Sevens 20 เริ่มบทใหม่

ตอนที่ 20 เริ่มบทใหม่

(น้ำเยอะ เพราะทวนเนื้อเรื่องนะครับ)

 

หลังจากผ่านเรื่องทั้งหมดมา ผมก็นั่นทานข้าวเย็นที่ค่อนข้างเลทกับเด็กผู้หญิงสองคนตรงหน้า

 

‘ม-ไม่รู้รสชาติเลย’

 

ผมเริ่มกังวลกับสถานการณ์นี้แล้วสิ

 

จากที่เป็นทายาทตระกูลเคานต์อยู่ดีๆ ก็โดนไล่ออกมา

 

พอเสียทุกอย่างไป และคิดว่าจะออกจากบ้านเกิดมาเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการเป็นนักผจญภัย

 

{โนแวม ฟ็อกซ์} อดีตคู่หมั้นของผม บุตรีคนที่สองของตระกูลบารอน และเพื่อนสมัยเด็ก ก็ติดตามผมมาด้วย

 

เธอเป็นคนที่ไม่เหมาะกับผมเอาซะเลย

 

ไม่ใช่ว่าเธอน่ากลัวหรืออะไรนะ

 

แต่เพราะเธอทั้งขายสินสอดทองหมั้นที่เตรียมไว้แต่งงานกับผมไปเสียหมด และเอาเงินที่ได้มาใช้เพื่อให้ผมตั้งตัวเป็นนักผจญภัยอีก

 

ทั้งดูแลผมที่อ่อนต่อโลก

 

ทั้งใจดี และสวยสง่า

 

ทั้งเส้นผมสีน้ำตาลสดใสโพนี่เทลมัดข้างของเธอ และริมฝีปากอมชมพูที่กำลังสัมผัสช้อนที่กินข้าวอยู่ตอนนี้

 

ขณะรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ ดวงตาสีฟ้าของเธอกำลังจดจ่ออยู่กับมื้ออาหารที่เป็นขนมปัง ซุป และเนื้อย่างราคาประหยัดบนโต๊ะ

 

“ท่านไรเอล ไม่ถูกปากหรือคะ? ”

 

เมื่อเธอรู้ตัวว่าผมมองอยู่ โนแวมก็แสดงความเป็นห่วงออกมา

 

“ม-ไม่ใช่หรอก!”

 

ผมรีบหันกลับมากินอาหารตรงหน้าตัวเอง และมองไปยังเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับโนแวมไปด้วย

 

ผมสีแดงยาวประหลังปลายม้วน ดวงตาสีม่วงที่กำลังลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข

 

{อาเรีย ล็อคเวิด} เด็กสาวไร้บ้าน

 

แน่นอนว่ามาจากคนละกรณีกับผม

 

เพราะพ่อของเธอดันไปติดต่อกับกองโจรที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในเหมืองร้างใกล้ๆ เมืองเดลลีน

 

และคอยสนับสนุนพวกมันอีกต่างหาก

 

ทั้งๆ ที่เดิมทีเป็นถึงตระกูลเคานต์ และขุนางชั้นผู้บริหารของรัฐบาลแท้ๆ  

 

พ่อเด็กคนนี้…พ่อของอาเรียกลับพังประวัติศาตร์อันยาวนานของตระกูลลงไปได้ในชั่วอายุคนเดียว

 

แถมยังเอามรดกของตระกูลไปขายแดกอีก

 

และผมที่แสดงบทบาทเป็นขุนนางผู้ตกต่ำงี่เง่า ก็คือคนที่ไปทวงมรดกนั้นคืนมาจากพวกโจรด้วยเงินทุนจากเจ้าเมืองนั่นเอง

 

“ฮ่า ดีจังเลย”

 

เมื่ออาเรียบอกแบบนั้น โนแวมก็ดูมีความสุข และอธิบายจานอาหารตรงหน้า

 

“ฉันใช้สาเกหมักให้เนื้อนุ่มขึ้น ดีใจที่คุณชอบนะคะ”

 

แต่ผมไม่ได้ช่วยอาเรียเพราะผมชอบเธอนะ

 

ไม่ใช่แน่ๆ

 

แต่นั่นกลับเป็นเหตุผลที่เธอมาอยู่ในบ้านของผมกับโนแวมล่ะ

 

พ่อของอาเรียตอนนี้กำลังถูกลงโทษจากเจ้าเมืองอยู่ และเธอก็ถูกไล่ออกจากที่อยู่ปัจจุบัน

 

ตามปกติเธอคงไม่พ้นต้องเป็นโสเภณีแน่ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ว่าล่ะก็นะ….

 

“นี่มันอร่อยกว่าที่ฉันเคยทำเองซะอีก..”

 

โนแวมปลอบอาเรียที่กำลังเศร้า

 

“ถ้าคุณชอบ จะให้ฉันสอนวิธีทำก็ได้นะคะ”

 

“ฉ-ฉันขอรบกวนหน่อยนะ”

 

…เพราะเจ้าเมือง ท่านเวนตราไม่อยากลงโทษเธอแบบนั้น จึงโยนมาให้ผมรับผิดชอบแทน

 

‘แบบนี้ ผมก็ดูเหมือนคนเจ้าชู้น่ะสิ!? ‘

 

ทั้งๆ ที่โนแวมเธอดีกับผมขนาดนี้ ผมกลับพาผู้หญิงที่ถูกใจใช่เลยเข้าบ้านมาเพิ่ม

 

แต่ที่ผมยอมให้เธอมาอยู่ด้วย ไม่ใช่เพราะชอบเธอหรือรู้สึกผิดถ้าทิ้งเธอไปอะไรหรอกนะ

 

มันมีเหตุผลที่ลงตัวอยู่

 

พอเรื่องมันลงล็อคดังว่า ผมจึงชิงสารภาพรักกับโนแวมก่อน แต่เธอกลับยินดีรับอาเรียเข้ามาซะงั้น

 

เธอตอบกลับคำสารภาพรักของผมว่า…

 

{ข้ารู้สึกปลิ้มปิติกับความรู้สึกของท่านจริงๆ ค่ะ แต่ถ้าข้าแต่งงานกับท่านไรเอล มันจะไม่ดีต่อคุณอาเรียที่มาอยู่ด้วยเอานะคะ

เอาไว้ถึงเวลาที่ท่านไรเอลกลายเป็นนักผจญภัยชั้นนยอดแล้วรับพวกเราทั้งสองคนไว้..}

 

…เธอผู้มาประมาณนั้นล่ะ

 

‘ไหงพอเราสารภาพความรู้สึกออกไปแล้ว เรื่องมันกลับวนมาที่จุดเริ่มต้นกัน?

และเราไม่เคยคิดเลยว่าโนแวมจะเป็นคนบอกเองว่าอยากให้เรามีฮาเร็มน่ะ! ’

 

และเรื่องนั้นก็มาจากคำที่ผมเคยพูดเอาไว้เพื่อเธอไล่เธอกลับไป เมื่อตอนเริ่มออกเดินทางซะด้วย

 

{ข้าจะเป็นนักผจญภัย สร้างฮาเร็ม และใช้ชีวิตให้เต็มที่ไปเลย}

 

ผมเคยพูดไว้ราวๆ นั้น

 

และโนแวมก็ไปศึกษาต่อเอง จนกลายเป็น

 

{นักผจญภัยที่จะมีฮาเร็มได้ต้องขึ้นเป็นชั้นหนึ่งก่อน และถ้าจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสบายๆ ก็ต้องเป็นหัวกระทิในหมู่หัวกระทิ}

 

และประมวลผลออกมาเป็นสิ่งที่เธอเข้าใจว่า

 

{เป้าหมายของท่านไรเอลคือ การเป็นนักผจญภัยที่ยอดเยี่ยมมที่สุดให้ได้เล้ย}

 

มันไม่ใช่ละ

 

ปกติแล้วเธอเป็นคนที่ไหวพริบดี ผมจึงไม่เข้าใจเลยว่าเธอเข้าใจแบบนั้นไปได้ไงกัน

 

‘คิดว่าถ้าทำให้เธอเห็นว่าเราเป็นคนที่ไร้ค่าแล้วเธอจะยอมกลับไปเสียอีก

แต่เธอกลับติดตามมา…คอยรับใช้ และยึดถือคำพูดของเราอย่างสุดหัวใจ’

 

แม้กระทั่งตัวผมเองที่ลืมไปแล้ว เธอก็ยังจำคำพูดพวกนั้นได้อยู่

 

แต่ผมอยากบอกเธอจริงๆ นะ…

 

ว่าผมไม่ได้ตั้งใจพูดน่ะ

 

 

‘อ่า แล้วเราก็มีพวกเขาอยู่ด้วย…ในอัญมณีนี้ ‘

 

อัญมณีล้ำค่านี้คืออัญมณีที่สมบูรณณ์แล้ว

 

จากอัญมณีที่สามารถบันทึกทักษะได้เพียงทีละทักษะ

 

ถึงความรู้นี้จะไม่แพร่หลายในปัจจุบัน แต่พอบันทึกทักษะไปเรื่อยๆ จนครบแปดสกิล อัญมณีก็จะสมบูรณ์ในที่สุด

 

และเรียกว่าอัญมณีล้ำค่า ( Gem กลายเป็น Jewel )

 

ซึ่งอัญมณีสีน้ำเงินที่ผมมีอยู่นี้ ก็บันทึกสกิลของผมเองที่ยังไม่รู้เอฟเฟค  

และสกิลของเหล่าผู้นำทั้งเจ็ดคนของตระกูลวอลท์ผ่านยุคสมัยที่ผ่านมาเอาไว้

 

แต่ปัญหาก็คือ…

 

 

[หนูอาเรียน่ารักจริงๆ…ช่างน่าสงสารที่เธอถูกไอ้แก่บ้านั่นทรมาน และถูกไล่ออกมาจากบ้านน่ะ]

 

เสียงห้าวๆ ของ {บราซิล วอทล์} ผู้ก่อตั้งตระกูลวอลท์ ดังออกมาจากในอัญมณี

 

[เจ้าก็ไปส่งกระจกเอาสิ! จะได้เห็นไอ้แก่บ้าๆ อีกคนสะท้อนกลับมาน่ะ! ]

 

เสียงท้าไผว้กับรุ่นที่หนึ่งดังสวนขึ้นมา

 

มันเป็นของ {คลาสเซล วอลท์} ผู้นำตระกูลรุ่นที่สอง

 

ชายในลุคนักล่า รุ่นที่สองถือว่าค่อนข้างธรรมดาในประวัติศาสตร์ของตระกูล

 

เริ่มต้นมาจากรุ่นที่หนึ่งที่ออกบุกเบิกดินแดน ก่อตั้งหมู่บ้าน และขึ้นเป็นเจ้าเมือง คือการเริ่มต้นของตระกูลวอลท์

 

ต่อด้วยรุ่นที่สามผู้ประกาศชื่อของตัวเองด้วยการพาทัพของกษัตริย์ถอยทัพ ในสงครามกับมหาอำนาจของดินแดนอื่นจนประสบความสำเร็จ

 

และเรื่องราวการเสียสละในสนามรบครั้งนั้นของผู้นำรุ่นที่สาม {สเลน วอทล์} ก็ยังคงถูกกล่าวสรรเสริญมาจนถึงทุกวันนี้

 

เมื่อเทียบกับเรื่องราวพวกนั้น รุ่นที่สองจึงไม่ค่อยโดดเด่นเป็นธรรมดา

 

…ซึ่งต่างกับความจริงโดยสิ้นเชิง

 

เพราะวิธีขยายดินแดนสั่วๆ และการชักชวนคนป่ามาเป็นประชากรด้วยกำลังจนศิโรราบของรุ่นที่หนึ่ง  

 

รุ่นที่สองที่ดูธรรมดานี้แหละ ที่คอยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังจนสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่ตระกูล และผลิดอกในผู้นำรุ่นต่อๆ มา

 

ซึ่งน่าเสียดายที่คุณงามความดีของเขาไม่ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์เลย

 

‘…วันนี้รุ่นที่สองเกรี้ยวกราดกว่าปกติแฮะ’

 

 

สกิลที่ถูกบันทึกเอาไว้ในอัญมณีจะมีอัตตาเป็นของตัวเอง โดยยึดตามความทรงจำของบรรพบุรุษที่เคยใช้มัน

 

แล้วอัตตาที่ว่าก็ดันตื่นขึ้นมาในตอนที่สกิลของผมตื่นขึ้น และอัญมณีพัฒนาเป็นอัญมณีล้ำค่านั่นเอง

 

ซึ่งอัญมณีล้ำค่านี้มัน…

 

 

[วันนี้พวกเขากระปี้กระเปร่ากันดีนะ]

 

รุ่นที่สามมองรุ่นที่หนึ่งกับสองทะเลาะกันอย่างมีความสุข

 

 

ถูกนับว่าใช้งานทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงของพวกเขา

 

…และเสียพลังเวท แม้แต่ตอนที่ผมยังไม่ได้ใช้สกิลด้วยซ้ำ!

 

‘พวกคุณใจเย็นลงหน่อยเถอะ…’

 

คงเพราะการวิวัฒนาการที่ว่าทำให้อัตตาของสกิลสามารถควบคุมการใช้งานของตัวเองได้

 

ทำให้ผมต้องยอมช่วยเหลืออาเรียเพื่อให้ได้รับอนุญาตในการใช้สกิลของเขาคนนั้น

 

แล้วทำไมถึงต้องช่วยอาเรียงั้นหรือ?

 

เพราะอาเรียคือคนที่คล้ายรักแรกของรุ่นที่หนึ่งไงล่ะ

 

ผมใช้สกิลที่ได้รับอนุญาตมาในการปราบกองโจรเพื่อเติมเต็มข้อตกลง

 

และสกิลของเขายังทำให้ผมใช้สกิลของบรรพบุรุษคนอื่นได้อีกด้วย

 

ยกเว้นสกิลของรุ่นที่สามและเจ็ดที่ยังเกิดความสามารถของผมไป และอาจรับภาระของสกิลไม่ไหวจึงถูกห้ามไว้

 

‘พวกเขาไม่ใช่มรดกของตระกูลวอท์หรอก น่าจะเป็นของต้องสาปอะไรเทือกนั้นซะมากกว่า’

 

ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ผมก็ทำอะไรกับพวกเขาไม่ได้อยู่ดี นอกจากจะมองค่าอัญมณีเม็ดนี้ต่ำลงไปทุกวันๆ ล่ะ

.

.

.

สุดท้ายเรื่องก็จบลงด้วยการที่ผมยอมให้อาเรียมาอยู่ด้วย แต่ด้วยความที่พวกเราต้องการคนมาช่วยต่อสู้

 

จึงลงเอยด้วยการพาเธอไปสมัครเป็นนักผจญภัย

 

และอาเรียเองก็รู้สึกไม่ดีที่เอาแต่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกเราอย่างเดียว เธอจึงยอมตกลง

 

“เอาล่ะ ปาร์ตี้ของคุณลงทะเบียนเสร็จแล้วครับ โปรดจำไว้ว่าถึงคุณจะเพิ่มคุณอาเรียเข้ามาด้วย  

แต่ก็ต่อระยะเวลาสัญญากับคุณเซลฟี่เพิ่มไม่ได้นะครับ”

 

ชายกล้ามผมแดงผิวเข้ม…พนักงานกิลด์ฮาวกิ้นบอกกับพวกเรา และอาเรียที่กำลังประหม่า

 

ถึงรูปลักษณ์จะดูน่ากลัว แต่เขาทำงานด้วยความปราณีตเรียบร้อย และถือว่าค่อนข้างเชี่ยวชาญคนนึงในกิลด์นักผจญภัยเดลลีน

 

“ค-ค่ะ! “

 

พออาเรียได้รับกิลด์การ์ด คุณเซลฟี่ก็ทักเธอ

 

“อย่าประหม่าเกินไปสิ ท่านมีเรื่องอื่นให้กังวลอีกเยอะ แล้วถ้าข้าจะเลิกยกย่องท่านในเวลางานจะว่าอะไรไหมคุณหญิงอาเรีย? “

 

คุณเซลฟี่ที่ปรึกษาจากกิลด์ของเราในตอนนี้ เคยทำงานรับใช้ตระกูลล็อคเวิดมาก่อน

 

เธอเป็นคนที่สอนพื้นฐานการเป็นนักผจญภัยให้พวกเราที่ทั้งสับสนไร้ที่พึ่ง และออกจากบ้านเกิดมา

 

เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงาน เธอจึงออกจากปาร์ตี้ที่เคยอยู่ และมารับสอนนักผจญภัยหน้าใหม่แทน

 

…นั่นคือหน้าฉาก

 

ถึงการแต่งงานจะเป็นเรื่องจริง แต่เบื้องลึกของเธออีกอย่างคือการเป็นนักผจญภัยที่ขึ้นตรงกับเจ้าเมือง ท่านเวนตรา

 

ในเดลลีนเมืองที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นนี้ เธอถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถสูงคนนึง

 

“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าได้สมาชิกคนที่สามมาแล้ว ข้าจะเริ่มสอนเธอจากพื้นฐานก่อน  

คุณหญิ…ไม่สิ อาเรีย ข้าจะสอนเธอที่ห้องรับรองของกิลด์ แล้วสำหรับพวกเจ้าทั้งสองคน ข้าจะให้ไปรับคำร้องทั่วไปเหมือนเดิม”

 

ผมทำหน้าเซ็ง

 

“พ-พวกเรายังต้องทำอยู่อีกเหรอ? ”

 

โนแวมมองผมด้วยสีหน้าลำบากใจ และเธอให้กำลังใจผม

 

“ท่านไรเอล มาพยายามด้วยกันเถอะค่ะ”

 

คุณเซลฟี่ยิ้มตอบผมกลับมา

 

คงเพราะพวกเราแอบหลอกเอาเงินจากนายจ้างของเธอมานิดหน่อย ทำให้คุณเซลฟี่ถูกเจ้าเมืองใช้งานหนักขึ้น เลยจะมาแก้แค้นกระมัง

 

“ไรเอลน่าจะเสร็จคำร้องพวกนั้นไม่เกินช่วงเช้านะ แล้วค่อยไปหาซื้ออุปกรณ์ต่อ เพราะดาบสำรองเจ้าพังไปแล้วนี่? ”

 

“…ใช่ครับ”

 

ดาบของผมพังไปเมื่อตอนที่สู้กับหัวหน้าโจร ผู้ถืออัญมณีสีแดงที่บรรจุสกิลสำหรับสู้ระยะประชิดไว้มากมาย

 

ตอนแรกผมคิดว่ามันจะซ่อมได้ แต่ช่างตีเหล็กกลับบอกให้ผมซื้อใหม่จะดีกว่า

 

“ตอนนี้เจ้ามีเงินแล้วน่าจะหาอันดีๆ ได้บ้างแหละ อาเรียไปชั้นบนกันเถอะ บอส ฝากอธิบายคำร้องกับพวกเขาด้วยนะ”

 

คุณเซลฟี่พาอาเรียจากไป

 

ส่วนคุณฮาวกิ้นก็นำเอกสารคำร้องขึ้นมา

 

“…งานพวกนั้นอีกแล้วเหรอ? ”

 

คุณฮาวกิ้นให้กำลังใจผมที่ไหล่ตก

 

“พ่อหนุ่มไรเอลอย่าเศร้าไปสิ งานพวกนี้ก็สำคัญนะ เวลาที่เธอย้ายสาขากิลด์พวกเขาจะดูพฤติกรรมของเธอจากบันทึกคำร้องพวกนี้ล่ะครับ”

 

พวกเราจะอยู่ที่เดลลีนไม่นานนัก

 

เพราะเมื่อความสามารถของพวกเราเพิ่มขึ้น…ผมคิดว่าเมืองที่พวกเราอยู่ก็คงจะเปลี่ยนตามไปด้วย

 

“ใช่แล้วค่ะ ท่านไรเอล งานสุจริตพวกนี้ก็สำคัญนะคะ มาพยายามด้วยกันเถอะค่ะ”

 

โนแวมยิ้มให้ผม

 

คุณฮาวกิ้นพูดขัด

 

“อ่า งานของคุณโนแวมคืองานเลขาจนถึงถึงเที่ยง ส่วนพ่อหนุ่มไรเอลก็เป็นงานใช้กรรมกรนอก พวกคุณต้องแยกกันนะครับ”

 

“ม-ไม่นะ! ได้โปรดให้ฉํนไปทำงานกรรมกรด้วยเถอะค่ะ! “

 

พอเธอพูดแบบนั้น เสียงจากอัญมณีก็ดังขึ้น

 

เหล่าผู้แคร์ตระกูลฟ็อกซ์ของโนแวมอย่างยิ่งยวด แสดงตวามเลือกที่มักรักที่ชังกับโนแวมทันที

 

[หนูโนแวมเนี่ยนะไปใช้แรงงาน!? เอ็งต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ ! ]

 

เมื่อรุ่นที่หนึ่งเปิด รุ่นที่สองก็ตาม

 

[ไรรเอลถึงเวลาที่เจ้าจะแสดงความเป็นลูกผู้ชายออกมาแล้ว]

 

รุ่นที่สามก็เช่นกัน…

 

[หนูโนแวมเป็นเด็กดีจริงๆ เอาล่ะ ไรเอลพูดอะไรสักอย่างสิ]

 

รุ่นที่สี่…

 

[เจ้าจะไม่ปล่อยหนูโนแวมไปทำงานแบบนั้นอยู่แล้วใช่มั้ย ไรเอล? ]

 

พวกเขาขู่ผม

 

‘…พวกคุณ…ผมก็ทำเหมือนกันนะ…’

 

ส่วนรุ่นที่ห้าลงไปไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเธอเป็นพิเศษ นอกจากจะเป็นแค่ตระกูลสาขาล่ะ

 

รุ่นที่ห้ากล่าว

 

[การให้เด็กผู้หญิงไปทำงานประเภทนั้นมันไร้ประสิทธิภาพ]

 

รุ่นที่หกก็มีความเห็นคล้ายกัน

 

[ใช่ เธออาจะไปเกะกะเจ้าก็ได้]

 

ส่วนรุ่นที่เจ็ด ปู่ของผม…

 

[ให้ไรเอลไปทำงานกรรมกรมัน…ไม่เหมาะสมกับสายเลือดราชวงศ์ของเขาเลยนะ]

 

เศร้ากับผม เขาคือท่านปู่ที่ใจดีกับหลานล่ะ

 

ผมมองไปที่โนแวม

 

“ข-ข้าไม่เป็นไรหรอก ไว้ตอนเที่ยงค่อยไปช้อปปิ้งด้วยกันนะ”

 

เธอยังคงกังวลเล็กน้อย

 

“ท่านไรเอล อย่าหักโหมเกินไปนะคะ ข้าขอตัวไปทำงานเอกสารก่อน”

 

เพราะอัญมณีดูพลังเวทของผมจะเป็นจะตาย จนทำให้คนรอบข้างคิดว่าผมร่างกายอ่อนแอซะงั้น

 

ทำให้โนแวมกังวลกับผมทีเคยสลบไปแล้วหลายครั้งเสมอมา

 

‘…บางทีก็รู้สึกว่าอัญมณีนี่ มันไม่เหมาะกับเราเอาซะเลย’

 

ผมอยากจะตะโกนออกไปให้โลกรู้ ว่าข้าไม่ผิดโว้ย เสียจริงๆ 

 

Options

not work with dark mode
Reset