Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1033

ตอนที่ 1033
ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล (3)

ไบรอันเดินออกไปนอกเต็นท์ เหล่าทหารที่ได้รับชัยชนะกำลังทยอยเดินกลับมา

เมื่อเทียบกับตอนขาไปที่ดูเป็นระเบียบแล้ว พวกเขาในเวลาเหมือนกับพวกชาวบ้านที่อพยพเลย ร่างกายเต็มไปด้วยรอยคราบเลือก เสื้อผ้าจะไม่ขาดตรงนั้นก็เป็นรูโหว่ตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องผ่านศึกหนักอย่างมากมาแน่นอน

นอกจากนี้จำนวนของทหารก็ยังน่าตกใจอย่างมาก ทีมซุ่มโจมตีจำนวน 2,000 คน ตอนนี้คนที่ยังสามารถเดินกลับมาได้มีจำนวนไม่ถึงครึ่ง บรรดาม้าและลาทั้งหมดถูกเอาไปใช้บรรทุกผู้บาดเจ็บกลับมา ม้าลาหนึ่งตัวต้องบรรทุกคนเอาไว้ 2 – 3 คน บวกกับเชลยที่ถูกคุมตัวกลับมา ทำให้กองทัพดูแตกกระจายอย่างมาก มองไกลๆ แล้วไม่เหมือนกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาเลย

แต่บนสีหน้าทุกคนกลับไม่ได้มีความเศร้าสร้อยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน สีหน้าของพวกเขากลับดูมีประกายราวกับเป็นคนละคนกับตอนขาไปเลย

นี่เป็นครั้งแรกในดินแดนทางใต้สุดที่เผ่าเล็กๆ สามารถเอาชนะเผ่าใหญ่ในเมืองไอรอนแซนด์ได้!

ไบรอันรู้ดีว่าหลังศึกครั้งนี้ พวกเขาจะลอกคราบจากนายพรานกลายเป็นทหารอย่างแท้จริง

สิ่งที่ทำให้เขาพอใจมากกว่านั้นก็คือถึงแม้สภาพของหน่วยซุ่มโจมตีจะดูไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่ลืมสิ่งที่เขาเคยสอนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ทหารก็ห้ามทิ้งอาวุธของตัวเอง

ถุงน้ำ ถุงเสบียงของคนส่วนใหญ่ต่างหล่นหายไป บางคนแม้แต่รองเท้าก็เหลืออยู่แค่เพียงข้างเดียว แต่มือและมีดยังคงห้อยอยู่ด้านหลังพวกเขา

กองทัพที่หนึ่งไม่สามารถปกป้องดินแดนทางใต้สุดแทนชาวทะเลทรายไปได้ตลอด พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งตัวเอง ทำให้เผ่าของตัวเองสามารถรักษาระเบียบที่เกรย์คาสเซิลกำหนดขึ้นมาได้ แต่ไบรอันรู้ดีว่าสิ่งที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงต้องการนั้นไม่ใช่แค่เพียงเท่านี้

พระองค์ทรงต้องการทหารมากกว่านี้ พระองค์ทรงต้องการให้ชาวโมเกนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสงครามแห่งโชคชะตาด้วย

และในตอนนี้ คนเหล่านี้ก็มีคุณสมบัติที่จะได้พัฒนาต่อไปได้อีกขั้น

หัวหน้ากองพันปืนหมุนตัวกลับมา จากนั้นจึงพยักหน้าให้โจเดล “ไหนเจ้าของเล่ารายละเอียดการรบมาให้ละเอียดซิ”

สำหรับการรบในครั้งนี้เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่น่าประทับใจเลย ในทางกลับกัน มันกลับเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดและช่องโหว่ ตามแผนที่วางเอาไว้ ชาวทะเลทรายจำนวน 2,000 คนจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งแกล้งทำเป็นเหยื่อล่อ พวกเขาจะทยอยกันกลับไปยังโอเอซิสในซิลเวอร์สตรีม จากนั้นก็จะฉวยโอกาสตอนกลางคืนเดินเลียบซิลเวอร์สตรีมขึ้นไปทางเหนือ เพื่อแสร้งทำเป็นว่าจะแอบเดินทางไปยังพื้นที่ดินเค็มด่าง ส่วนชาวทะเลทรายอีกกลุ่มนึงจะไปซุ่มอยู่ในโอเอซิสที่ไม่มีผู้คนตรงปลายสุดของซิลเวอร์สตรีม

เผ่าไวลด์เวฟกับเผ่าคัทโบนที่ทราบข่าวนี้ย่อมไม่ยอมให้เผ่าเล็กๆ พวกนี้มาท้าทายอำนาจของตัวเองแน่นอน ทหารม้าจำนวน 800 กว่าคนออกเดินทางจากเมืองไอรอนแซนด์แล้วเดินตามรอยเท้าของ ‘พวกทรยศ’ ไป ถึงแม้จำนวนของเหยื่อล่อจะมีเยอะกว่า แต่สำหรับเผ่าเล็กๆ ที่ถูกมองว่าต่ำต้อยกว่าพวกหมาเฝ้าบ้านนั้น พวกเผ่าใหญ่ไม่ได้มองพวกเขาอยู่ในสายตาเลย

ชาวทะเลกลุ่มนึงหนี อีกกลุ่มนึงก็ไล่ตาม ไม่นานทั้งสองกลุ่มก็มาถึงจุดซุ่มโจมตี เมื่อถึงตรงนี้ก็ยังถือว่าแผนการดำเนินไปตามที่วางเอาไว้อยู่ แต่ว่าหลังจากนั้นแผนการกลับวุ่นวายขึ้นมา

ตามหลักแล้ว ‘เหยื่อล่อ’ ควรจะแกล้งทำเป็นยอมแพ้เพื่อหลอกให้อีกฝ่ายลงมาจากหลังม้าก่อน จากนั้นจึงฉวยโอกาสทำให้ม้าตกใจวิ่งหนีไป แล้วค่อยให้ทีมที่ซุ่มโจมตีอยู่ลงมือ แต่ชาวทะเลทรายที่รับผิดชอบในการปิดเส้นทางกลับจุดไฟสัญญาณขึ้นมาเร็วเกินไป เมื่อมีแสงไฟสว่างขึ้นมา พวกศัตรูก็รู้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที พวกเขาฝ่าวงล้อมออกไปยังเส้นทางที่มาในตอนแรก ถ้าไม่เป็นเพราะมีการเตรียมน้ำสีดำเอาไว้เป็นจำนวนมาก การซุ่มโจมตีครั้งนี้คงจะล้มเหลวไปแล้ว

การต่อสู้หลังจากนั้นกลายเป็นการต่อสู้ที่วุ่นวายอย่างมาก เหยื่อล่อชักดาบแล้วพุ่งเข้าใส่ศัตรู ทีมที่ซุ่มโจมตีอยู่จึงได้แต่ต้องเข้าไปร่วมวงด้วย หลายๆ คนยิงปืนไปแค่นักเดียวในการต่อสู้ การตั้งแถวสลับกันยิงที่ฝึกซ้อมเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกเอาออกมาใช้เลย วิธีในการตัดสินแพ้ชนะยังคงเป็นการวิธีที่ชาวทะเลทรายถนัดที่สุด

ก็เหมือนกับที่ไบรอันพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้ใช้แค่ปืนเป็นอาวุธเท่านั้น ท่ามกลางเสียงร้องของม้าและแสงไฟที่ส่องมา โอเอซิสเล็กๆ ที่ไร้ผู้คนแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ตัดสินความเป็นความตายของพวกเขา ชาวทะเลทรายกระเด็นตกลงมาจากหลังม้าหรือไม่ก็ถูกม้าเตะจนเครื่องในแตกคือภาพที่เห็นได้บ่อยๆ ในตอนที่คนสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน แม้แต่ฟันก็ยังกลายเป็นอาวุธที่คร่าชีวิตได้

เผ่าเล็กๆ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีนักรบ ชาวทะเลทรายต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายมาตั้งแต่เกิด คนที่สามารถมีชีวิตรอดท่ามกลางหนอนทะเลทรายกับแมงป่องได้ล้วนแต่เป็นสัญชาติญาณในการฆ่าที่ยอดเยี่ยม เรียกได้ว่าพละกำลังส่วนตัวของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกนักรบของเผ่าใหญ่ๆ เลย

จุดอ่อนของเผ่าเหล่านี้คือจำนวน การขาดแคลนทรัพยากรได้จำกัดการขยายตัวของเผ่าเอาไว้ ต่อให้เป็นนักรบที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาชนะศัตรูที่มีจำนวนมากกว่า 10 เท่าได้ ถ้าขนาดของเผ่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็ยากที่จะเอาชนะเผ่าใหญ่ๆ ได้

แต่ตอนนี้จุดอ่อนตรงนี้นั้นไม่มีอยู่อีกแล้ว

ทหารในกองทัพชาวทะเลทรายนั้นมาจากเผ่าต่างๆ ในซิลเวอร์สตรีม พวกเขาไม่จำเป็นต้องฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิ่งทรัพยากร สิ่งที่ทุกคนกินคืออาหารที่เหมือนกัน เสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นชุดที่เหมือนกัน ตอนฝึกซ้อมก็อยู่ด้วยกัน ตอนนอนก็ไม่ต้องแยกกันนอน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่าในเมืองไอรอนแซนด์ สิ่งที่พวกเขาขาดแคลนมากที่สุดก็มีแค่ความกล้าและความมุ่งมั่นในการทำลายกฎระเบียบเหล่านั้นลงเท่านั้น

ซึ่งการที่เผ่าไวลด์เฟลมกับเผ่าคัทโบนไปไล่ฆ่าเผ่าเล็กๆ ก็ได้จุดชนวนตรงนี้ขึ้นมาพอดี

การต่อสู้ดำเนินตั้งแต่ตอนกลางคืนไปจนถึงรุ่งเช้าอีกวัน

กองทัพชาวทะเลทรายเอาชนะมาได้

ในตอนที่เปลวไฟมอดดับลง บนโอเอซิสเหลือเพียงแต่ขี้เถ้าสีดำที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น เมื่อไม่มีต้นไม้ ไม่นานทรายก็จะกลบแหล่งน้ำที่อยู่ที่นี่ไป แล้วก็ทำให้มันหายไปจากพื้นดินตลอดกาล ซิลเวอร์สตรีมเองก็หดเล็กลง จนกระทั่งโอเอซิสแห่งใหม่ปรากฏตัวขึ้นจากการกัดเซาะของผิวทราย

แต่ชาวทะเลทรายยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป

การต่อสู้ครั้งนี้เป็นเหมือนกันสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง มันเร่งให้โอเอซิสหายไปเร็วขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันกลับชี้ให้เห็นชาวทะเลทรายได้เห็นหนทาง

หลังฟังรายงานจบ ไบรอันก็เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าทุกคน

“ทำได้ดีมาก! พวกเจ้าสร้างเกียรติยศให้กับตัวเองได้ แล้วก็สร้างโอกาสให้กับเผ่าของตัวเองได้! นี่คือชัยชนะของพวกเจ้า ของที่ยึดมาได้จากการรบก็ควรจะให้พวกเจ้าเป็นคนจัดการ!”

เขาชี้ไปยังนักรบของเผ่าใหญ่ที่ถูกจับตัวเอาไว้อยู่

“ฆ่า! ฆ่าพวกมันซะ!”

“ท่านหัวหน้า ญาติพี่น้องของข้าตายด้วยน้ำมือของคนพวกนี้!”

“ข้าอยากให้มันชดใช้ด้วยชีวิต!”

ไบรอันชูมือขวาขึ้นมาท่ามกลางสายตาแห่งการรอคอยของชาวทะเลทราย จากนั้นจึงเหวี่ยงมือลงมาเบาๆ ความหมายของมันไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ๆ กัน

จากนั้นก็มีเสียงฟันฉับๆ ดังขึ้นมา

เลือดสดๆ ย้อมเกลือที่อยู่ใต้เท้าเขาจนแดงฉานไปหมด เหมือนกับดอกไม้ที่เบ่งบานอยูู่ท่ามกลางหิมะ ส่วนขวัญและกำลังใจของพวกนักรบก็พุ่งขึ้นไปจนถึงขีดสุด!

“แต่ภัยจากเมืองไอรอนแซนด์ยังไม่ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น เผ่าไวลด์เวฟกับเผ่าคัทโบนยังสามารถส่งคนไปยังซิลเวอร์สตรีมได้อยู่ เผ่าของพวกเจ้ายังคงอยู่ใต้คมดาบของพวกเขา!” ไบรอันตะโกนเสียงดัง “ชีคได้พระราชทานโอกาสในการใช้ชีวิตอยู่ในโอเอซิสที่เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี แต่พวกทรยศกลับอยากจะทำลายสิ่งเหล่านี้! บอกข้าซิว่าพวกเจ้าควรจะทำยังไง?”

“โจมตีเมืองไอรอนแซนด์ จับพวกมันไปปล่อยที่บึงแบล็กสวอม!”

“ให้พวกมันรู้ว่าการทรยศชีคจะมีจุดจบเป็นยังไง!”

“ท่านหัวหน้ากองพัน ข้ายังมีเพื่อนอยู่ในโอเอซิส ได้โปรดให้พวกเขาเข้าร่วมกองทัพด้วยเถอะขอรับ!”

“ข้าด้วย…พี่สาวน้องสาวข้าก็สามารถต่อสู้ได้!”

ในกลุ่มคนเหมือนมีเสียงโห่ร้องดังระเบิดขึ้นมาทันที พลังของมันทำเอากูเอลส์กับทูรามถึงกับต้องถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนไบรอันนั้นมองไปทางเมืองเนเวอร์วินเทอร์

ฝ่าบาท พวกที่ก่อความวุ่นวายได้ใช้เลือดของพวกมันแต่งแต้มงานราชาภิเษกของพระองค์แล้ว ชาวโมเกนที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายค่อยๆ จับตัวเองกลุ่มก้อน คิดว่าอีกไม่นานเท่าไร เมืองไอรอนแซนด์จะต้องตกเป็นของพระองค์แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ

แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

สุดท้ายทั่วทั้งดินแดนตะวันตกจะเป็นของพระองค์ บนทะเลทรายแห่งนี้จะไม่มีที่ไหนที่จะขัดพระประสงค์ของพระองค์ได้อีก

หวังว่าของขวัญชิ้นนี้จะไม่ทำให้พระองค์ทรงผิดหวังนะพ่ะย่ะค่ะ

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1300 อ่านนิยาย

อ่านต่อด้านล่าง

 


เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างของเจ้าชายโรแลนด์พร้อมภารกิจแย่งชิงราชบัลลังก์ในยุคกลาง
เจ้าชายต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายเพื่อพาเมืองเล็กๆ แถบชายแดนไปสู่ความเจริญมั่งคั่ง

ทว่าในโลกที่ยังต้องการการพัฒนาทั้งทางวัตถุและความคิดของผู้คน เขาจะสร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้อย่างไร แน่นอนว่าหนึ่งในกำลังสำคัญของเขาก็คือแม่มด ผู้ซึ่งถูกล่าอย่างเอาเป็นเอาตายภายใต้ศาสนจักร

พวกเธอเป็นสิ่งชั่วร้ายจริงๆ หรือเป็นเพียงเหยื่อของศาสนา เป็นสิ่งที่ควรล่า หรือควรพิทักษ์
และหากเขาจะเริ่มต้นก้าวแรกนับแต่บัดนี้ เขาจะต้องพบเจออะไรบ้าง

Options

not work with dark mode
Reset