[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก 7 การเกิดใหม่ของสีดำ – ความไม่สบายใจ

ตอนที่ 7 การเกิดใหม่ของสีดำ - ความไม่สบายใจ

“ม- ไม่ไหวหรอกค่ะ! ฉันยังอายุแค่นี้เอง! อาวุธซักชิ้นก็ไม่มี! เป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้นแหละค่ะ!”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกผมจัดการส่วนนั้นเอง มันไม่เคยมีอัตราการสำเร็จที่แน่นอนอยู่แล้ว อีกอย่าง ถ้าเกิดเธอจะอยู่ตรงนี้ โอกาสที่เธอจะโดนพวกสัตว์ประหลาดจับกินก็มีอยู่สูงเลยจริงมั้ยล่ะ?”

“อุก”

 

ฉันต้องคิดแล้ว

พิจารณาจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว มีโอกาสสูงเลยล่ะที่ฉันจะตายถ้าเกิดว่าอยู่ตรงนี้

แต่ว่า ต่อให้เข้าไปในถ้ำ ฉันก็อาจจะตายอยู่ดี

ข้างหน้าก็มีจระเข้ ข้างหลังก็มีเสือ มันเป็นแบบนี้เองสินะ เพราะงั้น จะหนีไปทางไหน ทางเลือกเดียวก็คือต้องเลือกทางที่เสี่ยงน้อยที่สุดสินะ

จะทำยังไงดีล่ะ―――

 

“จะอยู่ตรงนี้ก็ได้นะ แต่ถ้าเกิดโชคร้ายดันมีสัตว์ประหลาดโผล่มาเจอหนูเข้า ถ้ำนี้ก็เป็นแค่ที่เดียวเลยที่จะหนีเข้าไปได้”

“ในเมื่อมีโอกาสเยอะเลยที่สุดท้ายก็ต้องเข้าไปในถ้ำอยู่ดี ถ้างั้น ทำไมหนูไม่ตามพวกเรามาเลยล่ะ?”

“…ได้ค่ะ”

 

หลังจากลังเลอยู่พักนึง ฉันก็เลือกที่จะเข้าไปในนั้นด้วย

 

“งั้นก็ ไปกันเลย!”

“ค- ค่ะ”

 

จึก

 

“……?”

“อะไรเหรอ?”

“อ๊ะ เปล่าค่ะ”

 

อะไรกันน่ะ ความรู้สึกเมื่อกี้นี้

มันเหมือนกับว่าฉันมองข้ามอะไรซักอย่างที่สำคัญมากๆ เลย

มันไม่สบายใจแปลกๆ เหมือนมีก้างปลาเล็กๆ ติดอยู่ในคอยังงั้นแหละ

คงเป็นแค่เรื่องที่ฉันคิดไปเองเท่านั้นล่ะมั้ง

 

“ไม่ไหว ดันพลาดซะได้ แต่หนูดูจะหัวดีเลยนะ ถ้าเกิดมีอะไรจะเสนอล่ะก็ ไม่ต้องลังเลนะ บอกขึ้นมาได้เลย”

“ค- ค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะพวกข้าอยู่ด้วยแล้วนี่”

 

ถึงฉันจะยังสงสัยเรื่องความไม่สบายใจแปลกๆ ที่ไม่เข้าใจอยู่ก็เถอะ พวกเราก็เดินเข้าไปในถ้ำกันต่ออยู่ดี

ตลอดทางที่เดินกัน พวกเราไม่เจอสัตว์ประหลาดอะไรเลยซักตัว แล้วพวกเราคิดว่าตึงพึ่งแสงไฟเพื่อจะเดินหน้า แต่ดูเหมือนพวกเราจะไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นนะ

ก็เพราะ

 

“อะ ข้างหน้ามีทางลาดลงไปนะคะ ระวังกันด้วย”

“จ- จริงด้วย นี่ หนูเห็นได้ไกลกว่าใช้แสงส่องทางอีกเหรอเนี่ย? ขนาดมันมืดขนาดนี้เลย”

“งั้นเหรอคะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าทำไม แต่ฉันดูมันเหมือนเป็นปกติเลย”

“หนูมองเห็นในที่มืดได้ดีงั้นเหรอ? แต่ระดับนี้น่ะ ขนาดพวกมือหนึ่งก็ยัง…”

 

เพราะอะไรไม่รู้ ฉันถึงเห็นในความมืดได้แบบทะลุปรุโปร่ง แสงสว่างก็ช่วยได้แค่สำรวจตรงที่เท้าของฉันเท่านั้นแหละ

ขนาดฉันเองอย่างตกใจเลย อย่างน้อย ภาพที่เห็นมันก็ยังชัดเหมือนกับตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินเลยล่ะ

การที่คนอื่นๆ อีก 3 คนมองไม่เห็นเลยเนี่ย แสดงว่าคงจะมีแค่ฉันคนเดียวที่เห็นแบบนี้จริงๆ สินะ

 

“เยี่ยมไปเลยนะ ตามปกติเนี่ย จะเดินหน้ามันต้องค่อยๆ ระวังมากกว่านิดนึง แต่หนูช่วยได้เยอะเลยล่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ดีเลยที่ได้ช่วยอะไรบ้าง”

“เหมือนได้เจออะไรที่คาดไม่ถึงเลยนะเนี่ย ขอฝากด้วยนะ”

“ค่ะ!”

 

ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงได้มีตาแบบนี้ แต่ก็ดีใจจริงๆ เลยที่สามารถช่วยอะไรคนอื่นได้บ้าง

จนถึงตอนนี้ ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองจะมีประโยชน์อะไรกับคนอื่นได้ การได้รับคำขอบคุณแบบนี้มันทำให้สดชื่นมากเลยล่ะ

รอยยิ้มมันก็คลี่ออกมาเองเลย

แต่ว่า

 

จึก

 

(…อีกแล้ว)

 

อะไรกันน่ะ ความรู้สึกนี้

ขนาดตอนที่คุยกันอยู่นี่ ความรู้สึกไม่สบายใจในตัวฉันมันยังใหญ่ขึ้นๆ อยู่เลย

 

“โอ้~ย?”

“เอ๊ะ? …อ๊ะ ขอโทษค่ะ”

 

ไม่ได้สิ ตอนนี้ต้องตั้งสมาธิกับตรงหน้านะ

 

“ถึงตรงนี้ ทางมันแยกออกจากกันน่ะค่ะ ต้องไปทางไหนเหรอคะ?”

“ไปทางซ้ายเลย”

“คุณมีแผนที่ด้วยเหรอคะ?”

“เปล่าหรอก ฉันได้ยินมาแล้วน่ะ จากที่สมาคมทหารรับจ้างไง”

 

งี้นี้เอง สมาคมเหรอ งั้นก็ไม่แปลกอะ―――

 

จึก

 

ความรู้สึกไม่สบายใจมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เลย

อย่างที่คิดเลย มันเพิ่มขึ้นมาจนถึงจุดที่ฉันทำเมินมันไปไม่ได้อีกแล้ว แถมมันยังวนเวียนอยู่ในตัวฉันด้วย แล้วฉันก็อดคิดถึงตัวตนที่แท้จริงของมันไม่ได้เลยระหว่างที่ฉันยังเดินหน้าไปต่อแบบนี้

 

ทำไม ถึงได้มีความรู้สึกมัวๆ แบบนี้ล่ะ?

คน 3 คนนี้เป็นคนดีนะ นั่นเป็นเรื่องจริง

เหตุผลที่ฉันทำตามคำของพวกเขาแบบเชื่อฟังแต่โดยดีเมื่อครั้งแรกที่ได้เจอกับพวกเขาก็เพราะฉันรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณเลยว่าพวกเขาเป็นคนดี

ความสามารถพิเศษที่มาจากชาติก่อนของฉันเอง

ฉันเจอกับเจตนาร้ายมามากเกินไปด้วยซ้ำ ทั้งของพ่อกับแม่ ทั้งของพวกทวงหนี้ ทั้งของพวกต้มตุ๋น แล้วก็อะไรพวกนั้น เพราะงั้น ฉันก็เลยไม่ได้รู้หรอกว่าเขาเป็นคนดีหรือคนเลว แต่ฉันพอจะรู้สึกได้ลางๆ ว่าคนอื่นๆ น่ะเป็นคนมีพื้นนิสัยยังไง

สัญชาตญาณที่ถูกบ่มเพาะมานานของฉันบอกกับฉันว่าพวกเขาเป็นคนดี

แต่ถ้างั้น แล้วทำไมฉันถึงได้รู้สึกระแวงสงสัยพวกเขาล่ะ

จำให้ได้สิ คำพูดของพวกเขาน่ะ

ฉันเชื่อมั่นในความทรงจำของตัวเองตลอดนั่นแหละ

 

‘ความเกลียดชังในผมสีดำนี่มันฝังรากลึกมากจริงๆ เลยนะ’

‘คนพวกนั้นส่วนมากก็คงจะได้ยินเรื่องที่คนผมสีดำเข้ามาที่เมืองนี้แน่ แล้วก็คิดว่าจะมีโชคร้ายถูกนำเข้ามาในเมืองนี้ เลยต้องพากันมาไล่ตามจับตัวเธออย่างเอาเป็นเอาตายไงล่ะ’

‘ตัวร้ายในนิทาน ตัวละครผมดำก็จะเป็นฝ่ายชั่วร้าย ทุกคนก็เลยมีภาพจำแบบนั้นน่ะ’

‘ต่อให้แผนมันจะล้มเหลว ก็ยังมีแผนลับอยู่’

‘แถวนี้มันมีสัตว์ประหลาดขนาดตัวปานกลางป้วนเปี้ยนอยู่บ้างเหมือนกันนะ’

 

นึกให้ออกสิ ความทรงจำเรื่องบทสนทนาที่คุยกับพวกเขามาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงวันนี้น่ะ

คิดสิ ทำไมถึงได้มีความรู้สึกไม่สบายใจมากขนาดนี้

พวกเขาไม่ได้โกหกฉันเลย การรู้สึกได้ถึงคำโกหกของคนอื่นน่ะเป็นความสามารถพิเศษของฉัน ฉันมั่นใจในเรื่องนั้นเลยล่ะ

แต่ว่า การไม่พูดโกหกกับการพูดจริงน่ะ มันไม่เหมือนกัน

แค่บิดจุดประสงค์ของคำตอบออกไปนิดเดียว แค่นั้นก็มีอยู่หลายวิธีมากเลยที่สามารถปกปิดความจริงได้โดยไม่ต้องโกหกด้วยซ้ำ

แถมก่อนหน้านั้นอีก มันก็ยังมีทางเลือกที่จะปิดบังข้อมูลสำคัญเอาไว้ แล้วก็ไม่ยอมบอกด้วยนี่นา

 

คำอธิบายเรื่องผมสีดำน่ะน่าจะถูกต้องแล้ว

ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาโกหกเลย แถมการปิดบังมันก็ไม่มีประโยชน์ด้วย เพราะยังไงซะ เดี๋ยวฉันก็ได้เจอความจริงอยู่ดี

ถ้างั้น ความไม่สบายใจนี่มันมาจากตรงไหนกันแน่ล่ะเนี่ย

รื้อในความทรงจำของตัวเอง แล้วหาจุดที่มันแปลกๆ ออกมาได้แล้ว

และแล้ว

 

“ดีล่ะ ไปข้างหน้านี่เลย… อาเระ? มีอะไรเหรอ?”

“ปวดท้องหรือเปล่า?”

“ไม่เป็นไรนะ?”

“คือว่า ทุกคน”

 

ฉันต้องหาคำตอบให้ได้

 

“คิดจะทำอะไรกับฉันเหรอคะ?”

 

“คิดจะทำอะไร หมายความยังไงน่ะ?”

“ฉันคิดขึ้นมาค่ะ พวกคุณทุกคนถึงต้องปกป้องฉันทำไม ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกคุณถึงต้องช่วยคนแปลกหน้าอย่างฉันแบบนี้ด้วย”

“มันก็แน่อยู่แล้วสิ เราจะปล่อยเธอไปทั้งๆ แบบนั้นได้ยังไงล่ะ”

 

พวกเขาตอบฉันมาด้วยสีหน้างงๆ กัน

แต่ ฉันรู้สึกได้เลยว่าสีหน้าของพวกเขาน่ะ มีความร้อนรนปนอยู่หน่อยๆ ด้วย

 

“อย่างแรกที่ทำให้ฉันไม่สบายใจ คือเรื่องที่พี่ชายพูดเมื่อตอนมื้อเที่ยงวันนี้น่ะค่ะ”

 

―――คนพวกนั้นส่วนมากก็คงจะได้ยินเรื่องที่คนผมสีดำเข้ามาที่เมืองนี้แน่ แล้วก็คิดว่าจะมีโชคร้ายถูกนำเข้ามาในเมืองนี้ เลยต้องพากันมาไล่ตามจับตัวเธออย่างเอาเป็นเอาตายไงล่ะ

 

“ก็พูดไว้แบบนั้นนะ แต่ว่า ทำไมเหรอ?”

“คุณรู้ได้ยังไงน่ะคะ ว่าฉันเข้าไปใกล้กับเมืองมา?”

 

ฉันขัดคำพูดของพี่ชายไป แล้วก็พูดเรื่องของฉันต่อ

 

“ไม่สิ ก่อนหน้านั้น ฉันอยากรู้ว่าทำไมพวกคุณถึงรู้ได้ล่ะคะว่ากลุ่มคนที่วิ่งไล่ฉันมาเป็นชาวเมือง”

“ก- ก็มันมีแค่เมืองนั้นเมืองเดียวนะที่อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ แถมแต่ละคนก็ไม่ได้ใส่ชุดเครื่องแบบให้เหมือนๆ กันด้วย มันก็ต้องคิดแบบนั้นอยู่แล้วสิจริงมั้ย?”

“ถ้างั้น ทำไมพวกคุณถึงได้ออกมาตั้งค่ายกันอยู่ในที่แบบนั้นด้วยล่ะคะ?”

 

ความสงสัยมันเกิดขึ้นมาไม่หยุดเลย

มาลองคิดดูแล้วนี่ มันมีเรื่องแปลกๆ อยู่อีกเยอะเลยนี่นา

 

“ถึงจะมีเมืองอยู่ใกล้ๆ ก็เถอะ แต่พวกคุณกลับไม่ไปพักอยู่ที่นั่น มันไม่แปลกๆ เหรอคะ ดูไม่ใช่ว่าพวกคุณจะไม่มีเงินค่าที่พักด้วย กระเป๋าเงินข้างเอวของคุณก็ดูหนักไม่ใช่เล่นเลยด้วยซ้ำไป”

“ร- เรื่องนั้น”

“พวกคุณทุกคน อยู่ใกล้กับจุดตรวจคนนั่นด้วยนี่คะ แล้วก็เห็นฉันโดนไล่ตะเพิดออกมาด้วย ฉันจำไม่ได้เลยว่าเห็นพวกคุณอยู่ บางทีพวกคุณอาจจะอยู่หลังประตูเมืองก็ได้ หรือก็คือ พวกคุณอยู่ในเมืองกัน ถ้างั้น ทำไมต้องมานอนกันในป่าแบบนั้นด้วยล่ะคะ? เงินก็มีอยู่แล้ว ถ้าเกิดมีงานต้องทำวันรุ่งขึ้นล่ะก็ ฉันคิดว่าได้นอนพักบนฟูกอุ่นๆ น่าจะดีกว่าไปนอนในที่เปิดโล่งใกล้ๆ กับเมืองแบบนั้นนะ”

“…”

“คุณบอกว่ามีสมาคมทหารรับจ้างอยู่ด้วยสินะคะ แผนที่ก็มีให้ดูด้วย นั่นก็ต้องอยู่ในเมืองเหมือนกันสินะคะ เพราะพี่ชายก็เป็นคนบอกเองว่า ‘มันมีแค่เมืองนั้นเมืองเดียวนะที่อยู่ใกล้ๆ แถวนี้’”

 

สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเลย

อึกอัก ร้อนรน ประหลาดใจ ยิ่งเรื่องมันถูกเล่าออกมา สีหน้ามันก็ยิ่งมืดหม่นลงเรื่อยๆ

 

“แถม เรื่องที่ว่ามีสัตว์ประหลาดขนาดตัวปานกลางป้วนเปี้ยนอยู่ก็อาจจะเป็นเรื่องโกหกก็ได้นี่คะ ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าโกหก เรียกว่าพูดเกินจริงน่าจะถูกกว่าสินะคะ”

“…!”

 

―――แถวนี้มันมีสัตว์ประหลาดขนาดตัวปานกลางป้วนเปี้ยนอยู่บ้างเหมือนกันนะ

 

“คำว่า ‘ป้วนเปี้ยน’ นี่ เป็นคำที่ใช้ได้สะดวกดีจังเลยนะคะ”

 

ถึงความถี่ของการปรากฏตัวจะมีแค่ 1 ครั้งต่อเดือน ถ้าหมายความว่า ‘พวกมันออกหากินไปๆ มาๆ อยู่แถวๆ นี้’ มันก็ใช้คำว่า [ป้วนเปี้ยน] ได้อยู่ดี

ต่อให้จะรวบจบมาใช้คำว่า ‘แถวนี้มันมีสัตว์ประหลาดขนาดตัวปานกลางป้วนเปี้ยนอยู่’ พวกเขาก็ไม่ได้โกหกอยู่ดี

 

“อีกอย่าง พี่ชายใช้คำว่า ‘ให้ 9 ใน 10 เลย เธอโดนกินแน่นอน’ ก็ไม่ใช่ว่าคุณโกหกหรอกค่ะ แต่อาจจะเพราะคุณจงใจพูดทิ้งเอาไว้ว่า ‘ถ้าเกิดโชคร้ายดันมีสัตว์ประหลาดโผล่มาเจอเข้า’”

 

แต่ว่า เพราะคำพูดของพี่สาว ฉันเลยตีความผิดไปว่า [ถ้าถูกทิ้งไว้ตรงนี้ อาจจะโดนจับกินก็ได้]

 

“นี่เป็นสมมติฐานของฉันนะคะ บางที พวกคุณอาจจะโกหกเพื่อจะรอฉันอยู่แล้วหรือเปล่า? ทั้งหมดนั่นก็เพื่อจะพาฉันมาที่ถ้ำนี้ให้ได้

ไม่แน่ อาจจะเป็นพวกคุณทุกคนก็ได้ที่เอาเรื่องที่ฉันโผล่มาไปบอกกับพวกเหยียดสีผมแบบสุดขั้วในเมือง แล้วก็จุดประกายใส่ไฟให้พวกนั้น จากนั้นก็รีบอ้อมมา แล้วก็ตั้งค่ายพักแรมกันอยู่ในถ้ำนั้น

 

จะขอถามอีกรอบนึงนะคะ พวกคุณคิดจะทำอะไรกับฉันเหรอคะ? ช่วยตอบทีเถอะนะคะ ขอร้อง”

 

TN: “เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น! ถึงตัวจะเป็นเด็กแต่สมองเป็นผู้ใหญ่”

ฉลาดกว่านี้ก็คุโด้แล้วน้อง 555

[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก

[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก

Score 10
Status: Completed
ฉันถูกพ่อแม่ทำร้ายทารุณ แล้วกำลังจะเอาฉันไปขายอยู่แล้ว ฉันก็เลยชิงฆ่าตัวตายก่อนซะเลย ตื่นขึ้นมาอีกที ฉันก็มาอยู่ที่ต่างโลกแล้ว ที่นี่ เวทมนตร์ที่ใช้ได้จะถูกตัดสินด้วยสีผม นอกจากสีที่มีแล้วก็จะไม่สามารถใช้เวทมนตร์อื่นได้เลย แล้วฉันดันเกิดใหม่มามีผมสีดำ สีผมชั้นต่ำที่เลวร้ายที่สุด แถมยังโดนดูถูกเหยียดหยามอยู่ตลอดอีกต่างหาก ฉันเหนื่อยกับความอับโชคจากชาติก่อนเต็มทนแล้ว ฉันยอมแพ้กับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ตอนนี้ ฉันก็ต้องมามีชีวิตแบบนี้อีกเนี่ยนะ “ถ้าหากไม่ว่ายังไง เธอก็จะทิ้งขว้างชีวิตของตัวเองอยู่แล้ว แบบนั้นมันเสียของออก เพราะฉะนั้น ใช้มันเพื่อฉันซะสิ” ฉันได้พบกับเจ้านายของฉันที่พูดเอาไว้แบบนั้น แล้วชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไป ฉันกล่าวคำสาบาน จะขออุทิศทั้งชีวิตให้บุคคลคนนี้ ท่านโนอะ แม้จะเป็นเส้นทางสู่ความเป็นใหญ่สูงสุดที่ท่านเดินมุ่งไปนั่นก็ตาม ฉันหวังแต่ขอให้ท่านอยู่กับฉันจนถึงที่สุดก็พอ เพราะงั้นนะคะ ท่านโนอะ ได้โปรดยับยั้งเรื่องความเอาแต่ใจนั่นของท่านด้วยเถอะนะคะ! ※ตัวละครเอกเรื่องนี้ไม่ได้เป็นคนดี ใครต้องการเรื่องแนวแฟนตาซีโลกสวยล่ะก็ ขอเชิญเรื่องอื่นนะ

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset