Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 8

ตอนที่ 8
ศึกแรก

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างซึ่งถือหอกยาวสีดำเอาไว้ในมือข้างเดียว กำลังยืนอยู่บนยอดเสาหยวนเฉินพลางรอคอยอย่างเงียบเชียบ บนยอดเสาหยวนเฉินมีกระแสอากาศอันเยียบเย็นสายแล้วสายเล่าหมุนเวียนอยู่ นั่นคือระลอกคลื่นอันน้อยนิดซึ่งเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติจากการกระตุ้นค่ายกลเสาหยวนเฉินขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ กระแสอากาศพัดผ่านอาภรณ์ไป ก็ทำให้อาภรณ์เกิดเสียงดังพึ่บพั่บขึ้นมาแล้ว

เจ้าแม่กานเหอมีความร้อนรนใจอยู่รางๆ เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้นางก็เคยพยายามมาหลายครั้ง แต่นางก็มิอาจพิทักษ์เอาไว้ได้

ในทางตรงกันข้าม

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งซึ่งแฝงไว้ด้วยแววอาฆาตมองไปยังท้องฟ้าไกลออกไป รอคอยการมาถึงของศัตรู

“เจ้าเด็กนี่เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นผู้ปกครอง จึงไม่เคยสัมผัสถึงพลังระดับขั้นผู้ปกครองที่แท้จริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ระหว่างสองจักรวาลเลย นั่นมิใช่การห้ำหั่นแบบตัวต่อตัว หากแต่เป็นผู้ปกครองจำนวนมากร่วมมือกันแล้วอาศัยสมบัติล้ำค่าโจมตี อานุภาพจึงน่าหวาดหวั่นขึ้นมากทีเดียว” เจ้าแม่กานเหอที่อยู่ไกลออกไปเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงสงบนิ่งกว่าตนเสียอีก จึงอดร่ำร้องขึ้นมามิได้ “ไร้ประสบการณ์ วันคืนในการบำเพ็ญสั้นนักก็สำเร็จเป็นผู้ปกครองเสียแล้ว คาดว่าคงจะมั่นใจในตนเองเกินไป อีกประเดี๋ยวเมื่อได้ต่อกรกัน เขาก็คงจะรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจแล้ว”

แม้หวังว่าฝ่ายตนจะคว้าชัย แต่เจ้าแม่กานเหอก็ยอมรับในพลังของลัทธิจอมมารดา!

“เอ๊ะ”

ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเป็นประกายขึ้นมา

ในฐานะที่สำเร็จเป็นผู้ปกครองของระบบผู้ท่องอากาศ ด้วยการสัมผัสรับรู้อากาศของเขา จึงพบระลอกคลื่นก่อนผู้ปกครองทั้งหมด เขามองออกไปไกลลิบ

“มาแล้ว” “พวกเขามาแล้ว” “ตงป๋อเสวี่ยอิงระวังด้วย พวกเขามาถึงแล้ว”

ผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็พบเข้าแล้ว บางคนยังถึงขั้นถ่ายเสียงมาเตือนตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะตำแหน่งที่ลัทธิจอมมารดาปรากฏกายขึ้นในครั้งนี้อยู่ใกล้กับตงป๋อเสวี่ยอิงมากที่สุด…ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ลัทธิจอมมารดาเลือกเสาหยวนเฉินต้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจ้าแม่กานเหอเป็นผู้พิทักษ์เป็นเป้าหมายในการโจมตี! เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เคยลองโจมตีจุดอื่นมาก่อนแล้ว และมิอาจโจมตีให้แตกได้ แต่ที่นี่กลับเป็นจุดเดียวที่มีหวังจะโจมตีให้แตกพ่ายไปได้

“ฟิ้ววว…” ท่ามกลางความมืดมิดไกลออกไป มีระลอกอากาศวงแล้ววงเล่าโหมซัดขึ้นมา แล้วพัดออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ณ ใจกลางจุดกำเนิดของระลอกอากาศเหล่านี้ มีเรือรบอันเก่าแก่ซึ่งเต็มไปด้วยรากไม้อันแปลกพิสดารเลื้อยพันอยู่โดยรอบลำหนึ่งปรากฏขึ้นมา ความยาวของมันราวร้อยล้านลี้ ดวงดาราโดยทั่วไปเมื่อเทียบกับมันแล้วก็แค่เล็กกระจิริดเท่านั้น แน่นอนว่าในการต่อกรระดับผู้ปกครองนั้นมิอาจนับว่าใหญ่โตได้

ตู้มมม…

เรือรบโบราณลำนี้บินมาท่ามกลางอากาศอันมืดมิด เนื่องจากตำแหน่งที่มันปรากฏขึ้นมาก็คือชั้นนอกสุดของค่ายกลเสาหยวนเฉิน! ดังนั้นการบินมาด้วยความเร็วสูงในยามนี้จึงนำมาซึ่งการสกัดกั้นของค่ายกลเสาหยวนเฉิน ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าพลันปรากฏขึ้น เรือรบลำนี้ปะทะเข้ากับค่ายกลเหล่านี้ ก่อให้เกิดคลื่นการโจมตีจำนวนนับไม่ถ้วน คลื่นการโจมตีซัดสาดออกไปทั่วสารทิศตามอำเภอใจ

ทว่าดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วนกลางสนามรบแห่งนี้ได้สลายหายไปนานแล้ว คลื่นการโจมตีก็เพียงแค่ส่งถ่ายออกมากลางอากาศอันมืดมิดอย่างไม่ขาดสายจนมลายหายไปจนสิ้นในท้ายที่สุด

เรือรบมุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงด้วยทีท่าไม่สนใจสิ่งใด!  ความเร็วในการบินของมันเหนือกว่าผู้ปกครองทั่วไปลิบลิ่ว

“อานุภาพน่าหวาดหวั่นนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสรับรู้ผ่านอากาศได้ เขาลอบตกใจอยู่เงียบๆ “ค่ายกลเสาหยวนเฉินนั้นข้ามิอาจบุกฝ่าไปโดยตรงได้ แต่เรือรบลำนี้กลับทำได้! เคราะห์ดี ตอนข้าต่อสู้นั้นสามารถพึ่งพาอานุภาพของเสาหยวนเฉินได้ มิเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าผู้ปกครองหน้าไหน หากอาศัยแค่พลังของตนเพียงคนเดียวก็ล้วนมิอาจต้านทานเรือรบลำนี้ได้กระมัง”

“ทว่าภายใต้ความช่วยเหลือของอาจารย์อาห้าวิหคดำ ท่านอาจารย์สามารถลอบตั้งเสาหยวนเฉินได้โดยไม่เกรงกลัวการลอบโจมตีของลัทธิจอมมารดา ก็เก่งกาจมากโดยแท้…” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรายตามองออกไปไกลแวบหนึ่ง สายตามองผ่านอุปสรรคของอากาศ ก็มองเห็นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำลังวางค่ายกลอยู่ ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง และในยามนี้อาจารย์อาห้าวิหคดำก็ได้แปรเป็นวิหคดำตัวมหึมาใหญ่โตถึงล้านล้านลี้แผ่คลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ร่างทั้งสองของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำลังร่วมมือกันติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นใหม่อย่างสุดกำลัง

……

เรือรบโบราณบินไปด้วยความเร็วสูงยิ่ง ทว่าเนื่องจากค่ายกลเสาหยวนเฉินครอบคลุมพื้นที่กว้างมาก ลำพังแค่จะบินไปให้ถึงตรงหน้าเสาหยวนเฉินก็ยังต้องใช้เวลาถึงชั่วจอกชาหนึ่ง

ภายในเรือรบ

เจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาหลายคนกำลังยืนอยู่ พลางมองดูเจ้าแม่กานเหอผู้มีท่าทางตื่นเต้นและชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งกุมหอกเอาไว้ในมือข้างเดียวผู้ยืนอยู่ตรงหน้าสุดบนเสาหยวนเฉินด้านนอกนั้น

“เจ้าแม่กานเหอเป็นผู้ปกครองที่อ่อนแอที่สุดคนหนึ่ง ทั้งยังไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้เป็นอันมาก สำหรับพวกเราแล้วไม่มีภัยคุกคามเลยแม้แต่น้อย” เจ้าลัทธิเหล่านี้ผ่านการห้ำหั่นมาหลายปีจึงเข้าใจดีมาก ได้ยินมาว่าเจ้าแม่กานเหอนั้นหลอมอาวุธได้ค่อนข้างร้ายกาจ ค่ายกลก็นับว่าพอใช้ได้ การรักษาชีวิตก็ไม่เลว แต่การต่อสู้นั้นอ่อนแอ

แม้บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาก็มีหลายคนที่เป็นระดับฐาน บางทีเมื่อเทียบกับเจ้าแม่กานเหอแล้วก็อ่อนแอกว่าอยู่บ้าง แต่ลัทธิจอมมารดาก็ไม่สู้ตัวต่อตัวอยู่แล้ว หากแต่อาศัยสมบัติล้ำค่ามาเป็นข้อได้เปรียบ!

“เห็นทีครั้งนี้พวกเขาจะอาศัยตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้เช่นนั้นหรือ คิดไม่ถึงจริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้เพิ่งจะบำเพ็ญมานานสักเท่าใดกันเชียว แต่กลับสามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมกล่าว นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง “ทว่าเจ้าหนุ่มหน้าใหม่คนหนึ่งคิดจะสกัดกั้นพวกเราน่ะ ฝันหวานไปแล้ว”

“เกรงว่าเรือทิพย์ซวีมู่ของเราเพียงแค่โจมตีออกไปครั้งหนึ่งก็คงสามารถทำให้พวกเขาแตกพ่ายไปได้แล้ว”

“ลงมือเถิด”

“รีบทำให้เจ้าแม่กานเหอและตงป๋อเสวี่ยอิงสลายไปเสีย จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตผู้นั้นจะต้องรีบมาช่วยเหลือเป็นแน่! หากเขาไม่มาช่วย พวกเราก็ทำลายค่ายกลเสาศิลานั่นทิ้งเสีย เสาศิลาก็นำไปด้วย”

เมื่อเทียบกันแล้วเจ้าลัทธิเหล่านี้เยือกเย็นกว่า ในสายตาของพวกเขามีความโหดเหี้ยมสายแล้วสายเล่าแฝงอยู่

การต่อสู้ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ แม้จะอยู่ในความคาดหมาย แต่เมื่อเห็นว่ายิ่งเข้าใกล้ความพ่ายแพ้มากขึ้นเท่าใด หัวใจของเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาแต่ละคนก็ล้วนเหมือนมีหินก้อนหนักทับเอาไว้ พวกเขาไม่ยอมแพ้เช่นนี้ พวกเขายังคงตามหา…ตามหาโอกาส!

******

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ห่างๆ

เรือรบโบราณลำนั้นกำลังบินไปด้วยความเร็วสูง บีบเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

“ใกล้แล้ว”

“จวนจะถึงขอบเขตบริเวณของข้าแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

สายตามองออกไปไกลซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองผ่านอุปสรรคของอากาศก็สามารถมองเห็นดวงดาราที่มีสิ่งมีชีวิตดวงแล้วดวงเล่าภายในโลกเทพไกลลิบลิ่ว สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดโดยไม่รู้เลยว่าสงครามตัดสินชะตากำลังปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา! หากพ่ายแพ้ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของจักรวาลผู้บำเพ็ญก็จะสูญพันธุ์ไป

ตงป๋อเสวี่ยอิมองไปทางเกาะใจกลางทะเลสาบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่นั่นมีบรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ เทพโลการวมทั้งผู้บำเพ็ญซึ่งมีพรสวรรค์สูงยิ่งอยู่มากมาย พวกเขาถูกอพยพมาอยู่ที่นี่ แต่กลับทำได้เพียงรอคอยการตัดสินชะตาชีวิตขั้นเด็ดขาดด้วยจิตใจอันว้าวุ่น

“นี่คือจักรวาลบ้านเกิดของข้า จิ้งชิว อวี้เอ๋อร์ ชิงเหยา…มนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าได้คิดจะชิงที่นี่ไป้เป็นอันขาด”

นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงสาดประกายหนาวเหน็บ

……

“มาแล้ว”

“ตงป๋อเขาต้านทานเอาไว้ได้หรือไม่”

“เจ้าแม่กานเหอพลังอ่อนแอเกินไป อ่อนแอกว่าประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพ! พวกประมุขเกาะกาลมิติต้องร่วมมือกันถึงสองคนจึงสามารถพิทักษ์เอาไว้ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีเพียงเจ้าแม่กานเหอคอยช่วย แล้วจะสามารถพิทักษ์เอาไว้ได้หรือ”

“ก็แค่ลองดูเท่านั้น หากล้มเหลวก็ไม่มีทางย่ำแย่ไปกว่านี้แล้ว”

เหล่าผู้ปกครองบนเสาหยวนเฉินทั้งผู้ครองชิง ผางอี ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพและคนอื่นๆ ล้วนจับตามองที่นี่อยู่ห่างๆ แม้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่กำลังวางค่ายกลจะพยายามอย่างสุดกำลัง แต่ร่างจริงของเขาที่อยู่ในเกาะใจกลางทะเลสาบกลับเฝ้ามองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ตรงนี้

แม้แต่อาจารย์อาห้าวิหคดำซึ่งกลายร่างเป็นผืนดินขนาดย่อมๆ ก็ยังมองตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างๆ “เจ้าหนุ่มตงป๋อ ต้องต้านรับเอาไว้ให้ได้ล่ะ เพื่อชัยชนะ ท่านอาจารย์ของเจ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจมากเกินไปแล้ว เจ้าก็ต้องมีแรงฮึดสู้หน่อยล่ะ!”

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้นพลางทอดสายตามองออกไปไกล

ทันใดนั้น!

ตู้ม!

เค้าร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นยักษ์ตนหนึ่งซึ่งสูงกว่าร้อยล้านลี้ แม้แต่ใจกลางเสาหยวนเฉินใต้ฝ่าเท้าก็ยังกลายเป็นเล็กเสียจนไม่สะดุดตาอีกต่อไป ทำเอาเจ้าแม่กานเหอซึ่งยืนเตรียมการอย่างระแวดระวังอยู่บนเสาหยวนเฉินตกตะลึงไปบ้าง นางเงยหน้ามองชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งสูงกว่าร้อยล้านลี้ตรงหน้าแล้วก็อดถ่ายเสียงพูดมิได้ว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิง พิทักษ์อยู่ที่ใจกลางของเสาหยวนเฉินนั้นสบายกว่าหน่อย ต่อให้ร่างกายของเจ้าขยายใหญ่กว่านี้ ก็ไม่มีส่วนช่วยเรื่องพลังหรอกนะ”

“แต่เมื่อสู้เช่นนี้ก็คล่องไม้คล่องมือมากกว่าอยู่บ้างนะขอรับ” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน เขากุมหอกยาวเอาไว้ในมือข้างเดียว หอกยาวก็ยาวกว่าร้อยล้านลี้เช่นเดียวกัน

ทันใดนั้นผิวกายของเขาก็พลันมีเกลียวคลื่นสีแดงโลหิตปะทุขึ้นมา

โครมมมม…

เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตโหมซัดออกไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างบ้าคลั่ง ทว่ามันแผ่ออกไปทางอื่นเป็นขอบเขตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลักๆ แล้วก็ยังคงโจมตีตรงไปทางเรือรบโบราณลำนั้น เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ออกไปไม่หยุดหย่อน ไม่นานนักก็แผ่กำจายไปกว่าร้อยล้านลี้ สองร้อยล้านลี้…ส่วนบรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาภายในเรือรบโบราณลำนั้นต่างก็มองดูมหาสมุทรสีแดงโลหิตโหมซัดโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยความตะลึงลาน

“ไม่ประมาณกำลังตนเองเกินไปหน่อยหรือไม่” บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาไม่แยแสเลย

“อากาศ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ

วิ้งงง…

ในฐานะผู้ท่องอากาศซึ่งใช้พละกำลังของอากาศอันสับสนอลหม่านนอกจักรวาลเป็นต้นกำเนิดในการฝึกฝน จึงเชี่ยวชาญในการควบคุมอากาศโดยกำเนิด ตอนที่อยู่ในขั้นผู้เคารพอาจยังไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองก็กลับร้ายกาจมากทีเดียว ว่ากันว่าต้องมีพลังขั้นเทพอากาศจึงจะสามารถเข้าไปท่องในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ แต่ระบบผู้ท่องอากาศ…ในฐานะลูกรักของอากาศอันสับสนอลหม่าน แค่บรรลุขั้นผู้ปกครองก็สามารถท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านได้แล้ว

ตอนอยู่ในขั้นผู้ปกครอง การควบคุมอากาศก็บรรลุถึงขั้นชวนให้คนตะลึงแล้ว! บัดนี้ระลอกคลื่น ‘วิถีเข่นฆ่า’ ‘วิถีระลอกคลื่น’ ล้วนยังไม่บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบนิรันดร์กาล หากพูดถึงอานุภาพของบริเวณแล้ว การควบคุมอากาศนั้นเหนือกว่าบริเวณการเข่นฆ่า!

เพียงแต่ว่าบัดนี้ในสงครามย่อมต้องทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดเป็นธรรมดา

“เสาหยวนเฉิน!”

ในฐานะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้พิทักษ์ ก็เริ่มปรับเปลี่ยนพละกำลังของค่ายกลเสาหยวนเฉินมาเสริมแรงตนเอง ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าโหมซัดอยู่กลางฟากฟ้าเหนือบริเวณการเข่นฆ่า

“โครมมม…” เรือรบโบราณกดดันเข้ามา ในที่สุดก็ปะทะเข้ากับขอบคลื่นสีแดงโลหิต

ที่นี่ห่างจากใจกลางเสาหยวนเฉินเพียงสามร้อยล้านลี้เท่านั้น อานุภาพของค่ายกลที่นี่ก็มากแล้ว และกดดันอานุภาพของเรือรบลำนี้ไปจนถึงขั้นค่อนข้างต่ำทีเดียว หากเป็นพวกผู้ครองชิงหรือประมุขหยวนชูมา ร่างแยกร่างหนึ่งก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้! แต่ยามนี้ ภายใต้บริเวณการเข่นฆ่าและการควบคุมอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิง ความเร็วของเรือรบโบราณก็ลดลงเป็นอันมาก ความเร็วในการบินทะยานก็ไม่ถึงหนึ่งในร้อยของก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ!

“กดดันเอาไว้ได้แล้วหรือนี่”

ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพและเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลออกไปล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงและปีติยินดีออกมา แม้แต่อาจารย์อาห้าวิหคดำผู้มีร่างกายใหญ่โตก็ยังตกตะลึงจนไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง ร่างจริงของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ยินดีจนแทบคลั่งไปเช่นเดียวกัน

ยังมิทันได้ต่อสู้ประชิดตัว เพียงแค่อาศัยบริเวณก็ทำให้ความเร็วของเรือรบโบราณช้าขนาดนี้ได้แล้วหรือนี่

“บริเวณนี้ต้องแข็งแกร่งระดับใดกัน เกรงว่าลำพังแค่อาศัยบริเวณเพียงอย่างเดียวก็คงทำให้ข้าพ่ายแพ้ได้แล้วกระมัง” เจ้าแม่กานเหอซึ่งอยู่บนยอดเสาหยวนเฉินอดคิดขึ้นมามิได้

พลังอันน่าหวาดหวั่น

“ขอรับ”

องครักษ์กลุ่มนี้ทุกคนล้วนมีแววสังหารสูงเทียมฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉาอวิ๋นหนงที่เพิ่งเผยสถานะที่แท้จริงออกมาเองก็ยิ่งคันไม้คันมืออยากจะเคลื่อนไหวและสำแดงพลังออกมา ทางฝ่ายพวกเขามีผู้ปกครอง  ‘จักรพรรดิมารแดง’ อยู่ ทำให้พวกเขามั่นใจในตนเองหาใดเปรียบ เพราะถึงอย่างไรความแตกต่างระหว่างระดับผู้เคารพและระดับผู้ปกครองก็มากเกินไปแล้วจริงๆ ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครอง ก็จะเป็นการวิวัฒน์จากแก่นแท้!

อย่างผู้ครองชิงที่สามารถกวาดล้างผู้เคารพกลุ่มหนึ่งได้ด้วยตัวคนเดียว  แต่ตอนนั้นเขามีวิถีถึงสามสายที่บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุด ก็เพียงแค่เทียบเคียงได้กับ ‘ผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัว’ ซึ่งทำทีเป็นอ่อนแอที่สุด เพื่อจงใจปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้ในตอนนั้น จะเห็นได้ว่าผู้เคารพและผู้ปกครองนั้นแตกต่างกันมากเพียงใด

พวกเขาต้องชนะแน่นอน! นี่คือการเข่นฆ่ายกหนึ่ง!

“ตู้มๆๆๆๆๆ…”

พวกเขาแต่ละคนแปรเป็นลำแสงพุ่งตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าองครักษ์กลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา

ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ก็เร่งตรงมาอย่างรวดเร็วด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจอยู่บ้าง

“พี่ฉง พี่ซานตาน เกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์สักเท่าใดนัก องครักษ์ฉง ซานตานและคนอื่นๆ ที่บินมาข้างกายเขาด้วยความเร็วสูงเช่นกันต่างก็สีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ติดตามท่านชายมานานกว่า เพียงแวบเดียวก็จำท่านชายใหญ่ ‘เจียวอวิ๋นเถิง’ ที่อยู่ไกลออกไปผู้นั้นได้แล้ว และเห็นชายชราผมแดงผู้มีตาข้างเดียวคนนั้นด้วย ซึ่งนั่นก็คือสิ่งมีชีวิตที่พวกเขามิอาจต้านทานได้…ผู้ปกครอง ‘จักรพรรดิเทพมารแดง’ นั่นเอง

“ท่านชายใหญ่นำคนมาแล้ว ข้างกายเขาคือผู้ปกครองจักรพรรดิเทพมารแดง” ซานตานรีบถ่ายเสียงบอกตงป๋อเสวี่ยอิง

“มีจักรพรรดิเทพมารแดงอยู่ ครั้งนี้พวกเราต้องเอาชีวิตมามอบให้อีกแล้ว” องครักษ์ฉงรู้สึกขมขื่นขึ้นมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที

ในช่วงสามสิบล้านปีนี้ เขาได้ออกมาบ้างเป็นครั้งคราว และได้เรียนรู้จากเหล่าองครักษ์คนอื่นๆ บ้างคร่าวๆ จึงได้รู้ข้อมูลอะไรอยู่บ้าง และได้รู้ว่าผู้ที่ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเจ้านายตนเห็นเป็นปฏิปักษ์ที่สุดก็คือ ท่านชายใหญ่ ‘เจียวอวิ๋นเถิง’

“พวกเขาบุกเข้ามาแล้ว!”

“ก่อนจักรพรรดิเทพมารแดงจะลงมือ ฆ่าได้กี่คนก็ฆ่าเสีย”

“สู้สุดชีวิต!”

เหล่าองครักษ์ที่เร่งตรงมากลุ่มนี้ประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว และรู้ว่าไม่มีโอกาสคว้าชัยได้เลย ในใจของแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความเดือดดาล ดีร้ายอย่างไรพวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผู้เคารพ มีหน้ามีตา มีเกียรติยศของพวกเขาเอง! พวกเขาไม่ยอมถูกล้างสังหารง่ายๆ เช่นนี้หรอก ย่อมต้องโจมตีกลับแน่นอนอยู่แล้ว ถือโอกาสที่จักรพรรดิเทพมารแดงยกตนสูงส่งอยู่จนไม่ได้ลงมือ สามารถปลิดชีพคนหนึ่งได้ก็ทำเสีย

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเหล่าผู้แกร่งกล้าของฝ่ายศัตรูซึ่งมีแววสังหารสูงเทียมฟ้าซึ่งแปรเป็นลำแสงสายแล้วสาย แล้วปรายตามองไปทางจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งอยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง นัยน์ตาแฝงแววรอคอย “ก่อนที่จักรวาลผู้บำเพ็ญและลัทธิจอมมารดาจะเปิดศึก ข้ามีโอกาสได้ประมือกับผู้ปกครองก่อน หาโอกาสดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!”

“ฟิ้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีลูกดอกปรากฏขึ้นหกดอก หลังจากร่างผู้ท่องอากาศบรรลุถึงระดับขั้นชั้นที่หก พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นก็แทรกเข้าไปภายในลูกดอกเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรบัดนี้ อาศัยพละกำลังเพียงอย่างเดียว เขาก็สามารถบดขยี้ผู้รักษากฎทิพย์ทั้งสามในตอนนั้นได้อย่างง่ายดาย เมื่อรับมือกับผู้เคารพกลุ่มหนึ่งจึงไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากเกินไปเลย เขาสะบัดลูกดอกออกไปทันที

ลูกดอกหกดอกหายวับไปกลางอากาศแล้วเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม

จากนั้นในมือตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีลูกดอกปรากฏขึ้นอีกหกดอก ก่อนจะสะบัดออกไปอีกครั้ง! ลูกดอกชุดนี้ได้มาจากผู้รักษากฎลัทธิจอมมารดา ชุดหนึ่งมีสิบสองดอกพอดี

ลูกดอกสิบสองดอกลอยอยู่ภายในฟ้าดินโลกเทียม แต่ละดอกมีอานุภาพอันน่าหวาดหวั่น ภายใต้การควบคุมฟ้าดินโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิง ลูกดอกทั้งสิบสองดอกก็โผล่ออกมาจากฟ้าดินโลกเทียมพร้อมกัน แล้วปรากฏขึ้นด้านหน้าองครักษ์สิบสองคนในกลุ่มนั้น องครักษ์ทั้งสิบสองคนสกัดกั้นเอาไว้ไม่ทันเลยแม้แต่คนเดียว เพราะบัดนี้วิถีโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดเรียบร้อยแล้ว ในจักรวาลผู้บำเพ็ญ ก็ไม่มีผู้เคารพหน้าไหนสามารถรู้ตัวล่วงหน้าได้เลยสักคน

ทันใดนั้นเหล่าองครักษ์ทั้งสิบสองก็ถูกลูกดอกปักเข้าที่อก ลูกดอกทะลุแผ่นอกของพวกเขาไป จากนั้นลูกดอกก็หายวับไป

ชั่วขณะที่ลูกดอกทะลุแผ่นอกของพวกเขาไปนั่นเอง

พละกำลังอันไร้รูปร่างที่เต็มไปด้วยแววอาฆาตอันน่าหวาดหวั่นพลันถูกส่งถ่ายเข้ามาในร่างพวกเขา ทุกอณูทั่วร่างของพวกเขาล้วนสั่นสะเทือนคราหนึ่ง

เดิมทีองครักษ์ทั้งสิบสองกำลังบินไปด้วยความเร็วสูง แต่จากนั้นก็ชะงักก่อนจะเริ่มกระเด็นลอยไปตามแรงที่ทะลุผ่านมา ความเร็วก็ลดลง ทำให้องครักษ์เหล่านั้นพากันมองมาด้วยความงุนงง

“ฟิ้ว…”

ร่างกายขององครักษ์แต่ละคนเริ่มถล่มทลายลงราวกับกรวดทรายอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็มลายหายไป

องครักษ์สิบสองนาย…ร่างกายต่างก็ถล่มทลายไปจนสิ้น ในจำนวนนั้นมีร่างขององครักษ์คนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้งจากความว่างเปล่า เขาสวมอาภรณ์สีดำทั้งร่าง ร่างกายคุดคู้อยู่ นัยน์ตาสีเขียวภายใต้อาภรณ์สีดำมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปด้วยความตื่นตระหนก

ทั่วทั้งบริเวณนั้นเงียบงันไปอย่างสิ้นเชิง!

ไม่ว่าจะเป็นเหล่าองครักษ์ทางฝ่ายตงป๋อเสวี่ยอิงหรือว่าเหล่าองครักษ์ของท่านชายใหญ่ก็ล้วนหยุดลงทั้งสิ้น

……

“เหตุใดจึงเป็นเขาอีกแล้ว เป็นเขาอีกแล้วรึ ข้าไม่ยอม ไม่ยอมหรอก!” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองไปทางบุรุษเกราะทองซึ่งอยู่ไกลออกไป ร่างกายสั่นเครือไปหมด เห็นได้ชัดว่าโกรธแค้นจนถึงขีดสุด “ข้าพบต้นผลวิเศษมารดำแล้วอดใจรอมานานถึงเพียงนี้ ก็เพื่อรอจะใช้ผลวิเศษมารดำช่วยให้ข้าฝึกจนบรรลุได้ ไยเขาจึงมาอีกแล้วเล่า ข้าไม่ยอมจริงๆ นะ!”

ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองไปทางเหล่าองครักษ์ใต้บังคับบัญชาของตนที่อยู่ไกลออกไปและองครักษ์ของพี่ชายกลุ่มนั้นซึ่งกำลังจะต่อกรกัน ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดนัก

เขาเข้าใจดี

จักรพรรดิเทพมารแดงผู้นั้นต้องลงมือตามอำเภอใจแล้วล้างสังหารองครักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาไปหลายคน เหล่าองครักษ์คนอื่นๆ ก็จะถูกล้อมโจมตีและถูกสังหารตาย

“ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี” เจียวอวิ๋นหลิวรู้สึกความแค้นเคือง สิ้นหวัง และไม่ยินยอม โลหิตภายในกายเดือดพล่าน สมองจวนจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ

ทันใดนั้น…

เจียวอวิ๋นหลิวก็ชะงักงันไป

เขามองออกไปไกลด้วยความตกตะลึง ลูกดอกสิบสองดอกทะลุแผ่นอกขององครักษ์สิบสองนาย จากนั้นก็หายวับไป ร่างกายขององครักษ์เหล่านั้นถล่มทลายไป มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้อีกครั้ง

สายตาของเจียวอวิ๋นหลิวตกต้องลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ห่างออกไป ยามนี้เบื้องหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงมีลูกดอกสิบสองดอกนั้นปรากฏขึ้นมา เขาโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บลูกดอกลงไป

“องครักษ์ตงป๋อรึ” เจียวอวิ๋นหลิวพึมพำ

……

ตกใจจนตะลึงงันไป

ตกใจจนโง่งมไปเสียแล้ว!

อย่าว่าแต่องครักษ์ของฝ่าตรงข้ามกลุ่มนั้นเลย แม้แต่พวกพ้องข้างกายตนเหล่านี้ก็ตกใจจนตะลึงงันไปกันหมดแล้ว

แค่ขว้างลูกดอกจำนวนหนึ่งออกไป องครักษ์ระดับผู้เคารพก็สิ้นใจไปสิบเอ็ดนายแล้วอย่างนั้นหรือ บนร่างขององครักษ์เหล่านั้นล้วนมีเกราะสวมเอาไว้ แต่ก็ถูกแทงทะลุจนตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวแล้วอย่างนั้นหรือ

ท่านชายใหญ่ผู้นั้นมีองครักษ์ทั้งหมดสักเท่าใดกันเชียว ทั้งหมดก็แค่ยี่สิบกว่านายเท่านั้น! จะพอให้สังหารได้สักกี่ครั้งกันเล่า

“น้องตงป๋อหรือ” ซานตาน องครักษ์ฉงและคนอื่นๆ พากันตกตะลึงไป พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เคยเรียนรู้กับพวกเขาสองสามครั้งซึ่งมีอัธยาศัยดีมากผู้นี้จะน่าหวาดหวั่นถึงขั้นนี้ไปได้

“ยังไม่ไปอีกรึ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดแต่กลับไม่หยุดลง เขาบินต่อไปทางท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวซึ่งอยู่ห่างออกไป

“ถอย!” เหล่าองครักษ์ของท่านชายใหญ่แต่ละคนพากันกลัวจนต้องรีบหนีไป พวกเขาไม่มีความคิดที่จะสู้เลยแม้แต่น้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งกว่าผู้ครองชิงและผางอีตอนก่อนที่จะสำเร็จเป็นผู้ปกครองมากนัก สำหรับผู้เคารพเหล่านี้แล้ว เป็นการล้างสังหารโดยแท้

“แตกต่างกันมากเกินไปแล้ว มิน่าเล่า พวกท่านอาจารย์จึงมิให้เหล่าผู้เคารพร่วมสงครามครั้งสุดท้ายด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ แม้แต่พลังของตนก่อนหน้านี้ เหล่าผู้ปกครองก็ยังไม่แยแส มีแต่พละกำลังของ ‘น้ำเต้าสีดำ’ เท่านั้นที่พอจะช่วยได้บ้าง

“ทว่าข้าในตอนนี้ คงจะเพียงพอแล้วกระมัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังจักรพรรดิเทพมารโลหิตที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ร่อนลงหน้าประตูวัง พลางมองไปทางท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวซึ่งแตกตื่นอยู่บ้างผู้นั้น “ท่านชาย”

“องครักษ์ตงป๋อ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวตื่นตระหนกมากเกินไปแล้วจริงๆ เขาก็แค่ต้อนรับขับสู้องครักษ์ตงป๋อซึ่งเพิ่งจะเข้าร่วมใหม่ผู้นี้ตามความเคยชินที่ต้อนรับองครักษ์อย่างที่แล้วๆ มาเท่านั้น มิได้รู้สึกว่าสำคัญมากแต่อย่างใด วันนี้เขากลับตะลึงงันไปแล้ว ‘องครักษ์ตงป๋อ’ ผู้นี้ช่างเหนือกว่าที่เคยจินตนาการเอาไว้จริงๆ เกรงว่าเหล่าองครักษ์ทั้งกลุ่มของพี่ชายตนร่วมมือกันก็ยังได้ผลถูกกวาดล้างเช่นเดิม

“ท่านชายไม่จำเป็นต้องกังวลใจไปนะขอรับ ไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายท่านชายได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ดีๆๆ เจ้าต้องระวังจักรพรรดิเทพมารแดงผู้นั้นเอาไว้ให้ดีล่ะ เขาเป็นผู้ปกครอง ร้ายกาจยิ่งนัก” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวกลับยังคงไม่สบายใจ เพราะถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถึงผู้ปกครอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม

จะเอาชนะผู้ปกครองได้หรือไม่นั้นเขาก็ยังไม่มั่นใจนัก แต่เขากลับมั่นใจเป็นอย่างมากว่าจะสามารถปกป้องท่านชายได้เป็นอย่างดี! เมื่อบรรลุผู้ท่องอากาศชั้นที่หกแล้ว เขาก็แข็งแกร่งด้านการควบคุมอากาศยิ่งนัก จนสามารถพาท่านชายหนีจากไปได้ในชั่วพริบตาเดียว

ทว่าเขาก็คงไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ

“ปากดีนัก” น้ำเสียงเยียบเย็นส่งมาจากที่ไกลโพ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า

ใบหน้าของบุรุษเกราะทอง ‘เจียวอวิ๋นเถิง’ ที่อยู่กลางอากาศไกลออกไปเต็มไปด้วยความโมโห “เจ้าเป็นองครักษ์คนใหม่ที่น้องชายผู้ไร้ความสามารถของข้าเพิ่งรับมาหรือ เฮอะ เจ้าประเมินตนเองสูงเกินไปแล้ว” เขามองไปทางจักรพรรดิเทพมารแดงที่อยู่ข้างกาย

ตาข้างเดียวของจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งอยู่ด้านข้างกลับมีแต่ความราบเรียบ ทั้งยังเผยรอยยิ้มออกมาอีกด้วย “หนุ่มน้อย พลังไม่เลวเลยนี่ ในหมู่ผู้เคารพก็เพียงพอให้เรียกว่าไร้ศัตรูได้แล้ว เอ้อ เจ้าชื่ออะไรหรือ”

“ข้าชื่อตงป๋อเสวี่ยอิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองฝ่ายตรงข้าม

จักรพรรดิเทพมารแดงรู้สึกนึกสนุกขึ้นมา “ข้าจะสังหารท่านชายของเจ้าแล้วชิงเอาผลวิเศษมารดำไป เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าอยากจะประมือกับข้าน่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงข่มความตื่นเต้นและรอคอยเอาไว้ การบำเพ็ญสามสิบล้านปีทำให้เขาประเมินพลังตนเองได้ไม่แม่นยำอยู่บ้าง สงครามครั้งสุดท้ายของบ้านเกิดที่จวนจะมาถึงทำให้เขาตั้งตารอคอยที่จะได้ประมือกับผู้ปกครองเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่มองไปยังจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งยืนอยู่กลางอากาศผู้นั้น สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สาดประกายออกมา พลางแสยะยิ้มพูดว่า “ข้าตั้งตารอคอยที่จะได้ต่อสู้กับท่านสักยกหนึ่ง ที่ผ่านมาข้ายังไม่เคยต่อสู้กับผู้ปกครองมาก่อนเลย”

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset