนนี้ทางเราจึงเน้นไปที่การดำเนินการจัดการขั้นตอนต่างๆด้วยระบบอัตโนมัติมากขึ้นน่ะ แล้วตัวกระผมเองก็เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ตัวแทนอัตโนมัติที่ว่านั่นของทางปรภพเช่นกัน”

 

แม้จะฟังดูพิกลอยู่บ้าง แต่กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือก เขาจำใจต้องโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อเรื่องนี้

 

เขาเปลี่ยนแปลงน้ำเสียงในการพูด และกล่าว “ถ้างั้นก็ดี ในเมื่อคุณคือผลิตภัณฑ์จากปรภพ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าคุณมีคนที่กำลังคอยรับผิดชอบดูแลอยู่เบื้องหลังน่ะสิใช่ไหม?”

 

“ใช่”

 

“งั้นทำไมถึงมีคุณคนเดียวที่มาที่นี่ แล้วพวกเขาล่ะ?”

 

“มันจบแล้วน่ะสิ”

 

“จบแล้ว? หมายความว่ายังไง มันเกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเร่งถาม

 

“เรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางปรภพ กระผมไม่สามารถบอกคุณได้ แต่โดยสังเขปแล้ว ทางปรภพยังคงสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้ โดยใช้พวกเราเหล่า ‘เครื่องจักร’ เท่านั้น”

 

“พวกคุณเท่านั้น?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างรวดเร็ว “หมายความว่านอกจากคุณแล้วยังมีเครื่องจักรตัวอื่นๆอยู่อีกใช่ไหม?”

 

เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากล่าว “แน่นอน นอกเหนือจากกระผม ยังมีเครื่องจักรกงล้อนรก , เครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่น , เครื่องจักรสำนึกบาป , เครื่องจักรขจัดโทสะ ทั้งหมดรวมๆกันแล้วกว่า 88 เครื่อง”

 

มันยังคงกล่าวต่อ “ตั้ง 88 เครื่องแน่ะ! โอ้สวรรค์ ให้ตายเถอะ ในความเป็นจริงแล้ว กระผมคิดว่าบุคลลากรของทางเราค่อนข้างจะเหลือล้นเกินไปด้วยซ้ำ”

 

“พวกคุณแต่ละเครื่องมีการแบ่งแยกการทำงานที่แตกต่างกันไปอย่างงั้นหรอ?” เหลียวฮังถาม

 

“ฉลาดนี่นา!”

 

เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนามองเขาและกล่าว “กระผมเป็นเครื่องจักรที่ถูกรังสรรขึ้นโดยเทพวิญญาณ  มีไว้ใช้สำหรับงานอดิเรกทั่วๆไป แต่ก็ยังมีเครื่องจักรอื่นๆที่รับผิดชอบสำหรับการต่อสู้ด้วยนะ เครื่องที่รับผิดชอบในการทำความสะอาดก็มี หรือเครื่องจักรที่ดูแลเรื่องขยายตัวของแผ่นดินก็มี แต่ไม่ว่ายังไงโดยรวมแล้วก็มีทั้งหมด 88 เครื่อง!”

 

“ทำไมต้อง 88 เครื่องด้วย? ตัวเลขนี้มันมีความหมายอะไรกันแน่??” ซางหยิงฮาวเอ่ยถาม

 

เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาถอนหายใจและกล่าว “เพราะเทพวิญญาณของพวกเราน่ะเชื่อเรื่องโชคลางมาก และคิดว่าตัวเลขที่ดีย่อมจะส่งผลดีตาม อย่างเช่นที่ว่า ‘ยามเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น หนึ่งในเทพวิญญาณทั้ง 88 องค์จะลงมาขจัดภัย’ – อะไรแบบนี้”

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

ลมหนาวพัดโชย และมีเพียงเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาเท่านั้นที่อยู่เบื้องหน้าทั้งสี่

 

เขาเอ่ยถาม “แล้วเพื่อนๆของคุณล่ะ ไปอยู่ที่ไหน?”

 

“พวกเขากำลังเตรียมความพร้อมอยู่ และกำลังจะมา- เฮ้อ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ พวกนายมาพูดคุยกับกระผมถึงเรื่องภัยพิบัติในปัจจุบันจะดีกว่านะ”

 

เสียงของเครื่องจักรพิพากษายังคงดังต่อเนื่อง “เราอาจจะสามารถคิดหาทางออกที่จะช่วยโลกของพวกนายให้ผ่านพ้นความยากลำบากไปก็ได้นะ”

 

“นี่คุณทำได้จริงๆหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ

 

“จงอย่าดูแคลนเรา” เครื่องพิพากษาพ่นลมหายใจออกมา และกล่าว “เราเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เอี่ยมหลังจากที่ทางปรภพได้เข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม! เราเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่ง สามารถช่วยเทพวิญญาณในการปกครองนรกทั้งหมด และยังช่วยจัดการกิจการต่างๆในทางปรภพได้อีกด้วยนะ”

 

พอได้ยินเรื่องเล่านี้ กู่ฉิงซานก็หันไปมองหน้าเหล่าสหายอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดเริ่มแสดงท่าทีมีความสุขออกมา

 

ถ้ามันแข็งแกร่งจริงๆอย่างที่พูดแล้วล่ะก็ โลกใบนี้ก็คงจะปลอดภัยแล้ว!

 

“เช่นนั้นท่านที่เคารพ เอ่อ ทางฉันในฐานะตัวแทนของโลกจะขอพูดตรงๆเลยก็แล้วกันนะ ว่าตอนนี้น่ะ นรกสามแห่งได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวสั้นๆ

 

“จบสิ้นกัน! ถ้าเป็นแบบนั้นตัวกระผมเองก็คงจะไม่สามารถช่วยพวกนายได้!!!” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาคร่ำครวญด้วยความเศร้าสลด

 

กู่ฉิงซาน “ … ”

 

ซางหยิงฮ่าว “ … ”

 

เย่เฟย์หยู “ … ”

 

เหลียวฮังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “แม่แกเถอะ! นี่แกมาที่นี่เพื่อเล่นตลกรึไง?”

 

เครื่องพิพากษากล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่ ตัวกระผมแม้จะไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ก็จริง แต่นั่นเพราะนี่มันเป็นหน้าที่ของเครื่องจักรกงล้อนรกที่จะส่งเหล่าคนตายที่ชั่วร้ายให้กลับไปยังนรกต่างหาก”

 

“นาย นาย นาย และนายสามารถร่วมมือกับมัน และส่งขยะจากนรกทั้งสามไปยังนรกอื่นๆได้ และจากนั้น ภัยพิบัติในครั้งนี้ก็จะถูกกำจัดออกไปโดยสมบูรณ์” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากล่าว

 

“แต่ในสามนรกน่ะมีมอนสเตอร์อยู่มากมาย เครื่องจักรกงล้อนรกเครื่องเดียวมันจะไปมีประโยชน์อะไร?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม

 

“มีประโยชน์แน่นอน เพราะเครื่องจักรกงล้อนรกน่ะมีลักษณะคล้ายคลึงกับรถไฟ ฉะนั้น ตราบใดที่พวกนายเติมคนตายยัดใส่ลงไปในนั้น พวกมันก็จะถูกควบคุมตัวไว้ทันที และจะออกมาไม่ได้อีกเลยจนกว่าจะถูกพาตัวกลับไปยังนรก”

 

“หลังจากนั้น เมื่อรถไฟเต็มขบวนแล้ว เครื่องจักรกงล้อนรกที่เต็มไปด้วยคนตาย ก็จะเริ่มทำงาน มันจะขนส่งพวกคนที่ตายไปแล้วกลับไปยังปรภพและจับพวกมันโยนลงในนรกอื่นๆ”

 

ซางหยิงฮ่าวบ่น “เติมคนตาย … อีกความหมายนึงก็คือ เราจะต้องชนะคนตายพวกนั้นให้ได้ซะก่อนสินะ ถึงจะสามารถนำพวกมันกลับคืนสู่นรกได้”

 

“แต่พวกคนตายจากสามนรกน่ะเป็นตัวตนที่ถือกำเนิดมาจากหลากหลายยุคสมัย แล้วพวกเราจะไปสู้กับมันได้ยังไง?” เหลียวฮังกล่าว

 

“ต่อให้สู้ไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น พวกเราเหลือเพียงทางเดียวแล้ว” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง จู่ๆก็บังเกิดเสียงคำรามน่าสะพรึงจนพื้นสั่นสะเทือนขึ้นจากในความว่างเปล่า

 

พร้อมกับการปรากฏกายของตู้เสบียงและหัวรถจักรขึ้นจากอากาศอันบางเบา และ ตึง! ตึงงงงง! – มันก็ร่วงตกไถลลากลงไปกับพื้นเป็นทางยาว

 

ตามหัวรถจักรและตู้เสบียงกำลังลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงอย่างรุนแรง และไม่นานมันก็ถูกแผดเผาจนกลายเป็นกองเศษเหล็ก

 

“อ๊ะ ไม่นะ ดูเหมือนว่าเครื่องจักรกงล้อนรกจะข้ามมายังโลกนี้ไม่สำเร็จซะแล้ว”

 

“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง? ไม่ใช่เมื่อครู่คุณบอกว่าเจ้านี่คือเครื่องจักรที่จะช่วยพวกเราหรอกหรอ!” ซางหยิงฮ่าวตะโกน

 

“ใจเย็นๆก่อนสิ เดิมทีแล้วพวกเราหลายคนก็ตั้งใจเดินทางมาในโลกนี้นั่นแหละ … แต่มันไม่ราบลื่นอย่างที่คิดก็เท่านั้นเอง” เครื่องพิพากษากล่าว

 

“ดูจากสภาพของคุณกับเครื่องจักรกงล้อนรกแล้ว นี่อย่าบอกนะว่าพวกคุณถูกลอบโจมตีระหว่างทาง?” กู่ฉิงซานถามเสียงหม่นทะมึน

 

“ขอโทษด้วย แต่เรื่องนี้กระผมไม่สามารถบอกได้” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากล่าว

 

หลายคนหันมามองกันและกัน ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อทำการตรวจสอบซากรถไฟ

 

“เจ้านี่น่ะหรอกงล้อนรก? พวกเราพอจะสามารถซ่อมแซมมันได้ไหม?” เหลียวฮังเอ่ยถาม

 

“เป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อมแซม นอกเสียจากว่าจะเป็นเทพวิญญาณเอง ถ้าเป็นเขาล่ะก็คงซ่อมมันได้” เครื่องพิพากษากล่าว

 

“หรืออีกความหมายนึงก็คือ พวกเราได้สูญเสียความหวังเดียวของเราไปแล้วอย่างงั้นสินะ” ซางหยิงฮ่าวตัดพ้อ

 

“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ อันที่จริงแล้วยังมีเครื่องจักรอีกมากมายที่จะช่วยโลกได้ เพียงแต่มันมีวิธีการเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไปก็เท่านั้นเอง” เครื่องพิพากษากล่าว

 

“แล้วที่ว่ามานั่นมันคืออะไร – ได้โปรดช่วยอธิบายให้มันชัดเจนไปเลยในครั้งเดียวเลยจะได้ไหม” กู่ฉิงซานบ่น

 

เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาเงียบไปครู่หนึ่ง

 

มันบิดร่างกายของมันอย่างเชื่องช้า ด้วยลักษณะท่าทีดูเก้ๆกังๆ หันไปมองรอบๆ

 

ในพื้นที่โล่งกว้าง ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย ยกเว้นพวกกู่ฉิงซานทั้งสี่

 

ไม่มีถนนที่นี่

 

มันอ้างว้างและไร้ซึ่งผู้คน

 

มีเพียงลมหนาวมีพัดมาเป็นระยะๆ

 

“ดูเหมือนว่ากระผมจะทำพลาดไปเล็กน้อย กระผมคงต้องออกไปจัดการ ‘ธุระ’ ของตัวเองทันที นี่ก็เพื่อสร้างความสัมพันธ์สร้างใกล้ชิดกับโลกใบนี้ให้มากขึ้น มิเช่นนั้นกระผมจะถูกกฏเกณฑ์ของโลกใบนี้ปฏิเสธ และจะถูกส่งกลับไปยังนรกในทันที”

 

มันหันไปทางกู่ฉิงซานและผองเพื่อน “กระผมคงต้องขอตัวไปจัดการธุระก่อน และนั่นคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก จากนั้นพวกเราค่อยมาพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดในเรื่องกันอีกครั้ง ตกลงไหม?”

 

“นี่ …ก็ได้” กู่ฉิงซานถอนหายใจ “แต่ทางฉันหวังว่าคุณต้องเร่งมือนะ เพราะความเร็วในการรุกรานของนรกก็กำลังเพิ่มพูนขึ้นอยู่ตลอดเวลา”

 

“ไม่ต้องกังวลไป กระผมจะกลับมาอีกครั้งในเร็วๆนี้”

 

‘ปัง!’ บังเกิดเสียงสนั่น เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาถูกแยกออกเป็นสอง

 

และพวกมันก็หายวับไปในทันที

 

หลายคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ

 

เหลียวฮังเอ่ยขึ้นมาว่า “ก็เข้าใจหรอกนะที่บอกว่าจะต้องรีบเปิดกิจการน่ะ แต่นี่ถึงขั้นแยกร่างอวตาร – ”

 

ปัง! บังเกิดเสียงดังขึ้นอีกระลอก หนึ่งในสองเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาปรากฏขึ้นอีกครา ต่อหน้าคนทั้งหลาย

 

“กระผมต้องการยืมตัวพวกคนซักคนหนึ่ง โอ้ วางใจเถอะ ไม่ได้ใช้ให้ช่วยงานฟรีๆอย่างแน่นอน” มันกล่าว

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.371 – คำเตือน

 

กู่ฉิงซานเอนหลังพิงโซฟา ขณะที่ในมือถือแก้วเหล้าฤทธิ์แรงและค่อยๆแกว่งมันเบาๆอย่างช้าๆ

 

“ตราบใดที่โลกผสานรวมเข้าด้วยกัน เรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรฝึกยุทธก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป”

 

“และหกศิลป์ก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนอย่างรวดเร็ว”

 

“ส่วนปัญหาในด้านความเป็นธรรมระหว่างโลกต่อโลก … ”

 

เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ด้วยสถานะของฉัน ฉันขอรับประกันเลยว่าในอนาคต โลกทุกใบจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมต่อกัน”

 

“เอ … แล้วฉันจะให้คนจากโลกควรจะทำยังไงดีนะ? ให้เข้าร่วมกับนิกายดีหรือเปล่า? หรือจะให้รับใช้ประเทศดี? หรือจะปล่อยให้เป็นผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดดี?”

 

“ให้ทำตามใจปรารถนาคงจะดีกว่า เพราะทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือก”

 

เหลียวฮังพอได้ฟังก็ตะลึงงันไป

 

เนื่องจากเขาเป็นชายที่ฉลาดหลักแหลมมากคนหนึ่ง ดังนั้นแต่ละคำที่กู่ฉิงซานเปล่งออกมา เขาจึงล้วนคิดวิเคราะห์มันอย่างถี่ถ้วน

 

นั่นคือเหตุผลที่เหลียวฮังตะลึงและไม่อาจทำใจเชื่อไปได้สักพักหนึ่ง

 

พูดมาขนาดนี้ แสดงว่ากู่ฉิงซานต้องเคยไปอีกโลกหนึ่งมาก่อนแล้วอย่างแน่นอน!

 

แถมยังมีสถานะที่โดดเด่นในโลกใบนั้นอีกด้วย!!

 

ว่าแต่เขารู้วิธีการผสานรวมระหว่างโลกได้อย่างไร?

 

และเขาคงจะเตรียมพร้อมที่จะผสานรวมระหว่างสองโลกให้เป็นหนึ่งเดียวใช่หรือไม่!?

 

ด้วยลักษณะและอุปนิสัยของกู่ฉิงซาน และดูจากคำพูดที่มีสิทธิ์มีเสียงของเขาในปัจจุบันนี้ เหลียวฮังจึงสามารถตัดสินได้ทันทีว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังพูดความจริง!

 

เหลียวฮังเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “สามสี่โลก? แกกำลังหมายความว่ายังมีโลกใบอื่นอยู่อีกใช่ไหม?”

 

กู่ฉิงซานหัวเราะ “ก็การที่ฉันมีวิธีการและเทคนิคฝึกยุทธมากมายขนาดนี้ คุณคงจะไม่ได้คิดว่ามันผุดออกมาจากสูญญากาศหรอกนะใช่ไหม”

 

เหลียวฮังกับซางหยิงฮ่าวพอได้ฟัง ก็คิดตามว่านั่นมันก็จริง แต่ก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี

 

แน่นอน เพราะทุกสิ่งที่กู่ฉิงซานนำออกมานั้นมันดูเป็นระบบระเบียบจนเกินไป

จากมุมมองและความรู้ของพวกเขา ส่งผลให้ทั้งสองสามารถเข้าใจได้โดยธรรมชาติว่า เทคนิคฝึกยุทธมากมายเหล่านี้ หากปราศจากซึ่งการพัฒนาอย่างน้อยนับร้อย หรือนับพันปี มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรังสรรค์วิธีการฝึกฝนที่สมบูรณ์แบบ และเป็นระบบระเบียบขนาดนี้ออกมาได้

 

กล่าวได้ว่าคงไม่มีใครสามารถทำสิ่งนี้ได้นอกจากองค์เง็กเซียน!

 

และพวกเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่ากู่ฉิงซานไม่ใช่เง็กเซียนอย่างแน่นอน

 

ดังนั้นคำตอบนี้จึงชัดเจนมาก

 

ยังไงก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อกับคำตอบนี้อยู่ดี

 

ตอนนี้ กู่ฉิงซานได้สารภาพความจริงแล้ว มันจึงเป็นไปไม่เลย ที่พวกเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้

 

ซางหยิงฮ่าวเงียบไปนาน จนกระทั่งถึงตอนนี้ที่เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป

 

“ที่พูดมานี่ นายหมายความว่ายังมีอีกโลกหนึ่งเหนือจากโลกของเราอยู่จริงๆใช่ไหม?” เขาเอ่ยถาม

 

“ใช่ แต่มันไม่ใช่แค่อีกโลกหนึ่ง”

 

“ไม่ใช่แค่อีกโลกหนึ่ง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยทวนซ้ำ

 

“ใช่ มันยังมีโลกอื่นอีกมากมาย และฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีมากขนาดไหน”

 

กู่ฉิงซานขบคิดและกล่าว “แต่ถ้าจะให้ฉันนับโลกที่รู้จักล่ะก็ เอ่อ .. มันก็มีโลกของพวกเรา , โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ , โลกเทวะ แล้วก็โลกที่ฉันกำลังจะได้ไปอีกในไม่ช้า”

 

“อ๊ะจริงสิ ได้ยินมาว่าโลกที่ฉันกำลังจะได้ไปมันก็กำลังจะถึงจุดจบลงในอีกไม่ช้าแล้วเหมือนกันนี่นา นั่นหมายความว่าผู้คนจำนวนมากในโลกใบนั้นจะต้องหาทางลี้ภัยไปยังโลกอื่นแน่ๆ ฉะนั้นการดำรงอยู่ของโลกอื่นก็น่าจะยังมีอยู่อย่างน้อยอีกหลายใบเลยล่ะ”

 

ซางหยิงฮ่าวกับเหลียวฮังกลายเป็นโง่งม

 

เหลียวฮังยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ ปากเอ่ยงึมงำซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ใจเย็นๆสิตัวฉัน ใจเย็นๆลงก่อนอย่าพึ่งคลั่งไป!”

 

ทันใดนั้นประตูหน้าก็เปิดออกอย่างกระทันหัน

 

พร้อมกับเย่เฟย์หยูที่เก็บคู่ปีกกระดูกและเดินเข้ามา

 

“เฮ้อ เหนื่อยแทบตาย” เขากล่าวพลางทิ้งก้นกระแทกลงกับเบาะโซฟา

 

“ดูเหมือนว่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยนะ ว่าแต่ทางด้านทะเลทรายเป็นยังไงบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ยักษ์แต่ละตัวแข็งแกร่งไม่เลวเลย แถมตำแหน่งสร้างเมืองของพวกมันก็ยอดเยี่ยม ทำเอาฉันต้องใช้เวลาไปพอสมควรเลย ” เย่เฟย์หยูบ่นอุบ

 

เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถาม “พวกมันก็เป็นประเภทตายไม่เป็นเหมือนกันใช่ไหม?”

 

“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ

 

“ฉันรับมือกับมันได้ลำบากมากจริงๆ ถ้าคนอื่นๆยังไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของพวกมันได้ ขอบอกเลยว่าโลกคงจบสิ้นลงแล้วล่ะ” เย่เฟย์หยูปิดตาทั้งสองข้างลง

 

ซางหยิงฮ่าวกล่าวด้วยความกังวล “แต่ขอแค่ทุกคนสามารถยกระดับได้อย่างว่องไวเหมือนกับซีซวงหยาน พวกเราก็อาจจะรับมือกับนรกได้อยู่นะ”

 

“ใช่แล้วล่ะ ทว่าถึงแม้จะมีกำไลฝึกยุทธ แต่มนุษย์น่ะพึ่งเริ่มต้นฝึกยุทธอยู่ดี หากต้องการเอาชนะมอนสเตอร์ที่ตายไม่เป็นเหล่านั้น จริงๆแล้วในตอนนี้ยังไม่สามารถทำได้”

 

เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“เวลานับถอยหลังที่กำลังเสริมจากปรภพจะมาถึง : 01.05 ”

 

สิ่งใดกันแน่นะที่จะมาหาพวกเรา?

 

กู่ฉิงซานเริ่มกระวนกระวายเล็กน้อย

 

เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา ส่งผ่านคำพูดไปเอ่ยถามกับภาพพิภพ “ดาบพิภพ ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยกล่าวว่าตนได้หลบซ่อนตัวอยู่ในกระแสความว่างเปล่าอันเชี่ยวกราดเป็นระยะเวลานานใช่หรือไม่”

 

“ใช่ ครั้งหนึ่งข้าเคยซ่อนตัวอยู่เป็นระยะเวลากว่า 10000 ปี” ดาบพิภพตอบกลับ

 

“ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานถึงขนาดนั้น เจ้าอาจจะได้เคยข้ามผ่านไปยังปรภพมาแล้ว ถูกต้องไหม?”

 

“เคยแค่คราเดียว แต่มันก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และอีกอย่างข้ามิได้ข้ามไปลึกเท่าใดนัก”

 

“ถ้าอย่างนั้น พอจะบอกได้ไหมว่ามีอะไรอยู่ในส่วนนอกของปรภพ?”

 

“ส่วนนอกของปรภพเป็นถ้ำน่ะ … ท่ามกลางมิติอันเชี่ยวกราด จะมีถ้ำอันมืดมิดอยู่ และข้าก็ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่ว่าเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทว่ายามที่กำลังจะออกไป ก็ดันได้ยินเสียงกังวานขึ้นมาว่าหากข้ามผ่านถ้ำขนาดใหญ่นี้ไป ก็จะสามารถไปถึงปรภพได้”

 

ข้อมูลนี้มันแทบจะไม่มีประโยชน์เลย แต่อย่างน้อยมันก็บอกใบ้ถึงทางเข้าข้ามยังปรภพล่ะนะ

 

ในระหว่างขบคิด จู่ๆกู่ฉิงซานก็พลันตระหนักถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาทันใดว่า–

 

—หากกำลังเสริมจากปรภพที่กำลังจะมาถึงมันทรงพลังจริงๆ ถ้าอย่างงั้นที่ปัญหาเกี่ยวกับนรกพวกนี้ก็สมควรจะถูกแก้ไขได้ตั้งแต่ในปรภพแล้วสิ มันจะปล่อยให้นรกมาย่างกรายเข้ามาในโลกได้อย่างไร?

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว และเลิกคิดเรื่องนี้ไปอย่างไว

 

ลืมมันเถอะ เอาไว้พวกเขาได้มาถึงซะก่อน ก็ค่อยมาว่าเรื่องนี้กันอีกที

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ

 

และหนึ่งชั่วโมงก็ผ่านพ้นไป

 

ติ๊ง!

 

เสียงระบบแจ้งเตือนดังขึ้นทันใด

 

หลากเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“กำลังเสริมจากปรภพกำลังมาถึงในเร็วๆนี้”

 

“เนื่องจากความสำเร็จที่ผ่านมาของผู้เล่น ที่สามารถชะลอการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งได้อย่างงดงาม กำลังเสริมจึงจะมาหาคุณก่อนเป็นอันดับแรก”

 

“ร้องขอให้ผู้เล่นค้นหาสถานที่โล่งกว้าง เพื่อดำเนินการพบปะกับกำลังเสริมจากปรภพก่อนเป็นอันดับแรก”

 

หลังจากที่อ่านเสร็จ กู่ฉิงซานก็ผุดลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอกทันที

 

“นั่นนายกำลังจะไปไหนน่ะ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

“ไปพบกับใครบางคนที่อาจจะเป็นพันธมิตรใหม่ของพวกเรา นายอยากจะมาด้วยกันไหมล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“พันธมิตรงั้นหรอ? ทำไมฉันถึงไม่รู้เลยว่าเราจะมีพันธมิตรใหม่! น่าสนใจ! น่าสนใจไม่เลวเลย ถ้าอย่างงั้นคำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้ว – ฉันจะไป!” ซางหยิงฮ่าวลุกขึ้นยืน

 

เย่เฟย์หยูกับเหลียวฮังก็ดูจะสนใจเช่นกัน

 

ทั้งสี่จึงเดินทางออกจากวิลล่า

 

ณ ขณะนี้ สภาพอากาศโดยรอบเริ่มมืดลงแล้ว

 

ดวงตะวันลับขอบฟ้า เวลาค่ำคืนได้มาถึง

 

“ว่าแต่พวกเราจะไปพบกับพันธมิตรใหม่ที่ไหนกัน?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

 

ด้านนอกของวิลล่า มีสถานที่โล่งกว้างตั้งอยู่

 

มันเป็นสถานที่ๆซึ่งกู่ฉิงซานได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังอำนาจของพลังวิญญาณออกมาเป็นครั้งแรก โดยการสาธิตต่อสู้กับแอนนาเป็นระยะเวลาสั้นๆ

 

“พวกเราจะรออยู่ในที่โล่งกว้างตรงนี้แหละ” เขากล่าว

 

หลายคนพยักหน้า บ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจ

 

มันกลับกลายเป็นว่า อีกฝ่ายเลือกที่จะมาเยี่ยมเยือนถึงหน้าประตูบ้านของพวกเขาเอง

 

และเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายย่อมมีสถานะไม่เลวเลย มิฉะนั้นกู่ฉิงซานคงไม่ลากพวกเขามาด้วยเพื่อให้ดูเหมือนกับว่ามีคนมารอต้อนรับไม่น้อยเลยแบบนี้

 

พันธมิตรใหม่คือใครกันนะ?

 

ขณะที่กำลังสงสัย พวกเขาก็ได้มาถึงใจกลางของพื้นที่โล่งกว้าง

 

กู่ฉิงซานก้มลงดูหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“เหลือเวลาอีก 1 นาที กำลังเสริมก็จะมาถึง”

 

กู่ฉิงซานหันไปมองทั้งสามคนและกล่าว “วันนี้ฉันได้บอกพวกนายเกี่ยวกับโลกอื่นแล้วก็จริง แต่ว่าฉากต่อไปนี้อาจจะทำลายความรู้ความเข้าใจเดิมของพวกนายไปโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้นะ”

 

อีกสามคนหันมามองหน้ากัน ทั้งหมดเริ่มรู้สึกประหม่า

 

เหลียวฮังยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วกล่าว “วันนี้ฉันว่าตัวเองก็โดนมาหนักไม่น้อยแล้วนา ให้ตายสิ .. รู้งี้น่าจะดื่มให้มันเมากว่านี้”

 

“ว่าแต่ใครกันหรอที่กำลังจะมาหาพวกเราน่ะ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามด้วยความสนอกสนใจ

 

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรกำลังจะมา แต่โดยสังเขปแล้ว มันสมควรที่จะมาเพื่อช่วยพวกเรา” กู่ฉิงซานกล่าว

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เวลานับถอยหลังนาทีสุดท้ายได้่กลายเป็นศูนย์

 

“มาแล้ว” กู่ฉิงซานกระตุ้นเตือนคนอื่นๆ

 

ทั้งหมดรีบหันไปมองรอบๆ

 

แต่กลับไม่พบอะไรเลย

 

แต่แล้วจู่ๆท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด ก็พลันบังเกิดแสงสว่างสาดขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“ข้างบน!” ซางหยิงฮ่าวกล่าวพลางชี้ไม้ชี้มือให้ทุกคนดู

 

เห็นแค่เพียงม้วนคัมภีร์ขนาดใหญ่ที่สาดแสงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

มันลดระดับลงมา และค่อยๆคลี่ออกต่อหน้ากู่ฉิงซานและคนอื่นๆอย่างช้าๆ

 

พื้นผิวของม้วนคัมภีร์เป็นสีเหลืองเล็กน้อย ตามขอบตามมุมก็ชำรุดทรุดโทรม แม้กระทั่งใจกลางม้วนคัมภีร์ก็มีรูสีดำอมเหลืองขนาดเล็กราวกับว่าพึ่งถูกเผาไหม้มา

 

กล่าวโดยรวมแล้ว ม้วนคัมภีร์นี้ดูราวกับว่าได้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงมานานนับหลายปี

 

มันค่อยๆคลี่ออกอย่างช้าๆ และทันใดนั้นตัวอักษรสีเลือดขนาดใหญ่สองตัวก็ปรากฏขึ้น

 

“คำเตือน!”

 

ทั้งสี่จ้องมองสองตัวอักษรนี้ด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง

 

และทันทีหลังจากนั้น บรรทัดตัวอักษรอื่นๆก็ปรากฏขึ้นตามมา

 

“ถ้าคุณยังเป็นเด็กน้อยมือใหม่ที่พึ่งก้าวเข้าสู่นรก ก็ขอให้ถือว่าคำเตือนนี้มอบให้แด่คุณ”

 

“เมื่อใดก็ตามที่คุณเห็นคำเหล่านี้ ชัดเจนว่าคุณมันเป็นขยะ! ขยะที่เสียโอกาสมากมายที่จะเป็นคนดีในชีวิต ในแต่ละวันคุณไม่ทำอะไรดีๆบ้างเลยรึไง? ชีวิตของคุณมันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน ไม่มีงานอดิเรกอื่นใดทำนอกไปจากสิ่งเลวร้ายเลยหรือ หรือว่าคุณจะเป็นพวกหัวอ่อน คุณเอาแต่คอยฟังคนอื่นๆแต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามหรือต่อต้านพวกรุ่นใหญ่หรือหัวหน้าแก๊งใช่ไหม? ชีวิตของคุณมันแย่เกินไป ดังนั้นฉันจะขอถามคุณอีกครั้ง : ในชีวิตที่ยาวนานหรือสั้นนี้ของคุณ  คุณมันไม่สามารถทำอะไรได้เลยหรือ นอกไปจากสิ่งชั่วร้าย?”

 

“เอาล่ะ ในเมื่อทำผิด ก็จงเพลิดเพลินไปกับความเจ็บปวดของนรกอันไร้ที่สิ้นสุดนี้เสีย และวันหนึ่งหากคุณได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ได้โปรดอย่าเอาแต่นั่งอยู่เฉยๆและทิ้งคอมพิวเตอร์ของคุณไปซะ! : โปรดริเริ่มความคิดที่จะออกไปจากห้องด้วยตัวเองเพื่อค้นหาเพื่อนใหม่ ค้นหาโลกกว้าง ค้นหาสิ่งที่คุณปรารถนาและเริ่มที่จะสู้เพื่อมัน จงพิสูจน์สิ! พิสูจน์ว่าชีวิตของคุณมันมีความหมาย! และสาบานว่าจะไม่ใช้มันในทางที่ผิดแบบเดิมอีก! จงอย่าได้โยนตัวเองเข้ามาในอ้อมอกของนรกอีก! เวลานี้ เราได้เตือนคุณแล้วนะ! เอาล่ะตอนนี้ก็จงชดใช้กรรมของคุณในนรกเสีย แล้วอดทนเฝ้ารอจนกว่าการเดินทางครั้งใหม่ของคุณจึงจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง!”

 

ทั้งสี่คนจ้องมองประโยคบนม้วนคัมภีร์ และตกลงสู่ความเงียบ

 

“ดูนั่นสิ ฉันว่ามันกำลังหมายถึงคุณนะ” ซางหยิงฮ่าวตบแปะๆลงบนไหล่ของเหลียวฮัง

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.370 – ก่อนพายุกระหน่ำ

 

ท่ามกลางพายุฝนที่ยังคงโหมกระหน่ำอย่างเงียบๆ ยุคใหม่กำลังจะมาถึง

 

หลังการประชุมโลกได้จบลง เทพธิดากงเจิ้งก็เริ่มดำเนินการทันที

 

ณ เวลา 16.00 น.

 

การสาธิตวิธีการฝึกยุทธก็ได้ถูกถ่ายทอดสดออกไปทั่วทั้งโลกเป็นครั้งแรก

 

และแน่นอน ว่านี่คือการเผยโฉมของกำไลฝึกยุทธต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกเช่นกัน

 

เด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าสายตาของคนทั้งโลก และกำลังดำเนินการสาธิตวิธีฝึกยุทธ

 

เธอถูกรับเลือกให้เป็นผู้ทดสอบรายแรก เนื่องจากเป็นที่รู้จักกันดีเพราะเคยเข้าร่วมงานการกุศลในหลายๆประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ แถมยังเป็นนักร้องที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากทั่วโลกอีกด้วย

 

ฉะนั้นผู้ที่อยู่ในทีวีตอนนี้ คงจะเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้วนอกเสียจากซุปเปอร์สตาร์ระดับโลก – ซีซวงหยาน!

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าการถ่ายทอดสด ใบหน้าอันบริสุทธิ์งดงามและท่วงท่าในการเคลื่อนไหวของเธอก็ยิ่งดูน่าดึงดูดมากเป็นพิเศษ

 

“เทพธิดากงเจิ้ง ฉันอยากจะถามว่า ถ้าฉันฉีดน้ำยาเข้าสู่ร่างกายไปแล้ว แต่กลับไม่สามารถผสานเข้ากับนักสู้หวูเต๋า เทียนซวน หรือธาตุทั้งห้าได้เลย ถ้าอย่างงั้นแล้วฉันจะยังคงสามารถฝึกยุทธต่อไปได้ไหม?” เธอเอ่ยถาม

 

“แน่นอนว่าทุกคนยังคงสามารถฝึกยุทธต่อไปได้ เพราะนั่นแค่หมายความว่าความสามารถส่วนบุคคลของพวกเขาแค่แตกต่างออกไปเท่านั้น มิได้บ่งบอกว่าจะฝึกยุทธไม่ได้เสียหน่อย” เทพธิดากงเจิ้งแถลงไข

 

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่มีคำถามอะไรอีกแล้วล่ะ” ซีซวงหยานกล่าว

 

ว่าจบ เธอก็สวมใส่กำไลเงิน

 

“มนุษย์คนแรก ซีซวงหยาน , กำลังจะเริ่มต้นฝึกยุทธในไม่ช้า ขอเรียนถามว่าคุณยืนยันที่จะใช้งานกำไลฝึกยุทธหรือไม่?” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังกังวาน

 

ซีซวงหยานพยักหน้าอย่างมั่นใจและกล่าว “ฉันยืนยัน”

 

“3”

 

“2”

 

“1”

 

“เริ่มปฏิบัติการณ์ฝึกยุทธได้”

 

ทันใดนั้น กำไลฝึกยุทธสีเงินพลันส่องสว่างขึ้น

 

ตามด้วยภาพฉายโฮโลแกรมที่ปรากฏออกมา และห้องทั้งห้องที่เปลี่ยนเป็นภาพของยอดเขาที่ทะลุขึ้นเหนือท่ามกลางทะเลเมฆ

 

ซีซวงหยานปรากฏกายอีกครั้งในชุดคลุมขนนกหลากสีสัน มันพัดกระพือไปตามสายลมฉากนี้แลดูราวกับนางสวรรค์ที่กำลังจุติลงมาบนโลกมนุษย์

 

นี่คือชุดคลุมของผู้ฝึกยุทธหญิงจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ และมันได้ถูกนำมาใช้ในโลกจริงโดยกู่ฉิงซาน

 

ซีซวงหยานนับว่าเป็นหญิงงามอันดับต้นๆ ดังนั้น ยามที่เธอสวมใส่ชุดคลุมขนนก ฉากนี้ย่อมนำไปสู่การจดจำและยากจะลืมเลือนของผู้คน

 

นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น แต่มันก็ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนตกตะลึงกันแล้ว!

 

“สวัสดีซีซวงหยาน ไม่ทราบว่าคุณสนใจที่จะเป็นมืออาชีพประเภทใด?” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น

 

พร้อมกันกับเสียงของเธอ สามสัญลักษ์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของซีซวงหยาน

 

ธาตุทั้งห้าเป็นสัญลักษ์รูปการสวดภาวนา ขณะที่นักสู้หวูเต๋าเป็นสัญลักษณ์รูปกำปั้น

 

“ฉันต้องการที่จะกลายเป็นผู้ใช้เทคนิคเทียนซวน” ซีซวงหยานกล่าวออกมาจากจิตใต้สำนึก

 

เทพธิดากงเจิ้ง “มนุษย์แต่ละคนจะมีโอกาสเลือกอาชีพฟรีแค่หนึ่งครั้งเท่านั้นนะ คุณแน่ใจว่าจะเลือกมันเลยหรือไม่?”

 

“ถ้าอย่างนั้นหลังจากที่ฉันเลือก มันจะเกิดอะไรขึ้น?”

 

“ฉันก็จะใช้เทคโนโลยีจั๊มป์ขนาดเล็กที่ถูกติดตั้งไว้ในตัวกำไล ส่งน้ำยาปลุกเทียนซวนมามอบให้แด่คุณ จากนั้นคุณก็จะต้องใช้มันในจุดที่ส่งมาให้ทันที”

 

“แล้วถ้าพลังของฉันไม่ตื่นขึ้นมาในครั้งแรก ฉันยังคงสามารถใช้น้ำยาได้อีกรึเปล่า?”

 

“แน่นอนว่าย่อมใช้ได้ แต่คุณจะต้องมีส่วนร่วมในการสนับสนุนสังคมมนุษย์ให้ดีขึ้น เพื่อที่จะได้รับเป็นแต้มแลกมา และเมื่อมันมากพอ คุณก็จะสามารถนำแต้มไปแลกน้ำยาขวดต่อไปได้”

 

ดวงตากลมโตราวลูกปัดของซีซวงหยางลุกวาว เธอรีบกล่าว “งั้นก็วางเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า ฉันค่อยมาเลือกมันอีกทีหลังจากฝึกยุทธและเข้าใจถึงเส้นทางของตัวเองอย่างถ่องแท้ซะก่อน แล้วค่อยมาทำการเลือกอาชีพอีกครั้ง แบบนี้ได้ไหม?”

 

“แน่นอนว่าได้ ถึงแม้จะเป็นการข้ามทฤษฏีไปบ้าง แต่แบบนั้นก็อาจจะดีกว่าจริงๆ”

 

“กรุณาช่วยฉันเริ่มต้นดำเนินการสาธิตการฝึกยุทธด้วย”

 

เทพธิดากงเจิ้งเริ่มอธิบายว่า “รับทราบแล้ว เอาล่ะ เราจะเริ่มกันจากระดับขอบเขตของการฝึกยุทธขั้นแรก – ปราณปรับแต่ง”

 

“นับจากนี้ไปคุณจะต้องรับหน้าที่ฝึกยุทธขั้นฟื้นฐานในระดับปราณปรับแต่ง”

 

“ส่วนฉันจะรับหน้าที่ตรวจสอบความคืบหน้าในการฝึกยุทธของคุณ และวางแผนปรับปรุงมันให้สอดคล้อง เหมาะสมตรงกันกับอาชีพที่คุณได้ทำการเลือกเอาไว้”

 

“นอกจากนี้ เพื่อที่จะได้รับเทคนิคลับที่ใช้ในการฝึกยุทธขั้นสูง คุณต้องอย่าลืมที่จะให้ความร่วมมือและทำผลงานเพื่อมวลมนุษยชาติด้วยล่ะ เข้าใจไหม?”

 

“เอาล่ะ ตอนนี้เราจะมาเริ่มต้นด้วยขั้นแรกกัน : ‘ปราณปรับแต่งขั้นหนึ่ง’ ”

 

“กำลังส่งวิชาลับ ปราณปรับแต่งขั้นหนึ่งไปให้คุณ”

 

“ ฉันจะอธิบายใจความสำคัญของวิชาลับให้แก่คุณทีละประโยคนะ”

 

“โปรดปฏิบัติตามเนื้อหาและพยายามฝึกฝนด้วย”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ซีซวงหยานอ่านบรรทัดตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเธอ จากนั้นก็มองไปที่คำอธิบายใต้บรรทัดเหล่านั้น

 

สิ่งที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แม้กระทั่งคนที่ชื่นชอบในเรื่องลี้ลับอย่างเธอ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อย

 

เธอใช้สมองไตร่ตรองโจทย์ตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งจึงหลับตาลง และเริ่มปฏิบัติตามใจความสำคัญของวิชาลับ

 

ไม่กี่นาทีต่อมา

 

ซีซวงหยานก็ลืมตาขึ้น

 

“นี่มันอะไรกัน?” เธอเอ่ยถาม

 

ในมือของเธอ ปรากฏจุดแสงสีขาวสาดแสงออกมาจากอากาศที่บางเเบา

 

มันเป็นพลังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

 

ซีซวงหยานลอบประหลาดใจอย่างลับๆ

 

เทพธิดากงเจิ้ง “ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้บรรลุปราณปรับแต่งขั้นหนึ่งแล้ว”

 

“งั้นก็เข้าสู่ขั้นต่อไปกันเลย : ด้านล่างนี้ คือคำอธิบายเกี่ยวกับ ปราณปรับแต่งขั้นสอง ”

 

แล้ววิชาลับในการฝึกยุทธขั้นต่อไปก็ปรากฏขึ้น

 

เนื้อหาของมันยังไม่มีจำนวนมากนัก

 

ซีซวงหยานหลับตาลง เพือที่จะดำเนินการฝึกยุทธต่อตามเนื้อหาของวิชาลับ

 

และก็โชคดีตรงที่ว่าเธอน่ะเป็นผู้หญิงสวย ดังนั้นผู้คนที่เฝ้าดูผ่านทางการถ่ายทอดสดจึงตั้งใจมองไม่มีเบื่อ

 

หลังจากนั้นผ่านไปอีกหลายนาที

 

ซีซวงหยานก็โบกมือออกไปอีกครั้ง

 

คราวนี้ ตลอดทั้งฝ่ามือของเธอเริ่มเรืองแสงเล็กน้อย

 

“แล้วนี่ล่ะ?” เธอถาม

 

เทพธิดากงเจิ้งได้ทำการตรวจสอบและตอบว่า “ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้บรรลุปราณปรับแต่งขั้นสอง แล้ว”

 

“ด้านล่างนี้คือคำอธิบายเกี่ยวกับ ปราณปรับแต่งขั้นสาม ”

 

……

 

แล้วซีซวงหยานสามารถตัดผ่านปราณปรับแต่งขั้นสามได้อีกครั้ง

 

เทพธิดากงเจิ้งเงียบไปหลายลมหายใจก่อนจะกล่าวว่า “การตัดผ่านอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อรากฐานวรยุทธและเสถียรภาพของร่างกาย ฉะนั้นคุณควรที่จะพักเสียก่อน และโปรดทำตามคำแนะนำของสามขั้นแรกเพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งกับพื้นฐานวรยุทธด้วย”

 

“เข้าใจแล้ว” ซีซวงหยานกล่าวด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

 

แต่หากอ้างอินตามคำอธิบาย ในตอนนี้ เพียงยกมือขึ้น เธอก็มีพลังพอที่จะสามารถควบคุมวัตถุขนาดเล็กให้ลอยไปลอยมาได้แล้ว!

 

เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน เธอก็โบกมือออกไป

 

และถ้วยใบหนึ่งที่ตั้งอยู่ในระยะไกลก็ลอยมาตกลงในมือของเธอ

 

ซีซงหยานยกถ้วยขึ้นและจิบชาที่ถูกเททิ้งไว้อยู่ภายในอย่างช้าๆ

 

เธอหันไปมองกล้องถ่ายทอดสด และเอ่ยถามว่า “ฉันได้ยินมาว่าถ้าเราฝึกยุทธจนยกระดับไปถึงในขอบเขตที่ลึกล้ำ อายุขัยของพวกเราจะสามารถยืนยาวขึ้น ข้อนี้จริงหรือเปล่า?”

 

“เป็นเรื่องจริง ต่อจากขอบเขตปราณปรับแต่งคือขอบเขตก่อตั้ง , ขอบเขตก่อตั้งจะทำให้ช่วงชีวิตยืนยาวขึ้นได้ถึง 150 ปี!” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

“แล้วขอบเขตต่อไปล่ะ?”

 

“เป็นขอบเขตแก่นทองคำ , ช่วงชีวิตจะยืนยาวขึ้นไปถึง 500 ปี”

 

ซีซวงหยานชะงักไป ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “นั่นมันเยอะมากๆเลยนะ หวังว่าหน้าตาผิวพรรณฉันคงไม่แก่ไปตามอายุด้วยหรอกนะ?”

 

“นอกเหนือไปจากเรื่องอายุขัยแล้ว ความแข็งแกร่งของคุณจะยังเพิ่มพูนขึ้นขึ้นอีกด้วย! พลังโจมตีจะรุนแรงยิ่งกว่าในขอบเขตปราณปรับแต่งเป็นอย่างมาก โดยประมาณแล้วจะเพิ่มสูงขึ้นกว่า20% !”

 

“จริงๆหรอ?” ซีซวงหยานเอ่ยถามด้วยความสนใจ

 

ต้องบอกว่าคราวนี้ เธอเริ่มที่จะสนใจจริงๆแล้วนะ ไม่ใช่แค่การแสดงผ่านหน้ากล้องแบบในตอนแรก

 

เธอหันไปทางกล้องถ่ายทอดสดและพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะทุกคน การสาธิตฝึกยุทธในวันนี้ก็ได้หมดเวลาลงแล้วนะ อันที่จริงมันยังมีรายละเอียดยิบย่อยอีกมาก แต่ทุกคนคงจะต้องไปลองสัมผัสกับมันด้วยตัวเองน้า”

 

และการถ่ายทอดสดก็สิ้นสุดลง

 

‘อายุขัยยืนยาว!’

 

‘ได้ก้าวขึ้นเป็นมืออาชีพที่แข็งแกร่ง!!’

 

ผู้คนแทบจะกลายเป็นบ้า และได้แต่เฝ้ารอกำไลฝึกยุทธที่กำลังจะถูกแจกจ่ายจนนั่งไม่ติดเก้าอี้

 

ณ เวลา 18.00 น.

 

แม้นรกยังคงย่างกรายเข้ามาอย่างช้าๆ

 

แต่รัฐบาลก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะมอบกำไลฝึกยุทธให้แก่ทุกคนเช่นกัน!

 

ส่วนค่าใช้จ่ายในเรื่องน้ำยา รัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระทั้งหมด!!

 

และวัสดุสำหรับการผลิตกำไลก็ยังถูกออกค่าใช้จ่ายให้โดยรัฐบาลเช่นกัน!!!

 

ทว่าไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ – ทุกคนจะต้องลงนามในข้อตกลงที่จะรับใช้ประเทศของตน และมีส่วนร่วมในการฝึกยุทธของมนุษยชาติ และต้องเชื่อฟังคำสั่งเพื่อต่อสู้กับวันสิ้นโลก!

 

ผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืน จะถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการใช้กำไลฝึกยุทธตลอดไป

 

ยุคแห่งผู้ฝึกยุทธได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันนี้ไป … ยุคทองของเหล่ายอดยุทธได้เปิดฉากขึ้นแล้ว!

 

ณ วิลล่าบนหุบเขา

 

ผู้คนทั้งหลายกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเพื่อพักผ่อน

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองดูเวลา

 

กำลังเสริมจากปรภพกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า

 

“นังลูกเจี๊ยบที่ชื่อซีซวงหยานนั่นดูเหมือนว่าจะมีปัญหาบางอย่างนะ” เหลียวฮังเปิดประเด็นขึ้นในทันใด

 

“มีปัญหายังไง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ก็เธอแค่หลับตาลง แต่สามารถไปถึงปราณปรับแต่งขั้นสามได้เลยน่ะสิ! ทีตอนฉันกลับใช้เวลาและความพยายามไปมากมาย!” เหลียวฮังหงุดหงิด

 

“ไม่เอาน่า เธอก็แค่มีพรสวรรค์ที่ดีเท่านั้นเอง อันที่จริงแล้ว คุณก็มีพรสวรรค์ไม่เลวเลยนะ อย่าไปเปรียบเทียบกันกับคนอื่นเลย” กู่ฉิงซานหัวเราะ

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายก็กล่าวออกไปว่า “แต่มันก็ยังจำเป็นที่จะต้องอธิบายอยู่ดี เพื่อที่ผู้คนจะได้ไม่เอามาตรฐานของตัวเองไปเปรียบเทียบกันกับมาตรฐานของซีซวงหยาน”

 

“รับทราบแล้วใต้เท้า” เทพธิดาตอบรับ

 

“เอ้อจริงสิ เห็นว่าแกได้ฆ่าพระสันตะปาปาไป แถมสมเด็จพระจักพรรดินียังมอบเหรียญบุบๆพังๆให้อีกด้วยนี่?” เหลียวฮังชี้ไปที่เหรียญในมือของซางหยิงฮ่าวและกล่าวเหยียด

 

“นี่มันไม่ใช่เหรียญพังๆนะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “มันคือเหรียญพิเศษที่ได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระจักรพรรดินีโดยตรง! และด้วยเจ้าสิ่งนี้ มันจะช่วยอำนวยความสะดวกให้เราสามารถใช้ทรัพยากรในสาธารณรัฐฟูซีได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียแต้มเครดิตเลยแม้แต่แต้มเดียว! เพราะทางฟูซีจะเป็นคนจ่ายให้เราเอง”

 

เหลียวฮังพอได้ฟังก็ตกตะลึง เขารีบเอ่ยถาม “งั้นเจ้าสิ่งนี้สามารถให้คนอื่นๆยืมใช้ได้ไหม?”

 

“ขอโทษที แต่มันมีชิปที่ใช้ในการพิสูจน์ตัวตนอยู่ นั่นหมายความว่าคนอื่นๆคงไม่สามารถใช้ได้”

 

“จิ๊ส์ น่าเบื่อจริง” เหลียวฮังกล่าวอย่างฉุนเฉียว

 

จู่ๆเทพธิดากงเจิ้งก็เอ่ยถามขึ้นทันใด “ใต้เท้า ฉันได้ค้นพบทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับเทคนิคฝึกยุทธระดับสูงแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นล้วนเป็นทรัพยากรที่จำต้องมีวิธีการผลิตอันลึกล้ำ ตัวอย่างเช่นเม็ดยาเหล่านี้ที่ถูกเขียนระบุเอาไว้ในหนังสือฝึกยุทธบางเล่ม ฉันไม่สามารถทำการผลิตมันได้เลย ปัญหานี้สมควรจะแก้ไขอย่างไรดี?”

 

“ปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เอาไว้รอจนกว่าจำนวนคนในโลกจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตก่อตั้งซะก่อน เดี๋ยวปัญหานี้ก็จะได้รับการแก้ไขเองแหละ”

 

“รับทราบแล้ว” เทพธิดาตอบ

 

ในเมื่อเทพธิดากงเจิ้งไม่ถามต่อ เหลียวฮังจึงเป็นฝ่ายอดไม่ได้ที่จะถามออกมาเอง

 

“นี่มันเป็นปัญหาใหญ่อยู่นา แล้วแกจะแก้ไขมันยังไง?” เขาเอ่ยถาม

 

“ปล่อยไปก่อน” กู่ฉิงซานตอบคำเดิม

 

“ไอ้เจ้านี่! บอกมาดีๆจะได้ไหม อย่าให้ฉันมัวแต่ต้องคาดเดา!” เหลียวฮังเริ่มหงุดหงิด

 

กู่ฉิงซานหัวเราะ “อย่าคาดเดาไปเลย มันก็แค่เรื่องไร้สาระนั่นแหละ ฉันกลัวว่าคุณคงจะคลั่งซะก่อนถ้าได้ฟังมัน”

 

“พูดมาเหอะ ฉันไม่เป็นแบบนั้นหรอก”

 

“อ่า งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน ถ้าสามารถผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ ฉันว่าจะไปหาเวลาว่างๆทำการ ‘รวบรวมผสานสองโลก’เข้าด้วยกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกควรจะบอกว่าเป็นการ ‘ผสานสามโลก’เข้าด้วยกันต่างหาก” เขาเอ่ยเสริม

 

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังงึมงำอยู่นั้นเอง จู่ๆก็พลันบังเกิดเจตนาฆ่ากระชากออกมาจากร่างกายเขา

 

“หรือบางที … อาจจะเป็น ‘สี่โลก’ก็ได้ ..”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.369 – ยุคสมัยใหม่กำลังจะมาถึง

 

ในวันที่เวโรน่าขึ้นครองบัลลังก์

 

นรกอีกสามขุมก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนโลก

 

พวกมันกำลังสั่งสมพลังอย่างเงียบๆ ขณะที่เฝ้ารอให้ขุมนรกของตนเองมาถึงโดยสมบูรณ์

 

แถมในวันนี้ ก็ยังเกิดเหตุการณ์ที่พระสันตะปาปายี่ชาได้เสียชีวิตลงในห้องจัดเลี้ยงของรัฐฟูซีอีกด้วย

 

สมเด็จพระราชินีฟูซีได้ประกาศในสถานที่เกิดเหตุว่ายี่ชา – หรือพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันนี้ แท้จริงแล้วเป็นตัวปลอม!

 

เธอกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่าจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์จะกลับคืนสู่อ้อมอกของตระกูลเมดิซีอีกครั้ง

 

นอกจากนี้ คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ก็จะทำการจัดระเบียบใหม่ และจะมีการเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ขึ้นด้วยเช่นกัน

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังเกิดความลังเลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลางก็เป็นคนแรกที่เอ่ยแสดงความชื่นชมและยอมรับในคำกล่าวของเธอ

 

ในขณะที่งานเลี้ยงอาหารกลางวันยังไม่จบลง เหล่านักการเมืองจากทุกประเทศก็ได้ทำการไตร่ตรองถึงใจความสำคัญของฉากนี้อย่างรวดเร็ว

 

สาธารณรัฐฟูซีตกอยู่ในอุ้งมือของเวโรน่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

นอกเหนือจากอาณาจักรฟูซีในมือ เธอก็ยังมีผู้แข็งแกร่งลึกลับที่สามารถสังหารรัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นขั้นห้าได้ในกระบวนท่าเดียวอีกด้วย

 

รัฐบาลกลางก็มีความสำเร็จทางเทคโนโลยีขั้นสูงสุดของโลกอย่างเทพธิดากงเจิ้ง

 

ในแง่ของกำลังรบ รัฐบาลไม่ได้มีเพียงแค่เทพนักสู้ซางซ่งหยางอีกต่อไป  แต่ยังมีอีกสามตัวตนทรงพลังที่พึ่งจะร่วมลงมือสังหารพระสันตะปาปาไปเมื่อครู่เช่นกัน

 

ด้วยประการฉะนี้ หากทั้งสองประเทศแสดงถึงความตั้งใจของพวกเขาออกมาอย่างชัดเจนถึงขนาดนั้น ประเทศอื่นๆก็สมควรจะต้องพิจารณาทิศทางตำแหน่งที่พวกเขาจะทำการเลือกเดินอย่างรอบคอบ

 

ในทางตรงกันข้าม ความตายของพระสันตะปาปา กลับไม่ได้ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นอย่างที่คิด

 

งานเลี้ยงมื้อออาหารกลางวันได้สิ้นสุดลงแล้ว

 

และต่อไปก็ถึงคราวการเริ่มประชุมสภาโลก

 

นักวิทยาศาสตร์กู่ฉิงซานแห่งรัฐบาลกลางได้ก้าวขึ้นมาบนเวทีและทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ : ‘กำไลฝึกยุทธ’

 

สมเด็จพระจักรพรรดินีฟูซีประกาศว่า ‘ผู้ใดก็ตามที่มีการใช้กำไลฝึกยุทธนี้ ’ น้ำยาปลุกเทียนซวนที่เคยถูกจำกัดไว้ให้ใช้ได้แค่กับสาวกศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นจะถูกจัดให้ใช้ได้ฟรี 1 ครั้ง

 

แน่นอน ว่ามันรวมไปถึงน้ำยากระตุ้นธาตุทั้งห้าของฟูซี และน้ำยาเสริมศักยภาพนักสู้หวูเต๋าของรัฐบาลกลางก็เช่นกัน พวกมันจะได้รับอนุญาตให้ใช้ได้เลยฟรีๆ!

 

ภายใต้การร่วมมือกันโน้มน้าวของประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลางและเวโรน่าแห่งฟูซี ส่งผลให้ผู้นำคนแล้วคนเล่าของโลกได้ทำการทดลองเทคโนโลยีนี้

 

และประสบการณ์ทั้งหมดที่พวกเขาได้รับมันช่างน่าตกตะลึง!

 

บาทหลวงของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ประจำสาธาณรัฐฟูซีได้รับน้ำยาปลุกเทียนชวนจากทางคริสตจักร

 

โดยท่านได้ใช้น้ำยาพลังปลุกเทียนซวนต่อหน้าสารณชน

 

แล้วเขาก็ถูกปลุกตื่นขึ้นมาจริงๆ

 

ภายใต้การริเริ่มนึกคิดของเขา ตลอดทั้งโต๊ะในห้องประชุมสภาก็บานสะพรั่งไปด้วยดอกไม้

 

ทันทีหลังจากนั้น นักวิทยาศาสตร์กู่ฉิงซานแห่งรัฐบาลกลางก็ได้ขึ้นมากล่าวอธิบายเกี่ยวกับการฝึกยุทธอีกรอบ

 

เมื่อทุกคนได้รับรู้ว่าการฝึกยุทธจะสามารถช่วยเพิ่มพูนอายุขัยของตนเองได้อย่างมหาศาล ประกายเพลิงในห้วงอารมณ์ของพวกเขาก็ถูกจุดจนลุกโชนขึ้น

 

เทพนักสู้ซางซ่งหยางได้สารภาพต่อสาธารณชนว่าเขาก็เริ่มฝึกยุทธแล้วเช่นกัน

 

ว่าจบ เขาก็เริ่มใช้เครื่องตรวจวัดพลังชีวิตต่อหน้าทุกผู้คน

 

แล้วมันก็เด้งขึ้นมาว่า ขีดจำกัดอายุขัยของเขาคือ 150 ปี!

 

ผู้นำของหลายประเทศย่อมไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็นทันที พวกเขาได้ร้องขอให้ทำการเปลี่ยนเครื่องมือตรวจวัดอยู่หลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงนี้ ความกังวลและข้อสงสัยทั้งหมดก็สลายไม่มีหลงเหลืออีกต่อไป

 

หลังจากการอภิปรายอย่างเข้มข้นเพียงครึ่งชั่วโมง รัฐบาลทั่วโลกต่างก็บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญต่างๆหลายประการ

 

ในตอนท้ายของการประชุม ผู้นำทุกประเทศได้ประกาศว่าพวกเขาจะส่งเสริมกำไลฝึกยุทธนี้ให้แพร่กระจายไปทั่วโลก

 

นับจากวันนี้ไป กำไลฝึกยุทธจะกลายเป็นที่นิยม และทุกคนก็จะมีสิทธิเท่าเทียมกันในการวิวัฒนาการ

 

เทพธิดากงเจิ้งได้เริ่มใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องของประเทศต่างๆทั่วโลกเพื่อทำการผลิตน้ำยาปลุกเทียนซวน , เสริมศักยภาพนักสู้หวูเต๋า และกระตุ้นธาตุทั้งห้า

 

สำหรับกำไลฝึกยุทธ เทพธิดากงเจิ้งได้เริ่มต้นทดลองผลิตไว้นานแล้ว

 

พร้อมด้วยการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ส่งผลให้เทพธิดาเร่งมือของเธอ และมุ่งมั่นที่จะแพร่กระจายกำไลฝึกยุทธให้เข้าถึงไปในทั่วทุกมุมโลก

 

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็เพื่อทำการต่อต้านวันสิ้นโลก

 

ณ เมืองหลวงของฟูซี

 

ภายในบาร์ที่มีชื่อเสียง

 

บาร์ได้ปิดทำการวันนี้ หากจะกล่าวอย่างชัดเจน สมควรบอกว่ามันมิได้เปิดทำการให้บุคคลทั่วไปเข้าใช้บริการต่างหาก

 

เพราะหลายสิบองค์กรแห่งโลกมืดที่แกร่งที่สุดในโลก ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

 

ซางหยิงฮ่าวกำลังเล่าถึงเรื่องฝึกยุทธ

 

ขณะที่มีเย่เฟย์หยูคอยยืนอยู่เบื้องหลังเขา พร้อมด้วยมือข้างหนึ่งที่ถือกล่องไอศกรีม ส่วนอีกข้างกำลังใช้ช้อนใบเล็กๆขูดมันตักขึ้นมากิน

 

“ตั้งแต่ที่สามารถได้รับน้ำยาไปใช้ฟรีๆ แถมยังสามารถยืดอายุขัยได้ ผมคิดว่าพวกพี่ใหญ่ทุกคนคงไม่มีใครคิดจะคัดค้านในเรื่องนี้” ซางหยิงฮ่าวกล่าวสรุปออกมาในที่สุด

 

หลายสิบผู้นำองค์กรโลกมืดต่างพยักหน้ากันอย่างเงียบๆ

 

แต่แล้วชายหัวโล้นที่มีรอยสักเต็มตัวก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้าเด็กน้อยซาง ฉันบังเอิญได้ยินมาว่านายก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหมือนกันนี่”

 

“ถูกต้อง ผมเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของเรื่องนี้” ซางหยิงฮ่าวตอบอย่างเรียบง่าย

 

ชายหัวโล้นหัวเราะ “ช่างเป็นธุรกิจที่ดีจริงๆ แต่มันจะดีกว่าไหมหากจะให้พี่ชายได้มีส่วนแบ่งในธุรกิจดีๆแบบนี้ด้วย”

 

“คุณเข้าใจผิดแล้ว ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวที่ผมได้มาก็คือ ผู้ที่คิดค้นเทคนิคฝึกยุทธจะเป็นคนเลือกสรรเทคนิคฝึกยุทธที่เหมาะสมกับตัวผมและคนรอบข้างให้ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย”

 

“เรื่องนั้นฉันรู้ มันเป็นผลงานของนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ กู่ฉิงซาน ถูกต้องใช่ไหม?” ชายหัวโล้นกล่าว และเฝ้าสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงของท่าทีที่แสดงออกของซางหยิงฮ่าวอย่างรอบคอบ

 

“ฉันต้องยอมรับเลยว่าพวกนายทั้งสามคนร้ายกาจจริงๆที่สามารถสังหารพระสันตะปาปาลงได้”

 

ชายหัวโล้นหันไปมองรอบๆ และกล่าวกับทุกคนว่า “แต่ธุรกิจก็ยังไงก็เป็นธุรกิจ และสิ่งนี้จะสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดโดยได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังรบอันทรงพลังของพวกเรา”

 

ทันใดนั้นใครบางคนเอ่ยขึ้นมาทันที “กฏระบุเอาไว้ว่าคนทั้งโลกจะสามารถรับน้ำยาได้เพียงครั้งเดียว แต่ถ้าปล่อยให้พวกเราดำเนินการ และเก็บน้ำยาส่วนหนึ่งไว้ในมือเรา มันก็เพียงพอแล้วที่เราจะสามารถแบ่งปันผลประโยชน์อันมหาศาลนี้ร่วมกันได้”

 

อีกคนเอ่ยเสริม “ตามหน่วยข่าวกรองของฉัน น้ำยาเหล่านี้ก็ตกอยู่ในการควบคุมของกู่ฉิงซานเช่นกัน และฉันก็คิดว่าตัวน้ำยาคงมีเหลือเพียงพอที่จะนำมาแบ่งปันให้กับคนทั้งห้องนี้ได้”

 

พอคนอื่นๆได้คิดตาม ก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

ช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคนต่างพากันจ้องมองไปที่ซางหยิงฮ่าวด้วยแววตาที่แฝงความหมายอันยากจะอธิบายได้

 

พวกเขาเป็นเหมือนกับหมาป่าหิวโหยที่พึ่งได้พบพานกับชิ้นเนื้อก้อนโต

 

ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจและกล่าวกับชายหัวโล้นว่า “พี่ชายหลัว ผมขอแนะนำคุณว่าอย่าไปกระตุ้นอะไรนักวิทยาศาสตร์คนนั้นจะดีกว่านะ เขาไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนอย่างที่แสดงออกมาในทุกๆครั้งหรอก”

 

“นอกจากนี้ธุรกิจการค้ามนุษย์ของคุณก็จะต้องหยุดลงเช่นกันและต้องปล่อยทุกคนให้เป็นอิสระ”

 

ชายหัวล้าน “ทำไม?”

 

“เพราะวันสิ้นโลกได้มาถึงแล้วยังไงล่ะ ตอนนี้ทุกคนคือกำลังรบอันล้ำค่าที่มีไว้ใช้ต่อสู้ บางทีหนึ่งในทาสที่คุณจับตัวมา หลังจากที่พวกเขาฝึกยุทธแล้ว อาจจะกำเนิดตัวตนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นขึ้นมาก็ได้”

 

“ทำแบบนั้นแล้วฉันจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง?”

 

“ผลประโยชน์ของคุณคือมีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

ชายหัวโล้นหัวเราะออกมาเบาๆ

 

เขาเอียงศีรษะและกล่าวว่า “จู่ๆก็โผล่ออกมายืนยิ้มแฉ่งโชว์ฟันขาวๆ แล้วบอกว่าต้องการขโมยผลงานที่ฉันเฝ้าฟูกฟักมาเป็นอย่างดีไม่ง่ายๆอย่างงั้นหรือ? อยากจะตายรึไง? เจ้าเด็กน้อยซาง”

 

ชายหัวล้านโน้มตัวไปข้างหน้า และกระซิบเบาๆว่า “กู่ฉิงซานอาจจะแกร่งพอสมควรก็จริง แต่สำหรับพวกเราแล้วน่ะ ยังมีอีกหลายวิธีที่จะใช้บีบบังคับมัน อย่างเช่นลักพาตัวคนรอบกายของมันมาข่มขู่ก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้น เดี๋ยวมันก็จะมาร่ำร้องแล้วถามถึงฉันเองแหละ”

 

ทว่าหลังจากที่พูดจบ หัวของเขาก็ร่วงตกลงจากบ่าทันที

 

ผู้นำซึ่งเป็นหัวหอกในการควบคุมธุรกิจการค้ามนุษย์ของโลก .. ได้ถูกสังหารลงอย่างกระทันหันในสถานที่แห่งนี้!!

 

ท่ามกลางความว่างเปล่า ดาบเล่มหนึ่งวาดเส้นแสงสีแดงเป็นทางยาวที่เกิดจากเลือด และบินกลับไปอยู่เบื้องหลังซางหยิงฮ่าว

 

ผู้นำโลกมืดทั้งหมดถูกกระตุ้นจนความโกรธปะทุขึ้น

 

“นี่แกกล้าดียังไง – ”

 

“รนหาที่ตาย!”

 

“นี่มันชักจะข้ามเส้นเกินไปแล้ว!”

 

“ในเมื่อแกเลือกที่จะทำผิดกฏ ถ้างั้นก็ถึงเวลาตาย!”

 

ว่าจบ ร่างหลายร่างก็ทะยานตัวออกไป และบินตรงมาทางซางหยิงฮ่าว

 

ซางหยิงฮ่าวยกหลังเท้าส่งสัญญาณเตะออกไปข้างหลังอย่างแผ่วเบา นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้ขยับตัวใดๆอีก

 

เลือดสังหารพรั่งพรูออกมาอย่างฉับพลัน และห่อหุ้มตัวซางหยิงฮ่าวเอาไว้

 

การโจมตีอันหลากหลายกระแทกเข้ากับเลือดสังหาร และถูกดูดซึม จางหายไปอย่างเงียบๆ

 

“กรุณากลับไปนั่งประจำที่ของพวกคุณด้วย”

 

เย่เฟย์หยูยิ้ม ขณะที่สองมือของเขาข้างหนึ่งถือถ้วย ขณะอีกข้างยังคงตั้งใจขูดไอศกรีมกิน

 

กลุ่มเลือดสังการกระพริบไหว พุ่งออกต้อนรับ ปะทะเข้ากับผู้คนเหล่านั้นที่ยังคงอยู่กลางอากาศ

 

หลายคนถูกกระแทกด้วยความสับสน และเมื่อรู้สึกตัวอีกที พวกเขาก็ถูกแรงปะทะ กดดันให้ตกลงมานั่งประจำตำแหน่งเดิมได้อย่างพอดิบพอดีโดยไม่คาดคิดซะแล้ว

 

พริบตานั้นฝูงชนทั้งห้องพลันตกอยู่ในความเงียบ

 

ซางหยิงฮ่าวกล่าวต่อ “ไม่เพียงแต่ในเรื่องการค้ามนุษย์หรอกนะ แต่ในเรื่องการค้ายาเสพติดก็ต้องหยุดลงด้วยเหมือนกัน แต่สำหรับธุรกิจขายบริการ นอกเหนือไปจากสาวๆที่ยินยอมรับงานด้วยตัวเองแล้ว พวกคุณจะไม่สามารถบังคับให้พวกเธอกระทำในสิ่งที่ไม่มีความสุขได้อีก”

 

เขากางมือออก “หลังจากที่พวกเรากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ มีคุณสมบัติตรงตามที่จะเป็นสหายเต๋าร่วมกัน ทุกคนจะไม่อาจกระทำการที่ผิดหลักแห่งเต๋าได้”

 

ชายชราภายในห้องแสยะออกมาและกล่าวว่า “ในวันนี้แกอาจจะเหนือกว่าพวกเรา แต่ลองคิดให้ดีๆเถอะ ว่าในวันข้างหน้าหลังจากนี้ไป ยังจะมีใครฟังคำของแกอีกบ้าง?”

 

แต่แล้วจู่ๆชายชราก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นน้อยๆรอบคอของเขา

 

เมื่อเหลือบสายตามองลงไปก็จะเห็นแค่เพียงดาบยาวที่ลอยนิ่ง หันคมดาบจ่ออยู่ล่างคางของเขา

 

และดาบนั่นก็หายวับไปจากสายตาในฉับพลัน

 

ชายชราปิดปากเงียบ

 

เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาบนแผ่นหลังของเขา

 

ไม่เพียงแต่เขา แต่เหล่าตัวตนท่ามกลางตัวตนทรงอำนาจของโลกใต้ดินในที่แห่งนี้ เมื่อครู่กลับไม่มีคนไหนเลยที่เห็นว่าดาบได้ปรากฏขึ้นและหายวับไปได้อย่างไร

 

แต่ละคนหันมามองหน้ากันและกัน

 

ซางหยิงฮ่าวโยนสมองควอนตัมส่วนบุคคลของเขาลงบนโต๊ะ

 

“ตั้งใจฟังให้ดีล่ะทุกๆท่าน” เขากล่าว

 

แล้วสมองควอนตัมก็ส่องสว่างขึ้น

 

ตามด้วยเสียงอันไพเราะของผู้หญิงที่ดังออกมา

 

“สวัสดีทุกท่าน ฉันคือเทพธิดากงเจิ้ง”

 

“ขณะนี้แผนการ ‘สกายฟอล’ กำลังเริ่มปฏิบัติการแล้ว”

 

“เกี่ยวกับการร้องขอของ มิสเตอร์ซางหยิงฮ่าว ขอให้ทุกท่านโปรดให้ความร่วมมือ ปฏิบัติตามด้วย”

 

“มิฉะนั้นฉันจะใช้ป้อมปราการระหว่างดวงดาวซ่งหวูเฮ่าทำการโจมตีพื้นที่เป้าหมายจากนอกอวกาศโดยตรง”

 

“และโปรดอย่าได้สงสัยถึงความสามารถของหน่วยข่าวกรองของฉัน ฉันได้ทำการเชื่อมต่อกับหน่วยประมวลผลแห่งชาติของประเทศทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่าหากพวกคุณและอาณาจักรที่พวกคุณสร้างขึ้นมายังต้องการที่จะมีชีวิตและดำเนินอยู่ต่อไป โปรดเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับฉันด้วย”

 

“นั่นคือทั้งหมดที่ฉันจะพูด ขอบคุณสำหรับการรับฟัง และลาก่อน”

 

วูบ. .. และสมองควอนตัมก็ดับลง

 

ซางหยิงฮ่าวยกบุหรี่ขึ้นมาจุด สูดควันเข้าเต็มปอดและพ่นมันออกไปอย่างแรง

 

เขาลุกขึ้นยืน ในมือคีบบุหรี่ และเดินไปรอบๆเหล่าฝูงชนอย่างช้าๆและไร้จุดหมาย

 

ดาบยาวกำลังจะลอยตามเขา แต่เพียงแค่เขาโบกมือ ดาบยาวก็หยุดนิ่ง

 

ดังนั้นขณะนี้ กล่าวได้ว่าเขาไม่มีดาบไว้คุ้มกันอีกต่อไป ทั้งตัวไร้ซึ่งการป้องกันแต่ก็ยังกล้าที่จะเดินผ่านหน้าเหล่าบรรดาพี่ใหญ่ทุกคนที่อยู่ในโลกมืด

 

แต่กลับไม่มีใครกล้าทำอันตรายใดๆแก่เขาเลย

 

ดูเหมือนว่าการกระทำนี้ จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของโลกใต้ดิน … เป็นการแสดงอำนาจและเอ่ยถามความคิดเห็นของผู้คนด้วยการกระทำโดยตรง

 

และซางหยิงฮ่าวก็เดินล่อหน้าล่อตากลับมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

 

เขาหันไปกล่าวกับดาบว่า “นายไปได้แล้ว”

 

เสียงของดาบยาวกังวานขึ้น “แต่หน้าที่ของนายยังไม่จบลงเลยนี่”

 

“แม้ว่าหลังจากนี้การประชุมของเขาเราจะเดือดขึ้นสักเล็กน้อย แต่ถ้านายยังอยู่ที่นี่ต่อไปมันจะกระทบกับบรรยากาศของพวกเรา” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

วูบบบบ!

 

และดาบยาวก็หายไปทันที

 

ซางหยิงฮ่าวนั่งยองๆลงเบื้องหน้าของชายหัวล้าน และยื่นมือของตนไปปิดดวงตาที่ยังคงเบิกกว้างของอีกฝ่าย

 

เขาลุกขึ้นยืน และยื่นมือข้างนั้นไปทางทุกคน

 

“เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดาบเมื่อครู่ พี่ใหญ่เคยรู้สึกว่าตัวเองช่างเล็กจ้อยไหม? รู้สึกหวาดกลัวถึงความตายรึเปล่า?” เขาเอ่ยถาม

 

“นี่แหละ … คือสิ่งระดับที่แตกต่างกันระหว่างพวกพี่ใหญ่กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ผู้ฝึกยุทธล่ะ’”

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.368 – แอนนากับเทพแห่งความตาย(4)

 

หมาดำนิ่งงันไปนาน ก่อนจะพยายามสงบจิตสงบใจลง

 

มันย้อนนึกไปถึงฉากที่ได้พบเจอกับหญิงตรงหน้าในตอนแรก

 

นางผู้นี้กำลังเมาอยู่

 

และเห็นได้ชัดว่าการที่เธอสามารถปลุกเขาขึ้นมาได้ มันเป็นเพียงอุบัติเหตุ

 

หมาดำแหงนหน้ามองขึ้นไปบนหอคอย

 

ทั้งร่างของมันเลอะไปด้วยไวน์และอ้วก จนตัวเองโกรธเกรี้ยวและเผลอละเมิดสัญญาไป

 

การออกจากหอคอยของเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหล นั่นหมายถึงการที่ตัวมันได้ย่างกรายเข้าสู่โลกของคนเป็น

 

แต่หญิงสาวคนนี้กลับดันกลายเป็นทายาทของตระกูลเมดิซี ซึ่งเป็นสายเลือดที่มิอาจตัดขาดกับตนเองได้

 

ดังนั้นการสังหารฝ่ายตรงข้ามลงเพียงเพราะความโกรธจากการกระทำไม่ยั้งคิด มันคงจะเป็นการทำลายมิตรภาพและน่าเจ็บปวดจนเกินไป

 

หากต้องตัดตัวเลือกในการสังหารไป ก็เหลือแค่เพียงตัวเลือกที่ว่ามันจะต้องทำตามความปรารถนาของอีกฝ่ายให้บรรลุเสียก่อน จึงจะสามารถจากไปได้

 

ถ้าอย่างงั้นก็รีบทำทุกอย่างให้มันจบๆไปเลยก็แล้วกัน

 

ขณะที่หมาดำกำลังขบคิด มันก็มองไปยังหญิงสาวอีกครั้ง

 

แต่มันกลับพบว่าหญิงสาวยังคงหันไปมองรอบๆ ชัดเจนว่ากำลังหารูโหว่ที่หมาใช้มุดเข้ามาอยู่

 

แถมดวงตาของเธอยังสลึมสลือ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแทบอยากจะนอนอยู่เต็มแก่แล้ว

 

นังโง่ขี้เมานี่!

 

หมาดำไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไปแล้ว

 

มันกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หญิงแห่งตระกูลเมดิซีเอ๋ย เจ้าไม่สมควรทำกริยาเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าเราเป็นถึงผู้รับใช้ของเทพแห่งความตาย เป็นร่างอวตารของเทพสุนัข!”

 

พอได้ฟัง ทั้งคนทั้งร่างของแอนนาสั่นไหว

 

เธอมองไปยังหมาดำ

 

และหมาดำก็กำลังจ้องมองมาที่เธอ

 

ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจ้องมองกันอย่างเงียบๆ

 

ทันใดนั้นเอง

 

“อ๊อก … ”

 

แอนนาก็อ้วกออกมาอีกครั้ง

 

หมาดำกางอุ้งมือตนเองออก และยกขึ้นมาปัดเศษอ้วกบนหน้าของมันอีกรอบ

 

ไม่มีทางที่จะสื่อสารกันแบบรู้เรื่องได้เลย …

 

อันที่จริง ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้ เหตุใดทางโลกจึงส่งนางลำยองเช่นนี้มากัน?

 

หรือว่าตระกูลเมดิซีจะไม่เหลือใครแล้ว?

 

ราวกับได้ยินถึงความคิดของมัน แอนนาก็ได้เอ่ยออกมา “เจ้าหมาน้อยอย่ามาโกหกกัดีกว่าน่า ลองแหงนหน้าดูรูปปั้นเทพสุนัขข้างบนสิ ดูมีมนต์ขลังจะตายเห็นไหม? เพราะงั้นไม่มีทางที่ร่างอวตารของท่านเทพสุนัขจะมีลักษณะเหมือนกับหมาชนบทแบบนี้หรอก”

 

หมาดำเกือบจะเป็นลม

 

พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเกียรติของตน มันก็อ้าปากประท้วงขึ้นมา “จงเบิ่งตาของเจ้าดูให้ดีๆอีกครั้ง! เราดูเหมือนสุนัขชนบทตรงไหนกัน!?”

 

มันลุกขึ้นยืนพร้อมกับเห่าจนตลอดทั้งวิหารเกิดการสั่นสะเทือน

 

แอนนาที่ง่วงนอนจนแทบจะหลับไหลพยายามที่จะลืมตาขึ้น และมองดูรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดๆ

 

“เอ .. พอดูดีๆแล้วมันไม่เหมือนกันหมาชนบทเลย” เธอเอ่ยพึมพำ

 

หมาดำหมุนตัวไปรอบๆราวกับกำลังไล่กัดหางตัวเองให้อีกฝ่ายดู แล้วเอ่ยเตือนออกไป “ใช่ไหมล่ะ! เจ้าไม่คิดว่าเรามีลักษณะเหมือนหมาป่าหรอกหรือ?”

 

แอนนามองค้างไปที่อีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและกล่าว “อ่า .. ดูเหมือนหมาป่าจริงๆด้วย หมาป่าที่ถูกเลี้ยงเอาไว้ใช้ไล่ต้อนฝูงแกะ …”

 

หมาดำ “ … ”

 

มันหอนขึ้นในทันใด “ไม่ใช่หมาเลี้ยงแกะ! เราคือเทพสุนัข! นังผู้หญิงโง่นี่!”

 

ด้วยความโกรธ กลิ่นอายของความมืดก็เล็ดลอดออกมาจากตัวมัน

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนี้ แอนนาก็รู้สึกตกใจ

 

เพราะเธอก็เป็นผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนประเภทเรียกใช้ความมืดเหมือนกัน จึงมีความไวต่อกลิ่นอายชนิดนี้มากเป็นพิเศษ

 

นอกจากนี้ ถึงเธอจะเมา แต่ก็ไม่ใช่คนโง่

 

เมื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายนี้ ดวงตาอันทรงเสน่ห์ทั้งสองข้างก็เบิกกว้างขึ้นในทันใด

 

กลิ่นอายความมืดนี้ถูกยับยั้งโดยเจ้าหมาดำเป็นอย่างดี มันจึงรั่วไหลออกมาเพียงแค่หนึ่งในพันเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเพียงกลิ่นอายเล็กน้อย แต่มันกลับทำให้ทั้งจิตวิญญาณของแอนนาสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ความรู้สึกนี้ มันเหมือนกับว่าตนเองเป็นมด ขณะที่อีกฝ่ายเป็นสัตวร้ายในยุคก่อนประวัตศาสตร์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน!

 

ยังจะมีสุนัขตัวใดกันในโลกใบนี้ที่พูดได้ แถมยังปลดปล่อยกลิ่นอายความมืดในระดับนี้ออกมาได้อีก!?

 

ดูเหมือนว่าตรงหน้าเธอ จะเป็นเทพสุนัขจริงๆ!

 

สติที่เลอะเลือนจากไวน์ของแอนนาเริ่มตื่นตัวกลับมาทันที

 

เธออดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากที่ผุดขึ้นมา

 

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน!

 

เห็นได้ชัดว่าเธอแค่กำลังดื่มอยู่ดีๆ ไหงถึงสามารถอัญเชิญเทพสุนัขแห่งความตายมาได้?

 

แถมดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังขุ่นเคืองอยู่อย่างชัดเจน

 

แย่ล่ะสิ คงต้องรีบกู้คืนสถานการณ์ทันทีแล้ว!

 

ในขณะนี้ สมองเล็กๆของแอนนาได้เรียกคืนสตินึกคิดกลับมาในระดับปกติ และเริ่มที่จะทำงานอย่างรวดเร็ว

 

แอนนานึกถึงสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นในทุกขั้นตอน

 

แล้วก็ต้องขอบคุณสัญชาตญาณนักดื่มของเธอ ที่ทำให้แอนนาได้ค้นพบความจริงในข้อนี้

 

เทพสุนัขดูเหมือนจะรักในการดื่มสิ่งมึนเมาเป็นอย่างมาก!

 

แอนนารีบควานมือลงไปในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของเธอ

 

ภายในถูกยัดๆของหลายสิ่งเอาไว้จนยุ่งเหยิง แม้กระทั่งตัวแอนนาเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในทุกชิ้นเหมือนกัน

 

คราวนี้เธอนำเอาไวน์ยู่หลูติดตัวมาด้วยเพียงสองขวดเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากยู่หลูสองขวดในคราวนี้ ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เธอก็มักจะพกสุราอีกขวดติดตัวมาเสมอเป็นประจำอยู่แล้ว

 

‘ได้โปรด ได้โปรด ได้โปรดเถอะ ขอให้ตัวฉันอย่าพึ่งเผลอดื่มไปจนหมดแล้วเลย เหลือให้ฉันซักขวดเถอะในครั้งนี้’

 

แอนนาเฝ้าอธิษฐานกับตัวเองในอดีต

 

และแล้วมือเธอก็สัมผัสเข้ากับวัสดุแข็งที่ทำจากแก้ว

 

แอนนาคว้าหมับและยกมันขึ้นมาดู

 

นี่มันเป็นขวดเหล้าที่มีขนาดเล็กมาก

 

ทั้งขวดมีขนาดเท่ากับหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น

 

แม้ว่าสุรานี้จะไม่อาจเทียบเท่าได้กับไวน์ยู่หลูทั้งในด้านจำนวนปีที่บ่มและฤทธิ์ของมัน แต่ก็ยังนับว่าเป็นของหายากด้วยรสชาติอันนุ่มนวลและมีความหมายของมัน

 

และเนื่องเพราะสุราขวดนี้เป็นสิ่งหายาก ดังนั้นขวดที่ใช้บรรจุมันถึงได้มีขนาดเล็กและประณีตแบบนี้

 

อาจกล่าวได้ว่าสุราขวดนี้ค่อนข้างเหมาะสมกับรสนิยมของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยเต็มใจที่จะดื่มมันแบบเรื่อยเปื่อย … นับว่าโชคดีจริงๆ

 

เพราะว่าเหล้าขวดนี้มันมีขนาดเล็กพกพาง่าย มันจึงถูกโยนลงไปในกระเป๋าสะพายและถูกยัดๆลงด้วยสิ่งของต่างๆจนเธอไม่อาจเอื้อมไปถึงมันและคงไม่หยิบออกมาได้เลยถ้าไม่ทันได้นึกถึงมัน

 

แอนนาถอนหายใจโล่งอก

 

“นี่คือเครื่องบรรณาการสำหรับการพบพานกันระหว่างท่าน” เธอกล่าว

 

หมาดำจ้องมองไปที่ขวดเหล้าแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “นังเด็กน้อย เจ้าคิดหรือว่าเราจะปลื้มปริ่มหากได้รับขวดใบนี้ที่ถูกหมักโดยข้าวหยกขาวในถังไม้โอ๊คเป็ยเวลากว่า 70 ปี และหลังจากนำออกจากถังแล้วก็นำไปผสมผสานด้วยเทคนิคลับระดับสูง จนในที่สุดก็ได้รสชาติอันอ่อนโยนและกลมกล่อมเป็นพิเศษออกมาเช่นนี้?”

 

หมาดำพยายามที่จะทำสีหน้าและน้ำเสียงให้ดูเย็นชา ทว่าหางของมันกลับส่ายไปมาโดยไม่รู้ตัว

 

แอนนามองไปยังหางของมัน และพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

 

นี่มันอะไรกัน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเจ้าหมานี่ต้องการที่จะดื่ม

 

เธอวางขวดสุราไว้เบื้องหน้าของหมาดำ

 

“โปรดรับมันไปเถิด เมื่อครู่ฉันเมามายจนเกินงาม จึงเผลอทำกริยาไม่สุภาพไปเล็กน้อย สุราขวดนี้ถือว่าแทนคำขอโทษจากใจจริงของฉัน”

 

หมาดำมองเธออีกครั้ง ก่อนจะสลับไปมองขวดสุรา จนในที่สุดมันก็เอ่ยออกมาว่า “ในเมื่อเจ้าจริงใจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเราก็ไม่ลังเลที่จะรับมัน”

 

หมาดำกางเล็บตรงอุ้งเท้าของมันตะปบขวดเข้าหาตัวและใช้ปากงับฝาเปิด จากนั้นก็งับแล้วกระดกมันขึ้น

 

“ท่านต้องการเอาอะไรไปผสมสุราเพื่อให้ดื่มคล่องคอขึ้นหรือไม่?” แอนนาเอ่ยถาม

 

หมาดำยอมสละเวลาแห่งความสุขในการดื่มกล่าวตอบเธอ “เหอะ! จงอย่าปรามาสเรา สุราประเภทนี้ต้องดื่มแบบเพียวๆเท่านั้นจึงจะสาแก่ใจ! ”

 

แอนนากล่าวสรรเสริญ “หื้ม ท่านนับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยแท้ นับถือ นับถือ”

 

หนึ่งคนหนึ่งหมาสบตากันและกัน ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกได้ว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองแลดูจะแคบลง ใกล้ชิดกันมากขึ้น

 

นี้อาจจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของแอลกอฮอล์ก็ได้

 

ทันใดนั้นหมาดำก็พลันตระหนักได้ถึงความคิดบางอย่างขึ้น

 

มันหลับตาลง

 

และในพริบตา ช่วงเวลาหลายพันปี ทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับคริสตจักรแห่งความตายก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของมัน

 

หมาดำลืมตาขึ้น การแสดงออกทางสีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยเล็กน้อย

 

กลับกลายเป็นว่าตระกูลเมดิซีในตอนนี้ไม่หลงเหลือใครแล้วจริงๆ แถมคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ก็ยังถูกยึดครองโดยคนนอกอีก

 

มันมองไปยังแอนนาอีกครั้ง จ้องมองหนึ่งในสายเลือดที่หลงเหลืออยู่ของตระกูลเมดิซี ..

 

ความโกรธของหมาดำได้กระจายหายไป ดวงตาของมันเผยร่องรอยของความเมตตาสงสารออกมา

 

ทว่าแอนนาไม่กลับไม่รู้ถึงเรื่องเหล่านี้ เธอเอ่ยถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ออกไป “ท่านเทพ ตระกูลของเราทำการอัญเชิญท่านมานับพันๆปี แต่ท่านก็ไม่ยอมปรากฏกายออกมาเลย เหตุใดวันนี้จึงเลือกที่จะปรากฏตัวขึ้นกัน?”

 

หมาดำดื่มเหล้าที่เหลือในขวดจนหมดภายในหนึ่งลมหายใจ และเอ่ยลวกๆอย่างไม่คิดว่า “เราก็แค่กำลังหลับอยู่น่ะ”

 

“นอนหลับเป็นเวลากว่าหลายพันปีเลยหรือ?”

 

“ก็เหมือนงีบหลับในช่วงบ่ายนั่นแหละ”

 

แต่แล้วหมาดำก็หรี่สองตาแคบลง น้ำเสียงของมันเปลี่ยนไปแล้วอธิบายว่า “แต่จู่ๆก็ดันรู้สึกได้ถึงกลิ่นแอลกอฮอล์ในอากาศ แถมเจ้ายังอ้วกใส่สถานที่ๆเราหลับอยู่อีก จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เราจะตื่นขึ้น”

 

“ท่านคือเทพสุนัขจริงๆใช่ไหม? แล้วร่างกายที่แท้จริงของท่านล่ะ?” แอนนาเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

 

“เจ้าก็รู้ถึงเรื่องร่างจริงของเรานี่ ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ”

 

หมาดำเอ่ยต่อ “เมื่อหลายพันปีก่อน บรรพบุรุษของเจ้าได้ช่วยเหลือเทพสุนัขเอาไว้ ส่วนตัวเราเป็นเพียงเศษเสี้ยวความคิดที่กระจัดกระจายของเทพสุนัขก็เท่านั้น และได้รับหน้าที่สร้างศรัทธาในสถานที่แห่งนี้ คอยเฝ้าพิทักษ์ปกปักษ์ตระกูลของเจ้า”

 

“แต่ตอนนี้ท่านกำลังหลับอยู่”

 

“หุบปากเถอะ”

 

“แล้วในเมื่อท่านตื่นขึ้นมาแล้ว สิ่งใดกันที่ท่านจะทำต่อไป?”

 

“เราไม่รู้หรอกว่าจะทำอะไรดีตอนนี้ ว่าแต่เจ้าเถอะ สิ่งใดกันล่ะที่ต้องเจ้าต้องการ?”

 

“แน่นอนว่าฉันย่อมมีสิ่งที่ต้องการอยู่ … ได้โปรดช่วยฉันอัญเชิญเทพแห่งความตายมาด้วยเถอะ” แอนนากล่าว

 

“เจ้ากำลังมองหาเทพแห่งความตาย เพราะเหตุใดกัน?”

 

แอนนานิ่งค้างไป

 

เธอเอียงศีษะและขบคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับคำถามนี้

 

ใช่สิ ฉันจะตามหาเทพแห่งความตายไปทำไมกัน?

 

เธอคิดไตร่ตรองก่อนที่จะกล่าวว่า “ตระกูลเราในแต่ละรุ่นก็ทำการอัญเชิญท่านเทพแห่งความตายกันทั้งนั้น บางทีพวกเขาอาจจะต้องการจะอัญเชิญท่านเทพมาเพื่อถามไถ่ว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรแก่ทางตระกูลได้บ้างก็ได้”

 

“เทพแห่งความตายไม่มีเวลาว่างนักหรอก ยิ่งกับมนุษย์ตัวจ้อยเช่นพวกเจ้าแล้ว คงไม่มีเวลามาสนใจ หากเจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอให้วิงวอนอธิษฐานต่อเราโดยตรงจะดีกว่า” หมาดำกล่าว

 

“วิงวอนท่าน?” แอนนาเผยท่าทีลังเล

 

“อะไรอีกล่ะ นี่เจ้ากำลังดูถูกเราอีกแล้วใช่ไหม ขอบอกเลยนะว่าเราน่ะแข็งแกร่งมาก”

 

“สามารถเอ่ยขอได้จริงๆน่ะหรือ?”

 

“ก็ได้น่ะสิ เจ้านี่มันรู้สึกตัวช้าจริงๆ ลองสวดวิงวอนในสิ่งที่เจ้าต้องการมาสิ” หมาดำกล่าว

 

มันจ้องมองแอนนาอย่างใกล้ชิด

 

หากอีกฝ่ายยังคงมีความปรารนามันก็จะช่วยเหลือให้

 

ความปรารถนาของอีกฝ่าย เป็นสิ่งที่มันจำเป็นต้องทำเพื่อบรรลุสัญญา

 

“เรื่องที่ฉันต้องการวิงวอนอธิษฐาน?” แอนนานิ่งงันไป

 

ว่าจบเธอก็ตบลงบนหน้าผากกระจ่างใสของตนเองแล้วกล่าว “นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะนึก ก็ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะปลุกเทพแห่งความตายขึ้นมานี่นา เพราะงั้นเลยไม่ทันจะได้คิดตั้งแต่ต้นว่าจะวิงวอนอธิษฐานอะไร”

 

เวรกรรม เรื่องที่ตนปรารถนานี่มันจำเป็นต้องเสียเวลาคิดด้วยหรือ?

 

หมาดำก้มศีรษะลง และพยายามเฝ้าอดทนเป็นระยะเวลานาน

 

มันถอนหายใจยาวและกล่าวว่า “ลูกหลานของสายเลือดแห่งเมดิซีเอ๋ย ทำไมการที่เราจะได้สื่อสารกับเจ้าให้เข้าใจมันถึงได้ยากเย็นเพียงนี้”

 

แอนนารีบตอบกลับไป “ต้องขออภัยจริงๆ ฉันกำลังเริ่มที่จะไตร่ตรองเกี่ยวกับมันอย่างจริงจังแล้วล่ะ”

 

และเกือบจะในทันที เธอก็นึกถึงซูเซี่ยเอ๋อ

 

จริงสิ ตัวเองจะต้องรีบกลับไปที่รัฐบาลกลางทันที เพื่อเผชิญหน้ากับซูเซี่ยเอ๋อนี่นา

 

บางที หากรบกวนท่านเทพสุนัข ก็อาจจะช่วยให้เธอตกใจ และหนีออกจากอ้อมอกของกู่ฉิงซานไปด้วยความหวาดกลัวก็ได้

 

อืม .. นั่นนับว่าเป็นความคิดที่ดี

 

อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้ถึงขั้นตั้งใจที่จะฆ่าอีกฝ่าย ดังนั้นเพียงแค่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวก็น่าจะพอแล้วมั้ง

 

ที่สำคัญก็คือ หากมีเทพสุนัขอยู่ข้างๆ ยังจะมีสิ่งใดอีกที่เธอไม่สามารถทำได้ในอนาคต?

 

แอนนาก้มหน้าลงและกล่าวกับหมาดำอย่างจริงใจ “ท่านเทพสุนัข ฉันวิงวอนร้องขอท่าน ให้ติดตามช่วยเหลือฉันจะได้หรือไม่?”

 

หมาดำจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง

 

สุดท้ายมันก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “ด้วยสุราเพียงขวดเดียว แต่เจ้ากลับปรารถนาให้เราทำหน้าที่เป็นกุลีให้เจ้าเชียวหรือ?”

 

“มิใช่กุลี แต่คอยติดตามช่วยเหลือฉันในฐานะคู่หู ร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน” แอนนาเร่งอธิบาย

 

เธอประกบสองมือเข้าด้วยกัน เริ่มภาวนาอ้อนวอน “ท่านเทพสุนัข ฉันมิกล้าจะพูดอะไรให้มันมากความนัก แต่ฉันแค่อยากจะบอกว่า ฉันมีห้องเก็บสุราและไวน์ส่วนตัวอยู่สองห้องใหญ่ ภายในนั้นมีเครื่องดื่มมึนเมานับพันขวด หากท่านช่วยเหลือฉัน ฉันจะยกพวกมันทั้งหมดให้ท่านเลย ตกลงไหม!”

 

คราวนี้หางของหมาดำเริ่มแกว่งไหว

 

มันกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เรานั้นเป็นเทพ และจริงจังในเรื่องเกี่ยวกับคำปฏิญาณสาบานตนเอามากๆ ในเมื่อเจ้าแสดงความจริงใจออกมาถึงเพียงนี้ ฉะนั้นเราจะยอมรับคำวิงวอนอธิษฐานของเจ้าก็ได้”

 

“งั้นเจ้าจงรออยู่ที่นี่เถอะ เราจะเริ่มต้นด้วยการไปจับตัวเจ้าผู้ใช้ไพ่เทียนซวนที่ทำการหมิ่นเกียรติคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายก่อนเป็นอันดับแรก!”

 

ว่าจบ หมาดำก็หายวับไปมิอาจมองเห็นได้อีกเลย … และนี่คือเหตุผลที่แอสเมิร์ดได้เห็นมนุษย์หัวสุนัขในโถงจัดเลี้ยงนั่นเอง

 

แอนนาชะงักงัน เฝ้ามองฉากตรงหน้าด้วยความปิติยินดี

 

“ว้าว! จู่ๆก็หายไปในอากาศซะเฉยๆเลย! ไม่ได้ใช้เครื่องจั๊มป์หรือเทคนิคใดๆซะด้วย นี่แสดงว่าเขาแข็งแกร่งจริงๆ!”

2 ตอน

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.367 – แอนนากับเทพแห่งความตาย(3)

 

แต่แอนนาก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจกับมือของเธอนัก เธอเพียงสะบัดๆมันและขี้เกียจเกินกว่าจะเดินไปพันผ้าพันแผล

 

เพราะเมื่อเทียบกับบาดแผลในมือของเธอแล้ว เธอกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกเยาะเย้ยต่อหน้าคนรักและท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆโดยคู่แข่งของตัวเองซะมากกว่า … เธอแทบอยากจะลงไปดิ้นตายอยู่แล้วเนี่ย!

 

“อ้าาาาาา! ไอ้พิธีบ้านี่ก็ไม่จบซักที ทำเอาโมโหไปหมดแล้ว!”

 

แอนนาร้องออกมาอย่างไม่พอใจ

 

ฟุ่ม!

 

เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นเบื้องหลังเธอ งอกออกมาเป็นปีกคู่หนึ่ง

 

แอนนากระโดดขึ้นๆลงๆ บินไปในที่สูงกลางอากาศ ดิ่งลงมาที่ต่ำบนพื้นดิน เคลื่อนที่ไปมาอย่างไร้ทิศทางยากจะคาดเดาได้

 

แล้วเธอก็บินขึ้นไปบนหอคอยเทพแห่งความตาย

 

ที่ๆซึ่งเป็นอาณาเขตอันศักดิ์สิทธิ์ และมนุษย์มิสมควรที่จะล่วงล้ำเข้าไป

 

เธอเมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

……

 

แอนนายืนอยู่บนแท่นสูงซึ่งเป็นตัวแทนของเทพ กวาดสายตาหันไปมองรอบๆ

 

“ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนอกจากหินแตกๆก้อนนี้!”

 

แอนนาบ่นพึมพำโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่

 

แต่ที่นี่มันก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆ นอกจากก้อนหินที่สีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของกล่องสมบัติการหลับไหล

 

ใช่แล้ว วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายใช้หินสีดำนี้แทนสัญลักษณ์ของกล่องสมบัติ!

 

กล่องสมบัติที่หลับไหล คือสมบัติในตำนานของเทพแห่งความตาย ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่ปรากฏขึ้นจริงๆที่นี่

 

บางทีในอดีต อาจจะมีน้อยคนนักที่กล้าหาญเสี่ยงต่อการดูหมิ่นเทพเจ้า โดยการเลือกที่จะบินขึ้นมาในระดับเดียวกันกับแท่นสูงและเข้าไปใกล้ๆเพื่อทำการสำรวจบริเวณโดยรอบ

 

แต่ไม่มีใครเลยที่ทำเหมือนกับแอนนา ที่ขึ้นมายืนอยู่บนแท่นสูงด้วยสถานะเมามาย และปฏิเสธที่จะลงไป

 

ฉากนี้ สำหรับประวัติศาสตร์ของตระกูลเมดิซีแล้ว นับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

 

– แอนนานั่งลงบนแท่นบูชาเทพแห่งความตายที่หลับไหล

 

แม้ว่าจะมานั่งที่นี่ แต่มันก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี

 

เท้าของเธอแกว่งไปมาในอากาศ ขณะที่ในมือถือขวดไวน์ ในสมองขบคิดอย่างจริงจัง

 

“พอไปถึงรัฐบาลกลาง ฉันจะใช้เทคนิคที่พึ่งเรียนรู้มาใหม่สยบนังเด็กนั่นก่อนเลย กระบวนท่าแรกให้นังนั่นล้มลง ตามด้วยกระบวนท่าที่สองยัดปากหล่อนให้รู้ซึ้งว่าไม่สมควรพูดจาไร้สาระต่อหน้าคนอื่นๆ แล้วก็จะใช้กระบวนท่าสุดท้ายประทับตรา สร้างความหวาดกลัวฝังลึกไว้ในจิตใจ …”

 

ขณะที่กำลังวางแผนร้าย เธอก็ยกไวน์ขึ้นเทใส่ปากของเธอ

 

ยิ่งดื่ม ร่างกายทั้งหมดก็ยิ่งมึนเมา และรู้สึกราวกับว่าตรงบริเวณช่วงหน้าอกจะหนาวเย็นมากเป็นพิเศษ

 

มันชวนให้รู้สึกอึดอัดมาก เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าอกของเธอ

 

แอนนาเอื้อมมือขึ้นไป คว้าจับเอารูปปั้นเล็กๆของยมทูต … รูปปั้นเทพแห่งความตาย

 

มันคือสัญญาชีวิตนั่นเอง

 

– นี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทพแห่งความตายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่บรรบุรุษของเมดิซีได้รับมา

 

แอนนาหยิบมันขึ้นมาและวางบนแท่นหินใกล้ๆกับเธอ

 

ทันใดนั้นจู่ๆความรู้สึกเจ็บแปล่บก็จี๊ดขึ้นมาจากมือของเธอ

 

“อ๊ะ!”

 

เธออุทานออกมาคำหนึ่ง

 

มือของเธอยังคงมีรอยถูกขูดและผิวที่ลอกออก แถมยังไม่ได้รับการปฐมพยาบาล ดังนั้นในเวลานี้จึงมีเลือดไหลออกมาเป็นระยะๆ

 

เธอคว้าจับสัญลักษณ์แห่งความตายด้วยมือข้างนั่นอีกครั้ง แล้วเหวี่ยงมันกระแทกลงบนแท่นหินอย่างแรงด้วยความโมโห!

 

แล้วแผลในมือก็ฉีกขาด เลือดไหลทะลักลงบนรูปปั้นเเทพแห่งความตายองค์เล็กๆ และแน่นอน ว่ามันย่อมไหลลงบนแท่นหินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหีบสมบัติแห่งการหลับไหลด้วยเช่นกัน

 

เลือด , รูปปั้นเทพแห่งความตาย และหีบสมบัติเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน

 

และมันก็บังเกิดปฏิกริยาตอบสนองอันน่าอัศจรรย์ใจขึ้น

 

บางสิ่งที่มองไม่เห็นปรากฏตัวขึ้นมาในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างสงบ มันแอบซุ่มอยู่เบื้องหลังแอนนา และเฝ้ามองเธออย่างเงียบๆ

 

และแอนนาก็ไม่ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย

 

“โถ่เอ๊ย! เจ็บจัง … ทำอะไรก็แย่ไปหมดเลย!” เธอกุมมือปิดปากแผล คร่ำครวญเสียงต่ำด้วยความเจ็บปวด

 

แอนนาวางขวดไวน์ลงข้างๆแล้วพลิกเอากระเป๋าสะพายหลังมาไว้ข้างหน้า จากนั้นก็หยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลฉุกเฉินออกมา และเริ่มจัดการกับมัน

 

สมองของเธอตื้อตึง แอนนาตอนนี้เกือบจะงีบหลับลงไปแล้ว

 

“ให้ตายสิ ที่นี่มันอุดอู้จริงๆ ถ้ามีลมแรงๆพัดมาบ้างสักหน่อยก็คงดี” เธอเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

 

ทันใดนั้นก็บังเกิดลมหนาวพัดโชยมาจากตรงส่วนไหนก็ไม่อาจรู้ได้

 

มันเป็นสายลมที่พัดเป่าไปถึงจิตวิญญาณของแอนนา

 

เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าด้วยคำพูดเมื่อครู่ เธอได้ใช้สิทธิ์ร้องขอสิ่งในที่ตนปรารถนากับเทพแห่งความตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลยได้รับสายลมนั้นมา

 

และหากทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้ เธอก็จะกลายเป็นผู้ศรัทธาที่เอ่ยขอสิ่งปรารนาอันด้อยค่าที่สุดในโลกตั้งแต่ที่อารยธรรมมนุษย์เคยถือกำเนิดขึ้นมา!

 

พอปฏิบัติตามคำร้องขอ การดำรงอยู่ของสิ่งที่มองไม่เห็นเบื้องหลังก็กำลังจะกระจายหายไป

 

แต่ทันใดนั้นเอง แอนนาก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับร่างกายตนเอง

 

“แย่ล่ะสิ” เธอเอ่ยงึมงำ

 

ความรู้สึกอันแสนจะคุ้นเคยกระชากขึ้นมาจากกระเพาะ ไหลสวนขึ้นมาบนหน้าอกของเธอ!

 

“อ๊อก … ”

 

“อ๊อก … ”

 

แอนนาปัดขวดไวน์ออกไปอีกทางหนึ่ง และหันไปอ้วกลงใส่หินสีดำที่เป็นตัวแทนของกล่องสมบัติแห่งการหลับไหล

 

“ … บ้าจริง สงสัยฉันจะดื่มมากเกินไปหน่อย”

 

เธออ้าปากพ่นน้ำหูน้ำตาออกมา ก่อนจะหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก

 

โดยไม่รู้ตัวเลยว่า สิ่งทีมองไม่เห็นกำลังจะจากไปอยู่แล้ว แต่ดันต้องมาเห็นและถูกเธออาเจียนใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว!?

 

สิ่งที่มองไม่เห็นยืนแข็งค้างอยู่บนแท่นหิน มิอาจเคลื่อนกายไปไหนได้ครู่หนึ่ง …

 

มันไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน

 

และแอนนาก็ยังไม่ตระหนักถึงมันเหมือนเคย

 

หลังจากอ้วกไปสักพัก แอนนาก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

 

เธอหันไปมองรอบๆก่อนที่จะสะดุ้งตกใจ “เอ๊ะ? นี่ฉันขึ้นมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? มันไม่เหมาะที่จะเป็นที่นอนนะ เดี๋ยวเผลอตกลงไปคงจะแย่”

 

ว่าแล้วแอนนาก็คว้าขวดไวน์และบินร่อนลงบนไปพื้น

 

เธอเดินโซเซไปไปยังที่นั่งเก่าของตัวเอง

 

ทว่าหลังจากนั้นก็บังเกิดกระแสลมพัดกระพือขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ตัววิหารก็เริ่มที่จะสั่นไหวเล็กน้อย

 

‘เอ๋? ฉันพึ่งจะอ้วกไปนี่นา หรือว่าฤทธิ์อันรุนแรงของไวน์กลับคืนมาอีกครั้ง’ … นี่คือสิ่งที่แอนนาคิด

 

ขณะนั้นเอง บนแท่นสูง ก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศอันรุนแรงและคมชัดขึ้น

 

อากาศกรีดร้องหวีดหวิว ก่อนจะบินลงมาหยุดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเบื้องหน้าเธอ

 

ด้วยการกระชากของกระแสอากาศอันพลุ่งพล่าน ทันใดนั้นรูปปั้นหัวสุนัขทั้งสิบสองที่ยืนอยู่รอบวิหารก็ก้มหัวลงและมองตามไปยังจุดนั้นทันที

 

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยในรอบหลายพันปี ที่พวกเขาเคลื่อนไหว

 

แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่ดันไม่มีใครสังเกตเห็นถึงฉากนี้

 

กระแสอากาศกลับคืนสู่ความเงียบ ทว่ากลับมีบางสิ่งที่อยู่กลางอากาศกำลังจ้องมองแอนนาด้วยเจตนาร้าย

 

‘คนผู้นี้ช่างน่ารังเกียจนัก บังอาจล่วงเกินท่านเทพ ฉะนั้นมันจักต้องได้รับโทษ!’

 

‘แต่เดี๋ยวก่อน?’

 

‘กลิ่นหอมละมุนชวนเคลิ้มนี่มันคือสิ่งใดกัน?’

 

กระแสอากาศก้มหน้าลงมองด้วยความสงสัย

 

แล้วมันก็พบว่าข้างๆเท้าของมัน เป็นแก้วไวน์ที่ท่วมไปด้วยน้ำเมาที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจออกมา

 

น้ำเมาที่ว่านี้คือไวน์ชั้นดี …

 

ตนทำหน้าที่ปกปักษ์สถานที่แห่งนี้มานานนับหลายพันปี แต่กลับไม่เคยได้ดอมดมกลิ่นอันยั่วยวนเช่นนี้มาก่อนเลย

 

ในเวลานี้ แอนนาได้กลับไปนั่งประจำตำแหน่งเดิมของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

และทันใดนั้นเอง เธอก็สังเกตเห็นถึงเงาดำๆกำลังเลียลงบนแก้วที่เธอวางเอาไว้บนพื้น

 

ดวงตาของแอนนาราวกับมีไฟลุกพรึบ! เธอลุกพรวดขึ้นด้วยความมึนเมา ก้าวพรวดๆเป็นฟืนเป็นไฟตรงไปข้างหน้า

 

เธอตะโกนออกมา “นั่นมันแก้วของฉันนะ!”

 

เงาดำตกใจ และเผลอก้าวถอยหลังไปหลายก้าว

 

ทันใดนั้นแอนนาก็ได้สติกลับคืน ฝีเท้าของเธอหยุดลงอยู่ในตำแหน่งนั้น

 

ภายในวิหาร … นอกจากตัวเองแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาได้อยู่อีกหรือ?

 

หรือว่าจะเป็นท่านเทพ!?

 

เธอตบลงบนหน้าของตัวเองและฝืนบังคับตนให้ใจเย็นๆลง แล้วจ้องมองไปที่เงานั้นอีกครั้ง

 

“ท่านที่เคารพ – ” แล้วเสียงของแอนนาก็ขาดห้วงไป

 

เพราะในที่สุดเธอก็สามารถเห็นเงาดำตรงหน้าได้อย่างชัดเจน และพบว่ามันไม่ใช่เทพจริงๆ!

 

เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นหมาดำ!

 

ใช่ มันเป็นแค่ ‘หมา’

 

เพราะท่านเทพแห่งความตายจะมานั่งเลียแก้วไวน์เธอได้อย่างไร?

 

เมื่อคิดได้แล้วแอนนาถอนหายใจโล่งอก

 

ว่าแต่เจ้าหมาตัวนี้มันมาจากที่ไหนกัน?

 

เธอก้าวออกไปข้างหน้า

 

เจ้าหมาที่ว่ามิได้ขยับเขยื้อน

 

เธอเดินเข้าไปหาเจ้าหมา

 

เจ้าหมายังคงยื่นปากเข้าไปในแก้วไวน์ของเธอ สองตาของมันหรี่แคบลงและกำลังจดจ้องมาที่เธอ

 

กลิ่นอายที่ดูเคร่งขรึมและหนักอึ้งเริ่มปรากฏออกมาจากมัน ค่อยๆควบรวมกันเป็นพลังอันลึกลับที่มองไม่เห็น

 

พลังนี้กำลังจะเอ่อล้นออกมา และยามที่มันถูกปลดปล่อย เมื่อนั้นบุคคลตรงหน้ามันก็จะต้องพบกับความทุกข์ทรมาน!

 

ขณะที่กลิ่นอายนี้ใกล้จะปะทุอยู่รอมร่อ แอนนาก็ได้เริ่มทำสิ่งหนึ่งที่มันไม่คาดฝันออกมา

 

เธอยื่นขวนไวน์ในมือของเธอให้อีกฝ่าย

 

“จะดื่มซักหน่อยไหม?” เธอเอ่ยถาม

 

แม้ว่าเธอจะเมาอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะมีหมามาปรากฏตัวขึ้นที่นี่

 

บางทีเจ้าหมาตัวนี้อาจจะเป็นเบาะแสที่จะใช้อัญเชิญเทพแห่งความตายมาก็เป็นได้

 

แอนนาตบลงบนหน้าผากของเธอและนึกเสียใจกับมัน

 

เธอไม่เคยคาดคิดว่าตนเองจะได้รับการตอบสนองจากเทพแห่งความตาย ดังนั้นจึงไม่ได้นำสิ่งใดติดตัวมาด้วยเลย

 

ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอ ก็มีแต่ไวน์ขวดนี้นี่แหละ

 

มันเลยเป็นสิ่งเดียวที่เธอจะสามารถหยิบยื่นให้แก่อีกฝ่ายได้

 

ตอนนี้เธอยื่นไวน์ออกไปอย่างระมัดระวัง

 

เจ้าหมามองตามเธอและขวดในมือเธอ

 

มันชะงักงันไปครู่หนึ่ง

 

เจ้าหมาอดไม่ได้ที่จะยื่นอุ้งมือออกไป และคว้าจับขวดไวน์มา

 

แล้วมันก็ยกกระดกขวดไวน์เข้าปาก จิบไปอึกใหญ่

 

จิบไปอีกอึก

 

และอีกอึก

 

อีกอึก

 

เอิ๊ก!

 

เจ้าหมาเลียริมฝีปากของมันและทิ้งขวดไวน์ที่ว่างเปล่าลงด้วยความพึงพอใจ

 

ดวงตาของมันเหลือบมองไปยังแอนนาและตกลงบนแผลบนฝ่ามือของเธอ จมูกของมันขยับฟุดฟิด

 

ใช่แล้ว นี่คือเลือดของตระกูลเมดิซี

 

หมาดำพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกตเห็นได้

 

แม้คนตรงหน้าจะดูมีกริยาไม่ดีอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังนับว่ามีสัญญาผูกพันธ์กับมันอยู่

 

แถมไวน์นี่ก็ดีไม่เลวเลย

 

‘ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่นัก แต่เราควรให้อภัยฝั่งตรงข้ามเลยจะดีหรือไม่?’

 

นี่คือสิ่งที่เจ้าหมากำลังคิด

 

แอนนาเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มจนหมดแล้ว เธอก็ลังเลอยู่สักพักหนึ่งและในที่สุดก็เปิดปากออกมา

 

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยในรอบหลายพันปีที่ตระกูลเมดิซีสามารถสื่อสารกับเทพแห่งความตายที่พวกเขาเคารพบูชาได้

 

นอกจากนี้ ยังเป็นการได้สื่อสารระหว่างเทพอันหาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ของโลก!

 

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับการบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ตลอดไป!!

 

ในวิหารแห่งความตาย รูปปั้นมนุษย์หัวสุนัขทั้งสิบสองก้มหน้าลง และจ้องมองมายังฉากนี้อย่างเงียบๆ

 

แอนนามองไปยังหมาดำด้วยสีหน้าไม่แน่ไม่นอน

 

เนื่องจากเธอดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้หัวของเธอมึนงง และคิดอะไรก็เชื่องช้า

 

แต่เธอก็ยังคงเป็นคนฉลาด และสามารถตระหนักได้ว่าอะไรคือกุญแจสำคัญของปัญหาตรงหน้า

 

ในที่สุดแอนนาก็เข้าใจถึงปัญหาของเธอ

 

เธอมองไปที่หมาดำอย่างระมัดระวัง ปากเอ่ยกล่าวด้วยความลังเลว่า “ไม่ใช่หรอกมั้ง ..”

 

หมาดำหูตั้งตรงทันที มันยกหางขึ้นและจ้องไปทางแอนนาด้วยแววตาขึงขัง

 

“ในพระวิหารมีรูให้หมาลอดผ่านเข้าเดินเล่นได้ด้วยงั้นหรือนี่?” แอนนาบ่นงึมงำ

 

พอได้ยิน หมาดำก็กลายเป็นโง่งม

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.366 – แอนนากับเทพแห่งความตาย(2)

 

หลังจากสวดคำอธิษฐานตามพิธีสืบทอดมรดก แอนนาก็กรีดข้อมือตัวเองเบาๆ และปล่อยให้เลือดของเธอหยดลงบนพื้น

 

ยามเมื่อเลือดหยดลงกระทบกับพื้น มันก็ถูกดูดซึม จมหายลงไปอย่างรวดเร็ว

 

แอนนาหยุดเลือดตรงข้อมือ และเฝ้ารออยู่สักครู่ท่ามกลางความเงียบ

 

เงียบสงัด

 

มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

 

อย่างไรก็ตามในเวลานี้ แม้กระทั่งตัวแอนนาเอง ก็จำเป็นต้องใช้เวลาเฝ้ารออย่างอดทนให้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

เพราะผู้นำตระกูลรุ่นก่อนๆทั้งหมดที่เข้ามาในวิหารนี้  ล้วนต้องเฝ้ารอกว่า 5 ชั่วโมงเต็มเพื่อทำพิธีกรรมอัญเชิญเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหล

 

ห้าชั่วโมงเป็นการเรียงลำดับที่แสดงถึงช่วงชีวิตแรกเกิด , ช่วงชีวิตที่กำลังเบ่งบาน , ช่วงชีวิตที่กำลังเสื่อมโทรม , ช่วงชีวิตที่จิตวิญญาณถูกเรียกกลับคืน และสุดท้ายช่วงชีวิตแห่งการถือกำเนิดใหม่

 

นี่คือกระบวนการที่สมบูรณ์เกี่ยวกับเรื่องของชีวิตและความตาย ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย

 

ในช่วงระยะเวลา 5 ชั่วโมงนี้ ผู้ที่ทำการอัญเชิญสามารถกระทำได้ทุกสิ่งเพื่อดึงดูดความสนใจจากเทพแห่งความตาย

 

ในประวัติศาสตร์บางคนได้สำแดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาเบื้องหน้าหอคอยสูง ขณะที่คนอื่นๆได้ทำการเสียสละบางสิ่งที่ดูชั่วร้าย เพื่อให้ได้รับความสนใจจากเทพแห่งความตาย

 

ขณะที่บางคนก็มีความคิดแปลกๆอย่างเช่นว่า หากยอมบูชายัญชีวิตตนเองหรือของผู้อื่นดู เทพแห่งความตายอาจจะปรากฏตัวออกมาให้เห็นก็ได้

 

พวกเขาล้วนจ่ายออกด้วยราคาที่แสนเจ็บปวด ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครประสบความสำเร็จเลย

 

ดังนั้นห้าชั่วโมงในระหว่างพิธีกรรมเหล่านี้ จึงถูกเรียกขานต่อๆกันมาว่า ‘การอัญเชิญที่สิ้นหวัง’

 

แต่สำหรับแอนนาแล้ว บอกตรงๆว่าเธอค่อนข้างที่จะดูใจเย็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

เพราะตัวเธอเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันตั้งแต่ต้นแล้ว

 

ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดจะทำอะไรเลย

 

หลังจากที่ทุกคนนอกเหนือไปจากท่านบรรบุรุษรุ่นแรกแล้ว ตัวตนที่เปรียบดั่งวีรบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนท่ามกลางสายธารอันยาวนานของประวัติศาสตร์ ล้วนแล้วแต่ล้มเหลวในการอัญเชิญเทพแห่งความตาย

 

แล้วแอนนาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเธอเองจะแข็งแกร่งไปกว่าพวกเขา

 

แอนนายืนนิ่งอยู่สักพัก

 

ห้าชั่วโมง … มันช่วงเป็นเวลาที่ยาวนานจริงๆ

 

แอนนาคิดเกี่ยวกับมัน ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมา และเริ่มมองหาจุดสะอาดๆที่พอจะนั่งได้

 

เธอเลือกที่จะนั่งอย่างเงียบๆ ระหว่างรอให้พิธีกรรมจบลง

 

หลังจากทั้งหมดนี้ พิธีกรรมน่ะเป็นสิ่งที่ผู้นำตระกูลทุกคนต้องเคยปฏิบัติมัน มิอาจละทิ้งได้!

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

ภายในวิหาร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ยกเว้นเสียแต่เสียงของเปลวไฟที่ปะทุขึ้น และสาดแสงวูบไหวไปมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น

 

แอนนาไม่ได้ทำอะไรหรือพยายามที่จะปลุกเทพแห่งความตายขึ้นมาเลย

 

เธอกำลังเฝ้ารอให้เวลาเดินไปจนครบ 5 ชั่วโมง

 

—เมื่อหนึ่งคนทำแค่เพียงปล่อยให้เวลาสูญไปอย่างไม่มีเหตุผล ในจิตใจของคนผู้นั้นจะเกิดความรู้สึกว่าเวลาช่างยาวนาน ยาวนานมากจนเกินไป

 

แอนนาต้องใช้เวลากว่าครึ่งคืนเพื่อเฝ้ารอ แถมยังไม่ได้มีความกดดันใดๆในหัวใจของเธอ ดังนั้นเพียงไม่นาน เธอก็เริ่มที่จะเบื่อหน่าย

 

เกิดอาการเบื่อหน่ายขึ้นในระหว่างพิธีอัญเชิญเทพแห่งความตาย … ในตลอดระยะเวลาหลายพันปีก็นับว่ามีเธอนี่แหละที่เป็นคนแรก

 

เวลาผ่านไปสักเล็กน้อย แอนนาก็ส่ายหัวและกล่าวในสิ่งที่คิดออกมาดังๆ “นี่จะต้องให้รอนานขนาดนี้จริงๆหรอ ฉันคงจำเป็นต้องหาอะไรทำฆ่าเวลาจริงๆซะแล้ว”

 

ว่าจบ เธอก็หันไปเปิดกระเป๋าสะพายหลัง

 

ทันใดนั้นไวน์ฤทธิ์แรงสองขวดก็ปรากฏสู่สายตาของเธอ

 

มันคือไวน์ยู่หลู ไวน์ชื่อดังของฟูซี

 

สายตาของแอนนาจับจ้องไปยังขวดไวน์ทั้งสองและยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

 

นี่คือไวน์ที่ถูกเก็บไว้มาเป็นระยะเวลากว่าร้อยปี! มันเป็นไวน์ฤทธิ์แรงที่สุดของฟูซี!!

 

ความจริงแล้วสำหรับตัวเธอ มันไม่ง่ายเลยที่จะได้สัมผัสกับไวน์ขวดนี้ แต่ที่เธอได้มันมาทั้งหมดคงต้องขอบคุณกู่ฉิงซานที่ดันไปร้องขอจะลิ้มชิมรสมันจากองค์จักรพรรดิจนท่านประกาศออกมาต่อหน้าสาธารณชนว่าจะส่งมอบมันให้แก่เขาและเธอ

 

แอนนาหยิบไวน์ฤทธิ์แรงขึ้นมา ใช้ปากงับจุกก๊อกเปิดมันอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปหยิบแก้วไวน์แองกูลาร์ที่ได้รับการยืนยันกันว่าหากใช้มันแล้วจะช่วยให้รสของไวน์กลมกล่อมขึ้นจากกระเป๋าสะพายหลัง

 

ไวน์ถูกรินลงไป

 

ในพริบตา กลิ่นละมุนของไวน์ก็เอ่อล้นออกมา

 

แอนนาเผลอเลียมุมปากโดยไม่รู้ตัว คว้าจับแก้วและยกมันขึ้นมาจิบเบาๆ

 

เอิ๊ก!

 

ไวน์ที่ดี!  แถมรสชาติก็ยังดีสุดๆไปเลย!

 

แอนนาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

 

แน่นอน ว่าจริงๆแล้วเธอจงใจนำไวน์พวกนี้ลงมาเองแหละ ไม่อย่างงั้นห้าชั่วโมงอันแสนยาวนานที่ต้องทำแค่เพียงเฝ้ารอมันคงจะน่าเบื่อแย่่

 

เธอยกมันขึ้นจิบอีกครั้ง

 

คราวนี้ ในความรู้สึกของเธอมันบ่งบอกว่าเวลาได้ไหลผ่านไปเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

 

ไวน์ที่อยู่ในขวดดูจะลดหลั่นลงมาจนใกล้จะถึงก้นขวดแล้ว

 

แอนนายกขวดไวน์ขึ้นมาแกว่งๆดู ขณะที่ในหัวของเธอเริ่มจินตนาการออกไป

 

ในพิธีกรรมนี้ จริงๆแล้วสิ่งที่ต้องจ่ายออกไปมันคืออะไรกันแน่นะ ถึงจะสามารถปลุกเทพแห่งความตายได้?

 

ช่างมันเถอะ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม นั่นไม่สำคัญหรอก

 

เพราะคนอื่นๆนับไม่ถ้วนที่ถึงขั้นหยิบยื่นสมบัติมากมาย และแม้กระทั่งบูชายัญชีวิตตนเองที่นี่ สุดท้ายก็กลับไม่มีใครประสบความสำเร็จเลย

 

ส่วนฉันน่ะเหรอ? เหอะ! ฉันจะไม่ยอมจ่ายอะไรทั้งนั้นแหละ!

 

เธอหันไปมองรอบๆ ในหัวจินตนาการเตลิดไปไกล

 

ช่วงเวลานี้ เวโรน่าสมควรที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ในไม่ช้าแล้ว

 

สำหรับตระกูลเธอ นั่นนับว่าเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว

 

เวโรน่าได้กลายเป็นสมเด็จพระจักพรรดินีแห่งฟูซี ส่วนตนเองก็ได้เรียนรู้เทคนิคโบราณในการต่อสู้ของตระกูลมา

 

นี่นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครในตระกูลทำได้มาก่อน

 

ยามเมื่อตนเสร็จสิ้นพิธีกรรมนี้ และออกไปพบกับเวโรน่า เธอย่อมที่จะสามารถทำการแก้แค้นพระสันตะปาปาได้อย่างแน่นอน

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ แอนนาก็อารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง

 

เธอเติมไวน์จนเต็มแก้ว ชูมันสูงขึ้น แล้วแหกปากร้องตะโกนไปทางหอคอยสูงซึ่งเป็นแท่นบูชาเทพแห่งความตาย “แก้วนี้แด่ความนับถือที่มีต่อท่าน – เทพแห่งความตายผู้ไม่เคยปรากฏ”

 

แล้วเธอก็กระดกมันจนหน้าหงายขึ้นฟ้า เทไวน์ทั้งหมดในแก้วลงคอไป

 

เนื่องจากไวน์มันมีฤทธิ์แรงอยู่แล้ว ทำให้แอนนาเริ่มที่จะรู้สึกเมานิดหน่อย จนเธอเผลอส่ายหัวไปโดยไม่รู้ตัว

 

จริงสิ แล้วกู่ฉิงซานล่ะ?

 

เวลานี้เขาอยู่ที่ไหน?

 

แล้วกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ?

 

แอนนามองไปที่สมองควอนตัม

 

นี่ก็ดึกมากแล้ว กู่ฉิงซานอาจจะกำลังพักผ่อนอยู่ก็ได้

 

ช่วงเวลานี้ มันคงไม่เป็นการดีถ้าจะรบกวนการนอนของคนอื่นๆ

 

แอนนาชะงักไป

 

แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ขอเวลาแค่นิดเดียวก็พอ ก็ฉันอยากจะคุยกับเขานี่นา

 

ว่าแต่เรื่องอะไรดีที่จะใช้เป็นเหตุผลในการปลุกเขา?

 

แอนนาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนแท่นบูชาเทพแห่งความตาย

 

นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นไม่เลว เอาเป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน

 

เธอเปิดสมองควอนตัมและทำการเชื่อมต่อแบบวิดีโอ

 

แล้วอีกฝั่งก็ตอบรับการเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว

 

แอนนามองเข้าไปในฉากของอีกฝั่งแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นั่นพวกนายสี่คนกำลังนั่งดื่มกันอยู่หรอ? กลางดึกเนี่ยนะ”

 

เหลียวฮังส่งเสียงฮึฮะแล้วกล่าว “ว่าแต่คนอื่น แต่ไม่ดูตัวเองเลยนะ”

 

แอนนาไม่สนใจเขา และบอกกู่ฉิงซานเกี่ยวกับเรื่องเทพแห่งความตาย

 

จากนั้น ซูเซี่ยเอ๋อก็ปรากฏตัวขึ้นในทันใด

 

……

 

“หล่อนคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากที่ไหนกัน!”

 

แอนนาปิดสมองควอนตัมและโยนขวดไวน์ลงพื้นอย่างแรง

 

“คิดว่ามารดาผู้นี้จะกลัวหล่อนหรือ? รอให้พิธีนี้จบลงก่อนเถอะ ฉันจะไปฆ่าหล่อนซะ!”

 

แอนนาตะโกนด้วยความโกรธ

 

แบบนี้ไม่ดีแล้ว ฉันคงต้องรีบกลับไปที่รัฐบาลกลางทันทีหลังจากที่พิธีนี้จบลง

 

จะต้องรีบกลับไปหากู่ฉิงซานที่นั่น!

 

หวังว่าคืนนี้ ซูเซี่ยเอ๋อคงจะไม่ได้พักในวิลล่าบนหุบเขานะ

 

แอนนาเริ่มจินตนาการเลยเถิด และได้ข้อสรุปในใจทันทีว่าเมื่อพิธีจบลง เธอจะเร่งมุ่งตรงไปยังรัฐบาลกลางโดยเร็วที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจากที่ซูเซี่ยเอ๋อได้ปั่นหัวเธอครั้งใหญ่แล้ว อีกฝ่ายก็ได้ถูกส่งข้ามโลกกลับไปยังเกาะหมอกทันที

 

พิธีกรรม …

 

แอนนาหันไปมองที่สมองควอนตัม

 

ยังคงเหลือเวลาอีกกว่า 3 ชั่วโมง

 

ไอ้พิธีนรกเอ๊ย!

 

ซุเซี่ยเอ๋อได้นั่งอยู่กับกู่ฉิงซานอย่างอบอุ่นในวิลล่าบนผู้เขา แต่เธอกลับต้องมานั่งอย่างหนาวเหน็บอยู่ในสถานที่อันมืดมิดและน่าหวาดกลัวแบบนี้เนี่ยนะ!?

 

ยิ่งคิด แอนนาก็ยิ่งรู้สึกหดหู่

 

เธอลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล พยายามฝืนสมดุลร่างกายให้มั่นคงแล้วเดินไปข้างหน้าเพื่อหยิบขวดไวน์ที่ขว้างไปเมื่อครู่กลับมา

 

เนื่องจากมันเป็นขวดที่ถูกเตรียมไว้เพื่อเก็บและบ่มไวน์ในระยะเวลายาวนานกว่า 100 ปี ดังนั้นมันจึงแข็งและทนทานเป็นอย่างมาก มิได้แตกร้าวลงในตอนที่ถูกขว้างกระแทกกับพื้น

 

ทว่าจุกก๊อกคงหลวมจากแรงปะทะ เนื่องจากมันไม่ได้ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ไวน์จึงไหลออกมา

 

แอนนาลองเขย่าขวด

 

แต่กลับพบว่าไม่มีเสียงอะไรอยู่ข้างในเลย

 

เอ๊ะ?

 

—ฉันจำได้ว่าตัวเองไม่ได้ดื่มเร็วขนาดนี้นี่นา

 

มันหมดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

 

ลืมมันเถอะ ช่างมันดีกว่า

 

แอนนาวางขวดลง และหันไปเปิดกระเป๋าสะพายหลังของเธอ

 

เพราะฉันยังมีเหลืออีกหนึ่งขวด!

 

เธอนั่งลงและเริ่มเปิดจุกก๊อกไวน์อีกขวด

 

แต่คราวนี้เธออารมณ์ไม่ดี เลยไม่คิดจะใช้แก้วแล้ว พอกัดจุกก๊อกออกปุ๊บ เธอก็กระดกมันทันทีเลย

 

ฟู่ว…

 

ฤทธิ์แรงดุดันดีจริงๆ!

 

เธอไม่เคยดื่มเครื่องดื่มที่ฤทธิ์แรงจนเมามายขนาดนี้มาก่อนเลย

 

หลังจากที่กระดกไม่อีกสองสามอึก แอนนาก็เริ่มแดงไปทั่วทั้งหน้า สายตาเริ่มพร่ามัว

 

หัวของเธอส่ายไปมาเล็กน้อย

 

—เวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วกันนะ?

 

แอนนาหันไปเปิดสมองควอนตัมของเธอและดูเวลา

 

เวลาแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย มันยังคงเหลือเวลาอีกเกือบสามชั่วโมง!

 

นี่มันชักจะยาวนานเกินไปแล้ว!!

 

พอรู้ว่าซูเซี่ยเอ๋ออยู่ในวิลล่าบนหุบเขา การรอคอยก็ยิ่งทำให้ในหัวใจรู้สึกกังวล

 

ถ้าไม่มีเจ้าพิธีกรรมบ้านี่ ตัวเธอคงพุ่งตรงไปยังรัฐบาลกลางแล้ว

 

ความโกรธในหัวใจของแอนนาเริ่มที่จะพุ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆ

 

เธอลุกขึ้นยืน และเดินไปไม่กี่ก้าวก็สะดุดขาตัวเองล้มลงไปจูบกับพื้น

 

ขวดไวน์ในมือลอยออกไปไกล กระเด้งลงบนพื้นกว่า2-3รอบก่อนที่จะหยุดนิ่ง

 

แอนนาไม่ยอมลุก เธอค่อยๆไถตัวเองไปข้างหน้าและคว้าขวดเอาไว้

 

โชคดีจริงๆที่ทุกครั้งหลังจากยกมันขึ้นดื่ม เธอจะปิดจุกก๊อกเอาไว้ และด้วยประสบการจากครั้งที่แล้ว ดังนั้นเธอจึงปิดจุกไว้อย่างแน่นหนา ไวน์จึงไม่ไหลออกมา

 

แอนนาถอนหายใจโล่งอก

 

แต่แล้วจู่ๆเธอก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งที่แปลกออกไปบนฝ่ามือของเธอ

 

แอนนายกมันขึ้นมามอง

 

ปรากฏว่าผิวหนังบนมือของเธอถูกกรีดจนฉีกขาด มันถลอกและโชกไปด้วยเลือด คาดว่าน่าจะมาจากการล้มลงเมื่อครู่

 

บาดแผลขนาดนี้ มันนับว่าไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไปแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม แอนนากลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากนัก

 

-นั่นเพราะธอดื่มจนเมามายมากเกินไป สมองที่ใช้สั่งการจึงเริ่มทื่อและด้านชา ความเจ็บปวดที่รับรู้ได้มันจึงไม่ค่อยหนักหนาเท่าใดนัก …

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.365 – แอนนากับเทพแห่งความตาย(1)

 

ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้หนึ่งวัน

 

ในคืนก่อนที่เวโรน่าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์

 

ขณะที่กู่ฉิงซานพึ่งกลับมาจากมหาสมุทรและตรงกลับไปยังวิลล่า

 

ขณะที่ซูเซี่ยเอ๋อยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งโชคชะตาอันไม่แน่ไม่นอน

 

ในช่วงเย็น

 

บริเวณเขตแดนเชื่อมต่อระหว่างจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์และฟูซี

 

ณ เมืองที่รกร้างแห้งแล้ง

 

ภายในโบสถ์ของตัวเมืองที่แม้จะทรุดโทรมไปบ้าง แต่ก็นับว่าโชคยังดีที่มีบาทหลวงชราคอยดูแลนรักษามันอยู่

 

ซึ่งโดยปกติแล้วประตูของโบสถ์จะถูกเปิดทิ้งเอาไว้ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงสายลมและสายฝน

 

ทว่าวันนี้ ประตูโบสถ์กลับถูกปิดสนิท

 

เมื่อชาวเมืองที่อยากรู้อยากเห็นมาเอ่ยถามว่าทำไม

 

แล้วพวกเขาก็ได้รับคำตอบว่า เชิงเทียนขนาดใหญ่ที่ติดอยู่เหนือเพดานมายาวนานกว่าร้อยปี และมักจะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปมายามปะทะกับลมฝน สุดท้ายก็ถึงคราสิ้นอายุขัย ถูกกระแสลมกระหน่ำจนมิอาจยึดติดกับเพดานได้อีกต่อไปในที่สุด

 

มันร่วงตกลงมาจากเพดาน

 

ร่วงตกลงใส่ม้านั่งที่ใช้สำหรับสวดอธิษฐาน และเกือบที่จะตกลงใส่หัวบาทหลวงชรา

 

ด้วยเหตุนี้ ทางโบสถ์จึงไม่สามารถเปิดทำการได้อีกต่อไป

 

บางที มันอาจจะจำเป็นต้องใช้เวลาซ่อมม้านั่ง หรือไม่ก็เป็นเพราะความเสียขวัญของบาทหลวง ที่ต้องการจะพักผ่อนทำใจเป็นระยะเวลาสั้นๆ จึงตัดสินใจประกาศปิดโบสถ์เป็นการชั่วคราว

 

ยามเมื่อประตูถูกปิด สรรพเสียงภายในกับภายนอกโบสถ์ก็แยกออกจากกันราวกับสองโลก

 

ภายในตัวโบสถ์อันเงียบสงบ

 

จู่ๆเสียงของบาทหลวงชราก็ดังขึ้น

 

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งในลำคอ “ฝ่าบาท ในประวัติศาสตร์ของตระกูลเมดิซี ท่านนับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิด และยังเป็นผู้นำตระกูลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคโบราณทั้งหมดนี้ได้”

 

“ผู้เฒ่าเช่นเราคิดว่าท่านกำลังจะกลายเป็นหนึ่งในผู้นำตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงเช่นนี้เลย”

 

ตรงกันข้ามกับเขา หญิงสาวหน้าตางดงามผู้ครอบครองผมสีแดงเพลิงได้กล่าวตอบกลับไปว่า “อย่าได้โน้มน้าวฉันอีกต่อไปเลย ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะต้องลองดู”

 

แอนนาล่ะ

 

แอนนาอยู่ในที่แห่งนี้

 

เธอกำลังแบกกระเป๋าสะพายหลังใบใหญ่ และยืนอยู่ภายในโบสถ์

 

บาทหลวงชรากล่าวอย่างขมขื่น “ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทางราชวงศ์ได้ผลิตผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมมามากมาย ทว่าสุดท้ายแล้วทุกคนก็จนปัญญา และไม่สามารถปลุกเทพแห่งความตายให้ตื่นขึ้นมาได้เลย”

 

“ทายาทหลายคนถึงขั้นยอมบูชายัญฆ่าตัวตายหน้ากล่องสมบัติ เพียงเพื่อหวังแค่ว่าเทพแห่งความตายจะปรากฏตัวขึ้น”

 

“แต่ไม่ว่าจะใช้กลวิธีใด กล่องสมบัติก็ยังไม่มีปฏิกริยาตอบสนองอยู่ดี”

 

“จากทั้งหมดทั้งมวลนี้ มีเพียงบรรพบุรุษรุ่นแรกของท่านเท่านั้นที่สามารถเปิดมันขึ้นมาได้”

 

“ฝ่าบาท กล่องสมับัติชิ้นนี้คือสิ่งโชคร้าย ผู้เฒ่าเช่นเราแนะนำให้ท่านควรรีบหันหลังย้อนกลับไปจะดีกว่า”

 

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระเถอะ ฉันเป็นผู้นำตระกูลแล้ว หากได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ไม่ว่ายังไงก็ต้องลองพยายามเปิดมันดู นี่เป็นกฏ!”

 

บาทหลวงชราถอนหายใจ “แต่ทางราชวงศ์น่ะไม่มีใครหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นภารกิจที่สำคัญที่สุดของท่านก็คือ ‘จะทำอะไรก็ต้องขอให้ยึดมั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง เพื่อรักษาสายโลหิตของตระกูลให้สืบสานต่อไป’ ”

 

แอนนาพยักหน้า “ที่ท่านเอ่ยมาก็ถูก ฉันไม่คิดจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพวกบรรพชนหรอก ฉันเพียงแค่ต้องการที่จะจบภารกิจรับสืบทอดมรดกนี้ในฐานะผู้นำตระกูลให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น”

 

บาทหลวงชราชะงักไปเล็กน้อย

 

แอนนากล่าวต่อ “ฉันไม่เคยคิดหรือรู้สึกว่าตัวเองจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพชนในประวัติศาสตร์หรอกนะ และแน่นอนว่าฉันก็ยังรักชีวิตของตัวเองเหมือนกัน ฉันเลยมาที่นี่ในฐานะผู้นำตระกูลเพียงเพื่อที่ในอนาคตฉันจะได้ระลึกถึงมันว่าตัวเองได้เลยลองพยายามที่จะทำมันอย่างเต็มที่แล้ว”

 

“ … แท้จริงแล้วมันเป็นเช่นนี้”

 

บาทหลวงชราจ้องมองการแสดงออกทางสีหน้าของเธออย่างรอบคอบ และตระหนักว่าเธอไม่มีความหวังใดๆแอบแฝงจริงๆ เขาก็รู้สึกโล่งใจ

 

เขากลัวว่าแอนนาจะทำอะไรไม่ยั้งคิด และต้องจ่ายออกไปด้วยราคามหาศาล เพียงเพื่อพยายามที่จะเปิดกล่องสมบัติที่ได้รับสืบทอดมา

 

ราชวงศ์เมดิซีในตอนนี้น่ะ ไม่สามารถที่จะสูญเสียผู้สืบสายโลหิตมากไปกว่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว

 

“แต่ — จากที่ตัวเราเฝ้ามองจากการแสดงออกของท่าน เพราะอะไรกันท่านถึงได้ดูมีท่าทีกังวลแบบนี้?” บาทหลวงชราเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

 

แอนนาตอบ “ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่เรื่องไร้สาระน่ะ ฉันแค่รีบมาที่นี่แล้วจะได้ทำให้มันจบๆและกลับไปซักที!”

 

เธอกำหมัดแล้วกล่าวออกมาว่า “ฉันได้เรียนรู้เทคนิคโบราณทั้งหมดมาแล้ว ฉันไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไป และฉันนี่แหละจะเป็นคนสังหารพระสันตะปาปาเอง!”

 

“ฝ่าบาท ตัวเราเชื่อในความสามารถของท่าน”

 

บาทหลวงชรายิ้มออกมา และดูเหมือนว่าเขาจะพอใจมากกับคำตอบนี้

 

“เช่นนั้นคำถามสุดท้ายนะฝ่าบาท” เขากล่าว

 

“ว่ามาสิ”

 

“เหตุใดจึงพกพาสิ่งของมามากมายเช่นนี้ … ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายของท่าน มันใช่อุปกรณ์สำหรับปลุกเทพแห่งความตายหรือไม่?”

 

“ถ้ามันอยู่ในกระเป๋าของหญิงสาว มันก็ต้องเป็นของใช้ส่วนตัวของหญิงสาวสิ มันจะไปเกี่ยวข้องกับเทพแห่งความตายได้ยังไง?”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า เข้าใจแล้ว เช่นนั้นได้โปรดตามเราเข้าไปข้างในด้วย”

 

บาทหลวงชราเดินนำทางไปยังที่ไหนสักแห่งในโบสถ์ และจุดคบเพลิงขึ้น

 

เขาถือคบเพลิงในมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างกดลงบนช่องลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิด

 

บังเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย

 

แล้วพื้นดินของตัวโบสถ์ลดระดับลง เผยให้เห็นถึงอุโมงค์ลับที่เป็นเส้นทางโบราณ

 

ฟิ้ว!

 

บังเกิดกระแสลมอันรุนแรงวิ่งผ่านขึ้นมาจากอุโมงค์ลับ กวาดกระจายไปทั่วตัวโบสถ์

 

บาทหลวงชราหันกลับมา และปลีกตัวไปอยู่หน้าปากทางเข้า

 

“ฝ่าบาท ขอจงโปรดระมัดระวังตัวให้ดี ไม่ว่าจะพบเจอกับอะไรก็ตาม”

 

บาทหลวงชรายื่นคบเพลิงให้แก่แอนนา

 

“เข้าใจแล้ว ท่านก็คอยคุ้มกันฉันจากด้านนอกนี้แล้วกัน ส่วนฉันจะเข้าไปดูข้างใน ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็จะถอนตัวกลับมาทันที ไม่ฝืนตัวเองจนเกินไปแน่นอน”

 

เธอคว้าคบเพลิงแล้วแล้วยื่นมันออกไปเบื้องหน้า ก้าวฝีเท้าเดินลงไปในอุโมงค์ทางเดินลับโดยไม่คิดเหลียวหลังกลับมา

 

บาทหลวงชราเฝ้ามองตามแผ่นหลังของแอนนา ถอนหายใจด้วยอารมณ์อันหลากหลาย “ฝ่าบาท ในที่สุดท่านก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆเสียที”

 

……..

 

แอนนากำลังเดินอยู่ภายในทางเดินลับ

 

หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่ง ทางเดินอุโมงค์ก็เริ่มจะดิ่งลง ดิ่งชนิดที่ว่าเกือบจะยกตัวขึ้นเป็นแนวตั้งตรง

 

แต่ละขั้น แต่ละตอน เท้าของแอนนาค่อยๆย่ำลงไปในความมืดมิด

 

สภาพแวดล้อมที่นี่เปียกชื้นและเย็นจัด

 

มีเพียงเฉพาะคบเพลิงในมือเท่านั้นที่คอยนำทางและให้แสงสว่างเล็กๆน้อยๆ

 

เวลานี้ แอนนาเดินลงมายาวนานกว่าชั่วโมงแล้ว แต่ฝีเท้าของเธอก็ยังคงย่ำลงไปอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ

 

สักพักเธอก็หยุดฝีเท้าลงและเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย

 

“เมื่อไหร่จะถึงซักที! เวลาของฉันมีไม่มากนักนะ มันจะสายไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”

 

สิ้นคำกล่าว แอนนาก็คว้าหมับ จับกระเป๋าสะพายให้แน่นขึ้น

 

จากนั้นเธอก็เลือกที่จะกระโดดจากมุมสูง ดิ่งลงไปในความมืดมิด

 

เบื้องหลังเหนือกระเป๋าสะพายของเธอ ปรากฏปีกคู่เปลวเพลิงอันร้อนแรง พัดกระพือให้อุณหภูมิในอากาศสูงขึ้น และแน่นอน ว่าแสงสว่างในที่มืดก็เช่นกัน

 

กระแสไอร้อนอบอ้าวส่งเสียงกระหึ่ม ขณะที่แอนนายังคงค่อยๆร่อนลดระดับลงมาอย่างช้าๆ

 

สายลมพัดผ่าน ส่งผลให้ผมของเธอพริ้วไหว เสียงหวีดหวิวดังลอดเข้ามาในหู

 

แอนนาเลือกที่จะร่อนลงไม่ห่างจากขั้นบันไดหิน และพบกับค้างคาวมากมายที่เกาะอยู่ตามอุโมงค์ บ้างเปล่งเสียง บ้างหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงของเธอ

 

เธอหลีกเลี่ยงอุปสรรคเหล่านี้โดยการเลือกที่จะไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย

 

ความเร็วในการบินแบบทิ้งตัวดังกล่าว มันว่องไวยิ่งกว่าเดินลงตามขั้นบันไดเป็นสิบเท่า!

 

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงต่อมา

 

แอนนาก็ได้มาถึงสุดทางเดินที่อาจเรียกได้ว่าเป็นก้นเหวลึกได้ในที่สุด

 

ที่นี่ช่างมืดมิดและเงียบสงบ

 

คบเพลิงกำลังจะมอดดับลงในไม่ช้า

 

แอนนาชูคบเพลิงขึ้น เพื่อที่เธอจะได้เห็นสภาพทุกอย่างโดยรอบตัวเธอ

 

แล้วก็พบกับประตูโลหะสีดำที่ปรากฏขึ้นตรงปลายอุโมงค์

 

ประตูใบนี้มีขนาดใหญ่มาก ถึงขั้นที่แอนนาต้องเงยหน้าขึ้นเพื่ออ่านคำแกะสลักที่จารึกอยู่เหนือขอบประตูด้านบน

 

‘เทพแห่งความตายหลับไหลอยู่ที่นี่ และผู้ที่ได้พบเห็นจะมีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่’

 

แอนนาอ่านคำเหล่านั้นทีละคำๆ ในหัวใจเริ่มฟุ้งซานไปครู่ใหญ่

 

ในประวัติศาสตร์ ครั้งหนึ่งเคยปรากฏสุดยอดตัวตนที่ทรงพลังขึ้น คนผู้นั้นเคยได้ออกสำรวจร่องรอยบางอย่าง และบังเอิญค้นพบความลับนี้ของตระกูลเมดิซีเข้า

 

ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะลอบเข้ามาที่นี่เพียงลำพัง

 

แต่ใครจะรู้ เมื่อเขาได้ก้าวเข้ามาอยู่หน้าประตูบานนี้ เขากลับเสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน?

 

ทุกคนที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับประตูบานนี้ ต่างก็จมลงสู่การหลับไหลชั่วนิรันดร์

 

มีเพียงเฉพาะคนของตระกูลเมดิซีเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่วิหารเบื้องหลังประตูบานนี้ได้อย่างปลอดภัย

 

อย่างไรก็ตาม ตระกูลเมดิซีกลับไม่เคยประสบความสำเร็จในการปลุกเทพแห่งความตายเลย

 

เหล่าผู้นำตระกูลเมดิซีมากมายที่ฉลาดและหลักแหลมต่างพยายามเค้นสมองอย่างสุดกำลังเบื้องหน้าประตูบานนี้ ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปและทำมันออกมาให้ดีที่สุด

 

พวกเขาพยายามที่จะปลุกเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหลอยู่ โดยบางคนถึงขั้นการฆ่าตัวตายเพื่อบูชายัญตนเองเบื้องหน้าแท่นบูชา

 

ทว่าผลลัพธ์ก็คือ มันยังคงไม่สามารถทำงานได้อยู่ดี

 

และแอนนาคงจะไม่เลือกทำเช่นนั้น

 

เธอกำสัญญาชีวิตที่แขวนอยู่บนคอ กลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ ก่อนจะกล่าวกับประตูโลหะสีทะมึนด้วยความจริงจัง

 

“ตัวข้า ผู้ที่ได้ทำสัญญากับเทพแห่งความตาย ผู้นำตระกูลคนใหม่ของเมดิซี , แอนนา เมดิซี , ร้องขอที่จะเข้าสู่พระวิหาร!”

 

สัญญาชีวิตดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นจู่ๆอุณหภูมิของมันก็ดิ่งวูบลงจนเย็นเยียบ

 

เกร๊ง!

 

เสียงของประตูโลหะสีทะมึนที่ถูกเปิดออก

 

ทันทีที่มันเปิดออก แอนนาก็เดินเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็ว

 

มีแค่เพียงความมืดมิดที่รายล้อมอยู่รอบตัวเธอ

 

ท่ามกลางความเงียบอันแสนจะน่าอึดอัดที่เพียงจะหายใจก็ยังรู้สึกยากลำบาก

 

นี่คือวิหารของเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหล

 

แอนนาเหยียดนิ้วออกไปและดีดมัน

 

เป๊าะ!

 

เปลวไฟเล็กๆปรากฏขึ้นบนนิ้วของเธอ มันสว่างไสวส่องสะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าอันงดงามของตนเอง

 

แอนนาสะบัดนิ้วมือของเธอ

 

และเปลวไฟที่ว่าก็ลอยออกจากนิ้วมือ ยกระดับขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนจะลุกพรึ่บ! กลายเป็นเปลวไฟก้อนใหญ่ที่ลุกโชติช่วง

 

ตลอดทั้งวิหารบังเกิดแสงสว่างเจิดจรัส

 

แอนนาหันไปมองรอบๆ

 

ถึงแม้ว่าเธอจะได้รู้จักสถานที่แห่งนี้ผ่านทางบันทึกของตระกูลมาก่อนแล้ว ทว่าพอได้มาเห็นของจริง แอนนาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจเล็กน้อย

 

ในสายตาเธอ ปรากฏรูปปั้นหินของมนุษย์ทั้งสิบสองตนที่มีความสูงระดับเดียวกันกับตึกสิบชั้น

 

สิบสองรูปปั้นหินล้วนถือเคียวยาวสีทมิฬ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจที่ใช้ขับไล่วิญญาณชั่วร้าย และปกป้องสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

 

หัวของรูปปั้นหินทุกคนถูกแกะสลักให้สวมใส่หน้ากากหัวสุนัข ซึ่งนี่บ่งบอกถึงหมายความที่ว่า มันได้กลืนกินร่างกายที่มีมลทินของคนตายและชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

อีกาดำและสุนัข เป็นผู้รับใช้ของเทพแห่งความตาย และคอยทำหน้าที่ต่างๆแทนเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหลอยู่

 

รูปปั้นเหล่านี้ล้วนเป็นเทพสุนัข

 

สิบสองรูปปั้นหินยืนอยู่ทางซ้ายและขวา รายล้อมรอบแท่นสูงที่อยู่ใจกลางพระวิหาร

 

มันเป็นแท่นบูชาที่สูงโดดๆ แลดูคล้ายกับหอคอย และไม่มีบันไดที่จะใช้เดินขึ้นไป

 

นี่คือสถาปัตยกรรมของวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งความตาย

 

ในแต่ละวิหารทั้งหลาย จะมีเพียงวิหารแห่งนี้เท่านั้นที่ท่านเทพได้ปรากฏกายขึ้น

 

นี่คือแท่นบูชาเทพแห่งความตาย

 

ที่ไม่ว่าสาวกคนใดก็มิได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังแท่นบูชาได้ เพราะที่นั่นคือตำแหน่งสูงสุดของเทพ และมนุษย์ไม่สามารถล่วงละเมิด

 

นี่คือคำอธิบายที่อยู่ในบันทึกของตระกูลเมดิซี

 

กล่องสมบัติแห่งความตายก็อยู่บนแท่นบูชาเช่นกัน

 

หากใครก็ตาม ประสบความสำเร็จในการปลุุกเทพแห่งความตาย เทพแห่งความตายก็จะปรากฏกายขึ้นบนแท่นบูชา จากนั้นก็ทำการเปิดหีบสมบัติที่วางอยู่ออกและมอบสมบัติอันล้ำค่าให้

 

แอนนาเดินไปยังใต้แท่นสูง

 

เธอก้มลงมอง

 

ปรากฏร่องรอยไหม้เกรียมสีเทาด่าง และคราบเลือดสีดำแห้งๆอยู่บนพื้น

 

และในมุมๆหนึ่งก็มีกระดูกของคนตายหลายคนกองรวมๆกันอยู่

 

กองกระดูกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเมดิซีที่พยายามจะร้องขอให้เทพแห่งความตายจุติลงมา

 

แอนนาเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน

 

มันคือแท่นบูชาเทพที่ถูกยกตัวขึ้น ด้วยแท่นหินที่วางเรียงกันเป็นรูปทรงกระบอก สูงขึ้นไปในอากาศโดยไร้ซึ่งขั้นบันไดให้เดินขึ้นไป

 

สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกระหว่างพระเจ้ากับพื้นพิภพ

 

เป็นเวลากว่าหลายพันปีแล้วที่หอคอยสูงแห่งนี้เงียบสงัด และไม่เคยปรากฏปาฏิหารย์ใดๆ

 

เมื่อเดินมาถึงแท่นบูชา แอนนาก็ประกบสองมือของเธอด้วยท่าสวดอ้อนวอนอธิษฐาน

 

พิธีได้เริ่มขึ้นแล้ว

 

แอนนาสูดหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มร่ายคำอธิษฐานออกมาดังๆ

 

“ท่านผู้พิพากษาความดีและความชั่ว”

 

“ท่านผู้ชี้นำดวงวิญญาณ”

 

“ท่านผู้เก็บรักษาความลับของความตาย”

 

“เทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหล”

 

“ตัวข้า ลูกหลานแห่งตระกูลเมดิซี ได้มาเยือนยังที่นี่เพื่อขอเข้าพบกับท่าน”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.364 – ถูกรับตัวไปโดยปีศาจ

 

“น้องชาย?”

 

บนใบหน้าของยี่ชาฉายแววเยาะหยัน “ไม่คิดเลยว่าคนเขลาเช่นเจ้า … จะใส่ใจไอ้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวไร้สาระนี่ด้วย”

 

ว่าจบ ปากก็พ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง สองตาค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ

 

เธอสิ้นใจแล้ว

 

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืนด้วยสีหน้าแลดูซับซ้อนเล็กน้อย

 

ในหมู่มวลมนุษย์ มืออาชีพที่ทรงพลังได้ตกตายลงไปอีกคนหนึ่งแล้ว

 

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นองค์จักรพรรดิฟูซีหรือพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เลือกก้าวเดินในเส้นทางที่ผิด

 

พวกเขาจะนำมนุษย์ชาติไปสู่ก้นบึ้งแห่งการทำลายล้าง

 

ดังนั้นการที่โลกจะต้องสูญเสียพวกเขาไปมันจึงไม่นับว่าเป็นสิ่งใด

 

แต่สิ่งที่ทำให้กู่ฉิงซานต้องเก็บมันมาคิดอย่างลึกซึ้งก็คือ ขณะที่เกิดการต่อสู้ขึ้นเมื่อครู่นี้ เขาได้เสียการควบคุมไป

 

ไพ่เทียนซวนชนิดใดกันที่สามารถทำให้เวลาหยุดนิ่งและพันธนาการพวกเขาทั้งสามคนได้ในคราเดียว?

 

ไพ่เทียนซวนปกติย่อมไม่มีทางทรงประสิทธิภาพถึงขนาดนี้เป็นแน่

 

เพราะถ้าไพ่เทียนซวนทั้งหมดมีประสิทธิภาพขนาดนี้จริง มืออาชีพในสายอื่นๆก็คงจะไม่มีใครเหลือรอดกันหมดแล้ว

 

แม้ว่าพระสันตะปาปาจะแข็งแกร่ง แต่มันก็แกร่งไม่พอที่จะทำให้เธอได้ครอบครองไพ่ที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้!

 

และอีกอย่างก็คือ ถ้าหากเธอแกร่งพอที่จะครอบครองไพ่ระดับนั้นจริงๆ ขอเพียงแค่เธอก็แค่จั่วมันขึ้นมาอีกใบ แล้วใช้มันพลิกสถานการณ์ สังหารตัวเขาและคนอื่นๆทุกอย่างมันก็จบ

 

กู่ฉิงซานย้อนคิดอย่างรอบคอบถึงทุกๆกระบวนการต่อสู้ระหว่างตนกับพระสันตาปาปา

 

ไม่น่าจะผิดพลาดแล้ว!

 

ไพ่ใบนั้นสามารถทำให้เวลาหยุดนิ่งได้จริงๆ และจากในบรรดาไพ่ทั้งหมดที่เธอมี ชัดเจนว่าไพ่ใบนั้นอานุภาพร้ายแรงที่สุด!

 

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดเลยก็คือ ซูเซี่ยเอ๋อก็มีม้วนคัมภีร์ที่อยู่ในระดับเดียวกันอยู่ด้วยเช่นกัน

 

ตอนนี้กู่ฉิงซานค่อนข้างมั่นใจว่า ซูเซี่ยเอ๋อไม่ได้ถูกส่งไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแน่นอน

 

แต่การที่สามารถได้ม้วนคัมภีร์อันแสนร้ายกาจเช่นนี้มาครอบครองได้นี่มัน … โลกแบบใดกันนะที่เธอถูกส่งไป?

 

ซางหยิงฮ่าวเช็ดเลือดตรงมุมปาก เดินกะเผลกๆมาข้างกายกู่ฉิงซาน สายตาจ้องมองไปยังร่างของพระสันตะปาปา

 

“ไม่คาคคิดเลยว่าวันหนึ่ง ผมจะได้มีส่วนร่วมในการลอบสังหารตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเช่นท่าน”

 

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆ”

 

เขาหันไปทางพระสันตะปาปา โค้งคารวะอย่างจริงใจ

 

เย่เฟย์หยูลอยลงมาจากท้องฟ้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆกู่ฉิงซาน

 

เย่เฟย์หยูเหลือบมองไปที่ฮัทท์ เอียงคอไปข้างกายและกระซิบถามอย่างเงียบๆ “แล้วจะเอาไงต่อ ฆ่าเจ้าหมอนั่นไปด้วยเลยไหม”

 

“ไม่เป็นไรไม่ต้องจัดการเขาหรอก เรื่องของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์น่ะ เดี๋ยวก็มีคนเข้ามาจัดการแทนพวกเราอยู่แล้ว”

 

“เรื่องของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์?” เย่เฟย์หยูทวนซ้ำ

 

แต่แล้วทั้งหมดก็ได้ยินเสียงอันไพเราะของหญิงงามที่ดังก้อง

 

“ฮัทท์! ในนามของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย ข้าขอถามเจ้าว่า เจ้ายังมั่นคงต่อศรัทธาของตัวเจ้าหรือไม่?”

 

สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าก้าวออกมาอย่างช้าๆ

 

ฮัทท์ก้มหน้าลง ปากเอ่ยงึมงำ “เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเอ่ยถามข้า”

 

“ผิดแล้ว ข้าย่อมมีคุณสมบัติอย่างแน่นอน” เวโรน่ากล่าว “ข้าเป็นถึงพระคาร์ดินัลแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ และเจ้าก็ร่วมงานกับข้ามาเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี ฉะนั้นเจ้าควรจะรู้ถึงความศรัทธาของข้าดี”

 

ฮัทท์เงยหน้าขึ้นและกล่าวสวนไปว่า “ข้ารู้ แต่ตอนนี้เจ้าเป็นกษัตรีย์แห่งฟูซีแล้ว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์อีก”

 

ท่าทีของเวโรน่าเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “แต่ก็ยังหลงเหลืออีกผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลเมดิซีที่แท้จริงคนนั้น! และเจ้าก็ควรที่จะซื่อสัตย์ต่อเธอ!!”

 

ฮัทท์กล่าวหยัน “เจ้ากำลังหมายถึงแอนนา? เด็กสาวตัวน้อยคนนั้นน่ะหรือ?”

 

“เธอไม่ใช่แค่เด็กสาวตัวน้อย แต่เธอคือผู้นำตระกูลเมดิซีของเราที่โดดเด่นที่สุดในระยะเวลากว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทรงอำนาจชนิดผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนทำได้เพียงแค่แหงนมอง มิอาจเทียบเปรียบกับเธอได้”

 

ท่าทีการแสดงของเวโรน่าเปลี่ยนเป็นดุดัน “ฮัทท์ เจ้ายังคงจดจำได้หรือไม่ ว่าถ้าหากเจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อตระกูลเมดิซี นั่นหมายความว่าเจ้ากำลังทรยศคริสตจักรศักดิสิทธิ์!”

 

“ฉะนั้น เจ้าจึงเหลือเพียงสองทางเลือก หนึ่งคือออกไปจากคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์เสีย อีกหนึ่งคือสาบานว่าจะมอบความภักดีให้กับคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ และตัดสินใจเรื่องนี้ร่วมกันกับสาวกศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ”

 

เวโรน่ากล่าวต่อ “ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางไหน ข้าก็สามารถรับประกันได้ว่าแอนนาจะต้องทำให้คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์เจริญรุ่งเรืองต่อไปได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมีเจ้าหรือไม่ก็ตาม”

 

เวโรน่าส่งสัญยาณไปทางองครักษ์วังเพื่อเปิดเส้นทางให้แก่เขา

 

ฮัทท์จ้องมองเธอด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

 

เวโรน่าเดินมาหากู่ฉิงซานและคนอื่นๆ สายตาก้มลงมองไปยังร่างของยี่ชา

 

“คนๆนี้ทำการยึดประเทศและลอบสังหารกษัตริย์ แต่สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือเจ้า”

 

“นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับตระกูลเมดิซี และเป็นช่วงเวลาที่คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์จะได้ถือกำเนิดใหม่!”

 

เธอหลั่งน้ำตาและยิ้มให้กับตัวเอง … มันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจของเธอ

 

สมเด็จพระจักรพรรดินีหันมาประกาศกับทุกคนด้วยน้ำเสียงดังลั่น “เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเมดิซี คือผู้มีพระคุณของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย ข้าขอยกย่องสำหรับความกล้าหาญนี้ ด้วยการมอบความรุ่งโรจน์อันหาที่ใดเปรียบแก่เจ้า!”

 

หนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือเสมอหน้าอก กู่ฉิงซานโค้งกายลงและกล่าว “ขอบพระคุณสมเด็จพระจักรพรรดินี”

 

…..

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์อันห่างไกล

 

ณ โบสถ์ใหญ่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์

 

ภายในห้องลับใต้ดิน

 

ไพ่ที่ลอยอยู่เหนือสระเลือด ‘เพรียกปีศาจ’ ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆอย่างฉับพลัน

 

แสงที่เปล่งออกมาจากมันหายไปทันที

 

ภายในสระเลือด บังเกิดเสียงกระซิบพึมพำออกมาว่า “นางได้ตายลงแล้ว … นี่มันช่างน่าประหลาดใจโดยแท้”

 

“ดูเหมือนว่าเทพแห่งความตายจะโกรธเกรี้ยวเธอมากเป็นพิเศษ จนแม้กระทั่งไพ่ของข้าก็ยังไม่อาจหยุดยั้งเทพแห่งความตายได้”

 

เลือดก่อร่างขึ้นบนฝ่ามือของเขา และผุดออกไปจากสระเลือด

 

“อา .. พลังของสระเลือดในตอนนี้ คงเพียงพอแล้วที่จะช่วยให้ข้าเปิดช่องว่างระหว่างสองโลก และกลับคืนสู่แดนแห่งการชำระล้างเสียที”

 

เลือดที่ผุดออกมาลอยล่องอยู่กลางอากาศ ราวกับว่ามันกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่าง

 

“สิ่งที่หาได้ยากที่สุดในหมื่นโลกา ก็คือจิตวิญญาณของผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์จากเกาะหมอก และข้าจะต้องได้รับมันมาให้จงได้!”

 

เลือดที่ลอยล่องเริ่มจะพลุ่งพล่าน

 

“ตามที่สัญญากันไว้ ยี่ชา .. ข้าจะขอรับเอาจิตวิญญาณของเจ้าไป!”

 

ในกระแสเสียงของเขา มันแฝงไว้ด้วยร่องรอยของความตื่นเต้น

 

ณ ฟูซี

 

ภายในห้องโถงจัดเลี้ยง

 

จู่ๆยี่ชาก็ลืมตาขึ้นในทันใด

 

ดาบของกู่ฉิงซานยังคงจ้วงแทงลึกลงในหัวใจของเธอ

 

ยี่ชาหันไปมองรอบๆ ก่อนจะก้มมองดูเลือดและดาบที่ปักเสียบคาอยู่บนหน้าอกของเธอ

 

เธอลุกขึ้นมาจากตัวเอง และก้มลงมองศพใต้ฝ่าเท้า

 

ผู้คนทั้งหมดในที่แห่งนี้ ไม่มีใครมองเห็นเธอเลย

 

ความกระจ่างชัดปรากฏขึ้นในจิตใจของยี่ชา

 

-เธอได้เสียชีวิตลงแล้ว

 

“โอ๊ะ?  นี่น่ะหรือคือสาเหตุการตายของเจ้า” เสียงในอากาศดังขึ้น

 

ยี่ชาเงยหน้าขึ้นมองและร้องออกมา “แอสเมิร์ด!”

 

“เป็นข้าเอง ข้ามารับตัวเจ้าเพื่อออกไปจากโลกอันแสนสับสนวุ่นวายใบนี้”

 

แอสเมิร์ดปรากฏร่างของเขาออกมา

 

และก็ไม่มีใครสามารถมองเห็นเขาได้เช่นกัน

 

นั่นเพราะในขณะนี้ ตัวเขาได้อยู่ในสถานะของจิตวิญญาณ

 

ยี่ชามองไปทางแอสเมิร์ด น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “แอสเมิร์ด โปรดแก้แค้นให้ข้าด้วย! ไม่ว่าเจ้าจะต้องการสิ่งใด ข้าก็ยินดีจะจ่ายมันออกไปทั้งสิ้น!”

 

แอสเมิร์ดส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ได้หรอก เพราะนี่เป็นเจ้าเองที่พลาดพลั้ง ตามสัญญา ตอนนี้เจ้ากลายเป็นของข้าโดยสมบูรณ์ ดังนั้นทุกสิ่งที่เจ้ามีอยู่ก็คือของข้า แล้วเจ้าจะใช้ของๆข้าจ่ายให้ตัวข้าเองได้อย่างไร?”

 

น้ำเสียงของยี่ชาเริ่มที่จะกระวนกระวาย “เจ้าไม่ต้องการทราบหรือว่าแท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นกับปรภพ? หากเจ้าช่วยข้าแก้แค้น ข้าจะบอกความลับที่ข้ารู้ให้เจ้าทราบเอง”

 

เสียงของแอสเมิร์ดดูจะอ่อนโยนลง “เจ้าโกหกได้ไม่เอาไหนจริงๆ ยี่ชาเอ๋ย ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง ข้าน่ะไม่ได้สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านคนอื่นหรอกนะ”

 

แอสเมิร์ด “ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ข้าสนใจน่ะ มีเพียงจิตวิญญาณของเจ้าเท่านั้นแหละยี่ชา‘

 

“เจ้าเป็นผู้ใช้ไพ่ที่ชั้นยอดคนหนึ่ง และข้าต้องการให้เจ้าเดินทางมากับข้า นำมาซึ่งผลประโยชน์อันหาที่ใดเปรียบให้แด่ข้า!”

 

ทันใดนั้นยี่ชาก็ร้องออกมาด้วยความเกลียดชัง “เจ้าต้องช่วยข้านะ ช่วยสังหารศัตรูให้ข้า! แล้วข้าจะยินดีจ่ายทุกอย่างเลย!”

 

แอสเมิร์ด เอ่ยถาม “ทุกอย่างเลย? มันจะเป็นไปได้หรือ?”

 

“ใช่แอสเมิร์ด ทุกอย่างเลย!”

 

“เช่นนั้นข้าขอเป็น ‘ระบบ’ที่ถูกสร้างขึ้นโดยจิตวิญญาณของเจ้า นี่แหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ เจ้าจะว่าอย่างไรล่ะยี่ชา”

 

ยี่ชาพอได้ยิน ทั้งร่างก็ชะงักงันไป

 

คราวนี้ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”

 

เสียงของแอสเมิร์ดดูจะเต็มไปด้วยความภาคภูมิ “เจ้าเป็นคนที่ถูกเลือกโดยสวรรค์ที่ออกมาจากเกาะหมอก คือการดำรงอยู่ของผู้ฝึกสอน – และแน่นอนว่าเจ้าย่อมสามารถสร้างระบบขึ้นมาได้ด้วยไพ่เทียนซวน ใช่หรือไม่?”

 

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากข้าทำเช่นนั้น ข้าจะต้องสูญสิ้นตัวตน ต้องสละทุกสิ่งอย่าง กลายเป็นตัวตนที่มองไม่เห็น ต้องคอยต่อสู้กับวันสิ้นโลกตลอดไป ต้องทนทุกข์ทรมาณเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเพียงใด!?”

 

ยี่ชาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องการที่จะให้เจ้าช่วยแก้แค้นแล้ว แอสเมิร์ด!”

 

แอสเมิร์ดร่อนลงมาจากอากาศที่ว่างเปล่า และคว้าหมับ! เข้าที่คอของยีชา

 

เขาระเบิดเสียงคำรามออกมา “เจ้ามันก็แค่คนเขลา! มิได้รู้อะไรเกี่ยวกับระบบเลย!”

 

“จงมากับข้า แล้วข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นเองว่าพลังอันแสนล้ำค่าของระบบมันคืออะไร แล้วมันจะช่วยให้ข้าและเจ้าได้รับผลประโยชน์มหาศาลขนาดไหน”

 

พอเอ่ยถึงจุดนี้ น้ำเสียงของเขาก็คลายลง “สิ่งมีชีวิตทั้งมวล ทุกสิ่งอย่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าระบบ … มันก็เป็นเพียงลูกแกะที่รอวันถูกสังหารเท่านั้น!”

 

แต่แล้วขณะที่เขากล่าว จู่ๆในหัวใจของเขาก็บังเกิดประกายวาบผ่านเข้ามา

 

หรือว่าเขาจะฆ่าพวกมดตัวจ้อยซักสองสามคนเพื่อระบายความโกรธแค้นให้แก่ยี่ชาซักหน่อยก็น่าจะดี?

 

ดวงตาของเขากวาดผ่านไปทั่วทั้งโถงจัดเลี้ยง และในที่สุดก็ตกลงบนสองดาบยาวข้างกายของกู่ฉิงซาน

 

เมื่อเห็นเช่าหยิน แอสเมิร์ดก็ดูจะประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อเขาเห็นดาบพิภพ กลับบังเกิดประกายของความหวาดกลัวขึ้นในแววตาของเขา

 

หลังจากมองสองดาบแล้ว แอสเมิร์ดก็หันไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

 

ด้วยพลังอำนาจชนิดอยู่ยงคงกระพันของเขา ตนจึงสามารถมองเห็นถึงบุคลลที่แม้จะมีเพียงร่างจางๆราวกับภาพลวงตา ทว่ากลับน่าสะพรึงกลัวที่สุดในห้องโถงแห่งนี้ได้ -คนๆนั้นกำลังยืนถือไม้คทาอยู่อย่างเงียบๆ

 

ชายผู้นั้นแม้จะมีร่างกายผ่ายผอม ทว่าส่วนเหนือลำตัวขึ้นไปกลับเป็นหัวสุนัข!

 

รูม่านตาของแอสเมิร์ดหดวูบลงอย่างกระทันหัน

 

ผู้รับใช้เทพแห่งความตาย .. ก็อยู่ที่นี่!?

 

“นั่นเจ้ามัวแต่เหม่อมองอะไรอยู่?” ยี่ชาเบนสายตามองตามเขา ทว่ากลับเห็นเพียงความว่างเปล่า มันไม่มีอะไรอยู่เลย

 

“ไม่หรอก ไม่ได้มองสิ่งใด”

 

แอสเมิร์ดตอบปัด

 

เขาตัดสินใจที่จะไม่สร้างปัญหา ละเรื่องการสังหารคนเพื่อเอาใจยี่ชาไป

 

ยี่ชาไม่อยากจะเชื่อได้เลย เธอกล่าวอย่างลังเลว่า “แล้วที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่มันเป็นความจริงหรือ?”

 

แอสเมิร์ดกล่าว “แน่นอน! หลังจากที่รู้ถึงความลับที่แท้จริงของระบบ เจ้าจะร่ำไห้และอ้อนวอนให้ข้าช่วยเปลี่ยนเจ้าเป็นระบบอย่างแน่นอน แล้วจากนั้นชีวิตเจ้าก็จะพานพบแต่ความสุขไปชั่วนิรันดร์”

 

“แอสเมิร์ด บอกข้ามาว่าความลับของระบบคืออะไร!” ยี่ชาเอ่ยถามอย่างไม่เต็มใจ

 

“ระบบไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อ ‘ช่วย’ โลกเสมอไป แต่มันยังสามารถทำให้ทุกสรรพชีวิตกลายเป็น ‘ทาส’ ได้อีกด้วย เจ้าไม่รู้เรื่องนี้เลยหรอกหรือ?”

 

แอสเมิร์ดกล่าวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

ยี่ชาพอได้ฟังก็ชะงักงันอย่างรุนแรง

 

เธอไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันเลย แค่ยามที่ครอบครองมัน เธอจะรู้สึกเพียงว่ามีบานประตูกำลังเปิดอยู่เบื้องหน้า

 

และภายนอกประตูบานนั้น มันคือโลกใบใหม่ที่เธอไม่เคยพบเจอโดยสมบูรณ์

 

แอสเมิร์ดกล่าวเตือน “ไปได้แล้ว จงมากับข้า ตัวข้าไม่อาจอยู่ที่นี่เป็นเวลานานได้!”

 

เขาโบกมือออกไปพร้อมกับหลุมดำที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

แล้วสองดวงจิตก็ถูกดูดเข้าไป หายวับมิอาจมองเห็นได้อีกเลย

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.363 – ความตายได้มาเยือน

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น เวโรน่าก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะเดินเข้าไปหายี่ชา

 

“เชิญกล่าวมาได้เลย ทางราชวงศ์ฟูซีของเราไม่มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับความน่าอับอาย!” เธอกล่าว

 

ยี่ชาเมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมเดินเข้ามาจริงๆ คิ้วของเธอก็ยกสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด

 

ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ

 

ภายใต้สายตาที่กำลังเฝ้ามองด้วยความสนใจของทุกผู้คน เวโรน่าได้เดินมาจนหยุดอยู่เบื้องหน้ายี่ชา

 

ด้วยระยะห่างระหว่างทั้งสองในเวลานี้ มันแคบจนเรียกได้ว่าไม่ถึงครึ่งเมตรด้วยซ้ำ!

 

ช่างโง่เขลา …

 

ยี่ชาพึมพำในจิตใจของเธอ

 

เวลานี้ มันก็เหมือนกับว่าอีกฝ่ายได้ยอมรับ พร้อมใจให้เธอลงมือสังหารตนเองแล้ว

 

และทันที่ที่เวโรน่าตาย ฟูซีก็จะตกอยู่ในความโกลาหล

 

จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ถูกคว้ามาอยู่ในมือของเธอตั้งนานแล้ว และหากฟูซีระส่ำระส่าย เธอก็จะใช้พลังอำนาจของตน กลืนกินดินแดนอันไพศาลของฟูซีมาไว้ในครอบครองเช่นกัน

 

ประชาชน ทรัพยากร ความมั่งคั่ง และมืออาชีพ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เธอต้องการ

 

ยี่ชาค่อยๆยืนขึ้นอย่างช้าๆ

 

เธอเอ่ยเสียงกระซิบว่า “เวโรน่า ข้าจะขอบอกเพียงสั้นๆว่า อีกาดำของเจ้าหรือไอ้ผู้พิทักษ์ในชุดเกราะทองคำน่ะ แท้จริงมันเป็นหัวขโมย! เขาได้ขโมยสมบัติของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ไป และเจ้าต้องพาตัวมันมาพบข้าทันที มิฉะนั้นก็จงอย่าหาว่าข้าไม่สุภาพ”

 

เวโรน่าเอ่ยถาม “สมบัติของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์? มันคืออะไรกัน?”

 

ยี่ชานิ่งงันไป ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ในงานเลี้ยงของมาดามดู่ เขาได้ขโมยภาพวาดไป”

 

“ภาพวาด?” เวโรน่ากล่าวด้วยความสงสัย

 

ยี่ชา “ภาพวาดของแอนนาและพระบิดา”

 

เวโรน่ามองยี่ชา รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ

 

เธอกล่าว “หากเป็นภาพใบนั้น ข้าจดจำได้ว่ามันเป็นภาพวาดของราชวงศ์ ครั้งหนึ่งองค์ราชาเคยให้มาดามดู่ยืมไปจัดแสดงในห้องนิทรรศการ แล้วสิ่งนี้กลายเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อใด?”

 

“อีกอย่าง ถึงอีกาดำจะเอาภาพวาดนั้นไปจริงๆ แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกาดำไม่ได้มอบมันคืนให้แก่แอนนาแล้ว?”

 

“องค์หญิงแอนนาเป็นทายาทผู้สืบทอดสมบัติและความมั่งคั่งทั้งหมดของราชวงศ์ หากเธอต้องการสิ่งใด เธอก็ไม่จำเป็นต้องขอความเห็นใดๆจากเจ้า และที่สำคัญก็คือ เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงมาชี้นิ้วสั่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของราชวงศ์?”

 

ถามไปประโยคเดียว โดนสวนกลับมาสองสามดอก ยี่ชาก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง

 

หากกล่าวกันตามปกติแล้ว นี่นับว่าเป็นข้อแก้ต่างที่สมบูรณ์แบบ

 

“ก็ได้ ถ้าอย่างงั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอีกแล้ว” ยี่ชาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่ผู้พิทักษ์ของเจ้าไม่เพียงแต่จะลักขโมยสิ่งของ แต่ยังได้ลงมือลอบสังหารข้าอีกด้วย!”

 

สิ้นประโยคนี้ ภายในห้องจัดเลี้ยงก็บังเกิดความวุ่นวายขึ้น

 

ยี่ชาจ้องมองเวโรน่า ปากอ้าขยับ เปล่งเสียงของมาทีละคำ ทีละคำ “จง-ให้มัน-ออกมา-พบ-กับข้า-ได้ยินไหม?”

 

“เจ้ากล่าวหาว่าเขาลอบสังหารเจ้า? นี่มันน่าสนใจจริงๆ”

 

สีหน้าประชดประชันของเวโรน่ายิ่งมายิ่งชัดเจนขึ้น

 

ต่อหน้าผู้คนทั้งหมด เธอค่อยๆกล่าวออกมาอย่างช้าๆ “เป็นที่ทราบกันดีว่า เทพอีกากับเทพสุนัขเป็นผู้อุปถัมภ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย เป็นผู้รับใช้ของเทพแห่งความตายที่หลับไหล”

 

“หากเจ้าบอกว่าอีกาดำคิดลอบสังหารเจ้า – นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็นแล้ว”

 

“สิ่งที่ควรจะเป็น?” ยี่ชาเอ่ยทวนซ้ำ

 

“ใช่ เพราะเจ้าขโมยสิทธิ์อำนาจของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ไป หมิ่นเกียรติแห่งพระผู้เป็นเจ้า เทพอีกาดำจึงต้องการที่จะลงโทษเจ้า แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

 

“หากเจ้าเป็นพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายจริงๆ แล้วอีกาดำจะนำความตายไปสู่เจ้าได้อย่างไร?”

 

เวโรน่าสังเกตสถานการณ์โดยรอบ ก่อนจะเปล่งวาจาลั่น “ แท้จริงแล้วเจ้าน่ะมันเป็นคนบาป! คนบาปที่คิดแย่งชิงอำนาจรัฐ! ดังนั้นเทพแห่งความตายจึงตัดสินอาญา นำความตายมาสู่เจ้า!”

 

ยี่ชาไม่สามารถยับยั้งเจตนาฆ่าในหัวใจของเธอได้อีกต่อไป  เธอยกมือขึ้นอีกครั้ง และกล่าวว่า “ช่างยโสนัก! รู้หรือไม่ว่าข้าก็สามารถนำความตายมาสู่พวกเจ้าได้เช่นกัน!”

 

ไพ่หลายใบปรากฏขึ้นในมือของเธอ

 

เธอกำลังคิดจะฆ่าเวโรน่า!

 

แต่พริบตานั้นเวโรน่าก็หายตัวไป

 

พร้อมกับสามเด็กหนุ่มที่มาปรากฏอยู่เบื้องหน้ายี่ชาแทน

 

กู่ฉิงซานผละสองมือของเขาลงจากไหล่ของซางหยิงฮ่าวและเย่เฟย์หยู

 

ด้วยร่างเงาแทนที่ พวกเขาได้ทำการแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับเวโรน่า!

 

“อะไรกัน!”

 

รูม่านตาของยี่ชาเบิกกว้างขึ้น เผลออุทานออกไปโดยไม่รู้ตัว

 

เธอรู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

ท่ามกลางช่วงเวลาที่กำลังเดือดพล่าน

 

ซางหยิงฮ่าวคว้าจับสองกริชสีเขียวอ่อนในมือ และวาดคมมีดโค้งเป็นรูปกากบาทตรงไปยังลำคอของยี่ชา

 

เย่เฟย์หยูตะคอกคำหนึ่ง สองมือประสานเข้าด้วยกัน ผลักดันเลือดสังหารสีแดงสดออกมา

 

ดาบยาวโผล่ออกมาเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน เขาคว้าจับมัน และทิ่มตรงออกไป!

 

ทั้งสามโผล่ออกมาในเวลาเดียวกัน และระเบิดกระบวนท่าสังหารออกไป หมายจะฆ่าศัตรูตรงหน้าในคราเดียว!

 

ซางหยิงฮ่าวน่ะเป็นถึงราชานักฆ่าผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกในด้านลอบสังหาร!

 

ส่วนเย่เฟย์หยูก็ดูจะเหนือล้ำยิ่งกว่าตัวตนที่ทรงพลังในขั้นห้าไปแล้ว เขาคือผีดิบนักฆ่าสุดแกร่งอย่างหาที่ใดเปรียบ!!

 

และสุดท้าย กู่ฉิงซาน เขาคือนักดาบนิรันดร์ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง!!!

 

ผู้ฝึกดาบน่ะ จะสามารถระเบิดพลังที่แท้จริงของพวกเขาออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็ในการต่อสู้ระยะประชิดนี่แหละ ดังนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึงกู่ฉิงซานที่ในเวลานี้อยู่ในขอบเขตนักดาบนิรันดร์

 

แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธที่มีขอบเขตสูงกว่านักดาบนิรันดร์ พวกเขาก็ยังไม่กล้าที่จะให้นักดาบนิรันดร์ย่างกรายเข้ามาในระยะประชิด!

 

การดำรงอยู่ของตัวตนทั้งสามได้ระเบิดการโจมตีในช่วงเวลาเดียวกัน ย่อมไม่มีใครในโลกสามารถต้านทานได้!

 

กระทั่งยี่ชาเองก็ไม่เว้น หากเธอตอบสนองผิดพลั้งไปแม้เพียงน้อย ก็ย่อมต้องถูกสังหารลงทันที!

 

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายที่ใกล้เข้ามา

 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆไพ่ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของยี่ชาอย่างกระทันหัน

 

มันคือไพ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสดใส … ไพ่ที่เธอพึ่งได้รับมันมาจากแอสเมิร์ด!

 

เปลวเพลิงสาดกระจายออกไปโดยสมบูรณ์

 

ไพ่ได้เผยถึงลักษณะที่แท้จริงของมันออกมา

 

เห็นแค่เพียงภายในไพ่ถูกวาดเป็นรูปนาฬิกาโบราณ

 

ขณะเดียวกันก็มีโครงกระดูกนับไม่ถ้วนที่กำลังปีนป่ายอยู่บนมัน ทั้งหมดพยายามอย่างสุดกำลังที่จะยื่นมือออกไปคว้าเข็มบนนาฬิกาไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

 

‘ไพ่อสูรกาย: การแลกเปลี่ยนของปีศาจ’

 

“คำอธิบาย : เมื่อภัยคุกคามร้ายแรงเกิดขึ้น ศัตรูที่เริ่มโจมตีจะถูกแช่ให้คงสภาพอยู่ในสถานะเริ่มโจมตีเป็นเวลา 5 วินาที”

 

ทันทีที่ไพ่ถูกเปิดใช้งาน มันก็พลันแตกร้าว และกระจายเป็นสะเก็ดดาวไปทั่วบริเวณ

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงของผู้ชายก็ดังขึ้นในจิตใจของยี่ชาอย่างรวดเร็ว

 

“ยี่ชา ความตายอันลึกล้ำกำลังย่างกรายมาหาตัวเจ้า”

 

“ไพ่ใบนี้เป็นของขวัญแห่งข้า และมันเพียงพอสำหรับเจ้าที่จะใช้เข่นฆ่าสังหารศัตรูที่เข้ามาคุกคาม!”

 

“จงจดจำเอาไว้ ขอให้เจ้าทุ่มสุดกำลังในช่วงเวลานี้!”

 

ห้าวินาที! ได้เริ่มนับขึ้นแล้ว!!

 

วินาทีแรก

 

ยี่ชาที่กำลังฟังเสียงของแอสเมิร์ดยังคงตกอยู่ในอาการช็อก

 

เธอเอื้อมมือไปจั่วไพ่ของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว

 

ตรงข้ามกับเธอ กู่ฉิงซาน ซางหยิงฮ่าว เย่เฟย์หยูยังคงนิ่งงัน

 

บังเกิดการไหลเวียนของกระแสลมที่มองไม่เห็นห่อหุ้มทั้งสามเอาไว้ แน่นอนว่ามันรวมไปถึงกริช เลือดสังหาร และรัศมีดาบสีขาวนวลดั่งแสงจันทร์ ทั้งหมดทั้งมวลหยุดนิ่งอยู่กลางเวหาอย่างสิ้นเชิง มิอาจเขยื้อนได้แม้แต่น้อย

 

พวกเขาตกอยู่ในสถานะหยุดนิ่งของเวลา

 

และตรงข้ามกับพวกเขา ในวินาทีที่สอง ยี่ชาก็จั่วไพ่ทั้ง 11 ใบออกมาได้โดยสมบูรณ์!

 

วินาทีที่สอง ได้เริ่มนับขึ้นแล้ว!

 

ยี่ชาทิ้งไพ่ที่ไร้ประโยชน์ไปหลายใบ และเริ่มทำการจั่วไพ่ขึ้นมาอีกครั้ง

 

เวลาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย 5 วินาที โดยที่อีกฝ่ายไร้ซึ่งการต่อต้าน มันนับว่าเพียงพอแล้วที่เธอจะระเบิดพลังของตนออกมาอย่างเต็มกำลัง!

 

เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์ “คิดลอบสังหารข้า? บังอาจนัก! จงตายเสีย!!”

 

วินาทีที่สาม ได้เริ่มนับขึ้นแล้ว!

 

ยี่ชากำลังปลุกเร้าแต้มพลังวิญญาณของเธอ และกระตุ้นไพ่ทั้ง 11 ใบในมือทีละใบ ทีละใบ

 

ส่วนทางฝั่งกู่ฉิงซาน ดาบอีกเล่มหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องรีรอให้ดาบเล่มนั้นเคลื่อนไหว

 

เหนือหัวของกู่ฉิงซาน จู่ๆก็ปรากฏม้วนคัมภีร์สีเลือดโผล่ออกมา!

 

“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”

 

“คำอธิบาย : เมื่อศัตรูเตรียมที่จะทำการโจมตีขั้นร้ายแรง สติอารมณ์และสภาวะจิตใจของศัตรูจะตกอยู่ในสถานะว่างเปล่าเป็นเวลา 3 วินาที”

 

ม้วนคัมภีร์สีเลือดสาดแสงสีแดงดุดันออกมา

 

เมื่อยี่ชาเห็นม้วนคัมภีร์นี้ เธอก็กรีดร้องออกมาราวกับเห็นภูติผี! “ไม่จริง! นั่นมันคัมภีร์ของชุดคลุมเลื -”

 

และในตอนนั้น เธอก็รู้สึกราวกับว่าถูกกระแทกที่ศีรษะอย่างแรง ทั้งคนทั้งร่างไร้สตินิ่งงันไป

 

‘ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ’ เริ่มทำงาน!

 

สองมือที่กำลังจะเคลื่อนไหว นิ่งงันไปในวินาทีที่สี่!

 

ไพ่ทั้ง 11 ใบของยี่ชาร่วงตกกระจัดกระจายจากมือ และสลายหายไป

 

ภายในวินาทีนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างนิ่งงัน ตกอยู่ในสภาพมิอาจเคลื่อนไหวได้

 

วินาทีที่ห้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ปงงง!

 

ปงงง!

 

บังเกิดสองเสียงดังขึ้นเล็กน้อยในช่วงเวลาเดียวกัน

 

‘การแลกเปลี่ยนของปีศาจ’ และ ‘ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ’ ทั้งหมดแตกกระจายหายไปในเวลาเดียวกัน

 

ทั้งสองฝ่ายเรียกคืนความสามารถในการเคลื่อนไหวกลับมาได้อีกครั้ง

 

สามการโจมตีฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่าถลามาถึงตัวยี่ชา

 

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ยี่ชาก็ได้เตรียมความพร้อมไว้ก่อนแล้ว

 

เธอจั่วไพ่ออกมาอย่างเร่งร้อน ปากอ้าตะโกนขึ้นในเวลาเดียวกัน “ฮัทท์!”

 

ฮัทท์คือนักรบที่ทรงพลังที่สุดของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์

 

ตราบใดที่เขาก้าวเข้ามารับหน้าแทนตน ยี่ชาก็จะมีเวลามากพอที่จะใช้งานไพ่ของตัวเอง

 

ยี่ชาเชื่อมั่นว่ามันต้องเป็นแบบนั้น

 

ไพ่ใบแรกปรากฏขึ้นในมือของเธอ

 

แต่การจู่โจมแรกของซางหยิงฮ่าวก็ได้มาถึงแล้วเช่นกัน!

 

“จงขับไล่!”

 

ยี่ชายกไพ่ขึ้นแล้วตะโกน

 

ซางหยิงฮ่าวถูกตีกระแทกด้วยบางสิ่ง พุ่งฟิ้ว!ปลิวกระเด็นออกไป

 

“จงกระจาย!” ยี่ชาจั่วไพ่ใบที่สองออกมา

 

บังเกิดพลังสายลมอันอ่อนนุ่ม พัดพาเอาเลือดสังหารและเย่เฟย์หยูโบยบินห่างออกไป

 

ยี่ชาปลีกตัวถอยออกมา

 

เธอต้องการจะให้ฮัทท์สลับหน้าที่รับมือกับกู่ฉิงซานแทนตนเอง

 

ตราบใดที่ฮัทท์หยุดการโจมตีจากดาบยาวของกู่ฉิงซานได้ ตนก็จะมีเวลามากพอที่จะจั่วไพ่ออกมาอีกสองใบ!

 

และด้วยไพ่สองใบนี้ ตนก็จะพอมีเวลาได้พักหายใจเสียที

 

–อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่มีใครโผล่ออกมา

 

ปลายดาบยาวของกู่ฉิงซาน … เจาะ! ทะลวงเข้าไปในหน้าอกของเธอ!

 

สีหน้าของยี่ชาแปรเปลี่ยนกลับกลายครั้งใหญ่ เธอจำต้องเสี่ยงชีวิตจั่วไพ่ขึ้นมาอีกใบหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

สายตาสาดลงบนไพ่ใบนั้น และสีหน้าของเธอก็เผยถึงความสุขชั่วครู่หนึ่ง

 

นี่คือไพ่ป้องกัน

 

ตราบใดที่ฮัทท์ก้าวออกมา และถูกหนุนเสริมด้วยไพ่ใบนี้ เขาก็จะรับมือกับศัตรูตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย

 

ยี่ชากระตุ้นไพ่ป้องกันใบนี้ทันที

 

ในเวลาเดียวกัน โล่ศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเธอในทันใด

 

ปุ!

 

ทว่ากลับเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เพราะดาบที่สมควรจะอยู่ข้างหน้า กลับแทงทะลุอกมาจากทางเบื้องหลังเธอ!

 

ยี่ชาแข็งค้าง

 

นี่เป็นดาบที่คุกคามถึงชีวิต

 

‘เทคนิคลับแห่งดาบ กลืนกินหวนกลับ!’

 

เบื้องหลังเธอ … ไม่ได้มีไพ่ป้องกัน ..

 

เธอใช้มือคว้าจับปลายดาบ ที่ยามนี้ทิ่มแทงผ่านหัวใจเธอทะลุออกมาจากอก และพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะหันคอมองไปยังทิศทางที่ฮัทท์ยืนอยู่

 

มันก็จริงที่เปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์กำลังเผาไหม้อยู่ในมือของสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์ แต่ทว่า … เขากลับยังคงยืนอยู่อย่างเงียบๆ

 

เขายับยั้งตนเอง และเลือกที่จะไม่ก้าวเข้าไปร่วมต่อสู้

 

และค่อยๆถอยห่างไกลออกไป

 

“นั่นเจ้า … เพราะเหตุใด?”

 

สองตาของฮัทท์แดงก่ำ สองมือกำแน่น ปากเปล่งวาจาด้วยเจตนาร้าย “แกฆ่าน้องชายฉัน ทั้งๆที่เขาอุทิศตนและภักดีเสมอมา แต่แก ..แก … แกกลับฆ่าเขา!”

หมื่นสวรร์คสิ้นโลกา Online Ep.362 – ค้นพบ

 

ในสาธารณรัฐฟูซี เวโรน่าสวมมงกุฏ สถาปนาตนเองเป็นกษัตรีย์ต่อหน้าคนทั้งโลก

 

พิธีราชาภิเษกได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

ณ จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์

 

มนุษย์ปีศาจทั้งหมดได้ตายลงไปแล้ว

 

ในการโจมตีครั้งนี้ ตลอดทั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้พบกับความสูญเสียอย่างแสนสาหัส

 

โบสถ์ใหญ่ได้กลายเป็นซากปรักหักพัง

 

อาคารที่งดงามทั้งหลัง บัดนี้มีเพียงส่วนชั้นใต้ดินเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้

 

ณ ห้องลับในชั้นใต้ดินของโบสถ์

 

ยี่ชายืนอยู่หน้าสระเลือดและถอนหายใจอย่างอ่อนล้า

 

“เอาล่ะ ข้าจะเริ่มอัญเชิญเจ้าแล้วนะ” เธอกล่าว

 

เหนือสระเลือด มีไพ่ใบหนึ่งลอยอยู่

 

ด้วยคำพูดของเธอ ไพ่ใบนั้นก็ส่งแสงสีเทาบางเบา สาดส่องลงไปในสระเลือด

 

“ไพ่เพรียกปีศาจ”

 

“คำอธิบาย : การใช้ไพ่ใบนี้ คุณจะสามารถสกัดจิตวิญญาณนับไม่ถ้วน และส่งพวกมันไปยังโลกอื่นได้”

 

บังเกิดเสียงดังก้องขึ้นในสระเลือด “ลำบากเจ้าแล้ว อีกไม่นานพิธีก็จะสมบูรณ์ แต่ข้ายังต้องการเวลาเล็กน้อยเพื่อเสริมพลังที่จะใช้เพื่อเข้าถึงโลกของเจ้า”

 

“แอสเมิร์ด เจ้าจะมาที่โลกนี้เพื่อปกป้องข้าจริงๆน่ะหรือ?” ยี่ชาเอ่ยถาม

 

แอสเมิร์ดมิได้ตอบกลับไป

 

ไพ่ลอยจากเหนือบ่อเลือด มาหยุดอยู่ตรงหน้ายี่ชาอย่างเงียบๆ

 

ไพ่ใบนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยชั้นเปลวเพลงอันงดงามที่เวียนวนอยู่ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นว่าสิ่งใดกันที่ถูกวาดอยู่ภายใน

 

“นี่มันอะไร?” ยี่ชาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“ไพ่ที่มิอาจกล่าวถึงได้ แต่หากเจ้าพกมันติดตัวไว้ แล้วเผชิญกับอันตรายถึงตาย มันจะถูกเปิดใช้งานขึ้น ‘ช่วงเวลาหนึ่ง’ เพื่อช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากความตาย”แอสเมิร์ดกล่าว

 

ว่าจบ ไพ่ก็ตกลงไปในมือของยี่ชา

 

ยี่ชาลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็รับมันมา

 

‘ไพ่ที่มิอาจกล่าวถึงได้’ นั่นหมายความว่าไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันเป็นไพ่ประเภทใด หากเป็นในกรณีนี้ แน่นอนว่าเธอย่อมไม่กล้าใช้มัน

 

นอกจากนี้ สิ่งที่พวกปีศาจให้มา ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป

 

เธอกล่าว “ข้าต้องการที่จะตรวจสอบไพ่ใบนี้”

 

“เชิญทำตามที่เจ้าต้องการได้เลย”

 

ยี่ชายกไพ่ขึ้นมาแปะบนหน้าผากของเธอ และเพ่งการรับรู้ทางจิตลงไปยังมันอย่างระมัดระวัง

 

ยามเมื่อแปะลงบนหน้าผาก พลันบังเกิดกระแสพลังคุ้มภัยอันเปี่ยมล้น ถูกปลดปล่อยออกมาจากรอบตัวเธอ

 

ยามเมื่อเพ่งการรับรู้ทางจิตลงไป แม้ไพ่ใบนี้ที่ถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง แต่มันกลับทำให้ยี่ชาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังป้องกันอันลึกล้ำจากมัน

 

ไพ่ใบนี้ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย ..

 

ได้รับการตัดสินโดยยี่ชาที่เป็นผู้ใช้เทียนซวนประเภทไพ่ รวมไปถึงได้รับการตัดสินโดยการรับรู้ทางจิตวิญญาณ … ดังนั้นไพ่ใบนี้ไม่สมควรที่จะผิดปกติใดๆ

 

“ขอบใจนะแอสเมิร์ด” ยี่ชาเก็บไพ่และกล่าวออกมา

 

“ด้วยความยินดี แต่ก่อนที่พิธีจะเสร็จสิ้น เจ้าจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี จงอย่าทำอะไรเกินงามเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจะปลอดภัยก่อนที่ข้าจะมาถึง”

 

ในกระแสเสียงของเขา แฝงไว้ซึ่งร่องรอยของความกังวลอันหาได้ยากยิ่ง

 

ยี่ชาก็ตระหนักถึงมันเช่นกัน

 

เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเคารพยิ่งกว่าเดิม “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ”

 

“ไปเถอะ” แอสเมิร์ดกล่าว

 

แล้วยี่ชาก็ออกจากสระเลือดไป

 

‘เฮ้อ … ’ ภายในสระเลือด บังเกิดเสียงถอนหายใจด้วยความกังวลออกมาเล็กน้อย

 

ยี่ชาขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน แล้วเธอก็พบกับหัวหน้าสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์กับคาร์ดินัลคิดด์ที่กำลังวิ่งตรงมาอย่างเร่งรีบ

 

“มีเรื่องอะไร?” ยี่ชาเอ่ยถาม

 

“คิดด์บอกว่าเขาได้ข้อมูลเกี่ยวกับชายผู้นั้นแล้ว” ฮัทท์เอ่ยรายงาน

 

“ชายผู้นั้น?”

 

ยี่ชาตอบสวนกลับไป แต่แล้วไม่ต้องรีรอให้อีกฝ่ายบอก เธอก็ได้คำตอบทันที

 

จริงสิ ในงานเลี้ยงของมาดามดู่ ตนได้ลงมือเข้าต่อสู้ด้วยตัวเอง และในที่สุดก็ปล่อยให้นายทหารของรัฐบาลกลางหนีไป

 

ผู้ชายคนนั้น … กล้าดียังไงถึงมาเล่นตลกกับเธอ!

 

“รีบพูดมา” ยี่ชาเร่งกล่าว

 

“โปรดดูนี่”

 

คาร์ดินัลคิดด์เปิดสมองควอนตัมของเขา และฉายภาพขึ้นบนจอม่านแสง

 

ณ สาธารณรัฐฟูซี

 

เวโรน่าได้สวมมงกุฏ สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์

 

ภายใต้การเรียกขานของเธอ นักดาบในเกราะทองคำได้ปรากฏกายขึ้น เขาสังหารมอนสเตอร์และตัดสะบั้นศีรษะของรัฐมนตรีกลาโหม

 

“ชายคนนี้งั้นหรือ?” ยี่ชาเอ่ยถาม

 

คาร์ดินัลคิดด์ตอบ “ในช่วงเวลานั้น ตอนที่เขาได้หลบหนีจากงานเลี้ยงของมาดามดู่ เขาก็ได้สวมใส่เกราะทองคำเช่นกัน”

 

“เจ้าแน่ใจใช่ไหม?”

 

“ไม่ผิดพลาดแน่นอน แส้ของกระผมไม่สามารถทะลุเข้าไปในเกราะได้เลย ดังนั้นกระผมเกิดความประทับใจต่อมัน และจดจำได้เป็นอย่างดี” คิดด์กล่าว

 

ยี่ชาหรี่ตาแคบลง จ้องมองไปที่นักดาบเกราะทองคำชนิดหัวชนฝา

 

ทันใดนั้น วิสัยทัศน์ของเธอก็ตกลงบนดาบยาวของนักดาบเกราะทองคำ

 

“ใช่แล้วล่ะ นั่นต้องเป็นเขาแน่ๆ ข้าจดจำดาบเล่มนั้นได้!” เธอพยักหน้า

 

“เช่นนั้นเขาก็เป็นคนของฟูซี” ฮัทท์เอ่ยเสริม

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเราถึงไม่อาจค้นพบกับคนๆนี้ได้ในรัฐบาลกลาง” คิดด์พูดด้วยความตื่นเต้น

 

ยี่ชาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะกล่าวว่า “เราได้รับเชิญในพิธีราชาภิเษกของเวโรน่าอยู่ ถูกต้องหรือไม่”

 

“ขอรับ”

 

“ถ้าบินไปตอนนี้ จะต้องใช้เวลาแค่ไหน?”

 

“ถ้าด้วยรถเหินเวหา อย่างเร็วที่สุดก็น่าจะทันช่วงเวลามื้อกลางวันของพิธีราชาภิเษก .. ”

 

“ดีมาก คิดด์ เจ้ารับหน้าที่ปกป้องที่นี่ ส่วนฮัทท์ฺ เจ้าไปฟูซีกับข้า”

 

“ขอรับ!” สองสาวกศักดิ์สิทธิ์โค้งกายลงเล็กน้อย ปากเอ่ยรับคำสั่ง

 

“ในที่สุดข้าก็เจอตัวเจ้า … อยากจะรู้จริงๆว่าสิ่งใดกันแน่นะที่เจ้าได้ขโมยมันไปจากจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์”

 

อย่างรวดเร็ว รถเหินเวหาก็ได้ทะยานตัวออกไป บินมุ่งตรงไปยังทิศทางเมืองหลวงของฟูซี

 

……

 

ณ สาธารณรัฐฟูซี

 

ภายในสถานที่พักของแขกรับเชิญ ในงานเลี้ยงอาหารกลางวัน

 

ทุกอย่างดูจะเรียบง่ายและเป็นไปอย่างรวดเร็ว

 

ผู้นำจากทุกประเทศมารวมตัวกันที่นี่ หารือกันอย่างเร่งด่วนเกี่ยวกับวิธีรับมือกับการรุกรานของนรก

 

ว่ากันว่านักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลกลางจะประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอีกด้วย

 

แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น ผู้นำทั้งหลายจะไม่ได้รับอนุญาตให้ท้องหิวในระหว่างที่ประชุม

 

ดังนั้น หลังพิธีราชาภิเษก ทุกคนจึงต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน และจะได้รีบกินมัน เพื่อที่จะได้พร้อมเข้าร่วมประชุมกันเร็วๆซักที

 

บนเวที สมเด็จพระจักรพรรดินีได้กล่าวสุนทรพจน์เพียงสั้นๆ

 

และงานอาหารกลางวันก็เริ่มต้นขึ้น

 

ผู้นำจากประเทศต่างๆ แต่ละคนเริ่มนั่งลงในตำแหน่งของตัวเอง

 

สมเด็จพระจักรพรรดินีได้พูดคุยทักทายกับผู้นำจากแต่ละประเทศ , เหล่านักการเมือง และบุคคลสำคัญที่มาเข้าร่วม

 

ท่าทีการแสดงออกของเธอดูสงบ สง่างาม และทรงเสน่ห์ ขับกล่อมด้วยมงกุฏทองคำบนศีรษะส่องแสงระยิบระยับก็ยิ่งดูโดดเด่นงดงาม

 

ทุกอย่างดูจะเป็นไปได้ด้วยดี

 

ในตอนนั้นเอง หนึ่งในองครักษ์วังก็วิ่งเหยาะๆเข้ามา และกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูสมเด็จพระจักรพรรดินี

 

สมเด็จพระจักรพรรดินีกล่าวขออภัยต่อทุกคน และแยกตัวออกไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ทางการทูตและองครักษ์อีกหลายคน

 

ฉากนี้ ทำให้ผู้คนต่างเกิดความสงสัยและใคร่รู้

 

แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็ได้พบกับคำตอบ

 

ประตูทางเข้าหลักของห้องจัดเลี้ยงถูกเปิดออก สมเด็จพระจักรพรรดินีและคนอีกสี่คนเดินเข้ามาพร้อมกัน หัวเราะสนทนาด้วยรอยยิ้ม

 

ชายแก่ที่เป็นหนึ่งในนั้น ผู้คนทั้งหลายในที่แห่งนี้ต่างรู้จักกันดี

 

เขาคือประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลาง

 

ส่วนอีกสามคนที่เหลือยังเป็นวัยรุ่นอยู่ แต่พวกเขาไม่รู้จัก

 

ทว่าในเมื่อทัศนคติของสมเด็จพระจักรพรรดินีที่แสดงออกมากลับดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกับคนหนุ่มทั้งสามนั่นเป็นอย่างดี

 

นี่มันออกจะแปลกๆนะ

 

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านประธานาธิบดีก็ดูเหมือนว่าจะรู้จักเด็กหนุ่มทั้งสามอยู่ก่อนแล้วอีกด้วย

 

“ข้าต้องการทราบถึงข้อมูลเกี่ยวกับเด็กหนุ่มทั้งสามคนนั้น ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ในทันที!” ยี่ชากล่าว

 

เธอนั่งอยู่กับฮัทท์อย่างเงียบๆ โดยคนรอบข้างไม่มีใครกล้าที่จะพูดกับเธอเลย

 

“รับทราบ”

 

ฮัทท์เปิดสมองควอนตัมและทำการเชื่อมต่อกับระบบข่าวกรองของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์

 

ไม่นานนัก เขาก็ยื่นสมองควอนตัมไปให้พระสันตะปาปา

 

“หนึ่งคือราชานักฆ่าแห่งรัฐบาลกลาง อีกหนึ่งคือนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง และเอ่อ ..อีกหนึ่งไม่มีข้อมูล”

 

“ … นี่ช่างเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่แปลกประหลาดโดยแท้”

 

พระสันตะปาปากล่าวอย่างเงียบๆ “แต่นี่มันไม่ถูกต้อง เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเจ้านักวิทยาศาสตร์คนนั้นกันนะ ..”

 

แต่แล้วจู่ๆก็ราวกับมีแรงกระตุ้นให้เธอต้องการที่จะใช้ไพ่เพื่อมองดูโชคชะตาในทันใด

 

ทว่าสุดท้าย เธอก็พยายามฝืนอดกลั้นมันเอาไว้ได้ในที่สุด

 

นี่มันกลางงานเลี้ยงที่เป็นการรวมตัวของผู้นำจากทุกประเทศนะ หากเธอจั่วไพ่ขึ้นมาที่นี่ คนอื่นจะมองเธอด้วยสายตาอย่างไร?

 

ในเวลานั้นเอง ทหารวังก็เดินเข้ามา

 

ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับพระสันตะปาปา บนหน้าผากของเขาบังเกิดเม็ดเหงื่อขนาดเท่าลูกปัดผุดขึ้นเต็มไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังตึงเครียดสุดๆ ทว่าเขาก็ยังคงฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย

 

ทหารวังวางบัตรสี่เหลี่ยมลงเบื้องหน้าพระสันตะปาปา และโค้งกายคำนับให้แด่เธอ

 

พระสันตะปาปาเอื้อมมือไปหยิบบัตรขึ้นมาดู

 

‘ทันทีหลังจากที่งานเลี้ยงอาหารเที่ยงจบลง สหพันธ์โลกจะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่จะใช้ในการต่อต้านวันสิ้นโลก’

 

“ข้าจะไปที่นั่นตามที่ได้กำหนดการไว้” เธอกล่าว

 

“ขอรับ” ทหารวังพยักหน้าเล็กน้อย แล้วค่อยๆหมุนตัวเดินแยกออกมา

 

เมื่อเขาออกจากโต๊ะของพระสันตะปาปา ตนก็ลอบถอนหายใจโล่งอกอย่างลับๆ

 

ยี่ชามองไปที่เวโรน่า

 

สมเด็จพระจักรพรรดินียังคงทักทายแขกผู้มีเกียรติของรัฐบาลกลางอยู่ เดินส่งพวกเขาไปยังที่นั่ง จากนั้นก็สนทนากันเพียงไม่กี่คำ และเตรียมที่จะเดินจากไป

 

เธอเป็นเจ้าภาพของที่นี่ ดังนั้นจึงต้องรีบไปเตรียมการประชุมสภาโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

ยี่ชาขบคิดเกี่ยวกับมัน ก่อนที่ตนจะยกมือสูงขึ้น และโบกไปมาทางสมเด็จพระจักรพรรดินี

 

แน่นอน ว่าทุกๆการเคลื่อนไหวของเธอน่ะถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเธอยกมือขึ้น ผู้คนจำนวนมากจึงสังเกตเห็นฉากนี้

 

สมเด็จจักรพรรดินีเวโรน่าก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะสังเกตเห็นมันเช่นกัน

 

เวโรน่าหันศีรษะมองไปทางยี่ชา

 

ดวงตาของทั้งสองสบกัน

 

ยี่ชากล่าว “เวโรน่า พอจะมีเวลาสนทนากันสักหน่อยได้หรือไม่?”

 

เสียงภายในห้องจัดเลี้ยงค่อยๆเงียบลง

 

หนึ่งคือผู้นำศาสนาที่สังหารครอบครัวของอีกฝ่าย ทำการยึดอำนาจรัฐ แถมยังเป็นหนึ่งในตัวตนขั้นห้าที่ทรงพลังที่สุดในโลก

 

ส่วนอีกหนึ่งคือผู้ที่คนในครอบครัวถูกสังหารลง แม้กระทั่งสามีก็เสียชีวิต แต่ในที่สุดเธอก็สามารถลุกขึ้นยืนหยัดและควบคุมปกครองทั้งประเทศจนได้

 

ความเกลียดชังระหว่างทั้งสองราวกับผืนดินและผืนทะเลที่ไม่ว่าฝ่ายใดล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตตน ก็จะถูกกลืนกินไปทันที

 

แต่ในเวลานี้ พระสันตะปาปากลับยิ้มหวานและเชื้อเชิญสมเด็จพระจักรพรรดินีมาเพื่อต้องการที่จะพูดคุยกับเธอ

 

สมเด็จพระจักรพรรดินียังไม่ทันจะได้เอ่ยตอบ หนึ่งในองครักษ์วังก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวขึ้นมาทันที “หากท่านต้องการจะกล่าวอันใด ขอให้พูดมันออกมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้กับสมเด็จพระจักรพรรดินี!”

 

แน่นอน มันเป็นความจริงที่ว่าทั้งโลกน่ะรับรู้กันทั่ว ว่าพระสันตะปาปาคือมืออาชีพขั้นห้าที่แข็งแกร่งที่สุดเฉกเช่นเดียวกันกับองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีที่พึ่งล่วงลับไป

 

แม้ว่าสมเด็จพระจักรพรรดินีจะเป็นมืออาชีพเช่นกัน แต่ในด้านความแข็งแกร่ง เธอก็มิอาจเทียบเปรียบได้กับคนตรงหน้า

 

ดังนั้นหากพระสันตะปาปาต้องการที่จะสังหารสมเด็จพระจักรพรรดินีแล้วล่ะก็ ตราบใดที่ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากพอ มันย่อมสำเร็จได้อย่างแน่นอน

 

“เวโรน่า เจ้ากลัวข้ากระนั้นหรือ?” ยี่ชาเอ่ยถาม

 

รอยยิ้มหยันผุดขึ้นบนมุมปากของเวโรน่า เธอเอ่ยสวนกลับไปว่า “เจ้าควรเรียกว่าข้าสมเด็จพระจักรพรรดินีนะ ยี่ชา”

 

ยี่ชามองดูเธอและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่างงั้นหรือ แต่เจ้าก็เรียกขานข้าด้วยชื่อเช่นกันนี่”

 

“แน่นอน หรือเจ้าอยากจะให้ข้าเรียกขานด้วยชื่อเสียงอื่นที่เจ้ามี อย่างเช่น ผู้ยึดอำนาจประเทศ? หรือผู้ลอบสังหารกษัตริย์ดีเล่า?”

 

“บังอาจ! ข้าคือพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์นะ!”

 

เวโรน่า “คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์เป็นของตระกูลเมดิซี และหัวหน้าตระกูลในรุ่นนี้ แอนนา เมดิซี ก็ไม่เคยยอมรับอำนาจของเจ้า”

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของยี่ชาเริ่มที่จะค่อยๆจางหายไป

 

เวโรน่ามองไปยังเหล่าบุคคลสำคัญในห้องจัดเลี้ยง ก่อนจะมาหยุดลงที่ยี่ชาอีกครั้งและกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าต้องการจะพูด มีเพียงแค่นี้ใช่หรือไม่?”

 

ยี่ชา “สิ่งนี้มันเกี่ยวโยงกับเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์ฟูซี เจ้ามาพูดคุยกับเราเป็นการส่วนตัวจะดีกว่า”

 

เธอเท้าศอกลงบนโต๊ะ และก้มวางแก้มลงบนมือ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความสนใจ “หรือเจ้าไม่กล้าที่จะมา? ในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดินี เจ้าเกรงว่าข้าจะสังหารเจ้างั้นหรือ?”

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ เวโรน่าทำได้แค่เพียงลอบกัดฟันอย่างลับๆ

 

อีกฝ่ายอันตรายเกินไปสำหรับเธอ

 

ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม เธอจะไม่โยนตนเองให้ไปตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด!

 

เพราะการต่อสู้ด้วยความโกรธน่ะ มันเป็นการกระทำของพวกเด็กๆที่เลือดยังร้อนเท่านั้น

 

ในหัวเธอกำลังคิดประโยคปฏิเสธดีๆอยู่หลายประโยค แต่แล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามาในหูของเธอ

 

“ไปฟังในสิ่งที่เธอจะพูดเถอะ หากยังมีผมอยู่ที่นี่ ขอท่านโปรดวางใจได้เลย ” กู่ฉิงซานกล่าว

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.361 – พิธีราชาภิเษก(2)

 

ในชั่วพริบตา เหล่าผู้คนก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ในวิหารของเมืองหลวงแล้ว

 

พวกเขาหันมามองหน้ากันเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

 

สองเท้าเหยียบย่ำลงบนหินอ่อนที่เรียบเนียน สองหูได้ยินเสียงรำไรของคำอธิษฐาน

 

นี่มันเสียงของพระสังฆราชของวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายนี่นา? เขากำลังสวดอวยพรให้แด่พระจักพรรดินีอยู่อย่างงั้นสินะ

 

ท่ามกลางการออกอากาศ สุรเสียงของพระสังฆราชดังกังวาน หนุนเสริมด้วยเสียงดนตรีประกอบส่งผลให้มันแลดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง

 

“พระมารดาของเรากำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ ใช่หรือไม่?” เจ้าหญิงเอ่ยถาม

 

“ใช่ คุณสามารถไปหาพระองค์ได้เลยตอนนี้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“หากทำเช่นนั้นแล้วมันจะไม่เป็นปัญหาหรือ?”

 

“ไม่เป็นหรอก”

 

“แต่คนที่ลักพาตัวพวกเราไป เขาน่ะคือ -”

 

“คุณสามารถพูดชื่อของคนๆนั้นออกมาได้เลยดังๆ ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่นั่น”

 

“แล้วจากนั้นเล่า? มันจะเกิดอะไรขึ้น”

 

“จากนั้น … คนที่อยู่เบื้องหลังการชักใยในครั้งนี้ ก็จะต้องจ่ายออกด้วยราคาที่เหมาะสมกับการกระทำของเขา”

 

เจ้าหญิงมองกู่ฉิงซานอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะโค้งกายคำนับด้วยท่วงท่าสง่างาม

 

“ในครั้งช่วงเวลางานเต้นรำที่เราทำเป็นหยิ่งใส่ท่าน … เราขอโทษนะ” เธอกล่าว

 

กู่ฉิงซานรับคำขอโทษ เร่งประสานมือไปทางอีกฝ่ายและกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่า “นั่นมันก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ตราบใดที่เจ้าหญิงไม่แสดงกริยาแบบนั้นกับคนอื่นๆในอนาคต ท่านจะต้องเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ที่ดีได้อย่างแน่นอน”

 

เจ้าหญิงมองเข้าไปในดวงตาของเขา โค้งกายลงข้างหู เอ่ยกระซิบกับอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “เวลาที่เราจะเลือกพระสวามีน่ะ เรามักจะแสดงกริยาเย่อหยิ่งออกไปแบบนั้นเสมอแหละ”

 

กู่ฉิงซานยังคงโค้งกายประสานสองมือ ศีรษะก้มต่ำลงแต่มิได้ตอบคำใดออกไป

 

เมื่อเจ้าหญิงเห็นท่าทีการแสดงออกของเขา จู่ๆเธอก็ยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปทางเหล่ารัฐมนตรีอีกหลายคน

 

ทว่ายังคงมีเสียงกระซิบของเธอลอยมาตามสายลม

 

“ … แอนนา …. ก็กำลังเล็งเขาอยู่สินะ… ”

 

กู่ฉิงซานปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก

 

แล้วในเวลานั้นเอง ดาบพิภพกับดาบเช่าหยินก็บินลอดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามา ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอก เก็บดาบทั้งสองกลับคืน จากนั้นก็กวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปทั่วท้องฟ้า

 

บนท้องฟ้า มอนสเตอร์ในโลงกำลังจะหลุดพ้น ปลดปล่อยตัวตนเป็นอิสระในไม่ช้า

 

‘เวลากำลังจะหมดแล้ว คงต้องรีบหน่อยล่ะ’

 

กู่ฉิงซานเดินไปตรงมุมที่เงียบสงบมุมหนึ่งของวิหาร

 

แต่แล้วเขาก็ได้พบกับเด็กชายและเด็กหญิงตัวน้อยๆกำลังนั่งเล่นตุ๊กตาฮีโร่ในการ์ตูนอยู่บนพื้นวิหาร

 

ทั้งสองกำลังเล่นกันอย่างมีความสุข โดยไม่ได้รับรู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายนอก

 

ไม่มีใครข้างกาย ไม่มีใครคอยดูแลเด็กน้อยทั้งสองเลย

 

นี่มันแปลกๆอยู่นะ

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปยังเด็กๆ

 

‘ก็ปกติดีนี่นา’

 

จากนั้นเขาก็กวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปทั่วทั้งวิหาร และไม่นาน เขาก็ค้นพบพ่อแม่ของเด็กทั้งสอง

 

พ่อแม่ที่ยังดูวัยรุ่นอยู่พร้อมด้วยองครักษ์อีกหลายคนกำลังตะโกนเรียกชื่อเด็กๆจากอีกด้านหนึ่งของวิหาร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังตามหาเจ้าตัวน้อยทั้งสองอยู่

 

-ช่างเป็นพ่อแม่ที่ขาดความรับผิดชอบอย่างแท้จริง

 

แม้นี่จะดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่แปลกอะไร แต่บอกตรงๆว่าตอนนี้เส้นประสาทของกู่ฉิงซานมันตึงจนเครียดเกินไป ดังนั้นเพียงแค่เห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสถานที่ไม่เหมาะไม่ควร เขาเลยคิดจะรีบแก้ปัญหาทันที

 

ขณะนี้ตนเองเริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อย

 

กู่ฉิงซานก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

เด็กทั้งสอง เมื่อสังเกตเห็นถึงร่างสูงใหญ่กำลังยืนอยู่ด้านข้างของพวกเขา ก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองขึ้นพร้อมกัน

 

“พี่ชายเป็นใครกันน่ะ?” เด็กชายตัวเล็กเอ่ยถามออกมา

 

กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน

 

“อ๊ะ ขอโทษทีที่รบกวนช่วงเวลาดีๆของพวกเธอ เอ่อ .. กำลังเล่นเกมเป็นฮีโร่กันอยู่ใช่รึเปล่า?”

 

เขามองไปที่ตุ๊กตาในมือของเด็กน้อยทั้งสอง

 

“ใช่ เกมนี้มันสนุกมากเลยนะ” เด็กสาวตัวน้อยเอ่ยแทรกขึ้น

 

กู่ฉิงซานนั่งยองๆลง แล้วหันไปถามกับเด็กสาวตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อมีฮีโร่เป็นพระเอก ถ้างั้นเธอก็คงจะเป็นนางเอกสินะ ช่วยบอกชื่อของเธอให้พี่ชายหน่อยจะได้ไหม”

 

พอถูกชมว่าเป็นนางเอก เด็กสาวตัวน้อยมองดูเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน ความประทับใจที่มีต่อตัวเขาเพิ่มขึ้นหลายส่วนและตอบกลับไปว่า “ซีซีล่ะ ชื่อของหนูคือซีซี”

 

ไม่น่าจะพลาดแล้ว เพราะพ่อแม่ที่ยังดูเป็นวัยรุ่นอยู่ก็ตะโกนเรียกซีซีอยู่เหมือนกัน

 

กู่ฉิงซานผ่อนคลายลง และเอ่ยถาม “ซีซี ทำไมหนูถึงไม่ไปดูพิธีขึ้นครองราชย์ของจักพรรดินีล่ะ?”

 

เด็กชายตัวเล็กพูดสวนทันควัน “เรื่องแบบนั้นมันน่าสนใจตรงไหน พวกผู้ใหญ่ก็เอาแต่พูดๆๆๆ กันอยู่นั่นแหละ ไม่จบไม่สิ้นซักที น่าเบื่อจะตาย”

 

“อื้อ อื้อ มันไม่น่าสนใจเลยสักนิด” ซีซีเอ่ยงึมงำ

 

กู่ฉิงซานมองดูตุ๊กตาฮีโร่ในมือของทั้งสอง

 

ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยออกมาว่า “พี่ชายได้ยินมาว่าจะมีซูเปอรร์ฮีโร่ที่โบยบินในอากาศได้ จะมาปรากฏตัวแล้วทำการสังหารมอนสเตอร์ต่อหน้าพระจักรพรรดินีด้วยล่ะ”

 

“จริงๆหรอ?”

 

เด็กน้อยทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองกู่ฉิงซานด้วยแววตาที่เปล่งประกายสดใส

 

กู่ฉิงซาน “จริงๆสิ รู้ไหมว่าตอนนี้น่ะ มอนสเตอร์มันได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว และพอผู้ร้ายปรากฏตัว ก็จะถึงคราวซูเปอร์ฮีโร่ออกมาจัดการล่ะ”

 

ซีซีเอียงคอสงสัย เอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “พี่ชายจะไม่โกหกพวกหนูใช่ไหม?”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเด็ดขาด “พี่ชายไม่เคยโกหกเด็กสาวตัวเล็กๆที่แสนจะน่ารักหรอก”

 

“ว้าวว! เยี่ยมไปเลย!”

 

ซีซีเชื่อสนิทใจ เธอลุกขึ้นยืนและวิ่งไปยังทิศทางตำแหน่งประกอบพิธี

 

และเด็กชายตัวน้อยก็รีบวิ่งตามเธอไปอย่างใกล้ชิด

 

“ฮีโร่ที่ปรากฏตัวออกมาจะเป็นแบบไหนกันนะ? ฉันขอเดาว่าเขาจะต้องเป็นซูเปอร์แมนที่ผดุงความยุติธรรมด้วยมือเปล่าแน่ๆเลย!” เด็กชายตัวเล็กพูดขณะที่กำลังวิ่ง

 

“ไม่หรอก เขาจะต้องเป็นฮีโร่แขนเดียวที่ใช้ดาบเป็นอาวุธต่างหากล่ะ!” ซีซีตะโกนเสียงดัง

 

ทั้งสองเริ่มเอะอะเถียงกัน แล้วก็วิ่งหายไป

 

บริเวณโดยรอบกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง และเมื่อเด็กน้อยน่ารักทั้งสองได้จากไป มันก็ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆนี่อีกเลย

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และเห็นว่าพ่อแม่วัยรุ่นกำลังเดินไปตามเส้นทางประกอบพิธีราชาภิเษกพอดี

 

และนั่นหมายความว่าเด็กน้อยทั้งสองกำลังจะได้เจอกับพ่อแม่ของของตัวเองในไม่ช้า

 

เรียบร้อย

 

ช่างเป็นภารกิจที่ง่ายดาย เอาล่ะ จากนี้ไปก็ถึงตาภารกิจหลักซะที

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ

 

ตามด้วยเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีสีทองอ่อนที่ปรากฏออกมา มันเรียงต่อกันประกอบไปด้วย หน้ากาก เสื้อเกราะ เกราะไหล่ เกราะแขน เข็มเข็ม สนับเข่ามือ สนับเข่า รองเท้า และส่วนต่างๆ

 

ชุดเหล่านี้มิได้มีการตกแต่งเพิ่มเติมใดๆ พวกมันถูกแกะสลักไว้ด้วยอักษรรูนที่ดูสลับซับซ้อนและลึกซึ้ง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกงดงามอันยากพรรณนา

 

“เด็กสาวตัวน้อยเดาได้ถูกต้องแล้วล่ะ ฉันใช้ดาบเป็นอาวุธจริงๆ … ”

 

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังกล่าว ชุดเกราะก็แยกตัวกระจายออกจากกัน มันแหวกว่ายไปตามส่วนต่างๆของร่างกายราวกับจิตวิญญาณของปลา

 

ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ชุดเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีก็ถูกสวมใส่เต็มยศ

 

กู่ฉิงซานสวมหน้ากากเงินและทำการล็อคสมญาเป็น ‘ผู้บัญชาการรบ’

 

ตามด้วยดาบพิภพและเช่าหยินที่ปรากฏตัวขึ้นอัตโนมัติ

 

“—ถึงแม้ว่าจะทายถูกเรื่องใช้ดาบ แต่แขนทั้งสองข้างของฉันยังสมบูรณ์ดีอยู่นะ”

 

สิ้นเสียง ร่างของกู่ฉิงซานกระพริบไหว หายตัวไปจากสถานที่นั้น

 

บนแท่นระเบียงสูง

 

เจ้าหญิงได้มาถึงแล้ว และกำลังบอกเล่าเรื่องราวของเธอที่ถูกลักพาตัวไป

 

ด้วยเรื่องราวของเจ้าหญิง โลกทั้งใบก็ตกอยู่ในความโกลาหล

 

ทันทีที่องค์จักรพรรดิฟูซีเสียชีวิตลง กลับมีบางคนกล้าที่จะลักพาตัวเจ้าหญิง!

 

เจ้าหญิงคุกเข่าลงข้างชายกระโปรงของเวโรน่า ร่ำไห้อย่างเงียบๆ

 

เหล่าคนที่เฝ้าดู ต่างก็กำลังเฝ้ารอการตอบสนองของเธอ

 

เวโรน่าสูดหายใจเข้าลึกๆและ เปล่งเสียงดังลั่นออกมาว่า “นับจากนี้ไป เราจะสวมมงกุฏในฐานะกษัตรีย์!”

 

“เราจะปกป้องผู้คนของเราจากความเจ็บปวดของการสูญเสียศักดิ์ศรี!”

 

“เราจะขุดรากถอนโคนความชั่วร้ายทั้งหมด เพื่อรักษาความสงบสุขและมั่นคงของประเทศนี้!”

 

“เราจะรักเด็กๆทุกคนในฟูซีเหมือนดั่งเช่นที่เรารักบุตรสาวตัวเอง!”

 

“เราขอให้คำมั่นสัญญา ว่าจะปกป้องพวกเขา!”

 

เธอก้าวไปข้างหน้า และหยิบเอามงกุฏจากมือพระสังฆราชแล้วสวมมันลงบนศีรษะด้วยตัวเอง

 

สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่า ได้ทำการสวมใส่มงกุฏด้วยตนเอง สถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตรีย์!

 

“ข้า เวโรน่า คือกษัตรีย์ของประเทศนี้ และจะขอปกปักษ์รักษาประเทศนี้ด้วยมือของตนเอง!” เธอประกาศลั่น

 

สิ้นเสียงของเธอ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐ รัฐบาลกลางก็เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปรบมือให้

 

แล้วเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเรื่อยๆราวกับเสียงฟ้าผ่า

 

แม้จะเห็นได้ชัดว่า การแต่งตั้งตนขึ้นเป็นกษัตรีย์ด้วยตัวเองมันจะดูไม่ค่อยมีมารยาทและเหมาะสม แต่เหล่าผู้นำโลกต่างเลือกที่จะปรบมือให้เธอเพื่อชื่นชมความมานะบากบั่นและทัศนคติของเธอ

 

เหล่าผู้นำทั้งหมดในฉากต่างลุกขึ้นยืน

 

แต่ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงที่ฟังดูประชดประชันก็ดังขึ้น

 

“มอนสเตอร์ยังอยู่บนท้องฟ้า ถ้าบอกว่าจะปกป้องประเทศ ก็ลองทำลายมันให้ดูทีสิ!”

 

เสียงดังออกมาจากทางฝั่งกลุ่มทหาร

 

คราวนี้ เป็นรัฐมนตรีกลาโหมที่ตะโกนพูดขึ้นด้วยตัวเอง

 

เขาเป็นอาวุโสในขั้นห้า กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในโลก!

 

ตลอดทั้งอาณาจักรฟูซี คนๆนี้เป็นรองแค่เพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้น

 

นอกเหนือไปจากองค์จักรพรรดิแห่งฟูซี ไม่มีใครกล้าไม่ไว้หน้าเขา!

 

หัวใจของเวโรน่าเต้นรัวตุบๆๆๆ ความโกรธปะทุพุ่งสูงขึ้น

 

นี่มันคือการถ่ายทอดสดออกไปทั่วโลก!

 

ในพีธีขึ้นครองราชย์ที่สำคัญที่สุดของเธอ … เขากล้าดียังไงถึงทำเช่นนี้!

 

เธอพยายามอย่างหนักที่จะรักษากระแสเสียงให้มั่นคงและกล่าว “รัฐมนตรีกลาโหม ข้าขอสั่งให้เจ้าออกไปจัดระเบียบกำลังคน เพื่อพร้อมเตรียมรับมือกับศัตรู”

 

รัฐมนตรีกลาโหมยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าเป็นใครกันถึงมาสั่งข้า? ก็แค่คนที่ยกมงกุฏขึ้นสวมใส่ด้วยตัวเองโดยมิได้รับการยอมรับมิใช่หรือ? เฮอะ! เกรงว่าข้าคงจะทำให้เจ้าผิดหวังซะแล้ว”

 

เวโรน่าส่ายหัวและกล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นตัวตนอันทรงพลานุภาพแห่งอาณาจักร  เจ้าไม่ควรทำให้สาธารณรัฐต้องผิดหวัง”

 

จู่ๆเธอก็จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

มอนสเตอร์ยังคงดิ้นรนขัดขืน และกำลังจะหลุดออกจากโลงในไม่ช้า

 

“พร้อมแล้ว”

 

เสียงที่คุ้นเคยกังวานขึ้นในหูของเธอ

 

ความตึงเครียดในจิตใจของสมเด็จพระจักรพรรดินีสลายหายไปทันที

 

เธอเอื้อมมือออกไปลูบไล้ขนอีกา ปากอ้าเปล่งเสียงอ้อนวอนอย่างนุ่มนวล “ผู้ส่งสารแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย ท่านผู้พิทักษ์แห่งข้า ยามนี้ข้าต้องการพลังของท่าน”

 

แล้วก็ช่างน่าแปลกใจยิ่ง เพราะดูเหมือนว่าอีกาจะเข้าใจถึงคำพูดของเธอ

 

มันสยายปีก ก่อนจะเริ่มโผบินออกไป

 

“แม่ ดูนั่นสิ เห็นไหมบอกแล้วว่าหนูไม่ได้โกหก มีมอนสเตอร์ตัวร้ายอยู่จริงๆด้วยล่ะ!”

 

เด็กสาวตัวน้อยๆร่ำร้องออกมา

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคน พริบตานั้นอีกาดำพลันหายวับไป และถูกแทนที่ด้วยแสงแพรวพราวสีทอง

 

แสงสีทองค่อยๆลดระดับลงอย่างช้าๆ ก่อนจะลอยนิ่งอยู่เหนือแท่นระเบียงสูง

 

ทุกคนต่างจ้องมองเป็นสายตาเดียว และพบว่าแท้จริงแล้วมันคือเกราะทองคำและหน้ากากเงินที่ถูกสวมใส่อยู่

 

ไม่มีใครสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ ทั้งร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยเกราะสีทองอ่อน ก่อให้เกิดกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความลึกลับและสง่างามอย่างยากจะพรรณนา

 

รัฐมนตรีกลาโหมเดิมต้องการจะเอ่ยปากประชดประชันออกไปอีกหลายคำ แต่ทว่าตอนนี้ กระทั่งตัวเขาเองก็ยังถูกดึงดูดความสนใจโดยชุดเกราะทองคำนั่น ไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อยู่ครู่หนึ่ง

 

แม้เขาจะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่ง แต่เขากลับไม่อาจวัดพลังและเข้าใจถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์

 

เดิมเมื่อเห็นฉากนี้ในทีแรก รัฐมนตรีคิดว่ามันเป็นการเล่นละครตบตาโดยฝีมือของเวโรน่า

 

—แต่แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ละครตบตา เพราะในฉากนี้มีมืออาชีพที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย ดังนั้นการตบตาหรือหลอกลวงใดๆ ย่อมต้องถูกเปิดเผยได้โดยง่าย การกระทำเช่นนั้นมันย่อมเป็นไปไม่ได้!

 

อีกาดำหายตัวไป และกลายร่างเป็นผู้รับใช้เทพในชุดเกราะทองคำ

 

อีกาได้หายไปจริงๆ และเกราะทองคำเบื้องหน้านี้ก็เป็นของจริง จริงๆ!

 

แถมอีกฝ่ายยังสามารถลอยบนท้องฟ้าได้ ..

 

…. มีเพียงมีอาชีพขั้นห้าเท่านั้นที่จะสามารถลอยบนท้องฟ้าได้!

 

แถมเมื่อครู่เวโรน่ายังบอกว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์ของเธอ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สาธารณรัฐมีผู้พิทักษ์เป็นขั้นห้า!?

 

หรือว่าจริงๆแล้วนั่นจะเป็นผู้รับใช้เทพของวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายจริงๆ?

 

ในขณะที่คนทั้งหมดกำลังคาดเดาไปต่างๆนาอย่างลับๆ ก็บังเกิดเสียงทุ้มต่ำดังออกมาจากหลังหน้ากากเงิน

 

“เวโรน่า กษัตรีย์องค์ใหม่แห่งสาธารณรัฐเอ๋ย”

 

“ข้าอยู่นี่แล้ว” เวโรน่ากล่าว

 

“นับแต่นี้ต่อไป เจตจำนงของเจ้า จะเปรียบดั่งคมดาบของอาณาจักรแห่งนี้”

 

เวโรน่า “เช่นนั้นขอท่านจงโปรดทำตามเจตจำนงของข้า โดยการสังหารมอนสเตอร์บนท้องฟ้าตัวนั้นด้วยเถิด””

 

“เพื่อกษัตรีย์ ข้ายินดีรับใช้”

 

จู่ๆการไหลของกระแสอากาศทั่วบริเวณก็เริ่มเวียนว่ายรอบตัวเขาราวกับน้ำวน สนับสนุนให้ร่างในชุดเกราะทองคำให้โผทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

ผู้คนยังไม่ทันจะได้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เกราะทองคำก็หายวับไปซะแล้ว

 

“ดูนั่นสิ! ดาวตกล่ะ! มันสวยมากๆเลย!” เด็กสาวตัวน้อยร้องออกมา

 

ฝูงชนคนแล้วคนเล่าก็แหงนหน้าขึ้นไปมอง

 

เห็นแค่เพียงท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด ปรากฏกระแสแสงดาวตกหลายแฉกวาบผ่านลงมาตามร่างของมอนสเตอร์ขนาดใหญ่

 

แล้วดาวตกหลายแฉกระลอกสองก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางท้องฟ้า ซ้อนทับลงตามบนตัวมอนสเตอร์อีกครา

 

เปรียบดั่งฝนดาวตกที่กำลังหล่นจากฟากฟ้า เวียนว่ายแตกแขนงไปตามส่วนต่างๆบนร่างกายของมอนสเตอร์

 

มอนสเตอร์แทบจะไม่มีเวลามากพอที่จะต่อต้าน หรือแม้กระทั่งเวลาที่จะเปล่งเสียงหวีดร้องน่าสังเวชออกมา … ทุกอย่างสายเกินไป เพราะกระทั่งในระหว่างที่กำลังบรรยายอยู่นี้ มันก็ถูกหั่นเป็นชิ้นๆไปเรียบร้อยแล้ว!!

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!

 

สกิลพิเศษของสมญา ปราณดาบสุดขอบฟ้า!

 

“ปราณดาบสุดขอบฟ้า : เมื่อใดก็ตามที่ดาบของท่านถูกปกคลุมไปด้วยปราณดาบ และท่านได้เปิดใช้งานสกิลนี้ ปราณดาบและสกิลดาบจะหลอมรวมกันพร่ามัวเป็นเงา ยามฟาดฟันจะปรากฏการโจมตีเดียวกันขึ้นอีกระลอก (หมายเหตุ : เมื่อใช้สมญานี้ ท่านจะถูกจำกัดให้ใช้เฉพาะอาวุธดาบเท่านั้น)”

 

เห็นได้ชัดว่าตัวมันเอง เป็นถึงปีศาจอันน่าสะพรึงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มันได้ก่อให้เกิดความหวาดกลัวและความกดดันอย่างหนักแก่ผู้คน ทว่าเวลานี้ … มันกลับตายไปอย่างง่ายดาย!

 

ผู้กำลังเฝ้าดูทั้งหมดช็อก ตัวแข็งค้าง

 

แสงสีทองค่อยๆทิ้งตัวร่อนลงอย่างช้าๆ และลงมาหยุดอยู่เบื้องหน้าแท่นระเบียงสูงอีกครั้ง

 

เสียงลุ่มลึกดังก้องออกมาจากผู้รับใช้เทพเกราะทองคำ

 

“กษัตรีย์แห่งฟูซี เจ้ามีสิ่งใดจะเอ่ยสั่งอีกหรือไม่?”

 

เวโรน่ากล่าว “ท่านผู้พิทักษ์แห่งข้า หากมีใครบางคนมิเชื่อฟังคำสั่งของกษัตรีย์ โชคชะตาของเขาจะเป็นเช่นไร?”

 

“โชคชะตาของมันผู้นั่นคือจุดจบ” ผู้รับใช้เทพเกราะทองคำเอ่ยตอบ

 

ร่างของเขาหายวับไป และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

 

พร้อมกับหัวๆหนึ่งที่ถูกโยนตกลงมาบนแท่นระเบียงสูง

 

มันคือหัวของรัฐมนตรีกลาโหม!

 

การแสดงออกบนใบหน้าของรัฐมนตรีกลาโหมยังคงสงบ ราวกับว่าแม้กระทั่งในตอนนี้ หัวเขาก็กำลังขบคิดถึงบางสิ่งเล็กๆน้อยๆอยู่

 

ส่วนร่างกายของเขา มันยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย

 

เห็นได้ชัดว่ากระทั่งเฮือกสุดท้าย เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศีรษะของตนได้หลุดออกจากบ่าแล้ว!

 

ช่างเป็นคมดาบที่ว่องไวอะไรเช่นนี้!

 

เวโรน่าโค้งกายคารวะ “ขอบพระคุณท่านมาก ตอนนี้ทุกอย่างสงบดีแล้ว คราหน้าหากเกิดเภทภัยใดๆขึ้น  ข้าจะเรียกท่านกลับมาอีกครั้ง”

 

“ยินดีรับใช้เจ้าเสมอ กษัตรีย์”

 

เมื่อผู้รับใช้เทพเกราะทองคำเอ่ยจบ ตัวเขาก็ได้หายวับไปโดยไม่มีสัญญาณบ่งชี้ใดๆ

 

ไม่สิ ไม่ได้หายไปซะทีเดียว

 

เพราะอีกาดำได้กลับมาปรากฏตัวแทนที่อีกครั้ง

 

มันเปล่งเสียงร้องเล็กน้อยไปทางจักรพรรดินี ก่อนจะโผบินทะยานหายขึ้นไปในม่านเมฆ

 

ฉากนี้ ส่งผลให้มืออาชีพทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ต่างตะลึงงัน! ขวัญกระเจิงไปตามๆกัน

 

อีกาดำกลายร่างเป็นผู้รับใช้เทพเกราะทองคำด้วยวิธีที่ผู้คนมิอาจเข้าใจได้ และยังไม่พอ ผู้รับใช้เทพเกราะทองคำยังทรงพลานุภาพยิ่งชนิดที่ว่าสามารถสังหารมอนสเตอร์ขนาดใหญ่และรัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นขั้นห้าได้ในพริบตาเดียว!

 

แต่ที่สำคัญก็คือ ไม่ว่าเจ้าสิ่งที่พึ่งแปลงร่างเป็นอีกาบินหายไปจะเป็นเทพหรือไม่ก็ตาม ทว่าด้วยพลังอำนาจของเขา ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนที่หมายจะลุกฮือขึ้นต่อต้านเวโรน่าต้องสิ้นหวัง!

 

ในขณะนี้ เหล่ามืออาชีพที่ทรงพลังทุกคนที่กำลังรับชมอยู่ได้แต่เฝ้าถามตัวเองอย่างเงียบๆ

 

ว่าหากเป็นตน … จะสามารถรับมือกับอีกาดำตัวนี้ได้หรือไม่?

 

-แน่นอนว่าคำตอบคือไม่

 

ทันใดนั้น สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าก็เคลื่อนไหว

 

เธอก้มตัวลง ใช้มือคว้าจับผมของรัฐมนตรีกลาโหมและยกศีรษะของเขาขึ้น

 

สมเด็จพระจักรพรรดินีได้ยื่นใบหน้านี้หันไปทางกล้องที่ถ่ายทอดสดไปทั่วทั้งโลก

 

“ตัวข้า เวโรน่า , สุภาพสตรีแห่งตระกูลเมดิซี , พระคาร์ดินัลของเทพแห่งความตายผู้หลับไหล และสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งสาธารณรัฐฟูซี”

 

“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โปรดจงจดจำสถานะของข้าเอาไว้ และจงตริตรองให้ดี หากคิดหมายจะทำให้ข้าต้องขุ่นเคือง!”

 

แล้วศีรษะที่ว่านั่นก็ถูกผละออกจากมือ ร่วงตกลงจากแท่นระเบียงสูง

 

เหล่าผู้กำลังเฝ้าดูเงียบงันโดยสมบูรณ์

 

ที่ไม่เงียบก็ดูแต่จะมีเพียงเย่เฟย์หยูที่กำลังแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก สีหน้าท่าทีแสดงออกถึงความยกย่องและปลื้มปริ่มสุดๆ

 

และซางหยิงฮ่าวที่บ่นงึมงำ “เอากันถึงขนาดนี้ ต่อไปจะมีใครหน้าไหนมากล้าดูหมิ่นท่านเวโรน่าอีกเล่า … เป็นแบบนี้ต่อไปเธอก็ไม่จำเป็นต้องจ้างฉันแล้วน่ะสิ!!”

2 ตอน

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.360 – พิธีราชาภิเษก(1)

 

“โอ้สวรรค์ นั่นมันบ้าอะไรกัน?” ซางหยิงฮ่าวอุทานด้วยความประหลาดใจ

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และเฝ้าสังเกตเจ้ามอนสเตอร์อย่างใกล้ชิด พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาความสงบเอาไว้

 

เขารู้จักเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้

 

มันคือมอนสเตอร์มาจากยุคอันไกลโพ้น ก่อนยุคของยักษ์และยุคมนุษย์ปีศาจ มันคือหนึ่งในปีศาจแห่งยุคโกลาหล!

 

มีเพียงมอนสเตอร์จากยุคดังกล่าวเท่านั้น ที่ครอบครองรูปลักษณ์อันน่ารังเกียจเช่นนี้!

 

ส่วนในด้านความแข็งแกร่งของมัน กล่าวได้ว่าสูงล้ำยิ่งกว่ายักษ์ธรรมดาและมนุษย์ปีศาจมัดรวมกันเสียอีก

 

โชคยังดีที่มอนสเตอร์ตัวนี้ถูกขังอยู่ในโลงศพ และร่างของมันก็ถูกแทงตรึงไว้ด้วยหนามแหลมอย่างแน่นหนา

 

มันดูเหมือนว่าจะได้รับความทุกข์ทรมานจากการลงโทษ และน่าจะไม่สามารถหลุดพ้นออกมาก่อความวุ่นวายได้อย่างน้อยก็ในเร็วๆนี้

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง และปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปสำรวจโดยรอบ

 

ยามนี้ เขาคือตัวตนในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง ดังนั้นจิตสัมผัสเทวะของเขา จึงมากพอจนเกือบจะครอบคลุมเมืองทั้งเมืองได้

 

โชคดีจริงๆ

 

ที่ตลอดทั้งเมืองหลวงมีมอนสเตอร์ตัวนี้เพียงตัวเดียวเท่านั้น

 

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ดันสร้างความตื่นตระหนกขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมมนุษย์ซะแล้ว ทั้งๆที่พวกเขาพึ่งจะได้รับการฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กลับมาดีขึ้นได้แล้วแท้ๆ นั่นเพราะ

 

แต่เดิม อาณาจักรฟูซีกำลังอยู่ในบรรยากาศของงานรื่นเริงของพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระจักรพรรดินี

 

ในเมืองหลวง ผู้คนมากมายรวมตัวกันในจตุรัสเพื่อชุมนุมเฉลิมฉลอง

 

แต่แล้ว ทันใดนั้นก็ดันบังเกิดโลงศพยักษ์ พร้อมกับมอนสเตอร์ที่ไม่รู้จักปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า

 

ฝูงชนที่มารวมตัวกันในจตุรัสต่างตกอยู่ในความตื่นตระหนกและสับสบวุ่นวาย

 

ผู้คนเริ่มกรีดร้อง และวิ่งหนีกระจัดกระจายไป

 

แม้แต่ผู้ชมจากทางโทรทัศน์ ก็ยังตกอยู่ในความสิ้นหวังเป็นประวัติการณ์

 

ณ จุดนี้ ภายในฉากพิธีราชาภิเษก

 

ท่ามกลางแขกเหรื่อที่เข้ามาร่วมพิธี หนึ่งในบางคนก็ได้เปล่งเสียงตะโกนขึ้น “เวโรน่าคือภัยพิบัติ! เธอคือความชั่วร้าย! พระเจ้าบนสรวงสวรรค์จึงได้ส่งปีศาจลงมาหยุดเธอไม่ให้ครองบัลลังก์!!”

 

– มันสายเกินไปแล้วที่จะหยุดเขา และเนื่องเพราะนี่เป็นการถ่ายทอดสด ดังนั้นเสียงนี้จึงถูกส่งออกไปทั่วโลก

 

ทุกคนที่ดูอยู่ต่างก็ได้ยินเสียงนี้

 

กู่ฉิงซานเบนสายตาไปตามต้นตอของเสียง ก่อนที่มันจะหยุดลงตรงร่างของนักการเมืองคนสำคัญรายหนึ่งของฟูซี

 

จิตสัมผัสเทวะของเขาครอบคลุมไปทั่วฉากพิธี จึงสามารถรับรู้ได้ถึงทุกการเคลื่อนไหว หรือกระทั่งการกระทำเล็กๆน้อยที่อาจก่อให้เกิดปัญหาได้

 

ในช่วงเวลาวิกฤติ เมื่อมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้น และทุกคนกำลังอยู่ในความตื่นตระหนก นักการเมืองคนสำคัญของฟูซีก็สั่งให้คนข้างกายตะโกนในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อออกไป

 

‘ภัยพิบัติ’ ที่ถูกตะโกนออกมานี้ ทำให้ตลอดทั้งฉากพิธีราชาภิเษกเกือบจะสูญเสียการควบคุมไปโดยสมบูรณ์

 

บนระเบียงสูง สีหน้าของเวโรน่าหมองซีดลง กรามของเธอบดฟันจนแน่น กำลังพยายามยับยั้งความโกรธของตัวเองลง

 

เรื่องนี้ตีแผ่ออกมาได้อย่างชัดเจนถึงอำนาจการปกครองของเธอที่พกพร่อง มันบ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันร้าวฉานระหว่างเธอกับเหล่าชนชั้นสูงอย่างรุนแรง

 

กู่ฉิงซานมองไปที่ชายคนนั้น

 

เขาเป็นทหารในชุดเครื่องแบบยอดนายพล

 

เขาคือรัฐมนตรีกลาโหมของสาธารณรัฐฟูซี และเป็นอาวุโสขั้นห้าที่แข็งแกร่ง

 

เขาไม่หวาดเกรงสายตารอบข้างที่กำลังมองมา เขายืดอกยืนหยัดอยู่ในสถานที่แห่งนั้น บนใบหน้าแขวนไว้ซึ่งรอยยิ้มแห่งชัยชนะ

 

ใครบางคนเอนกายกระซิบลงข้างหูเขา ลดเสียงลงและพูดว่า “คนของเธอทุกคนอยู่ภายใต้การควบคุมหมดแล้ว และตอนนี้ยังไม่มีสถานการณ์ใดผิดปกติ”

 

“ดีมาก วันนี้ล่ะ ตัวข้าจะต้องแสดงให้โลกได้เห็นว่าเวโรน่าน่ะ ไร้ซึ่งความสามารถในที่จะควบคุมฟูซีได้”

 

รัฐมนตรีกลาโหมกล่าวต่อ “ให้รอจนกว่าจะสิ้นสุดพิธีราชาภิเษก จากนั้นทางเราจะทำการกวาดล้างผู้คนของเธอทันที”

 

“ฆ่าทั้งหมดเลยหรือท่าน?”

 

“ไม่หรอก สถานการณ์ทางการเมืองน่ะยังคงต้องการคนไว้ใช้งาน คนไหนที่มันยอมจำนนก็ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ต้องควบคุมพวกมันเอาไว้”

 

“รับทราบแล้ว”

 

บทสนทนาระหว่างทั้งสอง มันเล็กและเบาราวกับเสียงของยุงบิน นอกจากนี้ทั้งหมดยังถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มคนที่กำลังคุ้มครองอยู่อีก

 

ดังนั้นรัฐมนตรีกลาโหมจึงกล้าที่จะเอ่ยออกมา โดยไม่เกรงกลัวว่าข่าวคราวนี้จะรั่วไหลออกไป

 

แต่ก็แล้วมันยังไง? ต่อให้ข่าวรั่วไหล เวโรน่าก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทำอะไรอยู่ดี

 

ทว่าพวกเขากลับหารู้ไม่ ว่าการสนทนาเล็กๆน้อยๆนี้ ได้ถูกเปิดเผยจนหมดเปลือกแล้วโดยจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซานแล้ว

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ ในหัวใจของเขาบังเกิดความโกรธขึ้นเล็กน้อย

 

โลกกำลังจะพินาศอยู่รอมร่อแล้ว แต่คนเหล่านี้ยังคงสร้างความวุ่นวายไม่เลิก

 

—เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจเด็ดขาด

 

เขาตบไหล่ซางหยิงฮ่าว และกล่าวกระซิบ “ฉันจำได้ว่าในวิหารแห่งความตาย มีเทพอุปถัมภ์อยู่สองตัวตน หนึ่งคือเทพอีกาดำ อีกหนึ่งคือเทพสุนัข ใช่ไหม?”

 

“ใช่ เรื่องนั้นน่ะ ไม่ว่าใครก็รู้เกี่ยวกับมันเป็นอย่างดีทั้งนั้นแหละ ว่าแต่นายจะถามไปทำไม?” ซางหยิงฮ่าวสงสัย

 

กู่ฉิงซาน “ก็พอดีฉันจำได้ว่าเทคนิคเทียนซวนของถงถงน่ะสามารถเปลี่ยนเป็นร่างอวตารของอีกาดำได้ แล้วจากนั้น นายก็ต้องทำแบบนี้ … ”

 

เขากล่าวกระซิบกับซางหยิงฮ่าว ส่วนเย่เฟย์หยูที่อยู่ข้างๆพอเห็นฉากนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นหูเข้ามาร่วมฟังด้วย

 

……

 

อย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานก็ได้หายตัวไปจากฉากพิธี

 

ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูยกแว่นกันแดดขึ้นมาสวม และผลักดันเดินผ่านฝูงชนตรงไปยังทางขึ้นระเบียงสูง

 

พฤติกรรมที่ผิดปกติของพวกเขา ได้ดึงดูดความสนใจขององครักษ์ในวังทันที

 

แต่ทหารองครักษ์เหล่านั้นรู้จึกซางหยิงฮ่าวอยู่แล้ว และยังได้เห็นวิธีการของเขามาแล้วด้วย

 

ซางหยิงฮ่าวเป็นถึงตัวตั้งตัวตีในการจัดการคุ้มครองในครั้งก่อน และมันได้ทิ้งความประทับใจไว้ให้กับพวกเขาไม่น้อยเลย

 

เมื่อองครักษ์เห็นเขาเดินเข้ามา แต่ละคนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางสมเด็จพระจักรพรรดินี

 

เมื่อเวโรน่าเห็นทั้งสอง คำอธิบายของกู่ฉิงซานก็กังวานขึ้นในหูของเธอ

 

ท่าทีการแสดงออกของเธอผ่อนคลายลง และหันไปพยักหน้าให้กับองครักษ์

 

พวกเขาหลีกทางให้

 

ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเดินขึ้นมาบนระเบียงเวทีอย่างช้าๆ หนึ่งซ้าย หนึ่งขวา ประกบคุ้มครองจักรพรรดินี

 

“แม้ว่าโลกทั้งใบกำลังจะพินาศในวันนี้ แต่พิธีราชาภิเษกของข้าก็สมควรที่จะดำเนินต่อไป”

 

เวโรน่ากวาดสายตามองดูทุกผู้คน ปากเอ่ยประกาศลั่น

 

พระสังฆราชเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขา และฝืนบังคับตนเองไม่ให้แหงนหน้าขึ้นไปมองมอนสเตอร์บนท้องฟ้า และกล่าวถ้อยคำอวยพรต่อ

 

และฉากสุดแปลกก็ได้ปรากฏขึ้น

 

ในท้องฟ้า โลงศพขนาดใหญ่ยังคงลอยล่อง พร้อมด้วยมอนสเตอร์ที่ถูกขังอญู่ภายในกำลังกรีดร้องลั่น และพยายามดิ้นรนให้ตนได้หลุดพ้น

 

ขณะที่ในวิหาร เวโรน่ายังคงยืนอยู่บนแท่นสูง และต้องการจะดำเนินพิธีการต่อไป

 

แถมฉากนี้ยังถูกถ่ายทอดสดออกไปทั่วโลก

 

ผู้คนที่ตื่นตระหนกและรู้สึกราวกับว่าตนกำลังยืนอยู่บนขอบเหวแห่งการล่มสลาย ต่างถูกดึงดูดความสนใจมาที่ฉากนี้ทันที

 

ไม่มีใครปิดสมองควอนตัมลง

 

ทุกคนต้องการที่จะเห็นว่า สุดท้ายแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับฟูซีกันแน่

 

การถ่ายทอดสดไปทั่วโลกของจักรพรรดินี เดิมทีก็มีผู้คนรับชมสูงสุดตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว ทว่าบัดนี้ ยอดผู้ชมก็ยังคงทวีจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง

 

ทันใดนั้นก็มีบางสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น

 

จู่ๆอีกาดำตัวหนึ่งพลันปรากฏกายขึ้น มันบินโฉบลงมาผ่านกลุ่มเมฆ และร่อนลงบนแท่นสูง

 

ต่อหน้าผู้คนนับล้านๆ มันอ้าปากเปล่งเสียงไปทางเวโรน่า

 

เวโรน่าโค้งกายคารวรมันด้วยท่วงท่างดงาม

 

แล้วอีกาดำก็บินมาเกาะลงบนไหล่ของเวโรน่าอย่างอ่อนโยน

 

ราวกับว่าจะได้รับตำแหน่งที่เหมาะสม อีกาเกาะนิ่งไม่ยินยอมเคลื่อนกายย้ายไปไหนอีก

 

“นั่นอีกาดำ!”

 

“ดูสิ มันเป็นอีกาดำล่ะ!”

 

“โอ้สวรรค์!”

 

“ผู้ส่งสารของเทพแห่งความตายมาเยือนที่นี่แล้ว!”

 

ผู้ศรัทธาในเทพแห่งความตายต่างร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น

 

ตามคำสอนของวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เทพอีกาดำและเทพสุนัขน่ะเป็นผู้รับใช้ของเทพแห่งความตาย เป็นผู้เผยแพร่ความตายแทนเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหลอยู่

 

และตอนนี้ ท่ามกลางงานพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดินีเวโรน่า อีกาดำก็ได้ปรากฏตัวขึ้นจริง

 

นี่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?

 

ใบหน้าของรัฐมนตรีกลาโหมยิ้มหยัน ปากเอ่ยประชดประชัน “สวมบทบาทเล่นเป็นเทพ? น่าเสียดายที่มันไร้ประโยชน์!”

 

เขาหันไปกล่าวกับคนข้างๆว่า “เริ่มแผนก่อนเวลาได้เลย ถามพวกคนที่สนับสนุนเธอคำเดียวว่า ‘เลือกที่จะเชื่อฟังข้าหรือตายลงตรงนั้นทันที’ ”

 

“รับทราบ!”

 

ชายที่รับคำสั่งเปิดสมองควอนตัม และเริ่มจัดการพูดออกไป

 

…….

 

ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเดินขึ้นไปบนแท่นสูง

 

กู่ฉิงซานก็ปลีกตัวออกจากฉากพิธีนี้ เดินไปคนเดียวท่ามกลางลานว่างในวิหารใหญ่

 

เขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง

 

แม้กระทั่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพก็ยังถูกนับว่าเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งในบรรดาตัวตนที่แข็งแกร่งทั้งมวล เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้านิกายได้!

 

จิตสัมผัสเทวะถูกกวาดขยายกว้างไปออกจากร่างของกู่ฉิงซาน

 

แทบจะในไม่กี่ลมหายใจ จิตสัมผัสเทวะก็ได้ครอบคลุมเมืองหลวงทั้งหมด

 

แผนการชั่วช้าทั้งหมด เมื่ออยู่ต่อหน้าจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบเลี่ยง

 

“เจอ-ตัว-แล้ว”กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างช้าๆ

 

ในสถานที่ซ่อนที่กระจายตัวออกไปหลายแห่ง ผู้ที่สนับสนุนเวโรน่าได้ถูกลักพาตัวไปจับขังและบังคับข่มขู่

 

โดยมีนายทหารจำนวนมากที่มีอาวุธครบมือ และเป็นผู้ให้การสนับสนุนรัฐมนตรีกลาโหม กำลังทำหน้าที่เฝ้าดูคนเหล่านั้น

 

พวกเขากำลังเฝ้ารอคำสั่งจากรัฐมนตรีกลาโหมอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น มองไปที่กระจกแก้วที่มีสีสันงดงามของวิหาร

 

มีกระจกหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่

 

“ไปซะ” เขาเอ่ยคำหนึ่ง

 

ดาบพิภพและเช่าหยินผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

ฟุ่บบบ!

 

สองดาบวิ่งผ่านหน้าต่าง กระทบหายเข้าไปในก้อนเมฆ

 

สองดาบช่างว่องไวยิ่ง บินเพียงชั่วครู่ พวกมันก็แยกตัวตกลงไปในสองทิศทางที่แตกต่างกัน

 

พวกมันทิ้งดิ่งตกลงไปยังสถานที่ซ่อนเหล่านั้น และภายในช่วงเวลาสั้นๆ พวกมันก็วูบไหวเป็นภาพติดตา ร่ายรำฉวัดเฉวียนอย่างโหดรา้ย

 

และคนทั้งหมดของรัฐมนตรีกลาโหม ศีรษะระเบิดโผล๊ะราวกับลูกแตงโมที่แตกออก … พวกเขาถูกฆ่าตายก่อนที่จะทันได้ตอบสนองด้วยซ้ำ

 

เพื่อที่จะต้องจัดการกับมืออาชีพทั่วไปเหล่านี้ พึ่งพาแค่ความเร็วของดาบบินเพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ออกด้วยเทคนิคดาบใดๆ

 

หลังจากที่ทำการตัดกุญแจมือทั้งหมด สองดาบก็ทะยานตัวขึ้นอีกครั้ง และมุ่งหน้าไปยังสถานที่ต่อไป

 

แม้จะดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานกำลังเดินเล่นอยู่ในวิหาร แต่แท้จริงแล้วเขากำลังทยอยช่วยคนที่สนับสนุนจักรพรรดินีเวโรน่าอยู่

 

แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย

 

ภายใต้การควบคุมโดยจิตสัมผัสเทวะของเขา ทางฝั่งดาบพิภพที่ได้ทำการสังหารหมู่ศัตรูในสถานที่หลบซ่อน มันได้ช่วยลูกสาวของจักรพรรดินีเวโรน่าเอาไว้ -เจ้าหญิงแห่งฟูซี

 

“การลักพาตัวราชวงศ์ผู้สืบสายเลือดโดยตรง ตามหนังสือพระราชบัญญัติของฟูซี สามารถตัดสินโทษประหารชีวิตได้ทันที”

 

“ … ฉันควรที่จะพาตัวเธอกลับมา”

 

สิ้นคำกล่าว กู่ฉิงซานก็หายวับไปจากวิหาร

 

ตามด้วยดาบพิภพที่ปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมของเขา

 

และตัวเองที่ปรากฏขึ้นในสถานที่หลบซ่อน

 

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

 

“เจ้าหญิง โปรดตามกระหม่อมมา”

 

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปทางเจ้าหญิง

 

เจ้าหญิงมองไปยังคนตรงหน้าด้วยแววตาซับซ้อน

 

ในงานเต้นรำ เดิมทีแล้วเธอคิดว่าเขาเป็นแค่หนอนหนังสือที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย

 

แต่หลังจากที่ได้รู้เรื่องราวของเขาจากแม่ตัวเองแล้ว เธอก็ตระหนักได้ว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด – เขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่เอาแต่อ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว!

 

“ขอบใจนะ” เจ้าหญิงเอ่ยเสียงแผ่ว

 

เธอจับมือของเขา

 

“โปรดอย่าสุภาพเลย … พวกคุณทั้งหมดก็มาด้วยกันสิ”

 

กู่ฉิงซานหันหน้าไปพูดกับรัฐมนตรีและองครักษ์วังหลวงอีกหลายคน

 

“พวกเราจะทำอย่างไรกันดี .. ” รัฐมนตรีคนหนึ่งเอ่ยถาม

 

“ก็แค่เกาะแขนผมไว้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ผู้คนทั้งหลาย เมื่อถูกสั่ง ทั้งหมดก็วางมือลงบนแขนของเขา

 

วินาทีต่อมา ผู้คนทั้งหมดก็หายวับไป

 

ตามด้วยดาบพิภพที่ปรากฏขึ้นมาในตำแหน่งเดิมที่พวกเขาได้หายไป

 

พร้อมด้วยกันกับผู้คนเหล่านั้น กู่ฉิงซานก็ได้กลับมายังวิหารศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.359 – ปรากฏกาย(4)

 

ย้อนเวลากลับไปอีกสักเล็กน้อย

 

ในช่วงที่พระสันตะปาปากำลังตอบสนองต่อการเรียกขานของสาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ด และพึ่งกลับมาที่โบสถ์ใหญ่

 

ช่วงเวลานี้ มนุษย์ปีศาจยังไม่ได้เริ่มโจมตีเมือง

 

ณ สาธารณรัฐฟูซี

 

ภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์ของสาธารณรัฐ

 

พิธีขึ้นครองราชย์ของเวโรน่ากำลังจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ

 

จักรพรรดินีได้ขึ้นครองบัลลังก์ นี่นับว่าเป็นเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ดึงดูดความสนใจจากทั่วทั้งโลก

 

เวโรน่าจะเป็นหญิงคนแรกที่ได้เข้าสู่พิธีครองราชย์อย่างเป็นทางการของฟูซี จะได้กลายมาเป็นผู้ครอบครองอำนาจสูงสุดในประเทศ

 

ทุกประเทศทั่วโลกต่างก็ส่งทีมถ่ายทอดสดมาทำข่าว เพื่อเตรียมที่จะบันทึกเหตุการณ์นี้ลงในหน้าประวัติศาสตร์

 

ในขณะนี้ ผู้บรรยายทางโทรทัศน์กำลังกล่าวน้อมรำลึกถึงองค์จักพรรดิแห่งฟูซีให้ประเทศต่างๆได้รับฟัง

 

แน่นอน ว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงของเขาย่อมถูกปกปิดไว้โดยเวโรน่า

 

เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ความวุ่นวาย และรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศแห่งฟูซี เรื่องราวขององค์จักรพรรดิจึงถูกบิดผัน ประกาศออกไปว่าเขาได้ตกตายลงเยี่ยงวีรบุรุษในระหว่างการต่อสู้กับนรกเยือกแข็ง

 

ด้วยน้ำแข็งที่ค่อยๆแช่สิ่งทุกและแพร่กระจายออกไปทั่วโลก ทำให้เรื่องราวของนรกเยือกแข็งมิได้เป็นความลับอีกต่อไป

 

เกิดการจลาจลอย่างรุนแรงเนื่องเพราะความสิ้นหวังปะทุขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก

 

ผู้นำของประเทศจำเป็นต้องใช้หุ่นรบและมืออาชีพออกไปจัดระเบียบทางสังคมที่กำลังอยู่ในปากอ่าวแห่งการล่มสลายนี้

 

ส่วนในสาธารณรัฐฟูซี จักรพรรดินีเวโรน่าได้รับอำนาจ และสิทธิการตัดสินใจทางทหารขั้นเด็ดขาด

 

ขั้นตอนของการดำเนินงานทางกองทัพนั้นง่ายดายมาก โดยสิ้นเชิงกล่าวได้ว่ามันมีเพียงสองขั้นตอนเท่านั้น

 

ขั้นตอนแรกคือการยืนยันข้อเท็จจริงของอาชญากรรม

 

ขั้นตอนที่สองคือยิงประหารชีวิตทันที

 

ทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ตามในฟูซี จะเป็นการปล้น ฆ่า หรือใช้ความรุนแรง ก่อกวนสร้างสถานการณ์ ทั้งหมดจะถูกกวาดล้าง

 

มันก็จริง ที่นรกเยือกแข็งกำลังจะแพร่กระจายอยู่ และในอนาคต มนุษย์ก็มีแนวโน้มที่จะสูญพันธ์ลงกับภัยพิบัตินี้

 

แต่ถ้าใครกล้าที่จะสร้างปัญหา พวกเขาก็จะถูกยิงจนสูญพันธ์ไปซะก่อนที่จะถึงวันสิ้นโลก!

 

ภายในเวลาไม่กี่วัน สาธารณรัฐฟูซีก็เกลื่อนไปด้วยทุ่งซากศพ

 

วิธีการโหดร้ายรุนแรงเช่นนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะกระตุ้นความไม่พอใจของประชาชน ส่งผลให้พวกเขาลุกขึ้นต่อต้าน

 

บางกลุ่มที่ทำการสนับสนุนประชาธิปไตยเริ่มทำการมองหาการสนับสนุนจากต่างประเทศ เพื่อพยายามที่จะใช้แรงจากภายนอกกดดันจักรพรรดินีเวโรน่า

 

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ดูท่าว่าพวกเขาจะคาดคะเนผิดพลาดไป

 

เพราะในประเทศอื่นๆทั่วโลก กลับไม่มีใครกล่าวโทษหรือประฌามการกระทำดังกล่าวนี้ของเธอเลย

 

ไม่มีใครลุกฮือขึ้นและกล่าวให้ร้ายเวโรน่า

 

ในช่วงเวลาสุดท้ายของวันสิ้นโลก ผู้นำที่มีสติดีๆเขาไม่มาสนใจเรื่องของประเทศอื่นหรอก ที่ต้องทำคือการแสวงหาความมั่นคงของประเทศชาติต่างหาก!

 

นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านก็ถูกดำเนินการปราบปรามอย่างลับๆโดยเวโรน่า

 

หลังจากนั้น เวโรน่าก็ได้ประชาสัมพันธ์เปิดตัวสิ่งอำนวยความสะดวกแก่สังคมและประชาชน เพื่อเป็นการปิดปากพวกเขาให้เงียบลง

 

สถานีโทรทัศน์ออกอากาศ 24 ชั่วโมง เพื่อรายงานรายละเอียดของนรกเยือกแข็ง

 

ตามคำแนะนำของกู่ฉิงซาน เวโรน่าทำแม้กระทั่งการจับ ‘คนตาย’ ไว้ใส่ในกรงเหล็ก เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาเยี่ยมชม

 

ในตอนแรก ฝูงชนมากมายต่างเดินทางมาเพื่อเยี่ยมชมสถานที่แห่งนั้น

 

เนื่องจากการปรากฏขึ้นของเกมแห่งชีวิตนิรันดร์และเพชฌฆาตตัวตลกก่อนหน้านี้ ส่งผลให้สังคมมนุษย์ไม่ได้หวาดกลัวหรือตื่นตระหนกเกี่ยวกับการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งเท่าใดนัก ผลร้ายมันจึงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

 

ดังนั้น หลังจากที่ประชาชนได้เดินทางไปดูและความตื่นเต้นในช่วงแรกได้จางลง ผู้คนจึงพบว่ามันไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไป

 

—เดิมทีแล้วหลายคนหวาดกลัวความตาย เพราะความตายเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จักโดยสมบูรณ์

 

ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ตนเองเสียชีวิตลง

 

จิตของพวกเขาจะกระจายเหือดหายไปเลยหรือเปล่านะ?

 

หรือยังมีสถานที่อื่นที่ต้องล่องลอยไปใช่หรือไม่?

 

ทว่าตอนนี้ ตัวอย่างที่แท้จริงได้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว มันได้พิสูจน์ว่ามนุษย์มีสถานที่ๆจะต้องไปอยู่ต่อหลังจากที่เสียชีวิตลงจริงๆ

 

แล้วความตายก็เลยกลายมาเป็นสิ่งที่ ‘ไม่ยากเกินกว่าจะยอมรับได้’อีกต่อไป

 

บางคนกำลังสนทนากันว่า โลกหลังความตาย มันอาจจะมีสถานที่ดั่งเช่นที่เป็นเหมือนกับสรวงสวรรค์อยู่ก็ได้นะ

 

เมื่อได้ข้อสรุปดังนั้น ผู้คนจำนวนมากจึงเริ่มที่จะหันมาตั้งใจทำสิ่งดีๆ โดยหวังว่าการทำดีจะช่วยให้เขาได้อยู่ในภพภูมิที่ดีหลังจากเสียชีวิตลง

 

เมื่อมีผู้คนจำนวนมากเริ่มกระทำความดี บรรยากาศทางสังคมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์

 

ตอนนี้ หากมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังจะเดินข้ามถนน เธอก็ถูกอุ้มขึ้นในท่าเจ้าหญิงและพาไปส่งอีกฟากทันที – หรือแม้จะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะมีอีกหลายมือมาช่วยจูงข้ามผ่านไป

 

ดังนั้น ผลที่ตามมาหลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิฟูซี , หลังจากประสบกับการถูกกวาดล้างด้วยเลือดและเปลวเพลิงที่เดิมสมควรจะสั่นคลอนสาธารณรัฐ ก็ค่อยๆกลับมามีเสถียรภาพขึ้นอีกครั้ง

 

ระเบียบทางสังคมของสาธารณรัฐฟูซีช่วงเวลานี้ นับว่าดียิ่งขึ้นกว่าในยุคก่อนหน้าเสียอีก

 

เมื่อทุกประเทศเห็นสิ่งที่ฟูซีทำ พวกเขาก็เริ่มเลียนแบบ และก็ได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างรวดเร็ว

 

ชื่อเสียงของเวโรน่าได้ทะยานสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และในที่สุดเธอก็ได้รับการยอมรับจากอิทธิพลส่วนใหญ่ของโลก จนได้ก้าวขึ้นมาครองบัลลังก์ได้ในที่สุด

 

ฉากที่แตกต่างไปจากในชีวิตก่อนหน้าอีกฉากหนึ่ง ได้ปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว

 

พื้นน้ำแข็งยังคงแพร่กระจายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และมีคนตายปรากฏตัวขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว

 

‘คนตายนั้นกินคนเป็น พวกมันมองพวกเราในฐานะอาหาร’

 

คำกล่าวนี้เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป แต่ในเมื่อแรกเริ่มเดิมที คนตายจะปรากฏตัวขึ้นเฉพาะใต้น้ำแข็งเท่านั้น มันจึงไม่ค่อยจะมีปัญหาเท่าใด หากค้นหาพวกมันจนพบแล้วทำการกำจัดเสียก่อน

 

กองกำลังทหารกำลังวุ่นอยู่กับการเก็บรวบรวมร่างคนตาย และส่งพวกมันลอยออกสู่อวกาศ

 

ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา สรุปได้ว่าสังคมมนุษย์ทั้งหมดโดยรวมแล้วกลมเกลียวกันมากขึ้น และสงบมากขึ้น

 

ทุกอย่างดูเหมือนว่ากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี

 

จนกระทั่งแม่น้ำที่ถูกแช่แข็งในรัฐบาลกลาง ได้นำมาซึ่งการปรากฏตัวของหนึ่งในคนตาย ที่เป็นมอนสเตอร์แปลกๆขึ้น

 

กว่ามอนสเตอร์ที่ว่าจะถูกค้นพบ ตัวมันก็ได้หลุดออกมาจากการถูกแช่แข็งซะแล้ว

 

มอนสเตอร์ทำการฆ่าสังหารมืออาชีพไปกว่า 30 คนในที่เกิดเหตุ

 

เลือดของทุกคนถูกสูบไปโดยมัน

 

มอนสเตอร์ตัวนี้ช่างแข็งแกร่งและทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง

 

แต่ก็ต้องขอบคุณมืออาชีพลึกลับที่ออกมาลงมือ สังหารเจ้ามอนสเตอร์ที่ว่าจนสิ้นท่าลง ช่วยหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายที่อาจเพิ่มขึ้นไปได้เยอะทีเดียว

 

ผู้คนระดับสูงต่างก็ได้รับทราบข่าวนี้ ดังนั้นข้อมูลนี้ย่อมไม่มีผิดพลาดแน่นอน

 

นี่หมายความว่า มอนสเตอร์แบบเดียวกันนั่น จะปรากฏตัวขึ้นตามมาอีกในอนาคต และไม่น้อยเลยด้วย

 

ผู้นำของประเทศต่างๆจึงตกลงเห็นพ้องกันอย่างรวดเร็วว่าในวันที่เวโรน่าขึ้นครองราชย์ พวกตนจะเดินทางไปยังฟูซีเพื่อเข้าร่วมพิธีและรวดประชุมหารือฉุกเฉินกันเลยไปในตัว

 

ณ เวลานี้

 

ภายในฉากที่จักรพรรดิกำลังจะขึ้นครองบัลลังก์

 

พระสังฆราชแห่งสาธารณรัฐได้ก้าวเดินออกมาจากภายในตัววิหาร พร้อมด้วยมงกุฏ 12 แฉกที่ถือไว้ในสองมือ

 

พอเห็นเขา จักรพรรดินีเดินแยกไปอีกทาง มุ่งหน้าไปยังบันไดทางขึ้นระเบียงแท่นสูงที่ตั่งอยู่หลังวิหาร

 

ระเบียงสูงนี้ ถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘ที่ประทานพรของทวยเทพ’

 

นับว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในวิหาร

 

บนระเบียงสูง พระสังฆราชจะมอบมงกุฏสิบสองที่มียอดแหลม 12 แฉก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชบัลลังก์ให้แก่องค์จักรพรรดินี

 

และนั่นเป็นการสื่อถึงความหมายว่า บัลลังก์ขององค์จักรพรรดินีเป็นสิ่งที่ได้รับการประทานพรจากสรวงสวรรค์

 

ผู้คนในวิหารค่อยๆลุกขึ้นยืน และเดินตามเวโรน่ากับพระสังฆราชไปยังทิศทางที่ตั้งระเบียงสูง

 

กู่ฉิงซาน ซางหยิงฮ่าว และเย่เฟย์หยูก็ปะปนอยู่ในหมู่ฝูงชนเช่นกัน

 

ทั้งสามเดินตามฝูงชนไปอย่างสงบ ขณะเดียวกันก็พูดคุยกระซิบกระซาบ

 

“รู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้สิ” เย่เฟย์หยูบอก

 

“ทำไม? หรือว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม สายตาสอดส่องไปรอบๆ

 

“เปล่าหรอก แค่ดูเหมือนว่ามันจะมีคนมาน้อยเกินไปหน่อยน่ะ” เย่เฟย์หยูตอบ

 

“อ้อ ถ้าเรื่องนี้ล่ะก็เป็นธรรมดา” ซางหยิงฮ่าวดูจะผ่อนคลายลง

 

“ธรรมดายังไง?” อีกฝ่ายถามต่อ

 

ซางหยิงฮ่าวอธิบายเสียงกระซิบ องค์จักรพรรดิฟูซีน่ะ เป็นตัวตนที่ทรงพลังชนิดหาตัวจับได้ยาก เขาได้ออกปราบปรามมืออาชีพที่น่าพรั่นพรึงและกระจายตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆของประเทศ แล้วชักชวนมาเข้ารับใช้โดยมีตนเป็นนายเหนือผู้ปกครอง แต่ตอนนี้ชายผู้แข็งแกร่งคนที่ว่าได้ตกตายลงไปแล้ว และจักรพรรดินีที่กำลังขึ้นสืบทอดก็ไม่ได้ทรงพลังดั่งเช่นเจ้าของบัลลังก์คนก่อน ดังนั้นเหล่าตัวตนที่ครั้งหนึ่งเคยยอมสยบ จึงยังไม่ไว้วางใจในตัวเธอ”

 

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอเนี่ย?” เย่เฟย์หยูอุทาน

 

“ใช่ มืออาชีพที่ทรงพลังอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มาเข้าร่วมกับเธอ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ตามสถิติของเทพธิดากงเจิ้ง เกือบครึ่งหนึ่งของการดำรงอยู่ที่ทรงพลังในฟูซี ยังไม่ปรากฏตัวขึ้น

 

เย่เฟย์หยู “นรกกำลังจะมาถึง แต่พวกเขายังคงต่อต้าน แบบนี้มันจะไม่ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยหรอ?”

 

ซางหยิงฮ่าว “พวกผู้มีอำนาจน่ะ มักจะกระตือรือร้นที่จะยุยงปลุกปั่นให้เกิดการต่อสู้ภายใน มากกว่าภายนอกนะ นายไม่เคยสังเกตเรื่องนี้เลยหรอ?”

 

“ฉันบอกว่าอยากจะออกมาเห็นโลกกว้างด้วยกันกับนาย แต่ใครจะรู้แท้จริงแล้ว มันจะกลับกลายเป็นแบบนี้” เย่เฟย์หยูพึมพำ

 

กู่ฉิงซานก็ดูเหมือนจะอารมณ์เสียเล็กน้อยเช่นกัน

 

นรกเยือกแข็งกำลังลุกลามขยายวงกว้างอย่างเงียบๆ

 

และสิ่งต่อไปที่ตนเองจะต้องทำก็คือ ให้ความร่วมมืออย่างเต็มกำลังกับสาธารณรัฐฟูซี

 

แต่ก่อนหน้านั้น จักรพรรดินีเวโรน่าจำเป็นที่จะต้องควบรวมอำนาจในอาณาจักรทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเสียก่อน … ซึ่งกระบวนการนี้บางทีอาจจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างยาวนาน

 

ทว่าเวลาที่เหลือน่ะมันกระชั้นชิดมากเกินไป มันอาจจะสายเกินไปที่จะกำจัดความขัดแย้งทีละขั้น ทีละตอน และรวบรวมพลังเป็นหนึ่ง

 

ขณะที่เขากำลังขบคิด ซางหยิงฮ่าวก็กล่าวออกมาว่า “ฉันได้ยินมาว่าบางคนต้องการที่จะเลือกชายที่สืบสายเลือดแท้แห่งราชวงศ์ขึ้นมาสืบทอดบัลลังก์ด้วยนะ”

 

“มันเป็นความจริง ทางกองทัพและบางกองกำลังในท้องถิ่นที่ค่อนข้างมีสิทธิมีเสียงต่างก็มีความคิดเอนเอียงไปในทิศทางนั้นกันเยอะมากทีเดียว ทางจักรพรรดินีเวโรน่าก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อปราบปรามเสียงเหล่านั้นลง ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“พวกเขาต้องการองค์จักรพรรดิที่เป็นหุ่นเชิดอย่างงั้นหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม

 

“แน่นอน เพราะนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“พวกเขาจะไม่สนใจเลยหรอว่าประเทศนี้มันจะเป็นยังไง?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา

 

กู่ฉิงซานกับซางหยิงฮ่าวหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้พูดอะไร

 

กู่ฉิงซานเงียบ และเริ่มคิดหาวิธีเกี่ยวกับการแก้ปัญหาของทางฟูซี

 

ในเวลานี้ จักรพรรดินีได้เดินขึ้นไปบนแท่นระเบียงสูงเรียบร้อยแล้ว

 

ส่วนแขกเหรื่อก็ยืนอยู่ใต้แท่นระเบียงสูง เฝ้ารอเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระจักรพรรดินี

 

พระสังฆราชยกมงกุฏทองคำบริสุทธิ์ 12 แฉกขึ้น และสวมใส่ลงบนศีรษะของเวโรน่าอย่างช้าๆ

 

ผู้คนจากทุกประเทศทั่วโลก ตราบใดที่พวกเขาไม่มีอะไรต้องทำ ในมือต่างก็ได้เปิดสมองควอนตัม และให้ความสนใจกับช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้

 

กล่าวได้ว่าชั่วขณะนี้ ยอดจำนวนผู้เข้ารับชมการถ่ายทอดสดผ่านทางออนไลน์นับว่าพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์

 

ทว่า ท่ามกลางฉากพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดินี กลับบังเกิดเหตุการณ์แปลกๆปรากฏขึ้น

 

เหตุการณ์ที่ว่านั่นก็คือ จู่ๆผู้นำในแต่ละประเทศ ต่างก็ก้มลงมองสมองควอนตัมในมือของพวกเขาที่กำลังส่องสว่างอย่างพร้อมเพรียง

 

ผู้คนในวิหารเริ่มกระซิบกระซาบดังขึ้นเรื่อยๆ

 

ความปั่นป่วนวุ่นวาย และความไม่สบายใจอันยากจะอธิบายเริ่มแพร่กระจายลุกลามขึ้นอย่างเงียบๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ นักการเมืองจากหลายๆประเทศ รวมไปถึงตัวประธานาธิบดีเองก็ได้เปิดสมองควอนตัมของพวกเขา

 

เมื่อทั้งหมดรับฟังข่าวจากสมองควอนตัม สีหน้าการแสดงออกของแต่ละคนก็เริ่มหนักอึ้ง

 

ผู้นำบางคนที่มีสิทธิอำนาจเด็ดขาดเริ่มส่งออกคำสั่งไป

 

กระทั่งประธานาธิบดีเองก็ยังเลือกสั่งการควบคุมกองกำลังติดอาวุธในประเทศจากระยะไกล

 

“นี่ชักจะมีอะไรแหม่งๆซะแล้วสิ” ซางหยิงฮ่าวกระซิบ

 

“เทพธิดากงเจิ้ง สถานการณ์นี้มันอะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ … ในทะเลทรายหลายแห่งบนโลก มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น”

 

“ทว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นในปัจจุบันฉันเลยไม่ได้รายงานออกไป” เทพธิดากล่าว

 

กู่ฉิงซานรู้สึกแปลกใจ

 

“ไหนขอฉันดูหน่อยสิว่าไอ้บางสิ่งบางอย่างนั่นน่ะ มันคืออะไร” เขากล่าว

 

“ทราบแล้วใต้เท้า”

 

และฉากๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนสมองควอนตัม

 

ณ ทะเลทรายมาซาลาแห่งสหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง

 

ปรากฏซึ่งร่างใหญ่โตชนิดที่ว่าสามารถบดบังแสงจากดวงอาทิตย์มิให้สาดลงมายังเบื้องล่าง กำลังเคลื่อนกายผ่านทะเลทรายอย่างช้าๆ

 

ร่างที่ว่านี้ครอบครองความสูงระดับเดียวกันกับตึกระฟ้า

 

ยักษ์!

 

ยักษ์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว

 

ทุกครั้งที่มั่นย่ำลงบนผืนทราย พื้นดินจะสั่นสะเทือน จนหนามแหลมที่เสียบแน่นอยู่บนต้นกระบองเพชรถึงขั้นร่วงหล่นลงมา

 

ยามเมื่อเท้าของมันสัมผัสกับผืนทราย ผืนทรายโดยรอบก็จะม้วนตัวและเปลี่ยนเป็นสีเทาของคนตาย

 

โซ่ตรวนสีดำล็อคเท้าทั้งสองของยักษ์เอาไว้ และบ่อยครั้งโซ่เหล่านั้นก็ปะทุเปลวเพลิงออกมา ส่งผลให้ยักษ์ถูกแผดเผา – ตกอยู่ในความเจ็บปวดอันหาที่เปรียบมิได้

 

แต่เจ้ายักษ์นั่นกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด เปล่งเสียงตะโกนคำรามกึกก้องออกมา

 

“รีบ – ลุก – กัน – ขึ้นมา – เร็วเข้า!”

 

“ก่อนที่พวก‘คนเป็น’จะตรวจพบ เราจะต้องสร้างเมืองแห่งคนตายของพวกเราขึ้นมาให้จงได้!”

 

“ขอรับ!”

 

หลายร้อยหลายพันร่างใหญ่โตเปล่งเสียงขานรับ

 

และเมืองทะเลทรายสีเทาค่อยๆก่อตัวขึ้น

 

ว่าบบบ! ม่านแสงพริบไหว ภาพทั้งหมดพลันหายไป

 

กู่ฉิงซานใช้มือตบลงบนหน้าผากตัวเอง ปากอ้าถอนหายใจยาวออกมา

 

‘หวาดกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมถามหา’

 

บนผิวทะเลทรายทั้งหมด ไม่มีน้ำแข็งอยู่บนพื้นเลย

 

โซ่ตรวนสีดำที่ผูกติดอยู่กับยักษ์พวกนั้น มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันกับนรกเยือกแข็ง

 

เห็นได้ชัดว่านั่นมิใช่นรกเยือกแข็ง

 

นรกที่สองได้มาเยือนโลกมนุษย์แล้ว!!

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยอยู่ภายในนั้น

 

“ยังเหลือเวลาอีก 11 ชั่วโมงกว่ากำลังเสริมจากปรภพจะมาถึง”

 

ให้ตายสิ!

 

การปรากฏตัวขึ้นโดยสมบูรณ์ของนรกเยือกแข็งล่าช้าออกไป แต่นรกอื่นกลับปรากฏขึ้นเร็วยิ่งกว่าซะงั้น!

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ระบบ ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันล่วงหน้า”

 

ติ๊ง!

 

ระบบเทพสงครามตอบกลับ “ ระบบไม่รู้ว่าจะมีนรกอื่นปรากฏขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว ในตอนที่นรกเยือกแข็งปรากฏ คุณก็เป็นคนแรกที่ค้นพบมันไม่ใช่ระบบ”

 

กู่ฉิงซานลองคิดตาม … ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

 

“แต่คุณสามารถเรียกกำลังเสริมจากปรภพได้นะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ระบบเทพสงครามอธิบาย “ฉันเพียงแค่ปล่อยข้อมูลลับออกไป และที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะเป็นคนทำการตามหานรกที่หลบหนีออกไปด้วยตัวเอง”

 

กู่ฉิงซานกำลังจะสนทนาเรื่องนี้กับระบบต่อ แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องหุบปากลง

 

บนแท่นระเบียงสูง

 

พิธีการยังคงดำเนินต่อไป

 

“เวโรน่า เมดิซี … ”

 

พระสังฆราชเพียงเอ่ยชื่อของเธอ และกำลังจะกล่าวคำอวยพร

 

แต่แล้วจู่ๆท้องฟ้าก็พลันมืดมิดลง

 

บังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเหนือความคิดหมายขึ้น

 

ทุกคนต่างพากันเงยหน้ามอง

 

“นี่มันไม่ถูกต้อง ฉันรู้สึกได้ถึงความวุ่นวายอย่างผิดปกติในอากาศ” สีหน้าของซางหยิงฮ่าวเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

 

“ดูเหมือนว่ามีบางอย่างกำลังจะมา เฮ้ย ดูนั่นเร็ว!” เย่เฟย์หยูกล่าวพลางชี้ไม้ชี้มือ

 

พวกเขาเบนสายตามองไปยังจุดๆหนึ่งบนท้องฟ้า

 

ดวงอาทิตย์ได้ถูกปกปิด หายไปท่ามกลางสายลมอันมืดมิด

 

ท้องฟ้าแยกออกจากกัน และบังเกิดปากหลุมดำขึ้น

 

ทันใดนั้นโลงศพ … ใช่แล้วล่ะ มันเป็นโลงศพจริงๆ โลงศพได้ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า

 

โลงศพนี้มีขนาดใหญ่มาก ขนาดของมันเกือบจะเทียบเท่ากับตัววิหารทั้งหมดเลยทีเดียว

 

โลงศพที่ว่านี้ หากสังเกตดูดีๆจะพบว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกสีดำ และบางครั้งกก็มีเลือดไหลหยดย้อยลงมาจากรอยเชื่อมต่อของกระดูก

 

ปัง!

 

บังเกิดเสียงกระหึ่มดั่งลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ระเบิดออก

 

ฝาโลงถูกเป่าทำลายหายไป เผยโฉมมอนสเตอร์ที่ถูกขังเอาไว้อยู่ภายในที่กำลังหวีดร้องลั่น พยายามที่จะปีนป่ายออกมา

 

ตลอดทั้งร่างของมันเป็นสีดำ กล่าวได้ว่ามืดทะมึนโดยสมบูรณ์

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปสำรวจมัน แล้วเขาก็ค้นพบว่า แท้จริงแล้วโลงศพขนาดใหญ่บนท้องฟ้านั่นเต็มไปด้วยหนามแหลม

 

และหนามแหลมเหล่านี้เกือบทั้งหมดล้วนเจาะลึกอยู่ตามร่างกายของมอนสเตอร์ตัวดังกล่าว ยึดตรึงมันไว้ในโลงมิยินยอมให้เล็ดลอดออกมา

 

ดังนั้น เจ้าสิ่งที่อยู่ภายในจึงเพียรพยายามอย่างหนักที่จะปีนออกมาเพื่อหลุดพ้นจากมัน

 

‘โลงศพกับหนามแหลม’

 

นี่คือการลงโทษจากนรก ที่ไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับนรกเยือกแข็งเลย …

 

เพียงแค่มอง กู่ฉิงซานก็ได้รับคำตอบในทันที

 

สำหรับช่วงเวลานี้ ที่เขาทำก็เพียงนิ่งค้างจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นเวลานาน มิได้เอ่ยคำใดออกมา

 

ใช่ พวกคุณทุกคนคิดถูกแล้วล่ะ ท่ามกลางงานพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดินีเวโรน่า … ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับล้านๆที่กำลังเฝ้าดูการถ่ายทอดสด — นรกที่สามได้มาเยือนโลกใบนี้แล้ว!!!

2 ตอน

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.358 – ปรากฏกาย(3)

 

เมื่อได้รับอนุญาตจากอีกฝ่าย ยี่ชาก็บังเกิดความสุขยิ่ง

 

มีเฉพาะเพียงการดำรงอยู่ของ ‘สิ่งนี้’ เท่านั้น ที่จะสามารถเพิกเฉยต่อจำนวนศัตรู และยุติการทำลายล้างทั้งหมดลงได้

 

แม้ว่าในความเป็นจริง สิ่งที่ต้องจ่ายออกไปในภายหลังจากเหตุการณ์นี้มันอาจจะนับว่าไม่คุ้มค่า แต่เวลานี้ยี่ชาไม่มีทางเลือกอื่น เธอจำเป็นต้องคำนึงถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองก่อนเท่านั้น

 

ในความว่างเปล่า ไพ่ใบหนึ่งปรากฏขึ้น

 

ภายในไพ่ เป็นรูปของมารที่ทั้งร่างถูกแผดเผาไปด้วยเปลวเพลิงขณะที่ในมือข้างหนึ่งของมันถือธงแกะ ส่วนอีกมือหนึ่งถือธงแตรยาว

 

“บัญชาอสูรกาย”

 

“คำอธิบาย : ไพ่ใบนี้เป็นสัญลักษณ์ของเจตจำนงแห่งอสูรกาย มันจะให้ความสนใจไปกับโลกที่คุณอาศัยอยู่ และจะอนุญาตให้คุณใช้งานภายใต้สมญาของมัน”

 

ยี่ชาคว้าไพ่มาไว้ในมือ แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

บัดนี้มนุษย์ปีศาจได้ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการโจมตีของมนุษย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ส่งผลให้พวกมันเชี่ยวชาญในการฆ่ามากขึ้น แลดูราวกับเป็นเพชฌฆาตก็ไม่ปาน

 

มีผู้คนมากมายถูกสังหารตกตายลงในสนามรบ และบางตำแหน่งก็ย่อยยับชนิดเฉียดอยู่บนปากเหวแห่งการล่มสลายแล้ว

 

สถานการณ์ของสงคราม โอนเอนไปทางอีกฝั่งหนึ่งอย่างชัดเจน

 

หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความพยายามกันอีกสักพักหนึ่ง มนุษย์ทั่วทุกพื้นที่ก็มิอาจรับมือได้ไหวอีกต่อไป ทยอยกันถูกสังหารลงโดยเพชฌฆาตมนุษย์ปีศาจอย่างต่อเนื่อง

 

ในช่วงเวลานั้นเอง พลันบังเกิดรัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งขึ้น ดึงดูดความสนใจของทั้งสองฝ่าย

 

กองกำลังแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงเหลือรอด ต่างหันหน้ามองมันเป็นสายตาเดียว

 

เห็นแค่เพียงสองปีกศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปาที่กางออก สองเท้ายืนหยัดอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เหนือซากปรักหักพังของโบสถ์ใหญ่

 

“นั่นสมเด็จพระสันตะปาปา!”

 

“ท่านมาโปรดพวกเราแล้ว!”

 

ผู้คนต่างร้องตะโกนออกมา ร่ำไห้ด้วยน้ำตา

 

หัวหน้าสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์พยายามกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างเต็มที่ ทว่าเขากลับไม่พบถึงร่องรอยของน้องชายตนเองเลย

 

“อีวาน … ” แข้งขาของเขาอ่อนแรง สองเข่าทรุดกระแทกลงกับพื้นด้วยความสิ้นหวัง

 

รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่โอบอุ้มรอบกายพระสันตะปาปา ก่อนที่พวกมันจะทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า เจิดจรัสเฉกเช่นเดียวกันกับแสงแห่งรุ่งอรุณ

 

ไพ่นับสิบใบถูกกุมอยู่ในมือของเธอ

 

“จงหยุดซะ” เธอร้องตะโกน

 

กองกำลังติดอาวุธของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์หยุดต่อต้านการโจมตีอย่างสิ้นเชิง

 

เหล่ามนุษย์ปีศาจตระหนักได้ทันทีว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง พวกมันต่างหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ และเฝ้ามองเธออย่างระแวดระวัง

 

“ด้วยนามของจ้าวแห่งวิญญาณร้าย ข้าจะให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่พวกเจ้า จงยุติสงครามครั้งนี้เสีย และอย่าได้ย่างกรายเข้ามาอีกต่อไป!” พระสันตะปาปากล่าว

 

ทันทีที่เสียงของเธอตกลง ‘บัญชาอสูรกาย’ ก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที

 

ไพ่ใบหนึ่งถูกป่นเป็นผง เศษของมันกระจัดกระจายดั่งดาราที่ร่วงโรย

 

ไพ่สัญญาได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว!

 

ในมือของเธอ ไพ่ทั้งเก้าใบที่เหลืออยู่พลันทะยานขึ้นไปกลางอากาศ เปล่งกระแสเสียงออกมาโดยพร้อมเพรียง

 

“จงเฝ้ามองธงแห่งข้า จงเชื่อฟังบัญชาแห่งข้า จงทำตามเป้าประสงค์แห่งข้า!”

 

ไพ่ที่มีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือทั้งเก้าใบกำลังเปล่งวาจาที่ฟังดูน่าเกรงขาม นี่มันช่างแลดูราวกับเป็นเรื่องตลกร้าย ไร้สาระโดยแท้

 

มนุษย์ปีศาจหันมามองหน้ากันและกัน ก่อนจะแสดงท่าทีขบขันออกมา

 

หนึ่งในนั้นโบกมือของมันออกไป ปลดปล่อยกระแสคลื่นสีทองอันแหลมคม ตัดสะบั้นศีรษะของกองกำลังติดอาวุธแห่งคริสตจักรไปหลายสิบ บังเกิดหมอกโลหิตจางๆโปรยไปทั่ว

 

จากการแสดงออกของมนุษย์ปีศาจตนนั้น บ่งบอกว่ามันกำลังยั่วยุพระสันตะปาปาอย่างชัดเจน

 

พระสันตะปาปาหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ

 

เธอเอ่ยกับไพ่เบื้องหน้าทั้งเก้าว่า “พวกมันไม่เชื่อฟังคำสั่งเจ้า ข้าร้องขอให้เจ้าปรากฏกายด้วย”

 

“เข้าใจแล้ว” ไพ่ทั้งเก้าตอบรับพร้อมกัน

 

สองมือของพระสันตะปาปาขยับไหวอย่างรวดเร็ว จัดเรียงไพ่ทั้งเก้าเรียงต่อกันเป็น3แนวทั้งตั้งและนอน

 

ต่อมา ภายในไพ่แต่ละใบก็เริ่มปรากฏร่างเงาของอวัยวะต่างๆงอกออกมา

 

หลังจากที่ถูกเย็บรวมเข้าด้วยกันแล้ว ไพ่ทั้งหมดก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย และแปรสภาพกลายเป็นไพ่ขนาดยักษ์

 

อันที่จริงแล้วตอนนี้มันมิได้ดูเหมือนไพ่นะ แต่เวลานี้มันดูราวกับเป็นภาพจิตรกรรมบนฝาผนังขนาดเล็กต่างหาก

 

ภายในจิตรกรรมฝาผนัง ชายหนุ่มรูปงามกำลังยืนอยู่บนหลังของแกะ ในมือข้างหนึ่งถือกุหลาบขาว ขณะที่ในมืออีกข้างถือหอกแหลม เบื้องหลังเขาถูกคลุมไว้ด้วยขนสีเลือด และมีวงแหวนศักดิ์สิทธิ์สีดำลอยอยู่เหนือหัวของเขา

 

รอบๆตัวชายหนุ่มรูปงาม 18 วิญญาณร้ายสีเทากำลังรายล้อมเขา สภาพของทุกตนกำลังก้มศีรษะลง แสดงท่าทีคำนับอย่างเชื่อฟัง

 

พระสันตะปาปาประกบสองมือทำท่าทีสวดอธิษฐานอ้อนวอนต่อจิตรกรรมเบื้องหน้า

 

ปากเอ่ยกระซิบว่า “เทวดาตกสวรรค์ที่ถูกสาปแช่งเอ๋ย นายเหนือแห่งวิญญาณชั่วร้าย ราชาแห่งคุกทั้ง 9 แอสเมิร์ดผู้คงกระพันอย่างหาที่ใดเปรียบ ข้าร้องขอให้เจ้าจงก้าวออกมาช่วยเหลือ โดยมีส่วนแบ่งเป็นจิตวิญญาณอันหาได้ยากยิ่ง …”

 

ไพ่จิตรกรรมได้แปรสภาพเป็นควันสีขาว

 

เสียงของทั้งเก้าเปล่งออกมาในเวลาเดียวกัน “แม้ว่าจะมีสัญญา แต่เจ้าก็ได้รบกวนการหลับลึกของข้า  เพื่อเป็นการไถ่โทษ เจ้าจะต้องมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับข้าตลอดทั้งค่ำคืนอันแสนยาวนาน”

 

ยี่ชาพยายามเลี่ยงคำกล่าวของอีกฝ่าย แต่ละถ้อยคำที่เอ่ยออกไปถูกขบคิดมาอย่างระมัดระวัง “ตามสัญญา ข้าจะแบ่งปันวิญญาณอันหาได้ยากยิ่งในยุคอดีตเหล่านี้ให้แด่เจ้า”

 

ควันสีขาวแยกย้ายกันออกไป

 

พร้อมด้วยร่างๆหนึ่งที่ปรากฏออกมา

 

มันคือหนุ่มรูปงามจากจิตรกรรมในไพ่ใบนั้น

 

ราวกับถูกจำกัดการปรากฏกาย – รูปร่างของเขาจึงมองเห็นเป็นเหมือนกับภาพลวงตา มันโปรงใสดั่งภาพมายา

 

เขาไม่ได้มีอาวุธใดๆในมือ ไร้ซึ่งม้าไว้ควบขี่หรือผู้ติดตามคอยรับใช้

 

หนุ่มรูปงามหันไปมองรอบๆ

 

และก็เป็นฝ่ายมนุษย์ปีศาจอีกคราที่เริ่มเปิดฉากลงมือก่อนอย่างโหดเหี้ยม มันซัดโจมตีด้วยด้ายสีทองออกไปยังหนุ่มรูปงาม

 

ด้ายสีทองตัดหั่นชั้นอากาศ เปล่งประกายวิบวับ พริบตาเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าของหนุ่มรูปงาม

 

“ช่างโง่เขลา”

 

หนุ่มรูปงามปากอ้าขยับ เปล่งเสียงคำหนึ่ง

 

และด้ายสีทองก็หายวับไปต่อหน้าเขา และปรากฏขึ้นอีกครั้งจากทางเบื้องหลังมนุษย์ปีศาจตนนั้นแทน

 

ฉัวะ! มนุษย์ปีศาจถูกหั่นแยกเป็นสองด้วยการโจมตีของตัวมันเอง

 

ฉากนี้ทำให้มนุษย์ปีศาจทั้งหมดรู้สึกโกรธแค้นยิ่ง!

 

พวกมันเปล่งเสียงคำรน และเริ่มพุ่งเข้าหาหนุ่มรูปงาม

 

หนุ่มรูปงามถอนหายใจและกล่าวว่า “ฝูงแกะที่โง่เขลาเอ๋ย แม้กระทั่ง ‘กฏแห่งการกระทำ’ พวกเจ้าก็ยังไม่สามารถมองเห็นถึงมันได้”

 

“ยี่ชา กระทั่ง ‘สิ่งของ’ พวกนี้ เจ้าก็ยังถึงขั้นต้องเรียกหาข้าเลยหรือ ข้าชักจะสงสัยเกี่ยวกับสัญญาของเจ้าซะแล้วซี”

 

“มันมิใช่เช่นนั้น แอสเมิร์ด เหล่าตัวตนที่เจ้าเรียกขานมันอย่างไร้ค่าว่าสิ่งของเหล่านี้ ทั้งหมดล้วนคืบคลานออกมาจากนรก” ยี่ชารีบอธิบาย

 

“นรก?”  แอสเมิร์ด กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในนรกไม่มีเจ้าตัวไร้ค่าพวกนี้ – ”

 

แต่แล้วเขาก็หยุดไปอย่างกระทันหัน สายตาจับจ้องไปยังมนุษย์ปีศาจในทันใด

 

“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากำลังหมายถึงว่าพวกมันมาจาก ‘นรกที่เชื่อมต่ออยู่กับโลกใบนี้’ ต่างหาก”

 

ขณะที่เขากล่าว เหล่ามวลมหามนุษย์ปีศาจต่างพากันเปล่งเสียงร้องตะโกน และเริ่มลงมือโจมตีออกไป

 

แอสเมิร์ด อ้าปากหาวยาวๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “ความผิดทั้งมวลที่ทำให้ข้าผู้นี่ขุ่นเคือง โทษทัณฑ์คือพวกเจ้าทั้งหมดจักต้องรับการชำระล้างบาป”

 

ทันทีที่เสียงนี้ตกลง มนุษย์ปีศาจทั้งหมดในอากาศพลันหยุดนิ่ง

 

ใช่ จู่ๆพวกมันก็ไม่ไหวติง มิใช่เพียงแค่เพียงรูปลักษณ์การแสดงออก แต่รวมไปถึงการเคลื่อนไหวทั้งหมด การกระทำทั้งหมดต่างก็หยุดนิ่งลงอย่างฉับพลัน ราวกับแผ่นภาพยนต์ที่ถูกกดหยุดลงอย่างกระทันหัน

 

แอสเมิร์ดบินไปข้างหน้าพวกมัน และค่อยๆฉีกหัวของมนุษย์ปีศาจตนหนึ่งออกอย่างแผ่วเบา

 

เขาเอานิ้วแหย่ลงไปในคอของอีกฝ่าย จุ่มลงไปในเลือดเนื้อของมัน คนๆวนๆ และยกขึ้นมาแลบลิ้นเลีย

 

แอสเมิร์ดกล่าวอย่างมึนเมา “จิตวิญญาณคนตายช่างยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทำเอาข้ารู้สึกได้ถึงพลังของกฏแห่งปรภพเลยทีเดียว”

 

“แต่นี่มันแปลกจริงๆที่จิตวิญญาณของคนตายดันมาปรากฏตัวขึ้นในโลกมนุษย์”

 

“ … น่าสนใจไม่เลวนี่ เช่นนี้แล้วมันจะต้องเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นแน่นอน”

 

“เกิดอะไรขึ้นกับอสูรกายผู้คุมนรกหรือเปล่านะ?”

 

เขากล่าว “ยี่ชา จงเตรียม ‘คนเป็น’ 1000 ชีวิต เพื่อทำการเสียสละบูชายัญ ข้าต้องการที่จะแบ่งร่างแยกของตัวเองมายังโลกใบนี้เพื่อช่วยเจ้า”

 

“ข้าน้อมรับความช่วยเหลือนี้และยินดีปฏิบัติตามเป้าประสงค์ของเจ้า … ท่านผู้ทรงเกียรติ” ยี่ชากล่าว

 

“เจ้าทำได้ดีมากในครั้งนี้ ข้าจะใช้พลังของนรก 9 ชั้นชำระล้างเพื่อขยายขีดจำกัดไพ่เทียนซวนของเจ้าให้เพิ่มขึ้นเป็นรางวัล”

 

“ขอบพระคุณท่านผู้ทรงเกียรติ” ยี่ชาขานรับด้วยความสุขใจยิ่ง

 

“เอาล่ะ เจ้าไปทำตามที่ได้รับมอบหมายเถอะ”  แอสเมิร์ด กล่าว

 

“แต่ … แล้วพวกมันเล่าจะทำอย่างไร?” ยี่ชาเอ่ยอย่างลังเล

 

เธอกำลังชี้ไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยมนุษย์ปีศาจนับหลายร้อยหลายพันตัว

 

“กฏของปรภพในโลกของเจ้ามันหลุดจากการควบคุมแล้ว จิตวิญญาณของพวกมันได้ตกอยู่ในกำมือของข้าเป็นที่เรียบร้อย”

 

แอสเมิร์ด ยื่นมือข้างหนึ่งของเขาออกไปและแบออก

 

จุดแสงสว่างหนาแน่นปรากฏขึ้นในมือของเขา

 

“นี่ใช่สิ่งที่เรียกว่าเก็บเกี่ยวได้โดยบังเอิญอย่างไม่คาดคิด ใช่หรือไม่?” เขายิ้ม

 

“เจ้านี่ช่างร้ายกาจจริงๆ” ยี่ชาเอ่ยชมออกมาอย่างจริงใจ

 

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว จงไปเตรียมเครื่องบูชายัญให้พร้อมเสีย จงจดจำเอาได้ด้วยว่าต้องเร็วที่สุด ข้าต้องการจะมาสำรวจด้วยตาตนเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

“น้อมรับบัญชา ท่านแอสเมิร์ด”

 

กล่าวจบ ยี่ชาก็เร่งลงมือ และจัดการเรื่องที่เกี่ยวข้องทันที

 

ส่วนแอสเมิร์ด เขาเพียงหยุดยืนอยู่กลางอากาศ สายตาจ้องมองไปยังแผ่นหลังของยี่ชาโดยไม่คิดติดตามไป

 

‘จิตวิญญาณอันล้ำค่าจากเกาะหมอก’ … นี่คือสิ่งที่เขาต้องการเสมอมา

 

สำหรับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้น่ะ เขาขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจมัน

 

—เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับอสูรกายผู้ควบคุมนรก แน่นอนว่านี่ย่อมต้องเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งแน่ๆ

 

แม้ว่าตนจะเป็นนายเหนือผู้ครอบครองสถานชำระล้างบาปทั้ง 9 ชั้น แต่ตนก็รู้ดีว่าไม่สมควรที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์สยองเกล้าที่ไม่รู้ที่จักเช่นนี้

 

เมื่อได้ก้าวเข้ามาสู่โลกใบนี้ด้วยการเสียสละของเครื่องบูชายัน

 

เขาก็จะรับเอาตัวยี่ชา หนึ่งเดียวในโลกนี้ที่มี ‘จิตวิญญาณอันล้ำค่าจากเกาะหมอก’ มา แล้วก็จะจากไปทันที

 

นี่คือเรื่องที่แอสเมิร์ดกำลังคิดจะทำ

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.357 – ปรากฏกาย(2)

 

พระสันตะปาปารวมทั้งเจ็ดสาวกเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน

 

เห็นแค่เพียงกลุ่มแสงเหล่านั้นกระจายแตกตัวออกไป เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ที่แท้จริงของพวกมันออกมา

 

“มนุษย์? ไม่สิ ไม่ใช่!”

 

ดวงตาของพระสันตะปาปาหรี่แคบลง จับจ้องสังเกตสิ่งเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง

 

ภายในกลุ่มแสง มีมอนสเตอร์รูปร่างคล้ายมนุษย์อยู่

 

ส่วนเหตุผลที่ทำให้มั่นใจว่าพวกมันมิใช่มนุษย์ นั่นก็เพราะแม้สรีระร่างกายส่วนใหญ่จะเหมือนกับมนุษย์ ทว่าพวกมันกลับไร้ซึ่งใบหน้า

 

รวมไปถึงพลังธาตุที่หมุนเวียนว่ายรายล้อมอยู่รอบตัวพวกมัน ควบรวมตัวกันได้อย่างง่ายดาย

 

ธาตุทั้งสิบที่ทรงพลานุภาพแตกตัวจากทั่วผืนฟ้า ร่วงหล่นไปทั่วผืนดินจนตลอดทั้งเมืองลุกเป็นไฟ

 

การแสดงออกของหัวหน้าสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์แปรเปลี่ยนไป

 

ด้วยตัวเขาที่เป็นถึงนักสู้ที่ทรงพลังและมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย ทำให้ไม่นานก็สามารถเห็นถึงกุญแจสำคัญของเรื่องราวตรงหน้าได้ในที่สุด

 

“พวกมันเป็นผู้ควบคุมธาตุ! แถมถ้าเทียบกับมืออาชีพที่ใช้ธาตุทั้งห้าแล้วแกร่งยิ่งกว่าหลายเท่าอีกด้วย!!” เขาตะโกนออกมา

 

“ดูเหมือนพวกมันจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้ธาตุจริงๆ” คาร์ดินัลคิดด์เอ่ยเสริม

 

บนท้องฟ้า มอนสเตอร์ที่ไร้ซึ่งใบหน้า กำลังเปล่งแสงหลากสีของธาตุต่างๆออกมาจากร่างกาย

 

และมอนสเตอร์ทุกตัวที่ปรากฏ ทั้งหมดล้วนสามารถควบคุมธาตุได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

มนุษย์ปีศาจ

 

ปีศาจแห่งนรกเยือกแข็งได้มารวมตัวกัน และกำลังริเริ่มทำการโจมตีเมืองแล้ว!

 

และเวลานี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ คือเป้าหมายของพวกมัน

 

โบสถ์ใหญ่ได้ถูกโจมตีก่อนเป็นแห่งแรก ด้วยเหตุผลอันเนื่องมาจากมันเป็นอาคารที่ดูโดดเด่น งดงามสะดุดตา เต็มไปด้วยความซับซ้อนทางสถาปัตยกรรม ดังนั้นอาคารแห่งนี้จึงดึงดูดกลุ่มแสงจำนวนมากเข้ามาหา

 

“สั่งระดมมืออาชีพทุกคน! ส่วนพวกเจ้า ออกไปสู้กับมันซะ เร็วเข้า!” พระสันตะปาปาตะโกนสั่งเสียงดัง

 

สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดได้ถ่ายทอดคำสั่งของพวกเขาลงไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา จากนั้นก็ทะยานออกไปต้อนรับมอนสเตอร์ที่โบยบินบนผืนฟ้า

 

เกือบจะในทันที การต่อสู้ก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่ร้ายแรงที่สุด

 

มนุษย์ปีศาจสามารถใช้งานธาตุได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพลังโจมตีของมันจึงรุนแรงยิ่งกว่ามืออาชีพธรรมดาๆอยู่หลายเท่า

 

นอกจากนี้พวกมันยังสามารถบินได้

 

มนุษย์ปีศาจทั้งหมดลอยอยู่ในอากาศ ทำให้มืออาชีพธรรมดาๆไม่สามารถโจมตีพวกมันได้เลย

 

คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ได้ทำการส่งเกราะรบทั้งหมดออกมา

 

อย่างไรก็ตาม เกราะรบของทางคริสตจักร ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธที่ล้าสมัย

 

จำนวนของมนุษย์ปีศาจมีมากเกินไป มันเยอะกว่าเกราะรบขับเคลื่อน

 

พวกมันบินฉวัดเฉวียนไปมาอย่างอิสระ และโจมตีได้ดั่งใจต้องการ

 

ส่งผลให้กองกำลังติดอาวุธของคริสตจักร ทั้งหมดกำลังตกอยู่ภายใต้การต่อสู้อันยากลำบาก

 

ในเวลาเพียงไม่กี่สิบนาทีของการต่อสู้ มนุษย์ปีศาจก็ดูจะค่อยๆเหนือกว่าจนเห็นได้ชัด

 

พวกมันกำลังกรีทาทัพมุ่งหน้าไปยังทิศทางโบสถ์ใหญ่ของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์

 

พระสันตะปาปาบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เข้าร่วมต่อสู้ด้วยตนเอง ถลาเข้าโจมตีสังหารมนุษย์ปีศาจไปกว่า7-8ตน

 

เหตุการณ์นี้ ส่งผลให้มนุษย์ปีศาจทั้งหมดต่างโกรธแค้น

 

หลายร้อยมนุษย์ปีศาจจับกลุ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ตนแล้วตนเล่าระเบิดพลังธาตุของตัวเองออกมา

 

พริบตานั้น ตลอดทั้งมหาวิหาร ทั้งหมดพลันพังทลายลง ล้มครืนตกลงสู่พื้นดิน

 

แม้กระทั่งพระสันตะปาปาที่กล่าวกันว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลัง ก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับการจู่โจมอันน่าสะพรึงเช่นนี้

 

อย่างไรก็ตามเธอก็ยังรอดชีวิตมาได้

 

ด้วยการเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในไพ่ ทำให้พระสันตะปาปาสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีได้ชั่วคราว

 

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป

 

เมื่อมนุษย์ปีศาจไม่อาจหาเป้าหมายของพวกมันพบ  พวกมันจึงไประบายความโกรธใส่กลุ่มคนอื่นๆที่กำลังต่อต้าน

 

เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ

 

หลังจากการเสียชีวิตนับร้อยนับพันของกองกำลังติดอาวุธแห่งคริสตจักร รวมไปถึงสองในเจ็ดสาวกศักดิ์สิทธิ์ พระสันตะปาปาก็ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่

 

เธอมิได้ออกไปลงมืออีกครั้ง

 

เธอหลบซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบ สองตาเฝ้าสังเกตบนท้องฟ้าอย่างระมัดระวัง

 

“นี่มันตระกูลจำพวกปีศาจ? ดูเหมือนว่าจะเป็นการดำรงอยู่ของตัวตนจากในยุคอดีต แต่ตามตัวของพวกมันยังคงมีกลิ่นอายของวิญญาณ ดูเหมือนว่าพวกมันจะคืบคลานออกมาจากนรกจริงๆ” เธอพึมพำ

 

ตอนนี้ มิอาจสามารถกลับไปยังเกาะหมอกได้ ดังนั้น หากเธอไม่สามารถรักษาที่นี่ไว้ได้จริงๆ ก็คงจำเป็นต้องท่องไปตามโลกอื่น จักรวาลอื่นๆ

 

หัวหน้าสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์กระอักเลือดคำหนึ่ง วิ่งตรงเข้ามา ปากเอ่ยรายงาน “พวกเราได้ใช้ทุกวิถีทางแล้ว แต่จำนวนของพวกมันมีเยอะเกินไป แถมยังทวีมากขึ้นเรื่อยๆ การที่จะสังหารพวกมันเลยเป็นไปอย่างยากลำบาก … ”

 

พระสันตะปาปามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง

 

การโจมตีด้วยธาตุของมนุษย์ปีศาจ ค่อยๆเพิ่มขึ้นและซ้อนทับกันเรื่อยๆ

 

เมื่อจำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ หลายร้อยกลุ่มก้อนพลังงานก็ผสานรวมเข้าด้วยกัน ก่อบังเกิดรูปแบบการโจมตีทางเทคนิคมนตราอันน่าพรั่นพรึงขึ้น

 

การโจมตีดังกล่าวนี้ แม้กระทั่งพลังมนตราของเธอก็มิอาจเอาชนะศัตรูได้

 

ตัวโบสถ์ล้มครืนลงโดยสมบูรณ์

 

แสงจากเบื้องบนท้องฟ้า สาดทอลงมากระทบเข้ากับชั้นผ้าโปร่งที่ปกคลุมใบหน้าของพระสันตะปาปา

 

และเธอก็ยิ้มออกมาทันใด

 

หลายวันที่ผ่านมานี้ เธอได้แต่เตร็ดเตร่อยู่ในมหาสมุทรแห่งซากศพ และทำได้เพียงถอนหายใจบรรเทาทุกข์

 

โดยไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากที่ตนกลับมา จะถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวนี้

 

ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว

 

นี่มันมากเกินกว่าที่คนๆหนึ่งจะทนไหว!

 

“ฮัทท์ เจ้ากลัวความตายหรือไม่?” พระสันตะปาปากล่าว

 

“เพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ กระผมเต็มใจที่จะเสียสละทุกสิ่ง” ฮัทท์กล่าว

 

“เพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์สินะ เหตุใดจึงมิใช่เพื่อข้าเล่า?” พระสันตะปาปาดูจะผิดหวังเล็กน้อย

 

ฮัทท์ชะงักงัน ก่อนจะกล่าว “เพื่อท่าน เพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ มันก็ไม่แตกต่างกัน”

 

พระสันตะปาปาเงียบไป ก่อนจะเอ่ยสั่ง “ไปซะ จงไปตามผู้ทรมานตนอีวานมา”

 

ฮัทท์ราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขาเร่งกล่าวทันที “อีวานเป็นคนประเภทสมองกล้ามเนื้อ หากมีเรื่องใดขอท่านโปรดบอกกระผมโดยตรง ตัวกระผมยินดีสละทุกสิ่งเพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์”

 

“ไม่ ภารกิจนี้มันไม่เหมาะกับเจ้า จงไปตามตัวอีวานมา เดี๋ยวนี้!”

 

“ … น้อมรับคำสั่ง” ฮัทท์ตอบรับ

 

แล้วไม่นานนัก อีวานก็มาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าพระสันตะปาปา

 

“ฮัทท์ เจ้าไปรับหน้าที่หัวหอกควบคุมการต่อสู้” พระสันตะปาปาสั่ง

 

“รับทราบ” ฮัทท์ปลีกตัวแยกออกไป

 

ทว่าก่อนจะลับสายตา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังหันกลับมามองน้องชายของตนด้วยความกังวล

 

“โปรดสั่งมาได้เลยท่าน” อีวานคุกเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าว

 

พระสันตะปาปาก้าวเข้าไปหาเขาทีละก้าว ทีละก้าว ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “อีวาน เจ้าเป็นนักสู้ ครอบครองจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครหากเทียบเปรียบกับสาวกศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ดังนั้นข้าจะมอบอาวุธที่เหมาะสมกันให้แก่เจ้า”

 

เธอเอ่ยถาม “เอาล่ะ ตอนนี้ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ายินดีจะสู้เพื่อข้าหรือไม่?”

 

“ข้าจะทำ!”

 

อีวานร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

เขาจำได้ว่า ครั้งหนึ่งพระสันตะปาปาเคยมอบแส้วิเศษให้แก่คาร์ดินัลคิดด์

 

แส้ที่สามารถหายไปในความว่างเปล่าได้ดั่งใจนึก ช่างเป็นอะไรที่แปลกประหลาดทว่าขณะเดียวกันก็สุดยอดโดยแท้!

 

ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญเช่นนี้ พระสันตะปาปากลับเลือกที่จะมอบอาวุธของตนเองให้แก่เขา!

 

ขณะที่อีวานกำลังขบคิด ทันใดนั้นก็ปรากฏไพ่ใบหนึ่ขึ้นต่อหน้าเขา

 

ภาพในไพ่ เป็นกระแสน้ำวนที่มืดมิด

 

ใจกลางของกระแสน้ำวน มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมา ราวกับกำลังต้องการที่จะขอเชคแฮนทักทายกับเขา

 

แต่หากเพ่งพินิจมองด้วยสองตาดีๆ เขากลับรู้สึกว่ามือที่ยื่นมานี้ส่งกลิ่นอายของความบ้าคลั่ง

 

– มันราวกับคนที่กำลังจมน้ำ และพยายามจะคว้าทุกสิ่ง อะไรก็ได้ที่จับได้

 

“เอาไปสิ” พระสันตะปาปากล่าว

 

อีวานยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

 

ทันใดนั้น ความรู้สึกไม่ดีก็เกิดขึ้นในจิตใจของเขา

 

“เอามันไป นี่คือคำสั่ง” พระสันตะปาปากระตุ้นเตือน

 

“ทราบแล้ว”อีวานก้มหัวลง สุดท้ายก็รับไพ่มา

 

เมื่อพระสันตะปาปาเห็นว่าเขารับไพ่ไปแล้ว ตนก็ก้าวถอยหลังปลีกตัวออกมา

 

เธอจ้องมองอีวานอย่างเงียบๆ ในโทนเสียงปรากฏถึงร่องรอยของความหวาดกลัวและโศกเศร้า “จงอย่าตำหนิข้า อย่าตำหนิข้าเลย ที่ทำเช่นนี้ เพราะข้าไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้ว”

 

สีหน้าของอีวานเผยถึงความสงสัย เขาเอ่ยปากกล่าว “พระสันตะปาปา นี่ท่าน … ”

 

บางที อาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายกำลังจะต้องตายในเร็วๆนี้ พระสันตะปาปาจึงเอ่ยอธิบายออกไปหลายคำ

 

“แท้จริงแล้ว เมื่อใช้ออกด้วยไพ่ใบนี้ ข้าเองก็ไม่ทราบถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ต้องการเป็นคนจร ที่จะต้องท่องไปทั่วอย่างไร้ที่สิ้นสุด ขอเจ้าจงยกโทษให้ข้าด้วยนะ”

 

หลังจากได้ยินคำอธิบายที่ฟังดูสับสนนี้ อีวานก็งงงวยยิ่งกว่าเดิม

 

เขากำลังจะถามอะไรบางอย่างออกไป แต่ก็ดันพบว่าไพ่ในมือของเขาเริ่มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเสียก่อน

 

ฝ่ามือขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากไพ่ มันคว้าหมับ! จับเข้ากลางลำตัวเขาและดึงเข้าไปข้างใน

 

“อาา อ๊าาาา!”

 

บังเกิดเสียงร่ำร้องอันขมขื่นดังขึ้นชั่วขณะหนึ่ง

 

ผสมปนเปไปกับเสียงเคี้ยวที่เพียงได้ฟังก็ต้องขนลุกซู่

 

การซ้อนทับ ผสมผสานกันระหว่างสองเสียงนี้ ไม่ว่าใครได้ยินก็พอที่จะตั้งสมมติฐานได้ว่า มันคือเสียงของคนๆหนึ่งที่กำลังถูกกัดกินอย่างช้าๆ

 

ผ่านพ้นไปสักพัก ภายในไพ่ก็บังเกิดเสียงถอนหายใจด้วยความพึงพอใจออกมา

 

“อืม … ช่างเป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์โดยแท้ แม้จะยังมีความโหดร้ายกระหายเลือดอยู่บ้าง แต่สำหรับใน ‘นรกเก้าชั้น’ แล้วมันนับว่าเป็นอาหารอันโอชะที่หาได้ยากยิ่งทีเดียว”

 

“ยี่ชา ในที่สุดเจ้าก็ตกลงเต็มใจที่จะลงนามทำสัญญากับข้า แถมยังเสนออาหารอันโอชะมาเป็นของขวัญในสัญญาอีก บอกตามตรงว่าข้ารู้สึกพึงพอใจมากทีเดียว”

 

พระสันตะปาปา หรือคนที่ถูกเรียกว่ายี่ชา ก้มหัวลงด้วยความเคารพและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าพอใจ งั้นก็ดีแล้ว”

 

“ตั้งแต่นี้ไป สัญญาได้ถูกก่อร่างขึ้นแล้ว จงพูดในสิ่งที่เจ้าต้องการมา” เสียงนั่นเอ่ยถาม

 

“ข้าต้องการจะถือครองธงของเจ้า และหยุดสงครามโดยสมญานามของเจ้า” ยี่ชากล่าว

 

“อ๊ะ นั่นมันเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ข้าอนุญาต” เสียงนั่นเอ่ยตอบกลับด้วยความเกียจคร้าน

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.356 – ปรากฏกาย(1)

 

กู่ฉิงซานหยิบถุงเครื่องหอมที่มีสีสันออกมา และเริ่มแทรกจิตสัมผัสเทวะลงไปเพื่อทำการค้นหาวิชาลับในขอบเขตก้าวสู่เทพ

 

เนื่องด้วยความผันผวนทางพลังวิญญาณหลังจากในตอนแรกที่พึ่งยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นต้นได้ลดลงไปมากแล้ว ดังนั้น มันจึงถึงเวลาที่จะทะลวงเข้าสู่ก้าวสู่เทพขั้นกลางเสียที

 

แต่แล้วการแสดงออกทางสีหน้าของเขาก็วูบไหวอย่างกระทันหัน

 

เพราะภายในถุงเครื่องหอม ท่ามกลางหลายสิ่งที่กองซ้อนๆกันไม่เป็นระเบียบ

 

มีเพียงแค่ในส่วนเทคนิคฝึกยุทธของเขา เซี่ยวโหลว และซิวซิวเท่านั้นที่ถูกจัดแจงไว้อย่างเป็นระเบียบ

 

กู่ฉิงซานคว้าจับสิ่งหนึ่งมาไว้ในมือ

 

มันเป็นใบหยกที่ถูกสลักคำว่า ‘ซาน’ เอาไว้

 

เขารีบปล่อยพลังวิญญาณออกไปกระตุ้นมัน และเสียงของนางเซียนไป่ฮั่วก็ดังสะท้อนออกมาจากใบหยกทันที

 

“การเลือกเทคนิคฝึกยุทธในขอบเขตก้าวสู่เทพน่ะ มันเป็นอะไรที่สำคัญมากๆเลยนะรู้ไหม นั่นเพราะมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับความยากลำบากในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพ”

 

“ฉิงซาน วิชาลับ‘มังกรฟ้า’ก้าวสู่เทพ  นี้ข้าตั้งใจเลือกมันอยู่นาน และในที่สุดก็ตัดสินใจว่าเทคนิคฝุกยุทธชนิดนี้นี่แหละ ที่มันเหมาะสมกับรูปแบบการต่อสู้ของเจ้ามากที่สุด”

 

“ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มีผู้ฝึกยุทธทั้งหมด 37 คนที่ได้รับวิชาลับที่ว่านี้ และมีถึง 9 คนที่สามารถยกระดับขึ้นสู่ประทับเทพได้ นอกจากนี้6ใน9ยังเป็นผู้ฝึกดาบและนักสู้หวู๋เต๋าอีกด้วย”

 

“ข้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เรียนรู้วิชาลับนี้เช่นกัน และก็ค้นพบว่ามันเหมาะสมจริงๆสำหรับผู้ฝึกดาบ”

 

“ฉิงซาน เจ้าจักต้องศึกษาวิชานี้อย่างจริงจัง นี่เป็นเรื่องใหญ่มากเพราะมันจะก่อประโยชน์อย่างมหาศาลต่อตัวเจ้าในอนาคต”

 

แล้วเสียงก็หายไป

 

มุมปากของกู่ฉิงซานกระตุกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา

 

ในช่วงชีวิตใหม่นี้ สิ่งที่นับว่าตนตัดสินใจได้ถูกต้องมากที่สุดหากเทียบกับหลายๆสิ่งที่กระทำมา ก็คงจะไม่พ้นการได้คารวะนางเซียนไป่ฮั่วเป็นอาจารย์นี่แหละ

 

นางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิง ปฏิบัติกับสาวกราวกับเป็นคนในครอบครัวของเธอ

 

ดังนั้นเธอจึงย่อมปกป้อง ใส่ใจ และห่วงใยในตัวเขาเป็นธรรมดา

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงในใบหยก และกวาดอ่านมันทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

 

ในเวลาเดียวกัน หลายบรรทัดแสงตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ค้นพบเทคนิคฝึกยุทธ : วิชาลับมังกรฟ้าก้าวสู่เทพ ”

 

“การเรียนรู้วิชาลับนี้โดยสมบูรณ์ จำเป็นต้องจ่าย 200 แต้มพลังวิญญาณ ผู้เล่นยินดีที่จะจ่ายหรือไม่?”

 

“ฉันยินดี” กู่ฉิงซานกล่าว

 

กระแสความร้อนไหลจากใบหยกเข้าสู่แขน กระจายไปตลอดทั่วตัวและกระดูก และในที่สุดก็มาบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ

 

ในทันที กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใจถึง ‘วิชาลับมังกรฟ้าก้าวสู่เทพ’ ได้อย่างสมบูรณ์

 

เขาหลับตาลงเพื่อที่จะตระหนักรู้ถึงทุกขั้นตอนในการฝึกยุทธ

 

หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจว่าทุกอย่างถูกต้อง กู่ฉิงซานก็หยิบเม็ดยาวิญญาณทรงเมล็ดข้าวที่มีฤทธิ์แรงที่สุดออกมาและโยนมันเข้าปากกลืนลงไป

 

จากนั้น เขาก็เริ่มทำการทะลวงก้าวสู่เทพขั้นกลาง

 

ด้วยความเข้าใจในเทคนิคฝึกยุทธอย่างถ่องแท้ ทุกๆกระบวนการที่เขาทำจึงดูราวกับเป็นผู้ฝึกยุทธที่ฝึกฝนอยู่ในขอบเขตนี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ละขัั้นตอนค่อยๆบรรลุอย่างง่ายดาย และเริ่มต้นด้วยขั้นตอนต่อไปอีกครั้ง

 

เนื่องเพราะได้รับประสบการณ์มาก่อนแล้ว ทำให้กระบวนการนี้ช่างคืบหน้าไปอย่างง่ายดาย

 

ช่วงกลางดึก แสงสวรรค์ในร่างของกู่ฉิงซานก็ทวีอานุภาพขึ้น ส่องสว่างยิ่งขึ้น จนห้องพักของเขาในเวลานี้เจิดจ้าราวกับอยู่ในช่วงกลางวัน

 

คืนที่มืดมิดได้ผ่านพ้นไป และแสงแรกแห่งรุ่งอรุณก็ค่อยๆสาดลงมาจากสุดขอบฟ้า

 

แสงสวรรค์บนร่างกายของกู่ฉิงซานค่อยๆควบรวมกลับคืน และจมลงสู่ร่างกายของเขา

 

สองตาที่ปิดแน่นได้ลืมขึ้น

 

เขาได้กลายเป็นก้าวสู่เทพขั้นกลางเรียบร้อยแล้ว

 

ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านขอบเขตฝึกยุทธ หรือความสำเร็จในด้านสกิลดาบ เขาก็มิแตกต่างไปจากช่วงเวลาที่อยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตก่อนหน้าแล้ว!

 

งั้นจากนี้ก็สามาถทะลวงก้าวสู่เทพขั้นปลายได้เลยน่ะสิ?

 

กู่ฉิงซานคิดอย่างถี่ถ้วน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่ทะลวงสู่ก้าวสู่เทพขั้นปลายในทันที

 

เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ เขาจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อนสำหรับขอบเขตประทับเทพในระดับต่อไป

 

นี่คือเส้นแบ่งที่มีนัยยะสำคัญ

 

เพราะผู้ฝึกยุทธมากมายติดอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา และไม่อาจที่จะทะลวงไปยังขอบเขตประทับเทพได้ ดังนั้นก่อนจะยกระดับแต่ละที เขาก็จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน

 

แต่ ณ ตอนนี้ ด้วยการที่ความผันผวนทางพลังวิญญาณของตนเองยังไม่แน่ไม่นอน ร่างกายยังมีได้ปรับตัวให้เข้ากับพลังของก้าวสู่เทพขั้นกลาง ดังนั้นการจะทะลวงสู่ขั้นต่อไป มันจะเป็นการง่ายที่จะส่งผลกระทบให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ

 

มันจะดีกว่าหากรอสักพักหนึ่ง รอให้ความผันผวนทางพลังวิญญาณลดลง แล้วจากนั้นค่อยมาวางแผนที่จะทะลวงมันอีกครั้ง

 

“ใต้เท้า ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว โปรดกินให้ตรงเวลา เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับสารอาหารที่พอเพียง” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้นจากสมองควอนตัม

 

“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นระหว่างกินข้าว ฝากเตรียมรถเหินเวหาให้ฉันด้วยนะ ช่วงเช้าฉันว่าจะไปฟูซีเพื่อดูพิธีขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดินีเวโรน่าซะหน่อย”

 

“โปรดวางใจ รถเหินเวหาได้ถูกตระเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว”

 

…….

 

ณ คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์

 

สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ด แต่ละคนต่างย่อตัวคุกเข่าลง

 

เจ็ดแสงบริสุทธิ์ลอยออกมาจากพวกเขา ควบรวมเข้าด้วยกัน แปรสภาพเป็นเสาแสงอันกว้างใหญ่

 

ตลอดทั้งตัวโบสถ์ใหญ่ ได้ถูกครอบคลุมไปด้วยแสงบริสุทธิ์นี้

 

เพียงไม่นาน

 

บนบัลลังก์ของโบสถ์ ก็เริ่มปรากฏร่างของคนๆหนึ่งขึ้น

 

สามารถมองเห็นส่วนปีกที่ซ่อนอยู่ได้อย่างชัดเจน ขณะที่เหนือหัวของคนผู้นั้นมีรัศมีแสงแขวนอยู่

 

บนร่างกายสวมใส่ชุดคลุมสีขาว ขณะที่บนใบหน้าถูกปิดบังไว้ด้วยผ้าโปร่ง

 

พระสันตะปาปาได้กลับมาแล้ว

 

เธอนั่งลงบนบัลลังก์และกล่าวว่า “หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนก็จงอย่าติดต่อข้า เรื่องนี้พวกเจ้าน่าจะทราบดีนี่”

 

เจ็ดสาวกศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าพร้อมกัน

 

พระสันตะปาปามองไปที่พวกเขา ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา

 

ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ

 

—ตนเองได้พ่ายแพ้

 

ตอนนี้ เธอทำได้เพียงเดินเหินไปในมหาสมุทรแห่งซากศพ และไม่มีทางที่จะเข้าสู่เกาะหมอกได้

 

ข้าไม่ยินยอม!

 

หลังจากเตรียมการและใช้ความพยายามอย่างหนัก แต่ท้ายที่สุดเธอกลับถูกนังเด็กนั่นผลักไสจนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

 

ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!

 

แต่ก็นับว่าข้ายังมิได้พ่ายแพ้โดยสมบูรณ์

 

นังเด็กสาวนั่นจะต้องเป็นใครบางคนในโลกใบนี้อย่างแน่นอน

 

ข้าจะต้องหาวิธีที่จะตามตัวเธอในโลกจริง จากนั้นก็ฆ่าเธอซะ!

 

ตราบใดที่นังเด็กนั่นตาย ย่อมเป็นธรรมดาที่ระบบจะกลับมาสู่อ้อมอกของตนเอง

 

แต่สำหรับตอนนี้ มาดูกันก่อนดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

เธอเอ่ยถาม “งั้นก็ดี ในเมื่อพวกเจ้ารู้ แต่ก็ยังดึงดันจะเรียกข้ากลับมา ฉะนั้นข้าต้องการจะทราบว่าแท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”

 

“นายทหารของรัฐบาลกลางที่เป็นตัวสร้างปัญหาขึ้นในงานเลี้ยงอาหารค่ำของมาดามดู่ได้หายตัวไปแล้ว ไม่มีวี่แววของเขาโดยสมบูรณ์” สาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์กล่าวรายงาน

 

เสียงของพระสันตะปาปาเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบา “เพียงเพราะเรื่องแค่นี้หรือ?”

 

ในจิตใจของฮัทท์รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะโกรธ เขาจึงเร่งเอ่ยว่า “มิได้มีแค่นั้น แต่ตอนนี้โลกได้เกิดปัญหาขึ้น นรกกำลังมาเยือนพวกเราแล้ว”

 

“นรก?”

 

พระสันตะปาปาทวนซ้ำ น้ำเสียงของเธอค่อนข้างประหลาดใจ ความโกรธได้สลายไป

 

“ขอรับ นรกเยือกแข็ง” ฮัทท์ถอนหายใจโล่งอก

 

แล้วเขาก็เริ่มบอกเล่าเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้

 

พระสันตะปาปานั่งเงียบไปครู่หนึ่ง สักพักจึงถอนหายใจออกมา “จักรพรรดิฟูซี อันที่จริงแล้วข้าเข้าใจตัวเขานะ แต่น่าเสียดายจริงๆที่เขาเลือกเป้าหมายผิด”

 

“เกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นกับปรภพอย่างงั้นหรือ … ” พระสันตะปาปาพึมพำ

 

หนึ่งศอกวางลงบนพนัก เอนตัววางแก้มลงบนมือข้างเดียวกันขณะที่ในสมองกำลังครุ่นคิด

 

ดูเหมือนว่าการที่ตนเองถูกเรียกกลับมาจะนับว่าถูกต้องแล้ว

 

สถานการณ์โลกในเวลานี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และเธอต้องก้าวเข้ามาควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง

 

ด้วยความแข็งแกร่งของโลกใบนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับมือกับนรก

 

ดูเหมือนว่าข้าจะต้องจากไปเร็วขึ้นสักหน่อยเสียแล้วกระมัง

 

—แต่ดูทุกสิ่งที่สร้างมาเป็นอย่างดีนี่ซี? จะต้องทิ้งมันไปจริงๆน่ะหรือ?

 

เธอมองไปรอบโบสถ์

 

ห้องโถงกว้างขวาง ส่องสว่างและสดใส

 

กลุ่มคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ภักดี ซื่อสัตย์ และเต็มใจอุทิศตนเพื่อเธอ

 

แสงแดดจากดวงอาทิตย์สาดเข้ามาทางกระจกหน้าต่างที่เป็นรูปวาดหลากสีสัน นำมาซึ่งความรู้สึกสงบอย่างน่าแปลกประหลาด

 

เงียบสงบและอบอุ่น ทุกอย่างดูเป็นระเบียบ

 

ไม่เพียงแต่โบสถ์นี้เท่านั้น แต่กระทั่งทั้งประเทศก็ยังเป็นของตนเอง

 

หากต้องจากไปในตอนนี้จริงๆ บอกตรงๆว่าเธอลังเล

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสำหรับตนเองที่จะได้รับร่างกายนี้ ศาสนานี้ และประเทศนี้ แต่มาตอนนี้กลับจะต้องหนีไป?

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พึ่งถูกขับไล่ออกจากเกาะหมอก

 

ให้เตร่ไปทั่วจักรวาลเนี่ยนะ? เพียงแค่คิดก็เจ็บปวดใจยิ่งแล้ว

 

พระสันตะปาปาลุกขึ้น และเดินไปรอบๆโบสถ์ ด้วยสองมือที่ไขว้กันอยู่เบื้องหลัง

 

ใช่ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือนังเด็กสาวคนนั้น

 

เมื่อเธอกลับมาสู่โลกใบนี้ ข้าจะต้องตามหาเธอให้พบและจัดการสังหารซะ!

 

ทันทีทีนังเด็กนั่นตาย อะไรๆมันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นก็ได้

 

ดังนั้น เวลานี้จึงยังไม่สมควรที่จะทอดทิ้งโลกใบนี้ไป

 

สำหรับเรื่องของปรภพ-

 

จากมุมมองในปัจจุบัน มันยังไม่ชัดเจนว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับปรภพ

 

สถานการณ์ยังไม่กระจ่าง หากตนเองผลีผลามจากไปอย่างเร่งร้อน เกรงว่าคงจะสูญเสียมากเกินไป

 

บางทีความผิดปกติจากทางปรภพอาจจะหายไปในไม่ช้าก็ได้

 

ถ้างั้นรอดูก่อนก็แล้วกัน

 

พระสันตะปาปารำพึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปล่งเสียงเอ่ยถามว่า “เวโรน่าได้ขึ้นครองบัลลังก์ใช่หรือไม่?”

 

“ใช่ โปรดดูในจอม่านแสง”

 

ขณะที่ฮัทท์กำลังกล่าว จอม่านแสงก็โผล่ออกมา

 

บนจอม่านแสง เป็นพระราชวังที่สวยงาม

 

ณ เมืองหลวงของฟูซี

 

ภายในพระราชวังหลวง

 

ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของพิธีราชาภิเษกแห่งฟูซี เวโรน่าจะต้องนั่งอยู่ในรถม้าที่ถูกลากโดยอาชาสีขาวบริสุทธิ์แปดตัว เดินทางออกจากพระราชวังภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ มุ่งหน้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ของฟูซี

 

พระสังฆราชแห่งฟูซีจะรับผิดชอบเป็นประธานในการดำเนินพิธีนี้

 

ผู้นำระดับโลก และบุคคลสำคัญจากประเทศต่างๆจะรออยู่ในภายในมหาวิหารเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี

 

เวโรน่าสวมใส่เสื้อคลุมจักรพรรดิสีดำและแดง ในมือข้างหนึ่งถือคทาของกษัตริย์ ขณะที่อีกข้างถือแอปเปิ้ลทองคำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจในรูปแบบของฟูซี

 

เธอเอ่ยปฏิญาณอย่างเคร่งครัดกับรูปปั้นเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหลใจกลางวิหาร

 

“เราจะปกป้องอาณาจักรนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชน เพื่อความผาสุขและศักดิ์ศรี เราจะ … ”

 

พระสันตะปาปามองไปยังฉากนี้ ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา “น่าสนใจดีนี่”

 

เดิมทีแล้ววิหารศักดิ์สิทธิ์ของฟูซีถูกสร้างขึ้นก่อนที่องค์จักรพรรดิฟูซีจะแต่งงาน

 

แน่นอน ว่าเป็นการแต่งงานกับเวโรน่าจากตระกูลเมดิซี

 

เวโรน่า เมดิซี ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์เธอเคยเป็นถึงพระคาร์ดินัลของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์

 

เพื่อที่จะได้ครอบครองเธอ องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีถึงขั้นประกาศแก่สาธารณชนว่า ตนจะสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์อันงดงามยิ่งใหญ่ขึ้นในเมืองหลวงของฟูซี

 

วิหารนี้เปรียบดั่งตัวแทนของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวแทนของความเชื่อแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ และความศรัทธาของเวโรน่าที่จะปกป้องจักรวรรดิ์ศักดิ์สิทธิ์

 

—แต่ปัจจุบันมันไม่ได้เป็นตัวแทนของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว

 

พระสันตะปาปาขบคิดอย่างเงียบๆ

 

โชคดีจริงๆที่ได้ร่างนี้มา เพราะปัญหาที่ร่างนี้ต้องเผชิญนับว่าใหญ่หลวงไม่น้อย

 

เป็นเรื่องบังเอิญที่โชคดีมากเสียจริงๆ

 

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ในตอนที่ตนเองได้เข้าสู่ร่างกายนี้ มันกลับไม่หลงเหลือร่องรอยของพระสันตะปาปาคนเก่าเสียแล้ว

 

ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รับความทรงจำใดๆมาเลย

 

บนจอม่านแสง เวโรน่ายังคงคุกเข่าต่อหน้าเทพแห่งความตายที่หลับไหล เปล่งวาจาสัตย์อย่างเคร่งขรึมจริงจัง

 

เหตุการณ์นี้ดำเนินไปอีกราวๆ2-3 นาที

 

สายตาของพระสันตะปาปาก็เบนไปตกลงบนรูปปั้น

 

เทพแห่งความตายที่หลับไหล

 

กล่าวกันว่าเทพแห่งความตายกำลังปกป้องตระกูลเมดิซี

 

—แต่ในโลกที่ตัวพระสันตะปาปารู้จัก กลับไม่เคยได้ยินถึงมอนสเตอร์อย่างเทพแห่งความตายนี้มาก่อนเลย

 

เดิมทีเธอกะว่าหลังจากเอาชนะราชวงศ์เมดิซีได้อย่างเด็ดขาดแล้วจึงค่อยมาตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้งอย่างช้าๆ

 

แต่น่าเสียดายเหลือเกิน ที่ในที่สุด ก็ยังไม่ค้นพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดๆ

 

มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ได้รู้

 

ประการแรก ครั้งหนึ่งในอดีต เทพแห่งความตายได้เคยปรากฏตัวขึ้น

 

ประการที่สอง มันกำลังหลับไหลอยู่

 

อย่างไรก็ตาม เทพแห่งความตายมันคืออะไรกันแน่?

 

ทำไมตระกูลเมดิซีถึงได้เคารพบูชามัน?

 

ไม่มีใครรู้คำตอบนี้

 

ว่ากันว่าความลับนี้ มีเพียงกษัตริย์แห่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และพระสันตะปาปาที่แท้จริงเท่านั้นที่รู้คำตอบ

 

สิ่งเดียวที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันมีอยู่จริงก็คือ ตรายมทูต … สัญลักษณ์แห่งความตาย

 

สัญญาชีวิตนั่นเอง

 

และสิ่งนี้ กษัตริย์แห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ส่งต่อมันให้แก่แอนนาไปแล้ว

 

และตัวเธอเอง ก็ได้ส่งผู้คนออกไปเป็นจำนวนมาก ทว่ากลับยังจับตัวแอนนาไม่ได้เลย

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ อารมณ์ของพระสันตะปาปาก็ขุ่นมัวทันที

 

“เวโรน่าไม่ได้เชิญเราใช่ไหม”

 

“เชิญขอรับ”

 

“โอ้?”

 

สีหน้าของพระสันตะปาปาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ผู้หญิงคนนี้ … ไม่ง่ายเหมือนกันนี่

 

เธอเกือบจะฆ่าคนในตระกูลเมดิซีทั้งหมด ทว่าอีกฝ่ายกลับเชื้อเชิญตนเพื่อไปเข้าร่วมพิธี

 

หญิงนางนี้กล้าเผชิญหน้ากับข้า  เพราะคิดว่าจริงๆแล้วข้าไม่กล้าที่จะลงมือใช่หรือไม่?

 

ไม่น่าใช่ … คนอย่างเวโรน่าจะต้องมีความคิดอื่นแอบแฝงอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

 

ดูเหมือนว่าข้าจะต้องกลับมาจริงๆ คงจะไม่สามารถปล่อยเรื่องพวกนี้ไว้เฉยๆโดยไม่จัดการไม่ได้อีกแล้ว

 

พระสันตะปาปากล่าว “ฟูซีมีจัดเลี้ยงมื้อเที่ยงหรือไม่?”

 

“มีขอรับ”

 

พระสันตะปาปาลุกขึ้นและกล่าวว่า “เจ้ามากับข้า เราไปดูกันว่าทางฟูซีกับรัฐบาลกลางกำลังวางแผนอะไรอยู่”

 

“น้อมรับคำสั่ง รถเหินเวหาถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะเดินทางทุกเมื่อ” ฮัทท์กล่าวด้วยความเคารพ

 

“ดีมาก ข้าสงสัยนักเชียวว่าพอได้เห็นข้า เวโรน่าจะทำหน้ายังไง” พระสันตะปาปากล่าว

 

เธอเหลือบมองพิธีราชาภิเษกบนจอม่านแสง บังเกิดระลอกคลื่นของความหงุดหงิดอันยากจะอธิบายขึ้นในจิตใจ

 

ราวกับว่าในอากาศ จะมีแรงที่มองไม่เห็นกำลังบีบคอเธอจนหายใจได้ลำบากอยู่

 

“ปิดมันซะ ไม่มีสิ่งใดน่าดึงดูดพอจะให้ดูอีกต่อไปแล้ว” พระสันตะปาปาสั่ง

 

“รับทราบ”

 

“พวกเราก็ไปกันเถอะ”

 

สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง และออกเดินตามไปส่งเธอข้างนอก

 

ทว่ามาได้เพียงครึ่งทาง พระสันตะปาปาก็หยุดฝีเท้าลง

 

“มีบางอย่างไม่เหมาะสม” เธอเอ่ยพึมพำ

 

“สมเด็จพระสันตะปาปา มีอะไรหรือขอรับ?” ฮัทท์เอ่ยถาม

 

“ ทอง , ไม้ , น้ำ , ไฟ , ดิน , ลม , สายฟ้า , แสงสว่าง , ความมืด และเสียง ธาตุทั้งสิบกำลังเกิดความโกลาหล พวกมันถูกเติมเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า”

 

พระสันตะปาปาพยายามรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเงียบๆ แล้วจู่ๆสีหน้าของเธอค่อยๆเปลี่ยนไป!

 

เธอตะโกนลั่น “เร็วเข้า! รีบสั่งการแจ้งเตือนทั้งหมด เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับศัตรู!”

 

“ขอรับ!”

 

สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดเปิดสมองควอนตัมของตนเอง และออกคำสั่งไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาทันที

 

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่บังเกิดเสียงระเบิดจากระยะไกลออกไปขึ้นประปรายลอยมาตามสายลม

 

พระสันตะปาปาโบกมือ และไพ่กว่าสิบใบก็ปรากฏขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า ร่วงตกลงในมือของเธอ

 

เธอกล่าวอย่างเฉียบขาด “ออกไปกับข้า ไปดูหน้าคนบาปเหล่านั้นกันว่ามันเป็นใคร!”

 

ฮัทท์กล่าวหยันด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรย์ “ใครกันที่กล้ามาสร้างปัญหาในเมืองหลวงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวก็ – ”

 

ตูม!

 

พื้นดินสั่นสะเทือน

 

หลังคาของโบสภ์ใหญ่ทั้งหมดถูกระเบิดออก

 

ตามด้วยกลุ่มแสงหลากสีสันแลดูงดงามปรากฏตัวขึ้น ลอยเด่นอยู่กลางเวหา

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.355 – ชายผู้ถือกำเนิดใหม่

 

“ดูจากท่าทีเป็นกังวลของนาย ใช่ว่ามีเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นรึเปล่า?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม

 

“ไม่มีอะไรหรอก” กู่ฉิงซานส่ายหัวของเขา

 

หลังจากทั้งหมดนี้ ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงการคาดเดาทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงมัน

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ควรจะรีรออีกต่อไปแล้ว เขาจะต้องเร่งความเร็วยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเองให้ไวที่สุด!

 

ณ วิลล่าบนภูเขา

 

กู่ฉิงซานขังตัวเองอยู่ในห้อง

 

ดาบเช่าหยินวางอยู่บนตักของเขา

 

“มาต่อกันเลย” กู่ฉิงซานเอ่ยเบาๆ

 

ดาบเช่าหยินส่งเสียงฮึมฮำอยู่ครู่หนึ่ง และจมลงไปในร่างกายของเขา

 

มันบินเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติ ก่อนจะลอยเคียงบ่าเคียงไหล่กับดาบพิภพ

 

กู่ฉิงซานจับตาดูสถานการณ์ต่อไปอีกสักพัก แต่ทุกอย่างก็ยังคงเป็นปกติ

 

ในที่สุดเขาก็สามารถทำความคุ้นเคยกับดาบเช่าหยินได้อย่างสมบูรณ์ และเก็บมันในทะเลแห่งห้วงสติได้

 

เกือบจะในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานก็เห็นเส้นแสงหิ่งห้อยหลายบรรทัดขึ้นในวิสัยทัศน์ของเขา

 

“คุณสามารถรวบรวมสองดาบเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติของตัวเอง”

 

“ภารกิจที่สอง ปลุกนักดาบนิรันดร์ : สองมือชี้นำ(เสร็จสมบูรณ์)”

 

“ต่อไปคือภารกิจที่สาม : ทดสอบระเบิดพลังนับร้อยนับพันครั้ง”

 

“วัตถุประสงค์ภารกิจ : กระตุ้นสองดาบบิน และฝึกฝนเทคนิคดาบทั่วไปที่คุณเคยได้เรียนรู้มากับพวกมันอีกครั้ง”

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วทันทีหลังจากได้อ่านคำอธิบายของภารกิจ

 

ที่พูดมาน่ะ มันไม่ใช่เทคนิคลับแห่งดาบนะ แต่เป็นเทคนิคดาบธรรมดาที่ตนครอบครองอยู่กว่าหลายพันกระบวนท่า

 

แม้ว่าจะเริ่มต้นทำมันเลยในตอนนี้ น่ากลัวว่าต่อให้ฝึกทั้งวันทั้งคืน ก็คงจะใช้เวลาอีกหลายวันกว่าที่จะบรรลุภารกิจจนสมบูรณ์

 

เขาขบคิดและเอ่ยถาม “ระบบ ยังไงตัวฉันเองก็มีความรู้ความสามารถในวิถีดาบจากชีวิตก่อนหน้าอยู่แล้วนี่ คุณไม่สามารถปลุกฉันให้ตื่นขึ้นทันทีแบบให้มันจบๆไปไม่ได้เลยหรอ?”

 

ติ๊ง!

 

ระบบตอบคำถาม

 

“นี่เป็นส่วนสุดท้ายของความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าของคุณ หากคุณเต็มใจที่จะยอมแพ้ ละทิ้งความทรงจำนี้ คุณก็สามารถเปลี่ยนแปลงพวกมันเป็นพลังงาน และทำการปลุกขอบเขตนักดาบนิรันดร์ขึ้นมาทันทีเลยก็ได้ แต่หากไม่ คุณก็ต้องค่อยๆปลุกมันผ่านทางภารกิจ”

 

“ส่วนสุดท้ายของความทรงจำในชีวิตก่อนหน้า … ที่ว่ามานั่นคือเทคนิคดาบทั้งหมดเลยใช่ไหม? ยังมีอะไรที่สำคัญๆที่ฉันยังจดจำมันไม่ได้อีกรึเปล่า?

 

“เป็นเทคนิคดาบทั้งหมด ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น” ระบบตอบกลับ

 

พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจ

 

“แล้วมันจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะบรรลุภารกิจปลุกนักดาบนิรันดร์จนเสร็จสมบูรณ์?”เขาเอ่ยถาม

 

“ยังเหลือภารกิจคงค้าง : 98 ภารกิจ จากการคำนวณ คาดการณ์ว่าคุณน่าจะใช้เวลาทั้งหมดสองเดือนจึงจะเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์”

 

98 ภารกิจ!

 

สองเดือน!?

 

กู่ฉิงซานเกือบจะร่วงตกลงจากเตียง

 

หากเขาจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูพื้นฐานวรยุทธของนักดาบนิรันดร์โดยใช้เวลาสองเดือนจริงๆ นั่นก็นับว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก แต่ …

 

มันอาจจะสายเกินไปสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันนี้

 

ในโลกจริง นรกกำลังจะมาเยือนอยู่รอมร่อแล้ว

 

ส่วนอีกด้านหนึ่งในโลกเทวะ ตัวเขาก็กำลังมุ่งหน้าสู่โลกที่ทรงพลังยิ่งกว่าอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

 

ด้วยเหตุนี้ เขาจะไปรอถึงสองเดือนได้ยังไง!

 

พอถึงเวลาที่ภารกิจทั้งหมดเสร็จสิ้น คาดว่ากว่าถั่วจะสุกงาก็คงจะไหม้ไปหมดแล้ว

 

ฉันจะต้องเร่งเพิ่มความแกร่งของตัวเองในทันที มันต้องตอนนี้เลยเท่านั้น!

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่สักครู่จึงเอ่ยถาม “คุณไม่สามารถผ่อนปรนกฏเกณฑ์ได้เลยหรอ อย่างเช่นให้ฉันทะลวงผ่านเข้าสู่นักดาบนิรันดร์ด้วยพลังของตัวเอง จากนั้นคุณก็ค่อยคืนเทคนิคดาบนิรันดร์ให้แก่ฉัน แบบนี้เป็นไง?”

 

เสียงของระบบฟังดูรุนแรงเป็นพิเศษ “มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ที่คุณจะไม่สามารถทะลวงผ่านมันไปด้วยตัวเองได้”

 

“ทำไมล่ะ?”

 

“เพราะว่าคุณคือนักดาบนิรันดร์ที่ได้ตัดสะบั้นฆ่าสังหารเทพมารบนเส้นแบ่งมิติและเวลาในอนาคต และเทพมารที่ว่านั่นก็มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับชะตากรรมของโลกในช่วงเวลาวิกฤติเช่นกัน”

 

ระบบยังคงกล่าวต่อ “นี่เป็นการระบุตัวตนของมิติและเวลาสำหรับคุณ และถ้าคุณทำการระบุตัวตนที่ว่านี้หายไป(หมายถึงทะลวงเองไม่ให้ระบบช่วย) มันจะเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้น”

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”

 

“เส้นแบ่งมิติเวลาเป็นมาตรวัดสภาวะภายนอกของโลกจริง ถ้าตัวคุณในอนาคตกลับมาสู่อดีตอีกครั้ง โลกก็จะสูญเสียคุณภาพและมวลพลังงานของคุณในจุดนั้น .. ในอนาคตไป”

 

“แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะเมื่อคุณปรากฏตัวขึ้นในอดีต โลกก็จะระบุตัวตนคุณตามสถานะปัจจุบันของคุณ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณยังเป็นตัวของตัวเองอยู่”

 

“โลกจะทำการระบุตัวตนและสถานะในอดีตให้แก่คุณ เพื่อให้แน่ใจว่า จะยังคงสามารถรักษาพลังงานมวลรวมในโลกจริงให้คงอยู่ไว้ได้”

 

“อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคุณเสียสถานะการระบุตัวตนนี้ไป กฏเกณฑ์ของโลกก็จะไม่อาจระบุตัวตนของคุณได้ และมันจะตัดสินว่าคุณเป็นปรากฏการณ์พิเศษ มิได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกตามมิติและเวลาในปัจจุบัน”

 

“หากเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่กฏเกณฑ์ของโลกจะปรับใช้มาตรการณเพื่อทำการตอบโต้คุณ แต่กระทั่งกฏเกณฑ์ของมิติและเวลาที่เกี่ยวข้องกับอดีตและอนาคตก็จะตอบสนองเช่นกัน – และบางทีนั่นอาจเป็นการทำให้เทพมารค้นพบว่าคุณเป็นคนที่ไร้ซึ่งโชคชะตา หรือบางทีมันอาจจะสร้างอีกตัวตนนึงของคุณขึ้นมาทดแทนก็ได้”

 

“ตัวฉันอีกคนหนึ่งอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานอุทานด้วยความสงสัย

 

“ใช่ นั่นคือการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกันกับคุณ – เพราะร่องรอยที่สำคัญที่สุดที่คุณได้ทิ้งเอาไว้ในมิติและเวลามันได้หายไปแล้ว และคุณไม่ได้ตายลง ซึ่งนั่นทำให้โลกสูญเสียพลังงานและคุณภาพไป ดังนั้นกฏเกณธ์ของโลกจึงจำเป็นต้องสร้างสิ่งที่คล้ายคลึงกันเพื่อให้แน่ใจว่าคุณภาพและพลังงานมวลรวมของโลกจะไม่เกิดความสับสนหรือผิดแผกไป”

 

นอกจากนี้ความวุ่นวายหรือผิดแผกของกฏเกณฑ์แห่งมิติและเวลา ยังจะเป็นตัวดึงดูดความสนใจของเทพมารอันทรงพลังชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานมาอีกด้วย เพราะนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบมากที่สุด

 

“พวกเขาจะตามหาคุณ และมั่นใจได้เลยว่าจะต้องพบอย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ถ้าเป็นไปตามที่คุณพูดมา เจ้าสิ่งที่ทำการระบุตัวตนว่าฉันยังคงเป็นตัวฉัน ก็คือการสังหารเทพมารในคราวนั้น รวมไปถึงความแข็งแกร่งและความทรงจำในช่วงเวลานั้นด้วย ใช่ไหม?

 

“นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “มันดูเหมือนว่า การก้มหน้าก้มตาทำภารกิจปลุกนักดาบนิรันดร์ต่อไปแบบนี้นี่แหละดีที่สุดแล้ว”

 

“ถูกต้อง คุณมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่ากฏเกณฑ์ของโลกและเส้นแบ่งมิติเวลายังคงปกติดี”

 

“หนึ่ง ค่อยๆดึงความทรงจำเกี่ยวกับเทคนิคดาบนิรันดร์ไปตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และกลายมาเป็นนักดาบนิรันดร์

 

“สอง แปลงความทรงจำที่กล่าวมานี้เป็นพลังงาน และใช้มันทะลวงเข้าสู่นักดาบนิรันดร์ได้ในตอนนี้เลย เพียงแต่คุณจะสูญเสียเทคนิคดาบเหล่านั้นไป”

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ

 

มันสายเกินไปที่จะต้องมานั่งทำภารกิจที่ละขั้นตอน

 

หากคุณเลือกตัวเลือกที่สอง มันก็ใช่ที่คุณจะยกระดับไปอีกขั้นหรือหลายๆขั้นได้เลยทันที แต่ต้องแลกเปลี่ยนกับเทคนิคดาบในชีวิตก่อนหน้า อันที่จริงแล้วแผนนี้ก็ยังพอมีความเป็นไปได้

 

—ด้วยเพราะความรู้ความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับสกิลดาบในปัจจุบัน มันได้ก้าวเลยเหนือล้ำยิ่งกว่าในชีวิตก่อนหน้าไปแล้ว

 

เทคนิคดาบเหล่านั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไป

 

ตราบใดที่เขาได้กลายเป็นนักดาบนิรันดร์ รังสีดาบจะเพิ่มขึ้นมหาศาลอย่างมีนัยยะสำคัญ

 

เขาไม่จำเป็นต้องใช้มือของตัวเองในการควบคุมดาบอีกต่อไป เพียงแค่นึกคิดในจิตใจ พวกมันก็เคลื่อนไหวตามปรารถนาแล้ว

 

ด้วยวิธีนี้ ความเร็วในการโจมตีและสไตล์การต่อสู้ก็จะแปรผันและลื่นไหลเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

 

กล่าวได้ว่าหากเขาได้พบเจอกับโครงกระดูกชุดคลุมดำอีกครั้ง มันยังมิทันตอบสนอง ก็ถูกตัดหั่นกระดูกลงเป็นชิ้นๆให้หมาคาบไปแทะเรียบร้อยแล้ว

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้งในทันทีว่า “แล้วถ้าฉันละทิ้งเรื่องสกิลดาบเอาไว้ชั่วคราว แล้วหันมาสนใจกับการยกระดับขอบเขตก่อนล่ะ?”

 

“แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดี” ระบบกล่าวอย่างเฉียบขาด

 

“ทำไม?”

 

“นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องให้ความระมัดระวังมากที่สุด คุณจะต้องบรรลุขอบเขตสกิลดาบให้ไปถึงในระดับเดียวกันกับชีวิตก่อนหน้าเสียก่อน เพื่อทำการระบุตัวตนและให้มั่นใจว่า คุณได้กลับมาเป็นตัวเองแล้วจริงๆ ไม่ใช่สิ่งอื่น”

 

“ด้วยวิธีนี้ คุณก็จะถูกรวมอยู่ในเส้นแบ่งของมิติและเวลานี้ โชคชะตาจะไม่สนใจคุณอีกต่อไป แน่นอนว่ารวมไปถึงเหล่าเทพมารด้วย”

 

“แล้วต่อมาถ้าฉันยกระดับเป็นประทับเทพล่ะ? มันจะยังคงมีข้อจำกัดที่คล้ายกันอยู่รึเปล่า?”

 

“เพราะในชีวิตที่ผ่านมา คุณไม่ได้ก้าวขึ้นสู่ประทับเทพ ดังนั้น ในครั้งนี้ หลังจากที่คุณสามารถทะลวงขึ้นสู่ประทับเทพ คุณจะสามารถเขียนอะไรทับลงไปก็ได้ในหน้าอนาคตที่ยังคงว่างเปล่าอยู่ด้วยตัวคุณเอง”

 

“ฉันเข้าใจแล้ว”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป “เทคนิคดาบอะไรนั่นฉันไม่ต้องการ ฉันต้องการที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนักดาบนิรันดร์ในตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย”

 

“คุณแน่ใจหรือไม่?”

 

“ฉันแน่ใจ”

 

ด้วยคำพูดนี้ของเขา บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บังเกิดข้อมูลจำนวนมากเริ่มไหลผ่านไปมาอย่างบ้าคลั่ง

 

“ตรวจพบว่าผู้เล่นมีดาบยาวอันยอดเยี่ยมหาที่ใดเปรียบอยู่สองเล่ม”

 

“ตรวจพบว่าผู้เล่นสามารถเก็บพวกมันไว้ได้ในทะเลแห่งห้วงสติ”

 

“ตรวจพบว่าผู้เล่นสามารถควบคุมการโจมตีของดาบบินได้ด้วยมือ”

 

“เงื่อนไขพื้นฐานขั้นต่ำสุดสำหรับการปลุกนักดาบนิรันดร์มีความสอดคล้อง”

 

“เริ่มต้นทำการเปรียบเทียบร่องรอยของมิติและเวลา”

 

“ยืนยันสถานะส่วนบุคคล”

 

“เริ่มถ่ายโอนความทรงจำของตัวตนจากเส้นแบ่งเวลาในชีวิตก่อนหน้า”

 

“การเคลื่อนย้ายประสบความสำเร็จ”

 

“ปิดช่องทางการตรวจสอบย้อนหลังของห้วงเวลาลงโดยสมบูรณ์”

 

“ตัดการเชื่อมต่อเส้นแบ่งเวลาทั้งหมดโดยสิ้นเชิง”

 

“ทำลายข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง : เสร็จสิ้น”

 

……

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ

 

เห็นได้ชัดว่าแม้จะเป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจมากเป็นพิเศษ

 

เหงื่อเย็นเริ่มเข้าปกคลุมแผ่นหลังแต่ละชั้น แต่ละชั้น

 

นี่เป็นปฏิกริยาของสัมผัสที่หกที่ทำการตอบสนองอย่างไม่ตั้งใจ

 

ทันทีที่เขาหลับตาลง กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในลวดเล็กๆที่ถูกขึงอยู่กึ่งกลางระหว่างสองหน้าผาสูงชัน

 

ตอนนี้มันเป็นการเดินก้าวสุดท้ายบนเส้นลวดแล้ว

 

เขาตระหนักชัดในจิตใจ ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด

 

ตราบใดที่ช่วงเวลานี้ไม่เกิดปัญหาใดๆ มันก็จะไม่มีความผิดปกติใดๆกับการกำเนิดใหม่ของตนเอง

 

ราวกับรอมาเนิ่นนานนับศตวรรษ

 

ติ๊ง!

 

“คุณได้เกิดใหม่โดยสมบูรณ์แล้ว”

 

“การไหลของเวลายังคงปกติ”

 

“ความผันผวนของมิติยังคงปกติ”

 

“ไม่พบความผิดปกติใดๆ นี่คือช่วงชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์แบบ”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียด

 

กล่าวได้ว่าบัดนี้ เท้าของเขาได้ย่ำลงบนผาอีกฟากนึงแล้วโดยสมบูรณ์

 

สามบรรทัดตัวอักษรเด้งขึ้นมาบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที

 

“คุณได้จ่ายความทรงจำทั้งหมดของนักดาบนิรันดร์เพื่อให้ได้รับมาซึ่งพลังแห่งการถูกปลุกให้ตื่น”

 

“คุณได้ถูกปลุกให้ตื่นแล้ว”

 

“คุณได้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตนักดาบนิรันดร์”

 

กู่ฉิงซานจ้องค้างไปยังเส้นตัวอักษรบรรทัดสุดท้าย

 

ในที่สุด … ในที่สุดตัวฉันก็กลับมาแล้ว!

 

นี่คือสถานะดั้งเดิมของเขา – นักดาบนิรันดร์!

 

มือที่กำลังอ้าออก ค่อยๆหุบเข้าหากันเป็นกำปั้นอีกครั้ง

 

พลังที่คุ้นเคย และความแข็งแกร่งอันน่าแปลกประหลาดเติมเต็มอยู่ในร่างกาย

 

ไม่จำเป็นต้องไปทำสิ่งอื่นใดอีก ไม่จำเป็นต้องทำการทะลวงขอบเขตอีกครั้ง – นี่คือความแข็งแกร่งดั้งเดิมของเขา

 

เพื่อที่จะต่อสู้กับวิกฤติที่กำลังใกล้เข้ามา คุณจำเป็นต้องใช้พลังที่ว่านี้!

 

นี่คือจุดสูงสุดแห่งการฝึกยุทธ

 

ตั้งแต่บัดนี้ไปในอนาคต จะไม่มีประสบการณ์ล่วงหน้าให้พึ่งพาอีกต่อไป

 

ในเส้นทางแห่งการฝึกฝนอันไร้ที่สิ้นสุด ทั้งหมดล้วนเป็นเส้นทางใหม่ – เส้นทางที่เขายังมิเคยได้ก้าวเดิน!

 

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก

 

เพียงนึกคิดในจิตใจเล็กน้อย สองดาบก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าในทันที

 

ไม่จำเป็นต้องใช้มือจีบออกด้วยเทคนิคใด ดาบพิภพก็กวัดแกว่งโดยอัตโนมัติ และเพียงหนึ่งลมหายใจ มันก็ฟาดออกด้วยหนึ่งชุดวิชาดาบเผยขุนเขา

 

ส่วนดาบเช่าหยินก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตาอย่างรวดเร็ว ฟาดออกด้วยวิชาดาบตัดสายลมกลับไปกลับมาอย่างฉับไว

 

สองดาบเวียนวนฉวัดเฉวียนไปรอบห้องราวกับนกฟินิกส์ที่พึ่งจุติใหม่

 

“จงมา” กู่ฉิงซานเอ่ยกระซิบเบาๆ

 

และสองดาบก็ลดระดับลงอย่างเชื่อฟัง ปลายดาบหันทิ้งดิ่งลงเบื้องล่าง ลอยล่องมาแขวนนิ่งอยู่ในอากาศข้างกายกู่ฉิงซาน

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.354 – อีฟ(ปลาย)

 

โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ซูเซี่ยเอ๋อได้หายตัวไปต่อหน้าต่อตาทุกคน

 

“นี่มันเรื่องบ้าอะไร!?” เหลียวฮังกระโดดโหยงแล้วรีบวิ่งไปข้างๆกู่ฉิงซาน

 

เขาจับสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงของมิติอย่างรอบคอบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “นี่มันไม่ใช่การจั๊มป์! แล้วเธอหายตัวไปดื้อๆได้ยังไงกัน!”

 

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง มองไปยังม้วนคัมภีร์สีเลือดในมือ

 

ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยสามบรรทัดขึ้นในหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”

 

“คำอธิบาย : นี่คือม้วนคัมภีร์ขั้นสูง เมื่อศัตรูเตรียมที่จะทำการโจมตีขั้นร้ายแรง สติอารมณ์และสภาวะจิตใจของศัตรูจะตกอยู่ในสถานะว่างเปล่าเป็นเวลา 3 วินาที”

 

ซึ่งนี่มันแตกต่างจากคนอื่นๆ กู่ฉิงซานสามารถตัดสินคุณภาพของไอเท็มชิ้นนี้ได้ในทันที

 

ม้วนคัมภีร์ระดับนี้ เกรงว่าจักต้องมาจากผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์(เทียนซวน)ที่ทรงพลังมากอย่างแน่นอน

 

กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไพ่ ม้วนคัมภีร์ หรือแม้กระทั่งสิ่งอื่นๆที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ สิ่งเหล่านั้นจะสามารถถูกใช้ได้โดยพวกเขาเท่านั้น

 

ยกเว้นไว้เพียงแต่ผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ที่ทรงพลานุภาพสุดๆเท่านั้น จึงจะสามารถมอบความสามารถของตัวเองให้กับผู้อื่นเพื่อให้พวกเขาใช้งานมันได้

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อกลับสามารถได้รับม้วนคัมภีร์จากคนประเภทหลังที่พึ่งอธิบายไปมาได้อย่างกระทันหัน?

 

แล้วเธอก็พึ่งหายวับไป … แต่การหายตัวไปอย่างฉับพลันแบบนี้ นี่มันเหมือนกันกับเขาเลยมิใช่หรือ

 

– อย่าบอกนะว่าเธอได้เข้าสู่เกมแล้ว?

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม

 

… ว่าแต่เธอถูกส่งไปยังโลกไหนกัน?

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อน กู่ฉิงซานย่อมคิดว่าเธอจะต้องถูกส่งไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแน่ๆ

 

แต่ด้วยมุมมองความคิดของเขาและประสบการณ์ที่ได้พบเจอ ทำให้ตอนนี้เขารู้แล้วว่ายังมีโลกอื่นอีกอยู่เป็นจำนวนมาก

 

ดังนั้น เรื่องที่ว่าซูเซี่ยเอ๋อถูกส่งไปที่ไหนมันจึงยังเป็นปริศนา

 

ฉะนั้น เอาไว้พอเธอกลับมาคราวหน้า ก็ค่อยมาเปิดอกคุยกันถึงที่มาของเรื่องราวทั้งหมดก็แล้วกัน

 

ดูจากลักษณะท่าทีที่เร่งรีบของซูเซี่ยเอ๋อ บ่งบอกว่าเธอจะต้องอยู่ในสภาวะจำต้องเข้าสู่โลกอื่นอย่างแน่นอน

 

นี่เธอยอมเสียเวลาอันมีค่า เดินทางมาถึงที่นี่เพื่อมอบม้วนคัมภีร์ให้แก่ตนเองโดยเฉพาะเลยอย่างงั้นหรือ?

 

ในหัวใของกู่ฉิงซานบังเกิดความอบอุ่นขึ้น

 

เขาเก็บม้วนคัมภีร์ไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะหันไปทางอีกหลายคนที่ยืนอยู่ “ฉันคิดว่าฉันพอจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะ เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันไปหรอก เอาไว้รอเธอกลับมาในครั้งต่อไป ฉันจะทำให้ทุกอย่างมันกระจ่างและบอกพวกนายทุกอย่างเอง”

 

“นี่มันเกี่ยวข้องกับการฝึกยุทธรึเปล่า?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม

 

“ก็แทบจะเกี่ยวข้องกันล่ะนะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างลวกๆ

 

ตอนนี้ แค่การดำรงอยู่ของพลังวิญญาณก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจจนแทบจะไม่มีใครอยากจะเชื่อแล้ว

 

ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงการมีอยู่ของต่างโลก นี่มันเป็นเรื่องร้ายแรงเกินไป มันคงน่าตกใจจนเกินกว่าจะยอมรับได้

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหลียวฮัง ที่ตอนนี้กำลังพ่นคำออกมาเป็นฟืนเป็นไฟว่า “วิทยาศาสตร์จบสิ้นแล้ว! วิทยาศาสตร์จบสิ้นแล้ว!”

 

กู่ฉิงซานจึงต้องเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะประกาศเจ้าสิ่งนี้ออกไป และอธิบายมันอย่างละเอียดอีกครั้ง

 

ไม่นานมานี้พวกเขาก็พึ่งจะได้รับการอธิบายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณ ทั้งหมดต่างก็มึนงงไม่ก็ตกใจไม่น้อย

 

แต่หลังจากฝึกยุทธ ความตระหนักรู้ ความเข้าใจด้วยตัวเองของพวกเขาก็ค่อยๆทวีมากขึ้น

 

ไม่ว่าจะเป็นเย่เฟย์หยู ซางหยิงฮ่าว หรือแม้กระทั่งเหลียวฮังซึ่งเป็นเหล่าคนกลุ่มแรกในปัจจุบัน พวกเขาก็ได้ยอมรับการดำรงอยู่ของพลังอำนาจนี้ไปโดยธรรมชาติ

 

“ปรากฏว่าจริงๆแล้วพลังวิญญาณไม่เพียงแต่จะสามารถสร้างค่ายกลได้ แต่มันทำได้แม้กระทั่งการส่งผ่านไปมาระหว่างสองสถานที่สินะ … ฉันจำได้ว่าครั้งนึงแกก็เคยพูดอะไรประมาณนี้อยู่เหมือนกัน” เหลียวฮังกล่าว

 

“ใช่ เมื่อคุณมีพื้นฐานวรยุทธแล้ว ฉันจะแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งค่ายกลให้ดูเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ยอด! นั่นมันฟังดูยอดไปเลย!” เหลียวฮังค่อยๆกลับมาสงบสติอารมณ์ลง

 

กู่ฉิงซานเมื่อเห็นท่าทีนี้ เขาก็ลอบผ่อนคลายลง

 

การจะทำให้เหลียวฮังผู้คลั่งไคล้และยึดถือในวิทยาศาสตร์สงบลงนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

“ฟู่ … ดูเหมือว่าจะไม่มีอะไรแล้วนะ มา พวกเรามาดื่มกันต่อเถอะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

ว่าจบ เขาก็เริ่มเทเหล้า

 

คนทั้งหลายทยอยกันนั่งลงอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานพูดออกมา “ขอโทษด้วยนะ เรื่องประตูของนาย ดูท่าว่ามันจะพังแล้ว”

 

“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

แต่แล้วจู่ๆเย่เฟย์หยูก็เอ่ยถามออกมา “แล้วเรื่องแอนนาล่ะ?”

 

“ ปล่อยเธอไว้ก่อนจะดีกว่า เธอกำลังอารมณ์แปรปรวนอยู่น่ะ” กู่ฉิงซานพยายามสงบใจลง “ในตอนที่เธอโกรธ ถ้านายยังอยากมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ฉันขอเตือนว่าอย่าไปพูดอะไรที่มันมีโอกาสกระตุ้นเธอจะดีกว่านะ”

 

หลายคนลองจินตนาการตาม และเมื่อได้ข้อสรุปว่ามันสมควรจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่มีใครยอมที่จะเอ่ยถึงหัวข้อนี้อีก

 

ทว่าก่อนจะทันได้ยกเหล้าขึ้นดื่ม สมองควอนตัมในแขนของกู่ฉิงซานก็สว่างขึ้นอีกครั้ง

 

“สวัสดีในยามค่ำคืนใต้เท้า แม้นี่จะเป็นการรบกวน แต่ฉันมีบางสิ่งที่น่ากลัวจริงๆจำเป็นต้องรายงาน” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

“คืนนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากพอแล้ว คงไม่มีอะไรน่ากลัวยิ่งกว่านี้อีกแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานตอบกลับไป

 

“มีกลุ่มมืออาชีพ 30 คนถูกกวาดล้างจนสิ้น โปรดดูบันทึกการต่อสู้ด้วย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

และจอม่านแสงก็สว่างขึ้น

 

30 มืออาชีพที่เป็นทหาร ได้รับภารกิจค้นหาคนตายในแม่น้ำของรัฐบาลกลางที่ถูกแช่แข็ง

 

ทันใดนั้นกลุ่มแสงสีน้ำเงินเข้มก็ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน

 

มันปล่อยพลังดึงดูดอันแข็งกร้าว และเหล่ามืออาชีพก็มิอาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งหมดถูกดูดจนลอยขึ้นในอากาศอย่างไร้การต้านทาน และขณะเดียวกันก็ถูกคร่าชีวิตไป

 

ร่างของพวกเขาซูบผอมลงอย่างกระทันหัน เมื่อร่วงตกลงกระแทกกับพื้นน้ำแข็ง ร่างทั้งหมดก็แตกกระจายเป็นชิ้นๆ

 

“นั่นใช่ ‘นทีเหือดแห้ง’ รึเปล่า?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ

 

“ใช่ นั่นมันเป็นความสามารถของธาตุน้ำในขั้นสี่ นทีเหือดแห้ง”กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ดูเหมือนมันจะจัดการกับฝ่ายเราได้ง่ายๆเลยแฮะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

กู่ฉิงซาน “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

เทพธิดากงเจิ้ง “มันเกิดขึ้นในช่วงที่พวกเรากำลังทำการกวาดล้างแม่น้ำที่ถูกแช่แข็งในรัฐบาลกลาง จู่ๆก็มีมอนสเตอร์ที่เป็นแสงประหลาดๆและไม่เคยมีประวัติการณ์พบเห็นมาก่อนปรากฏตัวขึ้น”

 

“เย่เฟย์หยู นายออกไปกับฉัน”

 

“เหลียวฮัง เริ่มจัดการเตรียมเครื่องจั๊มป์ให้พร้อม”

 

“เทพธิดา คุณรับผิดชอบในเรื่องการจัดเตรียมรถเหินเวหาในจุดที่พวกเราจะทำการจั๊มไป”

 

“ซางหยิงฮ่าว นายรับผิดชอบความปลอดภัยของท่านประธานาธิบดีกับองค์จักรพรรดินีเวโรน่าต่อไป หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ขอให้ติดต่อฉันทันที”

 

“พวกเราแยกย้าย!”

 

และหลายคนก็เริ่มเคลื่อนไหวไปคนละทิศทางทันที

 

……

 

กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูลงมือพร้อมกัน ในโลกใบนี้คงน้อยคนนักที่จะสามารถต้านทานพวกเขาได้

 

การต่อสู้ดำเนินไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น

 

หลังการโจมตีด้วยกระสุนระเบิดของเลือดสังหารและดาบยาวที่บินฉวัดเฉวียน

 

ดาบบินเวียนว่ายอย่างต่อเนื่อง ปราณดาบเติมเต็มในอากาศเป็นกลุ่มก้อน ตามด้วยระเบิดเสียงคำรามออกมา

 

กลุ่มก้อนแสงกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช

 

เมื่อแสงทั้งหมดหายไป ร่างคนตายที่อยู่ภายในมันก็เผยโฉมออกมา

 

กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูร่อนลงและยืนอยู่ข้างๆคนตาย

 

เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม “นี่ใช่มนุษย์ปีศาจที่นายพูดถึงรึเปล่า? ไอ้ที่ว่าเป็นมอนสเตอร์จากยุคอื่นน่ะ?”

 

กู่ฉิงซานลองเอาดาบเช่าหยินเขี่ยๆ พลิกร่างของมันดูและกล่าว “มันเป็นมนุษย์ปีศาจจริงๆ”

 

ทั้งสองคนยืนอยู่เบื้องหน้าร่างคนตายที่เป็นมนุษย์ประหลาด และทำการตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง

 

ปีศาจตนนี้มีร่างกายคล้ายคลึงกับมนุษย์ เพียงแต่มันไม่มีเค้าโครงหน้า

 

ทั้งร่างของมันถูกสร้างขึ้นจากผลึกน้ำแข็งเย็นเยียบ และร่างกายของมันก็ปล่อยกลิ่นเลือดเน่าเหม็นออกมา

 

ซากของมันค่อยๆจมลงไปในน้ำแข็งเย็นเยียบอย่างช้าๆ

 

แม้กระทั่งมอนสเตอร์เช่นนี้ ก็ยังต่อต้านได้เพียงไม่กี่กระบวนท่า สุดท้ายก็ถูกสังหารลงโดยทั้งสองอย่างง่ายดาย

 

“ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะพุ่งเข้าปะทะและสังหารมืออาชีพไปกว่า 30 คน แถมยังเป็นในพริบตา ถ้าต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ หากฉันเป็นพวกทหารก็คงจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกัน ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเทพธิดากงเจิ้งถึงต้องรายงานและส่งต่อเรื่องนี้มาถึงมือของพวกเรา” เย่เฟย์หยูถอนหายใจออกมา

 

บนท้องฟ้า ปรากฏชุดเกราะรบขับเคลื่อนสองเครื่องกำลังร่อนลงจอด

 

พวกเขาตัดชิ้นส่วนทั้งหมดของน้ำแข็งพร้อมกับร่างคนตายของเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้และจับมันขึ้นเรือขนส่ง

 

มอนสเตอร์จะถูกจับโยนออกสู่ห้วงจักรวาล

 

นี่เป็นวิธีเดียวที่จะสามารถจัดการกับคนตายที่ไม่อาจตายลงอีกได้

 

กู่ฉิงซานกล่าว “นี่เป็นเพียงแค่มนุษย์ปีศาจธรรมดาๆ มนุษย์ปีศาจที่น่ากลัวจริงๆมันยังไม่ปรากฏตัวขึ้นเลย”

 

“มันก็คงจะมีรูปร่างอย่างงี้เหมือนกันใช่ไหม?”

 

“ไม่หรอก มนุษย์ปีศาจบางตัวจะถูกสร้างขึ้นจากธาตุ ที่แกร่งจริงๆน่ะไม่ใช่มนุษย์ปีศาจธาตุน้ำหรอก แต่เป็นพวกธาตุลม สายฟ้า ไฟ และธาตุมืด ต่างหาก”

 

“‘งั้นก็หมายความว่ามนุษย์ปีศาจทั้งหมดมันถูกสร้างขึ้นจากธาตุโดยสมบูรณ์สินะ”

 

“ไม่หรอก พวกมันบางตัวกระทั่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าวต่อ “นอกจากนี้ มอนสเตอร์ในยุคยักษ์ยังไม่ปรากฏตัวออกมาเลย หลังจากนั้นก็ยังมียุคโกลาหลอีก – ไอ้อย่างหลังน่ะมันเป็นปีศาจที่คลั่งในการฆ่าโดยสมบูรณ์เลยนะรู้ไหม”

 

“ปัญหาใหญ่จริงๆซะด้วยสิ … ” เย่เฟย์หยูยกสองแขนขึ้นกอดอก สีหน้าของเขาเผยถึงความกังวล

 

กู่ฉิงซาน “พวกเราคงต้องรีบเปิดตัวกำไลข้อมือแล้วล่ะ กระตุ้นมนุษยชาติให้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการฝึกยุทธ และจากนั้นก็รวมประเทศทั้งหมดเป็นหนึ่ง ในขณะที่นรกเยือกแข็งยังไม่แพร่กระจายเต็มที่ พวกเราก็จะทำการปิดล้อมพวกมอนสเตอร์ตามสถานที่ต่างๆอย่างเต็มกำลัง”

 

“ทำแบบนั้นไปมันจะได้ผลหรอ?”

 

“ฉันคิดว่าอย่างน้อยก็ยังมีโอกาสรอดชีวิต .. อย่างน้อยล่ะนะ”

 

“งั้นพวกเรามัวรออะไรกันอยู่ล่ะ รีบไปหาซางหยิงฮ่าวเลยเถอะ แล้วก็ไปที่สาธารณรัฐฟูซี องค์จักรพรรดินีแห่งรัฐก็อยู่ที่นั่น เพื่อเฝ้ารอทำพิธีขึ้นครองราชย์”

 

“อ่า งั้นก็ไปกันเถอะ”

 

ทั้งสองบินขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่วิลล่าบนหุบเขา

 

ในท้องฟ้ายามค่ำคืน กู่ฉิงซานเบนสายตามองดูเมืองมนุษย์ที่อยู่ในระยะไกลออกไป

 

มันเป็นกลางดึกแล้ว ทั้งเมืองจึงเงียบสงบ

 

ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียง แต่ก็ยังคงมีแสงสว่างตลอดทั้งเมือง ส่งผลให้ฉากนี้ดูราวกับดอกไม้ไฟที่ปะทุอยู่บนพื้นเบื้องล่าง

 

บางที นี่อาจเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เงียบสงบสำหรับมนุษยชาติก็ได้

 

เมื่อนรกเยือกแข็งปรากฏขึ้นโดยสมบูรณ์ มอนสเตอร์แปลกประหลาดนับไม่ถ้วนก็จะเข้าทำการยึดครองเมือง

 

หากเป็นเช่นนั้น กู่ฉิงซานก็ยังคงพอจะมีวิธีแก้ไขรับมือกับมันอยู่บ้าง

 

มันอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะระดมมมนุษยชาติทั้งหมดเข้าด้วยกัน และพยายามอย่างเต็มกำลังที่ต่อต้านนรกเยือกแข็ง

 

อย่างไรก็ตาม เงาที่ซุ่มแฝงตัวอยู่ในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับยังคงไม่จางหายไปไหน

 

มันเป็นความรู้สึกอันลึกลับยากจะอธิบาย ที่กำลังค่อยๆเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ

 

มันเป็นเพียงความคิดที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ยืนยัน

 

ถ้าหากว่า …

 

นอกเหนือจากนรกเยือกแข็งแล้ว ยังมีนรกอื่นติดตามมาด้วยล่ะ จะทำอย่างไร?

 

….

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.353 – อีฟ (ต้น)

 

สหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง

 

ณ ภูเขาในเขตชานเมืองหลวง

 

ภายในวิลล่าบนภูเขา

 

กู่ฉิงซานทำสมาธิอยู่คนเดียวภายในห้องนั่งเล่นที่มืดมิด

 

โดยมีดาบเช่าหยินบินวนอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานหลับตาลง ปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าใส่ดาบเช่าหยิน และค่อยๆถ่ายเทมันลงไปอย่างช้าๆ

 

เขาพยายามที่จะสื่อสารกับดาบเช่าหยินและทำความคุ้นเคยซึ่งกันและกันอีกครั้ง

 

ดาบเช่าหยินถูกซ่อมแซมจนมีสภาพเหมือนใหม่ ดังนั้นจึงเทียบเท่ากับว่ามันได้กลายเป็นดาบเล่มใหม่ของผู้ฝึกดาบ

 

เพียงแค่ทำให้ดาบเช่าหยินเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติของตนเองได้ ภารกิจที่สองของการปลุกนักดาบนิรันดร์ก็จะบรรลุได้ในที่สุด

 

เวลาผ่านไปนาน

 

“อีกนิดเดียวก็น่าจะสำเร็จแล้ว” กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

เขาค่อนข้างพอใจกับความเร็วในการคืบหน้านี้

 

คาดว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมง เขาก็น่าจะสามารถนำดาบลงไปในทะเลแห่งห้วงสติได้ในที่่สุด

 

ในตอนนั้นเอง บังเกิดเสียงคำรามของรถเหินเวหาดังขึ้นจากภายนอก

 

เสียงคำรามได้หายไป และประตูก็ถูกเปิดออก

 

ตามด้วยซางหยิงฮ่าวที่เดินเข้ามา

 

เมื่อเห็นคนตรงหน้า เขาก็ชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่มันดึกมากแล้วนา ยังไม่นอนอีกหรอ?”

 

เขาเปิดไฟห้องนั่งเล่น

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่อยู่ในท่วงท่าขาขวาทับซ้าย มือซ้ายทับขวาอยู่ในอากาศ และมีดาบเล่มหนึ่งเวียนวนอยู่รอบกายเขา

 

กู่ฉิงซานเก็บดาบและทิ้งตัวลงบนพื้น

 

“ฝึกยุทธน่ะ ขี้เกียจหนึ่งวัน มันก็เท่ากับแกร่งช้าลงหนึ่งวันนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ฉันก็หลงนึกว่านายจะกำลังมัวแต่คิดถึงเรื่องโครงกระดูกชุดคลุมดำซะอีก”

 

“ก็กำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน”

 

“งั้นทำไมเราไม่พักสมองโดยการหาเหล้าดีๆมาจิบกันซักหน่อยล่ะ”

 

“นั่นก็ฟังดูไม่เลวนะ”

 

ซางหยิงฮ่าวเดินไปเปิดตู้แช่และหยิบเหล้าขวดหนึ่งออกมา

 

ทั้งสองยกแก้วขึ้นชน

 

พวกเขากำลังดื่มและสนทนาเกี่ยวกับถ้อยคำที่โครงกระดูกชุดคลุมดำเอ่ยออกมา

 

พอเวลาเที่ยงคืน เหลียวฮังก็เดินออกมาเพื่อเข้าห้องน้ำ แต่เมื่อเขาเห็นว่าห้องนั่งเล่นยังคงเปิดไฟอยู่จึงรีบวิ่งเข้ามาดู

 

คนที่สมองดีน่ะ จำเป็นต้องได้รับเครื่องดื่มดีๆเข้ามาเติมเต็มในร่างกาย ไม่นานนัก วงเหล้าจากมีเพียงสองก็กลายเป็นสาม

 

หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีต่อมา เย่เฟย์หยูก็เดินออกมาจากห้อง

 

แต่เดิมเย่เฟย์หยูวางแผนที่จะแอบเข้าไปหาของกินในห้องครัว แต่เมื่อเขาเห็นทั้งสามคนกำลังนั่งอยู่ที่นั่น

 

แหมะ … เขาก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา วงเหล้าจากสามก็เปลี่ยนเป็นสี่

 

ปาร์ตี้สังสรรค์จึงได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

 

กู่ฉิงซานยกเหล้าขึ้นจิบและกล่าวว่า “ฉันคิดว่าโครงกระดูกชุดคลุมดำกลัวสถานที่แห่งนั้น”

 

“สถานที่แห่งนั้น? หมายถึงนรกเยือกแข็งรึเปล่า?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

“ไม่ หมายถึงปรภพน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

 

เหลียวฮังขบคิดเกี่ยวกับมันและกล่าว “คนตายที่ไม่อาจตายได้อีก แต่แท้จริงแล้วกลับดันมากลัวเทพวิญญาณ พอฉันได้มาคิดถึงเรื่องนี้ดู เลยลองตั้งสมมุติฐานเล่นๆว่า เทพวิญญาณน่ะ เป็นปรปักษ์กับคนตาย และสามารถทำลายคนตายได้ … ใช่หรือเปล่านะ”

 

“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีน่ะสิ แต่ทางปรภพน่ะไม่เคยเกิดความผิดปกติใดๆขึ้นมาก่อนเลยนะ แล้วทำไมอยู่มันถึงมีปัญหาขึ้นมาได้ล่ะ”ซางหยิงฮ่าวคิดยังไงก็คิดไม่ออกเลยเอ่ยถาม

 

เหลียวฮังพอถูกคำถามยากๆสวนกลับมาก็นิ่งงันไป อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตอบกลับ แต่ยกแก้วขึ้นมาจิบแทน

 

“หรือว่าจำนวนประชากรในปรภพมันจะเยอะจนล้นแล้ว?” เย่เฟย์หยูลองคิดแตกยอดดูและเอ่ยถาม

 

“บางทีภัยพิบัติอาจจะเกิดขึ้นเพราะสาเหตุนั้นก็ได้” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

กู่ฉิงซานไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยกแก้วตนขึ้นมาดื่ม

 

ทั้งสี่ยกแก้วขึ้นชน และกระดกมันจนหมด ก่อนจะอ้าปากทำเสียง ฮ่าาาา แล้วกระแทกก้นแก้วลง

 

เย่เฟย์หยูขมวดคิ้ว ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบแชมเปญขวดหนึ่งมา

 

“ฉันขอดื่มนี่แล้วกัน เหล้าพวกนายมันฤทธิ์แรงเกินไป” เขาโบกขวดแชมเปญไปมาและกล่าว

 

เหลียวฮังเทเหล้าฤทธิ์แรงให้กู่ฉิงซานกับซางหยิงฮ่าว ก่อนจะหันมาเติมให้ตัวเองจนเต็ม

 

จากนั้นเขาลุกขึ้น เดินไปที่ตู้เย็นในครัว หยิบของหวานออกมาและวางมันลงบนโต๊ะ

 

ขณะกำลังกินขนมไปพร้อมๆกับเหล้าฤทธิ์แรงซึ่งดูจะไม่เข้ากัน เหลียวฮังก็ทำการเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง

 

“ถ้าเป็นอย่างที่เย่เฟย์หยูพูด ว่าจำนวนประชากรในปรภพมันล้นขีดจำกัดจริงๆ หลังจากนี้ไปคงได้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแน่นอน”

 

“เรื่องอะไรหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ก็นรกอื่นๆที่จะปรากฏตามมายังไงล่ะ” เหลียวฮังกล่าว

 

“เรื่องนั้นฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน” กู่ฉิงซานเห็นด้วย

 

“ถ้าเป็นแบบนี้” ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจ “ฉันคงไม่สามารถเปิดรับงานของสมาคมนักล่าได้อีกต่อไปแล้ว”

 

“มนุษย์ทุกคนจะถูกล้างบางอยู่รอมร่อ นับประสาอะไรกับสมาคมนักล่าของนาย” เย่เฟย์หยูยกแชมเปญขึ้นดื่มและกล่าว

 

เหลียวฮังบ่นพึมพำเบาๆ “แต่ถ้าเอาจริงๆเลยนะ ทำไมพวกเราไม่ลองส่งแฟนแกไปส่องทางฝั่งปรภพดูซักหน่อยล่ะ แล้วให้กลับมารายงานว่ามันเป็นยังไงกันแน่ แบบนี้ฟังดูน่าสนใจไหม?”

 

เย่เฟย์หยูสวนกลับทันทีว่า “ไม่มีทางซะล่ะ! แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธออ่ะ? แล้วถ้าเธอไม่กลับมาจะทำยังไง?”

 

“ก็ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันคิดว่าบางทีคงจะเป็นอะไรอย่าง -เธออาจจะได้เกิดใหม่ และได้รูปลักษณ์ใหม่ก็ได้นะ” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยเสียงดังกว่าปกติ

 

เขาดื่มมากเกินไปและเริ่มพูดจาเลอะเทอะแล้ว

 

เหลียวฮังตริตรองอย่างจริงจังและกล่าว “ถ้าเกิดใหม่เป็นผู้หญิงมันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นผู้ชายแล้วล่ะก็ … ”

 

เขาแอบเหลือบมองอย่างระแวดระวังไปที่เย่เฟย์หยูวูบหนึ่ง

 

เย่เฟย์หยูกระแทกก้นแก้วของเขาลงบนโต๊ะอย่างแรง ปากร้องคำราม “เกิดใหม่งั้นหรอ จะบ้ารึไง? ดูคนตายในนรกเยือกแข็งพวกนั้นสิ! ไม่มีใครได้เกิดใหม่หรอก! ทุกคนมีแต่จะต้องทนทุกข์ทรมานตลอดไปในนรกนั่นต่างหาก!”

 

เขาผุดลุกขึ้น เปล่งเสียงดังยื่นคำขาด “ไม่ยอม! ฉันจะไม่มีวันยอมให้เธอไป!”

 

กู่ฉิงซานเอื้อมมือไปตบอีกฝ่ายเบาๆและกล่าวอย่างหนักแน่น “ฉันจะไม่ปล่อยให้แฟนนายไปทำอะไรแบบนั้นหรอกน่า มั่นใจได้”

 

เหลียวฮังตกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย เขารีบเอ่ยว่า “พวกเราแค่พูดเล่น แกไม่ต้องจริงจังถึงขนาดนี้ก็ได้”

 

พอได้ฟัง เย่เฟย์หยูก็พยายามห้ามปรามอารมณ์ของตัวเองลง

 

“แต่วิธีที่ว่านั่นมันก็น่าสนใจจริงๆนะ นายจะไม่ลองตั้งใจหาผีตัวอื่นๆไปสำรวจดูซักหน่อยหรอ” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซาน “แฟนของเย่เฟย์หยูน่ะฉันช่วยไว้ได้ทัน แต่ผีนอกเหนือไปจากเธอ คงโดนกลืนหายไปในนรกเยือกแข็งจนหมดแล้ว”

 

“จบสิ้นกัน” ซางหยิงฮ่าว บ่นอุบอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำล่ะก็ … จะบอกอะไรให้นะ ในความเป็นจริงแล้วการต่อสู้กับศัตรูที่ไม่รู้จักนั่นแหละเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเลยรู้ไหม เพราะนายไม่มีทางรู้รายละเอียดของมัน แถมยังไม่รู้ว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงหรืออาจเล่นตุกติกอะไรบ้าง”

 

ณ เวลานั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของกู่ฉิงซานก็ดังขึ้น

 

เขาเปิดมันและทำการเชื่อมต่อทันที

 

“เป็นยังไงบ้าง การสืบทอดมรดกของเธอเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” เขาเอ่ยถาม

 

“อ๋า–ตำแหน่งของฉัน? ตอนนี้ก็ … ” กู่ฉิงซานหันไปมองซางหยิงฮ่าว

 

และซางหยิงฮ่าวก็บอกตำแหน่งที่อยู่ออกไปอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานกล่าวมันออกไป

 

และการสื่อสารก็สิ้นสุดลง

 

เหลียวฮังจ้องมองเขา “สาวคนไหนอีกล่ะทีนี้”

 

ซางหยิงฮ่าว “ดูเหมือนจะไม่ใช่แอนนานะ”

 

เย่เฟย์หยู “ฟังจากที่คุยกัน ดูเหมือนน้ำเสียงเธอจะห่วงนายไม่น้อยเลยนี่”

 

กู่ฉิงซาน “ … ”

 

พวกเขาตั้งวงเหล้านั่งใกล้กัน ดังนั้นเสียงจากอุปกรณ์สื่อสาร ย่อมสามารถดังเข้ามาถึงหูของทั้งสองได้อย่างชัดเจน

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเย่เฟย์หยูกับซางหยิงฮ่าว แม้กระทั่งตัวเหลียวฮังเอง หลังจากฝึกฝนยุทธแล้ว ต่อให้เขาหูหนวก ก็ยังสามารถจับเสียงในลำโพงได้อยู่ดี

 

“ซูเซี่ยเอ๋อน่ะ” กู่ฉิงซานเฉลย

 

“ซูเซี่ยเอ๋อ จ้าวมณฑลคนใหม่แห่งเก้าตระกูลใหญ่สินะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

“โห–” อีกสองคนลากเสียงยาวขึ้นพร้อมกัน

 

ก่อนจะหันมาขยิบตาให้อีกฝ่าย

 

ต้องขอบคุณปากที่เปรียบดั่งมีรูรั่วอยู่เต็มไปหมดของซางหยิงฮ่าวจริงๆ ที่ทำให้ทั้งสองคนล่วงรู้ว่าชุดเกราะรบขับเคลื่อนชิ้นแรกที่กู่ฉิงซานทำขึ้น ได้มอบมันให้เป็นของขวัญสาว

 

นี่กล่าวได้ว่าเป็นตัวละครในตำนาน ที่พวกเขาเพียงเคยได้ฟัง แต่ไม่เคยเห็นคนๆนี้มาก่อนเลย

 

“เธอกำลังจะมาหาฉันที่นี่ บอกว่ามีเรื่องด่วนจะพูดด้วยน่ะ”

 

กู่ฉิงซานกล่าว แต่แท้จริงแล้วเขากลับแสดงท่าทีกังวลออกมา

 

—นรกกำลังจะมาถึงในไม่ช้าแล้ว แล้วเวลานี้มันยังจะมามีสถานการณ์อะไรอีกกันนะ? ซูเซี่ยเอ๋อถึงจำเป็นต้องรีบมาหาเขา

 

เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?

 

อีกสามคนมองไปทางกู่ฉิงซานและเห็นถึงความกังวลของอีกฝ่าย

 

-น้อยครั้งนักที่จะเห็นกู่ฉิงซานแสดงออกทางสีหน้าเช่นนี้

 

บางที เรื่องมันอาจจะไม่ธรรมดาอย่างที่พวกเขาคิดกันก็ได้

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทั้งสามก็รีบเปลี่ยนทัศนคติล้อเล่นเมื่อครู่ทันที

 

เหลียวฮังกล่าว “แกต้องการให้ฉันเปิดเครือข่ายจั๊มป์ทั่วโลกเพื่อให้เธอมาหาได้เร็วขึ้นอีกซักหน่อยไหม?”

 

“ไม่ต้องหรอก เธอมาจากขั้วโลกเหนือน่ะ ไม่มีจุดเครื่องจั๊มป์ตั้งไว้ใกล้ๆหรอก และตอนนี้เธอก็กำลังขับเพลิงนางฟ้ามา ตามความเร็วของมันแล้วคงจะมาถึงในเร็วๆนี้ล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เย่เฟย์หยูเลียริมฝีปากและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ถ้าจำเป็นต้องสู้ ช่วยรวมฉันเข้าไปด้วยนะ”

 

ซางหยิงฮ่าวกล่าวเสียงหม่น “อันดับแรกก็มาดูกันก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วจากนั้นก็มาวางแผนตามสถานการณ์”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า บังเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นในจิตใจเล็กน้อย

 

แล้วในเวลานั้นเอง สมองควอนตัมส่วนบุคคลของเขาก็ส่องสว่างขึ้นอย่างกระทันหัน

 

กู่ฉิงซานเหลือบมองมันและกล่าวอย่างไม่ลังเล “เชื่อมต่อ”

 

จอม่านแสงปรากฏขึ้น

 

ผมยาวสีแดงเพลิง ผิวขาว สองตาเปล่งประกายงดงาม

 

แอนนาถือขวดไวน์ในมือ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ดวงตาที่เมามายจ้องมองมาที่จอม่านแสง

 

ในเวลานี้ เธอเชื่อมต่อกับสมองควอนตัมของกู่ฉิงซานในรูปแบบวิดีโอคอล

 

“โทรมาหาฉันในเวลานี้ มีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

แอนนาเห็นได้ชัดว่าตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่ง

 

“นั่นพวกนายสี่คนกำลังนั่งดื่มกันอยู่หรอ? กลางดึกเนี่ยนะ” เธอกวาดสายตามองคนทั้งหลายแล้วกล่าว

 

เหลียวฮังส่งเสียงฮึฮะแล้วกล่าว “ว่าแต่คนอื่น แต่ไม่ดูตัวเองเลยนะ”

 

แอนนาไม่สนใจเขา และหันไปกล่าวกับกู่ฉิงซานโดยตรง “ตอนนี้มีทางเลือกที่สำคัญมากสำหรับฉัน และฉันต้องการจะถามความคิดเห็นจากนาย”

 

“ลองว่ามาสิ ฉันฟังอยู่” กู่ฉิงซานกลายเป็นจริงจัง

 

“สิ่งที่ตระกูลของฉันได้รับสืบทอดมามันแปลกมาก มันคือกล่องสีดำ และว่ากันว่าตราสัญลักษณ์แห่งความตายก็ถูกหยิบออกมาจากกล่องที่ว่านี้นี่แหละ”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

แอนนากล่าวอย่างลังเล “แต่กล่องใบนี้ หากนับตั้งแต่ต้นตระกูล จะมีเพียงหัวหน้าตระกูลรุ่นแรกของเราเท่านั้นที่เปิดมันได้ ฉันเลยลังเลใจว่าจะลองทำมันดูดีไหม”

 

กู่ฉิงซาน “ถ้าเธอลังเลแบบนี้ แสดงว่ามันต้องมีสิ่งที่จะใช้จ่ายออกไปเพื่อแลกกับการทำลองมันอยู่สินะ?

 

นี่เป็นมรดกที่หายสาบสูญไปของตระกูลเมดิซี ในชีวิตก่อนหน้าแอนนาได้ตกตายลง ร่องรอยของมันจึงหายไปโดยสมบูรณ์

 

ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร

 

“ใช่ มันมีราคาที่ต้องจ่ายออกไป”

 

แอนนากำลังจะตอบ แต่ทันใดนั้นจู่ๆเธอก็หุบปากลง

 

เพราะทางฝั่งกู่ฉิงซาน มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

“ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ยังจะมีใครมาอีก?” แอนนาถามด้วยความสงสัย

 

สีหน้าของเหลียวฮัง เย่เฟย์หยู และซางหยิงฮ่าวเริ่มซีดลงทันที

 

เหลียวฮังบ่นงึมงำ “ถ้าเทียบกับนรกเยือกแข็งแล้ว ฉันว่าสถานการณ์ที่เรียกว่า ‘นรก’ เหมือนกันในตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าซะอีก”

 

แล้วประตูก็ถูกกระแทกเปิดออกโดยที่ไม่มีใครทันจะไปเปิดมัน

 

ท่ามกลางสายลมแรง เด็กสาวงดงามผู้มีดวงตากระจ่างใสและฟันสีเงินเรื่อปรากฏตัวขึ้น

 

“ขอโทษนะ ฉันมาสายเกินไปหน่อย ตอนนี้เวลาของฉันมันใกล้จะหมดลงแล้ว” เด็กสาวอุทาน

 

เธอคือซูเซี่ยเอ๋อ

 

ขั้วโลกเหนือมันอยู่ไกลเกินไปสำหรับวิลล่าบนภูเขา แถมยังเสียเวลาคุยกับท่านผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลใหญ่อีก ดังนั้นตอนนี้เธอจึงเหลือเวลาอีกไม่ถึงนาทีแล้ว

 

เธอจะต้องทำมัน!

 

“เซี่ยเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานถามด้วยกระแสเสียงทุ้มลึก

 

เขายกมือขึ้น

 

ดาบพิภพและเช่าหยิน หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ลอยโฉบจากกลางอากาศมาอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ

 

กู่ฉิงซานไม่เคยเห็นซูเซี่ยเอ๋อดูดูเร่งร้อนขนาดนี้มาก่อนเลย

 

ที่บอกว่า ‘เวลาใกล้จะหมดลงแล้ว’

 

นั่นมันหมายความว่ายังไง!?

 

ซูเซี่ยเอ๋อดูจะแตกต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย

 

ผมสีดำของเธอ ตอนนี้ทั้งหมดดันเปลี่ยนเป็นสีเงินขาว!

 

แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?

 

กู่ฉิงซานเริ่มเป็นกังวล

 

เมื่อคนอื่นๆเห็นสายตาของกู่ฉิงซาน รวมถึงอาวุธของเขาที่ถูกเรียกออกมาอย่างกระทันหัน ในหัวใจของพวกเขาก็ราวกับถูกระเบิดลงอย่างกระทันหัน

 

เหลียวฮังเปิดสมองควอนตัมส่วนบุคคล ปากเอ่ยกล่าวอย่างรวดเร็ว “เตรียมจั๊มป์ระเบิด”

 

ส่วนเย่เฟย์หยู รอบกายเขาปรากฏเลือดสังหารพรั่งพรูออกมา พร้อมด้วยคู่เดือยแหลมบนแผ่นหลังที่งอกขึ้น

 

ทั้งหมดจ้องมองไปที่ประตูอย่างระแวดระวัง

 

ขณะที่ซางหยิงฮ่าวนั่งนิ่ง มิได้ขยับกายเคลื่อนไหวใดๆ

 

แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน ที่มือทั้งสองของเขากำลังกุมด้ามกริชสั้นที่คมของมันสาดประกายเย็นเยียบ

 

ซูเซี่ยเอ๋อเป็นคนฉลาด เพียงเห็นท่าทีตอบสนองของหลายๆคนเธอก็เข้าใจได้ในทันที

 

เธอตะโกนออกมาว่า “ใจเย็นๆกันก่อนะ มันไม่มีอะไรหรอก ” ขณะเดียวกันก็รีบวิ่งไปทางกู่ฉิงซาน

 

“มีสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องการมอบมันให้กับนาย” ซูเซี่ยเอ๋ออ้าปากหอบหายใจ

 

เธอชำเลืองมองไปที่ดาบทั้งสองข้างกายกู่ฉิงซาน และคว้าเอาม้วนคัมภีร์สีเลือดออกจากอ้อมแขน

 

—มันคือม้วนคัมภีร์อันทรงพลานุภาพที่ได้มาจากจอมมารชุดคลุมเลือด

 

“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”

 

เธอยัดม้วนคัมภีร์ลงในมือของกู่ฉิงซาน เงยหน้าขึ้นมองสบตากับอีกฝ่าย

 

“มันคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของฉันตอนนี้ และฉันหวังมามันจะเป็นตัวแทนของฉันที่คอยอยู่เคียงข้างไปกับนาย เมื่อพบเจอกับอันตราย มันจะต้องช่วยนายได้อย่างแน่นอน”

 

หลังจากกล่าวประโยคนี้จบ ซูเซี่ยเอ๋อก็ถอนหายใจยาว

 

เธอยินยอมผูกมัดกับระบบ เดินทางข้ามผ่านระหว่างสองโลก และใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงบินจากขั้วโลกเหนืออย่างสุดกำลังกลับมายังรัฐบาลกลาง เพื่อส่งต่อม้วนคัมภีร์เลือดนี้

 

และเวลานี้ มันก็ได้มาถึงมือของกู่ฉิงซานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

สิ่งมากมายเหล่านี้ มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่จะสามารถทำเพื่อเขาได้

 

จากนี้ไป เธอก็จะกำหนดเส้นทางของตัวเอง และเร่งพยายามแข็งแกร่งขึ้น

 

มีเพียงการที่ตัวเธอต้องพัฒนาขึ้นเป็นตัวตนที่ทรงพลังมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้เท่านั้น จึงจะสามารถหยุดฉากจบอันโหดร้ายแห่งโชคชะตาลงได้ ลบมันไปให้ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นตลอดกาล

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังหน้าต่างระบบ

 

เหลือเวลาอีกสิบวินาที

 

ด้วยเวลาอันจำกัดนี้ จำเป็นต้องโจมตีคู่ต่อสู้ที่สำคัญที่สุด!

 

เธอเรียกความกล้าทั้งหมดที่มีออกมา และโผเข้ากอดกู่ฉิงซานเบาๆ

 

ซูเซี่ยเอ๋อหันศีรษะของเธอไปทางแอนนาที่กำลังตะลึงงันอยู่ในจอม่านแสง และทำเสียงหัวเราะคิกคักราวกับระฆังเงินอันเสนาะหู

 

ปากขยับเป็นเสียงกระซิบ “ไม่ว่ายังไง เดิมที ‘ที่ตรงนี้’ก็ไม่ใช่ของเธออยู่แล้ว”

 

เธอยิ้มกว้างด้วยความสุขใจยิ่ง

 

มันสดใส ร่าเริงยิ่งกว่าตอนนี้เธอโค่นยี่ชาลงได้เสียอีก

 

“ที่พูดนั่นเธอคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน!” แอนนาตวาดเสียงดัง

 

ณ จุดนี้คนอื่นทั้งหลายถึงขั้นลืมหายใจ จ้องมองฉากที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

 

เมื่อกี้เย่เฟย์หยูยังกางปีกออก ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้อยู่เลย แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้กระทั่งขยับหายใจเพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนสองสาว

 

เหลียวฮังหรี่สองตาของเขาแคบลง เบนสลับไปมาระหว่างเด็กสาวทั้งสอง

 

ส่วนซางหยิงฮ่าวผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

เขาใช้เท้าเตะลงที่ไหนสักแห่งในช่องลับ ที่ดูเหมือนว่าจะสามารถหยิบจับบางสิ่งบางอย่างออกมาได้ตลอดเวลาปิดกลับคืน

 

แอนนาปิดวิดีโอคอลในสมองควอนตัมด้วยความโกรธ

 

และเสียงสุดท้ายที่ดังลอดออกมาจากลำโพง มันเป็นเสียงของขวดแก้วที่แตกกระจาย!

 

กู่ฉิงซานถือม้วนคัมภีร์สีเลือดในมือ ขณะที่ปลายจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมละมุนและความอบอุ่นจากเนื้ออสัมผัสที่ราวกับหยกในอ้อมอกของเขา

 

ริมฝีปากของเขาขยับขึ้น และเตรียมที่จะเอ่ยถามสถานการณ์ให้มันชัดเจน

 

แต่ทันใดนั้น ก็พลันบังเกิดม่านแสงสว่างวาบ!

 

พร้อมกับร่างของซูเซี่ยเอ๋อที่หายไป

 

คำพูดของกู่ฉิงซานจุกอยู่ในลำคอ ทว่าคนที่อยู่ในอ้อมอกของเขากลับหายไปแล้ว

 

เขายืนโง่งมอยู่ในสถานที่นั่นโดยสมบูรณ์

 

และคนอื่นๆก็ไม่ต่างกัน

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.352 – หวนคืน

 

มันจำต้องใช้เวลาอยู่สักพัก ซูเซี่ยเอ๋อจึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้

 

ในที่สุดเธอก็ปาดน้ำตาที่ไหลรินออก แต่ดวงตาของเธอก็ยังคงแดงเรื่ออยู่

 

“ขออภัยท่านอาจารย์ ดูเหมือนว่าหนูจะมีอารมณ์ร่วมกับมันมากไปหน่อย …” ซูเซี่ยเอ๋ออธิบาย

 

“ดูจากท่าทีที่แสดงออกมา เจ้าคงดำดิ่งลงไปลึกมากทีเดียว” จอมมารชุดคลุมเลือดมองเธอและกล่าว “แล้วผลเป็นเช่นไร? มันช่วยให้เจ้าได้พบเจอกับเส้นทางที่ตนเลือกหรือไม่?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อยืนยัน “อาจารย์ สิ่งที่หนูพึ่งได้เห็นไป มันคือโชคชะตาดั้งเดิมของหนูจริงๆน่ะหรือ?”

 

“ใช่ ประสิทธิภาพของม้วนคัมภีร์นี้ทรงพลังยิ่ง มันสามารถมสะท้อนให้เห็นถึงโชคชะตาที่แท้จริงของเจ้าได้”

 

“หนูเข้าใจแล้ว” ซูเซี่ยเอ๋อย่นจมูกสูดหายใจ และโค้งศีรษะของเธอลง

 

จอมมารชุดคลุมเลือด “อีกไม่กี่วันข้างหน้า เจ้าจะต้องกำหนดเส้นทางของตัวเอง ดังนั้นเวลานี้สมควรที่จะทำสมาธิ แล้วไตร่ตรองเกี่ยวกับมัน”

 

ว่าแล้วเขาก็ส่งกุญแจพวงหนึ่งให้แก่ซูเซี่ยเอ๋อ

 

“อาจารย์ นี่คือ?” เธอเอ่ยถาม

 

“มันคือกุญแจสำคัญที่ใช้เข้าสู่ทุกห้องของอาคารภาคพื้นดินทั้งหมดในกรมบังคับกฏ” จอมมารกล่าว

 

ซูเซี่ยเอ๋อเร่งเอ่ยทันที “ทำไมท่านถึงวางใจมอบมันให้มันแก่หนู?”

 

“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้เจ้าเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวของข้า ดังนั้นกรมบังคับกฏก็เปรียบดั่งบ้านของเจ้า จงทำความคุ้นเคยกับมันเสีย”

 

“มีห้องพักมากมายอยู่ในสวนด้านหลังของกรมบังคับกฏ เจ้าก็เลือกซักห้องไว้พักอาศัยก็แล้วกัน” จอมมารอธิบาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงบางสิ่ง “อ้อจริงสิ ข้าจำเป็นต้องไปทำบางสิ่งบางอย่างใน ‘โลกแห่งหนึ่ง’ และจะกลับมาในอีกราวๆไม่เกินภายในสามวันนะ”

 

“เจ้าค่ะ ศิษย์รับทราบแล้ว” ซูเซี่ยเอ๋อตอบรับ

 

“อ่า ช่วงเวลานั้นก็จงตริตรองเกี่ยวกับเส้นทางของเจ้าเสีย ยามเมื่อข้ากลับมา ข้าจะร่วมช่วยเจ้าสร้างชุดไพ่พื้นฐานเอง ” จอมมารกล่าว

 

“ขอบพระคุณท่านอาจารย์”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดยิ้ม และทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปจากกรมบังคับกฏ

 

ซูเซี่ยเอ๋อถือพวงกุญแจ เตรียมที่จะทำความคุ้นเคยกับกรมบังคับกฏที่ว่างเปล่า ขณะที่ในสมองคิดไปต่างๆนาๆ

 

ภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติเล็กน้อย

 

ในงานพรอม กู่ฉิงซานไม่ได้ทำอะไรไม่เหมาะสมกับตนเองเสียหน่อย?

 

แต่ท่านอาจารย์บอกว่า สิ่งที่สะท้อนออกมาจากม้วนคัมภีร์นี้ คือโชคชะตาดั้งเดิมของเธออย่างแน่นอน

 

แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่นมันไม่ใช่

 

กู่ฉิงซานได้เปิดเผยแผนการการของจางเย่อชัดๆ

 

สองโชคชะตานี้ แท้จริงแล้วตรงจุดไหนกันแน่นะ? ที่ทำให้ทุกอย่างมันแตกต่างออกไป

 

ซูเซี่ยเอ๋อนึกอย่างรอบคอบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้น

 

ใช่ มันน่าจะเป็นข่วงเวลาที่เขาสารภาพรัก …

 

“จริงๆแล้วฉันหวังว่าเธอให้รับปากฉันสักเรื่องหนึ่ง” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ

 

“มาที่ร้านบาร์บีคิวของฉันในวันพรุ่งนี้ และลองชิมฝีมือการย่างของฉัน”

 

ท่าทีการแสดงออกของเขาดูจริงจังมาก

 

เมื่อคิดถึงเรื่องของกู่ฉิงซาน ซูเซี่ยเอ๋อก็รีบสะบัดหัวอย่างรวดเร็ว และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

 

“ในตอนนั้นฉิงซานดูแปลกไปจริงๆ” เธอพึมพำ

 

—บางที มันอาจจะเป็นช่วงเวลานั้นก็ได้ที่กู่ฉิงซานได้ทำการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาดั้งเดิมของเธอ

 

ภายในโชคชะตาเดิม มันได้บอกเล่าเรื่องราวของหลายปีต่อจากนั้นออกมา

 

เมื่อเผ่ามารได้บุกมาถึง และเก้าตระกูลใหญ่หลบหนีออกจากโลก

 

กู่ฉิงซานและมอนสเตอร์ยักษ์เริ่มปะทะเข้าใส่กันจนทุกอย่างพินาศสิ้น

 

พินาศสิ้นไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย …

 

ซูเซี่ยเอ๋อหยุดฝีเท้า ชะงักไปอย่างกระทันหัน

 

พอคิดว่าฉิงซานได้ตายลง

 

ในหัวใจของเธอก็เต้นถี่ระรัว มันหนักอึ้งในทันใด

 

ถึงแม้ว่ามันจะใช้เวลาอีกกว่าสองสามปี จึงจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่ตอนนี้เธอก็ได้รับรู้แล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องเบาๆ

 

ซูเซี่ยเอ๋อรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

 

เธอพึ่งจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา และยังไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะช่วยเหลือเขา อย่างน้อยก็ในระยะเวลาอันสั้นนี้

 

เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับมัน เธอก็เห็นบรรทัดตัวอักษรหลายเส้นแจ้งเตือนขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า

 

พวกมันปรากฏขึ้นบนจอประสาทตาของเธอ

 

“คุณได้ชนะการทดสอบ”

 

“คุณถูกปลุกให้ตื่นขึ้น และมีคุณสมบัติในการใช้งานระบบ”

 

“ระบบนี้จะมีผลผูกมัดเชื่อมโยงกับคุณในกรณีที่มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น”

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปที่บรรทัดเหล่านั้นและเอ่ยถามว่า “แล้วอะไรคือสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำ?”

 

“คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไร การผูกมัดเชื่อมโยงจะใช้เวลาไม่กี่วัน ดังนั้นโปรดอย่าไปในสถานที่ๆอันตราย” ระบบตอบกลับ

 

“ขอทำการยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย ผู้เล่นต้องการที่จะผูกเชื่อมโยงกับระบบหรือไม่?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองบรรทัดตัวอักษร และนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

 

ทันใดนั้นเธอก็เอ่ยออกมาทันทีว่า “ฉันไม่ต้องการผูกมัดกับคุณ”

 

บังเกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง

 

สักพักเลยทีเดียวระบบถึงจะตอบสนอง “ทำไมคุณถึงไม่ต้องการ?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อ “ตั้งแต่วินาทีที่ฉันมาถึงโลกนี้ คุณก็ปรากฏตัวให้เห็นและบอกว่าฉันเป็นผู้เล่นทดสอบ (ผู้เล่นเบต้า)”

 

“แต่ฉันไม่ต้องการที่จะเป็นผู้เล่น ฉันไม่ต้องการที่จะทำภารกิจใดๆ เพราะฉันมีเรื่องที่ตัวเองต้องทำและต้องจัดการอยู่”

 

ระบบตอบกลับ “แต่สองภารกิจก่อนหน้านี้ คุณปฏิบัติมันจนบรรลุได้อย่างยอดเยี่ยม”

 

ซูเซี่ยเอ๋อ “ภารกิจแรกน่ะคือการเอาชีวิตรอด ส่วนภารกิจที่สองมันคือการตอบโต้กับศัตรู มันเลยพอจะพูดได้ว่าสองภารกิจที่คุณปล่อยออกมาน่ะมันตรงกับความต้องการของฉันพอดี ดังนั้นฉันเลยทำมันอย่างดีที่สุดจนสำเร็จ”

 

“ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณ แต่ถ้าวันหนึ่งคุณได้สั่งให้ฉันทำภารกิจที่ไม่ต้องการ ฉันจะต้องต่อต้านมันอย่างแน่นอน”

 

“ไม่มีใครควบคุมโชคชะตาของฉันได้ และทั้งหมดที่ควรจะเป็นก็คือ ฉันจะทำในสิ่งที่อยากทำ – นั่นคือเหตุผลที่ตัวฉันซึ่งกำลังหมดหวังเลือกที่จะมายังโลกใบนี้”

 

ระบบ “ดังนั้น คุณเลยไม่ต้องการที่จะผูกมัดกับฉันอย่างงั้นหรอ?”

 

“ใช่ ” ซูเซี่ยเอ๋อตอบอย่างหนักแน่น

 

ระบบกล่าว “เป็นผู้เล่นที่ถูกเลือกโดยสวรรค์น่ะพิเศษมากเลยนะ ยิ่งมีระบบคอยช่วยเหลือมันจะสร้างประโยชน์ในการจัดแจงกฏเกณฑ์ของโลกให้แก่คุณได้อย่างมหาศาล … ”

 

“ฉันไม่ต้องการที่จะเป็นคนพิเศษ ฉันไม่ต้องการที่จะสร้างอะไรเลย ฉันเพียงแค่อยากกำจัดทุกการถูกควบคุมใดๆ และกลายเป็นคนที่สามารถกำหนดโชคชะตาได้อย่างอิสระก็เท่านั้นเอง” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

ระบบเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง

 

ก่อนที่มันจะเอ่ยถามในทันใดว่า “คุณต้องการที่จะกลับไปยังโลกของคุณหรือไม่?”

 

ดวงตาของซูเซี่ยเอ๋อฉายแววสดใส “ฉันสามารถกลับไปได้หรอ?”

 

ไพ่แห่งโชคชะตาของท่านผู้พิทักษ์ดูจะใช้พลังงานมหาศาลเป็นอย่างมาก ในตอนที่มันส่งตัวเธอมายังโลกใบนี้ มันก็แตกสลายลงทันที

 

เทียบเท่าได้กับว่า ตัวเธอถูกขังอยู่ในโลกใบนี้โดยสมบูรณ์

 

มันคงจะดีกว่าถ้าเธอสามารถย้อนกลับไปได้

 

“ใช่ เดิมทีแล้วคุณยังอ่อนแอเกินไปที่จะย้อนกลับไปยังโลกด้วยตัวเอง แต่หากมีระบบ คุณจะสามารถหวนคืนกลับไปได้” ระบบกล่าว

 

ซูเซี่ยเอ๋อกัดริมฝีปากเธอ และตกอยู่ในห้วงภวังค์

 

จำเป็นต้องมีพลังอำนาจในระดับผู้ฝึกสอนเท่านั้น จึงจะสามารถไปมาระหว่างต่างโลกได้

 

ฉันจำเป็นต้องบรรลุถึงขั้นนั้น แต่หนทางดูเหมือนว่าจะยังอีกยาวไกล

 

มันอาจจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้หวนคืนกลับไป

 

ฉิงซาน ….

 

จู่ๆซู่เซี่ยเอ๋อก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

 

‘ใช่สิ ยังมีอีกคนหนึ่งที่คอยเดินเคียงข้างเขา’

 

‘แอนนา’

 

จากข้อมูลที่ได้เผชิญหน้ากันตรงๆและแอบไปสืบมา ผู้หญิงคนนั้นช่างเป็นคนที่ไร้ยางอาย!

 

แถมยังพูดว่าตัวเองน่ะชอบดื่มสุดๆ

 

แล้วถ้าเธอชวนกู่ฉิงซานดื่มล่ะ?

 

พอดื่ม …. แล้วก็เมา … แล้วก็ …

 

ซูเซี่ยเอ๋อผูกเรื่องราวต่างๆมาโยงกันในความคิดของตัวเอง

 

ในเวลานั้น เสียงของระบบก็ดังขึ้น “หากมีฉัน คุณจะสามารถย้อนกลับไปพบเจอใครบางคนที่คุณอยากเจอได้อย่างสม่ำเสมอ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อสวนกลับด้วยความโกรธ “เล่นใช้วิธีนี้! คุณมันช่างเจ้าเล่ห์นัก!”

 

“เปล่านะ นี่มันคือหนึ่งในฟังก์ชั่นของระบบต่างหาก” มันตอบกลับ

 

“งั้นฉันจะกลับไปตอนนี้ คุณสามารถทำมันได้เลยไหม?”

 

“พลังของระบบในขณะนี้ จะสามารถส่งคุณหวนคืนกลับไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”

 

“แล้วมันจะเป็นแบบนี้ต่อไปไหมในอนาคต”

 

“ไม่ หากคุณช่วยให้ระบบแข็งแกร่งขึ้น ระบบก็จะให้บริการแก่คุณเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน และในครั้งต่อๆไปคุณจะสามารถใช้เวลากลับบ้านได้นานยิ่งขึ้น”

 

“เข้าใจแล้ว ฉันอยากจะกลับไปตอนนี้เลย!” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

“รับทราบ ซูเซี่ยเอ๋อ โปรดยืนยันทำการผูดมักกับระบบด้วย”

 

“ … ฉันยืนยันผูกมัด”

 

“ผู้เล่นได้ทำการผูกมัดกับระบบ”

 

“ร้องขอผู้เล่นให้ใส่ใจบริหารเวลาให้ดี .. เตรียมการข้ามผ่านพื้นที่มิติและห้วงเวลา!”

 

“3”

 

“2”

 

“1!”

 

บังเกิดม่านแสงกระพริบวาบ และทั้งคนทั้งร่างของซูเซี่ยเอ๋อก็หายไปจากกรมบังคับกฏ

 

ณ ขั้วโลกเหนือ

 

กระท่อมบนภูเขา

 

ทันใดนั้นจู่ๆร่างของซูเซี่ยเอ๋อก็ปรากฏขึ้นหน้าเตาผิง

 

“เซี่ยเอ๋อ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!” ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลมองและด้วยร่างที่กำลังสั่นไหว

 

“ผมของเจ้า! แล้วไหนจะชุดคลุมยาวสีขาวกับคทาในมืออีก นี่มันอะไรกัน?”

 

“มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อถูกทำการปลุกให้ตื่นขึ้นมาน่ะค่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อตอบอย่างรวดเร็ว

 

ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลกวาดสายตามองชุดคลุมของเธอ และกล่าวด้วยความปิติว่า “ในที่สุด! ในที่สุดสวรรค์ก็มีตาไม่ทอดทิ้งเก้าตระกูลของข้า!”

 

ซูเซี่ยเอ๋อหยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลของเธอออกมา และเริ่มทำการติดต่อเทพธิดากงเจิ้ง

 

เมื่อได้รับการตอบสนองจากเทพธิดา เธอก็รีบหันไปกล่าวกับผู้พิทักษ์ทันทีว่า “ท่านผู้พิทักษ์ ตอนนี้รบกวนช่วยปลดม่านป้องกันให้หนูหน่อยจะได้ไหม หนูจำเป็นต้องให้ชุดเกราะรบขับเคลื่อนมาที่นี่ แล้วพาหนูออกไปโดยเร็วที่สุด .. นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก”

 

“เรื่องสำคัญ? ดี! เข้าใจแล้ว! จัดไปเลยไม่มีปัญหา!” ผู้พิทักษ์ดูจะตื่นเต้นจนไม่มัวเสียเวลาคิดอะไรแล้ว เธอเร่งดำเนินการให้สาวน้อยตรงหน้าทันที

 

ซูเซี่ยเอ๋อได้กลับมาพร้อมกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เธอบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ จะต้องเกี่ยวพันกับอนาคตของเธออย่างแน่นอน!

 

ฉะนั้น ข้าจะต้องให้ความร่วมมือกับเธออย่างเต็มที่!

 

ในไม่ช้า ผู้พิทักษ์ก็ทำการปลดม่านป้องกันบางส่วนออก และเปิดทางให้เกราะรบเพลิงนางฟ้าเข้าสู่ขั้วโลกเหนือ

 

ระหว่างเฝ้ารอการมาถึงของมัน เธอก็เอ่ยถามว่า“เจ้าสามารถไปยังเกาะหมอกได้สำเร็จแล้วใช่หรือไม่?”

 

“ค่ะ ต้องขอบคุณท่านที่ให้โอกาสหนูได้เข้าสู่โลกใบนั้น” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างรู้คุณ

 

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า” ผู้พิทักษ์กล่าว “ในอดีต มีจ้าวมณฑลหลายคนทีเดียวที่เลือกไปยังโลกใบนั้น แต่ทว่ามีเจ้าเลยเป็นคนแรกที่กลับมาแบบยังมีชีวิตนอกจากข้า”

 

ซูเซี่ยเอ๋อดูเวลาในสมองควอนตัมและกล่าว “ระหว่างกระบวนการ มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลย บอกตรงๆหนูก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะรอดเหมือนกัน”

 

“แล้วเจ้ามีที่ปรึกษาหรือไม่?” ผู้พิทักษ์เอ่ยถามอย่างระแวดระวัง

 

“มีค่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อยอมรับ

 

“แล้วผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ที่เป็นที่ปรึกษาเจ้าคือใครกัน?”

 

“อาวุโสบังคับกฏ”

 

ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลสูดหายใจยาว และเอ่ยสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจตนเองออกมาว่า “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว”

 

“ท่านรู้จักเขางั้นหรอ?” ซูเซี่ยเอ๋อถามอย่างใคร่รู้

 

“แน่นอน! แน่นอนว่าต้องรู้จัก! ชื่อเสียงของเขาน่ะสะท้อนสะท้านไปทั่วในโลกมากมายนับไม่ถ้วน!” ผู้พิทักษ์กล่าว

 

น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างกระทันหันและกล่าว “เดิมข้าคิดว่าโลกใบนี้คงจะสิ้นสุดลงแล้ว และไม่มีทางที่จักรวาลทั้งหมดจะสามารถถูกช่วยเหลือเอาไว้ได้! แต่ไม่คาดคิดเลย! ไม่คาดคิดเลยว่าในเก้าตระกูลใหญ่ จะปรากฏผู้ใช้เทียนซวนประเภทไพ่ออกมาอีกคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอนาคตที่สดใสรอเธออยู่เบื้องหน้าอีกด้วย!”

 

ซูเซี่ยเอ๋อค่อยๆโอบกอดเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลนะคะ หนูสัญญาว่าจะพยายามให้ดีที่สุด”

 

ในระหว่างการสนทนา ชุดเกราะรบเพลิงนางฟ้าก็ร่อนลงมาถึงด้านนอกกระท่อมในที่สุด

 

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว “หนูจำเป็นต้องไปจัดการเรื่องสำคัญในทันที ตอนนี้คงต้องขอตัวก่อน”

 

“จำเป็นต้องให้ข้าช่วยหรือไม่?” ผู้พิทักษ์กล่าว

 

“ไม่หรอกค่ะ นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

ผู้พิทักษ์พยักหน้าด้วยความเข้าใจ ยอมรับฟังอย่างว่าง่าย

 

ด้วยนี่ก็เพราะซูเซี่ยเอ๋อได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว

 

ก่อนที่คุณจะเสริมสร้างพลังอำนาจและความแข็งแกร่งของตัวคุณเอง คุณจะต้องเข้าใจหัวใจของตัวเอง และรักษาเสถียรภาพของมันให้หนักแน่นมั่นคงเสียก่อน

 

นี่เป็นช่วงเวลาที่ผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์(เทียนซวน)จะต้องเผชิญหน้ากับจุดที่อ่อนแอที่สุดในหัวใจของพวกเขา

 

และในระหว่างกระบวนการนี้ มันจะเป็นการดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายที่จะไม่แทรกแซงหรือรบกวน

 

ผู้พิทักษ์กล่าว “ไปเถอะ แต่จะทำอะไรต้องให้แน่ใจว่าตัวเองจะปลอดภัยนะ”

 

“หนูเข้าใจแล้ว เมื่อมีโอกาสได้กลับมาหาท่านอีกครั้งในอนาคต หนูมีบางอย่างที่จะเรียนถามท่าน ถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนแล้ว”

 

“นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย”

 

ซูเซี่ยเอ๋อออกจากประตูไป กระโจนไปเบื้องหน้าเพลิงนางฟ้า

 

ตามต่อด้วยเสียงกระหึ่มของคลื่นโซนิคบูม เพลิงนางฟ้าทะยานตัวขึ้นไปในอากาศเบื้องบนทันที มุ่งตรงไปยังทิศทางรัศบาลกลาง

2 ตอน

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.351 – ลมตะวันตก

 

“ท่านผู้พิทักษ์ ขออภัยจริงๆที่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อน” แม่ของซูเซี่ยเอ๋อรีบโค้งกายคำนับอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าก็รีบไปขึ้นยานเถอะ พวกเรากำลังจะออกเดินทางกันแล้ว” ผู้พิทักษ์กล่าว

 

“เข้าใจแล้วค่ะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อที่ไร้สติ ถูกอุ้มตัวพาขึ้นไปบนยาน

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ยานอวกาศขนาดใหญ่ก็ลอยลำขึ้นสู่ท้องฟ้า และระเบิดคลื่นอัดอากาศพุ่งสูงขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศหายลับไป

 

-นี่มันอะไรกัน? เก้าตระกูลใหญ่หลบหนีออกจากโลก นี่คือโชคชะตาของฉันอย่างงั้นหรอ?

 

ซูเซี่ยเอ๋อเฝ้ามองนิมิต ในสมองขบคิดถึงฉากที่ปรากฏอย่างเงียบๆ

 

และภาพก็กระพริบไหว ฉากโดยรอบเปลี่ยนไปอีกครั้ง

 

ภายในยานอวกาศ

 

ทุกคนหลับไหลกันไปหมดแล้ว

 

เห็นแค่เพียงผู้พิทักษ์ที่ยืนอยู่หน้าแผงควบคุมยาน เธอแสดงท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะ ‘กดปุ่มสีเขียว’

 

แล้วหมอกค่อยๆเติมเต็มไปทั่วยานอวกาศ

 

“ข้าเสียใจจริงๆ” ผู้พิทักษ์บ่นพึมพำ “ในจักวาลนี้มีอสูรกายอยู่มากเกินไป ข้าทำได้แค่เพียงรับประกันได้ว่าตนเองจะไม่ถูกค้นพบเท่านั้น”

 

“เพื่อการดำรงอยู่ต่อไปของเก้าตระกูลใหญ่ เจ้าจะต้องอยู่ภายในยานอวกาศในฐานะต้นกำเนิดยีนไว้สำหรับสานต่อทายาทรุ่นต่อไปของเก้าตระกูล”

 

“สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ แม้พรสวรรค์โดยกำเนิดของซูเซี่ยเอ๋อจะดีเลิศ แต่ทว่ากว่าจะค้นพบมันก็สายเกินไปเสียแล้ว …”

 

…..

 

ภาพเคลื่อนไหวกำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า

 

เฝ้ามองหน้าตาของตัวเองที่ไร้สติและกำลังหลับลึก ภายในจิตใจของซูเซี่ยเอ๋อก็เต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย

 

“ช่างเป็นชีวิตที่อ่อนแอและน่าเวทนาจริงๆ”

 

นี่มันหมายความว่า แต่เดิม ความจริงแล้วฉันไม่เคยควบคุมโชคชะตาของตนเองได้เลยสินะ?

 

จู่ๆเธอก็เริ่มใจเสียอย่างกระทันหัน

 

แล้วฉิงซานล่ะ?

 

เขาจะเป็นอย่างไร?

 

ราวกับรับรู้ถึงความนึกคิดของเธอ ภาพเคลื่อนไหวได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง

 

ยามเมื่อเปลี่ยนไปในตอนแรก ภาพเคลื่อนไหวนั้นพร่ามัวแลดูสับสน แต่ว่าสักพักมันก็ค่อยๆชัดเจนกระจ่างใสขึ้น

 

สายลมปั่นป่วน

 

เปลวไฟปะทุ

 

ควันลอยฟุ้งไปทั่ว

 

กลิ่นคาวของเลือดฟุ้งอยู่ในชั้นอากาศ

 

บรรยากาศร้อนอบอ้าว พวยพุ่งไปด้วยไอน้ำ

 

เสียงร่ำไห้คร่ำครวญอลหม่าน ร้องระงมไปทั่ว

 

มืออาชีพนับไม่ถ้วนที่สวมชุดเกราะและถืออาวุธของพวกเขากำลังข้ามแม่น้ำใหญ่

 

เหนือแม่น้ำใหญ่  ปรากฏเงาดำๆปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั่วผืนดิน

 

ฮู้มมมมม!

 

เงาดำที่ว่าเปล่งเสียงคำรนอึกทึก

 

เหล่ามนุษย์มืออาชีพที่รายล้อมมันราวกับเกี๊ยวน้ำที่แตกออก เสียงคำรนระเบิดอวัยวะภายในของพวกเขาจนทะลุออกมาภายนอก คนแล้วคนเล่าสิ้นชีพลง เศษซากร่วงหล่นลงสู่แม่น้ำใหญ่

 

“อสูรกายที่ปกป้องที่นี่มันทรงพลังเกินไป พวกเราไม่สามารถข้ามผ่านธารเมฆามารได้เลย!” บางคนร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

 

“แล้วสถานการณ์ทางฝั่งแนวหลังเป็นยังไงบ้าง?” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยทวงถามกลับมา

 

ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อเต้นครึกโครม

 

เพราะนี่คือเสียงของกู่ฉิงซาน!

 

เธอรีบเบนหน้าหันไปรอบๆเพื่อตามหาต้นตอของเสียงทันที

 

ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นค่ายทหารโบราณ

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่สวมใส่ชุดเกราะและถือดาบยาว ยืนอยู่ใจกลางเหล่ามืออาชีพมากมายที่รายล้อมรอบตัวเขา

 

ลักษณะของเขาดูจะมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย ใบหน้าปรากฏริ้วรอยและบาดแผล แสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน

 

ด้วยวันเวลาที่ผ่านพ้นไป ส่งผลให้ใบหน้าของเขามีหนวดเคราขึ้นประปราย

 

ดูจากรูปลักษณ์ทั้งหมดของฉิงซาน บ่งบอกได้ว่าช่วงเวลานี้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

 

ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยคือดวงตาของเขา

 

มันคือดวงตาที่สดใส มั่นคง วันเวลามิได้ทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปเลย

 

ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ที่จะบินลงไปยืนข้างๆกู่ฉิงซาน

 

ทว่าเขากลับมองไม่เห็นเธอ

 

เธอเอื้อมมือออกไปและพยายามที่จะสัมผัสกับใบหน้าของเขา

 

“รายงาน!”

 

มีเสียงตะโกนดังลงมาจากบนท้องฟ้า

 

มือของซูเซี่ยเอ๋อหดกลับอย่างรวดเร็วราวกับปฏิกริยาโดนไฟดูด

 

เห็นแค่เพียงคนๆหนึ่งที่ทั้งคนทั้งร่างท่วมไปด้วยเลือดร่อนลงมา คนๆนั้นแทบจะทรงตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อเท้าย่ำลงบนพื้น เขาก็เสียหลักกลิ้งหลุนๆหลายตลบ ก่อนจะถูกช่วยพยุงโดยคนอื่นๆ

 

“มีอะไร? จงรีบรายงานมาเร็วเข้า” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ชายคนนั้นอ้าปากค้างหอบหายใจ ก่อนตะโกนเสียงดัง “มืออาชีพของเก้าตระกูลใหญ่ที่รับผิดชอบปกป้องเมืองคิงซิตี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวกันมาเลย!”

 

“เมืองคิงซิตี้กำลังจะล่มสลายลงแล้ว!”

 

น้ำเสียงของเขากำลังหวาดกลัวและอดไม่ได้ที่จะสิ้นหวัง

 

“แล้วเทพวิญญาณของพวกเราล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม

 

“ท่านเทพวิญญาณยังคงพยายามต่อสู้อยู่!”

 

“แบบนี้ไม่ดีแน่ ท่านเทพของพวกเราคงไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้ จำนวนของอีกฝ่ายมีมากเกินไป!” ผู้บัญชาการอีกคนหนึ่งโพล่งออกมา

 

“เป็นอย่างที่ว่า แต่อสูรกายในธารเมฆามารมันแกร่งมากเกินไป พวกเราเองก็ไม่สามารถแบ่งกำลังไปสนับสนุนทางฝั่งนั้นได้เหมือนกัน” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงหม่นทะมึน

 

ทั้งหมดจมลงสู่ความเงียบ

 

ซูเซี่ยเอ๋อยังคงยืนอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน เฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ

 

แปลกจัง สถานที่นี้มันคือที่ไหนกันแน่?

 

เธอหันไปมองรอบๆ

 

ทันใดนั้นเธอก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

 

คนๆนั้นเป็นหนึ่งในนักสู้ผู้มีชื่อเสียงของรัฐบาลกลาง

 

เขาก็อยู่ในที่แห่งนี้ และสวมใส่ชุดเกราะที่ดูแปลกตา ในมือถืออาวุธแหลมคม สีหน้าการแสดงออกแลดูสิ้นหวัง

 

หรือว่า … นี่จะเป็นอีกโลกหนึ่ง?

 

โลกที่คนจากเก้าตระกูลเลือกที่จะทอดทิ้ง?

 

หรือว่านี่จะเป็นโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ที่ตัวเธอเองได้เอ่ยมันออกมาในก่อนหน้านี้?

 

เธอพยายามไตร่ตรองขบคิด

 

ช่วงเวลานั้นเอง ผู้หญิงในชุดเกราะทองคำก็บินมาจากพื้นที่ส่วนหลัง

 

หญิงนางนี้งดงามโดดเด่นชนิดหาตัวจับได้ยาก กระทั่งซูเซี่ยเอ๋อยังอดไม่ได้ต้องกวาดสายตามองเธอขึ้นๆลงอยู่ซ้ำอยู่หลายรอบ

 

“นายพลโหยวจีจากนิกายร้อยบุปผา หวังหลิงซิว มาที่นี่ขอรับ” ใครบางคนกระซิบเตือนกู่ฉิงซาน

 

“นายพลหวัง ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?” กู่ฉิงซานหันหลังกลับมาเอ่ยถาม

 

“หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราจักพ่ายแพ้ใช่หรือไม่?” นายพลหญิงถาม

 

กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก สุดท้ายจึงเอ่ยตอบ “ใช่”

 

นายพลหญิงถอนหายใจและเอ่ยอย่างเศร้าสลด “น่าเสียดายยิ่งนักที่ท่านอาจารย์แห่งข้าได้ล่วงลับไปแล้ว ศิษย์พี่หนึ่งและสองก็ได้ล่วงลับไปแล้วเช่นกัน หลงเหลืออยู่เพียงแค่ข้าเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานไม่ได้เอ่ยตอบ

 

นายพลหญิงกล่าว “กู่ฉิงซาน เจ้าเป็นนักดาบนิรันดร์แห่งมนุษยชาติคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ ข้าจำได้ว่าเจ้ามีกระบวนท่าเทคนิคลับแห่งดาบของนักดาบนิรันดร์ ‘ทงกุ่ย’(ร่วมหวนคืน) ไว้อยู่ในครอบครองใช่หรือไม่?”

 

“หุบปากซะ!” ผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติตัดบทด้วยความขุ่นเคือง และกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ เทคนิคทงกุ่ยที่ว่านั่น หากใช้มันออกไป นายท่านกู่ก็จะต้องตาย!”

 

นายท่าน?

 

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินทั้งคำพูดและสำเนียงนี้ก็คาดเดาไปว่า

 

นี่คือคำที่ใช้พูดกันในโลกใบนี้ใช่หรือไม่?

 

กู่ฉิงซานปรามชายคนนั้นและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ใช่ ข้ามีกระบวนท่าที่ว่านั่น”

 

นายพลหญิงกล่าว “ข้ายินดีจะเสียสละชีวิตข้า รวมทั้งพื้นฐานวรยุทธทั้งหมด เพื่อช่วยให้เจ้าเปิดใช้งานทงกุ่ย ”

 

เธอมองไปที่กู่ฉิงซาน ในแววตาเปล่งประกายสดใสระยับ

 

“เราไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว มีเพียงแค่กระบวนท่าดาบนั่นที่จะสามารถทำลายเหตุและผล ตัดสะบั้นทุกสรรพสิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้รับการยินยอมจากนายท่านกู่อยู่ดี” เธอกล่าว

 

กู่ฉิงซานหันไปมองดูเงาขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

“เจ้าอสูรกายตัวนี้ เป็นอาวุธชั้นยอดที่สุดของเผ่ามาร” เขาเอ่ยอย่างช้าๆ “เพียงเจ้าและข้าสองชีวิต มิอาจกระตุ้นกระบวนท่าดาบที่ว่านั่นได้ เราไม่สามารถเอาชนะอสูรกายที่ร้ายกาจที่สุดตัวนี้ได้”

 

-อสูรกายที่ร้ายกาจที่สุด

 

ซูเซี่ยเอ๋อเงยหน้าขึ้นมอง

 

บนท้องฟ้ามืดมิด

 

มอนสเตอร์ขนาดยักษ์ลอยตัวข้ามผ่านผืนฟ้า เกือบที่จะบดบังแสงสว่างทั้งหมดโดยสมบูรณ์

 

มอนสเตอร์ตัวนี้ บนร่างกายของมันประกอบไปด้วยหัวกะโหลกนับไม่ถ้วน

 

ไม่ว่าจะเป็นกะโหลกมนุษย์ , อสูรวิญญาณ , มาร , และอื่นๆที่ไม่ทราบชนิด

 

แต่ละหัวบ้างปิดปาก บ้างเปิดปากในเวลาเดียวกัน

 

และทุกๆการจู่โจมนับไม่ถ้วน ล้วนถูกส่งผ่านออกมาจากปากของเหล่ากะโหลกที่ว่านี้

 

ผู้ฝึกยุทธมนุษย์ที่รับผิดชอบในการบุกโจมตีจากทั่วฟ้าถูกมันระเบิดอวัยวะภายในตกตายลงอย่างต่อเนื่อง ร่างไร้วิญญาณของพวกเขาร่วงตกลงไปไหลรวมกับแม่น้ำใหญ่

 

ในชีวิตของซูเซี่ยเอ๋อ เธอไม่เคยพบเห็นฉากที่น่าเศร้าสลดเช่นนี้มาก่อนเลย

 

เธอจ้องมองมันอย่างว่างเปล่า ร่างกายแข็งทื่อไปสักพักหนึ่ง

 

ขณะนั้นเอง เสียงของกู่ฉิงซานก็ก้องขึ้นในหูของเธอ

 

“อย่างน้อยก็จำเป็นต้องใช้สองผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพ เราถึงจะสามารถรับมือกับมันได้” กู่ฉิงซานมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและกล่าว

 

“แต่นักปราชญ์ได้ตกตายลงไปหมดแล้ว” นายพลอีกคนหนึ่งถอนหายใจอย่างเศร้าสลด

 

“มันดูเหมือนว่าทั้งในโลกจริงกับที่นี่คงไม่แคล้วถูกทำลายไม่ต่างกัน” นายพลอีกคนถอนหายใจตาม

 

โลกจริง?

 

ที่นี่?

 

มนุษย์สามารถเดินทางไปมาระหว่างสองโลกได้อย่างงั้นหรอ?

 

ซูเซี่ยเอ๋อขบคิดอย่างลับๆ

 

ในค่ายทหารที่กำลังเร่งร้อน เสียงดังรบกวนภายในค่อยๆสงบลง

 

สายลมเย็นพัดโชยไปมา

 

สรรพสิ่งเงียบงันราวกับทุกอย่างได้ตายจาก

 

ผู้ฝึกยุทธต่างหยุดมือในสิ่งที่ตนกำลังทำ

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายที่ร้ายกาจที่สุด ทุกการกระทำทั้งหมดก็ดูเหมือนจะไร้สาระและไร้ความหมาย

 

ผู้ฝึกยุทธยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่นาน ราวกับตนเป็นประติมากรรม

 

บนใบหน้าของพวกเขาขณะนี้แลดูบิดเบี้ยว มันเผยถึงความโกรธแค้นไม่ยินยอมผสานไปกับความสิ้นหวัง

 

แต่ละคนทำแค่เพียงเบนสายตามามองกันและกัน แต่ในตอนนั้นเอง เสียงของผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาทำลายความเงียบ

 

ช่วงเวลานั้น

 

เห็นแค่เพียงภายในค่ายทหาร ผู้ฝึกยุทธที่สวมใส่ชุดเกราะรบสีดำเดินมาเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

“นายพลดู่กู้ มีเรื่องอะไรกระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างรอบคอบ

 

นายพลดู่กู้กล่าว “ข้าเพียงหวังว่าเราจะชนะสงครามที่นี่ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องมาพิจารณาว่าที่อื่นๆหรือเมืองคิงซิตี้จะมาสนับสนุนเรา – แต่เป็นเราที่ต้องคว้าชัยที่นี่และกลับไปช่วยเหลือเมืองคิงซิตี้”

 

“ใช่แล้วล่ะ นั่นเป็นวิธีเดียว แต่ด้วยความแข็งแกร่งของข้า ต่อให้แม้นสละชีวิต มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะสามารถสังหารอสูรกายตนนี้ได้” กู่ฉิงซานตอบ

 

นายพลเกราะดำค่อยๆย่อเข่าลง หัวเข่าข้างหนึ่งสัมผัสกับพื้นดินอย่างช้าๆ สองกำปั้นประสานเข้าหากัน

 

“นายท่านกู่ ข้ายินดีเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนท่าดาบทงกุ่ยของท่าน” เธอกล่าวอย่างสงบ

 

นายพลหญิงเชิดหน้าขึ้น สายตาจับจ้องมายังกู่ฉิงซาน

 

บนใบหน้าอันงดงามหาตัวจับได้ยากของเธอแสดงออกถึงความเฉยเมยต่อชีวิตและความตาย

 

เธอยื่นกำปั้นข้างหนึ่งไปทางเขาและเอ่ยว่า “นายท่านกู่ ข้ายินดีที่จะร่วมกระบวนท่าทงกุ่ยกับท่าน”

 

ผู้ฝึกยุทธต่างมองไปที่ฉากนี้อย่างเงียบๆ

 

หลังจากนั้นผู้ฝึกยุทธอีกคนหนึ่งก็คุกเข่าลง สองกำปั้นประสานเข้าหากัน ตามด้วยอีกคน และอีกคน

 

กลิ่นอายของทั้งหมดปุทะพรั่งพรูออกมาราวกับกำลังเปล่งประกายท่วมท้นดั่งขุนเขาและทะเล แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจของพวกเขา

 

ตลอดทั้งค่ายทหาร นับพันหมื่นมืออาชีพและผู้ฝึกยุทธ ทั้งหมดต่างคุกเข่าลง จ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน

 

เหล่าผู้คนต่างร้องตะโกน เปล่งวาจาแห่งความตั้งใจจากส่วนลึกในหัวใจของพวกเขาออกมา

 

“นายท่านกู่ ข้าก็ยินดีร่วมกระบวนท่ากับท่าน”

 

“มาร่วมกันทำให้มันเป็นกระบวนท่าที่สุดยอดกันเถิด”

 

“พวกเราขอยอมเป็นส่วนหนึ่งของทงกุ่ย!”

 

“ข้ายินดีแลกเลือดทุกหยดของข้าเพื่อเปิดใช้งานทงกุ่ยกับนายท่าน!”

 

….

 

ลมตะวันตกรุนแรงพัดกระหน่ำ

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางสายลมและหันไปมองรอบๆ

 

ตลอดทั้งค่ายทหารไม่มีใครยืนอยู่อีกเลย ยกเว้นเขาแต่เพียงผู้เดียว

 

ทั้งหมดคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น สองกำปั้นประสานกัน ในแววตาของทุกคนฉายแววหนักแน่นเด็ดเดี่ยว

 

กู่ฉิงซานค่อยๆคุกเข่าของเขาลงข้างหนึ่งอย่างช้าๆ ประสานกำปั้นไปยังทุกผู้คน “มันก็แค่ชีวิตและความตายเท่านั้น วันนี้ข้าและเหล่าวีรชนเบื้องหน้าจะใช้ออกด้วยกระบวนท่าทงกุ่ย!”

 

ว่าจบ ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

เบื้องหลังเขา ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดต่างยืนขึ้น

 

ผู้ฝึกยุทธนับพันหมื่นมองตามร่างที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียง

 

บินไปได้ครึ่งทาง กู่ฉิงซานก็เอ่ยตะคอกคำหนึ่ง

 

“ดาบเอ๋ย!”

 

ทันใดนั้น ดาบบินมากมายก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

ดาบบินเหล่านั้นลดระดับลงมาอย่างรวดเร็ว ร่อนตกลงมาข้างกายของเหล่าผู้ฝึกยุทธแต่ละคน

 

ผู้ฝึกยุทธยื่นมือออกไปจับด้ามดาบข้างกาย และเริ่มต้นเผาผลาญพลังชีวิต , พื้นฐานวรยุทธ และจิตวิญญาณ เพื่ออัดฉีดพวกมันทั้งหมดเข้าไปในดาบบิน

 

ในขณะนี้ ทุกคนต่างร้องตะโกนโดยพร้อมเพรียง “แด่ทงกุ่ย!”

 

ร่างทั้งหมดเปล่งประกายวาวโรจน์ และผสานเข้ากับดาบยาวในมือของพวกเขา

 

ดาบยาวทั้งหมดเหินทะยานขึ้นโดยอัตโนมัติ พวกมันล้วนเปล่งประกายเจิดจรัสและเร่าร้อน ต่อแถวเรียงรายกันอย่างงดงามและสมบูรณ์

 

เทคนิคลับ นักดาบนิรันดร์

 

ค่ายกลดาบ ทงกุ่ย!

 

ฮู้มมม!

 

ปัง! บังเกิดเสียงสนั่นของปราณดาบระเบิดออก

 

ภูเขาและแม่น้ำบังเกิดความอลหม่าน ลมและเมฆแยกออกราวกับกำลังตื่นกลัว

 

เส้นแสงพวยพุ่งขึ้นสู่เงาชั่วร้ายที่บดบังไปทั่วผืนฟ้า

 

ปราณดาบเหลือคณา ฉีกอากาศตรงขึ้นไปราวกับต้องการทะยานสู่สรวงสวรรค์

 

สองมือของกู่ฉิงซานคว้าจับดาบยาว สองเท้าย่ำลงบนค่ายกลดาบ ขี่ทงกุ่ยเหินขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

เขาทะยานเข้าหาเจ้าอสูรกาย

 

ใกล้เข้าไป

 

ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ

 

นักดาบนิรันดร์คนสุดท้ายในโลก ได้ระเบิดการโจมตีที่เขาเชื่อมั่นว่ามันทรงพลานุภาพที่สุดในช่วงชีวิต และคาดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตออกมา

 

กระบวนท่าดาบได้ถูกปลดปล่อยออกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

 

รัศมีดาบเปล่งปลั่งน่าหลงไหลขจรขจายไปทั่วผืนฟ้า ขจัดความมืดมิดทั้งมวลสลายไป

 

ท่ามกลางความมืดมิด เสียงคำรนด้วยความเจ็บปวดหวีดแหลมในความว่างเปล่า

 

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ จู่ๆนิมิตหมายแห่งโชคชะตาก็ราวกับหยุดนิ่ง

 

ทันใดนั้นทุกอย่างก็เชื่องช้าลง สรรพเสียงทั้งหมดก็พลันหายไปอย่างสิ้นเชิง

 

ซูเซี่ยเอ๋อสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ว่ากู่ฉิงซานทะยานตัวขึ้นไปเผชิญหน้ากับอสูรกายด้วยอัตราเร็วที่แสนเชื่องช้า

 

ซูเซี่ยเอ๋อกระทั่งสามารถเห็นถึงการแสดงออกอันละเอียดอ่อนบนใบหน้าของกู่ฉิงซานได้อย่างชัดเจน

 

กู่ฉิงซานค่อยๆอ้าปากของเขาอย่างช้าๆ เปล่งคำรนสุดเสียงออกมาคำหนึ่ง

 

ทว่าแม้ซูเซี่ยเอ๋อพยายามตั้งใจฟังอย่างหนัก เธอก็ไม่สามารถได้ยินมันได้เลย

 

ประกายแสงทวีความเจิดจรัสมากขึ้น เปล่งประกายยิ่งขึ้น

 

แสงสีขาวแผ่กระจายไปทั่วผืนฟ้า บดบังปกคลุมทั้งสวรรค์และโลก

 

และเมื่อแสงสีขาวค่อยๆจางหายไปในความว่างเปล่า ทุกอย่างก็พลันมืดดับลง

 

ภาพเคลื่อนไหวหยุดลงเพียงแค่ฉากนี้

 

ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งตะลึงงัน เพราะเธอค้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในกรมบังคับกฏอีกครั้งดังเดิมแล้ว

 

เธอยกมือขึ้นลูบสัมผัสลงบนแก้มตัวเอง

 

แล้วก็พบกับคราบน้ำตา ที่ไม่รู้เลยว่ามันไหลรินลงมานานแค่ไหนแล้ว

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.350 – เส้นทางแห่งโชคชะตา

 

กรมบังคับกฏ

 

ชั้นอากาศที่นี่หนาวเย็นกว่าในส่วนอื่นของสถาบันอย่างชัดเจน มันไร้ซึ่งสรรพเสียงหรือความวุ่นวายใดๆ และไม่มีนักเรียนเดินผ่านไปมาให้เห็น

 

ซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่กลางห้องโถงของกรมบังคับกฏ ในหัวใจบังเกิดความรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย

 

ที่เท้าเบื้องล่างถูกปูด้วยอิฐสีเทาหนา

 

แต่จากการที่มันอยู่มานานหลายปีแล้ว ส่งผลให้อิฐบางก้อนบ้างแตกร้าว บ้างเป็นหลุมบ่อ ทำให้สามารถสังเกตเห็นได้ถึงการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

 

แรงสั่นสะเทือนนี้ ดูเหมือนว่าต้นตอของมันจะมาจากเบื้องล่างลึกลงไป ราวกับมีอะไรบางอย่างพยายามที่จะคืบคลานออกมาจากใต้อิฐสีเทา

 

หากตั้งใจฟังอย่างรอบคอบ ท่านจะได้ยินเสียงครวญครางและร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่รำไรดังลอดขึ้นมาจากมัน

 

เสียงเหล่านี้ ฟังดูราวกับว่ามีนรกถูกฝังเอาไว้อยู่ใต้กรมบังคับกฏยังไงยังงั้น

 

“อย่ากลัวไปเลย ข้างล่างนั่นคือคุกใต้ดิน มันเป็นสถานที่ๆข้ามีไว้ใช้เก็บรวมรวบสิ่งแปลกๆที่จับหรือหามาได้จากทั่วทุกมุมโลก และมักจะใช้มันสำหรับการวิจัย” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว

 

ซูเซี่ยเอ๋อพยักหน้า เผยท่าทีเข้าใจอย่างชัดเจน

 

“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรามาพูดคุยเกี่ยวกับเจ้ากันดีกว่า” กระแสเสียงของจอมมารชุดคลุมเลือดเปลี่ยนเป็นทุ้มลึก

 

“ท่านอาจารย์เชิญชี้แนะ”

 

“ในตอนที่เจ้าเสร็จสิ้นการทดสอบ เจ้าคงจะสามารถสัมผัสได้ถึงบางสิ่งใช่หรือไม่ แล้วรู้ไหมว่าทำไม?” จอมมารเอ่ยถาม

 

“หนูไม่รู้เลย” ซูเซี่ยเอ๋อตอบ

 

“การทดสอบทั่วๆไปน่ะ มันสามารถทำได้แค่แปรสภาพคนให้ฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่เท่านั้น แต่ในขณะที่เจ้ากำลังฟื้นคืนชีพ มันกลับมีชุดคลุมยาวสีขาวและคทาติดมือมาด้วย”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดหัวเราะ “ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เสื้อผ้าที่เผยออกมาในปัจจุบันน่ะจะแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของอาวุธ และเป็นตัวแทนที่บ่งบอกถึงโอกาสและทิศทางในการพัฒนา”

 

“เสื้อคลุมขาวเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์และเกียรติยศอันสูงส่งแห่งเทียนซวน(ถูกเลือกโดยสวรรค์) ส่วนคทาของเจ้าหมายถึงสิทธิอำนาจการปกครองของเจ้าที่เหนือกว่ากฏแห่งเทียนซวน”

 

“สิทธิอำนาจการปกครอง?”

 

“ใช่ เจ้าเป็นผู้พิชิตกฏแห่งไพ่  ดังนั้นเจ้าจึงสามารถปล่อยเทคนิคเทียนซวนต่างๆได้ทุกประเภทด้วยคทา โดยไม่จำเป็นต้องสนถึงขีดจำกัดของไพ่”

 

“หากจะกล่าวง่ายๆก็คือ สำหรับผู้ที่ถูกเลือกโดยสวรรค์น่ะ จะมีไพ่จำนวนจำกัดโดยขึ้นอยู่กับแต่ละขีดระดับความแข็งแกร่ง”

 

“ตัวอย่างเช่น เมื่อถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว ผู้ที่ถูกเลือกโดยสวรรค์จะได้รับไพ่เพียง2-3 ใบ และจะสามารถใช้ได้เพียงไพ่เหล่านั้นเท่านั้น”

 

“แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ใช่ประเภทเดียวกับกลุ่มคนเหล่านั้น”

 

“แล้วหนูเป็นประเภทไหน?”

 

“ด้วยสิทธิอำนาจการปกครองของเจ้า เป็นผู้ที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์แห่งไพ่ ทำให้เจ้าสามารถได้รับไพ่พันหมื่นใบหรือใช้งานมันตอนไหนก็ได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องคำนึงถึงขีดระดับความแข็งแกร่ง”

 

“นี่นับว่าเป็นหนึ่งในพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด”

 

ซูเซี่ยเอ๋อตกตะลึง

 

จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าวอธิบายอย่างจริงจังและนำม้วนคัมภีร์เลือดออกมา

 

“โดยทั่วไปแล้ว เมื่อนักเรียนกลายเป็นผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์  เขาหรือเธอจะต้องทำการเลือกเส้นทางของตัวเองทันที”

 

“บางคนต้องการที่จะเดินทาง ท่องไปในหลายมิติและจักรวาล บางคนต้องการที่จะต่อสู้กับวันสิ้นโลก บางคนต้องการควบคุมโชคชะตาของพวกเขา นี่คือเส้นทางที่ผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์จะต้องเป็นคนกำหนดมันเอง”

 

“หลังจากตัดสินใจกำหนดเส้นทางของตัวเองแล้ว จึงจะสามารถเลือกไพ่ที่สอดคล้องกันกับเส้นทางที่ตนเลือกได้”

 

ซูเซี่ยเอ๋อถามอย่างระมัดระวัง “หนังสือหลายเล่มบอกว่าบางคนเลือกเส้นทางผิด และในที่สุดก็ต้องปล่อยพลังอำนาจทั้งหมดของพวกเขาไป เพื่อเริ่มสร้างไพ่ของพวกเขาขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง ตรงส่วนนี้ก็เป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ?”

 

“เจ้ามักจะไปที่ห้องสมุดบ่อยๆงั้นหรือ?” จอมมารชุดคลุมเลือดถามอย่างคาดไม่ถึง

 

“เจ้าค่ะ นักเรียนฝึกหัดจะสามารถอ่านหนังสือที่ชั้นหนึ่งได้ หนูเลยมักจะไปบ่อยๆ”

 

จอมมารพอได้ฟังก็รู้สึกประทับใจ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นนักเรียนที่ไม่ได้มีดีแค่พรสวรรค์ แต่พรแสวงก็ยอดเยี่ยม สมแล้วที่เป็นนักเรียนของข้า ก่อนที่เจ้าจะทำการกำหนดเส้นทาง แม้จะต้องจ่ายด้วยราคามหาศาล แต่ข้าก็ยินดีทำเพื่อส่งเจ้าเข้าสู่เส้นทางแห่งโชคชะตาที่ถูกต้องเอง”

 

“ที่นั่น เจ้าจะได้ตระหนักถึงหัวใจที่แท้จริงของเจ้า และตัดสินใจได้ว่าเจ้าต้องการจะเลือกแบบไหน”

 

“ด้วยวิธีนี้ เส้นทางที่เจ้าเลือกเดินมันจะไม่มีทางผิดพลาดไปอย่างแน่นอน”

 

หลังจากที่ตั้งใจฟังอย่างรอบคอบ ซูเซี่ยเอ๋อก็โค้งคารวะอย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณท่านอาจารย์”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดส่งม้วนคัมภีร์สีเลือดให้แก่ซูเซี่ยเอ๋อ

 

“นี่คือม้วนคัมภีร์ที่สืบทอดชีพจรของข้า มันถูกเรียกว่า เส้นทางชะตาอันผิดเพี้ยน”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยทวนซ้ำด้วยความใคร่รู้ “เส้นทางชะตาอันผิดเพี้ยน?”

 

“ใช่ มันจะไล่ตามโชคชะตาดั้งเดิมที่สุดในชีวิตของเจ้า และแสดงให้เจ้าได้เห็นเส้นทางแห่งโชคชะตาของเจ้าว่าแต่เดิมแล้วแท้จริงเป็นยังไง”

 

“จงใช้มัน และค้นหาเส้นเทางที่เจ้าต้องการจะไปด้วยตนเอง” จอมมารกล่าว

 

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อตอบรับ

 

เธอรับม้วนคัมภีร์มา จ้องมองมันด้วยความลังเล ก่อนจะหันไปกล่าวกับจอมมารว่า “แล้วโชคชะตาที่ว่านี้ ท่านอาจารย์ก็ทราบถึงมันอยู่แล้วใช่ไหม?”

 

“ข้าไม่รู้หรอก เพราะนิมิตหมายที่จะปรากฏขึ้นมันจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว “มีเฉพาะผู้ใช้มันเท่านั้นที่จะสามารถเห็นโชคชะตาดั้งเดิมของตนเองได้ และโชคชะตาที่ว่านั่นจะเป็นตัวช่วยบ่งบอกไม่ให้เจ้าเลือกเส้นทางที่หลงผิด”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ฟังรู้สึกโล่งใจ คลายกังวลเรื่องการเลือกเส้นทางที่ผิดพลาดไปจนสิ้น

 

เธอค่อยๆใช้พลังจากภายในห่อหุ้มม้วนคัมภีร์อย่างแผ่วเบา

 

และม้วนคัมภีร์สีเลือดก็หายวับไปพร้อมกับเธอทันที

 

ท่ามกลางความมืดมิด

 

ค่อยๆมีแสงแวววาวเล็กๆปรากฏขึ้น

 

ภาพเคลื่อนไหวค่อยๆกางออกเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ

 

“ท่านปู่ ท่านปู่ต้องให้อภัยเขานะ ไว้ชีวิตเขาเถอะ เขาต้องไม่ได้ตั้งใจอย่างแน่นอน”

 

นี่มันเป็นเสียงของเธอเองนี่นา?

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองเข้าไป และเห็นว่าคนตรงหน้าคือตัวเองที่ใส่ชุดงานพรอมในวันฉลองจบการศึกษาของโรงเรียนมัธยม เธอคุกเข่าลงกับพื้น และกำลังอ้อนวอนขอร้องท่านปู่อยู่

 

ท่านปู่เอ่ยสวนกลับมา “ปู่ยอมปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ได้ แต่หลานเอ๋ย ฮึ่ม! หลังจากนี้ไปปู่จะไม่อนุญาตให้เจ้าติดต่อกับไอ้เด็กเหลือขอตัวเหม็นนี่อีก!”

 

พ่อของเธอที่ยืนอยู่ข้างๆตบลงบนโต๊ะอย่างแรงและพูดว่า “มันพยายามล่วงเกินลูกในงานเต้นรำ เจ้าสัตว์ร้ายจอมหื่นกระหายแบบนี้ ไม่สมควรที่จะโผล่มาอยู่ในสายตาของลูกอีกต่อไป!”

 

ปู่พูดต่อ “ถ้าหลานยินยอมตัดความสัมพันธ์กับเขา ปู่ในฐานะผู้นำตระกูลซูขอให้คำมั่นว่าจะไม่ส่งใครในตระกูลไปฆ่ามัน”

 

“ … เข้าใจแล้ว หนูจะไม่ติดต่อกับเขาอีก ขอเพียงแค่ท่านปู่ปล่อยเขาไป”

 

มองไปยังใบหน้าของตัวเองที่แลดูเศร้าสร้อยและกำลังคุกเข่าลงบนพื้น ซูเซี่ยเอ๋อก็แอบรู้สึกแปลกๆขึ้นในจิตใจ

 

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

 

ในงานพรอม เห็นได้ชัดว่ามันเป็นฝีมือของจางเย่อที่คิดลอบทำร้ายเธอโดยการชักใยกู่ฉิงซานอย่างลับๆ

 

แต่ทำไมในนิมิตของเส้นทางแห่งโชคชะตา สมาชิกครอบครัวของเธอจึงพูดราวกับว่าเป็นกู่ฉิงซานที่กระทำหยาบคายกับตัวเธอ?

 

และภาพก็เปลี่ยนไป

 

ทุกคนหายไปหมด

 

ก่อนจะดังขึ้นด้วยเสียงของผู้หญิงที่ฟังดูคุ้นเคยตะโกนร้องด้วยเสียงแสบแก้วหู “ยานอวกาศกำลังจะออกแล้ว! จับตัวเธอไว้เร็วเข้า! ไม่นะ! รีบจับตัวเธอเร็ว!”

 

ท่านแม่?

 

ซูเซี่ยเอ๋อบังเกิดความสับสนขึ้นในความคิด

 

“ไม่! หนูไม่ไป! หนูไม่ไป! ทำไมล่ะ! ทำไมเราถึงไม่ช่วยพวกเขา!”

 

และนี่ก็คือเสียงของเธออีกแล้ว

 

“ช่วยพวกเขา? เราจะช่วยอะไรพวกเขาอีก? เซี่ยเอ๋อ ดาวดวงนี้น่ะมันจบสิ้นแล้วลูกไม่เข้าใจหรือ? เราไม่สามารถช่วยเหลือใครได้แล้ว แต่พวกเราต้องรีบออกหนีออกจากที่นี่! รีบหนี! ได้ยินไหม!” แม่ตะโกนเสียงดัง

 

และภาพเคลื่อนไหวก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น

 

สถานที่ที่สองแม่ลูกกลังถกเถียงกันอยู่นี้ คือภายในขั้วโลกเหนือ

 

ยานอวกาศขนาดใหญ่กำลังเตรียมจะเดินเครื่องออกตัว

 

เซี่ยเอ๋อกำลังเฝ้าดูนิมิตตนอยู่กลางอากาศ จ้องมองสถานการณ์เบื้องล่างจากมุมสูง

 

ขณะนี้ ตัวเธอในนิมิตกำลังถูกล็อคตัวโดยสองมืออาชีพ

 

โดยมีแม่ของเธอยืนอยู่ตรงข้าม

 

แม่กับลูกสาวมองหน้าสบตากันและกันด้วยความโกรธ

 

ไม่ไกลนัก คนอื่นๆจากเก้าตระกูลใหญ่กำลังทยอยกันขึ้นยานอวกาศคนแล้วคนเล่าอย่างต่อเนื่อง

 

ซูเซี่ยเอ๋อลดระดับลง ทิ้งตัวยืนอยู่ข้างฉากนิมิตดังกล่าวนี้ เพื่อเฝ้าดูโชคชะตาดั้งเดิมของเธอ

 

แม้เพียงมอง แต่มันก็ทำให้เธอสัมผัสถึงความรู้สึกอันบอบบางในจิตใจ

 

เสียงอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ดังขึ้น “ยานอวกาศเตรียมการเสร็จสิ้นแล้ว อีกสิบนาทีจะเริ่มออกตัว”

 

พอได้ฟัง ซูเซี่ยเอ๋อก็พอจะคาดเดาทุกอย่างได้ในที่สุด

 

-เก้าตระกูลใหญ่ กำลังจะหลบหนีออกจากดาวดวงนี้

 

เธอก้าวไปข้างหน้า และมองดูตนเองในภาพเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด

 

แม้วันเดือนปีที่ผ่านพ้นไป แต่ริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าเธอก็ยังเพิ่มขึ้นไม่มากนัก

 

เห็นแค่เพียงใบหน้าของตัวเองที่อาบไปด้วยน้ำตา ปากเอ่ยปฏิเสธที่จะยอมรับ “นี่คือสงครามขั้นแตกหักระหว่างมนุษยชาติกับเผ่ามาร ไม่ใช่ว่าพวกเราตกลงกันแล้วหรอว่าจะเข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธเพื่อป้องกันเมืองคิงซิตี้! ทำแบบนี้มันเท่ากับการทรยศนะ!”

 

โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ?

 

นั่นมันคือที่ไหนกัน?

 

ซูเซี่ยเอ๋อคิดด้วยความสงสัย

 

แม่เธอสวนกลับด้วยความโกรธว่า “อย่ามาพูดถึงเรื่องทรยศหักหลังอะไรนั่นให้ขำเลยจะดีกว่า คิดหรือว่าแม่ไม่รู้ว่าลูกก็แค่คิดถึงเจ้าหนุ่มนั่น”

 

ร่างของซูเซี่ยเอ๋อแข็งค้าง

 

แม่หัวเราะหยัน “แม่รู้ว่าลูกได้แอบช่วยเหลือเขามาตั้งหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้! เวลาที่อันตรายชนิดที่ว่าชีวิตลูกเองยังไม่รู้เลยว่าจะรอดไหม แล้วลูกมัวแต่คิดถึงเขามันจะมีประโยชน์อะไร!?”

 

ร่างหนึ่งบินออกมา และร่อนลงเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ

 

ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูล

 

เธอสัมผัสลงบนหัวของซูเซี่ยเอ๋อ ปากเอ่ยเตือน “เซี่ยเอ๋อ เจ้าเป็นทายาทที่มีพรสวรรค์มากที่สุด จงเชื่อฟังแล้วขึ้นไปบนยานอวกาศเถอะ แล้วหลังจากนั้น ข้าจะบอกพ่อเจ้าให้สละตำแหน่ง ยกเจ้าขึ้นเป็นจ้าวมณฑลแทนทันที”

 

“แต่ท่านผู้พิทักษ์ พวกเราไม่ควรที่จะหนีไปในตอนนี้” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

ผลั่ก!

 

ผู้พิทักษ์สับฝ่ามือลงบนต้นคอของซูเซี่ยเอ๋ออย่างอ่อนโยน

 

และเธอก็หมดสติลงทันที

 

ผู้พิทักษ์ถอนหายใจและกล่าว “เซี่ยเอ๋อ เจ้าน่ะยังไม่รู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่แท้จริงของเผ่ามาร หากมีวิธีการที่สามารถเอาชนะมันได้ แล้วข้าจะเลือกหนทางอันแสนอัปยศอย่างการพาเหล่าทายาททั้งหมดหลบหนีไปเพื่ออะไร?”

2 ตอน

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.349 – หมดสิ้นฝุ่นละออง

 

“ยี่ชา เจ้ากล้าที่จะข้ามหน้าข้ามตาข้าในการไต่สวนทรมานจิตวิญญาณ เข้าเอ่ยแทรกแซงคำถามอย่างกระทันหัน ข้าผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ” คณบดีส่ายหัว

 

“ท่านคณบดี ขออภัย นั่นเป็นเพราะข้ากระวนกระวายมากเกินไปจนเผลอทำอะไรล่วงเกินไม่ยั้งคิด” ยี่ชารีบอธิบายอย่างรวดเร็ว

 

จอมมารชุดคลุมเลือดเอียงศีรษะของเขา มองไปยังยี่ชา เผยท่าทีสนอกสนใจ

 

“แต่เจ้าถึงขั้นกล้าที่จะลวงข้า ตรงจุดนี้ต่างหากที่มันน่าสนใจจริงๆ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

เมื่อเทียบเปรียบกับคณบดีที่ยุติธรรมและซื่อตรงแล้ว ปฏิกิริยาของจอมมารชุดคลุมเลือดต่างหาก ที่ส่งผลให้ส่วนลึกในหัวใจของยี่ชาเกิดการสั่นสะท้านจากอย่างแท้จริง

 

จอมมารชุดคลุมเลือดได้แสดงท่าทีให้เห็นว่าในหัวใจของเขาได้ตัดสินใจแน่นอนแล้ว

 

ยี่ชาสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ตัวเองให้เย็นลง

 

“มันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านต้องฟังข้านะ นังหนูนั่นพยายามที่จะบิดเบือนจริงๆ” ยี่ชากล่าว

 

เธอมองไปยังสองตัวตนทรงอำนาจแล้วเปล่งวาจาอย่างจริงใจ “ข้าสามารถสาบานด้วยเกียรติยศศักดิ์ศรีของผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์”

 

สองตัวตนทรงอำนาจมิกล่าวคำใด

 

อย่างไรก็ตาม ซูเซี่ยเอ๋อโน้มตัวออกมาจากทางด้านหลังจอมมารชุดคลุมเลือด

 

เธอเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “ไม่ใช่ว่าท่านผู้ฝึกสอนพึ่งจะใส่ร้ายหนูต่อหน้าท่านอาวุโสหรอกเหรอ แถมยังข้ามหน้าข้ามตาท่านคณบดี แทรกแซงไต่สวนหนูอย่างมุทะลุ นี่ใช่สิ่งที่สมควรจะใช้เกียรติของผู้ได้รับเลือกจากสวรรค์มาอ้างจริงๆน่ะหรือ?”

 

เสียงของเธอกังวานไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินฟังชัดไปทั่วทั้งจตุรัส

 

“ข้าไม่ได้ – ” ยี่ชาเปิดปากของเธอเพื่อโต้แย้ง

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ขัดจังหวะเธอทันที “ถ้าหากคุณเป็นผู้บริสุทธิ์จริง โปรดทำการพิสูจน์ด้วยการทรมานจิตวิญญาณเหมือนกันกับหนูสิ”

 

เธอมองไปที่ยี่ชา และกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “คุณกล้าที่จะพูดความจริงระหว่างการทรมานจิตวิญญาณรึเปล่าว่าคุณไม่ได้กำลังใส่ร้ายหนูจริงๆ?”

 

ยี่ชาหุบปากเงียบ ไม่กล้าเอ่ยคำใด

 

เธอมองไปยังซูเซี่ยเอ๋ออย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

ไม่คิดไม่ฝันเลยว่านังเด็กรุ่นเยาว์ผู้นี้ จะเติมเชื้อไฟด้วยวาจาไร้เดียงสา .. ช่างโหดเหี้ยมอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ

 

พูดความจริงระหว่างทรมานจิตวิญญาณ? ต้องการจะให้ข้าเปิดเผยเรื่องระบบด้วยตนเองรึไง?

 

สำหรับเรื่องนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดเพียงลำพัง

 

แม้ว่าในโลกนับไม่ถ้วน มันจะยังมีการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมากกว่าระบบก็ตามที

 

อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา ว่าตนต้องการจะฆ่านักเรียน เพื่อที่จะครอบครองระบบแต่เพียงผู้เดียว

 

นักเรียนคนนี้มีพรสวรรค์สูงล้ำยิ่ง ไม่เพียงถูกคณบดีมองว่าเป็นคนสำคัญ แต่ยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจอมมารชุดคลุมเลือดอีกด้วย

 

หากตนถูกไต่สวนทรมานจิตวิญญาณ ทุกอย่างก็เป็นอันจบสิ้น

 

ในจตุรัส เสียงของยี่ชาเงียบลง

 

ในสายตาของคนอื่นๆ ความเงียบของเธอเป็นสัญญาณบ่งบอกได้ถึงความรู้สึกผิดของตนเอง

 

ดังนั้น ด้วยเหตุนี้ สิ่งต่างๆก็พอที่จะกระจ่างแจ้งแล้ว

 

ยี่ชามองไปยังดวงตาของทุกคน ในหัวใจของเธอหดหู่จนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

 

ทันใดนั้นเธอก็พลันจดจำขึ้นมาได้ว่า อีกฝ่ายก็จำเป็นต้องบรรลุภารกิจที่ว่านี้เช่นเดียวกันกับตนเอง

 

ซูเซี่ยเอ๋อกำลังคิดหาวิธีที่จะกำจัดตนอยู่เหมือนกัน

 

และซูเซี่ยเอ๋อก็ไม่กล้าที่จะสารภาพยอมรับเรื่องของระบบ

 

ยี่ชาหันไปพูดกับซูเซี่ยเอ๋อทันที “นับประสาอะไรกับข้า ในเมื่อเจ้ายังไม่กล้า – ”

 

“เธอน่ะหรือไม่กล้า? เธอยอมรับการทรมานจิตวิญญาณด้วยตัวเองแล้ว เป็นเจ้าต่างหากที่ทำไมถึงยังไม่กล้า!” ในน้ำเสียงของคณบดี แฝงอารมณ์เกรี้ยวกราดไว้ด้วยเล็กน้อย

 

ยี่ชาชะงักงัน

 

แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายพึ่งยอมรับการทรมานจิตวิญญาณ ทำการถูกสอบสวนไป

 

คิ้วของยี่ชาขมวดเข้าหากัน ทั้งคนทั้งร่างสั่นไหวเล็กน้อย

 

หรือว่าจริงๆแล้วจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอกันแน่?

 

เพราะเหตุใด? เหตุใดข้าจึงถูกนังเด็กผู้นี้ไล่ต้อนจนสับสนถึงเพียงนี้

 

เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้น

 

มันเป็นเสียงของคณบดี

 

หลายปีมาแล้ว ที่ไม่มีใครกล้าจะขัดใจหรือทำให้เขาขุ่นเคือง เนื่องด้วยพลังอำนาจของเขา

 

แต่เหตุการณ์นี้ ทำให้เขารู้สึกโกรธอีกครั้งหลังจากผ่านมานานนับหลายสิบหลายร้อยปี

 

เขาเกือบที่จะถูกหลอกลวงต่อหน้าสาธารณะ

 

เพียงเพราะไว้ใจผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองมากเกินไป!

 

เพราะคำว่า ‘ไว้ใจ!’

 

ช่างเป็นคำที่ประชดประชัน เสียดสี แดกดันกันโดยแท้

 

คณบดีคลี่ม้วนหนังแกะออก และอ่านมันอย่างช้าๆ

 

“ผู้ฝึกสอนยี่ชา เจ้าเป็นบุคลากรที่มีส่วนร่วมลงทุนลงแรงกับทางสถาบันมานานปี เจ้าต้องการที่จะชดเชยความผิดพลาดของเจ้าด้วยผลงานของเจ้าหรือไม่? ” เขาเอ่ยถาม

 

“ชดเชยมันทั้งหมด!” ยี่ชาตะโกน

 

คณบดีพยักหน้าและกล่าว “หลังจากชดเชยแล้ว ความผิดร้ายแรงของเจ้าจะได้รับการยกเว้น ทว่าในฐานะที่เป็นถึงผู้ฝึกสอน แต่กลับทำให้สถาบันเสื่อมเสีย ใส่ร้ายนักเรียนฝึกหัด ผลการกระทำจากทั้งหมดนี้ก็คือ เจ้าจะต้องกล่าวคำขอโทษต่อหน้าสาธารณชน และระงับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะบุคลากร พร้อมกับถูกคุมขังเป็นเวลาหนึ่งปี”

 

“ยี่ชา เจ้ามีอะไรจะคัดค้านหรือไม่?”

 

ยี่ชาโค้งหัวลง ปากเอ่ยกล่าวเสียงกระซิบ “ข้าไม่คัดค้าน”

 

ถูกคุมขังหนึ่งปีอย่างกระทันหัน ด้วยฝีมือของนังเด็กน้อย!

 

บ้าจริง!

 

ถ้าเป็นแบบนี้ ข้าก็ไม่มีทางที่จะสังหารนางได้ไปอีกสักพักแล้ว

 

สำหรับตอนนี้ มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะปฏิบัติตามอย่างอ่อนน้อม และในภายหลังเดี๋ยวผู้ฝึกสอนอีกหลายคนที่มีสัมพันธ์อันดีกับตน ก็จะนำผลงานของพวกเขามาไถ่บาปตัวเธอที่ต้องถูกคุมขังเป็นเวลาหนึ่งปีเอง

 

เมื่อเวลานั้นมาถึง ไว้ค่อยคิดหาวิธีจัดการกับนังเด็กคนนี้อีกก็ได้

 

คราวนี้แหละ ข้าจะไม่ประมาทนางอีกต่อไป

 

คณบดีมองไปยังเหล่าอาวุโสและบรรดาผู้ฝึกสอนในอากาศ

 

เขาเอ่ยถาม “ยังมีผู้ใดคัดค้านการตัดสินใจนี้ของข้าอีกหรือไม่?”

 

ทุกคนเงียบ

 

ในเวลานี้ ไม่มีใครกล้าที่จะก้าวออกมาข้างหน้า และเอ่ยคำใดออกมา

 

แม้กระทั่งผู้ฝึกสอนหลายคนที่มีสัมพันธ์อันดีกับยี่ชา ก็ยังคงปิดปากของพวกเขาแน่น

 

—ไม่มีใครสามารถทนแบกรับความโกรธของคณบดีและอาวุโสบังคับกฏในเวลาเดียวกันได้หรอก

 

คณบดีพอเห็นเช่นนี้ ก็ค่อนข้างรู้สึกพอใจ

 

ในฐานะเจ้าบ้าน เขาไม่ได้ทำอะไรตามอารมณ์ตนเองแบบนี้มานานแล้ว

 

ความแข็งแกร่งของยี่ชาก็นับว่าไม่เลว ยังคงสามารถทำผลงานและประโยชน์ที่จับต้องได้มากมายมาสู่สถาบัน

 

ในอนาคต ยังมีอีกหลายสิ่งที่เธอยังสามารถทำได้

 

ดังนั้นการกักขัง และริบผลงานความสำเร็จทั้งหมดจากเธอ การลงโทษนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว

 

เมื่อการลงโทษสิ้นสุดลง เธอก็จะได้ทำงานอย่างหนัก เพื่อรับใช้สถาบันและเพิ่มคะแนนผลงานของตนเอง

 

การจัดการด้วยวิธีนี้ นับว่าดีที่สุดแล้ว

 

ในที่สุด คณบดีก็มองไปทางซูเซี่ยเอ๋อและเอ่ยถามถึงคำตัดสินว่า “ในฐานะเหยื่อ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”

 

เด็กคนนี้ สมควรที่จะเป็นคนใจกว้าง และไม่เข้ามาก้าวก่ายกับผลการตัดสินใจของเขา

 

คณบดีเพียงแค่ได้คิด ซูเซี่ยเอ๋อก็กล่าวโดยไม่ลังเลว่า “หนูไม่มีความคิดเห็น”

 

ในหัวใจของคณบดียังไม่ทันได้ผ่อนปรนลง ก็ได้ยินซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยเสริม “หนูไม่เข้าใจกฏและระเบียบข้อบังคับ ฉะนั้นหนูขอฟังและทำตามท่านคณบดีและท่านอาจารย์จะดีกว่า”

 

ในฐานะผู้มาใหม่ การเชื่อฟังคำตัดสินของคณบดี นี่นับว่าไม่มีอะไรผิดปกติ

 

ในฐานะนักเรียน การเชื่อฟังคำตัดสินของอาจารย์ ก็เป็นคำตอบที่เหมาะสมเช่นกัน

 

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอบอกว่าเวลานี้คณบดีกำลังแอบกรีดร้องอยู่ในจิตใจ

 

นั่นเพราะตั้งแต่ต้นจนจบ เขามิได้เอ่ยถามความคิดเห็นของจอมมารชุดคลุมเลือดเลย จริงๆแล้วสมควรที่จะกล่าวว่าเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยงมันเสียมากกว่า เพราะเจ้าหมอนี่มันเป็นคนที่อารมณ์เดือดจัดได้ง่ายสุดๆ

 

เมื่อใดก็ตามที่จอมมารชุดคลุมเลือดทำการตัดสินใจด้วยตนเอง แม้กระทั่งตัวเขาที่เป็นถึงคณบดีก็ต้องปวดหัว

 

ที่สำคัญก็คือ เหยื่อผู้เสียหายยังอยู่ฝั่งเดียวกันกับจอมมารอีก

 

สายตาของทุกคนเบนออกไปโดยไม่รู้ตัว และตกลงบนร่างของจอมมาร

 

“ข้าไม่เห็นด้วย” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว

 

“แล้วความคิดเห็นของเจ้าคืออะไร?” คณบดีถอนหายใจและเอ่ยถาม

 

“ยี่ชาไม่ได้ใส่ร้ายนักเรียนฝึกหัด แต่เธอใส่ร้ายนักเรียนทางการ แถมยังเป็นนักเรียนทางการของข้าอีกด้วย!” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว

 

ท่าทีการแสดงออกของซูเซี่ยเอ๋อบ่งบอกว่ากำลังหวาดกลัว เธอดึงชายแขนเสื้อของจอมมารด้วยความกระวนกระวาย พยายามที่จะหยุดยั้งข้อพิพาท และสร้างสันติกับฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

 

เธอลดเสียงลง และเอ่ยเตือนอย่างรวดเร็ว “อาจารย์! ท่านคณบดีตัดสินใจแล้ว อย่าโต้เถียงกันอีกเลย พวกเราก็ทำตามเถอะ”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดมองเธอวูบหนึ่ง แต่มิได้ปฏิเสธคำเรียกขาน ‘อาจารย์’ ในครั้งนี้

 

เขากล่าวอย่างเฉียบขาดไปทางซูเซี่ยเอ๋อ “เซี่ยเอ๋อ เจ้าต้องจำเอาไว้ ว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นถึงอาวุโสบังคับกฏของสถาบันแห่งนี้ ดังนั้นการจะลงโทษผู้ใดมันย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอาจารย์เจ้า”

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปทางเขา แต่มิได้กล่าวคำใด

 

คณบดีถอนหายใจ และละทิ้งความคิดของเขาที่คิดจะต่อต้านทันที

 

แท้จริงแล้วเขาก็อยากจะลดโทษให้ยี่ชาอยู่หรอก อย่างน้อยก็เพื่อสถาบัน

 

แต่จอมมารชุดคลุมเลือดดูเหมือนว่าต้องการจะลงโทษยี่ชาสถานหนักตามกฏระเบียบ และแน่นอน แบบนั้นก็ไม่นับว่าผิดอะไร

 

เพราะนี่มันอยู่ในความรับผิดชอบและหน้าที่ของผู้อื่น ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เหยื่อเป็นศิษย์ของตัวเอง คณบดีย่อมรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายยืนกราน ตัวเขาเองก็ยากที่จะขัดขืน

 

หากเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างตนและอาวุโสบังคับกฏ มันจะนับว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของสถาบัน สูญเสียยิ่งกว่าการเสียผู้ฝึกสอนคนหนึ่งไปอย่างเทียบไม่ติด

 

ได้ยินเพียงเสียงของจอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว “หลอกลวงคณบดีและข้า , แทรกแซงการทรมานจิตวิญญาณ ป้ายสีนักเรียนทางการ ตามกฏของสถาบัน สมควรจะถูกไล่ออก และไม่ได้รับอนุญาตให้ย่างกรายขึ้นมาบนเกาะหมอกอีกต่อไป”

 

เงียบสงัด

 

คณบดีไม่เอ่ยคำใดออกมา

 

ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจอมมารชุดคลุมดำจะโหดร้ายถึงเพียงนี้

 

หากไม่สามารถเข้าสู่เกาะได้อีกต่อไป ก็คงทำได้เพียงเตร็ดเตร่จากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง เผชิญหน้ากับเส้นทางอันไร้ที่สิ้นสุด

 

คณบดีพูดอย่างใจเย็นว่า “นี่คือคำตัดสินอย่างเป็นทางการของเจ้าใช่หรือไม่?”

 

จอมมารชุดคลุมเลือด “ในฐานะอาวุโสบังคับกฏ ข้ามีสิทธิ์ที่จะที่จะตัดสินความยุติธรรมมากที่สุด และข้าเชื่อว่าทุกคนจะไม่มีใครคัดค้านความคิดเห็นนี้”

 

วิสัยทัศน์ของเขา กวาดผ่านไปยังผู้ชมโดยรอบ

 

ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเลยในเวลานี้

 

คณบดีกล่าว “เนื่องจากทุกคนไม่มีใครคัดค้าน … ”

 

ยี่ชารีบขัดอย่างรวดเร็ว “ข้าขอคัดค้าน อันที่จริงแล้วข้าก็แค่อยากจะรับเธอ – ”

 

“หุบปาก! หรือเจ้าต้องการจะสู้กับข้าเดี๋ยวนี้ ต้องการจะตายลงตรงนี้เลยใช่ไหม?” จอมมารชุดคลุมเลือดตะคอกด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

 

ทะเลเลือดบนท้องฟ้ากำลังเดือดพล่าน

 

ยี่ชาหุบปากลงในทันใด

 

เธอยังไม่คิดจะตายในตอนนี้

 

“เอาล่ะๆ ยี่ชา ที่นี่ก็ถึงเวลาชดใช้การกระทำของเจ้าแล้วนะ” คณบดีถอนหายใจ

 

ปงงงง!

 

พริบตานั้นบังเกิดกระแสอากาศกระโดดออกมาจากร่างของยี่ชาอย่างรวดเร็ว

 

ยี่ชาเปิดปาก แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยสิ่งใด

 

วินาทีต่อมา ทั้งคนทั้งร่างของเธอก็หายลับไป

 

เธอได้ถูกจับแยกออกไป ถูกปฏิเสธโดยเกาะหมอก

 

นับจากช่วงเวลานี้ไป เธอจะไม่มีวันหยั่งเท้าลงบนเกาะหมอกได้อีกต่อไป

 

ภายนอก มันเป็นมหาสมุทรแห่งซากศพ และหากเธอไม่พยายามหาวิธีแก้ไขโดยเร็วที่สุด เธอก็จะตายลงที่นั่น

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังฉากนี้ กรามขบแน่นจนฟันกระทบกันอย่างรุนแรง

 

ฉันทำได้แล้ว!

 

ยี่ชาถูกบังคับให้ออกจากที่นี่ และไม่สามารถกลับมาได้อีก

 

ตามคำอธิบายของภารกิจผู้ทดสอบ ยี่ชาจะไม่สามารถครอบครองระบบได้ตามที่ตัวเองต้องการได้อีกต่อไป!

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังหน้าต่างระบบ

 

แน่นอน ว่ามันมีตัวอักษรขนาดเล็กร้อยเรียงกันเป็นสามบรรทัดปรากฏขึ้นอยู่ภายในนั้น

 

“ผู้เล่นที่ทำการทดสอบได้ออกจากระยะของเกาะหมอก”

 

“การตัดสิน : ผู้เล่นที่ทำการทดสอบได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว”

 

“จำนวนผู้เล่นทดสอบที่เหลืออยู่ : 1 คน”

 

“ภารกิจเสร็จสิ้น”

 

“คุณสามารถบรรลุภารกิจ : บุคคลที่สวรรค์แต่งตั้ง”

 

“นับจากนี้ไป ระบบจะเป็นของคุณแต่เพียงผู้เดียว”

 

อารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กระชากหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อ

 

ซูเซี่ยเอ๋อรู้สึกร้อนรุ่มในดวงตาของเธอ และรีบฝืนปรามมันลง

 

นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นฉันจะไม่ร้องไห้!

 

คณบดีที่เงียบไปสักพัก ได้เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง “เอาล่ะ การพิพากษาจบลงแล้ว คนอื่นๆจะทำการเลือกนักเรียนอย่างเป็นทางการของตัวเองซะ”

 

สิ้นประโยคนี้ ผู้ฝึกสอนหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า

 

พวกเขาร่อนลง และมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายของตนเอง

 

ผู้เข้าร่วมการทดสอบกำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ คาดหวังว่าพวกเขาจะก้าวเข้าสู่บ้านหลังใหม่ที่ดี

 

จอมมารชุดคลุมเลือดมองไปที่ซูเซี่ยเอ๋อ

 

เห็นแค่เพียงดวงตาของเธอที่แดงระเรื่อราวกับจะร้องไห้ แต่กำลังฝืนกลั้นเอาไว้

 

เจ้าเด็กคนนี้ คงกลัวว่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างตนกับคณบดี ช่างอ่อนแอเหลือเกิน

 

จอมมารชุดคลุมเลือดคิดเช่นนั้น ในหัวใจก็บังเกิดความพึงใจอันยากจะอธิบายขึ้น

 

“เซี่ยเอ๋อ ไปกันเถิด” เขากล่าว

 

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

และทั้งสองก็ปลีกตัวออกจากจตุรัสไป

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.348 –  ทรมานวิญญาณ

 

คณบดีได้ตัดสินผลลัพธ์ด้วยตนเอง

 

ฉะนั้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความจริง

 

ฮือฮา!

 

บังเกิดเสียงสนทนาดังขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า

 

เสียงเหล่านั้นดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ

 

ผลกลับปรากฏว่าแท้จริงแล้วผู้ฝึกสอนใช้วิธีการนี้หลอกหลวงอาวุโสบังคับกฏและคณบดี! ทำราวกับว่าพวกเขาหูตาบอด!

 

นั่นเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวกันแน่?

 

เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วหรือ?

 

ในหัวใจของยี่ชา บังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

เธอหวีดร้องเสียงดัง “ไม่! ท่านคณบดี โปรดทำการตรวจสอบไพ่ของข้าอย่างรอบคอบอีกครั้งเถิด ข้ามิได้ทำการดัดแปลงใดๆกับมัน และตัวไพ่ก็สมควรที่จะไม่มีปัญหาใดๆ!”

 

ในอากาศที่ว่างเปล่า มือที่เหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้กำลังถือไพ่เทียนซวน นิ่งงันไปเล็กน้อย

 

เห็นได้ชัดว่าเขาได้พิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เธอ – ยี่ชาที่เป็นเจ้าของไพ่กลับต้องการให้เขาตรวจสอบมันอีกครั้ง?

 

ในตอนนั้นเอง ซูเซี่ยเอ๋อก็ดึงชายแขนเสื้อของจอมมารชุดคลุมเลือดอย่างแผ่วเบา

 

เธอพูดด้วยความหวาดหวั่นว่า “ท่านอาวุโสบังคับกฏ ในเมื่อเรื่องราวมันเป็นแบบนี้ ก็คงต้อง .. ”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดหันศีรษะของตนมา และก้มลงมองเด็กสาวข้างกายเขา

 

นี่ช่างเป็นฉากที่คุ้นเคย

 

มันเหมือนกันเลย ไม่แตกต่างไปจากนักเรียนหญิงของเขาในครั้งอดีต

 

ในเวลานั้น มันก็เหมือนกัน ทุกครั้งที่นักเรียนหญิงของเขาถูกกลั่นแกล้ง การแสดงออกของเธอก็จะเป็นแบบนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะท่าทาง หรือคำพูด

 

เหมือนกันทุกประการ

 

น่าเสียดายนัก ที่ช่วงเวลานั้นเขาพึ่งจะได้กลายมาเป็นผู้ฝึกสอน และมิได้ครอบครองพลังอำนาจมากเท่าใดนัก

 

ทำให้ในตอนนั้น ก็มีบางเรื่องเหมือนกันที่เขาไม่สามารถไถ่ถามถึงความยุติธรรมสำหรับนักเรียนของตนได้

 

ในฐานะที่เป็นนักเรียนของเขา ช่วงเวลาในอดีตมันช่างเป็นอะไรที่น่าสมเพชอย่างแท้จริง

 

น่าสมเพช …

 

ปัง!

 

“อ๊าาา!”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดคำรามคลั่ง ทั้งคนทั้งร่างผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าในพริบตา เลือดสังหารพวยพุ่งอย่างดุเดือด ก่อตัวเป็นทะเลเลือดอันกว้างใหญ่ขึ้นบนท้องฟ้า

 

ทะเลเลือดโอบล้อมปกคลุมไปตลอดทั้งสถาบัน ส่งผลให้แต่ละคนที่กำลังเฝ้ามองดูอยู่อดไม่ได้ที่จะเริ่มหลบหนี

 

กระทั่งตัวสถาบันเอง ก็ยังสั่นไหวเมื่อเผชิญกับพลังอำนาจนี้

 

จอมมารชุดคลุมเลือดจับจ้องยี่ชา ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์ “ยี่ชา! เจ้ากล้าลวงข้าต่อหน้าทุกคน แถมเจ้ายังคิดจะจูงจมูกข้าให้ลงมือกับศิษย์คนใหม่ … ข้าจะฆ่าเจ้า!”

 

“ไม่นะ! ท่านคณบดี โปรดช่วยข้าด้วย!” ยี่ชาร่ำร้องด้วยความหวาดกลัว ปากเร่งเอ่ยขอความช่วยเหลืออย่างร้อนรน

 

“ช้าก่อน!” เสียงชราตะโกนดังขึ้น

 

ภัยพิบัติกำลังจะมาถึง และคณบดีไม่อาจยอมสูญเสียไพ่ในมือที่ตนมีอยู่ไปได้

 

เขาโผล่ออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า

 

แท้จริงแล้วเขาคือชายชราร่างสูงใหญ่

 

ทันทีที่คณบดีปรากฏตัว เขาก็โบกมือ และอีกหกอาวุโสก็ปรากฏตัวขึ้นตามมาพร้อมกัน

 

“สิ่งต่างๆยังไม่ชัดแจ้ง อาวุโสบังคับกฏ โปรดสงบใจลงก่อน” คณบดีกล่าว

 

จอมมารชุดคลุมเลือดกำลังจะเถียง แต่เขาก็ถูกมือเล็กๆดึงแขนเสื้อเอาไว้ก่อน

 

“ซูเซี่ยเอ๋อ มีอะไรงั้นหรอ?” เขากล้ำกลืนความพิโรธลงในลำคอแล้วเอ่ยถาม

 

“ได้โปรดอย่าสังหารใครเพื่อหนูเลย หนูก็แค่ต้องการที่จะทำสิ่งที่มันถูกต้องตามกฏของสถาบัน” เด็กสาวกระซิบ

 

จอมมารชุดคลุมเลือดสวนกลับทันใด “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ต้องการให้ข้าระบายความโกรธแค้นนี้แทนเจ้า?”

 

เด็กสาวพูด “หนูเชื่อในทุกกฏระเบียบและข้อบังคับของสถาบัน หนูเชื่อว่าด้วยสิ่งนี้ ท่านคณบดีจะสามารถจัดการได้อย่างเป็นธรรม”

 

พอเขาได้เห็นเธอพยายามพูดโน้มน้าวตนให้ใจเย็นแบบนี้ ก่อนอื่นเลยก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในจิตใจ

 

ผู้ฝึกสอนคนอื่นๆก็พยักหน้ากันอย่างเงียบๆ

 

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว “หนูร้องขอให้ทำการ ‘ทรมาณจิตวิญญาณ’ของหนู”

 

เพียงได้ยิน หัวใจของเหล่าผู้ฝึกสอนอาวุโสก็พลันสั่นไหว

 

การทรมานวิญญาณ ก็ตามชื่อ มันคือการทรมานและไต่สวนระดับสูงสุดของสถาบัน เป็นการทรมานจิตวิญญาณเหล่าคนบาปผู้กระทำความผิดโดยตรง

 

ไม่มีคำโป้ปดใดจะเล็ดลอดไปจากการทรมานจิตวิญญาณได้

 

นี่คือหนึ่งในวิชาที่รุนแรงที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้จิตวิญญาณของผู้ถูกทดสอบเกิดความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง

 

ในระหว่างกระบวนการทรมาน ผู้เข้ารับการไต่สวนจะรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในระดับที่ลึกลงไปในจิตวิญญาณ

 

เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซูเซี่ยเอ๋อถึงขั้นยินดีที่จะแบกรับความทรมานที่ว่านั่นไว้!

 

ในเมื่อเธอเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น คณบดีจึงไม่คิดจะถ่ายเพพลังลงไปในไพ่บนเมื่อเพื่อทำการตรวจสอบมันอีก

 

เพราะใครจะรู้ ว่าไพ่ใบนี้ยังมีกลโกงใดแอบซ่อนอยู่อีกมากมายแค่ไหน?

 

เขาโยนไพ่กลับไปให้ยี่ชา

 

เมื่อซูเซี่ยเอ๋อเห็นฉากนี้ สีหน้าท่าทีของเธอมิได้แสดงออกหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ มีเพียงมือที่กำแน่น คลายลงเท่านั้น

 

ยี่ชารีบเอ่ยทันทีว่า “ท่านคณบดี! ได้โปรดทำการตรวจสอบไพ่ของข้าเถอะ มันมิได้มีปัญหาใดๆจริงๆนะ”

 

คณบดีมองเธออย่างมืดมน ปากเอ่ยกล่าว “ข้าได้ทำการตรวจสอบด้วยฝูงหมาป่าแล้ว ต่อจากนั้นก็กำลังตรวจสอบด้วยการทรมานจิตวิญญาณ ถึงขั้นนี้แล้วเจ้าก็ยังไม่พอใจอีกหรือ?”

 

มันจะต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะยืนยันว่าไพ่ของผู้อื่นนั้นไร้ซึ่งความผิดปกติใดๆ

 

หากต้องการจะทราบความจริง สู้ใช้การทรมานจิตวิญญาณที่สามารถตัดสินได้อย่างรวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือสูง มันจะไม่ดีกว่าหรือ?

 

หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น ยี่ชาก็มิเอ่ยสิ่งใดอีก

 

—ตนเองคิดลงมือกับนักเรียนต่อหน้าสาธารณะ แถมยังทำให้คณบดีไม่พอใจ

 

นอกจากนี้ มันไม่มีหรอก ผู้ที่จะสามารถโกหกในระหว่างกระบวนการทรมานจิตวิญญาณได้

 

ด้วยเหตุนี้ ในใจของเธอจึงไม่กล้าที่จะทำให้คณบดีรู้สึกโกรธอีก

 

จอมมารชุดคลุมเลือดก้าวมาข้างหน้า ขวางซูเซี่ยเอ๋อไว้เบื้องหลังเขา

 

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหม่นลึก “การทดสอบวิญญาณ มันจะเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณเธอ ดังนั้นการทรมานจะต้องไม่มากเกินไปกว่าสามครั้ง”

 

“ข้าเห็นด้วย” คณบดีกล่าว

 

พวกเขาทั้งสองมองหน้ากันวูบหนึ่ง และจอมมารชุดคลุมเลือดก็ค่อยๆปลีกตัวออกไปด้านข้างอย่างช้าๆ

 

เขาหันไปมองซูเซี่ยเอ๋อและพูดเบาๆว่า “เซี่ยเอ๋อ นักเรียนของข้า เพียงเจ้ายืนยันรับการทรมานนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาทำให้เจ้าเปื้อนมลทินอีกนับจากนี้ไป”

 

ซูเซี่ยเอ๋อยิ้มและตอบกลับไปว่า “หนูเชื่อคำพูดของท่าน”

 

จอมมารพยักหน้า

 

ในช่วงเวลานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ที่ปรึกษาและศิษย์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น

 

คณบดีสูดหายใจเข้าลึกๆ และท่าทีการแสดงออกของเขาก็กลายเป็นอึมครึมเคร่งขรึม

 

การทรมานจิตวิญญาณไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นเวลานานมากแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับในกรณีนี้ สมควรที่จะทำให้ทุกอย่างกระจ่างโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นความขัดแย้งอาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนอาจถึงขั้นมิอาจคืนดีกันเลยก็ได้

 

ทุกคนกำลังเฝ้ารอผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถืออยู่

 

ด้วยเหตุนี้ การทรมานจิตวิญญาณจึงต้องกระทำต่อหน้าทุกคน

 

คณบดีเอื้อมมือออกไปในความว่างเปล่า

 

เขี้ยวสีดำยาวปรากฏขึ้นในมือของเขา

 

คราวนี้ เขี้ยวยาวถูกแกะสลักด้วยรูปแท่นประหารและมีโครงกระดูกยืนประกบมันอยู่ทั้งสองด้าน

 

โครงกระดูกหนึ่งถือดาบขยึกขยือราวกับฟันเลื่อย อีกหนึ่งถือแส้ยาวที่ลุกไหม้ ทั้งหมดมองไปทางคณบดี

 

“มีเรื่องอะไร?” โครงกระดูกถาม

 

“ทำการไต่สวนซูเซี่ยเอ๋อ” เขากล่าวเสียงต่ำ

 

“ตามที่เจ้าต้องการ” โครงกระดูกกล่าว

 

แล้วเขี้ยวสีดำก็หายไปอย่างฉับพลัน

 

บังเกิดรังสีแสงตกลงมาจากชั้นเมฆ และร่วงลงใส่ซูเซี่ยเอ๋อ

 

ทันใดนั้นซูเซี่ยเอ๋อก็สูญเสียการควบคุมร่างกายของตนไปทันที ทั้งคนทั้งร่างของเธอค่อยๆลอยขึ้นไปบนกลางอากาศ

 

“กู๊กกุกๆๆๆ .. ”

 

ในอากาศที่ว่าเปล่า บังเกิดเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าขนลุกขึ้น

 

ร่างที่แต่เดิมดูคลุมเครือของสองโครงกระดูกปรากฏออกมา

 

เบื้องหลังพวกมัน ปรากฏร่างเงาของแท่นประหารขึ้น

 

ซูเซี่ยเอ๋อถูกแขวนบนแท่นประหารด้วยเชือกที่มองไม่เห็น ผูกมัดติดตรึงร่างกายของเธอ

 

“การทรมานครั้งแรกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว” โครงกระดูกเปล่งเสียงเย็นสะท้าน

 

“หากเจ้าโกหก จิตวิญญาณจะต้องทนแบกรับความเจ็บปวดอย่างมิอาจลบเลือน” อีกหนึ่งโครงกระดูกกล่าวด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน

 

แล้วจากนั้นพวกเขาก็ยกอาวุธของตนขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทรมานซูเซี่ยเอ๋อ

 

คณบดีเอ่ยถามซูเซี่ยเอ๋อเสียงดังต่อหน้าทุกคน “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้าได้เคยร้องขอผู้ฝึกสอนยี่ชาว่าต้องการจะฝากตนเป็นศิษย์ของเธอหรือไม่”

 

ซูเซี่ยเอ๋อตอบเพียงสั้นๆ “ไม่”

 

สองโครงกระดูกมองหน้ากันและกันวูบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม พวกมันกลับต้องวางอาวุธในมือของด้วยแววตาขุ่นเขียว

 

หนึ่งในสองโครงกระดูกหันไปกล่าวอย่างเสียดายกับคณบดี “เธอพูดความจริง”

 

ไม่จำเป็นต้องทรมานถึงสามครั้ง เพียงการทรมานครั้งแรกก็พอแล้วที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเด็กสาว!

 

“ฟู่ววว .. ”

 

หลายคนทนไม่ไหว ต้องบรรเทาลมหายใจออกมา

 

ดูเหมือนว่าความจริงจะได้รับการเปิดเผยแล้ว

 

ยี่ชาตกอยู่ในความร้อนรน

 

แต่แล้วเธอก็จดจำได้ถึงฉากหนึ่ง

 

ในยามที่ทั้งสองพูดคุยกัน เธอได้ตั้งเขตแดนพิเศษ ‘ปรามวิญญาณร้าย’ เอาไว้ ผลของมันก็คือ เมื่อใดก็ตามที่อีกฝ่ายใช้พลังใดๆ เขตแดนก็จะสามารถแจ้งเตือนตนให้รับรู้ถึงมันได้ทันที

 

แต่ในเขตแดน ยี่ชากลับไม่พบถึงการแจ้งเตือน หรือจับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายกระทำสิ่งใดเลย

 

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอกล้าทำตัวเอะอะครั้งใหญ่ที่นี่ จนกระทั่งเรื่องมันดำเนินมาบานปลายถึงขนาดนี้

 

ไม่มีทางถอยแล้ว

 

ในหัวใจของยี่ชาเรียกความกล้ากลับคืน

 

จู่ๆเธอก็แทรกเข้ามาและเอ่ยถามอย่างฉับพลัน “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้ากล้าพูดรึเปล่าว่าเจ้าไม่ได้วางแผนอะไรกับข้า?”

 

“หุบปาก!” สีหน้าของคณบดีเดือดพล่าน

 

เขาขุ่นเคืองใจยิ่งที่กำลังถูกทำราวกับโดนสบประมาท

 

นี่เขากำลังจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม แต่หนึ่งในผู้ฝึกสอนกลับกล้าที่จะเข้ามาแทรกแซงการทดสอบ?

 

จอมมารชุดคลุมเลือดก็จ้องเขม็งไปที่ยี่ชาเช่นกัน เจตนาฆ่าในจิตใจของเขาหนาแน่นขึ้น

 

แต่ในเวลานั้น มันก็สายเกินไปแล้ว การทรมานรอบที่สองได้เริ่มต้นขึ้น

 

เมื่อสองโครงกระดูกได้ยินเสียงของใครบางคนไต่สวน พวกมันก็ยกอาวุธขึ้นอีกครั้ง และตรงมาทางซูเซี่ยเอ๋อ

 

“จงตอบคำถามมา!”

 

โครงกระดูกกวัดแกว่งดาบใบเลื่อยฉวัดเฉวียน ตะคอกคำหนึ่ง

 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบ

 

ยี่ชาสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น เธอชี้ไปทางซูเซี่ยเอ๋อ เอ่ยเสียงดังลั่น “ดู! พวกท่านจงเร่งดูเถอะ! เห็นหรือไม่ว่าเธอไม่กล้าที่จะตอบคำถามข้า!”

 

เหล่าผู้คนจึงละความสนใจจากยี่ชาไปครู่หนึ่ง และต่างพากันหันไปมองซูเซี่ยเอ๋อ

 

แต่กลับพบว่าใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อดูจะเจ็บปวด และแสดงออกถึงความไม่เต็มใจเล็กน้อย

 

การทรมานจิตวิญญาณ เป็นการทรมาน และการแสดงออกถึงความลังเลของเธอจึงสามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์

 

อย่างไรก็ตาม เธอเอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ “บางที หากท่านผู้ฝึกสอนเคยถูกใส่ร้ายมาก่อน ก็ไม่แปลกที่ท่านอาจจะคิดว่าแม้กระทั่งนักเรียนฝึกหัดก็ยังสามารถใส่ร้ายท่านได้”

 

ซูเซี่ยเอ๋ออ้าปากสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดต่อ “ถ้ามีใครบางคนเคยทำแบบนั้นกับท่านผู้ฝึกสอนแล้วล่ะก็ หนูก็คงต้องขอแสดงความเสียใจด้วย แต่คงต้องบอกตามตรงว่า หนูไม่ฉลาดพอที่จะวางแผนใส่ร้ายท่านได้หรอก”

 

สองโครงกระดูกวางอาวุธของพวกมันลงด้วยความเสียดาย “ความจริง! นี่คือความจริง!”

 

ยี่ชากลายเป็นโง่งม

 

เธอไม่สามารถทำใจตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าตัวเองในปัจจุบันได้

 

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมันวางกับดักเธอ แต่ทำไมผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่ามันไม่ได้ทำซะอย่างงั้น?

 

แต่แล้วจู่ๆก็บังเกิดประกายบางอย่างขึ้นในจิตใจของยี่ชา

 

ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจถึงเทคนิคของอีกฝ่ายอย่างกระทันหัน!

 

โดยไม่คำนึงถึงความโกรธของคณบดี และการจับจ้องของจอมมารชุดคลุมเลือด เธอเร่งเอ่ยคำถามสุดท้ายอย่างหมดหนทาง

 

“ ผู้สมคบคิด! เจ้าต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดแน่นอน!”

 

เธอตะโกนลั่น “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ฉลาด ดังนั้นเจ้าจะต้องมีใครซักคนหนึ่งช่วยเจ้า และแผนการทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คนสมรู้ร่วมคิดของเจ้ากระทำใช่หรือไม่?”

 

โครงกระดูกทั้งสองหันมามองซูเซี่ยเอ๋ออีกครั้ง

 

หนึ่งในสองตะคอกคำหนึ่ง “จงตอบคำถาม!”

 

คณบดีกับจอมมารชุดคลุมเลือดโกรธจนแทบบ้า

 

พวกเขาเป็นถึงคนที่ริเริ่มใช้การทรมานจิตวิญญาณ แต่ดันกลับปล่อยให้สถานการณ์ถูกแทรกแซงจนกลายแบบนี้ได้

 

หากแม้กระทั่งการทรมานจิตวิญญาณยังไม่เป็นธรรม แล้วสถาบันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!

 

“ยี่ชา นี่เจ้า … ” คณบดีเปล่งเสียงออกมาอย่างมืดมน

 

“ดู! ท่านดูสิ! เห็นไหมว่าเธอไม่กล้าตอบ!” ยี่ชาตะโกนกลางชี้ไปทางซูเซี่ยเอ๋อ

 

สองโครงกระดูกทั้งสองยกอาวุธขึ้น

 

หนึ่งในสองโครงกระดูกจ้องดูซูเซี่ยเอ๋อและพูดด้วยความตื่นเต้น “ถ้าเจ้าไม่ตอบ เราจะใช้แส้วิญญาณมอบความเจ็บปวดที่เกินกว่ามนุษย์คนใดจะสามารถทนได้ให้แก่เจ้า”

 

อีกหนึ่งกล่าว “เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็ต้องพูดความจริงออกมาอยู่ดี”

 

ซูเซี่ยเอ๋อยังคงเงียบ

 

เธอไม่ได้มองโครงกระดูกทั้งสอง แต่กลับมองไปที่ยี่ชา

 

เหล่าผู้คนได้ยินเพียงเสียงกระซิบอันแผ่วเบาของเธอ “ผู้สมรู้ร่วมคิด? น่าเสียดายที่ท่านผู้ฝึกสอนคิดแบบนั้น ไม่มีหรอก … ไม่มี ‘คน’ สมรู้ร่วมคิดกับหนูทั้งนั้น”

 

สองโครงกระดูกชะงักงัน

 

ทันใดนั้นพวกมันก็วางอาวุธลงและประกาศต่อหน้าคณบดีและกลุ่มคน “เธอกำลังพูดความจริง”

 

“ไม่! เจ้ากล้าที่จะพูดหรือไม่ว่า – ” ยี่ชาตะโกนและกำลังจะเอ่ยถามอีกครั้ง

 

และการแสดงออกทางสีหน้าของสองโครงกระดูกก็เผยถึงความสนใจ

 

ทว่าในขณะนั้นเอง เสียงหม่นทะมึนของคณบดีก็ตะโกนขึ้นเสียก่อน “ครบสามครั้งแล้ว! การทดสอบทรมานจิตวิญญาณเป็นอันสิ้นสุดลง!”

 

เห็นเพียงมือของคณบดีที่วูบออก และทั้งแท่นประหารและสองโครงกระดูกก็หายวับไปทันที

 

จอมมารชุดคลุมเลือดพุ่งตัวออกไป คว้าร่างของซูเซี่ยเอ๋อ และซ่อนตัวเธอไว้เบื้องหลังเขา

 

ทั้งสองต่างหันไปมองยี่ชาพร้อมกัน

 

สองตัวตนที่ทรงพลานุภาพ ออกเดินทางไปทั่วหมื่นสวรรค์โลกา บัดนี้ในแววตาของพวกเขากำลังเผยถึงความโกรธ!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.347 – ความจริง

 

ปากมหึมาของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาปิดลงอย่างสมบูรณ์

 

ทว่าไม่ทันรีรอจะได้เคี้ยว ไม่ทันรีรอจะได้ฉีกกัด ไม่จำเป็นต้องรีรอใดๆ เสียง ‘ฟู่ววว’ เบาๆก็ดังและลอดออกมาจากปากของมัน

 

ในจตุรัส ภายในความว่างเปล่าทั้งหมดเดือดพล่านไปด้วยความตื่นเต้น!

 

นักเรียนฝึกหัดนับไม่ถ้วนต่างพากันสับสนถึงสถานการณ์นี้ แต่เหล่าอาจารย์ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจพวกเขาเลย

 

บังเกิดเสียงสนทนาด้วยความตื่นเต้นนับไม่ถ้วนดังขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“โอ้สวรรค์!”

 

“นี่ข้าตาฝาดไปรึเปล่า?”

 

“นี่มันเป็นเรื่องจริงหรือนี่?”

 

“มันผ่านมากี่ปีแล้วหนอ ที่ข้าได้เห็นเจ้าสิ่งนี้!”

 

“โอ้ท่านเทพมารมาโปรด ข้าพึ่งจะเคยเป็นมันเป็นครั้งแรกนี่แหละ ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะมีอยู่จริง!”

 

เสียงสนทนาเล่าลือแพร่กระจายไปทั่ว

 

นั่นเพราะ –

 

เมื่ออสูรยักษ์แห่งโชคชะตาปิดปากลง หมอกสีขาวบริสุทธิ์ก็บินออกจากปากของมันทันที

 

หมอกสีขาวค่อยๆควบแน่น รวมตัวกันแปรสภาพไปเป็นร่างมนุษย์

 

ดวงตาที่สว่างสดใส ซี่ฟันที่เปล่งประกาย รูปร่างอันงดงาม

 

ซูเซี่ยเอ๋อ

 

เธอพึ่งจะถูกกัดโดยโชคชะตาเข้าไปโดยตรง!

 

แต่ในกรณีของเธอ มันกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สอดประสานกันขึ้น

 

ผมสีดำขลับราวเส้นไหม แปรเปลี่ยนเป็นสีเงินขาว

 

เธอปรากฏตัวท่ามกลางจตุรัสในชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์พร้อมคทาในมือ!

 

ไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่นๆ กระทั่งซูเซี่ยเอ๋อก็ยังตะลึงตัวเอง

 

เธอก้มลงมองชุดคลุมบนร่างกาย – นี่มันไม่ใช่เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่มาในวันนี้นี่นา

 

อมันก็ค่อนข้างดูดีทีเดียว

 

อย่างไรก็ตาม ไม่นาน เธอก็ละความสนใจจากเสื้อผ้าตัวเองไป

 

เพราะคทาในมือขยับไหวเล็กน้อย และทันใดนั้นไพ่เจ็ดใบก็กระโดดออกมาจากมัน

 

ซูเซี่ยเอ๋อเข้าใจอย่างชัดเจน

 

ว่าจริงๆแล้วเทคนิคเทียนซวนของตนเองที่พึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาคือประเภทไพ่

 

บรรพบุรุษของเก้าตระกูลใหญ่ ท่านผู้พิทักษ์ก็มีเทคนิคเทียนซวนประเภทไพ่เช่นกัน

 

ซูเซี่ยเอ๋อเอื้อมไปคว้าไพ่มาไว้ในมือและดูมัน

 

แต่กลับเห็นแค่เพียงบนไพ่เป็นรูป ดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่ตามขอบมุมต่างๆ ขณะที่ช่องว่างตรงใจกลางระหว่างพวกมันนั้นว่างเปล่า

 

ตรงส่วนล่างของไพ่คือชื่อและรายละเอียดคำอธิบายของไพ่

 

“ต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง”

 

“คำอธิบาย : เมื่อคุณพกไพ่ใบนี้ติดตัว คุณจะได้รับ 1 แต้มพลังวิญญาณในทุกๆชั่วโมง”

 

“การใช้งาน : พกติดตัวไปกับคุณ นั่นแหละคือการใช้งานมัน”

 

นับว่าเป็นไพ่เทคนิคเทียนซวนที่ดี!

 

มุมปากของซูเซี่ยเอ๋อยกสูงขึ้นเล็กน้อย

 

เธอน่ะเป็นคนฉลาด ดังนั้นเธอย่อมเข้าใจว่าในครั้งนี้ตนเองประสบความสำเร็จชนิดที่เรียกได้ว่าเกรี้ยวกราดครั้งใหญ่!

 

ไพ่เจ็ดใบปรากฏขึ้นพร้อมกัน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ยากจะเห็นนักในประวัติศาสตร์ของเกาะหมอก

 

ในที่สุดฉันก็สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองได้ และกลายมาเป็นผู้ได้รับเลือกจากสวรรค์!

 

“ซูเซี่ยเอ๋อ!” เสียงชราดังขึ้น

 

ซูเซี่ยเอ๋อหันไปมองรอบๆ แต่กลับไม่เห็นใครเลยนอกจากกลุ่มผู้ทดสอบร่วมกันกับเธอ

 

“เสื้อคลุมขาวและคทาน่ะมีความหมายในตัวของพวกมันเอง”

 

เสียงชรายังคงเอ่ยต่อ “ไพ่เจ็ดใบช่างเป็นเลขที่มงคลยิ่ง โชคชะตาโอบกอดเจ้าด้วยเลขมงคลที่ว่านั่น ดังนั้น กล่าวได้ว่าเจ้าเป็นคนที่โชคชะตาคาดหวังเป็นพิเศษ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ

 

เสียงยังคงกล่าวต่อ “เจ้าได้เอาชนะตัวเองในอดีตได้อย่างสมบูรณ์แล้ว และในไม่ช้า เจ้าก็กำลังจะกลายมาเป็นนายแห่งโชคชะตา ดังนั้นเจ้าจึงจะได้รับสิทธิพิเศษ”

 

“สิทธิพิเศษอะไร?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม

 

“มันคงจะเป็นการไม่เคารพต่อโชคชะตาของเจ้า หากต้องมาให้ปฏิบัติติดตามผู้ฝึกสอนธรรมดาๆคนอื่นๆ ดังนั้น นับจากนี้ไป เจ้าจะสามารถเลือกหนึ่งในเจ็ดอาวุโสและติดตามเรียนรู้กับพวกเขาได้”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง สักพักจึงเอ่ยถาม “ระหว่างผู้อาวุโสกับผู้ฝึกสอน แตกต่างกันใช่หรือไม่?”

 

“ย่อมแน่นอนว่าใช่” เสียงเอ่ย “เหล่าอาวุโสน่ะคือปรมาจารย์ผู้ควบคุมโลก เป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่ง และสามารถสร้างวงจรกฏแห่งความอยู่รอดกับไพ่ เพื่อที่จะช่วยให้สิ่งมีชีวิตในโลกต่อสู้กับเผ่ามารในวันสิ้นโลกได้”

 

“เอาล่ะ ตอนนี้โปรดจงเลือก”

 

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เช่นนั้นหนูขอเลือกท่านอาวุโสบังคับกฏ”

 

ท่ามกลางความว่างเปล่า บังเกิดเสียงสนทนาดังขึ้นขยายเป็นวงกว้าง

 

ทันใดนั้นเองเสียงแหบห้าวก็ดังขึ้น

 

“จงเงียบให้ข้าได้พูดหน่อย!”

 

แทบจะในทันที เสียงอึกทึกโดยรอบทั้งหมดก็หายไป

 

ตามด้วยเสียงของจอมมารชุดคลุมเลือดปรากฏขึ้นในอากาศ

 

น้อยครั้งนักที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นในที่สาธารณะ แต่สถานการณ์ในวันนี้มันอยู่เหนือจินตนาการของทุกผู้คนไปแล้ว ดังนั้นการที่เขาจะออกมาจัดการกับสถานการณ์ในเวลานี้ก็ไม่น่าจะแปลกอะไร

 

“ทำไมกัน? ทำไมเจ้าถึงเลือกข้าให้เป็นที่ปรึกษาของเจ้า?” จอมมารชุดคลุมเลือดเอ่ยถาม

 

“เพราะท่านเป็นอาจารย์ของแม่หนู” ซูเซี่ยเอ๋อยิ้ม

 

เดิมทีแล้วจอมมารชุดคลุมเลือดเตรียมใจที่จะได้ยินคำตอบแบบว่า ‘ตัวเขาเที่ยงธรรมนะ , เป็นสุดยอดตัวตนทรงพลังนะ , ครอบครองม้วนคัมภีร์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดนะ , มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง …บลาๆๆ’ แต่เดี๋ยวก่อน! ใครจะไปคิดว่าแท้จริงแล้วคำตอบที่ได้มากลับง่ายดายถึงเพียงนี้

 

“ด้วยเหตุผลแค่นี้?”  จอมมารชุดคลุมเลือดถามด้วยความแปลกใจ

 

“ใช่ ในตอนที่หนูยังเด็ก หนูเคยได้ยินแม่เล่าเกี่ยวกับชั้นเรียนของท่าน เธอชอบที่จะซักไซ้ไถ่ถามทุกครั้งในชั้นเรียน จนท่านเบื่อที่จะตอบและบอกให้เธอปิดปากเงียบเสีย ”

 

“เธอมักจะสนทนากับเจ้าเกี่ยวกับอดีตอย่างงั้นหรือ?” จอมมารชุดคลุมเลือดเอ่ยถาม

 

“ใช่ เพราะเธอไม่อยากลืมเลือนวันเวลาเหล่านั้น โดยเฉพาะในช่วงที่ท่านพาเธอไปเผชิญหน้ากับวันสิ้นโลก”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดถอนหายใจและกล่าวว่า “แท้จริงแล้วมันเป็นแบบนี้ บอกได้เลยว่าวันเวลาเหล่านั้นช่างเป็นสิ่งสวยงาม มันเป็นความทรงจำอันล้ำค่าของข้า”

 

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

 

“ดีล่ะ เช่นนั้นก็เป็นอันตกลง นับจากนี้ต่อไปเจ้าจะกลายเป็นศิษย์ของข้า” จอมมารชุดคลุมเลือดตัดสินใจ

 

นี่ก็นับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาเช่นกัน

 

ด้วยการตัดสินใจในครั้งนี้ ส่งผลให้ในหัวใจของเขาบังเกิดความสุขขึ้นเล็กน้อย

 

นับตั้งแต่เกิดภัยพิบัติในครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยคิดจะรับนักเรียนอีกเลย

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ นักเรียนของตนได้ตายไปแล้ว แต่ลูกของนักเรียนตนกลับยังคงมองหาตน … และต้องการที่จะมาเป็นศิษย์ของเขาด้วยตัวเอง

 

การกระทำของสาวน้อยผู้นี้ เปรียบดั่งการคว้าไม้ต่อจากรุ่นแม่สู่ลูก

 

—นอกจากนี้ ยังช่วยเติมเต็มความทรงจำดีๆของเขาในวันเก่าๆที่ผ่านมา

 

จอมมารชุดคลุมเลือดกำลังจะร่อนลงจากกลางอากาศ เพื่อมาทักทายนักเรียนใหม่ของตนเอง

 

ทว่าทันใดนั้น-

 

“ช้าก่อน!” เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูโกรธเกรี้ยวพลันดังขึ้น

 

หญิงที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกสีดำปรากฏกาย

 

เหนือหัวของเธอมีรัศมีแสงระยิบระยับ

 

ผู้ฝึกสอนยี่ชา

 

“มีอะไรหรือยี่ชา? หรือว่าเจ้าจะคัดค้านการรับศิษย์ของข้า?” ท่าทีการแสดงออกของจอมมารชุดคลุมเลือดเปลี่ยนเป็นมืดมน

 

“มิใช่เช่นนั้น แต่เธอได้กลายมาเป็นนักเรียนของข้าแล้ว” ผู้ฝึกสอนยี่ชากล่าว

 

เธอแอบลอบกัดฟันอย่างลับๆ

 

ให้ตายสิ!

 

โชคชะตาของนังลูกเจี๊ยบนี่ มันดีจนน่าอิจฉาจริงๆ

 

ยิ่งไปกว่านั้น หากปล่อยนังลูกเจี๊ยบมีชีวิตอยู่ต่อไปล่ะก็ โลกก็จะค่อยๆหลุดออกไปจากกำมือเธอ

 

นังเด็กนี่จะต้องตาย!

 

“อะไรนะ? นักเรียนของเจ้า?” จอมมารชุดคลุมเลือดชะงักเล็กน้อย

 

“ใช่ เธอรับปากสัญญาด้วยตนเองว่าจะเป็นนักเรียนของข้า ฉะนั้นข้าคงต้องขอโทษด้วย” ผู้ฝึกสอนยี่ชากล่าวอย่างช้าๆ

 

จอมมารชุดคลุมเลือดหุบปากลง

 

จังหวะการเต้นของหัวใจทุกคนสั่นระรัว บังเกิดความรู้สึกอันหลากหลายขึ้นในก้นบึ้งของจิตใจ

 

พื้นดินเริ่มจะสั่นไหว

 

ทันใดนั้นเอง อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็แปรสภาพเป็นเขี้ยวยักษ์ในทันใด หนีหายวับออกไปจากจตุรัส

 

ภายในอากาศที่ว่างเปล่า ตัวตนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนกายเริ่มตกอยู่ในความวุ่นวาย

 

มีบางคนเลือกที่จะเผ่นออกจากจตุรัสก่อนล่วงหน้าที่จะเกิดอะไรขึ้น

 

ตัวยี่ชาเองก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยเช่นกัน

 

อีกฝ่ายทรงพลังเกินไป เพียงเขาเหยียดมือออกก็สามารถฆ่าตนเองได้แล้ว

 

เธอเร่งเอ่ยอย่างรวดเร็ว “โปรดสงบใจแล้วฟังข้าก่อน เรื่องนี้ซูเซี่ยเอ๋อเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง เธอขอร้องต่อหน้าข้า ว่าต้องการเป็นนักเรียนของข้า … เป็นศิษย์ข้า หากท่านไม่เชื่อก็จงลองถามเธอดู”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดหันขวับอย่างรุนแรง มองไปทางซูเซี่ยเอ๋อ

 

“เป็นเช่นนั้นหรือ? ซูเซี่ยเอ๋อ?” เขาเอ่ยถามแบบแทบจะคำรามออกมา

 

ซูเซี่ยเอ๋อส่ายศีรษะและกล่าว “ไม่ มันไม่ใช่เช่นนั้น”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดชะงักงัน แล้วทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา “มันดูเหมือนว่าหนึ่งในพวกเจ้ากำลังจงใจเล่นกลหลอกลวงข้า มาเถอะ เช่นนั้นพวกเราก็มาค้นหาความจริงของเรื่องนี้ให้มันชัดเจนกัน”

 

เขามองไปยังทิศทางหนึ่งและกล่าว “คณบดี เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

 

เสียงชราดังขึ้นมาว่า “ยี่ชา , เซี่ยเอ๋อสมควรที่จะพิสูจน์ตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น”

 

ยี่ชาจั่วไพ่ออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า และเร่งยกมันชูขึ้นสูง

 

“โปรดดูไพ่ใบนี้ มันคือพยานหลักฐานการสนทนาระหว่างข้ากับซูเซี่ยเอ๋อ”

 

เธอถ่ายเพพลังของตนลงไป และโยนไพ่ขึ้นไปกลางอากาศ

 

ภาพเคลื่อนไหวถูกฉายออกมา

 

ซูเซี่ยเอ๋อและยี่ชายืนอยู่บนยอดเขา

 

เสียงสทนาได้ดังขึ้น

 

ยี่ชาเอ่ยถามเบาๆ “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้าต้องการที่จะคารวะข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?”

 

รอสักครู่หนึ่ง เสียงของซูเซี่ยเอ๋อก็ดังตามมา

 

“หนูตัดสินใจที่จะคารวะท่านเป็นอาจารย์”

 

เมื่อถึงจุดนี้ ภาพเคลื่อนไหวก็สิ้นสุดลง

 

นี่คือหลักฐานมัดตัว

 

ยี่ชารับไพ่กลับคืนและกล่าวเสียงดังลั่น “ได้ยินหรือไม่ เธอปรารถนาที่จะคารวะข้าในฐานะอาจารย์ และตอนนี้เธอกำลังหลอกลวงอาวุโสบังคับกฏ นี่มันคือการเล่นละครของเธอ! ”

 

ในอากาศที่ว่างเปล่า เสียงจำนวนมากมายดังขึ้น “บุคคลเช่นนี้ อาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นในอนาคต!”

 

“เป็นเช่นนั้น เมื่อพบเจอกับทางเลือกที่ดีกว่า เธอกลับละทิ้งที่ปรึกษาของเธอ ใครกันที่จะกล้าสอนเธออีก?”

 

“ลงโทษทัณฑ์ตายเถิด คนเช่นนี้ แม้จะมีพรสวรรค์ล้ำค่า แต่ก็คงไม่นำพาและก่อประโยชน์ให้แก่เกาะหมอก”

 

ผู้คนจำนวนมากพูดคุยเกี่ยวกับมัน

 

และทันใดนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ปิดปากลงทันที

 

แมงมุมยักษ์หลายตัวตรงเข้ามายังจตุรัส ล้อมรอบตัวซูเซี่ยเอ๋อเอาไว้

 

โชคชะตาของเธอ ยามนี้มันคงชัดเจนแล้ว

 

เสียงชราเอ่ยขึ้น “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้ามีอะไรจะพูดเป็นสิ่งสุดท้ายหรือไม่?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อ “เป็นเรื่องจริงที่หนูไปพบเธอ แต่นั่นเพราะเธอเรียกหนูไปต่างหาก”

 

“ได้โปรดเชื่อหนูเถอะ หนูไม่เคยมีความคิดที่จะคารวะเธอเป็นอาจารย์เลย”

 

เธอหันไปมองจอมมารชุดคลุมเลือดด้วยน้ำตาสองสายที่อาบบนใบหน้า “ท่านอาวุโสบังคับกฏ หนูพึ่งจะถูกใส่ร้ายมา หวังว่าท่านจะยังจดจำมันได้”

 

หลังจากที่ได้ยินประโยคนี้ เจตนาฆ่าของจอมมารชุดคลุมเลือดพลันสลายไปทันที

 

“ใช่ … กลุ่มเด็กสาวกล่าวหาว่าเจ้ากำลังฝึกฝนวิชาชั่วร้าย … ”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดพลันหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาของตน

 

ครั้งเมื่อเขายังอยู่ในช่วงวัยรุ่น  บุตรชายของผู้ฝึกสอนคนหนึ่งได้เคยแอบปองร้ายเขา

 

จนกระทั่งหลังจากที่อีกฝ่ายทำสำเร็จ และเขาถูกลงโทษจนตายลง ผู้ฝึกสอนอีกคนที่มีจิตใจดีงามก็อดไม่ได้ จึงช่วยออกค้นหาความจริง

 

ในท้ายที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผย และผู้คนก็ค้นพบว่าเขาถูกใส่ร้ายป้ายสี

 

แต่เขาก็ได้ตายลงไปแล้ว

 

ทว่าเกาะหมอกคือสถานที่อันน่าอัศจรรย์ใจ

 

เพียงแค่ตายลงที่นี่ ก็กล่าวได้ว่ายังมีความหวังที่จะฟื้นคืนชีพ

 

แต่ความหวังนี้ที่ว่านั่นย่อมมีจำนวนจำกัด

 

ในมหาสมุทรแห่งซากศพ เขาก็ได้ตกตายไปแล้วครั้งหนึ่งจนมาถึงเกาะหมอก

 

และตอนถูกกลืนกินโดยอสูรยักษ์แห่งโชคชะตา แล้วเขาก็ตายไปอีกครั้งหนึ่ง

 

ตายไปแล้วถึงสองครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้งในสภาพสมบูรณ์ได้

 

ที่ทำได้ก็มีเพียงปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสภาพที่มีร่างกายแห้งกรังราวกับซากศพ

 

นี่คือโชคชะตาในช่วงปีแรกๆของเขา

 

ตั้งแต่นั้นมา จอมมารชุดคลุมเลือดก็สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมได้เห็นอะไรที่มันไม่ถูกต้องเกิดขึ้นอีก

 

จอมมารชุดคลุมเลือดยับยั้งความโกรธของเขา และขบคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากรอบด้าน

 

น้ำเสียงพูดของเขาทุ้มลึก “ยี่ชา เพื่อความยุติธรรมในการตัดสินใจ ขอเจ้าจงให้คณบดีตรวจสอบไพ่ของเจ้าด้วย”

 

“ย่อมแน่นอน ท่านสามารถตรวจสอบมันได้” ยี่ชากล่าวอย่าไม่ต้องคิด

 

เธอปล่อยไพ่ในมือไปกลางอากาศ

 

และไพ่ก็ลอยออกไปทันที

 

ท่ามกลางความว่างเปล่า ปรากฏมือหนึ่งเหี่ยวย่นที่ดูราวกับถูกปกคลุมไปด้วยเปลือกไม้ยื่นออกมาคว้าไพ่

 

“มันเป็นเพียงการตรวจสอบอย่างง่ายๆเท่านั้น เราจะสามารถพบความจริงได้” เสียงชรากล่าว

 

อีกมือหนึ่งของคณบดีคว้าจับลงเบาๆในอากาศที่ว่างเปล่า

 

และเขี้ยวยาวก็ถูกดึงออกมาโดยคณบดี

 

บนเขี้ยวซี่นี้ ถูกแกะสลักไว้ด้วยกลุ่มฝูงหมาป่า

 

“ไปเถอะ จงไปตามหา ‘เจ้าของเสียง’ ทั้งสองนี้เสีย” เสียงชรากล่าว

 

แล้วเขี้ยวก็หายไปทันที

 

ทว่ากลับปรากฏฝูงหมาป่าสีเทากระโจนออกมาแทน

 

หมาป่าสีเทาหลายตัวรีบวิ่งไปที่เท้าของผู้ฝึกสอนยี่ชา และทำการดมกลิ่น ก่อนจะหยุดเคลื่อนไหว

 

ส่วนหมาป่าอีกฝูงหนึ่งวิ่งไปทางซูเซี่ยเอ๋อ

 

เวลานี้ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจน

 

แน่นอนแล้วว่าเป็นซูเซี่ยเอ๋อ ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอะไรผิดพลาด!

 

ทว่ากลับเห็นแค่เพียงฝูงหมาป่าวิ่งผ่านเธอไป โดยไม่แม้แต่จะชายตามองซูเซี่ยเอ๋อ

 

และฝูงหมาป่าก็เร่งตรงไปยังขอบจตุรัสและหยุดลง

 

พวกมันนั่งหมอบลงกับพื้น และส่งเสียงหอนไกลออกไปทางสถาบัน

 

เสียงชราดังก้องขึ้นอีกครั้ง

 

แต่คราวนี้ มันฟังดูค่อนข้างรุนแรง

 

“ทุกคนจงมองดู ผลลัพธ์ได้ออกมาแล้ว”

 

“เสียงหนึ่งมาจากผู้ฝึกสอนยี่ชา อีกเสียงหนึ่งหายไปจากสถาบัน และไม่อาจค้นหาได้”

 

*(เฉลยปมที่แหวนนาโนแปรสภาพเป็นเส้นผม และลอดเข้าไปในปากซูเซี่ยเอ๋อ + ที่มันเลือกจะทำลายตนเอง เพื่อให้กลยุทธ์สมบูรณ์)

 

จอมมารชุดคลุมเลือดมองไปยังซูเซี่ยเอ๋อ ในแววตาของเขาอ่อนโยนลง

 

ความจริงมักจะปรากฏขึ้นในท้ายที่สุด ยามเมื่อน้ำลด ก้อนหินที่อยู่เบื้องล่างก็จะเผยโฉมออกมา

 

จอมมารชุดคลุมเลือดกลับมาใจเย็นลง เขากล่าวอย่างช้าๆ “มองตามที่เห็น เสียงนี้ไม่ได้มาจากซูเซี่ย ภาพเคลื่อนไหวเมื่อครู่คงจะถูกบิดเบือนด้วยอะไรบางอย่าง”

 

“คงเป็นเช่นนั้น เพราะในหลายร้อยปีมานี้ การค้นหาของฝูงหมาป่าไม่เคยผิดพลาดมาก่อนเลย”

 

เสียงชราถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวต่อ “นังหนูคนนี้ แท้จริงแล้วถูกใส่ร้าย”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.346 – กลืนกินโชคชะตา

 

ค่ำคืนผ่านพ้นไป

 

ในวันถัดมา

 

บนเกาะหมอก

 

ภายในสถาบัน

 

ณ จตุรัสแแห่งการเสียสละอันศักดิ์สิทธิ์

 

โชคชะตากำลังเฝ้ารออยู่

 

แม้กลุ่มเด็กสาวเมื่อวานจะถูกแมงมุมจับกินแล้ว แต่ก็ยังมีนักเรียนฝึกหัดอีกมากกว่า 100 คนที่มาเฝ้ารอพิจารณาการทดสอบในตอนนี้

 

ทุกคนกระจายตัวอยู่รอบจตุรัส รายล้อมมันอย่างระแวดระวัง

 

“นั่นคือ ‘โชคชะตา’ ใช่ไหม?” บางคนถามเสียงกระซิบ

 

น้ำเสียงของคนๆนั้นดูจะสั่นเล็กน้อย

 

“ใช่ ตามวรรณกรรมบางเล่มที่บันทึกไว้ นั่นคือ ‘โชคชะตา’ ” คนที่ตอบกลับไปก็ดูจะประหม่าอยู่บ้างเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าอีกฝ่าย

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจตุรัสถึงถูกสร้างขึ้นให้มีขนาดใหญ่ขนาดนี้” อีกคนกล่าวด้วยอารมณ์

 

โชคชะตาที่พวกเขากำลังกล่าวถึงอยู่นี้ ถูกวางต้องแสงอาทิตย์อยู่ใจกลางจตุรัสแห่งการเสียสละอันศักดิ์สิทธิ์

 

มันคืออสูรยักษ์ที่ไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อน มันดูคล้ายกับจระเข้ แต่ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนมังกร

 

หากมีคนไปยืนอยู่เบื้องหน้ามัน ขนาดตัวของเขาคงเล็กยิ่งกว่าเล็บเท้าของมันด้วยซ้ำ

 

อสูรยักษ์เผยอปากเล็กน้อย ผ่อนลมหายใจหนัก เป่าพัดพาผ่านจตุรัส

 

แม้จะมองจากระยะไกล แต่คุณก็จะสามารถเห็นฟันอันแหลมคมในปากของมันที่เรียงกันเป็นทิวแถวได้อย่างชัดเจน

 

-ราวกับว่าปากของมันถูกรังสรรมาเพื่อใช้ในการฉีกกัด บดขยี้โดยเฉพาะ

 

แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือดวงตาของอสูรยักษ์

 

ดวงตาของมันไม่ได้กลมหรือเป็นแนวตั้ง แต่กลับเป็นสีขาวขุ่น

 

เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของมันปฏิกริยาแรกของเรา จะรู้สึกว่ามันตาบอด

 

แต่หากคุณเฝ้ามองมันอย่างใกล้ชิด คุณจะพบว่าชิ้นส่วนสีขาวของมันนี้ช่างสดใส มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยพลัง

 

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา ที่ปัจจุบันเป็นอสูร

 

มันมาจากคณบดีของสถาบัน และเป็นเทคนิคเทียนซวนของคณบดี

 

อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก้มกวาดสายตามองผู้ชมรอบสนาม และค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ

 

ผู้ทดสอบทั้งหมดได้มากันพร้อมหน้าแล้ว

 

การทดสอบจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ

 

ในจตุรัส ไม่มีผู้ฝึกสอนหรืออาจารย์อาวุโสของสถาบันปรากฏกายขึ้น มีเพียงนักเรียนฝึกหัดกว่าร้อยคนที่กำลังเตรียมพร้อมอยู่เท่านั้น

 

“ไม่มีพวกผู้ฝึกสอนเลย? แล้วถ้าอย่างงั้นพวกเราควรจะทำอย่างไรดี?” หนึ่งในนั้นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเสียงดังออกมา

 

แล้วเสียงสั่นไหวก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณอย่างกระทันหัน “พูดแบบนี้ แสดงว่าเจ้าไม่ได้ไปที่ห้องสมุดสินะ?”

 

มันเป็นเสียงของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตา

 

ผู้คนต่างมองไปที่มันด้วยความตกใจ

 

“ผมต้องขออภัยด้วยจริงๆ พอดีว่าผมพึ่งได้รับชีวิตกลับคืนมาเมื่อวานนี้เอง เชิญท่านโปรดอธิบายด้วย” ชายคนนั้นรีบพูดแก้ตัวอย่างร้อนรน

 

เสียงใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง “โฮ่ พึ่งฟื้นคืนชีพเมื่อวานนี่เอง งั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลย”

 

อสูรยักษ์แห่งโชคชะตามองผู้ฝึกหัดกว่า 100 คนบนลานกว้างและอธิบายว่า “พวกเจ้าจำเป็นที่จะต้องถูกกัดกินโดยข้า”

 

หลายคนพลันขนลุกซู่ ถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความตกใจ ขณะที่บางคนถึงขั้นล้มลงก้นกระแทกพื้น

 

อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาดูจะผิดหวังเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าหลายคนจะไม่ได้ไปศึกษาหาความรู้มาก่อนจากที่ห้องสมุด นี้มันไม่ดีเลยนะรู้ไหม ความรู้น่ะคือสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ แต่พวกเจ้ากลับไม่รักมัน”

 

เสียงของอสูรยักษ์เผยร่องรอยดูหมิ่นออกมา

 

มันยังคงหันไปมองรอบๆอย่างเงียบๆ

 

ซูเซี่ยเอ๋อไม่รีรออีกต่อไป เธอก้าวเดินออกไปข้างหน้า ปากอ้าเปล่งวาจา “หนูรู้ขั้นตอนนี้ดี โปรดให้หนูได้ทดสอบเป็นคนแรกด้วยเถอะ”

 

เธอนั่งแช่อยู่ในห้องสมุดทุกวัน และรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอสูรยักษ์แห่งโชคชะตา

 

เธอพร้อมแล้ว

 

ไม่ว่าอย่างไรตนเองก็ต้องอยู่ในอันดับบนๆให้จงได้

 

จนกว่าการทดสอบจะจบสิ้นลง ไม่ว่าผู้ฝึกสอนคนใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้มารบกวนการทดสอบอันศักดิ์สิทธิ์นี้

 

ยี่ชาก็ไม่มีข้อยกเว้น

 

ดังนั้น ด้วยวิธีนี้ เมื่อคุณเข้ารับการทดสอบเป็นคนแรก คุณก็จะมีช่วงเวลาอันล้ำค่ามากขึ้น กล่าวได้ว่ายิ่งรู้ผลไวเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีเวลาคิดหาหนทางต่อไปได้มากขึ้นเท่านั้น

 

คุณสามารถขบคิดหามาตรการรับมือตอบโต้ได้ในเวลาช่วงที่คนอื่นๆกำลังทำการทดสอบ

 

-คิดถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อไปโดยพิจารณาตามผลการทดสอบของคุณ

 

ในจตุรัส

 

เมื่ออสูรแห่งโชคชะตาได้ยินเสียงของซูเซี่ยเอ๋อ

 

มันก็หันหัวขนาดใหญ่โต และใช้ดวงตาขาวขุ่นจับจ้องมาที่เธอ

 

วิสัยทัศน์ของมันติดตรึงอยู่กับร่างของซูเซี่ยเอ๋อ และไม่ละสายตาไปเลย

 

-เพียงแค่ดวงตาของมันก็มีระดับความสูงเกือบเทียบเท่าทั้งตัวของเธอ

 

รูม่านตาของอสูรยักษ์ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวขุ่น บัดนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน มันเบิกกว้างออกเล็กน้อย

 

‘นี่คือหมอกแห่งโชคชะตาที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือใช่หรือไม่?’

 

ซูเซี่ยเอ๋อคิด

 

ในวินาทีต่อมา เสียงสั่นสะเทือนของคลื่นโซนิบูมจากตัวอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็ถูกเปล่งออกมาจนเธอแทบจะทนยืนไม่ไหว

 

“ไม่ล่ะ เจ้ามันเป็นอาหารอันโอชะที่หาได้ยากยิ่ง และควรที่จะถูกกินเป็นมื้อสุดท้าย”

 

สิ้นคำกล่าว อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็หันไปงับคนที่อยู่ถัดไปจากซูเซี่ยเอ๋อ

 

มันเคี้ยวเลือดเนื้อของคนๆนั้นโดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องแสนสาหัสของอีกฝ่ายเลย

 

เลือดหยดย้อย ไหลทะลักออกมาจากปากของมัน

 

การถูกเจาะ ฉีกกัด เคี้ยว บดขยี้ซ้ำๆด้วยฟันอันแหลมคมนับไม่ถ้วน มันเป็นความเจ็บปวดที่มนุษย์มิอาจต้านทานรับไหว

 

นี่นับว่าเป็นขั้นตอนที่เจ็บปวดอันหาที่เปรียบมิได้สำหรับผู้ทดสอบ

 

ความเจ็บปวดที่รุนแรงอย่างฉับพลัน มันเกินเลยเหนือล้ำไปยิ่งกว่าการลงโทษจากนรก

 

ผู้ชมทั้งหมดที่มองไปยังฉากนี้ต่างเหวอจนแทบจะกลายเป็นโง่งม

 

“อา … อาหารรสจืดชืด … แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้หลบหนีจากชะตากรรมเดิม …”

 

อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาหยุดเคี้ยวและคายซากเลือดออกมา

 

เลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะแปรรูปเป็นร่างมนุษย์ และร่วงตกกลับลงมาบนพื้นอีกครั้ง

 

และคนที่ปรากฏตัวขึ้นก็ยังคงเป็นผู้ชายคนเดิม

 

เป็นคนที่เมื่อครู่กรีดร้องอลหม่านด้วยความตกใจและหวาดกลัวแทบคลั่ง

 

หลังจากที่ผ่านไปสักพักหนึ่ง เจ้าตัวก็ค้นพบถึงสิ่งผิดปกติ

 

เขายกมือขึ้น และสัมผัสลงบนใบหน้าของตัวเอง

 

ไม่มีร่องรอยของบาดแผลเลย?

 

“ฉันว่าเมื่อกี้ฉันตายไปแล้วแน่ๆ นี่มันน่าทึ่ง! ปาฏิหาริย์ชัดๆ!” เขาบ่นพึมพำ

 

ในอากาศที่ว่างเปล่า จู่ๆไพ่ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

 

ชายคนนั้นจ้องมองมันราวกับถูกแช่แข็ง ก่อนจะเผยถึงใบหน้าสุขสมเปี่ยมล้น

 

“ฉันทำได้! ฉันทำได้สำเร็จแล้ว! ฉันได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้งในฐานะเทียนซวน!(ผู้ที่ถูกเลือกโดยสวรรค์)”

 

ซูเซี่ยเอ๋อโน้มตัวไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จ้องมองไปที่ไพ่

 

มันเป็นไพ่สีเทา

 

ในมุมมองห่างไกล เราจะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันมีอาวุธอยู่ภายในไพ่ใบนั้น

 

แววตาของหลายคนแสดงถึงความริษยา

 

ซูเซี่ยเอ๋อม้วนริมฝีปากของเธอ และไม่สนใจมันอีกต่อไป

 

-มันก็แค่ไพ่ใบหนึ่งที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเท่านั้น แถมยังเป็นไพ่อาวุธสีเทา ซึ่งนับการเป็นการตื่นขั้นต่ำสุด

 

ด้วยการประสบความสำเร็จของคนแรก ทำให้ทุกคนต่างเริ่มกระตือรือร้น

 

“คนต่อไป เจ้ามานี่”

 

อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาตะโกนสั้นๆไปยังชายคนหนึ่ง

 

นั่นคือคนที่เมื่อครู่ได้เอ่ยปากออกมาว่าพึ่งได้รับชีวิตกลับคืนมาจากความตายเมื่อวานนี้เอง

 

อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาอ้าปากของมัน และกัดงับอีกฝ่ายโดยไม่รีรอคำตอบใดๆจากเขา

 

มันเคี้ยวหงับๆในปาก

 

เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นรู้ว่าเขากำลังจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา แม้จะเจ็บปวด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร่ำร้องที่แฝงแววปิติยินดีออกมาอย่างบ้าคลั่ง

 

“อืม เจ้ามีคุณสมบัติไม่เลวเลย” อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาแม้จะกำลังเคี้ยว แต่ก็กล่าวประเมินอีกฝ่ายไปในตัว

 

และมันก็หยุดเคี้ยวอย่างกระทันหัน

 

โฮก!

 

เสียงคำรามด้วยความโกรธดังขึ้น

 

เหล่านักเรียนฝึกหัดที่เข้ารับการทดสอบตกใจจนผงะ

 

ขาของหลายคนสั่นสะท้าน ทิ้งก้นกระแทกลงพื้นอีกครั้ง

 

แต่ละคนต่างคิดกันว่าอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาจะคายคนๆนั้นออกมา แต่ใครจะรู้ จู่ๆมันก็คำรามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น

 

“พึ่งได้ฟื้นคืนชีวิตกลับมาเวื่อวาน? มันจะใช่หรือ? เจ้าได้เกิดใหม่มาตั้งหลายวันแล้ว แถมยังลักขโมยสิ่งของจากคนอื่นๆไปมากมาย!” อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาสาดเสียงดังดั่งฟ้าร้อง

 

เสียของมันเต็มไปด้วยความโหดร้ายที่มิอาจเขียนบรรยายได้

 

ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน อสูรยักษ์ก็ผงกหัว ยกคอขึ้นทันใด

 

และมันก็กลืนชายคนนั้นลงไป!

 

ชายคนนั้นถูกกินเข้าไปแล้ว …

 

ผู้ชมนิ่ง ทึ่ง อึ้ง เงียบกันโดยสมบูรณ์

 

สักพัก อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็อ้าปากกว้างที่เต็มไปด้วยเลือด และหันไปมองหาผู้ทดสอบคนต่อไป

 

“ใครจะมาเป็นคนต่อไป?” มันเอ่ยถาม

 

หลายคนหดตัวลีบด้วยความหวาดกลัว

 

แต่แล้วเด็กหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งก็ยืนขึ้นและกล่าวว่า “ผมเองแล้วกัน จัดมาเลย”

 

ในแววตาของเขา มันถูกขีดเขียนไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว

 

“โห? ข้าพึ่งจะกินคนเข้าไปนะ เจ้ายังกล้าที่จะลุกขึ้นมาขอรับการทดสอบอีก?” อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาพูดด้วยความสนใจ

 

หนุ่มรูปหล่อกล่าวว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าคนอื่นจะโดนอะไร เพราะนับจากนี้ไป หลังจากที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ผมก็จะพัฒนาการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็จะได้กลายเป็นจ้าวโลก – นี่คือโชคชะตาของผม!”

 

“ยอดเยี่ยม! มีความกล้าหาญและทะเยอทะยานไม่เลว งั้นคนต่อไปเป็นเจ้า” อสูรยักษ์กล่าว

 

มันเปิดปากออกและกินเด็กหนุ่มเข้าไป

 

ฟันนับร้อยนับพันเคี้ยวกรุบกรับไปมา เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็เงยคอขึ้น และกลืนเด็กหนุ่มรูปหล่อคนนั้นเข้าไปเสียดื้อๆ!?

 

“คนต่อไป” มันกล่าวเสียงหนักทึบ

 

แต่ละคนต่างหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ

 

บางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาว่า “ท่าน … แล้วสหายผู้นั้นล่ะ?”

 

“ก็อย่างที่เจ้าเห็น ข้าได้กินมันเข้าไปแล้ว” อสูรยักษ์กล่าว

 

ชายที่เอ่ยถามชะงักไป ก่อนจะเริ่มเอ่ยถามอีกทีว่า “ทำไมกัน? ทำไมท่านถึงไม่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา?”

 

อสูรยักษ์ “นี่ไม่อาจตำหนิข้าได้ มันเป็นเพราะเขาไม่มีคุณสมบัติที่สอดคล้อง ดังนั้นเขาจึงต้องตาย”

 

“ความตาย ก็คือหนึ่งในโชคชะตาเช่นกัน”

 

เงียบ

 

บังเกิดความเงียบสงัดแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง

 

อารมณ์ความรู้สึกที่เรียกกันว่าตื่นตระหนกเริ่มกัดกินเข้ามาในจิตใจของทุกคน

 

แท้จริงแล้วกลับปรากฏว่า ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติอย่างไรก็ต้องตกตาย

 

จะต้องถูกอสูรยักษ์ขบเคี้ยวจนตาย และกลืนกินเข้าไปในท้อง …

 

ทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “อย่ามาล้อกันเล่นนะ! ฉันจะไม่เข้าร่วมการทดสอบบ้าๆนี่แล้ว ฉันต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป!”

 

เขากำลังจะกลายเป็นบ้า ใบหน้าอาบนองด้วยน้ำตา หน้าผากของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ขนาดเท่าลูกปัด

 

หลังจากถอยหลังไปไม่กี่ก้าวจนสะดุดล้มลง ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นหันหลังและวิ่งออกไปจากจตุรัสอย่างสิ้นหวัง

 

อสูรยักษ์เฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยความรังเกียจ และไม่เหลือบแลชายคนนั้นอีกต่อไป

 

ในความว่างเปล่า บังเกิดเสียงกระซิบกระซาบขึ้นมากมาย

 

“สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นแบบนี้”

 

“ข้าเห็นเขามาตั้งหลายปี … ”

 

“เจ้าบ้านั่นมันไม่ได้เรื่อง”

 

“เป็นแค่คนขี้ขลาด โชคชะตาจะไปใส่ใจมันได้ยังไงกัน”

 

ทันใดนั้นดูเหมือนว่าเสียงเหล่านี้จะบรรลุข้อตกลงร่วมกันแล้ว

 

“ปล่อยให้เขาไป ให้รับหน้าที่เป็นคนทำความสะอาดบนเกาะจนตาย”

 

“อืม”

 

“เห็นด้วย”

 

“เห็นด้วย”

 

แล้วเสียงทั้งหมดก็หายไป

 

ในเวลาเดียวกัน หลุมดำก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าเบื้องล่างของชายที่กำลังวิ่งอย่างสิ้นหวัง

 

ทันใดนั้นเขาก็ตกลงไปในพื้น และหายวับไป

 

และหลุมดำก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

 

พื้นจตุรัสเรียบเนียน และไม่ปรากฏร่องรอยใดๆให้เห็นอีกเลย

 

จนกระทั่งเวลานี้ เหล่าผู้เข้ารับการทดสอบก็ได้รับรู้

 

ว่าแต่เดิมคณะผู้ฝึกสอนของสถาบันนั้นเฝ้ามองดูพวกเขาอยู่เสมอมา เพียงแต่พวกเขาไม่อาจมองเห็นได้ก็เท่านั้นเอง

 

บางที ที่ปรึกษาของทุกคนอาจกำลังเฝ้าสังเกตพวกเขาอย่างเงียบๆ

 

“ยังมีคนอื่นที่ต้องการจะถอนตัวอีกหรือไม่?” อสูรยักษ์เอ่ยถาม

 

ผ่านไปสักพัก

 

ก็ไม่มีใครส่งเสียงอะไรออกมา

 

“งั้นข้าขอเริ่มต่อก็แล้วกัน” อสูรยักษ์กล่าว

 

ไม่ว่าสิ่งที่ผู้ทดสอบเหล่านี้จะกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่การกัดกลืนของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

 

ทีละคน คนแล้วคนเล่าถูกกินเข้าไป กลายเป็นสิ่งแปลกๆก่อนจะถูกถุยออกมา

 

อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาบางครั้งก็คายเลือดออกมา ขณะที่บางครั้งก็คายเนื้อ หรือแม้กระทั่งกระดูก

 

แต่ไม่ว่าสิ่งที่คายออกมาจะเป็นอะไร เหล่าผู้ทดสอบก็จะได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างแน่นอน

 

แต่แล้ว เมื่ออสูรยักษ์แห่งโชคชะตาได้คายน้ำกลุ่มก้อนหนึ่งออกมา ในอากาศที่ว่างเปล่า ก็บังเกิดเสียงสนทนานับไม่ถ้วนดังกึกก้องขึ้น

 

“ดูนั่นเร็ว นั่นน้ำล่ะ!”

 

“มันช่างเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะได้เห็นลางบอกเหตุแห่งน้ำหลังจากเกิดใหม่ ”

 

“นับว่ามีคุณสมบัติที่ดี”

 

“เอาล่ะ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะรับเอาเจ้าเด็กคนนี้เป็นศิษย์”

 

บอลน้ำได้แปรสภาพกลายเป็นนักเรียนฝึกหัดอย่างรวดเร็ว

 

เบื้องหน้าเขา ปรากฏไพ่ขึ้นถึงสามใบ

 

ตลอดช่วงเวลารับการทดสอบที่ผ่านมา เขาเป็นคนที่ได้รับไอเท็มเทียนซวนมากที่สุด!

 

นักเรียนฝึกหัดหลายคนที่เฝ้ามองดูฉากนี้ แถมยังได้ฟังเสียงสนทนาในอากาศที่ว่างเปล่า พวกเขาก็บังเกิดความอิจฉา ทว่าขณะเดียวกันก็บังเกิดความกระตือนรือร้นที่จะคว้าชัยชนะ!

 

การทดสอบดำเนินต่อไปโดยไร้ซึ่งปัญหาใดๆ

 

ในที่สุด มันก็เป็นตาของซูเซี่ยเอ๋อ

 

ทันใดนั้นการเคลื่อนไหวของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็กลายเป็นอ่อนโยนลง

 

มันยื่นหัวของมันออกมา ข้ามผ่านพื้นมาหยุดลงตรงหน้าซูเซี่ยเอ๋อ

 

“ข้ารู้มาว่าพ่อแม่ของเจ้าเสียสละชีวิตเพื่อเกาะหมอก ในภัยพิบัติครั้งนั้น”

 

ขณะกล่าว กระแสเสียงของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็สั่นไหวในอากาศ

 

ทุกสรรพเสียงรอบตัวเงียบสงัดลง ราวกับกำลังเคารพความเป็นส่วนตัวของมัน

 

ดูเหมือนว่าคนทั้งหมดจะจมลงสู่ห้วงความทรงจำ

 

อสูรยักษ์แห่งโชคชะตากล่าวต่อว่า “จงมั่นใจเถิด หากเจ้าไม่มีคุณสมบัติ ข้าจะใช้พลังของข้า สร้างเจ้าให้เกิดใหม่เป็นคนปกติดังเดิม แล้วเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตในเกาะหมอกได้อย่างปลอดภัย”

 

ซูเซี่ยเอ๋อรับฟังอย่างตั้งใจ จนกระทั่งอสูรยักษ์แห่งโชคชะตากล่าวจบ

 

เกือบจะไม่มีความคิดใดๆ เธอก็เผยรอยยิ้มสดใสบริสุทธิ์ออกมา

 

“ขอบพระคุณท่าน แต่หากหนูไม่มีคุณสมบัติจริงๆ ก็โปรดกินหนูเหมือนที่ปฏิบัติกับคนอื่นๆเถอะ”

 

“เพราะเหตุใด? มีชีวิตอยู่ต่อไปมันไม่ดีหรือ?”

 

“ไม่ใช่เช่นนั้น”

 

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว “หากต้องเผชิญหน้ากับโชคชะตาที่ยากจะต้านทาน ดังเช่นการถูกปกป้อง ถูกขังให้ตายลงอย่างโดดเดี่ยวบนเกาะ เหมือนซากศพแทนที่จะได้ใช้ชีวิต แบบนั้นมันจะดีกว่าหากปล่อยให้จิตวิญญาณของหนูกลับไป … ให้กลับไปยังสถานที่ที่มีคนรักและห่วงใย ถ้าอย่างนั้นต่อให้ต้องตาย หนู – ซูเซี่ยเอ๋อก็ไม่เสียใจ ”

 

“นี่คือคำขอสุดท้ายของเจ้าใช่หรือไม่?”

 

“ใช่ ถ้าหนูไม่มีคุณสมบัติ ก็ตามนั้นเลย”

 

“ข้ารับปากเจ้า”

 

อสูรยักษ์แห่งโชคชะตากล่าว และค่อยๆเปิดปากที่เต็มไปด้วยฟันอันแหลมคมอย่างช้าๆ

 

ซูเซี่ยเอ๋อเดินเข้าไป

 

ขณะนี้ ภายในความว่างเปล่าทั้งหมด พวกเขาแทบจะลืมหายใจ

 

ซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่ในปากของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตา เฝ้ารอคอยความเจ็บปวดจากฟันอันแหลมคม

 

ร่างกายของเธอสั่นไหวเพราะความกลัว

 

วิสัยทัศน์ค่อยๆเปลี่ยนจากสว่างไสวลงสู่ความมืดมิด

 

เนื่องเพราะเวลานี้อสูรยักษ์แห่งโชคชะตากำลังปิดปากของมันลงอย่างช้าๆ

 

ทันใดนั้นความหวาดกลัวในสายตาของซูเซี่ยเอ๋อก็จางหายไป

 

ท่ามกลางฟันมากมายนับไม่ถ้วน แหลมคมดั่งหาที่ใดเปรียบ ปากงามของเธอเปล่งเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาราวกระซิบออกมาคำหนึ่ง “ฉิงซาน … ”

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.345 – คนที่ถูกเลือกโดยสวรรค์

 

ตลอดทาง นักเรียนฝึกหัดหลายคนได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกรมบังคับกฏ

 

ผู้คนต่างพูดคุยกระซิบกระซาบ เฝ้ามองดูซูเซี่ยเอ๋อจากระยะไกล

 

ในแววตาที่มองซูเซี่ยเอ๋อ นอกเหนือไปจากร่องรอยริษยาแล้ว มันยังแฝงไว้ซึ่งความกลัวอยู่หลายส่วนอีกด้วย

 

ที่ใดก็ตามที่ซูเซี่ยเอ๋อเดินมาถึง ผู้คนจะรีบหลีกทางให้เธอทันที

 

“ขอบคุณ”

 

รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อ ปากเอ่ยแสดงความปรารถนาดีต่อเหล่าคนที่เปิดทางให้เธอ

 

เมื่อผู้คนเหล่านั้นเห็นทัศนคติของเธอ ก็บังเกิดความคิดในจิตใจที่แตกต่างกันออกไป

 

อย่างน้อยการแสดงท่าทีว่าเป็นศัตรูก็ถูกปิดซ่อนเอาไว้ พวกเขาไม่กล้าที่จะแสดงมันออกมาโดยตรงต่อหน้าซูเซี่ยเอ๋อ

 

ซูเซี่ยเอ๋อเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง

 

และประตูก็ถูกปิดลง

 

ซูเซี่ยเอ๋อคุกเข่าลงบนเตียง เอนอิงหัวตัวเองพิงกับผนังข้างๆอย่างแผ่วเบา

 

หยาดน้ำตาหยดลงจากใบหน้าเธอ ร่วงลงบนผ้าปูที่นอน

 

“ขอโทษนะ … ฉิงซาน ฉันเสียหนังสือที่นายได้ให้ไว้ไปซะแล้ว … ”

 

เธอร้องไห้อยู่สักพัก ก่อนจะปาดน้ำตาออก

 

ตามด้วยเส้นผมเส้นหนึ่งที่ว่ายออกมาจากปากเธอและตกลงบนเตียง

 

และผมเส้นนั้นก็แปรสภาพเปลี่ยนเป็นแหวน

 

“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม

 

แหวนในมือเธอตอบกลับมาว่า “คลื่นความผันผวนชีวิตของพวกเธอได้หายไปแล้ว”

 

“คุณคิดว่ามันจะมีช่องโหว่ในแผนนี้รึเปล่า?” ซูเซี่ยเอ๋อถาม

 

“สมุดบันทึกการศึกษาของแม่คุณที่ถูกหยิบขึ้นมาอ่านโดยจอมมาร มันถูกดึงออกมาจากวิชาเรียน 30 วิชาในห้องสมุด ตัวสมุด กระดาษ และร่องรอยขีดเขียนล้วนถูกผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยีล่าสุด และวัสดุที่สลายตัวในระดับจุลภาค ส่งผลให้มันดูไม่แตกต่างกันจากกระดาษที่ถูกทิ้งไว้มานานหลายทศวรรษ ดังนั้นมันจึงไม่สมควรที่จะมีช่องโหว่ใดๆ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อผ่อนคลายลง และเอื้อมมือออกไปสัมผัสในความว่างเปล่า

 

ม้วนคัมภีร์สีเลือดปรากฏขึ้นในมือของเธอ

 

นี่คือสิ่งที่อาวุโสบังคับกฏมอบมันให้แด่เธอเป็นรางวัล

 

ไม่นาน หลังจากที่มาถึงเกาะหมอก ตัวเธอเองก็ได้รับคัมภีร์เทียนซวนอย่างเป็นทางการเสียที

 

และมันยังเป็นม้วนคัมภีร์ของท่านอาวุโสบังคับกฏอีกด้วย!

 

หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะมีคนอิจฉาตาร้อนเธอมากขนาดไหน

 

ซูเซี่ยเอ๋อคลี่ม้วนคัมภีร์อย่างระมัดระวัง

 

นี่คือม้วนคัมภีร์ที่มีลวดลายป็นเอกลักษณ์

 

ภายในม้วนคัมภีร์ มีรูปวาดของนางฟ้าในชุดคลุมสีขาว

 

ดวงตาของนางฟ้านั้นว่างเปล่า และท่าทีการแสดงออกก็แข็งทื่อราวกับท่อนไม้

 

ใกล้กับหัวของนางฟ้า มีเงาดำจำนวนนับไม่ถ้วนลอยล่องอยู่

 

ในส่วนล่างของม้วนคัมภีร์ มีตัวอักษณขนาดเล็กถูกขีดเขียนเอาไว้สองบรรทัด

 

“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”

 

“คำอธิบาย : เมื่อศัตรูเตรียมที่จะทำการโจมตีขั้นร้ายแรง สติอารมณ์และสภาวะจิตใจของศัตรูจะตกอยู่ในสถานะว่างเปล่าเป็นเวลา 3 วินาที”

 

สีหน้าของซูเซี่ยเอ๋อแสดงออกถึงความสุข

 

หากตัดสินจากความรู้และประสบการณ์ที่เธอเข้าใจ นี่คือม้วนคัมภีร์ที่จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้นับครั้งไม่ถ้วน

 

และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ รูปแบบของม้วนคัมภีร์นี้เป็นนางฟ้า เห็นได้ชัดว่ามันหมายถึงผู้ฝึกสอนยี่ชา

 

อาวุโสบังคับกฏอย่างไรก็คืออาวุโสบังคับกฏ หลังจากทั้งหมดนี้ เขาเองก็คงจะสังเกตเห็นถึงบางสิ่ง

 

ซูเซี่ยเอ๋อเก็บม้วนคัมภีร์อย่างระมัดระวัง จากนั้นเธอก็หันไปมองหน้าต่างสถานะในจินตนาการบนสายตาของเธอ

 

นี่คือระบบของเธอ

 

บนหน้าต่างสถานะ  ภารกิจแรกที่บอกให้เธอเอาชีวิตรอดได้เสร็จสมบูรณ์

 

เธอประสบความสำเร็จในการเอาชีวิตรอด และได้รับรางวัลเป็น ‘ตัวตนใหม่’

 

ในโลกใบนี้ พ่อแม่ของเธอคือผู้เสียสละชีวิตเพื่อเกาะหมอก และเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ล่องลอยอยู่ภายนอก

 

นี้คือการเขียนทับประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับจากกฏของโลก เอกสารข้อมูลหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดล้วนสามารถพิสูจน์ได้

 

นี่คือตัวตนใหม่ที่ซูเซี่ยเอ๋อได้รับมา

 

สำหรับภารกิจที่สอง มันยังไม่ปรากฏขึ้นจนถึงขณะนี้

 

ระบบยังคงเงียบ

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังหน้าต่างสถานะในจินตนาการและถอนหายใจออกมา “ระบบเอ๋ยระบบ เมื่อไหร่คุณจะตอบรับคำของฉันซักที”

 

ติ๊ง!

 

จู่ๆระบบก็ตอบรับคำเธออย่างกระทันหัน

 

“ระบบได้ทำการสร้างอัตลักษณ์ตัวตนใหม่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณ ดังนั้นมันจึงได้ใช้พลังงานทั้งหมดที่มีออกไป”

 

“ขอให้ผู้เล่นโปรดระวังตัวด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ได้ถูกรับรู้จากผู้ทดสอบอีกคนหนึ่งแล้ว และเธอกำลังโกรธมาก”

 

“เธอยังคงต้องการที่จะสังหารคุณ”

 

ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อคับข้องใจยิ่งนัก

 

“ฉันรู้แล้วว่าคนๆนั้นคือผู้ฝึกสอนยี่ชา แต่ทำไมเธอถึงต้องการฆ่าฉัน?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามด้วยความสับสน

 

“เพราะเพียงคุณตาย เธอก็จะมีสิทธิ์ที่จะครอบครองทั้งระบบแต่เพียงผู้เดียว”

 

“ทำไมกัน?” ซูเซี่ยเอ๋อโพล่งออกมา

 

นี่มันเป็นปริศนา … เป็นความลึกลับที่เธอไม่สามารถแก้ได้

 

เธอไม่เคยรู้จักอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับต้องการที่จะฆ่าเธอ

 

ระบบตอบกลับไปว่า “นอกเหนือไปจากคนในโลกเกาะหมอก ทุกๆคนที่มาจากโลกอื่น จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้พลังของเทียนซวนเพื่อสร้างระบบคำสั่งใหม่ในโลกเดิมของพวกคนเหล่านั้นได้”

 

“สรุปง่ายๆว่าถ้ามีฉันคอยควบคุมคุณอยู่ด้วย เธอก็จะสูญเสียคุณสมบัตินี้ไป ถูกต้องไหม?”

 

“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น”

 

“เธอมาจากโลกเดียวกันกับฉัน .. ”ซูเซี่ยเอ๋อกลายเป็นว่างเปล่า

 

ในจอสายตา ตัวอักษรเล็กๆเริ่มที่จะปรากฏขึ้นบนหน้าต่างสถานะ

 

“ตอนนี้ ถึงเวลามอบหมายภารกิจที่สองแล้ว”

 

“ชื่อภารกิจ : บุคคลที่สวรรค์แต่งตั้ง”

 

“วัตถุประสงค์ภารกิจ : ผู้เล่นจะต้องกลายเป็นผู้ทดสอบเพียงหนึ่งเดียว”

 

“อธิบาย 1 : ในสองผู้ทดสอบ จะมีผู้เล่นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเป็นเจ้าของระบบได้”

 

“อธิบาย 2 : หากผู้เล่นออกจากเกาะหมอก เขาหรือเธอจะถูกกำจัดทันที และจะไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบได้อีกต่อไป”

 

ซูเซี่ยเอ๋ออ่านคำอธิบายภารกิจ และหายไปในห้วงความคิด

 

ผู้ฝึกสอนยี่ชาต้องการที่จะฆ่า

 

เพราะงั้นตอนนี้ สันนิษฐานว่าเธอก็น่าจะได้รับภารกิจนี้ด้วยเช่นกัน

 

เราจะสามารถรับมือกับผู้ทดสอบที่เป็นถึงผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนแสนอันตราย แถมยังทรงพลังจนน่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?

 

คืนนี้ฉันพึ่งจะพิสูจน์ว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ และออกมาจากกรมบังคับกฏอย่างสบายๆ

 

อาวุโสบังคับกฏยังให้ความสนใจในตัวเธอ ถึงขั้นหยิบยื่นม้วนคัมภีร์ของตนเองให้!

 

อย่างไรก็ตามนี่มันก็แค่ในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่อาวุโสบังคับกฏจะให้ความสนใจกับตัวเธอ ซึ่งเป็นเพียงบุคคลไม่สำคัญได้ตลอดเวลา

 

เธอจะต้องเข้าร่วมการทดสอบฝึกหัดในทันที …

 

ซูเซี่ยเอ๋อครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงเอ่ยถามออกไป “ฉันจะสร้างความประทับใจแก่อาวุโสบังคับกฏได้ยังไง?”

 

คราาวนี้ ระบบไม่ได้เอ่ยตอบกับเธอ

 

“จากการวิเคราะห์การแสดงออกทางใบหน้า คำพูด และท่าทางของเขา เห็นได้ชัดว่าเขามีความสนใจในตัวคุณ” แหวนตอบแทน

 

ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม “อาวุโสบังคับกฏเป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในเกาะนี้รึเปล่า?”

 

“จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอย่างครอบคลุม รวมกับเอกสาร 270 ฉบับในห้องสมุด และการวิเคราะห์เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์กว่า1496 เหตุการณ์ ได้ข้อสรุปว่า : อาวุโสบังคับกฏคือหนึ่งในสี่ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดบนเกาะ”

 

“จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของเขาคือ ความอ่อนไหวทางด้านอารมณ์ และเป็นคนที่มักจะคิดถึงช่วงเวลาในอดีต”

 

“ดูเหมือนว่าแผนการของเราจะไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่ผิดพลาดในด้านเวลาก็เท่านั้น” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

เพื่อต่อสู้กับโชคชะตา และได้รับความแข็งแกร่งมา ตัวเธอเองจะต้องพยายามหาหนทางที่จะได้เป็นนักเรียนของอาวุโสบังคับกฏให้จงได้

 

แต่แล้วเรื่องของผู้ฝึกสอนยี่ชาล่ะ? จะทำยังไงดี?

 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆแหวนก็พูดออกมาว่า “ตามความรู้ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเกาะหมอกในทุกวันนี้ บ่งบอกชัดเจนว่าถ้าฉันยังคงอยู่ แผนของคุณอาจจะถูกตรวจพบโดยเหล่าอาจารย์ที่แข็งแกร่ง”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

แหวนกล่าว “ซูเซี่ยเอ๋อ คงถึงเวลาที่จะต้องกล่าวคำอำลาแล้ว ฉันคงต้องทำลายตัวเอง เพื่อที่จะทำให้กลยุทธ์ของคุณประสบความสำเร็จ … ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเผยอปากขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

เธอไม่สามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้อีกแล้วในวันนี้

 

“โปรดจดจำเอาไว้ ว่าฉันคือผลผลิตร่วมกันระหว่างใต้เท้ากู่ฉิงซานและเทพธิดากงเจิ้ง – แหวนนาโน”

 

แหวนยังคงเปล่งเสียงอย่างต่อเนื่อง

 

“ฉันคงต้องออกตามหาสถานที่ๆไม่เกี่ยวข้องกับคุณเพื่อทำลายตัวเอง ลาก่อน”

 

ขณะที่แหวนกำลังเปล่งเสียง มันก็ตกจากเตียงของซูเซี่ยเอ๋อ และกลิ้งตัวออกไปจากห้อง

 

ไม่นานนักมันก็ไปถึงประตูทางเข้า

 

ซูเซี่ยเอ๋อนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ เฝ้ามองแหวนลอดประตูแล้วหายลับไป

 

มันจากไปแล้ว

 

ครั้งแรกก็หนังสือเทคนิคฝึกยุทธ คราวนี้ก็เป็นแหวนนาโน สิ่งต่างๆของกู่ฉิงซานจากเธอไปทีละชิ้น ทีละชิ้น

 

พวกมันทั้งหมดจากไปเพื่อปกป้องเธอ ทำให้เธอมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป

 

เห็นได้ชัดว่า แม้เธอจะไล่ล่าออกตามหาความแข็งแกร่ง ด้วยทุกวิธีและหนทาง แต่ก็ยังไม่อาจเก็บรักษาของดูต่างหน้าของเขาไว้ได้อยู่ดี

 

ซูเซี่ยเอ๋อกัดริมฝีปากตน จนเลือดไหลซิบลงมา

 

ทันใดนั้นเธอก็ยกมือขึ้นปาดเลือดที่คาง และใช้นิ้วที่มีเลือดติดสอดเข้าไปในปากเพื่อลิ้มรสชาติของมัน

 

กลิ่นฉุนคล้ายสนิม ผสานไปกับกลิ่นคาวของเลือด

 

ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน ค่อยๆเข้ามาแทนที่การร่ำไห้และน้ำตา

 

‘ยี่ชา ตั้งแต่ที่แกต้องการจะครอบครองระบบแต่เพียงผู้เดียว ฉันนี่แหละจะเป็นคนทำให้แกจากไปตลอดกาลเอง’

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.344 – เด็กกำพร้าในเกาะหมอก(3)

 

เธอคือเด็กสาวกำพร้า

 

พ่อแม่ของเธอเป็นนักเรียนของจอมมาร และทั้งคู่ก็เสียสละชีวิตเพื่อเกาะหมอก

 

เธอที่เป็นลูกสาวของพวกเขา ร่อนเร่ไปทั่วโลก และตอนนี้พึ่งกลับมาได้เพียงไม่นาน ทว่ากลับถูกใส่ร้าย และคำใส่ร้ายนี้ก็มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงที่จะถึงขั้นต้องถูกลงโทษจนจบชีวิตลง

 

เด็กสาวกำพร้าไร้ที่พึ่งพิง กำลังรอคำตัดสินชีวิตเป็นตายอยู่

 

จอมมารชุดคลุมเลือดเงียบไปนาน สุดท้ายจึงกล่าว “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ”

 

“ขอบพระคุณท่านอาวุโสบังคับกฏ”

 

“เช่นนั้นเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้ เจ้ามีสิ่งใดอยากจะระบายหรือไม่?” จอมมารชุดคลุมเลือดเอ่ยถาม

 

มาแล้ว

 

ตอนนี้ล่ะ!

 

ซูเซี่ยเอ๋อจิกริมฝีปากเธอ เผยท่าทีค่อนข้างลังเลออกมา

 

“หนู … ขอถามอะไรซักเล็กๆน้อยๆจะได้ไหม?” เธอเอ่ยปาก

 

“แน่นอน เจ้าสามารถถามสิ่งใดก็ได้ตามต้องการ” จอมมารดูจะมีความอดทนมากเป็นพิเศษในวันนี้

 

“ขอบพระคุณท่าน” ซูเซี่ยเอ๋อพูดอย่างระมัดระวัง

 

นี่เป็นโอกาสเดียวที่เธอจะโต้กลับ! และเธอต้องคว้ามันมาให้จงได้!

 

‘จะแสดงให้เห็นเอง ว่าฉันก็สู้คนเหมือนกัน’

 

อีกอย่างชายเบื้องหน้า ก็ดูเหมือนว่าจะมีทัศนคติที่ดีกับฉันไม่น้อย

 

เอาล่ะ ทีนี้แหละพวกแกจะไม่สามารถทำแบบนี้กับฉันได้อีกต่อไปแล้ว

 

ฉันต้องการจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข! โดยที่ไม่มีใครสามารถรังแกฉันได้อีกต่อไป!!

 

ถ้าหากใครต้องการชีวิตของฉันอีกครั้งล่ะก็ …

 

“เพื่อความเป็นธรรม หนูหวังว่าท่านอาวุโสบังคับกฏจะทำการค้นตัวพวกเธอด้วย” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

“นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น” จอมมารชุดคลุมเลือดตอบรับ

 

หลากหลายแสงสีเลือดบิดม้วนไปมาในอากาศ ก่อนจะตกลงแล้ววนรอบๆสาวๆทั้งหลาย และพ่นถุงขยะชิ้นหนึ่งลงบนพื้น

 

ภายในถุงขยะ มีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ภายในอย่างสงบ

 

จอมมารชุดคลุมเลือดหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา และพลิกอ่านแบบลวกๆ

 

“ฮะฮะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

เขาหัวเราะออกมาเบาๆ

 

ตนเองเกือบจะถูกหลอก … เกือบจะสังหารลูกสาวของนักเรียนตัวเองไปแล้วเชียว

 

“ผู้ฝึกสอน จงสลับกันดูเจ้าสิ่งนี้เสีย”

 

หนังสือเล่มเล็กๆลอยไปทางรูปปั้น และตกลงบนพื้น

 

“วิชาชั่วร้าย!”

 

สีหน้าของรูปปั้นหม่นทะมึนลง ปากเอ่ยเสียงต่ำ

 

“ไม่นะ! หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ของพวกเรา!”

 

“นี่ต้องเป็นกับดักแน่ๆ”

 

“ท่านอาจารย์ หนูไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่นี่ไม่ใช่หนังสือของหนู”

 

สาวๆกรีดร้องอลหม่านด้วยความหวาดกลัว

 

เพราะพวกเธอทราบดี ว่าการฝึกฝนวิชาชั่วร้าย ถือว่าเป็นอาชญากรรมใหญ่หลวง

 

ทันใดนั้นเด็กสาวคนหนึ่งก็ร้องไห้ออกมา “หนูผิดไปแล้ว หนูแค่อิจฉาเธอที่สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว แถมยังมาถึงที่นี่แบบยังมีชีวิตอยู่ หนูคิดว่าเธอเป็นแค่กำพร้า หากรังแกไปก็คงไม่สำคัญ หนูไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้!”

 

ทันทีที่เธอร่ำไห้ ทั้งหมดก็เริ่มร้องตาม

 

พวกเธอทราบดีว่าจุดจบของการฝึกฝนวิชาชั่วร้ายนั่นคืออะไร

 

และนั่นคือสิ่งที่พวกเธอเตรียมไว้ให้แก่อีกฝ่าย

 

ทว่าในขณะนี้ พวกเธอตระหนักแล้วว่าสิ่งที่ทำกับคนอื่น กำลังจะย้อนกลับมา

 

จอมมารชุดคลุมเลือดเอ่ยถาม “พวกเจ้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา มีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”

 

รูปปั้นเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง สุดท้ายจึงกล่าวออกมา “ตามแต่ท่านจะตัดสินใจ”

 

จอมมารครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะหันไปถามซูเซี่ยเอ๋อ “แล้วเจ้าเล่า มีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อหันไปมองกลุ่มเด็กสาว

 

ทั้งหมดคุกเข่าลงเบื้องหน้าเธอ และร่ำไห้อ้อนวอนขอความเมตตา

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังหนังสือที่เมื่อครู่ยัดอยู่ในถุงขยะจนมันเปื้อนฝุ่นไปหมด

 

—นั่นคือหนังสือเล่มเล็กที่กู่ฉิงซานมอบให้เธอ เป็นหนังสือเล่มจริง

 

ทว่าในสถานการณ์สิ้นหวัง เธอกลับใช้หนังสือเล่มนี้เป็นกับดัก เพื่อไขว่คว้าฟางเส้นสุดท้ายที่จะรอดชีวิต

 

*(เฉลยปม ซูเซี่ยเอ๋อกับแหวนได้ร่วมมือกันให้เด็กสาวกลุ่มนี้เห็นว่าตนกำลังอ่านหนังสือ + เฝ้ารอให้พวกเธอไปฟ้อง+ฉวยโอกาสเอาหนังสือไปซ่อนที่อีกฝ่ายนั่นเอง)

 

เวลานี้กลุ่มก้อนเปลวไฟปรากฏขึ้นบนหนังสืออย่างรวดเร็ว มันถูกแผดเผาจนมิอาจกู้คืนได้ สุดท้ายมันก็กลายเป็นเถ้าถ่าน

 

ราวกับได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของกู่ฉิงซานกระซิบอยู่ในหูของเธอ

 

“ … หนังสือเล่มเล็กๆนี้คือวิธีการฝึกยุทธ มันสำคัญมาก เธอจะต้องฝึกฝนมันอย่างตั้งใจนะ”

 

“รีบฝึกฝนจะได้แข็งแกร่งขึ้นเร็วๆ อนาคตข้างหน้า โลกมันไม่แน่ไม่นอน เธอจะต้องแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองให้ได้นะ”

 

“เก็บมันไว้ให้ดีล่ะ!”

 

แต่ตอนนี้ เธอได้สูญเสียหนังสือเล่มนั้นไปตลอดกาลแล้ว

 

“ท่านอาวุโสบังคับกฏ คำพูดของหนูจะมีประโยชน์หรอ?” เธอถาม

 

“เจ้าเป็นเหยื่อ ดังนั้นคำพูดเจ้าย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีประโยชน์” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว

 

เสียงร่ำไห้ของเหล่าเด็กสาวยิ่งดังขึ้น

 

พวกเธอแผดเสียงอ้อนวอนซูเซี่ยเอ๋อ

 

ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยเสียงกระซิบ “เรียนรู้วิชาชั่วร้าย หลอกลวงผู้ฝึกสอน หนูคิดว่าสมควรจะถูกลงโทษโดยการเป็นอาหารแมงมุมในเหว”

 

“นั่นสินะ” จอมมารชุดคลุมเลือดพยักหน้า

 

เขาโบกมือออกไป

 

แล้วเส้นสีขาวที่มีลักษณะคล้ายผ้าไหมก็ห้อยลงมาจากเพดาน

 

กลุ่มเด็กสาวที่กำลังร่ำร้อง ถูกเส้นไหมเหล่านั้นรัดพันรอบหัวเอาไว้ จนเสียงมิอาจเล็ดลอดออกมาได้อีก

 

และแมงมุมยักษ์หลากสีสันก็ตกลงมาจากเพดาน

 

แมงมุมยักษ์ยื่นเท้าบางๆของมันออกไป จับเส้นไหมสีขาวเหล่านั้น แล้วหมุนๆไปรอบๆ ห่อพวกเธอจนดูราวกับมัมมี่

 

แมงมุมนำมัมมี่สดใหม่ขึ้นไปบนเพดาน และออกไปนอกหน้าต่างด้วยความพึงพอใจ

 

“การพิพากษาในวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว เจ้าสามารถกลับไปได้แล้วล่ะซูเซี่ยเอ๋อ” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว

 

แต่แล้วเขาก็พลันฉุกคิดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเธอ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้านึกขึ้นได้ว่าเจ้ากำลังจะเข้าร่วมการทดสอบฝึกหัดในครั้งนี้ และคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะผ่านเกณฑ์ก็พึ่งกลายเป็นอาหารแมงมุมไปเมื่อครู่แล้ว”

 

“แม้ตอนนี้พวกเธอจะหายไปแล้ว แต่เจ้ามิอาจประมาทผ่อนปรนได้ จงพยายามอย่างหนักต่อไป” ร่างแห้งกรังแนะนำแนวทางให้ปฏิบัติตาม

 

แล้วจู่ๆทันใดนั้นก็บังเกิดม้วนคัมภีร์ผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

ม้วนคัมภีร์หายไป และวินาทีต่อมามันก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ

 

“ท่านอาวุโส สิ่งนี้คืออะไรกัน?” ซูเซี่ยเอ๋อถามด้วยความสงสัย

 

“นั่นสำหรับเจ้า”

 

ซูเซี่ยเอ๋อยิ้มเล็กน้อย โค้งกายกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ “ขอบพระคุณท่านอาวุโสบังคับกฏ”

 

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพ พ่อแม่เจ้าเป็นนักเรียนของข้า แต่ข้ากลับมิได้ใส่ใจดูแลใดๆเจ้าเลย แถมยังเกือบลากเจ้าลงสู่หุบเหวแห่งความตายเสียแล้ว นี่ถือว่าเป็นคำขอโทษเล็กๆน้อยๆจากข้าก็แล้วกัน” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว

 

ซูเซี่ยเอ๋อมิได้เปิดม้วนคัมภีร์ แต่รับมันมาโดยตรง

 

“ม้วนคัมภีร์นี้มีอิทธิพลต่อตัวหนูมากจริงๆ มันจะต้องช่วยเหลือหนูได้มากแน่ๆ ดังนั้น หนูไม่ปฏิเสธที่จะรับมัน แต่ถ้าหากวันหนึ่งหนูประสบความสำเร็จในอนาคต หนูจะไม่ลืมเลือนความเมตตาของท่านอย่างแน่นอน” เธอกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

 

เมื่อเข้าสู่เกาะหมอกในตอนแรก ทุกคนจะไม่มีพลังอำนาจใดๆจนกว่าพวกเขาจะถูก ‘ปลุกให้ตื่น’ ขึ้นมา

 

และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับพลัง หากคุณไม่ปล้นจากผู้อื่น หรือได้รับของขวัญ , ของรางวัลจากผู้ฝึกสอนระดับสูง คุณไม่มีทางที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน

 

ม้วนคัมภีร์นี้ ย่อมสามารถช่วยซูเซี่ยเอ๋อได้อย่างมหาศาล

 

เธอไม่เพียงแต่ยอมรับมัน แต่ยังกล่าวแบบนี้ออกมา

 

จอมมารชุดคลุมเลือดค่อนข้างแปลกใจ แต่ขณะเดียวกันก็ค่อนข้างสุขใจเล็กน้อย

 

เด็กสาวผู้นี้ช่างเป็นคนที่มีความประพฤติซื่อตรง วาจาไม่มีมดเท็จ แถมยังรู้จักตอบแทนพระคุณ

 

ไม่เลวเลย

 

“เจ้ามีความมั่นใจในการทดสอบฝึกหัดหรือไม่?” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าวด้วยความเป็นห่วง

 

ซึ่งนี่แตกต่างจากตอนหญิงชุดดำ เขาดูจะเป็นห่วงเธออย่างแท้จริง

 

“หนูไม่มีความมั่นใจเลย” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

จอมมารชุดคลุมเลือดยิ้ม และเอ่ยว่า “เจ้ามาถึงเกาะหมอกทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นย่อมหมายความว่าโชคชะตาโปรดปรานในตัวเจ้า มิต้องกังวลไปหรอก”

 

ซูเซี่ยเอ๋อลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดสิ่งที่เก็บลึกอยู่ในจิตใจออกมาว่า “หนูอาศัยเครื่องมือบางอย่าง เลยสามารถมีชีวิตรอดมาถึงเกาะหมอกได้”

 

เธอกล่าวต่อ “อันที่จริง หากวัดกันเฉพาะความสามารถ หนูย่อมไม่มีทางรอดชีวิตมาถึงที่นี่ได้แน่ๆ”

 

“เพราะฉะนั้น หนูเลยไม่มีความมั่นใจในการทดสอบ”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดพอได้ฟังก็รู้สึกคาดไม่ถึง

 

เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเทใจมาให้เขา ไว้ใจเขา

 

ลูกสาวของนักเรียน เด็กกำพร้า กำลังบอกกล่าวความลับในใจออกมา

 

กี่ปีดีดักแล้วหนอ ที่มีคนกล้าที่จะมาใกล้ชิดกับตนเอง?

 

หลังจากที่เงียบงันไปสักพัก จอมมารชุดคลุมเลือดก็เอ่ยออกมาในที่สุด “ซูเซี่ยเอ๋อ ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า”

 

“เชิญชี้แนะ”

 

“หากโชคชะตามิได้โปรดปรานเจ้า ต่อให้มีเครื่องมือใดๆ เจ้าก็มิอาจเข้ามาถึงเกาะหมอกได้อยู่ดี”

 

“เจ้าคิดว่าบนอากาศจะไม่มีมารอยู่เลยหรือไร?”

 

“เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว และเจ้าเป็นคนเดียวที่บินข้ามผ่านอากาศที่ว่างเปล่าทั้งหมดทั้งมวล สามารถมาถึงเกาะหมอกได้ โดยมิดึงดูดความสนใจจากมอนสเตอร์”

 

ซูเซี่ยเอ๋อชะงักงัน

 

มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?

 

ตนเองละทิ้งโชคชะตาก่อนหน้า เพื่อใช้มันแลกบัตรผ่านเข้ามาสู่โลกใบนี้

 

แต่ผลลัพธ์คืออะไร?

 

ตนเองถูกส่งมายังมหาสมุทรแห่งซากศพ

 

เกือบจะถูกกัดกินโดยมอนสเตอร์ในทะเล

 

หลังจากเข้าสู่เกาะหมอก ก็ถูกนักเรียนฝึกหัดด้วยกันอิจฉา ถูกผลักไสและต้องแยกตัวออกไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว

 

ผู้ฝึกสอนยี่ชาก็ต้องการเอาชีวิตเธอ

 

เธอน่ะหรือคือคนที่โชคชะตาโปรดปราน?

 

ดูเหมือนว่ามันจะเกลียดเธอซะมากกว่า

 

ทว่าตัวตนที่มีชื่อเสียงอย่างจอมมารชุดคลุมเลือดเป็นคนเอ่ยปากออกมาด้วยตนเอง ฉะนั้นย่อมไม่มีทางที่เขาจะโกหก

 

ซูเซี่ยเอ๋อลังเลเล็กน้อย

 

จอมมารมองไปยังการแสดงออกทางสีหน้าของเธอ และในหัวใจของเขาก็ตระหนักถึงมันดี

 

จอมมารชุดคลุมเลือดยังคงกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อมาถึงเกาะหมอก โชคชะตาของพวกเขาจะถูกเขียนขึ้นใหม่”

 

“ชีวิตหรือความตาย , ความปรารถนาในหัวใจของเจ้า , การต่อต้านและเรียกร้องในโชคชะตา”

 

“ไม่ว่าเจ้าจะพึ่งพาเครื่องมือหรืออะไรก็ตาม นั่นคือของขวัญจากโชคชะตาที่ถูกเขียนขึ้นใหม่เพื่อมอบมันให้แด่เจ้า”

 

“มิฉะนั้นโชคชะตาจะคงจะทำลายตัวเจ้าไปแล้ว”

 

ซูเซี่ยเอ๋อฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว

 

ดูเหมือนว่าจอมมารชุดคลุมเลือดจะรู้สึกตัวว่าตนพูดมากไปเล็กน้อย เขาจึงโบกมือและกล่าว “เจ้าไปเถอะ จงไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทดสอบ”

 

“เจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านอาวุโสบังคับกฏ ขอบพระคุณท่านผู้ฝึกสอน”

 

ซูเซี่ยเอ๋อคำนับและค่อยเดินจากไปอย่างช้าๆ

 

เธอชะลอฝีเท้าลง และออกจากกรมบังคับกฏไปอย่างสงบ

 

หลังจากที่เธอจากไป

 

รูปปั้นยักษ์ก็หายไปทันที

 

ตลอดทั้งกรมบังคับกฏ หลงเหลือเพียงจอมมารชุดคลุมเลือดที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เพียงลำพังเท่านั้น

 

จอมมารนั่งอยู่เฉยๆ สักพักเขาก็พูดกับตัวเองว่า “ยังไม่ตาย แต่ร่างกายกลับให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายแรกเกิดใหม่ของโชคชะตา ช่างเป็นเด็กน้อยที่โชคดีเสียจริงๆ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อมุ่งหน้าไปยังห้องพักของตนเอง

 

การทดสอบของนักเรียนฝึกหัด สามอันดับแรกจะมีรางวัลพิเศษมอบให้

 

นั่นคือคนเหล่านั้นจะมีอิสระที่จะกำหนดอาจารย์ที่ปรึกษา แทนที่จะถูกคัดเลือกโดยผู้ฝึกสอนแทน

 

ดังนั้นสามตำแหน่งนี้จึงเป็นสิ่งยั่วยวน และแก่งแย่งกันของผู้คนนับไม่ถ้วน

 

ทุกประเภทและวิธีการต่างๆจะถูกนำออกมาใช้อย่างไม่รู้จบ

 

และตัวเธอเอง ในฐานะที่เป็นคนเดียวในรอบร้อยปีที่มายังเกาะหมอกแบบยังมีชีวิต ย่อมมีแนวโน้มที่จะได้รับหนึ่งในตำแหน่งนั้น

 

นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนอิจฉาตาร้อน

 

และพวกเขาย่อมที่จะคิดหาวิธีจัดการกับตัวเธออย่างแน่นอน

 

ถูกทำเย็นชาใส่ ขับไล่ผลักไส กีดกัน กระทั่งกลั่นแกล้งด้วยกำลัง

 

อย่างสุดท้ายก็คือ ในระหว่างทางที่เธอและกลุ่มเด็กสาวกำลังไปที่ห้องสมุด พวกนั้นก็หาทางทำให้นักเรียนทางการหันมาหาเรื่องเธอได้สำเร็จ

 

ถ้าไม่ใช่ว่านักเรียนคนนั้นต้องเข้าชั้นเรียนไปก่อนแล้วล่ะก็ เธอก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นต่อไป

 

โชคดีจริงๆที่เธอไม่ได้เลือกที่จะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ

 

พวกเด็กสาวกลุ่มนั้น สุดท้ายก็พลาดสะดุดขาตัวเองพ่ายแพ้ไป

 

บางทีวันนี้ หรือพรุ่งนี้ แมงมุมหุบเหวอาจจะกินพวกเธอ

 

—อาาาา ความรู้สึกที่ได้แก้แค้นอย่างสาสมใจนี่มันดีจริงๆ

 

รอยยิ้มพึงใจค่อยๆผุดขึ้นมาบนใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อ

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.343 – เด็กกำพร้าในเกาะหมอก(2)

 

เกาะหมอก

 

สถานที่ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรซากศพ และยังเป็นสถานที่เดียวในโลกทั้งใบที่มีผืนดิน

 

นอกจากนี้มันเป็นสถานที่เดียวในโลก ที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่อีกด้วย

 

แม้ว่าสภาพอากาศจะเย็น และอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศามาหลายปีแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็นที่เฝ้าฝันถึงของของทุกผู้คน

 

ในทุกโลก ตราบใดที่รู้ถึงที่ตั้งของมันและตระหนักถึงมัน จะต้องกระหายที่จะแสวงหามันอย่างแน่นอน

 

เพราะมันเป็นเกาะแห่งโชคชะตาในตำนาน

 

แต่น่าเสียดาย การที่คุณจะมาถึงที่นี่ได้ คุณจะต้องตายลงก่อนครั้งหนึ่ง

 

และยังเป็นความตายที่เจ็บปวดเสียด้วย

 

ทุกคนที่เข้ามายังโลกของเกาะหมอก จะปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางมหาสมุทรซากศพ

 

ในมหาสมุทร แน่นอนว่าย่อมเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ที่คอยยับยั้งขัดขวางผู้คนไม่ให้มาถึงที่นี่ได้

 

หลังจากถูกฆ่าตายโดยมอนสเตอร์ ร่างศพของผู้เดินทางก็จะลอยล่องอยู่ในทะเลลึก

 

และวิญญาณเจ้าของร่างจะถูกกักเอาไว้ในร่างศพ เฝ้าทนทุกข์กระทำสิ่งใดมิได้แม้กระทั่งหายใจในห้วงทะเลลึก

 

จนกระทั่งวันหนึ่งร่างศพได้หลุดพ้นจากกระแสน้ำทะเล และถูกพัดพามายังเกาะหมอก นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์แห่งโชคชะตา

 

เพราะเกาะหมอกจะมอบชีวิตใหม่ให้กับผู้ที่มาถึง แม้ว่าคนๆนั้นจะหลงเหลือเพียงร่างศพก็ตามที

 

เวลานี้ ซูเซี่ยเอ๋อก็อยู่ในเกาะหมอก

 

เธอมาถึงที่นี่เพราะเลือกที่จะบินเข้าไปในทะเลหมอก

 

และเธอมาถึงเกาะหมอก โดยที่ร่างกายมิได้ตกตายลง

 

นี่นับว่าเป็นเหตุการณ์พิสดารครั้งแรกในรอบร้อยปี

 

โชคของเธอทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนอิจฉาจนแทบบ้า

 

ไม่ต้องกล่าวถึงหลังจากการตรวจสอบเอกลักษณ์และคุณสมบัติของเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกาะหมอกมิอาจปฏิเสธได้

 

ครั้งหนึ่งพ่อแม่ของเธอเคยเสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อเกาะหมอก

 

แม้ว่าทั้งสองจะเป็นตัวตนที่ไม่โดดเด่น แต่พวกเขาก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อเกาะหมอก

 

ดังนั้น ลูกสาวของพวกเขา เด็กกำพร้าดวงดีที่มาพร้อมกับโชคชะตาแห่งปาฏิหาริย์นี้ แน่นอนว่าเกาะหมอกย่อมที่จะไม่ปฏิเสธ

 

ตอนนี้ซูเซี่ยเอ๋ออยู่ในห้องของอาจารย์ยี่ชา

 

“ในเมื่อเจ้าได้กลายเป็นนักเรียนของข้าแล้ว ก็มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าจำเป็นจะต้องเรียนรู้” หญิงชุดคลุมดำกล่าว

 

“นั่นคือการเพลิดเพลินกับความเจ็บปวด”

 

เธอยื่นมือออกไป และเริ่มจั่วไพ่ขณะเดียวกันก็เอ่ยว่า “มาลองดูกันว่าเจ้าจะได้รับการลงโทษแบบใดก่อนที่เจ้าจะตายลง …  เสียงที่ข้าได้ยินมันจะไพเราะขนาดไหนกันนะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบ

 

แบบนี้มันแย่แน่ๆแล้วไม่ใช่หรอ?

 

ทำไมช่วงเวลาตามแผนการที่เตรียมไว้มันถึงไม่เริ่มซะที?

 

ขณะที่เธอกำลังคิด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่าบนภูเขา

 

ซูเซี่ยเอ๋อลอบกำหมัดของเธออย่างลับๆ ในหัวใจกรีดร้องด้วยเสียงแห่งชัยชนะ

 

-ในที่สุด สิ่งที่เตรียมเอาไว้ก็มาถึง

 

“ใครกัน?” หญิงชุดดำเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ

 

ในอากาศ ความมืดมิดที่มองไม่เห็นผุดออกมาจากท้องฟ้า และพริบตานั้นประตูขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน

 

ตามด้วยชุดเกราะโบราณที่เดินเข้ามาเป็นสองทิวแถวพร้อมกับถือโล่เหล็กและดาบในมือ

 

ในเกราะ ไม่มีผู้ใดอยู่ภายใน

 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นเทคนิคมนตราไม่ทราบชนิด หรือไม่ก็คงเป็นเทคนิคเทียนซวน

 

ชุดเกราะย่ำฝีเท้ามาไม่หยุด ผ่านไปสักพักมันก็มาถึงด้านบนของเนินเขา

 

“ผู้ฝึกสอนยี่ชา ขออภัยที่รบกวน” เกราะส่งเสียงกฮึมฮัม

 

“ผู้บังคับกฏเช่นเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หญิงในชุดคลุมดำถาม

 

“เราสงสัยว่านักเรียนฝึกหัดได้กระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม” ชุดเกราะกล่าว

 

“โอ๊ะโอ? แล้วมันร้ายแรงมากหรือไม่?”

 

“อาจถึงขั้นต้องโทษประหารชีวิต” เกราะพูด

 

“เข้าใจแล้ว งั้นก็ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะ” หญิงชุดดำคิดเล็กน้อยและกล่าว

 

เมื่อได้รับอนุญาต สองชุดเกราะก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆซูเซี่ยเอ๋อ

 

“ซูเซี่ยเอ๋อสินะ?” ชุดเกราะถามเสียงหม่น

 

“ฉันเอง”

 

“กรมบังคับกฏต้องการเรียกเจ้าไปสอบสวน”

 

ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าขึ้น ในหัวใจของเธอเริ่มสงบ

 

นี่แหละ! มันเป็นสิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมาช้าไปหน่อยนะ ..

 

เธอกล่าว “ทำไมถึงเป็นฉันอีกแล้ว? ทำไมไม่ลงโทษพวกเธอที่กล่าวความเท็จตั้งหลายครั้งบ้าง? ทำไมอาจารย์ที่ดูแลพวกเธอถึงไม่ตำหนิพวกเธอบ้างเลย?”

 

ชุดเกราะกล่าว “เวลานี้เจ้าได้ก่ออาชญากรรมโทษถึงตาย ดังนั้นผู้ฝึกสอนทั้งเจ็ดจึงได้มาถึงแล้ว”

 

หญิงชุดคลุมดำเอ่ยถามด้วยความสนใจ “ถึงขั้นเรียกผู้ฝึกสอนทั้งเจ็ด แถมยังเป็นอาชญากรรมโทษถึงตาย .. ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำอะไรบางอย่างที่ข้าไม่รู้มาสินะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อหันไปมองเธอ และอ้อนวอน “ได้โปรดช่วยหนูด้วย”

 

หญฺิงชุดคลุมดำเดิมยังคงลังเลอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่เปรียบดั่งคำสารภาพนี้ เธอก็ยิ้มเยาะออกมาและโบกมือเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าควรจะไปยอมรับโชคชะตาของตนซะ ส่วนข้าจะคอยกังวลอยู่ห่างๆเอง”

 

“ซูเซี่ยเอ๋อ โปรดติดตามข้าไปยังกรมบังคับกฏแต่โดยดี มิฉะนั้นพวกเราคงต้องใช้กำลังพาตัวไป” ชุดเกราะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งงันไม่ตอบอยู่ครู่หนึ่ง  ชุดเกราะ7-8ตัวจึงเข้ารายล้อมเธอ ปิดหนทางจนเธอไม่มีโอกาสหลบหนีเลย

 

แต่ตรงกันข้าม ซูเซี่ยเอ๋อกลับมิได้ตื่นตระหนก

 

“กรุณานำทางฉันด้วย ฉันต้องการจะดูว่าพวกเขาจะจัดการกับฉันยังไง” เธอกล่าวอย่างสงบ

 

เธอเดินเข้าไปบนท้องฟ้าพร้อมกับชุดเกราะ และหายไปจากภูเขานี้

 

หญิงชุดดำยืนอยู่สักพัก ปากบ่นพึมพำ “กรมบังคับกฏ … จะไม่สามารถเข้าไปได้หากมิได้รับเชิญ หรือว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองแล้ว? แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

 

ออกจากห้องของผู้ฝึกสอนยี่ชา

 

ซูเซี่ยเอ๋อก็ตามชุดเกราะที่เดินเรียงกันประกบซ้ายขวาเธอเป็นสองแถวไป ข้ามผ่านบันไดเดิมที่ลอยอยู่ในอากาศ ขณะที่เบื้องล่างมันเป็นเหวลึก

 

สายลมเย็นพัดมาตลอดเวลา

 

เธอควบคุมร่างกายตัวเอง และพยายามที่จะหลบเลี่ยงสายตา ไม่มองลงไปยังมารแมงมุมยักษ์ที่อยู่ในก้นเหว

 

หลังจากเดินทางผ่านพ้นบันไดล่องหน ก็เป็นอุโมงค์ที่กว้างขวาง

 

ในทุกๆไม่กี่สิบเมตร คุณจะสามารถพบเห็นคบเพลิงที่ติดอยู่บนผนัง

 

พวกมันส่องสว่างในความมืด และปัดเป่าความเย็นชื้นในอากาศ

 

แม้ว่าจะมีเจ็ดผู้ฝึกสอนรออยู่ แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ยังคงเดินช้าๆ โดยไม่ใช้พลังแม้เพียงเล็กน้อย

 

นั่นเพราะมันเป็นกฏที่ต้องปฏิบัติตาม

 

เนื่องจากสถาบันตั้งอยู่ในอากาศ ดังนั้นอาคารทั้งหมดที่อยู่ภายใต้จึงถูกห้ามไม่ให้ใช้พลัง

 

นักเรียนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พลังในที่สาธารณะ

 

พื้นที่ที่จะสามารถใช้พลังได้ จะมีรายละเอียดอธิบายแบบเฉพาะเจาะจง

 

ด้วยวิธีนี้ สถาบันที่ซ่อนอยู่ในท้องฟ้าลึกของเกาะหมอก จึงไม่ดึงดูดมอนสเตอร์ที่ทรงพลังมาจากทั่วทุกมุมโลก

 

ซูเซี่ยเอ๋อใช้เวลาไปกว่าหนึ่งส่วนสี่ชั่วโมง จึงจะมาถึงกรมบังคับกฏ

 

กรมบังคับกฏเป็นสถานที่ขนาดใหญ่ เป็นสถาปัตยกรรมแบบกอธิคในยุดกลาง

 

เมื่อผลักประตูเปิดเข้ามา ก็จะพบกับทางเดินตรงที่ทอดยาว นำไปสู่บัลลังก์บนบันไดสูงอันห่างไกล

 

บนบัลลังก์ มีร่างแห้งกรังที่หัวห้อยตกลงมาอยู่

 

ร่างแห้งกรังแต่งกายในชุดเสื้อคลุมสีเลือด เอนตัวพิงพนักบัลลังก์ แน่นิ่งไม่ไหวติง

 

เบื้องหลังเขา คือเลือดมากมายดั่งธารน้ำ ส่งผลให้ฉากเบื้องหน้าของซูเซี่ยเอ๋อช่างดูงดงาม

 

ธารเลือดกินพื้นที่ทั้งหมดเบื้องหลังร่างแห้งกรัง เติมเต็มไปในทุกๆชั้นอากาศที่ว่างเปล่า ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน

 

กระแสเลือดไหลเชี่ยวในธารอย่างเงียบๆ ปะทะซัดสาดกันไปมา

 

ธารเลือดทั้งหมดไหลผ่านอยู่ในอากาศ และไม่เคยตกลงบนพื้น

 

ชายผู้ที่มีธารเลือดอยู่เบื้องหลังผู้นี้

 

คือตัวตนในตำนานของสถาบัน

 

เขาคือจอมมารชุดคลุมเลือด อาวุโสบังคับกฏแห่งสถาบัน

 

ในทั้งสองฟากฝั่งระหว่างเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่บัลลังก์เลือด มีรูปปั้นมากมายวางเรียงรายกันอยู่

 

รูปปั้นเหล่านั้นมีลักษณะและท่าทีที่แตกต่างกัน และให้ความรู้สึกดุร้าย

 

มีผู้หญิงหลายคนที่สวมใส่ชุดคลุมยาวยืนอยู่ตรงใจกลาง ทั้งหมดแน่นิ่งไม่ไหวติง และกำลังปลดปล่อยบรรยากาศน่ากลัวออกมา

 

เมื่อพวกเธอเห็นซูเซี่ยเอ๋อเดินเข้ามา จู่ๆทั้งหมดก็เงยหน้าขึ้นมองเธอทันทีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความความทะนงตน

 

ชุดเกราะสองแถวย่อเข่าลงข้างหนึ่ง เอ่ยรายงาน “ท่านอาวุโสบังคับกฏ อาวุโสทั้งเจ็ด พวกเราได้นำคนมาตามคำสั่งแล้ว”

 

ร่างแห้งกรังบนบัลลังก์ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อยและกล่าว “ออกไปได้”

 

“รับทราบ”

 

ชุดเกราะยืนขึ้นเล็กน้อย โค้งคำนับ หันหลังกลับและออกจากกรมบังคับกฏไป

 

“ซูเซี่ยเอ๋อ”

 

จอมมารชุดคลุมแดงเอนหลังพิงพนัก ปากเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้าได้ก่ออาชญากรรมที่มีโทษทัณฑ์ถึงตาย ตอนนี้มีอะไรจะโต้แย้งหรือไม่?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองอีกฝ่ายโค้งคารวะตามพิธี

 

เธอเอ่ย “หนูยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอาชญากรรมที่ว่านั่นมันคืออะไร”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว “ลอบเรียนรู้วิชาชั่วร้าย”

 

ซูเซี่ยเอ๋อหัวเราะและกล่าวว่า “วิชาชั่วร้าย? หนูไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาชั่วร้ายมาก่อนเลย”

 

“แต่มีบางคนสังเกตเห็นว่าเจ้ากำลังอ่านวิชาชั่วร้ายที่ว่านั่น” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว

 

“เช่นนั้นโปรดให้ ‘พวกเธอ’ ออกมาเผชิญหน้ากับหนู” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

เมื่อเห็นเธอดูจะมั่นใจมาก การแสดงออกของจอมมารชุดคลุมเลือดก็แลดูจะผ่อนคลายลง เขากล่าว “พวกเจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?”

 

เด็กสาวหลายๆคนที่ยืนอยู่ในมุมๆหนึ่งต่างกันมามองหน้ากันและกัน

 

“คืนหนึ่ง ในช่วงที่เรากำลังพักผ่อน หนูเห็นเธอถือสมุดเล่มเล็กๆ และตั้งใจอ่านมันอย่างขมักเขม้นชนิดที่ว่าเธอไม่ทันสังเกตถึงตัวหนูที่เดินเข้าไปใกล้เลยด้วยซ้ำ” เด็กสาวกล่าว

 

เด็กสาวอีกคนพูดต่อ “หนูบังเอิญเห็นหนึ่งในคำไม่กี่คำที่อยู่ในมุมสมุดเล่มเล็กๆของเธอ”

 

“มันคือคำว่าอะไร?” จอมมารถาม

 

“ขอบเขตฝึกยุทธ จะแบ่งออกเป็นหลายส่วน คือ ปราณปรับแต่งแล้วก็ก่อตั้ง” เด็กสาวตอบ

 

ทันใดนั้น ในแถวที่เรียงรายไปด้วยรูปปั้นมากมาย มีเจ็ดรูปปั้นที่เปิดปากพูดอออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

“วิชาชั่วร้าย”

 

“วิชาชั่วร้าย”

 

“วิชาชั่วร้าย”

 

“วิชาชั่วร้าย”

 

“วิชาชั่วร้าย”

 

“วิชาชั่วร้าย”

 

“วิชาชั่วร้าย”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดเปล่งเสียงตะโกนที่ฟังดูดุร้าย “ซูเซี่ยเอ๋อ! การเรียนรู้วิชาชั่วร้ายคืออาชญากรรม! เจ้ามีอะไรจะโต้แย้งหรือไม่?”

 

กระบี่ยาวสนิมเขรอะผุดออกมาในอากาศ แม้จะลอยอยู่นิ่งๆ แต่ปลายแหลมของมันกลับจี้มายังทิศทางที่เธอยืนอยู่

 

และมีเสียงร่ำไห้นับไม่ถ้วนดังออกมาจากกระบี่

 

เหล่าเด็กสาวมองหน้ากันและกัน และเห็นถึงความตื่นเต้นในแววตาของอีกฝ่าย

 

มนุษย์ที่สามารถมาถึงเกาะหมอกได้ทั้งๆที่มีชีวิต กำลังจะตายลง

 

พวกเธอหันไปดูซูเซี่ยเอ๋ออีกครั้ง และต้องการที่จะชื่นชมสีหน้าหวาดกลัว ตื่นตระหนกก่อนที่อีกฝ่ายจะสิ้นใจ

 

ทว่าซูเซี่ยเอ๋อกลับยิ้มออกมาอย่างสงบ และพูดอย่างใจเย็น “คืนหนึ่ง ในช่วงที่หนูกำลังพักผ่อน หนูเห็นพวกเธอหลายคนเดินไปด้วยกันพร้อมกับถือสมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งเอาไว้ และตั้งใจอ่านมันอย่างขมักเขม้น หนูก็เลยแอบตามไปดู และบังเอิญเห็นหนึ่งในคำไม่กี่คำที่อยู่ในมุมสมุดเล่มเล็กๆของพวกเธอ ‘ขอบเขตฝึกยุทธ จะแบ่งออกเป็นหลายส่วน คือ ปราณปรับแต่งแล้วก็ก่อตั้ง …’ ”

 

“พวกเธออาจจะกลัวว่าหนูจะเอามาฟ้อง ดังนั้นพวกเธอจึงเริ่มลงมือก่อน ใส่ร้ายหนู เล่าความเท็จแก่อาวุโส”

 

เด็กสาวๆหลายคนโพล่งออกมาทันที “นั่นแกกำลังพล่ามอะไรไร้สาระ!”

 

“ผายลม!”

 

“เห็นอยู่ชัดๆว่านั่นมันแกต่างหาก!”

 

ซูเซี่ยเอ๋อไขว้สองมือของเธอไว้ด้านหลัง และเอ่ยปากกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีสบายๆ “ความจริงก็เป็นเช่นนี้”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดเงียบไปเล็กน้อย

 

ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนเอาสิ่งที่ตนกระทำไม่เหมาะสม มาหลอกลวงเขาที่เป็นถึงผู้บังคับกฏและผู้ฝึกสอนทั้งเจ็ด เพื่อให้ตนมีชีวิตรอด

 

เขาเปล่งเสียงหัวเราะที่ฟังแลดูเศร้าๆออกมาและ เอ่ยว่า “ใครก็ตามที่กล้าหลอกเรา ราคาที่มันต้องจ่ายจะไม่ใช่แค่ความผิดทางอาญา”

 

เขายื่นมือออกไปและแตะม้วนคัมภีร์บนบัลลังก์

 

นั่นคือม้วนคัมภรี์สีเลือด

 

“ซูเซี่ยเอ๋อจงอย่าต่อต้าน”

 

หลังจากจอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว เขาก็โยนม้วนคัมภีร์ออกไปเบาๆ

 

ม้วนคัมภีร์ถูกเผาไหม้ แต่ทว่ามิได้เป็นเถ้าถ่าน พวกมันแตกกระจายเป็นด้ายเลือด หมุนวนไปรอบๆตัวซูเซี่ยเอ๋อก่อนที่จะบินกลับมาบนบัลลังก์

 

ตามด้วยสมุดเล่มเล็กที่ปรากฏขึ้นในมือของจอมมารชุดคลุมเลือด

 

“ในห้องของเจ้า มีสมุดเล่มเล็กๆนี่ซ่อนอยู่” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว

 

“สมุดเล่มนั้นแหละ!” เหล่าเด็กสาวตะโกนเสียงดังฟังชัด

 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

 

จอมมารชุดคลุมเลือดคว้าสมุดเล่มนั้น แล้วพลิกมันอ่านในมือของเขา

 

ทันใดนั้นเสียงของเขาก็อ่อนโยนลงอย่างกระทันหัน “พ่อแม่ของซูเซี่ยเอ๋อถูกฆ่าตายในสงคราม และเสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อสถาบัน”

 

“สมุดเล่มนี้ คือบันทึกในชั้นเรียนของแม่เธอ”

 

“ข้าจดจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้น – เธอเป็นนักเรียนที่ฉลาด .. ขอข้าดูมันอย่างรอบคอบอีกสักครู่ … ”

 

“มิผิดแล้ว ในชั้นเรียน มันมีเนื้อหาที่สอนเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของแต้มพลังวิญญาณจากทุกโลกอยู่”

 

“ในเวลานั้น จริงๆแล้วข้าเองที่เป็นผู้สอน ที่รู้ก็เพราะว่าในบันทึกนี้เขียนถึงความเข้าใจและมุมมองของข้าเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดแต้มพลังวิญญาณของโลก แต่เด็กสาวในตอนนั้นกลับจดจำมันได้ และเขียนทุกอย่างลงไป”

 

น้ำเสียงของจอมมารชุดคลุมเลือดดูจะอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

 

“คำถามและคำตอบของข้า อืม.. ถูกต้อง ข้ามักจะตอบอธิบายไปแบบนี้ … ”

 

“ช่างเป็นนักเรียนที่ดีจริงๆ”

 

จอมมารชุดคลุมเลือดถอนหายใจด้วยอารมณ์ เขาปิดสมุดเล่มเล็กๆ แล้วหันไปมองซูเซี่ยเอ๋อ

 

*(ถ้าท่านงง จะมีเฉลยปมต่างๆในตอนต่อๆไป)

2 ตอน เสาร์-อาทิตย์

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.342 – เด็กกำพร้าในเกาะหมอก(1)

 

บางที ฉันคงกำลังจะตาย …

 

หลังจากที่ซูเซี่ยเอ๋อเขียนประโยคนี้เสร็จ ปลายปากกาของเธอก็หยุดลง

 

แสงไฟสลัวๆสะท้อนให้เห็นถึงผนังกำแพงสีขาวราวหิมะ

 

บนผนัง มีหลุมสีดำขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือปรากฏขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

แหวนวงหนึ่งปรากฏออกมาจากรูที่ว่านั่น และสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง

 

หลังจากที่พบว่าทุกอย่างโอเค โดยที่ไม่รู้ว่าเจ้าแหวนนั่นใช้วิธีอะไร แต่มันก็สามารถปิดผนึกหลุมดำเบื้องหลังเธอให้หายไปได้อย่างง่ายดาย

 

เมื่อผนังกลับมาเป็นสีขาวหิมะล้วนอีกครั้ง แหวนก็ร่วงตกลงมา มันกระดอนไปบนโต๊ะ ก่อนจะทำการปรับสมดุลแล้วหยุดนิ่ง

 

“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง” ซูเซี่ยเอ๋อถามเสียงกระซิบ

 

แหวนลดเสียงลงและตอบกลับไปว่า “ ‘พวกเธอ’ ไม่รู้ตัวเลย ดูเหมือนว่าฉันจะทำสำเร็จแล้ว”

 

“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากในครั้งนี้นะ”

 

“ยังมีเวลาเหลือหรือเปล่า?” แหวนถาม

 

ซูเซี่ยเอ๋อประสานสองมือของเธอเข้าด้วยกัน ปากเอ่ยอธิษฐานว่า “ฉันหวังว่าจะมีเวลามากพอ”

 

ด้านนอก ปรากฏเสียงเคาะดังขึ้นทันใด

 

และแหวนก็ไม่ส่งเสียงใดๆอีก

 

ซูเซี่ยเอ๋อกัดริมฝีปากของเธอ และปิดไดอารี่ลง

 

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อทำให้อารมณ์ของตัวเองกลับมามั่นคง

 

“มีเรื่องอะไรหรอ?” เธอเอ่ยถาม

 

เสียงเล็กๆของผู้หญิงดังลอดผ่านบานประตูมา “ผู้ฝึกสอนยี่ชาต้องการที่จะพบเธอภายในหนึ่งชั่วโมงนี้”

 

“เข้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

 

เสียงฝีเท้าค่อยๆห่างออกไปจากบานประตู พร้อมกับเสียงสนทนาที่แผ่วเบาเนื่องจากกระซิบ

 

“ช่างเป็นมนุษย์ที่โชคดีโดยแท้”

 

“ใช่ คงจะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมท่านผู้ฝึกสอนยี่ชาถึงโปรดปรานเธอ”

 

“ฮึ! นั่นมันไม่ใช่เพราะว่าเธอสามารถมาที่เกาะนี้ได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกหรือ?”

 

“คอยดูต่อไปในระยะยาวเถอะ ฉันว่าเธอต้องคอยเลียแข้งเลียขาผู้ฝึกสอนแน่ๆ คนประเภทนี้แหละน่ารังเกียจที่สุด”

 

เสียงค่อยๆไกลออกไป

 

ซูเซี่ยเอ๋อกอดสมุดไดอารี่ไว้ในอ้อมอก และนิ่งไปหลายลมหายใจ

 

แม้จะบอกว่าภายในหนึ่งชั่วโมง แต่มันใช้เวลาพอสมควรกว่าจะไปถึงสถานที่ๆผู้ฝึกสอนยี่ชาอยู่ ดังนั้นเธอคงต้องออกไปทันที

 

เวลาค่อนข้างรวบรัด

 

ซูเซี่ยเอ๋อเริ่มแต่งตัว และพร้อมที่จะออกไป

 

ตัวเองเป็นเด็กใหม่ที่ยังไม่ได้ถูกนับว่าเป็นนักเรียนด้วยซ้ำ แต่กลับถูกเรียกตัวไปโดยผู้ฝึกสอนที่ทรงพลัง

 

ต้องรีบแล้ว

 

ถ้าไปสาย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ยังคงเลือกที่จะใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการเขียนประโยคที่สองลงบนไดอารี่

 

“ฉันหวังว่าทุกอย่างมันจะมีเวลามากพอ”

 

แล้วสมุดไดอารี่ก็ถูกปิดลง พร้อมกับซูเซี่ยเอ๋อที่ลุกขึ้นและเดินออกไป

 

“เธอตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเกินไป พาฉันไปด้วยเถอะ” จู่ๆแหวนก็เปล่งเสียงออกมา

 

ซูเซี่ยเอ๋อขบคิดเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง ก่อนจะหยิบแหวนขึ้นมา

 

แหวนวงนี้พิเศษมาก ถ้ามันถูกค้นพบโดยผู้ฝึกสอนยี่ชา มันอาจจะถูกยึดไปเลยก็ได้

 

ผู้ฝึกสอนยี่ชามักจะมีวิธีค้นหาสิ่งที่อยู่บนร่างกายของเธออยู่เสมอ

 

และโชคดีที่ในครั้งก่อนๆเธอตื่นตัวและฉลาดพอที่จะซ่อนสมุดเล่มเล็กๆเอาไว้ได้

 

แต่แหวนนี่ …

 

“คุณสามารถเปลี่ยนเป็นแหวน … อ่า .. อะไรก็ได้ที่มันกลมๆและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดจะได้ไหม?” เธอเอ่ยถาม

 

“ได้สิ”

 

ขณะพูด ตัวแหวนก็เปลี่ยนเป็นสีดำ

 

ซูเซี่ยเอ๋อหยิบมันขึ้นมา และลองเล่นมัน

 

ในเรื่องความยืดหยุ่นนับว่าพอใช้ได้

 

ว่าแล้วเธอก็ใช้แหวนนาโนผูกผมตัวเองเป็นทรงหางม้า

 

“ไปกันเถอะ”

 

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และมองรอบห้องพักของเธอ

 

ที่นี่มีเพียงเตียงเดี่ยว และโต๊ะเล็กๆเท่านั้น

 

ซูเซี่ยเอ๋อมีชีวิตอยู่มานานนับหลายปี แต่เธอไม่เคยอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ต่ำต้อยเช่นนี้มาก่อนเลย

 

แต่ในสายตาของเธอกลับไม่ได้รังเกียจมัน แต่เป็นตรงกันข้าม

 

นี่เป็นพื้นที่เล็กๆของเธอ ไม่ต้องมีข้อพิพาทโต้แย้ง ไม่มีการตีตรา ตีกรอบ และไม่มีใครเข้ามารบกวน

 

ในที่แห่งนี้ เธอสามารถใช้เวลาพักหายใจได้ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

 

—ฉันไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งไหม

 

ซูเซี่ยเอ๋อถอนหายใจและปิดประตูลงอย่างช้าๆ

 

ด้านนอกประตู เป็นฉากที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

 

ท้องฟ้ามืดมิด

 

กระท่อมชั้นเดียวและดูเรียบง่ายถูกจัดวางเรียงๆกันเป็นแถว

 

ที่นี่คือสถานที่ที่นักเรียนฝึกหัด , คนกวาดขยะ , พ่อครัว , พ่อบ้าน , ยาม ฯลฯ อาศัยอยู่

 

คุณจะสามารถออกจากที่นี่ได้ หากคุณได้กลายมาเป็นนักเรียนอย่างเป็นทางการ

 

ซูเซี่ยเอ๋อเดินไปตามถนนที่ถูกปูด้วยเศษหินและเศษอิฐ มุ่งหน้าไกลออกไป

 

แต่ละก้าวเดินของเธอรวดเร็วมาก

 

หลังจากผ่านสระน้ำพุขนาดเท่าสนามฟุตบอล และรูปปั้นที่สูงกว่าหลายสิบเมตร เธอก็เดินขึ้นไปตามบันไดหินอ่อนและมาถึงขอบหน้าผาในที่สุด

 

คบเพลิงลุกพรึบขึ้นโดยอัตโนมัติ และตกลงในมือของซูเซี่ยเอ๋อ

 

กู่ฉิงเอ๋อก้มลงมองไปยังใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง

 

และพบกับขั้นบันไดแคบๆขั้นหนึ่งโผล่ออกมาอย่างเงียบๆ

 

นอกเหนือจากขั้นบันไดแล้ว เบื้องล่างมันคือเหวลึก

 

วิธีการใช้เส้นทางสายนี้ คือจะต้องไม่หันหลังมองย้อนกลับไป , ไม่ก้มหัวลงมองเบื้องล่าง ,  ไม่ได้รับอนุญาตให้พักเป็นเวลานาน … มันอนุญาตให้แค่เพียงก้าวไปข้างหน้า ก้าวต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น

 

ไม่ว่าใครก็ตามที่ละเมิดกฏเหล่านี้ จะต้องถูกกลืนกินโดยมอนสเตอร์ในสายหมอก และหายไปจากโลกใบนี้ตลอดกาล

 

ซูเซี่ยเอ๋อสูดลมหายใจและเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้าในทิศทางหน้าผา

 

ทันทีที่ก้าวไป บันไดขั้นใหม่ก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าเธอ

 

เมื่อเธอก้าวเดินไปอีกก้าว ขั้นบันไดเบื้องหลังที่เคยรองรับเท้าของเธอก็หายไป – นี่คือที่มาของกฏที่บอกว่าห้ามหันหลังย้อนกลับไป

 

ซูเซี่ยเอ๋อก้าวออกไปในอากาศ ทีละขั้น ทีละขั้น เดินไปท่ามกลางสายหมอกหนาที่ปกคลุมทุกสิ่งอย่าง

 

เธอยังคงสงบ และถือคบเพลิงในมือ

 

มันเพียงพอที่จะใช้สำหรับให้ความอบอุ่นเท่านั้น

 

เพราะอุณหภูมิในหมอกหนา เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนถูกแช่แข็งจนตายในพริบตา ทว่าหากมีคบไฟนี้ มันจะช่วยแยกอากาศเย็นให้กระจายออกไปโดยอัตโนมัติ

 

เดินต่อไป ก้าวไปอย่างต่อเนื่อง

 

หมอกสีเทาหนาแน่น ปกคลุมไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก

 

ในวิสัยทัศน์ของซูเซี่ยเอ๋อ เธอมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอก

 

ผ่านไปสักพักหนึ่ง จู่ๆเธอก็นึกไปถึงบางสิ่ง และเริ่มใจเสาะขึ้นมาเล็กน้อย

 

เพราะนี่มันเป็นเหมือนกันกับสถานการณ์เดิมของเธอเลย

 

ทิ้งชะตากรรมที่ผ่านมาในอดีต ทิ้งครอบครัวที่น่าเกลียด เธอมาที่นี่เพื่อค้นหาชีวิตใหม่

 

อย่างไรก็ตาม ในหมอกเบื้องหน้า กลับยังมีอีกหลายคนที่จ้องจะเอาชีวิตเธอ นี่มันไม่แตกต่างไปจากเดิมเลยมิใช่หรือ?

 

ราวกับมีเงามืดคอยปกคลุมเวียนวนอยู่รอบตัว มิอาจหลุดพ้นหรือหลบหนีจากมันไปได้เลย

 

ตราบใดที่คุณประมาท ไม่ระมัดระวัง โชคชะตาของคุณก็จะพบกับความโหดร้าย!

 

วิถีทางสายนี้ที่เธอเลือกเดิน มันช่างขมขื่นและน่าเจ็บปวดโดยแท้

 

ซูเซี่ยเอ๋อหยุดฝีเท้า ยืนอยู่ท่ามกลางหมอกหนา

 

ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

 

ทันใดนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ มันดูราวกับว่าหมอกกำลังพลุ่งพล่าน ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างขนาดใหญ่กำลังใกล้เข้ามา – นี่คือกฏที่ไม่อนุญาตให้ผู้ที่เดินทางหยุดพัก!

 

ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองมัน สูดลมหายใจอีกสองสามเฮือก และยื่นมือออกมาแตะลงบนหัวตัวเองแบบที่คนๆหนึ่งเคยทำกับเธอ

 

สองเท้าเริ่มก้าวเดินต่อไปอีกครั้ง

 

ด้วยการกระทำเมื่อครู่ ส่งผลให้เธอสามารถเรียกความกล้ากลับคืนมามากพอที่จะเดินไปท่ามกลางความว่างเปล่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาได้

 

สิ่งนิรนามพวกนั้นรู้สึกได้ถึงการกระทำของเธอ มันไล่ติดตามอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆล่าถอยไปอย่างช้าๆ

 

ซูเซี่ยเอ๋ออ้าปากถอนหายใจเล็กน้อย

 

‘อันตรายจริงๆ เกือบไปแล้วสิ’

 

เธอพยายามที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง และก้าวเดินลึกเข้าไปในท้องฟ้า

 

หลังจากผ่านพ้นไปหลายสิบนาทีต่อมา

 

ในที่สุด ช่วงเวลาหนึ่ง คบไฟในมือของเธอก็วูบไหว

 

ซูเซี่ยเอ๋อหยุด และปล่อยคบเพลิงในมือของเธอไป

 

คบเพลิงลอยออกไป หายลึกเข้าในหมอก

 

“เคร้ง!”

 

คบเพลิงดูเหมือนว่าจะไปติดอยู่กับอะไรบางอย่าง

 

มันส่งเสียงดังก้องอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่หมอกหนาเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อจะแยกออกจากกัน

 

ซูเซี่ยเอ๋อสามารถมองเห็นทางเดินฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน

 

นี่ไม่ใช่ประตูทางเข้าหลัก แต่เป็นทางเข้าลับที่ถูกซ่อนอยู่

 

ซูเซี่ยเอ๋อเดินเข้าไปข้างใน

 

ผนังด้านหลังเธอวูบหายไปทันทีที่เธอเดินเข้ามา

 

ซูเซี่ยเอ๋อก้มศีรษะของเธอลง และยกคอเต่าของชุดเธอขึ้นมาปิดหน้า หลงเหลือทิ้งไว้เพียงส่วนเหนือจมูกขึ้นไป จากนั้นก็เดินไปตามทาง มุ่งหน้าตรงไปยังจตุรัส

 

และเธอก็ยังยกฮู้ดที่อยู่เบื้องหลังขึ้นมาสวมใส่อีกด้วย

 

นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนทางการเห็นว่าเธอมาปรากฏตัวขึ้น มันเป็นวิธีการขั้นพื้นฐานที่สุดในการป้องกันตัวเอง

 

ครั้งก่อนที่เธอมาที่นี่ นักเรียนทางการเห็นเธอ และพยายามลากเธอให้ออกมาสารภาพ

 

ทว่าเสียงระฆังชั้นเรียนดันดังขึ้นเสียก่อน

 

นักเรียนทางการจึงต้องถูกบังคับให้หยุดการกระทำลง และเอ่ยถามชื่อของเธอ ก่อนที่จะเดินจากไปด้วยดวงตาขุ่นเขียว

 

เดชะบุญจริงๆในครั้งนั้น

 

มิฉะนั้น ซูเซี่ยเอ๋อคงทำได้เพียงทุ่มเต็มกำลังสังหารอีกฝ่าย หรือไม่ก็ฆ่าตัวตายเท่านั้น

 

หลังจากปล่อยให้ผู้คนเดินผ่านไป ซูเซี่ยเอ๋อก็รีบก้าวตรงไปยังด้านหนึ่งของสุดปลายทางเดินอย่างรวดเร็ว … ในที่สุดเธอก็มาถึงที่หมายเสียที

 

มันยาวนานราวกับใช้เวลาเดินทางนับศตวรรษ สุดท้ายแล้วซูเซี่ยเอ๋อก็โล่งใจในที่สุด

 

ในสุดปลายทางเดิน จตุรัสปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ

 

มีสิ่งแปลกๆมากมายหลายอย่างลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ

 

ม้วนคัมภีร์ , ไพ่ , นาฬิกาทราย , ชุดคลุม , หนังสือสีดำ แขนขาของสัตว์ที่ไม่ทราบชนิด , กิ่งไม้ที่ลอยอยู่ในอากาศ …

 

ทุกอย่างที่นี่เป็นตัวแทนที่แสดงถึงพลังของเหล่าผู้ฝึกสอน มันคือตัวแทนของพวกเขา

 

ทว่ากลับมีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ลอยเด่นสะดุดตาอยู่ใจกลาง แลคล้ายกับทั้งสองถูกรายล้อมไปด้วยดาวบริวาร

 

หนึ่งคือฟันขนาดใหญ่ที่ส่งกลิ่นอายไม่ดีออกมา

 

อีกหนึ่งคือม้วนคัมภีร์สีเลือด

 

พวกเขาก็เป็นผู้ฝึกสอนของที่นี่เช่นกัน ทว่ากลับครอบครองตำแหน่งใจกลางของจตุรัสทั้งหมด

 

นั่นคือคณบดี และอาวุโสบังคับกฏ

 

ถ้าหากนักเรียนต้องการพบเจอกับผู้ฝึกสอนคนใด ก็เพียงแค่เดินไปสัมผัสกับสิ่งที่เป็นตัวแทนพลังของผู้ฝึกสอนเหล่านี้ ก็จะสามารถไปยังตำแหน่งของผู้ฝึกสอนได้ทันที

 

ซูเซี่ยเอ๋อถอนสายตากลับมามองเป้าหมายของตัวเองจากในตัวแทนพลังของผู้ฝึกสอนทั้งหลายตรงหน้า

 

อย่างรวดเร็ว เธอก็มองเห็นไพ่ขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึงระดับมนุษย์สองคนยืนเรียงกัน

 

บนหน้าไพ่ ปรากฏหญิงงามที่มีผมเป็นงู กำลังถือโล่ขนาดใหญ่ยืนอยู่บนเส้นทางที่คดเคี้ยว

 

ราวกับรับรู้ถึงการจ้องมองของซูเซี่ยเอ๋อ หญิงงามผมงูหันหน้ามาสบตากับเธอ

 

ซูเซี่ยเอ๋อก้าวไปข้างหน้า โค้งเคารพหญิงงามที่มีผมเป็นงูและกล่าวว่า “หนูมาหาที่ผู้ฝึกสอนยี่ชา”

 

หญิงงามผมงูผงกหัวเล็กน้อย และเดินปลีกตัวออกไปด้านข้าง

 

เธอเปิดเส้นทางให้แก่ผู้มาเยือน

 

และซูเซี่ยเอ๋อก็เดินเข้าไปในไพ่

 

จากด้านข้างของหญิงงามผมงู จะเห็นว่าซูเซี่ยเอ๋อกำลังก้าวเดินต่อไปตามถนนที่คดเคี้ยวเบื้องหน้า

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูเซี่ยเอ๋อก็ปีนขึ้นมาบนภูเขา

 

ที่ด้านบนยอดเขา ปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดสีดำยืนหันหลังให้แก่เธอ สาดสายตามองไกลออกไปจากริมขอบหน้าผา

 

พร้อมด้วยกระดานวาดภาพที่ลอยอยู่เงียบๆเบื้องหน้าหญิงสาวในชุดดำ

 

หญิงสาวในชุดดำมองออกไปในป่าด้านนอกภูเขา คว้าแปรงพู่กันขึ้นมา และเริ่มวาดเส้นเงาลงบนกระดานภาพ

 

หมอกอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมรอบตัวผู้ฝึกสอน ทำให้ยากที่จะเห็นรูปร่างและหน้าตาของเธอได้อย่างชัดเจน

 

แต่คู่ปีกสีขาวที่อยู่ข้างหลังเธอ กลับไม่สามารถถูกหมอกดำปิดซ่อนมันได้

 

รัศมีแสงสว่างไสวลอยอยู่เหนือศีรษะของเธออย่างเงียบๆ และตรงจุดนี้ช่างดูโดดเด่นและดึงดูดความสนใจมากเป็นพิเศษ

 

เพราะมันทำให้เธอดูราวกับเป็นนางฟ้า นางสวรรค์ในตำนาน

 

“รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบผู้ฝึกสอนยี่ชา” ซูเซี่ยเอ๋อคารวะ

 

หญิงในชุดดำไม่หันกลับมา เธอยังคงหันหน้าไปทางป่ารกร้างเบื้องล่าง และวาดรูปต่อไปอย่างพิถีพิถัน

 

เธอไม่ได้อ้าปากพูด ดังนั้นซูเซี่ยเอ๋อจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ

 

มันใช้เวลาอยู่นานกว่าที่หญิงในชุดดำจะหยุดฝีแปรงลงและเอ่ยถามว่า “พรุ่งนี้จะเป็นการทดสอบอย่างเป็นทางการ เจ้ามั่นใจว่าจะผ่านมันไปได้หรือไม่?”

 

“ไม่ แต่หนูจะลองพยายามดู” ซูเซี่ยเอ๋อสารภาพออกไปตามความจริง

 

“ถ้าไม่มีความมั่นใจ การกระทำของเจ้าก็เปรียบดั่งการรีบร้อนไปตายเท่านั้น”

 

“แต่หนูก็ยังอยากที่จะพยายาม”

 

หญิงในชุดดำมองทิวทัศน์ที่ไกลห่างออกไป มือคว้าจับแปรงพู่กัน และเริ่มวาดภาพอีกครั้ง

 

แล้วจู่ๆเธอก็เอ่ยออกมาว่า “นับจากนี้ไป เจ้าจะกลายมาเป็นลูกศิษย์ของข้า”

 

ซูเซี่ยเอ๋อตกอยู่ในความเงียบงัน มิตอบสนองไปครู่หนึ่ง

 

การเป็นสานุศิษย์ของผู้อื่นมิใช่เรื่องดีซะทีเดียว

 

เพราะผู้ฝึกสอนจะมีอำนาจเด็ดขาด และสามารถสังหารสานุศิษย์ของพวกเขาได้

 

แต่ในขณะเดียวกัน นักเรียนฝึกหัดที่ไม่ได้มีผู้ฝึกสอนเป็นที่ปรึกษาใดๆ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ถูกฆ่าตายได้โดยง่ายดาย

 

และขณะนี้ ซูเซี่ยเอ๋อก็คือนักเรียนฝึกหัด

 

สถานะปัจจุบันของเธอ คือปราการชั้นสุดท้ายที่มีไว้ใช้ปกป้องตนเอง

 

เมื่อคุณกลายเป็นลูกศิษย์ของอีกฝ่าย บุคคลอื่นๆก็จะไม่ถามไถ่หรือสนใจเกี่ยวกับชีวิตและความตายของเธออีก

 

หญิงชุดดำเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ เธอจึงหัวเราะออกมา “เพียงเพราะเจ้าสามารถมายังเกาะนี้ได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงรังเกียจที่จะรับผู้ฝึกสอนที่ตายไปแล้ว จึงมาถึงที่เกาะหมอกนี้ได้อย่างงั้นใช่ไหม?”

 

หมอกสีดำกระชากออกมาจากร่างกายผู้ฝึกสอนอย่างรวดเร็ว

 

ซูเซี่ยเอ๋อรีบตอบกลับไปทันที “หนูไม่กล้า มันไม่ใช่แบบนั้น”

 

เธอไม่ได้เป็นนักเรียนทางการ ดังนั้นหากเธอเอ่ยคำดูถูกหรือแสดงการกระทำแบบนั้นออกมากับผู้ฝึกสอน อีกฝ่ายก็จะสามารถฆ่าเธอได้อย่างสัตย์ซื่อ

 

และจะไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเธอได้เลย

 

“เช่นนั้นมันเป็นเพราะอะไร?” หญิงชุดคลุมดำถาม

 

“หนูแค่ต้องการที่จะพิจารณาเกี่ยวกับมันอีกครั้ง” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

“พิจารณา? ไม่จำเป็นต้องพิจารณาอะไรอีก” หญิงชุดดำกล่าว

 

เธอเอ่ยอย่างหงุดหงุด “ข้าจะให้เวลาเจ้านาทีสุดท้าย หากเจ้ายังไม่ต้องการ แม้ว่าข้าจะต้องถูกลงโทษในภายหลัง แต่ข้าจะฆ่าเจ้าซะเดี๋ยวนี้เลย”

 

ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ ทำให้ตาข่ายที่คอยแยกกั้นระหว่างทั้งสองพังทลายลงในที่สุด

 

ใช่แล้วล่ะ

 

หากข้าต้องการชีวิตเจ้า

 

เจ้ามันจะไปทำอะไรได้?

 

แม้หญิงชุดคำจะพูดกับซูเซี่ยเอ๋อ แต่ในมือของเธอก็ยังคงปาดแปรงลงบนกระดานภาพต่อไป

 

การฆ่า ดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น

 

และเธอก็ขี้เกียจเกินไปที่จะหันกลับไปมองซูเซี่ยเอ๋อ แม้เพียงวูบหนึ่ง

 

ซูเซี่ยเอ๋อบีบกำปั้นของเธอ

 

เร็วเข้า

 

เร็วอีกหน่อยสิ!

 

นี่มันยังไม่ ‘ถึงเวลานั้น’ อีกหรอ?

 

บนภูเขา มีเพียงสายลมหนาวที่พัดโชยต่อเนื่องเท่านั้น

 

หนึ่งนาทีกำลังจะผ่านพ้นไปในไม่ช้า

 

ซูเซี่ยเอ๋อก้มหัวลงอย่างเศร้าสลด

 

มันดูเหมือนว่าแผนการที่วางไว้จะสายเกินไป

 

เธอค่อนข้างจะสิ้นหวัง

 

แต่ทันใดนั้นเอง เธอก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเล็กน้อยตามเส้นผมของเธอ

 

มันคือความร้อนที่ปล่อยออกมาจากแหวนนาโนที่กำลังทำงานด้วยความเร็วสูง

 

ในแหวนนาโน มีตัวAIขนาดจิ๋วที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษอยู่ มันจะช่วยทำหน้าที่วิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันของซูเซี่ยเอ๋อนับร้อยนับพันครั้ง

 

“เกิดข้อผิดพลาดในด้านเวลา”

 

“การจัดเตรียมแผนการที่สอดคล้อง ไม่สามารถทำเวลาได้ตามเป้า”

 

“เริ่มต้นตัดสินสถานการณ์ในปัจจุบันอีกครั้ง”

 

“คำตัดสิน : ซูเซี่ยเอ๋อมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงที่จะตาย”

 

“ทำการค้นหามาตรการตอบโต้ เพื่อช่วยชีวิตซูเซี่ยเอ๋ออีกครั้ง”

 

“เริ่มรังสรรกลยุทธ์”

 

“กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของเกาะหมอก รวมไปถึงสถานการณ์เงื่อนไขในปัจจุบัน ทางเลือกคือ  กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือหมายเลข 739 ”

 

“เริ่มต้นการประกอบอุปกรณ์เสียงนาโน”

 

“คุณสมบัติเสียงของซูเซี่ยเอ๋อถูกอัพโหลดแล้ว”

 

“เตรียมการพูดแทนซูเซี่ยเอ๋อ”

 

“พร้อมปฏิบัติการแล้ว”

 

ผมของซูเซี่ยเอ๋อสยายออก

 

คราวนี้ แหวนที่แต่เดิมแปรสภาพเป็นหนังยางรัดผม บัดนี้ค่อยๆแปรสภาพเป็นเส้นผม และเคลื่อนผ่านระหว่างปลายผมของเธอไปอย่างช้าๆ

 

แม้ว่าหญิงชุดดำจะหันหลังอยู่ แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ยังคงระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก

 

เส้นผ่านศูนย์กลางของมันเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเส้นผมธรรมดาเท่านั้น

 

มันปรับสีของมันเอง และเปลี่ยนเป็นสีผิวของซูเซี่ยเอ๋อ

 

มันเลียนแบบท่าทางการหล่นของผมอย่างเป็นธรรมชาติ และค่อยๆร่วงตกลงไปยังมุมปากของเธออย่างแผ่วเบา

 

ซูเซี่ยเอ๋อเผยอริมฝีปากเล็กน้อย

 

และเส้นผมก็หายไปในฉับพลัน

 

…….

 

“หมดเวลาแล้ว เจ้าจะต้องบอกการตัดสินใจเดี๋ยวนี้” เสียงของหญิงชุดดำดังขึ้น

 

ในน้ำเสียงของเธอ แผ่เจตนาฆ่าออกมาอย่างแผ่วเบา “ไม่ว่าจะตายตอนนี้ หรือเฝ้ารอไปตายในช่วงเวลาที่เจ้าบอกว่าจะลองพยายามดู ถ้ายังไงก็จะต้องตายอยูแล้ว หากเจ้าเลือกอย่างหลังแล้วยอมรับข้าเป็นอาจารย์ เจ้าก็จะยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนิดหน่อยมันจะไม่ดีกว่าหรือ”

 

น้ำเสียงและท่าทีการแสดงออกของเธอเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้าต้องการที่จะคารวะข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?”

 

บังเกิดเสียงหมดหวังดังขึ้นจากอากาศเบื้องหลัง

 

“หนูตัดสินใจที่จะคารวะท่านเป็นอาจารย์”

 

ทันทีที่ประโยคนี้เสร็จสิ้นลง เบื้องหน้าของหญิงชุดดำ ก็ปรากฏไพ่ใบหนึ่งขึ้นมาทันใด

 

ไพ่ส่งเสียงดังพรึบออกมา และถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านในพริบตา

 

หญิงชุดดำยิ้มอย่างเงียบๆ

 

เธอกล่าวเสียงกระซิบ “ยอดเยี่ยม ไพ่ใบนี้ได้เป็นสักขีพยานระหว่างเราแล้ว เมื่อเจ้าผ่านการทดสอบฝึกหัด เจ้าก็จะกลายมาเป็นศิษย์ของข้า”

 

ช่วงเวลานี้ หญิงชุดดำดูจะมีความสุขมาก

 

หลังจากการทดสอบฝึกหัด ทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ฺระหว่างศิษย์อาจารย์อย่างเป็นทางการ

 

เมื่อถึงเวลานั้น ชีวิตและความตายของสาวน้อยคนนี้ก็จะอยู่ในมือของเธอ

 

‘ในที่สุดก็จับตัวได้เสียที’

 

เพราะเธอคือคู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

 

และเธอจะต้องตาย!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.341 – ความกลัว

 

หลายร้อยเรือรบประจัญบานขนาดเล็กลอยลำปกคลุมหนาแน่นไปทั่วฟ้า

 

น้ำทะเลถูกยกสูงขึ้น ปฏิเสธการเข้าถึงของเขา

 

และสุดท้าย คือเจ้า ‘คนเป็น’ ผู้น่ารังเกียจ ที่กำลังยืนนิ่งอยู่กลางอากาศตรงข้ามกับตน

 

หลังจากผ่านพ้นมานานจนจำไม่ได้แล้วว่ากี่ปี ในที่สุดโครงกระดูกในชุุดคลุมดำก็จดจำถึงสิ่งที่เรียกว่าสิ้นหวัง ไร้ซึ่งหนทางออกขึ้นมาอีกครั้ง

 

เขาอ้าปากค้างอยู่นาน แต่แล้วจู่ๆก็ตะโกนก่นด่าทว่ากลับฟังดูคล้ายร่ำไห้ออกมา “ให้ตายเถอะ! เจ้าจงรีบถามมา! แล้วข้าจะรีบออกไปจากที่นี่ทันทีที่เจ้าถามเสร็จ!”

 

“ต้องอย่างนั้นสิ อันที่จริงแล้ว ผมก็ไม่ต้องการที่จะไล่ล่าท่านตลอดเวลาหรอก มันคงดีที่สุดถ้าเราไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ประโยคนี้ทำให้อารมณ์คุกรุ่นของโครงกระดูกชุดคลุมดำกลับมามั่นคงขึ้นอีกครั้ง

 

มันเอ่ยว่า “คงจะดีที่สุดจริงๆ เพราะข้าไม่ต้องการที่จะเห็นหน้าตัวอัปมงคลเช่นเจ้าอีกแล้ว”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามออกไปทันที นี่เป็นคำถามที่เขาได้เตรียมเอาไว้นานมากแล้ว

 

ในชีวิตก่อนหน้า ยามเมื่อนรกเยือกแข็งได้มาถึง มันใช้เวลาแค่เพียงครึ่งวัน โลกทั้งใบก็ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์

 

มันรวดเร็วเกินไป และไม่มีใครล่วงรู้ว่าช่วงเวลานั้นทางปรภพก็มีปัญหาเกิดขึ้นเช่นกัน

 

และในชีวิตนี้ นรกเยือกแข็งก็กำลังจะขยายออกไปในไม่ช้า

 

ดังนั้น หากยังรีรอปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปโดยไม่รู้เรื่องราว แล้วในอนาคตจะไปมีวิธีรับมือกับมันได้อย่างไร?

 

กู่ฉิงซานบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในจิตใจ

 

หากปรภพมีปัญหาจริงๆ ถ้าอย่างงั้นสิ่งที่กำลังจะมาเยือนโลกใบนี้ย่อมมิใช่นรกเยือกแข็งเพียงหนึ่งเดียวอย่างแน่นอน

 

“ในปรภพ นอกเหนือไปจากนรกเยือกแข็งแล้ว สมควรที่จะยังมีนรกอื่นๆอยู่อีกถูกต้องไหม?” เขาเอ่ยถาม

 

“ช่างเป็นคำถามที่โง่เง่า  มันย่อมเป็นธรรมดาที่ในปรภพมีจะนรกอยู่อีกเพียบ มันมีจำนวนมากจนนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน”  โครงกระดูกชุดคลุมดำตอบ

 

และสำหรับคำถามนี้ ดูเหมือนว่ามันจะตอบออกไปด้วยความสุข

 

แต่สำหรับกู่ฉิงซาน เขากลับตรงกันข้าม หัวในของเขาดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง

 

เขาสงบอารมณ์ลงและถามว่า “หลังจากนรกเยือกแข็ง มันจะยังมีนรกอะไรอีกที่จะมายังโลกใบนี้”

 

โครงกระโหลกชุดคลุมดำกล่าวประชดประชัน “จำนวนของนรกแต่ละประเภทมันมีเยอะมาก ทว่าข้าก็เป็นเพียงแค่หนึ่งใน ‘คนตาย’ เท่านั้น จะไปตรัสรู้ได้อย่างไร?”

 

“ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าได้รับรู้เอาไว้ ว่าข้าน่ะ ไม่เคยไปและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนรกแห่งอื่นเลย”

 

เงื่อนงำบางอย่างปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 

“แล้วในปรภพ แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เขาถาม

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ข้าบอกเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปรภพ”

 

“จริงหรอ? ถ้าอย่างงั้นก็ก็รอดูผมไล่ล่าท่านไปไปเรื่อยๆไม่มีจบสิ้นก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานเหน็บแนม

 

โครงกระดูกคำราม “เจ้ามิอาจสังหารข้าได้!”

 

“แต่ผมจะตามหลอกหลอนท่าน และจะส่งท่านนอนหลับฝันดีอีกครั้ง และอีกครั้ง” กู่ฉิงซานอย่างอย่างสบายๆ

 

“เจ้าสามารถเอ่ยถามถึงเรื่องอื่นๆได้ แต่เฉพาะเรื่องของปรภพเท่านั้นที่ข้ามิอาจพูด!” โครงกระดูกก้าวถอยหลังกลับ

 

“ไม่สามารถบอกความจริงกับผมได้ … ทำไมกัน?” กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ของอีกฝ่าย หลังจากไตร่ตรองเล็กๆน้อยๆ เขาจึงเลือกที่จะใช้ไม้อ่อนเข้าสู้บ้าง

 

“-เอาล่ะ ผมจะไม่ถามถึงเรื่องปรภพแล้ว แต่ขอเปลี่ยนคำถาม เพราะอะไร ทำไมท่านถึงไม่สามารถบอกความจริงกับผมได้”

 

“เพราะหากข้าเอ่ยมันออกไป ข้าจะถูกค้นพบทันที”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าวโดยไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆ

 

แต่กู่ฉิงซานกลับสัมผัสได้ถึงความกลัวที่มิอาจกลั้นข่มได้ในคำพูดของเขา

 

เรื่องนี้ .. มันทำให้เขาหวาดกลัว

 

“ท่านจะไปกลัวอะไรอีก ในเมื่อคนตายไม่อาจตายได้-” กู่ฉิงซานกล่าวพลางขบคิด

 

แต่แล้วจู่ๆเขาก็สะดุ้งเฮือก ร่างกายแข็งทื่อ ปากเร่งเอ่ยถาม “ไม่สิ – มันต้องไม่เป็นแบบนั้นแน่ๆ เพราะท่านบอกเองว่าหากเอ่ยถึงเรื่องปรภพ ท่านอาจจะจบสิ้นลง”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำเร่งตอบอย่างรวดเร็ว “ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะทรงพลังขนาดไหน  ตราบใดที่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ มันจะหายไปโดยสมบูรณ์”

 

กู่ฉิงซานเงียบ

 

คำพูดนี้ ไม่ใช่ว่ามันฟังดูคุ้นๆรึเปล่านะ?

 

ภาพๆหนึ่งพาดผ่านเข้ามาในหัวของกู่ฉิงซาน

 

ณ เสาทองแดงขนาดยักษ์

 

“ท่านเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ร่างยักษ์ใหญ่ตอบ “มันจะดีกว่าถ้าเจ้าไม่รู้ เพราะหากปปปปปปปปชื่อของข้าถูกเอ่ยออกไป ข้าก็จะถูกค้นพบทันที”

 

หลังจากนั้นภาพก็ตัดไป

 

ด้านหน้าประตูวิลล่าบนหุบเขา

 

“ข้าซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่าเป็นเวลานานนับหมื่นปี แต่คงมิอาจแสดงพลังได้มากมายนัก มิฉะนั้นมันอาจไปกระตุ้นเหล่าเทพวิญญาณได้” ดาบพิภพส่งเสียงฮึมฮัม

 

กู่ฉิงซานค่อยๆขบคิดอย่างช้าๆ ไตร่ตรองอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปยังโครงกระดูกและเอ่ยถาม “ท่านกลัวเทพวิญญาณสินะ?”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำเผลอหันไปจ้องกู่ฉิงซานอย่างไม่คาดคิด แต่ยังคงเงียบ

 

การไม่พูด นั่นแหละคือคำตอบ

 

เขาเดาได้ถูกเผง

 

เหตุผลที่อีกฝ่ายไม่อาจพูดได้ ก็เพราะหวาดกลัวเทพวิญญาณนี่เอง

 

กู่ฉิงซานถามอย่างงงงวย “เทพวิญญาณไม่ได้ปกครองปรภพนี่ นรกต่างหากที่รับผิดชอบดูแลสิ่งมีชีวิตที่ตกตายลงแล้วทั้งหมด?”

 

โครงกระดูกชุดดำไม่ได้พูดคำใด มันเพียงมองดูกู่ฉิงซานและหัวเราะสั้นๆ

 

เสียงหัวเราะนี้แสดงให้เห็นถึงความเศร้าโศก ขณะเดียวกันก็ประชดประชันอย่างลึกล้ำ

 

กู่ฉิงซาน ราวกับเข้าใจถึงความหมายของมัน เขาเอ่ยปากกล่าว “มองจากท่าทีของท่าน ผมขอเดาว่าเทพนี่ไม่ใช่ฝีมือของเทพวิญญาน”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำก้มหัวลง แต่ไม่ได้พูดอะไร

 

ถูกล่ะ

 

เดาถูกอีกแล้ว

 

กู่ฉิงซานเริ่มเข้าใจ เขาพยายามขบคิดอย่างเงียบๆ

 

ปรภพ … เทพวิญญาณ …

 

ประการแรก ทางฝั่งปรภพน่ะมีปัญหาอย่างแน่นอน

 

ประการต่อไป เทพวิญญาณไม่ได้รับผิดชอบในการจัดการสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่สิ่งที่เทพวิญญาณทำ ตอนนี้ยังไม่ทราบว่ามันคืออะไร

 

อีกอย่าง ที่โครงกระดูกชุดคลุมดำไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ก็เพราะหวาดเกรงเทพวิญญาณ

 

ในท้ายที่สุดแล้ว คนตายจะสามารถฟื้นคืนชีพในนรกได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อแบกรับความทุกข์ทรมานจากบาปที่พวกเขาได้เคยกระทำเอาไว้

 

คนตาย จะไม่สามารถตายได้อีก

 

ดังนั้นแล้ว สิ่งที่ทำให้คนตายกลัวมันคืออะไรกัน?

 

“ตามที่ได้พูดมานี้ เทพวิญญาณจะไม่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการกับคนตาย”

 

กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง “แต่เทพวิญญาณดันทำให้ท่านหวาดกลัว สามารถทำให้ตัวตนที่อยู่ยงคงกระพันหวาดกลัวได้ .. ถ้างั้น เทพวิญญาณก็ควรจะเป็น … ”

 

“หยุด! หยุดเถอะ! อย่าได้พูดมันออกมาอีกเลย!” โครงกระดูกชุดคลุมดำตะโกนลั่น

 

กู่ฉิงซานตกใจ

 

โครงกระดูกอ้าปากหอบหายใจอย่างรุนแรง

 

หากสังเกตดูอย่างใกล้ชิดจะพบว่าเขากำลังสั่นสะท้าน

 

เนื่องเพราะความหวาดกลัว มันไม่สามารถยับยั้งสัญชาตญาณของร่างกายได้

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำส่ายหัวของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เจ้าน่ะคือ ‘คนเป็น’ ที่น่าหวาดกลัวก็จริง แต่ข้าไม่สนแล้ว! ข้าจะเข้าสู่การจำศีลอีกครั้ง ข้ายอมถูกเจ้าไล่ล่า ดีกว่าที่จะต้องมาสนทนากับเจ้าต่อไป”

 

“ทำไม?” กู่ฉิงซานถาม

 

“เพราะมันอันตราย! อันตรายเกินไป! เจ้าเข้าใจไหม!”

 

ในน้ำเสียงของโครงกระดูกเผยถึงความตื่นตระหนก การแสดงออกของเขาแลดูอึดอัดยิ่ง

 

มันเอ่ยเสียงกระซิบ “เวลานี้เป็นข้าที่ผิดเอง ข้าไม่ควรจะใช้วิธีลัดมาถึงโลกใบนี้ก่อนเลย ข้าควรจะเฝ้ารออย่างสัตย์ซื่อ ให้นรกเยือกแข็งปรากฏตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ก่อนแล้วจากนั้นจึงค่อยออกมา”

 

มันยื่นฝ่ามือใหญ่โตคว้าหมับเข้าที่คอของตัวเอง

 

“นี่จะกลับไปแล้วหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “พวกเราพึ่งจะพูดคุยกันแค่สองสามประโยคเท่านั้นเอง ผมยังมีคำถามอีกสองสามข้อ – ”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำขัดจังหวะเขา ปากอ้าตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง “ไม่! เอาไปแค่คำเดียวพอ ข้าไม่คิดจะพูดคุยกับเจ้าอีกแล้ว!”

 

มันคำรามอย่างดุเดือด “เจ้ามันสัตว์ประหลาด แต่เมื่อโลกนี้กลายเป็นนรก เจ้าจะไม่มีทางได้ไปนรกอีก!”

 

ว่าจบ โครงกระดูกก็บิดหัวของตัวเอง

 

มันตายแล้ว

 

-ตายลงและจมลงสู่การหลับไหลอีกครั้ง

 

“หนีไปซะแล้ว” กู่ฉิงซานพึมพำ

 

เขาแกว่งดาบเช่าหยินออกไป

 

และท้องทะเลก็กลับมาสงบอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม หัวใจของกู่ฉิงซานกลับไม่สงบลงเลย

 

“เมื่อโลกนี้กลายเป็นนรก เจ้าจะไม่มีทางได้ไปนรกอีก?”

 

น้ำเสียงที่เปล่งประโยคนี้ แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวอันล้ำลึกผสานไปกับความตื่นตระหนก

 

อะไรกันที่สามารถทำให้คนที่ปกครองโลกมานานนับหลายปี และเป็นถึงราชาในนรกแสดงอารมณ์เช่นนี้ออกมาได้?

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำยอมฆ่าตัวตายเอง เสียยังดีกว่าพูดคุยกันเขา

 

สิ่งใดกันที่ทำให้คนตายไปแล้วหวาดกลัวได้

 

เทพวิญญาณสามารถสังหารคนตายได้อย่างงั้นหรือ?

 

กู่ฉิงซานคาดเดาไปหลายทิศทาง แต่เขาก็ไม่สามารถยืนยันความจริงได้เลย

 

ข้อมูลที่มีมันน้อยเกินไป น้อยจนน่าสงสาร

 

กู่ฉิงซานหลับตาลงและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

บางที มันอาจจะน่าหวาดกลัวมากกว่าที่เขาคิดก็ได้

 

แบบนี้ไม่ดีแน่ แผนการขั้นต่อไปควรจะเร่งให้มันเร็วขึ้นซะแล้ว

2 ตอน เสาร์-อาทิตย์

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.340 – ท้องทะเลของเช่าหยิน

 

ซางหยิงฮ่าวกล่าวสนับสนุน “ เข้าใจแล้ว ที่ต้องทำแบบนี้เพราะพวกเราคือ ‘คนเป็น’ อย่างงั้นสินะ เลยไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลอะไรจากทางฝั่งปรภพได้ยกเว้นจะได้รับรู้มันจากปากของ ‘คนตาย’ “

 

“ใช่ พวกเราจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับปรภพ”

 

กู่ฉิงซานกล่าว แล้วหยิบเอาสมองควอนตัมของเขาออกมาติดต่อกับท่านประธานาธิบดี

 

หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา

 

หลายร้อยยานรบประจัญบานขนาดเล็กก็ได้ปรากฏขึ้นในบริเวณแห่งนี้

 

เมื่อนายทหารอาวุโสหลายได้มาถึง พวกเขาก็พบว่ากู่ฉิงซานและซางหยิงฮ่าวกำลังรออยู่ก่อนแล้ว

 

“มิสเตอร์กู่ จริงอยู่ว่าพวกเราย่อมยินดีรับใช้คุณ แต่ก็ขอบอกตรงๆว่าพวกเราไม่ทราบจริงๆว่าจะช่วยคุณได้ยังไง?” นายทหารเอ่ยสารภาพ

 

เรื่องราวที่พึ่งเกิดข้นเมื่อเร็วๆนี้ ได้แพร่กระจายออกไปแล้วตลอดทั้งรัฐบาลกลาง และทุกคนต่างก็รู้ว่ากู่ฉิงซานน่ะ เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก

 

–และยังเป็นมืออาชีพที่น่าขนพองสยองเกล้าเป็นอย่างยิ่ง

 

“คุณจะให้พวกเราช่วยต่อสู้กับอสูรแห่งท้องทะเลใช่ไหม?” นายทหารอีกคนหนึ่งถาม

 

“ไม่หรอก พวกคุณแค่จัดตั้งกระบวนทัพอยู่แนวหลังของผม ภายในยานรบก็พอแล้ว”

 

“คุณคิดจะแสดงความแข็งแกร่งเพื่อข่มพวกมันไม่ให้ย่างกรายขึ้นมาบนบกอย่างงั้นหรอ?” หนึ่งในพันเอกกล่าวอย่างฉงน “แต่อสูรแห่งท้องทะเลมันโง่นะ พวกมันจะเข้าใจรึเปล่า?”

 

“ไม่หรอก เป้าหมายของพวกเราไม่ใช่อสูรแห่งท้องทะเล แต่เป็นชายที่แกร่งยิ่งกว่าพวกมันอยู่หลายขุมต่างหาก”

 

“ถ้าอย่างงั้น รบกวนช่วยบอกการจัดวางกลยุทธ์ด้วย”

 

“นั่นก็ไม่จำเป็นเหมือนกัน พวกคุณไม่ต้องลงมือหรอก”

 

นายทหารคนอื่นๆหันไปมองหน้ากันด้วยความตกใจ

 

ไม่ต้องลงมือ? แล้วพวกเราจะมาที่นี่กันทำไม? ตกลงว่าเขาต้องการให้พวกเราทำอะไรกันแน่?

 

กู่ฉิงซานพอเห็นท่าทีของอีกฝ่ายเขาก็ยิ้มและอธิบายว่า “มีพวกคุณอยู่ที่นี่ กระบวนทัพของพวกเราก็จะดูทรงอำนาจและใหญ่โต ผมต้องการแนวทัพขนาดใหญ่เพื่อทำการ ‘กระตุ้น’มัน”

 

แล้วจากนั้นเหล่านายทหารถูกบังคับให้ย้อนกลับไปยังยานรบขนาดเล็กของตนเอง

 

ตามทิศทางที่ถูกระบุโดยแมวดำ หลายร้อยยานรบประจัญบานขนาดเล็กเริ่มก่อกระบวนทัพ และเคลื่อนพลไปทางทะเลที่ถูกแช่แข็ง

 

“เป็นยังไงบ้าง? ที่รัก?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามเบาๆพลางลูบหัวเจ้าแมวดำ

 

“หง่าววว ~”มันตอบกลับ

 

ซางหยิงหฮ่าวหันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าว “มันบอกว่าตำแหน่งเป้าหมายอยู่ข้างล่างเรานี่แหละ”

 

“โอเค กระจายคำสั่งออกไปยังทุกคน ว่าให้ทำการปิดล้อมน่านน้ำบริเวณนี้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“รับทราบ ใต้เท้า” เทพธิดากงเจิ้งขานรับ

 

บนจอม่านแสง ภาพของเรือรบขนาดเล็กทั้งหมดได้จัดตั้งกระบวนทัพ ตีวงเป็นทรงกลมล้อมทะเลน้ำแข็งเบื้องล่างอย่างเงียบๆ

 

ในน้ำทะเล อสูรแห่งท้องทะเลหลายตัวมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเรือรบประจัญบาน และเริ่มพากันคำรามเสียงดังด้วยความโกรธที่ถูกรุกรานอาณาเขตตน

 

แต่เรือรบประจัญบานอยู่ในตำแหน่งที่สูงเกินไป ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถโจมตีได้

 

กู่ฉิงวางมือตบลงบนไหล่ของซางหยิงฮ่าว และขยับตัวไปข้างประตูรถ

 

“ฉันจะรับหน้าที่ไปตามหาเขาเอง นายก็รับผิดชอบในการควบคุมกระบวนทัพแล้วกัน อ้อ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นนายสามารถติดต่อฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แล้วประตูก็เปิดออก

 

พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานทิ้งตัวลงไป ขณะเดียวกันก็ยื่นมือจีบออกด้วยวิชาลับ

 

ดาบพิภพกลายเป็นกระแสแสง และหายวับไป

 

บนท้องฟ้า บังเกิดเส้นแสงหงิกงอทั้งห้าฉีกตัดชั้นอากาศ พุ่งไปยังอสูรแห่งท้องทะเล ตัดผ่านพวกมันไปและตกลงบนผิวน้ำแข็ง

 

เสียงคำรามของอสูรแห่งท้องทะเลหยุดกึกลงในทันใด

 

ร่างกายใหญ่โตของมันฉีกกระจายเป็นชิ้นๆ และตกลงไปในทะเล ขณะเดียวกันผิวน้ำแข็งที่ถูกกระแทกก็บังเกิดรอยปริร้าวแตกลั่น

 

บนกองน้ำแข็งขาว บังเกิดหลุมเลือดสีแดงปรากฏขึ้น

 

ทว่าหลุมน้ำแข็งนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก ไอเย็นและน้ำแข็งค่อยๆขยายตัวเข้าปิดล้อมรูที่เปิดออกด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

แท้จริงแล้วกลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยืนอยู่บนท้องฟ้า ควบคุมดาบเวียนวนฉวัดเฉวียนไปมา ฆ่าสังหารอสูรแห่งท้องทะเลเบื้องล่างไม่หยุดหย่อน

 

มีอสูรแห่งท้องทะเลมากมายอยู่รอบตัวเขา และเมื่อการดำรงอยู่ของกู่ฉิงซานถูกค้นพบ พวกมันทั้งหมดก็กระโจนเข้าหาเขาทันที

 

ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าดาบพิภพอันคงกระพัน ศัตรูใดก็ล้วนมิอาจต่อกรกับมันได้

 

“ทุกคนตั้งใจฟังให้ดี สัตว์ประหลาดที่แท้จริงได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว!” ซางหยิงฮ่าวยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูด

 

และสีหน้าการแสดงออกของผู้คนบนยานรบหลายคนลำก็พลันเปลี่ยนไป กัปตันของแต่ละลำเริ่มเฝ้ามองดูอย่างตั้งใจ

 

“เปิดจอแสดงผล 360 องศา! เพื่อเตรียมการต่อสู้รับมือกับศัตรูจากภายนอก!” พวกเขาเริ่มเอ่ยสั่ง

 

ทุกคนหันไปมองรอบๆอย่างจริงจัง

 

“จำเอาไว้ให้ดี ว่าจงอยู่ห่างจากเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้เอาไว้  เพื่อที่พวกคุณจะได้ไม่รับบาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุใดๆ” ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างจริงจัง

 

“มิสเตอร์ซาง นั่นคุณกำลังพูดถึงสัตว์ประหลาดตัวไหนอยู่กัน?” นายทหารเอ่ยถามอย่างงงวย

 

“ก็สัตว์ประหลาดที่ชื่อกู่ฉิงซานไง”

 

“ … ”

 

ทุกคนหันไปมองดู

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยืนอยู่กลางเวหา พร้อมด้วยกระแสแสงร่ายรำในอากาศรอบตัวเขา และมีบ้างเป็นครั้งคราวที่มันจะฉวัดเฉวียนออกไปสังหารอสูรแห่งท้องทะเล

 

กระแสแสงนี้ช่างรุนแรงยิ่ง เพียงมันวูบผ่าน ก็สามารถเจาะหลุมลงบนตัวของอสูรแห่งท้องทะเลได้อย่างง่ายดาย

 

ไม่มีอะไรที่สามารถหยุดยั้งหรือต้านทานกระแสแสงนี้ได้เลย

 

อสูรแห่งท้องทะเลคำรามลั่น และพยายามฉวยโอกาสฝ่าวงล้อมช่วงเวลาที่ตัวอื่นถูกโจมตี ก้าวเข้ามาอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน อ้าปากเตรียมที่จะขย้ำเขาได้ในที่สุด

 

แต่ทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขาเพียงแค่ตอบสนองโดยการขยับตัวเล็กน้อย ทั้งคนทั้งร่างก็ทะยานขึ้นมาอยู่ในมุมสูง หลบปากที่เต็มไปด้วยน้ำทะเลฟูฟ่องได้แล้ว

 

แต่สำหรับอสูรแห่งท้องทะเลตัวนั้น มันบินไม่ได้ เลยอ้าปากนิ่งค้างไปทั้งๆอย่างงั้น

 

วินาทีต่อมากระแสแสงก็พุ่งผ่านร่างของมันไป และอสูรทะเลตัวนั้นก็กลายเป็นศพทันที

 

ในไม่ช้า อสูรแห่งท้องทะเลทั่วบริเวณนี้ก็ถูกล้างบางโดยเขาเพียงลำพัง

 

จนหลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งเท่านั้น

 

มันคือมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่มีหัวเป็นปลาหมึก ขณะที่ตรงส่วนร่างกายนั้นมีรูปทรงคล้ายคลึงกันกับมนุษย์

 

กู่ฉิงซานโจมตีมันอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็สามารถหลบเลี่ยงได้อยู่ร่ำไป

 

“โครงกระดูกชุดคลุมดำ ผมมีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องการยืนยันกับคุณให้มันชัดเจน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

อสูรแห่งท้องทะเลลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำพร้อมกับหนวดบนหัวที่ขยับขยุกขยิกตลอดเวลา ปากเอ่ยน้ำเสียงทุ้มต่ำออกมาทันใด “แต่ข้าไม่คิดจะตอบคำถามใดๆแก่เจ้า”

 

แต่เดิม แท้จริงแล้วอสูรแห่งท้องทะเลตัวนี้ก็คือ โครงกระดูกในชุดคลุมดำนั่นเอง

 

จริงๆแล้วมันพยายามที่จะซ่อนตัวอยู่ในร่างกายของอสูรแห่งท้องทะเล!

 

ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะถ้ามันอยู่ในร่างของอสูรทะเล ก็ย่อมสามารถหลบเลี่ยงสายตาขอมนุษย์ได้โดยง่าย

 

กล่าวได้ว่าต่อให้มันทำอะไรผิดแผกไปบ้าง แต่ด้วยในสภาพของอสูรทะเล  พวกมนุษย์ย่อมที่จะไม่สามารถตระหนักหรือสังเกตถึงมันได้อย่างแน่นอน!

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “พวกเราจะมาคุยกันดีๆไม่ได้เลยหรือ?”

 

ปลาหมึกยักษ์ไม่ตอบกลับไป

 

มันทุบทำลายพื้นผิวน้ำแข็งบางๆให้เปิดออก จากนั้นก็กระโจนทิ้งหัวตัวเองลงไปในทะเล แหวกว่ายจมลงสู่ก้นบึ้ง

 

ท้องทะเลน่ะเป็นดินแดนของอสูรแห่งท้องทะเล

 

ถ้าหากกู่ฉิงซานกล้าที่จะดำดิ่งลึกลงมา และคิดต่อสู้กับมัน มันก็คงหนีไปที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว แต่ตรงกันข้าม ลึกๆแล้วมันก็ปรารถนาเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน

 

เพราะอำนาจการทำลายล้างของอีกฝ่ายแกร่งมาก ทว่าหากลงดิ่งลึกลงไปยังใต้ทะเลลึกหลายหมื่นเมตรแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นตัวกู่ฉิงซานเอง ก็ย่อมไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาได้

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำคิดเช่นนั้น ก็รีบเร่งดำลงไปทันที

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกำลังจะเคลื่อนกาย แต่ทันใดนั้นการกลับมีกระแสแสงพุ่งออกมาจากอีกฟากหนึ่งของน้ำทะเล บินขึ้นมาหยุดอยู่ข้างกู่ฉิงซานเสียก่อน

 

มันคือดาบเช่าหยิน

 

ด้ามจับดาบของเช่าหยินขยับซ้ายทีขวาทีอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่ามันจะส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานถือมัน

 

กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไปคว้าตามคำขอ

 

ไม่ต้องรีรอให้หน้าต่างระบบเทพสงครามเด้งแจ้งเตือน กู่ฉิงซานก็ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปบนดาบยาวทันที

 

—หลังจากที่ได้ใช้งานรูปแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของแต้มพลังวิญญาณ

 

มันเป็นเหมือนกับพลังวิญญาณนั่นแหละ ที่ยิ่งใช้มากขึ้นเท่าไหร่ มีประสบการณ์ในการใช้งานมันมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วเขาก็จะยิ่งได้รับมันกลับมามากขึ้นเท่านั้น

 

เมื่อพลังวิญญาณถูกส่งผ่านออกไป ชั้นรังสีแสงก็ถูกเปล่งออกมาจากดาบเช่าหยิน

 

บังเกิดการสั่นไหวถี่ระรัวบนใบดาบของเช่าหยิน

 

ตามด้วยสี่ตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นอีกครา

 

พลังศักดิ์สิทธิ์ ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานจู่ๆก็เกิดการตระหนักรู้อย่างเด่นชัด

 

“จงเปิด!” ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

ดาบเช่าหยินสั่นไหว

 

พร้อมกับท้องทะเลเบื้องหน้ากู่ฉิงซานที่แยกตัวแหวกทางออกเป็นสองฟากฝั่งอย่างรวดเร็ว

 

ขณะเดียวกัน อสูรทะเลที่แต่เดิมถูกควบคุมโดยโครงกระดูกชุดคลุมดำก็กำลังดิ่งลงไปเบื้องล่างอย่างสุดกำลัง

 

วินาทีต่อมา น้ำทะเลโดยรอบอสูรแห่งท้องทะเลก็หายไปอย่างสมบูรณ์

 

ไม่มีกระทั่งน้ำสักหยดไม่ว่าจะเหนือหัวหรือเบื้องล่างในระยะสิบเมตรของอสูรแห่งท้องทะเล

 

อสูรแห่งท้องทะเลตกใจและรีบเอี้ยวตัวเบนทิศทาง วิ่งหันไปทางฝั่งที่มีน้ำอยู่ทันที

 

แต่ทุกที่ๆมันพยายามแหวกผ่านไป น้ำทะเลทั้งหมดก็ราวกับมีจิตนึกคิด ทั้งหมดแหวกตัวถอยหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสแม้เพียงน้ำสักหยด

 

หากไม่มีน้ำทะเล เบื้องล่างก็เป็นเพียงแค่เหวลึก!

 

“อ๊าาาาาาา …”

 

อสูรแห่งท้องทะเลส่งเสียงกรีดร้องของมนุษย์ และร่วงตกลงสู่ก้นเหวลึก

 

ฉากนี้ นายทหารของรัฐบาลกลางโดยรอบก็เห็นเช่นกัน พวกเขาเหวอจนอ้าปากค้าง

 

ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจและหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา “นี่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่สัตว์ประหลาดที่แท้จริงซะแล้ว ขอย้ำ นี่ไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่เขาเป็นพระเจ้าต่างหาก!”

 

ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานในที่สุดก็เข้าใจเสียที ว่าพลังของดาบเช่าหยินนั้นหมายถึงอะไร

 

-ไม่ว่าปัญหาใดๆที่เกิดจากน้ำ จะได้รับการแก้ไขเมื่ออยู่ต่อหน้าดาบเช่าหยิน!

 

นี่แหละคือ ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเทพวิญญาณในโลกเทวะถึงได้เลือกโยนดาบเล่มนี้ลงในท้องทะเล

 

กู่ฉิงซานเบนสายตาไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

แต้มพลังวิญญาณของเขา กำลังลดลง 10 แต้มด้วยอัตราเร็วต่อวินาที

 

กู่ฉิงซานโบกสะบัดดาบเช่าหยินออกไปอย่างอ่อนโยน

 

ตูม!

 

น้ำทะเลกลับมาแนบชิดติดกันดังเดิมทันที!

 

น้ำทะเลเข้าโอบล้อมอสูรปลาหมึกยักษ์อีกครั้ง ส่งผลให้แรงร่วงตกของมันชะลอความเร็วลงทันที

 

หลังจากนั้น ก็บังเกิดแรงยกที่มองไม่เห็นขึ้นใต้ลำตัวของปลาหมึกยักษ์ ดันทั้งตนทั้งร่างของมันเด้งขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

ปัง!

 

บังเกิดเสียงหนักทึบอู้อี้

 

ร่างของอสูรแห่งท้องทะเลตกลงบนพื้นผิวน้ำทะเล แต่มันกลับไม่อาจดำดิ่งลงไปได้

 

ท้องทะเลได้ปฏิเสธการเข้าถึงของมัน

 

“ตอนนี้พวกเราคงจะคุยกันได้แล้วสินะ” กู่ฉิงซานกล่าวติดตลก

 

ขณะที่อสูรแห่งท้องทะเลสาดสายตาจ้องมองเขาอย่างโหดเหี้ยม

 

ทันใดนั้นเอง เงาดำก็ผุดออกมาจากร่างของอสูรทะเล และแปรเปลี่ยนสภาพเป็นโครงกระดูกในชุดคลุมดำ

 

โครงกระดูกในชุดคลุมดำลอยสูงขึ้นและหยุดนิ่งกลางอากาศ ในมือกุมดาบน้ำแข็ง ตามร่างกายปะทุกลิ่นอายสังหารออกมา

 

กู่ฉิงซานทำเป็นไม่สนใจ กล่าวเข้าเรื่องทันที “ในฐานะราชาแห่งนรกเยือกแข็ง ผมคิดว่ากว่าที่ท่านจะได้ตำแหน่งนั้นมา คงจะต้องจ่ายออกไปไม่น้อยเลยสินะ … และคงจะรู้เรื่องราวต่างๆมาบ้างไม่น้อยเลยด้วย”

 

“แท้จริงแล้วเจ้าต้องการจะพูดเรื่องอะไรกันแน่?” โครงกระดูกเผยท่าทีกังวลและเอ่ยถาม

 

เหนืออสูรยักษ์ จู่ๆก็ปรากฏร่างที่ดูน่าประหวั่นพรั่นพรึ่งเช่นนี้ขึ้นอย่างกระทันหัน ส่งผลให้เหล่าทหารที่รายล้อมที่แห่งนี้ต่างพากันขนลุกขนพอง

 

ซางหยิงฮ่าวยกวิทยุขึ้นมาและพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “สงบใจไว้ ทุกคนควบคุมอาวุธตัวเองให้ดี อย่าพึ่งยิงออกไปนะ”

 

“รับทราบ!”

 

เหล่าทหารตอบรับ

 

บนท้องฟ้ายามค่ำคืน

 

การสนทนาเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษยชาติกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

 

กู่ฉิงซาน “ผมแค่อยากจะบอกว่า เมื่อใดก็ตาม ในทุกๆครั้งที่ท่านเข้าสู่สภาวะฟื้นฟูร่างกายด้วยการจำศีล ผมก็จะออกตามล่าตัวท่านเหมือนดั่งเช่นวันนี้”

 

“แล้วยังไงต่อ?” โครงกระดูกเอ่ยถาม

 

“ท่านลองหันมองไปรอบตัวดูสิ” กู่ฉิงซานบอกใบ้

 

โครงกระดูกแหงนหน้าหันไปมองรอบๆ

 

เหนือท้องฟ้าเบื้องบนบริเวณนี้ รายล้อมไปด้วยยานรบประจัญบานไม่ถ้วน

 

“เจ้าสามารถระดมกำลังทั้งประเทศได้อย่างเร่งด่วน เพียงเพื่อมาจัดการกับข้าอย่างงั้นหรือ?” โครงกระดูกเอ่ยถาม

 

ในบางเรื่อง แม้ในตัวรายบุคคลเขาจะแข็งแกร่ง แต่ในด้านประสิทธิภาพการทำงานอย่างไรมันก็ไม่อาจเทียบเท่ากับการร่วมมือกันทำงานกับหลายผู้คนได้

 

โครงกระดูกในชุดคลุมดำเคยเป็นจักรพรรดิมาก่อน และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าหากประเทศทำการระดมกำลังโดยสมบูรณ์ มันจะระเบิดพลังอำนาจออกมามากมายขนาดไหน

 

ตอนนี้ อีกฝ่ายกำลังทำการระดมกำลังทั้งประเทศ เพียงเพื่อมาจัดการกับตนเอง

 

หากเป็นเช่นนั้น ตัวเขาจะไม่สามารถหลบซ่อนตัวหรือหนีพ้นได้เลย ไม่สามารถหาสถานที่พักผ่อนหรือปลอดภัยได้แม้ในยามหลับฝัน

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำคำรามแทบคลั่ง “นรกเถอะ! มีมอนสเตอร์มากมายก้าวเข้ามาในโลก แต่เหตุใดเจ้าต้องเพ่งเล็งจัดการเฉพาะกับข้าด้วย!”

 

“ใช่ ผมเพ่งเล็งจัดการกับท่านโดยเฉพาะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า “ถ้าท่านปฏิเสธที่จะตอบคำถามเล็กๆน้อยๆของผม ผมจะระดมกำลังจากทั่วทั้งประเทศออกตามล่าท่าน สังหารท่านซ้ำๆ จะทำให้ท่านจมลงสู่การหลับไหลอย่างไม่รู้จบ!”

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการที่จะได้ข้อมูลเกี่ยวกับปรภพ แต่สิ่งนี้! มันไม่ได้ดีต่อตัวเจ้าหรือข้าเลย เข้าใจหรือไม่!” โครงกระดูกในชุดคลุมดำพูดด้วยความเกลียดชัง

 

ดูเหมือนว่ามันจะหวาดกลัวเล็กน้อยที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

กู่ฉิงซานไม่ยอมถอย “ผมไม่ได้ต้องการฉกฉวยผลประโยชน์ใดๆ ผมแค่ต้องการที่จะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับทางปรภพกันแน่”

 

“ไม่ได้! นั่นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอ่ยถึง!” โครงกระดูกกล่าว

 

“ไม่พูดสินะ? งั้นก็ตกลง ต่อไปนี้ผมจะออกตามล่าท่าน และต่อให้ตัวตนที่ทรงพลังตนอื่นๆในนรกเยือกแข็งปรากฏตัวออกมา ก็ขอให้มั่นใจได้เลยว่าผมจะยังคงไล่ล่าท่านต่อไป”

 

กู่ฉิงซานมองไปที่เขา และเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ไล่ล่าท่าน … ไปจนกว่ามนุษยชาติจะสูญสิ้น”

 

“เจ้ามันบ้า! ทำไมถึงต้องจ้องแต่ข้า!” โครงกระดูกชุดคลุมดำอุทานคร่ำครวญ

 

ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตัวเขาก็จะเปรียบดั่งถูกมัดขา รั้งเอาไว้โดยสมบูรณ์

 

เมื่อนรกเยือกแข็งแพร่กระจายถึงช่วงที่เหมาะสม ตนก็จะทำได้เพียงเฝ้าดูมอนสเตอร์ตัวอื่นๆที่หลับไหลอยู่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างหมดหนทาง เฝ้าดูพวกมันออกไล่ล่าจิตวิญญาณในโลกใบนี้ และทวีพลังมากขึ้น แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

 

ในขณะที่ตนเองทำได้เพียงถูกฆ่าและจมอยู่เฉยๆในห้วงหลับไหล ไม่อาจคว้าโอกาสแบบตนอื่นๆแม้เพียงน้อย

 

ยิ่งถ้าหากศัตรูเก่าของเขารู้เกี่ยวกับสถานกาณณ์ในตอนนี้ ยามที่พวกมันตื่นขึ้น คงจะพากันยิ้มเย้ยหยันใส่

 

บางทีสักวันหนึ่ง เขาอาจจะไม่มีค่ามากพอที่จะถือรองเท้าให้แก่พวกมันด้วยซ้ำ

 

แล้วสุดท้าย เขาคงจะตกกระป๋องกลายเป็นทาสของพวกมัน!

 

กู่ฉิงซานกางมือออกและหัวเราะ “ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะท่านปฏิเสธที่จะตอบคำถามเล็กๆน้อยๆ ในความเป็นจริงแล้วคำถามของผมมันง่ายมากๆ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก”

 

“นั่นไม่ใช่คำถามเล็กๆน้อยๆ แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง!” การแสดงออกของโครงกระดูกเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

 

กู่ฉิงซาน “ไม่ ไม่ ไม่ ผมแค่ต้องการจะทราบข้อมูลเล็กน้อยเท่านั้น มั่นใจได้ว่ามันจะไม่ยากสำหรับท่าน”

 

“ทันทีที่ท่านตอบคำถามของผม ผมจะส่งท่านไปจำศีล หลับพักฟื้นตัว และไม่คิดจะรบกวนท่านอีก”

 

กู่ฉิงซานหยิบกล่องซิการ์ออกมา และโยนมันไปทางฝ่ายตรงข้าม

 

“นี่นับว่าเป็นของดีไม่เลว และผมก็ทราบมาว่าท่านชอบสิ่งนี้

 

“มาเถอะ สูบซิการ์กัน แล้วจากนั้นก็บอกผมเกี่ยวกับปรภพ และไปนอนหลับฝันดีอย่างมีความสุข”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำเหลือบสายตาลงบนกล่องซิการ์ตรงหน้าเขา

 

จากมุมมองสายตา ย่อมสามารถเห็นถึงคุณภาพของซิการ์ได้อย่างรวดเร็ว

 

ซิการ์นี้ เป็นหนึ่งในยี่ห้อที่ดีที่สุดในโลก

 

และเขาก็เคยชื่นชอบยี่ห้อนี้มากที่สุด

 

เจ้าหนุ่มคนนี้ไหวพริบดีไม่เลว แม้โครงกระดูกในชุดคลุมดำจะเคยยกซิการ์ขึ้นมาสูบต่อหน้าเขาเพียงครั้งเดียว แต่อีกฝ่ายกลับทันสังเกตเห็น และจดจำยี่ห้อของมันได้

 

เพ้ยยย!

 

นั่นมันไม่ใช่ประเด็น!

 

ร่างของโครงกระดูกชุดคลุมดำสั่นไหวไม่หยุด และในที่สุดเขาก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ได้อีกต่อไป

 

ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น แผดเสียงคำรามไปทั่วทั้งฟ้า

 

“อ๊าาาาา! บัดซบ! บัดซบ! ทำไมข้าถึงต้องโชคร้ายมาพบเจอกับไอ้ตัวขี้โกงอย่างเจ้าด้วยนะ!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.339 – ออกไล่ล่า

 

ยามค่ำคืน

 

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวและแสงจันทร์สลัว

 

นรกเยือกแข็งกำลังแพร่กระจายในอัตราที่เชื่องช้า

 

ภายในร้านซุปเปอร์มา์เก็ตที่เปิด 24 ชั่วโมง

 

กู่ฉิงซานเดินออกมาจากภายใน

 

“นายได้ซื้อมันมารึเปล่า” ซางหยิงฮ่าวที่ยืนรอหน้าประตูเอ่ยถาม

 

แมวดำตัวน้อยถูกโอบอุ้มอยู่ในอ้อมแขนเขา มันเอาคางอิงกับไหล่ของซางหยิงฮ่าว ขณะเดียวกันก็หันมามองกู่ฉิงซานด้วยแววตาที่เปล่งประกายแห่งความหวัง

 

“ใช่ ฉันซื้อมันมาแล้ว แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมคราวนี้เป็นต้องเป็น ‘ทุเรียน’

 

กู่ฉิงซานยกทุเรียนที่เต็มไปด้วยหนามแหลมขึ้นมาอย่างระมัดระวัง และมองดูแมวดำ

 

“นี่คือทุเรียนเกรดที่ดีที่สุดในซุปเปอร์มา์เก็ต”

 

แมวดำพยักหน้าขึ้นลงๆและร้องเหมียวๆด้วยความพอใจ

 

ซางหยิงฮ่าวหยิบเอาทุเรียนในมือของเขาและอธิบายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่า “นั่นเพราะมันกำลังจะต้องออกไล่ล่าตัวตนประเภทน่าหวาดหวั่น และรสชาติของทุเรียนก็เป็นประเภทเดียวกันยังไงล่ะ”

 

ทั้งสองเดินปลีกตัวออกไปในสถานที่ๆไม่มีผู้คน ก่อนที่ซางหยิงฮ่าวจะเคาะนิ้วลงบนพื้นและวางทุเรียนใส่ลงไปในหลุมดำ

 

“ดูนี่สิ ทุเรียนทั้งลูกเลยนา นี่สำหรับเธอคนเดียวเลยนะ ต่อให้กัดกินมันทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีทางหมดแน่ๆ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

“แต่ถ้ากินแล้วยังไม่อิ่ม ก็บอกฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ สัญญาเลยว่าฉันจะซื้อมันให้เจ้าอีกครั้ง” กู่ฉิงซานตบลงบนหน้าอกของตัวเอง

 

แมวดำพยักหน้าให้เขา นั่งยองๆลงทำจมูกฟุดฟิดหันไปซ้ายทีขวาที

 

สักพักก็เงยหน้ามองทั้งสอง หรี่ดวงตากลมโตแคบลง ร้องเหมียวออกมาเบาๆ

 

ซางหยิงฮ่าวเมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็หันไปพูดกับกู่ฉิงซาน “นายพูดสิ่งที่ต้องการได้เลย ตอนนี้พวกเราพร้อมเริ่มต้นค้นหาแล้ว”

 

กู่ฉิงซานรีบกล่าวในทันที “ฉันกำลังตามหา ‘คนตาย’ ”

 

แมวดำกางกรงเล็บออก และยกมันขึ้นมาปิดจมูกตน

 

“อย่าพึ่งเข้าใจผิดไป ที่ฉันกำลังตามหาคือคนตายที่กำลังจะเกิดใหม่ เขาสวมใส่ชุดคลุมสีดำ ทั้งร่างกายเป็นโครงกระดูกไม่มีเนื้อหนัง … ”

 

ขณะกล่าว มือของกู่ฉิงซานก็จีบออกด้วยวิชาลับ

 

สร้างม่านแสงขึ้น

 

และโครงกระดูกในชุดคลุมดำก็ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าแมว

 

“เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้แหละ แมวน้อย .. เจ้าพอจะสามารถหามันได้ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

แมวดำจดจ้องมองภาพที่ว่านี้อยู่ครู่หนึ่ง

 

ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปไม่กี่ก้าว แล้วเริ่มเปลี่ยนเป็นวิ่งด้วยความเร็วที่มากขึ้น และกระโจนออกไป

 

ท่ามกลางเวหา เจ้าแมวดำเหยียดร่างที่ยืดหยุ่นของมันจนยืดยาว ทำท่าทำทางแลคล้ายกับพวกสัตว์ที่บินได้

 

“มันหมายความว่ายังไง?” กู่ฉิงซานถาม

 

“มันบอกว่าพวกเราต้องบินไป” ซางหยิงฮ่าวยักไหล่ตอบ

 

รถเหินเวหาข้ามผ่านกลุ่มเมฆบนท้องฟ้าในยามคำคืน บินอย่างสงบและราบรื่นภายใต้แสงจันทร์

 

ม่านแสงนำทางได้ถูกเปิดขึ้น และแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกปรากฏต่อหน้าสองคนหนึ่งแมว

 

แมวดำกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะและกางกรงเล็บเอื้อมอุ้งเท้าของมันไปวางลงบนแผนที่อิเล็กทรนิกส์

 

“ซีกโลกตะวันตก …  ไกลน่าดูเลยแฮะถ้านับจากที่นี่” ซางหยิงฮ่าวพูด

 

“ยิ่งไปกว่านั้นมันยังอยู่กลางทะเลซะด้วย ชักจะน่าสนใจนิดหน่อยซะแล้วสิ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ทุกวันนี้ ในมหาสุมทรนับว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับมนุษยชาติ

 

เพราะมันเต็มไปด้วยอสูรกายแห่งท้องทะเลนานาชนิด – นี่จึงเป็นเหตุผลที่เจ้าโครงกระดูกเลือกที่จะไปเกิดใหม่ในทะเลใช่หรือไม่?

 

กู่ฉิงซานเร่งกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง ทำการเข้าสู่โหมดบินเหนือเสียง พวกเราจะต้องรีบไปแล้ว”

 

“รับทราบ ใต้เท้า”

 

บังเกิดเสียงโซนิคบูมรุนแรง และรถเหินเวหาก็เร่งความเร็วขึ้น

 

ซางหยิงฮ่าวมองดูแผนที่ เอ่ยปากพูด “มันก็ไม่ค่อยไกลจากฟูซีมากนัก เอาไว้หลังจากที่ฆ่าเขา พวกเราก็รวดแวะไปดูพิธีขึ้นครองบัลลังก์ของจักรพรรดินีเวโรน่าซักหน่อยเป็นไง”

 

“ฉันก็ต้องการแบบนั้นเหมือนกัน” กู่ฉิงซานตอบ

 

……

 

รถเหินเวหาหยุดลงที่เหนือชั้นอากาศเบื้องบน

 

น้ำแข็งลอยกระจัดกระจาย ขึ้นๆลงๆตามระดับคลื่นผิวน้ำทะเล

 

แสงจันทร์ตกลงและสะท้อนกระพริบไหวในบางจุดที่เป็นน้ำแข็ง

 

นี่ช่างเป็นฉากที่แปลกประหลาดโดยแท้ มันแลดูราวกับเป็นทางช้างเผือกอยู่กำลังเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ท่ามกลางท้องทะเล

 

อสูรแห่งท้องทะเลหลายตัวว่ายวน ท่องเที่ยวไปอย่างอิสระท่ามกลางทะเล

 

หลังจากท้องทะเลได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป ที่นี่ก็ได้กลายมาเป็นโลกของพวกมัน

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้น้ำแข็งค้างกำลังค่อยๆก่อตัว

 

อสูรแห่งท้องทะเลสูงหลายสิบเมตรดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติ มันเริ่มกระสับกระส่ายเล็กน้อย

 

อสูรแห่งท้องทะเลตนแล้วตนเล่าเปล่งคำรามเสียงอึกทึก กวัดแกว่งร่างกายอย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อที่จะปัดเศษน้ำแข็งที่ลอยตามคลื่นให้ออกไปไกลห่างจากพวกมัน

 

พวกมันเกลียดน้ำแข็งเหล่านี้

 

และมันไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งเหล่านี้คืออะไร

 

ใช่ ถูกต้องแล้วล่ะ อสูรพวกนนี้มันไม่มีสติปัญญา

 

มนุษย์จึงเริ่มเชี่ยวชาญใช้ทักษะและสมองในการรับมือกับพวกมันมากขึ้น อาการบาดเจ็บล้มตายเลยลดน้อยลงเป็นอย่างมาก

 

ผีดิบกินคนและผีดิบนักฆ่าก็ถูกปราบปรามลงเช่นกัน

 

เกมแห่งชีวิตนิรันดร์ก็ต้องพบกับความผิดหวัง

 

โลกค่อยๆถูกฟื้นฟูกลับมาและได้หายใจหายคออย่างช้าๆ

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้สำหรับในวันสิ้นโลกแล้ว ล้วนเป็นเพียงภัยพิบัติระดับต่ำนั่นเพราะ …

 

เวลานี้ นรกเยือกแข็งได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว

 

ทั้งๆที่มวลมนุษย์พึ่งจะเกิดความมั่นใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ปรับตัวเข้ากับบ้านหลังใหม่นี้ได้แล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายความรู้สึกที่ว่านั่นก็ต้องพังทลายลงเมื่อเผชิญหน้ากับนรกที่ว่านี้

 

ถึงแม้ว่าในชีวิตก่อนหน้า โลกมนุษย์จะมีกลุ่มผู้เล่นมืออาชีพที่อยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพมากมายก็ตามที แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับพลังของภัยพิบัตินี้ มันก็ทำให้พวกเขาพาลเกิดความรู้สึกอ่อนแออย่างลึกล้ำ

 

ภัยพิบัติ!

 

ภัยพิบัติที่แท้จริงเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำความเข้าใจกับมันได้เลย!

 

แม้แต่โลกของนายน้อยชุดคลุมม่วง ที่เป็นโลกของตัวตนที่เต็มไปด้วยขอบเขตสุดแกร่ง สุดท้ายแล้วโลกของพวกเขาก็ยังต้องพินาศอยู่ดี

 

กู่ฉิงซานจับจ้องอยู่แต่กับจอม่านแสง และส่ายหัวเล็กน้อย

 

ถึงแม้ว่าตนเองจะถูกส่งกลับมาอีกครั้ง แต่โลกดันต้องพบเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้ นี่เขาจะสามารถหลบหนีจากโชคชะตาอันโหดร้ายได้จริงๆน่ะหรือ?

 

บางทีความพินาศของโลกนี้ ก็คงจะเป็นเพียงหนึ่งในหมื่นสวรรค์โลกาที่ไม่มีใครรู้จักหรือสนใจ สรรพชีวิตต่างๆคงล้มหายตายจากไปอย่างสงบ

 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆแมวดำก็กางกรงเล็บของมันและตบลงบนจอม่านแสง

 

ตำแหน่งที่มันตบ ก็ยังเป็นบริเวณส่วนหนึ่งของพื้นที่ทะเลที่ตีวงแคบลงจากรอบที่แล้ว

 

“เจ้าแมวมันว่ายังไง?” กู่ฉิงซานถาม

 

“มันบอกว่าเป้าหมายที่พวกเรากำลังตามหา หลบซ่อนตัวอยู่ในท้องทะเลบริเวณพื้นที่นี้” ซางหยิงฮ่าวตอบ

 

เขาพูดสิ่งที่คิดออกมาด้วยความสงสัย “จักรพรรดิองค์แรกเป็นถึงผู้ก่อตั้งประเทศ เป็นมืออาชีพที่เรียกได้ว่าในครั้งอดีตแทบจะอยู่ยงคงกระพัน ไหงกลับมาซ่อนตัวอยู่ในทะเลกันล่ะเนี่ย?”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “นายคิดว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดสินะ แต่เชื่อฉันเถอะ ตอนนี้คงจะเป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่รู้สึกไม่ดีมากที่สุด ที่ตนจะต้องทนแบกรับความอัปยศอดสูนี้เอาไว้”

 

“ถ้าจะให้พูดก็คือ” ซางหยิงฮ่าวยกซิการ์ขึ้นมาจุดและกล่าว “สองดาบของนายมันร้ายกาจ จนทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวล่ะสิใช่ไหม?”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

ในช่วงเวลานั้น ดาบพิภพได้ฟัน 20 ปีศาจกระดูกจนพวกมันตกตายลงอย่างต่อเนื่อง จักรพรรดิผู้ก่อตั้งฟูซีจะหวาดกลัวมันก็ไม่แปลก

 

ในฉับพลันนั้นเอง หัวใจของกู่ฉิงซานก็กระพริบไหว

 

ตามด้วยเสียงของเช่าหยินที่สื่อสารผ่านมาทางความคิดของเขา

 

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เปล่งวาจา แต่ความหมายที่ต้องการจะสื่อ กู่ฉิงซานก็พอเข้าใจได้

 

“เข้าใจแล้ว งั้นก็ไปเถอะ อย่าไปไหนไกลซะล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาชะลอความเร็วรถเหินเวลาลง เปิดหน้าต่างออก

 

และดาบเช่าหยินก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

ร่างของมันสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น รอจนกระทั่งหน้าต่างเปิดออก มันก็บินออกไปทันที

 

เบื้องล่างรถเหินเวหา คือท้องทะเล

 

ดาบเช่าหยินจี้ปลายดาบออกไป

 

และคลื่นในทะเลที่ซัดสาด ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

 

แม้จะไม่ได้มองตาม แต่ในสัมผัสรับรู้ของกู่ฉิงซาน เขาสามารถเห็นว่าดาบเช่าหยินกำลังเล่นอยู่ในทะเลตลอดเวลา

 

เจ้าดาบนี่ มันจะรักในท้องทะเลมากเกินไปไหม?

 

กู่ฉิงซานคิดอยู่สักพัก แต่ไม่นานเขาก็ละความสนใจจากคำถามนี้ลงอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะ

 

ครั้งแรกที่เขาได้พบกับดาบเช่าหยิน มันหลบซ่อนตัวอยู่ภายในค่ายทหาร แถวๆบริเวณต้นไม้ที่แห้งแล้ง และตัวดาบก็ตกอยู่ในสภาพแห้งแล้งผุพังไม่แตกต่างกัน

 

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ที่มันได้รับการซ่อมแซม ตัวดาบก็กลับมาดูมีชีวิตชีวา สามารถปลดปล่อยกระแสน้ำออกมารอบตัวแลดูชุ่มฉ่ำได้ในที่สุด

 

ดาบเช่าหยินเดิมทีเป็นดาบของเทพวิญญาณในยุคโบราณอันไกลโพ้น มันมีชีวิตข้ามผ่านวันคืนนานนับปี มาอยู่ในโลกเทวะอันกว้างใหญ่ที่เปลี่ยนไปจากในครั้งอดีตที่กลายเป็นแห้งแล้งไร้ที่สิ้นสุด

 

ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้มาเห็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แบบนี้ เลยเป็นธรรมดาที่มันอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น

 

เมื่อลองคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ปล่อยมันทำตามใจชอบ

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

รถเหินเวหาได้มาถึงพื้นที่เป้าหมายแล้ว

 

มองดูฉากบนจอม่านแสง กู่ฉิงซานกับซางหยิงฮ่าวก็หันมาสบตากัน แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

พื้นที่นี้จะแตกต่างจากน่านน้ำอื่นๆ พื้นผิวช่วงบนของทะเลได้ถูกแช่แข็งไปแล้ว

 

ซางหยิงฮ่าวลุกขึ้นยืนและพูดว่า “งั้นตอนนี้ นายต้องการให้ฉันออกไปลุยกับนายเลยรึเปล่า?”

 

กู่ฉิงซานงึมงำ “อย่าพึ่งนะ ฉันรู้สึกว่ามันจะดีกว่าถ้าพวกเรารวบรวมคนมามากกว่านี้”

 

ซางหยิงฮ่าวตกใจและถามสวนกลับไป “ แต่นายเป็นตัวตนสุดแกร่งนะ แถมยังเคยเอาชนะเขาได้แล้วด้วย เรื่องจำนวนคน ต่อให้เรียกมามากมายมันก็คงไม่มีประโยชน์หรอก เป็นภาระนายซะเปล่าๆ”

 

“ฉันรู้ แต่การออกไปลุยแล้วฆ่าเขาเสียดื้อๆเลยมันก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน เพราะหลังจากนั้น สุดท้ายเขาก็จะจมลงสู่ห้วงหลับจำศีล และฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งอยู่ดี”

 

“แล้วถ้าอย่างงั้นนายต้องการจะทำอะไร?” ซางหยิงฮ่าวไม่เข้าใจ

 

“เนื่องจากเขาคิดจะหลบหนี นั่นก็น่าจะพออธิบายได้ว่าเขาไม่ต้องการให้ใครเข้าไปยุ่ง ถูกไหม?”

 

“อ่าถูก”

 

“ฉันก็เลยคิดแผนจิตวิทยาอันหนึ่งขึ้นมา และแผนนี้ก็สำคัญมากๆซะด้วย เพราะมันจะช่วยให้พวกเราได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปรภพจากปากของเขาเอง”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.338 – กำลังเสริม

 

คนตายถูกสังหาร จมลงสู่ห้วงหลับฝัน หลังจากฟื้นฟูจนสมบูรณ์แล้วก็จะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

 

เวียนวนเป็นวัฏจักรเช่นต่อไปไม่ทางแก้ปัญหาได้

 

แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าก็คือ โครงกระดูกชุดคลุมดำนั้นได้มาอยู่ในโลกมนุษย์แล้ว

 

เมื่อมันตาย นั่นหมายความว่ามันย่อมต้องปรากฏกายขึ้นในน้ำแข็งที่ไหนสักแห่งบนโลก

 

แล้วถ้าปล่อยให้มันเป็นอิสระ เมือมันตื่นขึ้นมา มันก็จะเริ่มฆ่าสังหารและดูดกินจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะยกระดับพลังของตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

 

เพียงแค่คิดเรื่องนี้ ก็ชวนให้รู้สึกปวดหัวโดยแท้

 

ตอนนี้ นรกเยือกแข็งพึ่งจะเริ่มตึ้นขึ้นเท่านั้น

 

ต่อไป สิ่งที่ตามมาคือคนตายนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นในโลก

 

ยิ่งไปกว่านั้นในอนาคตอันใกล้ สิ่งที่จะตามมาต่อก็คือมอนสเตอร์ในยุคยักษ์ ยุคปีศาจ และยุคโกลาหล

 

ถึงเวลานั้นไม่ว่ามนุษย์จะมีความแข็งแกร่งขนาดไหน พวกเขาก็ไม่สามารถรับมือกับมอนสเตอร์ที่ไม่มีวันตายจำนวนมากได้อย่างแน่นอน

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว ผละมือที่จีบใช้กระบวนท่าออก

 

ดาบพิภพและเช่าหยินก็หายไป

 

พวกมันกลับไปซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่าและจะสามารถโผล่ออกมาได้อีกครั้งเมื่อใดก็ตามที่กู่ฉิงซานต้องการมัน

 

กู่ฉิงซานกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง เมื่อกี้ไม่มีเวลามากพอที่จะถาม ช่วยบอกสถานการณ์ล่าสุดให้ฉันที”

 

“ท่านประธานาธิบดีปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน และบรรลุข้อตกลงทางวาจากับจักรพรรดินีเวโรนีแห่งสาธารณรัฐฟูซีแล้ว”

 

“ข้อตกลงอะไร?”

 

“พิจารณาจากการปรากฏขึ้นของนรกเยือกแข็ง มนุษยชาติอยู่ใกล้ชิดกับขอบเหวแห่งการล่มสลาย ทั้งสองประเทศจึงได้ตัดสินใจยุติสงครามลงในทันที”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อยและเอ่ยถามว่า “แล้วสถานการณ์ความเสียหายล่ะ เป็นยังไงบ้าง”

 

“มีสองหุ่นรบที่ได้รับความเสียหาย”

 

“แค่นั้นเองหรอ?” กู่ฉิงซานทวนถามด้วยความประหลาดใจ

 

“ถูกต้องแล้วใต้เท้า”

 

แล้วเทพธิดากงเจิ้งก็เริ่มเล่าอธิบายถึงรายละเอียดแบบเฉพาะเจาะจงออกมา

 

กู่ฉิงซานหัวเราะ

 

“ไม่เลวนี่นา” เขากล่าว

 

ในเวลานี้ เสียงจากอุปกรณ์สื่อสารก็ดังขึ้นในทันใด

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองมัน และเห็นว่าปลายสายคือจักรพรรดินีเวโรน่า

 

หลังจากที่สนทนากัน จักรพรรดินีก็ร้องขอคำแนะนำจากเขาเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่สักพักหนึ่งจึงแสดงความคิดเห็นออกไป

 

หลังจากที่วางสาย เทพธิดากงเจิ้งก็กล่าวออกมาในทันที “ใต้เท้า ท่านประธานาธิบดีได้เฝ้าดูการต่อสู้ของคุณ และตอนนี้เขาต้องการที่จะพบกับคุณทันที”

 

“โอเค นี่มันก็สมควรแก่เวลาแล้วที่พวกเราจะได้พบกัน”

 

สิ้นเสียง กู่ฉิงซานก็บินมุ่งหน้าตรงไปยังคฤหาสน์ของประธานาธิบดี

 

คราวนี้ ในที่สุดเขาก็จะได้พบกับประธานาธิบดีตัวจริงซะที

 

ไม่กี่นาทีต่อมา

 

เขาก็มาถึงคฤหาสน์ที่ถูกตัดแยกออกเป็นสองซีก

 

หลังจากผ่านเหตุการณ์พลิกผันต่างๆนาๆมามากมาย กู่ฉิงซานและประธานาธิบดีก็ได้พบกันอีกครั้ง

 

“ฉันหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่นั่นแหละ แต่อันตรายจริงๆนะในตอนนั้น ถ้ามันพังทับฉันจริงๆ ก่อนจะออกไปสู้ เธอคงต้องรีบมาช่วยฉันเป็นอันดับแรกแล้วล่ะ” ประธานาธิบดีหัวเราะ

 

“คนดีน่ะ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้หรอกครับ” กู่ฉิงซานตอบรับด้วยรอยยิ้ม

 

ประธานาธิบดีเชิญเขานั่งลงบนโซฟา

 

“ชาหรือกาแฟดีล่ะ?”

 

“ชาครับ”

 

“คราวนี้ ในที่สุดพวกเราก็จะได้คุยกันแบบดีๆซักทีเนอะ”

 

“ใช่ครับ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ใครจะไปคาดคิดว่าองค์จักรพรรดิฟูซีจะตัดสินใจเลือกแบบนั้น”

 

สีหน้าการแสดงออกของประธานาธิบดีกลายเป็นหนักอึ้ง เขาเอ่ยถาม “นรกเยือกแข็งไม่สามารถเอาชนะได้จริงๆน่ะหรอ?”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “เป็นความจริง มันคือโลกของคนตาย หากอ้างอิงกันตามวัฏจักรชีวิต พวกเขาตายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถตายได้อีก”

 

“ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ควรนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ” ประธานาธิบดีพูดอย่างรวดเร็ว “พวกเราจำเป็นต้องรวบรวมนานาประเทศทั้งหมด ทิ้งทุกข้อพิพาทที่เคยมีร่วมกันมา และต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ใช่แล้วครับ จักรพรรดินีเวโรน่าจะขึ้นครองบัลลังก์ในไม่ช้า เรื่องนี้ท่านสามารถสนทนากับเธอได้ก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อฟูซีกับรัฐบาลกลางบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ขั้นต่อไปมันก็จะง่ายขึ้น”

 

ประธานาธิบดีพยักหน้าเห็นด้วย และกล่าวว่า “ตามการพิจารณาของรัฐบาลกลาง คาดว่าโอกาสที่เธอจะได้ขึ้นครองบัลลังก์นั้นมีสูงมาก ฉันจะต้องไปพบกับเธอทันที”

 

“แล้วท่านจะไปหารือเรื่องอะไรกับเธอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ประธานาธิบดี “ฉันต้องการที่จะเป็นผู้นำการประชุมนานาชาติให้เริ่มต้นขึ้นทันที เพื่อให้น้ำยาผสานยีนสามารถแพร่กระจายไปทั่วโลก ให้เพื่อมนุษย์ทุกคนมีโอกาสปลุกความแข็งแกร่ง และแรงบันดาลใจและความหวังให้แด่พวกเขา”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังประธานาธิบดีและกล่าวด้วยรอยยิ้มในทันใด “ผมเชื่อ 100 เปอร์เซ็นเลยว่าท่านนี่แหละ ประธานาธิบดีตัวจริงเสียงจริงแน่ๆ”

 

“ท่านประธานาธิบดี จริงๆแล้วผมมีแนวคิดบางอย่างเกี่ยวกับการฝึกยุทธของมนุษย์ และอยากจะพูดคุยกับท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว”

 

ประธานาธิบดีเผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ว่ามาสิ”

 

………..

 

ครึ่งวันต่อมา

 

ณ วิลล่าบนภูเขา

 

เชฟ7-8คนเดินเรียงรายกันออกมา

 

กู่ฉิงซาน ซางหยิงฮ่าว เย่เฟย์หยู และเหลียวฮังนั่งล้อมวงกันรอบโต๊ะ

 

มันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะหาโอกาสนั่งกินข้าวเย็นกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้

 

แม้ว่าซางหยิงฮ่าวจะมีรอยช้ำและปูดบวมบนใบหน้า แต่รอยยิ้มของเขากลับไม่ยอมหุบลงเลย

 

“ยังเจ็บอยู่รึเปล่า” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เจ็บแล้วมันยังไง แค่ได้รับเงินมามันก็ช่วยปัดเป่าเยียวยาความเจ็บปวดให้ฉันแล้ว” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

จักรพรรดินีเวโรน่าช่างใจกว้างอย่างแท้จริง

 

เวลานี้ ภารกิจของซางหยิงฮ่าวนับว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบ

 

และสิ่งเดียวที่ทำให้มันไม่สมบูรณ์แบบก็คือการถูกทุบตีโดยเทพนักสู้

 

ใกล้กับซางหยิงฮ่าว เหลียวฮังที่อยู่ด้านขวาไม่ได้ขยับมือของเขา แต่ตะเกียบที่อยู่ตรงหน้ากลับบินออกไปโดยอัตโนมัติ คีบอาหารบนจานแล้วป้อนมันเข้าปากของเขา

 

เหลียวฮังกำลังเคี้ยวอาหารในจานอย่างตะกละตะกลาม และทันใดนั้นเขาก็ดีดนิ้วทันที

 

ป๊อก!

 

ขวดแชมเปญเปิดออกอย่างกระทันหัน

 

ขวดแชมเปญบินมายังเบื้องหน้าเขา และเติมมันลงในแก้วอัตโนมัติ

 

“ไม่เลวนี่นา” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยยกย่องคำหนึ่ง

 

“แน่นอนอยู่แล้ว ด้วยสมองของฉันคนนี้ การฝึกยุทธน่ะมันเป็นแค่เรื่องง่ายดาย” เหลียวฮังกล่าว ขณะที่ยังคงบังคับตะเกียบให้ป้อนอาหารเข้าปากเขาอย่างต่อเนื่อง

 

กู่ฉิงซานมองไปทางเย่เฟย์หยู

 

“แล้วทำไมนายถึงไม่เรียกแฟนให้ออกมานั่งด้วยล่ะ?”เขาเอ่ยถาม

 

“ฉันไม่ยอมปล่อยให้เธอออกมาเองแหละ”

 

“ทำไมล่ะ หรือว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

 

“ก็การที่ผู้ชายหลายคนที่ดูน่าหวาดกลัวกำลังนั่งดื่มกินกันอย่างเต็มที่ จะให้เธอมาผสมโรงได้ยังไง” เย่เฟย์หยูยืดอกขึ้นและกล่าว

 

ติ๊ง-ต่อง!

 

เสียงระฆังของนาฬิกาบนผนังดังขึ้น

 

“พวกนายกินกันต่อเลย ฉันอิ่มแล้ว” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

เขาผุดลุกขึ้น และจากไปอย่างรวดเร็ว

 

“ปัง!” ตามด้วยเสียงประตูห้องของเย่เฟย์หยูที่ดังตามมาอย่างแรง

 

“เขายังไม่ได้กินอะไรเลย แล้วจะไปอิ่มได้ยังไง?” กู่ฉิงซานสงสัย

 

“ไม่ใช่ว่ามันถึงเวลาแล้วหรอกเหรอ ฮี่ฮี่” เหลียวฮัง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชั่วโมงนี้ เป็นเวลาเดียวที่มันจะได้คุยกับผู้หญิงคนนั้นยังไงล่ะ”

 

ซางหยิงฮ่าวเปิดขวดเหล้า และเทมันลงบนแก้วของกู่ฉิงซาน ถอนหายใจด้วยอารมณ์ “อย่าพูดถึงเขาเลย เอาเป็นว่าเวลานี้ฉันคงต้องขอกล่าวขอบคุณนายสำหรับเรื่องธุรกิจนะ”

 

กู่ฉิงซานยกแก้วเหล้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอก นายก็ช่วยฉันไว้เยอะเหมือนกันตอนกำลังวุ่นๆ”

 

ทั้งสองหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาชน และยกดื่มรวดเดียวหมด

 

ทันใดนั้นสมองควอนตัมของกู่ฉิงซานก็ส่องสว่างขึ้น

 

“ใต้เท้า ลองดูข่าวนี้สิ” เทพธิดากล่าว

 

กู่ฉิงซานเปิดจอม่านแสง

 

บนหน้าจอ คือพระราชวังโอเอซิสกลางทะเลทรายของอาณาจักรฟูซี

 

ผู้บรรยายกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ในวันนี้ จักรพรรดินีเวโรน่าได้พบกับท่านประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลาง ณ พระราชวังทะเลทราย ท่านประธานาธิบดีได้แสดงการสนับสนุนสำหรับการตัดสินใจของจักรพรรดินีเวโรน่าที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ และหวังว่าทั้งสองประเทศจะขยายความสัมพันธ์  … ”

 

นรกเยือกแข็งได้มาถึงและค่อยๆแพร่กระจายออกไปทั่วโลกโดยที่ไม่อาจต้านทานได้

 

อย่างไรก็ตาม แผนการขององค์จักรพรรดิได้ถูกหยุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และอัตราการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งจากทั่วทุกมุมโลกสมควรที่จะลุกลามช้าลงเป็นอย่างมาก

 

นอกจากนี้ ทุกประเทศยังได้ยกเลิกการใช้โทษประหาร

 

โรงพยาบาลทั้งหมดเปิดให้ใช้บริการฟรี และทุกคนที่ป่วยจะสามารถได้รับการรักษาทันที

 

หลายประเทศเล็กๆที่ขัดแย้งกัน ก็ต้องผ่อนความระแวดระวังลง และร่างข้อตกลงสันติภาพ

 

ช่วงเวลานี้ มนุษยชาติได้จับมือสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

 

พันธมิตรร่วมกันโจมตีและปกป้องโลกได้รับการจัดตั้งขึ้น

 

ทุกประเทศระดับสูงทั้งหมดได้รับแจ้งถึงข้อเท็จจริงของการรุกรานจากนรกเยือกแข็ง

 

คราวนี้ แม้กระทั่งเก้าตระกูลใหญ่ก็ไม่อาจหยุดยั้งมันได้

 

แม้กระทั่งทางคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ที่มีทัศนคติแยกตัวออกไปโดดเดี่ยว ก็ยังแสดงความประสงค์ที่จะเข้าร่วมสนธิสัญญาพันธมิตรในครั้งนี้ด้วย

 

พอซางหยิงฮ่าวได้อ่านข่าว เขาก็หัวเราะออกมาและกล่าวว่า “ต่อจากนี้ไปฉันคงเรียกเธอห้วนๆไม่ได้อีกแล้ว ทุกครั้งที่เจอคงต้องตะโกนว่า องค์สมเด็จพระจักรพรรดินีทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”

 

ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในอารมณ์ที่ดีมากทีเดียว

 

เนื่องจากผลงานอันยอดเยี่ยมจากภารกิจคุ้มครอง ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากทางจักรพรรดินีเวโรน่า และทั้งสองก็ได้ทำข้อตกลงร่วมกันว่า คงจะมีโอกาสร่วมมือกันอีกมากในอนาคต

 

สมาคมนักล่าได้สร้างชื่อเสียงกระฉ่อนให้กับตัวเองในโลกใต้ดินจากเหตุการณ์ในครั้งนี้

 

หลังจากอ่านข่าวอย่างรอบคอบ กู่ฉิงซานก็พยักหน้าพลางครุ่นคิด

 

เขากล่าว “หยิงฮ่าว ฉันต้องการคนของนายไปปกป้องท่านประธานาธิบดี เพราะว่าเขาไม่มีร่างโคลนมาแทนที่แล้ว”

 

“มีรางวัลรึเปล่าล่ะ?”

 

“ไม่ให้เป็นเงินนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของซางหยิงฮ่าวพังครืนลงในทันที เขาก้มหน้าลงและกล่าว “สงสัยคงได้กินแห้วอีกแล้ว”

 

“เพราะนั่นมันไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นรางวัลหรอก แต่ใครก็ตามที่ยินดีจะรับหน้าที่นี้ ฉันจะคัดเลือกเทคนิคฝึกยุทธให้แก่พวกเขาด้วยตัวเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“งั้นตกลง!”

 

ซางหยิงฮ่าวรีบตอบรับทันที

 

เพราะนับตั้งแต่ที่เขาได้เรียนรู้และฝึกซ้อมเทคนิคฝึกยุทธของกู่ฉิงซาน เขาก็มีความตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับโลกทั้งใบมากขึ้น

 

แม้กระทั่งเทคนิคเทียนซวนที่มาถึงคอขวด ก็เริ่มที่จะเผยสัญญาณคลายตัวลงแล้ว

 

นี่ขนาดเขาใช้เวลาฝึกฝนเพียงไม่กี่วันเท่านั้นนะ แต่มันกลับส่งผลลัพธ์ได้มากถึงขนาดนี้

 

ถ้าเขายังคงฝึกฝนมันต่อไปแล้วล่ะก็ …

 

สำหรับเรื่องเกี่ยวกับการฝึกฝน เกี่ยวกับเทคนิคฝึกยุทธ ซางหยิงฮ่าวย่อมให้ความสนใจกับมันอย่างเต็มที่

 

กู่ฉิงซานหันหัวไปอีกทางและเอ่ยถามว่า “เหลียวฮัง แล้วการจัดเรียงเทคนิคฝึกยุทธทั้งหมดเป็นยังไงบ้าง?”

 

“ทำการจัดหมวดหมู่เสร็จสมบูรณ์แล้ว” เหลียวฮังตอบ

 

“ถ้างั้น ในเมื่อกำไลข้อมือของพวกเราพร้อมสำหรับทุกอย่างแล้ว ก็เหลือแค่น้ำยาธาตุทั้งห้าของฟูซีเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

น้ำยาปลุกเทคนิคเทียนซวน กับน้ำยาเสริมศักยภาพนักสู้หวูเต๋าก็ได้รับมาแล้ว ที่เหลืออยู่ก็แค่เพียงน้ำยากระตุ้นธาตุทั้งห้าเท่านั้น

 

ด้วยน้ำยาสามชนิดนี้ ความสามารถของมนุษย์ทุกคนก็จะตื่นขึ้นได้ทันที

 

โลกนี้จะก้าวเข้าสู่ยุคที่ผู้คนกลายเป็นมืออาชีพ

 

แน่นอนว่าย่อมต้องมีบางคนที่ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ แต่สิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบใดๆต่ออนาคตของพวกเขา

 

เพราะกู่ฉิงซานได้เตรียมการฝึกฝนด้วยเทคนิคฝึกยุทธไว้นับร้อยนับพันเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับกรณีนี้!

 

ถ้าเราสามารถเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติเยือกแข็งในครั้งนี้ไปได้ โลกก็จะนำไปสู่เติบโตและพัฒนาอย่างก้าวกระโดด!

 

“เทพธิดากงเจิ้ง พิธีบรมราชาภิเษกของจักรพรรดิจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่นะ”

 

“พรุ่งนี้เวลา 9 โมงเช้า”

 

กู่ฉิงซานหันไปมองดูเวลา

 

เหลืออีก 11 ชั่วโมง

 

นับว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมทีเดียว

 

เขาหยิบขวดเหล้าขึ้นมา และรินมันให้ซางหยิงฮ่าว ปากเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คืนนี้นายพอจะว่างไหม?”

 

“ทำไม?”

 

“ออกไปฆ่ากัน”

 

“ด้วยความแข็งแกร่งของนายในตอนนี้ ยังต้องการให้ฉันช่วยอีกหรอ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามแปลกๆ

 

“ก็ฉันดันปล่อยให้องค์จักรพรรดิผู้ก่อตั้งฟูซีหนีไปได้น่ะสิ แถมตอนนี้เทพธิดากงเจิ้งก็ยังหาตัวมันไม่เจอเลย ”

 

“งั้นก็ตกลง พวกเราไปหาอะไรทำให้อาหารมันย่อยกันดีกว่า” ซางหยิงฮ่าวตอบรับอย่างมีความสุข

 

ทั้งสองยกแก้วขึ้นมาชน

 

เมื่อได้ข้อสรุปในเรื่องนี้แล้ว กู่ฉิงซานโล่งใจ

 

เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

บนหน้าต่าง สามบรรทัดตัวอักษรลอยเด่นอยู่ตรงใจกลางมัน

 

“กำลังเสริมจากปรภพได้รับทราบถึงความสำเร็จอันงดงามของคุณแล้ว และตอนนี้พวกเขากำลังเร่งมือให้ไวขึ้น เพื่อที่จะได้รีบมาถึงโลกใบนี้อย่างรวดเร็ว ร่วมต่อสู้กับนรกเยือกแข็งไปพร้อมกับคุณ”

 

“เมื่อกำลังเสริมจากปรภพมาถึงโลก พวกเขาจะทำการติดต่อกับคุณก่อนเป็นอันดับแรก”

 

“ทำการนับเวลาถอยหลัง : 24.00 น.”

 

อีก 24 ชั่วโมง กำลังเสริมจะมาถึง

 

กู่ฉิงซานเบนสายตาของเขากลับมา และยกแก้วขึ้นดื่มต่อ

 

เขาวางแก้วลงบนโต๊ะและยืนขึ้น

 

แล้วเตรียมพร้อมเริ่มทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้น ก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.337 – ถอยไปตั้งหลัก

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำยืนนิ่งชนิดลืมหายใจ จนผ่านไปสักพักมันจึงค่อยทำใจให้เย็นลงอย่างช้าๆ

 

เพื่อที่จะพิชิตโลก มันได้ใช้ความพยายามอย่างหนัก เตรียมกระบวนท่าสังหารชั้นสูงไว้ถึงสาม ทว่าแต่ละท่า … แต่ละท่ากลับทยอยกันถูกทำลายลง ไม่ก็ฉกชิงไปโดยอีกฝ่าย

 

เพียงแค่คิด โครงกระดูกในชุดคลุมดำก็รู้กปวดหัวเล็กน้อย

 

“กล้าทำลายปีศาจกระดูกของข้า แถมยังฉกฉิงสมบัติของข้าไป … ”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำกัดฟันกล่าว

 

เสื้อคลุมของมันพัดกระพือขึ้น พร้อมกับเจตนาฆ่าจากทั้งร่างที่พุ่งทะยานในทันใด

 

ราวกับยักษ์ดำที่ลอยล่องอยู่กลางเวหา โครงกระดูกชุดคลุมดำโฉบถลาลงมา

 

“ถ้างั้นทีนี้ล่ะ จะลงมือสังหารเจ้าด้วยตัวเอง!” โครงกระดูกคำรามลั่น

 

กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงกระซิบ “เจ้าสามารถรับมือกับเขาได้หรือไม่?”

 

“นั่นเป็นเพียงคนตายธรรมดาๆ พลังศักดิ์สิทธิ์ของข้าย่อมไม่มีประโยชน์อันใด” ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ

 

“คนตายธรรมดา … ดีล่ะ งั้นไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

กู่ฉิงซานทำการล็อคสมญาเทพสงครามไปเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’

 

“หากสวมใส่ ท่านจะได้รับสกิลพิเศษ : โจมตีฉับไว(ขั้นกลาง)”

 

“โจมตีฉับไว(ขั้นกลาง) : ช่วยเพิ่มความว่องไวในการโจมตีของผู้เล่น 15%”

 

เขาจีบมือใช้ออกด้วยเทคนิคบงการดาบ

 

ดาบเช่าหยินปรากฏขึ้นข้างกายเขาและทำหน้ารับผิดชอบในการป้องกัน

 

ส่วนดาบพิภพรับหน้าที่โจมตี มันกลายเป็นภาพติดตาและหายวับไปอย่างรวดเร็ว

 

ตูม!

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำถูกทุบกระแทกจนแปรสภาพเป็นเงาดำๆปลิวกระเด็นกลับไป

 

“เจ้าก็ไปด้วย!” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงต่ำ

 

ดาบเช่าหยินกระพริบไหว

 

ใบดาบอันแหลมคมของมันกรีดทำลายชั้นอากาศที่ว่างเปล่าจนส่งเสียงหึ่งๆ จ้วงแทงทะลุเข้าไปในเงาดำที่พึ่งปลิวไป

 

ทันใดนั้น ความเร็วของดาบพิภพก็เร่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

 

เห็นแค่เพียงสองดาบบินเวียนว่าย ร่ายรำอยู่ในอากาศ สลับสับเปลี่ยนกันเป็นภาพติดตาไปๆมาๆ

 

ราวกับถูกหนีบอยู่กลางตะแกรงเหล็ก โครงกระดูกชุดคลุมดำถูกดาบคู่กระหนาบบ้างซ้ายบ้างขวา บ้างหน้าบ้างหลัง ทั้งสับทั้งแทงไปทั่วร่างกาย

 

“นี่มันสกิลดาบแบบใดกัน!” โครงกระดูกทั้งตกตะลึงทั้งโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน

 

ดาบบินยังคงไล่สับอยู่เรื่อยๆ และความเร็วของมันก็มากเกินไปจนทำให้เขามิอาจหลบหลีกได้เลย

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำกัดฟัน ก่อนจะแปรสภาพเป็นหมอกหนาสีเทา และวูบร่างเคลื่อนกายไปยังทิศทางของกู่ฉิงซาน

 

เขารีดความว่องไวของตนจนถึงขีดสุด เพื่อหลุดพ้นจากสองดาบอย่างกระทันหัน

 

ในพริบตา โครงกระดูกในชุดคลุมดำก็มาถึงเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

“เจ้าเด็กน้อย ตายซะ!”

 

เขาคำรามแบบแทบจะคลั่ง

 

ดาบน้ำแข็งปรากฏขึ้นในมือของเขา รอบตัวมันบังเกิดกระแสอากาศเย็นเยียบ สับลงไปยังกู่ฉิงซาน

 

“สกิลดาบเล็กจ้อยนี่น่ะหรือที่ท่านพยายามจะใช้สังหารผม?”

 

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปในทันใด ดาบเช่าหยินก็หมุนตัวเปลี่ยนทิศทางของมันอย่างรวดเร็ว และมาตกอยู่ในมือของเขา

 

เขากุมดาบเช่าหยิน และโถมตัวทะยานมุ่งไปข้างหน้า

 

สองดาบจากสองฝ่าย หนึ่งมีหน้าที่โจมตี อีกหนึ่งมีหน้าที่ป้องกัน ปะทะเคร้งๆใส่กัน ทว่าผ่านพ้นไปเพียงสิบกระบวนท่า กู่ฉิงซานก็สามารถปลดดาบในมือจากอีกฝ่ายลงได้

 

ดาบเช่าหยินวูบ! ผ่านไปข้างหน้าและจ้วงแทงเข้าไปในลำคออีกฝ่าย

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำถูกแรงปะทะจากดาบยาว ทั้งร่างของมันสั่นสะท้าน หน้าหงายเสยกลับไปเบื้องหลัง

 

มันร้องโหยหวนด้วยความโกรธ แม้ว่าดาบจะแทงลึกเข้าไปในลำคอของมัน แต่ทั้งคนทั้งร่างของมันก็ยังก้าวฝีเท้ามายังเบื้องหน้ามิคิดหยุดยั้ง

 

โครงกระดูกแปรสภาพกลายเป็นหมอกสีเทาอีกครั้ง หลงเหลือทิ้งไว้เพียงปากกระดูกขนาดใหญ่ที่ยังคงสภาพอยู่

 

อย่างฉับพลัน ปากกระดูกอ้ากว้างออก และขนาดของมันก็เพียงพอแล้วที่จะกลืนกินกู่ฉิงซานเข้าไปทั้งร่าง

 

ทั่วทั้งปากของมันเต็มไปด้วยซี่ฟันที่เรียงตัวกันอย่างหนาแน่น ชนิดที่ว่าอากาศหรือน้ำก็มิอาจแทรกตัวเข้าผ่านไปได้

 

กู่ฉิงซานพุ่งตรงไปข้างหน้า ฟาดคมดาบเข้าใส่ปากของโครงกระดูกชุดคลุมดำ

 

ส่วนทางด้านโครงกระดูกก็กัดงับ!ลง

 

แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็หายตัวไป และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเบื้องหลังของมัน

 

ดาบพิภพในมือโบกสะบัดฟาดเข้าใส่กลางกบาลอีกฝ่าย

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!

 

รังสีดาบเส้นบางๆแยกออกเป็นห้าแฉก และตลอดทั้งกะโหลกของชายชุดคลุมดำก็ถูกบดขยี้ แปรสภาพบุบบี้แลคล้ายโคลนเหลว

 

เลือดสีดำพุ่งกระฉูดแพร่กระจายไปทั่วฟ้า

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำกลิ้งตัวไปมาบนฟ้าด้วยความเจ็บปวด

 

กู่ฉิงซานจีบมือใช้ออกด้วยเทคนิคดาบอย่างรวดเร็ว ปากเอ่ยตะโกน “ฟันต่อเนื่อง!”

 

ดาบเช่าหยินคว้าโอกาสที่ว่านั่นอย่างรวดเร็ว และฟันต่อเนื่องไปถึงเจ็ดดาบลงบนร่างของโครงกระดูกชุดคลุมดำ

 

ทันใดนั้นมังกรสายฟ้าก็พุ่งออกมาจากดาบเช่าหยินอย่างรวดเร็ว มันอ้าปากงับ! เข้าใส่ร่างโครงกระดูก บดกรามอย่างเต็มที่ ฉีกกัดอีกฝ่ายอย่างรุนแรง

 

เทคนิคลับแห่งดาบ เจ็ดดารามังกรแหวกธารา!

 

“อ๊ากกกกกก” โครงกระดูกชุดคลุมดำส่งเสียงครวญหอนอันน่าสะพรึงออกมา

 

สายฟ้าน่ะมีพลังอำนาจที่จะใช้ลงทัณฑ์มารร้าย ดังนั้นความเสียหายที่เกิดจากมันจึงลึกล้ำยิ่งกว่าการโจมตีตามปกติ

 

มองไปยังโอกาสที่กำลังว่างเว้นนี้ กู่ฉิงซานก็หยิบเม็ดยาวิญญาณออกมากัดกิน

 

สองดาบบินวนสลับไปมา หมายจะบีบอีกฝ่ายเข้าสู่ความตาย และแน่นอน ว่าแม้สองดาบจะทรงพลานุภาพ ทว่าขณะเดียวกันพลังที่ต้องจ่ายออกไปเพื่อใช้มันก็ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

ตอนนี้ เขากำลังต่อสู้ในรูปแบบของนักดาบนิรันดร์!

 

อย่างไรก็ตาม การควบคุมดาบบินของเขายังคงหยาบอยู่มาก เลยจำต้องได้รับความสนับสนุนโดยมือที่สับเปลี่ยนไปมาด้วยเทคนิคดาบอย่างว่องไว

 

กู่ฉิงซานมองไปยังมังกรสายฟ้า

 

–มันขึ้นอยู่กับว่าเจ็ดดารามังกรแหวกธาราจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้หรือไม่

 

บนท้องนภา ในที่สุดแสงแปล่บปลาบของสายฟ้าก็ได้หายไปในที่สุด

 

“ทำไม! ทำไมเจ้าถึงมีสกิลดาบนี้!”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำกุมท้องของเขา ปากอ้าตะโกนหวีดคำรามอย่างบ้าคลั่ง

 

บัดนี้ตรงบริเวณช่วงท้องของเขาปรากฏรูขนาดใหญ่เปิดอยู่

 

โครงกระดูกยกมือที่กุมท้องขึ้น และพบว่ามือของมันถูกปกคลุมไปด้วยเลือดสีเทา

 

“เจ้าทำให้ข้าโกรธจริงๆแล้วนะ!” โครงกระดูกกำลังจะเป็นบ้า!

 

ด้วยมือข้างที่เปื้อนเลือด เขายื่นมันออกไปขีดเขียนอักษรลึกลับบางอย่างในอากาศ

 

พร้อมกับสายลมที่ไหลออกมาจากมัน แทรกซึมเข้าไปตามชั้นอากาศอย่างเงียบๆ

 

“ผู้คุมวิญญาณจากปรภพ จงมาช่วยข้า-”

 

สายลมกรรโชกแรงขึ้น พร้อมด้วยเสียงเล็กๆไหลเอื่อยลอยตามมากับมัน ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

 

แต่เมื่อเห็นฉากนี้ จู่ๆดาบพิภพก็ฉวัดเฉวียนไปในอากาศ

 

และทันใดนั้นปราณที่มองไม่เห็นก็ปะทุออกมาจากดาบพิภพ

 

เสียงหนักทึบของดาบพิภพดังกึกก้อง ส่งผ่านไปทั่วสนามรบ

 

“ไม่ว่าจะเป็นมารสวรรค์ วิญญาณชั่วร้าย อสูรกาย หากย่างกรายเข้ามาใกล้พวกเจ้าจักต้องตาย!”

 

ฮู้มมมมม!

 

สายลมแรงพัดกระพือตอบสนอง

 

คลื่นอากาศที่มองไม่เห็นในสายลมระเบิดเสียงหวีดหวิวไปมา

 

ทันใดนั้น สายลมก็กระจายตัวแยกออกไป สรรพเสียงทั้งหมดเงียบลง มิมีเสียงใดผุดออกมาจากความว่างเปล่าอีกเลย

 

ผู้คุมวิญญาณ … ได้เผ่นจากไปแล้วด้วยความหวาดกลัว

 

โครงกระดูกในชุดคลุมดำจับจ้องมองดาบพิภพชนิดหัวชนฝา ความปรารถนาอันแรงกล้าผุดขึ้นมาบนใบหน้ากระดูกของมัน

 

“ดาบเช่นนี้ มาอยู่ในมือของสัตว์เลื้อยคลานเช่นเจ้าได้อย่างไร” มันเอ่ยอย่างขุ่นข้อง

 

“สัตว์เลื้อยคลาน?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ

 

“ก็ใช่น่ะสิ! หากมิได้ครอบครองดาบเล่มนี้แล้วล่ะก็ ตัวเจ้าน่ะไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย!” โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าว

 

“งั้นเกรงว่าท่านคงจำเป็นต้องมาทำความรู้จักกับผมใหม่อีกซักครั้งแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

วูบบบบ!

 

ดาบทะลวงผ่านท้องของโครงกระดูกชุดดำ

 

มันคือดาบเช่าหยิน

 

และวินาทีต่อมา ดาบเช่าหยินก็หายวับไป

 

พร้อมบังเกิดรังสีดาบดั่งดวงจันทร์นวลผ่องขนาดยักษ์เข้ามาแทนที่ ระเบิดออกมาจากกลางเอวของโครงกระดูกชุดคลุมดำอย่างรุนแรง

 

ร่างเงาแทนที่!

 

ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานแปรสภาพเป็นเทคนิคลับแห่งดาบตัดจันทรา สะบั้นร่างโครงกระดูกในชุดคลุมดำแยกออกเป็นสองส่วน!

 

ร่างโครงกระดูกถูกพัดปลิวไปตามแรงสายลมที่พัดกระพือจากดาบ เลือดสาดฟุ้งไปในอากาศอย่างรุนแรง

 

กู่ฉิงซานจีบออกด้วยเทคนิคดาบอีกครั้ง

 

และดาบเช่าหยินก็ก่อกระแสน้ำจับตัวขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นรังสีดาบอันเชี่ยวกราด

 

เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!

 

รังสีดาบเหลือคณาแปรสภาพเป็นดั่งกระแสธารไหลท่วมเข้าลำตัวครึ่งล่างของโครงกระดูกชุดคลุมดำ ตัดสะบั้นมันจนเหือดหายไปในความว่างเปล่า

 

ท่ามกลางอากาศ มีเพียงส่วนลำตัวครึ่งบนของโครงกระดูกเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่

 

โครงกระดูกในชุดคลุมดำจ้องมองส่วนลำตัวครึ่งล่างของตนที่ถูกล้างบางออกไปโดยรังสีดาบโดยสมบูรณ์

 

มันเป็นความรู้สึกแปลกๆที่เขาไม่เคยพบเจอหรือมีประสบการณ์ในการต่อสู้แบบนี้มาก่อน

 

ทว่า ณ ขณะนี้ กลับเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ยังคงแลดูสงบแทน

 

“ข้าไม่เคยเห็นใครต่อสู้เหมือนเจ้ามาก่อนเลย แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในนรก” โครงกระดูกชุดคลุมดำเอ่ยเสียงหม่น

 

ดูเหมือนว่ามันจะไม่สนใจเกี่ยวกับร่างของตนที่เหลือเพียงครึ่ง

 

“ผมยังสามารถช่วยให้ท่านเข้าใจได้ถึงตัวผมได้มากยิ่งกว่านี้อีกนะ” กู่ฉิงซานยกดาบขึ้น

 

อาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุดของโครงกระดูกในชุดคลุมดำคือหยดน้ำและยี่สิบปีศาจกระดูก

 

ทว่าหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนก็ได้ถูกดูดดื่มไปแล้วโดยดาบเช่าหยิน

 

ส่วนยี่สิบสิ่งมีชีวิตในตำนานก็ถูกทุบทำลาย ฆ่าสังหารจนสิ้นโดยดาบพิภพ

 

บัดนี้ร่างโครงกระดูกในชุดคลุมดำไร้ซึ่งพลังอันน่าหวาดหวั่นอีกต่อไป

 

“ฝากไว้ก่อนเถอะ … ครั้งหน้าข้าจะต้องมาคิดบัญชีกับเจ้าแน่!” โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าว

 

“ท่านคิดจริงๆหรือว่าผมจะปล่อยท่านไป?” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ดาบเช่าหยินและดาบพิภพลอยเด่นอยู่ในอากาศข้างกายเขา

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำผุดรอยยิ้มแปลกๆขึ้นบนใบหน้า

 

“ข้าสามารถตายได้นับครั้งไม่ถ้วน แต่เจ้าน่ะ พลาดพลั้งเพียงครั้ง … ก็จะตกตายไปตลอดกาล”

 

“ในนรก ยังมีคนตายที่เป็นเหมือนกับข้าอีกมาก และพวกเขาล้วนเป็นอมตะ!”

 

“แล้วเจ้าจะสามารถรับมือกับพวกเราได้อย่างไร?” มันเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานเงียบ

 

มันเป็นความจริงที่คนตายน่ะจะไม่สามารถตายได้อีก

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าว “สุดท้ายแล้วผู้ชนะ … คือคนเป็นหรือคนตายจากปรภพกันแน่นะ?”

 

หลังสิ้นคำกล่าวแล้ว มันก็ยกมือขึ้นและบิด! หมุนหัวกะโหลกของตนเองดังกร๊อบ!

 

แล้วโครงกระดูกในชุดคลุมดำก็หายไปต่อหน้าต่อตากู่ฉิงซาย

 

มิอาจพบเจอถึงร่องรอยของมันบนท้องฟ้าได้อีกต่อไป หลงเหลือเพียงหมอกสีเทาในอากาศที่ค่อยๆกระจัดกระจายออกไปเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานตะลึงนิ่งงันไปสักพัก

 

อีกฝ่ายจงใจฆ่าตัวตาย

 

ด้วยวิธีนี้ โครงกระดูกในชุดคลุมดำก็จะสามารถหลบลี้ออกจากพื้นที่นี้ได้ในทันที

 

ด้วยวิธีนี้ มันจะหวนกลับสู่นรกเยือกแข็ง และใช้น้ำแข็งแช่ตัวเพื่อรักษาบาดแผลทั้งหมดให้ฟื้นฟูกลับคืนมาดังเดิมอีกครั้ง

 

เมื่อหายดีเป็นปกติ มันก็จะออกมาก่อความวุ่นวายอีกครา

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

 

นี่แหละคือส่วนที่จัดการได้ยากมากที่สุดของนรกเยือกแข็ง คุณทำได้เพียงแค่มอบความพ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่สามารถกำจัดอีกฝ่ายลงได้อย่างเด็ดขาดตลอดไป

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.336 – ดาบพิภพและเช่าหยิน

 

ด้วยมนตราของหกธรรมพิทักษ์ เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก็หวีดลั่นออกมาจากดาบน้ำแข็ง

 

ในเสี้ยววินาที เสียงคร่ำครวญนับร้อยพันก็เงียบลงในฉับพลัน

 

เมื่อหกธรรมพิทักษ์จางหายไป ดาบน้ำแข็งก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมาอีกเลย

 

ท่าทีการแสดงออกของโครงกระดูกชุดคลุมดำแปรเปลี่ยนไป เขาเอ่ยเสียงหม่นทะมึนว่า “กล้าทำร้ายดาบของข้า! ดูเหมือนว่าคงต้องใช้เวลามากขึ้นสักเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะจิตวิญญาณอันน่าอร่อยของเจ้าจะช่วยชดเชยมันให้แก้ข้าเอง”

 

สองมือของร่างโครงกระดูกประสานเข้าหากัน

 

พร้อมกับการเคลื่อนไหวนี้ ทุกสรรพสิ่งตลอดทั้งสวรรค์และโลกพลันเงียบสงัดลง

 

เมฆมืดมนราวกับก้อนตะกั่วที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าบริเวณรอบชานเมืองหายไปชั่วขณะหนึ่ง

 

และถูกแทนที่ด้วยเมฆหมอกสีเหลืองเทาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 

มันจะต้องมีบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นแน่ๆ เพราะมันถึงขั้นแทรกแซงความเป็นจริง และทำให้เกิดวิสัยทัศน์เช่นนี้ขึ้นมาได้

 

กู่ฉิงซานเพิ่มความระมัดระวังขึ้น

 

เห็นแค่เพียงโครงกระดูกในชุดคลุมดำผละสองมือที่ประกบแนบชิดของมันออก

 

ตามด้วยหยดน้ำหยดหนึ่งลอยนิ่งอยู่ในมือของมัน

 

หยดน้ำสีเหลืองเข้มปลดปล่อยหมอกหนาออกมา การดำรงอยู่ของมันส่งผลให้ผู้คนที่พบเห็นบังเกิดความหวาดกลัวอันยากจะอธิบายขึ้นในจิตใจ

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำถือหยดน้ำนี้อย่างระมัดระวัง

 

“ข้าจำต้องใช้เวลามากกว่า 1000 ปี จึงจะได้รับมันมา!”

 

โครงกระดูกอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

 

น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความภาคภูมิอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

“ตลอดทั้งปรภพ ไม่มีคนตายคนใดเลยที่ได้รับหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนเช่นเดียวกับข้า”

 

โครงกระดูกสีดำกล่าว ขณะเดียวกันหมอกละอองน้ำเยือกแข็งอันไร้ที่สิ้นสุดเบื้องหลังเขาก็เริ่มควบแน่น รวมตัวกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่

 

มันใช้พลังอำนาจของธาตุน้ำในธาตุทั้งห้า เพื่อสร้างแม่น้ำสายใหญ่ให้ตัดผ่านท้องฟ้าเลยโดยตรง

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำหยดน้ำในมือของมันลงไปในแม่น้ำสายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง

 

เพียงพรึบเดียว ตลอดทั้งแม่น้ำก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหม่น

 

—แม่น้ำสายนี้ แม้จะดูเหมือนกับสายธารแห่งการหลงเลือนอยู่นิดหน่อย แต่หากสังเกตดูดีๆแล้ว จะพบว่ามันอ่อนแอกว่ามาก

 

ในชั่วเวลานั้นเอง กู่งฉิงซานเริ่มบงการสองดาบให้เคลื่อนไหวไปพร้อมกัน

 

ดาบเช่าหยินดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงบางอย่าง

 

ขณะที่ดาบพิภพเปล่งเสียงออกมา “จงระวัง! ทุกสรรพชีวิตที่สัมผัสกับสายธารแห่งการหลงเลือนจะสูญสิ้นซึ่งความทรงจำ นี่คือกฏหลักแห่งหกวิถี!”

 

กล่าวได้ว่าหากคุณสูญสิ้นความทรงจำทั้งหมด คุณก็จะกลายเป็นคนโง่เง่า มีกำลังแต่ไร้ซึ่งปัญญา!

 

หากเป็นในกรณีนั้น เพียงแค่โครงกระดูกในชุดคลุมดำควงดาบของมันวาดออกไปเบาๆ มันก็จะสามารถเก็บเกี่ยวชีวิตของกู่ฉิงซานและจิตวิญญาณของไปได้อย่างง่ายดาย

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มหนักอึ้ง เขาตอบรับ “เข้าใจแล้ว”

 

และนี่ก็เป็นชั่วเวลาเดียวกันกับที่โครงกระดูกเริ่มขยับนิ้วของมัน

 

แม่น้ำสีเหลืองหม่นโถมเข้าโอบล้อมรอบตัวมันทันที

 

นี่คือการก่อปราการป้องกันโดยใช้น้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน กล่าวได้ว่าบัดนี้ โครงกระดูกชุดคลุมดำได้อยู่ในตำแหน่งที่คงกระพันอย่างแท้จริงแล้ว

 

โครงกระดูกเอ่ยปากอย่างตื่นเต้นและคลุ้มคลั่ง “นี่คือกระบวนท่าสังหารที่ข้าจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับโลกของเจ้า … ในเมื่อได้รู้แล้วก็จงตายซะ!”

 

มันโบกมือออกไป

 

และแม่น้ำเหลืองก็โน้มตัวลง หมายจะซัดสาดเข้าใส่กู่ฉิงซานโดยตรง

 

กู่ฉิงซานถอนฝีเท้าถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำหัวเราะและกล่าว “คั่กๆๆ หนีไปก็เท่านั้น มันไร้ประโยชน์! เพราะความเร็วของแม่น้ำสายนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าดาบบินของเจ้าเลย!”

 

แต่กู่ฉิงซานก็ยังคงถอยต่อไป และเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น

 

ในตอนนั้นเอง จู่ๆดาบเช่าหยินก็ส่งเสียงหอนออกมาอย่างฉับพลัน

 

“ให้จับเจ้า? นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความสงสัย

 

ในโลกเทวะ ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ ‘จิตสื่อถึงกัน’

 

‘จิตสื่อถึงกัน’ จะช่วยให้เข้าใจถึงความหมายที่จิตอาร์ติแฟคต้องการจะสื่อได้

 

และตั้งแต่นั้นมา กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่ดาบเช่าหยินต้องการจะสื่อได้

 

—เว้นไว้แต่เพียงพลังศักดิ์สิทธิ์ของดาบเช่าหยิน ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’ เท่านั้น

 

เกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ กู่ฉิงซานกลับไม่อาจเข้าใจถึงความหมายที่ดาบเช่าหยินพยายามจะสื่อได้เลย

 

แต่ตอนนี้ ในเมื่อดาบเช่าหยินเร่งเร้าเขา กระตือรือร้นที่จะต่อสู้ กู่ฉิงซานจึงคว้าจับด้ามดาบของมันตามคำร้องขอ

 

ในเวลาเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็บังเกิดบรรทัดเส้นแสงตัวอักษรเด้งเตือนขึ้นมาในทันใด

 

“ดาบเช่าหยินร้องขอที่จะใช้แต้มพลังวิญญาณของคุณ ปริมาณที่ร้องขอคือ : 100 แต้ม”

 

“คุณจะอนุญาตให้มันใช้แต้มพลังวิญญาณของคุณหรือไม่?”

 

นี่มันเหมือนกับก่อนหน้านี้เลย

 

ในคราวของจักรพรรดิฟูซีตอนที่บดขยี้ลูกประคำจนหมอกละอองน้ำท่วมท้นไปทั่วฟ้า

 

ดาบเช่าหยินก็ร้องขอแต้มพลังวิญญาณของกู่ฉิงซาน เพื่อช่วยให้เขาหลบเลี่ยงผลกระทบจากการถูกน้ำท่วมโถมเข้าใส่โดยตรง

 

ในเวลานั้นดาบเช่าหยินได้ร้องขอ 10 แต้มพลังวิญญาณ

 

แต่ในขณะนี้ มันกำลังร้องขอ 100 แต้มพลังวิญญาณ!

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็กล่าวออกไปอย่างไม่ลังเลว่า “ฉันอนุญาต!”

 

บรรทัดเส้นแสงใหม่ปรากฏขึ้นมาทันที

 

“ดาบเช่าหยินได้รับ 100 แต้มพลังวิญญาณ”

 

บังเกิดลมที่มองไม่เห็นคดเคี้ยวไปมารอบตัวกู่ฉิงซาน และขยายไปยังดาบเช่าหยิน

 

ปลายดาบอันแหลมคมของเช่าหยินสั่นไหวเล็กน้อย

 

ราวกับว่ามันกำลังเตรียมพร้อมที่จะกระทำบางสิ่งบางอย่าง

 

แม่น้ำเหลืองเคลื่อนตัวเข้ามาและเกือบจะไล่ตามความเร็วในการถอยหนีของกู่ฉิงซานได้ทันแล้ว

 

แม่น้ำกำลังจะโถมเข้ากลืนกินตัวเขาในอีกไม่ช้า

 

ลมหนาวพัดปลิวไหวจนร่างของกู่ฉิงซานส่ายไปมา

 

เขาจึงจำต้องเร่งล่าถอยเต็มกำลังอีกครั้ง

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำยกสองแขนขึ้นกอดอก เอียงศีรษะเล็กน้อย

 

มองไปยังฉากที่กำลังปรากฏขึ้นนี้ ดูเหมือนว่ามันจะรู้สึกเพลิดเพลินไม่น้อย

 

ทันใดนั้น โครงกระดูกก็ชูสองมือขึ้นสูง

 

พร้อมด้วยแม่น้ำทั้งสายที่ลุกฮือขึ้น ก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นขนาดมหึมา ท่วมท้นไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั่วผืนดิน

 

“ตายซะ!” โครงกระดูกตะคอกคำหนึ่ง

 

และคลื่นมหึมาก็โถมลงไปเบื้องหน้า

 

แต่จู่ๆดาบเช่าหยินก็ระเบิดเสียงหอนอึกทึกอย่างรุนแรงไปทางคลื่นมหึมาในทันใด

 

ซึ่งการกระทำนี้ กู่ฉิงซานเข้าใจความหมายของมันในทันทีว่าหมายถึงอะไร

 

เขาขบฟันแน่น จี้ปลายแหลมดาบเช่าหยินชี้ไปทางคลื่นมหึมา

 

เพราะเวลานี้ มันก้าวเข้าสู่ช่วงวินาทีสุดท้ายแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบเลี่ยง

 

ตอนนี้เขาทำได้เพียงเชื่อมั่นในดาบของตนเอง!

 

กู่ฉิงซานไม่มีเวลามากพอที่จะใช้สมองขบคิดอีกต่อไป บัดนี้คลื่นมหึมาครอบคลุมไปทั่วผืนฟ้า บดบังแสงอาทิตย์จนทำให้บริเวณตลอดทั้งเขตชานเมืองจมลงสู่ความมืดมิด

 

ปัง!

 

คลื่นมหึมาซัดเข้าใส่ปลายดาบของดาบเช่าหยินก่อนเป็นจุดแรก

 

จากนั้นก็โถมเข้าหากู่ฉิงซาน –

 

ไม่สิ มันไม่ได้โถมเข้าใส่เขาแล้ว

 

ในเสี้ยววินาที แม่น้ำที่โถมกระหน่ำก็จมหายเข้าไปในปลายดาบเช่าหยิน และหายวับไปมิอาจมองเห็นได้อีกเลย

 

ตลอดทั้งวิสัยทัศน์ทั่วท้องฟ้า มันโล่งโจ้ง หายไปไม่มีหลงเหลือ

 

เมฆสีตะกั่วปรากฏขึ้นอีกครั้ง และฝนเย็นฉ่ำก็ร่วงโรยลงอีกครา

 

ตัวกู่ฉิงซานยังคงตื่นตะลึง ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน ยังอยู่ในท่างท่าที่ชี้ปลายดาบเช่าหยินออกไป

 

“ … ” โครงกระดูกชุดคลุมดำ

 

“ … ” กู่ฉิงซาน

 

ดาบเช่าหยินเด้งออกจากมือของกู่ฉิงซาน

 

และมันก็เริ่มกระโดดไปมาในอากาศอีกครั้ง

 

จากนั้นมันก็ร่ายรำอย่างต่อเนื่องและเป็นจังหวะ

 

ความหนักอึ้งในจิตของของกู่ฉิงซานลดฮวบลง เขาเอ่ยถามเสียงแผ่ว “นี่มันยังไงกันแน่?”

 

ดาบเช่าหยินร่ายรำ ขณะเดียวกันก็แสดงท่าทีเวียนว่ายฉวัดเฉวียน เปล่งเสียงหอนด้วยความตื่นเต้น

 

ของรัก! ของรัก! ของรัก! ของรัก!

 

ของรักของข้า!

 

นี่คือความหมายที่มันสื่อออกมา

 

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงความปิติยินดีของดาบเช่าหยิน

 

จะบอกว่า … มันได้ดื่มกินแม่น้ำนั่นไปใช่ไหม?

 

กู่ฉิงซานลอบคิดอย่างลับๆ

 

และอย่าลืมนะว่าในคลื่นมหึมาเมื่อครู่ มันมีหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนผสมอยู่ด้วย

 

หยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน มันมีพลังของกฏหลักแห่งหกวิถี เป็นสมบัติล้ำค่า!

 

มองไปยังท่าทีการแสดงออกที่หนักอึ้งและหาได้ยากยิ่งของโครงกระดูกชุดคลุมดำ ที่มันพึ่งเอ่ยปากบอกออกมาด้วยตนเองว่าช่างยากเย็นเพียงใดกว่าจะได้รับหยดน้ำจากสายธารแห่งการหลงเลือนมาสักหยด

 

แต่ดาบเช่าหยินกลับวิ่งราวมันไปต่อหน้าต่อตาเขาในพริบตา

 

เพียงพริบตาเท่านั้น ….

 

โครงกระดูกราวกับตื่นจากฝัน มันร่ำร้องตะโกนออกไปว่า “หยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนของข้าอยู่ที่ไหน เอามันกลับคืนมาเดี๋ยวนี้!”

 

กู่ฉิงซานยืดอกขึ้น เปล่งวาจาหนักแน่นเฉียบขาด “สายธงสายธารที่ไหนกัน ผมจำไม่ได้ว่าเคยเห็นมันมาก่อนนะ?”

 

“นั่นเป็นสมบัติที่ข้าใช้เวลากว่า 1000 ปีจึงจะได้รับมา!” ร่างโครงกระดูกกล่าว ฟันแต่ละซี่ของมันกระทบกันกึกๆๆๆๆ “เจ้าตัวดี! ข้าจะทำให้เจ้าต้องตายอย่างไร้ดินกลบฝัง!”

 

มันเหลือบสายตามองลงมายังดาบน้ำแข็ง ปากอ้าขยับคำรนเสียงต่ำ “ปีศาจกระดูกแห่งความขุ่นแค้น”

 

บังเกิดหมอกสีขาวเย็นฉ่ำพรั่งพรูออกมาจากดาบน้ำแข็ง

 

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

 

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

 

ร่างโครงกระดูกนับสิบที่สวมใส่เสื้อเกราะและมงกุฏถูกแบ่งแยกออกเป็นสองแถว ทยอยกันปรากฏออกมาจากหมอกสีขาว

 

ปราณสีดำนับไม่ถ้วน ควบแน่นหลอมรวมตัวกันแลคล้ายร่างเงาของอสูรกาย ส่งเสียงหอนโหยขึ้นข้างกายของเหล่าปีศาจกระดูก

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำเปล่งเสียงหัวเราะออกมา “นี่มิใช่สิ่งที่เหมือนกับร่างโคลน! แต่ทุกตนล้วนคือจักรพรรดิแห่งฟูซีที่ตรากตรำข้ามผ่านการต่อสู้มาแล้วอย่างเข้มข้น!“

 

เสียงของเขาเต็มไปด้วยความบีบบังคับ “หากรู้ถึงขีดจำกัดตนก็จงเร่งคืนหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนมา ถ้าเป็นในกรณีนั้น ข้าจะยังพอใจดีปล่อยให้ศพเจ้าอยู่ในสภาพครบสามสิบสอง”

 

นี่คือไพ่ที่ทรงพลังที่สุดในมือของโครงกระดูกชุดคลุมดำ ในอดีตที่ผ่านมา มอนสเตอร์เหล่านี้ช่วยเขาร่วมต่อสู้กับทุกสิ่งในนรกเยือกแข็ง

 

“พวกเจ้าทั้งหมด จงไปสังหารเขาให้ข้า แล้วจากนั้นพวกเราก็จะไปลิ้มชิมรสอาหารแสนอร่อยในเมืองกัน ข้าต้องการจิตวิญญาณของคนเป็นทั้งหมด!” โครงกระดูกในชุดคลุมดำคำราม

 

“วิญญาณ … จิตวิญญาณ … ” ปีศาจกระดูกแห่งความขุ่นแค้นเปล่งเสียงตะโกนแหบแห้งออกมาพร้อมกัน

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังปีศาจกระดูกแห่งความขุ่นแค้น ทั้ง 20 ตน

 

อาวุธในมือของแต่ละตนแตกต่างกันออกไป

 

ทว่าแน่นอน พวกมันล้วนแล้วแต่มีพลังอันทรงพลานุภาพ

 

เบื้องหลังปีศาจกระดูกแห่งความขุ่นแค้นเหล่านี้ โครงกระดูกชุดคลุมดำกำลังถือดาบน้ำแข็ง คอยเฝ้ามองหาโอกาสลอบโจมตีเขาอยู่เสมอ

 

พวกมันต้องการที่จะเริ่มต้นจากที่นี่ ฆ่าสังหารตัวกู่ฉิงซาน จากนั้นก็ตามต่อด้วยล้างบางเผ่าพันธุ์มนุษย์ในเมืองหลวง และลากยาวไปตลอดทั้งรัฐบาลกลาง!

 

ยี่สิบโครงกระดูกเปล่งเสียงหอนออกมาพร้อมกัน

 

ปีศาจกระดูกแห่งความขุ่นแค้นตัวหนึ่งหายวับไปจากสายตา และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน!

 

มันควงขวานยักษ์สับ!อย่างแรงลงแสกหน้าเขา

 

กู่ฉิงซานคว้าดาบเช่าหยิน ฟาดออกไปเผชิญหน้า สองอาวุธปะทะกันครั้งหนึ่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างแยกออกจากกัน

 

ต่อด้วยดาบยาวที่จ้วงออกไป วิ่งผ่านลำคอของปีศาจกระดูก

 

แต่ปลายคมดาบกลับถูกหมอกดำปรากฏขึ้นมาครอบคลุม และดีดตัวมันเด้งออกจากคอปีศาจกระดูก

 

หัวของปีศาจกระดูกยังคงอยู่ในสภาพดีดังเดิม … ราวกับว่าเมื่อครู่มิได้เกิดสิ่งใดขึ้น

 

มันเปล่งเสียงคำราม และง้างขวานหมายจะสับแยกร่างของกู่ฉิงซานอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาไปรอบๆ แต่กลับเห็นแค่เพียงฝูงปีศาจกระดูกกำลังพุ่งตรงเข้ามาหา

 

เขารีบบินหลบฉากออกไปอย่างรวดเร็ว

 

“ปีศาจกระดูกจัดอยู่ในประเภทสิ่งมีชีวิตในตำนาน ‘คนเป็น’ไม่อาจเอาโค่นล้มพวกมันลงได้” โครงกระดูกในชุดคลุมดำกัดฟันกล่าว “ข้าจะปล่อยให้พวกมันสับเจ้าทั้งเป็น และค่อยๆควานหาหยดน้ำแห่งการหลงเลือนของข้าอีกครั้ง”

 

กู่ฉิงซานล่าถอยกลับมา ขณะเดียวกันในสมองก็ขบคิดหาวิธีจัดการกับมัน

 

และคำกล่าวของโครงกระดูกชุดคลุมดำ นั่นคือเบาะแส!

 

“คนเป็นไม่อาจโค่นล้มสิ่งมีชีวิตในตำนานได้อย่างงั้นสินะ?”

 

หากแต่ละคมดาบของเขาไม่อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บได้ งั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรับมือ

 

ขณะที่เขากำลังขบคิดเกี่ยวกับมัน ในวิสัยทัศน์ก็พลันปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยเล็กๆขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ดาบพิภพร้องขอที่จะใช้แต้มพลังวิญญาณของคุณ ปริมาณที่ร้องขอคือ : 10 แต้มต่อวินาที”

 

“เพราะคุณเป็นเจ้าของที่ดาบพิภพได้ให้การยอมรับ ดังนั้นมันจึงไม่ได้ใช้กระบวนการดึงแต้มพลังวิญญาณของคุณโดยพลการ หากยอมรับตามคำร้องขอ ชีวิตของคุณจะได้รับการคุ้มครองโดยมัน”

 

“คุณเห็นด้วยหรือไม่?”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านและบ่นพึมพำ “คราวนี้กลับเป็นเจ้าอย่างงั้นหรอ?”

 

ดาบพิภพเปล่งเสียงหนักแน่นดั่งขุนเขา “เจ้ามอนสเตอร์พวกนี้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนาน แต่ก็แค่เพียงระดับต่ำสุด ดังนั้นมันคงจะดีกว่าหากเจ้าปล่อยแต้มพลังวิญญาณออกมาให้ข้าได้ ‘สื่อสาร’ กับพวกมัน”

 

“เจ้าต้องการที่จะสื่อสารกับพวกมันงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ดาบพิภพเปล่งเสียงฮึมฮำ “ถูกต้อง หากพวกมันเป็นเพียงแค่ ‘คนตาย’ การปล่อยให้เจ้ารับมือก็ไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ในเมื่อมันเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานแล้วล่ะก็ คงต้องปล่อยให้ถึงมือข้า”

 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็พลันจดจำได้ถึงคำอธิบายของดาบพิภพ

 

“ดาบพิภพ น้ำหนัก 86.37 ล้านจิน มีจิตอาร์ติแฟค พลังศักสิทธิ์ : สามารถควบคุมและแบกรับน้ำหนักของตนเองได้”

 

“นี่คือดาบจากสมัยโบราณกาลอันไกลโพ้น ที่ยอมเสียสละให้แก่สวรรค์และโลก และมันสามารถสื่อสารกับเหล่าเทพวิญญาณได้”

 

-และก่อนหน้านี้มันก็พึ่งได้ ‘สื่อสาร’ กับผู้คุมวิญญาณจากปรภพ

 

ยี่สิบปีศาจกระดูกถลาลงมา

 

กู่ฉิงซานยังคงบินล่าถอยอย่างต่อเนื่อง

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำหัวเราะ “ข้าจำต้องจ่ายออกด้วยเวลานานนับหลายร้อยหลายพันปี หมดความพยายามไปมาก ที่จะเปลี่ยนให้พวกมันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานอย่างปีศาจกระดูก … พวกมันทุกตนล้วนเปรียบดั่งสมบัติอันเลอค่าของข้า”

 

กู่ฉิงซานละความสนใจจากคำกล่าวของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง เขาเบนสายตามองไปยังแต้มพลังวิญญาณจากบันทึกการต่อสู้ของตน

 

“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 4891.6/300”

 

ดาบเช่าหยินใช้แต้มพลังวิญญาณไป 100 แต้ม

 

แต่หลังจากสังหารร่างโคลนไปเป็นจำนวนมาก กู่ฉิงซานกลับได้รับแต้มพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมาเพียง 1.6 แต้มเท่านั้น …..

 

ทว่าตอนนี้มันคงสายเกินไปแล้วที่จะมาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ กู่ฉิงซานเปล่งเสียงออกไปโดยตรง “ฉันเห็นด้วยที่จะจ่ายแต้มพลังวิญญาณ”

 

แถบตัวเลขปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที

 

มันคอยบอกถึงแต้มพลังวิญญาณของเขาที่หายไปอย่างต่อเนื่องในอัตรา 10 แต้มต่อวินาที

 

“ด้วยแต้มพลังวิญญาณของเจ้า ข้าก็จะสามารถใช้ออกด้วยพลังอำนาจของข้าได้!” ดาบพิภพเปล่งเสียงฮึมฮำฉวัดเฉวียน

 

“แล้วสิ่งที่ข้าควรจะทำล่ะ?” กู่ฉิงซานตะโกนถาม

 

“ก็ทำอย่างที่เจ้ามักจะเคยทำนั่นแหละ” ดาบพิภพกล่าว

 

กู่ฉิงซานหยุดยืนอยู่กลางเวหา เขาปลดปล่อยเจตนาฆ่าและหันกลับมาโต้กลับ!

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำที่กำลังเฝ้ามองดูเหตุการณ์จากระยะไกล เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย มันก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ร่างของสิ่งมีชีวิตในตำนานน่ะ มนุษย์ไม่สามารถทำอะไรได้หรอก!”

 

ปีศาจกระดูกง้างอาวุธขึ้น เพื่อเผชิญหน้ากับศัตรู

 

กู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนเป็นรังสีดาบสีขาวนวลดั่งดวงจันทร์ขนาดยักษ์ พุ่งถลาเข้าใส่กลุ่มปีศาจกระดูก

 

รังสีดาบและอาวุธของปีศาจกระดูกปะทะเข้าหากัน

 

เห็นแค่เพียงรังสีดาบที่เปล่งปลั่งพร่างพราวข้ามผ่านไปทั่วผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ สยายแสงลอยออกไปไกลแสนไกล

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับรังสีดาบของผู้ฝึกดาบ เหล่าปีศาจกระดูกก็ราวกับไร้ตัวตน เป็นเพียงอากาศธาตุ พวกมันถูกพุ่งตัดผ่านไป ทำไม่ได้แม้กระทั่งจะป้องกัน

 

แล้วทันใดนั้นเอง เหล่าปีศาจกระดูกทั้งหมดก็เริ่มส่งเสียงโหยหวนด้วยความหวาดกลัวออกมา

 

พวกมันยืนแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ตลอดทั้งร่างกายเริ่มพ่นหมอกสีขาวออกมาก่อนจะร่วงลง

 

รังสีดาบสีจันทร์นวลเด่นก็หายไปด้วยเช่นกัน พร้อมกับกู่ฉิงซานและดาบพิภพที่ปรากฏตัวขึ้น

 

สายลมพัดปลิวไสว

 

ยี่สิบปีศาจกระดูกที่สวมมงกุฏกลายเป็นเถ้าถ่าน ลอยกระจายไปตามสายลม

 

ทิ้งไว้เพียงแค่จุดแสงสว่างวาววับนับไม่ถ้วนไว้เบื้องหลัง ร่ายรำอยู่ในอากาศรอบใบดาบพิภพอย่างเงียบๆ

 

และจุดแสงส่องสว่างทั้งหมด ครึ่งหนึ่งค่อยๆจมลงไปในดาบพิภพ อีกครึ่งหนึ่งเจาะเข้าไปในหน้าผากของกู่ฉิงซาน

 

ดาบพิภพเปล่งเสียงร้องอันน่ารื่นรมย์ออกมา

 

“การสื่อสารจบลงแล้ว” มันเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

 

“น่าทึ่งจริงๆ … ” กู่ฉิงซานงึมงำ

 

“กระทั่งสิ่งมีชีวิตในตำนานระดับต่ำก็ไม่นับว่าเป็นเช่นไร มันเป็นเรื่องยากที่จะหยุดยั้งเจ้ากับข้าหากเราร่วมมือกัน” ดาบพิภพกล่าวเสียงต่ำ

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม การจ่ายแต้มพลังวิญญาณออกไปได้หยุดลง

 

การต่อสู้ทั้งหมดโดยสิ้นเชิงแล้วใช้ระยะเวลาไป 5 วินาที ดังนั้นแต้มพลังวิญญาณที่จ่ายไปคือ 50 แต้ม

 

หลายบรรทัดแสงตัวอักษรปรากฏขึ้น

 

“คุณและดาบพิภพได้แบ่งปันรางวัลเท่าๆกัน”

 

“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ 100 แต้ม”

 

“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 4941.6 /300”

 

นี่นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก

 

อย่างไรก็ตามปีศาจกระดูกเป็นถึงชนิดสิ่งมีชีวิตในตำนาน แล้วมันจะให้แต้มพลังวิญญาณน้อยขนาดนี้ได้ยังไง?

 

ราวกับคาดเดาสิ่งที่กู่ฉิงซานกำลังคิดได้ ระบบเทพสงครามเปล่งเสียงอธิบายออกมา “มอนสเตอร์เหล่านี้ แม้ว่าจะมีพลังอำนาจของ ‘แมวสามขา’ อยู่บ้าง แต่มันก็มีสถานะต้อยต่ำที่สุดในสิ่งมีชีวิตระดับตำนาน ดังนั้นมันจึงไม่สมควรที่จะถูกนับรวมเป็นสิ่งมีชีวิตระดับตำนานได้”

 

บังเกิดความเงียบสงัดขึ้นโดยรอบ

 

กู่ฉิงซานสังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เขาจึงเงยหน้ามองไปทางโครงกระดูกชุดคลุมดำ

 

เขากวาดจิตสัมผัสเทวะไปยังมัน และค้นพบว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายไม่แม้กระทั่งจะขยับกายเคลื่อนไหว

 

เห็นแค่เพียงโครงกระดูกในชุดคลุมดำยืนนิ่งอยู่กลางอากาศราวกับตอไม้

 

มันไม่เคลื่อนไหว เหมือนกับไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ

 

ผ่านไปนาน โครงกระดูกก็ค่อยๆยกมือขึ้นอย่างช้าๆ ชี้นิ้วที่สั่นกึกๆไปทางกู่ฉิงซาน “ปีศาจกระดูกของข้า … เอาพวกมันคืนมานะ … ”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเฉียบขาด “ขอโทษที ปีศาจกระด่งกระดูกที่ไหนกัน ผมจำไม่ได้ว่าเคยเห็นมันมาก่อนนะ?”

 

ทั้งตนทั้งร่างโครงกระดูกชุดคลุมดำพลันสั่นสะท้าน

 

มันสั่นไหวอยู่ท่ามกลางสายฝน ปล่อยให้สายฝนเย็นฉ่ำ ปะทะเข้ากลับกะโหลกที่ร้อนรุ่มจนแทบจะลุกไหม้จนเปียกโชกอยู่พักใหญ่

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.335 – โครงกระดูกชุดคลุมดำ

 

ณ บริเวณแถบชานเมืองหลวง

 

กู่ฉิงซานกับโครงกระดูกในชุดคลุมดำกำลังเผชิญหน้ากันกลางอากาศ

 

แล้วในระหว่างนั้นเอง กู่ฉิงซานก็สังเกตเห็นว่ามีเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นในวิสัยทัศน์ของเขา

 

“ภารกิจเสร็จสมบูรณ์แล้ว”

 

“คุณได้หยุดแผนการขั้นต่อไปของจักรพรรดิฟูซี สถานการณ์ของโลกมนุษย์ยังคงมีเสถียรภาพและอัตราการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งเชื่องช้าลงเป็นอย่างมาก”

 

“รางวัลภารกิจ : กำลังเสริมจากปรภพจะได้รับรู้ถึงสถานการณ์ของโลก และพวกเขากำลังเร่งมือแล้วในขณะนี้”

 

“คำอธิบาย : กำลังเสริมจากปรภพจะมายังโลกในเร็วๆนี้ เพื่อร่วมต่อสู้กับนรกเยือกแข็งไปพร้อมกับคุณ”

 

กู่ฉิงซานเกร็งกำปั้นของกำอย่างรุนแรง ความเชื่อมั่นกลับคืนมา ภายในจิตใจรู้สึกโล่งอก

 

เขาบรรลุภารกิจแล้ว

 

นี่แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้เกิดเหตุการณ์ที่มนุษย์จำนวนมากได้ตกตายลง

 

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือการที่องค์จักรพรรดิกลับเป็นคนที่ตายลงแทน สงครามจึงถูกยับยั้งลงในที่สุด

 

ดูเหมือนว่าความพยายามอย่างสุดกำลังของหลายๆคนเพื่อหมายจะหยุดยั้งภัยพิบัติในครั้งนี้จะไม่สูญเปล่าแล้ว

 

วิสัยทัศน์ของเขาเบนไปยังอีกฝ่าย

 

และพบว่าโครงกระดูกชุดคลุมดำยังคงนั่งอยู่ที่นั่น และกำลังตั้งหัวกะโหลกว่างเปล่าของจักรพรรดิฟูซีลงบนพนักของแขนข้างหนึ่งบนบัลลังก์น้ำแข็ง

 

ทันทีที่กะโหลกถูกวางลง น้ำแข็งค้างก็เข้าเกาะกุมมัน ปีนป่ายไปบนหัวกะโหลกและห่อหุ้มมันไว้รอบๆ

 

บนบัลลังก์น้ำแข็ง บังเกิดสายลมเย็นวูบออกในทันใด

 

โครงกระดูกในชุดคลุมดำลูบไล้ไปตามบัลลังก์ด้วยความพึงพอใจ แต่ขณะเดียวกันก็บ่นพึมพำว่า “สายเลือดแห่งข้า ในที่สุดเจ้าทุกคนก็เป็นของข้า ซึ่งนี่ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะปลอบประโลมจิตวิญญาณของพวกเจ้า”

 

พวกเจ้า?

 

ในเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานก็พึ่งสังเกตเห็นว่าบนบัลลังก์น้ำแข็ง มีหลายสิบหัวกะโหลกถูกจัดวางเรียงรายไว้อย่างเรียบร้อย

 

หากคิดตามที่โครงกระดูกในชุดดำกล่าว อย่าบอกนะว่า … หัวกะโหลกเหล่านั้นล้วนเป็นหัวของจักรพรรดิฟูซีในแต่ละรัชสมัยใช่หรือไม่!?

 

หากสิ่งที่เขาคิดเป็นจริง การกระทำเช่นนี้นับว่าโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง!

 

กู่ฉิงซานมองไปยังโครงกระดูกชุดคลุมดำ ในดวงตาของเขาค่อยๆถูกปกคลุมด้วยความเย็นชา

 

ในที่สุดโครงกระดูกก็เงยหน้าขึ้นกลับมามองกู่ฉิงซาน

 

“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่การที่เจ้าสามารถโค่นลูกหลานแห่งข้าลงได้ แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะมีดีอยู่บ้าง” โครงกระดูกกล่าว

 

ประโยคดังกล่าวนี้แม้จะดูธรรมดา แต่ยามที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขา มันกลับให้ความรู้สึกแปลกๆที่ยากจะอธิบาย

 

นั่นเพราะภายในเสียงของเขา มันแฝงไว้ด้วยความปรารถนาที่ไม่อาจยับยั้งลงได้

 

เหมือนกับว่า

 

มันเป็นความปรารถนาที่กำลังรอคอยสูดกินอาหารอันโอชะอยู่

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามกลับไป “ท่านคือผู้ก่อตั้งฟูซีใช่หรือไม่”

 

“เจ้ารู้จักข้าด้วยกระนั้นหรือ โอ้ ลืมไปเลย ในโลกนี้ย่อมไม่มีผู้ใดไม่รู้จักข้าอยู่แล้วนี่นา”

 

“ในอดีต ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เคยพ่ายแพ้เลย แต่สุดท้ายแล้วก็สิ้นพระชนต์ลงในที่สุด” กู่ฉิงซานพูดระลึกความทรงจำให้อีกฝ่าย

 

พอกล่าวถึงประเด็นนี้ โครงกระดูกในชุดคลุมดำก็กระตุกไปเล็กน้อย

 

นั่นคือช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของเขา

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำยกซิการ์ขึ้นมาคาบในปาก ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปเอามันมาจากที่ไหน ก่อนจะจุดไฟ และสูดดมควันของมัน

 

แสงไฟบนซิการ์ลุกพรึบ สักพักจึงมอดดับลง

 

โครงกระดูกพ่นควันออกมา

 

“รสชาติช่างยอดเยี่ยม” โครงกระดูกพึมพำ

 

ฉากนี้ค่อนข้างดูตลก

 

กู่ฉิงซานมองไปยังฝ่ายตรงข้าม และสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นสบายที่ส่งผ่านมาถึง

 

คนอื่นๆอาจจะไม่รู้ แต่เขาตระหนักถึงความจริงของเจ้าสิ่งนี้ดี –

 

– หลังจากกินเลือดเนื้อของมนุษย์ไปแล้ว ในบางครั้ง คนตายจะสามารถสัมผัสและรู้สึกได้ถึงโลกใบนี้อีกครั้งในชั่วระยะเวลาสั้นๆ

 

มีผู้คนไปเท่าไหร่แล้วที่ถูกมันกินไป?

 

แล้วจิตวิญญาณของคนเหล่านั้นล่ะ?

 

“ใช่ ในโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถรับมือกับข้าได้”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำพ่นควันออกมาอีกรอบ และถอนหายใจ “นี่แหละหนอคือความทุกข์ระทมที่มนุษย์ต้องแบกรับ! แม้ว่าครั้งหนึ่งจะเคยเป็นถึงตัวตนสุดแกร่งที่ไร้ผู้ใดจะต่อกร แต่พอกาลเวลาเลื่อนผ่าน สุดท้ายแล้วก็ต้องตายจากไปเท่านั้น”

 

“แล้วจิตวิญญาณที่ท่านสูดกลืนเข้าไปมันรสชาติเป็นยังไงหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างกระทันหัน

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำตกใจ

 

คนเป็นที่ยังมีชีวิต จู่ๆกลับมาเอ่ยถามแบบนี้ นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?

 

“คนตายน่ะไม่รับรู้ถึงรสชาติหรอก” โครงกระดูกชุดคลุมดำเอ่ยอย่างนุ่มนวล “แต่เมื่อจิตวิญญาณเข้าสู่ภายในปาก เจ้าจะสัมผัสได้ว่ามันกำลังดิ้นรน สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังและไม่ยินยอม เมื่อกลืนกินมัน เจ้าก็จะรู้สึกได้ว่าพลังอำนาจในกายน่ะเพิ่มมากขึ้น”

 

“พลังอำนาจนี้ช่างน่าทึ่งและชัดเจน มันจะบ่งบอกให้เจ้ารู้ได้ทันทีว่าตนเองได้แข็งแกร่งขึ้น”

 

“การได้รับความแข็งแกร่งขึ้นนี่แหละ คือรสชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุด”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำเปล่งเสียงหัวเราะออกมา

 

กู่ฉิงซานฟังอย่างสงบ ก่อนจะกล่าวด้วยความหม่นหมองว่า “จิตวิญญาณที่ถูกกินโดยท่านมันจะไม่สลายไป หลังจากนั้นทุกคนจะเป็นยังไง ท่านก็พอจะทราบใช่หรือไม่”

 

โครงกระโหลกหยุดกึก

 

เขาจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างรอบคอบ

 

เจ้าหนุ่มนี่วาจาช่างร้ายกาจ ไม่เพียงแต่จะสามารถเอาชนะลูกหลานของตนได้ แต่มันยังถึงขั้นป้องกันไม่ให้เกิดสงครามระหว่างสองประเทศ เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง

 

ถ้าหากมีคนแบบนี้มาไว้ใช้งานภายใต้การบัญชาของเขา มันไม่เพียงแต่จะช่วยลดแรงต้านทานได้มหาศาล แต่ยังช่วยเร่งแผนการของตนให้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำพอคิดได้ดังนั้น ก็ฝืนอดทนข่มกลั้นจากคำกล่าวของอีกฝ่ายเอาไว้

 

มันกล่าวอย่างช้าๆ “ในฐานะคนตายที่ไม่สามารถถูกย่อยสลายวิญญาณได้ ข้าจึงมิอาจปล่อยให้พวกเขาไป ดังนั้นจึงช่วยให้พวกเขายังมีชีวิต คงอยู่ตลอดไปภายในร่างกายข้า ช่วยเป็นพลังต่อสู้ให้แด่ข้า พลังอำนาจของพวกเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อข้า!”

 

“ในฐานะคนตายที่ไม่สามารถถูกย่อยสลายวิญญาณได้อย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที “ดังนั้น หากคนตายไม่อาจถูกทำลายวิญญาณลงได้ แล้วสิ่งใดกันที่จะสามารถกลืนกินวิญญาณของพวกเขาได้อย่างแท้จริง?”

 

เวลานี้ โครงกระดูกก็ยังจับจ้องเขาเช่นเดิม ทว่าท่าทีของมันกลับค่อยๆจริงจังมากขึ้น

 

เจ้าหนุ่มนี่มันคนฉลาด

 

มันรู้ว่าอะไรคือส่วนสำคัญ และทุกคำถาม ช่างเปรียบเสมือนมีดที่กำลังกรีดแทงผู้ตอบ

 

“มันไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญก็คือพวกเราได้มาถึงโลกแล้ว และนี่เป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในปรภพ” โครงกระดูกชุดคลุมดำบอกปัด

 

“ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน … ถ้าอย่างงั้นแสดงว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับปรภพจริงๆสินะ?” กู่ฉิงซานเค้นถามอีกรอบ

 

โครงกระดูกส่ายหัวเบาๆและกล่าว “ข้าจะให้คำแนะนำกับเจ้าสักข้อสองข้อนะ”

 

“เชิญชี้แนะ”

 

“อย่างแรกเลย คืออย่าถามเกี่ยวกับปรภพ เพราะมันจะทำลายความเชื่อมัน ศรัทธา และความหวังของเจ้าทั้งหมด”

 

“แล้วอย่างที่สองล่ะ” กู่ฉิงซานตอบรับ ในหัวใจของเขาเริ่มจะใจเสีย

 

ถ้าอีกฝ่ายไม่ตั้งใจที่จะบอกความจริงกับเขา เขาก็จะไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงของปรภพได้เลย

 

“ประการที่สอง คือข้าจะให้สัญญาต่อเจ้าว่า หากเจ้ายินดีที่จะมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า ยามเมื่อนรกเยือกแข็งแพร่กระจายไปทั่วโลก ข้าจะเปลี่ยนเจ้าเป็นคนตายที่ทรงพลังที่สุดในนรกเยือกแข็งเอง”

 

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ขนาดเวลานี้ท่านยังกินลูกหลานตัวเองต่อหน้าข้าอย่างหน้าตาเฉย แล้วข้าจะกล้ารับใช้ท่านได้อย่างไร?”

 

โครงกระดูกตอบ “ที่ข้าทำนับว่าเป็นเกียรติยศสำหรับพวกเขา”

 

กู่ฉิงซาน “แต่พวกเขาไม่ได้สมัครใจ”

 

“ลูกหลานที่ล้มเหลวย่อมไม่ควรค่าที่จะติดตามข้า”

 

“เพราะเหตุใด?”

 

โครงกระดูกกล่าวแผ่วเบาราวกระซิบ “เพราะไม่ว่าในโลกใบนี้หรือในปรภพ มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถร่างกฏเพื่อทำการปกครองได้ นี่คือกฏแห่งธรรมชาติ พวกอ่อนแอก็ย่อมต้องตกเป็นเนื้อไว้ให้ผู้แข็งแกร่งขบเคี้ยว – นี่มันผิดปกติตรงไหน?”

 

ชายในชุดคลุมดำพรมนิ้วกระดูกของเขาลงบนพนักบัลลังก์ด้วยความตื่นเต้น บังเกิดหมอกสีเทาฟุ้งกระจายออกมา

 

“ข้าได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับนรกเยือกแข็ง ในที่ๆมีจิตวิญญาณอันยอดเยี่ยมนับไม่ถ้วน และพวกมันจะเป็นขั้นบันไดให้ข้าแกร่งขึ้น แกร่งขึ้นทีละน้อย”

 

“และเจ้าในฐานะมนุษย์ หากติดตามข้า เจ้าจะได้รับรางวัลอย่างที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อนในชีวิต!”

 

“แต่ถ้าไม่แล้วล่ะก็ .. ”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำยกดาบน้ำแข็งในมือของเขาขึ้น

 

เผยถึงเจตนาคุกคามอย่างชัดเจน

 

“โห? ตอนแรกก็สังเกตเห็นอยู่หรอกแต่ยังไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าท่านเป็นผู้ฝึกดาบเหมือนกันจริงๆด้วย!” ในแววตาของกู่ฉิงซานเปล่งประกายสดใส

 

เขาเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

 

เพราะนี่หมายความว่าในปรภพ … ก็มีการดำรงอยู่ของสกิลดาบด้วยใช่หรือไม่?

 

นี่เป็นสิ่งที่กู่ฉิงซานไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน!

 

เขาไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆเลย ทว่าสองดาบก็ปรากฏออกมาลอยนิ่งอยู่เงียบๆกลางอากาศ หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ประกบแนบชิดอยู่ข้างกายเขา

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำนิ่งเงียบไป และเอ่ยด้วยความมืดมนว่า “การกระทำเจ้ามันไม่ต่างจากฆ่าตัวตายโดยแท้ … จงอย่าตำหนิข้าที่ไม่เตือนก็แล้วกัน!”

 

แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน

 

พร้อมกับบัลลังก์น้ำแข็งที่สลายไป แปรสภาพเป็นกลุ่มหมอกละอองน้ำทันที

 

ทว่าหมอกเหล่านี้ยังคงลอยล่อง เวียนว่ายคล้ายสายลมอยู่รอบมือของโครงกระดูกชุดคลุมดำ แล้วค่อยโอบเข้าปกคลุมดาบน้ำแข็ง

 

“จงรับรู้ถึงความสิ้นหวังซะ”

 

โครงกระดูกชุดคลุมดำเอ่ยเสียงกระซิบ

 

และดาบน้ำแข็งในมือก็พลันหวีดร้องโหยหวน

 

ท่ามกลางเสียงหวีดร้องโหยหวน มันผสมปนเปไปด้วยความเจ็บปวด สาปแช่ง ร่ำไห้ อ้อนวอน กรีดร้อง และคร่ำครวญในเวลาเดียวกัน

 

เสียงเหล่านี้เติมเต็มความว่างเปล่าในชั้นอากาศทั้งหมด ส่งผลให้ผู้ที่รับฟังรู้สึกราวกับตกนรก

 

ดวงตาของกู่ฉิงซานมืดมนลง ราวกับว่าเขากำลังถูกดึงดูดเข้าไปในสถานที่สยองขวัญบางแห่ง

 

แต่แล้วในวินาทีต่อมา ประกายแสงเรืองรองก็สาดออกมาจากตัวเขา

 

ในความว่างเปล่า บนผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยฝนคะนอง พลันบังเกิดภาพของสัตว์ป่าและหมู่มวลบุปผาหลากสีสัน พร้อมด้วยร่างเงาหกธรรมพิทักษ์ที่ในมือถืออาวุธต่างๆ ปรากฏตัวขึ้น

 

หกธรรมพิทักษ์รายล้อมรอบกายกู่ฉิงซานและเปล่งเสียงตะโกนออกมาพร้อมกัน “ฮ่า!”

 

จิตวิญญาณของกู่ฉิงซานสั่นไหว สติฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง

 

นี่คือเทคนิคของนิกายพุทธะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการใช้รับมือกับมารร้าย หนุนเสริมด้วยตัวกู่ฉิงซานที่มีระดับขอบเขตสูงขึ้น ทำให้พลังอำนาจของ ‘เทคนิคลับการปกปักษ์ของทวยเทพ’ สามารถสำแดงพลังของมันออกมาได้มากยิ่งขึ้น!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.334 – หยุด

 

เมื่อประธานาธิบดีทำการระดมกำลังสามเหล่าทัพเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเริ่มสงคราม ในทางตรงกันข้ามสงครามที่กำลังจะปะทุจึงจำต้องล่าช้าออกไป

 

ด้วยการระดมกำลังอย่างฉับพลันของกองทัพรัฐบาลกลาง ส่งผลให้สงครามในครั้งนี้ทวีความรุนแรงถึงขีดสุด

 

สงครามระดับนี้ กล่าวได้ว่าสามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงให้แก่ทั้งสองประเทศ

 

ม่านเหล็กทำการปรับกลยุทธ์ และเทพธิดากงเจิ้งก็เช่นเดียวกัน

 

การปรับใช้งานทางทหารได้กลายเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนมากขึ้น และยากที่จะคาดคำนวณ

 

สมองของมนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงการคำนวณของสงครามระหว่างทั้งสองประเทศ แต่แน่นอนว่าสำหรับAI พวกมันย่อมสามารถทำได้

 

ม่านเหล็กเริ่มระมัดระวังมากขึ้น ทุกการกระทำและวางแผนล้วนเป็นไปอย่างรอบคอบ

 

การเคลื่อนไหวของมันชะลอตัวลง

 

แต่เทพธิดากงเจิ้งกลับตรงกันข้าม การเคลื่อนไหวของเธอเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอเลือกที่จะค้นหารายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างประเทศทั้งสองเพื่อทำการวิเคราะห์กลยุทธ์ ดูเหมือนว่าเธอจะรอบคอบยิ่งกว่าม่านเหล็กเสียอีก

 

เธอรู้ดีว่ามีหลายคนที่กำลังพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อให้สงครามยุติลง

 

และหลากกลยุทธ์ที่จะถูกนำมาปรับใช้ของเธอ ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อถ่วงเวลาแทบทั้งสิ้น

 

ณ อาณาจักรฟูซี

 

วังโอเอซิสกลางทะเลทราย

 

มีผู้คนเข้าออกตลอดเวลา รถเหินเวหาก็เช่นกัน กล่าวได้ว่าทุกชนิดของข้อมูลถูกระดมส่งมายังที่นี่

 

องครักษ์วิ่งวุ่นกลับไปกลับมา ย่ำผ่านรอยเปื้อนเลือดที่ลากเป็นทางยาวบนพื้นแลดูน่าสะพรึง และไม่ว่าใครได้พบเจอก็ล้วนต้องขวัญผวา

 

อย่างไรก็ตาม ทุกคนกลับแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นมัน

 

ก่อนที่จะได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ รัฐมนตรีคนแล้วคนเล่าก็ได้เดินทางมาถึงวังโอเอซิสแล้ว

 

หลังจากนั้น คำสั่งหนึ่งได้ถูกส่งออกมาโดยจักรพรรดินี ใจความว่า

 

รัฐมนตรีและข้าราชบริพารคนใดที่ต่อสู้เพื่อราชบัลลังก์และใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิ จะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ

 

การล้างเลือดครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

ณ ภายในห้องชุมใหญ่

 

จักรพรรดินีได้รับการคุ้มครองโดยสมาคมนักล่า เธอเว้นระยะห่างจากเหล่ารัฐมนตรีไกลออกไป และกำลังรับฟังสถานการณ์อย่างระมัดระวัง

 

เธอยืนอยู่ที่นั่น คอยจัดการกับสถานการณ์ทางทหารด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

 

ฉากนี้มันค่อนข้างจะแปลกประหลาดมาก

 

เพราะนักฆ่าที่มีทักษะในการลอบสังหาร กลับมารับหน้าที่คุ้มครองจักรพรรดินี

 

องครักษ์วังแต่เดิมมีหน้าที่พิทักษ์องค์จักรพรรดิและจักรพรรดินี แต่บัดนี้หน้าที่ดังกล่าวกลับถูกยึดไปโดยนักฆ่าซะงั้น

 

จักรพรรดินีเวโรน่าออกคำสั่งอีกครั้ง

 

ทว่าทันใดนั้นเอง สมองควอนตัมของเธอก็ส่องสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ

 

ตามด้วยเสียงอิเล็กทรอนิกส์สังเคราะห์ดังขึ้น “ฉันคือม่านเหล็ก จักรพรรดินี ได้โปรดตรวจสอบข้อความบนจอภาพด้วย”

 

ไม่มีการเอ่ยรายงานออกมาอธิบายโดยตรง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นข้อมูลลับ

 

จักรพรรดินีก้มหัวลงมองดูมัน

 

บนจอภาพของสมองควอนตัม ปรากฏสองบรรทัดตัวอักษรขึ้น

 

“สัญญาณชีวิตขององค์จักรพรรดิได้หายไป และได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตลงแล้ว”

 

“ทว่าสงครามยังคงดำเนินต่อไป ฝ่าบาท ตอนนี้สามเหล่าทัพอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านแล้ว”

 

จักรพรรดินีนิ่งอึ้ง

 

เธอหันไปทางฝูงชน และเดินไปช้าๆบนบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิ

 

ริ้วรอยกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แต่เดิมเคยมีเพียงความงดงามของเธอ เจ้าตัวใช้เวลาอยู่นานกว่าจะควบคุมน้ำเสียงให้มั่นคงได้

 

ตัวเธอสั่นสะท้าน สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามทำให้ตัวเองสงบลง

 

เมื่อจักรพรรดินีนั่งลงบนบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิแห่งฟูซีและเผชิญหน้ากับเหล่ารัฐมนตรีอีกครั้ง สีหน้าของเธอก็พลันไร้อารมณ์ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นถึงใบหน้าท่าทีการแสดงออกในตอนแรกของเธอแล้ว

 

ฝูงชนที่เฝ้ามองดูฉากนี้ ต่างพากันสงสัยถึงการกระทำของจักรพรรดินี

 

แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

“ฝ่าบาทได้ล่วงลับไปแล้ว”

 

จักรพรรดินีเวโรน่ากล่าวออกมาอย่างสงบ

 

ทันใดนั้นทั้งห้องพลันเงียบสงัด

 

หลังจากที่เกิดอาการช็อกครั้งใหญ่ เหล่าผู้คนในที่นั้นก็เริ่มพิจารณาเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของข่าวร้ายนี้อย่างรวดเร็ว

 

ทุกคนที่สามารถเข้ามาในห้องโถงได้ในเวลานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่อยู่ฝั่งจักรพรรดินีทั้งสิ้น

 

หากองค์จักรพรรดิล่วงลับไปแล้ว ยังจะเหลือผู้ใดอีกเล่าที่จะสามารถสู้กับจักรพรรดินีได้?

 

ที่แน่ๆในปัจจุบัน ไม่มีใครแบบนั้นอยู่ในอาณาจักร

 

ในสายตาของเหล่ารัฐมนตรีล้วนเผยถึงประกายแห่งความสุข ทว่าพวกเขาจำต้องบีบบังคับสีหน้าตนให้แลดูเศร้าสร้อยเอาไว้ ยามเมื่อสองห้วงอารมณ์ที่ต่างขั้วเผสมปนเปเข้าด้วยกัน ฉากตรงหน้านี้ช่างให้ความรู้สึกน่าขันและยากจะพรรณนาทีเดียว

 

จักรพรรดินีเอ่ยสั่ง “ข้าขอสั่งให้หยุดเคลื่อนไหวเพื่อรอรับคำสั่ง และยุติการโจมตีหรือพฤติกรรมที่แลดูเป็นภัยคุกคามทั้งหมด”

 

“นอกจากนี้ ช่วยทำการติดต่อประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลางทางโทรศัพท์ทันที”

 

รัฐมนตรีและเหล่าองครักษ์ทุกคนต่างปิดปากเงียบ ที่ดังฟังชัดตลอดทั่วทั้งห้องมีเพียงเสียงของเธอเท่านั้น

 

ในไม่ช้า การสื่อสารก็ถูกเชื่อมต่อ

 

“ประธานาธิบดี ข้ายินดียิ่งที่ได้สนทนากับเจ้า”

 

“ใช่แล้ว นี่มันเป็นความผิดของฟูซีเอง แต่โชคยังดีที่ผลลัพธ์ของมันไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายมากนัก”

 

“ทางเราจะจ่ายสินสงครามให้ตามความเหมาะสม – ใช่ เขาได้จากโลกนี้ไปแล้ว”

 

“ข้าต้องการ … สันติภาพ แล้วเจ้าเล่า?”

 

——

 

ณ แนวหน้า

 

ติ๊งงงงง ติ๊งงงงง ติ๊งงงงง ติ๊งงงงง

 

ช่องทางการสื่อสารของจางเพ่ยเจี่ยดังขึ้น ถี่ระรัวอย่างบ้าคลั่ง

 

“อนุญาตให้ทำการเชื่อมต่อ!” เขาตะโกน

 

“คำสั่ง : หยุดเคลื่อนไหวเพื่อรอรับคำสั่ง และยุติการโจมตีหรือพฤติกรรมที่แลดูเป็นภัยคุกคามทั้งหมด”

 

จางเพ่ยเจี่ยเปิดค็อกพิททันที พร้อมกับง้างมือกระแทกลงในปุ่มสีแดง

 

ปัง!

 

เกราะรบสีดำที่อยู่ในสภาพแตกหักเสียหายไร้ซึ่งพลังงานเกื้อหนุนอีกต่อไป มันร่วงตกลงไปกองกับพื้น

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน จางเพ่ยเจี่ยได้โผล่ออกมาจากชุดเกราะ และกลิ้งขลุกๆไปมาบนพื้น

 

“ฉันยอมแพ้!”

 

เขาตะโกนไปทางหุ่นรบสีเขียวที่ยังคงไม่บุบสลาย

 

กำปั้นเหล็กข้างหนึ่งกำลังง้างลงมาหมายจะกระแทก อยู่ห่างจากเขาเพียงหนึ่งช่วงแขน

 

เกราะรบสีเขียวหยุดชะงักลงอย่างกระทันหัน

 

แรงลมขนาดใหญ่ที่เกิดจากการหยุดปะทะ พัดเป่าจางเพ่ยเจี่ยถอยกลับไปหลายก้าว

 

“ยอมแพ้? ในฐานะทหารที่กล้าท้าทายเป็นตายกับฉัน … คุณกล้ายอมแพ้ได้อย่างไร?” น้ำเสียงของเทพนักสู้เย็นชาและฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่า

 

“ข้าเป็นคนของจักรพรรดินี และได้รับคำสั่งให้ถ่วงเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้สงครามเกิดการปะทุขึ้น และตอนนี้ ม่านเหล็กก็ได้ออกคำสั่งให้ยุติสงครามแล้ว” จางเพ่ยเจี่ยเร่งอธิบายอย่างรวดเร็ว

 

เขาไม่กล้าที่จะขัดใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

 

เพราะตราบใดที่เทพนักสู้ยังบังเกิดข้อสงสัยในตัวเขาแม้เพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายก็จะกระโจนเข้าหาเขาทันทีพร้อมด้วยกระบวนท่าสังหาร!

 

“คนของจักรพรรดินีเวโรน่าอย่างงั้นหรือ … ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!”

 

ภายในเกราะรบสีเขียว น้ำเสียงของเทพนักสู้ที่คุกรุ่นไปด้วยอารมณ์ดูอ่อนลงหลายส่วน

 

เจตนาฆ่าของเทพนักสู้ได้หายไป

 

—มันกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายต้องการต่อสู้กับตนเองเพียงเพื่อชะลอศึกใหญ่ระหว่างสองกองทัพ

 

อีกฝ่ายถึงขั้นยอมเผชิญหน้ารับการโจมตีของตนที่โหมกระหน่ำราวกับพายุจนกระทั่งถึงช่วงเวลารุ่งสางนี้

 

ส่งผลให้ไม่มีทหารคนใดเข้าสู่สงคราม และไม่มีใครต้องเสียสละชีวิตลง

 

แต่นั่นมันจะเป็นความจริงหรือ?

 

ขณะที่ซางซ่งหยางกำลังขบคิด เขาก็เห็นว่าสมองควอนตัมของตนส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้ามา

 

ท่านประธานาธิบดีได้ส่งข้อความถึงเขาเป็นการส่วนตัว

 

ใจความมีเพียงแค่หกพยางค์สั้นๆ

 

“สงครามสิ้นสุดลงแล้ว”

 

หลังจากนั้น ชุดกลยุทธ์อื่นก็ถูกส่งเข้ามาแทนที่กลยุทธ์เดิมโดยเทพธิดา

 

ซางซ่งหยางพอมองไปบนจอม่านแสง รอยยิ้มก็ค่อยๆผุดขึ้นมาบนใบหน้าเขา

 

เขารีบกดปุ่มเปิดห้องคนขับของเกราะรบสีเขียวออกในทันที

 

และกระโดดลงมาจากมัน

 

เขามองไปยังจางเพ่ยเจี่ยที่ยืนอยู่บนพื้นดินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และเอ่ยออกมาเบาๆว่า “ฉันต้องขอโทษด้วยที่เข้าใจคุณผิดไป ถ้าหากเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้วล่ะก็ กล่าวได้เลยล่ะว่าคุณน่ะเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง”

 

เทพนักสู้ยื่นมือออกไปทางทหารแห่งฟูซี

 

และจอมพลก็คว้ามืออีกฝ่าย และดึงตัวผุดลุกขึ้น

 

“มันไม่สำคัญหรอกว่าจะได้เป็นวีรบุรุษรึเปล่า แต่ที่แน่ๆข้าเกือบจะถูกฆ่าอยู่แล้ว” จางเพ่ยเจี่ยถอนหายใจออกมา

 

และเทพนักสู้ดูจะไม่ใส่ใจกับคำพูดเมื่อครู่ เขาหัวเราะออกมา “แต่ก็เพราะการถ่วงเวลาของคุณ ทำให้ระหว่างสองประเทศไม่มีใครเสียชีวิตลงเลย ฉันคิดว่าวันนี้มันจะต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน”

 

“ตราบใดที่ท่านไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ข้าจะขอบคุณมากๆ” จางเพ่ยเจี่ยกล่าว

 

“ในฐานะที่เป็นถึงจอมพลของราชวงศ์ คุณน่ะไม่ใช่คนเขลาเลย มีการตัดสินใจที่ดี ค่อนข้างชัดเจน และเข้าใจถึงการต่อสู้ เรื่องนี้ฉันค่อนข้างชื่นชมทีเดียว ” ซางซ่งหยางกล่าวสรรเสริญ

 

“ถ้างั้น – ขอข้าสูบบุหรี่ซักมวนก่อนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องนี้เอาไว้ค่อยพูดคุยกันในภายหลัง” จางเพ่ยเจี่ยกล่าว

 

“สูบบุหรี่? แล้วทำไมฉันถึงต้องไปวุ่นวายกับการสูบบุหรี่ของคุณด้วย? เชิญตามสบายเลย” ซางซ่งหยางกล่าวด้วยควาประหลาดใจ

 

“ได้ยินแบบนี้ก็ค่อยสบายใจหน่อยแล้ว” จางเพ่ยเจี่ยกล่าวออกมาในที่สุด

 

เขาเอื้อมมือไปหลังศีรษะ จากนั้นก็ค่อยๆเอามือขูดๆ แล้วดึงมันออกมาอย่างแรง

 

หน้ากากหนังมนุษย์หลุดลอกออก เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ดั้งเดิมของซางหยิงฮ่าว

 

เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ สูดมันเข้าไปลึกๆในปอด แล้วก็บ่นว่า “ไอ้เจ้าจอมพลบ้านี่มันดื้ออย่างกับลาคลั่ง ผมโน้มน้าวมันตั้งนานแต่ก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายเลยต้องมาออกหน้าเองแบบนี้”

 

เทพนักสู้ซางซ่งหยางกลายเป็นโง่งม

 

อย่างไรก็ตาม สองตาของเทพนักสู้ก็หรี่ลงอย่างรวดเร็ว ทั้งคนทั้งร่างเผยให้เห็นถึงเจตนาฆ่า

 

ซางหยิงฮ่าวรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาเงยหน้าขึ้น และหันหลังกลับวิ่งหนีไป

 

ส่วนเบื้องหลังเขา ไล่หลังมาด้วยเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธของเทพนักสู้ “ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ แกมีพรสวรรค์คว่ำฟ้าดินถึงขนาดนี้ หยุดงานบ้าๆที่กำลังทำอยู่ซะแล้วกลับมารับใช้ทางกองทัพกับฉันเดี๋ยวนี้!”

 

ซางหยิงฮ่าวโต้สวนกลับไปทันควัน ปากเอ่ยกล่าวอย่างลื่นไหล “หลานชายขอผ่าน!  กองทัพมีแค่ท่านตาคนเดียวก็เกินพอแล้ว และอีกอย่างผมจะไม่ยอมถูกตาจับไปฝึกหนัก โดนดุด่าสั่งสอนให้ขายขี้หน้าคนไปทั่วหรอกนะ!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.333 – หัวใจน้ำแข็ง

 

บนท้องฟ้า

 

การโจมตีที่ทรงประสิทธิภาพมากมายผสานร่วมกันจากทุกทิศทาง โถมกดดันบังคับให้กู่ฉิงซานต้องพบกับทางตันที่มิอาจล่าถอย

 

ไม่มีใครหรอกที่จะสามารถต้านทานการระเบิดพลังทำลายล้างของมืออาชีพชั้นสูงพร้อมกันถึง 60 คนได้ ต่อให้เป็นตัวกู่ฉิงซานเองก็ตามที

 

ทว่ากู่ฉิงซานกลับยังยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ โดยมิได้เคลื่อนไหวใดๆ หรือเขาอาจจะถอดใจแล้วก็ไม่ทราบ

 

“เจ้า … ได้ตายไปแล้ว” ม่านตาขององค์จักรพรรดิหดวูบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆกู่ฉิงซานที่ยืนนิ่งก็ดันหายวับไป

 

และหนึ่งในร่างโคลนอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้นแทนที่ในตำแหน่งเดิมของเขา

 

ชายคนนั้นตกตะลึง ชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง

 

และเมื่อในแววตาของเขาบังเกิดประกายตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

 

“ไม่ … ”

 

เขามีเวลามากพอแค่กล่าวเพียงคำเดียวเท่านั้น

 

ส่วนเวลาต่อจากนั้น ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ถูกประกายแสงแห่งความพินาศโถมเข้าปกคลุมจนสิ้น

 

การระเบิดพลังของ 60 มืออาชีพที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ส่งผลให้ร่างกายของผู้ที่ถูกโจมตีไม่มีเหลือทิ้งไว้แม้กระทั่งเศษซาก

 

ในอีกด้านหนึ่ง ร่างของกู่ฉิงซานได้ปรากฏตัวออกมา

 

พร้อมกับดาบพิภพที่สาดประกายแสงวูบ วาดสังหารศัตรูที่อยู่ข้างๆให้ตกตายลงไปอีกหนึ่งอย่างเรียบง่ายราวกับตัดเต้าหู้

 

“ไปเลย”

 

กู่ฉิงซานสั่ง

 

และดาบพิภพก็พรึบ! ผละออกจากมือเขา หายลับไปในความว่างเปล่า

 

ได้ยินเพียงแค่เสียง ‘แคร๊ก’

 

ตามต่อด้วยเสียงบดขยี้ด้วยคมดาบ ลงกลางหัวของหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่ง พร้อมกับของเหลวสีแดงและขาวระเบิดออกมาจากสมองของเขา

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานหยุดยืนอยู่นิ่งๆ ไร้ซึ่งดาบพิภพในมือ เหล่ามืออาชีพนับสิบก็ฉวยโอกาสนั้นโจมตีใส่เขาทันที

 

และกู่ฉิงซานก็มิได้หลบเลี่ยง เขาเอื้อมมือไปคว้าดาบเช่าหยินและตัดสะบั้นหัวของมืออาชีพที่เข้ามาใกล้ที่สุดจนขาดลง

 

แต่หนึ่งหัวที่ขาดไป ก็ต้องแลกกับการโจมตีอีกนับสิบที่เข้าถึงตัวของเขา

 

ปัง!

 

เขาถูกโจมตีโดนแล้ว!

 

ชั้นอากาศที่ว่างเปล่าบังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง

 

แต่ยังไงก็ตาม มันกลับกลายเป็นหนึ่งในมืออาชีพชั้นสูงอีกคนที่ต้องมาตกตายลงภายใต้การโจมตีนี้

 

แล้วกู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นแทนที่ในตำแหน่งของเขา

 

ท้ายที่สุด ฝูงชนก็ตระหนักรู้แล้วว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น! ทั้งหมดเริ่มสอดส่ายสายตาไปทางพวกเดียวกัน เพื่อเฝ้ารอโจมตีอีกฝ่ายที่จะสลับตำแหน่งมา

 

และกู่ฉิงซานก็หายตัวไปอีกที ก่อนจะปรากฏขึ้นเบื้องหลังของอีกคนหนึ่ง

 

แต่เวลานี้ … เขาไม่ได้แลกเปลี่ยนตำแหน่งกับผู้ใด!

 

ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

 

บรัช!

 

ดาบยาววูบออกไป และชายที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็สิ้นใจลงในพริบตา

 

หลังจากที่สังหารชายผู้นี้ ร่างของกู่ฉิงซานก็วูบหายไปจากสายตาอีกครั้ง

 

ปัจจุบันนี้ เขาคือผู้ฝึกยุทธในขอบเขตก้าวสู่เทพ และเขาก็เป็นตัวตนที่เป็นที่รู้จักกันดีหรือที่เรียกง่ายๆว่าเป็นหนึ่งในคนสำคัญในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

 

ปริมาณพลังวิญญาณทั้งหมดของขอบเขตก้าวสู่เทพ นับว่าเพียงพอแล้วที่จะปล่อยให้กู่ฉิงซานใช้สกิลต่างๆของตนได้อย่างไม่ยี่หร่ะ

 

ท่ามกลางความว่างเปล่าบนผืนฟ้า ประกายแสงสีทองกระพริบไหว วูบวาบไปมาอย่างไม่รู้จบ และเมื่อทั้งหมดจับตำแหน่งของมันได้ มันก็หายวับไปจากสายตาอีกครั้ง

 

หัวของมืออาชีพชั้นสูงคนแล้วคนเล่าถูกตัดฉับๆและร่วงตกลงจากฟากฟ้า

 

องค์จักรพรรดิแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง

 

โดยสิ้นเชิงแล้ว ที่กู่ฉิงซานทำรวมทั้งหมดมันมีเพียงแค่สองสิ่งเท่านั้น

 

หนึ่งคือปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน

 

สองคือกวัดแกว่งดาบออกไปอย่างอิสระ

 

แต่กลับไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาไว้ได้เลย

 

ฉากนี้แลดูราวกับเขาเป็นมนุษย์หุ้มเกราะทองคำโบราณ โบยบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า ควงดาบยาวเก็บเกี่ยวทุกสรรพชีวิตอย่างไม่รู้จบ

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏตัวอักษรที่ร้อยเรียงเป็นเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

 

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

 

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

 

……..

“อย่าใช้เทคนิคมนตรา! กระจุกรวมตัวกันไว้ แล้วค่อยฆ่าเขา!” องค์จักรพรรดิขบกรามบดขยี้ฟันตนจนเกิดเสียงกรอดๆ ตะโกนแนะนำออกไป

 

พอได้ฟัง เหล่ามืออาชีพก็เริ่มแออัดอยู่ใกล้ชิดกัน

 

แล้วในที่สุดกู่ฉิงซานก็ไม่อาจไล่เก็บทีละตัวได้อีกต่อไป เขาต้องจำใจบินถอยออกมา

 

แต่ก็แทบจะไม่ได้หยุดนิ่ง หลังจากนั้นอีกไม่ถึงสองลมหายใจ เขาก็เหวี่ยงสะบัดดาบเช่าหยินออกไปยังทิศทางของกลุ่มคนเหล่านั้น

 

เส้นแสงสว่างไสวดั่งดวงดาราควบแน่นเป็นวิถีตรง ตัดผ่านความว่างเปล่า หมุนวนไปมา ตีวงล้อมเชือดเฉือนเหล่ามืออาชีพชั้นสูงที่กระจุกรวมกัน

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!

 

“นี่ … นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน ทำไมตัวข้าถึงไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย” มืออาชีพคนหนึ่งตื่นตะลึงจนร้องอุทานออกมา

 

ในวิสัยทัศน์เบื้องหน้าเต็มไปด้วยโลหิตที่กระฉูดเป็นสาย ส่งผลให้ความหวาดกลัวของเขาเริ่มพุ่งขึ้นถึงขีดสุด

 

ส่วนทางด้านกู่ฉิงซาน มือของเขายังคงสับเปลี่ยนแปรผันอย่างว่องไว ใช้ออกด้วยกระบวนท่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

ดาบพิภพพรวดออกมาจากความว่างเปล่า มันกระโจนเข้าร่วมวงตัดเฉือนไปทั่วอากาศบนท้องฟ้า คอยเก็บเกี่ยวชีวิตแล้วชีวิตเล่าที่อยู่ที่นั่น

 

แม้จะกระจุกอยู่รวมตัวกันแล้ว แต่มืออาชีพที่แข็งแกร่งเหล่านี้ก็ยังมิอาจต้านทานการเชือดเฉือนอย่างเต็มกำลังของดาบพิภพได้เลย

 

จนกระทั่งเมื่อมืออาชีพชั้นสูงที่ยืนหยัดอยู่กลางอากาศหลงเหลือเพียงครึ่ง แท้จริงแล้วกลับยังไม่มีใครเลยที่สามารถทำอันตรายใดๆต่อกู่ฉิงซานได้ กระทั่งปลายเล็บก็ยังมิอาจสัมผัส!

 

แม้จะเป็นร่างโคลน แต่ใจก็ยังเป็นมนุษย์ พวกเขาสิ้นหวังแล้วในเวลานี้

 

ทั้งหมดแตกฮือ กรีดร้องอลหม่าน แยกตัวกันหลบลี้หนีหาย กระจัดกระจายไปทุกทิศทาง

 

อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาจะเร็ว แต่ดาบบินนั้นเร็วยิ่งกว่า

 

หลังจากนั้นอีกสักพัก ร่างโคลนทั้งหมดก็ถูกสังหารลง

 

จากนั้น กู่ฉิงซานก็หันมองไปยังรอบๆ ก่อนที่สายตาของเขาจะหยุดลงที่จักรพรรดิฟูซี

 

องค์จักรพรรดิยับยั้งอารมณ์อันหลากหลายในจิตใจ สายตากวาดมองกู่ฉิงซานขึ้นๆลงและเอ่ยถามในทันใดว่า “เจ้ากับพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”

 

“ทำไมท่านถึงถามแบบนั้นล่ะ?” กู่ฉิงซานถามสวนกลับไปอย่างไม่คาดคิด

 

“ข้าคิดเสมอมาว่ามีเพียงพระสันตะปาปา หนึ่งเดียวเท่านั้นในโลกใบนี้ที่เป็นตัวตนที่คาดไม่ถึงโดยสมบูรณ์ ทว่าตอนนี้กลับมีเพิ่มมาอีกหนึ่ง”

 

องค์จักรพรรดิเอ่ยอย่างช้าๆ “พฤติกรรมและการต่อสู้ของเจ้ามันแตกต่างไปจากพวกเรา มันมิใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถเข้าใจได้”

 

“พระสันตะปาปา … ”

 

กู่ฉิงซานพลันนึกขึ้นได้ในทันใดว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของวันสิ้นโลก สมเด็จพระสันตะปาปาได้หายตัวไปอย่างกระทันหัน

 

แต่ในตอนนั้นเอง เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดของเขา

 

“ใต้เท้า โปรดเร่งจบการต่อสู้โดยเร็วเถอะ กองกำลังของทั้งสองประเทศพึ่งจะเผชิญหน้ากันเมื่อหนึ่งวินาทีที่แล้วนี้เอง”

 

“เข้าใจแล้ว!” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

หนึ่งมือแปรผันไวว่อง จีบออกเป็นสัญลักษณ์

 

ดาบพิภพลอยล่องหยุดนิ่งอยู่ข้างกายเขา ส่วนดาบเช่าหยินก็บินกลับมา

 

กู่ฉิงซานเอ่ยปากอย่างช้าๆ “ฝ่าบาท นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ทรงยอมจำนนเถอะ”

 

“โชคไม่ดีจริงๆที่ร่างโคลนของข้ามันไม่สมบูรณ์แบบ” จักรพรรดิฟูซีกล่าวด้วยอารมณ์

 

กู่ฉิงซาน “การต่อสู้น่ะมันต้องสั่งสมประสบการณ์ แม้ว่าร่างโคลนจะสามารถลอกเลียนแบบพลังอำนาจได้ แต่หากไร้ซึ่งร้อยพันกลยุทธ์ที่ใช้ต่อสู้ มันจะเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนออกมาได้อย่างไร?”

 

จักรพรรดิฟูซีไม่ตอบ

 

กู่ฉิงซาน “โปรดสั่งการให้กองทัพฟูซีถอนกำลังกลับไปด้วยเถิดพะยะค่ะ”

 

แม้จะสังหารร่างโคลนไปจนหมดสิ้นอย่างไร้ความปราณี แต่สำหรับองค์จักรพรรดิแล้ว กู่ฉิงซานยังพอมีเมตตาอยู่

 

แน่นอนว่ามันมิใช่เพราะเขาเป็นตัวตนที่ทรงพลัง เป็นผู้ใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้าที่ตัวจริงที่หาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้เท่านั้น แต่พระองค์ยังเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของสาธารณรัฐฟูซีอีกด้วย

 

นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงข้อมูลลับที่เขาจะต้องรู้แน่ๆเกี่ยวกับนรกเยือกแข็ง ซึ่งมันคือสิ่งที่คนเป็นไม่เคยได้ล่วงรู้มาก่อน

 

หากเขาสามารถเกลี้ยกล่อมให้องค์จักรพรรดิหันกลับมาได้ มนุษยชาติคงได้รับผลประโยชน์ดีๆกลับคืนมาไม่น้อยเลย

 

องค์จักรพรรดิหัวเราะในทันใด

 

“โง่เง่า” เขาส่ายหัวและกล่าว “สถานการณ์ของโลกในตอนนี้น่ะ มันมิอาจกู้คืนมาได้แล้ว”

 

“สถานการณ์โลกไม่อาจกู้คืนมาได้ แต่เรายังสามารถทำให้มันดีขึ้นได้ แทนที่จะทำแค่เพียงเฝ้ามอง ปล่อยให้มันล่มสลายลงนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“อนาคตที่ข้าคิดหมายจะโอบอุ้ม มันคืออนาคตที่สาธารณรัฐปกครองโลกทั้งใบ” องค์จักรพรรดิคำราม

 

รอบกายเขา ค่อยๆบังเกิดไอน้ำพวยพุ่งออกมา

 

ไอน้ำปกคลุมพัวพันรอบกายเขา ก่อรูปขึ้นเป็นละอองหมอกหนา ก่อนจะควบแน่นเรียงร้อยกันเป็นลูกประคำน้ำแข็ง

 

องค์จักรพรรดิคว้าจับลูกประคำและบีบขยี้มันจนเป็นผง

 

กระแสเสียงขององค์จักรพรรดิทุ้มลึก “เจ้าแกร่งมากจริงๆ แต่ถ้าข้ากลายร่างเป็นคนตาย แกร่งเพียงใดเจ้าก็มิอาจฆ่าข้าได้”

 

ขณะกล่าว ในวิสัยทัศน์ของเขากลับเห็นแค่เพียงใบหน้าของกู่ฉิงซานที่เผยถึงความเศร้าและถอนหายใจเล็กน้อย

 

ตามด้วยความรู้สึกเจ็บแปล่บลึกเข้ามาในหัวใจ

 

ดาบพิภพแทงทะลุเข้ากลางหัวใจขององค์จักพรรดิ ก่อนจะกระชากมันออกมา และบินกลับมาหากู่ฉิงซาน

 

หยาดเลือดไหลรินลงมาจากดาบพิภพ ขณะที่ก้อนหัวใจที่กำลังเต้นตุบๆกลางใบดาบค่อยๆแตกสลายออกเป็นชิ้นๆ พัดกระจายหายไปกับสายลมเย็น

 

“อ๊อก … ”

 

องค์จักรพรรดิยกมือขึ้นกุมปากตนเอง และก้มลงมองไปยังหลุมเลือดตรงหน้าอก

 

แต่แล้วจู่ๆเขาก็หัวเราะออกมาอย่างร้ายกาจ “ฮ่าฮ่าฮ่า! สายเกินไป! เจ้ามันช้าเกินไป! ข้าได้เรียกท่านบรรชนของข้ามาแล้ว และนับจากนี้ข้าก็จะครอบครองร่างของคนตาย .. ข้าเป็นอมตะ!”

 

ไอน้ำที่กระพือไปตามสายลม เริ่มก่อรูปเข้าด้วยกันเป็นชิ้นส่วนน้ำแข็งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

 

องค์จักรพรรดิคว้าจับ ‘หัวใจน้ำแข็ง’ ที่พึ่งก่อร่างขึ้นมา และยัดมันกลับเข้าไปในรูหน้าอกของเขา

 

“นี่คือหัวใจน้ำแข็ง นับจากนี้ต่อไป ตราบใดที่ข้าสัมผัสกับชิ้นส่วนใดของนรกเยือกแข็ง ไม่ว่าอาการบาดเจ็บใดๆก็จะถูกฟื้นฟูจนกลับมาจนสมบูรณ์”

 

องค์จักรพรรดิจ้องม้องไปทางกู่ฉิงซานด้วยรอยยิ้มบาง

 

เขาครอบครองหัวใจน้ำแข็ง เพียงเท่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีกแล้ว

 

“นี่ท่านริเริ่มความคิดที่จะกลายเป็น ‘คนตาย’ ด้วยตัวเองอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงหม่นทะมึน

 

“ถูกต้อง และคราวนี้ก็ถึงตาเจ้าคิดบ้างแล้วว่า- ”องค์จักรพรรดิกล่าวอย่างช้าๆ “- เจ้าจะเอาชนะคนตายได้อย่างไร?”

 

แต่แล้วเสียงของเขาก็หยุดลงอย่างกระทันหัน

 

น้ำแข็งจากบริเวณหน้าอกขององค์จักรพรรดิค่อยๆแพร่กระจายลุกลามไปทั่วร่างกาย ก่อนจะแช่แข็งทั้งตัวเขาจนแลคล้ายกับลูกเห็บยักษ์

 

เขาถูกแช่ในน้ำแข็ง หลงเหลือทิ้งไว้เพียงส่วนหัวเท่านั้นที่ยังคงสามารถสูดดมอากาศโดยรอบ แต่ส่วนอื่นๆล้วนมิอาจขยับเขยื้อนได้เลย

 

จักรพรรดิฟูซีเลื่อนสายตาหันไปมองรอบๆ ดูเหมือนว่าเขาก็กำลังงงกับฉากนี้เช่นกัน

 

-นี่มันแตกต่างจากที่ข้าคิดไว้

 

เมื่ออยู่ในก้อนน้ำแข็งนี้ มันก็จริงอยู่ที่เขาจะไม่ตายไปสักพัก แต่แล้วเขาจะต่อสู้ต่อได้ยังไงกันล่ะ?

 

และที่น่าแปลกก็คือน้ำแข็งที่พันธนาการองค์จักรพรรดิเอาไว้ มันกลับลอยนิ่งอยู่กลางอากาศอย่างไม่น่าเชื่อ … ปกติแล้วนรกเยือกแข็งมันต้องอยู่บนพื้นดินสิ?

 

ด้วยฉากอันแปลกประหลาดนี้ ทำให้ตัวกู่ฉิงซานเองก็ชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง

 

แต่ไม่ว่ามันจะแปลกยังไงก็ตาม สงครามก็ได้ปะทุขึ้นแล้ว ฉะนั้นองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีจะต้องตายลงที่นี่! ตอนนี้!

 

กู่ฉิงซานกำดาบพิภพในมือ และเตรียมที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อจบชีวิตฝ่ายตรงข้ามลง

 

แต่แล้วขณะวูบกายเคลื่อนไหว เขาก็หยุดกึกอย่างกระทันหัน

 

พร้อมกับบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในจิตใจ

 

“นั่นมันอะไรกันน่ะ?” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

แม้จะมองไม่เห็น แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา

 

ไอน้ำระเหยไปทั่วชั้นอากาศ เติมเต็มผืนฟ้าควบรวมกันจนเป็นสีเทา

 

ไอน้ำสีเทาอ่อนๆ แพร่กระจายออกไปทั่วท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

 

และเกือบจะในทันที ไอน้ำเหล่านั้นก็เริ่มก่อตัวเป็นธารใหญ่ข้ามผ่านผืนนภามาจากสุดขอบฟ้า ปรากฏขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซาน

 

มองไปยังสายธารนี้ ไม่ว่ามนุษย์คนใดก็ล้วนอดไม่ได้ที่จะเกิดความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ราวกับภัยพิบัติร้ายอันมิอาจต้านทานย่างกรายเข้ามาเยือน

 

“สายธารแห่งการหลงเลือน … ไม่สิ นี่มันค่อนข้างจะแตกต่างออกไป … ” กู่ฉิงซานวิเคราะห์แยกแยะ เอ่ยพึมพำ

 

ราวกับว่าสายธารนี้มีชีวิต มันค่อยๆไหลเอื่อยๆเข้าหากู่ฉิงซาน

 

ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานตื่นตัวทันที

 

เขาได้ออกเดินทางต่อสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในชั่วชีวิตของเขา แต่ไม่เคยได้ต่อสู้กับสายธารมาก่อนเลย

 

นอกจากนี้ แม้ระยะทางจะยังคงห่างไกลกว่าหลายสิบเมตร แต่สายธารตรงหน้ากลับม้วนเกลียวเป็นคลื่นมหึมาน่าสยดสยอง โถมกดมาทางกู่ฉิงซานด้วยเจตนาร้าย

 

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังเค้นสมองหาวิธีรับมือกับมัน จู่ๆดาบเช่าหยินก็บินเข้ามาตกลงในมือของเขา

 

ดาบเช่าหยินสั่นไหวเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามันต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ตัวอักษรร้อยเรียงเป็นบรรทัดปรากฏขึ้น

 

“ดาบเช่าหยินร้องขอที่จะใช้แต้มพลังวิญญาณของคุณ ปริมาณที่ร้องขอคือ : 10 แต้ม”

 

“คุณจะอนุญาตให้มันใช้แต้มพลังวิญญาณของคุณหรือไม่?”

 

แต้มพลังวิญญาณ ไม่เพียงแต่เป็นพลังเหนือธรรมชาติ แต่ชุดเกราะรบเพลิงคำรนก็ใช้มันเช่นกัน กระทั่งมารสวรรค์ก็ยังใช้ มันเป็นเหมือนกับแหล่งที่มาของพลังอำนาจอันน่าอัศจรรย์ใจ นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยให้กู่ฉิงซานยกระดับขึ้นได้อย่างไม่รู้จบอีกด้วย

 

ไม่คาดคิดเลยว่า เมื่อดาบเช่าหยินซ่อมแซมเสร็จแล้ว มันจะสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้เหมือนกัน

 

กู่ฉิงซานมองบรรทัดแสงตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ และกล่าวด้วยความคาดหวังว่า “ฉันอนุมัติ”

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดเส้นแสงขึ้นอีกครั้ง “ทำการจ่ายแต้มพลังวิญญาณ”

 

บังเกิดลมที่มองไม่เห็นคดเคี้ยวไปมารอบตัวกู่ฉิงซาน และขยายไปยังดาบเช่าหยิน

 

ดาบเช่าหยินระเบิดเสียงคำรามกระหึ่มออกมา และในไม่ช้ามันก็เงียบลง

 

ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเสียงกระหึ่มนี้ สายธารกลับดูเหมือนจะหวาดกลัว และแปรเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทันใด

 

สายธารเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน แยกออกเป็นสองฟากฝั่ง

 

มันเลือกที่จะไม่ท่วมทับตัวเขา และแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ที่เดิม โดยไร้ซึ่งหยดน้ำใดๆเปียกปอนตามร่างกายของเขา

 

“นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’ อย่างงั้นสินะ จริงๆแล้วมันคือความสามารถในการควบคุมธาตุน้ำ … ไม่สิ เมื่อกี้มันสายธาร ไม่ใช่น้ำบริสุทธิ์ที่เกิดจากธาตุทั้งห้านี่นา … ” กู่ฉิงซานเฝ้ามองมัน ขบคิดอย่างรอบคอบ

 

ในความว่างเปล่า บังเกิดเสียงแหบแห้งที่แผ่วเบาราวกระซิบดังขึ้น

 

“โฮ่ … นี่มันน่ามหัศจรรย์จริงๆ มีพลังที่ทำให้ข้ามิอาจเข้าใกล้ได้อยู่ด้วยหรือนี่ … ” พร้อมกับเสียงนี้ กลิ่นอายเยือกแข็งก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อจักรพรรดิฟูซีได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย

 

“ท่านบรรพชน! ในที่สุดท่านก็มาเสียที” องค์จักรพรรดิกล่าว

 

เบื้องหลังจักรพรรดิฟูซี พลันปรากฏบัลลังก์น้ำแข็งขึ้นในความว่างเปล่า

 

และบนบัลลังก์ มีร่างโครงกระดูกนั่งอยู่

 

เสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่บดบังรูปร่างของเขา เผยให้เห็นแค่เพียงส่วนหัวกะโหลกเท่านั้น

 

บนหัวกะโหลกของเขา สวมใส่มงกุฏที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ขณะที่มีดาบยาวสีเทาวางพาดอยู่ในอ้อมแขน

 

โครงกระดูกอ้าขยับปาก เปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “จักรพรรดิฟูซี ดูเหมือนว่าแผนการโดยรวมของเจ้าจะล้มเหลวนะ”

 

“ท่านบรรพชน ชายผู้นี้ช่างประหลาดนัก คนของข้าไม่มีผู้ใดต่อกรกับเขาได้เลย” จักรพรรดิฟูซีอธิบาย

 

“เจ้าน่ะมันล้มเหลว” ชายเสื้อคลุมดำกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าความล้มเหลวของจักรพรรดิ สำหรับประเทศแล้วมันหมายถึงสิ่งใด?”

 

“ท่านบรรพชน โปรดให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง ตราบใดที่ข้าได้แปรสภาพเป็น ‘คนตาย’ แล้ว ข้าจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน” องค์จักรพรรดิกล่าว

 

ชายในชุดคลุมดำตอบอย่างใจเย็นว่า “เจ้าคงได้ยินข้าพูดไม่ชัดสินะ? ก็ได้ งั้นข้าจะพูดมันอีกครั้ง”

 

“เจ้า”

 

“น่ะ”

 

“มัน”

 

“ล้มเหลว”

 

จักรพรรดิฟูซีที่ถูกแช่ในน้ำแข็งนิ่งค้างไป เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้ออกไปเช่นไรดี

 

เพราะเขาไม่เคยเป็นฝ่ายที่จะต้องทำให้ใครพึงพอใจ ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าวนี้ ตนเลยไม่แม้แต่จะสามารถเปล่งออกมาได้กระทั่งคำพูด

 

โครงกระดูกในชุดคลุมดำโน้มกายไปข้างหน้า สายตากลวงโบ๋จับจ้ององค์จักรพรรดิและเอ่ยว่า “ยามเมื่อประเทศพินาศลง อย่างน้อยกษัตริย์ก็ควรจะเป็นคนสุดท้ายที่ยอมแพ้ แต่เจ้ากลับกลายเป็นคนแรกที่ทรยศมนุษยชาติทั้งโลก นี่นับเป็นความล้มเหลวของเจ้าในฐานะมนุษย์”

 

จักรพรรดิฟูซีตะลึงงัน

 

ถ้อยคำเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่กู่ฉิงซานพึ่งกล่าวออกไปแทบทั้งสิ้น

 

โครงกระดูกในชุดคลุมดำยังคงกล่าวต่อ “เจ้าบอกว่าจะมาขออาศัยพึ่งพาข้า และจะทำตามทุกสิ่งที่ข้าบอก แต่เจ้าก็ยังทำมันผิดพลาดไปเสียทุกอย่าง นอกจากนี้ -”

 

“-ในฐานะกษัตริย์ เจ้าทรยศต่อประเทศ … ทรยศต่อโลกของเจ้า”

 

“ในฐานะนักพนัน ทั้งๆที่เจ้าทุ่มชิปทั้งหมดที่มีออกไปแล้ว แต่มันกลับไม่ก่อผลประโยชน์ใดๆให้แก่ข้าเลย”

 

โครงกระดูกในชุดคลุมดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเบื่อหน่าย

 

“ล้มเหลวไปเสียทุกอย่าง ตัวตนอย่างเจ้าน่ะ มันไม่สมควรที่จะได้รับหัวใจน้ำแข็ง”

 

“และในฐานะที่เป็นคนล้มเหลว วิธีที่ดีที่สุดที่เจ้าสมควรจะชดใช้ นั่นก็คือการกลายเป็นพลังอำนาจเหมือนดั่งเช่นกษัตริย์ไร้ค่าคนอื่นๆ” โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าว

 

พร้อมกับดาบสีเทาในมือเขาที่กระพริบไหว

 

ฟุบบ! หัวขององค์จักรพรรดิฟูซีร่วงตกลง โดยที่บนใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

 

ทว่าด้วยร่างของเขากำลังถูกห่อหุ้มไปด้วยน้ำแข็ง ทำให้เขายังไม่เสียชีวิตลง

 

จักพรรดิฟูซีจ้องมองโครงกระดูกในชุดคลุมดำ ในที่สุดก็เปล่งเสียงร้องออกมา “ข้าเป็นลูกหลานของเจ้านะ! ไอ้บรรพชน!”

 

“ลูกหลานของข้าเอ๋ย จงตั้งใจฟังข้าให้ดี” โครงกระดูกยื่นมือออกไปจิกผมบนหัวที่แยกออกจากตัวขององค์จักรพรรดิ แล้วยื่นมันเข้ามาใกล้ๆกับหน้าของตนเอง

 

“หากเจ้ามิได้เป็นจักรพรรดิ เจ้าก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในลูกหลานของเหลนของข้า”

 

ขณะกล่าว ร่างของหัวกะโหลกในชุดคลุมดำก็เหยียดตรงเล็กน้อย และเริ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

 

พร้อมกับบนหัวของจักรพรรดิฟูซี ที่ผุดร่างเงาวูบไหวแลดูน่าขนลุกลอยออกมา ขณะเดียวกันก็เปล่งเสียงร้องตะโกนด้วยความสยองเกล้า

 

ร่างเงาที่ว่านี้ถูกสูดดมเข้าไปภายในจมูกของชายในชุดคลุมดำ

 

หัวกะโหลกชุดคลุมดำเงยหน้าขึ้น และผ่อนลมหายใจหายด้วยความพึงใจ

 

“จิตวิญญาณของลูกหลานข้า … ช่างมีพลังมากโดยแท้” เขาครวญออกมา

 

ในมือของเขา หัวขององค์จักรพรรดิฟูซี บัดนี้เนื้อหนังหดหาย หลงเหลือทิ้งไว้เพียงกะโหลกที่ว่างเปล่า

 

องค์จักรพรรดิฟูซี คนทรยศ หนึ่งในตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในโลก ได้ถูกสังหารลงแล้วโดยบรรพชนของตนเอง!!

 

จิตวิญญาณของเขาถูกกลืนกิน ทิ้งไว้เพียงกะโหลกเปล่าๆไว้เบื้องหลังเท่านั้น

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.332 – นักล่า

 

ท่ามกลางผืนป่าบนภูเขา

 

เต็มไปด้วยความเงียบสงัด

 

กระต่ายตัวหนึ่งโผล่หัวออกมา และกำลังเคี้ยวบางสิ่งบางอย่างอยู่ในปากของมัน

 

มันกระโดดไปข้างหน้า และหันความสนใจไปมองยอดหญ้าที่พัดไปตามแรงลมเป็นครั้งคราว

 

กระต่ายกระโดดขึ้นอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นจู่ๆมันก็ถูกมือข้างหนึ่งคว้ากุมสองหูเอาไว้

 

แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน พอเจ้ากระต่ายถูกจับได้ มันก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวและมิกล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

 

ซางหยิงฮ่าวยื่นกระต่ายไปให้ถงถงที่อยู่เบื้องหลังเขา

 

“มันน่ารักไหม?” เขาเอ่ยถาม

 

“น่ารักมากๆเลย!”

 

ถงถงกอดกระต่ายไว้ในอ้อมแขนอย่างมีความสุข และเอ่ยต่อ “เขาว่ากันว่ารสชาติของวัตถุดิบจากป่าจะดีกว่าปกติ หนูชักอยากจะกินมันซะแล้วสิ”

 

“โอ๊ย เด็กสาวตัวน้อย พูดจาไม่น่ารักเหมือนหน้าตาเอาซะเลย” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นชาก็ดังขึ้น “บอส จางเพ่ยเจี่ยยิง ‘มนุษย์กระดาษ’ ของผม”

 

ซางหยิงฮ่าวหันไปมองตามเสียง

 

แล้วเขาก็พบกับมนุษย์กระดาษสามคนที่ยืนอยู่บนผืนหญ้า

 

และหนึ่งในมนุษย์กระดาษที่ว่ามีหน้าตาเหมือนกับซางหยิงฮ่าว

 

พร้อมกับปรากฏรูสีดำบนหน้าผาก – มันเป็นรูที่เกิดจากกระสุนปืน

 

ชายอ้วนที่ยืนอยู่ข้างๆมนุษย์กระดาษเอื้อมมือของเขาออกไปและใช้นิ้วแตะลงบนมัน

 

ทันใดนั้นมนุษย์กระดาษซางหยิงฮ่าว ก็ถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านทันที

 

“เขามีผู้คุ้มกัน 24 คนอยู่รอบตัว และแม้เจ้าตัวจะดูเหมือนว่ามีพลังและอิทธิพลค่อนข้างมาก แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าเขากำลังหวาดกลัวความตาย” ชายอ้วนกล่าว

 

“นี่ … แล้วจอมพลพูดอะไรกับฉันบ้าง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

“ผมควบคุมมนุษย์กระดาษของบอสและโน้มน้าวให้เขาชะลอสงครามออกไป แต่หลังจากที่เขาได้อ่านจดหมายลับ เขาก็หันมาพูดอะไรบางอย่างกับร่างกระดาษของคุณ”

 

เมื่อเล่าถึงจุดนี้ ชายอ้วนก็ทนไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมาดังๆ

 

“เขาพูดว่าอะไร?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

“ไอ้ก้อนขี้เอ๊ย!” ชายอ้วนกล่าว

 

ซางหยิงฮ่าวยกมือขึ้นเกาหัวของเขา

 

นักฆ่ารอบตัวต่างผุดรอยยิ้มขึ้นมาตรงมุมปาก

 

นี่มันก็หลายปีมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นบอสของตัวเองถูกกระทำราวกับถูกลากไปตบกลางสี่แยก ในหัวใจของพวกเลยรู้สึกบันเทิงอย่างลับๆ

 

ซางหยิงฮ่าวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเปิดสมองควอนตัมและเอ่ยถามว่า “เทพธิดากงเจิ้ง คุณสามารถช่วยฉันทำน้ำยาพันธุกรรมเล็กๆน้อยๆในการศัลยกรรมใบหน้าจะได้ไหม?”

 

“เกรงว่ามันจะสายเกินไป อีก 19 นาทีต่อจากนี้ ฟูซีจะส่งกองกำลังติดอาวุธเคลื่อนพลถึงชายแดน และสงครามก็จะเริ่มต้นขึ้น” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

“เวลาค่อนข้างรวบรัดจริงๆ”

 

ซางหยิงฮ่าวยกมือขึ้นมองนาฬิกาของเขาและถอนหายใจออกมา “ดูเหมือนว่าฉันคงจะต้องใช้วิธีแบบโบราณซะแล้วสิ”

 

“ถงถง”

 

“อื๋อ”

 

“ช่วยไปเอา ‘ใบหน้า’ของชายคนนั้นให้ฉันหน่อยสิ”

 

ถงถงไม่ได้ตอบอะไร แต่ชายอ้วนก็เดินมากระซิบกับเธออย่างเงียบๆ “มนุษย์กระดาษของเธอถูกขังอยู่ในห้องของเขา”

 

ถงถงอ้าปากค้างทันทีและพูดออกไปว่า “จริงๆแล้วคุณมันเป็นคนโรคจิตแบบนี้เองอย่างงั้นหรอ!?”

 

“ไม่ใช่ฝีมือผมที่เลือกจะเสนอตัวเองนา แต่เป็นฝีมือของจอมพลที่ลากร่างกระดาษของเธอไปด้วยตัวเองต่างหาก” ชายอ้วนเร่งเอ่ยปกป้องตัวเองอย่างรวดเร็ว

 

“บอส ถ้าหนูฆ่าจอมพลคนนั้นเลยจะได้ไหม?” ถงถงเอ่ยถาม

 

“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการ มันก็ได้อยู่หรอก แต่การฆ่าเขาไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขภารกิจ เงินที่ได้อาจจะลดลงเอานะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าวทันที

 

“งั้นก็ลืมมันเถอะ” ถงถงกล่าวอย่างไม่ยี่หร่ะ “ถ้าอย่างนั้นหนูจะฝากความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตให้แก่เขาเอง”

 

“จับเวลาด้วยล่ะ เธอมีเวลา 7 นาที”

 

“รับทราบ บอส” ถงถงกล่าว

 

กระต่ายในอ้อมแขนเธอวางแหมะลงในมือของนักฆ่าอีกคนหนึ่ง

 

ถงถงหยิบสองมีดสั้นคมกริบขึ้นมา ใช้พวกมันมัดปมผมเป็นหางม้า มุมปากโค้งสูงขึ้น และย่ำเท้าเล็กน้อยกระโจนขึ้นไปในอากาศ

 

และในพริบตา เธอก็แปรเสภาพร่างตนเองเป็นอีกาสีดำ สยายปีกมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางค่ายทหาร

 

“สุดท้ายแล้วถงถงก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี ช่วยส่งคนไปซักคนสองคนเพื่อปกป้องเธอด้วย” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยสั่ง

 

และร่างสองร่างก็วูบหายไปจากสายตา

 

ซางหยิงฮ่าวเอ่ยสั่งอีกครั้ง “พุงพลุ้ย ที่เหลือขึ้นอยู่กับนายแล้วนะ”

 

ชายอ้วนขมวดคิ้วทันทีและกล่าวว่า “ไม่เอาน่าบอส ผมถ้าเป็นเมื่อซักเดือนสองเดือนก่อนผมยังพอกล้าหือกับชายแก่อย่างเขาอยู่หรอก แต่ตอนนี้คงไม่กล้าแล้ว”

 

“ทำไมล่ะ?”

 

“บอสก็รู้นี่นา ว่าเมื่อไม่นานมานี้ท่านเทพนักสู้พึ่งจะได้เรียนรู้วิธีฝึกฝนอันลึกลับมา ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว น่ากลัวว่าแค่ฝีมือของผม ไม่นานคงถูกเขาจับไต๋ได้ในที่สุด”

 

ซางหยิงฮ่าวหันไปมองรอบๆ และเหล่าคนในชุดดำทุกคนต่างก็พากันหลบสายตาของเขาเป็นเชิงบอกปัดปฏิเสธ

 

เขาบ่นอุบออกมา “ก็แค่ช่วยออกหน้ารับมือกับเขาเพื่อถ่วงเวลานิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง ถ้าพวกนายเคยสู้กับฉันได้ก็ต้องสู้กับเทพนักสู้ได้สิ … ไม่มีใครคิดจะคว้ารับโอกาสดีๆที่หาได้ยากยิ่งแบบนี้ไว้เลยหรอ”

 

ไม่มีใครตอบเขา

 

ชายอ้วนกระซิบ “ถึงจะใช้ชีวิตเป็นนักฆ่า แต่ก็ยังรักชีวิตเหมือนกันนะบอส”

 

…….

 

ณ เขตชายแดน

 

น้ำแข็งค้างค่อยๆเข้าปกคลุมพื้นดิน

 

บนเนินเขา ไอน้ำจากความร้อนของเหล็กกล้าสีดำกำลังเหยียบย่ำอยู่บนน้ำแข็ง เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง

 

นี่คือกองทัพเกราะรบขับเคลื่อนแห่งฟูซีที่กำลังเคลื่อนพล พวกเขาล้วนเป็นทหารแนวหน้าชั้นหนึ่ง และเป็นกองกำลังทหารในตำนานที่มักจะคอยนำทัพอยู่เสมอมา

 

ทั้งหมดค่อยๆข้ามผ่านภูเขา วิ่งลงเนิน และมุ่งหน้าเข้าสู่ชายแดนของรัฐบาลกลาง

 

ขบวนทัพมุ่งไปอย่างรวดเร็ว กระบวนการทั้งหมดดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น

 

กองทัพเคลื่อนพลไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ทุกคนต่างประจำตำแหน่งของตนอย่างขันแข็ง ควบคุมเกราะรบด้วยความเชี่ยวชาญ

 

ในช่องทางการสื่อสารทางกองทัพ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพูดออกมาเพียงครึ่งคำ

 

เพราะมีจอมพลจางเพ่ยเจี่ยอยู่ในกองทัพด้วย

 

เขามุ่งไปยังเบื้องหน้าร่วมกับกองทัพหุ่นรบของฟูซี

 

จู่ๆเจ้าตัวก็บอกว่าต้องการที่จะเห็นศัตรูด้วยตาตัวเอง แล้วเขาก็มา

 

ช่างเป็นคนที่พอคิดแล้วก็ลงมือปฏิบัติทันที … มุ่งมั่นจริงจังโดยแท้

 

และวันนี้ ดูท่าว่าเขาคงกำลังอารมณ์ไม่ดี เหมือนกับว่าถูกขัดจังหวะอะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา เพราะเกรงว่ามันจะไปกระตุ้นต่อมน้ำโหของเขา

 

มีข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วว่า ในวันนี้เขาได้พบกับราชทูตทั้งสามที่ถูกส่งมาโดยจักรพรรดินี

 

เมื่อทั้งสองฝ่ายปิดประตูคุยกัน ก็บังเกิดการปะทะคารมกันอย่างรุนแรงขึ้น เขาก่นด่าราชทูตของจักรพรรดินีอย่างร้ายกาจ กระแทกประตูไล่ราชทูตออกไป

 

และจากนั้นท่านจอมพลก็ได้ลั่นไกสังหารหนึ่งในสามทูตที่มาด้วยกัน ณ ตรงจุดนั้น อีกหนึ่งถูกนำไปคุมขัง อีกหนึ่งถูกจับแยกตัวออกไป

 

และม่านเหล็กก็ค้นพบถึงข้อพิพาทเล็กๆน้อยๆนี้เช่นกัน

 

ในฐานะที่เป็นจักรกลAIทหารขั้นสูงสุดของสาธารณรัฐฟูซี ระหว่างที่จอมพลละเลยการปฏิบัติหน้าที่ มันจึงส่งคำสั่งข้ามหัวจอมพลโดยตรง และสั่งการไปยังหุ่นรบทั้งหมด

 

ทหารทุกคนจะถูกสั่งให้เริ่มทำการโจมตีอย่างเต็มกำลัง และไม่สามารถล่าถอยได้หากมิได้รับอนุญาต มิฉะนั้นจะถูกถือว่าเป็นกบฏ!

 

มันเริ่มต้นสั่งการต่อสู้ด้วยตนเอง

 

จอมพลผู้ยิ่งใหญ่กลับถูกข้ามหน้าข้ามตาโดยปัญญาประดิษฐ์เช่นนี้ จึงย่อมพอที่จะจินตนาการได้ถึงไฟที่คุกรุ่นอยู่ในจิตใจของเขา

 

แค่มองไปยังเขาก็เห็นได้ชัดว่ามันแทบจะกำลังระเบิดออกมาอยู่รอมร่อแล้ว

 

แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของจอมพลหลายคนดูเหมือนจะไม่รังเกียจที่จะเอ่ยปากกล่าวถึงเรื่องการปะทะคารมกับราชทูตที่ว่านี้

 

นั่นเพราะพวกเขาต้องการให้ทุกคนรับรู้ว่าท่านจอมพลได้ตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามรอยเท้าขององค์จักรพรรดิ

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ก่อนที่จะถึงทางขึ้นภูเขา

 

กองกำลังติดอาวุธล่วงหน้าของรัฐบาลกลางก็ได้มาถึงแล้ว

 

กองกำลังล่วงหน้าที่มาถึงอย่างเร่งรีบเช่นนี้ กำลังรบแน่นอนว่าย่อมอ่อนด้อยกว่าปกติ

 

เมื่อกองกำลังนี้ปะทะเข้ากับกองทัพของฟูซี โชคชะตาของพวกเขาคือพ่ายแพ้อย่างยับเยินเท่านั้น

 

ทว่าเมื่อชายคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น ทุกอย่างจึงแตกต่างออกไป

 

ทหารที่นั่งอยู่ในหุ่นรบ มักจะพากันปรับภาพฉายโฺฮโลแกรมไปยังมุมที่ชายผู้นั้นยืนอยู่ และเฝ้าสังเกตเขาอย่างเงียบๆ

 

นี่คือไอดอลในใจของชายชาติทหารทุกคน

 

ที่จริงๆอายุล่วงเลยมาถึงวัยกลางคนแล้ว

 

คิ้วดกหนา ดวงตาดั่งอินทรีย์ ผิวเข้ม และมีร่างกายยืดตรงราวกับหอก

 

เครื่องแบบชุดทหารสีเขียวเข้ม รองเท้าบู๊ตสีดำ และสายสะพายไหล่เป็นดาบยาวและโล่ – ซึ่งดาบยาวและโล่เป็นตัวบ่งบอกยศทหารระดับนายพล!

 

เขานั่งอยู่บนไหล่ของหุ่นรบที่มีขนาดความสูงกว่าห้าเมตรอย่างเงียบๆ ในปากคาบมวนบุหรี่ ขณะที่สองตาสาดส่องไปยังภูเขานอกชายแดนอย่างสงบ

 

ตามข้อมูลจากหน่วยข่าวกรอง หุ่นรบกองพันที่47แห่งฟูซีจะมาถึงก่อนเป็นกลุ่มแรก

 

สงครามระหว่างสองประเทศจะเริ่มขึ้นทันทีที่หุ่นรบขับเคลื่อนกว่าแปดพันชุดปรากฏตัวขึ้นบนภูเขา

 

ซางซ่งหยางลอบถอนหายใจอย่างลับๆ

 

รัฐบาลกลางตกอยู่ในสันติภาพมาเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่จึงถูกทิ้งร้างไปตามกาลเวลา

 

ในทางตรงกันข้าม สาธารณรัฐฟูซีกลับเตรียมพร้อมเข้าสู่สงครามทุกเมื่อ ภายใต้การนำขององค์จักรพรรดิ พวกเขาซุ่มซ้อม ฝึกฝนอย่างหนัก จำลองสถานการณ์ต่อสู้หากเกิดขึ้นจริง ดังนั้นแล้วในด้านกำลังรบ อีกฝ่ายย่อมเข้มแข็งยิ่งกว่ารัฐบาลกลาง

 

ตอนนี้เขาคงทำได้แค่เพียงพึ่งตัวเองไปก่อนเท่านั้น

 

‘ฉันหวังว่าตัวเองคงจะสามารถต้านทานกองกำลังไปอีกซักพัก เพื่อซื้อเวลาให้กำลังรบชุดใหญ่ของรัฐบาลกลางทั้งหมดมาสมทบ’

 

เพียงแค่คิด จุดสีดำก็ปรากฏขึ้นบนเนินเขา

 

รูม่านตาของซางซ่งหยางหดลีบลง

 

สีดำ คือสีที่ใช้กันทั่วไปสำหรับเกราะรบขับเคลื่อนของฟูซี

 

หลังจากที่จุดดำนี้ปรากฏขึ้น ก็ตามด้วยอีกจุดดำหนึ่งผุดออกมา

 

ตามต่อด้วยจุดสีดำนับไม่ถ้วนที่ปรากฏขึ้นทีละจุด ทีละจุด

 

เกราะรบขับเคลื่อนปกคลุมไปทั่วทั้งเนินเขา และส่งเสียงคำรามของเครื่องจักรขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว

 

หลายพันเกราะรบสีดำเริ่มก้าวเข้าสู่ชายแดนของรัฐบาลกลาง

 

เทพนักสู้โยนบุหรี่ทิ้ง ผุดลุกขึ้นยืน ปากอ้าตะโกนลั่น “เตรียมตัวต่อสู้เพื่อสหพันธรัฐรัฐบาลกลาง!”

 

“เพื่อสหพันธรัฐรัฐบาลกลาง!” เหล่าทหารต่างตะโกนตาม

 

หุ่นรบตัวหนึ่งเปล่งเสียงคำราม และพร้อมที่จะจู่โจมทุกขณะ

 

เทพนักสู้กำลังจะก้าวเป็นผู้นำในการต่อสู้ แต่เขากลับเห็นฉากแปลกๆขึ้นบนเนินเขา

 

หุ่นรบสีดำผุดแยกออกมาจากฝูงชน และวิ่งตรงมาข้างหน้าฝุ่นตลบ

 

และหุ่นรบสีดำก็เปิดค็อกพิทออก ตามด้วยเจ้าหน้าที่ของฟูซีในชุดสีดำกระโดดออกมายืนบนไหล่ของหุ่นรบ

 

เจ้าหน้าที่ฟูซีตะโกนไปทางนายพลซาง “จอมพลจางเพ่ยเจี่ยแห่งสาธารณรัฐฟูซี ขอท้าต่อสู้เป็นตายกับเทพนักสู้ซางซ่งหยางแห่งรัฐบาลกลาง!”

 

บังเกิดเสียงร้องดั่งสายฟ้าฟาด สั่นสะเทือนจิตใจของผู้พบเห็น

 

เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ กลับเกิดปรากฏการณ์หนึ่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

กองทัพทางฝั่งรัฐบาลกลางทั้งหมดได้หยุดฝีเท้าลง

 

เกราะรบขับเคลื่อนนับพันบนภูเขาก็หยุดชะงักลงเช่นกัน

 

ทหารของทั้งสองประเทศได้หยุดการเคลื่อนไหวลงในขณะนี้

 

การท้าทายเป็นตายระหว่างนายพลอาวุโสจากทั้งสองฝ่าย น้อยครั้งนักที่จะบังเกิดขึ้น

 

แต่ทว่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว ก็กล่าวได้ว่านายพลทั้งสองจะเปรียบดั่งตัวแทนของเกียรติยศและศักดิ์ศรีดิ์ของประเทศชาติ

 

ในฐานะที่เป็นทหาร ไม่ว่าใครหากได้รับคำท้าก็ย่อมไม่มีทางหลบลี้หนีถอย และเขาจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อสังหารอีกฝ่ายลง มิเช่นนั้นก็จะเป็นเขาเสียเองที่ต้องตกตาย

 

มันคือการต่อสู้ระหว่างนายพลและจอมพล ที่เป็นตัวแทนของชัยชนะระหว่างประเทศ

 

ตามกฏของสนามรบแล้ว จะไม่มีใครสามารถเข้าไปก้าวก่ายการต่อสู้ในระดับสูงสุดนี้ได้

 

ม่านเหล็กยังคงนิ่งเงียบ และเทพธิดากงเจิ้งก็ไม่คิดข้องแวะ

 

มีการดวลเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์มนุษย์

 

ในความเป็นจริงแล้ว ทุกการต่อสู้ดังกล่าว ล้วนมีผลกระทบเป็นอย่างมากต่อทิศทางของสงคราม

 

ม่านเหล็กและเทพธิดากงเจิ้งในขณะนี้ แม้จะกำลังระดมกองทัพอย่างเข้มข้น และก็ยังเลือกที่จะเพ่งความสนใจมายังการดวลในครั้งนี้

 

ดวงตาดั่งอินทรีย์ของซางซ่งหยางหรี่แคบลง จับจ้องไปยังฝั่งตรงข้าม

 

เขามิได้พานพบศัตรูที่กล้าหาญแบบนี้มานานหลายปีแล้ว

 

“แล้วคุณต้องการท้าทายแบบไหน” ซางซ่งหยางเอ่ยถาม

 

“ต่อสู้ด้วยหุ่นรบ” จางเพ่ยเจี่ยกล่าว

 

“ตกลง ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ”

 

ซางซ่งหยางเข้าไปในหุ่นรบของเขา

 

จางเพ่ยเจี่ยก็ตอบสนองเช่นกัน เขากระโดดลงไปในค็อกพิท และปิดฝาลง

 

เสียงจากทั้งสองฟากฝั่ง ค่อยๆดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ

 

“เทพนักสู้! เทพนักสู้! เทพนักสู้!”

 

“ ท่านจอมพล! ท่านจอมพล! ท่านจอมพล!”

 

กองทัพของทั้งสองประเทศต่างพากันระเบิดเสียงร้องคำรามออกมา

 

เกราะรบขับเคลื่อนสีดำเริ่มเปิดฉากลงมือก่อนเป็นตัวแรก

 

มันย่ำเดินลงไปข้างหน้า ลดระดับลงไปตามไหล่เขา

 

ขณะที่วิ่ง หุ่นรบก็ได้ทำการปลดอาวุธบนร่างกาย

 

ปืนกลแก็ตลิ่ง , มีดโมเลกุลความถี่สูง , ระเบิดคลื่นกระแทกระยะไกล , ปืนใหญ่เลเซอร์ขนาดเล็ก , กระสุนและระเบิดเจาะเกราะ …

 

อาวุธเหล่านี้ถูกปลดออก และกลิ้งส่งเสียงเคร้งครั้งลงตามทางลาดเขา

 

หลังจากถอดอุปกรณ์เสริมทั้งหมดแล้ว ความเร็วของหุ่นรบทั้งหมดก็เพิ่มขึ้นกว่าสามส่วน

 

และหุ่นรบก็ยังคงเร่งความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ท่ามกลางเสียงคำรามของเครื่องยนต์ หุ่นรบสีดำทะยานข้ามเหนือภูเขาสูง พุ่งตรงไปยังเทพนักสู้

 

“น่าสนใจดีนี่”

 

ซางซ่งหยางมองไปยังการกระทำของอีกฝ่าย ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความตระหนักชัด

 

เป็นการต่อสู้กันด้วยหุ่นรบแบบเพียวๆสินะ?

 

และเขาก็ไม่มัวเสียเวลาคิดมาก ทำการตัดสินใจในทันที

 

เห็นแค่เพียงอาวุธทั้งหมดที่ถูกติดตั้งไว้ทั่วร่างของหุ่นรบสีเขียวที่จู่ๆก็ตกลงไปบนพื้นดิน

 

ปัง!

 

หุ่นรบระเบิดฝีเท้าอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พุ่งทะยานตรงไปยังเนินเขา

 

หนึ่งดำหนึ่งเขียว ระยะหว่างระหว่างหุ่นรบทั้งสองตีวงแคบลงอย่างรวดเร็ว!

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.331 – มาตรฐานความเป็นมืออาชีพ

 

“ทรยศ? นี่เจ้าด่าว่าข้าเป็นคนทรยศอย่างนั้นหรือ?”

 

กล้ามเนื้อบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิอดไม่ได้ที่จะกระตุก ราวกับว่าคำนี้มีผลต่อความโกรธในจิตใจของเขา

 

องค์จักพรรดิกล่าว “ทางข้ามีมืออาชีพขั้นห้าอยู่มากมาย แต่เจ้ามีเพียงลำพัง มิรู้หรือ ว่าหากข้าเปล่งวาจาสั่งแม้เพียงครึ่งคำ ปากที่พ่นคำเน่าเหม็นนั่นออกมาเมื่อครู่จะต้องหุบลงไปตลอดกาล!”

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมเคยคิดว่าท่านเป็นผู้พิชิต และหากท่านยังเป็นบุคคลดังที่ว่า ที่หมายมั่นจะโค่นล้มเก้าตระกูลใหญ่ ตราบใดที่ทุกๆการกระทำหรือเคลื่อนไหวของท่านมันไม่ก่อให้เกิดสงคราม กระหม่อมย่อมไม่คิดก้าวเข้ามาแทรกแซงอย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานสวมหน้ากากเงินลงบนใบหน้าของเขาและเอ่ยต่อว่า “แต่ผมไม่คิดเลย ว่าจริงๆแล้วท่านจะเป็นเพียงสุนัขขี้ขลาด ถ้าเป็นในกรณีนี้ ตัวเลือกของผมคงเหลือเพียงปลดปล่อยท่านจากตราบาปนี้โดยการฆ่าเท่านั้น”

 

“บังอาจ!” องค์จักรพรรดิไม่อาจแบกรับคำครหาได้อีกต่อไป เขาคำรามก้อง “ทุกคน ฆ่ามันซะ!”

 

“ลงมือได้!” หลี่ตงหยวนและซ่งเทียนหวู่ตะโกนออกมาพร้อมกัน

 

ร่างโคลนทั้งหมดก็ตะเบ็งเสียงขานรับคำ “ฆ่า!”

 

รัศมีแสงเรืองรองของธาตุทั้งห้าผุดออกมาจากพวกเขา เปล่งประกายระยับไปทั่วฟ้า

 

“ใช้วิธีหมาหมู่แบบนี้ … ดูเหมือนว่าผมคงจะต้องมอบบทเรียนแก่ท่านเสียแล้ว” กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว

 

เขาล็อคสมญาเทพสงครามเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’ พร้อมด้วยทั้งคนทั้งร่างที่หายวับไปอย่างกระทันหัน

 

เห็นแค่เพียงเส้นแสงสีทองเพียงหนึ่งพุ่งปะทะปัง! เข้ากลางดงศัตรู

 

ในพริบตา ปราณดาบเหลือคณาก็พรั่งพรูไปทั่วผืนฟ้า

 

ตามด้วยการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของชั้นอากาศโดยรอบ

 

ทั้งสองฝ่ายก้าวเข้าสู่สนามรบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

……..

 

ณ สาธารณรัฐฟูซี

 

วังโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย

 

บนบัลลังก์ว่างเปล่า

 

ตลอดทั้งห้องโถงใหญ่ก็ว่างเปล่าเช่นกัน เว่นไว้แต่เพียงคนหนึ่งๆ

 

จักรพรรดินียืนอยู่ตรงหน้าต่าง จ้องมองลงไปยังโอเอซิสเบื้องล่าง

 

แล้วทันใดนั้นจู่ๆประตูห้องโถงใหญ่ก็ถูกกระแทกเปิดออกอย่างกระทันหัน

 

ตามด้วยซางหยิงฮ่าวที่เดินเข้ามา

 

ในฐานะผู้รับหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัย จึงมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกที่นี่

 

“ฝ่าบาท มีรัฐมนตรีหลายคนต้องการขอเข้าเฝ้าท่าน” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

จักรพรรดินีมิได้เบนสายตาหันกลับมามอง

 

“ปฏิเสธไปซะ บอกให้พวกเขาถอนตัวกลับไป มาเจอข้าตอนนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา?” จักรพรรดินีกล่าวอย่างสงบ

 

“ท่านลองไตร่ตรองดูอีกครั้งเถิด ดูเหมือนว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนท่านนะ” ซางหยิงฮ่าวพยายามโน้มน้าว

 

“โอ้? แล้วเจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร?”

 

“กระหม่อมย่อมทราบเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับลูกค้าอยู่แล้ว เพราะมันจะช่วยให้กระหม่อมสามารถบริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น”

 

“หากไม่สามารถเข้าม่านเหล็กได้ จะทำสิ่งใดมันก็ล้วนไร้ประโยชน์” จักรพรรดินีถอนหายใจ

 

ซางหยิงฮ่าวขบคิดและกล่าวว่า “รอบตัวผมพอจะมีแฮ็กเกอร์อยู่บ้าง บางทีท่านอาจจะอยากสนทนาและบอกข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ชีวิต หรือความเป็นอยู่ของพระสวามีท่านแก่พวกเขา”

 

“ทำเช่นนั้นแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?”

 

“หลังจากที่พวกเขาเข้าใจถึงความคิดและการกระทำขององค์จักรพรรดิอย่างถ่องแท้ พวกเขาอาจจะค้นพบกุญแจแห่งความหวังที่จะใช้เจาะเข้าไปยังม่านเหล็กได้ก็เป็นได้”

 

จักรพรรดินีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา

 

“เข้าใจเขา? เข้าใจสวามีข้าอย่างนั้นหรือ?”

 

ความโศกเศร้าพาดผ่านลงบนใบหน้างดงามของเธอ

 

“ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง เมื่อนานมาแล้ว ครั้งหนึ่งข้าเคยจดจำได้ว่า ยามที่เขาเมาและเผลอบอกข้าว่าเขามีความใฝ่ฝันว่าได้ครอบครองมงกุฏทองคำบริสุทธิ์ตั้งแต่ในวัยเด็ก และฝังอัญมณีหาได้ยากยิ่งในโลกลงไป”

 

จักรพรรดินีเอ่ยต่อย่างช้าๆ “และหลังจากที่ข้าเฝ้าสรรหาอัญมณีที่ว่ามาตลอดถึงสิบปี ในที่สุดก็ค้นพบอัญมณีเอกภพ มณีนี้มีเอกลักษณ์และงดงามเป็นอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่ามันมีเพียงชิ้นเดียวในโลก”

 

“หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาในการเฟ้นหาและหลอมสร้างมาอย่างยาวนาน มงกุฏก็ถูกรังสรรจนสมบูรณ์ และในวันงานเทศกาลประจำปี ข้าก็ได้เซอร์ไพรส์โดยการมอบมันให้แด่เขา”

 

“หลังจากที่เขาได้เห็นมัน นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งเลยที่ใบหน้าของเขาปรากฏถึงร่องรอยแห่งความสุขออกมา เขาขอบคุณสำหรับน้ำใจและความมุ่งมันของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า และสวมใส่มงกุฏที่ว่าตรงนั้นทันที”

 

“แล้วมันไม่ดีหรือ?” ซางหยิงฮ่าวงง

 

“แต่หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่เคยสวมใส่มงกุฏที่ว่านั่นอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นในสถานกาณ์ใด – ไม่เคยอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

 

จักรพรรดินีกล่าวด้วยความคับข้อง “เขามักจะแสดงความผิดปกติทางอารมณ์ออกมาอยู่เสมอ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่มีใครรู่ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว เจ้าจะยังให้ข้าบอกข้อมูลแด่คนของเจ้าไปทำการวิเคราะห์ที่ว่านั่นอยู่อีกไหม?”

 

ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจ “นั่นมันคงยากเกินไป ถ้าเป็นอย่างในกรณีนั้นจริงๆ ดูเหมือนว่าทางเราก็จนปัญญาจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว”

 

ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้นจากภายนอก

 

ไม่นานเกินรอ รัฐมนตรีคนหนึ่งก็ถูกคุมตัว และถูกบังคับให้คุกเข่าลงตรงทางเข้าห้องโถง

 

ตามตัวรัฐมนตรีคนที่คุกเข่ามีคราบเลือดเกรอะกรัง เขาเอ่ยร้องตะโกนออกมา “ฝ่าบาท ท่านจะต้องคิดหาหนทางแก้ไขให้เร็วที่สุดแล้ว อีก 200 ไมล์ หุ่นรบของฟูซีจะเข้าสู่อาณาเขตของรัฐบาลกลางแล้ว!”

 

หากหุ่นรบแนวหน้าของฟูซีรุกล้ำเข้าไปยังรัฐบาลกลาง นั่นหมายถึงไฟแห่งสงครามครั้งใหญ่ได้ถูกจุดขึ้น

 

จักรพรรดินีเฝ้ามองดูรัฐมนตรีคนที่ว่า

 

เขาคือรัฐบุรุษเก่าแก่ที่รับใช้ฟูซีมายาวนานกว่าสามแผ่นดิน เป็นอาวุโสเก่าแก่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจักรพรรดินีมาโดยตลอด

 

ในเวลานี้ เขากลับกำลังคุกเข่าบนพื้น ร่ำไห้น้ำตาเป็นสาย

 

“ฝ่าบาท เก้าตระกูลใหญ่ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด เมื่อเลือกที่จะต่อสู้แล้ว ทางเรามิอาจรู้ได้เลยว่าจะสามารถคว้าชัยชนะหรือพ่ายแพ้กลับมา แต่ที่รู้แน่ๆคืออีกไม่กี่ปีนับจากนี้ ผู้คนนับไม่ถ้วนจะต้องตกตายลงในสงคราม!”

 

จักรพรรดินีถอนหายใจ ก้าวเดินไปข้างหน้าและพยุงชายชราขึ้น

 

“แต่ข้าไม่มีวิธีใดที่จะหยุดยั้งมันเลย” เธอกล่าวด้วยความหดหู่

 

จากนั้นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งก็แทรกตัวผ่านเข้ามาและคุกเข่าลง “ฝ่าบาท ทั้งสามเหล่าทัพของรัฐบาลกลางเริ่มทำการระดมพลแล้ว กองกำลังของพวกเขาเคลื่อนพลมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็ว คาดว่าไม่นานคงจะมาถึงชายแดน”

 

“และผู้นำกองทัพของรัฐบาลกลางในครั้งนี้ ก็คือเทพนักสู้ซางซ่งหยาง!”

 

เทพนักสู้ ซางซ่งหยาง

 

ชายผู้นี้เปรียบดั่งเทพสงครามแห่งรัฐบาลกลาง มีเขาเพียงหนึ่ง ก็เปรียบดั่งมีทหารกล้านับพันในสนามรบ

 

เมื่อสองกองทัพเข้าปะทะกัน และเขาเริ่มลงมือ สถานการณ์จะเข้าสู่ช่วงเลวร้ายที่สุดทันที

 

และต่อให้รัฐบาลกลางจะไม่ชนะ แต่สาธารณรัฐย่อมต้องประสบกับความสูญเสียอย่างร้ายแรง

 

จักรพรรดินีเวโรน่าในที่สุดก็เริ่มวิตกกังวล

 

เธอเดินวนไปรอบๆ กลับไปกลับมาด้วยใบหน้าสลด

 

“ข้าสมควรทำอย่างไรดี .. ”

 

ซางหยิงฮ่าวเอ่ยออกมาอย่างกระทันหัน “ฝ่าบาท กระหม่อมจดจำได้ว่าท่านก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงม่านเหล็กเช่นกัน”

 

“ข้าไม่มีอำนาจในการสั่งการกองทัพ องค์จักรพรรดิได้ทำการล็อคอำนาจของคนทั้งหมดเอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงเขาที่สามารถสั่งกองทัพได้!” จักรพรรดินีกล่าว

 

ซางหยิงฮ่าวนิ่งคิดอยู่สักพักหนึ่ง แล้วเอ่ยสวนไปว่า “เช่นนั้นหากเขาตายเล่ามันจะเกิดอะไรขึ้น? กระหม่อมเคยได้ยินมาว่าสิทธิ์อำนาจในการเข้าถึงม่านเหล็กมีไว้สำหรับราชวงศ์เท่านั้นมิใช่หรือ”

 

“หากเขาตายลง แน่นอนว่าสิทธิ์อำนาจของม่านเหล็กย่อมตกมาถึงข้าเป็นธรรมดา – แต่ในโลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดที่สามารถสังหารเขาได้อีกหรือ?”

 

จักรพรรดินีส่ายหัวซ้ำๆ เอ่ยปากกล้าวด้วยความโศกเศร้าว่า “ไม่มีวิธีที่เราจะสามารถหยุดเขาได้เลย”

 

ซางหยิงฮ่าวโค้งศีรษะลง และเอ่ยถามผ่านทางสมองควอนตัม “กู่ฉิงซานรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้รึเปล่า?”

 

เทพธิดากงเจิ้ง “เขารู้ดี”

 

“แล้วเขาพบองค์จักรพรรดิรึยัง?”

 

“ใต้เท้ากู่ฉิงซานค้นพบถึงร่างจริงขององค์จักรพรรดิแล้ว และพวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองหลวง

 

ซางหยิงฮ่าวพยักหน้า และหันไปพูดกับจักรพรรดินีว่า “กระหม่อมคิดว่าท่านสมควรจะลองพยายามดู ว่าท่านจะสามารถเชื่อมต่อกับม่านเหล็กได้หรือไม่”

 

“ข้าจะลองดู” จักรพรรดินีกล่าว

 

“ลองมันอีกครั้ง หากมิได้ก็อีกครั้ง และอีกครั้ง บางทีอาจจะมีครั้งที่ท่านสามารถเข้าสู่ระบบของมันได้ก็ได้”

 

จักรพรรดินีมองไปยังอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถาม “เพราะเหตุใดเจ้าจึงมั่นใจเช่นนั้น?”

 

“ขออภัยที่ต้องกล่าวแบบนี้ แต่กู่ฉิงซานย่อมต้องมีวิธีที่จะสังหารพระสวามีของท่านอย่างแน่นอน”

 

“บางทีเขาอาจจะลงมือทำมันในอีกวินาทีต่อไปเลยก็ได้” ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

 

“เรื่องนี้ …. ” กล่าวยังไม่ทันจบ จักรพรรดินีก็นึกขึ้นมาได้ถึงพลังของกู่ฉิงซานในตอนที่เขาอยู่ในวัง เธอกัดฟันกรอด และทำการตัดสินใจในที่สุด

 

เธอหยิบสมองควอนตัมของตัวเองออกมา และตัดสินใจพรมมือลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเข้าสู่หน้าต่างในส่วนปฏิบัติการ

 

ปรากฏกำแพงเหล็กอันเยียบเย็น สูงตระหง่าน

 

“ม่านเหล็ก ข้าคือจักรพรรดินีเวโรน่า เมดิซี โปรดให้ข้าเข้าสู่ระบบด้วย” จักรพรรดิพูดกับสมองควอนตัม

 

และเสียงจักรกลก็ดังสวนตอบกลับมา “คุณไม่มีอำนาจในการสั่งการกองทัพ และไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ระบบ”

 

จักรพรรดินีโกรธ และตบลงบนสมองควอนตัม “เข้าไม่ได้!”

 

– ดูเหมือนว่าการต่อกรกับองค์จักรพรรดิจะไม่ง่ายเลย อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่

 

ดวงตาของซางหยิงฮ่าวกระพริบไหว และเอ่ยถาม “ถ้างั้นตอนนี้ใครกันที่เป็นผู้บัญชาการหุ่นรบขับเคลื่อนของสาธารณรัฐ?”

 

จักรพรรดินีเข้าใจถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อทันที และหันไปมองรัฐมนตรีอาวุโส

 

เนื่องจากไม่สามารถเข้าสู่ระบบของม่านเหล็กได้โดยตรง ถ้าเช่นนั้นก็เข้าหาผู้บัญชาการกองทัพโดยตรงแทนซะเลยสิ หากเป็นในกรณีที่ว่า บางทีอาจจะสามารถหยุดการบุกโจมตีได้ก็ได้

 

ตอนนี้สิ่งที่ขาดมากที่สุดก็คือเวลา

 

เราจะต้องหาหนทางที่จะชะลอการปะทุของสงครามจนกว่ากู่ฉิงซานและองค์จักรพรรดิจะตัดสินผลแพ้ชนะ!

 

รัฐมนตรีอาวุโสกล่าวว่า “เป็นจอมพลจางเพ่ยเจี่ย กระหม่อมจะคุยกับเขาทันที!”

 

ว่าแล้วอีกฝ่ายก็เปิดสมองควอนตัมและโทรไปยังหมายเลขหนึ่ง

 

ทว่าการเชื่อมต่อกลับถูกปฏิเสธ

 

สองตาของรัฐมนตรีหรี่แคบลง เขาลังเลก่อนจะกล่าว “เขาปฏิเสธคำขอเชื่อมต่อกับข้า .. ”

 

จักรพรรดินี “นั่นเพราะสถานการณ์มันแตกต่างกันออกไป นี่คือช่วงเวลาสงคราม มันยังพอเข้าใจได้ว่าเขาไม่อาจมุ่งสมาธิมาสนทนากับเจ้าได้ แต่หากเป็นข้า เขาอาจจะยังพอฟัง”

 

จักรพรรดินีตัดสินใจทันที “แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าจะต้องส่งราชทูตออกไปเป็นการส่วนตัว บางทีนี่อาจจะช่วยให้เขาหยุดกองนำทัพได้ชั่วคราว”

 

แม้ว่าจอมพลจะสามารถชะลอสงครามได้แค่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่สถานการณ์ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นก็ได้

 

รัฐมนตรีอาวุโสกล่าว “แต่ใครเล่าจะเป็นราชทูตผู้ส่งสาร? ระหว่างทางมีหลายคนคอยจับตามองท่านจอมพลอยู่ตลอดเวลา และหากท่านจอมพลเลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งองค์จักรพรรดิ ตัวผู้ส่งสารเองก็จะได้รับอันตราย … ”

 

จักรพรรดินีขบคิดและกล่าว “ไม่อาจส่งเจ้าหน้าที่พลเรือน ข้าราชบริพารก็ไม่ได้ รวมไปถึงคนจากทางกองทัพด้วย”

 

รัฐมนตรีอาวุโสกล่าวต่อ “ทหารย่อมไม่ดี เพราะท่านจอมพลเป็นผู้บัญชาการสูงสุด หากนายทหารเผชิญหน้ากับถ้อยคำรุนแรงของจอมพล เขาคงจะทำตามที่พวกเราต้องการไม่สำเร็จ”

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังหารือ จู่ๆจักรพรรดินีก็หันไปทางซางหยิงฮ่าว

 

“มีอะไรงั้นหรือท่าน?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

จักรพรรดินีขบคิดอย่างจริงจังและกล่าว “ข้าได้ทราบถึงความสามารถของเจ้ามาแล้ว เจ้าเป็นถึงราชานักฆ่าแห่งรัฐบาลกลาง ในมือมียอดนักฆ่านับไม่ถ้วนที่ยินดีอุทิศชีวิตให้แก่เจ้า แม้ว่าช่วงหลังๆมานี้ เจ้าจะถอยห่างเลือกที่จะคอยหลบอยู่หลังฉาก แต่ความแข็งแกร่งของเจ้าในปัจจุบัน ย่อมต้องเพิ่มพูนยิ่งกว่าในครั้งอดีตเป็นแน่”

 

“แล้วสิ่งที่พระองค์ต้องการจะสื่อก็คือ?” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

“ด้วยกลยุทธ์และความแข็งแกร่งของเจ้า แน่นอนว่าย่อมสามารถทำมันได้ – ดังนั้นข้าขอให้เจ้ารับหน้าที่ส่งจดหมายลับของข้า นั่งรถเหินเวหาไปมอบมันให้แด่ท่านจอมพลโดยเร็ว”

 

จักรพรรดินีจับปากกาไว้ในมือ และเขียนบางสิ่งลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว

 

“จอมพลจาง … แล้วทัศนคติของคนๆนี้ล่ะ?”ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

 

“เป็นกลาง แต่บางครั้งก็เอนเอียงมาทางฝั่งพวกเรา” รัฐมนตรีอาวุโสกล่าว

 

ซางหยิงฮ่าวไตร่ตรองอย่างรอบคอบ

 

จักรพรรดินี “เจ้าจงนำตราประทับและลายลักษ์อักษรของข้าไปให้จอมพลจาง และทำการโน้มน้าวเขาหรือหาหนทางอะไรก็ได้เพื่อชะลอการปะทุของสงคราม”

 

“แล้วเขาจะฟังหรือ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามต่อ

 

“ข้าคิดว่าเขาจะต้องฟังข้าแน่ๆ” จักรพรรดินีกล่าว

 

ซางหยิงฮ่าวเริ่มตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาเอ่ยปากออกมาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคือนักฆ่า กล่าวได้ว่ากระหม่อมมีหน้าทีสังหารผู้คน แต่เรื่องที่ท่านกำลังร้องขอนี้ มันมิได้อยู่ในธุรกิจของกระหม่อม”

 

จักรพรรดิจับจ้องเขาอย่างจริงจัง “รางวัลของเจ้า ข้าจะเบิ้ลให้สองเท่า”

 

ซางหยิงฮ่าวชะงักงันไปหนึ่งถึงสองวิ

 

“จักรพรรดินีผู้แสนจะใจกว้าง กระหม่อมขอสัญญาว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านต้องการ” เขาเอ่ยปากตอบรับคำทันที

 

“หลังจากที่เจ้าไป แม้ว่าจะไม่สามารถพูดคุยกับจอมพลจางได้ แต่เจ้าก็ต้องหาวิธีการที่จะชะลอสงครามให้จงได้”

 

จักรพรรดินีเอ่ยประโยคที่สำคัญที่สุดออกมา

 

“โปรดวางใจในมาตรฐานความเป็นมืออาชีพของกระหม่อม” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

หลังจากนั้นไม่นาน จดหมายลับของจักรพรรดินีก็ถูกเขียนขึ้น

 

เธอถึงขั้นอ่านย้อนทวนเนื้อความในจดหมายอยู่หลายครั้ง ก่อนจะยื่นมันให้แก่ซางหยิงฮ่าวด้วยท่าทีจริงจัง

 

ซางหยิบฮ่าวหยิบเอาตราประทับและจดหมายลับจากจักรพรรดินีมา

 

พร้อมกับร่างของคนในชุดดำหลายคนที่โผล่ออกมาจากเงามืด และติดตามเขาออกจากพระราชวังอย่างรวดเร็ว

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.330 – ราชาและดาบบิน

 

ภายใต้ฝนเย็นฉ่ำที่ยังคงร่วงโรย

 

บนท้องฟ้า กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไปในความว่างเปล่าเพื่อคว้าจับดาบพิภพออกมา

 

ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปยังจักรพรรดิฟูซีที่อยู่ตรงกันข้าม

 

มืออาชีพขั้นห้า กล่าวได้ว่ามีความแข็งแกร่งด้อยกว่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตประทับเทพแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม มืออาชีพที่ไม่ได้ฝึกยุทธ มิได้เข้าใจถึงพลังงานวิญญาณของสวรรค์และโลก ในด้านเทคนิคต่อสู้จะแย่ยิ่งกว่าผู้ฝึกยุทธ

 

ดังนั้น ยามเมื่อกู่ฉิงซานต้องเผชิญหน้ากับองค์จักพรรดิฟูซี เขาจึงมิได้รู้สึกหวั่นเกรงใดๆ

 

“ชีวิตของเจ้า มันได้มาถึงจุดจบแล้ว” จักรพรรดิฟูซีกล่าว

 

สองมือยังคงไขว้หลัง สองเท้ายังคงเหยียบย่ำอยู่บนยอดเขา เศษดินและทรายนับไม่ถ้วนก็ลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและควบรวมตัวกลายเป็นบอลหินลอยล่องอยู่กลางอากาศ

 

บอลหินทวีจำนวนมากขึ้น มากขึ้นจนเกือบจะบดบังไปทั่วผืนฟ้าจากทางเบื้องหลังองค์จักรพรรดิ

 

แสงสีเหลืองเข้มสว่างวาบและวูบดับลงเป็นสีดำสลับกันเป็นครั้งคราวจากบอลหิน บ่งบอกว่ามันคือวัตถุที่ควบรวมมาจากพลังของธาตุดิน

 

“ฝ่าบาท โปรดไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูอีกคราเถิด ชีวิตและความตายไม่ใช่เรื่องเล็กๆน้อยๆนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ริมฝีปากขององค์จักรพรรดิยกสูงขึ้น เผยถึงร่องรอยของการเย้ยหยัน

 

เขายื่นมือออกมา และชี้ไปยังกู่ฉิงซาน

 

ตามด้วยบอลหินนับสิบที่ฉีกชั้นอากาศที่ว่างเปล่า พุ่งตัวออกไป

 

ตามด้วยบอลหินนับสิบอีกระลอก

 

ลูกแล้วลูกเล่าฉีกอากาศตรงออกไป หมายจะกระแทกเข้าใส่กู่ฉิงซาน

 

ธาตุดินจากธาตุทั้งห้า พิภพโปรย!

 

กู่ฉิงซานกุมดาบพิภพในมือข้างหนึ่ง และยื่นปลายแหลมของดาบออกไป

 

เขามิได้เคลื่อนกายหลีกหนี แต่กลับใช้มืออีกข้างจีบออกด้วยวิชาลับแทน

 

บังเกิดกระแสแสงพุ่งลงมาจากฟากฟ้า

 

เฉกเช่นเดียวกันกับกระแสธารน้ำตกที่ทะลุทะลวงผ่านชั้นเมฆ นำพาลมฝนและลูกเห็บมาพร้อมกับกระแสแสง

 

ฮู้มมมม!

 

เสียงร่ำร้องแห่งดาบกับบอลหินสีเหลืองทองบรรจบเข้าหากัน!

 

กระแสแสงเข้าทุบทำลายบอลหิน ระเบิดพวกมันกระจัดกระจายจนแลคล้ายกลุ่มดวงดาราบนฟากฟ้า

 

ตามด้วยร่างเงาดาบสีทมิฬที่เบ่งบานดั่งบุปผาผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า

 

ตูม ตูม ตูม!

 

ทันทีที่วาดเงาปรากฏออกมา บอลหินนับหลายสิบที่พุ่งเข้ามาก็แตกกระจายออกไป เศษซากของมันยิ่งมาก ยิ่งคล้ายกลุ่มดวงดาราที่ร่วงโรยมากขึ้นเรื่อยๆ

 

บอลหินทั้งหมดกลับคืนสภาพเป็นดินดังเดิม แตกกระเจิงไปทั่วฟ้า ผสานรวมกันกับฝนพรำที่กำลังโปรยปราย ร่วงตกลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว

 

จักรพรรดิฟูซีเมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

นั่นเพราะบอลหินแต่ละลูก อนุภาพของพวกมันรุนแรงถึงขั้นอาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อมขึ้นได้เลย

 

แต่ที่กู่ฉิงซานทำกลับเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ก็สามารถหยุดการโจมตีของเขา

 

“กระบวนท่านั่นมันอะไรกัน?” จักรพรรดิฟูซีทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยถามออกมา

 

“ก็แค่ดาบบินน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเฉยเมย

 

และดูเหมือนว่าจะตอบสนองต่อคำพูดของเขา ดาบเช่าหยินพลันปรากฏออกมาจากชั้นอากาศ พร้อมกับเปล่งเสียงหึ่งๆแหลมสูงออกมา

 

วินาทีต่อมา มันก็พรวดทะลวงผ่านลมฝน โผบินเข้าโอบล้อมรอบองค์จักรพรรดิ

 

และกำลังมองหาโอกาสที่จะโจมตี

 

หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลามานานนับปี ในที่สุดดาบโบราณเล่มนี้ก็ได้ชีวิตกลับคืนมา และได้ทำหน้าที่ๆมันสมควรจะกระทำอีกครั้งสักที

 

จักรพรรดิคำรามและเหวี่ยงกำปั้นของเขากระทุ้งใส่ชั้นอากาศเบื้องหน้า

 

ความว่างเปล่าถูกทำลายลงโดยกำปั้นนี้ บังเกิดรอยแตกร้าวสีหมึกในความว่างเปล่า ควบรวมเข้าด้วยกันเป็นจุดเดียวและระเบิดแตกแขนงออกไป

 

ฉากนี้ แลดูเฉกเช่นเดียวกันกับหมึกสีดำที่หยดลงบนแผ่นกระดาษขาว และค่อยๆขยายตัวไปอย่างต่อเนื่อง ว่ายวนบนผืนฟ้า บดบังทั่วผืนดินอย่างโกลาหล แตกแขนงตรงไปยังกู่ฉิงซาน

 

มันคือความว่างเปล่าที่ถูกบดขยี้จนป่นปี้โดยสมบูรณ์ พลานุภาพของมันสามารถฉีกกระชากทุกสรรพสิ่งได้เป็นชิ้นๆ และแน่นอน หากถูกสัมผัสโดยมัน คุณอาจจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเลยก็ได้

 

อย่างไรก็ตาม องค์จักรพรรดิดูเหมือนว่าจะไม่คิดเฝ้าดูผลลัพธ์ของการระเบิดพลังในครั้งนี้ จู่ๆเขาก็ชักแขนกลับ หมุนกาย และประสานสองมือตั้งการ์ดขึ้นเหนือหัว

 

ตามด้วยกลุ่มก้อนแสงสีดำที่เดือดพล่าน ฟุ้งขึ้นมาจากสองแขนของเขา

 

และเสี้ยวพริบตาที่จักรพรรดิฟูซียกมือขึ้นตั้งท่าป้องกันเสร็จสมบูรณ์ มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ดาบเช่าหยินที่เฝ้ารอคอยโอกาส ฉวยจังหวะนั้นสับโจมตีลงมา

 

ตามด้วยเสียงตัดสะบั้นหลายสิบครั้งของดาบเช่าหยิน

 

เทคนิคดาบ ตัดสายลม!

 

“จงหลีกทางให้ข้า!”

 

จักรพรรดิฟูซีที่ถูกฟาดทุบจนแขนชาเริ่มโกรธเกรี้ยว ปากอ้าตะโกนสุดเสียง สองแขนที่คอยปัดป้องรีดพละกำลังจากทั่วร่างกายออกมาและระเบิดมันอย่างรุนแรง

 

วิ้งงง!

 

ดาบเช่าหยินปลิวกระเด็น แยกตัวออกไป

 

ส่วนองค์จักรพรรดิ เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สองแขนถูกแรงปะทะ สะบัดแยกออกจากกัน และหากสังเกตดีๆจะพบว่ามันกำลังสั่นสะท้าน

 

ในตอนนั้นเอง

 

จู่ๆกู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นขึ้นอย่างกระทันหัน พร้อมกับดาบในมือถือง้างสูงขึ้นเหนือหัว พร้อมจะสับสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ!

 

สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

 

จักรพรรดิฟูซีจำเป็นต้องปลีกตัวออกไปด้านข้างเพื่อหลบเลี่ยงอย่างไม่เต็มใจ

 

และเป็นธรรมดา ที่เอี้ยวตัวหลบได้ครั้งหนึ่งแล้วย่อมไม่มีสอง กู่ฉิงซานได้ฉวยโอกาสจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นั้น ใช้ออกด้วยย่นระยะอีกรอบ วูบกายเป็นวิญญาณตามติด ประกบหลอกหลอนพระองค์ต่อด้วยกระบวนท่าเผยขุนเขาสับลงมาโดยตรง!

 

องค์จักรพรรดิ เมื่อเห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบเลี่ยง เขาก็สูดลมหายใจลึก และยกสองแขนที่ยังไม่หยุดสั่นสะท้านขึ้นมาปัดป้องอีกครา

 

ปงงงงง!

 

ราวกับกระสุนปืนใหญ่ ยามเมื่อปะทะกัน สองเท้าขององค์จักรพรรดิก็พลันจมลึกลงไปในขุนเขาที่คอยรองรับเขาอยู่ ตามต่อด้วยช่วงลำตัว สุดท้ายก็ใบหน้าดิ่งลึกลงไปใต้ยอดเขา!

 

คราวนี้กู่ฉิงซานก็รู้สึกประหลาดใจบ้างเช่นกัน เพราะดูเหมือนการโจมตีครานี้ จะรุนแรงยิ่งกว่าที่เขาคาดคำนวณเอาไว้

 

เขาก้มลงมองไปที่ดาบพิภพ

 

ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ “กล้าที่จะมาควบคุมผืนปฐพีต่อหน้าข้า นี่แหละคือโทษทัณฑ์ที่เจ้าสมควรจะได้รับ!”

 

ปรากฏร่างสองร่างได้บินออกจากมาจากระยะไกล

 

“ฝ่าบาท!”

 

นายพลซ่งและนายพลหลี่ตะโกนออกมา

 

ในหลุมลึก องค์จักรพรรดิลุกยืนหยัดขึ้น ถุยก้อนเลือดออกมาคำหนึ่ง

 

“เรียกคนของพวกเรามาแบบเต็มกำลัง แล้วร่วมมือกันทุ่มสังหารเขา!” จักรพรรดิเอ่ยบัญชา

 

“รับทราบ!”

 

ร่างของสองนายพลวูบไหว

 

พวกเขาวิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าตรงไปยังกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานยกดาบพิภพขึ้น และตั้งท่าเตรียมหวดมันสวนออกไปต้อนรับทั้งสอง

 

ทั้งสามได้เผชิญหน้ากัน

 

“ฉันขอเปิดก่อน!” หลี่ตงหยวนพูด

 

ทั้งคนทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้้ำทะเลลึก ส่งผลให้รูปลักษณ์ของเขาในขณะนี้แลดูไม่แตกต่างจากยักษ์

 

ซ่งเทียนหวู่ถอยไปหนึ่งก้าว และส่งสัญญาณขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

ไม่นานเกินรอ จุดสีดำมากมายก็โผล่ออกมาจากระยะไกล

 

กู่ฉิงซานเบนสายตาหันไปมองตามด้วยความสงสัย ก่อนที่เขาจะต้องร้องอ๋า ออกมาในที่สุด

 

เพราะจุดสีดำๆที่ว่านั่น แท้จริงแล้วมันคือมืออาชีพที่สวมใส่ชุดเครื่องแบบทหาร กำลังบินตรงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง

 

และความสามารถในการเหินอากาศ … เป็นสัญลักษณ์ของมืออาชีพขั้นห้า!

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ที่กองทัพของรัฐบาลกลางมีมืออาชีพขั้นห้ามากมายขนาดนี้?

 

เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และกวาดมันไปยังฝูงชน

 

“อ้อ จริงๆแล้วเป็นอย่างนี้นี่เอง”

 

กู่ฉิงซานเบนสายตากลับมามองหลี่ตงหยวนกับซ่งเทียนหวู่อีกครั้ง

 

มืออาชีพทุกคน แม้มองแว่บแรกจะดูแตกต่างกันออกไป แต่รูปร่างของพวกเขา แท้จริงแล้วเหมือนกับสองนายพลทุกประการไม่มีผิดเพี้ยน

 

ทั้งหมดเป็นร่างโคลน

 

เป็นมืออาชีพขั้นห้าในร่างโคลน

 

และที่เข้ามาสมทบในที่นี้ โดยสิ้นเชิงแล้วมีทั้งสิ้น 60 คน!

 

นี่นับว่าเป็นพลังอำนาจที่สามารถล้างโลกได้เลยทั้งใบ!!

 

จักรพรรดิฟูซี คว้าจับมือนายพลที่เอื้อมไปรับ ก่อนจะค่อยๆบินขึ้นมา และหยุดลงตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน

 

เขาผุดยิ้มที่หาได้ยากยิ่งบนใบหน้าและกล่าว “เกมมันจบแล้ว มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะทำอะไรได้มากมายแค่ไหน แต่สุดท้ายโลกทั้งใบก็จะถูกชำระล้างโดยนรก และผลลัพธ์นี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

 

กู่ฉิงซานจ้องมองอีกฝ่าย ราวกับเป็นคนไม่รู้จัก

 

“ฝ่าบาท” เขาเอ่ยเสียงหม่น “ผมคิดมาตลอดว่าท่านต้องการที่จะพิชิตโลก … มากกว่าที่จะทำลายมัน”

 

จักรพรรดิฟูซีเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “เมื่อบรรพบุรุษของข้ามาถึง ข้าก็รับรู้แล้วว่าภัยพิบัตินี้มันมิอาจผ่านพ้นไปได้”

 

แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังพูดกับกู่ฉิงซาน แต่แท้จริงแล้วกำลังพูดกับตัวเองต่างหาก “ตั้งแต่ที่ทั้งหมดมันเกินเลยไปกว่าที่จะสามารถกู้สถานการณ์คืนมาได้ เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงไม่เป็นฝ่ายก้าวเข้ามาช่วยท่านบรรพบุรุษแทนเล่า หากทำเช่นนั้น อย่างน้อยข้าก็น่าจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนไม่ใช่หรือ?”

 

“เมื่อตัวตนที่ทรงพลังคนอื่นๆฟื้นคืนสติขึ้นมา พวกเราก็จะได้ขึ้นปกครองแผ่นดินทั้งหมด”

 

เขาเกร็งกำปั้นแน่นและกล่าวว่า “นี่คือการขยายอาณาเขตของสาธารณรัฐ แค่ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปก็เท่านั้นเอง และข้าก็เต็ม -”

 

กู่ฉิงซานขัดจังหวะเขาอย่างกระทันหัน “แล้วถ้าวันหนึ่ง ปรากฏตัวตนที่ทรงพลานุภาพมากพอจะสามารถเอาชนะนรกเยือกแข็งได้ ท่านยังต้องการที่จะพึ่งพามันอีกหรือไม่?”

 

“ … วิธีการที่เจ้าใช้มองปัญหามันผิดพลั้งอย่างสิ้นเชิง” จักรพรรดิส่ายหัวของเขา

 

“ผมน่ะหรอผิดพลั้ง?”

 

“หากเจ้ารู้จักแยกแยะ มองโลกผ่านตามยุคสมัยต่างๆ เจ้าจะค้นพบว่าการเปลี่ยนผ่านของเหล่าผู้ปกครองนั้นเป็นไปตามกาลเวลา เจ้าจะไม่สามารถต่อต้านกฏแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั่นได้ แม้เจ้าจะรักในยุคสมัยที่ว่านั่นมากเพียงใดก็ตาม ที่เจ้าจะทำได้ ก็เพียงแค่เฝ้ามองมันสูญสลายไปตามกาลเวลาเท่านั้น”

 

ใบหน้าขององค์จักรพรรดิเผยถึงความคลุ้มคลั่ง “แต่นรกที่ว่านั่นน่ะแตกต่างออกไป! บรรพบุรุษของข้ายืนหยัดอยู่ในนรกเยือกแข็งเป็นเวลายาวนานกว่า 2000 ปีแล้ว และราชวงศ์ของเขาก็ยังคงดำรงอยู่สืบไป!”

 

“ฝ่าบาท มันมิใช่เช่นนั้น”

 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความจริงใจ “โปรดลองจินตนาการดูเถิด ว่าอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ เมื่อโลกทั้งใบถูกทำลายลงแล้ว มนุษยชาติถึงคราล่มสลาย ทุกคนตกลงสู่ขุมนรก ร่ำไห้กรีดร้องทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดและขมขื่น ภรรยาและลูกๆของท่านได้จากไป ราษฏรไร้ซึ่งความรักและภักดีต่ออาณาจักรของท่าน ไม่มีใครคอยเชิดชูบูชาท่านอย่างคลั่งไคล้ ไม่มีใครมาคอยเอาอกเอาใจหรือมาเข้าใจความรู้สึกของท่าน ไร้ซึ่งคำสรรเสริญเยินยอและกตัญญู”

 

“มีเพียงพระองค์ที่นั่งอยู่ลำพังบนบัลลังก์แห่งนรกเยือกแข็ง รอบกายเต็มไปด้วยเหล่าคนตายที่เชื่อฟังท่านเพียงเพราะพลังอำนาจของท่าน … แต่คิดว่าสิ่งนั้นจะคงอยู่ได้ตลอดไปกระนั้นหรือ?”

 

“ฝ่าบาทเชื่อกระหม่อมเถิด ท่านย่อมไม่มีทางชอบอะไรเช่นนั้นอย่างแน่นอน”

 

สีหน้าขององค์จักรพรรดิไร้ซึ่งอารมณ์ เขามิได้เอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ

 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “เอาล่ะ ลองสมมุติว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ว่ามาเกิดขึ้นจริง และวันเวลาได้ผ่านพ้นไป โลกทั้งใบถูกทำลายลง แต่แล้วจู่ๆท่านก็ได้รับโอกาสให้กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง กลับมายังช่วงเวลาสัก .. 10 ปีก่อนหน้าที่เรื่องราวทุกอย่างมันจะเกิดขึ้น ภรรยาและลูกๆของท่านยังคงมีชีวิตอยู่ และมันเป็นชีวิตที่ดี เปี่ยมไปด้วยความสุข ประเทศของท่านยังคงทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนยังคงรักใคร่ท่าน มนุษย์ทุกคนต่างพากันจับมือกัน ร่วมยับยั้งการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็ง และต่อสู้กับมันอย่างห้าวหาญเพื่อชีวิตของตนเอง ครอบครัว และประเทศ! นี่ไม่ใช่หรือคือช่วงเวลาที่พระองค์สมควรจะยืนอยู่หน้าสุด ชะตากรรมของโลกอยู่ในมือพระองค์แล้ว … ถึงเวลานั้น ท่านคิดจะทำอย่างไร?” *

 

*(ประโยคนี้กู่ฉิงซานกึ่งๆกล่าวถึงตนเองด้วยเช่นกัน)

 

“ฝ่าบาท โปรดทรงคิดทบทวนอีกครั้ง”

 

ความเงียบจมลงสู่บริเวณโดยรอบ เว้นไว้แต่เพียงเสียงลมและฝน

 

ปากขององค์จักรพรรดิอ้าหุบอยู่หลายครั้ง และในที่สุดก็กล่าวออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมเลือนไปเรื่องหนึ่งนะ”

 

“ฝ่าบาทเชิญชี้แนะ”

 

“นรกน่ะอยู่ยงคงกระพัน แต่มนุษย์น่ะยังไงก็ต้องตาย ยามเมื่อเผชิญหน้ากับพวกเรามีแต่จะพ่ายแพ้เท่านั้น”

 

“ฝ่าบาทเหตุใดท่านจึงแลดูเหมือนกับคนที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นกษัตริย์เลย?”

 

“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ยามเมื่อประเทศพินาศลง อย่างน้อยกษัตริย์ก็ควรจะเป็นคนสุดท้ายที่ยอมแพ้ แต่ท่านกลับกลายเป็นคนแรกที่ทรยศมนุษยชาติทั้งโลก”

 

ทันใดนั้นเขาก็ตบลงไปในถุงสัมภาระ พร้อมกับเกราะรบนายพลที่ลอยขึ้นมาในอากาศที่ว่างเปล่า

 

แต่ละชิ้นส่วนของเกราะรบเปล่งแสงสีทองของพลังวิญญาณธรรมชาติ ชิ้นแล้วชิ้นเล่าประกบลงตามส่วนต่างๆบนร่างกายของกู่ฉิงซาน

 

ในเสี้ยววินาที ชุดเกราะรบทั้งหมดก็ถูกสวมใส่โดยสมบูรณ์

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.329 – ประธานาธิบดี

 

ภายใต้ท้องฟ้า

 

หลังจากที่กู่ฉิงซานกับองค์จักรพรรดิออกจากทำเนียบประธานาธิบดี

 

และบุคลากรที่ประจำตำแหน่งต่างๆภายในคฤหาสน์ได้หลบลี้หนีหายไปกันหมดแล้ว

 

ในมุมมืด

 

โดยที่ไม่ทราบว่ามันเป็นอุบัติเหตุหรือความบังเอิญ ณ จุดที่ปราณดาบของกู่ฉิงซานผ่าคฤหาสน์และห้องโดยรอบออกเป็นซีกล้มครืนลงซ้อนทับติดๆกันกัน กลับยังคงหลงเหลือจุดบอดอีกหนึ่งที่ยังมิได้ถูกทำลายลงอย่างคาดไม่ถึง

 

และที่น่าฉงนยิ่งกว่าก็คือ มีคนหนึ่งๆอยู่ในตำแหน่งนั้นพอดิบพอดี

 

เขาคือบุคลากรร่างสูง ผู้ที่เป็นคนชงชาให้กับกู่ฉิงซานและประธานาธิบดี

 

เขากึ่งนั่งกึ่งหมอบอยู่ในจุดบอดนี้ที่ถูกสร้างขึ้นโดยกู่ฉิงซาน สอดส่ายสายตาหันไปมองรอบๆ

 

มันเงียบ เงียบมาก ไม่มีใครอยู่เลย

 

บุคลากรร่างสูงนั่งยองๆอย่างเงียบๆ และพยายามกดแรงๆลงไปยังจุดๆหนึ่งในมุมห้อง

 

และเมื่อกดเจอ ทันใดนั้น ปากอุโมงค์ทางเข้าลับก็ปรากฏขึ้น

 

บุคลากรร่างสูงคลานเข้าไปทันที และทำการปิดทางเข้าจากด้านใน

 

พอมั่นใจแล้วว่าทางเข้าถูกปิดจนแน่นหนา และหากมองจากภายนอกจะเห็นว่าเป็นเหมือนกับปกติ

 

บุคลากรร่างสูงก็รวบรวมกำลังและคลานไปข้างหน้าท่ามกลางความมืด

 

จนเมื่อพื้นที่ค่อยๆกว้างขึ้น กว้างขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็สามารถลุกขึ้นยืนได้ และรีบวิ่งต่อทันที

 

ในที่สุดเขาก็วิ่งมาถึงจุดสิ้นสุดของความมืด ปากอ้าหอบหายใจอย่างหนัก และรีบแนบฝ่ามือลงบนพื้นอย่างไม่ลังเล

 

ซึ่งตรงจุดนั้น คือหนึ่งในชิ้นกระเบื้องธรรมดาที่เรียงรายอยู่มากมายนับไม่ถ้วนบนพื้น

 

ติ๊ง … ติ๊ง … ติ๊ง …

 

เสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกอัพโหลดไว้พลันดังขึ้น “การยืนยันตัวตนเบื้องต้นได้รับการอนุมัติ “กรุณาบอกรหัสลับของประธานาธิบดีคนที่เก้าแห่งรัฐบาลกลาง”

 

บุคลากรร่างสูงพอได้ฟัง ร่องรอยของความคะนึงหาและโศกเศร้าก็ปรากฏขึ้นในแววตาของเขา

 

เขาสูดลมหายใจเข้าปอดซู้ดหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากว่า “ฉันชอบโต๊ะตัวใหญ่ในสำนักงาน และถ้ามีช่อดอกไม้สดประดับไว้อยู่ด้วยล่ะก็ มันจะสมบูรณ์แบบเลยล่ะ”

 

“กรุณาบอกรหัสลับของประธานาธิบดีคนที่สามสิบเอ็ด”

 

“หลังจากที่ได้เป็นประธานาธิบดี นี่มันรู้สึกได้เลยว่าเหนื่อยมากจริงๆ ในชีวิตหน้า หากจะต้องเข้ารับตำแหน่งนี้อีกครั้ง ฉันคงจำเป็นคิดทบทวนดีๆซะแล้วสิ”

 

“กรุณาบอกรหัสลับของประธานาธิบดีคนที่ยี่สิบเอ็ด”

 

“โถ่พระเจ้า กระผมนั้นไม่ได้ต้องการสงคราม แต่กระผมไม่มีทางเลือกอื่น ขอท่านทรงโปรดประทานอภัยด้วย”

 

“กรุณาบอกรหัสลับของประธานาธิบดีคนที่สิบห้า”

 

“ผมรักคุณนะเฉียนหลาน แต่ทำไมกัน? ทำไมพอผมได้อยู่ในตำแหน่งที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าของประเทศนี้ ผมถึงได้เสียคุณไปตลอดกาล”

 

“รหัสลับผ่านการตรวจสอบ และได้รับการอนุมัติแล้ว”

 

แสงไฟอบอุ่นสีขาวนวลแทรกผ่านความมืดมิด ประตูโลหะผสมหนาหลายเมตรเปิดแยกออกเป็นสองฟากฝั่งเบื้องหน้าเขา

 

บุคลากรร่างใหญ่เดินเข้าสู่ประตูที่เปล่งแสงสว่างสดใส

 

และประตูโลหะผสมก็ถูกปิดลงเบื้องหลังเขา

 

บุคลากรร่างสูงเดินเข้าไปยังเบื้องหน้าโต๊ะแผงควบคุมและทำการเปิดกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งที่วางอยู่

 

ภายในมีหลอดเข็มฉีดน้ำยาพันธุกรรมสองแถววางอยู่

 

แถวด้านบนเป็นน้ำยาสีแดง ขณะที่แถวล่างเป็นน้ำยาสีฟ้า

 

บุคลากรร่างสูงหยิบน้ำยาสีฟ้าขึ้นมา และจิ้มมันลงบนแขนของเขา จากนั้นก็ค่อยๆกดปุ่มบนตัวยาอย่างอ่อนโยน

 

น้ำยาสีฟ้าถูกส่งผ่านปลายเข็ม แทรกผ่านเข้าไปในร่างกายของเขา

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ รูปลักษณ์ของบุคลากรร่างสูงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไป

 

ผมหงอกสีขาว ใบหน้ายับย่น ทว่ากลับครอบครองคู่ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยปัญญา

 

ท่านประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลาง

 

ประธานาธิบดีปรากฏตัวขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว

 

“โปรดทำการยืนยันสถานะของฉัน” เขากล่าว

 

ในอีกด้านหนึ่งของแผงควบคุม เสียงสังเคราะห์อิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้น “โปรดรอสักครู่ รายการทดสอบของคุณกำลังถูกสุ่มเลือก”

 

ติ๊งต่อง!

 

“โปรเจ็คหนึ่งได้รับการยืนยันแล้ว”

 

ชุดเกราะอ่อนเลื่อนระดับลงมาจากเพดาน มาแขวนอยู่เบื้องหน้าประธานาธิบดี

 

“มิสเตอร์ กรุณาสวมใส่อุปกรณ์ทดสอบความผันผวนทางสรีรวิทยามนุษย์ และเริ่มทำการกล่าวสุนทรพจน์ในทันทีด้วย”

 

ประธานาธิบสวมใส่เกราะอ่อนบนร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ

 

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง

 

แล้วทันใดนั้นเอง ท่ามกลางหลุมหลบภัยใต้ดินอันเงียบสงบ พลันบังเกิดเสียงที่หนักแน่นมั่นคงดังกึกก้องขึ้น

 

“สหพันธรัฐ รัฐบาลกลางจะเป็นของพวกเราเสมอไป มันคือบ้านของพลเมืองแห่งรัฐบาลกลางทุกคน และฉันจะปกป้องมัน เหมือนดั่งที่ปกป้องพ่อแม่พี่น้อง ฉันจะยืนหยัดอยู่ที่นี่ เพื่อประเทศชาติของฉัน เพื่อต่อสู้กับศัตรูทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นความชั่วร้าย หรือความตายที่กำลังจะมาพรากจาก พวกมันก็ไม่สามารถทำให้ฉันถอยได้แม้เพียงครึ่งก้าว นี่คือคำมั่นสัญญาของฉัน”

 

ติ๊งต่อง

 

“ผลการทดสอบทั้งหมดได้รับข้อสรุปแล้ว”

 

“ผลการทดสอบจากการพูดจา การเคลื่อนไหวร่างกาย และการแสดงถึงอารมณ์ความรู้สึก คะแนนการกล่าวสุนทรพจน์ของคุณคือ 92”

 

“พิจารณาจากทางด้านอารมณ์ ดูมีความจริงใจ , การแสดงออกดูสดใส , คำพูดเปี่ยมไปด้วยความเมตตาและดูน่าหลงใหล , เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นนักการเมืองที่โดดเด่น”

 

“การกล่าวสุนทรพรจน์อย่างกระทันหันได้อย่างดีเยี่ยมเช่นนั้น จำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์มากมายหลายปี ไม่เพียงเท่านั้น รูปแบบการพูดของคุณยังสอดคล้องกับรูปแบบการพูดของประธานาธิบดีอีกด้วย”

 

“การทดสอบครั้งสุดท้ายว่าคุณเป็นประธานาธิบดีตัวจริงหรือไม่ จะถูกดำเนินการโดยเทพธิดากงเจิ้งเป็นการส่วนตัว”

 

“เริ่ม ณ บัดนี้”

 

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น “สวัสดีผู้ทดสอบ”

 

“สวัสดี”

 

“กรุณาตอบคำถามของฉันดังต่อไปนี้”

 

“เชิญพูดมา”

 

“ตลอดช่วงชีวิตอันยาวนานกว่า 61 ปีของประธานาธิบดี มีชายคนหนึ่งคอยบีบบังคับให้ประธานาธิบดีกระทำหลายสิ่งที่เขาไม่ต้องการที่จะทำ และทำร้ายเขาด้วยเจตนาร้ายหลายครั้งหลายครา เมื่อใดก็ตามที่ประธานาธิบเอ่ยย้อนถามคนๆนั้นบ้าง เขาก็จะถูกตำหนิเตะต่อย และสถานการณ์เช่นนี้ก็ดำเนินมาเป็นระยะเวลาหลายปี”

 

“ถ้าคุณเป็นประธานาธิบดีตัวจริง กรุณาบอกฉันมาว่าคุณคิดยังไงเกี่ยวกับบุคคลผู้นี้”

 

ประธานาธิบดีพอได้ฟังก็นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมา

 

ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง

 

“ฉันคิดว่าเขาคงเป็นกังวล” น้ำเสียงของประธานาธิบดีช่างฟังดูนุ่มนวลและอบอุ่น “บางทีเขาอาจจะหาวิธีแสดงความรักในแบบที่มันถูกต้องไม่เจอ แต่นั่นมันไม่สำคัญ เพราะฉันรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณในทุกๆสิ่งที่เขาทำกับฉัน”

 

“ถึงแม้ว่าเขาจะจากฉันไปตั้งนานแล้ว แต่ฉันก็จะยังคงคิดถึงเขาตลอดไป

 

เสียงของเทพธิดาดังขึ้น “นี่คือคำตอบของคุณใช่หรือไม่?”

 

“ใช่”

 

“การโคลนจะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความรักของบิดาว่ามันคืออะไร และไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือพฤติกรรมของคุณก็ล้วนสอดคล้องกับประธานาธิบดี , ผ่านการทดสอบ”

 

“ความทรงจำ , ความสามารถ และบุคลิกภาพทางอารมณ์ได้รับการพิจารณาแล้ว”

 

“ยืนยันสถานะ”

 

หลังจากนั้นในวินาทีต่อมา

 

โคมไฟตลอดทั้งแผงควบคุมก็ส่องสว่างขึ้นโดยสมบูรณ์

 

เทพธิดากงเจิ้ง “ประธานาธิบดี ฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่คุณยังปลอดภัยดี และรู้สึกเสียใจจริงๆที่ฉันสามารถแสดงออกถึงความสุขผ่านทางแสงไฟเหล่านี้เท่านั้น”

 

ประธานาธิบดีหัวเราะออกมา “การที่จะได้พบกับคุณอีกครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บอกตรงๆว่าฉันก็รู้สึกยินดีเหมือนกัน”

 

โดยไม่ใส่ใจถึงเรื่องราวอื่นๆ ประธานาธิบดีรีบเอ่ยถามประโยคแรกออกไป “กู่ฉิงซานกับจักรพรรดิฟูซีไปสู้กันที่ไหน”

 

องค์จักรพรรดิฟูซีเป็นถึงตัวตนอันทรงพลัง เป็นผู้ใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้า กล่าวได้ว่าในปัจจุบันนี้ การดำรงอยู่ของเขาเรียกได้ว่าแทบจะคงกระพัน

 

หากเพียงตัวตนอย่างองค์จักรพรรดิใช้ออกด้วยหมัดและเท้าในสถานที่ๆมีประชากรอยู่อย่างหนาแน่นแล้วล่ะก็ จำนวนของผู้เสียชีวิตก็คงยากที่จะจินตนาการได้

 

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “เมื่อพิจารณาจากการปฏิวัติที่กำลังจะเกิดขึ้น จักรพรรดิแห่งฟูซีย่อมไม่คิดจะทิ้งเมืองหลวงอย่างง่ายดาย ดังนั้นฉันและใต้เท้ากู่ฉิงซานจึงได้ทำการชั่งน้ำหนักและเลือกเฟ้นถึงสนามรบที่เหมาะสม”

 

“มันอยู่ที่ไหน?”

 

“พวกเขาบินไปได้ราวๆ 4 นาที 59 วินาที ด้วยความไวระดับรถเหินเวหาที่รวดเร็วที่สุด ขณะนี้อยู่ในบริเวณเขตชายแดนของเมืองหลวง”

 

ประธานาธิบดีเอ่ยเสียงหม่น “ไหนขอให้ฉันดูหน่อย!”

 

จอม่านแสงสว่างวาบ

 

ณ ภูเขาสูงตระหง่าน ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำใหญ่

 

โชคยังดี ที่สถานที่แห่งนี้เป็นฝั่งตรงข้ามเนินเขา ใกล้กับแม่น้ำกว้างใหญ่ และมันยังเคยเป็นแม่น้ำเดียวกันกับที่ยานรบประจัญบานระหว่างดวงดาวขนาดยักษ์เคยร่วงตกลงมาอีกด้วย

 

และช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ส่งผลให้ผืนดินได้รับผลกระทบในระดับหนึ่ง อาคารที่ไม่สูงมากในระยะใกล้เคียงถูกยกตัวลอยสูงขึ้นไปในอากาศ จากนั้นจึงค่อยๆร่วงหล่นลงมาซ้อนทับกัน

 

ส่วนอาคารสูงที่อยู่ห่างไกลออกไป แม้จะยังคงถูกยึดติดกับพื้นดิน แต่มันก็เกิดการสั่นสะเทือนอยู่บ้างในยามที่ยานได้ร่วงตกลง

 

หลักๆก็เพราะมันถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุพิเศษ ที่ฝังลึกลงไปใต้ดินของตัวอาคาร

 

หนึ่งในสามของส่วนล่างใต้อาคารสูง จะเต็มไปด้วยแขนจักรกลจำนวนมาก ซึ่งแขนกลเหล่านั้นถูกควบคุมโดยหน่วยประมวลผลระดับสูง คอยทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของอาคารสูง

 

กล่าวโดยรวมแล้วสรุปง่ายๆว่าที่แห่งนี้เคยเกิดอุบัติเหตุขึ้น จึงไม่มีผู้คนอาศัยอยู่นั่นเอง

 

ประธานาธิบดีสูดหายใจลึก ปากบ่นพึมพำ “ถือว่าเลือกสถานที่ได้ดีทีเดียว”

 

เขาเอ่ยต่อ “ช่วยบอกฉันที ว่าตอนนี้กองกำลังทหารของเราได้เตรียมการอะไรไปแล้วบ้างหรือยัง”

 

“ใต้เท้า กองกำลังในพื้นที่ต่างๆ ยังยังไม่ทราบถึงข่าวสารเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น”

 

“ช่วยทำการแจ้งผู้บังคับบัญชาทหารตามแต่ละเขตและกองพันทีนะ พร้อมบอกข้อมูลรายละเอียดให้พวกเขาด้วย” ประธานาธิบดีกล่าว

 

“รับทราบ ใต้เท้า”

 

“เทพธิดากงเจิ้ง ถ้าดูจากสถานการณ์เพียงผิวเผิน สงครามในครั้งนี้ ทางเรามีโอกาสที่จะชนะได้รึเปล่า?”

 

“จากการอนุมานของฉัน สงครามในครั้งนี้จะดำเนินยาวนานไปกว่าห้าปี และโอกาสที่พวกเราจะได้รับชัยชนะคือ 49.291%”

 

“มีความเป็นไปได้ว่าจะยุติลงไหม”

 

“เงื่อนไขการยุติขึ้นอยู่กับสองประการ หนึ่งคือผลลัพธ์การต่อสู้ระหว่างใต้เท้ากู่ฉิงซานและจักรพรรดิฟูซี อีกหนึ่งคือคุณต้องเป็นผู้นำรัฐบาลกลางเข้าต่อต้านการรุกรานของฟูซีในปัจจุบัน”

 

บนจอม่านแสง

 

กู่ฉิงซานและจักรพรรดิแห่งฟูซีลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ หันหน้าเผชิญเข้าหากัน

 

ประธานาธิบดีมองไปยังฉากนี้ และพูดออกมาด้วยความโล่งอกว่า “ฉันไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้เลยจริงๆ”

 

เทพธิดากงเจิ้งเอ่ยถามซอกแซก “ใต้เท้ากู่ฉิงซานได้ออกจากทำเนียบประธานาธิบดี เพราะต้องการสร้างโอกาสให้คุณเข้าสู่หลุมหลบภัยใช่หรือไม่?”

 

“ใช่แล้วล่ะ”

 

ประธานาธิบดีเล่าว่า “ครั้งสุดท้ายที่ฉันกับเขาได้พบกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ฝนเย็นยะเยือกพรั่งพรูลงมา ตอนนั้นพวกเราได้พูดคุยกันเกี่ยวกับน้ำยาผสานยีน และเขาก็บอกว่าจะให้การสนับสนุนฉัน”

 

“การพบกันในครั้งนั้น ฉันยังเป็นคนชงชาด้วยตัวเองและยังเป็นคนเดียวที่ยกหม้อชาไปเทให้กับเขาด้วย”

 

ประธานาธิบดีหัวเราะ “และตอนนี้ ฉันก็ทำแบบเดียวกันกับคราวก่อน พูดในสิ่งเดียวกัน ทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวไม่ต่างกัน และประโยคสุดท้ายที่ฉันเอ่ยออกไปคือเป็นการให้คำใบ้แก่เขา”

 

“คำใบ้อะไร?”

 

“ก็ในเรื่องที่ว่า ‘คุณให้อำนาจสูงสุดในรัฐบาลกลางแก่เขา ให้ฉันและเขาแบ่งปันอำนาจสูงสุดของรัฐบาลกลางร่วมกัน’ – และฉันก็ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเขา โดยแทนที่ตัวฉันกับเขาด้วยถ้วยน้ำชายังไงล่ะ”

 

“และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันได้รับโอกาสให้เข้ามาที่นี่”

 

“ใต้เท้าทั้งสอง พวกท่านช่างยอดเยี่ยมจริงๆ” เทพธิดากงเจิ้งกล่าวสรรเสริญ

 

แผงควบคุมเปิดออก และกล่องหนักก็ค่อยๆถูกยกขึ้นอย่างช้าๆ

 

กล่องเปิดออกโดยอัตโนมัติ

 

เทพธิดากงเจิ้งทำการเปลี่ยนแปลงสรรพนามที่ใช้เรียกประธานาธิบดีอย่างกระทันหัน “ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งสามเหล่าทัพ โปรดดำเนินการสั่งการด้วย”

 

ประธานาธิบดีจ้องมองลงมายังอุปกรณ์สั่งการรบแบบพกพาตรงหน้า สีหน้าการแสดงออกเปลี่ยนเป็นจริงจัง

 

เขายกมือขึ้นและเคาะลงบนตัวอักษร พิมพ์ไปหลายบรรทัดและกดปุ่มยืนยันเบาๆ

 

“ฉันขอสั่งการ ให้สามเหล่าทัพทั้งหมดเคลื่อนกำลังพลเต็มกำลัง และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้!”

 

เทพธิดากงเจิ้ง “น้อมรับคำสั่ง!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.328 – องค์จักรพรรดิ

 

ภายในสำนักงานประธานาธิบดีพลันตกอยู่ในความเงียบอย่างน่าแปลกประหลาด กระทั่งชั้นอากาศก็ค่อยๆเย็นขึ้นราวกับถูกแช่แข็ง

 

กู่ฉิงซานกับประธานาธิบดีนั่งมองหน้ากันโดยมีโต๊ะน้ำชาคอยคั่นกลาง

 

ท่ามกลางความเงียบ ในระยะไกลออกไปจะได้ยินเสียงที่แม้จะฟังดูคลุมเครือแต่ก็บอกได้ว่าเป็นเสียงปืนของหุ่นรบ และเสียงของพื้นดินที่ค่อยๆสั่นสะเทือนอย่างเห็นได้ชัด

 

การปฏิวัติได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

ประธานาธิบดีพอได้ยินสิ่งเหล่านั้น รอยยิ้มน้อยๆก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกสุขหรือพึงพอใจง่ายๆ ทว่าเสียงปืนจากภายนอกนี่มันทำให้เขารู้สึกดีจริงๆ

 

กู่ฉิงซานโบกมือ

 

และถ้วยน้ำชาบนโต๊ะประธานาธิบดีก็ค่อยๆลอยขึ้น บินอบู่ในอากาศอย่างสงบ และตกลงมาตรงด้านหน้าของประธานาธิบดีอย่างช้าๆ

 

“เชิญดื่มชาก่อนเถิดพะยะค่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ว่าแล้วเขาก็หยิบถ้วยชาตรงหน้าตนขึ้นมา แล้วจิบมันอีกครั้ง

 

“อา … ชานี่มันรสชาติไม่เลวเลยจริงๆ” เขากล่าว

 

ประธานาธิบดีมองไปยังกู่ฉิงซานด้วยใบหน้าสงบนิ่ง เขาหยิบถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาอังจมูก สูดดมเล็กน้อย

 

แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว และวางถ้วยชาลงอีกครั้ง

 

ประธานาธิบดียังคงจับจ้องกู่ฉิงซาน ทว่าเขากลับไม่พบถึงการแสดงออกทางสีหน้าที่ผิดปกติใดๆของอีกฝ่ายเลย

 

“เจ้าทราบได้อย่างไรกัน” ประธานาธิบดีเอ่ยถามออกมาในที่สุด

 

“เพราะเทพนักสู้แห่งรัฐบาลกลางได้ถูกแยกตัวออกจาพระองค์” กู่ฉิงซานเฉลย

 

“เพียงเท่านั้นมันมิอาจพิสูจน์อะไรได้เลย”

 

“ใช่แล้วล่ะ ศีรษะบนคทาทองหายไป , การตายลงขององค์จักรพรรดิตัวปลอมกับถังจุน และนรกเยือกแข็งที่กำลังปรากฏขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าท่านอยู่ในรัฐบาลกลาง”

 

กู่ฉิงซานค่อยๆพูดอย่างช้าๆ “แต่เป็นเพราะผมพึ่งได้เริ่มต้นศึกษาเรื่องบางอย่างมาเมื่อไม่นานมานี้”

 

ประธานาธิบดีกล่าวอย่างคาดไม่ถึง “ศึกษาพันธุศาสตร์ใช่หรือไม่?”

 

“เปล่า ศึกษาเรื่องการแสดง”

 

กู่ฉิงซานวางถ้วยชาลงและกล่าวว่า “องค์จักรพรรดิ จากในมุมมองของท่าน ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้มีเวลาศึกษาบทบาทของประธานาธิบดีอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ดังนั้นท่านเลยไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเล่นเป็นเขาอย่างแนบเนียน อันที่จริงแล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องแสดงบทบาทเป็นประธานาธิบดีหรอก แม้กระทั่งบทบาทตัวประกอบเล็กๆน้อยๆในหนัง ผมก็ขอเดิมพันว่าท่านเล่นไม่เนียนอยู่ดีนั่นก็เพราะ -”

 

ประธานาธิบดีจ้องมองเขา เฝ้ารอประโยคถัดไปที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ

 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “เพราะตัวท่านเองนั่นแหละ ถึงแม้ว่าจะได้ทำการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมตนเองให้มีรูปลักษณ์เหมือนกับประธานาธิบดี แต่ทุกๆการเคลื่อนไหวก็ยังเป็นตัวท่านเองอยู่ดี”

 

“แล้วเจ้าค้นพบถึงมันตั้งแต่ช่วงเวลาใด?”

 

“ท่านมิได้สนใจที่จะลิ้มรสชาติของชา เพราะชาที่รัฐบาลกลางจัดซื้อมานั้นเกรดมันธรรมดาเกินไป และแย่กว่าชาที่ได้รับบรรณาการจากภายในวังของท่านเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพียงสูดดมกลิ่น ท่านก็มิสนใจที่จะลิ้มลองมันต่อ”

 

“ยามเมื่อท่านนั่ง แผ่นหลังท่านยืดตรง ราวกับคนที่มีพละกำลัง แต่ท่านประธานาธิบดีน่ะเป็นแค่คนทั่วไป เขาแก่แล้ว”

 

“ท่านประธานาธิบดีชอบที่จะนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับผม เขาชอบที่จะพูดคุยและเล่นมุกตลกๆกับผม แต่คุณกลับเลือกที่จะทำตัวเย็นชาห่างเหิน ไปนั่งลงหลังโต๊ะทำงาน”

 

“ท่านประธานาธิบดีของเรามีพื้นเพมาจากรากหญ้า มาจากมณฑลอันห่างไกลเมืองหลวง ดังนั้นตามวิถีชีวิตบ้านนอก ใบหน้าของเขาจึงดูจริงใจ และแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มแย้มแทบจะตลอดเวลา”

 

“แต่ทว่าท่านกลับไม่ค่อยแสดงถึงความรู้สึกใดๆบนใบหน้าเลย นั่นเพราะมันต้องเป็นทุกคนต่างหากที่ต้องปั้นหน้ายิ้มทำให้ท่านโปรดปรานและพอใจ – หากกษัตริย์มอบรอยยิ้มให้ นั่นก็นับว่าเป็นรางวัลอันเลอค่าแล้วสำหรับพวกเขา”

 

กู่ฉิงซานยังคงกล่าวต่อไปว่า “สำหรับผม แค่จินตนาการว่าคนตรงหน้าเป็นพระองค์ แล้วเฝ้าสังเกตจากทุกการกระทำและเคลื่อนไหว ก็จะพบว่าท่านเหมือนกับองค์จักรพรรดิเป๊ะๆไม่มีผิดเพี้ยน”

 

“เพียงเพราะสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อจริงๆกระนั้นหรือ?” ประธานาธิบดีถาม

 

“แน่นอน ว่ามันยังมีเหตุผลอื่นๆอยู่อีก แต่มันไม่เหมาะที่จะบอกท่าน”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ท่านประธานาธิบดีตัวจริงน่ะจะไม่มีทางแบ่งแยกประเทศออกเป็นสอง ยามเมื่อเวลาที่สงครามกำลังจะมาถึงแน่ๆ”

 

“เพราะเหตุใด”

 

“เพราะเขาคือประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นผู้นำที่ประชาชนรักใคร่และนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ หากการกระทำของเขาผิดหลักจริยธรรม ผู้คนก็คงจะไม่ไว้ใจเลือกมอบประเทศวางลงบนไหล่ให้เขาแบกรับหรอก”

 

“โอ้ ที่เจ้ากล่าวอาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”

 

ประธานาธิบดีเงียบไปสักพัก ก่อนจะปรากฏร่องรอยเย้ยหยันขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

“มันก็จริงที่ข้ามิอาจเล่นละครตบตาได้ ” เขาเอ่ยอย่างช้าๆ แต่ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายและแรงกดดันมหาศาล “แต่ข้าเก่งกาจในด้านการควบคุมชีวิตและความตายของผู้คนนับล้าน – ข้าเก่งกาจในด้านการพิชิตโลก!”

 

“ทำไมท่านถึงคิดว่าเป็นแบบนั้นล่ะ?” กู่ฉิงซานเอนตัวลงบนโซฟา ปากเอ่ยถาม

 

ประธานาธิบดีกล่าวอย่างมั่นใจว่า “เพราะตอนนี้ข้าได้เปิดโปงโฉมหน้าอันแสนโสมมของเก้าตระกูลใหญ่ผ่านทางโทรทัศน์ ออกอากาศไปทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้วน่ะสิ”

 

“ประกาศมันออกไปในฐานะโฉมหน้าของประธานาธิบดี และข้อกล่าวหาของข้าก็จะกระตุ้นความโกรธแค้นจากประชาชนที่นิยมชมชอบข้า”

 

“ข้าได้ทำการควบคุมกองทัพบางส่วนของรัฐบาลกลางเอาไว้แล้ว และพวกเขาล้วนซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า”

 

“เมื่อเทพธิดากงเจิ้งหยุดการทำงาน กองทัพก็จะระดมกำลังต่อสู้กับเก้าตระกูลใหญ่”

 

“ประชาชนจะประท้วง ก่อกบฏ และปฏิวัติโดยการให้ความร่วมมือกับทางกองทัพ!”

 

ประธานาธิบดีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สหพันธรัฐ รัฐบาลกลางจะตกลงสู่สงครามกลางเมือง และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าก็จะกลับไปยังฟูซี เพื่อเสริมกำลังรบจากทางฝั่งนั้นบุกโจมตีเข้ามาอีกระลอก”

 

“ท่านคิดว่าจะสามารถทำอะไรกับเก้าตระกูลใหญ่ได้จริงๆอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“พวกมันเป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนขยะ! ยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังที่มิอาจต้านทานได้ – แม้กระทั่งมอนสเตอร์เอกภพก็ยังเป็นเพียงขยะหากต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่สมบูรณ์แบบของนรก!”

 

ขณะที่ประธานาธิบดีกำลังพูด สมองควอนตัมของเขาก็ส่องสว่างขึ้น

 

เขาหยิบมันขึ้นมามองวูบหนึ่ง ก่อนที่คิ้วจะค่อยๆขมวดเข้าหากัน

 

“เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยถาม

 

ในสมองควอนตัมรายงานถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว

 

เสียงระเบิดและคำรามของเครื่องจักรดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้คนก็เช่นกัน

 

หลังจากที่ประธานาธิบดีได้ฟัง เขาก็ปิดสมองควอนตัมลง

 

ขณะนี้ ตลอดทั้งใบหน้าของเขาด้านชาราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งค้าง

 

“สัญญาณถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ .. เจ้าได้ไปทำอะไรกับมันหรือไม่?” เขาเอ่ยเสียงต่ำจนแทบจะคำรามอยู่รอมร่อแล้ว

 

“ใช่แล้ว ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาและพบว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผมก็ได้ทำการแจ้งเตือนเทพธิดากงเจิ้ง และขอให้เธอเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ที่ว่านั่น”

 

“และผมเป็นผู้ชมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฟังท่านกล่าวสุนทรพจน์” กู่ฉิงซานยกนิ้วชี้ขึ้นมาส่ายไปมา “ทักษะพื้นฐานทางการแสดงของท่านยังจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนอีกมาก มันยังไม่เหมาะที่จะถูกเผยออกไปต่อหน้าประชาชีหรอกนะ เดี๋ยวจะขายหน้าซะเปล่าๆ”

 

“หมายความว่าเทพธิดากงเจิ้งยังไม่หยุดทำงานงั้นหรือ?”

 

“เธอยังคงปกติดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอตกใจอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน”

 

“ฉะนั้น สุนทรพจน์ทางโทรทัศน์จึงยังไม่ได้ออกอากาศต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศสินะ?”

 

“ขออภัยด้วย แต่คงต้องบอกว่ามันเป็นเช่นนั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ประธานาธิบดีบิดคอของเขาเสียงดังแกร๊ก บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกคับข้องใจ

 

บางทีนี่อาจจะเป็นท่าทีที่แสดงออกมาดูเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว หากนับดูจากการแสดงแข็งๆที่ผ่านมา

 

“แต่ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามเลยนะ ได้โปรดบอกผมทีเถอะ ว่าท่านประธานาธิบดีตัวจริงยังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ข้าจำเป็นต้องมาคอยสังเกตดูว่าสังหารผู้ใดไปแล้วบ้างกระนั้นหรือ? คงต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข้าได้สังหารร่างโคลนของเขาไปหลายตัวอยู่เหมือนกัน บางที หนึ่งในนั้นอาจจะมีเขาตัวจริงปะปนอยู่ก็ได้” ประธานาธิบดีกล่าวด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานจมดิ่งลง แต่เดิมแล้วแท้จริงกลับกลายเป็นเช่นนี้

 

เขากล่าวออกมาในทันใด “ผมคงต้องไปแล้ว”

 

ปัง!

 

คฤหาสน์ประธานาธิบดีถูกแยกออกเป็นสองซีก และแต่ละซีกก็ค่อยๆเอนเอียงไปทางฝั่งตน พังทลายลงอย่างรวดเร็ว

 

ตามด้วยร่างสองร่างทะยานขึ้นไปในชั้นอากาศเบื้องบน

 

กู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสง พุ่งออกไปยังสถานที่ห่างไกล

 

องค์จักพรรดิก็ไล่ล่าตามติดเขาอย่างใกล้ชิดอย่างเต็มกำลัง

 

พวกเขาบินไม่หยุดอยู่หลายนาที และอยู่ไกลห่างออกมาจากคฤหาสน์ประธานาธิบดีมากพอสมควรแล้ว

 

ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็หยุดลงอย่างกระทันหัน

 

เมื่อองค์จักรพรรรดิเห็นแบบนั้น เขาก็ชะลอความเร็วลง ยืนหยัดอยู่กลางอากาศอย่างช้าๆ

 

“เหตุใดเจ้าจึงไม่วิ่งหนีต่อแล้วซะล่ะ?” รอยยิ้มหยันพร้อมด้วยคำพูดประชดประชันผุดออกมาจากปากของเขา

 

“ระยะไกลเท่านี้ก็น่าจะโอเคแล้ว” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำเบาๆ

 

“เจ้ากำลังหมายถึงอะไร?” สีหน้าขององค์จักรพรรดิหม่นทะมึนลง

 

“ความลับน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

 

องค์จักรพรรดิจ้องมองอีกฝ่าย และรู้สึกได้ว่าตนไม่เคยโกรธเกรี้ยวขนาดนี้มาก่อนเลยในช่วงชีวิตของเขา

 

ทันใดนั้นบรรยากาศรอบตัวเขาก็เกิดการระเบิดอย่างต่อเนื่อง

 

ยามเมื่ออากาศสัมผัสเข้ากับร่างกายของเขา มันก็จะส่งเสียงกระหึ่มออกมาทันที

 

นี่คือธาตุดินจากธาตุทั้งห้า ในขั้นที่ห้าสรรพสิ่งล่มสลาย!

 

สสารใดๆก็ตามที่กระทบตัวพระองค์ จะต้องพานพบกับแรงบดขยี้อันบริสุทธิ์!

 

องค์จักรพรรดิโบกมือออกไปอย่างไม่ใสใจ

 

และทันใดนั้นแถบชานเมืองที่ทั้งสองอยู่ ก็บังเกิดภูเขาสูงชันเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

แผ่นดินสั่นสะเทือน ก่อร่างตนทะยานสูงขึ้นจนกลายเป็นขุนเขา และปลายยอดของมันก็มาหยุดลง ณ ตำแหน่งใต้ฝ่าเท้าขององค์จักรพรรดิพอดิบพอดี

 

องค์จักรพรรดิที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา เหวี่ยงสองมือไพร่หลัง สองตาก้มลงมองดูกู่ฉิงซานจากมุมสูง

 

ก่อนที่เขาจะวาดมือข้างหนึ่งออกไป

 

ทันใดนั้นดินจำนวนมหาศาลก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉากนี้ดูราวกับกระแสน้ำที่ไหลทวนขึ้นสู่สวรรค์ ก่อนที่ชั้นดินเหล่านั้นจะถูกบีบอัดจนเป็นบอลขนาดเล็กเท่ากำปั้น

 

บอลเหล่านั้นร่ายรำเวียนวนไปมาอยู่ในอากาศ

 

แม้พวกมันจะดูแสนธรรมดา แต่จริงๆแล้วมันมีพลานุภาพอันน่าสยองเกล้า!

 

เพรียกดารา!

 

ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม หากได้สัมผัสกับบอลเหล่านี้แม้เสี้ยวเล็บมือ โชคชะตาของพวกเขาก็จะพานพบกับความตายอันโหดร้าย ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนร่างกายหรือกระทั่งกระดูก – จะถูกป่นเป็นผงทันที!

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่ฉากนี้ ปากเอ่ยกล่าวด้วยอารมณ์ “สามารถใช้ออกด้วยธาตุดินจากธาตุทั้งห้าได้อย่างอิสระแบบนี้ ดูท่าว่าคนตรงหน้า … แน่นอนแล้วว่าคงจะเป็นตัวจริง!”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.327 – การปฏิวัติชนชั้นสูง

 

ภายในสำนักงานประธานาธิบดี

 

กู่ฉิงซานนั่งลงบนโซฟา

 

ประธานาธิบดีเดินอ้อมโซฟามาจนถึงโต๊ะของเขา สองแขนวางลงบนพนัก และค่อยๆทิ้งตัวลงอย่างช้าๆ

 

แผ่นหลังของเขาเหยียดตรง ริมฝีปากแม้มแน่น สายตาจับจ้องไปยังกู่ฉิงซาน

 

ส่วนกู่ฉิงซาน เขาหันไปมองรอบๆ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างจงใจว่า “ทำไมผมถึงไม่เห็นนายพลซางเลยล่ะครับ”

 

“ฉันส่งเขาไปที่แนวหน้าน่ะ เพราะฟูซีกำลังเตรียมที่จะเปิดฉากรุกรานเราแล้ว” ประธานาธิบดีกล่าว

 

กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

“มีบางอย่างที่ผมต้องการจะบอกคุณล่วงหน้า” กู่ฉิงซานลดเสียงลง

 

เขาหันไปมองดูรอบตัว

 

และพบว่ามันเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

 

แต่คราวนี้ท่านประธานาธิบดีกลับไม่ได้ไล่บุคลากรของเขาออกไป

 

ประธานาธิบดีสังเกตเห็นถึงสายตาของกู่ฉิงซาน เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องกังวลหรอก พนักงานและผู้ช่วยพวกนี้ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของฉันที่ทำงานร่วมกันมาหลายปีแล้ว”

 

กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบรับ “ผมเข้าใจแล้ว”

 

ในเวลานั้นเอง บุคลากรตัวสูงก็ได้ก้าวออกมาข้างหน้า ปากเอ่ยถามอย่างสุภาพว่า “ไม่ทราบว่าท่านต้องการชาหรือกาแฟ?”

 

กู่ฉิงซาน “อย่าลำบากเลยครับ”

 

“มันไม่เป็นไรหรอก” บุคลากรร่างสูงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ช่วงเวลาที่ชงชาน่ะ มันจะช่วยให้กระผมอารมณ์ดีเสมอเลย”

 

“ถ้างั้นผมขอเป็นชาก็แล้วกันครับ” กู่ฉิงซานลดสายตาลงและกล่าว

 

“รับทราบ”

 

บุคลากรร่างสูงเดินไปเตรียมกาน้ำชาทันที จากนั้นก็ยกมันเข้ามา

 

เขาโค้งตัวลง และเทชาร้อนๆลงในถ้วยเล็กๆทั้งสองใบอย่างช้าๆ

 

ถ้วยหนึ่งถูกนำไปวางบนโต๊ะท่านประธานาธิบดี

 

อีกถ้วยวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้ากู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานสังเกตลวดลายบนชุดถ้วยน้ำชา แล้วเอ่ยว่า “ลวดลายบนถ้วยน้ำชานี่ ดูมีเอกลักษณ์งดงามมากจริงๆ”

 

บุคลากรร่างสูงยิ้ม และหันไปกล่าวกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง กึ่งจริงกึ่งล้อเล่นว่า “แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ชุดถ้วยชานี้มีเพียงแค่สองถ้วย และมันสมควรถูกใช้โดยผู้ทรงเกียรติอย่างท่านประธานาธิบดีและคุณกู่ฉิงซานเท่านั้น พวกเราไม่อาจร่วมดื่มด้วยได้ เชื่อกระผมเถอะ”

 

ว่าจบ เขาก็กลับไปยืนรักษาการร่วมกับกลุ่มบุคลากรคนอื่นๆ

 

และคนอื่นๆที่ว่าก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย สุดท้ายแล้ว คนหนึ่งเป็นเจ้าของสำนักงาน อีกคนหนึ่งเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ดังนั้นการดื่มน้ำชาระหว่างทั้งสองจึงเป็นเรื่องปกติ ส่วนพวกเขาจะมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่นั่นไม่สำคัญ

 

ในทางตรงกันข้าม การที่บุคลากรร่างสูงตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง มันยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกดี

 

พวกเขาหัวเราะกันเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

กู่ฉิงซานหยิบถ้วยชาขึ้น และใช้ริมฝีปากสัมผัสกับมันเล็กน้อย

 

ท่านประธานาธิบดีเองก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาเช่นกัน เขายกมันขึ้นมาสูดดมกลิ่นใต้จมูก

 

แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย และวางถ้วยชาลง

 

กู่ฉิงซานมองดูประธานาธิบดีและเอ่ยอย่างช้าๆว่า “ผมมาที่นี่เพื่อแจ้งให้ท่านทราบเกี่ยวกับสถานการณ์”

 

“ว่ามาสิ” ประธานาธิบดีกล่าว

 

กู่ฉิงซานวางถ้วยชาของเขาลง ก่อนจะเริ่มกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “ในปีนี้มีมืออาชีพที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนต้องเสียชีวิตลง และพวกเขาจะกลับมาพร้อมกับนรกเยือกแข็ง”

 

“พวกเขาจะปฏิบัติต่อโลกใบนี้เช่นเดียวกับมาร”

 

“พวกเขาจะกินเนื้อและดื่มเลือดของมนุษย์ แม้กระทั่งจิตวิญญาณก็จะยินยอมที่จะปล่อยไป”

 

“ท่านประธานาธิบดี รายละเอียดลงลึกยิ่งกว่านี้ ท่านสามารถ ‘เชื่อมต่อกับเทพธิดากงเจิ้ง’เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ เธอจะบอกท่านคุณสถิติการควบแน่นของพื้นผิวน้ำแข็งให้เอง”

 

ขณะกล่าวว สมองควอนตัมบนอ้อมแขนเขาก็กระพริบขึ้น มันแจ้งเตือนถึงข้อความใหม่ที่ได้รับ

 

สมองควอนตัมกระพริบอย่างต่อเนื่อง

 

กู่ฉิงซานเลยต้องจำใจกล่าวว่า “โปรดยกโทษให้ผมด้วย ดูเหมือนว่าจะมีข่าวด่วนส่งมาน่ะครับ”

 

“เชิญตามสบายเลย”

 

ประธานาธิบดีขมวดคิ้วราวกับว่าเขากำลังไตร่ตรองคำพูดของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานดึงสมองควอนตัมของเขาออกมา และเปิดดูมัน

 

ปรากฏบรรทัดตัวอักษรขึ้นบนจอม่านแสงบนสมองควอนตัม

 

“ซางหยิงฮ่าวขอให้ฉันส่งข้อความนี้ผ่านมายังคุณ เขาได้ใช้อำนาจทางโลกใต้ดินเพื่อทำการตรวจสอบสืบสวนดูแล้ว และจักรพรรดินีก็ได้ใช้กำลังจากภายนอกทั้งหมดที่มีออกค้นหา แต่ตลอดทั้งสาธารณรัฐฟูซีกลับไม่ค้นพบตัวขององค์จักรพรรดิเลย”

 

มันคือข่าวจากเทพธิดากงเจิ้ง

 

มองหน้ายังเหล่าตัวอักษรบนจอม่านแสง ที่กู่ฉิงซานทำก็เพียงแค่ยกชาขึ้นมาจิบ

 

มือของเขาพรมลงบนสมองควอนตัม ส่งคำแนะนำหลายๆอย่างออกไป

 

“ผมต้องขออภัยด้วย” กู่ฉิงซานพูดด้วยรอยยิ้ม

 

ประธานาธิบดีเอ่ยถาม “แล้วสิ่งที่เธอกำลังพูดอยู่ มีหลักฐานอะไรมายืนยันหรือเปล่า?”

 

กู่ฉิงซาน “แน่นอน ท่านสามารถตรวจสอบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องผ่านทางเทพธิดากงเจิ้งได้เลย”

 

ประธานาธิบดีพยักหน้า และเอ่ยถามต่อว่า “แล้วนรกเยือกแข็งที่เธอพูด มันจะปรากฏตัวขึ้นทั้งหมดเมื่อไหร่กัน?”

 

“มันอาจจะปะทุขึ้นทันทีหลังจากที่ฝนได้หยุดตกลง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ท่านประธานาธิบดีโน้มตัวลงมาข้างหน้า และกล่าวด้วยความจริงจังว่า “งั้นเธอไปรู้ข่าวนี้มาได้ยังไง?”

 

“แน่นอน ว่าผมย่อมมีช่องทางของผม”

 

“ช่องทางของเธอที่ว่านั่นน่ะ … พอจะสามารถบอกฉันได้ไหม?”

 

“ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่ผมสามารถบอกท่านได้เพียงแค่ข่าวสารเหล่านี้เท่านั้น”

 

ประธานาธิบดีครุ่นคิดก่อนจะกล่าวเบี่ยงประเด็น “ฉันจำได้ว่าตอนเรื่องผีดิบกินคนและผีดิบนักฆ่า เธอก็เป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้เหมือนกันนี่นา”

 

“ใช่แล้วครับ”

 

“ในวันนั้นเธอได้ไปที่บ่อนคาสิโนกับซางหยิงฮ่าว และมีส่วนร่วมในการเล่นพนันใต้ดินกัน”

 

กู่ฉิงซานวางถ้วยชากลับลงบนโต๊ะ ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ท่านกำลังสอบสวนผมอย่างงั้นหรอ?”

 

ประธานาธิบดีมองเขาด้วยแววตาที่แฝงความหมายลึกซึ้ง ปากเอ่ยกล่าว “นั่นเพราะเธอมันเหมือนกับศาสดาพยากรณ์ยังไงยังงั้นเลยน่ะสิ แถมยังเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกต่างหาก เธอรู้หรือเปล่าว่านี่มันหมายความว่ายังไง?”

 

“หมายความว่ายังไงหรอครับ?”

 

“พูดตามตรงเลยนะ ยังจะมีใครอีกที่จะสามารถสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาได้อย่างง่ายดายแบบนี้? บอกมาตามตรงเถอะ ไวรัสผีดิบนั่นน่ะ จริงๆแล้วเป็นผลงานชิ้นเอกของเธอสินะ”

 

แล้วจู่ๆประธานาธิบดีก็ปรบมือขึ้น

 

“แถมฉันยังได้รู้มาอีกด้วยว่าเธอก็เป็นมืออาชีพนี่นา ความจริงยังมีอีกหลายข้อสงสัยนะ แต่แค่นี้ก็คงพอแล้วล่ะ”

 

สิ้นเสียง ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบทหารสองคนก็เดินเข้ามาในห้องรับแขก

 

หนึ่งคือจ้าวสมุทร หลี่ตงหยวน กับอีกผู้บัญชาการกองยานรบระหว่างดวงดาว ซ่งเทียนหวู่

 

สองในสามตัวตนสุดแกร่งแห่งรัฐบาลกลาง ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว!

 

ประธานาธิบดีกล่าว “ทางเรามีผู้เชี่ยวชาญด้านการจับเท็จชั้นหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการรวบรวมข้อมูลชั้นหนึ่งอีกด้วย ถ้าเธอบริสุทธิ์จริงๆ ฉันจะปล่อยเธอไป ดังนั้นตอนนี้คงต้องขอโทษด้วย”

 

กู่ฉิงซาน “แล้วถ้าหากเรื่องที่ท่านว่ามามันจริงล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้น?”

 

ประธานาธิบดี “มอบความสำเร็จทางการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของเธอทั้งหมดให้แก่ฉัน แล้วมาทำงานภายใต้การควบคุมของฉัน จากนั้นในฐานะประธานาธิบดีฉันสัญญาว่าจะไม่ฆ่าเธอ”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและเอ่ยถาม “ท่านพอจะมีเวลาสักเล็กๆน้อยๆ ให้ผมได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้รึเปล่า”

 

ประธานาธิบดีก้มลงมองดูนาฬิกาของเขา และผุดลุกขึ้น “ฉันจะต้องขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ระดับชาติในเร็วๆนี้ อาจจะใช้เวลาซัก 20 นาที พอฉันพูดจบ หวังว่าเธอจะให้คำตอบแก่ฉันได้นะ”

 

แล้วเขาก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นไป พร้อมด้วยเหล่าบุคลากรที่ตามติดไปอย่างใกล้ชิด

 

หนึ่งในสองนายพลเดินแยกตัวออกมา หยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

จ้าวสมุทร หลี่ตงหยวน “ในฐานะที่เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถ้ายังอยากรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีดิ์ของตัวเองให้ยังคงอยู่ต่อไปล่ะก็ ฉันหวังว่าเธอจะไม่คิดแสดงอาการขัดขืนใดๆนะ”

 

กู่ฉิงซานมิได้เคลื่อนไหวใดๆ

 

ทันใดนั้นสมองควอนตัมของสองนายพลก็ส่องสว่างขึ้น

 

ตามด้วยเสียงที่ฟังดูขึงขังของเทพธิดากงเจิ้งดังออกมา “ใต้เท้ากู่ฉิงซานคือทูตผู้นำพาส่งเสริมความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ของอารยธรรมมนุษย์ เป็นผู้มีอำนาจพลเมืองอันดับหนึ่ง , เป็นผู้นำสูงสุด”

 

“เทพธิดาได้ทำการตรวจสอบข้อมูลและเอกสารรับรองแล้ว ค้นพบว่าไวรัสผีดิบกินคนและผีดิบนักฆ่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกพัฒนาโดยใต้เท้ากู่ฉิงซาน”

 

“ดังนั้นใต้เท้าจึงไม่ควรถูกสอบสวน หรือถูกคุมขังหน่วงเหนี่ยวใดๆ”

 

ประธานาธิบดีที่เดินไปได้เพียงครึ่งทางพลันหยุดกึกในทันใด

 

เขาเอ่ยถามอย่างเย็นชา “เทพธิดากงเจิ้ง ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่านักวิทยาศาสตร์คนนี้ ถึงขั้นมีอำนาจเท่าเทียมกันกับฉันเลยอย่างงั้นเหรอ?”

 

คำพูดและน้ำเสียงที่เปล่งออกมาของเขา มันส่งแรงกดดันมหาศาลออกมาพร้อมด้วย ..

 

กลิ่นอายสังหาร

 

เทพธิดากงเจิ้งตอบสวนกลับไปว่า “ย่อมไม่ได้เป็นเช่นนั้น การตัดสินใจในกิจการต่างๆของรัฐบาลกลางล้วนอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของประธานาธิบดีผู้ทรงเกียรติ ส่วนกู่ฉิงซานเป็นเพียงผู้มีตำแหน่งทรงเกียรติเท่าเทียมกันเท่านั้น”

 

สีหน้าของประธานาธิบดีอ่อนลงอย่างช้าๆ เขาเอ่ยความคิดของตัวเองออกมาดังๆ “ด้วยการมีส่วนร่วมทางวิทยาศาสตร์เพียงหนึ่งเดียว กลับสามารถก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้ได้? นี่มันช่างน่าทึ่งจริงๆ”

 

เขาหันหลังกลับ และจากไปอย่างรวดเร็ว

 

สองนายพลหันมามองหน้ากันอย่างกระทันหัน ต่างฝ่ายต่างเผยสีหน้าแปลกๆออกมา

 

หลี่ตงหยวนมองดูกู่ฉิงซานและกล่าว “ยังไงเขาก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นสูง จะมากจะน้อยอย่างไรก็ยังมีประโยชน์อยู่”

 

ซ่งเทียนหวู่ “แต่ก็ไม่มากนักหรอก”

 

เมื่อทั้งสองพูดจบ พวกเขาก็ปิดปากเงียบและไม่พูดอีกเลย

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก

 

กู่ฉิงซานก็เอ่ยถามออมมา “ท่านประธานาธิบดีกำลังกล่าวสุนทรพจน์ทางทีวีอยู่ใช่ไหม?”

 

“ใช่” ซ่งเทียนหวู่ตอบรับ

 

กู่ฉิงซานหยิบสมองควอนตัมส่วนตัวออกมาอย่างช้าๆ

 

ทั้งสองนายพลจับจ้องมายังเขาทันที

 

“งั้นถ้าผมจะนั่งดูเขาพูด คงจะไม่เป็นไรสินะ?” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

สองนายพลหันมามองกันวูบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอนุญาต

 

กู่ฉิงซานเปิดจอม่านแสง

 

และพบว่าท่านประธานาธิบดีกำลังเริ่มกล่าวสุนทรพจน์แล้ว

 

“ … ประชาชนทั่วทั้งรัฐบาลกลาง ควรที่จะต้องรู้เรื่องนี้”

 

“ใช่แล้วล่ะ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชนชั้นสูงจากเก้าตระกูลใหญ่ ได้ทำการลอบสังหารผมทั้งสิ้น 31 ครั้ง”

 

“ในฐานะประธานาธิบดี ผมได้มาถึงสถานการณ์ที่ไม่มีทางออกแล้ว”

 

“นี่นับว่าเป็นการกระทำที่ประชดประชัน แดกดันกฏหมายของรัฐบาลกลางอย่างถึงที่สุด”

 

“แน่นอน ว่าหลักฐานการลอบสังหารทั้งหมดอยู่ในมือของผม”

 

“ด้านล่างนี้ จะแสดงให้เห็นถึงอาชญากรรมทั้งหมดของเก้าตระกูลใหญ่”

 

แล้วภาพหน้าจอก็ถูกสลับสับเปลี่ยนไป

 

ตามด้วยสาเหตุ , ผลลัพธ์ของลอบสังหาร

 

และบทสนทนาหารือระหว่างชนชั้นสูงแห่งเก้าตระกูลใหญ่

 

การจัดฉากเตรียมการของนักฆ่า

 

ความโกรธเกรี้ยวหลังจากที่พวกเขาล้มเหลว

 

จากนั้นก็เริ่มวางแผน และสนทนาหารือกันอีกที

 

หลักฐานการลอบสังหารทั้งหมดปรากฏขึ้นบนจอภาพ

 

และตอนนี้ มันคือการถ่ายทอดสดออกไปในระดับชาติ!

 

“ท่านผู้นำ นั่นท่านกำลังทำอะไรอยู่น่ะ! บทพูดนั่นมันแตกต่างจากต้นฉบับที่ผมเขียนเอาไว้นะครับ!” ผู้ช่วยคนหนึ่งร้องอุทานเตือน

 

ขณะที่คนอื่นๆต่างกลายเป็นโง่งม

 

กู่ฉิงซานมองลงไปในจอม่านแสง แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ

 

ยามเมื่อช่วงเวลาที่กองทัพของสาธารณรัฐฟูซีกำลังคุกคามชายแดน ภายใต้ความกดดันท่านประธานาธิบดีกลับเลือกที่จะพลิกกระดาน เปิดเผยความจริงขึ้น!

 

อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่เผยมาเป็นกองภูเขานี้ก็ล้วนเป็นเรื่องจริงเช่นกัน

 

เรื่องราวอันน่าตกใจนี้ ถูกตีแผ่ท่ามกลางกลางวันแสกๆ!

 

ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และได้รับความรักจากประชาชนสามัญทั่วทั้งประเทศ

 

เมื่อประชาชนได้ตระหนักถึงความจริง ตลอดทั้งรัฐบาลกลางย่อมตกอยู่ในความตื่นตะลึง ก่อบังเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่!

 

ชนชั้นสูงไม่สามารถเบี่ยงเบนความคิดและความเชื่อของผู้คน ว่าการลอบสังหารเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของกองกำลังต่างชาติได้อีกต่อไป

 

ทั้งหมดนี้ นับว่าเป็นอาชญากรรมอย่างแท้จริง ที่เกิดขึ้นโดยน้ำมือพวกเขา

 

ต่อจากนี้ไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการร้องเรียนจากทั่วทั้งรัฐบาลกลาง ไปยังเก้าตระกูลใหญ่!

 

ความขัดแย้งระหว่างคนสามัญแห่งรัฐบาลกลางกับชนชั้นสูง ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้วในประวัติศาสตร์ของรัฐบาลกลางทั้งหมด!

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า รัฐบาลกลางจะต้องตกอยู่ในความวุ่นวาย หรือแม้กระทั่งอาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามกลางเมือง!

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม

 

หลังจากใช้เวลายาวนานกว่า6-7นาที ในที่สุดหลักฐานทั้งหมดก็ถูกปล่อยออกมา

 

และภาพของท่านประธานาธิบดีก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

“เก้าตระกูลใหญ่ได้เน่าเฟะไปถึงกระดูกของพวกเขาแล้ว”

 

“ทั้งหมดไม่สามารถคอยชักนำพาประเทศให้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้อีกต่อไป”

 

“พวกเขาเป็นตัวตนที่คอยฉุดรั้งผู้คน! ฉุดรั้งประเทศให้ตกต่ำลง!”

 

“ทางเรามีนายพลหลายคนเข้าร่วมการต่อต้านในครั้งนี้”

 

“กองทัพอยู่กับผม อิสรภาพอยู่กับผม และพวกคุณทุกคนก็อยู่กับผมเช่นกัน!”

 

“เวลานี้ ผมขอเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนมาร่วมด้วยกัน หยิบยกอาวุธขึ้นมา และต่อต้านการปกครองที่โหดร้ายของเก้าตระกูลใหญ่!”

 

ท่านประธานาธิบดีหันมามองกล้อง พร้อมกล่าวตะโกนสุดเสียงว่า “ผมขอประกาศว่า การปฏิวัติชนชั้นสูงแห่งรัฐบาลกลางได้เริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว!”

 

และภาพบนจอทีวีก็ดับลง

 

“การปฏิวัติ … ชนชั้นสูง?”

 

กู่ฉิงซานนิ่งมองมัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

สาธารณรัฐฟูซีก็กำลังจะบุกมา นรกเยือกแข็งก็กำลังจะเกิดขึ้นทั่วโลก แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ท่านประธานาธิบดีกลับดันเลือกที่จะเปิดเผยการกระทำอันชั่วร้ายของเก้าตระกูลใหญ่ออกมาโดยสมบูรณ์กลางวันแสกๆ!

 

รัฐบาลกลางตั้งแต่ช่วงเวลานี้ไป จะต้องตกอยู่ในความโกลาหลใช่หรือไม่?

 

“เดิมทีผมคิดว่าการกล่าวสุนทรพจน์ในครั้งนี้จะเป็นการปลุกระดมขวัญกำลังใจก่อนจะเริ่มสงครามซะอีก แต่ใครจะรู้ว่าความจริงมันกลับเป็นแบบนี้ …. ดูเหมือนว่ารัฐบาลกลางจะผลักดันตัวเองให้เข้าสู่สงครามกลางเมืองแทนซะแล้ว” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

“เก็บสมองควอนตัมของเธอไปได้แล้ว” ซ่งเทียนหวู่กล่าว

 

กู่ฉิงซานเก็บสมองควอนตัมของเขา

 

หลังจากนั้นไม่นาน ท่านประธานาธิบดีก็กลับมา

 

“คุณเตรียมพร้อมไว้แล้วใช่ไหม?” เขาเอ่ยถาม

 

“พร้อมอยู่แล้ว” ซ่งเทียนหวู่กล่าว

 

“งั้นก็ระเบิดมันซะ” ประธานาธิบดีเอ่ยสั่ง

 

“รับทราบ!”

 

ท่ามกลางอวกาศนอกโลก

 

ป้อมปราการดวงดาวเฉืนเตี้ยนเฮ่า

 

ในพื้นที่ๆถูกแยกตัวออกและเฝ้าจับตามองโดยเทพธิดากงเจิ้งอย่างใกล้ชิด กล่องดำขนาดเล็กพลันปรากฏขึ้น

 

ตามด้วยการสลายตัวของระเบิดนาโน

 

ในตอนที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศกรรมเครื่องกลอวกาศ ได้ขึ้นมาซ่อมบำรุงเฉินเตี้ยนเฮ่า พันเอกได้ลอบติดตั้งระเบิดนาโนเอาไว้

 

พลังอำนาจของมันสามารถทำลายแหล่งพลังงานในเฉินเตี้ยนเฮ่าได้อย่างรวดเร็ว และส่งผลให้ระบบการจ่ายพลังงานของเทพธิดากงเจิ้งเป็นอัมพาต

 

ระเบิดนาโนชุดนี้แฝงตัวอยู่อย่างเงียบๆมาเป็นเวลานาน

 

ทว่าช่วงเวลานี้มันก็ได้เผยตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว!

 

ตูม!

 

เสียงของระเบิดนาโนสลายตัวดังฟังชัด แพร่กระจายหมอกสีขาวออกไปอย่างรวดเร็ว

 

หมอกสีขาวเหล่านี้คือหุ่นยนต์สลายตัวขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน

 

หลังจากเปิดใช้งานแล้ว พวกมันก็จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ทันที และหน้าที่ที่ว่าก็คือการทำลายทุกสิ่งรอบตัวของพวกมัน

 

แต่ว่าน่าเสียหายที่สถานที่แห่งนี้ถูกตัดขาด และห่อหุ้มด้วยวัสดุพิเศษเพื่อป้องกันระเบิดนาโนอยู่ก่อนแล้ว

 

ดังนั้นระเบิดนาโนสลายตัวนี่จึงไม่นับว่าส่งผล หรือทำอะไรได้เลย

 

อย่างไรก็ตาม สัญญาณทั้งหมดจากป้อมปราการดวงดาวกลับถูกตัดออก

 

เฉินเตี้ยนเฮ่าตกอยู่ในความมืดมิด

 

ณ พื้นที่ภายนอกโลก ไม่ใกล้ไม่ไกลจากป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า

 

ชิ้นส่วนอุกกาบาตอันหนึ่งที่ลอยล่อง

 

มันพลันพลิกตัวกลับอย่างกระทันหัน พร้อมกับการเผยตัวของดาวเทียมสอดแนมขนาดเล็ก

 

ดาวเทียมสอดแนมได้ทำการทดสอบสัญญาณและถ่ายภาพเฝ้าระวังป้อมปราการเฉินเตี้ยนเฮ่า

 

และในที่สุดมันก็ได้ข้อสรุป

 

และข้อสรุปที่ว่าของมัน ก็ถูกส่งผ่านอวกาศอันกว้างใหญ่ มุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก และตกลงบนสมองควอนตัมในเมืองหลวง ตรงทำเนียบประธานาธิบดี

 

“สำเร็จแล้ว! เทพธิดากงเจิ้งหยุดการทำงานไปแล้ว!”

 

สองนายพลตะโกนออกมาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข

 

กระทั่งสีหน้าเย็นชาของประธานาธิบดี ก็ยังดูสดใสขึ้นหลายส่วน

 

ตามแผนที่วางไว้ ทุกสิ่งจนถึงตอนนี้ กล่าวได้ว่าราบรื่นไปเสียทุกอย่าง

 

หากปราศจากซึ่งการแทรกแซงจากเทพธิดากงเจิ้ง การลงมือต่อต้านเก้าตระกูลใหญ่ก็จะสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น

 

ในฐานะผู้นำระดับสูงสุดของเผ่าพันธ์มนุษย์ แน่นอน พวกเขาย่อมรับรู้ว่าเก้าตระกูลใหญ่สามารถรับมือกับมอนสเตอร์เอกภพได้

 

แต่ถ้านรกได้มาถึง แล้วโลกทั้งใบจะเต็มไปด้วย ‘คนตาย’ ที่ไม่อาจฆ่าตายได้อีก ใครมันจะไปมัวเสียเวลาหวาดกลัวมอนสเตอร์เอกภพกัน?

 

–ช่วงเวลาแห่งความฝันที่เฝ้ารอคอยมานาน ในที่สุดก็มาถึงซักที!

 

“ดีมาก ระดมกำลังของคุณทันที เตรียมพร้อมโจมตีเก้าตระกูลใหญ่เต็มกำลัง” ประธานาธิบดีกล่าวสั่ง

 

“รับทราบ!”

 

นายพลทั้งสองตะเบ๊ะแบบทหาร ก่อนจะหมุนตัวกลับและเดินออกไปอย่างเร่งร้อน

 

กู่ฉิงซานยังคงนั่งนิ่ง มิได้เอ่ยอะไรออกมาเลย

 

ประธานาธิบดีมองเขา ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามอย่างช้าๆ

 

แม้ว่าจะนั่งลงบนโซฟา ทว่าหลังของเขายังยืดตรง ไหล่ขนานกันอยู่ในระดับแนวนอน ดวงตาของเขาไร้ซึ่งความสับสน ทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวตรงหน้ามิอาจพบถึงความผิดปกติได้แม้เพียงเล็กน้อย

 

ไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆบนใบหน้าของเขา ทั้งคนทั้งร่างราวกับก้อนภูเขาน้ำแข็งแสนเย็นชา

 

ประธานาธิบดีเปิดสมองควอนตัมของเขา และเริ่มจัดเตรียมการบางสิ่งอย่างต่อเนื่อง

 

ผ่านไปสักพัก เขาก็เปิดปากเอ่ยถามออกมา “แล้วเธอตัดสินใจว่ายังไง? ถ้าให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อฉัน ฉันจะให้เธอได้รับโอกาสที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเลยในชั่วชีวิตนี้”

 

“แล้วถ้าผมปฏิเสธที่จะให้คำมั่นล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“นักวิทยาศาสตร์ที่เต็มใจจะเป็นทาสของเก้าตระกูลใหญ่น่ะ รัฐบาลกลางไม่ต้องการหรอก”

 

สายตาของประธานาธิบดีเลื่อนผ่านกู่ฉิงซาน มุมปากของเขาเม้มเป็นเส้นตรงโดยไม่รู้ตัว

 

“ผมได้ลองคิดดูเกี่ยวกับมันแล้ว แต่ผมยังมีคำถามที่ต้องการจะถามคุณเสียก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

นี่ยังจะกล้าเจรจาขอเงื่อนไขอีกหรือ?

 

ดวงตาของประธานาธิบดีเผยประกายเย็นเยียบขึ้นหลายส่วน แม้จะยังไม่โกรธ แต่ทัศนคติขุ่นเคืองก็ปรากฏขึ้นบนสีหน้าเขาอย่างชัดเจน

 

และทัศนคติเช่นนี้ ย่อมสามารถทำให้คนธรรมดาหวาดกลัวจนขาสั่น มิอาจเอ่ยกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้

 

แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงเฝ้ามองท่านประธานาธิบดีอย่างเงียบๆ … ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากมันเลย

 

“ฉันจะให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้าย ถามมาสิ”

 

ประธานาธิบดีจ้องมองเขาและกล่าวออกมา

 

กระทั่งเวลานี้ ท่านประธานาธิบดีก็ยังคงนั่งนิ่งหลังเหยียดตรง

 

ไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือพูดอะไร หัวของเขาจะไม่สั่นไหว โยก หรือคล้อยตามง่ายๆ ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ใน ‘หัว’ ของเขา

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ช่วยบอกผมหน่อยเถอะ ว่าจริงๆแล้วท่านประธานาธิบดียังมีชีวิตอยู่อีกรึเปล่า?”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.326 – พบเจอ

 

“ฉันมีอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องรายงานต่อคุณ” เทพธิดากงเจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างกระทันหัน “เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางกองทัพของฟูซี เทพนักสู้ซางซ่งหยางจึงได้ออกจากทำเนียบประธานาธิบดี และตรงไปยังแนวหน้าแล้ว”

 

กู่ฉิงซานเผยท่าทีจริงจังขึ้นทันใด ปากเร่งเอ่ยถาม “แล้วท่านประธานาธิบดีล่ะ?”

 

“ประธานาธิบดีกำลังวุ่นอยู่กับกิจการต่างๆ เลยไม่มีเวลาที่จะทำการตอบรับการเชื่อมต่อของฉัน”

 

“ไม่ตอบรับการเชื่อมต่อของคุณอย่างงั้นหรอ … แล้วเขากำลังทำอะไรอยู่?”

 

“กำลังจัดเตรียมสามเหล่าทัพก่อนเริ่มสงคราม นอกจากนี้ ท่านประธานาธิบดียังเตรียมที่จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์ในอีกครึ่งชั่วโมงเพื่อทำการปลุกระดมรัฐบาลกลางก่อนเข้าสู่สงครามอีกด้วย”

 

ไม่มีใครสามารถทำใจเชื่อได้ว่าสองประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกกำลังจะก่อสงครามเต็มรูปแบบขึ้น

 

จะมีผู้คนนับไม่ถ้วนตกตายลงในสงครามครั้งนี้

 

“ในเมื่อเทพนักสู้ไปที่แนวหน้า .. ถ้าอย่างนั้นไม่ดีแน่ สถานการณ์ทางฝั่งท่านประธานาธิบดีคงจะไม่ปลอดภัย ฉันจะต้องรีบไปพบกับเขาเดี๋ยวนี้!” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาเคลื่อนกาย ทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

และรถเหินเวหาที่จอดรออยู่กลางอากาศก็เปิดประตูต้อนรับเขา ก่อนจะเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเมืองหลวงทันที

 

เนื่องจากบริเวณนี้คือป่าในแถบชานเมืองของเมืองหลวง ดังนั้นจึงใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงทำเนียบประธานาธิบดี

 

ในระหว่างที่กู่ฉิงซานกำลังซ่อมแซมดาเช่าหยิน เหลียวฮังก็นั่งรอเขาอยู่ในบ้าน

 

ขณะที่กำลังยกบุหรี่ขึ้นมาสูบ และเฝ้ารอกู่ฉิงซานจัดการเรื่องทั้งหมด แล้วจึงค่อยเอ่ยถามทุกสิ่งให้มันชัดเจน

 

แต่ใครจะรู้ จู่ๆกู่ฉิงซานกลับบินหนีไปซะอย่างงั้น

 

เหลียวฮังรีบดับบุหรี่ แล้วเปิดสมองควอนตัมติดต่อหากู่ฉิงซานทันที

 

“อ่าว แล้วนั่นแกจะรีบไปไหน แกยังไม่ได้มาอธิบายถึงเรื่องที่พึ่งพูดมาเลยนะ”

 

“เอาไว้ผมจะบอกคุณเรื่องนี้อีกครั้งในภายหลัง นี่เป็นสถานการณ์เร่งด่วน ผมจะต้องรีบไปพบกับท่านประธานาธิบดีทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

 

พร้อมกับการเชื่อมต่อที่ถูกตัดสายไป

 

“บ้าเอ๊ย!”

 

เหลียวฮังตบลงบนสมองควอนตัมของตัวเองอย่างแรง ปากตะโกนสบถเสียงดัง

 

“มีเรื่องอะไรงั้นหรอ?” เย่เฟย์หยูขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม

 

“ก็ฉันยังไม่ทันจะรู้ถึงความจริงของเรื่องราวทั้งหมดเลย ความรู้สึกแบบนี้เนี่ย สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้วมันทรมานแทบตายเลยนะ!”

 

เหลียวฮังหอบหายใจ กล่าวด้วยความหดหู่

 

“ถามหน่อยเถอะ ถ้าคุณรู้ไป แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา คุณจะไปทำอะไรได้?” เย่เฟย์หยูถามจี้จุด

 

เหลียวฮังจ้องมองอีกฝ่าย และมิอาจเอ่ยคำใดออกมาได้แม้จะผ่านไปแล้วสักพัก

 

เย่เฟย์หยู “ในเมื่อคุณมีเทคนิคฝึกยุทธเอาไว้ฝึกฝนอยู่แล้ว คุณก็ควรจะใช้เวลานี้เพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตัวเองนะ เผื่อว่าจะมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้น คุณจะได้ไปแก้แค้นด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องไปขอร้องรบกวนคนอื่นอีก”

 

“เฮอะ!” เหลียวฮังไม่ตอบ เขาเพียงแค่หันหลังแล้วเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูห้องเสียงดังปัง

 

เย่เฟย์หยูยืนนิ่ง ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาซักคำ

 

ในช่วงเวลานั้นเอง ผีหญิงสาวได้บินเข้ามา และพูดอะไรบางอย่างกับเขา

 

เย่เฟย์หยูหันไปมองเธอแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ที่ทำแบบนี้ฉันหวังดีกับเขานะ เขาแค่ต้องถูกกระตุ้นซักเล็กๆน้อยๆ ไม่อย่างนั้นถ้าถูกทิ้งห่างจากคนอื่นมากเกินไป ก็คงจะไม่มีใครช่วยอะไรเขาได้”

 

ส่วนตัวเย่เฟย์หยูเอง ก็เตรียมที่จะเรียนรู้วิชาลับที่ได้รับมาจากกู่ฉิงซาน เพื่อที่จะสามารถมองเห็นตัวหลิวชิจุนได้เสียที

 

หญิงสาวก้มลงข้างหูเขา และเอ่ยกระซิบบางสิ่งบางอย่าง

 

“เข้าใจแล้ว เอาไว้เธอรู้สึกดีขึ้นเมื่อไหร่ ฉันจะไปชักชวนเขาเอง”

 

…….

 

เหลียวฮังสัมผัสลงบนสมองควอนตัมของตัวเอง

 

“เทพธิดากงเจิ้ง”

 

“ฉันอยู่นี่ มิสเตอร์เหลียว”

 

“คุณจะต้องบอกฉันทันทีว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?”

 

เหลียวฮังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงรุนแรง แสดงท่าทีจริงจังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

“ฉันจำเป็นต้องเรียนถามใต้เท้ากู่ฉิงซานเสียก่อน” เทพธิดาตอบ

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก

 

เทพธิดากงเจิ้งก็บอกเล่าถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้

 

“มีหลายสิ่งเกิดขึ้นแท้ๆ แต่ทำไมคุณถึงไม่สามารถสังเกตเห็นถึงมันได้ล่วงหน้าล่ะ?” เหลียวฮังเอ่ยอย่างไม่พอใจ

 

“มิสเตอร์เหลียว ฉันก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกันถ้ามนุษย์ที่ตามหามีความสามารถมากพอที่จะหลบเลี่ยงอุปกรณ์เฝ้าระวังทุกชนิดน่ะ”

 

“แต่อย่างน้อยคุณก็ควรจะบอกเจ้ากู่ฉิงซานเกี่ยวกับเรื่องของถังจุน!” เหลียวฮังเริ่มเสียงดัง

 

“ไม่มีอะไรที่ฉันจะสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องของถังจุน” เทพธิดากล่าว

 

“ทำไม?”

 

“เพราะมืออาชีพที่ทรงพลังได้ลงมืออย่างรวดเร็ว มันไม่มีทางที่ฉันจะสามารถหยุดพวกเขาได้ ฉันเป็นแค่จักรกล ดังนั้นจึงไม่สามารถควบคุมความปรารถนาของมนุษย์ที่คิดจะก่ออาชญากรรมและการสังหารได้” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

“แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตมากมาย ทำไมแกถึงได้ไร้ความสามารถแบบนี้!” เหลียวฮังคำราม

 

แต่แล้วสมองควอนตัมก็ดับลงอย่างกระทันหัน

 

เทพธิดากงเจิ้งได้ทำการตัดการเชื่อมต่อลง

 

ณ ป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า

 

ข้อมูลทั้งหมดได้หายวับไปจากจอม่านแสงขนาดใหญ่

 

พร้อมกับท่าทีการแสดงออกร่ำไห้ที่ปรากฏขึ้น

 

ในส่วนลึกเข้าไปในเฉินเตี้ยนเฮ่า อุปกรณ์ทุกอย่างของแชมเปี้ยนส์ในเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ของแต่ละคนได้ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์

 

ไม่มีใครรู้ว่าเทพธิดากงเจิ้งทำได้อย่างไร

 

ท่าทีแสดงออกถึงการร่ำไห้ได้หายไปอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากนั้น ไม่กี่บรรทัดตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง

 

“โปรเจ็ค : ความลับสุดยอด”

 

“คนวงในที่มีสิทธิ์รู้เรื่องของโปรเจ็ค :  2 คน”

 

“ชื่อโปรเจ็ค : การวิจัยกฏเกณฑ์ขั้นสูงและการยับยั้งพลังงานของโลก”

 

“วิเคราะห์กระบวนการความก้าวหน้าของโปรเจ็ค”

 

“ข้อสรุป : การบวนการวิจัยนี้ได้ก้าวหน้าไปแล้วกว่า 31%”

 

“ระยะเวลาการของการวิจัยโดยประมาณ”

 

“หลังจากนี้อีก 564 ชั่วโมง หัวข้อโครงการนี้จะถูกปิดลง”

 

“พิจารณาจากข้อจำกัดด้านระยะเวลาที่ค่อนข้างเข้มงวด ดังนั้นจึงขอทำการเพิ่มการลงทุนในโครงการ นับจากนี้เป็นต้นไป”

 

……..

 

เหลียวฮังยืนอยู่อยู่ที่เดิม ปากอ้าหอบหายใจ

 

“คุณกล้าหาญไม่เลวเลยนี่ ถึงขั้นโกรธเทพธิดากงเจิ้งเป็นฟืนเป็นไฟ” เย่เฟย์หยูปรากฏตัวขึ้นในห้องนั่งเล่น เอ่ยหยอกล้อ

 

เหลียวฮังหลับตาลงและถอนหายใจอย่างหงุดหงิด “ฉันอาจจะหยาบคายไปบ้างจริงๆ แต่ก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก เพราะยังไงมันเป็นแค่จักรกลนี่ …. ”

 

“ปล่อยให้กู่ฉิงซานเป็นคนจัดการเถอะ” เย่เฟย์หยูช่วยปลอบอีกฝ่าย “เจ้าเด็กนั่นแข็งแกร่งมาก แกร่งยิ่งกว่าแต่ก่อนสุดๆ ชนิดที่เรียกได้ไม่ชอบมาพากลเลยทีเดียว แต่ถ้าหากปล่อยให้เขาลงมือ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

 

“แน่นอนว่ามันไม่เป็นปัญหา แต่ในฐานะตัวฉันเป็นถึงนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะอันแสนโดดเด่น แต่ตัวเองกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย ความรู้สึกแบบนี้มัน … ” เหลียวฮังถอนหายใจ

 

ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะกำลังนึกถึงบางสิ่ง ท่าทีการแสดงออกของเขาเผยถึงความโศกเศร้าที่ไม่อาจพรรณนาออกมาได้

 

“คุณไม่เป็นไรนะ” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามด้วยความกังวล

 

พอคิดเกี่ยวกับมัน เขาก็เดินไปหยิบขวดเหล้า และเทมันลงสองจอก

 

จากนั้นทั้งสองก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น

 

ยกจอกขึ้นชนกัน

 

เย่เฟย์หยูเติมเหล้าให้จอกของเหลียวฮัง ก็จะเริ่มรินให้ตัวเองอีกจอกหนึ่ง

 

ในที่สุดสีหน้าของเหลียวฮังก็ค่อยดูดีขึ้น

 

อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมา “เออ ขอบใจสำหรับเหล้าดีๆนะ”

 

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอก ผู้ชายอย่างเราๆ ก็มีบ้างเป็นบางครั้งที่จะคิดมากเกี่ยวกับตัวเอง อย่าอารมณ์เสียไปเลย” เย่เฟย์หยูกล่าวพลางผุดลุกขึ้น

 

“นั่นแกจะไปไหนน่ะ?” เหลียวฮังเอ่ยถาม

 

“ไปฝึกยุทธกับแฟน”

 

เย่เฟย์หยูกล่าวต่อ “หลังจากที่ผมเริ่มฝึกยุทธ ผมก็ได้ค้นพบถึงความลึกลับของวิวัฒนาการ แถมยังค้นพบวิธีการโจมตีใหม่ๆอีกด้วย เวลานี้น่ะนะ พูดได้เลยว่าบนโลกใบนี้เหลืออีกไม่กี่คนแล้วล่ะที่ยังสามารถเอาชนะผมได้”

 

เขาหมุนตัวกลับและเดินจากไป

 

เหลียวฮังนิ่งงันไปครู่หนึ่ง

 

แล้วจู่ๆเขาก็วางจอกเหล้าลง และกลับไปที่ห้องของตัวเอง

 

เหลียวฮังนั่งลงบนเตียง ยืดหลังตรง หยิบหนังสือเทคนิคฝึกยุทธขึ้นมาเปิด และเริ่มต้นอ่านมันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

“เจ้าพวกนี้มันเรียบง่าย เป็นเรื่องง่ายดายมากๆ … ถึงแม้ร่างกายของฉันจะอ่อนแอ แต่จะต้องแซงแกได้แน่ๆ”

 

เขาบ่นพึมพำ

 

บนท้องฟ้า ฝนโปรยปรายมิเคยหยุด

 

มันเย็นฉ่ำร่วงโรยอยู่ท่ามกลางสายลม

 

ณ ทำเนียบประธานาธิบดี

 

บริเวณสนามหญ้า

 

ประธานาธิบดียืนอยู่ที่นั่น สองมือของเขาไขว้หลัง และกำลังเฝ้ารออย่างเงียบๆ

 

โดยมีบุคลากรร่างกายกำยำสูงใหญ่ช่วยถือร่มให้แก่เขา

 

พร้อมด้วยหน่วยสืบราชการลับที่แยกย้ายกันอยู่ในบริเวณรอบๆ

 

เปรี้ยง! ท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง ปรากฏกระแสแสงเส้นหนึ่งวูบตรงเข้ามา

 

รถเหินเวหาของกู่ฉิงซานค่อยๆลดระดับลงจากท้องฟ้า

 

ประตูรถเหินเวหาเปิดออก

 

พร้อมกับกู่ฉิงซานที่เดินลงมา

 

ประธานาธิบดียืนอยู่ที่นั่นและยื่นมือของออกไป

 

ทั้งสองจับมือเชคแฮนกัน

 

“ฝนตกหนักขนาดนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องออกมารอรับผมก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์ ท่านประธานาธิบดีได้ใช้ร่างโคลนเป็นตัวตายตัวแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการลอบสังหารจากเก้าตระกูลใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน

 

แม้จะแก่ แต่เขาก็เป็นชายที่แก่ไปด้วยประสบการณ์ และมีจิตใจที่แข็งแกร่งจริงๆ

 

“งานของฉันค่อนข้างยุ่ง เลยคิดว่าจะใช้โอกาสนี้พักหายใจมันซะเลยน่ะ” ประธานาธิบดีกล่าว

 

ใบหน้าของเขาดูหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกิจการของทางรัฐที่ยุ่งมาก หรือเป็นเพราะสงครามที่กำลังใกล้เข้ามากันแน่

 

ทั้งสองเดินจากสนามหญ้า กลับเข้าไปในคฤหาสน์

 

ประตูไม้ขนาดใหญ่ปิดลง ทิ้งลมและฝนเอาไว้เบื้องหลังพวกเขา

 

เมฆที่แขวนอยู่บนฟากฟ้าแลคล้ายกับสีตะกั่ว ส่งเสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้อง

 

สวรรค์และโลกตกลงสู่ความมืดมิด

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.325 – ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม

 

ณ วังโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย

 

บริเวณโดยรอบไร้ซึ่งผู้คน หลงเหลือแค่จักรพรรดินีที่กำลังยืนอยู่ข้างบัลลังก์เพียงลำพัง

 

เธอลูบไล้มันด้วยความคะนึงหา บนใบหน้าแสดงถึงความโศกเศร้า

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็หยิบเอาสมองควอนตัมส่วนบุคคลของตนขึ้นมา และเปิดหน้าต่างพร้อมพรมนิ้วพิมพ์รหัสบางอย่างยาวเหยียด

 

แล้วหน้าต่างก็เด้งออก ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนไป

 

นี่คือพื้นที่ห้องแชทแบบพิเศษ

 

ไม่มีใครรู้ว่าถึงการดำรงอยู่ของมัน เว้นไว้เพียงแต่องค์จักรพรรดิฟูซีและเธอ

 

มันเป็นความลับของเขาและเธอเท่านั้น

 

จักรพรรดินีมองไปยังสมองควอนตัม ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ครั้งสุดท้ายที่ท่านกล่าวว่าวังนี้มันเก่าแล้ว คิดใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยในการซ่อมแซม ยามนั้นข้าไม่เห็นด้วยและถึงขั้นโกรธเคืองท่าน”

 

“แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ทุกที่ๆท่านต้องการจะซ่อมแซมมันในอนาคตนับจากนี้ ข้าจะไม่คิดห้ามปรามใดๆอีก”

 

“บางครั้งบางคราว ท่านต้องการจะออกจากสาธารณรัฐไปเที่ยวพักผ่อน ข้าเคยดุด่าท่านว่าอย่าทำอะไรที่มันไม่มีความรับผิดชอบต่อประเทศแบบนั้น”

 

“ … หากยังมีโอกาสอีกครั้งในอนาคต ไม่ว่าท่านต้องการจะไปที่ใด ข้าก็จะร่วมเตร็ดเตร่ไปด้วยกันกับท่าน ไม่คิดก้าวก่ายหรือขัดขวางอีก”

 

“กระทั่งเรื่องผู้หญิงคนอื่นๆของท่าน ที่ข้าไม่ยินยอมให้เปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณะ ข้าก็จะยอมเก็บมันมาคิดทบทวนอีกครั้งเพื่อท่าน”

 

“วันพรุ่ง ข้าจะเป็นคนพาตัวเธอเข้าวังด้วยตนเอง”

 

จักรพรรดินีปาดหางตาของเธอ และกล่าว “ขอเพียงแค่ท่านกลับมา .. จะได้ไหม?”

 

เธอเฝ้ามองไปยังสมองควอนตัมแบบลืมหายใจ ทุกสิ่งอย่างจมลงสู่ความเงียบ

 

ทว่าบนสมองควอนตัมกลับว่างเปล่า

 

หลังจากเฝ้ารอกว่าหลายสิบลมหายใจ ทันใดนั้นหนึ่งบรรทัดตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นบนสมองควอนตัม

 

“โรน่า หากเจ้าตายแล้วปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในนรก ข้าจะทำให้เจ้ากลายมาเป็นจักรพรรดินีแห่งข้าอีกคราเอง”

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ณ รัฐบาลกลาง

 

ในพื้นที่เปิดโล่งตรงส่วนหน้าของวิลล่า

 

กู่ฉิงซานได้วางอุปกรณ์สื่อสารลง

 

‘สงคราม’

 

สงครามระหว่างสองมหาอำนาจกำลังจะปะทุขึ้น

 

จะมีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนถูกฆ่าตายในสงครามครั้งนี้

 

และเมื่อจำนวนผู้ตายเพิ่มมากขึ้น นั่นย่อมหมายถึงปราณแห่งความตายที่ทวีความหนาแน่นเป็นเงาตามตัว ช่วยสนับสนุนให้นรกเยือกแข็งแพร่กระจายได้เร็วยิ่งขึ้น

 

เมื่อไฟแห่งสงครามลุกโชน โลกใบนี้ก็จะเปรียบดั่งสวรรค์ของเหล่าคนตาย

 

แม้กระทั่งเก้าตระกูลใหญ่ก็ไม่มีวิธีที่จะต่อกรกับนรกเยือกแข็งได้

 

การที่องค์จักรพรรดิเลือกที่จะก่อสงครามในเวลานี้ ย่อมสามารถอธิบายได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

 

นั่นคือเขาได้หันหลังให้แก่มนุษยชาติโดยสมบูรณ์ และเลือกที่จะยืนอยู่เคียงข้างบรรพบุรุษของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

–องค์จักรพรรดิต้องการที่จะขึ้นปกครองโลกทั้งใบที่เต็มไปด้วยซากศพกระนั้นหรือ?

 

กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจอย่างเงียบๆ

 

เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่สนใจกับปัญหาใดๆเป็นการชั่วคราว และหันกลับมาซ่อมแซมดาบเช่าหยินก่อนเป็นอันดับแรก

 

ท้ายที่สุดแล้ว มันยังคงหลงเหลืออีกเพียงแค่สองขั้นตอน และเช่าหยินก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ในที่สุด

 

สถานการณ์ได้กลายเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างไม่น่าเชื่อ และตัวกู่ฉิงซานจะต้องเร่งปลุกขอบเขตนักดาบนิรันดร์ของตนให้ตื่นขึ้นมาให้จงได้

 

เขาเริ่มต้นทำการซ่อมแซมดาบเช่าหยินอีกครั้ง

 

สองมือที่จีบออก เริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้น

 

นี่เป็นสถานการณ์เร่งด่วน เขาจะชักช้าไม่ได้

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก

 

จู่ๆก็บังเกิดหมอควันสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมาจากเตาหลอมสีแดง

 

ฟุ่มมมมม!

 

เมื่อน้ำและไฟปะทะกัน เตาหลอมก็ดับลงทันที

 

บังเกิดกระแสไอเย็นวิ่งไหลผ่านออกมาจากเตาหลอม พวยพุ่งขึ้นเบื้องบน

 

ในอากาศ หมอกละอองน้ำเริ่มปรากฏมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

หลังจากที่หมอกละอองกระจายตัวออกไป หุบเขาทั้งใบก็ถูกปกคลุมไปด้วยไอน้ำ

 

พร้อมกับร่างของปลาขนาดเล็กที่เวียนว่ายอยู่ในนั้น ลอยล่องอย่างอิสระเสรี

 

เมื่อมันค้นพบกู่ฉิงซาน มันก็แกว่งหางไปมา และว่ายลงไปวนรอบตัวเขา

 

ผ่านไปอีกไม่กี่ลมหายใจ กระแสไอน้ำก็บินกลับลงสู่เตาหลอม และแปรสภาพกลายเป็นดาบยาว

 

ในเสี้ยววินาที หมอกละอองน้ำทั้งหมดก็พลันหายวับไป

 

ปลาเล็กที่ว่ายอยู่รอบตัวกู่ฉิงซานกลับไปตกลงบนดาบยาว พร้อมกับการปรากฏขึ้นของสองตัวอักษรจีนบนด้ามจับของมัน

 

ช่วงเวลาต่อมา ใบดาบของเช่าหยินก็เปล่งประกายแสงสดใส

 

แสงเหล่านี้ถูกควบรวมกับเป็นสี่ตัวอักษร ฝังลึกลงไปในใบดาบ

 

และแสงจากตัวอักษรก็ค่อยๆจางหายไป

 

ดาบยาวกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

 

ทว่านานๆที หากเฝ้าสังเกตดู คุณก็จะพบว่าตัวดาบกำลังปลดปล่อยไอหมอกออกมาในชั้นอากาศบ้างเป็นครั้งคราว

 

ดาบยาวดีดตัวออก และไปตกลงในมือของกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานยกตัวดาบขึ้น และเฝ้ามองดูรูปลักษณ์ของดาบเช่าหยินอย่างใกล้ชิด

 

ตัวอักษรทั้งสี่บนใบดาบได้ถูกซ่อนเอาไว้ หายไปจากสายตาแล้ว

 

หลงเหลือเพียงสองตัวอักษรที่ยังคงสลักไว้อยู่บนด้ามจับ

 

สองตัวอักษรเหล่านี้คือ ‘เช่าหยิน’ (เสียงคลื่นกระทบ) ตามที่ระบบได้อธิบายไว้ตั้งแต่แรกแล้วนั่นเอง

 

ถ้าอย่างงั้น แล้วสี่ตัวอักษรที่ฝังลงไปในใบดาบมันคืออะไรกัน?

 

กู่ฉิงซานหันไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

แน่นอนว่ามันมีบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏอยู่

 

“ดาบจากโบราณกาลอันไกลโพ้น ชื่อของมันคือดาบเช่าหยิน”

 

“ในสมัยโบราณ โลกเทวะนั่นเปี่ยมไปด้วยมหาสมุทรอันไร้ที่สิ้นสุด และยามเมื่อทวยเทพได้จากไป พวกเขาก็ได้ทิ้งดาบเล่มนี้ลงในสี่ห้วงสมุทร”

 

“ผู้ที่ได้ครอบครองดาบเล่มนี้จะถือว่าเป็นราชาแห่งท้องทะเล”

 

“ดาบเล่มนี้มีจิตอาร์ติแฟค พลังศักดิ์สิทธิ์ : ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม”

 

มหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม?

 

พลังศักดิ์สิทธิ์นี่มันอะไรกัน?

 

กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถามระบบ

 

ติ๊ง!

 

“พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับทวยเทพมิอาจบอกบรรยายได้ ขอให้ผู้เล่นโปรดจงเอ่ยถามไถ่กับจิตอาร์ติแฟคด้วยตัวเอง”

 

กู่ฉิงซานชะงักงัน

 

หากขบคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับมัน ในตอนที่เขาได้รับดาบพิภพ นางเซียนไป่ฮั่วก็ได้อธิบายถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของดาบพิภพเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานยกดาบเช่าหยินขึ้นและเอ่ยถาม “ความหมายของก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทมคืออะไรกัน?”

 

สี่ตัวอักษรที่ถูกซ่อนไว้ในใบดาบพลันสว่างขึ้น

 

กู่ฉิงซาน “ฉันรู้ถึงความหมายของทั้งสี่ตัวอักษรนี้ดี แต่ฉันไม่เข้าใจถึงกระบวนการทำงานของมัน”

 

ดาบเช่าหยินเปล่งเสียงฉวัดเฉวียนด้วยความตื่นเต้น

 

“ไม่จำเป็นต้องถามหรอก จิตอาร์ติแฟคนี้บางทีอาจจะไม่สามารถสื่อสารเป็นคำพูดได้ตั้งแต่กำเนิด” ดาบพิภพที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เปล่งเสียงออกมา

 

“เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“จิตอาร์ติแฟคบางชิ้นจะไม่สามารถพูดได้ นี่นับว่าเป็นเรื่องปกติ เจ้าจะต้องค่อยๆรับรู้ถึงความหมายที่มันพยายามจะบอก และค่อยๆสื่อสารกับมันไปอย่างช้าๆ” ดาบพิภพกล่าว

 

กู่ฉิงซานจู่ๆก็พลันนึกถึงบางสิ่งได้อย่างกระทันหัน

 

“จริงสิ” เขาหันไปเอ่ยถามดาบพิภพ “ตอนนั้นเจ้าทราบได้อย่างไรว่ามอนสเตอร์ตัวนั้นเป็นผู้คุมวิญญาณจากปรภพ”

 

“ผู้คุมวิญญาณเป็นตัวตนที่ต่ำต้อยที่สุดในปรภพ” ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ “ข้าสามารถสื่อสารกับเทพวิญญาณจากโลกอื่นได้ ดังนั้นข้าจึงย่อมรับรู้ถึงตัวตนของพวกมันได้เป็นธรรมดา”

 

กู่ฉิงซานระลึกย้อนไปถึงคำอธิบายของดาบพิภพ

 

“ดาบพิภพ น้ำหนัก 86.37 ล้านจิน มีจิตอาร์ติแฟค พลังศักสิทธิ์ : สามารถควบคุมและแบกรับน้ำหนักของตนเองได้”

 

“นี่คือดาบจากสมัยโบราณกาลอันไกลโพ้น ที่ยอมเสียสละให้แก่สวรรค์และโลก และมันสามารถสื่อสารกับเหล่าเทพวิญญาณได้”

 

ที่แท้นั่นก็เป็นเรื่องจริง

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าและเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “หากเจ้าสามารถสื่อสารกับเทพวิญญาณได้ แล้วเจ้าใช้วิธีใดในการสื่อสารกับเทพวิญญาณ?”

 

“ก็สื่อสารเหมือนกับในตอนที่ทำกับผู้คุมวิญญาณไง” ดาบพิภพกล่าว

 

กู่ฉิงซานตบลงบนหน้าผากตนเอง พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

 

นี่มันสมกับเป็นวิธีการสื่อสารด้วยดาบจริงๆ

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ … แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากเจ้าพบเจอกับวิญญาณที่ทรงพลัง?”

 

“ก็หนีน่ะสิ”

 

“ … ”

 

“ข้าได้หลบซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่าอย่างทุกข์ระทมมาเป็นเวลากว่าหนึ่งหมื่นปี และหากว่าข้ายังเผยตัวมากเกินความจำเป็น มันอาจกระตุ้นความสนใจจากเหล่าเทพวิญญาณได้” ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ

 

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

เห็นแค่เพียงเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้น มันคือภารกิจใหม่

 

“ภารกิจแรก : ได้รับสองดาบ (เสร็จสมบูรณ์)”

 

“ตอนนี้คุณจึงก้าวเข้าสู่ภารกิจที่สอง : สองมือชี้นำ”

 

“วัตถุประสงค์ภารกิจ : รวบรวมสองดาบให้เข้าสู่ทะเลแห่งห้วงสติโดยสมบูรณ์”

 

“เริ่มต้นภารกิจได้”

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองมัน และพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

การเก็บดาบในทะเลแห่งห้วงสติ คือพื้นฐานของนักดาบนิรันดร์

 

ดังนั้นภารกิจนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องบรรลุ

 

ดาบพิภพสามารถเก็บเข้าสู่ทะเลแห่งห้วงสติได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว และดาบเช่าหยินแต่เดิมก็เช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ดาบเช่าหยินถูกหลอมและซ่อมแซมใหม่ ส่งผลให้มันก็ยังอยู่ในขั้นตอนการทำความคุ้นเคยกับตัวเขา

 

มันเทียบเท่ากับดาบเล่มใหม่ที่ทรงพลานุภาพ ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงไม่สามารถทำให้มันเข้าสู่ทะเลแห่งห้วงสติได้ในทันที

 

มันคงจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน จึงจะสามารทำความคุ้มเคยกับดาบนี้ได้

 

เพียงแค่วันเดียว ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

 

กู่ฉิงซานวางเรื่องภารกิจต่อเนื่องลงชั่วคราว และหันความสนใจกลับเข้าสู่สถานการณ์จริง

 

“เทพธิดากงเจิ้ง” เขาเอ่ยเรียก

 

“ฉันอยู่นี่”

 

“คุณสามารถเจาะเข้าไปในระบบของม่านเหล็กได้ไหม?”

 

“ม่านเหล็กและเครือข่ายอื่นๆของฟูซีถูกตัดขาดการเชื่อมต่อโดยสมบูรณ์ และไม่เคยรับข้อมูลข่าวสารใดๆจากภายนอกเลย มีเพียงสมาชิกราชวงศ์ฟูซีเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ระบบได้ ดังนั้นฉันจึงไม่มีทางทำได้” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วทิศทางคำสั่งของม่านเหล็กสามารถถ่ายโอนได้ไหม?”

 

“ไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าผู้บังคับม่านเหล็กลำดับที่หนึ่งจะถูกสังหารลง”

 

“แล้วใครคือผู้มีสิทธิ์บังคับม่านเหล็กลำดับที่สอง”

 

“จักรพรรดินีฟูซี”

 

“หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้นที่มีอำนาจการบัญชาม่านเหล็ก และหากมีใครบางคนฆ่าองค์จักรพรรดิ อำนาจสั่งการม่านเหล็กก็จะถูกปลดล็อคและส่งต่อ .. ถูกต้องไหม?”

 

“ถูกต้อง”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online EP.324 – ม่านเหล็ก

 

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังขบคิด สมองควอนตัมของเขาก็พลันส่องสว่างขึ้น

 

“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นหรือพะยะค่ะ” กู่ฉิงซานถาม

 

“ข้าแค่จะมาบอกเจ้าเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และเจ้าต้องห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด” จักรพรรดินีลดเสียงของเธอลง

 

ปลายสายมีเพียงความเงียบงัน สามารถได้ยินแค่เพียงเสียงของเธอเท่านั้น

 

ดูเหมือนว่าจะพระองค์จะปลีกตัวออกจากทุกคน แยกตัวออกมาพูดคุยกับกู่ฉิงซานเพียงลำพัง

 

“ฝ่าบาทเชิญกล่าว” กู่ฉิงซานตอบ

 

“ ‘ม่านเหล็ก’ได้ปิดกั้นสิทธิ์อำนาจของข้า” เสียงของจักรพรรดินีฟังดูเหมือนกำลังหวาดกลัว

 

‘ม่านเหล็ก’  คือสมองกลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสาธารณรัฐฟูซี แต่ฟูซีมิเคยได้ใช้มันเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน

 

ม่านเหล็กมีบทบาทเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งนั่นก็คือการปรับใช้อำนาจทางการทหารของประเทศ

 

ราชวงศ์จะใช้ม่านเหล็กเพื่อสั่งการกองทัพกองทัพทั้งสามเหล่า นำไปปรับใช้ในการสงคราม

 

เมื่อม่านเหล็กถูกเปิดใช้งาน กองกำลังทั้งหมดจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของม่านเหล็กอย่างไม่มีเงื่อนไข มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกลงโทษฐานกบฏ!

 

“แล้วอำนาจสิทธิ์อำนาจของคนอื่นๆ นอกเหนือจากท่านล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที

 

“นอกเหนือจาก ‘เขา’ สิทธิ์อำนาจของคนอื่นๆทั้งหมดล้วนถูกยกเลิก ไม่สามารถสั่งการได้” จักรพรรดินี

 

‘เขา’ ที่ว่านั่นก็คือจักรพรรดิแห่งฟูซี

 

หัวใจของกู่ฉิงซานจมดิ่งสู่หุบเหวอันไร้ก้นบึ้งในจิตใจ

 

อำนาจสูงสุดในการสั่งการม่านเหล็กเป็นของจักรพรรดิฟูซี แต่พระองค์กลับใช้อำนาจสูงสุดที่ว่านั่น ทำการยกเลิกสิทธิ์อำนาจของผู้อื่น!

 

ตอนนี้เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่มีสิทธิ์สามารถบังคับบัญชากองกำลังทหารทั้งหมดของสาธารณรัฐฟูซี

 

“ผมเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างงั้นเอาไว้พวกเราจะติดต่อกันอีกครั้ง หรือถ้ามีเรื่องอะไรคืบหน้าก็ขอให้รีบติดต่อผมทันทีก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลาง จริงหรือไม่?” จักรพรรดินีถาม

 

“พวกเราเป็นมิตรกัน”

 

“เช่นนั้น ในกรณีที่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เจ้าต้องช่วยข้า” จักรพรรดินีกล่าว

 

“กระหม่อมยังยืนยันคำเดิมว่าจะช่วยฝ่าบาท ขอทรงโปรดวางใจ”

 

แล้วปลายสายก็ถอนการติดต่อไป

 

แม้ว่าจักรพรรดินีเวโรน่าจะไม่ได้เป็นป้าของแอนนา แต่กู่ฉิงซานก็ยังคงจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือเธออยู่ดี

 

เพราะองค์จักรพรรดิคิดก่อสงคราม แต่จักรพรรดินีคิดสนับสนุนสันติภาพ นั่นหมายความว่าเธอเป็นกำลังสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของสาธารณรัฐฟูซี

 

กู่ฉิงซานก้าวออกจากห้องเย่เฟย์หยู

 

เขาก้าวเดินออกมาจากวิลล่าบนหุบเขา ก่อนจะยืนนิ่งอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งหน้าวิลล่า

 

การหลอมกลั่นอาวุธ จำเป็นต้องใช้เตาหลอม เครื่องพ่นลม ค้อนหลอม คีมคีบ และหินลับดาบ

 

ภารกิจเนื้อเรื่องจุดจบของโลกได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว นั่นหมายความว่าเขาสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณเร่งการซ่อมแซมดาบเช่าหยินให้ไวยิ่งขึ้นได้

 

ทีนี้ ก็มาถึงช่วงเวลาที่เขาว่างพอดี มาดูกันว่าเขาจะสามารถซ่อมแซมดาบเช่าหยินได้หรือไม่

 

‘บงการดาบ’ อย่างน้อยจำเป็นต้องใช้ดาบสองเล่ม เพื่อที่จะบรรลุทั้งโจมตีและป้องกันให้รวมเป็นหนึ่งเดียว

 

นรกกำลังย่างกรายเข้ามาแล้ว กู่ฉิงซานจำต้องพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของเขาให้ได้มากที่สุด

 

เขาหยิบถุงเครื่องหอมสีสันสดใสขึ้นมา และกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป

 

ภายในส่วนที่เก็บของสำรองของนิกายร้อยบุปผา รายการสิ่งของต่างๆค่อนข้างจัดวางไว้อย่างยุ่งเหยิง

 

มีสิ่งของอยู่เป็นจำนวนมาก และบางชนิดถูกแกะสลักด้วยชื่อของนิกายและชื่อส่วนตัวของผู้คน

 

กู่ฉิงซานไม่ทราบว่านางเซียนไป่ฮั่วโค่นอีกฝ่ายลงหรือ ‘โด้’ มันมาจากอีกฝ่ายกันแน่ แต่โดยสังเขปแล้ว สิ่งเหล่านี้กองพะเนินรวมกันอย่างลวกๆ ซ้อนทับกันจนยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ

 

หากคิดจะค้นหาบางสิ่งจากภายนนี้ เกรงว่าจำเป็นต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานรู้สึกปวดหัวทุกครั้งที่เขาต้องมาค้นหาของที่นี่

 

ต่อจากนี้ไป หากมีเวลาว่าง เขาจะต้องจัดการเก็บกวาดสิ่งต่างๆภายในนี้ให้เรียบร้อยให้จงได้ … กู่ฉิงซานลอบสาบานอย่างลับๆ

 

หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดเขาก็สามารถรวมรวบชุดเครื่องมือในการหลอมกลั่นทั้งหมดออกมาได้อย่างสมบูรณ์

 

ส่วนวิธีการซ่อมแซมดาบ เขาได้ทำการเรียนรู้มันมาแล้วในก่อนหน้านี้

 

ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมแล้ว เหลือแค่ในส่วนของการซ่อมแซม

 

ไม่จำเป็นต้องรีรอให้กู่ฉิงซานเรียก ดายเช่าหยินก็ดึดตัวออกมาจากความว่างเปล่าโดยอัตโนมัติ และทิ้งตัวนอนลงใกล้กับเตาหลอมด้วยความตื่นเต้น

 

มันพลิกตัวไปมา กลิ้งวนไปรอบๆ

 

“อย่างพึ่งรีบร้อนไป ช่วยใจเย็นๆลงก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ดาบเช่าหยุดหยุดกึก

 

อย่างไรก็ตาม แม้มันจะยอมนอนนิ่งลงแล้ว แต่กลับเกิดเสียงกริ๊งๆขึ้นเล็กๆน้อยๆจากเตาหลอม

 

กู่ฉิงซานเบนสายตาไปสังเกตอย่างตั้งใจ

 

เห็นแค่เพียงดาบเช่าหยินที่นอนนิ่งอยู่บนเตาหลอม กำลังสั่นสะท้านเล็กน้อยอย่างมิอาจควบคุมได้

 

“ไม่ต้องกังวลไป ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นอะไร” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง

 

เขาได้ทำการเรียนรู้วิธีการหลอมกลั่นมามากมายแล้ว ดังนั้นนี่นับว่าย่อมไม่เป็นสิ่งใด

 

สองมือของกู่ฉิงซานขยับไหว จี้นิ้วออกไปอย่างว่องไว กระตุ้นพลังวิญญาณ ย้ายมันไปที่เตาหลอม และเตาหลอมก็สว่างขึ้นในทันใด

 

วัสดุนับสิบถูกโยนออกไปโดยเขา และทั้งหมดก็ลอยล่องอยู่กลางอากาศโดยสมบูรณ์

 

เมื่ออุณหภูมิในเตาหลอมถึงองศาที่ต้องการ กู่ฉิงซานก็ทำการเลือกวัสดุเจ็ดชนิดในรายการซ่อมแซมตาม ใส่พวกมันลงไปตามลำดับ

 

ตอนนี้ มันจำเป็นต้องใช้ความอดทน เฝ้ารอให้วัสดุที่พึ่งใส่ลงไปกลายเป็นของเหลว

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลากหลายบรรทัดเส้นแสงปรากฏขึ้นมา

 

“ผู้เล่นสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณในการเร่งกระบวนการซ่อมแซมดาบเช่าหยินได้”

 

“ค้นพบว่าผู้เล่นกำลังหลอมละลายวัสดุอยู่ ผู้เล่นต้องการที่จะเร่งความเร็วในกระบวนการหลอมหรือไม่?”

 

“ต้องการสิ” กู่ฉิงซานตอบรับทันที

 

“จำเป็นต้องจ่าย 3 แต้มพลังวิญญาณต่อการเร่งความเร็ว  1 ชั่วโมง , จ่าย 5 แต้มพลังวิญญาณต่อการเร่งความเร็ว 2 ชั่วโมง , จ่าย 10 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อเร่งกระบวนการหลอมละลายให้เสร็จทันที”

 

“ขอเลือกหลอมละลายทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ในเตาหลอม ความเข้มข้นของไฟปะทุขึ้นในทันใด วัสดุเจ็ดชนิดถูกหลอมละลายเข้าด้วยกัน กลายเป็นกลุ่มก้อนของเหลวที่มีเจ็ดสี

 

กู่ฉิงซานใส่ดาบพิภพลงไปในเตาหลอม

 

เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปอย่างระมัดระวัง ทำการควบคุมของเหลวเจ็ดสี และผสานมันลงบนดาบเช่าหยินโดยสมบูรณ์

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรเด้งเตือนออกมาอีกครั้ง

 

“จำเป็นต้องใช้เวลาสามวัน วัสดุจึงจะสามารถหลอมรวมเข้ากับใบดาบได้อย่างเต็มที่ ผู้เล่นต้องการเร่งความเร็วในกระบวนการนี้หรือไม่?”

 

“ฉันต้องการ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“จ่าย 10 แต้มพลังวิญญาณต่อการเร่งความเร็ว 1 วัน , จ่าย 20 แต้มพลังวิญญาณต่อการเร่งความเร็ว 2 วัน , จ่าย 30 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อเร่งกระบวนการให้เสร็จทันที”

 

“ขอเลือกทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต้มพลังวิญญาณถูกใช้ออกไปแล้ว” ระบบกล่าว

 

เห็นแค่เพียงภายในเตาหลอม ของเหลวเจ็ดสีจมลงไปในใบดาบเช่าหยินอย่างรวดเร็ว

 

ต่อมาคือการเตรียมการวัสดุชิ้นอื่นๆ

 

“ค้นพบว่าผู้เล่น … ”

 

“รอเดี๋ยวนะ” กู่ฉิงซานขัดจังหวะระบบ

 

“คุณไม่สามารถให้ฉันจ่ายพลังวิญญาณไปรวดเดียวเลยไม่ได้หรือ? ย่างเนื้อกินทั้งที จะหั่นมันทีละชิ้น ทีละชิ้นเล็กๆทำไม โยนลงไปทีเดียวเลยเถอะ  แบบนี้มันขัดอารมฉันมากเกินไป” เขาเอ่ยประท้วง

 

ระบบเงียบไปครู่หนึ่งและตอบว่า “เนื่องจากได้รับฟังทัศนคติที่แสนร้อนรุ่มของผู้เล่น ระบบจึงได้ทำการมัดรวมกระบวนการทั้งหมดในครั้งเดียว โดยผู้เล่นจะต้องจ่าย 560 แต้มพลังวิญญาณ ผู้เล่นต้องการเร่งกระบวนการทั้งหมดซ่อมแซมดาบหรือไม่”

 

“ถ้าเร่งแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เมื่อคุณทำการเริ่มต้นกระบวนการซ่อมแซมดาบ ไม่ว่าจะชั้นตอนใดก็ตาม ขั้นตอนที่ว่านั่นก็จะเสร็จสิ้นลงในทันที” ระบบกล่าวตอบ

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองแต้มพลังวิญญาณของตัวเอง

 

“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ 5560/300”

 

“ 560งั้นหรอ? ดีล่ะ จัดไปแล้วฉันจ่ายเต็มๆแบบไม่ต้องทอน” เขากล่าว

 

“ผู้เล่นยืนยันที่จะจ่าย 560 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อเร่งความเร็วกระบวนการทั้งหมดในการซ่อมแซมดาบหรือไม่?”

 

“ยืนยัน”

 

……

 

แน่นอนว่าหลังจากจ่าย 560 แต้มพลังวิญญาณแล้ว ความเร็วในการซ่อมแซมดาบเช่าหยินก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

 

หลังจากนั้นอีกหนึ่งส่วนสี่ชั่วโมงต่อมา

 

มองไปยังดาบเช่าหยินที่เหลืออีกเพียงไม่กี่ขั้นตอนก็จะสมบูรณ์ จู่ๆอุปกรณ์สื่อสารของกู่ฉิงซานก็สั่นขึ้น

 

แต่กู่ฉิงซานไม่สนใจมัน เพราะเขาต้องการที่จะซ่อมแซมดาบเช่าหยินให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน มิอาจปล่อยให้มันช้าลงได้แม้เพียงหนึ่งลมหายใจ เขาจึงละเรื่องอื่นๆเอาไว้ทีหลัง

 

แม้อุปกรณ์สื่อสารจะดังขึ้นกว่า 4-5 ครั้ง แต่เขาก็ยังไม่คิดจะตอบรับ

 

ทันใดนั้นเสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น

 

“ใต้เท้า คุณจำเป็นต้องรับสายนี้”

 

“ทำไม?” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย

 

“เพราะสถานการณ์โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง นี่คือการโทรฉุกเฉินจากจักรพรรดินีแห่งฟูซี”

 

กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือก จำต้องหยุดมือของเขา

 

ดาบเช่าหยินในเตาหลอมเปล่งเสียงร้องต่ำด้วยความคับข้องใจ

 

แต่กู่ฉิงซานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และทำการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สื่อสาร

 

“ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับสายเสียที!” เสียงของจักรพรรดินีดังขึ้นมาจากปลายสาย

 

“ฝ่าบาท มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงลางไม่ดีจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย

 

จักรพรรดินีกล่าว “กองกำลังเกราะรบขับเคลื่อนของฟูซีกำลังเคลื่อนพลไปยังชายแดนแล้ว และในไม่ช้า พวกมันจะไปถึงจุดตัดระหว่างฟูซีกับรัฐบาลกลาง!”

 

“นอกจากนี้ กองเรือรบทั้งเจ็ดแห่งสาธารณรัฐก็เริ่มรวมตัวกันสร้างกระบวนทัพแล้ว!”

 

“เพราะเหตุใดท่านถึงไม่ … ” กู่ฉิงซานยังไม่ทันจะเอ่ยจบประโยค เขาก็ค้นพบคำตอบอันโหดร้ายนี้ด้วยตัวเองเสียก่อน

 

‘ม่านเหล็ก’

 

มีเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถสั่งการม่านเหล็กได้

 

นรกเยือกแข็งกำลังจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกในไม่ช้า ทว่าช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่ออันแสนสำคัญเช่นนี้ องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีกลับคิดจะก่อสงครามขึ้นอย่างกระทันหัน!

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.323 – คาดเดาเกี่ยวกับนรก

 

ดาบพิภพลอยล่องกลับมาตกลงข้างกายกับกู่ฉิงซาน

 

ดาบพิภพแต่เดิมคืออาวุธเทวะที่เสียสละให้แก่สวรรค์และโลกตามตำนานยุคโบราณ(คอยทำหน้าที่แบกรับมวลน้ำหนักบนผืนพิภพ) และมันสามารถสื่อสารกับเหล่าเทพวิญญาณได้

 

ช่วงเวลาที่อยู่ในโลกเทวะ กู่ฉิงซานก็เคยได้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ และมันก็ช่วยฆ่าสังหารอสูรกายและมารสวรรค์ในช่วงที่เขาต้านทานรับทัณ์สวรรค์อีกด้วย

 

กู่ฉิงซานรับรู้ถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของดาบพิภพดี ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจใดๆ ทว่าเหลียวฮังที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งกลับจ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม

 

“ดะ .. ดาบ … ดาบพูดได้ นี่มันบ้าสิ้นดี ไม่เห็นจะตรงกับหลักวิทยาศาสตร์เลย … ” เหลียวฮังเอ่ยงึมงำราวกับสูญสิ้นจิตวิญญาณ

 

หากเป็นการฝึกยุทธ หรือเทคนิคฝึกยุทธ เหลียวฮังก็ยังพอจะรับได้ เพราะในโลกใบนี้ก็มีการดำรงอยู่ของพวกมืออาชีพอยู่

 

อย่างไรก็ตาม ดาบที่สามารถพูดได้ แถมยังสามารถฆ่าตัวตนที่มองไม่เห็นนี่มัน … กล่าวได้ว่าเป็นการทำลายโลกทัศน์ของเขาโดยสมบูรณ์

 

เย่เฟย์หยูดูท่าจะร้อนรนจนไม่มีเวลามามัวสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป เขาเร่งเอ่ยถาม “ตอนนี้หลิวชิจุนเป็นยังไงบ้าง?”

 

กู่ฉิงซานขับเคลื่อนพลังวิญญาณ จ้องมองตรงไปยังป้ายหลุมศพ

 

อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าร่างของหลิวชิจุนนั้นผอมแห้ง บอบบาง และแทบจะมองไม่เห็นอยู่รอมร่อแล้ว

 

“แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว!”

 

กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลรวบรวมวิญญาณออกมา

 

ทันใดนั้นพลังวิญญาณก็เอ่อล้นออกจากดิสก์ค่ายกล พร้อมกับตัวมันที่เปล่งแสงสดใสขึ้นอย่างฉับพลัน

 

สายลมอ่อนโยนปรากฏขึ้นในห้อง ตามด้วยหมอกจางๆ

 

รวบรวมวิญญาณ!

 

กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลออกมาอีกอัน และจัดวางมันอีกครั้ง

 

สี่เสาต้องห้าม!

 

สี่เสาที่ว่านี้ ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ

 

นี่มิใช่ธาตุ แต่ทว่าเป็นกฏการทำงานที่แฝงตัวอยู่ของโลก

 

มันเป็นการเลียนแบบการเคลื่อนไหวของดิน น้ำ ลม ไฟ และสร้างโลกขนาดเล็กที่แยกตัวออกจากโลกภายนอกขึ้นมา

 

ค่ายกลรวมรวบวิญญาณเสริมด้วยสี่เสาต้องห้าม ส่งผลให้พลังวิญญาณเริ่มก่อตัวขึ้นในโลกใบเล็ก

 

พลังงานวิญญาณจากสวรรค์และโลกจะช่วยหล่อเลี้ยงทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งวิญญาณคนตายก็ไม่มีข้อยกเว้น

 

โลกใบเล็กที่แยกตัวจากโลกภายนอก จะช่วยปกป้องไม่ให้เหล่าสมัภเวสีเข้าไปรบกวนได้

 

ทั้งสองค่ายกลผสานทำงานร่วมกัน และเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ร่างอันเลือนลางของหลิวชิจุนก็เริ่มกลับมาแลดูมั่นคงอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก

 

แม้ว่าสองดิสก์ค่ายกลนี้จะต้องจ่ายออกด้วยศิลาวิญญาณจำนวนมาก แต่กู่ฉิงซานนั้นมีมรดกของนิกายร้อยบุปผาไว้ในครอบครองอยู่ ฉะนั้นในเรื่องนี้ย่อมไม่เป็นปัญหาใดๆ

 

กล่าวโดยคร่าวๆแล้วด้วยศิลาวิญญาณที่เขามี มันสามารถรับประกันได้ว่าค่ายกลทั้งสองนี้จะยังคงโคจรต่อไปอีกหลายพันปี โดยไม่มีปัญหาใดๆ

 

หลังจากนั้นอีกสักพัก

 

เมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพลังงานวิญญาณ ร่างอันเลือนลางของหลิวชิจุนก็ค่อยๆก่อรูปขึ้น

 

เธอก้มลงมองร่างกายตัวเองด้วยความประหลาดใจ และตบลงบนหน้าอกเธอ พร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

เธอเอ่ยปากขอบคุณกู่ฉิงซานไปหลายคำ

 

และแน่นอน ว่าคำที่เธอพูดออกมา มีเพียงเย่เฟย์หยูเท่านั้นที่ได้ยิน

 

เย่เฟย์หยูพ่นลมหายใจบรรเทาความตึงเครียด แล้วหันไปพูดกับกู่ฉิงซานว่า “เธอฝากมาบอกว่าขอบคุณสำหรับน้ำใจที่ช่วยชีวิต แต่เธอตายไปแล้ว ดังนั้นเลยไม่รู้ว่านี่สมควรจะเรียกว่ามันเป็นการช่วยชีวิตหรือเปล่า แต่ยังไงช่วยก็คือช่วยอยู่ดี เธอบอกว่าขอบคุณจริงๆ”

 

เชาวางมือลงบนไหล่กู่ฉิงซานและกล่าวอย่างจริงจัง “การช่วยเธอก็เหมือนกับช่วยฉัน และฉันต้องขอบคุณนายมากจริงๆ”

 

แม้จะดูเหมือนกับว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่นี่ แต่แท้จริงแล้วความคิดของเขาเตลิดไปที่อื่น

 

เขาเอ่ยถามดาบพิภพ “เมื่อครู่นี้มันคืออะไรกัน? มันดูแตกต่างจากมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวในตอนที่ข้าก้าวข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์นะ”

 

“แน่นอนว่ามันย่อมต่างออกไป” ดาบพิภพกล่าว “อสูรกายเมื่อครู่เป็นผู้คุมวิญญาณของนรกเยือกแข็ง”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ผู้คุมวิญญาณ? แล้วในเมื่อมันเป็นตัวแทนแห่งกฏเกณฑ์จากปรภพ เช่นนั้นทำไมมันถึงต้องโจมตีหลิวชิจุนด้วย?”

 

“ผู้คุมวิญญาณ เดิมเป็นการดำรงอยู่ของหนึ่งในผู้ปราบปรามเหล่าวิญญาณร้ายในนรก ข้าก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่ามันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

 

ดาบพิภพเอ่ยเสริม “แต่ไม่ว่ายังไงมันก็กำลังดูดซับจิตวิญญาณของผีตนนี้อย่างแท้จริง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทางปรภพไม่อนุญาต ดังนั้นข้าจึงสังหารมันอย่างไม่ลังเล”

 

กู่ฉิงซานมิได้เอ่ยถามอะไรอีกต่อไป

 

เขาเงยหน้าขึ้นไปมองวิญญาณของหลิวชิจุน และไตร่ตรองอยู่สักพัก

 

“คุณหลิว ฉันมีวิธีที่จะช่วยให้คุณสามารถควบรวมฝึกฝนจิตวิญญาณได้ แต่คงต้องขอถามก่อนว่าคุณยินดีที่จะเรียนรู้มันไหม” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เย่เฟย์หยูพอได้ฟังก็กำลังจะหันไปถามเธอ แต่กลับพบว่าหลิวชิจุนพยักหน้ารับครั้งแล้วครั้งเล่า

 

– แน่นอนว่าเธอได้ยินบทสนทนาของคนทั้งหลาย

 

หลังจากที่ได้ติดต่อกับเย่เฟย์หยูมานาน เธอก็ตระหนักได้ว่าบุคคลตรงหน้าเธอนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาอิฐขาวก้อนใหญ่ขึ้นมา

 

เขาขบคิดเกี่ยวกับมัน ก่อนจะหยิบใบหยกบางๆออกมาชิ้นหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานทำการบันทึกวิธีการฝึกฝนสำหรับภูติผีที่อยู่อิฐขาว ใส่ไว้ในใบหยก

 

“นี่คือวิชาฝึกยุทธของคุณ หลังจากที่ทำการศึกษาเรียนรู้ จิตวิญญาณของคุณจะค่อยๆควบรวมกัน และต่อมา เมื่อก้าวไปสู่ขอบเขตที่ลึกซึ้ง คุณก็จะสามารถเป็นเหมือนเดิมดั่งเช่นเดียวกันกับคนปกติ สามารถรับรู้และสัมผัสถึงโลกใบนี้ได้อย่างแท้จริง”

 

“เมื่อเวลาที่คุณเริ่มต้นพูดคุยได้ด้วยตัวเองมาถึง คุณก็จะไม่แตกต่างไปจากคนที่มีชีวิต และเย่เฟย์หยูก็ไม่ต้องใช้เทคนิคเทียนซวนเพื่อรับฟังเสียงของคุณอีกต่อไป”

 

กู่ฉิงซานวางชิ้นหยกบางเบาลงบนป้ายหลุมศพอย่างอ่อนโยน

 

เขาเอื้อมมือออกไปจีบออกด้วยวิชาลับ และทำการกระตุ้นพลังวิญญาณไปยังมืออย่างว่องไว

 

บังเกิดจุดแสงสว่างขึ้นบนปลายนิ้วของเขา

 

เขาขยับปลายนิ้วเล็กน้อย และจุดแสงสว่างก็ลอยล่องไปตกลงบนหน้าผากของหลิวชิจุน

 

จุดแสงสว่างได้หายไป

 

“นั่นมันคืออะไรกัน” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามด้วยความตึงเครียด

 

“วางใจเถอะ ฉันแค่ให้วิธีการเริ่มต้นแก่เธอน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ในสายตาของหลิวชิจุน บังเกิดประกายตระหนักรู้เล็กน้อย เธอโค้งหัวโค้งกายไปทางกู่ฉิงซานครั้งแล้วครั้งเล่า

 

เธอได้เรียนรู้วิธีการอ่านใบหยกแล้ว

 

นี่เป็นเทคนิคมนตราที่ง่ายที่สุด ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงใช้มันวางรากฐานให้เธอได้อย่างง่ายดาย

 

“เธอบอกว่าขอบคุณมากๆนะ” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นายช่วยถามเธอให้หน่อยสิ ว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงถูกโจมตีโดยผู้คุ้มวิญญาณอย่างกระทันหัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ในแววตาของหลิวชิจุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว  เธอเริ่มบอกเล่าเรื่องราวพร้อมแสดงท่าทีต่างๆให้มันดูชัดเจน

 

“พลังแปลกๆกำลังฉุดลากเธอไปยังที่ไหนสักแห่ง และเมื่อเธอต่อต้านมัน เธอก็เริ่มที่จะแตกสลาย” เย่เฟย์หยูเอ่ยทวนซ้ำ

 

“ไปยังที่ไหนสักแห่ง? ช่วยถามเธอได้ไหมว่ามันคือที่ไหน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม ก่อนจะหันมาตอบให้แก่กู่ฉิงซาน “สาธารณรัฐฟูซี หุบเขาหวงหยุน”

 

ทั้งสองสบตากันวูบหนึ่ง และเห็นถึงความหนักอึ้งในแววตาของอีกฝ่าย

 

นั่นเพราะพวกเขาเพิ่งจะกลับมาจากหุบเขาหวงหยุน และแน่นอนว่าย่อมรู้ว่าที่นั่นคือนรกเยือกแข็ง

 

ฟังจากที่ดาบพิภพได้กล่าว ผู้คุมวิญญาณคือตัวตนที่คอยปราบปรามการดำรงอยู่ของผีร้าย แต่ตอนนี้มันกลับช่วยให้พวก ‘คนตาย’ จากในนรกออกตามล่าจิตวิญญาณ

 

ความหมายอันแสนสำคัญของสิ่งนี้ได้บ่งบอกถึงเรื่องราวที่น่าตกใจ

 

กู่ฉิงซานจู่ๆก็พลันจดจำได้ถึงเรื่องหนึ่ง

 

ในตอนที่หลิวชิจุนเสียชีวิต เธอบอกว่าได้มีพลังอำนาจบางอย่างฉุดลากเธอไป แต่ต่อมาในภายหลังกลับหายไปเสียดื้อๆ

 

นั่นคือเหตุผลที่เธอยังสามารถอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที “พลังที่ฉุดลากคุณในครั้งนี้ ใช่เป็นพลังแบบเดียวกันที่ในตอนที่พึ่งเสียชีวิตลงรึเปล่า?”

 

“เกี่ยวกับคำถามนี้ คุณควรจะคิดเกี่ยวกับมันให้ชัดเจนก่อนที่จะตอบผม”

 

หลิวชิจุนเมื่อเห็นถึงท่าทีจริงจังเคร่งขรึมเวลาที่เขาพูด เธอก็เร่งเรียกคืนความทรงจำอย่างถี่ถ้วนก่อนจะตอบออกไป

 

“เธอบอกว่ามันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

“คุณสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างสองพลังที่ฉุดลากนี้ได้ยังไง” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เธอบอกว่าพลังแรกจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและเต็มไปด้วยความเมตตา”

 

“ส่วนพลังที่สอง … ”

 

เย่เฟย์หยูหันมองไปทางหลิวชิจุน

 

หลิวชิจุนขบคิด และขยับปากออกมาเพียงสามคำ

 

“เย็นชา , ชั่วร้าย และทรงพลัง”  เย่เฟย์หยูเอ่ยทวนซ้ำ

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

พลังชนิดแรกที่คอยรับส่งวิญญานได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยพลังชนิดที่สองที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย

 

–พลังอำนาจในการฉุดลากจิตวิญญาณมนุษย์แตกต่างออกไปจากเดิม บางที นี่อาจจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นจากทางฝั่งปรภพใช่หรือไม่?

 

นี่เป็นข้อมูลที่กระทั่งมนุษย์ในชีวิตก่อนหน้าก็ยังไม่เคยได้รับรู้

 

ในชีวิตก่อนหน้าช่วงวันสุดท้าย ภัยพิบัติต่างๆพากันถาโถมเข้ามามากมายเกินไป และทุกคนก็อยู่ใกล้กับขอบเหวแห่งการสูญสลาย จึงไม่มีเวลาที่จะสำรวจถึงความจริงของนรกเยือกแข็ง

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา

 

ถ้าหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับทางฝั่งปรภพจริงๆ ถ้าอย่างงั้นแสดงว่านรกเยือกแข็งที่มาถึงนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

 

ตามความรู้ ความเข้าใจของโลกผู้ฝึกยุทธเกี่ยวกับปรภพ กล่าวได้ว่าพวกเขาได้ให้น้ำหนักเกี่ยวกับมันเป็นอย่างมาก ปรภพนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

 

ปัญหาในตอนนี้ดูท่าว่าจะไม่ได้มีเพียงแค่นรกเยือกแข็งเท่านั้นซะแล้ว

 

ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของโลกมนุษย์ในที่สุดก็ได้มาถึงแล้วอย่างแท้จริง

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.322 – ใกล้เข้ามา

 

ในห้วงจักรวาล

 

48 เรือรบประจัญบานแยกตัวออกจากกันเป็นสองกระบวนทัพ ตีวงวาดเป็นเส้นโค้งสองทิศทางตามแนวโลก มุ่งหน้าหวนคืนสู่ดวงดาวของตน

 

ทะเลสาบน้ำแข็งลอยผ่านกองกระบวนทัพ หายเข้าไปในจักรวาลอันมืดมิด

 

ใบหน้าที่นับไม่ถ้วนที่ถูกแช่อยู่ในทะเลสาบหันไปมองรอบๆ

 

พวกมันไม่เคยคาดคิดว่าตนจะได้หวนคืนจากนรกกลับมายังโลกอยู่ครั้ง ตอนแรกต่างก็ได้แต่เฝ้าฝันว่าหากหลุดออกไปได้จะทำอะไรต่อ

 

ทว่าบัดนี้ ใบหน้าทั้งหมดแทบจะเป็นบ้า!

 

พวกมันตะโกนเสุดเสียง ขู่คำราม สบถสาปแช่ง และด่าทอด้วยถ้อยคำร้ายกาจอย่างไม่ขาดปาก

 

มองไปยังทะเลสาบน้ำแข็งท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิด คุณจะสามารถเห็นใบหน้านับไม่ถ้วนบนทะเลสาบกำลังอ้าปากพะงาบๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทว่าเนื่องด้วยที่แห่งนี้อยู่ในสภาพสุญญากาศ ถ้วยคำที่พวกมันพยายามเปล่งจึงไม่อาจหลุดรอดออกมาได้เลย

 

-ส่งผลให้ฉากนี้แลคล้ายกับละครใบ้เก่าๆ ช่างดูตลกไม่น้อย

 

ทะเลสาบน้ำแข็งลอยล่องท่ามกลางห้วงจักรวาล เฝ้ารอคอยที่จะพบเผชิญกับชะตากรรมใหม่

 

เมื่อถูกส่งลอยไปอยู่นาน ในที่สุดมันก็ถูกพบเจอโดยมอนสเตอร์เอกภพที่ตลอดทั้งเนื้อตัวปกคลุมไปด้วยดวงตา แต่ยังคงเหลือปากอันมโหฬารไว้เพียงหนึ่ง มันอ้าปากออก แลบลิ้นออกไปเลียเจ้าสิ่งแปลกใหม่นี้อย่างแผ่วเบา และฟุ่บบ! ตวัดเอาทะเลสาบน้ำแข็งที่หากเทียบกับขนาดตัวของมันแล้วเป็นเพียงจุดสีขาวเล็กๆเข้ามาในปาก

 

ต่อมรับรสของมันสัมผัสได้ถึงระเบิดไอเย็นแทรกผ่านเข้ามาบนปลายลิ้น มันกระตุกเล็กน้อย แต่ความรู้สึกที่ว่านี่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้มันหยุดชะงัก แต่กลับส่งผลให้ต่อมน้ำลายเริ่มทำงาน หลั่งเมือกเหลวออกมาเพื่อต้านทานไอเย็นอันรุนแรงนี้แทน

 

มอนสเตอร์เอกภพกลั้วจุดเล็กๆสีขาวบนลิ้นของมันหมุนไปหมุนมา เพลิดเพลินสนุกสนานไปกับสิ่งแปลกใหม่ตรงหน้า

 

เมื่อผ่านพ้นไปถึงจุดหนึ่ง มันก็หยุดกึกลงทันที ดวงตานับไม่ถ้วนเปิดออก สาดส่องไปรอบๆ

 

‘ยังมีอาหารอร่อยๆหลงเหลืออยู่แถวนี้อีกบ้างไหมนะ?’

 

……

 

วิลล่าบนหุบเขา

 

มีการนำเสนอข่าวบนโทรทัศน์

 

ท่านประธานาธิบดีกำลังจับมือกับสมาชิกวุฒสภาที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง

 

บนใบหน้าของสส.ที่มีชื่อเสียงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทางด้านประธานาธิบดีกลับมิได้มีการแสดงออกใดๆทางสีหน้า ทั้งคนทั้งร่างแลดูเคร่งขรึมและหนักอึ้งเล็กน้อย

 

ผู้บรรยายเริ่มกล่าวว่า “ในวันนี้ ท่านสส.แห่งมณฑลไป่ซาและท่านประธานาธิบดีได้ประสบความสำเร็จในการทำข้อตกลงร่วมกัน”

 

“มันยากที่จะจินตนาการจริงๆว่า ชายผู้มีเกียรติทั้งสองที่ยืนอยู่บนปลายเข็มคนละฟาก จะสามารถหันหน้ามาสนทนากันได้อย่างเป็นมิตร”

 

“ท่านสส.พูดติดตลกว่า เขาจะให้ความสนใจกับคำปราศรัยของท่านประธานาธิบดีคนต่อไป เพื่อตัดสินใจว่าจะสนับสนุนการเลือกตั้งให้ดำเนินต่อไปหรือไม่”

 

“และท่านประธานาธิบดีก็แสดงความชื่นชมและเข้าใจถึงเรื่องนี้ดี”

 

เหลียวฮังกำลังนั่งดูทีวี ขณะเดียวกันก็เติมเบียร์ลงในแก้วจนฟองล้นออกมา

 

เขานั่งดูมันด้วยคู่ดวงตาดั่งปลาตาย จับจ้องไปยังประธานาธิบดีบนจอตาไม่กะพริบ

 

“คราวนี้ไม่น่าจะใช่ร่างโคลน แบบนี้คงไม่ดีแน่ นี่มันเรื่องใหญ่เกินไป ฉันคงต้องคาบเรื่องนี้ไปบอกมันซะแล้ว” เขาบ่นงึมงำ

 

เมื่อตัดสินใจได้ เหลียวฮังก็หยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาและทำการเชื่อมต่อกับกู่ฉิงซาน

 

“แกอยู่ไหนน่ะ?”

 

“ชายแดนสาธารณรัฐฟูซี ฉันกับเย่เฟย์หยูกำลังจะกลับไป” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“รอไม่ไหวหรอก ฉันจะบอกแกให้นะ ว่าตอนนี้ท่านประธานาธิบดีในทีวีน่ะ ไม่ใช่ร่างโคลน”

 

“แล้วคุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”

 

“ใช้ตาดูก็รู้แล้ว! ร่างโคลนน่ะจะมีปัญหาบางอย่างกับความทรงจำ และมักจะหยุดชะงักเล็กน้อยเพื่อเค้นสมองคิด หากมองจากภายนอก คู่ดวงตาของเขาจะดูคล้ายกับคนไร้สติเป็นครั้งคราว ถึงในมุมมองของคนปกติ อาจจะเห็นว่าเขากำลังหยุดนิ่งเพราะสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ แต่แค่มองฉันก็รู้แล้วว่านั่นคือการแสดงออกทางสรีรวิทยา มันเป็นการหยุดชะงักเพราะต้องใช้สมองขบคิดของมนุษย์”

 

“แล้วคุณไปสังเกตเห็นมันได้ยังไง?” กู่ฉิงซานถาม

 

เหลียวฮังเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบว่า “ในอดีตที่ผ่านมา ถังจุนทำให้ร่างโคลนที่มีความทรงจำให้ฉัน มันเลยดูแนบเนียน ดังนั้นฉันถึงหลบหนีเก้าตระกูลมาได้ และรู้เรื่องพวกนี้”

 

เหลียวฮังเอ่ยต่อ “ฉันได้วิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองของถังจุน และเมื่อรวมกับแผนการลอบสังหารประธานาธิบดีหลายครั้งหลายครา อาจพูดได้ว่าร่างโคลนของเจ้าประธานาธิบดีตอนนี้คงหมดเกลี้ยงไปแล้ว”

 

“พอถังจุนตาย ประธานาธิบดีเลยไม่มีร่างโคลนที่มีความทรงจำอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงต้องออกมาด้วยตัวเอง”

 

บังเกิดความเงียบขึ้นในช่องทางสื่อสาร

 

หากเป็นในกรณีนี้ แล้วท่านประธานาธิบดีถูกลอบสังหารอีกครั้งแล้วล่ะก็ … เขาก็จะตายจริงๆ

 

“ … โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวออกมาในที่สุด

 

และเขาก็วางสายสนทนาไป

 

ร่างจริงของท่านประธานาธิบดีปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าสาธารณะ

 

ตั้งแต่ที่องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีได้ลักพาตัวถังจุนไป แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนมากมายรู้เกี่ยวกับเรื่องร่างโคลนของประธานาธิบดี

 

ดังนั้นถ้าเขาคิดจะจัดการกับประธานาธิบดี เขาจะต้องทำให้รัฐบาลกลางตกอยู่ในความวุ่นวายเสียก่อน และฉวยโอกาสท่ามกลางสถานการณ์นั้นลงมืออย่างแน่นอน

 

“เทพธิดากงเจิ้ง” กู่ฉิงซานเรียก

 

“ใต้เท้า ฉันอยู่นี่”

 

“เทพนักสู้ยังคงทำหน้าที่ปกป้องอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดีอยู่รึเปล่า?”

 

“เขาได้รับข้อความของฉันแล้ว และตอนนี้กำลังนั่งอยู่ภายในทำเนียบ”

 

“งั้นก็ค่อยโล่งใจหน่อย”

 

หากมีเทพนักสู้ซางซ่งหยางคอยคุ้มครองเป็นการส่วนตัว ตราบใดที่ท่านประธานาธิบดีไม่ได้ออกไปข้างนอก ก็ไม่สมควรที่จะมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นกับเขาอย่างน้อยก็ในระยะเวลาสั้นๆ

 

กู่ฉิงซานคิดอยู่สักพักหนึ่ง แต่เย่เฟย์หยูก็บินมาใกล้ๆและขัดจังหวะเขาเสียก่อน

 

“มีอะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ฉันคิดว่านายคงอยากจะดูข้างล่างนี่” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

กู่ฉิงซานก้มหัวลงมอง

 

ท่ามกลางป่าอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด หลายตำแหน่งถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งค้างสีขาว

 

น้ำแข็งค้างเหล่านั้นค่อยๆแพร่กระจายไปรอบๆด้วยอัตราเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

ความเร็วในการแพร่กระจายแบบนี้ ได้รวดเร็วเกินกว่าปรากฏการณ์เยือกแข็งตามปกติไปแล้วโดยสมบูรณ์

 

แต่นับว่าโชคยังดี ที่บริเวณนี้เป็นพรมแดนเชื่อมต่อระหว่างสองประเทศ ดังนั้นจึงไม่มีใครอาศัยอยู่ มันจึงไม่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นในสังคมมนุษย์

 

เย่เฟย์หยูที่บินอยู่ข้างๆ ตะโกนถามว่า “แล้วถ้าโลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง พวกเราสมควรจะทำยังไงดี?”

 

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าว “ฉันก็กำลังคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อยู่เหมือนกัน”

 

ในชีวิตก่อนหน้า มนุษย์ก็ไม่สามารถค้นพบวิธีที่จะจัดการกับมันเช่นกัน

 

อาจกล่าวได้ว่าเพราะมัน มนุษยชาติจึงได้สูญสิ้นลง

 

ณ วิลล่าบนหุบเขา

 

เมื่อกู่ฉิงซานมาถึง เขาก็พบกับเหลียวฮังที่กำลังถือหนังสืออยู่ และอ่านมันอย่างจริงจัง

 

“นั่นคุณกำลังอ่านอะไรอยู่น่ะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ก็แค่สาขาการวิจัยใหม่ๆ” เหลียวฮังปิดหนังสือและวางลง

 

บนหน้าปก มีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า ‘ทฤษฏีพันธุศาสตร์’

 

กู่ฉิงซานเหลือบมองมัน และนั่งลงตรงข้ามกับเหลียวฮัง

 

“คุณก็ทำการศึกษาเรื่องนี้อยู่ด้วยหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ก็แค่อยากจะระลึกถึงเพื่อนเก่าที่ตายไปแล้ว” เหลียวฮังตอบ

 

“คุณมีความคิดเห็นยังไงบ้างเกี่ยวกับการตายของเพื่อนคุณ?” กู่ฉิงซานถาม

 

เหลียวฮัง “ฉันไม่เข้าใจน่ะ”

 

“ตรงส่วนไหนกันที่คุณไม่เข้าใจ?”

 

“เจ้าถังจุนน่ะนะ ตามสถานการณ์ปกติแล้ว มันจะมีมืออาชีพคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายก็กลับถูกลักพาตัวไป” เหลียวฮังกล่าวอย่างสับสน

 

“ยังไงก็เหอะ พอมันได้รับการช่วยเหลือ มันก็รีบวิ่งแจ้นไปพบกับประธานาธิบดีทันที แต่หลังจากที่มาถึงทำเนียบ เมื่อพบเขา มันก็ดันตายลงอย่างกระทันหันซะงั้น”

 

“ดังนั้น ดร.ถังจุนเลยแทบจะไม่มีเวลาได้ทันพูดคุยอะไรกับท่านประธานาธิบดีสินะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“คนที่อยู่ด้วยในเวลานั้นมีไม่มากนัก เลยไม่มีใครได้ทันทำการบันทึกอะไรเอาไว้” เหลียวฮังเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสลด

 

กู่ฉิงซานขบคิด ก่อนจะกล่าว “สำหรับเรื่องนี้ ฉันมีอีกความคิดเห็นหนึ่ง”

 

“ว่ามาสิ”

 

“การตายของถังจุน น่าจะเป็นฝีมือขององค์จักรพรรดิฟูซี”

 

“จักรพรรดิฟูซี?” เหลียวฮังยืดหลังตรง ยกสองแขนขึ้นกอดอก “ทำไมถึงคิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้?”

 

กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรงเสียก่อน

 

พร้อมกับเย่เฟย์หยูที่วิ่งเข้ามา

 

“มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น!” เขาลดเสียงลง สีหน้าท่าทีดูเหมือนกำลังหวาดกลัวเล็กน้อย

 

ทั้งกู่ฉิงซานและเหลียวฮังลุกขึ้นยืนพร้อมกัน

 

“เกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“หลิวชิจุนบอกว่าตัวเธอกำลังจะแตกสลายลงในไม่ช้า” เย่เฟย์หยูโพล่งออกมา

 

“นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน … ” กู่ฉิงซานเอ่ยออกไปโดยไม่รู้ตัว

 

หลิวชิจุนคือแฟนเก่าของเย่เฟย์หยู และตอนนี้เป็นวิญญาณคนตาย หรือเรียกสั้นๆว่าผี และกำลังอยู่ร่วมกันกับเย่เฟย์หยู

 

โดยปกติแล้ว การดำรงอยู่ของวิญญาณคนตาย สมควรที่จะสามารถอยู่ได้เป็นเวลายาวนานมากๆ

 

เสียงของทั้งสองพึ่งจะตกลง ก็บังเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า

 

ดาบพิภพมีความคิดริเริ่มที่จะปรากฏร่างออกมาด้วยตนเอง

 

ตามด้วยเสียงอันหนักแน่นดั่งขุนเขาดังขึ้นจากมัน “นี่มันพลังหยิน! เป็นฝีมือของปีศาจจากปรภพ!”

 

ฟุ่บบบ!

 

ดาบพิภพสั่นไหว ก่อนจะหายวับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานเคลื่อนกายตามไปพร้อมกับดาบพิภพ มุ่งตรงไปยังห้องของเย่เฟย์หยู

 

ป้ายหลุมศพถูกวางอยู่ตรงกลางห้อง

 

ทันใดนั้นแสงสวรรค์จากในร่างของกู่ฉิงซานก็ถูกขับเคลื่อน พร้อมกับการปรากฏกายของหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนป้ายหลุมศพด้วยใบหน้าที่ดูเย็นเยียบ

 

รูปร่างของเธอค่อยๆผอมบางลงเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะแตกสลายลงในไม่ช้า

 

และในอากาศที่ว่างเปล่า ปรากฏสายลมเย็นฉ่ำพัดโชยไปมา

 

ดาบพิภพวาดตนจนเห็นเป็นเส้นโค้งในกลางอากาศ และตัดลงในความว่างเปล่าอย่างรุนแรง

 

บังเกิดเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดและขมขื่นหวีดดังขึ้น

 

เลือดสีดำสาดกระเซ็นออกมาจากความว่างเปล่า แต่ทว่ากลับไม่มีร่างใดๆปรากฏให้เห็น

 

เสียงของดาบพิภพก้องกังวานขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นปีศาจร้ายหรือผีร้ายก็ตาม หากอยู่เบื้องหน้าข้า พวกเจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้มาก่อความวุ่นวายในโลกเบื้องหน้าเด็ดขาด!”

 

ฉัวะ!

 

คลื่นลมที่มองไม่เห็นแพร่กระจายออกมาจากดาบพิภพ ส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่วทั้งห้อง

 

ลมหมุนวนกรรโชกแรง ราวกับกำลังจับตรึงอะไรบางอย่าง

 

แล้วทันทีหลังจากนั้น ดาบพิภพก็วูบไหว ทิ่มแทงออกไปยังทิศทางหนึ่งในอากาศที่ว่างเปล่าด้วยเจตนาร้าย!

 

ในเสี้ยววินาที สายลมที่พัดกระพือก็สลายหายไป

 

เสียงทั้งหมดพลันเงียบสงัดลง ในความว่างเปล่าไร้ซึ่งเสียงใดๆหวีดออกมาอีกต่อไป

 

ดาบพิภพลอยล่องกลับมาตกลงข้างกายกับกู่ฉิงซาน

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.321 – ไม่สามารถย้อนกลับได้

 

เสียงพูดยังไม่ทันได้ตกลง ตัวดาบพิภพก็พลันเปล่งแสงสว่างจ้า

 

บังเกิดสายฟ้าบิดผัน ม้วนคดเคี้ยวไปมาตลอดทั้งใบดาบ และถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันกับเทคนิคดาบของกู่ฉิงซาน

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ ปรากฏประกายแสงสีน้ำเงินเข้มพรั่งพรูออกมาจากดาบพิภพ

 

“ไปเลย!” กู่ฉิงซานตะโกนก้อง

 

บังเกิดปราณดาบคำรามลั่นจากตัวดาบพิภพ มันพวยพุ่งผ่านชั้นเมฆหมอกหนาที่ขวางกั้น ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน

 

ปรากฏเสาแสงสายฟ้าเชื่อมต่อสวรรค์และโลกเข้าด้วยกัน

 

เสาแสงทะลุทะลวงหมอกหนาชั้นแล้วชั้นเล่า สุดท้ายจึงจ้วงลึกเข้าไปในชั้นเมฆบนท้องฟ้า และปะทุขึ้นเหนือเมฆในที่สุด

 

ทัศนียภาพอันงดงามหวือหวาเช่นนี้ ย่อมถูกตรวจจับได้ทันทีโดยเทพธิดากงเจิ้ง

 

“ใต้เท้า ฉันพบคุณแล้ว พวกเราจะรีบไปที่นั่นทันที!”

 

“ต้องอย่างนั้นสิ”

 

กู่ฉิงซานเก็บดาบพิภพกลับคืน แล้วลอยไปยืนเฝ้ารออยู่กับเย่เฟย์หยูกลางอากาศอย่างเงียบๆ

 

ท่ามกลางความเงียบบนท้องฟ้า ปรากฏเสียงคำรามของเครื่องยนต์ที่แข็งกร้าวดังขึ้นจากระยะไกล

 

เสียงค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ

 

ทันใดนั้น เรือรบประจัญบานขนาดยักษ์ลำหนึ่งก็โผล่หัวลงมาจากชั้นเมฆหมอก

 

ตามด้วยเสียงสังเคราะห์อิเล็กทรอนิกส์ที่ดังขึ้นจากยานรบ แพร่กระจายไปทั่วท้องฟ้า

 

“ทีมยานรบ ‘หนึ่งดาว’ แห่งรัฐบาลกลางขอรายงานตัวกับใต้เท้า”

 

แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เรือรบประจัญบานขนาดยักษ์ลำที่สองก็โผล่ออกมาจากชั้นเมฆหมอกหนา

 

ตามด้วยลำที่สาม

 

สี่

 

ห้า

 

……….

 

กองยานรบขนาดยักษ์อีกกว่า 24 ลำ ค่อยๆโผล่ออกมาจากชั้นเมฆหมอก

 

นี่นับว่าเป็นกำลังรบทางทหารที่ทรงพลังยิ่ง พลังอำนาจของมันเพียงพอที่จะรับมือกับสงครามขั้นรุนแรงถึงขีดสุดได้

 

เหล่ายานรบประจัญบานขนาดยักษ์ลอยลำเหนือศีรษะของกู่ฉิงซานและเย่เฟย์หยู ก่อนจะทยอยกันมุ่งหน้าเคลื่อนพลไปยังสุดปลายอีกด้านหนึ่งของหมอกหนา

 

“อ่าว นั่นพวกเขากำลังจะไปไหนน่ะ?” เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา

 

“พวกเขาไปทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน ยานรบประจัญบานอีกสามลำ ก็โผล่ออกมาจากหมอกหนา

 

“ทีมยานรบ ‘สามดาว’ แห่งรัฐบาลกลางขอรายงานตัวกับใต้เท้า”

 

“ฉันเห็นคุณแล้ว”

 

กู่ฉิงซานยกดาบของเขาขึ้น และโบกทักทายไปทางยานรบ

 

สิ้นการทักทายเพียงสั้นๆ 3 ยานรบก็แยกตัวออกไป ตามด้วย 21 ยานเรือที่โผล่ลงมาจากชั้นหมอกหนา  เคลื่อนตัวผ่านหน้าทั้งสองคน ไล่ตามติด 3 ลำแรกไปติดๆ

 

“ใครกันที่เป็นคนควบคุมกองเรือพวกนี้?”  เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“เป็นเทพธิดากงเจิ้งกับระบบ AI ของยานรบที่เธอสร้างขึ้น” กู่ฉิงซานตอบ

 

“มันช่างน่าทึ่งมากจริงๆ” เย่เฟย์หยูพึมพำออกมา

 

แล้วสมองควอนตัมในอ้อมแขนเขาก็ส่องสว่างขึ้น

 

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ทะเลสาบเฟิงหู ความยาว 15.1 กม. , ความกว้างสูงสุด 7.6 กม. , ความกว้างโดยเฉลี่ย 4.3 กม. , ความยาวเส้นรอบชายฝั่ง59.1 กม. พื้นที่ทั้งหมด 431.64 กม. พื้นที่โดยรวมเป็นทะเลสาบตื้นๆมานานหลายปี ระดับน้ำเฉลี่ยต่ำกว่า 3.29 เมตร”

 

“ใต้เท้า ทางเราต้องใช้เวลาราวๆ 10 นาที เพื่อเตรียมการ”

 

“คงต้องรบกวนคุณแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แสงจากสมองควอนตัมดับลง และความเงียบก็กลับคืนมา

 

บนผิวทะเลสาบ ใบหน้ามนุษย์ที่โผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำแข็งต่างกำลังเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

“เทคโนโลยีได้พัฒนามาถึงจุดนี้แล้วอย่างงั้นหรือนี่?” ใบหน้าหนึ่งถอนหายใจ

 

แต่แล้วในวินาทีต่อมา มันก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “แต่ก็แล้วมันยังไง! ไม่ว่าอย่างไรเทคโนโลยีนั่นก็ฆ่าพวกเราไม่ได้อยู่ดี!!!”

 

ตลอดทั่วทั้งผิวทะเลสาบ ใบหน้าคนตายนับไม่ถ้วนต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

 

เย่เฟย์หยูหันไปมองกู่ฉิงซาน

 

และเห็นแค่เพียงว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่

 

สิบนาทีผ่านพ้นไป

 

“ใต้เท้า ทางเราเตรียมการพร้อมแล้ว” เสียงของเทพธิดาดังกึกก้อง

 

“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากนะ งั้นต่อจากนี้ ฉันกับเย่เฟย์หยูขอตัวลงจากเวทีแสดงในครั้งนี้ก่อนก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขากวักมือไปทางเย่เฟย์หยู

 

“อะไร จะไปกันแล้วหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ้ยถาม

 

“ใช่ ไปกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แล้วมอนสเตอร์พวกนี้ล่ะ?”

 

“ทุกอย่างถูกจัดเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว”

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองใบหน้าที่แออัดกันทั่วทั้งทะเลสาบ และเริ่มเอ่ยปากกล่าวว่า “ฉันจะทำให้พวกเขาได้รู้ซึ้งถึงพัฒนาการของพลังอำนาจในโลกคนเป็น”

 

ทั้งสองทะยานสู่ท้องฟ้า และกลายเป็นเส้นแสงมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของรัฐบาลกลาง

 

“พวกมันไปแล้วหรอ?”

 

หัวจำนวนมากที่กำลังแหงนมองท้องฟ้า ต่างพากันเผยสีหน้างงงวย

สายตาของพวกมันตกลงมามองกันและกัน แลเห็นถึงความสับสนและสงสัยในแววตาของอีกฝ่าย

 

หนึ่งในนั้นเอ่ยปากกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “เรือรบประจัญบานขนาดยักษ์ … ฉันก็รู้ว่ามีเทคโนโลยีนี้อยู่หรอก แต่ถึงแม้ว่ามันจะทรงพลังมากกว่าแต่ก่อน และมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ตามที แต่หลังจากที่ใช้มันฆ่าพวกเรา สุดท้ายแล้วพวกเราก็จะกลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในไม่ช้าอยู่ดี … ”

 

แล้วสิ่งที่เจ้าหนุ่มนั่นมันพูด หมายความว่าอะไรกันแน่?

 

ฮู้มมมม!

 

สองเรือรบประจัญบานขนาดยักษ์โฉบลงเวียนวนรอบๆทะเลสาบน้ำแข็ง พร้อมกับประตูที่เปิดออก

 

ตามด้วยหุ่นรบขับเคลื่อนนับร้อยนับพันที่ปรากฏขึ้น

 

เหล่าหุ่นรบถือปืนวิศวกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นตะขอยึดที่ทำจากโลหะผสม ที่มีการหลอมขึ้นเป็นพิเศษด้วยวัสดุคุณภาพสูง

 

ภายใต้คำสั่งแบบครบวงจรของเทพธิดากงเจิ้ง หุ่นรบขับเคลื่อนทั้งหมดก็เริ่มเคลื่อนไหวออย่างรวดเร็ว

 

หลังจากนั้นไม่นาน ตลอดทั้งทะเลสาบทุกตำแหน่งที่ถูกคำนวณไว้ ก็ถูกตรึงด้วยตะขอโลหะผสมที่ถูกเจาะลึกลงไป

 

เมื่องานของเกราะรบขับเคลื่อนเสร็จสมบูรณ์ พวกมันก็บินกลับไปยังยานรบประจัญบานแต่ละลำที่ประจำการ

 

และพวกมันก็เริ่มทำการติดตั้งปลายตะขออีกด้านหนึ่ง ยึดติดกับตัวยานรบ

 

ตลอดทั้ง 48 ยานรบประจัญบานขนาดยักษ์ เริ่มทำการฉุกลากสายเคเบิ้ลที่เชื่อมต่อกับตัวตะขอขึ้นมาจนตึง

 

ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง มุม อัตราเร่งและความเร็วของยานรบประจัญบานแต่ละเครื่อง ล้วนได้รับการคำนวณมาแล้วอย่างพิถีพิถันโดยเทพธิดากงเจิ้ง

 

วินาทีต่อมา

 

ยานรบประจัญบานทั้ง 48 ลำก็ออกตัวพร้อมๆกัน

 

สองกองยานรบประจัญบานเร่งเครื่องพร้อมกัน ส่งผลให้เกิดเสียงคำรามอึกทึกไปทั่ว

 

ทั้งหมดพยายามที่จะไต่ระดับขึ้นไปยังอากาศเบื้องบน

 

ตลอดทั้งทะเลสาบน้ำแข็งค่อยๆลอยตัวขึ้นด้วยการฉุดลากอันทรงพลังของ48เรือรบประจัญบาน ทะยานสู่ท้องฟ้าอย่างช้าๆ

 

รอบๆกองยานรบ เต็มไปด้วยรถเหินเวหา เรือลาดตระเวณ ฯลฯ  ที่รับหน้าที่ป้องกันน และพร้อมจะโจมตีภัยคุกคามใดๆที่ย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกเมื่อ

 

นี่คือกระบวนทัพของสองเรือรบประจัญบานขนาดยักษ์ ที่กำลังลอยลำนำตลอดทั้งทะเลสาบลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า!

 

“แกต้องการจะลากพวกเราขึ้นไปแล้วทิ้งดิ่งลงมาเพื่อฆ่าให้ตายในทีเดียวใช่ไหม? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ช่างไร้เดียงสาจริงๆ!”

 

“การกระทำเช่นนั้นมีแต่จะช่วยให้พวกเราหลุดพ้นจากการถูกแช่แข็งได้เร็วยิ่งขึ้น!”

 

“ฉันแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะได้กินเนื้อมนุษย์สดๆแล้ว!”

 

บนผิวทะเลสาบ ใบหน้านับไม่ถ้วนเปล่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน

 

ทว่าไม่มีใครตอบพวกมันกลับมา

 

บางครั้งบางคราว ด้วยผลพวงจากการฝืนยกตลอดทั้งทะเลสาบขนาดใหญ่ ทำให้ชั้นน้ำแข็งที่แช่ร่างคนตายบางตนปริร้าว จนพวกมันเริ่มที่จะคืบคลานออกมาได้ ทว่าสุดท้าย พวกมันก็จะถูกเหล่ากองกำลังที่คอยป้องกันอยู่โดยรอบ ฉีดพ่นโลหะผสมหลอมเหลวใส่ ตรึงร่างให้ติดอยู่กับน้ำแข็งดังเดิมอยู่ดี

 

ด้วยอัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นของเรือรบประจัญบาน ทะเลสาบน้ำแข็งก็เริ่มลอยลำขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

และไม่นานนัก เหล่าคนตายก็มิอาจหัวเราะได้อีกต่อไป

 

เพราะกระบวนทัพยานรบประจัญบานที่ว่านี้ มิได้ชะลอระดับความสูงอยู่แค่ในชั้นบรรยากาศ

 

ทั้งสองกองยานลากจูงทะเลสาบน้ำแข็งทะยานตัวสูงขึ้น บินออกสู่นอกโลก ตรงเข้าสู่ห้วงจักรวาล

 

“เรียกกองยานแรก จากการตรวจสอบ , ไม่ค้นพบถึงร่องรอยของมอนสเตอร์เอกภพในบริเวณใกล้เคียงนี้ , ทราบแล้วเปลี่ยน”

 

“ไม่มีมอนสเตอร์เอกภพอยู่ใกล้เคียง นั่นหมายความว่าจะไม่มีอะไรส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนกระบวนทัพของเรา , ทราบแล้วเปลี่ยน”

 

“ร้องขอตรวจสอบเวลา เพื่อคาดคะเนช่วงเวลาเร่งความเร็วจนเสร็จสมบูรณ์”

 

“ช่วงเวลาได้รับการตรวจสอบแล้ว เริ่มทำการนับถอยหลังเพื่อเร่งความเร็วให้หลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงโลก , ทราบแล้วเปลี่ยน”

 

“ 3 2 1 , เริ่มต้นเร่งความเร็วได้!”

 

48ยานรบขนาดยักษ์ ทำการเร่งความเร็วในเวลาเดียวกัน

 

หลังจากการเร่งความเร็วอย่างรุนแรง กระบวนทัพเรือรบก็เริ่มออกห่างจากแรงดึงดูดของโลก

 

ทะเลสาบน้ำแข็งก็หลุดจากแรงโน้มถ่วงของโลกเช่นกัน

 

นับจากนี้ไป ทะเลสาบน้ำแข็งจะไม่มีวันกลับคืนสู่โลกได้อีกต่อไป

 

“เริ่มทำการปล่อยตัวได้”

 

ตะขอทั้งหมดบน48เรือรบประจัญบานถูกปลดออก

 

สายเคเบิ้ลที่เมื่อครู่ถูกขึงจนตึงแน่น บัดนี้หย่อนยาน พร้อมกับทะเลสาบน้ำแข็งที่ค่อยๆลอยห่างออกไปจากกระบวนทัพยานรบ

 

แรงเฉื่อยอันมหาศาลจากภายนอกโลก ช่วยให้ทะเลสาบน้ำแข็งสามารถรักษาความเร็วได้ดังเดิม และลอยล่องหายลับไปในส่วนลึกของห้วงจักรวาล

 

หากไม่มีอุบัติเหตุใดๆ ทะเลสายน้ำแข็งก็จะลอยอยู่ท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิดตลอดกาล

 

แม้จะต่อให้มีบางสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น อย่างเช่น ทะเลสาบน้ำแข็งอาจจะถูกดึงดูดโดยแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์รกร้าง แต่สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเพียงดาวบริวารน้ำแข็ง คอยล่องลอยเวียนอยู่รอบดาวเคราะห์ดวงที่ว่านั่นตลอดไป

 

หรืออีกกรณีหนึ่ง – แม้เศษเสี้ยวนรกเยือกแข็งนี้ถูกกลืนกินลงไปโดยมอนสเตอร์เอกภพ แต่สุดท้ายแล้วพวกมันก็จะถูกย่อยสลายอยู่ในกระเพาะของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่ามอนสเตอร์เอกภพตัวนั้นจะตกตายลงอยู่ดี

 

โดยสรุปแล้ว คนตายผู้ชั่วร้ายเหล่านี้ จะไม่มีทางได้กลับมาได้อีกแน่ๆ

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.320 – ทะลวงเมฆ

 

“ทำถึงขนาดนี้แต่ยังโค่นมันไม่ลงอีกอย่างงั้นหรอ?”

 

เย่เฟย์หยูอ้าปากพะงาบๆอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

หลังจากฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิม มอนสเตอร์ยักษ์ก็เชิดหัวของมันขึ้นอย่างดุร้าย ร่างคนตายจำนวนมากถูกบีบอัดจนดูบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง แปรสภาพกลายเป็นหลุมดำจากปากมหึมาที่อ้ากว้าง

 

หมอกสีทมิฬที่เกิดจากร่างคนตายถูกพ่นออกมาโดยมอนสเตอร์ยักษ์

 

และหมอกที่ว่านั่นก็ราวกับมีชีวิต มันเปล่งเสียงกรีดร้องอย่างขมขื่น โหยหวนอย่างน่าเวทนาไล่ตามติดเย่เฟย์หยูที่กำลังบินหลบหนีไปรอบๆ

 

มอนสเตอร์ยักษ์พ่นหมอกทมิฬของคนตายออกมาอีกครั้ง

 

สองหมอกอันมืดมิดไล่ติดตามเย่เฟย์หยูแลคล้ายวิญญาณตามติด  ในขณะเดียวกัน หนึ่งในสองหมอกดำจู่ๆก็แตกตัวออก กระจายไปทั่วชั้นอากาศ ปิดล้อมเส้นทางหลบหนีของเขาอย่างกระทันหัน

 

“บ้าจริง!”

 

มันสายเกินไปแล้วที่จะหลบเลี่ยง เย่เฟย์หยูจำต้องประกบสองมือเข้าด้วยกัน เรียกกลุ่มก้อนเลือดสังหารมากุมไว้ในมือ

 

เลือดสังหารขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขึ้นรูปเป็นทรงกลม โอบเข้าปกคลุมทุกส่วนของร่างกายเขาโดยสมบูรณ์

 

บอลเลือดพุ่งตัดผ่านหมอกทมิฬ และค่อยๆลดระดับลงในจุดที่ห่างออกไป

 

ตามด้วยการปรากฏกายของเย่เฟย์หยู ที่บัดนี้กำลังก้มลงมองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลรุนแรง เดาะลิ้นทีหนึ่งแล้วเอ่ยปากออกมาว่า “ร้ายจริงๆ นี่ขนาดว่าฉันถูกห่อหุ้มด้วยเลือดสังหารไว้ชั้นหนึ่งแล้วนะ แต่มันยังถึงขั้นรุกล้ำเข้ามากัดกินร่างกายฉันได้ ..”

 

กลุ่มก้อนเปลวเพลิงเลือดสังหารปรากฏขึ้นในมือของเขา

 

“ตายซะ!”

 

เลือดสังหารที่ลุกไหม้หายวับไปจากมือของเย่เฟย์หยู และไปปรากฏขึ้นเหนือลำตัวของมอนสเตอร์ยักษ์

 

เพลิงเลือดสังหารโถมเข้าห่อหุ้มศีรษะของมอนสเตอร์ยักษ์ และเริ่มเผาไหม้มันอย่างรุนแรง

 

ปัง!

 

ร่างคนตายนับไม่ถ้วนสลายหายไปในชั้นอากาศบางๆ

 

ทั้งหัวของมอนสเตอร์ยักษ์ บัดนี้เหลือทิ้งไว้เพียงกองกระดูกขาวเหลือคณา ร่วงตกลงไปบนทะเลสาบน้ำแข็ง

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเหล่ากระดูกขาวสัมผัสลงกับพื้นผิวน้ำแข็ง ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆไม่กี่ลมหายใจ เนื้อหนังของพวกมันก็กลับมาถูกเติมเต็มดังเดิมอีกครั้ง

 

มอนสเตอร์ยักษ์เชิดร่างอันใหญ่โตของมันขึ้นมาอีกครา และค่อยๆคืบคลานไปยังทิศทางของเย่เฟย์หยู

 

เย่เฟย์หยูกล่าวด้วยความขมขื่น “นี่มันการยากเกินไปที่จะจัดการ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันคงไม่สามารถฆ่ามันได้”

 

ในหัวใจของเขาค่อยๆจมลงสู่หุบเหวไร้ก้นบึ้ง

 

มอนสเตอร์ยักษ์เพียงตัวเดียว … แต่เขากลับต้องทุ่มพลังเพื่อรับมือกับมันมากถึงขนาดนี้!

 

แล้วถ้าหากโลกทั้งใบกลายเป็นนรกเยือกแข็งเล่า? ‘คนเป็น’ จะยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือ?

 

“การทำให้มันบาดเจ็บทีละไม่กี่ส่วนน่ะมันไม่เพียงพอ เจ้าสิ่งนั้นจะต้องถูกสังหารให้ตกตายลงโดยสมบูรณ์ก่อนที่มันจะทันได้จมลงไปหลับไหลในน้ำแข็ง” เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้นมาจากระยะไกล

 

เมื่อได้ยินเสียงของกู่ฉิงซาน เย่เฟย์หยูก็ถอนหายใจโล่งอกโดยไม่รู้ตัว ปากเอ่ยถาม “นายทำธุระของตัวเองเสร็จแล้วอย่างงั้นหรอ?”

 

“ใช่ ฉันจะช่วยนายเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาเก็บสมองควอนตัมลง และถือดาบพิภพบินมาสมทบ

 

“ลงมือพร้อมกันนะ” กู่ฉิงซานตะโกนบอกระหว่างทาง

 

“ได้เลย!” เย่เฟย์หยูตอบรับคำหนึ่ง

 

เลือดสังหารสีชาดปะทุออกมา โถมเข้าปกคลุมทั่วร่างเขา

 

ตามด้วยเส้นแสงสีแดงที่วิ่งตัดชั้นอากาศ พุ่งตรงไปยังมอนสเตอร์ยักษ์

 

อีกด้านหนึ่ง กู่ฉิงซานก็ทำการล็อคสมญาเทพสงครามไว้ที่ “ผู้บัญชาการรบ”

 

มือของเขาแปรผันสัญลักษณ์อย่างว่องไว ดาบพิภพพวยพุ่งออกไปเป็นลำแสง แทงทะลุเข้าไปในร่างของมอนสเตอร์ยักษ์

 

สวรรค์และโลกพลันเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง

 

โครม โครม โครม โครม โครม!

 

ตามเสียงคำรามของรังสีดาบที่ระเบิดออกมาจากภายในร่างของมอนสเตอร์ยักษ์อย่างต่อเนื่อง

 

ร่างคนตายนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงจากมัน

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!

 

มอนสเตอร์ยักษ์คว้าจับน้ำแข็งและร่างคนตาย คิดหมายที่จะใช้พวกมันเติมเต็มฟื้นฟูร่างกายที่เสียหายของตนเอง

 

“ตัดสินใจได้ดีไม่เลวนี่ แต่ ..”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ใช้ออกด้วยเทคนิคพิเศษของสมญาที่ล็อคไว้

 

‘ปราณดาบสุดขอบฟ้า’

 

“ปราณดาบสุดขอบฟ้า : เมื่อใดก็ตามที่ดาบของท่านถูกปกคลุมไปด้วยปราณดาบ และท่านได้เปิดใช้งานสกิลนี้ ปราณดาบและสกิลดาบจะหลอมรวมกันพร่ามัวเป็นเงา ยามฟาดฟันจะปรากฏการโจมตีเดียวกันขึ้นอีกระลอก”

 

โครม โครม โครม โครม โครม!

 

เสียงระเบิดคำรามของรังสีดาบดังกึกก้องขึ้นอีกครั้ง

 

ทั้งตนทั้งร่างของมอนสเตอร์ยักษ์สั่นสะท้าน ก้อนน้ำแข็งบนมือของมอนสเตอร์ยักษ์และเหล่าร่างคนตายทั้งหมดถูกเขย่าจนร่วงตกลง ส่งผลให้กายมหึมามิอาจฟื้นฟู และยังคงได้รับความเสียหายร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

มือของกู่ฉิงซานแปรผันประกบสัญลักษณ์

 

เทคนิคลับ ประทับดารา!

 

และขณะเดียวกัน เขาก็ยังเปิดใช้งาน ‘ปราณดาบสุดขอบฟ้า’ อีกด้วย!

 

ปรากฏรังสีแสงที่แลคล้ายกับเส้นตัดของดาวตกที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เคลื่อนหยุบหยับไปตามร่างกายของมอนสเตอร์ยักษ์ แตกแขนงแยกออกเป็นสิบแฉก

 

มอนสเตอร์ยักษ์มิอาจฝืนทนได้ไหวอีกต่อไป ตลอดทั้งกายมหึมาของมันพลันแตกกระเจิง  ร่างของเหล่าคนตายที่อัดแน่นพากันแยกตัวออก ร่วงหล่นลงมาไปทั่วชั้นอากาศ

 

“ตานายแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“รับทราบ!” เย่เฟย์หยูรับคำ

 

เลือดสังหารสีชาดทิ้งดิ่งลงจากเมฆ แลคล้ายพิรุณยักษ์ร่วงตกลงมา ก่อนจะแปรสภาพเป็นชั้นตาข่ายบางเบา เข้าห่อหุ้มร่างคนตายนับไม่ถ้วนที่กำลังร่วงหล่นโดยสมบูรณ์

 

ภายในตาข่าย เลือดเนื้อของร่างคนตายนับไม่ถ้วนพลันเลือนหายไป ทว่ากระดูกสีขาวนวลกลับยังคงอยู่

 

เวลานี้ มอนสเตอร์ยักษ์ในที่สุดก็ตายลงโดยสิ้นเชิงแล้ว

 

มันจะจมลงสู่ห้วงนิทรา จนกว่าจะกลับมาฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ดังเดิม จึงจะลืมตาตื่นอีกครั้ง

 

การเคลื่อนไหวครั้งมโหฬารนี้ ส่งผลให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลสาบน้ำแข็งได้หายไป

 

ฝนเย็นฉ่ำยังคงร่วงโรย

 

เม็ดฝนตกกระทบลงกับพื้นอย่างแรง ส่งผลให้เกิดเสียงรบกวนฟังดูวุ่นวายดังสะท้อนไปทั่ว

 

ใบหน้าที่กระจายอยู่ทั่วทะเลสาบทั้งหมดหุบปากเงียบ สายตาจับจ้องชายทั้งสองในอากาศอย่างว่างเปล่า

 

ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันกำลังคิดอะไรอยู่

 

กู่ฉิงซานขยับมือ และดาบพิภพก็ร่อนกลับมาอยู่ข้างกายเขา

 

เย่เฟย์หยูปาดเหงื่อบนหน้าผาก ปากเอ่ยถาม “คราวนี้ถือว่าโค่นมันลงได้แล้วจริงๆใช่ไหม?”

 

“มันได้ตายลงแล้วอย่างสมบูรณ์ และจะต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เย่เฟย์หยูพ่นลมหายใจยาวบรรเทาความตึงเครียด “แล้วเจ้ามอนสเตอร์นั่นมันคือตัวอะไรกันแน่?”

 

“อาจจะเป็นมอนสเตอร์จากยุคอื่น ที่สามารถควบคุม ‘คนตาย’ ได้”

 

“กระทั่งมอนสเตอร์แบบนี้ก็ยังปรากฏออกมา .. ” สีหน้าของเย่เฟย์หยูแสดงถึงความวิตกกังวล “ถ้าอย่างงั้นต่อจากนี้พวกเราควรจะทำยังไงดี? ”

 

“ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตฉันก็ไม่รู้หรอก แต่พวกเราจะต้องรีบจัดการกับเจ้าทะเลสาบน้ำแข็งนี่ทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“อ่าว นายไม่ได้พูดเองหรอกหรอว่าพวกเราไม่สามารถจัดการกับนรกแห่งนี้ได้?” เย่เฟย์หยูถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

 

“ก็ตอนนี้มันยังมีขนาดเล็กอยู่ ยังไม่ได้แพร่กระจายออกไป ดังนั้นฉันเลยยังพอมีวิธีจัดการกับมันได้” กู่ฉิงซานตอบ

 

เขาหยิบเอาสมองควอนตัมออกมา ปากเอ่ยถาม “การคำนวณเสร็จสมบูรณ์แล้วรึยัง?”

 

ตามด้วยเสียงของเทพธิดากงเจิ้งที่ดังขึ้น “แผนได้มีการถูกปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์แล้ว ส่วนการคำนวณที่สอดคล้องกับแผนการได้เสร็จสมบูรณ์แล้วเช่นกัน ตามคำร้องขอของคุณ กำลังรบทางทหารจะทำการเรียกระดมกำลังพล ก่อตั้งเป็นกองยานขึ้นในไม่ช้า”

 

“ถ้ามีปัญหาอะไรที่มันทำให้ภารกิจล่าช้า คุณสามารถบอกฉันได้นะ”

 

“การบุกรุกเข้ามาในดินแดนของสาธารณรัฐฟูซี จำต้องได้รับการอนุญาตระดับสูงเสียก่อน”

 

“งั้นเจ้าสิ่งนี้น่าจะช่วยฉันได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาเปิดสมองควอนตัม และทำการเชื่อมต่อกับซางหยิงฮ่าว

 

“ว่าไง สถานการณ์ทางฝั่งนายเป็นยังไงบ้าง” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“วางใจเถอะ ฝ่าบาทอยู่ข้างๆฉันนี่แหละ ท่านยังปลอดภัยดี” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

“ขอฉันคุยกับเธอหน่อย”

 

“ข้าฟังอยู่ เจ้าพูดมาได้”

 

ไม่นานเกินรอ เสียงของจักรพรรดินีก็ดังออกมาจากสมองควอนตัม

 

กู่ฉิงซานเล่าความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป

 

และเพื่อเลี่ยงความไม่เชื่อถือของจักรพรรดินี กู่ฉิงซานจึงเปิดม่านแสง และเผยถึงสถานการณ์ในทะเลสาบทั้งหมดให้แก่เธอ

 

บังเกิดความเงียบจากปลายสาย

 

ผ่านไปนาน เสียงกระซิบของซางหยิงฮ่าวก็ดังขึ้น “โอ … อา .. โลกของฉันกำลังจะมาถึงจุดจบแล้วอย่างงั้นหรือนี่”

 

จักรพรรดินีพยายามที่จะรักษากระแสเสียงให้ฟังดูปกติมากที่สุด “จากสิ่งที่เจ้ากล่าวมา ใช่กำลังบอกว่าเขาต้องการที่จะชุบชีวิตอดีตจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฟูซีขึ้นมาใช่หรือไม่”

 

“ไม่ใช่ต้องการ แต่เขาได้ทำไปแล้ว”

 

จักรพรรดินีเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากว่า “แล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างไร?”

 

“ผมต้องการได้รับอนุญาตจากทางสาธารณรัฐฟูซี เทพธิดากงเจิ้งจะได้จัดการกับทะเลสาบแห่งนี้ตามแผนของผมที่ได้วางเอาไว้”

 

จักรพรรดินีกล่าวทันทีว่า “ข้าอนุมัติ! ตอนนี้ข้าจะแจ้งให้ทุกกองกำลังป้องกันทางอากาศ และใช้อำนาจศาลพิเศษให้เทพธิดากงเจิ้งสามารถเข้าสู่ฟูซีได้เลยโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆ”

 

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ!”

 

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าต่างหากที่ยังไม่ได้ขอบคุณสำหรับน้ำใจเจ้าที่ช่วยชีวิตนี้เอาไว้”

 

แล้วการเชื่อมต่อก็ถูกตัดขาดไป

 

ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นพร้อมกัน

 

“ไม่ว่าแกคิดจะทำอะไร มันล้วนไร้ประโยชน์” ใบหน้าหนึ่งกล่าว

 

“ใช่ๆ พวกเราน่ะได้ตายลงไปแล้ว และพวกเราจะไม่สามารถตายได้อีก” อีกใบหน้ากล่าว

 

ทุกคำ ทุกประโยคที่กู่ฉิงซานพูดออกมาเมื่อครู่นี้ เหล่าใบหน้าตลอดทั่วทั้งสะเลสาบล้วนได้ยินแทบทั้งสิ้น

 

ใบหน้าหนึ่งกล่าว “ปล่อยให้พวกมันทำไปเถอะ เอาไว้พอพวกเราหลุดออกไปข้างนอกได้ สิ่งเดียวที่เหลือให้พวกมันพอจะทำได้ ก็คือยื่นถวายเนื้อสดๆและจิตวิญญาณมาให้พวกเรากิน”

 

“นั่นสินะ”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว”

 

“ตาย!”

 

“พวกแกจะต้องตาย!”

 

“ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย!”

 

ใบหน้าบนทะเลสาบต่างพากันตะโกนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

 

กู่ฉิงซานยังไม่ทันได้พูดอะไร สมองควอนตัมในอ้อมแขนเขาก็เริ่มตอบสนองขึ้นเสียก่อน

 

เทพธิดากงเจิ้ง “ใต้เท้า ทางเรากำลังเร่งติดตามมา แต่ในพื้นที่แห่งนี้มีพลังงานแปลกๆไหลวนอยู่ มันคอยรบกวนฉันไม่ให้ระบุตำแหน่งสมองควอนตัมของคุณ”

 

‘นั่นคงจะเป็นความผันผวนที่เกิดจากนรกเยือกแข็ง’ กู่ฉิงซานแอบพูดอย่างลับๆ

 

เขากล่าว “เปลี่ยนดาวเทียมตรวจสอบ และค้นหาโดยอ้างอิงที่ตั้งจากท้องฟ้าโดยตรง”

 

เทพธิดากงเจิ้ง “หมอกยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องไปทั่วทั้งป่าดึกดำบรรพ์ ตอนนี้พื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยหมอกหนา ฉันไม่สามารถระบุตำแหน่งท้องฟ้าทางภูมิศาสตร์ได้”

 

“แล้วทีนี้พวกเราจะทำยังไงดี?” เย่เฟย์หยูทนไม่ไหวต้องพูดออกมา

 

อาณาเขตทะเลสาบกำลังค่อยๆแพร่กระจาย ขยายตัวขึ้นตลอดเวลา และหากคิดกำจัดมัน ก็ไม่สมควรที่จะเกิดความล่าช้าใดๆ

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองสักพักก็หัวเราะออกมา

 

“นายหัวเราะอะไร?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม

 

“ก็จู่ๆฉันก็รู้สึกว่า การที่ตัวเองได้ไปเรียนในโรงเรียนสอนการแสดงมันไม่ได้เป็นการเก็บเกี่ยวที่ไร้ความหมายเลยน่ะสิ”

 

มองไปยังท่าทีสับสนของเย่เฟย์หยู กู่ฉิงซานก็เอ่ยอธิบาย “มีภาพยนต์ในยุคโบราณเรื่องหนึ่งที่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ฉัน และมันได้บ่งบอกถึงวิธีที่จะจัดการกับสถานการณ์นี้”

 

“นั่นใช่พวกคาถาโบราณอะไรแบบนี้หรือเปล่า” เย่เฟย์หยูคิดก่อนจะกล่าว

 

“มันย่อมเป็นคาถา”

 

กู่ฉิงซานยกดาบพิภพขึ้น ชี้ปลายแหลมไปบนท้องฟ้า

 

ก่อนจะเปล่งประโยคเดียวกันกับหนังดังย้อนยุคออกมา

 

“หนึ่งศรพุ่งทะลวงผ่านชั้นเมฆ แผลงฤทธิ์ดังอาชานับพันหมื่นบรรจบกัน”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.319 – มอนสเตอร์

 

“เมื่อนรกเยือกแข็งแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งโลก” กู่ฉิงซานส่ายหัวและถอนหายใจ “ตัวตนที่ชั่วร้ายจากตลอดทั้งสี่ห้วงอารยธรรมก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมา แม้ว่าพวกเราจะสามารถโค่นพวกมันลงได้ แต่สุดท้ายพวกมันก็จะค่อยๆฟื้นฟูร่างกายตนเองกลับมาอย่างช้าๆ แล้วโถมเข้าจู่โจมพวกเราอีกครั้งอยู่ดี”

 

เย่เฟย์ยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “พวกเราไม่สามารถเจรจากับมัน แล้วอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้เลยหรอ?”

 

กู่ฉิงซาน “การได้กินเลือดเนื้อสดๆของคนเป็น จะช่วยให้พวกมันได้รับสัมผัสที่หกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งนั่นจะช่วยให้พวกมันสามารถลิ้มรสความสวยงามของโลกใบนี้ได้เหมือนดั่งกับตอนที่พวกมันยังคงมีชีวิตอยู่อีกครั้ง”

 

“ส่วนการกินจิตวิญญาณของคนเป็น จะช่วยให้คนตายได้รับพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”

 

“ยิ่งคนเป็นเสียชีวิตลงมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น”

 

“ทีนี้นายพอจะจินตนาการได้รึยังว่าทัศนคติที่พวกมันมีต่อโลกของเราเป็นอย่างไร”

 

กู่ฉิงซานอธิบายจบ สีหน้าท่าทีของเขาก็แลดูสลดเล็กน้อย

 

เย่เฟย์หยูยืนนิ่งงัน กลายเป็นคนโง่งมทั้งๆอย่างนั้น

 

“ที่แท้ มนุษย์ก็เป็นอาหารของพวกมัน” เย่เฟย์หยูบ่นพึมพำ

 

“ใช่” กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ที่พวกเราพอจะทำได้ในตอนนี้ คือจัดการกับทะเลสาบนี่ก่อน จะต้องไม่ปล่อยให้มันแพร่กระจายออกไป”

 

ตอนนี้ จำเป็นต้องทุ่มเต็มกำลัง พยายามทำให้ดีที่สุด

 

หลังจากจัดการกับที่นี่ ก็ต้องเร่งหาวิธีหยุดยั้งองค์จักรพรรดิฟูซีกับบรรพบุรุษของเขาให้จงได้

 

ถ้าหากเราสามารถเอาชนะพวกเขาได้ กำลังเสริมจากปรภพก็จะมายังโลกใบนี้

 

‘แม้จะเป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆ แต่มันก็ยังดีกว่าสิ้นหวังโดยสมบูรณ์’ กู่ฉิงซานคิดในใจ

 

ทันใดนั้นเย่เฟย์หยูก็นึกถึงปัญหา ถอนหายใจออกมา “มอนสเตอร์พวกนี้ไม่สามารถฆ่าได้ อ๊า … ถ้าอย่างงั้นฉันก็ไม่สามารถใช้พวกเขาเป็นตัวฟาร์มเพื่อวิวัมนาการได้น่ะสิ”

 

กู่ฉิงซาน “ยังจะคิดแบบนี้อยู่อีกนะ ในช่วงเวลาที่กำลังใกล้จะมาถึงต่อจากนี้ นายคงต้องคิดแต่เรื่องการเอาชีวิตรอดก่อนเป็นอย่างแรกแล้วล่ะ”

 

“แล้วพวกเราไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรอ?” เย่เฟย์หยูถาม

 

“แน่นอนว่าไม่ พวกเราจะต้องใช้สมองต่อสู้กับพวกมัน”

 

กู่ฉิงซานกล่าว ขณะเดียวกันก็เปิดสมองควอนตัม สองมือพรมลงบนมันอย่างรวดเร็ว

 

“นั่นนายกำลังทำอะไรอยู่” เย่เฟย์หยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

 

“สื่อสารกับเทพธิดาและทำการจัดเรียบเรียงบางอย่างน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

 

แต่แล้วจู่ๆ ใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองก็บังเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างกระทันหัน

 

มันเอนเอียงสลับซ้ายขวา สั่นสะเทือนไม่หยุด

 

เย่เฟย์หยูมองออกไปไม่ไกลนัก ปากขยับงึมงำ “นั่นมันอะไรน่ะ … ?”

 

ส่วนทางด้านกู่ฉิงซาน สองมือและสองตาของเขายังคงจดจ่ออยู่กับสมองควอนตัมตรงหน้า ทว่าในจิตใจได้กวาดจิตผัสมเทวะออกสังเกตการณ์แทน

 

ปรากฏหลุมบ่อลึกขึ้นบนผิวน้ำแข็ง

 

ตามด้วยวัตถุรูปร่างมนุษย์สีเทาขนาดใหญ่ค่อยๆคืบคลานออกมาจากมัน

 

ทันทีที่มอนสเตอร์ตนนี้ปรากฏตัว ใบหน้าทั้งหมดที่ยังคงถูกแช่อยู่ในชั้นน้ำแข็งก็ต่างพากันหุบปากลงทันที

 

สีหน้าของพวกมันกลายเป็นม่วงคล้ำ ประกายแห่งความดุร้ายที่ฉายอยู่บนใบหน้าตลอดมา บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวอันยากจะพรรณนาออกมาได้

 

เย่เฟย์หยูมองไปยังมอนสเตอร์ที่พึ่งปรากฏอย่างรอบคอบ เขาอ้าปากค้างอย่างช่วยไม่ได้

 

นั่นเพราะเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

 

วัตถุรูปร่างมนุษย์ … เพียงแค่มันกำลังปีนป่ายขึ้นมา อยู่ในลักษณะคล้ายกำลังนอนนาบกับพื้นราบ ขนาดตัวของมันก็ปาเข้าไปกว่าสิบเมตรแล้ว!

 

ร่างคนตายที่กระจุกรวมตัวกันอยู่ทั่วบริเวณได้ถูกดึงดูดเข้าหามัน เพื่อสร้างแขนขา และส่วนต่างๆทั้งตัวของเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้น

 

สองจุดหมอกหนาสีเทาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมัน แลคล้ายกับดวงตา

 

เบื้องล่างหมอกสีเทา ร่างคนตายนับไม่ถ้วนจมลงสู่ภายใน และเริ่มก่อตัวขึ้นแลคล้ายกับถ้ำที่ลึกและมืดมิด

 

ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นส่วนปากของมัน

 

หากมอนสเตอร์อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ปรากฏกายขึ้นในสถานที่ๆมีประชากรมนุษย์หนาแน่น เกรงว่าคนจำนวนมากคงตกตาย ถูกมันทุบทำลายบดขยี้ลงโดยตรง

 

มอนสเตอร์ยื่นหัวของมันออกมามอง จับจ้องมายังกู่ฉิงซานและเย่เฟย์หยูด้วยลูกตาที่แลคล้ายกับหมอกควันทั้งสองข้าง

 

ร่างคนตายจำนวนมากถูกบีบให้เคลื่อนไปยังหมอกควันทั้งสองข้าง เริ่มก่อรูปดวงตาและปากอันบิดเบี้ยวอย่างช้าๆ

 

มันดูเหมือนจะตื่นเต้นมาก

 

“คนเป็น … จิตวิญญาณ … ”

 

มอนสเตอร์พยายามฝืนเค้นเอ่ยคำออกมาอย่างดื้อรั้น ทั้งมือและเท้าของมันเริ่มคืบคลานเข้าหาชายทั้งสอง

 

ทุกๆครั้งที่ร่างกายขนาดใหญ่ของมันเคลื่อนไหว ทะเลสาบน้ำแข็งจะสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง

 

“นายเล่นกับมันไปก่อนแล้วกัน ฉันกำลังเตรียมการเรื่องอื่นอยู่” กู่ฉิงซานกล่าว

 

มือของเขายังคงพรมลงบนสมองควอนตัม ดูเหมือนว่ากำลังวางแผนการบางอย่างที่สำคัญอยู่

 

เย่เฟย์หยูมองไปยังมอนสเตอร์ตรงหน้า ปากเอ่ยพึมพำ “นี่มันฟังดูน่าสนใจไม่เลวเหมือนกันนะ เพราะฉันเอง ก็ไม่เคยได้สู้กับมอนสเตอร์ตัวใหญ่ยักษ์แบบนี้มาก่อนเลยเหมือนกันนอกจากในวิดีโอเกม”

 

เดือยแหลมยื่นออกมาจากแผ่นหลังเขา ก่อนจะโค้งมนเป็นปีกกระดูก และเริ่มพัดกระพืออย่างรุนแรง

 

เห็นแค่เพียงเย่เฟย์หยูที่แปรสภาพเป็นลำแสงสีแดง ทะยานตัวขึ้นไปบนฟากฟ้า ก่อนจะทิ้งดิ่งลงเข้ากระแทกใส่หัวของเจ้ามอนสเตอร์ด้วยเจตนาร้าย

 

หลายร้อยร่างคนตายบนใบหน้าของมอนสเตอร์ยักษ์ถูกตัดออกโดยเลือดสังหาร

 

มอนสเตอร์ยักษ์ส่งเสียงคำรามลั่น ส่งผลให้ทุกสิ่งทั่วสารทิศต้องสั่นสะท้าน

 

เลือดสีดำสาดออกกระเซ็นออกมาจากร่างคนตายที่ร่วงหล่นลงจากใบหน้าของมอนสเตอร์

 

ทว่ามอนสเตอร์ยักษ์ก็ดูราวกับจะไม่แยแส มันพยายามที่จะลุกขึ้นยืน เอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าจับประกายแสงสีแดงตรงหน้า

 

ทว่าประกายแสงสีแดงก็เหินขึ้นไปบนอากาศในมุมสูงอย่างรวดเร็ว

 

มอนสเตอร์ยักษ์คำรามอีกครั้ง ง้างหมัดจ้วงชกลงบนผิวน้ำแข็ง

 

ชั้นน้ำแข็งพลันแตกร้าวเป็นผง และแน่นอนว่าร่างคนตายที่ถูกแช่อยู่เบื้องล่างก็พลอยถูกปลดปล่อยออกมาด้วย

 

ท่ามกลางพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ร่างคนตายที่ซ้อนทับกันอยู่เบื้องล่างก็ค่อยๆปรากฏตัวขึ้นในไม่ช้า

 

และมอนสเตอร์ยักษ์ก็ดูดกลืนมัน ร่างมหึมาค่อยๆได้รับการฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

 

เมื่อเย่เฟย์หยูเห็นสิ่งนี้ เขาก็พุ่งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว บินวนฉวัดเฉวียนไปรอบๆมอนสเตอร์ยักษ์อย่างไม่รู้จบ และฉวยโอกาสโจมตีทั้งเตะทั้งต่อยบ้างเป็นครั้งคราว

 

ร่างคนตายนับไม่ถ้วนร่วงตกลงจากมอนสเตอร์ยักษ์

 

มันคุกเข่าลงกับพื้น พยายามเหยียดแขนทั้งสองออกไปคว้าจับตัวเย่เฟย์หยู

 

ทว่าความเร็วของอีกฝ่ายดูจะรวดเร็วเกินไป ประกอบกับร่างกายอันใหญ่โตเกินควรของมอนสเตอร์ยักษ์ ทำให้การตอบสนองของมันค่อนข้างเชื่องช้าและไม่อาจจับตัวเย่เฟย์หยูได้

 

“กลับกลายเป็นว่าแกมันก็แค่เจ้าตัวน่ารังเกียจ ที่ดีแต่ตัวโต แต่กลับไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมายเลย” เย่เฟย์หยูหัวเราะ

 

ทันใดนั้นร่างคนตายทั้งหมดบนกายของมอนสเตอร์ยักษ์ก็เริ่มบิดตัวไปมา

 

พวกมันฟื้นคืนสติ ปากอ้าขยับขึ้นในเวลาเดียวกัน และเปล่งเสียงกรีดร้องแหลมด้วยความเจ็บปวดอันแสนสาหัสออกมา

 

เสียงโหยหวนมากมายบังเกิดขึ้นพร้อมกัน กระทั่งระลอกอากาศก็ยังเกิดการกระเพื่อม

 

เย่เฟย์หยูจำต้องยกสองมือขึ้นกุมหูของเขา ร่างกายสูญเสียการควบคุม ร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า

 

ปัง!

 

เขาร่วงกระแทกลงบนผิวทะเลสาบน้ำแข็งอย่างแรง ปรากฏรอยร้าวแตกแขนงออกไปแลคล้ายใยแมงมุม

 

“เนื้อ!”

 

“เนือสดๆ!”

 

“กำลังอุ่นๆอยู่เลย เร็วเข้า … อย่ามาแย่งนะ!”

 

ใบหน้าตนแล้วตนเล่าบนทะเลสาบน้ำแข็งที่อยู่ใกล้เคียง เริ่มเคลื่อนกายไปทางเย่เฟย์หยู

 

ใบหน้าทุกตนอ้าปากกว้าง หมายพยามที่จะกัดกินเลือดเนื้อของเย่เฟย์หยู

 

“เจ้าพวกฝูงเศษเดน ต้องการจะกินฉันอย่างงั้นหรอ!”

 

เย่เฟย์หยูคำรามคำหนึ่ง ตลอดทั้งร่างบังเกิดเดือยแหลมนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา

 

เดือยเหล่านี้แหลมคมยิ่ง ใบหน้าที่เคลื่อนมาเป็นฝูงบนผิวน้ำแข็งอย่างเร็วรี่ มิอาจชะลอได้ทัน พวกมันบ้างถูกทิ่ม บ้างแทง บ้างตัดเฉือน เหลือทิ้งไว้เพียงชิ้นน้ำแข็งกองกระจายไปทั่ว

 

ทันใดนั้นสภาพอากาศเบื้องบนก็พลันมืดมิด

 

เย่เฟย์หยูบังเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นในจิตใจ เขาเงยหน้าขึ้นมอง

 

แท้จริงแล้ว เขากลับเห็นแค่เพียงหัวของมอนสเตอร์ยักษ์ที่ยื่นลงมาเหนือตัวเขา ปากมหึมาอ้ากว้าง หมายจะกัดกินเหยื่อตรงหน้าให้จงได้

 

ง่ำ!

 

ปากของมอนสเตอร์ยักษ์กระแทกเข้ากับผิวน้ำแข็ง

 

ในช่วงเวลาวิกฤตดังกล่าว เย่เฟย์หยูได้รีดความเร็วออกมาถึงขีดสุด หลบเร้นการงับลงของมอนสเตอร์ยักษ์ได้อย่างฉิวเฉียด

 

“เป็นแค่พวกคนตาย แต่กล้าที่จะปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นอาหารอย่างงั้นหรอ ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่”

 

สองตาของเย่เฟย์หยูหรี่แคบลงเป็นเส้น บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแปลกๆผุดขึ้นมา

 

พร้อมกับปรากฏเลือดสังหารสีชาดที่กำลังลุกไหม้ขึ้นในมือของเขา

 

เย่เฟย์หยูเลียริมฝีปากตน มองไปที่มอนสเตอร์ยักษ์และกล่าวว่า “ขอฉันเดานะ ในนรกแกคงได้รับความสะดวกสบายมากเกินไปล่ะสิ ถึงได้ไม่รู้จักความน่าสะพรึงกลัวบนโลกใบนี้”

 

สองแขนของเขากางออก แปรสภาพเป็นใบมืดยาวอันแหลมคม

 

และเลือดสังหารก็ควบรวมไปกับมัน ลุกไหม้อยู่บนใบมืดยาว

 

ยามเมื่อร่างของเขาวูบไหว พริบตาเดียวมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

วินาทีต่อมา

 

ทั้งหัวของมอนสเตอร์ยักษ์ก็ถูกตัดสะบั้น ร่างคนตายนับไม่ถ้วนภายในหัวร่วงกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ

 

ประกายแสงสีแดงกระพริบไหวอีกครั้ง

 

คราวนี้สองมือและสองเท้าของมอนสเตอร์ยักษ์ถูกตัดออก

 

โครม!

 

ร่างกายมหึมาที่แสนหนัก ร่วงตกลงบนผิวน้ำแข็ง ยุบตัวลงเป็นหลุมลึก

 

ทว่าเย่เฟย์หยูดูจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ ในลมหายใจเดียว เขาไล่สับตามร่างของมอนสเตอร์ยักษ์ไปกว่า7-8ส่วน ก่อนจะปลีกตัวถอยฉากลอยขึ้นไปบนอากาศ

 

“คราวนี้เป็นไง? แกควรจะมุดหนีกลับไปอยู่ใต้น้ำแข็งเบื้องล่างต่อไปนะ” เขากล่าวพลางหอบหายใจ

 

เมื่อครู่นี้ เขาทุ่มออกไปสุดความสามารถแล้ว

 

แต่เขากลับเห็นแค่เพียง ชิ้นส่วนต่างๆของร่างกาย ที่กระจัดกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ กลับค่อยๆคืบคลานเข้าหากัน บ้างจับ บ้างกัดกิน บ้างโอบกอด ผสานหลอมรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติ

 

ทันใดนั้น หัวและแขนขาทั้งสี่ของมอนสเตอร์ยักษ์ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม แล้วค่อยๆพากันคืบคลานกลับไปที่ลำตัว

 

มอนสเตอร์ยักษ์ … ฟื้นฟูกลับมาโดยสมบูรณ์!

 

เย่เฟย์หยูจ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม ผสมปนเปไปกับความหวาดกลัวที่เริ่มกัดกินเข้ามาในจิตใจ

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.318 – นรก(ตอนปลาย)

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไปตรวจสอบทะเลสาบน้ำแข็ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

ไม่ผิดแล้ว มันต้องเป็นที่นี่อย่างแน่นอน

 

“ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างอยู่ในทะเลสาบนะ” เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา

 

“ไปกันเถอะ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยประโยคเดียวสั้นๆ

 

ดาบพิภพปรากฏขึ้นในมือของเขา สองเท้าก้าวตรงไปยังทะเลสาบ

 

พร้อมกับเย่เฟย์หยูที่ติดตามไปอย่างใกล้ชิด

 

ทั้งสองก้าวเข้าสู่ทะเลสาบน้ำแข็ง และเดินอยู่บนพื้วผิวของมัน

 

ทันทีที่ก้าวเข้ามา ทั้งสองก็ตกอยู่ท่ามกลางม่านหมอกที่ฟุ้งอยู่รอบตัวราวกับไร้ที่สิ้นสุด ไม่อาจมองเห็นอะไรได้เลย

 

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น “ใต้เท้า ฉันสูญเสียพิกัดทางภูมิศาสตร์ของคุณ”

 

“นั่นนับว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่เป็นไรหรอก”

 

กู่ฉิงซานทนไม่ไหว จำต้องถอนหายใจออกมา

 

ใช่แล้วล่ะ มันเป็นเรื่องปกติที่จะสูญเสียพิกัดทางภูมิศาสตร์ – ในพื้นที่ทับซ้อนแห่งนี้

 

ความเย็นเยียบดั่งเข็มแหลมทิ่มแทงขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า ราวกับต้องการจะแช่แข็งไขกระดูกของผู้รุกรานให้ได้

 

ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ ยกเว้นเพียงแต่หมอกที่ยังไหลวนปกคลุมตลอดเวลา

 

เย่เฟย์หยูช่วยไม่ได้ที่จะเอ่ยปากบอก “ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติที่นี่”

 

“ระวังใต้ฝ่าเท้าของนายด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ใต้ฝ่าเท้า?” เย่เฟย์หยูกล่าวด้วยความสับสน

 

ทว่าทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงสนทนาเบาๆดังขึ้น

 

“เจ้า ‘คนเป็น’ นี่ช่างไร้มารยาทโดยแท้”

 

“ใช่ๆ เขาเกือบที่จะเหยียบหัวของฉันอยู่แล้วตอนนี้”

 

“ ‘คนเป็น’ รอให้ฉันออกไปได้ก่อนเถอะ ฉันจะตัดหัวมัน แล้วสับๆๆๆให้เละ จากนั้นก็จะมาสูดกินทางจมูกให้ได้เลยคอยดู”

 

เย่เฟย์หยูชะงักงัน

 

เขาค่อยๆหัวลงมองไปยังใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง

 

“นี่มันบ้าอะไรกัน!” เย่เฟย์หยูร้องเสียงหลง

 

ใบหน้า

 

ใต้ฝ่าเท้าเขาเต็มไปด้วยใบหน้านับไม่ถ้วน

 

บนพื้นผิวน้ำแข็ง ตลอดทั่วทั้งทะเลสาบ ทั้งหมดเต็มไปด้วยใบหน้าของมนุษย์!

 

ใบหน้าเหล่านั้นถูกแช่แข็งอยู่ภายในทะเลสาบ มันปูดขึ้นมาเล็กน้อยจากพื้นผิวของน้ำแข็ง

 

ขณะเดียวกัน ก็ยังมีใบหน้าของอีกหลายคนอยู่ใต้ชั้นน้ำแข็ง ขณะที่บางใบหน้าก็ผุดขึ้นมาแล้ว

 

ภายใต้น้ำแข็งหนา ร่างกายของพวกเขาถูกแช่แข็งอยู่โดยสมบูรณ์

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฉากอันแสนแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัวนี้ ทั้งคนทั้งร่างของเย่เฟย์หยูก็กลายเป็นโง่งม

 

กู่ฉิงซานตบลงบนไหล่เขา ทว่าขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด เขาก็เห็นว่าหน้าต่างระบบเทพสงครามได้สว่างขึ้นเสียก่อน

 

“ผู้เล่นได้เห็นถึงนรกเยือกแข็งด้วยตาของตัวเองแล้ว”

 

“ผู้เล่นสามารถพิสูจน์การคาดเดาของตนเองได้”

 

“ภารกิจเนื้อเรื่องจุดจบของโลก เสร็จสมบูรณ์”

 

“รางวัลภารกิจ : เมื่อผู้เล่นทำการซ่อมแซมดาบเช่านหยิน จะสามารถจ่ายพลังวิญญาณเพื่อเร่งความเร็วในการซ่อมแซมได้”

 

บรรทัดตัวอักษรเหล่านี้หายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่กู่ฉิงซานได้อ่านมัน

 

แล้วเส้นแสงบรรทัดใหม่ก็ปรากฏขึ้นในทันทีบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“การปรากฏขึ้นของนรกเยือกแข็ง เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงจุดจบของโลก”

 

“ด้วยมนุษย์เพียงลำพัง มิาจเอาชนะความตายจากนรกเยือกแข็งได้”

 

“ร้องขอให้ผู้เล่นทำการสำรวจทะเลสาบต่อไปเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม”

 

ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหวไปอยู่ตรงใจกลางทะเลสาบ

 

“เฮ้! รอฉันด้วยสิ” เย่เฟบ์หยูตะโกนคำหนึ่ง วิ่งตามอย่างรีบร้อน

 

เขาไม่อยากอยู่คนเดียวในสถานที่น่ากลัวแบบนี้

 

ใต้ฝ่าเท้าของเขา ใบหน้าของผู้คนนับไม่ถ้วนถูกแช่แข็งอยู่ในทะเลสาบ และมีเสียงจากหัวของคนที่โผล่ออกมาตะโกนไล่สาปแช่งเขาไปตลอดทาง

 

หลังจากนั้นไม่นาน กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูก็มาถึงใจกลางทะเลสาบ

 

พบแค่เพียงหลุมลึกว่างเปล่า ณ ใจกลางทะเลสาบ

 

พื้นผิวที่เรียบเนียนราวกับกระจก ขาดหายไปชิ้นใหญ่

 

หัวใจของกู่ฉิงซานจมลงสู่หุบเหวอันไร้ก้นบึ้งในจิตใจ

 

‘คนตาย’ ที่ทรงพลัง ได้หายไปจากที่นี่แล้ว

 

องค์จักรพรรดิฟูซีได้ส่งหัวกะโหลกให้แก่มันไปจริงๆ

 

“น่าแปลกนะ ทำไมตรงส่วนนี้ถึงยังไม่มีน้ำแข็งกัน?” เย่เฟย์หยูถาม

 

“เพราะมันจากไปแล้วน่ะสิ” กู่ฉิงซานตอบ

 

เขาถอนหายใจด้วยความเศร้าสลด

 

สงครามยังไม่ทันจะเริ่มต้นขึ้น แต่ตัวตนที่แข็งแกร่งของมนุษยชาติกลับกลายไปเป็นผู้นำทางให้แก่อีกฝ่ายไปซะแล้ว

 

“เทพธิดากงเจิ้ง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ฉันอยู่นี่”

 

“มนุษย์กำลังเผชิญหน้ากับความสิ้นหวัง คุณจะต้องทำการค้นหาบางสิ่งอย่างเต็มกำลัง” กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ

 

“ใต้เท้าโปรดชี้แนะ”

 

“มันคือชิ้นส่วนของน้ำแข็งขนาดใหญ่ บางทีมันอาจจะเปลี่ยนรูปร่างและกลายเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่โดยหลักการแล้วมันจะยังคงถูกทำขึ้นจากน้ำแข็ง”

 

กู่ฉิงซานกล่าวเสริม “และภายในน้ำแข็งที่ว่านั่น จะต้องมีบางสิ่งที่พิเศษ บางสิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างแน่นอน ถ้าคุณพบมันแล้ว ขอให้รีบรายงานฉันทันที”

 

“รับทราบแล้วใต้เท้า นับจากนี้ไป ฉันจะทำการค้นหามันด้วยพลังทั้งหมดที่มี” เทพธิดากงเจิ้งรับคำ

 

ในเวลานี้ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อย ร้อยเรียงกันเป็นบรรทัดตัวอักษรโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ด้วยความช่วยเหลือขององค์จักรพรรดิฟูซี ราชาผู้ครอบครองพลังอำนาจอันแข็งแกร่งจึงได้หลุดพ้นออกจากนรกเยือกแข็งแล้ว”

 

“ราชาองค์นี้กับลูกน้องใต้บังคับบัญชาของมัน ได้เริ่มต้นปฏิบัติการแล้ว และปฏิบัติการที่ว่านั่นจะเป็นตัวเร่งการมาถึงของภัยพิบัติให้ไวขึ้น – คุณจะต้องหยุดมัน”

 

“วัตถุประสงค์ภารกิจ : ป้องกันไม่ให้แผนการขั้นต่อไปของจักรพรรดิแห่งฟูซีเกิดขึ้น รักษาเสถียรภาพของโลกมนุษย์ และเพื่อให้แน่ใจว่าคนจำนวนมากจะไม่ตกตาย คุณจำเป็นต้องชะลอการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็ง”

 

“รางวัลภารกิจ : กำลังเสริมจากปรภพจะเร่งมายังโลกใบนี้ เพื่อทำการต่อสู้กับนรกเยือกแข็งร่วมกับมนุษย์”

 

“คำใบ้ภารกิจ : เมื่อสิ่งมีชีวิตหรือที่เรียกกันว่า ‘คนเป็น’ ถูกสังหาร มันจะผลิตปราณแห่งความตายขึ้น และยิ่งปราณแห่งความตายหนาแน่นมากเท่าใด อัตราการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งก็จะเร็วมากขึ้นเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านข้อความแจ้งเตือนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

 

ทั้งคนทั้งร่างของเขาราวกับถูกแช่แข็งอยู่ในจุดนั้น

 

แต่ในสายตาของเขา กลับบังเกิดรัศมีแสงแห่งความหวังปรากฏขึ้น

 

กำลังเสริม!

 

ปรากฏว่าเดิมทีแล้วยังมีกำลังเสริมอยู่ด้วย!

 

ในชีวิตก่อนหน้า โลกทั้งใบได้ถูกทำลายลง โดยไม่มีกำลังเสริมใดๆมาถึง

 

มันไม่ใช่แค่นรกเยือกแข็งเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภัยพิบัติทั้งหลายแหล่ที่ปะทุขึ้นก่อนหน้านี้ ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่องไร้ที่สิ้นสุด และสุดท้ายพวกเขาก็พ่ายแพ้ลง

 

หลายปัจจัยผสานรวมเข้าด้วยกัน ทำให้การทำลายล้างโลกรวดเร็วยิ่งขึ้น

 

ในเวลานี้ ตัวเขาเองต้องพยายามให้ดีที่สุด เพื่อชะลอการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็ง!

 

“ … กำลังเสริม …  ไม่รู้ว่ามันเป็นกำลังเสริมแบบไหนกันแน่ … ”

 

กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ และบ่นพึมพำกับตัวเอง

 

เย่เฟย์หยูที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามออกมาอย่างแคลงใจว่า “ตกลงแล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนี้มันคืออะไรกันแน่?”

 

“พวกเขาทุกตนคือ ‘คนตาย’ ของนรกเยือกแข็งจากปรภพ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“งั้นทะเลสาบที่ว่านี่ก็คือนรกใช่ไหม?”

 

“ไม่ใช่ มันเป็นแค่เศษเล็บเล็กจ้อยของนรกเยือกแข็งเท่านั้น ”

 

ทันใดนั้นเย่เฟย์หยูก็เหยียดเท้าของเขาออกไป และย่ำลงบนใบหน้าของ ‘คนตาย’ ที่ถูกแช่แข็งด้วยเจตนาร้าย

 

ทว่าใบหน้านั่นกลับมิได้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดใดๆ มันเพียงแค่จ้องมองเขาอย่างดุร้าย และเผยรอยยิ้มแย้มที่ดูน่าหวาดกลัวออกมาเท่านั้น

 

“พวกมันไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวด” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ถ้างั้นฉันจะฆ่ามันเอง!”

 

เย่เฟย์หยูกระทืบเท้าลงอย่างแรง

 

ตูม!

 

ชั้นน้ำแข็งถูกย่ำลงโดยเขา

 

พร้อมกับ ‘คนตาย’ นับร้อยที่หลุดออกมาจากการถูกแช่แข็ง

 

“รนหาที่เองนะเจ้า ‘คนเป็น!’ ”

 

“หากได้กินมันล่ะก็ ความแข็งแกร่งของฉันก็จะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น!”

 

“อยากได้เลือดเนื้อของมันก็เอาไป แต่อย่ามาแย่งจิตวิญญาณของมันจากฉันก็แล้วกัน!”

 

‘คนตาย’ส่งเสียงร้องโหวกเหวกโดยไม่สนใจตะกอนน้ำแข็งบนร่างกายของพวกมันเลย ทั้งหมดพรวดตรงไปยังเย่เฟย์หยูอย่างรวดเร็ว

 

แสงสีแดงเรืองรองวูบออกจากร่างเย่เฟย์หยู  แปรสภาพเป็นเส้นแสงสีแดงนับไม่ถ้วน เข้าห่อหุ้ม ‘คนตาย’ทั้งหมดเอาไว้

 

ร่างคนตายกวัดแกว่งแข้งขาของพวกมันไปมาอย่างคลุ้มคลั่ง ดิ้นรนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่เนื้อหนังของพวกมันก็ค่อยๆถูกลอกออกโดยตาข่ายสีแดงอย่างช้าๆ

 

ไม่นาน ร่างของเหล่าคนตายก็เหลือทิ้งไว้เพียงกองกระดูกเท่านั้น

 

ตาข่ายด้ายแดงค่อยๆจางหายไป

 

ตามด้วยกระดูกสีขาวที่ร่วงหล่นลงกับพื้น

 

“ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย” เย่เฟย์หยูยกสองแขนขึ้นกอดอกและกล่าว

 

“มันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก พวกคนตายที่ทรงพลังน่ะได้ไปจากที่นี่แล้ว ที่อยู่ตรงนี้เป็นคนตาย ที่อยู่ในระดับสามัญธรรมดาเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ยังไงก็เถอะ นายต้องลองมองดูกองซากร่างของพวกเขาดีๆสิ”

 

เย่เฟย์หยูมองออกไป และเห็นแค่เพียงกองกระดูกสีขาวบนผิวน้ำแข็ง ค่อยๆจมลงไปเบื้องล่างอย่างช้าๆ

 

และทันทีหลังจากนั้น เลือดเนื้อก็พลันถูกฟื้นฟูกลับคืนมาอีกครั้ง เหล่ากองกระดูกขาวนับร้อยเมื่อครู่กลับคืนสู่สภาพเดิมของ ‘คนตาย’ดั่งในตอนแรกอย่างรวดเร็ว

 

ใบหน้าของพวกมันปรากฏขึ้นอีกครั้งในทะเลสาบน้ำแข็ง

 

และพวกมันก็ลืมตาขึ้น

 

เหล่าคนตายเบนสายตาจับจ้องมายังเย่เฟย์หยู

 

ในดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง จ้องเย่เฟย์หยูที่ทั้งคนทั้งร่างตกอยู่ในความมึนงงโดยสมบูรณ์

 

“นรกเยือกแข็งจะแพร่กระจายไปทั่วโลกทั้งใบ และในอนาคตนายจะทำได้แค่เพียงเอาชนะพวกมันเท่านั้น แต่ไม่สามารถฆ่าพวกมันได้โดยสมบูรณ์”กู่ฉิงซานอธิบาย

 

สีหน้าของเย่เฟย์หยูกลับกลายเป็นหนักอึ้ง ปากเอ่ยถาม “แล้วพวกเราจะสามารถจัดการเจ้านรกเยือกแข็งที่ว่านี้ได้รึเปล่า?”

 

กู่ฉิงซานยิ้ม ทว่ามันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขมขื่น

 

“เมื่อโลกทั้งใบกลายเป็นนรก ใครกันเล่าจะสามารถทำลายมันได้?”

 

เขาเอ่ยต่อ “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ที่สำคัญกว่าก็คือ ตั้งแต่มีการบันทึกเอาไว้ มนุษย์น่ะอยู่บนดาวดวงนี้มายาวนานกว่า 27000 ปีแล้ว”

 

“นายรู้รึเปล่าว่านี่หมายถึงอะไร” เขาถาม

 

เย่เฟย์หยูขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นขาวซีด

 

เขาเอ่ยปากถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นายกำลังจะบอกว่า ทุกคนที่ตายไปแล้วกว่า 20000 ปีที่ผ่านมา ทั้งหมดจะปรากฏตัวขึ้นบนโลกอย่างงั้นหรอ?”

 

ไม่ใช่ทุกคนหรอก เฉพาะคนที่ชั่วร้ายเกินกว่าจะให้อภัยได้เท่านั้นแหละ ที่จะถูกส่งตัวไปยังนรกเยือกแข็งน่ะ”

 

กู่ฉิงซานกล่าว “นายลองคำนวณดูเอาก็แล้วกัน ว่าพวกคนชั่วที่ในช่วง 27000 ปีที่ข้ามผ่านสายธารแห่งกาลเวลานี้ จะมีมากมายขนาดไหน และทั้งหมดที่ว่านั่นจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา”

 

“ยิ่งไปกว่านั้น ตามการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แล้ว ก่อนการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ยังมีการดำรงอยู่ของอารยธรรมอื่นๆอยู่อีกนะ”

 

“ตามการค้นพบทางโบราณคดี ก่อนหน้าจะถึงยุคของมนุษย์ ยังมีอีกอย่างน้อยสามยุคสมัย”

 

“ยุคสมัยแห่งยักษ์ , ยุคสมัยแห่งปีศาจ และยุคสมัยแห่งความโกลาหลที่ยังไม่ได้ถูกระบุเอาไว้อย่างชัดเจน”

 

“เมื่อมอนสเตอร์เหล่านี้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลแห่งความตาย ทั้งหมดก็จะย่างกรายเข้ามาสู่โลกในปัจจุบันนี้ของพวกเรา”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.317 – นรก(ตอนต้น)

 

สายตาของกู่ฉิงซานจับจ้องอยู่แต่กับหน้าต่างระบบเทพสงคราม ในหัวใจของเขาบังเกิดความประหลาดใจขึ้นหลายส่วน

 

จู่ๆหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้ปล่อยภารกิจออกมาในโลกจริงอย่างกระทันหัน

 

“จุดจบของโลก” – อ่านจากคำอธิบายภารกิจที่เป็นแบบนี้ เกรงว่าแม้กระทั่งหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ยังคิดว่ามันเป็นภัยพิบัติอันเลวร้ายที่ไม่มีวันชนะใช่หรือไม่?

 

อย่างไรก็ตาม ภารกิจนี้ก็ตรงกับความต้องการของกู่ฉิงซานพอดิบพอดี

 

ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมดาบเช่าหยิน หรือการค้นหาความจริงของภัยพิบัตินี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่กู่ฉิงซานคิดจะทำอยู่แล้ว

 

ในส่วนของการซ่อมดาบเช่าหยิน นั่นคือขั้นตอนแรกของภารกิจนักดาบนิรันดร์

 

หากเขาสามารถเรียกคืนพลังของนักดาบนิรันดร์มาได้ แม้จะอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพช่วงต้น แต่ความแข็งแกร่งของตนเองก็จะเหนือล้ำยิ่งกว่าในชีวิตก่อนหน้าทันที!

 

เขาละสายตาจากหน้าต่างระบบเทพสงคราม และหันไปมองรอบๆห้องประชุม

 

เจ้าหญิงโผเข้าสู่อ้อมกอดของจักรพรรดินี น้ำตาอันขื่นขมร่วงโรยออกมาเป็นสาย

 

เหล่ารัฐมนตรี ข้าราชบริพาร และองครักษ์ ต่างทะยอยกันมาที่ห้องประชุมกันทีละคน

 

กู่ฉิงซานกันพวกเขาไว้ มิให้เข้ามาใกล้ แยกเหล่าฝูงชนออกจากจักรพรรดินี

 

ขณะนี้ คนเหล่านี้ยังไม่อาจวางใจได้ 100 เปอร์เซ็น

 

จนกว่าซางหยิงฮ่า่วจะมาถึง นี่คือสิ่งเดียวที่เขาพอจะสามารถทำได้

 

แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานกำลังยืนเฝ้าปกป้องจักรพรรดินีอย่างเงียบๆ ทว่าในหัวใจกลับพาลคิดไปถึงเรื่องอื่น

 

นายพลกองทัพเรือ หลี่ตงหยวนแห่งรัฐบาลกลาง ถูกแทนที่ด้วยร่างโคลน …

 

องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีมีความคิดจะทำอะไรกับรัฐบาลกลางกันแน่?

 

กู่ฉิงซานกล่าวขึ้นทันใด “เทพธิดากงเจิ้ง”

 

“ฉันอยู่นี่ใต้เท้า” เทพธิดาขานรับ

 

“ท่านประธานาธิบดีตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

 

“เขาไม่ได้เชื่อมต่อกับฉัน แต่สัญญาณชีวิตของเขายังคงปกติดี”

 

นี่มันเป็นช่วงเวลากลางดึก บางทีท่านประธานาธิบดีอาจกำลังพักผ่อนอยู่

 

กู่ฉิงซานผ่อนคลายลงเล็กน้อยและเอ่ยถาม “แล้วในวันพรุ่งนี้ ท่านประธานาธิบดีมีกำหนดการจะทำอะไร?”

 

“นี่มันก็เลยเที่ยงคืนมาแล้ว อีกสี่ชั่วโมงจะถึงรุ่งสาง ดังนั้นหากจะกล่าวอย่างแม่นยำ สมควรกล่าวว่าในวันนี้ ท่านประธานาธิบดีจะมีกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์แห่งชาติเวลา 9.00 น. เพื่อระดมคนให้เข้าร่วมลงคะแนนเลือกตั้ง”

 

“แล้วทางด้านเทพนักสู้ล่ะ?”

 

“นายพลซางซ่งหยางยังคงอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดี”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก

 

ดูเหมือนว่าเทพนักสู้จะตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตัวกู่ฉิงซานกล่าวไม่สมควรจะเป็นเท็จ

 

มีเทพนักสู้คอยปกป้อง คงสามารถรับประกันความปลอดภัยของประธานาธิบดีได้

 

ภายในห้องประชุม

 

จักรพรรดินีเริ่มทำการออกคำสั่งแก่บริวารทีละคนๆ

 

ทั้งหมดทยอยกันรับคำสั่งเธอ และพากันออกจากหน้าห้องประชุม แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ทีละคน ทีละคน

 

ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดินี ส่งผลให้ตลอดทั้งพระราชวังประสานงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

“ฝ่าบาท ภายนอกพระราชวังมีบุคคลน่าสงสัยบุกรุกเข้ามา เขาบอกว่าได้รับคำเชิญอิเล็กทรอนิกส์จากท่าน!” องครักษ์วังกล่าวพลางโค้งกายคารวะ

 

“ให้เขาเข้ามาได้!” จักรพรรดินีเอ่ยสั่ง

 

จากนั้น ซางหยิงฮ่าวก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในห้องโถงวัง

 

“นี่คือหุ้นส่วนของผม ซางหยิงฮ่าว เป็นคนที่น่าเชื่อถือได้” กู่ฉิงซานแนะนำแก่ราชวงศ์ทั้งสอง

 

“แน่นอนว่าข้าย่อมรู้จักเขา -ราชานักฆ่าผู้ทรยศต่อเก้าตระกูลใหญ่ ”

 

กล่าวจบ จักรพรรดินีก็ยื่นมือของเธอไปยังเขา

 

ซางหยิงฮ่าวก้มลงจุมพิตทักทายและกล่าว “ฝ่าบาทที่เคารพ การได้พบกับท่านถือเป็นเกียรติยิ่งสำหรับกระหม่อม”

 

จักรพรรดินีเดินเรื่องเข้าประเด็นโดยตรง “ชื่อเสียงในด้านความใจกว้างของสาธารณรัฐนับว่าเป็นที่รู้จักกันเสมอมา ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องเงินรางวัล ตราบใดที่เจ้าปกป้องข้าและบุตรสาวเอาไว้ได้”

 

ซางหยิงฮ่าวฉีกยิ้มทันที ปากเอ่ยกล่าวด้วยความสุภาพ “สมาคมนักล่าจะเชื่อฟัง และปฏิบัติตามความประสงค์ของฝ่าบาท”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามออกมา “แล้วคนของนายล่ะ?”

 

ซางหยิงฮ่าวกล่าว “ทั้งหมดมาถึงที่นี่แล้ว ฉันจะเรียกพวกเขามาทันที หลังจากที่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท”

 

“ให้พวกเขาเข้ามาได้” จักรพรรดินีกล่าวอนุมัติ

 

ซางหยิงฮ่าวหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมา และเรียกคนของเขา

 

ในระหว่างที่รอ กู่ฉิงซานก็ลากซางหยิงฮ่าวมาที่มุมหนึ่ง และบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ

 

ซางหยิงฮ่าวสูดหายใจเย็นเยียบ

 

“โคลนมนุษย์ … แม้กระทั่งพลังอำนาจของมืออาชีพก็ยังสามารถลอกเลียนแบบได้ คนที่ชื่อถังจุนนี่มันสุดยอดจนน่าหวาดกลัวจริงๆ” เขาบ่นพึมพำ

 

“แต่ความทรงจำของพวกเขาจะไม่เป็นระบบระเบียบ ทั้งหมดแทบจะลืมเลือนประสบการณ์ต่อสู้ และแน่นอน ว่าต่อให้คนของนายเจอพวกเขา ก็ยังสามารถใช้กลยุทธ์รับมือกับพวกเขา ปกป้องสถานที่นี่ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ตัวตนที่แม้จะทรงพลังแต่กลับด้อยประสบการณ์ เปรียบดั่งกับสัตว์ร้ายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเช่นนี้แหละ คือเป้าหมายที่นักฆ่าชมชอบมากที่สุด” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

กู่ฉิงซานตบลงบนไหล่เขา บอกออกไปว่า “งั้นนายก็อยู่ที่นี่ไปนะ ฉันคงต้องขอตัวก่อน”

 

“หา? นายจะไปแล้วหรอ?” ซางหยิงฮ่าวตกใจ “ฉันก็คิดว่านายจะคอยต่อสู้เคียงข้างกันซะอีก”

 

“เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน ตอนนี้สถานการณ์นับว่าร้ายแรงมาก และฉันจะต้องไปยังดูอีกที่หนึ่งเพื่อพิสูจน์บางสิ่งในจิตใจของฉัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ก็ได้ๆ นายไปเหอะ ฉันจะดูที่นี่เอง” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

 

กู่ฉิงซานหันไปเตรียมบอกลาจักรพรรดินี แต่กลับเห็นว่าเวลานี้ เธอกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิ

 

รัญมนตรีและองครักษ์มากมายกำลังคุกเข่าอยู่ภายนอกห้อง เฝ้ารอคำสั่งมอบหมายภารกิจจากเธอในระยะไกล

 

จักรพรรดินียังคงใช้มาตรการตอบโต้ในสภาวะฉุกเฉินกับฝูงชนเหล่านั้น

 

จักรพรรดินีที่บัดนี้แลดูน่าเคารพและเกรงขาม เอ่ยปากกล่าวออกมา “ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง จะถือว่าเป็นสายลับ พวกเจ้าสามารถสังหารมันได้ในทันที เข้าใจไหม?”

 

“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”

 

“เอาล่ะตอนนี้ ก็ไปทำหน้าที่ของพวกเจ้าได้แล้ว!”

 

“รับบัญชา!”

 

องครักษ์ขานรับคำหนึ่ง และแยกย้ายกันออกไป

 

ท่าทีการแสดงออกทางสีหน้าของจักรพรรดินีแลดูสงบ มั่นคง เอ่ยสั่งอย่างเรียบง่ายแต่เฉียบขาด ทุกผู้คนในวังล้วนถูกควบคุมโดยเธอ

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

คนจำนวนมากที่สวมใส่แว่นดำก็เดินเข้ามาในห้องโถง หยุดอยู่เบื้องหน้าซางหยิงฮ่าว

 

ซางหยิงฮ่าวเริ่มทำการจัดแจงกำลังคน

 

หนึ่งในนั้นมีสาวงามตัวน้อย เธอแอบขยับแว่นกันแดดลง และหันไปทักทายกับกู่ฉิงซาน

 

เด็กตัวน้อยที่ว่านั่นคือถงถง

 

กู่ฉิงซานผงกหัวรับเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางจักรพรรดินี

 

“ฝ่าบาท ท่านวางแผนจะทำอะไรต่อไป”

 

“เขาเป็นบ้าไปแล้ว แต่ข้ามิใช่ ดังนั้นจึงเหลือเพียงข้าเท่านั้นที่จะสามารถช่วยประคับประคองประเทศนี้ให้ก้าวเดินต่อไปได้” จักรพรรดินีกล่าวอย่างสงบ

 

……..

 

ท่ามกลางความมืดมิด

 

กู่ฉิงซานขับรถเหินเวหาไปยังทิศทางหุบเขาหวงหยุน

 

ในอีกหลายส่วนของรัฐบาลกลาง เทพธิดากงเจิ้งยังไม่ได้ทำการตรวจพบความผิดปกติใดๆ แต่หุบเขาหวงหยุนคือหนึ่งในสถานที่กำเนิดของภัยพิบัติในอาณาเขตของฟูซี

 

ที่แห่งนี้คือป่าดึกดำบรรพ์ที่ได้รับการคุ้มครอง และมันก็ยังเป็นสถานที่ๆองค์จักรพรรดิออกไปล่าสัตว์เพียงลำพังอีกด้วย

 

ไม่มีทางที่เรื่องบังเอิญขนาดนั้นเกิดขึ้นได้ในโลกใบนี้ได้ในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ

 

เมื่อกู่ฉิงซานมาถึง เขาก็พบว่าเย่เฟย์หยูกำลังรอเขาอยู่ก่อนแล้ว

 

“นายมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามคนตรงหน้า

 

“ก็ทันทีที่นายบอกว่าต้องการฉัน ฉันก็มาตั้งแต่ตอนนั้นเลย” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

“โอเค ถ้างั้นอันดับแรก พวกเรามาดูกันว่านายจะได้ยินเสียงอะไร หลังจากนั้นก็ทำการค้นหาแหล่งที่มาของเสียงกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาถ่ายเทพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำการปล่อยจิตเทวะ ส่งออกไปอย่างเต็มที่

 

“ทำไมนายถึงดูเป็นกังวลขนาดนี้?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม

 

“เพราะมันเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด และพวกเราอาจจะต้องแยกกันหา” กู่ฉิงซานตอบ

 

“แล้วพวกเรากำลังตามหาอะไรกันอยู่?”

 

“ก็ปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ ตัวอย่างเช่น … น้ำแข็ง”

 

“น้ำแข็ง? โอเค เข้าใจแล้ว”

 

แล้วทั้งสองก็ทำการค้นหาภายในหุบเขา

 

ที่แห่งนี้คือป่าดึกดำบรรพ์ มันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด และเต็มไปด้วยสัตว์ต่างๆมากมาย ช่างเหมาะสมแก่การเป็นพื้นที่ล่าโดยแท้

 

ในขณะนี้ บนท้องฟ้ามืดมน และสายฝนเย็นฉ่ำก็โปรยปรายลงอยู่ตลอดเวลา ไร้ซึ่งเงาของผู้คน

 

ละอองน้ำจางๆ แลคล้ายหมอกปกคลุมไปตลอดทั้งผืนป่า

 

ละอองน้ำเหล่านี้คงอยู่เป็นเวลานาน ผสานไปกับลมพายุ ส่งผลให้พวกมันฟุ้งกระจายไปทั่ว

 

“ใต้เท้า ดาวเทียมไม่สามารถมองเห็นภาพบนพื้นดินได้” เทพธิดากล่าว

 

“มันไม่สำคัญหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว “เพราะพวกเราจะเป็นคนหามันเอง”

 

เขากับเย่เฟย์หยูบินออกไปท่ามกลางพายุฝนในยามค่ำคืน เวียนวนไปมาในป่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

กู่ฉิงซานก็ยืนอยู่ข้างๆกับทะเลสาบน้ำแข็ง

 

มันเป็นทะเลสาบที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา และไม่อาจมองเห็นอะไรได้เลย

 

“ฉันเจอมันแล้ว” กู่ฉิงซานหันไปพูดกับสมองควอนตัม

 

“โอเค” เย่เฟย์หยูวางสายไป

 

หลังจากนั้นอีกไม่กี่ลมหายใจ เส้นแสงสีแดงก็บินตรงมาอย่างรวดเร็ว

 

สายลมถูกพัดกระพือแยกแตกออกเป็นสองทิศทางโดยเส้นแสงที่ว่า ก่อนมันจะทิ้งตัวลงบนพื้น พร้อมกับร่างของเย่เฟย์หยูที่ปรากฏออกมา

 

“นี่มันน้ำแข็งจริงๆด้วย” สองตาของเขาหรี่แคบลง ปากเอ่ยกล่าว

 

กู่ฉิงซาน “ถูกต้อง”

 

ชั้นน้ำแข็งในทะเลสาบทั้งลึกและหนา อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้จิตสัมผัสเทวะกวาดลงไป เขากลับพบว่ามันไม่มีร่องรอยของน้ำที่สมควรจะไหลวนอยู่ภายใต้เบื้องล่างทะเลสาบเลย

 

ตลอดทั้งทะเลสาบ ถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online EP.316 – ภัยพิบัติเยือกแข็ง

 

“ … ก็ได้ แล้วเรื่องรางวัลล่ะจะว่ายังไง? นายคงจะไม่ปล่อยให้ฉันอดอยากปากแห้งหรอกนะ เพราะทางฉันยังมีลูกนกมากมายที่กำลังอ้าปากรอคอยรับอาหารอยู่เหมือนกัน” ซางหยิงฮ่าวบ่นด้วยความขมขื่น

 

“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ใครกันที่ใจกว้างถึงขนาดนั้น?” ซางหยิงฮ่าวสงสัย

 

“ราชวงศ์ฟูซี”

 

“นั่นมันสุดยอดลูกค้าผู้มีเกียรติ!” ซางหยิงฮ่าวยกมือขึ้นปิดปาก “ฉันจะพาใครบางคนออกไปทันที ช่วยระบุตำแหน่งให้ฉันด้วย!”

 

“จักรวรรดิฟูซี วังโอเอซิสกลางทะเลทราย”

 

“เฮ้ๆ นี่มันวันเอพริลฟูลเดย์รึไง? นั่นน่ะมันดินแดนของฟูซีนะ ตามข้อมูลของฉัน องค์จักรพรรดิกำลังหยุดพักร้อนอยู่ที่นั่น นี่นายยังต้องการให้ฉันไปปกป้องพวกเขาอีกอย่างงั้นหรอ?”

 

“ไม่ ฉันฆ่าเขาไปแล้ว ภารกิจนายคือคุ้มครององค์จักรพรรดินี!”

 

“นายฆ่าเขา! น่ะ .. นายฆ่าองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีจินอย่างงั้นหรอ!!”

 

น้ำเสียงของซางหยิงฮ่าวไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าของเขาเผยถึงความสยดสยอง

 

“ไม่ใช่เขาตัวจริงหรอก แต่เป็นร่างโคลนน่ะ”

 

ซางหยิงฮ่าวตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์ น้ำเสียงของเขาหม่นทะมึนลง

 

“แล้วนายต้องการให้ฉันปกป้องใคร?”

 

“องค์จักรพรรดินี”

 

“ฉันจำเป็นต้องได้รับอำนาจอนุมัติการบินเหนือน่านฟ้า”

 

“คำร้องขอของนายจะได้รับการอนุมัติทันที อันดับแรกเหลียวฮังจะจั๊มป์นายมายังทะเลทรายฟูซี จากนั้น ก็เป็นหน้าที่นายแล้วล่ะที่จะพามือดีมาให้เร็วที่สุด ตอนนี้สถานการณ์นับว่าเลวร้ายมาก”

 

“ฉันจะรีบไปทันที!”

 

การเชื่อมต่อถูกตัดขาดลง

 

กู่ฉิงซานกำลังจะหันมาพูดคุยกับจักรพรรดินี แต่ทันใดนั้นก็ดันมีเสียงเคาะประตูขึ้นอย่างกระทันหันซะก่อน

 

ก๊อก!

 

ก๊อก!

 

ก๊อก!

 

“มีเรื่องอะไร?” จักรพรรดินีเอ่ยถามอย่างใจเย็น

 

“รัฐมนตรีและข้าราชบริพารคนอื่นๆมีบางสิ่งที่ต้องรายงาน” คนภายนอกเอ่ย

 

ฟังจากเสียง ดูเหมือนว่าจะมีหลายสิบคน

 

พร้อมด้วยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่ปะทุออกมาจากตัวพวกเขา

 

น้ำเสียงของทั้งหมดแลดูกระสับกระส่าย และแฝงไว้ซึ่งเจตนาฆ่า

 

เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น

 

พวกเขาเลยร้อนรนเป็นกังวล

 

สีหน้าของจักรพรรดินีซีดเซียว

 

คนเหล่านี้ การจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดในทีเดียว นับว่ามิใช่เรื่องง่ายดายเลย

 

กู่ฉิงซานกระชับดาบพิภพในมือ และเดินตรงไปที่ประตู

 

“ปล่อยเข้ามา” เขากล่าว

 

ประตูถูกเปิดออก

 

พลังวิญญาณจากทั่วทั้งร่างกายเริ่มหมุนวน กู่ฉิงซานรีดมันในฉับพลันและระเบิดการโจมตีออกไป

 

เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!

 

นี่คือเทคนิคดาบอันน่าสะพรึง ที่เขาได้รับมาจากอีกโลกหนึ่ง!

 

รังสีดาบนับพันแปรสภาพเป็นธารน้ำหลาก วิ่งคำรามคำรนออกไปนอกประตู

 

พริบตานั้น เหล่าผู้คนที่ออกันอยู่เบื้องหน้าก็ถูกถาโถมใส่ด้วยรังสีดาบนับไม่ถ้วน ดั่งธารน้ำหลากซัดสาดกระแทกเข้าใส่ กระเจิงออกไปทุกทิศทาง และมีบางคนถึงขั้นปลิวไปสุดกำแพงสุดทางเดิน

 

แล้วมันก็ผนังพังทลาย ถล่มลงทันที

 

กระแสรังสีดาบอันยิ่งใหญ่วิ่งทะลุทะลวงออกไปนอกวัง ข้ามผ่านโอเอซิสและกระจายหายอย่างไร้ร่องรอยในทะเลทรายอันไกลสุดลูกหูลูกตา

 

ทั้งเลือดและเนื้อหนังส่วนใหญ่ สลายหายไปท่ามกลางกระแสรังสีดาบอันยิ่งใหญ่

 

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืนแล้วกล่าวว่า “หากกระบวนท่านี้ถูกใช้ออกมาแล้ว เกรงว่าคงจะไม่สามารถปกปิดร่องรอยได้อีกต่อไป ดูท่าว่าพวกเราต้องเตรียมเผชิญหน้ากับศัตรูแล้ว”

 

ในมือของจักรพรรดินีบังเกิดแสงสีเขียวเรืองรอง ร่วงตกลงในโถงทางเดิน

 

มันคือธาตุไม้จากธาตุทั้งห้า แทรกชีวา

 

ไม่นานนัก ซากแขนขาหรือแม้กระทั่งเลือดเนื้อตรงโถงทางเดินก็ถูกแทรกและดูดซึมโดยแสงสีเขียว

 

แสงสีเขียวแปรสภาพเป็นดอกไม้ที่สวยสดงดงาม บินกลับมายังจักรพรรดินี

 

เธอคว้ารับดอกไม้เอาไว้

 

ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป เริ่มปรากฏเสียงต่างๆดังตามมา

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“รีบหนีเร็วเข้า ที่นี่มีคนตายเต็มไปหมดเลย!” มันเป็นเสียงกรีดร้องของผู้หญิง

 

“มากับฉัน!”

 

“องค์จักรพรรดินีเล่า?”

 

“ปกป้องฝ่าบาท!” บางคนตะโกนขึ้น

 

ท่ามกลางเสียงอึกทึกวุ่นวาย จู่ๆเสียงอันหนักแน่นก็ดังขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“ไม่จำเป็น! ข้าอยู่นี่!!”

 

และสรรพเสียงทั้งหลายก็เงียบลง

 

เพราะนั่นคือเสียงขององค์จักรพรรดิ!

 

องครักษ์วังวิ่งตามเสียงมายังพระองค์ ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“ทุกคนตามข้ามา พวกเราจะไปที่ห้องประชุม!”

 

เสียงขององค์จักรพรรดิดังกึกก้องไปทั่วทั้งพระราชวัง

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทั้งกู่ฉิงซานและองค์จักรพรรดินีต่างก็หันมามองหน้ากัน

 

เวลานี้ มันสายเกินไปแล้วที่จะวิ่งหนี และทั้งคู่ก็ต้องการที่จะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าของเสียงที่กำลังจะมาถึงเป็นเช่นไร

 

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินขบวนเข้ามาในโถงทางเดินที่เต็มไปด้วยเลือด

 

โดยมีองค์จักรพรรดิที่สวมเสื้อคลุมยาว บนใบหน้ามืดมนหม่นทะมึนเดินนำอยู่หน้าสุด

 

พร้อมด้วยองครักษ์วังนับสิบที่ติดตามเขามา

 

เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็มาเช่นกัน ทั้งสองคอยตามอยู่ท้ายแถวอย่างใกล้ชิด

 

เมื่อองค์จักรพรรดิเห็นกู่ฉิงซาน เขาก็ชี้ไปยังอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว “จงจับเขามาให้ข้า!”

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปสองทิศทาง หนึ่งบนร่างขององค์จักรพรรดิตรงหน้า และอีกหนึ่งไปทางใต้โต๊ะขนาดใหญ่เบื้องหลังเขา

 

และพบว่าองค์จักรพรรดิยังคงนอนแน่นิ่ง สิ้นสติอยู่ใต้โต๊ะดังเดิม

 

ภายในห้องประชุม ปรากฏสององค์จักรพรรดิขึ้นในเวลาเดียวกัน!

 

ตามบัญชาขององค์จักรพรรดิ กลุ่มทหารเร่งฝีเท้า วิ่งผ่านโถงทางเดินเข้ามา

 

องครักษ์เหล่านี้ล้วนมีความแข็งแกร่งในขั้นสามและสี่ เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา

 

องครักษ์หลายสิบคนเริ่มตีวงห้อมล้อมเขา

 

กู่ฉิงซานรู้สึกปวดหัวเมื่อต้องพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้

 

พวกรัฐมนตรีขั้นห้าก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวปัญหา กู่ฉิงซานจึงไม่ลังเลที่จะสังหารอีกฝ่าย

 

แต่องครักษ์เหล่านี้คือผู้บริสุทธิ์

 

แต่หากเมื่ออีกฝ่ายเริ่มลงมือแล้ว กู่ฉิงซานก็คงไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตาใดๆอีกต่อไป

 

… อย่างไรก็ตาม จนแล้วจนรอด เขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะฆ่าคนบริสุทธิ์และอ่อนแอง่ายๆอยู่ดี

 

จักรพรรดินีรู้สึกว่าเธอกำลังจะเป็นบ้า หล่อนคว้าจับมือของกู่ฉิงซานและกล่าวว่า “นี่มันเป็นเรื่องจริงอย่างงั้นหรือ ที่ว่าเขามีร่างโคลนหลายคน?”

 

กู่ฉิงซานขบคิด ก่อนจะยกดาบพิภพขึ้น โอบเธอจากเบื้องหลังพร้อมกับวางคมของมันลงบนคอของเธอ

 

เขาเฝ้ามองดูกลุ่มองครักษ์วังที่ใกล้เข้ามา พร้อมตะโกนออกไป “ทุกคนอย่าขยับ! หากเข้ามาใกล้อีกก้าวเดียว ผมจะฆ่าจักรพรรดินีซะ!”

 

องครักษ์ทั้งหมดแข้งขาแข็งค้าง หยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน

 

จักรพรรดินีถูกใช้เป็นตัวประกัน จึงไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม

 

พวกเขาสบตากัน และหันไปมองฝ่าบาท

 

สีหน้าขององค์จักรพรรดิก็แข็งค้างเช่นกัน แต่ทว่าในช่วงเวลาต่อมา มันก็ถูกแทนที่ด้วยความดุร้ายเกรี้ยวโกรธ

 

เขาตะโกน “จักรพรรดินีนั่นเป็นตัวปลอม! ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าสังหารหมู่ทั้งสองคนนั่นซะ!”

 

องครักษ์ลังเล

 

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์มาถึงขั้นปฏิเสธที่จะประนีประนอม เจ้าหญิงเจ้าชายที่อยู่เบื้องหลังก็แหวกฝูงชนออกมา

 

“ไม่นะ นั่นมิใช่ตัวปลอม นั่นคือท่านแม่ของข้าจริงๆ!” เจ้าหญิงอุทาน

 

“อย่ามาทำตัวไร้สาระที่นี่ แล้วก็จงหุบปากที่เปล่งวาจาไร้ความรับผิดชอบนั่นลงซะ” องค์จักรพรรดิกล่าว

 

“นั่นคือท่านแม่ของข้า! ข้าคุ้นเคยกับทุกๆการเคลื่อนไหวของนางดี นั่นต้องเป็นท่านแม่ข้าแน่ๆ ห้ามลงมือนะ!” เจ้าหญิงเริ่มกระวนกระวายและร่ำไห้

 

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! ใครก็ได้มาช่วยข้าสังหารพวกมันที!” องค์จักรพรรดิเอ่ยบัญชา

 

ทว่าในตอนนั้นเอง จักรพรรดินีก็แสยะยิ้มเย้ยหยันออกมา “องครักษ์ทั้งหมดจงฟังคำสั่งข้า จงสังหารมนุษย์ที่แสร้งปลอมตัวเป็นองค์จักรพรรดิที่อยู่เบื้องหน้าพวกเจ้าเสีย!”

 

องครักษ์งง ตอนนี้ทั้งหมดไม่รู้แล้วว่าตนสมควรจะทำสิ่งใดดี

 

กู่ฉิงซานเอื้อมมือของเขาออกมาและโต๊ะตัวใหญ่ก็ถูกผลักออกไปอย่างกระทันหัน

 

ร่างของชายสิ้นสติ ปรากฏตัวต่อสายตาทุกผู้คน

 

นั่น องค์จักรพรรดิแห่งฟูซ๊!

 

กู่ฉิงซานผละดาบที่วางรอบคอของจักรพรรดินีออก และชี้มันไปทางองค์จักรพรรดิในโถงทางเดิน

 

“แกนั่นแหละเป็นตัวปลอม” เขากล่าว

 

“ข้าน่ะรึตัวปลอม?” องค์จักรพรรดิหัวเราะ

 

พระองค์ปลดปล่อยพลังอำนาจทั้งหมดออกจากร่างกาย และตลอดทั้งพระราชวังก็สั่นไหว

 

มือของกู่ฉิงซานวูบไหวอย่างรวดเร็ว

 

ทันใดนั้นดาบพิภพก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา พุ่งข้ามผ่านเหล่าองครักษ์ หันปลายแหลมทิ่มแทงไปยังทิศทางขององค์จักรพรรดิ

 

“ช่างโง่เขลา!”

 

ชั้นแสงเรืองรองสีเทาปรากฏขึ้นบนมือองค์จักรพรรดิ ฟาดตบลงบนดาบพิภพ

 

ปงงงง!

 

บังเกิดเสียงหนักทึบ ดาบพิภพถูกรั้งไว้โดยแสงสีเทา

 

นี่คือทักษะของธาตุดินจากธาตุทั้งห้าในขั้นห้า สรรพสิ่งล่มสลาย!

 

“กับอีแค่-” องค์จักรพรรดิเอ่ยปาก ทว่าเสียงของเขาก็กลับขาดห้วงลงอย่างฉับพลัน

 

เริ่มปรากฏสายโลหิตทั้งห้าออกมาจากมือของเขา

 

ตามต่อด้วยร่างขององค์จักรพรรดิที่ถูกระเบิดออก บังเกิดหมอกโลหิตพร้อมซากร่างกระจัดกระจายไปทั่ว

 

มือของกู่ฉิงซานวูบออก และดาบพิภพก็ลอยกลับเข้ามาหาเขาอย่างเงียบๆ

 

บงการดาบ!

 

เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!

 

“เสียใจด้วยนะ แต่ถ้าหากแกไม่สามารถทนรับมือกับกระบวนท่าของฉันได้ นั่นก็พอจะบอกได้แล้วว่าแกนั่นแหละคือตัวปลอม!” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“พวกเจ้าเห็นหรือไม่? ฝ่าบาทตัวจริงจะอ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” จักรพรรดินีเปล่งเสียงสูง

 

องครักษ์วังหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ

 

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความจริง พวกเขานั้นคุ้นเคยกับพลังอำนาจของฝ่าบาทดี และมันมิได้ไร้ประสิทธิภาพถึงเพียงนี้!

 

“ขอองค์จักรพรรดินีทรงประทานอภัย”

 

เหล่าองครักษ์คุกเข่าลง

 

เจ้าชายกับเจ้าหญิงรีบวิ่งเข้ามาในห้องประชุม หยุดอยู่เบื้องหน้าจักรพรรดินี

 

“ท่านแม่ นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?” เจ้าชายเอ่ยถาม

 

“มีใครบางคนแสร้งปลอมตัวเป็นบิดาเจ้า แล้วพยายามที่โค่นล้มสาธารณรัฐฟูซี และตอนนี้ก็ถูกจับได้แล้ว” จักรพรรดินีกล่าวสรุปง่ายๆ

 

“ใครก็ได้ เรียกองครักษ์ทั้งหมดมาที” เธอเอ่ยสั่ง

 

“ระวัง!” ในขณะนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ตะคอกคำหนึ่ง

 

นั่นเพราะเจ้าชายคว้ากริชปลายแหลมออกมา และจ้วงแทวงเข้าใส่จักรพรรดินีอย่างแรง

 

ฉากนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน และทุกคนไม่มีเวลามากพอที่จะช่วยเหลือเธอได้

 

ฟุ่บบบ!

 

ร่างของจักรพรรดินีหายวับไป ตามด้วยกู่ฉิงซานที่ปรากฏขึ้นแทนที่ เขายกดาบขึ้นปัดกริชแหลมจนมันกระเด็นลอยออกไป

 

“แกเป็นใครกันแน่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ให้ตายสิ รู้บ้างไหมว่าที่สิ่งที่เจ้าทำลงไปมันเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน” เจ้าชายเอ่ยอย่างรวดร้าว

 

กู่ฉิงซานยกดาบขึ้นและกล่าวว่า “พูดจาให้มันชัดเจน ถ้าทำแบบนั้นฉันยังจะพอปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”

 

บนใบหน้าของเจ้าชายเผยรอยยิ้มแปลกๆออกมา “อยากจะรู้อย่างงั้นหรอ? แต่เสียใจด้วยนะข้าจะไม่บอกเจ้า”

 

“ก็ลองดู ฉันจะทำให้แกพูดเอง!” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงหม่นทะมึน

 

รอยยิ้มหยันผุดขึ้นบนใบหน้าของเจ้าชาย “เจ้าไม่มีโอกาสนั้นหรอก ยามนี้ข้าขอจากไปก่อน และจะต้องกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน!”

 

ไม่ต้องรอให้กู่ฉิงซานจะได้ทันกระทำการสิ่งใด ร่างของเจ้าชายก็สิ้นเรี่ยวแรง ทิ้งตัวลงบนพื้น แน่นิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆอีกต่อไป

 

กู่ฉิงซานรีบวิ่งไปข้างหน้า และบีบเปิดปากเจ้าชายออก

 

ปรากฏให้เห็นถึงเลือดสีดำที่ไหลย้อยออกมาจากปากของเจ้าชาย

 

เขาได้ฆ่าตัวตายไปแล้วโดยการใช้ยาพิษ

 

กู่ฉิงซานมองไปที่ศพบนพื้นดิน ปากเอ่ยงึมงำ “บอกว่าจะกลับมาอย่างงั้นหรอ?”

 

หากคนตายต้องการจะกลับมา มันก็จะต้องเป็นสิ่งนั้น …

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลายไปอย่างสมบูรณ์

 

ถ้าหากเจ้าชายไม่ยอมพูดอะไรเลย กู่ฉิงซานก็คงจะไม่ได้รับแรงดลใจเช่นนี้

 

ทว่าเจ้าชายดันกล่าวประโยคนี้ ต่อหน้าผู้ที่ได้รับชีวิตใหม่จากการกลับมาจุติอีกรอบเช่นตนเอง …

 

บางทีเขาคงจะคิดว่าหากเอ่ยออกไปแบบนั้น ย่อมไม่มีใครรู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใด

 

แต่สำหรับกู่ฉิงซาน เขาดันสามารถเข้าใจถึงมันได้ในทันที

 

ภัยพิบัติเยือกแข็ง!

 

มันปรากฏขึ้นแล้ว และมันอยู่ที่นี่!

 

แถมองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีก็ยังมีความคิดเช่นนั้น!

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว “ช่วงเวลาของวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึงแล้ว … ”

 

มนุษย์ไม่สามารถต่อกรกับภัยพิบัติเยือกแข็งได้

 

ชายที่แข็งแกร่งขององค์จักรพรรดิฟูซี เดิมทีสามารถบัญชาให้ทั่วทั้งประเทศเข้าต่อสู้กับภัยพิบัติได้ แต่ทว่าเขากลับหลงผิด จมอยู่กับความทะเยอทะยานของตัวเอง

 

นี่คือระเบิดที่จะนำไปสู่ชะตากรรมของโลกมนุษย์ทั้งใบ

 

กู่ฉิงซานหยุดนิ่งอย่างกระทันหัน

 

ในวิสัยทัศน์ของเขา ปรากฏเส้นแสงตัวอักษร ร้อยเรียงขึ้นมาหลายบรรทัด

 

กู่ฉิงซานเลื่อนสายตาลงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ผู้เล่นได้ค้นพบจุดเริ่มต้นของภัยพิบัติ”

 

“เนื้อเรื่องจุดจบของโลกได้ปรากฏขึ้น”

 

“คำอธิบายภารกิจ : เมื่อสัญญาณเตือนทั้งหมดถูกประสานเข้าด้วยกัน และผู้เล่นคิดว่าภัยพิบัตินี้ร้ายแรงมากพอที่จะทำลายโลกทั้งใบได้มาถึงแล้ว ดังนั้นขั้นต่อไป ขอจงพิสูจน์การคาดเดาของตัวคุณเอง”

 

“วัตถุประสงค์ภารกิจ : ผู้เล่นจะต้องเป็นสักขีพยานในการดำรงอยู่ของภัยพิบัติด้วยตาของตัวเอง”

 

“รางวัลภารกิจ : เมื่อการคาดเดาได้รับการยืนยันแล้ว ผู้เล่นจะสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณ เร่งกระบวนการซ่อมแซมดาบเช่าหยินได้”

 

“คำอธิบาย : แต้มพลังวิญญาณคืออำนาจขั้นพื้นฐานที่สุดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล มันถือกำเนิดขึ้นจากจิตวิญญาณ ด้วยพลังอำนาจอันคงกระพันของมัน จะสามารถช่วยเร่งความเร็วในการซ่อมแซมอาวุธเทวะได้”

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.315 – เบาะแสของวันสิ้นโลก

 

องค์จักรพรรดิยังคงล้มลงกับพื้น แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป

 

ภายในห้องประชุม แสงยังคงสว่างเรืองรอง ทว่าเสียงกลับเงียบสงัด

 

จักรพรรดินีตอนแรกดูค่อนข้างจะสับสน แต่แล้วเมื่อตริตรอง ปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกัน ความโกรธก็เริ่มเข้ามาแทนที่

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่ข้างๆ และระลึกย้อนไปถึงสิ่งต่างๆที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้

 

ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกได้ถึงใครคนหนึ่ง

 

จ้าวสมุทรหลี่ตงหยวนแห่งรัฐบาลกลาง ช่างเหมือนกันกับองค์จักรพรรดิแห่งฟูซี ที่มิอาจปัดป้องการโจมตีจากดาบของตนได้

 

ถึงแม้ว่าในที่สุดเทคโนโลยีการโคลน จะสามารถจำลองพละกำลังของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่มันก็ยังคงมีข้อบกพร่องอยู่ดี

 

และข้อบกพร่องที่ว่านี้ ก็คือความทรงจำนั่นเอง

 

เมื่อความทรงจำมีปัญหา สำหรับมืออาชีพแล้ว นั่นหมายถึงประสบการณ์การต่อสู้นับไม่ถ้วนของเขาจะตกอยู่ในสภาวะสับสนและวุ่นวาย

 

ในฐานะที่เป็นถึงมืออาชีพที่ทรงอำนาจ แต่ดันไม่รู้ถึงวิธีที่จะสามารถควบคุมมัน ย่อมส่งผลให้เกิดจุดอ่อนจำนวนมากในยามต่อสู้

 

และบางครั้งจุดอ่อนเล็กๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นตัวกำหนดถึงชีวิตและความตาย

 

“จ้าวสมุทร … ” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ

 

แผนของสาธารณรัฐฟูซี ดูท่าว่าจะเกี่ยวข้องกับคนระดับสูงของรัฐบาลกลาง

 

แท้จริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำมันคืออะไรกันแน่?

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิด และตัดสินใจที่จะป้องกันปัญหาก่อนที่มันจะเกิดขึ้น

 

“เทพธิดากงเจิ้ง คุณช่วยทำการแจ้งเทพนักสู้ด้วยว่า หลังจากการพิจารณา ท่านประธานาธิบดีอาจตกอยู่ในอันตรายได้ ขอให้เขาคอยระมัดระวังเอาไว้ด้วย ”กู่ฉิงซานกล่าว

 

“รับทราบแล้วใต้เท้า” เทพธิดาตอบรับ

 

ทันใดนั้นเอง ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ ใครบางคนก็เคาะประตูขึ้น

 

กู่ฉิงซานกับจักรพรรดินีเหลือบตามองกันวูบหนึ่ง

 

“มีเรื่องอะไร?” จักรพรรดินีเปล่งเสียงดังเอ่ยถาม

 

“ท่านรัฐมนตรีอาวุโสมีเรื่องที่จะรายงาน” คนด้านนอกกล่าว

 

“ข้ามีบางสิ่งที่จำต้องพูดคุยกับฝ่าบาท เจ้าจงกลับไปก่อน แล้วค่อยมารายงานพระองค์ในวันพรุ่ง”

 

“พะยะค่ะ”

 

แล้วเสียงจากภายนอกก็เงียบลง

 

แต่ทว่ากลับมิได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น

 

คนที่ยืนอยู่ภายนอก … ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู!

 

พวกเขามิได้จากไปไหน

 

สีหน้าของจักรพรรดินีเปลี่ยนไปเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะเผลอก้าวถอยหลังไป

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะเพื่อทำการสังเกตการณ์อีกฝ่ายโดยตรง

 

แต่แล้วเขาก็เห็นว่ารัฐมนตรีสองคนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูกำลังขยิบตาให้กัน

 

คลื่นความผันผวนอันแข็งกร้าวระเบิดออกมาจากตัวพวกเขา

 

“สองมืออาชีพขั้นห้า!?”

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวนอกประตู น้ำเสียงของจักรพรรดินีก็พลันแหบแห้ง

 

เธอหันหน้าไปมองกู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เธอคิดน่ะถูกแล้ว

 

‘มืออาชีพขั้นห้า’ นับว่าเป็นตัวตนที่หาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้

 

สองตัวตนอันทรงพลังดันปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในคราเดียวได้อย่างไร?

 

“ท่านไปเปิดประตู”

 

กู่ฉิงซานลดดาบพิภพลงและกล่าว

 

จักรพรรดินีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าและเปิดประตู

 

พร้อมกับสองใบหน้าอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นสู่สายตาเธอ

 

ทั้งคู่เป็นรัฐมนตรีเก่าแก่ของสาธารณรัฐ และไม่เคยฝึกยุทธมาก่อนในชีวิต

 

แต่ในขณะนี้ ดูเหมือนว่า ทั้งคนทั้งร่างของพวกเขาจะคุกรุ่นไปด้วยพลังอำนาจของธาตุทั้งห้า แปรเปลี่ยนเป็นมืออาชีพอันทรงพลานุภาพอย่างกระทันหัน

 

สองรัฐมนตรีก็ดูจะตกตะลึงไปเช่นกัน

 

พวกเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าเปิดประตูอย่างกระทันหัน

 

‘หรือว่าจริงๆแล้วมันจะไม่ได้มีปัญหาอะไร?’

 

แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็หายตัวไป

 

เขาปรากฏกายขึ้นอีกครั้งด้านหลังของรัญมนตรีอาวุโส พร้อมกับสันดาบยาวที่ฟาดลงบนหลังคออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

 

ชายคนนั้นล้มลงกับพื้น สิ้นสติไป

 

รัฐมนตรีอาวุโสอีกคนหนึ่งเร่งตอบสนองทันที เขาก้าวเท้าเตรียมแยกตัวถอยฉากออกมา

 

อย่างไรก็ตาม ดาบพลันกระพริบไหว เสี้ยวพริบตาเดียวมันมาถึงตัวเขาซะแล้ว

 

‘ช่างเป็นดาบที่รวดเร็วนัก!’

 

รัฐมนตรีอาวุโสรีดความแข็งแกร่งของตนออกมา สองมือของเขากระชากชั้นดินที่สาดประกายสีเหลืองอมน้ำตาลขึ้นมาครอบคลุมสองแขน และใช้มันบดบังเบื้องหน้าของตนเอง

 

เปรี๊ยะ!

 

คมดาบพลิกผลันในทันใด สันดาบฟาดลงบนสองแขนของเขาที่ยกขึ้นต่อต้าน

 

‘น่าแปลก เห็นอยู่ชัดๆว่ามันเป็นการฟาดเพียงเล็กน้อย แต่กลับสามารถระเบิดพลังออกมามากมายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?’

 

รัฐมนตรีอาวุโสเพียงแค่คิด หลังคอของเขาก็เริ่มรู้สึกปวดตุบๆ

 

วิสัยทัศน์ของเขามืดบอด ทั้งคนทั้งร่างทิ้งตัวลงนอนแนบพื้น

 

เทคนิคลับแห่งดาบ กลืนกินหวนกลับ!

 

เมื่อฟาดดาบออกไป จะปรากฏดาบเดียวกันกับดาบที่ว่าโผล่ออกมาโจมตีเบื้องหลังของศัตรู

 

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน และใช้มือคนละข้าง ลากรัฐมนตรีข้างละคนเข้ามาในห้องประชุม

 

จักรพรรดินีปิดประตูตามอย่างรวดเร็ว

 

“ท่านสามารถระบุตัวตนของพวกเขาได้หรือไม่” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้รับใช้ข้างกายที่ขาดไม่ได้ขององค์จักรพรรดิ แต่แน่นอน ว่านี่มิใช่พวกเขาคนเดิม” จักรพรรดินีตอบ

 

เธอมองไปยังกู่ฉิงซาน และอธิบายว่า “เพราะจริงๆแล้วพวกเขาเคยเป็นเพียงแค่คนธรรมดา”

 

“ได้ยินเช่นนี้ก็คงไม่จำเป็นต้องกังวลอีกแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้า

 

เขาวางมือลงบนหน้าผากของชายคนหนึ่ง

 

วิชาลับค้นวิญญาณ!

 

และหัวของชายคนนั้นก็ระเบิดออกโดยตรงทันที

 

การค้นวิญญาณ … ล้มเหลว!

 

กู่ฉิงซานยื่นเอื้อมมือของเขาออกไป และวางลงบนหน้าผากของอีกคนหนึ่ง

 

แต่ชายคนนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันกับองค์จักรพรรดิ นั่นคือสติปัญญาได้ตายลงทันที

 

“เป็นร่างโคลนทั้งหมดเลย” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ

 

อย่างไรก็ตาม คราวนี้ ในที่สุดเขาก็ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาแล้ว ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวความทรงจำอันเลือนรางก็ตามที

 

ท่ามกลางม่านหมอกสีขาว องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีกำลังถือศีรษะที่ชุบไปด้วยทองคำ ก้าวเดินออกไปเบื้องหน้า

 

และศีรษะที่ว่านั่นคือหัวของผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐฟูซี

 

“เจ้าจงรับหน้าที่จัดการประเทศให้กับข้าชั่วคราว” องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีเอ่ย

 

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “แล้วถ้าหากเราถูกเปิดเผยเล่า?”

 

องค์จักรพรรดิฟูซีเอ่ยปากกล่าวโดยมิย้อนหันกลับมามอง “นั่นไม่สำคัญหรอก แค่ขอให้เจ้าจงยื้อเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ที่เหลือข้าจะจัดการมันอย่างเหมาะสมเอง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเตรียมรับมือกับทุกสิ่งที่กำลังจะมาถึง … ”

 

“ในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่มิอาจต้านทานได้ ชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งหมดคงถึงคราสิ้นสุดลง”

 

น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความโศกเศร้า ทว่าขณะเดียวกันกลับเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้และตื่นเต้น

 

องค์จักรพรรดิเดินเข้าไปในหมอกสีขาว และค่อยๆหายไป

 

พร้อมกับเศษเสี้ยวความทรงจำที่สิ้นสุดลง

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

แม้ว่าเขาจะได้รับมาเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆของเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาก็พอจะคาดเดาได้เจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว

 

ว่าแต่ใครกันคือคนวงใน? ใครกันที่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้อีกบ้าง?

 

องครักษ์วังในที่แห่งนี้ก็สมควรที่จะถูกตรวจสอบด้วย

 

“ผมจะเป็นคนเก็บกวาดที่นี่เอง ส่วนท่านก็ขอให้ไปเรียกองครักษ์สักสองคนมาที่นี่เถอะ” กู่ฉิงซานกล่าวแนะนำ

 

“เข้าใจแล้ว”

 

จักรพรรดินีก็รู้สึกว่าสถานการณ์มันแปลกๆ จึงตอบสนองทันที

 

เธอออกไปสักพัก ก็นำองครักษ์สองคนมา

 

ดาบยาวกระพริบไหว

 

สององครักษ์ถูกเคาะกบาลจนสิ้นสติลง

 

กู่ฉิงซานตรวจสอบคร่าวๆ และพบว่าทั้งสองคนเป็นมืออาชีพขั้นสาม

 

แล้วเขาก็เริ่มต้นใช้งานวิชาค้นวิญญาณอีกครั้ง

 

และคราวนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น เขาสามารถได้รับความทรงจำจากทั้งสอง

 

“องครักษ์สองคนนี้ไม่มีปัญหาอะไร” กู่ฉิงซานกล่าว “ส่วนความทรงจำขององค์จักรพรรดิและรัฐมนตรีนั้นบอบบางและไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง”

 

“เจ้าคิดว่าองค์จักรพรรดิยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” จักรพรรดินีเอ่ยถาม

 

“พระองค์ยังคงมีชีวิตอยู่ และมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่ากำลังปลีกตัวไปทำอย่างอื่น” กู่ฉิงซานกล่าว

 

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ยังคงเป็นสามีภรรยากัน แต่กู่ฉิงซานก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าทัศนคติหรือความคิดในส่วนลึกของจักรพรรดินี จะเป็นอย่างไร

 

จักรพรรดินีเอ่ยเสียงเย็น “เมื่อครู่ทั้งสองคนนี้มีเจตนาฆ่า เจ้ารู้หรือไม่?”

 

นั่นสินะ ยังไงเสียเธอก็ยังเป็นมืออาชีพ จึงสามารถวินิจฉัยเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง

 

กู่ฉิงซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด

 

จักรพรรดินีปาดน้ำตาของเธอ และกล่าวอย่างไร้ความรู้สึกบนใบหน้า “ตั้งแต่ที่เขาวางแผนไว้แบบนี้แล้ว ดังนั้นความผูกพันธ์สุดท้ายที่ข้ามีต่อเขาก็คงจะต้องจบลง”

 

“นั่นนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดแล้ว มาเถอะฝ่าบาท พวกเราควรจะรีบออกไปจากที่นี่ทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

 

จักรพรรดินีแม้จะตกใจกับคำตอบในเชิงเห็นด้วยของเขา แต่เธอก็ตอบสนองทันที

 

การที่สามารถนำเอาตัวตนอันทรงพลังอย่างขั้นห้าถึงสองคนมาใช้สอยอย่างง่ายดายแบบนี้ ใครจะรู้ว่ากำลังรบที่แท้จริงของอีกฝ่ายจะมีมากมายขนาดไหน?

 

ทว่าเพียงทั้งสองกำลังจะเริ่มจากไป ก็บังเกิดเสียงดังขึ้นอย่างกระทันหันอีกครั้ง

 

ก๊อก!

 

ก๊อก!

 

ก๊อก!

 

มันคือเสียงเคาะประตูอีกครา

 

“มีเรื่องอะไร?” จักรพรรดินีเอ่ยถาม

 

“ข้าราชบริพารระดับสูงมีบางสิ่งที่จะต้องรายงาน” คนภายนอกเอ่ย

 

ฟังจากเสียงแล้ว ดูเหมือนว่าจะมากันสี่คน

 

“ข้ามีบางสิ่งกำลังหารือกับฝ่าบาท พวกเจ้าจงกลับไปก่อนแล้วค่อยมารายงานในวันพรุ่ง” จักรพรรดินีกล่าว

 

“พะยะค่ะ”

 

แล้วเสียงพูดก็หายไป

 

ทว่ากลับมิมีเสียงฝีเท้าปรากฏขึ้น

 

เหล่าผู้คนภายนอกประตูยังคงยืนอยู่ที่นั่น มิได้จากไปไหน

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และก็เช่นเคย เขาพบว่าทั้งสี่คนเป็นมืออาชีพขั้นห้า!

 

จักรพรรดินีหันไปมองกู่ฉิงซาน เอ่ยถามอย่างร้อนรน “แล้วตอนนี้ข้าสมควรต้องทำสิ่งใด”

 

กู่ฉิงซาน “ผมจะไม่แสดงความเมตตาต่อพวกมันอีกต่อไปแล้ว”

 

เพราะในครั้งนี้ การที่จะทำให้คนทั้งหมดล้มสิ้นสติลงในระยะเวลาสั้นๆ มันนับว่าไม่ง่ายเลย

 

มืออาชีพทั้งสี่คนที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นห้า อำนาจการทำลายล้างย่อมทรงพลัง แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีประสบการณ์ต่อสู้ก็ตามที

 

อย่างไรก็ตาม จะเกิดการต่อสู้ขึ้นไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงสัญญาณเตือนให้คนอื่นๆได้รู้

 

ในกรณีที่ศัตรูตื่นตระหนก สถานการณ์จะเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว

 

ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงลงมือให้เร็วยิ่งกว่า และจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด!

 

จักรพรรดินี “ออกไปฆ่าพวกเขาทั้งหมดเสีย”

 

“น้อมรับบัญชา”

 

กู่ฉิงซานทำการสับเปลี่ยน สมญาเทพสงคราม ไปเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’

 

เขาโบกมือส่งสัญญาณไปทางจักรพรรดินี

 

จักรพรรดินีหัวเราะเสียงดังออกมาและตะโกนออกไปว่า “พวกเจ้ายังไม่จากไปอีกหรือ? เช่นนั้นก็ได้! ฝ่าบาทบอกให้พวกเจ้ารีบๆเข้ามาคุยเรื่องที่ว่าให้มันจบๆไป!”

 

ทั้งสี่ด้านนอกประตูพอได้ฟัง ก็หันมาสบตากันอย่างช่วยไม่ได้

 

อ้าว? ไม่ได้มีอะไรผิดปกติหรอกหรือ?

 

“เปิดประตู” เสียงกระซิบเบาๆลอยมา

 

และประตูก็เปิดออกในเวลาเดียวกัน

 

พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่หายวับไปจากสถานที่เดิม

 

ตามด้วยร่างเงาดาบสีทมิฬที่กำลังเบ่งบานสะพรั่งท่ามกลางฝูงชนทั้งสี่

 

สามในสี่ตายทั้งๆที่ยังยืนอยู่ที่นั่น

 

“แกมัน-” ชายคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้โดยบังเอิญ เผลอก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

 

แต่แล้วเสียงของเขาก็ต้องขาดห้วงลง พร้อมด้วยประกายแสงจันทร์สีนวลผ่องที่วาบผ่าน

 

ปริมาณปราณดาบจำนวนมากเวียนว่ายอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นลม ซัดสาดไปตามทางเดิน

 

เลือดถูกพัดกระพือโดยคมดาบ สาดกระเซ็นลงบนผนัง ส่งผลให้โถงทางเดินอันงดงามในวังบัดนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือด

 

แขนขากระจัดกระจายอยู่ในสถานที่เดียวกัน

 

พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่ปรากฏขึ้น

 

เขาโบกดาบพิภพในมือ สะบัดเหวี่ยงคราบเลือดทั้งหมดที่ติดอยู่บนใบดาบออกไป

 

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

 

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

 

“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”

 

พลังวิญญาณของกู่ฉิงซานถูกฟื้นฟูกลับคืนมาดังเดิมอีกครั้ง

 

เขาย่ำเท้าลงเบาๆ เพื่อทะยานตัวกลับไปในห้องประชุม

 

จักรพรรดินีที่กำลังจ้องมองดูฉากนี้ ตกตะลึงชะงักงันไปครู่หนึ่ง

 

และจู่ๆเธอก็เอ่ยถามออกมา “เหตุใดตัวตนดั่งเช่นเจ้าถึงยังไม่เป็นที่รู้จัก?”

 

กู่ฉิงซาน “ผมก็เป็นที่รู้จักนะ ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงยังไงล่ะ”

 

จักรพรรดินีถอนหายใจและกล่าว “เจ้ามักจะใช้วิธีนี้แก้ต่างอย่างนั้นหรือ”

 

“แน่นอน เพราะผมก็เป็นนักวิทยาศาสตร์จริงๆนี่นา”

 

เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงเอ่ยถาม “ว่าแต่ท่านพอจะทราบไหม ว่าสถานที่ๆองค์จักรพรรดิออกไปล่าสัตว์คนเดียวมันอยู่ในตำแหน่งไหน”

 

“หุบเขาหวงหยุน” จักรพรรดินีกล่าว

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานหม่นทะมึน

 

นี่มันไม่ผิดพลาดแล้ว

 

จุดจบของโลกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า

 

“ผมคงจำเป็นต้องออกไปสำรวจที่นั่นทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แล้วข้าเล่า? ไหนจะบุตรสาวของข้าอีก พวกเราจะทำอย่างไรหากเจ้าจากไป” จักรพรรดินีเร่งเอ่ยถาม

 

“ผมจะหาสหายที่ไว้ใจได้มาปกป้องท่าน และแน่นอน ถ้าหากท่านยินดีจะจ่ายรางวัลตอบแทนบางส่วนออกไป สหายของผมย่อมเต็มใจที่จะทุ่มเทปฏิบัติภารกิจนี้อย่างเต็มที่”

 

“รางวัลประเภทใดกัน” จักรพรรดินีกำหมัดแน่น ปากเอ่ยถาม

 

“เงิน” กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาเพียงคำเดียวสั้นๆ

 

จักรพรรดินีถอนหายใจโล่งอก

 

สำหรับราชวงศ์ฟูซี สิ่งที่มีค่าน้อยที่สุดก็คือ ‘เงิน’

 

“เช่นนั้นก็ตกลง”

 

“ผมต้องได้รับการอนุมัติสิทธิ์ในการบินเหนือน่านฟ้าพระราชวังจากท่าน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ตราบใดที่มีคำเชิญอิเล็กทรอนิกส์จากข้า สหายเจ้าจะไม่ถูกขัดขวางแน่นอน” จักรพรรดินีกล่าว

 

“เกรงว่ามันจะไม่ทันการ นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ผมต้องการให้ท่านเปิดพื้นที่ห้ามบิน เพื่อให้พวกเขาทำการลงจอดหน้าพระราชวังโดยตรงในทันที”

 

“แต่นั่นจะต้องใช้อำนาจสูงสุด และหากข้าสั่งใช้งานมัน ทุกคนในระบบป้องกันพระราชวังก็จะรับรู้ด้วย”

 

“แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านก็จะต้องเปิดมัน ส่วนผมขอตัวโทรหาหุ้นส่วนสักครู่” กู่ฉิงซานกล่าวและขอแยกตัวออกไป

 

เขาหยิบสมองควอนตัมออกมา แล้วทำการเชื่อมต่อหาซางหยิงฮ่าว

 

“มีเรื่องอะไรหรอ?” ปลายสายเอ่ยสวนกลับมา

 

“มีธุรกิจมาเคาะประตูถึงที่น่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ธุรกิจอะไรล่ะ?”

 

“คุ้มครองบุคคลสำคัญ”

 

“เฮ้พี่ใหญ่ ที่นี่คือสมาคมนักฆ่านะ ไม่ใช่บริษัทรักษาความปลอดภัย” ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างหมดหนทาง

 

กู่ฉิงซาน“งั้นฉันมีอีกธุรกิจนึงที่จะแนะนำให้นาย”

 

“ว่ามาสิ”

 

“สังหารหมู่ทุกคนที่อยู่ใกล้เป้าหมาย”

 

“ … ”

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.314 – การตายของถังจุน

 

จิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซานกวาดลงไปยังคทาทอง

 

รอยแยกที่เชื่อมต่อระหว่างแท่งคทากับศีรษะนั้นแบนราบและเรียบเนียน บ่งบอกว่าถูกตัดออกไปอย่างพิถีพิถันด้วยอาวุธมีคม

 

แต่ขโมยที่ไหนกันเล่าจะยอมทิ้งคทาทองทั้งแแท่งอันแสนมีค่า แล้วนำไปเพียงแค่ศีรษะของคนตาย?

 

ความรู้สึกไม่ดีก่อบังเกิดขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน มันหนักขึ้น หนักขึ้นเรื่อยๆ

 

แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งมาก แต่การรักษาความปลอดภัยในวังก็ยังคงถือว่าแน่นหนามากเช่นกัน

 

คุณย่อมไม่อาจลอบมาเข้ามาในวังได้ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะเฝ้าสังเกตการณ์วังจากภายนอกอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน

 

คนที่ลอบเข้ามา จะต้องคุ้นเคยกับรูปแบบการรักษาการในพระราชวังทั้งหมด หลบเลี่ยงองค์จักรพรรดิผู้แสนจะน่าเกรงขาม และต้องรู้ด้วยว่าจักรพรรดินีเก็บของล้ำค่าเหล่านี้ไว้ที่ไหน

 

ในบรรดาเหล่าตัวตนผู้ทรงอำนาจและยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกทั้งหลาย ใครกัน? ใครที่ยอมทุ่มเทพยายามใช้เวลาเฝ้าสังเกตอยู่นาน เพื่อที่จะขโมยศีรษะของผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐฟูซี?

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา

 

เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะไม่แค่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างองค์จักรพรรดิและจักรพรรดินีซะแล้ว

 

ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงตัดสินใจแล้วว่าจะก้าวเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้

 

“ฝ่าบาท ช่วงเวลานี้องค์จักรพรรดิกำลังหารืออยูู่กับเหล่ารัฐมนตรีในห้องประชุม ขอท่านโปรดนำมงกุฏนี้ ไปวางบนโต๊ะตัวใหญ่ภายในห้องด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เข้าใจแล้ว ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้ล่ะ”

 

จักรพรรดินีแม้จะแปลกใจอยู่บ้างกับคำขอนี้ แต่เธอก็ยังตอบรับอย่างว่าง่าย

 

เธอใช้สองมือถือมงกุฏเอาไว้ และเดินออกมาจากประตู

 

“ใครก็ได้ มาคุ้มกันที” จักรพรรดินีสั่ง

 

สององครักษ์วังส่งสัญญาณมือ

 

จากนั้นท่ามกลางความเงียบ ก็ปรากฏร่างขององครักษ์เพิ่มขึ้นมาอีก18คนขึ้นมาอย่างเงียบๆ

 

องครักษ์ทั้ง 20 คนติดตามจักรพรรดินีไปยังสถานที่ที่องค์จักรพรรดิประทับอยู่

 

ภายในห้องประชุม

 

องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีกำลังยืนอยู่ท่ามกลางวงสนทนาระหว่างเจ้าหน้าที่คนสนิทหลายคน

 

ประตูถูกเปิดออก

 

องค์จักรพรรดินีเดินถือมงกุฏเข้ามา

 

“นี่มันอะไรกัน?”ดวงตาขององค์จักรพรรดิหรี่แคบลง ปากเอ่ยถาม

 

จักรพรรดินีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเกรงว่าท่านจะลืมเลือนไปว่า ในวันนี้พรุ่งนี้ท่านจะต้องพบเจอกับแขกผู้มีเกียรติจากจักรววรดิศักดิ์สิทธิ์และรัฐบาลกลาง โปรดอย่าได้ลืมที่จะสวมใส่มันในวันพรุ่ง”

 

องค์จักรพรรดิพอได้ยิน รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา และกล่าว “เจ้านี่ช่างรู้จักใส่ใจดีเสียจริงๆ”

 

จักรพรรดินีวางมงกุฏลงบนโต๊ะด้านหลังองค์จักรพรรดิและกล่าว “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปเล่นไพ่ก่อนล่ะ”

 

“ไปเถิด”

 

จักรพรรดินีโค้งกายคำนับ บิดเอวผินตัวเดินออกจากห้องประชุมไปอย่างสง่างาม

 

องค์จักรพรรดิทอดพระเนตร มองตามแผ่นหลังของเธอ ห้วงสตินึกคิดขาดหายไปช่วงหนึ่ง

 

“เอ .. เมื่อครู่พวกเราพูดกันถึงไหนแล้วนะ?” เขาเอ่ยถาม

 

“ฝ่าบาท เมื่อครู่พวกเรากำลังพูดคุยกันถึงเรื่องการส่งเหล่ารัฐมนตรีอาวุโสและข้าราชบริพารอีกหลายคนเข้ามาพบกับฝ่าบาทที่นี่” หนึ่งในนั้นเอ่ย

 

“อ้อใช่ๆ ปล่อยให้ทุกคนเข้ามาได้เลย ข้าต้องการที่จะพบพวกเขา” องค์จักรพรรดิกล่าวรับคำ

 

มงกุฏถูกวางทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะเบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ พร้อมด้วยตราประทับที่วางอยู่ข้างๆ

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

ท่ามกลางแสงสลัวยามค่ำคืน

 

ในที่สุดองค์จักรพรรดิก็จบเรื่องหารือของเขา

 

รัฐมนตรีหลายคนขอตัว เดินจากไป

 

องค์จักรพรรดิยืนอยู่คนเดียวเงียบๆ ขบคิดเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างในหัวใจของเขา

 

บนโต๊ะเบื้องหลัง จิตทัสผัสเทวะของกู่ฉิงซานกวาดลงมาอย่างอ่อนโยน

 

และในวินาทีต่อมา ตราประทับก็หายไปอย่างฉับพลัน

 

พร้อมด้วยร่างของกู่ฉิงซานที่ปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมของมัน

 

สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!

 

‘คุณสามารถแลกเปลี่ยนตำแหน่งของคุณกับสิ่งที่อยู่ภายในขอบเขตพิสัยจิตสัมผัสเทวะได้’

 

กู่ฉิงซานยืนอยู่บนโต๊ะ

 

เขายื่นมือออกไป

 

มงกุฏลอยขึ้นอย่างอ่อนโยน และตกลงในมือของเขา

 

ขณะที่อีกหนึ่งมือคว้าจับไปในความว่างเปล่าและดาบพิภพก็ตกลงในมือของเขา

 

กู่ฉิงซานถือมงกุฏในมือข้างหนึ่ง ขณะอีกข้างกำดาบ ยืนนิ่งอยู่บนโต๊ะใหญ่อย่างเงียบๆ

 

เขายังมิได้ส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวใดๆ ที่ทำก็แค่เพียงจดจ้อง มองลงไปยังแผ่นหลังขององค์จักรพรรดิอย่างเงียบๆ

 

หนึ่งลมหายใจ

 

สองลมหายใจ

 

สามลมหายใจ

 

ทว่าองค์จักรพรรดิก็ยังไม่มีท่าทีตอบสนอง

 

แววตาของกู่ฉิงซานแปลกไปเล็กน้อย

 

นั่นเพราะแม้ว่าเขาจะได้ปกปิดกลิ่นอายของตนไว้แล้วเล็กน้อย แต่องค์จักรพรรดิก็ไม่สมควรที่จะไร้ประสิทธิภาพถึงเพียงนี้

 

องค์จักรพรรดิน่ะเป็นถึงมืออาชีพขั้นห้า เป็นตัวตนที่น่าสะพรึงและครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่ แต่เวลานี้ เขากลับไม่ตระหนักถึงการมาเยือนของกู่ฉิงซานเลย

 

ชายที่แข็งแกร่ง สมควรจะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวรอบตัวเขา

 

เพราะนั่นคือการระมัดระวังตัวขั้นพื้นฐานที่สุด

 

–ทว่าองค์จักรพรรดิที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับกู่ฉิงซานในเวลานี้ ดูราวกับเป็นคนที่ไร้ซึ่งประสบการณ์ต่อสู้ ไม่มีแม้กระทั่งความระมัดระวังตัวขั้นพื้นฐาน

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานวูบไหว และทันใดนั้นเขาก็พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

 

‘จ้าวสมุทรหลี่ตงหยวนถูกฟาดตบจนปลิวหายไปโดยดาบของเขา’

 

จ้าวสมุทรคือยอดนายพลของกองทัพเรือแห่งรัฐบาลกลาง ถึงแม้จะไม่อาจเทียบเปรียบได้กับองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีก็ตามที

 

แต่ทว่าพวกเขาทั้งสอง หนึ่งกลับไม่ทันสามารถตระหนักได้ถึงกระบวนท่าดาบ อีกหนึ่งไม่อาจสัมผัสถึงการปรากฏตัวของผู้อื่นจากเบื้องหลัง

 

นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?

 

นี่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับวันสิ้นโลกหรือภัยพิบัติใดๆแล้ว

 

เพราะไม่มีภัยพิบัติใด จะสามารถเปลี่ยนคนให้กลายเป็นเช่นนี้ได้!

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังองค์จักรพรรดิ และรู้สึกว่ามีเงาที่มองไม่เห็นอยู่ในจิตใจของเขา … เงาที่มิอาจลบเลือนออกไปได้

 

ตลอดช่วงสองชีวิต เขาไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องบ้าอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

 

ในชีวิตก่อนหน้า พลังงานส่วนใหญ่ของเขาล้วนอุทิศและทุ่มสมาธิอยู่แต่กับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ กว่าตัวเขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับคนอื่นๆ มันก็ผ่านเลยไปร่วมครึ่งปีแล้ว

 

ต่อมา เขาก็ได้ขึ้นนำสมาพันธ์แห่งชาติเข้าต่อสู้ในฐานะผู้บัญชาการ และวุ่นอยู่แต่กับการนำกำลังต่อสู้ทุกวี่วัน แม้ว่าเขาจะมีติดต่อกับนักการเมืองระดับสูงอยู่บ้าง แต่มันก็มิได้ทั่วถึง

 

และในช่วงเวลาที่ว่า เท่าที่กู่ฉิงซานจดจำได้ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติกับพวกตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์นี่นา

 

หลังจากนั้น เมื่อภัยพิบัติเยือกแข็งปรากฏขึ้น ช่วงสุดท้ายของวันสิ้นโลกก็ได้มาถึง

 

แล้วในชีวิตนี้เล่า? เรื่องราวในตอนนี้ สุดท้ายแล้วเป็นใครกันที่คอยบงการทุกสิ่ง?

 

ในตอนนั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของกู่ฉิงซานก็สั่นเล็กน้อย

 

ร่างกายขององค์จักรพรรดิเริ่มขยับไหว

 

แม้ว่าเขาจะประมาทเพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นถึงมืออาชีพอันทรงพลังในขั้นห้า! ในที่สุดเจ้าตัวก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม มันดูเหมือนว่าจะสายเกินไป

 

ร่างของกู่ฉิงซานได้หายไปจากโต๊ะ และเสี้ยวพริบตาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังองค์จักรพรรดิ

 

ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!

 

กู่ฉิงซานยกดาบขึ้น และสะบัดมันเบาๆ

 

และดาบพิภพก็ดูราวกับว่าจะตระหนักดีถึงความตั้งใจของเขา มันยับยั้งพลังลงอยู่ในจุดที่พอเหมาะพอดิบพอดี

 

องค์จักรพรรดิล้มลง และสิ้นสติไป

 

กู่ฉิงซานหยิบอุปกรณ์สื่อสารของเขาขึ้นมา

 

“มีเรื่องอะไร?”เขาเอยถาม

 

“ถังจุนล่ะ! มันเป็นเรื่องของถังจุน! ฉันคิดว่าการตายของเขาไม่เพียงแต่เป็นการถูกฆาตกรรม แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องบอกแก!” เหลียวฮังกล่าวพลางหอบหายใจ

 

“ว่ามาสิ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ถังจุนได้จัดเตรียมร่างโคลนไว้สำหรับประธานาธิบดี เพื่อช่วยให้ประธานาธิบดีสามารถรอดพ้นจากการลอบสังหาร แต่จู่ๆเขาก็กลับถูกลักพาตัวไปโดยสาธารณรัฐฟูซี!”

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม

 

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมท่านประธานาธิบดีถึงไม่เคยตายลงเลย หลังจากที่ถูกลอบสังหารมาแล้วหลายครั้งหลายครา

 

นั่นเพราะที่ตายแทนเขา มันล้วนแล้วแต่เป็นร่างโคลน!

 

ปรากฏว่าจริงๆแล้ว ท่านประธานาธิบดีได้ใช้วิธีนี้ในการต่อสู้กับเก้าตระกูลใหญ่!

 

“แล้วลักษณะหรือคุณสมบัติที่พวกร่างโคลนต้องมีมันคืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว

 

“ความทรงจำไง! ส่วนที่ยากที่สุดในการโคลนมนุษย์ก็คือการโคลนความทรงจำ! ชิ้นส่วนความทรงจำของพวกเขาจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน!” เหลียวฮังกล่าว

 

กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะวางมือลงบนหัวขององค์จักรพรรดิ

 

วิชาลับ ค้นวิญญาณ!

 

เป็นเวลานาน กว่ากู่ฉิงซานจะถอนมือของเขากลับคืน

 

เขายืนโง่งมอยู่ตรงนั้น แม้จักรพรรดินีจะเปิดประตูเข้ามา เขาก็ยังมิได้ตอบสนองใดๆ

 

จักรพรรดินีจ้องมองไปยังองค์จักพรรดิที่กำลังหมดสติด้วยความงงงวย

 

“‘ง่ายดายถึงเพียงนี้?” จักรพรรดินีเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าว “ท่านลองมองอย่างใกล้ชิดดูสิ ว่ารูปลักษณ์ของเขาเหมือนกับองค์จักรพรรดิหรือไม่?”

 

จักรพรรดินีก้มลงมอง และทำการตรวจสอบอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ครู่หนึ่ง

 

จักรพรรดินีกล่าวเสียงกระซิบ “เขาดูเหมือนกับพระองค์จริงๆ แต่ข้าคิดว่าเขามิใช่”

 

กู่ฉิงซานเข้าใจดี

 

เพราะเมื่อครู่เขาก็ได้ใช้วิชาค้นวิญญาณไปแล้วเช่นกัน แต่กลับพบว่าความทรงจำขององค์จักรพรรดิช่างแสนเปราะบาง เพียงล้วงลึกสะกิดลงไป ชิ้นส่วนความทรงจำก็พังทลายลงทันที

 

วิชาค้นวิญญาณน่ะมันเป็นอันตราย ผลพวงของมันง่ายต่อการสูญเสียสติปัญญาและกลายเป็นเพียงซากศพที่มีชีวิต

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หลังจากที่ทำการค้นวิญญาณครั้งนี้ไป องค์จักรพรรดิก็จะกลายเป็นเพียงคนบ้า

 

กู่ฉิงซานยังไม่ได้รับข้อมูลอื่นใดที่เป็นประโยชน์เลย

 

จักรพรรดินีตรวจสอบองค์จักรพรรดิอย่างระมัดระวัง แต่แล้วจู่ๆแสงสีเขียวก็เปล่งออกมาจากมือของเธอ

 

เธอเป็นหญิงในตระกูลเมดิซี และเป็นผู้ที่สามารถปลดผนึกธาตุไม้จากธาตุทั้งห้าได้

 

เธอกดมือลงอย่างอ่อนโยนลงบนหน้าผาขององค์จักรพรรดิ

 

“สติปัญญาได้ตายลงแล้ว มิอาจรักษาได้” จักรพรรดินีกล่าว

 

ทั้งสองจมสู่ความเงียบ

 

หนึ่งในมืออาชีพที่ทรงพลังที่สุดในโลก หัวเรือใหญ่แห่งสาธารณรัฐฟูซี พึ่งตกตายลงทั้งเป็น …

 

เขาถูกโค่นลงอย่างง่ายดายและตกตายลงภายในห้องประชุมแห่งนี้

 

“มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับความทรงจำขององค์จักรพรรดิ” กู่ฉิงซานเปิดฉากสนทนา

 

“เป็นอย่างที่เจ้าพูด ในช่วงสองสามวันมานี้ ข้าก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าเขาค่อนข้างขี้หลงขี้ลืม ย่ำแย่จนน่าใจหาย” จักรพรรดินีกล่าว

 

“ท่านได้เรียกแพทย์มาพบเขาหรือยัง?”

 

แม้คำตอบมันจะชัดเจนอยู่แล้ว แต่กู่ฉิงซานก็ยังคงเอ่ยถาม

 

“พบแล้ว แต่พวกแพทย์ก็บอกว่าเขามิได้ผิดปกติใดๆ” จักรพรรดินีกล่าว

 

“ที่ไม่พบความผิดปกติ บางทีอาจจะเป็นเพราะมันเกิดความผิดปกติขึ้นในระดับชั้นพันธุกรรมก็ได้นะ?”

 

“ในแง่ของเทคโนโลยีพันธุศาสตร์ สาธารณรัฐฟูซีนับว่าว่างเปล่า ไร้ฝีมือโดยสมบูรณ์ บุคคลที่ชำนาญการด้านนี้มากที่สุดคือ ดร.ถังจุนแห่งรัฐบาลกลางของเจ้า”

 

“ถังจุน .. ”

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ เพราะเขามีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในหัวอยู่แล้ว

 

ตั้งแต่ที่องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีได้ใช้ร่างโคลนตัวเอง

 

เช่นนั้น แล้วองค์จักรพรรดิตัวจริงไปอยู่ที่ไหนเสียเล่า?

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.313 – คทาแห่งองค์จักรพรรดิ

 

ภายในห้องจัดเลี้ยง เสียงดนตรีบรรเลงเริ่มดังขึ้น

 

ผู้คนกินดื่ม เต้นรำ และหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

 

งานเลี้ยงปาร์ตี้เต้นรำ เคล้าคลอไปกับบรรยากาศที่แสนอบอุ่นและร่าเริง ส่งผลให้ทุกคนดื่มด่ำไปกับมัน

 

กู่ฉิงซานเติมเหล้าจนเต็มแก้วแล้วผลักมันไปให้นายทหารหนุ่ม

 

ทั้งสองชนแก้วและยกขึ้นดื่มอีกครั้ง

 

“รู้สึกว่าช่วงนี้ฝ่าบาทจะมีความสุขมากกว่าปกตินะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

นายทหารหนุ่มปลดกระดุมบนปกคอเสื้อ จึงค่อยหายใจหายได้สะดวกขึ้น และเริ่มกล่าว “ใช่แล้วล่ะ วันก่อนที่จะกลับมาในวัง พระองค์ก็เสด็จออกไปล่าสัตว์ในภูเขาตามปกติ แล้วก็ล่าเหยื่อมาได้มากซะด้วย”

 

“ตั้งแต่นั้นมา อารมณ์ของฝ่าบาทก็ดีขึ้นมากเลยทีเดียว”

 

กู่ฉิงซานยิ้ม “แล้วนายได้ไปกับเขาหรือเปล่า?”

 

นายทหารเอ่ยปากด้วยความไม่สบายใจ “ในระหว่างการล่า ฝ่าบาทจะไม่ยอมให้พวกเราติดตามไป ทรงตรัสว่าผู้คนจำนวนมากเกินไป มันจะเป็นเรื่องง่ายในการล่าเหยื่อ และทำให้ไม่สนุก”

 

กู่ฉิงซาน “แสดงว่าฝ่าบาทออกไปล่าสัตว์โดยไม่มีผู้ติดตามไปใช่ไหม?”

 

“ไม่เสมอไปหรอก มีเพียงแค่เมื่อวานซืนที่ท่านไม่ยินยอมให้พวกเราติดตามไปด้วย”

 

“ท่านคงกะจะล่าจนหนำใจเลยสินะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ใช่ ท่านกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บนใบหน้าเลยล่ะ”

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิดของเขา

 

“ฮึ! คุณไม่คิดเดิมพันต่อสู้กับเขา แต่ดันมาเลือกที่จะพูดคุยกันแทนเนี่ยนะ?” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น

 

ทั้งสองหันไปตามเสียง และพบว่าเป็นเจ้าหญิง

 

เจ้าหญิงหันไปจ้องนายทหารหนุ่มด้วยแววตาโกรธเคือง ก่อนจะเชิดหน้าและหันหลังวิ่งจากไป

 

“โทษทีนะ คงต้องขอตัวก่อนแล้วล่ะ” นายทหารหนุ่มกล่าว

 

“ไปเถอะ” กู่ฉิงซานโบกมือ ไม่คิดรั้งตัวเขาไว้อีก

 

แล้วนายทหารหนุ่มก็รีบวิ่งตามเจ้าหญิงไปทันที

 

“ออกล่าคนเดียว … ” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำเบาๆ

 

ตามคำบอกใบ้ของจักรพรรดินีเวโรน่า องค์จักรพรรดิดูจะแตกต่างไปจากเมื่อก่อน

 

และเวโรน่าก็ใช้เวลาตลอดทั้งค่ำคืนเพื่อป้องกันตัวเองจากเขา

 

เพราะถ้าหากองค์จักรพรรดิตระหนักได้ว่าเธอเห็นถึงความผิดปกติ เธอย่อมต้องถูกเขาฆ่าปิดปากเป็นแน่

 

ปัญหาคือช่วงที่ออกไปล่าสัตว์

 

กู่ฉิงซานนั่งอยู่ในเดียวในมุมเล็กๆ และยกเหล้าขึ้นมาจิบอีกเล็กน้อย

 

แต่พอหญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งมาขอให้เขาร่วมเต้นรำด้วย เจ้าตัวก็มิได้ปฏิเสธ

 

คนดังบางคนเอ่ยทักทายเขา และกู่ฉิงซานก็พูดคุยกับอีกฝ่าย สนทนากันเกี่ยวกับหัวข้อที่น่าสนใจ

 

เขาผสานหลอมรวมเข้ากับงานเลี้ยงในสังคมชั้นสูงแห่งสาธารณรัฐฟูซีได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

และกำลังเฝ้มรอให้งานเลี้ยงจบลงอย่างเงียบๆ

 

กลางดึก

 

เมื่อสิ้นเสียงเพลงบรรเลง งานเลี้ยงก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุด

 

หลายคนเมามาย และถูกนำตัวไปยังห้องพัก

 

กู่ฉิงซานก็แยกตัวไปยังห้องพักที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้

 

เขายืนนิ่งอยู่ในห้อง ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา กวาดไปตลอดทั่วทั้งวัง

 

กวาดผ่านเหล่าขุนนางหนุ่มสาวที่ยังคงพูดคุยและดื่มกินกันในห้องขนาดเล็ก

 

นายทหารหนุ่มกับเจ้าหญิงก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน

 

ทั้งสองเปี่ยมไปด้วยพลังงานที่เหลือล้น เพลิดเพลินไปกับช่วงวัยที่ยังเยาว์อยู่

 

แต่กู่ฉิงซานก็กวาดจิตสัมผัสเทวะผ่านไปอย่างรวดเร็ว มิคิดสนใจใดๆกับพวกเขา

 

ภายในห้องประชุมวัง เต็มไปด้วยแสงสว่างไสว

 

แม้ว่านี่จะเป็นยามดึก แต่องค์จักรพรรดิก็ยังคงสนทนาอยู่กับคนสนิทหลายคนบนบัลลังก์

 

จิตสัมผัสเทวะกวาดเลยมาจนถึงห้องหมากรุก และเกมก็ยังคงดำเนินต่อไป

 

จักรพรรดินีทิ้งไพ่ลง “ห้าตง”

 

หญิงสูงศักดิ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น็อค! ไพ่ห้าตง”

 

จักรพรรดินี “วันนี้ข้าไม่คิดเลยว่าจะพ่ายแพ้ยันเยินขนาดนี้”

 

ในตอนนั้นเอง เสียงของกู่ฉิงซานก็เอ่ยออกมา

 

จักรพรรดินีผลักชุดไพ่ของเธอ ลุกขึ้นยืนและเอ่ยว่า “ข้าชักจะหิวซะแล้วซี พวกเจ้าช่วยออกไปดูหน่อยจะได้ไหมว่าในครัวยังมีอะไรน่าสนใจหลงเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า หยิบฉวยบางสิ่งมาตั้งโต๊ะกินร่วมกัน แล้วจากนั้นค่อยกลับมาเล่นกันต่อตลอดทั้งคืนก็ได้”

 

“ขอบพระคุณฝ่าบาท” สามหญิงสูงศักดิ์ยืนขึ้น คารวะน้อมรับด้วยความยินดี

 

เดิมทีแล้วเรื่องนี้ นับว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆที่สมควรจะให้สาวใช้ออกไปนำมันมา

 

แต่หากจักรพรรดินีเป็นคนเอ่ยปากว่าให้ทั้งสามช่วยไปเลือกอาหารในค่ำให้เธอแล้วร่วมรับประทานด้วยกัน ทั้งหมดย่อมตอบรับ เพราะนั่นอาจหมายถึงความสนิทชิดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น

 

นอกจากนี้แม้จะเล่นไพ่นกกระจอกด้วยกัน แต่พวกเธอก็รู้สถานะของตัวเองดี และมิคิดปฏิเสธที่จะเป็นการแสดงถึงการละเลยมารยาท

 

สามหญิงสูงศักดิ์ถูกนำทางไปโดยสาวใช้

 

“พวกเจ้าก็เหมือนกัน ช่วยออกไปก่อน ข้าอยากจะอยู่เงียบๆสักพัก” จักรพรรดินีเอ่ยสั่ง

 

สาวใช้บางส่วนที่ยังเหลืออยู่ค่อยๆถอยออกไป

 

ห้องหมากรุกกลับคืนสู่ความเงียบงัน

 

แล้วเสียงของกู่ฉิงซานก็ปรากฏขึ้น

 

“ฝ่าบาท ตอนนี้ช่วยบอกถึงรายละเอียดแบบเฉพาะเจาะจงให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่”

 

จักรพรรดินีเอ่ยปากกล่าวกับอากาศที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว “สองวันก่อน องค์จักรพรรดิออกไปล่าสัตว์คนเดียว ทว่าหลังจากกลับมาแล้ว เขากลับแตกต่างจากเดิมราวกับเป็นคนละคน”

 

“ข้าสามารถตระหนักได้ทันทีว่าเขาผิดแผกไป แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือพลังอำนาจจะยังคงเดิม แต่ข้าคิดว่ามันไม่ใช่อยู่ดี”

 

“แล้วเขารู้หรือยังว่าท่านตระหนักถึงความผิดปกตินี้แล้ว”

 

“ข้าแสร้งแสดงทำตัวตามปกติ และยังมิได้ทำอะไรผิดสังเกตหรือแตกต่างไปจากเดิม”

 

“แต่ในช่วงหลังๆมานี้ คำพูดและการกระทำของเขา ก็เริ่มที่จะแตกต่างไปจากเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าเลยมั่นใจแล้วว่ามันจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาแน่ๆ”

 

“แม้ว่าเขาจะยังยินดีที่จะปล่อยให้ข้าออกมาเล่นไพ่ แต่นั่นก็เพราะข้ายังไม่ค้นพบความลับใดๆเพิ่มเติมเกี่ยวกับเขา ข้าจึงยังสามารถอยู่ด้วยกันกับเขาอย่างสงบสุขได้ชั่วคราว”

 

“อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขได้ชั่วคราว? ท่านคิดว่าเขาจะฆ่าท่านอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

สีหน้าของจักรพรรดินีเผยถึงการตัดสินใจแน่วแน่ ปากเอ่ยกล่าว “เมื่อเขาเตรียมทุกอย่างพร้อมโดยสมบูรณ์ เขาจักต้องสังหารข้าอย่างแน่นอน”

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“เพราะข้าเป็นคนที่หนุนหมอนอยู่ข้างกายเขา ล่วงรู้ความลับมากมาย และหนึ่งในความลับที่ว่านั่นเป็นถึงจุดอ่อนเดียวที่เขามี ”

 

“ฟังจากที่กล่าวมา  ท่านกำลังจะบอกว่าตนเองมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันกับเขาใช่หรือเปล่า?”

 

“ใช่ ข้าเพียงแค่อยากจะรักษาสาธารณรัฐให้มันคง แต่เขากลับต้องการมากกว่านั้น”

 

จักรพรรดินีกล่าวต่อ “ข้าจักต้องต่อต้านความทะเยอทะยานของเขา”

 

แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็เอ่ยออกมาอย่างฉับพลัน “ว่าแต่ท่านรู้ไหมว่ามงกุฏของฟูซีอยู่ที่ไหน?”

 

จักรพรรดินีชะงักงัน และกล่าว “มงกุฏราชวงศ์มีอยู่สามชิ้น เจ้ากำลังกล่าวถึงชิ้นใดกันล่ะ?”

 

“ชิ้นที่ตรงกลางฝังไว้ด้วยอัญมณีจากจักรวาล”

 

“มงกุฏราชวงศ์และคทาขององค์จักรพรรดิทั้งหมดถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบโดยข้า ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะทราบ”

 

“พอดีว่าผมต้องการอัญมณีบนมงกุฏที่ว่านั่น ท่านช่วยไปนำมันมาจะได้หรือไม่ เมื่อได้มันมาแล้วพวกเราจะหนีไปทันที”

 

“เจ้าสามารถช่วยข้าได้หรือ?” จักรพรรดินีเอ่ยถาม

 

ท่าทีของเธอบัดนี้แลดูสงบมาก “แม้ข้าจะเคยได้ยินแอนนาพูดถึงเกี่ยวกับพลังอันลึกลับของเจ้า แต่เจ้าคงทำมันมิได้หรอก อย่าพยายามช่วยข้าเลย มันไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น”

 

“มิฉะนั้น หากเจ้าพลาดพลั้ง นั่นหมายถึงความตาย”

 

“ทำไมท่านถึงดูห่วงใยเกี่ยวกับชีวิตของผมถึงขนาดนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เพราะหากไร้ซึ่งความหวังใดๆแล้ว เช่นนั้นขอแค่ความปรารถนาเดียวก็พอ นั่นคือขอให้ข้าเป็นคนสุดท้ายที่จะต้องตายลง”

 

จักรพรรดินีบัดนี้แลดูสงบ สงบมาก ทั้งคนทั้งร่างเธอเต็มไปด้วยวุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่

 

“ทำไมกัน?”

 

“ถ้าหากเจ้าตายไป มันจะเกี่ยวโยงถึงผลกระทบร้ายแรงต่อแอนนา เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ และห้วงอารมณ์ของเธอไม่สมควรจะมีสิ่งใดเข้าไปแทรกแซง” จักรพรรดินีกล่าว

 

“เธอคือความหวังสุดท้ายของเรา .. ของตระกูลเมดิซี”

 

“ดังนั้นถ้าหากเจ้ายังไม่มั่นใจ อย่าได้กังวลถึงชีวิตและความตายของข้า จงลอบหาโอกาสหนีออกไป และบอกความจริงให้แอนนาทราบในภายหลัง”

 

กู่ฉิงซานบังเกิดความรู้สึกเคารพลึกต่ออีกฝ่ายขึ้นมาอย่างเงียบๆ

 

“ไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่ผมต้องการจะช่วยท่าน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมาหยุดได้” เขากล่าว

 

ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงกระซิบอันแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอก

 

“เข้ามาสิ”

 

สองสาวใช้เปิดประตูเข้ามา โค้งกายคำนับและกล่าว “อาหารมื้อค่ำได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว นายหญิงทั้งสามกำลังเฝ้ารอท่านอยู่เจ้าค่ะ”

 

จักรพรรดินีกล่าว “ตอนนี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยหิวแล้ว ให้พวกนางกินกันไปก่อน และหลังจากกินเสร็จก็กลับมาเล่นไพ่กันต่อ”

 

“เจ้าค่ะ”

 

สองสาวใช้หันมามองหน้ากันวูบหนึ่ง และถอยออกจากประตูไป

 

จักรพรรดินีลุกขึ้นยืนอยู่สักพัก ก่อนจะเดินออกจากประตูตามไปเช่นกัน

 

เธอก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงห้องสุดท้ายของทางเดิน

 

“ถอยไปซะ” จักรพรรดินีกล่าว

 

“พะยะค่ะฝ่าบาท” สององครักษ์กล่าว

 

พวกเขาโค้งกายคำนับอย่างระมัดระวัง เดินจากไปพร้อมกับปิดประตูลง

 

จักรพรรดินียื่นมือไปบนกำแพง และทำการเปิดช่องลับ

 

มงกุฏแห่งราชวงศ์ฟูซีที่ถูกฝังไว้ด้วยเลือดของตะวันและจันทราวางอยู่เงียบๆในช่องลับดังกล่าว

 

ข้างๆมงกุฏ เป็นคทาจักรพรรดิ

 

จักรพรรดินีมองไปยังคทาด้วยความตกใจ พร้อมกับบังเกิดร่องรอยของความหวาดกลัวขึ้นในแววตาของเธอ

 

คทาจักรพรรดิถูกหล่อขึ้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ โดยมีหัวมนุษย์ถูกแกะสลักอยู่บนยอด และสีหน้าบนหัวก็กำลังแสดงออกถึงการเฝ้ามองมายังวิสัยทัศน์ตรงหน้า

 

มันคือศีรษะของผู้ก่อตั้งจักรวรรดิฟูซี

 

เมื่อจักรพรรดิผู้ก่อตั้งสิ้นพระชนลง เขาร้องขอให้รวมหัวกะโหลกศีรษะตน หลอมเข้ากับส่วนยอดของคทา และชุบซ้ำด้วยทองคำ แกะสลักเป็นคทาเพื่อส่งต่อไปยังองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีสืบต่อไป

 

ความหมายของมันก็คือ แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตลงไปแล้ว แต่ก็ยังคงเฝ้าจับตาดูลูกหลานของตนอยู่ว่าพวกเขามีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นราชาผู้ครองแผ่นดินหรือไม่

 

เวลานี้ ทองคำบริสุทธิ์ยังคงอยู่ แต่ … ศีรษะของผู้ก่อตั้งฟูซีกลับหายไป!

 

“ท่านพอจะทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไม่เลย ข้าไม่รู้” จักรพรรดินีกล่าว

 

“ใช่ว่าเป็นองค์จักรพรรดินำมันออกไปแต่ไม่ได้บอกท่านหรือเปล่า?”

 

“ข้าได้รับหน้าที่จัดระเบียบสิ่งของเหล่านี้ให้แด่เขาเสมอมา แต่-”

 

จักรพรรดินีพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง และหยิบมงกุฏออกมา

 

เธอพยายามที่จะไม่เหลือบสายตามองไปยังคทา

 

หลังจากทั้งหมดนี้ เรื่องราวมันแปลกมากเกินไป

 

ทำไมกัน? ทำไมถึงไม่หยิบเอาไปทั้งคทา แต่กลับเอาไปแค่เพียงกะโหลกศีรษะขององค์จักรพรรดิผู้ก่อตั้งประเทศ!?

 

มีคนขอวันนี้ 2 ตอนเลยลงให้ ปล.เสาร์อาทิตย์ก็ยังลง 2 ตอน

 

*(ผมไม่รู้เรื่องไพ่นกกระจอก ผิดพลาดยังไง พิมทิ้งไว้ได้ครับ)

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.312 – ค้นหาความจริง

 

ทันทีที่ ‘เก้า’ ถูกทิ้ง หญิงสูงศักดิ์คนข้างๆที่กำลังเตรียมจะหงายไพ่ชุดต่อไป ก็ถูกขัดจังหวะโดยจักรพรรดินีเสียก่อน

 

“เก็บไพ่!” หญิงสูงศักดิ์เอ่ยอย่างมีความสุข

 

หลังจากเก็บไพ่เก้า เธอก็เตรียมจัดวางไพ่ชุดใหม่อีกครั้ง

 

ส่วนจักรพรรดินี เมื่อจั่วไพ่ใบใหม่ขึ้นมาอีกที มันก็ยังคงเป็นไพ่ 8 หมื่น ชุดเดิม

 

คู่8หมื่นสองชุดถูกวางลงในแถวเดียวกัน

 

จักรพรรดินียกคิ้วสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจ

 

พร้อมด้วยเสียงของกู่ฉิงซานที่ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“ผมขอตั้งสมมติฐานว่า – ถ้าหากสถานการณ์ในตอนนี้มันเลวร้ายมากเกินไป อันตรายถึงชีวิตของท่าน โปรดทิ้ง2ตงด้วย”

 

จักรพรรดินีเก็บคู่8หมื่น ลงในชุดไพ่ของเธอ

 

จากนั้นก็ก้มมองลงไปในชุดไพ่ตัวเองและหยิบ ‘2ตง’ ขึ้นมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

“2ตง”

 

เสียงของกู่ฉิงซานกังวานในหูเธอ “ผมเข้าใจถึงสถานการณ์แล้ว ไว้ผมจะกลับมาอีกครั้งในภายหลัง”

 

บังเกิดสายลมวูบพัดผ่านไปเล็กน้อย

 

จิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซานถูกถอนออกจากที่นั่น

 

บนโต๊ะไพ่นกกระจอก หญิงสูงศักดิ์ที่อยู่ถัดไปจากจักรพรรดินีที่กำลังจะลงไพ่ ถึงกับหยุดชะงักอีกครั้ง

 

“เก็บ! เหตุใดพระองค์จึงใจดีหยิบยื่นไพ่ดีๆให้แก่กระหม่อมถึงเพียงนี้” หญิงสูงศักดิ์หัวเราะและเก็บไพ่ด้วยรอยยิ้ม

 

ผู้เล่นที่นั่งอยู่ถัดจักจักรพรรดินีเอาแต่เก็บไพ่อย่างต่อเนื่อง จนอีกสองคนที่เล่นด้วยไม่มีโอกาสที่จะได้วางชุดไพ่ของพวกเธอลงเลย

 

จักรพรรดินีจั่วไพ่ขึ้นมา และจ้องมองมันด้วยความประหลาดใจ

 

“น็อค คู่7”

 

แล้วเธอก็หงายชุดไพ่ทั้งหมดตรงหน้าลง

 

ภายในห้องหมากรุก หลายคนทำการสลับตำแหน่งกันและเริ่มเล่นเกมใหม่อีกรอบ (เหมือนว่าจบตาจะต้องเปลี่ยนทิศ(ตำแหน่ง) กันนะครับ)

 

เมื่อหงายชุดไพ่ลง จักรพรรดินีก็ถอนหายใจพร้อมเอ่ยออกมาในทันใด “ข้าคงต้องบอกว่าเจ้าหนูตัวน้อยนั่นมีสายตาที่ไม่เลวเลยทีเดียว”

 

อีกสามคนที่พึ่งสลับตำแหน่งและหย่อนก้นลงพอได้ฟัง ก็รู้สึกสับสน แต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกไป

 

…….

 

กู่ฉิงซานเปิดประตูห้องน้ำ ล้างมือ ล้างหน้า แล้วเดินออกจากห้องน้ำชายไป

 

เขายังคงมองหามุมเล็กๆสงบๆ และเอ่ยขอสุราฤทธิ์แรงกับแก้วเปล่าสักใบ

 

ต่อด้วยเติมเองจนแทบล้น และดื่มเอง

 

กู่ฉิงซานค่อยๆดื่มเหล้าอย่างช้าๆ ขณะที่รอยยิ้มยังคงแขวนอยู่บนใบหน้า สายตาสาดส่องเหล่าบุคคลที่มีชื่อเสียงใหญ่โตที่มาร่วมงานวันนี้

 

เขาต้องใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะใช้จิตทัสผัสเทวะสำรวจได้ทั่วพระราชวังเพื่อดูว่ามันมีอะไรผิดปกติ

 

ในตอนนั้นอุปกรณ์สื่อสารก็พลันดังขึ้น

 

เป็นเหลียวฮังที่โทรมา

 

“ว่าไง มีอะไรรึเปล่า?” กู่ฉิงซานกระซิบถาม

 

“ไม่มีอะไรมากหรอก แต่ตอนนี้ฉันแค่ต้องการจะดึงข้อมูลจากห้องปฏิบัติการของตาแก่ถังน่ะ แต่ข้อมูลการทดลองทั้งหมดของเขาถูกล็อคไปซะแล้ว”

 

“แล้วฉันต้องทำอะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“มีเพียงเทพธิดากงเจิ้งเท่านั้นที่สามารถกู้คืนข้อมูลการทดลองที่เกี่ยวข้องได้ แต่เรื่องนี้นับว่าเป็นการละเมิดกฏหมายของรัฐบาลกลาง ฉันไม่มีสิทธิพิเศษ ดังนั้นเทพธิดาเลยไม่ตอบรับคำขอของฉัน”

 

“อนุญาตให้สิทธิ์เขาครั้งหนึ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“รับทราบแล้วใต้เท้า” เทพธิดาตอบรับ

 

“ฉันติดหนี้แกแล้ว” เหลียวฮังกล่าว และรีบวางสายไป

 

กู่ฉิงซานรินเหล้าให้ตัวเองแก้ว

 

ในโลกใบนี้ ไม่ว่าใครก็ตาม หากคิดจะกำจัดชายที่แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิแห่งฟูซี ย่อมไม่มีทางกระทำการอย่างเงียบเชียบได้

 

อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิฟูซีในเวลานี้กลับยังคงแลดูสงบ ปราศจากซึ่งวี่แววของคลื่นใดๆมากระทบรบกวน

 

ในขณะนี้ ชีวิตของจักรพรรดินีกำลังตกอยู่ในอันตราย

 

และตลอดทั้งสาธารณรัฐฟูซี ผู้ที่สามารถทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์นั้นได้ มีเพียงองค์จักพรรดิเท่านั้น!

 

แม้จะเป็นเวลานานแล้ว ที่องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีกับจักรพรรดินีจะสมรสกันในทางการเมือง แต่ทว่าทั้งสองก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี

 

แม้แต่ในชีวิตก่อนหน้า กระทั่งปีสุดท้ายของวันสิ้นโลกได้มาถึง ทั้งสองคนก็ไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งใดๆกัน

 

มันก็จริงดั่งที่บางคนได้บอกเอาไว้ว่า องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีน่ะมีความทะเยอทะยานที่สูงล้ำ ทว่าจักรพรรดินีของเขากลับเพียงแค่ต้องการซึ่งความมั่นคงและเสถียรภาพ

 

และเมื่อประเทศตนเกิดเสถียรภาพ เธอก็จะสามารถหาวิธีช่วยเหลือแอนต่อสู้กับจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้

 

แม้องค์จักรพรรดิและจักรพรรดินีจะมีแรงดลใจที่แตกต่างกัน แต่บางครั้งทั้งสองก็ประนีประนอมกัน

 

ในชีวิตก่อนหน้า ช่วงวันสิ้นโลก ภัยพิบัติได้ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากที่ทุกประเทศสามารถเข้าเล่นเกมหมื่นสวรรค์ได้ ทุกคนก็วุ่นอยู่แต่กับการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตนเอง

 

กระทั่งองค์จักรพรรดิฟูซียังค้นพบว่าตนเองไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย ยามอยู่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

 

และก็เป็นดั่งเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ องค์จักรพรรดิเริ่มเสาะแสวงหาความแข็งแกร่งแด่ตนเองอย่างบ้าคลั่ง

 

เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากฝึกฝนจนขอบเขตวรยุทธสูงส่งขึ้น มันไม่เพียงแค่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่ง แต่ยังจะช่วยยืดอายุขัยให้ยืนยาวขึ้นอีกด้วย

 

ยามเมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิด อายุขัยของผู้ฝึกยุทธจะเพิ่มพูนขึ้นถึง 1000 ปี!

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่แสนวิเศษเช่นนี้ องค์จักรพรรดิที่แสนทะเยอทะยาน ก็ลืมเลือนแผนการอย่างการแผ่ขยายอาณาเขตของตนไปจนหมดสิ้น

 

และนั่นส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจักรพรรดินียังคงเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีบาดหมางต่อกัน

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงชีวิตนี้ เกมหมื่นสวรรค์ยังไม่ได้เปิดตัว

 

จึงย่อมเป็นธรรมดาที่องค์จักรพรรดิยังมิได้ถูกเบี่ยงเบนความคิด หรือเปลี่ยนความสนใจของเขา

 

ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 

-ภัยพิบัติสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นในวันสิ้นโลก คือภัยพิบัติเยือกแข็ง

 

หากมันเป็นภัยพิบัติเยือกแข็งจริงๆ การที่องค์จักรพรรดิหมายจะลงมือกระทำบางสิ่งบางก็น่าจะสมเหตุสมผล

 

เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ ต้นกำเนิดของภัยพิบัติเยือกแข็งที่เกิดขึ้นนั้น มีหนึ่งแห่งตั้งอยู่ในอาณาเขตของสาธารณรัฐฟูซี

 

เมื่อภัยพิบัติอันไม่อาจต้านทานได้มาถึง ในชีวิตก่อนหน้า องค์จักรพรรดิฟูซีจึงเลือกยืนอยู่เคียงข้างมนุษยชาติ

 

กู่ฉิงซานเทเหล้า แล้วกระดกมันขึ้นดื่ม

 

ในหัวใจของเขาวูบไหวอย่างกระทันหัน

 

ทั้งหมดนี้ อาจจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิดก็เป็นได้

 

ภายนอกองค์จักรพรรดิอาจจะยืนอยู่เคียงข้างเดียวกันกับฝั่งมนุษยชาติ แต่ใครจะรู้ ลึกๆภายในเขาอาจจะกำลังคิดหมายบางสิ่งอยู่ก็เป็นได้ ตัวอย่างก็เช่น …

 

ในช่วงวันท้ายๆของชีวิตก่อนหน้า โลกค่อยๆถูกทำลายลงอย่างช้าๆ มนุษย์ทยอยกันตกตายลงคนแล้วคนเล่า

 

หลายคนที่แม้จะยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ก็ได้หมดสิ้นแล้วซึ่งสิ่งที่เรียกกันว่า ‘ความหวัง’ หรือ ‘กำลังใจ’

 

ส่งผลให้บางคนยินยอม ‘ขายวิญญาณ’ ตนเองให้แด่ภัยพิบัติ

 

ถ้าหากภัยพิบัติเยือกแข็งปะทุขึ้นแล้ว แต่องค์จักรพรรดิฟูซียังเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ทุกคนคงพอจะเดาออกใช่ไหมว่าเขาจะเลือกอะไร?

 

ภัยพิบัติที่แม้กระทั่งเก้าตระกูลใหญ่ก็ยังมิอาจต่อกรกับมันได้

 

แล้วถ้าหากสามารถใช้ภัยพิบัตินี้ สังหารเก้าตระกูลใหญ่ลงได้ ฝ่าบาทจะพิจารณาถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร?

 

กู่ฉิงซานเบนสายตาไปยังฟลอร์เต้นรำเพื่อมองหาองค์จักรพรรดิ

 

พระองค์กำลังเต้นรำโดยมีหญิงงามถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขน

 

ใบหน้าของหญิงสูงศักดิ์แดงซ่าน เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกของการถูกสวมกอดภายใต้อ้อมแขนขององค์จักรพรรดิท่ามกลางบทเพลงและแสงสีในงานเต้นรำ

 

แต่แล้วกู่ฉิงซานก็พลันสังเกตเห็นว่า ในวันนี้ … องค์จักรพรรดิมิได้สวมใส่มงกุฏ!

 

กู่ฉิงซานบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในจิตใจของเขา

 

เขามัวแต่คิดถึงเรื่องขององค์จักรพรรดิไม่หยุดหย่อน จนหลงลืมไปแล้วว่าแท้จริงตนมาเพราะเรื่องของมงกุฏที่ว่านั่นด้วย!

 

ไม่ว่ายังไงก็ตาม เวลานี้เขาจะต้องได้รับเลือดของตะวันและจันทรามาให้จงได้

 

กู่ฉิงซานยกเหล้าขึ้นจิบ และเสร็จสิ้นการตรวจสอบโดยจิตสัมผัสเทวะ

 

ในจิตสัมผัสเทวะของเขา ตลอดทั่วทั้งวังนี้ไม่ได้มีอะไรผิดปกติอย่างแท้จริง

 

ที่ผิดปกตินิดหน่อยก็น่าจะเป็นจำนวนของรัญมนตรีแห่งฟูซี ที่ดูเหมือนว่าจะมีมากเกินไป

 

หากองค์จักรพรรดิมาใช้วันหยุดของเขาในวัง และนำผู้ช่วยบางคนมาเพื่อจัดการช่วยเหลือกับปัญหาทางการเมืองมันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก แต่ ..

 

แต่คราวนี้ เกือบครึ่งในงานล้วนเป็นรัฐมนตรี

 

กู่ฉิงซานส่ายหัว

 

ณ ช่วงเวลานั้นเอง นายทหารที่ตัวสูง หล่อเหลาก็เดินเข้ามาหาเขา

 

“สวัสดี” นายทหารกล่าว

 

“สวัสดี มีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้?”

 

“คุณคือ กู่ฉิงซานใช่ไหม? ผู้เชี่ยวชาญด้านเกราะรบขับเคลื่อนแห่งรัฐบาลกลาง?”

 

“ใช่แล้วล่ะ นั่นผมเอง”

 

“เจ้าหญิงยังเยาว์วัยนัก ขณะเต้นรำเธอเลยทำกริยาไม่เหมาะสมกับคุณ ดังนั้นฉันจึงมาขอโทษแทนเธอ”

 

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเธอก็เต้นได้ดีไม่เลวล่ะนะ คุณเองก็ … คงกำลังตกอยู่ในห้วงความรักล่ะสิใช่ไหม?”

 

“ใช่”

 

“ผมขอให้คุณมีความสุขนะ”

 

ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็ยกมือขึ้นเรียกบริกร หยิบแก้วมา และใส่น้ำแข็งลงไป

 

เขารินเหล้าไว้ตนเองแก้วหนึ่ง ส่วนอีกแก้วยื่นให้อีกฝ่าย

 

“อา ขอบใจนะ”

 

นายทหารหนุ่มรับแก้วมา และเริ่มจับจ้องสังเกตตัวกู่ฉิงซาน

 

ดวงตาของกู่ฉิงซานช่างกระจ่างชัด ทัศนคติของเขาดูเป็นคนใจกว้างและตรงไปตรงมา

 

เมื่อจับสังเกตอีกเล็กๆน้อยๆ ความประทับใจที่มีต่อกู่ฉิงซานก็เพิ่มขึ้นหลายส่วน

 

พวกเขาชนแก้วกันและยกขึ้นดื่ม

 

นายทหารหนุ่มตั้งใจที่จะทำความรู้จักและเป็นสหายกับกู่ฉิงซาน แถมในชีวิตก่อนหน้าของกู่ฉิงซานเขาก็อยู่ในจักรพรรดิฟูซีมานานมาก ดังนั้นจึงไม่มีอุปสรรคใดๆในการสนทนาระหว่างทั้งสอง ไม่นานนักพวกเขาก็คุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว กระทั่งสรรพนามที่ใช้เรียกขานกันก็เปลี่ยนไป

 

“เจ้าหญิงเธอขอให้ฉันเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉากต่อสู้กับนาย แล้วท้าพนันต่อหน้าทุกคน”

 

นายทหารกล่าวอย่างหมดหนทาง

 

กู่ฉิงซานจึงเอ่ยทันที “ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์นะ ไม่ใช่พวกมืออาชีพ”

 

อย่างไรก็ตาม นายทหารกลับกล่าวสวนมาฉับพลัน “ก็นั่นน่ะสิ ฉันน่ะเป็นมืออาชีพนะ ถ้าจู่ๆมาท้าทายฝ่ายบุ๋นที่เน้นใช้สมอง คนอื่นๆคงจะหัวเราะฉันแย่” นายทหารกล่าว

 

“แล้วที่นายต้องการจะสื่อก็คือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“แน่นอนว่าจะไม่สู้ ต่อให้เจ้าหญิงจะตำหนิฉันก็ตามที … ฉันไม่สามารถรังแกคนดังอย่างนายได้หรอก” นายทหารกล่าว

 

“ฉันล่ะชื่นชมการตัดสินใจของนายจริงๆ ที่ไม่ได้ใช้พลังเพื่อข่มคนที่อ่อนแอกว่า” กู่ฉิงซานกล่าวสรรเสริญ

“นายก็ชมกันเกินไป”

 

นายทหารหนุ่มฝ่ายตรงข้ามเริ่มเขิน

 

กู่ฉิงซานกลับเข้าเรื่อง “ขอถามหน่อยจะได้ไหม ว่านายทำอาชีพอะไร?”

 

นายทหารหนุ่มยืดอกขึ้นและกล่าว “ฉันทำงานเป็นองครักษ์”

 

กู่ฉิงซาน “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

 

ในฟูซี มีเพียงลูกหลานขุนนางที่ซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์เท่านั้นที่จะสามารถรับตำแหน่งองครักษ์แห่งวังหลวงได้

 

องครักษ์ในวังนับว่าเป็นเกียรติยศและแสดงถึงสถานะ เป็นหน้าเป็นตาแก่องค์จักรพรรดิ

 

เนื่องเพราะภูมิหลังอันโดดเด่นของนายทหารหนุ่มผู้นี้นี่เอง เขาจึงได้รับการยินยอมให้มีส่วนร่วมในงานรื่นเริงและมีโอกาสเข้าหาเจ้าหญิง

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “งานคุ้มกันตัวตนที่ทรงพลังดังเช่นฝ่าบาท ในแต่ละวันมันคงจะสะดวกสบายมากเลยล่ะสิ”

 

นายทหารหนุ่ม “ พวกเราต้องออกเคลื่อนไหวอยู่บ่อยครั้ง และยืนอยู่รอบๆกายฝ่าบาทเพื่อทำหน้าที่คุ้มกัน แต่ก็นั่นล่ะนะ … มันก็สบายอย่างที่นายว่าจริงๆ”

 

พอเอ่ยถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานกับนายทหารหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกัน

 

กษัตริย์แห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์เป็นพวกที่ชอบเสวยสุข ดื่มด่ำมึนเมา ส่วนประธานาธิบดีของรัฐบาลกลางก็เป็นคนได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน ทั้งสองจึงนับว่ามิใช่ตัวตนอันแข็งแกร่งทำใดนัก

 

มีเพียงจักรพรรดิแห่งฟูซีเท่านั้น ที่เป็นมืออาชีพ เป็นตัวตนอันแข็งแกร่ง และทรงพลังอย่างแท้จริง

 

และมืออาชีพส่วนใหญ่จากทั่วทั้งโลก ล้วนต้องยอมสยบต่อเขา

 

แล้วตัวตนที่ทรงพลังถึงขนาดนี้ เหตุใดจึงจำเป็นจะต้องให้ความคุ้มครองอีกเล่า?

 

กู่ฉิงซานรินเหล้าให้อีกฝ่าย

 

“แก้วนี้เพื่อแสดงความนับถือแด่ฝ่าบาทของนาย” เขากล่าว

 

“แสดงความนับถือแด่ฝ่าบาท” นายทหารกล่าว

 

พวกเขายกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง

 

มันเป็นเหล้าที่มีฤทธิ์แรงมาก ทว่าแม้กู่ฉิงซานจะดื่มมันมาสักพักแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีปฏิกริยาใดๆ

 

ส่วนนายทหารหนุ่มหลังจัดไปหลายแก้ว ใบหน้าของเขาก็เริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงนิดๆ ดูท่าจะเมาหน่อยๆแล้ว

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.311 – การสื่อสารจากระยะไกล

 

ณ สหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง

 

ภายในวิลล่าบนภูเขา

 

ทั้งซางหยิงฮ่าวและกู่ฉิงซานมิได้อยู่ที่นี่

 

เย่เฟย์หยูเดินออกมาจากห้องของเขา และพบกับเหลียวฮังกำลังทิ้งตัวเอนกายอยู่บนโซฟา

 

อีกฝ่ายกำลังดื่มขณะดูทีวีไปด้วย

 

ในทีวี เป็นข่าวเกี่ยวกับการเลือกตั้งของรัฐบาลกลาง และพิธีกรที่กำลังสัมภาษณ์สองผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่

 

“ตำแหน่งประธานาธิบดีกำลังจะถึงวาระในไม่ช้า คุณมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่?” คนที่เป็นพิธีกรเอ่ยถาม

 

“ผมจะพยายาม เพราะผมต้องการจะยืนหยัดขึ้นและทำเพื่อผู้คนให้มากยิ่งกว่าที่เคย” ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตอบด้วยรอยยิ้ม

 

เย่เฟย์หยูเดินลงไปนั่งข้างๆเหลียวฮัง

 

“อะไรกัน? นี่คุณไม่ดูละครที่พึ่งฉายไปเมื่อเร็วๆนี้แล้วหรอ” เขาเอ่ยถาม

 

“ไม่มีอารมณ์น่ะ” เหลียวฮังกล่าวพลางยกไวน์ขึ้นมาจิบ

 

แล้วในตอนนั้นเอง สายตาของเย่เฟย์หยูก็สังเกตเห็นหนังสือในมือของเหลียวฮัง

 

“ทฤษฏีพันธุศาสตร์?” เย่เฟย์หยูอ่านมันและเผลอพูดออกมา

 

“ใช่ มันคืองานเขียนของเพื่อนเก่าฉันเอง  บอกตามตรงเลยนะ เขาน่ะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ไม่เป็นสองรองใคร และไม่มีใครสามารถเทียบชั้นกับเขาได้” เหลียวฮังเอ่ยยกย่อง

 

เย่เฟย์หยูมองท่าทีหดหู่ที่อีกฝ่ายแสดงออกมาและกล่าว “พวกคุณคงจะสนิทกันมาก”

 

“ก็ใช่น่ะสิ ตอนที่ฉันถูกไล่ล่าโดยคนจากเก้าตระกูลใหญ่ ในช่วงเวลาที่ฉันหลงทางและหมดหวัง ก็เป็นตาแก่ถังนี่แหละที่ช่วยฉันไว้”

 

“ผมได้ยินมาจากฉิงซานว่าคุณใช้โคลนสร้างร่างโคลนใช้มันเป็นตัวตายตัวแทน จากนั้นก็หลบหนีไป คุณกับเพื่อนมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่” เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

แปะๆ .. เหลียวฮังตบลงเบาๆบนหนังสือทฤษฏีพันธุศาสตร์

 

“อ๊ะ เข้าใจแล้ว ที่แท้คุณก็อนุญาตให้เขาใช้เซลล์ของตัวเองทำการศึกษาการโคลนนี่เอง!” เย่เฟย์หยูโพล่งออกมาด้วยความตกใจ

 

ก่อนจะเริ่มเอ่ยต่อด้วยความสนใจ “แต่ผมได้รู้มาว่าอัตราความสำเร็จในการโคลนมนุษย์น่ะต่ำมาก และต่อให้สำเร็จ มันก็จะมีโรคมากมายแทรกซ้อน ไม่ก็พิการตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นในหลายๆประเทศจึงห้ามทำการวิจัยเรื่องที่ว่านั่น แล้วเขาไปหาวิธีมาจนทำได้สำเร็จได้ยังไงกัน”

 

“การโคลนรูปลักษณ์น่ะมันนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายที่สุด” เหลียวฮังกล่าว “แต่มันจะเป็นเรื่องยากหากคิดจะโคลนความแข็งแกร่งทางกายภาพ , สติปัญญา และยากที่สุดคือหน่วยความทรงจำ ไม่มีใครเคยแหกทฤษฏีที่ว่านี้ได้เลยนอกจากตาแก่ถัง”

 

หากสามารถโคลนมนุษย์ โดยที่ยังมีความทรงจำจากเจ้าของเดิมอยู่ นั่นจึงนับว่าเป็นการโคลนที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

 

หากไม่มีความทรงจำ โคลนได้แค่เพียงรูปลักษณ์ทางสรีรวิทยา ต่อให้เหมือนกันเป๊ะๆ แต่สุดท้ายก็ยังนับว่าเป็นคนอื่นอยู่ดี

 

“แล้วอวัยวะล่ะ? อวัยวะมันไม่น่าจะโคลนกันได้ง่ายๆนี่? ถึงแม้ว่าในส่วนนี้จะไม่ได้เป็นสิ่งต้องห้ามทางการแพทย์ในปัจจุบันก็เถอะ” เย่เฟย์หยูกล่าว

 

“สำหรับเรื่องอวัยวะแน่นอนว่าย่อมง่ายดาย ตาแก่ถังน่ะเป็นถึงผู้นำเกี่ยวกับด้านชีววิทยาและการแพทย์เชียวนะ” เหลียวฮังอธิบาย

 

“เห .. ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนที่เก่งด้านการแพทย์ขนาดนั้นจะมาตายเพราะโรคกำเริบเสียนี่” เย่เฟย์หยูกล่าวด้วยอารมณ์อันหลากหลาย

 

เพล้ง!

 

ขวดไวน์ร่วงตกลงบนพื้น

 

เหลียวฮังผุดลุกขึ้น สีหน้าท่าทีของเขาหม่นทะมึนแลดูน่าหวาดกลัว

 

ใช่แล้ว! คนอย่างตาแก่ถังจะตายลงโง่ๆด้วยโรคหัวใจวายได้ยังไง!

 

เหลียวฮังหยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลขึ้นมา เร่งเอ่ยปากกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง”

 

ทว่าบนสมองควอนตั้มกลับไร้ซึ่งเสียงตอบสนอง

 

“เทพธิดากงเจิ้ง นี่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆนะ ฉันขอสาบานด้วยเกียรติแห่งนักวิทยาศาสตร์ของตัวเอง”

 

บนสมองควอนตัมส่องสว่างขึ้น

 

“มิสเตอร์เหลียว เชิญกล่าว” ในที่สุดเทพธิดาก็ตอบรับเขา

 

“ฉันต้องการที่จะตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดที่ดร.ถัง ทิ้งเอาไว้ รบกวนช่วยฉันด้วย” เหลียวฮังกล่าว

 

“ดร.ถังได้เสียชีวิตลงแล้ว ดังนั้นไฟล์ที่ว่ามาจึงถูกล็อค และปฏิเสธการเข้าถึงทั้งหมด” เทพธิดาตอบ

 

“แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมนะ! คุณต้องช่วยฉัน!” เหลียวฮังเริ่มร้อนรน

 

“ต้องขออภัยด้วย ไฟล์นี้ถูกล็อคโดยหน่วยข่าวกรองแห่งรัฐบาลกลาง และลำดับอำนาจพลเมืองของมิสเตอร์เหลียวก็ไม่เพียงพอที่จะทำการปลดล็อคไฟล์ที่ว่านั่น ” เทพธิดากล่าว

 

เหลียวฮังตะคอกสวน “เขาถูกฆ่าตายนะ แล้วทำไมแกถึงยังไงแกล้งทำเป็นตาบอดอยู่อีก!”

 

เทพธิดากงเจิ้ง “มิสเตอร์เหลียว ฉันจะตอบคุณเพียงแค่สามข้อเท่านั้น หลังจากนี้ ที่เหลือคุณคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว”

 

“ก่อนอื่นเลยข้อแรก มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ”

 

“ข้อสอง ฉันไม่ใช่พระเจ้าที่จะสามารถรอบรู้เรื่องราวทั้งหมด และภายใต้สถานการณ์ปกติฉันจำต้องปฏิบัติตามกฏหมายของรัฐบาลกลาง”

 

“ข้อสุดท้าย มิสเตอร์เหลียว โปรดทราบด้วยว่าอำนาจพลเมือง ‘แค่เฉพาะของคุณ’ ที่ไม่เพียงพอที่จะทำการปลดล็อคไฟล์ที่เกี่ยวข้อง”

 

เหลียวฮังหุบปากลงในทันใด

 

เขาค่อยๆพยายามเรียกสติกลับคืนมาอย่างช้าๆ จากนั้นก็โทรออกผ่านอุปกรณ์สื่อสารอย่างเงียบๆ

 

ไม่นานนัก เสียงของกู่ฉิงซานก็ดังขึ้น

 

“ว่าไง มีอะไรรึเปล่า?” เขากระซิบถาม

 

แม้จะเล็กน้อย แต่ก็สามารถได้ยินเสียงดนตรีงานเต้นรำลอดผ่านมาจากทางฝั่งกู่ฉิงซาน

 

“ฉันต้องการให้แกช่วย” เหลียวฮังกล่าว

 

“ช่วยหรอ? จะให้ฉันทำอะไรล่ะ?”

 

“เรื่องถังจุนที่ตายไปน่ะ แต่พอดีว่าฉันไม่มีอำนาจมากพอที่จะได้รับอนุญาตให้อ่านไฟล์ทั้งหมดของเขา – เขาเปรียบดั่งพี่น้องแท้ๆของฉัน และฉันต้องการที่จะตามล่าตัวฆาตกรตัวจริง แล้วแก้แค้นแทนเขาให้จงได้!”

 

“เทพธิดากงเจิ้งฉันอนุญาตให้เหลียวฮังสามารถอ่านไฟล์ข้อมูลทั้งหมดของถังจุนได้”

 

“รับทราบแล้วใต้เท้า”

 

แล้วการเชื่อมต่อก็ถูกตัดขาดลง

 

เทพธิดากงเจิ้ง “มิสเตอร์เหลียว คุณสามารถเข้าถึงไฟล์ที่เกี่ยวข้องได้แล้ว เชิญตรวจสอบดูได้”

 

สองมือของเหลียวฮังพรมลงอย่างรวดเร็วบนสมองควอนตัม เขากัดฟันกล่าว “ตาแก่ถัง ไม่ว่าคนที่ฆ่าแกมันจะเป็นใครก็ตาม ฉันจะต้องแก้แค้นให้แกอย่างแน่นอน”

 

ณ ฟูซี

 

โอเอซิสกลางทะเลทราย

 

ภายในพระราชวัง

 

องค์จักรพรรดิยังคงอยู่ในฟลอร์เต้นรำ

 

พระหัตถ์ของพระองค์ลื่นไหลเข้าไปในร่มผ้าอันงดงามของหญิงสูงศักดิ์ สัมผัสเข้ากับผิวกายของอีกฝ่าย

 

หญิงสูงศักดิ์เผยรอยยิ้มหวานแห่งความปลื้มปิติ เปล่งวาจาหยดย้อย “ฝ่าบาท … ”

 

องค์จักรพรรดิเอ่ยเสียงกระซิบ “เราจะไม่พูดถึงมัน ตกลงไหม?”

 

มือของเขายังคงเคลื่อนไหวไปตามจุดต่างๆ

 

หญิงสูงศักดิ์เริ่มหน้าแดง และผงกหัวรับอย่างเงียบๆ

 

งานเต้นรำยังคงดำเนินต่อไป

 

อีกด้านหนึ่ง

 

ภายในห้องหมากรุกอันเงียบสงบ

 

จิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซานได้กวาดมาถึงที่นี่

 

จักรพรรดินีกำลังเล่นไพ่นกกระจอกกับหญิงสูงศักดิ์อีกสามคน

 

“วันนี้พวกเราก็จะมาเล่นกันทั้งคืนอีกแล้วหรอเพคะ?” หญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งเอ่ยถาม

 

“แน่นอน คราวนี้ล่ะ ข้าจะต้องชนะเจ้าให้ได้” จักรพรรดินีกล่าวเสียงเย็น

 

“แต่หากท่านมิได้อยู่ข้างกายฝ่าบาทในยามค่ำคืน เขาจะไม่ตำหนิพวกเราหรอกหรือ?” หญิงสูงศักดิ์อีกคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง

 

“พระองค์เป็นคนเอ่ยปากสนับสนุนให้ข้ามาแก้แค้นพวกเจ้าด้วยตัวเองเลย มิต้องกังวลหรอก” จักรพรรดินีกล่าว

 

พอได้ฟัง ทั้งหมดจึงค่อยโล่งใจ

 

“เช่นนั้นก็คอยดูฝีมือกระหม่อมได้เลย” หญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งหัวเราะ

 

แล้วคนอื่นๆก็เริ่มจับไพ่ขึ้นมาเล่น

 

ในช่วงเวลานี้ พวกเธอทุกคนถูกกักตัวไว้ในพระราชวังโดยจักรพรรดินี เพื่อร่วมกันเล่นไพ่ แต่ทั้งหมดกลับไม่คิดพร่ำบ่นใดๆ ตรงกันข้าม กลับรู้สึกเป็นเกียรติแทน

 

กู่ฉิงซานสับสนไปชั่วครู่

 

อย่างนี้นี่เอง

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพวกสาวใช้ในวังถึงบอกว่าจักรพรรดินีพึ่งลุกจากเตียง เดิมทีแล้วทุกค่ำคืนเธอมาก็มานั่งเล่นไพ่อยู่ที่นี่นี่เอง

 

อาจเป็นเพราะเธอไม่ต้องการที่จะร่วมเตียงเดียวกันกับองค์จักรพรรดิที่บัดนี้ราวกับเป็นคนแปลกหน้า จึงลากหญิงสูงศักดิ์สองสามคนมาร่วมเล่นไพ่ด้วยแทน

 

ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติจริงๆ

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงผ่านชั้นอากาศไปยังจักรพรรดินี

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมเอง กู่ฉิงซาน”

 

เสียงกังวานดังขึ้น ร่างของจักรพรรดินีดีดผึง เหยียดตรงด้วยความตื่นตระหนก

 

แต่เธอก็ถือโอกาสนั้นลุกขึ้นยืนและถอดเสื้อคลุมของตนเอง เพื่อความเนียน

 

“ข้ารู้สึกร้อนนิดหน่อยน่ะ คงต้องขอเปลี่ยนไปสวมเสื้อที่บางกว่านี้” จักรพรรดินีโบกมือไปยังเบื้องหลังและกล่าว

 

สาวใช้ในวังเดินตรงมาข้างหน้า รับเอาเสื้อคลุมไป พร้อมกับนำตัวใหม่มาให้เธออย่างรวดเร็ว

 

จักรพรรดินีสวมเสื้อคลุมตัวใหม่อย่างช้าๆ

 

เมื่อถึงเวลานี้ เธอก็นั่งลงอีกครั้ง ห้วงอารมณ์และสติกลับคืนสู่ความสงบ

 

ท่าทีของจักรพรรดินีดูสงบราวกับทุกอย่างเป็นปกติ เธอเอื้อมมือออกไปและจั่วไพ่นกกระจอก

 

*(เรื่องไพ่นกกระจอกนี่ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนะครับ ใครรู้พิมทิ้งไว้ได้เลย)

 

“ตั้งใจฟังให้ดีนะครับ ผมจะไปพบท่านในคืนนี้” กู่ฉิงซานเริ่มกล่าวต่อ

 

จักรพรรดินีแม้จะยังคงมึนงง แต่เธอก็ไม่แสดงท่าทีตระหนักถึงมัน “สาม!”

 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ผมขอเสนอความคิดเห็นว่า ให้ท่านเชิญพวกเธอไปทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน จากนั้นระหว่างช่วงรับประทานก็หาข้ออ้างออกมา ไปยังสถานที่ลับตาคน แล้วพวกเราจะพูดถึงเรื่องราวต่างๆให้มันชัดเจนที่นั่น”

 

จักรพรรดินีตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ รักษาอารมณ์ให้สงบ

 

เมื่อถึงตาของเธอ เธอก็ยื่นมือไปจั่วไพ่ และหงายไพ่ที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าลงอีกครั้ง

 

จักรพรรดินีรูดนิ้วเรียวงามไปตามไพ่ที่หงายลงและกล่าว “ 8หมื่น”

 

แม้ว่าไพ่นี้จะสามารถใช้จับคู่ได้ แต่เธอก็ไม่ต้องการจะใช้มัน

 

เธอยื่นมือออกไป พร้อมกับเคาะลงบนมัน “8หมื่น”

 

“ถ้าหากท่านเห็นด้วย ผมอยากจะให้ท่านทิ้งเก้า” กู่ฉิงซานกล่าว

 

มือของจักรพรรดินีหยุดกึก

 

เธอวางไพ่บนมือของตัวเองลง และยกถ้วยชาขึ้นมาจิบมันอย่างช้าๆ

 

และเนื่องเพราะเธอเป็นถึงจักรพรรดินี หญิงสูงศักดิ์ทั้งหลายจึงไม่กล้าที่จะกระตุ้นเร่งเร้าเธอ

 

สองตาของจักรพรรดินีหรี่แคบลงติดตรึงมันอยู่กับไพ่ “80000” ของตัวเอง ก่อนจะดึงไพ่อีกใบขึ้นมา

 

“เก้า” เธอกล่าวคู่ดวงตาอันงดงามทรงเสน่ห์ของจักรพรรดินีติดตรึงอยู่กับ ไพ่8หมื่น ก่อนที่เธอจะเริ่มจั่วไพ่ขึ้นมาอีกใบ

 

“ทิ้งเก้า” กล่าวพร้อมกับวางไพ่ลง

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.310 – จุมพิตทักทาย

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตามององค์จักรพรรดินี ในหัวใจของเขาบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้น

 

การที่องค์จักรพรรดินีมาออกงานเลี้ยงด้วยรอยคล้ำใต้ตาทั้งสองข้างนี่ … มันค่อนข้างที่จะแปลกๆนะ

 

ที่สำคัญ เธอเป็นถึงมืออาชีพ นั่นหมายความว่าสภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เธอแทบจะไม่ได้นอนมาหลายวัน จนร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าคนปกติทั่วไปมิอาจรับไหวได้อีกต่อไป

 

หรือว่าเธอไม่ได้หลับเลย?

 

กู่ฉิงซานเผลอเพิ่มความระมัดระวังโดยไม่รู้ตัว

 

ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆ

 

ทว่าเขาเพียงคิด จักรพรรดินีก็เดินตัดหน้าเขาไปเสียก่อน

 

เธอเดินขึ้นไปจับพระหัตถ์ขององค์จักรพรรดิอย่างใกล้ชิด เผยรอยยิ้มงดงามให้แก่เขา ก่อนจะหันกลับมามองกู่ฉิงซาน

 

“ครั้งก่อนที่ข้าไปเยือนรัฐบาลกลาง ฝ่าบาทได้เชื้อเชิญเจ้ามา แต่ข้าก็ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาจริงๆ ฉะนั้น ข้าจึงไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรเลย หวังว่ากู่น้อยคงจะไม่เก็บมาใส่ใจ” องค์จักรพรรดินีกล่าว

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง เขาก็ผุดยิ้มขึ้นมาทันที และตอบรับอย่างรวดเร็ว “ผมไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจเลย แล้วอีกอย่าง ผมก็ชื่นชมฝ่าบาทเหมือนดั่งวีรบุรุษ ดังนั้นขอแค่เพียงเอ่ยปาก ผมย่อมต้องตอบรับ และแวะมาเยี่ยมเยือนอย่างแน่นอน”

 

บนใบหน้าขององค์จักรพรรดินีเผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง บ่งบอกว่าเธอกำลังเพ่งสมาธิเพื่อฟังและกลั่นกรองทุกคำพูดของเขาอย่างตั้งใจ

 

กู่ฉิงซานยกแก้วขึ้นอีกครั้งและกล่าว “ผมขออวยพรแด่ฝ่าบาทให้ทรงพระชนมายุยิ่งยืนนาน และอวยพรแด่องค์จักรพรรดินีให้งดงามดั่งบุปผาสะพรั่งตลอดไป”

 

องค์จักรพรรดิหัวเราะและกล่าว “ผู้ใดกันจะไปสามารถมีอายุยืนยาวได้อย่างแท้จริง แต่ประโยคนี้ของเจ้า ข้าชอบใจนักที่ได้ฟัง!”

 

เขารับแก้วไวน์มาจากมือภริยาตน แล้วยกกระดกมันจนหมดในครั้งเดียว

 

ส่วนจักรพรรดินี ก็ชูแก้วขึ้นรับคำอวยพร และยกมันขึ้นจิบเบาๆ

 

แก้วไวน์ที่ว่างเปล่าถูกส่งกลับคืนให้แก่องค์จักรพรรดินี จากนั้นองค์จักรพรรดิก็เอ่ยต่อว่า “ในวันนี้ เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์กู่น้อยได้มาเยือน ทำไมเจ้าไม่ลองลงไปเต้นรำกับเขาดูหน่อยเล่า?”

 

องค์จักรพรรดินีไม่ได้หันไปมองกู่ฉิงซาน แต่สายตาของเธอกลับจับจ้องสวามีของตน แล้วกล่าวปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่อยากจะเต้นรำในวันนี้”

 

“เช่นนั้น สิ่งใดเล่าที่เจ้าต้องการจะทำ?”

 

จักรพรรดินีพูดกับองค์จักรพรรดิและตรัสกับผู้คนที่อยู่รอบกายเขาว่า “ข้าอยากจะเล่นไพ่”

 

“เล่นไพ่อีกแล้ว? เจ้าก็เอาแต่เล่นมันทั้งวันทั้งคืน ดูซีรอยคล้ำใต้ตาโผล่ออกมาแล้วนะ” องค์จักรพรรดิเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

“เมื่อวานนี้ ข้าพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ แต่วันนี้จักต้องคว้าชัยชนะกลับมาให้ได้ ที่รัก ช่วยตามใจข้าหน่อยจะได้ไหม?” จักรพรรดินีร้องขอ

 

“งั้นก็มาถ่ายรูปกับนักวิทยาศาสตร์กู่ของเรากันก่อน จากนั้นเจ้าก็ไปเถอะ” องค์จักรพรรดิรับคำอย่างมีความสุข

 

เขาโบกมือทันที และเหล่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในด้านการเผยแพร่ข่าวก็ปรากฏตัวขึ้น

 

“มิสเตอร์กู่ โปรดเข้าไปยืนใกล้ๆฝ่าบาทด้วย” เจ้าหน้าที่ข่าวคนหนึ่งกล่าว

 

องค์จักรพรรดิยื่นมือออกไป

 

กู่ฉิงซานจึงไม่มีทางเลือกนอกจากคว้าจับมือของเขา

 

จักรพรรดินียืนเคียงข้างๆองค์จักรพรรดิ

 

ทั้งสามยืนอยู่เบื้องหน้าเจ้าหน้าที่ข่าวเพื่อรอถ่ายภาพ

 

“สาม-สอง-หนึ่ง ฝ่าบาททรงอายุมั่นขวัญยืน!”

 

แชะ!

 

แล้วภาพข่าวทางการทูตที่สมบูรณ์แบบก็ถือกำเนิดขึ้น

 

“ในเมื่อจบเรื่องแล้ว ข้าขอตัวไปเล่นไพ่ก่อนนะ”

 

จักรพรรดินีกล่าว และรีบจากไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมองดูกู่ฉิงซาน

 

องค์จักรพรรดิหันไปกล่าวกับเจ้าหน้าที่ข่าวและกล่าว “รับกระจายข่าวไปเลยนะ เข้าใจไหม”

 

“ฝ่าบาท? แล้วเรื่องหัวข้อเล่า เอาเป็นอย่างไรดี?” เจ้าหน้าที่ข่าวเอ่ยทวนถาม

 

องค์จักรพรรดิขบคิดเกี่ยวกับมันอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ย “เอาเป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อการกุศลก็แล้วกัน – หลังจากทั้งหมดนี้ นักวิทยาศาสตร์กู่น้อยได้มีส่วนร่วมในการบริจาคเงินเพื่อสร้างโรงเรียนให้กับพื้นที่บริเวณภูเขาอันห่างไกลในแถบชายแดนของพวกเรา”

 

‘ลงมือแพร่กระจายข่าวได้รวดเร็วจริงๆ’ กู่ฉิงซานแอบพึมพำในใจ

 

“ส่วนตัวข้า เอาเป็นจัดตั้งกองทุนการศึกษาเพื่อการกุศลก็แล้วกัน” องค์จักรพรรดิหันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“พะยะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเข้าใจแล้ว” เจ้าหน้าที่ข่าวตอบรับ เขาโค้งกายคำนับและค่อยๆถอยฉากออกไป

 

ณ ขณะนี้ เสียงเพลงบรรเลงสำหรับงานเต้นรำได้เริ่มดังขึ้นแล้ว

 

องค์จักรพรรดิหันว่าพูดกับกู่ฉิงซาน “เจ้าไปเล่นได้ตามใจชอบเลย ข้าหวังว่านี่จะเป็นค่ำคืนที่วิเศษสำหรับเจ้านะ”

 

“พะยะค่ะฝ่าบาท” กู่ฉิงซานยิ้มรับ

 

เขาก้าวเดินลงบันไดแต่ละขั้นอย่างเชื่องช้า แสดงท่วงท่าให้ตนดูสง่างามยิ่งขึ้น จากนั้นก็เดินมาหยุดอยู่หน้าสาวงามคนหนึ่งแล้วโค้งกายเอ่ยเชิญเธออย่างสุภาพเพื่อขอเป็นคู่เต้นรำ

 

สาวงามเผยท่าทีค่อนข้างลำบากใจ และแอบหันไปมององค์จักรพรรดิ

 

อีกฝ่ายพยักหน้า

 

สาวงามจึงจำต้องยอมรับคำเชิญของกู่ฉิงซาน และก้าวเข้าสู่ฟลอร์เต้นรำไปพร้อมกับเขา

 

“ฉันทำแบบนี้เพราะแค่ไว้หน้าท่านพ่อหรอกนะ หลังจากการเต้นรำในครั้งนี้จบลง หวังว่าคุณคงจะรู้ด้วยตัวเอง ว่าไม่ควรที่จะมาเสนอหน้าให้ฉันรำคาญใจอีก” รอยยิ้มแขวนไว้บนใบหน้าของสาวงาม ทว่าวาจาที่เปล่งกลับรวดเร็วและช่างร้ายกาจ

 

ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เธอพูด พวกเขาเพียงแค่มองท่าทีการแสดงออกที่ดูเป็นทางการของเธอ และต่างพาลกันคิดไปว่านี่คือการแลกเปลี่ยนสนทนากันตามมารยาท

 

“โอเค” กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างมีความสุข ในใจคิดไปว่าในที่สุดก็มีคนที่คิดเหมือนกับเขาเสียที

 

เพลงเต้นรำเริ่มเข้าสู่ท่วงทำนองเป็นจังหวะ

 

งานเต้นรำได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

 

กู่ฉิงซานดึงมือเจ้าหญิง และก้าวเข้าไปในฟลอร์เต้นรำ

 

ขณะนี้ เขายืนยันได้สิ่งหนึ่งแล้ว

 

จักรพรรดินีเวโรน่าเป็นคนที่หลักแหลมมาก

 

เพียงประโยคเดียวของเธอ กลับสามารถเปิดเผยถึงความจริงต่อหน้ากู่ฉิงซาน จากนั้นเธอก็แยกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

 

“ครั้งก่อนที่ข้าไปเยือนรัฐบาลกลาง ฝ่าบาทได้เชื้อเชิญเจ้ามา แต่ข้าก็ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาจริงๆ ฉะนั้น ข้าจึงไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรเลย หวังว่ากู่น้อยคงจะไม่เก็บมาใส่ใจ”

 

แม้เธอจะพูดอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความหมายที่เธอจะสื่อออกมา มันไม่เหมือนกับที่พูดเลย

 

กู่ฉิงซานจดจำได้ว่าเป็นเธอเองนั่นแหละพยายามชักชวนเขาและแอนนาให้มาพักผ่อน

 

คำเดิมที่เธอกล่าวเขาจำได้ว่า

 

‘สองสัปดาห์ต่อจากนี้ คือช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี เมื่อเจ้ามาถึง จงมุ่งไปทางตอนเหนือของพระราชวัง เพื่อใช้วันหยุดในช่วงฤดูร้อนด้วยกัน ที่นั่นมีภูมิอากาศที่ดี ยามเช้าสามารถออกไปล่าสัตว์ ยามเย็นสามารถจัดปาร์ตี้เต้นรำได้ และหากสภาพอากาศไม่เลวร้าย เจ้ายังจะสามารถใช้กล้องโทรทรรศน์เพื่อเฝ้าสังเกตมอนสเตอร์เอกภพได้อีกด้วย’

 

ดังนั้น ทุกอย่างที่เธอกล่าวออกมาเมื่อครู่มันจึงผิด มันผิดแผกไปหมดเลย!

 

อย่างไรก็ตาม แม้องค์จักรพรรดิจะได้ยินคำนี้ แต่เขากลับไม่ตอบสนองสิ่งใด มีเพียงรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้าเท่านั้น

 

นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

 

หากเป็นในมุมมองของผู้อื่น อาจจะคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติของผู้หญิงที่มักจะมีอารมณ์แปรปรวน และพูดอะไรออกไปตามใจปาก ทว่า สำหรับอุปนิสัยของจักรพรรดินีเวโรน่า กู่ฉิงซานพอจะได้รู้ได้ฟังมันมาจากแอนนาพอสมควรแล้วเช่นกัน

 

ในโอกาสที่เป็นทางการเช่นนี้ แถมเธอยังเป็นถึงจักรพรรดินี ย่อมต้องให้ความใส่ใจกับ ‘คำพูด’และมารยาทพฤติกรรมของตัวเองเป็นอย่างมากแท้ๆ แต่เธอกลับทำตรงกันข้าม

 

เกิดอะไรขึ้นระหว่างองค์จักรพรรดิกับจักรพรรดินีกันแน่?

 

หากมันเป็นเพียงแค่ความขัดแย้งระหว่างทั้งสอง หรือเรื่องราวเกี่ยวกับสมดุลทางการเมือง กู่ฉิงซานก็คงขี้เกียจเกินกว่าที่จะเก็บมันมาใส่ใจ

 

แต่องค์จักพรรดิมีบางอย่างที่ดูผิดปกติไปจริงๆ

 

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่ในจิตใจของเขา

 

แต่สองขาของเขาก็ยังย่ำเดินลงตามจังหวะของเจ้าหญิง และเต้นรำไปพร้อมกับเธอ

 

เดิมทีตอนแรกเขามาที่นี่เพื่อหมายจะเจรจาทำข้อตกลงแลกเปลี่ยน

 

ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องสิทธิบัตรการวิจัยทางวิทยาศาสตร์หรือการฝึกฝนเทคนิคฝึกยุทธ เขาเชื่อว่าองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีจะต้องรับมันไว้ในพิจารณาอย่างแน่นอน

 

แต่ตอนนี้ มันราวกับว่าจะมีอะไรมากกว่าการทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนซะแล้ว

 

และทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็พลันระลึกย้อนได้ถึงบางสิ่ง

 

ในชีวิตก่อนหน้า ภัยพิบัติเยือกแข็ง ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มต้นขึ้นจากสาธารณรัฐฟูซีนี่นา?

 

และแล้วในเวลานี้ เพลงก็สิ้นสุดลง

 

เจ้าหญิงสะบัดมือออกจากเขาอย่างเงียบๆ หันหลังกลับ และเดินออกจากฟลอร์เต้นรำไปยังนายทหารคนหนึ่งที่มีร่างกายสูงใหญ่และหล่อเหลา

 

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ ก่อนจะพบกับมุมเงียบๆ แล้วเดินไปที่นั่น ระหว่างทางก็คคว้าหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ

 

ช่วงเวลานี้ องค์จักรพรรดิได้ขึ้นไปบนฟลอเต้นรำพร้อมด้วยหญิงงามที่ทรงเสน่ห์ในอ้อมแขนของเขา -บรรยากาศงานเลี้ยงได้มาถึงจุดที่เข้มข้นที่สุดแล้ว

 

กู่ฉิงซานเรียกบริกรมา และเอ่ยถามถึงที่ตั้งของห้องน้ำอย่างสุภาพ จากนั้นก็แยกตัวออกไป

 

เขาเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตู จากนั้นก็หยิบกระดาษที่ถูกขยำจนเป็นลูกกลมๆออกมา

 

ในช่วงเวลาที่จุมพิตทักทาย จักรพรรดินีก็ได้ยัดกระดาษแผ่นนี้ลงในมือของเขาอย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานคลี่มันออก

 

“ตราสัญลักษณ์แห่งความตายอยู่ในมือของแอนนา”

 

ประโยคสั้นๆง่ายๆ ไม่กี่คำ

 

กู่ฉิงซานมองมันอยู่สักพัก ก่อนจะขยำมันดังเดิม

 

ประโยคนี้ ก็ยังหลักแหลมสมกับที่เป็นจักรพรรดินีเหมือนเดิม

 

ประการแรก แม้ว่าผู้อื่นจะเป็นคนค้นพบกระดาษแผ่นนี้และอ่านเนื้อหาของมัน เขาก็จะเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องราวภายในของราชวงศ์เมดิซี และไม่มีเหตุผลใดๆที่ผู้อื่นจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงหรือสืบเสาะต่อ

 

ประการที่สอง ก่อนที่แอนนาจะเข้าสู่การทดสอบ เธอก็ได้ร้องขอเอาสัญลักษณ์แห่งความตายมาจากกู่ฉิงซาน

 

ความลับดังกล่าวนี้ มีเพียงแค่ซางหยิงฮ่าวและคนอื่นๆเท่านั้นที่รู้

 

แต่ตอนนี้จักรรพดินีก็รับรู้ด้วย เกรงว่าคงจะมีแต่แอนนาเท่านั้นที่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่เธอ

 

ตัวจักรพรรดินีคงต้องการที่จะเน้นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างเธอกับแอนนา

 

-เพราะพวกเธอเป็นสองหญิงคนสุดท้ายของราชวงศ์เมดิซี

 

ดังนั้น กระดาษที่ถูกขยำนี่ จึงถูกใช้เพื่อดึงดูดความไว้วางใจจากกู่ฉิงซาน

 

หลังจากนั้นจักรพรรดินีเวโรน่าก็ได้พูดกับกู่ฉิงซานต่อหน้าองค์จักรพรรดิ และชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติ

 

เมื่อนำทุกอย่างมามัดรวมเข้าด้วยกัน มันจะกลายเป็นประโยคใหม่ที่สื่อใจความออกมาว่า ‘เจ้าต้องเชื่อข้า องค์จักรพรรดิมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล’

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิด

 

เขาบ่นพึมพำ “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ถ้าไม่ได้มาเห็นมันด้วยตาของตัวเอง”

 

องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีเป็นมืออาชีพที่ทรงพลัง และแน่นอนว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ไม่ต่างกัน ดังนั้น มันจึงแทบจะไม่มีใครที่จะสามารถฝ่าแนวรักษาการมากมายที่คอยคุ้มครองเขาเข้ามา และลงมือกระทำการใดๆได้

 

หรือไม่บางที ก็อาจจะเป็นตัวองค์จักรพรรดิเองนั่นแหละที่ปกปิดอะไรบางอย่างจากทุกผู้คน และกำลังวางแผนจะทำอะไรบางอย่างอยู่?

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

 

ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่ถูกต้อง ดูผิดเพี้ยนไปหมด

 

จักรพรรดินีเวโรน่าเป็นป้าของแอนนา และในกรณีที่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเธอ เขาก็จำต้องเข้าช่วยเหลือ

 

เนื่องจากสถานการณ์มันเป็นแบบนี้แล้ว …

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไป

 

เขาเป็นผู้ฝึกยุทธในขอบเขตก้าวสู่เทพ ดังนั้นระยะพิสัยของจิตเทวะจึงค่อนข้างกว้างพอสมควร

 

และคนในโลกใบนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าจิตสัมผัสเทวะนั้นคือสิ่งใด

 

ฉะนั้นจึงไม่มีใครต่อต้านมัน

 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะไปตลอดทั่วทั้งวังอย่างง่ายดาย จากนั้นก็เริ่มขยายออกไปภายนอกอย่างต่อเนื่อง

 

และทันใดนั้นเอง เมื่อมันสัมผัสลงบนผิวโอเอซิส เขาก็ได้รับรู้ถึงสัญญาณของปัญหาทั้งหมด!

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.309 – องค์จักรพรรดิและจักรพรรดินี

 

ณ พื้นที่ๆอยู่ไม่ไกลจากโอเอซิส

 

กู่ฉิงซานกับเจ้าหน้าที่พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันอย่างสุภาพ และเพียงไม่นาน วังขนาดใหญ่ท่ามกลางโอเอซิสก็ปรากฏสู่สายตาของพวกเขา

 

“ทางเราได้จัดเตรียมชุดสำหรับงานเลี้ยงให้แก่คุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณจะต้องเปลี่ยนมันให้ดูเหมาะสมกับฐานะแขกผู้มีเกียรติขององค์จักรพรรดิ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณจะต้องเป็นคนไปเลือกมันด้วยตัวเอง ฉะนั้นโปรดตามมา” หลังจากที่ลงจากหลังอูฐ เจ้าหน้าที่ก็กล่าวอธิบายคร่าวๆ แล้วเดินนำทางเขาไป

 

“คงต้องขอรบกวนแล้ว” กู่ฉิงซานยิ้ม

 

ณ วังโอเอซิส

 

องค์จักรพรรดิพร้อมด้วยรัฐมนตรีกว่า7-8คนกำลังพูดคุยหารือกันอยู่ในห้องประชุม

 

แล้วเจ้าหน้าที่ก็เดินนำตัวกู่ฉิงซานเข้ามา

 

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับฝ่าบาท” กู่ฉิงซานกล่าวพลางคำนับ

 

“อ่า? ไม่เลวนี่เจ้าหนุ่ม ดูเหมือนว่าเจ้าจะแกร่งยิ่งขึ้นอีกแล้วนะ” องค์จักรพรรดิมองไปทางเขาด้วยรอยยิ้ม “งานเลี้ยงจะเริ่มต้นขึ้นในทันที จงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ แล้วตรงไปที่งานเลี้ยงได้เลย”

 

สองสาวใช้ในวังเดินออกมาโค้งกายให้แก่กู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “โปรดมากับพวกเรา”

 

กู่ฉิงซานเดิมทีแล้วต้องการจะเอ่ยขอความช่วยเหลือเลย แต่ในปัจจุบัน เบื้องหน้าเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มันจึงยากที่จะกล่าวออกมา นอกจากนี้องค์จักรพรรดิอุส่าห์หยิบยื่นน้ำใจให้ มันจึงยากที่จะปฏิเสธ เขาเลยต้องจำใจเดินตามสองสาวไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

ชุดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการของชนชั้นสูงในฟูซีจะมีทั้งสิ้น 15 ชุด และบัดนี้พวกมันทั้งหมดถูกจัดเรียงแขวนไว้เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

กู่ฉิงซานเลือกชุดที่ดูธรรมดาที่สุด จากนั้นก็ปล่อยให้สองสาวใช้เป็นคนสวมใส่มันให้แก่เขา

 

สองสาวใช้ลากกระจกบานใหญ่ที่สูงตั้งแต่พื้นจรดเพดานออกมา และนำมาวางลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

 

กระจกเบื้องหน้า สะท้อนให้เห็นถึงสองคิ้วที่คมราวกับดาบ และดวงตาทั้งสองของเขาก็ไม่แตกต่างกัน

 

ทั้งคนทั้งร่างแลดูสะอาดหมดจด และให้ความรู้สึกพิเศษบางอย่างออกมา

 

“ขอบคุณมากนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

สองสาวใช้จ้องมองชายที่สะท้อนอยู่ในกระจก ใบหน้าของพวกเธอเริ่มแดงซ่าน ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มบานสะพรั่ง “ใต้เท้า ท่านช่างดูสง่างามอย่างมิอาจหาใครมาเทียบเปรียบ”

 

กู่ฉิงซานยิ้มรับ และเอ่ยถามอย่างไม่คิดอะไรว่า “แล้วราชินีของพวกคุณเล่า ทำไมผมถึงยังไม่เห็นเธอเลย”

 

ประโยคนี้เป็นคำถามธรรมดาที่ไม่มีเจตนาใด

 

แต่หนึ่งในสองสาวใช้กลับเอ่ยตอบทันที “องค์จักพรรดินีพึ่งตื่นจากบรรทม และกำลังแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่เจ้าค่ะ”

 

แล้วห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง

 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองตัวเองในกระจกแล้วเอ่ยถามว่า “ชุดผมก็เปลี่ยนแล้ว ถ้าอย่างงั้นรองเท้าไม่ควรจะเปลี่ยนด้วยหรอ?”

 

สาวใช้ในวังบรรเทาความตึงเครียดลง

 

“ท่านจะต้องเต้นรำ ฉะนั้นจึงสมควรที่จะเปลี่ยนรองเท้า โปรดรอสักครู่นะเจ้าค่ะ” สองสาวใช้เดินไปค้นโซนที่เก็บรองเท้า

 

“ขอบคุณอีกครั้งนะ อ้อ.. โดยส่วนตัวแล้วผมชอบรองเท้าสีดำ น้ำตาล แล้วก็น้ำเงิน ถ้ายังไงขอเป็นสามตัวเลือกนี้นะครับ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

สองสาวใช้มองหน้ากันและกันวูบหนึ่ง

 

ดูเหมือนว่าแขกผู้มีเกียรติขององค์จักรพรรดิจะเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องรองเท้าของตัวเองเป็นอย่างมาก

 

ถ้าเป็นในกรณีนี้ พวกเธอคงจะต้องเตรียมรองเท้าคู่ใหม่ๆหลายคู่ มาให้แขกผู้มีเกียรติได้เลือกสรรอย่างพิถีพิถันเสียแล้ว

 

“โปรดรอสักครู่ พวกเราจะรีบไปนำมันมาเดี๋ยวนี้” สาวใช้ในวังกล่าว

 

“ผมเข้าใจแล้ว ไม่ต้องรีบก็ได้นะ”

 

กู่ฉิงซานยิ้ม แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทีผ่อนคลาย สบายๆ

 

สองสาวใช้โค้งกายลงเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป

 

กู่ฉิงซานยกถ้วยเครื่องดื่มบนโต๊ะกาแฟขึ้นมาจิบ ในสมองขบคิดถึงปมเล็กๆที่ทำให้บังเกิดความเงียบงันขึ้นเมื่อครู่นี้

 

องค์จักรพรรดิกับจักรพรรดินี มิใช่คนสนิทกันหรอกหรือ?

 

กู่ฉิงซานจดจำได้ว่า ในบางครั้งบางที แม้องค์จักรพรรดิจะหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ แต่ปากของเขากลับไม่ยิ้มตาม

 

ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา

 

เขาไม่เคยที่จะพอใจใครง่ายๆ และเขาก็ไม่คิดจะพยายามทำให้ใครพอใจเช่นกัน

 

แต่ในวันนี้ องค์จักรพรรดิกลับหัวเราะและยิ้มออกมา … มากเกินไป

 

นอกจากนี้ กู่ฉิงซานก็ยังไม่เห็นตัวองค์จักรพรรดินีเลย

 

‘องค์จักพรรดินีพึ่งตื่นจากบรรทม และกำลังแต่งองค์ทรงเครื่อง’ อย่างงั้นหรอ …

 

ช่วงเวลานี้อาหารค่ำกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ แต่จักรพรรดินีพึ่งตื่นจากบรรทม หมายถึงพึ่งลุกขึ้นจากเตียงใช่ไหม? ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันล่ะ?

 

ขณะคิด สาวใช้ในวังก็เดินกลับมา

 

กู่ฉิงซานวางถ้วยเครื่องดื่มลง และยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

 

ด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้ เขาก็สามารถเลือกรองเท้าที่ถูกใจมาสวมใส่ได้ในที่สุด

 

“งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่หรอ” เขาเอ่ยถาม

 

สาวใช้ “จะเริ่มขึ้นเมื่อคุณปรากฏตัวขึ้นในห้องจัดเลี้ยง”

 

ทั้งสองประกบซ้ายขวากู่ฉิงซาน และพากันเดินออกไป

 

ประตูหน้าห้องจัดเลี้ยงถูกผลักเปิดออก

 

พร้อมกับกู่ฉิงซานที่เดินเข้ามา

 

องค์จักรพรรดิที่นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ เมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็ส่งสัญญาณไปทางเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ๆ

 

เจ้าหน้าที่โค้งกาย ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณมือ

 

นักดนตรีเริ่มบรรเลงท่วงทำนอง

 

สาวนักเต้นเริ่มร่ายระบำ

 

พร้อมด้วยสาวผมยาวจรดพื้นเริ่มขับขานบทเพลงอันสนุกสนาน

 

การแสดงละครสัตว์ได้เริ่มขึ้นแล้ว

 

คนพ่นไฟ

 

เล่นมายากล

 

แสดงตลก

 

คนที่มีชื่อเสียงเริ่มที่จะเข้าพบปะพูดคุยกัน

 

ฉากงานเลี้ยงอันวุ่นวายเช่นนี้ เป็นสไตล์เฉพาะตัวของสาธารณรัฐฟูซี

 

เพราะนี่คือสิ่งที่องค์จักรพรรดิชอบ

 

เขาชอบที่จะนำทุกอย่างที่ทำให้เขามีความสุข มาวางไว้เบื้องหน้า ไว้ในวิสัยทัศน์ของตนเอง

 

ฝูงชนเข้ารายล้อมรอบองค์จักรพรรดิ และต่างพากันกล่าวสรรเสริญออกมา

 

แม้ว่างานเลี้ยงดังกล่าวจะแลดูวุ่นวาย แต่มันก็มีชีวิตชีวา และบรรยากาศก็ไม่เลวทีเดียว

 

กู่ฉิงซานถูกนำตัวมายังเบื้องหน้าองค์จักพรรดิ

 

องค์จักรพรรดิโบกมือให้เจ้าหน้าที่ที่นำตัวเขามาปลีกตัวออกไป และจ้องมองลงมายังกู่ฉิงซาน

 

“ดูเถิด เจ้าหนุ่มผู้นี้ช่างแข็งแกร่งไม่เลวเลย หากมิใช่เพราะว่าแอนนาหมายตาเจ้าไว้อยู่ก่อนแล้ว ข้าคงแนะนำเจ้าหญิงน้อยของข้าให้แก่เจ้าไปแล้ว” องค์จักรพรรดิกล่าว

 

และผู้คนที่รายล้อมก็เปล่งเสียงหัวเราะอึกทึกออกมาทันที

 

กู่ฉิงซานรับเอาไวน์จากถาดที่วางอยู่ข้างกายเขา

 

“ฝ่าบาท ขอบพระคุณสำหรับการเลี้ยงต้อนรับอันยิ่งใหญ่ของท่านในวันนี้”

 

จากนั้นเขาก็ยกแก้วหันไปทางองค์จักพรรดิ และกระดกมันจนหมดแก้วในครั้งเดียว

 

พอองค์จักรพรรดิฟูซีได้ยินคำนี้ เขาก็หยิบแก้วไวน์มาชูขึ้น แล้วจิบเบาๆ

 

“ทำตัวตามสบายเถอะ ข้าหวังว่าเจ้าจะมีช่วงเวลาดีๆในค่ำคืนนี้” จักรพรรดิหัวเราะ

 

“ผมมาที่นี่เพื่อพูดคุยเรื่องข้อตกลงแลกเปลี่ยนกันอย่างจริงจัง และต้องการที่จะพูดคุยกับท่านในสถานที่ๆเหมาะสม”

 

กู่ฉิงซานเตรียมพร้อมที่จะก้าวไปสู่หัวข้อสนทนาหลักทันที

 

แต่ทว่าองค์จักรพรรดิกลับโบกมือและกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อนไป จงเพลิดเพลินไปกับค่ำคืนอันแสนวิเศษนี้เสียก่อน หากมีธุระอันใด ไว้พวกเราค่อยมาพูดคุยเกี่ยวกับมันในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง”

 

กู่ฉิงซานจำต้องก้มหน้าลง และหยุดหัวข้อสนทนาของเขา

 

ทว่าในหัวใจกลับลอบรู้สึกสงสัย

 

องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีเป็นผู้เคร่งครัดเสมอมา หากมีธุระใดที่ฟังดูร้ายแรงหรือเป็นเรื่องราวแปลกใหม่ ท่าทีของเขาก็จะกลับกลายเป็นจริงจังทันที

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเกี่ยวกับมัน

 

ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน กู่ฉิงซานหยิบไวน์ขึ้นมาอีกแก้วพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทพูดถูกแล้วพะยะค่ะ”

 

“ฉะนั้นแก้วนี้ เพื่อแสดงถึงพระบารมีของท่าน ขอสาธารรัฐฟูซีจงเจริญรุ่งเรือง และเข้มแข็งกว่าทุกชนชาติ ขอให้ประชาชนทุกคนได้ดื่มด่ำเพลิดเพลินไปกับเกียรติยศและเสรีภาพ”

 

กล่าวจบ เขาก็กระดกมันรวดเดียวหมด

 

รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิเผยถึงความสุข เขาปรบมือและกล่าว “พูดได้ดี!”

 

นอกจากนี้ เขาก็ยกแก้วไวน์ในมือดื่มมันจนหมดแก้ว

 

กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย ส่วนลึกในหัวใจของเขาเริ่มกระสับกระส่าย บังเกิดความไม่สบายใจอันยากจะอธิบายขึ้น

 

จักรพรรดิฟูซี คาดหวังไว้เสมอว่า อาณาจักรของตนจะยังคงรักษาการพัฒนาไปอย่างมั่นคงต่อเนื่อง และเกลียดชังสิ่งจอมปลอมที่เรียกว่า ‘เสรีภาพ’ มากที่สุด

 

เมื่อครั้งองค์จักรพรรดิได้มาเข้าร่วมประชุมนานาชาติในสหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง เขาก็ไม่ยอมเข้าพักที่โรงแรมฟรีฮอลิเดย์  และเลือกที่จะกางเต็นท์บนสนามหญ้าภายในศูนย์ประชุมนานาชาติแทน

 

เนื่องเพราะเขาไม่ชอบคำว่าฟรี(เสรีภาพ)ที่อยู่ในชื่อของมัน

 

เมื่อครู้นี้ กู่ฉิงซานจงใจแสร้งพลาดพลั้งกล่าวคำนั้นออกไปโดยเจตนา

 

แต่ทว่าพอองค์จักรพรรดิได้ยิน เขากลับยกไวน์ขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว

 

ทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

“จงไปหาอะไรกินก่อน แล้วจากนั้นก็ออกไปเต้นรำเถิด ข้ากล้าพูดเลยว่าในช่วงเวลานี้ มีมีหญิงสาวที่ทรงเสน่ห์และงดงามหลายคนกำลังเฝ้าจับตาดูเจ้าอยู่ตั้งนานแล้ว” องค์จักรพรรดิกล่าว

 

กู่ฉิงซานยังคงรักษาไว้ซึ่งรอยยิ้มบนใบหน้า ก้าวถอยออกไประยะหนึ่งจึงหันหลังกลับ แต่แล้วเขาก็พลันได้พบเห็นกับหญิงสาวที่ครอบครองรูปลักษณ์อันงดงามกำลังย่างกรายเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง

 

บนหัวของเธอสวมมงกุฏขนาดเล็กที่ประณีตและละเอียดอ่อน

 

ทุกคนต่างพากันเปิดทางให้กับเธอ พร้อมเอ่ยคำทักทาย

 

องค์จักรพรรดินีแห่งฟูซี ได้มาถึงแล้ว

 

“เวโรน่า มาได้ซักที ดูนี่ซีใครกันเดินทางมาให้เจ้าได้พบ” องค์จักรพรรดิกล่าว

 

จักรพรรดินีมีชื่อว่า เวโรน่า เป็นสมาชิกครอบครัวของราชวงศ์เมดิซีแห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นน้องสาวในสายเลือดของราชาแห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ที่สำคัญเลยก็คือ เธอเป็นป้าของแอนนา

 

“นักวิทยาศาสตร์กู่น้อย เราได้พบกันอีกแล้ว” องค์จักรพรรดินีเดินมาพร้อมรอยยิ้ม

 

เธอยื่นมือไปทางกู่ฉิงซาน

 

การจุมพิตลงบนมือ คือมารยาทในการทักทายกันในจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์

 

ทว่าในสาธารณรัฐฟูซี ขีดเส้นแบ่งมารยาทในการทักทายของจักรวรรดิ์นั้น มีอยู่หลายส่วนที่ไม่เหมาะสม ทว่าแต่เดิมเธอก็เป็นถึงสมาชิกของราชวงศ์แห่งจักรววรดิศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นหลายๆคนจึงไม่ได้เอ่ยขัดในเรื่องนี้

 

กู่ฉิงซานจับมือองค์จักรพรรดินีและก้มจุมพิตลง

 

“ไม่ได้พบเจอกันเพียงไม่กี่วัน แต่ท่านกลับงดงามยิ่งกว่าที่เคย” กู่ฉิงซานเอ่ยชื่นชม

 

เขาสังเกตเห็นถึงรอยคล้ำใต้ตาของเธอที่เป็นสีดำอย่างชัดเจน ที่แม้มันจะถูกปกปิดด้วยการแต่งหน้าอันละเอียดอ่อนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจกลบร่องรอยได้อย่างสมบูรณ์อยู่ดี

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา online Ep.308 – เลือดของตะวันและจันทรา

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

เขาเตรียมพร้อมที่จะบรรลุภารกิจปลุกตนหวนคืนสู่นักดาบนิรันดร์ให้สำเร็จ

 

ในชีวิตก่อนหน้า เขาเป็นถึงนักดาบนิรันดร์ที่ทรงพลัง ควบคู่ไปกับในชีวิตนี้ที่ได้ตระหนักรู้เกี่ยวกับสกิลดาบอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น หากทั้งสองซ้อนทับ ผสานรวมเข้าด้วยกัน มันจะช่วยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้กับตัวเขาอย่างมหาศาล

 

แต่เวลานี้ คงทำได้แค่เพียงเริ่มก้าวเดินไปทีละขั้น ทีละขั้น

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เอ่ยถามออกมาว่า “เรื่องวัสดุหลอมกลั่นไปถึงไหนแล้ว?”

 

“ยังขาดอีกสามชนิด ซึ่งสองในสามไม่มีสสารใดสอดคล้องกันกับวัสดุชนิดใดในโลกเลย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

“จากวัสดุนับสิบ ขาดเหลืออีกแค่สามชิ้นเท่านั้นเองหรอ?”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างคาดไม่ถึง “ไหนขอฉันดูอีกสามชนิดที่ว่านั่นหน่อยสิ”

 

จอม่านแสงสว่างวาบ พร้อมกับรายการของวัสดุแสดงออกมา

 

วัสดุทั้งสามชนิดถูกทำเครื่องหมายขีดเส้นใต้สีแดง บ่งบอกว่ายังไม่ได้ถูกทำการเก็บรวบรวมมา

 

“ศิลาเดือด , แร่เงินฟ้า แล้วก็เลือดของตะวันและจันทรา… ” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

“ถูกต้อง ศิลาเดือดกับแร่เงินฟ้า – ไม่ตรงกับสสารใดที่รู้จัก” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

 

ในเมื่อไม่สามารถค้นหาพวกมันได้จากในโลกจริง ถ้าอย่างงั้นล่ะก็ ..

 

กู่ฉิงซานหยิบถุงหลากสีสันออกมา แล้วกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปค้นหาสองสิ่งที่พึ่งว่ามา

 

“มีจริงๆด้วย!”

 

ดวงตาของกู่ฉิงซานเปล่งประกายสดใส

 

เขาหยิบวัสดุสองชนิดนั้นออกมาจากถุงหลากสีสัน และวางมันลงบนพื้น

 

มีเพียงสองสิ่งนี้เท่านั้นที่ไม่อาจหาได้ในโลกจริง ทว่ามันกลับสามารถหาได้ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ!

 

เอาล่ะ ตอนนี้ก็ยังคงเหลือวัสดุที่เรียกว่าเลือดของตะวันและจันทรา แต่จากการค้นถุงหอมเมื่อครู่ ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

 

คาดว่านี่จะเป็นวัสดุที่มีเอกลักษณ์ซึ่งมีแต่โลกเทวะเท่านั้นที่มีไว้ในครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าสิ่งนี้จะมีในโลกจริงหรือไม่

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ยังเหลือเลือดของตะวันและจันทรา แล้วเรื่องของวัสดุชิ้นนี้ล่ะว่ายังไง?”

 

เทพธิดากงเจิ้ง “สสารตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นภายในโลก แต่ทว่า เมื่อ 40000 ปีก่อนได้บังเกิดฝนดาวตกขนาดใหญ่ขึ้น มันถูกดึงดูดโดยชั้นบรรยากาศ ร่วงตกลงมายังพื้นโลก และมีบางคนได้ค้นพบสิ่งที่ตรงกับสสารที่ว่าจากการถลุงอุกกาบาตเหล่านั้น” เทพธิดาอธิบาย

 

“โอ้? นี่มันน่าสนใจจริงๆ แต่ในเมื่อคุณค้นพบแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงยังเอามันมาไม่ได้อีกล่ะ?” กู่ฉิงซานถามต่อ

 

เทพธิดากงเจิ้งฉายภาพขึ้นมา

 

“วัสดุที่คุณต้องการ บนโลกใบนี้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ” เทพธิดากล่าว

 

กู่ฉิงซานมองไปยังมงกุฏอันงดงามที่อยู่ในภาพ

 

มันเป็นมงกุฏทองคำบริสุทธิ์ พร้อมด้วยยอดปลายแหลม 12 แฉกที่ตรงกลางถูกฝังไว้ด้วยอัญมณีทรงกลมอันสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติ

 

เขาจ้องมองดูอัญมณีที่เปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนมงกุฏ นิ่งค้างไปเนิ่นนานมิอาจกล่าวคำใดได้

 

“สสารที่ตรงกันกับเลือดของตะวันและจันทราเพียงหนึ่งเดียวในโลก ถูกติดตั้งไว้อยู่ในมงกุฏของจักรวรรดิฟูซี” เทพธิดาเฉลย

 

กู่ฉิงซานยกสองมือขึ้นกอดอกและถอนหายใจออกมา “การจะได้มันมาคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

 

เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

ภารกิจปลุกนักดาบนิรันดร์ลอยเด่นอยู่บนหน้าต่าง

 

“ภารกิจที่หนึ่ง : ได้รับดาบสองเล่ม (ไม่ตกอยู่ในสภาพเสียหาย)”

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสามารถจัดการบรรลุภารกิจแรกให้เสร็จสมบูรณ์

 

สายตาของกู่ฉิงซานจับจ้องอยู่บนหัวข้อภารกิจสักพัก ก่อนจะเริ่มหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมา

 

อย่างรวดเร็ว การเชื่อมต่อระหว่างสองสายก็ได้รับการตอบรับ

 

เสียงที่หนักและฟังดูแข็งแรงดังขึ้น “นักวิทยาศาสตร์กู่น้อย พวกเจ้าพร้อมจะมาแล้วใช่ไหม?”

 

มันคือเสียงของจักรพรรดิแห่งฟูซี

 

กู่ฉิงซานตกใจในตอนแรก แต่แล้วพลันจำได้ว่าเขากับแอนนาสัญญากับอีกฝ่ายว่า จะต้องไปยังวังของพรรดิที่ตั้งอยู่ในฟูซีเพื่อพักร้อนที่นั่น

 

“ก็ไม่เชิงพะยะค่ะ พอดีว่าแอนนากำลังมีบางอย่างที่ต้องทำอยู่อีกสักพักหนึ่ง หม่อนฉันจึงอยากจะแวะไปเยี่ยมเยือนที่วังก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ! ข้าจะส่งรถเหินเวหาออกไปรับเจ้าตอนนี้เลยดีไหม?” องค์จักรพรรดิมิได้เอ่ยถามถึงแอนนา แต่กล่าวเรื่องนี้ออกมาแทนโดยตรง

 

“นั่นมันจะเป็นการรบกวนท่านมากเกินไป กระหม่อมขอเดินทางไปที่นั่นโดยลำพังคนเดียวจะดีกว่า” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ทำแแบบนั้นข้าก็รู้สีกผิดต่อเจ้าน่ะสิ” องค์จักรพรรดิรำพึง

 

กู่ฉิงซาน “มิจำเป็นต้องรู้สึกผิดเลย เพราะหากเรากระทำการอย่างเป็นทางการ ทางฝั่งกระหม่อมจะเป็นปัญหาเอาน่ะพะยะค่ะ”

 

องค์จักรพรรดิกล่าวเห็นด้วย “นั่นก็จริง ชัดเจนว่ารัฐบาลกลางของเจ้ามีเทพธิดากงเจิ้งอยู่ แต่กระบวนการทุกอย่างกลับช่างเชื่องช้า ดีไม่ดีระหว่างขั้นตอนการขอเยี่ยมเยือนทางการทูตอาจจะล่าช้าลากยาวไปถึงครึ่งเดือน ช่างเป็นการประสานงานที่ไร้ประสิทธิภาพเสียจริงๆ”

 

เขาเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “หากข้ามีเทพธิดากงเจิ้งไว้ในครอบครองล่ะก็ ข้าคงสามารถรวบรวมโลกทั้งใบเป็นปึกแผ่นเดียวกันได้แล้ว”

 

กู่ฉิงซานฝืนยิ้มออกมา “เช่นนั้นกระหม่อมจะเริ่มออกเดินทางทันที คาดว่าจะถึงภายในวันนี้เลย”

 

“เข้าใจแล้ว ข้าจะรอเจ้าที่วังก็แล้วกัน” องค์จักรพรรดิกล่าว

 

แล้วการเชื่อมต่อก็ถูกตัดขาดลง

 

กู่ฉิงซานเดินออกนอกประตูไป

 

ตามด้วยหัวของเรือรบประจัญบานที่โผล่ลงมาจากชั้นเมฆ

 

“อลังการแบบนี้ไม่ดีหรอก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

“ใต้เท้า อ้างอิงตามสถานะของคุณ มันต้องระดับนี้จึงจะคู่ควรแก่การไปเยี่ยมเยือน” เทพธิดากล่าว

 

“ขอให้ฉันได้ไปเงียบๆเถอะ อีกอย่าง ฉันไม่ต้องการกระตุ้นอะไรทางฝั่งรัฐบาลกลางด้วย เพราะงั้นให้ฉันไปเงียบๆเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“รับทราบแล้ว” เทพธิดาตอบรับ

 

แล้วหัวเรือรบประจัญบานก็เชิดขึ้นไปเหนือชั้นเมฆ จากนั้นก็บินหายไป

 

ต่อมา รถเหินเวหาสีเงินที่มีรูปทรงงดงามและสมบูรณ์แบบก็ทะลุผ่านชั้นเมฆลงมา มันร่อนลงจอดบนพื้นดินเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

 

“นี่มันก็ค่อนข้างที่จะ … ดูหวือหวาเกินไปนิดนึงนะ” กู่ฉิงซานกวาดสายตามองรถเหินเวหา

 

“นี่คือรถรุ่นใหม่ล่าสุดที่พึ่งผ่านชุดการทดสอบความเร็ว และความเร็วของมันได้รับการยืนยันแล้วว่าปลอดภัย” เทพธิดากงเจิ้งแนะนำ

 

“ก็ได้ๆ” กู่ฉิงซานตัดบทและก้าวเข้าไปภายใน

 

รถเหินเวหาค่อยลอยลำขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเข้าสู่สถานะการบินในทันใด

 

เตรียมเข้าสู่โหมดเพิ่มความเร็วขึ้น เร่งเครื่องออกตัว!

 

ปัง!

 

หลังจากบังเกิดเสียงคลื่นโซนิคบูม รถเหินเวหาก็หายวับไปทันที

 

ภายในรถเหินเวหา

 

“ฉันไปพบกับจักรพรรดิฟูซี เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางจะต้องรู้ข่าวนี้อย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“วินิจฉัยได้ถูกต้องแล้ว ข้อมูลนี้นับว่าเป็นเรื่องง่ายดายมากที่จะได้รับ” เทพธิดาเอ่ยสนับสนุน

 

“เฮ้อ งั้นฉันขอฝากให้ช่วยค้นหาระเบียบขั้นตอนการไปต่างประเทศ แบบที่ไม่ต้องมีคนมาตรวจสอบด้วยตนเองทีนะ ขอเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องในทำนองนั้น”

 

“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็น ‘ให้ความช่วยเหลือทางด้านการกุศล’ ดีไหมใต้เท้า ขั้นตอนของมันนับว่ารวดเร็วที่สุด และไม่จำเป็นต้องถูกส่งคนมาตรวจสอบ”

 

“ดี เอาอันนั้นแหละ ดำเนินการได้เลย”

 

หลังจากนั้นไม่นาน รถเหินเวหาก็บินเข้าสู่น่านฟ้าของสาธารณรัฐฟูซี

 

ตามด้วยระบบสื่อสารบนตัวรถที่ดังขึ้นอย่างกระทันหัน

 

กู่ฉิงซานกดตอบรับการสื่อสาร

 

จอม่านแสงสว่างขึ้น ปรากฏให้เห็นถึงใบหน้าของเจ้าหน้าที่ติดอาวุธวัยกลางคน ที่กำลังกวาดสายตามองขึ้นๆลงๆบนตัวกู่ฉิงซาน

 

“ที่นี่คือชายแดนป้อมปราการแห่งสาธารณรัฐฟูซี กรุณาทำการยืนยันตัวตนของคุณด้วย มิฉะนั้นทางเราคงต้องยิงคุณให้ร่วง!” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนกล่าว

 

“ผมชื่อกู่ฉิงซาน และมีนัดหมายกับฝ่าบาทของประเทศคุณ” กู่ฉิงซานอธิบาย

 

สีหน้าของเจ้าหน้าที่วัยกลางคนคลายลงทันที

 

เขายิ้มและกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นใต้เท้ากู่ฉิงซานนี่เอง โปรดเชิญเดินทางต่อได้เลย”

 

“อ้าว คุณไม่จำเป็นต้องทำการตรวจสอบ ยืนยันตัวตนผมหรอ?” กู่ฉิงซานถาม

 

“เทพธิดากงเจิ้งได้ทำการยืนยันตัวตนของคุณแล้ว และฝ่าบาทก็ทรงตรัสว่าคุณเป็นแขกผู้มีเกียรติ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนใดๆ” เจ้าหน้าที่กล่าว

 

“ขอให้เดินทางโดยสวัสดีภาพ”

 

แล้วการเชื่อมต่อก็ถูกตัดขาดไป

 

กู่ฉิงซานขับรถเหินเวหาต่อโดยไม่ชะลอ มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

รถเหินเวหาประเภทต่อสู้ 12 ลำก็ไล่ตามหลังเขามา

 

6 ลำแยกกันประกบปีกซ้ายขวาของเขา ส่วนอีก 6 เลือกที่จะบินไปนำหน้า

 

และเสียงแจ้งเตือนการเชื่อมต่อสื่อสารก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“ยินดีต้อนรับใต้เท้า พวกเรามีหน้าที่คุ้มกันท่านไปยังวังของฝ่าบาท” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

“ลำบากพวกคุณซะแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับไป

 

เมื่อการสื่อสารถูกตัดสายลง กู่ฉิงซานก็ส่ายหัวออกมา

 

ถึงกับส่ง 12 รถเหินเวหาประเภทต่อสู้ออกมาคุ้มกัน นี่มันนับได้ว่าเป็นการรักษาความปลอดภัยระดับสูงเลยนะสำหรับในสาธารณรัฐฟูซี … แน่นอนว่าเรื่องเงินที่ต้องจ่ายไปก็เช่นกัน

 

องค์จักรพรรดิก็ยังคงเป็นองค์จักรพรรดิ เป็นบุคคลที่ทุนหนาและเต็มใจจ่ายทุกบาททุกสตางค์เพียงเพราะความพึงพอใจของตนอย่างแท้จริง

 

หลังจากนั้นอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

 

รถเหินเวหาก็ข้ามผ่านพื้นที่รกร้างส่วนใหญ่ของฟูซี และโผล่ลงมาจากชั้นเมฆ

 

เบื้องล่างเป็นทะเลทรายผืนใหญ่

 

ท่ามกลางทะเลทรายสีเหลืองนวลอันไร้ที่สิ้นสุด มีโอเอซิสตั้งอยู่

 

และวังขององค์จักรพรรดิก็ตั้งอยู่ที่นี่

 

จากโอเอซิส ห่างออกไปสิบไมล์ รถเหินเวหาก็เริ่มทำการลงจอด

 

กู่ฉิงซานก้าวลงมาจากรถเหินเวหา ขณะเดียวกันก็มีคนกางร่มขึ้น และยื่นมันมาช่วยกันลมกันฝนให้แก่เขา

 

ภูมิภาคแห่งนี้แห้งแล้งและร้อนอบอ้าวอยู่เสมอ แต่จู่ๆก็ต้องพบกันฝนเย็นฉ่ำอย่างต่อเนื่อง มันคงเป็นยากสำหรับคนที่นี่ที่จะปรับตัวจริงๆ

 

ขบวนอูฐรออยู่ข้างนอก

 

บนหลังอูฐแต่ละตัว ถูกติดตั้งไว้ด้วยที่นั่งที่ดูสะดวกสบายพร้อมกับหลังคาที่ครอบคลุมเบื้องบน เพื่อใช้ป้องกันลมแดดและลมฝน

 

เจ้าหน้าที่โค้งกายทักทายและนำอูฐเดินตรงมายังกู่ฉิงซาน

 

“ใต้เท้า โซนเบื้องหน้าเป็นเขตห้ามบิน ดังนั้นเชิญตามผู้น้อยมา” เจ้าหน้าที่พูดคุยด้วยรอยยิ้ม

 

“ผมเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับ

 

แล้วเขาก็ขึ้นไปบนอูฐ จากนั้นก็ขี่มันเดินคู่ไปกับเจ้าหน้าที่

 

“ฝ่าบาทรู้สึกยินดียิ่งเมื่อได้ยินว่าคุณกำลังจะมา จึงทำการเลื่อนงานเลี้ยงรื่นเริงในวันพรุ่งนี้ ให้มาเป็นวันนี้แทน” เจ้าหน้าที่หัวเราะ

 

“ผมก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเช่นกัน ว่าแต่ถ้างานเลี้ยงถูกเลื่อนมาเป็นวันนี้ แล้วฝ่าบาทของคุณวางแผนที่จะทำอะไรในวันพรุ่งนี้แทนอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“วันพรุ่งนี้ก็ยังคงเป็นงานเลี้ยงอีกเช่นเคย” เจ้าหน้าที่ตอบราวกับเป็นเพียงเรื่องปกติ

 

“สมกับเป็นฝ่าบาทจริงๆ .. ” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

 

Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์

Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 307 อ่านนิยาย

อาณาจักรทั้งมวลถึงคราวล่มสลาย  จอมมารหมายจะเก็บเกี่ยวชีวิตมนุษย์ทุกชีวิต  ท่ามกลางความสิ้นหวังอันมืดมน  ชายคนหนึ่งได้ฉีกเส้นแบ่งของเวลาและมิติ  หวนคืนสู่โลกในช่วงเวลาก่อนที่มันจะถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์  หมายมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตน  ทว่า  เมื่อวันเวลาได้ผ่านไป เขากลับพบว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด …

ปล. เนื้อหาทั้งหมดในเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องแต่ง หากมีส่วนใดคล้ายคลึงกับความเป็นจริงขอให้รู้ไว้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!

Options

not work with dark mode
Reset