Ranker’s Return 1

ตอนที่ 1

3 เดือนผ่านไป ~

 

“เอาอันสีแดงมาให้ฉัน อันสีแดงน่ะ” ชายขี้เมาวัยกลางคนเดินส่ายไปส่ายมาตรง
บริเวณเคาว์เตอร์คิดเงินสินค้าของร้านสะดวกซื้อ

 

พนักงานพาร์ทไทม์ชี้ไปยังซองบรรจุบุหรี่ที่มีสีแดงเหมือนกันทั้งสองซอง “คุณต้องการอันนั้นหรือว่าอันนี้ละครับ?”

 

“เอาอันนั้นมา” ชายขี้เมาโยนเงินให้เขา แล้วก็ปิดประตูอย่างแรงออกจากร้านสะดวกซื้อไป

 

“จะหาเงินนี่มันไม่ง่ายจริง ๆ เลย เฮ้อ~” ฮยอนนูพึมพำกับตัวเองตอนที่เขามองไปยังแผ่นหลังของชายขี้เมาคนนั้น

 

‘ใช่! ยากเหลือเกินกว่าจะได้เงินมา’ เขาได้ค่าจ้างรายชั่วโมงอยู่ที่ 6,030 วอน ถ้าเขาอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อทั้งเดือน จำนวนเงินที่เก็บสะสมได้ในสมุดบัญชีธนาคารก็น่าจะอยู่ที่ราว ๆ หนึ่งล้านวอน รายได้ทั้งเดือนน้อยยิ่งกว่าครึ่งหนึ่งของสิ่งที่เขาเคยซื้อ ทั้งกระเป๋าเป้ กระเป๋าเงิน นาฬิกา และอื่น ๆ ในอดีตเสียอีก

 

อย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ครอบครัวของเขาล้มละลายไปแล้ว ถ้าเขาไม่ทำงานพาร์ทไทม์จำพวกนี้ล่ะก็ แม้แต่ซื้อข้าวกินเขาก็คงทำไม่ได้ คนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ฮยอนนูผู้ที่เคยสามารถใช้เงินหลายล้านวอนต่อวันได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากนั้นไม่มีอีกแล้ว ตอนนี้มีเพียงฉายาฮยอนนูผู้คาบช้อนเปื้อนโคลน ฉายาสำหรับลูกชายคนโตของตระกูลที่ล่มสลายอย่างเขาเท่านั้น

 

ตื๊ดดดด~ ตื๊ดดดด~

 

โทรศัพท์ของเขาสั่นขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนโทรศัพท์นั้นเป็นชื่อเพื่อนสนิทของเขา ยองซาน

 

“ฮยอนนูเหรอ?”

 

“โทรมาทำไม ตอนนี้กำลังยุ่ง ๆ อยู่ ไว้ค่อยโทรมาใหม่นะ”

 

“ทำไมฉันถึงโทรมางั้นเหรอ? นี่นาย ฉันอยากจะเจอหน้านาย มันยากเหลือเกินที่จะได้เจอกับนายช่วงนี้ ยากยิ่งกว่าตอนที่นายอยู่ในค่ายทหารซะอีก โทรหาฉันได้นะถ้านายกำลังลำบาก”

 

“ลำบงลำบากอะไรกัน!” ฮยอนนูตอบโต้อย่างแข็งกร้าวกับคำพูดของยองซานที่เหมือนจะบอกเขาเป็นนัย ๆ ว่าตนรู้อะไรบางอย่าง

 

“มีคนบอกว่าเห็นนายทำงานพาร์ทไทม์ นี่นายโอเคจริง ๆ เหรอ? นายไม่ใช่คนประเภทที่จะทำอะไรแบบนั้นซะหน่อย บอกมาเลยนะว่าตอนนี้นายอยู่ไหน ฉันจะไปหานายเดี๋ยวนี้แหละ!”

 

“นายจะมาทำไม ไว้ฉันค่อยโทรหาทีหลังแล้วกัน แค่นี้แหละ!” ฮยอนนูกดวางสายโทรศัพท์ไปทันที

 

ยองซานเป็นเพื่อนที่คอยดูแลเขาตั้งแต่ยังเด็ก เป็นคนที่เข้ามาทักทายฮยอนนูในตอนที่เขาเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลช้ากว่าคนอื่น เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่คอยดูแลเขาตั้งแต่สมัยประถมจนถึงมัธยมปลาย ยองซานรู้จักฮยอนนูดียิ่งกว่าครอบครัวของเขาเองเสียอีก ทว่าตอนนี้ครอบครัวของเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ฮยอนนูรู้สึกอับอายและไม่มีความมั่นใจมากพอที่จะเจอหน้าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขา

 

“ช่วงเวลาที่ผ่านมามันดีมากเลยนะที่ได้หัวเราะร่วมกันกับนาย แต่ตอนนี้…ฉันไม่มั่นใจเลยจริง ๆ โทษทีนะยองซาน”

 

ถ้าให้พูดกันตามตรง ฮยอนนูรู้สึกกลัว เขาสงสัยว่าความล้มเหลวของครอบครัวเขาจะทำให้ยองซานเปลี่ยนไป นอกจากนี้เขายังไม่อยากให้ยองซานมาเห็นสภาพอันน่าสมเพชในตอนที่เขาต้องกินอาหารใกล้หมดอายุเนื่องจากไม่มีเงินซื้ออาหาร

 

“เหนื่อยหน่อยนะฮยอนนู นายรีบไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันรับช่วงต่อเอง”

 

ฮยอนนูได้ยินเสียงของเพื่อนร่วมงานจึงหลุดออกจากภวังค์ความคิด ‘นี่เขาเผลอคิดอะไรไร้สาระอีกแล้วสินะ เฮ้อ~’ เขาลอบถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองซางจิน เพื่อนร่วมงานร้านสะดวกซื้อแห่งนี้

 

“พี่มาแล้วเหรอครับ”

 

“ใช่แล้วน้องชาย นายเหนื่อยมากเลยละสิ ให้ฉันทำแทนเถอะ ฉันมาก่อนเวลา 10 นาทีเพราะกลัวว่านายจะเหนื่อยเกินไป”

 

“ขอบคุณครับ”

 

“ขอบคงขอบคุณอะไรกัน คนกันเองก็ช่วย ๆ กันไป 555” ปาร์กซางจินหัวเราะ เขาคือหนึ่งในคนรู้จักเพียงไม่กี่คนที่ปฏิบัติกับฮยอนนูโดยไม่สนใจเรื่องที่ชายหนุ่มคือฮยอนนูผู้คาบช้อนเปื้อนโคลน แต่ปัญหาก็คือ…

 

“อึก! เซฮุย โทรมา!”

 

เขาพัวพันกับผู้หญิงเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องรับโทรศัพท์หลายสิบสายในช่วงเวลางาน อีกทั้งบรรดาสาว ๆ ของเขาก็มักจะมาเยี่ยมเยือนที่ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้อยู่บ่อยครั้งอีกด้วย

 

“พยายามเข้านะครับพี่! ขอบคุณมากสำหรับวันนี้”

 

“อื้อ!”

 

ฮยอนนูบอกลาซางจินแล้วเดินออกจากร้านสะดวกซื้อไป

 

“ว่าไงเพื่อน! เสร็จงานหรือยัง?” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากโต๊ะที่อยู่ด้านนอกของร้านสะดวกซื้อ ยองซานที่แต่งกายอย่างมีสไตล์และเต็มไปด้วยเสน่ห์เหลือร้ายกำลังนั่งจิบ กาแฟอเมริกาโน่รอเขาอยู่

 

ฮยอนนูรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นยองซาน เขารีบปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุดแล้วจึงเอ่ยถาม “ยางซาน? นายมาทำอะไรที่นี่?”

 

“นี่นายคิดว่าฉันเป็นคนแบบไหนกัน! ทำไมถึงไม่บอกฉันล่ะว่านายมาทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่”

 

“อะไรของนาย…ช่างเถอะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว งั้นเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะ”

 

ฮยอนนูพายองซานไปร้านขายซุปที่อยู่ใกล้ ๆ ยองซานนั่งลงบนเก้าอี้ของทางร้านแล้วมองไปยังฮยอนนูด้วยท่าทีกระวนกระวาย “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมนายมาทำงานพาร์ทไทม์ล่ะ? นี่! บอกฉันมาตามตรงเถอะ มันเกิดอะไรขึ้นกับที่บ้านของนายกันแน่?”

 

“…”

 

“ฉันรู้หมดทุกอย่างแหละ”

 

“…?!”

 

“ฉันไม่รู้รายละเอียดแบบเจาะลึกหรอกนะ แต่ก็พอจะรู้แบบคร่าว ๆ”

 

“งั้นเหรอ…”

 

“นายทำให้ฉันผิดหวังจริง ๆ คังฮยอนนู!”

 

“ฉันทำนายผิดหวังเหรอ?”

 

“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าบ้าเอ้ยยย!” ยางซานตะโกนใส่ฮยอนนูอย่างฉุนเฉียว “นายคิดแบบนี้มาโดยตลอดเลยสินะ!”

 

“ฮะ?”

 

“นายคิดว่าฉันจะเปลี่ยนไปเพราะครอบครัวของนายล้มละลายสินะ ฉันถามนายหน่อยเถอะเพื่อน! ไอ้เรื่องที่ครอบครัวนายต้องเจอกับความลำบากมันเกี่ยวอะไรกับการเจอหน้าฉันกัน? นายจะไม่มาเจอหน้าฉันใช่มั้ย ถ้าครอบครัวของฉันเป็นฝั่งล้มละลายบ้างน่ะ ฮะ?!”

 

ฮยอนนูรู้สึกเหมือนถูกยองซานทุบด้วยพลังอันแรงกล้า เขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ชายหนุ่มกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด ทว่าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาที่ชื่อว่ายองซานผู้นี้ ไม่เคยมองเขาเปลี่ยนไปเลยด้วยซ้ำ เป็นตัวเขาเองที่ไม่สามารถยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเอาแต่วิ่งหนีคนรอบข้าง

 

“ไอ้บ้าเอ้ย!” ยองซานดันขวดเบียร์ไปด้านหน้าด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “บอกทุกอย่างมาเดี๋ยวนี้นะ พวกเราเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?”

 

“ขอบใจนะเพื่อน!” ฮยอนนูยกแก้วของเขาขึ้นดื่ม

 

อึก อึก อึก~ รสเบียร์ขม ๆ ไหลชโลมผ่านลำคอของเขา ความเย็นที่แผ่ซ่านนั้นเสมือนปลุกความกล้าในใจของเขาให้หันกลับมาเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

“มันก็แค่…”

 

เฮียวบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งสองใช้เวลาที่มีแลกเปลี่ยนความเป็นไปที่ยังไม่ได้แบ่งปันแก่กันและกัน

 

ผ่านไปสามชั่วโมงหลังจากนั่งจ้องหน้าและดื่มเบียร์ด้วยกันยองซานก็เอ่ยปาก “นาย…” ยองซานเรียกเขาด้วยท่าทางอึกอัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเริ่มเมาหรือกำลังไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพูดกันแน่

 

“อะไรเหรอ?”

 

“นั่นน่ะ..”

 

“ทำไมนายถึงไม่พูดล่ะ? ทางบ้านของนายก็แย่เหมือนกันเหรอ?”

 

“ใช่ พังพินาศเลยแหละ…เดี๋ยวสิ ไม่ใช่โว้ยยย!” ยองซานหลงกลไปกับคำพูดกวนประสาทของฮยอนนูและตะโกนออกมา “นายนี่นะ หยุดเล่นตลกได้แล้ว!”

 

“อะไรกันล่ะถ้างั้น?” ฮยอนนูมองท่าทางขึงขังของเพื่อนสนิทแล้วเริ่มรู้สึกสงสัย

 

“ทำไมนายถึงได้ลังเลที่จะพูดขนาดนั้น?”

 

“บางที… นายควรลองเล่นอารีน่าอีกครั้งนะ?”

 

“…ฮะ?!”

 

มันเป็นการแนะนำที่คาดไม่ถึง เล่นอารีน่าอีกครั้งงั้นเหรอ นี่เป็นสิ่งที่ฮยอนนูไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย

 

“ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย”

 

“ฉันไม่ได้บอกว่าให้ตัดสินใจตอนนี้หรอก แค่ลองไปคิด ๆ ดู ยังไงมันก็เป็นทางเลือกที่ดีนะ”

 

ทั้งสองดื่มกันจนไม่เหลือเบียร์ไว้ในขวดแม้เพียงซักหยด ก่อนที่จะออกจากร้านแล้วแยกย้ายกันกลับ

 

“อย่าลืมกลับไปคิดเรื่องที่ฉันบอกล่ะ!” ยองซานตะโกนไล่หลังฮยอนนูพร้อมทั้งโบกมืออำลา

 

‘อารีน่างั้นเหรอ ฉันจะยังเล่นมันได้อีกไหมนะ?’ ชายหนุ่มกำลังไตร่ตรองคำแนะนำของเพื่อนสนิท มันจะเป็นไปได้ไหมนะ? ที่จะกลับไปเล่นแล้วประสบความสำเร็จ? ในแง่ของฝีมือเขามั่นใจว่าเขาอยู่ในระดับที่เหนือกว่าใคร ๆ  ถึงแม้จะต้องเริ่มใหม่ตอนนี้ก็ตาม เขาก็ยังมั่นใจว่าจะไม่แพ้ให้ใครแน่ ๆ

 

อย่างไรก็ตามความแตกต่างของไอเทมไม่ใช่สิ่งที่จะก้าวข้ามได้ง่าย ๆ ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญในการเล่นเกม ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าความแตกต่างระหว่างเซตของเครื่องแต่งกายที่จะมอบค่าสเตตัสต่าง ๆ ให้กับผู้เล่นนั้น ถูกเรียกว่า ‘กำแพงที่ไม่อาจก้าวข้าม’ มันเป็นกำแพงที่ข้ามได้ยากมากแม้จะใช้ทักษะสกิลระดับสูงเข้าช่วย

 

เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งไอเทมที่มีประสิทธิภาพ ผู้เล่นต้องทุ่มเทเวลาในการเล่นเกมเป็นอย่างมาก แล้วแบบนี้คนที่ห่างหายจากเกมไปปีกว่าอย่างเขาจะสู้คนอื่นได้หรือเปล่านะ?

 

Ranker’s Return

Ranker’s Return

Score 10
Status: Completed

“คุณต้องการสร้างตัวละครใหม่หรือไม่?”

 

เขาคือผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุด! เขาคือผู้ครองอันดับ 1 ในทุกสถิติ! เขาคือ เมลีก็อด (Meleegod) ผู้เล่นในตำนานแห่งเกมวิชวลเรียลลิตี้ชื่อดังของยุค

“อารีน่า” (Arena) กว่า 2 ปีที่ชื่อของเขาถูกลบเลือน ตำนานของเขาเริ่มจางหาย ทว่าตอนนี้เขากลับมาอีกครั้ง เพื่อช่วยกอบกู้ครอบครัวที่ล้มละลายของเขา

เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นหนึ่งอีกครั้ง ตำนานบทใหม่ของเขาได้เริ่มขึ้นแล้ว!

Options

not work with dark mode
Reset