Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 1

ตอนที่ 1
บรรลุการบำเพ็ญในห้วงนิทรา

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวฟังภรรยาที่อยู่ข้างๆ บอกเล่าเรื่องราว เขาออกจะงุนงงอยู่บ้าง

ภรรยาจิ้งชิวเป็นเพียงแค่เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้น เพราะมีสถานะพิเศษจึงสามารถรับรู้ข่าวสารของสงครามได้ รู้เพียงว่าสงครามนี้ปะทุขึ้นตอนที่ตนหลับใหลไปแปดหมื่นสองพันปี ถึงตอนนี้ก็ผ่านไปหนึ่งแสนปีเต็มๆ แล้ว! สงครามหนึ่งแสนปีก็ยังคงดำเนินต่อไป… ‘ผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือด’ หนีหลัว ที่เปิดเผยตัวตนก็ตายไปแล้ว ตอนนี้ทางฝั่งจักรวาลผู้บำเพ็ญมีข้อได้เปรียบเหนือกว่ามาก แต่ก็ยังไม่สามารถขจัดลัทธิจอมมารดาอย่างราบคาบได้ในตอนนี้

“พอฟื้นขึ้นมา สงครามก็ดำเนินไปหนึ่งแสนปีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสเล็กน้อย “กายของร่างแยกของผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัวสูญสลายไปแล้ว ยังดีที่เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ยังมีชีวิตอยู่”

“ท่านอาจารย์”

ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงผ่านเหตุปัจจัย

“เสวี่ยอิงหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่ได้รับการถ่ายทอดเสียงทั้งตื่นตะลึงทั้งดีใจ ก่อนที่จะเกิดสงคราม เขามาเยี่ยมดูหลายครั้งหลายครา หลังจากเกิดสงครามแล้ว ถึงแม้ในใจจะเป็นห่วงลูกศิษย์ แต่ก็ต้องใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการโต้ตอบลัทธิจอมมารดา

“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไรขอรับ นิทราย่อมมิได้ทำร้ายข้า ในทางตรงข้ามกลับช่วยเหลือข้าเป็นอย่างมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ตอนนี้สถานการณ์สงครามเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอาจจำเป็นต้องล่าช้าสักวันสองวันแล้วค่อยเข้าร่วมการต่อสู้”

“ก็มีความวุ่นวายอยู่บ้าง แต่พวกเราก็ยังได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง! อยากจะถอนรากถอนโคนพวกเขาจริงๆ นั้นไม่ง่ายเลย ภูมิหลังของลัทธิจอมมารดาลึกล้ำกว่าพวกเราเสียอีก ถ้าหากเจ้าสามารถมาร่วมต่อสู้ได้ก็ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ก็ผ่านมาหนึ่งแสนปีแล้ว อีกเพียงวันสองวันคงไม่ต้องรีบร้อนหรอก เจ้าไปจัดการธุระของตัวเจ้าเองให้เสร็จสิ้นก่อนเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยอย่างไว้วางใจ

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยคลายใจ

ตนก็ต้องการเวลาเตรียมตัวสักหน่อยจริงๆ

……

ชั้นในของบรรพคีรีมาร

ประตูของคูหาลอยเปิดออก ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำเหินทะยานออกมา ด้านหลังมีหุ่นเชิดสาวผู้นั้นติดตามอยู่

“ฝันคราหนึ่งยาวนานหกร้อยห้าสิบล้านปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยวาจาเสียงเบา ร่างกายร่อนลงบนทางเดินภูเขา

“การบำเพ็ญในห้วงนิทรานั้นมีประโยชน์มหาศาลต่อข้าจริงๆ แต่สำหรับข้าแล้วก็ยังเนิ่นนานเหลือเกิน ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ ข้าเพิ่งจะบำเพ็ญทั้งหมดมานานเท่าใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยอารมณ์ วันคืนของการบำเพ็ญในห้วงนิทราช่างน่ากลัวยิ่งนัก

ตนใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังบนพื้นดินอันแห้งแล้งว่างเปล่าผืนหนึ่ง แล้วความทรงจำก็ถูกทำให้มืดบอดไปเสียสิ้นจนตัวเองลืมไปแล้วว่าตนเป็นใคร

บนแผ่นดินอันว่างเปล่าแห่งนั้นมีเพียงตนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น มีที่พัก มีหอตำรา ตนเองได้อ่านตำราที่วางอยู่ภายในหอตำราจนหมดสิ้นแล้ว อย่างเช่นเคล็ดการบำเพ็ญของระบบการบำเพ็ญความเร้นลับของกฎเกณฑ์และระบบอื่นๆ หรือศาสตร์ลับต่างๆ อย่างจรัสยิ่งและกายทิพย์ทลายสุดขั้ว แม้แต่วิชาลับผู้ท่องก็ยังมีบันทึกเอาไว้ และยังมีตำราของบรรพคีรีมารที่ตนเคยพลิกดูอีกด้วย

ขอเพียงเป็นสิ่งที่ตนจำได้ ก็ปรากฏขึ้นมาบนแผ่นดินอันว่างเปล่าแห่งนั้นทั้งหมด

ส่วนที่ตนไม่มีความทรงจำ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร่อนลงมายังแผ่นดินอันว่างเปล่า ก็ถูกบีบบังคับให้บำเพ็ญเพื่อเข้าร่วมสงคราม

การบำเพ็ญ การต่อสู้ การบำเพ็ญ การต่อสู้…วนเวียนตลอดกาลไร้ที่สิ้นสุด!

เพราะไม่มีความทรงจำ ก็ไม่มีการรบกวนจากก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่น้อย ราวกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง! ก่อนจะตาย ตนก็ยกระดับการบำเพ็ญอย่างไม่หยุดหย่อน ถึงแม้ว่าจะไม่มีความทรงจำแล้ว แต่สัญชาตญาณกลับรู้สึกว่าชอบระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์มากที่สุด อาศัยระบบนี้เป็นทางเข้าแล้วเปิดทางออกสู่วิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่า และวิถีระลอกคลื่นเช่นเดิม… เพราะเมื่อเทียบกันแล้วสิ่งเหล่านี้สำหรับเขาแล้วเป็นสิ่งที่ง่ายดายที่สุด เห็นได้ชัดว่าสำหรับระบบอื่นๆ นั้นกินแรงกว่ามาก

ทั้งยังฝึกฝนวิชาลับผู้ท่องควบคู่ไปด้วย!

บำเพ็ญมาตลอดทาง

ถึงแม้ว่าการบำเพ็ญในห้วงนิทรา จะได้รับอิทธิพลจากโลกแห่งความจริง ต้องเดินไปในเส้นทางเดียวกัน! แต่ความตระหนักรู้ในความเร้นลับของกฎเกณฑ์และความเข้าใจในวิธีการต่อสู้นั้น…สุดท้ายแล้วก็มิอาจเหมือนกันทุกประการได้

“บำเพ็ญในห้วงนิทราหกร้อยห้าสิบล้านปี สุดท้ายข้าก็บำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปถึงขั้นที่สิบเอ็ดแล้ว กลายเป็นผู้ปกครองแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน

วิชาลับผู้ท่องมีทั้งสิ้นหกสิบขั้น

ทุกสิบขั้นคือระดับขั้นใหญ่หนึ่งขั้น

ดังนั้นการบำเพ็ญจากขั้นที่หนึ่งจนถึงขั้นที่สิบอาจจะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากค่อยๆ บำเพ็ญ ค่อยๆ สั่งสมไปอย่างช้าๆ ก็ยังสามารถสำเร็จได้ แต่ต้องการบรรลุจุดคอขวดจากขั้นที่สิบ เหยียบย่างเข้าสู่ ‘ขั้นที่สิบเอ็ด’ นั้นช่างยากเย็นเหลือแสน… เฉกเช่นเดียวกับการบรรรลุขีดจำกัดของผู้เคารพไปถึงผู้ปกครองในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ก้าวเดียว แต่ก็เป็นการก้าวข้ามฟากฟ้าเลยทีเดียว

จะพูดเช่นนี้ก็ได้

ระดับความยากของการบรรลุขั้นที่สิบไปยังขั้นที่สิบเอ็ดนั้นมากกว่าระดับความยากของการบรรลุขั้นที่หนึ่งไปถึงขั้นที่สิบมากมายนัก เนื่องด้วยอย่างหลังนั้นเป็นเพียงแค่การค่อยๆ เพิ่มความลึกซึ้งในระดับขั้นเดียวกันเท่านั้น แต่อย่างแรกนั้นเป็นการก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่เลยทีเดียว

“ผู้ปกครอง”

“นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ปกครองทางสายผู้ท่องอากาศอีกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง ถึงแม้ว่าการบำเพ็ญในห้วงนิทราจะไปถึงระดับขั้นนั้นแล้ว แต่ในความเป็นจริงร่างกายของเขายังคงเหมือนกับก่อนการนิทรา อีกทั้งวิญญาณก็มิได้เปลี่ยนแปลง ถึงอย่างไรนั่นก็เป็น ‘โลกแห่งความฝัน’

“ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของข้าก็ยกระดับขึ้นด้วย ปรัชญาคลื่นลมก็สำเร็จไปถึงบทที่สามแล้ว”

“แต่ว่า…”

“วิถีอากาศ วิถีเข่นฆ่า และวิถีระลอกคลื่นนั้น ดูเหมือนจะแตกต่างกับประสบการณ์ของข้าในโลกแห่งความจริงอยู่บ้าง” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นไหว ความเร้นลับของกฎเกณฑ์จำนวนมากเริ่มปะทะกัน เขาสีหน้าแปรเปลี่ยน หยุดความคิดเอาไว้

เพราะการบำเพ็ญในโลกแห่งความฝัน ถึงแม้ว่าวิถีสามสายนี้จะเพียงแค่ถึงจุดคอขวด แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็พอจะรู้ว่าจะบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบนิรันดร์กาลได้อย่างไร

บวกกับที่เขาก็ได้รับรู้วิถีสามสายนี้ในโลกแห่งความจริง แต่ละอันยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ต้องการเพียงแค่การปะทะกันครั้งหนึ่ง หลอมรวมกันครั้งหนึ่ง และการรับรู้อีกเล็กน้อย… ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะก้าวเข้าสู่เขตแดนผู้ปกครองในทันที

“ไม่ต้องรีบบรรลุหรอก กลับบ้านเกิดก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“ชั้นในของบรรพคีรีมาร…” ตงป๋อเสวี่ยอิงหันไปมองคูหาลอยแต่ละแห่งที่อยู่ไกลออกไป “ข้าเพิ่งมายังชั้นในของบรรพคีรีมารก็ต้องจากไปเสียแล้ว”

เขาไม่มีทางรั้งอยู่ที่นี่ต่อได้!

เพราะเมื่อบำเพ็ญแล้วบรรพคีรีมารสัมผัสได้ว่าตนก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครอง ก็จะขับไล่ตนออกไป! ถึงอย่างไรตนก็มิใช่ผู้เคารพอีกต่อไปแล้ว จึงไม่มีทางรั้งอยู่ที่คูหาแห่งนี้ต่อไปได้อีก

นึกอยากจะเข้ามาที่บรรพคีรีมารอีกอย่างนั้นหรือ ก็ต้องทำตามกฎของผู้ปกครอง ผู้ปกครองที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดสามสิบเก้าคนแรก จึงจะสามารถเข้าสู่ชั้นนอกได้

ผู้ปกครองที่แข็งแกร่งที่สุดเก้าคน จึงจะสามารถเข้าสู่ชั้นในได้

ผู้ปกครองอันดับหนึ่ง จึงจะสามารถเข้าสู่ใจกลางได้

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้กระจ่างแก่ใจดีว่าถ้าหากตนบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปถึงขั้นที่สิบเก้า ขั้นที่ยี่สิบ ทำให้ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์สมบูรณ์แบบนิรันดร์กาลทั้งหมด บางทีอาจจะสามารถประมือกับผู้ปกครองหลายคนก่อนหน้าได้

แม้กระทั่งผู้ปกครองอันดับหนึ่งก็ตาม แต่สำหรับตอนนี้เล่า คาดว่าสามารถเข้าสู่ ‘ชั้นนอกของบรรพคีรีมาร’ ได้ ก็นับว่าเดินมาไกลแล้ว

ถึงอย่างไรจักรวาลคีรีมารบวกกับจักรวาลที่เขาพิชิตมาอีกมากมายก็มีผู้ปกครองอยู่สามร้อยกว่าคน สามสิบเก้าคนที่สามารถเข้ามาได้… มีเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น! ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในสามสิบเก้าคนนี้ก็ยังต้องเป็นผู้ปกครองระดับสุดยอด

“ข้ากำลังจะบรรลุแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้ามองไปทางหุ่นเชิดสาวที่อยู่ด้านข้าง “อีกไม่นานก็จะก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครอง ดังนั้นจึงมิอาจรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกแล้ว”

หุ่นเชิดสาวสะดุ้ง

ก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครองหรือ

ในการบำเพ็ญครั้งนี้ไล่ล่าผู้เคารพมามากมายถึงเพียงนั้นก็ยังมิอาจก้าวเข้าถึงได้ เจ้านายคนใหม่ผู้นี้บำเพ็ญในห้วงนิทราเพียงครั้งแรกก็จะบรรลุถึงชั้นผู้ปกครองแล้วหรือ

“คูหาแห่งนี้ก็เก็บไว้ให้ผู้เคารพคนอื่นเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดด้วยรอยยิ้มแล้วหมุนกายจากไปในทันที

ตอนนั้นมีข่าวแพร่สะพัดภายในบรรพคีรีมารว่าอีกไม่นาน ชั้นบนสุดของจักรวาลคีรีมารและจักรวาลโดยรอบอีกจำนวนหนึ่งก็จะเปลี่ยนมือแล้ว

 ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด ที่บรรลุอย่างฉับพลันแล้วเข้าสู่ชั้นในของบรรพคีรีมารในทันทีผู้นั้น เพิ่งบำเพ็ญมาแค่หกร้อยล้านปีเศษก็บรรลุถึงชั้นผู้ปกครอง ไปจากบรรพคีรีมารแล้ว

******

ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้พบกับท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิว

“ข้ายังมิได้เข้าไปในบรรพคีรีมารเลย เจ้าออกมาแล้วหรือ” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวพูด

“ใกล้จะก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “บ้านเกิดของข้ากำลังเกิดสงคราม ข้าจำเป็นต้องกลับไป แต่ก่อนจะไปข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากรบกวนท่านชาย”

“เจ้ากับข้ามีมิตรไมตรีต่อกัน มีเรื่องอันใดก็พูดมาตรงๆ เลย” เจียวอวิ๋นหลิวพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยว่า “เมื่อข้าก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครอง ก็มิอาจผ่านทางเชื่อมจักรวาลมาที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว ถึงเวลานั้นก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคนสนิทและเหล่าศิษย์ของข้าจำนวนหนึ่งอาจมาบำเพ็ญที่นี่ ก็ต้องการความช่วยเหลือของท่านเสียแล้ว พวกเขาอาจเป็นเพียงแค่เทพโลกา อ่อนแอเหลือเกิน หากไม่มีผู้แกร่งกล้าคอยช่วยเหลือ… เกรงว่าจะต้องเผชิญกับความยุ่งยากมากมายที่จักรวาลคีรีมาร”

“วางใจเถิด เรื่องเล็กแค่นี้ เจ้าให้คนของเจ้ามาส่งข่าวให้ข้าถึงที่นี่ ข้าก็ต้องจัดแจงให้เหมาะสมแน่อยู่แล้ว” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด เขามีสถานะเช่นไร แต่เดิมตัวก็เป็นผู้ปกครอง ทั้งยังเป็นบุตรชายของเทพอากาศอีกด้วย การจัดการเรื่องราวจึงย่อมง่ายดายอย่างยิ่ง

“ต่อจากนี้เจ้าจะไม่มาอีกแล้วหรือ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเอ่ยถาม

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “ในอนาคตพวกเราจะต้องได้พบกันอีกที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา”

“ก็ได้ โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด “ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยพบกันใหม่”

……

หลังจากอำลาท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มเดินทางกลับทันที  ตงป๋อเสวี่ยอิงยังจงใจวางค่ายกลโลกเทียมซ่อนเอาไว้ที่ทางเชื่อมจักรวาลตรงทางออกทางฝั่งจักรวาลคีรีมารด้วย!

“ไป”

ทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำและตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงต่างก็มองดูจักรวาลคีรีมารแห่งนี้

จักรวาลคีรีมารให้ความช่วยเหลือเขามาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าบรรพคีรีมารจะมีแรงดึงดูดมหาศาล แต่ความช่วยเหลือของ ‘การบำเพ็ญในห้วงนิทรา’ ครั้งแรกที่ชั้นในนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ความช่วยเหลือหลังจากนั้นอาจยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ

สำหรับชั้นใจกลางของบรรพคีรีมารอันลึกลับน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น… จะต้องเป็นผู้ปกครองอันดับหนึ่ง จึงจะสามารถเข้าไปได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องบำเพ็ญเนิ่นนานเพียงใด ตนต้องการใช้เวลาอีกเล็กน้อยเพียงแค่วันสองวันเท่านั้นในการบรรลุ เชื่อว่าในบ้านเกิด เขาก็สามารถจัดเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่ผู้ปกครองได้ ถึงอย่างไรตนก็เป็นผู้ท่องอากาศ อีกอึดใจเดียวก็จะบรรลุเป็นผู้ปกครองแล้ว ห่างชั้นกับผู้ปกครองของระบบธรรมดาลิบลับ

“ก่อนจะบรรลุ ยังต้องไปที่สถานที่แรกเริ่มสักครั้ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

“ฟิ้ว…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำและตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงต่างก็บินทะยานเคียงข้างกันไปในทางเชื่อมจักรวาล กลับไปยังจักรวาลผู้บำเพ็ญ

หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปในคูหาดำทะมึนเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าร้อยเมตรที่มีไอหมอกสีเทาม้วนตัวอยู่ ก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังอันอบอุ่นสายหนึ่งที่ลูบไล้ตน เขากระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด “คือกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของจักรวาลหรือนี่”

 

ตนยังมิได้หลุดพ้น

 

เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมหานทีแห่งกาลเวลา กฎเกณฑ์การหมุนเวียนของจักรวาลจึงคุ้มครองเขาอย่างเต็มที่

 

“ฟิ้ว”

 

เมื่อทะยานไปในคูหานั้น เบื้องหน้าก็ดำทะมึนไปหมด มีแสงสีอันบิดเบี้ยวผ่านมาเป็นครั้งคราว ความรู้สึกกาลมิติบิดเบี้ยวทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงทนรับได้ยากอยู่บ้าง เมื่ออยู่ในทางเชื่อมจักรวาล ความรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วหรือช้าก็ถูกบิดเบือนไปด้วยเช่นกัน ชั่วครู่เดียวก็รู้สึกว่ายาวนานมาก แต่ก็เหมือนว่าเวลาอันยาวนานนั้นสั้นมากเช่นเดียวกัน ท่ามกลางความรู้สึกบิดเบี้ยวผิดที่ผิดทางอันแปลกประหลาดนั้น ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นแสงสว่างสาดส่องมาจากปลายทางเชื่อมจักรวาล อีกทั้งพละกำลังของกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างก็เริ่มเข้าปกคลุมตน

 

นี่คือกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของอีกจักรวาลหนึ่งซึ่งแตกต่างกับจักรวาลผู้บำเพ็ญโดยสิ้นเชิง!

 

“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง

 

ก่อนออกเดินทาง ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ได้ส่งข้อมูลหนึ่งให้เขา ซึ่งเป็นความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเข้าไปยังจักรวาลอีกแห่งอย่างคร่าวๆ

 

“เมื่อเข้าไปในอีกจักรวาลหนึ่ง โดยทั่วไปก็จะถูกผลักไส! ถึงขั้นมิอาจดูดซับพละกำลังฟ้าดินได้ และมีจักรวาลบางแห่งที่ผลักไสผู้มาจากภายนอกสุดขีด ถึงขั้นดึงดูดสิ่งมีชีวิตในจักรวาลท้องถิ่นให้มาล้อมโจมตีผู้บุกรุก! ฟังจากที่ ‘กู่กานหลัว’ ผู้นั้นพูด จักรวาลลัทธิจอมมารดาก็ผลักไสผู้มาจากภายนอกถึงขีดสุด เมื่อพวกเขายึดครองจักรวาลของเรา พวกเราไม่ใช่แค่มิอาจดูดซับพละกำลังได้แม้แต่สายเดียวเท่านั้น แต่อาจถึงขั้นไม่มีที่ให้หลบหนี และถูกล้อมสังหารอย่างไม่หยุดไม่หย่อนได้!”

 

“ตามข้อมูลที่ข้าเก็บรวบรวมมา จักรวาลที่ผลักไสถึงขีดสุดนั้นมีน้อยนัก โดยทั่วไปล้วนเป็นการผลักไสอย่างง่ายๆ แค่มิอาดูดซับพลังฟ้าดินได้ก็เท่านั้นเอง ตามตำนานยังมีจักรวาลที่ไม่ผลักไสผู้มาจากภายนอกเสียด้วยซ้ำ”

 

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตให้ข้อมูลมาไม่มากนัก และตงป๋อเสวี่ยอิงก็จดจำเอาไว้ในใจได้อย่างแม่นยำ

 

“จักรวาลนี้หรือ”

 

เพียงแค่รู้สึกว่ากฎเกณฑ์การหมุนเวียนของจักรวาลอีกแห่งหนึ่งเข้าปกคลุมตน แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงการประนีประนอมอันไร้รูปร่าง! ไร้ซึ่งการผลักไสใดๆ!

 

“ข้ายังนำผลึกเทพจำนวนมากมาด้วย ก็เพราะกลัวว่าจะมิอาจดูดซับพลังฟ้าดินได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดรำพึงออกมามิได้ “เห็นทีตอนนี้ จักรวาลที่ข้ามาถึงแห่งนี้จะประนีประนอมกับผู้มาจากภายนอกมากทีเดียว!”

 

ต่อให้มิอาจดูดซับได้จริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กังวล เพราะนอกจากผลึกเทพจำนวนมากแล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือตอนนี้เขาอาศัยวิชาลับผู้ท่องและการรับรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์เป็นหลัก เมื่อฝึกวิชาลับผู้ท่องจะต้องเหนี่ยวนำพลังอากาศอันสับสนอลหม่านให้แผ่คลุมลงมาแล้วดูดซับเพื่อหลอมแปร ไม่ว่าจะเป็นจักรวาลไหน ก็ล้วนสามารถเหนี่ยวนำพลังอากาศอันสับสนอลหม่านได้ด้วยกันทั้งนั้น

 

มันมิได้จัดเป็นพละกำลังในจักรวาลแต่อย่างใด

 

“ฟิ้ว”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงบินออกจากปากคูหาอันดำทะมึน เป็นครั้งแรกที่เขามาถึงจักรวาลอื่น จึงย่อมต้องเก็บงำกลิ่นอายทั้งหมดเป็นธรรมดา และยังหลบซ่อนอยู่ในฟ้าดินโลกเทียมอีกด้วย

 

หากพูดถึงเรื่องการเก็บงำกลิ่นอาย ผู้ท่องอากาศก็เชี่ยวชาญโดยกำเนิดอยู่แล้ว ร่างกายพลันไม่มีกลิ่นอายสักนิดราวกับอากาศอันว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น! มันเก็บงำกลิ่นอายได้ร้ายกาจกว่าอาภรณ์ประมุขหอคมมีดโลหิตเสียอีก

 

“มีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพบสิ่งมีชีวิตอื่นเข้า

 

……

 

 

นี่คือท้องฟ้าผืนหนึ่ง

 

บนดวงดาราอันรกร้างกลางท้องฟ้าดวงหนึ่งมีวังแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง ภายในวังมีบุรุษร่างใหญ่กำยำกำลังร่ำสุราอยู่เพียงลำพัง สายตากลับทอดมองออกไปยังคูหาสีดำทะมึนซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงร้อยเมตรอันค่อนข้างเร้นลับที่อยู่ไกลออกไป บนร่างของบุรุษร่างใหญ่กำยำผู้นี้มีแผงเกล็ดสีดำ บนข้อศอกและหัวเข่าล้วนมีปลายแหลมอยู่

 

ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงเข้ม บนศีรษะก็เป็นแผงเกล็ดสีดำทั้งสิ้น ด้านข้างมีสาวใช้หางยาวนางหนึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ ระหว่างนั้น เขากลับดื่มสุราเพียงลำพังและเฝ้าดูทางเชื่อมจักรวาลที่อยู่ไกลออกไปสายนั้นอย่างเงียบเชียบ

 

“ทางเชื่อมจักรวาลสายนี้เพิ่งปรากฏขึ้นได้ไม่นานเท่าใดนัก เป็นทางเชื่อมจักรวาลขนาดเล็กสายหนึ่ง อีกไม่นานควรจะมีสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลภายนอกเข้ามาจึงจะถูกต้อง” บุรุษร่างบึกบึนสวมเกราะสีดำพึมพำเสียงต่ำ “หรือทางฝั่งพวกเขายังไม่พบทางเชื่อมจักรวาลเลย”

 

“รอไปก่อน”

 

“ทางเชื่อมจักรวาลสายนี้ปรากฏขึ้นในบริเวณดินแดนของข้า ถูกข้าพบเข้าก่อน และก็ถือเป็นโชคของข้าด้วย หากสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลภายนอกค่อนข้างพิเศษ อาจจะขายได้ราคางามก็เป็นได้” บุรุษร่างบึกบึนสวมเกราะสีดำรอคอยอย่างเงียบๆ ด้วยความอดทน

 

……

 

“เอ๊ะ”

 

ท่ามกลางฟ้าดินโลกเทียม

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นดวงดาราอันรกร้างที่อยู่กลางฟากฟ้าไกลออกไปดวงนั้น แม้วังบนดวงดารานั้นจะเหมือนกับซ่อนเร้นอยู่ แต่ภายใต้การตรวจสอบของ ‘ฟ้าดินโลกเทียม’ ก็ย่อมหลบไม่พ้น ภายใต้การสัมผัสอากาศของเขาในตอนนี้ก็หลบไม่พ้นเช่นกัน! ภายในวังแห่งนั้นนอกจากบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งที่มีระดับขั้นราวขั้นเทพและขั้นเทพโลกาแล้ว ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือสิ่งมีชีวิตที่น่าจะเป็นเทพแท้ผู้หนึ่ง

 

“เทพแท้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

อีกฝ่ายคงจะไม่เห็นตน! คาดว่าระดับขั้นคงจะต่ำกว่าตนเอง

 

“ไม่รู้ว่าด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของเขาเป็นอย่างไรบ้าง จะสามารถต้านทานเขตลวงของข้าได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าลงมือง่ายๆ เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือจักรวาลอีกแห่งหนึ่ง ตนคือผู้บุกรุก! ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลย ตนต้องระมัดระวัง จะทำอะไรบุ่มบ่ามมิได้

 

“อะไรน่ะ!”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งขึ้นมาทันที

 

เขามิได้สนใจเทพแท้ที่รอล่าเหยื่ออยู่กลางฟากฟ้าไกลออกไปคนนั้นแล้ว ยามนี้ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีคลื่นมหึมาสูงเทียมฟ้าก่อตัวขึ้นมา เขาตกตะลึงหาใดเปรียบ!

 

“นี่ นี่ นี่…” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง “การเคลื่อนที่ของเวลาในจักรวาลนี้…”

 

เขาสามารถสัมผัสร่างจริงของตนได้โดยผ่านการเชื่อมต่อของวิญญาณ

 

เมื่อเทียบความเร็วในการเคลื่อนของเวลาระหว่างร่างจริงที่อยู่ในจักรวาลบ้านเกิดกับจักรวาลที่ตนอยู่ในตอนนี้แล้ว…

 

“3566 เท่าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำ

 

“จักรวาลบ้านเกิดผ่านไปวันหนึ่ง ที่นี่ก็ผ่านไปเกือบสิบปีแล้วอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากจะเชื่อ เหตุใดความเร็วในการเคลื่อนของเวลาในจักรวาลจึงแตกต่างการได้อย่างน่าเหลือเชื่อถึงเพียงนี้เล่า

 

“วิญญาณอาวุธ วิญญาณอาวุธ”

 

ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวที่อยู่ในจักรวาลบ้านเกิดถามน้ำเต้าสีดำทันที

 

“วิญญาณอาวุธ การเคลื่อนของเวลาในจักรวาลสองแห่งแตกต่างกันได้มากเลยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

 

วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำเคยติดตามผู้ท่องอากาศกู่ฉีมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง จึงมีหูตากว้างไกลกว่ามาก “จักรวาลสองแห่งอาจแตกต่างกันได้อย่างน่าเหลือเชื่อนัก ถึงขั้นกฎเกณฑ์การหมุนเวียนกลับกันอย่างสิ้นเชิงก็เป็นไปได้ ทว่าความเร็วในการเคลื่อนของเวลาน่ะหรือ…เนื่องจากจักรวาลทั้งหมดล้วนดำรงอยู่ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ดังนั้นพวกมันจึงได้รับผลกระทบจากอากาศอันสับสนอลหม่านทั้งสิ้น โดยทั่วไปการเคลื่อนของเวลาจึงแตกต่างกันไม่มากนัก จักรวาลบ้านเกิดของพวกท่านจัดว่าการเคลื่อนของเวลาค่อนข้างปกติ! การเคลื่อนของเวลาของจักรวาลอื่นโดยทั่วไปจะแตกต่างจากจักรวาลของพวกท่านไม่เกินสิบเท่า บางแห่งเร็วกว่า บางแห่งก็ช้ากว่าบ้าง”

 

“ไม่เกินสิบเท่าหรือ แต่ แต่จักรวาลที่ข้าเข้าไปนี้ การเคลื่อนของเวลาเร็วกว่าจักรวาลของเราตั้ง 3566 เท่าเชียวนะ!”

 

“อะไรนะ สามพันกว่าเท่าหรือ นี่…”

 

“ทำไมหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามต่อ

 

“จักรวาลบางแห่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน บางแห่งก็สร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่น! ผู้ที่สามารถสร้างจักรวาลขึ้นมาได้ โดยทั่วไปก็ต้องเป็นบุคคลระดับยอดอย่างบรรพชนเทียนอวี๋หรือผู้ท่องอากาศกู่ฉีเท่านั้น” วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำอธิบาย “หากเป็นจักรวาลที่ตั้งใจสร้างขึ้นมา จักรวาลจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้สร้างจะกำหนดขึ้นมาอย่างไรทั้งสิ้น! แต่จะทำให้จักรวาลแห่งหนึ่งคงอยู่ได้โดยมีการเคลื่อนของเวลารวดเร็วเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากและน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมากเลยทีเดียว”

 

วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำพูดต่อไป “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สามารถมั่นใจได้ว่าจักรวาลที่ท่านเจ้าไปแห่งนี้ ก็สร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ท่านหนึ่งเช่นกัน! และเขาก็ตั้งใจให้การเคลื่อนของเวลาเป็นเช่นนี้”

 

“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ

 

……

 

หลังจากรู้ข้อมูลจากวิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ระมัดระวังมากขึ้น สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกับบรรพชนเทียนอวี๋และกู่ฉีสร้างจักรวาลแห่งหนึ่งขึ้นมา ทั้งยังตั้งใจทุ่มเทเพื่อให้จักรวาลแห่งนี้มีการเคลื่อนของเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ด้วย จักรวาลแห่งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่! ตนถ่อมเนื้อถ่อมตัวไว้หน่อยจะดีกว่า

 

แน่นอนว่า เมื่อเขาได้รูว่าการเคลื่อนของเวลาเร็วกว่าถึงสามพันกว่าเท่าเขาก็ปีติยินดีเป็นอันมาก ลำพังแค่การเคลื่อนของเวลาเป็นเช่นนี้ การมายังจักรวาลนี้ก็มิได้เสียเปล่าแล้ว! ตนสามารถใช้การเคลื่อนของเวลาเช่นนี้ฝึกฝนได้เป็นอย่างดี เดิมทีสงครามระหว่างลัทธิจอมมารดาและผู้บำเพ็ญก็ใกล้จะมาถึงมากแล้ว แต่อาศัยการเคลื่อนของเวลาในจักรวาลนี้ ตนก็คงสามารถยกระดับพลังได้ขุมใหญ่เลยทีเดียว

 

“รีบหาผู้ที่พลังอ่อนแอสักหน่อย แล้วใช้เขตลวงควบคุมอีกฝ่าย เพื่อให้เข้าใจสภาพคร่าวๆ ของจักรวาลแห่งนี้เสียก่อน”

 

สวบ

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ส่วนบุรุษร่างกำยำที่มีเกล็ดสีดำผู้อยู่ในวังบนดวงดาราอันเวิ้งว้างนั้นก็ยังคงจับจ้องอย่างเงียบเชียบต่อไป เขารอล่าเหยื่ออยู่ แต่กลับไม่รู้เลยว่าตงป๋อเสวี่ยอิงได้จากไปตั้งนานแล้ว

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset