Telesma 5

ตอนที่ 5

กว่าพวกเราจะสอบรอบที่ 3เสร็จก็ใช้เวลาไปนานมากชนิดที่ว่าสอบเสร็จแล้วสามารถไปกินอาหารมื้อดึกที่โรงอาหารต่อได้ในทันทีเลย ถ้าถามว่านานเพราะอะไรน่ะหรอ? ก็เพราะว่าต้องมานั่งรอให้พวกนักเวทฝึกหัดแต่ละคนนั่งนึกเวทแต่ละคาถาให้ออกนั่นแหละ คนที่เข้าไปสอบข้างในห้องสอบสวนจะต้องท่องคาถาเวททั้งหมดที่ตัวเองจำได้รวมถึงคุณสมบัติของมันด้วย แต่สำหรับฉันแล้วการสอบรอบนี้มันแทบไม่ได้ต่างจากการท่องจำตัวอักษรสำหรับใช้อ่านเขียนในชีวิตประจำวันเลยสักนิดเดียว พูดตรงๆ เลยว่าออกจะน่าเบื่อไปนิด

พอสอบเสร็จพวกเราก็ไปรับประทานอาหารมื้อดึกกัน หลังจากกินอาหารกันเสร็จก็ทำการแบ่งห้องนอนสำหรับพักผ่อนในคืนนี้ ในตอนแรกพวกผู้คุมสอบก็พยายามจะอธิบายให้โลล่าฟังแล้วว่าทำไมถึงต้องแยกห้องนอนชาย-หญิง แต่เด็กสาวก็ไม่ยอมฟังและดึงดันที่จะนอนห้องเดียวกับฉันให้ได้ จนสุดท้ายพวกเราก็ถอดใจและต้องปล่อยเลยตามเลย หวังว่าหลังจากนี้คงไม่โดนบ้านยัยนี่มาเอาเรื่องก็แล้วกัน

“พอไม่รู้ว่าจะเอาอันไหนดีสุดท้ายฉันก็เลยท่องเวทระดับ 3ทั้งหมดในตำรายูรานเลย เจ๋งใช่มั้ยล่า” โลล่าสาธยายถึงคาถาที่เธอท่องไปทั้งหมดระหว่างการสอบรอบที่ 3 ในขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่

  “….นี่ฟังกันอยู่รึเปล่าเนี่ยนาคาซ!” โลล่าพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาบังหนังสือของฉัน

  “ฉันไม่ได้สมาธิยาวพอที่จะนั่งฟังคนคนหนึ่งสาธยายอะไรได้นานเป็นชั่วโมงโดยที่ไม่ทำอะไรหรอกนะ แถมเวทที่เธอพูดมานั่นฉันก็จำได้หมดตั้งนานแล้วด้วย”

  “งั้นนายท่องอะไรไปมั่งล่ะ”

  “เวทระดับ 1-3 จากตำราธาตุพื้นฐาน 4ตำราแล้วก็เวทระดับ 4อีกนิดหน่อย”

  “ห๊า! นี่นายจำคาถาได้ถึงระดับ 4แล้วงั้นหรอ!” เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าตกตะลึง

  “ก็แค่จำได้ ตอนนี้ฉันยังใช้ไม่เป็นหรอกนะ อักขระในวงเวทระดับ 4มันซับซ้อนมาก กว่าจะทำความเข้าใจได้แต่ละตัวก็เป็นอาทิตย์นั่นแหละ ตอนนี้ฉันยังทำความเข้าใจได้ไม่ถึงหนึ่งในห้าเลยด้วยซ้ำ”

  “ส่วนฉันแค่จำให้ได้สักส่วนยังเต็มกลืนเลยแฮะ เวทระดับ 4นี่ยากเดินไปจริงๆ”

  “แต่ดันสร้างน้ำแข็งดำที่ต้องใช้เวทพิธีกรรมสร้างขึ้นมาใช้แบบทิ้งขว้างได้เนี่ยนะ เหลือเชื่อเลยนะเธอเนี่ย”

  “พูดอะไรของนายน่ะ” อยู่ๆ น้ำเสียงของโลล่าก็เปลี่ยนมาจริงจังในฉับพลัน

  “เรื่องอะไรล่ะ”

  “น้ำแข็งดำไง ฉันว่าฉันไม่เคยใช้มันให้ใครเห็นนอกจากคนในตระกูลนะ”

  เอ๋?… ก็เราจำได้ว่าเมื่อเช้ายัยนี่ยังใช้ตอนแข่งควิกซ์แคสท์อยู่เลยไม่ใช่รึไง? จะบอกว่าเราจำผิดงั้นหรอ? เป็นไปไม่ได้

  “นี่นายไปได้ยินเรื่องนั้นมาจากไหน” โลล่ากล่าวด้วยความเคลือบแคลงใจพร้อมกับแผ่บรรยากาศสุดแสนเลวร้ายออกมาจนทำให้ฉันเสียงสันหลังวูบอยู่ชั่วขณะนึง

  “กะ ก็แบบข่าวลือไง ยังไงบ้าฉันก็เป็นตระกูลสภานะ การที่จะเคยได้ยินข่าวลือของสภา 13คทาตระกูลอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้วใช่มั้ยล่า ฮะๆ….”

  “ก็จริง… เฮ้อ~เรื่องคงหลุดมาจากพวกตระกูลสาขาสินะ เอาเถอะถ้าเป็นนายฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

นี่ขนาดไม่มีปัญหานะเนี่ย ถ้าเป็นคนอื่นหรือพวกสามัญชนรู้เข้านี่คอไม่ขาดเลยเรอะ ไม่ไหวๆ ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกสักหน่อยดีกว่า

  “นี่นายจะไปไหนน่ะ”

  “จะออกไปเดินเล่นสักแปปนึง มีปัญหาอะไรรึป่าว”

  “ก็…ไม่ แค่คิดว่าต้องอยู่คนเดียวมันก็รู้สึกเหงาๆ ขึ้นมานิดหน่อย…น่ะ…” ไม่ต้องมาทำเสียงอ้อนเลย! เมื่อกี้ยังกะจะฆ่าฉันอยู่เลยไม่ใช่เรอะ!

  “ออกไปแป๊บเดียวน่า ฉันจะกลับมาก่อนเวลาดับไฟสัก 30นาทีก็แล้วกัน”

พอออกจากห้องมารู้สึกอย่างกับอยู่คนละโลกเลยแฮะ…. บรึ๋ย~แค่คิดถึงบรรยากาศในห้องเมื่อกี้ก็เสียวสันหลังวาบแล้ว ให้ตายเถอะไม่คิดเลยว่ายัยนั่นจะน่ากลัวได้ขนาดนี้เนี่ย คงต้องระวังตัวมากขึ้นแล้วแฮะ

 

พอได้เดินเล่นตอนกลางคืนแบบนี้ก็นึกขึ้นได้ว่าเราก็เคยมาค้างที่นี่อยู่ตั้ง 2 ครั้งนี่เนอะ ครั้งแรกเป็นเพราะล้อเกวียนพังกกกลางทางกว่าจะหาเปลี่ยนกันได้ก็วิ่งวุ่นกันยกใหญ่เลย กว่าจะหอบสังขารจนมาถึงที่นี่กันได้ก็ล่อไปซะตอนเย็นเลย ส่วนครั้งที่ 2…

  (แหมๆ~ ตอนเจอตัวตนอันสูงส่งอย่างฉันกลับไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย แต่ดันกลัวเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เนี่ยน้า~)

  “เสียงหรอ มาจากไหนกัน!?” อยู่ๆ ก็มีเสียงดังออกมาจากในหัว แถมเป็นเสียงที่คุ้นเคยด้วย ภูตตนนั้นงั้นหรอ

  (ชู่~! อย่าเสียงดังนักซี่~ แค่เธอคิดฉันก็ได้ยินแล้วน่า~)

  เป็นคุณจริงๆ ด้วย แล้วทำมันได้ยังไง แถมพวกผู้คุมสอบน่าจะยกระดับการป้องกันไปแล้วนี่ ไม่น่าที่จะมีทา-

  (ถ้าจะให้อธิบาย~ต่อให้มีเวลาทั้งคืนก็คงไม่พอใช้หรอกน้า~ เอาเป็นว่ามันเกี่ยวพันกับเรื่องมานาของพวกเรานั่นแหละ~)

  แล้วคุณต้องการอะไรจากผมอีกล่ะ หรือว่าจะบังคับให้ผมทำพันธสัญญาอีกฃั้นหรอ ครั้งนี้ผมไม่เผลอตัวแบบครั้งก่อนหรอกนะ

  (เป็นเด็กที่อวดดีจริงๆ เลยน้า~ เอาเถอะ~ สุดท้ายยังไงเธอก็ต้องพึ่งพาฉันอยู่ดีนั่นแหละน้า~)

  คุณหมายความว่าไง

  (ดูเหมือนว่าจะมีคนมาแทรกเข้าแล้วซิ~ เอาเป็นว่าเมื่อถึงเวลาเธอก็จะรู้เองนั่นแหละ~…. ฮิๆๆ~….) เสียงของภูตตนนั้นได้จางหายไปราวกับว่ามันเป็นแค่เสียงลมที่พัดเข้ามาในหูของฉัน 

  “ดะ เดี๋ยวสิ! มีคนมาแทรกนี่หมายความว่าไง!” 

  “นั่นแกกำลังคุยกับใครอยู่น่ะ” อยู่ๆ ก็มีเสียงของเด็กผู้ชายดังมาจากทางข้างหลังของฉัน และพอฉันหันไปก็เจอกับตัวปัญหาหมายเลข 2

  “โห นอกจากจะกล่าวหาว่าคนอื่นโกงแล้ว ยังเรียกคนแปลกหน้าครั้งแรกว่า”แก”อีกงั้นหรอ บ้านไม่สอนมารยาทรึไง”

  “ขอโทษด้วยละกัน บ้านฉันไม่ใช่พวกลูกผู้ดีที่จะมามัวคิดเรื่องมารยาทหรอกนะ” 

  “งั้นหรอ ไม่มีใครสนใจแม้แต่จะสอนมารยาทเลยสินะ ช่างน่าเวทนาใจยิ่งนัก”

  “นี่แก!!” เด็กหนุ่มขว้าคอเสื้อของฉันพร้อมกับง้างหมัดเหมือนจะต่อย แต่ก็ทำได้แค่”เหมือน”นั่นแหละนะ

หมอนี่ใจร้อนใช่เล่นเลยนะเนี่ย

  “เอาสิ” เด็กหนุ่มง้างหมัดนานอยู่สักพักก่อนที่จะปล่อยมือจากคอเสื้อของฉันพร้อมกับสีหน้าที่ดูจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

  “ถ้าไม่คิดจะทำมันตั้งแต่แรกก็ไม่ควรจะปล่อยให้อารมณ์มันนำหรอกนะ”

เด็กหนุ่มไม่ได้โต้ตอบอะไรนอกจากหันหน้าหนีออกไปทางหน้าต่าง สุดท้ายฉันก็เลยดินกลับไปที่ห้องนอนโดยที่ทิ้งเด็กคนนั้นไว้กลางโถงทางเดินเพียงคนเดียว

  “จะว่าไปเมื่อกี้เราพูดแรงไปรึป่าวนะ เอาเถอะถ้าเมื่อกี้โดนต่อยเข้าจริงๆ ก็คงไม่น่าแปลกใจหรอกมั้ง”

พอฉันกลับมาถึงที่ห้องนอนก็พบว่าโลล่าชิงหลับไปก่อนซะแล้ว แต่ว่าตะเกียงของฝั่งนั้นยังคงเปิดอยู่

  ยัยนี่กลัวความมืดหรอ? งั้นก็ดับไฟแค่ฝั่งเราก็พอละกัน

  “ราตรีสวัสดิ์” 

  “…..” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ฉันก็รู้ดีว่าโลล่าคงไม่ตอบอะไรกลับมา เอาเถอะยังไงก็แค่ทำให้มันพอเป็นพิธีแหละนะ เราเองก็นอนมั่งดีกว่า…..

 

……..ที่นี่…ที่ไหนอีกแล้วเนี่ย

 พอรู้ตัวเราก็ยืนอยู่บนหอคอยสูงเสียดฟ้า ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆหนาสีดำกว้างสุดลูกหูลูกตา บริเวณข้างล่างเต็มไปด้วยหอคอยกระจกที่ส่องแสงสีฉูดฉาดจนแสบตาเรียงรายอยู่ตามทางอีกจำนวนมาก และบนเส้นทางแคบๆ ข้างล่างก็เต็มไปด้วยแสงสีแดงและส้มอีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ส่องออกมาจากวัตถุรูปทรงประหลาดที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ และแน่นอนว่าตอนนี้เราก็ยังไม่สามารถขยับน่างกายได้เหมือนกับฝันครั้งก่อน

แอ๊ดดด

ตึ่ง เสียงประตูดังมาจากข้างหลังของเรา แต่ต่อให้เราอยากจะหันไปมองมากขนาดไหนก็ไม่สามารถที่จะหันไปได้ ทำได้เพียงแค่การฟังเสียงเหล็กที่กระทบกับพื้นเป็นจังหวะเหมือนกับการก้าวเดินในระยะสั้นๆ เพียงเท่านั้น

  “รู้รึเปล่าว่าสมองของมนุษย์นั้นมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์เสียอีก”  ประโยคนั้นดังมาจากข้างหลังของฉัน

มันคือน้ำเสียงที่เราเคยได้ยิน น้ำเสียงที่ทับซ้อนกันหลายเสียงและแข็งทื่อจนไม่เหมือนกับเสียงที่สิ่งมีชีวิตจะสามารถพูดหรือเปล่งออกมาจากลำคอได้นั่น 

  “ก่อนอื่นเลยก็คงต้องแสดงความเสียใจด้วยก็แล้วกัน เพราะต่อให้เธอจะมีคำถามมากมายขนาดไหนฉันก็ไม่สามารถตอบให้ได้หรอกนะ นี่ไม่ใช่การบุกรุกหรือแทรงแทรงความฝัน นี่เป็นเพียงแค่สิ่งที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่เคยสัมผัส สิ่งที่เคยมีตัวตนในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เป็นเพียงแค่บันทึกในลักษณะนึงเท่านั้น”

  “เพราะฉะนั้นฉันจะเข้าเรื่องเลยละกัน อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ว่าสมองของมนุษย์นั้นคือซูเปอร์คอมพิวเตอร์ชีวภาพที่สามารถคำนวณได้แม้กระทั่งสมการในทฤษฎีบิกแบง เพราะฉะนั้นการที่สมองของมนุษย์จะสามารถทำการ”ซิมูเลชั่น”ขึ้นมาได้นั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักหรอกนะ ถ้าจะอธิบายให้เธอเข้าใจง่ายที่สุดมันก็คงจะเรียกว่า”ความฝัน”ล่ะมั้ง ทุกๆ ครั้งที่มนุษย์ทำการฝันพวกเราจะเห็นบางสิ่งบางอย่าง บ้างก็เห็นอนาคต บ้างก็เห็นคนที่ตายไปแล้ว บ้างก็เห็นสิ่งที่ตนเองต้องการ สิ่งเหล่านั้นล้วนถูกสร้างและจำลองขึ้นมาภายในระยะเวลาสั้นๆ โดยอ้างอิงจากสิ่งที่บุคคลนั้นๆ โหยหาหรืออยากรับรู้มากที่สุด ณ เวลานั้นๆ หากแต่ว่าส่วนใหญ่ความฝันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถนำมาอ้างอิงในโลกความเป็นจริงได้มากเท่าไหร่นัก เพราะว่ามันไม่ได้ถูกจำลองขึ้นภายใต้กฎแท้จริง แต่มันคำนวณด้วยกฎของตนเองหรือ”เพอโซนอล เรียลลิตี้” ซึ่งนั่นทำให้ในหลายๆ ครั้งมนุษย์ก็ฝันว่าตนเองสามารถบินได้โดยไม่มีปีก กระโดดได้สูงเสียดฟ้า หรือมีพละกำลังมหาศาล เป็นต้น สิ่งเหล่านั้นล้วนเกิดจากจิตที่ถูกปรุงแต่งเพิ่มเติมจนไม่เหลือเค้าโครงของกฎดั้งเดิม แต่ถ้าหากเรายัดตรรกะเเห่งความเป็นจริงเข้าไปล่ะ? มันก็ไม่ต่างจากการตั้งค่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ให้มันคำนวณเท่าไหร่นักหรอก เพียงแค่กำหนดค่าของสนามควอนตัมให้กับสมองก็จะสามารถจำลองสิ่งที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดได้ และนั่นก็คือสิ่งที่เธอได้เจอและจะได้เจอไปอีกนานแสนนาน”

  (เอาจริงๆ ก็อาจจะแค่เกือบๆ สิบปีนั่นแหละนะ เพราะมนุษย์ฝันโดยเฉลี่ย 4-8รอบต่อการนอนหลับ 1ตื่น บวกกับการที่เธอมี perfect memoryแล้วก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร)

  “อึฮึ่ม ในโลกที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ถูกค้นพบอย่างจริงจัง ความรู้ในเรื่องที่เธอจะได้รับนั้นมันล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำหรือสิ่งอื่นใด เพราะว่ามันคือคำตอบสำหรับคำถามมากมายนับไม่ถ้วนของมนุษยชาติ จงใช้มันให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและถ้าไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนฉันจะยินดีอย่างมาก”

เสียงฝีเท้าเหล็กดังขึ้นอีกครั้งและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงนั้นเงียบหายไปและถูกแทนที่ด้วยสัมผัสอันเย็นเฉียบของมือเหล็กที่กำลังนาบลงบนแผ่นหลังของฉัน 

  “อ้อ ลืมบอกอีกอย่างนึงน่ะ มนุษย์จะตื่นได้ง่ายที่สุดตอนที่ฝันว่าตัวเองกำลังตกจากที่สูงนะ เพราะงั้นก็ระวังด้วยล่ะ ยิ่งกับความฝันที่ถูกยัดเยียดตรรกะแห่งความเป็นจริงแบบนี้แล้วมันอาจจะทำให้เธอตายได้เลยล่ะนะ บ๊ายบาย~” พอสิ้นเสียงคำพูดคนคนนั้นก็ผลักร่างของฉันลงไปยังข้างล่าง

ดะ เดี๋ยวสิ!! เมื่อกี้ยังบอกว่ามันอันตรายอยู่เลยไม่ใช่รึไง!! ตายแน่ ตายแน่ ตายแน่ ตายแน่

  “อ๊ากกกกก”

  “นี่นายฝันร้ายรึไง” พอฉันลืมตาขึ้นอีกครั้งก็กลับมาอยู่ที่ห้องๆ เดิมแล้ว ห้องก่อนที่ฉันจะไปอยู่ที่หอคอยนั่น และพอหันไปทางต้นเสียงก็ได้พบกับเด็กสาวที่ฉันคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีที่อยู่ในชุดนอนสีสดใสยืนอยู่ข้างๆ เตียงนอนของฉัน

  “บอกฉันทีว่านี่ไม่ใช่ความฝัน” 

  “ถ้าจะชมกันก็ไม่ต้องอ้อมค้อมมากก็ได้ย่ะ” 

  “ถ้าฉันเจอเธอในฝันคงจะนับว่าเป็นฝันร้ายซะมากกว่า”

  “โห ถ้าปากดีได้ขนาดนี้ก็คงไม่เป็นอะไรแล้วมั้ง รีบๆ แต่งตัวซะ ใกล้ถึงเวบาอาหารเช้าแล้ว” พอพูดเสร็จโลล่าก็กางฉากกั้นออกแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองในทันที

ถึงจะยังเป็นเด็กกันก็เถอะ แต่นี่มันไม่ดูไร้ยางอายไปหน่อยรึไง หรือว่าบ้านยัยนี่ไม่เคยสอนกันแน่ว่าอย่าแก้ผ้าในขณะที่มีเพศตรงข้ามอยู่ในห้องเนี่ย… 

ไม่ทันไรโลล่าก็แต่งตัวเสร็จ พอเด็กสาวพับฉากกั้นกลับที่เดิมก็หันมาบ่นใส่ฉันที่ยังคงนั่งคาอยู่ในชุดนอนอยู่

  “อะไรกันนี่นายยังแต่งตัวไม่เสร็จอีกงั้นหรอ” 

  “มา ฉันจะถอดเสื้อให้ เร็วๆ เข้าสิ” พอพูดจบโลล่าก็กระโจนเข้ามาหมายจะถอดชุดนอนของฉัน

  “เดี๋ยว!! หยุดก่อนเลยยัยนี่ ห-ย-อุ-ด หยุด! คนที่ไหนมันจะไปแก้ผ้าระหว่างที่มีเพศตรงข้ามอยู่ในห้องเดียวกันกันเล่า!!”

  “ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ รีบๆ ถอดเร็วเข้า พวกเราจะได้ไปกินอาหารเช้ากัน ฉันเริ่มหิวแล้วเนี่ย”

  “เป็นสิวะ เป็นหนักด้วย ไม่งั้นเขาจะแยกห้องตามเพศสภาพทำซากอะไรเล่า! ถ้าอยากกินมื้อเช้าเร็วๆ ก็ออกห้องไปเลยยัยนี่ ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้เฟ้ย!”

พวกเรายื้อยุดฉุดกระชากกันสักพักใหญ่จนกระทั่งโลล่าหมดแรงลง และพอฉันสบโอกาสก็เลยจับยัยนั่นก็โยนออกนอกห้องไป

  “ออกไป๊!”

ตึ่ง! ฉันปิดประตูด้วยความเร็วสุดแรงเกิดเพื่อที่จะล็อกประตูได้ทัน

  “จะอะไรกันนักกันหนาเล่า! ตอนอยู่บ้านก็มีคนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉันตลอด ฉันก็แค่อยากรู้ว่ามันรู้สึกยังไงก็เท่านั้นเอง!” โลล่าตะโกนออกมาจากข้างนอกห้อง

  “ไว้ไปเปลี่ยนให้ลูกแกในอนาคตนู่นไป!”

ให้ตายเถอะไหนจะเรื่องภูตนั่น ไหนจะเรื่องความฝัน แล้วยังต้องมาเจออะไรเพี้ยนๆ จากยัยนี่อีก เชื่อเขาเลย และพอฉันเปิดประตูออกไปก็พบกับโลล่าที่นั่งขวางทางประตูอยู่ 

  “ช้า~ชะมัด!”

  “แล้วมันช้าเพราะใครล่ะห๊ะ!”

  “ก็ถ้ายอมแต่แรกมันก็จบแล้วมั้ยล่ะห๊ะ!”

  “แล้วมันมีผู้หญิงที่ไหนมาแต่งตัวให้ผู้ชายกันล่ะห๊ะ!”

  “ก็แม่กับพ่อฉันไง ฉันเห็นพวกเขาแต่งตัวให้กันตลอด” ….ไม่ไหว ยัยนี่เกินเยียวยาแล้ว แยกแยะอะไรไม่เป็นสักอย่าง

  “ดะ เดี๋ยวสิ แค่เถียงไม่ได้นี่ถึงกับเดินหนีกันเลยหรอ”

  “เถียงกับเธอนี่ทั้งวันคงไม่ได้ทำอะไรสักอย่างแน่” 

ฉันเดินหนีโลล่าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ยัยนั่นก็ไม่มีท่าทีที่จะลดละความพยายามเลยแม้แต่น้อยจนกระทั่งฉันเดินมาถึงโรงอาหาร

  “จะรีบ….เดิน…ไปไหน..ห๊ะ!” โลล่าพูดด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อยราวกับคนที่กำลังจะขาดอากาศหายใจตาย

  “ใครบอกให้เดินตามล่ะ” 

  “นายนี่มัน…ไม่มี….ความ…ละเอียด…อ่อน…ต่อ..กุล…สตรี…เลย…นะ” พูดไม่ไหวก็ไม่ต้องพูดหรอก ไม่มีใครว่าหรอกนะ

  “อย่างเธอเนี่ยยังมีหน้าจะมาพูดเรื่องความละเอียดอ่อนกับคนอื่นอีกหรอ” พูดจบฉันก็เดินไปหาอะไรยัดใส่กระเพาะในทันทีพร้อมกับมีเสียงของโลล่าที่ตะโกนไล่หลังฉันอยู่

  “ดะ เดี๋ยวซี่! ตาบ้าเอ๊ย”

พอรับประทานมื้อเช้าเสร็จผู้คุมสอบก็เข้ามาประกาศกำหนดการของการสอบรอบสุดท้าย และหลังจากนั้นพวกเราก็ออกมาเดินเล่นกันตามเคย พูดตรงๆ ถ้าต้องอยู่ที่นี่ทั้งอาทิตย์การเดินเล่นหลังมื้ออาหารคงจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเราทั้งคู่แน่ อย่างกับคู่ตา-ยายที่ชอบออกมาเดินเล่นยามเช้าแถวๆ ร้านของเราเลยแฮะ

  “นายคิดว่ารอบสุดท้ายจะเป็นหัวข้อแบบไหนหรอ”

  “อืม…นั่นสินะ” พอมาคิดๆ ดูแล้วก็ไม่น่ามีอะไรที่จะเอามาสอบได้แล้วนะ

  “ฉันเดาว่าคงเป็นอะไรเกี่ยวกับการต่อสู้นั่นแหละนะ”

  “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

  “ก็หลักสูตรนักเวทสมัยใหม่เขาให้เรียนวิชาการต่อสู้ไว้ด้วยไม่ใช่รึไง พอคิดแบบนั้นแล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นอะไรประมาณนั้นน่ะ” นานๆ ทียัยนี่ก็มีความคิดที่เข้าท่าเหมือนกันนะเนี่ย

  “นายคิดว่าไงล่ะ”

  “ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน”

หลังจากเดินเล่นกันสักพักพวกเราก็ไปยังจุดนัดพบกัน พวกเรามาถึงเป็นคนแรกๆ ก็เลยรอเวลาอีกสักพักกว่าทุกคนจะมาครบและผู้คุมสอบก็เริ่มประกาศ

  “การสอบรอบสุดท้ายคือ “รูล ออฟ ทู” จะขออธิบายกฎสำหรับคนที่ยังไม่เคยได้ยินก็แล้วกัน…..”

ก็เข้าใจได้อยู่แหละนะว่านักเวทหลักสูตรสมัยใหม่มันต้องมีวิชาการต่อสู้ติดตัวไว้บ้าง แต่รูล ออฟ ทูเนี่ยนะ? ฝันร้ายชัดๆ

  “เป็นอะไรไป ดูหน้าไม่จืดเลยนะ” โลล่าหันมาถามฉันที่กำลังทำหน้าแหยงๆ กับหัวข้อในการสอบครั้งนี้อยู่

  “โคตรเกลียดเลยด้วยซ้ำ ตอนที่ฉันไปช่วยพ่อสอนพวกเด็กๆ ที่ลานฝึกก็เคยโดนบังคับให้เข้าร่วมไอนี่ตั้ง 3 ครั้ง พูดตรงๆ สำหรับฉันแล้วมันแทบไม่ต่างจากการโยนเศษกระดูกไปในดงสุนัขที่กำลังหิวโซแล้วให้พวกมันกัดกันเองเพื่อแย่งอาหารเลยด้วยซ้ำ”

  “มัน…เลวร้ายขนาดนั้นเลยหรอ?” เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความวิตกกังวลเล็กน้อย

  “สำหรับคนทั่วไปมันก็ไม่ขนาดนั้นหรอกนะ เอาจริงๆ มันก็เป็นกีฬาสามัญของแวนด์ด้วยซ้ำ”

  “งั้นอธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิ”

  “เขาก็บอกกติกาอยู่นั่นไง”

  “ไม่เอา ฉันอยากฟังนายอธิบายมากกว่า”

….เรื่องมากจริงยัยนี่

  “อึฮึ่ม รูล ออฟ ทูคือการแข่งขันประเภทตะลุมบอนโดย 1ทีมจะมีสมาชิกทั้งหมด 2คน เป้าหมายของการแข่งขันนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากการล้มศัตรูทั้งหมดและขึ้นเป็นที่ 1ในการแข่งขัน โดยทั่วไปแล้วมันเอาไว้ใช้สำหรับการสอบเพื่อเป็นนักผจญภัยอาชีพอย่างถูกกฎหมาย และเป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่ใช้เพื่อเลื่อนระดับนักผจญภัยของตัวเองด้วยเช่นกัน”

  “เฮ๋~ ก็ฟังดูสนุกดีออกนี่”

  “ไม่ ไม่เลยสักนิด” ใช่ โดยเฉพาะเวลาพ่อให้จับคู่กับพวกมั่นหน้าเนี่ย คุมโคตรจะยากเลย

  “งั้นหลังจากนี้จะทำการเริ่มสุ่มคู่หู ขอให้คนที่จับได้เลขเดียวกันไปนยืนด้วยตรงหน้าโต๊ะที่พวกเราติดเลขไว้” ดูเหมือนว่าระหว่างที่พวกเราคุยกันผู้คุมสอบก็อธิบายกฎกติกาเสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกันสินะ

หลังจากการประกาศจบลงพวกเราก็เริ่มจับเลขกัน พวกนักเวทฝึกหัดที่เหลืออยู่น่าจะมีประมาณ 14คนได้ถ้ารวมฉันกับโบบ่าเข้าไปด้วยแล้วก็ 16คน ถ้าแบ่งเป็นคู่ก็ได้ 8คู่สินะ เท่าที่ดูๆ มาคนที่เป็นปัญหากับเรามากที่สุดก็คงจะเป็นยัยนี่แหละนะ เป็นไปได้ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกันไว้ก็แล้วกัน

  “โอ๊ะ ฉันได้เลข 5ล่ะ แล้วของนายล่ะ” โลล่าที่จับเลขเสร็จหันมาถามฉันที่กำลังล้วงกล่องอยู่ 

3 งั้นหรอ เอาเถอะโอกาสที่เราจะได้คู่กับยัยนี่ก็ไม่ได้สูงมากอยู่แล้วด้วย

  “เฮ๋~ 3 งั้นสินะ อย่าพึ่งแพ้ก่อนที่จะมาเจอกับฉันก็แล้วกันนะบ๊ายบาย~” โลล่าชโงกหน้ามาดูเลขของฉันบนกระดาษ พอพูดเสร็จยัยนั้นก็วิ่งร่าไปที่โต๊ะหมายเลข 5ทันที 

แลดูชีวิตมีความสุขจังเลยนะยัยนั่น

พอฉันเดินไปที่โต๊ะหมายเลข 3ก็พบกับไม้แกะสลักที่เป็นลักษณะของอาวุธต่างๆ ถูกวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับชุดเกราะหนังแบบเบา และข้างๆ นั่นก็มีเด็กผู้ชายอีกคนกำลังยืนรออยู่พร้อมกับผู้คุมสอบที่ยืนอยู่ข้างหลังโต๊ะ

  “สวัสดี ฉันเลียม เนลสัน เป็นผู้สังเกตการณ์ของพวกเธอ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยล่ะ” ผู้คุมสอบที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะแนะนำตัวกับพวกเรา

  “ผมนาคาซครับ”

  “ผมเลออน”

  “ไม่คิดเลยนะว่าฉันจะต้องมาคู่กับคนขี้โกงอย่างแกเนี่ย” เด็กหนุ่มหันมาคุยกับฉัน

  “เมื่อคืนโดนฉันสอนมารยาทไปยังไม่เข็ดอีกรึไง”

  “เอาเป็นว่าพวกเธอใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ คุยกันก่อนเถอะนะ” คุณเนลสันพูดแทรกขึ้นมาเพื่อห้ามปรามพวกเรา 

  “แล้วแกใช้อะไรเป็นมั่งล่ะ” ยัง ยังจะเรียกแบบนั้นอีก เฮ้อ~ จะบ้าตาย

  “ทั้งหมด”

  “ห๊า? เอาดีๆ พวกเราไม่ได้มีเวลามาล้อเล่นกันนะ” เลออนพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ

  “ก็ทั้งหมดไง ดาบสั้น ดาบยาว ดาบตรง ดาบโค้ง ดาบเล็ก ดาบใหญ่ ดาบสองปลาย ดาบตะวันออก หอก ง้าว ทวน ขวานสั้น ขวานยาว ค้อน ลูกตุ้ม ธนูเล็ก ธนูยาวทั้งแบบตะวันตกและตะวันออก ไปจนถึงมีดสั้นและมีดบินลักษณะต่างๆ ฉันใช้ได้ทั้งหมดนั่นแหละ”

  “ชิ ไอพวกเพียบพร้อม” เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับหยิบดาบคู่ออกไป

บนโต๊ะข้างหน้าของเรามีไม้สลักประเภทดาบ มีดและธนูให้เลือกอยู่มากมายก็จริง แต่ที่น่าแปลกใจก็คือมันดันมีไม้สลักรูปแบบที่คล้ายคลึงกับโอดาชิและยุมิอยู่ ที่น่าแปลกคือมันเป็นขนาดที่พอดีกับตัวของเราพอดี อย่างกับมีคนจงใจเอามาล่อให้เราหยิบไปใช้เลยแฮะ

  ก็จริงอยู่ว่าเราถนัดอาวุธทั้ง 2ชนิดนี้ที่สุด แต่เราก็ยังไม่รู้รายละเอียดของสนามสอบด้วย ถ้ามันดันเป็นที่แคบขึ้นมาอาวุธทั้ง 2อย่างก็แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์เลยแต่ถ้ามันเป็นที่โล่งกว้างหรือในป่าขึ้นมาสถานการณ์ก็พลิกเป็นเหรียญคนละด้านเลยนะ ถึงอยากจะเอาอย่างอื่นไปกันตายด้วยก็เถอะ แต่แค่แบกดาบที่ยาวเกือบเท่าความสูงของเราคู่กับธนูยาวนี่ก็หนักเอาการอยู่นะ เอาเถอะงั้นก็ครึ่งทางไปก็แล้วกัน

พอคิดอยู่อย่างนั้นสักพักสุดท้ายฉันก็เลยหยิบโอดาชิและธนูสั้นมาแทน อย่างน้อยๆ เราก็จะไม่เสียเปรียบมากจนเกินไปแหละนะ

  “ผมพร้อมแล้วครับ”

  “ไม่สวมเกราะหนังไว้หน่อยหรอ ถึงจะเป็นแค่ไม้แกสลักก็เถอะ แต่ถ้าโดนโจมตีเข้าจังๆ ก็เจ็บเอาเรื่องอยู่นะ” คุณเนลสันพูดด้วยความเป็นห่วง

  “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมถนัดแบบนี้มากกว่า ถ้าเจ็บตัวขึ้นมาก็ถือเป็นความผิดพลาดของผมเองเถอะครับ”

  “ถ้าเธอว่างั้นฉันก็คงขัดอะไรไม่ได้หรอกนะ…. งั้นฉันจะพาพวกเธอไปที่สนามเลยนะ” พอพูดเสร็จคุณเนลสันก็เดินนำพวกเราไปยังสถานที่ที่จะสอบ

  “จริงๆ ตอนแรกทางกรมก็กำหนดให้พวกเธอไปแข่งกันในป่านั่นแหละนะ แต่เพราะเมื่อวานเกิดเรื่องนิดหน่อยสุดท้ายก็เลยต้องเปลี่ยนสถานที่น่ะ” คุณเนลสันอธิบายต้นสายปลายเหตุต่างๆ ระหว่างที่พาพวกเราไปยังสนามสอบ

น่าเสียดายชะมัด ถ้าไม่เกิดเรื่องนั่นคือป่านนี้ฉันก็คงได้แสดงประสิทธิภาพมากกว่านี้แล้วแท้ๆ ถ้าเจอกันอีกทีก็คงต้องคุยกันให้รู้เรื่องสักหน่อยแล้วสิ

  “ถึงแล้วล่ะ ที่นี่คือสถานที่สอบรอบสุดท้าย” ที่นี่มัน? ศูนย์ฝึกยุทธวิธีภายในอาคารเนี่ยนะ งานหยาบแล้วไง

  “ผมไม่เห็นผู้เข้าสอบคนอื่นๆ เลย แน่ใจนะว่ามาถูกที่น่ะ” เลออนพูดขึ้นมาระหว่างที่ฉันกำลังอึ้งกับสนามสอบอยู่

  “แน่นอน หลังจากนี้ฉันต้องปิดตาพวกเธอแล้วก็พาไปยังจุดปล่อยตัวน่ะ ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?”

  “ไม่มีครับ”

  “ไม่ครับ”

  “ดี งั้นพวกเธอก็หลับตาลงซะนะ”

หลังจากที่คุณเนลสันปิดตาพวกเราแล้วเขาก็พาเราไปที่ไหนไม่รู้ จนกระทั่งฉันได้กลิ่น มันเป็นกลิ่นของความชื้น มีกลิ่นของพืชและดอกไม้หลากชนิดปะปนกัน บางกลิ่นไม่ใช่กลิ่นของพืชที่สามารถพบได้ทั่วไปในอาณาเขตของอาณาจักรเวทมนตร์ บริเวณพื้นเป็นพื้นราบเรียบแสดงว่าไม่ใช่ข้างนอก เรือนกระจกงั้นหรอ? มีอยู่ 2อย่างคือบริเวณสวนและเรือนกระจก แต่ถ้าให้เดาจากระยะทางที่พวกเราเดินกันแล้วนาจะเป็นที่บริเวณเรือนกระจกมากกว่า 

  “เอาล่ะ ลืมตาได้” คุณเนลสันปลดผ้าปิดตาออกจากศีรษะของพวกเรา และทันทีที่ฉันลืมตาขึ้น ภาพข้างหน้าของฉันคือเรือนกระจกทรงสูงที่เต็มไปด้วยพืชพรรณหลากชนิดที่ถูกจัดเรียงและคัดแยกออกอย่างเป็นระเบียบ 

ดูเหมือนว่าจะทายถูกสินะ

  “ฉันต้องสังเกตการณ์พวกเธอจากที่นี่ อย่าลืมล่ะว่าใช้ได้แค่เวทระดับ 1และระดับ 2เท่านั้นและแน่นินว่ารอบนี้ไม่อนุญาตให้ใช้เวทผสมนะเพราะมันอันตรายเกินไป”

  “ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ ก่อนจะเริ่มสอบ”

  “ว่ามาสิ”

  “ใช้รีฟอ์จตอนสอบได้รึป่าวครับ”

  “รีฟอร์จ? เธอใช้มันได้งั้นหรอ” คุณเนลสันพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตกตะลึงและสงสัยในเวลาเดียวกัน

  “ครับ”

  “อืม….รีฟอร์จงั้นหรอ…มันก็ไม่ใช่อะไรที่จะมีกันทุกคนด้วยซิ เป็นไปได้ก็เลี่ยงไว้ดีกว่านะ เพราะมันเป็นเวทไร้ตระกูลด้วยนี่แถมมันก็ค่อนข้างอันตรายด้วย-”

  [การสอบคัดเลือกนักเวทฝึกหัดรอบสุดท้าย เริ่มได้!] เสียงประกาศดังขึ้นมาขัดการสนทนาของพวกเรา ดูเหมือนว่าเสียงประกาศจะดังไปทั่วทั้งสนามสอบเลยสินะ

  “เอาเป็นว่าสอบให้เต็มที่ล่ะ ฉันจะเป็นกำลังใจให้เอง”

  “ครับ”

  “ครับ!”

  “อย่ามาถ่วงแข้งถ่วงขากันล่ะไอขี้โกง” เลออนหันมาพูดกับฉันด้วยความมั่นใจ

  “เห็นทีจบงานนี้ฉันคงต้องสอนมารยาทให้นายใหม่อีกสักรอบแล้วสิ”

  “ก็เอาสิ”

  “งั้นก็มาเริ่มการล่ากันเลย”

_______________________________________

แนะนำตัวละคร: เลออน คอร์

เลออนเป็นเด็กหนุ่มที่มีผมสีน้ำตาลยาวกระเซอะกระเซิง สวมใส่เครื่องแต่งกายที่หาได้ทั่วไปแต่มันออกจะดูเก่าและเล็กไปหน่อยสำหรับเขา เลออนมีส่วนสูงพอๆ กับนาคาซ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างใจร้อนเนื่องจากสภาพสังคมที่เติบโตมาในตอนเด็กและไม่ค่อยรู้จักมารยาทนัก แต่โดยรวมเขาเป็นเด็กดีที่รอได้รับการขัดเกลาบุคลิกภาพ เลออนมีน้องสาว 1คนและน้องสาวก็รักพี่ชายของเธอมากยิ่งกว่าสิ่งใด

 

เสริมท้ายตอน:

โอดาชิ เป็นดาบยาวประมาณ 165-170 ซม.เศษๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้เวลาต่อสู้บนหลังม้า แต่มันมีซามูไรคนนึงบ้าเอาดาบชนิดนี้ไปฟันนกนางแอ่นที่มาขโมยข้าวจนเกิดเป็นกระบวนดาบลับขึ้นมา นาคาซชื่นชอบดาบชนิดนี้เพราะกระบวนดาบลับที่พ่อของเขาดวลดาบกับวินเซนต์ และจริงๆแล้วตัวนาคาซเองก็แบกดาบชนิดนี้ไม่ไหวเพราะเขายังเป็นนนแค่เด็กตัวเล็กๆ เขาเลยเรียกคาตานะที่มีความยาวพอๆ กับความสูงของตนเองว่า”โอดาชิ”

 

ยุมิ เป็นธนูยาวที่สูง 2เมตรหรือมากกว่านั้นตามความสูงของผู้ใช้มันเป็นธนุที่ต้องใช้พละกำลังมากในการดึงสายธนู สำหรับนาคาซแล้วมันเป็นดั่งความภาคภูมิใจอย่างนึงที่ได้ใช้ธนูชนิดนี้เยี่ยงท่านตาของเขา เมื่อครั้งที่นาคาซได้ยินถึงวีรกรรมการยิงธนูของท่านตาเขาก็รู้สึกตื่นเต้นและอยากจะทำให้ได้แบบท่านตาของเขา และถึงแม้แวคจะพยายามบอกว่าเขายังเด็กเกินไปขนาดไหนนาคาซก็ยังคงดึงดันอยากจะใช้ยุมิ สุดท้ายแล้วแซคก็เลยทำธนูแบบพิเศษให้กับนาคาซเป็นของขวัญครอบรอบวันเกิดตอนอายุ 5ปี และสิ่งที่น่าทึ่งคือนาคาซมีความอม่นยำในการยิงสูงมากจนน่าตกใจ

Options

not work with dark mode
Reset