Tensei Oujo to Tensai Reijou no Mahou Kakumei 4

ตอนที่ 4

เช้าวันรุ่งขึ้น ยูฟีเรียก็ถูกเหล่าสาวใช้ช่วยกันแต่งตัวเพื่อเตรียมการเข้าเฝ้า เนื่องจากเธอได้รับแจ้งว่าดยุค แกรนส์ มาเจนต้าได้เดินทางมาถึงพระราชวังแล้ว เหล่าสาวใช้จึงวิ่งวุ่นเตรียมชุดให้ยูฟีเรียตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงวัน

แต่ถึงแม้ว่าจะเตรียมการทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อไม่ให้เป็นที่อับอายต่อหน้าราชวงศ์แล้ว ลึกๆในใจก็ยังอดรู้สึกกังวลไม่ได้ เพราะสิ่งเดียวที่แล่นเข้ามาในหัวก็คือใบหน้าของบิดาผู้เข้มงวด

 

‘ท่านพ่อจะรู้สึกผิดหวังในตัวเราไหมนะ…’

 

ถึงแม้อานิสเฟียร์จะเคยบอกว่าท่านพ่อรักเธอ…แต่ยูฟีเรียไม่คิดแบบนั้น

เขาไม่เคยมองเธอในฐานะลูกสาวแต่เป็นในฐานะว่าที่ราชินีในอนาคต ในฐานะผู้นำที่จะพาประเทศก้าวไปข้างหน้า ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามคิดเข้าข้างตัวเองยังไงก็ไม่อาจทำใจให้เชื่อได้

หากตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นราชินีแล้วก็จงอย่าเมตราต่อศัตรู จะต้องไม่เมินเฉยต่อความรู้สึกของตนเอง แต่ก็ต้องไม่ถูกความรู้สึกเหล่านั้นชักนำ จงทำเพื่ออาณาจักรและซื่อสัตย์ต่อปวงชน นั่นคือเส้นทางที่เธอควรจะมุ่งไป

แต่ตอนนี้ตัวเธอกลับไม่สามารถใช้คำสอนเหล่านั้นโอบอุ้มตัวเองไปยังเป้าหมายได้อีกแล้ว ตัวเธอในตอนนี้ช่างว่างเปล่าและอ่อนแอซะเหลือเกิน

ยูฟีเรียเบือนหน้าหนีไปยังหน้าต่างเพื่อซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้

ทันใดนั้นเอง

 

“ช่วยกันจับองค์หญิงไว้ที! อย่าให้ปล่อยให้เธอหนีไปได้นะ!”

“ตอนนี้เธอไม่มีอุปกรณ์บิน! ล้อมเอาไว้! ต้อนเธอให้จนมุมเร็วเข้า!”

“เหล่าอัศวินองครักษ์ทุกนายจงทุ่มเทจิตวิญญาณของพวกเจ้าซะ! พวกเราต้องปกป้องความสงบสุขขององค์ราชาเอาไว้ให้ได้!”

““พวกเราคือโล่แห่งราชัน!!!!””

“จงถวายดวงใจนั่นซะ ลุยยยย!!”

““ย้ากกกกกกก!!””

“ตามพวกอัศวินไป! ในฐานะสาวใช้ส่วนพระองค์จะน้อยหน้าไม่ได้!”

““รับทราบค่ะ!!””

 

เหล่าอัศวินและสาวใช้ต่างพากันวิ่งวุ่นไปหมด แถมยังพากันแหกปากเรียกองค์หญิงๆจนทำให้ยูฟีเรียอดรู้สึกสงสัยไม่ได้

 

“ฮ่าๆๆ! แน่จริงก็เข้ามาสิเหล่าอัศวินทั้งหลาย!”

“องค์หญิงอานิสเฟียร์! เตรียมรับมือขอรับ!”

“ฝ่าบาท! ท่านต้องเข้าเฝ้าองค์ราชากับท่านดยุกมาเจนต้านะคะ ดังนั้นกรุณาเปลี่ยนชุดด้วยเถอะค่ะ!”

“ขอบใจแต่ขอปฏิเสธ! ข้าจะใส่ชุดที่อยากใส่เท่านั้น!”

““ไม่ใช่คำขอร้องค่ะ!!!””

 

ภาพเจ้าหญิงที่กำลังกระโดดไต่ไปบนพื้นและกำแพงเพื่อหลบหนีเหล่าข้ารับใช้ราวกับตั๊กแตนและเหล่าอัศวินที่วิ่งวนอ้อมไปมาเพื่อดักจับเธอนั้น ช่างเป็นภาพที่แปลกประหลาดซะเหลือเกิน

 

“ฮ่าๆๆ! เหล่าอัศวินและเมดที่น่ารักของข้าทั้งหลายเอ๋ย อาดิโอส!!”

“แย่แล้ว นั่นเธอกำลังปีนกำแพงเหรอ?!”

“เดี๋ยวก่อนองค์หญิงกรุณารอก่อนค่ะ!”

“เป็นเจ้าหญิงไม่จำเป็นต้องรอใครหรอกนะ!”

“…งั้นดิฉันจะเป็นคนหยุดท่านด้วยกำลังเองค่ะ”

“นักล่าหัว?!”

 

อิเรียลอยตัวลงจากยอดปราสาทพลางเพ็งสายตาอันน่าสยดสยองราวกับยมทูตใส่เหยื่ออย่างอานิสเฟียร์ที่กำลังวิ่งไต่กำแพง

จากนั้นก็มีเงาคนล่วงลงสู่พื้นพร้อมกับฝุ่นที่ฟุ้งไปในอากาศ พอฝุ่นเริ่มจางก็ปรากฏภาพอิเรียกำลังกดอานิสเฟียร์ลงกับพื้น

 

“ตอนนี้แหละ! ไม่ต้องสนใจดิฉันรีบจับองค์หญิงเอาไว้เร็ว!”

“อิเรีย…พวกเราจะไม่มีวันลืมการเสียสละของเธอเลย เหล่าสาวใช้ทั้งหลาย! จับตัวองค์หญิงเอาไว้ซะ”

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง! องค์หญิงคงเตรียมใจเอาไว้แล้วใช่ไหมคะ!!”

“หนอยแน่…บ้าที่สุดดด!”

 

อานิสเฟียพยายามดิ้นรนสุดกำลังเพื่อให้หลุดจากการถูกมัด ส่วนอิเรียได้แต่หลับตายอมรับชะตากรรมที่ต้องโดนมัดคู่ไปกับอานิสเฟียร์ 

จากนั้นเหล่าสาวใช้ก็แบกตัวทั้งคู่ไปด้วยท่าทางเร้าร้อน ส่วนเหล่าอัศวินต่างก็ตะโกนส่งเสียงดีใจในชัยชนะออกมา

หลังจากดูฉากไร้สาระดำเนินไปอย่างเงียบๆ ยูฟีเรียก็ถอนหายใจออกมา

 

“ขอโทษนะ แต่ขอชาให้ฉันสักถ้วยได้ไหม”

 

และก็เมินไปทั้งอย่างนั้น

 

***

 

“องค์หญิงอาเฟียร์อรุณสวัสดิ์ค่ะ เป็นชุดเดรสที่งดงามมากเลยนะคะ”

“อรุณสวัสดิ์ พวกเมดก็พูดแบบนั้นแต่ข้าว่า…”

 

เมื่อยูฟีเรียลองมองอานิสเฟียร์ดูดีๆแล้ว ส่วนสูงของอานิสเฟียร์เตี้ยกว่าเธอหนึ่งช่วง ใบหน้าที่ดูอ่อนวัย ผิวที่ขาวงามเปล่งประกายและเส้นผมสีแพลตตินั่มบลอนด์ซึ่งเป็นเครื่องหมายของราชวงศ์ถูกถักทอเป็นเปียดูแวววาวสวยงาม

ชุดเดรสสีชมพูอ่อนกับชายกระโปรงที่ดูนุ่มนิ่มเองก็เหมาะกับอานิสเฟียร์มาก

ถ้าหากเธอยืนอยู่นิ่งๆและยูฟีเรียทำเป็นลืมความทรงจำเมื่อคืนกับช่วงเช้าออกไป เธอก็จะกลายเป็นเจ้าหญิงผู้แสนงดงามขึ้นมาทันใด 

นั่นทำให้ยูฟีเรียตระหนักได้ว่าต่อให้อานิสเฟียร์จะทำตัวแปลกยังไงสุดท้ายแล้วเธอก็ยังคงเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์อยู่ดี

เมื่อลองเปรียบเทียบกับอานิสเฟียร์แล้ว ยูฟีเรียจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า โดยเฉพาะรูปร่างอันสวยงามนั้นถึงกับทำให้หลายคนถอนหายใจด้วยความอิจฉา ถึงแม้ว่าหน้าอกของเธอจะไม่ได้ใหญ่มากแต่มันก็เป็นขนาดที่สมส่วนเหมาะสมกับรูปร่างสูงเพียวบางของเธอ

เส้นผมสีเงินอ่อนที่เกือบจะเป็นสีขาวส่องประกายแวววาวภายใต้แสงไฟ

ผิวสีขาวซีดและดวงตาสีชมพู

ถึงแม้ความแข็งแกร่งของเธอมักเป็นสิ่งที่ติดตรึงอยู่ในใจของผู้คน แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่ายูฟีเรียเป็นผู้หญิงที่ทั้งแข็งแกร่งและงดงาม

 

“ชุดเดรสนี่มันหนักชะมัด”

“โปรดอดทนอีกสักครู่นะคะ”

“องค์หญิง คุณหนูยูฟีเรีย ฝ่าบาทกับท่านดยุคกำลังรอพวกท่านอยู่เชิญทางนี้เลยค่ะ”

 

แล้วสาวใช้นำทางทั้งสองคนเข้าไปในห้อง ภายในนั้นผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามของออลฟรานคือชายที่ให้บรรยากาศคล้ายคลึงยูฟีเรีย

ดวงตาอันเฉียบคมสะท้อนจิตวิญญาณอันกล้าแกร่ง ท่าทางอันสงบเยือกเย็นไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ชายผู้ให้ความรู้สึกเหมือนใบดาบอันแหลมคม ดยุค แกรนส์ มาเจนต้า

 

“ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ ลอร์ดแกรนส์”

“องค์หญิงอานิสเฟียร์ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบกับท่านอีกครั้ง ท่านเติบโตขึ้นมาเป็นหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก”

“โตขึ้นงั้นรึ…ถ้าลอร์ดแกรนส์ว่าแบบนั้นแสดงว่าข้าดูสมกับเป็นเจ้าหญิงมากขึ้นแล้วสินะ!” 

“แล้วเจ้าหญิงที่ไหนเขาทำตัวกันแบบนี้กันเจ้าโง่ รีบๆนั่งลงได้แล้ว! ยูฟีเรียเจ้าเองก็นั่งลงด้วยสิ”

“….ค่ะ ขออนุญาตนะคะ”

 

ขณะที่อานิสเฟียร์กับออลฟรานนั่งข้างกันก็ยังคงมีบรรยากาศเถียงกันต่อจากเมื่อกี้

กลับกันบรรยากาศของทางยูฟีเรียกับพ่อของตัวเองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันช่างเย็นชาราวกับเครื่องจักร หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยูฟีเรียก็โค้งคำนับและนั่งลงข้างๆแกรนส์

หลังจากที่อานิสเฟียร์และยูฟีเรียนั่งลงแล้ว ออลฟรานก็กระแอมไอออกมา

 

“ข้าเชื่อว่าเราทุกคนรู้ดี ว่าทำไมพวกเราถึงมารวมตัวกันในวันนี้ ก่อนอื่นข้าอยากจะยืนยันรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าและระหว่างยกเลิกการหมั้นโดยอัลการ์ด ยูฟีเรีย ข้ารู้ว่ามันคงจะยากแต่ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”

“….ค่ะ”

 

จากนั้นยูฟีเรียก็เริ่มอธิบายเรื่องทั้งหมด แต่ยิ่งเล่าเท่าไหร่สีหน้าของออลฟรานก็ยิ่งดำมืดขึ้นเท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม การแสดงออกของแกรนส์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เขาฟังสิ่งที่ลูกสาวของตนเล่าอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับยกชาขึ้นจิบ

ไม่นานนักยูฟีเรียก็เล่าจนจบ

 

“…งั้นรึ จากนั้นท่านก็บังเอิญบุกเข้าไปในงานเลี้ยงและพาตัวยูฟีเรียออกมาสินะ ถูกต้องไหมครับองค์หญิงอานิสเฟียร์”

“ใช่ ถูกต้องแล้วค่ะ”

“และเมื่อคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับชื่อเสียงของยูฟีเรีย ท่านจึงได้ยื่นข้อเสนอให้เธอมาทำงานค้นคว้าเวทมนต์ภายใต้การดูแลของท่านสินะ”

“ถูกต้อง แน่นอนว่าต้องได้รับอนุญาตจากท่านก่อน”

 

หลังจากฟังสิ่งที่อานิสเฟียร์กล่าว แกรนส์ก็เอามือลูบคางของตนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยราวกับแผ่นน้ำแข็ง

ขณะเดียวกันออลฟรานก็ขยับตัวยุกยิกพร้อมกับลูบท้องตัวเองไปมา

ยูฟีเรียที่ไหล่สั่นเอามือจับเข่าตนเองแน่น

ส่วนองค์หญิงจอมเพี้ยนก็ตามชื่อ คือนั่งจิบชาผ่อนคลายท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียด

 

“ถ้าผมจำไม่ผิด ท่านไม่เคยให้ใครมีส่วนร่วมในการวิจัยศาสตร์เวทมาก่อนเลยนี่ครับ แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้?”

“เพราะข้าชอบคุณหนูยูฟีเรียเหตุผลแค่นี้ไม่พอเหรอ?”

“ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากฟังเหตุผลที่แท้จริงครับ”

“งั้นก็เพราะเราสองคนชอบกันและกัน แค่นี้ดีพอรึยังคะ?”

 

และนี่ก็เป็นครั้งแรกในการประชุมที่แกรนส์ยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มของนักล่าที่เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้า ในขณะที่อานิสเฟียร์ยิ้มเหมือนแมวเชสเชียร์

 

“เพราะคุณหนูยูฟีเรียรู้ดีว่าความเจ็บปวดจากการถูกหักหลังมันรู้สึกยังไง ดังนั้นข้าถึงไม่ต้องกลัวว่าเธอจะทรยศน่ะ”

“ทรยศ….ท่านเหรอ?”

“เพราะศาสตร์เวทมันอันตรายน่ะนะ”

พูดจบอานิสเฟียร์ส่งยิ้มกลับ

 

***

 

ศาสตร์เวทเป็นสิ่งอันตราย อย่างน้อยข้าก็คิดแบบนั้น

ถึงข้าจะส่งเอกสารวิจัยและรายงานเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เคยให้ใครเห็นขั้นตอนการวิจัยเลยนอกจากอิเรีย 

ข้าพยายามทุกวิถีทางเพื่อกันเหล่าเมดออกจากห้องทำงาน ด้วยเหตุนี้นอกจากข้าแล้วจึงไม่มีใครเข้าใจงานวิจัยและเบื้องหลังกระบวนการพัฒนาศาสตร์เวท

 

“ยิ่งข้าค้นคว้ามากเท่าไหร่ ศาสตร์เวทก็จะยิ่งมีประโยชน์และช่วยให้ผู้คนสะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้น และความสะดวกสบายนี้เองก็จะช่วยให้อารยธรรมเจริญรุ่งเรือง และความเจริญรุ่งเรืองก็จะกลายเป็นบางสิ่งที่ทุกคนเรียกว่าพลังยังไงล่ะ”

“พลัง….”

“ถูกต้อง ดังนั้นข้าก็เลยพยายามเก็บงานวิจัยพวกนั้นไว้ให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้พลังนั่นมากเกินที่ต้องการ ถ้าแค่ใช้เองก็ไม่เท่าไหร่ และข้าเองก็คิดมาอย่างรอบคอบแล้วก่อนจะปล่อยงานวิจัยบางอย่างออกไปและพยายามกันผู้คนให้มีส่วนร่วมน้อยที่สุด”

“…และเพราะรู้ว่าศาสตร์เวทจะส่งผลยังไง ท่านได้ถึงสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์งั้นรึ?”

 

ดูเหมือนว่ายูฟีเรียจะยังไม่เข้าใจ ข้าจึงอธิบายให้เธอฟัง

จากนั้นลอร์ดแกรนส์จึงถามคำถามต่อ

 

“ไม่อ่ะ เพราะมันยุ่งยา-โอ้ยยย?!”

 

ท่านพ่อเคาะหัวข้าก่อนจะทันได้พูดจบแถมยังกัดโดนลิ้นตัวเองอีก

จริงอยู่ว่าเหตุผลส่วนหนึ่งที่ข้าสละสิทธิ์เพราะมันยุ่งยากและน่ารำคาญ แต่อีกอย่างก็คือค่านิยมหรือสามัญสำนึกของข้าไม่เหมือนกับผู้คนในโลกนี้ ต่อให้อยู่ในตำแหน่งราชินีสิ่งนี้ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

 

“เป้าหมายของข้าคือการค้นคว้าศาสตร์เวท เพราะงั้นข้าจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น”

“เหตุผลคือ?”

“เพราะข้าต้องทำให้เรื่องงานและลูกสมดุลกันใช่ไหมล่ะ?! ข้าไม่อยากมีลูก! ข้าไม่ได้รังเกลียดผู้ชาย แต่

ถ้าพูดถึงคู่ชีวิตแล้ว ข้าจะไม่แต่งงานกับผู้ชายเด็ดขาด!”

“…นี่เจ้าเอาจริงเหรอ?”

 

เอาจริงสุดๆ ว่ากันตามตรงนึกภาพตัวเองนั่งบนบัลลังก์ไม่ออกเลย ไม่ใช่ว่าไม่ชอบแต่ถ้าให้เลือกแล้วก็ขอบายดีกว่า

สมมุติว่าข้าไม่สละสิทธิ์แล้วขึ้นครองบัลลังก์พร้อมๆกับวิจัยศาสตร์เวทย์ควบคู่ไปด้วย แค่คิดก็ยุ่งยากแล้ว

 

“เพราะข้าที่ไม่สละสิทธิ์จะเป็นปัญหากับประเทศมากกว่าข้าที่สละสิทธิ์น่ะสิ”

“หมายความว่ายังไง?”

“คุณหนูยูฟีเรียคิดว่าคุณค่าในตัวข้าวัดจากอะไรล่ะ? คำตอบก็คือศาสตร์เวทย์ ถ้าข้าได้เป็นราชินีจริงๆ ข้าก็ต้องวิจัยศาสตร์เวทย์พร้อมกับทำหน้าที่ผู้นำประเทศไปด้วย! ไม่ไหวๆ ยังไงก็ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ดี จนท้ายสุดก็ต้องโยนงานบริหารบ้านเมืองให้สามีทำ แบบนั้นข้ายังจะเรียกตัวเองผู้ปกครองได้อยู่อีกเหรอ? ดังนั้นแล้วข้าต้องจึงสละสิทธิ์เพื่อจะทุ่มเวลาพัฒนาศาสตร์เวทย์ได้อย่างเต็มที่ยังไงล่ะ!”

 

ว่ากันตามตรงหากได้ขึ้นเป็นราชินีจริงๆก็ไม่มีทางทิ้งงานบริหารได้หรอก เวลาที่ใช้ในการวิจัยก็จะน้อยลง แล้วตัวข้าที่มีดีแค่ศาสตร์เวทย์จะเอาอะไรไปบริหารประเทศอ่ะ แถมยังมีกระเป๋าตังเบิ้มๆที่เรียกว่าคลังสมบัติชาติคอยเปย์ มีหวังถอนไปใช้ในงานวิจัยหมดแน่ และข้าก็คงจะหงุดหงิดจนอยากจะระเบิดตัวตายไปให้ซะพ้นๆ นี่ยังไม่นับเรื่องที่หากข้าทิ้งงานบริหารไปให้สามีในอนาคต จนสุดท้ายเกิดการแบ่งขั่วอำนาจ สงครามกลางเมือง เผลอๆอาจลามไปถึงขั้นแบ่งแยกดินแดนเลยด้วยซ้ำ

 

“การแต่งงานทางการเมืองกับคนที่ท่านพ่อแนะนำก็เป็นปัญหาเช่นกัน เพราะนอกจากเขาคนนั้นจะได้ข้าไปเป็นภรรยาแล้วเขาจะได้ศาสตร์เวทย์เป็นของแถมไปด้วย หากมันถูกเอาไปใช้ในทางที่ผิดอาจก่อให้เกิดหายนะได้ อย่างที่ข้าบอกนั่นแหละการแต่งงานกับผู้ชายมันไม่มีข้อดีเลยซักนิด!”

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว….”

 

ท่านพ่อเอามือกุมหน้าผาก

ก็ต้องคิดมากอยู่แล้วสิ! นี่ก็เพื่อชีวิตที่สองอันแสนสนุกของข้ายังไงล่ะ!

 

“ทั้งหมดนั่นคือเหตุผลที่ข้าถอนตัวและเปิดทางให้อัลคุงเป็นราชาคนต่อไป! เพราะงั้นก็เลยต้องลงทุนนิดหน่อยละนะ!”

“อานิส นี่เจ้าจงใจทำทั้งหมดนั่นจริงรึ?”

“ไม่อ่ะ”

“ข้ามันโง่เองที่คาดหวังกับเจ้า!!!”

 

โอ้ พระบิดาเอ้ย ถึงท่านจะทำหน้าตาสิ้นหวังแบบนั้นแต่ทุกอย่างมันก็จบลงด้วยดีไม่ใช่เรอะ?

 

“แต่ดูเหมือนว่าแผนนั้นจะส่งผลกลับมาแล้วนะครับ”

“เอ๊ะ”

 

ลอร์ดแกรนซ์พึมพำอย่างเย็นชา ในขณะเดียวกันท่านพ่อก็คร่ำครวญราวกับว่าเขากำลังเจ็บปวด

อื้ม…หรือว่าสาเหตุที่อัลคุงเป็นแบบนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะว่าข้าถูกปล่อยตามใจอิสระ ทำให้อัลคุงก็เลยถูกจับตามองมากขึ้นงั้นรึ เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง? ไม่สิ ขอโทษด้วยนะอัลคุง

อ่าาา แม้ว่าข้าจะได้ประโยชน์เพราะได้โอกาสเข้าหาคุณหนูยูฟีเลีย แต่คนอื่นก็โดนลูกหลงไปด้วย คงจะพูดว่าดีได้ไม่เต็มปากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกหลงนั้นมันดันตกมาอยู่ที่ไหล่ของราชวงศ์ละนะ

 

“สรุปคือ แผนขององค์หญิงคือการฟื้นฟูชื่อเสียงของยูฟีเลีย โดยให้เธอเข้าร่วมในการวิจัยศาสตร์เวทสินะ?”

“อืม…ว่ากันตามตรง การให้ข้าเข้าไปยุ่งเรื่องของอัลคุงคงจะไม่ดีนัก แค่ตอนนี้เขาแทบไม่อยากเห็นหน้าข้าแล้วด้วยซ้ำ เพราะงั้นแล้วการเอาคุณหนูยูฟีเรียมาไว้ข้างกายข้าคงจะเหมาะกว่า”

“แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่แย่ ในแง่ประโยชน์ต่อการวิจัยศาสตร์เวทของท่าน แต่…ครอบครัวข้าจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ?”

 

ทันทีที่สิ้นเสียง แรงกดดันจากลอร์ดแกรนส์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ข้าสัมผัสได้เลยว่าท่านพ่อกำลังนั่งเฉาอยู่ข้างๆ

ว่ากันตามตรงวิธีที่ข้าเสนอไปสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของยูฟีเลียได้อย่างแน่นอน ปัญหาจริงๆคือสายตาคนที่มองครอบครัวของเธอต่างหาก 

อย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ การให้ใครสักคนเข้าร่วมการวิจัยของข้ามีแต่จะก่อให้เกิดปัญหา 

ถ้าเป็นครอบครัวอย่างดยุคมาเจนต้า ข้าก็ไม่ค่อยกังวลว่าพวกเขาจะใช้ความรู้ในทางที่ผิด แต่ปัญหาใหม่จะเกิดขึ้นทันที เพราะขุนนางคนอื่นๆจะมองว่าพวกเขามีอำนาจมากเกินไป

 

“ข้าคงไม่ได้อธิบายให้ท่านฟังหรอกนะองค์หญิงอานิสเฟียร์?”

“อื้ม”

“งั้นถ้ารู้แบบนั้นแล้วก็ยังอยากจะให้ยูฟีเรียไปอยู่ข้างกายท่านอีกรึ?”

“อยากสิ เพราะข้าอยากให้เธอมีความสุข และการปล่อยให้ความสามารถของเธอหายไปเปล่าๆก็น่าเสียดายเกินไปข้าอยากที่จะปลดล็อกความสามารถของเธอ”

 

โดยส่วนตัวแล้ว ข้าไม่ชอบแนวคิดเรื่องการปกครองแบบราชา

นั่นก็เพราะมันเป็นการผลักใครคนใดคนหนึ่ง ให้เขาฆ่าความเป็นตัวของตัวเองและกลายเป็นศูนย์กลางที่มีชีวิตเพื่ออาณาจักร

แต่ตราบใดที่ประเทศนี้ยังคงเป็นอาณาจักรอยู่ ข้าไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ตัวเองสามารถทำได้

ตั้งแต่วันที่ได้ความทรงจำคืนมา ข้าก็ไม่เหมาะที่จะนั่งบนบัลลังก์อีกต่อไป

ข้าจะมีชีวิตอย่างที่อยากเป็นเท่านั้น

 

ข้าจะไม่ปฏิเสธการเป็นเจ้าหญิงทำให้บางอย่างในชีวิตมันง่ายขึ้น

และข้าก็ไม่ได้รู้สึกอิดออดอะไรที่จะช่วยเหลืออาณาจักร

แต่ถ้าข้าต้องหยุดเป็นข้า ตำแหน่งราชินีอะไรนั่นก็ไม่อยากได้แล้ว

 

“…งั้นรึ ยูฟีเรีย”

“…ค่ะท่านพ่อ”

“เจ้ายังอยากเป็นราชินีอยู่หรือเปล่า?”

Options

not work with dark mode
Reset