(One Useless Rebirth) เกิดใหม่อีกครั้งอย่างไร้ [Yaoi] 5

ตอนที่ 5

เพื่อที่จะหารายได้

ซวีอิ๋นหลงวางรูปถ่ายทั้งสิบรูปไว้บนโต๊ะและถอดแว่นสายตายาวเพื่อมองไปที่เหอไป๋ พร้อมกับถามขึ้นว่า

“คุณคิดว่าภาพไหนดีที่สุด?”

เหอไป๋ถูใบหน้าของตน เพื่อให้ตัวเองดูแจ่มใสขึ้นทั้งที่ปวดหัวจากอาการเมาค้าง เขามองดูรูปถ่ายทีละรูปถ่ายทีละรูปยกมือขึ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชี้รูปภาพที่มุมขวาบนของคนขับรถบัส “รูปนี้ครับ”

“ทำไมคุณถึงคิดว่าเป็นรูปนี้ล่ะ”

“แค่รูปสึกอย่างนั้นครับ”

“ความรู้สึกอะไร”

เขาหยิบภาพที่มีแสงน้อยและองค์ประกอบที่เบ้ มองดูรอยย่นที่มุมตาสีน้ำตาลเข้มของคนขับรถที่สะท้อนจากกระจกมองหลัง แล้วตอบเขาขณะที่นึกถึงความรู้สึกตอนที่ถ่ายภาพนี้

“ผมแค่รู้สึกว่า…สายตาของเขาดูดีจริง ๆ หลังจากถ่ายภาพแล้วความรู้สึกในใจของผมก็มีแค่นั้นครับ เมื่อมองในดวงตาเขา ภาพทั้งหมดก็รู้สึกเหมือนมีชีวิตขึ้นมา ผมรู้สึกพอใจและมีความรู้สึกมากครับ”

ดวงตาของซวีอิ๋นหลงขยับเล็กน้อยและถามต่อไปว่า

“ทำไมเธอถึงมีความสุขล่ะ”

“เพราะว่าผมได้บันทึกช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การจดจำไว้แล้วครับ” ความรู้สึกวุ่นวายที่เกิดจากอาการเมาค้างของเขาค่อย ๆ หายไป ปากของเขาหันขึ้นโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับลักยิ้มที่ปรากฏขึ้นที่แก้มซ้ายของเขา

“ตอนที่ผมมองรูปนี้ ในใจผมรู้สึกวาบหวิวโดยไม่รู้ตัว มันเหมือนคนขับรถที่กำลังรู้สึกโล่งใจ แต่ก็ขอโทษที่ทำให้ผู้โดยสารไม่สะดวกเพราะเขาพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้รถชนลูกหมา แววตาของเขาในตอนนั้น…ดูใจดีมาก นี่เป็นภาพถ่ายเพียงภาพเดียวในสิบภาพที่ทำให้ผมอยากจะเก็บมันไว้ในอัลบั้ม และกลายเป็นความทรงจำให้ผมได้ย้อนกลับมาดูเมื่อผมแก่ตัวลง”

“เอ่อ อะ” ซวีอิ๋นหลงมีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขาพยักหน้า

“ไม่เลวนี่ คุณสามารถหยุดพักได้ในสัปดาห์หน้า”

 

เหอไป๋ไม่ทันคิด “ได้หยุดพักเหรอครับ?”

ซวีอิ๋นหลงพยักหน้า เอนตัวไปหยิบบัญชีรายชื่อออกจากลิ้นชัก พลิกไปหน้าที่มีชื่อของเหอไป๋แล้วใช้ปากกาสีแดงขีดฆ่าคะแนนศูนย์เปลี่ยนเป็น 95 คะแนน แล้วปิดบัญชีรายชื่อลง หลังจากนั้นเขาโบกมือส่งสัญญาณให้เหอไป๋ออกไปได้

“ฉันจะให้เธอหยุดพักหนึ่งสัปดาห์ ตอนนี้กลับไปพักก่อนเถอะ คนหนุ่มสาวควรดื่มให้น้อยลงจะดีกว่านะ เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ”

ดวงตาของเหอไป๋สว่างขึ้น เมื่อเขามองไปที่บัญชีรายชื่อในมือของเขา หลังจากที่เขาถูกเปลี่ยนคะแนนแล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น แล้วโค้งคำนับ พูดขณะที่ยิ้มอย่างโง่เขลาออกไปว่า “ขอบคุณครับศาสตราจารย์! ศาสตราจารย์เก่งที่สุดจริง ๆ ครับ!” หลังจากพูดจบเขาก็หยิบกล้อง วิ่งออกไป กลัวว่าอาจารย์จะเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้และเปลี่ยนคะแนนคืน

“เด็กคนนี้นี่…” ซวีอิ๋นหลงส่ายหน้า แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขากลับใหญ่ขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาหยิบโทรศัพท์ของเขา โทรหาเพื่อสนิท “เฮ้ เหลาเจียง – คุณยังจำต้นกล้าที่ดีที่ฉันบอกคุณเมื่อครั้งที่แล้วได้ไหม? เขาก้าวหน้าอย่างมาก…”

เป็นครั้งแรกที่เหอไป๋ได้รับการยกย่องจากศาสตราจารย์ซวี่ เขาเดินไปที่ถนนด้านหลังเพื่อหาเนื้ออร่อยกินอย่างมีความสุข จากนั้นด้วยความอารมณ์ดีจึงได้นำเงินของที่เอาติดมือมาด้วยทั้งหมดออกเดินทางไปยังถนนที่เป็นที่นิยมในการถ่ายภาพแต่งงานในเมือง B

เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเวลานานก่อนที่จะตัดสินใจหาวิธีหาเงินที่รวดเร็ว ซึ่งจะต้องคำนึงถึงรูปถ่ายที่สำคัญของเขาด้วย

ช่างภาพที่ตัดต่อภาพได้ไม่ดีนั้นไม่ใช่พ่อครัวที่เก่งในครัว ภาพที่สมบูรณ์แบบภาพหนึ่งมีเงาของคนที่ปรับแต่งมาก่อนหน้า ในฐานะช่างภาพที่ถ่ายภาพทิวทัศน์เป็นหลัก ทักษะการถ่ายภาพของเขาไม่สามารถพูดได้ว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ แต่ก็ยังทำได้ดีอยู่ ท้องฟ้าสีครามน้ำทะเลใส สีรุ้งงดงาม นกบินจากไป หลังจากที่ตกใจอะไรบางอย่างในป่านั่น…

เขาสามารถเลือกที่จะไม่ปรับแต่งรูปภาพ แต่ตราบใดที่คุณแก้ไขอย่างถูกต้อง ภาพที่ได้ 80 คะแนน จะสามารถเปลี่ยนเป็นภาพที่มีคะแนน 100 คะแนน แม้ว่าเขาจะเอนเอียง แม้ว่าเขาจะเอนเอียงไปทางอื่นมากขึ้น และยังทำได้ดีกว่าด้วยการถ่ายภาพทิวทัศน์ แม้ว่าจำนวนครั้งที่เขาฝึกถ่ายภาพบุคคล ยังไม่มากเท่ากับภาพทิวทัศน์เหล่านั้นที่เขามีประสบการณ์ที่คุ้มค่ากว่าทศวรรษ ขอเพียงเขาเต็มใจที่จะเรียนรู้และฝึกฝนก็คงจะมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต

เขาปรับกล้องกลับไปด้านข้างมองขึ้นไปที่สตูดิโอถ่ายภาพที่ตกแต่งอย่างหรูหราตรงหน้า แล้วก้าวเข้าไปข้างใน สตูดิโอแห่งนี้ให้ค่าตอบแทนดีที่สุด เขาจึงตัดสินใจเลือกร้านนี้!

“สวัสดีตอนบ่ายค่ะ ยินดีต้องรับสู่ Saint Elephant Photography มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ” สาวที่แผนกต้อนรับยืนขึ้นจากด้านหลังโต๊ะ ยิ้มทั้งสุภาพและอ่อนหวาน

“สวัสดีครับ” เหอไป๋บีบลักยิ้มบนแก้วซ้ายคืนเธอด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรเป็นไม่เป็นอันตราย

“ผมมาสมัครงานครับ ผมเห็นโฆษณาที่ติดไว้ที่ประตูบอกว่าพวกคุณกำลังรับสมัครคนตัดต่อรูปภาพครับ”

หญิงสาวที่แผนกต้อนรับกระพริบตาสองสามครั้ง มองไปที่ผมไม่เป็นระเบียบและเสื้อผ้าราคาถูกอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดสายตาของเธอก็หยุดลงที่กระเป๋ากล้องที่ห้อยอยู่ที่เอวของเขา แทบจะไม่สามารถรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของเธอได้ เธอกล่าวต่อว่า “ขอบคุณที่เลือก Saint Elephant Photography กรุณารอในบริเวณเลาสจ์ก่อนค่ะ ฉันจะไปสอบถามเพื่อนร่วมงานที่ดูแลเรื่องการสรรหาบุคลากรให้ค่ะ” เมื่อเธอพูดแบบนี้ เธอก็ทำท่าให้เขาเข้าไปในพื้นที่รับรองทางขวาของประตู

เหอไป๋มองไปตามทิศทางที่เธอชี้ ขอบคุณอย่างสุภาพแล้วเดินไปนั่งลงบริเวณนั้น เขาแตะกระเป๋ากล้องที่เอวของเขา แม้ว่าผู้หญิงที่จ้องมองจากแผนกต้อนรับจะดูสุขุม แต่เขาจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร ในสมัยนี้ผู้คนต่างพึ่งพาเสื้อผ้าเพื่อประเมินผู้ชายคนหนึ่ง

สิบนาทีต่อมา หญิงวัยกลางคนที่ดูจริงจังก็ก้าวออกมาในรองเท้าส้นสูงของเธอ เธอมองเหอไป๋ขึ้นลงขมวดคิ้วแล้วถามตรง ๆ ว่า “คุณเอาตัวอย่างผลงานมาด้วยหรือเปล่า?”

อีกคนตรงไปตรงมา ดังนั้นเหอไป๋ ก็ตอบตรงไปตรงมาอย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน “เอามาครับ”

เขาลุกขึ้นหยิบรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋ากล้อง และใช้สองมือยืนภาพให้เธอ

“รูปภาพต้นฉบับอยู่ด้านบนเวอร์ชั่นแก้ไขอยู่ด้านล่าง มีทั้งหมดห้าชุดครับ” ตั้งแต่เขาตัดสินใจมาสมัครงานตำแหน่งนี้เขาก็เตรียมพร้อมอย่างเป็นธรรมชาติ

รูปทั้งหมดยังใหม่มาก พวกมันน่าจะเพิ่งได้รับการตัดต่อมาไม่นานมานี้ ภาพที่ถ่ายได้ดีมากที่สุดคือภาพของทะเลสาบ ทำให้ผู้จ้องมองภาพนี้รู้สึกดีทุกครั้งที่มอง หลี่รู่คิดว่าภาพถ่ายต้นฉบับคงเป็นผลงานที่อีกฝ่ายเพิ่งดาวน์โหลดมาจากช่างภาพรายอื่น แล้วทำการแก้ไขปรับแต่งโดยไม่สนใจภาพต้นฉบับอีกต่อไป

เป็นผลพลอยให้เธอไม่สนใจภาพต้นฉบับอีกต่อไป

ภาพด้านล่างยังคงเป็นรูปถ่ายของทะเลสาบเหมือนเดิม แต่สีสว่างขึ้นมาก แสงมีความเข้มขึ้นเช่นกัน เธอไม่รู้ว่าเส้นของน้ำถูกแก้ไขอย่างไร แต่มันถูกทำให้กลายเป็นจุดเด่น แต่ภาพถ่ายเดิมให้มีเพียงจุดดึงดูดสายตาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เธอวางรูปถ่ายต้นฉบับไว้ข้างรูปถ่ายแล้วอย่างรวดเร็ว และด้วยการเปลี่ยนเทียบโดยตรงนี้ไม่ใช่เชิงแข่งชัน

“คุณ…” เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูใบหน้าที่ยังเยาว์วัยของเหอไป่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็กลืนมันลงไปและลดศีรษะลงอย่างรวดเร็วเพื่อดูภาพถ่ายอีกสี่ชุดให้เสร็จ

ทั้งหมดเป็นภาพถ่ายทิวทัศน์ทะเลสาบที่มีทางเดินโค้ง หงส์ในยามค่ำคืน และป่าในยามพระอาทิตย์ตก ภาพถ่ายต้นฉบับนั้นยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ที่น่าทึ่งคือหลังจากถูกตัดต่อ แม้ว่าจะเป็นเอ แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ดีไปกว่านี้ ไม่ใช่ว่าทักษะทางเทคนิคของอีกฝ่ายจะยอดเยี่ยมขนาดนั้น แต่คนที่ตัดต่อภาพนั้นสามารถจับโฟกัสและจิตวิญญาณของภาพทิวทัศน์ได้อย่างแม่นยำ เขาใช้พลังชนิดหนึ่งที่สามารถสัมผัสหัวใจของผู้คนและทำให้ภาพเหล่านี้งดงามและสดใสมากขึ้น

มันดีเกินไปจริง ๆ ที่จะปล่อยให้อื่นได้ตัวเขาไป โดยไม่รู้ตัว

“คุณแก้ไขทั้งหมดนี้ใช่ไหม?” เธอสงบความตื่นเต้นลงมองไปที่เหอไป๋

“ทำไมไม่มีภาพคนเลยล่ะ”

เหอไป๋สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของเธอและยิ้มด้วยความเป็นมิตรมากขึ้น เขาพูดตรงไปตรงมาว่า

“ผมถ่ายรูปวิวได้ดีกว่าน่ะครับ งานปรับแต่งรูปบุคคลเลยยังไม่ดีพอ”

ทัศนคติที่จริงใจนี้ควบคู่ไปกับใบหน้าที่อ่อนเยาว์และรอยยิ้มที่น่ายินดี ทำให้ใบหน้าที่เข้มงวดของหลี่รู่อ่อนลงเล็กน้อย

“คุณยังเด็กและการที่มีความชอบเป็นเรื่องปกติ คุณค่อยตัดสินใจทีหลังเถอะ” หลี่รู่กล่าว เมื่อเห็นว่าไม่มีแม้แต่แก้วน้ำวางอยู่ตรงหน้าเขา ก็มองไปที่ผู้หญิงคนนั้นที่แผนกต้อนรับอย่างเข้มงวด ก่อนจะพูดกับเหอไป่เบา ๆ ว่า

“ฉันชื่อหลี่รู่ เป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบของที่นี่ ภาพที่คุณแก้ไขนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ฉันยังต้องยืนยันระดับทักษะการตัดต่อของคุณสำหรับการถ่ายภาพบุคคลและการโฆษณา โอเคใช่ไหม?”

เธอเป็นหัวหน้าฝ่ายจริงเหรอ? วันนี้ไม่มีใครมาทำงานอีกเหรอ? หัวหน้าฝ่ายจึงต้องลงมาสัมภาษณ์พนักงานตัดต่อ พาร์ทไทม์ด้วยตัวเองเช่นนี้

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ในใจเขาก็ยังคงแสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างมีความสุข เขาจับมือของหลี่รู่ ก่อนที่จะปล่อยมือเธอและพยักหน้าอย่างแรง “ครับ ครับ ผมชื่อเหอไป๋ ขอบคุณครับพี่หลี่ที่ให้โอกาสผม!”

คำพูดที่ดูสนิทสนมเล็กน้อยทำให้ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้นทันที หลี่รู่มองผ่านความคิดที่น่ารักของเขา ยิ้มให้เขา และเริ่มมีท่าทีใกล้ชิดมากขึ้น เขาออกท่าทางเพื่อสัมภาษณ์ต่อ จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าพนักงานต้อนรับ จ้องมองเธออย่างโกรธ ๆ อีกครั้ง หลังจากได้รับคำเตือนสองครั้งผ่านสายตาที่โกรธเกรี้ยวของเธอ ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับก็กลัวเกินกว่าจะขยับตัวได้ หลังจากที่เธอพาชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าราคาถูกเข้ามาในห้องแล้ว เธอก็ถอนหายใจเล็กน้อยและใช้มือตบหน้าตัวเอง “หัวห้าฝ่ายนห้ากลัวมาก ฉันต้องให้ความสนใจมากกว่านี้ในอนาคต…” แต่ทักษะการตัดต่อภาพถ่ายของชายหนุ่มคนนั้นดีมากจริง ๆ เขาสามารถทำให้ผู้กำกับคนนั้นใช้น้ำเสียงแบบนั้นได้เมื่อพูดคุยกับเขา

ออกจากแผนกต้อนรับเพื่อเข้าไปด้านในจะมีห้องโถงขนาดใหญ่ ตรงกลางห้องโถงมีโต๊ะและเก้าอี้ซึ่งมีอุปกรณ์ทุกชนิดวางอยู่รอบ ๆ และมีบันไดตรงไปยังโถงทางเดินชั้นสองที่มุมห้อง เมื่อมองขึ้นไปห้องบนชั้นสองล้วนเปิดโล่งมีผู้คนเข้าและออกไม่หยุด เหมือนพวกเขายุ่งกับการทำอะไรบางอย่าง

“บริษัทเพิ่งรับงานจากสถานีโทรทัศน์มา มีพนักงานไม่กี่คนด้วย คนเลยไม่พอ เลยยุ่งกันขนาดนี้นี่แหละ” หลี่รู่เห็นเขามองไปรอบ ๆ จึงอธิบายสถานการณ์ด้วยคำพูดไม่กี่คำ ก่อนจะพาเขาข้ามห้องโถงไปยังทางเดิน ผลักเปิดห้องทำงานเล็ก ๆ ไปทางซ้าย เปิดคอมพิวเตอร์และพูดว่า

“รูปถ่ายที่เราต้องการให้คุณแก้ไขอยู่บนหน้าจอ แบ่งออกเป็นสองโฟลเดอร์ โฟลเดอร์หนึ่งใช้สำหรับถ่ายภาพบุคคลและอีกโฟลเดอร์หนึ่งใช้สำหรับโฆษณา แก้ไขสองรายการก็พอแล้ว คุณจะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ ใช้โทรศัพท์สำนักงานตรงนี้ โทรหาฉัน เมื่อคุณทำเสร็จแล้ว นี่นามบัตรฉัน มีหมายเลขโทรศัพท์ของฉันอยู่บนนั้นแล้ว”

เธอพูดเร็วมาก – เหอไป๋เดาว่าเธอยังมีงานที่ต้องทำจึงรีบหยิบนามบัตรของเธอเพื่อแสดงว่าไม่มีปัญหาจากนั้นก็นั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์

หลี่รู่เห็นว่าเขารู้ว่าจะไม่เสียเวลาพูดคุยและรู้สึกประทับใจในตัวเขามากขึ้น เธอเองไปที่ตู้กดน้ำเพื่อเอาแก้วน้ำมาให้เขาก่อนจะวางลงและเดินออกไปตามขั้นบันไดเบา ๆ

หลังจากยืนยันว่ามีเพียงเขาที่เหลืออยู่ในห้องทำงาน เหอไป๋ก็ผ่อนคลายร่างกายลูบใบหน้าของเขาที่เริ่มแข็งเล็กน้อยจากการยิ้มมากจนเกินไป ถอดกระเป๋ากล้องและเปิดซอฟต์แวร์ตัดต่อขณะที่ดื่มน้ำ เขาพบโฟรเดอร์ภาพบุคคลบนหน้าจอและดับเบิลคลิกเพื่อเปิด

ฟู่.

น้ำทั้งหมดที่เขาเพิ่งดื่มถูกพ่นออกมา เขาวางแก้วน้ำลงอย่างรวดเร็ว และหยิบคีย์บอร์ดที่เปียกน้ำขึ้นมา จากนั้นเขาดึงกระดาษทิชชูออกมาหลายแผ่นที่อยู่ในกล่องบนมุมโต๊ะ เพื่อมาซับน้ำที่เปียกเลอะบนคีย์บอร์ด เมื่อมองไปที่กอภาพถ่ายของเต๋อชูเหอ ท่าทีบนใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวไปชั่วขณะ

จะเป็นผู้ชายคนนี้อีกได้ยังไง! ในแต่ละวันจะไม่ต้องเห็นภาพผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลยหรือ? ทำไมต้องเป็นเขาคนนี้?

เขาเช็ดทำความสะอาดคีย์บอร์ดและเมาส์โดยไม่เต็มใจ คว้าเมาส์และดึงรูปถ่ายออกจากโฟลเดอร์ เขาพยายามหารูปที่เป็นของคนอื่น แต่ความพยายามนั้นก็ไร้ผล ทำให้เขาโกรธจนผมแทบร่วง

ห่าอะไรเนี้ย? แม้ว่าฉันจะสมัครงานพาร์ทไทม์ในตำแหน่งบรรณาธิการถ่ายภาพ แต่ฉันก็ยังต้องถูกทำลายด้วยภาพของผู้ชายคนนี้ สิ่งต่าง ๆ ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนั้นหรือ?
หลังจากจ้องมองไปที่โต๊ะสักพัก เขาก็หายใจเข้าลึก ๆ และหลบไหล่เป็นสัญญาณของการประนีประนอมแล้วจับเมาส์อีกครั้ง

ลืมมันไปซะ เพื่อที่จะได้กินเนื้อ เพื่อรายได้ เขาก็แค่แก้ไขภาพเหล่านี้

…………..

 

เต่อชูเหอถอดแว่นกันแดดออกนั่งเฉยบนโซฟาในบริเวณที่เหลือของ Red Guest Photography ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของร้าน Saint Elephant Photography เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเว็บมหาวิทยาลัย Q และเลือกสถานที่ที่แสดงสินค้าที่เขาประมูลไปแล้ว

ความคืบหน้าของการดำเนินการ : ผู้ขายไม่ตอบสนอง

เขาหรี่ตาใช้มือจับคางของตนเอง

ตอนนี้เวลาบ่ายสองวันอาทิตย์ ผู้ชายคนนั้นกำลังงีบตอนบ่ายหรือว่าเขากำลังเล่นเกมส์อยู่กันนะ? หรือบางทีเขาอาจจะถือกล้องวิ่งบนถนนแกล้งทำตัวเป็นปาปารัสซี่ หรือเป็นหมอดู?

เขาขมวดคิ้วด้วยความคิดนี้ เมื่อนึกถึง “ราคาขาย : 10 หยวน” รองรอยของความชั่วร้ายปรากฎขึ้นระหว่างคิ้วที่อ่อนโยนของเขา

หรือบางที…ผู้ชายคนนั้นจะบังเอิญเจอกับดาราดังคนอื่น แล้วพยายามหลอกลวงคนอื่นต่อไปด้วยเงินสิบหยวน?

“คุณว่างมาที่นี่ได้ยังไงกัน?” เจียงซิ่วเหวินวางแก้วกาแฟไว้ตรงหน้าเขา นั่งลงตรมข้ามเขาเอนหลังพิงโซฟาพับขายกคางและดีใจกับความโชคร้ายของเขา

“ดาราดังผู้น่าสมเพช ผู้ถูกขัดขวางมีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ? คุณไม่มีเงินใช้รึไง ถึงวิ่งมาที่บ้านของฉันเพื่อหลอกล่อฉัน”

เต๋อชูเหอเหลือมองเขาโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ และส่งเสียงในลำคอ

“ฉันควรปล่อยให้คนที่หลอกคุณมาดูวิธีที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้ อะไรที่สุภาพบุรุษและเป็นมิตร สง่างาม กลายเป็น ใจร้าย ร้ายกาจเช่นนี้ได้” เจียงซิ่วเหวินพูดอย่างรำคาญและเลียนแบบวิธีที่เขาจับคางและเอื้อมขาออกเพื่อเตะเขา

“เป็นไงล่ะ พ่อฉันเห็นด้วยไหม”

เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้ ท่าทีของเต๋อชูเหอก็ดูจริงจัง เขาขมวดคิ้ว

“ก็คงเหมือนเดิม ลุงเจียงคิดว่าฉันยังเด็กเกินไปและหน้าตาของฉันก็ตกไปทางหล่อเหลาเหมาะกับการรับบทนักแสดงซะมากกว่า”

ถ้าเราไม่เมา เราไม่กลับ!

เต๋อชูเหอหยุดแล้วหันกลับมามองเขา มุมปากของเขายกขึ้นอย่างอ่อนโยนและไม่เป็นอันตราย เสียงต่ำชวนเย้ายวน “กำลังจะดูดวงให้ผมเหรอ?”

ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงของชายคนนี้แปลกไปหน่อย ๆ.. เหอไป่ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว และจู่ ๆ ก็เสียใจที่เรียกให้เขากลับมา วันนี้เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา –หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าผู้ชายที่เขาเพิ่งจะเคยพบเพียงสองครั้ง …เขาลูบที่กล้องของเขา มองไปที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ของอีกฝ่ายที่เพิ่งจะอยู่ในวัยหนุ่ม เขาถอนหายใจ พยักหน้า ก่อนจะตอบว่า “ใช่ฮะ ผมอยากจะดูดวงให้คุณ”

เขาทนไม่ได้จริง ๆ ที่จะปล่อยให้คนเก่ง ๆ เช่นนี้จากโลกนี้ไปเพียงเพราะแผนร้ายของใครบางคน

ปล่อยให้เขาได้ทำผลงานศิลปะที่น่าทึ่ง ปล่อยให้เขาได้ใช้เวลาทั้งในช่วงวันหยุดที่แสนจะน่าเบื่อเหล่านั้นจะดีกว่า

เต๋อชูเหอมองไปที่ใบหน้าของเขาอีกครั้ง ดึงบัตรประจำตัวลงในกระเป๋าเสื้อ แล้วค่อย ๆ เดินกลับมาอีกครั้ง

“คุณจะทำนายเรื่องอะไร อาชีพการงาน โชคลาค หรือชีวิตของผม”

“ไม่ ผมจะทำนายเส้นชีวิตของคุณ” เหอไป่กำจัดอารมณ์พิเศษใด ๆ ออกไปและพยายามทำตัวให้ลึกลับที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาเริ่มพยายามหลอกล่อโดยพูดว่า “ตอนผมเป็นเด็ก ผมอาศัยอยู่ใกล้กับวัดลัทธิเต๋า ผมโชคดีที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านดวงชะตาคนอื่นจากนักบวชท่านหนึ่ง ตอนนี้สิ่งที่ผมจะบอกเกี่ยวกับคุณก็คือ คุณจะกลายเป็นราชาจอเงิน ที่ยิ่งใหญ่ และเริ่มก่อตั้งบริษัทของคุณ นี่คือสิ่งที่เขียนไว้บนใบหน้าของคุณ”

เต๋อชูเหอยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของเขา “มีอะไรเขียนบนใบหน้าของผมงั้นเหรอ?”

ถูกต้องมันบอกว่าสองคำ – การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

เหอไป๋ถูกกล้องของเขาอีกครั้งและยังคงโกหกเขาต่อไปโดยพูดว่า

“ใบหน้าของคุณตรงระหว่างคิ้วมีขนาดใหญ่และกว้าง นั่นหมายความว่าคุณเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยมากและคุณควรจะมีโชคลาภมากมายในชีวิต แต่ริมฝีปากของคุณบางและมีไฝที่หู นั่นหมายความว่าชีวิตครอบครัวของคุณมีจุดบกพร่องเช่นกัน นอกจากนั้นสีหน้าและดั้งจมูกของคุณแปลได้ว่าในอนาคตคุณจะต้องเป็นคนที่ร่ำรวยและมีเกียรติอย่างแน่นอน แต่..”

เต๋อชูเหอกระตุ้นเขาด้วยความอยากรู้ โดยถามว่า “แต่อะไร”

“แต่ตรงกลางใบหน้าของคุณให้ความรู้สึกถึงความแตกสลาย ผมกลัวว่าคุณจะต้องเผชิญกับความโชคร้ายในวัยกลางคน” หลังจากที่เหอไป๋พูดจบ เขาเพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยการแสดงออกอย่างเคร่งขรึมเดินวนรอบตัวเขาเป็นวงกลม เขายกมือขึ้นทำท่าทางแปลก ๆ เพื่อจำลองการอ่านโชคลาภถอนหายใจและพูดว่า “โชคร้ายนี้อันตรายมาก หากคุรผ่านพ้นไปได้คุณจะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวย และไร้กังวล แต่ถ้าคุณทำไม่ได้..”

“จะเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” การแสดงออกและน้ำเสียงของเต๋อชูเหอสงบมาก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เชื่อว่า คนที่พูดถึงจะเป็นเขา

“คุณจะตายตั้งแต่ยังหนุ่ม” ในที่สุดเขาก็พูดถึงประเด็นหลัก เหอไป๋ก็ผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัวและพูดต่อไปว่า “โชคร้ายของคุณจะมาถึงเมื่อคุณอายุสามสิบห้าปี มันเกี่ยวข้องกับผู้หญิงและที่สูง ทิศทางของเหตุร้ายคือทิศตะวันออกเฉียงใต้ โอเค นั่นคือทั้งหมดที่ผมจะพูด หากเรามีชะตาต้องกัน คงได้พบกันใหม่”

ทุกอย่างที่เขาต้องการจะพูด ก็พูดมันออกไปหมดแล้ว หากจะพูดต่อไปอีก เขาจะต้องเปิดเผยบางสิ่งที่เขาไม่ควรเปิดเผย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเดินจากไป

เมื่อเต๋อชูเหอเห็นว่าเขากำลังจะจากไป เขาก็รีบวางมือลงบนไหล่ของเขาเพื่อหยุดไม่ให้เขาไป เขายิ้มอย่างจริงใจก่อนจะพูดออกมาว่า “คุณจะจากไปทั้งอย่างงั้นเหรอ? คุณจะไม่บอกวิธีหลบหนีโชคร้ายหรือให้อะไรเพื่อปกป้องผมเลยเหรอ? แล้วจะจากไปโดยไม่ทิ้งข้อมูลติดต่อเลยนี่นะ?”

เหอไป๋ดึงขาของตนที่เพิ่งจะเริ่มเดินออกไป หันกลับมาและตบบ่าเขา

“ผมบอกคุณมากขนาดนี้ก็เป็นการเปิดเผยความสวรรค์มากเกินไปแล้ว จำไว้คงทำความดีและสะสมกรรมดี นอกจากนี้หลีกเลี่ยงผู้หญิงและที่สูง แค่นี้คุณจะรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้ได้ ไม่จำเป็นต้องติดต่อกับผมหรอก คุณเป็นคนที่มีความสุข สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมปกป้องคุณ” หลังจากพูดสิ่งนี้แล้วเขาก็หันกลับมาและออกจากตรอกเล็ก ๆ ด้วยท่าทางสงบ แต่ก้าวเร็วมากไปยังป้ายรอรถเมล์ที่อยู่ใกล้ที่สุด

ทิ้งข้อมูลติดต่อของเขางั้นเหรอ? สิ่งที่เขาพูดในตอนนี้เป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น หากคุณคิดยอ่างรอบคอบเพียงพอ มีหลายอย่างที่ไม่สอดคล้องกัน ถ้าเต๋อชูเหอเขาอยู่ในวงการบันเทิงได้ดี ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่ใช่คนโง่ คำโกหกของเขาคงหลอกเขาได้เพียงครู่เดียว แต่ไม่อาจจะหลอกเขาได้ตลอดไป ดังนั้นการหนีออกมาโดยเร็วยังจะดีเสียกว่า เขาได้แต่หวังว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกันอีกในอนาคตและเขาจะไม่ต้องฝันร้ายถึงตอนที่เขาตกจากตึกนั้นอีก สภาพจิตใจของเขาเปราะบางและไม่สามารถทนต่อการฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนั้นได้อีก

เต๋อชูเหอเฝ้าดูเขาจากไป มุมปากของเขาค่อย ๆ ลดลง เขาหยิบบัตรประจำนักศึกษาออกมาจากกระเป๋าเสื้อดูแล้วพูดว่า “นักศึกษามหาวิทยาลัย Q…”

หลังจากส่งการบ้านของสัปดาห์นี้ไปยังอีเมลของซวีอิ๋นหลงแล้ว เหอไป๋ก็กลับไปที่หอพัก ทรุดตัวลงบนเตียง เขามองเงิน 500 หยวนสุดท้ายในมือ แล้วถอนหายใจอย่างเป็นห่วง

เขาจำเป็นต้องหาเงิน

สิ่งนี้อาจจะเรียกว่า จากยาจกสู่เศรษฐี และจากเศรษฐีสู่ยาจก

ก่อนที่เขาจะเกิดใหม่ เขาได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจากสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เขาถูกรางวัลมานานกว่าทศวรรษ เขาถูกรางวัลในปีที่เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรใส่ แล้วจะให้เขากลับไปทำงานพาร์ทไทม์ทั้งกลางวันและกลางวันเหมือนเดิมอีกได้อย่างไรกัน ไม่ใช่ว่าจะทนทุกข์ไม่ได้ แต่เขาได้เรียนรู้จากโลกนี้แล้วว่า มีวิธีการหาเงินอีกมากมาย

เมื่อนึกถึงเรื่องนี่ เขาจึงลุกขึ้นและนึกถึงแล็ปท็อปและปากกาที่ซ่อนอยู่ใต้หมอน โดยระบุชื่อโครงการพัฒนาที่มีชื่อเสียงหลายโครงการในเมือง B ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยแยกออกทีละโครงการ ข้อได้เปรียบของการเกิดใหม่ยังคงมีอยู่ แต่เขาไม่มีเงินทุนอยู่ในมือ แม้ว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจ แต่ก็ไม่มีที่ไหนให้เขาเริ่มต้นได้ อีกทั้งเขายังเชื่อในเรื่องกรรม ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากสิ่งต่าง ๆ ที่เขาจำได้ในอนาคตเพื่อแย่งชิงโอกาสที่ควรจะเป็นของคนอื่นไป

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาใช้ประโยชน์จากการรู้อนาคต แล้วแย่งชิงโอกาสของคนอื่น ก็คงจะลงเอ่ยด้วยการทำให้คน ๆ นั้นมีชีวิตที่ยากลำบากน่ะสิ จะดีกว่าที่จะใช้สิ่งที่เขามีและโอกาสที่เป็นของเขาเอง

…เขาเปิดปฏิทินที่หน้าสมุดบันทึกของตนและวาดวงกลมในวันที่สองปีต่อมา

หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เขาเริ่มทำงานที่หนังสือพิมพ์ภาคค่ำในเมือง B ตามคำแนะนำของอาจารย์ท่านหนึ่ง เขากลายเป็นนักข่าวฝึกหัดในแผนกการศึกษา เดิมทีนี่เป็นโอกาสที่ดี แต่เขาโชคร้ายพอที่จะได้นักข่าวเก่า ๆ ที่เลวร้าย เขาทั้งถูกข่มเหงและกีดกันทุกซอกทุกมุม การเลือกที่รักมักที่ชังในวงการหนังสือพิมพ์นั้นร้ายแรงมาก แต่การที่เขาเป็นบัณฑิตใหม่ที่โง่เขลา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาถูกขังไว้ใต้รถบัส ต่อมา…ต่อมาเมื่ออาชีพของเขามันยากเข็นและไม่สนุกเอาเสียเลย เขาออกมาแล้วซื้อสลากลอตเตอรี่ให้ตัวเอง โดยใช้ตัวเลขวันเกิดของเขาด้วยตั้งใจเพียงเพื่อความสนุกสนาน เป็นผลให้เขาได้รับรางวัลที่หนึ่ง และร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืน

หลังจากถูกล็อกเตอรี่เขางงไปชั่วขณะ นักข่าวคนเก่าคนเดิมนั้นพยายามจะยุ่งกับเขาอีกครั้ง จึงเกิดการชกต่อยกันขึ้น เขาได้ลาออกจากงาน และเดินทางท่องเที่ยวสถานที่ธรรมชาติทั้งภูเขาและแม่น้ำที่มีชื่อเสียงมากมายที่บ้านเกิดของตน หลังจากได้เห็นด้านมือของมนุษย์มากพอแล้ว เขาจึงอยากจะล้างตาด้วยทิวทัศน์ที่สวยงาม

เขาเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แล้วเริ่มคิดที่จะบันทึกเรื่องราวการเดินทางของตนเอง เพื่อเป็นที่ระลึกเมื่อแก่ตัวลง เขาจึงตัดสินใจซื้อกล้องและก้าวเข้าสู่โลกแห่งการถ่ายภาพอย่างเป็นทางการ

การถ่ายภาพเป็นงานอดิเรกที่ผลาญเงิน ไม่ว่าจะเป็น กล้องก็ต้องใช้เงิน เลนส์ก็ต้องใช้เงิน ขณะที่ไม่ได้ทำงานเพียงแค่มองหาแรงบันดาลใจในถ่ายภาพก็ยังต้องเสียเงิน แต่โชคดีที่เขาพอจะเป็นคนที่ไม่ขาดแคลนเงินและเต็มใจที่เรียนรู้ อีกทั้งยังเป็นช่วงที่ดีที่สุดของเขาอีกด้วย เมื่อนึกถึงตอนนี้ทักษะทางด้านเทคนิคในการถ่ายภาพของเขาล้วนเรียนรู้ผ่านการใช้เงินทั้งสิ้น

ความพยายามของเขาได้ผลอย่างช้า ๆ เขาเริ่มมีชื่อเสียงในด้านการถ่ายภาพ รู้จักกับผู้คนที่มีความสนใจเหมือน ๆ กัน และเริ่มมีความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ …แล้วเพียงคืนเดียวเข้าก็ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง

ทำไมฉันต้องมาเกิดใหม่ – ยังเป็นประโยคคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวเสมอมา

เขาเก็บสมุดและปากกา ทิ้งตัวลงนอนจากนั้นก็ม้วนตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม

“ทำไมมานอนอีกแล้วล่ะเสียวไป๋” เสียงของหวังหูดังขึ้นข้างเตียง จากนั้นเขาก็ดึงผ้าห่มออก

“เหลาซานจองร้านหม้อไฟเจ้าดังที่ถนนด้านหลังไว้ เขาบอกว่าจะเลี้ยงมื้อเย็นพวกเราล่ะ ตื่นเร็วเข้า”

หวังหูยิ้มให้เขาอย่างแห้ง ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “เขาอกหักอีกแล้วล่ะ”

เหอไป๋ขมวดคิ้ว “อกหักอีกแล้วเหรอ? กับใคร?” เขาจำได้ว่าเหลาซานอกหักในมหาวิทยาลัยเพียงครั้งเดียว เขาจะอกหักเป็นครั้งที่สองได้อย่างไรกัน? ปีกผีเสื้อที่เขาไม่กล้ากระพือ ก็ยังคงกระพือปีกอยู่ได้อีกงั้นเหรอ?

“กับหลิวฮวานฮวาน” เสียงของหวังหูฟังดูเหมือนเขากำลังสำลักพร้อมกับท่าทางที่บอกว่ามันยากที่จะพูดออกมา

“คราวนี้เป็นเหลาซานที่ทิ้งหลิวฮวานฮวาน เขาบอกว่าเขาอยากจะฉลอง”

“…”

 

ในอพาร์ทเม้นต์หรูแห่งหนึ่ง เต๋อชูเหอเปิดคอมพิวเตอร์ของเขา พร้อมกับค้นหาข้อมูลของมหาวิทยาลัย Q อย่างชำนาญพร้อมกับป้อนหมายเลขบัญชีของตนเอง จากนั้นเขาก็หยิบการ์ดบนโต๊ะทำงานป้อนหมายเลขประจำตัวนักศึกษาของเหอไป๋ แล้วคลิกปุ่มค้นหา

ข้อมูลพื้นฐานของนักศึกษาคนี้ก็ปรากฏขึ้น เขาคลิกที่ ID ที่เรียกว่า “ขาวและขาว” และสามารถดูโพสต์ต่าง ๆ เกี่ยวกับงานพาร์ทไทม์ที่มหาวิทยาลัยได้ประกาศบนหน้าจอ

เขาเป็นรุ่นน้องของฉันที่มหาวิทยาลัยนี้จริง ๆ คุณหมอดูไม่ได้โกหก

เขาเคาะโต๊ะคัดลอก ID แล้วย้อนกลับไปที่หน้าแรกของเว็บมหาวิทยาลัย เปิดแถบค้นหาชื่อของเขา

ข้อมูลเพิ่มเติมปรากฏขึ้นส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยข้อความที่เขาถามเกี่ยวกับงานพาร์ทไทม์ และตอบกลับคำแนะนำอาหารในร้านอาหาร ที่ด้านบนสุดของหน้าแรกโพสต์เกี่ยวกับการขายสินค้า ซึ่งเพิ่งโพสไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ช่างสะดุดตาเขา

ขาวและขาว : ขายลายเซ็นของราชาจอเงิน เต๋อชูเหอ ที่กำลังมีชื่อเสียง ราคาเริ่มต้น 10 หยวน

สิบหยวน?

นิ้วของเขาที่วางค้างบนเมาส์แข็งขึ้นเพียงครู่

หากไม่มีคนอื่นอยู่รอบตัวเขา นักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ผู้ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ตามต้องการ แล้วอารมณ์เขาก็แย่ลงในทันทีเมื่อมองไปที่คำว่า “ราคาเริ่มต้น : 10 หยวน”

“ฉันมีค่าแค่สิบหยวนเหรอ?”

นักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่มีความหลงตัวเองอยู่ภายในใจลึก ๆ ตะโกนออกมาดัง ๆ อย่างช่วยไม่ได้

“ฉันจะมีค่าเพียงสิบหยวนไปได้ยังไงกัน?”

เขาหยิบบัตรประจำตัวนักศึกษาขึ้นมาโดยไม่แสดงอาการขึ้นมาดู สักพักรอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา นิ้วเรียวยาวของเขาเลื่อนเมาส์ไปคลิกที่ปุ่มประมูลด้านล่าง และเสนอราคาหนึ่งพัน

“เหอไป๋” เขาคลายเมาส์จ้องมองชายหนุ่มหน้าตาดีผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มสดใสที่ติดอยู่บนบัตรประจำตัวนักศึกษา และอดไม่ได้ที่จะแหย่นิ้วเข้าไปที่ลักยิ้มบนแก้มซ้ายนั่น พร้อมกับพูดออกมาช้า ๆ ด้วยเสียงทุ้มว่า

“ฉันจะจำหน้าเธอไว้หนุ่มน้อย”

……….

 

แก้วเบียร์สี่ใบกระทบกันด้วยเสียงดังกริ๊ก

“ดื่ม!” หนิวจุนเจี๋ยตะโกนอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับดื่มเบียร์จนหมดแก้วในครั้งเดียว เขาวางแก้วลงแล้วพูดว่า

“ฉันได้ปลดปล่อยความแค้นมากมายแล้ว ฉันหยุดรถของพ่อที่ประตูด้านหน้าสถานีโทรทัศน์ตรงช่องที่มีชื่อของหลิวฮวานฮวาน เธอรีบวิ่งออกมาทันทีแล้วร้องไห้ บอกกับฉันว่าเธอเสียใจ แถมยังบอกอีกว่าเธอรักฉันจากใจจริง ส่วนเรื่องเป็นคู่รักกับผู้ประกาศข่าวชายนั้นเป็นสิ่งที่สถานีขอให้พวกเขาแกล้งทำ เธอทำไปเพราะถูกบังคับล่ะ”

เหอไป๋ช่วยเขาเติมแก้วอีกครั้งก่อนจะถามว่า “แล้วไงต่อ?”

“แล้วฉันก็จับมือเธอขึ้นมาด้วยความรัก” หนิวจุนเจี๋ยหยิบเบียร์ของเขาขึ้นดื่มในรวดเดียวหมดแก้วอีกครั้ง พร้อมกับหัวเราะอย่างเต็มที่

“แล้วฉันก็ถอดแหวนเพชรที่ฉันเคยให้เธอออก เอามันไปจำนำ แล้วเงินที่ได้ไปบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะสิ รู้สึกดีเป็นบ้า!”

เหอไป๋แสร้างทำเป็นไม่เห็นดวงตาแดงกล่ำของเขาและมือไปปัดไปปัดมามากเกินไปของเขา เขาส่ายศีรษะไปที่หวังหูที่ดูจะกังวลและเป็นห่วง พร้อมทั้งเติมแก้วให้หนิวจุนเจี๋ยให้เต็มอีกครั้ง เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“อะไรที่เก่า ๆ จากไป อะไรใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา ย่อมดีกว่าเดิม มา! ชนแก้ว!”

“ชนแก้ว!” หนิวจุนเจี๋ยเคาะแก้วของเขา ก่อนจะยกมันขึ้นหันไปทาง เฉินจี้และหวังหูที่ไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดเวลา และนั่งดื่มอยู่เงียบ ๆ “มาดื่มกันเถอะ ไม่เมาไม่กลับ!”

เฉินจี้และหวังหูมองหน้ากัน ส่ายหัวพร้อมเพรียงกัน แล้วยิ้มอย่างมีความสุข

“ได้ ไม่เมาไม่กลับ!”

ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อาคารบริหารโล่งเปล่าร้างผู้คน เหอไป๋เดินไปที่สำนักงานของซวีอิ๋นหลง เส้นทางที่อยู่ในความทรงจำของเขา เมื่อเห็นประตูเปิดอยู่แล้ว เขาจึงยื่นหน้าเข้าไป

“ยื่นหน้าเข้ามาทำไม ทำไมไม่เข้ามาข้างในล่ะ” ชายชราหน้าตาเคร่งเครียด นั่งอยู่หลังโต๊ะข้างหน้าต่าง เขาถอดแว่นตาแล้ววางรูปถ่ายที่เพิ่งพิจารณาลง แล้วโบกมือเรียก “เข้ามาข้างในแล้วนั่งตรงนี้สิ”

เขาพูดพร้อมกับชี้ไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน มุมปากของเหอไป๋ยกขึ้นยิ้มให้เขาอย่างประจบประแจง เขาเดินไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลงอย่างเรียบร้อย ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับแสดงลักยิ้มที่มุมซ้ายของแก้ม แล้วกล่าวทักทายขึ้น “อรุณสวัสดิ์ครับศาสตราจารย์ ทานอาหารเช้าหรือยังครับ”

ซวีอิ๋นหลงยกเปลือกตาขึ้นเพื่อมองเขาอีกครั้ง เขาขับภาพที่อยู่ในมือไว้แน่น “อย่าพยายามทำตัวเป็นนักศึกษาดีเด่นอยู่เลย ฉันเห็นอีเมลที่เธอส่งมาเมื่อวานแล้ว การบ้านด้านการถ่ายภาพของเธอที่ทำใหม่ ทำได้ดีทีเดียว” รอยยิ้มบนใบหน้าของเหอไป๋กว้างขึ้น

“ตอนนี้คุณควรอธิบายกับผมมาดี ๆ เห็นกันอยู่ว่าความสามารถในการถ่ายภาพของคุณดีขึ้นมาก มันเป็นเพราะอะไรกัน แล้วก่อนหน้านี้ทำไมไม่ทำดี ๆ ตั้งแต่แรก ธีมของผลงานก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะองค์ประกอบแสงเอย เงาเอย มันแตกต่างไปจากเดิม”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเหอไป๋แข็งขึ้น นี่น่ะเหรอคือสิ่งที่ศาสตราจารย์เรียกพบเขา

“คุณไม่สามารถอธิบายได้ในตอนนี้งั้นเหรอ? ไม่ไปไร ค่อย ๆ คิดหาข้อแก้ตัวก็ได้ ผมไม่ได้เร่งอะไร”

“…”

เหอไป๋ที่อายุสิบสามปี มีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักถอนหายใจกับสิ่งที่ผัวผวนของชีวิตตนเอง เขาพยายามจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ –เขารู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าเมื่อเขาได้ศูนย์สำหรับผลงานชิ้นนี้ และตัวเลขที่ว่างเปล่าในสมุดบัญชีธนาคารของตนเอง ใบหน้าของเขาก้มลงและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเขา

“ผมขอโทษครับ ผมทั้งจนและเงอะงะ”

ซวีอิ๋นหลงเอนหลังพิงเก้าอี้และเฝ้าดูเขาแสดงฉากตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ

“ตอนที่ผมถ่ายภาพผลงานชิ้นนี้สภาพอากาศไม่ค่อยดี กล้องที่ผมยืมมาก็มีปัญหา… ใช่ครับว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่ดีสำหรับจะเอามาแก้ตัว ผมผิดไปแล้วครับศาสตราจารย์ ที่ผมทำให้คุณผิดหวัง”

หลังจากเหอไป๋พูดจบ ศาสตราจารย์ก็ก้มศีรษะลง มองดูเด็กน้อยน่าเวทนา ที่พร้อมจะยอมถูกดุจากผู้ปกครองก็ไม่ปราณ

ซวีอิ๋นหลงหยุดรอสักพัก แต่ไม่ได้ยินเสียงเขาพูดต่อ เขามองไปที่เด็กหนุ่ม ก่อนจะถามขึ้น “คุณพูดจบหรือยัง”

เหอไป๋เงยหน้าขึ้นกระพริบตาสองสามครั้ง จากนั้นก็เสไปมองดอกไม้พลาสติกในแจกัน แล้วถามอย่างระมัดระวัง

“ถ้าอย่างนั้นผม…จะขอแก้ตัวอีกครั้งได้ไหมครับ”

บรรยากาศหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย

ซวีอิ๋นหลงสวมแว่นตา แล้วก้มศรีษะลง หยิบภาพที่เขาเก็บไว้ในอ้อมแขนออกมา เขาพลิกดูและเปิดปากพูด

“อืม มันก็พอจะมีทางเป็นไปได้ที่ฉันจะปรับเกรดให้เธอ”

ดวงตาของเหอไป๋เริ่มเป็นประกายขึ้น

“ถ่ายภาพอีกสองชุดแล้วเอามาส่งให้ฉัน” ซวีอิ๋นหลงหยิบรูปหนึ่งจากมือของเขาออกมา และวางไว้ตรงหน้าเขา เขาเคาะมันเบา ๆ และพูดว่า

“เอารูปประมาณนี้ 5 ภาพของทุกเซต และฉันต้องการทั้งหมด 10 ภาพ สำหรับ 2 เซต ส่งมาที่อีเมลของฉันภายในสุดสัปดาห์หน้า”

เหอไป๋ก้มศีรษะลงเพื่อดูภาพ จากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ

เต๋อชูเหอ!

นี่ไม่ใช่รูปที่เขาถ่ายตอนกดชัตเตอร์เมื่อวานโดยไม่ได้ตั้งใจใช่ไหมฒ มันมาลงเอยที่การบ้านของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่ภาพนี้ถ่ายได้ดีจริง ๆ เป็นภาพมุมเสยจากด้านล่าง องค์ประกอบหลักเอนตัวลงด้านล่างพร้อมกับแสดงอาทิตย์ในแนวทแยงที่ให้ความสว่าง และความหล่อของนายแบบที่สะท้อนอยู่ในเลนส์กล้อง…ทำให้ภาพมันสมบูรณ์แบบจริง ๆ!

“เธอรู้ไหม ทำไมภาพนี้ถึงเป็นภาพที่ดี”

เขาถูกเรียก ทำให้คืนสติจากการจมอยู่ในความคิดของตนเอง

“เป็นเพราะ…องค์ประกอบใช่ไหมครับ”

ซวีอิ๋นหลงมองไปที่เขาอีกครั้ง พร้อมกับส่ายหน้าและกางรูปถ่ายที่เหลือ ที่เขาเก็บไว้ใต้อ้อมแขน เขาวางทั้งหมดไว้ตรงหน้าแล้วชี้ไปที่รูปแต่ละใบ

“นี่คือรูปถ่ายในการบ้านเรื่องการแต่งหน้า โดยมีธีมคือผู้คน เห็นไหมว่าเธอถ่ายรูปเด็กผู้ชาย รูปเด็กผู้หญิง รูปคู่รักสูงวัย รูปคนเร่รอน และชายหนุ่มคนนี้ หากดูภาพถ่ายเหล่านี้ มุมมองด้านองค์ประกอบของเด็กชายตัวเล็ก ๆ ถูกถ่ายออกมาได้ดีที่สุด จากวิธีปรับความคมชัดของแสงและเงาภาพคนเร่รอนได้รับคะแนนเต็ม หากพูดถึงแนวความคิดภาพคนคู่รักสูงวัยทำให้เราเกิดไอเดีย สรุปง่าย ๆ รูปชายหนุ่มคนนี้เป็นภาพที่แย่ที่สุดในทางเทคนิค”

แน่นอนว่าภาพที่เขาสุ่มถ่ายมานั้นไม่มีเทคนิคอะไร กระนั้นเหอไป๋ก็พยายามอย่างหนักที่จะแสดงออกอย่างจริงจัง

“ผมขอให้ศาสตราจารย์ซวีบอกผมได้ไหมครับว่าทำถึงเป็นเช่นนี้” ก่อนที่เขาจะกลับมาเกิดใหม่ เขาประสบความสำเร็จอยู่บ้างในด้านการถ่ายภาพ แต่เขาเชี่ยวชาญในการถ่ายภาพทิวทัศน์ ไม่ใช่การถ่ายภาพบุคคล ในทางตรงกันข้ามกับซวีอิ๋นหลง ก่อนที่เขาจะมาเป็นศาสตราจารย์ เขาเคยเป็นนักข่าวและช่างภาพสารคดีที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น เขาถนัดการถ่ายภาพที่จับความสุข ความโกรธ ความเศร้า และความสุขของผู้คนที่เขาทำงานด้วย สไตล์ของเขากลายเป็นแนวของตัวเองและเขามีความสุขกับตำแหน่งสูงสุดในโลกแห่งการถ่ายภาพ

การมีช่างภาพระดับปรมาจารย์รุ่นพี่ยืนอยู่ตรงหน้า เขายังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก

ซวีอิ๋นหลงพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ในใจ เขาหันกลับไปหยิบชุดรูปถ่ายออกมาจากลิ้นชัก และกางออกบนรูปภาพชุดเดิม

นี่คือภาพที่เธอสำหรับการบ้านสัปดาห์นี้ ธีมคือ “ทิวทัศน์” ตอนแรกที่ฉันเห็นภาพถ่ายชุดนี้ ฉันรู้สึกทึ่งจริง ๆ ทักษะและเทคนิค องค์ประกองคอนทราสต์ แนวคิด…มันสมบูรณ์แบบจากทุกมุม ความรู้สึกเมื่อมองภาพดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้แทบจะในทันที เหอไป๋ แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าฝีมือของเธอคีบหน้าอย่างกะทันหันนี่มาจากไหน แต่จากภาพถ่ายชุดนี้ ดูแล้วเธอจะมีสไตล์ของตัวเองอยู่แล้ว เทคนิคของเธอก็สมบูรณ์แล้ว ฉันไม่มีอะไรจะสอนเธอในแง่นี้อีกแล้วไ

“ศาสตราจารย์ครับ…” เหอไป๋รู้สึกตัว

“เพราะงั้น ฉันจึงตัดสินใจให้การบ้านเธอแตกต่างจากเพื่อนคนอื่น ธีมของเธอคือ “คน” ฉันจะสนับสนุนอุปกรณ์ให้กับเธอเอง และทุก ๆ สัปดาห์ ฉันหวังว่าเธอจะส่งรูปถ่ายสองชุด ซึ่งฉันจะให้คะแนนด้วยตัวเอง”

“…ฮะ?”

ซวีอิ๋นหลงขมวดคิ้ว “อะไรกัน ฉันช่วยเธอแล้วนะ ยังไม่พอใจอีกเหรอ?”

การช่วยเหลือของช่างภาพมือฉมัง โอกาสที่นักศึกษาที่เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพฝันถึง เพราะเงินก็ไม่สามารถซื้อได้ เขาเป็นเพียงนักศึกษาจากแผนกวารสารศาสตร์ที่มีผลการเรียนในชั้นเรียนถ่ายภาพสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเขาได้รับโอกาสนี้จากไหน? อีกทั้งอุปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนอีก… นี่เป็นเหมือนกับพายที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าก็ว่าได้!…

“เปล่าฮะ ผมพอใจครับ” เขาวางมือบนโต๊ะด้วยความตื่นเต้น มุมริมฝีปากของเขายิ้มขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะบีบลักยิ้มที่แก้มซ้าย แล้วพูดว่า “ขอบคุณฮะศาสตราจารย์ ผมจะตั้งใจให้ถึงที่สุดครับ”

อุปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานเอกชน เท่ากับ เขาไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินจากมหาวิทยาลัย เท่ากับ เขาสามารถประหยัดเงินได้อีก เท่ากับ เขาสามารถประหยัดค่าเล่าเรียน เท่ากับ เขาสามารถกินเนื้อได้

ศาสตราจารย์ซวีเหมือนพ่อพระมาโปรดเสียจริง!

“อืม”ความตื่นเต้นที่เว่อร์วังของเขา สำหรับซวีอิ๋นหลง เขาเพียงแต่พยักหน้าอย่างสงวนท่าทีและชี้ไปที่กระเป๋ากล้องที่ตู้ใกล้ประตู เขาโบกมือไล่ พร้อมกับกล่าวว่า

“โอเค นำกล้องไปด้วยแล้วไปทำการบ้านมาซะ จำไว้ว่ารูปถ่ายห้ารูปสำหรับแต่ละชุด สองชุดคือสิงรูปนะ ถ้าฉันไม่พอใจ ฉันจะสั่งให้ทำซ่อมอีก เธอไปได้แล้ว”

เหอไป่ผงกศีรษะอย่างมีความสุขพร้อมกับหยิบกระเป๋ากล้องจากนั้นก็จากไป

 

ซวีอิ๋นหลงรอกระทั่งเขาจากไปจึงถอดแว่นสายตาออก เขาเก็บรูปถ่ายที่กระจัดกระจายบนโต๊ะทำงานอย่างระมัดระวังและรอยยิ้มบางเบาปรากฎบนใบหน้าที่จรงิจังและเข้มงวดของเขา เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดโทรหาเพื่อนเก่า

“เฮ้ เหลาเจียง ฉันเจอต้นกล้าที่มีความสามารถเข้าแล้วล่ะ…”

เหอไป๋นั่งยอง ๆ ที่ปลายถนนที่มีผู้คนมากมายเดินไปมา เขาหยิบกล้องขึ้นมา โดยไม่รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางโดยไม่รู้ตัว

จากการเดินทางไปที่สำนักงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาได้ข้อสรุปเพียงสามข้อคือ หนึ่งคะแนนของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง สองงานถ่ายภาพประจำสัปดาห์ของเขาได้เปลี่ยนเป็นสองชุดแทนที่จะเป็นชุดเดียว อีกทั้งธีม “คน” ก็เป็นหัวข้อที่เขาอ่อนที่สุดด้วย และสาม ศาตราจารย์ซวียังทิ้งปัญหาไว้ให้เขาและไม่ได้บอกคำตอบกับเขา เมื่อเขาจำได้ว่าโทรไปถามว่าเขาหมายถึงอะไร สิ่งที่เขาได้รับความความลึกซึ้งและลึกลับ “หาวิธีที่จะเข้าใจมันด้วยตัวเธอเอง”

เขาช่างมีคำพูดสำหรับการต่อรองจริง ๆ สุดท้ายแล้วภาพของเต๋อชูเหอที่จะต้องทำให้ดีกว่านี้ได้ยังไง

เขาเช็ดหน้า ยกกล้องขึ้นและเล็งกล้องไปยังฝูงชน

หนึ่งสัปดาห์ต่อมาสหารเก่าขงอเหอไป๋ในวัยแรกรุ่นก็ค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับชีวิตมหาวิทยาลัย เขาจำไม่ได้แม้กระทั่งงานพาร์ทไทม์ที่ทำอยู่ ณ ตอนนี้คืองานอะไร เขายกโทรศัพท์มือถือเปิดค้นเบอร์เพื่อโทรไปลาออกจากงานพาร์ทไทม์นั้น

ในวันเสาร์ที่เขาออกมาจากห้องทำงานของศาสตราจารย์ด้วยใบหน้ากังวลและขมขื่น เขานั่งรถบัสเพื่อออกจากมหาวิทยาลัยพร้อมกับถือกล้องไว้ในอ้อมแขน

ทักษะทางเทคนิคของเขาอยู่ในระดับที่ดีก็ว่า แต่เขาไม่สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณของภาพเหล่านั้นออกมาได้ จึงต้องทำงานซ่อมใหม่อีกครั้ง นี่คือผลการประเมินจากศาสตราจารย์ซวี หลังจากดูงานที่เขาไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา

เขาไม่สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณออกมาได้…เขาขมวดคิ้วจ้องไปที่รูปของเต๋อชูเหอ บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขาตนแทบจะตาถลน

จริงอยู่ว่าศาสตราจารย์ไม่ได้หมายความว่าภาพนี้มีจิตวิญญาณของเต๋อชูเหอ เขาไม่เพียงแต่หล่อเหลามากกว่าคนทั่วไป ขายาวกว่าปกติและคางที่ดูเข้าที แม้แต่มือ หรือแผงขาตาที่ยาวนั่น ต่างดูดีกว่าคนทั่ว ๆ อย่างมาก…

แต่ว่าดวงตาของเต๋อชูเหอในภาพดูไม่มีอารมณ์ แม้ว่าดวงตาจะดูอ่อนโยน แต่ดูเฉยเมยเมื่อจ้องมองผู้อื่น เขาเป็นคนที่มีความขัดแย้งอยู่ในตัวมากมาย… ความขัดแย้งงั้นเหรอ?

จู่ ๆ รถบัสสาธารณะที่เขานั่งก็เบรกกะทันหันอย่างแรง เขาจับเบาะด้านหลังไว้เพื่อทรงตัว ขณะที่ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

“ขอโทษที มีลูกหมาวิ่งออกมากลางถนนกะทันหันน่ะซี่” คนขับรถร่างท้วมวัยกลางคนกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงประหม่า ผู้โดยสารหยุดบ่นหลังจากได้ฟังเหตุผลของเขาและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไร

รถบัสค่อย ๆ เคลื่อนตัวอีกครั้ง

เหอไป๋นั่งในตำแหน่งที่เขาสามารถมองเห็นใบหน้าด้านข้างของคนขับได้จากกระจกมองหลัง เขามองไปที่ชายคนนั้นดวงตาเหี่ยวย่น แต่อบอุ่นและอ่อนโยน เขายกกล้องขึ้นโดยใช้รีเฟล็กซ์โดยไม่คำนึงถึงองค์ประกอบแสงหรือเงาแล้วกดชัตเตอร์ลง

แชะ!

เขาหายใจเข้าลึก ๆ เก็บกล้องกลับเข้าไปในกระเป๋าและลุกขึ้นไปยืนใกล้ประตูทางด้านหลัง หลังจากรถบัสจะเข้าจอดที่ป้ายถัดไป แล้วลงจากรถที่ป้ายนั้น

..เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น

“เต๋อ ชูเหอ คุณ!”

โลกช่างกลมเสียจริง แม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมผ้าปิดจมูกและหมวดปิดบังมาครึ่งหน้า แต่เหอไป๋ยังจำรูปร่างที่แตกต่างจากคนอื่นของเขาได้เป็นอย่างดี ก็เขานั่งดูรูปชายคนนี้มีหลายวันแล้ว ทั้งก่อนและหลังการเกิดใหม่ของเขา

เต๋อชูเหอถือถุงช้อปปิ้งขณะเดินผ่านชานชาลารถบัสหยุดก้าวและหันไปมองทางเขา

ดวงตาของพวกเขาทั้งคู่สบกัน และหยุดนิ่งเป็นเวลาสองวินาที ก่อนที่พวกเขาจะถูกบรรดาแฟนคลับวิ่งตาม พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อนักแสดงหนุ่มไปด้วย

คนกลุ่มหนึ่งวิ่งตาม อีกสองคนซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็ก ๆ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครตามแล้ว ทั้งคู่จึงหยุดวิ่งเพื่อหายใจเข้าลึก ๆ

“น่าตื่นเต้นจริง ๆ หะ…” เหอไป๋ปาดเหงื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัว

“ไม่ใช่ว่าคุณถ่ายละคนไปแค่สองเรื่องไม่ใช่เหรอ? แม้ว่าอีกหน่อยจะกลายเป็นราชาจอเงินก็เถอะ แต่ไม่คิดว่าจะมีแฟนคลับเยอะขนาดนี้ แค่เรียกชื่อคุณกลางถนน คนก็วิ่งแห่กันมาถึงขนาดนี้..”

เต๋อชูเหอเงยหน้าขึ้นพิงหลังกับกำแพง ถอดผ้าปิดจมูกออก เพื่อให้หายใจได้คงที่ เขาก้มศีรษะหยิบน้ำแร่ขวดหนึ่งจากถุงขายของชำแล้วพูดว่า “อะนี่”

เสียงลมหายใจที่ลึกและต่ำของเขาหลังจากวิ่งนั้นเซ็กซี่น่าดู

เหอไป๋ลูบที่หูของตนเอง เหลือบมองไปที่นิ้วยาวที่ถือขาดน้ำและกล่าวขอบคุณ

“ฉันเพิ่งจะย้ายมาที่นี่ได้ไม่ถึงสองวัน” เต๋อชูเหอยืนตัวตรง ทันใดนั้นเขาก้เปิดปากพูด

เหอไป๋มองเขาด้วยความสับสน

“คุณทำงานเก่งมาก”

“ครับ?”

“คุณหาที่อยู่ผมได้เร็วมาก”

“ครับ??”

“อย่าติดตามผมอีกต่อไปเลย ฮวางตู๋เขาเทผมแล้ว ถึงคุณจะมีข่าวเกี่ยวกับผม ก็ขายไม่ได้หรอก”

“…”

เต๋อชูเหอก้มลงมองตรงไปที่เขาและก้าวไปข้างหน้าเพื่อมองเขา ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะ

“คุณอายุเท่าไหร่? กลับไปเรียนต่อดีไหม อย่ามาเป็นปาปารัสซี่เลย มันไม่ใช่งานที่ดีหรอก ถ้าคุณอยากเป็นนักข่าว คุณกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยจะดีกว่า ถ้าผมเปิดบริษัทของตัวเองแล้ว คุณก็มาสัมภาษณ์งานกับผมได้ตลอดเวลาเลย” หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบนามบัตรยื่นให้เขา

ร่างกายของเหอไป่แข็งทื่อด้วยความตกใจ

คน ๆ นี้ ดูเหมือนจะแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้

ในช่วงชีวิตสุดท้ายของเขา เขาไม่เคยให้ความสนใจกับข่าวสารในวงการบันเทิงมากนัก เขารู้จักเต๋อชูเหอ เพราะเขาดังจากละโทรศัพท์และภาพยนตร์คลาสสิกหลายเรื่องออกกาศ และฉายซ้ำในช่วงฤดูร้อน บางครั้งก็เขาเขาให้สัมภาษณ์และแสดงความคิดเห็นผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น

มาตอนนี้เขารู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้เป็นมิตรอย่างมาก แม้ว่าเขาจะเป็นดาราดัง จึงไม่แปลกที่เขามีเพื่อนในวงการบันเทิงมากมายและยังเป็นที่เคารพต่อนักแสดงคนอื่น แต่ใครจะตีแผ่เรื่องราวดี ๆ อย่างจริงจัง ก็ปกติของวงการบันเทิงล่ะนะ ถ้าเจอคนมีเงินที่จะเลี้ยงดูได้ล่ะก็ ส่วนใหญ่ก็มักจะออกจากวงการบันเทิงกันทั้งนั้น

กระทั่งถึงช่วงเวลาที่เขาถ่ายภาพของอีกฝ่าย ขณะที่เขาตกลงมาจากตึกสูง สำหรับอีกฝ่ายแล้ว เขาก็เป็นเพียง นักแสดงที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพียงเท่านั้น แต่ตอนนี้เพียงเพราะรอยยิ้มเพียงครั้งเดียว ภาพของชายตรงหน้าที่อยู่ในความคิดของเขาก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง

“ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลยล่ะ” เมื่อเต๋อชูเหอ เห็นว่าเขานิ่ง ไม่ได้หยิบนามบัตรไป เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นและมองลงไปที่เหอไป๋ เพื่อถามว่า “คุณคิดว่าผมจะเปิดบริษัทของตัวเองไม่ได้งั้นเหรอ? ก็ใช่นะ ที่ตอนนี้ ผมถูกปิดกั้นงานในวงการบันเทิง ดูเหมือนจะถึงจุดจบของอาชีพนักแสดงของผมแล้ว…”

เขาใช้น้ำเสียงที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนในดวงตาของเขาที่ไม่เคยฉายให้ใครเห็นมาก่อน ดูเหมือนจะกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เขาพบกันครั้งแรก

เหอไป๋ถูกเรียกสติกลับจากความคิดของตนเอง ขมวดคิ้ว เขาลังเลเล็กน้อย กว่าจะลดศีรษะลงเพื่อหยิบบัตรนักศึกษาออกจากกระเป๋า เขายื่นมันออกไปอย่างจริงยัง พร้อมกับพูดว่า “ผมไม่ใช่ปาปารัสซี่ ผมเป็นนักศึกษาปีสอง แผนกสื่อสารมวลชนของมหาวิทยาลัย Q สองครั้งที่เราพบกันมันเป็นเพียงความบังเอิญฮะ แล้วที่สำคัญ อาชีพในวงการของคุณยังไม่สิ้นสุดหรอก ในอนาคตคุณจะได้รับรางวัลมากกว่าสิบรางวัลสำหรับราชาจอเงิน คุณจะสามารถตั้งบริษัทของคุณได้ และประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมบันเทิง มันจะตรงกันข้ามกับคนที่ดูถูกคุณและคุณที่ดูถูกตัวเองอยู่ตอนนี้ คุณเต๋อชูเหอ คูรจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนครับ”

คราวนี้เต๋อชูเหอถึงกับตะลึง เขารู้สึกแย่เมือ่ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เขาเบื่อมากที่ต้องรับมือกับแม่เลี้ยงร้าย ๆ และลูก ๆ ของเธอ เขาจึงตัดสินใจถอยทัพก้าวออกมาอยู่เพียงลำพัง เขาคิดที่จะตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพ่อ พร้อมกับสละสิทธิ์ในมรดกและปล่อยให้แม่เลี้ยงปิดกั้นเขาจากงานทุกอย่างเพื่อให้พ่อของเขารู้สึกผิดหวัง

สุดท้ายเขาก็ได้ออกมาอยู่คนเดียว เหมือนว่าแผนการของเขาจะประสบความสำเร็จแต่มันก็เป็นเพียงความสำเร็จในช่วงสั้น ๆ ที่ได้รับอยู่อย่างเงียบสงบและมีอิสระ แต่ความสบายใจที่คิดว่าจะมี ไม่เคยปรากฏขึ้นในเส้นทางแห่งการล่าถอย เขาถูกตัดขาดจากงาน อนาคตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน บางครั้งเขาก็สงสัยเช่นกันว่าแผนที่เขาวางไว้นั้นไร้ประโยชน์หรือไม่ นอกจากแม่เลี้ยงและลูก ๆ ของเธอแล้ว ทุกคนที่พบปะกับเขาต่างยกย่องและมีท่าทีอ่อนโยนกับเขา แต่นั่นเป็นเพียงการเผชิญหน้ากันเพื่อผลประโยชน์

เมื่อเขาพบกับปาปารัสซี่ คนนี้เป็นครั้งแรก เขาเชื่อว่านี่คงเป็นกับดักของน้องสาว ลูกติดของแม่เลี้ยงคนใหม่ของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าจะมีอันตรายหากไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายหาอะไรมาแบล็กเมล์เขาได้ เขาจึงหยิบยื่นความปรารถนาดีให้อีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ

เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง ทุกการแสดงของเขาไร้ที่ติ แต่คราวนี้เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าสิ่งที่เขาแสดงอยู่นั่น จะมีผู้ชมตอบรับผลงานของเขามากเพียงใด

“คุณคิดว่าผมจะประสบความสำเร็จจริง ๆ เหรอ”

เขาเอื้อมมือไปหยิบบัตรประจำตัวนักศึกษาที่อีกฝ่ายส่งมาให้ดูข้อมูล เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ทันใดสีหน้าอ่อนโยนของเขาก็แฝงไปด้วยความชั่วร้าย

“คุณเป็นแฟนคลับผมเหรอ?”

เหอไป๋ขยี้ตา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงแสดงสีหน้าอ่อนโยน เขาตกอยู่ในความสับสน ก่อนจะส่ายหัวเพื่อปัดเป่าความสงสัยก่อนหน้านี้เกี่ยวกับสิ่งที่เผลอพูดไป

“ครับ คุณจะประสบความสำเร็จ” คำถามประมาณนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกอึดอัดใจและอับอาย

เต๋อชูเหอมองไปที่คิ้วบาง ๆ ของเขาและลักยิ้มที่ปรากฏทางด้านซ้ายของใบหน้าขณะที่เขาพูด ทันใดนั้นอารมณ์ร้ายของเขาก็ผ่อนคลายขึ้นมาก เขาเก็บบัตรประจำตัวไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะโบกมือให้

“ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ถ้าชะตาต้องกัน คงได้พบกันอีก”

“หากชะตาต้องกัน… รอเดี๋ยว” เหอไป๋ตะโกนใส่อีกฝ่ายให้หยุด

เขาพิจารณาคำพูดของเขาสักครู่ ก่อนจะถามว่า

“ราชาจอเงิน คุณต้องการให้ผมดูดวงให้คุณไหม?”

หมายความว่าไง ที่บอกว่าผมได้เกิดใหม่?

เหอไป๋จ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความตกใจ มือของเขาสั่นขณะที่เขาขยายภาพที่ตนเองเพิ่งจะนำเข้าสู่คอมพิวเตอร์ของตน

ภายในภาพ มีฉากที่สวยงามของสถานบันเทิงยามค่ำคืนของเมือง แสงไฟจากบ้านและดวงดาวนับหมื่นดวง กระจายอยู่ที่ขอบฟ้า พร้อมด้วยแสงดาวจากธรรมชาติอันนุ่มนวลและอ่อนโยน แสงไฟประดิษฐ์ที่หรูหราผสมผสานเข้าด้วยกันราวกับกำลังส่องแสงแข่งกัน

 

นี่เป็นภาพถ่ายที่ประสบความสำเร็จอย่างมากของทิวทัศน์ยามเย็นซึ่งเข้ากับธีมหลักของนิทรรศการภาพถ่ายนานาชาติ, ท้องฟ้า ซึ่งจัดโดยจ้าวเทียนหู ช่างภาพชื่อดัง สามวันที่เขาตั้งแคมป์บนภูเขาเพื่อถ่ายภาพนี้ เวลาที่ใช้ไป ไม่เปล่าประโยชน์เลยจริง ๆ

แต่ตอนนี้ ภาพเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือมุมของภาพนี้ถัดจากหอนาฬิกาที่สูงที่สุดของเมือง H มองเห็นร่างมนุษย์กระโดดลงมาจากชั้นที่สูงที่สุดของอาคารขนาดใหญ่

จู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เรียกให้เขาออกจากความคิดนั้นแล้ว เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรเขา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ

“ลุงจ้าง ผมถ่ายติดภาพบ้า ๆ อะไรสักอย่างมาล่ะ”

“นายถ่ายภาพอะไร” จ้าวเทียนหู ถามด้วยเสียงแหบที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา น้ำเสียงที่เบาแสดงให้รู้ถึงอารมณ์ที่มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด

“ดูเหมือนว่าช่างภาพคนใหม่ของเรา คุณเฉียวเหอ จะทำให้ชายแก่คนนนั้นประทับใจ หืม? แล้วเกิดอะไรขึ้น นายเห็นภาพหลอนหลังจากถ่ายภาพรึไง”

“เปล่าครับ” คอของเหอไป๋แห้งตึงเล็กน้อย เขากลืนน้ำลายและพูดต่อ “เหมือนว่า…ผมจะถ่ายติดฉากฆาตกรรม”

“ว่าไงนะ?”

นักแสดงภาพยนตสบชื่อดัง คุณเต๋อชูเหอ กระโดดตึกฆ่าตัวตาย!

ข่าวดังนี้กลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว โดยครองตำแหน่งพาดหัวข่าวหน้าแรกของทุกเว็บไซต์ข่าวออนไลน์แฟน ๆ และผู้ผ่านเข้ามาเห็นข่าวนั้นต่างตั้งคำถามว่านี่เป็นเพียงเรื่องตลกของวันเอพริลฟูลส์หรือไม่ ไม่ก็ด่าว่าสำนักงานข่าวที่เอาความตายของนักแสดงชายชื่อดังคนนี้มาล้อเล่น

ไม่มีใครเชื่อว่าเต๋อชูเหอจะฆ่าตัวตาย เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ ทั้งอ่อนโยนและมีพลัง สิบห้าปีหลังจากเปิดตัว เขาได้ทำผลงานที่ยอดเยี่ยมมากมายมาสู่ผู้ชม อีกทั้งยังก่อตั้งบริษัทที่ส่งเสริมให้นักแสดงรุ่นน้องที่มีความสามารถมากมายได้เข้าวงการบันเทิง ความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่น ๆ เป็นไปด้วยดีในธุรกิจบันเทิง ไม่มีใครเลยที่จะคิดร้ายต่อเขา คนแบบนี้ที่แม้จะถูกพักงานในวงการบันเทิง แต่ยังสามารถทำงานหนักเพื่อไล่ตามความฝัน แล้วเขาจะตัดสินใจฆ่าตัวตายได้อย่างไรกัน! ที่สำคัญไปกว่านั้นเขาเพิ่งจะอายุ 35 ปีเท่านั้น ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ ๆ

คำถามบ้า ๆ จากแฟน ๆ ของเขาท่วมท้นในโลกอินเทอร์เน็ต ทุกคนคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องตลกร้าย แต่ข้อความที่ส่งจาก weibo อย่างเป็นทางการของ บริษัทฮวาดิ้ง ทำให้พวกเขาต่างเสียใจอย่างสุดซึ้ง

[ด้วยความเจ็บปวดและเศร้าโศกอย่างยิ่ง พวกเราขอส่งประธานเต๋อชูเหอ ไปสู่สุขคติ ขอให้หลับสบาย]

อินเทอเน็ตทุกเว็บดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ ข่าวจาก weibo อย่างเป็นทางการของ บริษัทเขาเอง ทำให้ทุกคนรู้ว่านี่คือความจริง

“ไม่ ฉันไม่เชื่อ” เต๋อชิวเหอ น้องสาวคนเล็กของเต๋อชูเหอร้องไห้ ล้มลงไปกองกับพื้น เธอร้องไห้อย่างหนักทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้าเลอะพร้อมกับผมที่ยุ่งเหยิง กระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ของเธอปกคลุมไปด้วยฝุ่นหลังจากที่เธอลงไปนั่งกับพื้น

“นั่นไม่ใช่พี่ชายของฉัน พี่ชายของฉันเขาจะเป็นแบบนี้ไม่ได้…”

อีกด้านหนึ่งของเลนส์กล้องที่ลั่นชัตเตอร์ภาพน้องสาวของเต๋อชูเหอที่กำลังนั่งร้องไห้บนพื้น โดยมีบรรดาสื่อมวลชนยืนล้อมรอบ เสียงร้องไห้ของเธอทำให้ผู้ได้ฟังต่างรู้สึกเศร้าและเวทนาเธอยิ่งนักเมื่อพวกเขามองไปยังเธอ

 

ตำรวจหญิงท่านหนึ่งปิดมือถือที่เธอใช้ดูข่าวด้วยสีหน้าเคร่งพร้อมกับยิ้มเยาะ

“ความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่พี่ชายของคุณ และพี่ชายเพียงคนเดียวของคุณคือ เต๋อเซียะซง น้ำตาของคุณดูเป็นเรื่องจริงนะ แต่ใครก็รู้ว่าเต๋อชูเหอไม่ได้มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับน้องสาวลูกติดคนนี้ เธอที่ทั้งเสแสร้งและเจ้าเล่ห์ย่อมรู้ว่าต้องทำตัวยังไง”

เมื่อเห็นฉากนี้เข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ เหอไป๋กระแอมไออย่างเชื่องช้าและเอนตัวลงเล็กน้อย

“เออ ขอโทษครับ ผมมาให้แจ้งความเรื่องคดีครับ”

ในที่สุดตำรวจก็สังเกตเห็นว่ามีคนยืนอยู่หน้าดต๊ะ รีบวางโทรศัพท์มือถือของเธอไว้บนโต๊ะ และยิ้มให้เขาด้วยความเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ขอโทษคะ คุณมาแจ้งความเรื่องอะไรคะ”

“ผมคิดว่านี่เป็น การฆาตกรรมครับ” เหอไป๋แสร้งทำเป็นไม่เห็นทาทางก่อนหน้านี้ของเธอ

เขาดึงรูปถ่ายออกมาวางตรงหน้าเธอและชี้ไปที่ภาพขยาย

“ผมเป็นช่างภาพครับ เมื่อสองวันก่อนผมอยู่บนภูเขาที่ชานเมืองเพื่อถ่ายภาพทิวทัศน์ยามค่ำคืน ผมถ่ายภาพนี้ได้โดยบังเอิญและรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย”

ในภาพถ่ายที่ขยายใหญ่เห็นร่างคนกระโดดลงมาจากหน้าต่าง ขณะที่หลังม่านหนังต่างนั้นมีแขนสีขาวขยับเข้าไปข้างใน

หลังจากเห็นภาพนี้ตำรวจหญิงก็ลุกขึ้น พร้อมกับจ้องมองไปที่ร่างของคนในภาพ สีหน้าของเธอบิดเบี้ยว

“ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย…”

“หะ ครับ?” เหอไป๋รู้สึกสับสนกับสภาพที่กระวนกระวายใจของเธอ

ตำรวจหญิงไม่ตอบ เธอพลิกภาพขยายอีกภาพขึ้นมาแล้ววิ่งไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าที่อยู่ด้านหลังอย่างตื่นเต้น

“หัวหน้าคะ มีหลักฐานสำคัญคะ เต๋อชูเหอไม่ได้ฆ่าตัวตาย เขาถูกฆาตกรรม มีคนนำหลักฐานมาให้ค่ะ”

อะไรนะ? เต๋อชูเหอเหรอ? เงาดำในภาพถ่ายนั้นคือ เต๋อชูเหอเหรอ? นักแสดงนำชายของเรื่อง Immortal Way เต๋อชูเหอคนนั้นเหรอ?

เหอไป๋รู้สึกเหมือนไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ อยากจะเดินเข้าไปถามรายละเอียดให้มากกว่านี้ เขาบังเอิญเคาะปฏิทินบนโต๊ะทำงานของตำรวจ ปฏิทินกระแทกพื้นเสียงดังอู้อี้ มีรูปถ่ายเก่า ๆ หลายรูปตกลงที่พื้น รูปหนึ่งหล่นลงมาข้าง ๆ เท้าของเขา

เขาหยุดและหยิบภาพนั้นขึ้นมา

นี่เป็นภาพของชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชายหนุ่มในวัยประมาณยี่สิบปี ใบหน้าของชายคนนี้สมบูรณ์แบบ ดวงตาของเขาอ่อนโยนและมีรอยยิ้ม สวมเสื้อเบสบอลสีขาว เพิ่มความสง่างามให้กับผู้ที่สวมมัน

คนในภาพนั้นคือ เต๋อชูเหอ และเขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าคน ๆ นี้ตายไปแล้ว และดูเหมือนว่าเขาอาจจะเพิ่ง…ถ่ายรูปชายคนนี้ขณะที่เขาเสียชีวิตไว้ได้

เหอไป๋ลืมตาขึ้นและมองไปที่เพดานห้องนอนที่คุ้นเคยแต่ตอนนี้เหมือนจะไม่คุ้นเคย เขาพลิกตัวดึงผ้าห่มคลุมศีรษะและหลับตาลงอย่างเจ็บปวด

“ไม่ ตอนนี้ฉันอายุสามสิบสามแล้ว ไม่ใช่ยี่สิบ ไม่ใช่ยี่สิบ…”

“เสี่ยวไป๋ ลงมากินข้าวได้แล้ว!”

เขาดึงผ้าห่มพยายามหลอกตัวเองให้เชื่อว่าสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินเป็นเพียงเพราะเขาหูฝากไปเอง

“แกต้องทำการบ้านเรื่องการถ่ายภาพวันจันทร์นี่ ตื่นเร็ว ฉันยืมอุปกรณ์มาให้แล้ว” หวังหู อายุมากที่สุดในหอพักเหลาต้า เขากางแขนออกแรงดึงผ้าห่ม

“ครั้งก่อนก็ได้ศูนย์กับไองานถ่ายภาพนี่ทีแล้ว เพราะงั้นนายต้องไปซ่อมซะ แล้วก็ขอร้องศาสตราจารย์ซวีให้เขาให้โอกาสอีกครั้งด้วยล่ะ นายต้องรีบทำคะแนนนะ เร็วเข้า”

เมื่อดึงผ้าห่มออก เหอไป๋ก็ลืมตาขึ้นนั่งขดเหมือนอยู่ในรัง มองไปที่ด้านข้างใบหน้าของหวังหูที่ดูอ่อนเยาว์ลงอย่างน้อยสิบปี ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

 

เป็นเวลาสามวันแล้ว เขาไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป

เมื่อสี่วันก่อนเขาได้นำรูปถ่ายจำนวนหนึ่งไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความคดีถ่ายรูปติดคนถูกฆาตกรรม เมื่อเขาเผลอเคาะปฏิทินของตำรวจหญิง และมองไปที่รูปถ่ายที่หลุดออกมาจากปฏิทิน…เขาหลับตาเพียงวินาทีเดียวเท่านั้น เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่สถานีตำรวจ เขาพบตัวเองอยู่ในห้องเรียน

จากอายุสามสิบสาม เข้าย้อนไปที่อายุยี่สิบปี จากเงินออมหกล้านเหลือเพียงหกร้อย จากช่างภาพที่คาดหวังกับผลงาน ย้อนมาเป็นนักศึกษาวารสารศาสตร์ที่มีผลการเรียนอันย่ำแย่ในชั้นเรียนถ่ายภาพ…ในพริบตา ดวงตาทั้งโลกดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“โอเค โอเค ร่างเริ่มเข้าไว้ มันเป็นงานเดียวเท่านั้น ใครไม่รู้จะคิดว่านายเพิ่งอกหักหรือเป็นอะไรสักอย่าง”

หวังหูเคาะที่ราวเตียงเพื่อเกลี้ยกล่อมเขาต่อไป

“ปกติแล้ว คะแนนจะอยู่ที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเกรดสุดท้ายเท่านั้น หากนายทำใหม่ นายต้องได้รับทุนการศึกษาต่อแน่ ไม่ต้องเศร้าไปหรอก”

เหอไป๋ส่ายศีรษะและพูดอย่างไร้ความปรานีว่า “บ้าเหรอ ฉันน่ะเหรออกหัก”

“อะไร?”

“นั่นมันเจ้าเหลาซานต่างหากล่ะ”

หวังหูสับสน

“เหลาซานน่ะเหรออกหัก? มันมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

ทันทีที่เขาพูดประโยคนี้จบ เหลาซานก็ระเบิดเสียงสะอื้นออกมาจากประตูพร้อมกับสะอึก พร้อมกับล้มลงดิ้นกับพื้น เขากอดต้นของของหวังหู “ชาวหอ ฉันถูกทิ้ง หลิวฮวานฮวาน เธอนอกใจฉัน เธอนอกใจฉัน! ฉันทำดีกับเธอทุกอย่าง เธออยากได้อะไรฉันก็หามาให้ทุกอย่าง เธอบอกให้ฉันทำอะไรฉันก็ทำตาม ทำไมเธอต้องทิ้งฉันด้วย ทำไมเธอต้องทำกับฉันแบบนี้”

หวังหูตะลึง “หลิวฮวานฮวานเหรอ? ดอกไม้ของวงการวิทยุและโทรทัศน์น่ะเหรอ? นายเคยเดทกับเธอเหรอ?”

หนิวจุนเจี๋ยก้มศีรษะลงและโยนรองเท้าของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าของหวังหูบิดเบี้ยว เหมือนเพิ่งกินมะนาวรสเปรี้ยว

กลิ่นเหม็นลอยขึ้นแตะจมูก เหอไป๋บีบจมูกและล้มลงนอนบนเตียง

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความฝัน…แล้วทำไมฉันถึงกลับมาเกิดใหม่?

หลังจากช่วยหวังหูจัดการกับหนิวจุนเจี๋ยที่เงียบลงแล้ว เหอไป่ก็กลับมารับประทานอาหารกลางวันของตนเองสองสามคำ แล้วหยิบกล้องที่หวังหูยืมมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะออกไปเรียน

กางเกงขากระดิ่ง กระโปรงลายตารางหมากฮอส แว่นตาขอบดำ …ทั้งหมดนี้ยังเป็นแฟชั่นของทศวรรษนี้ แต่ในสายตาของเขามันตกยุคไปแล้ว เขาหายใจเข้าลึก ๆ นั่งยอง ๆ อยู่ข้างถนน ยกกล้องขึ้นอย่างสบาย ๆ และเล็งไปที่ฝูงชนในขณะที่ปรับโฟกัสอย่างชำนาญ เมื่อเขาพบมุมที่เหมาะสม เขาก็กดชัตเตอร์ลง

แชะ

ภาพดังกล่างถูกถ่ายขึ้น เมื่อรถ suv สีดำคันหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า ทำให้ฝุ่นฟุ้งขึ้นจากถนน

เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ควรจะเป็นแบบหลักขององค์ประกอบ ถูกแทนที่ด้วยภาพเบลอของรถ คิ้วของเหอไป๋กระตุกและยกมือขึ้นโบกปัดฝุ่นไปมา เพื่อหลบฝุ่นมองไปที่รถ suv ที่จอดอยู่ข้างหน้าเขาเพียงสองก้าว

ประตูหลังของรถถูกเปิดออกและขายาวเหยียดได้ก้าวลงมาจากรถ

รองเท้าผ้าใบแบบเรียบ ๆ กางเกงยีนส์เรียบ ๆ เสื้อยืดลายกราฟฟิคสีขาวไหล่กว้าง ลำคอเรียวยาว คางพอดีกับริมฝีปากบางเม้มแน่น สันจมูกโด่งสูง… และดวงตาที่อ่อนโยนอย่างเป็นธรรมชาติ

ดวงตาของเหอไป๋เบิกกว้างเล็กน้อย ด้วยความตกใจกับใบหน้าของคนตรงหน้า เขาคือ เต๋อ…เต๋อชูเหอเหรอ?

“อย่าคิดนะว่ามีชื่อเสียงขึ้นมาเล็ก ๆ น้อย ๆ จะทำให้นายมีโอกาสพลิกผันในชีวิตนี้ได้ ฝันไปเถอะ!”

เสียงผู้หญิงโวกเวกดังลอดมาจากรถ กระเป๋าเป้สะพานหลังถูกโยนออกไปตามด้วยร่างของเด็กผู้หญิงอายุสิบสามหรือสิบสี่ปี เอนออกมาจากรถไปทางเต๋อชูเหอที่ยืนอยู่นอกรถ

“คนเดียวที่เป็นทายาทของฮวางตู๋ได้คือพี่ชายของฉัน นายก็รอให้ทุกคนในวงการบันเทิงหันหลังให้ก็แล้วกัน คนขับ ออกรถ!”

รถ suv ออกตัวไป เหอไป๋มองไปที่เต๋อชูเหอ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา และพยายามปิดบังตัวตน

ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรจะเห็นเข้าแล้ว…

แชะ! มือของเขาเผลอกดชัตเตอร์เข้า

เต๋อชูเหอหันกลับมามองเขา

เหอไป๋ยัดกล้องกลับเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างเคยชิน จากนั้นก็รู้ว่ามันดูงี่เง่าแค่ไหน เขาจึงดึงกล้องออกมาอีกครั้ง หันหน้าไปทางเต๋อชูเหอ มุมปากของเขากระตุกขณะที่เขาพูดว่า “พื้นมันสกปรกนะครับ กระเป๋าของคุณ…” เขาชี้ไปที่กระเป๋าเป้สีดำข้างเท้าของเขาที่เด็กสาวคนในรถเมื่อครู่โยนทิ้งไว้ตรงนั้น

เต๋อชูเหอถอนสายตาจากเขา แล้วลดศีรษะลงหยิบกระเป๋าขึ้นจากพื้น ตบมันสองสามครั้ง แล้วย้อนกลับมามองเขาอีกครั้ง

มันช่างน่าอึดอัดเสียจริง ที่ปล่อยให้คนอื่นเห็นช่วงเวลาอับอายของตนเอง เขาถามอย่างห้วน ๆ ออกไปว่า

“คุณมาจากสำนักข่าวไหน?”

“หะ?”

“ต่อไป อย่าถ่ายภาพในระยะประชิดแบบนี้อีก เดี๋ยวได้โดนใครเขาตีเอาหรอก” เต๋อชูเหอวางกระเป๋าของเขาลง แล้วเรียกรถแท็กซี่ ก่อนจะก้าวขึ้นรถไป

หลังจากที่เหอไป๋ยืนนิ่งโดยถูกควันจากท่อไอเสียของแท็กซี่คันก่อนหน้าพ่นใส่ เขามองไปที่กล้องในอ้อมแขนของเขาและรั้วว่าสายเกินไปที่จะแก้ตัว

“เฮ้! คุณจะพูดอะไร ผมไม่ใช่ปาปารัสซี่นะ”

(One Useless Rebirth) เกิดใหม่อีกครั้งอย่างไร้ [Yaoi]

(One Useless Rebirth) เกิดใหม่อีกครั้งอย่างไร้ [Yaoi]

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset