Super God Gene 1968

ตอนที่ 1968

ความรู้สึกของมันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์ มันเหมือนกับว่าก้อนน้ำแข็งเล็กๆจำนวนมากกำลังละลายรอบๆตัวของเขา พวกมันละลายเมื่อสัมผัสกับผิวของเขา หลังจากนั้นพวกมันก็ถูกดูดซับเข้าไป

 

ขณะที่ลมปราณหยกถูกดูดซับเข้าไป หานเซิ่นก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายทันที ผิวของเขาเริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นสีของหยกภายใต้อิทธิพลของลมปราณหยก ยวิ๋นเฟยและคนอื่นก็ส่องประกายเหมือนกับหยกเช่นเดียวกัน พวกเขาดูเหมือนกับรูปปั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาจากหยก

 

‘ลมปราณหยกนี่ทรงพลังถึงขนาดเปลี่ยนแปลงยีนของร่างกายเลยอย่างนั้นหรอ? ลมปราณหยกนี้คงจะต้องมาจากยีนซีโน่เจเนอิคแน่ๆ’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง

 

“เลฟต์เครซี่เคยพูดเอาไว้ว่าก้อนหินมีความรู้สึก แต่ชีวิตของพวกมันต่างจากพวกเรา สถานหยกขาวนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกัน และลมปราณหยกก็คือยีนซีโน่เจเนอิค แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเราก็ตัดสินระดับของสถานหยกขาวนี้ไม่ได้” หานเซิ่นทำการคาดเดาขณะที่ดูดซับลมปราณหยกเข้าไป

 

หานเซิ่นใช้เรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับลมปราณหยกเข้าไปและเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน

 

เรื่องราวของยีนเป็นวิชาที่สามารถปรับตัวเข้ากับธาตุอื่นๆได้ ซึ่งหลังจากที่ดูดซับลมปราณหยกเข้าไป มันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในทันที แต่มันยังไม่มากพอที่จะไปสู่ขั้นต่อไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันยังขาดอะไรบางอย่างไป

 

‘กระเรียนพันขนบอกว่ายิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ลมปราณหยกก็จะรุนแรงขึ้น? บางทีเราอาจจะต้องใช้ลมปราณหยกที่รุนแรงกว่านี้เพื่อไปสู่ขั้นต่อไป’ หานเซิ่นคิดพร้อมกับยืนขึ้นและไปขึ้นบันไดสู่ชั้นที่ 4

 

ลมปราณหยกบนชั้นที่ 3 มอบพลังงานน้อยเกินไปสำหรับเขา ทุกคนบนชั้นนี้เป็นไวเคานต์เหมือนกับเขา แต่หานเซิ่นใช้ยีนซีโน่เจเนอิคจำนวนมากเพื่อพัฒนาร่างกาย ดังนั้นเขาจึงแข็งแกร่งกว่าไวเคานต์ทั่วๆไป

 

หานเซิ่นสามารถเทียบชั้นกับเอิร์ลได้ ถ้าเขาเก็บยีนระดับไวเคานต์จนเต็ม

 

เมื่อก้าวขึ้นไปบนชั้นที่ 4 หานเซิ่นก็รู้สึกหนาวอย่างมาก บนชั้นที่ 3 ก็รู้สึกหนาวแล้ว แต่ชั้นที่ 4 นั้นหนาวยิ่งกว่า หลังจากที่เดินขึ้นไป เขาก็รู้สึกราวกับว่าเพิ่งจะก้าวเข้ามาในถ้ำน้ำแข็ง

 

แต่ความหนาวไม่ได้ส่งผลอะไรต่อร่างกายของหานเซิ่น เขามองไปรอบๆและเห็นคนหลายคนกำลังนั่งทำสมาธิ ขณะที่ดูดซับลมปราณหยกเข้าไป ซึ่งนอกจากคนเผ่านภาแล้ว มันก็มีคนเผ่าพันธุ์อื่นอยู่ด้วย แต่ทว่ากระเรียนพันขนไม่ได้อยู่บนชั้นนี้

 

หานเซิ่นดูดซับลมปราณหยกเข้าไปเพื่อจะช่วยให้เรื่องราวของยีนพัฒนาไปสู่ขั้นต่อไป แต่มันไม่ได้ผล ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นที่ 5

 

เมื่อไปถึงชั้นที่ 5 หานเซิ่นก็รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกแช่แข็ง เขาแข็งทื่อไปตรงทางเข้าและกลายเป็นเหมือนกับรูปปั้นจริงๆ

 

หานเซิ่นพบว่าด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ เขาไม่สามารถสกัดลมปราณหยกให้กลายเป็นพลังงานได้ เมื่อพวกมันเริ่มหลั่งไหลเข้าไปในร่างกาย หานเซิ่นก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังถูกแช่แข็ง อุณหภูมิของเขาไม่ได้ลดลง แต่พลังชีวิตของเขากำลังอ่อนลงเรื่อยๆ

 

หานเซิ่นรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขากำลังกลายเป็นหยกและพลังชีวิตของเขาก็อ่อนลงเรื่อยๆ เขาพยายามจะใช้เรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับลมปราณหยกเข้าไป แต่เขาไม่สามารถทนต่อความรุนแรงของมันได้

 

พลังของลมปราณหยกแข็งแกร่งกว่าพลังของยีนในร่างกายของเขาดังนั้นยีนในร่างกายของเขาจึงถูกข่มโดยลมปราณหยก

 

หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนั้น เขาไม่คาดคิดว่าความแตกต่างระหว่างลมปราณหยกของชั้นที่ 4 กับชั้นที่ 5 จะแตกต่างกันมากขนาดนี้

 

หานเซิ่นตัดสินใจใช้วิชากลายเป็นหินเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นหิน เมื่อลมปราณหยกพยายามเข้ามาในร่างกายของเขา พวกมันก็ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขาได้อีก แต่มันเกาะอยู่บนร่างกายที่เป็นหินของเขา ซึ่งทำให้ง่ายที่เขาจะดูดซับเข้าไป

 

เมื่อใช้วิชากลายเป็นหิน อีกวิชาที่หานเซิ่นจะใช้ได้ก็คือเรื่องราวของยีน ดังนั้นเขาจึงเปิดใช้งานเรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับลมปราณหยกที่อยู่รอบๆตัวเข้าไป

 

ลมปราณหยกถูกดูดซับเข้าไปโดยร่างที่กลายเป็นหินของเขา หานเซิ่นยังคงใช้งานเรื่องราวของยีนต่อไป ขณะที่ทำอย่างนั้นร่างกายที่เป็นหินของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นหยก

 

ลมปราณหยกที่ดูดซับเข้าไปพยายามจะส่งเขาขึ้นไปสู่ระดับเอิร์ล แต่ทุกครั้งก็จะมีอะไรบางอย่างมาขัดขวาง และทำให้เขาล้มเหลวทุกครั้ง ลมปราณหยกเป็นอะไรที่ทรงพลังมากๆ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันไม่สามารถทำให้เขาพัฒนาไปสู่ระดับเอิร์ลได้

 

หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง ลมปราณหยกก็หายไป หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เลิกใช้วิชากลายเป็นหิน

 

‘ทั้งๆที่ลมปราณหยกทรงพลังขนาดนั้น แต่ทำไมมันถึงยังไม่พอที่จะทำให้เรื่องราวของยีนไปสู่ขั้นต่อไป? เราต้องทำอย่างไงถึงจะกลายเป็นเอิร์ลได้สำเร็จ?’ หานเซิ่นรู้สึกหดหู่

 

ผู้คนบนชั้นต่างก็หันมามองหานเซิ่นที่เป็นคนแปลกหน้าด้วยความสงสัย พวกเขาสังเกตเห็นว่าหานเซิ่นไม่ใช่คนของเผ่านภา ซึ่งนั่นทำให้มันแปลกยิ่งขึ้นไปอีก

 

พวกเขาไม่รู้ว่าหานเซิ่นเป็นใคร และพวกเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าไวเคานต์คนหนึ่งจะขึ้นมาอยู่บนชั้นที่ 5 ร่วมกับพวกเขาในตอนที่ลมปราณหยกปะทุออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงคาดเดาว่าหานเซิ่นเป็นเอิร์ลคนหนึ่ง

 

หานเซิ่นไม่ได้อยู่พูดคุยกับพวกเขา แต่ตรงขึ้นไปบนชั้นที่ 6 ต่อในทันที เขามีวิชากลายเป็นหินอยู่ ดังนั้นลมปราณหยกไม่สามารถทำความเสียหายอะไรต่อเขาได้

 

“ถ้าลมปราณหยกของชั้นที่ 6 ยังช่วยให้เราพัฒนาไปสู่ขั้นต่อไปไม่ได้ เราก็ต้องขึ้นไปชั้นต่อไป” หานเซิ่นเดินขึ้นไปชั้นที่ 6

 

มันยังไม่ถึงเวลาที่ลมปราณหยกรอบต่อไปจะปะทุขึ้นมา แต่มันก็ไม่มีใครหันมาหานเซิ่น หานเซิ่นมองไปรอบๆและพบว่ากระเรียนพันขนไม่ได้อยู่บนชั้นนี้ ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นที่ 7

 

หานเซิ่นได้พบกับกระเรียนพันขนบนชั้นที่ 7 ซึ่งบนชั้นที่เจ็ดนั้นนอกจากหานเซิ่นแล้วยังมีคนอื่นอยู่อีก 3 คน

 

2 คนเป็นคนของเผ่านภา ส่วนอีกคนหนึ่งหัวโล้นและมีจุด 9 จุดบนหัวของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามาจากเผ่าบุดด้า เขายังดูหนุ่มเช่นเดียวกับสปีชเลสส์ ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากที่คนอายุเท่าเขาจะมาถึงจุดนี้ เขาถือเป็นสุดยอดของสุดยอดในหมู่เอิร์ลด้วยกัน เพราะเอิร์ลส่วนใหญ่ไม่สามารถขึ้นไปได้มากกว่าชั้นที่ 5

 

จากเผ่านภาทั้ง 2 หนึ่งในพวกเขาคือกระเรียนพันขน ส่วนอีกคนคือหญิงสาวที่หานเซิ่นไม่รู้จัก

 

หานเซิ่นมองไปที่พวกเขา และพวกเขาก็มองมาที่หานเซิ่น

 

“ศิษย์น้องหาน ทำไมเจ้าไม่ฝึกอยู่ข้างล่างนั่น? ทำไมเจ้าถึงขั้นมาบนนี้?”

กระเรียนพันขนถาม ก่อนที่หานเซิ่นจะได้ตอบ หญิงสาวก็มองมาที่หานเซิ่นและพูด “เจ้าคือหานเซิ่นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีดใช่ไหม?”

 

หานเซิ่นรู้ว่าเธอจะพูดอะไรต่อไป เขายิ้มให้กับเธอและพูด “ใช่แล้ว ข้าคือหานเซิ่นคนที่ถูกกระเรียนพันขนแบกขึ้นมา”

Super God Gene

Super God Gene

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 2000 อ่านนิยาย 

อ่านต่อข้างล่าง


ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก
แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่
“ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม”

Options

not work with dark mode
Reset