Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 10

ตอนที่ 10
 ปราบปรามลัทธิจอมมารดา

“เสวี่ยอิง”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยตักเตือน “ตอนนี้กำลังติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นสุดท้าย แต่ยิ่งใกล้สำเร็จก็ต้องยิ่งระมัดระวังมากขึ้น ลัทธิจอมมารดามิได้ต่อสู้กับพวกเรากลับมาแค่เพียงครั้งเดียว เจ้าต้องพิทักษ์เสาหยวนเฉินสองแห่งพร้อมกันในเวลาเดียว ต้องระวังด้วยล่ะ”

“ศิษย์เข้าใจ แล้วยิ่งในเวลาเช่นนี้ ก็ยิ่งมิอาจประมาทได้เลยแม้แต่นิดเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“คมมีดโลหิต ท่านก็วางใจเถิด ศิษย์ผู้นี้ของท่านมีพลังร้ายกาจพอตัวทีเดียว จะต้องสกัดลัทธิจอมมารดาได้อย่างง่ายดายแน่นอน” นกสีดำบนบ่าของคมมีดโลหิตร้องขึ้น

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแย้มยิ้ม จากนั้นก็มองไปยังที่ไกลออกไปแล้วก้าวเดิน

ฟิ้ว

ข้ามผ่านระยะทางของกาลมิติไปถึงจุดที่ติดตั้งสิบสองเสาหยวนเฉินต้นสุดท้ายอย่างรวดเร็ว

ในขณะนี้เอง ตงป๋อเสวี่ยอิง ผางอี ผู้ครองชิง ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติ และเจ้าแม่กานเหอ แต่ละคนล้วนมองดูอยู่ห่างๆ ต่างก็อดที่จะตื่นเต้นมิได้ ยิ่งใกล้สำเร็จก็ยิ่งทวีความตื่นเต้น เพราะพวกเขาต่างก็เกรงว่าลัทธิจอมมารดาที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงจะมีเล่ห์กลร้ายกาจอันใดมาทำลายอีก

“ทุกท่านระวังตัวด้วย ลัทธิจอมมารดาย่อมไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้โดยสมัครใจเช่นนี้อย่างแน่นอน”

“ตงป๋อเสวี่ยอิง เสาหยวนเฉินที่พวกเราคนอื่นๆ พิทักษ์เอาไว้ล้วนเคยถูกโจมตีหลายครั้งหลายครา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เผชิญกับการโจมตีเพียงครั้งเดียว หากลัทธิจอมมารดาลงมืออีกครั้งก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีเป้าหมายคือเจ้า”

“ใช่แล้ว เจ้าอยู่ที่นี่ก็ต้องระวังหน่อยล่ะ”

ทุกคนต่างก็อกสั่นขวัญแขวน

ส่วนอาจารย์ห้ากาฬปักษาที่อยู่ไกลออกไปนั้น ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไปมีขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบแล้ว ราวกับแผ่นดินปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าเหนือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ร่างแยกทั้งสองของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเริ่มต้นติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นสุดท้ายด้วยพละกำลังทั้งหมด

“มาแล้ว!”

“ลัทธิจอมมารดามาแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพบเห็นเป็นคนแรกสุด ส่วนเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็พบเห็นตามๆ กันทีละคน ลัทธิจอมมารดาปรากฏตัวให้เห็นเป็นเรือรบโบราณลำนั้นเช่นเคย แต่ในคราวนี้พื้นผิวของเรือรบโบราณกลับแผ่รังสีสีเขียวมรกตเรืองรอง คล้ายกับมีความพิเศษเหนือธรรมดา ตำแหน่งที่เรือรบปรากฏขึ้นก็คือบริเวณใกล้ๆ กับเสาหยวนเฉินที่ติดตั้งเสร็จล่าสุดต้นนั้น ซึ่งก็คือต้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงพิทักษ์อยู่

“คราวก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นมาขัดขวางซึ่งๆ หน้า พละกำลังร่างกายจะต้องแกร่งกล้าเป็นที่สุดอย่างแน่นอน โดยทั่วไปแล้วร่างกายที่แกร่งกล้าจะต้องอาศัยวัตถุภายนอกช่วยผนวกรวม! วัตถุภายนอกเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าหายาก บางทีอาจมีร่างแยกเพียงร่างเดียวที่สามารถบำเพ็ญได้สำเร็จ” บรรดาเจ้าลัทธิจอมมารดาภายในเรือรบโบราณมองชายหนุ่มอาภรณ์สีแดงที่ยืนอยู่บนยอดเสาหยวนเฉินที่อยู่ไกลออกไป

อาภรณ์ของเขาปลิวไสว ในมือถือหอกยาวสีม่วงเข้มเอาไว้เล่มหนึ่ง เขามองดูเรือรบลัทธิจอมมารดาที่บินเข้ามาด้วยสายตาเยียบเย็น

การคาดการณ์ของลัทธิจอมมารดาช่างมีเหตุผล

ระบบอย่างลัทธิจอมมารดาต้องการทรัพยากรมหาศาล มิฉะนั้นต่อให้ถึงระดับขั้นแล้วก็ยังมิอาจบรรลุได้ เหมือนกับ ‘ร่างแท้หมื่นมาร’ ม้วนแรกเริ่มที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยบำเพ็ญ ตอนนั้นเพื่อให้บำเพ็ญสำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้นก็สิ้นเปลืองสมบัติล้ำค่าไปมหาศาล เพราะร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งโดยฉับพลัน เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีวัตถุภายนอกมาเป็นรากฐาน

เพราะลำพังแค่การดูดซับพลังฟ้าดินนั้นเนิ่นช้าเกินไป โดยทั่วไปล้วนต้องอาศัยวัตถุภายนอกที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

แม้ว่าการคาดการณ์ของลัทธิจอมมารดาจะมีเหตุผลแต่กลับผิด!

ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องเป็นพลังภายนอก แต่อาศัยพลังของอากาศอันสับสนอลหม่าน! พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นหายากเป็นที่สุด ถึงอย่างไรระดับขั้นเทพอากาศโดยทั่วไปเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ อีกทั้งการใช้พละกำลังอันน่าหวั่นกลัวเหล่านี้ยังยากเย็นยิ่ง จะว่ามากก็มาก…สุดท้ายแล้วอากาศอันสับสนอลหม่านก็ไร้ที่สิ้นสุด  ภายในมีจักรวาลอยู่ด้วย พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านจึงยิ่งใหญ่กว่าพลังฟ้าดินมากมายมหาศาลนัก

ดังนั้นสำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ร่างจริงและร่างแยกทั้งสองต่างก็บำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปถึงขั้นที่สิบเอ็ดได้อย่างง่ายดายยิ่ง

โดยธรรมชาติ…

การโจมตีอีกครั้งของลัทธิจอมมารดา ก็สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว

“อะไรกัน”

“ร่างนี้ของเขาก็แกร่งกล้าเช่นเดียวกัน”

“ย่อมเอาชนะมิได้แน่”

ถึงแม้ว่าการลงมือของลัทธิจอมมารดาในครั้งนี้จะแปลกพิกลอยู่บ้าง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงอาศัยเพียงแค่หอกยาวกับการจัดการอากาศและเขตแดนค่ายสังหาร ก็สามารถต้านทานลัทธิจอมมารดา พิทักษ์เสาหยวนเฉินแห่งนี้เอาไว้ได้โดยสมบูรณ์แล้ว

เวลาผ่านไปวินาทีแล้ววินาทีเล่า

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงต่อกรกับลัทธิจอมมารดาอย่างสุดกำลัง มิกล้าไขว้เขวเลยแม้แต่น้อย แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวและเจ้าแม่กานเหอที่อยู่ข้างๆ กลับให้ความสนใจกับทางด้านจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต เช่นเดียวกับผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู ผางอี และประมุขเกาะกาลมิติ พวกเขาแต่ละคนต่างก็มองดูอยู่ห่างๆ ด้วยความตื่นเต้น

“ใกล้แล้ว”

“อีกนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น…”

พวกเขาทุกคนต่างก็มองดูจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นสุดท้ายนั้นอย่างตื่นเต้น

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็ทุ่มเทสุดกำลัง นกสีดำขนาดมหึมาสอดส่ายสายตาเย็นชาไปรอบทิศทางอย่างระแวดระวังตลอดเวลา ใครๆ ก็รู้ว่าถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว

“พรึ่บ”

ยามที่สายโซ่ทั้งหมดบนพื้นผิวของเสาหยวนเฉินต้นนั้นเจาะทะลุแหวกอากาศ รัศมีเทพจำนวนนับไม่ถ้วนก็เริ่มหลั่งไหล

“ตึง” เสาหยวนเฉินต้นมหึมานั้นส่งเสียงคำรามออกมาเสียงหนึ่ง ค่ายกลจำนวนมากมายทั้งหมดต่างก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เสาหยวนเฉินแห่งนี้สร้างให้เกิดการผนวกรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบในที่สุด

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ในชั่วขณะที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตติดตั้งได้สำเร็จนั้นเอง เขาก็เผยยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาเองก็มิได้รู้ตัวเลยว่าริมฝีปากของตนนั้นคลี่ยิ้มกว้างสักเพียงใด

“ติดตั้งสำเร็จแล้ว!”

“สำเร็จแล้ว”

“ในที่สุดก็ติดตั้งสิบสองเสาหยวนเฉินได้สำเร็จแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าแม่กานเหอ ผางอี ประมุขเกาะกาลมิติ และเหล่าผู้ปกครองแต่ละคนที่ชมดูอยู่ห่างๆ ต่างก็ตื่นเต้นยินดี ก่อนหน้านี้แม้จะรู้สึกได้ว่าเข้าใกล้ความสำเร็จแล้ว แต่มีเพียงชั่วขณะที่ติดตั้งเสาหยวนเฉินได้สำเร็จจริงๆ แล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะผ่อนคลายใจลงได้

และเรือรบโบราณลำนั้นก็ยอมแพ้ เลือกที่จะล่าถอยกลับไปแล้ว

……

เสาหยวนเฉินสิบสองต้น ล้อมรอบที่มั่นของลัทธิจอมมารดาทั้งบนล่างซ้ายขวา สี่ด้านแปดทิศ ก่อให้เกิดเป็นคุกอากาศอันไร้รูปร่างแห่งหนึ่ง

ด้านบนของเสาหยวนเฉินทุกต้นต่างก็มีผู้ปกครองของทางฝั่งผู้บำเพ็ญยืนอยู่ บนเสาหยวนเฉินต้นใหม่ล่าสุดก็มีจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยืนอยู่บนนั้น เหล่าผู้ปกครองมากมายต่างก็มองกันไปมาพร้อมเผยรอยยิ้ม นี่คือรอยยิ้มอันเบิกบานเปี่ยมสุข

“คมมีดโลหิต เร่งสร้างค่ายกลสกัดที่มั่นของลัทธิจอมมารดาเถิด” บรรพชนหุบเหวลึกกล่าวอย่างกระตือรือร้น

“คมมีดโลหิต ลงมือได้แล้วล่ะ” เจ้าแม่กานเหอสีหน้าแดงระเรื่อ งดงามล้ำเหลือ แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ท่านอาจารย์ ลงมือเถิดขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คาดหวังเช่นกัน

เขาเข้าร่วมสงครามค่อนข้างช้า ทางฝั่งผู้บำเพ็ญถือครองความได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว แต่พลังของเขาก็ยังช่วยเหลือทางฝั่งตน ทำให้ฝั่งตนสามารถติดตั้งสิบสองเสาหยวนเฉินได้เสร็จสิ้นเร็วขึ้น

“ได้สิ”

เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ รอคอยอยู่ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็โลหิตเดือดพล่านเช่นเดียวกัน เขาเริ่มต้นควบคุมเสาหยวนเฉินทั้งหมดจากระยะไกลทันที

เคร้งๆ

ทันใดนั้นสิบสองเสาหยวนเฉินก็เริ่มต้นเชื่อมต่อกับค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วน ในอดีตเป็นเพราะเสาหยวนเฉินขาดแคลน ทั้งค่ายกลขนาดใหญ่พังทลาย ก็เหมือนกับกรงอันหนึ่ง กรงที่พังทลายนั้นหากศัตรูอยากจะเข้าก็ย่อมเข้าได้ อยากจะออกก็ออกได้! และตอนนี้… คุกอากาศแห่งนี้ก็สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ไม่มีช่องโหว่อันใดอีกต่อไปแล้ว

“พรึ่บๆๆ” เห็นเพียงบริเวณพื้นผิวของที่มั่นของลัทธิจอมมารดามีโซ่ปรากฏขึ้นเส้นแล้วเส้นเล่า สายโซ่อากาศต่างก็โปร่งแสง พวกมันส่งเสียงพรึ่บๆ แล้วเกี่ยวรัดบนอาคารที่มั่นของลัทธิจอมมารดา สายโซ่อากาศสายแล้วสายเล่ากระหวัดรัดเกี่ยวกัน อีกทั้งบนสายโซ่อากาศโปร่งแสงเหล่านี้ยังมีรัศมีจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหล รัศมีจำนวนนับไม่ถ้วนผนวกรวมเข้าด้วยกันห่อหุ้มทั่วทั้งที่มั่นของลัทธิจอมมารดาเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่เหลือช่องว่างเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

แม้กระทั่งจากการรับสัมผัส ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของลัทธิจอมมารดาได้เลย

“ที่มั่นของลัทธิจอมมารดาถูกผนึกสะกดเอาไว้โดยสมบูรณ์แล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเผยรอยยิ้ม “ลัทธิจอมมารดาย่อมไม่มีทางทำลายผนึกออกมาได้อีกแล้ว”

“ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันนี้เสียที”

เหล่าผู้ปกครองแต่ละคนที่อยู่บนเสาหยวนเฉินที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกทิศทางล้วนเผยสีหน้าท่าทียินดี

“ก่อนหน้านี้พวกเราต่อสู้กันมาตั้งหลายครั้งถึงเพียงนั้น ทุกครั้งต่างก็เหลืออีกเพียงนิดเดียว หากแต่คราวนี้สามารถสะกดพวกเขาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ แล้วเสียที” ผางอีเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

“หรือว่าสงครามควรจะสิ้นสุดลงแล้ว” ประมุขหยวนชูพยักหน้า

“ควรสิ้นสุดได้แล้วล่ะ”

“เนิ่นนานเกินไปแล้ว หัวใจเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้ว หนึ่งแสนปีนี้ยังเหนื่อยยิ่งกว่าการบำเพ็ญหนึ่งล้านล้านปีเสียอีก”

เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ แต่ละคนต่างพูดคุยกัน แต่ที่ยิ่งกว่าคือความสบายใจ

“ยังเป็นศิษย์น้องตงป๋อที่ผ่อนคลายที่สุด นอนหลับตื่นหนึ่งก็ถึงตอนสุดท้ายแล้ว ระยะเวลาต่อสู้สั้นที่สุดเลย” ผู้ครองชิงมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ห่างออกไปยิ้มๆ

“ถึงแม้ว่าระยะเวลาจะสั้น แต่หากไม่มีตงป๋ออยู่ เกรงว่าหากอยากจะเอาชนะนั้นก็ยังต้องเนิ่นช้า เสียเวลาอีกระยะหนึ่งเลยทีเดียว” ประมุขตำหนักหมื่นเทพก็เอ่ยขึ้น

“ทุกท่าน”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเปิดปากพูด หยุดยั้งเหล่าผู้ปกครองที่กำลังยินดีปรีดาเอาไว้ เหล่าผู้ปกครองรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็มองไปทางจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจึงจะเป็นผู้นำอย่างไร้ข้อกังขา! ความสำเร็จอันน่าตื่นตะลึงใน ‘ค่ายกล’ ของเขานั่นเองที่ทำให้สามารถถือไพ่เหนือกว่าในสงครามครั้งนี้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“ตอนนี้สามารถพูดได้เพียงว่าชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ถึงแม้ว่าข้าจะมั่นใจว่าพวกเขามิอาจทำลายผนึกของสิบสองเสาหยวนเฉินได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจยังมีท่าไม้ตายอันใดอยู่อีก อย่าเพิ่งด่วนดีใจไปเลย”

เคล็ดลับอันแข็งแกร่งที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิง

 

ตู้มมมม…

ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นพลันแผ่ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาทั่วทุกทิศทุกทาง ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตราวกับกระแสน้ำในมหาสมุทรที่โหมซัดสาดไปทุกสารทิศทั้งบนฟ้าและใต้ดิน!

ภายใต้ระลอกคลื่นสีแดงโลหิต ร่างแปรทั้งหลายของจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งเดิมทีล้อมโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่นั้น ก็ร่างกายสั่นสะท้านก่อนจะสลายหายไปในทันที หากพูดถึงระดับความแข็งแกร่งของร่างแปรเหล่านี้แล้วก็สามารถเทียบกับผู้รักษากฎระดับยอดของลัทธิจอมมารดาได้เลยทีเดียว แต่ภายใต้ระลอกคลื่นสีแดงโลหิต ก็ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย! เมื่อถูกกระทบเข้าก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว ฉากนี้ทำให้จักรพรรดิเทพมารแดงตกตะลึงไปจริงๆ!

“อะไรกัน นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน” จักรพรรดิเทพมารแดงตกใจเสียจนถอยหลังกรูด

สวบๆๆ

เขาถอยไปอย่างรวดเร็ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตแผ่กำจายออกไปทั่วสารทิศ ขอบเขตที่แผ่รังสีออกไปขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นพันลี้ เป็นหมื่นลี้ ทำเอาท่านชายใหญ่ ‘เจียวอวิ๋นเถิง’ และเหล่าผู้เคารพใต้บังคับบัญชาของเขาที่ชมการต่อสู้อยู่ห่างๆ พากันถอยหลังออกไปไกลขึ้นอีก

เมื่อแผ่รังสีออกไปกว่าหมื่นลี้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บงำลงก่อนชั่วคราว

“นี่มันกระบวนท่าอันใดกัน”

“เหตุใดจึงมีอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้ แม้แต่ร่างแปรกลุ่มหนึ่งของจักรพรรดิเทพมารแดงก็ยังต้องสังเวยชีวิตในพริบตา” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวและองครักษ์เหล่านั้นต่างตกตะลึงเหลือแสน องครักษ์ซานตานยิ่งไม่กล้าจินตนาการเลยว่า ระดับผู้เคารพคนหนึ่งที่ตนดึงเข้ามาเกี่ยวข้องไปอย่างนั้นเองในตอนนั้น…จะน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ได้! บริเวณระลอกคลื่นสีแดงโลหิตที่สำแดงออกมาก็สามารถกวาดร่างแปรของจักรพรรดิเทพมารแดงออกไปได้ วิธีการเช่นนี้ต้องเป็นขั้นผู้ปกครองแน่นอนแล้วกระมัง

ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวทั้งตกใจทั้งยินดี “หรือข้าจะโชคดีจริงๆ ที่ได้สิ่งมีชีวิตอย่างตงป๋อมาเป็นองครักษ์ของข้า”

เขากลับไม่รู้เลยว่า

ด้วยอุปนิสัยของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว หากมิใช่เพราะท่านชายสามปฏิบัติต่อองครักษ์อย่างใจกว้างนัก อีกทั้งตัวเขาเองก็ต้องการกฎเกณฑ์ของระบบการบำเพ็ญอื่นเพื่อมาศึกษาเป็นอย่างมาก ไหนเลยจะยอมรับปากเป็นองครักษ์ง่ายๆ ได้เล่า

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางฟากฟ้า พลางมองดูจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งหลบอยู่นอกระลอกคลื่นสีแดงโลหิตด้วยความหวั่นเกรงอยู่บ้าง

“ทำไมรึ จักรพรรดิเทพมารแดง ท่านกลัวแล้วหรือ แม้แต้บริเวณที่ข้าสำแดงออกมา ท่านก็ยังไม่กล้าเข้ามาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “หากท่านกลัวเสียแล้ว ก็จะไม่มีทางได้ผลวิเศษมารดำไปหรอกนะ”

ท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงที่อยู่ไกลออกไปร้อนใจขึ้นมา

นั่นสิ

หากไม่เอาชนะ ‘องครักษ์ตงป๋อ’ ผู้น่าหวาดหวั่นที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนคนนี้ แล้วจะชิงผลวิเศษมารดำมาจากน้องชายได้อย่างไรกันเล่า

“จักรพรรดิเทพมารแดง” ท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงก็มองไปทางจักรพรรดิเทพมารแดงเช่นกัน

ตาข้างเดียวของจักรพรรดิเทพมารแดงจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง

เกียรติยศศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ปกครอง จะปล่อยให้เขาทำเสื่อมเสียไม่ได้ง่ายๆ

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่า บริเวณที่ผู้เคารพคนหนึ่งสำแดงออกมาจะสามารถสังหารข้าได้” จักรพรรดิเทพมารแดงทะยานไปทางบริเวณสีแดงโลหิตด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เมื่อเข้าไปใกล้ มือของเขาก็ปะทะเข้ากับบริเวณสีแดงโลหิตก่อนตามธรรมชาติ

ฟิ้ว!

บริเวณแดงโลหิตพลันปะทุออกมา แล้วปกคลุมจักรพรรดิเทพมารแดงเอาไว้ทันที

จักรพรรดิเทพมารแดงมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงผู้มีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มที่อยู่ไกลออกไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับมิได้เอ่ยคำใดออกมา เขาสัมผัสได้ว่าระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันไร้รูปร่างได้ทำลายบริเวณกฎเกณฑ์ของเขาลงไปเสียแล้ว และกำลังแทรกซึมเข้าไปในกายเขา และส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขา อีกทั้งระลอกคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนรอบกายก็โอบล้อมเขาอย่างต่อเนื่อง ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ ไม่ว่าจักรพรรดิเทพมารแดงจะบินหรือเคลื่อนที่อย่างไร พันธนาการเหล่านี้ก็ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป อาการบาดเจ็บภายในกายก็ค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นด้วย

“นี่มัน…”

จักรพรรดิเทพมารแดงนึกถึงศาสตร์ลับที่บันทึกเอาไว้ในระบบกฎเกณฑ์การบำเพ็ญอื่นขึ้นมาทันที

“บริเวณการเข่นฆ่าหรือ” จักรพรรดิเทพมารแดงมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปด้วยความตกตะลึง

“นับว่าเป็นเช่นนั้นไม่ได้หรอก มันสู้อานุภาพของบริเวณการเข่นฆ่าที่แท้จริงไม่ได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

“อะไรนะ บริเวณการเข่นฆ่ารึ”

“บริเวณการเข่นฆ่าของระบบการบำเพ็ญจักรวาลเทวทูตน่ะหรือ”

ท่านชายทั้งสองและผู้เคารพทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไปต่างก็รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ

ระบบการบำเพ็ญจักรวาลเทวทูต เมื่อบรรลุถึงระดับผู้ปกครอง ทุกความเคลื่อนไหวล้วนสามารถปรับเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดจักรวาลได้ อานุภาพน่าหวาดหวั่นนัก ในจำนวนนั้น ทางสายการเข่นฆ่าของพวกเขาก็มีตำนานอยู่อย่างหนึ่งเรียกว่า…‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ตามระบบของพวกเขา ต้องบรรลุถึงระดับผู้ปกครอง และสามารถปรับเปลี่ยนพลังการเข่นฆ่าของต้นกำเนิดจักรวาลได้เสียก่อนจึงจะสามารถสร้างบริเวณการเข่นฆ่าขึ้นมาได้

ภายในบริเวณการเข่นฆ่า…ศัตรูเพิ่งจะเข้ามาถึงก็ต้องตายเสียแล้ว! ต่อให้เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่างพอถูไถ แต่เมื่อเข้าไปก็ต้องได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังอาการบาดเจ็บก็จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย! ขณะเดียวกันก็จะประสบกับการพันธนาการของบริเวณการเข่นฆ่า และการพันธนาการก็จะยกระดับขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ภายในบริเวณการเข่นฆ่า พลังรบของสิ่งมีชีวิตผู้ควบคุมบริเวณการเข่นฆ่าก็จะยกระดับขึ้น ตามหลักการแล้ว ต่อให้เป็นบรรดาผู้ปกครองที่แข็งแกร่งกว่านี้ ท้ายที่สุดก็ล้วนต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา!

แน่นอนว่านี่คือหลักการ!

เพราะว่าภายใน ‘จักรวาลคีรีมาร’ ผู้ใดก็มิอาจควบคุมพลังต้นกำเนิดจักรวาลได้

“เขาฝึกบริเวณการเข่นฆ่าสำเร็จได้อย่างไรกัน”

“จักรวาลของเราสร้างขึ้นโดยท่านบรรพชน พลังต้นกำเนิดจักรวาลมิอาจควบคุมได้!” ท่านชายทั้งสองล้วนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เหล่าองครักษ์ก็ตะลึงงันกันไปหมด

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองกลับเข้าใจดี

ตอนแรกเขาพบว่าสายการเข่นฆ่าของระบบจักรวาลเทวทูตนั้นมีส่วนช่วยเขาอย่างใหญ่หลวง จึงได้ขอให้ท่านชายช่วยเก็บรวบรวมศาสตร์ลับจำพวกนี้ เขาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องและสั่งสมให้ ‘วิถีเข่นฆ่า’ มีรากฐานแน่นหนามากยิ่งขึ้น แต่ระหว่างการค้นคว้า ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้วิเคราะห์ศาสตร์ลับเหล่านี้จากแง่มุมของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ เขาพบว่าศาสตร์ลับเหล่านี้ยังมีวิถีอื่นแฝงเอาไว้ด้วย เช่นวิถีแห่งระลอกคลื่น วิถีแห่งเปลวเพลิง วิถีแห่งการทำลายล้าง เป็นต้น

เห็นได้ชัดว่า

ในระบบจักรวาลเทวทูต  พวกเขาได้หลอมรวมสิ่งที่มีส่วนช่วยเรื่องการเข่นฆ่าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เหมือนบ้านเกิดของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แบ่งความเร้นลับของกฎเกณฑ์ออกมาละเอียดยิบถึงเพียงนั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงพบว่าอันที่จริง ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ นั้นประกอบด้วยวิถีเข่นฆ่าและวิถีแห่งระลอกคลื่นเป็นหลัก! ในระบบจักรวาลเทวทูตมีการใช้วิถีระลอกคลื่นมากมายนัก เพราะเมื่อเขาค้นคว้าศาสตร์ลับมากเข้า เขาก็ค่อยๆ สั่งสมด้านระลอกคลื่นมากขึ้นเรื่อยๆ

เวลาสิบล้านปีในจักรวาลบ้านเกิด เขาก็ได้บุกเบิกวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าขึ้นมา

ส่วนในเวลาสามสิบล้านปีนี้…ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้บุกเบิกวิถีสายที่สามขึ้นมา…ซึ่งก็คือวิถีแห่งระลอกคลื่น! ทั้งยังยกระดับวิถีแห่งระลอกคลื่นจนถึงระดับยอดสุด เข้าใกล้ขีดจำกัดขั้นสุดมากทีเดียว

วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นผสานกัน! อาศัยแง่มุมของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ค้นคว้ากระบวนท่า ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ นี้ แล้วปรับโครงสร้างขึ้นมาใหม่ให้สมบูรณ์! หลังผ่านวันคืนอันยาวนาน ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้คิดค้นเคล็ดลับที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบสามสิบล้านปีของเขา…บริเวณการเข่นฆ่าขึ้นมาได้! แม้จะสู้ฉบับดั้งเดิมมิได้ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เชื่อว่า นี่เป็นเพราะวิถีทั้งสองของตนยังไม่บรรลุถึงขั้นนิรันดร์กาล

ทันทีที่บรรลุถึงขั้นนิรันดร์กาล

‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของตนก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้! ที่ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของระบบจักรวาลเทวทูตแข็งแกร่ง ก็เพราะอาศัยการปรับเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดจักรวาล ส่วน ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของตนอาศัยกฎเกณฑ์เป็นหลัก ยิ่งกฎเกณฑ์แข็งแกร่งเพียงใด มันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

“ภายในบริเวณการเข่นฆ่า พลังของข้าก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่มากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม เขาถือหอกด้วยมือข้างเดียว มือขวากวัดแกว่งไปตามอำเภอใจ

เฉือน! แทง! กวาด! จิ้ม! ดูด! พัน!

กระบวนท่าสำแดงออกมาตามอำเภอใจ แต่เมื่อผ่านการสะท้อนของระลอกคลื่นของบริเวณการเข่นฆ่า กลับก่อเกิดเป็นการโจมตีขึ้นมารอบกายจักรพรรดิเทพมารแดง! การโจมตีแต่ละกระบวนท่าราวกับสำแดงออกมาในระยะประชิด แปลกประหลาดยากเกินคาดเดา

“ข้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อหรอกว่าผู้ปกครองที่เกรียงไกรอย่างท่านจะมีพลังน้อยนิดเท่านี้ สำแดงพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ออกมาเสียเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา เมื่อประมือกับผู้ปกครองท่านนี้ การเอาชนะมิใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออาศัยการต่อสู้ครั้งนี้สำรวจดูพลังที่แท้จริงของตนต่างหากเล่า!

“หากท่านไม่สำแดงพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ออกมา ท่านก็จะพ่ายแพ้แล้วนะ” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้อนก้องไปทั่ว

ท่านชายทั้งสองและเหล่าองครักษ์ที่อยู่ไกลออกไปต่างก็มองดูด้วยความตะลึงลาน

ผู้เคารพคนหนึ่งกล้าอวดดีเช่นนี้ เป็นฝ่ายได้เปรียบแท้ๆ แต่ยังให้อีกฝ่ายสำแดงพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ออกมาอีกหรือ โอหังเกินไปแล้วกระมัง

“ดีมาก ดีมาก” จักรพรรดิเทพมารแดงก็รู้สึกโมโหขึ้นมา เขาคำรามเสียงต่ำว่า “ข้ามาถึงจักรวาลคีรีมารก็เพื่อฝึกฝนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบีบบังคับให้ข้าสำแดงพละกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ดีมาก ดีมาก…”

ตาข้างเดียวของเขาพลันกลายเป็นสีขาวโพลนดุจหิมะ

ตู้ม!

สีขาวโพลนเต็มไปหมด!

ความหนาวเย็นจนเสียดกระดูกระลอกหนึ่งพลันแผ่ออกไป แม้แต่ค่ายกลต่างๆ โดยรอบ ก็ยังถูกทำให้แข็งแล้วเริ่มแตกออก พวกท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวที่หลบอยู่ภายในวังจับตามองอย่างละเอียด

บริเวณการเข่นฆ่าสีแดงโลหิตยังคงพลิกหมุนและสั่นสะเทือนอยู่ เพียงแต่ขนาดในการพลิกหมุนต่ำลงบ้างอย่างเห็นได้ชัด เพราะได้รับการกดดัน

ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงคล้ายจะมีจริงแต่ก็เหมือนภาพลวง เขายังคงสัมผัสได้ว่าความหนาวเย็นอันน่าหวาดหวั่นแทรกซึมเข้ามาในฟ้าดินโลกเทียม และแทรกเข้าไปในร่างกายของตน

“เห็นทีการจะเอาชนะผู้ปกครองคนหนึ่ง มิใช่เรื่องง่ายดายเลยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจักรพรรดิเทพมารแดงที่อยู่ไกลออกไป ยามนี้ผิวกายของจักรพรรดิเทพมารแดงมีเกราะสีขาวชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้ว กลิ่นอายก็แข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว

“ครั้งก่อนที่ข้าสำแดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าออกมา จักรวาลคีรีมารก็ยังต้องสยบให้บ้านเกิดของเรา” จักรพรรดิเทพมารแดงคำรามด้วยความโมโห “ผู้เคารพเช่นเจ้าคนหนึ่งอยากตาย ข้าก็จะช่วงสงเคราะห์ให้เจ้าตายเอง!”

จักรพรรดิเทพมารแดงโมโหจนแทบคลั่งขึ้นมาจริงๆ แล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้า มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset