World of Warcraft ราชันต่างภพ 613

ตอนที่ 613

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล

เสียงคำรามพร้อมควันไฟพวยพุ่งจากปากกระบอกปืนของรถถังที่เรียงรายอยู่แนวหน้า เหล่าคิเมร่าต่างโผบินขึ้นสู่ฟ้าพร้อมปรับรูปขบวนเป็นร่างแหคลี่คลุมทั่วกองทัพฝ่ายตน เหล่านักรบทัวเรนที่ระดับล้วนเกินสิบต่างพุ่งเข้าหาพวกปีศาจอย่างอาจหาญ ด้วยกองหน้าที่แข็งแกร่ง การโจมตีอย่างบ้าคลั่งของพวกปีศาจในช่วงเริ่มต้นจึงถูกยันเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม พวกปีศาจมีมากเกินไป เป็นการยากที่จะต้านทานพวกปีศาจอย่างสมบูรณ์โดยพึ่งพาเพียงกองทัพพันธมิตรมนุษย์ ในตอนนั้นเอง เสียงกีบเท้าอาชาก็ดังขึ้นแทกรเสียงการสู้รบ และที่ด้านหลังของกองทัพปีศาจก็ปรากฏกลุ่มอาชาที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมตัวโถมเข้าหากองทัพปีศาจ อาร์ทัส! ในช่วงเวลาสำคัญ อาร์ทัสนำกองทัพอันเดดเข้าสู่สนามรบ ที่ด้านหลังของอาร์ทัส กองทัพอันเดดที่แน่นขนัดกำลังเคลื่อนพลติดตามหลังมา มังกรน้ำแข็งนับร้อยตัวกางปีกสยายพลางกู่คำรามกึกก้องท้องฟ้า นักรบของทั้งสองฝ่ายต่างตะลึงงัน ไม่ว่าฝ่ายใดก้คาดไม่ถึงว่ากองทัพอันเดดจะปรากฏตัวออกมาในเวลานี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกมันไม่ใช่ฝ่ายมนุษย์หากแต่เป็นฝ่ายทหารทมิฬและปีศาจ โฮก………. อาร์ทัสกู่ร้องพลางควบอาชากวัดแกว่งดาบฟรอสต์มัวร์ผ่าร่างของปีศาจเป็นสองส่วน กลิ่นอายทรงพลังพลันปะทุขึ้นจากร่างของอาร์ทัส อาร์ทัสในเวลานี้ประดุจมัจจุราชคร่าวิญญาณ ทุกที่ที่เขามุ่งไปล้วนเต็มไปด้วยความตาย หลังจากบรรลุถึงขั้นที่เจ็ด อาร์ทัสก็เปลี่ยนแปลงไปมาก กระทั่งบรรลุระดับที่สูงที่สุดที่เขาเคยบรรลุ ราชันย์อมตะ ต้องทราบว่า เมื่ออาร์ทัสบรรลุถึงขั้นราชันย์อมตะ เขาก็แทบจะไร้เทียมทาน และไม่ทราบต้องใช้ยอดนักรบมากมายเพียงใดเพื่อต้านทานเขาเอาไว้ หนึ่งดาบฟรอสต์มัวร์กวัดแกว่งออก โลหิตของปีศาจสาดกระเซ็น ตลอดทางมีซากศพนอนทอดยาว พร้อมกับเสียงร่ายมนต์ที่ดังขึ้น ศพของเหล่าปีศาจที่สิ้นชีพไปแล้วก็ลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้อีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ศัตรูของพวกมันคืออดีตสหายร่วมรบของพวกมันเอง หลังจากบรรลุขั้นที่เจ็ด พลังในการควบคุมเหล่าอันเดดของอาร์ทัสก็เพิ่มขึ้นมหาศาล มากเพียงพอจะเปลี่ยนศพปีศาจทุกศพมาเป็นนักรบอันเดดใต้บัญชา ปีศาจที่เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ตอนเป็นก็แข็งแกร่งอยู่ก่อนแล้ว และหลังจากถูกเปลี่ยนเป็นอันเดดก้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขีดขั้น อีกทั้งอาร์ทัสยังได้เรียกแน็กแรมมาเพิ่มพลังให้เหล่าอันเดดด้วยแล้ว กองทัพปีศาจต้องต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสุดแกร่งจึงกลายเป็นปั่นป่วนขึ้นมา กองทัพพันธมิตรรีบใช้โอกาสจากความวุ่นวายนี้เพื่อสร้างที่มั่น และในขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยอาวุธทั้งหมดโจมตีโต้กลับกองทัพปีศาจ นี่คือศึกครั้งสุดท้าย ไม่จำเป็นต้องอดออมสิ่งใดไว้อีกต่อไป ดังนั้นจ้าวมนตราทั้งสามจึงนำม้วนคัมภีร์เวทที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยหวงแหนยิ่งกว่าบุตรในไส้มาใช้ถล่มทำลายกองทัพปีศาจจนเกิดความสูญเสียอย่างหนัก น้ำยาฟื้นฟูมานาของเซียวอวี๋ได้ถูกขนออกมาแจกจ่ายแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม การเก็บเอาไว้ไม่ยอมนำมาใช้ในเวลาเช่นนี้ถือเป้นความโง่เขลา คุณค่าของน้ำยาเหล่านี้จะเปล่งประกายได้มากที่สุดก็ในสนามรบ ครืน……. ในตอนนั้นเอง แสงสีทองอร่ามก็พลันปะทุขึ้นกลางท้องฟ้าก่อนจะตกลงมา และร่างที่อยู่ทางด้านข้างของเซียวอวี๋เองก็ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังเวทมนตร์มหาศาลกวาดผ่านสนามรบสอดรับกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นี่เป็นการปะทุของพลังขั้นที่เจ็ด! เซียวอวี๋กระพริบตาปริบๆขระหันไปมองดูผู้ที่บรรลุขั้นที่เจ้ด ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นภรรยาสุดที่รักของเขา หลินมู่เสวี่ย ในช่วงเวลาอันสำคัญ ในที่สุดหลินมู่เสวี่ยก็ก้าวผ่านธรณีประตูบรรลุขอบเขตขั้นที่เจ็ด ซึ่งอันที่จริง เซียวอวี๋ก็พอจะคาดเดาออกได้ว่าเหตุใดหลินมู่เสวี่ยจึงบรรลุขั้นที่เจ็ดได้รวดเร็วเช่นนี้ นั่นก็เพราะพลังของเอกวินน์ในร่างของนางสมัผัสได้ถึงการคงอยู่ของซาแกรลาส ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ไปกระตุ้นกระบวนการพัฒนาของมู่เสวี่ยให้เร่งเร็วขึ้น ความเกลียดชังที่เอกวินน์มีต่อซาแกรลาสนั้นลึกล้ำสุดประมาณ ดังนั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของซาแกรลาส พลังในร่างของหลินมู่เสวี่ยจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที แม้ว่าในช่วงเริ่มต้น พวกปีศาจจะเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า แต่หลังจากการมาของอาร์ทัส สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป เป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะเอาชนะสงครามในครั้งนี้ได้โดยลำพัง แม้ว่านักรบยอดฝีมือของทางฝั่งมนุษย์จะมีอยู่อย่างคับคั่ง ตัวตนผู้เข้มแข็งทั้งหมดบนผืนทวีปล้วนแต่เข้าร่วมศึกในครั้งนี้ กระนั้นฝ่ายศัตรูนั้นมีจำนวนมากมายมหาศาลจนยากที่จะลบช่องว่างความแตกต่างระหว่างสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของอาร์ทัสนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง ในด้านจำนวนที่มากมายไม่หมดไม่สิ้นแล้ว กองทัพอันเดดไม่ได้หวาดกลัวต่อข้อได้เปรียบนี้ของกองทัพปีศาจเลย โดยเฉาพอย่างยิ่ง อาร์ทัสสามารถเปลี่ยนเหล่าปีศาจที่ตกตายให้กลายมาเป็นนักรบใต้สังกัดตน อาจกล่าวได้ว่า กองทัพอันเดดนั้นสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด ของที่ทางฝั่งกองทัพปีศาจนั้นไม่ใช่ ขณะที่การบาดเจ็บล้มตายมีอัตราเพิ่มขึ้น ซากศพที่อาร์ทัสควบคุมก็ยิ่งมายิ่งมาก กล่าวได้ว่าบทบาทของอาร์ทัสเพียงคนเดียวยังมีค่ามากกว่าทหารนับล้านเสียอีก เซียวอวี๋อดยินดีที่ครั้งนั้นตนเลือกปล่อยให้อาร์ทัสพัฒนาต่อไปเสียไม่ได้ มิเช่นนั้นสถานการณ์ในวันนี้คงเลวร้ายสุดประมาณ หลินมู่เสวี่ยบรรลุขั้นที่เจ็ด ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อผลของสงครามเป็นอย่างมาก เพราะถึงที่สุดแล้ว ครั้งนึงพลังของเอกวินน์ก้เคยกำราบซาแกรลาสจนพบความพ่ายแพ้ได้มาแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงร่างจำแลงก็ตาม อย่างไรก็ตาม พลังของหลินมู่เสวี่ยในเวลานี้กำลังเพิ่มขึ้นจนเข้าใกล้ระดับพลังที่เอกวินน์เคยครองครอง นี่นับเป็นสัญญาณที่อันดี…..

เสียงคำรามพร้อมควันไฟพวยพุ่งจากปากกระบอกปืนของรถถังที่เรียงรายอยู่แนวหน้า เหล่าคิเมร่าต่างโผบินขึ้นสู่ฟ้าพร้อมปรับรูปขบวนเป็นร่างแหคลี่คลุมทั่วกองทัพฝ่ายตน เหล่านักรบทัวเรนที่ระดับล้วนเกินสิบต่างพุ่งเข้าหาพวกปีศาจอย่างอาจหาญ ด้วยกองหน้าที่แข็งแกร่ง การโจมตีอย่างบ้าคลั่งของพวกปีศาจในช่วงเริ่มต้นจึงถูกยันเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม พวกปีศาจมีมากเกินไป เป็นการยากที่จะต้านทานพวกปีศาจอย่างสมบูรณ์โดยพึ่งพาเพียงกองทัพพันธมิตรมนุษย์ ในตอนนั้นเอง เสียงกีบเท้าอาชาก็ดังขึ้นแทกรเสียงการสู้รบ และที่ด้านหลังของกองทัพปีศาจก็ปรากฏกลุ่มอาชาที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมตัวโถมเข้าหากองทัพปีศาจ อาร์ทัส! ในช่วงเวลาสำคัญ อาร์ทัสนำกองทัพอันเดดเข้าสู่สนามรบ ที่ด้านหลังของอาร์ทัส กองทัพอันเดดที่แน่นขนัดกำลังเคลื่อนพลติดตามหลังมา มังกรน้ำแข็งนับร้อยตัวกางปีกสยายพลางกู่คำรามกึกก้องท้องฟ้า นักรบของทั้งสองฝ่ายต่างตะลึงงัน ไม่ว่าฝ่ายใดก้คาดไม่ถึงว่ากองทัพอันเดดจะปรากฏตัวออกมาในเวลานี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกมันไม่ใช่ฝ่ายมนุษย์หากแต่เป็นฝ่ายทหารทมิฬและปีศาจ โฮก………. อาร์ทัสกู่ร้องพลางควบอาชากวัดแกว่งดาบฟรอสต์มัวร์ผ่าร่างของปีศาจเป็นสองส่วน กลิ่นอายทรงพลังพลันปะทุขึ้นจากร่างของอาร์ทัส อาร์ทัสในเวลานี้ประดุจมัจจุราชคร่าวิญญาณ ทุกที่ที่เขามุ่งไปล้วนเต็มไปด้วยความตาย หลังจากบรรลุถึงขั้นที่เจ็ด อาร์ทัสก็เปลี่ยนแปลงไปมาก กระทั่งบรรลุระดับที่สูงที่สุดที่เขาเคยบรรลุ ราชันย์อมตะ ต้องทราบว่า เมื่ออาร์ทัสบรรลุถึงขั้นราชันย์อมตะ เขาก็แทบจะไร้เทียมทาน และไม่ทราบต้องใช้ยอดนักรบมากมายเพียงใดเพื่อต้านทานเขาเอาไว้ หนึ่งดาบฟรอสต์มัวร์กวัดแกว่งออก โลหิตของปีศาจสาดกระเซ็น ตลอดทางมีซากศพนอนทอดยาว พร้อมกับเสียงร่ายมนต์ที่ดังขึ้น ศพของเหล่าปีศาจที่สิ้นชีพไปแล้วก็ลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้อีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ศัตรูของพวกมันคืออดีตสหายร่วมรบของพวกมันเอง หลังจากบรรลุขั้นที่เจ็ด พลังในการควบคุมเหล่าอันเดดของอาร์ทัสก็เพิ่มขึ้นมหาศาล มากเพียงพอจะเปลี่ยนศพปีศาจทุกศพมาเป็นนักรบอันเดดใต้บัญชา ปีศาจที่เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ตอนเป็นก็แข็งแกร่งอยู่ก่อนแล้ว และหลังจากถูกเปลี่ยนเป็นอันเดดก้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขีดขั้น อีกทั้งอาร์ทัสยังได้เรียกแน็กแรมมาเพิ่มพลังให้เหล่าอันเดดด้วยแล้ว กองทัพปีศาจต้องต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสุดแกร่งจึงกลายเป็นปั่นป่วนขึ้นมา กองทัพพันธมิตรรีบใช้โอกาสจากความวุ่นวายนี้เพื่อสร้างที่มั่น และในขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยอาวุธทั้งหมดโจมตีโต้กลับกองทัพปีศาจ นี่คือศึกครั้งสุดท้าย ไม่จำเป็นต้องอดออมสิ่งใดไว้อีกต่อไป ดังนั้นจ้าวมนตราทั้งสามจึงนำม้วนคัมภีร์เวทที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยหวงแหนยิ่งกว่าบุตรในไส้มาใช้ถล่มทำลายกองทัพปีศาจจนเกิดความสูญเสียอย่างหนัก น้ำยาฟื้นฟูมานาของเซียวอวี๋ได้ถูกขนออกมาแจกจ่ายแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม การเก็บเอาไว้ไม่ยอมนำมาใช้ในเวลาเช่นนี้ถือเป้นความโง่เขลา คุณค่าของน้ำยาเหล่านี้จะเปล่งประกายได้มากที่สุดก็ในสนามรบ ครืน……. ในตอนนั้นเอง แสงสีทองอร่ามก็พลันปะทุขึ้นกลางท้องฟ้าก่อนจะตกลงมา และร่างที่อยู่ทางด้านข้างของเซียวอวี๋เองก็ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังเวทมนตร์มหาศาลกวาดผ่านสนามรบสอดรับกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นี่เป็นการปะทุของพลังขั้นที่เจ็ด! เซียวอวี๋กระพริบตาปริบๆขระหันไปมองดูผู้ที่บรรลุขั้นที่เจ้ด ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นภรรยาสุดที่รักของเขา หลินมู่เสวี่ย ในช่วงเวลาอันสำคัญ ในที่สุดหลินมู่เสวี่ยก็ก้าวผ่านธรณีประตูบรรลุขอบเขตขั้นที่เจ็ด ซึ่งอันที่จริง เซียวอวี๋ก็พอจะคาดเดาออกได้ว่าเหตุใดหลินมู่เสวี่ยจึงบรรลุขั้นที่เจ็ดได้รวดเร็วเช่นนี้ นั่นก็เพราะพลังของเอกวินน์ในร่างของนางสมัผัสได้ถึงการคงอยู่ของซาแกรลาส ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ไปกระตุ้นกระบวนการพัฒนาของมู่เสวี่ยให้เร่งเร็วขึ้น ความเกลียดชังที่เอกวินน์มีต่อซาแกรลาสนั้นลึกล้ำสุดประมาณ ดังนั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของซาแกรลาส พลังในร่างของหลินมู่เสวี่ยจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที แม้ว่าในช่วงเริ่มต้น พวกปีศาจจะเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า แต่หลังจากการมาของอาร์ทัส สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป เป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะเอาชนะสงครามในครั้งนี้ได้โดยลำพัง แม้ว่านักรบยอดฝีมือของทางฝั่งมนุษย์จะมีอยู่อย่างคับคั่ง ตัวตนผู้เข้มแข็งทั้งหมดบนผืนทวีปล้วนแต่เข้าร่วมศึกในครั้งนี้ กระนั้นฝ่ายศัตรูนั้นมีจำนวนมากมายมหาศาลจนยากที่จะลบช่องว่างความแตกต่างระหว่างสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของอาร์ทัสนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง ในด้านจำนวนที่มากมายไม่หมดไม่สิ้นแล้ว กองทัพอันเดดไม่ได้หวาดกลัวต่อข้อได้เปรียบนี้ของกองทัพปีศาจเลย โดยเฉาพอย่างยิ่ง อาร์ทัสสามารถเปลี่ยนเหล่าปีศาจที่ตกตายให้กลายมาเป็นนักรบใต้สังกัดตน อาจกล่าวได้ว่า กองทัพอันเดดนั้นสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด ของที่ทางฝั่งกองทัพปีศาจนั้นไม่ใช่ ขณะที่การบาดเจ็บล้มตายมีอัตราเพิ่มขึ้น ซากศพที่อาร์ทัสควบคุมก็ยิ่งมายิ่งมาก กล่าวได้ว่าบทบาทของอาร์ทัสเพียงคนเดียวยังมีค่ามากกว่าทหารนับล้านเสียอีก เซียวอวี๋อดยินดีที่ครั้งนั้นตนเลือกปล่อยให้อาร์ทัสพัฒนาต่อไปเสียไม่ได้ มิเช่นนั้นสถานการณ์ในวันนี้คงเลวร้ายสุดประมาณ หลินมู่เสวี่ยบรรลุขั้นที่เจ็ด ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อผลของสงครามเป็นอย่างมาก เพราะถึงที่สุดแล้ว ครั้งนึงพลังของเอกวินน์ก้เคยกำราบซาแกรลาสจนพบความพ่ายแพ้ได้มาแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงร่างจำแลงก็ตาม อย่างไรก็ตาม พลังของหลินมู่เสวี่ยในเวลานี้กำลังเพิ่มขึ้นจนเข้าใกล้ระดับพลังที่เอกวินน์เคยครองครอง นี่นับเป็นสัญญาณที่อันดี…..

World of Warcraft ราชันต่างภพ

World of Warcraft ราชันต่างภพ

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 - 300 อ่านนิยาย ตอนที่ 301 - 400 อ่านนิยาย ตอนที่ 401 - 450 อ่านนิยาย ตอนที่ 451 - 460 อ่านนิยาย ตอนที่ 461 - 465 อ่านนิยาย ตอนที่ 466 - 469 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


เซียวอวี๋ นักศึกษาจากโลกยุคปัจจุบัน เกิดอุบัติเหตุบางอย่างทำให้เขาได้หลุดเข้าไปที่อีกโลกหนึ่งในฐานะลอร์ดแห่งดินแดน เขาได้เผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากมากมาย เขาสาบานว่าสักวันเขาจะต้องเอาธุรกิจของตระกูลกลับคืนมาให้จงได้ สร้างดินแดนของตัวเอง สังหารผู้ใดก็ตามที่มาขวางทางผลประโยชน์ของเขา โลกนี้เขาจะปกครองมันเอง!


Options

not work with dark mode
Reset