Telesma 1: ตัวอักษร

ตอนที่ 1: ตัวอักษร

  “เฮ้เจ้าหนู ตื่นแล้วหรอ” 

  “อ่า….ได้เวลาเปลี่ยนกะแล้วหรอ”

  “เปลี่ยนกะบ้าอะไรล่ะ พวกเราเดินทางกันมาเกือบครึ่งทางแล้ว”

  “…ห๊ะ?”

  “ก็แกหลับยาวตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เลยยังไงล่ะ”ตอนนี้เราอยู่บนเกวียนงั้นหรอ? เราไม่น่าจะหลับยาวขนาดนี้หนิ รู้สึกมึนหัวแปลกๆแฮะ

  “เล่นร่ายเวทไม่พักขนาดนั้น ต่อให้จะเป็นอัจฉริยะมาจากไหนก็สลบเหมือดกันหมดนั่นแหละโดยเฉพาะเด็ก 6ขวบอย่างแกเนี่ยแหละ” วินซ์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมปนเป็นห่วง

  “สภาพดูยังไม่สู้ดีเท่าไหร่นะพักผ่อนอีกสักหน่อยเถอะ พวกฉันยังไม่อยากโดนแม่แกสวดหรอกนะ” นั่นสินะยังรู้สึกมึนหัวอยู่นิดหน่อย ถ้าเดินทางมาเกือบถึงครึ่งทางแล้วอีกสักพักก็คงถึงหมู่บ้านใกล้ๆแล้วสินะงั้นพักอีกสักหน่อยก็แล้วกัน…

 

…..ที่นี่…ที่ไหนกัน ควบคุมร่างกายไม่ได้เลย นี่มือของเรางั้นหรอ?ดูใหญ่กว่าปกติแฮะ เรากำลังจดอะไรอยู่งั้นหรอ? อ่านไม่ออกเลยสักนิด รอบห้องรายล้อมไปด้วยเด็กวัยรุ่นพวกเขาใส่ชุดเหมือนกันและกำลังลอกบางอย่างจากกระดานข้างหน้าลงในสมุด ร่างกายของเราก็ทำเเบบนั้นเช่นเดียวกัน บนกระดานเต็มไปด้วยอักษรและเส้นขีดเขียนมากมายที่เราไม่เข้าใจ เราไม่ได้ยินเสียงพูดของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าห้องเลย เธอดูเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีอายุและภูมิฐาน เราทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างทำได้แค่คิดและมองสิ่งรอบๆไปตามสายตาที่ขยับเองเท่านั้น ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆ เราคุ้นเคยหรือรู้จัก หลายๆ อย่างมันคือสิ่งที่ไม่เคยมีในโลกของเราหรืออย่างน้อยๆ ก็ในแวนด์ล่ะนะ ร่างกายของเรามองออกไปตรงประตูทำให้เราเห็นอาคารรูปร่างแปลกตาอยู่ฝั่งตรงข้าม มันสูงกว่าอาคารในแวนด์ค่อนข้างมาก มีรูปลักษณ์ที่ดูค่อนข้างเรียบง่ายและธรรมดาแต่มันก็ไม่ใช่รูปแบบที่เราเคยเห็นเช่นกัน หรือว่าจะเป็นเวทแทรกแซงจิตใจของฝั่งศาสนจักรงั้นหรอ? เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะสร้างขึ้นมาได้ละเอียดขนาดนี้ ตำแหน่งล่าสุดที่เราตื่นก็ห่างจากชายแดนพอสมควรพวกนั้นไม่สามารถลักลอบเข้ามาได้ไกลขนาดนี้แน่… 

ระหว่างที่เรากำลังวิเคราะห์เรื่องทั้งหมดและหาทางตื่นจากความฝันนี้ก็มีเงาของคนเดินมาและหยุดอยู่ข้างหน้าเราแต่ดูเหมือนว่าร่างกายนี้จะไม่สนใจคนตรงหน้าเลยสักนิด หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ยื่นมือมาบังกระดาษที่กำลังถูกจดอยู่ มันเป็นมือที่ห่อหุ้มด้วยโลหะสีดำราวกับชุดเกราะของพวกอัศวินพร้อมกับทำท่าเหมือนจะดีดนิ้วคู่นั้น คนๆนั้นพูดด้วยเสียงที่ทับซ้อนกันหลายเสียงและแข็งทื่อจนไม่เหมือนกับเสียงที่สิ่งมีชีวิตจะสามารถพูดหรือเปล่งออกมาจากลำคอได้

  “เป็นฝันที่ดีใช่มั้ยล่ะ งั้นก็ตื่นซะ” ดะ เดี๋ยวสิ 

*แก๊ง*เสียงนิ้วเหล็กกระทบกันทำให้ความฝันทั้งหมดจบลง

 

  “เป็นอะไรไปเจ้าหนู สีหน้าดูไม่สู้ดีนักนะ” วินซ์ทำหน้าตกใจเล็กน้อยพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจนิดหน่อย

  “ฝันเห็นเรื่องแปลกๆนิดหน่อยน่ะครับ”

  “ไม่ต้องหันไปมองรอบๆหรอก อีกไม่นานก็ถึงแวนด์แล้ว” ห๊ะ? จากหมู่บ้านถึงแวนด์นี่ก็ไม่ใช่ใกล้ๆนะ สงสัยต้องเลิกร่ายเวทติดๆกันแบบนี้แล้วสิ ทั้งฝันเห็นอะไรก็ไม่รู้ แถมนอนหลับกินบ้านกินเมืองอีก เลวร้ายสุดๆ เลยให้ตายเถอะ

หลังจากตื่นไม่นานก็เริ่มเห็นกำแพงเมืองแวนด์ เมืองนี้ตั้งอยู่ติดกับแนวเขาไมนัสและที่ราบโมน่า ทั้ง 2ที่มีชื่อมาจากคู่รักวีรชนผู้ยืนหยัดต่อสู้กับพวกศาสนจักรเมื่อ 84ปีก่อน หลังจบสงครามทั้งคู่รอดตายและได้ใช้ชีวิตคู่ที่ค่อนข้างสงบและลาโลกไปอย่างสงบ จบปิ๊งแฮปปี้เอนดิ้งหมดคาบเรียนประวัติศาสตร์พวกเรามาถึงหน้าประตูเมืองพอดี หลังจากตรวจสอบคนเข้าเมืองเสร็จสรรพก็ไปรับค่าจ้างที่กรมทหารและแบ่งกัน

ฉันรับและตรวจสอบส่วนแบ่งที่ได้มา แต่มันเกินมาเยอะพอตัวเลยแฮะ

  “ผมได้มากกว่าที่ตกลงกันไว้หนิ”

  “เอาไปเถอะพวกเราแบ่งส่วนของเราให้นิดหน่อยน่ะ ยังไงครั้งนี้ก็ครั้งสุดท้ายแล้วนี่” ถ้าวินซ์ว่ามางั้นก็คงขัดอะไรไม่ได้ล่ะนะ

  “ขอบคุณครับ” ฉันยิ้มตอบไปนิดหน่อย

  “เดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้านเอง ไม่มีปัญหาใช่มั้ย”

  “ไม่มีปัญหาครับ”

การที่เด็ก 6ขวบถือถุงเงินที่ค่อนข้างใหญ่ไปไหนมาไหนมันออกจะเสี่ยงเกินไป ต่อให้ที่นี่จะเป็นเมืองที่มีกฎหมายคุ้มครองผู้เยาว์ที่เข้มงวดมากก็ตาม เพราะฉะนั้นการที่วินซ์เดินไปส่งที่บ้านถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ระหว่างทางพวกเราก็พูดคุยถึงการสอบคัดเลือกนิดหน่อยมันคือสิ่งสำคัญสำหรับนักเวทอย่างฉันค่อนข้างมาก อย่างฉันคงได้เข้าสถาบันระดับหัวเมืองซึ่งก็ถือว่าดีทีเดียวสำหรับฉันและไม่นานนักพวกเราก็ถึงบ้านของฉัน พวกเราได้กลิ่นหอมออกมาจากห้องครัวพร้อมกับเสียงที่ฉันคุ้นเคยยิ่งกว่าใคร

  “ยินดีต้อนรับกลับจ้ะ” แม่เดินออกมาต้อนรับที่หน้าร้านพร้อมรอยยิ้ม

  “กลับมาแล้วครับแม่”

  “วินซ์ก็มาส่งด้วยงั้นหรอ อยู่กินอาหารเที่ยงกับพวกเราก่อนสิ”

  “ถ้าเธอว่างั้นละก็นะ ว่าแต่แซกล่ะ”

  “สอนเด็กๆ อยู่น่ะ เดี๋ยวอีกสักพักก็น่าจะมา”

  “ลูกตัวเองพึ่งกลับมาจากงานเสี่ยงตายแท้ๆ เชื่อหมอนั่นเลย” วินซ์พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ก็เข้าใจได้ล่ะนะพ่อเป็นคนที่มั่นใจในตัวฉันค่อนข้างมากว่าฉันไม่ใช่เด็กที่เอาตัวรอดไม่เป็นจนถึงขนาดต้องคอยกังวล

 

หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็กลับมาพวกเรากินอาหารและพูดคุยเรื่องของการลาดตระเวนครั้งนี้ โดยรวมๆก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษนักจนกระทั่งแม่เอ่ยปากขึ้นมา

  “เมื่อวันก่อนมีจดหมายเรียกตัวแม่จากกรมเวทมนตร์”

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตึงเครียดขึ้นเล็กน้อยแน่นอนว่าพวกเรารู้ดีว่าแม่สื่อถึงเรื่องอะไร ผู้ที่มี “เมจซีกเกอร์”จะถูกเรียกตัวไปทุกๆปีเพื่อไปเป็นผู้คุมการสอบคัดเลือกนักเวท เพื่อมอบการศึกษาที่เหมาะสมแก่พวกเรา แต่สำหรับครอบครัวเราแล้วปีนี้ค่อนข้างพิเศษนิดหน่อยเพราะฉันจะต้องเข้าสอบด้วย ยิ่งเป็นถึงลูกของคนที่มีชื่อเสียงแล้ว จะทำตัวอ่อนประสบการณ์ไม่ได้หรอก

  “แม่รู้ว่าลูกเก่ง เก่งกว่าเด็กรุ่นเดียวกันมาก แต่แม่ไม่อยากให้ลูกประมาทจนเกินไป ลูกไม่มีทางรู้ว่าจะมีใครที่เก่งกว่าลูกรึป่าวนะ” ช่างเป็นคุณแม่ที่ขี้กังวลจริงๆเลยนะ

  “ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า เจ้าหนูนีี่ไม่ใช่พวกที่จะแพ้ให้พวกที่เก่งกว่าง่ายๆ หรอกนะ” วินซ์พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจขึ้นมาละลายบรรยากาศหม่นหมอง

  “ลูกของเราก็ไม่ใช่เด็กที่จะยอมใครเพราะเหตุผลง่ายๆหรอกนะ พ่อเคยสอนแล้วใช่มั้ยว่าถ้าเจอพวกที่เก่งกว่าเราให้ทำยังไง”  ถึงจะพูดกันขนาดนั้นแต่แม่ก็ยังคงทำสีหน้ากังวลนิดหน่อย

  “ผมไม่ประมาทหรอกครับ ยังไงซะผมก็ไม่คิดจะแพ้ง่ายๆอยู่แล้วด้วย” ฉันพูดพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร ทำให้แม่คลายกังวลลงมานิดหน่อย

หลังจากอาหารมื้อนั้นจบลงวินซ์ก็อยู่ช่วยงานที่บ้านเรานิดหน่อยและก็ออกไปช่วยพ่อสอนเด็กๆต่อ ส่วนฉันก็มานั่งอยู่นอกร้านพลางอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ พร้อมกับดื่มชาอุ่นๆ แก้วนนึง มันเป็นกิจวัตเพียงไม่กี่อย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศได้ สายลมอ่อนพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาปะทะหน้าของฉันเล็กน้อย ตอนนี้เป็นช่วงเข้าใกล้ฤดูหนาวทำให้แวนด์มีอากาศที่ค่อนข้างเย็น เพราะฉะนั้นแล้วการได้ดิ่มชาอุ่นๆแบบนี้มันแทบจะเป็นสวรรค์เลยล่ะ

  “อากาศดีจริงๆ เลยน้า~” ถึงเราจะไม่ได้คิดอะไรมากก็เถอะ แต่ภาพที่เห็นในความฝันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเราตลอดตั้งแต่ตื่นมา พอมาลองคิดๆดูแล้วตัวอักษรที่อยู่ข้างบนกระดานนั่นก็คุ้นๆเหมือนกันนะ ฉันหยิบคทาขึ้นมาพร้อมกับร่ายเวทดู และวงเวทก็ค่อยๆก่อรูปขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถึงเดิมทีฉันจะสามารถร่ายเวทได้เร็วอยู่แล้วก็เถอะแต่นี่มันเร็วแทบจะเป็นเท่าตัวจากทุกทีที่ฉันเคยร่ายเลยด้วยซ้ำ แถมพอมาลองเทียบกับความทรงจำดูแล้วตัวอักษรที่อยู่บนกระดานนั่นมันมีความใกล้เคียงกับอักขระเวทบนวงเวทมากซะจนน่าตกใจ ถ้าถามว่าการที่ได้เห็นตัวอักษรพวกนั้นแล้วมีส่วนช่วยทำให้ร่ายได้เร็วขึ้นมั้ย ก็คงเป็นไปได้ล่ะมั้ง 

 เฮ้อ~ให้ตายเถอะ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจดีเลยแฮะ ถ้าไปเล่าให้แม่ฟังคงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ เราเองก็ไม่อยากให้มีอะไรแปลกๆ เกิดช่วงก่อนสอบด้วยซะด้วยซิ เอาเป็นว่าสอบเสร็จแล้วค่อยเล่าก็แล้วกัน

————————————————————————–

Telesma

Telesma

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset