World’s Best Martial Artist 30 เงื่อนไขการบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ

ตอนที่ 30 เงื่อนไขการบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ

ตอนที่ 30 เงื่อนไขการบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ

หวงปินอยากหนี แต่เขาไม่ยอมรับว่ามีของที่ดีกว่าอยู่กับตัว

ในความคิดของฟางผิง หวงปินย่อมปฏิเสธแน่นอน

อย่างไรก็ตามมันไม่สำคัญสำหรับฟางผิง เขาถือมีดปลายปืนเคาะกับพื้นสองสามครั้งแล้วถาม “ดูเหมือนคุณจะเคยก่อคดีนะ คุณฆ่าคนไปมากใช่ไหม?”

หวงปินไม่ได้ตอบ

ถ้าเขาตอบคำถามไม่ดี ปัญหาจะตามมาแน่นอน

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตอบ ฟางผิงก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก เขารู้คำตอบแล้ว

อย่างไรก็ตาม เวลานี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก

“ฉันจะถามคำถามอีกข้อ ถ้าฉันพอใจคำตอบคุณ ฉันอาจพิจารณาคำขอคุณก็ได้”

“ถามมา” หวงปินกล่าวอย่างสงสัย

“ผู้ฝึกยุทธคืออะไร?”

คำถามนี้ค่อนข้างไม่ประสา และคนอื่นอาจหัวเราะให้กับคำถามเขา

มันไร้สาระมากที่คนไม่รู้จักผู้ฝึกยุทธ แต่ดันดินบนเส้นทางวิชายุทธ…

ตลกแล้ว!

ถึงกระนั้น หวงปินก็ไม่ได้พบว่ามันตลก

ยกเว้นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงและคนที่ถูกสั่งสอนจากตระกูลโบราณ มีคนไม่มากนักที่รู้ว่าผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงคืออะไร

ฟางผิงไม่ได้ถามว่าผู้ฝึกยุทธคืออะไร แต่เป็นทำยังไงถึงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ ตัวอย่างเขาถามเรื่องข้อกำหนดของการเป็นผู้ฝึกยุทธและคำนิยามของผู้ฝึกยุทธ…

อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความลับ

เจ้าหน้าที่ไม่ได้ประกาศเงื่อนไขสู่สาธารณะด้วยเหตุผลหลายประการ ภายใต้สถานการณ์ปกติ คนปกติจะเรียนเรื่องนี้ได้ก็ต่อเมื่อหลังเข้ามหาลัยวิชายุทธ

ถ้าหวังจินหยางอยู่ด้วย เขาคงกล่าว “นายจะรู้ตอนเข้ามหาลัยวิชายุทธ”

อย่างไรก็ตามหวงปินไม่ใช่หวังจินหยาง เวลานี้ชีวิตไม่ได้อยู่ในมือเขาด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นความลับยิ่งกว่านี้ก็ไม่ใช่ความลับแล้ว

เขาอยากขุดหลุมฟางผิงสักครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังห่างไกลจากผู้ฝึกยุทธ คงมีแต่พระเจ้าที่รู้แล้วอีกกี่ปีอีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกยุทธ

ตอนนี้ขุดหลุมไปก็ไร้ความหมาย

ด้วยความคิดนี้ หวงปินจึงตอบไปตามตรง “ผู้ฝึกยุทธคือคนที่ทำลายขอบเขตร่างกายมนุษย์ จะเป็นผู้ฝึกยุทธได้ นายต้องทะลวงขีดจำกัด อย่าพึ่งพูดถึงผู้ฝึกยุทธขั้นกลางหรือขั้นสูง นายยังอยู่อีกห่างไกล มาพูดถึงผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำกันก่อน”

“อย่างที่ฉันเคยบอกนาย ผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำส่วนใหญ่จะฝึกฝนความแข็งแกร่งของกระดูกและฝึกกล้ามเนื้อและผิวหนังเป็นตัวสนับสนุนไปพร้อมกัน ส่วนปราณและเลือดเป็นพื้นฐานของฝึกฝนกระดูก กล้ามเนื้อและผิวหนัง สรุปก็คือด้วยการมีปราณและเลือดที่แข็งแกร่งเป็นรากฐาน รวมกับกระดูกที่แข็งแรง เราจะมีคุณสมบัติทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ”

หลังหวงปินอธิบาย ฟางผิงก็เข้าใจเส้นทางของผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงแล้ว

ในขณะเดียวกัน ฟางผิงก็จำคำพูดของหวังจินหยางไว้

ตอนที่เขาไปรับหวังจินหยาง หยางเจี้ยนกับเพื่อนๆได้คุยเรื่องผู้ฝึกยุทธที่มาสอบเกาเข่า

หวังจินหยางบอกว่าคนเหล่านั้นไม่เพียงแต่ต้องมีพรสวรรค์เท่านั้น แต่ฐานะครอบครัวพวกเขาต้องดีด้วย และมีผู้ฝึกยุทธอย่างต่ำขั้นสี่คอยดูแล

ตอนแรกฟางผิงไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

ตามที่หวงปินบอก การทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ อย่างน้อยต้องผ่านข้อกำหนดสามข้อ

ก่อนอื่นเลยคือ ปราณและเลือด

นักเรียนที่เข้าสาขาวิชายุทธต้องมีค่าปราณและเลือดอย่างน้อย 110 แคล อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นมาตรฐานของผู้ฝึกยุทธ

การเป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง ปราณและเลือดของพวกเขาต้องมีอย่างน้อย 150 แคล

แน่นอนถ้ามีปราณและเลือดสูงกว่านี้ก็ดีกว่า แต่มันไม่ควรสูงกว่า 200 แคล ไม่งั้นด้วยร่างกายของผู้ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ มันเป็นข่าวร้ายเลยทีเดียวที่มีปราณและเลือดสูงแบบนี้

อย่างที่สอง ความแข็งแกร่งของกระดูก

คนธรรมดาอยากทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธต้องมีกระดูกที่แข็งแกร่ง อย่างน้อยที่สุดมันต้องต้านทานการปะทุของปราณและเลือดได้หลังบรรลุการทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ

การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกระดูกไม่สามารถบรรลุด้วยการใช้ยา มันต้องอาศัยเคล็ดวิชาฝึกฝนที่เหมาะสม

นี่เป็นข้อกำหนดที่สามเช่นกัน เคล็ดวิชา

เคล็ดวิชาพื้นฐานส่วนใหญ่มีผลต่อการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของปราณและเลือดและกระดูก

ไม่งั้น ถ้าใช้ยาอย่างเดียว มันคงเป็นเรื่องยากที่คนธรรมดาจะมีปราณและเลือดสูงถึง 120 แคล ไม่ต้องพูดถึงมากกว่า 150 แคลเลย

แน่นอน เรายังจำเป็นต้องมีพื้นฐานบางอย่างเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาเหล่านั้น ปกติแล้วอย่างน้อยเราต้องมี 110 แคลถึงเริ่มต้นได้…

ไม่งั้น ถ้าไม่มีปราณและเลือดเพียงพอ หลังการฝึกฝน เราอาจป่วยและทำร้ายร่างกายตัวเอง

นี่เป็นอีกเหตุผลเช่นกันที่ทำไมมหาลัยวิชายุทธถึงกำหนดรับนักศึกษาที่มีปราณและเลือดสูง

อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาไม่ได้ถ่ายทอดกันง่ายขนาดนั้น

ถ้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ การถ่ายทอดเคล็ดวิชาเป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาด

ถ้ามีการถ่ายทอดกัน มันจะถือเป็นอาชญากรรม

เมื่อหวงปินกล่าวจบ เขาก็ไม่ได้มีสีหน้าไม่พอใจ กลับกันเข้ามีสีหน้าเข้าใจแทน

ทำไมถึงห้ามถ่ายทอดหรือเผยแพร่เคล็ดวิชาเว้นแต่จะเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสี่งั้นเหรอ?

มันไม่ใช่เพื่อกีดกันผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำกับคนธรรมดา แต่มันเป็นการป้องกัน

เมื่อกึ่งผู้ฝึกยุทธอยากทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ พวกเขาจะได้สัมผัสกับการปะทุของปราณและเลือด

ถ้าไม่มีอาจารย์ชี้แนะ ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจส่งผลให้เส้นเลือดระเบิด เพราะปราณและเลือดที่พลุ่งพล่านจะทะลวงอวัยวะภายใน

กรณีเล็กน้อยคือบาดเจ็บสาหัส กรณีร้ายแรงคือบาดเจ็บถึงตาย

ดังนั้นอย่างน้อยเราจึงต้องมีผู้ฝึกยุทธขั้นสี่มาถ่ายทอดวิชายุทธ นอกจากนี้มันยังเพื่อป้องกันการถ่ายทอดเคล็ดวิชาที่ผิดกฏหมาย

มันจะเป็นอันตรายหากไม่มีการแนะนำและการป้องกันจากคนที่มีประสบการณ์มากกว่า

ช่วงไม่กี่ปีก่อน การถ่ายทอดเคล็ดวิชายังไม่มีข้อจำกัดมากมายขนาดนี้

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุนี้เอง คนธรรมดามากมายที่ได้เคล็ดวิชามาหวังกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ ยอมรับความเสี่ยงนั้นและเสียชีวิตจำนวนมากทุกปี

มันมีคนประสบความสำเร็จจริง แต่มีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น

ในหมู่ร้อยคน มีอย่างน้อย 1% ที่ประสบความสำเร็จกลายเป็นผู้ฝึกยุทธโดยไม่ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม

ส่วนคนที่เหลือ มีทั้งยอมแพ้หรือเส้นเลือดระเบิดตอนฝึกฝน

มันไม่เหมือนกับยุคโบราณ สมัยนี้ชีวิตมนุษย์มีความสำคัญมาก

เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีกครั้ง จึงมีการกำหนดข้อจำกัดขึ้นมา

มีแต่ผู้ฝึกยุทธขั้นสี่และเหนือกว่าเท่านั้นที่สามารถช่วยคนธรรมดาพยายามทะลวงขั้น

สุดท้ายรัฐบาลก็ทำการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นรวมถึงกฏหมายที่ตัวแทนทางกฏหมายของคลาสฝึกฝนวิชายุทธจำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสี่เป็นอย่างน้อย

เมื่อพูดถึงคนธรรมดาที่พยายามทะลวงขั้น เว้นแต่ไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้หรือถูกบังคับให้ทำ พวกเขามักจะต้องหาผู้ฝึกยุทธขั้นสี่มาช่วยปราบปรามการปะทุของปราณและเลือด

คลาสฝึกฝนวิชายุทธมีราคาแพงมาก เหตุผลหลักไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชา แต่เป็นความปลอดภัย

คนที่เข้าเรียนมีสิทธิ์ร้องขอให้ผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ช่วยปกป้องระหว่างทะลวงขั้น

ถ้าทะลวงล้มเหลว ผู้ฝึกยุทธขั้นสี่จะช่วยควบคุมการปะทุของปราณและเลือด

สถานการณ์นี้ก็เหมือนกับมหาลัยวิชายุทธทุกแห่ง

เมื่อนักศึกษากำลังทะลวงขั้น พวกเขาสามารถขอให้ผู้ฝึกยุทธขั้นสี่มาช่วยเหลือ

…..

ปราณและเลือด ความแข็งแกร่งของกระดูก และเคล็ดวิชาเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสามข้อ

ส่วนที่เหลือก็คือทรัพยากร ได้แก่เม็ดยาปราณและเลือด เม็ดยาเสริมสร้างกระดูก เม็ดยาป้องกันอวัยวะภายใน เป็นต้น

ถ้าพวกเขามีฐานะดี พวกเขาก็จะเตรียมตัวได้มากขึ้น ถ้ามีฐานะไม่ดี พวกเขาก็จะเตรียมความพร้อมได้น้อยลง

ถ้าพวกเขาไม่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสี่อยู่ในครอบครัว งั้นมันก็จะเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธก่อนเกาเข่า มันจะเสี่ยงเกินไป

แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นสามก็ไม่สามารถปราบปรามการปะทุของปราณและเลือดตอนทะลวงขั้น

…..

หลังฟังคำพูดของหวงปิน ฟางผิงก็ขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นแบบนั้น ถ้าไม่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสี่อยู่ด้วย คนธรรมดาจะเป็นผู้ฝึกยุทธไม่ได้เลยงั้นเหรอ?”

หวงปินคุ้นชินกับความกังวลของฟางผิงอย่างน่าเหลือเชื่อ

ไม่ใช่แค่ฟางผิงเท่านั้นที่กังวล ทุกคนอยากเป็นผู้ฝึกยุทธเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นข้อจำกัดการถ่ายทอดเคล็ดวิชาจะไม่มีอยู่

มันเป็นเพราะมีคนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ ข้อกำหนดการถ่ายทอดเคล็ดวิชาถึงเกิดขึ้น

ถ้าเป็นลูกหรือญาติหวงปิน เขาจะบอกกล่าวให้ชัดเจนแน่นอน

ต่อให้เขาทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสาม ถ้าลูกเขาอยากทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ เขาจะหาผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ที่เก่งที่สุดมาคอยช่วยเหลือแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ใครคือฟางผิง? ญาติก็ไม่ใช่

ถึงเวลาวางอุบายแล้ว!

ดังนั้นเมื่อฟางผิงถามเขา เขาจึงรีบกล่าว “ผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น”

“ตราบใดที่พื้นฐานมั่นคง มันอาจมีความเสี่ยง แต่ก็ไม่ได้มากอะไรนัก”

“สมัยก่อนไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับการปกป้องจากผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ ผู้ฝึกยุทธอาวุโสส่วนใหญ่ก็อาศัยตัวเองทะลวงขั้น”

“ถ้านายทะลวงขั้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกก็ไม่มีอันตรายอะไร”

“มีอัจฉริยะมากมายที่ไม่ต้องการคำแนะนำ เพราะพวกเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก”

เมื่อพูดจบ เขาก็ชำเลืองมองฟางผิง

ราวกับเขาจะบอกว่า ‘นายเป็นอัจฉริยะ ไม่เป็นไรหรอก ทะลวงไปเลย นายไม่ตายแน่นอน!’

คนหนุ่มสาวไม่รู้ความยิ่งใหญ่ของผืนฟ้า พวกเขาต่างก็คิดว่าตนเองพิเศษ

เมื่อพูดถึงการรับมือกับคนหนุ่มสาว เราก็แค่ยกยอพวกเขาก็พอ

ถ้าพวกเขาถูกยกยอ พวกเขาก็จะมีความสุข ถ้าพวกเขาถูกดูถูก พวกเขาก็จะคิดว่าตัวเองถูกประเมิณต่ำไป

หวงปินรู้ว่าคนหนุ่มคิดอะไร เพราะเขาเคยผ่านมา

คิดย้อนกลับไป เขาก็มั่นใจว่าตนเองจะทะลวงขั้นสำเร็จโดยไม่ต้องมีคนคอยช่วยเหลือเช่นกัน

แต่อย่าแม้แต่จะคิดเลย แม้แต่ในมหาลัยวิชายุทธ นักศึกษาใหม่ทุกปีมีโอกาสทะลวงล้มเหลวถึง 50%

ตอนที่หวงปินเรียนคลาสฝึกฝนวิชายุทธ เขาเกือบตายไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงระวังตัวมากขึ้น

อย่างไรก็ตามถ้าฟางผิงอยากลอง หวงปินก็มีความสุขมากที่ได้เห็นเขาทำแบบนั้น

ถ้าเจ้าหนูนี่มีชีวิตรอดจนถึงตอนนั้นน่ะนะ

เมื่อเห็นฟางผิงถามเรื่องผู้ฝึกยุทธ เขาก็อยากให้อีกฝ่ายทะลวงโดยเร็วที่สุด ถ้ามันลองทะลวงจนตายคงดีมาก

น่าเศร้า เจ้าหนูนี่ยังไม่มีคุณสมบัติ ดังนั้นต่อให้ต้องการ มันก็ทะลวงไม่ได้

ฟางผิงไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา เขาย่อมรู้ว่าหวงปินคิดอะไร เขาหัวเราะออกมา

อันที่จริง ฟางผิงก็เคยคิดมาก่อน

เขาไม่มั่นใจว่าเขาเป็นอัจฉริยะไหม แต่เขายังมีข้อได้เปรียบอยู่

บางทีมันอาจทำให้เขาเป็นอัจฉริยะก็ได้ใครจะรู้?

เนื่องจากเขายังมีหนทางอีกยาวไกลกว่าจะทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ เขาจึงไม่คิดเรื่องนี้มากนัก

ถ้าเขาเข้ามหาลัยวิชายุทธได้ เขาก็จะมีอาจารย์คอยให้คำแนะนำ เขาไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง

ด้วยความคิดแบบนี้ ฟางผิงจึงถามอีกครั้ง “คุณฝึกเคล็ดวิชาบางอย่างใช่ไหม?”

“ใช่!”

หวงปินตอบทันที “ผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำปกติจะฝึกเคล็ดวิชาพื้นฐาน เคล็ดวิชาที่ใช้ในคลาสฝึกฝนวิชายุทธและมหาลัยวิชายุทธส่วนใหญ่จะเหมือนกัน”

“มีกระดูกมากมายในร่างกายมนุษย์ เคล็ดวิชาบางอย่างก็เน้นที่กระดูกขา บางวิชาก็เน้นแขน”

“แต่เคล็ดวิชาทั้งสองก็มีความต่างไม่มาก มันเป็นแค่เรื่องของลำดับ”

“การเสริมสร้างกระดูกไม่ได้เสร็จในวันเดียว ตอนเราทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ กระดูกจะแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น”

“แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำจนถึงผู้ฝึกยุทธขั้นสามก็เน้นเพิ่มความแข็งแกร่งของกระดูกอย่างต่อเนื่อง”

“แล้วนายล่ะ?”

สายตาของหวงปินปรากฏร่องรอยซุกซน เขาพูดต่อ “ฉันฝึกเคล็ดวิชาพื้นฐานมากว่ายี่สิบปี แน่นอนว่าฉันจำได้ทุกตัวอักษร ฉันไม่จำเป็นต้องพกพวกคัมภีร์ติดตัวไปไหนมาไหน”

“ทั้งหมดมันอยู่ในหัว ถ้านายปล่อยฉันไป ฉันจะถ่ายทอดให้นายทันที”

ฟางผิงเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่มีคัมภีร์วิชาอยู่กับตัว

ถ้าอีกฝ่ายมีจริง เขาคงสังเกตเห็นไปแล้ว

อย่างไรก็ตามเรื่องที่หวงปินบอกจะให้เขา เขาไม่เชื่อเลย

เขาหยุดคิดเรื่องเคล็ดวิชาแล้วไปคิดเรื่องจะทำยังไงต่อแทน

ควรฆ่าไหม?

เป็นตามที่หวงปินบอก เจ้าหน้าที่เมืองหยางเฉิงจะรู้เรื่องไม่ช้าก็เร็ว เนื่องจากอีกฝ่ายซ่อนตัวเสมอ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหลีกเลี่ยงการติดตาม

ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าฟางผิงจะมีอายุจิตใจมากกว่าที่เห็นภายนอก แม้ว่าเขาจะเคยทำเรื่องไม่ดีมามาก แต่เขาก็ไม่เคยฆ่าคน

เขาไม่กล้าฆ่าหวงปิน

อย่างไรก็ตามถ้าเขาไม่ฆ่าหวงปิน พอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง มันจะอันตรายมาก

สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการส่งอีกฝ่ายไปสถานีตำรวจ

ปัญหาคือ

ฟางผิงมองของตรงหน้า ถ้าเขาส่งหวงปินให้ตำรวจ ตำรวจจะยึดของพวกนี้ไหม?

อย่าล้อเล่นน่า!

ของมีราคาหลายล้าน ของบางอย่างมีเงินก็ซื้อไม่ได้ ยกตัวอย่างเม็ดยาเสริมสร้างกระดูก กับเม็ดยาป้องกันอวัยวะภายใน มันเป็นสิ่งที่เขาซื้อไม่ได้ด้วยสถานะปัจจุบัน

แล้วเขาควรทำยังไงกับหวงปินดี?

เขาคิดจนปวดหัว เจ้าหมอนี่เป็นปัญหาเล็กน้อย

เขาจะจัดการหวงปินแน่นอน แต่จะจัดการยังไงดี? เขาจะส่งอีกฝ่ายไปสถานีตำรวจไม่ได้ ไม่งั้นเขาจะไม่เหลืออะไรเลย

เขาเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีโอกาสเจรจากับเจ้าหน้าที่

หลังเงียบไปสักครู่ ฟางผิงก็ได้ข้อสรุปในหัว

ฟางผิงเมินสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังของหวงปิน เขาเดินไปเอาไม้ที่เหลืออยู่ครึ่งท่อน

เมื่อหวงปินเห็นฟางผิงเดินเข้ามาพร้อมไม้ในมือ สีหน้าเขาก็มืดมน เขาถามอย่างเป็นกังวล “ดะ เดี๋ยว…นายจะทำอะไร?”

“คุณอันตรายเกินไป ทำให้คุณหมดสติดีกว่า”

“อย่า…อย่าเข้ามาใกล้!”

“เลิกโวยวายได้แล้ว ถ้ามีคนได้ยิน นายจะมีปัญหามากกว่า”

หวงปินอยากกรีดร้อง เขาอยากกรีดร้องสุดเสียง แต่เมื่อเขาตระหนักว่ามันจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น เขาก็หยุด

เขาไม่กล้าโวยวาย และฟางผิงก็ไม่ได้เห็นใจเลย

“โป๊ก!”

ไม้ฟาดใส่หัวเขาอีกครั้ง หวงปินอยากตายซะเดี๋ยวนี้เลย เขาอยากหมดสติไปซะ

อย่างไรก็ตามต่อให้เขาแสร้งหมดสติ ฟางผิงก็ไม่ได้สงสารเขา เขาถูกฟาดที่หัวอีก 5-6 ครั้ง

ฟางผิงไม่หยุดจนกระทั่งเสียงครวญครางของหวงปินเบาบางลง

เขาบ่น “หัวแข็งชะมัด”

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Score 10
Status: Completed

เรื่องย่อ

 

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

 

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

 

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

 

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

 

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

 

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

Options

not work with dark mode
Reset