Super God Gene 1965

ตอนที่ 1965

หานเซิ่นพยายามอดทนต่อแรงกดดันจนไม่สามารถใช้สมาธิกับอะไรอย่างอื่นได้ และเขาก็ไม่ได้ยินสิ่งที่กระเรียนพันขนพูด

 

แต่กระเรียนพันขนรู้ว่าหานเซิ่นกำลังทุกข์ทรมาน เขาจึงเข้าไปช่วยพยุงหานเซิ่นเอาไว้

 

“ผ่อนคลาย ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร” กระเรียนพันขนยิ้มขณะที่ช่วยพยุงหานเซิ่น

 

แรงกดดันรอบๆปราสาทนภานั้นรุนแรง แต่กระเรียนพันขนเกิดที่นี่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับผลจากแรงกดดันนั้น เขาพยุงหานเซิ่นอย่างง่ายดาย ถึงแม้หานเซิ่นกำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันก็ตาม

 

กระเรียนพันขนเห็นว่าหานเซิ่นยังคงก้าวต่อไปข้างหน้า ดังนั้นเขาจึงยื่นแขนไปให้หานเซิ่นจับเอาไว้

 

ถึงแม้หานเซิ่นจะดูเหนื่อยล้าและทุกข์ทรมาน แต่เขาก็ยังเดินต่อไปจนถึงบันไดขั้นที่ 500 ได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้อีก หลังของเขาโค้งงอลงไป

 

กระเรียนพันขนดึงแขนของเขาเพื่อช่วยให้หานเซิ่นกลับมายืนตรงอีกครั้ง แต่เมื่อเขาออกแรงเพื่อจะยกหานเซิ่นขึ้น เขาก็รู้สึกราวกับว่าหานเซิ่นนั้นหนักเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่ เขาต้องออกแรงอย่างมากเพื่อจะทำให้หานเซิ่นกลับมายืนตรงได้สำเร็จ

 

“ผ่อนคลาย อย่าได้ไปฝืนมัน นี่เป็นเพียงแค่ภาพมายาเท่านั้น และมันไม่ได้มีแรงกดดันลงมาที่ตัวของเจ้าจริงๆ” กระเรียนพันขนคิดว่าหานเซิ่นใช้พลังบางอย่างเพื่อพยุงตัวเองเอาไว้

 

หานเซิ่นไม่ได้ยินอะไรที่กระเรียนพันขนพูด แรงกดดันที่น่ากลัวยังคงกดลงที่ร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังแบกภูเขาทั้งลูกเอาไว้

 

กระเรียนพันขนให้หานเซิ่นจับแขนของเขาเอาไว้ขณะที่เดินขึ้นไป น้ำหนักที่แขนของกระเรียนพันขนได้รับนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงคิดกับตัวเอง ‘จิตของหมอนี่อ่อนแอจริงๆ นี่เขากำลังถูกบดขยี้และจำเป็นต้องใช้พละกำลังของตัวเองช่วย’

 

หลังจากผ่านไปอีกสักพัก หานเซิ่นก็ดูหนักเกินกว่าที่กระเรียนพันขนจะทำให้เขายืนตรงอยู่ได้ กระเรียนพันขนมองร่างกายของหานเซิ่นและสังเกตว่ารอบๆตัวหานเซิ่นไม่ได้มีพลังอะไร และเขาก็ไม่ได้ใช้พละกำลังของตัวเองเช่นกัน

 

“แปลกจริงๆ นี่เขาไม่ได้ใช้อะไร แต่ทำไมตัวเขาถึงได้หนักแบบนี้? ปราสาทนภาควรจะส่งแรงกดดันทางจิตใจเท่านั้น และไม่ส่งผลกระทบทางกายภาพอะไร” กระเรียนพันขนครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน แต่เขาไม่สามารถคิดออกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขายังคงพยายามช่วยพยุงหานเซิ่นต่อไป

 

ร่างกายของหานเซิ่นยังคงหนักขึ้นและหนักขึ้น ในตอนแรกกระเรียนพันขนใช้แขนเพียงแค่ข้างเดียว แต่ตอนนี้เขาต้องใช้ทั้งแขน 2 ข้างเพื่อจะทำให้หานเซิ่นยืนอยู่ได้ นอกจากนั้นมันก็เริ่มจะเป็นเรื่องยากมากๆในการจะทำแบบนั้น

 

“เฮ้ เจ้าโอเคไหม?” กระเรียนพันขนมองดูหานเซิ่นและขมวดคิ้ว หานเซิ่นแดงไปทั้งตัวและชุดของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาหายใจทางปากอย่างหอบๆราวกับว่าเขาเริ่มที่จะหายใจไม่ทัน

 

ดวงตาของหานเซิ่นปูดออกมาจากเบ้า และเส้นเลือดของเขาก็นูนขึ้นมา มันเหมือนกับว่าทั้งร่างกายของกำลังจะถูกบดขยี้จริงๆ

 

หานเซิ่นไม่ได้คาดคิดว่าการปล่อยให้แรงกดดันเข้ามาในร่างกายจะเป็นอะไรที่น่ากลัวถึงขนาดนี้ ตอนนี้เขาทำได้แค่ใช้จิตใจป้องกันตัวเองจากการถูกบดขยี้ด้วยแรงกดดันนั้น และหลังจากที่ผ่านบันไดขั้นที่หนึ่งพัน หานเซิ่นก็ถูกแบกโดยกระเรียนพันขน

 

กระเรียนพันขนไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แรงกดดันของปราสาทนภาเป็นอะไรที่ทรงพลัง แต่มันก็ไม่ควรจะทำให้หานเซิ่นตกอยู่ในสภาพแบบนี้

 

กระเรียนพันขนไม่ได้รู้ว่าหานเซิ่นเป็นต้นเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ แทนที่เขาจะต่อสู้กับแรงกดดันด้วยจิตใจของเขา เขากลับปล่อยให้พวกมันเข้ามาในร่างกาย มันไม่เคยมีใครทำอะไรบ้าๆแบบนี้มาก่อน ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง

 

เมื่อหานเซิ่นหยุดนิ่งไป กระเรียนพันขนก็อุ้มเขาขึ้นมา แต่การอุ้มหานเซิ่นขึ้นมาจำเป็นต้องใช้พละอย่างมาก และไม่นานแขนของเขาก็เหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะอุ้มหานเซิ่นต่อไปได้

 

กระเรียนพันขนกัดฟันและวางหานเซิ่นลง หลังจากนั้นเขาก็เคลื่อนที่ไปตรงหน้าหานเซิ่นและดึงแขนของหานเซิ่นขึ้นมาไว้บนหลัง

 

กระเรียนพันขนเดินทางไปที่ปราสาทนภาต่อโดยแบกหานเซิ่นไว้บนหลังของเขา

 

“ลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีดนี่แปลกประหลาดจริงๆ เพียงแค่เดินบนถนนสู่ท้องฟ้าเขาก็ตกอยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว” กระเรียนพันขนรู้สึกหดหู่ แต่เขาก็ยังแบกหานเซิ่นไป

 

ผู้เฒ่าของปราสาทนภากำลังรอหานเซิ่นอยู่ ดังนั้นกระเรียนพันขนจึงไม่สามารถทิ้งหานเซิ่นเอาไว้ได้

 

กระเรียนพันขนพยายามเร่งฝีเท้าขึ้นขณะที่แบกหานเซิ่นไป แต่ไม่นานเขาก็ต้องชะลอความเร็วลง มันไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะชะลอความเร็วลง แต่มันเป็นเพราะหานเซิ่นหนักราวกับภูเขา ทำให้เขาไม่สามารถเดินเร็วได้

 

ยิ่งเขาขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ น้ำหนักของหานเซิ่นก็จะมากขึ้นเท่านั้น ไม่นานหน้าผากของกระเรียนพันขนก็เริ่มจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

“นี่มันถนนสู่ท้องฟ้าของเขา? หรือถนนสู่ท้องฟ้าของข้ากันแน่?”

กระเรียนพันขนยังคงแบกหานเซิ่นต่อไป แต่ไม่นานตัวของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

 

หลังจากที่ผ่านบันได้ขั้นที่เก้าพัน กระเรียนพันขนก็แดงไปทั้งตัว เขาอ้าปากเพื่อจะดูดเอาอากาศเข้าไป

 

‘ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะหนักถึงขนาดนี้ มันไม่มีทางที่เขาจะปลดปล่อยพลังอะไรแบบนี้ออกมา ถ้าเขาเป็นแค่ไวเคานต์จริงๆ แถมรอบๆตัวเขาก็ไม่ได้มีกระแสพลังอะไร น้ำหนักพวกนี้มาจากไหนกันแน่? นี่มันเป็นเพราะแรงกดดันของปราสาทนภาจริงๆอย่างนั้นหรอ?’ กระเรียนพันขนครุ่นคิดขณะที่เดินต่อไป

 

กระเรียนพันขนเป็นเอิร์ลคนหนึ่ง เขาสามารถจะแบกมังกรทั้งตัวและเดินได้โดยไม่รู้สึกอะไร

 

แต่ตอนนี้เส้นเลือดปูดขึ้นมาจากแขนและขาของเขา เขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อจะเดินหน้าต่อไป เขาหายใจออกมาอย่างรุนแรงราวกับว่าเขาจะพ่นไฟออกมา

 

ตูม!

 

ทันใดนั้นก็มีควันสีขาวออกมาจากรูขุมขนตามร่างกายของเขาราวกับสายน้ำ หลังจากนั้นควันสีขาวก็ควบแน่นและกลายเป็นก้อนเมฆที่วนรอบตัวกระเรียนพันขน

 

กระเรียนพันขนไม่สามารถพึ่งแค่พละกำลังทางกายภาพอย่างเดียวได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงใช้พลังเมฆช่วย

 

แต่สถานการณ์ของหานเซิ่นเลวร้ายยิ่งกว่ากระเรียนพันขนซะอีก หลายอย่างในร่างกายของเขาถูกบดขยี้ เนื้อหนังของเขายุบลงจนทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ป่วยโรคอะนอเร็กเซีย

 

ในบันไดขั้นท้ายๆกระเรียนพันขนใช้พลังทั้งหมดเพื่อจะก้าวขาไปข้างหน้า เขาเกือบจะล้มลงไปตรงหน้าปราสาท เขาได้ใช้พละกำลังทั้งหมดในการแบกหานเซิ่นผ่านประตูของปราสาทไป

 

หลังจากเข้าไปข้างใน กระเรียนพันขนก็รู้สึกถึงแสงสว่างอีกครั้ง เขาเกือบจะตะโกนออกมาด้วยความปิติยินดี เขารู้สึกโล่งใจมากๆ

“ในที่สุดพวกเราก็มาถึงสักที!”

 

ในตอนที่พวกเขาเดินอยู่บนบันไดท่ามกลางหมู่เมฆ ไม่มีใครสามารถเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อกระเรียนพันขนเดินเข้ามาข้างใน คนอื่นๆก็เห็นว่าเขากำลังแบกหานเซิ่นอยู่ และมันทำให้คนอื่นๆรู้สึกตกใจ

 

เพราะตั้งแต่ที่ปราสาทนภาถูกสร้างขึ้นมา มันไม่เคยมีใครถูกแบกขึ้นมาแบบนั้นมาก่อน

Super God Gene

Super God Gene

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 2000 อ่านนิยาย 

อ่านต่อข้างล่าง


ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก
แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่
“ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม”

Options

not work with dark mode
Reset