World’s Best Martial Artist 58 ครึ่งก้าวผู้ฝึกยุทธสูงสุด

ตอนที่ 58 ครึ่งก้าวผู้ฝึกยุทธสูงสุด

ตอนที่ 58 ครึ่งก้าวผู้ฝึกยุทธสูงสุด

ในโซนประเมิณปราณและเลือด

นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางผิงได้เห็นห้องวัดปราณและเลือดแบบนี้

จะบอกว่ามันเหมือนบ้านหลังเล็กๆ…ก็ยกย่องเกินไป อันที่จริงมันเหมือนโลงศพคริสตัลแนวตั้งมากกว่า

มันมีหมายเลขตั้งแต่ 1-60 หมายความว่าโซนประเมิณ 1 มีห้องวัดปราณและเลือดอยู่ 60 เครื่อง

อู๋จื้อเห่าที่พึ่งมาถึงพูดอย่างลุ่มหลง “ห้องปราณและเลือดเครื่องนึงมีมูลค่ากว่าล้านหยวน!”

ครอบครัวฐานะธรรมดาๆยากที่จะซื้ออุปกรณ์นี้

แม้แต่เครื่องวัดขนาดเล็กในบ้านอู๋จื้อเห่าก็ยังเป็นของมือสองที่ซื้อมาจากเถาเป่า

ขณะที่อู๋จื้อเห่ากำลังพูด ชายกลางคนสวมชุดคลุมสีขาวก็เดินออกมาจากโซนประเมิณ

“นักเรียน!”

“ปราณและเลือดเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดในการสอบวิชายุทธ!”

“มีนักเรียนหลายคนที่ยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อผ่านการสอบ!”

“แต่ผมขอเตือนพวกเธอทุกคน พวกเธอมีแค่ชีวิตเดียวเท่านั้น หวงแหนชีวิตไว้ให้ดี!”

“ผู้ฝึกยุทธต้องสู้ ถูกต้อง แต่ไม่ใช่หลับหูหลับตาสู้!”

“หลายคนเตรียมเม็ดยาไว้รอสอบเพื่อให้ระเบิดปราณและเลือดได้ทันที นี่เป็นเรื่องที่ได้รับอนุญาต”

“แต่เธอต้องคิดให้ดี! นักเรียนบางคนถึงกับยอมกินยาที่เกินขีดจำกัดเพื่อให้ระเบิดพลังได้แรงขึ้น”

“มีนักเรียนแบบนี้ทุกปี มุทะลุเกินกว่าขีดจำกัด และจบลงด้วยการบาดเจ็บหรือตาย!”

“ผู้ฝึกยุทธไม่ใช่อันธพาล ไม่ใช่เดียรัจฉานที่ไม่มีสมอง!”

“ผู้ที่เชี่ยวชาญภาษาจะนำพาความสงบมาสู่ประเทศ ส่วนผู้ที่เชี่ยวชาญยุทธจะนำพาเสถียรภาพ”

“มีเพียงผู้ที่เชี่ยวชาญทั้งสองด้านเท่านั้นที่เรียกว่าผู้ฝึกยุทธ!”

“ถ้าเรามีเพียงความแข็งแกร่งทางกาย แต่ไม่คำนึงถึงการกระทำของตนเอง เราก็เป็นได้แค่อันธพาลและเดียรัจฉาน ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ!”

“ดังนั้นผมขอเตือนทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างการประเมิณ พวกเธอต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาเอง!”

ชายชุดกาวน์พูดอย่างเย็นชา นักเรียนที่กินยาซี้ซั้วจนร่างกายดูดซับไม่ไหวอาจถึงตายเลยทีเดียว

ประเทศต้องการผู้ฝึกยุทธที่มีปัญญา โดยเฉพาะผู้ที่ศึกษาในมหาลัยวิชายุทธได้ คนที่รู้จักยอมแพ้และเข้าใจตนเอง…

คนที่ทำตามเกณฑ์เหล่านี้ได้เป็นคนที่รัฐบาลต้องการ

เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำไมผู้ฝึกยุทธสามัญถึงไปได้ไม่ค่อยดีนักเป็นเพราะพวกเขาขาดความรู้เพื่อเติมเต็มความแข็งแกร่งทางกายที่ตนมี

ฟางผิงไม่ได้พูดอะไร แต่อู๋จื้อเห่ามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ

“เดียรัจฉานที่ไม่ใช้สมอง…”

อู๋จื้อเห่าพึมพำ คำพูดเหล่านี้ควรให้ฟางผิง

ฟางผิงไม่ได้แสดงอาการใดๆ แต่แล้วเขาก็นึกอะไรออก เขาขมวดคิ้วและพูดด้วยสีหน้ามืดมน “ไปไกลเลย!”

“หึหึ…”

อู๋จื้อเห่ามีความสุขมาก ในที่สุดเขาก็เอาเปรียบได้บ้าง

ตอนที่ปราณและเลือดของฟางผิงเพิ่มขึ้นสูงอย่างฉับพลันเป็นเพราะเขากินยาเกินขีดจำกัดร่างกายไม่ใช่หรือ?

ฟางผิงโชคดีเล็กน้อยที่เขาไม่ตาย

“ขณะนี้ การประเมิณปราณและเลือดจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!”

“นักเรียน เข้าห้องประเมิณตามหมายเลข ชื่อโรงเรียน ชื่อแซ่ และรหัสนักเรียนที่แสดงบนหน้าจอ หมายเลขนี้คือหมายเลขห้องที่นักเรียนต้องเข้าไป!”

ด้วยเสียงตะโกนของชายชุดกาวน์ นักเรียนจึงเงียบเสียงลงแล้วเงยหน้ามองหน้าจอ

“หมายเลข 01 โรงเรียนมัธยมปลายสือเหยียนเขตอันผิง หลี่เจ๋อปิน 2008340501176”

“หมายเลข 02 โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยาง เฉิงเสวี่ยเจี้ยน 2008340510336”

“…”

“หมายเลข 36 โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิง จางหนาน…”

“…”

นักเรียนหกสิบคนเดินออกจากกลุ่มเมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอ

จางหนานจากห้องสี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

จางหนานตัวแข็งเกร็งด้วยความกังวล เธอประหม่าเล็กน้อย ความสิ้นหวังอยู่ลึกลงไปในแววตา ไม่ว่าใครก็ดูออก

เธอรู้ว่าความเป็นไปได้ที่เธอจะเข้ามหาลัยวิชายุทธได้นั้นต่ำมากจนแทบไม่ต้องพิจารณา

ปราณและเลือดของเธอไม่ถึง 110แคลด้วยซ้ำ ลืมเรื่องสอบขั้นตอนอื่นไปได้เลย ขั้นตอนนี้เธอก็อาจล้มเหลวแล้ว

ขณะที่เธอก้าวไปข้างหน้า ก็มีคนตะโกนบอกเธอจากกลุ่มคน “จางหนาน ต่อให้ตกก็ไม่เป็นไร! ไว้เราไปเรียนสังคมศาสตร์ด้วยกัน!”

ฟางผิงและคนอื่นๆมองไปทางต้นเสียงข้างๆแล้วเห็นจางฮ่าวหน้าแดงก่ำซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนหลังตะโกนบอก

จางหนานที่เป็นกังวลตอนแรกหน้าแดงระเรื่ออย่างรวดเร็ว เธอไม่กล้าหันไปมอง เธอรีบไปทางโซนประเมิณอย่างรวดเร็ว

ชายชุดกาวน์ที่หายไปไหนไม่รู้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วเตือนเสียงต่ำ “เงียบ!”

จากนั้นเขาก็ชำเลืองมองจางฮ่าว แต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม

เด็กคนนี้มีปราณและเลือดกลางๆ แต่จังหวะจีบสาวดีมาก เขามีอนาคตที่สดใสอยู่ตรงหน้า!

…..

ณ ห้องควบคุมหลัก

วีดีโอของนักเรียนกลุ่มแรกที่เข้าห้องกระจกถูกส่งเข้ามาทางพวกเขาทันที

นอกจากวีดีโอ ห้องควบคุมหลักยังเชื่อมต่อกับหกสิบห้องวัดที่อยู่ข้างล่างด้วย ดังนั้นผลการประเมิณจะถูกส่งมาเป็นสิ่งแรก

มันจะถูกส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงศึกษาเช่นกัน

จินเค่อหมิงจ้องมองข้อมูลที่แสดงบนคอมพิวเตอร์ตรงหน้า

เมื่อนักเรียนกลุ่มแรกเข้าห้องและผลการประเมิณปรากฏขึ้น สีหน้าเขาก็บูดบึ้งมาก

เขาให้เม็ดยาฟางผิงโดยหวังว่าฟางผิงจะไปถึงขีดจำกัดครึ่งก้าวผู้ฝึกยุทธสูงสุด

แต่เขาย่อมเสี่ยงฝากทุกอย่างไว้กับคนเดียวไม่ได้ เขาเข้าใจเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงหวังว่านักเรียนเหล่านี้จะทำผลงานได้ดี

ถ้ามีนักเรียนมากกว่าร้อยคนที่ปราณและเลือดเกิน 120แคลปรากฏขึ้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาฟางผิง

ตอนนี้นักเรียนหกสิบคน ไม่มีคนไหนเลยที่มีปราณและเลือด 120แคล!

จินเค่อหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดเสียงเบา “มีนักเรียนกี่คนที่อยู่ในโซนประเมิณแรก?”

“มีผู้สมัครสอบ 3895 คน แต่มี 25 คนที่ถูกคัดออกในขั้นตอนตรวจสอบแผลเป็น การมองเห็นและกระดูก”

“ตอนนี้เหลือนักเรียนอยู่ 3870 คน…”

“นั่นหมายความว่าจะมีการประเมิณ 65 รอบ?”

จินเค่อหมิงพึมพำ โซนประเมิณแรกรวบรวมผู้สมัครสอบจากโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ในเมืองรุ่ยหยาง มันต้องมีคนที่มีปราณและเลือดถึง 120แคลห้าสิบคน

พูดอีกนัยนึง การประเมิณทุกสี่ครั้ง ต้องมีนักเรียนสามคนที่ผ่านเกณฑ์

เขาระงับความกังวลและไม่ได้พูดอะไร พาตัวเองจดจ่ออยู่กับบนหน้าจอ

นักเรียนกลุ่มแรกทำได้ไม่ดี ไม่มีใครถึง 120แคลเลย

นักเรียน 60 คนกลุ่มที่สองก็มีชะตากรรมเดียวกัน

กลุ่มที่สามก็เหมือนกัน มีคนนึงที่เกือบแล้ว ปราณและเลือดเขา 119แคล

กลุ่มที่สี่…

หลังผ่านไปหกกลุ่ม นักเรียนสามร้อยหกสิบคนก็ได้รับการประเมิณแล้ว

จินเค่อหมิงข่มความโกรธไม่ได้อีกต่อไป เขากัดฟันกรอดๆหันมามองถานเจิ้นผิงและคนอื่นๆ “ฉันยอมรับว่าทุกเขตในเมืองรุ่ยหยางไม่ได้แสดงความสนใจกับการศึกษาวิชายุทธมากพอ!”

“แต่งบการศึกษาเราแจกจ่ายอย่างใจกว้าง!”

“ยกตัวอย่างเขตอันผิง ปีก่อนงบการศึกษามีจำนวนถึง 280 ล้าน!”

“แล้วเงินไปอยู่ไหนหมด?”

“นักเรียน 360 คน เป็นสัดส่วนนักเรียนมัธยมปลายปีสามประมาณ 4000 คน แต่ไม่มีใครมีปราณและเลือดเกิน 120แคล!”

“แล้วเงินไปอยู่ไหนหมด?!”

“เวรเอ้ย!”

จินเค่อหมิงสบถ มีบางอย่างที่เขารู้ แต่ทุกคนชินกับการทำอะไรแบบลวกๆ

ก่อนที่จะเกิดเรื่อง เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะเงินที่พวกเขาใช้ไปมันไม่ใช่เงินเขา

ตอนนี้เขาจบเห่แล้ว พอคิดว่าคนอื่นคงปลอดภัย จินเค่อหมิงก็คิดที่จะลากคนให้ซวยไปด้วย

ถานเจิ้นผิงกับอีกสองคนรู้สึกจนปัญญา พวกเขาไม่กล้าโต้เถียงแม้แต่คำเดียว

เงินหายไปไหนงั้นเหรอ?

พวกเขารู้!

ภายใต้สถานการณ์ปกติ มันควรมีคาบสอนวิชายุทธอย่างเป็นมืออาชีพที่จ้างผู้ฝึกยุทธมาสอนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงอย่างโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิง

นอกจากนี้นักเรียนที่มีความสามารถควรได้ยา ควรเตรียมเม็ดยาอย่างเม็ดยาเติมเต็มเลือดและเม็ดยาเติมเต็มปราณให้กับนักเรียนครอบครัวยากจน

แต่เมืองหยางเฉิงไม่มีอะไรแบบนั้นเลย!

มันไม่ได้จำกัดแค่เมืองหยางเฉิง โรงเรียนส่วนใหญ่ในรุ่ยหยางก็ไม่มีเลย ยกเว้นแต่โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยาง เพราะอยู่ใต้จมูกเจ้าหน้าที่

เหตุการณ์นี้จะจบลงครึ่งทางถ้าไม่มีใครตรวจสอบเชิงลึก ไม่งั้นจะเกิดคลื่นลมขนาดใหญ่

ถ้าฟางผิงได้ยินบทสนทนา คำถามพวกนี้คงรบกวนจิตใจเขา

เขากำลังคิดอยู่เลยว่าทำไมถึงขาดคาบสอนวิชายุทธ ทั้งๆที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับวิชายุทธสูงมาก และรัฐบาลไม่น่าเชื่อถือแค่ไหนถึงได้ตัดสินใจปล่อยให้ผู้สมัครสอบเรียนเอง

อันที่จริง กฏและข้อบังคับเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่จริง

แต่มันนำไปใช้จริงได้ยาก

ยิ่งสถานที่ห่างไกลมากเท่าไหร่ มันก็นำไปใช้ได้ยากเท่านั้น มันก็เหมือนกับการศึกษาฟรีภาคบังคับเก้าปีของชีวิตก่อน นครใหญ่ๆนำไปใช้หลายปีแล้วหมู่บ้านอันห่างไกลถึงได้ใช้

จินเค่อหมิงโกรธมาก แต่การสอบก็ดำเนินต่อไป

นักเรียนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าห้องวัด ความผิดหวัง ความหดหู่ก็ซัดระลอกแล้วระลอกเล่า

หลังกลุ่มที่สิบ ถานเจิ้นผิงก็อุทานอย่างตื่นเต้น “ผู้อำนวยการ ดูสิ! อู๋จื้อเห่าจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิงถึง 120แคล!”

“หืม?”

จินเค่อหมิงมองเขา อารมณ์เขาสดใสขึ้น เขาพยักหน้าเบาๆ “โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิงทำได้ดี…”

เขาคดถึงหวังจินหยางและฟางผิง

ส่วนเจ้าหน้าที่เขตอันผิง…จินเค่อหมิงตัดสินใจแล้ว คราวนี้ถ้าเขารอด พวกสารเลวเขตอันผิงต้องตาย

เขาทุ่มทรัพยากรมากมายให้กับโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยาง ผลงานตรงหน้ามันช่างดีเหลือเกิน!

…..

ในโซนประเมิณปราณและเลือด

อู๋จื้อเห่าเดินออกมาด้วยสีหน้าค่อนข้างเหนื่อย

ฟางผิงกับเพื่อนๆเดินเข้ามาประคองเขา หยางเจี้ยนรีบกล่าว “เป็นไง?”

“ฉัน…ฉันไม่รู้ ฉันทำดีสุดแล้ว…”

อู๋จื้อเห่าหอบหายใจอย่างหนักและลดเสียงลง “เมื่อกี้ฉันแค่นึกถึงฟางผิงเด็กบัดซบ แต่ก่อนทั้งๆที่ไม่ดีเท่าเรา แต่ตอนนี้แซงหน้าเราไปแล้ว”

“ความรู้สึกอิจฉาและโกรธ บวกกับความอยากสับเขาให้ตายระเบิดออกมาทีเดียว!”

“ฉันคิดว่าฉันคงทำได้ดีอยู่…”

แววตาของหยางเจี้ยนเปล่งประกาย เขารีบกล่าว “จริงเหรอ?”

“จริง!” อู๋จื้อเห่าหอบ “นอกจากนี้ฉันกินยาปราณและเลือดด้วย ฉันคิดว่าปราณและเลือดฉันคงไม่ต่ำกว่า 118แคล แต่มันอาจสูงกว่าก็ได้”

“เจ๋งมาก!”

คนอื่นๆต่างก็อิจฉา ในทางกลับกันฟางผิงดูโกรธมากราวกับอยากเตะเขาให้ตาย

ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงคิดถึงเขาตอนระเบิดปราณและเลือด? ทำไมถึงไม่นึกถึงหนังผู้ใหญ่แทน?

ขณะที่พวกเขาคุยกัน จู่ๆหยางเจี้ยนก็พูดขึ้น “ตาฉันแล้ว!”

อู๋จื้อเห่ากล่าวให้กำลังใจ “สู้ๆ! คิดถึงตอนฟันฟางผิงจนตาย…”

“ไอ้เวร!”

ฟางผิงสบถและผลักเขาไป

อู๋จื้อเห่าไม่คิดมาก เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ฉันจะออกไปรอพวกนายข้างนอก คราวนี้ฉันทำได้ไม่เลว ไว้ฉันจะเลี้ยงข้าวนายนะ ฉันขอบใจนายจริงๆ!”

“นายจะไปไม่ไป!”

“ก็ได้ ไปแล้ว!”

“…”

ณ ห้องควบคุมหลัก

ผู้ฝึกยุทธจากจากอันผิงกล่าวอย่างประหลาดใจ “ปราณและเลือดหลัวหยางถึง 122แคลแล้ว! เขามาจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยาง!”

“เซี่ยซิงยี่ 121แคล! โรงเรียนมัธยมปลายสือเหยียนเขตอันผิง!”

“จ้าวเสวี่ย 124แคล! เธอมาจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางเหมือนกัน!”

“…”

เจ้าหน้าที่รับผิดชอบการศึกษาเขตอันผิงยิ้มเหมือนคนโง่

เมื่อกี้เขาเกือบช็อคตาย สายตาของจินเค่อหมิงน่ากลัวมาก

เนื่องจากเหตุผลอะไรไม่ทราบได้ เหล่านักเรียนเขตอันผิงที่มีปราณและเลือดสูงต่างก็อยู่กลุ่มหลังๆ ตอนนี้มีหกคนแล้วที่มีปราณและเลือดเกิน 120แคลจากอันผิงที่อยู่สามกลุ่มล่าสุด

ซึ่งหมายความว่ามีแปดคนแล้วที่มาจากเขตอันผิง

เมืองหยางเฉิงมีสี่

เมืองซิงซีมีสองคนเท่านั้น และนักเรียนครึ่งนึงก็ผ่านการประเมิณแล้ว

จินเค่อหมิงยอมแพ้กับคนเหล่านี้แล้ว เขาไม่สนใจท่าทีมีความสุขของเจ้าหน้าที่เขตอันผิง เขาถามน้ำเสียงแผ่วเบา “ฟางผิงอยู่กลุ่มไหน?”

เจ้าหน้าที่ศูนย์ประเมิณมองตัวแทนจากกรมสืบสวนและทีมตรวจสอบ เขาไม่รู้จะตอบดีหรือไม่

หนึ่งในทีมตรวจสอบจากกระทรวงศึกษายิ้ม “มันไม่น่ามีปัญหา ถ้าผู้อำนวยการจินอยากรู้ คุณก็ตรวจสอบให้เขาเถอะ”

จินเค่อหมิงยิ้มเชิงขอบคุณ จากนั้นเขาก็จ้องมองหน้าจอลวกก่อนจะหันไปมองถานเจิ้นผิง “ถานเทาเป็นลูกคุณใช่ไหม?”

“ไม่เลว 121แคล”

ถานเจิ้นผิงกล่าวอย่างเป็นกังวล “เขาแค่ธรรมดา เขาเทียบลูกชายท่านไม่ได้หรอก…”

จินเค่อหมิงไม่ได้พูดต่อ เขารอผลการตรวจสอบจากศูนย์ประเมิณ

หลังจากนั้นสักครู่ก็มีคนพูดขึ้น “ฟางผิงจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิงอยู่กลุ่มที่ 46 ตอนนี้กำลังประเมิณกลุ่ม 31 ท่านต้องรออีกพักนึง”

“ขอบใจ”

จินเค่อหมิงพูดขอบคุณ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

แม้ว่าอัจฉริยะจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางประเมิณปราณและเลือดได้ 132แคล เขาก็ไม่ได้พูดอะไร

เวลาค่อยๆไหลผ่านไป

ทันใดนั้นเองถานเจิ้นผิงก็เตือนเสียงเบา “ผู้อำนวยการ ถึงตาฟางผิงแล้ว!”

จินเค่อหมิงให้ความสนใจมาตลอด เขาย่อมเห็น เขาหรี่ตาจ้องมองการวิเคราะห์ข้อมูลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และกล้องของห้องหมายเลข 6 ตาไม่กระพริบ

…..

ห้องหมายเลข 6

เมื่อฟางผิงเข้ามา เขาก็รู้สึกคับแคบและอึดอัดเกินไปนิด

เขาสังเกตเห็นกล้องหลังเครื่องสแกนในห้อง

จากนั้นฟางผิงก็พลันหยิบเม็ดยาจากกระเป๋าเอาใส่มือ แล้วกลืนลงไป

เขาไม่ได้กลืนเม็ดยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งสามเม็ดที่ได้มาตอนหลัง แต่เขากินยาปราณและเลือดธรรมดาที่ถานเจิ้นผิงให้มาแทน

เมื่อกี้เขาอ้างว่าเขาใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว แถมยังมีกล้องอยู่ทั้งในห้องประเมิณและศูนย์ประเมิณ

ถ้าผู้อำนวยการตรวจดูกล้องวงจรปิดแล้วไม่เห็นว่าเขากินยา มันจะไม่บ่งบอกว่าเขาโกหกเหรอ?

ฟางผิงเข้าใจกระบวนการคิดของผู้มีอำนาจ ต่อให้ผู้อำนวยการบรรลุเป้าหมาย แต่เขาก็ยังโกรธอยู่บ้าง

ตอนนี้เขาเสียยาปราณและเลือดธรรมดาไป ต่อให้มันไม่ใช่ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง แต่อีกฝ่ายก็คงสบายใจขึ้น อย่างน้อยฟางผิงก็คิดถึงความรู้สึกเขา

หลังกลืนยา ฟางผิงก็รู้สึกถึงปราณและเลือดพลุ่งพล่านออกมาจากช่องท้อง

“ความรู้สึกนี้มัน…” ฟางผิงแววตาเปล่งประกาย “ปราณและเลือดพรั่งพรูแบบนี้ให้ความรู้สึกต่างออกไป!”

ปราณและเลือดที่ได้จากเม็ดยาให้ความรู้สึกเหมือนปราณและเลือดจากการขัดเกลาด้วย’เคล็ดเสริมสร้าง’

พูดอีกนัยนึง ปราณและเลือดในเม็ดยาขัดเกลามากกว่าที่ได้จากระบบ มันไม่จำเป็นต้องขัดเกลาเพิ่ม

“แบบนี้นี่เอง…”

ฟางผิงอยู่ห้วงภวังค์ ปราณและเลือดที่ถูกแปลงจากระบบเบาบางเกินไปหน่อย ซึ่งทำให้ไม่มีประสิทธิภาพมากพอทะลวงคอขวด

บางทีเขาอาจกินยาช่วยให้ทะลวงคอขวด 150แคลไปได้!

เขาไม่ได้คิดนานนัก เขารออยู่ครู่นึง จากนั้นเขาก็คำรามออกมาอย่างรุนแรงพร้อมกับระเบิดพลังปราณและเลือด!

…..

ในห้องควบคุมหลัก

จินเค่อหมิงกำหมัดแน่น เขาจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดูตัวเลขที่เปลี่ยนไปมาอย่างตั้งใจ หัวใจเขาเหมือนทะลุออกจากลำคอ

ห้าวินาทีต่อมา จินเค่อหมิงก็พลันชกหมัดออกไป มันเร็วจนอากาศระเบิด

“ยอดเยี่ยม!”

“ผู้อำนวยการจิน!” ชายสองสามคนที่อยู่ข้างหลังก็ผุดลุกขึ้นมา คนจากทีมตรวจสอบขมวดคิ้ว “ควบคุมตัวเอง!”

ผู้ฝึกยุทธขั้นสามอย่างจินเค่อหมิงทำลายห้องควบคุมได้โดยง่ายหากไม่ควบคุมตัวเอง

จินเค่อหมิงพยักหน้าตอบรับอย่างตื่นเต้น เขาโล่งอกจนยิ้มกว้างไม่หุบ ต่อให้มีคนตำหนิเขา เขาก็ไม่สนใจ

“149แคล!”

“เขาเป็นครึ่งก้าวผู้ฝึกยุทธสูงสุดจริงๆ!”

“ฟางผิง ยอดเยี่ยม!”

“…”

จินเค่อหมิงแทบอดใจระเบิดเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวถูกส่งไปถ้ำใต้ดินแล้ว!

ตัวแทนคนอื่นๆก็ประหลาดใจเช่นกัน พนักงานที่รับผิดชอบการส่งข้อมูลพูดพึมพำ “เมื่อกี้มันใกล้ถึง 150แคลแล้ว…”

สุดท้ายมันก็หยุดที่ 149แคล ซึ่งบ่งบอกว่าฟางผิงยังไม่ได้ทลายขีดจำกัด!

ถ้าปราณและเลือดเขาถึง 150แคล เขาก็จะไม่ใช่ครึ่งก้าวผู้ฝึกยุทธอีก ผู้ที่มีปราณและเลือดถึง 150แคลก็เป็นผู้ฝึกยุทธไปครึ่งนึงแล้ว พวกเขาแค่บรรลุอีกนิดก็ถึงเป้าหมายแล้ว

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Score 10
Status: Completed

เรื่องย่อ

 

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

 

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

 

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

 

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

 

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

 

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

Options

not work with dark mode
Reset