Supreme Magus 21 สารภาพความจริง

ตอนที่ 21 สารภาพความจริง

นิยาย Supreme Magusตอนที่ 21 สารภาพความจริง

ตอนที่ 21 สารภาพความจริง

หลังจากได้ยินคําพูดเหล่านั้นออพัลก็คุกเข่าลงโลกของเขาพังทลายลงแล้วจริงๆที่รู้ๆก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาวางแผนไว้และใฝ่ฝันถึงล้วนหายไปในพริบตาเมื่อเจอคําคําเดียว

ตัดขาด

นั่นหมายถึง เขาถูกขับออกจากครอบครัวอย่างไร้ศักดิ์ศรี ทําให้เขาไม่มีสิ่งใดที่จะเรียกเป็นของตนเองได้เขาไม่มีชื่อและกลายเป็นเด็กกําพร้าไปแล้ว

เมื่อพ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆมาถึงเหตุการณ์ก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นมาภายในเวลาอันรวดเร็วพวกเขาเห็นเด็กๆต่างหมดสติทั้งยังเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นปัสสาวะกับอุจจาระแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องมีคําอธิบายให้ด้วย

พวกเขาต่างก็เป็นเพื่อนกันมายาวนาน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายสําหรับราซที่จะทํา ให้บรรดาพ่อแม่สงบสติลงพอที่จะคุ ยกันด้วยเหตุผลได้

“แก” ราชสั่งเด็กไร้ชื่อว่า “อธิบายสิ่งที่ทําลงไป”

ถึงแม้ว่าเขาจะยังตกใจอยู่ แต่ก็โกรธมากพอที่จะกลับไปเป็นคนเดิม

“ถ้าฉันต้องล้มลง ฉันก็จะพาพวกมันไปด้วยเราจะต้องมีชะตากรรมเดียวกันฉันจะไม่ยอมเป็นคนเดียวที่ถูกทอดทิ้งจะไม่ยอมเป็นคนเดียวที่ต้องชดใช้เรื่องนี้!”เขาคิด

เด็กไร้ชื่อสารภาพว่าเขาเกลียดชังน้องชายมาตลอดและวางแผนที่จะสั่งสอนให้เขาเคารพและยอมตนด้วยความช่วย เหลือจากเพื่อนๆ

เมื่อพูดจบ ทุกคนในห้องล้วนตกตะลึงไม่อยากเชื่อคําพูดเหล่านั้น พวกเขารู้จักออพัลแต่ในด้านที่ดีเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตใจดี

“ลิธ หนูบอกพวกเราหน่อยได้ไหมสรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ลิธทําท่าไม่เต็มใจที่จะผละออกจากอ้อมกอดของแม่หลังจากงอแงอยู่ชั่วครู่เขาก็หยุดลงและก้าวออกไปข้างหน้าเขาเดินกะเผลกและจับแขนซ้ายเอาไว้สะดุ้งต่อความเจ็บปวดทุกย่างก้าว

“อย่างที่น้าๆอาๆทราบครอบครัวของผมมีค่าใช้จ่ายมากมายพี่สาวผมเองก็ ป่วย และผมเองก็สามารถใช้เวทย์พื้นฐานได้เซเลียจึงจ้างผมให้ทําความสะอาดบ้านผมนําเงินไปให้พ่อแม่เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระพวกท่าน”

“ฉันว่าฉันพูดออกไปดีแล้วนะ”ลิธคิด“ถ้าพวกเขายังไม่รู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจเด็กห้าขวบที่ถูกทุบตีหลังจากได้ ยินเรื่องราวอันน่าเศร้าละก็คนพวกนี้ก็คงเป็นโรคจิตอย่างหนักแล้วล่ะ”

“วันนี้คุณเซเลียออกไปนอกเมืองผมจึงอยู่คนเดียวที่นี่จู่ๆลูกชายของน้าๆอาๆก็บุกเข้ามาทุบตีผม”เขายื่นแขนออกมาแล้วหมุนตัวให้ดูว่าเขาถูกทุบตีหนักแค่ไหน

“ผมพยายามปกป้องตัวเองอย่างที่พ่อสอนผมแต่พวกเขาตัวใหญ่และแข็งแรงเกินไป”ลิธเริ่มสะอื้นอีกครั้ง

“ผมต้องใช้เวทมนตร์เพื่อปกป้องตัวเองผมกลัวมาก!ผมคิดว่าจะต้องตายแล้วจริงๆ”จากนั้นเขาก็หมุนตัวกลับไปหาอ้อมกอดของเอลิน่าแล้วร้องไห้ไม่หยุด

“โถ ช่างน่าสงสารจริงๆ” โบรมานพ่อของไรเซลหยิบไม้เท้าในมือลูกขึ้นมา“ขยะชิ้นนี้กลับกล้าใช้ของที่ระลึกจากปู่เชียวเรอะเอลิน่าราซลิธผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ่งต่อพวกคุณผมล้มเหลวในฐานะมนุษย์และในฐานะพ่อที่ดันเลี้ยงงูพิษขึ้นมาได้ ไม่ว่าพวกคุณจะตัดสินยังไงผมจะปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้แต่ก่อนอื่น…”

โบรมานสาดน้ำสกปรกใส่หน้าไรเซลเพื่อปลุกให้ได้สติขึ้นมา เขาอยากได้ยินความจริงจากปากลูกชาย

“พะ..พ่อหรอ? พ่อมาทําอะไรที่นี่?”ไรเซลจับคางที่กําลังสั่นด้วยความเจ็บปวด

แต่ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นทุกสายตาล้วนจับจ้องที่เขารวมทั้งลิธด้วยดวงตาที่เย็นเยียบเปล่งประกายด้วยพลังงานสีฟ้าแบบเดียวกันกับก่อนหน้าที่เขาจะปล่อยสายฟ้าออก
มา

“พ่อจะถามลูก หนุ่มน้อย และถ้าลูกไม่อยากถูกทุบตีหรืออะไรที่แย่กว่านั้นลูกบอกความจริงมาจะดีกว่าในนามของพ ระเจ้าสรุปแล้วพวกลูกมาทําอะไรกันที่
นี่?”

เนื่องเพราะกลัวพ่อและกลัวลิธผู้ทรมานเขาไรเซลจึงได้แต่พูดความจริงออกไป

เด็กอีกสี่คนที่เหลือ ถูกปลุกให้ตื่นขี้นมาทีละคนและถูกบังคับให้เล่าเรื่องทั้งหมดหนึ่งในนั้นพยายามเปิดโปงการทรมานของลิธ แต่พ่อของเขากลับตบหน้าอย่างแรง

“พวกแกห้าคนกับเด็กน้อยคนหนึ่ง แกยังจะโยนความผิดไปให้เขาอีกหรอ?ครอบครัวของพวกเราเป็นเพื่อนกันมาหลายชั่วอายุคนการกระทําของพวกลูกทําให้พวกเราเสื่อมเสียเกียรติยิ่งนัก!เมื่อกลับไปถึงบ้าน พ่อจะทําให้เห็นเองว่าการทรมานที่แท้จริงมันเป็นยังไง!”

“โง่เง่าสิ้นดี!” ลิธหัวเราะเยาะในใจ“ความน่าเชื่อถือของพวกมันน้อยยิ่งกว่าศูนย์เสียอีกอยากจะพูดอะไรก็พูดไปแต่มันจะกลายเป็นข้ออ้างอันน่าสมเพชของคนผิดที่ถูกจับได้”

“ราซ คุณอยากให้พวกเราทําอะไรครับ?” โบรมานเอ่ยถามขึ้น

“ผมจะตัดขาดออพัลแล้วรายงานเรื่องทั้งหมดด้วยข้อหาพยายามฆ่าผมจะไม่ถามอะไรคุณแล้วพวกเราล้วนรู้ดีว่าการ เป็นพ่อแม่มันยากแค่ไหนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ผมแค่อยากให้คุณได้ยินจากปากผมก่อนที่จะไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน”

“ผมจะไม่ตัดขาดลูกผม แต่อย่างน้อย…” โบรมานตอบกลับ
“แต่ผมสัญญาได้เลยว่าผมจะไม่ทําอะไรเพื่อปกป้องเขาจากผลการกระทําใน ครั้งนี้และเมื่อเขากลับมาบ้านผมจะทําให้แน่ใจว่าเขาจะไม่มีโอกาสทําร้ายครอบครัวคุณอีก!”

ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดมุ่งตรงไปยังลูเทียหัวหน้าหมู่บ้านได้ฟังคําสารภาพจากเด็กชายทั้งหกคนก่อนจะประกาศขึ้นมาว่า

“หลังจากได้ฟังคําให้การทั้งหมดแล้วข้าพเจ้าขอตัดสินโทษทั้งหกคนให้ใส่ขอเป็นเวลาสี่ชั่วโมงซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกโกนผมและถูกเฆี่ยนสิบครั้งหลังจากนั้นจะถูกจําคุกเป็นเวลาสามวันเพื่อพิจารณาความผิดที่ตนเองก่อมีข้อโต้แย้งหรือไม่?”ทุกคนในที่นั้นล้วนส่ายหน้า

“ผมมีคําถามครับ” ลิธเอ่ยถามขึ้น

“ถามฉันหรือถามนักโทษ?หนุ่มน้อย”

“ถามพวกเขาครับได้ไหม?”

“ได้สิ ถามได้เลย”

ลิธพยักหน้า แล้วเดินไปตรงหน้าไร
เซล

“ไทรอันรู้เรื่องนี้ไหม?”

“แน่นอนว่าต้องรู้สิ!” ออพัลตะโกนใส่“เขาอยู่เคียงข้างฉันเสมอไม่เหมือนแกไอ้ปลิงดูดเลือด”

ลิธเมินเขา แล้วถามไรเซลอีกครั้ง

“สรุปว่ารู้ไหม?”

“ไม่” ไรเซลมองออพัลด้วยสายตารังเกียจ

“พวกเราวางแผนกันเอง ออพลบอกว่าเขาไม่เชื่อใจไทรอันมากพอ ไทรอันขี้ขลาดเกินไปและเขาก็กลัวว่าไทรอันจะหักหลังเรา”

“ขอบคุณ” จากนั้นลิธก็หันไปพูดกับหัวหน้าหมู่บ้านอีกครั้งว่า

“ช่วยลดโทษให้เขาหน่อยได้ไหม?ความจริงใจของเขาช่วยครอบครัวผมเอาไว้มันช่วยคลายความระแวงระหว่างพี่น้องได้เป็นอย่างดีเลยครับ”

“ได้สิ! ถ้าเหยื่อร้องขอความเมตตาแล้วฉันจะปฏิเสธได้ยังไงกันไรเซลจะ ถูกเฆี่ยนห้าครั้ง หลังจากใส่ชื่อเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปกับครอบครัวได้เลยแบบนี้ตกลงไหม?”

ลิธพยักหน้า จากนั้นโบรมานก็จับมือลิธในขณะที่ภรรยาของเขาร้องไห้ด้วยความยินดี

“ขอบใจนะลิธ นั้นมีความหมายมากสําหรับลิซ่าผู้น่าสงสารอาจะไม่ลืมน้ำใจนี้เลยอาเชื่อว่าเธอจะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเหมือนพ่อเธอแน่ๆ”

ลิธพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก

“ฉันไม่คิดเลยว่าจะทําให้เกิดการตัดขาดลูกชายคนโตได้ทุกอย่างมันดูง่ายกว่าที่คิดเสียอีกเพื่อนๆของมันยังต้องติดคุกไปกับมันด้วย และเมื่อการรับโทษสิ้นสุดลงฉันว่ามันยากนะที่จะมีใครมารับเลี้ยงมันเป็นลูกบุญธรรมหรือไม่ก็มันจะถูกเนรเทศไปยังสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าที่ใกล้ที่สุด”

“ที่จริงฉันก็หวังว่าจะกําจัดไทรอันออกไปด้วยแต่บางทีให้มันจบแบบนี้ก็ดีแล้วฉันไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะแบกรับการสูญเสียลูกชายทั้งสองคนพร้อมกันได้หรอกฉันยอมให้พวกเขามีความสุขและเหนื่อยกับการอยู่กับเด็กงี่เง่าจะดีกว่า”

วันต่อมานับเป็นวันที่ยากเย็นสําหรับราซเอลิน่าและไทรอันพวกเขาล้วนต้องใช้เวลาพอสมควรก่อนที่จะหยุดเศร้าได้มันก็เป็นเรื่องยากจริงๆสําหรับพวกเขาที่ต้องยอมรับว่าเด็กที่สดใสและใจดีที่เลี้ยงดูมาสิบสองปีได้จากไปแล้วตลอดกาลที่แย่ไปกว่านั้นพวกเขาเริ่มสงสัยแล้วว่าตัวตนของออพัลที่เคยรู้จักน่าจะไม่เคยเป็นตัวจริงเลย

เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องแย่ๆที่เขาเคยพูดและกระทํามาตลอดหลายปีเขาอาจจะหลอกทุกคนมาตลอดก็ได้

ไทรอันเป็นคนที่ลําบากที่สุดเขาสูญเสียพี่ชายคนโปรด และเสียความไว้วางใจจากครอบครัวไปด้วยต่อให้ไรเซลจะล้างมลทินให้แล้วแต่ความสงสัยยังคงอยู่ทําไมเขาที่ใกล้ชิดกับออพัลมากแต่กลับไม่รู้อะไรเลยล่ะ?

“ฉันไม่อาจโทษพวกเขาได้ ในสายตาของพวกเขาฉันคงเป็นคนขี้โกหกไม่ก็คนโง่โดยสิ้นเชิง”ไทรอันไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ลิธ,เรน่า,และทิสต้ากลับมีช่วงเวลาดีๆด้วยกันแม้ว่าพวกเขาพยายามจะไม่ให้พ่อแม่เห็นแล้วก็ตาม

พวกเขามีอาหารและเสื้อผ้ามากขึ้นและไม่ต้องทนกับคําหยาบคายและการขโมยเล็กๆน้อยๆอีกต่อไปนอกจากนี้ยังมีของขวัญจากห้าครอบครัวส่งมาแทน คําขอโทษอีกด้วย

เด็กสาวทั้งสองเลิกมองว่าออพัลเป็นพี่ชายไปแล้วตั้งแต่วันที่เขาเสนอให้กําจัดทิสต้าโดยเรียกเธอว่าไอ้ง่อยลิธที่เก่งกาจกว่าพวกเขาก็ไม่เคยมองว่าออพัลเป็นพี่ชายเลยเช่นกันสิ่งเดียวที่เขา กังวลก็คือพ่อแม่เขาจึงพยายามลดภาระของพวกท่านให้มากที่สุด

ตอนนี้เวทมนตร์ของลิธแข็งแกร่งพอที่จะไถพรวนดินด้วยเวทย์ดินได้แล้วเขายังล่าเหยื่อที่ตัวใหญ่กว่ามากได้ด้วยเป้าหมายของเขาคือกวาง,หมูป่า,และหมีซึ่งสามารถเอาหนังของมันมาขายได้ราคางามเลยทีเดียว

ใกล้จะถึงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิแล้วและลิธก็อยากจะหารายได้พิเศษเพื่อจะซื้อของดีๆให้กับพ่อแม่และพี่สาวส่วนไทรอันก็เป็นแค่คนแปลกหน้าสําหรับเขาเท่านั้น

เทศกาลฤดูใบไม้ผลิจัดขึ้นในช่วงกลางฤดูในวันวสันตวิษุวัต(วันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน)เพื่อเฉลิมฉลองเวลาที่แสงสว่างเอาชนะความมืดและความหนาวเย็นของฤดูหนาวได้ในที่สุด

ลิธกําลังเล่นอย่างมีความสุขรอบๆป่าทรอนเพื่อหาโอกาสดีๆในการฆ่าหมูป่าตัวใหญ่

“บ้าจริง ทั้งคอทั้งหนังของมันหนาเกินไปด้วยระดับเวทย์วิญญาณของฉันยัง ทําลายมันไม่ได้ถ้าใช้ไฟกับไฟฟ้าก็จะจัดการมันได้ง่ายลงแต่นั่นก็จะเป็นการทําความเสียหายต่อเนื้อหนังของมันด้วย ฉันต้องหาวิธีที่สร้างสรรค์กว่านี้หน่อย”

การเคลื่อนไหวของหมูป่าสามารถคาดเดาได้ง่ายเพราะมันมักจะพุ่งเข้าใส่เป็นเส้นตรงเสมอ

ลิธรวดเร็วพอที่จะหลบการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดายตราบใดที่เขาป้องกันไม่ให้มันเข้ามาใกล้มากเกินไป

“เมื่อตอนที่กระทิงมันคลั่ง พ่อบอกไว้ว่าวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการมันคือโจมตีที่ขาแทนโจมตีที่หัวเมื่อมันเคลื่อนไหวไม่ได้สัตว์ที่ดุร้ายก็จะกลายเป็นเหยื่อได้ง่าย”

ในการจู่โจมครั้งต่อไป ลิธเสกน้ำแข็งหนาๆขึ้นมาก่อนที่จะหลบ เมื่อหมูป่าเหยียบแผ่นน้ำแข็งนั้นมันก็เสียการทรงตัวแล้วหมุนไปมาอยู่บนแผ่นน้ำแข็งมันชนเข้ากับต้นโอ๊กขนาดใหญ่ชนเข้าอย่างจังจนได้ยินเสียงกระดูกหักลิธเข้าไปใกล้ๆเพื่อไม่ให้พลาดการโจมตีครั้งต่อไปแต่ก็ยังคงรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยไว้เสมอ

“เหยื่อที่จนตรอกแล้วเป็นเหยื่อที่อันตรายที่สุดต้องให้เกียรติมันเสมอ อย่า ประเมินมันต่ำไปแค่โจมตีครั้งเดียวก็ฆ่าเธอตายได้แล้ว” ลิธจ่าสิ่งที่เซเลียสอนไว้ได้

เขาทํานิ้วเป็นรูปปืนแล้วเล็งไปยังหมูป่าจากนั้นก็ยิงธนูน้ำแข็งออกไปที่ตาขวาเจาะทะลุสมองของมันในทันทีหมูป่าล้มลงไปกองกับพื้นแต่ลธยังคงยิงออกไปอีกคราวนี้เป้าหมายเป็นตาซ้ายเขาทําก็เพื่อความปลอดภัยเท่านั้น

“โอเค มันตายแล้ว ปัญหาตอนนี้คือฉันจะแบกมันออกจากป่ายังไงดีล่ะ?เวทย์วิญญาณของฉันก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะแบกสัตว์หนักหลายร้อยกิโลกรัมไปตลอดทางจนถึงบ้านเซเลียได้และต่อให้ฉันทําได้แล้วจะอธิบายเรื่องนี้กับเธอยังไง?”

ลิธใช้นิ้วเคาะต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆด้วยความกังวลพยายามจะหาทางออกก่อนที่จะเริ่มเตรียมการต่อสู้เพื่อปกป้องเหยื่อไว้ทันใดนั้นซากหมูป่าก็พลันหายวับไป

“บ้าอะไรเนี่ย?!? มันหายไปกลางอากาศดื้อๆเลยเหรอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?นั่นใคร?”

เขารีบใช้ Life Vision ตรวจดูสภาพแวดล้อมโดยรอบเพื่อค้นหาศัตรูแต่ก็มีเพียงนกและสัตว์ฟันแทะตัวเล็กๆเท่านั้น 4

“เอาล่ะ มันชักจะเริ่มน่ากลัวละแต่ฉันอยากได้หมูป่าคืน” ซากหมูป่าก็กลับมาทันทีที่ลิธพูดจบมันอยู่ใกล้เขามากๆทําให้ลิธถึงกับกระโดดจนตัวลอยเพราะความตกใจกลัว

“ทําไมมาแกล้งผมแบบนี้ล่ะ?คุณเป็นใคร?” ลิธตะโกนออกไปขณะมองหาทางหนีทีไล่ที่ดีที่สุด

“ศัตรูล่องหน คงจะฆ่าฉันได้ง่ายๆช่างหมูป่านั่นเถอะฉันต้องรีบหนีออกจากที่นี่แล้ว”เขาคิด

“ไม่จําเป็นต้องหนีหรอก” พลันมีเสียงหญิงสาวที่อ่อนโยนตอบกลับมาในใจเขา“ฉันไม่ใช่ศัตรูของเธอโฮสต์ของฉัน”

“เอาเถอะ ถ้าคุณอยากทําให้ผมตกใจ กลัวละก็ทําได้ดีมากเลย ว่าแต่คุณหมายถึงอะไรน่ะโฮสต์หรอ?แล้วคุณอยู่ที่ไหนเนี่ย?”ลิธยังคงมองไปรอบๆเขาไม่สามารถสัมผัสตัวตนของศัตรูได้ด้วยพลังเวทย์เลย

“ไม่ต้องมองไปรอบหรอกๆ โฮสต์ฉันอยู่ในที่ที่คุณพามาแถวๆคอคุณไง”

ทันใดนั้นลิธก็คว้าถุงผ้าเล็กๆนั้นแล้วขว้างมันออกไปในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตและมานาที่ไหลอยู่ในหินนั้นมันดูใหญ่กว่าที่เคย

ลิธมักจะเก็บมันไว้ในที่ที่มองไม่เห็นเนื่องจากมันไม่มีประโยชน์ เขาจึงลืมตรวจสอบมันด้วย Life Vision ตั้งแต่วันที่ถูกรุมทุบตี
“เอาล่ะฉันเกลียดปริศนาบอกฉันมาว่าแกเป็นใครเป็นตัวอะไร ไม่อย่างนั้นฉันจะไปจากที่นี่ต่อให้ฉันจะเจ็บปวดที่ต้องเสียเหยื่อไป แต่มันไม่คุ้มค่าพอกับการเก็บหินลึกลับน่าขนลุกที่พูดอยู่ในหัวฉันได้ตลอด24ชั่วโมงหรอกนะ”

“ได้โปรด อย่าไปนะ!” น้ำเสียงนั้นกลับดูสิ้นหวัง

“ฉันตายแน่ๆถ้าไม่มีโฮสต์”

“อธิบายมาเดี๋ยวนี้!” ลิธตะโกนเสียงดังลั่น “แกเป็นตัวอะไรกันแน่?”

“จิตของพวกเราถูกเชื่อมกันแล้วเดี๋ยวจะแสดงให้เห็นเอง มันง่ายกว่าการบอกเป็นคําพูด”

ทันใดนั้นลิธก็มองเห็นภาพและความทรงจําที่ไม่ใช่ของตนเอง เขานึกว่าตัวเองเทเลพอร์ตออกไปแล้วถ้าหากภาพเหล่านั้นไม่เต็มไปด้วยรูทําให้เขายังมองทะลุไปเห็นป่าได้

“ฉันขอโทษ แต่พลังของฉันใกล้หมดลงนี่คือดีที่สุดเท่าที่จะทําได้แล้ว”

ลิธมองเห็นหอคอยขนาดใหญ่ฐานของมันอยู่ลึกลงไปจนถึงกันมหาสมุทรส่วนยอดก็สูงจนเทียมฟ้าเขารับรู้ได้ว่ามันเป็นไอเทมเวทย์ขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีมานาไหลเวียนอยู่

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เจ้าของหอคอยก็ตายลงเมื่อไม่มีมานาจากเจ้าของคอยหล่อเลี้ยงแกนกลางหอคอยก็เริ่มมีขนาดเล็กลง หลายร้อยปีผ่านไปในขณะที่หอคอยยังคงมองหาโฮสต์โดยใช้ภา พลวงตาในการคัดกรองคนที่ไม่คู่ควรหรือไม่มีความสามารถให้ออกไป

เมื่อเวลาผ่านไปนาน หอคอยก็ใช้พลังของมันจนหมดและเพื่อหลีกเลี่ยงจากความตายมันจึงต้องสละตนเองอย่างถึงที่สุดเพื่อยืดอายุขัยมันเริ่มกัดกินผนัง,พื้น,และทุกสิ่งทุกอย่างในตัวมันแม้ กระทั่งความทรงจําของมันด้วย

อีกหลายร้อยปีผ่านไป ตอนนี้เหลือ เพียงแค่แกนหอคอยเท่านั้น ซึ่งมีขนาดไม่ต่างกับก้อนกรวดมันไม่เหลืออะไรนอกจากความรู้สึกของมันเองแกนหอคอยกลับรู้สึกว่าตายเสียยังดีกว่ากลายเป็นเครื่องมือที่ไร้ชีวิตจิตใจ

มันเสาะหาพลังเวทย์แม้เพียงน้อยนิดเพื่อรักษาชีวิตของมัน เวลากําลังเดินผ่านไปช้าๆแกนหอคอยรู้สึกได้ถึงชีวิตที่กําลังหลุดลอยไป

ทันใดนั้นก็มีเสียงตอบรับจากไรแกนหอคอยก็พยายามสื่อสารแต่กลับไม่เป็นผลจิตของสัตว์ร้ายแตกต่างจากโฮสต์ คนแรกมากเกินไปทําให้ไม่สามารถเชื่อมโยงจิตได้ความหวังของมันพลันสลายไปแกนหอคอยทําได้เพียงรอความตายเท่านั้น

แต่แล้วผู้ช่วยชีวิตก็มาถึงเขาปกป้องแกนหอคอยจากคมเขียวของสัตว์ร้ายและใช้เลือดของตนในการทําสัญญากับ แกนหอคอยก่อนที่มันจะจําศีลเพื่อฟื้นฟูบาดแผล

ภาพเหล่านั้นก็หายไป ทิ้งให้ลิธอยู่กับถุงผ้าใบเล็กและซากหมูป่าเพียงลําพัง

ลิธตกอยู่ในห้วงความคิดที่ไม่อาจคิดอะไรได้นอกจากเรื่องตลกไร้สาระ

“แล้วนั่นทําให้เราแต่งงานกันหรืออะไรนะ?”

Options

not work with dark mode
Reset