My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม 501-596

ตอนที่ 501-596

 

TL note:

มีเรื่องต้องแจ้งผู้อ่านเรื่องนี้ทุกท่าน

นิยายเรื่อง คฤหาสน์สยองขวัญ… ของผม เรื่องนี้ มีลิขสิทธิ์ในประเทศไทยแล้ว

ดังนั้นผู้แปลจะลงตอนใหม่นี้เป็นตอนสุดท้าย

ต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ให้การสนับสนุนกันมาตลอดสองปีกว่านี้ด้วย

ไว้พบกันในเรื่องถัดไป

ขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ

 

 

 

ความรู้สึกประหลาดจากด้านหลังคอของเขานั้นชัดเจนมากขึ้น ดวงตาของเฉินเกอขยับไปจากกระจกและมองไปด้านหลังตัวเองช้า ๆ เส้นผมปัดผ่านปลายจมูกของเขา เฉินเกอเจอกับใบหน้าน่ากลัวและดวงตาคู่หนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความชั่วร้าย

ผู้ชายคนหนึ่งยืนกลับหัวทิ้งตัวลงมาจากเพดานอยู่ด้านหลังเฉินเกอ มองมาที่เฉินเกอด้วยใบหน้าที่กลับทิศกลับทาง!

ในห้องน้ำ ‘ผีสิง’ ผู้ชายคนหนึ่งถูกดึงดูดด้วยกระจกที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างประหลาดที่ด้านหลังคอ เขาหันกลับไปและเห็นสายตาจับจ้องมาจากใบหน้าที่ห้อยหัวลงมา ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ต้องตกใจที่เจออะไรเช่นนี้

ฉู่ชางหลินที่ซ่อนอยู่ในห้องน้ำนั้นทำหูตั้งรอฟังเสียงกรีดร้องของผู้เข้าชมอย่างมีความสุข แต่ว่าเขารออยู่เป็นนาน ทั้งหมดที่ได้ยินก็คือเสียงเงียบงันอย่างน่าขนลุก

ที่ช่องว่างติดกับขอบกระจก ด้วยตะเกียงที่ตรงมุมห้องน้ำ ฉู่ชางหลินมองเห็นเงาร่างหนึ่งในความมืด เขาตัวสูง มือข้างหนึ่งสอดเอาไว้ในกระเป๋า และมืออีกข้างถือกระเป๋าสะพายหลังเก่า ๆ เอาไว้

เวลาเหมือนหยุดนิ่ง จนผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ฉู่ชางหลินก็เห็นผู้ชายคนนั้นยกมือขึ้นช้า ๆ ตอนที่เขาคิดว่าผู้ชายคนนั้นกำลังจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมา ฝ่ามือของชายคนนั้นก็ยืนไปหาใบหน้าที่ห้อยอยู่ด้านหลังตัวเอง

“แค่หุ่นหรอกเหรอ? น่าแปลก ทำไมหุ่นนี่ถึงมีสายตาสิ้นหวังขนาดนี้ได้กัน?” ผู้ชายคนนั้นพึมพำกับตัวเอง เขาดูเหมือนจะถูกบางอย่างดึงดูดความสนใจไป เขาวางกระเป๋าสะพายหลังลงและใช้มือทั้งสองข้างตรวจสอบกะโหลกศีรษะที่ห้อยกลับหัวลงมาอย่างละเอียด

ปลายนิ้วลูบไปตามแก้มของหุ่นราวกับรักใคร่ก่อนที่ขยับไปยังดวงตาและขนตาของมัน เห็นแล้วฉู่ชางหลินที่ซ่อนอยู่ด้านหลังกระจกก็รู้สึกถึงความเย็นที่แผ่ไปทั่วร่าง ความคิดน่ากลัวมากมายลอยเต็มสมองของเขาและมือที่ถือรีโมทเอาไว้ก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

เฉินเกอตรวจดูขนตาของหุ่น ตอนที่เขาเห็นหุ่นนี่ครั้งแรก เขาก็รู้สึกประทับใจมาก มันต่างไปจากหุ่นที่มีขายอยู่ในท้องตลาด และมันยังต่างไปจากหุ่นที่บ้านผีสิงของเขาด้วย หุ่นนี่เต็มไปด้วยอารมณ์ของผู้ที่ทำมันขึ้นมา และรายละเอียดแต่ละอย่างก็สมบูรณ์แบบ

ด้วยทักษะการแต่งหน้าของสัปเหร่อและพรสวรรค์ของช่างทำตุ๊กตา หุ่นที่สร้างขึ้นจากมือของเฉินเกอนั้นมีรูปลักษณ์ที่เหมือนจริงที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น หุ่นก็เป็นได้เพียงแค่ภาชนะอันสมบูรณ์แบบ หากไม่มีพนักงานของเขาคอยควบคุม พวกมันก็ดูค่อนข้างไร้ชีวิตชีวา

ส่วนหุ่นที่ตกลงมาจากเพดานนี่ ถึงแม้ว่าวัตถุดิบจะจำกัด ความเหมือนจริงก็เทียบกับหุ่นของเฉินเกอไม่ได้ แต่ว่าดวงตาของมันนั้นมีชีวิตชีวามาก!

“เขาใช้วัตถุดิบพื้นฐานมาก แต่ยังสร้างดวงตาที่มีชีวิตชีวาคู่หนึ่งได้? ผู้ที่ทำหุ่นนี่คอยสังเกตดวงตาไปกี่คู่ถึงได้สามารถสร้างอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้?” เฉินเกอประคองหัวหุ่นเอาไว้อย่างระมัดระวัง เขาไม่คิดว่ามันน่ากลัว กลับกัน ในดวงตาของเขากลับมีความประทับใจ “ฉันต้องสร้างหุ่นอีกตั้งมาก และนั่นยังเป็นภาระหนักสำหรับคนคนเดียว ต่อไป เมื่อจำนวนฉากเพิ่มมากขึ้น จำนวนหุ่นที่ต้องใช้ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ฉันต้องหาผู้ช่วย พรสวรรค์ของคนผู้นี้ไม่เลวเลย ฝึกฝนอีกสักนิด ฉันแน่ใจว่าพวกเขาจะมีประโยชน์ต่อบ้านผีสิงมากขึ้น”

สมองของเฉินเกอหมุนเร็วจี๋ ถึงจะยืนอยู่คนเดียวในห้องน้ำ ถือหัวหุ่นเอาไว้หัวหนึ่ง เขาก็ยังคิดเกี่ยวกับบ้านผีสิงของตัวเอง “ให้คนมีพรสวรรค์อย่างนี้อยู่ในห้องน้ำหลอกคนอื่นน่ะเสียเปล่ามาก”

เฉินเกอปล่อยหุ่นและหุ่นก็แกว่งไปมาอย่างเกียจคร้านอยู่หน้าห้องส้วม เฉินเกอเดินต่อไปยังห้องส้วมห้องที่ห้า

“มีคนอยู่ในนั้นไหม?” เขาไม่รู้ว่าตัวเองได้มอบความประทับใจแบบไหนให้กับพนักงานที่ซ่อนอยู่ในความมืด แต่ถึงอย่างไร เฉินเกอก็ไม่ได้สนใจ เขาแค่อยากจะตามหาคนที่สร้างหุ่นนั่นเท่านั้น

“คุณอยู่ไหนน่ะ? อยากจะเล่นซ่อนหากับผมเหรอ?” เฉินเกอดูตื่นเต้นอย่างประหลาด เหมือนเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่

ในสภาพแวดล้อมประหลาดเช่นนี้ ได้ยินเสียงเฉินเกอ ฉู่ชางหลินที่ซ่อนตัวอยู่ก็รู้สึกใจสั่น เขาสงสัยขึ้นมาด้วยซ้ำว่าผู้เข้าชมคงจะตกใจเกินไปแล้วก็เสียสติ เสียงเคาะดังมาจากห้องส้วมห้องที่ห้า ได้ยินแล้วหัวใจของฉู่ชางหลินก็เต้นเร็วขึ้น

เพราะเหตุผลประหลาดบางอย่าง ในตอนนี้ มันเหมือนกับบทบาทผู้ล่าและผู้ถูกล่านั้นกลับกัน ผู้ที่ซ่อนอยู่ในห้องลับคือเหยื่อ และผู้ชายที่เดินวนอยู่ด้านนอกอย่างไม่ยอมแพ้นั้นคือคนร้ายตัวจริง

“ถ้าคุณไม่เปิดประตู อย่างนั้นผมจะเข้าไปนะ ตกลงไหม?” ถึงแม้ว่ามันจะเป็นวลีที่คล้ายประโยคคำถาม ฉู่ชางหลินก็ไม่ได้ยินความลังเลจากตัวคนพูดเลย

ปัง!

ประตูห้องส้วมห้องที่ห้าถูกผลักเปิด เฉินเกอมองเข้าไปอย่างผิดหวัง “อย่างนั้นทุกอย่างก็คงจะซ่อนอยู่ในห้องสุดท้าย”

เขาเดินไปที่ประตูของห้องสุดท้าย แต่ว่าเฉินเกอไม่ได้บุกเข้าไปโดยตรง เขาเอนตัวพิงประตูฟังเสียงที่ดังมาจากด้านในห้องส้วม จังหวะเวลานั้นสำคัญมากในการเปิดกับดักในบ้านผีสิง ดังนั้นต้องมีพนักงานอย่างน้อยหนึ่งคนควบคุมหนึ่งฉาก เพราะว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่จะควบคุมได้จากที่ไกล ๆ

เฉินเกอมองไปรอบ ๆ “ที่นี่ก็ใหญ่แค่นี้ แล้วเขาจะไปซ่อนอยู่ตรงไหนได้? ห้องส้วมห้องสุดท้ายน่าจะมีจุดสยองขวัญอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าฉันเป็นพนักงาน ฉันจะไม่ซ่อนตัวตรงนี้”

เมื่อมองปัญหานี้ในมุมของพนักงาน จู่ ๆ เฉินเกอก็เงยหน้าขึ้นมองรอยแยกที่บนเพดานที่หุ่นห้อยลงมา

พนักงานซ่อนตัวอยู่ที่บนเพดานใช่ไหม?

ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจเฉินเกอ เขาเดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ หุ่นและมองไปที่โพรงด้านบน

มีคนควบคุมหุ่นนี่ ฉันอยากรู้ว่าลวดที่ติดอยู่กับหุ่นจะพาฉันไปที่ไหน?

สัตว์ประหลาดและผีที่คนอื่นหลีกเลี่ยงกลับเป็นช่องทางให้กับเฉินเกอ เขายืนอยู่ข้างหุ่นและคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่ชางหลินที่ซ่อนอยู่ด้านหลังกระจกนั้นเหมือนหัวใจถูกบีบ เขาไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนี้จะทำอะไรต่อไป

เฉินเกอเดินกลับไปที่ห้องส้วมและเรียกเหล่าโจวออกมาหลังจากดึงหนังสือการ์ตูนออกจากกระเป๋ามา เขาชี้ไปที่โพรงบนเพดานและเหล่าโจวก็พยักหน้า

เฉินเกอเคาะประตูห้องส้วมห้องสุดท้ายอยู่เรื่อย ๆ และตอนที่ความสนใจของพนักงานถูกเบี่ยงเบนไป เหล่าโจวก็แอบเข้าไปในโพรงที่บนเพดาน

สำหรับฉู่ชางหลิน นี่ประหลาดเกินไปแล้ว เสียงเคาะดังมาเรื่อย ๆ แต่ว่าเขาไม่เห็นใครเลย

เขากำลังทำอะไรอยู่?

ฉู่ชางหลินถือรีโมทเอาไว้ด้วยสองมือ เหงื่อไหลลงมาตามใบหน้าของเขาและเสียงเคาะสม่ำเสมอนั่นก็ทำให้เขาหงุดหงิด การทรมานนี้ยาวนานหนึ่งนาทีก่อนที่ฉู่ชางหลินจะพ่ายแพ้

ไม่ว่าจะเข้ามาในนี้หรือว่ากลับออกไป นายเสียเวลาอยู่ในนี้พยายามหลอกให้ใครกลัวกันฮึ?

เขาผลักเปิดประตูเป็นช่องเพราะอยากจะยืนยันตำแหน่งของเฉินเกอ แต่ตอนนั้นเอง เขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างปัดผ่านหลังคอของเขาเหมือนมีตะขาบไต่ผ่าน

เขาเกา และปลายนิ้วของเขาก็แตะถูกบางอย่างที่เหมือนก้อนสาหร่าย โดยไม่รู้ตัว ฉู่ชางหลินหันไปมองด้านหลังตัวเอง

ใบหน้าซีดเผือดพร้อมรอยยิ้มกลับหัวห้อยหัวลงมาอยู่ที่ด้านหลังเขา “เจอตัวแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงครับบอส ผมสัญญาจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ!” ฉู่ชางหลินตบหน้าอกให้สัญญา เขาไม่สนใจว่าบอสของเขาไม่ได้อยู่เห็นมันเสียหน่อย และรับปากไปก่อนแล้ว

“ฉันชอบทัศนคติของนาย ชางหลิน นี่เป็นเหตุผลที่นายเป็นหนึ่งในพนักงานที่ดีที่สุดของบ้านผีสิงของเรา และทำให้ฉันมอบหมายตำแหน่งอันสำคัญอย่างห้องน้ำให้นายดูแล ฉันหวังว่านายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”

“ขอแค่เขาเข้ามาในฉากนี้ ผมรับรองกับคุณว่าเขาจะเดินเข้ามาแต่ว่าคลานกลับออกไป”

“ผู้ชายคนนี้ให้ความสนใจกับรายละเอียดและยังอันตรายมาก ฉันจะตัดการสื่อสารกับนายหลังจากนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ตำแหน่งของนายถูกเปิดเผยออกไป แต่ว่าฉันจะคอยติดตามการเคลื่อนไหวของนายผ่านกล้อง”

“บอส ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง” หลังจากฉู่ชางหลินสัญญาอีกครั้ง เขาก็นึกถึงบางอย่างได้ เขาลดเสียงลงถาม “บอส ฉากที่ใกล้กับผมที่สุดคือฉากผีปากกา เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเตี๋ยใช่ไหม?”

“เสี่ยวเตี๋ยไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วงคนอื่น ตั้งใจกับหน้าที่ของนายไป! เขากำลังมาแล้ว ฉันจะรอข่าวดีอยู่ในห้องกล้องวงจรปิด” ชายวัยกลางคนวางสายไปในไม่ช้า ในเวลาเดียวกัน ประตูห้องน้ำก็เปิดแง้มออก

“ทำไมห้องน้ำในบ้านผีสิงถึงไม่แยกเพศกันละนี่? นี่ไม่มืออาชีพเกินไปหน่อยแล้ว” เฉินเกอผลักประตูห้องน้ำของสถาบันฝันร้ายเปิด กลิ่นรุนแรงโจมตีเข้าจมูกเขาทันที “กลิ่นยาฆ่าเชื้อฉุนขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นที่นี่ถึงต้องฆ่าเชื้ออย่างหนักขนาดนี้หรือไง?”

เฉินเกอดึงสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋า พยายามหาคำตอบจากในนั้นแต่ก็ต้องผิดหวัง ไม่มีอะไรใช้การได้เลยจากบันทึกเกี่ยวกับห้องน้ำ มันแค่พูดถึงคร่าว ๆ ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในห้องส้วมห้องที่สี่

“ตามในบันทึก พนักงานน่าจะซ่อนอยู่ในห้องส้วมห้องที่สี่ ตอนที่ผู้เข้าชมเดินผ่าน พนักงานก็จะกระโจนออกมาอย่างกะทันหัน แต่ว่านั่นไม่ใช่จะลดความน่าสะพรึงลงหรือไง?”

ตอนที่เฉินเกออ่านบันทึกครั้งแรก เขาก็คิดวิธีแก้ไขได้อย่างง่ายดาย หากพนักงานซ่อนตัวอยู่ในห้องที่สี่ เขาก็จะยืนอยู่ในห้องที่สามและสังเกตสถานการณืในห้องที่สี่ก่อนค่อยตัดสินใจ แต่เมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องน้ำที่อยู่ปลายทางเดิน เฉินเกอก็เปลี่ยนใจ กลิ่นยาฆ่าเชื้อนั้นฉุนมากเกินไปจริง ๆ

มันต้องมีเหตุผลให้ห้องน้ำได้รับการจัดการเช่นนี้ มันซ่อนอะไรเอาไว้ใช่ไหม? ใช้กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อปิดซ่อนกลิ่นของบางอย่างเอาไว้…

“สิ่งที่ทั้งน่ากลัวและเหม็น?” เฉินเกอพยายามคิดหาคำตอบตอนที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ บนพื้นมีรอยแตกหลายรอย และยังมีคำน่ากลัว ๆ ถูกเขียนชุ่ย ๆ เอาไว้ที่บนผนัง บางครั้งก็มีกิ้งก่าคลานไปตามกำแพงและเพดานเกิดเสียงดังแกรกกราก

ไม่มีหน้าต่าง และตะเกียงตั้งโต๊ะเก่า ๆ ก็เปล่งแสงสีแดงอยู่ที่ตรงมุม ใต้ตะเกียงนั้นเป็นกล่องสีดำใบเล็ก ๆ

“นั่นอะไรน่ะ?”

ปกติแล้ว ของเช่นนี้ไม่ควรถูกพบอยู่ในห้องน้ำ เฉินเกอเดินผ่านห้องน้ำห้องแรกแล้วไปหยุดอยู่ตรงตะเกียง เขาเอื้อมมือออกไปเปิดกล่องสีดำเล็ก ๆ และในนั้นมีกระดาษโน้ตที่อ่านได้ว่า– แกชอบที่พวกเราเล่นตลกกับแกเล่นไหม?

ใต้กระดาษโน้ตนั้นเป็นรูปหมู่ใบหนึ่ง เด็กกลุ่มหนึ่งมองกล้องอย่างกระวนกระวาย และมีแค่เด็กที่ตรงริมสุดที่ฉีกชิ้นเหมือนเป็นบ้า ที่ด้านหลังรูป เฉินเกอยังเจอประโยคอื่นเขียนไว้– มันก็แค่เล่นตลกนิดหน่อยเท่านั้นน่าเพื่อน

“เล่นตลก งั้นเหรอ?” บันทึกนั้นมีเงื่อนงำให้เล็กน้อย เฉินเกอไม่รู้ว่าฉากนี้ใช้ธีมอะไร เขาหยิบกล่องประหลาดนั่นขึ้นมาและยัดมันลงไปในกระเป๋า– เขามีความรู้สึกว่าเขาต้องใช้มันหลังจากนี้

การกระทำของเฉินเกอนั้นถูกจับตามองอย่างเงียบ ๆ โดยสายตาที่ในความมืดคู่หนึ่ง คนผู้นั้นไม่เข้าใจเหตุผลของการกระทำนั่น ในห้องน้ำที่มีกลิ่นหึ่งและยังดูเหมือนเป็นที่เกิดเหตุฆาตกรรม ทำไมถึงมีคนที่ยัดของอะไรสักอย่างเข้าไปในกระเป๋าตัวเองอีก?

เฉินเกอสะพายกระเป๋าด้วยแขนข้างเดียว เขาตรวจดูตะเกียงตั้งโต๊ะอีกครั้ง เขากดปุ่มเปิดและปิดอยู่หลายรอบและผละออกมาหลังจากแน่ใจแล้วว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติ

“ห้องน้ำมีอ่างล้างมือและห้องส้วมหกห้อง ไม่มีของอย่างอื่นในนี้ และยังเห็นได้ชัดเจนว่าตะเกียงก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ดังนั้น คนก็น่าจะซ่อนอยู่ในห้องส้วม” เฉินเกอนั้นมีประสบการณ์คล้ายอย่างนี้มาก่อนที่โรงเรียนมัธยมมู่หยาง เขาไม่ได้รู้สึกกลัว แต่ว่าหัวใจของเขาก็ยังไม่สบายใจกับความเดจาวูนี้

เขาเปิดประตูห้องส้วมห้องแรก มันมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อฉุนกึก เฉินเกอบีบจมูกแล้วตรวจดูในห้องส้วมอย่างอดทน

เขาพบข้อความกร่นด่าร้องทุกข์เขียนเอาไว้บนผนังห้องส้วม

“เขาทำเสื้อผ้าฉันเปียกอีกแล้ววันนี้ ฉันเกลียดเสี่ยวหลิน!”

“เสี่ยวหลินดึงเก้าอี้ออกตอนที่ฉันกำลังนั่งลงไปและมันก็ทำให้ฉันก้นกระแทกพื้น”

“เสี่ยวหลินเอากบมาใส่ไว้ในลิ้นชักของฉัน! ฉันแทบอ้วกแน่ะ!”

อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ ก็แค่เล่นตลก แต่ทั้งหมดล้วนพูดถึงเสี่ยวหลิน เด็กคนนี้น่าจะเป็นเด็กขี้แกล้งของห้อง และเพื่อนในห้องหลายคนก็ตกเป็นเหยื่อ

“แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรที่น่ากลัวจริง ๆ” เฉินเกอกวาดตามอง ข้อความในห้องส้วมนั้นดูไร้เดียงสาไปเลยเมื่อเทียบกับข้อความที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่หอผู้ป่วยสาม

เขาเปิดประตูห้องส้วมห้องที่สอง ยังคงมีข้อความทิ้งไว้แต่ไม่เหมือนที่ในห้องแรก เด็ก ๆ ดูเหมือนจะโกรธเกรี้ยวมากขึ้น และเริ่มมีพวกเขาบางส่วนเกือบได้รับอันตราย

จากนั้นเฉินเกอก็เปิดประตูห้องส้วมห้องที่สาม ข้อความบางส่วนนั้นพูดถึงการเล่นตลกเพื่อแก้แค้นเสี่ยวหลิน พวกเขาสร้างเรื่องสยองขวัญเกี่ยวกับห้องส้วมห้องที่สี่ในห้องน้ำและ ‘บังเอิญ’ บอกมันให้เสี่ยวหลินได้ยิน จากนั้นทุกคนก็ออกความคิดต่าง ๆ ที่จะใช้ในห้องน้ำแก้แค้นเสี่ยวหลินเป็นครั้งสุดท้าย

ผ่านทางข้อความกระจัดกระจายบนกำแพง เฉินเกอก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด ข้อความอย่างเดียวนั้นไม่ได้น่ากลัวนัก แต่เมื่อรวมกับบันทึกครั้งที่สามในสมุดบันทึก มันก็ค่อนข้างน่าขนลุก

“เสี่ยวหลินหนีออกจากห้องส้วมห้องที่สี่ได้ในที่สุดใช่ไหม?” เฉินเกอหยุดอยู่ตรงหน้าห้องส้วมห้องที่สี่ ห้องนี้นั้นถูกพูดถึงเป็นพิเศษในสมุดบันทึก ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดน่าจะอยู่ในนี้ บางทีตอนที่เขาเปิดประตู เรื่องตลกของเด็ก ๆ ก็อาจจะเกิดขึ้น หรือบางที ตอนที่ประตูเปิดออก เสี่ยวหลินก็จะกลับมา

แต่ว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตอนที่เฉินเกอเปิดประตูห้องส้วมห้องที่สี่ และเขาก็ต้องประหลาดใจ ในนั้นมีกระจกบานหนึ่งวางเอาไว้

“เด็ก ๆ พวกนี้ค่อนข้างสร้างสรรค์ดีทีเดียว” เฉินเกอมองกระจกที่ถูกติดเอาไว้ที่ด้านหลังห้องน้ำ ยิ่งเขามอง เขาก็ยิ่งพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เงาของเขาไม่ปรากฏที่บนกระจก “น่าสนใจ พวกเขาติดรูปเอาไว้ที่บนกระจกงั้นเหรอ?”

เฉินเกอเอื้อมมือไปจับกระจก ตอนที่ปลายนิ้วของเขากำลังจะแตะถูกผิวกระจก จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเบา ๆ ดังมาจากด้านบนร่างของเขา และจากนั้นหลังคอของเขาก็รู้สึกคันยะยิบ เขาก้มหน้าลงมองกระจก– ไม่มีอะไรในนั้น ความคันยิบที่หลังคอของเขามากขึ้นเหมือนมีแมลงหล่นลงไปแล้วไต่อยู่ในนั้น

มีเฉินเกอพูดนำ เด็กสาวก็พูดตาม พวกเขากำปากกาไว้ด้วยกัน และเด็กสาวก็งึมงำอยู่ในใจ ทำไมฉันถึงมาทำอะไรแบบนี้กัน?

แต่ว่า มีบางอย่างเกี่ยวกับชายตรงหน้าเธอที่ทำให้เธอขัดความต้องการของเขาได้ยาก

ปากกาลูกลื่นพัง ๆ นั้นถูกถือไว้เหนือกระดาษ หลังจากทั้งสองคนพูดคาถาจบ พวกเขาก็หยุดแล้วมองกระดาษอยู่เงียบ ๆ ในห้องเก็บของนั้นเงียบมาก และไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองกำลังเต้น

ผู้ชายคนนี้กำลังทำอะไร? เขาคงไม่คิดว่าจะสามารถอัญเชิญผีปากกามาได้จริง ๆ หรอกใช่ไหม?

สายตาของเด็กสาวสอดส่ายไปมาขณะที่ชำเลืองมองไปทางเฉินเกอ เพราะเหตุผลอะไรสักอย่าง มีดสั้นที่เธอดึงออกมาจากใต้โต๊ะนั้นวางอยู่ข้างชายคนนั้น “เอ่อ…”

เด็กสาวต้องการบอกชายคนนี้ว่าเกมจบลงแล้ว แต่ว่าเฉินเกอห้ามเธอไว้ด้วยเสียงชู่ “เงียบ เธอกำลังมา”

หลังจากเฉินเกอพูดอย่างนั้น ปากกาที่พวกเขากุมเอาไว้ก็เริ่มขยับเล็กน้อย และมันก็ขยับไปวาดวงกลมเอาไว้ที่บนกระดาษขาว เด็กสาวสามารถรู้สึกได้ถึงพลังจากปากกา เธอไม่ได้ใช้แรงเลยสักนิด แต่ว่าปากกากลับเริ่มขยับเอง

เขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้!เด็กสาวมองเฉินเกอ พยายามหาร่องรอยจากสีหน้าของเขา แล้วเธอก็ต้องผิดหวัง เฉินเกอนั้นเพ่งสมาธิเต็มที่อยู่กับปากกาที่พวกเธอกุมเอาไว้ และเธอก็มองไม่เห็นอะไรผิดปกติบนใบหน้าของเขาได้เลย

ปากกาที่สถาบันฝันร้ายนั้นขยับได้ด้วยตัวเองเพราะว่าปากกาและโต๊ะนั้นล้วนเป็นของสั่งทำ พวกมันสามารถควบคุมได้ เรียกได้ว่าเป็นมายากล ตราบใดที่พวกเขารู้ทฤษฎีเบื้องหลังไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ โดยไม่รู้ตัว เด็กสาวเชื่อว่าเฉินเกอก็กำลังทำอย่างเดียวกัน เธอต้องการเปิดโปงเฉินเกอ แต่ถึงแม้จะจับสังเกตเขาอยู่นาน เธอก็ยังไม่พบช่องโหว่อะไรเลย

ปากกาที่บนกระดาษยังขยับต่อ ทุกขีดนั้นหนักแน่นและมั่นใจ ในที่สุดก็ปรากฏชื่อหนึ่งขึ้นบนกระดาษขาว– ฉู่ชางหลิน

“ฉู่ชางหลิน? งั้นนี่ก็เป็นชื่อของคนรักของเธอ” เฉินเกอเงยหน้ามองเด็กสาว “ไม่ง่ายเลยที่จะเจอความรักในโลกนี้ ดีกับเขา อย่าทำให้ชายผู้ซื่อสัตย์ต้องผิดหวัง”

ตอนที่เธอเห็นชื่อนั้นบนกระดาษ ใบหน้าของเด็กสาวก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ตอนแรกก็เป็นความตกใจ จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นสยองขวัญ!

เธอรู้จักฉู่ชางหลิน ผู้ชายคนนั้นก็เป็นพนักงานที่สถาบันฝันร้ายเหมือนกันและเขาก็มักจะคอยดูแลเธอ! เขายังเคยสารภาพความรู้สึกของเขากับเธอครั้งหนึ่งแต่ว่าเธอปฏิเสธเขาไป นี่น่าจะเป็นความลับระหว่างเธอกับฉู่ชางหลินเท่านั้น แล้วผู้ชายคนนี้รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

คลื่นซัดสาดในหัวใจของเธอ และแขนของเด็กสาวก็สั่น ปลายนิ้วของเธอแตะอยู่กับปลายนิ้วของเฉินเกอ และความเย็นเยือกนั่นก็ทำให้ความตื่นตระหนกของเธอเพิ่มทวีเป็นหลายเท่าตัว ผู้ชายตรงหน้าเธอนั้นกำลังยิ้มอย่างอบอุ่น แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องลดต่ำลงเรื่อย ๆ กัน?

ร่างกายของเธอสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ และเด็กสาวก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมตัวเอง บอสบอกว่าผู้เข้าชมคนนี้นั้นแปลกมาก เขาชำนาญในเกมจิตวิทยาและยังตั้งใจมาที่นี่เพื่อก่อเรื่องให้กับสถาบันฝันร้าย เขาน่าจะสืบเรื่องพนักงานทุกคนที่นี่ก่อนที่จะมาถึง และด้วยการแสดงออกทางสีหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฉัน เขาก็คงบอกได้ว่าฉู่ชางหลินนั้นมีความเกี่ยวข้องกับฉัน

เด็กสาวรู้ว่าโอกาสคงไม่สูงนัก แต่ว่าทั้งหมดที่เธอทำได้ก็คือปลอบตัวเอง นั่นเป็นวิธีเดียวที่เธอจะรักษาสติของตัวเองเอาไว้ได้ เธอกัดริมฝีปากตัวเอง เด็กสาวไม่คิดที่จะยอมแพ้โดยง่าย เธอตัดสินใจใช้วิธีการของเธอเองในการเปิดโปงผู้ชายคนนี้

ผู้ชายคนนี้เดาชื่อของคนที่ชอบฉันออกมาได้แล้วไงล่ะ? เขาจะเดาชื่อของคนที่ฉันอาจจะใช้ทั้งชีวิตที่เหลือด้วยได้ยังไง!

เด็กสาวมีความลับหนึ่งซ่อนอยู่ในหัวใจ– ชื่อของคนที่เธอชอบจริง ๆ เธอไม่เคยบอกใครมาก่อนเลย

หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เด็กสาวก็ถามเบา ๆ “ฉันถามคำถามอื่นกับผีปากกาได้ไหม?”

“ผีปากกาสามารถทำนายได้เพียงแค่วันละครั้งเท่านั้น ถ้าเธอบังคับมัน ผลลัพธ์อาจจะไม่แม่นยำแล้ว”

“แค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ตกลงนะ?” ก่อนที่เฉินเกอจะทันได้พูดอะไร เด็กสาวก็กำปากกาแล้วถามคำถามของเธอ “ผีปากกา ผีปากกา คุณบอกชื่อของคนที่จะเป็นคู่ชีวิตของฉันในอนาคตได้ไหม?”

คำถามนี้คุ้นหูเฉินเกอสุด ๆ เขารู้สึกได้เลยว่าปากกาสั่น และเทปใสที่พันเอาไว้ก็ดูเหมือนจะฉีกขาดออกไปตอนไหนก็ได้ ปากกาทั้งด้ามเหมือนกำลังจะระเบิดออก

“ฉันไม่ได้ตั้งใจชักนำให้เธอถามคำถามนี้ เธออยากจะถามมันออกไปด้วยตัวเธอเองนะ” หลังจากพูดอย่างนั้น เฉินเกอก็รีบปล่อยมือ ปากกาที่เดิมมีสองคนกุมเอาไว้ เด็กสาวไม่ได้เป็นคนออกแรงบังคับปากกาเลย ดังนั้นเธอจึงสันนิษฐานว่าเป็นเฉินเกอที่ขยับปากกาไปมา

แต่ตอนนี้ที่เฉินเกอดึงมือของตัวเองออกไปแล้ว ปากกากลับยังตั้งตรงอยู่บนกระดาษ ดวงตาของเด็กสาวเบิกกว้างขึ้นช้า ๆ และจากนั้นก็เกิดเรื่องน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมขึ้น!

ปากกาเริ่มขยับ เด็กสาวบอกได้เลยว่าเธอไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด! ไม่ใช่เธอที่ขยับมัน!

เกิดอะไรขึ้นกัน? แม่เหล็กที่ใต้โต๊ะทำงานผิดไปงั้นเหรอ? แต่ว่านี่เป็นปากกาลูกลื่นพลาสติก– มันไม่ได้ทำจากโลหะ!!

ปากกาขยับต่อไป และมันก็เป็นฝ่ายเขียนประโยคหนึ่งให้เด็กสาวที่บนกระดาษ– เธอตายแน่!

มันเป็นประโยคง่าย ๆ แต่ว่าน่ากลัว เด็กสาวต้องการดึงมือตัวเองออก แต่เธอก็พบว่ามือของเธอนั้นราวกับจะติดอยู่กับปากกาแล้ว และแขนของเธอก็ถูกรั้งไปไม่ว่าเธอจะยินดีหรือไม่ ปากกาขยับเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนกระทั่งกระดาษทั้งแผ่นเต็มไปด้วย เธอตายแน่!

“เดี๋ยว ช่วยด้วย! เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ความหวาดกลัวในหัวใจของเธอก่อตัวชัดเจน และความมีเหตุมีผลที่ยังเหลืออยู่ก็จมหายไป– เด็กสาวถูกความมืดมิดไร้สิ้นสุดกลืนกิน เธอมองเฉินเกอในความมืดอย่างกระวนกระวาย แต่ว่า พอเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นบางอย่างที่เธอคงจะลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต

มีคนยืนอยู่บนไหล่ของเธอ!

ที่เธอใส่อยู่นั้นเป็นชุดนักเรียนสกปรก และตอนนี้ เธอก็กำลังใช้ปากกาลูกลื่นขีดเขียนไปอย่างบ้าคลั่งเหมือนกำลังระบายความรู้สึกหวาดกลัวสุดชีวิต

เสียงกรีดร้องแหลมดังมาจากห้องเก็บของ และตามมาด้วยเสียงของหนัก ๆ ตกพื้น เฉินเกอวางโหลแก้วกลับที่เดิมและเดินออกมาจากชั้นเก็บของอันที่สอง เขามองเด็กสาวที่นอนอยู่บนพื้น ตอนนี้ คอนแท็คเลนส์สีแดงนั้นหลุดออกจากดวงตาของเธอแล้ว เขาส่ายหน้าเบา ๆ “ทำไมเธอถึงต้องทำให้เธอคนนั้นโกรธด้วยฮึ?”

เก็บปากกาที่เหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ขึ้นมา เฉินเกอมองไปยังปากกาหมึกซึมที่บนโต๊ะ ผีปากกาดูเหมือนจะไม่สนใจปากกาหมึกซึมนั่นเลยสักนิด

“ใจเย็นนะ เธอไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก” เฉินเกอปลอบผีปากกาและเดินออกจากห้องเก็บของ

“เคลียร์ไปอีกหนึ่งฉาก ฉันควรจะไปที่ไหนต่อ?” เฉินเกอดึงสมุดบันทึกออกมาแล้วเปิดไปที่การบันทึกครั้งที่สาม คราวนี้ เกิดอุบัติเหตุขึ้นในห้องน้ำ– มีวิญญาณพยาบาทอยู่ในห้องที่สี่ และมันก็มักจะปรากฏตัวออกมาตอนเที่ยงคืน

“เกี่ยวกับห้องน้ำงั้นเรอ? ห้องน้ำร้าง ๆ ค่อนข้างน่ากลัว อย่างไรซะ พลังหยินที่นั่นก็หนาหนักที่สุดแล้ว” เฉินเกอดูแผนที่ เขาอยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำ แค่เลี้ยวตรงมุมเท่านั้นเอง

“ในเมื่อฉันก็อยู่ตรงนี้แล้ว หวังว่า ฉันจะประหลาดใจอีกครั้งคราวนี้” เฉินเกอพูดและเดินไปยังจุดหมายต่อไปของตัวเอง

ในห้องน้ำที่สุดทางเดินชั้นสาม เงาดำ ๆ เงาหนึ่งซ่อนอยู่ในห้องที่สี่ เขากำลังไถหน้าจอโทรศัพท์สีหน้าเบื่อหน่ายตอนที่ได้รับโทรศัพท์

“บอส คุณหาผมเหรอ?”

“ฉู่ชางหลิน ตอนนี้ ผู้เข้าชมพิเศษกำลังจะเข้าไปในฉากของแก แกต้องหาวิธีช่วยฉันหลอกเขาให้กลัวสุด ๆ ไปเลยนะ!”

บันทึกที่ถูกวางเอาไว้บนแท่นบรรยายเพื่อหลอกผู้เข้าชมกลายเป็นไกด์บุ๊คให้เฉินเกอสำรวจบ้านผีสิง เขาเก็บสมุดบันทึกเข้าในกระเป๋าสะพายหลังแล้วเดินไปทางฉากที่สองที่บรรยายไว้ในสมุดบันทึก

ในฐานะบ้านผีสิงที่โด่งดังที่สุดในซินไห่ ขนาดของสถาบันฝันร้ายนั้นใหญ่กว่าที่เฉินเกอคาดคิดเอาไว้ ฉากของโรงเรียนผีสิงนั้นได้รับการดูแลรักษามาตั้งแต่ต้น และมันก็ครอบคลุมเรื่องผีในโรงเรียนเกือบทั้งหมด “ทั้งหมดมีหกชั้น วันนี้ต้องสนุกแน่”

สถานที่กว้างขวาง ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เป็นเรื่องดีสำหรับเฉินเกอ เขาสามารถสำรวจได้จนกว่าจะพอใจและถ้ามีโอกาส เขาก็จะรับทั้งตึกมาเป็นบ้านผีสิงของเขา

ฉากผีปากกานั้นอยู่ไม่ไกลจากห้องเรียนที่ใช้จัดพิธีต้อนรับนักเรียนใหม่ มองภาพวาดที่บนกำแพงซึ่งลอกหลุด เฉินเกอเดินไปตามทางเดินจนกระทั่งไปถึงประตูเก่าคร่ำคร่าบานหนึ่ง บนประตูนั้นมีป้ายติดไว้อ่านได้ว่า ‘ห้องเก็บของ’

“ในบันทึก เด็กหญิงที่ชื่อเตี๋ยนั้นว่ากันว่าเล่นเกมผีปากกาอยู่ในห้องเก็บของ”

ผลักเปิดประตูแล้วก่อนที่เฉินเกอจะก้าวเท้าเข้าไปเขาก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงกำลังร้องไห้ เสียงร้องไห้นั้นมาไวไปไว– มันเร็วเกินกว่าที่เฉินเกอจะบอกได้ว่ามันมาจากไหน

“มีใครอยู่ที่นี่ไหม?” มีความแตกต่างใหญ่หลวงระหว่างบ้านผีสิงของเฉินเกอกับสถาบันฝันร้ายอยู่อย่างหนึ่ง บ้านผีสิงของเฉินเกอนั้นอนุญาตให้ผู้เข้าชมสำรวจได้อย่างอิสระ ไม่มีการนำทางหรือความช่วยเหลือระหว่างทางขณะที่บ้านผีสิงส่วนใหญ่ในท้องตลาดนั้นมีเส้นทางกeหนดการเยี่ยมชมเอาไว้

ตอนนี้ที่เขาเดินเข้ามาในฉากบ้านผีสิงโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า เขาจึงเป็นห่วงมากว่านักแสดงจะยังไม่พร้อม และมันอาจจะส่งผลต่อการสัมผัสประสบการณ์โดยรวมของเขาเอง หลังจากเขาพูดออกไปเสียงดัง เสียงร้องไห้ก็เบาลงและเฉินเกอก็หยุดเท้าเพื่อตรวจดูรอบตัว

กำแพงในห้องเก็บของนั้นจงใจทำให้ดูเก่ากว่าที่มันเป็น ชั้นวางของในห้องนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นเป็นชั้นและที่ตรงมุมยังมีของต่าง ๆ กองเอาไว้เป็นตั้งสูง แสงที่ในห้องนั้นสลัว และบางครั้งก็ยังมีเสียงหนูวิ่งผ่านไป

“บันทึกบอกไว้แค่ว่าเตี๋ยเล่นเกมผีปากกาในนี้ แต่ว่าไม่ได้พูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับห้องเก็บของเลยสักนิด ดังนั้น สันนิษฐานจากการเกิดอุบัติเหตุบางอย่างตอนที่เตี๋ยเล่นเกมผีปากกา ฉันอาจจะเจอผีหนึ่งหรือสองตัวที่นี่ หนึ่งคือเตี๋ย และอีกหนึ่งอาจจะเป็นผีปากกา”

ตอนที่เฉินเกอเดินผ่านชั้นวางของแถวแรก เสียงร้องของหนูก็ดังมาจากตรงแถว ๆ ขาซ้ายของเขาและเขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างวิ่งผ่านข้อเท้าของเขาไป เวลาเกิดอะไรแบบนี้กับคนทั่วไป พวกเขามักจะกระโดดหรือร้องออกมาอย่างตกใจ แต่ว่าเฉินเกอนั้นไม่สะเทือน กลับกัน เหมือนเด็กชายที่สงสัยในทุก ๆ อย่าง เขานั่งลงและมองดูให้ชัด ๆ

“มีเชือกวางเอาไว้ระหว่างชั้นวางของสองแถวนี้ เมื่อผู้เข้าชมเหยียบเชือก หนูปลอมก็ที่ถูกมัดเอาไว้ก็จะเลื่อนออกมา” เฉินเกอเกาคาง “อันที่จริง บางคนก็อาจจะตกใจกับเรื่องพวกนี้ นี่ค่อนข้างน่าสนใจ บ้านผีสิงอาจจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผีหรือว่าปิศาจเพียงอย่างเดียว ทุกอย่างสามารถทำให้กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวและน่าสยองขวัญได้ นี่สามารถเติมเต็มความต้องการหลากหลายของผู้เข้าชม และยังเข้ากับจุดมุ่งหมายของฉันที่จะออกแบบบ้านผีสิงที่หลากหลาย”

เฉินเกอจดจำกลเม็ดเล็ก ๆ เหล่านี้เอาไว้ เขาวางแผนที่จะค้นคว้ารายละเอียดเพิ่มเมื่อกลับไปและใช้พวกมันเป็นพื้นฐานในการสร้างบางอย่างที่น่าตื่นเต้นและน่าสนุก เฉินเกอลุกขึ้นและเดินต่อไปข้างหน้าจนถึงระหว่างแถวที่หนึ่งและสอง

ทางเดินแคบมาก เฉินเกอมองเห็นว่ามีโถแก้วที่บนชั้นวางแถวที่สองกำลังจะตกแล้ว เขายื่นมือออกไปผลักโถเบา ๆ ให้ขยับลึกเข้าไปป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ตอนที่เขากำลังผลักมันเข้าไป เขาก็เห็นใบหน้าซีด ๆ ใบหน้าหนึ่งแอบอยู่ด้านหลังโถแก้ว

“เขาอยู่อีกด้านของชั้นวางเหรอ? ไม่สิ น่าจะเบียดอยู่ระหว่างชั้น” เฉินเกอมองใบหน้านั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะคว้าโถแก้วแล้ววางลงที่พื้น เขาเอื้อมมือไป ปลายนิ้วของเขาจิ้มเข้าที่แก้มของใบหน้านั่นและเขาก็บีบอยู่ครู่หนึ่ง “ยางสังเคราะห์? หน้ากาก?”

เฉินเกอขยับของบนชั้นออกไปและในที่สุดก็เห็นว่ามันคืออะไร มันคือหน้ากากหน้าคนที่ติดไว้บนลูกบาสเกตบอล “กะโหลกปลอม? ถ้ามีคนเป็น ๆ ซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริงมันจะน่ากลัวกว่ามาก แต่ฉันก็เห็นปัญหาอยู่แหละว่าที่ตรงนี้มันเล็กเกินกว่าที่คนเป็น ๆ จะเบียดเข้ามาได้”

ข้ามแถวที่สองไปเฉินเกอมุ่งหน้าสู่แถวที่สาม คราวนี้ เขาก็เจอกับโถแก้วที่กำลังจะตกอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ แทนที่จะเป็นแค่ใบเดียว กลับมีถึงห้าใบ

“พวกเขาไม่กลัวว่าทำโถแก้วแตกแล้วจะบังเอิญทำให้ผู้เข้าชมได้รับบาดเจ็บหรือไง? หรือว่าพวกเขาใช้แก้วเสริมแรงที่ไม่แตกกันง่าย ๆ?”

ตอนที่เฉินเกอเดินผ่านโถพวกนั้นไปเขาก็พบว่าแต่ละใบนั้นมีของต่างชนิดกันใส่เอาไว้ ของเหลวที่ด้านในนั้นเป็นสีเข้ม และวัตถุด้านในก็ทำให้เขานึกถึงอวัยวะภายในของมนุษย์ “โถทั้งห้าใบนี่หมายถึงอวัยวะภายในของมนุษย์ห้าชนิด?”

เฉินเกอหยิบโถแต่ละใบขึ้นมาดูก่อนจะวางกลับลงไป ตอนที่เขาดูถึงใบที่สี่ แขนผอม ๆ ข้างหนึ่งจู่ ๆ ก็พุ่งออกมาจากด้านหลังชั้นวางแล้วก็กำรอบข้อมือของเขาเอาไว้!

มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากโดยไม่มีทีท่ามาก่อนจนเฉินเกอชะงักไปเสี้ยววินาทีก่อนที่จะตื่นตัวขึ้นมา เขากำมือแน่นแล้วก็บิดข้อมือหมุนไปจับแขนข้างนั้นเอาไว้แทน เขาดึงแขนนั่นและไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปขณะที่เอนตัวเข้าไปดูด้านหลังชั้นวาง เด็กหญิงคนหนึ่งในเครื่องแบบสถาบันฝันร้ายนั้นติดอยู่ระหว่างชั้นวาง เธอกำลังกัดฟันสะกดความเจ็บเอาไว้

“ปะ… ปล่อยนะ!” นั่นเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่เด็กหญิงควรจะพูด

“ผมขอโทษที ผมตกใจไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเธอ” เฉินเกอปล่อยเด็กหญิงช้า ๆ ตอนที่เขามองไปที่ด้านหลังชั้นวางอีกครั้งเด็กคนนั้นก็หายตัวไปแล้ว “เธอไปไหนแล้วล่ะ?”

เสียงร้องไห้กลับมา เฉินเกอเดินวนรอบชั้นและไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของห้องเก็บของ ท่ามกลางกองของที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ระเกะระกะ เด็กหญิงร่างบอบบางคนหนึ่งซบอยู่กับโต๊ะร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ผมขอโทษกับเรื่องเมื่อครู่ด้วย ผมคงจะดึงแรงไปเพราะว่าตกใจมากเลย” เฉินเกอนั่งลงที่ข้าง ๆ โต๊ะ เขากลับว่าเด็กหญิงนั้นจะร้องไห้เพราะว่าเขาทำร้ายเธอเข้า

“หนูรู้สึกไม่ดี หัวใจของหนูเหมือนถูกมีดคม ๆ กรีดเป็นชิ้น ๆ”

“ผมแค่จับข้อมือเธอแรงกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น เธอคงจะไม่เอาเรื่องนั้นมาต่อว่าผมหรอกใช่ไหม?” เฉินเกอพึมพำเบา ๆ

เด็กหญิงมองรอยนิ้วมือแดง ๆ รอบข้อมือตัวเอง ถึงแม้ว่าปฏิกริยาของผู้เข้าชมคนนี้จะต่างไปจากที่เธอคาดไว้เล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วเธอก็คือนักแสดงมืออาชีพที่บ้านผีสิงนี่ และเธอก็เข้าสู่บทบาทได้อย่างง่ายดาย “หนูตกหลุมรักคนผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้ง แต่หลังจากถามผีปากกาแล้ว หนูพบว่าเขาไม่ได้สนใจหนูเลยสักนิด หนูใช้วิธีการที่ผีปากกาสอนทำให้เขาเปลี่ยนใจ แต่ว่าหนูบังเอิญทำให้เขาตาย หนูเสียใจมาก ดังนั้นจึงกลับมาที่นี่ถามผีปากกาอีกครั้งดูว่าจะมีหนทางไหนเปลี่ยนเรื่องพวกนี้ได้”

“เธอจะเปลี่ยนเรื่องเหล่านี้ได้ยังไงในเมื่อคนผู้นั้นก็ตายไปแล้ว?”

“ผีปากกาต้องรู้วิธีแน่ ๆ!” จู่ ๆ เด็กสาวก็ร้องเสียงดังดวงตาของเธอแดงก่ำชุ่มน้ำตา

“ใช่ ใช่ แต่ถึงอย่างนั้น ในเหล่าวิญญาณทั้งหลาย ผีปากกาน่ะไม่ได้ทรงพลังที่สุด ดังนั้นผมขอแนะนำให้เธออย่าได้คาดหวังมากเกินไป”

“ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องลองดูสักครั้ง” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมา เครื่องสำอางบนหน้าของเธอนั้นทั้งหนาและเข้ม มันดูค่อนข้างประหลาดเมื่อมาอยู่ในห้องเก็บของรกร้างนี่ “คุณช่วยหนูได้ไหม? มันต้องมีอย่างน้อยที่สุดสองคนเพื่อเล่นเกมผีปากกา ปกติแล้วคนไม่ค่อยมาที่ห้องเก็บของนี่ หนูต้องการอีกคนมาช่วยเพื่อเริ่มเกม”

“ไม่มีปัญหา” หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เฉินเกอก็อ้าปากถาม “เธอพูดว่าเธอต้องมีสองคนถึงจะเริ่มเกมผีปากกาได้ อย่างนั้นใครเป็นคนที่สองที่เธอเล่นด้วยครั้งแรกที่เธอมาถามผีปากกา?”

เด็กสาวเลือกไม่สนใจคำถามนั้น และเสียงของเธอก็เปลี่ยนเป็นแหลมสูง “นั่งลงตรงข้ามหนูนี่ และพวกเราสองคนก็จะจับปากกาไว้แบบนี้ จากนั้นคุณก็ปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่หนูเอง”

“ได้” เฉินเกอมองว่าตัวเองนั้นเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บีบคั้นและทำตามที่เด็กหญิงบอก เขาขยับไปที่อีกด้านของโต๊ะและหยิบปากกาขึ้นมา มันเป็นปากกาหมึกซึมสีขาวเงิน มันมีขนาดเกือบสองเท่าของปากกาทั่วไปและยังมีลวดลายตกแต่งเป็นวงรอบ ๆ

“นี่เป็นปากกาที่ดูดีทีเดียว” นิ้วหัวแม่มือของเขากดลงที่ด้านบนปากกาและเขาก็ทิ้งพื้นที่ระหว่างนิ้วทั้งสี่เอาไว้มากพอ เกมผีปากกานั้นเป็นเกมสำหรับสองคน ดังนั้นเฉินเกอจึงเว้นที่เอาไว้ให้เด็กหญิงวางมือของเธอ “อย่างนี้หรือเปล่า?”

ท่าทางของเฉินเกอนั้นถูกต้องและไม่จำเป็นต้องให้เด็กหญิงแนะนำเลยสักนิด ถึงตอนนี้ ก็มีความรู้สึกประหลาดปรากฏขึ้นในใจเด็กหญิง คนผู้นี้ตรงหน้าเธอดูเหมือนจะเล่นเกมผีปากกาบ่อย แต่ว่าคนธรรมดาทำไมถึงเล่นเกมผีปากกาที่บ้านอยู่บ่อย ๆ ได้เล่า?

เด็กหญิงพยักหน้าและนั่งลงตรงข้ามเฉินเกอ “หลังจากเริ่มเกม คุณไม่ต้องพูดหรือว่าทำอะไร แค่นั่งอยู่ตรงนี้เงียบ ๆ ก็พอ”

“เข้าใจแล้ว”

“เมื่อเกมเริ่ม ก็จะไม่สามารถหยุดกลางคันได้ ถ้าคุณเรียกผีปากกามาแต่ว่าไม่ส่งเธอกลับ ผลที่ตามมาจะย่ำแย่มาก” เด็กหญิงเตือนอย่างจริงจัง

“ผมเข้าใจทั้งหมดแล้ว เธอเริ่มได้เลย” เฉินเกอมองไปรอบ ๆ เล่นเกมผีปากกาในห้องเก็บของร้างนั้นเป็นประสบการณ์น่าสนใจ สถาบันฝันร้ายนั้นควบคุมบรรยากาศได้ดีมาก ร่วมกับผลของแสงและเพลงประกอบ หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นแล้วทั้งที่แค่นั่งอยู่ตรงนี้

หลังจากเด็กหญิงนั่งลงและเอื้อมมือออกไปจับปากกาเอาไว้ คิ้วของเธอก็ขมวดเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แปลกจัง ทำไมมือของคนคนนี้ถึงเย็นกว่ามือฉันอีก?

“พวกเราเริ่มเลยไหม?”

“โอ้ ได้ค่ะ” เด็กหญิงสูดลมหายใจลึก เธอกำปากกาเอาไว้ด้วยมือเดียวแล้วสอดอีกมือเข้าไปใต้โต๊ะ เธอเริ่มท่องบทอัญเชิญ “ผีปากกา ผีปากกา คุณบอกฉันได้ไหมว่าฉันจะเห็นคนที่ฉันรักอีกครั้งได้ยังไง?”

หลังจากนั้น ดวงตาของเธอก็จ้องเป๋งอยู่กับปากกาที่บนโต๊ะ และดวงตาแดงของเธอก็ดูค่อนข้างน่ากลัวในความมืด พวกเขารออยู่นาน แต่ว่าปากกาที่พวกเขากำเอาไว้นั้นไม่ขยับ มันนิ่งอยู่เหนือกระดาษ

“ผีปากกา ผีปากกา ได้โปรดตอบฉัน! ฉันทำตามที่คุณแนะนำแล้ว! ฉันทำทุกอย่างที่คุณบอกให้ฉันทำ แต่ทำไมเขาก็ยังตาย? ฉันรักเขา ไม่ใช่ร่างไร้วิญญาณนี่!”

การควบคุมอารมณ์ของเธอค่อย ๆ หมดไป และม่านตาของเธอก็เริ่มเป็นสีแดงก่ำ มีเพียงแค่โต๊ะเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นที่อยู่ระหว่างเด็กหญิงกับเฉินเกอ เพราะระยะห่างเพียงไม่มากของพวกเขา ความรู้สึกถูกทอดทิ้งและความบ้าคลั่งจึงสามารถรู้สึกได้ชัดเจนมาก

“ผีปากกา ผีปากกา ฉันไม่อยากให้เขาตาย! ได้โปรดตอบฉัน! ผีปากกา ตอบฉัน!” เด็กหญิงเริ่มกรีดร้องเหมือนเสียสติไปแล้ว เสียงกรีดร้องของเธอก้องอยู่ในห้องเก็บของ “บอกฉันว่าฉันต้องทำยังไง– ฉันยอมแลกกับอะไรก็ได้! ฉันรู้ว่าคุณที่นี่! ผีปากกา ฉันรู้ว่าคุณยังอยู่ที่นี่!”

ตอนที่เด็กหญิงกรีดร้องประโยคสุดท้าย ปากกาในมือเธอก็บิดเบา ๆ

“ผีปากกา นั่นคุณเหรอ? ได้โปรดบอกฉัน ฉันจะทำให้เขาได้ยินเสียงฉันอีกครั้งได้ยังไง?” เด็กหญิงกรีดร้องเหมือนเธอกำลังขอให้ใครสักคนช่วยชีวิตเธอหน่อย ดวงตาทั้งคู่ของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนจะมีเลือดหยดออกมาได้

ภายใต้เสียงตะโกนอย่างกระวนกระวายของเธอ ปากกาที่ลอยอยู่เหนือกระดาษในที่สุดก็ขยับ เฉินเกอรู้สึกได้ว่าตัวปากกานั้นขยับด้วยตัวเอง และนี่ก็ทำให้เขาประหลาดใจ เขากับเด็กหญิงทั้งคู่จับปากกาอยู่ และเขาก็รู้แน่ว่าไม่มีใครเป็นคนขยับปากกาทั้งนั้น ปากกาขยับด้วยตัวเองจริง ๆ

ผีปากกามาแล้ว? ไม่ ปากกาหมึกซึมด้ามนี้หนักอย่างไม่ควรเป็น ดังนั้นน่าจะมีกลไกบางอย่างติดตั้งไว้ด้านใน โต๊ะนี่ยังมีผ้าปูโต๊ะเก่าขาดคลุมเอาไว้ และมันก็ปิดบังทุกอย่างที่ด้านใต้เอาไว้ไม่ให้เห็น แต่ว่า จากสัมผัส โต๊ะนี้ทำจากเหล็ก มันเป็นไปได้ไหมที่เธอจะใช้แม่เหล็กสักอย่าง?

เสียงของเด็กหญิงดังขึ้น บางทีอาจจะเพราะเธอเห็นสีหน้าตกใจบนใบหน้าของเฉินเกอ เธอถามคำถามซ้ำ ๆ ปากกาเขียนลงที่บนกระดาษขาว “จะได้บางอย่างมาย่อมต้องสูญเสียบางอย่าง คราวนี้เธอเตรียมอะไรไว้ให้ฉัน?”

เห็นประโยคนี้บนกระดาษ เด็กหญิงก็ยิ่งตื่นเต้นอย่างประหลาด “เธอต้องการอะไร? ฉันจะให้!”

“เหมือนก่อนหน้า”

ปากกาที่พวกเขาถือเอาไว้จู่ ๆ ก็หยุดขยับ เด็กหญิงดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์บางอย่างขณะที่มองประโยคบนกระดาษเงียบ ๆ “เหมือนก่อนหน้า?”

น้ำเสียงของเด็กหญิงค่อนข้างจริงจัง มันเหมือนเธอกำลังพูดกับตัวเอง และมันก็ทำให้เธอดูเหมือนถูกอะไรสิง สำหรับคนนอก เธอเหมือนกำลังพูดคุยกับบางอย่างที่มีตัวตนแค่ในจิตใจของเธอ

เธอถามคำถามนั้นซ้ำ ๆ จากนั้นเธอก็เงยหน้ามองมาที่เฉินเกอช้า ๆ ถึงตอนนี้ ปากกาที่พวกเขาทั้งคู่ถือเอาไว้ก็เริ่มขยับอีกครั้ง “ใช่แล้ว เหมือนก่อนหน้านี้ เธอสละอวัยวะทั้งห้าของเพื่อนสนิทของเธอ และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฉันมอบความภักดีตลอดกาลจากคนรักของเธอให้เธอ ตอนนี้ ถ้าเธอต้องการให้คนรักของเธอกลับมา ก็มอบชีวิตอื่นให้ฉันเป็นการแลกเปลี่ยน!”

เครื่องสำอางบนใบหน้าของเธอนั้นเปื้อนเปรอะไปหมด สีหน้าของเด็กหญิงเปลี่ยนไปเป็นชั่วร้าย มือที่เธอซ่อนไว้ใต้โต๊ะนั้นพุ่งตรงไป และที่ในมือของเธอก็เป็นมีดสั้นคมกริบเล่มหนึ่ง!

“เดี๋ยวก่อน!” เฉินเกอนั่งอยู่กับที่และไม่ขยับตัวเลยสักนิด เขามองสองสามประโยคที่บนกระดาษและคิ้วของเขาที่ขมวดอยู่ก็คลายออกช้า ๆ เขาหันไปหาเด็กหญิงและพูด “อย่าได้ทำอะไรวู่วาม ผีปากกากำลังโกหกเธอ ต่อให้เธอฆ่าผม ผีปากกาก็ไม่ได้จะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเธอ”

เด็กหญิงอยู่ท่าเดิม แต่ว่าใบหน้านั้นกระตุกเล็กน้อย นี่นายไม่เห็นมีดเรอะไง? ทำไมถึงยังพูดกับฉันอย่างนี้ได้อีก?

“พลังอำนาจหลักของผีปากกาคือการบอกอนาคต สิ่งที่เรียกว่าเติมเต็มความปรารถนาของเธอน่ะเป็นกับดัก ผมหมายความว่า ลองคิดถึงการตกลงกันครั้งก่อนของเธอสิ

“เธอมอบชีวิตของคนผู้หนึ่งให้ผีปากกา แต่ว่าผีปากกาเล่นคำกับเธอ ผีปากกาใช้โอกาสนี้ฆ่าคนรักของเธอและโกหกเธอ บอกว่านั่นเป็นเพราะว่าผีปากกาช่วยให้เธอได้รับความภักดีไม่สิ้นสุดจากคนรักของเธอ

“ผมคิดว่าผมเข้าใจเรื่องของเธอแล้วตอนนี้ เธออาจจะเจอเข้ากับผีปากกาของปลอมแล้ว แน่นอนว่า มันยังมีความเป็นไปได้ที่จะไม่มีผีปากกาอยู่ตั้งแต่เริ่มและสิ่งที่เรียกว่าผีปากกาก็คือตัวเธอเอง

“เธออาจจะริษยาที่เพื่อนสนิทของเธอกับคนที่เธอตกหลุมรักนั้นสนิทกันและเธอก็ใช้ชื่อของผีปากกาฆ่าพวกเขาทั้งคู่อย่างเลือดเย็น!”

เฉินเกอวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็นและนั่นก็ทำให้เด็กหญิงสับสน ทำไมผู้เข้าชมคนนี้ถึงได้แต่งเรื่องเพิ่มขึ้นมาเองกันล่ะนี่?

“เด็กน้อย วางมีดในมือของเธอลงเถอะ นั่นไม่ใช่วิธีการที่เธอจะเล่นเกมผีปากกา สิ่งที่เธออัญเชิญมานั้นไม่ใช่ผีปากกาแต่ว่าเป็นปิศาจในใจตัวเธอเอง” เฉินเกอกำข้อมือของเด็กหญิงเอาไว้อย่างระมัดระวังแต่ว่ามั่นคง เขาดึงมีดออกจากมือของเธอและวางมันลงที่ข้างตัวของเขาเองก่อนที่จะดึงปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่งที่มีเทปใสพันเอาไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

“ผีปากกาที่แท้จริงนั้นไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ สิ่งเดียวที่ให้เธอทำเรื่องแบบนั้นคือจิตใจของมนุษย์” เสียงของเฉินเกอดูเหมือนจะมีพลังเวทมนต์บางอย่าง เขาจับมือของเด็กหญิงเอาไว้แล้วนำเธอไปกำรอบปากกาลูกลื่นด้วยกัน “ไม่ต้องกลัว ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักผีปากกาที่แท้จริง”

พวกเขาทั้งคู่กลับไปนั่งตรงข้ามกันที่โต๊ะ เฉินเกอและเด็กหญิงกำปากกาที่มีรอยแตกเอาไว้ด้วยกัน

“ทำจิตใจให้ว่างเปล่าและถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเธอ” ดวงตาของเฉินเกออ่อนโยน น้ำเสียงของเขานุ่มนวล “มา พูดตามผม ผีปากกา ผีปากกา เธอคือจิตวิญญาณของฉันจากชีวิตก่อน และฉันก็คือจิตวิญญาณของเธอในชีวิตนี้ เธอช่วยบอกฉันได้ไหมว่าใครคือคนที่รักฉันที่สุด?”

ทำไมคนผู้นี้ถึงสวมชุดนักเรียนของโรงเรียนอื่น? ฉุยหมิงอึ้งไป โรงเรียนมัธยมมู่หยาง? ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย เป็นผู้เข้าชมคนอื่นที่หลงเข้ามาที่นี่เหรอ? แต่ทำไมฉันถึงไม่ได้ยินหัวหน้าพูดถึงเรื่องนี้เลย?

ตอนที่ฉุยหมิงกำลังยืนคิดอยู่นั้น เสียงฝีเท้าก็ก้องอยู่ในความมืดอีกครั้ง และเงาพร่ามัวนั่นก็ตรงมาทางเขาช้า ๆ อุณหภูมิรอบตัวเขาราวกับจะลดลง ลมเย็น ๆ จากเครื่องปรับอากาศคืบคลานเข้าไปในคอเสื้อของเขาและทำให้ขนบนแผ่นหลังของฉุยหมิงลุกชัน

“พี่กั่ว นั่นนายหรือเปล่า?” ไม่มีใครตอบฉุยหมิง เขาสูดลมหายใจลึก ความกดดันอันบรรยายไม่ถูกเริ่มกดลงบนบ่าของเขาและร่างกายของเขาก็รู้สึกอยากจะหันหลังวิ่งหนีไป

เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ?

เขาอยู่ในบ้านผีสิง และเขาก็เป็นหนึ่งในพนักงาน แต่ว่าตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนึ่งในผู้เข้าชม

ดวงตาของเขาเบิกโพลง ยิ่งเขาประเมินสถานการณ์เขาก็ยิ่งกระวนกระวาย คนที่ตามหลังเขาอยู่นั้นไม่ใช่เสี่ยวกั่วแน่นอน เขาสวมชุดนักเรียนของโรงเรียนอื่น!

ความไม่รู้นั้นน่ากลัวที่สุด และฉุยหมิงก็พบว่าตัวเองนั้นอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น เขารู้ว่ามีคนกำลังตามหลังเขามาแต่ว่าเขาไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าคนคนนั้นเป็นใคร เขากำลังเล่นเกมที่คุ้นเคย แต่เพราะมีคนแปลกหน้าที่ด้านหลัง ทุกอย่างก็กลายเป็นหลอนขึ้นกว่าเดิมมาก

ความมืดกลืนกินฉุยหมิงไปราวกับคลื่นลูกหนึ่ง หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างไม่เป็นจังหวะและลมหายใจของเขาก็กระชั้น มันเหมือนเขาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในห้องเรียนนี้ ผู้เข้าชมคนอื่นและเพื่อนร่วมงานหนีไปแล้วและทั้งหมดที่เขามองเห็นและสัมผัสได้ที่รอบตัวก็เป็นความมืดที่ไร้ขอบเขต

หลังจากคนผู้หนึ่งคุ้นเคยกับโลกที่เต็มไปด้วยสีสัน เมื่อต้องกลับมาอยู่ในสถานที่ที่มืดมิด ย่อมเกิดความตื่นตระหนกเหมือนถูกดึงออกมาจากโลกเดิมของตน ฉุยหมิง ที่หลอกผู้เข้าชมคนอื่น ๆ อยู่ในฉากนี้มานักต่อนักนั้นได้ลิ้มรสชาติที่ตัวเองเคยทำเอาไว้แล้ว

โทรศัพท์ในมือของเขาสั่นอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่ามีคนส่งข้อความหาฉุยหมิงอีกครั้งแล้ว ฉุยหมิงกดข่มความหวาดกลัวในใจ ใช้ร่างของตัวเองบังแสงหน้าจอแล้วแอบอ่านข้อความ “ใส่หูฟังซะ!”

ยังคงเป็นเสี่ยวกั่วที่ส่งข้อความมาและข้อความก็สั้นมากมีแค่สี่คำเท่านั้น

ถ้านายมีอะไรจะบอกฉันทำไมถึงไม่แค่พูดมันออกมา? นี่มีแต่จะทำให้ฉันตื่นตระหนกกว่าเดิมนะ! ฉุยหมิงบ่นในใจ เขาถือโทรศัพท์อยู่ในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างเอื้อมเข้าไปในกระเป๋าหาหูฟัง ตอนที่ปลายนิ้วจับหูฟังเอาไว้และเตรียมสวมเข้าที่หู ก็มีลมเย็น ๆ เป่าใส่หลังคอเขา

เขาหมุนตัวกลับและแสงจากหน้าจอก็ส่องสว่างไปที่ด้านหลังเขา ฉุยหมิงไม่ได้ก้มหน้าลง ที่ระดับสายตาของเขา ฉุยหมิงไม่เห็นใครอยู่ที่ด้านหลังตัวเอง สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นรองเท้าผู้หญิงเก่า ๆ คู่หนึ่ง และสิ่งที่แตะหลังคอของเขาก่อนหน้านี้กลับเป็นเชือกผูกรองเท้า

ทำไมรองเท้าคู่นี้ถึงลอยอยู่ด้านหลังฉันได้?

เมื่อดวงตาของเขาไล่ตามรองเท้าไป ลำคอของฉุยหมิงก็เริ่มเงยขึ้นเพื่อมองหาเจ้าของรองเท้า เขามองเห็นเงาดำที่เกือบจะยืนอยู่บนบ่าของเขา! ตอนที่เขาเงยหน้ามองคนผู้นั้น คนผู้นั้นก็กำลังมองกลับลงมาที่เขา!

หัวใจของเขาราวกับจะหยุดเต้นไป และทั้งร่างก็ราวกับจะแข็งทื่อไป เขาจับกำแพงเอาไว้ และสมองของเขาก็พยายามอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดอย่างมีเหตุมีผล แต่ว่า ต่อให้สมองของเขาหมุนแล้วหมุนอีกเขาก็นึกคำอธิบายดี ๆ ไม่ออก

ห้องเรียนร้าง ความมืดที่หนาหนักจนมองไม่เห็นกระทั่งนิ้วของตัวเอง มีคนยืนอยู่บนไหล่ของเขา แค่สองอย่างในนี้ก็ทำให้คนผู้หนึ่งหวาดกลัวแทบตายแล้ว และฉุยหมิงก็โชคดีพอที่จะได้สัมผัสทั้งสามอย่างพร้อมกัน

ลำคอของเขาที่เงยขึ้นแข็งทื่อ ฉุยหมิงเปิดปากเพื่อกรีดร้องขอความช่วยเหลือ แต่เพราะความกลัวสุดขีด คำที่ออกมาจากปากของเขาจึงฟังอู้อี้ ไม่มีใครรอบตัวเข้าใจว่าเขาพยายามจะสื่ออะไร และพวกเขาก็กำลังจะถามให้แน่ใจตอนนี้เห็นฉุยหมิงพุ่งไปข้างหน้าอย่างกับจรวด

บทบาท นักแสดง บ้านผีสิง– ทุกอย่างถูกเหวี่ยงออกไปจากสมองของฉุยหมิง มีเพียงความคิดเดียวที่เหลืออยู่ ฉันต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!

ในสมองของเขาไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่มีเส้นทาง ทำอย่างไรก็ได้ให้ไม่ต้องอยู่ในห้องเรียนก็พอแล้ว

“ฉุยหมิง!” เสี่ยวกั่วร้องเรียกชื่อของเด็กหนุ่มออกมา เขาอยากจะไปบอกให้ฉุยหมิงใจเย็นลง และทั้งหมดที่เขาได้กลับมาก็คือเสียงโต๊ะและเก้าอี้ถูกกระแทกให้พ้นทาง ในห้องเรียนไม่มีแสงไฟ ดังนั้นฉุยหมิงจึงมองทางไม่เห็นแต่ว่านั่นก็ไม่ได้หยุดเด็กหนุ่มจากการแหวกทางเปิดตอนที่พยายามหนีไปยังประตูหน้าของห้องเรียน

เสี่ยวกั่วรู้ว่าเป็นผีตนนั้นที่ตามหลังฉุยหมิง เห็นปฏิกริยาของฉุยหมิงแล้วเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า ‘สิ่งนั้น’ น่ากลัวเพียงใด

“นายกำลังจะไปไหน? ฉุยหมิง!” เสี่ยวกั่วถามเสียงดังแต่ว่าฉุยหมิงหายลับไปโดยไม่หันกลับมามอง

“เกิดอะไรขึ้นกับเขา? ทำไมจู่ ๆ เขาก็เริ่มวิ่งออกไปข้างนอน? เกิดเรื่องไม่ดีกับเขาหรือเปล่า?” ในน้ำเสียงของเฉินเกอนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขาถามออกมารวดเดียวสามคำถาม และคนอื่นที่ยังอยู่ในห้องก็ฟังออกว่าเขาเป็นห่วงฉุยหมิงแค่ไหน

“ผมก็ไม่รู้ แต่ผมไม่คิดว่าพวกเราควรจะเล่นเกมนี้ต่อ ผมต้องไปตามหาฉุยหมิง” เสี่ยวกั่วเริ่มกลัว สภาพรอบตัวของเขานั้นมืดเกินไปจนเขาบอกไม่ได้แน่ว่าผีตนนั้นออกไปพร้อมกับฉุยหมิงหรือเปล่า

“ไม่มีทาง!” เป็นคำตอบมาจากแถวสุดท้ายของห้องเรียนและจากหูฟังของเสี่ยวกั่วพร้อมกัน ทั้งเฉินเกอและเจ้าของสถาบันฝันร้ายนั้นมีปฏิกริยาเหมือนกัน “พวกแกกำลังทำอะไรกัน? ทำตามบทที่ฉันให้ไปซะ! แกกล้าก่อเรื่องและทำให้ฉันกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้ชายคนนี้เหรอ!”

เสียงหอบหายใจอย่างโมโหของหัวหน้าของเสี่ยวกั่วดังเข้ามาในหูฟัง ก่อนที่เสี่ยวกั่วจะได้ตอบหัวหน้าของเขา เขาก็ได้ยินเฉินเกอพูดมาจากที่แถวสุดท้ายของห้องเรียน “เธอไม่ควรเลิกเล่นเกมเหนือธรรมชาติกลางคัน ไม่อย่างนั้นวิญญาณที่เธอได้เรียกมาจะตามติดเธอไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่! ไม่ว่านี่จะเป็นเนื้อเรื่องของบ้านผีสิงหรือว่าเป็นเรื่องจริง ถ้าเธอไม่ต้องการถูกผีปลุกขึ้นมากลางดึก พวกเราทางที่ดีก็เล่นเกมนี้ให้จบ!”

ได้ยินเฉินเกอและหัวหน้าของเขาตะโกนใส่หูพร้อมกันนั้นก็แทบจะทำให้เสี่ยวกั่วเสียสติ เขาเจอเข้ากับคนประเภทไหนกันนะคราวนี้?

ทำไมถึงมีผู้เข้าชมที่เป็นฝ่ายเรียกร้องให้พวกเราเล่นเกมเหนือธรรมชาติในบ้านผีสิงให้จบได้? นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เฉินเกอนั้นเป็นผู้เข้าชม และคนที่อยู่ในหูฟังของเขาก็คือหัวหน้า ในเมื่อทั้งสองคนรั้นที่จะเล่นเกมนี้ที่หลุดออกจากบทที่เขียนเอาไว้ออกมาไกลโพ้นแล้วเสี่ยวกั่วก็ทำได้แค่บังคับให้ตัวเองเล่นต่อ

“ได้ ถ้าอย่างนั้น… พวกเราจะเล่นต่อ” เขากัดฟันและภาวนาให้ผีตนนั้นตามฉุยหมิงออกไปแล้ว

“ตอนนี้พวกเรามีคนลดลงและมีมุมที่ว่างเพิ่มขึ้น พวกเราต้องเปลี่ยนกฎของเกม” เฉินเกอน่าจะเป็นคนแรกที่ไปบ้านผีสิงอื่นแล้วเปลี่ยนกฎของพวกเขา เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองกำลังดื้อรั้นเรื่องนี้เป็นพิเศษ “กฎพื้นฐานของเกมนั้นจะยังไม่เปลี่ยน พวกเราจะยังเดินวนตามเข็มนาฬิกา ตอนที่พวกเธอไปถึงมุมว่าง ให้กระแอมออกมาและจากนั้นพวกเราก็จะออกจากมุมว่างแล้วเดินไปยังมุมต่อไป”

“ได้ พวกเราจะทำตามที่คุณบอก” เสี่ยวกั่วนั้นไม่มีสมาธิกับเกมแล้ว และเขาก็ให้เฉินเกอเป็นคนตัดสินใจ

“อย่างนั้นผมคิดว่าพวกเราควรจะเริ่มต้นจากผมเหมือนเดิม” เฉินเกอนับถอยหลังสามวินาทีแล้วก็ดึงหนังสือการ์ตูนออกมาจากกระเป๋า แล้วเขาก็แตะกำแพงและเดินไปทางมุมที่อยู่เบื้องหน้า เขาไม่ได้เบาเสียงฝีเท้าและในความมืดก็มองเห็นเงาของคนผู้หนึ่งกำลังเดินไปตามกำแพง

เสี่ยวกั่วจับตามองเฉินเกอ มุมที่เฉินเกอมุ่งหน้าไปนั้นอยู่ใกล้กับตำแหน่งที่ฉุยหมิงประสบ ‘อุบัติเหตุ’ เส้นประสาทของเขาตึงเขม็ง และเขาก็จดจ่อมาก ไม่ช้า เฉินเกอก็ไปถึงที่มุมถัดไป เขาไม่ได้กระแอม แต่ว่ายืนอยู่กับที่

เขาไม่ได้กระแอมเลย! นี่หมายความได้แค่ว่ายังมีคนอื่นอยู่ที่มุมนั้น! ร่างกายของเสี่ยวกั่วสั่นเบา ๆ และเขาก็กระวนกระวายอย่างที่สุด เฉินเกอหยุดอยู่ที่มุม แต่ว่าเสียงฝีเท้าไม่ได้หยุด เงาร่างหนึ่งเดินไปยังแถวสุดท้ายของห้องเรียน ไปทางหลี่ป๋อ

ในทุกคนที่อยู่ที่นี่ มีเพียงแค่เจ้าอ้วนน้อย– หลี่ป๋อที่ไม่รู้ความจริง– เล่นตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายอย่างซื่อตรง เมื่อรู้สึกว่าถูกตบไหล่เบา ๆ หลี่ป๋อก็แตะผนังแล้วเดินไปทางเสี่ยวกั่ว นั่นเป็นรหัสระหว่างพนักงานบ้านผีสิง ตอนที่หลี่ป๋อไปถึงมุมของเสี่ยวกั่ว เขาก็ตบบ่าซ้ายฝ่ายหลังครั้งหนึ่งและจากนั้นก็บ่าด้านขวาอีกครั้ง

“พี่กั๋ว เกิดอะไรขึ้นกับฉุยหมิง?” หลี่ป๋อกระซิบถาม

เสี่ยวกั่วไม่ต้องการทำให้หลี่ป๋อตกใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด “ไม่ต้องไปสนใจเขา จำเอาไว้ ถ้าเกิดอะไรไม่ถูกต้องขึ้น ออกไปจากห้องเรียนนี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่นายทำได้”

หลังจากพูดแล้วเสี่ยวกั่วก็เริ่มเดินไปยังมุมถัดไป

บางทีเขาอาจจะคิดไปเอง แต่ว่าเสี่ยวกั่วรู้สึกเหมือนว่าความมืดรอบตัวนั้นหนาหนักมากขึ้น มันเหมือนมีโพรงสีดำอยู่ตรงหน้าเขาและมันก็จะดูดทุกอย่างที่อยู่ใกล้ ๆ เข้าไป มือของเสี่ยวกั่วแตะอยู่บนกำแพง เขาเดินไปยังมุมที่เฉินเกออยู่ก่อนหน้านี้อย่างช้า ๆ และที่ตรงหน้าเขานั้นก็มีเงารูปร่างเหมือนคนยืนอยู่

เขาเดินเข้าไปใกล้ขึ้นและเอื้อมมือออกไป แต่ตอนที่นิ้วของเขากำลังจะแตะลงที่บ่าคนตรงหน้าเสี่ยวกั่วจู่ ๆ ก็นึกรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างหนึ่งออก เฉินเกอนั้นเป็นคนเริ่มต้นรอบนี้ ดังนั้นพูดตามกติกาแล้ว มุมที่เฉินเกออยู่ตอนแรกนั้นควรจะว่างเปล่า!

เฉินเกอนั้นเดินไปยังมุมถัดไปแล้ว ดังนั้นคนที่ยืนอยู่ตรงมุมนี้คือใครกัน?

ความรู้สึกหวาดกลัวพุ่งเข้าใส่เขาจากทุกทิศทาง มือของเสี่ยวกั่วทิ้งค้างอยู่กลางอากาศ และจู่ ๆ เขาก็นึกถึงบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าได้ เกมนั้นจบไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ว่าไม่มีใครกระแอม หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง มันหมายความได้แค่ว่ามีผีมากกว่าหนึ่งตนอยู่ในห้องเรียนนี้!

แขนที่ยกอยู่นั้นทิ้งลงมาไม่ได้ ความกล้าที่เสี่ยวกั่วรวบรวมมาได้เหือดแห้งไปแล้ว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจได้ เขาแตะบ่าคนด้านหน้าเขาเบา ๆ และจากนั้นก็กระโดดถอยหลังไปหลายเมตรทันที

จนคนผู้นั้นเดินออกไปเสี่ยวกั่วถึงได้ถอนหายใจโล่งอก เขาไม่อยู่ที่มุมนั้นต่อ กลับกัน เขาแอบเดินไปทางทางลับที่มีแต่พนักงานบ้านผีสิงรู้และจากนั้นก็ตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในนั้น

ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว!

เสี่ยวกั่วดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาและต้องการส่งข้อความบอกข่าวร้ายหลี่ป๋อตอนที่เสียงของเจ้านายของเขาดังมาจากหูฟัง “กั่วจวิน แกกำลังทำบ้าอะไร? ผู้เข้าชมยังอยู่ในห้องเรียน ฉันต้องการให้แกไปหลอกเขา แล้วแกกลับวิ่งหนีออกมาอย่างนี้ทำไม?”

“บอส ฟังผมนะครับ วันนี้มีบางอย่างต่างออกไปจริง ๆ!” เสี่ยวกั่วพยายามอธิบายกับหัวหน้าของเขาแต่ว่าในห้องเรียนเกมยังคงดำเนินต่อ

เสียงฝีเท้าก้องเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่ในห้อง และไม่ช้า หลี่ป๋อก็รู้สึกว่ามีคนตบบ่าเขา เจ้าอ้วนน้อยที่ซื่อสัตย์คนนี้ก็ไม่ได้คิดมากและเดินไปข้างหน้าต่อ ตอนที่เขาไปถึงตรงมุมที่ควรจะมีเสี่ยวกั่วอยู่ เขาก็พบว่าที่มุมนั้นว่างเปล่า

“พี่กั่ว?” หลี่ป๋อยืนอยู่ตรงมุมนั้นคนเดียว เขาชะงักและมองไปรอบ ๆ จากนั้นเขาก็ทำตามกฏใหม่ที่เฉินเกอตั้งไว้และกระแอมออกมาครั้งหนึ่งก่อนที่จะเดินไปยังมุมถัดไป ในห้องเรียนมืดสนิท หลี่ป๋อรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาไปถึงตรงมุมที่เฉินเกออยู่อย่างช้า ๆ แต่ว่า ตอนที่เขาไปถึงที่ตรงมุมนั้น เขาก็พบว่ามุมนั้นก็ว่างเปล่าเช่นกัน!

เขาไปไหนแล้ว? ผู้เข้าชมไปไหนแล้ว?

เพราะไม่รู้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว จึงไม่มีอะไรที่หลี่ป๋อจะสามารถทำได้เลยนอกจากเล่นเกมต่อไป หลี่ป๋อกระแอมอีกครั้งและเดินไปยังมุมถัดไป ห้องเรียนนั้นเงียบมากจนเขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น และเสียงฝีเท้าของตัวเอง

ตอนที่เขาไปถึงมุมที่สาม ในที่สุดหลี่ป๋อก็ตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเพราะว่ามุมนี้ก็ว่างเปล่าเช่นกัน

“ทุกคนไปไหนน่ะ?” หลี่ป๋อไม่กล้าเคลื่อนไหววู่วาม เขาพยายามติดต่อเสี่ยวกั่ว แต่ว่าคนไม่รับสายเขา เขาคิดที่จะยอมแพ้แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดจะทำอย่างนั้น คำเตือนที่เฉินเกอบอกไว้ก่อนหน้านี้ก็จะผุดขึ้นมาในใจเขา ถ้าเขาหยุดเล่นเกมเหนือธรรมชาติครึ่ง ๆ กลาง ๆ เขาจะถูกวิญญาณพวกนั้นตามติดไปจนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่

แค่คิดก็ทำให้หลี่ป๋อตัวสั่น เมื่อไม่มีทางเลือก เขาก็ทำได้แค่บังคับให้ตัวเองเล่นเกมต่อ ทำไมมันถึงเหมือนว่ามีแค่ฉันที่เหลืออยู่ในห้องเรียนนี้กัน?

ใกล้กับประตูหลัง เสี่ยวกั่วเพิ่งอธิบายสถานการณ์ให้หัวหน้าฟังเสร็จและกำลังจะตอบข้อความของหลี่ป๋อตอนที่เขาเห็นหลี่ป๋อเดินตรงมาทางเขาผ่านหน้าต่างที่บนประตูหลัง

ไม่ว่าอย่างไร เกมนี่ก็เล่นต่อไม่ได้แล้ว ตอนที่หลี่ป๋อเข้ามาใกล้ ฉันจะลากเขาออกไป และผู้เข้าชม… ฉันแน่ใจว่าเขาน่าจะสนุกกับเกมได้ด้วยตัวเอง อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นสิ่งที่บอสอยากให้เกิดขึ้นกับเขาอยู่แล้ว

มือข้างหนึ่งของเสี่ยวกั่ววางอยู่บนลูกบิดประตู เขามองหลี่ป๋อผ่านหน้าต่าง เขาเปิดประตูแง้มไว้และกำลังจะอ้าปากเรียกชื่อหลี่ป๋อตอนนี้ความเย็นพุ่งวาบขึ้นไปที่ศีรษะของเขา!

เสี่ยวกั่วนั้นมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีเงาร่างตามหลังหลี่ป๋อมาอีกถึงสามร่าง!

พวกเขาตามหลังหลี่ป๋อมาติด ๆ และฝีเท้าเองก็คล้ายกับหลี่ป๋ออย่างน่ากลัวแต่ว่าหลี่ป๋อกลับไม่สังเกตเห็นพวกเขาเลยสักนิด!

พวกเขามีกันสามคน?

เขาล้มก้นกระแทกพื้น ขาของเสี่ยวกั่วถีบไปบนพื้นเพื่อดันตัวเองถอยหลัง และเขาก็กรีดร้องสุดเสียง “หลี่ป๋อ! วิ่ง!”

เสียงกรีดร้องที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นทำให้หลี่ป๋อตกใจกลัว ตอนที่เขาเห็นประตูหลังห้องเรียนเปิดอยู่และเสี่ยวกั่วชี้นิ้วไปด้านหลังของหลี่ป๋ออย่างไร้สติ ปฏิกริยาธรรมชาติของเขาก็คือหันไปมอง

เงาร่างทั้งสามนั้นตามเขามาติด ๆ และใบหน้าที่ต่างกันทั้งสามก็สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา

“ใครเรียกพวกนายมาเล่นเกมนี้กัน? ทำไมพวกเราถึงไม่เคยเห็นพวกนายมาก่อน?”

คำตอบเป็นเสียงกรีดร้องเสียดหู นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงอย่างนี้หลุดออกมาจากปากผู้ชาย

เขามองร่างใหญ่โตที่กระแทกเข้ากับประตูด้านหลังแล้วจากนั้นก็พุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ เฉินเกอไม่ได้ขยับไล่ตามเด็กหนุ่มคนนั้นไป เขาดึงผีปากกาและเหล่าโจวกลับ เขาหันกลับไปหยิบสมุดบันทึกที่ตกลงไปบนพื้นขึ้นมาและจากนั้นก็พลิกไปยังหน้าที่สาม

บนหน้าสุดท้ายของการบันทึกครั้งแรกนั้นมีการบันทึกต่อ “เด็กสี่คนเล่นเกมสี่มุมในห้องเรียนร้าง เด็กสามคนที่อายุมากกว่านั้นจงใจรวมกลุ่มกันรังแกเด็กที่อายุน้อยที่สุด และด้วยความประมาทของพวกเขาก็ทำให้เด็กที่อายุน้อยที่สุดเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ

“หลังจากนั้น เด็กที่อายุมากกว่าทั้งสามคนก็หายตัวไป และในวันที่เจ็ดหลังการเสียชีวิตของเด็กที่อายุน้อยที่สุด ครอบครัวของเขาก็พบตุ๊กตาสามตัวที่ทำขึ้นจากต้นข้าวที่ใต้เตียงของเขา ที่ด้านหลังตุ๊กตาทั้งสามตัวนั้นมีชื่อต่างกันติดอยู่– ฉุยหมิง กั่วฮั่น และหลี่ป๋อ”

บันทึกแรกนี้บรรยายฉายสยองขวัญฉากแรกซึ่งก็คือเกมสี่มุมในห้องเรียนร้าง ถ้าอย่างนั้น บันทึกครั้งที่สองก็น่าจะเป็นฉากที่สอง

นั่งอยู่ในฉากบ้านผีสิงที่น่าสยอง เฉินเกอพลิกไปยังบันทึกครั้งที่สองอย่างอยากรู้อยากเห็น มีเด็กหญิงน่ารักคนหนึ่งชื่อเตี๋ย เธอตกหลุมรักเด็กชายคนหนึ่ง และเพื่อไม่ให้การสารภาพรักของตนถูกปฏิเสธ เธอจึงตัดสินใจถามความเห็นของผีปากกา

เกมผีปากกา? เฉินเกอหยุดอ่าน บนใบหน้าของเขาปรากฏสีหน้าที่อ่านไม่ออก ต่อให้มีฉากเดียวกันฉันก็หวังว่าพวกเขาจะทำให้ฉันรู้สึกต่างไปได้

เฉินเกอเดินออกทางประตูหลังของห้องเรียนโดยที่ไม่อ่านบันทึกอื่น ๆ ต่อ

ฉันควรจะตรงไปฉากผีปากกาเลย หรือว่าฉันควรจะไปยืมอุปกรณ์บางอย่างจากหมอก่อน?

เขามองไปตามทางเดินมืด ๆ แล้วส่ายหน้า

โอ้ ฉันว่าฉันควรจะไปต่อ ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ต้องเคลียร์บ้านผีสิงนี่ในวันนี้

“แต่ว่าฉันก็ต้องอยู่ด้านหลังนายอยู่แล้วนี่!” หลังจากได้ยินเสียงเสี่ยวกั่ว หลี่ป๋อก็ใจเย็นลงเล็กน้อย อย่างไรเสีย นี่ก็ยืนยันว่าเขากำลังคุยอยู่กับคนไม่ใช่อย่างอื่น

“นั่นก็ไม่ผิด แต่…” เสี่ยวกั่วมองไปยังมุมตรงหน้าตัวเองแล้วก็ลดเสียงลงกระซิบ “นี่ไม่ได้เป็นไปตามบทนี่ใช่ไหม?”

“ฉันรู้ แต่ว่านายต้องถามฉุยหมิงเรื่องนั้น ฉันแค่เดินมาหานายเพราะว่าเขาเดินมาหาฉัน” หลี่ป๋องุนงง ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

“ดูเหมือนว่าปัญหาจะอยู่ที่ฉุยหมิง เฉินเกออยู่ข้างหน้านี่เอง เขาไม่ได้ขยับ และเขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเดินต่อไปเองด้วย” เสี่ยวกั่วดึงหูฟังบลูทูธออกมาจากกระเป๋า เขากำลังจะสวมมันแต่กลัวว่าเฉินเกอจะเห็น หลังจากคิดแล้วเขาก็ส่งสัญญาณให้หลี่ป๋อใจเย็นลงขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังมุมที่เฉินเกออยู่ มือของเสี่ยวกั่วแตะอยู่บนกำแพง เขามุ่งหน้าไปในความมืด ตอนที่เขาไปถึงมุมของเฉินเกอ เขาก็ระแวดระวังมากขึ้นตอนที่เอื้อมมือไปแตะไหล่ของเฉินเกอ

ความสูงไม่เปลี่ยน คนผู้นี้น่าจะเป็นเฉินเกอ แต่ว่าทำไมตัวเขาถึงเย็นขนาดนี้? แปลกมาก

“เสี่ยวกั่ว?” ก่อนที่เสี่ยวกั่วจะทันคิดอะไร เฉินเกอจู่ ๆ ก็เรียกชื่อเขา

“อะ… อะไร?” เสี่ยวกั่วดึงมือกลับตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกัก

“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตอนที่ฉันเดินมาถึงตรงนี้ก่อนหน้านี้ มีคนยืนอยู่ที่ตรงมุม เขาดูตัวเล็กกว่าฉุยหมิง แต่ว่าฉันก็ไม่คิดว่าจะเป็นหลี่ป๋อ ฉันสงสัยว่าพนักงานของบ้านผีสิงจะแอบเข้ามาในนี้” เฉินเกอสูดลมหายใจเฮือก เสียงของเขานั้นราวกับเค้นรอดไรฟันออกมาและฟังดูหวาดกลัวมาก

“มีคนเพิ่มเข้ามา? พนักงานของบ้านผีสิงอาจจะเข้ามาร่วมวงกับพวกเรา?” เสี่ยวกั่วมองใบหน้าเลือนรางของเฉินเกอและรู้สึกสมองว่างเปล่า นี่นายกำลังบอกพนักงานบ้านผีสิงสามคนว่าพวกเราอาจจะถูกพนักงานคนอื่นแทรกซึมเข้ามางั้นเรอะ? นี่เป็นเรื่องตลกใช่ไหมฮึ?

“ฉันไม่ได้โกหกเธอ ระวังด้วย” เฉินเกอพูดอย่างจริงจัง และนี่ก็ทำให้เสี่ยวกั่วกระวนกระวาย กระทั่งเขาเองก็เริ่มสงสัยว่าหัวหน้าส่งกำลังเสริมเข้ามาช่วยพวกเขา

“ได้ครับ” เสี่ยวกั่วพยักหน้า ตอนที่เฉินเกอเดินไปยังมุมถัดไป เขาก็ดึงหูฟังออกมาจากกระเป๋าเงียบ ๆ แล้วสวม

“คุณได้ยินผมไหมครับ?” เสี่ยวกั่วหันหน้าเข้าหากำแพงใช้เสื้อของตนบังแสงจากหน้าจอโทรศัพท์เอาไว้ และกระซิบถามเพื่อนร่วมงานที่ในห้องกล้องวงจรปิด

“ได้ยิน” เสียงชายวัยกลางคนดังมาจากเครื่องมือสื่อสาร “ฉันกำลังจะโทรหานายเลย ทำไมนายไม่ทำตามบท? นายรู้ใช่ไหมว่าฉันลำบากแค่ไหนกว่าจะคิดวิธีการนี้ออกมาได้? มันจะช่วยเพิ่มความสยองขวัญของเกมจนถึงจุดสูงสุด เลิกเล่นแล้วกลับไปที่ตำแหน่งของนายแล้วทำตามบทได้แล้วคราวนี้”

“หัวหน้า ที่นี่ดูเหมือนจะมีปัญหา คุณได้ส่งคนอื่นเข้ามาช่วยพวกเราหรือเปล่าครับ?”

“ฉันไม่ได้ส่ง” ชายวัยกลางคนเองก็สงสัยและงุนงงไปกับถ้อยคำของเสี่ยวกั่ว “เลิกคุยได้แล้วถ้าไม่อยากถูกจับได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะบอกนายทันที”

เสี่ยวกั่วยังกังวลดังนั้นจึงเสริม “หัวหน้าครับ ผมไม่แน่ใจว่าทุกคนอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ คุณมองเห็นทุกคนไหมในกล้อง?”

“ซ้อมเยอะตั้งขนาดนี้แล้วนายยังจำเรื่องพื้น ๆ แบบนี้ไม่ได้อีกเรอะ?” ชายคนนั้นดูจะหมดความอดทนแล้ว “ตอนนี้นายอยู่ที่ด้านขวาของกระดานดำที่อยู่ใกล้กับประตูที่สุด หลี่ป๋ออยู่ด้านซ้ายของกระดานดำ และฉุยหมิงอยู่ตรงมุมด้านไกลที่สุดของห้องเรียน เฉินเกอกำลังเดิน โอ้ ตอนนี้เขาไปหยุดอยู่ตรงมุมที่ใกล้กับประตูหลังที่สุดแล้ว แล้วก็พวกนายทุกคนทำอะไรกันอยู่? นายเดินครบรอบนึงแล้วและทั้งสี่มุมก็ยังมีคนอยู่ครบ”

“หัวหน้าไม่ต้องห่วง ตอนนี้ผมรู้ตำแหน่งของทุกคนแล้ว พวกเราจะทำตามบท” ตอนที่เสี่ยวกั่วพูดอย่างนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากแถวหลังสุดของห้องเรียน คนผู้นั้นไม่ได้คิดจะปิดบังเสียงฝีเท้าเลยสักนิด

“มีคนเดินอยู่?” เพื่อเพิ่มบรรยากาศ ในห้องเรียนจึงไม่มีแสงไฟ เสี่ยวกั่วมองเห็นแค่เงาร่างหนึ่งกำลังเดินอยู่ที่ด้านหลังห้องเรียน

“ไม่มีใครเดิน พวกนายสี่คนกำลังยืนอยู่ที่สี่มุม ไม่มีใครเคลื่อนที่” ชายวัยกลางคนมองกล้องวงจรปิดและบอกเสี่ยวกั่วว่าเขาเห็นอะไร เขาพูดออกไปด้วยความมีน้ำใจ แต่ว่าเขาไม่รู้เลยว่าที่เขาบอกนั้นนำเอาความสยองขวัญไปให้เสี่ยวกั่วมากแค่ไหน

เสียงฝีเท้านั้นดังชัดอยู่ในห้องเรียนเงียบ ๆ– มีคนกำลังเดินอยู่ในห้องเรียนจริง ๆ!

“หัวหน้า ผมขอคำยืนยันจากคุณอีกครั้งนะครับ คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่ได้ส่งคนอื่นมาที่นี่เพิ่ม?”

“ไม่ ฉันต้องบอกนายอีกกี่ครั้งว่าพวกนายสี่คนกำลังยืนอยู่ที่สี่มุม? ไม่มีใครเคลื่อนที่ทั้งนั้น ทำไมวันนี้นายถึงดูแปลก ๆ ไป? นายป่วยอะไรหรือเปล่า? เป็นเพราะนายถูกแม่สั่งสอนมาอีกแล้วหรือเปล่า?” ชายวัยกลางคนหมดความอดทนแล้ว

ในกล้อง ทั้งสี่คนนั้นยืนอยู่ตรงมุมของใครของมัน แต่ว่ามีเสียงฝีเท้าดังอยู่ในห้องเรียน!

มันหมายความได้อย่างเดียวก็คือมีคนที่ห้าอยู่ในห้องเรียนด้วย! เป็นใครกัน? คนผู้นั้นเข้ามาตอนไหน?

จิตใจของเสี่ยวกั่วเริ่มยุ่งเหยิง เขาอดนึกถึงสิ่งที่เฉินเกอพูดตอนเริ่มเกมไม่ได้ เล่นเกมแบบนี้ในบ้านผีสิงนั้นอันตรายเพราะว่าจะอาจจะเรียกสิ่งเหล่านั้นออกมาจริง ๆ ได้

“พวกเราทดลองกันมาหลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ และก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าคราวนี้…”

ถ้าคนเราเดินเลียบอยู่ริมน้ำบ่อยเข้าเท้าก็จะเริ่มเปียก เสี่ยวกู่กำลังจะบอกสถานการณ์ปัจจุบันให้กับชายในห้องกล้องวงจรปิดตอนที่ชายคนนั้นพูดขึ้นมา

“เอ๋? เกิดอะไรขึ้นกับฉุยหมิง?” ชายวัยกลางคนพูดอย่างประหลาดใจ “เฉินเกอยังยืนอยู่ที่มุมของเขาอยู่เลย เขายังไม่ได้เดินไปหาฉุยหมิง แล้วทำไมเขาถึงเริ่มออกเดินแล้วล่ะ?”

ตอนที่ชายวัยกลางคนพูดอย่างนั้น มันก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงฝีเท้าก่อนหน้านี้หยุดและก็มีเสียงฝีเท้าใหม่เริ่มต้นออกเดินอีกครั้ง

พวกเราสามคนร่วมมือกันมาหลายครั้งแล้ว ฉุยหมิงคงไม่เดินไปข้างหน้าหากไม่มีใครตบบ่าเขา!

เมื่อความคิดนั้นเข้ามาในใจเขา หน้าผากของเสี่ยวกั่วก็มีเหงื่อเย็น ๆ ผุดออกมา ถึงเขาจะทำงานในบ้านผีสิงก็จริง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่กลัวอะไรเลย

“หัวหน้า ใครอยู่ตรงมุมที่ฉุยหมิงอยู่เมื่อกี้นี้?” เสี่ยวกั่วเช็ดมือที่ลื่นไปด้วยเหงื่อกับเสื้อตัวเอง

“นี่วันนี้นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย? ฉันเห็นชัดเจนจากกล้องเลยว่ามุมนั้นตอนนี้ว่างอยู่”

“คุณมองมันไม่เห็นจากกล้องเหรอ?” เสี่ยวกั่วตื่นตระหนกจริง ๆ แล้ว ที่จริงเขายังอายุน้อยนักซึ่งทำให้เขาได้รับบทนักเรียนมัธยม “หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ตรงมุมนั้นมีผีอยู่สินะ”

“ผีอะไร? นายกำลังเป็นตัวถ่วงฉันใช่ไหม? พวกนายสามคนสิเป็นผี หรือว่าพวกนายเสียสติไปแล้วหลังจากเล่นเป็นผู้เข้าชมนานเกินไป?” ชายวัยกลางคนไม่รู้เลยว่าเสี่ยวกั่วกำลังพูดถึงอะไรอยู่ “เร็วเข้า กลับเข้าไปเล่นตามบทได้แล้ว ฉันจะไปเก็บภาพเฉินเกอที่กำลังหวาดกลัวและจะตัดต่อเป็นคลิปสั้น ๆ เอาไปแฉในเวบใหญ่ ๆ ให้หมดเป็นการสอนบทเรียนให้เขา!”

“ครับหัวหน้า ผมจะพยายามสุดฝีมือ” เสี่ยวกั่วบังคับตัวเองให้ตอบรับ เขามองไปที่ฉุยหมิงที่ยังเดินอยู่ในความมืด หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เขาก็ดึงโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความให้ฉุยหมิง

ฉุยหมิงนั้นอยู่ระหว่างทางเดินไปหาหลี่ป๋อและจู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็สั่น เขาดึงโทรศัพท์ออกมาเหลือบมองขณะที่ใช้เสื้อของตัวเองบังแสงเอาไว้ เป็นความความจากเสี่ยวกั่วและมันอ่านได้ว่า “ผีอยู่ด้านหลังนาย!”

นี่เป็นประโยคธรรมดาแต่ว่าตีความได้ไม่รู้จบ ฉุยหมิงมองไปด้านหลังตัวเอง และก็มีคนยืนอยู่ตรงมุมที่เขาเพิ่งเดินออกมา มันดูผอมแห้งที่ทำให้เขานึกถึงเสี่ยวกั่ว

เฉินเกอกับเสี่ยวกั่วสลับที่กันเหรอ? ฉันเป็นนักแสดง และในบ้านผีสิงนักแสดงก็คือผี ดังนั้นข้อความนี้น่าจะหมายถึงว่าตอนนี้ที่ด้านหลังฉันคือเสี่ยวกั่วใช่ไหม?

ฉุยหมิงงุนงงและหยุดเดิน จากมุมมองของเขา เป็นเสี่ยวกั่วที่หลุดจากบท และก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้นอกจากทำตามบทที่เพี้ยนไปแล้วต่อไป

เขากำลังพยายามบอกอะไรฉันน่ะ?

เพื่อความปลอดภัย ฉุยหมิงเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าของตัวเองหาหูฟัง ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังของเขา เขาถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือและมองเงาร่างที่ใกล้เข้ามา ไม่ช้า ข้อความที่สองของเสี่ยวกั่วก็มาถึง

“อย่าหยุด! คราวนี้พวกเราดึงดูดผีจริง ๆ เข้าแล้ว!” หลังจากอ่านข้อความด้วยแสงอ่อนจากจากหน้าจอโทรศัพท์ฉุยหมิงก็เงยหน้าขึ้น เขายังมองไม่เห็นใบหน้าของคนที่อยู่ด้านหลังเขาแต่ว่าเขาก็แน่ใจแล้วว่าคนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าที่ต่างไปจากนักเรียนของสถาบันฝันร้ายและบริเวณหน้าอกก็มีตัวอักษรปักเอาไว้

“โรงเรียนมัธยมมู่หยาง?”

ผู้เข้าชมสี่คนจับจองมุมทั้งสี่ของห้องเรียน รอบด้านมืด และยังไม่มีแสงเลยสักนิด เพลงพื้นหลังดังมาจากมุมไหนไม่รู้ล่องลอยเข้าไปในหูของพวกเขาและผู้เข้าชมคนไหน ๆ ก็ต้องหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ

“ถ้าพวกเธอพร้อมแล้ว พวกเราก็จะเริ่มเล่นเกมนี้” เฉินเกอเคยเล่นเกมเหนือธรรมชาติมาก่อนหน้านี้หลายเกม แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเล่นกับคนแปลกหน้า

ด้วยความเป็นห่วงด้านความปลอดภัย เฉินเกอเตือนผู้ร่วมเล่นคนอื่น ๆ อีกครั้ง “บ้านผีสิงนี่ไม่เคยพบเจอแสงตะวัน ดังนั้นมันจึงสั่งสมพลังหยินเอาไว้หนาแน่นและนั่นก็ดึงดูดสิ่งแปลก ๆ มากมายมา

“เล่นเกมอย่างนี้ในบ้านผีสิงนั้นอันที่จริงเป็นการกระทำที่อันตรายมาก ตอนที่ฉันมาถึงที่นี่ ฉันก็เห็นแล้วว่าสถาบันฝันร้ายน่ะตั้งอยู่ที่มุมหยินของถนนการค้าและมันยังตั้งอยู่ด้านหลังสุดของตึกทั้งหมด นี่เป็นหยินยิ่งกว่าหยิน และที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก มีตึกสูงเสียดฟ้าตั้งอยู่ติดกับตึกนี่ขวางแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของแสงสว่างแห่งเดียวของสถาบันฝันร้ายไป สถานที่ในภูมิศาสตร์เช่นนี้น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อเลย”

“พวกเราเป็นแค่นักเรียน คุณอย่าพูดให้มันดูน่ากลัวขนาดนี้ได้ไหม?” หลี่ป๋อดึงซิปของเสื้อคลุมลงเผยให้เห็นเครื่องแบบนักเรียนที่ด้านใน มันเหมือนกับเครื่องแบบที่รุ่นพี่คนนั้นใส่อยู่เลย

“สิ่งที่ผมกำลังพูดนั้นธรรมดามาก เล่นเกมเหนือธรรมชาติในบ้านผีสิงอาจจะทำให้พวกเราเจอเข้ากับสิ่งเหล่านั้นจริง ๆ ถ้าเธอกลัว เธอควรออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่กับดักที่บ้านผีสิงวางเอาไว้แต่ว่าเป็นบางอย่างที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง…”

“ผมรู้ แต่ว่าพวกเราเริ่มเกมเลยได้ไหม? ที่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว” เสี่ยวกั่วนั้นอยู่ตรงมุมตรงข้ามกับเฉินเกอ ตอนที่เขาพูด ก็มีรอยยิ้มประหลาดปรากฏบนใบหน้าของเขา

“ได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะเริ่มก่อน” เฉินเกอเดินไปทางฉุยหมิงขณะแตะกำแพงไปด้วย ตามกฏแล้ว เขาต้องไปให้ถึงตำแหน่งของฉุยหมิง เดินไปข้างหน้าช้า ๆ ทำให้มันดูเหมือนจริงมากขึ้น เขายังหลับตาลงด้วย

ปลายนิ้วของเขาแตะถูกมุมกำแพง เฉินเกอลืมตาขึ้นและใบหน้าซีดใบหน้าหนึ่งก็ลอยอยู่ในความมืด เฉินเกอเอื้อมมือออกไปแตะไหล่ของผู้ชายตรงหน้าเขา เฉินเกอนั้นเดินวนตามเข็มนาฬิกา เขาควรจะเดินไปหาฉุยหมิง ฉุยหมิงควรจะเดินไปทางหลี่ป๋อ และหลี่ป๋อเดินไปทางเสี่ยวกั่ว

ฉุยหมิงไม่พูดอะไร เขาเดินไปตามกระดานดำและมุ่งหน้าไปทางมุมของหลี่ป๋อ ตอนที่เขาไปถึงหลี่ป๋อ เขาก็ตบบ่าซ้ายของหลี่ป๋อ จากนั้นก็บ่าขวา นี่น่าจะเป็นสัญญาณของพวกเขา

เฉินเกอพบว่า ตอนที่ฉุยหมิงทำอย่างนั้น ไหล่ที่เกร็งเขม็งของหลี่ป๋อก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เกมดำเนินไปเรื่อย ๆ แต่ตอนที่พวกเขาเริ่มรอบที่สองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น

เสี่ยวกั่วแตะบ่าเฉินเกอ เขาเข้าไปอยู่มุมที่เฉินเกออยู่ตอนแรก ตามกฏแล้ว เฉินเกอควรจะเดินไปทางมุมของฉุยหมิงขณะที่คนที่เหลืออยู่กับที่ แต่ว่า ตอนที่เฉินเกอเดินไปได้ครึ่งทางจู่ ๆ เสี่ยวกั่วก็เดินตามหลังเฉินเกอมา!

ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น ทั้งฉุยหมิงและหลี่ป๋อก็เริ่มออกเดินพร้อมกัน ทั้งสามคนประสานงานกันได้ดีทีเดียว การเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นเบาและไม่มีเสียงอะไรเลย ตอนที่เฉินเกอไปถึงตรงมุมของฉุยหมิง ฉุยหมิงก็เดินออกไปแล้วเหลือแต่มุมว่าง ๆ เอาไว้

ถ้าเฉินเกอเป็นคนธรรมดาก็คงเริ่มกระวนกระวายแล้วเพราะพูดตามทฤษฎีแล้ว ต้องมีคนรออยู่ที่มุมนี้ เสี่ยวกั่วรักษาระยะห่างของตัวเองจากเฉินเกอ ในใจเขา เขามองเห็นแล้วว่าเฉินเกอนั้นตื่นตระหนกแค่ไหน นี่เป็นนักเรียนใหม่ที่มาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับเฉินเกอ– ผู้เข้าชมธรรมดานั้นไม่ได้มีโอกาสได้รับประสบการณ์เช่นนี้

ความมืดนั้นเป็นความกลัวพื้นฐานของมนุษย์ เมื่อมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน ด้วยกฏที่เปลี่ยนไป ไม่มีใครสามารถรักษาความสงบของตัวเองไว้ได้หรอก เสี่ยวกั่วมองเงาที่ตรงหน้าตัวเองอย่างคาดหวัง เขาทบทวนบทในใจขณะปรับสีหน้าและเตรียมกระโจนไปด้านหน้า แต่ว่า ในตอนนี้เอง บางอย่างที่เขาไม่ได้คาดเอาไว้ก็เกิดขึ้น

เฉินเกอดึงปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อและหยุดอยู่ที่เดิมวินาทีหนึ่ง

“เขากำลังทำอะไรน่ะ?” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินเกอก็ยืดตัวขึ้นและยืนอยู่ที่ตรงมุม จากนั้น เสี่ยวกั่วก็เห็นเงามัว ๆ เงาหนึ่งออกจากมุมของเฉินเกอและขยับไปทางมุมต่อไป

“มีคนอยู่ที่มุมนั้น?” เสี่ยวกั่วหยุดเดินทันที ปฏิกริยาแรกของเขาก็คือนักแสดงอีกสองคนนั้นทำพลาด– พวกเขาไม่ทำตามบทที่เขียนเอาไว้ “แล้วตอนนี้ฉันควรจะทำยังไง?”

เฉินเกอหยุดอยู่ที่มุมเดิมของฉุยหมิง ฉุยหมิงและหลี่ป๋อนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตามแผนแล้ว พวกเขาเดินไปยังมุมถัดไปแล้ว ฉุยหมิงกับหลี่ป๋อกำลังรอเสียงกรีดร้องจากเฉินเกอ พวกเขาไม่ชอบเฉินเกอมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้เมื่อชายคนนั้นอาสาเดินเข้ากับดักเอง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ปล่อยชายคนนี้ไปง่าย ๆ

อย่างน้อยที่สุดนั่นก็เป็นแผนการของพวกเขา แต่ว่าพวกเขารอตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้ยินเสียงร้องของเฉินเกอเลย ฉุยหมิงหันหลังกลับไปดู เขายังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ตอนนี้มีคนตบบ่าของเขา เขาขนลุกซู่ และฉุยหมิงก็เอนตัวพิงกำแพงทันที

“เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าเฉินเกอเดินต่อโดยไม่ได้หยุดอยู่ตรงมุม?” มองเงาที่ด้านหลังตัวเองแล้วฉุยหมิงก็เห็นแค่โครงร่างเลือน ๆ เท่านั้น ขนาดตัวของคนผู้นี้นั้นต่างไปจากเฉินเกออย่างสิ้นเชิง เขาเตี้ยเกินไปและผอมเกินไป

ในพวกเขาทั้งหมด มีแค่เสี่ยวกั่วที่มีรูปร่างเท่า ๆ นี้

“พี่กั่ว?” ฉุยหมิงเรียกเงานั่นเบา ๆ แต่ว่าไม่มีการตอบรับ ฉุยหมิงไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร เขาเดินต่อไปข้างหน้าหาหลี่ป๋ออย่างงุนงง

ตอนที่หลี่ป๋อเห็นเงาร่างหนึ่งโซเซมาทางเขา เขาก็ค่อนข้างตกใจเหมือนกัน เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงได้แต่เดินไปทางมุมของเสี่ยวกั่ว

เฉินเกอนั้นดูไม่หวาดกลัวเลย เพื่อนร่วมทีมของเขาทำพลาด เสี่ยวกั่วได้แต่อึ้ง หลังจากคิดแล้ว เขาก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่ตำแหน่งเดิมของตนและทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อย่างไรเสีย ในห้องเรียนนี้ก็มีกล้องมองกลางคืน ถ้ามีปัญหาอะไร นักเทคนิคก็จะได้รับแจ้งผ่านข้อความแล้ว ก่อนที่จะเข้าร่วมกลุ่ม พวกเขายังได้รับหูฟังบลูทูธมาด้วย ถ้าจำเป็นพวกเขาก็สามารถใช้มันได้– ของชิ้นนี้นั้นเป็นหนึ่งในอุปกรณ์จำเป็นสำหรับพนักงานบ้านผีสิง

เสี่ยวกั่วเดินกลับไป และหลี่ป๋อก็เดินมาที่มุมของเขา ทั้งสองคนนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่แทบจะเท่ากัน ในความมืด เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกเปิดโปง เสี่ยวกั่วเดินเบามาก เขาระมัดระวังมากในการเดินกลับไปมือแตะไว้บนผนัง ตอนที่เขากำลังจะถึงตรงมุมของตัวเอง ปลายนิ้วของเขาจู่ ๆ ก็แตะถูกมือของคนอื่น!

แขนของเขาหดกลับทันที เขาไม่คิดว่าจะมีคนอื่นมาจากที่ด้านหลังตัวเอง!

“นี่ใครน่ะ?”

“พี่กั่ว?”

หลี่ป๋อเองก็ตกใจเหมือนกันตอนที่มีใครแตะถูกมือเขา

“ทำไมนายถึงมาอยู่ด้านหลังฉันได้?” เสี่ยวกั่วประหลาดใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาร่วมมือกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้น

เฉินเกอมองนักเรียนห้าคนที่บนจอ และเขาก็นึกออกทันทีว่านี่ก็คือเกมเหนือธรรมชาติอันโด่งดังเกมหนึ่ง

“นี่เรียกว่าเกมมุมทั้งสี่ ตอนเที่ยงคืน คนสี่คนยืนอยู่ที่สี่มุมของห้องที่ปิดทึบมืด ๆ ห้องหนึ่งและจากนั้นก็เดินเลียบกำแพงไปตามเข็มนาฬิกา

“ตอนที่คนแรกเดินไปถึงที่มุมแรก พวกเขาก็จะแตะบ่าคนถัดไปเบา ๆ ในเมื่อในห้องมีสี่มุมและมีคนกำลังเล่นเกมอยู่สี่คน เมื่อคนในห้องเริ่มขยับ ก็จะมีมุมหนึ่งที่ถูกทิ้งว่าง

“ตอนที่ผ่านมุมที่ว่างอยู่ กระแอมครั้งหนึ่ง และจากนั้นก็เดินต่อไปยังมุมถัดไป”

“ทำไมคุณถึงรู้เรื่องนี้ดีจัง?” ฉุยหมิงประหลาดใจ เขาถือสมุดบันทึกที่เขาเจอที่ข้าง ๆ เครื่องฉายเอาไว้ และกติกาของเกมก็ถูกเขียนเอาไว้บนหน้าแรก

“แบบที่ผมพูดถึงน่ะเป็นแบบทัวไป ถ้าคุณอยากจะให้มันน่าสนใจมากขึ้น คุณสามารถปิดตาแล้วขานชื่อตัวเอง จากนั้นก็ถามชื่อคนที่ยืนอยู่ตอนที่คุณไปถึงตรงมุม อย่างนั้นมันก็ง่ายขึ้นที่จะมีคนที่ห้าปรากฏตัวออกมา” เฉินเกอยื่นมือออกไปดึงสมุดบันทึกมา และฉุยหมิงก็ปล่อยให้อย่างไม่รู้ตัว “อะไร? ไม่เชื่อผมเหรอ? บ้านผีสิงนี่น่ากลัวมาก มีเพียงแค่ร่วมมือกันพวกเราถึงจะรอดไปได้”

“ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อเธอ ผมแค่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่ผู้เข้าชมจะรู้กฏของเกมน่ากลัวแบบนี้อย่างละเอียดขนาดนี้” ฉุยหมิงดูเหมือนจะมีแผลเป็นจากตอนที่มาสถาบันฝันร้ายครั้งก่อนอยู่ ดังนั้นเขาจึงหวาดระแวงคนอื่น ๆ อยู่ลึก ๆ

“นั่นไม่ปกติยังไง?” เฉินเกอเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋า เขากำโทรศัพท์เครื่องดำ “เกมเหนือธรรมชาติพวกนี้น่ะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเพราะว่ามีคนเคยลองเล่นมันมาก่อนตั้งเยอะ อันที่จริง ผมมีเกมที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอยู่นะ พวกคุณอยากลองดูไหมล่ะ? ที่นี่น่าจะเหมาะมากทีเดียว”

ฉุยหมิงกลืนน้ำลายขณะมองไปรอบ ๆ ประตูห้องเรียนนั้นถูกสัตว์ประหลาดที่รออยู่ข้างนอกกระแทกใส่ หุ่นที่หน้ากระดานดำแกว่งไกวไปมา และหุ่นที่นั่งอยู่ตามที่นั่นก็มีสีหน้าน่ากลัว มันเหมาะสมแล้วจริง ๆ เหรอที่จะเล่นเกมอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้?

“เอาละ ผมไม่ล้อพวกคุณเล่นแล้ว ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด พิธีต้อนรับของสถาบันฝันร้ายน่าจะเกี่ยวข้องกับการเล่นเกมนี้ และพวกเราก็ควรจะเดินหน้าต่อไปได้หลังจากเล่นเกมแล้ว” เฉินเกอนั้นคุ้นเคยกับกลวิธีเช่นนี้เพราะว่าเขาก็อยู่ในธุรกิจแบบเดียวกัน

“ผีกำลังจะเข้ามาแล้วและคุณยังมีเวลาพูดเล่นอีกเหรอฮึ? ไปต่อกันเถอะ” หลี่หยวนและเซว่ลี่เดินเข้ามา พวกเขาต้องการอยู่ให้ห่างจากประตู

“อย่างแรกเลย มีอย่างหนึ่งที่ผมต้องแก้ไขให้ถูกต้อง ไอ้ที่กระแทกประตูอยู่ตอนนี้น่ะเป็นสัตว์ประหลาด ไม่ใช่ผี พวกมันเป็นสิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง” เฉินเกอดึงสมุดบันทึกจากฉุยหมิง เขาเปิดมันและวางลงที่แท่นบรรยาย เขายืนอยู่หน้ากระดานดำและหุ่นที่มีกลิ่นน่ารังเกียจก็แกว่งไกวอยู่ด้านหลังเขาราวกับเป็นลูกตุ้มสักลูก

“บันทึกเล่มนี้ไม่มีชื่อเจ้าของ แต่จากลายมือ มันน่าจะเป็นของนักเรียนสักคน ลายมือในบันทึกเล่มนี้มีหลายลายมือแต่มันก็ไม่ได้สื่ออะไรนอกจากมันอาจจะมีเจ้าของหลายคน” เฉินเกอวิเคราะห์อย่างง่าย ๆ “จากการสังเกตของผมก็คือลายมือมีการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากเล่นเกมแต่ละครั้ง นี่หมายความว่าคนที่เล่นเกมนี้ตายไปหลังจากเขียนบันทึกนี้งั้นเหรอ?”

เฉินเกอพูดเร็วมาก ด้วยการฝึกฝนจากโทรศัพท์เครื่องดำ ยิ่งสภาพแวดล้อมน่ากลัวเท่าไหร่เขาก็ยิ่งใจเย็นเท่านั้น “เมื่อรวมวิดีโอที่บนจอเข้ากับบันทึกเล่มนี้ ให้ผมเล่าสถานการณ์ที่น่าจะเป็นให้พวกคุณฟัง นักเรียนใหม่สี่คนไม่เชื่อฟังอาจารย์ของพวกเขาและเข้ามาในโรงเรียนนี้ตอนกลางคืนเพื่อเล่นเกมมุมทั้งสี่ ระหว่างเกม ก็ปรากฏคนเพิ่มเข้ามาและจากนั้นพวเขาสี่คนก็หายไป ดังนั้น พวกเราจึงต้องทำสิ่งที่พวกเขาเริ่มเอาไว้ให้จบและสัมผัสกับเกมนี้ด้วยตัวพวกเราเอง”

สองชั่วโมงต่อการเข้าชมหนึ่งครั้ง… เฉินเกอวางแผนที่จะลดเวลาให้เหลือน้อยกว่าครึ่งชั่วโมง เขาผลักหุ่นออกไป “โทษทีนะ”

ตอนที่ผู้เข้าชมคนอื่นยังอ่านบันทึกอยู่ เฉินเกอก็เดินไปที่มุมห้องและพบห่วงติดอยู่กับกำแพงห่วงหนึ่ง เขาดึงแล้วกระดานดำก็ขยับออกเงียบ ๆ

“มีกลไกบางอย่างติดตั้งไว้ตรงนี้ ผมเจอเข้าแล้ว” เฉินเกอหันไปตะโกนบอกผู้เข้าชมคนอื่น ๆ “น่าจะมีห่วงสี่อันอยู่ในห้องนี้ หนึ่งอันที่แต่ละมุม พวกเราสี่คนต้องยืนที่สี่มุมและจากนั้นก็ดึงมันพร้อม ๆ กัน หลังจากนั้น พวกเราก็น่าจะหนีออกไปได้”

เฉินเกอที่ผ่านอะไรมากมายย่อมคิดได้ไกลและลงมือได้เร็วกว่าผู้เข้าชมทั่วไป นอกจากนี้ เขายังมีประสบการณ์มากมายให้ใช้สอย โดยทั่วไปแล้ว แค่มีเงื่อนงำเล็กน้อยเขาก็สามารถคาดเดาทั้งเรื่องได้

ก่อนที่ผู้เข้าชมจะทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินเกอก็มีวิธีการแก้ปัญหาแล้ว ผู้เข้าชมหลายคนเดินไปที่มุมห้องเรียนอย่างสงสัยอยู่บ้าง หลังจากพวกเขาดึงห่วงนั่นพร้อม ๆ กัน กระดานดำก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นเผยให้เห็นทางลับด้านหลัง สัตว์ประหลาดด้านนอกได้ยินเสียงและกระแทกตัวกับประตูแรงขึ้น

“เร็ว รีบไป!” หลี่หยวนและเซว่ลี่ยืนอยู่ตรงมุมที่ใกล้กับทางลับที่สุด พวกเขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้แล้วดังนั้นเมื่อทางลับเปิดออกพวกเขาก็ปล่อยห่วงและวิ่งไปยังกระดานดำ แต่ว่า พอพวกเขาทำอย่างนั้น กระดานดำก็เริ่มไหลกลับที่เดิม

“พวกเราสี่คนต้องดึงห่วงพร้อมกันเพราะให้กระดานดำลอยอยู่” เฉินเกอเข้าใจได้ทันที เหตุผลที่สถาบันฝันร้ายออกแบบมาอย่างนี้ไม่ใช่เพื่อให้ผู้เข้าชมหวาดกลัวแต่เพื่อแยกพวกเขาออกจากกัน อย่างไรเสีย การเข้าชมบ้านผีสิงคนเดียวก็น่ากลัวกว่าเข้าชมพร้อมกับอีกเก้าคนอยู่แล้ว

“ผมเชื่อว่าพวกเราต้องแยกกัน พวกเราสี่คนดึงห่วงเอาไว้และคนที่เหลือเข้าไปด้านใน” หลังจากเฉินเกอพูดอย่างนั้นแล้ว คนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันและก็เห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีใครอยากอยู่ต่อ

“งั้นให้พวกเราสามคนอยู่เป็นไง?” เจ้าอ้วนน้อยหลี่ป๋อพูด “เชิญคุณผู้หญิงก่อนเลย”

หลี่หยวนและเซว่ลี่นั้นเป็นคู่รัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แยกจากกันอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ที่ต้องรั้งอยู่จึงต้องเป็นเฉินเกอและนักเรียนสามคน ทั้งสี่คนยืนอยู่ที่สี่มุม และกลไกก็ทำงาน เมื่อหลี่หยวนและคนที่เหลือเข้าไปในทางเดินลับแล้วก็เกิดบางอย่างขึ้น

กระดานดำตกลงมาทันที เกิดเสียงกระแทกกับพื้นดังลั่น

มีคนปล่อยห่วงของตัวเอง?

เขาหรี่ตาลง ด้วยดวงตาหยินหยางของเขา ความมืดไม่ได้ส่งผลกระทบกับเฉินเกอมากนัก เขามองไปรอบ ๆ ตามมุมอื่น ๆ และเห็นนักเรียนทั้งสามคนปล่อยห่วงของตัวเอง พวกเขายืนหันหน้าเข้าหากำแพงศีรษะก้มต่ำและปลายนิ้วเคาะที่กำแพงเบา ๆ

งั้น นักเรียนทั้งสามคนก็เป็นนักแสดงของบ้านผีสิงสินะ

ความจริงเผยต่อเฉินเกอแล้ว เขาถูกแยกตัวออกมา

ผู้เข้าชมสี่คนที่มาทีหลังน่าจะเป็นพนักงานของพวกเขาทั้งหมดเลย

เขาไม่โกรธหรือว่ากลัว อย่างไรเสีย เฉินเกอก็ทำกับผู้เข้าชมของเขายิ่งกว่านี้อีก

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเกอก็อ้าปากพูด “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมกระดานดำถึงตกลงมา? พวกเธอปล่อยมือเหรอ? พวกเธอยังอยู่ไหม?”

มีร่องรอยประหลาดใจและหวาดกลัวในน้ำเสียงเขา ทำให้รู้สึกเหมือนเขาพยายามสงบจิตใจอยู่

“นี่หลี่ป๋อ ฉันอยู่ตรงนี้! ตอนนี้พวกเราควรจะทำยังไงดี? ที่นี่มืดมาก ฉันไม่กล้าขยับเลย!”

จากมุมที่อยู่ใกล้กระดานดำมากที่สุดเป็นเสียงหลี่ป๋อ ริมฝีปากของเขาอ้ากว้างและเขาก็แหกปากร้องเสียงหลง ตอนที่เขาพูด หลี่ป๋อก็มองมาทางเฉินเกอ และความสนุกของการได้แก้แค้นก็ส่องประกายอยู่ในดวงตาของเขา

“ไม่ต้องกลัว! ยืนอยู่ที่เดิม ผมจะไปหาเธอเอง!” เสียงของเฉินเกอนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยและอบอุ่นเหมือนเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กชาย “อย่าตื่นตระหนกไป ผมจะพยายามหาทาง! ยังมีใครอยู่ที่นี่อีกไหม? พูดหน่อยสิ ให้ผมได้รู้ตำแหน่งของเธอ!”

“ผมอยู่อยู่ข้าง ๆ สมุดบันทึกตอนที่กำลังอ่านมันอยู่ก่อนหน้านี้ มีคำเตือนอยู่ที่ใต้กติกา ถ้าคุณหาทางออกไม่ได้ พวกเราสามารถเล่นเกมเพื่อหาทางออกใหม่” เสียงของฉุยหมิงดังมาจากทิศทางตรงข้ามกับหลี่ป๋อ พวกเขาสองคนยืนอยู่ตรงมุมที่ใกล้กระดานดำที่สุด

“ดูเหมือนว่าพวกเราคงต้องเล่นเกมนี้เพื่อหาทางหนี หลังจากนี้ผมอยากให้พวกเธอทำตามคำสั่งของผม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำไว้ว่าสงบใจเข้าไว้!” ตอบแทนความแค้นของพวกเขาด้วยเมตตา เฉินเกอเตือนพวกเขา “ตอนที่เกมเริ่มขึ้นจริง ๆ อาจจะมีคนเกินมา นั่นน่าจะเป็นนักแสดงของบ้านผีสิง ดังนั้นสิ่งที่พวกเธอต้องทำ ก็คืออย่าตื่นตระหนกไป”

 

บ้านผีสิงส่วนใหญ่ที่เน้นเนื้อหานั้นจะมีการกำหนดบทบาทของผู้เข้าชม ด้วยวิธีนั้น ผู้เข้าชมก็จะอินไปกับเนื้อหาได้ง่ายขึ้น เหมือนที่สถาบันฝันร้ายนี้ ในบ้านผีสิงนี้ ผู้เข้าชมทั้งหมดจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นนักเรียนใหม่ที่เข้ามาที่โรงเรียน และพวกเขาก็จะใช้ความเป็นนักเรียนใหม่คลี่คลายเรื่องผีในโรงเรียนช้า ๆ

พูดตามทฤษฎีแล้ว บทบาทของเฉินเกอเองก็คือนักเรียนใหม่เช่นกัน แต่ว่าเขาไม่ได้ทำตัวหรือเตรียมตัวมาเป็นนักเรียนใหม่ ผู้เข้าชมคนอื่นนั้นให้ความสนใจกับการไขปริศนาและเคลียร์ฉาก แต่ว่าเขาให้ความสนใจว่าจะเป็นฝันร้ายใหม่ของที่นี่ได้อย่างไร

อันที่จริง เฉินเกอก็ไม่ได้คิดจะมาไกลถึงซินไห่เพื่อทำอะไรอย่างนี้ แต่ว่าสถาบันฝันร้ายบังคับให้เขาทำ เดินไปตามทางเดินมืดและน่าหวาดผวา เฉินเกอพึงพอใจกับตึกนี้มาก ตั้งอยู่บนถนนการค้าที่พลุกพล่านที่สุดของซินไห่ และเพราะสภาพภูมิศาสตร์อันพิเศษ มันแน่ใจได้เลยว่าที่นี่จะไม่มีแสงอาทิตย์ส่องมาถึงไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนของวันซึ่งหมายความว่ามันจะมีผลกับพนักงานของเขาน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย การตกแต่งภายในก็กว้างขวางเช่นกัน มีทั้งหมดหกชั้น และยิ่งกว่าเพียงพอกับฉากมากมายของบ้านผีสิง

“ถ้าฉันจะมาเปิดสาขาในซินไห่ ที่นี่ก็เหมาะสมที่สุด” แน่นอนว่า สถาบันฝันร้ายย่อมไม่ยอมยกที่นี่ให้เฉินเกอฟรี ๆ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงฝันกลางวันและวางแผนล่วงหน้าไปก่อน

“เฮ้ คุณที่ด้านหลังน่ะ! พยายามอย่าถูกทิ้งไว้ที่ด้านหลัง!” ผู้เข้าชมเดินไปไกลพอสมควรแล้วตอนที่พบว่าเฉินเกอนั้นเดินช้า ๆ อยู่ด้านหลัง และหนึ่งในพวกเขาก็ร้องเร่งไปด้วย มีหมอนำอยู่ด้านหน้า ทั้งกลุ่มก็มาถึงห้องเรียนห้องใหญ่ห้องหนึ่ง

“เข้าไปก่อน พิธีต้อนรับนักเรียนใหม่จะทำในห้องนี้แหละ ถ้าพวกเธอโชคดี พวกเธอก็จะได้พบอาจารย์ใหญ่ด้วย” หมอกลับออกไป ผู้เข้าชมยืนอยู่นอกประตูมองเขาเดินห่างออกไป

“เขาไปทั้งยังงี้เลยเหรอ?” เซว่ลี่กอดแขนหลี่หยวนและพึมพำ “ไม่ใช่ว่าเขาต้องให้คำใบ้พวกเราเหรอ?”

ผู้เข้าชมยืนอยู่ในทางเดินและไม่มีใครกล้าเข้าไปเป็นคนแรก สายตาพวกเขาค่อย ๆ ขยับไปทางเฉินเกออย่างไม่ได้วางแผนกันไว้

นอกจากหลี่หยวนแล้ว เฉินเกอก็เป็นผู้ชายที่อาวุโสที่สุดที่นี่

“วิธีการที่ผมเข้าชมบ้านผีสิงต่างไปจากที่คุณคิดเอาไว้ ถ้าคุณอยากจะพึ่งพาผม อย่างนั้นทางที่ดีคุณก็เตรียมตัวพร้อมวิ่งเอาไว้นะ” เฉินเกอเตือนพวกเขาอย่างใจดี เขาชื่นชอบคนที่กล้าเข้าบ้านผีสิงอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว บางทีมันอาจจะเป็นนิสัยจากอาชีพแบบหนึ่ง

ผลักประตูเปิดแล้วกลิ่นเลือดหนาหนักก็ตีตลบออกมา พิธีต้อนรับนักเรียนใหม่ก็คือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายนั่นเอง!

โต๊ะเก่า ๆ เรียงอยู่ในห้องและหุ่นมากมายก็วางเอาไว้ตรงที่นั่ง มีเครื่องฉายที่กำลังทำงานอยู่วางไว้ที่แท่นบรรยายและหุ่นศพตัวหนึ่งก็ห้อยลงมาจากกระดานดำ

หน้าต่างปิด แสงประหลาด และเพลงพื้นหลังหลอกหลอนสร้างบรรยากาศสยองขวัญได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“กลิ่นมาจากหุ่นนี่ที่คล้ายคลึงกับศพจริงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ พวกเขาทำได้ยังไงกันนะ? พวกเขาใช้เลือดสัตว์ทาบนหุ่นเหรอ?” ด้านในและด้านนอกประตูนั้นราวกับคนละโลก หลังจากเฉินเกอเข้าไปในห้องเรียน น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป “ไม่แปลกใจเลยที่ที่นี่กลายเป็นบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดในซินไห่”

หลังจากเฉินเกอเข้าไปในห้อง เซว่ลี่ก็คิดจะตามไปแต่ว่าเธอเพิ่งก้าวเท้าได้ก้าวเดียวตอนที่จู่ ๆ ก็ถูกหลี่หยวนดึงกลับไป

“เธอจะทำอะไรน่ะ? ทำฉันตกใจหมดเลย!” เซว่ลี่วางฝ่ามือลงที่เหนือหน้าอกตัวเองแล้วจ้องหลี่หยวนเขม็ง หลี่หยวนขยิบตาให้หลายครั้งและหลังจากดึงเซว่ลี่ไปด้านข้างเขาก็กระซิบใส่หูเธอ “เธอไม่ได้ยินเหรอว่าก่อนหน้านี้เขาพูดว่าอะไร? ผู้ชายคนนั้นบอกว่ากลิ่นมาจากหุ่นนี่ที่เหมือนจริงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์”

“แล้ว? นั่นมันมีอะไรเหรอ?” เซว่ลี่ไม่เข้าใจสิ่งที่แฟนหนุ่มของเธอพยายามสื่อ

“ที่รัก นั่นมีความหมายเดียวว่าเขาเคยเห็นศพจริง ๆ มาก่อน!” หลี่หยวนตัวสั่น เข้าชมบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดในซินไห่ก็ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่แล้ว และตอนนี้เขาก็พบว่ามีคนแปลก ๆ อยู่ในกลุ่มด้วย เขาจะทำอย่างไรดี?

“เธอพูดก็ถูก” เซว่ลี่นั้นเป็นคนไร้เดียงสาจึงไม่ได้คิดถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดในทันที “บางทีเขาอาจจะเป็นหมอ ฉันได้ยินว่ามีหมอผ่าตัดบางคนมาบ้านผีสิงเพื่อผ่อนคลายหลังจากผ่าตัดเคสยาก ๆ เสร็จ พวกเราโชคดีแล้วคราวนี้ที่ได้รวมกลุ่มกับผู้เชี่ยวชาญ”

“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น” หลี่หยวนและเซว่ลี่พบว่าตัวเองนั้นถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง คนที่เหลือเดินหน้าไปโดยไม่รอพวกเขาแล้ว พวกเขาเป็นสองคนที่ยังอยู่ในทางเดิน โคมไฟตามทางเดินจู่ ๆ ก็เปิด หลี่หยวนไม่ได้สนใจมันนัก เขายังคิดอยู่ว่าจะตามเฉินเกอเข้าไปดีหรือไม่ ในตอนนี้เอง โคมไฟที่ใกล้พวกเขาที่สุดก็ถูกเปิด และเงาหนึ่งก็แวบผ่านตาพวกเขาไป

สายลมเย็นพัดผ่านเส้นผมของพวกเขาและจู่ ๆ หลี่หยวนก็จามออกมา เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวและเห็นเส้นผมหลายเส้นห้อยลงมาจากเพดาน ที่ตรงมุมที่ฝ้าเพดานถูกดึงออกมีใบหน้าของเด็กคนหนึ่ง ผิวซีดและอ้าปากออกครึ่ง ๆ เด็กหญิงดูเหมือนจะมีบางอย่างอยากพูดกับหลี่หยวน ผ่านโพรงที่บนเพดาน เธอโยนกระดานปั้นก้อนลงมาใส่หลี่หยวน

“ช่วยด้วย! มีคนอยู่ตรงนั้น!” หลี่หยวนร้องออกมาและขาของเขาก็เริ่มพาเขาหนีไป เขากำลังจะดึงเซว่ลี่เข้าไปในห้องเรียนตอนที่โคมไฟใกล้พวกเขาที่สุดสว่างขึ้น ห่างไปจากพวกเขาแค่สามเมตรมีสัตว์ประหลาดสูงประมาณสองเมตรตัวหนึ่ง!

กะโหลกศีรษะถูกตะปูแทงทะลุและเสื้อผ้าก็ชุ่มเลือด ผิวที่อยู่นอกร่มผ้าก็เต็มไปด้วยแผลน่ากลัว นิ้วมือของเขาเน่าเปื่อย และเขายังถือเชือกสีแดงเข้มเอาไว้ในมือ

“บ้าอะไรเนี่ย! สัตว์ประหลาดตัวใหญ่นี่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” หลี่หยวนและเซว่ลี่พุ่งเข้าไปในห้องเรียนอย่างไม่ลังเล จากนั้นพวกเขาก็กระแทกประตูห้องเรียนปิด “มาช่วยกัน! มีสัตว์ประหลาดอยู่ด้านนอกนั่น! ช่วยกันดันประตูไว้เร็ว!”

ผู้เข้าชมที่ในห้องนั้นเริ่มตื่นตระหนก พวกเขากำลังตรวจดูในห้องอย่างละเอียด จู่ ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอกทำให้พวกเขาตกใจ พวกเขาไม่ได้ตกใจกลัวอุปกรณ์ประกอบฉากในบ้านผีสิงแต่ตกใจกับพวกเดียวกันเองนี่แหละ

ปัง!

มีบางอย่างที่นอกห้องเรียนกระแทกเข้ากับประตูอย่างแรง หลี่หยวนใช้แรงทั้งหมดดันประตูเอาไว้และเส้นเลือดที่หน้าผากของเขาก็ปูดโปน “มาช่วยผมที!”

เฉินเกอนั้นมีปฏิกริยาเร็วที่สุด เขาวิ่งมาผลักประตูปิด “พวกคุณไปกระตุ้นกับดักอะไรเข้าหรือเปล่า?”

“ไม่ ผมสาบานได้ ไม่มีอะไรแบบนั้น! พวกเราแค่ยืนอยู่นอกประตู! พวกเราไม่รู้เลยว่ามันมาตั้งแต่เมื่อไหร่!” ใบหน้าหลี่หยวนแดงก่ำ

“ผมเข้าใจแล้ว การปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดก็เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เข้าชมจะเดินตามเนื้อเรื่องที่วางเอาไว้ ถ้าคุณอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป สัตว์ประหลาดก็จะปรากฏตัวขึ้น” เฉินเกอช่วยปิดประตูและเขาก็คว้าไม้กวาดมาขัดประตูให้อยู่กับที่

“ตอนนี้มีสัตว์ประหลาดขวางประตูอยู่ แล้วพวกเราจะออกไปยังไง?” ถึงแม้ว่าประตูจะถูกปิดเอาไว้ได้ชั่วคราว สัตว์ประหลาดก็ยังไม่ได้ไปไหนและก็ยังคอยกระแทกประตูเหมือนเป็นบ้า

“เงื่อนงำน่าจะอยู่ในห้องนี้ มันน่าจะเป็นยันต์ที่ใช้ไล่สัตว์ประหลาดออกไป หรืออาจจะเป็นทางลับหรือว่าอาวุธ” เฉินเกอมองประตูที่อาจจะพังลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ เขาใจเย็นจนเพื่อนร่วมทีมรู้สึกกลัว “ระดับความสยองกำลังเพิ่มขึ้นแล้ว น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ”

“เฮ้! มาดูนี่สิ!” ตอนที่เฉินเกอและหลี่หยวนปิดประตู ฉุยหมิงก็พบบางอย่าง เขาชี้ไปที่เครื่องฉาย หน้าจอที่ข้างกระดานดำเริ่มเล่นวิดีโอสั้น ๆ

นักเรียนชายสี่คนเข้าไปในห้องเรียนมืด ๆ ห้องหนึ่ง แต่ละคนนั้นไปยืนที่ตรงมุมห้อง และพวกเขาก็นับถอยหลัง พวกเขาเดินเลียบกำแพง พวกเขาเดินไปรอบ ๆ ตอนที่จู่ ๆ คนที่ห้าก็ปรากฏตัวขึ้นบนจอ

ในเมื่อพวกเขาทั้งห้าคนสวมเครื่องแบบเหมือนกัน ฉุยหมิงจึงบอกไม่ได้เลยว่าคนที่เพิ่มเข้ามาคือคนไหน

ในห้องที่กั้นไว้นั้นเล็กมาก มีแบบฟอร์มกับปากกาแขวนเอาไว้ที่บนผนัง เฉินเกอหยิบฟอร์มขึ้นมาดู “กรุณาเลือกหนึ่งอย่างที่คุณไม่กลัว”

แถวแรกนั้นมีตัวเลือกระหว่างความมืดกับที่แคบ “นี่เป็นการทดสอบทางจิตใจอย่างหนึ่งเพื่อดูว่าผู้เข้าชมมีภาวะทางจิตผิดปกติใดหรือไม่งั้นเหรอ?”

เฉินเกอนั้นไม่กลัวความมืดหรือว่าการติดอยู่ในที่แคบ ๆ เขากำลังจะสุ่มเลือกตัวเลือกตอนที่ความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในใจเขา ไม่ใช่ว่าสถาบันฝันร้ายจะออกแบบเส้นทางพิเศษให้ตามคำตอบที่ให้ไว้ที่นี่เพื่อหลอกผู้เข้าชมให้ถึงระดับสูงสุดหรอกนะ?

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเกอก็วงคำว่าความมืด ด้วยดวงตาหยินหยาง ความมืดไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลยสักนิด แถวที่สองนั้นเป็นรูปสองรูป หนึ่งเป็นแมงมุม และอีกหนึ่งเป็นงู

แถวที่สามนั้นให้เลือกระหว่างฆาตกรบ้าคลั่งและวิญญาณร้าย แถวที่สี่เป็นรูปสองรูปของหุ่นศพ หนึ่งไม่มีหัว และอีกหนึ่งมีเลือดท่วม

เฉินเกอตอบคำถามทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เขาเปิดประตูห้องและเดินออกมาพร้อมกับแบบฟอร์ม เฉินเกอใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ หมอเพิ่งส่งผู้เข้าชมคนสุดท้ายเข้าห้องไป ดังนั้นเขาจึงยังไม่ทันหันกลับมา

“คุณยังมีแบบทดสอบอื่นที่ผมต้องทำไหม?” เฉินเกอวางแบบฟอร์มลงบนโต๊ะและมองไปยังค้อนและเลื่อยที่ในตู้ บางทีอาจจะเพราะเรื่องความปลอดภัย ของพวกนี้ยังมีเชือกมัดเอาไว้และคงไม่สามารถเอาออกไปได้ง่าย ๆ

“เธอทำเสร็จแล้วเหรอ?” หมอดูเหมือนจะกำลังคิดอะไรอยู่และจู่ ๆ เฉินเกอก็โผล่ออกมาทำให้เขาตกใจเหมือนกัน

“ประหลาดใจขนาดนั้นเหรอครับ?” เฉินเกอเห็นบางอย่างนูนขึ้นมาในกระเป๋าของหมอ– มันดูเหมือนจะมีรูปร่างเหมือนรีโมท น่าจะมีกับดักบางอย่างอยู่ในกั้นห้อง แต่ในเมื่อเฉินเกอออกมาเร็วเกินไป หมอจึงไม่มีโอกาสใช้มัน

“ฉันแนะนำให้เธออ่านแบบฟอร์มอย่างละเอียด แต่ละคำถามนั้นมีความหมายของมันอยู่ ตัวเลือกของเธอจะช่วยให้ฉันตัดสินบุคลิกภาพของเธอ และพวกเราก็จะสามารถออกแบบระบบช่วยเหลือเธอได้” หมอพูดด้วยน้ำเสียงเมตตาและกังวล ตอนที่ทั้งสองคนคุยกัน ผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ก็ออกมาจากกั้นห้องทีละคนจนเหลือแค่สองห้องสุดท้ายที่ยังปิดอยู่

“น่าจะผ่านไปสามนาทีแล้ว พวกเธอทำไมถึงช้าขนาดนี้?” หลี่หยวนกอดแขนของเซว่ลี่ไว้– คู่รักคู่นี้ติดกับหนึบเหมือนกาว

หมอก็เริ่มหมดความอดทนแล้วเหมือนกัน เขาเคาะประตูเบา ๆ “คุณผู้หญิง คุณเสร็จหรือยังครับ?”

ไม่มีคำตอบ หมอเคาะประตูอีกครั้งก่อนที่ประตูจะแง้มออก ผู้หญิงที่พูดน้อยคนนั้นเดินออกมาจากคอกกั้นและส่งแบบฟอร์มให้หมอ ฟอร์มนั้นค่อนข้างเปียก หมอมองลงไปโดยไม่รู้ตัวและพบว่ามันชุ่มน้ำตาไปแล้ว

ผู้หญิงคนนั้นตอบสองสามคำถามแรกอย่างซื่อตรง แต่เริ่มจากคำถามที่สี่ เหมือนจิตใจของเธอถูกกระทบกระเทือน และเธอก็เริ่มเขียนคำว่า ‘ตาย’ ลงไปในรูปหลายต่อหลายครั้ง ด้วยสายตาหยินหยาง เฉินเกอเห็นถ้อยคำทั้งหมดถูกเขียนเอาไว้ที่บนรูปหุ่นไร้หัว เขาสงสัยว่านี่จะเป็นหนึ่งในเนื้อเรื่องของบ้านผีสิงหรือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ

หมอลังเลก่อนที่จะพับแบบฟอร์มแล้วเก็บมันเข้าไปในกระเป๋า “ขอบคุณสำหรับการกรอกข้อมูล ตอนนี้ กรุณาตามรุ่นพี่ที่นำทางพวกเธอมาที่นี่ไปร่วมพิธีต้อนรับ”

“รุ่นพี่คนนั้นถูกผีจับตัวไปแล้ว และเขาก็ถูกขังเอาไว้ในห้องชมรมถ่ายภาพ” เฉินเกอเตือนเขา เขาพบว่าหมอนั้นค่อนข้างใจลอย เขาลืมไปแล้วว่ารุ่นพี่ถูกจับตัวไปแล้ว

“โอ้ ใช่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะนำพวกเธอไปที่นั่นเอง” หมอเดินไปที่ประตูกำลูกบิดประตูเอาไว้ “ฉันตรวจดูสีหน้าของพวกเธอแล้ว และไม่มีใครมีปัญหาทางร่างกายหรือว่าทางจิตใจ เมื่อพวกเธอเดินออกไปจากประตูนี้ พวกเธอก็จะกลายมาเป็นนักเรียนที่สถาบันฝันร้ายอย่างเป็นทางการ ในฐานะที่ปรึกษาของโรงเรียน ฉันมีคำแนะนำสุดท้าย อย่าเปิดประตูห้องไหนในโรงเรียนมั่ว ๆ และอย่าเชื่อสิ่งที่คนแปลกหน้าบอก”

ประตูเปิดออก หมอกดเปิดไฟฉายของตัวเองแล้วเดินก้มหน้าต่ำนำทางไป ผู้เข้าชมตามหลังเขาไปติด ๆ พวกเขาเดินไปได้สองสามก้าวตอนที่ผู้เข้าชมได้ยินเสียงเล็บครูดกับประตูดังมาจากด้านหลังพวกเขา

หันกลับไปมองก็พบว่ามีเด็กหญิงในชุดเครื่องแบบโรงเรียนยืนอยู่ที่มุมทางไปบันได ใบหน้าของเธอซีดขาวราวกับกระดาษ และเธอยังมีรอยยิ้มน่าขนลุก แขนของเธอโบกมาทางกลุ่มผู้เข้าชมไม่หยุด

แสงสลัวที่ตรงมุมกะพริบ เด็กหญิงปรากฏและหายลับไปในความมืด ริมฝีปากของเธอแย้มออก แต่ว่าไม่มีเสียงดังออกมา มันเหมือนเธอกำลังพูดบางอย่าง

“มีผีอยู่ด้านหลังพวกเรา!” หลี่ป๋อ เด็กหนุ่มร่างอ้วนกรีดร้องขณะที่เขาเบียดตัวเข้ากับกลุ่มและขดตัวอยู่ด้านหลังหมอ ตอนที่ทุกคนเห็นเด็กหญิง พวกเขาก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และเฉินเกอก็ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลังกลุ่มอีกครั้ง เขาหันกลับไปมองเด็กหญิง ตอนที่คนอื่น ๆ ถูกการแต่งหน้าน่ากลัวของเด็กหญิงหลอก เฉินเกอกลับมองปากเด็กหญิง

“อย่าตามหมอไป”

“อยู่ให้ห่างจากเขา”

“ระวังพวกผู้ใหญ่”

“วิ่ง”

เด็กหญิงดูเหมือนจะให้คำใบ้แก่เหล่าผู้เข้าชม แต่นอกจากเฉินเกอแล้วก็ไม่มีใครเห็น

“ทำไมพวกเราถึงต้องระวังผู้ใหญ่ด้วย?” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงรายละเอียดหนึ่ง รุ่นพี่ที่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้นั้นสวมเครื่องแบบที่ดูเล็กกว่าตัวอย่างน่าสงสัย “หรือว่ารุ่นพี่คนนั้นไม่ใช่นักเรียนแต่ว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง?”

เฉินเกอจ้องเด็กหญิงที่ตรงมุมนิ่ง คำนวณระยะห่างระหว่างตัวเขากับเด็กหญิง “ถ้าฉันพุ่งออกไป ฉันสามารถย่นระยะทางนี้ได้ภายในห้าวินาที ก่อนที่หมอจะทันได้มีปฏิกริยา ฉันก็จะไปถึงตัวเด็กหญิงและกลายเป็นส่วนหนึ่งของผี”

เทียบกับภารกิจของโทรศัพท์เครื่องดำ การมาเยี่ยมชมบ้านผีสิงอื่นนั้นเป็นวันหยุดและเฉินเกอก็ค่อย ๆ ค้นพบความสนุก “ฉันจ่ายค่าตั๋วไปแล้ว ตราบใดที่มันยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ฉันสามารถที่จะลองวิธีที่ฉันต้องการ เพื่อเพิ่มความสร้างสรรค์ของผู้เข้าชมและช่วยให้พวกเขาผ่อนคลาย นั่นเป็นจุดมุ่งหมายของบ้านผีสิง”

เนื้อหาที่เดิมนั้นมีเพียงเส้นทางเดียวกลับเปิดออกว้างออกโดยเฉินเกอ เขาตื่นเต้นมากขึ้น “ช่วงหลัง ๆ มานี้ฉันวุ่นวายกับการจัดการกับโทรศัพท์เรื่องดำ วันนี้ ฉันควรจะผ่อนคลายและคลายเครียด”

ม่านตาของเขาหดแคบลง และเฉินเกอก็จ้องเป๋งไปยังเด็กหญิงที่ตรงมุมขณะที่รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

ผงแป้งบางส่วนหล่นลงจากใบหน้าซีดเผือด เด็กหญิงจู่ ๆ ก็ตัวสั่นตอนที่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเกอ เธอเซถอยไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัวและจากนั้นก็หายตัวไปในความมืด

“เธอขี้อายเกินไป ผีจริง ๆ ไม่ควรมีท่าทีอย่างนี้” เฉินเกอแบกกระเป๋าสะพายหลัง มือล้วงอยู่ในกระเป๋า เดินไปตามทางเดินสลัวแต่เขาก็ไม่พบอะไรชัดเจน

“หมอนั้นแทนความมืดดำในใจผู้ใหญ่ ทำหน้าที่ปิดบังความลับในโรงเรียน เด็กหญิงที่ตรงมุมแทนผี ไม่ต้องการถูกพบเห็นและหายตัวไปทันทีที่ฉันเคลื่อนไหว ในเมื่อไม่มีฝ่ายไหนเป็นตัวแทนของความดี อย่างนั้นฉันเปลี่ยนตัวเองไปเป็นฝ่ายที่สามในโรงเรียนผีนี่ดีไหมนะ?”

ตอนที่ผู้เข้าชมทั้งหมดออกไปจากห้องแล้วรุ่นพี่ก็ปิดประตูห้องชมรมถ่ายภาพทันทีและเอาแต่พึมพำ “เป็นไปได้อย่างไร? เธอกลับมาแล้ว!”

มีเสียงปังดังมาจากด้านหลังประตูเรื่อย ๆ ประตูทั้งบานสั่นเหมือนมันจะหลุดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ รุ่นพี่คนนั้นเป็นนักแสดงที่ดีทีเดียว ด้วยอิทธิพลจากเขา ผู้เข้าชมที่ตื่นตระหนกอยู่แล้วก็ยิ่งกระวนกระวาย

“ที่นี่มีปัญหานิดหน่อยน่ะ ยังไงก็ไปตรวจสุขภาพสำหรับนักเรียนใหม่กันก่อน ในห้องที่ด้านหน้านั่น หมอมาถึงแล้ว” รุ่นพี่เค้นรอยยิ้มออกมา ประตูสั่นอย่างแรง ในทางเดินมืด ๆ ผู้เข้าชมนั้นยังไม่ได้หวาดกลัวนักเมื่อมีคนนำทาง แต่สำรวจฉากด้วยตัวเองนั้นเป็นงานยากไปสักนิด

“พวกเธอทุกคนมัวทำอะไรอยู่ตรงนี้? ไปสิ!” เสียงของรุ่นพี่เปลี่ยนเป็นเร่งเร้า เขาทิ้งน้ำหนักพิงประตูห้องชมรมถ่ายภาพเอาไว้ ถึงอย่างนั้นประตูก็ยังสั่นอย่างแรง

“พวกเราควรจะฟังเขา ไปกันเถอะ” ฉุยหมิงและหลี่หยวนนำทั้งกลุ่มเดินออกไป ก่อนที่พวกเขาจะไปได้ไกล รุ่นพี่ที่ขวางประตูเอาไว้จู่ ๆ ก็เสริม “อ้อ ฉันจะบอกพวกเธออีกอย่าง! ลิฟท์มีปัญหานิดหน่อยและมันก็ใช้การไม่ได้ชั่วคราว พยายามอย่าเดินไปชั้นอื่นเพราะว่าในช่องบันไดน่ะ…”

เขาพูดได้ครึ่งทางตอนที่แขนซีดเผือดข้างหนึ่งจะเอื้อมออกมาจากกลางประตูแล้วดึงชายผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปในห้อง

“ช่วยฉัน! ช่วยฉันด้วย!” เสียงกรีดร้องสุดเสียงของรุ่นพี่ก้องไปในโถง ใบหน้าซีดเผือดของเขาเบียดอยู่ระหว่างประตู แก้มของเขาเต็มไปด้วยเลือด และเขาก็โบกแขนไปมาอย่างบ้าคลั่งเพื่อขอความช่วยเหลือ “ช่วยฉันที! ดึงฉันออกไป!”

สีสีแดงเลือดกระฉูดออกมาจากด้านหลังศีรษะของเขาและมันก็สาดกระจายไปทั่ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนอื่นย่อมไม่กล้าเข้าไปใกล้ ผู้เข้าชมยืนนิ่งอึ้งอยู่มองรุ่นพี่ถูกลากเข้าไปในประตูช้า ๆ และเลือดก็นองอยู่บนพื้น

“ช่วยฉัน!” รุ่นพี่กรีดร้องเสียงดัง ตอนนั้นเอง เฉินเกอ ที่อยู่ด้านหลังของกลุ่มก็เดินไปข้างหน้า รองเท้าของเขาเหยียบไปบนสีแดงบนพื้น ‘เลือด’ นี้ไม่เหนียวเท่าเลือดจริง มันเป็นสีแดงที่เอามาละลายกับน้ำ เฉินเกอเอื้อมมือไปที่ประตูแล้วคว้ามือของรุ่นพี่เอาไว้อย่างไม่ลังเล

“ช่วย…” ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เฉินเกอก็ผลักเขาไปที่ด้านหลังประตูแล้วก็ล็อกประตูไว้ ทางเดินเงียบไปในทันที กระทั่งผีที่ด้านในห้องก็ยังงุนงง

ผู้เข้าชมที่เหลือเบิกตากลมกว้างมองเฉินเกอ ฝ่ายหลังนั้นแค่พูดอย่างอาย ๆ “โทษทีครับ ผมว่ามือผมลื่นไปน่ะ”

หลังจากเฉินเกอเดินห่างจากห้องนั้นมาสามเมตร ประตูก็เริ่มสั่นอีกครั้งและเสียงกรีดร้องของรุ่นพี่กับเสียงหัวเราะชั่วร้ายของผีผู้หญิงจากด้านในห้องชมรมถ่ายภาพก็ดังออกมา

“พนักงานพวกนี้อย่างน้อยที่สุดก็รู้จักปรับตัวไปตามสถานการณ์” เฉินเกอกลับไปที่ด้านหลังกลุ่มและเขาก็พบว่าผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ยังมองมาที่เขา “อย่ามัวยืนอยู่ที่นี่– พวกเราต้องรีบไปหาหมอ เมื่อกี้นี้ นักเรียนคนนั้นบอกว่าบันไดไม่ปลอดภัย และตอนนี้พวกเราก็อยู่ใกล้กับบันไดเกินไป บางทีอาจจะมีบางอย่างคลานออกมาจากที่นั่นหลังจากนี้ อย่างไรเสียพวกคุณก็ได้เห็นในหนังไปแล้วก่อนหน้านี้ ผีปรากฏตัวครั้งแรกที่บันได”

ด้วยน้ำเสียงสงบและการวิเคราะห์เฉียบคม หลังจากผลักรุ่นพี่ไปสู่ความตายแล้ว ความสามารถของเฉินเกอในการรักษาสติเอาไว้ก็ทิ้งความประทับใจไว้ให้กับผู้เข้าชมคนอื่น ๆ

“คุณพูดถูก พวกเราอยู่ใกล้บันไดเกินไปตอนนี้” หลี่หยวนนั้นค่อนข้างกลัว เขามองบันไดที่ด้านหลังตัวเองและทางเดินมืด ๆ ที่ด้านหน้า เขาไม่กล้าเดินไปต่อ– ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะไปเจอเข้ากับสัตว์ประหลาดชนิดไหน เขาขยับไปด้านหน้าสองสามก้าวก่อนจะหยุด เขาหันกลับมาขอความช่วยเหลือเฉินเกอ “พี่ชาย คุณนำทางพวกเราไปดีไหม?”

“คุรอยากอยู่ระวังหลังเหรอ? อันที่จริง มันอันตรายกว่าเดินนำข้างหน้านะ ท้ายกลุ่มน่ะใกล้กับบันไดที่สุด และใครจะไปรู้ คุณอาจจะพบคนอื่นที่เกินมาเดินอยู่ด้านหลังคุณก็ได้?”

“พอแล้วครับ! ผมจะเดินนำข้างหน้าเอง!” หลี่หยวนคว้ามือเซว่ลี่ และเซว่ลี่ก็กอดเอวหลี่หยวนแน่น คู่รักคู่นี้เหมือนพวกเขากำลังเดินเข้าไปในดงกับระเบิดและเดินช้ามาก ๆ เห็นแล้วเฉินเกอก็ส่ายหน้านิด ๆ

ผู้เข้าชมพวกนี้เป็นผู้เข้าชมธรรมดาทั้งหมด ถ้าคนพวกนี้ไปเข้าชมบ้านผีสิงของเขาละก็ พวกเขาคงไม่รอดจากฉากระดับหนึ่งดาวด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะหวาดกลัวทุกอย่าง

บนผนังติดหลอดไฟเอาไว้ทุกสิบเมตร แสงไฟกะพริบ แต่ดูเหมือนจะไม่มีจังหวะเฉพาะเจาะจง ซึ่งเพิ่มบรรยากาศหลอนขึ้นไปอีก สถาบันฝันร้ายนั้นสร้างบรรยากาศได้ดี แต่ว่ามันก็ยังสู้บ้านผีสิงของเฉินเกอไม่ได้ เฉินเกอปลดกระเป๋าสะพายหลังลงและมองเวลาและตัดสินใจไม่เสียเวลาอีกต่อไป “ถ้าฉันรีบหน่อย ฉันก็อาจจะกลับทันรถไฟเที่ยวบ่าย”

เขาดึงปากกาลูกลื่นที่มีเทปกาวพันเอาไว้ออกมา เฉินเกอเสียบมันไว้ในกระเป๋าเสื้อ สำหรับฉากเล็ก ๆ แบบนี้ ผีปากกาก็มากเกินพอแล้ว

“มา ผมจะนำทางเอง” เปิดไฟฉายสีแดงแล้วเฉินเกอก็เดินไปที่ด้านหน้าคนเดียว ผู้เข้าชมที่ด้านหลังต้องเริ่มวิ่งเพื่อตามเขาให้ทัน

“มีกล้องสองตัวติดตั้งไว้ที่สองด้านของทางเดิน ที่ตรงกลางทางเดินมีกล้องหนึ่งตัวที่สามารถหมุนได้หนึ่งร้อยแปดสิบองศา นี่เป็นกล้องสามตัวที่ฉันมองเห็นจากไกล ๆ ถ้ายังมีกล้องอื่นอีก จุดบอดก็ควรจะเป็นไม่กี่ที่นี่” เฉินเกอพึมพำกับตัวเองขณะเดินไปตามทางเดิน ผู้เข้าชมไม่เข้าใจการกระทำของเขาเลยสักนิด พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมีคนให้ความสนใจกับตำแหน่งกล้องรักษาความปลอดภัยในบ้านผีสิง บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญเข้าชมบ้านผีสิง

เฉินเกอเดินอยู่นานแต่ว่าไม่เจอห้องไหนที่น่าจะเป็นห้องพยาบาลหรือว่าห้องตรวจสุขภาพ เขาทำได้แค่หันไปเคาะประตูทีละบาน

“มีใครอยู่ไหมครับ? พวกเรามาที่นี่เพื่อตรวจร่างกาย” ตอนที่เขาเคาะประตูที่สาม ก็มีเสียงฝีเท้า และเมื่อประตูถูกผลักเปิด กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อฉุนกึกก็ลอยออกมา หมอในชุดเสื้อกาวน์สีขาวยืนอยู่ที่ประตู เขามองผู้เข้าชมและถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมถึงมีแค่พวกเธอ? รุ่นพี่ที่นำทางพวกเธอมาไปไหนเสียล่ะ?”

ผู้เข้าชมทุกคนหันไปมองเฉินเกอ แต่ไม่มีใครกล้าบอกว่าคนผู้นี้ผลักรุ่นพี่คนนั้นเข้าไปในห้องผีสิงแล้ว

“รุ่นพี่ถูกผีจับตัวไป และเขาก็บอกพวกเราให้มาหาคุณกันเอง” เฉินเกออธิบายอย่างสงบ

“อย่างนั้นเหรอ?” หมอดูงุนงง “ทำไมพวกเธอไม่เข้ามาก่อนล่ะ เพื่อความเป็นส่วนตัว ก็เข้าไปในกั้นห้องนั่นห้องละคน ถ้ากรอกเอกสารเสร็จแล้วก็ออกมาได้”

ประตูเปิดและผู้เข้าชมก็ได้เห็นเตียงหลังหนึ่งที่ในห้องพยาบาล มันมีผ้าห่มคลุมเอาไว้ แต่ว่าแขนผอม ๆ ข้างหนึ่งยื่นออกมาที่ปลายเตียงด้านหนึ่ง ตู้เก็บของที่ด้านหลังห้องมีเลื่อย กระบอกฉีดยาที่ใหญ่กว่าปกติสิบเท่า เหล็กเจาะสีดำ และค้อนหน้าตาน่ากลัวที่เล็กกว่าค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกเพียงเล็กน้อย

“หมอครับ ของพวกนี้มีไว้ทำอะไรเหรอ?” เฉินเกอเดินไปทางตู้แต่ว่าถูกหมอรั้งเอาไว้อย่างรวดเร็ว “นั่นเป็นอุปกรณ์ตรวจร่างกายน่ะ”

หมอหัวเราะอย่างน่ากลัวและหันไปมองผู้เข้าชมคนอื่นด้วยสายตามุ่งร้าย “เข้าไปกรอกเอกสารในห้องกันก่อน หลังจากตรวจร่างกายเสร็จ พวกเธอก็เริ่มต้นชีวิตนักเรียนที่นี่อย่างเป็นทางการ”

“ได้ครับ” เฉินเกอมองค้อนที่ด้านในตู้และถูมือเข้าด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว เขาเป็นคนแรกที่เข้าไปในกั้นห้องเล็ก ๆ

“มา ไปยืนหน้าฉากสิ” รุ่นพี่ในชุดเครื่องแบบที่ไม่พอดีหยิบกล้องโพลารอยด์ขึ้นมาจากโต๊ะและเร่งให้ผู้เข้าชมทั้งหมดไปยืนทางซ้ายของเครื่องฉาย “นับสามแล้วพูด ชีส นะ”

รุ่นพี่กดปุ่มถ่ายรูป นิ้วของเขาไม่ได้ขยับออกจากแฟลชเลย ดังนั้นแฟลชจึงกะพริบต่อเนื่อง ในห้องมืด แฟลชสว่างจ้าจนมองอะไรไม่เห็น และผู้เข้าชมทั้งหมดก็ยกมือขึ้นมาบังตาตัวเองเอาไว้

“เอาละ รูปเรียบร้อยแล้ว ฉันจะไปดูว่าหมอมาถึงแล้วหรือยัง พวกเธอก็แจกรูปพวกนี้ให้แต่ละคน คำแนะนำสุดท้าย อย่าแตะต้องอะไรในห้องนี้”

ตอนที่รุ่นพี่พูดอย่างนั้น กล้องก็ยังคง ‘คาย’ ภาพออกมา เขาสุ่มหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมา ยัดมันเข้าไปในกระเป๋าและออกไปหลังจากวางกล้องกลับไปบนโต๊ะ

อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศในห้องนั้นเย็น ลมพัดไล้ผิวกายนอกร่มผ้าของผู้เข้าชม เด็กหนุ่มที่ชื่อฉุยหมิงกับหลี่ป๋อนั้นเดินไปทางโต๊ะด้วยกัน พวกเขาหยิบรูปขึ้นมาจากพื้น “พวกเราทางที่ดีก็ทำตามที่เขาแนะนำ มีภารกิจไขปริศนาหลายอย่างในโรงเรียนร้างนี่และเงื่อนงำก็มักจะซ่อนอยู่ในอุปกรณ์ประกอบฉากเล็ก ๆ แบบนี้”

ฉุยหมิงนั้นมีประสบการณ์มาก่อน ครั้งก่อน เขาข้ามขั้นตอนการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์อุปกรณ์ประกอบฉากเหล่านี้ ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่ยอมแพ้ หยิบรูปขึ้นมาแล้วฉุยหมิงก็ส่งพวกมันให้เพื่อนร่วมทีมตอนที่จู่ ๆ เขาก็ชะงัก “ทำไมถึงมีรูปเกินมา?”

ฉุยหมิงยืนอยู่ถัดจากเฉินเกอที่อยู่ด้านหลังกลุ่ม เฉินเกอนั้นยังไม่ได้รูป แต่ว่ามีรูปอยู่ในมือของฉุยหมิงสามใบ ไม่นับของเขาเองกับเฉินเกอ ก็ยังมีเกินมารูปหนึ่ง

“รูปนั่นน่าจะมีปัญหาแล้ว! บ้าชะมัด! ดูนี่สิ!” หลี่หยวนกรีดร้องตอนที่ชี้ไปที่รูปที่ตัวเองถือเอาไว้ “มีคนเกินมาในรูปหมู่!”

ตอนที่ผู้เข้าชมคนอื่นได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็ก้มลงไปมองรูปของตัวเอง และพวกเขาก็ตกใจที่พบว่ามีคนที่เกินมายืนอยู่ถัดจากเซว่ลี่ตอนที่พวกเขาถ่ายรูป เธอสวมเครื่องแบบของสถาบันฝันร้าย ใบหน้าของเธอซีด และเธอก็จ้องตรงเข้ามาในกล้องขณะที่ศีรษะของเธอเอนพิงอยู่บนไหล่ของเซว่ลี่

“นี่มัน! แต่ว่าฉันไม่รู้สึกอะไรเลยนะ!” เซว่ลี่ปัดไหล่ตัวเองรัว ๆ เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีการศึกษาที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองสบถหยาบคาย

เฉินเกอมองรูป “รูปนี่ไม่ได้ถูกดัดแปลง หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง นักแสดงที่ซ่อนอยู่ในห้องก่อนหน้าแล้วแอบออกมาตอนที่รูปถูกถ่าย”

เป็นรุ่นพี่คนนั้นที่เลือกตำแหน่งให้พวกเขายืนตอนที่ถ่ายรูป สีของกำแพงด้านหลังพวกเขานั้นต่างไปจากส่วนอื่นที่เหลือ เมื่อมองใกล้ ๆ แล้วก็บอกได้ว่าตรงจุดนั้นโป่งนูนออกมาเล็กน้อย

“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ไปกันเถอะ” เซว่ลี่กอดหลี่หยวนเอาไว้แน่น

“อย่าเดินไปไหนมาไหนคนเดียว ฟังคำแนะนำของพนักงานจะปลอดภัยที่สุด” ฉุยหมิงเตือน “ไม่ว่าฉากจะน่ากลัวแค่ไหน คุณก็จะไม่เจออะไรที่น่ากลัวเกินไป แต่ถ้าคุณหลุดออกไปจากเรื่องราวที่วางเอาไว้ คุณอาจจะไปเจอเข้ากับผีและสัตว์ประหลาดอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่ในฉากอื่นและถึงตอนนั้นคุณก็จะได้รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่าสิ้นหวัง”

“ได้” เซว่ลี่พิงอยู่กับไหล่ของหลี่หยวน เธอรีบโยนรูปทิ้งไป เธอกลัวเกินกว่าจะถือมันเอาไว้ ดวงตาของเธอกวาดมองรูปที่ฉายอยู่บนจอ เซว่ลี่ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อน นักแสดงหลักนั้นเป็นนักเรียน พวกเขามีป้ายชื่อชมรมถ่ายรูปติดอยู่และหนังนั่นก็ถ่ายทำในห้อง “เดี๋ยวก่อนนะ มาดูหนังนี่สิ นี่มันแปลกเหมือนกันนะ”

ทุกคนหันไปดูหนัง นักเรียนที่ในหนังกำลังทำความสะอาดห้องขณะที่นักเรียนคนหนึ่งเจอวิดีโอเทปเก่า ๆ ที่ด้านหลังตู้ใบหนึ่ง พวกนักเรียนมามุงดู พวกเขาดูสงสัยและตัดสินใจจะดูว่ามีอะไรอยู่ในเทปนี่

หนังไม่มีเสียง– มันเหมือนพวกเขากำลังดูหนังเงียบอยู่ ต้องขอบคุณที่บรรดานักแสดงนั้นมีทักษะการแสดงที่ดีและพวกเขาก็อธิบายเนื้อเรื่องผ่านสีหน้าและการกระทำได้ ในหนัง นักเรียนวางเทปในเครื่องเล่นเทป และก็เกิดภาพประหลาดตามมา ผู้เข้าชมในบ้านผีสิงยืนอยู่ในห้องของชมรมถ่ายภาพและดูหนังเกี่ยวกับนักเรียนชมรมถ่ายภาพดูหนัง อยู่ในห้องเดียวกัน

สถานที่ซ้อนทับกัน และกระทั่งมุมของหนังยังคุ้นเคย มีเพียงคนดูเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ความคล้ายคลึงเช่นนี้นั้นสามารถนำไปสู่ภาพหลอนทางจิตใจ หลังจากปรับเครื่องเล่นแล้ว หนังก็เริ่มเล่น มันดูเหมือนจะเป็นเทปบันทึกกิจกรรมที่โรงเรียนจัด

บันทึกนั้นสั้นมาก ยาวเพียงแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น หลังจากหนังจบ เด็กนักเรียนก็เล่นมันซ้ำหลายครั้ง และพวกเขาก็เริ่มทะเลาะกัน ในเมื่อเป็นหนังเงียบ ผู้ชมจึงบอกไม่ได้ว่าพวกเขากำลังทะเลาะกันเรื่องอะไร หลังจากการทะเลาะนั้นยุติลง พวกเขาก็เริ่มเล่นเทปอีกครั้ง

ตอนที่เทปหมุนไปได้สี่สิบสี่วินาที นักเรียนคนหนึ่งก็กดปุ่มหยุด นิ้วของเขาชี้ไปที่ทางเดินที่มุมจอและพูดบางอย่างด้วยสีหน้าที่แข็งทื่ออย่างหวาดกลัว

หนังขยายภาพขึ้นมา และผู้เข้าชมก็ได้เห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่โรงเรียนจัดกิจกรรมบางอย่าง มีเงาเงาหนึ่งวูบผ่านทางเดินไป

นักเรียนทะเลาะกันอีกครัง บางทีอาจจะเพราะมีบางคนไม่เห็นด้วย คิดว่านั่นเป็นแค่ความผิดพลาดของเทปบันทึก การทะเลาะของพวกเขาไปถึงไหนไม่รู้ แล้วนักเรียนก็ออกไปจากห้องทีละคนสองคน เหลือไว้แค่นักเรียนคนที่เป็นคนแรกที่พบเงานั่น

นักเรียนคนนั้นเล่นเทปซ้ำหลายครั้งเหมือนพยายามพิสูจน์อะไรบางอย่าง น่าประหลาด ตอนที่เขาเล่นเทปซ้ำ เงาร่างคนในทางเดินก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็มองเห็นหน้าของคนผู้นั้นได้

มันเหมือนกับว่าคนที่ในทางเดินนั้นขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น ตอนที่เขาเล่นซ้ำเป็นครั้งที่สาม ก็สามารถมองเห็นใบหน้าซีดเผือดของผู้หญิงที่มีเลือดเปื้อนเปรอะยืนอยู่ในทางเดิน

ความสนใจของผู้ชมนั้นถูกดึงเข้าไปในหนังมากขึ้น จุดสนใจของหนังนั้นขยับไปมาระหว่างนักเรียนและเทปบันทึกและเครื่องเล่นที่อยู่บนจอ ในที่สุด ในการเล่นซ้ำครั้งที่ห้า ใบหน้าที่ทางเดินก็ชัดเจนที่สุด!

สีหน้าบิดเบี้ยวนั่นทำให้นักเรียนรู้สึกไม่ดี และมันก็ทำให้หัวใจของผู้ชมนั้นเหมือนถูกความกลัวบีบรัดเข้ามา นักเรียนที่ในหนังเริ่มตัวสั่น เขาพยายามเล่นเทปเป็นครั้งที่หกด้วยมือสั่น ๆ นั่น

เป็นอีกครั้ง เทปถูกหยุดที่วินาทีที่สี่สิบสี่แต่ว่าครั้งนี้ เงาในทางเดินหายไป นักเรียนเกาหัวและเอนตัวเข้าไปใกล้หน้าจอมากขึ้น เขามองทางเดินที่มุมจอใกล้ ๆ จากนั้น จอที่แขวนอยู่บนกำแพงก็เลื่อนหลุด และใบหน้าน่าสยองก็ปรากฏอยู่บนผนังด้านหลังหน้าจอ!

ปัง!

ก่อนที่ผู้ชมจะมีโอกาสกรีดร้อง ประตูห้องชมรมถ่ายภาพก็ถูกผลักเปิดและรุ่นพี่ก็กรีดร้องสุดเสียง “เร็ว! วิ่ง! ฉันบอกพวกเธอแล้วว่าอย่าแตะต้องอะไรในห้องนี้ไม่ใช่เหรอ!”

ก่อนที่ผู้เข้าชมจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เซว่ลี่ก็รู้สึกว่าถูกผลักศีรษะ เธอหันกลับไปดูและใบหน้าที่ควรจะอยู่ในหนังกลับมาปรากฏที่ด้านหลังเธอ!

“อ๊า!” สติของเธอพังทลาย เซว่ลี่ลากหลี่หยวนวิ่งออกจากห้องเร็วที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ นี่ทำให้ความวุ่นวายกระจายไปทั่วทั้งกลุ่มที่เหลือ มีเพียงเฉินเกอที่ยังยืนอยู่กับที่ถือกระเป๋าเอาไว้ ศึกษาเครื่องฉายที่บนผนังที่ด้านหลังห้องชมรมถ่ายภาพ

“พวกเขาคนหนึ่งดึงประตูเปิดเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมขณะที่อีกคนแอบออกมาจากทางเดินของพนักงาน จังหวะเวลานั้นไร้ที่ติ นี่ทำได้ก็ต่อเมื่อมีการฝึกซ้อมหลายต่อหลายครั้ง สถาบันฝันร้ายนี่ประมาทไม่ได้เลยเหมือนกัน”

 

ในลิฟท์ไม่มีจอบอกว่าพวกเขาอยู่ที่ชั้นไหนแล้ว ภายใต้แสงเรืองรองสีเขียว ใบหน้าตื่นตระหนกของผู้เข้าชมนั้นดูค่อนข้างน่ากลัว พวกเขาดูเหมือนเป็นผีที่กลับมาในวันที่เจ็ดหลังความตาย

“ในเมื่อไม่มีพนักงานมากับพวกเรา ใครจะช่วยอธิบายได้ไหมว่านี่หมายถึงการเข้าชมเริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้วใช่ไหม?” ผู้ชายคนที่เดินอยู่ด้านหน้าถาม เขามาพร้อมกับแฟนสาว ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าเขาไม่ควรยอมแพ้ง่ายเกินไป

“เหล่าฉุยเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง ถ้าคุณมีคำถามอะไร ถามเขาได้” เด็กที่ตัวเตี้ยที่สุดในสามคนดึงแขนฉุยหมิง คนแรกนั้นดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับความน่ากลัว แต่ว่าร่างกายของเขานั้นซื่อสัตย์กว่ามาก ลิฟท์เคลื่อนที่ต่อไปและผู้เข้าชมหลายคนก็หันไปหาฉุยหมิง

เด็กหนุ่มนั้นตัวสูงกว่าเพื่อน ผิวของเขาขาวมาก และเขาก็หน้าแดงจากการตกเป็นจุดสนใจ “พวกเรายังไม่ถือว่าเข้าฉากอย่างเป็นทางการ ลิฟท์จะเปิดออกส่งพวกเราเข้าไปในฉาก สถาบันฝันร้ายมีทั้งหมดหกชั้น แต่ละชั้นมีเรื่องราวของตนเอง ส่วนลิฟท์จะเปิดออกชั้นไหนนั้นเป็นการสุ่ม”

“ครั้งก่อนเธอมาชั้นไหน?” ชายในชุดดำถาม

“ผมก็บอกแน่ไม่ได้ ตัวเลขชั้นนั้นเขียนไว้ที่ในทางเดิน แต่วันนั้น ผมยอมแพ้ก่อนที่จะเดินเข้าไปในทางเดินด้วยซ้ำ” ฉุยหมิงดูเป็นเด็กซื่อสัตย์คนหนึ่ง เขาตอบทุกคำถามที่คนอื่นถามเขา

“ไม่กล้าเข้าไปในทางเดิน? นี่เป็นเพราะว่ามีนักแสดงซ่อนตัวอยู่ในทางเดินเหรอ?” เมื่อเฉินเกอพูด เขาก็มีบรรยากาศของผู้เชี่ยชาญ

ฉุยหมิงพยักหน้า “มีพนักงานทำงานที่นี่เยอะมาก และพวกเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี ทางเดินเป็นที่หนึ่งที่พวกเขาให้ความสนใจ นอกจากมันจะจำเป็นมาก ๆ พวกเราควรจะหลีกเลี่ยงที่นั่น

“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอหันไปมองเด็กนักเรียนทั้งสาม เวลาผ่านไป บรรยากาศในลิฟท์ก็ราวกับจะหายใจไม่ออก เด็กสามคนเบียดตัวเข้าหากันและมันก็เป็นฉุยหมิงที่ดูขี้อายที่ดูมีสติที่สุด

“ตามความเข้าใจของผม การเข้าชมสถาบันฝันร้ายนั้นอาจจะยาวถึงสองชั่วโมงได้ หลังจากนี้ คงมีหลายส่วนที่พวกเราต้องร่วมมือกัน” เฉินเกอมองเพื่อนร่วมทีม “ผมชื่อเฉินเกอ ให้ผมเรียกพวกคุณที่เหลือยังไงดีครับ?”

“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน เขาชื่อฉุยหมิง นี่หลี่ป๋อ และผมแซ่กั่ว ดังนั้นเรียกผมว่าเสี่ยวกั่วก็ได้” ในนักเรียนทั้งสามคน ฉุยหมิงนั้นตัวสูงและขี้อายที่สุด หลี่ป๋อนั้นร่างใหญ่กว่า และเขาก็ดูน่ารักทีเดียว เสี่ยวกั่วนั้นผอมมากและเตี้ยที่สุดในหมู่พวกเขา เขาค่อนข้างพูดเก่งถึงแม้ว่าจะดูขี้อายเท่า ๆ ฉุยหมิงก็ตาม

“ผมชื่อหลี่หยวน และนี่แฟนผมเอง เซว่ลี่” หลังจากคู่รักแนะนำตัวแล้ว ทุกคนก็หันไปหาผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงมุมเงียบ ๆ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนเธอเพิ่งเลิกกับแฟนมาและยังทำใจไม่ได้ ดวงตาของเธอนั้นแดงและฉ่ำน้ำตา และเธอก็อาจจะมาที่นี่เพียงเพื่อระบายอารมณ์

อารมณ์ของเธอดูไม่ค่อยมั่นคง หวังว่าเธอจะไม่หมดสติไปในบ้านผีสิงนะ

เฉินเกอมองผู้หญิงคนนั้นด้วยดวงตาหยินหยาง ตอนที่เขาส่งบัตรประจำตัวของตนเองให้พนักงาน เขาก็จำพนักงานของสถาบันฝันร้ายเอาไว้แล้ว ตอนที่พนักงานส่งของให้เขา เขาก็ถูกจงใจทำให้แตกต่างจากคนอื่น เฉินเกอสังเกตเห็นเรื่องนั้นชัดเจน แต่ว่าเขาก็ใจดีพอที่จะไม่ทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้น

ตอนนี้เมื่อมีคนแปลกหน้าอยู่ในกลุ่มด้วย ความคิดแรกของเฉินเกอก็คือสงสัยว่าอันที่จริงแล้วเธอเป็นพนักงานของสถาบันฝันร้าย

เขามองเธออยู่นานแต่ไม่สามารถพบร่องรอยของเครื่องสำอางบนใบหน้าของเธอ หากสมมติว่าเธอเป็นพนักงานที่นี่จริง ๆ ก็หมายความว่าเธอเป็นนักแสดงที่ไม่ได้อาศัยการแต่งหน้าพิเศษ

หลังจากจดรายละเอียดเหล่านี้ไว้ในใจแล้ว เฉินเกอก็หยุดให้ความสนใจกับเธอต่อ

ตึ้ง!

ลิฟท์สั่น และผู้เข้าชมทั้งหมดก็คว้าราวที่ตรงผนังเอาไว้ หลายวินาทีให้หลัง ประตูก็เปิดออกช้า ๆ และกลิ่นเหม็นประหลาดก็ลอยเข้ามาในพื้นที่แคบ ๆ เทียบกับความเป็นธรรมชาติที่บ้านผีสิงของเฉินเกอแล้ว กลิ่นนี่มีความเป็นสารเคมี และมันยังติดอยู่ในจมูกของผู้เข้าชม ประตูลิฟท์เปิดออกสู่โลกแห่งความมืด

“พวกเราควรจะออกไปไหม?”

“พี่ฉุย นี่เป็นชั้นที่นายมาเมื่อครั้งก่อนไหม?”

“มันดูไม่เหมือนอย่างนี้นะ ตอนที่ประตูเปิดเมื่อครั้งก่อน มันเปิดเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ที่จัดเลี้ยงต้อนรับนักเรียนใหม่”

“นี่… ทำไมที่นี่มันถึงมืดขนาดนี้?”

“มีใครอยู่ไหม?” เสี่ยวกั่วคว้าแขนฉุยหมิงขณะที่ขยับไปทางประตูลิฟท์ช้า ๆ เขาเปิดไฟฉายและกำลังจะส่องไฟออกไปข้างนอกตอนที่หัวหัวหนึ่งจู่ ๆ ก็โผล่ออกมาจากด้านหนึ่งของประตู

เสียงกรีดร้องก้องในลิฟท์ทันที นักเรียนทั้งสามคนเกาะกลุ่มกันแน่น และหลี่หยวนกับเซว่ลี่ก็กอดกันแน่น ผู้หญิงเงียบ ๆ ก็ผงะไปด้านหลังก้าวหนึ่ง และหลังของเธอก็กระแทกเข้ากับผนังลิฟท์ ทั้งกลุ่ม มีเพียงเฉินเกอที่ไม่ได้รับผลกระทบเหมือนเขาคิดเอาไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

หลังจากเสียงกรีดร้องจางไป เจ้าของหัวก็กดเปิดไฟที่ในทางเดิน ไฟสีเขียวในลิฟท์ดับลงและโคมไฟเพดานแบบโบราณในทางเดินก็ส่องสว่างขึ้น ไฟกะพริบดับ ๆ ติด ๆ สายไฟโผล่ออกมา และแสงก็ดึงให้เงาของเหล่าผู้เข้าชมดูยาวขึ้น

“พวกเธอเป็นนักเรียนใหม่?” พนักงานที่ด้านนอกลิฟท์ยืนอยู่ใต้แสงไฟ เขาสวมเครื่องแบบของโรงเรียนที่ไม่เข้ารูปเอาเสียเลย “ผมขอดูจดหมายแนะนำตัวของคุณได้ไหม?”

หลังจากตรวจตั๋ว พนักงานก็ทำท่าทางประหลาด “พวกเราไม่มีนักเรียนใหม่มานานมากแล้ว มีข่าวลือบอกว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย บอกว่าที่นี่มีผีสิง แต่นั่นล้วนเป็นข่าวลือมุ่งร้ายที่คู่แข่งของเรากุขึ้น ที่นี่เป็นแค่โรงเรียนธรรมดา ๆ เท่านั้น”

หลี่หยวนและเซว่ลี่เป็นคู่แรกที่เข้าลิฟท์มา ดังนั้นตอนที่ออกจากลิฟท์ พวกเขาก็อยู่ด้านหน้าเช่นกัน ตอนที่ทั้งสองคนกำลังจะก้าวเท้าออกไป จู่ ๆ ก็มีเสียงดังอยู่ข้างหูพวกเขา “อย่าไป! หนีไป! อย่าไปที่นั่น!”

เซว่ลี่นั้นกลัวแทบตายแล้วและเธอก็กรีดร้องวิ่งออกจากลิฟท์ไป ผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ก็ทำตามไปด้วย ตอนที่ทุกคนออกมาจากลิฟท์แล้วก็มักจะมีใครสักคนหันกลับไปดูเสมอ ที่ผนังด้านในของลิฟท์นั้นมีใบหน้าสีเขียวซีดที่กำลังกรีดร้อง โชคร้าย ผู้เข้าชมนั้นออกจากลิฟท์ไปแล้ว ประตูลิฟท์สีแดงเลือดที่ตกแต่งด้วยสายไฟประหลาดก็ปิดลงช้า ๆ เสียงกรีดร้องของผู้ชายคนหนึ่งก้องอยู่ในลิฟท์ที่ว่างเปล่า

“เครื่องฉายภาพสามมิติ?” เฉินเกอมองไปที่ใบหน้านั้น มันดูเหมือนจริงมาก แต่ว่าดวงตาค่อนข้างว่างเปล่าและมองไปที่จุดเดียวเท่านั้น นี่น่าจะเป็นการตั้งค่าของโปรแกรม ถ้ามีคนยืนอยู่ตรงนั้นมันก็จะน่ากลัวมาก แต่โชคไม่ดี ในเมื่อไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มันก็ดูประหลาด

“ดูสิ มักจะมีคนพยายามทำลายชื่อเสียงของเรา แต่ว่าพวกเราอันที่จริงแล้วก็เป็นโรงเรียนธรรมดา ๆ เลย” รุ่นพี่ในชุดเครื่องแบบนำนักเรียนใหม่เดินลึกเข้าไปในทางเดิน “โรงเรียนจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้พวกเธอทุกคน พวกเธอควรจะไปถ่ายรูปแล้วก็ส่งรายงานตรวจร่างกายของพวกเธอก่อน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็ไปที่งานเลี้ยงต้อนรับที่ชั้นสาม”

หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว รุ่นพี่คนนั้นก็หยุด เขาผลักเปิดประตูห้องที่ด้านข้าง “เข้ามาถ่ายรูปก่อน”

คำ ‘ชมรมถ่ายภาพ’ เขียนเอาไว้บนประตูไม้ พื้นที่ด้านในนั้นกว้างกว่าที่คิดเอาไว้ อุปกรณ์ถ่ายรูปหลายชิ้นถูกทิ้งเอาไว้ที่ตรงมุม และมีเครื่องฉายภาพอยู่ที่กลางห้องกำลังฉายภาพยนตร์อยู่

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เฉินเกอดึงเงินสองร้อยออกมาวางบนเคาน์เตอร์ พนักงานขายตั๋วรีบเรียกสติตัวเองและพูด “ขอโทษทีค่ะ ฉันแค่คิดว่าชื่อของคุณคุ้นมากเลย เหมือนเพื่อนคนหนึ่งของฉัน”

“งั้นเหรอ?” เฉินเกอยยิ้มอ่อนและไม่ได้ซักไซร้ต่อ พนักงานทำงานเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและแค่ไม่กี่วินาทีก็ลงทะเบียนเสร็จ ตั๋วของสถาบันฝันร้ายค่อนข้างน่าสนใจ– มันเป็นจดหมายแนะนำตัว และชื่อของเฉินเกอก็เขียนอยู่บนนั้น

“ถือจดหมายแนะนำตัวกับเอกสารเอาไว้แล้วกรุณาต่อแถว เมื่อจำนวนผู้เข้าชมครบห้าคนพวกเราก็จะเริ่มการเข้าชมได้ค่ะ” หลังจากช่วยเฉินเกอลงทะเบียน พนักงานก็ดูไม่ค่อยดีนัก มือของเธอกดอยู่บนท้อง เธอรีบร้อนออกจากห้องขายตั๋วไป เฉินเกอหิ้วกระเป๋าไปต่อหลังผู้เข้าชมอีกสองคน เขาดูผ่อนคลายมากราวกับกลับมาบ้านของตัวเองอย่างนั้น

“พี่ชาย คุณมาคนเดียวเหรอ?” ที่ยืนอยู่ก่อนหน้าเขานั้นเป็นคู่รัก มือของพวกเขาสอดประสานกันอยู่และพวกเขาก็ดูค่อนข้างกระวนกระวาย

“ใช่ ผมค่อนข้างเบื่อน่ะ เลยมาเดินเล่นเสียหน่อย”

“คุณกล้ามากแน่ ๆ ที่มาที่นี่คนเดียว ที่นี่น่ากลัวมาก ผมเพิ่งคุยกับแฟนว่าถ้ามีคนไม่ครบ อย่างนั้นพวกเราก็จะยอมแพ้ดีกว่า” ผู้ชายนั้นสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรและสวมชุดสีดำกับแว่นตาหนา เขาดูใจดีและเป็นมิตร

“แต่ไม่ใช่ว่าคุณก็จะเสียเงินค่าตั๋วไปเปล่า ๆ เหรอ?” เฉินเกอไม่ค่อยเข้าใจ

“มันดีกว่าถ้าเทียบกับการวิ่งออกมาพร้อมน้ำตาหลังจากถูกหลอกให้กลัว!” ผู้ชายคนนั้นคิดว่าคำถามของเฉินเกอค่อนข้างประหลาด “เพื่อนของผมเคยมาบ้านผีสิงนี่ก่อนแล้ว และมันก็น่ากลัวมาก หลังจากนี้พวกเราเกาะกลุ่มกันไว้น่าจะดีกว่า”

“ได้” เฉินเกอเองก็มีบ้านผีสิง ดังนั้นเขาจึงไม่ประมาทศัตรู มันต้องมีเหตุผลให้สถาบันฝันร้ายประสบความสำเร็จมาในอดีต คนผู้ชายดูค่อนข้างขี้ขลาด เขาเอาแต่บอกแฟนสาวถึงความน่ากลัวของบ้านผีสิงนี่ แฟนสาวของเขาก็ให้ความร่วมมือเต็มที่– แค่คำอธิบายของเขาก็ทำให้ใบหน้าของเธอซีดเผือดแล้ว

พวกเขารออยู่อีกหลายนาทีก่อนที่ผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบปีคนหนึ่งกับนักเรียนอีกสามคนจะเดินเข้ามา พวกเขาดูเหมือนไม่รู้จักกัน นักเรียนสามคนคุยกับเองและดูค่อนข้างตื่นเต้น หนึ่งในนั้นบอกว่าเขาเคยมาบ้านผีสิงนี่มาก่อนแล้วและยอมแพ้ตอนผ่านไปได้ครึ่งทางเพราะว่ามันน่ากลัวเกินไป

ผู้เข้าชมหญิงนั้นดูธรรมดา และยังไม่มีอะไรโดดเด่น– เธอเป็นคนที่กลืนหายไปในฝูงชนได้ง่าย ๆ เธอไม่พูดมากนักและยืนอยู่ที่ตรงมุมคนเดียว

“มีผู้เข้าชมครบแล้ว ทุกคนตามฉันมาค่ะ” พนักงานที่วิ่งไปเข้าห้องน้ำก่อนหน้านี้ออกมาจากทางเดินพนักงาน เธอถือกระเป๋านักเรียนสีแดงใบเก่ากับกล่องเก็บของสีน้ำเงินหลายกล่องมาด้วย “กรุณาอย่าใช้โทรศัพท์ตอนที่คุณอยู่ในบ้านผีสิง พวกเราจะเตรียมอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่จำเป็นให้ อย่าวิ่งหรือว่าพยายามยุยงให้เกิดการต่อสู้ที่ในบ้านผีสิง อย่าแตะต้องตัวนักแสดง และแน่นอนว่า นักแสดงก็จะไม่แตะต้องตัวคุณ”

พนักงานพูดกฏต่าง ๆ ของบ้านผีสิงออกมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและดึงไฟฉายเล็ก ๆ ออกมา “ตอนนี้ กรุณาเข้าแถวและรับไฟฉายของคุณไปค่ะ”

ตอนที่คู่รักที่ด้านหน้าเดินผ่านไป พนักงานก็ส่งไฟฉายให้พวกเขาทันที แต่ตอนถึงคราวเฉินเกอ พนักงานยกมือห้ามเขาเอาไว้ “คุณคะ คุณทิ้งกระเป๋าเอาไว้ข้างนอกได้ไหมคะ? พวกเราจะคืนมันให้หลังจากที่คุณเข้าชมเสร็จแล้ว”

เฉินเกอส่ายหน้า มีวิญญาณสีเลือดสี่ตนอยู่ในกระเป๋าสะพายหลังของเขา และเขาก็กังวลว่าทั้งตึกนี่จะแย่เอาหากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น

“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ว่านั่นเป็นกฎ ฉันหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับพวกเรา” พนักงานยืนยัน

“คุณกลัวว่าผมจะเอาของผิดกฏเข้าไป? ไม่เป็นไร ผมสามารถเปิดกระเป๋าให้คุณตรวจสอบได้” เทียบกับพนักงานของสถาบันฝันร้าย เฉินเกอนั้นดูมีเหตุมีผลมากกว่า เขาเปิดกระเป๋าของเขาต่อหน้ากลุ่มคน “ผมอ่านกฏของคุณหมดแล้ว ผมไม่ได้รับอนุญาตให้นำเชื้อเพลิง ของมีคม และอุปกรณ์ถ่ายวิดีโอเข้าไปในบ้านผีสิงของคุณ อย่างที่คุณเห็น ไม่มีของแบบนั้น”

ทุกคนมองเข้าไปในกระเป๋าของเฉินเกอ และสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสงสัยช้า ๆ

“ของพวกนี้มันอะไรกัน?” รองเท้าส้นสูงสีแดงสด และตุ๊กตาน่ารักนั้นอาจจะเข้าใจได้ว่าเป็นงานอดิเรกประหลาดของเขา แต่ว่าเครื่องเล่นเทปนี่คือ? ไว้เรียนภาษาอังกฤษเหรอ? แต่ว่าเขามาบ้านผีสิง ทำไมถึงเอาของพวกนี้มาด้วย?

สายตาของผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ที่มองเฉินเกอเปลี่ยนเป็นประหลาด และสมองของพนักงานก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

“อันที่จริง ก็ไม่มีของอันตรายอะไร แต่ว่า…” พนักงานหยิบเครื่องเล่นเทปขึ้นมา เธอสงสัยว่าอาจจะมีกล้องตัวเล็ก ๆ อยู่ในของสิ่งนี้ พนักงานกดปุ่มเล่น เทปหมุน และก็มีเสียงแทรกดังขึ้น มันดูเหมือนจะเป็นเครื่องเล่นเทปธรรมดา ๆ จริง ๆ

“คุณหมายความว่ายังไง? ในบ้านผีสิงของคุณนี่ผมเอาเครื่องเล่นเทปเข้าไปก็ไม่ได้งั้นเหรอ? ไม่มีกฏแบบนั้นตอนที่ผมไปบ้านผีสิงอื่น!” เฉินเกอเถียงอย่างมั่นใจ

“แต่ว่าจุดสำคัญก็คือไม่มีใครคิดจะพกของอย่างนี้ไปด้วยตอนที่ไปบ้านผีสิง” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พนักงานก็วางเครื่องเล่นเทปกลับเข้าไปในกระเป๋าและตรวจดูของอื่น ๆ ในช่องด้านในกระเป๋า พนักงานพบหนังสือการ์ตูนสยองขวัญวาดด้วยมือและปากกาลูกลื่นที่ถูกเทปใสพันเอาไว้

“คุณเป็นนักเขียนการ์ตูนเหรอ?”

“ผมดูไม่เหมือนเหรอ?” เฉินเกอไม่ได้ปฏิเสธหรือว่ายอมรับ เขาแค่มองพนักงานเงียบ ๆ

พนักงานไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เธอเก็บทุกอย่างเข้าไปในกระเป๋าแล้วส่งคืนเฉินเกอ “รับจดหมายแนะนำกับไฟฉายแล้วเข้าไปข้างในค่ะ”

เธอค้นในกระเป๋าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเจอไฟฉายสีแดงอันหนึ่งแล้วส่งให้เฉินเกอ ไฟฉายนี่ดูคล้ายกับไฟฉายของคนอื่น แต่ว่าของเฉินเกอเป็นสีแดงขณะที่ของคนอื่นเป็นสีเขียวทั้งหมด

หลังจากเดินผ่านประตูนิรภัย ผู้เข้าชมทั้งหมดก็เข้าไปในลิฟท์

“ในอีกสิบวินาที ฝันร้ายของคุณจะเริ่มต้นขึ้น ถ้าคุณทนไม่ไหวแล้วและต้องการยอมแพ้ คุณแค่ต้องร้องบอกใส่กล้อง” พนักงานมองผู้เข้าชมเดินเข้าไปในลิฟท์และจากนั้นก็ชี้ไปที่จดหมายแนะนำตัวที่ทุกคนในกลุ่มถือเอาไว้ เธอพูดพร้อมรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้า “คราวนี้จำนวนผู้เข้าชมค่อนข้างน้อย เพื่อให้สมดุลกับความยากของพวกเรา ฉันจะบอกใบ้คุณเพิ่ม– ลองคิดดูนะคะ ว่าฝันร้าย ที่จริงแล้วคืออะไร?”

พนักงานกดปุ่มลิฟท์ ประตูปิด และลิฟท์ก็เริ่มเคลื่อนขึ้นไป

“ฉุยหมิง นายเคยมาที่นี่มาก่อน นายรู้ไหมว่าความลับเบื้องหลังจดหมายแนะนำตัวนี่คืออะไร?” นักเรียนคนหนึ่งถามเด็กชายข้าง ๆ เขา

“อย่าอ่าน ตอนที่เริ่มเข้าฉากนายมองปลายเท้าตัวเองเอาไว้” ฉุยหมิงนั้นดูเป็นเด็กวัยรุ่นขี้อายอายุสิบแปดคนหนึ่ง

“มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?” นักเรียนคนอื่น ๆ นั้นไม่อยากเชื่อ เขาพยายามเปิดจดหมายแนะนำตัว แต่ว่าเพิ่งแกะได้ครึ่งทางตอนที่ไฟในลิฟท์ดับลง!

ความมืดที่จู่ ๆ ก็มาเยือน และลิฟท์จู่ ๆ ก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง จากนั้น แสงไฟสีเขียวก็ปรากฏขึ้นจากผนังทั้งสี่ด้านของลิฟท์

“เฉินเกอ แกแน่ใจเหรอว่าแกอยากไปซินไห่?” ลุงซูยังกังวล

“ผู้อำนวยการลั่วเคยบอกผมว่าพวกเราต้องมองภาพรวม การไปซินไห่ครั้งนี้มีสองจุดประสงค์– เตือนสถาบันฝันร้าย และทำความเข้าใจตลาดให้ดีขึ้น” เฉินเกอพูดท่าทางจริงจัง “มันไม่มีอะไรครับ ไม่ต้องห่วง”

เปิดประตูแล้วเฉินเกอกับจางจิงจิ่วก็เข้าไปในบ้านผีสิง

“รอฉันที่นี่ ฉันต้องไปที่ฉากใต้ดินหยิบของบางอย่าง” เฉินเกอให้พนักงานส่วนใหญ่กลับไปประจำที่เดิมและเก็บเอาไว้เพียงแค่ไม่กี่ตนที่เขาไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่อย่างเช่น รองเท้าส้นสูงสีแดง ผีผู้หญิงไร้หัว และชิวเหมย เขาไม่ได้ทำไปเพื่อแก้แค้นสถาบันฝันร้าย– เขาแค่เป็นห่วงว่าวิญญาณสีเลือดอาจจะสร้างปัญหาให้กับบ้านผีสิงของเขาเมื่อเขาไม่อยู่

เพื่อประโยชน์ของความสมดุล เฉินเกอจึงพากลุ่มของเอี๋ยนต้าเหนียนกับซู่อินไปด้วย

“ค้อนนี่น่าจะไม่ผ่านจุดรักษาความปลอดภัยไปได้ ดังนั้นฉันต้องทิ้งมันเอาไว้ที่นี่” หลังจากเอาค้อนออกไป กระเป๋าก็เบามากจนเฉินเกอต้องทำความคุ้นเคยอยู่ครู่หนึ่ง กลับไปที่ด้านบนแล้วเฉินเกอกับจางจิงจิ่วก็รอให้พนักงานคนอื่น ๆ มาถึงและเฉินเกอก็ช่วยพวกเขาแต่งหน้าก่อนที่จะออกไป

ห้าโมงเช้า เฉินเกอกับจางจิงจิ่วก็ขึ้นรถไฟมุ่งหน้าไปยังเมืองซินไห่ ทั้งสองเมืองนั้นอยู่ติดกัน แต่ว่าอุณหภูมินั้นต่างกันมาก อุณหภูมิเฉลี่ยของซินไห่นั้นสูงกว่าของจิ่วเจียงเพราะเหตุผลบางอย่างที่เฉินเกอไม่อยากพูดถึง

“จิงจิ่ว นายไปเยี่ยมพ่อของนายได้เลย” เฉินเกอยัดซองแดงใส่มือจางจิงจิ่ว “ใช้นี่ซื้อของให้ท่านด้วย ฉันคงไม่ได้ไปเป็นเพื่อนนายนะ ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉัน”

ก่อนที่จางจิงจิ่วจะทันได้ปฏิเสธเขา เฉินเกอก็คว้ากระเป๋าสะพายหลังวิ่งออกจากสถานีรถไฟไปแล้ว เฉินเกอโบกแท็กซี่และบอกให้ขับไปยังที่อยู่ของสถาบันฝันร้ายที่เขาพบบนออนไลน์

ไม่เหมือนบ้านผีสิงของเฉินเกอ สถาบันฝันร้ายนั้นตั้งอยู่บนถนนที่มีการค้าพลุกพล่านที่สุดในเมืองซินไห่ ในฐานะบ้านผีสิงที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดของซินไห่ พวกเขาเช่าตึกทั้งหลัง

บังเอิญที่ตอนที่ผู้รับเหมาออกแบบถนนการค้าเส้นนี้นั้นมีจุดบกพร่องเล็กน้อย มีตึกเล็ก ๆ หลังหนึ่งที่ถูกตึกสูงเสียดฟ้าล้อม ทำให้เกิดสภาพที่ตึกนี้ไม่เคยได้รับแสงอาทิตย์เลยไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนของวัน หลายคนปฏิเสธที่จะเช่าตึกซึ่ง ‘ไม่เคยพบเห็นแสงตะวัน’ ในที่สุดมันก็ถูกเลือกให้กลายเป็นที่ตั้งของสถาบันฝันร้าย พวกเขาเช่าตึกฝั่งที่ไม่มีโอกาสสัมผัสแสงอาทิตย์ได้นี้ในราคาที่ถูกมากและเปลี่ยนมันไปเป็นบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดในซินไห่

ตึกข้างที่ได้รับแสงอาทิตย์บ้างเป็นบางครั้งนั้นมีร้านอาหารและร้านค้าตั้งอยู่มากมาย ขณะที่อีกข้างนั้นมีหน้าต่างที่ปิดไว้ตลอดเวลา หนึ่งหยิน หนึ่งหยาง ในที่สุดมันก็กลายไปเป็นจุดสำคัญของเมืองซินไห่และยังเป็นที่นิยมมากในออนไลน์

แต่นั่นก็หลายปีมาแล้ว ความนิยมของบ้านผีสิงนั้นลดลง และมีคนมาที่สถาบันฝันร้ายน้อยลงไปเรื่อย ๆ พวกเขาพยายามปรับปรุงสิ่งใหม่ ๆ แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมที่ลดลงนั้นชะลอได้

หลังจากจ่ายค่าโดยสารแล้วเฉินเกอก็ยืนอยู่ที่ทางเข้าถนนการค้า มีพาหนะมากมาย และตึกก็สูงเสียดฟ้า ถึงแม้ว่าจะเป็นวันทำงาน ที่นี่ก็ยังมีคนเต็มไปหมด

“คนพวกนี้ไม่ต้องทำงานหรือยังไง?” เฉินเกอที่แบกกระเป๋าสะพายหลังเก่าโทรมและไม่ได้ดูปกตินักนั้นโดดเด่นสะดุดตาอยู่ในถนนการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองใหญ่นี้ แต่ว่า เฉินเกอก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เทียบกับรูปลักษณ์แล้ว เขาให้ความสนใจที่จิตใจของคนมากกว่า

เฉินเกอเดินไปตามแผนที่ที่บนโทรศัพท์ของเขา ไม่ช้าก็เจอสถาบันฝันร้าย ตั้งอยู่ที่มุมเงียบ ๆ มุมหนึ่งของถนนการค้า คนที่ตรงนี้น้อยลงมาก

ก่อนที่เขาจะเข้าไปใกล้ เฉินเกอก็เห็นพนักงานหลายคนยืนอยู่ที่ทางเข้า ตะโกนผ่านลำโพงเสียงดัง

“ประสบการณ์บ้านผีสิงแบบสี่มิติ! ประสบการณ์สยองขวัญที่สุดในชีวิตของคุณ! บ้านผีสิงมาตรฐานระดับโลก– สถาบันฝันร้าย– เริ่มเปิดภาคการศึกษาใหม่พร้อมกับเสียงกรีดร้อง!

“ประสบการณ์ที่สถาบันฝันร้ายนั้นผสานเอาบ้านผีสิง ห้องปิดตาย การสำรวจ และการตอบโต้เสมือนจริงเอาไว้! มันเป็นสวนสนุกในร่มแห่งใหม่! มีเพียงแค่สติปัญญาอันเฉียบแหลม ความกล้าหาญ และสมรรถภาพร่างกายอันยอดเยี่ยม คุณถึงจะรอดชีวิตออกมาได้!

“ในด้านการออกแบบ อุปกรณ์ประกอบฉาก ฉาก และการแต่งหน้า พวกเราล้วนยอดเยี่ยมกว่าบ้านผีสิงอื่น ๆ ในท้องตลาด!”

พนักงานตะโกนสุดเสียง แต่ว่ามีผู้เข้าชมเพียงไม่กี่คนที่สนใจ กระทั่งต่อให้มีคนหยุดดูอย่างอยากรู้อยากเห็น พวกเขาก็จะจากไปในไม่กี่วินาทีให้หลัง

“คุณครับ คุณอยากมาลองท้าทายบ้านผีสิงของพวกเราดูไหม?” พนักงานสังเกตเห็นเฉินเกอมาสักครู่ใหญ่แล้ว เขาเห็นเฉินเกอยืนอยู่ที่เดิมนานแล้วแต่เห็นเสื้อผ้าที่ดูไม่ทันสมัยนักของเฉินเกอ เขาก็ไม่รีบร้อนตรงเข้ามาทักทาย เขาไม่คิดว่าเฉินเกอจะเป็นผู้เข้าชมได้

“บ้านผีสิงของพวกคุณน่ากลัวจริง ๆ น่ะเหรอ?” เฉินเกอสงสัย ถึงแม้ว่าศีลธรรมของพวกเขาจะตกต่ำ สถาบันฝันร้ายก็คงต้องมีอะไรบางอย่างที่โดดเด่น ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่สามารถเป็นบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดในซินไห่ได้

“คุณคงไม่เชื่อหรอกต่อให้ผมบอกว่ามันน่ากลัว– ทางที่ดีที่สุดคือคุณต้องไปสัมผัสด้วยตัวคุณเอง” พนักงานพยายามขาย แต่บางทีอาจจะกลัวว่าเฉินเกอจะผละไปเขาจึงรีบเสริม “ผมบอกได้แค่ว่าบ้านผีสิงมาตรฐานระดับโลกไม่ใช่เรื่องตลก บ้านผีสิงของพวกเราน่ะ สามสิบสามเปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมขอยอมแพ้ และอัตราการเคลียร์ฉากได้ก็แค่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น และยังมีสถิติสูงสุดของการเข้าแถวรอถึงสามชั่วโมงแต่ว่ายอมแพ้ภายในสามนาทีด้วย”

“อัตราการเคลียร์ฉากได้คือสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น?”

“จริง ๆ ครับ ผมไม่โกหกคุณ ความสยองขวัญที่ด้านในสถาบันฝันร้ายของพวกเราไม่ใช่ความน่ากลัวพื้น ๆ แต่เป็นการสำรวจลึกเข้าไปในจิตใจของมนุษย์” พนักงานพูดอย่างวางท่า “คุณว่ายังไงดีครับ? คุณอยากจะเข้าไปสัมผัสประสบการณ์หน่อยไหม? ในเมื่อนี่เป็นวันธรรมดา ก็เลยมีโปรโมชั่น ปกติค่าตั๋วสองร้อย แต่ว่าวันนี้แค่ร้อยแปดสิบครับ”

“แพงขนาดนั้น?” เฉินเกออดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบ สำหรับบ้านผีสิงของเขา ผู้เข้าชมต้องซื้อตั๋วเข้าสวนสนุกก่อน แต่ว่าสถาบันฝันร้ายนั้นมีเพียงแค่บ้านผีสิงให้เข้าเท่านั้น ต่อไป ตอนที่ฉันขยายสาขามายังซินไห่ ฉันต้องเพิ่มค่าตั๋วตามคุณลักษณะของพื้นที่

เฉินเกอยังคิดอยู่แต่ว่าพนักงานเริ่มหมดความอดทน “คุณภาพสมกับราคาครับ บ้านผีสิงของพวกเราต้องมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้คุณได้อย่างแน่นอน”

“เอาละถ้างั้นก็ขอตั๋วใบหนึ่ง” เฉินเกอเข้าไปในบ้านผีสิง การตกแต่งภายในได้บรรยากาศ ห้องขายตั๋วนั้นตกแต่งเหมือนเป็นสถานที่ลงทะเบียนของนักเรียนใหม่ และลิฟท์เข้าฉากก็ตกแต่งเป็นประตูโรงเรียน และยังมีรูปภาพกับโปสเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผีติดอยู่บนกำแพง

ก่อนที่จะเข้าฉากจริง ๆ บรรยากาศก็นำมาก่อนแล้ว– สถาบันฝันร้ายนี่ไม่ธรรมดาทีเดียว

ตอนที่เฉินเกอเข้าไปในนั้น ก็มีผู้เข้าชมคนอื่นอีกสองคนอยู่ในห้อง และพวกเขาก็ดูเหมือนจะรออยู่นานแล้ว

“ขอโทษด้วยนะคะ จำนวนผู้เข้าชมน้อยที่สุดต่อครั้งคือห้าคนค่ะ รบกวนคุณรออีกสักนิดได้ไหมคะ?” พนักงานผู้หญิงที่ในห้องขายตั๋วบอกเฉินเกอ “ทำไมคุณไม่ลงชื่อก่อนล่ะคะ? พอพวกเรามีคนครบ พวกเราก็จะเริ่มการเข้าชมได้ทันที”

“ได้ครับ” เฉินเกอดึงบัตรประจำตัวออกมาแล้วเดินไปที่ห้องขายตั๋ว

พนักงานที่ด้านในก้มหน้าลง แต่เมื่อเห็นบัตรของเฉินเกอเธอก็เงยหน้ามองขึ้นมาทันที

“เฉินเกอ?”

ฉางกูตกลงร่วมมือกับเฉินเกอ และพวกเขาก็ทำข้อตกลงคร่าว ๆ หลังจากสัญญาว่าจะมาหาใหม่อีกครั้งคืนถัดไป เฉินเกอก็ผลักเปิดประตูโรงละครส่วนตัว ท้องฟ้าด้านนอกสว่างขึ้นแล้ว ทันทีที่เฉินเกอก้าวเท้าออกจากโรงละคร โทรศัพท์เครื่องดำก็สั่นอีกครั้ง

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ คุณดูหนังในโรงละครแห่งซากจบ ขอแสดงความยินดีที่ทำภารกิจระดับสองดาวส่วนแรก– ดวงตาข้างซ้าย สำเร็จ!

“สำหรับภารกิจส่วนที่สอง ตามหาพี่ชายของเหวินอวี้ ฉางกู และได้รับความชื่นชอบจากเขา!

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณที่ทำภารกิจส่วนที่สองสำเร็จ

“สำหรับภารกิจส่วนที่สาม เดินทางไปยังโรงพยาบาลจิตเวชจิ่วเจียงเพื่อให้เห็นสีสันของความฝันของเหวินอวี้ด้วยตัวคุณเอง!

“คำเตือน! ภารกิจนี้มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนหลายอย่าง หลังจากทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับความชื่นชอบจากเหวินอวี้ ชิวเหมย และฉางกูมากขึ้น! จะสามารถปลดล็อกฉากระดับสองดาว โรงละครคนตายและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์!”

เห็นข้อความบนโทรศัพท์เครื่องดำ ความปรารถนาจะทำภารกิจระดับสองดาวให้สำเร็จของเฉินเกอก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น นอกจากจะมอบฉากระดับสองดาวใหม่ให้เขาแล้ว เขายังได้อุปกรณ์ที่มีประโยชน์อีกมากมาย ก่อนหน้านี้ เขาสัญญากับพนักงานรับโทรศัพท์สายด่วนฆ่าตัวตายว่าจะช่วยเขาถ่ายหนังเรื่องหนึ่งให้เสร็จ ตอนนี้ เขามีผู้กำกับและนักแสดงแล้ว และหลังจากทำภารกิจสำเร็จ เขาก็จะมีอุปกรณ์ที่จำเป็นด้วย

“ถึงแม้ว่าภารกิจทดลองนี้จะค่อนข้างซับซ้อน แต่รางวัลก็ดีงามตามไปด้วย ฉันอยากรู้ว่าปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่โทรศัพท์เครื่องดำเตือนหมายถึงอะไร?” เฉินเกอนั้นเข้าใจกฎของภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำให้อยู่แล้ว– รางวัลนั้นเป็นสัดส่วนกับระดับของอันตราย

“สีสันของความฝันของเหวินอวี้? ความฝันของคนเรามีสีด้วยเหรอ?” คำอธิบายของภารกิจนั้นค่อนข้างประหลาด เฉินเกอบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเหวินอวี้ในภารกิจคือเหวินอวี้ในชีวิตจริงหรือว่าวิญญาณของเหวินอวี้

“เอาเถอะ ฉันแน่ใจว่าถึงที่สุดแล้วทุกอย่างก็จะกระจ่าง ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากไป คืนพรุ่งนี้ ฉันจะพาฉางกูไปเยี่ยมเหวินอวี้ด้วยกัน” เฉินเกอไม่คิดที่จะกลับคำ ไม่ว่าจะเป็นชิวเหมยหรือเหวินอวี้ เขาเห็นคุณค่าของทั้งสองคน

ด้วยคำยืนกรานของฉางกู เฉินเกอนำพนักงานทั้งหมดของเขากลับออกมาจากฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิง เขาเดินอยู่นานกว่าจะเรียกแท็กซี่ได้คันหนึ่งที่ยอมรับเขาขึ้นรถ

เฉินเกอไม่รู้สึกเหนื่อยถึงแม้ว่าจะไม่ได้หลับเลยสักวินาที การปรากฏตัวของดวงตาข้างซ้ายทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับภารกิจระดับสี่ดาว โรงเรียนแห่งปรโลก และความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจเขา ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ จางหยางนั้นยังไม่ตื่นขึ้นก่อนที่ภารกิจโรงเรียนแห่งปรโลกจะหมดเวลาแน่ ๆ เมื่อไม่มีเธอ ความยากของภารกิจก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

เฉินเกอนั้นลังเลอยู่ว่าเขาควรจะเสี่ยงดีหรือไม่ สวนสนุกแห่งอนาคตกำลังจะเปิดแล้ว ถ้าไม่มีฉากน่าตื่นเต้นใหม่ ๆ ความนิยมของสวนสนุกนิวเซนจูรี่ที่เพิ่งมีมาก็อาจจะถูกสวนสนุกแห่งใหม่แย่งชิงไป เขาพยายามอย่างหนักก็เพื่อวันนี้ และตอนนี้ก็เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว

“ถ้าฉันสามารถหาข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับโรงเรียนแห่งปรโลกได้ระหว่างทำภารกิจดวงตาข้างซ้าย อย่างนั้นฉันก็จะไปดูรอบ ๆ โรงเรียนผีนั่นก่อนที่เวลาจะหมดลง” ยอมแพ้โดยไม่ได้ไปดูสถานที่ด้วยซ้ำนั้นเป็นสิ่งที่เฉินเกอทำไม่ได้

เฉินเกอเอนหลังพิงเบาะ มองไปยังเงาของตัวเองและก็จมลึกไปในภวังค์ เขากลับไปถึงสวนสนุกนิวเซนจูรี่ตอนแปดโมงเช้า เขาเพิ่งเข้าประตูไปก็เห็นคนสองคนเดินอยู่หน้าทางเข้าบ้านผีสิงของเขา

“ลุงซู? จิงจิ่ว? พวกคุณสองคนมาเช้านะวันนี้” เฉินเกอวางกระเป๋าลงที่เก้าอี้ไม้และเก้าอี้ก็ลั่นเอี๊ยดจากน้ำหนักกดทับ

“แกออกไปข้างนอกคนเดียวอีกแล้วเมื่อคืนนี้?” ลุงซูมองเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะพังลงไปเมื่อไหร่ก็ได้

“ผมแค่ออกไปวิ่งตอนเช้า” เฉินเกอแก้ตัวง่าย ๆ

“วิ่งกับกระเป๋าหนักขนาดนั้นน่ะนะ?” ลุงซูถอนหายใจอย่างจนปัญญา “แกไม่ใช่เด็กหนุ่ม ๆ แล้วนะ หยุดเสียเวลาเปล่ากับกิจกรรมกลางคืนได้แล้ว ทางที่ดีก็หาเมียสักคนมาทำให้ชีวิตของแกเข้ารูปเข้ารอยสักที”

“ลุงซู ลุงคงไม่ได้มาเช้าป่านนี้เพื่อแนะนำคู่หมายให้ผมนะ?” เฉินเกอมองเงาตัวเองแล้วก็ปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามใบหน้า

“ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้น” ลุงซูถอนหายใจ “เมื่อกี้นี้ ฉันได้รับโทรศัพท์จากผู้อำนวยการลั่ว เมื่อคืน คนจากสถาบันฝันร้ายซินไห่เปิดกระทู้หลายกระทู้บนกระดานสนทนาใหญ่ที่สุดบนออนไลน์เกี่ยวกับบ้านผีสิงของแก พวกเขาตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยของบ้านผีสิงของแก และกระทู้ก็ได้รับความนิยมเร็วมาก ผู้อำนวยการลั่วเชื่อว่ามีคนของสวนสนุกแห่งอนาคตอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่”

“สถาบันฝันร้าย? พวกเขาอีกแล้ว? ผมยังไม่ทันเรียกร้องให้พวกเขาออกมาอธิบาย และพวกเขาก็ยังมาหาเรื่องเราแล้ว?” เสียงของเฉินเกอนั้นแฝงอันตรายไว้

“แกคิดจะทำยังไง? ใจเย็นก่อนนะ! อย่าทำอะไรวู่วาม!” ลุงซูหยุดเฉินเกอไว้ทันที

“ผู้อำนวยการลั่วให้ฉันมาที่นี่แต่เช้าเพื่อเตือนแก บอกให้แกเก็บตัวเงียบ ๆ อย่าปล่อยให้พวกเขาเอาเปรียบแกได้ หลังจากพวกเราผ่านการเปิดตัวของสวนสนุกแห่งอนาคตไปได้ ทุกอย่างก็ไม่เป็นไรแล้ว”

“พวกเราทำอะไรเปิดเผยเสมอ จะมีอะไรที่พวกเขาจะเอาเปรียบเราได้กัน?”

“แกพูดไม่ผิด แต่ว่าพวกเราก็รับรองไม่ได้ว่าพวกเขาจะไม่เล่นวิธีสกปรกและแต่งเรื่องขึ้นมา” ลุงซูต้องการให้เฉินเกอระมัดระวังให้มากขึ้น

“ลุงพูดออกมาเองนะ ลุงซู พวกเขาลดตัวลงต่ำไปเพื่อสร้างปัญหาให้พวกเรา ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมคิดว่าพวกเราก็ควรจะใช้วิธีการที่ต่างออกไปรับมือกับปัญหานี้” เฉินเกอคว้ากระเป๋าหนังอึ้งแล้วมองเข้าไปข้างใน

“แกคิดจะทำอะไร?” ลุงซูรู้สึกไม่ดี

“ในเมื่อพวกเขาต้องการหาข้อบกพร่องของเราทั้งที่มันไม่มี อย่างนั้นผมก็จะไปจัดการพวกเขาซะ ทีนี้ก็จะไม่มีใครมาหาเรื่องพวกเราอีกใช่ไหม?” เฉินเกอตอบเหมือนว่าความจริงก็เป็นอย่างนี้

“จัด.. จัดการพวกเขา?” ลุงซูก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เหมือนเขาได้ยินที่เฉินเกอพูดไม่ชัดและอยากจะฟังให้ชัดเจน

“ง่ายจะตาย ผมจะไปที่ซินไห่วันนี้” เฉินเกอตบไหล่ลุงซู “ไม่ต้องห่วง ตอนนี้มีรถไฟระหว่างเมือง ไปกลับก็แค่สองชั่วโมงเท่านั้น ผมจะกลับมาก่อนมืด”

“แกคิดจริง ๆ หรือว่าฉันเป็นห่วงเรื่องนั้น?” ลุงซูผลักแขนเฉินเกอทิ้ง “นี่เป็นปัญหาทางธุรกิจ อย่าได้ทำให้มันกลายเป็น…”

“ไม่ต้องห่วง ให้ผมจัดการเอง ผมจะไม่ทิ้งหลักฐานเอาไว้”

“หลักฐานอะไร? แกอย่าไปสร้างเรื่องนะ!”

หลังจากปลอบลุงซูแล้ว เฉินเกอก็หันไปหาจางจิงจิ่ว “จิงจิ่ว ทำไมนายถึงมาเช้านักล่ะวันนี้?”

“บอส ผมจะมาลางานวันหนึ่งครับ” จางจิงจิ่วดึงโทรศัพท์ออกมา มีข้อความบนนั้น “พ่อของผมเข้าโรงพยาบาล ผมอยากไปเยี่ยม”

“ไม่มีปัญหา” เฉินเกอตอบตกลงอย่างง่ายดาย “ถ้าฉันจำไม่ผิด นายเคยบอกว่าพ่อของนายอยู่ที่เมืองซินไห่”

“ครับ”

“อย่างนั้นก็ยอดเยี่ยมเลย ฉันจะไปซินไห่กับนาย พวกเราจะนับมันเป็นการไปดูงาน” สายตาของเฉินเกอย้ายจากทั้งสองคนไปที่ขอบฟ้า “หลังจากพวกเรารอดพ้นจากการเปิดตัวสวนสนุกแห่งอนาคตไปได้และไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว พวกเราก็สามารถคิดถึงการเปิดสาขาที่ซินไห่ได้ คนที่นั่นน่าจะดีใจที่ได้รู้ว่าในที่สุดพวกเขาก็จะได้สัมผัสกับความหมายที่แท้จริงของคำว่าสยองขวัญแล้ว”

ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ชิวเหมยได้รับคำชื่นชมเช่นนี้ พ่อกับแม่ของเธอติดคุกตั้งแต่เธอยังเด็ก และก็เป็นย่าของเธอที่ดูแลเธอมา เพราะขาดความเอาใจใส่และความรักจากพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก นิสัยของชิวเหมยจึงต่างไปจากคนอื่นอยู่เสมอมา เธอเป็นคนตรงไปตรงมา และบางครั้งอาจจะบอกว่าเธอป่าเถื่อนและไร้มารยาท

เมื่อเธออายุมากขึ้น นิสัยของเธอก็โตขึ้น เมื่อเธอตัดสินใจจะบอกลาตัวเองในอดีตและพยายามดูสักครั้งในชีวิต เธอก็เจอกับเหวินอวี้ ก่อนที่ดอกไม้จะทันได้คลี่บาน มันก็ถูกตัดออกมาเสียก่อน แต่เพราะความลำบากในสมัยเด็ก ชิวเหมยจึงไม่ได้พ่ายแพ้ไปในทันที เธอยังรักษานิสัยของเธอเอาไว้ได้ และนั่นเป็นเหตุผลให้เฉินเกอชื่นชมเธอ

หลังจากได้ดูหนังของฉางกู เฉินเกอก็ยังไม่เข้าใจนักว่าทำไมเหวินอวี้ถึงได้รับคัดเลือกเข้าไปที่โรงเรียนแห่งปรโลกและยิ่งไม่รู้เลยว่าดวงตาข้างซ้ายปรากฏขึ้นมาได้ยังไง เขาไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเหวินอวี้กับพี่ชายของเธอว่าเป็นอย่างไร แต่เขารู้ดีว่า เรื่องทั้งหมดนี้ ชิวเหมยเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ควรถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องที่สุด

ผู้ชมประหลาดปรากฏตัวในโรงละคร และที่ประหลาดกว่าผู้ชมทั้งกลุ่มก็คือชายหนุ่มที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เดินขึ้นมาบนยกพื้น ดวงตาข้างขวาของชิวเหมยลืมขึ้นช้า ๆ ดวงตาแดงก่ำนั้นบ่งบอกความสับสน เธอได้รับการปลอบโยนจากถ้อยคำของชายคนนี้ แต่บางอย่างมันก็ไม่ได้เหมาะกับเธอนัก

ตอนที่เธอบิดคอมองไปรอบ ๆ ชิวเหมยจ้องฉางกูที่นั่งอยู่ที่นั่งตรงกลาง เหมือนกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ฉางกูเงยหน้าขึ้นทั้งที่ก้มหน้าต่ำมาโดยตลาด เหมือนเขาตัดสินใจแล้ว เขาถอนหายใจเบา ๆ เปลือกตาของเขาสั่น และในที่สุดฉางกูก็ลืมตาขึ้น

“เธอเป็นใคร?” ดวงตาข้างซ้ายของฉางกูนั้นมีขนาดใหญ่เท่าดวงตาของคนทั่วไป แต่ว่ารอบลูกตานั้นมีวงแหวนสีแดงล้อมอยู่ ดวงตาข้างขวาของเขาซึ่งควรจะปกติ กลับดูน่ากลัวกว่า ม่านตาเหมือนจะละลายหายไปและสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือลูกตาที่มีรอยแตกพาดผ่านไปทั่ว

“ดวงตาข้างซ้ายของฉันคือดวงตาของเหวินอวี้ แต่ว่าการผ่าตัดไม่สำเร็จ ดวงตาข้างนี้จึงมองเห็นแค่สีที่ต่างออกไปจากธรรมดา บางครั้งฉันก็มองเห็นบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็นได้เพียงผาด ๆ”

ตอนที่ฉางกูพูด เขาก็มองตรงไปยังชิวเหมยที่ตรงหน้าจอ หลังจากผ่าตัดไม่สำเร็จ พลังของดวงตาข้างซ้ายก็เหลืออยู่เพียงบางส่วน “ดวงตาข้างขวาของฉันนั้นบอดไปแล้ว และฉันก็ไม่สามารถบอกเหตุผลชัดเจนได้ว่าทำไม บางทีมันอาจจะเป็นคำสาปของดวงตาข้างซ้าย” ฉางกูไออย่างหนักก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง แต่หลังจากลืมตาขึ้นเพียงแค่ไม่กี่วินาที ดวงตาข้างซ้ายของเขาก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา

“ดูเหมือนว่าการคาดเดาของฉันจะถูกต้อง” เฉินเกอยังยืนอยู่บนยกพื้น ระหว่างเขากับชิวเหมยนั้นห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว

“ไม่ว่าคุณจะถูกหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว” เป็นนานกว่าฉางกูจะหยุดไอ “ผมร่วมมือกับคุณได้ แต่คุณคิดว่าผมจะเชื่อสิ่งที่คุณพูดได้ยังไง?”

เฉินเกอนั้นกลัวว่าฉางกูจะไม่ยอมพูดคุยมากกว่า ตราบใดที่มีโอกาส เขาก็ยังคิดจะเป็นเพื่อนกับคนผู้นี้ เขาดึงโทรศัพท์ออกมา เฉินเกออ่านข่าวท้องถิ่นของจิ่วเจียงออกมาดัง ๆ “ผมไม่จำเป็นต้องโกหกคุณ นี่เป็นข่าวที่ยืนยันคำอ้างของผมได้ ถ้าคุณยังไม่เชื่อผม คุณค้นในออนไลน์เองเกี่ยวกับบ้านผีสิงของผมก็ได้”

เฉินเกอแสดงความจริงใจ แต่ว่าฉางกูก็ไม่เชื่อเขาโดยง่าย คนผู้นี้ที่อาศัยข่าวอาชญากรรมยืนยันตัวตนของตนเองย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ๆ ร่วมมือกับคนผู้นี้ก็เหมือนผูกมิตรกับเสือ– อาจจะถูกกินในครู่ถัดมาก็ได้

“ถ้าคุณยินดีร่วมมือ คุณสามารถกลับไปบ้านผีสิงกับผมได้เลยวันนี้ ทุกประโยคที่ผมพูดเป็นความจริง” เวลานับถอยหลังของโรงเรียนแห่งปรโลกกำลังจะหมดลงแล้วและเฉินเกอก็กลัวจะพลาดมันไป “นี่เป็นประโยชน์กับพวกเราทั้งสองคน ผมจะให้เวลาคุณทั้งเช้าเพื่อคิดดู ผมจะกลับมาอีกทีคืนพรุ่งนี้

“สภาพของเหวินอวี้นั้นน่าจะไม่ดีนัก ผมเป็นห่วงพ่อกับแม่ผมเหมือนกัน อันที่จริง พวกเราก็มีเป้าหมายเดียวกัน แต่ว่า ผมไม่เคยบังคับให้คนอื่นต้องทำสิ่งที่พวกเขาไม่อยากทำ ถ้าคุณตกลง อย่างนั้นผมก็จะกลับมาอีกทีคืนพรุ่งนี้แล้วแบ่งปันทุกอย่างที่ผมรู้กับคุณ”

ยืนอยู่บนยกพื้น ในดวงตาของเฉินเกอมีความอ้างว้างที่บรรยายออกมาไม่ได้ “พวกเราเป็นคนแบบเดียวกันไม่มีใครช่วยพวกเราได้แล้วบนโลกนี้นอกจากตัวพวกเราเอง”

เห็นความโดดเดี่ยวในดวงตาของเฉินเกอ ฉางกูก็กุมดวงตาที่มีเลือดไหลเอาไว้ มองไปยังห้องที่เต็มไปด้วยผี เขารู้สึกเหมือนเป็นพวกเดียวกับเฉินเกอขึ้นมา “ให้ผมคิดดูก่อน…”

“ไม่มีปัญหา นี่เป็นความปรารถนาอย่างจริงใจของผมที่จะช่วยคุณเพราะว่าผมรู้ว่าการช่วยคุณก็คือการช่วยตัวผมเอง” เฉินเกอนั้นเป็นพวกที่คิดถึงภาพรวม และนั่นก็สะท้อนออกมาในวิธีการคิดของเขา “เหวินอวี้และโรงเรียนนั่นเป็นสิ่งที่คุณเป็นกังวลถึงที่สุด ผมรู้ว่าผมมาเยือนที่นี่อย่างกะทันหันไปสักหน่อย และผมก็เข้าใจความสงสัยและระแวงของคุณที่มีต่อผม เพื่อลดช่องว่างระหว่างพวกเรา ผมยินดีให้วิญญาณสีเลือดตนนี้ตามผมกลับบ้าน ผีนั้นอ่านใจคนเก่งที่สุด คุณสามารถให้เธอคอยจับตามองผมอย่างใกล้ชิดและดูว่าผมโกหกคุณหรือเปล่า”

“คุณยินดีให้ผีตามคุณกลับบ้าน?” นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉางกูเจอกับคำร้องขอเช่นนี้

“ถ้าคุณเป็นห่วงความปลอดภัยของชิวเหมย ผมสามารถขอให้เพื่อนผมคนหนึ่งอยู่ที่นี่เป็นตัวประกันก็ได้” เฉินเกอคิดว่าเขาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล สำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นี่เป็นการกระทำที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว

“ให้เพื่อนของคุณอยู่ที่นี่เป็นตัวประกัน?” ฉางกูตัวสั่น ถ้าพวกเขาอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็ยากที่จะบอกแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวประกัน “ไม่จำเป็น ผมเชื่อคุณ”

ฉางกูอยากจะพูดบางอย่างแต่ว่าเฉินเกอหันไปหาชิวเหมยแล้ว

“ครั้งแรกที่คุณเชื่อใจคนอื่น คุณสูญเสียอิสระของตัวเอง ครั้งที่สองที่คุณเชื่อคนอื่น คุณสูญเสียชีวิต วันนี้ คุณได้รับตัวเลือกครั้งที่สาม” เฉินเกอนั้นเป็นแค่คนธรรมดา ยืนอยู่ต่อหน้าชิวเหมย เขากลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว เสียงของเขานั้นทรงพลังและอบอุ่น

“มาสิ ผมจะช่วยให้คุณเห็นอีกด้านหนึ่งของโลก” เฉินเกอเปิดหนังสือการ์ตูน ตอนที่เด็กสาวยังลังเลอยู่ ก่อนที่เธอจะทันเข้าใจสถานการณ์ เธอก็ถูกดึงเข้าไปในหนังสือแล้ว ชิวเหมยไม่ได้ต่อต้าน ตอนที่เฉินเกอปิดหนังสือการ์ตูน โทรศัพท์เครื่องดำก็สั่น

เฉินเกอดึงมันออกมาดูข้อความใหม่

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณที่ค้นพบวิญญาณสีเลือดหายาก– ชิวเหมย!

“ชิวเหมย (วิญญาณสีเลือด): เธอเปลี่ยนไปเป็นวิญญาณสีเลือดเพราะเหตุผลพิเศษและไม่ได้มีความอาฆาตแค้นมากนัก เธอครอบครองพลังของวิญญาณสีเลือดเฉพาะเมื่ออยู่ในภาพยนตร์ หลังจากออกจากภาพยนตร์ พลังของเธอจะลดลงเป็นอย่างมากและเธอก็ไม่สามารถใช้พลังพิเศษของตัวเองได้

“พลังพิเศษของชิวเหมย: ??? (จะปลดล็อกหลังจากเป็นพนักงานของบ้านผีสิงอย่างเป็นทางการ)”

หลังจากอ่านข้อความแล้วเฉินเกอก็ประหลาดใจ ชิวเหมยเป็นวิญญาณสีเลือดที่พิเศษมากจริง ๆ

ไม่ใช่ว่าพนักงานพิเศษเช่นนี้คือสิ่งที่ฉันกำลังมองหาหรอกเหรอ? เฉินเกอเก็บโทรศัพท์แล้วโบกมือให้ฉางกูด้วยท่าทางดีใจมาก

ฉางกูที่นั่งอยู่กลางโรงละครกุมดวงตาข้างซ้ายที่มีเลือดไหลเอาไว้ ในตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป

การปรากฏตัวของวิญญาณสีเลือดในภารกิจระดับสองดาวนั้นเป็นสิ่งที่เฉินเกอก็ไม่ได้คาดคิดเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือก– พนักงานทั้งหมดที่เขาสามารถพึ่งพาได้ล้วนอยู่กับเขา ไป๋ชิวหลินและผีน้ำทั้งคู่เป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด และด้วยความช่วยเหลือจากพนักงานคนอื่น ๆ รั้งวิญญาณสีเลือดจากในหนังเอาไว้ย่อมไม่เป็นปัญหา

เฉินเกอนั้นก็แค่ต้องการรั้งวิญญาณสีเลือดเอาไว้ครู่หนึ่ง ร่างกายของเขาเอนไปทางชายตาบอดข้างตัว เขามีแผนการอยู่ในใจแล้ว

พนักงานล้วนตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่เจอเข้ากับเรื่องเช่นนี้– นี่เป็นความตื่นเต้นที่ไม่ใช่หนังสามมิติทั่วไปจะสามารถลอกเลียนแบบออกมาได้ กลิ่นเลือดกระจายอยู่ในโรงละครส่วนตัวปิดทึบ และเสียงคำรามต่ำในไม่ช้าก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงร้องโหยหวน

เลือดไหลลงมาตามหน้าจอ และผู้หญิงในชุดแดงก็เดินออกมา เสียงเลือดหยดไม่ได้หยุดลง เธอหันหน้าที่ดวงตาข้างหนึ่งหายไปมาและดวงตาข้างที่เหลืออยู่ก็จับจ้องอยู่ที่หญิงสาวที่นั่งอยู่แถวหน้าที่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ น้ำและเลือดเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้าของเธอ และผมเปียก ๆ ของเธอก็แนบติดกับผิวซีด ๆ ผ่านม่านผมก็จะมองเห็นประกายของดวงตาที่บวมอืดจากการแช่อยู่ในน้ำนานเกินไป!

ที่นั่งเปียกชุ่ม และแอ่งน้ำบนพื้นก็ขยายกว้างออกไป พวกเธอคนหนึ่งอยู่บนยกพื้น อีกคนอยู่ด้านล่าง

สำหรับฝ่ายหนึ่ง นี่เป็นการดูหนังครั้งแรกของเธอ และจิตใจอันเรียบง่ายของเธอก็กำลังทำความเข้าใจในแนวทางของศิลปะชิ้นนี้ อีกฝ่ายกำลังงุนงงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอกับผู้ชมเช่นนี้ เธอมองกลับมาด้วยสีหน้าสับสน เหมือนสงสัยว่าอันที่จริงแล้วเธอยังอยู่ในหนังใช่หรือไม่

ดวงตาขอบผู้หญิงในชุดแดงในที่สุดก็ขยับไปจากผีน้ำ แต่ตอนที่เธอเห็นผู้ชมที่เหลือในโรงละคร ความงุนงงของเธอก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ด้านหลังผีน้ำนั้นเป็นคุณหมอแถวหนึ่ง เสื้อกาวน์สีขาวของพวกเขานั้นปลิวไหวอยู่ใต้ที่นั่ง และนอกจากความเมินเฉยแล้วก็ไม่มีสีหน้าอื่นใดให้สังเกตเห็นได้

ถัดจากหมอเป็นชายที่สวมกางเกงยีนส์เก่า ๆ มือข้างหนึ่งยัดเอาไว้ในกระเป๋าขณะที่อีกข้างยกขึ้นขวางหน้าเฉินเกอเอาไว้ และที่น่าประหลาด ยังมีมืออีกข้างพาดอยู่บนไหล่เขาด้วยท่วงท่าสบาย ๆ

เสียงกรีดร้องส่วนใหญ่นั้นมาจากเหล่านักเรียนที่ในห้อง พวกเขาก่อความวุ่นวายใหญ่โต แต่ว่านั่นก็แค่แสดงไปอย่างนั้น ยิ่งพวกเขาเสียงดัง พวกเขาก็ยิ่งเข้าใกล้หน้าจอไปเรื่อย ๆ

ผู้เข้าชมแถวสุดท้ายลุกขึ้นยืน และพวกเขาก็ดูประหลาดยิ่งกว่า ในมุมทางซ้ายมือดูเหมือนจะมีคู่รักคู่หนึ่ง ใบหน้าของผู้ชายนั้นขาว และผู้หญิงดูบอบบางเหมือนเธอจะหมดสติไปเมื่อไหร่ก็ได้ กลับกัน ชายร่างอ้วนสูงสองเมตรเบียดตัวอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง และเขาก็พยายามเก็บกลิ่นเหม็นของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ถัดจากชายร่างอ้วนเป็นชายร่างผอมสูงที่มีเชือกคล้องอยู่รอบคอ คราวนี้ ผู้ชมนั้นแตกต่างกันออกไปจนผู้หญิงในชุดแดงนิ่งอึ้งไปครู่สั้น ๆ หลังจากออกจากจอมา

มี ‘ทุกคน’ อยู่ที่นี่ เฉินเกอจึงใจเย็นเป็นที่สุด ต้้งแต่ที่ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัว เขาก็มองตามเธอด้วยดวงตาหยินหยาง ให้ความสนใจอย่างเต็มที่ ไม่ช้าเขาก็พบว่าตอนที่ผู้หญิงคนนี้ออกจากจอมา สีแดงบนชุดของเธอก็ซีดลงเล็กน้อย และเห็นได้ชัดที่สุดที่ตรงรอบหัวใจ– เลือดที่ตรงนั้นเกือบจะแห้งและหายไป

วิญญาณสีเลือดตนนี้ดูเหมือนจะสามารถปลดปล่อยพลังเต็มที่ของเธอได้ตอนที่อยู่ในหนังเท่านั้น เมื่อเธอออกมา พลังของเธอก็ลดลงเป็นอย่างมาก

เมื่อเข้าใจเช่นนี้ เฉินเกอก็มั่นใจมากขึ้น อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นแค่ฉากระดับสองดาว

ผีน้ำและไป๋ชิวหลินเผชิญหน้ากับผู้หญิงโดยตรงขณะที่ผีตนอื่น ๆ นั้นช่วยกันขวางหน้าจอเอาไว้ ตอนที่การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นนั้น เฉินเกอก็ยกค้อนที่อยู่ในมือข้างหนึ่งและหันไปหาชายตาบอดที่นั่งอยู่ข้างเขา

“ฉางกู หนังเก่า ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดวงตาข้างซ้ายยังอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าคุณกับชิวเหมยจะล้มเหลวในการตามหาเหวินอวี้ตัวจริง” ทุกคำของเฉินเกอนั้นแทงเข้าหัวใจของฉางกูเหมือนเล็บแหลม ๆ เปลือกตาของเขากระตุก และเขาก็ก้มหน้าต่ำลงไปอีก

“พวกเราคุยเรื่องนี้กันได้อย่างเป็นมิตร อันที่จริง ผมกำลังตามหาโรงเรียนผีนั่นและผมก็มีหนทางแล้ว” เฉินเกอนั้นเป็นคนเปิดเผย ในสถานการณ์ที่ยังตัดสินอะไรไม่ได้ เขาก็แบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนแห่งปรโลกและแสดงให้เห็นว่าเขายินดีให้ความร่วมมือ

“ฉางกู หลังจากดูหนังที่คุณกำกับแล้ว ผมรู้ว่าคุณเป็นคนฉลาดและมีพรสวรรค์ แต่ดูคุณตอนนี้สิ

“คุณยอมแพ้แล้วเหรอ? คุณยินดีแอบซ่อนตัวอยู่ในฮอลิเดย์วิลล่าร้างต่อไปจนตลอดชีวิตที่เหลืออย่างนี้เหรอ? จนกระทั่งตายคุณก็หาเหวินอวี้ไม่พบ? คุณยอมผิดสัญญากับชิวเหมยแล้วเหรอ?

“คุณทุ่มเทชีวิตให้กับการทำงาน และหนังพวกนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ ผมอินไปกับหนังของคุณ และผมก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ผมเข้าใจความเจ็บปวดของคุณ และผมก็ดูออกว่าทำไมคุณถึงได้ทิ้งชีวิตของคุณแล้วตอนนี้

“ผมเข้าใจคุณ และเพราะอย่างนั้น ผมอยากจะร่วมมือกับคุณ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะมายอมแพ้!”

ตอนที่ดูหนัง เฉินเกอก็พอจะเข้าใจกระบวนการทั้งหมด เขาเล็งไปที่จุดอ่อนในหัวใจของฉางกูและพยายามทำลายเปลือกนอกที่เย็นชาของเขา

“วิญญาณของเหวินอวี้ยังหาไม่เจอ บางทีเธออาจจะยังติดอยู่ในโรงเรียนร้างนั่น ผมแน่ใจว่าร่างกายของเธอนั้นแย่ลงไปทุกวัน ร่างกายที่ไม่มีดวงวิญญาณจะเป็นอย่างไรเล่า? ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณสองคนหลังจากนั้น แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมแน่ใจ มันยังไม่สายเกินไป ทุกอย่างยังแก้ไขได้!”

ฉางกูเริ่มหวั่นไหวแล้ว เฉินเกอเห็นโอกาสนี้และเสริม “คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงตามหาโรงเรียนนั่น?”

เขาก้มลงไปมองเข้าไปตรงดวงตาฉางกู “ผมเป็นเจ้าของบ้านผีสิงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่จิ่วเจียงตะวันตก ประมาณหกเดือนก่อน พ่อกับแม่ของผมหายตัวไป และมีร่องรอยมากมายบ่งชี้ว่าพวกเขาไปที่โรงเรียนนั่น!”

เปลือกตาของฉางกูกระตุกกว่าเดิม หน้าอกของเขากระเพื่อมไม่เป็นจังหวะ และในที่สุดเขาก็ถามคำถามกลับมา “พ่อกับแม่ของคุณไปที่โรงเรียนนั่นจริงเหรอ?”

“ใช่ และเพื่อตามหาพวกเขา ผมไปที่โรงเรียนมัธยมมู่หยาง โรงเรียนเอกชนจิ่วเจียงตะวันตก วิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียง และที่อื่น ๆ ผมรวบรวมเงื่อนงำบางส่วนได้” เฉินเกอแบ่งปันประสบการณ์ของเขา ถ้าประสบการณ์ของฉางกูนั้นเป็นเรื่องเล่า อย่างนั้นประสบการณ์ของเฉินเกอก็เป็นตำนาน

เฉินเกอบอกทุกอย่างออกไปให้ฉางกูฟังเหมือนเด็กที่แสนซื่อตรงคนหนึ่ง ไม่โกหกเลยสักคำ หลังจากได้ฟังเรื่องของเฉินเกอ ฉางกูก็รู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขานั้นไม่ควรค่าให้พูดถึงด้วยซ้ำ และยังไม่มีเหตุผลให้เขาต้องยอมแพ้

“พวกเราร่วมมือกันได้ นั่นเป็นสถานการณ์ได้กับได้ ลองคิดดู”

เฉินเกอลุกขึ้น ลากค้อนเดินออกไปจากที่นั่นไปที่ยกพื้น ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น เขาโยนค้อนไปข้าง ๆ ยกแขนขึ้น และพูดพร้อมกับดวงตาที่อ่อนโยน “วิญญาณทั้งหมดที่เคยครอบครองดวงตาข้างซ้ายล้วนสูญเสียตัวตนและเปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาด แต่ว่าคุณเป็นข้อยกเว้นเดียว ตลอดหลายปีมานี้ คุณคงทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวเงียบ ๆ

“คุณเองก็เป็นเหยื่อคนหนึ่ง แต่ว่าคุณก็เป็นวีรสตรีด้วย

“ตอนที่ความโชคร้ายหล่นใส่ใครคนหนึ่ง ความมืดดำในหัวใจของพวกเขาก็จะสาปแช่งโลกนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่ความสงสารแต่ว่าคือคนที่เข้าใจ

“แต่ว่าคนที่อ่อนโยนนั้นเลือกที่จะทนรับทุกอย่างเงียบ ๆ ช่วยปกปิดบาดแผลของโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบและตอบคืนความโชคร้ายเหล่านั้นด้วยความเมตตาและความอบอุ่น”

เฉินเกอเดินขึ้นไปบนยกพื้นและไปหยุดอยู่ไม่ห่างจากผู้หญิงคนนั้น

“ไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ คุณก็เป็นคนที่อ่อนโยนอย่างนั้นคนหนึ่งนะ ชิวเหมย”

ผู้ชายคนนั้นค้นทั่วตู้ ดวงตาของเขามองเห็นแค่ข้างเดียว ความเจ็บปวดพุ่งตรงเข้าสมองของเขา และกริยาของเขายิ่งมาก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ แขนของเขาถูกอะไรไม่รู้บาด เกิดเป็นแผลยาวดูน่าขนลุก

เลือดไหลลงไปตามแขนของเขาก่อนที่จะหยดลงบนพื้นกระเบื้องสะอาด ภาพของผู้หญิงชุดแดงคนหนึ่งปรากฏขึ้นในแอ่งเลือด เลือดเริ่มเปลี่ยนไปเหมือนมีคนกำลังเขียนอักษรเลือด

“ด้วยวิธีการของแก แกไม่มีวันหาทางไปโรงเรียนนั่นเจอ แกทำล้มเหลวแล้ว แกโกหกฉัน แกให้อิสระฉันไม่ได้ และตอนนี้ชีวิตของแกก็กำลังนับถอยหลังเพราะเรื่องนั้นแล้ว”

ความเจ็บปวดรุมเร้าชายหนุ่มมากขึ้น ของในตู้หล่นลงพื้น เขาหลับตา และโลกก็มืดลง ร่างของเขากระแทกเข้ากับเครื่องเรือน และแขนของเขาก็กวัดไกวไปมาอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาดูเหมือนกำลังจะจมน้ำ ยาและอุปกรณ์อื่น ๆ กระจายเต็มพื้น ชั้นหนังสือล้มลงมา และตำราหลายเล่มที่เกี่ยวกับดวงตาก็หล่นลงมาที่ข้างเท้าของเขา

“ของเหลวในดวงตาซึมออกมา ขอบแผลเปื่อยยุ่ย เส้นประสาทกำลังจะตาย และความไวแสงลดลง มันกระทบกับดวงตาเดิมของฉันด้วย มันเหมือนมีบางอย่างสู้กับมันอยู่ และมันก็ลืมตายากขึ้นเรื่อย ๆ!” ดวงตาของชายผู้นั้นปิดแน่น เขาเป็นเพียงคนเดียวในห้อง แต่เขาตะโกนสุดเสียงเหมือนกำลังพูดกับคนอื่น “แต่เธอไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ มันก็มีโอกาสที่จะดีขึ้นได้!”

ดวงตานั้นเป็นหน้าต่างของจิตใจ เมื่อดวงตาของคนผู้หนึ่งลืมเปิดไม่ได้ โลกที่ด้านในก็กลายเป็นมืดดำ ผู้ชายคนนั้นราวกับสัตว์ร้ายสักตัว ร้องคำรามจากความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างจนกระทั่งล้มลงด้วยความอ่อนแรงและหมดสติไปที่ข้าง ๆ โต๊ะกินข้าว

แสงที่ในห้องกะพริบและสลัวลง ห้องดูเหมือนจะเปลี่ยนไป รอยเลือดที่บนพื้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนสะเก็ดแผลแห้ง ๆ ในความเงียบสงัดนี้ ผู้หญิงสวมเสื้อคลุมสีแดงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในห้อง

เธอดูต่างไปจากเหวินอวี้ แต่ว่ากลับไปคล้ายกับชิวเหมยจากในเรื่อง เพื่อนร่วมโต๊ะ ผู้หญิงคนนี้เดินไปยืนอยู่ระหว่างชายหนุ่มกับเหวินอวี้เงียบ ๆ เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่ตกลงมาจากชั้นหนังสือขึ้นมา ปกมีเลือดเปื้อน และเมื่อพลิกเปิดหน้าปก ที่หน้าแรกนั้นมีชื่อหนึ่งเขียนเอาไว้ด้วยสีแดง– ชิวเหมย

ครึ่งแรกของสมุดบันทึกนั้นเขียนด้วยปากกาสีดำ แต่ว่าครึ่งหลังเป็นสีแดงทั้งหมด เธอพลิกไปที่สองสามหน้าสุดท้าย

สามสิบพฤศจิกายน: ผู้หญิงในชุดแดงคอยมารบกวนการผ่าตัด เหมือนกับหากเปลี่ยนดวงตาแล้วเธอจะหายไปตลอดกาล ดูเหมือนว่าฉางกูจะไม่ได้โกหกฉัน– ในที่สุดฉันก็จะหนีพ้นจากการทรมานของผีตนนี้

หนึ่งธันวาคม: ผู้หญิงในชุดแดงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หลายปีก่อน ก็เป็นเธอที่ลากฉันเข้ามาในร่างเหวินอวี้ให้ฉันกลายเป็นเหวินอวี้คนต่อมา เธอไม่ใช่เพื่อนฉัน ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ใกล้ ๆ ฉัน

สองธันวาคม: การผ่าตัดเสี่ยงเกินไปและนั่นก็ยังไม่นับการรบกวนจากสิ่งเหนือธรรมชาติด้วย เหมือนคนบ้า เธอเอาแต่พยายามจะหยุดการผ่าตัดนี้ มันเหมือนว่าวิธีการของฉางกูจะสามารถหยุดความเจ็บปวดทั้งมวลได้จริง ๆ

สามธันวาคม: ตราบใดที่ผียังอยู่ที่นี่ การผ่าตัดก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ตามปกติ ดังนั้นพวกเราจึงทำได้แค่ขังเธอไว้ ฉันไม่พูดกับเธอมาหลายปีแล้ว ดังนั้นคราวนี้ ฉันคิดว่าฉันคงจะต้องเล่นเกมกับเธอเสียหน่อย

สี่ธันวาคม: การผ่าตัดสำเร็จ ผีร้ายชุดแดงที่เอาแต่ตามฉันนั้นหายไปแล้ว แต่ว่าฉันก็ไม่เคยคิดว่ามันจะหายไปด้วยวิธีการเช่นนี้ หลังจากผ่าตัด ฉันกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือดตนใหม่

ห้าธันวาคม: ครั้งแรกที่ฉันเชื่อถือใครสักคนนอกเหนือไปจากย่าของฉัน ฉันก็สูญเสียอิสรภาพของตนเองและกลายไปเป็นแพะรับบาป ครั้งที่สองที่ฉันเชื่อถือคนอื่น ฉันสูญเสียกระทั่งเปลือกที่ฉันซ่อนตัวอยู่ แล้วตอนนี้ฉันจะทำอะไรได้? เชื่อเขาเป็นครั้งที่สาม? หรือว่า…

บันทึกจบลงที่ตรงนี้ ผู้หญิงในชุดแดงวางสมุดกลับลงไป เธอเอนตัวไปด้านข้าง มองพิจารณาฉางกู เส้นผมสีดำของเขาไหวขึ้นนิด ๆ ราวกับมีลมเป่า ดวงตาข้างขวาของผู้หญิงคนนี้นั้นแดงก่ำ แต่ว่าดวงตาข้างซ้ายนั้นเป็นโพรงสีดำ กระทั่งเธอกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือด เธอก็ไม่สามารถฟื้นฟูดวงตาข้างซ้ายของเธอได้

แสงที่ในห้องสลัวลงอีก และเสียงลูกแก้วกระทบกันก็ดังมาจากบนเพดาน เสียงน้ำดังมาจากในห้องน้ำ และปากกาก็กลิ้งไปบนพื้น มีดปอกผลไม้บนโต๊ะกาแฟขยับได้ด้วยตัวเอง มือซีดขาวข้างหนึ่งเอื้อมออกมาจากใต้เสื้อสีแดงและผู้หญิงคนนั้นก็จับใบมีดเอาไว้ด้วยสองนิ้ว

เธอยืนอยู่ตรงหน้าชายที่หมดสติและชูมีดให้แกว่งไกวอยู่เหนือศีรษะเขา เล็งไปยังดวงตาข้างขวาของเขาซึ่งไม่ได้มีผ้าพันแผลหุ้มอยู่ ตอนที่เธอกำลังจะปล่อยนิ้ว จู่ ๆ เธอก็หยุดเหมือสัมผัสถึงบางอย่างที่ในห้องได้

เธอหันกลับ และเส้นผมของเธอก็แยกออก ตรงที่ควรเป็นลูกตาของเธอที่กลวงเปล่านั้นมองตรงเข้ามาในกล้อง เหมือนเธอกำลังมองมาที่ผู้ชมที่หน้าจอ ในโรงเริ่มมีการเคลื่อนไหวประหลาด– มีเสียงฝีเท้าแทรกเข้ามาในเสียงเพลง

มีเสียงประหลาดดังอยู่ในบ้านที่บนจอด้วยเหมือนกัน มันดังมาจากส่วนลึกของตู้ จากใต้เตียง และจากด้านหลังประตู มันดังต่อเนื่องเรื่อย ๆ และยังสร้างความรู้สึกเหมือนมีเสียงแบบเดียวกันนั้นเกิดขึ้นในชีวิตจริงด้วย!

หูของแต่ละคนนั้นบอกไม่ได้อีกต่อไปแล้วว่าเสียงมาจากบนจอหรือว่าด้านหลังตัวเอง

แสงไฟจู่ ๆ ก็กะพริบ และผู้หญิงที่อยู่ใกล้จอ เธอเคลื่อนไหวไม่ช้าเลย เธอดูเหมือนกำลังยืนนิ่งอยู่ แต่หนึ่งนาทีให้หลัง ตอนที่เฉินเกอเพ่งตามองอีกครั้ง ระยะห่างระหว่างเธอกับหน้าจอก็หดลงมากขึ้น!

ความประหลาดที่ในจอและนอกจอเริ่มซ้อนทับกันช้า ๆ และมันก็สร้างความรู้สึกประหลาดในหมู่ผู้ชม มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังจมเข้าไปในหนัง กลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน หรือหน้าจอหนังนั้นค่อย ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจริงอย่างช้า ๆ และผีที่ด้านในนั้นก็จะออกมาจริง ๆ

เสียงเพลงดังขึ้น และมันก็เหมือนมีคนเป่าลมเข้าไปในหูพวกเขาทุกคน

ผู้หญิงคนนั้นมาถึงที่ขอบจอแล้ว และแสงไฟในโรงละครก็สลัวที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็น เบ้าตากลวงเปล่านั้นแนบติดอยู่กับจอ และความว่างเปล่านั่นก็จับจ้องตรงมาที่ผู้ชมที่หน้าจอ

มีดปอกผลไม้ที่มีเลือดชุ่มเล็งออกมาข้างนอกและกลิ่นเลือดก็กำจายไปทั่วโรงละครที่ปิดทึบ แรกเลย เป็นเสียงที่ซ้อนทับกัน ต่อมาก็กลิ่นเลือด ตอนที่ผู้ชมรู้สึกสับสนกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น วิญญาณสีเลือดก็แนบตัวติดกับหน้าจอ

เลือดเหนียว ๆ ไหลย้อยลงไปตามหน้าจอและซึมออกมาบนยกพื้นที่ด้านหลังจอ ตอนที่ผู้ชมรู้สึกตัว ใบหน้าน่ากลัวนั่นก็โผล่ออกมาจากหน้าจอแล้ว!

เพลงประกอบนั้นถึงจุดสำคัญพอดี เหมือนคันศรถูกรั้งตึง กลิ่นเลือดหนาหนัก และฉากที่น่ากลัวที่สุดในโรงหนังในที่สุดก็มาถึง

ผีจากในหนังคลานออกมาจากจอ! เรื่องผีกลายเป็นจริงแล้ว!

ลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นกระชั้น และเฉินเกอก็กำที่พักแขนแน่น ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดเปลี่ยนไปเป็นสีแดงทันที!

“วิญญาณสีเลือดจากในหนังออกมาแล้ว!” เขาผุดลุกขึ้นและในเวลาเดียวกับที่วิญญาณปรากฏ เขาก็ร้องเสียงดัง “จับเธอไว้! อย่าปล่อยให้เธอหนีกลับเข้าไปในหนังได้!”

ฉางกูเล่าเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ ให้เหวินอวี้ฟัง หมอคนก่อนหน้านี้โดยทางเทคนิคแล้วเขาโกหกเหวินอวี้ แต่ว่าเขาก็หลุดรายละเอียดที่สำคัญมากออกมาสองอย่าง

อย่างแรก โรงพยาบาลนั้นปิดตัวลงเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนหน้านี้และไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริง ที่น่าสงสัยก็คือ หลังจากโรงพยาบาลปิดตัวไปแล้ว คนที่อยู่ใกล้ ๆ นี่ก็ยังเห็นโรงพยาบาลทำการตามปกติมีคนเดินไปเดินมาทั้งกลางวันกลางคืน

สอง หมอคนนี้เองก็น่าสงสัย เขาต่างไปจากผีทั่ว ๆ ไป เขาสามารถเคลื่อนไหวได้ในตอนกลางวันและยังไม่กลัวแสงอาทิตย์ ฉางกูนั้นไม่ได้บอกอย่างละเอียดว่าหมอคนนั้นเป็นตัวตนแบบไหนกันแน่– เขาแค่บอกเหวินอวี้ว่าสิ่งนั้นหรือคนผู้นั้นที่ทำให้ดวงตาข้างซ้ายของเธอเจ็บปวดน่าจะมาจากมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง

คำอธิบายระหว่างวิทยาเขตปกติกับวิทยาเขตภาคค่ำของหมอคนนั้นก็เป็นความจริง แต่วิธีการเข้าไปในวิทยาเขตร้างนั้นไม่ใช่เข้าลึกไปในภูเขาหยงหลิง

ฉางกูนั้นเหมือนเป็นคนที่มีความผิดติดตัวหนีคดี พอเขาพูดถึงตรงนี้ เขาก็หันหลังกลับจากไป ทิ้งเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งเอาไว้ให้เหวินอวี้และบอกเธอว่า ถ้าเธอต้องการไปมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง ตอนกลางคืน ก็ให้เธอโทรศัพท์ไปที่เบอร์นี้

ฉากนั้นจบลงที่ตรงนี้ ภาพสะดุดเล็กน้อย และเมื่อภาพกลับมา ท้องฟ้าในฉากก็มืดแล้ว

มีคนตัดเนื้อหาส่วนหนึ่งออกไป หรือว่าคนที่ในหนังไม่ต้องการให้ฉันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น?

ในความมืด เหวินอวี้ถือโทรศัพท์กับกระเป๋าสะพายหลังเอาไว้ มองไปตามตรอก เธอหยุดอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกับเมื่อเช้านี้ เธอกดโทรและกระซิบสองคำก่อนที่จะตัดสายอย่างรวดเร็ว “มาแล้ว”

สิบนาทีให้หลัง หน้าต่างทางซ้ายของโรงพยาบาลก็ถูกผลักเปิดจากด้านใน และหมอร่างผอมสูงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีขาวก็โบกมือให้เหวินอวี้ หลังจากเหวินอวี้แอบเข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว หมอคนนั้นก็ให้เธอเปลี่ยนไปใส่ชุดพยาบาลจากนั้นก็นำเธอออกจากห้อง ภาพที่เห็นหลังจากนั้นแปลกมาก และมันก็มีความเป็นผู้กำกับฉางกูอยู่เต็มไปหมด

ในโรงพยาบาล ผู้คนเต็มไปหมด บางคนกำลังรอหมอ บางคนกำลังรอรับยา มีผู้ป่วยที่มีเฝือกอยู่ที่ขาเดินผ่านไปช้า ๆ และทุกอย่างก็ดูเหมือนโรงพยาบาลทั่วไป ความแตกต่างเดียวก็คือไม่มีไฟดวงไหนเปิดเลย ผู้ป่วยและหมอทุกคนเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด ความมืดดูเหมือนจะไม่ได้มีผลกระทบกับพวกเขามากนัก พวกเขาดูไม่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่มีชีวิต เงาเคลื่อนไปในความมืดราวกับฉายให้เห็นถึงอีกโลกที่ต่างไป

“มาตรงนี้” หมอนำเหวินอวี้เข้าไปในห้องผ่าตัดจากนั้นก็ล็อกประตู

“ตอนนี้ คุณก็บอกฉันได้แล้วใช่ไหมคะถึงวิธีที่จะเข้าไปในโรงเรียนนั่น?” เหวินอวี้ถอดผ้าปิดปากออกแล้วสูดลมหายใจลึก หมอผู้ชายก็ถอดผ้าปิดปากของตัวเองเช่นกัน และเขาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉางกู เขาคว้าแขนเหวินอวี้และนำเธอไปที่โต๊ะผ่าตัด

โต๊ะผ่าตัดดูต่างไปจากโต๊ะผ่าตัดทั่วไป เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ามีไว้ทำการผ่าตัดชนิดใดแน่

“วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือแก้จากต้นตอ และนั่นก็คือ…” ฉางกูหยิบมีดผ่าตัดคมกริบขึ้นมาจากถาด “เอาดวงตาข้างซ้ายของเหวินอวี้ออกและหาเจ้าของใหม่ให้มัน”

เสียงของฉางกูนั้นน่ากลัว และมันก็ทำให้เหวินอวี้ผงะถอยไปจนกระแทกเข้ากับโต๊ะที่ด้านหลัง “คุณจะควักตาฉันออกไป?”

“มันคือดวงตาของเหวินอวี้ เธอไม่ใช่เหวินอวี้ เธอเป็นเหยื่อที่ถูกกักเอาไว้ในร่างนี้ ฉันจะคืนอิสระให้เธอ แต่ฉันต้องการความร่วมมือจากเธอด้วย”

“หมอคนนั้นพูดถูก คุณมันบ้าไปแล้ว!” เหวินอวี้คว้ากระเป๋าตัวเองแล้วมุ่งหน้าไปยังประตู “ฉันจะกลับออกไปเดี๋ยวนี้!”

“ถึงเธอจะเห็นเงาที่ด้านนอกนั่นแล้วก็ยังไม่เชื่อฉันอีกเหรอฮึ? เงาพวกนั้นทำเหมือนพวกเขายังมีชีวิตเป็นปกติ ฉันแน่ใจว่าเธอเห็นพวกเขาชัดกว่าที่ฉันเห็น ดังนั้นเธอน่าจะ…”

“คุณไม่ใช่ฉัน คุณจะรู้ได้ยังไงว่าฉันเห็นอะไร?”

เหวินอวี้ไปถึงประตูแต่ถูกฉางกูขวางเอาไว้ “ฉันไม่ใช่เธอ แต่ว่าฉันคุ้นเคยกับเจ้าของร่างแท้จริงของเธอ! ฉันเป็นพี่ชายของเหวินอวี้!”

ได้ยินคำประกาศนี้ เหวินอวี้ก็นิ่งไป เธอมองฉางกูอยู่นานมากก่อนที่จะพูดขึ้น “แต่ฉันไม่เคยได้ยินเหวินอวี้พูดถึงว่าเธอมีพี่ชายเลยสักครั้ง”

คำตอบของเธอนั้นเป็นการยืนยันทางอ้อมว่าเธอไม่ใช่เหวินอวี้

“เธอมองเห็นคนตายด้วยดวงตาข้างซ้ายของเธอ และฉันเชื่อว่าเธอเห็นคนตายทั้งหมดที่บ้านนั่นแล้ว ก่อนที่เหวินอวี้จะเสียสติไป ฉันเป็นคนพาเธอหนีเอง” ฉางกูหงุดหงิด ตอนที่เขากำลังจะอธิบายความจริงทั้งหมด หนังก็ถูกตัดไป

หนังสยองขวัญถูกตัดไปตอนที่อยู่ในโรงละครมืด ๆ ตอนตีสามนั้นย่อมบ่งบอกได้ว่ามีบางอย่างที่น่ากลัว แต่ไม่มีคนดูคนไหนหวาดกลัว

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? เทปถูกตัดเหรอ? บอส!”

“นี่เป็นโรงหนัง ไม่ใช่อินเตอร์เนตคาเฟ่แถวโรงเรียนเสียหน่อย ใจเย็นน่า”

“แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นอ้ะ?”

เหล่าพนักงานถกเถียงกัน มีเพียงคนเดียวที่ไม่สนุกสนาน และนั่นก็คือชายตาบอดที่ข้าง ๆ ฟางหยวน เสียงแหลม ๆ ก้องไปมาในโรงละคร และสายลมเย็นก็พัดมา แต่ว่าชายตาบอดนั้นอยู่ท่าเดิม ศีรษะก้มต่ำ เหมือนเขาหลับไปแล้ว

พวกเขารออยู่สามนาทีเต็มกว่าหนังจะกลับมาฉาย แต่ว่า ฉากก็เปลี่ยนไปอีกครั้งแล้ว และภาพยังชัดขึ้นกว่าเดิมด้วย มันทำให้รู้สึกเหมือนหนังถูกเปลี่ยนไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ไม่มีใครอยู่ในห้องฉายหนังแต่ว่าหนังที่พวกเรากำลังดูอยู่เปลี่ยนไปด้วยตัวเอง ผู้ที่ซ่อนอยู่ในโรงละครนี่น่าจะรู้สึกเหมือนถูกคุกคามและจงใจปิดบังบางอย่างเอาไว้” ยิ่งพวกเขาอยากซ่อน เฉินเกอก็ยิ่งอยากจะขุด จากมุมมองของเขา มีแค่รู้ทุกอย่างเขาถึงจะสามารถหาต้นกำเนิดของปัญหาและช่วยพวกเขาแก้ปัญหาได้

หนังเปลี่ยนไปฉายภาพบ้านใหญ่โตหลังหนึ่ง เหวินอวี้นอนแผ่อยู่ที่โต๊ะกินข้าว ศีรษะของเธอมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ และมันก็รัดแน่นอยู่บนดวงตาข้างซ้ายของเธอ ชายหนุ่มที่หลังโก่งนิด ๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วย ใบหน้าของเขาก็มีผ้าพันแผลพันเอาไว้เช่นกัน และมันก็พันแน่นอยู่บนดวงตาข้างซ้ายเหมือนกันด้วย

ผู้ชายคนนั้นมองเหวินอวี้เงียบ ๆ หลายวินาทีให้หลัง ผ้าพันแผลรอบดวงตาข้างซ้ายของเหวินอวี้ก็ชุ่มไปด้วยเลือด เลือดซึมออกมาบนผ้าพันแผลสีขาวเหมือนดอกไม้เลือดกำลังคลี่บาน

“นี่เป็นสัปดาห์ที่สองหลังจากการเปลี่ยนดวงตาแล้ว ทำไมมันถึงยังไม่ได้ผล? พวกเราเป็นพี่น้องโดยสายเลือดและมีเลือดหมู่เดียวกัน– ทำไมถึงมีความต่อต้านของร่างกายเยอะขนาดนี้?” ผู้ชายคนนั้นเริ่มกระวนกระวาย และเมื่อใดก็ตามที่มีเลือดซึมออกมาจากเบ้าตาของเหวินอวี้ ผ้าพันแผลรอบใบหน้าของเขาก็จะชุ่มไปด้วยเลือดเหมือนดวงตาของเขานั้นตอบรับสัญญาณบางอย่างที่เหวินอวี้ส่งออกมา

รอบดวงตานั้นมีเส้นประสาทมากมายและมันก็ทำให้ชายคนนี้เจ็บปวดอย่างสุดแสน

ร่างกายของเขาสั่น และมือของเขาก็กำขอบโต๊ะแน่น “ความเจ็บปวดนี่รุนแรงกว่าเมื่อวาน บาดแผลไม่มีท่าทีจะฟื้นฟูเลยสักนิด! ปัญหาคืออะไรกันแน่?”

เขาเปิดตู้ที่ในห้องนั่งเล่นซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์นานาชนิด ตอนที่เขาค้นไปทั่ว เหวินอวี้ก็ยังอยู่ที่โต๊ะนั่นไม่กระดุกกระดิกเหมือนเธอทำวิญญาณหลุดหายไป

ได้ยินคำตอบแล้ว เฉินเกอก็เพ่งสายตามองพิจารณาชายคนนี้เพิ่ม ชื่อของผู้กำกับก็คือฉางกูเหมือนกัน ดูเหมือนว่าหนังพวกนี้จะบันทึกเหตุการณ์ที่เขาได้ประสบมา

มองใบหน้าของชายในหนังแล้วเฉินเกอก็เกาคางตัวเอง ในหนัง เขาให้ตัวเองหน้าตาดี ดูไว้ตัว ซึ่งทำใหัฉันเข้าใจผู้ชายคนนี้ในมุมมองใหม่ ๆ

หลังจากพิจารณาใบหน้าของชายคนนี้อยู่นาน เฉินเกอก็รู้สึกเหมือนเขาดูคุ้นตาอย่างประหลาด จู่ ๆ เขาก็หันไปมองชายตาบอดที่นั่งอยู่ข้างเขา รูปร่างของสองคนนี้คงแตกต่างกันมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่บรรยากาศสิ้นหวังที่รอบดวงตานั้นเหมือนกันอย่างน่าตกใจ และเครื่องหน้าบางชิ้นยังคล้ายกันด้วย

พวกเขาเป็นคนคนเดียวกันใช่ไหม?

บนจอ ฉางกูร่างสูง หน้าตาหล่อเหลา และนิ่งเฉย แต่ว่าชายตาบอดข้างเฉินเกอนั้นชรา น่าเกลียด และขาดสารอาหารเหมือนป่วยด้วยโรคร้ายแรง

ตามข่าวลือที่บนอินเตอร์เนต ฉางกูน่าจะตายไปในกองเพลิงหรือถูกขังเอาไว้ในหนังของตัวเอง…

เฉินเกอคิดกลับไปถึงข้อมูลที่เขาเจอบนออนไลน์ และดวงตาของเขาก็ตกลงที่ดวงตามืดบอดของชายข้างตัวที่หลับแน่น

เป็นไปได้ไหมว่าเขาเป็นคนสร้างข่าวลือพวกนั้นขึ้นมาเอง? เขาต้องการหายตัวไปจากสายตาของสาธารณะชน?

เฉินเกอกอดเจ้าแมวขาวเอาไว้พลางพิจารณาทุกอย่างอย่างสงบ ไม่ว่าชายตาบอดจะเป็นฉางกูหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญ อย่างไรเสีย เขาก็จับจองโรงละครส่วนตัวนี่เอาไว้แล้ว ในหนัง ฉางกูนั้นตัวสูงใหญ่ ต่างไปจากชายตาบอดข้างตัวเฉินเกอโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่เพราะเฉินเกอนั้นให้ความสนใจกับรายละเอียด เขาก็คงเชื่อมโยงมันไม่ได้

หนังยังดำเนินต่อ เหวินอวี้ตามฉางกูไป บางทีมันอาจจะเป็นสัญชาตญาณของผู้หญิงหรืออะไรสักอย่าง แต่ว่าเธอรู้สึกว่าฉางกูผู้นี้นั้นสำคัญกับเธอมาก แต่ว่า เห็นได้ชัดว่าฉางกูนั้นจงใจรักษาระยะห่างกับเหวินอวี้ จากปฏิกริยาหลายอย่างของเขา มันไม่ใช่เพราะเขาเกลียดเธอ

สีหน้าของเขาตอนที่มองเหวินอวี้นั้นประหลาดมาก ส่วนใหญ่แล้วมันเหมือนมองคนแปลกหน้า แต่บางครั้ง มันกลับปรากฏร่องรอยอ่อนโยนออกมา ทั้งสองคนยืนอยู่ที่ประตูหลังโรงพยาบาลพูดคุยกัน พวกเขาเพิ่งคุยกันได้ไม่กี่คำตอนที่มีเสียงฝีเท้าดังมา และชายวัยกลางคนค่อนข้างอ้วนคนหนึ่งก็วิ่งออกมา

เห็นเขาแล้ว ฉางกูก็ถอดเสื้อคลุมของเขาออก โยนมันไปด้านข้าง และจากนั้นก็วิ่งเข้าไปในตรอกใกล้ ๆ ไม่ว่าเหวินอวี้จะร้องเรียกเขาเท่าไหร่เขาก็ไม่หันกลับมา

“เธอเห็นผู้ชายผอม ๆ สูง ๆ คนหนึ่งวิ่งมาทางนี้ไหม?” หลังจากชายวัยกลางคนคนนั้นออกมาจากประตูหลัง สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังเสื้อคลุมสีขาวที่บนพื้น

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”

“ผู้ชายคนนั้นเป็นหัวขโมย ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า! เขามักจะแอบเข้าไปในโรงพยาบาลของเขา!” ชายวัยกลางคนคำรามลอดไรฟัน

“หัวขโมย? เขา… เขาไม่ใช่หมอเหรอคะ?” เหวินอวี้มองเสื้อคลุมที่ชายคนนั้นหยิบขึ้นมาแล้วเธอก็ตกใจ

“อย่าไปเชื่อคำพูดที่ออกจากปากเขา ผู้ชายคนนั้นเป็นหัวขโมย เป็นคนขี้โกหก แล้วยังเป็นบ้าด้วย เพื่อความปลอดภัย เธออยู่ให้ห่างจากเขาจะดีกว่า” ชายวัยกลางคนเตือนแล้วก็จะเดินกลับไป

“รอเดี๋ยวค่ะ” เหวินอวี้รั้งเขาเอาไว้ “หนูมาที่นี่เพื่อสมัครเข้ามหาวิทยาลัย คุณเคยได้ยินชื่อมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงไหมคะ? ที่อยู่บนออนไลน์ที่หนูได้มาพาหนูมาที่นี่”

“เคยมีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ที่นี่มาก่อน แต่ว่ามันทิ้งร้างไปนานแล้ว ใบปลิวที่เธอเห็นน่าจะเป็นของเมื่อหลายปีก่อน” ชายวัยกลางคนดูค่อนข้างเป็นมิตร เขาหยุดเพื่อตอบคำถามของเหวินอวี้

“ทิ้งร้างไปแล้ว? อย่างนั้น คุณรู้ไหมคะว่าทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนั้น?” ในที่สุดเหวินอวี้ก็พบคนที่เชื่อถือได้ ดังนั้นเธอจึงถามต่อ

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าเธอน่าจะรู้เรื่องมากขึ้นถ้าไปที่เขาหยงหลิง ตอนนั้นมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงแยกออกเป็นสองวิทยาเขต วิทยาเขตปกติและโรงเรียนภาคค่ำ” เขาไม่ได้ปิดบังข้อมูลอะไรและบอกทุกอย่างที่รู้ออกมา “วิทยาเขตปกติสำหรับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาแล้ว และโรงพยาบาลของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาเขตนี้ มันไม่ได้ต่างไปจากมหาวิทยาลัยปกติ

“การเปิดโรงเรียนภาคค่ำน่ะเป็นการตัดสินใจที่ผิด จิ่วเจียงก็ใหญ่แค่นี้ ดังนั้นจึงมีจำนวนนักเรียนที่ไปเรียนได้จำกัด นักเรียนจากพื้นที่อื่นข้างนอกก็น้อยครั้งที่จะข้ามเมืองมาเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก เมื่อมีนักเรียนน้อย พื้นที่ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ใช้งาน ดังนั้นฝ่ายการจัดการจึงเปลี่ยนมันไปเป็นโรงเรียนภาคค่ำ

“วิทยาเขตภาคค่ำอยู่ติดกับวิทยาเขตปกติ แต่ว่ามันใกล้กับเขาหยงหลิงมากกว่า โรงเรียนภาคค่ำของมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงนั้นเน้นรับสมัครผู้ใหญ่ที่อยากจะศึกษาต่อและพวกหนุ่มสาวที่อยากจะกลับไปเรียนต่อหลังจากหยุดเรียนไป”

หลังจากหมอคนนี้อธิบาย เขาก็เดินเข้าไปในเงาเพื่อไม่ให้แสงแดดสาดส่องใส่ “ฉันก็จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่ว่าเธอสามารถอ่านข้อมูลพวกนี้ได้ในห้องเอกสารของโรงพยาบาล ตอนนี้พวกเรามีคนไม่มาก ดังนั้นฉันจะพาเธอไปที่นั่นแล้วกัน”

“คุณจะพาหนูไปที่ห้องเอกสาร?” เหวินอวี้มองโรงพยาบาลที่ว่างเปล่า ด้านในสะอาดมากและเงียบมากเหมือนไม่มีใครอยู่เลยสักคน “ได้ค่ะ…”

ก่อนที่จะทันพูดจบ เหวินอวี้ก็ยกมือขึ้นปิดดวงตาข้างซ้าย เมื่อครู่นี้จู่ ๆ มันก็เหมือนมีเข็มจิ้มลูกตาของเธอซึ่งไม่เกิดขึ้นมานานแล้ว

“หนูขอโทษนะคะ แต่ว่าหนูรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หนูจะกลับมาใหม่วันหลัง แต่ก็ต้องขอบคุณมากนะคะสำหรับความช่วยเหลือ” เหวินอวี้ยังกุมอยู่ที่ดวงตาของเธอแล้วกล่าวขอบคุณหมอตรงหน้า

“ยินดี ๆ” ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วหันกลับเข้าไปในโรงพยาบาล

“บนโลกนี้ก็ยังมีคนดี ๆ อยู่มาก” เหวินอวี้มองเข้าไปในตรอกแคบ บางอย่างไม่ถูกต้อง มันบ่ายแล้ว แต่ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย มันเหมือนคนที่นี่รู้ว่าควรจะอยู่ห่างจากตรงนี้

“โรงเรียนภาคค่ำก็อยู่แค่นี้แล้ว แต่ในเมื่อหมอไม่ได้ให้ตำแหน่งที่อยู่แน่นอนมา ฉันก็คงต้องเดินหาต่อ” เพราะความสงสัยบางอย่าง เหวินอวี้เดินเข้าไปในตรอก หลังจากที่เดินเข้าไปไม่กี่ก้าวก็มีคนเรียกชื่อเธอจากตรงมุม

“เธอไม่ต้องหาต่อหรอก– เธอหาโรงเรียนนั่นไม่เจอ” ฉางกูเอนตัวพิงกำแพงอยู่ หมอวัยกลางคนเพิ่งบอกเหวินอวี้ว่าฉางกูนั้นเป็นคนโกหกและเป็นคนเสียสติ ดังนั้นตอนที่เธอเห็นฉางกูปรากฏตัวขึ้น เธอก็กลัวที่จะต้องเข้าใกล้เขา

อย่างไรเสีย ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ดูน่าเชื่อถือกว่าหมอวัยกลางคน และสิ่งที่เฉินเกอกูทำก่อนหน้านี้ก็น่าสงสัยจริง ๆ

เห็นท่าทางของเหวินอวี้เปลี่ยนไป ฉางกูก็หรี่ตาแล้วเดินเข้าไปหาเธอ “เจ้าสิ่งนั้นที่ออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อกี้ มันบอกอะไรเธอ?”

“เจ้าสิ่งนั้น?” เมื่อฉางกูเดินเข้าไปหาเธอ เหวินอวี้ก็ก้าวเท้าถอยไปก้าวหนึ่ง “เขาบอกว่าคุณเป็นขโมย”

“เธอจะเชื่อผีหรือว่าเชื่อคนเป็น ๆ?” ฉางกูยืนอยู่ตรงหน้าเหวินอวี้และเขาก็ดูคล้ายกับเหวินอวี้มาก

“ผี?”

“ใช่ ผีที่สามารถเคลื่อนไหวได้ตอนกลางวัน” ฉางกูบีบเหวินอวี้จนมุม “มันบอกเธอใช่ไหม ว่าฉันเป็นขโมย เป็นคนโกหก แล้วก็เป็นคนบ้า?”

เหวินอวี้คิดว่าฉางกูน่ะน่ากลัวมาก แต่เธอก็ยังพยักหน้า

“มันเชิญเธอเข้าไปในโรงพยาบาลใช่ไหม?” เหวินอวี้คิด หมอคนนั้นเสนอจะพาเธอเข้าไปในห้องเก็บเอกสาร

“โชคดี ที่เธอไม่ได้ตามเข้าไป ถ้าเธอตามเข้าไป เธอก็คงไม่สามารถหนีออกมาทั้งเป็นได้หรอก” ฉางกูส่งบันทึกการรักษาแผ่นหนึ่งให้เหวินอวี้ บนนั้นมีรูปขาวดำของหมอคนนั้นอยู่

ภายใต้แสงสลัว มีเงาปรากฏที่บนกำแพง แต่ว่าในห้องนี้มีคนอยู่แค่คนเดียว สองข้างกายของเหวินอวี้นั้นยุบย่นลงไปขณะที่เส้นผมของเธอสยายออกเป็นแพ– มันเหมือนมีบางอย่างกดอยู่บนร่างของเธอ

“ชิวเหมย ชิวเหมย… ชิวเหมย!” เหวินอวี้จู่ ๆ ก็สะดุ้งตื่น เธอหอบหายใจเข้าและมองไปรอบ ๆ สีหน้าสับสน แสงสลัวจากโคมไฟข้างเตียงส่องไปทั่วห้อง ทำให้มันมีบรรยากาศที่ดูเป็นกันเอง เครื่องเรือนส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในที่ที่มันควรอยู่– ไม่มีร่องรอยของการมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย

“เรื่องที่แย่ยิ่งกว่าฝันร้ายก็คือตื่นขึ้นมากลางดึกและพบว่าค่ำคืนยังอีกยาวนาน” เหวินอวี้หยิบเอกสารที่บนเตียงขึ้นมาและมองไปรอบ ๆ “ปากกาไปไหนแล้วล่ะ?”

เธอลงจากเตียงไปเก็บปากกาที่ตกไปไกล จากนั้นเธอก็เก็บปากกาและกระดาษเข้าไปในแฟ้มที่ในกระเป๋า

“ได้เวลากลับไปนอนแล้ว พอพระอาทิตย์ขึ้นฉันก็จะไปดูที่โรงเรียนนั่น”

ปีนกลับขึ้นเตียงแล้วเหวินอวี้ก็ปิดโคมไฟข้างเตียง พอห้องจมลงสู่ความมืด กล้องก็จับภาพผู้หญิงชุดแดงกำลังยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำได้

ตอนที่ไฟดับไป เธอก็เดินออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง เธอยังอยู่ในห้อง แต่ในเมื่อตอนนี้ห้องนั้นจมอยู่ในความมืด ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นเธอ

วิธีการที่หนังเรื่องนี้พูดถึงผีนั้นน่าสนใจทีเดียว บางทีบ้านผีสิงของฉันอาจจะได้แรงบันดาลใจ มอบความรู้สึกแปลกใหม่ให้ผู้เข้าชมผ่านการใช้ความแตกต่างอย่างชาญฉลาดนี้

ความปรารถนาอยากเจอผู้กำกับของเฉินเกอนั้นเพิ่มมากขึ้น ถ้าเขาร่วมมือกับผู้กำกับ เฉินเกอรู้สึกว่าเขาสามารถเพิ่มระดับความสยองของบ้านผีสิงของเขาขึ้นไปสู่ระดับใหม่ได้

หน้าจอมืด– จนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ว่า นี่ก็ทำให้ผู้ชมได้จินตนาการไปอย่างกว้างไกล เพราะทุกคนรู้ว่า ในความมืด นอกจากตัวละครหลักที่หลับอยู่นั้นยังมีผีชุดแดงอยู่ด้วย ทั้งฉากนั้นถูกถ่ายเอาไว้แบบม้วนเดียวจบ ไม่มีการตัดต่อ และนั่นก็ทำให้หนังเรื่องนี้นั้นให้ความรู้สึกเหมือนจริง

หลายวินาทีให้หลัง ฉากนี้ก็จบลง และพระอาทิตย์ก็ขึ้น ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม ตัวละครหลักไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติไป เหมือนกับความทรงจำจากเมื่อคืนนั้นอันที่จริงเป็นเพียงแค่ฝันร้าย

“ฉันละเหงื่อตกแทนเด็กนั่นเลย” เหล่าโจวตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ

“นายยังมีเหงื่อออกได้ด้วยเหรอ?” ต้วนเยว่กลอกตาใส่เขา

“ถ้าเธอไม่เชื่อฉันอย่างนั้นลองจับฝ่ามือฉันดูสิ?” เหล่าโจวกางมือให้ต้วนเยว่แต่ว่าฝ่ายหลังนั้นมองมุกเก่า ๆ นี่ออกและเธอก็ปัดมือข้างนั้นทิ้ง

พนักงานล้วนอินไปกับหนัง มีแค่เฉินเกอที่คิดถึงอย่างอื่น เขาได้ดู เพื่อนร่วมโต๊ะ มาก่อน และหลังจากเทียบ เพื่อนร่วมโต๊ะ กับ นาม เขาก็พบเรื่องน่าสงสัยมากมาย

“ตัวละครหลักทั้งสองเรื่องถูกเรียกว่า เหวินอวี้ ดังนั้นพวกเธอน่าจะเกี่ยวข้องกับดวงตาข้างซ้าย แต่ว่า ความแตกต่างก็คือ ใน เพื่อนร่วมโต๊ะ ตัวละครหลักยังเรียนมัธยม แต่ใน นาม ตัวละครหลักทำงานแล้ว หนังทั้งสองเรื่องนี้ถ่ายทอดช่วงเวลาที่ต่างกันในชีวิตของตัวละครเดียวกัน

ตามข้อมูลของดวงตาข้างซ้ายในเพื่อนร่วมโต๊ะ ร่างของเหวินอวี้น่าจะมีดวงวิญญาณของเด็กสาวหลายคนใช้มาก่อนแล้ว แต่นั่นหมายความว่ารายละเอียดหลายอย่างไม่เข้ากับในเรื่อง นาม 

ตอนเริ่มเรื่อง ชื่อที่บนสมุดบันทึกของตัวละครหลักก็คือชิวเหมย แต่เมื่อผีผู้หญิงปรากฏตัวขึ้นและกดร่างของตัวละครหลักลงไป ชื่อที่ถูกเรียกกลับเป็นชื่อชิวเหมย

ตอนนี้วิญญาณที่ติดอยู่ในร่างของเหวินอวี้ดูเหมือนจะเป็นชิวเหมยเหมือนกัน

ตอนจบของเพื่อนร่วมโต๊ะ ชิวเหมยนั้นรับโทรศัพท์จากเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของเธอ และเธอก็เชิญเพื่อนของเธอไปที่บ้าน ดังนั้นพูดตามทฤษฎีแล้ว วังวนใหม่ได้เริ่มต้นไปแล้ว แต่ว่า หลังจากดูเรื่องนาม เฉินเกอก็พบว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายอย่างนั้น

ชิวเหมยดูไม่เหมือนว่าจะหาแพะรับบาปและดำเนินวังวนนั้นต่อ ผ่านมาหลายปีแล้ว เธอก็ยังทนรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอจากดวงตาข้างซ้ายเพียงคนเดียว

หนังสองสามเรื่องนี้ที่ถ่ายทำเกี่ยวกับดวงตาข้างซ้ายนั้นดูเหมือนจะมีเหวินอวี้เป็นตัวเอก แต่ความจริงแล้ว ตัวละครหลักคือชิวเหมยที่ควบคุมร่างของเหวินอวี้ ร่างกายคือเหวินอวี้ แต่ว่าดวงวิญญาณคือชิวเหมย

เฉินเกอพบว่าตั้งแต่ต้นของเรื่องนาม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นอัจฉริยะทางด้านการถ่ายทำ แต่เขาเป็นคนที่ให้ความสนใจกับรายละเอียด เขามีดวงตาคู่หนึ่งที่สามารถมองผ่านเปลือกนอกเข้าไปเห็นความจริง

หนังดำเนินต่อไป ห้องนี้ในตอนเช้านั้นสว่างไสวและสะอาด ใครจะคิดว่าที่นี่จะเป็นที่อยู่อาศัยของผีตนหนึ่งกัน? ตัวละครหลักส่งใบลาออกไปแล้ว เมื่อถึงวันใหม่ เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงานแต่ว่าหิ้วกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเอกสารต่าง ๆ ขึ้นรถประจำทางไปยังจิ่วเจียงตะวันตกตามที่อยู่ที่เธอได้มาจากออนไลน์

“นี่คือมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงนั่นเหรอ?” หลังจากหามาตลอดทั้งเช้า ในที่สุดเหวินอวี้ก็ไปถึงที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง “ฉันกำลังหาโรงเรียน แต่ทำไมที่อยู่ที่เจอบนอินเตอร์เนตถึงกลายเป็นโรงพยาบาลไปได้?”

ตึกที่รอบ ๆ ดูค่อนข้างเก่า ถึงแม้เหวินอวี้จะเป็นคนจิ่วเจียง เธอก็ไม่รู้เลยว่ามีโรงพยาบาลแบบนี้อยู่ในจิ่วเจียงด้วย

“เข้าไปได้ไหมน่ะ?” เหวินอวี้พยายามเปิดประตูและพบว่าประตูถูกล็อกจากด้านใน เธอเอนตัวแนบกระจกและมองเข้าไปในโรงพยาบาล กระเบื้องเงาวับ เก้าอี้ไม่มีฝุ่น ผนังยังขาวและใหม่ นอกจากความเงียบอันประหลาดแล้วที่นี่ก็ดูไม่ต่างไปจากโรงพยาบาลทั่วไปเลย

“โรงพยาบาลนี่ไม่มีกระทั่งชื่อ ฉันตรวจดูบนออนไลน์ไม่ได้ต่อให้อยากจะดูก็ตาม”

เหวินอวี้เดินไปที่อีกด้านของโรงพยาบาล และที่ประตูด้านหลัง ผู้ชายสวมผ้าปิดปากและเสื้อคลุมสีขาวคนหนึ่งกำลังเดินออกมา

“คุณหมอคะ คุณช่วยหนูหน่อยได้ไหม?” เหวินอวี้วิ่งเข้าไปหา แต่หลังจากที่หมอคนนั้นได้ยินเสียงเธอ แทนที่เขาจะหยุดเขากลับเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม

“คุณหมอคะ?” เหวินอวี้งุนงงกับปฏิกริยาเช่นนี้ และเธอก็ออกวิ่งไปดักหน้าเขาเอาไว้ ผู้ชายคนนั้นคำรามอย่างหมดความอดทน เขาเกือบจะหันตัวไปทางอื่นแต่เหมือนเขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง ทั้งร่างของเขาแข็งทื่อ เขาจ้องมองเหวินอวี้อย่างพิจารณา

ผู้ชายคนนี้สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร รูปหล่อและร่างสูงใหญ่ แต่ว่าระหว่างคิ้วของเขาดูหมองคล้ำ สายตาของเขาเย็นเยียบ และยังมีบรรยากาศรอบตัวที่เหมือนบอกคนอื่นไม่ให้เข้าใกล้เขามากเกินไป

เหวินอวี้รู้สึกกระอักกระอ่วนกับท่าทีของเขา หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอถึงได้ถาม “หวัดดีค่ะ หนูมาที่นี่เพื่อสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง หนูเอาเอกสารที่ต้องใช้มาด้วยแต่ว่าหามหาวิทยาลัยไม่เจอ แต่ว่าที่อยู่ที่หนูได้มามันพาหนูมาที่นี่”

“มหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง?” ดวงตาของหมอคนนั้นไม่ขยับไปจากใบหน้าของเหวินอวี้ “มหาวิทยาลัยนั่นปิดตัวไปแล้ว ทางที่ดีเธอไปหาที่เรียนที่อื่นเถอะ”

จากนั้นหมอคนนั้นก็หันเตรียมจากไป เหวินอวี้เกาหัวและจากนั้นก็ร้องออกไปอย่างลังเลอยู่นิด ๆ “รอเดี๋ยวค่ะ พวกเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนไหมคะ?”

หมอคนนั้นเดินห่างออกไปเหมือนไม่ได้ยินเธอ

“ใบหน้าของคุณคุ้นตามากค่ะ หนูแน่ใจว่าหนูเคยเจอคุณมาก่อน!” เหวินอวี้วิ่งตามเขาไป “คุณชื่ออะไรคะ?”

ถูกเหวินอวี้ตามมาไม่ลดละ ในที่สุดหมอคนนั้นก็หยุดเท้าและกล้องก็ขยายใบหน้าของเขาให้ชัดขึ้น คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน หมอคนนั้นมองเหวินหวี้ และเขาก็พึมพำออกมาเบา ๆ “ฉันชื่อฉางกู”

โทรศัพท์ในหนังสั่น ชิวเหมยหยุดจัดของแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เธอรับสายโดยไม่ดูหมายเลขโทรเข้า “ฮัลโหล นั่นใครคะ?”

“พวกเราเพิ่งคุยกันบนอินเตอร์เนต ผมเห็นคุณทิ้งเบอร์โทรศัพท์เอาไว้บนหน้าส่วนตัว ดังนั้นจึงโทรมา” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากอีกปลายสาย คนผู้นี้นั้นดูเหมือนยังไม่แก่ชรานัก เสียงของเขานั้นยังฟังดูเหมือนเป็นหนุ่มอยู่

“พวกเราเพิ่งคุยกันบนอินเตอร์เนต?” ชิวเหมยดึงโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอ “คุณคือคนที่ไม่มีอยู่จริง!”

“นั่นเป็นชื่อออนไลน์ของผม”

“ทำไมคุณถึงตั้งชื่ออย่างนั้น?”

“นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือผมต้องคุยกับคุณ” ชายหนุ่มคนนั้นลดเสียงลงราวกับว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้เสียงของเขาดูเป็นผู้ใหญ่และลึกลับมากขึ้น

“เบอร์ที่ฉันทิ้งเอาไว้บนหน้าส่วนตัวน่ะเป็นเบอร์จริง แล้วมันจะน่าประหลาดใจตรงไหนที่นายโทรมา? นายโทรหาเด็กสาวคนอื่น ๆ ด้วยเบอร์ของพวกเธอมาก่อนใช่ไหม แล้วก็ลงท้ายด้วยการถูกหลอก?” เหวินอวี้ไม่คิดจริงจังไปกับชายหนุ่มด้วย

“ผมโทรหาคุณด้วยโทรศัพท์ของคนที่ตายไปแล้วการที่คุณสามารถรับสายนี้ได้แสดงว่าสิ่งที่คุณพูดมีบางส่วนเป็นเรื่องจริง”

“นายมีวิธีการพิสูจน์คำพูดของคนอื่นที่ประหลาดดีนะ” ท่าทีของเหวินอวี้เย็นชาขึ้นกว่าเดิม น่าแปลก เธอไม่ได้ประหลาดใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มพูด “ว่ามาสิ โทรหาฉันมีอะไร?”

“ผมแค่อยากจะช่วยชีวิตคุณเฉย ๆ– ผมกลัวว่าคุณจะได้ทำภารกิจฆ่าตัวตาย” เสียงของชายหนุ่มไม่ได้แก่แต่กลับฟังเหมือนเขาผ่านอะไร ๆ ในชีวิตมาเยอะ

“ภารกิจฆ่าตัวตาย?”

“ทำไมคุณถึงจะอยากกลับไปในเมื่อคุณหนีออกมาได้แล้ว? ผมรู้ว่าคุณจำหลายอย่างไม่ได้ แต่คุณได้เคยคิดไหมว่าความทรงจำเหล่านั้นคือสิ่งที่คุณใช้แลกกับการหนีออกมา?” ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าวเธอ “เพื่อที่จะหนีออกมา ความทรงจำของคุณถูกยึดไป แต่ว่า เพื่อที่จะได้รับความทรงจำที่หายไปกลับคืนคุณยินดีที่จะกลับไป คุณเคยได้ยินอะไรที่โง่กว่านี้อีกไหมบนโลกนี้?”

“ฉันไม่ได้จะกลับไปตามหาความทรงจำของฉัน ฉันจะไปที่นั่นเพื่อตามหาคน” เหวินอวี้ปลดล็อกลิ้นชักและมองสมุดจดที่ในนั้น “เหวินอวี้เป็นชื่อของร่างนี้ แต่ว่านั่นไม่ใช่ชื่อของฉัน”

ปลายนิ้วของเธอไล้ไปตามปกของสมุด และมันก็ลูบผ่านชื่อชิวเหมย

“ผมไม่สนใจว่าคุณจะกลับไปทำอะไร แต่ผมไม่แนะนำให้กลับไปที่นั่น จำเอาไว้! อย่ากลับไปที่นั่น!” มีเสียงบางอย่างหนัก ๆ ถูกลากดังมาจากอีกปลายสายโทรศัพท์ จากนั้นโทรศัพท์ก็ถูกตัดไปอย่างรีบร้อน

“ฉันรู้ว่าที่นั่นอันตรายมาก แต่บางอย่างมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้” ตัวละครหลักจัดเอกสารที่หัวเตียงและจากนั้นก็ขึ้นไปนอนบนเตียง กอดโทรศัพท์เอาไว้ เธอพยายามติดต่อคนที่ไม่มีอยู่จริง แต่ไม่มีการตอบกลับ

“ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยนี้ที่ฉันเจอบนออนไลน์ ล้วนบอกว่าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนและสร้างขึ้นโดยผู้บริจาคคนหนึ่ง แต่ว่าตามรูปที่บนออนไลน์แล้ว ขนาดของมันนั้นใหญ่กว่าโรงเรียนทั่วไป มันยังใหญ่กว่ามหาวิทยาลัยทั่วไปด้วย”

เหวินอวี้วางแผนจะไปดูที่มหาวิทยาลัยนี้ เธอดึงกระดาษกับปากกาออกมาจดข้อมูลทั้งหมดที่เธอพบในโทรศัพท์

“บางรูปนั้นมีลายน้ำติดเอาไว้ ดังนั้นน่าจะไม่ใช่ของปลอม แต่ทำไมรูปอื่น ๆ ถึงดูประหลาดขนาดนี้?”

บางทีอาจจะเป็นเพราะมุมกล้องหรือว่าเพราะลักษณะของตึก แต่ว่าในบางรูป ไม่ว่าจะถ่ายตอนกลางวันหรือกลางคืน ในห้องก็มืดสลัวดูน่ากลัว เด็กสาวปิดไฟหัวเตียงเหลือไว้แค่โคมไฟข้างเตียง เธอนอนอยู่บนเตียงและเริ่มรวบรวมข้อมูล เห็นเด็กสาวบนจอแล้ว เฉินเกอก็นึกถึงตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มภารกิจแต่ละครั้ง เขาก็มักจะรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเหมือนเหวินอวี้

“เรื่องผีนี่ทำให้ฉันนึกถึงตัวเองมาก” เวลาผ่านไป และเหวินอวี้ก็ค่อย ๆ ผลอยหลับไปบนเตียง ปากกาหลุดออกจากมือของเธอตกลงไปที่พื้น มันกลิ้งไปไกลจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ

เธอทำงานตอนกลางวันและอ่านหนังสือตอนกลางคืน เหวินอวี้เหนื่อยมาก และเธอก็หลับสนิทมาก กล้องถูกดึงถอย และมันก็ไปจับอยู่ที่เหวินอวี้ที่กำลังหลับ มันยากที่จะบอกว่าผู้กำกับต้องการทำอะไร เขาถ่ายเหวินอวี้ที่กำลังหลับยาวเป็นสิบวินาที

พนักงานของเฉินเกอนั้นไม่ได้ออกมาพูดหนังบ่อยนัก พวกเขามองหน้าจอด้วยความสงสัยอย่างเปิดเผย พวกเขาจดจ่อและพยายามไล่ตามจังหวะของผู้กำกับ พยายามเข้าใจมุมมองของเขา

“ฉันยอมรับว่าเด็กสาวคนนี้ค่อนข้างน่ารัก แต่ไม่ใช่ว่าฉากนี้จะยาวไปสักหน่อยหรือไง?” ในที่สุดไป๋ชิวหลินก็พูดออกมา “ตอนที่เธอลืมตา รอบตัวเธอมีบรรยากาศของความอาฆาตแค้น แต่ว่าน่าแปลก หลังจากที่เธอหลับตาลง บรรยากาศแบบนั้นกลับหายไปหมดเลย”

“ผู้กำกับเก่งมาก จากหนังสั้นเรื่องก่อนหน้านี้ของเขา ผมรู้ว่าเขาไม่ถ่ายอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่าง” เฉินเกอรออย่างอดทน และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็พบบางอย่าง “ที่มุมล่างซ้ายของจอ ใช่! นั่น ตรงที่ปากกากลิ้งไปหยุดอยู่เมื่อกี้นี้”

ประตูห้องน้ำถูกเปิดทิ้งเอาไว้ และปากกาก็ไปหยุดอยู่ตรงนั้น แสงเดียวในห้องนั้นมาจากโคมไฟข้างเตียง เพราะมุมกล้อง จึงเห็นได้ว่าห้องน้ำนั้นไม่ได้มืดสนิท และมีลำแสงอ่อนจางสายหนึ่งกระทบที่กระจกในห้องน้ำ

หนังดูเหมือนจะหยุดไปเมื่อตัวละครหลักหลับสนิทแต่เมื่อมองไปแล้ว ความรู้สึกไม่ถูกต้องบางอย่างกลับเพิ่มขึ้น เหตุผลก็เพราะฉากนั้นไม่ได้นิ่งจริง ที่มุมจอ ในห้องน้ำ มีบางอย่างเคลื่อนไหว!

ภาพบนจอนั้นดูอบอุ่น– แสงสีเหลืองนวล ผ้าห่มนุ่มฟู และคนงามหลับใหล แต่ว่า เมื่อมองไปที่ตรงมุมจอและเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในห้องน้ำ ความแตกต่างนี้ทำให้คนดูขนลุก

ในห้องน้ำสลัว ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดแดงยืนอยู่หน้ากระจก เธอบิดคอไปมาแต่ดวงตากลับจับจ้องเขม็งอยู่ที่กล้อง!

ใบหน้านั่นซ่อนอยู่ในความมืด และเมื่อผู้ชมมองไป มันก็รู้สึกเหมือนใบหน้านั่นกำลังจับจ้องที่พวกเขาผ่านหน้าจอ

“ฉันรู้แล้วว่าต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”

ไม่ว่าหนังจะมีบรรยากาศอบอุ่นแค่ไหน แต่ถึงที่สุดแล้วมันก็ยังเป็นหนังสยองขวัญ ปากกาที่บนพื้นนั้นขยับได้ด้วยตัวเอง ผู้หญิงที่ในห้องน้ำนั้นหายไปจากกระจกแล้ว และยังมองเห็นได้ว่าผู้หญิงชุดแดงคนนั้นเดินเข้าไปในห้อง

ส่วนใหญ่ของจอนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงก็คือเงาสะท้อนของกระจกในห้องน้ำ

ห้องเช่าก็ใหญ่แค่นี้ ไม่มีห้องนั่งเล่นและเตียงก็อยู่ติดกับห้องน้ำ ภาพบนจอยังคงอบอุ่น แต่บางครั้งก็มีเสียงแปลก ๆ

ปากกากลิ้งไปบนพื้น และจิ้งจกที่บนกำแพงก็ไต่หนี แสงไฟจากโคมไฟข้างเตียงก่อให้เกิดเงา แต่ว่าเงานั่นไม่ได้เป็นของเจ้าของห้องที่กำลังหลับอยู่

กระดาษที่บนโต๊ะพลิกและล็อกของลิ้นชักก็ขยับเหมือนมีคนพยายามเปิดมัน

ครู่ต่อมา ทุกอย่างก็กลับไปเงียบสงบ แต่จากนั้นภาพที่น่ากลัวที่สุดก็ปรากฏขึ้น

หมอนบนเตียงยุบลงเหมือนมีคนนอนลงที่ข้าง ๆ ตัวละครหลัก

ความแตกต่างระหว่าง นาม กับ เพื่อนร่วมโต๊ะ นั้นเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ฉากแรก หนังเรื่องนี้นั้นถ่ายทำจากมุมมองบุคคลที่สาม ความแตกต่างระหว่างหนังสองเรื่องนั้นมากจนดูไม่เหมือนว่าเป็นผลงานของผู้กำกับคนเดียวกัน

เพื่อนร่วมโต๊ะนั้น ตอนเริ่มต้นนั้นเน้นไปที่ท้องฟ้าอันมืดครึ้ม บ้านที่เหมือนกรงขัง และสัตว์ประหลาดที่อาจจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ นาม นั้นเริ่มต้นอย่างอบอุ่นมาก กาแฟถ้วยหนึ่งวางเอาไว้บนโต๊ะ และที่ข้างกันนั้นเป็นสมุดและอุปกรณ์การเรียนกองหนึ่ง

กล้องค่อย ๆ กวาดไปข้างหน้าและในที่สุดมันก็ไปจับอยู่ที่สมุดจดซึ่งเป็นไดอารี่เล่มหนึ่ง บนปกนั้นเขียนชื่อหนึ่งเอาไว้ด้วยปากกาสีแดง– ชิวเหมย

คราวนี้ตัวละครหลักเป็นชิวเหมย?

เฉินเกอรู้ว่าหนังสยองขวัญสองสามเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกันในสักทางหนึ่ง การคาดเดาก่อนหน้าของเขาว่าหนังแต่ละเรื่องบันทึกเรื่องราวของเหยื่อจากดวงตาข้างซ้าย แต่ความจริงดูเหมือนจะต่างไปจากที่เขาคิดเอาไว้

“เหวินอวี้! เหวินอวี้!” มีเสียงเคาะประตูไม่หยุด หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเรียกชื่อเหวินอวี้ และเสียงของผู้หญิงคนนั้นก็ต่างไปจากเสียงแม่ของเหวินอวี้ในเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างชัดเจน

“ถ้าคนที่อยู่ด้านนอกประตูไม่ใช่แม่ของเหวินอวี้ แล้วทำไมเธอถึงเรียกชื่อเหวินอวี้?”

กล้องหมุน เด็กหญิงคนหนึ่งที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงกระโดดลงจากเตียง เธอวิ่งไปที่โต๊ะ ยัดไดอารี่เล่มนั้นลงไปในลิ้นชักและล็อกมันไว้ หลังจากจัดการทั้งหมดนี่แล้วเธอก็ไปเปิดประตู

“หนูกำลังทำอะไรอยู่ในห้องน่ะ? ตอนที่เรียกหนูตอบช้ามาก” กล้องขยับไปยังผู้หญิงที่นอกประตู  เธอมีรูปร่างใหญ่ อาจจะใหญ่กว่าเหวินอวี้สองคนรวมกันเสียอีก เธอแต่งหน้าหนาและมีกลิ่นควันติดตัว “ฉันได้ยินจากหัวหน้าว่าเธอจะออกจากงาน?”

“ค่ะพี่ฟาง ฉันมีเรื่องต้องไปทำ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองกล้อง นักแสดงนั้นหน้าตาน่ารักมาก และเธอยังดูคล้ายกับเหวินอวี้ในเพื่อนร่วมโต๊ะ เธอเหมือนดอกไม้ที่บริสุทธิ์ แต่หลังจากมองเธอนานเข้า ก็เหมือนมีบางอย่างแปลก ๆ

“ที่เธอบอกว่าจะกลับไปโรงเรียนน่ะเหรอ? ไปเรียนภาคค่ำ?” พี่ฟางเบียดตัวเข้าไปในห้องโดยไม่ขอ “เธอรู้ไหมว่าทุกวันนี้งานหายากแค่ไหน? เธอมีโอกาสดีขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่พอใจอีก?”

“พี่ฟาง ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะคะ สักวันฉันจะพาพี่ไปเลี้ยวข้าวสักมื้อ” เหวินอวี้ไม่ชอบให้คนอื่นเข้ามาในห้องของตัวเอง

“รอทำไมเล่า?” พี่ฟางกำรอบข้อมื้อเหวินอวี้เบา ๆ แต่ว่าแน่นหนา “ครั้งก่อนฉันแนะนำหลานให้เธอใช่ไหม? เธอคิดว่ายังไงบ้าง? เด็กนั่นชอบเธอมากเลย ฉันว่าเธอคงจะเรียกมันว่ารักแรกพบได้… อย่าผลักฉันสิ! เฮ้! เปิดประตูนะ!” ประตูกระแทกปิดและพี่ฟางก็บ่นพึมพำอยู่ข้างนอกประตูครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมแพ้แล้วเดินจากไป

“หนวกหูชะมัด” เหวินอวี้แตะดวงตาข้างซ้ายอย่างไม่รู้ตัว และเธอก็หันไปทางโต๊ะ เธอวางโทรศัพท์ลง จากนั้นก็เก็บของและหนังสือทั้งหมดบนโต๊ะลงกระเป๋า ตอนที่เธอเก็บของ กล้องก็จับภาพไปที่โทรศัพท์ของเธอ และหน้าจอก็แสดงให้เห็นสิ่งที่กำลังดูอยู่ก่อนหน้านี้

“โรงเรียนที่สอนภาคค่ำที่จิ่วเจียงมีที่ไหนบ้าง? มหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงที่จิ่วเจียงตะวันตกเป็นอย่างไรบ้าง?”

ข้างใต้คำถามของเธอมีคำตอบอยู่สองสามคน

บ้านเก่าฉันอยู่ที่นี่: “ขอบคุณที่เชิญ ฉันมาจากฟิลิปินส์ เพิ่งลงเครื่องที่สนามบิน ฉันเรียนจบจากวิทยาลัยการเดินเรือและการบินนานาชาติ ฉันขอแนะนำว่าอย่าเรียนภาคค่ำที่จิ่วเจียง มีปัญหาเยอะแยะเกินไป และยังไม่ได้มีประโยชน์นัก จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนในซินไห่ดีกว่า”

เขตการศึกษาที่สามเฉิงเต๋อ “ถ้าเจ้าของโพสต์อยากรู้เกี่ยวกับเขตการศึกษาที่สามให้มากขึ้นให้คลิกที่โปรไฟล์ฉันได้เลยนะ เขตการศึกษาเฉิงเต๋อนั้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ยอดเยี่ยมในจิ่วเจียง พวกเราสามารถช่วยให้คุณเข้าสู่วงสังคมชั้นสูงได้ พวกเรายังมีระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม และช่วยให้นักศึกษาของพวกเรานั้นดึงศักยภาพของตนเองออกมาได้มากที่สุด…”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “โรงเรียนภาคค่ำในจิ่วเจียงมีอยู่หลายที่ และคุณสนใจที่ที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุด ฉันแนะนำคุณฟรี ๆ อย่างหนึ่งนะ– สมัครเรียนภาคค่ำที่โรงเรียนที่คุณต้องการได้เลย แต่หลีกเลี่ยงมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง”

ภายใต้สามคำตอบนั้น มีบทสนทนาระหว่างเหวินอวี้กับคนที่ไม่มีอยู่จริง

เจ้าของโพสต์: “ทำไมฉันถึงไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงไม่ได้? ที่นั่นเป็นมหาวิทยาลัยหลอกลวงเหรอ?”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ที่นั่นไม่ได้หลอกลวงแบบนั้น คุณจะได้ใบรับรองการศึกษาตราบใดที่คุณมีชีวิตรอดมาเรียนจนจบได้ คุณไปได้ข้อมูลของที่นี่มาจากที่ไหน? เท่าที่ฉันรู้ มหาวิทยาลัยนี่น่าจะปิดตัวลงในไม่ช้าแล้ว”

เจ้าของโพสต์: “ฉันมีบัตรนักศึกษาของที่นี่ ชื่อของฉันเขียนอยู่บนนั้น ดังนั้นฉันน่าจะเป็นอดีตนักเรียนที่นั่น”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “เป็นไปไม่ได้”

เจ้าของโพสต์: “จริง ๆ ฉันไม่ได้โกหกคุณ ฉันจำไม่ได้ว่าฉันเห็นอะไรที่นั่น แต่ตั้งแต่นั้นฉันก็ออกจากที่นั่นมา ดวงตาข้างซ้ายของฉันมองเห็นสิ่งที่ฉันลืมไม่ลง”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ฉันไม่มีเวลาฟังนิทานของเธอหรอก ไปก่อนนะ”

เจ้าของโพสต์: “ฉันไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นนะ!”

เจ้าของโพสต์: “นี่? คุณยังอยู่ไหม?”

เจ้าของโพสต์: “เอาละ ดูเหมือนคุณจะไปแล้ว ฉันกำลังบอกความจริงคุณ ตั้งแต่ที่ฉันออกจากที่นั่นมา ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ที่นั่นเปลี่ยนชีวิตฉันไป และตอนนี้ฉันก็อยากกลับไปที่นั่นเพื่อหาความจริง”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ความจริงนั่นสำคัญเหรอ?”

เจ้าของโพสต์: “โอ้ คุณยังอยู่”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ถ้าคุณไม่ได้โกหก อย่างนั้นก็มีอีกเหตุผลที่คุณไม่ควรไปที่นั่น”

เจ้าของโพสต์: “ทำไม?”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “คุณรู้ไหมว่ามหาวิทยาลัยนี่ยังมีอีกชื่อหนึ่ง?”

เจ้าของโพสต์: “ชื่อไหน?”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “มันยังถูกเรียกว่า โรงเรียนแห่งปรโลก”

เห็นแล้วเฉินเกอก็ผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ม่านตาของเขาหดแคบลงขณะเพ่งมองบนจอ

โรงเรียนแห่งปรโลก!

ข้อความบนโทรศัพท์สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา เฉินเกอไม่คิดว่าจะมาเจอเข้ากับเงื่อนงำของโรงเรียนแห่งปรโลกระหว่างทำภารกิจดวงตาข้างซ้าย เขาเข้าใจว่าคำนั้นหมายถึงอะไร โรงเรียนแห่งปรโลกนั้นเป็นฉากระดับสี่ดาว– มันหมายถึงอย่างน้อยที่สุดต้องมีวิญญาณสีเลือดระดับสูง!

ฉางเหวินอวี้นำดวงตาข้างซ้ายออกมาจากโรงเรียนแห่งปรโลก? ทำไมเธอถึงได้มีบัตรนักเรียนของที่นั่นได้?

ดวงตาข้างซ้ายนั้นอาศัยอยู่ในร่างของฉางเหวินอวี้ แต่ว่าดวงวิญญาณที่ควบคุมร่างกายนั้นเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ฉางเหวินอวี้ตัวจริงนั้นหายตัวไปแล้ว– บางทีดวงวิญญาณของเธออาจจะสลายไปแล้ว

ตามบทนำของหนัง โรงเรียนแห่งปรโลกนั้นเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ตอนที่เหวินอวี้ได้รับดวงตาข้างซ้ายมา เธอน่าจะยังอายุไม่ถึง แล้วเธอไปที่มหาวิทยาลัยนั่นได้ยังไง? ถ้าเธอไปปรากฏตัวที่นั่นโดยบังเอิญ อย่างนั้นเธอหนีออกมาได้ยังไง?

เดิมที เฉินเกอนั้นดูหนังเพราะว่าโทรศัพท์เครื่องดำบอกให้เขาดู แต่หลังจากที่มีการพูดถึงโรงเรียนแห่งปรโลก ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป

นี่น่าจะไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ– แค่การเปลี่ยนแปลงดวงตาข้างซ้ายนั้นก็ทำให้เกิดฉากระดับสองดาวแล้ว แล้วโรงเรียนแห่งปรโลกทั้งโรงเรียนจะน่ากลัวแค่ไหน?

เฉินเกอคิดกลับไปถึงคำแนะนำของโรงเรียนแห่งปรโลกบนโทรศัพท์เครื่องดำ มีภารกิจก่อนหน้าเก้าภารกิจ รวมทั้งจางหยาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

เวลาอันจำกัดของภารกิจนี้นั้นกำลังจะหมดแล้ว บางทีหนังเรื่องนี้อาจจะมีข้อมูลบางอย่างที่ฉันควรต้องรู้

เฉินเกอดูหนังต่อ บนจอ โทรศัพท์ที่ถูกทิ้งเอาไว้บนโต๊ะจู่ ๆ ก็สั่น มีสายเรียกเข้า และหมายเลขผู้โทรเข้ามานั้นก็ประหลาดมาก– คนที่ไม่มีอยู่จริง

 

 

TL note: ในต้นฉบับใช้คำว่า มหาวิทยาลัย สลับไปมากับคำว่า โรงเรียน ทั้งที่พูดถึงสถานที่เดียวกัน จึงมีคำนี้สลับกันไปมาเรื่อย ๆ พยายามปรับให้คงที่แล้วแต่อาจจะมีหลุดบ้างต้องขออภัยผู้อ่านล่วงหน้าด้วย

กล้องจับนิ่งอยู่บนกระจกตรงหน้าตัวละครหลัก– มันเหมือนตัวละครหลักนั้นกำลังพิจารณาตัวเองที่ในกระจกอยู่เหมือนกัน บทจบเริ่มต้นขึ้น และกล้องที่หมายถึงมุมมองของตัวละครหลักก็หยุดอยู่ที่หน้ากระจก

ผู้หญิงที่ในกระจกเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าที่ในกระจกช้า ๆ ขณะที่ร่างของเธอค่อย ๆ เอนเข้าไปหากระจก ทั้งจอฉายภาพผู้หญิงที่ในกระจก และดังนั้นผู้ชมจึงมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ตอนที่เส้นผมของตัวละครหลักแหวกออก ผู้หญิงที่ในกระจกก็เผยดวงตาข้างซ้ายของเธอออกมา

ตอนนี้ดวงตาข้างซ้ายของเธอค่อย ๆ ขยายขนาดขึ้นช้า ๆ แล้วจู่ ๆ กล้องก็ถูกดึงถอยหลัง!

กล้องดูเหมือนจะละทิ้งมุมมองของตัวละครหลัก กล้องยังถอยออกไปเรื่อย ๆ มันจับภาพแผ่นหลังของตัวละครหลักและผู้หญิงที่ในกระจกเอาไว้

ตอนที่กล้องถอยออกไป ตัวละครหลักที่ยืนอยู่ที่หน้ากระจกก็หันร่างกลับมาแล้วมองเข้าไปในกล้อง ใบหน้าของเธอนั้นซีดขาวราวกับกระดาษและต่างไปจากเงาสะท้อนของเธอที่ในกระจกโดยสิ้นเชิง

ในตอนนี้เอง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น

ตอนที่ตัวละครหลังหันกลับมา ผู้หญิงที่ในกระจกยังอยู่ในท่าเดิม เธอไม่ได้ขยับ!

เธอกับตัวละครหลักมองไปทางกล้องและเผยสีหน้าที่แปลกประหลาดไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว

เสียงดนตรีจู่ ๆ ก็ถูกตัดทิ้ง และจอก็มืดไป อาจจะเพราะโรงละครส่วนตัวนี้ไม่ถูกใช้งานมานานแล้ว กระทั่งหลังจากหนังจบแล้ว แสงไฟในโรงละครก็ไม่ได้กลับมาเปิดอัตโนมัติ และรอบด้านก็ยังคงถูกความมืดโอบล้อม

ความมืดทำให้เกิดความกระวนกระวาย เฉินเกอยังอยู่ในที่นั่งของตัวเองและไม่ได้ขยับตัวไปไหน เขาจับจ้องอยู่ที่จอ เขาพอจะมีความคิดคร่าว ๆ แล้วเกี่ยวกับหนังที่เขาเพิ่งดู ผู้กำกับใช้วิธีการย้อนอดีตในตอนกลางเรื่องเพื่อแสดงให้เห็นถึงความทรงจำของตัวละครหลัก

‘ดวงตาข้างซ้าย’ นั้นเป็นของเด็กหญิงที่ชื่อว่าเหวินอวี้ แต่สิ่งที่ควบคุมร่างของเธอนั้นไม่ใช่ตัวเหวินอวี้เอง ผู้กำกับนั้นเลือกที่จะเน้นเพียงส่วนเดียว ตอนเริ่มต้นของหนัง ผีผู้หญิงเอาแต่เรียกตัวละครหลักว่าชิวเหมย ซึ่งหมายความตั้งแต่นั้นมา ดวงวิญญาณในร่างของตัวละครหลักนั้นเปลี่ยนไปเป็นชิวเหมยแล้ว

พ่อกับแม่และหมอที่ปรากฏขึ้นทีหลังล้วนเป็นผี หรือบางทีพวกเขาอาจจะอยู่ในโลกที่มองเห็นได้เฉพาะผ่านดวงตาข้างซ้าย นั่นสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเหวินอวี้ถึงทำตัวห่างเหินกับพ่อและแม่อย่างนั้น ในความจริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่ครอบครัวของเธอ แต่ว่าเป็นวิญญาณสัมภเวสีของครอบครัวเหวินอวี้

ที่กลางเรื่องนั้นน่าจะเป็นความทรงจำของชิวเหมย มันอธิบายว่าชิวเหมยเปลี่ยนไปเป็นเหวินอวี้ได้อย่างไร หลังจากความทรงจำจบลง หนังก็กลับสู่ความเป็นจริง ชิวเหมยนั้นนัดกับเพื่อน หลังจากดูหนังคืนนั้น เธอก็เชิญ ‘เพื่อน’ ของเธอไปที่ ‘บ้าน’ ของเธอ และวงจรก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ฝันร้ายยังไม่ถูกทำลาย และเด็กสาวคนถัดไปที่ถูกลิขิตให้ต้องสืบทอดดวงตาข้างซ้ายก็คงจะเป็นเพื่อนของชิวเหมย

ผีที่น่ากลัวที่สุดและน่าสยองที่สุดในหนังนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกไปจากตัวละครหลัก นี่ยังเป็นหนังเรื่องแรกที่เฉินเกอได้ดูที่ถ่ายทำจากมุมมองของผี

นอกจากนั้น ยังมีส่วนหนึ่งในหนังที่สะดุดความสนใจของเฉินเกอ ตอนที่หนังกำลังจะจบลง วิธีการถ่ายทำจู่ ๆ ก็เปลี่ยนไป มันเปลี่ยนจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งไปเป็นมุมมองบุคคลที่สาม ในตอนนั้น ยังไม่มีคนอื่นอยู่ในห้อง เป็นไปได้ไหมว่ากล้องตัวสุดท้ายนั้นถ่ายจากมุมมองของผู้ชม?

ทั้งตัวละครหลักและผีที่ในกระจกหันมามองผู้ชมที่นอกจอ เฉินเกอจำได้ชัดาเจนว่าดวงตาข้างซ้ายของพวกเธอเปิดขึ้น

มันเหมือนพวกเธออาจจะคลานออกมาจากจอตอนไหนก็ได้

กระทั่งเฉินเกอเองก็ยังหัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยหลังจากดูหนังจบ มันอาจจะเกินไปหากจะพูดว่าเขากลัว– เขาก็แค่รู้สึกขนลุกเล็กน้อยเท่านั้น เปิดกระเป๋าสะพายหลังแล้วเฉินเกอก็ปล่อยเจ้าแมวขาวออกมา เขาเกาหัวมันแล้วใจก็สงบลงช้า ๆ

ความสยองขวัญในหนังนั้นสร้างขึ้นจากผู้กำกับ นี่ต่างไปจากเรื่องผีในชีวิตจริงโดยสิ้นเชิง หากมีโอกาส ฉันก็อยากจะนั่งคุยกับผู้กำกับคนนี้

จอมืดไปสามนาทีได้แล้ว แต่ว่าโทรศัพท์เครื่องดำไม่ได้มีข้อความแจ้งว่าภารกิจสำเร็จ อันที่จริง เฉินเกอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรผิดไปตรงไหน

หรือเป็นเพราะว่าหนังสั้นเกินไป ดังนั้นโทรศัพท์เครื่องดำก็เลยไม่ให้ผ่าน?

เขาลุกขึ้นมองไปยังจอมืดสนิท จากนั้นก็มีความเป็นไปได้อื่นปรากฏขึ้นในใจเขา

หรือเป็นเพราะว่าหนังยังไม่จบ?

หนังนั้นยาวแค่ยี่สิบนาที แต่ถ้าผีหนีออกมาจากหนังอย่างนั้นหนังก็ยังไม่จบจริง ๆ กลิ่นราจาง ๆ อวลอยู่ในโรงละครส่วนตัว มองไปรอบ ๆ แถวของที่นั่งนั้นก็คล้ายกับป้ายหลุมศพที่ตั้งเอาไว้ ยิ่งเขามอง มันก็ยิ่งน่ากลัว

เด็กสาวกับ ‘ดวงตาข้างซ้าย’ น่าจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในโรงละครนี้

เฉินเกอนั้นมาที่นี่เพื่อทำภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้ให้สำเร็จ และหากหนังไม่จบ อย่างนั้นภารกิจของเขาก็ไม่มีทางสำเร็จ

ฉันควรจะรอจนพระอาทิตย์ขึ้นไหม?

เฉินเกอนั้นเป็นคนใจเย็นและมีสติ เขารู้จักจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเอง จางหยายังจำศีลอยู่ และก็ไม่รู้ว่าเธอจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ซู่อินนั้นถูกทิ้งเอาไว้ในบ้านผีสิงให้รองเท้าส้นสูงสีแดงรักษา ตอนนี้ พนักงานที่แข็งแกร่งที่สุดที่เฉินเกอมีอยู่กับตัวก็คือไป๋ชิวหลิน

ด้วยความช่วยเหลือของซู่อิน ไป๋ชิวหลินได้กินหัวใจของซยงฉิงและพัฒนาไปเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด แต่ว่า เนื้อแท้แล้วเขาก็ยังเป็นวิญญาณที่ถูกผลักดันจนกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือด ในการต่อสู้ของจริงนั้น เขาย่อมไม่สามารถเอาชนะกึ่งวิญญาณสีเลือดของแท้ที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นได้

ดวงตาข้างซ้ายดูเหมือนจะทรงพลังทีเดียว ถ้าเธอจู่ ๆ ตัดสินใจปรากฏตัวขึ้น เจ้าแมวขาวกับฉันคงไม่สามารถรับมือกับมันได้

เฉินเกอนั้นระมัดระวังอยู่เสมอ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เขาก็ไม่อยากเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง

ชายตาบอดเงยหน้าขึ้นถามเฉินเกอ “พี่ชาย มันเงียบนานแล้วนะ ผมว่าหนังน่าจะจบแล้วใช่ไหม? ผมไปได้แล้วหรือยัง?”

“ในเมื่อคุณเรียกผมว่าพี่ อย่างนั้นผมก็ไม่อ้อมค้อมและบอกความจริงกับคุณ ผีผู้หญิงที่ในหนังที่พวกเราเพิ่งดูไปน่ะหนีออกมาสู่โลกจริง”

“ผีหนีออกมาจากหนัง?” ปฏิกริยาของชายตาบอดนั้นดูกระวนกระวายมากขึ้นมาก

“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ผมมีข่าวดีกับข่าวร้ายบอกคุณด้วย” เฉินเกอยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังและพลิกเปิดหนังสือการ์ตูน

“คุณยังมีอารมณ์พูดเล่นอีกได้ยังไงเนี่ย?” ชายตาบอดขดตัวอยู่ในที่นั่งของตัวเอง– เห็นได้ชัดเจนว่าเขากลัวจริง ๆ “งั้นบอกข่าวร้ายผมก่อน”

“ข่าวร้ายก็คือผีผู้หญิงตนนั้นดูอันตรายมาก และเธอก็ดูเหมือนกำลังมองหาตัวตายตัวแทน พวกเราก็โชคร้ายพอที่จะมาเจอเธอเข้าพอดี” เฉินเกอบอกสิ่งที่เขาวิเคราะห์ได้ออกไปอย่างสงบ

“โชคร้ายคือผมถูกบังคับต่างหากเล่า? พี่ชาย อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย รีบออกไปกันเถอะนะ?” ถ้าเขาไม่รู้ว่าเขาไม่มีทางสู้ชนะ ชายตาบอดก็คงใช้ไม้เท้าของเขาสู้ตายกับเฉินเกอไปแล้ว

“หนีตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว ดวงตานั่นมองเห็นพวกเราสองคนแล้ว ดังนั้นเธอคงไม่ปล่อยพวกเราไปง่าย ๆ”

“ดีจริง” ชายตาบอดทิ้งตัวกลับลงไปกับที่นั่งของตนเองอย่างอ่อนแรง “อย่างนั้นสิ่งที่เรียกว่าข่าวดีของคุณล่ะ?”

“ข่าวดีก็คือผมเรียกเพื่อนของผมหลายคนมาร่วมวงกับพวกเรา และพวกเราก็ได้เปรียบในด้านจำนวนอย่างเห็นได้ชัด” เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเข้าหูชายตาบอด และเฉินเกอก็ขานชื่อทีละชื่อ

กลิ่นเน่าเปื่อยจาง ๆ อวลเต็มโรงละคร อันที่จริง กลิ่นนั่นแรงพอที่จะกลบกลิ่นราจาง ๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้าด้วย

“คุณได้กลิ่นอะไรไหม? มีบางอย่างกำลังมา!” ชายตาบอดอ้าปากค้างอย่างตกใจ

“นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วอย่าตื่นตระหนกไป พยายามอย่าไปล้มใส่ใคร” เฉินเกอนั้นพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว

“พวกนั้นคือเพื่อนของคุณเหรอ? พวกเขามาถึงตอนไหนน่ะ? พวกเขาอยู่ในห้องนี้แล้วเหรอ? ทำไมผมถึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยล่ะ?” ไม่มีใครตอบทำถามของชายตาบอด ถ้าเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็อาจจะหมดสติไปตรงนั้นเลย ความเงียบและว่างเปล่าในโรงละครนั้นตอนนี้กลายเป็นอึกทึกไปหมดแล้ว

เด็กชายที่มีกลิ่นเหม็นเน่าถูกชายแขวนคอผลักไปที่มุมห้องและเขาก็ลูบท้องพร้อมกับสีหน้าเศร้าสร้อย พวกนักเรียนจากห้องเรียนปิดตายโรงเรียนมัธยมมู่หยางวิ่งไปทั่วอย่างสนุกสนาน เหล่าโจวใช้สีหน้าจริงจัง ‘หลอก’ ให้ต้วนเยว่นั่งเก้าอี้เดียวกับเขาที่ด้านหลังโรงละคร พวกเขานั่งห่างไปจากคนอื่นที่เหลือ

ผู้อาวุโสเว่ยและหมอคนอื่น ๆ ยืนอยู่ด้านหลังชายตาบอด พวกเขาปรึกษากันเบา ๆ ในกลุ่มถึงความเป็นไปได้ในการทำการผ่าตัดเพื่อช่วยให้ชายคนนี้มองเห็นได้อีกครั้ง และบางครั้งศัพท์เฉพาะทางก็หลุดออกมาจากปากพวกเขา

ผีน้ำนั่งอยู่ที่แถวหน้า เธอถูกสังเวยเพื่อทำการฝังเมล็ดพันธุ์ และนี่ก็ครั้งแรกใน ‘ชีวิต’ ของเธอที่ได้เข้ามาในโรงละคร ดังนั้นเธอจึงมีความอยากรู้อย่างเห็นในทุกอย่าง ถ้าเธอสามารถคลานเข้าไปในจอได้เธอก็คงทำไปแล้ว

เอี๋ยนต้าเหนียนเป็นคนสุดท้ายที่ออกมาจากหนังสือการ์ตูน เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก ผีปากกากอดเสี่ยวเซียวเอาไว้และพวกเธอก็นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา เฉินหย่าหลินนั้นดูเหมือนจะมีคำถามเกี่ยวกับการ์ตูนของเขา

“วันนี้เป็นวันเกิดผม ดังนั้นผมจึงเลี้ยงหนังทุกคน ผมคิดว่านี่อาจจะนับได้ว่าเป็นสิทธิ์พิเศษของพนักงาน โรงหนังนี่อาจจะเล็กไปนิด แต่ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่ถือสา ตอนที่พวกเรามีเงินมากพอ ผมจะเช่าโรงภาพยนตร์ไอแม็กซ์ทั้งโรงให้ทุกคนได้สนุกกัน” เฉินเกอลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องฉายหนัง ไป๋ชิวหลินกับผู้อาวุโสเว่ยตามหลังเขาไปติด ๆ

ชายตาบอดนั่งอยู่กับที่อย่างเชื่อฟัง เขารู้ว่ามีหลายอย่างอยู่รอบตัวเขาแต่ว่าในใจเขานั้นมีความรู้สึกประหลาดที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ เขาอ้าปาก ยื่นมือออกไปแตะที่นั่งที่น่าจะเป็นของเฉินเกอ หลังจากสัมผัสได้ว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เขาก็หุบปากลงอย่างว่าง่าย เขาไม่กล้าขยับหรือว่าถามอะไร

“พวกคุณอยากดูหนังเรื่องไหน?” เฉินเกอเปิดรายชื่อหนัง เขามาที่นี่เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ แต่มันต่างไปสำหรับพนักงานที่บ้านผีสิง โดยเฉพาะพวกนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมมู่หยางที่ออกมาจากสิ่งของที่พวกเขาสิงอยู่ได้แค่ระยะสั้น ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยโอกาสนี้เสียเปล่าไปไม่ได้แน่ ๆ

ไปดูหนังนั้นเป็นประสบการณ์ธรรมดามาก ๆ ของคนทั่วไป แต่สำหรับนักเรียนพวกนี้ ถ้าไม่เพราะเฉินเกอ พวกเขาก็คงไม่มีประสบการณ์เช่นนี้อีก ในรายชื่อมีหนังผีไม่กี่เรื่อง แต่ว่านั่นก็ทำให้เกิดการถกเถียงร้อนแรงในกลุ่มพนักงานแล้ว ในที่สุด ส่วนใหญ่ก็ออกเสียงเลือกหนังที่ชื่อว่า ‘นาม’ มันดูเหมือนจะเป็นหนังเกี่ยวกับชื่อของใครสักคน เฉินเกอมองหน้าปก ผู้กำกับก็ยังคงเป็นฉางกู และใบหน้าของตัวละครที่เหลือนั้นดูคล้ายกับเหวินอวี้กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์

“เอาละ กลับไปที่นั่งของพวกคุณก่อน อย่าเดินไปทั่วหลังจากหนังเริ่มฉาย แล้วก็คอยดูรอบ ๆ ตัวด้วย อาจจะมีคนที่เกินมาปรากฏตัวเพราะว่าโรงละครนี่มีผีสิง”

มองโรงละครที่เต็มไปด้วยพวกผีแล้ว เฉินเกอก็รู้สีกเหมือนว่ามันน่าตลกที่พูดอะไรแบบนั้น

ผีกลุ่มหนึ่งดูหนังสยองขวัญในโรงหนัง ฉันว่ามันจะเหมือนเป็นการดูสารคดีชีวิตตัวเองหรือเปล่า

พนักงานทำตามที่เฉินเกอบอก พวกเขากลับไปยังที่นั่งอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็ยังใจดีพอที่จะทิ้งที่นั่งว่างตรงกลางเอาไว้สองที่

“ทำไมพวกคุณถึงเว้นที่ว่างสองที่ตรงนั้นไว้ล่ะ?”

เฉินเกอกดปุ่มเล่น และเพลงประกอบก็ดังออกมาจากทุกมุมของโรงละคร ดนตรีวนเวียนอยู่ในหูของพวกเขาและมันก็สร้างความรู้สึกว่าพวกเขาอยู่ที่นี่กันจริง ๆ ถึงแม้ว่าโรงละครนี่จะค่อนข้างเก่า อุปกรณ์ล้วนเป็นระดับยอดเยี่ยม อย่างไรเสีย ครั้งหนึ่งมันก็เคยใช้บริการแขกในฮอลิเดย์วิลล่าระดับไฮเอนด์มาก่อน

เสียงดนตรีดังคลอไปกับภาพบนจอ เหล่าพนักงานที่ไม่เคยสัมผัสโลกเช่นนี้และพนักงานที่จากไปก่อนที่จะได้มีช่วงเวลาเช่นนี้ล้วนรู้สึกตื่นเต้น เสียงร้องและเสียงอุทานก้องอยู่ในหมู่ผู้ชม– เสียงที่พวกเขาทำนั้นยังน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงประกอบของตัวหนังเองเสียอีก

พวกเขาจะถูกหนังทำให้กลัวไหมนะ? ปกติแล้วเป็นพวกเขาที่หลอกให้คนอื่นกลัว

เฉินเกอไม่ได้กังวลเรื่องนั้นนัก– เขาแค่อยากให้ภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำให้มาสำเร็จโดยเร็วที่สุด

เฉินเกอขยับไปทางที่นั่งที่พนักงานเว้นไว้ให้เขา และให้ไป๋ชิวหลินนั่งถัดจากเขาขณะที่ชายตาบอดนั่งอยู่ที่อีกด้านของเขา เขาได้รับภารกิจนี้เพราะความช่วยเหลือจากชายตาบอด อย่างน้อยที่สุดที่เขาทำได้ก็คือรับรองความปลอดภัยของชายคนนี้

“พี่ชาย… คุณกลับมาแล้วเหรอ?” ชายตาบอดถูกเฉินเกอพยุงไปนั่งที่กลางโรงละคร ขาของเขาสั่นและมันเหมือนเขากำลังเดินอยู่บนสายไหมแทนที่จะเป็นพื้นอันมั่นคง

“อืม ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว คุณปลอดภัยมาก ๆ ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว” เฉินเกอกอดเจ้าแมวขาวไว้ “คุณอยู่ที่นี่ดูหนังได้โดยไม่ต้องห่วงอะไร หลังจากหนังเรื่องนี้จบ ผมจะพาคุณกลับไปเอง”

“คุณแน่ใจเหรอว่าตอนนี้มันปลอดภัยแล้ว? หัวใจผมเต้นเร็วมากและจู่ ๆ ผมก็รู้สึกถึงความเย็นเหมือนถูกยัดเข้าไปในตู้เย็นเลย” ชายตาบอดกอดไม้เท้าของตัวเองไว้และเปลือกตาของเขาก็กระตุกซ้ำ ๆ มันเหมือนเขาสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อดวงตา และพวกมันก็จะลืมเปิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้

“คุณคิดไปเอง” เฉินเกอปลอบชายตาบอดอีกสองสามคำ มือหนึ่งเขาเกาคางเจ้าแมวขาว แผ่นหลังทิ้งพิงไปกับเบาะ เขาสนุกไปกับหนังอย่างสุขสบายเต็มที่

“เป็นไปไม่ได้! ผมไม่ได้คิดไปเอง! คุณแน่ใจเหรอว่าเพื่อนของคุณอยู่ที่นี่กันหมด? ทำไมผมถึงรู้สึกว่าที่นี่มันน่ากลัวและหลอนกว่าตอนแรก?” ลมหายใจเย็น ๆ ลอดออกมาจากริมฝีปากของชายตาบอด “พี่ชาย คุณฟังผมอยู่หรือเปล่า? คุณไม่รู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิดเหรอ?”

“ผมสุขสบายกว่านี้ไม่ได้แล้ว อันที่จริง ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะสั่งขนมอย่างน้ำโค้กกับป๊อบคอร์นมากิน” ความคิดนี้ผ่านเข้ามาในใจเฉินเกอก่อนหน้านี้จริง ๆ ในเมื่อพวกเขามาที่นี่เพื่อเฉลิมฉลอง อาหารและเครื่องดื่มก็ควรจะมี แต่เมื่อคิดถึงสภาพจิตใจของคนส่งอาหารแล้ว เฉินเกอก็ทิ้งความคิดนั้นออกไปจากใจ “เป็นจิตใจของคุณเล่นตลกกับตัวคุณแล้ว ผ่อนคลายแล้วก็จะดีเอง”

หนังเริ่มฉายอย่างเป็นทางการ แต่ว่าบรรยากาศนั้นต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง แสงและเสียงนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป– สิ่งเดียวที่เปลี่ยนก็คือผู้ชม

เฉินเกอนั้นจมดิ่งไปกับหนังที่ฉาย เขาผสานข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้มาจากการค้นหาดวงตาข้างซ้ายบนออนไลน์ และหนังที่เขาได้ดูคืนนี้และเงื่อนงำบางอย่างก็เผยตัวเองออกมา

หนังเรื่อง ดวงตาข้างซ้าย นั้นถูกทำลายไปแล้ว แต่ว่าโรงละครส่วนตัวนี้เก็บผลงานอื่น ๆ ของผู้กำกับ ฉางกู เอาไว้และผลงานทั้งหมดนั้นมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับดวงตาข้างซ้าย

ทำไมผู้กำกับคนนี้ถึงได้หมกมุ่นอยู่กับ ดวงตาข้างซ้าย นี่จังเลย?

เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งของ เพื่อนร่วมโต๊ะ ผ่านเข้ามาในใจเฉินเกอ พ่อของเหวินอวี้ครั้งหนึ่งเคยเรียกชื่อเต็มของเธอ และชื่อของเด็กหญิงคนนั้นก็คือ ฉางเหวินอวี้– เธอใช้แซ่เดียวกันกับฉางกู

เป็นไปได้ไหมว่าเด็กหญิงที่มีดวงตาข้างซ้ายนั้นเป็นพี่สาวน้องสาวของฉางกู?

ใน เพื่อนร่วมห้อง ที่บ้านของเหวินอวี้ บางครั้งก็จะเห็นพ่อกับแม่หรือว่าหมอ แต่ว่าไม่มีตัวละครอื่นที่จะเป็นฉางกูได้

ถ้าฉางกูนั้นเป็นสมาชิกในครอบครัวของฉางเหวินอวี้จริง อย่างนั้นมันก็อธิบายได้ว่า ระหว่างการถ่ายทำ ฉางกูยังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง เขาไม่ได้ปรากฏขึ้นมาในฉาก

จู่ ๆ เฉินเกอก็นึกถึงฉากสุดท้ายของ เพื่อนร่วมโต๊ะ

ตอนที่มีการเปลี่ยนมุมมอง เป็นไปได้ไหมว่าชิวเหมยกับผีที่ในกระจกไม่ได้กำลังมองมายังผู้ชมแต่เป็นฉางกูที่อยู่หลังกล้อง?

กล้องขยับจากชิวเหมยไปยังหญิงชราที่ถือตะกร้าอยู่ แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ส่องลงต้องร่างหญิงชรา และตอนที่เธอเดินจากไป กล้องก็จับจ้องอยู่ที่เงาของเธอที่ดูเหมือนจะถูกตัดขาดครึ่ง

เห็นรอยตัดนี้ เฉินเกอก็ตัวสั่นอยู่ในที่นั่ง เขาไม่รู้เลยว่าผู้กำกับถ่ายฉากนี้ได้อย่างไร เพื่อนร่วมโต๊ะ ตามรายละเอียดในรายชื่อหนัง มันถูกถ่ายไว้ตั้งนานมาแล้ว ตอนนั้น สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ไม่ได้ดีเท่าทุกวันนี้ แต่ว่าภาพในหนังกลับดูเหมือนจริงเท่าที่จะเป็นได้

เป็นไปได้ไหมว่านี่ไม่ใช่สเปเชียลเอฟเฟ็กต์?

เงาของคนผู้หนึ่งนั้นเชื่อมโยงกับชีวิตของคนผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง หรืออย่างน้อยที่สุด นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินเกอเชื่อ

ดวงตาข้างซ้ายของตัวละครหลักสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเงาของคนเป็นผู้หนึ่งใช่ไหม? ตอนที่หนังเรื่องนี้เริ่ม พ่อกับแม่ของตัวละครหลักมีเงาหรือเปล่านะ?

ภาพก่อนหน้าของหนังแวบผ่านเข้ามาในใจของเฉินเกอ พ่อกับแม่ของตัวละครหลัก และกระทั่งหมอ พวกเขาไม่มีใครมีเงา แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศเลวร้ายที่นอกหน้าต่าง

ตอนที่หนังเริ่ม ท้องฟ้ามืดและเป็นเมฆฝนสีเทาหนาก็บดบังดวงอาทิตย์ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุดที่จะไม่เห็นเงาของคนบางคน หลังจากชิวเหมยและหญิงชราจากไป ตัวละครหลักก็กลับบ้านของตัวเอง เธอดึงกุญแจออกมาเปิดประตู

“เหวินอวี้? นั่นลูกเหรอ? ทำไมถึงกลับบ้านช้าขนาดนี้ล่ะวันนี้?” แม่ของเหวินอวี้รีบร้อนออกมาจากห้องครัว สีหน้าบนใบหน้าของเธอเมื่อมองเห็นเหวินอวี้นั้นผสมผสนกันระหว่างความเศร้าและอารมณ์ประหลาดที่เฉินเกออธิบายไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร มันก็ต่างไปจากที่พ่อแม่ทั่วไปจะทักทายลูกตัวเอง– เฉินเกอสังเกตได้ก็หลังจากที่จมดิ่งลงไปในหนังขนาดนี้แล้ว

ตัวละครหลักไม่ตอบสนอง เมื่อเธอก้าวเข้าไปในบ้านของเธอ มันเหมือนกับเธอเดินเข้าไปในทะเล การเคลื่อนไหวของเธอกลายเป็นฝืดฝืน และกระทั่งลมหายใจของเธอก็ยังไม่สม่ำเสมอ เธอผลักเปิดประตูห้องนอนของตัวเองแล้วก็เบียดตัวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

“เด็กคนนี้…”

“ฉันไปขอความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญบางคนและฉันเชื่อว่าลูกสาวของเราน่าจะป่วย” พ่อของตัวละครหลักวางหนังสือพิมพ์ลง เขาชี้ไปที่หัวของตัวเองแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงกระซิบเบา ๆ “ฉันติดต่อหมอแล้ว สุดสัปดาห์นี้ฉันจะพาเขามาที่นี่ให้ตรวจดูลูกของเรา”

“ต้องจ่ายเท่าไหร่น่ะ?”

“ตอนนี้การรักษาลูกของเราสำคัญกว่า เธอคงไม่อยากให้ลูกเป็นอย่างนี้ต่อไปหรอกใช่ไหม?”

เสียงพ่อกับแม่ของเธอดังมาจากด้านนอกประตูแต่ว่าตัวละครหลักไม่ได้สนใจว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ กล้องที่แทนมุมมองของตัวละครหลักนั้นขยับจากพ่อแม่ของเธอไปที่เพดาน จากนั้นหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ตัวละครหลักหลับตาลงอีกแล้ว

“หนังนี่ดูเหมือนจะเป็นบันทึกเนื้อหาบางอย่าง แต่ถ้าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง เส้นเวลาก็ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง” เฉินเกอชนไหล่กับชายตาบอด “คุณคิดว่ายังไง?”

“ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณดูจบแล้ว พวกเราก็กลับออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่นาทีเดียว พี่ชาย จากสำเนียงพูดของคุณ คุณดูเหมือนจะไม่ใช่คนเลวร้าย คุณช่วยปล่อยผมไป เลิกทรมานผมได้ไหม?” แผ่นหลังของชายตาบอดนั้นเปียกชุ่ม เขาเอาแต่หลับตาเอาไว้ แต่จากเสียงของเขา ใครก็บอกได้ว่าเขากลัวแค่ไหน

“หนังเล่นไปครึ่งเรื่องแล้ว ผมแน่ใจว่าเดี๋ยวมันก็จบแล้ว อดทนอีกนิดนะครับ” เฉินเกอหันกลับไปที่จอตอนที่มันสว่างขึ้นอีกครั้ง เหมือนเดิม ยังเป็นภาพที่ถ่ายจากมุมมองของตัวละครหลัก มันยังคงบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับชิวเหมย

ตัวละครหลักนั้นเป็นเด็กสาวพูดน้อย เธอน้อยครั้งที่จะเปิดปากพูดอะไร และถ้าเธอไม่ต้องพูดได้เธอก็จะทำอย่างนั้น นิสัยของชิวเหมยนั้นตรงกันข้ามกับตัวละครหลักอย่างสิ้นเชิง เธอเหมือนหนังสือที่เปิดเอาไว้และน้อยครั้งนักที่จะคิดมากกับสิ่งที่คนอื่นพูด

เธอเป็นเด็กวู่วามและมักจะทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมา แต่ว่า อย่างที่พูดกันว่าสิ่งที่ตรงกันข้ามกันมักจะดึงดูดกัน เมื่อพวกเธอใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักและชิวเหมยก็แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเป็นขั้วตรงข้ามกันในด้านนิสัย พวกเธอก็กลายมาเพื่อนสนิทกัน

ที่น่าประหลาดใจกว่านั้น การเรียนของพวกเธอทั้งคู่ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ และนี่ก็เป็นสิ่งที่กระทั่งคุณเฉาไม่ได้คาดคิดเอาไว้ เดิมที เขาก็แค่ทำตามที่เพื่อนบ้านเก่าแก่ของเขาขอร้อง แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ นักเรียนหญิงทั้งสองคนที่เคยเรียนแย่ที่สุดในชั้นเรียนของเขานั้น ‘เปลี่ยนไป’ อย่างมากหลังจากที่มาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกัน

สีสันบนจอนั้นให้ความรู้สึกสว่างไสวมากขึ้น และสไตล์ของหนังก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปด้วย มันอาจจะเป็นหนังสยองขวัญแต่ว่าเฉินเกอรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังแนวการก้าวข้ามผ่านวัย

ผู้กำกับนั้นมีหลายสไตล์– ไม่เลวเลย

เฉินเกอจดจำความคืบหน้าของหนังเอาไว้ มันผ่านมาประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว นอกจากผีที่เขาเห็นตอนต้นของหนัง ส่วนที่เหลือของหนัง นั้นไม่มีกระทั่งจุดที่ส่อถึงความน่ากลัว อย่าว่าแต่ผีจริง ๆ เลย

หนังสยองขวัญที่ไม่มีผี?

หนังสยองขวัญในท้องตลาดนั้นมักจะต้องนำเสนอ ‘ตัวตนลึกลับ’ และตัวตนลึกลับนี้ก็มักจะถูกใช้สร้างความรู้สึกน่าสงสัยและน่าหวาดกลัวในหัวใจของคนดู แต่ว่าหนังเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น มันถ่ายทำจากมุมมองของตัวละครหลักเพียงอย่างเดียว และเธอก็ไม่ได้เห็นอะไรที่ดูน่ากลัวโดยแท้จริง

เฉินเกอรู้สึกว่าผู้กำกับนั้นทำอย่างนี้เพื่อบางอย่างที่น่าสยดสยอง เขารู้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เรียบง่ายแบบนั้น เมื่อหนังใกล้จะจบ เขาก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริงกำลังจะมาถึงแล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างชิวเหมยและตัวละครหลักนั้นใกล้ชิดกันขึ้นเรื่อย ๆ แต่มีบางอย่างที่ต้องพูดถึง ระหว่างช่วงเวลาที่ชิวเหมยและตัวละครหลักกลายมาเป็นเพื่อนกัน เสียงหัวเราะสนุกสนานของชิวเหมยนั้นปรากฏขึ้นในหนังหลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าตัวละครหลักนั้นไม่เคยหัวเราะ ไม่เลยสักครั้งเดียว

เหลือเวลาอีกเพียงสั้น ๆ ก่อนที่การสอบปลายภาคจะมาถึง ด้วยผลการเรียนตอนนี้ของชิวเหมย การเรียนจบนั้นไม่ใช่ปัญหาแล้ว เธอยังมีเพื่อนดี ๆ ที่โรงเรียน เธอกำลังจะทำตามที่เธอสัญญาไว้กับย่าสำเร็จ และนี่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของชิวเหมย

แต่ว่า ถึงแม้ว่าชิวเหมยจะมีความสุข ในฐานะผู้ชม เฉินเกอนั้นมองเห็นความกระวนกระวายที่ซ่อนอยู่ด้านหลังความสุขนั้นผ่านมุมมองของตัวละครหลัก เงาของย่าของชิวเหมยนั้นสั้นลงเรื่อย ๆ ความกังวลที่พ่อแม่ของตัวละครหลักแบกรับเอาไว้ก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ และอัตราเร็วของการเปลี่ยนแปลงระหว่างแต่ละฉากก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และคงที่ขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนตัวละครหลักนั้นจู่ ๆ ก็กะพริบตาบ่อย ๆ ขึ้นมา

ยังมีพายุลูกใหญ่ซ่อนอยู่ใต้ชีวิตอันสงบสุข และมันก็จะลากทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ ลงไปในหุบเหวลึกที่แสนสิ้นหวัง หลังจากการสอบปลายภาค ในงานเลี้ยงของห้อง ชิวเหมยและตัวละครหลักนั้นอยู่ดึกมากกว่าจะกลับ กลางคืนเงียบสงัดอย่างผิดปกติ ชิวเหมยฮัมเพลงอยู่ในคอ ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้นั้นสำเร็จแล้วและเธอก็อดจะอารมณ์ดีขึ้นไม่ได้

“เพื่อนร่วมโต๊ะ ทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ? พวกเราในที่สุดก็ผ่อนคลายได้แล้ว พวกเราไม่ต้องไปเจอหน้าเหล่าเฉาทุกวี่ทุกวันแล้ว” ชิวเหมยกอดตัวละครหลักดึงเธอเข้าไปใกล้ ๆ กล้องถ่ายชิวเหมยจากระยะใกล้ เด็กหญิงย้อมผมของเธอกลับมาเป็นสีธรรมชาติ ก็คือสีดำ และเธอก็ดูสวยน่ารักขึ้น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ตัวละครหลักก็เบนสายตาออก เธอก้มหน้าลง และกล้องก็จับภาพความมืดซึ่งดูราวกับถนนนี้ไม่มีปลายทาง

“เธอไม่ได้ดูมีความสุขนัก” ใบหน้าของชิวเหมยเบียดเต็มหน้าจออีกครั้ง ตัวละครหลักมองชิวเหมยเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรสักคำ และจากนั้นเธอก็ออกเดินไปของเธอเอง

“เพราะครอบครัวของเธอเหรอ? ฉันว่าฉันไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงพวกเขาเลย” ชิวเหมยวิ่งตามเธอมา “อันที่จริง ครอบครัวของฉันก็น่ารำคาญเหมือนกัน พ่อของฉันตอนนี้อยู่ในคุกและย่าก็เป็นคนเลี้ยงฉัน ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะใช้แซ่ตามย่า”

ตัวละครหลักนั้นไม่ได้ช้าลงหรือว่าหยุดเดิน ชิวเหมยตามหลังเธอมาติด ๆ จนกระทั่งไปถึงทางแยก บ้านของชิวเหมยนั้นอยู่ทางซ้าย และบ้านของตัวละครหลักอยู่ทางขวา– ตรงนี้เป็นจุดที่พวกเขามักจะแยกกันเสมอ

“เหวินอวี้? เกิดอะไรขึ้นกับเธอเนี่ยวันนี้?” ตัวละครหลักไม่หยุดตอบ เธอเดินไปตามถนนต่อ และถึงจุดหนึ่ง เธอก็หันมาบอกชิวเหมยเรียบ ๆ “อันที่จริง นั่นไม่ใช่ชื่อฉัน”

“นั่นไม่ใช่ชื่อเธอ?” ชิวเหมยอยากจะถามรายละเอียด แต่ตัวละครหลักก็หันหลับเดินต่อไปแล้ว เพราะสภาพแวดล้อมอันแตกต่างที่เธอเติบโตขึ้นมา ชิวเหมยมีนิสัยที่ต่างไปเทียบกับเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน เธอไม่อาจไม่สนใจตัวละครหลักและตามหลังเธอไปต่อ เธอวิ่งตามตัวละครหลักไปและร้องเรียก

แสงจากริมถนนนั้นน้อยลงเรื่อย ๆ ในที่สุดเด็กหญิงทั้งสองคนก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์เก่า ๆ แห่งหนึ่ง ตึกนี้นั้นตั้งอยู่ในส่วนที่ห่างไกลที่สุดของเมือง ทั้งตึกนั้นมืดเหมือนไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่เลย

“เหวินอวี้? บ้านเธอ… อยู่ที่นี่เหรอ?” ยังคงไม่มีคำตอบ ตัวละครหลักจู่ ๆ ก็วิ่งขึ้นบันไดไป เธอดึงกุญแจออกมาจากกระเป๋า และหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชิวเหมยก็ตามเธอไป ในทางเดินไม่มีไฟ ชิวเหมยเหยียบลงไปบนเศษขยะบนทางเดินและเกือบจะลื่นล้มไปหลายครั้ง

ประตูห้องเปิดออก และตัวละครหลักเดินเข้าไป แสงไฟในห้องนั่งเล่นไม่ได้เปิด และม่านหนาหนักก็ถูกดึงปิดเอาไว้ ทั้งห้องนั้นจมอยู่ในความมืด แต่ในสภาพเช่นนี้ ในกล้อง ประตูห้องครัวก็ถูกดึงเปิดออก และแม่ของตัวละครหลักก็เดินออกมาจากในนั้น

เหวินอวี้ นั่นลูกเหรอ? ทำไมวันนี้ถึงกลับดึกนัก?” เสียงคุ้นเคย สภาพแวดล้อมอันคุ้นเคย รูปร่างคุ้นตาที่ยืนอยู่ในความมืดนั้นไม่ใช่ใครนอกจากแม่ของตัวละครหลัก

ภาพนี้นั้นดูธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วในตอนกลางวัน แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกลางคืน มันก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายเป็นถ้อยคำออกมาไม่ได้

“ฉันจะไม่กลับมาที่นี่แล้ว” เสียงของตัวละครหลักเริ่มเปลี่ยนไป คราวนี้ เธอไม่วิ่งเข้าไปซ่อนในห้องนอนของเธอแต่ว่ายืนอยู่ในห้องนั่งเล่น

“เหวินอวี้! เธอพูดกับใครน่ะ?” ชิวเหมยยืนอยู่ที่ทางเข้า มองเข้าไปในห้องนั่งเล่นมืด ๆ ใบหน้าของเธอซีดขาว มันเหมือนเธอกำลังมองเห็นภาพที่ต่างไปจากที่ตัวละครหลักเห็น “ที่นี่เก่ามาก เครื่องเรือนก็พังไปหมดแล้ว กระเบื้องปูพื้นยังแตก เหวินอวี้ เธอมาทำอะไรที่นี่? กลับบ้านกันดีไหม?”

“กลับบ้าน?” ตัวละครหลักเอื้อมมือไปจับมือชิวเหมยก่อนที่จะดึงเธอเข้าไปในห้อง “แต่ว่า… พวกเราอยู่บ้านแล้วไง!”

แสงไฟบนหน้าจอค่อย ๆ สลัวลงจนกระทั่งมันกลายเป็นความมืด ผู้กำกับนั้นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน

เสียงกรีดร้องก้องไปในความมืด ดวงตาเปิดลืมขึ้น และตัวละครหลักก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของเธอ กล้องมองออกไปนอกหน้าต่าง นอกหน้าต่าง เมฆดำและลอยต่ำ

ภาพนี้นั้นเหมือนกับตอนเริ่มแรกของหนัง ที่ข้างนอกหน้าต่างนั่นเป็นท้องฟ้าเดียวกัน มันทำให้รู้สึกว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้นเป็นแค่ฝันร้าย ตัวละครหลักมองไปที่นาฬิกาบนโต๊ะ เธอดึงโทรศัพท์ของเธอออกมาอ่านข้อความ และจากนั้นเธอก็ลากร่างกายเหนื่อยล้าของตนเข้าไปในห้องน้ำ

เธอเอาแต่ก้มหน้าต่ำ ดังนั้นกล้องจึงมองเห็นแค่พื้น หลังจากเธอแปรงฟันและล้างหน้า โทรศัพท์ก็เริ่มสั่น กล้องขยับไปมาและตัวละครหลักก็ดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า

“เหวินอวี้ คืนนี้เธออยากไปดูหนังไหม? เป็นการฉลองที่เธอกำจัดยัยบ้านั่นไปได้”

“ชิวเหมยไม่เลวเลยนะ เธอไม่เคยรังแกฉันสักครั้ง”

“เป็นเพราะว่าเธอใจดีเกินไปเหล่าเฉาถึงให้ยัยนั่นมานั่งกับเธอ เธอรู้ไหมว่าพ่อกับแม่ของยัยนั่นอยู่ในคุกทั้งคู่? ใครจะไปรู้ว่ายัยนั่นไปทำอะไรเข้าถึงได้หายตัวไป? ไม่ว่ายังไง เธอก็ไม่ต้องเอาตัวเองไปติดอยู่กับยัยนั่นแล้ว”

“อืม ฉันเข้าใจแล้ว” มือของตัวละครหลักจับโทรศัพท์แน่นขึ้น “แล้วก็ เพื่อนร่วมโต๊ะ หลังจากดูหนังคืนนี้แล้ว เธออยากมาเล่นที่บ้านฉันไหม? ฉันจะให้เธอดูอะไรที่น่าสนใจมาก”

“ได้ ไม่มีปัญหา!”

“งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ” หลังจากวางสาย ตัวละครหลักก็เงยหน้าขึ้นช้า ๆ กล้องขยับไปทางกระจก และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมได้มีโอกาสเห็นใบหน้าของตัวละครหลักตั้งแต่หนังเริ่มมา

ร่างกายผอมบาง เสื้อผ้ากะรุ่งกะริ่ง และผมสีดำยาว– ตัวละครหลักนั้นมีใบหน้าที่เหมือนเย็บขึ้นจากชิ้นส่วนของผู้หญิงหลาย ๆ คน ผู้หญิงทั้งหมดมีเครื่องหน้าต่างกัน แต่ว่าดวงตาข้างซ้ายของพวกเธอนั้นดูเหมือนกัน

ดวงตาข้างซ้ายที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนมันเป็นเข็มยาวเล่มหนึ่ง และมันก็เย็บใบหน้ามากมายนั่นเข้าด้วยกัน

ในหนัง พ่อแม่ของตัวละครหลักนั้นไม่ให้น้ำหนักกับถ้อยคำของหมอมากนักและความไม่พอใจในดวงตาของพวกเขาก็ปิดบังไว้ไม่ได้

“เชื่อผมเถอะครับ ลูกสาวของคุณไม่ได้ป่วยจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับดวงตาของเธอก็เป็นแค่อุบัติเหตุ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะพาเธอไปเมืองซินไห่กับผม ที่ผมสามารถตรวจเธอให้ละเอียดกว่านี้ได้” ผู้ชายคนนั้นดูไม่เหมือนนักต้มตุ๋น เขาดูจริงใจมาก แต่โชคไม่ดี พ่อกับแม่ไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด

“ถ้ามีโอกาส ฉันจะพาเธอไปค่ะ แต่ว่าเหวินอวี้ยังต้องไปโรงเรียน” แม่ปฎิเสธเขาอ้อม ๆ หมอถอนหายใจ เขาส่งนามบัตรของตัวเองให้แม่ของเด็กแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมจากไป ตลอดกระบวนการนี้ หมอหันหลังให้ตัวละครหลักอยู่ตลอดเวลาและใบหน้าของเขาก็ถูกปิดบังเอาไว้

หลังจากประตูปิดลงและหมอจากไปแล้ว แม่ก็บ่นเบา ๆ “ฉันสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมเขาถึงมาตรวจเหวินอวี้ให้ฟรี ๆ เขาเป็นนักต้มตุ๋น หลังจากพวกเราไปถึงซินไห่ เขาก็จะเริ่มคิดเงินเราต่าง ๆ นานา”

“ฉันเองก็สงสัยความน่าเชื่อถือของหมอคนนั้น บางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นหมอด้วยซ้ำ แต่ว่ามันต้องมีเหตุผลเบื้องหลังการป่วยนี่ นี่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเหวินอวี้มาก่อน แล้วจู่ ๆ เธอจะป่วยได้ยังไง?”

“คุณพูดถูก เด็กคนนี้เป็นปกติดีมาตลอดหลายเดือนมานี้ แต่จู่ ๆ คืนนั้น ไม่สิ ตั้งแต่ตอนบ่ายที่เธอกลับมาจากโรงเรียน เธอก็ทำตัวแปลกไป”

ใบหน้าของพ่อและแม่มีรอยย่นลึก และน้ำเสียงของพวกเขาก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวดหัวใจ กล้องบันทึกทุกอย่างเอาไว้อย่างเรียบเฉย และมันก็ให้ความรู้สึกว่าตัวละครหลักกำลังจับตามองทุกอย่างโดยไม่แสดงอารมณ์ใดสักนิด ดวงตาค่อย ๆ ปิดลง และเสียงดนตรีประหลาดก็ดังขึ้นอีกครั้ง

ต่างไปจากการดูหนังสยองขวัญที่บ้าน ระบบเสียงในโรงละครนั้นเป็นระบบเสียงรอบทิศทาง มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าเสียงฝีเท้านั้นดังมาจากระยะไกล หรือมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่รอบ ๆ ตัวผู้ชม ผู้กำกับทุ่มเทกับหนังสั้นเรื่องนี้มาก และนั่นก็เห็นได้จากแค่ระบบเสียงอย่างเดียวด้วยซ้ำ

เพลงประกอบนั้นมีเสียงหัวใจเต้นและเสียงหายใจหนัก ๆ ผสานอยู่ เหมือนบางคนกำลังดิ้นรนอยู่ในฝันร้าย ทุกอย่างมืดสนิท และมีคนดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ว่าไม่สามารถคว้าอะไรมาพยุงตัวไว้ได้เลย

เมื่อผู้ชมจมลงไปกับสภาพย่ำแย่ของตัวละครหลักและกลั้นหายใจไว้ เสียงกริ่งแหลมก็ดังตัดเพลงประกอบออกมา เปลือกตากระตุก ตัวละครหลักดูเหมือนจะตื่นแล้ว และเธอก็ลืมตาพร่ามัวขึ้น

บนจอปรากฏฉากใหม่ กล้องไม่ได้อยู่ในห้องนอนอีกต่อไปแล้วแต่เป็นศูนย์กวดวิชาที่ดูเรียบง่ายแห่งหนึ่ง แสงอาทิตย์ส่องลงมาที่ตัวละครหลักผ่านทางหน้าต่าง และกล้องก็จับอยู่ที่เงาของเด็กสาวที่ทอดยาวอยู่บนพื้น เธอเอนตัวแนบโต๊ะแถวสุดท้ายในชั้นเรียน และศีรษะของเธอก็ยังหนักไปด้วยความง่วงงุน

หนังฉายมาได้หนึ่งในสามแล้ว และฉันก็เพิ่งเห็นแค่เงาของตัวละครหลัก ผู้กำกับเก่งมากทีเดียว

เฉินเกอเคยเห็นเงามากมายในชีวิต และในมุมมองเยี่ยงมืออาชีพของเขา เงาในหนังนั้นธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

แสงอาทิตย์ทำให้เส้นประสาทในหัวเธอของเธอตึงเขม็ง และเสียงพัดลมหมุนก็ดังน่ารำคาญอยู่ในหูเธอ และยังมีเสียงพลิกเปิดหน้ากระดาษและยังเสียงดนตรีเพี้ยน ๆ จากหูฟังราคาถูกของนักเรียนโต๊ะใกล้ ๆ

การถ่ายฉากยาวต่อเนื่องแสดงให้เห็นทุกอย่างในห้องเรียน ความร่วมมือกันของผู้กำกับ ตากล้อง และนักแสดงนั้นไร้ที่ติ

ปัง!

ในตอนนี้ที่ผู้ชมกำดื่มด่ำไปกับความรู้สึกสงบ ความสงบนั่นจู่ ๆ ก็แตกกระจายออก ประตูถูกผลักเปิด และเด็กผู้หญิงที่มีทรงผมประหลาดก็พุ่งเข้ามาในห้อง

“เหอชิวเหมย! เงียบ อย่ารบกวนนักเรียนคนอื่น!” ผู้ชายสวมแว่นผมตั้งสั้นเดินตามหลังเด็กหญิงมา เขาถือโทรศัพท์ไว้ในมือข้างหนึ่งและตำราเรียนอยู่ในมืออีกข้าง ผู้ชายคนนั้นน่าจะเป็นอาจารย์สอนพิเศษ และเขายังดูคุ้นเคยกับนักเรียนที่เพิ่งเข้ามา

“ค่ะ ๆ” เด็กหญิงผมแดงเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ในปากและพึมพำตอบรับ

อาจารย์ผู้ชายรู้นิสัยเด็กหญิง ดังนั้นจึงแค่ยกมือขึ้นเกาหัวอย่างเคือง ๆ ปาดเหงื่อออกจากใบหน้าแล้วปรบมือเบา ๆ “ทุกคน สนใจผมหน่อยได้ไหมครับ? นี่เป็นนักเรียนใหม่ที่จะเข้ามาเรียนกับพวกเราวันนี้ เหอชิวเหมย เพราะเหตุผลทางด้านครอบครัว เธอก็เลยหยุดเรียนไปหนึ่งปี และเธอก็มาที่นี่เพื่อเรียนตามให้ทัน ผมหวังว่าพวกเราทุกคนจะช่วยเธอนะ”

อาจารย์แนะนำตัวอย่างง่าย ๆ และให้เธอนั่งที่ด้านหลังห้อง บังเอิญว่า เธอเลือกที่จะนั่งข้าง ๆ ตัวละครหลัก และดังนั้นจึงกลายมาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกัน กล้องซูมเข้าไปยังเหอชิวเหมย เด็กหญิงมีผมสีแดงซีด เธอเอนตัวพิงกำแพงแล้วโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจ

“เธอมองอะไร?” เด็กหญิงสังเกตเห็นตัวละครหลักมองมาที่เธอ นิสัยของเธอนั้นร้อนเหมือนไฟ ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนไม่ดี แต่ว่าเธอมีแนวโน้มที่จะทำเหมือนหาเรื่องคนอื่นอย่างไม่ตั้งใจมากกว่า พอถูกเด็กหญิงตะคอกใส่ กล้องที่แทนสายตาของตัวละครหลักก็เบนออกไป แต่ครู่ต่อมา กล้องก็หันกลับไปยังเหอชิวเหมยอีกครั้ง เห็นได้ชัดเจนว่าตัวละครหลักนั้นสนใจเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของเธอ

กริ่งดัง และเมื่ออาจารย์ออกไปจากห้อง ตัวละครหลักกำลังจะลุกขึ้นตอนที่ชิวเหมยจู่ ๆ ก็ผุดลุกขึ้น เธอตบหลังสือบนโต๊ะอย่างเกรี้ยวกราด พ่นหมากฝรั่งในปากออกมา แล้วก็หันไปหาตัวละครหลัก ดวงตาเกรี้ยวกราดของเธอและยังอารมณ์ร้อนวู่วาม ทั้งหมดที่ผู้ชมคิดก็คือเธอเป็นพวกอันธพาลและกำลังจะรังแกตัวละครหลัก เด็กหญิงชื่อชิวเหมยอ้าปากพูด “เธอเข้าใจที่เหล่าเฉาพูดก่อนหน้านี้ไหม? ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดอ่ะ?”

ตัวละครหลักส่ายหน้า และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมได้ยินเสียงเธอ “ฉัน… หลับ…”

“ทำไมคนที่ดูเป็นเด็กเรียนถึงได้เป็นเด็กไม่ดีล่ะเนี่ย? ไม่ได้เรื่องเลยอ่ะ!” ชิวเหมยกวาดตามองรอบห้องและก็ต้องอารมณ์เสีย ไม่มีนักเรียนคนไหนในชั้นเรียนที่ดูน่าเชื่อถือเลย “กำลังจะสอบแล้ว แล้วถ้าฉันสอบตกอีกครั้งฉันก็ต้องเสียเวลาไปอีกปีนึง แล้วอย่างนี้ฉันจะเรียนจบเมื่อไหร่กันฮะ?”

“เธอ… อยากเรียนจบขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ไม่มีใครอยากแก่หรอก แต่ว่าฉันก็ไม่อยากถูกทำเหมือนเป็นเด็กแล้วเหมือนกัน เธอไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าฉันต้องเรียนจบปีนี้ให้ได้” ชิวเหมยยัดหนังสือทั้งหมดเข้ากระเป๋าและหยิบสมุดจดของตัวเองขึ้นมาอ่านทบทวน ท่าทีตั้งอกตั้งใจเรียนนี้ขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ แต่ว่ามันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการแสดงของนักแสดง

นักเรียนเดินออกไปจากห้อง และชิวเหมยก็ยิ่งมายิ่งหงุดหงิด ในที่สุดเธอก็ตบสมุดจดลงที่โต๊ะอีกครั้งทำเหมือนกับว่าทำแบบนี้แล้วความรู้ในนั้นจะแตกกระจายและดูดซับได้ง่ายขึ้นอย่างนั้น

“ชะ สงสัยฉันคงต้องเริ่มจริงจังตั้งแต่วันพรุ่งนี้” หลังจากชิวเหมยเก็บของ เธอก็เดินออกไปจากห้องเรียนคนเดียว กล้องถ่ายตามหลังชิวเหมยไปก่อนที่มันจะขยับตามชิวเหมยออกไปจากห้องเหมือนกัน

“คุณเฉา พวกเราก็เป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายปี คุณช่วยฉันหน่อยไม่ได้เหรอคะ?”

เสียงของหญิงชราคนหนึ่งดังมาจากตรงมุมบันได กล้องกดลงไปและมันก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งที่มีผมสีเทาจับแขนคุณเฉาอยู่ เธอพยายามจะยื่นตะกร้าที่มีผ้าสีดำคลุมเอาไว้ให้คุณเฉา

“ร่างกายของฉันก็แย่ลงไปทุกวันและฉันก็ไม่รู้เลยว่าพ่อของชิวเหมยจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อไหร่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน เธอจะทำยังไง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ฉันเกรงว่าเธอจะกลายเป็นเหมือนพ่อของเธอ”

“คุณป้าเหอ เก็บของของคุณไว้เถอะครับ ผมจะพยายามสอนชิวเหมยอย่างเต็มที่ แต่ว่าการเรียนน่ะไม่ใช่อะไรที่ทำได้สำเร็จด้วยความพยายามฝ่ายเดียว ผมรับรองกับคุณป้าไม่ได้จริง ๆ แต่ผมสัญญาว่าจะช่วยคุณป้าดูแลเธอให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้” คุณเฉาไม่รับตะกร้าของหญิงชรา

“ขอบคุณนะคะคุณเฉา” หญิงชรากลับออกไปหลังจากขอบคุณคุณเฉาซ้ำ ๆ ฝ่ายหลังขมวดคิ้วขณะมุ่งหน้าขึ้นบันไดมา ตัวละครหลักต้องการทำตัวปกติที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ตอนที่เธอลุกขึ้นมา เธอก็กระแทกเข้ากับบางอย่างด้านหลังเธอ

กล้องหมุน และใบหน้าของชิวเหมยก็ปรากฏขึ้นเต็มจอ!

ฉากนี้ทำให้คนดูนึกได้ว่าภาพที่บนจอนั้นคือภาพเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้

“แอบฟังคนอื่นคุยกันสนุกไหม?” ชิวเหมยพูดอย่างเย็นชา “นั่นเป็นย่าของฉันเอง ยายแก่หัวรั้น”

“มัน… ดูเหมือนว่าคุณย่าจะดีกับเธอมาก”

“ก็แค่ภายนอกเท่านั้นแหละ เธอไม่รู้หรอกว่าคุยกับย่ามันยากแค่ไหน ให้ฉันบอกเธอนะ ฉันดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้ว เดิมที แผนการก็คือหยุดเรียนและหางานทำเพื่อเลี้ยงดูพวกเราทั้งสองคน แต่ว่าย่าไม่ยอม เอาแต่ดึงดันว่าฉันต้องเรียนให้จบก่อน ฉันถูกบังคับให้ต้องรับปาก เธอก็เห็นว่าย่าดื้อแค่ไหน และฉันก็เลยมาอยู่ตรงนี้ไง” ชิวเหมยดึงกระจกเล็ก ๆ ออกมาส่องหน้าตัวเอง ถ้าไม่เพราะท่าทีแค้นเคืองโลกนี้นิด ๆ นั่นละก็ เธอคงจะเป็นเด็กสาวที่งดงามคนหนึ่งเหมือนกัน

ทันทีที่ชิวเหมยดึงกระจกออกมา กล้องก็ถอยไปด้านหลังทันที มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าตัวละครหลักกลัวที่จะมองเห็นตัวเองในกระจก

“เป็นอะไรน่ะ?” ชิวเหมยสังเกตเห็นปฏิกริยาประหลาดของเด็กหญิง “เธอเองก็แปลกเหมือนกัน ให้ฉันบอกเธอนะ อย่าเล่าให้ใครฟังว่าย่าของฉันมาที่โรงเรียน”

“ได้…” หลังจะหยุดไปครู่หนึ่ง ตัวละครหลักก็เสริม “เธออยากเรียนจบให้เร็ว ๆ เพื่อที่จะได้ออกไปหางานทำเพื่อเลี้ยงดูย่าของเธอ?”

ชิวเหมยเก็บกระจกลงไปแล้วเอนตัวเข้ามาใกล้จอมากขึ้นและผลักตัวละครหลักเบา ๆ “เธอเป็นใครจะมาสนใจเรื่องของฉันฮะ? อย่างเดียวที่เธอต้องสนใจก็คือปากของเธอ”

ชิวเหมยคว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วเดินลงบันไดไป ตอนที่เด็กสาวสองคนเดินผ่านกัน ตัวละครหลักก็กระซิบเบา ๆ “เธอไม่ห่วงย่าไม่ได้หรอกนะ ย่าเธอกำลังจะตายแล้วในไม่ช้า”

“เธอพึมพำอะไรของเธอ?” ชิวเหมยได้ยินที่เธอพูดไม่ชัดหรือไม่ก็ไม่ได้คิดจะฟัง

กล้องยังจับอยู่ที่ชิวเหมยตอนที่เธอเดินจากไป ตัวละครหลักพึมพำออกมาอีกครั้งแต่ชัดเจน “เธอจะไม่ได้ดูแลย่าเธอหรอก ดวงตาข้างซ้ายของฉันมองเห็นทุกอย่าง”

“ชิวเหมย ออกไปเล่นกัน!” เด็กหญิงที่ด้านล่างโบกมือให้อย่างกระตือรือร้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอนั้นสดใสและตื่นเต้นเหมือนเพิ่งมีบางอย่างที่ดีมาก ๆ เกิดขึ้นกับเธอ ตัวละครหลักไม่ตอบ บนจอแช่ภาพเดิมเอาไว้หนึ่งวินาทีเต็ม ๆ แสดงให้เห็นถึงความว่างเปล่าและความเย็นชา ก่อนที่ตัวละครหลักจะขยับไปปิดหน้าต่าง

ความรู้สึกมืดมนนั้นไม่ได้สลายหายไปหลังจากที่หน้าต่างถูกปิด กลับกัน มันคืบคลานอยู่รอบ ๆ ตัวละครหลัก มันยากที่จะบอกว่าผู้กำกับจับความรู้สึกเช่นนี้มาไว้ในจอได้อย่างไร แค่ความรู้สึกของการกลัวที่แคบ ๆ และถูกขังเอาไว้คนเดียวก็ทำให้หนังสั้นเรื่องนี้ดีกว่าเรื่องอื่น ๆ ในท้องตลาดเป็นอย่างมากแล้ว

ห้องเล็ก ๆ นี่ราวกับกรงขัง และหลังจากที่หน้าต่างถูกปิด มันก็ราวกับน้ำทะเลเย็นเยือกถูกเทเข้ามาในห้องแล้วท่วมทับตัวละครหลักให้จมลงไป กล้องหมุนไปรอบ ๆ ห้องอย่างไร้จุดหมายก่อนที่เสียงของเด็กหญิงคนเดิมจะดังมาจากข้างหลัง

“ชิวเหมย! ชิวเหมย!” กล้องค่อย ๆ หันกลับไป ใบหน้าของเด็กผู้หญิงแนบติดอยู่กับกระจก เธอกดหน้าแนบกระจกแน่นจนเครื่องหน้าของเธอบิดเบี้ยวเกินจะจดจำได้– มันราวกับเธอพยายามจะใช้ใบหน้าของตัวเองแทรกผ่านกระจกเข้ามา

“ชิวเหมย ออกไปเล่นกัน!” สีแดงของเสื้อแจ็กเกตนั้นสะดุดตา และมันก็ขัดกันอย่างประหลาดกับท้องฟ้าสีเทาที่เป็นพื้นหลัง ตัวละครหลักอาศัยอยู่ชั้นที่สี่ ตอนที่เธอมองออกไปก่อนหน้านี้ เด็กหญิงคนนี้ยืนอยู่บนพื้นชัด ๆ

แต่ว่า กับปรากฏการณ์ประหลาดนี้ ตัวละครหลักกลับดูไม่ตกใจ มันเหมือนเธอชินชาไปแล้ว กล้องขยับไปทางอื่นอย่างสงบ ในเมื่อหนังเรื่องนี้เล่าจากมุมมองของตัวละครหลัก กล้องจึงแทนการมองเห็นของตัวละครหลัก กวาดตามองผ่านโต๊ะรก ๆ และเสื้อผ้าสกปรกเกลื่อนพื้นไปหยุดอยู่ที่ประตูห้องนอน

“ชิวเหมย ออกไปเล่นกัน!” ใบหน้าของเด็กหญิงยังแนบติดอยู่กับกระจกหน้าต่าง เสื้อแจ็กเกตสีแดงนั้นก็แผ่อยู่บนกระจกจนแสงที่ส่องผ่านมันมาเปลี่ยนเป็นสีแดงไปด้วย ลมหายใจของเธอเริ่มแรงขึ้น และจู่ ๆ ตัวละครหลักก็คว้ากรรไกรที่บนโต๊ะขึ้นมาชูขึ้นสูง

ในเมื่อนี่เป็นมุมมองบุรุษที่หนึ่ง มันจึงทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวละครหลักกำลังจะใช้กรรไกรแทงตัวเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากและยากที่จะตามการเปลี่ยนแปลงทัน

ปึ้ง!

ประตูห้องนอนถูกกระแทกเปิด และชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็พุ่งเข้ามา เขาคว้าข้อมือของตัวละครหลักเอาไว้แล้วฉวยเอากรรไกรไป

“ลูกกำลังจะทำอะไร?” กล้องหันไปทางด้านข้างแล้วหมุน ตัวละครหลักถูกผลักลงไปที่ข้างโต๊ะ

“ชีวิตของแม่ของลูกกับพ่อก็ไม่ง่ายแล้ว ลูกช่วยเลิกทรมานพวกเราเสียทีได้ไหม?”

ผู้ชมมองไม่เห็นสีหน้าบนใบหน้าของตัวละครหลัก แต่พวกเขาก็รับรู้สภาพตอนนี้ของตัวละครหลักได้จากท่าทีและสีหน้าของชายวัยกลางคน มนุษย์นั้นพิเศษ และความเชื่อมโยงเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะถ่ายทอดอยู่ในตัวทุกคน

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เสียงฝีเท้ารีบร้อนมาถึง และหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ก้าวเร็ว ๆ เข้ามาในห้อง เธอดูโทรม และเมื่อสายตาของเธอจับไปที่ตัวละครหลัก เธอก็หน้าแดงก่ำขึ้นในพริบตา โดยไม่ได้พูดอะไร เธอเบียดตัวเองผ่านสามีไปโอบตัวละครหลักเข้ามากอดแน่น

“ลูกเห็นเธออีกแล้วเหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นหันหน้าหากล้อง แต่ผู้ชมรู้ว่าเธอกำลังพูดกับตัวละครหลัก จากมุมนี้ ผู้ชมเห็นรายละเอียดสีหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าของมารดาได้ชัดเจน มีความเจ็บปวด กระวนกระวาย วิตกกังวล… แต่ที่มากกว่านั้น คือเจ็บปวดใจ

ถึงจะไม่มีการตอบสนองจากตัวละครหลัก ตัวแม่ก็รู้คำตอบแล้ว และเธอก็กอดตัวละครหลักแน่นเข้าอีก

“ทำไมลูกถึงเป็นคนที่ถูกลงโทษ? พวกเราจะทำอะไรกับภาวะเจ็บป่วยนี้ได้บ้าง?” กล้องขยับออกจากมารดาและหันไปที่ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง เมฆดำลอยต่ำอยู่บนฟ้าเหมือนกำลังจะหล่นลงมาครอบคลุมโลกเอาไว้ ด้วยตาปิดลงช้า ๆ และโรงละครก็กลับไปสู่ความมืด

ผู้ชายคนนั้นดูกระวนกระวายมาก ขาของเขาเบียดชิดกันและเขาก็ถามเฉินเกอเบา ๆ “ทำไมไม่มีเสียงแล้วล่ะ? เครื่องฉายหนังเสียเหรอ?”

ก่อนที่เฉินเกอจะทันตอบ เสียงดนตรีประหลาดก็วนอยู่ในห้อง ดวงตากะพริบก่อนที่จะเปิดออกอีกครั้ง กล้องขยับ และตัวละครหลักก็นอนอยู่บนเตียงของเธอ ข้าง ๆ กันนั้นเป็นพ่อกับแม่ของเธอและผู้ชายคนหนึ่งที่ผู้ชมไม่เคยเห็นมาก่อนยืนอยู่

ผู้ชายคนนี้ก้มตัวลง และเขาก็ยืนหันหลังให้ตัวละครหลัก ในเมื่อหนังถ่ายจากมุมมองตัวละครหลัก ก็เหมือนกันกับตัวละครหลัก ผู้ชมก็ไม่ได้เห็นใบหน้าของชายคนนั้น

“คุณหมอคะ เหวินอวี้ป่วยเป็นอะไรกันแน่? ทำไมเธอถึงเอาแต่พูดว่าเธอเห็นสิ่งประหลาดพวกนั้น?” แม่ของตัวละครหลักนั้นมีความเป็นห่วงฉายอยู่บนใบหน้า

“ใช่ คุณหมอ เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวผมครับ?”

“ผมไม่ใช่หมอครับ เป็นแค่คนที่ทำวิจัยเรื่องนี้มาบ้าง ตอนนี้ยังไม่ต้องเป็นห่วง ผมพอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ แล้ว” ผู้ชายคนที่ถูกเรียกว่าหมอนั้นมีเสียงที่เฉินเกอคุ้นเคย นี่เป็นความรู้สึกประหลาดเพราะว่าเฉินเกอไม่คิดว่าจะมีคนรู้จักของเขาคนไหนเคยเล่นหนังมาก่อน

หมอทำท่าให้พ่อกับแม่นั่งลง “สถานการณ์ของเธอค่อนข้างพิเศษ และผมจะเล่าแนวความคิดเบื้องต้นของผมให้พวกคุณฟัง”

หมอดึงกระดาษจดสีดำออกมาจากกระเป๋า “คุณน่าจะรู้ว่ามนุษย์เราอาศัยอยู่ในมิติที่สามใช่ไหม?”

พ่อกับแม่ส่ายหน้า พวกเขาไม่รู้เลยว่าคุณหมอกำลังจะพูดถึงอะไร

หมอพลิกหน้ากระดาษจดและเจอหน้าที่เขาฉีกออกมาจากหนังสือเล่มอื่น “พูดให้ง่ายก็คือ มิติที่สามนั้นคือโลกนี้ที่พวกเราเหล่ามนุษย์ครอบครองอยู่ มีความยาว ความกว้าง และความสูง มิติที่สี่นั้นเพิ่ม เวลา เข้าไปจากพื้นฐานของมิติที่สาม อันที่จริง เงื่อนไขที่ขัดขวางพวกเราเข้าไปในมิติที่สี่ก็คือ ‘เวลา’ เพราะการมีอยู่ของเวลา มนุษย์ในมิติที่สามจึงถูกบังคับให้ต้องเลือกตัวเลือกเดียวในแต่ละครั้ง และตัวเลือกที่ถูกเลือกนี้ก็เป็นตัวเลือกที่แยกออกมาต่างหากโดยสมบูรณ์ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประสบการณ์แต่ละครั้งของมนุษย์นั้นคือโลกสามมิติที่แยกออกจากกัน และถ้าคุณเอาโลกสามมิติทั้งหมดมาวางเอาไว้บนแกนเวลา อย่างนั้นคุณก็จะสามารถสร้างโลกสี่มิติได้”

ไม่เพียงแค่พ่อแม่ของตัวละครหลักจะงุนงงกับถ้อยคำของหมอ กระทั่งเฉินเกอที่เป็นผู้ชมก็ถูกชักนำเข้าไปในวงเวียนนั้นด้วย แต่ว่า ชายตาบอดที่ข้างเขาจู่ ๆ ก็เงียบและสงบลง

“แล้วนั่นเกี่ยวอะไรกับภาวะเจ็บป่วยของลูกสาวของฉันคะ?” คนแม่นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับทฤษฎีของหมอมากนัก เธอแค่ต้องการรักษาลูกสาวของเธอ

“ผมจะบอกคุณอีกครั้ง ลูกสาวของคุณไม่ได้ป่วย มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนโลกนี้มากมายในแต่ละวันจากเรื่องเล็กขนาดการชนกันของอะตอมถึงเรื่องใหญ่อย่างการขยายตัวของอวกาศ และยังมีหลายสิ่งที่พวกเรายังอธิบายไม่ได้…”

“หมอครับ ทำไมคุณไม่แค่บอกพวกเราตรง ๆ ลูกสาวของพวกเราจะดีขึ้นหรือเปล่า? ต้องใช้ยาแบบไหน? สภาพการเงินครอบครัวของพวกเราไม่ดีนัก แต่เพื่อลูกสาวของพวกเรา พวกเรายอมทำอะไรก็ได้” พ่อของเด็กสาวตัดบทเขา พวกเขาแสดงได้เหมือนจริงจนไม่รู้สึกว่านี่เป็นหนังแต่ว่าเป็นบันทึกเหตุการณ์จริง

“ลูกสาวของคุณไม่ได้ป่วย ดวงตาของเธอก็แค่ประสบอุบัติเหตุ” หมอยังคงหันหลังให้ตัวละคร “โลกสามมิติที่เรียงอยู่บนแกนเวลาบางครั้งก็ซ้อนทับกัน และลูกสาวของคุณ ฉางเหวินอวี้ นั้นอยู่ตรงที่ที่สองโลกซ้อนทับกัน ดังนั้น เธอจึงมองเห็นสิ่งที่คุณมองไม่เห็น!”

หนังยังเล่นต่อ เฉินเกอมาที่นี่เพื่อภารกิจ แต่ว่าเขากลับจมดิ่งลงไปกับเนื้อหาของหนัง

ทำไมหมอกับพ่อแม่ของเธอเรียกชื่อตัวละครหลักว่าฉางเหวินอวี้? แต่ว่าผีที่นอกหน้าต่างเรียกเธอว่าชิวเหมย? แล้วก็ สิ่งที่หมอคนนี้อธิบายน่าสนใจทีเดียว ฉันคิดว่าฉันควรจะจำมันเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจนัก มันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต

“ทำไมคุณถึงถามอย่างนั้น?” ผู้ชายคนนั้นถือไม้เท้าเอาไว้และอยากจะรักษาระยะห่างจากเฉินเกออยู่บ้าง แต่ว่าเขาอ่อนแรงเกินไปและไม่สามารถดิ้นหนีได้

“เพื่อนของผมหายตัวไปในโรงละครนี่ ดังนั้นผมจึงอยากจะย้อนรอยเท้าเขาและดูว่าจะเจอเงื่อนงำอะไรไหม” เฉินเกอพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ขณะยืนอยู่ในความมืดและกวาดตามองไปทั่วโรงละคร ที่นั่งหลายแถวนั้นสูงไม่เท่ากัน มองไปแล้วก็เหมือนเงามากมายกำลังยืนหรือไม่ก็นั่งอยู่

“คุณบ้าไปแล้วเหรอ? คุณมาที่นี่ตอนตีสองและต้องการให้ผมเปิดหนังให้คุณดู?” ถึงจะไม่มีข่าวลือน่ากลัวพวกนั้น ผู้ชายคนนี้ก็ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนธรรมดาคนไหนทำตัวเหมือนเฉินเกอ มาที่โรงละครร้างในตอนกลางดึกเพื่อดูหนัง

“ผมไม่ได้บ้าและรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไรอยู่” เฉินเกอส่องไฟฉายบนโทรศัพท์ไปที่อุปกรณ์ต่าง ๆ “ถ้าคุณไม่สะดวก ทำไมคุณไม่สอนผมล่ะว่าต้องทำยังไงแล้วให้ผมทำเอง?”

เฉินเกอนั้นเป็นคนที่ขยันเรียนรู้ เขาจะไม่ยอมเสียโอกาสที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ และนั่นก็เป็นเหตุผลให้เขาครอบครอง ‘ทักษะ’ หลายอย่าง

“คุณจำเป็นต้องไตร่ตรองสิ่งที่คุณจะทำให้มาก ๆ สิ่งที่ผมบอกคุณก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่นิทาน– มันคือความจริง” เปลือกตาของเขาสั่น– ผู้ชายคนนี้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เขาวางไม้เท้าลงที่ด้านข้างแล้วเริ่มยื่นมือออกไปคลำที่บนโต๊ะอย่างมืดบอด จากนั้นเขาก็ขยับช้ามาก ๆ และไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร เฉินเกอยืนมองเขาอยู่ข้าง ๆ และยิ่งเขามองชายคนนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

มือของเขานั้นคล่องแคล่วเกินไป ดวงตาของเขาปิดอยู่ แต่เขารู้ว่าอุปกรณ์และปุ่มต่าง ๆ อยู่ตรงไหน และสถานการณ์เช่นนี้อธิบายได้เพียงแค่สองแบบ

หนึ่งคือก่อนที่เขาจะตาบอด หรือกระทั่งหลังจากเขาตาบอด เขามาที่โรงละครนี้เป็นประจำ กระทำสิ่งเดียวกันซ้ำ ๆ และเมื่อเวลาผ่านไป การกระทำนี้ก็กลายไปเป็นความทรงจำของกล้ามเนื้อ และเขาก็สามารถเปิดใช้เครื่องมือพวกนี้ได้อย่างราบรื่นแม้ว่าดวงตาจะปิด

ความเป็นไปได้ที่สองก็คือเขาไม่เคยตาบอดเลยตั้งแต่ต้น

หลังจากเขาต่อวงจรทั้งหมด เขาก็คลำหาแหล่งกำเนิดพลังสำหรับเครื่องเล่น เขาพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็เปิดไม่ได้ “สวิตช์เปิดไฟหลักอยู่ที่ชั้นสอง คุณช่วยไปเปิดให้ผมได้ไหม?”

“ชั้นสอง?” เฉินเกอยกค้อนขึ้นแล้วเดินออกไปจากโรงละคร เขาเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง แต่ว่า เขาไม่ได้เข้าไป แต่ยืนอยู่ที่บนบันไดมองไปที่ทางเข้าโรงละคร

ประมาณห้าวินาทีให้หลัง ใบหน้าของชายคนนั้นก็โผล่ออกมาจากในโรงละคร เขาหยุดฟังเสียง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีเสียงอะไรแปลก ๆ อะไร จู่ ๆ เขาก็วิ่งเข้าไปในความมืด เสียงฝีเท้าสองเสียงก้องอยู่ในความมืด ก่อนที่ชายคนนั้นจะหนีพ้น ก็มีคนกดไหล่ของเขาเอาไว้

“คุณจะทิ้งผมไว้ที่นี่คนเดียวได้ยังไง?” เสียงของเฉินเกอดังเข้าไปในหูชายคนนั้นและฝ่ายหลังก็สะดุ้งด้วยความตกใจเหมือนถูกสายฟ้าฟาด “ผมหาสวิตช์ไฟหลักไม่เจอ ไปด้วยกันนะครับ”

เฉินเกอช่วยพยุงชายคนนั้นขึ้นไปที่ชั้นสองแล้วเปิดสวิตช์

เกิดเสียงระเบิดตามมา ไฟทั้งหมดในโรงละครกะพริบอยู่ครู่หนึ่ง

“ผมแค่อยากดูหนังที่นี่แล้วตามหาเพื่อนที่หายตัวไป แค่นั้นเอง ถ้าคุณยังจะขัดขวางผม ผมก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อว่าคุณมีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเพื่อนผม”

หลังจากเปิดไฟแล้ว เครื่องฉายหนังก็เริ่มทำงานเอง ผู้ชายคนนั้นเปิดช่องใส่ม้วนเทป หลังจากทุกอย่างถูกใส่เข้าที่แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นพูด “คุณสามารถเลือกหนังที่จะดูได้ด้วยตัวเอง แต่ว่าผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้าย– อย่าเลือกหนังสยองขวัญ ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น”

ดูหนังในโรงละครนั้นเป็นภารกิจส่วนแรกของดวงตาข้างซ้าย ตอนนี้ตีสองแล้ว ถ้าเขาไม่ทำภารกิจนี้ให้เสร็จโดยเร็ว เขาอาจจะไม่สามารถทำภารกิจสำเร็จได้ในคืนนี้ เพราะมีความคิดนี้อยู่ในใจ เฉินเกอจึงกวาดตามองรายชื่อหนังทั้งหมด และเขาก็ตั้งใจจะเลือกหนังที่สั้นที่สุด

โทรศัพท์เครื่องดำแค่ต้องการให้นั่งดูหนังที่นี่ และมันไม่ได้ระบุชนิดของหนังเอาไว้เป็นพิเศษ

เฉินเกอนั้นไม่ได้คิดจะเพิ่มความยากให้กับภารกิจ เขามองหาหนังศิลปะแนวอบอุ่น หรืออะนิเมชั่น แต่เมื่อเขาคลิกไปบนรายชื่อหนัง เขาก็พบว่าไม่มีเรื่องไหนที่เล่นได้เลย มันบอกว่าหนังแต่ละเรื่องนั้นไม่มีอยู่ และต้องการดูให้ดาวน์โหลดใหม่อีกครั้ง หลังจากค้นอยู่พักหนึ่ง เฉินเกอก็พบว่ามีแค่หนังสยองขวัญเท่านั้นที่เล่นได้

เชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับสิ่งที่ชายคนนั้นพูดก่อนหน้า เฉินเกอก็เริ่มสงสัย มีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ หรือว่ามีบางอย่างทำลายไฟล์หนังอื่น ๆ ไป?

เมื่อตรวจดูรายชื่อหนังแล้ว เขาก็พบเรื่องประหลาดอีกจุดหนึ่ง เฉินเกอเปิดบ้านผีสิง เขามักจะดูหนังสยองขวัญมองหาแรงบันดาลใจ แต่เขากลับไม่รู้จักหนังในรายชื่อสักเรื่องเลย

หนังสยองขวัญเหล่านี้นั้นต่างไปจากที่อยู่บนท้องตลาด ทั้งผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างของหนังพวกนี้นั้นมีชื่อเหมือนกัน

เฉินเกอคลิกหนังเรื่องหนึ่งแล้วจำชื่อผู้กำกับเอาไว้

ฉางกู? นั่นเป็นชื่อจริงหรือชื่อในวงการกันนะ?

“คุณเลือกหนังได้หรือยัง?” มือของผู้ชายคนนั้นยังสั่นอยู่ตลอด สภาพรอบด้านไม่ได้เปลี่ยน แต่เขากลับดูไม่สบายใจมากขึ้น เหมือนยิ่งเขาอยู่ที่นี่นานเข้าแล้วจะมีบางอย่างตามเขากลับบ้าน

“อืม ผมจะเลือกหนังที่สั้นที่สุด” หนังสยองขวัญส่วนใหญ่นั้นยาวประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง แต่เฉินเกอเจอเรื่องหนึ่งที่ยาวแค่ยี่สิบห้านาที ชื่อของหนังเรื่องนั้นก็คือ ‘เพื่อนร่วมโต๊ะ’

ยังมีเวลาอีกห้านาทีกว่าภารกิจจะจบลง หนังเริ่มฉาย และแสงไฟในโรงละครก็สลัวลงขณะภาพพร่ามัวปรากฏขึ้นบนจอ

“ยังไงผมก็มองอะไรไม่เห็นอยู่ดี ดังนั้นเลยคิดจะกลับไปก่อน ที่เป็นหมายเลขโทรศัพท์ของผม หลังจากคุณดูจบก็โทรหาผม แล้วผมจะกลับมาเก็บกวาดที่นี่” ชายคนนั้นพ่นตัวเลขชุดหนึ่งออกมา หลังจากเฉินเกอบันทึกเลขพวกนั้นแล้วเขาก็กดโทรออก เสียงสั่นดังมาจากในกระเป๋าของชายคนนั้น เขาไม่ได้โกหก

ด้วยประสบการณ์การรับมือกับผู้เข้าชมที่หวาดกลัว เฉินเกอนั้นแน่ใจว่าความกลัวของชายคนนั้นไม่ได้เสแสร้งขึ้นมา หลังจากรู้อย่างนั้นแล้วเขาก็ยิ่งไม่ยินดีจะปล่อยผู้ชายคนนี้กลับออกไป เขาต้องรู้เรื่องภายในบางอย่าง แต่เขาไม่ยอมบอกเรื่องพวกนั้นกับเฉินเกอ

“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนออกไปหรอก พวกเราสองคนควรจะอยู่ด้วยกันไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็ช่วยดูแลกันและกันได้” เฉินเกอรั้งชายคนนั้นเอาไว้แล้วกดเขาลงกับที่นั่งอย่างหนักแน่น เมื่อคิดถึงความปลอดภัย เฉินเกอก็เลือกที่นั่งที่ใกล้กับทางออกที่สุด

“ขอบคุณนะครับ แต่…”

“ชู่ หนังเริ่มฉายแล้ว”

ดูหนังสยองขวัญในโรงละครนั้นเป็นประสบการณ์ที่ต่างไปจากดูที่บ้าน ความรู้สึกของการถูกความมืดห้อมล้อมเอาไว้และอยู่ที่นั่นด้วยตนนั้นไม่สามารถลอกแบบไปไว้ที่บ้านได้

หัวใจเต้นอยู่ข้างหู และจากนั้นก็เสียงหายใจหนัก ๆ ดวงตาดวงหนึ่งปรากฏขึ้นบนจอช้า ๆ และจากม่านตาสีดำ นั้นมองเห็นเงาของผู้หญิงคนหนึ่ง กล้องถอยออกช้า ๆ แล้วค่อย ๆ เบนไปทางโต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่ง นาฬิกาปลุกที่บนนั้นบอกเวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง ที่นอกหน้าต่าง เมฆดำและลอยต่ำ

พายุกำลังจะมา

หนังเล่าเรื่องจากมุมมองบุรุษที่หนึ่ง และผู้ชมก็มองเห็นสิ่งที่ตัวละครหลักเห็น

“ชิวเหมย!”

มีคนเรียกชื่อนี้ซ้ำ ๆ อยู่ที่ชั้นล่าง กล้องขยับอีกครั้ง ตัวละครหลักลุกจากเตียงและเดินไปที่หน้าต่าง เธอเปิดหน้าต่างแล้วดูเหมือนจะชะโงกหน้าออกไป บนจอแสดงสิ่งที่อยู่ด้านล่าง

เด็กหญิงในเสื้อแจ็กเกตสีแดงคนหนึ่งกำลังโบกมือให้ตัวละครหลัก

“คุณหมายความถึงอะไรน่ะ?” เฉินเกอกำลังจะต้องไปที่โรงละครส่วนตัวนั่นแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากรู้ให้มากเท่าที่จะรู้ได้

“ผู้ที่มาพักหลายคนเลือกที่จะใช้โรงละครตอนกลางคืน และพวกเขาทั้งหมดก็เจอเข้ากับฉากพิเศษนี้ในหนัง เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง เธออายุราวยี่สิบปีมีผมยาวสีดำและใบหน้าพร่ามัว

“เดิมที แขกก็ไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่านั่นเป็นเงาของพนักงานหรือมีบางอย่างผิดไปกับตัวม้วนเทป จนกระทั่งครอบครัวสี่คนครอบครัวหนึ่งมาพักที่นี่ ตอนที่ลูกสาวคนเล็กของพวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในโรงละคร เธอก็เริ่มร้องโวยวายเสียงดัง เมื่อไม่มีทางเลือก คนภรรยาก็อุ้มลูกสาวออกไป เหลือไว้แค่สามีกับลูกชาย

“วันนั้นพวกเขาดูหนังอะนิเมชั่น แต่หนังเล่นไปได้ครึ่งทาง เด็กชายจู่ ๆ ก็หันไปถามพ่อของเขา ‘ทำไมถึงมีพี่สาวคนนั้นยืนอยู่ตรงมุมบันไดล่ะ?’

“ผู้ชายคนนั้นไม่ได้คิดมาก แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เด้กชายก็ถามอีก ‘ทำไมพี่สาวคนนั้นถึงเอาแต่มองพวกเรา?’

“คำถามไม่จบไม่สิ้นจากเด็กทำให้ผู้ชายคนนั้นรำคาญ แต่ในเมื่อพวกเขาอยู่ในที่สาธารณะ เขาก็กดความโมโหเอาไว้แล้วเตือนให้ลูกชายเขาอยู่เงียบ ๆ

“ลูกชายถูกเข้าใจผิด แต่เขาก็เงียบลงหลังจากนั้น แต่ว่าไม่นาน ประมาณยี่สิบนาทีให้หลัง เด็กชายจู่ ๆ ก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่มีเหตุผล นี่ทำให้ผู้ชายคนนั้นประหลาดใจมาก เขาพยายามปลอบลูกชายของเขา แต่ว่าเด็กชายเอาไว้ซุกหน้าตัวเองลงที่อกเขา และไม่ยอมหยุดร้องไห้

“พ่อของเด็กชายเริ่มสังเกตว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาพบว่าลูกชายของเขากลัวที่จะเงยหน้าขึ้นมาเหมือนมีบางอย่างน่ากลัวมากอยู่บนจอ

“เขาจำเอาไว้ แล้วหลังจากหนังจบลง เขาก็อุ้มลูกชายกลับไปหาภรรยาและจากนั้นก็กลับไปที่โรงละครเพื่อค้นหาความจริง…”

เรื่องราวพาเฉินเกอด่ำดิ่งลงไป แต่จู่ ๆ ผู้ชายคนนั้นก็หยุดพูด “คนพ่อเจออะไรเหรอครับ?”

“พ่อของเด็กชายหายตัวไป กล้องวงจรปิดบันทึกภาพเขาเข้าไปในโรงละครคนเดียว แต่เขาไม่เคยกลับออกมา”

“คนทั้งคนจะหายไปอย่างนั้นได้อย่างไร? คุณไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม?” เฉินเกอลุกขึ้นยืน “โรงละครนั่นอยู่ที่ไหน? ผมอยากจะไปดูด้วยตาตัวเอง”

ได้ยินอย่างนั้น ริมฝีปากผู้ชายคนนั้นก็สั่น เขาตั้งใจจะหลอกให้เฉินเกอกลับออกไป แต่ผู้ชายตรงหน้าเขากลับสนใจมากขึ้นไปอีกหลังจากได้ฟังเรื่องผี

“ไม่ ไม่มีทาง!”

“ถ้าคุณไม่ยอมนำทาง อย่างนั้นผมก็จะไปเอง อย่างไรเสีย ที่นี่ก็ใหญ่แค่นี้” เฉินเกอคว้ากระเป๋าสะพายหลังของตัวเอง เขามองชายตรงหน้า ไม่ว่าวิลล่าจะถูกทิ้งร้างหรือไม่ก็ตาม เขาก็ไม่คิดว่าฝ่ายการจัดการจะทิ้งชายตาบอดเอาไว้เป็นยาม

“ผมไม่เข้าใจจริง ๆ นะ ทำไมคุณถึงดึงดันที่จะไปที่นั่นให้ได้? คุณพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอว่ามาหาเพื่อนที่นี่?” ผู้ชายคนนั้นเริ่มกระวนกระวายและพยายามจะห้ามเฉินเกอ

“ใช่ ผมมาที่นี่เพื่อหาเพื่อน ก่อนที่เขาจะหายตัวไป ข้อความสุดท้ายที่เขาส่งให้ผมบอกว่า– ฉันอยู่ที่ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิง” เฉินเกอพูดอย่างจริงใจและมั่นใจแบบที่ไม่มีใครบอกได้เลยว่าเขากำลังโกหก

“เพื่อนของคุณหายตัวไปที่นี่?” ผู้ชายคนนั้นเงียบไป มือของเขากุมกันแน่น และเขาก็ตัดสินใจได้หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ ผมจะพาคุณไปที่นั่น แต่ถ้าเพื่อนของคุณไม่อยู่ที่นั่น พวกเราก็จะกลับออกมาทันที”

“ขอบคุณครับ” เฉินเกอตรงเข้าไปช่วยพยุงชายคนนั้น แต่เมื่อเขาแตะลงที่ผิวของชายคนนั้น ชายคนนั้นก็ผลักเขาออกอย่างแรง เขาเหมือนนกขี้ตกใจ เฉินเกอไม่คิดว่าจะเจอปฏิกริยารุนแรงเช่นนี้ “ผมขอโทษครับ ผมแค่อยากช่วยพยุงคุณเท่านั้น”

“ไม่เป็นไร ผมเดินเองได้” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนในความมืด ถึงแม้ว่าดวงตาของเขาจะปิดอยู่ มันก็เหมือนกับเขาสามารถมองเห็นรอบด้านได้ชัดเจนดี เขาเดินในห้องอย่างชำนาญ คว้าไม้เท้านำทางที่ข้างประตูแล้วเดินออกไป เฉินเกอตามหลังเขาไป ทั้งสองคนเดินผ่านตึกประหลาดหลายหลัง

“คนที่ออกแบบที่นี่น่าจะไม่ได้คิดถึงการใช้พื้นที่อย่างเหมาะสมใช่ไหม?”

“คุณจะไปรู้อะไร? มันเป็นศิลปะ”

“ผมไม่เข้าใจจริง ๆ นั่นแหละ คุณอยากอธิบายให้ผมฟังไหม?”

ผู้ชายคนนั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากพูดคุย เขารีบเดิน เขาคุ้นเคยกับบริเวณนี้และเดินเร็วกว่าที่เฉินเกอคิดเอาไว้ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ทั้งสองคนก็มาหยุดอยู่หน้าตึกสองชั้นที่ถูกปิดผนึกเอาไว้

“ที่นี่คือโรงละครส่วนตัว ทางเข้าถูกปิด และผมก็ไม่มีกุญแจ แต่ว่ามีหน้าต่างเล็ก ๆ ที่บนชั้นสอง คุณมองเข้าไปข้างในได้

“ได้ ขอบคุณครับ ผมจะไปดูรอบ ๆ ก่อน” เฉินเกอเดินไปที่ประตู หันกลับมาและเห็นผู้ชายคนนั้นยังยืนอยู่ตรงนั้น “คุณมีอะไรต้องไปทำหรือเปล่า? คุณอยากให้ผมเดินไปส่งคุณกลับก่อนไหม?”

“ไม่เป็นไร” ผู้ชายคนนั้นมีความรู้สึกว่าบางอย่างเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น เขายืนอยู่ที่เดิมอยู่นานก่อนจะหันกลับ แต่ว่า ก่อนที่เขาจะเดินออกไปก้าวแรก ก็มีเสียงกระแทกดังมาจากด้านหลังเขา

ปัง!

ความเงียบยามค่ำคืนแตกกระจาย เสียงกระแทกที่แทบจะทำให้แก้วหูเขาฉีกดังขึ้น เขาสะดุ้งอย่างตกใจ ไม้เท้าหลุดออกจากมือเขา

“เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” มือของเขาคลำหาไปในความมืดอย่างมืดบอด เขากำลังตื่นตระหนก ตอนนั้นเอง มืออบอุ่นข้างหนึ่งก็เอื้อมมาจับเขาให้อยู่นิ่ง ๆ แล้วพยุงเขาขึ้น

“มีคนอื่นอยู่ที่นี่!” เฉินเกอช่วยพยุงเขาลุกและน้ำเสียงของเขาก็ช้าและปลอบประโลม

“เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทาง!” ผู้ชายคนนั้นโซเซถอยไป เขาร้อนรน ร่างกายของเขาสั่น ไม้เท้าถูกเตะไปไกล ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีม่วง

“คุณจะรู้ได้ยังไงในเมื่อคุณมองอะไรไม่เห็นเลย?” เมฆดำลอยมาบังดวงจันทร์ เฉินเกอพยุงชายคนนี้เอาไว้ด้วยมือหนึ่ง และอีกมือถือค้อนหน้าตาน่ากลัวเอาไว้ เขายืนอยู่ข้างชายคนนั้นแล้วจ้องมองดวงตาที่ปิดสนิท ถ้ามีคนมาเห็นเข้า พวกเขาก็คงคิดว่านี่เป็นฉากสยองขวัญ

“ถ้ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ อย่างนั้นก็แย่แล้ว! นี่เที่ยงคืนแล้ว ซึ่งหมายความว่ามันอาจจะกลับมา!” ผู้ชายคนนั้นดูรีบร้อนขึ้นมาทันที จากน้ำเสียงและสีหน้าของเขา เฉินเกอเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก

“อย่าตื่นตระหนก ใจเย็น” เฉินเกอมองโทรศัพท์ ภารกิจทดลองนั้นให้เวลาเขาเตรียมตัวแค่ครึ่งชั่วโมง ถ้าเขาปล่อยให้ชายคนนี้เดินกลับไปเอง อย่างนั้นก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ “พวกเราสองคนทางที่ดีก็อยู่ที่นี่ก่อน เผื่อเอาไว้”

เฉินเกอหยิบไม้เท้าแล้วส่งคืนให้ พยุงเขาเอาไว้ ทั้งสองคนเข้าไปในโรงละครส่วนตัว ดูจากสภาพย่ำแย่ภายนอกแล้วก็ไม่คิดว่าด้านในจะสะอาดอย่างน่าประหลาดใจเหมือนยังได้รับการทำความสะอาดทุกวัน

เฉินเกอตรวจดูอุปกรณ์ฉายหนังที่บนโต๊ะ แทบจะไม่มีฝุ่นเลย รักษาความสะอาดได้ในระดับนี้ ย่อมไม่ใช่ฝีมือของคนตาบอดคนหนึ่ง

มองดวงตาของชายคนนี้ที่ยังไม่ลืมขึ้นเลยตั้งแต่ที่พวกเขาพบกัน เฉินเกอก็กำค้อนแน่น

“ตอนนี้พวกเราก็อยู่ในโรงละครแล้ว คุณรู้วิธีเปิดเครื่องนี่ไหม?”

TL note: ท้ายตอนที่แล้วแปลผิด ประตูไม่ได้ล้ม แต่เปิด เปิดออก ต้องขออภัยผู้อ่านด้วย (แก้ไขในตอนก่อนหน้าแล้วจะมาลบโน้ตนี้ในภายหลัง)

 

“มันไม่ได้ล็อก?” เฉินเกอผลักเปิดประตูเหล็กให้กว้างขึ้น ตรงหน้าเขาคือตึกสองชั้นที่มีสถาปัตยกรรมอันประหลาด มันยากที่จะจินตนาการว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่กลางป่า “กล่องจดหมายอันใหม่ถูกติดไว้ที่บนประตู และด้านหลังประตูเป็นถังสีแดงเต็มไปด้วยน้ำดื่ม และยังมีผ้าที่ซักตากเอาไว้ อย่างนั้นก็ต้องมีคนอาศัยอยู่ที่นี่”

เพราะกลัวว่าจะทำให้ ‘ชาวบ้าน’ ที่นี่ตกใจกลัว เขาจึงรออยู่สิบวินาที และเมื่อเฉินเกอกำลังจะยอมแพ้ ประตูตึกใกล้ ๆ กันก็ถูกผลักเปิด ไม่มีใครพูดอะไร และหลังจากสื่อสารกันด้วยความเงียบ เสียงแหบแห้งก็ดังมาจากด้านหลังประตู “คุณมาหาใคร?”

จากน้ำเสียงเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกอายุคนพูด เฉินเกอมองตึกนั้นจากไกล ๆ และไม่คิดจะเข้าไปใกล้ตึกนั้นอย่างวู่วาม เมื่อชาวบ้านธรรมดาเห็นคนแปลกหน้าอยู่ในอาณาเขตบ้านของตนในตอนกลางดึก ปฏิกริยาแรกของพวกเขาน่าจะเป็นการเปิดไฟและไม่เปิดประตู แต่ว่า เจ้าของเสียงกลับมีการกระทำที่ไม่ปกติ หลังจากลังเลอยู่สิบวินาที เขาก็ผลักประตูเปิดกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย

“ผมขอโทษด้วยนะครับ แต่ว่าที่นี่คือฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงหรือเปล่า?” เฉินเกอสุภาพมาก ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ไม่ว่าเขาจะเจอเข้ากับอะไร เขาเชื่อว่าความสุภาพสามารถเปิดประตูหลายบานได้

“มีอะไรให้ผมช่วย?” คนผู้นั้นไม่ได้ตอบคำถามเฉินเกอตรง ๆ แต่จากน้ำเสียงของเขา เขายืนยันคำตอบแล้ว

“เรื่องเป็นแบบนี้ครับ เพื่อนของผมบอกว่าเขาพักอยู่ที่ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงและบอกให้ผมมาหาเขาคืนนี้ แต่ว่า GPS ของผมหาตำแหน่งจากชื่อนั้นไม่ได้ ดังนั้นผมจึงมาถามทาง” เฉินเกอไม่ได้โกหก เขามาหาเพื่อนจริง ๆ แต่เมื่อคนที่อยู่หลังประตูได้ยินคำตอบของเฉินเกอ ก็มีเสียงกลืนน้ำลายดังมาให้ได้ยิน “เพื่อนของคุณกำลังพักอยู่ที่ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิง?”

เสียงของชายคนนั้นแปลกไป เหมือนลำคอของเขาแห้งผาก และเขาก็พึมพำออกมาได้ไม่ชัดเจนนัก

“ใช่ครับ คุณรู้ไหมว่าฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงอยู่ที่ไหน?” เฉินเกอก้าวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว ให้ความสนใจในชายที่หลังประตู

“รู้สิ เพราะว่าคุณอยู่ที่ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงแล้ว” ตอนที่ผู้ชายคนนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าเฉินเกอใกล้เข้าไป เขาก็ปิดประตูลงอีกครั้ง “ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงนั้นสร้างขึ้นบนหมู่บ้านที่อยู่บนเขาหยงหลิง ตอนนั้น เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่นี่ และชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ย้ายออกไป หลังจากนั้น เพราะเหตุผลบางอย่าง ฝ่ายการจัดการก็ถูกบีบให้ต้องทิ้งฮอลิเดย์วิลล่าไปด้วยเหมือนกัน และผมก็เป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ดูแลที่นี่”

ผู้ชายคนนั้นหยุดก่อนที่จะพูดต่อผ่านประตู “ผมเป็นผู้อาศัยคนเดียวที่นี่ คุณคงจะถูกเพื่อนหลอกเอาแล้ว เขาไม่ได้อยู่ที่นี่”

“ไม่น่าเป็นอย่างนั้นนะครับ” เฉินเกอพูดต่ออย่างเรียบ ๆ “นานมาแล้ว มีกองถ่ายมาถ่ายหนังที่นี่ และเขาก็เป็นหนึ่งในคนของกองถ่าย เขาเชิญผมมาที่นี่คืนนี้เพราะว่าเขาบอกว่าเขาเจอบางอย่างที่สำคัญ”

“หยุดพูด มันดึกแล้ว ระวังคำพูดของคุณด้วย” ผู้ชายคนนั้นตัดบทเฉินเกออย่างรวดเร็ว เขาไม่ต้องการให้เฉินเกอพูดต่อ

ปฏิกริยาประหลาดนี้เป็นสิ่งที่เฉินเกอกำลังรออยู่ แทนที่จะหยุด เขาพึมพำกับตัวเองต่อ “ผมเกรงว่ามันจะเป็นเพราะกองถ่ายของเขาที่ที่นี่เปลี่ยนไปเป็นฮอลิเดย์วิลล่า ผมได้ยินมาว่าเกิดเรื่องแปลก ๆ หลายอย่างขึ้นตอนที่พวกเขาถ่ายหนัง หนังนั่น ผมคิดว่า มันน่าจะชื่อ… ดวงตาข้างซ้าย?”

“หยุดพูด!” ผู้ชายคนนั้นผลักประตูเปิดออกและเขาก็ดูค่อนข้างวิตกกังวล ตอนนี้เมื่อประตูเปิดออกกว้าง เฉินเกอถึงได้เห็นผู้พูดชัดเจนขึ้น ผู้ชายตรงหน้าเขาอายุราวสี่สิบปี รูปร่างเตี้ยและยังหลังค่อมอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขาซีดขาว และที่น่าสงสัยที่สุดก็คือดวงตาของเขาทั้งคู่ปิดอยู่– เขาเป็นชายตาบอดคนหนึ่ง เฉินเกอโบกมือเบา ๆ ตรงหน้าชายคนนั้น และฝ่ายหลังก็ไม่มีปฏิกริยาอะไรเลย “ผมต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ผมไม่ได้คิดจะล่วงเกินอะไร ผมแค่พูดตามที่เพื่อนของผมเคยบอกผม”

“เพื่อนของคุณบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในกองถ่าย? เขาหน้าตายังไง?” ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะใจเย็นลงแล้ว

“เขาหน้าตายังไง?” เฉินเกองุนงง ชายตาบอดคนหนึ่งถามหน้าตาของคนอื่น นั่นฟังดูไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ หลังจากตรองอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเกอก็บอกรูปร่างหน้าตาของหลี่ซางอิ๋นออกไป

ผู้ชายคนนั้นขมวดคิ้วก่อนที่จะรอให้เฉินเกอเข้าไปในตึก “อย่ามัวยืนอยู่ตรงนั้น เข้ามา”

ในตึกนั้นมืด สวิตช์ไฟที่ผนังถูกเอาออกไป และเหลือเพียงแค่แป้นของมันเท่านั้น ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับความมืดไปแล้ว เขาก้าวยาว ๆ เข้าไปในห้องนั่งเล่นและนั่งลงบนโซฟา เขาไม่ได้กระแทกถูกอะไรเลยในระหว่างทาง เจอเข้ากับชายตาบอดที่ดูประหลาดตอนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้อย่างนี้ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่กล้าตามเข้าไป แต่ว่าเฉินเกอนั้นเป็นข้อยกเว้น

“ผมไม่รู้ว่าเพื่อนของคุณบอกอะไรคุณ แต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่ผมแน่ใจ– คุณถูกหลอก” ผู้ชายคนนั้นยื่นมือออกมาคลำหาแก้วพลาสติกที่บนโต๊ะ เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วยกขึ้นจิบ

“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะเชื่อคุณไม่เชื่อเพื่อนผม?” เฉินเกอสังเกตเห็นว่ามือของชายคนนี้สั่นนิด ๆ ตอนที่เขาหยิบแก้วขึ้นมา

“กองถ่ายดวงตาข้างซ้ายจะไม่กลับมา ที่นี่น่ะเป็นต้นกำเนิดของฝันร้ายของพวกเขา หลังจากหนีเอาชีวิตรอดไปได้หวุดหวิด พวกเขาจะกลับมากันทำไม?” เสียงของผู้ชายคนนั้นกลับมาเป็นปกติและสงบลงแล้ว

“พี่ชาย เหมือนว่าคุณจะรู้รายละเอียดภายในบางอย่าง” เฉินเกอนั่งอยู่ตรงข้ามชายคนนั้น ในห้องมีแสงสว่างเล็กน้อย แสงจันทร์ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง เกิดเป็นแสงสลัวส่องมาที่โต๊ะกาแฟ

“ผมเป็นแค่ยามคนหนึ่ง ผมเองก็ไม่มีเงื่อนงำเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับกองถ่าย แต่ว่าผมรู้ว่าบ้านเลขที่ 744 เขาหยงหลิงนั้นถูกทำลายไม่เหลือซากเพราะว่าเคยถูกใช้เป็นฉากถ่ายหนังของพวกเขา” ผู้ชายคนนั้นมีดวงตาปิดสนิท แต่ว่าใบหน้าของเขาหันมาหาเฉินเกอ “หลังจากที่ที่นี่กลายมาเป็นฮอลิเดย์วิลล่า เจ้าของก็สร้างโรงละครส่วนตัวทับที่ตรงนั้นที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเลขที่ 744…”

ตอนที่ผู้ชายคนนั้นพูดถึงโรงละคร โทรศัพท์เครื่องดำในกระเป๋าของเฉินเกอจู่ ๆ ก็สั่น เฉินเกอสงสัย ทำไมถึงมีข้อความเข้าโทรศัพท์เครื่องดำในเวลาอย่างนี้กัน?

เขาดึงโทรศัพท์ออกมาแตะเปิดข้อความใหม่

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ ที่ค้นพบภารกิจระดับสองดาว– เรื่องราวของดวงตาข้างซ้าย!

“ภารกิจนี้ประกอบด้วยสามส่วน กรุณาไปให้ถึงโรงละครคนตายในอีกครึ่งชั่วโมงนี้และสนุกไปกับหนังยาวเต็มเรื่อง!

“หลังจากภารกิจส่วนนี้สำเร็จแล้ว จึงจะมอบภารกิจส่วนถัดไปให้!”

อ่านข้อความบนจอแล้ว เฉินเกอก็หรี่ตา “มีความผิดพลาดอะไรใช่ไหมเนี่ย? ทำไมถึงไม่ใช่โรงละครส่วนตัวล่ะ?”

“เฮ้ คุณกำลังฟังผมอยู่หรือเปล่า?” ผู้ชายคนนั้นเรียกเฉินเกอ

“ขอโทษทีครับ ผมแค่อึ้งไป พูดต่อเลยครับ” เฉินเกอเหลือบมองเวลาและเก็บโทรศัพท์ลงไป

“สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นค่อนข้างน่ากลัว จะตอนเช้าหรือตอนเย็น เมื่อไหร่ก็ตามที่เข้าไปข้างใน โรงละครก็ให้ความรู้สึกน่าขนลุกอย่างประหลาด แขกหลายคนก็บอกว่าตอนที่พวกเขากำลังดูหนังอยู่ พวกเขาเห็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับหนังอยู่ในหนังด้วย”

วางการ์ดลงแล้วเฉินเกอก็หยิบลูกกุญแจจากบนโต๊ะขึ้นมามองเงียบ ๆ หลังจากพ่อกับแม่ของเขาหายตัวไป ผู้เข้าชมที่บ้านผีสิงก็ลดลงอย่างมากเรื่อย ๆ ทำให้บ้านผีสิงต้องเผชิญกับการเกือบจะต้องปิดตัวลง ในช่วงเวลาเลวร้ายที่สุด ซูว่านเลือกที่จะอยู่ต่อ เธอเป็นพนักงานที่ได้รับคัดเลือกจากพ่อกับแม่ของเฉินเกอเพียงคนเดียวที่เลือกจะอยู่ต่อจนถึงที่สุด

“เป็นไปได้ไหมว่าเด็กคนนั้นสัมผัสได้ถึงบางอย่าง?” เฉินเกอเก็บลูกกุญแจไปและเปิดกล่องเค้ก เทียบกับกล่องแล้ว เค้กที่ด้านในนั้นเรียกได้ว่าเป็นหายนะ ที่ตรงกลางนั้นยุบ และยังมีจุดดำ ๆ จากการอบนานเกินไป ทั้งก้อนดูโงนเงนเหมือนแค่แตะก็จะถล่มลงมา

แต่ก็ยังมองเห็นความตั้งใจของผู้อบได้ เธอใช้ครีมปาดไปทั่วหน้าเค้กพยายามปกปิดตำหนิที่เกิดขึ้น และในระหว่างนั้นเค้กคงจะแบะออก ดังนั้นครีมจึงเป็นทั้งการตกแต่งและเป็นกาวยึดทั้งหมดเอาไว้ด้วยกัน มันซึมลึกเข้าไปในเนื้อเค้ก แค่มองดูเค้กนี่ ภาพซูว่านอบมันก็ปรากฏขึ้นในใจเฉินเกอ

“ไม่แปลกใจเลยที่เธอเป็นพนักงานของฉัน กระทั่งอบเค้กก้อนหนึ่งก็ยังมอบความรู้สึกพรั่นพรึงได้” หยิบมีดที่อยู่ในกล่องขึ้นมา เฉินเกอตัดชิ้นเล็ก ๆ ออกมาใส่ปาก “หืม เนื้อเค้กยังสยดสยองยิ่งกว่า ด้านนอกแข็งกระด้างเกินไป และที่ด้านในยังไม่สุก เหนียวติดฟัน และยังมันเลี่ยนมาก อย่างที่คิดเลย นี่น่าจะเป็นเพราะว่าอบที่อุณหภูมิต่ำนานเกินไป ไม่อย่างนั้นด้านนอกก็คงไม่ไหม้และด้านในก็คงสุกดี เดี๋ยวก่อนนะ เธอใช้แป้งขนมปัง? เธอไม่รู้หรือไงว่าอบเค้กก็ต้องใช้แป้งเค้ก?”

ถึงแม้ว่าเฉินเกอจะวิจารณ์มันยับ เขาก็ยังกินเค้กเกือบครึ่งก้อนเข้าไปอย่างรวดเร็ว เห็นเฉินเกอมีความสุขมากเจ้าแมวขาวก็สงสัย แต่พอมันชะโงกเข้าไปหาเค้ก มันก็ถูกดันกลับเข้าไปในกระเป๋า “ครีมไม่ดีต่อตัวแก เมื่อถึงวันเกิดของแก ฉันจะทำเค้กอาหารแมวให้แทน”

เฉินเกอไม่สนใจการดิ้นรนประท้วงของเจ้าแมว เฉินเกอเช็ดปาก หิ้วกระเป๋าออกไปจากห้องพักพนักงาน งานเลี้ยงวันเกิดใช้เวลาไปพักหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้กินเวลาแผนการคืนนี้ของเฉินเกอนัก เขาค้นหาทุกอย่างที่ทำได้เกี่ยวกับดวงตาข้างซ้ายแล้ว และเขาก็วางแผนจะไปดูสักหน่อยในคืนนี้

ออกจากสวนสนุกนิวเซนจูรี่แล้วเฉินเกอก็รออยู่ที่ริมถนนอยู่เป็นนานแต่ว่าไม่มีแท็กซี่ผ่านมาเลยสักคัน คนขับแท็กซี่ในจิ่วเจียงดูเหมือนจะเห็นพ้องต้องกัน– อย่าไปที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่หลังเที่ยงคืน และอย่ารับผู้โดยสารจากที่นั่น

“โชคไม่ดี รถเมล์ของฉันตอนนี้ติดอยู่หลังประตูในเมืองหลี่ว่าน”

หลังจากเดินไปอีกสองถนน ในที่สุดเฉินเกอก็ได้เจอแท็กซี่คันหนึ่ง หลังจากขึ้นรถ เขาก็บอกที่อยู่ “คุณครับ ผมต้องการไปที่บ้านพักตากอากาศเขาหยงหลิงครับ”

“เขาหยงหลิง?” คนขับงุนงงไปครู่หนึ่ง “มีบ้านพักตากอากาศที่นั่นด้วย?”

“ทำไมคุณไม่เปิด GPS ดูล่ะครับ?” เฉินเกอนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน– นั่นเป็นสิ่งที่ในอินเตอร์เนตบอกมา

“ชื่อเต็มของที่นั่นล่ะ?” คนขับรถพิมพ์คำว่าเขาหยงหลิง แต่ว่า GPS นั้นไม่แสดงสถานที่ที่เรียกว่าเป็นบ้านพักตากอากาศเขาหยงหลิง

“ชื่อเต็ม…” เฉินเกอหรี่ตา เขามองสองสามชื่อที่ปรากฏขึ้นบน GPS– สถานีเติมน้ำมันเขาหยงหลิง ตลาดดอกไม้เขาหยงหลิง ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิง “อย่างนั้นพวกเราไปฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิง”

“หือ? คุณเลือกปลายทางง่าย ๆ อย่างนี้เลย?” คนขับรถมองเฉินเกอผ่านกระจกมองหลัง เขารู้สึกเหมือนคุ้น ๆ หน้าเฉินเกอ และเรื่องผีที่เล่ากันอยู่ในกลุ่มเพื่อนฝูงของเขาก็ผ่านเข้ามาในใจ ติดเครื่องยนต์แล้วพวกเขาก็ออกรถไป ประมาณครึ่งชั่วโมง แสงไฟในเมืองก็เริ่มห่างหายไป มีเงาใหญ่โตอยู่ที่ปลายถนน และนั่นก็น่าจะเป็นภูเขาหยงหลิงจิ่วเจียงตะวันตก

ตามที่ GPS บอก แท็กซี่น่าจะไปถึงที่หมายในไม่ช้าแล้ว คนขับกำพวงมาลัยรถไว้แน่น เขาเปิดปากจะพูดคุยกับเฉินเกออยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งเขาก็ยอมแพ้ในนาทีสุดท้าย เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไม– บางทีผู้ชายที่เบาะหลังนี่อาจจะดูเข้าถึงยากเกินไป

หลังจากแท็กซี่ขึ้นเขามา แสงไฟรอบ ๆ พวกเขาก็หายไปหมด ผู้คนน้อยนักที่จะมาที่นี่ตอนกลางคืน ดังนั้นที่นี่จึงดูเวิ้งว้างว่างเปล่า หลังจากขับต่อไปอีกประมาณห้านาที GPS บนโทรศัพท์ของคนขับก็บอกว่า “พวกเรามาถึงปลายทางแล้ว”

รถจอดอยู่บนถนน และรอบด้านพวกเขาก็มีแค่ความมืด บางครั้งยังมองเห็นเงาพร่ามัวของกิ่งก้านต้นไม้แกว่งไกวอยู่ในความมืดและเสียงใบไม้ขยับไปตามสายลม มือของคนขับที่กำพวงมาลัยรถอยู่นั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ และใบหน้าของเขาก็ซีด ‘การเดินทาง’ ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกของเขาเลยสักนิด

“พวกเรามาถึงแล้ว GPS บอกว่าที่นี่คือฮอลิเดย์วิลล่าภูเขาหยงหลิง” คนขับหันหน้ากลับไปมองเฉินเกออย่างกระอักกระอ่วน เปลือกตาของเขากระตุกไม่หยุด เขากลัวว่าคนน่าสงสัยที่เบาะหลังนี่จะจู่ ๆ ก็ดึงอาวุธออกมายึดรถของเขาไป

“นี่คือฮอลิเดย์วิลล่า? ไม่มีตึกอะไรเลย นี่มันที่ร้างชัด ๆ” ด้วยดวงตาหยินหยางของเขา เฉินเกอสามารถมองเห็นในความมืดได้ เขาพบว่าพวกเขาถูกป่าล้อมเอาไว้ “คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่ได้โกหกผม? คุณขับรถพาผมมาที่ไหนก็ไม่รู้ตอนกลางดึก?”

“ทำไมคุณถึงมาสงสัยผมได้เล่า? คุณครับ ผมก็ตาม GPS มาเนี่ยแหละ!” คนขับรถเปิดไฟทุกดวงขึ้น แต่แสงไฟก็ยังไม่สามารถขับไล่ความหวาดกลัวในใจของเขาได้

“งั้นก็ได้” เฉินเกอจ่ายค่าโดยสาร คว้ากระเป๋าแล้วลงจากรถ เขาเปิดไฟฉายที่บนโทรศัพท์ เขาเดินไปตามถนนและเห็นทางเล็ก ๆ ที่มีพุ่มไม้โตล้ำเข้ามาบังมุ่งหน้าตัดผ่านป่านี้ไป “ฉันต้องเข้าไปลึกอีกงั้นเหรอ? ฮอลิเดย์วิลล่าเขาหยงหลิงอยู่ข้างในนั่น? ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนว่าที่นี่ร้างมานานแล้วล่ะ?”

เฉินเกอหันกลับไปหวังจะถามคนขับรถเรื่องนี้ แต่ตอนที่หันกลับไปนั้นเขาก็เห็นคนขับรถเลี้ยวรถแล้วเร่งความเร็วลงเขาไปเท้าเหยียบนิ่งอยู่บนคันเร่ง

“ที่นี่น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ในเมื่อพึ่งพาคนอื่นไม่ได้ เฉินเกอก็ต้องเชื่อในตัวเอง เขายกโทรศัพท์ขึ้นแล้วเดินไปตามทาง เขาเดินอยู่สองสามนาทีก่อนที่ตรงหน้าจู่ ๆ จะเปิดกว้างออก เฉินเกอมองเห็นกำแพงเตี้ย ๆ แถวหนึ่งและสิ่งก่อสร้างที่มีสถาปัตยกรรมแปลกตาสองสามหลัง

“ฮอลิเดย์วิลล่า? ใครจะมาที่นี่เพื่อใช้เวลาวันหยุดกัน? ที่นี่ดูเหมือนบ้านผีสิงของฉันมากกว่าอะไรทั้งนั้น” วันหยุดนั้นมีไว้เพื่อผ่อนคลาย ไม่ใช่เพื่อให้หัวใจวาย ยิ่งเฉินเกอเดินเข้าไปหาที่นั่น เขาก็ยิ่งงุนงง

“ตำแหน่งถูกบันทึกเอาไว้ใน GPS แต่มันเหมือนว่าที่นี่จะถูกคนหลงลืมไปนานแล้ว ฉันอยากรู้ว่ามันยังเปิดบริการอยู่หรือเปล่า” ถนนเต็มไปด้วยหลุมและรอยแตก ต้นไม้ที่ด้านข้างนั้นรกและระเกะระกะ พวกมันต้องการการดูแลให้ดีกว่านี้มาก ๆ

กำแพงนั้นก็มีเถาวัลย์ไต่ และยังบังตัวอักษรที่บนกำแพงไปหมด เฉินเกอหาดูอยู่นานกว่าจะเจอทางเข้าวิลล่าที่อยู่ห่างไปประมาณสิบเมตร บนประตูเหล็กสนิมกรังนั้นมีป้ายเขียนเอาไว้ว่าห้ามเข้า และที่ข้าง ๆ กันนั้นเป็นตู้จดหมายทำจากไม้สีน้ำตาลเข้ม

“ทุกวันนี้ยังมีคนใช้ตู้จดหมายอยู่อีกหรือ?” ป้ายไม้และตู้จดหมายนั้นเป็นงานทำมือทั้งคู่ ชิ้นงานนั้นหยาบและยังไม่เข้ากันกับรูปแบบของที่นี่เลยสักนิด

“ตัวอักษรที่บนป้ายนั้นอ่านง่ายและลวดที่มัดมันเอาไว้บนประตูนั้นยังไม่มีสนิมขึ้น ดังนั้นนี่จะเป็นของใหม่” เฉินเกอพยายามดึงประตูเหล็กเปิด บานพับลั่นเสียงดังและเมื่อเขาผลักแรงขึ้น ประตูเหล็กก็เปิดออกตามแรงของเขา

ถึงซีอีโอไป๋จะพยายามทำเหมือนตัวเองเข้าอกเข้าใจแค่ไหน เมื่อเขาได้ยินคำเชื้อเชิญอย่างใจกว้างจากเฉินเกอ ใบหน้าของเขาก็ยังเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ เฉินเกอนั้นไม่ใช่คนที่จะมามัวประดิษฐ์ประดอยคำ เขาชอบพูดตรงเข้าประเด็นมากกว่า

ถ้าคุณคิดว่าบ้านผีสิงของผมมีปัญหา อย่างน้อยที่สุด คุณก็ต้องเข้าไปสัมผัสมันด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่งก่อนถึงจะมีสิทธิ์ติเตียนอะไร

เป็นธรรมดาที่ซีอีโอไป๋จะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเฉินเกอ แกพูดเล่นหรือไง? กระทั่งนักแสดงบ้านผีสิงมืออาชีพยังเป็นลมไปหลังจากเข้าชม ถ้าฉันรับคำเชิญนี่ ก็ไม่ใช่รับคำเชิญไปตายหรือไง?

“ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปดูตอนบ่ายนี้น่ะ แต่ถ้าต่อไปมีโอกาส ผมต้องรับข้อเสนอนี้ของคุณแน่ ๆ” ซีอีโอไป๋หัวเราะกระอักกระอ่วน หลังจากปฏิเสธเฉินเกอแล้วท่าทีของเขาก็ไม่ได้ดูร้ายกาจอย่างก่อนหน้า

“แย่จังเลยนะครับ ถ้าต่อไปคุณได้มา คุณต้องบอกผมก่อนนะครับ ผมจะให้บริการคุณเป็นพิเศษเลย” การบริการเป็นพิเศษของบ้านผีสิงของเฉินเกอนั้นมอบประสบการณ์อันพิเศษ ผู้เข้าชมหนึ่งคนเข้าฉากระดับ 3.5 ดาว สำรวจเมืองหลี่ว่านพร้อมกับผู้เข้าชมอีกเก้าคนที่แสดงโดยพนักงานของบ้านผีสิง

“ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นแล้วกัน” ซีอีโอไป๋รู้สึกเหมือนว่าถ้าเขายังคุยเรื่องนี้ต่อไป สถานการณ์ก็จะไม่เข้าทางเขาแล้ว เขาดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดหมายเลข “เสี่ยวชวง ทำไมนายไม่พาซางอิ๋นมาที่นี่ล่ะ? ไม่มีอะไรหรอก ทั้งผู้อำนวยการลั่วและเฉินเกอเป็นคนมีเหตุผล พวกเขาไม่ทำอะไรนายหรอก”

สองสามนาทีต่อมา เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากด้านนอกประตู ฝาแฝดคู่หนึ่งพยุงหลี่ซางอิ๋นเข้ามาในห้องทำงานของผู้อำนวยการลั่ว เฉินเกอเคยเห็นคนกลุ่มนี้มาก่อนแล้ว พวกเขาล้วนเป็นพนักงานของสถาบันฝันร้าย

“ผู้ชายคนนี้ดูคุ้น ๆ นะครับ ถ้าผมจำไม่ผิด เขาเคยมาบ้านผีสิงของผมมาก่อน” เฉินเกอจำหลี่ซางอิ๋นได้ตั้งแต่เห็นแวบแรก หลี่ซางอิ๋นนั้นไม่กล้ามองเฉินเกอ เขาไปนั่งที่มุมห้องด้วยการพยุงจากฝาแฝด

“ซางอิ๋น บอกเฉินเกอสิว่าเธอเห็นอะไรในบ้านผีสิง” ซีอีโอไป๋ดูเหมือนจะเข้าควบคุมสถานการณ์ได้อีกครั้ง ทุกคนในห้องหันไปมองหลี่ซางอิ๋น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ และความกลัวที่ก้นบึ้งดวงตาของเขาก็กระจ่างราวกับกลางวัน

“เป็นเขาแหละ!” หลังจากพ่นสามคนนี้ออกมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ริมฝีปากของหลี่ซางอิ๋นก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงขณะที่เขาหอบเอาอากาศเข้าไปอย่างกระหาย “ผี! มีผีอยู่ในบ้านผีสิง! ที่นั่นมีผีสิง!”

“นี่หมายความว่ายังไงน่ะ? ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุดเหรอที่บ้านผีสิงจะมีผี?” เฉินเกอเอนตัวพิงพนักโซฟา และถอนหายใจอย่างจนปัญญา

“แต่ว่าที่นั่นมีผีจริง ๆ! บ้านผีสิงของเขามีผีสิงจริง ๆ! ผีทั้งหมดล้วนเป็นของจริง! คนเป็น ๆ ไม่สามารถสร้างความรู้สึกแบบนั้นได้หรอก!” จิตใจของหลี่ซางอิ๋นค่อย ๆ กระจ่างขึ้น และถ้อยคำของเขาก็เต็มไปด้วยความแหลมคมอีกแบบหนึ่ง

“สถาบันฝันร้ายสร้างความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้” เฉินเกอหมดความอดทนแล้ว น้ำเสียงของเขาไม่มีความให้เกียรติใดเหลืออยู่ ดวงตาของเขานั้นมองหลี่ซางอิ๋นเหมือนมองขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง “คุณควรจะใช้เวลาพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นแทนที่จะพยายามฉุดคนอื่นลงต่ำ ต่อให้บ้านผีสิงของผมปิดตัวไป ผู้เข้าชมก็ไม่ไปบ้านผีสิงของคุณหรอก”

“ไม่! ผมยืนยันได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์! นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จะเกิดได้จากคนเป็น ๆ!” ดวงตาของหลี่ซางอิ๋นแดงก่ำ

“ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไงนะ ในฐานะนักแสดงมืออาชีพของบ้านผีสิง คุณอยากจะไปก่อเรื่องให้กับบ้านผีสิงอื่น แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณกลับเป็นคนที่หมดสติไปเอง คุณสูญเสียความภาคภูมิใจทั้งหมดไป ดังนั้นคุณจึงคิดเรื่องโง่ ๆ นี่พยายามกอบกู้ศักดิ์ศรีเล็ก ๆ น้อยที่คุณเหลืออยู่” การวิเคราะห์ของเฉินเกอนั้นมีเหตุผลและน่าเชื่อถือ

“ผมเป็นพนักงานที่บ้านผีสิงมาห้าปี ดังนั้นผมถึงรู้เรื่องบ้านผีสิงมากกว่าที่คุณรู้ ผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในอุตสาหกรรมนี้นั้นมีระดับเพดานสูงแค่ไหน…”

หลี่ซางอิ๋นยังต้องการพูดต่อ แต่ว่าเฉินเกอตัดบทเขา “ห้าปีนับว่านานจริง ๆ เหรอ? พ่อกับแม่ของผมเริ่มต้นทำบ้านผีสิงเคลื่อนที่มาตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน ผมเติบโตขึ้นมาโดยมีของประกอบฉากพวกผีและสัตว์ประหลาดเป็นของเล่น ตอนที่คุณยังแก้ผ้า เรียนสะกดคำ ผมก็รู้วิธีการติดตั้งหุ่นแล้ว”

เฉินเกอลุกขึ้นยืน “ผมมองไม่เห็นเหตุผลของการพูดคุยครั้งนี้ เพดานที่คุณพูดถึงนั่นน่าจะเป็นเพดานในมุมมองของคุณ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง นั่นเป็นเพดานจำกัดของคุณ ไม่ใช่ของผม”

“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ เฉินเกอ คุณไว้หน้าผมสักนิดไม่ได้หรือไง?” ซีอีโอไป๋ลุกขึ้นยืนตัวตรง เขารู้สึกว่าตัวเองไว้หน้าเฉินเกอมากแล้ว “ซางอิ๋นยังเด็ก และเขาก็ไม่รู้วิธีการพูดจา เอาแบบนี้เป็นไง? ทำไมคุณไม่เรียกนักแสดงทั้งหมดที่รับผิดชอบหลอกเขาออกมา นั่นน่าจะตอบคำถามทั้งหมดได้ในทีเดียว”

เฉินเกอหันกลับไปมองผู้อำนวยการลั่ว หลังจากสบตากัน เขาก็หยุดยืนนิ่ง “ซางอิ๋น คุณอ้างว่าบ้านผีสิงของผมมีผีจริง ๆ อย่างนั้นคุณบอกผมอย่างละเอียดได้ไหมว่าคุณไปเจอเข้ากับผีนั่นที่ไหน และผีตนนั้นหน้าตาเป็นยังไง?”

เขาเดินไปหาหลี่ซางอิ๋น หรี่ตาลง ทุก ๆ ก้าวของเขานั้นทำให้หลี่ซางอิ๋นโซเซถอยหลังไปจนกระทั่งจนมุมอยู่ด้านหลังโซฟา

“คุณกลัวผมเหรอ? หรือเพราะคุณคิดว่าผมก็เป็นผีเหมือนกัน?” หลังจากทำภารกิจทดลองที่โทรศัพท์เครื่องดำให้มาสำเร็จไปหลายภารกิจ เฉินเกอก็ถูกฝึกจนรอบ ๆ ตัวนั้นมีบรรยากาศอันพิเศษแบบหนึ่ง

“ผมจำนักแสดงคนอื่นได้ไม่ชัดนักเพราะว่าความทรงจำของผมมันวุ่นวายอยู่บ้าง แต่ว่ามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่โรงแรมที่ผมจำได้ชัดเจน! เขาไม่ใช่คนเป็น ๆ!” หลี่ซางอิ๋นพูดผ่านไรฟัน “คุณกล้าพาเขามาเจอผมที่นี่ไหมล่ะ?”

“ที่โรงแรม!? ชายวัยกลางคน?” เฉินเกอขมวดคิ้ว จากที่ผู้ชายคนนี้บรรยาย เขาดูเหมือนจะพูดถึงจางจิงจิ่ว แต่ปัญหาก็คือ… ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงแน่ใจมากว่าจางจิงจิ่วเป็นผี? ในฐานะพนักงานใหม่ จางจิงจิ่วบางครั้งยังถูกเฉินเกอทำให้ตกใจกลัว แล้วเขาจะไปสร้างความรู้สึกว่าเขาเป็นผีได้ยังไง?

นี่มันแผนการบ้าอะไรกัน? เฉินเกอไม่เข้าใจเลย

“คุณไม่กล้าใช่ไหมล่ะ? เพราะว่าไม่มีคนแบบนั้นที่บ้านผีสิงของคุณ! ผมพูดถูกใช่ไหม?” หลี่ซางอิ๋นตะโกนดวงตาเป็นประกายกล้า สมองของเขานั้นเติบโตมาในวิถีทางที่ต่างไปจากคนธรรมดา และวิธีการคิดของเขานั้นก็เอนเอียงไปในทางสุดโต่ง “อย่าได้คิดว่าคุณจะไปเอาใครมั่ว ๆ มาแทนเขานะ ผมมีรูปของเขาอยู่!”

หลี่ซางอิ๋นใช้มือสั่น ๆ ของตัวเองดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เขาแตะเปิดอัลบั้มรูปที่เขาถ่ายรูปจางจิงจิ่วเอาไว้ นี่เป็นรูปที่หลี่ซางอิ๋นถ่ายเอาไว้ตอนที่เขาอยู่ในชุดหญิงท้องก่อนที่จะไปคุยกับจางจิงจิ่ว

“ถูกแมวดึงลิ้นไปแล้วหรือยังไง? ทำไมถึงลังเล? รูปนี่ชัดมาก ผมต้องการให้คุณพาคนคนนี้มาที่นี่เดี๋ยวนี้!” หลี่ซางอิ๋นเชื่อว่าเขาเตรียมตัวมาพร้อม เขารู้สึกขอบคุณที่ตัวเองได้ถ่ายรูปนี้เอาไว้ก่อน โชคไม่ดี เขามีแค่รูปของจางจิงจิ่ว หลังจากที่เขาวิ่งหนีอย่างรีบร้อน การถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐานก็ไม่ได้ผ่านเข้ามาในความคิดเขาอีกเลย

“คุณพูดเองนะ คุณทำงานที่บ้านผีสิงมาห้าปีแล้ว คุณก็ควรจะรู้ว่ามันมีกฏห้ามถ่ายรูปในบ้านผีสิง ผมจะเก็บรูปนี่ไว้ และอีกไม่กี่วัน ผมจะไปที่สถาบันฝันร้ายด้วยตัวเองเพื่อขอคำอธิบาย” เห็นรูปแล้วเฉินเกอกลับรู้สึกโล่งอกแทน

“อย่าพยายามเปลี่ยนเรื่อง!” หลี่ซางอิ๋นเสียงดังขึ้น จากมุมมองของเขา เขาเป็นฝ่ายถูกต้องแน่นอน

“อย่างนั้นก็รอที่นี่” เฉินเกอหันกลับออกไปจากห้องทำงานของผู้อำนวยการลั่ว เขาไปที่บ้านผีสิงรับตัวจางจิงจิ่วที่กำลังศึกษาการแสดงอยู่

“เอาขวดน้ำยาล้างเครื่องสำอางไปด้วย พวกเรากำลังจะไปเจอเพื่อนเก่า” เฉินเกออธิบายให้จางจิงจิ่วฟังสั้น ๆ ระหว่างทาง และฝ่ายหลังก็เข้าใจทุกอย่างได้เกือบจะทันที เคาะประตูแล้วเฉินเกอก็พาจางจิงจิ่วเข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการลั่ว และตอนที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไป อุณหภูมิในห้องก็เหมือนจะลดลงไป

“นี่คือนักแสดงในรูป จางจิงจิ่ว” ทุกคนหันไปหาจางจิงจิ่วที่ยังมีการแต่งหน้าฝีมือเฉินเกออยู่ กระทั่งยืนอยู่ในห้องทำงานที่สว่างจ้า สบตากับเขาก็ยังให้ความรู้สึกหวาดกลัวมาก

“ผมต้องขอโทษที่หลอกคุณเมื่อวันนั้น ผมไม่คิดว่าคุณจะขี้กลัวขนาดนั้น ผมต้องขออภัยอย่างสุดซึ้งจริง ๆ” จางจิงจิ่วเดินเข้าไปหาหลี่ซางอิ๋น แต่เมื่อฝ่ายหลังเห็นเขาเดินเข้าไปหา เขากลับกรีดร้องออกมาเหมือนเด็กผู้หญิงแล้วกระโดดหนีไป

“ไม่! อยู่ห่าง ๆ นะ! นี่มันแหละ! เขาเป็นผี! เขาเป็นผีจริง ๆ นะ!”

“ไม่ต้องสนใจเขา” เฉินเกอส่งขวดน้ำยาล้างเครื่องสำอางให้จางจิงจิ่ว “ไปล้างเครื่องสำอางออกซะ เดี๋ยวฉันแต่งให้นายใหม่ทีหลัง”

“ได้ครับ” และจางจิงจิ่งก็ทำอย่างที่ถูกบอกให้ทำ หลังจากถอดเสื้อคลุม เขาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งในทันที ตัวเขาไม่มีอะไรน่ากลัว เขาดูเหมือนพนักงานออฟฟิศคนหนึ่งที่พบได้ทั่วไป

“ไม่ใช่ว่านักแสดงที่สถาบันฝันร้ายก็แต่งหน้าเหรอ?” จางจิงจิ่ววางขวดน้ำยาล้างเครื่องสำอางลงตรงหน้าพนักงานทั้งสามคนจากสถาบันฝันร้าย

เมื่อความจริงกระจ่างอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ฝาแฝดคู่นั้นก็รีบลุกขึ้นขออภัย “พวกเราเสียใจมาก การแต่งหน้าของบ้านผีสิงของคุณสุดยอดมาก ๆ พวกเราวู่วามเกินไป พวกเราต้องขออภัยด้วย”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมแน่ใจว่ามีหลายอย่างที่พวกเราสามารถเรียนรู้ได้จากกันและกัน ผมสัญญาว่าจะไปเยี่ยมสถาบันฝันร้ายไม่ช้าก็เร็ว”

พนักงานจากสถาบันฝันร้ายสัมผัสได้ถึงความโกรธที่แผ่ออกมาจากเฉินเกอ หลังจากขอโทษซ้ำ ๆ พวกเขาก็รีบปลีกตัวออกไปเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซีอีโอไป๋ดูกระอักกระอ่วนและนั่งอยู่ที่เดิมอย่างอับอาย แต่เขาก็ยังพยายามรักษาท่าทีเอาไว้

“เสี่ยวเฉิน ตอนนี้มีแค่นี้แหละ เธอกลับไปได้เลย” ใบหน้าของผู้อำนวยการลั่วเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ เขาดูเหมือนจะมีหลายอย่างที่อยากจะ ‘พูดคุย’ กับซีอีโอไป๋

“ได้ครับ” เฉินเกอรู้ว่าผู้อำนวยการลั่วเตรียมจะเชือดซีอีโอไป๋ แต่พวกเขาไม่มีใครพูดอะไร ระหว่างทางกลับ เฉินเกอพบว่าจางจิงจิ่วก้มหน้าต่ำเหมือนมีบางอย่างในใจ

“จิงจิ่ว ถ้านายมีอะไรอยู่ในใจก็พูดออกมาได้เลย พวกเราผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ดังนั้นคุณบอกผมได้ทุกเรื่อง” เสียงของเฉินเกออบอุ่น เขาสามารถทำให้คนอื่นนั้นมีกำลังใจขึ้นมาถ้าเขาตั้งใจจะทำ

“ผมสร้างปัญหาให้คุณอีกแล้วใช่ไหม? ผมรู้สึกไร้ประโยชน์มากเลย ผมหลอกผู้เข้าชมได้ไม่ดี และยังลดค่าเฉลี่ยความน่ากลัวรวมของบ้านผีสิงของพวกเรา แล้วคราวนี้ ผมยังสร้างปัญหาใหญ่ให้คุณอีก” เสียงของจางจิงจิ่วเจื่อน “ตั้งแต่เด็ก ผมก็มักจะสร้างปัญหาให้ครอบครัว เพราะแม่ของผม ผมก็เลยทุ่มความไม่พอใจทั้งหมดใส่พ่อ เชื่อว่ามันเป็นความผิดของเขา แต่ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่ามันเป็นแค่หนทางง่าย ๆ ให้ผมหนีจากการถูกกล่าวโทษ มองกลับไปแล้ว ผมเป็นคนที่แย่ เป็นลูกที่แย่”

“หลายวันมานี้ ผมมองคุณอยู่ในบ้านผีสิง คุณพยายามเรียนรู้อย่างหนัก แต่ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างรั้งคุณเอาไว้ คุณทำให้ผมรู้สึกว่าคุณขังตัวเองเอาไว้ในกรงเล็ก ๆ”

ยืนอยู่ในตึกสำนักงาน เฉินเกอมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขากวาดมองทั้งสวนสนุก

“ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาอ่อนแอและสูญเสีย แต่ว่าทุกคนก็ยังมีเสน่ห์ของตัวเองเช่นกัน ตอนนี้ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือปลดโซ่ที่รอบหัวใจคุณ และปล่อยตัวตนแท้จริงของคุณออกมา เมื่อถึงเวลา คุณก็จะได้กลับไปซินไห่พบพ่อของคุณ บางอย่างนั้นอย่าปล่อยทิ้งไว้ไม่พูดจะดีกว่า คุณจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากนั้น”

เฉินเกอตบบ่าจางจิงจิ่ว “ลองมองดูสิ พนักงานที่ผมสามารถพึ่งพาได้ก็มีแค่พวกคุณไม่กี่คน ต่อไป ผมวางแผนจะให้คุณเปิดสาขาให้ผมในต่างเมือง และถึงตอนนั้น คุณก็ต้องควบคุมดูแลหลายอย่างเลยนะ”

“ขอบคุณครับ”

“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ผมมีพนักงานแค่ไม่กี่คน และผมก็ปฏิบัติกับทุกคนเหมือนเป็นครอบครัวของผม” เฉินเกอพาจางจิงจิ่วกลับไปที่บ้านผีสิง เขาให้จางจิงจิ่วกลับไปสวมบทเจ้าของโรงแรมเหมือนเดิมขณะที่เขากลับไปที่ห้องพักพนักงานเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับดวงตาข้างซ้ายเพิ่ม เขาวางแผนจะลงมือคืนนี้

“โรงเรียนแห่งปรโลกจะถึงเส้นตายวันมะรืนนี้ ไม่ว่าจางหยาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ฉันก็ต้องไปทำภารกิจนี้ หรือไม่อย่างนั้นภารกิจก่อนหน้าก็จะเสียเปล่าไปหมด” เฉินเกอมองเงาของตัวเองแล้วก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หยิบปฏิทินบนโต๊ะขึ้นมา “วันนี้เป็นวันที่หนึ่งมิถุนายน กำลังจะถึงเทศกาลวันหยุดแล้ว และสวนสนุกนิวเซนจูรี่ก็กำลังจะเปิดในไม่ช้า ฉันมีเวลาเหลือไม่มากนักแล้ว

จางหยายังจำศีล และซู่อินได้รับบาดเจ็บสาหัส มันอันตรายสำหรับเขามากที่จะไปท้าทายภารกิจระดับสี่ดาว โรงเรียนแห่งปรโลก เฉินเกอเข้าใจทุกอย่าง แต่ว่าเขาไม่มีทางเลือก ถ้าเขาปล่อยโรงเรียนแห่งปรโลกไป เขาก็นับว่าสูญเสียมากมาย

“ฉันควรจะไปลองดู หวังว่าฉันจะรอดชีวิตกลับมาได้” ดวงตาของเขาขยับไปทางรูปที่มุมโต๊ะ และเฉินเกอก็ส่ายหน้าเบา ๆ นี่เป็นรูปครอบครัว พ่อกับแม่ของเขายืนอยู่ตรงกลาง– แม่ของเขาดูเหมือนจะกอดอะไรสักอย่างเอาไว้ พ่อของเขาชี้ไปที่บ้านผีสิงด้านหลังพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า และเฉินเกอยืนอยู่คนเดียวที่ด้านข้าง

เฉินเกอหรี่ตา มองเห็นว่าแม่ของเขากำลังกอดลูกสาวของผู้อำนวยการลั่ว วิญญาณที่ไม่ได้ต่างไปจากวิญญาณพิทักษ์ เอาไว้

“เพราะอะไรสักอย่าง ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่ลูกในไส้ของพวกเขา” เฉินเกอวางรูปกลับลงไปบนโต๊ะ และเขาก็บังเอิญมองเห็นประโยคหนึ่งเขียนเอาไว้ที่ด้านหลังรูป ‘หนึ่งมิถุนายน สุขสันต์วันเกิดนะไอ้ตัวยุ่ง’

“คู่สามีภรรยาที่ทำตัวเองหายตัวไป ตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นไอ้ตัวยุ่งตัวจริง?” เฉินเกอถอนหายใจและปรับอารมณ์พาตัวเองกลับไปทำงาน

ระหว่างมื้อกลางวัน เฉินเกอให้พนักงานทั้งสี่คนพักขณะที่ตัวเองอยู่รับหน้าที่แทนพวกเขา ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ทั้งสี่คนกลับมา พวกเขาซุบซิบกันเหมือนคุยอะไรกันอยู่

“พวกนายช้าไปสี่นาทีเต็ม ๆ ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว หรือไม่อย่างนั้นฉันจะหักเงินพวกนาย” เฉินเกอเตือนพวกเขาด้วยน้ำเสียงเข้มงวด พอได้ยิน ทุกคนก็วิ่งกลับไปที่ตำแหน่งของตัวเอง

“ดูเหมือนว่าฉันคงต้องเข้มงวดกับพวกเขากว่านี้” เฉินเกอกลับไปที่ห้องพักพนักงานเรียบเรียงข้อมูลของตัวเอง จากนั้นเขาก็ไล่รายชื่อพนักงานทั้งหมดที่เขาสามารถพาไปด้วยได้ กองถ่ายดวงตาข้างซ้ายนั้นเป็นแค่ชิมลาง การทดสอบแท้จริงคือโรงเรียนแห่งปรโลก

หลังจากคิดแล้ว เฉินเกอก็วางแผนที่ดูมีเหตุมีผลมากขึ้น เมื่อเขาออกไปจากห้องพักพนักงาน พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว สวนสนุกปิดตอนหกโมงเย็น หลังจากส่งผู้เข้าชมกลุ่มสุดท้ายออกไปแล้ว เฉินเกอก็ปิดประตู

“ขอบคุณสำหรับวันนี้ พวกนายกลับบ้านได้แล้ว” เฉินเกอมีเรื่องต้องทำ ดังนั้นจึงเร่งให้พนักงานกลับ

“บอส คุณคิดจะออกไปข้างออกอีกแล้วใช่ไหมคืนนี้?” เสี่ยวกู่ดูเหมือนจะอ่านใจเฉินเกอได้

“ต่อให้ฉันอธิบายไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นเรื่องงาน” เฉินเกอเร่งให้พวกเขากลับ มือกรรไกรกับจางจิงจิ่วนั้นไม่ได้คิดมาก ซูว่านดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

พระอาทิตย์ตกดินสาดแสงไปยังชิงช้าสวรรค์ เสียงหัวเราะจางหายไป และเฉินเกอก็ยืนอยู่ที่ทางเข้าคนเดียว เขามองสวนสนุกรอบตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับไปที่บ้านผีสิง “ได้เวลาลงมือหลังจากท้องฟ้ามืดสนิท”

กลับไปที่ห้องพักพนักงาน เฉินเกอนอนลงบนเตียง ดวงตาของเขาเอาแต่มองไปทางรูปบนโต๊ะ นี่เป็นวันเกิดแรกที่เขาไม่มีพ่อกับแม่ให้ใช้เวลาด้วย

“ฉันควรจะไปซื้อเค้กให้ตัวเองไหม? แต่เงินซื้อเค้กซื้อหุ่นได้ครึ่งตัวเลยนะ” เฉินเกอตบหน้าตัวเองเบา ๆ และบิดขี้เกียจก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปใต้เตียง “กระเป๋าฉันอยู่ไหนเนี่ย? เจ้าแมวลากมันไปไหนฮึ?”

เฉินเกอมองไปใต้เตียง ไม่มีกระเป๋า กระทั่งเสี่ยวเซียวกับเจ้าแมวขาวก็หายไปด้วย

“เจ้าแมวนี่ฉลาดขึ้นมาแล้วเดี๋ยวนี้! มันสัมผัสได้ว่าฉันกำลังจะเอามันไปด้วยดังนั้นจึงซ่อนกระเป๋าให้ห่างจากฉัน” นอกจากเฉินเกอ ก็มีแค่เจ้าแมวขาวและเสี่ยวเซียวที่เข้ามาในห้องพักพนักงาน ดังนั้นความสงสัยของเฉินเกอจึงตกไปอยู่กับเจ้าแมวทันที เฉินเกอถืออาหารแมวเอาไว้เปิดประตูแล้วหาไปทั่ว ๆ ฉากบนดินของบ้านผีสิง แต่ว่าเขาหาเจ้าแมวขาวไม่เจอ

“มันลงไปใต้ดินเหรอ? มันกล้าไปที่นั่นคนเดียวทั้งที่ขี้กลัวขนาดนั้น?” ผลักเปิดประตูเหล็กเข้าไปใต้ดิน เฉินเกอก้าวเข้าไปในอุโมงค์ที่เหมือนจะนำไปสู่ความมืด เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ที่นี่เงียบเกินไปสักหน่อยแล้ว

“เสี่ยวเซียว? เหล่าโจว?” เขาเรียกชื่อพนักงานสองสามคน แต่ว่าไม่มีการตอบรับ เฉินเกอเดินไปตามถนนมืดสลัวคนเดียว สลัว ทึบทึม กดดัน และแคบ มันเหมือนเส้นทางที่เฉินเกอเลือกให้ตัวเอง ไม่มีแสงไฟที่รอบตัว และเขาก็ก้าวยาว ๆ เข้าไปในความมืดด้วยตัวเอง

เขาเดินผ่านหน้าต่างพัง ๆ ที่ให้ความรู้สึกถึงสถานการณ์น่ากลัว ด้านหลังเขานั้นเป็นโลกแห่งความมืด และตรงหน้าเขานั้นเป็นหุบเหวแห่งความมืดมิด

เดินผ่านห้องเรียนว่างเปล่า ในที่สุดเฉินเหอก็ไปหยุดอยู่ในฉากโรงเรียนมัธยมมู่หยาง เขายืนอยู่ที่นั่นคนเดียว มองทางแยกถนน ตอนที่เขาตัดสินใจจะเลี้ยวไปทางไหน โทรศัพท์ของเขาจู่ ๆ ก็สั่น

พอดึงมันออกมา เขาก็เปิดข้อความออกอ่าน เป็นข้อความจากถงถง “บอส สุขสันต์วันเกิดครับ!”

ก่อนที่เฉินเกอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทางแยกที่เขายืนอยู่นั้นก็สว่างขึ้นจากลูกไฟผี มีเสียงตูมดังขึ้นแล้วประตูห้องน้ำที่ข้างตัวเขาก็ถูกผลักเปิดและหุ่นนักเรียนกลุ่มหนึ่งก็เบียดเสียดกันออกมาในมือถือกระดานดำแผ่นหนึ่งเอาไว้!

กระดานดำของห้องเรียนปิดตายนั้นถูกดึงออกมาจากตัวแขวนและมีรูปวาดเอาไว้บนนั้น มันเป็นรูปของหุ่นตัวเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งเริงร่าอยู่ในนั้น พวกมันมีสีหน้าและท่าทางที่ต่างกันไป และที่ยืนอยู่ตรงกลางพวกเขานั้นเป็นผู้ชายคนหนึ่งลากค้อนเหล็กเอาไว้

บางทีด้วยความสามารถด้านการวาดรูปอันจำกัด– พวกเขาจึงไม่สามารถวาดผู้ชายที่ตรงกลางออกมาได้เหมือนนัก กลับกัน พวกเขาเขียนคำเอาไว้รอบตัวเขามากมาย คำอย่างเช่น สดใส มีคุณธรรม ใจดี สุภาพ และทั้งหมดนั้นมีลูกศรชี้ไปยังชายที่อยู่ตรงกลาง หลังจากพวกเขาเห็นเฉินเกอ พวกเขาก็หันกลับพร้อม ๆ กัน อยากจะให้เขาเห็นอีกด้านของกระดานดำ

พวกเขาไม่สามารถร่วมมือกันได้ดีนัก ดังนั้นหุ่นบางตัวจึงบิดแขนและหัวร้อยแปดสิบองศา พวกเขายังอยู่ในท่าประหลาดตอนที่ให้เขาดูอีกด้านของกระดานดำที่เขียนไว้ว่า– “สุขสันต์วันเกิด!”

สองคำนี้เขียนด้วยชอล์กหลายสี นักเรียนของโรงเรียนมัธยมมู่หยางยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มประหลาด บางคนต้องการเข้ามาใกล้ ๆ กับเฉินเกอแต่ว่าคนอื่นคิดว่าผลงานของพวกเขาจะดูน่าประทับใจกว่าถ้าอยู่ห่าง ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่นิ่ง ๆ เพราะความเห็นต่างกัน ไม่ช้าหุ่นทั้งกลุ่มก็ล้มใส่กัน แต่ว่าความตั้งใจและความพยายามของพวกเขานั้นเข้าใจได้อย่างชัดเจน

เสียงกระแอมแห้ง ๆ ดังมาจากทางเดินทางซ้าย ลูกไฟผีนั้นเปลี่ยนไปอีกทางหนึ่ง และเหลือทางเดินด้านซ้ายเพียงทางเดียว เสียงเพลงครืดคราดดังมากจากส่วนลึกของฉาก มันยังมีเสียงหัวเราะน่ากลัวและเสียงครืดคราดดังแทรกมาด้วย หมอหลายคนจากห้องเก็บศพใต้ดินผลักรถเข็นออกมาช้า ๆ

“Happy birthday to you, happy birthday to you…”

รถเข็นนั้นเต็มไปด้วยการ์ดอวยพรวันเกิดที่ล้วนทำจากวัสดุที่แตกต่างกัน บ้างก็ทำจากบันทึกประวัติผู้ป่วย บางอันเป็นแผ่นพับโฆษณา และบางอันยังฉีกออกมาจากเสื้อผ้าและผ้าปูเตียง ถึงแม้ว่าวัสถุจากต่างกันไป แต่ลายมือส่วนใหญ่นั้นเหมือนกัน ผีปากกาน่าจะช่วยพวกเขาส่วนใหญ่เขียนความปรารถนาดีของแต่ละคนลงในนั้น

ที่ตรงกลางรถเข็นนั้นเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่สูงราวสี่ชั้นทำจากพวกของจำลองและโคลน มันดูเหมือนเค้ก

ที่ริมขอบเค้กนั้นตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่งได้อย่างโดดเด่น มีแค่เอี๋ยนต้าเหนียนผู้เปี่ยมพรสวรรค์นั่นแหละถึงจะมีความสามารถในการทำให้ไอซิ่งหน้าเค้กดูเหมือนเลือดกำลังไหลลงมาได้

“เฉินเกอ สุขสันต์วันเกิด” หมอหลายคนจอดรถเข็นที่ตรงหน้าเฉินเกอ เอี๋ยนต้าเหนียน เหล่าโจว และคนที่เหลือเดินออกมาจากด้านหลังรถเข็น ไป๋ชิวหลินมีเครื่องเล่นเทปอยู่บนฝ่ามือ และเทปเปื้อนเลือดที่ด้านในนั้นก็กำลังเล่นเพลงที่สดใสร่าเริงอยู่เบา ๆ

“พวกคุณ…” เฉินเกอมอง ‘คน’ ทั้งหมดที่ตรงหน้าเขา

“ชู่ ไม่ต้องพูด จุดเทียนแล้วอธิษฐานซะ” เว่ยจิวฉินโบกมือไปด้านหลัง และเจ้าแมวขาวที่ตัวใหญ่กว่าแมวธรรมดามากก็เดินออกมาจากห้องเรียน คาบกระเป๋าสะพายหลังเอาไว้ในปาก มันคืนกระเป๋าให้เฉินเกอ เปิดกระเป๋าแล้วเขาก็เห็นเสี่ยวเซียวกำลังกอดเทียนหลายเล่มที่ห่ออยู่ในกระดาษเอาไว้

“งั้นเธอก็มาอยู่ตรงนี้นั่นเอง” เฉินเกอหยิบเสี่ยวเซียวขึ้นมาวางเธอเอาไว้บนไหล่ของเขา เขาถือเทียนทำมือหลายเล่มเอาไว้แล้วพูด “ใครบอกพวกคุณว่านี่เป็นวันเกิดผม?”

“เป็นผู้ชายคนนั้นที่เธอพามาเจอพวกเราเมื่อเช้านี้ พวกเขาบอกว่านี่เป็นพนักงานหญิงคนนั้นบอกพวกเขามา”

“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอพยักหน้า เขาพลิก ‘เทียน’ ที่ในมือตัวเอง “ต้องจุดมันเหรอ?”

“แน่นอนสิ มันเป็นพิธีกรรม เธอจุดเทียนจำนวนเท่าอายุของเธอ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เธออธิษฐานจะไม่เป็นจริง” ผู้อาวุโสเว่ยพูดอย่างจริงจัง เฉินเกอพยักหน้า เขาดึงไฟแช็กออกมาจากกระเป๋า จุดเทียนทีละเล่มแล้ววางพวกมันลงบนเค้ก แสงอบอุ่นขับไล่ความหนาวเย็น พวกผีนั้นกลัวแสงและไฟเป็นที่สุด แต่ว่าไม่มีใครในพวกเขาหนีหน้าออกไป

“บอส ได้เวลาอธิษฐานแล้ว!”

“อธิษฐานเลย! อธิษฐาน!”

“เธอคิดว่าบอสจะอธิษฐานว่าอะไร?”

“ชู่ ถ้าเขาบอกพวกเรา คำอธิษฐานก็จะไม่มีทางเป็นจริง”

เขากวาดตามองใบหน้าของพนักงานของเขา และเฉินเกอก็ขยี้ตา เขาอธิษฐานเงียบ ๆ จากนั้นก็เป่าเทียนทั้งหมด ฉากใต้ดินกลับไปมืดมิดลงอีกครั้ง แต่ว่าความเงียบนั้นแตกกระจายไปแล้ว พนักงานทั้งหมดมารวมตัวกัน บางคนร้องเพลง บางคนหัวเราะ เหมือนครอบครัวจริง ๆ

“ขอบคุณนะครับ” เฉินเกอยืนอยู่ในความมืด ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์เป็น ๆ เพียงคนเดียวในบ้านผีสิง เขาก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเลย จิตใจดีและงดงามนั้นไม่ได้ถูกรูปลักษณ์น่ากลัวภายนอกทำลายไป

เขาเห็นความจริงใจของ ‘คน’ เหล่านี้ สิ่งที่คนเป็นในทุกวันนี้ไม่ให้ค่ามันนัก ความภาคภูมิใจที่ทำให้พวกเขาหยัดยืนตรง และความใจดีที่สลักอยู่ในจิตวิญญาณของพวกเขา

“นี่เป็นความโชคดีของผมที่ได้พบพวกคุณทุกคน”

งานเลี้ยงดำเนินต่อไปในยามค่ำคืน จนเที่ยงคืนเฉินเกอถึงนึกได้ว่าเขามีเรื่องสำคัญต้องทำ เขาคว้ากระเป๋าสะพายหลังและยัดเจ้าแมวขาวเข้าไปในกระเป๋าก่อนที่มันจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “มา ราตรีนี้เพิ่งเริ่มต้น ขั้นต่อไป พวกเราจะไปข้างนอกกัน!”

เดินออกมาจากฉากใต้ดิน เฉินเกอแบกกระเป๋าหนักอึ้งกลับไปที่ห้องพักพนักงาน

ตอนที่เขาเปิดประตู เขาก็อึ้งไปครู่หนึ่ง

มีเค้กจริง ๆ วางเอาไว้บนโต๊ะของเขา ข้าง ๆ กันนั้นเป็นการ์ดและลูกกุญแจดอกหนึ่ง

เฉินเกอเดินเข้าไปหยิบการ์ด มันเขียนไว้ด้วยลายมืองดงามของซูว่าน “บอส ฉันไม่คิดว่าฉันจำเป็นต้องมีกุญแจสำรองเพราะฉันเชื่อว่าคุณจะอยู่ใกล้ ๆ เสมอ ฉันจะคืนกุญแจนี่ให้คุณ และสุดท้าย สุขสันต์วันเกิด! ฉันขอให้คุณใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุข!”

 

“ผู้กำกับถูกขังเอาไว้ในหนัง ฮึ? นี่ต้องเป็นเรื่องผี” เฉินเกอรู้สึกเหมือนว่านี่อยู่ในสายงานของเขา ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยมันไปเฉย ๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่บนผนัง ตีสองครึ่งแล้ว “ต่อให้เรียกแท็กซี่ ไปเขาหยงหลิงก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ไม่ทันแล้ว ดังนั้นฉันควรจะไปดูวันพรุ่งนี้

“มีเวลาไม่พอ เวลาอันจำกัดของโรงเรียนแห่งปรโลกนั้นกำลังจะหมดแล้วแต่ว่าฉันยังไม่มีวิญญาณสีเลือดที่ไปกับฉันได้ตอนนี้ จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ฉันควรจะไปที่กองถ่าย ถ้าเป็นไปได้ ช่วยนักเขียนคนนั้นเติมเต็มความปรารถนาของเขาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หวังว่านั่นจะช่วยโน้มน้าวให้โอเปอร์เรเตอร์สายด่วนเข้าร่วมกับบ้านผีสิงของฉันได้”

หลังจากเตรียมทุกอย่างแล้ว เฉินเกอก็ปิดโทรศัพท์ และเป็นครั้งแรกในช่วงหลังมานี้ที่เขาได้เข้านอนเร็ว แปดโมงครึ่งเช้าวันรุ่งขึ้น เฉินเกอก็ตื่นขึ้นเพราะมีคนเคาะกระจก เขาลืมตาพร่ามัวขึ้นและได้ยินเสียงเสี่ยวกู่ดังมาจากนอกหน้าต่าง

“บอสน่าจะออกไปข้างนอกอีกแล้วเมื่อคืนนี้ รอที่ประตูแหละ”

“ทำไมบอสถึงออกไปข้างนอกกลางคืนบ่อยขนาดนั้น?” เป็นจางจิงจิ่วถาม เขาสงสัยเกี่ยวกับเฉินเกอมากทีเดียว

“ฉันอธิบายแบบนี้แล้วกัน แอพแชทที่พวกเราใช้ประจำน่ะมีการนับก้าวในชีวิตประจำวัน และเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันมาถึงที่นี่ในตอนเช้า บอสก็เดินไปแล้วประมาณหมื่นก้าวอ่ะ” น้ำเสียงเสี่ยวกู่สงบ “แต่ว่าวันนี้ค่อนข้างแปลก ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ บอสเพิ่งเดินไปแค่สามพันก้าวเท่านั้น ฉันสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่า”

“ถ้าบอสได้ยินนายพูดอย่างนั้น เขาจะถลกหนังนายทั้งเป็น” เสียงของซูว่านดังตามมา พนักงานทั้งหมดดูเหมือนจะมาถึงแล้ว

“ฉันไม่เคยทำร้ายร่างกายพนักงานของตัวเอง ฉันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกันนะพอได้ยินเธอคิดอย่างนั้น” เฉินเกอลุกขึ้นจากเตียง ดึงม่านหนาเปิดออก แล้วเปิดหน้าต่าง “อย่างมากที่สุดฉันก็แค่ตัดเงินเท่านั้น”

“บอส!” ทั้งสี่คนยืนอยู่ข้างหน้าต่าง– พวกเขาดูเหมือนจะรออยู่นานแล้วทีเดียว

“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปเปิดประตูให้พวกนาย” เฉินเกอมองโทรศัพท์ของตัวเอง แปดโมงสี่สิบแล้ว เขาหลับไปเร็วมากจนลืมตั้งนาฬิกาปลุก เปิดประตูบ้านผีสิงแล้วเฉินเกอก็ไล่พนักงานทั้งสี่คนเข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วช่วยพวกเขาแต่งหน้าทีละคน

“ในเมื่อพวกนายอยู่ที่นี่กันครบ ฉันก็อยากจะประชุมเช้าเสียหน่อยตอนที่พวกเราแต่งหน้ากันเนี่ย” เฉินเกอแต่งหน้าให้พนักงานอย่างเชี่ยวชาญ บางคนอาจจะถึงกับสงสัยว่าเขาไม่ใช่ชายแท้เมื่อเห็นลีลาสะบัดแปรงแต่งหน้าของเขา “ซูว่าน เสี่ยวกู่ พวกนายสองคนเป็นพนักงานอาวุโส คอยดูแลสองฉากด้านบน บ้านผีสิงของเราตอนนี้แบ่งระดับความยากออกเป็นหลายดาว และผู้เข้าชมหลายคนก็ไม่ต้องการทดลองฉากที่ยากขึ้นไป ดังนั้น พวกนายจึงมีหน้าที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นหน้าเป็นตาของบ้านผีสิงและยังมีอิทธิพลต่อความประทับใจแรกของผู้เข้าชมของพวกเราด้วย”

“บอสไม่ต้องห่วง ให้เป็นหน้าที่ผมกับพี่ซูว่านเอง” เสี่ยวกู่ตบหน้าอกสัญญา บุคลิกสดใสเหมือนพระอาทิตย์ของเขานั้นบ่งบอกว่าเขานั้นผูกมิตรกับทุกคนได้โดยง่าย

“มือกรรไกรกับจางจิงจิ่ว พวกนายสองคนดูแลฉากใต้ดิน ฉันต้องการให้พวกนายทำตามที่ได้รับมอบหมาย ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับผู้เข้าชมให้ติดต่อฉันทันที” เฉินเกอสบตากับมือกรรไกรและจางจิงจิ่ว “ฉากใต้ดินใหญ่มาก ดังนั้นพวกนายสองคนต้องพัฒนาการแสดงของพวกนายนะ”

“เข้าใจแล้วครับ” มือกรรไกรกับจางจิงจิ่วนั้นเคยผ่านเมืองหลี่ว่านมาพร้อมเฉินเกอ ดังนั้นจึงรู้ได้ถึงสิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมา

“อย่างสุดท้าย ฉันจะให้ซูว่านถือกุญแจสำรองของบ้านผีสิงอย่างเป็นทางการ ถ้าเกิดว่าฉันไม่อยู่ขึ้นมา ก็ให้ดำเนินงานไปตามหน้าที่ที่ฉันมอบหมายให้พวกนาย” เฉินเกอส่งกุญแจสำรองให้กับซูว่านและมองไปยังเด็กสาวที่ในกระจก “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉากบนดิน ให้ถามซูว่าน ถ้าซูว่านจัดการไม่ได้ ให้ไปหาผู้อำนายการสวนสนุก ผู้อำนายการลั่ว อย่าไปหาคนอื่น และห้ามเชื่อใจใครอื่น”

ก่อนที่ซูว่านจะตอบรับ เฉินเกอก็ลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปจัดการกับฉากใต้ดิน ตอนนี้ มือกรรไกรกับจางจิงจิ่วมากับฉัน ฉันยังมีหลายอย่างต้องสอนพวกนาย”

หลังจากเฉินเกอกับอีกสองคนเดินไปแล้ว เสี่ยวกูก็พบว่าซูว่านยังเหม่อมองเข้าไปในกระจก “พี่ ไปกันได้แล้ว ผู้เข้าชมกำลังจะมากันแล้ว”

“หืม อืม” ซูว่านกำกุญแจในมือตัวเองแน่นเหมือนเธอกลัวว่าจะเธอจะบังเอิญทำของสำคัญมากชิ้นนี้หายไป

เฉินเกอนำจางจิงจิ่วและมือกรรไกรเข้าไปใต้ดินและไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่งที่ห้องเก็บศพใต้ดิน เขาเคาะประตูแล้วก็มีชายชราในชุดกาวน์สีขาวเดินออกมา ศีรษะของเขาเต็มไปด้วยเส้นผมสีขาว แต่เขากลับมีแผ่นหลังเหยียบตรงราวกับต้นสนที่หยัดยืนหันหน้าสู่หน้าผา

“สุภาพบุรุษชราผู้นี้คือเว่ยจิ่วฉิน เขาเป็นหมอที่ดีที่สุดของบ้านผีสิงของพวกเรา ถ้าฉันไม่อยู่ในบ้านผีสิงและพวกนายเจอปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ มาหาเขา เขาจะช่วยพวกนาย” หมอเว่ยนั้นชราที่สุดและมีประสบการณ์ที่สุด นิสัยของเขาไม่มีตรงไหนให้ตำหนิได้ และเขายังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในบ้านผีสิงที่สามารถรับมือกับวิกฤติได้อย่างยอดเยี่ยม

“ทำไมจู่ ๆ เธอก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?” หมอเว่ยรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติไป

“ไม่มีอะไรครับ แค่เผื่อเอาไว้”

“ถ้าเธอมีอะไรที่ทำให้กังวลต้องบอกฉันนะ! ฉันอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายและยังมีโอกาสได้พบเจอเพื่อนเก่า ๆ และสั่งสอนพวกเขาอย่างที่เคยทำด้วย” หมอเว่ยนั้นไม่ใช่คนชอบพูดเล่น แต่เขาก็ทำเพื่อให้เฉินเกออารมณ์ดีขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอกครับ” เฉินเกอตีสีหน้าปกติ หลังจากผู้เข้าชมเริ่มเข้าฉาก เขาก็นำมือกรรไกรกับจางจิงจิ่วเดินไปทั่วชั้นใต้ดินและแนะนำตัวพวกเขาให้กับพวกผีส่วนใหญ่

ริมฝีปากของมือกรรไกรกับจางจิงจิ่วอ้าค้างหลังจากได้ ‘เดินชม’ จนทั่ว มีนักเรียน ครู หมอ ผู้ป่วย และ ‘ผู้คน’ แบบอื่น ๆ อยู่ที่นี่ มันเป็นเมืองใต้ดินจริง ๆ

“สิ่งที่พวกนายเห็นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของฉากใต้ดินเท่านั้น ที่นี่นั้นกว้างขวางมาก พ่อกับแม่ของฉันใช้เวลาเป็นสิบปีสร้างที่นี่ขึ้นมา” เฉินเกอแบ่งปันความลับกับมือกรรไกรและจางจิงจิ่วมากขึ้นก่อนที่จะส่งพวกเขากลับไปที่ฉากเมืองหลี่ว่าน

“มีแค่คนที่ฉันผ่านประสบการณ์เป็นตายมาด้วยฉันถึงจะอนุญาตให้เป็นพนักงานของฉันได้ คัดเลือกได้ยากมากทีเดียว” เฉินเกอพยายามอย่างที่สุดที่จะฝึกมือกรรไกรกับจางจิงจิ่ว เมื่อพวกเขาสามารถดูแลที่นี่ได้ด้วยตัวพวกเขาเองแล้ว เขาก็จะมีเวลาไปจัดการเรื่องอื่น ๆ มากขึ้น

ออกจากฉากมาแล้วเฉินเกอก็ถูกลุงซูเรียกไปหาตอนที่เดินออกมาที่ปากทางเข้าบ้านผีสิง “เฉินเกอ ผู้อำนวยการลั่วตามหาแกอยู่”

“ตามหาผม?”

“ใช่ ระวังด้วย มีคนนอกหลายคนอยู่ในห้องทำงานของเขา” ลุงซูกระซิบเตือนเขาก่อนจะไปทำงานต่อ เฉินเกอวิ่งไปที่ตึกสำนักงานและตอนที่เขาผลักประตูเปิดเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะลั่นทันที ผู้อำนวยการลั่งที่ตรงกลางกำลังพูดคุยสนุกสนานกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งอยู่ คนที่เห็นอาจจะคิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมานานถึงได้ดูสนิทสนมกัน

“เสี่ยวเฉิน มานั่งสิ” ผู้อำนายการลั่วมีท่าทีเป็นมิตรกับเฉินเกอ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหา ตอนที่เขาหันหลังให้กับชายวัยกลางคน เขาก็ทำไม้ทำมือแต่ว่าเพิ่มเสียงขึ้น “นี่คือซีอีโอไป๋ ฉันแนะนำเธอกับเขาก่อนแล้ว เขามีบางอย่างอยากคุยกับเธอแน่ะ”

“ซีอีโอไป๋?” เฉินเกอเข้าใจได้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่การมาเยือนอย่างเป็นมิตร

“ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองหรอก– พวกเราเคยเจอกันหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ ฉันมาเป็นตัวแทนคนบางคน ดังนั้นก็จะไม่พูดอ้อมค้อม” ซีอีโอไป๋พูดพร้อมยิ้ม “ก่อนหน้านี้มีคนจากบ้านผีสิงในซินไห่มาที่นี่ และพนักงานของพวกเขาทั้งหมดก็ถูกทำให้ตกใจกลัวจนต้องเข้าโรงพยาบาล เจ้านายของพวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน ดังนั้นเขาก็เลยให้ฉันมาถามเธอหน่อย

“ว่าเธอทำอย่างนั้นได้ยังไงบอสเฉิน?

“คนพวกนั้นเป็นนักแสดงมืออาชีพของบ้านผีสิงที่อยู่ในงานนี้มาอย่างน้อยก็ห้าปี พวกเขายังเก่งกาจที่สุดเท่าที่หาได้แล้วด้วย”

“ซีอีโอไป๋ คุณมาที่นี่เพราะเรื่องนี้เหรอครับ?” เฉินเกอคิดก่อนจะหันไปหาซีอีโอไป๋ “บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้ดีเท่าที่พวกเขาพูดก็ได้ ผมเองไม่คิดว่าบ้านผีสิงของผมจะน่ากลัวขนาดนั้นนะครับ ความทนต่อความสยองขวัญของแต่ละคนก็ต่างกันไป คุณลองเข้าไปดูบ้านผีสิงของผมด้วยตัวคุณเองดูไหมครับ ซีอีโอไป๋?”

“ใช่ ใช่ ยังไงเธอก็เป็นวิญญาณสีเลือดน่ะนะ” เฉินเกอยักไหล่ขณะเดินเข้าไปในห้องโถง

“เฮ้! คุณกำลังวางแผนจะทำอะไรน่ะ? ผมกลับมาแล้วนะ!” เหมินหนานกระวนกระวาย เขามีความรู้สึกว่าเฉินเกอพาเขากลับบ้านอย่างมีจุดประสงค์แอบแฝง ในใจเขา เฉินเกอเป็นคนแบบนั้น

เฉินเกอยืนนิ่งอย่างประหลาดใจและพูดออกมาตามจริง “ในเมื่อฉันก็มาอยู่ที่นี่แล้ว เธอจะไม่เชิญฉันไปดูหลังประตูหน่อยเหรอ?”

“คุณ…” เหมินหนานเองก็ไม่รู้จะบอกเฉินเกออย่างไรดี ในเมื่อเขาเป็นคนเป็นคนแรกที่ขอเข้าไปด้านหลังประตู “ตอนเที่ยงคืน ประตูเปิดได้แค่หนึ่งนาทีเท่านั้น ดังนั้นคุณก็อยู่ในประตูผมได้แค่นาทีเดียว ถ้าคุณอยู่นานกว่านี้ คุณก็ต้องรอจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ถึงจะกลับออกไปได้”

“แค่นาทีเดียว?” เฉินเกอไม่ต้องการรบกวนเหมินหนานเกินไป “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ยังมีโอกาสอีกมากในอนาคต ทางที่ดีเธอไปซ่อมหน้าต่างก่อน ฉันไม่รบกวนเธอแล้ว”

“อย่างนั้นผมไปได้แล้วใช่ไหม?” เหมินหนานมองเขาอย่างระแวดระวังเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าเฉินเกอจะจู่ ๆ ใจดี

“ไปเถอะ เธอช่วยฉันมาหลายครั้ง ต่อไปถ้าเธอเจอปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้ก็มาหาฉันได้ทุกเวลา”

“นั่นไม่มีทาง ตราบใดที่ผมไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณผมก็จะไม่เจอปัญหาอะไรทั้งนั้น” เหมินหนานบ่นเบา ๆ

“นั่นอาจจะไม่จริงก็ได้ เงาที่พวกเราฆ่าไปก่อนหน้านี้นั้นเป็นแค่หุ่นชักใยของวิญญาณสีเลือดชั้นสูง ถ้าพวกเราไม่ฆ่าตัวจริงของมัน อย่างนั้นวิญญาณสีเลือดชั้นสูงนั่นก็จะมายุ่งกับพวกเราแน่นอน”

“วิญญาณสีเลือดชั้นสูง?” ใบหน้าของเหมินหนานซีดลงและดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง เขาคิดว่าเงานั่นเป็นปิศาจที่น่ากลัวที่สุดแล้ว แต่ว่ามันกลับยังมีร่างหลักอีก

“ร่างจริงของปิศาจนั่นเรียกว่าผีทารก สร้างขึ้นจากคำสาปและความอาฆาตแค้น มันผูกพยาบาทมาก ดังนั้นเธอต้องระวังตัว” จากนั้นเฉินเกอก็กลับออกไป เดินออกจากหอผู้ป่วยสามแล้วเฉินเกอก็พลิกหน้าหนังสือการ์ตูนพลางคิดถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ

“ฉันเป็นคนรักษาคำพูด ฉันยังไม่ได้เริ่มทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับ จางเหวินอวี้ โอเปอเรเตอร์สายด่วนฆ่าตัวตายเลย เมื่อไหร่ที่ฉันช่วยเขาทำตามความปรารถนาก่อนตายของเหยื่อฆ่าตัวตายสำเร็จ เขาก็จะช่วยฉันตอบแทน” เฉินเกอนั้นมีกำลังคนจำกัด ตามหาผีทารกซึ่งอาจจะอยู่ที่ไหนก็ได้ในจิ่วเจียงนั้นยากมาก แต่ว่าจางเหวินอวี้นั้นต่างไป เขาแบกรับวิญญาณสัมภเวสีของเหยื่อฆ่าตัวตายทั้งหมดที่เขาเคยมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเอาไว้ เขาต้องช่วยคนทั้งหมดเพื่อเป็นการไถ่บาป แต่เพราะอย่างนั้น เหล่าวิญญาณสัมภเวสีที่ติดอยู่กับเขาก็ยังมอบพลังของพวกเขาให้

จางเหวินอวี้นั้นเป็นวิญญาณสีเลือดที่พิเศษออกไป และกระทั่งเฉินเกอก็ไม่รู้เลยว่าเขามีพลังแค่ไหน เฉินเกอนั้นแค่คิดถึงกำลังคนที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อการตามหาคนผู้หนึ่ง

“ฉันช่วยทำตามความปรารถนาของผู้ชายที่ป่วยภาวะโนบิตะ-ไจแอ้นท์ไปเรียบร้อยแล้ว ตามที่พวกเราตกลงกันไว้ ฉันสามารถขอความช่วยเหลือเขาได้ครั้งหนึ่ง” เฉินเกอดึงโทรศัพท์ออกมากดหมายเลขที่เขาจดจำเอาไว้ หลังจากเสียงสัญญาณดังสามครั้ง สายก็ถูกรับ แต่ว่าไม่มีเสียงทักทายเขา

“ผมจะช่วยคุณทำตามความปรารถนาของเหยื่อให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ผมเจอกับปัญหายุ่งยากมากเรื่องหนึ่งและคิดว่าคุณน่าจะช่วยผมได้” เฉินเกอพูดเข้าประเด็นและบอกสิ่งที่เขาต้องการออกไป

“คุณต้องการให้ผมทำอะไร?” เสียงแหบ ๆ ของจางเหวินอวี้ดังผ่านโทรศัพท์มา

“ผมต้องการตามหาเด็กที่ยังไม่เกิดคนหนึ่ง ผมเคยเห็นหน้าเขา และอีกเดี๋ยวผมจะส่งภาพวาดใบหน้าเขาให้คุณ” เฉินเกอให้เอี๋ยนต้าเหนียนวาดรูปใบหน้าของเด็กที่หน้าอกของเงานั่นที่น่าจะเป็นหน้าตาของผีทารก

“ถึงผมจะรู้ว่าเขาหน้าตายังไง แต่เขายังไม่เกิด แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ที่ไหน?”

“คุณเป็นวิญญาณสีเลือด คุณน่าจะมีวิธีการของคุณ”

ทั้งสองฝ่ายเงียบไปก่อนที่ในที่สุดจางเหวินอวี้จะพูด “ได้ ผมจะพยายามดู”

“ร่างหลักของเด็กคนนั้นคือผีทารก มันน่าจะเป็นวิญญาณสีเลือดขั้นสูงและยังอันตรายมาก ดังนั้นคุณต้องระมัดระวังระหว่างการค้นหา” หลังจากจัดการเรื่องนั้น เฉินเกอก็เปลี่ยนเรื่อง “ก่อนหน้านี้ คุณบอกความปรารถนาของวิญญาณสัมภเวสีให้ผมสามอย่าง ผมทำสำเร็จไปแล้วสอง– ผู้ป่วยภาวะโนบิตะ-ไจแอ้นท์ และผู้ป่วยมะเร็งที่ตายบนทางรถไฟ แต่ว่าความปรารถนาที่สามยุ่งยากเล็กน้อย”

“ความปรารถนาที่สาม?”

“ครับ นักเขียนที่ต้องการให้ผลงานของเขาได้ทำหนัง” เฉินเกอนั้นเป็นเจ้าของบ้านผีสิง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการทำหนัง มันยากที่จะทำตามความปรารถนานี้ “คุณบอกความปรารถนาของวิญญาณสีเลือดตนอื่นได้ไหม? ผมจะลองช่วยพวกเขาก่อน”

“พวกนั้นไม่สำคัญ วิญญาณของนักเขียนนั่นทรงพลังมากและผมก็ควบคุมเขาได้อย่างลำบาก หากพวกเราไม่จัดการกับความปรารถนาของเขาให้เร็วที่สุด ผมก็อาจจะถูกเขากลืนกินไปได้” จางเหวินอวี้พูดอย่างจนปัญญา “คุณต้องช่วยเขาเติมเต็มความปรารถนา นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมมาหาคุณ”

“งั้นก็ได้ ผมจะพยายามหาทางดู” หลังจากวางสาย เฉินเกอก็เดินไปตามถนนอย่างไร้จุดมุ่งหมาย

“ไม่เป็นไร ทิ้งเรื่องการตามหาผีทารกให้จางเหวินอวี้ แต่ว่าการถ่ายหนังนี่ก็ยุ่งยากจริง ๆ” เฉินเกอดึงโทรศัพท์ของเขาออกมา และจู่ ๆ เขาก็คิดออก “หนังสยองขวัญก็ยังคงเป็นหนัง ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีความเกี่ยวข้อง มันก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งจิ่วเจียงไม่มี”

เขาพิมพ์ลงไปในแถบค้นหา– กองถ่ายผีสิง ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติตอนถ่ายหนัง– และก็เจอบางอย่างเข้าจริง ๆ

“นักเขียนบทที่มีชื่อเสียงตายจากอุบัติเหตุกลางดึก เป็นแผนการตลาดอันชาญฉลาดหรือว่าเป็นอะไรที่น่าขนลุกยิ่งกว่านั้น? นี่เป็นอุบัติเหตุครั้งที่เจ็ดระหว่างการถ่ายทำ ‘ดวงตาข้างซ้าย’ เบื้องหลังคือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจริง ๆ หรือ?”

เมื่อเปิดเข้าไปดู ฟางหยวนจึงได้พบว่าบทความถูกลบไปแล้ว เขาเปลี่ยนคำค้นหาก่อนที่จะพบข้อมูลที่เขาต้องการ

ดวงตาข้างซ้ายนั้นเป็นชื่อหนังสยองขวัญ แต่ว่าระหว่างการถ่ายทำนั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายครั้ง ครั้งแรกเลยคือการตายจากอุบัติเหตุของนักเขียนบทที่อยากเปลี่ยนบทที่เขียน จากนั้นจู่ ๆ นักแสดงนำหญิงก็เกิดเสียสติขึ้นมา และการหายตัวไปของนักแสดงนำชาย หลังจากเปลี่ยนนักแสดงแล้ว ในที่สุดหนังก็ถ่ายทำได้จนเสร็จ แต่ว่าก่อนที่จะเปิดตัว กองถ่ายก็ถูกเพลิงไหม้ เสื้อผ้าและอุปกรณ์ประกอบฉากถูกเผาเป็นเถ้าไปหมด

หลายคนพูดว่านี่เป็นแค่แผนการตลาดจนกระทั่งผู้กำกับหายตัวไป และจากนั้นข่าวก็ถูกปิด ในที่สุด หนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้เปิดตัว จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครได้ดูหนังนั่นเลย ยังมีข่าวซุบซิบบนออนไลน์ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นข่าวปลอม

“กระทั่งบทก็ยังถูกเผาไปด้วย นี่น่าสนใจทีเดียว” ความสนใจของเฉินเกอถูกกระตุ้นแล้ว เขาเรียกแท็กซี่กลับไปบ้านผีสิงแล้วก็วิ่งเข้าไปในห้องพักพนักงานทันที เขาจดโน้ตไว้ขณะค้นหาทุกอย่างที่หาได้เกี่ยวกับ ดวงตาข้างซ้าย เขาวุ่นวายอยู่จนกระทั่งตีสอง และในที่สุดก็เจอข้อมูลที่มีประโยชน์หลายชิ้น

“นักแสดงนำหญิงที่เสียสติไปยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้พักอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชจิ่วเจียง

“กองถ่ายครั้งหนึ่งเคยใช้ภูเขาหยงหลิงจิ่วเจียงตะวันตกเป็นฉาก

“บทเดิมที่กองถ่ายใช้นั้นไม่ใช่นักเขียนบทเขียนขึ้นมาแต่เป็นผู้กำกับเจออยู่ในโรงเรียนร้างแห่งหนึ่งในจิ่วเจียงตะวันตก

“ว่ากันว่า ผู้กำกับไม่ได้หายตัวไป แต่ว่าเขาถูกขังอยู่ในหนัง”

“ความปรารถนาในหัวใจจะสัมฤทธิ์ผล? เดี๋ยวก่อนนะ ไม่มีจำกัดเวลา และยังไม่มีบอกด้วยว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหนความปรารถนาถึงจะเป็นความจริง การใช้แต่ละครั้งจะใช้หนังสือการ์ตูนหนึ่งหน้างั้นเหรอ? พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกึ่งวิญญาณสีเลือดไม่ได้ทรงพลังเท่าที่ฉันคาดเอาไว้” เฉินเกออ่านข้อมูลพลังพิเศษของเอี๋ยนต้าเหนียนอย่างจริงจัง “ถ้าฉันมีความปรารถนาในใจ ฉันก็จะเติมเต็มมันด้วยสองมือของตัวเอง ใช้ชีวิตของคนอื่นทำความฝันของฉันเนี่ยนะ ต่อให้มันเป็นจริงขึ้นมา ความฝันนั่นก็จะเปลี่ยนไปเป็นไร้ความหมาย”

อ่านคำบรรยายบนโทรศัพท์เครื่องดำแล้วเฉินเกอก็รู้สึกได้ถึงความเศร้าโศกเบื้องหลัง ต้าเหนียนวาดโลกอันประหลาดและผิดธรรมดาด้วยปากกาของเขา แต่ในเวลาเดียวกัน โลกนั่นก็อาจจะมองได้ว่าบริสุทธิ์ที่สุด และใสสะอาดที่สุด มันถูกคนอื่นเรียกว่าเหนือธรรมชาติก็เพียงเพราะว่ามันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความจริง

เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ลงไปและไม่นานหลังจากนั้น ชิโนซากิและผู้ช่วยของเขาก็ออกมาจากห้องพร้อมกับถุงใบใหญ่ พวกเขาดูตื่นเต้น

“คุยกันเป็นอย่างไรบ้างครับ?” เฉินเกอถาม

“คนอย่างอาจารย์เอี๋ยนเนี่ยเป็นศิลปินจริง ๆ เป็นเกียรติและเป็นโชคดีของผมโดยแท้ที่มีโอกาสร่วมงานกับเขา” ชิโนซากินั้นเป็นชายผู้ภาคภูมิใจในตัวเองและมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้เขายอมรับอะไรเช่นนี้

“เอี๋ยนต้าเหนียนใช้เวลาทั้งชีวิตในการวาดและเขียนการ์ตูน เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่รู้จักเล่ห์เหลี่ยม ผมหวังว่าคุณจะร่วมมือกับเขาอย่างจริงใจและไม่ใช้กลอุบายใต้โต๊ะอะไรนะครับ” เฉินเกอยืนอยู่กลางทางเดินมืด เขายังสวมชุดคุณหมอชุ่มเลือดอยู่ และโซ่ก็ลากอยู่บนพื้นเป็นทางในความมืด

“เข้าใจแล้ว คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น” หน้าผากของชิโนซากิมีเหงื่อเย็น ๆ ผุดพราวออกมา ประสบการณ์ในบ้านผีสิงก่อนหน้านี้ของเขาย้อนกลับมา ความทรงจำนั่นคงจะหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต

“ผมดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะ ผมหวังว่าพวกคุณสองคนคงจะร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้ว หากเป็นไปได้ ผมอยากให้คุณพูดถึงบ้านผีสิงจิ่วเจียงตะวันตกบนการ์ตูนที่ตีพิมพ์ อย่างไรเสีย เอี๋ยนต้าเหนียนก็ยังนับเป็นพนักงานของผม” เฉินเกอพูดออกไปง่าย ๆ

“ไม่มีปัญหา พวกเราควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” ชิโนซากินนั้นคุ้นเคยกับโลกธุรกิจ แต่เขาไม่สามารถอธิบายความหวาดกลัวของเขาในตัวชายหนุ่มผู้นี้ได้ หลังจากส่งชิโนซากิและผู้ช่วยของเขากลับไป เฉินเกอก็ไปคุยกับเอี๋ยนต้าเหนียน

เอี๋ยนต้าเหนียนส่งผลงานของเขาให้สตูดิโอของชิโนซากิ และพวกเขาจะตีพิมพ์การ์ตูนสองเรื่องในไม่ช้า– ผู้เช่าปิศาจ และโรงเรียนแห่งปรโลก

ผู้เช่าปิศาจนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตของเอี๋ยนต้าเหนียนเองขณะที่โรงเรียนแห่งปรโลกนั้นเป็นผลงานใหม่ใช้โรงเรียนมัธยมมู่หยางเป็นฉากหลัง ทั้งสองเรื่องจะได้ลงในเวบไซต์การ์ตูนที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกเป็นตอน ๆ ผู้เขียนนั้นใช้ชื่อเอี๋ยนต้าเหนียน และแบ่งค่าลิขสิทธิ์ระหว่างเอี๋ยนต้าเหนียนกับสตูดิโอของชิโนซากิคนละครึ่ง จากการคาดเดาของชิโนซากิแล้ว เอี๋ยนต้าเหนียนนั้นน่าจะสามารถอยู่อย่างสุขสบายได้แน่นอนในอนาคต

“เงินเป็นต้นกำเนิดของบาปมากมาย ต้าเหนียนนั้นใสซื่อเกินกว่าจะจัดการกับเงินจำนวนมากได้ เพื่อรักษาความหลงใหลในศิลปะของเขาเอาไว้ ฉันไม่ควรปล่อยให้เขาถูกเงินล่อลวงไป ฉันคิดว่าฉันคงต้องดูแลค่าลิขสิทธิ์ให้เขาไปก่อนตอนนี้”

เมื่อชื่อเสียงของเอี๋ยนต้าเหนียนโด่งดังขึ้น กึ่งวิญญาณสีเลือดตนนี้อาจจะกลายมาเป็นหนึ่งในเสาหลักของบ้านผีสิง หลังจากจัดการเรื่องเอี๋ยนต้าเหนียน เฉินเกอก็อารมณ์ดีขึ้น เขาเดินออกไปจากบ้านผีสิง ซูว่านกับเสี่ยวกู่กลับไปแล้วหลังจากทำความสะอาด แต่ว่ามือกรรไกรกับจางจิงจิ่วยังอยู่

“พวกนายสองคนทำได้ดีมากวันนี้ แต่ก็ยังพัฒนาได้อีก” เฉินเกอดึงโทรศัพท์ของเขาออกมาดูโน้ตที่จดเอาไว้ “มือกรรไกร นายมีพรสวรรค์เรื่องนี้ แต่ว่านายยังไม่ได้ใช้มันออกมาอย่างเต็มศักยภาพ ตอนที่พวกเราทำให้ผู้เข้าชมจนมุมได้ก่อนหน้านี้ ทำไมเขาถึงเลือกที่จะวิ่งไปทางนายรู้ไหม? ก็เพราะว่าเขามองเห็นจุดอ่อนของนายที่เขาสามารถฉวยโอกาสได้

“จิงจิ่ว นายไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ยังมีหลายอย่างที่พนักงานบ้านผีสิงต้องเรียนรู้ นายทำความคุ้นเคยกับความมืด และนั่นก็ก้าวหน้าขึ้นมากทีเดียว ค่อย ๆ ทำและใช้เวลาไป ฉันจะไปที่โรงแรมและเล่นเป็นเจ้าของโรงแรมดูสักครั้ง บางทีปฏิสัมพันธ์ระหว่างฉันกับผู้เข้าชมอาจจะทำให้คุณมีแรงบันดาลใจอะไรได้”

หลังจากคุยกับพนักงานใหม่สองคนแล้ว เฉินเกอก็แนะนำบางอย่างให้พวกเขาได้อ่านก่อนที่จะให้เลิกงานได้

“ภารกิจเมืองหลี่ว่านสำเร็จแล้ว แต่ยังมีจุดที่ไม่สมบูรณ์” เฉินเกอรอจนพระอาทิตย์ตกดินก่อนที่จะคว้ากระเป๋าสะพายหลังเรียกแท็กซี่ไปยังถ้ำมังกรขาว ตอนที่เขาไปถึงที่อุโมงค์ ท้องฟ้าก็มืดไปแล้ว

“หัวใจของเงาที่จางหยากับคุณหมอเกาแบ่งกันไปมันหายไปแล้ว แต่ว่าผีทารกยังมีชีวิตอยู่ ภารกิจระดับสี่ดาวนี่ยากกว่าภารกิจเมืองหลี่ว่านมากแน่นอน หลังจากมันคลอดออกมามันก็จะมาจัดการกับฉันแล้ว ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือหามันให้เจอก่อนที่มันจะคลอด”

ผีทารกน่าจะเป็นวิญญาณสีเลือดชั้นสูง และวิญญาณสีเลือดที่น่ากลัวยิ่งกว่าจางหยา

“หากฉันไม่สามารถหยุดยั้งมันก่อนที่จะถือกำเนิดได้ อย่างนั้นฉันก็ได้แต่หวังว่าจางหยาจะมีความก้าวหน้าอะไรขึ้นมา”

ทั้งสองฝ่ายล้วนทำงานแข่งกับเวลา และความสงบในตอนนี้นั้นอันที่จริงแล้วเป็นสภาพก่อนพายุจะมา เฉินเกอหลับตาลง มือแตะที่ผนัง และมุ่งหน้าลึกเข้าไปในถ้ำ เขาเรียกชื่อตัวเองอยู่ในใจ เมื่อเขาเรียกครบสี่สิบสี่ครั้ง อากาศรอบตัวเขาก็เริ่มอึดอัด และรอบหัวใจเขาก็ราวกับจะเย็นเยือกขึ้นมา

“แกรอดชีวิตกลับมาได้?”

ได้ยินเสียงคุ้นเคย ดวงตาของเฉินเกอก็ลืมขึ้นช้า ๆ “เธอน่าจะคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงในจิ่วเจียงตะวันออกได้มากกว่าผม เงาถูกกินไปแล้ว”

เงาของแมงมุมยักษ์นั้นชะโงกอยู่เหนือตัวเฉินเกอ ที่ด้านบนอุโมงค์ แขนขาใหญ่โตคืบคลานออกมาจากความมืด และแมงมุมตัวหนึ่งก็ห้อยตัวอยู่เหนือหัวเฉินเกอ

“เงาถูกกินไปแล้ว? โดยใครกัน?” ร่างท่อนบนของแมงมุมนั้นเป็นเด็กชายคนหนึ่ง นี่เป็นลูกชายของหญิงในอุโมงค์ และเขาก็คือเจ้าของที่แท้จริงของภารกิจระดับสามดาว ที่ในอุโมงค์

“นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือพวกเราดูเหมือนจะสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นมา” เฉินเกอเล่าให้เขาฟังเรื่องผีทารก เขาต้องการลากวิญญาณสีเลือดตรงหน้าเขาตนนี้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ด้วย ถ้อยคำของเฉินเกอยืนยันความสงสัยของเด็กชาย ยิ่งฟัง ใบหน้าของเขาก็ยิ่งทะมึนขึ้น สังหารเฉินเกอตอนนี้นั้นไม่ได้ประโยชน์อะไร

“ฉันพาเธอกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว และฉันก็หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมมือกันอีกครั้งในอนาคต” หลังจากพูดทุกอย่างที่ต้องพูดแล้ว เฉินเกอก็ปล่อยแม่ของเด็กชายออกจากหนังสือการ์ตูนและถอยกลับไป

เดินออกจากอุโมงค์แล้วเฉินเกอก็เดินไปตามถนนถึงครึ่งชั่วโมงกว่าจะเรียกรถได้ เขาแบกกระเป๋าขึ้นรถไปยังโรงพยาบาลจิตเวชร้างที่จิ่วเจียงตะวันตก เฉินเกอกระโดดข้ามกำแพงอย่างง่ายดายเข้าไปยังหอผู้ป่วยสาม เขางัดประตูเปิดเข้าไปในทางเดินที่เต็มไปด้วยหมอนและที่นอน

“เหมินหนาน?” เปิดหนังสือการ์ตูนแล้วเฉินเกอก็เรียกเหมินหนานออกมา เงาสีแดงปรากฏที่ข้างตัวเฉินเกอ เมื่อเหมินหนานเห็นโถงทางเดินที่คุ้นเคยเขาก็รู้สึกถึงฝ้าน้ำตาร้อน ๆ บนดวงตา

“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” เฉินเกอบิดขี้เกียจ เขารู้สึกสบายอย่างประหลาดในสถานที่แปลก ๆ เช่นนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขามาที่นี่บ่อยครั้งเกินไปแล้ว

“นี่เป็นบ้านผม ไม่ใช่บ้านคุณ!” เหมินหนานบ่นเบา ๆ ในฐานะวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง เขารู้สึกว่าเขาควรจะทำตัวมีศักดิ์ศรีกว่านี้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มองเฉินเกอ เขาก็รู้สึกอยากจะอาละวาดขึ้นมา

บางทีการหมดสติของผู้เข้าชมทั้งสิบคนอาจจะน่ากลัวเกินไปสักนิด ตลอดทั้งเช้า ไม่มีใครกล้าท้าทายเมืองไร้นามอีกเลย ทุกคนยอมติดอยู่ที่ฉากระดับต่ำอย่างว่าง่าย

ผู้เข้าชมรอบ ๆ บ้านผีสิงเริ่มสงบลงเป็นลำดับ เฉินเกอรู้สึกว่าบางทีสักวันหนึ่ง ผู้เข้าชมก็จะเคยชินที่ได้เห็นคนหมดสติอยู่แถว ๆ ทางเข้าบ้านผีสิง

บ่ายสอง มีคนที่อ้างว่ามาจากสถาบันฝันร้ายมาถามหาเฉินเกอ พวกเขาลากเพื่อนร่วมงานกลับขึ้นรถไป หนึ่งในนั้นเป็นฝาแฝดคู่หนึ่งที่มาขอโทษเฉินเกอด้วยตัวเอง เฉินเกอยอมรับคำขอโทษของพวกเขาอย่างใจกว้างมากและสัญญาว่าเขาจะไปเยี่ยมถ้ามีโอกาสในอนาคต

หลังจากคนจากสถาบันฝันร้ายกลับไปแล้ว นักศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงก็มา พวกเขาส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของหวังตั้น เมื่อได้ยินว่าเพื่อนของพวกเขาหมดสติไปอีกแล้ว พวกเขาก็มาดูหลังจากเลิกชั้นเรียน

“นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่– เดี๋ยวเขาก็ฟื้นแล้ว” เฉินเกอสรุปหลังจากตรวจดูร่างกายของหวังตั้น อันที่จริง หวังตั้นนั้นตื่นนานแล้ว ในฐานะผู้เข้าชมรุ่นพี่ ความสามารถของเขาในการทนรับความหวาดกลัวทางจิตใจนั้นดีกว่าผู้เข้าชมคนอื่น ๆ มา เมื่อรู้ว่าเฉินเกอให้โอกาสเขาได้รักษาหน้า ไม่ช้าหวังตั้นก็ ‘ฟื้น’ ขึ้นมา

“หวังตั้น ในที่สุดนายก็ฟื้นแล้ว!”

“นายกล้าท้าทายฉากระดับ 3.5 ดาวจริง ๆ เหรอเนี่ย? ขอชมเชยเลย!”

นักศึกษาจากวิทยาลัยเข้าไปล้อมหวังตั้น และพวกเขาก็ไม่คิดว่าการหมดสติอยู่ในบ้านผีสิงของเฉินเกอนั้นเป็นอะไรที่น่าอับอาย อันที่จริง พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาต้องพลาดอะไรไปแน่ ๆ หากไม่มาหมดสติอยู่ที่นี่ เหมือนมีบางอย่างหายไปจากชีวิตมหาวิทยาลัย

“ไม่ถึงกับพ่ายแพ้ทั้งหมด” หวังตั้นเค้นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าซีดเซียว เขานอนอยู่กลางฝูงชนแล้วถูกมองอย่างประหลาดใจราวกับเป็นทหารหาญ “ผมเจอกุญแจของฉากระดับ 3.5 ดาว!”

หวังตั้นขยับหันไปทางเฉินเกอ เขายกมือขึ้น “บอสเฉิน ครั้งหน้าผมจะทำสำเร็จ!”

“ฉากพวกนี้สร้างเอาไว้ให้พวกคุณทุกคนได้สัมผัสและเคลียร์ฉาก ดังนั้นผมย่อมต้องยินดีต้อนรับพวกคุณกลับมาอยู่แล้ว” เฉินเกอนั้นชอบใช้เวลากับนักศึกษาพวกนี้– นี่ทำให้เขารู้สึกอ่อนเยาว์ลง หวังตั้นและแฟนสาวของเขานั้นมีนักศึกษาคนอื่น ๆ พาไป หลังจากที่พวกเขาหายลับไปจากสายตาเฉินเกอ พวกเขาก็เข้าไปล้อมหวังตั้นอีกครั้ง

“หวังตั้น ฉากระดับสามจุดห้าดาวนี่ข้างในดูเป็นยังไง? น่ากลัวแค่ไหน?”

“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องอธิบายความน่ากลัวในเมื่อผู้เข้าชมทั้งสิบคนล้วนหมดสติจากการเข้าชม” หวังตั้นยังอ่อนแรง และขาของเขาก็เหมือนแป้งเปียก “ฉากใหม่เป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ว่าพื้นที่ใหญ่อยู่นะ ฉันเชื่อว่าผู้เข้าชมเข้าพร้อมกันได้ยี่สิบคนเลย ที่นั่นเต็มไปด้วยกับดัก และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป เมืองก็เปลี่ยนตามไปด้วยตัวเอง”

“เมืองเปลี่ยนด้วยตัวเอง?” หยางเฉินหยิบสมุดจดออกมาแล้วเริ่มเขียน “ความยากเพิ่มขึ้นอีก?”

“ใช่! หมอกไหลไปตามถนน สัญญาณโทรศัพท์ถูกขัดขวาง และนักแสดงก็ปรากฏตัวออกมาเต็มถนนเลย”

“พูดอีกอย่างหนึ่ง ถ้าจะเคลียร์ฉากใหม่นี่ พวกเราต้องลงมือให้เร็วและหาคำใบ้ให้เจอมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่ความยากจะเพิ่มขึ้น” หยางเฉินจดทุกอย่างที่หวังต้้นพูดลงไปในสมุด นี่เป็นข้อมูลอันมีความที่หวังตั้นเสี่ยง ‘ชีวิต’ ได้มา

“ใช่ นอกเหนือจากนั้นแล้ว ผมยังได้ข้อมูลที่สำคัญมากมาระหว่างการเข้าชม” หวังตั้งคิด “เรื่องทางออก ผมเจอสามคำใบ้ พวกมันคือ ตู้เย็นที่มุมห้องครัว ห้องเก็บศพที่ท้ายโรงพยาบาล และก็ตู้ในห้อง ดังนั้น ถ้าพวกเราลองกันครั้งหน้า พวกเราก็แค่ต้องให้ความสนใจกับตู้เย็น ตู้ต่าง ๆ และห้องเก็บสพ”

“ได้ มีอย่างอื่นที่พวกเราต้องให้ความสนใจไหม?”

“มีอีกอย่างหนึ่ง ฉันไม่แน่ใจเรื่องนี้นะ แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นความจริง” หวังตั้นลังเล “เมื่อคิดถึงขนาดของฉากและความเป็นไปได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุ บอสเฉินมีเขตปลอดภัยให้ในฉาก มันอยู่ตรงกลางเมือง เป็นโรงแรม”

“เขตปลอดภัย?”

“ใช่ เจ้าของโรงแรมเป็นชายวัยกลางคน ตอนนี้พอฉันมาคิด ๆ ดู เขาไม่ได้อยู่ต่อหน้าพนักงานคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องโกหกผม” หวังตั้นให้คำแนะนำสำคัญอีกข้อหนึ่ง

“นี่สำคัญมากเลย มันอาจจะเป็นเครื่องช่วยชีวิต” หยางเฉินจดมันลงไปแล้ววงสีแดงเอาไว้เหมือนข้อมูลสำคัญอื่น ๆ

เฉินเกอมองส่งเหล่านักศึกษาเดินออกไปก่อนที่จะหันมาหาผู้เข้าชมที่เหลือ “ผู้ชายในชุดเสื้อคลุมยาวคนนี้ละเมิดกฎหมาย ฉันควรจะรอให้ตำรวจมาพาตัวเขาไป”

ยังมีผู้เข้าชมอยู่เยอะเกินกว่าที่เขาจะเรียกตำรวจได้ เฉินเกอรอจนถึงห้าโมงเย็นตอนที่สวนสนุกกำลังจะปิดให้บริการและโทรหาหลี่ซานเป่าและบอกเขาทุกอย่าง ระหว่างนี้ ผู้เข้าชมสองสามคนก็ค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้น สภาพของจางเฟิงนั้นค่อนข้างแย่ แต่เขาก็ฟื้นขึ้นมาหลังจากที่เฉินเกอส่งเขาเข้าไปที่ห้องเก็บศพใต้ดินครู่เดียว ความรู้สึกอายตัวเองทำให้เขาปลีกตัวกลับออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ชิโนซากิและผู้ช่วยของเขานั้นก็ทำท่าประหลาดเช่นกัน หลังจากพวกเขาฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็นั่งอยู่ข้าง ๆ บ้านผีสิงเหมือนกำลังรอเฉินเกอ หกโมงสี่สิบ หลังจากส่งผู้เข้าชมกลุ่มสุดท้ายลับไป ตอนที่เฉินเกอเตรียมจะปิดประตู ชิโนซากิกับผู้ช่วยของเขาก็วิ่งเข้ามา

“บอสเฉิน!” ชิโนซากิโขยกเขยกเข้ามาหา ผมของเขายุ่งเหยิง และสีหน้าของเขากระวนกระวาย ดูไม่เหมือนผู้เชี่ยวชาญอะไรเลย

“มีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ?” เฉินเกอนั้นค่อนข้างประทับใจในตัวชิโนซากิ

“ผมเจอต้นฉบับการ์ตูนในบ้านผีสิงของคุณ” ชิโนซากิดึงต้นฉบับออกมาจากกระเป๋า ตอนที่เขาหมดสติไป เขากำกระดาษแผ่นนี้เอาไว้ในมือแน่น “ผมขอพบคนวาดได้ไหม? ผมชื่นชมเขามาก และผมก็มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับเขา”

“คุณอยากพบเขา?” เฉินเกอรู้ดีเลยว่าเป็นเอี๋ยนต้าเหนียนที่วาดต้นฉบับนี่

“ใช่ครับ! ผมอยากจะร่วมมือกับเขาเผยแพร่งานของเขาไปให้ทั่วโลก อัจฉริยะอย่างนี้ไม่ควรแอบซ่อนอยู่ในบ้านผีสิง!” ชิโนซากิตื่นเต้น มันนานหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้พบผลงานที่ส่งผลต่อเขาลึกซึ้งอย่างนี้ ทุก ๆ หน้านั้นเป็นศิลปะ และพวกมันก็มีอารมณ์อันไม่เหมือนใคร วาดโลกแห่งความจริงผ่านสายตาอันประหลาดและเหนือธรรมชาติ

“ตามผมมาสิ ศิลปินคนนี้เป็นคนแปลก ๆ และผมก็รับรองไม่ได้ว่าเขาอยากจะพบคุณหรือเปล่า” เฉินเกอให้ถงถงติดต่อเอี๋ยนต้าเหนียนและนำชิโนซากิและผู้ช่วยของเขากลับเข้าไปในชั้นใต้ดิน

หลังจากได้รับอนุญาตจากเอี๋ยนต้าเหนียน เขาก็ตัดสินใจจัดการประชุมเล็ก ๆ “นักวาดอยู่ในห้องนอนนี่ เขาไม่ชอบคนแปลกหน้า เพราะงั้นพวกคุณก็คุยกันผ่านม่านได้ไหม?”

ชิโนซากินั้นเป็นนักวาดการ์ตูนที่มีชื่อเสียงและรู้ทุกอย่างในวงการนี้ กระทั่งผู้ช่วยของเขาก็ยังดูเป็นมืออาชีพ พวกเขามีสตูดิโอของตัวเองและยังมีระบบการทำงานที่เพียบพร้อม

เฉินเกอเองก็คอยสังเกตอยู่ในตอนแรก แต่หลังจากที่เขาแน่ใจแล้วว่าชิโนซากินั้นต้องการร่วมงานกับเอี๋ยนต้าเหนียนอย่างจริงใจ และเขายังปรารถนาจะช่วยเอี๋ยนต้าเหนียนเผยแพร่งานของเขาออกสู่สายตาคนทั้งโลก เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินกลับออกมา

นี่เป็นช่วงเวลาที่เอี๋ยนต้าเหนียนสามารถไขว่คว้าความฝันตลอดชีวิตของเขามาได้ ดังนั้นเฉินเกอย่อมไม่อยู่รบกวน เขายืนเฝ้าอยู่นอกห้อง ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง โทรศัพท์เครื่องดำของเฉินเกอจู่ ๆ ก็สั่น เขาเปิดมันดูอย่างสงสัยและเห็นว่ามีการอัพเดทเพิ่มขึ้นมาในแถบพนักงาน

ในส่วนของเอี๋ยนต้าเหนียน พลังพิเศษที่เดิมเป็นเครื่องหมายคำถามตอนนี้นั้นเปลี่ยนไปเป็นสีเทา มันยังใช้การไม่ได้ แต่ว่าเฉินเกอสามารถอ่านรายละเอียดได้

“ความปรารถนาเป็นจริง: พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกึ่งวิญญาณสีเลือด! ความปรารถนาในหัวใจของคุณจะผลิดอกออกผล ใช้ได้สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ทุกการใช้จะทำให้จำนวนหน้าในหนังสือการ์ตูนลดลงหนึ่งหน้าอย่างถาวร!

“ชีวิตของฉันคือการ์ตูน: ทุกหน้าคือความทรงจำของฉัน สัญญาที่ฉันรักษาเอาไว้ไม่ได้จะถูกฉีกขาด โยนทิ้งไปในอากาศ ให้ปลิวไปกับสายลม…”

 

เสียงความเคลื่อนไหววุ่นวายไหลเข้าหูเขา และผิวของเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ซึ่งเขาเหมือนจะไม่ได้สัมผัสมานาน มีคนจับมือเขาเอาไว้แน่น และความรู้สึกที่เหมือนกำลังตกเหวลงไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็หายไป เปลือกตาหนักเหลือเกินนั้นขยับช้า ๆ เปิดเป็นช่องเล็ก ๆ

“หมอ! เขาไม่เป็นไรใช่ไหม? มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะเป็นลมตอนที่เข้าบ้านผีสิง แต่ว่าไม่มีใครในพวกเราหมดสติไปนานขนาดนี้มาก่อน! เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว!” เสียงคุ้นเคยดังเข้าหัวเขา มันเหมือนมีคนกำลังเรียกเขาอยู่ที่ริมขอบสรวงสวรรค์ สติของเขากลับคืนมาอย่างช้า ๆ และความทรงจำของเขาก็กลับมาสู่สมอง

ฉันกำลังเข้าชมบ้านผีสิง ใช่ ฉันจำได้แล้วตอนนี้

หวังตั้นพยายามลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างที่สุดแล้ว สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือลืมตาขึ้นนิดเดียว

หยางเฉิน? ประธานองค์กรนักศึกษา? รุ่นพี่ปีสี่? ทำไมถึงมีคนเยอะขนาดนี้… หวังตั้นอยากพูด แต่ว่าริมฝีปากซีดเผือดของเขานั้นขยับไม่ไหว

“เอิ่ม… น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะ ไม่ต้องห่วง จากประสบการณ์ของพวกเราแล้ว เขาน่าจะตื่นขึ้นในไม่ช้าแล้ว” หมอกระแอมแห้ง ๆ “อย่ามามุงอยู่รอบ ๆ ถอยไปหน่อย! ให้มีอากาศหมุนเวียน”

หมอและพนักงานสวนสนุกขอให้คนอื่น ๆ ถอยออกไปอย่างสุภาพ หวังตั้นมองไปทางเสียงพวกนั้น ตอนนี้เขานอนอยู่ตรงด้านหน้าบ้านผีสิง และรอบ ๆ ตัวเขานั้นก็คือผู้เข้าชมที่มามุงดูเหตุการณ์ พวกเขายังพูดคุยกันเอง บางคนยังยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูป บางคนกำลังถ่ายวิดีโอ และยังมีอีกหลายคนกำลังไลฟ์ลงออนไลน์

ฉันคิดว่าหมดสติต่อไปน่าจะดีกับตัวฉันมากกว่า หวังตั้นพยายามหันหน้าหนีไปอีกข้าง เขาไม่อยากจะขึ้นหน้าหนึ่งออนไลน์จากการหมดสติอยู่ที่บ้านผีสิง ดวงตาของเขาขยับนิด ๆ แต่ที่ปลายหางตา หวังตั้นพบว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเลย

ผู้เข้าชมสิบคนถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบที่ยกพื้นหน้าบ้านผีสิง และใบหน้าของพวกเขาล้วนคุ้นเคย พวกเขาเข้าไปที่นั่นด้วยกัน และตอนนี้ ก็มานอนอยู่เคียงข้างกัน บางทีนี่อาจจะเป็นการรวมพลังกันของคนในกลุ่ม เห็นเพื่อนร่วมทีมแล้ว หวังตั้นก็ไม่รู้สึกแย่กับตัวเองอีกต่อไป และเขาก็หลับตาลงช้า ๆ อย่างน้อยที่สุด ฉันก็ได้เป็นวีรบุรุษอยู่หลายนาที…

คลื่นความร้อนรุนแรง แต่ว่าก็ไม่พอที่จะขัดขวางความต้องการของผู้เข้าชม ฉากระดับ 3.5 ดาวเปิดสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก และผู้เข้าชมทั้งสิบคนก็หมดสติ นี่อธิบายได้แค่ว่า ยอดเยี่ยมไปเลย

“เชี่ย! ขอบคุณที่ฉันไม่บ้าทำตามแรงกระตุ้นของตัวเองแล้วพุ่งตัวเข้าไป นั่นน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตฉันแล้ว!”

“ฉากใหม่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว! ฉันได้ยินบอสเฉินบอกว่านี่เป็นแค่ขั้นเริ่มต้นสู่ฉากระดับสี่ดาว และความยากของมันก็อยู่ระหว่างฉากระดับสามดาวและสี่ดาวเองนะ!”

“ถ้าปิศาจมีชื่อแซ่ มันต้องแซ่เฉินแน่ ๆ!”

“บอสเฉิน เพื่อน! มีคุณอยู่ตรงนี้ สวนสนุกนิวเซนจูรี่ก็เรียกได้ว่าได้ฟื้นฟูสู่ยุคที่สอง คุณอยากจะพูดคุยแบ่งปันไหมว่าคุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร?”

เฉินเกอผลักรถเข็นออกมาแล้วถูกผู้เข้าชมล้อมเอาไว้ เขาไม่คิดว่าการจัดการกับผู้เข้าชมทั้งสิบคนเลยจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้

“อย่างแรกเลย ผมยินดีที่บ้านผีสิงได้รับการต้อนรับจากทุก ๆ คน บ้านผีสิงนี่เป็นทุกอย่างที่พ่อกับแม่ของผมเหลือเอาไว้ให้ผม และนี่ก็เป็นโครงการตลอดชีวิตของผม ผมพูดได้เท่านี้แหละครับ”

เฉินเกอหาลุงซูเจอในฝูงชน เขาตัดสินใจใช้โอกาสนี้เผยแพร่ชื่อเสียงของฉากระดับ 3.5 ดาวออกไป และในเวลาเดียวกัน ยังโฆษณาถึงฉากระดับสี่ดาวที่กำลังจะเปิดตัว แต่ว่า เขาก็ต้องประหลาดใจ ผลลัพธ์นั้นดีกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ผู้เข้าชมนั้นตื่นเต้นที่เขาถูกล้อมเอาไว้ได้

“บอสเฉิน! พวกเรารู้ว่าการสร้างบ้านผีสิงมันไม่ง่าย การตามหาแรงบันดาลใจ เขียนเรื่องราว ออกแบบอุปกรณ์ประกอบฉาก… คุณต้องเผชิญหน้ากับเรื่องยุ่งยากมากมายใช่ไหม? ความเชื่อแบบไหนกันที่ทำให้คุณผ่านทั้งหมดนี้มาได้?”

เห็นประกายตาของเหล่าผู้เข้าชมแล้วเฉินเกอก็พบว่ามันยากที่จะปฏิเสธพวกเขา “ผมทุ่มเทให้กับบ้านผีสิงมาก ตั้งแต่การสร้างฉากต้อนรับผู้เข้าชม ความคาดหวังและความสนุกนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนอื่น ๆ จะสามารถมองเห็นได้ ดังนั้น ความยากที่คุณพูดถึงนั้นก็เทียบกับอะไรไม่ได้จริง ๆ ความรู้สึกรับผิดชอบวางลงมาบนบ่าของผม และผมก็บอกตัวเองว่า ผมต้องทำบ้านผีสิงให้ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้ ดังนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหน ผมก็จะคิดเรื่องนี้ในใจเสมอ เพราะอย่างนั้น มันจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว”

ได้ยินคำตอบของเฉินเกอ ผู้เข้าชมบางคนก็อดพยักหน้าไม่ได้ มีแค่คนที่ทุ่มเททุกอย่างลงไปในสิ่งที่ทำที่จะสามารถสร้างฉากมหัศจรรย์มากมายเช่นนี้ได้

“ทางนี้หน่อยครับ! บอสเฉิน! ผมเป็นผู้เข้าชมจากซินไห่! เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน สถาบันฝันร้ายที่มีชื่อเสียงที่สุดของซินไห่บอกว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อเรียนรู้และพูดคุยเรื่องการเข้าชมฉากกับคุณ คุณมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไรครับ?”

“สถาบันฝันร้าย?” บอสเฉินให้สัญญาณขอทางจากคนรอบ ๆ และเขาก็ชี้ไปยังหลายคนที่นอนอยู่ “พวกเขามา แต่ว่าไม่ได้มาเพื่อพูดคุยอย่างเป็นมิตรแน่นอน ในเรื่องนั้น ผมเองก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน ต่อไปถ้ามีโอกาส ผมจะลองไปเยี่ยมชมสถาบันฝันร้ายด้วยตนเอง พูดคุยเรื่องพวกนั้นกับพวกเขา”

“บอสเฉิน! ผมเห็นจากบนแพลตฟอร์มหนึ่งว่าหวงหลางนั้นไลฟ์สตรีมอยู่ในบ้านผีสิง และผมก็เห็นคุณในไลฟ์ด้วย! คุณบอกพวกเราโดยละเอียดได้ไหมว่าอันที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น? ครอบครัวผมเก้าคนและแมวอีกหนึ่งอยากรู้เรื่องนี้จะตายแล้ว!”

“คุณสามารถติดตามในสตรีมของผมได้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ผมจะพูดเรื่องนั้นในอนาคต”

“บอสเฉิน ยังมีข่าวลือบนออนไลน์ว่าบ้านผีสิงของคุณมีผีสิงจริง ๆ นั่นจริงหรือเปล่าครับ?”

“แน่นอนว่าไม่จริง โลกนี้ไม่มีผีเสียหน่อย ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ข่าวลือ ถ้าคุณไม่เชื่อผม คุณสามารถบอกมาได้เลยว่าใครบอกข่าวลือนั่นกับคุณ ผมจะไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง” รอยยิ้มของเฉินเกอยังคงอบอุ่นเหมือนเคย เขาปฏิบัติกับทุกคนด้วยท่าทางแบบเดียวกัน “เอาละครับ ผมยังต้องกลับไปทำงานต่อ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นเจ้าของบ้านผีสิง แต่ผมก็เป็นหนึ่งในพนักงาน และนี่ก็ยังเป็นเวลาทำงานอยู่”

ด้วยข้ออ้างนั้น ในที่สุดเฉินเกอก็หลุดออกจากวงล้อมผู้เข้าชม เขาถอนหายใจโล่งอกหลังจากเข้าไปในบ้านผีสิงได้ “หลอกผู้เข้าชมสิบคนจนหมดสติ นั่นน่าจะเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนสนใจและได้รับความนิยมบ้าง หวังว่าผู้อำนวยการลั่วจะสามารถกดความเห็นด้านลบจากเรื่องคราวนี้ได้ไม่ให้มันถูกคนอื่นเอาไปใช้ผิด ๆ”

เฉินเกอนั้นเตรียมวิธีการอันเฉียบขาดในการโฆษณาบ้านผีสิงและสวนสนุกเอาไว้อย่างหนึ่ง ถ้ามันไปได้สวย มันก็จะตัดปัญหาเรื่องสวนสนุกแห่งอนาคตที่กำลังจะเปิดไปได้ แต่ว่า ถ้ามันถูกใช้ผิด ๆ ก็จะกลายเป็นปัญหาของตนเองแทน

เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉากใหม่เปิดขึ้น ก็จะเกิดความวุ่นวาย และนั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่เฉินเกอต้องการ เพราะอย่างนั้น เขาถึงได้นำเอาวิญญาณสีเลือดสองตนกลับมาจากเมืองหลี่ว่าน เฉินเกอวิ่งเหยาะ ๆ กลับไปที่ฉาก ไปหาหญิงไร้หัวเพื่อปลอบประโลมเธอก่อนที่จะไปยังโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่านหารองเท้าส้นสูงสีแดง

อันที่จริง โชคของรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นก็ไม่ดีนัก แรกเลยเธอสูญเสียพลังทั้งหมดไประหว่างการต่อสู้กับหญิงหิวโหย จากนั้นเธอก็ได้รับบาดเจ็บเพราะการต่อสู้ของเงา จางหยา และคุณหมอเกา การบาดเจ็บทับซ้อนกัน ตอนนี้เธอแทบจะเหลือแต่เปลือกนอกแล้ว

“ดูเหมือนว่าคุณจะอารมณ์ดีทีเดียว” เฉินเกอนั่งลงที่หน้าห้องเก็บศพแล้วพิจารณารองเท้าส้นสูงสีแดงในมือ “คุณทำได้ดีมากเลยคราวนี้ ถ้าคุณชอบ คุณจะกลับมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้นะ บ้านผีสิงของผมเปิดรับคุณเสมอ”

พลังพิเศษของรองเท้าส้นสูงสีแดงคือคำสาป และนั่นก็คล้ายกับเงา หลังจากนำเธอกลับมาที่บ้านผีสิง เขา ร่วมกับพนักงานคนอื่น ๆ ของที่นี่ก็ทำสัญญากับเธอ หลังจากเธอช่วยพนักงานทั้งหมดกำจัดคำสาปแล้ว เฉินเกอก็จะปล่อยให้เธอจากไป

รองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อในตัวเฉินเกอ และทุกวันเธอก็พยายามหาทางเปลี่ยนคำสาปของเงา คำสาปส่วนใหญ่ในตัวจางจิงจิ่วและมือกรรไกรนั้นถูกชำระล้างไปแล้ว แต่ความยากที่แท้จริงนั้นก็คือคำสาปในร่างของซู่อิน เขาต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่เพราะเขาได้พัฒนาไปเป็นวิญญาณสีเลือด เขาก็คงจะหายตัวไปแล้วด้วยความทรมานจากคำสาป

ผลักเปิดประตูห้องเก็บศพเข้าไป เฉินเกอก็เดินไปที่เตียงผู้ป่วยที่อยู่ลึกที่สุดในห้อง บนเตียงนั้นมีตลับเทปที่ปกคลุมไปด้วยจุดสีเทาเข้มที่ดูราวกับแผลถลอก

“พักผ่อนให้ดี ทุกอย่างไม่เป็นไร ฉันอยู่ตรงนี้” เฉินเกอวางรองเท้าส้นสูงข้าง ๆ ตลับเทปแล้วนั่งลงข้างเตียงอยู่สิบนาทีก่อนจะกลับออกไป

ถ่ายรูป ไลฟ์สตรีมในบ้านผีสิง เฉินเกอให้อภัยได้ มันยังอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ อย่างไรเสีย มันก็นับเป็นวิธีหนึ่งในการโฆษณาบ้านผีสิงของเขา

แต่ว่า ปลอมตัวมาหลอกคนของเขานั้นล้ำเส้นเกินไปแล้ว

สำหรับเฉินเกอ นี่เป็นการกระทำอันมุ่งร้ายและควรได้รับการลงโทษ บ้านผีสิงนั้นเป็นทุกอย่างที่เฉินเกอมี และเมื่อจำนวนผู้เข้าชมก็เพิ่มขึ้นก็มีคนเข้ามาสร้างปัญหา ถ้าเขาเผยจุดอ่อนออกไปเพียงสักครั้งก็คงจะเท่ากับเชื้อเชิญปัญหาเข้ามามากขึ้นในอนาคต

เมืองหลี่ว่านนั้นเป็นฉากระดับ 3.5 ดาว ตั้งอยู่ระหว่างฉากระดับสามดาวและสี่ดาว เฉินเกอนั้นเพิ่งปลดล็อกฉากนี้ และเขาก็ยังไม่ได้สำรวจมันละเอียดนัก ดังนั้นความยากจึงยังไม่ได้สูงขนาดนั้น อันที่จริง ฉากเมืองหลี่ว่านยังมีขุมสมบัติลึกลับอีกมากมายรอให้เฉินเกอสำรวจ อย่างเช่นหมอกที่ดูเหมือนจะปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าและยังภารกิจลับที่ติดมากับฉากอีก

เขาต้องการเวลาอีกมากเพื่อที่จะทำความเข้าใจกับฉากนี้ได้ครบถ้วน และเวลาก็เป็นสิ่งที่เฉินเกอขาดแคลนที่สุดตอนนี้

ถ้ามีเวลาว่างมากพอ ฉันต้องทำฉากนี้ให้สมบูรณ์ แต่ตอนนี้ ฉันต้องจัดการกับปัญหาตรงหน้าก่อน

เฉินเกอสวมชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลกและยืนอยู่ที่ทางแยก– นั่นเป็นเส้นทางที่ผู้เข้าชมต้องใช้หากจะออกจากฉาก

เครื่องแบบหมอเปื้อนเลือดนั้นชัดเจนอยู่ในหมอก และยังเสียงครูดของโซ่ที่ลากไปบนพื้น เฉินเกอเดินออกมาจากหมอก ภายใต้หน้ากากที่ทำจากหนังมนุษย์ ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งจับจ้องหลี่ซางอิ๋นอย่างเงียบ ๆ มันไม่ใช่สายตาที่เป็นของคนเป็น– มันเต็มไปด้วยความเย็นเยียบที่บรรยายออกมาไม่ได้

หลายปีที่เขาทำงานอยู่ที่สถาบันฝันร้าย หลี่ซางอิ๋นเคยพบกับนักแสดงมืออาชีพมากมาย และเขาก็ยืนยันได้ว่าสายตาที่กำลังจับจ้องเขาอยู่นั้นไม่ได้เกิดจากการแสดงอันสมจริง ดวงตาคู่นั้นเหมือนเคยพบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติและฝันร้ายมากมายมาแล้ว

เครื่องสำอางบนใบหน้าของเขานั้นเละเทะ เมื่ออยู่ในสถานการณ์นี้ หลี่ซางอิ๋นก็รู้ว่าเขาจนมุมแล้ว การวิ่งเตลิดไปอย่างไร้จุดหมายนั้นมีแต่จะท้าทายผู้ชายคนนี้ ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือยอมแพ้อย่าดิ้นรน ด้วยวิธีนั้น เขาอาจจะรอดชีวิตไปโดยที่ยังเหลือเศษเสี้ยวความภาคภูมิใจเอาไว้ได้

“คุณเป็นพนักงานบ้านผีสิงใช่ไหม?” หลี่ซางอิ๋นเค้นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า “ผมยอมแพ้ คุณช่วยพาผมกลับออกไปได้ไหม?”

“คุณเป็นหนึ่งในผู้เข้าชมเหรอ?” เสียงของเฉินเกอดังมาจากใต้หน้ากาก เสียงของเขาแหบราวกับกำลังเคี้ยวบางอย่างที่แข็ง ๆ อยู่ในปาก

“ใช่ ผมลงชื่อในใบยินยอมก่อนที่จะเข้ามา ชื่อของผมคือ…”

ก่อนที่หลี่ซางอิ๋นจะทันพูดจบ เฉินเกอก็ตัดบทเขา “ผู้เข้าชมวันนี้ไม่มีคนท้อง กล้องวงจรปิดของพวกเรามองเห็นทุกอย่างชัดเจน พวกเราไม่อนุญาตให้คนท้องเข้าบ้านผีสิง ดังนั้นคุณย่อมไม่ใช่หนึ่งในผู้เข้าชมของพวกเรา” เฉินเกอพูดอย่างมั่นใจเหมือนกำลังพูดความจริง

“คนท้อง? ใครท้อง? ผมเป็นผู้เข้าชม ผมยอมแพ้แล้ว ดังนั้นช่วยนำผมออกไปเดี๋ยวนี้” หลี่ซางอิ๋นเริ่มตื่นตระหนก ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ เขาเอาแต่บอกว่าหลี่ซางอิ๋นเป็นคนท้อง และนั่นก็เป็นข้ออ้างที่จะใช้บีบให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ

“คุณไม่ใช่คนท้อง? ผมเห็นทุกอย่างชัดเจนกับตาตัวเอง คุณสวมชุดคลุมท้องและยังมีเสียงสูงกับใบหน้าสวย ๆ นั่น ไม่มีผู้เข้าชมคนไหนที่พวกเราต้อนรับให้เข้าฉากที่หน้าตาเหมือนคุณ” เฉินเกอเดินเข้าไปหาหลี่ซางอิ๋นช้า ๆ ลากค้อนไปด้วย “พูด อันที่จริงแล้วคุณเป็นใคร?”

“ผมชื่อหลี่ซางอิ๋น! ผมลงชื่อในใบยินยอม และใช่ เมื่อกี้นี้ผมแกล้งทำเป็นคนท้อง!” หลี่ซางอิ๋นสัมผัสได้ว่าเรื่องราวนั้นหลุดจากการควบคุมไปแล้ว เขารีบพูดความจริง กลัวว่าผู้ชายคนนี้จะลงมือกับเขาถ้าเขาอธิบายตัวเองช้าเกินไป

เฉินเกอหยุด และจากนั้นก็ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ยอมพูดความจริง ถ้าอย่างนั้น ก็มีวิธีการโน้มน้าวอันดับถัดไป”

ได้ยินคำพูดของเฉินเกอ หลี่ซางอิ๋นก็สติหลุด “แต่ว่าผมกำลังบอกความจริงกับคุณนะ! ผมเป็นผู้เข้าชม! ปล่อยผมออกไป!”

“ผมไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ถ้าคุณบอกความจริงผม ผมก็จะไม่ทำให้คุณยุ่งยากเกินไป แต่ถ้าคุณยังยืนกรานที่จะโกหกผม อย่างนั้นผมก็ต้องจัดการกับคุณเหมือนที่ผมจัดการกับพวกหัวขโมยน่าสงสารพวกนั้น” จู่ ๆ เฉินเกอก็เร่งฝีเท้า เขายกค้อนขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่หลี่ซางอิ๋น “พูด! คุณเป็นใคร!”

ค้อนที่ปกคลุมไปด้วยหนามขยายใหญ่ขึ้นในสายตาของหลี่ซางอิ๋น เขาไม่ได้อยากยืนอยู่ที่นี่ตอบคำถามเฉินเกอ แต่ว่า คำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจเขา– ทำไมค้อนเหล็กนี่ถึงเต็มไปด้วยหนามและรางเลือด?

ค้อนกระแทกเข้ากับหน้าต่างที่อยู่ข้างตัวหลี่ซางอิ๋น ปูนแตกออก หลี่ซางอิ๋นผงะถอยไป เทียบกับ ‘หมอ’ ที่ขวางทางเขาอยู่นั้น ตอนนี้เขารู้สึกว่าชายแปลกหน้าในชุดคลุมยาวด้านหลังเขานั้นน่ารักขึ้นมาทันที

สมองของหลี่ซางอินนั้นทำงานต่างไปจากคนทั่วไป กระทั่งในเวลานี้ เขาก็ยังคงมีจิตใจกระจ่าง เขาหันกลับ และก่อนที่มือกรรไกรจะจับตัวเขาทัน เขาก็กระแทกผ่านประตูข้างตัวไปแล้ว เขาตั้งใจจะหนีออกไปทางหน้าต่างด้านหลัง

เฉินเกอย่อมไม่ปล่อยให้เขาหนีไปได้ เขาสั่งให้เขาขวางหน้าต่างนั่นไว้แล้วและให้มือกรรไกรคุมประตูด้านหลัง เขาเรียกพนักงานที่ว่างอยู่ทั้งหมดมาแล้วก้าวเข้าไปในตึกพร้อมกัน

“พวกเขาไปไหนแล้ว? ทำไมโทรศัพท์ถึงใช้การไม่ได้?” ชายลามกที่ชอบโชว์ร่างกายตัวเองเดินออกมาจากห้องตรงมุมหนึ่ง เขาถือโทรศัพท์เอาไว้แล้วบ่นอย่างโกรธ ๆ “บ้านผีสิงนี่มันบ้าอะไรกัน? ไม่มีพนักงานสักคน ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันคาดหวังไว้ตั้งขนาดไหนก่อนจะมาที่นี่”

ผลักประตูเปิดแล้วเขาก็ก้าวเท้าลงไปที่ถนน เมืองเต็มไปด้วยหมอก

“หมอกนี่มาตั้งแต่ตอนไหน?” ผู้ชายคนนั้นเหลือบมองนาฬิหา “การเข้าชมกำลังจะจบลงในหนึ่งหรือสองนาที ฉันกำลังจะเสียค่าเข้าชมห้าสิบไปเปล่า ๆ”

เขาก้มหน้าลง เริ่มค้นหาเป้าหมาย เขาแอบเห็นเงาในหมอกวูบวาบผ่านไป แต่ว่าเขาสนใจเฉพาะที่มีรูปร่างเหมือนผู้หญิง

“ในตึกนี่มีแสงออกมา ดังนั้นน่าจะมีคนอยู่ข้างใน” ผู้ชายคนนั้นเล็งเป้าหมายได้ในไม่ช้า ตอนที่เขาเดินผ่านห้องหนึ่ง เขาก็เห็นคนผู้หนึ่งในชุดคลุมท้องนั่งอยู่บนโซฟา

“ผีท้อง? นั่นจะต้องเป็นอะไรที่แปลกใหม่” ผู้ชายคนนั้นหัวเราะลามก เขากระโดดเข้าไปทางหน้าต่างและเริ่มปลดกระดุมเสื้อโค้ตของเขา ดึงเสื้อโค้ตออก เขารอให้นักแสดงกรีดร้อง แต่ว่าผ่านไปหลายวินาที ห้องก็ยังคงเงียบ

“เกิดอะไรขึ้น?” เขาก้มหน้าลงไปและเห็นหลี่ซางอิ๋นในชุดคลุมท้องไถลลงไปกับโซฟาช้า ๆ เขามีน้ำลายฟูมปาก และร่างกายของเขากระตุกเรื่อย ๆ เขาดูเหมือนกำลังจะลาโลกแล้ว

“หลี่ซางอิ๋น?” ผู้ชายคนนั้นใบหน้าซีดเผือด แต่ก่อนที่เขาจะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เงาบิดเบี้ยวแขนขาขาดก็เริ่มปรากฏขึ้นจากตรงมุมห้อง “นี่มันอะไรกัน? นี่มันเชี่ยอะไร? หยุด! อย่าเข้ามาใกล้นะ!”

ตอนที่ทุกอย่างเงียบลงไปอีกครั้ง เฉินเกอก็หยุดบันทึกวิดีโอบนโทรศัพท์ของเขาและเดินออกมาจากห้องนอน

“พนักงานบ้านผีสิงพุ่งเข้าไปเพื่อช่วยตอนที่ไอ้คนทุเรศนี่กำลังจะจู่โจมผู้เข้าชม” หลังจากบันทึก ‘หลักฐาน’ เรียบร้อยแล้ว เฉินเกอก็เดินออกจากห้อง เขาออกจากฉากไปหารถเข็นมา

“พอมีฉากใหม่แล้วก็เหมือนว่ารถเข็นสองสามคันนี่จะไม่พอแฮะ” เฉินเกอให้ถงถงบอกให้พนักงานคนอื่น ๆ ส่งผู้เข้าชมออกมาที่ทางเข้าฉาก

 

ยืนอยู่ในตรอกมืด ๆ จางจิงจิ่วและหลี่ซางอิ๋นต่างมองกันและกัน ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับผีโดยตรงมาก่อน และบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นประหลาดและกระอักกระอ่วน

จางจิงจิ่วกระแอมครั้งหนึ่ง เขาเคยทำงานขายมาก่อน ดังนั้นบุคลิกภาพของเขาจึงเปิดเผยมากกว่าหลี่ซางอิ๋น เขารู้ว่าพวกเขาไม่สามารถยืนอยู่อย่างนี้กันทั้งวันได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจดำเนินบทสนทนาต่อ

“ไม่ต้องกังวลนะครับ คุณบอกผมได้ไหมว่าเขาหน้าตาแบบไหน? อย่างขนาด หรือความยาว หรือว่าเขามีลักษณะพิเศษอย่างไร?”

“อธิบายถึงเขาให้คุณฟัง? ขนาด ความยาว และลักษณะพิเศษ?” หลี่ซางอิ๋นอึ้งไปกับคำถามของจางจิงจิ่ว นี่เป็นคำถามที่คนเป็น ๆ ควรถามเหรอ?

เขาก็แค่สร้างเรื่องขึ้นมาเท่านั้นเอง เขาไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะจริงจังกับมันขนาดนั้น แต่ในเมื่อเรื่องนี้มันหมุนไปทางนั้นแล้ว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลี่ซางอิ๋นก็พูด “ใบหน้าของเขาพร่ามัว และเขาก็เต็มไปด้วยเลือด เขาเอาแต่ร้องไห้ บอกว่าหนาวแค่ไหน”

“ได้ มันอาจจะลำบากหน่อยถ้าหน้าตาของเขาพร่ามัว” จางจิงจิ่วกุมคางและพูดออกมาอย่างจริงจัง “ถ้าเขาบอกว่าเขาหนาวมาก อย่างนั้นเขาน่าจะอยู่ในตู้เย็น แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เลือดของเขาก็น่าจะแข็งไปแล้ว ดังนั้นความเป็นไปได้จึงไม่สูงนัก ให้ผมคิดดูก่อนว่าจะมีที่ไหนที่ทำให้เขารู้สึกหนาวได้ โอ้ ใช่แล้ว! ห้องเก็บศพที่โรงพยาบาล! ลูกของคุณอาจจะแอบเข้าไปในโรงพยาบาล ผมคิดว่าคุณควรลองไปดูที่นั่น คอยฟังเสียงร้องไห้เอาไว้– ห้องที่มีเสียงร้องไห้ดังที่สุดน่าจะเป็นที่ที่ลูกของคุณแอบอยู่”

“นี่คุณจริงจังเรอะ?” หลี่ซางอิ๋นนั้นเคยมั่นใจในฝีมือแต่งหน้าและการแสดงของตัวเองมาก เขาเป็นนักแสดงที่ดีที่สุดของสถาบันฝันร้าย แต่ว่าเขาเริ่มสงสัยในตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าจางจิงจิ่ว ผู้ชายคนนี้ให้ความร่วมมือกับเรื่องเล่าของเขาอย่างสุดความสามารถแต่ว่านั่นกลับกระตุ้นความสงสัยในหัวใจของหลี่ซางอิ๋นขึ้นมาว่าเขามองทุกอย่างออกและพยายามชักนำเขาไปยังห้องเก็บศพ

จางจิงจิ่วนั้นไม่ได้คิดอะไรอย่างที่หลี่ซางอิ๋นกำลังคิดเลย เขาพยักหน้า “หากเขาไม่อยู่ที่โรงพยาบาล อย่างนั้นก็ไม่ต้องห่วง อย่างไรเสียที่นี่ก็ใหญ่แค่นี้เอง ในที่สุดแล้วผมแน่ใจว่าคุณจะได้เจอกับเขา”

หลี่ซางอิ๋นไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังถูกผีปลอบใจอยู่ได้อย่างไร– จะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรดี? มันค่อนข้างน่ากลัวอยู่บ้าง และก็น่าตื่นเต้นมาก

“ขอบคุณ ฉันคิดว่าฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้” เสียงของหลี่ซางอิ๋นสั่น เขาซ่อนตัวเองอยู่ในเงาก้มหน้าต่ำเพื่อซ่อนลูกกระเดือก

“ไม่เป็นไรครับ อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นครอบครัวกันแล้ว” จางจิงจิ่วคิดว่าผีตนนี้ค่อนข้างสุภาพและรู้ว่านี่เป็นวิธีการแสดงความขอบคุณของเธอ ดูเหมือนว่าพนักงานคนอื่น ๆ ของบ้านผีสิงก้ไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่เขาคิดทีแรก

“พวกเราเป็นครอบครัว? คุณหมายความถึงอะไร?” หัวใจของหลี่ซางอิ๋นเต้นรัวเร็ว ผีตนนี้กำลังจะฆ่าเขาแล้วผนึกวิญญาณของเขาเอาไว้ในบ้านผีสิงเพื่อผูกมัดให้เขาอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลเหมือนกันงั้นหรือ?

“ตอนนี้ พวกเรายังไม่คุ้นเคยกันเพราะว่านี่เป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเรา แต่หลังจากพวกเราทำงานด้วยกันนานเข้า พวกเราย่อมรู้จักกันและกันดีขึ้น” จางจิงจิ่วเค้นรอยยิ้มประหลาดขึ้นบนหน้า

“ทำงานด้วยกันนานไป?” หัวใจของหลี่ซางอิ๋นหดตัวแน่น และเขาก็กำหมัดแน่น! จุดประสงค์ที่แท้จริงเผยออกมาแล้ว! ดังนั้น ตลอดเวลามานี้ ผีตนนี้ก็เพ่งเล็งเขาเอาไว้! ผู้ชายที่มีรอยยิ้มประหลาดคนนี้นั้นมองการปลอมตัวของเขาออกและต้องการให้เขาอยู่ที่บ้านผีสิงนี่ไปตลอดกาล!

เหงื่อไหลชุ่มเครื่องสำอางที่บนหน้าผากของเขา หลี่ซางอิ๋นรู้ว่าพนักงานบ้านผีสิงธรรมดา ๆ จะไม่เข้าหาเขาและพูดเกี่ยวกับการร่วมงานกันในอนาคตของพวกเขาเมื่อพบเจอเข้ากับคนแปลกหน้าที่กำลังท้องในบ้านผีสิง

ยิ่งหลี่ซางอิ๋นคิด เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ ที่นี่มีผีสิงจริง ๆ!

“พวกเราค่อยคุยกันตอนนั้นแล้วกัน” หลี่ซางอิ๋นรีบร้อนจะกลับออกไป

“โรงพยาบาลอยู่ทางซ้ายมือนะครับ!” จางจิงจิ่วมองหลี่ซางอิ๋นรีบร้อนจากไปแล้วก็เกาจมูก “นี่ฉันพูดอะไรล่วงเกินเธอไปหรือเปล่า? มันเหมือนว่าฉันทำอะไรสักอย่างผิดไป”

ก่อนที่หลี่ซางอิ๋นจะเดินออกไปลับตา วิทยุสื่อสารในกระเป๋าของจางจิงจิ่วก็ดังขึ้น เขารีบดึงมันออกมา

“จิงจิ่ว คุณเรียกหาผมมีอะไรหรือเปล่า?” เสียงของเฉินเกอดังออกมาจากวิทยุ

“มีพนักงานเก่าที่นี่มาหาผมและถามคำถามผม แต่ไม่ต้องห่วง พวกเรามีปฏิสัมพันธ์กันค่อนข้างดีที่เดียว”

“พนักงานเก่ามาหาคุณ?” เฉินเกองุนงง “พนักงานธรรมดาจะไม่ออกจากตึกของตัวเองนะ ถ้าไม่มีที่สิงสถิต พวกเขาจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ แล้ววิญญาณสีเลือดทั้งสองตนนั่นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และพวกเขาก็สัญญากับผมว่าจะไม่เป็นฝ่ายออกไปตามหาผู้เข้าชมด้วยตนเอง จิงจิ่ว คนผู้นั้นที่คุณเจอหน้าตาแบบไหน?”

“เป็นผู้หญิงท้องคนหนึ่ง…”

“เอาละ ผมเข้าใจแล้ว นั่นไม่ใช่พวกเรา เป็นอีกฝ่ายที่แทรกซึมเข้ามาในที่ของพวกเรา”

“พวกเราควรจะทำยังไงดีครับ?” จางจิงจิ่วตื่นตระหนก เขาไม่คิดจริง ๆ ว่าคนท้องคนนั้นจะไม่ใช่พนักงานบ้านผีสิง

“คุณก็เคยเห็นผีกับสัตว์ประหลาดที่ในจิ่วเจียงตะวันออก เมื่อโลกนี้มีแสงสว่าง ย่อมมีความมืด ถ้ามีคนอย่างผมที่ยึดมั่นในความยุติธรรม ก็ย่อมต้องมีคนที่มีความชั่วร้ายอยู่ในหัวใจ แต่ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าพวกเขากล้าสร้างปัญหาที่ในบ้านผีสิงของผม พวกเขาก็ควรจะเตรียมสนุกกับประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตได้เลย”

“เข้าใจแล้วครับ” จางจิงจิ่วบรรยายหน้าตาของหญิงท้องอย่างละเอียดให้เฉินเกอฟังก่อนจะวางสาย

เฉินเกอยืนอยู่ตรงทางแยก เก็บวิทยุสื่อสารลงไป ตอนแรกที่ได้ยินจางจิงจิ่งรายงาน เขาคิดว่าเงาส่งลูกน้องออกมา แต่ยิ่งฟัง เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หญิงท้องนั่นน่าจะเป็นคนเป็น ๆ ปลอมตัวมา

มีนักแสดงมืออาชีพจากบ้านผีสิงอื่นแทรกซึมเข้ามาในกลุ่ม พวกเขาตามนักไลฟ์สตรีม หวงหลาง เข้ามาและเพื่อสร้างเอฟเฟ็คท์ บางคนก็แกล้งทำตัวเป็นผี

“หวังว่าฉันจะกังวลไปเอง” บ้านผีสิงนั้นเป็นฐานทัพของเฉินเกอ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถละเลยอะไรเกินไปได้ ส่วนเรื่องความปลอดภัย เฉินเกอติดต่อถงถงและให้เขาปลุกผีทั้งหมดในฉากขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถระบุตำแหน่งผู้เข้าชมที่สงสัยได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ก้องอยู่ในเมืองเล็กนี้ เงาปีนป่ายออกจากกำแพงและมุมต่าง ๆ วิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่ตื่นขึ้น และพวกเขาก็เริ่มออมาเดินไปตามถนน แค่ไม่กี่วินาที เฉินเกอก็ได้รับข้อความจากถงถงและมือกรรไกร

ถงถงเจอผู้ชายคนนั้นแล้ว แต่ว่ามือกรรไกรทำได้ดีกว่า เขาบอกเฉินเกอว่าเขากำลังตามชายคนนั้นอยู่ ผู้ชายคนนั้นน่าสงสัยมากไม่เหมือนผู้เข้าชมทั่วไป

“รอก่อน พวกเราจะลงมือพร้อมกันเมื่อฉันไปถึง” เฉินเกอมองเวลาบนโทรศัพท์ของเขา ยังพอมีเวลาก่อนที่การเข้าชมครั้งนี้จะจบลง

หลี่ซางอิ๋นโยนชุดคนท้องกับผ้าปูเตียงเข้าไปในห้องมั่ว ๆ ห้องหนึ่ง แล้วก็เบียดตัวเองไปยังทางออกในใจโดยไม่ล้างเครื่องสำอางออก เขาไม่กล้าทำเสียงอะไรมากนักเพราะไม่อยากดึงดูดสิ่งเหนือธรรมชาติ เขาโทรหาเพื่อนของเขา แต่ว่าไม่มีใครรับสายเหมือนกับเขาอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่แยกออกมา

ตอนที่การเข้าชมกำลังจะหมดเวลาลง เมืองเล็กก็เปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้นและมืดขึ้น ถนนที่ควรจะว่างเปล่าเต็มไปด้วยเงา หมอกรอบ ๆ เมืองหนาขึ้น และก็ยังได้กลิ่นเลือดอยู่ในหมอกนั่น

“มันเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องฉันอยู่” หลี่ซางอิ๋นเกาหลังคอ เขารู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจ พอมีลมพัดเขาก็มักจะหันหลังไปมอง “มีคนอยู่ข้างหลังฉัน!”

หลังจากวิ่งไปถนนหนึ่ง หลี่ซางอิ๋นจู่ ๆ ก็เพิ่มความเร็ว เขาเปิดไฟฉายบนโทรศัพท์แล้วส่องไปด้านหลังตัวเอง ในหมอก มีชายแปลกหน้าในชุดคลุมยาวถือกรรไกรใหญ่เล่มหนึ่งไล่ตามหลังเขามา

“ฉันรู้อยู่แล้ว!” หลี่ซางอิ๋นยังค่อนข้างใจเย็น เขารู้ว่าแสงจากโทรศัพท์คงจะเผยตำแหน่งของเขาออกมา ดังนั้นเขาจึงปิดมันลงทันที “ฉันเคยมาที่ตึกนี้มาก่อน หลังจากผ่านประตูหน้าเข้าไป ก็สามารถกระโดดออกจากหน้าต่างด้านหลังได้ ฉันจะใช้โอกาสนี้สลัดตัวประหลาดนั่นทิ้ง”

นั่นเป็นความคิดที่ดี แต่เมื่อเขาเริ่มวิ่งไปข้างหน้า เขาก็ชะงัก

ที่มุมถนน มีผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมแบบหมอ มีโซ่พันตัวเอาไว้ ลากค้อนหน้าตาน่ากลัวเดินตรงเข้ามาหาเขาช้า ๆ

 

 

หลี่ซางอิ๋นนั้นเป็น ‘นักแสดงที่เป็นที่นิยมที่สุด’ ของสถาบันฝันร้าย รอบตัวเขามีบรรยากาศของความบ้าคลั่งที่ไม่จำเป็นต้องปลอมแปลงขึ้น เขาเพียงแค่ปล่อยให้ตัวเองเหมือนบ้าคลั่งไปเพื่อให้ตัวละครนั้นมีชีวิตขึ้นมา ยืนอยู่ในเงามืดที่ทางเข้าโรงแรม เขาสวมชุดหญิงท้องที่เขาเจอในตึกหลังหนึ่งแล้วดึงเอาอุปกรณ์แต่งหน้าจากกระเป๋าคาดเอวที่สวมเอาไว้ตลอดเวลาออกมา เพียงแค่ปาดพู่กันไม่กี่ครั้งเขาก็ดูต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ด้วยรูปลักษณ์นุ่มนวลโดยธรรมชาติและมีเครื่องสำอางช่วย ถึงเขาจะยังผมสั้น หลี่ซางอิ๋นก็ดูคล้ายผู้หญิงแล้ว

ไม่มีวิกผม ฉันคงต้องใช้หมวกแทน

เขาวิ่งเข้าไปในตึกข้าง ๆ หาผ้าปูเตียงผืนหนึ่งมาแล้วม้วนมันเป็นก้อนกลมและยัดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตของเขา ไม่สนใจว่าผ้าปูเตียงนั่นจะสกปรกแค่ไหน

ตอนที่เขาเตรียมตัวเสร็จแล้ว หลี่ซางอิ๋นก็กลับไปยังทางเข้าโรงแรม เขามองจางจิงจิ่วที่อยู่ด้านในโรงแรมด้วยหางตา หลังจากปรับอารมณ์แล้ว เขาก็ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งพร้อมน้ำตา “คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม? ฉันทำของหาย”

เสียงของเขานั้นต่างไปจากก่อนหน้า ฟังคล้ายเสียงผู้หญิงมากขึ้น จางจิงจิ่วที่ยังเรียนการแสดงอยู่ เมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เขาก็รีบวางโทรศัพท์ลง

ผู้เข้าชมคนหนึ่งเหรอ? เขาคิดว่าในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะได้ลงมือแล้ว เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปยังทางเข้า

เห็นจางจิงจิ่วติดกับ หลี่ซางอิ๋นก็ถอยกลับเข้าไปในตรอกระหว่างโรงแรมและตึกข้าง ๆ ทันที เขายืนลึกอยู่ในตรอกดังนั้นคนด้านนอกจึงมองเห็นแค่เงาของเขาเท่านั้น

“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” จางจิงจิ่วเห็นคนแอบอยู่ในตรอก เขาคิดว่าเป็นเพราะคนผู้นั้นก็คล้ายหวังตั้นที่ทำเหมือนทุกอย่างที่ตนเห็นที่บ้านผีสิงนั้นเป็นผี

“ฉันทำบางอย่างที่สำคัญมากหาย คุณช่วยฉันหาหน่อยได้ไหม?” มันก็ยังเป็นเสียงน่าสงสารของผู้หญิงที่พูดออกมา แต่ว่าสีหน้าของหลี่ซางอิ๋นในตอนนั้นกลับดูชั่วร้ายมาก หลังจากเขาเลิกเสแสร้ง นี่ก็คือสีหน้าจริง ๆ ของเขา

“แน่นอนครับ” ถึงแม้ว่าจางจิงจิ่วจะสงสัย เขาก็ยังคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะว่านี่ยังอยู่ในพื้นที่ของพวกเขา เขาเข้าไปในตรอกและสังเกตเห็นท้องที่นูนขึ้นมาของหลี่ซางอิ๋นเมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้น

คนท้อง?

หน้าหนึ่งของคู่มือพนักงานวาบผ่านเข้ามาในใจของจางจิงจิ่ว เพราะคำนึงถึงความปลอดภัย คนท้องนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบ้านผีสิง

ถ้าไม่ใช่ผู้เข้าชม ก็คงเป็นพนักงานเก่าที่นี่…

จางจิงจิ่วชะลอฝีเท้าลง เขารู้ดีว่า ‘สิ่งนั้น’ ที่รับบทบาทนักแสดงในบ้านผีสิงอันที่จริงคืออะไร

เมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นเดินช้าลง ดวงตาของหลี่ซางอิ๋นก็หรี่ลง และเขาก็ยิ่งระแวดระวังมากขึ้น พวกเขาทั้งคู่ต่างสงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผี และทั้งคู่ก็เริ่มแสดงท่าทางประหลาดเพราะเรื่องนั้น

“ฉันปวดท้องมาก คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม? ฉันทำของหายแถว ๆ นี้” หลี่ซางอิ๋นยังใช้เสียงปลอมพูดต่อ

“คุณทำอะไรหายเหรอครับ?” จางจิงจิ่วนั้นเกือบจะแน่ใจแล้วว่าเขากำลังรับมือกับพนักงานเก่า ดังนั้นความคิดที่ผู้เข้าชมแกล้งปลอมตัวมาหลอกเขานั้นจึงไม่เคยผ่านเข้ามาในใจเลย ถึงแม้ว่าเขาจะกลัว แต่เมื่อคิดถึงว่าเขายังต้องทำงานอยู่ในบ้านผีสิงอีกนาน เขาย่อมต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับรุ่นพี่ของตน ดังนั้นเขาจึงกดความกลัวเอาไว้ ไม่วิ่งหนีไป

ได้ยินคำตอบของจางจิงจิ่ว สีหน้าของหลี่ซางอิ๋นก็ทะมึนมากขึ้น เวลาที่คนทั่วไปพบเจอคนท้องพูดว่าปวดท้องและเธอกำลังมองหาบางอย่างอยู่ในบ้านผีสิง ไม่ใช่ว่าปฏิกริยาแรกของพวกเขาก็คือโทรเรียกรถพยาบาลหรือว่าติดต่อเจ้านายหรือยังไง?

แต่ว่าผู้ชายคนนี้กลับคิดจริงจังเหมือนอยากจะช่วยเขาหาของที่หายไปอย่างจริงใจ

“ฉันทำบางอย่างที่สำคัญหาย เขาอยู่กับฉันมาเก้าเดือน ฉันกำลังจะได้พบเขาแล้วในไม่ช้า แต่ว่าฉันบังเอิญทำเขาหายไป” หลี่ซางอิ๋น ‘คร่ำครวญ’ หนักกว่าเดิม

ได้ยินคำบรรยายที่มากพอให้จางจิงจิ่วขนลุกเกรียว เขางึมงำอยู่ในใจ งั้น ของสำคัญที่เธอทำหายก็คือลูกเธอแล้วไม่ใช่อะไรอื่น!

จางจิงจิ่วเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและกดปุ่มบนวิทยุสื่อสารอย่างเงียบ ๆ แต่ว่าไม่มีใครตอบเลยว่าเขาควรจะทำอย่างไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่พึ่งพาตัวเองแล้ว

ถ้าเธอไม่ใช่คนบ้าที่แอบเข้ามาในบ้านผีสิง อย่างนั้นเธอก็น่าจะเป็นพนักงานเก่าที่เจอปัญหาเข้า ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นคนใหม่ที่นี่ อย่างน้อยที่สุดฉันก็ผ่านอะไร ๆ มากับบอสเฉินตั้งมาก ดังนั้นฉันจะไม่ยอมให้พนักงานเก่าดูถูกเอาได้

เมื่อคิดกลับไปถึงประสบการณ์ในเมืองหลี่ว่านของเขา จางจิงจิ่วก็ตัดสินใจได้

ไม่ว่ามันจะน่ากลัวแค่ไหน ก็คงไม่น่ากลัวไปกว่าเมืองหลี่ว่านหรอกใช่ไหม?

เพราะคิดอย่างนี้อยู่ในใจ จางจิงจิ่วจึงเดินเข้าไปหา ‘คนท้อง’ และอาสาช่วยเหลือ “ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะช่วยคุณตามหาเขา”

การที่เขาเดินเข้าไปช่วยอย่างไม่ลังเลทำให้หลี่ซางอิ๋นเริ่มตระหนก สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่คาด ผู้ชายคนนี้เป็นผีจริง ๆ ใช่ไหม?

ขณะที่จางจิงจิ่วเข้าไปใกล้เขามากขึ้น หลี่ซางอิ๋นก็รีบปรับอารมณ์ เขาพยายามที่จะพลิกสถานการณ์ให้เหนือกว่าอีกครั้งและจะได้ตักตวงข้อมูลที่มีประโยชน์จากจางจิงจิ่ว

“คุณทำหายแถว ๆ นี้ใช่ไหมครับ?” จางจิงจิ่วถาม แสงนั้นสลัว ในเมื่อเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคือผี เขาก็ไม่คิดจะเปิดไฟ แต่เขาสอดมือไว้ในกระเป๋า กำวิทยุสื่อสารเอาไว้ เพื่อให้สามารถเรียกบอสเฉินขอความช่วยเหลือได้เมื่อเกิดความจำเป็นขึ้น

“ใช่ ฉันฝันถึงเขาทุกคืน เขาบอกว่าเขาหนาวมาก เขาอยากจะขึ้นนอนบนเตียง แบ่งความอบอุ่นของผ้าห่ม…”

“เอาละ เอาละ คุณหยุดได้แล้ว” จางจิงจิ่วยักไหล่อย่างอับจน “ผมจะช่วยคุณหาเขา อย่างไรซะผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่พอดี”

คำตอบของจางจิงจิ่วทำให้หลี่ซางอิ๋นอึ้งไปอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ถูกเรื่องสยองขวัญของเขาทำให้กลัวแต่ว่าสัญญาจะช่วยเขาแก้ปัญหา ผู้ชายคนนี้ไม่ปกติจริง ๆ!

หลี่ซางอิ๋นรู้สึกเหมือนตัวเองเจอเข้ากับความลับสุดท้ายของบ้านผีสิงของเฉินเกอ ที่นี่นั้นเป็นที่นิยมขนาดนี้ก็เพราะว่าไม่มีนักแสดงของเขาคนไหนเป็นคนจริง ๆ เลยสักคน!

ขณะที่จางจิงจิ่วเข้ามาใกล้มากขึ้น ทั้งร่างของหลี่ซางอิ๋นก็เกร็งเขม็งขึ้น เขาอยากจะยืนยันให้ได้มากกว่านี้ เขาเงยหน้าที่แต่งเอาไว้ขึ้น พวกเขาสบตากัน และจางจิงจิ่วก็ตัวสั่น แต่เขาก็ยังแน่วแน่ในความคิดก่อนหน้า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นพนักงานเก่าของบ้านผีสิงนี่แน่นอน

“พี่สาวไม่ต้องห่วงนะครับ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรหาย ผมก็จะช่วยคุณหา ถ้าพวกเราหาเขาไม่เจอวันนี้ พวกเราก็หาต่อพรุ่งนี้ อย่างไรพวกเราก็มีเวลาตั้งมาก” จางจิงจิ่วบังคับให้ตัวเองสงบใจลง

ได้ยินอย่างนั้น ม่านตาหลี่ซางอิ๋นก็สั่นระริก เขาหมายถึงอะไรกัน? พวกเรามีเวลาตั้งมากมาย? หลังจากคุณได้ยินคนท้องเล่าเรื่องสยองขวัญ ก็ยังตอบว่าพวกเรามีเวลามากมาย? นี่เป็นเพราะว่าฉันถูกมองออกแล้ว หรือว่าเขาคิดจะทำร้ายฉัน? นั่นไม่น่าใช่– นี่เป็นแค่การเข้าชมบ้านผีสิงเท่านั้น

ระยะห่างระหว่างทั้งสองหดสั้นลง แสงไฟสลัว พวกเขาดูเหมือนจะมีจุดประสงค์ในการเข้าใกล้อีกฝ่าย ทั้งสองคนล้วนต้องการพิสูจน์บางอย่าง

“ไม่ต้องห่วง ผมมาช่วยคุณ” จางจิงจิ่วเดินเข้าไปที่ข้างตัวหลี่ซางอิ๋น เขามองใบหน้าของหลี่ซางอิ๋นเหมือนพยายามจดจำใบหน้าของคนผู้นี้เอาไว้เพื่อที่จะได้ไปร้องเรียน ‘เธอ’ กับบอสเฉินหลังเลิกงาน

หลี่ซางอิ๋นเองก็มองจางจิงจิ่วอย่างละเอียด นี่เป็นการพบเจอกับสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา และเขาก็ต้องการจดจำเอาไว้ว่าผีนั้นดูเป็นอย่างไร

กลับไปยังที่ที่ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น หวังตั้นตัดสินใจใช้ความมุ่งมั่นสุดท้ายของตนพิสูจน์ทุกอย่าง “คราวนี้ ฉันต้องทำได้สำเร็จ!”

เขาลากแฟนสาวกลับไปยังที่ที่พวกเขามา ใช้พลังงานทุกหยาดหยดที่พวกเขาเหลืออยู่ พวกเขาวิ่งไปราวกับชีวิตแขวนอยู่กับเรื่องนี้ จางจิงจิ่วนั่งอยู่ที่ทางเข้าโรงแรม อ่านบทความในโทรศัพท์ถึงการเป็นนักแสดงที่ดีตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้ารัวเร็วมาก เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ และเห็นหวังตั้นกับแฟนสาววิ่งผ่านเขาไป สภาพย่ำแย่ยิ่งกว่าก่อนหน้า

“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสนุกกันจริง ๆ กรีดร้องและวิ่งตะบึงไปดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการระบายความกดดันภายในและบางทีนี่อาจจะเป็นจุดประสงค์ของการมีอยู่ของบ้านผีสิง” จางจิงจิ่วสรุปกับตัวเอง เขาเข้าใจว่าหน้าที่ของเขานั้นไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่มันดูเหมือนจะเป็น– มันต้องมีความหมายซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง

หวังตั้นและแฟนสาวของเขาวิ่งกลับไปยังโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน พวกเขาพุ่งเข้าไปในตึกเหมือนกับนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขา ห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดทิ้งเอาไว้ครึ่ง ๆ และผู้ป่วยที่ถือบันทึกประวัติผู้ป่วยอยู่ก็พบว่าทั้งสองคนนี้ช่างคุ้นตา พวกเขาประหลาดใจกับความกล้าหาญของหวังตั้น และเพราะความประหลาดใจ ผู้ป่วยจึงเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยมากขึ้นเรื่อย ๆ

ตอนที่พวกเขาหลอกผู้เข้าชม พวกผีจะสามารถเก็บเกี่ยวอารมณ์ด้านลบที่พวกเขาต้องการได้ แต่ที่สำคัญที่สุด ก็ยังเป็นความสนุกในการหลอกคนอยู่ดี

“อย่าหันกลับไปมอง! ถ้าลังเลก็จะล้มเหลว!” หวังตั้นและแฟนของเขาวิ่งลงบันไดไปไปถึงชั้นใต้ดินที่สามอย่างรวดเร็ว

“นี่น่าจะเป็นที่ที่คำใบ้พูดถึงตอนที่มันบอกว่าท้ายโรงพยาบาล” หวังตั้นจับมือแฟนสาวเอาไว้ขณะพุ่งผ่านทางเดินไป ตอนที่พวกเขาผ่านห้องหนึ่งที่ประตูทาสีแดงเอาไว้ พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ตามหลังพวกเขาอยู่หายวับไปในทันที กลุ่มผู้ป่วยที่เดิมตามพวกเขามา ทำไมจู่ ๆ ก็ล้มเลิกความตั้งใจไปล่ะ?

“เกิดอะไรขึ้น?” หวังตั้นนั้นคุ้นเคยกับพวกนักแสดงเกินไป เมื่อผู้เข้าชมทำให้พวกเขาโมโหขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็จะไม่หยุดจนกว่าผู้เข้าชมจะหมดสติไป นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเข้ามาในโรงพยาบาล พวกเขาไม่ปล่อยให้เขากลับออกไปได้ง่าย ๆ แน่ครั้งนี้

“พวกพนักงานไม่ได้ใจบุญขนาดนั้น เหตุผลเดียวที่พวกเขาหยุดไล่ตามพวกเราก็เพราะว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวกว่ารอพวกเราอยู่ข้างหน้าแล้ว!” หวังตั้นรู้ดีเป็นที่สุด แต่ว่ามันก็มีทางให้มุ่งหน้าไปทางเดียวเท่านั้น สองสามห้องที่ส่วนลึกของโรงพยาบาลนั้นราวกับเป็นสถานที่ต้องห้าม มันเงียบมากจนกระทั่งเสียงเพลงแบ็คกราวน์ของบ้านผีสิงยังหายไปด้วย

“หวังตั้น…”

“ชู่” หวังตั้นเองก็ไม่สามารถหาประตูเข้าห้องเก็บศพได้ เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตอนที่เขาหันมองไปรอบ ๆ เขาก็พบว่าประตูห้องสีแดงที่พวกเขาผ่านมาก่อนหน้านี้นั้นเปิดออกเองได้

“มีคนอยู่ที่นั่น?” สมองของหวังตั้นขาดออกซิเจนเพราะว่าเขาวิ่งไม่หยุด เขารู้สึกหัวเบาจนมองเห็นภาพพร่าเลือน

ประตูทั้งหมดที่ไกล ๆ ล้วนเป็นสีขาวและมีเพียงประตูนี้บานเดียวที่ทาสีแดง ราวกับมันกำลังเตือนทั้งนักแสดงและผู้เข้าชมไม่ให้เข้าไปใกล้เกินไป อากาศรอบ ๆ ดูบางเบา หวังตั้นอยากหาห้องเก็บศพให้เจอจะแย่อยู่แล้ว เขารู้ว่าเขาเหลือเวลาอยู่ไม่มากนักแล้ว

เขาผลักเปิดประตูหลายต่อหลายบาน แต่ว่าเขาก็ยังหาห้องเก็บศพไม่เจอ กลิ่นเลือดจาง ๆ นั้นอวลอยู่ในอากาศ หวังตั้นได้ยินเสียงที่สองปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเขา เสียงกระทบพื้นของรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง!

รองเท้าส้นสูงเหยียบลงไปบนพื้น แต่ว่าทุกก้าวนั้นราวกับเหยียบลงบนหัวใจของเขา ร่างกายของเขาสั่น และเสื้อผ้าของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แฟนสาวของหวังตั้นนั้นแย่ยิ่งกว่า ขาของเธอรับน้ำหนักไม่ไหวแล้วและเธอก็เอนตัวพิงอยู่กับหวังตั้น อาศัยเขาลากเธอไปข้างหน้า

“ที่ซ่อนอยู่ในห้องนี้คืออะไรกันแน่? กระทั่งตอนที่พวกเราถูกผู้ป่วยทั้งกลุ่มไล่ตามมาก่อนหน้านี้ฉันยังไม่กลัวขนาดนี้เลย! ร่างกายของฉันสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ และทุกเซลล์ในร่างกายของฉันก็กรีดร้องบอกให้ฉันวิ่งหนีไป” เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นใกล้เข้ามา ความกดดันแทบทำให้หายใจไม่ออกใกล้เข้ามา ทำให้หวังตั้นและแฟนสาวของเขาถูกบรรยากาศกดดันเอาไว้ ในที่สุดทั้งสองคนก็เลือกห้องหนึ่งเข้าไปหลบชั่วคราว

“ทางนี้!” หวังตั้นลากแฟนสาวของเขาเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย พวกเขายกมือขึ้นปิดปากเอาไว้กลัวว่าจะบังเอิญดึงดูดความสนใจของเจ้าสิ่งนั้น เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องพวกเขา

เธออยู่ข้างนอกนี่แล้ว!

ดวงตาของหวังตั้นและแฟนสาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขาติดกับแล้ว!

หัวใจของพวกเขาเต้นแรง หวังตั้นกำลูกบิดประตูแน่นและทิ้งน้ำหนักทั้งหมดดันประตูเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่เปิดประตู!

ลูกบิดประตูถูกคนที่ด้านนอกหมุน แต่ในเมื่อหวังตั้นกำลูกบิดประตูเอาไว้แน่นและดันประตูเอาไว้ด้วยร่างของตน คนที่ด้านนอกก็ผลักประตูเปิดไม่ได้ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง คนที่ด้านนอกก็ดูเหมือนจะหมดความอดทนแล้ว เสียงรองเท้าส้นสูงก้องไปตามทางเดิน คนผู้นั้นดูเหมือนจะเดินห่างออกไปแล้ว

“พวกเราปลอดภัยแล้ว” หวังตั้นนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อเหมือนเพิ่งอาบน้ำมา “พวกเราออกไปได้แล้ว…”

ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันผ่านห้องพักผู้ป่วยแต่ละห้องมาหยุดอยู่ที่ด้านนอกห้องของหวังตั้นเป็นครั้งที่สอง หัวใจของหวังตั้นและแฟนสาวนั้นลอยคว้าง ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือรอ

สิบวินาที สามสิบวินาที หนึ่งนาที…

สองนาทีผ่านไป และก็ยังไม่มีเสียงจากด้านนอก หลังจากเสียงรองเท้าส้นสูงมาหยุดอยู่ที่ด้านนอกประตูพวกเขา ก็ไม่มีเสียงอะไรอีก

“คนผู้นั้นไปแล้ว หรือว่าเธอยังรออยู่ที่ด้านนอก?” หวังตั้นก้มลงไปที่พื้นและมองผ่านช่องว่างออกไป

กลิ่นเลือดรุนแรงกระทบจมูกเขา เขามองเห็นรองเท้าส้นสูงสีแดงเลือดคู่หนึ่งอยู่ที่ด้านนอกประตู!

ด้านหน้าของรองเท้าหันเข้าหาประตู และเลือดหลายหยดก็ไหลลงมาตามรองเท้า หวังตั้นมองเห็นเลือดหยดหนึ่งไหลผ่านรองเท้าก่อนจะตกกระทบกับพื้น

“ไม่ใช่สี! เป็นเลือดจริง ๆ!” หวังตั้นนั้นเรียนนิติวิทยาศาสตร์ ดวงตาของเขาเปิดกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “รองเท้าส้นสูงนี่ย้อมสีแดงด้วยเลือดจริง!”

ม่านตาของเขาหดตัวเพ่งไปที่รองเท้าส้นสูง และเลือดอีกหยดก็ไหลลงมา ตอนที่เลือดกำลังจะแตะพื้น หวังตั้นก็รู้สึกเย็นวาบที่หลังคอเหมือนเลือดหยดนั้นไม่ได้ตกลงพื้น แต่ตกลงที่หลังคอของเขา

“มันซึมออกมา?” เขาแหงนหน้าไปมองโดยไม่รู้ตัวและเห็นร่างกายครึ่งท่อนบนของผู้หญิงคนหนึ่งชะโงกเข้ามาในห้องผ่านหน้าต่างที่บนประตู เธอกำลังจับตามองพวกเขาอยู่!

ผ้าพันแผลคลี่ออกเผยให้เห็นเลือดเนื้อที่เละเทะ คำสาปและความอาฆาตแค้นหุ้มห่อร่างกาย และผู้หญิงในชุดแดงก็เอื้อมมือเข้ามาหาหวังตั้น ฝ่ายหลังจิตใจว่างเปล่าไปแล้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยใบหน้าของเธอ มือของหวังตั้นที่จับประตูอยู่อ่อนแรงลงช้า ๆ ขณะที่ร่างกายของเขาเอนไปด้านหลัง

ความทรงจำดี ๆ ทั้งหมดในชีวิตของเขาแวบผ่านจิตใจของเขา และในพริบตานั้นหวังตั้นก็สาบานว่าเขามองเห็นอาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์

จางจิงจิ่วมองหวังตั้นและแฟนสาวของเขาวิ่งห่างออกไป หลังจากถอนหายใจ เขาก็กลับไปเรียนรู้การแสดง เขาลองพูดบทพูดน่ากระอักกระอ่วนอยู่ที่โต๊ะที่ว่างเปล่า เขาตั้งใจมากจนไม่ได้สังเกตเห็นเงาร่างเพรียวที่แอบอยู่ทางซ้ายของทางเข้า

“มีข่าวลือบอกว่าที่นี่เป็นที่นิยมมากก็เพราะว่านักแสดงทั้งหมดล้วนเป็นผีจริง ๆ วันนี้ ฉันคิดว่าฉันควรจะทดสอบข่าวลือนั่นดู” หลี่ซางอิ๋นก้มหน้าลงและในดวงตาของเขาก็เปล่งประกายอันตราย

 

 

TL note: เมื่อวานฝากเพื่อนลงเลยลืมบอกว่าเปิดให้อ่านฟรี

สวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกท่าน ขอให้ทุกท่านมีความสุขมาก ๆ คิดหวังสิ่งใดให้สมปรารถนา

ขอบคุณที่คอยสนับสนุนกันมาตลอด 1 ปี ปีนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยเหมือนเดิม ขอบคุณทุกท่านมาก ๆ

 

เสียงของทั้งเด็กหญิงและผู้หญิงอีกคนดูปกติ แต่หลังจากรวมกับบรรยากาศประหลาดรอบ ๆ และทำนองอันแปลกประหลาด ทุกอย่างก็มีความหมายต่างออกไป

“ท่อนแรกร้องโดยเด็กผู้หญิง เธอกำลังตามหาแม่ของเธอ และครึ่งหลังนั้นน่าจะเป็นคนแม่ร้อง พวกเขาอยู่ในห้องเดียวกันแต่ว่าลูกสาวมองไม่เห็นแม่ของเธอ และแม่ของเธอก็สัมผัสแตะต้องลูกสาวของเธอไม่ได้ นี่หมายความได้แค่ว่าพวกเขาคนหนึ่งนั้นตายแล้วและกลายไปเป็นผี” การวิเคราะห์ของหวังตั้นเฉียบคมและตรงประเด็น แฟนสาวของเขาตัวสั่นไปแล้ว

“ห้องนี้ก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน พวกเราควรกลับออกไป”

“ไม่” หวังตั้นไม่เลือกกลับออกไปเหมือนก่อนหน้านี้ เขาส่ายหน้าอย่างตัดสินใจแล้ว “ก่อนที่เสียงของผู้หญิงและเด็กจะดังขึ้น เธอได้ยินเสียงกล่องดนตรีไหม?”

“กล่องดนตรี?” แฟนสาวของหวังตั้นงุนงง “ฉันว่าฉันได้ยินนะ แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับที่พวกเราจะกลับออกไปเหรอ?”

“จากคำใบ้ที่บอสเฉินให้ หนึ่งในนั้นเกี่ยวกับกล่องดนตรีที่เล่นเองได้ มีคำใบ้ซ่อนอยู่ในห้องนี้!” ดวงตาของหวังตั้นเป็นประกายอย่างมั่นใจเหมือนภารกิจของพระเจ้าได้ตกลงมาบนบ่าของเขาแล้ว “บอสเฉินให้คำใบ้พวกเราสี่อย่าง และถึงแม้ว่าพวกเราจะเข้ามากันสิบคน แต่ว่ายังไม่มีคำใบ้ไหนถูกพบ อันที่จริง พวกเราทั้งหมดสูญเสียการติดต่อกันไปแล้ว

“แน่นอนว่า ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกเขาหาเรื่องใส่ตัว แต่ลองคิดดู พวกเราก็ยังเป็นกลุ่มเดียวกัน ถ้าพวกเราเลือกที่จะยอมแพ้เพราะเพื่อนร่วมทีมเป็นจุดอ่อน สุดท้ายแล้วก็เป็นพวกเราที่ถูกดูถูกไปด้วย!”

หวังตั้นปลดมือแฟนสาวที่จับแขนเขาเอาไว้ลงและเดินเข้าไปในห้องนอนก้าวหนึ่ง

“อย่าเข้าไปเลย! ถูกดูถูกแล้วยังไง? ไม่ใช่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเสียหน่อย พวกเราควรจะหยุดในตอนที่ยังหยุดได้” แฟนสาวของหวังตั้นพยายามโน้มน้าวเขา

“คำใบ้อยู่ด้านหลังประตูนี่แล้ว เธอจะเลือกที่จะเป็นคนขี้ขลาดไปตลอดชีวิตหรือว่าเลือกที่จะเป็นฮีโร่ในไม่กี่นาทีนี้?” หวังตั้นชำเลืองมองโทรศัพท์ “พวกเราเหลือเวลาไม่ถึงสิบนาทีแล้ว ฉันอยากจะทำสิ่งที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน”

เขากัดฟัน ผลักประตูห้องนอนเปิดออกแล้วกวาดตามองรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว หน้าต่างปิดอยู่ และดูเหมือนจะมีเงากลุ่มหนึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังม่านหนา ลิ้นชักที่โต๊ะเครื่องสำอางถูกเปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ และเก้าอี้ยังล้มตะแคงอยู่บนพื้น ที่นอนบนเตียงเดี่ยวนั้นถูกดึงห้อยออกมาปิดไม่ให้เห็นพื้นที่ใต้เตียง ผ้าปูที่นอนก็ยับย่นอยู่บนฟูกแต่กลับมีรูปร่างคล้ายกับมีคนแอบอยู่ข้างใต้นั้น

เครื่องเรือนทั้งหมดที่เพลงพูดถึงนั้นปรากฏอยู่ในห้องนี้ มันทำให้เพลงนั้นดูเหมือนจริง

“เสียงดูเหมือนจะดังมาจากในตู้” สภาพในห้องนอนนั้นประหลาด ดวงตาของหวังตั้นกลอกไปมาขณะที่เขาขยับไปทางตู้ช้า ๆ ตอนที่จับอยู่ที่ขอบตู้ เขากำลังจะดึงประตูเปิดออกตอนที่มีเสียงเคาะเบา ๆ ดังมาจากที่ด้านหลังเขา

“นั่นใครน่ะ?” หัวใจของเขาเกือบกระโจนออกจากคอหอย เขาหันกลับไปมองและเห็นว่าเป็นแฟนสาวของเขาที่ขยับไปยังประตูห้องนอน เธอบังเอิญกระแทกโดนประตู

“หวังตั้น ไปเถอะ ที่นี่มีบางอย่างไม่ถูกต้อง” แฟนสาวของหวังตั้นเร่งอย่างกระวนกระวาย อันที่จริงเธอไม่ได้ยึดติดกับหวังตั้น เธอก็แค่ไม่กล้ากลับออกไปเองคนเดียว

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” หวังตั้นสูดลมหายใจลึกเพื่อสงบใจ และเขาก็ดึงตู้เปิดออก กลิ่นราจาง ๆ ลอยออกมา ไม่ช้าหวังตั้นก็เจอกล่องดนตรีวางเอาไว้ที่ชั้นสองของตู้ มันดูเป็นของโบราณ งานทำมือ และน่าจะมีราคาทีเดียว

“มันดูสวยดีทีเดียว” หวังตั้นหยิบกล่องดนตรีขึ้นมา “นี่เป็นหนึ่งในคำใบ้ที่บอสเฉินให้ แต่ว่าคำใบ้ทางหนีออกจากที่นี่อยู่ไหนกัน?”

เสียงร้องเพลงของผู้หญิงและเด็กหญิงยังดำเนินต่อ หวังตั้นค่อย ๆ ชินกับเสียงนั้น แต่เขาไม่ได้รู้สึกเลยว่าเสียงเพลงนั้นเข้ามาใกล้เข้าเรื่อย ๆ แล้ว

“ฉันต้องพังเปิดมันออกหรือเปล่า?” ตอนที่เพลงเล่นจบ ตุ๊กตาที่บนกล่องดนตรีก็หยุดหมุน กล่องที่ปิดอยู่นั้นเผยให้เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านหลังฝาปิด

“เจอแล้ว!” หวังตั้นหยิบกระดาษขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

“คุกใต้ดินหลังตู้ ตู้เย็นที่มุมห้องครัว และห้องเก็บศพที่ท้ายโรงพยาบาล หนึ่งในนั้นนำไปสู่ทางออก หนึ่งในนั้นนำไปสู่ชีวิตใหม่ และอีกสองทางนำไปสู่ความตาย ทำไมไม่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของโชคชะตา? (กรุณาวางกระดาษนี้เอาไว้ที่เดิมหลังจากอ่านจนแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะเจอเข้ากับบทลงโทษที่ไม่มีผู้ใดบอกได้)”

หวังตั้นนั้นตื่นเต้นตอนที่พบคำใบ้ แต่หลังจากอ่านแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง “นี่ล้วนขึ้นกับโชค ถ้าเลือกถูก อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเลือกผิด อย่างนั้นก็จบกันพอดี”

หวังตั้นนั้นคุ้นเคยกับบอสเฉิน ตัวเลือกที่ถูกต้องอาจจะไม่ได้นำไปสู่ทางออกจริง ๆ แต่ว่าตัวเลือกที่ผิดนั้นจะนำความสิ้นหวังมาให้พวกเขาอย่างแน่นอน

“ยอมแพ้เสียตอนนี้หมายความว่าความพยายามทั้งหมดของพวกเราก็สูญเปล่า ฉันจะลองดูไม่ว่าจะยังไงก็ตาม!” หวังตั้นให้กำลังใจตัวเอง เขาเก็บกระดาษเอาไว้ในกล่องดนตรี แต่ว่า ตอนที่นิ้วของเขาแตะถูกฝากล่อง กล่องดนตรีที่หยุดเล่นไปแล้วก็เริ่มเล่นขึ้นอีกครั้ง

ฝาเปิดออก และตุ๊กตาสองตัวก็หมุนไปบนแท่น แต่น่าแปลก มีกระดาษอีกชิ้นหนึ่งเสียบเอาไว้ระหว่างตุ๊กตาทั้งสอง

“คำใบ้ที่สอง?” หวังตั้นเอื้อมมือไปเอากระดาษนั่นออกมา แต่ว่าตอนที่แขนของเขายื่นเข้าไปในตู้ ความเย็นก็พุ่งผ่านปลายนิ้วของเขา

“อะไรกัน…” มือของเขาถูกมือซีด ๆ ข้างหนึ่งจับเอาไว้ เขามองเข้าไปในตู้และเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ขดอยู่ลึกในตู้

“เด็กที่ไม่เชื่อฟังจะถูกผีพาตัวไป!” เพลงที่เด็กหญิงร้องจู่ ๆ ก็เร็วขึ้นและเธอก็คลานออกมาจากตู้

“เธอมาจากไหนกัน?” หวังตั้นดึงมือตัวเองกลับและคิดที่จะถอยออกมาตอนที่ร่างของเขาชนเข้ากับบางอย่าง เขาหันกลับไปและสบกับดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง

“แม่ขยับตัวไปตามสายตาหนู แม่ซ่อนอยู่ใต้เตียง อยู่ในตู้ อยู่หลังหน้าต่าง ก่อนจะคลานอยู่ในผ้าห่มหนู แม่นอนอยู่ด้านหลังหนูและเหนือตัวหนู และตอนนี้ในที่สุดหนูก็เห็นดวงตาแดงก่ำของแม่!”

ใบหน้าของผู้หญิงที่เน่าเปื่อยจนเกือบจะหมดแล้วเอนเข้ามาใกล้หวังตั้น หวังตั้นตกใจมากจนเกือบเป็นลม เขากัดลิ้นแล้วบังคับให้ตัวเองตื่นเอาไว้

“ถอยไปนะ!” หวังตั้นไม่กล้าลืมตา เขาสะบัดแขนปัดป่ายไปด้านหลังแล้วพุ่งไปยังทิศทางที่เชื่อว่าเป็นทางออก ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวขึ้นตอนแรก แฟนสาวของหวังตั้นก็ถอยออกไปอย่างตกตะลึงก่อนแล้ว ทั้งคู่วิ่งออกจากห้องผีสิงตามหลังกันและกัน

บางทีกำปั้นที่เหวี่ยงไปมั่ว ๆ ของหวังตั้นอาจจะไปล่วงเกินพวกผีเข้าเพราะว่าแม่และลูกสาวคู่นั้นลอยออกจากห้องไล่ตามหลังพวกเขา หวังตั้นและแฟนสาวของเขาวิ่งพรวดไปตามถนนเป็นรอบที่สามโดยไม่หยุดพักหายใจ!

“ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหน?” แฟนสาวของหวังตั้นกรีดร้องไปตามถนน

ลิ้นของหวังตั้นยังเจ็บหนึบ และเขาก็เค้นคำพูดออกมา “ฉันเห็นคำใบ้แล้ว! มีจุดที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นทางออกสามจุด! ตามฉันมา!”

ทั้งจิตใจและร่างกายของเขานั้นถึงขีดจำกัดหมดแล้ว แต่ว่าเขาก็อยู่ใกล้ทางออกจนหวังตั้นแทบจะสัมผัสได้ สมองของเขาทำงานมากขึ้นกว่าปกติ “ตู้เป็นของที่พื้นฐานเกินไปและยากที่จะหาตู้ที่ถูกต้องเจอ! พวกเราไม่เคยเห็นตู้เย็นหรือว่าห้องครัวเลย! ดังนั้น พวกเราจึงมีแค่ทางเลือกสุดท้าย– ห้องเก็บศพที่ท้ายโรงพยาบาล!”

หวังตั้นย้อนกลับไปทางเดิน พาแฟนสาวกลับไปยังโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน

“โอกาสหนึ่งในสาม! ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะโชคไม่ดีขนาดนั้น! คราวนี้ฉันจะเคลียร์ฉากนี้!”

ผู้ชายที่ซ่อนอยู่ในกระดิ่งลมนั้นดูอ่อนแอ หวาดกลัว ขี้ขลาด และยังน่าสงสารเหมือนสัตว์เล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่ถูกเจ้าของทรมาน หวังตั้นไม่สามารถอธิบายความอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในตัวเขาได้ ตอนที่เขาเห็นใบหน้าในกระดิ่งลมนั้น ปฏิกริยาแรกของเขาไม่ใช่หวาดกลัว แต่เป็นสงสารผู้ชายคนนั้น

“เรื่องคงไม่เรียบง่ายอย่างนั้น” หวังตั้นถือกระดิ่งลมเอาไว้ในมือ และหลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง “นี่ไม่ใช่ว่าพยายามจะใช้ประโยชน์จากความสงสารของพวกเราใช่ไหม? บ้าชะมัด ฉันเกือบจะหลงกลแล้ว!”

เขาสอดนิ้วเข้าไปในกระดิ่งลมแล้วจิ้มหน้าผู้ชายคนนั้น ปลายนิ้วของเขาปัดผ่านใบหน้านั่น “ฉันรู้ นี่ก็แค่แผนการหนึ่ง”

“ช่วยผม! อย่าทิ้งผมไว้! ได้โปรดพาผมไปกับคุณด้วย! ผมขอร้อง! ผมขอร้อง!” คำขอร้องของผู้ชายคนนั้นเข้าหูหวังตั้น หวังตั้นสั่นกระดิ่งลมและมองมันใกล้ ๆ “ฉันบอกไม่ได้เลยแฮะว่าเสียงนี่มาจากไหน กระดิ่งลมนี่ไฮเทคอย่างไม่น่าเชื่อเลย”

“หยุดสั่น! หยุดสั่นได้แล้ว! คุณกำลังจะทำให้หมายักษ์นั่นรู้ตัว!”

“หมายักษ์?” เสียงฝีเท้าดังมาจากบันไดที่นำไปชั้นใต้ดิน กลิ่นเหม็นเน่าที่ต่างออกไปลอยเต็มอากาศ กระทั่งน้ำหอมปรับอากาศจำนวนมากก็ยังไม่สามารถกลบกลิ่นนี้ได้

“วิ่งหนีเร็ว! พาผมไปด้วย! หมากำลังมาแล้ว!” ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นซีดเผือดลงทันตา และเขาก็กลัวมากจนใบหน้าบิดเบี้ยวดูไม่ได้ หวังตั้นนั้นเดิมทีไม่ได้กลัวขนาดนั้น แต่เพราะได้รับอิทธิพลจากผู้ชายที่ในกระดิ่งลม หัวใจของเขาเริ่มสั่น

“ในตึกทั้งหมดที่นี่ มีเพียงตึกเดียวที่มีบ้านหมาอยู่ ดังนั้นที่นี่น่าจะเกี่ยวข้องกับหมาสักตัว เป็นไปได้ไหมว่ามีหมาดุร้ายดูแลที่นี่อยู่จริง ๆ” สัตว์นั้นต่างไปจากนักแสดงที่เป็นคน พวกมันควบคุมไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อเกิดดุร้ายขึ้นมา หวังตั้นเชื่อว่ากระทั่งเฉินเกอก็คงไม่เลี้ยงหมายักษ์เอาไว้ในบ้านผีสิงหรอก “หมาน่าจะหมายถึงอย่างอื่น”

ก่อนที่หวังตั้นจะเข้าใจความหมาย กลิ่นเหม็นเน่าก็ตีเข้าจมูกเขา เงาของผู้ชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่สุดทางเดิน เขารูปร่างปานกลางและใบหน้ายังอยู่ในเงามืด กลิ่นดูเหมือนจะแผ่ออกมาจากตัวเขา

“วิ่ง! วิ่งหนีเอาชีวิตรอด!” ผู้ชายในกระดิ่งลมกรีดร้อง

“นั่นคือหมาที่ว่าเหรอ?” ลำแสงหลายสายส่องเข้ามาในห้องจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ หวังตั้นมองใบหน้าผู้ชายคนนั้นอย่างละเอียด เขาดูคล้ายกับผู้ชายที่อยู่ในกระดิ่งลม “กระทั่งหน้าตายังคล้ายกันมาก นี่น่าจะเป็นกับดัก หนึ่งคนสร้างบรรยากาศและอีกคนรอโอกาสลงมือ พวกเขาร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย กดดันให้ผู้เข้าชมตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง!”

หวังตั้นพยายามวิเคราะห์ฉาก เขารู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใจแผนการคร่าว ๆ ที่บ้านผีสิงของเฉินเกอใช้

“คุณกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? ผมแค่อยากออกไปจากที่นี่! ผมต้องการออกไปจากที่นี่!”

“ผู้ชายตรงหน้าพวกเราน่าจะไม่มีชีวิต มันเหมือนหุ่นสักแบบมากกว่า หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ความสยองขวัญที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ ‘หมา’ นั่น ตัวตนของมันก็แค่สร้างความกดดันแบบหนึ่ง ถ้าฉันทำตามที่ผู้ชายในกระดิ่งลมสั่งจริง ๆ ฉันเกรงว่าพวกเราจะเดินเข้าสู่กับดักของบอสอย่างช้า ๆ แทน!”

คำอธิบายของหวังตั้นทำให้ผู้ชายในกระดิ่งลมพูดไม่ออก เขาฝากความหวังเอาไว้ที่เหล่าผู้เข้าชม แต่ว่าผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของเขาผิดไปทั้งหมดเลย

“ผม…”

“ฉันไม่ใช่คนที่ฉันเคยเป็นแล้ว ฉันไม่ได้ถูกหลอกง่าย ๆ แล้ว คราวนี้ ฉันจะเดินกลับออกไปด้วยสองขาของตัวเอง!” โดยไม่เสียเวลาลังเล หวังตั้นดึงกระดิ่งลมลงมาจากผนังและหันหลังวิ่ง

ตอนที่เขาลงมือ หุ่นในทางเดินก็ก้มลงวางแขนขากับพื้น มันพุ่งเข้าหาหวังตั้นราวกับสุนัขหิวโหย!

ถ้าเขาไม่ได้ออกจากห้องตั้งแต่ก่อนหน้านี้แต่เลือกที่จะสำรวจลึกเข้าไปข้างใน เขาก็คงจะจบสิ้นแล้ว หวังตั้นและแฟนสาวของเขาวิ่งนำอยู่ข้างหน้าขณะที่หุ่นครึ่งคนครึ่งสุนัขวิ่งตามหลังพวกเขามา มันพุ่งผ่านความมืดและพุ่งออกจากบ้านมา สัตว์ประหลาดนี่ดูเหมือนจะไม่ถูกจำกัดเอาไว้ในฉาก มันสามารถเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ เมืองเล็ก ๆ นี่ได้อย่างอิสระ!

“มันกำลังตามพวกเรามา!” น้ำเสียงหวาดกลัวของผู้ชายดังเข้ามาในหูหวังตั้น

“มันออกจากฉากย่อยของมันได้เหรอ?” หวังตั้นประหลาดใจ เขาและแฟนสาวหมดแรงแล้ว พวกเขาน่าจะวิ่งไปได้ไม่นานเท่าไหร่ เห็นระยะห่างระหว่างพวกเขาหดสั้นลง หวังตั้นและแฟนสาวก็สุ่มหาตึกหลังหนึ่งแล้วพุ่งเข้าไปในนั้น

ปัง!

ประตูถูกกระแทกปิดอย่างแรง และสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสุนัขก็ดูเหมือนจะพยายามไล่จับพวกเขาอย่างดื้อรั้น

“หวังตั้น ตอนนี้พวกเราควรจะทำยังไง?” หวังตั้นมองสัตว์ประหลาดที่คลั่งอยู่ด้านนอกประตู และเขาก็รู้สึกกลัว แต่ว่าไม่ได้เผยออกมาที่สีหน้า เขาบังคับให้ตัวเองดูสงบขณะพูด “อย่างที่ฉันคิดเลย– กระดิ่งลมกับหุ่นนี่ร่วมมือกัน! เหตุผลเดียวที่มันไล่ตามพวกเราก็เพราะคำสั่งของกระดิ่งลม!”

“ผมสั่งมันเรอะ?”

หวังตั้นไม่ได้ให้โอกาสกระดิ่งลมได้อธิบายตัวเอง เขาชูกระดิ่งลมขึ้นแล้วขว้างมันออกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่เขาวิ่งมา

“เดี๋ยว! รอเดี๋ยวก่อน!” ที่กลางอากาศ กระดิ่งลมกรีดร้องขอความเมตตา แต่ว่าไม่มีใครสนใจเขาอีกต่อไป ดวงตาของสัตว์ประหลาดไล่ตามกระดิ่งลม และมันก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจในตัวหวังตั้นเลยสักนิด

มันวิ่งไปในทิศทางตรงข้ามกับหวังตั้น มันคาบกระดิ่งลมเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ได้กระดิ่งลมหลบหนีอีกครั้ง สัตว์ประหลาดไม่ได้เอากระดิ่งลมกลับไปที่เดิม แต่ว่าแขวนเอาไว้รอบคอตัวเอง

เห็นสัตว์ประหลาดหยุดไล่ตามพวกเขาแล้ว หวังตั้นก็ค่อนข้างตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้ความฉลาดและความกล้าหาญของตัวเองเอาชนะบ้านผีสิงของเฉินเกอได้

“บ้านผีสิงของบอสเฉินเอาชนะได้ ถ้ามีความกล้าและให้ความสนใจกับรายละเอียด ก็มีโอกาสที่จะเคลียร์ฉากได้” หวังนั้นจู่ ๆ ก็ได้รับความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาก เขามองเวลา กำลังคิดว่าบางทีการเข้าชมครั้งนี้อาจจะทำให้ตัวเขาเองบรรลุอีกระดับหนึ่งได้

“ในที่สุดสัตว์ประหลาดนั่นก็ไปแล้ว” แฟนสาวของหวังตั้นวางมือเอาไว้เหนือหน้าอกตัวเอง “พวกเรายอมแพ้ตอนนี้เลยดีไหม? ถ้าพวกเราอยู่ต่ออีก ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่มีทาง เหลืออีกแค่ราว ๆ สิบนาทีเท่านั้น พวกเราต้องอยู่รอดให้ได้จนจบ!” หวังตั้นและแฟนสาวคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่ว่าประตูห้องนอนแง้มเปิดด้วยตัวเอง เสียงกล่องดนตรีลอยออกมา และเสียงเด็กหญิงพึมพำบางอย่างดังสอดแทรกมากับเสียงเพลง

“แม่กับพ่อเข้าไปในห้องใต้ดิน หลังจากพ่อออกมา พ่อก็ล็อกประตูเอาไว้ พ่อแบกถุงดำใบใหญ่มาด้วย พ่อลูบหัวหนูและบอกว่า ‘เด็กที่ไม่เชื่อฟังจะถูกผีพาตัวไป’

“หนูนอนอยู่บนเตียง คิดถึงที่แม่เคยบอก

“ก่อนขึ้นเตียง หนูต้องดึงผ้าห่มขึ้นดู ก่อนขึ้นเตียง หนูต้องปิดหน้าต่าง ก่อนขึ้นเตียง หนูต้องดูในตู้ ก่อนขึ้นเตียง อย่าลืมดูใต้เตียง… ถ้าหนูนอนคนเดียว

“พ่อแบกถุงออกจากบ้าน ทิ้งหนูไว้

“หนูดูใต้ผ้าห่ม ดูนอกหน้าต่าง ดูในตู้ ดูใต้เตียง แต่หนูหาแม่ไม่เจอ”

เสียงดนตรีประหลาดรวมกับเสียงไร้เดียงสาของเด็กหญิงสร้างความรู้สึกน่าขนลุก เสียงใหม่นี่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น ทำให้ทั้งหวังตั้นและแฟนสาวปิดปากลงทันทีขณะหันไปมองห้องนอนพร้อมกัน

กล่องดนตรียังเล่นอยู่ และเสียงผู้หญิงอีกเสียงก็ดังขึ้น

“ดวงตาแดงก่ำกำลังจับตามองหนูอยู่ หนูไม่เห็นแม่ แต่แม่เห็นหนู

“แม่ขยับตัวไปตามสายตาหนู แม่ซ่อนอยู่ใต้เตียง อยู่ในตู้ อยู่หลังหน้าต่าง ก่อนจะคลานอยู่ในผ้าห่มหนู

“แม่นอนอยู่ด้านหลังหนูและเหนือตัวหนู แต่ว่าหนูก็ยังมองไม่เห็นดวงตาแดงก่ำของแม่”

จางจิงจิ่วนั้นเป็นนักแสดงที่ใจดีที่สุดและใสซื่อที่สุดในบ้านผีสิง อันที่จริง เขาก็เคยคิดที่จะหลอกผู้เข้าชมเหมือนเพื่อนร่วมงานของเขา เขาคิดกลับไปถึงความทรงจำของเขาถึงเจ้าของโรงแรมตัวจริงและเกมบ้าคลั่งเล็ก ๆ ที่เขาเคยเจอ

แต่ว่า นี่เป็นการทำงานวันแรกของเขา เขายังไม่ทันได้เตรียมใจ ตอนที่เขาเห็นสภาพน่าสงสารของผู้เข้าชมที่เข้ามา เขาก็เอาตัวเองไปทำร้ายคนพวกนี้อีกไม่ได้

“เข้ามาสิ ที่นี่จะเป็นที่พักของคุณชั่วคราว” จางจิงจิ่วคิดว่าในเมื่อเขาไม่สามารถหลอกผู้เข้าชมได้ เขาอย่างน้อยที่สุดก็ควรให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความจริงใจของตน นั่นเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดของผู้ที่ทำงานในธุรกิจให้บริการ

เด็กสาวลังเล แต่ว่าชายหนุ่มนั้นเตรียมจะกลับออกไป

“อย่าไปที่นั่น!” แต่ละถ้อยคำของจางจิงจิ่วทำให้นักศึกษาชายก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรเลยจริง ๆ ผมแค่คิดว่าคุณอาจจะต้องการสถานที่พักชั่วคราว” จางจิงจิ่วต้องการช่วยพวกเขาจากใจจริง ทำไมมันถึงได้ยากอย่างนี้

“หวังตั้น พวกเราควรจะเชื่อเขาไหม?” เด็กสาวกระซิบเข้าไปในหูชายหนุ่ม

“ไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนก่อนหน้าเลยหรือไง? พนักงานที่นี่ทุกคนล้วนเป็นหมาป่าห่มหนังแกะหรือปิศาจในคราบมนุษย์! ทำไมเธอถึงใสซื่อจนคิดจะเชื่อพวกเขาฮึ?” นักศึกษาชายลากร่างกายอ่อนล้าของตนวิ่งไปยัง ‘บ้านสุนัข’ ที่ตรงข้ามโรงแรม

ตอนที่เด็กสาวเห็นคู่หูของตัวเองถอย เธอก็ทำตาม

เห็นผู้เข้าชมทั้งสองคนเข้าไปใน ‘บ้านสุนัข’ อย่างเต็มใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของจางจิงจิ่วก็ยากที่จะอธิบาย เขาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี “ฉันเป็นหมาป่าห่มหนังแกะหรือปิศาจในคราบมนุษย์งั้นเรอะ ฮึ? ดูเหมือนว่าฉันจะทำให้ความเป็นมืออาชีพโดยรวมของพนักงานที่นี่ลดลงวูบเลยแฮะ”

“หวังตั้น ฉันวิ่งไม่ไหวแล้วจริง ๆ พักสักเดี๋ยวเหอะนะ” แฟนสาวของหวังตั้นเอนตัวพิงกำแพงเพื่อพัก ลมหายใจสม่ำเสมอขึ้นเธอถึงได้ตระหนักขึ้นมาเป็นครั้งแรกว่าการมาชมบ้านผีสิงนั้นเหนื่อยขนาดไหน

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาพัก บ้านหลังนี้ทำให้ฉันรู้สึกขนลุก” สัญชาตญาณของหวังตั้นตอนนี้นั้นเฉียบคมอย่างไม่นาเชื่อหลังจากเข้าชมบ้านผีสิงของเฉินเกอหลายครั้งเข้า เขากวาดตามองสวนเล็ก ๆ ก่อนที่สายตาของเขาจะไปจับอยู่ที่บ้านสุนัขที่ทำจากไม้

“พวกเราไม่เคยเจออะไรที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงที่อื่นเลย ดังนั้นนี่น่าจะมีจุดสยองขวัญซ่อนอยู่” หวังตั้นรู้สึกเหมือนมีลูกไฟลุกโชนอยู่ในหน้าอก แต่เขาก็ไม่กล้าช้าลง ไม่มีที่ไหนในฉากที่ปลอดภัย การหยุดพักนั้นมีแต่หมายถึงการถูกจับตัวได้

เขาผ่อนลมหายใจ เอนตัวพิงกำแพงและมองออกไปข้างนอก

โรงแรมที่ฝั่งตรงข้ามนั้นยังสว่างไสวด้วยแสงไฟ แต่ว่าพนักงานคนนั้นกลับไม่ได้เดินออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ก่อนหน้า เขาอาจจะยังรอให้พวกตนกลับไป ถนนนั้นมืด และเขาก็สาบานเลยว่าเห็นเงาหลายเงาลอยวูบผ่านไป ครู่หนึ่งเลยที่เขาเชื่อว่าเขาเห็นมีคนกำลังโบกมือให้พวกตนจากอีกฝั่งถนน

โรงแรมไม่ปลอดภัย ถนนก็ไม่ปลอดภัย และตอนนี้พวกเขาก็ถึงขีดจำกัดทางกายแล้ว พวกเขาวิ่งไม่ไหวแล้ว

“พวกเรายอมแพ้ดีไหม?” แฟนสาวของหวังตั้นแนะนำ น้ำตาคลอตา และเครื่องสำอางของเธอก็เละเทะไปหมดแล้ว

“ฉันเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีสักครั้งเลยที่ฉันได้เดินออกไปด้วยเท้าตัวเอง เวลาเข้าชมเกือบจะหมดแล้ว ดังนั้นยอมแพ้ตอนนี้ก็เสียเปล่าอยู่นะ” เมื่อคิดว่าแฟนสาวของตนเหนื่อยขนาดไหน หวังตั้นก็ตัดสินใจแอบอยู่ในนี้ชั่วคราว “พวกเราซ่อนตัวอยู่ในตึกเปล่าก่อนหน้านี้และไม่เกิดอะไรขึ้น หวังว่ามันจะเป็นแค่จินตนาการของฉันว่าที่นี่ต่างไปจากที่อื่น”

ปิดประตูเข้าสวนแล้วหวังตั้นกับแฟนสาวก็เดินเข้าไปใน ‘บ้านสุนัข’ ประตูเปิดดังเอี๊ยดอ๊าดและกระดิ่งลมที่แขนอยู่เหนือประตูก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเหมือนกำลังเตือนเจ้าของบ้านว่าเขามีแขก

“ดูมีรสนิยมดีทีเดียวที่แขวนกระดิ่งลมเอาไว้เหนือทางเข้า” หวังตั้นมองเข้าไปในห้อง ที่นี่นั้นตกแต่งแบบญี่ปุ่น ทางเดินอยู่ตรงกลางแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ประตูที่เปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ นำเข้าสู่ห้องที่แต่ละฟากทางเดิน พื้นนั้นปูกระเบื้องและรองเท้าแตะใส่ในบ้านหลายคู่ก็ถูกวางเอาไว้ตรงทางเข้า

“หวังตั้น นายได้กลิ่นไหม? กลิ่นเหมือนน้ำหอมปรับอากาศ” แฟนสาวของหวังตั้นดึงเสื้อเขาของขณะเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง “บ้านผีสิงอื่น ๆ มักจะตั้งใจใช้กลิ่นแย่ ๆ เพื่อสร้างความสยองขวัญแต่ที่นี่กลับลงทุนไปกับน้ำหอมปรับอากาศมากมาย ราวกับกลัวว่ากลิ่นเหม็นเน่าจะทำให้ผู้เข้าชมคลื่นไส้”

“เดี๋ยวนะ!” หวังตั้งชะงักทันที เขาหันหน้ากลับไปมองแฟนสาวของตัวเอง “เมื่อกี้นี้เธอว่าอะไรนะ?”

“บ้านนี้มีแต่กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศเต็มไปหมด…”

“ฉันบอกเธอแล้วว่าที่นี่มันไม่ปกติ! พวกเราต้องกลับออกไป พวกเราต้องหาที่อื่นซ่อนตัว” หวังตั้นเพิ่งก้าวเท้าเข้าไปในห้อง พวกเขายังไม่ทันเดินไปในทางเดินด้วยซ้ำ และพวกเขาก็เตรียมจะกลับออกไปแล้ว

“น้ำหอมปรับอากาศมันผิดยังไงเหรอ?” แฟนสาวของหวังตั้นยังจับจุดเชื่อมโยงกันไม่ได้

“กลิ่นนี่ไม่มีในบ้านหลังอื่น มันมีเฉพาะที่นี่ และกลิ่นยังเข้มมาก มันหมายความได้แค่มีคนจงใจใช้กลิ่นปกปิดกลิ่นที่แท้จริงของที่นี่!” เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาตามหน้าผากของหวังตั้น “เดือนที่แล้ว ระหว่างเรียนกับเจ้าหน้าที่ชันสูตรลิ่ว มีคดีหนึ่ง หลังจากผู้ต้องสงสัยแยกชิ้นส่วนศพแล้วเขาก็ซ่อนชิ้นส่วนร่างกายเอาไว้ในหลาย ๆ ห้องในบ้านของเขา และแต่ละวันเขาก็ค่อย ๆ แอบเอาชิ้นส่วนเล็ก ๆ ออกไปทิ้ง เพราะกลัวว่ากลิ่นจะเปิดเผยความลับของเขาออกมา เขาเลยสั่งซื้อน้ำหอมปรับอากาศจำนวนมากเพื่อปกปิดกลิ่นเน่าเปื่อยของซากศพ ตอนที่เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายพบชิ้นส่วนร่างกาย หมอลิ่วก็พบร่องรอยของน้ำหอมปรับอากาศหลงเหลืออยู่บนชิ้นส่วนร่างกายพวกนั้น และพวกเขาก็ติดตามคดีจากร่องรอยนั่นกลับไปยังฆาตกร”

หวังตั้นไม่เคยคิดเลยว่าความรู้ที่เขาได้เรียนในชั้นเรียนจะสามารถเอามาใช้ระหว่างการเข้าชมบ้านผีสิง ถ้าเขาเรียนด้านอื่นมันก็คงไม่เป็นไร แต่ว่าเขาเรียนนิติวิทยาศาสตร์น่ะสิ

“นายหมายความว่ากลิ่นน้ำหอมปรับอากาศนี่ไว้ปกปิดกลิ่นศพงั้นเหรอ?” แฟนสาวของหวังตั้งก็เริ่มตระหนกแล้วเหมือนกัน ก็ใครมันจะยังใจเย็นอยู่ได้เมื่อมาเจอกับคดีฆาตกรรมเข้าระหว่างการเข้าชมบ้านผีสิง?

“ไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อปกปิดกลิ่นเน่าเปื่อยเท่านั้น มันอาจจะเป็นกลิ่นอื่นก็ได้” หวังตั้นนั้นไม่ใช่เด็กหนุ่มวู่วามและหัวร้อนคนเดิมอีกต่อไปแล้ว ประสบการณ์ภายในบ้านผีสิงของเฉินเกอทำให้เขากลายไปเป็นชายหนุ่มที่กล้าหาญ

เมื่อดึงประตูเปิด เสียงกระดิ่งลมก็ดังขึ้นอีกครั้ง เดิมที หวังตั้นไม่ได้คิดอะไรเรื่องกระดิ่งลมนี่ แต่ตอนที่เสียงกระดิ่งจางหายไป ก็มีเสียงอ่อนแรงของผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น “ช่วยผม พาผมไปกับคุณด้วย”

หวังตั้นยืนอยู่ที่ประตูแล้วหันกลับไปมอง ในทางเดินมืด ๆ ไม่มีใคร

“เธอได้ยินเสียงผู้ชายร้องขอความช่วยเหลือไหม?” หวังตั้นหันไปถามแฟนสาว และเธอก็ส่ายหน้า

“เป็นเพราะว่าฉันกระวนกระวายเกินไปจนเริ่มได้ยินเสียงหลอนงั้นเหรอ?” เขาดึงประตูปิด

ตอนที่ประตูแตะถูกกระดิ่งลม เสียงผู้ชายคนนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ได้โปรดอย่าทิ้งผมไว้ที่นี่! ช่วยผมด้วย!”

คราวนี้ หวังตั้นแน่ใจว่าเขาได้ยินเสียง เขาเงยหน้าขึ้นและพยายามมองหาที่มาของเสียง

“กระดิ่งลม?” เสียงผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะดังมาจากด้านในกระดิ่งลม หวังตั้นเปิดประตูอีกครั้งและเขาก็เอื้อมมือออกไปคว้ากระดิ่งลมเอาไว้ เขาสั่นมันเบา ๆ และที่ด้านในผนังของกระดิ่งลม ใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

“ไม่รู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเคยได้ยินคำนั้นเหมือนกัน” ไป๋ชิวหลินหันไปหาเหล่าโจว “เหล่าโจว นายมีความรู้มากที่สุดในพวกเราแล้ว นายรู้ไหมว่าเฮ็นไตคืออะไร?”

เหล่าโจวส่ายหน้าและกุมคางขณะวิเคราะห์ “บางทีอาจจะเป็นการ์ตูนแนวใหม่ ถ้ามีโอกาส พวกเราลองถามบอสดู”

“ความคิดไม่เลว ถ้าบอสเฉินรู้ว่างานของต้าเหนียนได้รับความชื่นชอบจากปรมาจารย์ เขาต้องดีใจมากแน่ ๆ” ต้วนเยว่ลากชิโนซากิออกจากห้อง เหล่าโจวและไป๋ชิวหลินแบกเสี่ยวเซี่ย และทั้งกลุ่มไม่ช้าก็ออกจากเขตที่พักอาศัย ไม่กี่นาทีหลังจากที่พวกเขาออกไป ก็มีเสียงฝีเท้าก้องมาตามทางเดิน

“จินหยวน? เว่ยจินหยวน?” เสียงแหลมดังมาจากประตู ประตูถูกผลักเปิดออก และหลี่ซางอิ๋นก็ชะโงกเข้ามาในห้องนั่งเล่น “เทปที่บนประตูถูกฉีกออก ดังนั้นพวกเขาน่าจะอยู่ที่นี่”

หลี่ซางอิ๋นนั้นสำรวจตึกติดกันแล้ว หลังจากที่ไปถึงชั้นใต้ดินชั้นที่สามเขาก็พบว่าตึกพวกนี้นั้นเชื่อมถึงกัน เกิดเป็นเขาวงกตใต้ดินขนาดใหญ่

สิ่งที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้นั้นเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ความสยองขวัญของจริงถูกฝังเอาไว้ใต้ดิน การเข้าชมบ้านผีสิงธรรมดาทั่วไปนั้นอย่างมากก็ให้เข้าชมพร้อมกันแค่ห้าคน และการสำรวจก็จำกัดเอาไว้ที่ยี่สิบนาที ส่วนการเข้าชมแบบของเฉินเกอซึ่งอนุญาตให้เข้าพร้อมกันได้สิบคนและมีเวลาจำกัดสี่สิบนาทีนั้นหายได้ยากมาก

หลี่ซางอิ๋นไม่เข้าใจจนกระทั่งเห็นฉากใต้ดิน ที่นี่ใหญ่มากจนสามารถให้ผู้เข้าชมเข้าพร้อมกันได้ยี่สิบคนด้วยซ้ำ

ตอนที่เว่ยจินหยวนร้องของความเมตตา หลี่ซานอิ๋นนั้นกำลังเดินลึกเข้าไปใต้ดิน ตอนที่เขาได้ยินเสียงร้อง เขาก็รีบมุ่งหน้ามาทางเสียง แต่โชคร้าย เขามาช้าไปก้าวหนึ่ง เดินมาตามทางเดินที่เหมือนกันไปหมดอย่างนี้ เขาก็กลัวว่าตัวเองจะหลงทาง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินย้อนกลับไปตามทางที่ตัวเองเข้ามาก่อนจะมาตรวจดูสาเหตุเบื้องหลัง ‘อุบัติเหตุ’ ของเว่ยจินหยวน

“ห้องนี้ก็ว่างเปล่าเหมือนกัน ฉันเข้ามาที่นี่ยี่สิบนาทีแล้ว และฉันก็ยังไม่เจออะไรเลย ที่นี่มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์หรือไง?”

ฉากใหญ่มาก ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่ต้องการนักแสดงจำนวนมากมาเติมเต็มพื้นที่ว่าง หลี่ซางอิ๋นนั้นคิดว่าเขาโชคไม่ดีเพราะว่าไม่เจอนักแสดงเลยสักคน

“ฉันหาใครมาถามก็ยังไม่ได้เลย” หลี่ซางอิ๋นเดินไปตามทางเดินสีหน้าไม่พอใจ “ฉันจะมัวเดินวนไปมาแบบนี้ไม่ได้ ดูเหมือนว่าต้องตามหานักแสดงเองเสียแล้วแหละ”

ตั้งแต่ที่เขาเกิดมา น้อยครั้งมากที่เขาจะรู้สึกกลัว ตอนที่เขายังเด็ก พ่อกับแม่ของเขาเคยพาเขาไปพบหมอ และหลังจากการตรวจ หมอก็พบว่าสมองของเขานั้นต่างไปจากปกติ

ในส่วนของสมองกลีบหน้านั้นทำงานได้ดีมาก แต่ว่าส่วนนอกของลิมบิกและสมองกลีบหน้าผากนั้นพัฒนาไม่เต็มที่ ถึงแม้ว่าเขาจะดูเป็นปกติดี แต่วิธีการคิดและการมองโลกของเขานั้นต่างไปจากคนส่วนใหญ่

เขาพยายามที่จะเลียนแบบคนธรรมดาให้ดีที่สุด แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเสียสมาธิไป ตัวตนแท้จริงของเขาก็จะผุดขึ้นมา เขาได้พยายามทำงานหลายอย่างมาก่อนหน้านี้ แต่ก็มักจะถูกไล่ออกด้วยเหตุผลประหลาด จนกกระทั่งเข้าร่วมกับสถาบันฝันร้ายที่ซินไห่

ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและบ้านผีสิงที่น่าขนลุก ในที่สุดเขาก็สามารถสลัดการปลอมแปลงทิ้งและได้เป็นตัวเขาที่แท้จริง

หลี่ซางอิ๋นเกาหลังคอเดินออกมาจากเขตที่พักอาศัย เขากวาดตามองรอบ ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก “บอสบอกคำใบ้ให้พวกเราสี่อย่าง แต่ฉันติดต่อกับผู้เข้าชมคนอื่น ๆ ไม่ได้ แล้วฉันจะเจอคำใบ้ได้ยังไง? เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาตอนที่ฉันออกไปสำรวจด้วยตัวเองกันนะ?

“เว่ยจินหยวนไม่ใช่คนขี้ขลาด และเขายังใช้เวลาทำงานอยู่ในบ้านผีสิงเกือบทั้งวัน มันผิดปกติมากที่เขาจะกรีดร้องอย่างนั้น หรือว่าข่าวลือเรื่องบ้านผีสิงนี่จะเป็นความจริง?”

หลี่ซางอิ๋นขมวดคิ้ว และเมื่อเขาคิดเรื่องอื่น เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นพุ่มไม้ที่ข้าง ๆ เขตที่พักอาศัยขยับไหว

และเขายังไม่ได้สังเกตเห็นผู้ชายส่วนเสื้อคลุมยาวถือกรรไกรด้ามหนึ่งตามหลังเขามาด้วย

ป้ายแขวนอยู่เหนือทางเข้าโรงแรมสว่างขึ้นและเผยให้เห็นชื่อของโรงแรม สายลมเย็นพัดเอื่อยไปตามถนนเงียบสนิท แสงไฟกะพริบ เงาของจางจิงจิ่วเหยียดยาวกว่าที่มันควรจะเป็น

“เล่นเป็นเจ้าของโรงแรมนี่ต้องทำยังไงนะ?”

เขาสวมชุดที่เฉินเกอดึงออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อของเหล่าวิญญาณ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ มือเท้าคางและพยายามคิด

“ในเมื่อฉันตัดสินใจทำงานที่นี่แล้ว ฉันก็ควรจะพยายามให้ถึงที่สุด มือกรรไกรน่ะมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติ หรือฉันควรจะพูดว่า เขาฝึกฝนเพื่อหน้าที่นี้มาเป็นเวลานาน เพื่อที่จะบรรลุระดับมืออาชีพอย่างเขา ฉันยังต้องเรียนรู้อีกมาก”

จางจิงจิ่วมองซ้ายมองขวา หลังจากแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีผู้เข้าชม เขาก็แอบดึงโทรศัพท์ออกมาค้นบนออนไลน์เพื่อหาคำแนะนำในการเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ เขากำลังตั้งใจเรียนรู้ตอนที่เสียงฝีเท้าดังมาจากทางถนน ผู้ชายและผู้หญิงอย่างละคนกำลังวิ่งมาจากทางแยกพร้อมกับสีหน้าตระหนก

“มีแสงไฟ! ทำตามที่บอสสั่ง! พวกเราต้องไปหาที่ที่มีแสงไฟ!” ผู้ชายคนนั้นยังดูค่อนข้างมีสติ เขาลากเพื่อนผู้หญิงมาด้วยขณะวิ่งตรงมายังทางเข้าโรงแรม พวกเขาวิ่งเหมือนตัวเองเป็นผู้แข่งขันวิ่งแข่งหนึ่งร้อยเมตร พวกเขาล้มไปกับพื้นเมื่อมาถึงทางเข้า

“หยุดก่อน ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว” เด็กสาวโบกมือไปมา ผู้ชายคนนั้นก็ถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้วเช่นกัน เขากระอักไอและสูดเอาอากาศเข้าปอดอย่างกระหายขณะที่หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ

“ฉันมีลูกค้าแล้ว!” จางจิงจิ่วจัดเสื้อผ้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ต้อนรับลูกค้าในบ้านผีสิง ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างกระวนกระวายอยู่บ้าง เขาเก็บโทรศัพท์ลงไป แล้วเดินไปที่ประตูทักทายพวกเขา “พวกคุณ… ต้องการความช่วยเหลือไหม?”

จางจิงจิ่วนั้นไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น แต่ว่าเขารู้สึกสงสารผู้เข้าชมทั้งสองคน และเขาก็อดที่จะยื่นมือออกไปช่วยไม่ได้

ได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากด้านหลัง ชายคนนั้นก็สะดุ้งผุดลุกขึ้นจากพื้นแล้วก็เซไปด้านหลังหลายก้าวก่อนที่จะยั้งตัวเองไว้ได้ เห็นปฏิกริยาของผู้ชายคนนั้นที่เหมือนกับเป็นหนูวิ่งมาเจอแมวจางจิงจิ่วก็ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ผู้ชายคนนั้นต้องผ่านความสิ้นหวังมาขนาดไหนถึงได้ทำให้เขามีปฏิกริยาแบบนั้นกับการทักทายง่าย ๆ

“อย่าเข้าไปใกล้นะ! เขาเป็นพนักงานที่นี่!” ชายหนุ่มทำเหมือนกำลังอยู่ในสงคราม ผู้หญิงที่ข้าง ๆ เขารีบลุกขึ้นยืนแล้วขยับเข้าไปหาชายหนุ่ม

“ผมเป็นพนักงานที่นี่ แต่ว่ามาจากฝ่ายอื่น” จางจิวจิ่งไม่รู้จะอธิบายตัวเองว่ายังไง “ทำไมคุณไม่เข้าไปพักข้างในก่อนล่ะ? ในโรงแรมมีน้ำขวดบริการนะ”

“คุณคิดว่าผมจะเชื่อกับดักที่เห็นอยู่โต้ง ๆ อย่างนี้เหรอ?” ชายหนุ่มถอยออกไปจนหลังเกือบจะชนเข้ากับกำแพงของ ‘บ้านสุนัข’ ที่อีกฝั่งถนน

“คุณไม่เข้าใจคำพูดง่าย ๆ นี่เหรอ? ผมเป็นพนักงานใหม่ และบอสยังไม่ได้มอบหมายงานให้ผมหลอกผู้เข้าชม ฉากย่อยที่ผมรับผิดชอบน่ะเป็นจุดพักเดียวให้ผู้เข้าชมเข้าไปพัก” จางจิงจิ่วโบกมือให้พวกเขา “บอสเป็นห่วงว่าพวกคุณผู้เข้าชมจะไม่สามารถทนรับความกดดันของฉากที่ตึงเครียดนี่ได้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจัดที่นี่เอาไว้ให้คุณได้พัก”

จางจิงจิ่วไม่ได้โกหก เขาแค่ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของโรงแรมที่เขาได้รับมอบหมายให้ดูแล

อันที่จริงแล้ว โรงแรมเมืองหลี่ว่านนั้นเป็นสถานที่ที่พิเศษมาก ในเมืองหลี่ว่านจริง ๆ แล้วนั้น โรงแรมเป็นทั้งสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดและอันตรายที่สุด

เหมือนกับโรงแรมเมืองหลี่ว่านในบ้านผีสิงของเฉินเกอ เมื่อเจ้าของคือจางจิงจิ่ว มันก็จะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองเล็ก แต่เมื่อบทบาทนั้นถูกฟางหยวนยึดไป โรงแรมก็จะมีบรรยากาศที่ต่างออกไป

ดวงตาทั้งคู่ของชิโนซากิส่องประกายเหมือนเพิ่งเจอสมบัติล้ำค่า “ผลงานชิ้นนี้นั้นเหนือกว่าขีดจำกัดในวงการตอนนี้ และมันยังมีสไตล์เป็นของตัวเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันไขว่คว้าหาอยู่เหรอ?”

เขาศึกษาต้นฉบับที่บนโต๊ะ และแค่พลิกดูก็ทำให้ตัวเขาสั่น ตัวละครเรียบง่าย แต่ราวกับมีชีวิตขึ้นมาในมือของศิลปิน เขาดูเหมือนจะสามารถเขียนความซับซ้อนของใจมนุษย์ออกมาจากปลายปากกาได้ ไม่มีฉากนองเลือดและไม่มีสัตว์ประหลาดน่าคลื่นไส้ เขาก็แค่วาดมนุษย์ในสายตาของตนเอง และมันก็ทำให้รู้สึกตัวชาจากความกลัว

“นี่มันตรงกันข้ามกับสไตล์ปัจจุบันโดยสิ้นเชิง มันเหมือนศิลปินนั้นใช้มุมมองของผีวิเคราะห์สถานการณ์ของมนุษย์” ชิโนซากินั้นอยู่ในวงการมาเกินทศวรรษแล้ว และเขาก็เป็นที่ยอมรับในด้านความอาวุโส ช่วงไม่กี่ปีมานี้ เขาได้พยายามเปลี่ยนสไตล์ของตัวเอง เขาไปหาศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคน แต่ไม่มีใครสร้างผลกระทบต่อเขาได้มากเท่ากับผลงานที่อยู่ตรงหน้าเขานี่

“ฉันต้องการเจอศิลปินคนนี้! ฉันต้องได้พบนักวาดการ์ตูนคนนี้ที่อาศัยอยู่ในบ้านผีสิงนี่!”

ชิโนซากินั้นเป็นมืออาชีพโดยแท้จริง เขาพบคุณค่าของต้นฉบับนี้ในการมองแค่แวบเดียว เขาอยากจะเรียนรู้ และมันก็ไม่ใช่ว่าความคิดที่จะอ้างเอาต้นฉบับนี้มาเป็นของตัวเองจะไม่ผ่านเข้ามาในใจเขา แต่ว่า เขาก็รีบสลัดความคิดชั่วร้ายนั้นทิ้งไป นักวาดการ์ตูนคนนี้ผู้อาศัยอยู่ในบ้านผีสิงนี่อย่างมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างผลงานนั้นควรได้รับความเคารพ นี่เป็นศิลปินที่แท้จริงอีกคนหนึ่ง

ความกลัวและความตื่นเต้นเอ่อเต็มในใจเขา และกระทั่งชิโนซากิก็ไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เขาพลิกดูต้นฉบับทั้งหมดและให้ความเห็นอย่างมืออาชีพ และเขาก็ชื่นชมมันมากทีเดียว

“โชคไม่ดี ที่มีต้นฉบับอยู่เพียงแค่นี้ ฉันอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้” ชิโนซากิกลายเป็นแฟนคลับ เขาพึมพำกับตัวเอง ตอนที่เขาพูดจบ ลิ้นชักชั้นล่างสุดของโต๊ะก็เลื่อนเปิดออกเล็กน้อย สีของลิ้นชักนั้นต่างไปจากโต๊ะที่มันสอดอยู่ อันที่จริง หากมองใกล้ ๆ แล้วชิโนซากิก็พบว่ามันมีรูปร่างต่างไปจากลิ้นชักอื่น มันเหมือนกับว่ามันถูกยัดเยียดให้อยู่ที่นี่

“ลิ้นชักประหลาดจัง” มันเหมือนมีบางอย่างชักนำมือของชิโนซากิให้เอื้อมไปดึงลิ้นชักเปิดออก ด้านในนั้นมีต้นฉบับและการ์ตูนเล่มที่วาดด้วยมืออยู่กองหนึ่ง

“เยอะมาก! เขาทำงานอยู่ในนี้นานเท่าไหร่แล้ว?” ชิโนซากินั่งลงบนพื้น และยิ่งเขาอ่าน เขาก็ยิ่งงุนงง “แต่ละชิ้นล้วนมีคุณภาพสูงที่สุด คนวาดต้องพิจารณาผลงานตัวเองหนักแค่ไหนถึงได้บรรลุมาตรฐานอย่างนี้? แต่ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินเรื่องอาจารย์ผู้นี้ในวงการมาก่อนเลย? ศิลปินคนนี้เข้าวงการตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เขาเริ่มความเร็วในการเปิดดูต้นฉบับ เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเอาต้นฉบับทั้งหมดนี้ไปกับตัวเองแล้วค่อย ๆ ศึกษามันช้า ๆ ที่บ้าน

“คุณคะ ตอนนี้ด้านนอกเงียบแล้ว พวกเราจะออกไปดูหน่อยไหมคะ?” เสี่ยวเซี่ยที่ดีขึ้นแล้วพบว่าชิโนซากินั้นไม่สนใจโลกภายนอกเลยแค่ไหนตอนที่เธอฟื้นขึ้นมา

“รอก่อน ไม่ต้องรีบ พอหมดเวลา บอสก็คงมาหาพวกเราเอง สำนวนนั่นว่าอะไรนะ? อ่า ใช่ ซุ่มรอ!”

ชิโนซากินกวาดตามองหลายหน้าอย่างรวดเร็ว เขาต้องการรู้ว่าในต้นฉบับนั้นเขียนเอาไว้กี่เรื่อง “ตอนที่พวกเราออกไปจากที่นี่ ฉันต้องการติดต่อกับบอสนั่น! ถ้าฉันไม่ได้เจอศิลปินคนนี้กับตัว ฉันก็ยินดีจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เขาเรียกร้องเพื่อต้นฉบับทั้งหมดนี่!”

โดยไม่รู้ตัวเลย ชิโนซากิเอื้อมมือไปที่ก้นลิ้นชักและเขาก็หยิบหน้าสุดท้ายขึ้นมา กระดาษเป็นสีเหลือง เป็นสัญญาณบอกความเก่าของมัน แต่ว่า ลายเส้นบนนั้นช่างสดใหม่ เหมือนเพิ่งถูกวาดขึ้นมา!

“เขาทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน?” ชิโนซากิมองหน้ากระดาษอย่างงุงงง เขาคือตัวละครที่เพิ่งถูกวาดเข้าไปในหน้ากระดาษนี้!

ตัวละครเหมือนจริงที่มีสไตล์การวาดอันประหลาดและมุมมองที่ศิลปินเลือกช่างน่าสงสัย มันเหมือนเขาซ่อนอยู่ในลิ้นชักขณะวาดหน้านี้ ชิโนซากิเหลือบมองเข้าไปในลิ้นชักที่เขาดึงเปิดออกโดยไม่รู้ตัว และตรงนั้นมีใบหน้าซีด ๆ กำลังมองเขาอยู่ด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างคาดหวัง

“งั้น… นี่ก็คือ…” ดวงตาของเขากลอกขึ้นด้านบนและชิโนซากิก็หมดสติไปบนพื้น

เสี่ยวเซี่ยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ผละออกจากประตูและรีบร้อนมาที่ชิโนซากิ “คุณคะ ตื่นสิ! เกิดอะไรขึ้นกับคุณน่ะ?”

ตอนที่มีสองคน อย่างน้อยพวกเขาก็มีกันและกัน ตอนนี้เธอถูกทิ้งเอาไว้คนเดียว ความหวาดกลัวในใจเธอพุ่งขึ้นเป็นหลายเท่าอย่างไม่ยอมหดหาย ตอนที่กำลังจะหมดสติไปนั้น เสี่ยวเซี่ยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เธอดึงโทรศัพท์ออกมาโทรหมายเลขฉุกเฉิน แต่ว่า ตอนที่เธอปลดล็อกหน้าจอ โทรศัพท์ของเธอก็ถูกมืออีกข้างคว้าเอาไว้

เธอหันไปและเห็นประตูห้องถูกเปิดออกครึ่ง ๆ และมีคนสามคนยืนอยู่ข้างหลังเธอ!

ผู้ชายที่ทางซ้ายนั้นมีใบหน้าขาวซีด ผู้ชายทางขวานั้นหน้าอกย้อมเป็นสีแดงและมือข้างหนึ่งของเขาถูกตัดออกไปเสมอข้อมือ เสี่ยวเซี่ยเคยเห็นผู้หญิงที่ตรงกลางมาก่อน– เธอก็คือผีที่หนีออกมาจากห้องน้ำก่อนหน้านี้

“ไม่ต้องกลัว พวกเรา…” ชายวัยกลางคนใบหน้าซีดขาวเริ่มพูด และเสี่ยวเซี่ยก็ฟุบไปกับพื้นที่ข้าง ๆ ชิโนซากิ สำหรับผู้เข้าชมที่เข้ามาที่บ้านผีสิงของเฉินเกอเป็นครั้งแรกนั้น ฉากระดับ 3.5 ดาวนั้นยากเกินไป

“ฉันไม่ได้คิดจะหลอกให้เธอกลัวเลยนะ” เหล่าโจวมองต้วนเยว่และไป๋ชิวหลินอย่างกระอักกระอ่วน ทั้งสองคนเองก็มีสีหน้าค่อนข้างจนปัญญาเหมือนกัน

“อันที่จริง มันก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเรา นี่เป็นความผิดของเอี๋ยนต้าเหนียนที่แสดงตัวออกมา และนั่นก็ทำให้ผู้ชายคนนั้นหมดสติไป” ไป๋ชิวหลินช่วยจัดท่าเสี่ยวเซี่ยกับชิโนซากิให้สบายมากขึ้น และความเฉยเมยที่เขาแสดงออกมาก็เป็นการบอกว่าเขาชินกับการทำเรื่องนี้แล้ว

“ฉันเห็นด้วยกับนาย ความรับผิดชอบหลักตกอยู่ที่ต้าเหนียนแล้ว” ต้วนเยว่พยักหน้า

ได้ยินทั้งสามคนคุยกัน เอี๋ยนต้าเหนียนก็คลานออกมาจากลิ้นชัก เขาต้องการแก้ต่างให้ตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร ในที่สุดแล้วเขาก็คลานไปที่ตรงมุมพลางพึมพำ “มันยากมากที่จะเจอศิลปินที่เห็นคุณค่างานของฉัน และฉันก็เพิ่งทำให้เขากลัวจนหมดสติไป”

เห็นเอี๋ยนต้าเหนียนทำท่าโทษตัวเองแล้วไป๋ชิวหลิน เหล่าโจว และต้วนเยว่ก็ทำท่าหัวเราะให้กันเงียบ ๆ ทั้งสามคนเดินไปที่ข้าง ๆ เอี๋ยนต้าเหนียนและช่วยพยุงนักวาดการ์ตูนที่กำลังเศร้าขึ้นจากพื้น

“ต้าเหนียน ยินดีด้วยนะ ในที่สุดนายก็ได้คำชื่นชมจากมืออาชีพอย่างที่นายฝันหาแล้ว” เหล่าโจวดึงเอี๋ยนต้าเหนียนมากอดเบาๆ และเขาก็พูดอย่างจริงใจ

“ฉันรู้ว่าหลายปีที่ช่วยนายตรวจต้นฉบับจะไม่เสียเปล่า ฉันรู้ว่านายจะประสบความสำเร็จในที่สุด” ต้วนเยว่เขย่าไหล่เอี๋ยนต้าเหนียน

“แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าลืมพวกเราตอนที่นายร่ำรวยและมีชื่อเสียงขึ้นมา!” ไป๋ชิวหลินที่ปกติแล้วพูดน้อยและวางตัวห่างเหินมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตอนนี้

พวกเขาทั้งสี่นั้นอยู่ในห้องเดียวกัน และยังผ่านช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาด้วยกัน พวกเขาไม่ได้สาปแช่งโลกนี้หรือว่าถูกความเกลียดชังครอบงำหลังตายลง กลับกัน พวกเขาเลือกที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนกันและกัน

เอี๋ยนต้าเหนียนนั้นพูดไม่เก่ง เขาไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกของตัวเองอย่างไร และเขาก็ทำได้แค่พยักหน้ารัว ๆ

“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก พวกเราเข้าใจ”

“ต้าเหนียน ทางที่ดีนายกลับเข้าไปในลิ้นชักของนาย ทิ้งสองคนนี้ไว้ให้พวกเราจัดการ

“พวกเราต้องพาพวกเขาไปห้องเก็บศพใต้ดินเดี๋ยวนี้ ถ้าพวกเราช้าเกินไปอาจจะทำให้พวกเขาแย่ได้”

หลังจากเอี๋ยนต้าเหนียนกลับเข้าไปในหนังสือการ์ตูน และทั้งสามคนก็มองหน้ากัน

“ต้าเหนียนไม่จำเป็นต้องให้พวกเราสามคนปกป้องแล้ว”

“ใช่ ฉันอยากรู้ว่าพวกเราสามคนจะหายตัวไปไหมเมื่อความปรารถนาของต้าเหนียนได้รับการเติมเต็ม อย่างไรเสีย พวกเราก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว” เหล่าโจวคุยกับไป๋ชิวหลิน

“จะกังวลเรื่องนั้นอะไรตอนนี้? มาช่วยฉันก่อน!” ต้วนเยว่ลากชิโนซากิออกมาจากห้อง “ฉันแอบได้ยินเด็กสาวคนนี้บอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นนักวาดการ์ตูนเฮ็นไต*ชื่อดัง เขาดูเหมือนจะได้รับความนับถือมากในด้านนี้ พวกนายสองคนรู้ไหมว่าเฮ็นไตคืออะไร?”

 

 

 

 

TL note: เฮ็นไต* (ญี่ปุ่น 変態 หรือ へんたい โรมาจิ: hentai) เป็นคำที่หมายถึง “การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย” หรือ “ความผิดปกติ” หรืออาจจะแปลว่า “แปลงร่าง” ได้ด้วย แต่ว่า ปกติใช้ในความหมายไม่ค่อยดี หมายถึงสื่อการ์ตูนและเกมที่มีลักษณะลามกอนาจาร มีฉาก xxx ในรูปแบบต่าง ๆ แต่ถ้าในญี่ปุ่นเอง จะเรียกการ์ตูนและเกมแนวนี้ว่า 18Kin (Erotic anime)

ในที่สุด เฉินเกอก็เจอหลีจิ่วกับหวงหลางในห้องเก็บศพของโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน ตอนที่เขาไปถึง ทั้งสองคนก็หมดสติไปแล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณที่สัญญาณชีพของพวกเขายังคงที่ดีอยู่ พวกเขาไม่ได้ต้องการการดูแลจากแพทย์ในทันที รอยฝ่ามือของเด็กชายที่หลังคอหวงหลางก็หายไปแล้ว ถงถงคือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้– เขายังเป็นผู้จัดการกับการโทรศัพท์ระหว่างสองคนนี้ด้วย

“ไปเอารถเข็นจากห้องเก็บศพใต้ดินมาให้ฉันหน่อยสิ” เฉินเกอลากค้อนและหันไปออกคำสั่งผู้ป่วยที่ยืนระวังอยู่ข้าง ๆ หลีจิ่ว “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่โทษนายหรอก นายหลอกผู้เข้าชมที่ยังฝ่าฝืนกฏและใช้โทรศัพท์ในบ้านผีสิงหลังจากการตักเตือนหลายครั้งได้ตามสบาย นอกจากนี้ ฉันยังเชื่อว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อก่อเรื่อง ดังนั้นถ้ามองในแง่นี้แล้ว นายทำหน้าที่ได้ดีมาก

“พวกเรามีพนักงานที่เป็นคุณหมอที่เก่งที่สุด และฉันยังวางแผนจะลงทุนในอุปกรณ์การแพทย์ทันสมัยสักชุดหนึ่งเมื่อมีเงินพอ แบบนั้นผู้เข้าชมก็จะสามารถสนุกสุดเหวี่ยงได้โดยไม่ต้องเป็นกังวลเมื่ออยู่ในบ้านผีสิง”

เห็นความใจกว้างของเฉินเกอแล้ว ผู้ป่วยที่ยืนเอียงตัวไปมาอย่างกระวนกระวายก็รีบพยักหน้าแล้วเตรียมจะกลับออกไป

“เดี๋ยวก่อน” เฉินเกอหันไปมอง “ทำไมนายถึงรีบร้อนนัก? นี่นายคนเดียวหลอกจนสองคนนี้หมดสติไปเลยเหรอ?”

ผู้ป่วยคนนั้นมองโต๊ะผ่าศพที่ปูผ้าขาวเอาไว้แล้วหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้า

“โรงพยาบาลเอกชนเมืองจิ่วเจียงต้องมีหัวหน้า และนายก็ไม่เลวเลย ต่อไปฉันจะดูแลให้การฝึกฝนนายให้มากขึ้น” เฉินเกอไม่ได้พูดเล่น– เขาไม่เคยพูดล้อเล่น “การจะเปลี่ยนไปเป็นวิญญาณสีเลือดนั้นเป็นการเดินทางอันยากลำบาก แต่การเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือดก็ยังคงง่ายพอที่จะทำได้”

ผู้ป่วยคนนั้นนิ่งงันไป ตอนที่หลอกผู้เข้าชมก่อนหน้านี้เขาสนุกมากทีเดียว ผีทั้งกลุ่มไล่ตามทั้งสองคนอยู่เกือบสิบนาที และจนพวกเขาหมดสติไปพวกเขาถึงได้ตระหนักได้ว่าบางทีพวกตนจะล้ำเส้นไปเสียแล้ว…

ภาพของชายน่ากลัวคนหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในใจพวกเขา และผู้ป่วยหลายคนก็สลายหายไปอย่างเร่งร้อน เหลือไว้เพียงชายผู้ซื่อตรงคนเดียวเท่านั้น อันที่จริง เขาเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องทั้งหมดนี่อยู่บ้าง เขาได้ทำดีที่สุดแล้วในการทำตามคำเรียกร้องของผู้เข้าชม แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็พบว่าตัวเองถูกปั่นหัวเล่น นั่นทำให้ผีทั้งโรงพยาบาลบ้าคลั่งขึ้นมา ตอนนี้เมื่อผู้เข้าชมหมดสติไป เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนร้ายเบื้องหลังเรื่องนี้ ดังนั้นจึงรั้งอยู่เพื่อรับการลงโทษ

เขาพร้อมที่จะถูกลงโทษแล้ว แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ เฉินเกอไม่เพียงไม่โทษเขา แต่ยังสัญญาว่าจะช่วยให้เขาพัฒนาไปเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงวูบวาบเช่นนี้กระตุ้นความรู้สึกอันอธิบายไม่ได้ในใจของเขาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น

“เอาละ เลิกยืนเฉยอยู่ได้แล้ว ช่วยไปเอารถเข็นจากห้องเก็บศพใต้ดินมาทีแล้วส่งพวกเขาออกจากฉาก”

ผู้ป่วยคนนั้นลอยออกไปด้วยท่าทางยินดี ในขณะเดียวกัน เฉินเกอก็นั่งลงที่ข้าง ๆ หลีจิ่วและหวงหลางและเริ่มการตรวจสอบ “หลีจิ่วแต่งหน้าเอาไว้ ทำไมผู้เข้าชมอย่างเขาถึงมาที่บ้านผีสิงของฉันและยังแกล้งทำตัวเป็นผีด้วย? นี่เขาพยายามหลอกพนักงานของฉันอยู่เหรอ?

“หวงหลางมาที่บ้านผีสิงของฉันและเริ่มไลฟ์สตรีม เขาวางแผนจะเปิดเผยการออกแบบบ้านผีสิงของฉันต่อหน้าคนหลายหมื่น หลีจิ่วมาที่บ้านผีสิงของฉันเพื่อปลอมตัวเป็นพนักงานเพื่อสร้างปัญหา สองคนนี้มีหน้าที่ต่างกันชัดเจน– นี่ย่อมวางแผนเอาไว้แน่นอน” เฉินเกอพบกระเป๋าเครื่องสำอางเล็ก ๆ ที่ในกระเป๋าเสื้อของหลีจิ่ว และในนั้นยังมีบัตรผ่านเข้าสวนสนุกแห่งอนาคต ตอนนี้สวนสนุกแห่งอนาคตยังไม่เปิดสู่สาธารณะ และเครื่องเล่นด้านในก็ยังห่อหุ้มเอาไว้ การจะเข้าไปที่นั่นต้องมีบัตรผ่าน

“อย่างที่ฉันคาดเอาไว้เลย พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับสวนสนุกแห่งอนาคต” เฉินเกอเก็บทุกอย่างที่เขาเจอเข้าที่ เขาไม่ได้ยึดอะไรเอาไว้เลย “สวนสนุกแห่งอนาคตกำลังจะเปิดในไม่ช้านี้แล้ว ดังนั้นไม่มีเวลาให้เสียแล้ว ฉันต้องปล่อยฉากระดับสี่ดาวสู่สาธารณะก่อนที่พวกเขาจะเปิดให้บริการ!”

เฉินเกอลุกขึ้นแล้วลากค้อนออกไปจากโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน

ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สองของเขตที่พักอาศัยเมืองหลี่ว่าน ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวของเขานั้นตั้งใจแกะเทปกาวอยู่ในห้อง นี่เป็นภารกิจที่เว่ยจินหยวนมอบให้พวกเขา แต่ว่า พวกเขาก็ต้องตกใจ หลายนาทีก่อน เสียงกรีดร้องแหลมขอความเมตตาของเว่ยจินหยวนดังมาจากส่วนลึกของตึกนี้

พวกเขาไม่มีใครกล้าหาญอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว และเสียงกรีดร้องของเว่ยจินหยวนก็ทำให้หัวใจของพวกเขาที่เต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อยู่แล้วเต้นรัวเร็วมากขึ้น

“คุณคิดว่าพวกเราควรจะลงไปดูไหม?” เสี่ยวเซี่ยถามออกไปอย่างสุภาพแม้ว่าความไม่อยากทำจะเขียนเอาไว้บนหน้าของเธออย่างชัดเจนก็ตาม

“ปล่อยเขาไป พวกเราจะทิ้งเรื่องนี้เอาไว้ให้พวกที่เชี่ยวชาญกว่า อย่างไรเสีย เว่ยจินหยวนก็บอกว่าเขาทำงานที่บ้านผีสิง ดังนั้นฉันเชื่อว่าเขามีความสามารถในการรับมือทุกอย่างด้วยตัวเองได้” ชิโนซากิกระแอมอย่างกระอักกระอ่วน ตอนที่เขาเห็นรอยฝ่ามือที่หลังคอของเว่ยจินหยวนก่อนหน้านี้ เขาก็รู้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

“อย่างนั้นพวกเราควรจะทำอะไรดีคะตอนนี้?” เสี่ยวเซี่ยถามคำถามที่สำคัญมากออกมา ถึงแม้ว่าเว่ยจินหยวนจะดูไม่เหมือนว่าสมองจะทำงานปกติ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา ตอนนี้เมื่อเว่ยจินหยวนถู ‘โจมตี’ ก็เหลือแค่พวกเขาสองคนที่ต้องรับมือกับสัตว์ประหลาดและผีด้วยตัวพวกเขาเอง

“พวกเราห้ามตื่นตระหนก” ชิโนซากิคิดและมีความคิดดี ๆ “พวกเราควรรออยู่ที่นี่ เว่ยจินหยวนมีคู่หูอยู่ในตึกข้าง ๆ นี่ เขาต้องมาที่นี่หลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องนี้แน่ ๆ พวกเราก็ค่อยตามเขาไป”

“ได้ค่ะ” เสี่ยวเซี่ยมองไปทางประตูที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ถัดไปนั้นเป็นทางเดิมมืด ๆ “ฉันควรจะไปปิดประตูไหม?”

“อืม พวกเราควรจะทำเป็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนี้ และพวกเราก็จะคอยดูสถานการณ์ที่ด้านนอกผ่านตาแมว

“แต่ว่าพวกเราดึงเทปที่บนประตูออกแล้วไม่ใช่เหรอ?

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจรายละเอียดพวกนั้น”

ทั้งสองคนปิดประตู คอยระวังอยู่ด้านข้าง ชิโนซากิเอนตัวแนบประตูแล้วคอยมองออกไปข้างนอกผ่านตาแมว ทั้งหมดที่เขาเห็นก็คือความมืด– ไม่มีอะไรให้ใช้เป็นข้อมูลได้เลย เสี่ยวเซี่ยเอนตัวพิงกำแพง เหงื่อเย็น ๆ คอยแต่จะไหลลงมาตามใบหน้าของเธอ เพราะอะไรไม่รู้เธอถึงได้รู้สึกวิตกกังวลอย่างไม่น่าเชื่อเหมือนว่ามีคนที่สามอยู่ในห้องกับพวกเขาด้วย

“คุณคะ คุณคิดว่าทำไมเครื่องเรือนที่นี่ถึงต้องพันเทปเอาไว้คะ?”

“ฉันก็ไม่รู้” ชิโนซากิตอบอย่างใจลอย เขาปรับท่าทาง พยายามหามุมที่ดีที่สุดผ่านช่องตาแมว

“เทปนี่ป้องกันไม่ให้สิ่งของพวกนี้แตกออก? เป็นไปได้ไหมว่าเครื่องเรือนพวกนี้เคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง? เทปนี่พันเอาไว้ไม่มีช่องว่างเลย หรือคุณคิดไหมว่ามันเป็นเพราะว่าลิ้นชักจู่ ๆ ก็เปิดออกเองได้?” เสี่ยวเซี่ยยังคงไม่รู้ถึงความน่ากลัวของสถานการณ์ที่เธอบรรยายออกมา

“เปิดได้เอง? ทำไมลิ้นชักถึงเปิดได้เองล่ะ?” ชิโนซากิหันไปมองเสี่ยวเซี่ย

“บางทีอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ในเครื่องเรือนพวกนี้ หรือบางทีอาจจะมีตัวตนที่มนุษย์มองไม่เห็นเดินผ่านเครื่องเรือนพวกนี้”

“ตัวตนล่องหน?” ใบหน้าของชิโนซากิซีดลงเล็กน้อย แต่เขาก็พยายามรักษาความมีสติเอาไว้ “ถ้าเป็นอย่างนั้น นี่ก็เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมากที่จะใส่เอาไว้ในการ์ตูนของฉัน ไม่เลวเลย พวกเรามาที่นี่แค่ไม่กี่นาที แต่ว่าพวกเราได้ความคิดดีงามสองอย่างแล้ว”

“คุณคะ ฉันคิดว่าพวกเราควรจะกลับออกไป ที่นี่ทำให้ฉันรู้สึกขนลุก” เสี่ยวเซี่ยมองไปรอบ ๆ อย่างกระวนกระวาย และเธอก็เพิ่งเห็นว่าเครื่องเล่นดีวีดีที่อยู่ในห้องนั่งเล่นที่ก่อนหน้านี้ปิดอยู่ จู่ ๆ ก็เปิดขึ้น

“นั่นเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ? ยิ่งน่าขนลุกยิ่งดี! ฉันต้องการให้คนที่บอกว่าฉันวาดการ์ตูนเป็นอยู่แนวเดียวเห็นว่าศิลปินที่แท้จริงเชี่ยวชาญทุกแนว!” ชิโนซากินั้นมีพื้นอารมณ์ร้อน และก็มีความจริงอยู่เบื้องหลังการวิจารณ์เพราะว่าการ์ตูนหลายเรื่องของเขานั้นเป็นแนวเดียวกันหมด ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งโกรธ

“ตอนที่พวกเราเข้ามาในนี้ เครื่องเล่นดีวีดีเปิดอยู่ไหมคะ?” เสี่ยวเซี่ยไม่ได้สนใจสิ่งที่ชิโนซากิพูด เธอมองเครื่องเล่นนั่นอย่างสงสัย และตอนที่เธอกำลังมองมันอยู่ สัญญาณไฟที่บนโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นก็สว่างขึ้นมาด้วยเหมือนกัน

“เร็ว ดูนั่นสิคะ!” เสี่ยวเซี่ยอ้าปากค้างอย่างตกใจ “คุณคะ! ดูเหมือนพวกเราจะไปสะดุดกับดักอะไรเข้าแล้วค่ะ!”

“อย่าตื่นตูม” ชิโนซากิให้สัญญาณเสี่ยวเซี่ยให้สงบใจลง พวกเขาสองคนเดินเข้าไปที่โทรทัศน์ช้า ๆ

“อาจจะมีคนใช้รีโมทควบคุมมันอยู่ ฉันเคยเจอแบบนี้ในบ้านผีสิงแบบญี่ปุ่น นี่ไม่ดีเท่าไหร่ บอสบ้านผีสิงที่น่ากลัวคนนั้นกำลังจะมาทางพวกเราในไม่ช้าแล้ว!” ชิโนซากิตรวจดูโทรทัศน์ บางทีเขาอาจจะไปแตะโดนปุ่มอะไรเข้าเพราะว่าหน้าจอโทรทัศน์จู่ ๆ ก็สว่างวาบขึ้น

แสงเย็น ๆ ส่องบนใบหน้าของทั้งสองคน และพวกเขาก็หันไปทางโทรทัศน์พร้อมกัน คุณภาพของวิดีโอของโทรทัศน์เก่า ๆ นั้นไม่ดีนัก แต่ว่าทั้งสองคนก็ยังบอกได้ทันทีว่าวิดีโอบนโทรทัศน์นั้นกำลังฉายภาพห้องนั่งเล่นที่พวกเขาอยู่

ทุกอย่างนั้นเหมือนกัน มันเหมือนมีคนวางกล้องไว้บนโทรทัศน์เพื่อบันทึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องนั่งเล่น

“กล้องวิดีโอวงจรปิด? แต่ทำไมถึงมีคนติดตั้งกล้องไว้ในบ้านตัวเองล่ะ?” ชิโนซากิและเสี่ยวเซี่ยมองจอนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว สิบวินาทีผ่านไป และทั้งสองคนก็พบว่าหน้าจอโทรทัศน์ยังคงฉายภาพเดิม วิดีโอยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร

“ในเมื่อกล้องวงจรปิดถูกติดเอาไว้ในบ้าน ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้นที่นี่ และเจ้าของบ้านก็ต้องการค้นหาความจริง” ชิโนซากิดึงลิ้นชักที่ใต้ตู้ทีวีเปิดออก ในนั้นมีแผ่นดีวีดีที่ไม่ติดป้ายอยู่ชุดหนึ่ง พวกมันดูเหมือนจะบันทึกไว้โดยเจ้าของบ้านเอง “คำใบ้ในการหนีออกไปอาจจะซ่อนอยู่ในแผ่นดีวีดีพวกนี้”

ชิโนซากิตั้งใจหาคำใบ้ในลิ้นชักขณะที่เสี่ยวเซี่ยจ้องเป๋งอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ เธอมีความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังขยับอยู่ในภาพที่ดูเหมือนนิ่งนี้

“นั่นแมลงเหรอ?” เสี่ยวเซี่ยเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กับจอเท่าที่ทำได้ เธอมองประตูห้องน้ำในวิดีโอ ประตูนั่นถูกเปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ และตรงกรอบประตู มีเส้นผมสีดำสองสามเส้นให้เห็น

“นั่นดูเหมือนเส้นผม” ตอนที่โทรทัศน์เปิดขึ้นทีแรก ใกล้ ๆ กับห้องน้ำไม่มีอะไรเลย ดังนั้นเส้นผมสองสามเส้นนี้จึงเป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ใจของเสี่ยวเซี่ยเต็มไปด้วยความงุนงง เธอกำลังจะเรียกให้ชิโนซากิมาดูตอนที่เส้นผมบนวิดีโอเริ่มสะบัดด้วยตัวเอง

“เส้นผมขยับได้?” คุณภาพของวิดีโอแย่มากเธอจึงต้องชะโงกเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อมองให้แน่ใจ แต่ว่า ตอนที่เธอเอานตัวเข้าไปหาหน้าจอ ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากในห้องน้ำ!

“อ๊า!” เสี่ยวเซี่ยกรีดร้อง และเธอก็กลัวจนผงะถอยไปล้มอยู่บนโซฟา “ผี! คุณคะ! ในทีวี! เธออยู่ในทีวี!”

ห้องไม่ได้ใหญ่มาก และมันก็เงียบมาก เมื่อเสี่ยวเซี่ยกรีดร้องทำลายความเงียบ กระทั่งชิโนซากิก็ยังค่อนข้างตกใจ เขาวางแผ่นดีวีดีที่ถืออยู่เอาไว้ลงไปและเงยหน้าขึ้นมองหน้าจอ ในโทรทัศน์ ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยื่นออกมาจากในห้องน้ำ

ใบหน้านั่นค่อนข้างน่ารักและสิ่งที่ทำให้ชิโนซากิกลัวนั้นก็คือไม่ว่าเขาจะขยับออกห่างจากหน้านั่นแค่ไหน มันก็เหมือนใบหน้านั่นยังจ้องตรงมาที่เขา!

“ไม่เป็นไร อย่าตกใจง่ายอย่างนั้นสิ นี่ก็แค่กลพื้น ๆ ในบ้านผีสิง”  แต่ว่า เสียงสั่น ๆ ของชิโนซากินั้นเผยความกลัวของเขาออกมา เขาต้องการปิดโทรทัศน์ลงไป แต่ว่าหาปุ่มปิดไม่เจอ

“คุณคะ ฉันคิดว่าพวกเราควรจะออกไปเดี๋ยวนี้และพวกเราค่อยกลับมาตอนที่มีคนมากับพวกเรามากกว่านี้” ใบหน้าของเสี่ยวเซี่ยซีดเผือดจากความหวาดกลัว แค่ครั้งเดียว และมันก็พอที่จะทำให้เธอหมดแรง เธอรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงหายไปจากร่างและเธอก็ขยับขาแทบไม่ไหวด้วยซ้ำ “นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว คุณคะ คุณจะอยู่ต่อจนกว่าจะจบก็ได้ถ้าต้องการ แต่ว่าฉันยอมแพ้แล้ว”

ตอนที่เธอพยายามจะลุกขึ้น เสี่ยวเซี่ยก็จับที่พักแขนเพื่อพยุงตัวขึ้น แต่ตอนที่เธอหันไปมอง เธอก็เห็นมัน ห่างจากเธอไปแค่สามเมตร ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งยื่นออกมาจากในห้องน้ำ เหมือนกับภาพที่เธอเห็นในวิดีโอเปี๊ยบ!

“ฉันคิดว่าฉันเห็นภาพหลอนจากความน่ากลัวทั้งหมดนี่แล้วค่ะ” เสี่ยวเซี่ยหันไปมองที่โทรทัศน์ วิดีโอยังคงแช่อยู่ที่ภาพผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ออกมาจากห้องน้ำ “ใช่ นี่เป็นสิ่งที่เล่นอยู่บนโทรทัศน์”

เธอหันกลับไปอีกที และผู้หญิงคนนั้นก็ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเธอจริง ๆ เธอมีใบหน้าน่ารักและร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยกรีด เลือดมากมายไหลออกจากแผลที่เปิดอยู่

ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวด้วยความกลัว ตอนที่เสี่ยวเซี่ยสูญเสียสติแล้วผงะถอยหลัง เธอก็ใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายกรีดร้อง “ผี! มีผี!”

ชิโนซากิยังคงค้นของอยู่ตอนที่ดวงตาของผู้หญิงที่ในวิดีโอนั้นก็มองตามการเคลื่อนไหวของเขา เขาเชื่อว่าบอสนั่นใช้วิธีการเดียวกับดาวินซีตอนที่เขาวาดภาพโมนาลิซ่า แต่ก่อนที่เขาจะทันได้คิดเหตุผล เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากเสี่ยวเซี่ย ตอนที่เขาหันกลับไป เขาก็ตะลึงไปด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน

พวกเขาตรวจดูในห้องหลายรอบแล้วก่อนหน้านี้– มันว่างเปล่าจริง ๆ แล้วทำไม ตอนนี้ ถึงมีผู้หญิงที่เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาได้!

นี่ไม่ใช่แค่ความน่ากลัวแต่ว่ามันทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น!

คำเตือนจากเสี่ยวเซี่ยหมายความว่าชิโนซากิยังมีเวลาเตรียมตัวบ้าง ถึงแม้ว่าเขาจะตัวสั่นเป็นใบไม้ต้องลม เขาก็ยังไม่ได้สูญเสียการควบคุมร่างกาย ผู้หญิงคนนั้นขวางประตูห้องนั่งเล่นอยู่ และชิโนซากิก็คว้าเสี่ยวเซี่ยและวิ่งเข้าไปในห้องนอน

ปัง!

ประตูกระแทกปิด หัวใจของชิโนซากิเต้นอย่างบ้าคลั่ง และเขาก็เริ่มคิดว่าควรจะเรียกตำรวจดีหรือไม่

“ฉันควรทำยังไง? ตอนนี้ฉันควรทำยังไง?” ชิโนซากินั้นกลัวว่าเขาจะถูกลืมเอาไว้ในบ้านผีสิง ต้องขอบคุณที่เขารู้ตัวขึ้นมาในครู่ต่อมา “ใช่แล้ว ฉันอยู่ในบ้านผีสิง!”

เขาเอนตัวพิงประตูและเริ่มตะโกนออกไปเสียงดัง “พวกเรายอมแพ้แล้ว! พวกเราไม่ต้องการสัมผัสประสบการณ์แล้ว! ออกไปเถอะนะ! ช่วยออกไปแล้วทิ้งพวกเราเอาไว้!”

ไม่มีการตอบสนองจากข้างนอกประตู ไม่มีเสียงฝีเท้าด้วยเหมือนกัน ชิโนซากิพยุงเสี่ยวเซี่ย และพวกเขาก็ไม่มีใครกล้าเปิดประตู

“งั้น… พวกเราอยู่ในนี้จนกว่าบอสจะมาพาพวกเราออกไปไหม?”

หลังจากประสบการณ์นี้ ชิโนซากิก็ไม่แกล้งทำเป็นกล้าอีกแล้ว บ้านผีสิงนี่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงจิตใจมนุษย์ บ้านผีสิงอื่นนั้นจะให้ผู้เข้าชมได้ผ่อนคลายก่อน และจัดวางความสยองขวัญเอาไว้ในตำแหน่งที่ผู้เข้าชมไม่ทันคาดคิด แต่ว่าบ้านผีสิงนี้ต่างไป พวกเขาหลอกผู้เข้าชมซึ่งหน้าจนกระทั่งวิญญาณของผู้เข้าชมหลุดออกจากร่าง หลังจากที่การระมัดระวังของพวกเขาถูกทำลายโดยสิ้นเชิงแล้ว ความสยองขวัญลำดับต่อไปก็จะมาหาจากมุมที่ต่างออกไป หลอกพวกเขาอย่างต่อเนื่องด้วยความสยองขวัญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“ต่อไป ฉันจะเชิญพวกนักเขียนการ์ตูนที่ดูถูกฉันมาที่นี่” ไม่มีเสียงอะไรจากที่นอกประตู และชิโนซากิก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป “ผู้หญิงคนนั้นขวางประตูเอาไว้ให้พวกเราออกไปไม่ได้ ต้องมีเหตุผลในการออกแบบอย่างนี้เป็นไปได้ไหมว่ามีคำใบ้ซ่อนอยู่ที่นี่ในห้องนอนนี้?”

ทิ้งหน้าที่เฝ้าประตูไว้ให้เสี่ยวเซี่ย ชิโนซากิเริ่มค้นห้อง เขาพบบางอย่างที่น่าประหลาดในทันที โต๊ะในห้องนอนนั้นมีปากกาดินสอที่ค่อนข้างเฉพาะหลายด้ามวางเอาไว้

“ปากกาแกรไฟต์ ปากกาลูกลื่น ปากกามาร์กเกอร์?” ชิโนซากิจดจำพวกมันได้อย่างง่ายดาย “ปากกาแกรไฟต์เอาไว้ร่างโครงร่างตัวละคร ปากกาลูกลื่นไว้สำหรับลงรายละเอียดเสื้อและขนตา ขณะที่ปากกามาร์กเกอร์ไว้สำหรับการลงเงาใหญ่ ๆ พวกนี้เป็นปากกาที่จำเป็นกับการวาดการ์ตูน! เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าของบ้านนี่เป็นนักเขียนการ์ตูนคนหนึ่ง?”

การเข้าชมบ้านผีสิงนั้นอาจจะทำให้เขาได้รู้จักเพื่อนใหม่ นี่เป็นสิ่งที่ชิโนซากิไม่คาดคิดเลย เขาเดินไปที่โต๊ะ และพลิกต้นฉบับที่บนโต๊ะดู

เดิมที่ เขาก็แค่พลิกมันดูอย่างสงสัย แต่ไม่ช้าเขาก็จมลงไปในเนื้อหานั้น

“ฉันไม่เคยเห็นงานแบบนี้มากก่อน แวบแรก มันก็ทำให้คุณรู้สึกเย็นเยือกไปตามสันหลัง คนที่วาดการ์ตูนนี่เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง! หรือว่าเขากำลังจะบุกเบิกการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ในวงการการ์ตูน?”

สี่?

ตอนที่ชายประหลาดในชุดผู้ป่วยชูสี่นิ้วให้เขา หวงหลางก็รู้สึกเหมือนเลือดในร่างของเขาพุ่งเข้าไปในหัวใจ ทำให้มันทำงานหนักเกินไป ความเจ็บปวดแผ่ออกมาจากหน้าอกของเขา และเขาก็รู้สึกหัวเบาหวิวขึ้นมา ถ้าเขาไม่ได้กำลังไลฟ์อยู่ละก็ เขาก็คงโยนโทรศัพท์ทิ้งไป หันหนีไปอีกทาง วิ่งเอาชีวิตรอด

ใจเย็นไว้! แกอยู่ในบ้านผีสิง! นี่ล้วนเป็นนักแสดงทั้งนั้น! ทุกอย่างปกติดี ทุกอย่างเป็นปกติดี! หวงหลางพยายามโน้มน้าวตัวเอง แต่ร่างกายของเขากลับเริ่มหลุดออกจากการควบคุม ขาของเขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้

ผู้ชายที่ปกติแล้วพูดเก่งกลับหมดคำจะพูดไป อากาศเย็นเยียบลูบไล้ร่างกายแข็งทื่อของเขา และเขาก็รู้สึกได้ว่าตัวละครทั้งสี่ที่รวมกันอยู่ตรงหน้าเขานั้นช่างโดดเด่นอย่างเหลือเชื่อ

กระทั่งสำหรับคนที่เกิดมารูปร่างไม่ปกติ ก็ยังไม่เติบโตขึ้นมาในสภาพประหลาดอย่างนี้ แขนขาของพวกเขานั้นบิดเบี้ยวด้วยมุมประหลาด กระดูกของพวกเขานั้นไม่ได้เรียงกันในรูปแบบปกติของมนุษย์ บางคนยังถูกควักตาออกไปและเหลือเอาไว้แค่รูดำ ๆ สองรูบนกะโหลกศีรษะของพวกเขา คนอื่น ๆ มีดวงตาที่ไร้ม่านตาที่บางครั้งก็กลิ้งไปรอบ ๆ ในเบ้าตา ผู้ป่วยทั้งสี่นั้นยืนเรียงกันเป็นแถวตรง แสงสลัวสาดลงมาบนร่างพวกเขา และหวงหลางก็เพิ่งตระหนักได้ว่าพวกเขาทั้งสี่ไม่มีเงา!

“อย่าเข้ามาใกล้นะ!” เสียงกรีดร้องเล็ดรอดออกจากริมฝีปากของเขา ในตอนนี้หวงหลางนั้นสูญเสียความเยือกเย็นที่แสดงตอนอยู่ในห้องไปแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้สื่อสารอยู่กับหลีจิ่วแต่เป็นนักแสดงที่ในบ้านผีสิง หลังจากเข้าใจจุดนั้นแล้ว อีกคำถามก็ผุดขึ้นมาในวินาทีต่อมา

แล้วหลีจิ่วหายไปไหนกัน?

เขาจำได้ว่าเขาคุยโทรศัพท์กับหลีจิ่วก่อนหน้านี้ ผู้ชายคนนั้นฟังดูต่างไปจากปกติ เหมือนเขากำลังเจอปัญหาร้ายแรง

หลีจิ่วทำงานที่บ้านผีสิงมาหลายปี เขายังเป็นนักออกแบบอุปกรณ์และของตกแต่งในวงการนี้ ทำให้เขาพูดอย่างนั้นได้ มันย่อมมีความหมายเดียวก็คือที่นี่มีผีสิงจริง ๆ!

เหงื่อเย็น ๆ หยดลงมาตามใบหน้าเขา ก่อนที่หวงหลางจะมาที่นี่ เขาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องผีจากบ้านผีสิงของเฉินเกอมากมาย และในตอนนี้ เรื่องผีทั้งหมดก็ผุดขึ้นในใจเขา โอบล้อมเขาเอาไว้ในความหวาดกลัวไร้ที่สิ้นสุด

ฉันควรจะออกไปจากที่นี่ตั้งแต่ที่มีโอกาส!

ทว่า น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว ตัวละครทั้งสี่เริ่มขยับ ร่างกายบิดเบี้ยวของพวกเขาโซเซไปมาขณะที่สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปช้า ๆ จนกระทั่งพวกเขาทำเสียงไม่พอใจอย่างน่ากลัวและพุ่งเข้าใส่หวงหลางพร้อมเสียงคำรามลั่น!

นี่ไม่ใช่มนุษย์! บ้านผีสิงนี่มีผีสิงจริง ๆ!

หวงหลางอ้าปาก แต่ว่าไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมา ความหวาดกลัวทะลักออกจากดวงตาของเขา และเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหมดสติจากการขาดออกซิเจน

“ต้าหลาง ทำไมนายถึงวิ่งออกไปเองเล่า? ตั้งแต่แรก นายก็เอาแต่พูดกับตัวเอง นี่มันไม่เหมือนในบทที่พวกเราซ้อมกันมาเลยนะ!”

ประตูห้องพักผู้ป่วยห่างไปไม่กี่เมตรจากหวงหลางถูกผลักเปิดออกในตอนนั้นเอง ตามมาด้วยสิ่งที่หวงหลางต้องการ หลีจิ่วเดินออกมาหลังจากแต่งหน้าให้ดูน่ากลัว

ได้ยินเสียงหลีจิ่ว หัวใจที่เหมือนถูกแช่แข็งของหวงหลางก็ราวกับได้เห็นแสงตะวันอบอุ่น และสมองของเขาก็เริ่มทำงานและควบคุมร่างกายของเขาได้อีกครั้ง เขาหันกลับไปและเห็นหลีจิ่ว เขาสูดลมหายใจเย็นเยือกและกำลังจะกรีดร้องขอความช่วยเหลือตอนที่โทรศัพท์ในมือของเขาสั่นขึ้นมา

เขาก้มหน้าลงไปดูตามนิสัย และหวงหลางก็เห็นชื่อคนโทรเข้ามา– หลีจิ่ว

หลีจิ่วโทรหาฉัน? อย่างนั้นหลีจิ่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันคือใครกัน?

เขาแตะปุ่มรับสายด้วยมือสั่น ๆ หวงหลางใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

“ต้าหลาง? ฉันติดต่อจินหยวนกับเย็นชาไม่ได้เลย! ตอนนี้ฉันแอบอยู่ใกล้ ๆ กับทางออก นายมาหาฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ! มีบางอย่างผิดปกติมาก ๆ ในบ้านผีสิงนี่!” เสียงของหลีจิ่วดังออกมาจากโทรศัพท์– มันเต็มไปด้วยความกังวลและกระวนกระวาย “ฉันไม่ได้ล้อเล่นกับนายนะ! นายต้องกลับออกมา! เดี๋ยวนี้!”

“ฉันรู้ว่านายไม่ได้ล้อเล่นกับฉัน…” หวงหลางมองโทรศัพท์อย่างโง่งมและจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลีจิ่วที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา “แต่ปัญหาก็คือ… ตอนนี้มีนายสองคน!”

ความกลัวอันอธิบายไม่ได้คืบคลานเข้ามาในร่างของเขาอย่างพรวดพราด และนี่ก็เกินขีดจำกัดของหวงหลาง เขากรีดร้องแล้วพุ่งตัวเข้าใส่หลีจิ่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับการโจมตีครั้งนี้ มีปิศาจอีกสี่ตนอยู่ด้านหลังเขา และตรงหน้าเขามีแค่ตนเดียว ในตอนนี้ สัญชาตญาณของหวงหลางนั้นบอกให้เขาเลือกทางนี้

“นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ? ฉันคือหลี…” ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ หวงหลางที่สติพังทลายไปแล้วก็มาถึงที่ข้างตัวเขาแล้ว เขาคว้ากระเป๋าสะพายหลังและเหวี่ยงใส่หลีจิ่วอย่างแรง หลีจิ่วนั้นวุ่นวายอยู่กับการแต่งหน้าอยู่ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถูกกระเป๋าของหวงหลางกระแทกเข้าที่หน้าในสภาพของผู้บริสุทธิ์และไม่รู้เรื่องรู้ราว

“ฉันคือหลีจิ่ว! เชี่ยเอ๊ย! นายทำลายเมคอัพของฉันหมดแล้ว!” หลีจิ่วเอื้อมมือออกไปคว้าหวงหลางเอาไว้ แต่ฝ่ายหลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง อย่างไรเสีย ในใจของเขา เขากำลังถูกผีทำร้าย ดังนั้น หวงหลางจึงดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเพื่อจะหนี พอดิ้นหลุด หวงหลางก็ทิ้งกระเป๋ากับโทรศัพท์ของตัวเองที่ยังไลฟ์อยู่ไป เขากลิ้งเกลือกไปตามทางเดิน กรีดร้องไปตลอดทาง

“หวงหลาง!” หลีจิ่วกุมจมูกที่บาดเจ็บของตัวเอง เสียงของเขาขึ้นจมูกยิ่งกว่าเดิมหลังจากโดนทำร้าย เขาค่อนข้างเป็นห่วงหวงหลางดังนั้นจึงไล่ตามหลังเขาไปอย่างรวดเร็ว ผู้เข้าชมทั้งสองคน คนหนึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้าและอีกคนไล่ตามไปด้านหลัง หายลับไปจากทางเดินชั้นใต้ดินที่สาม

พนักงานทั้งสี่คนในชุดผู้ป่วยค่อย ๆ ช้าลง พวกเขามองหน้ากัน และพวกเขาก็รู้สึกถูกกีดกันจากความสนุกนี้

ดวงตาสีขาวเปลี่ยนเป็นปกติ และ ‘ผู้ป่วย’ ที่ตรงกลางก็มีผมสีดำอยู่บนศีรษะของเขา ความโกรธในใจของเขายังไม่ทันหายไปเลย ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก ผู้เข้าชมก็ชูสามนิ้วให้เขา หลังจากที่เขารวบรวมพนักงานสามคนได้แล้ว ผู้เข้าชมกลับชูสี่นิ้วแทน

ตอนนี้ที่เขารวบรวมพนักงานได้สี่คน หลังจากทำตามคำขอร้องอย่างไร้เหตุผลของชายคนนั้นแล้ว ผู้ชายคนนั้นกลับจากไปโดยไม่ขอบคุณเขาสักคำ นี่ช่างสิ้นเปลืองเวลาของพนักงานเสียจริง!

นี่มันเกินไปแล้ว! ไม่เคารพกันเลย! เขาจะไม่ให้อภัย!

บาดแผลร้ายแรงน่ากลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีด ๆ พนักงานที่กำลังโกรธทั้งสี่คนสลัดการปลอมตัวทิ้งอย่างโมโห และพวกเขาก็เผยสีหน้าแท้จริง ที่มุมปากของพวกเขาฉีกออก และพวกเขาก็คำรามเสียงต่ำ จากนั้นทั้งตึกก็ราวกับจะมีชีวิตขึ้นมา และด้านหลังห้องพักผู้ป่วยที่เปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ ก็มีแขนสีเทาหลายข้างเอื้อมออกมาจากในความมืด

โซ่ลากไปกับพื้นเกิดเป็นเสียงเย็นเสียดกระดูก เงาที่ถูกดึงให้ยาวขึ้นจากแสงนั้นยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่านคนเดียว

“พวกเขาแยกกันแล้ว?” เฉินเกอที่สวมชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลกถือค้อนเอาไว้ในมือข้างหนึ่งและหยุดอยู่ที่หน้าประตูโรงพยาบาล เขาก้มหน้ามองข้อความที่ถงถงส่งถึงเขา

“มีคนไลฟ์สตรีมอยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สามของโรงพยาบาลครับ!”

“ฉันอนุญาตให้ถ่ายรูป ฉันอนุญาตให้ถ่ายวิดีโอ และตอนนี้พวกนายยังเริ่มไลฟ์สตรีมในบ้านผีสิงของฉันใช่ไหม? นายคิดว่าฉันใจดีถึงขนาดให้อิสระพวกนายขนาดนั้น? พวกนายลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นบอสของที่นี่?” เฉินเกอนั้นเป็นคนดีโดยเนื้อแท้ และมันก็ยากมากที่เขาจะโกรธนอกจากจะมีคนละเมิดขีดจำกัดล่างของเขา

หนามที่บนค้อนลากไปกับพื้น และเฉินเกอที่สวมหน้ากากหนังอยู่ก็เดินไปที่ชั้นใต้ดินที่สามของโรงพยาบาล

“พวกเขาไปไหนแล้ว?” ทางเดินมืด และไม่มีใครอยู่รอบ ๆ แต่ว่าอุณหภูมินั้นต่ำอย่างน่าสงสัย เฉินเกอดึงโทรศัพท์ออกมาคิดจะถามถงถงตอนที่เขามองเห็นกระเป๋าสีดำใบหนึ่งกับโทรศัพท์ถูกทิ้งเอาไว้นอกห้องพักผู้ป่วยที่สี่

“กระเป๋าสีดำ? ฉันจำได้ว่าผู้เข้าชมคนหนึ่งสะพายมันมา เขาน่าจะเข้ามาพร้อมไอ้คนทุเรศนั่น” เฉินเกอไม่ได้ไปเก็บของขึ้นมาในทันที “ถ้ากระเป๋ากับโทรศัพท์ถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่แต่ว่าคนหายไป ก็มีความหมายเดียวว่าพวกเขาทิ้งเอาไว้เพราะความหวาดกลัว ฉันเขียนเอาไว้ในกฎของพนักงานว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องออมมือถ้าเจอกับคนที่ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปหรือว่าบันทึกวิดีโออยู่ในบ้านผีสิง เจ้าของโทรศัพท์คือโฮสต์คนนั้นใช่ไหม? เป็นไปได้ว่าโทรศัพท์ที่ถูกทิ้งเอาไว้นี้จะยังกำลังไลฟ์อยู่?”

หลังจากผ่านภารกิจทดลองมากมายมาแล้ว ความสามารถในการสังเกตของเฉินเกอก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ยืนอยู่พ้นจากมุมกล้อง เขาถอดชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลกออกแล้วจากนั้นก็เดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ กระเป๋าสะพายสีดำ

“ใครมันทิ้งของเอาไม่ไว้สนใจอยู่ตรงนี้เนี่ย? ขอบคุณที่พวกเรามีกล้องวงจรปิดที่สามารถรับรองความปลอดภัยของผู้เข้าชมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์” หลังจากพูดอย่างนั้นแล้ว เฉินเกอก็หันไปหาโทรศัพท์ที่นอนอยู่ข้าง ๆ “โทรศัพท์ใครอีกเนี่ย?”

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและห้องพูดคุยนั้นยังติดขัดอยู่ จากที่หวงหลางหายตัวไป ความนิยมของไลฟ์สตรีมนี้กลับไม่ลดลง และยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย และเขาก็อยู่ห่างจากการขึ้นถึงจุดสูงสุดเพียงไม่กี่ก้าว

“ไลฟ์สตรีม?” เฉินเกอเคยไลฟ์สตรีมมาก่อนเหมือนกัน ตอนที่เขาทำภารกิจที่หอผู้ป่วยสาม เขายังได้รับการสอนกลเม็ดในการไลฟ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มา “สวัสดีตอนบ่ายครับทุกคน ผมเฉินเกอ บอสของบ้านผีสิงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ จิ่วเจียงตะวันตก ทุกคนบอกผมได้ไหมว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น?”

ตอนที่เขาแนะนำบ้านผีสิงของเขาออกสู่สาธารณะ เฉินเกออยากจะใส่ที่อยู่เต็ม ๆ ของบ้านผีสิงลงไปแทบตายเพื่อไม่ให้มีความเข้าใจผิดพลาดอะไร เวบไซต์ยังอืด และหลังจากกดโหลดหน้าใหม่สองสามครั้ง เฉินเกอก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดได้คร่าว ๆ

โฮสต์ที่เป็นเจ้าของไลฟ์สตรีมนี้คือหวงหลาง ชื่อเล่นว่าหลางต้าเกอ เขาอ้างว่าตัวเองเป็นทายาทของนักทำนายชื่อดัง และดูเหมือนว่าเขาจะเจอผีจริง ๆ เข้าระหว่างการไลฟ์ครั้งนี้ จากนั้น เขาก็กลัวมากจนทิ้งโทรศัพท์และหนีไปเอง

ตอนที่เฉินเกอเห็นข้อความมากมายอ้างว่าบ้านผีสิงของเขามีผีสิงจริง ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนถูกเปิดโปงอย่างประหลาด แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นจำนวนคนดูในไลฟ์นี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายเหมือนมองเห็นสมบัติล้ำค่า

“อันที่จริง พวกคุณทุกคนถูกหวงหลางหลอกเอาแล้วละ จะมีผีจริง ๆ ได้ยังไงในโลกนี้? ผมเชื่อว่าเขาอยู่เบื้องหลังทุกอย่างที่คุณเห็นก่อนหน้านี้” เมื่อเฉินเกอพูดอย่างนั้น เขาก็ถูกแฟนคลับผู้ภักดีของหวงหลางไม่พอใจ

เฉินเกอไม่โกรธ เขาหยิบกระเป๋าของหวงหลางขึ้นมาและไม่ช้าก็พบปัญหา “ก่อนหน้านี้ มีคนบอกว่ามีมรดกตกทอดจากตระกูล จี้หยกที่หวงหลางสวม และยังมีรอยแตกขึ้นมาเมื่อเขาเจอวิญญาณร้าย หยกนั่นมีรอยแตกเก้าเส้นทันทีที่เขาเข้ามาในบ้านผีสิงของผม งั้นดูนี่นะครับ…”

เฉินเกอดึงหยกที่หน้าตาเหมือนกันพวงหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพาย และหลายอันยังมีรอยแตกอยู่ก่อนแล้ว “นี่เป็นหยกคุณภาพแย่มาก ทั้งพวงนี่ราคาไม่เท่าไหร่เอง”

เฉินเกอแฉออกมาต่อหน้าคนดูตั้งมาก นั่นเป็นความเปิดเผยและชัดเจนของเฉินเกอ

เขาวางหยกพวงนั้นกลับเข้าไปในกระเป๋าและเปิดช่องกระเป๋าอื่น มันเต็มไปด้วยกระดาษยันต์ที่มีพื้นหลังสีแดงตัวอักษรสีดำ บางอันยังมีป้ายราคาติดเอาไว้ “พวกนี้เป็นยันต์ที่บรรพบุรุษของเขาทิ้งเอาไว้ให้ใช่ไหม? อย่างที่คิดเลย มีอยู่ไม่มากนักบนโลกนี้ ดูนี่สิ ราคาแผ่นละห้าสตางค์เอง เขาขายบนเถาเป่าแผ่นละเท่าไหร่นะ?”

เมื่อความจริงถูกแผ่ออกมาต่อหน้าต่อตาทุกคน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องโต้แย้งอะไรแล้ว เฉินเกอเก็บของของหวงหลางและหันไปหากล้อง “เจอผีจริง ๆ ในบ้านผีสิง? ทั้งหมดนั่นเป็นการแสดงที่หวงหลางกำกับเองทั้งหมด ถ้าพวกคุณอยากจะเห็นผีจริง ๆ และดูไลฟ์เรื่องเหนือธรรมชาติ ผมแนะนำให้คุณกดติดตามผมดีกว่า”

เฉินเกอไม่รู้สึกละอายที่จะใช้โอกาสนี้โฆษณา “แอคเค้าท์ของผมคือ บ้านผีสิงจิ่วเจียงตะวันตก และรูปโปรไฟล์ก็คือทางเข้าบ้านผีสิงของผม เมื่อก่อนผมก็เคยไลฟ์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ไลฟ์มาสักพักแล้วเพราะว่าช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง ต่อไปถ้ามีโอกาส ผมจะพาทุกคนไปไลฟ์เรื่องเหนือธรรมชาติชองจริง ค้นหาเรื่องผีจริง ๆ ที่แอบซ่อนอยู่ในเงามืดของเมืองนี้!”

เฉินเกอดึงโทรศัพท์ออกมาล็อกอินเข้าไปในแอคเค้าท์สตรีมของตัวเองที่เขาไม่ได้ใช้นานแล้ว และเขาก็โฆษณาตัวเองอย่างหน้าไม่อายในไลฟ์ของหวงหลาง หลังจากเขาเสร็จเรื่องแล้ว จำนวนผู้ติดตามของแอคเค้าท์นี้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และอันที่จริง คนดูบางส่วนของหวงหลางก็จำเขาได้

“หลังจากรอบนี้แล้ว จำนวนคนดูสามารถเพิ่มขึ้นอีกสองแสนห้า” อีกบริษัทที่ลงทุนไปกับหวงหลางอย่างมากเปิดพื้นที่ให้เขา และแพลตฟอร์มเองก็ให้การสนับสนุนหวงหลางอยู่ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ดังนั้น เฉินเกอจึงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้สูญเปล่าไป

หลังจากเขาโฆษณาแอคเค้าท์ส่วนตัวของตัวเองแล้ว ก็ได้เวลาโฆษณาบ้านผีสิงของเขาบ้าง บางทีอาจจะเพราะแพลตฟอร์มที่เฉินเกอใช้นั้นคนละเจ้ากับของหวงหลาง การโฆษณาอย่างเปิดเผยนี้ก็ทำให้แพลตฟอร์มไม่พอใจ และก็ใช้เวลาไม่นานเลยที่อีกฝ่ายจะแบนห้องไลฟ์ของหวงหลางชั่วคราว

เห็นหน้าจอมืดไปแล้ว เฉินเกอก็รู้สึกเสียใจและว่างเปล่าอยู่บ้าง “อย่างที่รู้กันนั่นแหละ โอกาสเป็นของคนที่เตรียมพร้อม ฉันน่าจะพูดให้เร็วกว่านี้ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”

ปิดโทรศัพท์ของหวงหลางแล้วเฉินเกอก็เข้าไปดูจำนวนผู้ติดตามของเขาซึ่งยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็ยิ้มออกมา “น้องชายคนนี้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ฉันเลยนะ ฉันควรจะต้องขอบคุณเขาด้วยตัวเอง”

เก็บกระเป๋าสะพายกับโทรศัพท์ไปไว้ทางหนึ่ง แล้วเฉินเกอก็สวมชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลก หน้ากากหนังมนุษย์ และยกค้อนหนัก ๆ ขึ้น

เพื่อขอบคุณหวงหลาง เฉินเกอตัดสินใจจะตามเขาไปด้วยเอง เพื่อแสดงความซาบซึ้งด้วยตัวของเขาเอง

เอี้ยวคอมองแล้วหวงหลางก็ตระหนักว่าที่ด้านหลังเขานั้นไม่มีใครสักคน “แปลกจัง”

เขาพยายามบิดคอมองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในที่สุดเขาก็มองเห็นผิวหลังคอส่วนหนึ่งของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงเหมือนถูกแมลงกัด

“นั่นอะไรน่ะ?” ตอนที่เขายกโทรศัพท์ขึ้นเปิดไฟฉายส่องไปที่หลังคอตัวเองเพื่อดูให้ชัดขึ้น โทรศัพท์ในมือของเขาจู่ ๆ ก็สั่น “ชิบ! ใครโทรมาเวลาแบบนี้กัน?”

หวงหลางมองหมายเลขโทรเข้า เป็นหลีจิ่ว

เขาเดินไปข้าง ๆ หลบให้พ้นจากประตู และหลังจากแน่ใจแล้วว่าเขาไม่อยู่ในมุมกล้องแล้ว เขาก็รับสาย เขาเพิ่งกดปุ่มรับสายตอนที่เสียงประหลาดของหลีจิ่วดังเข้ามาในโทรศัพท์ของหวงหลาง “หวงหลาง มีบางอย่างผิดปกติอย่างมากในบ้านผีสิงนี่ พวกนักแสดงก็แปลก ๆ ด้วย ที่นี่มันไม่ดีมาก ๆ!”

“มาที่นี่เดี๋ยวนี้! ฉันมีคนดูอยู่บนไลฟ์สตรีมเกินหนึ่งแสนคน ถ้านายกล้าทิ้งฉันไว้ ฉันจะไม่ให้อภัยนายเลย!” หวงหลางลดเสียงต่ำเป็นการเตือนที่ดูร้ายกาจ ผู้ชายคนนี้มีบุคลิกที่ต่างออกไปจากตอนที่อยู่กับคนดูโดยสิ้นเชิง

“หยุดไลฟ์ ออกไปจากบ้านผีสิงกันก่อน ฟังฉันเถอะนะ!” เสียงของหลีจิ่วนั้นไม่ได้ต่างไปจากเสียงปกติมากนัก แต่น้ำเสียงก็ยังประหลาด

“นายรู้ไหมว่าบริษัทลงทุนไปกับการไลฟ์ครั้งนี้มากแค่ไหน? ฉันโฆษณาการไลฟ์ครั้งนี้มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว และแฟนคลับทั้งหมดของฉันก็คาดหวังกับการไลฟ์ครั้งนี้ ฉันกำลังรอที่จะใช้โอกาสนี้ขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งของแพลตฟอร์ม และนายยังมาขอให้ฉันกลับออกไปตอนนี้?” หวงหลางเค้นเสียงรอดไรฟันออกมา “ถ้านายทำแบบนี้เพราะเรื่องเงินละก็ เอาเลย นายชนะ ตราบใดที่นายให้ความร่วมมือตามบทที่เหลือ ฉันจะจ่ายให้นายสองเท่าทันทีที่พวกเราออกไปจากที่นี่”

“มันไม่ใช่เรื่องเงิน มีบางอย่างที่นี่แตกต่างไปจากบ้านผีสิงอื่น!” จากนั้นก็เป็นเสียงสัญญาณแตกพร่า เสียงของหลีจิ่วเพี้ยนไป “ที่นี่มีผีสิงจริง ๆ!”

สายยังต่ออยู่ และโทรศัพท์ก็ไม่ได้แสดงสัญญาณว่าหลีจิ่ววางสายไปแล้ว แต่ว่าเสียงของเขานั้นหายไปไม่ได้ยิน เสียงเดียวที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ก็คือเสียงสัญญาณแหลม ๆ

“เครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์?” หวงหลางตัดสายทันที เขาวิ่งกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยและตรวจดูโทรศัพท์ที่กำลังใช้ในการไลฟ์ เทียบกับหลีจิ่วแล้ว เขากังวลเกี่ยวกับการรบกวนการไลฟ์ของเขามากกว่า

“เขาไปไหนแล้ว? เขาหายไปแล้วน่ะ? โฮสต์ถูกผีจับตัวไปแล้วเหรอ?”

“ถ้านายท้าทายพวกเขามากพอ พวกเขาย่อมตอบโต้กลับนายในที่สุด ตามที่ฉันคาดเดานะ ครั้งนี้เขากินคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยวได้* ฉันเคยไปที่บ้านผีสิงนี่มาก่อน ความสยองขวัญที่นั่นไม่ใช่สิ่งที่นายจะจินตนาการได้ ตอนนั้น พวกเราไปท้าทายบ้านผีสิงกันเจ็ดคน และพวกเราเหลือแค่สองคนที่ยังยืนไหว”

“นายพูดเล่นใช่ไหมน่ะ?”

“ความเข้าใจในคำว่าสยองขวัญของพวกนายจะได้นิยามใหม่เมื่อไปที่นั่น นายเคยเห็นบ้านผีสิงที่ไหนเตรียมรถเข็นเอาไว้ขนลูกค้าที่หมดสติไหมล่ะ? นายเคยเจอบ้านผีสิงที่มีห้อง VIP สำหรับผู้เข้าชมที่หมดสติที่โรงพยาบาลท้องถิ่นไหม? นายเคยไปบ้านผีสิงที่ไหนที่พนักงานทุกคนรู้วิธีการกู้ชีพกรณีฉุกเฉินไหม? ฉันเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน และฉันก็ไปเจอกับตัวเองแล้ว คอยดูไปเถอะ มันกำลังจะน่าสนใจมากขึ้นแล้ว”

ข้อความยังถูกส่งขึ้นหน้าจอเรื่อย ๆ พอเห็นว่าการไลฟ์ไม่ได้หยุดชะงักไป หวงหลางก็ถอนหายใจโล่งอก เขาเค้นรอยยิ้มออกมาแล้วกลับเข้าไปในรัศมีกล้อง “ผมแค่ออกไปดูนิดเดียวเท่านั้น และเมล็ดข้าวที่ทิ้งไว้บนพื้นเกิดการเปลี่ยนตำแหน่งจริง ๆ ตอนที่พวกเราเดินเข้ามาในห้องนี้ มีคนเดินผ่านประตูไป”

หลีจิ่วนั้นกลับออกไปคนเดียว ทิ้งเขาเอาไว้ในนี้ ดังนั้นหวงหลางจึงไม่ทำตามบทแล้ว หวงหลางมองหน้าจอและบางครั้งเขาก็เกาหลังคอตัวเอง เขากดความรำคาญเอาไว้ในใจและพึมพำด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายอย่างประหลาด “บางทีคุณอาจจะคิดว่าผมโกหก หรือบางทีคุณอาจจะเชื่อว่าผมกำลังโกหกคุณอยู่ แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลยจริง ๆ ตั้งแต่ที่ผมก้าวเท้าเข้ามาในบ้านผีสิงนี่ ผมก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด และยังมีความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนตามหลังผมอยู่…”

เขากำลังพูดพร่ำเพื่อซื้อเวลาให้ตัวเองคิดหาวิธีดำเนินการต่อไปให้ได้ แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ พื้นที่พูดคุยในไลฟ์ของเขาจู่ ๆ ก็เต็มไปด้วยข้อความวิ่งขึ้นมา!

พริบตาเดียว แอพก็เริ่มสะดุดเพราะข้อความจำนวนมหาศาล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับอะไรอย่างนี้เหมือนกัน

“เกิดอะไรขึ้น?” หวงหลางยืนอยู่ที่เดิม กดเริ่มหน้าใหม่หลายครั้งก่อนที่พื้นที่สนทนาจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แต่ว่า เพราะข้อความจำนวนมากเกินไป ส่วนวิดีโอจึงยังไม่เข้าที่เข้าทาง

“ดูด้านหลังคุณสิ!”

“เชี่ยเอ๊ย! นั่นน่ากลัวชิบ!”

“มีหน้าคนอยู่บนหน้าต่าง! หันไปดูสิ! โฮสต์!”

“นอกประตู เขาอยู่ด้านนอกประตู!”

“แม่มึ๊ง! พวกมันเป็นของจริง! พวกมันกำลังมาแล้ว!”

ข้อความทะลักเข้ามา และวิดีโอก็เต็มไปด้วยข้อความจนมองไม่เห็นโฮสต์แล้ว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หวงหลางได้รับความนิยมและจำนวนคนดูมากเท่านี้ เขาไม่ฟังคำแนะนำที่บอกให้มองไปข้างหลังตัวเอง กลับกัน เขาไปดูจำนวนคนดูไลฟ์ของเขา เพียงแค่ไม่กี่นาที จำนวนคนดูของเขาก็พุ่งไปถึงสามแสนห้าหมื่นคน และยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วน่าตกตะลึง

ถ้ามีคนดูครบเจ็ดแสน ฉันก็จะได้ไปยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดบนแพลตฟอร์ม ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็ไม่ยากเกินไปแล้ว

หวงหลางยังไม่ได้หันหลังกลับไปดู หลังจากเขาให้สัญญาว่าจะจ่ายสองเท่า ในที่สุดหลีจิ่วก็กลับมาช่วยเขา ทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุมของเขา และแน่นอนว่า เขาไม่ลืมเรื่องสีหน้าที่เหมาะสม

อ่านข้อความแล้ว หวงหลางก็ปรากฏตัวขึ้น เขาตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัวอย่างจงใจและมีจุดมุ่งหมาย มีแค่มุมปากของเขาเท่านั้นที่คอยแต่จะยกขึ้นไป “ผีปรากฏตัวขึ้นจริง ๆ? อย่าพยายามหลอกผมเลย! ปู่ของผมห้ามพวกเราเปิดประตูหยิน นี่จะทำไปสู่ผลสะท้อนอันรุนแรงมาก!”

จำนวนคนดูเพิ่มขึ้นเป็นจรวด เพราะบ้านผีสิงส่วนใหญ่ล้วนเก็บการตกแต่งภายในของตนเอาไว้เป็นความลับ น้อยครั้งมากที่จะมีการไลฟ์สตรีมในบ้านผีสิง นอกจากนี้ หวงหลางยังเลือกบ้านผีสิงที่เป็นที่นิยมที่สุดบนออนไลน์ในการไลฟ์ของเขา และยังมีเหตุผลเบื้องหลังความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นของเขาด้วย

เขามีแฟนคลับอยู่ไม่น้อย และด้วยการจัดการของบริษัทของเขา ร่วมกับความนิยมของบ้านผีสิงของเฉินเกอที่บนอินเตอร์เนต ทั้งหมดนี้รวมกันนั้นส่งผลลัพธ์เกินกว่าที่ทุกคนคาดเดาเอาไว้ ผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มทะลักเข้ามาในห้องไลฟ์ของเขา และข้อความก็เริ่มถล่มพื้นที่พูดคุย

“ผีมีจริง! หลางต้าเกอเจอผีจริง ๆ!”

หัวข้อพูดคุยนี้ทะยานขึ้นติดอันดับของเวบไซต์ในทันที และนั่นก็ดึงดูดผู้เข้าชมให้เข้ามาในไลฟ์ของเขามากขึ้น

หวงหลางนั้นดีใจอยู่ลึก ๆ แต่ว่าเขาก็ยังสวมหน้ากากหวาดกลัวเอาไว้ “อย่าตื่นตระหนกไป โดยเฉพาะเวลาอย่างนี้ พวกเราไม่ควรตื่นตระหนก อย่ากังวล บรรพบุรุษทั้งหมดของผมล้วนเป็นนักทำนาย และเพราะอย่างนั้น ผมจึงมีประสบการณ์ในการรับมือกับปัญหาอย่างนี้!”

ยิ่งเขาพูดอะไรอย่างนี้ เหล่าคนดูก็ยิ่งมีปฏิกริยา หลายคนบอกให้เขาหันกลับไป และอีกหลายคนบอกให้เขาวิ่งหนี สรุปว่ามีผีอยู่ที่ข้างหลังเขาจริง ๆ นะ!

หวงหลางนึกขอบคุณทักษะการแต่งหน้าของหลีจิ่วอยู่ลึก ๆ ด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ การจ่ายสองเท่าก็นับว่าคุ้มค่าจริง ๆ ร่างกายของเขาโซเซไปมาซ้ายทีขวาที แล้วยังรวมกับที่เขากำลังตัวสั่นอย่างหวาดกลัว ข้อความบอกให้เขาออกไปจากที่นี่มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งจะอยู่ที่นี่มากขึ้นเท่านั้น

เขาไขว้แขนเอาไว้ที่หน้าอกเป็นท่าประหลาด หวงหลางตะโกนเข้าไปในกล้องโดยไม่หันกลับไปมองรอบตัว “ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว วิ่งหนีก็สายเกินไป สงบใจไว้! พวกเราต้องสงบใจเข้าไว้!”

เขาปรบมือทั้งสองข้างเข้าหากัน และหวงหลางก็คำรามออกมาเสียงดัง “ไม่ว่าที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเราจะเป็นใคร ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องกลัว! ค้นหาความสงบในหัวใจ สวรรค์จับตามองพวกเราอยู่เสมอ!”

เมื่อเขาพูดออกไปแล้ว สายตาของหวงหลางก็เบนไปทันที สีหน้าหวาดกลัวที่เขาใช้อยู่หายไปอย่างช้า ๆ

“ไม่ต้องกลัว ยิ่งพวกเรากลัวแค่ไหน พวกมันก็จะยิ่งรังแกพวกเรา!” หวงหลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงกล้าหาญ “ไม่ต้องห่วง ผมไม่เคยโดดเดี่ยว มีพวกคุณทั้งหมดอยู่ด้วย พวกเราจะรอดไปด้วยกัน อย่าลืมทิปโฮสต์ของคุณสำหรับความกล้าหาญของเขานะครับ และอีกหนึ่งนาที พวกเราจะบุกออกไปกำจัดผีร้ายนี่เสีย!”

เห็นเงินที่คนดูส่งให้เขาแล้วความยินดีก็แผ่ไปทั่วหัวใจของหวงหลาง และกระทั่งแก้มของเขาก็แดงระเรื่อขึ้น เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับประตูและพูดออกมา “อย่างที่คุณปู่ของผมเคยพูดเอาไว้ ต้องสงบใจเอาไว้ให้ได้! ทำใจให้กระจ่างและฝึกปากว้านใจ เหล่าทหารหาญจะปรากฏตัวที่เบื้องหลังพวกเรา!”

เขาชี้นิ้วสองนิ้วไปทางหน้าต่าง กระทั่งในเวลาเช่นนี้ หวงหลางยังไม่ลืมที่จะปรับกล้องให้ตัวเองกับหน้าต่างและประตูห้องพักผู้ป่วยปรากฏในจอ ประตูห้องพักผู้ป่วยปิดลงพร้อมกับเสียงครูด และใบหน้าซีด ๆ ก็แอบมองผ่านหน้าต่างเข้ามา

นี่เป็นความซีดขาวที่ไม่สามารถใช้วิธีการแต่งหน้าทำขึ้นได้ มันเป็นความขาวที่ดูไร้ชีวิตชีวา คนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นเหมือนอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว แต่ก็เหมือนกับจะล่องลอยหายไปตอนไหนก็ได้

ใบหน้าที่ไม่รู้จัก ดวงตาที่ไร้ม่านตาสีดำคู่นั้น เสียงครูดของประตู ริมฝีปากแห้งผาก และเส้นผมสีดำที่ยาวลงมาปกคลุมใบหูทั้งสองข้างเอาไว้…

ตอนที่หวงหลางเห็นใบหน้านี้ ร่างกายของเขาก็ผงะไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว และจากนั้นความรู้สึกชื่นชมในตัวหลีจิ่วก็พลุ่งขึ้นในใจ เขาเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง นี่ดีเกินไปแล้ว!

เมื่อแขนของเขาสั่น การไลฟ์ก็สั่นไปด้วย แน่นอนว่ายังมีผู้ที่สงสัยและคิดว่านี่เป็นกลเม็ดหนึ่งของพนักงานบ้านผีสิง คนดูบางคนแนะนำให้เรียกตำรวจส่งผู้รักษากฏหมายไปที่บ้านผีสิงเพื่อช่วยชีวิตหวงหลาง

ความสงสัยเหล่านี้นั้นเป็นที่คาดเดาได้ แต่ว่าหวงหลางนั้นไม่สนใจคนที่อยากจะเรียกตำรวจ เขาอยู่ในระหว่างการแสดงละครร่วมกับหลีจิ่ว แล้วเขาจะดำเนินต่อไปได้อย่างไรหากมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง? เพียงแค่ไม่ถึงครั่งชั่วโมงนี้ จำนวนคนดูก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายแสนคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับหวงหลางและกระทั่งโฮสต์คนอื่น ๆ ของแพลตฟอร์มมาก่อน

“ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณตำรวจหรอกครับ อย่างน้อยที่สุดผมก็เป็นทายาทของนักทำนายที่สืบเชื้อสายกันมายาวนาน วันนี้ ผมจะแสดงพลังแท้จริงที่ผมได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษให้พวกคุณเห็นครับ ถ้ามันได้ผล ผมก็หวังว่าทุกคนจะลบความเห็นแย่ ๆ เกี่ยวกับยันต์ของผมที่ในร้านในเถาเป่าออกไป” เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังแล้วหยิบชาดที่บดเอาไว้บางส่วนออกมา ตอนที่เขากระโดดขึ้นไปและแตะปลายนิ้วของเขาลงที่หน้าผากของใบหน้าที่กั้นไว้ด้วยกระจกบาง ๆ “ฟังคำขอร้องของฉัน จักรพรรดิแห่งท้องนภา! ไปซะ เจ้าผีร้าย! เจ้าสู้พลังของฉันไม่ได้!”

เสียงของเขาก้องอยู่ในห้องพักผู้ป่วย หวงหลางใช้ชาดเขียนสัญลักษณ์ที่ไม่มีใครเข้าใจลงบนกระจก จากนั้นเขาก็โซเซถอยหลังขณะหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปเหมือนเพิ่งทำบางอย่างที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากไป “ตอนนี้ทุกอย่างน่าจะไม่เป็นไรแล้ว”

หวงหลางเงยหน้าขึ้นมองไปที่หน้าต่าง และใบหน้ามนุษย์ที่นอกหน้าต่างก็ยังอยู่ตรงนั้น ดวงตาที่มีสีขาวล้วนนั้นเต็มไปด้วยความงุนงงเหมือนกำลังมองคนโง่คนหนึ่ง

เกิดบ้าอะไรขึ้นอีก? หวงหลางกัดฟันอย่างโมโห จากบทที่พวกเขาตกลงกันไว้ หลีจิ่วต้องถอยกลับไปแล้วตอนนี้ แต่ ‘หลีจิ่ว’ นั้นกลับไม่ให้ความร่วมมือเลย นี่เขากำลังเรียกร้องเงินมากขึ้นหรือไง? ให้เขาหนึ่งนิ้ว และเขาก็จะเรียกร้องหนึ่งหลา!

หัวใจของเขานั้นเดือดดาลเพราะความโกรธเกรี้ยว แต่อย่างไรเสีย หวงหลางก็เป็นนักไลฟ์สตรีมที่มีประสบการณ์จากเมืองซินไห่ เขาสามารถปรับตัวไปตามสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นอีก “ฟังคำขอร้องของข้า เทพธิดาแห่งความเมตตา! ชำระล้างบาปของเหล่าวิญญาณร้าย กลับไปยังที่ที่เจ้ามาซะ!”

หลังจากพึมพำบทสวด หวงหลางก็กระโดดไปมาทั่วห้อง และตอนที่มือของเขาพ้นจากกล้อง เขาก็ยื่นสามนิ้วไปยังใบหน้าที่บนหน้าต่าง เขาโบกสามนิ้วของเขาไปมา เป็นการบอกว่าเขายินดีจ่ายให้หลีจิ่วสามเท่า!

จ่ายสามเท่าเลยนะ ตอนนี้นายก็ควรจะพอใจได้แล้ว!

ใบหน้าที่บนหน้าต่างนั้นดูไม่เหมือนจะรู้วิธีการจัดการกับสถานการณ์นี้เหมือนกัน เห็นสามนิ้วของหวงหลางโบกไปมาตรงหน้าเขา เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่างและหายตัวไปอย่างช้า ๆ

หลังจากหลีจิ่วหายตัวไปจากสายตา หวงหลางก็หัวเราะเยาะให้กับความละโมบของหลีจิ่ว หน้าด้านและไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย แต่บนใบหน้าของเขากลับไม่ได้มีแววอาฆาตแค้น เขาหยุดทำท่าทางและหมุนกล้องไปทางประตูอีกครั้ง

“พวกคุณเห็นไหม! เจ้าสิ่งนั้นหายไปแล้ว!”

ในส่วนพูดคุยดูดีใจ และหวงหลางเองก็ยินดีกับความสงบชั่วครู่นี้ “เมื่อครู่นี้ เป็นผีตัวน้อย ๆ ที่ตามผมออกมาจากประตูหยินครับ อย่างที่พวกคุณได้เห็น นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่การแต่งหน้าจะทำได้ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เจ้าสิ่งนั้นยังลอยอยู่กลางอากาศด้วย”

มีบางคำถามจากผู้ชมเพราะว่าพวกเขาไม่ได้เห็น ‘ผี’ หายตัวไป แต่ว่าหวงหลางเลือกที่จะไม่สนใจคำถามพวกนี้ทั้งหมด “ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว จากที่คุณปู่สอนผมมา วิญญาณสองสามดวงแรกที่หนีออกมาจากประตูหยินจะไม่ได้กล้าหาญมากนัก หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้วก็จะไม่กลับมาอีก”

หวงหลางเช็ดเหงื่อที่ไม่ได้มีอยู่บนหน้าผากของตัวเองแล้วพูดต่อ “เมื่อครู่นี้มันอันตรายจริง ๆ นั่นแหละ ต้องขอบคุณที่ผมรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เอาละ พวกเราจะออกไปจากที่นี่และดำเนินการเปิดเผยความลับของพวกเราต่อ…”

เขายิ่งพูด หวงหลางก็ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยดี หน้าจอเริ่มสั่นอีกครั้ง และพื้นที่พูดคุยก็ถูกถล่มอีกครั้ง ความรู้สึกเลวร้ายผุดขึ้นในใจเขา หวงหลางเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าใบหน้าผีนั่นกลับมาอีกแล้ว!

แม่งเอ๊ย! แกจะเอาอย่างนี้เหรอ? หวงหลางกัดฟัน ‘หลีจิ่ว’ นอกบทได้ แต่เขาทำไม่ได้

เขาถอยหลังไปหลายก้าว และหวงหลางก็ทำเหมือนกับเขารู้สึกอับอาย เขาหันไปหากล้องและพูด “นี่ไม่ดีแล้ว! ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ผีน้อยที่หนีออกมาจากประตูหยินแล้วครั้งนี้! พลังหยินในบ้านผีสิงนี่รุนแรงเกินไป!”

เขาจ้องมองใบหน้าที่บนหน้าต่างอย่างโกรธแค้น “คราวนี้ ผมคงจะหนีได้ไม่ง่ายนัก แต่ไม่ต้องห่วงเพราะว่าปู่ของผมยังมอบเครื่องรางที่ทรงพลังให้กับผมอีกหลายชิ้น!”

เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วดึงเครื่องรางชิ้นหนึ่งที่มีพื้นหลังสีแดงตัวอักษรสีดำออกมา หวงหลางดูต่างไปจากก่อนหน้า เขาส่งความเกลียดชังทั้งหมดที่เขามีไปยังหลีจิ่วและพูด “เครื่องรางนี้เป็นของที่แพงที่สุดในร้านของผมในเถาเป่า และยังมีจำนวนจำกัดบนโลกนี้! พวกมันล้วนเป็นสิ่งที่ปู่ของผมทิ้งเอาไว้! ไม่มีเวลาจะเสียแล้ว เป็นความผิดของผมเองที่อัญเชิญผีตนนี้เข้ามาในโลกของพวกเรา ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรผมก็จะขับไล่มันกลับไปยังปรโลกให้ได้!”

หวงหลางถือเครื่องราวเอาไว้แล้วหมุนตัวไปรอบ ๆ “ฟังคำขอร้องของข้า ผู้ปกครองแห่งปรโลก รับดวงวิญญาณเร่ร่อนดวงนี้ของท่านกลับไปเสีย อย่าได้ทิ้งเอาไว้บนโลกมนุษย์อีกต่อไป!”

ตอนที่เขาท่องมนต์จบ หวงหลางก็เหยียดสี่นิ้วไปยังใบหน้าที่บนหน้าต่าง เพราะประสบการณ์ก่อนหน้านี้ คราวนี้ใบหน้านั่นเข้าใจความหมายของหวงหลางได้ในทันทีหลังจากเห็นสี่นิ้ว เขาพยักหน้าเงียบ ๆ และหายตัวไป ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันได้อย่างแนบเนียน หลังจากใบหน้านั่นหายไป หวงหลางก็เล่นละครจบและติดยันต์เอาไว้ที่บนหน้าต่างอย่างโอ้อวด!

“ไม่ต้องกังวลแล้วคราวนี้! มียันต์ของผมที่คุณปู่ให้มา มันต้องกลับมาไม่ได้แล้วแน่นอน!” หวงหลางถอนหายใจลึก การไลฟ์ครั้งนี้ยากกว่าที่เขาคาดเอาไว้ เต็มไปด้วยการทดสอบมากมาย เขาเหลือบมองไปยังหน้าต่างด้วยท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย เขากลัวว่า ‘หลีจิ่ว’ จะกลับมาอีก ดังนั้นจึงเตรียมกลับออกไปอย่างเร่งร้อน

“เอาละ พวกเราควรจะไปแล้วตอนนี้” หวงหลางหยิบโทรศัพท์ เปิดประตูแล้วเดินออกไป

ในทางเดินใต้ดินสายลมเย็นพัดมา และเสียงหัวเราะของเด็กก็ดูราวกับจะสะท้อนไปมาอยู่ในทางเดิน

เมื่อหวงหลางออกจากห้องพักผู้ป่วย เขาก็รู้สึกเย็นวาบไปตามสันหลัง เขาหมุนโทรศัพท์ และพบว่าพื้นที่พูดคุยนั้นวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้งแล้ว คราวนี้ ไม่ใช่แค่ไลฟ์ของเขาแล้ว แต่ทั้งแพลตฟอร์มล้วนชะงักไปจากการหลั่งไหลเข้ามามากเกินของข้อมูล

จำนวนคนดูนั้นทะลุสถิติสูงสุดตลอดมาของแพลตฟอร์มในพริบตา

“คราวนี้มีอะไรอีก?” หวงหลางหันมองรอบ ๆ และตอนที่สายตาของเขามองเห็น อากาศเย็นเยือกก็ราวกับจะไต่ขึ้นมาจากเท้าของเขาจนถึงหนังศีรษะ

ที่ยืนอยู่ห่างจากเขาไม่กี่ก้าวด้านหลังนั้นเป็นผีในชุดผู้ป่วยสี่คนยืนเรียงกันเป็นแถว!

ร่างกายของพวกเขานั้นบิดเบี้ยวจนดูไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไปแล้ว และสีหน้าบนใบหน้าของพวกเขายังยิ่งเน้นย้ำความไม่ใช่มนุษย์!

พวกเขาทั้งหมดมองหวงหลางเงียบ ๆ จากนั้นผู้ป่วยที่ตรงกลางก็ชี้ที่ตัวเอง และจากนั้นก็ชี้ไปยังผีทั้งสามที่ข้างตัวเขาก่อนที่จะยกแขนไปทางหวงหลางและชูสี่นิ้วให้เขา

 

 

 

TL note: *กินคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยวได้ ทำสิ่งที่ยากเกินความสามารถ

ลืมแจ้งจากบทก่อนหน้า หลางต้าเกอ = พี่ใหญ่หมาป่า  หวงหลาง = หมาป่าเหลือง

ชั้นใต้ดินชั้นที่สามนั้นเปียก ปิดทึบ และแสงสลัวราง โฮสต์หวงหลางถือโทรศัพท์ของเขาเอาไว้และเริ่มสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘เปิดเผยความลับ’

“ผมจะไม่แนะนำบ้านผีสิงแห่งนี้เพิ่มเติมนะครับ เพราะแค่ค้นชื่อของที่นี่บนออนไลน์ พวกคุณก็จะพบตำนานมากมายนับไม่ถ้วน แต่ว่ามันก็ยากที่จะบอกว่าเรื่องไหนจริงและเรื่องไหนปลอม

“มีเรื่องผีมากมายที่ขยายออกไปจากแต่ละฉากของที่นี่ อย่างเช่น ตุ๊กตาที่จะตามคุณไปทุกที่ หุ่นนักเรียนที่ปรากฏตัวขึ้นตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ปากกาลูกลื่นที่จะสาปแช่งคุณเมื่อคุณถามเรื่องความรัก และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง

“มีเรื่องผีมากกว่านั้น และผมเชื่อว่าทุกคนคงจะอยากรู้ ว่ามีกี่เรื่องที่จริง และมีกี่เรื่องที่ปลอม? วันนี้ ผมนำทุกคนมาที่บ้านผีสิงแห่งนี้เพื่อหาคำตอบด้วยตัวเอง”

เขาดึงกระดาษขาวแผ่นหนึ่งกับปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขาและเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยว่าง ๆ ห้องหนึ่ง “เรื่องเกี่ยวกับผีปากกานั้นโด่งดังที่สุดบนอินเตอร์เนต ตามข่าวลือ เป็นผู้ชายที่ชื่อเฟยโหยวเหลียนเป็นคนแรกที่ใช้ความจริงใจของเขาเชื้อเชิญให้ผีปากกาปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นคนแรกที่ได้พบกับผีปากกาในบ้านผีสิงแห่งนี้ และเขาก็เป็นผู้เข้าชมคนแรกที่ถูกส่งไปที่โรงพยาบาลหลังจากเข้าชมบ้านผีสิง ตอนนั้น ผู้เข้าชมหลายคนเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ ดังนั้นมันน่าจะเป็นเรื่องจริง”

ชำเลืองมองตรงส่วนพูดคุยแล้วหวงหลางก็วางปากกากับกระดาษลงบนเตียง เขาทำสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้ ผมจะเล่นเกมนี้ด้วยตัวเอง ใช่ พวกคุณได้ยินถูกต้องแล้ว ผมจะไลฟ์เกมผีปากกาในบ้านผีสิงที่เต็มไปด้วยเรื่องผีนี่ให้พวกคุณดู!”

บรรยากาศนั้นตื่นเต้นจนถึงขีดสุด หวงหลางวางโทรศัพท์ลงข้างหมอนขณะที่เขานั่งลงที่อีกด้านของเตียง เขาหยิบปากกาลูกลื่นที่เอาติดตัวมาด้วยขึ้นมา

“ทุกคนครับ ผมกำลังจะเริ่มแล้วนะ ผมหวังว่าจะไม่มีใครกะพริบตาในวินาทีต่อไปเพราะว่าผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงจูงใจขณะจรดปากกาลูกลื่นเหนือกระดาษขาวอย่างระมัดระวัง “ผีปากกา ผีปากกา คุณคือวิญญาณของผมจากชีวิตก่อน และผมคือวิญญาณของคุณในชีวิตนี้ คุณบอกได้ไหมว่าภรรยาในอนาคตของผมคือใคร?”

ในห้องพักผู้ป่วยมืด ๆ ในบ้านผีสิง ไม่มีอะไรเลยนอกจากความเงียบ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หวงหลางนั้นเพ่งสมาธิอยู่ที่ปลายปากกาอย่างเต็มที่ หนึ่งวินาที สองวินาที ตอนวินาทีที่สาม นิ้วก้อยของหวงหลางที่ถูกฝ่ามือของเขาบังพ้นไปจากมุมกล้องก็เคาะที่ปากกา ทำให้ปากกาที่ลอยอยู่เหนือกระดาษขยับช้า ๆ

“ดูสิ เขามาแล้ว!” สีหน้าของหวงหลางนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขามองไปทางกล้องและวางนิ้วชี้ของเขาที่ริมฝีปากทำท่าให้ทุกคนเงียบ เขานั่งอยู่ที่เดิมอีกหนึ่งนาทีโดยไม่ขยับกล้ามเนื้อไหนสักนิดก่อนที่จะลุกขึ้นยืนช้า ๆ

เขาหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาแล้วพลิกไปทางกล้อง ชี้ไปที่เส้นขีดบนนั้น “พวกคุณก็เห็นกับตาตัวเองแล้ว หลังจากผมเริ่มเกม ปากกาก็ขยับด้วยตัวมันเอง! ผีปากกาปรากฏตัวขึ้นแล้ว! ส่วนที่ทำไมเขาไม่อยู่ต่อ ผมเชื่อว่าเป็นเพราะว่าเขากลัวจี้หยกของผม”

เขาหันกล้องกลับเข้าหาตัวเอง หวงหลางกระซิบอย่างหวาดกลัว “ผมรู้ว่าพวกคุณยังไม่เชื่อผม และรอยขีดนี่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรได้มากนัก แต่ว่าผมได้ใช้พลังทำนายของตรวจดูแล้วและพบว่าที่นี่มีพลังหยินมารวมตัวกันอยู่”

หวงหลางเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย “ทางเดินนี่มืดมาก บางทีอาจจะเพราะว่ามันสร้างเอาไว้ใต้ดิน เดินผ่านทางเดินนี่คุณจะรู้สึกหนาวเยือก”

หวงหลางหันกล้องไปด้านหลังตัวเอง “ตุ๊กตาและหุ่นไม่ปรากฏตัวขึ้น แต่ผมพบบางอย่างที่น่ากลัวกว่านั้น”

เขาชี้ไปที่ประตูบนทางเดิน “ตอนที่ผมเข้าไปในห้องก่อนหน้านี้ ประตูห้องพักผู้ป่วยหลายห้องนั้นเปิดแง้มเอาไว้ แต่ตอนนี้ ลองดูอีกครั้งสิครับ ประตูส่วนใหญ่ถูกเปิดกว้างแล้ว! มันเหมือนมีบางอย่างหนีออกมาจากห้องพวกนี้!”

ข้อความในส่วนพูดคุยไหลไปอย่างรวดเร็ว คนดูบางคนสังเกตเห็นความแตกต่างนี้เหมือนกันและเริ่มต้นให้ความเห็นของตัวเอง แน่นอนว่า บางคนยังสงสัยอยู่ เชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นการแสดงของหวงหลาง

“ผมรู้ว่าพวกคุณหลายคนยังไม่เชื่อผม ดังนั้นผมจะใช้วิธีการที่ปู่ของผมสอนมาหาหลักฐานให้พวกคุณดู อันที่จริง ปู่ของผมก็เตือนผมแล้วว่าให้ใช้มันเฉพาะเวลาฉุกเฉินเท่านั้น แต่ว่าทุกคนครับ ผมจะลองใช้มันดูวันนี้” อันที่จริง หวงหลางนั้นไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด เขาเตรียมบทเอาไว้กับหลีจิ่วเรียบร้อยแล้ว และเขาก็เชื่อว่าเป็นหลีจิ่วที่เปิดประตูพวกนี้

“วิธีการนี้เรียกว่า เดินผ่านประตูหยิน หรือ ป้อนข้าวหยิน นั่นเอง” หวงหลางดึงเอาถุงสีดำใบเล็ก ๆ ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันดูเปียกอย่างประหลาด และเปิดมันออกเผยให้เห็นข้าวขาวกองหนึ่ง “คุณจะวางข้าวหยินเอาไว้ที่ทางแยก และจากนั้นก็เดินไปตามทางเดิน ผ่านประตูบานอื่น ๆ พอคุณไปถึงประตูบานที่สี่ ก็วางข้าวไว้ที่ประตู เดินเข้าไปในห้อง แล้วย่ำเท้าสี่ครั้ง

“หลังจากนั้น ก็โปรยข้าวสองสามเมล็ดเอาไว้ในห้องแล้วเดินกลับออกไป ถ้ารูปแบบของข้าวที่นอกประตูต่างไปจากตอนที่คุณวางมันเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็ให้เข้าไปในห้องอีกครั้งแล้วทำซ้ำกระบวนการเดิมสี่ครั้ง ถ้าที่นี่มีผีสิงจริง ๆ ตอนที่คุณเดินเข้าไปในห้องเป็นครั้งที่สี่ คุณจะได้เห็น ‘คนแปลกหน้า’ เพราะว่าคุณไม่ได้กำลังเข้าไปในบ้านของคุณเอง– คุณเดินทางผ่านประตูหยินพร้อมกับ ‘พวกเขา’

“นี่คือวิธีการที่บรรพบุรุษของผมใช้ในการตรวจสอบบ้านผีสิง แน่นอนว่า อย่าได้ลองทำเองที่บ้าน ผมไม่อยากเห็นพวกคุณคนไหนได้รับอันตราย”

หลังจากพูดทั้งหมดนี่แล้ว หวงหลางก็เดินไปที่บันไดและวางข้าวเอาไว้เป็นกองนูนที่ปากบันได น่าประหลาด หลังจากที่เขาผละออกมา กองข้าวนั่นก็ลดขนาดลงอย่างน่าสงสัย

“และพวกเราก็จะเริ่มกันเลย” หวงหลางสูดลมหายใจลึก และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับเขากำลังจะทำสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เขาวางเมล็ดข้าวเอาไว้ที่ด้านนอกประตูห้องพักผู้ป่วยห้องที่สี่และจากนั้นก็เปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปในนั้น

เขาส่องกล้องไปรอบ ๆ ห้องเพื่อให้เห็นทุกอย่าง “ผมขอให้ทุกคนจดจำตำแหน่งของวัตถุในห้องนี้เอาไว้เพราะพวกมันอาจจะเกิดการเปลี่ยนตำแหน่งในภายหลัง”

ข้อความตรงส่วนพูดคุยแน่นเต็มไปหมด หวงหลางยึดโทรศัพท์เอาไว้บนเตียง และมันก็เป็นมุมที่ส่องไปทางประตูอย่างชัดเจนที่สุด

“ระวังด้วย อาจจะมีคนแปลกหน้าเข้าห้องมาได้ในภายหลัง” เขาเตือนและเดินออกไปจากห้อง หลังจากวางเมล็ดข้าวแล้วเขาก็ปิดประตู

ตอนที่ประตูปิด ตัดเขาออกจากกล้อง หวงหลางก็ดึงโทรศัพท์อีกเครื่องออกมาโทร หลังจากเสียงสัญญาณดังสองครั้ง เขาก็วางสาย นี่เป็นรหัสที่เขาตกลงไว้กับหลีจิ่ว เขามองไปทางที่ซ่อนของหลีจิ่ว แต่ฝ่ายหลังกลับไม่มีท่าทีจะตอบสนองอะไรกลับมา

“เขาไปไหนน่ะ? ยังแต่งหน้าอยู่เหรอ?” หวงหลางนั้นไม่กล้าหายไปจากการไลฟ์นานเกินไป สองสามวินาทีต่อมา เขาก็เปิดประตูออกแล้วเดินไปยังกล้องด้วยสีหน้ารีบร้อน “ผมคิดว่าผมได้ยินเสียงฝีเท้า! เสียงมาจากทางบันได! มีบางอย่างกำลังมา และมันก็กำลังมาหาผม!”

จากนั้นหวงหลางก็วางข้าวลงไปอีกเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง เขามองไปตามทางเดิน และมันก็เงียบสนิทราวกับทะเลสีดำ เขาใช้โทรศัพท์โทรหาหลีจิ่วอีกครั้ง สัญญาณดังสี่ครั้ง และก็ไม่มีการตอบรับ “เขาทำอย่างนี้กับฉันในเวลาแบบนี้น่ะเหรอ?”

หวงหลางเริ่มกระวนกระวายและรู้สึกเหมือนหลังคอของเขาเริ่มคันยิบ “เขาไม่รับสาย เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่า?”

เขาเกาหลังคอแรง ๆ “แล้วทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนมีใครนั่งอยู่บนบ่าฉันเลยเนี่ย?”

 

“นายหลับไประหว่างเข้าชมครั้งก่อน? เป็นไปได้ยังไง?” จางเฟิงยังไตร่ตรองคำพูดของหวังตั้นอยู่ตอนที่ถูกดันให้เดินไปข้างหน้า แต่ว่า หลังจากได้ยินว่าพวกหวังตั้นสร้างข่าวลือประหลาดพวกนั้นทั้งหมดขึ้นมาเอง มันก็ย่อมทำให้จางเฟิงไม่รู้สึกกลัวเท่าก่อนหน้า เขาชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีมและยังสามารถรับความกดดันได้มากกว่าคนทั่วไป ที่ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นเขาจะมากลัวอะไรที่ไม่มีจริงได้อย่างไร?

สิ่งต่าง ๆ ในบ้านผีสิงนั้นไม่ใช่ของจริง เทียบกับการดำน้ำลึกหรือว่าการเอาชีวิตรอดในป่าแล้ว บ้านผีสิงนั้นมีอันตรายต่ำที่สุด เขารู้ดีว่าการมาบ้านผีสิงนั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต

ในเมื่อไม่มีอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วจะมีอะไรให้กลัวกัน?

หลังจากพิจารณาเรื่องนี้ในใจแล้ว จางเฟิงก็มั่นใจมากขึ้น และฝีเท้าของเขาก็ยังต่างไปจากก่อนหน้า เขาไม่ได้ระแวดระวังเท่านั้นอีกแล้ว “ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว พวกเราก็เดินให้เร็วหน่อยจะได้จบการสัมผัสประสบการณ์ครั้งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ บ้านผีสิงนี่ อันที่จริงแล้วก็ทั้งสวนสนุกนี่ น่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาส ฉันจะเชิญพวกนายไปสวนสนุกไฮเทคเจนเนอเรชั่นที่ห้าที่เพิ่งเปิดใหม่ในจิ่วเจียงตะวันออก”

ตอนที่จางเฟิงพูดอย่างนั้น เขาก็ไม่ลืมหันกลับมายิ้มให้แฟนสาวของหวังตั้น เหมือนเขาพยายามส่งสัญญาณบางอย่างให้เธอ จางเฟิงที่มีบันทึกผู้ป่วยแปะอยู่ที่กลางหลังเป็นคนแรกที่เข้าไปในชั้นใต้ดินชั้นที่สอง แสงสลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่มีไฟฉาย พวกเขาก็แทบมองไม่เห็นรอบ ๆ ตัว

“หลีจิ่วกับโฮสต์คนนั้นออกไปแล้วเหรอ? ทำไมพวกเราถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรจากพวกเขาเลย?” จางเฟิงผลักประตูที่ใกล้ตัวที่สุดเปิด มันเปิดสู่ห้องพักผู้ป่วยอีกห้องหนึ่ง ฟูกสกปรกกองอยู่บนเตียง และยังมีรอยเลือดและเศษเฝือกตกอยู่บนพื้น

“ห้องผู้ป่วยห้องนี้ดูต่างไปจากห้องอื่นอยู่นะ มันเหมือนมีคนอยู่ที่นี่เมื่อเร็ว ๆ นี้” จางเฟิงอยากจะเริ่มวิเคราะห์ตามแบบหวังตั้น แต่ว่าเขามองไม่เห็นร่องรอยอะไรเลยจริง ๆ ดังนั้นจึงได้แต่อาศัยสัญชาตญาณของตนเอง

“พวกเราจะเข้าไปดูไหม?” แฟนสาวของหวังตั้นยังดูค่อนข้างผวา เธอยังคงคิดถึงขาสีเทา ๆ คู่นั้นที่เธอเห็นก่อนหน้านี้

“ในเมื่อนายเชื่อว่ามีคนอยู่ที่นี่มาก่อน งั้นมันก็อาจจะเป็นหลีจิ่วกับนักไลฟ์สตรีมคนนั้น พวกเขาอาจจะเจออะไรที่นี่ พวกเราควรจะเข้าไปดูนะ” หวังตั้นพูดขณะกระตุ้นให้จางเฟิงเข้าไปในห้อง

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ และกลิ่นสาบ จางเฟิงวางมือเอาไว้เหนือริมฝีปาก และคิ้วของเขาก็ขมวดลึก เขากดความรู้สึกคลื่นไส้เอาไว้และดึงผ้าปูเตียงออก ใต้ผ้าปูเตียงนั้นเป็นรอยเลือดรูปร่างมนุษย์และไม้เซลฟี่

“ทำไมของนี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” จางเฟิงหยิบไม้เซลฟี่ขึ้นมา “นี่ดูไม่เหมือนของตกแต่งในบ้านผีสิง มันเป็นของนักไลฟ์สตรีมคนนั้นหรือเปล่า?”

ตอนที่เขาพูด ก็มีเสียงตุบเบา ๆ ดังมาจากตู้เสื้อผ้าที่ข้าง ๆ ตัวเขา มันเหมือนมีใครสักคนบังเอิญชนเข้ากับเครื่องเรือนตอนที่กำลังรีบ

“นั่นอะไรน่ะ?” ถึงแม้ว่าเขาจะคอยบอกตัวเองว่าไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องกลัว ตอนที่อยู่ในสถานการณ์อันตรายจริง ๆ จางเฟิงก็อดใจเต้นเร็วขึ้นไม่ได้ เขาเดินไปทางตู้ช้า ๆ และดึงประตูตู้เปิดออกให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้านในตู้นั้นมีชุดผู้ป่วยที่เก่าและขาดวิ่นกับสมุดบันทึกขาด ๆ เล่มหนึ่ง

“นี่ง่ายเกินไปแล้ว! ฉันเจอคำใบ้แล้ว!” จางเฟิงตื่นเต้นสุด ๆ ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าการมาบ้านผีสิงนั้นสนุกอย่างไร มันก็คือการสำรวจลึกลงไปในความหวาดกลัวและสิ้นหวัง เมื่อคนหนึ่งพบขุมทรัพย์เข้าตอนที่เส้นประสาทตึงเครียดที่สุด มันก็จะก่อให้เกิดความยินดีอันอธิบายไม่ออกมาไม่ถูก

เขาพลิกสมุดบันทึก แต่ว่าจางเฟิงรู้ว่าความสามารถในการวิเคราะห์ของตนเองนั้นไม่ดีเท่าหวังตั้น ดังนั้นจึงเรียกฝ่ายหลังมาอ่านบันทึกด้วยกัน บันทึกเป็นรายละเอียดของการค้นพบอย่างช้า ๆ ของผู้ป่วยคนหนึ่งถึงปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลนี้ ทุกคืน จะมีเด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งมาเล่นซ่อนหากับเขา ประโยคเหล่านี้นั้นเข้าใจง่าย และเขียนขึ้นโดยคนธรรมดาไม่ใช่นักเขียน แต่ว่า ถ้อยคำเรียบง่ายเหล่านี้กลับก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในหัวใจของคนอ่าน

“เล่นซ่อนหา?” จางเฟิงนั้นไม่ใช่อัจฉริยะ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาโง่ ตอนที่เขาเห็นชื่อเกมที่บันทึกพูดถึง เขาก็นึกถึงบันทึกผู้ป่วยที่เดิมติดอยู่บนหลังของหวังตั้นได้ทันที ถ้าหากบันทึกผู้ป่วยนั้นเป็นอย่างที่หวังตั้นพูด เป็นแค่การเล่นตลกไร้อันตราย อย่างนั้นเขารู้ล่วงหน้าได้อย่างไรว่าจะมีเกมอันตรายอย่างเล่นซ่อนหาดำเนินอยู่ในโรงพยาบาลประหลาดนี่?

เมืองไร้นามนั้นเปิดสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก และพวกเขาก็เป็นผู้เข้าชมกลุ่มแรก หวังตั้นนั้นย่อมไม่สามารถตระเตรียมสิ่งนี้เอาไว้ล่วงหน้าได้ นอกเสียจาก… หวังตั้นจะรวมหัวกับบอสของบ้านผีสิงนี่!

ความกระวนกระวายที่จางเฟิงกดเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้นตีกลับมาอย่างรุนแรงเพราะเขานึกได้ว่าบันทึกผู้ป่วยแผ่นนั้นตอนนี้ติดอยู่บนหลังของเขา เมื่อเข้าใจได้ว่าของสิ่งนี้จะนำมาซึ่งความเลวร้ายอย่างไร จางเฟิงก็กระแทกสมุดบันทึกปิด “รายละเอียดของบ้านผีสิงนี่ทำได้ดีทีเดียว พวกเราอยู่ในนี้สักพักแล้ว ดังนั้นพวกเราควรจะกลับออกไปได้แล้ว ตอนนี้ฉันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วเหมือนกัน”

“แต่ว่าพวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย? ทำไมนักศึกษาครุศาสตร์การกีฬาและสุขภาพอย่างนายถึงเหนื่อยเร็วขนาดนี้? เป็นเพราะว่านายรู้สึกไม่สบายมาก ๆ ใช่ไหม? นายอยากนั่งพักก่อนไหม?” หวังตั้นถามอย่างเป็นห่วงสุดแสน และนั่นก็มีแต่ทำให้จางเฟิงอยากจะชกหน้าเขาเท่านั้น

“ไม่ใช่อย่างนั้น อ้อ ใช่แล้ว!” จางเฟิงหยิบไม้เซลฟี่ที่ทิ้งเอาไว้บนเตียงขึ้นมา “โฮสต์คนนั้นน่าจะกังวลที่ทำของสิ่งนี้หาย พวกเราควรจะเอามันไปด้วยแล้วไปรอเขาที่ข้างนอก”

เขาถือไม้เซลฟี่เอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างเอื้อมไปด้านหลังตัวเอง จางเฟิงคิดจะดึงกระดาษนั่นออกจากแผ่นหลังของเขา แต่แล้วก็เกิดบางอย่างที่น่าประหลาดใจขึ้น มือของเขาเอื้อมออกไป แต่ว่าบันทึกผู้ป่วยที่น่าจะอยู่บนหลังของเขาหายไปแล้ว!

“เชี่ยไรเนี่ย?” มองข้ามไหล่ไป เขาก็เห็นแขนช้ำ ๆ คู่หนึ่งยื่นออกมาจากในตู้ ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีขาสวมชุดผู้ป่วยเก่ากะรุ่งกะริ่งอยู่นั้นกำลังติดบันทึกผู้ป่วยสีเหลืองจำนวนหนึ่งเอาไว้ที่บนเอวและขาของจางเฟิง!

บันทึกผู้ป่วยแต่ละแผ่นนั้นมีข้อความเดียวกันเขียนเอาไว้ “ถึงตาฉันเป็นผีตามหานายแล้ว!”

มันไม่ชัดเจนนักว่ามีบันทึกผู้ป่วยติดอยู่บนร่างของเขากี่แผ่น จิตใจของจางเฟิงนั้นว่างเปล่า สมองของเขาที่ขาดการฝึกฝนก็เต็มไปด้วยคำถามมากมายไม่จบสิ้น!

ผู้ชายคนนี้มาจากไหน? ทำไมเขาถึงสวมชุดผู้ป่วยที่ฉันเห็นก่อนหน้านี้? ‘ถึงตาฉันเป็นผี’ หมายความว่ายังไง? ฉันไปสัญญาเล่นเกมนี้กับแกเมื่อไหร่?

สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว และหัวใจของจางเฟิงก็แทบจะเต้นหลุดออกจากปาก สมองของเขาปิดการทำงานไปสามวินาทีก่อนที่ร่างกายของเขาจะมีปฏิกริยา เขากรีดร้องอย่างหวาดกลัวแล้วกระโจนขึ้นไปในอากาศ ในตอนนี้สมองของเขาก็ยังว่างเปล่าอย่างที่มันเป็น หลังจากที่เขาตกลงพื้น เขาก็พยายามผลักหวังตั้นออกให้พ้นทางและวิ่งออกจากประตูไป แต่ว่า หวังตั้นและแฟนสาวนั้นออกไปจากห้องก่อนแล้ว

ตอนที่จางเฟิงอ่านบันทึก หวังตั้นก็สังเกตเห็นแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จากปลายสายตาของเขา เขาเห็นชุดผู้ป่วยที่ด้านในตู้เสื้อผ้าเริ่มขยับด้วยตัวมันเอง ต่างไปจากจางเฟิง หวังตั้นนั้นตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เขาเข้าใจดีว่าฉากระดับ 3.5 ดาวอันตรายได้แค่ไหน

ตอนนั้น เขาก็เตรียมวิ่งหนีแล้ว ตอนที่จางเฟิงหันไปรอบ ๆ และพูดอะไรบางอย่าง หวังตั้นก็เห็นแขตสองข้างยื่นออกมาจากข้างในตู้ แต่ด้วยความนับถือในตัวจางเฟิง เขาไม่ได้ขัดชายหนุ่มผู้นั้นตอนที่เขากำลัง ‘วิเคราะห์’ อยู่ เขารู้ว่ามันจะเป็นการไม่เคารพกันอย่างมากที่ไปขัดจังหวะ ดังนั้นจึงฟังการวิเคราะห์ของจางเฟิงอย่างอดทน

ตอนที่จางเฟิงรู้ตัว หวังตั้นก็คว้าข้อมือแฟนสาวไว้แล้ว พวกเขาออกจากประตูและวิ่งไปหลายเมตร เขารู้สึกเหมือนได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตมากมายในบ้านผีสิงของเฉินเกอ

ฉันไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนนาย ดังนั้นทางเลือกเดียวที่จะเอาชนะนายได้ก็คือวิ่งเร็วกว่านาย

นี่ไม่ใช่ว่าเขามีพลังชีวิตบ้าบออะไรหรอก หวังตั้นแค่เข้าใจว่าคนที่วิ่งช้าสุดมักจะไปจบลงที่โรงพยาบาลเท่านั้น

ปัง!

ประตูห้องพักผู้ป่วยกระแทกกับผนังอย่างแรง ตอนที่หวังตั้นและแฟนสาวออกจากห้อง พวกเขาก็พบว่ามีขาสีเทาคู่นึ่งยืนอยู่ที่ตรงมุมบันได และที่เพิ่มความกลัวในหัวใจของเขาได้อย่างมากในพริบตา มีขาอีกคู่ปรากฏขึ้น และภายในแค่ 0.1 วินาที ก็มีขาคู่ที่สามปรากฎขึ้น

เมื่อทางไปบันไดถูกขวางเอาไว้ หวังตั้นและแฟนสาวก็ได้แต่วิ่งลึกเข้าไปในโรงพยาบาล ตอนนั้น จางเฟิงก็พุ่งออกมาจากห้องพักผู้ป่วยด้วยเหมือนกัน เขาวิ่งเร็วมากและยังวิ่งอย่างตามืดบอดจนเกือบจะชนเข้ากับกำแพง ก่อนที่เขาจะทันมีสติขึ้นมาอย่างหวุดหวิด เขาก็เห็นผู้ป่วยที่มีผิวสีเทาหลายคนปรากฏตัวอยู่ใกล้ ๆ บันได

เพราะรูปร่างหน้าตาของเขาดีและยังมีพื้นหลังครอบครัวร่ำรวย จางเฟิงจึงไม่เคยประสบกับปัญหาในชีวิตจริง ๆ เลยสักครั้ง และเขาก็ยังเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ในตอนนี้ ในบ้านผีสิงแห่งนี้ เขาก็เป็นดาวเด่นด้วยเหมือนกัน ผู้ป่วยหลายคนที่มีแขนขาบิดเบี้ยวล้วนมองมาที่เขาอย่างสนใจเป็นอย่างยิ่ง

แผ่นหลังของเขานั้นมีบันทึกผู้ป่วยติดเอาไว้เต็ม น้ำตาเริ่มคลอตาจางเฟิง ในที่สุดเขาก็นึกถึงความเอื้อเฟื้อของหวังตั้นขึ้นมาได้ และเขาก็วิ่งตรงไปหา พอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง หวังตั้นก็วิ่งเร็วขึ้นอีก พวกเขาวิ่งไปตามทางเดินและไปถึงที่ช่องบันไดทางด้านขวาของโรงพยาบาล

ถึงอย่างไรจางเฟิงก็เป็นนักศึกษาการกีฬา และก็ใช้เวลาแค่ไม่นานเขาก็ไล่ตามหวังตั้นทัน ผู้ป่วยทั้งกลุ่มก็ตามหลังพวกเขามาด้วยเหมือนกัน และพวกเขาก็ดูจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

“พวกเราวิ่งไปด้วยกันอย่างนี้ไม่ได้! พวกเราจะถูกจับตัวได้กันหมด!” หวังตั้นร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน ในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ เขาก็กลายเป็นผู้นำ “เร็ว! ที่แยกถัดไป ตอนที่พวกเราไม่อยู่ในสายตาพวกเขาแล้ว พวกนายสองคนไปซ่อนในห้องพักผู้ป่วยที่สองด้านทางเดิน แล้วฉันจะพยายามล่อพวกเขาไปเอง!”

“หวังตั้น…” แฟนสาวของเขามองเขาอย่างเป็นห่วง และเหมือนจะอยากพูดอะไรสักอย่าง

“ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว เร็ว!” เสียสละ ไม่เห็นแก่ตัวเลยสักนิด หวังตั้นกลายเป็นฮีโร่ที่ไม่มีใครเทียบได้ จางเฟิงเองก็ประหลาดใจกับความแมนของหวังตั้นเพราะเขาเองไม่คิดจะอาสาทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด

หลังจากเลี้ยวที่ตรงมุม จางเฟิงก็มุดเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งโดยไม่เสียเวลาสักนิด ตอนที่เขากำลังจะปิดประตูนั่นเอง เขาก็เห็นหวังตั้นจับมือแฟนสาวเอาไว้แล้ววิ่งต่อไป พวกเขาพุ่งไปยังทางออกและไม่ได้มีทีท่าจะหยุดวิ่ง

และที่ทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้นไปอีก ผู้ป่วยที่มีร่างกายบิดเบี้ยวและมีรอยประหลาดอยู่บนใบหน้านั้นไม่ได้สนใจจะตามหวังตั้นและแฟนสาวไปเลย กลับกัน พวกเขาทั้งหมดแออัดกันอยู่หน้าห้องของเขา!

ดวงตามากมายจับจ้องอยู่ที่บันทึกผู้ป่วยที่ติดอยู่ทั่วตัวเขา และจางเฟิงก็เข้าใจความจริงของสถานการณ์แล้ว ตอนที่ใบหน้าซีด ๆ เหล่านั้นทะลักเข้ามาในห้อง เสียงกรีดร้องที่ทำให้เลือดแข็งตัวก็ดังก้องไปทั่วโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน

“หวังตั้น! ไอ้เฮงซวย แกวางกับดักฉัน!”

ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สามของโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน นักไลฟ์สตรีมถือกระเป๋าที่ซิปรูดเปิดอยู่ของตนเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างกำโทรศัพท์เอาไว้ “นี่มันแปลก ไม้เซลฟี่ของฉันไปไหนกัน? ถ้าไม่มีมัน มุมกล้องก็จะไม่กว้างพอจะเห็นทั่ว ๆ และมันยังรบกวนประสบการณ์การมองเห็นถ้าเริ่มไลฟ์”

“นายลืมเอามาหรือเปล่า?” หลีจิ่วเดินอยู่ข้าง ๆ เขา พวกเขาดูเหมือนจะมีแรงจูงใจอื่นในการเข้ามาบ้านผีสิงครั้งนี้

“เป็นไปไม่ได้” เขาค้นกระเป๋าอีกรอบ

“เลิกหาเถอะ พวกเราต้องเริ่มแล้ว ฉันได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาอีกแล้ว ฉันเชื่อว่านักศึกษาพวกนั้นน่าจะถูกนักแสดงของบ้านผีสิงจับตัวได้แล้ว” หลีจิ่วเอาแต่หันไปมองห้องพักผู้ป่วยที่เรียงรายอยู่ริมผนัง “พวกเรากำลังจะไลฟ์สดอยู่ในบ้านผีสิงเพื่อเปิดเผยความลับของที่นี่ ถ้าพนักงานมาเห็นเข้า พวกเขาต้องมาห้ามเราเอาไว้แน่ ๆ”

“ก็ให้พวกเขาทำสิ พวกเขาจะทำอะไรได้? พวกเขาแตะต้องพวกเราต่อหน้ากล้องได้เหรอ?” สีหน้าของโฮสต์นั้นทะมึน และมันก็ต่างไปจากตอนที่เขาอยู่ต่อหน้ากล้องอย่างสิ้นเชิง “นอกจากนี้ ฉันหวังให้พวกเขาแตะต้องตัวพวกเรา อย่างนั้นพวกเราก็จะมีหลักฐานเอาไว้จัดการกับบอสนั่น”

“สวนสนุกแห่งอนาคตต้องการรู้ความลับเบื้องหลังความนิยมของที่นี่ แต่ฉันรู้สึกว่าบอสนั่นมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง” หลีจิ่วกระซิบกระซาบ

“ฉันกำลังจะเริ่มไลฟ์แล้ว นายต้องหยุดสันนิษฐานอย่างไม่มีหลักฐาน” โฮสต์ดึงหยกคุณภาพย่ำแย่หลายชิ้นออกมาจากกระเป๋า หยกพวกนั้นดูเหมือนกันไปหมด แต่ว่าบางอันมีรอยแตกอยู่บนผิว โฮสต์คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจดึงชิ้นที่มีรอยแตกเก้าสายเหมือนมันกำลังจะแตกออกเป็นชิ้น ๆ ออกมาแล้วสวมมันเอาไว้รอบคอ

หลังจากเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เขาก็ล็อกอินเข้าไปในแอคเคานท์สำหรับไลฟ์ของตนเอง “พวกเราจะเริ่มต้นตามที่วางแผนเอาไว้ พวกเราจะเผยความลับของบ้านผีสิงแห่งนี้ และนายก็ต้องให้ความร่วมมือกับฉันอยู่เบื้องหลังเพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์น่ากลัวสักหน่อย ด้วยความนิยมที่บ้านผีสิงนี้มีบนอินเตอร์เนต ฉันแน่ใจว่าไลฟ์จะดึงดูดความสนใจของคนดูจำนวนมาก”

“ไม่ต้องห่วง ฉันจำบทได้ขึ้นใจแล้ว– ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน” หลีจิ่วให้สัญญาณกับโอสต์และเดินเข้าไปในเงามืด เขารักษาระยะห่างห้าเมตรเอาไว้ โฮสต์เปิดแอพขึ้นมาและเปลี่ยนกล้องให้จับภาพใบหน้าของตัวเอง ตอนที่ไลฟ์เริ่มต้น เขาก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง

ความทะมึนบนใบหน้าของเขาหายไป และเขาก็ทำเหมือนตัวเองกำลังตื่นตระหนกและกังวล หลังจากไลฟ์เริ่มเชื่อมต่อได้นิ่งแล้ว เขาก็พึมพำด้วยน้ำเสียงรีบร้อน “สวัสดีครับทุกคน ผมหวงหลาง ต้าหลางเกอของพวกคุณ คนที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมน่ะมีสายเลือดนักทำนายที่เก่งกาจและน่าภาคภูมิใจ ผมใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้วิชาทำนายจากปู่ของผม ดังนั้นผมจึงรู้เรื่องเฟิงฉุย ปากว้า และอื่น ๆ อยู่มากทีเดียว

“พวกเราเคยไปบ้านผีสิงกันมาหลายที่แล้ว และพวกเราก็เจอเข้ากับบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ไม่มีอะไรเทียบได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้”

โฮสต์หนุ่มที่เรียกตัวเองว่าหวงหลางนั้นตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว หลังจากที่เขาเกริ่นนำจบ เขาก็ดึงกล้องออกไปห่าง ๆ แล้วพูดต่อ “ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านผีสิงของสวนสนุกนิวเซนจูรี่จิ่วเจียงตะวันตก ใช่ บ้านผีสิงที่เป็นที่รู้จักกันบนอินเตอร์เนตว่าให้ประสบการณ์การเข้าชมที่น่ากลัวที่สุด ที่ซึ่งยังไม่มีใครสามารถพิชิตได้!”

เสียงของเขามีความภาคภูมิใจอยู่บาง ๆ “ฉากที่ผมอยู่ในตอนนี้น่าจะเป็นฉากที่พวกคุณส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย เพราะว่านี่คือฉากระดับ 3.5 ดาว ฉากที่มีความยากสูงที่สุดในบ้านผีสิงแห่งนี้! พวกคุณหลายคนคงจะถาม ว่าทำไมผมถึงได้สิทธิพิเศษเข้าท้าทายฉากระดับ 3.5 ดาวได้เลย? นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้ แต่เป็นสิ่งที่พวกคุณต้องค้นหาเอานะครับ”

หวงหลางมีรอยยิ้มปริศนาบนริมฝีปาก เขาปรับน้ำเสียง และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังอีกครั้ง “ถ้าพูดกันจริง ๆ แล้ว บ้านผีสิงนี้ก็ต่างไปจากที่อื่นจริง ๆ ตอนที่ผมเข้ามาที่นี่ครั้งแรก ก็เกิดบางอย่างขึ้นกับจี้หยกที่เป็นสมบัติของตระกูลของผม ทุกคนครับ ดูนี่สิ”

หวงหลางดึงจี้หยกออกมาจากใต้คอเสื้อ “ตอนที่พวกเราเข้าไปที่สุสานหนานหลิงในซินไห่ครั้งก่อน หยกนี่มีรอยแตกเจ็ดเส้น แต่ดูนี่สิ! ตอนที่ผมเข้ามาในบ้านผีสิงแห่งนี้ ผมก็นับได้ว่ามีรอยแตกอยู่บนหยกถึงเก้าเส้น! นี่เป็นคำเตือนจากบรรพบุรุษของผม! บ้านผีสิงนี่อันตรายมาก!”

จากนั้นเขาก็เก็บจี้หยกลงไปและแสดงต่อ “แต่ถึงมันจะอันตรายอย่างระบุไม่ได้ ผมก็ยังรับความเสี่ยงนี้เพื่อเปิดเผยความลับของบ้านผีสิงที่สมจริงที่สุดให้เพื่อน ๆ ที่รักของผมได้เห็น!”

สีหลักของโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่านคือสีขาว มันเป็นตึกที่สะดุดตาที่สุดและยังโดดเด่นที่สุดในเมืองเล็ก ๆ นี้ ตอนที่พวกเขาดึงประตูเหล็กสนิมกรังเปิดออก พวกเขาก็เห็นทางเดินมืด ๆ บันทึกผู้ป่วยสีเหลืองที่กระจัดกระจายอยู่ ถ้าพวกเขาหยิบแผ่นใดขึ้นมาดู ก็จะเห็นว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่นั้นเสียชีวิตจากโรคที่รักษาไม่ได้ และติดเชื้อจากโรคระบาด

หน้าต่างกระจกลั่นเอี๊ยดอยู่ในสายลมถึงแม้ว่าจะเป็นที่ชั้นใต้ดินไม่ควรจะมีลมพัดได้ก็ตาม ประตูห้องหลายห้องล้วนถูกเปิดทิ้งเอาไว้เหมือนผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปกลับมายังที่แห่งนี้และอาจจะออกมาตอนไหนก็ได้

มีรอยคล้ายรอยเล็บอยู่ที่บนประตู และยังมีพืชที่ไม่รู้จักเลื้อยอยู่ทั่วผนัง เพดานนั้นลอก เผยให้เห็นลายปูนที่ดูคล้ายหน้ามนุษย์อย่างน่าสงสัย

โรงพยาบาลนี้นั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในเมืองเล็กนี้ และมันยังใช้เสน่ห์อันโดดเด่นของมันต้อนรับผู้เข้าชมกลุ่มใหม่ พื้นมีรอยแตกและเดินเหยียบไปบนพื้นก็ทำให้มันส่งเสียงลั่น ในความเงียบสนิท เสียงนี้แทบทำให้คนสะดุ้งโหยงได้

“ผู้ชายคนนั้น หลีจิ่ว อยู่ไหนกัน? เขาเข้ามาที่นี่ก่อนเราอย่างมากที่สุดก็แค่สิบวินาที เขาหายตัวไปในพริบตาได้ยังไง?” หวังตั้นมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาหนักใจ เขายืนอยู่ในห้องโถงและมองไปตามทางเดินสองทางที่นำไปทางซ้ายและขวาของเขา เขาอยากจะระบุทิศทางที่คนพวกนั้นไปจากรอยบนกระเบื้องแตกที่บนพื้น แต่ว่า เขาก็ยิ่งต้องตกตะลึง ทางเดินทั้งสองนั้นมีร่องรอยการใช้งาน และเขาก็สามารถมองเห็นรอยเท้าประมาณแปดรูปแบบได้ในความมืด

“มีคนอื่นมาที่ตึกนี้ก่อนพวกเรา” หวังตั้นมองรอยเท้าที่บนพื้นและเขาก็ลังเล เขารู้ดีว่านักแสดงในบ้านผีสิงนั้นเก่งกาจแค่ไหนในเรื่องหลอกคน การเจอพวกเขาคนใดคนหนึ่งเข้าก็สามารถผลักให้ผู้เข้าชมที่ไม่ทันระวังจนมุมได้ และตึกนี่ก็ดูเหมือนจะมีนักแสดงน่ากลัวเหล่านั้นอยู่หลายคนทีเดียว

“พวกเราควรจะไปทางไหนดี?” แฟนสาวของหวังตั้นถาม เธอสวมเสื้อผ้าทันสมัยที่ค่อนข้างบาง ร่างกายของเธอสั่นอย่างควบคุมไม่ได้แต่ก็ไม่ชัดนักว่าเป็นเพราะความหวาดกลัวหรือแค่หนาว

“ฉันจำได้ว่าทั้งหลีจิ่วและโฮสต์ไลฟ์สตรีมคนนั้นสวมรองเท้าผ้าใบ จากรอยเท้าบนพื้น พวกเขาน่าจะมุ่งหน้าไปทางเดินทางซ้าย แต่ว่า…” หวังตั้นก้มหน้าคิด

“แต่อะไร? นายจะพูดให้จบประโยคแทนที่จะพูดค้าง ๆ เอาไว้ไม่ได้หรือไง?” จางเฟิงบ่นอย่างรำคาญ เมื่อคนผู้หนึ่งต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่ไปอย่างสิ้นเชิงก็มักจะรู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจ

“ทำไมนายถึงไม่มาดูด้วยตัวเองล่ะ?” หวังตั้นส่องไฟฉายจากโทรศัพท์ของตัวเองไปที่พื้น และทางเดินทางซ้ายนั้นก็มีรอยเท้าสองรอยที่ประทับขนานกันและกันอยู่

“รอยเท้าข้างหน้าดูเหมือนจะเป็นรอยรองเท้าผ้าใบ แต่ว่ารอยเท้าด้านหลังไม่มีลวดลาย ดังนั้น พวกเราสามารถสันนิษฐานได้ว่านี่เป็นหนึ่งในผู้เข้าชมที่เดินนำไปและคนที่สองที่ไม่ใช่ผู้เข้าชมแต่เป็นบางอย่างตามหลังเขาไป” หวังตั้นไม่ได้พยายามหลอกให้ใครกลัว– เขาก็แค่พูดความจริง “ระหว่างรอยเท้าทั้งสองรอยทิ้งระยะประมาณสามสิบเซนติเมตร นายมองไม่เห็นเหรอว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง?”

เห็นสีหน้างุนงงของจางเฟิง หวังตั้นก็ตัดสินใจสาธิตให้ดูด้วยตัวเอง เขาเดินไปยืนอยู่ด้านหลังแฟนสาวแล้วขยับไปอยู่ด้านหลังเธอประมาณสามสิบเซนติเมตร “ผู้เข้าชมเดินอยู่ด้านหน้า และมีบางอย่างที่ไม่รู้จักตามหลังเขาอยู่อย่างนี้ ทั้งสองคนเดินไปตามทางเดินด้วยกริยาอย่างนี้ ดูรอยเท้าที่เหลืออยู่บนพื้นสิ ลวดลายนั้นเหมือนกัน พูดอีกอย่างหนึ่ง นี่หมายความว่า จนถึงปลายทางเดิน คนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามีบางอย่างตามหลังเขาอยู่ในระยะสามสิบเซนติเมตรอย่างสม่ำเสมอ”

“นักแสดงที่นี่ช่างเก่งกาจเสียจริง” นี่เป็นครั้งแรกที่จางเฟิงเข้าชมบ้านผีสิงเช่นนี้ พอได้ยินคำอธิบายของหวังตั้น เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา

“หลีจิ่วกับนักไลฟ์สตรีมคนนั้นน่าจะไปตามทางเดินด้านซ้ายและนักแสดงที่บ้านผีสิงก็ตามพวกเขาไป ดังนั้นเส้นทางนี้น่าจะปลอดภัยอยู่ตอนนี้” หวังตั้นเดินไปตามทางเดินด้านซ้ายคนเดียว

หลังจากหวังตั้นเดินจากไป ห้องโถงโรงพยาบาลก็ดูน่ากลัวกว่าเดิม กระดาษบนพื้นลอยขึ้นและมันก็ส่งเสียงแสกสากเมื่อปลิวไปบนพื้น ไม่มีสิ่งไหนที่ไม่นับเป็นความทรมานของผู้เข้าชมที่เข้าบ้านผีสิงเป็นครั้งแรก

“รอฉันด้วย” แฟนสาวของหวังตั้นและจางเฟิงรีบตามหวังตั้นไป ไม่มีใครแตะต้องพวกมัน แต่ว่าประตูที่สองข้างกำแพงกลับส่งเสียงลั่นเอี๊ยดได้ด้วยตัวเอง ทำให้รู้ว่าเหมือนว่ามีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่ในห้องมืด ๆ เพราะความระแวดระวังนี้ ทั้งสามคนจึงเดินไปตามทางเดินอย่างช้า ๆ พวกเขาแทบจะเบียดตัวเข้าหากัน

“นี่ดูเหมือนจะเป็นห้องพักผู้ป่วยธรรมดา ถึงแม้ว่าจะเก่าและร้างไปสักนิด มันก็ยังดูเหมือนไม่มีใครอยู่ที่นี่มานานแล้ว” การตกแต่งในห้องผู้ป่วยนั้นเหมือนจริงมาก เหมือนจริงจนลืมไปเลยว่ากำลังอยู่ในบ้านผีสิง

“ระวังด้วย นักแสดงที่นี่น่ะผ่านการฝึกฝนอย่างดีที่สุดมา– พวกเขาสามารถเดินตามหลังพวกนายได้โดยไม่ส่งเสียงอะไรเลย และพวกเขายังมีวิธีการต่าง ๆ นานามาหลอกให้นายกลัว พวกนายไม่อยากเจอหรอก”

อันตรายนั้นสามารถมาจากทิศทางใดก็ได้ กลุ่มของหวังตั้นไม่เพียงแค่ระแวงประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้ครึ่ง ๆ พวกเขายังจับตามองรอยแตกบนผนังและพื้นอย่างละเอียด พวกเขาไม่ลืมด้วยว่ายังมีเพดาน

ด้วยความตึงเครียดนี้ หากมีใครกรีดร้องออกมา วิญญาณของพวกเขาก็อาจจะกระเจิดกระเจิงออกจากร่างได้ พวกเขาใช้เวลาหนึ่งนาทีเต็มเดินไปตามทางเดินที่ยาวแค่สิบเมตร ตอนที่พวกเขาไปถึงที่มุมบันได ทั้งกลุ่มก็พบว่าแผ่นหลังของตัวเองนั้นชุ่มเหงื่อไปแล้ว

“อะไร? แค่นี้? ฉันคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะมีนักแสดงที่เล่นเป็นผีโผล่ออกมาจากห้องพวกนั้นหลอกพวกเรา” จางเฟิงถอนหายใจโล่งอก “อันที่จริง มันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเสียหน่อย ฉันคิดว่าการวิเคราะห์ของนายตอนแรกน่ากลัวไปสักหน่อย ฉันสงสัยว่านายจะจงใจทำอย่างนี้ ให้ประสบการณ์ครั้งนี้น่าสยองขวัญกว่าที่มันเป็นเพื่อที่จะหลอกพวกเราด้วยซ้ำ”

นักศึกษาชายนั้นกล้าหาญกว่าคนทั่วไป แต่เหตุผลสำคัญที่เขาต้องแสดงความกล้าหาญออกมาก็เพราะว่าไม่ต้องการดูอ่อนแอกว่าหวังตั้น

อันที่จริง เขาดูถูกหวังตั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างเปิดเผย หวังตั้นนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ที่รู้แค่วิธีการจัดการกับศพเท่านั้น เขาน่าเบื่อ หน้าตาพื้น ๆ และยังไม่ได้ตัวสูง ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ดี จางเฟิงไม่เคยเห็นข้อดีอะไรในตัวคนคนนี้เลย

ตอนที่ความคิดอย่างนั้นทำให้ความกลัวในหัวใจจางเฟิงจางไปบ้างแล้ว เขาก็ชำเลืองมองแฟนสาวของหวังตั้นครั้งหนึ่ง อย่างที่พูดถึงก่อนหน้านี้ แฟนสาวของหวังตั้นนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนมัธยมของเขา แต่ว่าตอนนั้น เขาก็ไม่คิดว่าเพื่อนของตนคนนี้จะสวยขึ้นมาแบบนี้หลังจากที่เธอรู้จักดูแลรูปลักษณ์ของตัวเอง หลังจากที่เขาเห็นประวัติของเธอที่บนอินเตอร์เนต จางเฟิงก็ไม่อยากจะเชื่อว่าที่เขากำลังเห็นอยู่นั้นเป็นเธอ

หวังตั้นนั้นไม่สนใจคำพูดของจางเฟิง เขาใจดีมากพอแล้วที่วิเคราะห์ให้ฟัง แต่ทั้งหมดที่เขาได้กลับมาคือความสงสัย คนอย่างนี้นั้นไม่คู่ควรกับความช่วยเหลือของเขาเลย เขาพยายามอย่างหนักเพื่อกดความรำคาญเอาไว้ในใจ ถึงแม้ว่าหวังตั้นจะอารมณ์ร้อนเมื่อก่อนนี้ เมื่อได้มาบ้านผีสิงของเฉินเกอหลายครั้งเข้าก็ทำให้เขาลดนิสัยนั้นไปได้มาก

เขาบอกไม่ได้แน่ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มต้นตอนไหน บางทีอาจจะเพราะว่าเขาได้เห็นปิศาจที่แท้จริง เทียบกันแล้ว ทุกคนล้วนดูมีเมตตาและน่าใกล้ชิดสนิทสนม หรือบางทีตอนที่เขาหมดสติและถูกปลุกขึ้นมาซ้ำ ๆ ที่ห้องเก็บศพใต้ดิน การสั่งสอนของศาสตราจารย์ชราที่วิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงนั้นส่งผลกระทบต่อชายหนุ่มผู้นี้จริง ๆ ไม่ว่าอย่างไร หวังตั้นก็ไม่ใช่คนเดิมในอดีตแล้ว เขาเติบโตขึ้นมาก

เผชิญหน้ากับการท้าทายหลายต่อหลายครั้งจากจางเฟิง หวังตั้นก็ยังไม่งับเหยื่อและทะเลาะด้วย เขาเข้าใจดีว่าการทะเลาะโต้เถียงกันนั้นไร้ความหมายขนาดไหน– เหตุผลหลักที่เขาเข้ามาบ้านผีสิงครั้งนี้ก็เพื่อแบ่งปัน ‘ความสนุก’ กับจางเฟิง และเพื่อบรรลุเป้าหมาย เขาจึงต้องกล้ำกลืนคำบ่นและความคับข้องใจเอาไว้

“ทำไมถึงไม่เถียงล่ะ? เพราะว่าฉันพูดถูกใช่ไหม?” จางเฟิงสันนิษฐานว่าตัวเองมองแผนการของหวังตั้นออกหมดแล้ว “มาบ้านผีสิงอย่างนี้เพื่อพิสูจน์ว่าใครใจกล้ากว่า นายไม่คิดเหรอว่านี่มันเป็นอะไรที่มีแต่เด็ก ๆ ทำ?”

หลังจากพยักหน้า หวังตั้นก็เดินห่างออกมาเงียบ ๆ

บรรยากาศในโรงพยาบาลเปลี่ยนเป็นประหลาดขึ้นกว่าเดิม หลีจิ่วและโฮสต์คนนั้นเดินอยู่ข้างหน้าเขา แต่พวกเขากลับไม่ได้ยินเสียงอะไรที่บ่งบอกถึงการมีตัวตนของพวกเขาเลย ไม่มีกระทั่งเสียงฝีเท้า มันเหมือนทั้งสองคนหายวับไปในอากาศ

ตึกทั้งหมดในเมืองนี้นั้นนำไปสู่ชั้นใต้ดิน และโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่านก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หวังตั้นมองบันใดที่นำไปยังชั้นใต้ดิน และความคิดประหลาดก็ปรากฏขึ้นในใจหวังตั้น เหตุผลเดียวที่พวกเขาไม่เจอนักแสดงคนไหนเลยอาจจะเป็นเพราะพวกเขาต้องการรอให้เหล่าผู้เข้าชมมุ่งหน้าลงไปยังชั้นใต้ดินก่อนที่จะเผยตัวออกมา ด้วยวิธีนี้ ผู้เข้าชมก็จะไม่สามารถหนีออกจากตึกได้โดยง่ายเมื่อถูกทำให้ตกใจกลัว

แสงสลัว และทั้งสามคนก็ระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม

บนบันไดระหว่างชั้นใต้ดินชั้นแรกและชั้นที่สอง แฟนสาวของหวังตั้นก็ร้องเสียงแหลมอย่างตกใจ “มีคนอยู่ตรงนั้น!”

“ไหน?” ทั้งหวังตั้นและจางเฟิงหันไปมองบันไดพร้อมกัน

“มันอยู่ตรงราวบันไดที่นำลงไปชั้นสอง! ฉันเห็นมัน! มันเป็นขาสีเทา ๆ คู่หนึ่ง!” หวังตั้นและจางเฟิงมองไปทางที่แฟนสาวของหวังตั้นชี้ แต่ว่าพวกเขาก็ไม่เห็นอะไรเลย

“ฉันสาบานว่าพวกมันอยู่ตรงนั้นเมื่อกี้นี้ แต่ว่าพวกมันหายตัวไปทันทีหลังจากนั้น!” แฟนสาวของหวังตั้นพูดอย่างกระวนกระวายและโซเซถอยหลังไป ขยับจากตรงกลางไปอยู่ด้านหลัง

“บางทีนักแสดงอาจจะได้ยินเสียงฝีเท้าและไปซ่อนตัวที่นั่น แต่เธอบังเอิญเห็นพวกเขาเข้า” จางเฟิงพูดปลอบเด็กสาว

“ได้… แต่เดี๋ยวนะ!” แฟนสาวของหวังตั้นจู่ ๆ ก็ชี้ไปที่หลังของหวังตั้น “มีบางอย่างติดอยู่ที่ไหล่ของนาย!”

“ฉัน?” หวังตั้นเอื้อมมือไปแตะแผ่นหลังตัวเอง และเขาก็พบว่ามีบันทึกผู้ป่วยแผ่นหนึ่งติดอยู่บนหลังเขา ด้านหน้าของบันทึกนั้นพิมพ์รูปขาวดำของผู้ป่วยเอาไว้ และที่ด้านหลังของกระดาษนั้นเขียนด้วยลายมือหวัด ๆ เอาไว้ “หาฉันให้เจอสิ”

“ใครติดนี่เอาไว้บนหลังฉันน่ะ?” หวังตั้นรู้สึกเหมือนเขากลายเป็นเป้าหมายไปในทันที  เขารู้ว่านี่ไม่ใช่จางเฟิงและแฟนสาวของเขาทำ พวกเขาไม่มีใครมีปากกามาด้วย และมันก็ชัดเจนว่าคำที่เขียนไว้บนกระดาษนั้นเขียนเอาไว้นานแล้ว

“นายคิดว่าฉันจะทำเรื่องน่าเบื่อนี่เหมือนนายหรือไง?” จางเฟิงเป็นคนแรกที่ยักไหล่ แฟนสาวของหวังตั้นคิดว่านี่ค่อนข้างประหลาด พวกเขาเดินอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มและพวกเขาก็ไม่เห็นใครเดินผ่านไปเลย

“มีอะไรอยู่บนหลังของพวกนายหรือเปล่า?” หวังตั้นมองจางเฟิงและแฟนสาวอย่างตื่นตระหนก และเขาก็พบว่า มีแค่เขาเท่านั้นที่มีกระดาษติดอยู่ที่หลัง “นี่เป็นเพราะว่าฉันเป็นคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้ากลุ่มเหรอ?”

มองกระดาษที่ถืออยู่ ผู้ชายในรูปขาวดำดูเหมือนจะกำลังยิ้มให้เขา เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากหวังตั้น เขารู้ว่าความสยองที่แท้จริงของฉากนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้าแล้ว

“นายกำลังทำอะไรน่ะ บ่นตัวเองอยู่เหรอ?” จางเฟิงไม่ได้ซ่อนรอยยิ้มเยาะบนใบหน้า เห็นหวังตั้นมีท่าทีหวาดกลัวเป็นอย่างมาก “กลวิธีเดียวกันใช้กับฉันเป็นครั้งที่สองไม่ได้ผลหรอกนะ”

เหมือนกับเขาเพิ่งเผยความลับยิ่งใหญ่ออกมา เขาเอนตัวไปหาแฟนสาวของหวังตั้นแล้วพูด “คุณเพื่อน แฟนเธอดูเป็นคนน่าสนใจดีนะ พวกเรามาด้วยกันตลอดทาง แต่ไม่ได้เจอใครอื่นเลยสักคน ในเมื่อพวกเราไม่ใช่คนที่ติดกระดาษไว้บนหลังเขา เธอคิดว่าคนร้ายจะเป็นใครไปได้หืม?”

แฟนสาวของหวังตั้นค่อย ๆ ถูกเขาชักนำอย่างช้า ๆ “เขาทำเองเหรอ? นั่นเป็นไปไม่ได้ หวังตั้นเขา…”

“หากไม่ใช่เขา เธอกำลังจะบอกฉันเหรอว่าผีทำ? เขาต้องการใช้เรื่องนี้ทำให้พวกเรากลัวและทำเหมือนเขาไม่กลัว ฉันคงโกรธแล้วแหละถ้าไม่เห็นว่านี่มันน่าเศร้าขนาดไหน”

“ไม่มีทาง เขาไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก… ใช่ไหม?” ด้วยการโน้มน้าวจากจางเฟิง แฟนสาวของหวังตั้นก็เริ่มสงสัยตัวเอง

หวังตั้นถือบันทึกผู้ป่วยเอาไว้ในมือ สองตามองดูรอบ ๆ ตัวอย่างระแวดระวัง เขารู้ว่าอันตรายกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว– บันทึกผู้ป่วยนี่ อันที่จริงแล้วก็คือป้ายมรณะ!

“ในเมื่อพวกเราก็ตกเป็นเป้าหมายแล้ว โยนนี่ทิ้งไปก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรได้” หวังตั้นได้ยินบทสนทนาของสองคนนั้นชัดเจน เขาสูดลมหายใจลึก กัดริมฝีปาก และหันกลับไป เห็นร่องรอยความสงสัยและไม่พอใจในดวงตาของแฟนสาวแล้ว ความรู้สึกตึงเครียดของหวังตั้นก็ผ่อนคลายอย่างช้า ๆ เขาคลายมือที่กำแน่นออกอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักและจากนั้นก็หันไปหาจางเฟิงและพูดอย่างสบายใจ “ได้ ฉันยอมรับว่าเป็นฉันเองที่ติดไอ้นี่ไว้บนหลังตัวเอง”

“แล้วทำไมนายต้องทำอย่างนี้ด้วย? นายไม่ใช่คนแบบนี้ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก” แฟนสาวของหวังตั้นขึ้นเสียง

“ฉันแค่อยากจะพิสูจน์ว่าฉันยังมีด้านดี ๆ อยู่บ้าง ๆ” ม่านตาหวังตั้นสั่นไหว และหลังคอของเขาก็ค่อย ๆ ขนลุกชันลามขึ้นมา แต่เขาก็บังคับให้ตัวเองรักษากริยาเอาไว้ “มีตำนานที่บ้านผีสิงนี่ ถ้าเธอติดอะไรอย่าง ‘หาฉันให้เจอ’ เอาไว้ ก็มีโอกาสที่จะเจอผีจริง ๆ ฉันก็แค่อยากจะพิสูจน์ว่าฉันกล้ามากกว่าพวกเธอ”

“เด็กน้อยไปไหมนั่น ถ้านายอยากจะได้ฟังเรื่องเล่าพื้นบ้าน ฉันมีเล่าให้นายฟังเป็นร้อยเรื่อง” ความรู้สึกเหนือว่าที่จางเฟิงมีต่อหวังตั้นปรากฏชัดขึ้นและยังเพิ่มขึ้น

“ฉันยอมรับว่าฉันอิจฉานาย ฉันไม่หล่อเท่านาย ไม่ได้แต่งตัวดีเท่านาย ครอบครัวของฉันก็ไม่ได้รวยเท่านาย และยังเอาชนะนายไม่ได้ในเกมบาส เทียบกับนายแล้ว ฉันธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะพิสูจน์ว่ามีบางอย่างที่ฉันดีกว่านาย” เสียงของหวังตั้นเริ่มสั่น ในทางเดินที่พวกเขาผ่านมา เขามองเห็นขาสีเทาคู่หนึ่งเดินออกมาจากห้องห้องหนึ่ง

“ดังนั้นนายก็เลยใช้วิธีนี้?” ความรู้สึกภูมิใจในตัวเองของจางเฟิงเหมือนได้รับการเติมเต็ม และมันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไปอีกเมื่อมันเกิดขึ้นต่อหน้าแฟนสาวของหวังตั้น “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านักศึกษาแพทย์อย่างนายเชื่อตำนานพื้นบ้านอย่างนั้นด้วย นายไม่รู้หรือไงว่ามันก็แค่เรื่องไร้สาระที่คนไม่มีอะไรจะทำสร้างขึ้นมา?”

“อย่างนั้น นายกล้าลองไหมล่ะ?” หวังตั้นกำลังรอให้จางเฟิงพูดอย่างนี้อยู่ เขารีบขัดขึ้นโดยเร็ว เร็วจนจางเฟิงแทบจะตามไม่ทัน

“อะไรนะ?” จางเฟิงยังคงจมอยู่ในความยินดีของตนเอง ดังนั้นจึงไม่ได้คาดคิดว่าหวังตั้นจะเสนออะไรอย่างนี้ออกมา

“ในเมื่อนายเชื่อว่าตำนานพื้นบ้านพวกนี้นั้นเป็นเรื่องไร้สาระ อย่างนั้นฉันก็แน่ใจว่านายคงไม่ปฏิเสธที่จะลองดู” หวังตั้นพูดขณะย้ายบันทึกผู้ป่วยไปติดไว้ที่แผ่นหลังของจางเฟิง “อันที่จริง ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าบนโลกนี้มีคนที่ดีกว่าฉัน ถึงฉันจะพยายามแค่ไหน ฉันก็อาจจะไม่สามารถไล่ตามคนที่สมบูรณ์แบบอย่างนายได้ทัน”

ถ้อยคำของหวังตั้นทำให้จางเฟิงงุนงง ความหยิ่งทะนงของเขานั้นพึงพอใจ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง

“ตอนนี้พอฉันได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฉันก็รู้สึกดีขึ้นมาก ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ฉันสาบานว่าในอนาคตฉันจะดำรงชีวิตอยู่อย่างซื่อสัตย์กว่านี้” หวังตั้นตบหลังจางเฟิงเพื่อให้แน่ใจว่ากระดาษแผ่นนั้นติดอยู่แน่นหนาและจะไม่ปลิวหลุดไป “มาสิ พวกเราสำรวจต่อ และฉันจะเลิกพูดเรื่องผีน่าเบื่อพวกนี้”

หวังตั้นผลักจางเฟิงไปที่ด้านหน้ากลุ่มและเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย “อันที่จริง บ้านผีสิงนี่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกเขาพูดกัน พวกเราบอกคนอื่น ๆ อย่างนั้นเพราะแค่ต้องการปิดบังว่าพวกเราขี้กลัวกันขนาดไหน”

จางเฟิงยังคงสับสนอยู่มาก แต่เมื่อหวังตั้นพูดอย่างนั้น เขาก็ไม่รู้สึกกลัวแล้ว “มันไม่น่ากลัวอย่างนั้นจริง ๆ?”

“จริง บ้านผีสิงนี่ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด ตอนที่ฉันมาที่นี่ครั้งสุดท้าย มันน่าเบื่อจนฉันเกือบจะหลับแน่ะ”

ดูเหมือนว่าหวังตั้นจะได้เรียนรู้การแสดงจากบอสของบ้านผีสิงบางแห่งมาบ้าง เพราะว่าความจริงใจบนใบหน้าของเขานั้นไร้ที่ติขณะที่เขาผลักจางเฟิงให้มุ่งหน้าลงบันไดไป

วิ่งอยู่คนเดียวที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สาม ยืนอยู่ในห้องที่ดูเหมือนสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม มีผู้หญิงประหลาดที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่เป็นเพื่อน– ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกกลัวเมื่อถูกพามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เว่ยจินหยวนเกาหลังคอเหมือนมันเป็นนิสัยที่ต้องทำไปแล้ว แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่ม และลูกกระเดือกของเขาก็ขยับขึ้นลงขณะที่เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาตามใบหน้า

เขากำลังตามหานักแสดงลูกจ้างที่บ้านผีสิงของเฉินเกอเพื่อตามหาว่าอะไรคือความลับเบื้องหลังความนิยมของที่นี่ แต่ตอนนี้ที่เขาเจอนักแสดงตัวจริงเข้าแล้ว เขากลับรู้สึกไม่สบายใจและอยู่ไม่สุขอย่างประหลาด เพราะเหตุผลสักอย่างที่เขาอธิบายไม่ได้ ผู้หญิงที่อยู่ห่างจากเขาไปหลายเมตรนี้ทำให้เขาใจของเขาสั่นราวกับกับเป็นใบไม้ต้องลม

“นี่เป็นอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมแล้วก็การแต่งหน้าใช่ไหม?” หัวใจของเขาเต้นรัวไม่หยุดราวกับเป็นกระต่ายตื่นตูม เขาต้องการเวลาหนึ่งนาทีเต็มกว่าที่เว่ยจินหยวนจะรู้สึกเป็นตัวเองได้อีกครั้ง ตลอดกระบวนการนี้ ผู้หญิงที่ในชุดสีแดงก็แค่นิ่งอยู่ที่มุมกำแพง ไม่ได้แสดงท่าทีต้องการเข้ามาใกล้เขาแต่อย่างใด

“นี่ก็คล้ายกับเงาดำที่ฉันเจอที่ทางเดิน– พวกเขาไม่ได้คิดจะเข้ามาหลอกผู้เข้าชม และพวกเขายังไม่คิดที่จะแอบซ่อน นี่เป็นเพราะความมั่นใจเกินเหตุของนักแสดง หรือเพราะพวกเขาเองก็กังวลบางอย่างอยู่เหมือนกัน? นี่เป็นเพระว่าพวกเขากลัวว่าจะน่าหวาดกลัวเกินไปสำหรับผู้เข้าชมทั่วไป ดังนั้นจึงใช้วิธีการนี้ทำให้ผู้เข้าชม ‘ตกใจและหวาดกลัว’?” สมองของเว่ยจินหยวนวิ่งวนเป็นวงขณะที่เขาค่อย ๆ ขยับเท้าไปข้างหน้าช้า ๆ เส้นขนบนร่างลุกชันและทุก ๆ เซลล์ในร่างกายของเขาก็กรีดร้องให้เขากลับออกไป ทุก ๆ ก้าวที่เขาย่างนั้นต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก

“เฮ้ คุณเป็นหนึ่งในนักแสดงในบ้านผีสิงนี่หรือเปล่า?” เสียงของเขาสั่นอย่างไม่รู้ตัว เว่ยจินหยวนคอยให้กำลังใจตัวเองอยู่ข้างใน เตือนตัวเองเอาไว้ว่าไม่มีเหตุผลให้เขาต้องหวาดกลัว นี่ก็แค่นักแสดงสาวที่เฉินเกอจ้างมา บางทีหลังจากเธอล้างเครื่องสำอางออก เธออาจจะเป็นเด็กสาวน่ารักคนหนึ่งก็ได้

ผู้หญิงในชุดแดงไม่ตอบ เธอไขว้มือไว้ที่หน้าอกและหันหลังให้เว่ยจินหยวน เธอพิงศีรษะไว้กับผนังอย่างอ่อนแรง และเธอก็อยู่ในท่าประหลาดนั่น

“คุณจะไม่ตอบเหรอ ฮึ? ได้ ผมจะดูซิว่าคุณจะดื้อดึงได้แค่ไหน!” เดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยเลือด พรมใต้เท้าเขาส่งเสียงแกรกกรากทุกย่างก้าว ระยะห่างแค่ไม่กี่เมตร แต่ว่าเว่ยจินหยวนใช้เวลามากกว่าสิบวินาทีเพื่อข้ามระยะห่างนั่น เขาไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้นแล้วชะโงกหน้าเข้าไปมองเธอ

ชุดของเธอนั้นชุ่มเลือด ความอาฆาตแค้นหนาหนัก แค่มองแวบเดียว ผีผู้หญิงก็ส่งความสั่นเทิ้มลงไปตามสันหลังของเขา เขาพบว่ามือของเธอที่วางอยู่บนหน้าอกนั้นเหมือนจะกอดบางอย่างเอาไว้…

“คำใบ้คงไม่ได้อยู่ในมือคุณหรอกใช่ไหม?” ดวงตาของเว่ยจินหยวนเบิกกว้าง “บอสช่างชั่วร้ายเสียจริง ถึงกับวางคำใบ้เอาไว้ในที่อย่างนี้”

ถ้าคำใบ้นั้นอยู่ในมือของเธอจริง ๆ อย่างนั้นผู้เข้าชมก็ต้องเข้ามาใกล้ ๆ เธอเพื่อที่จะรับคำใบ้นั่น หากผู้เข้าชมหวาดกลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้ อย่างนั้นก็จะติดอยู่ในฉากนี้ไปตลอดกาล หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องยอมแพ้แล้วไปหาคำใบ้อื่น ๆ

“ขอบคุณที่เป็นผมที่มาเจอคุณเข้า ผมกล้าหาญที่สุดในกลุ่มแล้ว และนี่ก็ไม่ทำให้ผมกลัวได้หรอก” เว่ยจินหยวนเรียกความกล้าหาญของตัวเองออกมาเอื้อมมือไปดึงกระดาษสองสามแผ่นที่เธอกอดเอาไว้ในอ้อมแขน ตอนที่เขากำลังจะดึงมือกลับมา ศีรษะของผู้หญิงคนนั้นที่พิงอยู่กับกำแพงก็หันมาช้า ๆ ร่างของเธอยังอยู่ในท่าเดิม อันที่จริง คอของเธอก็ไม่ได้ขยับด้วยซ้ำ มีแค่ศีรษะของเธอที่หันมา หันมา…

ใบหน้าซีดขาวราวกับไร้เลือด เครื่องหน้าเรียกได้ว่างดงามแต่ว่าดวงตาดำสนิทไร้ประกายคู่นั้นดูน่ากลัวมาก ผีผู้หญิงดูจะไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเว่ยจินหยวนกำลังทำอะไร ความอาฆาตแค้นในดวงตาของเธอนั้นกำลังเลือดพล่าน  แต่สายตาของเธอก็ไปตกอยู่บนเส้นผมสีดำที่รอบข้อมือของตน เธอสงบลงอีกครั้งหนึ่ง

“คุณสวมคอนแท็คเลนส์สีดำสนิทด้วย? ถ้าผมไม่ได้ทำงานที่บ้านผีสิงและยังมีเชี่ยวชาญการแต่งหน้าอย่างนี้ ผมก็คงถูกคุณทำให้กลัวไปแล้ว” เว่ยจินหยวนดึงกระดาษออกจากเธอ เขาส่องไฟฉายไปยังกระดาษ “กฎพื้นฐานสำหรับพนักงานบ้านผีสิง? ห้ามมีสัมผัสทางกายภาพกับผู้เข้าชม? ห้ามทำร้ายผู้เข้าชม? ถ้าพบเจอผู้เข้าชมที่หมดสติให้ส่งพวกเขาไปยังห้องเก็บศพใต้ดินทันที?”

เว่ยจินหยวนอ่านกระดาษนั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก เครื่องหมายคำถามในหัวเขาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ “นี่มันอะไร? คำใบ้อยู่ที่ไหน?”

เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงในชุดสีแดง เธอยังคงอยู่ในท่าประหลาด ร่างกายของเธออยู่ห่างจากผนังราวครึ่งเมตร และมีแค่ศีรษะของเธอที่พิงผนังอยู่ ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่กระดาษที่เขาถือเอาไว้ราวกับกำลังรอให้เว่ยจินหยวนคืนมันให้เธอ

“มีแค่นี้?” เว่ยจินหยวนถือกระดาษเอาไว้ “คุณเป็นหนึ่งในนักแสดงที่นี่ใช่ไหม? มีความลับอะไรที่ผมควรจะเข้าใจจากคำพวกนี้หรือเปล่า?”

เธอไม่รู้ว่าเว่ยจินหยวนกำลังพูดถึงอะไรอยู่ แต่มีอย่างหนึ่งที่แน่ใจได้– ความอดทนของเธอกำลังจะหมดไปอย่างช้า ๆ เพราะผู้ชายคนนี้ ชุดสีแดงเริ่มมีเลือดซึม และกลิ่นเลือดจาง ๆ ก็เริ่มกำจายไปทั่วห้องนอน

“โอ้โห! มีการเปลี่ยนร่างที่สองด้วย?” เว่ยจินหยวนมองเลือดที่หยดลงมาจากชุดของเธอ และเขาก็สังเกตอย่างใจเย็น “มีถุงเลือดซ่อนเอาไว้ในชุดใช่ไหม? แต่คุณไม่เป็นมืออาชีพเกินไปแล้ว สิ่งที่นักแสดงบ้านผีสิงต้องมีก็คือความเร็ว ความคล่อง และความแม่นยำ คุณลงมือช้าอย่างนี้ ผู้เข้าชมก็จะมีเวลาเตรียมตัวกับการเปลี่ยนร่างที่ไม่ได้ฉับพลันแบบนี้”

เว่ยจินหยวนอันที่จริงนั้นไม่ได้มีความคิดเลยว่าเธอจะทำอะไรอย่างนี้ การพูดเรื่อยเจื้อยของเขานั้นก็เพื่อปิดบังความไม่แน่ใจที่คืบคลานผ่านหัวใจของเขา

“ดูเหมือนว่าการตามหาคำใบ้อย่างเดียวจะไม่เพียงพอ– พวกเราคงต้องไขปริศนาในนี้ด้วย” หลังคอของเว่ยจินหยวนนั้นคันมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีบางอย่างบนหลังคอของเขากำลังสั่น เขารู้สึกได้เลยว่ามีแรงเล็ก ๆ จากด้านหลังของเขาพยายามดึงเขาออกไป เหมือนมีแรงลึกลับบางอย่างกระตุ้นให้เขาออกไปจากที่นี่ทันที

“นี่เป็นกลไกลทางจิตแบบนึงเหรอ? แต่ว่าทฤษฎีเบื้องหลังล่ะ? ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ ฉันได้ดูบนอินเตอร์เนตแล้วว่าผู้เข้าชมหลายคนอ้างว่าเจ้าของที่นี่เชี่ยวชาญจิตวิทยา ดูเหมือนว่าฉันจะติดกับเขาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ” เว่ยจินหยวนถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือหนึ่ง แสงจากโทรศัพท์ส่องมาที่เขาและผู้หญิงที่ข้างตัวเขา ขณะที่มืออีกข้างของเขานั้นถือกระดาษสองสามแผ่นนั่นเอาไว้ “ฉันพลาดไปตรงไหน? ที่นี่ไม่ได้น่ากลัวด้วยซ้ำ แต่ว่าหัวใจของฉันกลับเต้นเร็วจี๋?”

ถูกแสงส่อง เอกสารกฎของพนักงานของเธอยังถูกแย่งไป และหลอดเลือดเริ่มก่อตัวอยู่บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้– เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกรังแก กลิ่นเลือดในอากาศหนาหนักขึ้น และเลือดเหนียวข้นก็ไหลลงมาตามชุดของเธอ ทำให้เกิดเสียงหยดลงบนพื้น

เว่ยจินหยวนยังคงเหม่อคิด เขารู้สึกเหมือนตัวเองเดินเข้ามาในกับดัก “ตั้งแต่เข้ามาในบ้านผีสิง ก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากห้องว่างเปล่า ไม่มีการจัดฉากและไม่มีความน่ากลัวเลยสักนิด ไม่มีกระทั่งเลือด แล้วบ้านผีสิงอย่างนี้กลับทำให้ฉันรู้สึกกลัว? สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างอธิบายไม่ได้นี่คืออะไรกัน? ฉันเหมือนจะได้กลิ่นเลือดในอากาศ แต่ว่านี่น่าจะเป็นแค่อาการหลอนสักอย่าง หรือว่าเขายังเล่นเล่ห์กลทางจิตกับฉันตอนที่ฉันไม่ทันระวัง?”

ไม่มีคำตอบของคำถามไหนเลย ทุกอย่างเต็มไปด้วยความลึกลับ เว่ยจินหยวนเกาหลังคอ และคิ้วของเขาก็ขมวด “สภาพแวดล้อมซับซ้อนเกินไป และมันก็น่ากลัวอย่างพูดไม่ถูก คำใบ้ที่ให้นั้นก็ไม่สามารถเข้าใจได้”

ตอนที่เขายังคิดอยู่ มือซีดเผือดข้างหนึ่งก็เอื้อมออกมาดึงกระดาษไปจากเขา

“คุณกำลังทำอะไร?” เว่ยจินหยวนหันไปมอง ริมฝีปากของเขาอ้าค้าง และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ ผู้หญิงที่อยู่ข้างผนังนั้นขยับเข้ามาในห้องมากขึ้น แต่ศีรษะของเธอหายไปแล้ว!

มีรอยตัดหยาบ ๆ อยู่รอบคอ และแผลที่เปิดอยู่ก็มีเลือดไหล ภาพนี้กระแทกเข้าสมองของเว่ยจินหยวนราวกับถูกค้อนทุบ เขารู้สึกราวกับว่าเขาถูกฟ้าผ่า และกระแสไฟฟ้าก็วิ่งผ่านเส้นเลือดทั้งหมดไป!

“หัวหายไปไหน?” เขายืนยันได้ว่านักแสดงที่อยู่ในห้องกับเขานั้นเป็นผู้หญิงเป็น ๆ คนหนึ่ง ใบหน้างดงาม สีหน้าเหมือนจริง กระทั่งสายตาเหนือกว่าเหมือนเธอกำลังมองขยะชิ้นหนึ่งก็ยังเป็นสิ่งที่หุ่นไม่สามารถลอกแบบมาได้ แต่ว่า หัวของคนเป็น ๆ จะหายไปในพริบตาได้อย่างไรเล่า!

“คืนของของฉันให้ฉัน!” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังไหล่ของเขา คอของเว่ยจินหยวนเอี้ยวกลับไปมองอย่างแข็งทื่อ และทันใดนั้น เขาก็มองเห็นภาพที่เป็นไปไม่ได้ หัวของผู้หญิงคนนั้นเชื่อมโยงอยู่กับหลอดเลือด และมันก็ลอยอยู่เหนือไหล่ของเขา และเลือดทั้งหมดในร่างของเขาก็พุ่งขึ้นสมองของเขาพร้อมกัน

“ช่วยด้วย!” เขากรีดร้องสุดเสียง มือหนึ่งถือโทรศัพท์และอีกมือถือเอกสารกฎของพนักงานเอาไว้ เขาพุ่งออกไปจากห้องนอนด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิต!

“คืนให้ฉัน คืนให้ฉัน!” ความแค้นหมุนเวียนอยู่รอบตัวเธอ และวิญญาณก็กระหายเลือด เลือดหยดลงบนพื้น และผู้หญิงในชุดสีแดงก็ตามเว่ยจินหยวนออกจากห้อง เลือดผสมเข้ากับเส้นผมสีดำ เธอกอดศีรษะของตนเองเอาไว้แล้วไล่ตามมาด้านหลังเว่ยจินหยวน

วิ่งไปตามทางเดินมืดสลัว เว่ยจินหยวนไม่มีเวลามาวิเคราะห์อะไรอีกแล้ว มีสิ่งเรียบง่ายอย่างเดียวที่อยู่ในใจของเขา

วิ่ง!

เขาไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังวิ่งไปไหน เขาแค่วิ่งไปตามทางเดินที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเท่านั้น!

หลังจากเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เขาก็หยุดหอบหายใจ โทรศัพท์ในมือสั่นขึ้นมาให้หันไปสนใจมัน หัวใจของเขาแทบจะกระโจนออกจากอกก่อนที่เว่ยจินหยวนจะมองโทรศัพท์ในมือ คนที่โทรมาก็คือหลีจิ่ว เหมือนกับคนจมน้ำพบเจอเรือยางกู้ชีพ เขาคว้ามันเอาไว้แล้วกดปุ่มรับสายอย่างบ้าคลั่ง!

“จินหยวน ฉันคงต้องพูดแบบเดิมอีกแล้วแหละ พวกเราเจอแผนที่อีกชิ้น และหลังจากพวกเราประกอบมันเข้าด้วยกัน พวกเราก็พบว่านายกับเย็นชากำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่อันตรายที่สุด…”

ก่อนที่หลีจิ่วจะพูดจบ เขาก็ถูกเว่ยจินหยวนตัดบท “จิ่ว! มาช่วยฉัน! มาช่วยฉันที!”

“พูดช้า ๆ เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เว่ยจินหยวนเองก็อยากจะพูดช้า ๆ แต่ว่าพอเขาหันกลับไป เขาก็เห็นผู้หญิงชุดแดงวิ่งมาทางเขา หัวซุกอยู่ในอ้อมแขนของเธอและก็นำร่างของเธอพุ่งไปตามทางเดินเพื่อจับตัวเหยื่อของเธอ!

“มาที่นี่เดี๋ยวนี้! มีผู้หญิงบ้าอยู่ที่นี่! เธอไม่มีหัว! นายเข้าใจไหม!” เว่ยจินหยวนกรีดร้องเข้าไปในโทรศัพท์ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจากความหวาดกลัว

“เธอไม่มีหัว? เป็นเทคนิคพิเศษอะไรหรือเปล่า? อธิบายให้ตัวเองฟังสิ มีเหตุผลหน่อย อย่าทำเหมือนทำหัวหล่นหายไปสิ สงบใจหน่อย”

“ฉันไม่ได้ทำหัวหาย! เป็นเธอ! ใช่ เธอทำหัวเธอหาย!”

เสียงของเว่ยจินหยวนก้องไปตามทางเดินมืด ๆ

และจากนั้นสายก็ถูกตัด

“แปลก” ที่อีกปลายสาย หลีจิ่วยืนอยู่ที่เดิมถือโทรศัพท์เอาไว้ เสียงกรีดร้องแสบหูของเว่ยจินหยวนจากก่อนหน้านี้นั้นหลีจิ่วและทุกคนได้ยินผ่านโทรศัพท์แล้ว

“เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวจินน่ะ?” ด้วยคำที่เขาใช้ เห็นได้ชัดเจนว่านักไลฟ์สตรีมนั้นสนิทกับพนักงานของสถาบันฝันร้าย แต่ว่า ก็ไม่ได้มีความเป็นห่วงมากมายในคำถามของเขา ดูเป็นการสงสัยออกมาเฉย ๆ “เสี่ยวจินน่าจะไม่ได้ถูกหลอกง่ายขนาดนั้น สามารถทำให้เขากลัวจนร้องออกมาอย่างนี้ได้ ดูเหมือนว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ในบ้านผีสิงนี่”

“พวกเราควรจะระวังให้มากขึ้น ผมไม่คิดว่าผมได้ยินที่จินหยวนพูดก่อนหน้านี้อย่างถูกต้องนัก แต่ผมเชื่อว่าเขาพูดถึงผีผู้หญิงไร้หัว” หลีจิ่วรู้สึกอายนิด ๆ ที่เพื่อนร่วมงานของเขาถูกหลอกจนมีสภาพอย่างนี้ “ยังไง พวกเราก็ไม่ควรให้ความสำคัญกับเขามากเกินไป เว่ยจินหยวนอยู่ในทีมออกแบบ และเขาก็ไม่ได้เข้าบ้านผีสิงบ่อยนัก ดังนั้นเขาจึงถูกหลอกง่ายที่สุดในหมู่พวกเรา

“การสำคัญตัวผิดนี่จะเป็นหายนะของพวกคุณ” หวังตั้นเองก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเว่ยจินหยวนเมื่อกี้นี้ ถ้อยคำของเขานั้นตรงยิ่งกว่าที่เขาตั้งใจ “ผมขอแนะนำให้คุณฟังผมแล้วเลิกใช้โทรศัพท์ในบ้านผีสิง จากนั้นพวกเราก็หาทางกลับไป ไม่มีทางที่พวกเราจะผ่านฉากนี้ไปได้ด้วยกลุ่มคนที่แหกกฎเกณฑ์อย่างนี้”

“ถ้าพูดใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมถึงไปแยกไปเองแล้วเลิกตามหลังพวกเราอย่างน่าละอายเสียที?” คำแนะนำของหวังตั้งนั้นเหมือนพูดให้คนหูหนวกฟัง และนักไลฟ์สตรีมยังท้าทายเขาอย่างหยาบคาย หลังจากเกิดเรื่องกับเว่ยจินหยวน เขาก็รู้สึกไม่ดีอย่างประหลาด

หวังตั้นไม่ได้ปะทะคารมด้วย เขายักไหล่และพูดให้ตัวเองได้ยินคนเดียว “ถ้าฉันไป แล้วใครจะช่วยเก็บพวกนายตอนหมดสติล่ะ?”

“เลิกเถียงกัน ฉันยอมรับว่ามีบางอย่างในบ้านผีสิงนี่ที่สมควรกับคำชื่นชมที่สามารถทำให้จินหยวนกลัวขนาดนั้นได้ ตอนนี้พวกเราเจอแผนที่สองส่วนแล้ว ฉันเชื่อว่าพวกเราจะสามารถหนีออกไปได้ในไม่ช้าแล้ว” หลีจิ่วนั้นรับผิดชอบเรื่องอุปกรณ์ประกอบฉากและของตกแต่งในสถาบันฝันร้าย เขาอยู่ในธุรกิจนี้มาห้าปีแล้ว และด้วยประสบการณ์ของเขา เขาสามารถมองกลไกต่าง ๆ ที่ติดตั้งเอาไว้ในบ้านผีสิงได้เมื่อมองแค่แวบเดียว เป็นเพราะประสบการณ์ของเขาทำให้เขาสามารถหาคำใบ้ที่เฉินเกอซ่อนเอาไว้ในเมืองหลี่ว่านได้อย่างง่ายดาย

ฉากนี้นั้นถึงจะยากมากแต่ก็มีโอกาสที่ผู้เข้าชมจะชนะ นั่นเป็นวิธีการเดียวที่ผู้เข้าชมจะรู้สึกว่าการสัมผัสประสบการณ์ครั้งนี้นั้นสนุก และคำใบ้ก็เป็นโอกาสที่เฉินเกอเตรียมไว้ให้เหล่าผู้เข้าชม เมื่อมีแผนที่ พวกเขาก็สามารถหลีกเลี่ยงสถานที่ที่อันตรายมาก ๆ อย่างผู้หญิงในชุดแดงที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สามได้

เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถเปลี่ยนผู้ชายคนที่มั่นใจอย่างสุด ๆ ก่อนหน้านี้ไปเป็นเด็กน้อยร้องไห้ขี้มูกโป่ง นั่นทำให้ผู้เข้าชมคนอื่น ๆ รู้สึกถึงความกดดันที่มองไม่เห็น

“มาเถอะ เดินต่อไป ดูซิว่าพวกเราจะเจออะไรอื่นอีกไหม” หลีจิ่วเก็บโทรศัพท์และมองแผนที่ทั้งสองชิ้น

“มันเหมือนกับว่าที่นี่นั้นเป็นสถานที่ทดสอบความอดทน นักแสดงจะรอจนกระทั่งพวกเราประมาทและเริ่มกระวนกระวาย จากนั้นพวกเขาก็จะกระโดดออกมาหลอกพวกเราให้กลัว นั่นน่าจะเป็นวิธีการที่พวกเขาจัดการกับเสี่ยวจิน” นักไลฟ์สตรีมมองนาฬิกาและสบตากับหลีจิ่ว หลีจิ่วเข้าใจความหมายและพยักหน้า จากนั้นเขาก็พูด “หลังจากเข้าไปในตึกต่อไป พวกเราจะแยกกันชั่วคราว พวกเราจะค่อย ๆ เคลื่อนที่ไปช้า ๆ หลังจากค้นทัวตึกแล้ว พวกเราจะมาเจอกันอีกทีที่ทางเข้า”

โดยไม่รอให้คนอื่นตอบสนอง หลีจิ่วกับนักไลฟ์สตรีมก็ก้าวยาว ๆ เข้าไปในตึกตรงหน้าพวกเขา

“เดี๋ยวนะ ผมคิดว่าพวกเราควรจะเกาะกลุ่มกันเอาไว้” นักศึกษาจางเฟิงแนะนำ แต่ว่าหลีจิ่วและนักไลฟ์สตรีมนั้นเดินห่างจากพวกเขาไปเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด

“พวกเราควรจะไปกับพวกเขา” หวังตั้นพูดเบา ๆ เขารู้สึกได้ว่าหลีจิ่วและโฮสต์คนนั้นมีแรงจูงใจแอบแฝงในการมาเยือนบ้านผีสิง

“นายแน่ใจ?” จางเฟิงนั้นตอนแรกไม่ได้กลัวอะไรนัก แต่หลังจากได้ยินเสียงของเว่ยจินหยวนจากสายโทรศัพท์เมื่อครู่นี้ เขาก็รู้สึกตื่นตระหนกอยู่พอสมควร “ตึกตรงหน้าพวกเราดูเหมือนโรงพยาบาลเล็ก ๆ พวกเขามักจะใส่อะไรน่ากลัว ๆ เอาไว้ในโรงพยาบาลในบ้านผีสิงไม่ใช่เหรอ?”

“นายกลัวเหรอ?” หวังตั้นแทบจะไม่หันมามองจางเฟิงตอนที่มุ่งหน้าเข้าไปในโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน

“ใครกลัว? นายดูถูกฉันเหรอ? ให้ฉันบอกนายนะ บ้านผีสิงไม่มีทางน่ากลัวหรือว่าตื่นเต้นไปกว่าบันจี้จั๊มพ์หรอก”

จางเฟิงเหลือบมองป้ายไม้ที่บอกว่าตึกนี้คือโรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน เขาเก็บความกระวนกระวายในใจเอาไว้และตามหวังตั้งกับแฟนสาวของเขาเข้าไปในตึก

 

หมอกจาง ๆ เริ่มพลิ้วไปตามเมืองร้าง และตึกที่สองข้างก็มีเงาวูบผ่านไป อุณหภูมิลดลงอีก และเสียงกระซิบของผู้หญิงและเด็กก็ดังมาให้ได้ยิน แต่ว่า แม้ผู้ช่วยสาวจะพยายามตั้งใจฟังเสียงนั่น เธอก็พบว่าไม่มีอะไรนอกจากความเงียบ และทั้งหมดที่เธอได้ยินก็คือเสียงหัวใจของเธอเองเต้นอย่างบ้าคลั่ง

“คุณไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหมคะ?” ในฉากนั้นมืดสลัว และเมื่อผสานเข้ากับหมอกจาง ๆ ก็หมายความว่าผู้ช่วยสาวนั้นยากที่จะบอกได้ว่ามีรอยฝ่ามืออยู่ที่หลังคอของเว่ยจินหยวนจริงหรือไม่ “บางทีมันอาจจะเป็นพนักงานในบ้านผีสิงลงมือทำไหมคะ? ตอนที่เว่ยจินหยวนชะโงกหน้าเข้าไปในหน้าต่างก่อนหน้านี้ เป็นไปได้ไหมว่านักแสดงจะใช้สีพิเศษทาหลังคอเขา? พวกเราก็เคยเห็นสีแบบนั้นมาก่อนที่ต่างประเทศ สีเดิมนั้นจาง แต่เมื่อผสมเข้ากับเหงื่อคนหรือว่าน้ำ สีก็จะเข้มขึ้นทันที”

“พูดกันตามตรงนะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น แต่ฉันรู้สึกว่าบ้านผีสิงนี่ต่างไปจากที่เราเคยไปที่ต่างประเทศ ตอนที่ฉันเข้าไปในบ้านผีสิงก่อนหน้านี้ ไม่มีความรู้สึกกระวนกระวายแบบนี้” ชิโนซากิวางมือเอาไว้ตรงหัวใจ “ที่นี่ไม่มีอะไรที่น่าสยดสยองอย่างเลือดหรือว่าแขนขาปลอม แต่ว่ายิ่งเดินไปตามทาง ก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างประหลาด มันเหมือนกับว่าตอนนี้ มีดวงตานับไม่ถ้วนกำลังจับตามองพวกเราอยู่ทุกฝีก้าว”

“ไม่ว่ายังไง ฉันไม่เชื่อว่าจะมีอะไรน่ากลัวอย่างคนล่องหนขี่อยู่บนคอผู้ชายคนนั้น แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นหนึ่งแรงบันดาลใจที่ดีมาก คุณสามารถวาดมันลงไปในงานของคุณได้” ผู้ช่วยสาวเชื่อว่าชิโนซากินั้นกดดันมากในช่วงหลังมานี้ และเขาก็อยู่ในธุรกิจศิลปะมานานเกินไป ดังนั้นมันจึงง่ายที่เขาจะคิดถึงการเชื่อมโยงน่ากลัวอย่างนี้

เมื่อพูดถึงการ์ตูนของเขาเอง ดวงตาของชิโนซากิก็เป็นประกายสว่าง “เรื่องนั้นเธอพูดถูก ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ นี่ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับโครงการใหม่ของฉัน ตอนนี้ ตามพวกเขาสองคนไปก่อน มีพวกเขานำหน้าไป พวกเราก็ปลอดภัยมากขึ้น”

นั่นคือนิสัยของชิโนซากิ ที่ให้ความสนใจกับสิ่งต่าง ๆ ได้เพียงอย่างเดียว เขาจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ในใจ และนี่ก็ทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองจากชายไร้บ้าน หลี่เป้าฝู ไปเป็นหนึ่งในดวงดาวที่ส่องสว่างที่สุดในธุรกิจการ์ตูน ชิโนซากิไต้เสิน

ที่ตึกใกล้ ๆ นั้นมีฉากหลังที่มืดมากกับแสงสว่างสลัวส่องออกมา แต่เมื่อเข้าไปใกล้ แสงก็ดับไปด้วยตัวเอง แต่พอเดินห่างออกมา แสงนั่นก็กลับมาสว่างอีกครั้ง

“นี่ค่อนข้างน่าสนใจ ดูเหมือนว่าบ้านผีสิงนี่จะใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ หลายอย่าง ทั้งเซนเซอร์แสง เครื่องสร้างหมอก…” เว่ยจินหยวนพยายามใช้ความรู้ของตัวเองชำแหละบ้านผีสิงนี่ และการวิเคราะห์ของเขาก็ดูมีเหตุมีผลดี

ตอนที่เขาคิดจะเดินหน้าต่อ โทรศัพท์ของเขาจู่ ๆ ก็ดังขึ้น เขาก้มหน้าลงและเห็นว่าเป็นหลีจิ่วโทรมา เขารับสายเพราะว่าอยากรู้ว่าอีกกลุ่มนั้นเป็นอย่างไรบ้าง “ที่นั่นเป็นไงมั่ง? นายเจอคำใบ้ที่มีประโยขน์อะไรไหม?”

เสียงของหลีจิ่วดังมาจากอีกปลายสาย “บ้านผีสิงนี่น่าเบื่อกว่าที่เราคิดเอาไว้ พวกเราตรวจดูหลายห้องแล้ว แต่ทั้งหมดล้วนว่างเปล่า ไม่มีทางเดินลับหรือว่านักแสดงด้วยซ้ำ”

“ฉันลองถาม ๆ ดูก่อนที่จะเข้ามาแล้ว บ้านผีสิงนี่ปลดล็อกฉากใหม่ ๆ หลายฉากในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังนั้นมันก็เป็นไปได้ที่ไม่ใช่ทุกฉากจะสมบูรณ์ นอกจากนี้ ฉันไม่แน่ใจว่านายสังเกตเห็นไหม แต่ว่าฉากนี้ดูเหมือนจะมีความยาก 3.5 ดาว มันฟังดูเหมือนว่าฉากนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อย เจ้าคนแซ่เฉินนั่นน่าจะถูกบังคับให้เปิดใช้ฉากที่ไม่สมบูรณ์นี่เพราะความกดดันจากสวนสนุกแห่งอนาคต” เว่ยจินหยวนเดินไปตามถนน และจำนวนห้องที่สองข้างทางก็เพิ่มมากขึ้น

“เอาละ ฉันจะวางสายก่อนละ ฉันจะโทรหานายอีกทีในสิบนาที พวกเราควรจะตั้งใจหาคำใบ้แล้ว” หลีจิ่วพูดและวางสายทันที

“เขาเป็นอะไรไปน่ะ? โทรมาแค่นาทีเดียว ถ้างั้นจะเสียเวลาโทรตั้งแต่แรกทำไม?” เว่ยจินหยวนเก็บโทรศัพท์และเกาหลังคอ เขาคอยแต่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างจั๊กจี้อยู่ที่หลังคอของเขาเหมือนถูกยุงกัดตรงนั้น

ถนนข้างหน้าแคบลงอีก และพวกเขาก็เดินไปอีกประมาณสิบเมตรก่อนที่หลี่ซางอิ๋นจะเห็นป้ายไม้แผ่นหนึ่งแขนอยู่บนกำแพงข้าง ๆ พวกเขา ประโยคนั้นเขียนไว้ด้วยเลือด “ฉันเป็นหนึ่งในพวกแก”

“ตอนนี้เขาก็เริ่มเล่นเกมจิตวิทยาแล้วใช่ไหมฮึ? น่าเบื่อจัง” เว่ยจินหยวนเล็งกล้องโทรศัพท์ไปที่ป้ายไม้และถ่ายรูปไว้ เขากดบันทึกรูป “นี่เป็นสิ่งแรกที่ค่อนข้างน่ากลัวที่ฉันเจอตั้งแต่เข้ามาในบ้านผีสิงนี่ มันไม่น่าเชื่อเลยว่าบ้านผีสิงที่วางจังหวะไม่สมเหตุสมผลอะไรเลยอย่างนี้กลับเป็นที่นิยมมาก”

“อย่าได้ดูเบาที่นี่ คำเตือนบนแผ่นป้ายนั่นอาจจะเป็นความจริง” หลี่ซางอิ๋นยังคงสีหน้านิ่งเฉย “ตามการวิเคราะห์ที่ฉันอ่านบนออนไลน์ หลายคนเชื่อว่าบอสบ้านผีสิงนี่มีครั้งหนึ่งเคยให้นักแสดงของเขาปะปนเข้ามาในกลุ่มผู้เข้าชมเพื่อรบกวนการตัดสินใจของพวกเขา แน่นอนว่า นี่เป็นแค่การสันนิษฐานเท่านั้น ไม่มีใครมีหลักฐานยืนยัน”

“ถึงอย่างนั้นก็ไม่สำคัญเหมือนกันแหละ” เว่ยจินหยวนหมุนป้ายกลับและคำว่า ‘เขตที่พักอาศัยตงจื่อ’ ก็ถูกเขียนได้ที่ด้านหลังป้าย “ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นเขตที่พักอาศัย บอสบอกว่าคำใบ้ที่สองซ่อนอยู่ในเขตที่พักอาศัย งั้นในที่สุดก็จะมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นตอนที่เราเข้าไปในนี้สินะ”

หลี่ซางอิ๋นพยักหน้า และทั้งสองคนก็มุ่งหน้าเข้าไปในสวนเล็ก ๆ ทันที

“คุณคะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวเหม่อนะคะ พวกเราต้องรีบตามพวกเขาให้ทัน” ผู้ช่วยสาวกระตุ้น แต่ว่าชิโนซากิกลับยืนอยู่ในสวนและพิจารณาแผ่นป้ายไม้บนกำแพงเหมือนเขาจริงจังกับคำเตือนที่บนป้าย

“ถ้าอย่างนั้น… เธอคิดว่าจะมีใครปะปนเข้ามาในกลุ่มพวกเราจริง ๆ งั้นเหรอ?” ชิโนซากิพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ ขณะมองไปรอบ ๆ “บ้านผีสิงนี่สร้างบรรยากาศได้ยอดเยี่ยมมากจนฉันไม่สามารถสลัดความรู้สึกว่ามีเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นออกไปได้เลย”

ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวนั้นเข้าไปในเขตที่พักอาศัยทีหลัง เกือบจะทันทีที่พวกเขาเข้าไปในพื้นที่ เงาดำหลายเงาก็กะพริบวูบวาบอยู่ที่ด้านหลังพวกเขา มีตึกเตี้ย ๆ สามตึกเรียงรายกันอยู่ที่ด้านในเขตที่พักอาศัย พวกมันมีหมายเลขหนึ่งถึงสาม และมีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากในตึก มันเหมือนเด็ก ๆ กำลังใช้ของชิ้นเล็ก ๆ ทุบกระจกอยู่

“นอกจากตึกหน้าตาโทรม ๆ แล้ว ที่นี่ก็ดูไม่ต่างไปจากเขตเมืองเก่าของพวกเราเลยนะ” เว่ยจินหยวนมองไปที่กำแพงที่สีลอกแลเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าตึกแรก “พวกเราควรจะเข้าไปด้วยกันหรือว่าแยกกันไป? ฉันสงสัยว่าแต่ละตึกจะซ่อนสิ่งที่ต่างกันเอาไว้”

“ฉันจะไปคนเดียว และนายก็พาสองคนนั้นไป” หลี่ซางอิ๋นเดินเข้าไปในตึกที่สามคนเดียว และไม่ช้าเขาก็หายลับไปจากสายตา เหลือแต่เสียงฝีเท้าของเขาเท่านั้น

“เลือดร้อนเสียจริง ฉันหวังว่าเขาจะไม่ไปทำให้นักแสดงที่ทำงานในบ้านผีสิงนี่ตกใจกลัวนะ” เว่ยจินหยวนเอี้ยวคอไปมองและพบว่าชิโนซากิกับผู้ช่วยสาวนั้นยังยืนอยู่ที่กลางสวน “พวกคุณสองคนทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ? เลิกเสียเวลาได้แล้ว!”

“ขอโทษด้วยค่ะ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้” ผู้ช่วยสาวดึงชายเสื้อชิโนซากิ “คุณคะ ไปได้แล้ว”

“ได้” ชิโนซากิจ้องพุ่มไม้ที่สูงประมาณเอวที่เรียงรายอยู่ริมสวน ไม่มีลมเลยสักนิด แต่ว่าพุ่มไม้กลับขยับไปมาเหมือนมีบางคนหรือบางอย่างแอบอยู่ด้านในนั้น

ชิโนซากิ ผู้ช่วยสาว และเว่ยจินหยวนเข้าไปในตึกแรกโดยไม่ได้เข้าไปใกล้กับพุ่มไม้ มีคราบน้ำเหลืออยู่บนพื้น และกำแพงก็มีรอยแตกเป็นทางยาว ในความมืด พวกมันดูราวกับริมฝีปากที่กำลังยิ้ม บันไดนำลงไปข้างล่างและมันก็มืดสลัวมาก สิ่งเดียวที่พวกเขามองเห็นก็คือประตูบานหนึ่งที่แง้มเปิดไว้

“ลงไปได้ลึกแค่ไหนกันเนี่ย?” เว่ยจินหยวนดึงโทรศัพท์ออกมาเปิดไฟฉาย แสงไฟส่องผ่านความมืด แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเลย กลับกัน ยิ่งพวกเขาเห็น ก็ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยดี

ผงสีขาวร่วงลงมาบนศีรษะของพวกเขาเรื่อย ๆ รอยฝ่ามือถูกทิ้งเอาไว้บนราวบันไดขึ้นสนิม และความรู้สึกหายใจไม่ออกก็รุนแรงขึ้น มันเหมือนว่ามีภูเขาสักลูกกดลงมาบนหัวใจของพวกเขา เว่ยจินหยวนเกาคอแล้วก็ผลักประตูห้องแรกเปิดออก มีเครื่อนเรือนเก่า ๆ กระจัดกระจายอยู่ในห้อง และมันก็ดูธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

ถึงแม้ว่าเขาจะอ้างว่าเขาไม่กลัวอยู่หลายครั้ง ตอนที่เข้าไปในห้อง เขาก็ยังสังเกตสิ่งต่าง ๆ อย่างระมัดระวังมากขึ้น เขาตรวจดูทุกมุมที่อาจจะซ่อนกับดักเอาไว้ได้ แต่ว่าเขาดูอยู่นานแต่กลับไม่พบอะไรเลย นี่เป็นห้องธรรมดา ๆ ห้องหนึ่ง

“บอสบ้านผีสิงตั้งใจจะใช้วิธีนี้แยกพวกเราออกจากกัน?” เว่ยจินหยวนตรวจดูอีกหลายห้องบนชั้นเดียวกัน ไม่มีอะไรน่ากลัวและไม่มีนักแสดงของบ้างผีสิงซ่อนตัวอยู่ที่ตรงมุมไหนคอยหลอกพวกเขา

“มีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับบอสคนนั้นหรือเปล่า? เขาสร้างห้องว่าง ๆ เหล่านี้เพื่อเป็นแค่ของตกแต่งเหรอ?” หากนี่ไม่ได้สร้างอยู่ในบ้านผีสิง เว่ยจินหยวนเชื่อว่าห้องพวกนี้นั้นอันที่จริงสามารถใช้เป็นบ้านเช่าราคาถูกได้เลย

เขาเดินลงไปตามบันไดและไปถึงที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง แผนผังของที่นี่นั้นเกือบจะเหมือนกันต่างกันแค่เพียงอย่างเดียว มีทางเดินมืดสนิทที่เชื่อมชั้นใต้ดินของทั้งสามตึกเข้าหากัน เว่ยจินหยวนเดินไปที่สุดทางเดินและตะโกน “เย็นชา นายได้ยินฉันไหม?”

มีเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงฝีเท้า แต่ไม่มีใครให้เห็น

“หรือว่าพ่อคนเย็นชานั่นลงไปที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สามแล้ว? นั่นเป็นไปไม่ได้! พวกเราตามกันมาติด ๆ ดังนั้นถ้าเขาได้ยินฉัน เขาก็ควรต้องตอบกลับมา” หน้าผากของเว่ยจินหยวนนั้นมีเหงื่อผุดพราว ตึกทั้งหมดที่ด้านบนนั้นน่าจะเป็นแค่ตัวหลอก– ความสยองขวัญที่แท้จริงนั้นซ่อนอยู่ใต้ดินทั้งหมดเลย “ตึกทั้งหมดล้วนเชื่อมต่อกันที่ใต้ดิน ที่นี่มันเหมือนเขาวงกตใต้ดิน”

เขามองไปตามทางเดิน และอากาศเย็นเยือกก็ถาโถมใส่เขา นี่เป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงกับตอนที่พวกเขาอยู่ด้านนอก เขาเปิดประตูที่ใกล้ตัวเขาที่สุด และเว่ยจินหยวนก็มองเข้าไปในห้องพร้อมกับแสงจากโทรศัพท์ขณะที่ยังยืนอยู่ด้านนอก “แผนผังของทุกห้องบนชั้นใต้ดินชั้นที่สองนั้นก็เป็นเหมือนกับที่ชั้นแรก การออกแบบอย่างนี้นั้นมีจุดประสงค์อะไรกัน? ฉันไม่เข้าใจความตั้งใจของเขาเลย!”

เว่ยจินหยวนพยายามค้นหาความลับเบื้องหลังความนิยมของบ้านผีสิงของเฉินเกอ ทำไมเขาถึงดึงดูดผู้เข้าชมได้มากมาย แต่ว่าจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังหาอะไรไม่เจอเลย เขาเปิดประตูบานแล้วบานเล่า และตอนที่เว่ยจินหยวนกำลังจะยอมแพ้ เขาก็พบว่าประตูบานหนึ่งต่างไปจากบานอื่น ๆ ที่ขอบประตูนั้นมีเทปกาวแปะติดเอาไว้ และยังมีช่องตาแมวที่ปิดเอาไว้ด้วยเทปกาว

“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง” เว่ยจินหยวนดึงเทปบนประตูออกและผลักเปิดประตูช้า ๆ ห้องที่ด้านหลังประตูบานนี้นั้นต่างไปจากห้องอื่นจริง ๆ เครื่องเรือนทั้งหมดล้วนมีเทปกาวพันเอาไว้

“ดูเหมือนว่าคำใบ้น่าจะซ่อนอยู่ในห้องนี้” เว่ยจินหยวนดึงเทปที่รอบ ๆ ที่วางรองเท้าออก เขามองเข้าไป และเห็นรองเท้าห้าคู่ถูกวางเอาไว้ในนั้น มีรองเท้าแตะเปิดส้นของผู้หญิงคู่หนึ่ง รองเท้าผ้าของหญิงชราคู่หนึ่ง และรองเท้าผ้าใบต่างขนาดของผู้ชายสามคู่

“รองเท้าพวกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของปริศนาเหรอ?” เว่ยจินหยวนหยิบรองเท้าขึ้นมาดูทีละคู่ แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ยอมแพ้ “สมองของบอสมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมเขาถึงได้สิ้นเปลืองทรัพยากรออกแบบสิ่งเหล่านี้ที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงกัน! เขาไม่รู้กระทั่งวิธีการออกแบบบ้านผีสิงหรือไง?”

ยิ่งเขามอง เขาก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย เว่ยจินหยวนสังเกตเห็นว่าเครื่องเรือนส่วนมากนั้นถูกพันเทปเอาไว้ และเขาก็ไม่คิดจะเข้าไปดูคนเดียว “เฮ้! มาช่วยกันทางนี้หน่อย!”

“คุณเจออะไรเหรอคะ?” ผู้ช่วยสาวและชิโนซากิวิ่งมาทางเขา ตอนที่พวกเขาเห็นห้องที่เต็มไปด้วยเทปกาว พวกเขาก็ค่อนข้างตกใจ

“ช่วยฉันแกะเทปพวกนี้ออกให้หมด คำใบ้น่าจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งที่นี่” เมื่อเว่ยจินหยวนสั่ง ทั้งกลุ่มก็เริ่มแกะเทปที่ติดอยู่ตามลิ้นชัก ตู้ ใต้เตียง และบนประตู พวกเขาค้นที่นี่จนทั่วแต่กลับไม่เจออะไรที่มีประโยชน์เลย

“หรือว่าบอสแค่ล้อเล่นกับพวกเรา?” เว่ยจินหยวนรำคาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ความถี่ที่เขาเอื้อมมือไปเกาด้านหลังคอก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเหมือนกัน ความคันนั้นยิ่งมายิ่งชัดเจนมากขึ้น “คุณสองคนอยู่ตรงนี้แกะเทปพวกนี้ต่อ ตรวจดูให้ครบทุกตารางนิ้ว ฉันจะไปที่ชั้นล่างต่อ”

เว่ยจินหยวนทิ้งชิโนซากิกับผู้ช่วยสามเอาไว้ข้างหลัง และเขาก็แยกไปคนเดียว ชั้นล่างสุดนั้นมืดสลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่มีไฟฉายก็แทบจะมองไม่เห็น ชั้นนี้ต่างไปจากชั้นด้านบน มีทางเดินสองทาง นำไปซ้ายและขวา

ทางหนึ่งนั้นเชื่อมกับอีกสองตึก แต่ไม่มีใครรู้ว่าอีกทางนั้นนำไปที่ไหน เว่ยจินหยวนสูดลมหายใจลึก เขากำมือตัวเองแน่น และเขาก็ไม่รู้ตัวเลยว่าฝ่ามือของเขานั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขามองไปตามทางเดินทางซ้าย และเขาก็เห็นเงาราง ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งยืนพิงกำแพงอยู่

“หลี่ซางอิ๋น?” เว่ยจินหยวนเรียกชื่อเต็มของหลี่ซางอิ๋นแทนที่จะเป็นฉายา เขายกไฟฉายขึ้นส่องไปยังจุดที่เงานั่นยืนอยู่ ไม่มีการตอบรับอะไร– เห็นได้ชัดเจนว่าเงานั่นไม่ใช่หลี่ซางอิ๋น

“ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนกับพ่อคนเย็นชานั่นหายตัวไปหลังจากที่เข้าไปในตึกนั้น? แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง? พวกเราอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เมตรเอง” หากไม่ใช่เย็นชาก็ต้องเป็นพนักงานสักคน เว่ยจินหยวนยกโทรศัพท์ขึ้นและวิ่งไปต่อ “พูดกันโดยทั่วไปแล้ว นักแสดงที่บ้านผีสิงจะซ่อนอยู่ใกล้ ๆ กับมุมหรือสิ่งของบางอย่างเพื่อที่จะกระโจนออกมาหลอกผู้เข้าชมตอนที่พวกเขาเดินผ่าน แต่ไอ้คนนี้มันยังไง? เขาแค่ยืนอยู่ที่ทางเดิน เขาไม่กลัวว่าจะถูกผู้เข้าชมเจอตัวเข้าหรือไง?”

ไม่ว่าเว่ยจินหยวนจะทำเสียงดังเอะอะแค่ไหน เงานั่นก็ไม่ขยับ หลังจากที่เขาเข้าไปใกล้ ๆ เขาก็พบว่าเงานั่นมีอะไรแปลก ๆ ร่างกายของเงานั่นเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จนเหมือนกับตัวเขาเอง นี่เป็นประสบการณ์ประหลาด มันเหมือนเขาำลังมองตัวเองจากด้านหลัง ลูกกระเดือกของเว่ยจินหยวนสั่นระริก และในที่สุดเขาก็อยู่ห่างจาก ‘ผู้ชาย’ คนนั้นแค่สามเมตร

หลังจากปรับลมหายใจแล้ว เว่ยจินหยวนก็กำลังจะพูดตอนที่โทรศัพท์ที่เขาถือไว้ตรงอกจู่ ๆ ก็สั่น!

“เชี่ย!” หลังจากสบถออกไปดังลั่น เว่ยจินหยวนก็ก้มหน้าลงไปกดปุ่มรับสาย ก่อนที่เขาจะทันมองชื่อคนโทรเข้า ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เงาตรงหน้าเขาก็หายไปแล้ว “เขาวิ่งหนีไปที่ไหนน่ะ?”

“เฮ้ จินหยวน ฉันเจอแผนที่ของเมืองนี้ มีพื้นที่ที่ถูกกากบาทด้วยสีแดงอยู่แถว ๆ นายแน่ะ…”

“ฉันค่อยคุยกับนายทีหลัง!” เว่ยจินหยวนตัดสายทิ้งทันทีและเขาก็ใช้ไฟฉายส่องไปทั่ว ๆ อย่างรวดเร็ว “เขาเพิ่งโทรหาฉันเมื่อแล้วก็โทรมาอีกแล้ว? เกิดบ้าอะไรขึ้นกับเขาเนี่ย?”

“ผู้ชายคนนั้นหายไปไหนกัน?” มันใช้เวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งวินาทีที่เขาก้มหน้าลงไปแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา และเงานั่นก็หายตัวไปแล้ว นอกจากนี้ เว่ยจินหยวนยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย– มันเหมือนกับชายคนนั้นระเหยกลายเป็นอากาศไป

“ฉันไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย และประตูที่สองข้างทางก็ยังเปิดอยู่ งั้นเขาก็คงแอบเข้าไปในห้องสักห้องแหละ” เว่ยจินหยวนเดินไปตรงที่ที่เงานั่นยืนอยู่ก่อนหน้านี้ “ห้องที่ใกล้เขาที่สุดอยู่ห่างไปแค่เมตรเดียว เขาฝึกซ้อมกี่ครั้งกันถึงสามารถหายวับไปในพริบตา”

เว่ยจินหยวนมองเข้าไปในห้อง โครงสร้างในห้องนั้นไม่ได้ต่างไปจากห้องอื่น ๆ แต่มีรอยเลือดเป็นทางมากมายทิ้งไว้ที่บนพื้น

เพื่อผลทางสายตา เลือดปลอมส่วนใหญ่ที่ใช้ในบ้านผีสิงนั้นเป็นสีแดงสด แต่ว่าเลือดที่ในห้องนี้นั้นเป็นสีออกน้ำตาล มันเหมือนกับมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นี่จริง ๆ และเลือดนี่ก็ถูกทิ้งเอาไว้หลายปีแล้ว มันซึมเข้าไปในตัวตึกและไม่สามารถเช็ดทำความสะอาดออกไปได้แล้ว

“เขาวิ่งเข้าไปในห้องนี้เหรอ?” ในบางห้องที่นี่นั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและอบอุ่นที่ห่มคลุมลงมาทันทีที่เข้าไป แต่ว่าก็มีบางห้องที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมากเพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไป ขนลุกชัน และยังไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์เช่นนี้ได้อย่างมีเหตุผล นั่นคือสิ่งที่เว่ยจินหยวนรู้สึกได้จริง ๆ ในห้องนี้ไม่มีความรู้สึกมีชีวิตชีวา มันไม่ต่างไปจากห้องเก็บศพที่ใช้เก็บศพคนตาย

“ออกมาเดี๋ยวนี้! ฉันเห็นแกแล้ว!” เว่ยจินหยวนร้องอยู่ในห้อง แต่ว่าเขาก็ได้ยินแค่เสียงของตัวเองก้องตอบกลับมา เขาขยับเดินหน้าเข้าไปในห้อง และเขาก็เห็นรอยเลือดมากขึ้น “เลือดทั้งหมดแห้งซึมเข้าไปในพื้น ไม่ใช่แค่ละเลงเอาไว้บนพื้นผิวเท่านั้น เขาทำอย่างนี้ได้ยังไง?”

เดินไปทั่วห้องนั่งเล่น เว่ยจินหยวนก็ไปหยุดอยู่ที่ประตูห้องนอน

“รอยเลือดเป็นทางนำมาที่นี่ ดังนั้นความลับก็น่าจะซ่อนอยู่ในห้องนอนนี่” เว่ยจินหยวนผลักประตูเปิดแล้วก็กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น เหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมา

รอยเลือดสะดุดตากระจายอยู่ทั่วทั้งห้อง ที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องที่ราวกับงานศิลปะโชกเลือดคือผู้หญิงในชุดสีแดงคนหนึ่ง เธอยืนอยู่ หันหลังให้เว่ยจินหยวน และโขกหัวกับกำแพงเบา ๆ ซ้ำ ๆ ก่อให้เกิดเสียงประหลาดสะท้อนก้อง

“ทางแยกอยู่ข้างหน้าพวกเรานี่แล้ว และคำใบ้สี่อย่างก็น่าจะอยู่คนละทาง หลังจากแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปทางซ้ายและอีกกลุ่มไปทางขวา พวกเราจะติดต่อกันผ่านโทรศัพท์และคอยอัพเดทอีกฝ่ายเรื่อย ๆ” เว่ยจินหยวนรีบสวมบทบาทหัวหน้ากลุ่ม– เขามีประสบการณ์ในการออกแบบบ้านผีสิงเป็นสิ่งสนับสนุนความมั่นใจของเขา “การตกแต่งภายในบ้านผีสิงนั้นไม่ได้สร้างเอาไว้โดยไร้จุดหมาย ทุก ๆ ตึกที่นี่นั้นมีนักแสดงหรือว่ากับดับซ่อนอยู่ อยู่ข้างหลังฉันให้ใกล้ ๆ และอย่าได้แตะต้องอะไรในตึกพวกนี้”

“นายกับเย็นชานำกลุ่มหนึ่งไปกับโฮสต์ และฉันจะไปอีกทางดีไหม?” หลีจิ่วมองเว่ยจินหยวน เพราะอะไรสักอย่าง เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีบางอย่างแปลกไปไป

“ไม่มีปัญหา งั้นก็เอาตามนี้” เว่ยจินหยวนนั้นไม่ถามความเห็นผู้เข้าชมคนอื่นด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าเมื่ออยู่ในบ้านผีสิงแล้วคำพูดของเขานั้นเป็นกฎ “พวกนายโชคดีที่ได้เข้ามาที่นี่กับพวกเรา”

“ได้” ผู้ช่วยสาวนำชิโนซากิเดินไปทางเว่ยจินหยวน “พวกเรามาเข้าชมบ้านผีสิงในประเทศเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงมีหลายอย่างที่พวกเราไม่เข้าใจนัก ต้องขอโทษที่รบกวนแล้ว”

ชิโนซากิไม่พูดอะไร แต่ว่า มันดูเหมือนเขามีบางอย่างอยู่ในใจ ผู้ช่วยสาวรู้ว่าเขามีนิสัยประหลาด และในเมื่อเขาทะเลาะกับเว่ยจินหยวนมาก่อน เธอจึงเชื่อว่านี่เป็นเพราะเขารู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องมาอยู่กลุ่มเดียวกับผู้ชายคนนี้ แต่อย่างไรเธอก็ไม่ได้ถามชิโนซากิออกไป

“เอาละ พวกเราสี่คนจะไปก่อนแล้ว” เว่ยจินหยวนยกโทรศัพท์ขึ้น “เจอกันที่ทางออก”

“ได้” หลีจิ่วมองอีกกลุ่มเดินไปทางถนนทางซ้าย เขาหันไปทางขวา “พวกเราเองก็มีเรื่องของพวกเราให้ต้องมาที่บ้านผีสิงนี่ ถ้าพวกคุณเต็มใจ อย่างนั้นก็ตามพวกเรามา ถ้าคิดว่าพวกเราไม่น่าเชื่อถือ ก็แยกไปได้เลยตามสบาย”

หลีจิ่วนั้นมีท่าทีไม่ดีกับหวังตั้น เขาไม่ชอบชายหนุ่มคนนี้

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้พวกเขามากับผม และพวกเราจะแยกไปกันเอง” หวังตั้นวางแผนจะแยกตัวออกไปกับแฟนสาว แต่ว่าแฟนสาวของเขาคิดว่ามันจะปลอดภัยกว่าถ้าจะเกาะกลุ่มไปกับหลีจิ่ว ทั้งสองคนมีปากเสียงกัน และก็เป็นหวังตั้นที่ไม่เข้าพวก ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถึงหวังตั้นจะไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เขาก็ยังไม่กล้าเดินไปมาในฉากระดับ 3.5 ดาวคนเดียว

“ดูสิ แบบนี้ดีกว่าไม่ใช่เหรอ? บางคนพูดอะไรประหลาด ๆ เพื่ออวดโอ่ เขาไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าเขาดูเป็นเด็กน้อยแค่ไหน?” นักศึกษาชายอีกคนไม่ได้เอ่ยชื่อใคร และก็ทำเหมือนกำลังพูดกับตัวเอง แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาพูดถึงใครอยู่

“เด็กน้อย?” หวังตั้นเงยหน้ามองเขา และปฏิกริยาแรกของเขาก็คือเถียง คำพูดมารออยู่ที่ริมฝีปากเขาแล้ว แต่ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าทุกคนรวมถึงแฟนสาวของเขานั้นอยู่คนละฝ่ายกับเขา และพวกเขาก็คิดว่าหวังตั้นกำลังทำตัวเป็นเด็ก ๆ

เพราะอย่างนั้น การโต้เถียงก็มีแต่จะทำให้เขาดูแย่ลง หวังตั้นฉลาดพอที่จะปิดปากเงียบ เขาอาจจะดูเป็นเด็กก่อนหน้านี้ แต่ว่าด้วยการฝึกฝนจากบ้านผีสิงของเฉินเกอ เขาไม่ได้เป็นชายหนุ่มวู่วามอย่างที่เคยเป็นแล้ว และหากต้องตัดสินใจ หวังตั้นก็ตัดสินใจตามหลังหลีจิ่วไปอย่างเชื่อฟัง ทำเหมือนในที่สุดเขาก็ยอมแพ้แล้ว

“พวกเราควรจะทำอย่างนี้ตั้งนานแล้ว ทำไมถึงต้องทำให้การมาบ้านผีสิงดูยุ่งยากนักด้วย?” นักศึกษาชายคนนั้นก็ยังคงอยู่ด้านหลังกลุ่มกับแฟนสาวของหวังตั้น และทั้งห้าคนก็เดินไปตามถนนทางขวา

หลังจากสองกลุ่มแยกกันเดินแล้ว หมอกจาง ๆ ก็พลิ้วไปตามถนน และเงาร่างหนึ่งก็เดินผ่านมันไป

ตอนที่อยู่กันสิบคน ถนนดูแออัด แต่เมื่อคนหายไปครึ่งหนึ่ง พื้นที่จู่ ๆ ก็เปิดกว้างขึ้น

“ไม่มีการแนะนำเรื่องราว ไม่มีโครงเรื่อง ไม่มีกระทั่งป้ายบอกทาง– ช่างมหัศจรรย์ที่บ้านผีสิงแห่งนี้ยังอยู่รอดมาจนตอนนี้” เว่ยจินหยวนนั้นไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าบ้านผีสิงแย่ ๆ อย่างของเฉินเกอเป็นที่นิยมขนาดนี้ได้อย่างไร

“บางทีผู้เข้าชมอาจจะชอบความสดใหม่ อย่างไรเสีย ก็มีบ้านผีสิงในท้องตลาดไม่มากนักที่มอบอิสระให้ขนาดนี้” หลี่ซางอิ๋นแตะกำแพงตึกที่ริมถนน “แต่ว่า ที่นี่ก็มีอะไรแปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะ ฉันลองดูคร่าว ๆ และพบว่าตึกทั้งหมดที่นี่น่ะลอกแบบมาจากที่ข้างนอกได้อย่างสมบูรณ์ วัสดุเป็นอิฐกับปูน และมันก็ทำให้ที่นี่มีบรรยากาศที่สมจริง”

“ไม่ใช่ว่ามันก็จะยุ่งยากถ้าเขาต้องย้ายเครื่องตกแต่งเหรอถ้าไม่ใช้พลาสติกกับไม้? หรือว่าเขาคิดว่าจะเก็บฉากนี้เอาไว้ไปตลอดชีวิตกัน? ผู้เข้าชมบ้านผีสิงน่ะชอบของใหม่มากกว่าของเก่า และพวกเขาก็จะเบื่อถ้าต้องเล่นฉากเดิม ๆ มากกว่าหนึ่งครั้ง มันเป็นการเสียเงินเปล่าที่จะสร้างฉากด้วยปูน”

เว่ยจินหยวนส่ายหน้า “ไม่มีอะไรให้เทียบ เขามีสวนสนุกนิวเซนจูรี่คอยสนับสนุนและมอบเงินทุนให้ พวกเราน่ะตรงกันข้าม ยืนอยู่ด้วยตัวเอง”

เขาดูเหมือนจะซ่อนความนัยอะไรเอาไว้ในคำพูดของเขา เขาดูเหมือนกำลังทดสอบหลี่ซางอิ๋นเมื่อพูดเสริม “ไม่ใช่ว่าคนจากสวนสนุกแห่งอนาคตติดต่อกับบอสของพวกเราเมื่อเร็ว ๆ นี้ไม่ใช่เหรอ? พวกเขาต่อรองกันเป็นยังไงบ้างล่ะ? นายคิดว่าต่อไปพวกเราจะมีโอกาสที่จะเปิดสาขาที่สวนสนุกแห่งอนาคตไหม?”

“พวกเขามีความคิดต่างจากพวกเรา พวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะเปิดบ้านผีสิงของจริง ที่ติดต่อกับบอสของพวกเราก็แค่ให้พวกเรามอบประสบการณ์กับเนื้อหาของพวกเราให้เขา อย่างไรเสีย พวกเขาก็ไม่มีใครที่ทำเกี่ยวกับบ้านผีสิงโดยตรง” หลังจากหลี่ซางอิ๋นพูดอย่างนั้น สมองของเว่ยจินหยวนก็เริ่มทำงาน

จำนวนของผู้เข้าชมที่สถาบันฝันร้ายนั้นลดลงทุกวัน และยังมีรีวิวด้านลบมากมายอยู่บนอินเตอร์เนต รายได้ของพนักงานนั้นมาจากส่วนแบ่งค่าตั๋ว ดังนั้นเมื่อไม่มีผู้เข้าชม พวกเขาก็ไม่มีรายได้ จากที่เว่ยจินหยวนเห็น แทนที่จะอยู่ที่สถาบันฝันร้ายต่อ ทำไมถึงไม่ไปหาสวนสนุกแห่งอนาคตเล่า? พวกเขาต้องการคนที่มีประสบการณ์ในการออกแบบบ้านผีสิง และเขาก็สามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้

“ดูเหมือนว่าพวกเราต้องทำงานหนักแล้ววันนี้” มีแค่ทำให้ตัวเองมีคุณค่าที่เขาจะสามารถได้เปรียบตอนที่ต่อรองกับคนพวกนั้น

เห็นเพื่อนร่วมงานจู่ ๆ ก็เต็มใจร่วมมือมากขึ้น หลี่ซานอิ๋นก็เกือบจะเบะปาก บางทีอาจจะเพราะว่าเขาเป็นนักแสดงที่ในบ้านผีสิงมานานเกินไป ทุกการเคลื่อนไหวของเขาจึงแปลกและดูมีลับลมคมใน เขาถึงได้ดูต่างไปจากคนอื่น แต่ว่าก็ยากที่จะบอกว่าต่างไปตรงไหน

ผู้ช่วยสาวเดินอยู่ถัดจากหลี่ซางอิ๋น เธอบังเอิญเหลือบไปเห็นสีหน้าของเขาเมื่อครู่นี้ และเธอก็ชะลอฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัวเหมือนหวาดกลัวขึ้นมา

เว่ยจินหยวนสังเกตเห็น และเขาก็พูดขึ้นเพื่อปลอบเธอ “พ่อคนเย็นชานี่เป็นนักแสดงที่มืออาชีพที่สุดในบ้านผีสิงของพวกเรา ถ้าคุณมีโอกาส คุณลองไปเยี่ยมชมพวกเราได้ เขาจะแสดงให้คุณเห็นถึงความหมายแท้จริงของคำว่าสยอง”

“ขอบคุณนะคะ” ผู้ช่วยสาวยิ้มแหย เธอชะลอฝีเท้าลงไปอีกและไปเดินกับชิโนซากิที่ด้านหลัง

“ไม่ใช่ว่าผมจะอวดโอ่อะไรนะ มีครั้งหนึ่งที่เย็นชาไปบ้านผีสิงอื่น เขาไม่ได้แต่งหน้าอะไรเลยนะ แต่ว่าทำให้นักแสดงจากบ้านผีสิงอื่นกลัว ไม่ว่าจะเป็นผีหรือว่าฆาตกรเลือดเย็น เขาก็สามารถเข้าถึงบทบาทได้ และทุก ๆ สีหน้าก็เหมือนจริงมาก”

เว่ยจินหยวนดูผ่อนคลายมาก แต่ว่า ตอนที่เขาหันกลับไป ดวงตาของชิโนซากิก็กระตุกและถาม “นี่คุณแต่งหน้าก่อนเข้ามาที่นี่ด้วยเหรอ? ผมไม่สนใจเรื่องในอดีตของพวกคุณกับบอสที่นี่หรอกนะ และผมก็ไม่สนใจด้วยว่าอันที่จริงแล้วคุณมาที่นี่ทำไม ผมแค่อยากรู้เฉย ๆ”

“คุณคิดว่าพวกเรามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาเหรอไง? แต่งหน้ามาหลอกนักแสดงที่นี่?” เว่ยจินหยวนแค่นเสียงเยาะเย้ย “คุณให้เครดิตที่นี่มากไปแล้ว…”

“นั่นก็หมายความว่าคุณไม่ได้แต่งหน้ามา” ชิโนซากิเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก “โอเค ขอบคุณที่ตอบคำถามผม”

หลังจากเว่ยจินหยวนเดินนำไปข้างหน้า ผู้ช่วยสามก็ดึงทิชชูเปียกออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ชิโนซากิ “ในนี้ก็มีเครื่องปรับอากาศอยู่นะคะ แล้วอุณหภูมิก็ต่ำมากด้วย– ทำไมคุณถึงเหงื่อออกเยอะอยู่เลย? คุณรู้สึกไม่ค่อยสบายหรือเปล่า?”

“จำทางที่พวกเราเดินมาเอาไว้ ถ้ามีโอกาส พวกเราต้องไปรวมกับอีกกลุ่ม” หลังจากเช็ดเหงื่อแล้ว ชิโนซากิก็กำกระดาษทิชชูเอาไว้แน่น และเขาก็ดูค่อนข้างผวา “พวกเราต้องอยู่ให้ห่างจากสองคนนี้”

“ทำไมล่ะคะ? พวกเขาก็เป็นมืออาชีพนี่นา?” ผู้ช่วยสาวงุนงงกับคำสั่งของชิโนซากิ

“ผู้ชายคนที่ชะโงกหน้าออกไปทางหน้าต่างเมื่อกี้นี้ มีรอยเบื้องสีม่วงดำอยู่ที่หลังคอ มันดูเหมือนมีใครบางคนจับตรงนั้นของเขา แล้วเธอก็ได้ยินที่เขาตอบเมื่อกี้นี้นี่– เขาไม่ได้แต่งหน้าอะไร”

“บางทีนั่นอาจจะเป็นปาน?” เธอรู้สึกว่าชิโนซากินั้นตีตนไปก่อนไข้ “แล้วก็ พวกเราก็เห็นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วนี่คะ? พวกเราไม่ควรละเมิดเรื่องส่วนตัวคนอื่น”

“ไม่ใช่ปานแน่นอน” ชิโนซากิมองไปทางเว่ยจินหยวน “ฉันจำได้ชัดเจนว่ารอยที่หลังคอของเขานั้นเดิมทีเป็นรอยฝ่ารอยมือเดียว แต่ว่าตอนที่พวกเราเดินไปตามถนน มันก็เพิ่มขึ้น และตอนนี้รอยฝ่ามืออีกรอยก็ปรากฏขึ้นแล้ว!”

ชิโนซากิยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลองกำรอบคอตัวเอง “รอยฝ่ามือทั้งสองปรากฏขึ้นที่สองข้างลำคอ มันเหมือนมีบางอย่างขี่อยู่บนคอของเขาและยกแขนกอดเขาเอาไว้…”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครรับฟังที่เขาพูดจริง ๆ คิ้วของหวังตั้นก็ขมวดลึก เขารู้ดีเลยว่าผู้เข้าชมที่เคยเข้ามาบ้านผีสิงของบอสเฉินนั้นจะไม่พูดอะไร ‘ใสซื่อ’ อย่างนั้น

“นี่เป็นครั้งแรกที่พวกคุณทุกคนที่บ้านผีสิงนี่ใช่ไหม?” หวังตั้งมีความรู้สึกย่ำแย่อยู่ในใจ

“คุณชิโนซากิกับฉันเพิ่งกลับเข้าประเทศมา เขาตั้งใจจะเปลี่ยนสไตล์ ลองเขียนการ์ตูนเรื่องยาวรูปแบบใหม่ ๆ ดังนั้นพวกเราจึงมาที่บ้านผีสิงนี่เพื่อหาแรงบันดาลใจ” ผู้ช่วยสาวพูดเบา ๆ เธอไม่ได้กล้าหาญถึงเพียงนั้น ถึงพวกเขาจะยังไม่ได้เข้าไปในฉากอย่างเป็นทางการเสียงของเธอก็เริ่มสั่นแล้ว “พวกเราเห็นเรตติ้งของบ้านผีสิงนี่สูงมากในออนไลน์ ดังนั้นพวกเราก็เลยมาที่นี่หลังจากลงจากเครื่องบิน มีอย่างอื่นที่พวกเราต้องทำก่อนที่จะมาลองเข้าบ้านผีสิงในประเทศด้วยเหรอ?”

“อย่าไปฟังเขาพูดมั่วไปทั่ว เหตุผลเดียวที่บ้านผีสิงนี่มีเรตติ้งสูงในอินเตอร์เนตก็เพราะคนพวกนี้สะกดจิตกันเอง สิ่งเดียวที่บอสนั่นเก่งก็คือการโฆษณากับการทำโปรโมชั่น” ผู้ชายคนที่เดินอยู่กับผู้ชายท่าทางนุ่มนิ่มพูด “เทียบกับคนอย่างพวกเราที่ทุ่มเทพลังไปกับการสร้างบ้านผีสิง คิดเนื้อหาอย่างจริงจังและออกแบบกลไกมากมายสำหรับบ้านผีสิง ผู้ชายแซ่เฉินคนนั้นอย่างมากก็เป็นได้แค่นักธุรกิจเก่ง ๆ คนหนึ่งเท่านั้น”

“นักธุรกิจ?” หวังตั้นแทบจะหัวระเบิดเพราะความโมโห เขาอยากจะยกมือขึ้นอุดปากชายคนนี้ ถ้าเฉินเกอได้ยินสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไป ระดับความยากของฉากก็คงถูกเพิ่มขึ้นไปจนถึงระดับที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

“เขาก็แค่เก่งในการหลอกนักศึกษาใสซื่ออย่างแกเท่านั้นแหละ สำหรับพวกเราที่อยู่ในธุรกิจนี้มาหลายปี นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ให้ตาย มุกของเขาเก่าจนฉันเครียดแล้ว”

ผู้ชายคนนั้นยังอยากจะพูดอะไรอีกแต่ว่าถูกผู้ชายท่าทางนุ่มนิ่มคนนั้นห้ามไว้ “หยุดพูดอะไรแบบนั้นได้แล้ว ถ้านักแสดงที่บ้านผีสิงนี่ได้ยินเข้าจะรู้สึกไม่ดี คนอื่น ๆ อาจจะคิดว่าพวกเราตั้งใจมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา”

กระทั่งชิโนซากิที่เจ้าอารมณ์ก็ยังมีประสบการณ์ด้วยวัยของตน ดังนั้นจึงจับใจความสำคัญได้ทันที “พวกคุณทุกคนก็ทำบ้านผีสิงเหรอ?”

เขาเข้าใจได้ในทันทีว่านี่คือการแข่งขันระหว่างคนในสายอาชีพเดียวกัน เขายังรู้สึกไม่ดีกับพวกที่แซงคิวพวกนี้

“พวกเราสามคนเป็นพนักงานจากบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดในซินไห่– สถาบันฝันร้าย พวกเราทำธุรกิจนี้มาเจ็ดปีแล้ว พวกเราเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ในท้องตลาดที่ทำบ้านผีสิงเสมือนจริง”

ทั้งสามคนแนะนำตัวอย่างง่าย ๆ ชายคนที่ดูวู่วามที่สุดคนนั้นชื่อเว่ยจินหยวน เขาเป็นนักเขียนบทที่อายุน้อยที่สุดในสถาบันฝันร้าย หน้าที่หลักของเขาก็คือคิดเรื่องสยองขวัญรวมถึงกลไกและบทในเนื้อเรื่อง คนที่ตัวเล็กที่สุดที่ทะเลาะกับชิโนซากิก่อนหน้านี้คือหลีจิ่ว เขาดูบอบบางและอ่อนแอ หน้าที่หลักของเขาคือการทำอุปกรณ์ประกอบฉากของสถาบันฝันร้าย เขามีพรสวรรค์และมีมือที่เชี่ยวชาญและสามารถใช้อุปกรณ์หลายชนิดได้

คนสุดท้าย คือผู้ชายที่มีเครื่องหน้ากระเดียดไปทางผู้หญิง เขาชื่อหลี่ซานอิ๋น มีฉายาว่าพ่อคนเย็นชา เขาเป็นคนดื้อรั้นแต่ว่าเป็นนักแสดงที่ได้รับคำชื่นชมที่สุดในสถาบันฝันร้าย เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของบ้านผีสิงซินไห่ เขาไม่ได้ดูแก่ แต่ว่ามีอาวุโสสูงที่สุดในพวกเขาสามคน

“เดี๋ยวก่อนนะ พวกคุณสี่คนไม่ได้มาด้วยกันเหรอ?” หวังตั้นเห็นผู้ชายอีกคนยืนรวมอยู่กับพนักงานจากสถาบันฝันร้ายสามคน และเขาก็สรุปว่าคนนั้นเองก็เป็นหนึ่งในพนักงาน

“เขาเป็นหนึ่งในไลฟ์สตรีมเมอร์ชื่อดังที่สุดของซินไห่ เขาดังมากในออนไลน์ อย่างน้อยที่สุดก็มีชื่อเสียงกว่าบอสบ้านผีสิงนี่ หรือฉันควรจะพูดว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยแหละ”

เว่ยจินหยวนอยากจะแนะนำต่อแต่โฮสต์ไลฟ์สดผู้นี้กลับขมวดคิ้ว “ถ้าคุณอยากจะเสียเวลาคุยกันต่อ อย่างนั้นก็คุยไป แต่ว่าผมจะไปก่อนละ”

ผู้ชายคนนั้นพูดจบ ก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินเข้าไปในฉากคนเดียว เขาดูกล้าหาญมากทีเดียว

“เฮ้!” เห็นเขาเดินนำไป หวังตั้นก็รีบวิ่งไปหา “อย่าเดินสะเปะสะปะไปคนเดียว แล้วก็ ผมไม่ได้พูดเล่น อย่าได้คิดจะไลฟ์สดที่นี่– คุณจะทำร้ายพวกเราทุกคน”

โฮสต์ไลฟ์สตรีมนั้นไม่ได้สนใจจะรับรู้การมีตัวตนของหวังตั้นด้วยซ้ำ ดวงตาของเขากวาดมองรอบตัวพลางคิดว่าจะมีคนดูมากเท่าไหร่ตอนที่เขาเริ่มไลฟ์สดที่นี่ โฮสต์นั้นคุ้นเคยกับความนิยมบนออนไลน์ของบ้านผีสิงของเฉินเกอ ถ้าเขาไลฟ์สดที่ด้านในบ้านผีสิงในฉากใหม่ ไลฟ์จะต้องฮอตระเบิด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการเปิดเผยการตกแต่งภายในบ้านผีสิงหรือว่าส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจของเฉินเกอ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องพะวงถึงเสียหน่อย

หลังจากเข้าใจท่าทีของโฮสต์แล้ว หวังตั้นก็รู้สึกขนลุก เพื่อนร่วมทีมประเภทไหนกันที่เขาเอาตัวเองมาผูกติดเอาไว้ในคราวนี้?

ทุกคนเป็นหน้าใหม่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้น ไม่มีใครในพวกเขาอยากจะรับฟังคำแนะนำในการดูแลตัวเองของเขาเลย ถ้าพวกเขาอยากตายมันก็ไม่เป็นไร แต่ด้วยสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำนั้นทำร้ายตัวหวังตั้นเองเหมือนกัน

“ถ้าคุณต้องการจะทำอะไรแบบนั้น อย่างนั้นก็ไปก่อนเลย ผมจะไม่พูดแล้ว” หวังตั้นพูดและคว้ามือแฟนสาวเพื่อแยกออกไป

“หวังต้า นายจะทำอะไร?” แฟนสาวของเขาคิดว่าเขากำลังทำตัวไร้เหตุผล “ปล่อยฉัน!”

“ถ้าพวกเราต้องการเข้าชมฉากใหม่ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเข้าไปพร้อมพวกเขาไม่ใช่ความคิดที่ดี ฉันคิดว่าจะกลับออกไป” เหตุผลที่หวังตั้นมาที่บ้านผีสิงนั้นก็เพื่อระบายความไม่พอใจและเพื่อทำให้เพื่อนมัธยมของแฟนสาวรู้สึกอับอาย แต่ตอนนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เขากำลังจะเดินลงนรกไร้ก้น ที่เมื่อตกลงไปแล้วก็ไม่มีทางกลับขึ้นมาได้

“นักเรียนแพทย์ขี้ขลาดอย่างนี้หมดเลยเหรอไง?” นักศึกษาชายคนนั้นพูดเยาะ “และฉันก็คิดว่าพวกนายน่าจะกล้าหาญกว่านี้พอคิดถึงว่านายต้องเจอกับศพอยู่บ่อย ๆ ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจผิดสินะ”

ได้ยินอย่างนี้หวังตั้นก็โมโหจนหน้าเขียว แต่ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะไประบายความโกรธแค้นนี้ที่ไหน เขากัดฟันอย่างฉุนเฉียวแล้วปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำ เขาเดินกลับไปและพูด “เอาละ อย่างนั้นพวกเราก็เริ่มได้เลย”

“อย่ากดดันตัวเองเลย ฉันได้ยินมาว่าบางคนทำกางเกงตัวเองเปียกตอนเข้าบ้านผีสิงด้วยนะ” นักเรียนกีฬาหัวเราะขำ คิดว่าหวังตั้นกำลังจะต้องกลายเป็นตัวตลก

“ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก” หวังตั้นถอนหายใจเบา ๆ เขารู้ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรที่นี่ เขาจะหมดสติไปก่อนที่กระเพาะปัสสาวะจะมีโอกาสทำงาน

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจเขา” แฟนสาวของหวังตั้นพูดปลอบและในที่สุดเขาก็เงียบลง เขาพยายามเก็บอารมณ์ แต่เมื่อเขากวาดตามองเพื่อนร่วมทีม ในหัวใจของเขาก็ราวกับมีโพรงเย็น ๆ โพรงหนึ่งเปิดอ้าออก ไม่มีใครที่เขาจะเชื่อถือได้เลย

“มีเวลาเดินดูแค่สี่สิบนาที พวกเราควรจะสนุกไปกับมัน” เว่ยจินหยวนเดินไปข้าง ๆ โฮสต์หนุ่ม “ถ้านายกลัว นายมากับพวกเราก็ได้ แต่มันอาจจะน่าเบื่อ ฉันคุ้นเคยกับการวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ในสายตาของพวกเรา ที่เป็นผู้สร้างสรรค์บ้านผีสิงที่แท้จริง ความลับและกับดักทั้งหมดล้วนเผยตัวออกมาอย่างไร้ร่องรอย ตัวอย่างเช่น หน้าต่างตรงนี้…”

เว่ยจินหยวนชี้ไปที่กระจกหน้าต่างที่อยู่ห่างไปข้างหน้าสองสามเมตร “หน้าต่างนี่ถูกทิ้งเอาไว้โดยไม่ล็อกและกระจกยังถูกทำให้แตกเอาไว้อย่างจงใจ พอพวกเราเดินผ่าน ก็จะมีของน่ากลัวกระเด้งออกมาจากข้างใน ถ้านายไม่เชื่อฉัน นายก็รอดู”

เว่ยจินหยวนเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ หน้าต่างเงียบ ๆ เขาชี้ไปที่หน้าต่างข้างตัวและจากนั้นก็กระโจนเข้าไปและชะโงกหน้าเข้าไปในหน้าต่าง ถ้านักแสดงซ่อนตัวอยู่ข้างในหน้าต่าง พวกเขาก็คงถูกเว่ยจินหยวนทำให้ตกใจไปแล้ว

“จินหยวน เลิกเล่น! ถ้านายบังเอิญทำให้พนักงานของพวกเขาตกใจ พวกเขาก็จะโทษพวกเรา” หลีจิ่วพยายามรั้งเขาเอาไว้ แต่เว่ยจินหยวนไม่ตอบ เขาเอนตัวอยู่บนหน้าต่าง ร่างกายท่อนบนยื่นเข้าไปในห้อง เขาไม่ขยับเหมือนร่างกายถูกบางอย่างหรือบางคนจับเอาไว้

“เว่ยจินหยวน?” หลีจิ่ววิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปพร้อมขมวดคิ้ว เขาตบหลังเว่ยจินหยวนเบา ๆ “นายกำลังมองอะไรอยู่?”

“ชู่ เงียบหน่อย ฉันเห็นนักแสดงคนหนึ่งวิ่งหนีไปซ่อนเมื่อกี้นี้ ฉันคงจะทำให้เธอตกใจไปแล้ว” เว่ยจินหยวนตะโกนเข้าไปในห้องด้วยเสียงกระตือรือร้น “เธอออกมาได้แล้ว ฉันเห็นเธอแล้ว”

ตอนที่ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวได้ยินอย่างนั้น พวกเขาก็วิ่งเข้าไปดูด้วย แต่ว่า ห้องนั้นว่างเหล่า ไม่มีใครอยู่ในนั้น

“แต่ว่านี่เป็นห้องเปล่านี่?” แขนของผู้ช่วยสาวมีขนลุกเป็นตุ่ม “คุณแน่ใจเหรอว่าไม่ได้ดูผิดไป?”

“มันแค่ดูเหมือนห้องเปล่า มีทางเดินลับซ่อนอยู่ในนี้– พวกมันเป็นเส้นทางให้พวกนักแสดงใช้ คนที่ฉันเห็นเมื่อกี้นี้ตอนนี้น่าจะหนีเข้าไปในทางเดินนั่นแล้ว กลัวเกินกว่าที่จะออกมา” เว่ยจินหยวนเกาคอและเดินหน้าต่อไป “มีวิธีการหลอกคนตั้งมากมาย มันง่ายมากถ้าคุณต้องการผ่านฉากนี้ ก็แค่อยู่ใกล้ ๆ พวกเราเอาไว้!”

เว่ยจินหยวนและหลีจิ่วเดินไปตามถนนแคบ ๆ และพวกเขาก็เอาแต่เกาคอ

“คุณชิโนซากิ ตามพวกเขาไปไหมคะ?” ผู้ช่วยสาวแนะนำ “มีคนอยู่เยอะ ๆ มันรู้สึกปลอดภัยกว่า”

ชิโนซากินพยักหน้าอย่างใจลอย และเขาก็เอาแต่มองไปที่คอของเว่ยจินหยวน “เสี่ยวเซี่ย ดูที่คอเขาสิ เธอเห็นปานนั่นไหม? มันดูเหมือนฝ่ามือคนเลย…”

“ปาน?” ผู้ช่วยสาวนั้นไม่ได้มีสายตาเฉียบคมนัก และเธอก็น้อยนักที่จะให้ความสนใจเรื่องแบบนั้น ”ฉันไม่แน่ใจค่ะ แต่ว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ดังนั้นคุณไม่ควรไปถามเขาเรื่องนี้นะคะ!”

“แน่นอนสิ เธอคิดว่าฉันดื้อเป็นเด็ก ๆ หรือไง?”

“ผู้ใหญ่ที่ไหนจะใช้นามปากกาแบบของคุณกัน*?” เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนที่จะวิ่งตามเว่ยจินหยวนไป ทั้งกลุ่มเริ่มห่างออกจากกัน สามคนจากสถาบันฝันร้ายและโฮสต์เดินอยู่ข้างหน้า ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวอยู่ตรงกลาง ขณะที่กลุ่มของหวังตั้นอยู่ด้านหลัง ผู้ชายในชุดคลุมยาวยืนอยู่คนเดียวตรงหน้าต่างเมื่อครู่นี้ เหมือนกำลังมองหาบางอย่าง

“ไปได้แล้ว” หวังตั้นเตือนเขาอย่างมีน้ำใจ ผู้ชายคนนั้นผลักเขาออกไปเหมือนคิดว่าหวังตั้นขวางทางอยู่

“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าคนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่” หวังตั้นสูดลมหายใจลึก ตอนที่เขามองผู้เข้าชมคนอื่นเดินห่างออกไป เขาก็กดความกระวนกระวายในใจแล้วเดินตามหลังพวกเขาไป

หลังจากกลุ่มของหวังตั้นไปรวมกับคนที่เหลือ เว่ยจินหยวนก็หยุด “บอสบอกคำใบ้สี่จุดให้พวกเราตามหาก่อนที่จะเข้ามาในฉาก คำใบ้แต่ละชิ้นนั้นบอกวิธีการหนีออกจากที่นี่ พวกเรามีกันสิบคน ไปกันเป็นกลุ่มน่ะเสียเวลาเปล่าและก็ไร้ประสิทธิภาพ ดังนั้นฉันแนะนำให้พวกเราแยกกันเป็นสองกลุ่มเพื่อสำรวจ พวกนายที่เหลือคิดว่ายังไง?”

 

 

TL note: *นามปากกาของชิโนซากิคือ ชิโนซากิไต้เสิน ไต้เสินมีความหมายประมาณเก่งเทพ ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ นามปากกานี้จึงหมายถึง ท่านเทพชิโนซากิ นั่นเอง

นามปากกาของศิลปินผู้นี้ก็คือ ชิโนซากิ ไต้เสิน และเขาก็มีชื่อเสียงมากที่ต่างประเทศ แต่ว่า มีคนไม่มากที่รู้ชื่อจริงของเขา เฉินเกออ่านผลการค้นหาอยู่นานก่อนที่จะเจอบางอย่างที่สำคัญ ใครบางคนที่เรียกเขาว่าเจ้าของบ้านของชิโนซากินั้นเผยแพร่สิ่งหนึ่งเอาไว้

เขาอ้างว่าตัวเองเคยเห็นบัตรประชาชนของชิโนซากิมาก่อน นักเขียนการ์ตูนผู้นี้ที่ชื่อเสียงโด่งดังที่ต่างประเทศอันที่จริงนั้นมีชื่อที่ธรรมดามาก ๆ เขาเกิดมาในฐานะ หลี่เป้าฝู

“ชิโนซากิไต้เสินกับหลี่เป้าฝู นี่ยากที่จะคิดภาพว่าพวกเขาอาจจะเป็นคนคนเดียวกัน” เฉินเกอหันไปมองทางเข้าบ้านผีสิง ชิโนซากินั้นกำลังแข่งจ้องตาอยู่กับผู้ชายในชุดคลุมตัวยาว– พวกเขาต่างสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติในตัวอีกฝ่าย

ตอนนี้มีคนอยู่ที่ด้านในประตูบ้านผีสิงเจ็ดคน ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวของเขายืนอยู่ทางซ้าย ขณะที่ชายในชุดคลุมยาวยืนอยู่ทางขวาคนเดียว สี่คนที่เหลือนั้นมาด้วยกัน แต่ว่าพวกเขายืนกันเป็นกลุ่มสองคน ทำเหมือนไม่รู้จักกันและกัน

“เมืองหลี่ว่านใหญ่มาก ต่อให้เข้าไปเจ็ดคน ฉันยังสงสัยว่ามันก็คงจะไม่สะเทือน” ถ้าผู้เข้าชมเหล่านี้เคยผ่านประสบการณ์ฉากระดับสามดาว เฉินเกอก็อาจจะส่งพวกเขาเข้าไปทั้งอย่างนั้น แต่ว่าหลายคนในนี้นั้นเป็นหน้าใหม่ การมีจุดประสงค์ไม่ดีในการมาที่นี่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่าชิโนซากิและผู้ช่วยสาวของเขานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์โดยแท้ เฉินเกอนั้นเป็นคนใจดี เขาจะไม่ทำให้สองคนนี้ต้องลงนรกไปด้วยเพียงเพราะว่าพวกที่เหลือดูถูกบ้านผีสิงของตนและอ้างว่าฉากของเขานั้นไม่น่ากลัว

หลังจากคิดดูแล้ว เฉินเกอก็เดินไปรวมกับกลุ่มเจ็ดคน  “ฉากใหม่นั้นกว้างมาก– นี่หมายความว่ามันควรเป็นการท้าทายด้วยกลุ่มสิบคน หลังจากที่พวกเรารวมอีกสามคนที่เหลือได้ อย่างนั้นก็เริ่มเข้าฉากได้”

“ยิ่งพวกเราคนน้อยก็ยิ่งสนุก เจ็ดคนก็มากเกินพอแล้ว” ชายในชุดเสื้อคลุมยาวนั้นเคยถูกผู้เข้าชมทุบตีมาก่อน เขาไม่ได้กลัวนักแสดง แต่ว่าเขากลัวว่าผู้เข้าชมคนอื่น ๆ จะทำลายแผนการของเขา

“ใช่ ถ้ามีกันสิบคน ก็มีแต่จะเสียงดังและแออัดเกินไป แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ชิโนซากิให้ความเห็นด้วยเหมือนกัน ด้วยพื้นอารมณ์ของเขานั้น ย่อมไม่กลั่นกรองคำพูด สิ่งที่ออกมาจากใจก็คือถ้อยคำที่ออกจากปาก

“ผมแนะนำให้พวกคุณฝึกความอดทนกันสักหน่อยนะ– คุณเจ้าของก็แค่เป็นห่วงพวกคุณเท่านั้น” มีเสียงชายหนุ่มพูดขึ้นมาจากในกลุ่มคน เสียงของผู้ชายคนนั้นคุ้นหูเฉินเกอมาก เขาหันไปทางเสียงนั้นและเห็นหยางเฉินกำลังขมวดคิ้วขณะอ่านป้ายไม้ที่ข้าง ๆ ห้องขายตั๋ว

“คุณไม่ไปเรียนแต่ว่ามาที่นี่ทุกวันเลยนะช่วงนี้?” บางทีอาจจะเพราะตัวตนที่ในห้องเก็บศพใต้ดิน เมื่อไหร่ก็ตามที่เฉินเกอเห็นนักศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียง เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับคนเหล่านี้

หยางเฉินนั้นกลัวเฉินเกออยู่นิด ๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงเฉินเกอ เขาก็ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว “ผมยังไม่ผ่านฉากห้องเก็บศพใต้ดิน ดังนั้นไม่มีทางที่ผมจะไปลองฉากใหม่ คุณไม่ต้องคิดอะไรเลยนะ!”

“เสี่ยวหยาง ทำไมนายพูดแบบนั้นล่ะ? นายลืมคูปองที่ฉันให้นายไปแล้วเหรอ?” เฉินเกอชูโทรศัพท์ขึ้นมาและคำแนะนำฉากใหม่ก็อยู่บนหน้าจอ “นายแน่ใจเหรอว่านายไม่อยากท้าทายฉากนี้? ด้วยความสามารถของนาย เด็ก ๆ จากที่วิทยาลัยของนายก็เหลือแค่ผ่านฉากห้องเก็บศพใต้ดินให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง หลังจากผ่านฉากห้องเก็บศพใต้ดิน รวมถึงฉากนี้ด้วย เงินรางวัลสองแสนก็จะเป็นของนาย นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนรักษาคำพูด ฉันไม่เคยผิดสัญญานะ ถ้านายผ่านฉากนี้ได้ ฉันจะส่งเงินรางวัลให้นายตรงนี้เลย”

ฉากที่วิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงผ่านได้นั้นกลายเป็นที่นิยมในอินเตอร์เนต ในสายตาของเฉินเกอ นักศึกษาเหล่านี้นั้นไม่ได้ต่างอะไรจากสัญลักษณ์หรือว่าเครื่องรางแห่งโชคลาภของเขาเลย

“ไม่ต้องนับผมรวมเข้าไป แต่ว่าผมพาคนมาให้คุณสองสามคนวันนี้” หยางเฉินหันกลับไปโบกมือ เด็กหนุ่มสองคนกับเด็กสาวคนหนึ่งเดินออกจากมาฝูงชน คนที่เดินอยู่ข้างหน้าคือหวังตั้น เฉินเกอเคยเจอเขามาแล้ว เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มาพร้อมกับหยางเฉินตอนที่พวกเขาท้าทายฉากโรงเรียนมัธยมมู่หยางและห้องเก็บศพใต้ดิน

เด็กหนุ่มกับเด็กสาวที่ด้านหลังนั้นคุยกันอย่างสนุกสนาน เด็กสาวสวมเสื้อยืดตัวหลวมที่เผยให้เห็นหัวไหล่ของเธอกับกางเกงขาสั้นสีขาว มันเผยความเย้ายวนและน่ารักที่เธอมีในวัยเยาว์นี้ของเธอ

เด็กหนุ่มคนนั้นสูงกว่าหวังตั้นและยังมีมัดกล้ามเนื้อสวยงามบนร่าง เขาไม่ได้แต่งตัวจัด แต่ว่าเสื้อผ้าทุกชิ้นเป็นของมีราคา เขาดูดีกว่าหวังตั้นที่แทบจะกลายไปเป็นฉากหลัง

“ผมมั่นใจว่าคุณจำเพื่อนผมได้ หวังตั้น เด็กสาวที่ด้านหลังเขาคือแฟนสาวของเขา ผู้ชายคนนั้นเป็นนักศึกษาคณะกีฬาและสุขภาพของวิทยาลัยครูจิ่วเจียง เขาเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของแฟนของหวังตั้น” หยางเฉินเอนตัวเข้าไปกระซิบกับเฉินเกอใกล้ ๆ “แล้วเขาก็ยังได้รับเลือกเป็นนักเรียนที่หล่อที่สุดของโรงเรียนตอนเรียนมัธยมด้วย”

“นั่นแฟนหวังตั้นเหรอ? ถ้านายไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่รู้จริง ๆ นะ” เฉินเกอจู่ ๆ ก็คิดได้ “เดี๋ยวนะ ทำไมนายถึงบอกฉันเรื่องนี้?”

หยางเฉินขยิบตาให้และส่งสัญญาณให้เฉินเกอ และนั่นทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร หวังตั้นกับอีกสองคนก็เดินเข้ามาแล้ว “ขอตั๋วสามใบสำหรับฉากใหม่ครับ”

เห็นได้ชัดเจนว่าหวังตั้นอารมณ์ไม่ดีนัก เสียงของเขาดูเอื่อยเฉื่อยและสิ้นหวัง

“นายแน่ใจเหรอ? ฉากใหม่น่ากลัวมากนะ ฉันแนะนำให้นายอย่าวู่วามดีกว่า”

“ไม่เป็นไร ผมผ่านฉากระดับสามดาวหลายฉากแล้ว ฉากใหม่นี่น่าจะเป็นเรื่องกล้วย ๆ สำหรับผม”

“งั้นก็ได้ ยังไงฉันก็จะรู้สึกดีขึ้นที่มีผู้เข้าชมที่มีประสบการณ์อย่างนายเข้าไปกับผู้เข้าชมที่เหลือ” เฉินเกอส่งตั๋วให้ทั้งสามคนละใบ จากนั้นเขาก็นำทั้งสามคนเข้าไปในบ้านผีสิง “ปากกาอยู่บนโต๊ะ รบกวนลงชื่อในใบยินยอมด้วย”

ผู้เข้าชมสิบคนเบียดกันอยู่ในทางเดิน และมันก็ค่อนข้างแออัด บนโต๊ะมีปากกาจำนวนจำกัด ดังนั้นจึงต้องรอกันบ้าง ผู้ชายในชุดคลุมยาวดูรำคาญ “มันจำเป็นด้วยเหรอเนี่ย? ฉันเคยไปบ้านผีสิงตั้งหลายที่แล้ว และฉันก็ไม่เคยเห็นที่ไหนต้องทำขนาดนี้เลย”

“ใช่ คุณทำอย่างกับมาบ้านผีสิงเหมือนอะไรแบบกระโดดบันจี้จั๊มพ์ ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่อะไรนอกจากกลเม็ดสร้างความกดดันทางจิตใจ” เด็กหนุ่มนักศึกษาที่ใส่เสื้อผ้ามียี่ห้อทั้งตัวและดูสดใสราวกับพระอาทิตย์พูดด้วยท่าทางสบาย ๆ เขายืนอยู่ข้างแฟนสาวของหวังตั้นและเริ่มเล่าเรื่องตอนที่เขาไปดำน้ำตื้นกับกระโดดบันจี้จั๊มพ์ เทียบกับบ้านผีสิงแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าการดำน้ำตื้นและการกระโดดบันจี้จั๊มพ์นั้นดึงดูดความสนใจของเด็กสาวได้ดีกว่ามาก แฟนสาวของหวังตั้นฟังทุกคำพูดของเขาและพยักหน้าและทำเสียงเห็นด้วยเป็นระยะ

“คุณจะไม่ควรพูดแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาบ้านผีสิงนี่ ผมแนะนำให้คุณระวังคำพูดของคุณมากกว่านี้” หวังตั้นส่งปากกาที่เขาถืออยู่ให้คนถัดไป

“ขอบใจ” นักศึกษาชายคนนั้นยักไหล่และลงชื่อก่อนที่จะวางใบยินยอมลงบนโต๊ะ

“จางเฟิง?” เฉินเกออ่านชื่อที่บนใบยินยอมและเก็บมันไปอย่างรอบคอบ “คุณลงชื่อด้วยตัวคุณเอง และผมไม่ได้บังคับให้คุณทำ ผมอยากจะแน่ใจว่าคุณเข้าใจดีว่าคุณยินดีเข้าไปในบ้านผีสิงแห่งนี้เองและไม่ได้ถูกบีบบังคับให้ต้องเข้าไป”

ตอนที่เขาได้ยินว่านี่คือครั้งแรกที่จางเฟิงมาเข้าชมบ้านผีสิง การท้าทายครั้งแรกของเขาคือฉากระดับสามดาวครึ่งของเฉินเกอ นั่นเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยแค่คำว่ารนหาที่ตาย

“คุณล้อเล่นหรือไง?”

“ยังมีเวลาให้คุณเปลี่ยนใจนะ” เฉินเกอพยายามโน้มน้าวเด็กหนุ่ม

“คุณจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยเหรอกับแค่เข้าบ้านผีสิง? คุณทำเกินไปแล้วนะ ลงชื่อในใบยินยอมนั่นก็พอแล้ว แต่ตอนนี้คุณยังทำตัวน่ารำคาญ” จางเฟิงไม่สนใจคำแนะนำอย่างอ่อนน้อมของเฉินเกอและหันกลับไปคุยกับแฟนสาวของหวังตั้น

ในเมื่อเด็กหนุ่มไม่รับคำแนะนำของเขา เฉินเกอก็ทำอะไรไม่ได้ เขาเก็บใบยินยอมของคนอื่น ๆ ไป หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็บรรยายสั้น ๆ ให้ผู้เข้าชมฟังถึงวิธีการสนุกกับฉากเมืองหลี่ว่าน

“ฉากใหม่นี้เรียกว่าเมืองไร้นาม มันสร้างขึ้นจากเรื่องผีหลาย ๆ เรื่อง มันกินพื้นที่ค่อนข้างกว้าง และคุณสามารถไปที่ไหนก็ได้อย่างอิสระตามที่ต้องการ หลังจากคุณเข้าไปแล้ว ผมก็จะปิดทางเข้าเมืองไร้นาม และทางออกนั้นซ่อนอยู่ในฉากแล้ว

“คุณต้องหาเงื่อนงำที่ซ่อนเอาไว้ขณะที่ถูกฆาตกรและเหล่าวิญญาณไล่ตาม มีคำใบ้ทั้งหมดสามสิบสองชิ้นซ่อนเอาไว้ในฉากนี้ และมันจะนำไปหาจุดจบสามสิบสองแบบที่แตกต่างกัน”

ถึงตอนนี้ เฉินเกอชูสี่นิ้ว

“ในเมื่อพวกคุณเป็นผู้เข้าสัมผัสประสบการณ์ในฉากนี้เป็นกลุ่มแรก ผมจะบอกตำแหน่งของคำใบ้สี่แห่งให้คุณ

“จุดแรกนั้นซ่อนอยู่ถังน้ำในห้องห้องหนึ่ง มีโทรศัพท์ที่คุณสามารถใช้สื่อสารกับผีได้

“จุดที่สองสองนั้นอยู่ในเขตที่พักอาศัย คุณจะไม่เชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตประหลาดชนิดไหนซ่อนอยู่ที่นั่นในสถานที่ที่ไม่คาดคิด

“คำใบ้ที่สามซ่อนอยู่ในอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง กล่องดนตรีที่ส่งเสียงได้ด้วยตัวเอง

“คำใบ้ที่สี่ซ่อนอยู่ที่บอสของโรงแรม คุณไปหาเขาได้ และเขาจะให้ข้อมูลบางอย่างกับคุณ

“แน่นอนว่า คำใบ้ทั้งสี่ที่ผมมอบให้คุณนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กมาก ๆ ของฉากนี้ ตามหาคำใบ้อื่นได้ตามสบายและหาทางออกจากที่นี่”

เฉินเกอมอบคำใบ้ทั้งสี่นี่เพราะว่าเป็นสี่จุดที่พร้อมอยู่แล้ว คำใบ้ทั้งสามสิบสองนั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าในฉากควรจะมี และเขาก็จะติดตั้งส่วนที่เหลือทีหลัง

“คำใบ้สามสิบสองชิ้น?” หนึ่งในสี่คนที่แซงคิว คนหนึ่งนั้นไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่เฉินเกอพูด แต่เขาก็เก็บความสงสัยเอาไว้กับตัวและไม่พูดอะไรอีก

“บ้านผีสิงแบบเปิดโดยสมบูรณ์พร้อมกับอิสระในการสำรวจ ที่นี่คุณสามารถสนุกไปกับประสบการณ์สุดยอดที่คุณไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน” เฉินเกอถือใบยินยอมทั้งหมดแล้วนำทั้งกลุ่มไปที่ประตูสู่ชั้นใต้ดิน “คำแนะนำสุดท้าย หลังจากคุณเข้าไปแล้ว เดินตรงไปหาแสง อย่าได้เดินเตร็ดเตร่ไปทางอื่นเอง”

“ทักษะการแสดงของคุณสมควรได้รับคำชม แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็รู้กันอยู่แล้ว” บางทีอาจจะเพราะความไม่มั่นใจหรือเพราะเหตุผลอื่น แต่ว่าชายในชุดคลุมยาวก็บ่นเบา ๆ

“การเลือกแต่ละครั้งของพวกคุณจะนำไปซึ่งผลลัพธ์ที่ต่างกัน คุณจะเข้าใจความหมายของผมหลังจากคุณเข้าไปในฉาก” เฉินเกอเปิดประตูโหยหวน และลมเย็นเฉียบก็พุ่งออกมาจากปากที่อ้ากว้าง อุณหภูมิลดลงทันทีและผู้เข้าชมบางคนก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

“มาสิ ผมจะนำพวกคุณไปที่ทางเข้า” เฉินเกอเดินอยู่ข้างหน้า เขาก้าวยาว ๆ ไปตามเส้นทางน่าขนลุกและไปถึงที่ทางเดินที่นำไปสู่ฉากเมืองหลี่ว่าน ประตูเหล็กบานใหญ่ที่ถูกทาสีดำปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา ที่ด้านนี้ของประตูพวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงวิ่งของผู้เข้าชมคนอื่น ๆ แต่ว่าที่อีกด้านหนึ่ง มันเงียบสนิทราวกับไม่มีคนเป็น ๆ เคยย่างเท้าเข้าไปที่อีกฟากหนึ่ง

“เวลาของการเข้าชมก็คือสี่สิบนาที ถ้าคุณต้องการยอมแพ้ ก็แค่ยืนอยู่กับที่แล้วร้องขอความช่วยเหลือ พนักงานของเราจะเข้าไปช่วยพาคุณออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้” หลังจากส่งผู้เข้าชมทั้งหมดเข้าไปในเมืองหลี่ว่าน เฉินเกอก็ล็อกประตูเหล็ก

เสียงโซ่เสียดสีกับประตูนั้นแหลมเสียดหู เฉินเกอมองผู้เข้าชมทั้งสิบตรงหน้าเขา และมุมปากก็ยกโค้งขึ้น “ผมหวังว่าพวกคุณจะสนุกกับประสบการณ์ครั้งนี้”

เขาหันกลับเดินออกไปจากฉากใต้ดินและเข้าไปที่ห้องควบคุมหลัก เขาเปลี่ยนเพลงแบ็คกราวน์ของเมืองหลี่ว่านไปเป็นเพลงธรรมดา มีหน้าใหม่หลายคนเกินไป ดังนั้นเฉินเกอจึงเชื่อว่าแค่ฉากอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวแล้ว

หลังจากเสร็จแล้ว เฉินเกอก็กลับไปขายตั๋วที่ทางเข้า หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เย่เสี่ยวซินก็ออกมาจากฉาก และเธอก็เดินออกมาจากบ้านผีสิง แผ่นหลังของเธอชุ่มเหงื่อ และหน้าผากก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ

“เป็นยังไงบ้าง?” เฉินเกอเดินเข้าไปทักทายเธอ

“ไม่ว่าฉันจะมาที่นี่กี่ครั้ง นี่ก็ยังมีความรู้สึกของความเหมือนจริงที่สลัดไม่หลุด ความหวาดกลัวจู่โจมหัวใจของคุณ มันเหมือนกับว่าสิ่งที่ฉันได้เจอนั้นสะท้อนมาจากชีวิตจริง” เย่เสี่ยวซินให้ความเห็นอย่างซื่อตรง “ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณออกแบบทั้งหมดนี่มาได้ยังไง– พวกมันน่ากลัวมากจริง ๆ”

“ถ้าไม่น่ากลัว แล้วจะเรียกว่าบ้านผีสิงได้ยังไงเล่า?” เฉินเกอตอบพร้อมยิ้ม

“แล้วก็ มีอีกอย่างที่ฉันอยากจะบอกคุณ” เย่เสี่ยวซินดึงโทรศัพท์ออกมา “เมื่อกี้นี้มีแฟนคลับคนหนึ่งของฉันส่งข้อความส่วนตัวมาให้ บอกฉันว่าบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดที่ซินไห่จะมาดูงานที่บ้านผีสิงของคุณ”

“บ้านผีสิงที่ซินไห่?”

“ใช่ ฉันได้ยินมาว่าพวกเขากำลังจะเจ๊ง ดังนั้นจึงอยากมาล้วงความลับของคุณ”

เย่เสี่ยวซินเปิดข้อมูลของบ้านผีสิงให้เฉินเกอดูู เฉินเกอไม่ได้สนใจมากนักในตอนแรก แต่หลังจากกวาดตามองเร็ว ๆ รอบหนึ่ง เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่คุ้นเคยอย่างน่าสงสัย “เดี๋ยวก่อนนะ คุณให้ผมดูรูปหมู่อีกทีได้ไหม?”

เฉินเกอขยายรูปออกดูและเขาก็ต้องตกใจว่ารูปที่เย่เสี่ยวซินให้เขาดูนั้นมีคนผู้หนึ่งที่เขาค่อนข้างคุ้นเคย หน้าตานุ่มนวลและดวงตาเล็ก ชายหนุ่มคนนี้ตอนนี้กำลังอยู่ในบ้านผีสิงของเขา!

“ผมเคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อน เขาเพิ่งเข้าไปในบ้านผีสิงกับไอ้ทุเรศนั่น”

“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้!” เย่เสี่ยวซินตกใจ

“ไอ้คนลามกนั่นถูกบ้านผีสิงหลายที่ขึ้นบัญชีดำแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่รู้กันเฉพาะในกลุ่มที่เข้ากระดานสนทนาบ้านผีสิงบ่อย ๆ เท่านั้น ผมสลัดความรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องออกไปไม่ได้เลย” เฉินเกอคืนโทรศัพท์ให้เย่เสี่ยวซิน “ผมขอตัวก่อนนะ”

บอกลานักรีวิวแล้วเฉินเกอก็กลับไปที่ห้องควบคุมหลักตรวจดูกล้องวงจรปิดที่ทางเข้าบ้านผีสิง หลังจากเทียบดูแล้ว ความสงสัยของเฉินเกอก็ยืนยันได้

สี่คนนี้รู้จักกันชัด ๆ พวกเขาหลอกให้ไอ้ทุเรศนั่นเข้ามาที่บ้านผีสิงของฉัน พวกเขาคิดจะทำอะไร? พวกเขามาที่นี่ในนามของสวนสนุกแห่งอนาคตเหรอ??

เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เฉินเกอก็คิดและตัดสินใจเปลี่ยนเพลงแบ็คกราวน์กลับไปเป็น Wedding dress และ Black Friday

ในเมื่อพวกแกมาที่นี่เพื่อดูงาน อย่างนั้นฉันก็จะไม่เก็บความลับของฉันเอาไว้จากพวกแก ฉันไม่อยากจะถูกหาว่าขี้งกหรอกใช่ไหม?

เขาเดินออกไปจากห้องควบคุมหลักและเฉินเกอก็เข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วแต่งหน้าให้ตัวเอง จากนั้นเขาก็ดึงชุดจากในห้องแต่งตัวปิศาจ เขาติดต่อเสี่ยวกู่ผ่านเส้นทางพนักงานและสวมชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลกที่เสี่ยวกู่ถอดออกมา

พวกเขาคงไม่ทันคาดคิดว่าจะมีฆาตกรสองคนหรอกใช่ไหม?

โซ่ลากไปบนพื้นและเฉินเกอก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์ ถือค้อนเอาไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วกลับไปที่เมืองหลี่ว่าน

ในเมื่อฉันมีสหายจากแดนไกลมาเยือน ฉันจะปล่อยให้เขากลับไปโดยไม่สนุกสักหน่อยได้หรือ?

เมื่อประตูของเมืองหลี่ว่านถูกปิดลง อุณหภูมิก็ลดต่ำลงไปอีก ความเงียบ ความกลัว และความสยองที่บรรยายไม่ได้ชะโลมใส่พวกเขาเป็นระลอก ไม่มีใครพูดอะไร และผู้เข้าชมก็แทบจะได้ยินเสียงหัวใจของคนอื่นเต้นได้ด้วยซ้ำ

“ไม่มีกระทั่งป้ายหรืออะไรเลย? เขาแค่เอาพวกเรามาทิ้งไว้อย่างนี้น่ะนะ?” ชิโนซากิเองนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเบาเสียงลง

“บ้านผีสิงของบอสเฉินก็เป็นแบบนี้แหละ เขามีวิธีการที่ต่างไปจากบ้านผีสิงอื่น ๆ ในตลาด” น้ำเสียงของหวังตั้นไม่เป็นมิตรนัก เขาเดินไปหน้ากลุ่มและพูด “ผมผ่านฉากระดับสามดาวมาแล้ว แต่มีใครตรงนี้ที่พูดแบบเดียวกันได้บ้าง? มีแค่การร่วมมือกันเท่านั้นพวกเราถึงจะมีโอกาสเคลียร์ภารกิจนี้ได้”

“แกถูกบ้านผีสิงล้างสมองหรือไง? แกก็ดูโง่เท่า ๆ กับบอสเมื่อกี้นั่นแหละ” ชายคนหนึ่งที่ตามชายที่ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นเข้ามาพูด “ใครให้เขามีสิทธิ์ตัดสินระดับความน่ากลัวของฉากในบ้านผีสิงกัน? บ้านผีสิงของเขาก็แค่เป็นที่นิยมขึ้นมานิดหน่อยในเมืองจิ่วเจียงนี่”

“เขาแบ่งฉากเป็นระดับต่าง ๆ กันก็เพื่อเก็บเงินจากลูกค้าที่มาซ้ำอย่างแกนั่นแหละ พวกเราพยายามทำอย่างนี้ดูแล้วเมื่อปีก่อน” อีกคนบิดขี้เกียจ และดึงเอาโทรศัพท์ออกมาเตรียมส่งข้อความให้ใครบางคน

“นี่เป็นคำแนะนำของผมนะ ว่าคุณไม่ควรใช้โทรศัพท์ในบ้านผีสิงนี่” หวังตั้นมองชายคนนั้นอย่างจริงจัง “ทุกคนที่ใช้โทรศัพท์ของตัวเองในบ้านผีสิงมักพบจุดจบเลวร้ายที่สุดและเป็นได้แค่ภาระให้กับเพื่อนร่วมทีมที่เหลือ”

“แกเป็นนักแสดงที่บ้านผีสิงจ้างมาใช่ไหม? หรือสมองแกมีอะไรผิดปกติ?” ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจและหันหน้าหนีไปจากหวังตั้น

หวังตั้นอยากจะพูดอะไรอื่นอีกแต่ถูกแฟนสาวรั้งเอาไว้ แฟนสาวของเขาดูเหมือนจะคิดว่าที่เขาทำนั้นค่อนข้างน่าอาย

มีผู้เข้าชมมาถามเฉินเกอเกี่ยวกับฉากใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ และเฉินเกอก็ยินดีบอกข้อมูลที่ไม่สำคัญนักกับพวกเขา เขารู้ว่าสิ่งที่ผู้เข้าชมกระหายจะรู้คืออะไร และข้อมูลที่เขาให้นั้นก็เหมือนเหยื่ออันโอชะ ล่อหลอกพวกเขาเข้าสู่การท้าทายฉาก

“บอสเฉิน พวกเราพบกันอีกแล้ว ทำไมยิ่งมาฉันยิ่งรู้สึกเหมือนคุณดูเด็กลง?” ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเฉินเกอนั้นมีผมตัดสั้นและรูปลักษณ์ทอมบอยของเธอทำให้เธอดูมีสไตล์มากกว่าพวกผู้ชายเสียอีก แต่ว่ารูปร่างเย้ายวนของเธอก็ไม่ได้ทำให้เธอไร้เสน่ห์แบบหญิงสาวเช่นกัน

“นั่นอาจจะได้ผลกับพวกคุณลุงวัยกลางคนนะครับ– สำหรับคุณผมดูแก่ขนาดนั้นเหรอ?” ผู้หญิงคนนี้นับได้ว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเฉินเกอ ชื่อของเธอก็คือ เย่เสี่ยวซิน นักรีวิวบ้านผีสิง เธอมีผู้ติดตามมากกว่าล้านคน ตอนที่คนจากบ้านผีสิงโรงเรียนแพทย์เทียนเถิงมาเข้าชม เธอก็เข้าร่วมกับพวกเขา และหลังจากที่เธอออกมา เธอก็แทบจะตีกับตัวเองอยู่ตรงนั้น

“ฉันไม่เคยเสียเวลาพูดประจบประแจง ฉันคิดจริง ๆ ว่าคุณดูเด็กลง” เย่เสี่ยวซินดึงโทรศัพท์ออกมา “ฉันขอตั๋วเข้าห้องเก็บศพใต้ดิน ฉันวางแผนจะรีวิวฉากนั้นวันนี้”

“ห้องเก็บศพใต้ดิน?” เฉินเกอไม่ปิดบังความไม่สบอารมณ์บนใบหน้า “ไม่ใช่ว่าคุณกำลังจะท้าทายฉากใหม่ของผมหรอกเหรอ? มันสนุกนะ”

“ไม่ละ ขอบใจ ฉันจะรอให้มีไกด์บนออนไลน์ก่อน” เย่เสี่ยวซินสะบัดผมไปด้านหลัง จากนั้น ก็เหมือนจะนึกอะไรได้ เธอก็เสริม “แล้วก็ มีกลุ่มบนออนไลน์ตั้งใจจะรวบรวมและแบ่งปันรูปของฉากในบ้านผีสิงของคุณแน่ะ คุณแน่ใจนะว่าจะไม่ทำอะไรกับเรื่องนั้น? ฉันรู้สึกว่านี่เป็นการโจมตีคุณ”

“ไม่เป็นไร ผมมองมันเป็นการโฆษณาฟรี” เฉินเกอมีความช่วยเหลือของถงถง แต่ในเมื่อมันมีฉากเยอะเกินไป ถงถงก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ที่มากมายเกินไปได้ และแน่นอนว่า นี่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เฉินเกอจงใจผ่อนปรนให้ผู้เข้าชม

บ้านผีสิงนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว และยังมีคู่แข่งน่ากลัวอย่างสวนสนุกแห่งอนาคตปรากฏตัวออกมาอีก ก่อนที่ผลลัพธ์จะปรากฏ ความนิยมนั้นเป็นเรื่องสำคัญของเฉินเกอ อย่างไรเสีย ถ้าเขาต้องการหยุดการกระทำเช่นนี้ มันก็ไม่ได้ยากเกินไปเมื่อคิดถึงว่าพนักงานของเขานั้นต่างจากของคนอื่น ๆ

“ระวังไว้หน่อยแล้วกัน ถ้าพวกเขาทำลายคุณซึ่งหน้าไม่ได้ พวกเขาก็อาจจะทำอะไรลับหลัง” เย่เสี่ยวซินลดเสียงลง “ตอนที่ฉันต่อแถวอยู่เมื่อกี้นี้ ฉันเห็นผู้ชายคนนี้ที่ห้องโถงรอพัก ระวังเขาเอาไว้”

เย่เสี่ยวซินค้นโทรศัพท์ตัวเองและเปิดรูปหนึ่งให้เฉินเกอดู ในรูปนั้นเป็นผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ ถึงแม้ว่าพระอาทิตย์จะสาดแสงแรงกล้า เขากลับดูไม่ร้อนเลย เขากำลังคุยโทรศัพท์ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“เขาดูมีการศึกษาและสุภาพ ดูไม่เหมือนคนไม่ดี”

“อย่าถูกรูปลักษณ์ของเขาหลอกเอา ถ้าคุณเข้าไปดูในกระดานสนทนาเกี่ยวกับบ้านผีสิง คุณจะพบว่าผู้ชายคนนี้ติดแบล็กลิสต์ของบ้านผีสิงหลายแห่ง” เย่เสี่ยวซินไปยืนด้านข้างเพื่อให้ไม่ขวางแถว “เขาไม่ใช่ผู้เข้าชมธรรมดา– มีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับจิตใจของเขา เขาน่ากลัว และสิ่งที่ประหลาดที่สุดก็คือเขาชอบ ‘เปิดเผย’ ตัวเองต่อคนอื่นที่ในบ้านผีสิง เขาทำให้นักแสดงผู้หญิงที่ในบ้านผีสิงหลายคนร้องไห้เพราะการกระทำของเขา”

“เขาเป็นคนน่ากลัวขนาดนั้น?”

“ใช่ เขายังถูกจับกุมหลายครั้งเพราะการกระทำของเขา แต่ว่าเขาก็ไม่เปลี่ยนนิสัยเลย” เย่เสี่ยวซินถอนหายใจ “เขาเข้าใจกฎของนักแสดงของบ้านผีสิง เขารู้ว่าพวกนักแสดงทำร้ายเขาไม่ได้ เขายังไม่ได้มีการสัมผัสทางกายกับพวกนักแสดง เขาแค่เปิดบางส่วนของตัวเองให้นักแสดงดูเพื่อเติมเต็มความปรารถนาทางเพศของตัวเอง ผู้ชายคนนั้นเก่งเรื่องนี้ เขามักจะลงมือในมุมที่ไม่มีกล้องวงจรปิด ตอนที่เขาถูกจับกุมก็เป็นเพราะว่าใช้เวลาไปทำเรื่องพวกนี้จนผู้เข้าชมคนอื่นที่เข้าพร้อมกันทนไม่ไหวทุบตีเขาเข้า”

“บางคนก็ต้องการบทเรียน บทเรียนที่ลึกซึ้งและจริงจัง” พนักงานทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าผู้เข้าชมทำได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ เฉินเกอก็มองเห็นทางแก้ปัญหานี้หลายทาง

“ฉันคิดว่าน่าจะประมาณนี้แหละ ระวังด้วย ฉันจะเข้าไปก่อนตอนนี้” เย่เสี่ยวซินตามคนที่เหลือเข้าไปในบ้านผีสิง เฉินเกอใช้ดวงตาหยินหยางของตัวเองมองไปทางห้องโถงรอพัก ชายคนนั้นยังคุยโทรศัพท์ แต่เฉินเกอพบว่าตอนที่เขากำลังคุย ดวงตาของเขาก็ยังกลอกไปมาเหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่

เฉินเกอมองไปรอบ ๆ โดยมีชายคนนี้เป็นศูนย์กลาง และเขาก็พบว่าที่จุดอับสายตาชายคนนี้นั้นมีชายอีกคนที่กำลังคุยโทรศัพท์ ผู้ชายคนนี้นั้นสวมหมวกใบใหญ่ และมีผิวขาว รูปลักษณ์ของเขานั้นดูนุ่มนวลและคล้ายผู้หญิง

“คู่หู?” ตอนที่เฉินเกอหันไปมองชายคนนั้น ชายในเสื้อคลุมก็วางสายและเดินออกจากห้องโถงมา บังเอิญว่า ชายอีกคน ก็เดินออกมาพร้อมกับคนอื่นอีกสามคนด้วย

ทั้งห้าคนเริ่มต่อแถว คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า อีกคนอยู่ด้านหลัง และคนอื่น ๆ อยู่ตรงกลาง จากภายนอกแล้ว พวกเขาดูไม่เหมือนว่าจะรู้จักกัน

“พวกเขามาจากสวนสนุกแห่งอนาคต?” แต่ว่าเฉินเกอรู้สึกเหมือนตัวเองนั้นทิ้งร่องรอยบาดแผลทางใจเอาไว้ให้กับคนจากสวนสนุกแห่งอื่นลึกมากจนพวกเขาไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้ เฉินเกอให้ความสนใจพวกเขาเป็นพิเศษ หลังจากทั้งสามคนเข้าไปต่อแถว จู่ ๆ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้น สามคนเริ่มเคลื่อนไหวและไปรวมตัวกัน “พวกเขาเตรียมตัวมา!”

ความวุ่นวายเริ่มปะทุ และนี่ก็รบกวนผู้เข้าชมคนอื่น ๆ หนึ่งในนั้นตะโกนใส่พวกเขาตรง ๆ อย่างโมโห “ทำไมพวกคุณถึงแซงคิว? ถอยออกไปนะ!”

เขาเสียงดังมากและนี่ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในทันที คนที่พูดขึ้นนั้นเป็นชายวัยกลางคนสูงประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตร รูปลักษณ์ของเขานั้นไม่เข้ากับพื้นอารมณ์ของเขาเลย

“คุณชิโนซากิ กรุณาใจเย็นก่อน พวกเรามาที่นี่เพื่อตามหาแรงบันดาลใจ– ไม่มีความจำเป็นต้องทะเลาะกับคนอื่น ๆ” ผู้หญิงคนหนึ่งอายุยี่สิบกว่าปีที่ยืนอยู่ข้างชายวัยกลางคน เธอดูเหมือนจะเป็นผู้ช่วยของเขา ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะคุ้นชินกับการระเบิดอารมณ์ของชายคนนั้น และเธอก็ขอโทษผู้เข้าชมที่รอบ ๆ

“ชิโนซากิ? คนต่างชาติ?” ก่อนที่เฉินเกอจะทันได้พูดอะไร ผู้ชายที่ชื่อชิโนซากิก็เริ่มทะเลาะวิวาทด้วยภาษาจีนอันยอดเยี่ยม เฉินเกอรีบส่งหน้าที่ขายตั๋วต่อให้ลุงซู และรีบวิ่งเข้าไประงับการต่อสู้ “ได้โปรดหยุดทะเลาะกัน เมื่อครู่นี้ใครแซงคิวนะครับ?”

เห็นพนักงานเข้ามาแล้วทั้งสองฝ่ายก็หยุดเถียงกัน

“เขา! เขาแซงคิว ฉันกำลังจะบอกคุณว่า ถ้าพวกเราไม่มีกฎของสังคม ฉันก็ต่อยหน้าเขาไปแล้ว ไร้ระเบียบชะมัด” ชายวัยกลางคนช่างหาเรื่องเก่งเหลือเกิน

“เข้าใจแล้วครับ” เฉินเกอหันไปหาคนที่แซงคิว เขายืนอยู่ติดกับชายที่สวมหมวกใบใหญ่ เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกัน “ถ้าคุณต้องการเข้าชมบ้านผีสิงของเผม ผมก็ต้องการให้พวกคุณทั้งหมดถอยกลับไปต่อแถวและทำตามกฎ”

เฉินเกอไม่ปล่อยให้มีโอกาสได้ต่อรอง ผู้ชายคนนั้นดูไม่พอใจกับการจัดการนี้อย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าด้วยการโน้มน้าวจากเพื่อนของเขา เขาก็ถอยกลับไปต่อแถวด้านหลังอย่างเชื่อฟัง

“เอาละ ตอนนี้ทุกอย่างก็เป็นปกติดีแล้ว” เฉินเกอยืนอยู่ท้ายแถว เพราะอะไรสักอย่าง ชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเมิน เขาตะโกนไปที่เฉินเกอ “ร้อนขนาดนี้แถวก็ยาว คุณไม่มีแถวสำหรับ VIP หรืออะไรแบบนั้นเหรอ? ผมยินดีจ่ายเพิ่ม!”

“ต้องขออภัยด้วยครับ แต่ว่าผมปฏิบัติกับผู้เข้าชมทั้งหมดของผมเสมอภาคกัน”

“ดี! ช่างมีหลักการนัก! อย่างนั้นฉันกลับ! ทุกคนแม่งขัดใจฉันตลอด!” เพื่อตบตาเฉินเกอ ผู้ชายคนนั้นจึงทำเป็นโกรธและหันหลังกลับ

“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณชิโนซากิ! บ้านผีสิงนี่โดดเด่นมาก! พวกเราก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นพวกเราอย่างน้อยที่สุดก็ควรเข้าไปดูนะคะ!” หญิงสาวผู้ช่วยพยายามรั้งเขาเอาไว้ จากนั้นเธอก็วิ่งกลับมาขอร้องเฉินเกอ “บอสคะ คุณช่วยยกเว้นให้พวกเราได้ไหม?”

เธอมองเฉินเกอด้วยสายตาขอร้อง “คุณชิโนซากิเป็นนักเขียนการ์ตูนค่ะ เขาไม่มีแรงบันดาลใจมาหลายเดือนแล้ว และอารมณ์ของเขาก็แย่ลงเพราะเรื่องนั้น ปกติเขาไม่ได้เป็นอย่างนี้”

“นักเขียนการ์ตูน? เขาดังไหม? ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน?” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงเอี๋ยนต้าเหนียน บางทีเขาอาจจะใช้โอกาสนี้เติมเต็มความปรารถนาของเอี๋ยนต้าเหนียน

ผู้ช่วยหน้าแดง “คุณชิโนซากิปกติตีตลาดอยู่ต่างประเทศค่ะ และเขาก็มีชื่อเสียงในด้านนี้ แต่ว่าสองสามปีหลังมานี่ เขาเริ่มเปลี่ยนสไตล์ไป! ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังเป็นชายที่ทรงอิทธิพลมากทีเดียว!”

เฉินเกอพยักหน้าและจงใจเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น “ถ้าคุณไม่ต้องการต่อแถว อย่างนั้นก็มีทางเลือกเดียวครับ ผมเพิ่งเปิดฉากใหม่ และคนที่ต้องการเข้าชมฉากใหม่สามารถลัดแถวเข้ามารวมกับผมได้เลยตอนนี้”

“ฉากใหม่?” เธอดูไม่กล้าตัดสินใจ ดังนั้นจึงหันไปหาชายคนนั้น

“ผมเพิ่งชมว่าคุณมีหลักการไปก่อนหน้านี้ แต่พอได้ยินชื่อผมคุณก็เปลี่ยนใจ ได้ ผมจะให้โอกาสคุณทำให้ผมประทับใจให้ได้วันนี้” ชายวัยกลางคนเดินกลับมาอย่างเอื่อยเฉื่อย “ฉากใหม่ก็ฉากใหม่!”

เห็นชายวัยกลางคนแซงคิว ผู้ชายคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาจากท้ายแถว “ผมก็อยากจะเข้าชมฉากใหม่เหมือนกัน”

ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุม อุณหภูมิข้างนอกนี่ก็สูง และยังไม่มีเครื่องปรับอากาศ ผมของเขาเปียกเหงื่อเหมือนเขากำลังจะไหม้แล้ว ได้ยินเสียงเขา คนอื่นในกลุ่มของเขาก็อยากจะรั้งเขาเอาไว้ แต่ว่ามันก็สายเกินไปแล้ว

“ได้ อย่างนั้นก็ตามผมมา มีคนอื่นอีกไหม?” เฉินเกอยอมรับการอาสาของเขาอย่างรวดเร็วและรับเงินเขามา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาสสำนึกเสียใจแล้ว

คนอื่นในกลุ่มก็เดินออกมาช้า ๆ เฉินเกอให้ลุงซูขายตั๋วให้คนพวกนี้ขณะที่เขาใช้โทรศัพท์ค้นข้อมูลของชิโนซากิในออนไลน์

ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ชาวต่างชาติ– เขาก็แค่มีชื่อที่ฟังดูคล้ายชื่อชาวต่างชาติ แต่ว่า ที่บอกว่าเขาสร้างผลงานโดยมีตลาดอยู่ที่ต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องจริง แฟนคลับของเขาเรียกเขาเป็นโมเสกเดินได้*และบิดาแห่งแสงศีลธรรม**

 

 

 

TL note:

*หมายถึงการเบลอภาพที่มักจะใช้ในการปิดส่วนอันสงวนในการ์ตูนอีโรติกหรือที่มีฉากอิโรติก

**แสงแห่งศีลธรรมนั้นมักจะถูกใช้ในการ์ตูนอีโรติกหรือที่มีฉากอิโรติก เช่นเมื่อตัวละครถอดเสื้อผ้าหรือว่าเปลือยกาย แทนที่จะใช้การเบลอภาพ ก็จะใช้แสงหรือว่าควันในการปิดส่วนสงวน ดังนั้น แฟน ๆ การ์ตูนจึงมักเรียกมันว่าแสงแห่งศีลธรรม  ในภาษาอังกฤษใช้ว่า Holy light, Saint light แต่ในภาษาไทยมักใช้คำว่าแสงแห่งศีลธรรม

หลังจากมือกรรไกรแต่งตัวแล้ว เฉินเกอก็มองเขาและไม่รู้สึกอะไร แต่ว่าจางจิงจิ่วถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว

“ชุดนี้เข้ากับนายมากเลย” เสื้อคลุมปิดบังใบหน้า และกรรไกรเปื้อนเลือดก็เห็นวับแวมเมื่อแขนเสื้อขยับ จากที่ไกล ๆ มันทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาด เขายืนอยู่ไกล ๆ แต่เหมือนเขากำลังขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และจะกระโจนใส่คนอื่น ๆ เมื่อไหร่ก็ได้

“ฉันจะหารองเท้าให้นายเปลี่ยนสักคู่หนึ่งหลังจากนี้ ไอ้ที่นายสวมอยู่มันไม่ค่อยเข้ากับเครื่องแต่งกายที่เหลือ”

โดยรวมแล้ว เฉินเกอพอใจกับชุดของมือกรรไกร ไม่เหมือนเสี่ยวกู่ มือกรรไกรนั้นฝึกฝนที่บ้านมาเป็นอย่างดี ดูวิดีโอและละครถึงวิธีการเล่นเป็นคนบ้าคลั่ง เขายังมีประสบการณ์มาก่อนที่เมืองหลี่ว่าน ตอนนี้ ในด้านรูปลักษณ์และท่าทาง เขาก็คล้ายกับคนบ้าคลั่งจริง ๆ มากทีเดียว

มันยากที่จะอธิบายรายละเอียด แต่ว่ามีความกลัวที่ก่อตัวขึ้นในตัวตนของเขา หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซูว่านกับเสี่ยวกู่ก็มาถึง

ในห้องแต่งตัว เฉินเกอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ “พวกเราจะเป็นเพื่อนร่วมงานกันในอนาคต ดังนั้นก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซูว่านเป็นพนักงานที่มีประสบการณ์ที่สุดของฉัน ดังนั้นถ้ามีคำถามอะไร ก็ถามเธอได้”

หลังจากแต่งหน้าให้เสี่ยวกู่กับซูว่านแล้ว เฉินเกอก็ให้พวกเขาเข้าไปในฉากของตัวเองเพื่อเตรียมตัวก่อนที่จะไปยังห้องควบคุมหลักเพื่อหาวิทยุติดตามตัวและหูฟังกับไมโครโฟนส่งให้จางจิงจิ่วและมือกรรไกร

“มีกล้องวงจรปิดในห้องควบคุม ดับนั้นถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไร ฉันจะสั่งนายผ่านอุปกรณ์พวกนี้ ตอนนี้ พวกนายตามฉันเข้าไปในฉาก” เฉินเกอนำพวกเขาเข้าไปในเมืองหลี่ว่าน เดินไปตามถนน มือกรรไกรและจางจิงจิ่วก็รู้สึกเหนือจริง แต่ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเฉินเกอของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ถามคำถามอะไรมากมาย

“จิงจิ่ว ฉันต้องการให้นายอยู่ในโรงแรมเล่นเป็นบอสก่อนตอนนี้ นายยังต้องฝึกหลอกลูกค้าให้มากกว่านี้ก่อน ดังนั้นอย่าได้เข้าไปพัวพันกับพวกเขาถ้าไม่จำเป็น” เฉินเกอมั่นใจในบ้านผีสิงของเขา ดังนั้นเขารู้ว่าคนที่สามารถผ่านฉากระดับสามดาวมาได้นั้นไม่กลัวอะไรง่าย ๆ แน่นอน พวกเขามีประสบการณ์มากกว่าพนักงานใหม่ของเขา

“งั้นผมควรจะทำอะไร?” จางจิงจิ่วถูมือเข้าด้วยกัน มันเป็นการทำงานวันแรก และเขาก็รู้สึกอยากจะทำอะไรสักอย่าง เขาค่อนข้างตื่นเต้น

“แค่ฟังคำสั่งของฉัน ฉันจะมอบหมายหน้าที่ให้นายทำ” เฉินเกอพูดและหันไปมองมือกรรไกร “นายอยู่รอบ ๆ เขตที่พักอาศัยไปก่อนชั่วคราว เดินไปมาได้อิสระ แต่ว่าระวังไว้สามอย่าง หนึ่ง อย่าสัมผัสถูกตัวผู้เข้าชม สอง ความปลอดภัยของผู้เข้าชมสำคัญที่สุด สาม อย่าลืมป้องกันตัวเอง”

“ป้องกันตัวเอง?” มือกรรไกรมีความรู้สึกไม่ค่อยดีก่อตัวขึ้นในใจ

หลังจากมอบหมายบทบาทให้พวกเขาแล้ว เฉินเกอก็ออกไปจากฉากใต้ดิน เขาตั้งใจจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เขาดูสะอาดและเฉียบแหลม เหมือนพี่ชายข้างห้องผู้สดใส

“ลุงซู ลุงมาเช้าเชียวนะวันนี้!” เฉินเกอออกจากบ้านผีสิงวิ่งเข้ามาหาลุงซูที่ด้านนอก เขาทักทายพนักงานสูงวัยอย่างกระตือรือร้น

“ผู้อำนวยการลั่วบอกว่าแกอาจจะมีความคิดอะไรใหม่ ๆ ดังนั้นก็เลยให้ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยแกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ลุงซูมองเฉินเกอที่แต่งตัวใหม่และเพราะอะไรไม่รู้ เขารู้สึกกระวนกระวายอย่างประหลาด “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการแข่งขันระหว่างพวกเรากับสวนสนุกแห่งอนาคต ดังนั้นทางที่ดีแกอย่าทำอะไรที่เกินเลยไปนักนะ!”

“ไม่ต้องห่วงครับ” นั่นคือทั้งหมดที่เฉินเกอรับปากลุงซู จากนั้นเขาก็ดึงไม้กระดานที่วางเอาไว้ในห้องโถงรอพัก เขาใช้กระดานแผ่นเดิมที่เคยใช้ประกาศเปิดหมู่บ้านโลงศพ และครั้งนี้ เขาก็กำลังจะใช้มันอีกครั้ง “เรียกฉากเมืองหลี่ว่านคนท้องถิ่นอาจจะไม่เห็นด้วยนัก บางทีฉันควรจะปล่อยให้มันไร้ชื่อ นั่นก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน”

เฉินเกอเรียกฉากใหม่ว่าเมืองเล็กและวางป้ายเอาไว้ที่หน้าซุ้มขายตั๋ว มันเรียบง่ายและชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่เฉินเกอรู้ดี

“แกกำลังวางแผนจะเปิดฉากใหม่?” ลุงซูมองสองคำที่บนป้ายและขมวดคิ้ว เฉินเกอปล่อยฉากใหม่เร็วเกินกว่าทีมสนับสนุนจะตามทัน

“ใช่ มันไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ลุงก็เห็น มันเป็นเหมือนฉากคั่นน่ะครับ– ระดับความยากแค่สามดาวครึ่ง จุดประสงค์หลักก็คือวางรากฐานสำหรับฉากระดับสี่ดาวที่จะตามมาทีหลัง” เฉินเกอดึงโทรศัพท์เข้ามาแล้วล็อกอินเข้าไปในแอพพลิเคชั่นของผู้อำนวยการลั่วในฐานะผู้ดูแลและปล่อยประกาศใหม่

“เปิดให้บริการฉากใหม่! เมื่อความหวาดกลัวชุ่มโชกเข้าไปถึงกระดูกของคุณและฝันร้ายกลายเป็นความจริง คุณเพิ่งรู้ว่าคุณไม่สามารถหาทางออกจากเมืองเล็กนี้ได้”

เพียงแค่ไม่กี่นาทีหลังจากเฉินเกอปล่อยประกาศ ก็มีการคลิกเข้ามาดูมากกว่าสามพันครั้ง ลูกค้าผู้ภักดีบางคนยังแชร์ประกาศออกไปยังเวบอื่น ๆ และความคิดเห็นต่าง ๆ ก็ทะยอยเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ละครั้งที่กดเริ่มหน้าใหม่ หน้านั้นก็เต็มไปด้วยความคิดเห็นใหม่ ๆ

“เดี๋ยวก่อนนะ! ไม่ใช่ว่าฉากใหม่เพิ่งปล่อยเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เองเหรอ? ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนเพิ่งกลับมาจากที่นั่นเองนะ? อย่าโกหกฉันนะ!”

“พวกคุณผลิตฉากใหม่ออกมาเหมือนเป็นบ้าอ่ะ! ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว เลขาลิ่ว ซื้อตั๋วกลับไปที่นั่นให้ฉันเดี๋ยวนี้!”

“คำแนะนำนี่ค่อนข้างเรียบง่าย! ฉันอยากรู้ว่าฉากใหม่จะเป็นธีมเกี่ยวข้องกับอะไร”

“ฉันจะสนุกกับความซวยของพวกคุณอย่างปลอดภัยอยู่ที่บ้านนะ”

“นี่คือการโฆษณาชวนเชื่อ: ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ชื่นชอบการไปบ้านผีสิง บางทีวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงอาจจะเป็นสถานที่ที่อนาคตของพวกเธอจะสว่างไสว!”

สวนสนุกเปิดตามปกติตอนเก้าโมงเช้า เมื่อประตูเปิด วัยรุ่นหลายคนก็พุ่งมาทางบ้านผีสิง

“เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเห็นความหลงใหลบนใบหน้าของผู้เข้าชม ฉันก็รู้สึกโชคดีที่ได้อยู่ในธุรกิจนี้” เฉินเกอช่วยลุงซูขายตั๋วอยู่ที่ทางเข้า ผู้เข้าชมส่วนใหญ่ที่รีบร้อนมานั้นเป็นผู้เข้าชมที่มาครั้งแรก และพวกเขาก็ขอเข้าชมฉากระดับต่ำ พวกเขาตื่นเต้นเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกของตน

เป้าหมายของเฉินเกอก็คือผู้เช้าชม ‘รุ่นพี่’ ที่สามารถผ่านฉากระดับสามดาวได้แล้ว คนพวกนี้นั้นได้รับการฝึกฝนเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าจะมาเร็ว พวกเขาก็ไม่มาต่อแถวเร็วขนาดนั้น พวกเขาจะตรงเข้าไปยังห้องโถงพักรอเพื่อสังเกตสถานการณ์

ถึงแม้ว่าเฉินเกอจะไม่ได้ไลฟ์อีกเลยระยะหลังมานี้ และครั้งสุดท้ายที่อัพโหลดวิดีโอก็นานพอสมควรแล้ว คนที่เคยอ่านข้อมูลเกี่ยวกับบ้านผีสิงก็ยังรู้ว่าเขาคือใคร

อย่างไรเสีย ในการโหวตออนไลน์ ตัวละครที่ผู้เข้าชมไม่ปรารถนาจะเจอตอนที่อยู่ในบ้านผีสิง ผู้ชนะอันดับหนึ่งก็ไม่ใช่วิญญาณที่ไหน แต่เป็นเฉินเกอ แต่นี่ก็อาจจะเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น

ตอนที่พวกเขาเห็นเฉินเกอกำลังขายตั๋วอยู่ที่ด้านนอกบ้านผีสิง พวกเขาก็เข้าไปดูใกล้ ๆ พวกเขาพบว่าเฉินเกอที่พวกตนจินตนาการเอาไว้นั้นต่างไปจากเฉินเกอตัวจริงอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มคนนี้ที่มีรอยยิ้มสบาย ๆ จะเป็นตัวละครที่คนไม่อยากจะเจอที่สุดในบ้านผีสิงได้อย่างไร?

“อย่าผลักกันครับ มีหลายฉากให้เยี่ยมชม กรุณาเข้าแถวให้เป็นระเบียบ” ตั้งแต่บ้านผีสิงกลายเป็นที่นิยมขึ้นมา ผู้อำนวยการลั่วก็ทำอะไร ๆ ให้เฉินเกอมากมาย เขากระทั่งสร้าง QR code ให้เฉินเกอหลายอัน แค่สแกน เขาก็จะบอกระดับฉากที่พวกผู้เข้าชมสามารถเข้าชมได้ได้ มันสะดวกมาก

สิบโมงเช้า ผู้เข้าชมกลุ่มแรกก็เยี่ยมชมเสร็จเรียบร้อย ผู้เข้าชม ‘รุ่นพี่’ ที่ยังสังเกตสถานการณ์อยู่นั้นกำลังจะเคลื่อนไหวแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว พวกเขาเดินออกมาจากห้องโถงรอพักและเข้าต่อแถว

“มีใบหน้าเดิม ๆ เยอะเลยวันนี้ นี่เป็นเพราะการเปิดฉากใหม่หรือเปล่า?” ไม่มีอะไรหลุดรอดไปจากสายตาเฉินเกอ เขายังรักษารอยยิ้มเอาไว้บนใบหน้า หวังว่าฉากใหม่ของเขาจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าชม

เฉินเกอนั้นวุ่นวายกับการรับมือเหตุการณ์ในและนอกบ้านผีสิง การผจญภัยครั้งนี้ของเขานั้นกินเวลาทั้งคืน และเขาก็ยังไม่มีโอกาสได้พักผ่อนดี ๆ เลยเช้านี้ ดังนั้นพอถึงตอนบ่าย เขาก็แทบจะร่างสลายแล้ว

เขาเปิดกระเป๋าสะพายหลังปล่อยเหล่าโจวและคนที่เหลือออกมา เขาเลือกพนักงานสองสามคนที่หน้าตาพอดูได้ และให้พวกเขาเข้าไปที่ฉากใต้ดินช่วยดูแลเรื่องพื้นฐานที่นั่น นอกจากซู่อินแล้ว พนักงานส่วนใหญ่นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาป กลับกัน พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนได้รับสารอาหารจากหมอกเลือดและได้รับประโยชน์บางอย่าง พออาการบาดเจ็บของพวกเขาหายดีแล้ว พลังของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“สำหรับวันนี้ การหลอกผู้เขาชมนับเป็นเรื่องรองจากทุกอย่าง พวกเธอพักผ่อนให้ดี อย่าได้หักโหมมากเกินไป” เฉินเกอบอกพนักงานของเขา บอกให้พวกเขาผ่อนปรนแก่เหล่าผู้เข้าชม ถึงแม้ว่าเหล่าพนักงานจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเฉินเกอถึงได้ทำเหมือนเป็นปรปักษ์กับบ้านผีสิงของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังทำตามคำสั่งของเขา

เที่ยงครึ่ง เสี่ยวกู่และซูว่านออกไปพักคนละครึ่งชั่วโมง ผู้เข้าชมส่วนใหญ่ก็ไปรับประทานอาหารกลางวัน และแถวที่หน้าบ้านผีสิงก็ลงความยาวลง ขณะที่จำนวนผู้เข้าชมลดลง ผู้ชายสองคนก็เดินฝ่าฝูงชนมา

พวกเขาคนหนึ่งมีใบหน้าที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้ ขณะที่อีกคนนั้นยืนตรงตัวแข็งทื่อ ฝ่ายหลังนั้นสวมสูท สีหน้าดูค่อนข้างกระวนกระวาย

“ขอโทษนะครับ แต่ว่าบอสเฉินอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” ชายในชุดสูทถามลุงซูที่กำลังควบคุมการขายตั๋วอยู่

“พวกคุณเป็นผู้เข้าชมหรือว่าญาติของผู้เข้าชม?” เมื่อลุงซูเห็นชายที่พันผ้าพันแผลไว้ที่บนหน้า หัวใจของเขาก็กระตุก และความคิดแรกของเขาก็คือเฉินเกอสร้างเรื่องอีกแล้ว

“พวกเรามาที่นี่เพื่อทำงาน บอสเฉินน่าจะแจ้งคุณไว้แล้วใช่ไหมครับ?”

“โอ้ คุณก็คือพนักงานใหม่? ได้ รอตรงนี้เดี๋ยวนะ ฉันจะไปเรียกเขา”

หลายนาทีให้หลัง เฉินเกอก็เดินออกมาจากบ้านผีสิง เขาเองก็ค่อนข้างตกใจเมื่อเห็นแขกสองคนของเขา สองคนนี้ต่างไปจากที่เขาจดจำได้

ใบหน้าครึ่งหนึ่งของมือกรรไกรนั้นมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ เขารูปร่างผอมสูง ผิวขาวเผือดอย่างน่ากลัว เขาดูเหมือนจะดำเนินชีวิตห่างไกลจากแสงอาทิตย์มาเป็นเวลานาน แวบแรกเขาดูไม่เหมือนฆาตกรเลย แต่ดูเหมือนผู้ป่วยโรคร้ายแรงมากกว่า ขณะที่ชายขี้เมาจางจิงจิ่วนั้นตรงกันข้ามกับมือกรรไกรอย่างสิ้นเชิง หลังจากอาบน้ำและสวมชุดสูท เขาก็ดูสดใสและน่าเข้าหา ดูเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จแบบที่จะอยู่บนปกนิตยสาร

“พวกคุณมาได้เวลาพอดีเลย ในเมื่อตอนนี้ไม่มีผู้เข้าชมอยู่พอดี ผมจะพาพวกคุณเดินดูรอบ ๆ” เฉินเกอต้อนรับสองคนเข้าไปในบ้านผีสิง “แล้วก็ หมอเล่า? เขาไม่ได้มากับพวกคุณเหรอ?”

“หลังจากแยกกับคุณ พวกเราก็แลกเบอร์กัน แต่ไม่รู้ทำไม พวกเราไม่สามารถติดต่อหมอผ่านโทรศัพท์ได้” เมื่อพูดถึงหมอ สีหน้าของจางจิงจิ่วก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ผมสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา หรือว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง? ผมไปตามที่อยู่ที่เขาให้ผมไว้ แต่หลังจากถามเพื่อนบ้านแถวนั้นแล้ว ผมก็พบว่าเขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำ

“หมายความว่าตอนนี้หมอหายตัวไป?” เฉินเกอคิดก่อนจะพยักหน้า “ไม่เป็นไร ผมเชื่อเขา พวกเราผ่านอะไรด้วยกันมามากเกินกว่าที่เขาจะทำร้ายพวกเราลง ต้องมีเหตุผลที่เขาหายตัวไป”

อันที่จริง พูดตามตรง เฉินเกอก็ไม่ได้เชื่อถือในตัวหมอเท่าไหร่นัก เขาเชื่อโทรศัพท์เครื่องดำมากกว่า หมออาจจะไม่ใช่ตัวละครธรรมดา แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายคนอื่น

นำพนักงานทั้งสองคนเข้าไปในบ้านผีสิง เฉินเกอก็อธิบายแต่ละฉากให้ฟังสั้น ๆ ไม่เหมือนเสี่ยวกู่และซูว่าน เฉินเกอวางแผนที่จะฝึกพวกเขาให้เป็นพนักงานบ้านผีสิงเต็มตัว แทนที่จะให้พวกเขาดูแลฉากใดฉากเดียว

“ตอนที่พวกเรากลับมาทำงานหลังพักเที่ยง ผมแนะนำให้คุณสองคนตามหลังผู้เข้าชมไปสัมผัสแต่ละฉากในบ้านผีสิงเริ่มตั้งแต่ฉากระดับหนึ่งดาว” เฉินเกอใช้น้ำเสียงใจดีและเป็นมิตรที่สุดพูดประโยคนั้นกับมือกรรไกรและชายขี้เมาที่ยังไม่รู้ว่าความจริงโหดร้ายแค่ไหน “ในเมื่อพวกคุณกำลังจะมาทำงานที่นี่ในอนาคต ก็ไม่มีทางที่พวกคุณจะมัวมากลัวสิ่งที่อยู่ที่นี่”

“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะพยายามอย่างสุดความสามารถ” มือกรรไกรและชายขี้เมาสัญญาอย่างง่ายดาย บางทีจากมุมมองของพวกเขาแล้ว ในเมื่อพวกเขารอดพ้นจากสถานที่อย่างเมืองหลี่ว่านมาได้ จะยังมีอะไรที่พวกเขาต้องกลัวอีกบนโลกนี้?

“ยอดเยี่ยมมาก ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ขอให้พวกคุณสนุกสนานไปพร้อม ๆ กับผู้เข้าชมช่วงบ่ายนี้” เฉินเกอไม่ได้มอบหมายภารกิจอะไรให้กับมือกรรไกรและชายขี้เมา เขาแค่บอกให้ทั้งคู่ตามผู้เข้าชมเข้าไป– นั่นเป็นวิธีการที่ดีที่สุดให้พวกเขาเรียนรู้

พักกลางวันหมดลงในไม่ช้า และมือกรรไกรกับชายขี้เมาก็เริ่มต้นวันที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตของพวกเขา

ได้ยินเสียงกรีดร้องและตะโกนดังมาจากในฉาก เฉินเกอก็เกาคาง “พวกเขายังตกใจกลัวง่ายเกินไป ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพนักงานบ้านผีสิง ฉันกลัวว่าก่อนที่พวกเขาจะหลอกผู้เข้าชม เขาจะถูกเพื่อนร่วมงานหลอกจนกลัวแทบตายไปก่อน แต่ว่า ฉันก็ต้องเริ่มใช้ฉากเมืองหลี่ว่านเร็ว ๆ นี้แล้ว ดังนั้นฉันต้องฝึกพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ตอนที่เฉินเกอกำลังคิด เสียงลุงซูก็ดังมาจากข้างนอก และเฉินเกอก็วิ่งออกไปขานรับเสียงเรียกอย่างรวดเร็ว ลุงซูยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้อำนวยการลั่วที่ทางเข้า และพวกเขาก็ดูเหมือนจะมีอะไรมาบอกเฉินเกอ

“ผู้อำนวยการลั่ว ทำไมคุณถึงตัดสินใจมาหาผมด้วยตัวเองล่ะครับวันนี้?” เฉินเกอประหลาดใจ “ไม่ใช่ว่าสวนสนุกแห่งอนาคตปล่อยกลยุทธ์ใม่อีกนะครับ?”

“คนของสวนสนุกแห่งอนาคตเริ่มการโฆษณาแล้ว แต่ว่าผมมาที่นี่วันนี้เพื่อคุยกับเธอเรื่องอื่น” ผู้อำนวยการลั่วโบกมือให้เฉินเกอแล้วทั้งสองคนก็เดินยังมุมที่ลับตามากขึ้น “เฉินเกอ ผมตรวจดูแอพพลิเคชั่นเล็ก ๆ ที่พวกเราออกแบบกันก่อนหน้านี้ ผมพบว่าจำนวนผู้เข้าชมที่ผ่านฉากระดับสามดาวได้แล้วสูงพอสมควรทีเดียว อันที่จริง ผู้เข้าชมบางคนเกือบจะผ่านทุกฉากของบ้านผีสิงได้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป บ้านผีสิงของเธอก็จะถูกเคลียร์ได้ทั้งหมดก่อนที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่จะเปิดให้บริการเสียอีก ถ้าเป็นอย่างนั้น แรงดึงดูดของบ้านผีสิงต่อผู้เข้าชมก็จะลดลงเป็นอย่างมาก และด้วยวิธีเล่นใต้โต๊ะของคนจากสวนสนุกแห่งอนาคต สถานการณ์ของพวกเราก็ดูจะไม่ดีนัก”

ผู้อำนวยการลั่วนั้นอยู่ในธุรกิจนี้มาหลายปี ถึงแม้ว่าเขาจะดูไม่เหมือนอย่างนั้น แต่อันที่จริงเขาก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง “จุดดึงดูดใหญ่ที่สุดของสวนสนุกของพวกเราก็คือนานถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีใครสามารถเคลียร์ฉากบ้านผีสิงของเธอได้ครบ ผมรู้ว่านี่จะเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของเธอ แต่ตอนนี้ พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว และพวกเราก็แพ้ไม่ได้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่พวกเราทำได้”

“ผู้อำนวยการลั่ว คุณมาที่นี่เพราะเรื่องนี้เหรอครับ?” เฉินเกอประหลาดใจที่วิธีการคิดของผู้อำนวยการลั่วนั้นคล้ายคลึงกับเขา “ไม่ต้องห่วงครับ ผมตั้งใจผ่อนปรนให้พวกเขาเองครับวันนี้”

“เธอตั้งใจ? แต่ว่าจำนวนผู้เข้าชมที่ผ่านฉากได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจะเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเราได้ยังไง?” ผู้อำนวยการลั่วนั้นเชื่อในตัวเฉินเกอ แต่ว่าเขาก็คิดไม่ออกว่าทำไมเฉินเกอถึงทำอะไรอย่างนี้

“ครับ ยิ่งมีคนผ่านฉากระดับสามดาวได้มากเท่าไหร่ จำนวนคนที่จะสามารถเข้าไปสนุกกับฉากใหม่ที่น่ากลัวขึ้นก็มากขึ้นตาม ถ้าไม่มีใครท้าทายฉากที่เปิดใหม่ ไม่มีกระทั่งความตื่นเต้น มันก็ไม่เป็นการดีกับการโฆษณาของพวกเรา” เฉินเกออธิบายด้วยน้ำเสียงสงบ

“ฉากใหม่?” ผู้อำนวยการลั่วจับจุดหลักของสิ่งที่เฉินเกอพูดได้อย่างรวดเร็ว “เธอสร้างฉากใหม่เสร็จแล้ว?”

“แนวคิดกับวัตถุดิบนั้นพ่อกับแม่ของผมเตรียมเอาไว้แล้ว ดังนั้นผมก็แค่ต้องประกอบฉากขึ้นมาเท่านั้น ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมรับรองว่าฉากใหม่นี้จะน่ากลัวยิ่งกว่าฉากเดิมของพวกเรา” เฉินเกอมองผู้อำนวยการลั่ว โดยไม่ต้องพูดอะไรอย่างอื่นอีก พวกเขาทั้งสองคนต่างมีรอยยิ้มปริศนาให้กัน

“เอาละ อย่างนั้นก็ทำอย่างที่เธอกำลังทำต่อได้เลย ถ้าเธอต้องการอะไรอย่างอื่น ก็มาบอกผม ผมจะพยายามให้ความร่วมมือกับเธออย่างเต็มที่” ผู้อำนวยการลั่วรู้สึกดีขึ้นมากและเขาก็ถือเอกสารที่อยู่ในมือกลับไป

“มีเจ้านายที่ทุ่มเททุกอย่างให้กับสวนสนุกอย่างนี้ แล้วผู้เข้าชมจะกลัวไม่สนุกได้ยังไง?” เฉินเกอกลับไปที่บ้านผีสิง เขาก็วิ่งขึ้นลงชั้นใต้ดิน ตอนที่เขาตามดูสภาพของมือกรรไกรกับจางจิงจิ่ว เขาก็ดูให้แน่ใจไปด้วยว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผู้เข้าชมที่ในฉาก

หกโมงครึ่ง บ้านผีสิงก็ส่งผู้เข้าชมกลุ่มสุดท้ายกลับออกไป เฉินเกอให้ซูว่านและเสี่ยวกู่กลับไปก่อนก่อนที่จะกลับเข้าไปในบ้านผีสิงอีกครั้ง มือกรรไกรกับจางจิงจิ่วนอนอ่อนแรงอยู่ที่บนพื้น สติสัมปชัญญะของพวกเขาอ่อนล้า

อันที่จริง พวกเขาจำได้ชัดเจนว่าตัวเองหมดสติไปในบ้านผีสิง ตอนที่พวกเขากำลังสวดภาวนาอยู่เงียบ ๆ ว่าได้รับการปล่อยตัวออกจากบ้านผีสิงแล้ว พวกเขาก็ลืมตามาและพบว่าตัวเองยังอยู่ในบ้านผีสิง พวกเขามองเวลาที่บนโทรศัพท์ และมันก็บอกพวกเขาว่าเวลาเพิ่งผ่านไปแค่สิบนาทีตั้งแต่ที่พวกเขาหมดสติไป

หลังจากถูกทรมานรอบแล้วรอบเล่า พวกเขาก็เริ่มหวาดกลัวน้อยลง ถึงแม้ว่าใบหน้าจะยังซีดขาวราวกับกระดาษเพราะความตกใจ แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ไม่หมดสติแล้ว

“เป็นไง รู้สึกยังไงบ้าง?” เฉินเกอยื่นน้ำแร่สองขวดให้ เขาวางแผนจะฝึกมือกรรไกรและจางจิงจิ่วเป็นพนักงาน ดังนั้นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับพวกเขา เฉินเกอไปขอกลุ่มคุณหมอเว่ยให้ตามดูพวกเขา และให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์เมื่อจำเป็น

“ผมบอกไม่ถูกจริง ๆ มันเหมือนกับไม่ว่าในอนาคตจะเจอบททดสอบชีวิตอะไรอีก ผมก็คงสามารถยิ้มรับมือกับมันแล้วก็ชนะมันได้” จางจิงจิ่วฟื้นตัวได้ดีทีเดียว เขาพยายามหมุนเปิดฝาขวดน้ำด้วยมือสั่น ๆ แต่พยายามอยู่หลายครั้งก็ยังไม่สำเร็จ

“แล้วนายล่ะ มือกรรไกร?”

“ทำไมมันถึงเหมือนว่าผมรู้สึกดีกว่าตอนที่อยู่ในเมืองหลี่ว่าน? บางทีอาจจะมีความบ้าคลั่งแอบซ่อนอยู่ในตัวผมจริง ๆ ก็ได้” มือกรรไกรยกมือกุมหน้าตัวเอง ก่อนที่จะมาที่นี่ เขาไม่คิดจริง ๆ ว่าบ้านผีสิงของเฉินเกอจะน่ากลัว บาดแผลที่ค่อย ๆ ฟื้นฟูอย่างช้า ๆ บนหน้าของเขาเกือบจะฉีกจนมีเลือดซึมออกมาใหม่จากความหวาดกลัว

“ดีมาก ตอนนี้พวกนายก็ได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ในมุมของผู้เข้าชมแล้ว ฉันจะพาพวกนายไปสัมผัสกับทุกอย่างอีกครั้งในมุมมองของพนักงาน” เฉินเกอลุกขึ้นแล้วไปเอารถเข็นมาจากห้องโถงพักรอ

“อะไรนะ? อีกครั้ง?” มือกรรไกรและจางจิงจิ่วเบียดตัวเข้าหากัน สหายที่ผ่านความหวาดกลัวมาด้วยกัน

“ถ้าพวกนายเดินไม่ไหว ฉันจะเข็นนายไปรอบ ๆ เองด้วยรถเข็นนี่ ไม่ต้องห่วง มันปลอดภัย ฉันวิ่งเล่นอยู่ในนี้มาจะเป็นสิบปีแล้ว ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรอก”

ด้วยการกระตุ้นจากเฉินเกอ มือกรรไกรและจางจิงจิ่วก็เข้าไปในบ้านผีสิงอีกครั้ง แต่ว่า การเข้ามาของพวกเขาครั้งนี้ต่างไปจากครั้งก่อน เฉินเกอเริ่มสอนพวกเขาถึงวิธีการหลอกให้ผู้เข้าชมหวาดกลัว

“นักแสดงในบ้านผีสิงน่ะไม่มีบท ดังนั้นทักษะการแสดงของแต่ละคนจึงสำคัญมากขึ้นไปอีก พวกนายต้องมองตัวเองเป็นตัวละครที่พวกนายกำลังสวมบทบาทอยู่จริง ๆ แล้วบทบาทของตัวละครนั้นก็จะหลั่งไหลออกมาจากตัวนายได้อย่างเป็นธรรมชาติ”

จากการเรียนรู้วิธีการฟื้นชีพที่ดีที่สุดด้วยการเป่าปาก จากการเรียนรู้วิธีการใช้กลไกเล็ก ๆ ที่เกลื่อนอยู่ในบ้านผีสิง จนถึงการทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยาของคนบ้าคลั่ง มือกรรไกรและจางจิงจิ่วถึงได้ตระหนักว่าคนผู้หนึ่งต้องรู้เรื่องมากมายแค่ไหนถึงจะเป็นพนักงานบ้านผีสิงที่มีคุณภาพได้

“ดึกมากแล้ว พวกนายกลับบ้านไปพักผ่อนได้ มาที่นี่เช้าพรุ่งนี้ แล้วฉันจะมอบหมายงานให้พวกนายทำ ให้นายเข้าใจความสนุกและเสน่ห์แท้จริงของการทำงานในบ้านผีสิง

เมื่อมือกรรไกรและจางจิงจิ่วกลับไปแล้ว เฉินเกอก็ส่งโบนัสให้พวกเขาแต่ละคน นับเป็นค่านอกเวลา

หลังจากหนึ่งวันหนึ่งคืนของการไม่ได้พักผ่อน ร่างกายของเฉินเกอก็ถึงขีดจำกัด เขาตั้งนาฬิกาปลุกแล้วล้มลงไปบนเตียง

ตอนตีสี่เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินเกอก็ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงปลุก เขาอุ้มเจ้าแมวขาวที่ตะกายขึ้นมาขดอยู่ข้างหมอนของเขาจากที่บนเตียงแล้วรีบเปิดโทรศัพท์เครื่องดำ

“ฉากระดับ 3.5 ดาว– เมืองหลี่ว่าน สร้างเสร็จแล้ว!

“คำเตือน! พื้นที่ภายในของบ้านผีสิงเต็มแล้ว กรุณาขยายพื้นที่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!”

“ต้องขยายพื้นที่อีกครั้งเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ฉากเมืองหลี่ว่านใหญ่แค่ไหนกันแน่?” บ้านผีสิงของเฉินเกอนั้นเลื่อนระดับขึ้นเป็นวงกตสยองขวัญแล้ว หลังจากขยายอีกสองครั้ง มันก็จะเลื่อนระดับถึงขั้นต่อไป “ฉันต้องปล่อยเรื่องการขยายพื้นที่ออกไปจนกว่าจะสะดวกกว่านี้ ส่วนตอนนี้ ฉันควรลงไปตรวจดูฉากใหม่”

ฉากเปิดสู่สาธารณชนเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีกับเฉินเกอ เขาสวมเสื้อผ้า แบกกระเป๋า แล้วมุ่งหน้าไปที่ชั้นใต้ดิน ทางเดินที่นำไปสู่เมืองหลี่ว่านนั้นอยู่ถัดไปจากหมู่บ้านโลงศพ ทั้งสองฉากนั้นเชื่อมถึงกัน แต่ฉากใหม่นี้ใหญ่กว่าหมู่บ้านโลงศพรวมกับหอผู้ป่วยสามเสียอีก

“มีทะเลสาบสำหรับผีน้ำ และอุโมงค์ที่นำไปสู่ที่ไหนไม่รู้ ติดกับหมู่บ้านโลงศพ และยังมีโรงพยาบาลและโรงเรียนอยู่ข้างใต้นี่ ที่นี่กำลังจะกลายไปเป็นเมืองใต้ดินที่มีบริการต่าง ๆ ครบครัน”

เดินไปตามถนน ตึกที่รอบตัวเฉินเกอนั้นกลับปลูกลงไปด้านล่างแทนที่จะปลูกขึ้นมาด้านบน มีชั้นใต้ดิน และชั้นใต้ดินส่วนใหญ่ล้วนเชื่อมต่อกัน เกิดเป็นวงกตในตัวมันเอง

เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เข้าชม เฉินเกอตรวจสอบทุกตึกทีละหลัง แค่นี้ก็ใช้เวลาเกินหนึ่งชั่วโมงแล้ว ขนาดของที่นี่นั้นช่างน่าดูชมจริง ๆ นั่นแหละ

“แต่ที่กว้างใหญ่อย่างนี้ก็มีข้อดีของมันเอง ฉันจะทำให้ที่นี่กลายไปเป็นสิ่งที่ฉันต้องการได้อย่างอิสระ” เฉินเกอเรียกพนักงานทั้งหมดของเขาออกมาแล้วเริ่มปรับปรุงฉาก นี่รวมถึงเอาสิ่งของที่มีคนและอันตรายออก จากนั้นเขาก็จัดวางพนักงานที่ ‘ฝึกฝน’ แล้วคนใหม่เข้าไปในฉากของพวกเขา

“มีจุดสยองขวัญหลัก ๆ สามจุด– โรงแรม โรงพยาบาล และเขตที่พักอาศัย ตอนนี้ ฉันยังมีผีน้อยเกินไป หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น ฉันจะให้มือกรรไกรกับจางจิงจิ่วเข้ามาเติมจำนวนพนักงานที่นี่ แต่นอกจากนั้นแล้ว ฉันยังต้องทำหุ่นอีกชุดหนึ่ง”

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับโรงแรมก็คือห้องลับด้านหลังตู้เย็น โชคร้าย ผีผู้หญิงหิวโหยนั้นถูกฆ่าไปแล้ว และต้นกำเนิดความสยองชิ้นใหญ่จึงหายไป เฉินเกอพยายามคิดหาวิธีชดเชยเรื่องนั้น เขาวางแผนจะฟื้นฟูเมืองหลี่ว่านให้อยู่ในสภาพเหมือนจริงที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อสร้างความรู้สึกสิ้นหวังที่ทุกมุมนั้นมีวิญญาณซุ่มซ่อน และทุกเลี้ยวนำไปสู่ฆาตกรเหี้ยมโหด

“ฉากอื่นนั้นมีจุดสยองไม่ถึงสิบจุด และฉันก็วางจุดสยองขวัญเอาไว้ในเมืองหลี่ว่านมากกว่านั้น ด้วยความถี่ของความน่ากลัวสูงขนาดนี้ ฉันอยากรู้นักว่าผู้เข้าชมจะรอดจากฉากนี้ไปได้ไหม” เฉินเกอนั้นพอใจกับการทำงานของตนที่เมืองหลี่ว่าน เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่จนถึงแปดโมงเช้า ตอนที่เขาเข้าไปในฉาก หนังสือการ์ตูนของเขาอ้วนไปด้วยเนื้อหาด้านใน แต่ตอนที่เขากลับออกมา มันแทบจะว่างเปล่า

“เมื่อวานนี้ มีคนผ่านฉากระดับสามดาวได้มากมาย พอพวกเขาเริ่มผ่อนคลาย ก็ต้องมีคนที่ยินดีอาสาเข้าฉากระดับสามดาวครึ่งฉากใหม่ที่ฉันจะเปิดให้เข้าชมวันนี้ ถ้าฉันโชคดีพอ ฉันก็อาจจะเจอพวกโทรลล์อยู่ในพวกเขาด้วย จะดีที่สุดถ้าเป็นคนที่สวนสนุกแห่งอนาคตส่งมา”

ออกจากฉากใต้ดินแล้ว เฉินเกอก็ไปอาบน้ำเย็น ๆ และเตรียมเริ่มงาน วันนี้เป็นวันแรกที่มือกรรไกรและจางจิงจิ่วจะเริ่มงานของตน และพวกเขาก็มาถึงเช้ามาก

“บอส มีสิ่งที่ผมต้องบอกคุณด้วย” จางจิงจิ่วยังคงสวมสูท ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก “ผมยังไม่สามารถติดต่อกับหมอได้ มันเหมือนเขาหายตัวไป”

“ฉันเข้าใจแล้ว ตอนนี้ ยังไม่ต้องห่วงเรื่องเขา” เฉินเกอนำทั้งสองคนเข้าไปในห้องแต่งตัว “ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตรอง ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองเลยนะ”

ใช้พรสวรรค์ที่ได้รับมาจากโทรศัพท์เครื่องดำ เฉินเกอก็แสดงสุดยอดทักษะในการแต่งหน้าพนักงานใหม่ทั้งสองคน นี่ทำให้มือกรรไกรและจางจิงจิ่วประหลาดใจ– บอสคนใหม่ของพวกเขานั้นเป็นอัจฉริยะในทุกด้านอย่างแท้จริง

“จะเปิดบ้านผีสิงก็ต้องแต่งหน้าเป็นละนะ” เฉินเกอแต่งจางจิงจิ่วเป็นบอสเจ้าของโรงแรมเมืองหลี่ว่าน จากนั้นก็หาชุดแจ็ค เดอะริปเปอร์ ในห้องเก็บของมาส่งให้มือกรรไกร “ตัวละครของนายก็คือฆาตกรบ้าคลั่ง ฉันเคยเจอพวกคนบ้ากว่าสิบแบบ ฉันจะจดรายละเอียดให้นายทีหลัง หวังว่านั่นจะช่วยให้นายมีแรงบันดาลใจ”

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ ที่ทำภารกิจระดับ 3.5 ดาว– เมืองหลี่ว่าน สำเร็จ! ปลดล็อกฉากใหม่เอี่ยม เมืองหลี่ว่าน!

“เมืองหลี่ว่าน (ระดับความสยอง 3.5 ดาว): ฉากนี้ประกอบด้วยเขตที่พักอาศัยเมืองหลี่ว่าน โรงพยาบาลเอกชนเมืองหลี่ว่าน ทางแยก หมาหน้ายิ้ม ลิฟท์ที่ลงไปที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง โรงแรมเที่ยงคืน และอื่น ๆ เพราะฉากนี้ค่อนข้างใหญ่มาก กรุณาเลือกอย่างระมัดระวังว่าจะเปิดเผยมันสู่สาธารณชนหรือไม่

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ! คุณช่วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ได้สำเร็จสี่คน และได้รับรางวัลเพิ่มเติม– เครื่องแต่งกายของแจ็ค เดอะริปเปอร์

“เขาคือฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับคนผู้นี้ เขาไม่เคยทิ้งหลักฐานการก่อคดีเอาไว้นอกจากศพ กระทั่งเชื้อชาติและเพศก็ยังไม่สามารถระบุได้

“เครื่องแต่งกายของแจ็ค เดอะริปเปอร์– เสื้อคลุมหมอก: เสื้อคลุมนี้สามารถปิดบังใบหน้าของคุณ รูปร่างของคุณ และความผิดที่คุณได้ก่อเอาไว้

“เครื่องแต่งกายของแจ็ค เดอะริปเปอร์– จดหมายสีดำ: ครั้งหนึ่งแจ็คเคยเก็บชิ้นส่วนของเหยื่อเอาไว้ในจดหมายและส่งมันไปให้กับสำนักงานท้องถิ่น

“เครื่องแต่งกายของแจ็ค เดอะริปเปอร์– กรรไกรแห่งโชคดี: กรรไกรเปื้อนเลือดเล่มนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับโชคดี นั่นเป็นเพียงแค่ชื่อของมันเท่านั้น

“ผลพิเศษของเครื่องแต่งกายของแจ็ค เดอะริปเปอร์– การผ่าตัดปลูกถ่าย*: ในค่ำคืนที่มีหมอกหนา ผลพิเศษของเครื่องแต่งกายจะเผยออกมา การปลูกถ่ายที่สมบูรณ์แบบนั้นต้องการประสบการณ์ล้ำลึกในการผ่าตัด แต่ว่าถ้าคุณทำสำเร็จ คุณก็จะได้สืบทอดพรสวรรค์แห่งการปลูกถ่าย”

เห็นโทรศัพท์เครื่องดำบอกว่าเขาช่วยเหยื่อผู้บริสุทธิ์ได้สี่คน เฉินเกอก็ถอนหายใจโล่งอก เพราะว่านั่นเข้ากันได้พอดีกับสี่คนที่เขาช่วยเอาไว้ หลังจากแน่ใจแล้วว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ เฉินเกอก็สามารถให้พวกเขาทำงานที่บ้านผีสิงได้โดยไม่กังวล

ถ้านับเครื่องแต่งกายของคุณหมอนักเจาะกะโหลกกับพยาบาลไร้หัว ชุดแจ็ค เดอะริปเปอร์นี่ก็เป็นเครื่องแต่งกายชุดที่สามแล้ว

มองค้อนที่ในกระเป๋าสะพายหลัง ตอนนี้เฉินเกอก็แน่ใจแล้วว่าชุดพวกนี้นั้นไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่มันเป็น ความแตกต่างใหญ่ที่สุดระหว่างพวกมันและชุดที่บ้านผีสิงก็คือพวกมันอาจจะมีความพิเศษ

กรรไกรแห่งโชคดี… หลังจากที่ตรวจดูมันแล้วฉันอาจจะให้มือกรรไกรยืมมันไปใช้ก่อน เขาน่าจะชอบตัวละครนี้

เก็บโทรศัพท์เครื่องดำแล้วเฉินเกอก็มีรอยยิ้มพอใจบนหน้า นอกจากรางวัลที่ได้จากโทรศัพท์เครื่องดำ เขายังได้อย่างอื่นจากเมืองหลี่ว่านอีกมาก หนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนนั้นเต็มแล้ว และพนักงานเก่า ๆ ตอนนี้ก็กำลังทำงานล่วงเวลาในการฝึกฝนคนใหม่

มีวิญญาณสัมภเวสีและวิญญาณอาฆาตเยอะขนาดนี้ มันน่าจะเพียงพอในการเติมเต็มทุกฉาก

เฉินเกอเริ่มคิดปรับเกมบ้า ๆ ที่เจ้าของโรงแรมแสดงให้เขาดูให้เข้ากับบ้านผีสิงของเขาเอง เขาเหม่อลอยจนไม่รู้ว่าพวกเขามาถึงสถานีตำรวจแล้ว

พอเฉินเกอลงจากแท็กซี่ เขาก็ดึงดูดความสนใจของยามได้ทันที พอเขาเห็นเฉินเกอแบกหลี่เจิ้งที่หมดสติลงจากแท็กซี่ เขาก็วิ่งเข้ามาทันที

“สารวัตรหลี่?”

“เขาไม่เป็นไร แค่หมดสติไปเท่านั้น”

“เขาหมดสติ และคุณยังบอกว่าไม่เป็นไรอีกเหรอ? ทำไมคุณไม่ส่งเขาไปโรงพยาบาลเลย?” ยามร้องถามเสียงดัง และนั่นก็ทำให้คนอื่น ๆ ที่มาธุระที่สถานีตำรวจตกใจกลัว ได้ยินแล้วเจ้าหน้าที่หลายคนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสถานีตำรวจก็รีบร้อนออกมาเช่นกัน

คำถามจากยามทำให้เฉินเกอสะดุด เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่าการรักษาที่โรงพยาบาลนั้นช่วยอะไรไม่ได้มาก ดังนั้นเขาจึงนำเจ้าหน้าที่ตำรวจตรงมายังสถานีตำรวจ อย่างไรเสียเขาก็มาที่นี่บ่อยและบอกให้คนขับรถมาส่งเขาที่สถานีตำรวจไปตามความคุ้นเคย

“นี่เป็นคำสั่งที่สารวัตรหลี่สั่งผมเอาไว้ก่อนที่เขาจะหมดสติไป นอกจากหัวหน้าเอี๋ยน เขาไม่เชื่อใครทั้งนั้น และเขาก็ขอให้ผมเป็นคนพาเขามาส่งให้หัวหน้าเอี๋ยนด้วยตัวเอง” เฉินเกอแบกหลี่เจิ้งเอาไว้และไม่ยอมให้ใครแตะต้องเขา

“ได้ แต่คุณต้องพาเขาไปโรงพยาบาลก่อน! อันที่จริง ผมจะไปกับคุณด้วย และพวกเราจะติดต่อหัวหน้าเอี๋ยนระหว่างทาง” ด้วยการจัดการของทางสถานี หลี่เจิ้งและเฉินเกอถูกเร่งให้ไปโรงพยาบาล ที่นั่นก็เป็นอีกสถานที่ที่เฉินเกอคุ้นเคย

หลี่เจิ้งถูกส่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินเพื่อตรวจร่างกายขณะที่เฉินเกอรออยู่ที่ทางเดิน ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา หัวหน้าเอี๋ยนก็มาถึง เจ้าหน้าที่ที่ดูใจดีและเข้าถึงง่ายผู้นี้นั้นดูโทรมมาก

“หัวหน้าเอี๋ยน สารวัตรหลี่อยู่ในนั้น เขายังไม่ได้สติ” เฉินเกอและฟ่านฉงลุกขึ้นยืนพร้อมกัน

“เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้? เธอเจอหลี่เจิ้งที่ไหน?” หัวหน้าเอี๋ยนดูเหมือนไม่ได้นอนเลยทั้งคืน และเขาก็ดูไม่ค่อยดีนัก

“พวกเราพบสารวัตรหลี่ที่ในเมืองหลี่ว่าน เขากำลังไล่ตามจับคนร้ายที่หนีการจับกุม เจียหมิง อยู่คนเดียว” เฉินเกอรู้ว่าปากนั้นพลั้งพลาดได้ ดังนั้นจึงเล่าเรื่องให้หัวหน้าเอี๋ยนฟังโดยย่อเท่านั้น

“แปลก ทำไมหลี่เจิ้งถึงได้กระทำการโดยตัวเอง? อันที่จริง พวกเราเสียการติดต่อกับเขาที่จุดหนึ่ง ฉันไม่อยากเชื่อว่าสารวัตรที่มีประสบการณ์ทำงานสิบปีจะทำอะไรวู่วามอย่างนั้น” จากสีหน้าหัวหน้าเอี๋ยน เห็นได้ชัดว่าเทียบกับการจับตัวเจียหมิงแล้ว เขาเป็นห่วงหลี่เจิ้งมากกว่า

“น่าจะเป็นเพราะผู้ต้องสงสัย– เขาดูไม่เหมือนคนธรรมดา” เฉินเกอมองไปยังแก้วสแตนเลสที่ข้างตัว สีหน้าหัวหน้าเอี๋ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้มากกว่าที่กำลังพูด เฉินเกอนั้นเห็นได้ชัดเจนผ่านเงาสะท้อนที่บนแก้ว

“ไม่ว่ายังไง เรื่องนี้ให้ฉันจัดการ พวกเธอสองคนไปให้ปากคำ”

“ได้ครับ”

ในเมืองหลี่ว่าน เฉินเกอได้ยินจากหลี่เจิ้งว่าหัวหน้าเอี๋ยนนั้นมีเบื้องหลังบางอย่าง และการพูดคุยสั้น ๆ ก่อนหน้านี้ก็ยืนยันเรื่องนั้นได้ แต่ว่า หัวหน้าเอี๋ยนนั้นอยู่ข้างเฉินเกอมาโดยตลอดและดูประทับใจในเฉินเกอมากทีเดียว เขาช่วยเฉินเกอหลายครั้ง ดังนั้นฝ่ายหลังจึงไม่คิดมากนัก

ระหว่างการให้ปากคำ ฟ่านฉงได้ยินเกี่ยวกับพี่ชายของเขาที่สถานีตำรวจ เมื่อคืนนี้ ตอนที่ฝนกำลังตกหนัก ฟ่านต้าเตอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนกำลังกลับบ้าน เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่คนที่ชนกับเขานั้นเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ทั้งหมดนี้เหมือนเป็นการบงการของบุคคลที่สาม

เมื่อรู้ว่าพี่ชายปลอดภัยดี ฟ่านฉงก็ถอนใจอย่างโล่งอก หลังจากให้ปากคำ เขาก็ไปเยี่ยมพี่ชายของตน เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันกับเฉินเกอว่าทุกอย่างถูกต้องเขาก็แยกกลับไปที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ โชคดี เขากลับไปถึงสวนสนุกก่อนเปิดทำการพอดี

“บอส เมื่อคืนคุณไปไหนน่ะ?” เสี่ยวกู่และซูว่านกำลังรออยู่ที่ประตู “ทำไมคุณมักจะมาถึงเป็นคนสุดท้ายทั้งที่คุณเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่น่ะ?”

“ฉันตื่นเช้าและออกไปที่ฝ่ายบุคคลสัมภาษณ์พน้กงานใหม่สองสามคน พวกเขาน่าจะมาถึงตอนบ่าย” เฉินเกอผลักเปิดประตู “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาร่ำไร รีบเข้าไปแต่งตัวเตรียมทำงาน!”

ช่วงเวลาก่อนที่สวนสนุกแห่งอนาคตจะเปิดนั้นเป็นเหมือนเฮือกสุดท้ายของบ้านผีสิงของเฉินเกอ มันคือความสงบก่อนพายุจะมา

สวนสนุกเปิดตอนเก้าโมงเช้า และผู้เข้าชมก็หลั่งไหลเข้ามา พริบตาเดียว หน้าบ้านผีสิงก็มีแถวยาวเหยียด และมีฝูงชนออกันอยู่ในโถงพักอีกกลุ่มใหญ่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำเหมือนที่ทำงานของเฉินเกอนั้นเป็น ‘ฐานทัพ’ ของพวกเขา

พนักงานส่วนใหญ่ในกระเป๋าสะพายของเขานั้นได้รับบาดเจ็บ และพวกเขาก็กำลังพักฟื้น ดังนั้นเฉินเกอจึงต้องทำหลายอย่างคนเดียว แต่ว่า เขาก็แค่คนคนเดียว– เขาไม่สามารถแยกร่างได้ ดังนั้น ระดับความยากของฉากจึงลดลง

ขณะที่จำนวนคนที่ผ่านฉากได้เพิ่มมากขึ้น ผู้เข้าชมก็ถูกสะกดให้หลงเชื่อและคุยโตว่าพวกเขานั้นใกล้จะได้ ‘ครอบครอง’ บ้านผีสิง แบบในภาษาเกมออนไลน์

เมื่อเห็นความมีชีวิตชีวาของผู้เข้าชม เฉินเกอก็รู้สึกดีใจแทนพวกเขา

ผู้เข้าชมผ่านฉากระดับสามดาวได้มากเท่าใด จำนวนคนที่สามารถท้าทายฉากระดับ 3.5 ดาวได้ก็เพิ่มมากขึ้น ดูเหมือนว่าฉันต้องสร้างเมืองหลี่ว่านให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว

“เสี่ยวปู้ เธอเปิดประตูตอนนี้ได้ไหม?” นอกจากสองแขนของเธอแล้ว เสี่ยวปู้เจอชิ้นส่วนร่างกายส่วนใหญ่แล้ว เธอยืนอยู่หน้าประตู และความทรงจำเลวร้ายมากมายก็ผุดขึ้นในใจเธอ หมอกเลือดรอบเมืองหลี่ว่านขยับ และมันก็พุ่งเข้าไปที่ชั้นใต้ดิน วัตถุที่คล้ายอวัยวะภายในคลานออกมาจากพื้นสีแดงเลือดและแหย่ตัวเองเข้าไปในประตูที่เปิดอยู่ครึ่ง ๆ สิบวินาทีให้หลัง ประตูที่เก่าและพังก็ดูเหมือนจะฟื้นฟูขึ้นมาด้วยตัวมันเอง และมีเพียงแค่มุมสองด้านที่ยังว่างเปล่า

“เตรียมพร้อมนะ พวกเรามีเวลาแค่นาทีเดียว ถ้าพวกเราหนีออกไปไม่ได้ อย่างนั้นพวกเราก็ต้องรออีกวันแล้ว” หมอกหนาหายไปเมื่อมันสัมผัสกับประตู แต่มุมที่หายไปทั้งสองก็ถูกซ่อมแซมด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หมอกเลือดเปลี่ยนไปเป็นหลอดเลือด และเหมือนกับเข็มและด้าย มันเข้าไปซ่อมเสริมแทนส่วนที่หายไป

เมื่อมุมทั้งสองที่หายไปได้รับการซ่อมแซม ประตูทั้งบานก็เปลี่ยนเป็นสีแดง และมันก็เปิดออกช้า ๆ เห็นได้ชัดเจนว่าประตูที่หลุดออกจากการควบคุมนั้นเป็นภาระหนักแก่เสี่ยวปู้จริง ๆ ดังนั้นเฉินเกอและคนที่เหลือจึงตั้งใจตั้งสมาธิให้มากขึ้น

ประตูสีเลือดนั้นเชื่อมอยู่กับพื้น และหลอดเลือดที่บนประตูก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา เสียงประหลาดดังมาจากตึกรอบ ๆ พวกเขา และด้วยสภาพนี้ ประตูก็เปิดออกเต็มที่

“เร็ว!” ชายขี้เมาเป็นคนแรกที่ออกไป แบกหลี่เจิ้งเอาไว้บนหลัง จากนั้นก็เป็นหมอ ฟ่านฉง และมือกรรไกร เฉินเกอที่แบกกระเป๋าสองใบนั้นรั้งท้าย ตอนที่เขาจะออกไป เขาก็หันมามองเสี่ยวปู้ “ถ้าเธอเจออะไรที่จัดการเองไม่ได้ จำไว้ว่าไปหาผมนะ ผมอยู่ที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ จิ่วเจียงตะวันตก”

ก้าวเท้าออกจากประตูไปนั้นราวกับตกลงไปในทะเลลึก มีความรู้สึกบิดเบี้ยวจากการไร้แรงโน้มถ่วงชั่วคราว และดวงตาก็ต้องการเวลาหลายนาทีในการปรับรับภาพใหม่ ตอนที่เฉินเกอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ‘ประตู’ ที่ด้านหลังเขาก็ปิดไปแล้ว และทั้งกลุ่มก็เบียดกันอยู่ในชั้นใต้ดินร้าง

“เฮ้! ตื่น!” หนีออกมาจากโลกแห่งฝันร้ายแล้วทั้งกลุ่มก็รู้สึกเหมือนได้รับชีวิตใหม่ สำหรับคนทั่วไป นี่ช่างเป็นค่ำคืนอัน ‘ตื่นเต้น’

“พวกคุณจะไม่บอกใครเกี่ยวกับสิ่งที่คุณได้เห็นที่อีกด้านของประตู และพวกคุณทุกคนก็จำได้ว่าต้องตอบคำถามตำรวจยังไงใช่ไหม?”

“ใช่ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น”

พวกเขาคลานออกจากห้องใต้ดินของเจี่ยงหลงและไปที่ห้องน้ำ กระจกที่เฉินเกอทำแตกเมื่อครั้งสุดท้ายที่เขามาที่นี่นั้นยังไม่ได้ซ่อม ฝ่ายจัดการของเขตที่พักอาศัยนั้นแค่ติดแผ่นไม้เอาไว้บนผนังเท่านั้น

“ผมจะไปที่สถานีตำรวจแล้ว พวกคุณควรกลับบ้าน ถ้าทุกอย่างสำเร็จด้วยดี พวกเราค่อยพบกันพรุ่งนี้ตอนบ่ายที่ทางเข้าบ้านผีสิงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่” เฉินเกอรับหลี่เจิ้งมาจากชายขี้เมา เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นี้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และตอนนี้เขาก็กำลังลำบาก– เฉินเกอจะไม่ทิ้งเขาเอาไว้ข้างหลัง

“รอเดี๋ยวก่อน” ฟ่านฉงพูดอย่างเกรงใจ “บอสเฉิน ผมไปกับคุณด้วยได้ไหม? หนึ่ง ผมเป็นห่วงพี่ชายผม และสอง ผมไม่กล้ากลับบ้านจริง ๆ ตอนนี้ ถ้าฆาตกรนั่นยังรอผมอยู่ที่บ้านหรือมีอะไรคลานออกมาจากใต้เตียงอีกล่ะ?”

เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้นั้นทิ้งรอยแผลเป็นลึกเอาไว้กับฟ่านฉง เขาน่าจะคิดซ้ำสองก่อนที่จะเล่นเกมอะไรแล้วตอนนี้

“ได้ อย่างนั้นคุณก็ตามผมไปก่อนแล้วกัน ถ้าคุณยังหางานไม่ได้ งั้นก็มาช่วยผมที่บ้านผีสิง” เขาเคยทำงานกับฟ่านฉงมาก่อน เจ้าอ้วนคนนี้นั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ว่าเขามีจิตใจที่ดี หลังจากค่ำคืนยาวนาน ฝนที่ตกหนักก็หยุดแล้ว แต่ว่าเมฆดำยังคงลอยอยู่บนฟ้า และสายฟ้าก็ยังวาบผ่านลงมาอยู่บ้าง

“พวกเราสามารถใช้โทรศัพท์ได้แล้วตอนนี้ ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าครึ่ง และพวกเราก็ต้องไปเจอกันตอนเที่ยง ทางที่ดีให้หาเวลาพักผ่อนเสียตอนนี้” เฉินเกอพูดและเดินลึกเข้าไปในเมืองหลี่ว่านพร้อมหลี่เจิ้งบนหลัง

“บอสเฉิน ทำไมคุณถึงจะกลับเข้าไปในเมือง? มีอะไรให้พวกเราช่วยไหม?” มือกรรไกรนั้นดูกระตือรือร้น เขาเหมือนจะเห็นร่องรอยของพี่ใหญ่ของเขาในตัวเฉินเกอ และนั่นก็คือความจริงใจที่หาได้ยากในทุกวันนี้

“ผมต้องไปตรวจดูเสียหน่อยว่ารถเมล์ยังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า มันยากที่จะหาแท็กซี่ที่ในเมืองหลี่ว่าน ผมรู้สึกว่ามันจะดีที่สุดสำหรับพวกเราที่จะขับรถเมล์ออกไป” เฉินเกอพูดง่าย ๆ เหมือนนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน

“คุณต้องการขับรถเมล์ผีสิงไปด้วยงั้นเหรอ?” นี่ก็มีเหตุผลในระดับหนึ่ง แต่มีบางอย่างดูไม่ถูกต้อง

“ไม่ใช้มันก็นับว่าเสียเปล่า เงานั่นใช้มันล่อลวงพวกเรา แต่ตอนนี้ที่เงานั่นตายแล้ว พวกเราก็ควรจะได้สืบทอดสิ่งของของมัน” เฉินเกอพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “สิ่งของน่ะไม่มีผิดถูกหรอก มันขึ้นกับใครเป็นคนใช้มัน ตราบใดที่คนใช้มีจิตใจที่ดี ทุกอย่างย่อมไม่เป็นไร”

“แต่… พวกเราจะไม่ถูกตำรวจเรียกตัวไว้เหรอถ้าเราขับรถเมล์ไปตามถนน?” หมอถามคำถามที่ดูมีเหตุผล

“นั่นทำให้พวกเราต้องรีบลงมือก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น” ตอนที่พวกเขาพูด เฉินเกอก็ไปถึงที่ตรงที่รถขนศพเคยจอดเมื่อครั้งสุดท้าย แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ รถขนศพหายไปแล้ว

นี่เป็นเพราะว่าฉันขับมันเข้าไปในโลกที่ด้านหลังประตู? รถขนศพถูกทิ้งเอาไว้ที่ด้านหลังประตู? เฉินเกอไม่เข้าใจ ในใจเขา อิทธิพลของประตูสีเลือดนั้นมีผลกับแค่มนุษย์และผี มันไม่ควรมีผลกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต

เกิดอะไรขึ้นกับรถขนศพหรือเปล่า? หรือว่าความเข้าใจโลกที่ด้านหลังประตูของฉันนั้นยังไม่เพียงพอ? เฉินเกอตัดสินใจมาเอารถขนศพกลับตอนที่ประตูเปิดครั้งถัดไป

เห็นรถขนศพหายไป ทั้งชายขี้เมาและหมอก็ดูโล่งใจ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่อยากต้องขึ้นรถผีสิงกลับบ้าน

พวกเขาเดินไปตามถนนอยู่นานมากก่อนที่จะเจอแท็กซี่ หลังจากคนขับหยุดรถ ในที่สุดเขาก็พบว่าคนกลุ่มนี้แบกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หมดสติมาด้วย และวิญญาณของเขาก็แทบจะหลุดออกจากร่างเพราะความกลัว

“คุณครับ พวกเรามีกันหลายคน ถ้าพวกเราเบียดกันไปที่ด้านหลังคุณจะรังเกียจไหม?”

“ไม่เลย ไม่เลย พวกคุณจะไปที่ไหน?”

“ไปส่งพวกเขาที่บ้านก่อน แล้วส่งผมที่สถานีตำรวจของเมือง”

“ได้ ได้”

บางทีอาจจะเป็นเพราะความกลัวหรืออย่างอื่น แต่ว่าคนขับขับรถเร็วมาก หลังจากส่งผู้โดยสารคนอื่น ๆ กลับบ้านเรียบร้อยมันก็เช้าแล้ว ฟ่านฉงที่นั่งอยู่ด้านหน้าง่วงงุน หลี่เจิ้งยังหมดสติ และนอกจากคนขับแล้ว เฉินเกอก็เป็นคนเดียวที่ยังตื่นอยู่ เขามองภาพด้านนอกหน้าต่างที่วิ่งผ่านไปรวดเร็วแล้วก็ดึงโทรศัพท์เครื่องดำออกมา เขาแตะเปิดข้อความ

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ ที่ทำภารกิจระดับ 3.5 ดาว– เมืองหลี่ว่าน สำเร็จ!

“อัตราความสำเร็จของภารกิจคือเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์! ได้รับรางวัลพิเศษ– พินัยกรรมของเทศมนตรี

“เมืองหลี่ว่านเป็นเมืองที่อยู่ในกำมือของปิศาจ มีเพียงผู้เดียวที่เหี้ยมโหดยิ่งกว่าฆาตกรเลือดเย็นและน่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณที่สิ้นหวัง– ผู้ที่เลวทรามที่สุด โหดร้ายที่สุด– ที่จะได้รับรางวัลนี้!

“พินัยกรรมของเทศมนตรี: ขอแสดงความยินดีที่ได้กลายมาเป็นเจ้าของคนใหม่ของเมืองนี้ หลังจากบ้านผีสิงผ่านระดับวงกตสยองขวัญ และเข้าถึงระดับใหม่ คุณจะได้รับโอกาสในการเปิดสาขาที่มีเมืองหลี่ว่านเป็นฉาก! รายละเอียดตามจริงจะได้รับหลังจากเปิดให้มีการปลดล็อกอย่างเป็นทางการ!”

เฉินเกออึ้งไปเมื่อเห็นข้อความ ฉันขุดลึกลงไปใต้เมืองหลี่ว่านสามฟุต* แต่อัตราความสำเร็จก็ยังไม่ใช่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์? แต่ว่า รางวัลนี้ก็น่าสนใจมากทีเดียว

หลังจากการขยายอีกสองครั้ง บ้านผีสิงก็จะถึงระดับใหม่ และก็เป็นตอนนั้นที่เฉินเกอจะสามารถใช้พินัยกรรมของเทศมนตรีเปิดสาขาที่ในต่างเมือง

“นี่เป็นสิ่งที่คล้ายกับตาข่ายนิรภัย มีอะไรมารองรับไว้ย่อมดีกว่า แต่ว่าตอนนี้ฉันควรจะตั้งใจกับบ้านผีสิงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ หลังจากฉันเจอพ่อกับแม่และทุกอย่างได้รับการจัดการเรียบร้อย แผนการอื่นค่อยพิจารณา”

เฉินเกอเลื่อนหน้าจอลงและแตะเปิดข้อความอื่น

 

 

TL note: *ขุดลึกลงไปสามฟุต เป็นสำนวนที่นิยมใช้กัน หมายถึง ตามล่าหาความจริงจนถึงที่สุด

“บ้านผีสิงของผมในจิ่วเจียงค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่บ้าง– ถ้าไม่เชื่อผมคุณลองเสิร์ชในออนไลน์ได้ มันเป็นสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดถ้าคุณอยู่ในธุรกิจสวนสนุก เมื่อพวกเรากลับไป ผมจะให้พวกคุณฝึกฝนในส่วนที่จำเป็น และผมก็หวังว่าในที่สุดแล้วพวกคุณจะตกหลุมรักอาชีพนี้”

ถัดจากพนักงานผี เฉินเกอก็ได้พนักงานมีชีวิตอีกสามคน นอกจากเสี่ยวกู่และซูว่าน ทั้งสามคนนี้ล้วนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลี่ว่าน แต่ว่าวิธีการคิดของพวกเขานั้นต่างไปจากปกติ และเฉินเกอก็ไม่กังวลที่จะปล่อยให้พวกเขาช่วยดูแลฉากใต้ดิน

“โลกนี้ไม่ได้เรียบง่าpอย่างที่มันดูเหมือน เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้พวกคุณที่เหลือช่วยผมก่อนหน้านี้ก็เพราะว่าบ้านผีสิงของผมนั้นเป็นสถานที่พักของวิญญาณไร้บ้านบางดวง ดังนั้น…”

“พวกเราเข้าใจ!” พวกเขาเข้าใจความกังวลของเฉินเกอ หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ประหลาดในเมืองหลี่ว่าน พวกเขาก็เข้าใจสถานการณ์ของเฉินเกอได้

“นั่นยอดเยี่ยมมาก” เฉินเกอตัดสินใจให้พวกเขาดูแลฉากใต้ดินและรับมือกับเรื่องฉุกเฉิน เมื่อบ้านผีสิงขยายออกไป ฉากใต้ดินก็มีแต่จะใหญ่ขึ้น และจำนวนผู้เข้าชมที่พวกเขาจะได้รับก็ด้วย เฉินเกอไม่สามารถรับมือกับทั้งหมดนั่นได้ด้วยตัวคนเดียว

“หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น พวกคุณก็พักกันสักครู่แล้วค่อยไปรายงานความปลอดภัยของตัวเองกับครอบครัวของคุณ” เฉินเกอพูดแล้วหันไปหามือกรรไกรและหมอ “พวกคุณคนหนึ่งมาหาพี่ชาย และอีกคนมาตามหาภรรยา หลังจากนี้ ผมจะพาคุณค้นทั่วเมืองหลี่ว่าน หวังว่าพวกเราจะเจอพวกเขา”

ได้ยินว่าเฉินเกอจะช่วยพวกเขาค้นหาครอบครัวของตน มือกรรไกรก็พยักหน้าอย่างยินดี และกระทั่งสีหน้าของหมอก็อ่อนลงครู่หนึ่งเหมือนภูเขาลูกใหญ่ถูกยกออกจากอกเขา “ขอบคุณ”

“นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทำ” มือกรรไกรและหมอนั้นไม่มีครอบครัวคนอื่นเหลืออยู่แล้ว แต่มันต่างออกไปสำหรับชายขี้เมา มันเป็นอุบัติเหตุที่เขาขึ้นมาบนรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 จากมุมหนึ่ง เขาก็ไม่ต่างไปจากคนธรรมดาคนหนึ่ง

“บ้านของผมอยู่ในเมืองซินไห่ หลังจากคำสาปบนร่างของผมควบคุมได้แล้ว ผมก็อยากจะกลับบ้าน” ชายขี้เมาเกาหัว “ผมอาจจะดูไม่เหมือน แต่ว่าผมมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ แต่ว่า หลังจากแม่ของผมเสียไป ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อของผมก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา ดังนั้นผมจึงอาศัยอยู่ในจิ่วเจียงคนเดียวมาตลอดหลายปีนี้ หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้แล้ว ผมคิดว่าผมเข้าใจบางอย่างแล้ว ชีวิตนี้เสียใจทีหลังก็สายไป ผมคิดว่าผมอยากกลับบ้านไปคุยกับพ่อของผม”

“เดี๋ยวนะ แกเป็นพวกบ้านรวยเหรอ?” มือกรรไกรกับเฉินเกอนั้นไม่คิดจริง ๆ ว่าชายขี้เมาจะมีพื้นเพแบบนี้

“ไม่คิดว่ามันค่อนข้างหยาบคาบไปหน่อยเหรอที่เรียกคนอื่นเขาอย่างนั้นต่อหน้าอ่ะ” ชายขี้เมากุมขมับ– เขาเห็นแล้วว่าอนาคตของตัวเองจะน่าสนใจแค่ไหน “พวกเราควรจะเริ่มใหม่ ผมชื่อจางจิงจิ่ว อย่างที่คุณเห็น ผมดื่มไม่เก่ง แต่เพราะอะไรไม่รู้ ลูกค้าชอบเรียกผมว่า คอทองแดง ผมค้าขายอหังสาริมทรัพย์กับไวน์ขาว”

“ผมมีชื่อที่บ้านเด็กกำพร้าตั้งให้อยู่ แต่ว่าไม่ค่อยชอบ ดังนั้นพวกคุณแค่เรียกผมว่ามือกรรไกรก็พอ” ทั้งมือกรรไกรและชายขี้เมาแนะนำตัวง่าย ๆ ตอนที่ถึงตาคุณหมอ เขาส่ายหน้าเหมือนมีบางอย่างที่ยังไม่พร้อมจะบอก เฉินเกอก็ไม่ได้อยู่กับหัวข้อนี้นาน พวกเขาตามเสี่ยวปู้กลับไปเมืองหลี่ว่านเพื่อพบกับฟ่านฉง

“บอสเฉิน!” ฟ่านฉงดีใจมากมายเมื่อเห็นเฉินเกอ แต่ภายใต้ความดีใจก็มีความกังวล เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของเขา ฟ่านต้าเตอ

“พี่ชายของนายน่าจะสบายดี ผมแน่ใจเรื่องนั้น” หลังจากปลอบฟ่านฉง เฉินเกอก็พาพนักงานของเขาเดินไปทั่วเมืองหลี่ว่าน เหตุผลเบื้องหน้าก็คือช่วยมือกรรไกรและหมอตามหาครอบครัวของเขา เฉินเกอค้นไปทั่วเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาไม่เจออะไรที่สมาคมเล่าเรื่องผีทิ้งไว้เลย วิญญาณที่อาศัยอยู่ในตึกล้วนแอบหนีไปเงียบ ๆ หลังจากเงาจากไป

หลังจากค้นหาอยู่นาน ก็ไม่เจอญาติของทั้งมือกรรไกรและหมอ และพวกเขาก็ดูค่อนข้างเศร้าซึม

“ในเมื่อเงาก็ถูกจัดการไปแล้ว พวกเราก็คอยกลับมาที่นี่ สักวันหนึ่งพวกเราก็ต้องพวกเขา” เฉินเกอไม่รู้ว่ามันถูกหรือไม่ที่พูดอย่างนั้น แต่เขารู้สึกว่า ตราบใดที่มีชีวิต ตราบนั้นก็มีความหวัง ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันก็ถูกต้องแล้ว

“ได้เวลากลับแล้ว พวกเราอยู่ในประตูนานเกินไปแล้ว ได้เวลาออกไปแล้ว”

ภารกิจเมืองหลี่ว่านนั้นมอบข้อมูลมากมายให้เฉินเกอ นอกจากปลดล็อกฉากและเพิ่มจำนวนพนักงานของเขาแล้ว เขายังได้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับภารกิจระดับสี่ดาว ผีทารก

ผีทารกที่เติบโตอยู่ในอกของเงานั้นน่าจะเป็นหน้าตาตอนกำเนิดของผีทารก และเฉินเกอก็จดจำใบหน้านั้นไว้ในหัวแล้ว

พวกเขากลับไปที่เขตที่พักอาศัยของฟ่านฉง เฉินเกอให้เสี่ยวปู้เตรียมเปิดประตู จากนั้นเขาก็วางหลี่เจิ้งที่หมดสติอยู่ไว้ในห้องข้าง ๆ เขาเริ่มพูดคุยกับมือกรรไกรและคนที่เหลือถึงวิธีการรับมือกับการสอบปากคำจากตำรวจ ในเรื่องนี้ เฉินเกอนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง

ในตึกเก่า ๆ ทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่าน ครอบครัวสามคนถูกบีบจนมุม ชายที่ดูตื่นตระหนกนั้นอายุราวสี่สิบปี เขาเบียดตัวอยู่กับผู้หญิงที่ดูไร้อารมณ์คนหนึ่งและเด็กชายคนหนึ่งก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา

“เงาก็ตายไปแล้ว แล้วพวกเราจะยังทำอะไรอยู่ที่นี่? ถ้าพวกคุณสนใจพวกเขา ก็แค่ฆ่าพวกเขาซะ หรือว่าอยากเล่นซ่อนหาต่อ?” เป้ยเยี่ยนั่งอยู่บนพื้นถือมีดเล่มหนึ่งเอาไว้ ชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขา

“ฉันจะพูดซ้ำอีกที– ฉันต่างจากแก” เจียหมิงรั้งหน้าเด็กชายและมองใกล้ ๆ “ใช่ เป็นเขา”

“แกกำลังพูดอะไร?” เป้ยเยี่ยเดินเข้าไปและมองเด็กชายที่หวาดกลัวครู่หนึ่ง

“ตอนที่เงานั่นสิงร่างฉันอยู่ เขาทำเรื่องบ้าคลั่งมากมาย และเพราะอย่างนั้น ฉันก็เลยรู้ความลับของเงานั่นอยู่บ้าง ครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามใส่ชิ้นส่วนของร่างกายของเขาเอาไว้ในแก่นของแม่และใช้มันพยายามประเมินระดับของคำสาปและความอาฆาตแค้นสูงสุดที่คนเป็นสามารถรองรับได้ ในความทรงจำของฉัน เขาทำสำเร็จสองครั้ง ครั้งหนึ่งสร้างผีทารก และอีกครั้งสร้างปิศาจน้อยตนหนึ่ง” ดวงตาของเจียหมิงที่มองไปยังเด็กชายและผู้หญิงที่ดูไม่ค่อยสบายนั้นดูน่าผวา

“แกกำลังพูดว่าเด็กนั่นเป็นส่วนหนึ่งของผีทารก?” เป้ยเยี่ยนั้นไม่รู้ว่าเจียหมิงกำลังคิดทำอะไร เหตุผลเดียวที่เขาตกลงร่วมมือกับเจียหมิงก็เพราะว่าฝ่ายหลังนั้นรู้ความลับมากมายของเงา

“หลังจากทดลองสำเร็จ เงานั่นก็ดึงความอาฆาตแค้นและคำสาปกลับ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังมีบางส่วนหลงเหลืออยู่ในตัวเด็ก เขาครอบครองคำสาปที่มีแหล่งกำเนิดเดียวกับผีทารกเอาไว้ ดังนั้น เขาน่าจะสามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของผีทารกได้ เพราะอย่างนั้น พวกเราก็ควรจะพาเขาไปกับพวกเราด้วย”

“แกแน่ใจเหรอ? เด็กคนนี้ดูธรรมดามาก”

“นี่คือการปลอมตัวที่ดีที่สุด ถ้าไม่เพราะแม่ของเขา ฉันก็คงจำเขาไม่ได้จริง ๆ” เจียหมิงอุ้มเด็กขึ้นมาแล้วบอกพ่อกับแม่ของเขา “นี่เป็นเพราะเด็กคนนี้พวกเราก็เลยจะไม่ฆ่าพวกแก แต่ฉันหวังว่าพวกแกจะทำตามคำสั่งของพวกเราและช่วยพวกเราฝึกเด็กคนนี้ เพื่อให้เขาเข้าใจวิธีการควบคุมความอาฆาตแค้นและคำสาปในร่างของเขา”

“ไม่มีปัญหา” ชายคนนั้นรับปากอย่างรวดเร็ว เขาก้มหน้าต่ำ และความชั่วร้ายก็วิ่งผ่านดวงตาของเขา

“อย่างนั้นก็ไปกันได้แล้ว ฉันรู้ตำแหน่งของประตูอีกบานในจิ่วเจียงตะวันออก– พวกเราออกจากไปทางนั้นได้” หลังจากพูดอย่างนั้นแล้ว เจียหมิงก็พาพวกเขาเข้าไปในหมอกเลือด

มือข้างหนึ่งของเสี่ยวปู้นั้นถูกเงานั่นกินเข้าไปหมดแล้วขณะที่อีกข้างยังอยู่กับชายหน้ายิ้ม ตอนที่เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ ชายหน้ายิ้มก็หายตัวไป บางทีอาจจะหนีไประหว่างความวุ่นวาย

“เสี่ยวปู้ ตอนนี้เธอก็ได้ร่างกายส่วนใหญ่ของเธอคืนแล้ว เธอควบคุมประตูได้หรือเปล่า?” เฉินเกอเป็นห่วงว่าประตูในเมืองหลี่ว่านจะขยายออกไปอีก เสี่ยวปู้ส่ายหน้า และเลือดก็รวมกันเป็นคำตอบของเธอ

“ประตูนั้นหลุดออกจากการควบคุมโดยสมบูรณ์ สิ่งเดียวที่หนูทำได้ก็คือลดความเร็วในการขยายออกไป ถ้าจะควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์ หนูต้องหาร่างกายของหนูให้เจอทั้งหมด”

“อย่างนั้น เธอสามารถเปิดประตูส่งพวกเราออกไปจากที่นี่ได้ไหม?” เสี่ยวปู้นั้น อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นผู้เปิดประตู และเฉินเกอก็เชื่อว่าเธอจะสามารถทำอะไรแบบนั้นได้

เลือดไหล และประโยคใหม่ก็ปรากฏขึ้นที่บนพื้น “ได้ค่ะ แต่หนูเปิดประตูได้แค่วันละหนึ่งนาที ประตูอยู่ภายใต้การควบคุมของเงามานานเกินไป หนูต้องการเวลาทำความคุ้นเคยกับมันใหม่”

“หนึ่งนาทีก็เกินพอ” เฉินเกอรู้ว่าเสี่ยวปู้ไม่สามารถออกจากที่นี่ไปกับเขาได้ เหมือนเหมินหนาน เธอต้องอยู่ด้านหลังประตูเพื่อดูแลมันเอาไว้ เฉินเกอเข้าใจจึงไม่ได้บังคับให้เสี่ยวปู้ต้องไปกับเขา

บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอเข้าใจความคิดของเฉินเกอ เลือดที่บนพื้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง “คุณฆ่าเงาของตัวเอง และตามข้อตกลง หนูควรจะไปเป็นเงาใหม่ให้คุณ– หนูไม่ลืมเรื่องนั้น หลังจากหนูควบคุม ‘ประตู’ ได้อย่างสมบูรณ์ หนูจะไปหาคุณ”

ดวงตาของเสี่ยวปู้มองกลับไปมาระหว่างเฉินเกอและเงาด้านหลังเขา มันไม่ชัดนักว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

“ตกลง” ฆ่าเงาและจากนั้นเสี่ยวปู้ก็จะมาเป็นเงาของเฉินเกอนั้นเป็นแผนการของพ่อแม่เฉินเกอ แต่ความจริงนั้นเป็นไปในทางที่เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เทียบกับเสี่ยวปู้ที่ควบคุมง่ายกว่ามาก จางหยานั้นก็เป็นอะไรที่สุดขั้วอีกด้านหนึ่ง ให้เธอมาเป็นเงาของเขา ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

“เอาละ มีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันอยากจะถามเธอ” จู่ ๆ เฉินเกอก็นึกถึงคำถามหนึ่งได้ “สมาคมเล่าเรื่องผีซ่อนสมบัติล้ำค่าหนึ่งในสามเอาไว้ในเมืองหลี่ว่าน เธอรู้ไหมว่ามันน่าจะอยู่ที่ไหน?”

เสี่ยวปู้ส่ายหน้าอีกครั้ง และเฉินเกอก็ไม่ได้กดดันเธอ ทั้งเงาและคุณหมอเกาล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องหาสถานที่ลับซ่อนของพวกนี้เอาไว้

“การมาถึงของคุณหมอเกาอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น ชายเสียสติคนนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง และฉันก็กลัวว่าเขาจะกลับมา เธออยู่ในเมืองหลี่ว่าน และหญิงในชุดเสื้อฝนสีแดงก็อยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ผี พวกเธอทั้งคู่ล้วนเป็นเพื่อนของฉัน และเพื่อนของเพื่อนฉันก็คือเพื่อนกัน ดังนั้นถ้าเธอเจออันตรายอะไร ฉันหวังว่าเธอสองคนจะช่วยดูแลกันและกัน หรือไม่อย่างนั้นก็ไปหาฉันที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ที่จิ่วเจียงตะวันตก”

หลังจากจัดการกับเสี่ยวปู้ เฉินเกอก็เริ่มตรวจดูพนักงานที่ยังเหลืออยู่ของเขา

ตอนที่เผชิญหน้ากับเงา พนักงานในกระเป๋าสะพายหลังล้วนอาสาออกมาช่วย ตอนนี้ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดี นอกจากซู่อิน ไมมีใคร ‘ติดเชื้อ’ คำสาป

“เหล่าไป๋ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือก่อนหน้านี้” ไป๋ชิวหลินนั้นเป็นนักพนันที่ในที่สุดก็มองเห็นแสงสว่าง เขามีหัวใจที่สุกสว่างยิ่งกว่าความเย็นชาที่แสดงออกภายนอก เมื่อเฉินเกอเอ่ยชื่นชม เขาก็ดูค่อนข้างอาย เมื่อคิดกลับไปถึงชีวิตกว่าสองทศวรรษของตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำขอบคุณจากคนอื่น และอันที่จริง มันก็รู้สึกดีมากที่เป็นที่ต้องการของคนอื่น ๆ

“ผมก็แค่บังเอิญอยู่แถวนี้พอดี” ไป๋ชิวหลินยัดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเหมือนพูดอีกสักคำหนึ่งแล้วเขาจะตาย

“ไม่ว่ายังไง ถ้าไม่เพราะคุณคราวนี้ พวกเราทุกคนก็อาจจะบาดเจ็บ” ซู่อินนั้นขวางเงาเอาไว้ และไป๋ชิวหลินคว้าเฉินเกอกับกระเป๋าหนี พวกเขาแบ่งหน้าที่กันได้อย่างดี และถ้ามีผิดพลาดสักส่วน อีกคนที่อยู่ตรงนั้นอาจจะเป็นเงาหรือคุณหมอเกาก็ได้

การต่อสู้จริงจังเช่นนี้นั้นเป็นประโยชน์แก่ไป๋ชิวหลิน สีแดงรอบหัวใจของเขาเริ่มแผ่ออกไป และเขาก็สามารถปลดปล่อยพลังของซยงฉิงออกมาได้ราวหนึ่งในสาม ที่มุมเสื้อและกางเกงของเขาเริ่มมีรอยเลือดเปื้อน– ไป๋ชิวหลินกำลังมุ่งหน้าสู่การกลายเป็นวิญญาณสีเลือดอย่างมั่นคง

เทียบกับซู่อิน ความก้าวหน้าของเขานั้นง่ายกว่ามาก เขาครอบครองหัวใจของซยงฉิง ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำลายขีดจำกัดอะไร แค่กินวิญญาณอาฆาตให้มากหน่อย ในที่สุดแล้วเขาก็จะกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือด

อันที่จริง หลังจากทำตารางรายการดูแล้ว เฉินเกอก็ได้ประโยชน์จากภารกิจนี้มากทีเดียว ซู่อินกลายเป็นวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งอย่างเป็นทางการ และไป๋ชิวหลินก็พัฒนาไปเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด จางหยานั้นได้กินหัวใจของหญิงตะกละ และเธอยังได้ครอบครองกึ่งหนึ่งของหัวใจของบางอย่างที่ดูเหมือนจะมีระดับสูงกว่าวิญญาณสีเลือด ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอน่าจะน่าหวาดกลัวขึ้นอีก

พลังของพนักงานของเขาเพิ่มขึ้น และเฉินเกอยังได้รับพนักงานชุดใหม่ วิญญาณสัมภเวสีและวิญญาณอาฆาตที่มีพลังพิเศษ และวิญญาณสีเลือดที่ถูกจางหยา ‘เปลี่ยน’– ผีผู้หญิงไร้หัว

จุดสำคัญก็คือเฉินเกอได้รับมิตรภาพจากเสี่ยวปู้และผู้หญิงในเสื้อกันฝนสีแดง บ้านผีสิงนั้นอาจจะได้ต้องรับวิญญาณสีเลือดใหม่อีกสองตนในอนาคต

“หากฉันมองบ้านผีสิงเป็นฉากภารกิจ อย่างนั้นระดับของมันตอนนี้ก็น่าจะอยู่ราว ๆ สามหรือสี่ดาว บางทีอาจจะใกล้สี่ดาวมากกว่าสามดาว” หลังจากตรวจดูพนักงาน ‘ผี’ ของเขาแล้ว เฉินเกอก็วิ่งไปหาพนักงานที่ยังมีชีวิต

เพื่อขยายบ้านผีสิง การพึ่งพาผีมากเกินไปนั้นไม่ได้การ เขาจำเป็นต้องมีพนักงานคนเป็นด้วยเหมือนกัน การผสมกันระหว่างพนักงานคนเป็นและพนักงานคนตายนั้นย่อมทำให้ผู้เข้าชมได้รับประสบการณ์อันสุดยอด

เฉินเกอเจอตัวมือกรรไกร ชายขี้เมา หมอ และหลี่เจิ้งที่หมดสติอยู่ที่ชั้นแรก

“เจียหมิงอยู่ไหน?” เฉินเกอนั้นสงสัยเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนั้นที่เคยถูกเงาสิงสู่อยู่หลายปี เขาต้องรู้ความลับของเงามากมาย

“ตอนที่คุณกำลังสู้อยู่ เขาก็ลากเจ้าหน้าที่ตำรวจวิ่งลงบันไดไปอย่างบ้าคลั่ง พวกเราเห็นเขาทำท่าประหลาด ดังนั้นก็เลยตามเขาลงบันไดมา”

ตอนที่เงาเรียกพลังทั้งหมดของตนกลับไปเพื่อหล่อเลี้ยงผีทารก มือกรรไกรและชายขี้เมาก็ได้รับอิสระ แต่ก็ยังมีเส้นสีดำที่เป็นตัวแทนคำสาปหลงเหลืออยู่บนร่างของพวกเขา

เฉินเกอหยิบกุญแจมือที่รอบข้อมือหลี่เจิ้งขึ้นมา ดีที่เขาใส่กุญแจมือตัวเองเอาไว้กับเจียหมิงเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายหลังหนี ไม่อย่างนั้น ด้วยนิสัยเจียหมิง เขาไม่มีทางลากหลี่เจิ้งหนีนอกเสียจากจะจำเป็น

“ผู้ชายคนนั้นไขกุญแจและหนีไป เขาวิ่งเร็วมาก” เจียหมิงและนักเรียนที่ชื่อเป้ยเยี่ยนั้นหนีไป เฉินเกอรู้สึกว่าจำเป็นต้องจับตัวทั้งสองคนเพราะว่าพวกเขารู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มากไป เขาอาจจะคิดอย่างนั้น แต่แน่นอนว่า เฉินเกอไม่พูดออกมาต่อหน้าคนอื่น เขาใช้ดวงตาหยินหยางมองพวกเขาและพบว่าสภาพของพวกเขาดูไม่ดีนัก

มีเส้นสีดำเคลื่อนที่ในดวงตาของพวกเขา– มันเหมือนพวกเขาถูกสาป

สถานการณ์ของมือกรรไกรและชายขี้เมานั้นดีกว่า พวกเขากินเลือดที่เตรียมไว้ให้วิญญาณสีเลือดที่โรงแรม และร่างกายของพวกเขาก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงพิเศษบางอย่าง เฉินเกอสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของพวกเขาต่ำกว่าปกติ

สภาพของหมอนั้นย่ำแย่กว่า เพราะคำสาปที่ผสมเข้าด้วยกันกับพิษที่เขาดื่มไปก่อนหน้านี้ กล้ามเนื้อของเขาเริ่มฝ่อ ถึงแม้ว่าเขาจะยังเดินได้ มันก็เหมือนกับเขาแก่ขึ้นอย่างน้อยก็สิบปีในเวลาแค่คืนเดียว

“พูดไปแล้ว พวกเราก็ผ่านเรื่องแย่ ๆ มาด้วยกัน คุณรู้เรื่องผมหลายอย่าง และผมก็รู้ความลับในหัวใจของพวกคุณ ตอนนี้ พวกคุณถูกสาป และผมก็ไม่สามารถปล่อยพวกคุณไปทั้งอย่างนั้นได้ เอาอย่างนี้ไหม? พวกคุณไปพักกับผมก่อน และผมจะส่งคุณกลับบ้านหลังจากช่วยรักษาร่างกายที่ถูกสาปของพวกคุณและพวกคุณรู้สึกดีขึ้น” ความรับผิดชอบที่เฉินเกอเสนอนั้นเป็นทางเลือกให้ทุกคน

“ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องรับผิดชอบอย่างนี้ นี่เป็นการเลือกของพวกเราเองในการเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน นอกจากนี้ ถ้าไม่เพราะคุณ พวกเราก็คงตายไปแล้ว คุณช่วยพวกเราไว้หลายครั้ง และพวกเราก็ไม่สามารถตอบแทนสิ่งที่คุณทำได้– แล้วพวกเราจะรบกวนคุณมากกว่านี้ได้ยังไง?” ชายขี้เมานั้นสร่างเมานานแล้ว สมองของเขานั้นโล่งไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

“ถ้าคุณไม่ถอนคำสาป ชีวิตของคุณก็จะตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา พวกเราผ่านสิ่งต่าง ๆ มาด้วยกันตั้งมาก และผมก็ไม่สามารถยืนเฉย ๆ มองคุณทรมานด้วยความเจ็บปวดและโรคภัย” เฉินเกอนั้นเก็บพนักงานทั้งหมดไปแล้ว เขาตบกระเป๋า

“พวกเราได้รับความช่วยเหลือจากคุณหลายครั้ง และตอนนี้คุณยังให้พวกเราไปพักที่บ้านคุณ มันฟังดูไม่ถูกต้องจริง ๆ” มือกรรไกรพูด “เอาอย่างนี้ไหม? ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา พวกเราก็จะไปช่วยคุณแน่นอน! ห้ามปฏิเสธ นี่เป็นสิ่งเดียวที่พวกเราทำได้

“ใช่ คุณจะช่วยพวกเราถอนคำสาปของเงา คุณกำลังจะช่วยชีวิตพวกเราอีกครั้งแล้ว!” ชายขี้เมาและหมอหันไปทางเฉินเกอ

“ผมเปิดบ้านผีสิง และอย่างที่คุณคงจะเห็นแล้ว ผมมี ‘นักแสดง’ ที่เป็น ‘มืออาชีพ’ ที่สุดอยู่ในทีมอยู่แล้ว ผมไม่ต้องการความช่วยเหลืออื่น” เฉินเกอดูไม่สะดวกเหมือนกัน

“แต่พวกเราก็ไม่สามารถเป็นฝ่ายรับน้ำใจของคุณโดยไม่ตอบแทนได้! อย่างน้อยที่สุดก็ให้พวกเราได้ทำงานตามความสามารถของพวกเรา!”

ในเมื่อพวกเขาพูดอย่างนี้แล้ว ถ้าเฉินเกอปฏิเสธคำยืนยันของพวกเขาแล้วก็คงจะรู้สึกผิด เขาทำได้แค่ ‘บังคับ’ ให้ตัวเองตอบรับ “ตกลง แต่ว่าอย่างแรกที่สุดเลย พวกคุณจะไม่ช่วยผมฟรี ๆ ผมจะจ่ายให้พวกคุณตามมาตรฐาน อย่างไรเสีย พวกคุณก็ยังต้องดูแลครอบครัวของตัวเอง และพวกคุณก็ต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต นี่เป็นเพียงเงื่อนไขเดียวของผม ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่ปฏิเสธ”

ได้ยินอย่างนี้จากเฉินเกอ พวกเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แพร่ผ่านหัวใจของพวกเขา ความชื่นชมของพวกเขาต่อเฉินเกอนั้นมาจากใจจริงที่สุด

“บอสเฉินนี่นักบุญแท้ ๆ!”

ตอนที่เฉินเกอใช้เวลาไปกับการคิด สถานการณ์การต่อสู้ก็เปลี่ยนไปมาก ความวุ่นวายนั้นยิ่งมายิ่งมากขึ้น เงาเริ่มมีทีท่าเฉื่อยชาเมื่อถูกทั้งจางหยาและคุณหมอเกาโจมตี

ร่างกายที่สร้างขึ้นจากคำสาปนั้นไม่มีรูปร่างและรูปแบบ วิญญาณทั่วไปไม่สามารถทำอันตรายเงาได้ อันที่จริง การสัมผัสถูกนั้นมีแต่จะทำให้วิญญาณนั้นบาดเจ็บสาหัส เพียงแค่เรื่องนี้ เงาก็สามารถจัดการกับวิญญาณสีเลือดตนไหนก็ได้แล้ว แต่โชคร้าย เขามาเจอเข้ากับคุณหมอเกาและจางหยา

วิญญาณสีเลือดขั้นสูงทั้งสองตนนั้นนั้นสามารถกลืนกินคำสาปได้เป็นจำนวนมาก การมีพลังมหาศาลนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา– พลังพิเศษของพวกเขานั้นยังดูเหมือนจะเป็นจุดอ่อนโดยธรรมชาติของเงา การจองจำของหมอเกาและพันธนาการของจางหยานั้นได้เปรียบเมื่อต้องรับมือกับเงา พวกเขาขวางทางหนีของเงาเอาไว้แล้วยังทำให้เงาต้องรับมือสองทาง

การต่อสู้ระหว่างวิญญาณสีเลือดนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ฉีกทึ้งความแค้นของอีกฝ่ายมาหล่อเลี้ยงตนเอง นี่เป็นภาพที่คนธรรมดาก็คงนึกจินตนาการไม่ออก แต่ว่า มันเป็นสิ่งไม่อาจจะธรรมดาไปมากกว่านี้ได้แล้วสำหรับเหล่าวิญญาณ

เงานั้นปกคลุมไปด้วยคำสาป แต่ว่าวิญญาณสีเลือดขั้นสูงทั้งสองนั้นไม่สนใจเรื่องนั้น หลายอย่างที่คุณหมอเกาแบกรับเอาไว้นั้นผลักให้เขาไปอยู่ที่ปากเหวแห่งความบ้าคลั่ง ขณะที่จางหยาดูเป็นปกติ หลังจากต่อสู้ไป เงาก็ตระหนักว่าความบ้าคลั่งของผู้หญิงคนนี้นั้นไม่ได้น้อยไปกว่าประธานทั้งสองคนของสมาคมเล่าเรื่องผี

ร่างกายสีดำมืดนั้นแตกออกครั้งแล้วครั้งเล่า เลือดสีดำซึมออกจากใบหน้าของเด็กทารก ทุกคนตรงนั้นได้ยินเสียงประหลาด มันเหมือนกับท้องฟ้าสีแดงเลือดที่เหนือหัวพวกเขากำลังร้องไห้ หรือบางที มันอาจจะเป็นผืนดินที่ได้รับความเสียหายจากฝันร้ายเหล่านี้กำลังคร่ำครวญ

น้ำตาและเสียงหัวเราะ พวกเขาเห็นเด็กคนหนึ่งถือมีดยืนอยู่ในตรอกที่ค่อย ๆ ถูกน้ำฝนหนาหนักท่วมทับ ลำคอมีเชือกผูกเอาไว้ ศีรษะถูกกดลงกับพื้น น้ำตาผสมเข้ากับสายฝน เด็กคนนั้นกรีดร้องและร้องไห้ขอความช่วยเหลือ เขาร้องไห้และร้องไห้จนกระทั่งมุมปากเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้ม

จมอยู่ในเส้นทางดำมืด ถูกไฟแผดเผา มีคมกริบกรีดเลือดเนื้อ และถูกฝังเอาไว้ในหลุม ไม่สามารถหายใจได้ ไม่รู้สึกถึงแสงอาทิตย์ที่ตกต้องใบหน้า ทั้งหมดที่เขาเอื้อมถึงก็คือมือของตัวเองที่มีแผลเป็นน่าเกลียดมากมาย

“ทำไมแกถึงต้องการฆ่าฉัน? ฉันทำอะไรผิด?”

ร่างกายของเงาสลายไป คำสาปที่เหลืออยู่เปลี่ยนไปเป็นหลอดเลือดและแทงเข้าไปในหัวใจของเด็กทารก

รูปร่างและรูปแบบค่อย ๆ ถูกแกะขึ้นบนใบหน้าที่เดิมไร้เครื่องหน้าของเด็กทารก กระดูกอ่อนถูกบีบให้อยู่ในรูปประหลาดขณะที่ร่างกายถูกคำสาปและความอาฆาตแค้นเติมเต็ม เด็กลืมตาขึ้นมองมายังเฉินเกอที่มีเส้นผมสีดำเป็นเกราะป้องกัน

หัวใจในอกของมันเต้นตุบ และท้องฟ้าก็เริ่มหลั่งฝนเลือด ภาพของเฉินเกอนั้นแผดเผาอยู่ในม่านตาของเด็กทารก ขณะที่หัวใจของเด็กเต้นหนักหน่วง อ้าปากฮุบอากาศอย่างกระหาย เด็กทารกดูไม่คล้ายปิศาจที่ถูกสร้างขึ้นจากคำสาป และดูคล้ายกับคนเป็นมากกว่า

มันเข้าไปสิงอยู่ในเด็กทารกของมันเอง แต่ว่าอวัยภายในก็ยังเต้นด้วยจังหวะของตนเอง ร่างกายของมันนั้นราวกับจะพังทลายจากข้างใน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ริมฝีปากของมันก็ยังขยับเป็นรอยยิ้ม ดวงตาเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แทนที่ความเหี้ยมโหดและความพ่ายแพ้เดิมด้วยความชั่วร้ายและอาฆาตแค้น

“นี่ไม่ใช่ดวงตาของเงา!” เฉินเกอหรี่ตามองไปยังภาพสะท้อนของตนเองในดวงตาของเด็กทารกผ่านช่องว่างของเส้นผม มันเป็นสิ่งที่เขาเกือบจะจำไม่ได้ แต่เขาแน่ใจว่านี่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของตัวเขาเอง!

“ฉันตายเพื่อแกไปตั้งหลายครั้ง– มันได้เวลาที่แกจะตายแทนฉันบ้างแล้ว”

หลอดเลือดฝอยแตกออกและร่างกายของเงาก็สลายไปโดยสมบูรณ์ ผีทารกรูปร่างพิกลพิการคลานออกจากช่องอก ขณะที่ฝนเลือดตกอยู่รอบตัวมัน มันก็พุ่งเข้าใส่เฉินเกอ เคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าก่อนหน้าเป็นสิบเท่า

เส้นผมสีดำหลายชั้นถูกดึงทึ้งออกและแม้จะมีโซ่ล่ามมันเอาไว้ ความเร็วของผีทารกก็ไม่ได้ช้าลง ร่างกายของมันค่อย ๆ ฉีกขาดออกแต่ภาพของเฉินเกอในดวงตาของมันกลับชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ คำสาปเปลี่ยนไปเป็นเส้นสายสีดำพุ่งเข้าไปในดวงตาของมัน พันธนาการรอบเงาเฉินเกอในดวงตาของมัน ระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นยังอีกระยะหนึ่งแต่เฉินเกอพบว่าตัวเองไม่สามารถขยับได้แล้ว เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างมัดเขาเอาไว้

“มันทำเช่นนี้ได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องสัมผัส? นี่เป็นพลังชนิดไหนกัน? คำสาปแบบหนึ่งงั้นเหรอ?” ผีทารกนั้นสูบกินเงาจนแห้ง และมันก็ดูเหมือนจะกำลังใช้พลังของตัวเองอยู่ตอนนี้ เส้นสีดำรอบตัวเฉินเกอในดวงตาของมันเริ่มลุกไหม้ เปลวไฟสีดำนั้นแผดเผาเฉินเกอในดวงตาของมัน และเฉินเกอในความเป็นจริงก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดแบบเดียวกัน มันยิ่งกว่ามีมดล้านตัวไต่ไปทั่วตัวเฉินเกอ ทั้งใต้ผิวและบนผิวของเขา พวกมันกัดผิวเนื้อเขา ทีละตารางนิ้ว ทิ้งความรู้สึกเหมือนถูกเผาเอาไว้เบื้องหลัง

“ความดีงามทุกอย่างของแกนั้นกลายเป็นอาหารให้ความสิ้นหวัง ฉันจะรอคอยแกอยู่ที่นรกที่ลึกที่สุด…” ริมฝีปากของเด็กทารกฉีกออกจากกัน สายตาของมันมองจ้องมาที่เฉินเกออย่างลึกซึ้ง “เงาของฉัน”

ปัง!

เส้นผมสีดำบดบังการมองเห็นของเฉินเกอขณะที่โอบพันอยู่รอบตัวเขาโดยสมบูรณ์ เส้นผมสีดำคลานเข้าไปในร่างเฉินเกอ มันกลืนกินคำสาปทีละนิด– นี่เป็นพลังของความตะกละ ผีเด็กทารกนั้นกำลังใช้พลังของผีทารก กระทั่งวิญญาณสีเลือด คำสาปเช่นนี้ก็ยังยากที่จะย่อย และผีทารกก็ใช้มันกับคนเป็น ๆ คนหนึ่ง

“เขาเพิ่งพูดว่าฉันเป็นเงาของเขาใช่ไหม?” เฉินเกอยังไม่สามารถควบคุมร่างของตัวเองได้แต่จางหยากำลังกลืนกินคำสาปอย่างช้า ๆ ด้วยสติสัมปชัญญะระดับเหนือมนุษย์ เฉินเกอไม่ได้ล้มพับไป ผ่านช่องว่าง เขาลืมตามองไปยังผีทารก

โซ่และเส้นผมสีดำพันอยู่รอบร่างของมัน และผีทารกก็หยุดอยู่ห่างจากเฉินเกอสามเมตร แขนของจางหยานั้นแทงผ่านดวงตาของเด็กทารกไปขณะที่หมอเกากำอยู่รอบหัวใจของเด็ก

“แค่อีกนิดเดียว?” เสียงที่ทำให้สันหลังเย็นวาบหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากที่แตกออก ผีทารกหัวเราะอยู่ในฝนเลือด การเขยื้อนขึ้นลงของหน้าอกของมันนั้นกลายเป็นรุนแรงมากขึ้นขณะที่ร่างของมันเริ่มพองออกเหมือนลูกโป่ง “เฉินเกอ ฉันจะจำวันนี้เอาไว้ เพื่อชดใช้ ฉันจะทำให้แกต้องจดจำทุก ๆ วันต่อ ๆ ไป”

ผีทารกหันหน้าหนี มันหันมองไปที่สักแห่งในจิ่วเจียงตะวันออก กระดูกเริ่มเหยียดออก และร่างกายที่ใช้เพียงครั้งเดียวทิ้งนี้ก็เพิ่มจำนวนขึ้นอีกครั้ง! ประหลาด สัญลักษณ์สีดำปรากฏขึ้นบนผิวของผีทารกซึ่งดูเหมือนคำสาปแรกเริ่มที่สุด

“ระวัง!” คำเตือนของเฉินเกอนั้นมาช้าเกินไป เส้นสีดำหลุดออกจากในร่างของมัน สัญลักษณ์สีดำนั้นทิ้งร่างหนีไปและร่างกายของผีทารกก็ระเบิดจากข้างใน!

เขารู้สึกเหมือนแก้วหูของตัวเองกำลังจะฉีก หลังจากนั้นครู่หนึ่งทุกอย่างก็เงียบลง และจิตใจของเขาก็ว่างเปล่า ทั้งหมดที่เฉินเกอรู้สึกก็คือร่างของเขานั้นล้มไปด้านหลังก่อนที่จะดิ่งลงไป สุดท้ายแล้วเขาก็ถูกบางอย่างจับเอาไว้ที่กลางอากาศ

ตอนที่เฉินเกอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองนั้นห้อยอยู่ด้านนอกชั้นเก้าของตึกในเปลผมสีดำ

“จางหยา?” เส้นผมสีดำยังอยู่รอบ ๆ แต่ว่าที่เหนือชั้นที่สิบเริ่มแสดงสัญลักษณ์ของคำสาป

“เธอเป็นคนที่ผลักฉันลงมา?” ฝนเลือดหยุดไปแล้ว มีเสียงผีกรีดร้องดังอยู่รอบ ๆ โดยมีอพาร์ทเม้นท์ผีเป็นศูนย์กลาง ความวุ่นวายที่พวกเขาสร้างขึ้นนั้นมากมายนักจนดึงดูดวิญญาณทั้งหมดรอบเมืองหลี่ว่าน

“เสียงกรีดร้องเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่หวาดกลัวเงานั่น โลกที่ด้านหลังประตูนี่น่ากลัวแค่ไหนกันแน่?”

หมอกเลือดปกคลุมทุกอย่าง กระทั่งดวงตาหยินหยาง เฉินเกอก็มองไม่เห็นปิศาจพวกนี้– เขาแค่ได้ยินเสียงเท่านั้น เส้นผมสีดำดึงเขาขึ้นไป ตอนที่เฉินเกอกลับขึ้นไปบนดาดฟ้า เขาก็ตกใจกับภาพที่ได้เห็น

ตอนที่ร่างของผีทารกระเบิด ทั้งจางหยาและคุณหมอเกาไม่มีใครถอย วิญญาณสีเลือดขั้นสูงทั้งสองนั้นเลือกเหมือนกัน– พวกเขาเลือกโจมตีเด็กทารกนั่นพร้อมกัน!

ไม่มีใครในพวกเขายกการป้องกันขึ้นมา ครึ่งหนึ่งของเส้นผมสีดำและโซ่ล้วนเสียหาย และสิ่งที่เลวร้ายที่สุด สัญลักษณ์ของผีทารกเริ่มปรากฏขึ้นบนร่างของจางหยาและคุณหมอเกา สัญลักษณ์เหล่านี้นั้นแหวกว่ายไปทั่วร่างของพวกเขาราวกับปลา และมันยังต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการกำจัด

พวกเขาล้วนอยู่ในสภาพย่ำแย่ คุณหมอเกาแขนหายไปข้างหนึ่ง คำสาปและอารมณ์ด้านลบล้วนไม่ถูกกดเอาไว้แล้ว และใบหน้าของผู้บริสุทธิ์ก็กรีดร้องโหยหวนไม่รู้จบสิ้น

ร่างกายของจางหยาที่เผชิญกับเงานั่นมีประทับคำสาปและที่ทำให้เธอโกรธที่สุดก็คือมันปรากฏบนใบหน้าที่มีบาดแผลของเธอด้วยเหมือนกัน คุณหมอเกานั้นมีพลังพิเศษในการกดข่มและการเปลี่ยนรูปขณะที่จางหยานั้นมีพลังในการกลืนกิน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พวกเขาก็ไม่มีใครคิดถอย พวกเขาล้วนอดทนเอาไว้ พร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งต่อไป

“ทำไมพวกเขาถึงได้กังวลถึงการต่อสู้ครั้งต่อไป?” เฉินเกอมองไปที่กลางดาดฟ้า แขนของหมอเกาที่กดหัวใจของผีทารกเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้นตกอยู่ตรงนั้น มันเกือบจะสลายไปเพราะคำสาป และส่วนใหญ่กว่าของแขนนั้นก็ละลายไปกับเลือดสีดำ แต่ว่าหัวใจของผีทารกนั้นไปไหนแล้วไม่รู้

“มันถูกระเบิดไปเหรอ?”

หลังจากมองไปรอบ ๆ เฉินเกอก็ตระหนักว่าแขนอีกข้างที่ยังเหลืออยู่ของหมอเกานั้นกำหัวใจสีแดงเลือดครึ่งหนึ่งเอาไว้ หัวใจนี้นั้นมีขนาดแค่หนึ่งในห้าของขนาดหัวใจปกติ และมันก็ปกคลุมไปด้วยลวดลายสีดำ

“หัวใจของวิญญาณสีเลือดนั้นมีสีแดง ถึงแม้ว่าหัวใจนี่จะเล็ก มันก็ยังต่างไปจากหัวใจของวิญญาณสีเลือด ความรู้สึกที่ฉันได้รับจากลวดลายสีดำเหล่านั้นคืออันตรายมาก เหมือนมองอีกสักสองสามทีก็จะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับฉัน”

หมอเกานั้นกำหัวใจครึ่งหนึ่งเอาไว้ และอีกครึ่งหนึ่งนั้นอยู่กับจางหยา– พวกเขาทั้งคู่ต้องการสิ่งที่อีกฝ่ายถือเอาไว้ ไม่ต้องพูดอะไรเฉินเกอก็ถอยหลังไปเงียบ ๆ เขามองเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังของตัวเองแล้วก็เรียกพนักงานที่เหลือของตัวเองออกมา

“บางทีฉันอาจจะพูดคุยด้วยเหตุผลกับคุณหมอเกาได้ เขาเป็นผู้ชายที่มีความคิดอ่านกระจ่างชัด ดังนั้นฉันเชื่อว่าเขาจะสามารถมองภาพรวมของเรื่องราวได้” ตอนที่ร่างกายของผีทารกระเบิด ไป๋ชิวหลินและผู้หญิงในอุโมงค์ล้วนซ่อนตัวอยู่ในหนังสือการ์ตูน คำสาปดูเหมือนจะใช้การได้กับร่างคนเป็นและวิญญาณเท่านั้น มันไม่มีผลอะไรมากนักกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต

เฉินเกออันที่จริงต้องการถามผีผู้หญิงจากอุโมงค์ว่าอยู่ในหนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนนั้นสบายดีอยู่หรือเปล่า แต่พอคิดถึงว่าจางหยาอยู่ข้าง ๆ เขา เฉินเกอก็ปิดปากเงียบ

ทั้งสองฝ่ายยืนนิ่งอยู่บนดาดฟ้ารักษาความสมดุลเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ การต่อสู้ครั้งใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ผ่านไประมาณสิบนาที ก็มีเสียงระเบิดดังมาจากทางเมืองหลี่ว่าน ทุกคนหันไปเห็นคลื่นสีแดงกระแทกมาทางเขตที่พักหมิงหยาง ในหมอกหนาสีเลือด เจ้าของเมืองหลี่ว่านตัวจิง เสี่ยวปู้ รีบร้อนมาทางอพาร์ทเม้นท์ผีพร้อมกับลากเหมินหนานและเหล่าโจวมาด้วย

เสี่ยวปู้นั้นไม่ใช่วิญญาณสีเลือดธรรมดา ประตูในเมืองหลี่ว่านนั้นหลุดจากการควบคุม และอิทธิพลของมันก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตึกเดียวอีกต่อไปแล้วแต่ว่าแผ่ไปทั่วทั้งเมือง ในฐานะผู้เปิดประตู พลังของเสี่ยวปู้เพิ่มมากขึ้น เธอมีพลังแค่ไหนนั้น เฉินเกอเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ว่าเธอไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผีตะกละที่โรงแรมแน่นอน

ถ้าเป็นวิญญาณสีเลือดธรรมดาก็แล้วไป แต่มีวิญญาณสีเลือดขั้นสูงอีกตนเป็นพวกเดียวกับเฉินเกอ สมดุลนั้นก็เปลี่ยนไป ในตอนที่ประธานทั้งสองของสมาคมเล่าเรื่องผีเปลี่ยนไปมองเสี่ยวปู้ พวกเขาก็หันมองกันและกัน จากนั้นพวกเขาก็ลงมือพร้อมกัน

“ตามไป! ผมมีหลายอย่างที่ต้องการถามเขา!” เฉินเกอร้องสั่ง คุณหมอเกากระโดดลงไปจากหลังคา โซ่แทงเข้าไปในตึกและเขาก็ทิ้งตัวลงไปก่อนที่จะหายไปในหมอกเลือดพร้อมกับหัวใจครึ่งหนึ่งนั่น

คุณหมอเกาหนีไปนั้นทำให้เฉินเกอประหลาดใจอย่างชัดเจน เขาไม่รู้ว่าทำไมชายเสียสติคนนี้ถึงกลายเป็นตัดสินใจเด็ดเดี่ยวอย่างกะทันหัน บางที กลไกสักอย่างในใจเขาอาจจะถูกกระตุ้นขึ้นมา หรือตอนนั้น ‘ความสิ้นหวัง’ ทั้งหลายในตัวคุณหมอเกาตัดสินใจเหมือน ๆ กัน

“เขาจากไปทั้งอย่างนี้ ฉันยังมีหลายอย่างเกี่ยวกับประตูที่บ้านผีสิงที่อยากจะถามเขา” เฉินเกอไม่สนใจว่าคุณหมอเกานั้นเสียสติ เขาจะใช้เวลาและพยายามช่วยเขา แต่มันกลายเป็นว่าคุณหมอเกาไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขา

หลังจากคุณหมอเกาจากไป เส้นผมสีดำบนดาดฟ้าก็หายไปอย่างรวดเร็ว และจางหยาก็ก้าวยาว ๆ เข้าไปหาเฉินเกอไม่พูดไม่จา เส้นผมของเธอนั้นปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอเอาไว้ ตอนที่เฉินเกอคิดว่าเธอกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ดวงตาของจางหยาก็กวาดผ่านใบหน้าของผุ้หญิงจากอุโมงค์ และจากนั้นก็เอื้อมเข้าไปในหนังสือการ์ตูนคว้าเอาผู้หญิงไร้หัวออกมา

โดยไม่สนใจเอี๋ยนต้าเหนียนที่ขดตัวอยู่ที่มุมของหนังสือการ์ตูน จางหยาผูกผมเส้นหนึ่งของเธอเอาไว้รอบข้อมือหญิงไร้หัว จากนั้นเธอก็เอนตัวพิงหลังของเฉินเกอแล้วหายเข้าไปในเงาของเขา มองทางที่จางหยาเดินมาแล้วก็พบว่ามีเลือดสีดำลากเป็นรอยยาว เธอดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนัก

“ระหว่างการต่อสู้กับสมาคมเล่าเรื่องผีก่อนหน้านี้ ก่อนที่เธอจะเข้าสู่ภาวะจำศีล จางหยาให้ตุ๊กตาที่ช่วยฉันรับอันตรายถึงตายไว้ตัวหนึ่ง

“คราวนี้ เธอพันเส้นผมของเธอรอบข้อมือหญิงไร้หัว บังคับให้เธอต้องยอมจำนนน่าจะเป็นอะไรที่ให้ผลเหมือนกัน

“อย่างนั้นนี่ก็หมายความว่าจางหยากำลังจะจำศีลอีก? นี่เป็นเพราะว่าเธอได้รับบาดเจ็บหนักหรือว่าเธอต้องการเวลาในการค่อย ๆ ย่อยหัวใจครึ่งหนึ่งของผีทารกกันแน่?”

เฉินเกอนั้นคุ้นเคยกับนิสัยของจางหยา ตอนที่สายตาของเธอมองไปที่หญิงจากอุโมงค์ก่อนหน้านี้ เธอก็อาจจะวางแผนเปลี่ยนหญิงจากอุโมงค์ไปเป็นตุ๊กตา แต่ว่า ในสภาพตอนนี้ของเธอนั้น จางหยาไม่มั่นใจเต็มที่ว่าการเปลี่ยนร่างนั้นจะสำเร็จ ดังนั้นเธอจึงเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดรองลงมาและถักทอคำเตือนของเธอเข้าไปในร่างของหญิงไร้หัว

“สภานการณ์ของหมอเกานั้นย่ำแย่เสียยิ่งกว่าจางหยา แต่ว่าฉันก็ยังต้องระวังเอาไว้ พวกเขาทั้งคู่เป็นวิญญาณสีเลือดที่แข็งแกร่งที่สุด และตอนนี้ พวกเขาล้วนได้ครอบครองหัวใจของตัวตนที่แข็งแกร่งว่าวิญญาณสีเลือด ถ้าคุณหมอเกาทำได้สำเร็จ คืนหนึ่ง เขาก็อาจจะปรากฏตัวจากด้านหลังประตูที่บ้านผีสิง”

ตอนนี้ คุณหมอเกานั้นไม่สามารถควบคุมอารมณ์ด้านลบและคำสาปได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมพวกมันได้หลังจากทะลวงขีดจำกัดและกลายไปเป็นบางอย่างที่แข็งแกร่งกว่าวิญญาณสีเลือด เมื่อคุณหมอเกาได้สติกลับมา เขาย่อมกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวมาก

“พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรวมเข้ากับความฉลาดที่สุด แล้วฉันจะยังทำอะไรได้? บางทีฉันอาจจะให้เกาหรูเซว่ย้ายมาอยู่กับฉันที่บ้านผีสิง ให้เธออยู่ห้องข้าง ๆ ห้องน้ำ?”

“บอส!” เหล่าโจวขัดจังหวะพึมพำของเฉินเกอ

“ต้องขอโทษที่รบกวนทั้งหมดนี่นะ” เฉินเกอพูดจากใจจริง เขาต้องการกอดเหล่าโจวสักครั้งแต่ก็กวาดมือผ่านร่างเขาไป จากนั้นก็เข้าใจได้ว่าทำไม “ผมดีใจที่พวกคุณทุกคนไม่เป็นอะไร”

หลังจากคุยกับเหล่าโจวสั้น ๆ และสัญญากับเหมินหนาว่าจะส่งเขากลับไปยังหอผู้ป่วยสามเพื่อซ่อนหน้าต่างของเขา เขาก็เก็บทุกตนเข้าไปในหนังสือการ์ตูน

“เสี่ยวปู้ เงาถูกฆ่าไปแล้ว เธอเป็นอิสระแล้วตอนนี้ แต่เธอก็ห้ามประมาท ร่างหลักของเงา ผีทารก นั้นกำลังจะถือกำเนิด และยังมีโอกาสที่เขาจะกลับมา” คำบอกใบ้ของเฉินเกอนั้นชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เสี่ยวปู้ไม่ได้ตอบเฉินเกอตรง ๆ เสียงน้ำหยดดังมาจากช่องบันได ผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงมาถึงพร้อมกับแขนขาที่เหลืออยู่ของเสี่ยวปู้และอุ้มถงถงเอาไว้ในอ้อมแขน เธอพยายามอ้าปากที่ถูกเย็บออก ต้องการพูดบางอย่างกับเฉินเกอ

“คุณเจอลูกของคุณแล้ว?” เฉินเกอเข้าใจว่าผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนเข้ามาที่อพาร์ทเม้นท์ผีเพื่อตามหาลูกของเธอ เขายังเห็นว่าตึกนั้นเต็มไปด้วยเด็ก ๆ ที่ถูกเงาสูบเอาความทรงจำไป

ผู้หยิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงส่ายหน้า เธอวางชิ้นส่วนของเสี่ยวปู้เอาไว้ไม่ไกลจากเสี่ยวปู้นักและหันหลังกลับ

น้ำจากเสื้อกันฝนของเธอไหลไปบนพื้นเกิดเป็นประโยค “ฉันจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะเจอเขา จากนั้นฉันจะไปหาคุณ”

“ผมรู้ว่าคุณอยากจะขอบคุณผม แต่คำสัญญานี่พอเป็นตัวหนังสือแล้วทำไมมันถึงดูน่ากลัว?” เฉินเกอไม่ได้รั้งเธอเอาไว้ เขามีอย่างอื่นอีกมากมายที่ต้องทำตอนนี้

ตอนที่จางหยายังไม่ปรากฏตัว เงานั้นแค่รู้สึกเกลียดชังเฉินเกอ แต่หลังจากจางหยาปรากฏตัว ความเกลียดชังเฉินเกอของเงาก็ลึกซึ้งมากขึ้น เดิมที เขาแค่ต้องการเปลี่ยนเฉินเกอไปเป็นเงาของตัวเอง แต่ตอนนี้ มันต้องการฆ่าผู้ชายคนนี้

วิญญาณสัมภเวสีดวงหนึ่งไม่สามารถออกจากวัตถุที่มันสิงสู่อยู่ได้ วิญญาณอาฆาตสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และวิญญาณสีเลือดสามารถออกจากสิ่งที่สิงสู่อยู่ได้เป็นเวลานานและยังสามารถหาวัตถุอื่นเข้าสิงสู่ได้ ตอนนี้นั่นเป็นวิธีที่ฉันใช้ในการจำแนกระหว่างวิญญาณชนิดต่าง ๆ

เฉินเกอมองไปยังเงาที่กำลังใกล้เข้ามา

แต่วิธีการนี้ดูเหมือนจะใช้กับวิญญาณที่อยู่เหนือระดับวิญญาณสีเลือดไม่ได้ คุณหมอเกาบอกว่าเขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดในเงานั่น ดังนั้นสิ่งที่แตกต่างระหว่างบางอย่างนั่นกับวิญญาณสีเลือดคืออะไรกัน? ความแตกต่างของระดับพลังระหว่างพวกเขาน่าจะมากกว่าความแตกต่างของระดับพลังระหว่างวิญญาณสีเลือดและวิญญาณทั่วไป

นี่เป็นวิธีการจำแนกวิญญาณสีเลือดกับวิญญาณทั่วไป สีแดงของเสื้อผ้านั้นเป็นสัญญาณชัดเจน แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างวิญญาณสีเลือดและบางอย่างที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดเล่า?

เงานั่นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นวิญญาณสีเลือดขั้นสูงเท่านั้น หลังจากผีทารกถือกำเนิด มันก็จะกลายเป็นตัวตนที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดอย่างแท้จริง

เฉินเกอสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างบนเงา

เด็กทารกที่ในอกของเงานั้นกลืนกินร่างของเขา และเขาก็ใช้ตัวเองหล่อเลี้ยงเด็กทารกแลกเปลี่ยนกับพลังที่เหนือระดับที่เขามี ขณะที่เด็กดูปกติ มันก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่มากแล้ว มองดูมันแล้วก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับตอนที่ฉันมองรูปวิญญาณที่บนประตูในบ้านผีสิง

ตอนที่คุณหมอเกาเกือบจะถูกเปิดโปง เขาก็โยนความระมัดระวังทิ้งไปกับสายลมและใช้ชีวิตหลายชีวิตเป็นเครื่องบูชายัญ เขาควักตาของคนเหล่านั้นและทิ้งรูปวาดวิญญาณเอาไว้บนประตูในบ้านผีสิงของเฉินเกอ

วิญญาณนั่นน่าจะมีบางอย่างที่ทรงพลังกว่าวิญญาณสีเลือด

พอคิดกลับไปแล้ว ก็มีหลายอย่างที่ต้องสืบหาเกี่ยวกับสมาคมเล่าเรื่องผี ตัวอย่างเช่น กล่องที่มีคราบเลือดสีดำ อย่างไรเสีย ที่จางหยาสามารถเติบโตได้รวดเร็วก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเลือดสีดำที่เธอขโมยมาจากสมาชิกสมาคมเป็นอย่างมาก เลือดสีดำนั่นต่างไปจากเลือดสีดำที่หยดจากร่างกายของหมอเกาซึ่งเป็นสีของคำสาป มันเป็นสีดำสนิท กระทั่งตอนที่ถูกเก็บเอาไว้ในกล่อง ก็ยังรู้สึกได้ถึงความอาฆาตแค้นลึกซึ้งที่มันสั่งสมไว้

คุณหมอเกาน่าจะไม่ได้วางแผนล่อปิศาจเช่นนั้นไปยังประตูที่บ้านผีสิงใช่ไหม?

เฉินเกอไม่สามารถคาดเดาเป้าหมายของวิญญาณได้ คนเดียวที่รู้ความจริง คนที่ติดตั้งกับดักนั่นเอาไว้ กลายเป็นบ้าไปแล้ว และเฉินกอก็ไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นเรื่องดีหรือเปล่า

หากนั่นเป็นแผนการแท้จริงของเขา ไม่มีอะไรที่ฉันจะทำได้นอกจากเพิ่มจำนวนพนักงานที่ฉันมีและฝึกพวกเขาให้แข็งแกร่งมากขึ้น

ตราบใดที่จางหยายังสามารถพัฒนาต่อไปได้ อย่างนั้นปัญหาส่วนใหญ่ก็สามารถแก้ไขได้ แต่ว่า ระยะห่างระหว่างวิญญาณสีเลือดและตัวตนที่เหนือกว่านั้นก็กว้างมาก ต่อให้เงาใช้เวลาสิบปีในการเปลี่ยนร่าง มันก็เหมือนจะยังมีบางอย่างที่ขาดไปสำหรับจางหยาที่จะมีพัฒนาการเช่นนั้น

พลังของจางหยานั้นเติบโตขึ้นสู่ระดับที่เป็นไปไม่ได้ ครั้งหนึ่งเธอเคยมีพลังเทียบเท่ากับผีผู้หญิงที่ในบ่อน้ำในหมู่บ้านโลงศพ แต่ตอนนี้ เธอน่าจะเอาชนะผู้หญิงในบ่อน้ำได้อย่างง่ายดาย

จางหยาน่าจะปิดบังความลับอะไรเอาไว้เหมือนกัน ฉันต้องทำดี ๆ กับเธอ แต่ฉันก็พบว่าอันที่จริงฉันไม่ได้รู้จักเธอดีขนาดนั้น

เสียงกระทบกันหนัก ๆ ดึงความสนใจเฉินเกอกลับสู่ความเป็นจริง เลือดสีดำที่เต็มไปด้วยคำสาปสาดไปทั่วและเส้นผมสีดำก็ห่อตัวเองรอบตัวเฉินเกอแน่นหนา

“พันธนาการ เขมือบ เชื่อมโยงจิตใจ ความเจ็บปวด ความแหลมคม… ทำไมแกถึงมีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่างนัก?”

ภายใต้การปกป้องจากเส้นผมสีดำของจางหยา เฉินเกอได้ยินเสียงเงา

เขาหมายถึงอะไรกัน ‘ความแหลมคม’?

เขมือบนั้นเป็นความสามารถพิเศษของผู้หญิงที่โรงแรม จางหยานั้นกินหัวใจของเธอลงไป ดังนั้นจึงเข้าใจได้ที่เธอจะครอบครองพลังเช่นนั้น พันธนาการนั้นน่าจะเป็นความสามารถของจางหยาเอง และนั่นก็ค่อนข้างเข้ากันได้ดี อย่างไรเสีย เธอก็ใช้เส้นผมของเธอมัดศัตรูของเธอ

จางหยางได้กินเด็กแฝดของปิศาจจากสมาคม และนั่นก็น่าจะทำให้เธอได้รับความสามารถพิเศษเชื่อมโยงจิตใจ นั่นอธิบายว่าทำไมจางหยาถึงสามารถได้ยินเสียงใจหัวใจของเฉินเกอ– เธอน่าจะเชื่อมโยงจิตใจของเธอเข้ากับเฉินเกอตั้งแต่เมื่อตอนนั้น

แต่คุณสมบัติพิเศษอีกสองอย่างนั้นทำให้เฉินเกองุนงง ความเจ็บปวดนั้นดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับซู่อิน และซู่อินก็เพิ่งได้กลายเป็นวิญญาณสีเลือดที่แท้จริง ซู่อินเองน่าจะไม่เข้าใจวิธีการใช้ความสามารถพิเศษของตนเอง ดังนั้นจางหยาจึงเอามันมาเป็นของเธอเองงั้นเหรอ?

ความแหลมคมนั้นเป็นของผีผู้หญิงไร้หัวที่เป็นเพื่อนบ้านเสี่ยวปู้ เธอตายจากการถูกมีดตัดเป็นชิ้น ๆ และความทรงจำนั้นทำให้เลือดของเธอครอบครองคุณสมบัติแหลมคม

เพื่อให้แน่ใจว่าจางหยาไม่ได้แอบกินผีผู้หญิงไร้หัวไปเงียบ ๆ เฉินเกอจึงเปิดหนังสือการ์ตูนแอบดู หญิงไร้หัวยังอยู่ที่นั่น ร่างของเธอยังไม่ได้จางหายไป แต่เธอดูเชื่อฟังมากขึ้นมาก

หญิงไร้หัวเป็นวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งที่ฉันวางแผนจะให้เข้าร่วมกับบ้านผีสิง และซู่อินก็เป็นพนักงานที่เชื่อฟังคำสั่งของฉันไปแล้ว งั้นนี่ก็หมายความว่าจางหยาสามารถดูดซับความสามารถพิเศษของวิญญาณสีเลือดอื่น ๆ ผ่านทางฉันได้?

เฉินเกออ้าปากค้าง เขาไม่คิดว่านั่นจะเป็นไปได้

ความสามารถพิเศษที่เงานั่นพูดถึงน่าจะเป็นพลังพิเศษที่โทรศัพท์เครื่องดำระบุ ในเมื่อเงาสามารถมองเห็นคุณสมบัติพิเศษทั้งหมดของวิญญาณสีเลือด งั้นนี่ไม่ใช่หมายความว่าคุณสมบัติพิเศษของเขาเป็นอะไรอย่างเช่น การสังเกต เหรอ?

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอได้ยินคุณสมบัติพิเศษเช่นนี้ แต่เขาก็เชื่อว่าเงานั่นเข้าใจผิดแล้วครั้งนี้ จางหยาไม่ได้ครอบครองความสามารถพิเศษมากมาย มันก็แค่นอกจากพลังในการพันธนาการที่เธอมีอยู่แล้ว เธอครอบครองพลังต่าง ๆ ที่ฝังลึกอยู่ในร่างของเธอ

จางหยาครอบครองหน้าพิเศษเป็นของตัวเองในโทรศัพท์เครื่องดำ เฉินเกอเคยคิดว่านั่นเป็นเรื่องปกติของวิญญาณสีเลือดทั้งหมด แต่กระทั่งหลังจากซู่อินกลายเป็นวิญญาณสีเลือด เขาก็ยังไม่มีหน้าของตัวเอง

กระทั่งซู่อินกลายเป็นวิญญาณสีเลือด เขาก็ยังเป็นเพียงหนึ่งบรรทัดในรายชื่อพนักงาน แต่ชื่อของเขานั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง

วิญญาณสัมภเวสีนั้นไม่มีพลังพิเศษอะไร วิญญาณอาฆาตส่วนน้อยที่มีจะพลังพิเศษ และนั่นก็เหมือนกับการสุ่มชิงโชค แต่ว่า วิญญาณสีเลือดทุกตนนั้นครอบครองพลังพิเศษหนึ่งชนิด วิญญาณสีเลือดตนหนึ่งอาจจะครอบครองพลังพิเศษที่มากกว่านั้น และยิ่งพลังพิเศษมีมากเท่าใด พวกเขาก็จะแข็งแกร่งมากเท่านั้น ถ้าคิดตามหลักนี้ ตัวตนที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดจะครอบครองพลังแบบไหนกัน?

เฉินเกอพยายามคาดเดาดู และในความจริง เขาก็ยังพยายามคิดหาวิธีการวิวัฒนาการพนักงานของเขาให้ถึงระดับนั้น เวลาอันจำกัดของภารกิจระดับสี่ดาว– โรงเรียนแห่งปรโลก– นั้นกำลังจะหมดแล้ว เมืองหลี่ว่าน ภารกิจระดับสามดาวครึ่งนั้นยังทำให้เขาลำบากขนาดนี้ ถ้าเขาต้องท้าทายฉากระดับสี่ดาวจริง ๆ เขาอาจจะตายได้

ถึงแม้ฉากระดับสามดาวครึ่งจะไม่มีตัวตนที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือด แต่ก็ยังสังเกตเห็นร่องรอยของมันได้ ถ้าคิดตามนี้ ฉากระดับสี่ดาวน่าจะมีตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าวิญญาณสีเลือดปรากฏอยู่

เฉินเกอสูดลมหายใจลึก เมืองที่เขาอาศัยอยู่นั้นมีเรื่องผีมากมาย แต่กระทั่งในเมืองที่พิเศษเช่นนี้ ยังมีฉากระดับสี่ดาวแค่สามฉาก หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เมืองนี้เป็นที่อยู่อาศัยของตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าวิญญาณสีเลือดถึงสามตน พวกเขาเป็นความลับที่ปิดบังไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของเมือง พวกเขาคือด้านที่มืดกว่ามืดของเมือง

 

หมอเกากางแขนทั้งสองข้างออก ภายใต้พระจันทร์สีเลือดเขาดูราวกับจะบ้าคลั่งขึ้นอีก โซ่คืบคลานออกจากใต้เสื้อคลุมของเขา พวกมันคือการโจมตีของเขา แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็คือเครื่องมือพันธนาการของเขา

ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมอเกา เขาดูเหมือนจะพันโซ่เหล่านั้นเอาไว้รอบตัวตอนที่ยังมีสติ โซ่เหล่านี้นั้นเป็นตัวแทนของความสิ้นหวังและอารมณ์ด้านลบ และพวกมันยังเป็นตัวแทนของมนุษย์และวิญญาณที่เขาฆ่าด้วยมือตัวเอง โซ่พันธนาการทุกคนที่เขาฆ่า แต่พวกมันก็พันธนาการตัวเขาด้วยเช่นกัน

ยิ่งโซ่ผุดออกจากร่างของเขามากเท่าใด คุณหมอเกาก็ราวกับปลดล็อกผนึกแต่ละชั้นออกไป รัศมีอันตรายอย่างยิ่งยวดนั้นแผ่ออกมาจากตัวเขา เลือดสีดำหยดลงพื้น ผสมเข้ากับคำสาป และเปลี่ยนไปเป็นหลอดเลือดเป็นทาง

ปลายด้านหนึ่งขดอยู่รอบเท้าของหมอเกา และปลายอีกด้านนั้นเชื่อมอยู่กับโลกหลังประตูนี้ เสื้อคลุมสีแดงเลือดสะบัดไปตามลมและเสียงประหลาดก็ก้องออกมาจากในร่างของหมอเกา

“รอยยิ้มน่าอร่อยนั่น ฉันอยากจะยัดเขาเข้าไปในร่างของฉัน! กินเขา! กินเขา! กินเขาเลย!” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าหนึ่งงอกขึ้นบนร่างของหมอเกา เครื่องหน้าของเธอนั้นไม่อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ แต่ดวงตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความตะกละ

“หุบปาก!” ได้ยินเสียงเธอ หมอเกาก็แทงมือตัวเองเข้าไปในร่างตัวเองอย่างเหี้ยมโหด เลือดทะลักออกมา ไหลไปตามโซ่

“อาหารที่ฉันไม่เคยกินมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยกินมาก่อน!”

“ไม่ใช่แก ฉันต่างหาก!”

“กินเขาเลย!”

หลายเสียงดังออกมาจากร่างของหมอเกา เฉินเกอตอนนี้ถึงได้เห็นว่ามีใบหน้ามากมายงอกอยู่บนร่างของหมอเกา และพวกมันก็ดูเหมือนจะเติบโตอยู่ในร่างของเขา

“หุบปาก! ฉันบอกให้พวกแกทั้งหมดหุบปาก!” เลือดไหลซึม เริ่มจากด้านใน เสื้อคลุมสีขาวของหมอเกานั้นย้อมสีเลือดมากขึ้นไปอีก ร่างกายของเขาเริ่มย่ำแย่ลงจากการทำร้ายตัวเองหลายครั้ง

คุณหมอเกาที่ดูสงบลงตั้งแต่ได้พบเฉินเกอกลับบ้าคลั่งขึ้นอีกครั้ง โซ่บนร่างของเขาดูเหมือนจะมีไว้เพื่อพันธนาการใบหน้าเหล่านั้น เมื่อโซ่หลุดออก ใบหน้าเหล่านั้นก็ใช้ร่างของเขาบอกความปรารถนาของตนออกมา

กระทั่งมีบาดแผลเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่สนใจบาดแผลที่เกิดขึ้นและหัวเราะบ้าคลั่งต่อ อันที่จริง ฟางหยวนเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน เขาเคยเห็นใบหน้าของเธอครั้งหนึ่งในห้องที่เต็มไปด้วยรูปภาพของเหยื่อของสมาคมเล่าเรื่องผี เธอคือหนึ่งในคนที่ถูกสมาคมฆ่า

ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ด้านลบ เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของบางอย่างที่คุณหมอเกาต้องแบกรับ เสียงที่ต่างกันดังมาจากใต้เสื้อคลุมสีเลือดของหมอเกา เฉินเกอคิดไม่ออกเลยว่าหมอเกาจะดูเป็นอย่างไรภายใต้เสื้อคลุมนี่ เขามองดูจากที่ไกล ๆ ขณะที่หมอเกาทำร้ายร่างกายตัวเองด้วยมือเปล่า แต่ว่านั่นก็ดูจะไม่ได้ผลอะไรเลย

เสียงยุ เสียงกร่นด่า และเสียงสาปแช่งมากมาย คุณหมอเกาหยุดลงช้า ๆ สีหน้าของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าบนร่างของตนเอง ริมฝีปากของเขาเปิดกว้าง ดวงตาข้างหนึ่งมีน้ำตาไหล และอีกข้างเป็นเลือดซึมออกมา และเขาก็หัวเราะบ้าคลั่งขณะพุ่งเข้าใส่เงานั่น!

เขาลงมืออย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หากเส้นผมของจางหยาขวางทางเขา เขาก็จะทึ้งมันออก

“คุมขัง เปลี่ยนรูป และกดข่ม วิญญาณที่มีคุณสมบัติพิเศษสามอย่าง” เงานั่นใช้ร่างกายของตนเองเป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงแก่ผีทารก เด็กนั่นเติบโตต่อเนื่องจนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายที่ร่างกายของเงาสลายลง “เมืองหลี่ว่านและอพาร์ทเม้นท์ผีนั้นปกป้องความลับของผีทารก หากฉันไม่สามารถทวงที่นี่คืนได้ ฉันก็จะทำลายที่นี่ทิ้งซะ”

โดยไม่ซ่อนเร้นหรือว่าถอยหลัง เงานั่นงอขาแล้วพุ่งเข้าใส่หมอเกา ใบหน้าของเงานั้นพร่ามัวไปขณะที่ใบหน้าของเด็กทารกกลับชัดเจนมากขึ้น เฉินเกอที่ยืนอยู่ไกล ๆ ใช้ดวงตาหยินหยางและจดจำใบหน้าของเด็กเอาไว้ในใจ โดยไม่มีการเกริ่นนำอะไรทั้งนั้น หมอเกาปะทะกับเงานั่น การต่อสู้ร้อนแรงขึ้นถึงขีดสุด

แค่คำว่าน่าสยดสยองยังไม่พอที่จะอธิบายการต่อสู้นี้ ไม่มีใครในพวกเขารู้จักความหมายของการป้องกัน พวกเขาโจมตีไม่หยุด คำสาปเปลี่ยนไปเป็นหอกแทงเข้าไปในร่างของหมอเกา ใบหน้ามนุษย์ผุดขึ้นมาขณะเสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงหัวเราะก้องออกมาจากร่างของหมอเกา

เสียงโซ่สะบัดแกรกกรากต้านคำสาป หมอเกาที่ไม่ยั้งมือแล้วระเบิดเลือดออกจากร่างเหมือนเป็นพลุที่ทำจากน้ำ เขาโจมตีเหมือนตัวเองกำลังจะตาย และเมื่อถูกกำหนดให้ตาย เขาก็จะรวบเอาเงานั่นไปด้วย

เลือดที่รอบตัวเขาเปลี่ยนไปเป็นโซ่เส้นหนึ่งพันรอบตัวเงาเอาไว้

ดาดฟ้ากลายเป็นแอ่งเลือด โซ่คลานออกจากแอ่งเลือดและพุ่งเข้าใส่เงาราวกับงูที่กำลังหิวโหย โซ่นับร้อยเส้นพุ่งเข้าไปในร่างเงา พวกมันแทงทะลุร่างเขา ตรึงเขาเอาไว้บนดาดฟ้า

“ฉันอยากรู้ว่าวิญญาณที่ทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาณสีเลือดจะมีรสชาติอย่างไร?”

คุณหมอเกาที่มีรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้ากัดเข้าที่เงานั่น!

ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคำสาป คุณหมอเกาเสียสติ วิญญาณสีเลือดตนนี้นั้นปรารถนาจะกลืนกินคำสาปลงไปทีละคำ

“โซ่คือการกักขัง ร่างกายโอบอุ้มพลังของการกดข่ม และแกยังมีความสามารถในการเปลี่ยนรูป แกทรงพลังมากจริง ๆ นั่นแหละ”  ริมฝีปากของเด็กทารกขยับ โซ่หลายเส้นถูกคำสาปแผดเผา ร่างของเงาสลายไป และเขาก็หลุดออกจากกับดักของหมอเกา

หมอเกาไม่ได้ปลดปล่อยโซ่ทั้งหมดของตน พลังที่แท้จริงของเขาทำให้เงาหวาดระแวง และมันก็จะจดจำคำว่า ‘สมาคมเล่าเรื่องผี’ เอาไว้ไปตลอดกาล

“จุดอ่อนของเขาก็คือเด็กที่ในอกของเขา! คำสาปทั้งหมดนั้นปกป้องเด็กนั่นอยู่!” คนที่อยู่ด้านนอกล้วนเห็นชัดเจนกว่า เฉินเกอนั้นเป็นคนหนึ่งที่รักษาสติเอาไว้ได้ดีที่สุด และเขาก็มองจุดอ่อนของเงาออกในทันที

“แกอีกแล้วเหรอ?” ตอนที่พวกเขากำลังสู้กัน เงานั่นก็ขยับตัวเข้ามาใกล้เฉินเกอแล้ว ความเกลียดชังของมันที่มีต่อเฉินเกอนั้นเกินจะวัดได้ โซ่พันอยู่รอบ ๆ เงานั่น แต่กลเม็ดเดิมมักใช้ซ้ำสองไม่ได้

เขาใช้คำสาบปกป้องเด็กที่ในหน้าอกเอาไว้ชั้นหนึ่ง ละทิ้งการป้องกันส่วนใหญ่ขณะขยับมาทางเฉินเกอ เขาต้องการเข้าไปใกล้กับเฉินเกอเพื่อฆ่ามนุษย์คนนี้ที่เขาเกลียดที่สุดในโลก เขาไม่ต้องการเห็นเฉินเกอในรัศมีสายตาอีกต่อไป เขาเกลียดชังทุกอย่างเกี่ยวกับชายคนนี้ และความปรารถนาจะทำลายก็ก่อตัวอยู่ในใจเขา

“ฉันไม่เคยทำร้ายแก และฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแก ถ้ามีโอกาส ฉันก็หวังว่าพวกเราจะสามารถนั่งคุยกันดี ๆ ได้ แต่โชคร้าย พวกเราทั้งคู่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นอันตรายแค่ไหน” เฉินเกอยืนอยู่ที่เดิม ไป๋ชิวหลินและผู้หญิงจากอุโมงค์ยืนระวังอยู่ข้างกายเขาขณะที่เฉินเกอจับตามองรูปแบบการเคลื่อนไหวของเงานั่นอย่างละเอียด

การคืบหน้ามาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ขณะที่ในเวลาเดียวกันยังหลีกเลี่ยงการโจมตีถึงตายได้นั้นมีคุณค่าให้เฉินเกอศึกษา พวกเขานั้นมีร่างกายเช่นเดียวกัน แต่ความเชี่ยวชาญในด้านการใช้ร่างกายของเงานั่นเหนือกว่าเฉินเกอมาก

เฉินเกอนั้นอาศัยค้อนและแรงลุ่น ๆ แต่หลังจากประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งนี้ เขาพบขีดจำกัดของการใช้แต่แรงเพียงอย่างเดียว เขาจำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคอื่นมากขึ้นเพื่อให้สามารถหนีได้ง่ายขึ้นในอนาคตและไม่เป็นภาระให้แก่ผู้อื่น

ถึงเงาจะเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง เฉินเกอก็ยังสามารถเรียนรู้เทคนิคของเงานั่นได้อย่างสบายใจ ไม่ใช่เพราะว่าเฉินเกอรู้แจ้งในชีวิต แต่เพราะว่าจางหยาอยู่ข้างกายเขา

“ก็ยังเป็นจางหยาที่เชื่อถือได้มากกว่า พวกเขาล้วนเป็นวิญญาณสีเลือด แต่เทียบกับหมอเกาและเงา จางหยานั้นดูเป็นปกติธรรมดาที่สุดแล้วในพวกเขา”

นิ้วของเธอกำแน่น และเส้นสีดำก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนผิวที่แขนของจางหยา ผิวที่ขาวราวกับศพ ชุดสีแดงเลือด และเส้นประหลาดสีดำ… จางหยาที่มักจะมีสีหน้าไร้ความรู้สึกเปลี่ยนไปเป็นเงาและจู่ ๆ ก็ยิ้มออกมา

นี่เป็นวันที่มีความหมายสำหรับเธอ ในฐานะพยานของการประกาศความรู้สึกของเฉินเกอ จางหยาอยากจะเปลี่ยนเงาไปเป็นตุ๊กตา เป็นของที่ระลึก

เธอคิดว่าจะทำแบบเดียวกันนั้นในพิธีแต่งงานของพวกเขา เธอจะเปลี่ยนแขกทุกคนไปเป็นตุ๊กตา และด้วยวิธีนั้น ความสุขของวันนั้นก็จะได้รับการเก็บรักษาเอาไว้ไปตลอดกาล

เฉินเกอไม่ได้โกหก ทุกอย่างที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง และกระทั่งผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์สีหน้าก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าคำพูดของเขานั้นมีอะไรไม่ถูกต้อง

“ตอนนี้ ผมเป็นสมาชิกที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวของสมาคมเล่าเรื่องผี ผมคือความหวังเดียวของทั้งสมาคม ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงตามหาผม แต่ผมรู้ว่าคุณต้องมีบางอย่างที่สำคัญจะบอกผม!” เฉินเกอสืบเท้าเข้าไป ชูใบปลิวขึ้นเหนือศีรษะ “เมืองหลี่ว่านนั้นยึดเอาสมบัติลับของสมาคมไปถึงหนึ่งในสาม การปิดประตูที่หลุดออกจากการควบคุมนั้นเป็นความปรารถนาก่อนตายของคุณ! วันนี้ ผมมาที่นี่แม้ว่ามันจะเป็นอันตรายและคุกคามชีวิตผมก็เพราะผมวางแผนที่จะนำเอาสิ่งที่เป็นของสมาคมเล่าเรื่องผีกลับคืนมา!”

เงานั้นเก่งกาจในด้านการจัดการ เมื่อมันได้ยินสิ่งที่เฉินเกอพูด มันก็รู้สึกไม่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ชายคนนี้ดูไม่เหมือนว่ากำลังโกหก และเขาก็มาที่นี่เพื่อช่วยนำทางให้กับหมอคนนั้น

“พวกแกทั้งคู่…”

เฉินเกอไม่ให้โอกาสเงาได้พูด เขาพูดทับขณะจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหมอเกา “นึกถึงคำที่ครั้งหนึ่งคุณเคยบอกผมเอาไว้! คิดถึงสัญญาระหว่างเรา! คิดถึงลูกสาวของคุณ เธอยังคงรอคอยให้คุณกลับไปที่บ้าน!”

มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษมาก ๆ ต่อให้กำลังแบกรับความรู้สึกด้านลบเบื้องหลังประตูทั้งหมดเอาไว้ ต่อให้ต้องถูกคำสาปทั้งเมืองกลืนกิน ต่อให้ต้องกลายไปเป็นนรกเดินได้ ก็ยังมีอารมณ์ของมนุษย์อยู่ภายในตัวคุณหมอเกาที่บางทีตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึก และนั่นก็คือความทรงจำของเขาเกี่ยวกับเกาหรูเซว่

ดวงตาสีแดงขยับช้า ๆ และคุณหมอเกาก็มองไปที่เงาที่ยืนอยู่ที่อีกด้านของดาดฟ้า เสื้อคลุมสีแดงเลือดสะบัดตามลม และเลือดสีดำก็หยาดหยดลงไปตามด้านข้างของตึก

เฉินเกอนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหมอเกาที่ด้านหลังประตู และเขาก็งุนงงเพราะว่าภรรยาของเขาที่มักจะอยู่กับเขาเสมอนั้นหายไป แต่ว่า มีอย่างหนึ่งที่เขารู้กระจ่าง คุณหมอเกาดูเหมือนจะสูญเสียความมีเหตุผลของตนเองไปหลังจากกลืนกินวิญญาณและวิญญาณสีเลือดเข้าไปมากเกินไป

สูญเสียความทรงจำ เขาจึงได้แต่ทำตามสัญชาตญาณ และคงมีสองเหตุผลให้เขาจดจำเฉินเกอได้ หนึ่ง ก่อนที่คุณหมอเกาจะตาย เขาทิ้งความปรารถนาก่อนตายเอาไว้กับเฉินเกอ ซึ่งก็คือการปิดประตูในเมืองหลี่ว่านและดูแลลูกสาวของเขา เกาหรูเซว่

สอง มันอาจจะเป็นเพราะว่าคุณหมอเกานั้นวางแผนทุกอย่างเอาไว้รอบตัวเฉินเกอ และเขายังวางแผนไว้ถึงกระทั่งหลังจากตายไป ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับเฉินเกอและบ้านผีสิงของเขา เป็นเหตุผลให้เขาสามารถจดจำเฉินเกอได้อย่างชัดเจน

ผู้ชายคนนี้นั้นเสียสติไปเพราะหลายเหตุผล และมันก็ยากอย่างเหลือเชื่อที่จะรักษาคนเสียสติเช่นนี้ให้หายขาด เพราะว่าศัตรูคนแรกที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยก็คือตัวเขาเอง

เฉินเกอรู้เรื่องนั้น และมันก็ทำให้เขาก้าวเท้าเข้าไปอีกก้าว เขารู้ว่าคุณหมอเกานั้นจะไม่ดีขึ้นด้วยแค่คำพูดไม่กี่คำของเขา และเขาก็ไม่คิดว่าคุณหมอเกาจะหยุดโจมตีเขา เขาแค่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของหมอเกาจากเขาไปยังเงานั่น หลังจากจัดการกับความไม่แน่ไม่นอนของเงานี่แล้ว ทุกอย่างที่เหลือก็สามารถจัดการให้เรียบร้อยได้ในภายหลัง

“คุณหมอเกา ถึงแม้ว่าคุณจะสูญเสียความทรงจำ ถึงแม้ว่าคุณจะกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือด ในใจของคุณ คุณก็ยังคงเป็นประธาน เป็นคุณที่ให้ผมได้เห็นเรื่องผีที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร และเป็นคุณที่ทำให้ผมเข้าใจคามหมายที่แท้จริงของสมาคมเล่าเรื่องผี!

“ดังนั้น เลิกลังเล ประตูในเมืองหลี่ว่านครั้งหนึ่งเคยเป็นของสมาคม และมันจะกลับมาเป็นของสมาคมต่อไปในอนาคต!”

โซ่ที่สลักใบหน้ามนุษย์พุ่งออกจากตึกและเลื้อยขึ้นไปบนกำแพง– เป้าหมายของพวกมันก็คือเงา เงาไม่คิดว่าเฉินเกอจะสามารถโน้มน้าววิญญาณสีเลือดบ้าคลั่งได้จริง ๆ แต่ในไม่ช้าเขาก็พบว่ามีสิ่งที่เลวร้ายกว่ากำลังรอตนอยู่ เมื่อโซ่เลื้อยมาทางเงา เส้นผมสีดำก็ขวางทางเขาเอาไว้เหมือนกำแพงที่ทำลายไม่ได้ จางหยาลงมือในเวลาเดียวกัน

“เขาไม่ใช่วิญญาณสีเลือด และเขาฟื้นตัวได้ดีกว่าวิญญาณสีเลือด พวกเราควรจะล้อมเขาเอาไว้แล้วหาวิธีการทำลายเขาให้สิ้นซาก” ชายเสียสติคนหนึ่ง กับชายอีกคนที่ดีกว่าชายเสียสติไม่มาก นี่คือประธานคนเก่าและคนปัจจุบันของสมาคมเล่าเรื่องผี คงต้องพูดว่าคุณหมอเกานั้นมีสายตาที่เฉียบแหลมในการเลือกผู้สืบทอด

“ฉันเป็นเงาของแก ถ้าแกต้องการฆ่าฉัน ก็ง่ายมาก– ตายซะสิ” เงานั้นอ่อนแอมาก แต่มันก็ไม่ได้มีทีท่าจะยอมแพ้ ราวกับการเผยจุดอ่อนออกมาต่อหน้าเฉินเกอนั้นเป็นสิ่งที่น่าอับอาย

“ตั้งแต่วินาทีที่ฉันเผาจดหมายรัก แกก็ไม่ใช่เงาของฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะสามารถฆ่าแกได้หรือไม่ แต่ฉันหวังว่าแกจะหุบปากเงียบและสนุกไปกับเรื่องผีที่ฉันสร้างให้แกโดยเฉพาะ คิดเสียว่านี่คือของขวัญส่วนสุดท้ายจากฉัน”

เฉินเกอถอยออกมา เงาใต้เท้าเขาเชื่อมอยู่กับจางหยางขณะที่เงายืนอยู่โดดเดี่ยวที่อีกด้านของดาดฟ้า

“ของขวัญ?” เสียงหัวเราะน่ารังเกียจระเบิดออกจากเงานั่น “ของขวัญชิ้นแรกที่ฉันได้รับในชีวิตก็คือเรื่องผี?”

เสียงหัวเราะนั้นเจือเสียงร้องไห้ไม่รู้จบของเด็ก ๆ พวกเขาร้องไห้ระหว่างความตายแต่ละครั้งจนกระทั่งชินชาต่อความตาย จนกระทั่งสามารถหาความสนุกได้จากการถูกฆ่า

“ฉันจะฆ่าแก ฉันรอจนผีทารกถือกำเนิดไม่ไหวแล้ว!” หลังจากมันพูดอย่างนั้น ร่างกายของเงาก็ปรากฏชัดขึ้น ใบหน้าของมันค่อย ๆ ชัดขึ้นขณะที่เครื่องหน้าจริงนั้นดูเหมือนคนที่เพิ่งโผล่ขึ้นจากผิวน้ำ เงานั่นเปลี่ยนไปเป็นเฉินเกอคนที่สอง “ฉันคือแก และแกก็คือฉัน!”

มันทิ่มมือของตัวเองเข้าไปในร่างกายตัวเองและคำสาปก็วิ่งผ่านปลายนิ้วของมัน รอยแผลใหญ่ปรากฏขึ้นบนร่างกายของมันและพวกมันก็เปลี่ยนไปเป็นสัญลักษณ์เฉพาะ ไม่ช้า สัญลักษณ์ทั้งหมดก็รวมกันอยู่รอบ ๆ หัวใจของมันเกิดเป็นรูปร่างของทารกคนหนึ่ง

แต่ว่า ทารกคนนี้นั้นต่างไปจากเด็กทั่วไป หัวใจของมันนั้นเต้นตุบ และทุกจังหวะการเต้น ก็แผ่รัศมีอาฆาตแค้นไร้ที่สิ้นสุดออกมา มองมันแล้วก็เหมือนกับมองภาพวาดปิศาจที่บนประตูห้องน้ำที่บ้านผีสิง

“ผีทารก!” เด็กคนนั้นเหยียดแขนของมันออก และร่างของเงาก็ถูกฉีกทึ้ง แขนขาผอมบางสี่ข้างยื่นออกมาจากร่างของเงา สีหน้าของมันนั้นเหมือนกับของเด็กทารก สีหน้าเกลียดชังต่อทุกสิ่งที่อยู่บนโลกนี้

โซ่ที่สลักใบหน้ามนุษย์เอาไว้ตวัดเข้าใส่เงา ฝ่ายหลังนั้นหน้าตาบิดเบี้ยวขณะที่มีแขนขาคืบคลานออกมาจากแผ่นหลังของมัน พวกมันแทงทะลุร่างของเงา และของเหลวสีดำที่ก็คือคำสาปก็ทะลักออกมาจากร่าง พริบตาเดียว บนดาดฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยฝนสีดำ

“ฉันจดจำทุกความเจ็บปวดของความสิ้นหวังที่ฉันเคยเจอได้ และทุกความตายก็มีแต่ทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น แกบอกว่าแกต้องการฆ่าฉัน อย่างนั้นฉันก็หวังว่าแกจะโชคดี เพราะว่าฉันเองก็ยังไม่รู้วิธีการฆ่าตัวเองเลย!”

ใบหน้าของเงาแตกออกราวกับหน้ากากที่แตกร้าว รอยแตกปรากฏขึ้นขณะที่หลอดเลือดคืบคลานออกจากเด็กทารกที่อกของเขา ดูดซับร่างกายของเงา เด็กทารกเติบโตขึ้น– อาจจะพูดได้ว่ามันกลืนกินเงาลงไปเพื่อเร่งการเติบโตของมันเอง

“ฉันเป็นตัวตนที่ใกล้ชิดกับความตายที่สุด ฉันยินดีกับความตาย และฉันก็เชื้อเชิญพวกแกทั้งหมด มาลิ้มรสความตายกับฉัน”

ใบหน้าของเงานั่นแตกออกเป็นชิ้น ๆ เด็กที่ในอกของเขาจู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้น และสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและเกลียดชังนั้นก็ราวกับจะถอดแบบมาจากของเงา

“อย่าให้โอกาสมัน ดึงเด็กคนนั้นออกมาจากร่างของมัน!” เฉินเกอร้องสั่ง ตอนที่เขาพูด คุณหมอเกาก็พุ่งเข้าไปแล้ว สีหน้าของเขานั้นบ้าคลั่งเหมือนคนกำลังอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของยาเสพติด เขาดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาณสีเลือดในเงานั่น

หลังจากคนผู้หนึ่งตายลง วิญญาณสัมภเวสีของคนผู้นั้นจะคงอยู่ได้ก็ต้องยึดติดตัวเองเข้ากับวัตถุ และวัตถุที่จางหยายึดติดอยู่ก็คือจดหมายรักต้องสาปของเธอ เฉินเกอเผาจดหมายรักที่บนดาดฟ้าเพราะเขาตั้งใจจะทำลายอดีตอันเจ็บปวดของจางหยาให้สิ้น เขาเตรียมหาภาชนะใหม่ให้จางหยาแล้ว

เหมือนแสงและเงา ขาดกันและกันไม่ได้ จากวินาทีที่เขาเผาจดหมายรัก เขาก็กลายมาเป็นสิ่งที่จางหยาหลงใหล

เส้นผมสีดำพุ่งไปข้างหน้าราวกับทะเลสีดำ ทำลายล้างและกลืนกิน กลืนกินทุกอย่างที่อยู่ในตึกนี้

เงาที่บีบคอซู่อินอยู่อึ้งไป ขาของมันที่เชื่อมโยงอยู่กับเฉินเกอถูกกระชากออก เศษเสี้ยวคำสาปโปรยปรายในคืนสีเลือดราวกับเป็นหิมะสีดำ

“แกให้วิญญาณดวงนั้นมาเป็นเงาของแก?”  ความโกรธที่เก็บกักอยู่ในหัวใจของเงาระเบิดออกมา และร่างกายของมันก็เอาแต่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ “นี่ไม่ควรเป็นอย่างนี้ นี่ต่างไปจากที่ฉันวางแผนเอาไว้!”

ทั้งเขตที่พักหมิงหยาง ตึกทั้งสี่ถูกถล่มด้วยเสียงร้องไห้บาดหูของเด็ก ๆ เงาร่างเล็กเตี้ยมากมายคลานออกจากหน้าต่าง ทั้งหมดล้วนมุ่งหน้าไปยังห้องหนึ่งในตึกที่เฉินเกอกับเงายืนอยู่

ไม่ช้า ในตึกที่อยู่ทางตะวันออกสุด เงาร่างผอมบางเงาหนึ่งขยับออกจากห้อง ลากแขนสีขาวราวหิมะข้างหนึ่งมาด้วย นี่เป็นแขนของเสี่ยวปู้ มันยืนอยู่ที่ขอบตึกและคาบแขนข้างนั้นไว้ในปาก และบางอย่างที่ทำให้เฉินเกอขนลุกก็เกิดขึ้น เงาร่างสีดำมากมายเริ่มฉีกกระชากแขนข้างนั้น แต่ละคำ รอยกัดสีดำก็ปรากฏขึ้นบนแขนข้างนั้น แต่ละรอยกัด เงาดำก็แข็งแกร่งมากขึ้น “แกเป็นเงาของฉัน ฉันจะทำให้แกเป็นเงาของฉัน!”

เขตที่พักหมิงหยางนั้นอยู่นอกเมืองหลี่ว่าน แต่ว่าหมอกเลือดจากเมืองหลี่ว่านก็สามารถขยับมาที่นี่ได้ มันพุ่งไปทางเขตที่พักหมิงหยางเหมือนคลื่น

“ไม่พอ นี่ไม่พอ!”

เงานั่นหันไปมองตึกอื่น แต่สิ่งที่มันเห็นก็นำความไม่พอใจมาให้มันอีกครั้ง

ที่บนยอดตึกทางใต้ ชายประหลาดพร้อมรอยยิ้มประหลาดติดแน่นบนใบหน้าอุ้มร่างกายยับเยินของเสี่ยวปู้ขึ้นไปชั้นดาดฟ้า ร่างกายของเขาเริ่มมีรอยแตก แต่ละรอยแยกนั้นราวกับปากที่ฉีกออกเป็นรอยยิ้ม

ในตึกทางเหนือ ดูราวกับมีฝนเลือด หญิงคลั่งในชุดเสื้อกันฝนสีแดงที่ริมฝีปากถูกเย็บปิดเอาไว้ กรีดตัดเงาทั้งหมดขณะปกป้องชิ้นส่วนร่างกายของเสี่ยวปู้เอาไว้

“บอส!” ที่ด้านใต้ถัดลงไปพวกเขานั้นมีเสียงของเหล่าโจวดังมา เงาและเฉินเกอหันไปมองพร้อมกัน แขนและหัวของเสี่ยวปู้นั้นเป็นกุญแจที่เงาใช้ในการควบคุมเมืองหลี่ว่าน เพื่อควบคุมประตูที่หลุดออกจากการควบคุม เพื่อทำให้เสี่ยวปู้กลายมาเป็นหุ่นเชิดให้เขาควบคุมโดยง่าย เขาต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงไปกับเสี่ยวปู้มาก แต่ตอนนี้ ทุกอย่างถูกทำลายลงโดยเฉินเกอ

เงานั่นเข้าถึงเพียงแขนข้างเดียวของเสี่ยวปู้ การควบคุมเมืองหลี่ว่านของมันอ่อนกว่าที่เสี่ยวปู้สามารถควบคุมได้

“ทำไมพวกแกถึงอยากช่วยคนผู้นี้กัน? เขาอาศัยอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ อาบความหวัง ล้อมรอบด้วยเสียงหัวเราะ แต่ฉันคือคนที่ต้องรับความเกลียดชังและคำสาปทั้งปวงของเขา!”

เมื่อไม่สามารถเคลื่อนย้ายหมอกเลือดจากเมืองหลี่ว่านมาได้อีก เงาร่างเล็ก ๆ ก็พุ่งกลับเข้าไปในร่างของเงา มันจ้องมองเฉินเกอ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย เฉินเกอไม่เถียงกับเงานั่น นิ้วของเขาลูบไปบนเส้นผมสีดำที่ทิ้งตัวผ่านเขา “ฉันไม่เคยอาบอยู่ในความหวังหรืออาศัยอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ และยิ่งไม่อยู่ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ฉันก็แค่โชคดีพอที่จะได้พบคนจิตใจดีกลุ่มหนึ่ง”

เส้นผมสีดำปิดกั้นการมองเห็นของเฉินเกอ สีแดงที่สดใสที่สุดเดินผ่านเฉินเกอไป ปลายนิ้วเรียวเอื้อมออกไปหยิบหิมะสีดำที่เกือบจะตกต้องร่างของเขา ปลายนิ้วนั้นกดแน่นเข้าและคำสาปของเงานั่นก็เปลี่ยนไปเป็นขี้เถ้าก่อนที่มันจะได้ร้องขอความเมตตา จางหยายืนอยู่หน้าเฉินเกอและเอียงคอมองซู่อินที่ถูกเงานั่นบีบคออยู่

“แกอยากช่วยเขาเหรอ?” เงานั่นตะปบหัวของซู่อินเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ก่อนที่มันจะได้พูดประโยคที่สอง หัวของมันก็ถูกแขนซีด ๆ ข้างหนึ่งล็อกเอาไว้ เส้นผมสีดำพุ่งไปเหมือนคลื่นอย่างแน่วแน่ จางหยาคว้าหัวของเงานั่นเอาไว้แล้วกระแทกมันลงกับพื้น

ปัง!

เกิดหลุมหนึ่งขึ้นที่บนพื้น และพวกเขาก็หล่นลงไป แต่ว่านั่นเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น!

เมื่อไม่สามารถควบคุมหมอกเลือดจากเมืองหลี่ว่าน ไม่สามารถใช้พลังด้านหลังประตูได้ และเพิ่งต่อสู้รุนแรงกับคุณหมอเกามา เงานั่นก็อ่อนแอที่สุดเท่าที่มันเคยเป็นมา มันไม่คิดว่าจางหยาจะจู่ ๆ ก็ลงมือ และมันก็ไม่คิดว่าแค่ไม่กี่วัน วิญญาณสีเลือดดวงนี้ก็กลายเป็นน่าหวาดเกรงมากขึ้นอีก!

เมื่อจางหยาสู้กับเงานั่น เฉินเกอก็หาซู่อินที่ทั้งร่างเกือบจะฉีกขาดออกจากกันเจอที่ริมดาดฟ้า

“นาย…” เหมือนรู้ว่าตนได้วางชีวิตของบอสไว้ในมือที่แข็งแกร่งแล้ว เสียงแทรกจากเครื่องเล่นเทปก็เบาลงเรื่อย ๆ มือของเขาที่วางอยู่เหนือหน้าอกเลื่อนหลุด เผยให้เห็นหัวใจที่ถูกย้อมเป็นสีแดงจนหมด

ใบหน้าบูดบึ้งของเขาค่อย ๆ คลี่ออก ซู่อินมองเฉินเกอ และมุมปากของเขาก็บิดเหมือนเขาต้องการทำสีหน้าอื่นที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ว่า ความพยายามหลายครั้งก็ล้มเหลวและเขาก็กลับมามีสีหน้าตามปกติ

“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เฉินเกอพยุงซู่อินขึ้นจากพื้น เสียงแทรกหายไป และเลือดที่บนตลับเทปก็หยุดไหล ซู่อินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับเข้าไปในเครื่องเล่นเทป

“เมื่อกี้นี้เขาพยายามยิ้มอยู่เหรอ?” เฉินเกอลุกขึ้นแล้วรับกระเป๋าจากไป๋ชิวหลิน หนังสือการ์ตูน เครื่องเล่นเทป ปากกาลูกลื่น และตุ๊กตาล้วนอยู่ข้างใน “ทุกคนยังอยู่กับพวกเรา ฉันว่านี่ก็โชคดีพอแล้ว”

ตึกที่ใต้เท้าเขาสะเทือน นอกจากเส้นผมสีดำของจางหยาและหิมะที่เกิดจากคำสาปของเงานั่น ยังมีโซ่ที่สลักใบหน้ามนุษย์เอาไว้แทรกเข้ามาในตึก เสียงกรีดร้องก้องอยู่ในหูของเขา เฉินเกอมองไปที่ริมขอบดาดฟ้า คุณหมอเกา ที่ลงไปคลานสี่ขาปีนขึ้นมาจากด้านข้างตึกราวกับสัตว์ร้าย ดวงตาของเขาเป็นสีแดงเลือดจ้องตรงมาที่เฉินเกอ

“ฉันเจอแกแล้ว เฉินเกอ…”

ตอนที่คุณหมอเกาตรงเข้ามา มือซีดเผือดข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเฉินเกอ เทียบกับเงานั่นแล้ว คุณหมอเกานั้นเป็นสิ่งที่คุกคามจางหยาได้มากกว่า สีแดงเต้นระยิบอยู่บนพระจันทร์– จางหยาในสภาพยอดเยี่ยมที่สุดของเธอนั้นเหมือนกับพระอาทิตย์สีแดงเลือดขณะที่คุณหมอเกา ที่แบกคำสาปของทั้งเมืองหลี่ว่านอยู่นั้นดูราวกับ ‘นรก’ ความรู้สึกด้านลบและคำสาปพันเกี่ยวอยู่ตลอดร่างของเขา เขาเพียงผู้เดียวก็เป็นตัวแทนของนรกของความสิ้นหวังไร้ก้นบึ้งได้แล้ว

“หมอบ้า ทำไมแกไม่ร่วมมือกับฉันล่ะ? ฉันรู้ว่าแกอยากได้ของบางอย่างจากผู้ชายคนนั้น ฉันสามารถมอบเขาให้แกและยังบอกความลับทั้งหมดเกี่ยวกับเขาให้แกได้” ชีวิตของเงานั้นกำจัดยากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ มันเหมือนปิศาจที่ฆ่าไม่ได้ที่เพียงแค่อ่อนแอลงแต่ว่าไม่ได้หายไปจริง ๆ

คุณหมอเกาไม่ตอบคำเงานั่น สถานะของเขานั้นประหลาดมาก เขาดูเหมือนจะเคลื่อนไหวไปตามความทรงจำน้อยนิดที่เขายังเหลืออยู่ในใจ เฉินเกอไม่รู้ว่าหมอเกาต้องการทำอะไร แต่เขารู้ว่าหากตนไม่ทำอะไร จางหยาก็อาจจะถูกโจมตีทั้งจากหมอเกาและเงา

การต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น เฉินเกอเรียกซู่อินให้คืนใบปลิวของสมาคมเล่าเรื่องผีให้เขา บนใบปลิวคุ้นเคยนั้น ประตูที่เป็นตัวแทนสามาคมเล่าเรื่องผีถูกผลักเปิดและมือซีดเผือดข้างหนึ่งก็เอื้อมออกมาจากข้างใน

เมื่อได้เจอหน้ากัน เฉินเกอก็นึกถึงแขนข้างนั้น คุณหมอเกาวางกับดักบางอย่างเอาไว้บนใบปลิวทั้งหมด แต่แผนการของเขานั้นผิดพลาดอะไรสักอย่างไร การเชื่อมโยงในแผนการของเขาจึงหลุดออกจากกัน

ถือใบปลิวเอาไว้ เฉินเกอยืนอยู่ด้านหลังจางหยาและบอกหมอเกา “คุณลืมอะไรไปหลายอย่างมาก ผมจะช่วยคุณนึกเอง! ครั้งหนึ่งคุณเคยเป็นประธานสมาคมเล่าเรื่องผี และผมก็เป็นสมาชิกที่คุณเลือกให้เข้าร่วม ใบปลิวนี่เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด!”

การพูดถึงสมาคมเล่าเรื่องผีนั้นทำให้เกิดประกายขึ้นในดวงตาแดงก่ำของคุณหมอเกา

“อย่าฟังมัน! ทำตามหัวใจของแก!” เงานั่นตะโกนอย่างตระหนก มันไม่กล้าคิดภาพเมื่อถูกโจมตีจากทั้งจางหยาและหมอเกา

“ใช่ คุณต้องทำตามหัวใจของคุณ!” เฉินเกอชูใบปลิวขึ้นสูง “ก่อนที่คุณจะจากไป คุณส่งต่อสมาคมเล่าเรื่องผีให้ผม ผมเป็นเพื่อนที่คุณเชื่อถือที่สุด และนั่นคือสาเหตุที่คุณจำชื่อผมได้! ใช่ ผมคือเฉินเกอ! ผมคือประธานคนปัจจุบันของสมาคมเล่าเรื่องผี เฉินเกอ! และที่ด้านหลังผม วิญญาณและวิญญาณสีเลือดเหล่านี้ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับผม พวกเขาตอนนี้คือทุกอย่างที่สมาคมเล่าเรื่องผีมี!”

ขณะที่เฉินเกอวิ่งขึ้นบันไดมา หลายอย่างวิ่งวุ่นอยู่ในความคิดเขา เงาและคุณหมอเกานั้นได้รับบาดเจ็บเท่า ๆ กัน และกับดักชนิดไหนกันที่เงานั่นจะสามารถติดตั้งได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ?

เงานั่นไม่รู้ว่าเฉินเกอมีไพ่ตายอยู่มากแค่ไหน และถ้าเฉินเกอมีโอกาสเรียกวิญญาณสีเลือดของเขาออกมา อย่างนั้นโอกาสที่เงานั่นจะชนะก็ลดลง ต่อให้เขาชักนำเฉินเกอเข้าสู่กับดักได้ ด้วยการปกป้องจากวิญญาณสีเลือดชั้นสูง มันก็ไม่แน่ใจว่าเฉินเกอจะตายแน่ ๆ ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เงานั่นอาจจะใช้วิธีการอื่นฆ่าเฉินเกอ อย่างละทิ้งความช่วยเหลือจากผีและใช้บางอย่างที่ตรงไปตรงมามากกว่าอย่างปืนของหลี่เจิ้ง

ถ้าเฉินเกอนั้นไม่สงสัยหลี่เจิ้ง เขาย่อมไม่เรียกวิญญาณสีเลือดมาปกป้องตัวเองตอนที่หลี่เจิ้งเข้ามาใกล้ เงานั่นแค่ต้องปิดบังความคิดชั่วร้ายของตัวเองเอาไว้เพื่อป้องกันการตรวจจับจากวิญญาณสีเลือด จากนั้น เขาก็แค่ต้องดึงปืนออกมาแล้วกดไกเบา ๆ และเฉินเกอก็จะตาย เทียบกับการสร้างกับดักที่อาจจะไม่มีประโยชน์แล้ว นี่เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุด

เงานั่นรู้ว่ายิ่งเฉินเกอขึ้นมาสูงเท่าไร่ พลังของวิญญาณสีเลือดก็จะถูกกดเอาไว้มากเท่านั้น สารสีดำนี่น่าจะมาจากตัวตนที่ทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาณสีเลือด และมันก็มีอิทธิพลต่อวิญญาณสีเลือดเป็นอย่างยิ่ง ด้วยข้อได้เปรียบนี้ โอกาสที่เงานั่นจะชนะก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

อันที่จริง ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับเป็นอะไรที่ทำให้เขาประหลาดใจ ก่อนที่เขาจะทันได้ดึงปืนของหลี่เจิ้งออกมา เฉินเกอก็มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาก่อนแล้ว ในทางเดินมืดมิด หมอกสีเลือดลอยกระเพื่อม เสียงเด็กร้องไห้ก้องอยู่ใกล้ ๆ

เงานั่นยืนห่างจากเฉินเกอไปหลายเมตร รูปร่างของมันค่อย ๆ เปลี่ยนไปช้า ๆ และความสูงของมันก็ถูกเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเปลี่ยนไปเป็นคนที่ดูคล้ายเฉินเกอ

“แกดูไม่เหมือนว่าไม่พร้อมจะเจอหน้าฉันนะ” เฉินเกอมองเงานั่น และความรู้สึกประหลาดก็ท่วมเข้ามา มันเหมือนเขากำลังพูดอยู่กับกระจกเงาในตอนกลางดึก

“แกผิดแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่แกทอดทิ้งฉัน ฉันก็รู้ว่าวันนี้จะมาถึง แต่ฉันยอมรับ มันค่อนข้างต่างจากที่ฉันวางแผนเอาไว้” เสียงของเงานั่นเปลี่ยนไปช้า ๆ และเสียงของมันก็ฟังคล้ายกับเฉินเกอขึ้นเรื่อย ๆ “ฉันคิดว่าครั้งถัดไปที่เราพบกัน ฉันจะเป็นมนุษย์ และแกจะเป็นเงา”

“แกอยากให้ฉันเป็นเงาของแกขนาดนั้นเลยเหรอ?” เฉินเกอยืนอยู่ที่เดิม เงานั่นสามารถรับมือกับจางหยาได้ ดังนั้นพลังของมันย่อมเท่า ๆ กับวิญญาณสีเลือดชั้นสูง ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะบาดเจ็บหนักจากคุณหมอเกา มันก็ไม่ได้หมายความว่าเฉินเกอจะสามารถประมาทได้

“คนที่ไม่มีเงาไม่ใช่คนของโลกนี้ ฉันหวังว่าแกจะมาเป็นเงาของฉันแล้วฉันก็จะสามารถให้แกได้ประสบกับความตายทั้งหมดที่ฉันเจอมาก่อน” เสียงนั้นเปลี่ยนไปจนเหมือนกับเสียงของเฉินเกอโดยสมบูรณ์

“แกเกลียดฉันมากขนาดนั้น แต่ฉันเคยทำอะไรให้แกกัน?” เฉินเกอไม่คิดว่าเขาจะความจำเสื่อม และในความทรงจำของเขา เขาไม่ได้ทำอะไรที่เหนือธรรมชาติเลยตอนเด็ก ๆ

“ดูเหมือนว่าแกจะลืมทุกอย่างไปจริง ๆ แต่ว่ามันก็ไม่สำคัญแล้ว ฉันช่วยให้แกจำทุกอย่างได้ ในประตู นอกประตู แกกับฉัน แกที่ในประตู และในที่สุด ฉันที่นอกประตู” ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ ร่างของเงานั่นสูงขึ้น มันยืนอยู่บนบันไดขั้นต่ำกว่า แต่มันกลายเป็นสูงกว่าเฉินเกอ “แกไม่ได้ทำอะไรกับฉัน แกใช้ชีวิตภายใต้แสงอาทิตย์ ล้อมรอบด้วยความอบอุ่น เสียงหัวเราะ และความหวัง แกมีความสุขกับทุกอย่างดี ๆ ในชีวิต แต่ว่า คำสาป เสียงหัวเราะเยาะ และความแค้นลึกซึ้งที่คนอื่นมุ่งไปที่แกล้วนถูกถ่ายเทมาที่ฉัน!”

“อารมณ์ด้านลบทั้งหมดของฉันอยู่กับแก?” คิ้วของเฉินเกอเลิกขึ้น

“ความรู้สึกด้านลบไม่เพียงพอที่จะอธิบายความสิ้นหวังอย่างที่สุดที่ฉันค่อย ๆ จมลงไปหรอก ฉันเห็นตัวเองจมลงไปช้า ๆ แต่ว่าฉันก็ส่งเสียงอะไรไม่ได้ คอของฉันถูกรัดเอาไว้ และร่างกายของฉันก็ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ ฉันอ้าปากไม่ได้ ฉันหายใจไม่ได้ ฉันตายไม่ได้ถึงแม้ว่าจะอยากตายแค่ไหนก็ตาม!” เสียงของเงานั่นดังขึ้นเรื่อย ๆ “เดิมที ฉันไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร ต่อให้ฉันต้องอยู่กับคำสาปไร้ที่สิ้นสุด ต่อให้ฉันต้องลอยอยู่ในทะเลแห่งความสิ้นหวัง ต่อให้ฉันต้องประสบกับความเจ็บปวดที่แกคิดภาพไม่ถึง ฉันก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายใครอื่น”

ร่างกายของเงานั่นขยายใหญ่และบิดเบี้ยว รูปวาดที่บนกำแพงราวกับจะมีชีวิตขึ้นมาเช่นกัน เงาดำในรูปวาดตายซ้ำแล้วซ้ำอีก

“จากนั้น วันหนึ่ง ฉันที่สิ้นหวังอย่างที่สุดก็เห็นประตูที่บ้านของแก!”

ถ้อยคำของเงานั่นทำให้เฉินเกอตื่นตัวขึ้นทันที เขารู้ว่ามีประตูอยู่ในห้องน้ำบ้านผีสิง แต่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปิดประตู “แกคือคนที่ผลักเปิดมัน?”

“ตอนที่คำสาปลากฉันลงไปนรกที่ลึกที่สุด ประตูก็อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่ความสิ้นหวังของฉันไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะเปิดประตู มันแค่เพียงพอให้ฉันได้ยินเสียงจากด้านหลังประตูเท่านั้น” สภาพชวนหายใจไม่ออกที่แผ่ออกมาจากเงานั่นขยายกว้างขึ้น “มีบางคนเรียกชื่อแกจากด้านหลังประตู แกน่าจะไม่ได้ยินมัน แต่ว่าฉันตอบรับแทนแกแล้ว”

น้ำเสียงเจ้าเล่ห์และไหลลื่นของเงานั่นทำให้ขนที่หลังคอเฉินเกอลุกชัน “และตั้งแต่วินาทีนั้นที่ฉันตระหนักได้ว่า ทำไมฉันถึงเป็นแกไม่ได้? ทำไมฉันถึงต้องทนทุกข์อยู่ในความมืดมิดขณะที่แกอาบอยู่ในแสงอาทิตย์? ฉันเป็นเงาของแก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องทนรับความเจ็บปวดที่ควรจะเป็นของแก!”

ตอนที่เขาพูดคำสุดท้าย แขนข้างหนึ่งก็เอื้อมออกมาจากจุดที่ควรเป็นหัวใจของมันและพุ่งเข้าใส่เฉินเกอ มันกะทันหันเหมือนทุกอย่างที่มันพูดก่อนหน้านั้นเป็นแค่การดึงดูดความสนใจเตรียมพร้อมให้กับการลอบโจมตีนี้ เงานั่นได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้กับคุณหมอเกา รูปร่างของมันจางลง แต่แขนข้างนี้ที่ยื่นออกมาจากหน้าอกของมันนั้นดูเหมือนจริงอย่างที่มันควรเป็น มันปรากฏขึ้นเหมือนรอยนิ้วมือที่สร้างจากหลอดเลือดใต้นิ้วแต่ละนิ้ว

ผู้หญิงจากอุโมงค์ขยับไปขวางหน้าเฉินเกอตอนที่เงานั่นลงมือ แต่เธอประมาทพลังของเงานั่นเกินไป แขนข้างนั้นทะลุผ่านร่างของเธอไปตรง ๆ มันเปื้อนเลือดของเธอและคว้าตัวเฉินเกอไว้ได้!

“ตอนนี้แหละ!” หนังสือการ์ตูนในกระเป๋าของเขาส่งเสียงเบา ๆ และหน้าหนังสือการ์ตูนก็พลิกเปิดด้วยตัวมันเองทันที แล้วในตอนนี้เอง แขนสีดำก็ชะงักไปวินาทีหนึ่ง!

ผู้หญิงที่ร่างถูกแทงผ่านกรีดร้องโหยหวน เธอตายจากอุบัติเหตุรถยนต์ และร่างของเธอก็ยังเสียหายไปแล้วในตอนที่เธอตาย เธอใช้แขนทั้งสองข้างคว้าแขนข้างนั้นที่แทงผ่านร่างของเธอเอาไว้ เธอไม่สนใจแขนนั่นและปล่อยให้มันห้อยอยู่ในร่างของเธอ เธอแนบตัวเองเข้ากับร่างของเงาและเริ่มโจมตีเงานั่นอย่างบ้าคลั่ง

ผู้หญิงจากอุโมงค์นั้นแตกต่างจากวิญญาณสีเลือดอื่น ๆ ภายใต้ชุดของเธอนั้นเป็นร่างกายที่เสียหาย เลือดเนื้อแตกสลาย และกระดูกป่นละเอียด นอกจากนี้ ความสามารถพิเศษของเธอยังดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับกระดูกที่หัก เศษกระดูกสีแดงเลือดแทงเข้าไปในร่างของเงา ร่างกายของผู้หญิงเริ่มเปลี่ยนไป และมันก็เหมือนเธอพยายามใช้ร่างกายของเธอกลืนกินเงานั่น

“เมื่อครู่นี้ การโจมตีของฉันชะงักลงครู่หนึ่ง ผีชนิดไหนกันที่มอบพลังเช่นนี้ให้แก?” เงานั่นหันไปมองเฉินเกอ “แกพาวิญญาณมาด้วยมากแค่ไหน?”

“ทำไมแกไม่ลองเดาดูล่ะ?” เฉินเกอต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับประตูที่ในบ้านผีสิง ดังนั้นจึงไม่ได้รีบร้อนลงมือกับเงานั่น เอี๋ยนต้าเหนียนและผู้หญิงในอุโมงค์ซื้อเวลาอันมีค่าให้เฉินเกอ เขาถอยหลังออกมา เรียกชื่อจางหยาในใจ

“ถึงจะเผชิญกับความตายอันแน่นอน แกก็ยังยิ้มออก ทุกอย่างที่แกเป็นอยู่ได้นี้ล้วนเป็นเพราะฉัน” เสียงของเงานั่นเย็นชายิ่งกว่าเดิม ร่างกายของมันเริ่มบิดเบี้ยวช้า ๆ ภายใต้การโจมตีอย่างไร้ปรานีของหญิงจากอุโมงค์ แต่มันกลับดูไม่สนใจเลยสักนิด ทั้งหมดที่มันแสดงออกมาก็คือความเกลียดชังที่พุ่งไปที่เฉินเกอ “ที่นี่ถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมันไว้แล้ว เด็ก ๆ ที่ถูกส่งไปให้ผีทารกน่าจะเพียงพอช่วยให้เขาถือกำเนิดได้สำเร็จ”

รูปวาดสีดำบนประตูเริ่มเปลี่ยน เงาร่างสีดำเล็ก ๆ ที่ทนทุกข์กับความตายไร้ที่สิ้นสุดในรูปเริ่มคลานออกมา และพวกมันก็หลอมรวมเข้าไปในร่างของเงา เด็กทั้งหมดที่ในตึกนี้ปล่อยเสียงหัวเราะประหลาด พวกมันไม่สามารถมองให้เป็นเด็กไร้เดียงสาได้เลย– พวกมันไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากหุ่นเชิดของเงา

“เด็ก ๆ ที่ในตึกนี้ล้วนเป็นเครื่องบูชายัญแก่ผีทารก? นี่แกฝังคนเอาไว้ในจิ่วเจียงตะวันออกมากแค่ไหนกันแน่?” ประตูที่ด้านหลังเฉินเกอนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก รูปร่างมนุษย์สีดำที่ดูเหมือนเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นจางลงอย่างช้า ๆ จนไม่ใช่สีดำ พวกมันที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและอาฆาตแค้น คลานออกจากประตูทีละตน แต่ละตนนั้นมีสองหน้า หน้าหนึ่งเป็นหน้าที่แท้จริง อีกหน้าหนึ่งนั้นดูคล้ายเฉินเกอกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์

นี่เป็นภาพที่น่ากลัวมากจริง ๆ แต่ว่าเงาดูเหมือนจะมีความสุขกับกระบวนการนี้มาก “ความอาฆาตแค้นของผีทารกนั้นลึกซึ้งเกินไป และไม่มีทางที่เขาจะถือกำเนิดขึ้นมาได้ด้วยวิธีธรรมดา ดังนั้น ฉันก็เลยต้องใช้เด็กเหล่านี้แบ่งปันความอาฆาตแค้นบางส่วนของเขามา ตอนนี้ แกรู้ความจริงแล้วนี่ ใช่ไหม? เด็กมากมายขนาดนี้ และยังไม่พอที่จะแบ่งปันเศษเสี้ยวความอาฆาตแค้นของผีทารกเลย แกคิดภาพออกไหมว่าความเจ็บปวดที่ฉันได้รับเพราะแกมันจะมากขนาดไหน!”

รอยยิ้มไร้เดียงสาจางหายไปจากใบหน้าของเด็ก ๆ สีหน้าของพวกมันนั้นทะมึนและประหลาด– มีความเกลียดชังต่อชีวิตที่มองเห็นได้ กระทั่งสำหรับเฉินเกอก็ยังรู้สึกหวาดกลัว ถ้าไม่มีใครทำอะไร เด็กคนใดในนี้ก็สามารถกลายมาเป็นผีทารกตนใหม่ได้ และนั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่เงาปรารถนาให้เป็นที่สุด

ขณะที่เงาร่างเล็ก ๆ สีดำเข้าสู่ร่างกายของมัน ร่างกายของเงาก็เริ่มชัดเจนขึ้นอีกครั้ง คำสาปสีดำไหลผ่านผิวกายของมันไป ดันเอาเศษกระดูกที่ผู้หญิงจากอุโมงค์ส่งเข้าไปในร่างของมันก่อนหน้านี้ออกมา วิญญาณสีเลือดทั่วไปย่อมไม่ยินดีเข้าใกล้คำสาป ตอนที่เงาร่างเล็ก ๆ สีดำปรากฏตัวขึ้น ผู้หญิงจากอุโมงค์ก็บิดร่างและรีบหนีออกมาจากข้าง ๆ เงานั่น

“เหตุผลที่ฉันยังไม่จัดการกับแกก็เพราะว่าฉันรอเวลาจนกว่าจะถึงวันที่ฉันสามารถทำให้แกมาเป็นเงาของฉันได้  แต่ว่าแกกลับมาปรากฏตัวรบกวนแผนการของฉันเสียเอง”

ใบหน้าเด็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนร่างของเงา เด็ก ๆ ทั้งหมดนั้นสูญเสียสิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นมนุษย์ไป และพวกเขาก็มีรอยยิ้มประหลาด “คนที่ไม่มีเงานั้นไม่สมบูรณ์ และฉันก็จะทำให้แกมาเป็นเงาของฉัน!”

ตอนที่เงานั่นเตรียมโจมตีครั้งแรก เสียงกระแทกดังลั่นก็ดังมาจากที่ข้างนอกตึก มองออกจากหน้าต่างไป โซ่กลุ่มหนึ่งสะบัดเข้าใส่ด้านนอกตึกอย่างบ้าคลั่ง

“เป็นแกที่ชักนำไอ้คนเสียสติน่ารังเกียจนั่นมาที่นี่ใช่ไหม?” เงาดูเหมือนจะไร้พลังต่อกรกับคุณหมอเกาอยู่บ้าง “ฉันเพิ่งหาวิธีการจัดการกับวิญญาณสีเลือดที่แกมีได้ แต่ฉันก็ต้องประหลาดใจที่แกดันไปหาวิญญาณสีเลือดเก่งกาจตนที่สองมาได้ แต่ว่า ต่อให้มีพวกเขาคอยช่วย แกก็เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้หรอก นอกเสียจากแกจะมีวิญญาณสีเลือดชั้นสูงตนที่สาม”

เฉินเกอได้ยินความขัดแย้งในถ้อยคำของเงา เขาพยายามเรียกจางหยา แต่ก็ต้องหมดหวัง ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ จางหยากลับไม่ตอบสนองต่อเขาเลยสักนิด

“ฉันรู้ว่าวิญญาณสีเลือดนั่นอาศัยอยู่ในเงาของแก แต่แกอย่าลืมว่า ฉันต่างหากที่เป็นเงาที่แท้จริงของแก!” หมอกเลือดแยกออก และทั้งตึกก็สะท้อนเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของเงา

ด้วยแสงอ่อนจางจากพระจันทร์สีเลือด เฉินเกอเห็นเท้าของเงาเชื่อมอยู่กับของเขาเอง ขณะที่เงาร่างสีดำเล็ก ๆ ผสานเข้ากับเงา การเชื่อมโยงระหว่างเงาและเฉินเกอก็เพิ่มมากขึ้น

“ตอนที่แกยังเด็ก พ่อกับแม่ของแกคงจะเตือนให้แกอยู่ให้ห่างจากจิ่วเจียงตะวันออกใช่ไหม?” เสียงของเงานั่นเต็มไปด้วยความร้ายกาจและความตื่นเต้น “พวกมันห่วงว่าฉันจะกลับสู่ร่างของแก! แผนการของฉันน่ะสมบูรณ์แบบ ดังนั้นแล้วฉันจะแพ้ได้ยังไง? ผีทารกกำลังจะถือกำเนิด และฉัน วิญญาณสัมภเวสี ก็จะกลับไปเป็นเงาของแก! ฉันจะค่อย ๆ กลืนกินจิตใจและร่างกายของแก! ฉันจะทำให้แกได้สัมผัสกับความสิ้นหวังทั้งปวง การตายทั้งหมด ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ควรจะเป็นของแก! ฉันจะเป็นปิศาจที่แกสลัดไม่หลุด! ฉันจะเป็นส่วนหนึ่งของแกที่แกไม่มีทางหนีพ้น! ฉันก็คือแก!”

ทั้งตึกดูเหมือนจะได้ยินเสียงของเงานั่นชัดเจน มันรอคอยวันนี้มานานมากแล้ว “ฉันจะมอบความทรงจำของฉันให้แก เปลี่ยนแกมาเป็นฉัน และจากนั้นแกก็จะถูกป้อนให้ผีทารก ไปเป็นเงาของเขา! ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ! ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคบ้าง แต่ผลลัพธ์ก็ถูกตัดสินเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว!”

เฉินเกอเรียกชื่อจางหยาอย่างบ้าคลั่ง แต่เหมือนมีบางอย่างขัดขวางการสื่อสารระหว่างพวกเขา และจางหยาก็ไม่ได้ยินเสียงเขา

“ไร้ประโยชน์! ฉันเป็นเงาของแก วิธีเดียวที่เธอจะหนีออกจากเงาของแกได้ก็คือเธอมาแทนที่ฉันและเปลี่ยนไปเป็นเงาใหม่ของแก” เงานั่นหัวเราะบ้าคลั่ง ก็เป้าหมายที่มันวางแผนเอาไว้มานานปีกำลังจะออกผลให้เชยชม แล้วจะไม่ให้มันดีใจจนคลั่งได้ยังไง?

มือดำราวหมึกรวบคอเฉินเกอเอาไว้ และเงานั่นก็มองเข้าไปในดวงตาของเขา “ฉันเคยใช้รูปร่างของคนตั้งมาก แต่วันนี้ ในที่สุดฉันก็สามารถกลับไปเป็นตัวเองได้!”

ใบหน้าของเขาแดงก่ำจากการขาดออกซิเจน เฉินเกอถูกยกลอยขึ้นจากพื้น และเขาก็ไม่สามารถทำเสียงอะไรได้ ในวินาทีสุดท้าย ผู้ชายคนหนึ่งที่หัวใจถูกย้อมเป็นสีแดงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายเฉินเกอ เขากอดแขนของเงานั่นเอาไว้แล้วพยายามดึงกลับ แต่ก็ทำได้แค่หยุดเงานั่นจากการยกแขน เจ้าแมวขาวกระโจนขึ้นกลางอากาศกัดลงที่ใบหน้าของเงานั่น แต่มันก็ทะลุผ่านร่างของเงาแล้วตกกระแทกพื้นอย่างแรง แม้จะไม่สามารถเรียกพวกเขาออกมาได้ และส่งเสียงอะไรไม่ได้ เงาร่างมากมายก็หลุดออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังของเฉินเกอ แขนของเงานั้นถูกแขนมากมายถ่วงเอาไว้ แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนเปลงผลลัพธ์ได้

ปัง! ปัง! ปัง!

เสียงโซ่ฟาดกับตึกชัดเจนมากขึ้นเหมือนบางอย่างล่อโซ่พวกนั้นขึ้นบันไดมา จากนั้น หน้าต่างที่ชั้นบนก็ถูกผลักเปิด และเงาร่างสีแดงร่างหนึ่งก็พุ่งเข้าไปที่เงานั่น!

ปลายนิ้วแตกยับทะลวงเข้าไปในร่างของเงา วิญญาณสีเลือดตนหนึ่งคว้าแขนของเงาเอาไว้ และความเศร้าโศกที่มักปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาก็หายวับไป มันแทนที่ด้วยความกระวนกระวายและความโกรธแค้นลึก ๆ

“แกยังมีวิญญาณสีเลือดตนอื่นอีก?” เงานั่นขู่ฟ่ออย่างอาฆาตแค้น ไม่รู้ทำไม ความเกลียดชังของมันต่อเฉินเกอเพิ่มมากขึ้น มันปรารถนาจะทำลายผู้ชายคนนี้และทุกอย่างที่ผู้ชายคนนี้ห่วงใย!

คำสาปสีดำเริ่มไต่เข้าไปในร่างของวิญญาณสีเลือด หลอดเลือดสีดำเริ่มปรากฏขึ้นบนเสื้อที่มีเลือดซึมของเขา คำสาปไชเข้าไปในร่างของเขาเหมือนหนอน และพวกมันก็กัดหน้าและหัวใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง

“เจ็บปวดเหลือเกิน!”

เขากัดฟัน เลือดที่ซึมออกมาเป็นสีดำ แต่เขากลับไม่มีทีท่าจะยอมแพ้

“น่ารังเกียจ! พวกแกทำให้ฉันคลื่นไส้!”เงานั่นตะโกนเสียงดัง คำสาปมากมายพรั่งพรูเข้ามาในห้อง พุ่งเข้าไปในร่างของวิญญาณสีเลือด เส้นเลือดฝอยแตกออก และร่างกายก็เริ่มล้มเหลวขณะที่คำสาปมากมายทำลายร่างกายของวิญญาณสีเลือด

“เจ็บเหลือเกิน! เจ็บปวดเหลือเกิน!” ใบหน้าของซู่อินบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของเขาแทบจะแตกสลาย แต่ว่าพื้นที่ว่างเปล่าใกล้หัวใจของเขากลับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง!

ทั้งที่ไม่มีเหตุผลที่เห็นได้ชัด แต่ภายใต้การบีบเค้นจากคำสาปมหาศาลของเงานั่น ซู่อินก็ยังไม่ถอย

ปัง!

โซ่พุ่งผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้เข้ามาและพวกมันก็พุ่งไปยังซู่อินราวกับฉลามสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือด!

คุณหมอเกามาถึงแล้วและเป้าหมายของเขาก็คือใบปลิวที่ซู่อินถือเอาไว้ โซ่ที่หนาหนักไปด้วยกลิ่นเลือดตวัดใส่ซู่อินที่ถูกคำสาปคลุมร่างอยู่ แต่ก็เหมือนก่อนหน้า ซู่อินไม่มีทีท่าจะหนี ถ้าเขาถูกโซ่นี้ตวัดใส่ เงาที่ข้างตัวเขาย่อมต้องได้รับบาดเจ็บไปด้วย

“ไอ้พวกบ้า!” เพื่อไม่ให้ถูกหมอเกาทำร้าย เงานั่นไม่มีทางเลือดนอกจากยอมรามือชั่วคราว เฉินเกอล้มลงพื้นและไป๋ชิวหลินก็ขยับเข้ามาประคองร่างเขาเอาไว้ทันทีและคว้ากระเป๋าเอาไว้ เขาดึงประตูเปิดแล้ววิ่งออกไปยังดาดฟ้า

“แกหนีไม่พ้นหรอก! ฉันวางแผนเอาไว้นานขนาดนี้! ไมมีทางหนีให้แกหรอก!”

เงานั่นรีบไล่ตามมา พนักงานจากบ้านผีสิงถูกสลัดทิ้งและมีแค่ซู่อินที่ยังทรงตัวอยู่ได้แต่เงาก็ไม่สามารถหยุดเงานั่นได้ด้วยตัวคนเดียว

“จางหยา เธอได้ยินเสียงฉันไหม?” เงาอยู่ใต้เท้าของเฉินเกอ และมันก็ปิดกั้นเสียงของเฉินเกอเอาไว้

“มันไร้ประโยชน์ ที่การประปาฉันก็สังเกตเห็นแล้ว! นี่เป็นช่องโหว่ถึงตายของแก!” เงานั่นคว้าหัวของซู่อินไว้แล้วกระแทกเขาเข้ากับพื้นอย่างแรง มันลากร่างยับเยินของซู่อินเดินไปหาเฉินเกอ

“ช่องโหว่ถึงตาย แกว่างั้นเหรอ?” เฉินเกอหยุดครู่หนึ่งเหมือนกำลังใคร่ครวญบางอย่างในใจ เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังช้า ๆ “อันที่จริง ฉันแค่สงสัยว่าฉันจะเผชิญหน้ากับเธอยังไง ฉันไม่รู้ว่าเธอครอบครองพื้นที่แบบไหนในใจฉัน แต่ฉันคิดว่าฉันเข้าใจแล้วตอนนี้”

เฉินเกอหยิบจดหมายรักอันล้ำค่าออกจากกระเป๋าสะพายหลังและจากนั้นก็ไฟแช็ก เขาจุดไฟเผาจดหมาย “ฉันไม่ต้องการใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างอีกต่อไปแล้ว”

ไฟติดง่ายดาย และเงาของเฉินเกอก็เดือดพล่าน ราวกับว่าคลื่นยักษ์สีดำกำลังจะมา!

“แกกำลังทำอะไร?” เงาหน้าถมึงทึง ร่างกายของมันเริ่มจางลง “แกอยากให้วิญญาณสีเลือดนั่นมาเป็นเงาของแกจริง ๆ หรือไง?”

เฉินเกอลุกขึ้น ปล่อยขี้เถ้าจากจดหมายรักปลิวไปกับสายลม “จางหยา อยู่กับฉันไปตลอดกาลเถอะนะ ฉันไม่เชื่อว่าจะมีอะไรบนโลกนี้โรแมนติกยิ่งไปกว่าเป็นเงาของกันและกันไปตลอดชีวิต!”

ปัง!

แขนซีดขาวแทงผ่านเงาของเฉินเกอและที่ตามมาจากนั้นก็คือทะเลสีดำลึกล้ำทะลักทลาย!

หน้าต่าง ตั้งแต่ชั้นบนสุดของตึกแตกร้าวลงมาทีละชั้น!

ภายใต้แสงจากพระจันทร์สีเลือด เด็กสาวคนหนึ่งเอนตัวแนบหลังเฉินเกออย่างนุ่มนวล

“จางหยา!”

“พวกคุณสองคนควรจะอยู่ที่นี่ ถ้ามีใครตกลงมาจากด้านบน ช่วยจับเขาเอาไว้” เฉินเกอวางกระเป๋าที่มีเจ้าแมวขาวเอาไว้บนพื้น และเขาก็วิ่งขึ้นบันไดไปพร้อมค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลก

“ระวังตัวด้วย!” ไม่ว่าชายขี้เมาจะร้องดังแค่ไหน เฉินเกอก็ไม่ชะงัก การช่วยเหลือคนนั้นเป็นเรื่องของความสะดวก เป็นทางผ่านเท่านั้น ตั้งแต่ที่เฉินเกอก้าวเท้าเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน เป้าหมายแท้จริงของเขาก็คือเงานั่น ตัวตนที่ลึกลับและยังมีรายละเอียดมากมายเชื่อมโยงกับตัวเขาเอง มีเพียงแค่จับเงานั่นได้ที่เฉินเกอจะปล่อยให้ตัวเองสบายใจขึ้นได้

“ฉันต้องเค้นข้อมูลเกี่ยวกับพ่อแม่ของฉันจากเงานั่นได้เยอะแน่ ๆ” ก่อนที่จะเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน เขาก็ได้คิดถึงช่วงเวลานี้ไว้แล้ว แต่ว่า แผนการเดิมของเขานั้นคือการให้ชายหน้ายิ้มและรองเท้าส้นสูงสีแดงช่วยเขาดูลาดเลาข้างหน้า โชคร้าย การปรากฏตัวของคุณหมอเกานั้นทำให้แผนการของเขานั้นยุ่งเหยิงไปหมด

“แต่จะว่าไปแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็ยังนับเป็นข้อได้เปรียบของฉันอยู่” ที่นอกตึก คุณหมอเกานั้นถูกซู่อินล่อไปและนี่ก็เปิดโอกาสอันหายากให้เฉินเกอ

“ปิศาจนั่นกำลังรอคุณอยู่ที่ด้านบนนี่ อย่าขึ้นมา!” คราวนี้เป็นมือกรรไกรพูดขึ้น สภาพของเขานั้นไม่ดีนัก จุดเลือดจาง ๆ ปรากฏอยู่บนตัวเขาราวกับหลอดเลือดฝอยใต้ผิวของเขาทั้งหมดแตกออกพร้อม ๆ กัน

“เขากำลังรอฉันอยู่ ฉันเองก็ตามหาเขาอยู่เหมือนกัน!” เฉินเกอวิ่งเร็วขึ้น ที่ด้านหลังเขา เจ้าแมวขาวคลานออกจากกระเป๋า มันตามหลังเฉินเกอมาติด ๆ การเคลื่อนไหวของมันนั้นคล่องแคล่ว เด็กที่ชั้นเจ็ดนั้นกำลังใช้กลุ่มของมือกรรไกรเป็นเหยื่อล่อเฉินเกอให้รุดขึ้นมาอย่างชัดเจน พวกเขาได้รับคำสั่งเข้มงวดมา เมื่อเฉินเกอปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ปล่อยตัวคนที่จับมาและหนีไปทันที

“ส่งมือให้ฉัน!” เฉินเกอลากมือกรรไกรกับชายขี้เมาไปยังที่ปลอดภัย ไม่มีเชือกหรืออะไรแบบนั้นที่รอบตัวพวกเขา แต่จากกริยาของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับความเจ็บปวดจากปฏิกริยาตอบสนองต่อบางอย่าง ร่างกายของพวกเขานั้นถูกความเจ็บปวดทำลาย และแค่ยืนขึ้นก็ยังเป็นเรื่องยาก

“คุณเดินเองไหวไหม?” จากนั้นเฉินเกอก็ลากหมอไปที่ด้านข้าง พิษของคุณหมอยังไม่ได้รับการรักษา

“ทิ้งพวกเราไว้ เหตุผลที่เงานั่นไม่ฆ่าพวกเราก็เพราะว่าเขาวางแผนจะใช้พวกเราถ่วงคุณเอาไว้ เจ้านั่นจะไม่หยุดหากยังทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จ” หมอพึมพำอ่อนแรง

“ในเมื่อคุณยังพูดจบประโยคได้ ดูเหมือนว่าคุณจะค่อย ๆ ดีขึ้นแล้ว” เฉินเกอกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาที่บ้านของฟ่านฉง แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแตะหลังคอเขา พอหันกลับไปมอง หัวของชายมีรอยสักกลับกลิ้งลงมาจากชั้นที่แปด ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาของเขาถลนออกมา รอยสักกะโหลกศีรษะคนที่บนแขนของเขานั้นถูกดึงออกจากผิวของเขาอย่างเหี้ยมโหด เด็กสีหน้าไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกหลายคนยืนอยู่รอบตัวเขา พวกเขาถือแปรงระบายสีเอาไว้ในมือและกำลังใช้เลือดของชายมีรอยสักวาดรูป

“ผู้ชายคนนี้ตายแล้ว?” เด็กพวกนี้นั้นไร้ความรู้สึกและไร้อารมณ์ยิ่งกว่าที่ชั้นล่าง ๆ วิธีการที่พวกเขาปฏิบัติกับคนเป็นเหมือน ‘ของเล่น’ นั้นทำให้เฉินเกอเย็นวาบไปตามสันหลัง

“ชายมีรอยสักตายแล้ว ถ้าพวกเรายิ่งขึ้นไปชั้นบน ๆ ก็จะยิ่งมีจุดจบที่เลวร้าย ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเหมินหนานและเหล่าโจวแล้ว?” เฉินเกอเป็นห่วง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ว่าพนักงานที่มักจะอยู่กับเขาเสมอนั้นมีความสำคัญเพียงใด โดยที่ไม่ทันรู้ตัว เขาก็ได้รับคนเหล่านี้มาเป็นครอบครัวและเพื่อนสนิทไปแล้ว

ศพของชายมีรอยสักถูกเด็ก ๆ ผลักลงบันไดไป มันหล่นลงไปต่อหน้าต่อตาเฉินเกอ ชีวิตอันแสนมีค่าจบลงทั้งอย่างนี้– นี่เป็นธรรมชาติของโลกที่ด้านหลังประตู ในโลกแห่งฝันร้ายที่ถักทอขึ้นจากความสิ้นหวังและความเจ็บปวด ชีวิตและความหวังนั้นเป็นสิ่งที่บอบบางที่สุด

หลังจากศพของชายมีรอยสักกระแทกกับพื้นดังตุบ เด็ก ๆ ก็กระจายตัวออกไปเหมือนทำภารกิจสำเร็จแล้ว สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในช่องบันไดก็คือภาพวาดที่วาดขึ้นด้วยเลือดของชายมีรอยสัก

หลังจากเด็ก ๆ จากไป เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ก็ดังมาจากชั้นที่สิบ ใบหน้าของเด็ก ๆ ที่ด้านบนนั้นไม่มีความโง่ทึบ ใบหน้าของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส แต่สิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้นทำให้เฉินเกอกัดฟัน

เด็ก ๆ หลายคนกำลังจับผีโทรศัพท์ ถงถง เอาไว้ ร่างของเขานั้นถูกดึงจากหลายทิศทางจนร่างเริ่มผิดรูป โทรศัพท์ที่แสนสำคัญของเขานั้นถูกเอาไปไกล ๆ และเด็ก ๆ ก็ลบข้อความที่แม่ของถงถงส่งให้เขาทีละประโยคต่อหน้าต่อตาเด็กชาย

เด็ก ๆ เหล่านี้นั้นเป็นยิ่งกว่าสัตว์ที่ถูกเงานั่นเลี้ยงดูมาและไม่สามารถเรียกเป็นเด็กได้อีกต่อไป พวกเขาถูกสอนให้เกลียดชังสิ่งดีงามทั้งหมดบนโลกนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมองความรักเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก เฉินเกอมีความรู้สึกว่าเงานั่นฝึกเด็กพวกนี้เหมือนเป็นลูกศิษย์ของมัน เปลี่ยนพวกเด็ก ๆ ไปเป็นสัตว์ประหลาดอย่างที่มันเป็น

พนักงานทุกคนที่บ้านผีสิงนั้นมีเรื่องราวของตนเอง และเรื่องราวของถงถงนั้นก็ทำให้เฉินเกออ่อนไหวที่สุด เหตุผลที่เขาโอบอุ้มเด็กคนนั้นไว้ใต้ปีกของตัวเองไม่ใช่แค่เพราะพลังของเขาแต่ยังเพราะสัญญาที่เขาให้ไว้กับแม่ของถงถง ถงถงไม่ได้ขัดขืนหรือร้องไห้ เขาเคยชินกับทั้งหมดนี้แล้ว เขาเคยประสบกับบางอย่างที่คล้ายกันนี้ทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และตอนที่ยังทำงานให้กับฮั่นเป่าเอ๋อร์ของสมาคมเล่าเรื่องผี แต่ว่า ยิ่งเขามีท่าทีเช่นนี้ เฉินเกอก็ยิ่งเจ็บปวดใจ

เด็ก ๆ รู้ว่าถงถงนั้นดึงดูดความสนใจของเฉินเกอได้แล้ว พวกเขาแบกถงถงขึ้นบันไดไปชั้นสูงขึ้นไปอีก เห็นได้ชัดเจนว่าพยายามล่อเฉินเกอให้ตามพวกเขาไป

“เฉินเกอ! อย่าตามพวกเขาไป!” หลี่เจิ้งลากเจียหมิงขึ้นบันไดมาห้ามเฉินเกอไว้ “พวกเรามีคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่กับพวกเราแล้ว พวกเราต้องพาพวกเขาออกไปจากที่นี่ ตอนที่ฉันเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน ฉันติดต่อเจ้าหน้าที่คนอื่นที่สถานีเอาไว้ กำลังเสริมจะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า”

“ไม่มีกำลังเสริม ผมต้องการให้คุณกับเจียหมิงช่วยผมแบกคนพวกนั้นลงบันไดไป พยายามย้ายพวกเขาไปให้ไกลจากที่นี่เท่าที่ทำได้” เฉินเกอขมวดคิ้วนิด ๆ เขาพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนไปทีละหน้าแต่ไม่เจออะไรที่จะไม่กระตุ้นความสนใจของหลี่เจิ้งกับเจียหมิงเลย เขาทำทั้งหมดนี้ด้วยเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที

“คุณจะไม่ออกไปกับพวกเราเหรอ? คุณกำลังจะทำอะไร?” หลี่เจิ้งพยายามหยุดเฉินเกอเอาไว้สุดความสามารถ

“ผมไม่เก่งเรื่องสอนเด็ก ดังนั้นผมจึงได้แต่นับเด็ก ๆ ที่รังแกคนอื่นนั้นเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง และถ้าพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ เรื่องก็ง่ายขึ้น” เฉินเกอยกค้อนขึ้นขณะพึมพำชื่อหนึ่ง ในช่องบันไดแคบ ๆ กลิ่นเลือดหนาหนักอวลตลบ มือบิดเบี้ยวข้างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ข้างกายเฉินเกอก่อนที่จะแตะลงบนไหล่ของเขาช้า ๆ

“จับพวกเขาทุกคน พาพวกเขากลับไปกับพวกเราให้พวกเราได้สั่งสอนบทเรียนที่ถูกต้องให้พวกเขา”

ศีรษะที่ห้อยหลวม ๆ อยู่บนไหล่เงยขึ้นช้า ๆ ด้วยตัวเอง ร่างกายที่เสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ค่อย ๆ ดีขึ้นขณะที่เธอเงยหน้าขึ้น วิญญาณสีเลือดจากอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นถูกเรียกออกมา เธอดูเหมือนจะมีธรรมชาติที่หวาดระแวงโลกที่ด้านนอกอุโมงค์ พอหมอกเลือดบาง ๆ เข้ามาล้อมร่างเธอเอาไว้ มันก็ทำให้เธอปรารถนาจะฆ่าทุกอย่างตรงหน้า

หลังจากซู่อินล่อคุณหมอเกาไปแล้ว ไป๋ชิวหลินก็อ่อนแอเกินกว่าจะรับมือกับเรื่องอันตรายอื่น ๆ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง เฉินเกอใช้ไพ่ตายอีกใบของตัวเอง– ผู้หญิงจากอุโมงค์

มีวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งนำทาง เขาก็สามารถตามไปได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเมื่อใด วิญญาณสีเลือดก็ยังเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุด ตอนที่เด็ก ๆ ในตึกเห็นวิญญาณสีเลือดตรงเข้าไปหา พวกเขาก็เริ่มวิ่งหนีและซ่อนตัวตามสัญชาตญาณ เด็กหลายคนที่แบกถงถงอยู่นั้นก็สลัดรอยยิ้มทิ้งแล้ว พวกเขาพุ่งไปข้างหน้าเหมือนชีวิตของตัวเองขึ้นกับการทำเช่นนั้น จากที่เฉินเกอเห็น มันเหมือนเด็ก ๆ เหล่านี้นั้นทำภารกิจสำเร็จแล้ว ซึ่งก็คือล่อเฉินเกอขึ้นไปที่ชั้นบน

“ชั้นบนสุดอันตรายมาก! อย่าไปที่นั่น!” หลี่เจิ้งร้องออกมาอย่างเร่งร้อนอยู่ที่ด้านหลัง เขาดูเหมือนจะมีข้อมูลบางอย่างจากเจียหมิง ด้วยสถานการณ์เร่งร้อน เขาทิ้งมือกรรไกรและชายขี้เมาเอาไว้แล้วไล่ตามเฉินเกอมา

มีวิญญาณสีเลือดนำทาง เฉินเกอจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่อาจจะปรากฏขึ้นระหว่างทาง เขาสงบใจลงหาคำถามให้กับคำถามสำคัญสองสามข้อ

“รูปวาดที่ผีปากกากับเอี๋ยนต้าเหนียนร่วมมือกันนั้นบอกว่าเหล่าโจวและเหมินหนานซ่อนตัวอยู่ในห้องเล็ก ๆ พวกเขาไม่ได้ถูกจับเอาไว้แต่ว่าถูกกักตัวเอาไว้ชั่วคราว หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เงานั่นไม่ได้ควบคุมสถานการณ์ได้เต็มที่อย่างแท้จริง เขามัวแต่สู้อยู่กับคุณหมอเกา และเขาก็หายตัวไปจากสายตาของฉันแค่ไม่นานเท่านั้น แล้วเขาจะติดตั้งกับดักมากมายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้อย่างไร?

“เงานั่นสู้กับจางหยามาก่อน และเขารู้ว่าฉันมีวิญญาณสีเลือดเก่งกาจอยู่กับฉัน ดังนั้น ความเป็นไปได้เดียวที่เขาคิดได้ก็คือจัดการกับวิญญาณสีเลือดตนนั้นก่อนเขาถึงจะจัดการกับฉันได้ แต่ฉันสงสัยว่ากับดักที่ทรงพลังเช่นนั้นไม่น่าสามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยเวลาสั้น”

เฉินเกอรู้ทั้งหมดนี้ดี เขาหรี่ตา และจู่ ๆ ก็มีรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างหนึ่งผ่านเข้ามาในใจเขา

“ฉันรู้แล้ว!” เฉินเกอพุ่งขึ้นบันไดไปโดยไม่ลดความเร็วลง ยิ่งขึ้นมาชั้นสูง ๆ เด็ก ๆ ก็ดูจะมีความอาฆาตแค้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น พวกเขาเปลี่ยนจากวิญญาณสัมภเวสีไปเป็นวิญญาณอาฆาต พอเลยชั้นที่สิบเอ็ด เสื้อของเด็กบางคนมีรอยเลือดเปื้อน และเฉินเกอยังเห็นชายหนุ่มที่เป็นกึ่งวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง หากไม่มีความช่วยเหลือจากผู้หญิงในอุโมงค์ แค่เขากับไป๋ชิวหลิน การเดินทางของพวกเขาน่าจะหยุดอยู่ที่ชั้นสิบเอ็ดแล้ว

แต่ว่า กระทั่งมีความช่วยเหลือของเธอ การเดินทางของพวกเขาก็ไม่ได้ง่าย รูปวาดสลับซับซ้อนเริ่มปรากฏขึ้นที่บนกำแพง พวกมันวาดขึ้นด้วยของเหลวสีเข้มชนิดพิเศษบางอย่าง เฉินเกอเคยเจอของเหลวเช่นนี้ที่โรงแรมก่อนหน้านี้ มันสามารถส่งอิทธิพลบางอย่างกับวิญญาณสีเลือดได้ ตอนนี้เฉินเกอเริ่มเสียใจที่ใช้ของดีเช่นนี้ท้าทายหญิงไร้หัว มองไปที่กำแพง รูปวาดที่บนกำแพงล้วนใช้ของเหลวชนิดนี้ และพอเดินผ่านพวกมันเฉินเกอก็รู้สึกไม่ดีอย่างยิ่ง

“รูปวาดทั้งหมดดูหยาบ เหมือนเป็นผลงานของเด็กขี้เบื่อสักคน รูปวาดพวกนี้เป็นผีทารกวาดขึ้นหรือเปล่า?”

ผู้หญิงที่เดินอยู่ด้านหน้านั้นได้รับความกดดันมากที่สุด และสภาพของเธอก็ดูไม่ดีนัก

“รูปวาดเหล่านี้สามารถทำให้วิญญาณสีเลือดอ่อนแอลงได้ มันเป็นบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวตนที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดใช่หรือเปล่า?” มองรูปวาดเหล่านั้นแล้วเฉินเกอก็พบว่าพวกมันก็แค่บันทึกถึงกิจกรรมประจำวันธรรมดา ๆ แต่เพราะอะไรไม่รู้ พวกมันทำให้เฉินเกอขนลุกชัน เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงได้หวาดกลัวสิ่งเหล่านี้ “เป็นไปได้ไหมว่ารูปที่บนกำแพงนั้นบอกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ฉันเคยเจอมา? แต่ทำไมฉันถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย? ไม่ นี่น่าจะเป็นความทรงจำของผีทารก– พวกมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย”

“เฉินเกอ! เธอกำลังจะทำอะไร? รีบตามฉันกลับไปข้างล่าง!” หลี่เจิ้งและเจียหมิงตามหลังเขามาติด ๆ รูปวาดดูเหมือนจะไม่มีผลกับมนุษย์ธรรมดานัก พวกเขาไม่รู้สึกถึงความอาฆาตแค้นลึกซึ้งและความเกลียดชังที่อยู่ในรูปวาด

“พวกเขาเป็นพนักงานของผม แล้วผม ที่เป็นเจ้านาย จะทิ้งพวกเขาแล้ววิ่งหนีไปคนเดียวได้ยังไง?”

ผู้หญิงในอุโมงค์และเฉินเกอทนรับแรงกดดันและไปถึงที่ชั้นบนสุดของตึก แต่ว่าถงถงนั้นหายตัวไปแล้ว ทั้งหมดที่เฉินเกอเห็นก็คือประตูสู่ชั้นดาดฟ้าซึ่งเปิดอยู่ครึ่ง ๆ

“เงานั่นทำของตั้งมากมายมาเพื่อล่อฉันมาที่นี่?” ประตูที่นำไปสู่ชั้นดาดฟ้านั้นปกคลุมไปด้วยรูปวาดสีดำ แต่เนื้อหาของรูปวาดนั้นต่างไปจากที่บนกำแพง พวกมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตแล้ว แต่ว่าพูดถึงภาพการตายมากมายที่โหดร้ายอย่างไม่เป็นไปได้

เด็กในรูปวาดประสบกับความตายหลากหลายรูปแบบและเขาก็โดดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เข้าใจความหมายของการมีตัวตนของเขาเหมือนจุดมุ่งหมายในการมีชีวิตของเขาก็เพื่อรอคอยและประสบกับความตายที่โหดร้ายมากขึ้นไปอีก

รูปวาดสีดำเมื่อมองจากที่ไกล ๆ ดูเหมือนจะก่อตัวเป็นรูปร่างของมนุษย์คนหนึ่งและที่น่าสงสัย เงาร่างของมนุษย์ผู้นั้นเข้ากับได้กับเฉินเกอดีเกินไปสักนิด สีของหมึกที่ส่วนล่างของภาพวาดประหลาดนั้นค่อนข้างจาง เมื่อภาพวาดเพิ่มมากขึ้น มันก็ยิ่งเข้มขึ้น มันเหมือนสัตว์ประหลาดนั้นเติบโตมากขึ้นทุกครั้งที่กลับมาและใช้ภาพวาดนี้เติมเต็มร่างกายของมัน

ตอนแรก รูปร่างของภาพวาดนั้นน่าจะเป็นเด็กคนหนึ่ง แต่มันเติบโตขึ้นตามเวลา เหมือนเฉินเกอ แต่ว่า การเติบโตของเฉินเกอนั้นมีแสงสว่างและความหวัง ขณะที่การเติบโตของสิ่งที่บนประตูนั้นเต็มไปด้วยความน่ากลัวต่าง ๆ และการตายอันเหี้ยมโหด

“ถงถงอยู่ด้านหลังประตูนี่” เฉินเกอมองที่ประตูที่นำไปสู่ดาดฟ้าและเขาก็รู้สึกเหมือนสติของตัวเองเลือนลาง มันเหมือนกับวิธีการตายค่อย ๆ ไชเข้าไปในจิตใจของเขา พยายามทำให้ตัวมันเองกลายเป็นความทรงจำของเขา

“ฉันไม่เคยเจออะไรอย่างนี้! นี่ไม่ใช่ความทรงจำของฉัน!” เฉินเกอยกค้อนขึ้นและคิดจะทุบประตูตรงหน้า เหมือนกับเขารู้สึกว่าถ้าประตูพัง ความทรงจำอันเจ็บปวดที่ไม่ได้เป็นของเขาจะหายไป

สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว และตอนที่ค้อนกำลังจะตวัดลงนั้น เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่รอบหัวใจของตัวเองเหมือนมีใครเอาเข็มจิ้ม ความเจ็บปวดระลอกสั้น ๆ ทำให้เฉินเกอหลุดออกจากความสับสน ในครู่สั้น ๆ นี้ หลังของเขาเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ เฉินเกอเอื้อมมือเข้าไปในหน้าอกตัวเองแล้วดึงกุญแจที่หน้าตาเหมือนกันสองดอกออกมาจากกระเป๋าหน้าอก

“กุญแจแห่งการรู้ตน?” สนิมที่บนกุญแจนั้นส่วนใหญ่หลุดออกไปแล้ว เฉินเกอยังไม่เข้าใจวิธีการที่ถูกต้องในการใช้กุญแจดอกนี้ แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นกุญแจที่ช่วยเขาเมื่อครู่นี้

“ถ้าความทรงจำของเขาหลอมรวมเข้าเป็นของฉัน อย่างนั้นผลที่ตามมาก็ยากที่จะจินตนาการแล้ว” เฉินเกอวางค้อนและมองไปยังประตูที่เปิดครึ่ง ๆ อยู่ เหมือนคนบ้าคนหนึ่ง เขาพูดกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต “แกเป็นใคร ทำไมแกถึงได้เกลียดฉันขนาดนี้?”

“พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว รีบออกไปเดี๋ยวนี้!” หลี่เจิ้งมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างตื่นตัว มือของเขาขยับไปที่ปืนที่ตรงเอว เขากำลังจะดึงมันออกมาแล้วตอนที่เฉินเกอหันกลับมามองที่เขาช้า ๆ

“แกเป็นใคร?” ดวงตาของเฉินเกอแดงก่ำ มือถือค้อนเอาไว้

“ผม? ผมคือหลี่เจิ้ง! เฉินเกอ เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?” มือของหลี่เจิ้งอยู่ที่ซองปืน เขาอยากจะดึงปืนออกมา แต่ว่าเขาพบว่าเฉินเกอนั้นคงจะทุบมือเขาก่อนที่เขาจะเอื้อมถึงปืน

“แกไม่ใช่หลี่เจิ้ง” เสียงของเฉินเกอแหบแห้ง “แกพูดก่อนหน้านี้ว่าตอนที่แกเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน แกติดต่อคนที่เหลือที่สถานี ตอนนั้น แกไล่ตามเจียหมิงมาคนเดียว ตอนที่พวกเราเจอกันที่โรงแรม ฉันไม่เห็นแกพกวิทยุติดตามตัวมาด้วย และรัศมีทำการของวิทยุติดตามตัวก็จำกัด ดังนั้นฉันจึงเชื่อว่าแกใช้โทรศัพท์ของแกสื่อสารกับคนที่เหลือในทีมของแก”

“แล้วมีอะไรไม่ถูกต้องถ้าจะใช้โทรศัพท์ของผม?”

“ก่อนที่จะเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน ฉันได้รับข้อความจากแก เสียงของแกและรูปแบบการพูดนั้นคล้ายกับของสารวัตรหลี่ แต่เพราะสถานการณ์พิเศษของฉัน ฉันรับสายแกไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงให้แกส่งข้อความหาฉัน” ดวงตาของเฉินเกอเต็มไปด้วยเลือด แต่เสียงของเขาก็สงบลงอย่างช้า ๆ “ตอนที่คุณหมอเกาสู้กับเงานั่น มันเป็นเวลาเดียวกับที่พวกแกทั้งหมดหายตัวไป ตอนนี้ที่เงานั่นเลิกสู้กับคุณหมอเกา แกก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นี่มีความหมายเดียวก็คือเงาคือหนึ่งในพวกแกที่หายตัวไป”

หลี่เจิ้งยังอยากจะพูดบางอย่างแต่ว่าถูกเฉินเกอขัดขึ้น

“แกกลัวจะถูกเปิดโปง ดังนั้นแกจึงใช้ไพ่ตายของแกก่อนที่ควรจะเป็นและให้คำสาปแพร่เข้าใส่คนที่กำลังรออยู่นอกอุโมงค์ ด้วยวิธีนั้น แกสามารถปิดบังตัวตนแท้จริงของแกเอาไว้ได้ต่อ” เฉินเกอก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง และผู้หญิงจากอุโมงค์ก็คอยป้องกันอยู่ข้างกายเขา “ในตอนแรก ฉันก็แค่สงสัย แต่ตอนนี้ ในที่สุดฉันก็แน่ใจว่าแกคือเงานั่น”

เขาเปิดหนังสือการ์ตูนและปล่อยลูกสุนัขสีดำอ่อนแอและดูป่วยตัวหนึ่งออกมา ลูกสุนัขดูยินดีมากเมื่อเห็นเฉินเกอ แต่เมื่อมันเห็นหลี่เจิ้ง มันก็ร้องครวญครางอย่างงุนงง

“แกคือตัวตนที่พิเศษที่สุดสำหรับมัน แกอาจจะสามารถหลอกพวกเราที่เหลือได้ แต่แกไม่มีทางสามารถหลอก ‘คน’ ที่เห็นแกเป็นโลกทั้งใบได้” เฉินเกอหันไปมองสุนัขดำที่เขานำมาจากบ้านสุนัขด้วย

เห็นสุนัขสีดำ มือของหลี่เจิ้งที่ขยับไปยังปืนก็คลายออกช้า ๆ ความกระวนกระวายและความโกรธที่บนหน้าของเขาค่อย ๆ สลายไป และมันก็แทนที่ด้วยความสงบ

“นี่ช่างย้อนแย้งเสียจริง นี่คือสิ่งดีงามเดียวที่ฉันทำในชีวิต และมันก็กลายเป็นเงื่อนงำให้แกมองผ่านการปลอมตัวของฉันได้” หลี่เจิ้งมองลูกสุนัขและความเย็นชาในดวงตาของเขาก็ทำให้ลูกสุนัขขดตัวอย่างหวาดกลัว “ฉันน่าจะฆ่ามันซะ ตอนนั้น ฉันรู้สึกว่ามันสนุกดีที่จะปล่อยให้มันถูกทรมานเรื่อย ๆ”

เมื่อเขาพูดจบ หลี่เจิ้งก็หลับตาลง ร่างกายของเขาแตกสลายลงไปกับพื้น แต่เงาของเขากลับลุกขึ้นยืนในท่าเดิมก่อนหน้านี้

เงานั่นถอย มุ่งหน้าไปทางชานเมืองหลี่ว่าน คุณหมอเกานั้นต้องคำสาปทั้งหมดและสภาพของเขานั้นก็ดูไม่ดีนักเช่นกัน หมอกเลือดสลายไป และชุดที่เสี่ยวปู้สวมอยู่ก็ดูสดสว่างมากขึ้น เธอเอียงคอมองเฉินเกอ เธอรู้สึกเหมือนว่าการติดตามชายคนนี้นั้นเพิ่มโชคดีของตัวเธอขึ้น

“ไปกันเถอะ!” เฉินเกอแบกกระเป๋าใบใหญ่สองใบของตัวเองและเริ่มออกวิ่ง ฟ่านฉงนั้นเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในกลุ่ม ด้วยขนาดตัวของเขา การวิ่งคราวนี้นั้นแทบจะฆ่าเขาได้

“รอผมด้วย!” ฟ่างหยวนกุมหน้าอกตัวเอง ตอนนี้ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าโชคชะตานั้นบางครั้งก็เล่นตลก ครั้งสุดท้ายที่เขาวิ่งสุดชีวิตก็คือในบ้านผีสิงของเฉินเกอ และคราวนี้ เขาก็กำลังวิ่งหนีไปกับผู้ชายคนนี้อีก

“อย่าหยุด! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น! ฉันจะไปหารถหรือพาหนะอะไรสักอย่างให้เธอ!” เฉินเกอวิ่งไปตามถนนเป็นนาน แต่เขาก็ไม่เจอพาหนะอะไรที่เขาจะใช้ได้ เมื่อไม่มีตัวเลือกอื่น เขาก็หยุดและบอกเสี่ยวปู้ “ตอนที่หมอคนนั้นเริ่มต้นไล่ล่าพวกเรา ผมต้องการให้เธอพาฟ่านฉงไปสักที่ที่เธอสองคนจะสามารถซ่อนตัวได้อย่างปลอดภัยขณะที่ผมชักนำหมอคนนั้นไปไกล ๆ แต่พยายามอย่าอยู่ห่างจากผมมากเกินไป ผมยังต้องการความช่วยเหลือจากเธอรับมือกับเงานั่นทีหลัง”

เฉินเกอนั้นวิ่งข้ามมาครึ่งเมืองแล้วตอนที่คุณหมอเกา ที่ร่างกายส่วนล่างละลายไปนั้น เริ่มลงมือ โซ่พุ่งผ่านหมอก เกิดเสียงแหลมเหมือนพวกมันเสียดสีกับตึกรามที่รอบด้าน

“เฉินเกอ…” ดวงตาสีเลือดคู่นั้นมองเฉินเกอและเงานั่นที่กำลังหนี บางทีคำถามในใจของเขาตอนนี้อาจจะเป็น– ทำไมทั้งสองถึงได้ดูคล้ายกันนัก?

คำสาปเกือบทั้งหมดที่หมักหมมอยู่ในเมืองหลี่ว่านนานหลายปีพุ่งเข้าไปในร่างของหมอเกา เลือดสีดำเริ่มไหลออกมาจากร่างกายของคุณหมอ เลือดผสานเข้ากับสารสีเทาและดำ หากอยู่ใกล้พอ ก็อาจจะได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนจากบางอย่างที่ในสารเหล่านั้น

เห็นสภาพของหมอเกาแล้ว เฉินเกอก็ตัวสั่นอย่างหวาดกลัว “ไพ่ตายของเงานั่นร้ายกาจจริง ๆ ถ้าหมอเกาไม่ปรากฏตัวขึ้น อย่างนั้นก็คงเป็นฉันกับพนักงานของฉันแล้วที่ต้องทนทุกข์กับคำสาปทั้งหมดนี่ ถ้าเป็นอย่างนั้น ต่อให้ฉันฆ่าเงานั่นได้ ฉันก็คงสูญเสียพนักงานไปเกินครึ่ง”

จำนวนคำสาปที่วิญญาณสามารถกลืนกินและย่อยได้นั้นจำกัด ถ้ามันเกินขีดจำกัด วิญญาณก็จะกลายไปเป็นคำสาปใหม่ นอกจากนี้ หลังจากกลืนกินคำสาปแล้ว ความรู้สึกด้านลบในหัวใจของพวกมันก็จะเพิ่มมากขึ้นและกลายเป็นถูกครอบงำ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยังรักษาหน้าที่ที่บ้านผีสิงไว้ได้ เมื่อไม่มีนักแสดง เฉินเกอก็ต้องปิดฉากใต้ดินทั้งหมดที่บ้านผีสิงลงชั่วคราว

หากบ้านผีสิงไม่สามารถให้บริการได้ตามปกติ ก็จะส่งผลเสียต่อสวนสนุกนิวเซนจูรี่ ระหว่างช่วงเวลาอันสำคัญที่สวนสนุกแห่งอนาคตกำลังจะเปิดนั้น สิ่งนี้ก็เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ลาหลังหัก

มองผิวเผินแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนกำลังจะดีขึ้น แต่มีแค่เฉินเกอที่รู้ถึงความยากในกระบวนการทั้งหมดนี้ ถ้าเขาประมาท ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาก็จะสลายกลายเป็นควันไป

“เงานั่นเลือกที่จะถอยและรีบไปทางอพาร์ทเม้นท์ผี หมายความว่ากลุ่มของถงถงนั้นได้บางอย่างที่สำคัญกับเงานั่นมากมาแล้ว นี่น่าจะเป็นข่าวดีของฉันเหมือนกัน” เฉินเกอมองว่าทุกอย่างที่ถ่วงเงานั่นได้เป็นเรื่องดีทั้งนั้น

ด้านหลังเขา คุณหมอเกาเริ่มไล่ตามมา แต่ว่า สถานการณ์ของชายคนนั้นสามารถอธิบายได้แค่ประหลาดนัก เฉินเกอไม่รู้ว่าทำไมคุณหมอเกาถึงยืนกรานจะไล่ตามเขาอย่างไม่ลดละ “ไม่ใช่ว่าพวกเราทำความเข้าใจกันไปแล้วก่อนที่เขาจะเลือกฆ่าตัวตายหรือไง? ฉันยังสัญญาจะช่วยเขาดูแลลูกสาวของเขา เกาหรูเซว่ ด้วยซ้ำ”

ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ คุณหมอเกานั้นก็แทบจะสูญเสียสติไปแล้ว ตอนนี้เมื่อเขาตายไปแล้วและมาพัวพันอยู่ในคำสาปมากมายของเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ แน่นอนว่า เฉินเกอย่อมไม่อยากอยู่พูดคุยกับชายคนนี้

“ไม่มีเวลาวางแผนแล้ว– ฉันจะลากทุกคนไปที่อพาร์ทเม้นท์ผี ถ้ามีการต่อสู้ อพาร์ทเม้นท์ผีก็อาจจะถูกทำลาย บางที ฉันอาจจะทำลายแผนการของเงานั่นได้ด้วย” เฉินเกอนำอยู่ด้านหน้า คุณหมอเกาและเสี่ยวปู้ ทั้งคู่ต่างมุ่งตรงไปยังอพาร์ทเม้นท์ผี เงานั่นสังเกตเห็นแล้วและโมโห มันรู้ว่าเฉินเกอนั้นอยู่ในเมืองหลี่ว่าน แต่มันไม่รู้ว่าเป้าหมายแท้จริงของคุณหมอเกาคือเฉินเกอ

สัมผัสได้ถึงความอาฆาตแค้นอันหนาหนักเฉียบคม เฉินเกอก็มองไปรอบ ๆ และเห็นเงานั่นมุ่งไปตามถนนที่ขนานกับถนนที่เขาอยู่ เฉินเกอชี้ไปด้านหลังตัวเองแล้วก็ทำท่าบอกเงานั่น “แกเดาถูกแล้วแหละ เป็นฉันเองที่ชักนำเขามาที่นี่”

เงานั่นกัดฟันอย่างโกรธแค้น แต่มันรู้ว่าเฉินเกอนั้นมีการปกป้องจากวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งอยู่ มันไม่สามารถจัดการกับเฉินเกอด้วยเวลาอันสั้นได้ ดังนั้น มันตัดสินใจปรับเป็นกลยุทธิ์ ‘ไม่เห็นผีสางอะไรทั้งนั้น’ ขณะเร่งความเร็วพุ่งไปยังอพาร์ทเม้นท์ผี

“ดูเหมือนว่าถงถงกับพวกจะสร้างปัญหาใหญ่ให้เงานั่นจริง ๆ” เฉินเกอให้สัญญาณเสี่ยวปู้กับฟ่านฉงเดินหน้าไปด้วยกัน เขาวิ่งไปเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามตามเงานั่นไป ไม่ช้า ภาพประหลาดภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ในเมืองหลี่ว่าน

ในฐานะผู้ร้าย เงานั่นถูกมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งที่แบกกระเป๋าสองใบเหมือนเพิ่งกลับมาจากไปช้อปปิ้งครั้งใหญ่ไล่ตาม ผู้ชายคนนั้นมีวิญญาณสีเลือดที่บ้าคลั่งไล่ตามหลังมา และที่ด้านท้ายของภาพประหลาดนี้ก็คือชายร่างอ้วนที่ดูเหมือนจะล้มพับไปตอนไหนก็ได้เพราะขาดอากาศหายใจและเด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ไม่มีแขนและขา

เงานั่นกังวลเกี่ยวกับอพาร์ทเม้นท์ผีมากเกินกว่าจะสนใจเฉินเกอ ดังนั้น สำหรับคนนอกแล้ว มันเหมือนกับว่าเฉินเกอกำลังไล่ตามเงานั่นอยู่ อพาร์ทเม้นท์ผีนั้นอยู่ในเขตที่พักหมิงหยางนอกเมืองหลี่ว่าน ตอนที่เฉินเกอมาถึงชานเมืองหลี่ว่าน เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหมอกเลือดที่นี่นั้นหนาตัวขึ้น

“หมอกเลือดนอกเมืองเล็ก ๆ ดูเหมือนจะต่างไปจากที่ในเมือง มันเหมือนหมอกพวกนี้มีบางอย่างที่พิเศษ” เฉินเกอใช้ใจสัมผัสหมอกประหลาดพวกนี้ และเขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังเรียกชื่อของเขามาจากทางตะวันตก เขามองไปในทิศทางนั้นและพบว่าที่รอบ ๆ นั้นเป็นสวนสนุกนิวเซนจูรี่

เงานั่นไม่ได้ให้เวลาเฉินเกอหยุดเพื่อคิดนานนัก มันข้ามถนนที่ไม่มีไฟจราจรและพุ่งเข้าไปในเขตที่พักอาศัย หมอกเลือดปิดบังร่องรอยของมันและเพราะอย่างนั้น เงานั่นจึงหายลับไปต่อหน้าต่อตาเฉินเกอ

เงานั่นหายไปแล้ว แต่ว่าคุณหมอเกานั้นยังตามหลังเฉินเกออยู่ เขาต้องหาทางดึงดูดความสนใจของคุณหมอเกา เฉินเกอหันกลับไปมอง– ดวงตาข้างหนึ่งของคุณหมอเกานั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เส้นด้ายสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพันเกี่ยวอยู่กับหลอดเลือดมากมาย และพวกมันก็ไหลเข้าไปในดวงตาของเขาราวกับน้ำตาสีเทา

“คุณหมอเกายิ่งประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ เสี่ยวปู้เคยบอกว่าวิญญาณสีเลือดที่ย่อยกินคำสาปเข้าไปมากเกินไปจะกลายไปเป็นคำสาปเสียเอง และวิญญาณยิ่งแข็งแกร่ง คำสาปที่มันเป็นก็จะยิ่งน่ากลัวมากขึ้น! ถ้าคุณหมอเกาถูกคำสาปพวกนั้นครอบงำ วิญญาณดวงนี้ที่เป็นวิญญาณสีเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดจะกลายไปเป็นคำสาปชนิดไหนกัน?

“ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว!” เฉินเกอเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังและตะโกนเรียกชื่อของเอี๋ยนต้าเหนียน “คุณสัมผัสถึงตำแหน่งของเหล่าโจวได้หรือเปล่า? เร็วเข้า!”

เหล่าโจวนั้นอาศัยอยู่ในหนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนมาหลายปี และพวกเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน อันที่จริง เฉินเกอก็แค่ลองดู– เขาไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลหรือไม่

แรงกดดันจากวิญญาณสีเลือดนั้นแทบทำให้หายใจไม่ออก เพราะเข้าใจในความหนักเบาของสถานการณ์ หนังสือการ์ตูนในกระเป๋าสะพายเริ่มพลิกเปิดเอง จากนั้นปากกาลูกลื่นที่มีเทปกาวแบบใสพันอยู่ก็เริ่มวาดรูปหนึ่งที่หน้ากระดาษเปล่า เหล่าโจวและเหมินหนานนั้นซ่อนอยู่ในห้องหนึ่ง และที่ด้านนอกหน้าต่างที่ข้างกายพวกเขานั้นสามารถมองไปเห็นสถานีขนส่งที่ชานเมืองหลี่ว่าน

“งั้นพวกเขาก็อยู่ที่นั่นสินะ?” เฉินเกอเงยหน้ามองตึกทั้งสี่หลังของเขตที่พักหมิงหยางก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทางตึกหนึ่งที่ทางซ้ายสุด เขาเคยเข้าไปในตึกนี้พร้อมกับหัวหน้าเอี๋ยนมาก่อน เขาจำได้ว่าเห็นสถานีขนส่งผ่านหน้าต่างบานหนึ่ง ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ผีปากกาก็ร่วมมือกับเอี๋ยนต้าเหนียนมอบเงื่อนงำสำคัญให้กับเฉินเกอ เฉินเกอมุ่งหน้าไปยังตึกหลังนั้นและเรียกซู่อินออกมา

“เหล่าโจว! เหมินหนาน!” เขาร้องเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เมื่อเสียงหลุดออกจากปากของเขา เฉินเกอก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตึกที่ตรงหน้าเขานั้นต่างไปจากตึกในชีวิตจริง!

ในชีวิตจริง เขตที่พักหมิงหยางนั้นเป็นโครงการร้าง หน้าต่างบางบานยังไม่ได้ติด และพื้นก็เป็นแค่ปูนและยังไม่ได้ตกแต่ง แต่ว่า ตึกที่เฉินเกอเห็นนี้สะอาด พื้นปูกระเบื้องผนังทาสีแล้ว และยังมีกระทั่งไฟติดอยู่ตามบันไดและทางเดิน

“ประตูที่เสี่ยวปู้เปิดนั้นอยู่ในเมืองหลี่ว่าน และเธอก็บอกมาแล้วว่าพลังของเธอมาไม่ถึงที่นี่ ดังนั้นเขตที่พักหมิงหยางนั้นจึงไม่ได้สร้างขึ้นตามความทรงจำของเธอ ถ้าอย่างนั้น ทำไมที่นี่ถึงได้ต่างจากสภาพของมันในชีวิตจริง?” ถ้าไม่เพราะว่ามีคุณหมอเกาไล่ตามเขาอยู่ เฉินเกอก็คงไม่คิดจะเข้าไปในสถานที่ประหลาดเช่นนี้อย่างวู่วาม

โลกที่ด้านหลังประตูนั้นสะท้อนโลกจริง บอกถึงฝันร้ายของใครคนหนึ่ง เมื่อมองใกล้ ๆ เขาก็พบว่าบนกำแพงยังมีรูปมากมาย มีเด็ก สัตว์ และของเล่นต่าง ๆ

“นี่ดูเหมือนเป็นเด็กวาด นี่แปลกมาก มันเหมือนความรู้สึกตอนที่ฉันก้าวเข้าไปในบ้านเด็กจิ่วเจียงครั้งแรก”

ไม่มีการตอบรับจากเหล่าโจวหรือว่าเหมินหนาน คุณหมอเกานั้นตามเขามาติด ๆ เฉินเกอนั้นไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องฉลาดที่จะมุ่งหน้าขึ้นบันไดไป เขาอาจจะติดอยู่ที่นี่ถ้าคุณหมอเกาตัดสินใจขวางบันไดเอาไว้

“ฉันควรจะจำกัดการสำรวจของฉันเอาไว้ที่ชั้นแรกและชั้นที่สอง” ด้วยสภาพร่างกายของเฉินเกอตอนนี้ ตราบใดที่เขาระมัดระวังให้มาก เขาย่อมไม่บาดเจ็บจากการกระโดดลงมาจากชั้นที่สอง แต่ว่าเขาก็ไม่มั่นใจว่าาเขาจะยังปลอดภัยดีถ้ากระโดดจากชั้นสาม

่”คุณหมอเกายังอยู่ค่อนข้างห่าง ความเร็วของเขากำลังลดลง แต่เรื่องดีอย่างหนึ่งก็คือหลังจากเงานั่นออกจากเมืองหลี่ว่านมา เสี่ยวปู้ก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สีแดงบนชุดของเธอสดใสขึ้นเรื่อย ๆ”

ขณะที่เฉินเกอเรียกชื่อเหมินหนานและเหล่าโจว เขาก็พุ่งเข้าไปในตึก เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นประตูปิดอยู่ เขาก็จะตวัดค้อนเข้าใส่โดยไม่หยุดคิด

เมื่อประตูเปิดออก ภาพที่ด้านหลังประตูก็ทำให้เฉินเกอประหลาดใจ ไม่มีผี ไม่มีภาพน่ากลัว มีแค่เด็กสองสามคนกำลังวาดรูปอยู่ ดวงตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ไม่รู้ว่าอะไรคือความเกลียดชังและความเจ็บปวด พวกเขากำสีเทียนเอาไว้ในมือและมองเฉินเกออย่างสงสัย

เด็กพวกนี้คือผ้าขาวผืนหนึ่ง เฉินเกอไม่ได้ชื่นชมความไร้เดียงสาของพวกเขา แต่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่สำคัญถูกขโมยไปจากพวกเขา พวกเขาสูญเสียบางอย่างที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ เมื่อมองพวกเขา มันเหมือนมองหุ่นเชิดรูปคนมากกว่า

‘คนร้าย’ พร้อมกับอาวุธหน้าตาน่ากลัวบุกเข้าไปในห้อง แต่พวกเขากลับไม่มีปฏิกริยาอะไรเลย พวกเขายังถือสีเทียนเอาไว้ด้วยสีหน้าว่างเปล่า มองมาที่เฉินเกออย่างโง่งม

“เงานั่นน่าจะทำบางอย่างกับพวกเขา!” เฉินเกอรู้ว่าเขตที่พักหมิงหยางนั้นคืออพาร์ทเม้นท์ผีที่เงาสร้างขึ้น เขาเคยคิดว่าที่นี่จะเป็นที่อยู่ของผีและวิญญาณน่ากลัว ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าเขาใสซื่อขนาดไหน เงานั่นไม่ได้ใจดีพอที่จะให้พวกวิญญาณอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นผู้พักอาศัยที่แท้จริงของเขตที่พักหมิงหยางก็คือเด็กพวกนี้ที่มีคุณค่าบางอย่างกับเงานั่น

“มีใครเห็นคนเดินเข้ามาในนี้ก่อนหน้านี้ไหม?” เด็กไม่ตอบคำถามใด ๆ ของเฉินเกอ พวกเขามองเฉินเกออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับไปวาดรูปต่อ มันเหมือนว่าจิตใจของพวกเขาถูกพรากไป ทิ้งเอาไว้แค่รูปวาดง่าย ๆ ในใจพวกเขา และจุดมุ่งหมายของการมีตัวตนของพวกเขาก็คือใช้สีที่พวกเขาถืออยู่วาดรูปเหล่านี้อย่างไม่จบไม่สิ้น เฉินเกอไปดูหลายห้อง และทุกห้องก็เต็มไปด้วยเด็กประหลาด

“ในชีวิตจริง เขตที่พักหมิงหยางนั้นเต็มไปด้วยตุ๊กตาพัง ๆ ตอนนี้พอคิดดูแล้ว ตุ๊กตาเหล่านั้นแต่ละตัวน่าจะหมายถึงชีวิตมนุษย์จริง ๆ คนหนึ่ง”

ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว เฉินเกอรีบขึ้นไปที่ชั้นสอง พอเขาเปิดประตู เขาก็ไม่ได้หยุดเรียกชื่อเหมินหนาน

“รูปที่วาดโดยผีปากกานั้นชี้มาที่ตึกนี้แน่นอน ดังนั้นมันย่อมหมายความเหล่าโจวกับเหมินหนานอยู่ที่นี่แน่นอน ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมพวกเขาถึงไม่ขานตอบฉัน? ถึงแม้พวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย พวกเขาก็น่าจะตอบอะไรฉันสักหน่อยไม่ใช่หรือไง?”

ข้อความที่ถงถงส่งมานั้นเป็นข้อความขอความช่วยเหลือ เฉินเกอรู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา แต่เขาไม่คิดว่าเรื่องจะซับซ้อนขนาดนี้ เฉินเกอทุบประตูชั้นสอง– แต่ละห้องก็ยังเต็มไปด้วยเด็ก ๆ “แขนขาของเสี่ยวปู้นั้นถูกซ่อนเอาไว้บนขั้นที่สูงขึ้นไป คุณหมอเกาก็อยู่ข้างหลังไปไม่ไกล และถ้าฉันรีบขึ้นไป ฉันก็อาจจะถูกขังเอาไว้จากสองด้านคือเงาและคุณหมอเกา”

ตอนที่เขาลังเล จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากชั้นที่สี่ “เฉินเกอ! ช่วยฉัน! ช่วยฉันด้วย!”

มีคนไม่มากในเมืองหลี่ว่านที่รู้ชื่อจริงเฉินเกอ เฉินเกอหันไปมองและเห็นเจียหมิงยื่นหัวออกมาจากบันไดจนร่างของเขาเกือบจะตกลงมา สีหน้าของเขานั้นเจ็บปวดอย่างสุดแสน ดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนมันจะทะลักออกมา “ช่วยฉัน! พวกเราอยู่ที่นี่ทุกคนเลย!”

ตอนที่เจียหมิงพูด ก็มีเสียงอื่น เฉินเกอนั้นคุ้นเคยกับเสียงนี้– เป็นเสียงของสารวัตรหลี่ “อย่ามาที่นี่! เฉินเกอ! ออกไปจากที่นี่ทันที! บอกทุกอย่างที่เธอเห็นที่นี่ให้หัวหน้าเอี๋ยน! จำไว้! เธอต้องบอกหัวหน้าเอี๋ยน!”

“ถ้าคุณอยากตายก็อย่าลากฉันไปด้วย! เฉินเกอ พวกเราทุกคนอยู่ที่นี่! พาพวกเราไปด้วย! ช่วยพวกเราด้วย!” เจียหมิงดูเหมือนจะประสบกับความเจ็บปวดอันไม่สามารถอธิบายได้ เขาเอาแต่พยายามยืดตัวออกมา เฉินเกอพบว่าข้อมือของเขานั้นมีกุญแจมือใส่เอาไว้ และอีกข้างนั้นก็สวมอยู่กับข้อมือของหลี่เจิ้ง

หลี่เจิ้ง เจียหมิง มือกรรไกร และคนที่เหลือที่หายตัวไปจากบ้านของฟ่านฉง ตอนนี้ พวกเขาจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวที่นี่ นี่ทำให้เฉินเกอรู้สึกสงสัยขึ้นมา ปกติแล้ว เฉินเกอมักจะสังเกตการณ์ต่ออีกครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจ แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้นั้นผิดปกติเกินไป

คุณหมอเกากำลังไล่ตามมา และเขาจะมาถึงในไม่ช้า เขาไม่มีเวลาคิดมากนัก และร่างกายของเขาก็ขยับขึ้นบันไดไปตามสัญชาตญาณ เขาไม่สนใจชีวิตของเจียหมิง แต่ว่าเขาต้องช่วยสารวัตรหลี่ นานมาแล้ว ตอนที่เฉินเกอสู้กับสมาคมเล่าเรื่องผีเป็นครั้งแรกที่อพาร์ทเม้นท์ฟางฮวา เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้นั้นช่วยเขาเอาไว้ครั้งใหญ่ด้วยการซื้อเวลาให้เขาในช่วงเวลาที่คับขันที่สุด เฉินเกอไม่ได้เห็นตัวเองเป็นเทพเจ้า แต่ว่าเขาจดจำทุกน้ำใจที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา

“สารวัตรหลี่พูดถึงหัวหน้าเอี๋ยนก่อนหน้านี้ แต่ทำไมผมถึงต้องบอกทุกอย่างที่เห็นที่นี่ให้หัวหน้าเอี๋ยนฟังด้วย? เขาเป็นอะไรที่มากกว่าที่เห็นเหรอ?”

วิ่งไปถึงชั้นสี่ เฉินเกอเห็นหลี่เจิ้งและเจียหมิงที่ถูกคุมตัวเอาไว้ ขาและแขนของพวกเขาถูกมัดเอาไว้ เด็กหลายคนผลักพวกเขาเข้าไปอยู่ตรงกลางบันได เมื่อพวกเด็ก ๆ เห็นเฉินเกอ พวกเขาก็กระจายตัวออก

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่น่ะ?” เฉินเกอตัดเชือกและช่วยหลี่เจิ้งลุกขึ้น เขากำลังจะถามคำถามอื่น ๆ ตอนที่เสียงประหลาดดังมาจากชั้นบน เขาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นร่างกายครึ่งหนึ่งของมือกรรไกร ชายขี้เมาและคุณหมอถูกผลักเข้าไปในช่องบันไดและเด็กพวกนั้นก็กอดขาพวกเขาเอาไว้

พวกเขาทั้งสามคนอยู่บนชั้นที่เจ็ด ไม่ใกล้เกินไปและไม่ไกลเกินไป

“เงานั่นบังคับให้ฉันต้องขึ้นไปชั้นบนใช่ไหมฮึ?” เฉินเกอเข้าใจความตั้งใจของเงานั่นได้ทันที

“ทิ้งพวกเราไว้! คุณต้องออกไป! นี่เป็นกับดัก!” ชายชี้เมาตะโกน น้ำเสียงฟังดูกล้าหาญทีเดียว

“ถ้ามีแค่เงาเดียว เขาก็คงไม่สามารถควบคุมคนมากมายในเวลาเดียวกัน…” ตอนที่เฉินเกอกำลังคิด เสียงตูมดังลั่นมาจากข้างนอกตึก โซ่ที่เต็มไปด้วยใบหน้ามนุษย์กระแทกเข้ากับผนังตึก

“คุณหมอเกามาถึงแล้ว” เฉินเกอกำหมัด เรียกซู่อินออกมา เขาให้วิญญาณถือใบปลิวเอาไว้แล้วมุ่งหน้าไปยังตึกอื่นเพื่อชักนำคุณหมอเกาไป

“คุณคิดว่าฉันไม่มีวิญญาณสีเลือดตนอื่นนอกจากซู่อินหรือไง?” เฉินเกอดึงค้อนออกมาแล้วเริ่มออกวิ่งขึ้นบันไดไปเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะมีไพ่ตายมากกว่าที่ฉันมี! หลังจากฉันจัดการกับแก ฉันจะไปพบปะเพื่อเก่าของฉัน คุณหมอเกา”

เลือดซึมออกมาจากกระจกหน้าต่าง เปื้อนไปบนรูปวาดที่บนกำแพง ทำให้มันดูไม่เป็นมงคลยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

“ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับความตาย ผมก็จะไม่ยึดเอาอิสระเสรีของเธอมา นอกจากนี้ ผมอยู่โดยไม่มีเงามานานขนาดนี้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าผมก็อยู่อย่างสบายดีไม่ใช่เหรอ? ทุกปัญหามีทางแก้ และผมก็แน่ใจว่าเรื่องนี้น่ะมีวิธีแก้ไขวิธีอื่น”

เฉินเกอนั้นเป็นคนมองโลกในแง่ดี ต่อให้เขาจะไม่ได้หล่อเหลา แต่ก็มีบางอย่างในตัวเขาที่ดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ มอบความหวังบางอย่างให้กับคนที่ใกล้ชิดกับเขา

สีหน้าของเสี่ยวปู้ไม่เปลี่ยน เลือดที่บนกำแพงทวนซ้ำคำถามเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเธอพยายามทำให้แน่ใจว่าเฉินเกอคิดดีแล้ว สำหรับคนที่ได้รับความเสียใจซ้ำ ๆ พวกเขาก็เลือกที่จะทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดที่มากขึ้นมากกว่าจะเชื่อถือในตัวคนอื่น นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาตระหนักดีว่าเมื่อคนผู้หนึ่งไว้วางใจคนผิดแล้วนั้นมันเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดกรีดร่างมากนัก

“ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง เธอเคยพบพ่อกับแม่ของผม พวกท่านได้บอกอะไรเธอไหม? อย่างเช่นพวกท่านวางแผนจะทำอะไรต่อไป สถานที่ที่พวกท่านน่าจะไป?”

ในตอนแรกเลย เฉินเกอนั้นทุ่มทุกอย่างที่เขามีไปกับบ้านผีสิงเพราะเขาต้องการเก็บสิ่งเดียวที่พ่อกับแม่ของเขาทิ้งไว้เอาไว้ให้ได้ เขาต้องการปกป้องมันไว้ด้วยทุกอย่างที่เขามี การตามหาพ่อกับแม่กลายเป็นเป้าหมายของเขา ดังนั้นตอนนี้ที่เงื่อนงำหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาย่อมคว้ามันเอาไว้แน่น

เสี่ยวปู้ดูเหมือนจะรู้ว่าเฉินเกอจะถามคำถามพวกนี้ เลือดไหลออกจากหน้าต่างมากขึ้น และประโยคเลือดอีกประโยคก็ปรากฏขึ้นบนกำแพง “พวกเขาไม่ได้บอกหนูตรง ๆ ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน แต่ว่าพวกเขาพูดถึงโรงพยาบาลกลางซินไห่ตอนที่พวกเขาคุยกัน”

“โรงพยาบาลต้องสาป?” หนึ่งในสองภารกิจระดับสี่ดาวที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้” เฉินเกอเอนตัวเข้าหากำแพงและจมไปในภวังค์ความคิด “เงานั่นเกี่ยวข้องกับผีทารก และการหายตัวไปของพ่อกับแม่ของฉันก็เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลกลางซินไห่ เป็นฉากระดับสี่ดาวทั้งคู่… ฉันยังไม่อยากรับมือกับพวกเขาตอนนี้ นอกจากนี้ ฉากระดับสี่ดาวที่จิ่วเจียงตะวันตก– โรงเรียนแห่งปรโลก– ก็กำลังจะหมดเวลาในไม่ช้าแล้ว หลังจากออกจากเมืองหลี่ว่าน ฉันควรจะไปทำภารกิจนั้นก่อน”

สำหรับภารกิจทดลองที่โทรศัพท์เครื่องดำให้นั่น การเพิ่มขึ้นหนึ่งดาวนั้นหมายถึงระดับความยากของภารกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก พูดกันตามตรง เฉินเกอนั้นไม่มีความมั่นใจเต็มที่ว่าเขาจะสามารถรับมือกับฉากระดับสี่ดาวได้

“ไม่เป็นไร นี่ยังไม่ใช่เวลามาจัดการกับเรื่องนี้ ฉันควรจะตั้งใจกับเรื่องตรงหน้าก่อน” เฉินเกอขยับไปหาเสี่ยวปู้ เขาอยู่ใกล้กับเด็กหญิงมากแล้ว แต่ว่าเสี่ยวปู้ก็ไม่มีทีท่าจะหลบหรือว่ารำคาญ นี่ทำให้ฟ่านฉงที่จับตามองอยู่ข้าง ๆ เหงื่อตก อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง

“พ่อกับแม่ของผมบอกข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเงาไว้ไหม? บางอย่างเช่นจุดอ่อนของมันหรืออะไรคล้าย ๆ แบบนั้น?” เฉินเกออยากจะได้ข้อมูลจากเสี่ยวปู้มากขึ้น แต่ว่าปฏิกริยาของเสี่ยวปู้ก็ทำให้เขาผิดหวัง เลือดที่บนกำแพงเริ่มขยับอีกครั้งก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นประโยคเจ้ากรรมนั่น “คนที่ไม่มีเงาไม่ใช่คนของโลกนี้”

เด็กคนนี้น่าจะรู้มากกว่าที่เธอพูด ฉันสงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกฉัน เฉินเกอยืนขึ้น ฟ่านฉงงุนงงเมื่อได้ยินเฉินเกอเรียกเสี่ยวปู้ แต่หลังจากที่เขาคิดดูแล้ว วิญญาณสีเลือดตนนี้อันที่จริงก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

“ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?” เฉินเกอหันไปมองฟ่านฉง ฝ่ายหลังนั้นมีรอยยิ้นจนปัญญาบนหน้า

“อย่าถามผมสิ คำถามที่คุณถามผมเมื่อกี้ก็เป็นคำถามที่ผมก็อยากถามคุณเหมือนกัน”

ฟ่านฉงนั้นบอกเฉินเกอทุกอย่างเกี่ยวกับเกมแล้ว ตอนนี้เขาต้องการให้เฉินเกอตัดสินใจ

“รอยเปื้อนรูปคนนั้นเป็นอุปสรรคใหญ่ เทียบกับพวกวิญญาณแล้ว พวกมันมีจิตมุ่งร้ายกว่ามากและยังเป็นสิ่งที่บางคนจงใจสร้างขึ้น พวกมันสร้างขึ้นจากความคิดชั่วร้ายล้วน ๆ และยังไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลือในตัวอีกต่อไป” สิ่งเหล่านี้นั้นไม่มีประโยชน์กับพวกเขาเลยสักนิด วิญญาณนั้นอาจจะได้รับผลกระทบหากพวกเขาสัมผัสเข้ากับรอยเปื้อน ดังนั้นเฉินเกอจึงไม่ยินดีที่จะให้พนักงานของเขาเสี่ยง

“วิญญาณสามารถกลืนกินและย่อยพวกมันได้ ยิ่งวิญญาณแข็งแกร่ง คำสาปที่พวกเขาสามารถกลืนกินได้ก็มากขึ้นเท่านั้นโดยไม่ได้รับผลกระทบอะไร ถ้านี่คือความกังวลของคุณ หนูสามารถช่วยคุณเปิดทางได้” เลือดที่บนกำแพงขยับเป็นประโยคนี้ เสี่ยวปู้นั้นมีวิธีการจัดการกับรอยเปื้อนรูปคน “คำสาปตัวเล็กสามารถกดเอาไว้ได้ มีเพียงแค่คำสาปตัวใหญ่ที่จะส่งผลด้านลบกับวิญญาณ”

“เธอเรียกพวกมันว่าคำสาป?” เพราะอะไรสักอย่าง เฉินเกอนึกถึงฉากระดับสี่ดาวในโทรศัพท์เครื่องดำ– โรงพยาบาลต้องสาป

“ความคิดที่ยังเหลืออยู่หลังจากตายไปสามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นสิ่งที่แตกต่างกันมากมาย– วิญญาณสัมภเวสี คำสาป สิ่งเหนือธรรมชาติ และอื่น ๆ รอยเปื้อนเหล่านี้คือคำสาป สร้างขึ้นจากความโชคร้ายและจิตมุ่งร้ายเพียงอย่างเดียว”

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวิญญาณกินและย่อยคำสาปมากเกินไป?” เฉินเกอถาม

“พวกเขาก็จะกลายไปเป็นคำสาปใหม่ ยิ่งวิญญาณแข็งแกร่ง คำสาปที่พวกเขาเปลี่ยนไปเป็นก็จะยิ่งชั่วร้าย” เลือดที่บนกำแพงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เสี่ยวปู้นั้นไม่ได้พูดอะไรสักคำ และเธอก็ยังคงใช้วิธีการนี้ในการสื่อสารกับเฉินเกอ

“ของอย่างคำสาปนี่ควบคุมได้ไหม? จากที่เธอพูด คำสาปเหล่านี้ทำลายทุกอย่างที่อยู่ในสายตา พวกมันไม่สามารถจัดการได้เลย แต่ทำไมเงานั่นถึงสามารถทำอย่างนั้นได้ เขาทำอย่างไรกัน?”

“หนูก็ไม่รู้ บางทีเงานั่นอาจจะมีวิธีการของตัวเอง หรือบางทีเงานั่นอาจจะเป็นคำสาปหนึ่งก็ได้” อักษรเลือดที่บนกำแพงทำให้เฉินเกอตกตะลึงไปอีกครั้ง

“เงานั่นอาจจะเป็นคำสาปเองก็ได้?” ยิ่งเฉินเกอคิด มันก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ พ่อกับแม่ของเขานั้นคงไม่ทำเงาของเขาหายไปโดยไม่มีเหตุผล บางทีเขาอาจจะถูกสาปตอนที่ยังเด็ก และจากนั้นพ่อแม่ของเขาก็อาจจะส่งต่อคำสาปไปยังเงาของเขา แต่ว่า เขาไม่สามารถแบ่งปันความคิดนี้กับคนอื่นได้– เขาเก็บมันไว้กับตัวเอง

“ถ้าเงานั่นเองก็เป็นคำสาป อย่างนั้นมันก็เข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงเลือกเมืองหลี่ว่านเป็นรังของตัวเอง เขาต้องการใช้ประโยชน์จากคำสาปและความแค้นที่ถูกฝังลึกอยู่ใต้เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้” คำสาปคือไพ่ตายของเงานั่น และมันก็เพราะปัญหานี้ที่ขวางทางเฉินเกอ

“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากไป กระทั่งคำสาปยังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ดังนั้นการควบคุมที่เงานั่นมีเหนือพวกมันน่าจะเป็นเหมือนการกระตุ้นบางอย่าง มันไม่สามารถควบคุมคำสาปได้อย่างใจคิด หนูบอกคุณก่อนหน้านี้แล้ว คำสาปน่ะสร้างขึ้นจากความชั่วร้ายเพียงอย่างเดียว มีสิ่งประหลาดมากมายในเมืองหลี่ว่าน พวกมันสามารถช่วยเราดึงดูดความสนใจบางส่วน ดังนั้น พวกเราแค่ต้องออกจากเมืองหลี่ว่านให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเป็นคำสาป”

เฉินเกอมองอักษรเลือดที่บนกำแพงและอารมณ์ในดวงตาของเขาก็อ่อนลง ในเมื่อเสี่ยวปู้นั้นยินดีจะสื่อสารกับเขาอย่างเปิดเผย นี่หมายความว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นใกล้ชิดกันมากขึ้น

“เอาละ พวกเราต้องออกไปจากที่สี่ก่อน พวกเราจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ข้างนอกนั่น”

ในห้อง ฟ่านฉงมองเฉินเกอกับเสี่ยวปู้ และไขมันบนร่างของเขาก็สั่นระริกไม่หยุด

เขารู้ว่าเฉินเกอนั้นเป็นมิตร แต่เขาก็อดตัวสั่นอย่างหวาดกลัวจากหัวใจไม่ได้ สิ่งที่เขาเห็นนั้นประหลาดเกินไป ผู้ชายคนหนึ่งกับอาวุธสังหารยืนอยู่ข้าง ๆ วิญญาณสีเลือดที่ไม่มีแขนขา วิญญาณไม่พูดอะไรสักคำ และชายหนุ่มก็เอาแต่อ่านอักษรเลือดที่เปลี่ยนไปมาบนกำแพงพร้อมกับแววตาเมตตาและอ่อนโยน

“ฉันเข้ามายุ่งกับเรื่องวุ่นวายนี่ได้ยังไง? ฉันแค่อยากกลับบ้าน…”

เฉินเกอนำทางทั้งกลุ่มมาถึงที่ลิฟท์ “มีห้องมากมายที่นี่ พวกเราแน่ใจใช่ไหมว่าไม่พลาดอะไรไป?”

มองประตูที่ปิดอยู่ เฉินเกอก็ถามยิ้ม ๆ “เสี่ยวปู้ เธออยู่ที่นี่มาตั้งนาน เธอได้ผูกมิตรกับเพื่อนบ้านบ้างไหม? พวกเราพาพวกเขาไปด้วยได้นะ”

เสี่ยวปู้ส่ายหน้า– เธอยังคงต้องการเวลาเพื่อคุ้นเคยกับความใจดีเกินเหตุของเฉินเกอ เฉินเกอกดปุ่มเรียกลิฟท์ เมื่อประตูเปิด มือของฟ่านฉงก็เลื่อนไปปิดปากและจมูกของตัวเอง ภายในลิฟท์นั้นเต็มไปด้วยเลือดและรอยมีด และทั้งกลุ่มจากก่อนหน้านี้ก็หายไปหมดแล้ว

“ไม่เป็นไร คุณจะคุ้นเคยกับมันเอง” เฉินเกอก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาจะต้องปลอบฟ่านฉงด้วย พวกเขาเดินเข้าไปในลิฟท์ ขึ้นไปที่ชั้นด้านบนอย่างช้า ๆ แต่เสียงประหลาดจากด้านบนนั้นหายไปหมดแล้ว พอกลับมาถึงชั้นแรก ตอนที่ประตูลิฟท์เปิดออก เฉินเกอก็กำค้อนเอาไว้ ห้องโถงเงียบเชียบ ไม่มีเสียงกรีดร้องหรือร้องขอความช่วยเหลือ น่าแปลก ว่าไม่มีแอ่งเลือดหรือว่าศพเช่นกัน

“คนพวกนั้นไปไหนหมดแล้ว?” เฉินเกอใช้ดวงตาหยินหยางของเขามองไปรอบ ๆ หมอกเลือดนั้นบางลงกว่าก่อนหน้า บางครั้งเขาก็มองเห็นเงาวับแวมเดินอยู่บนถนนและพวกมันทั้งหมดก็เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน

“มีบางอย่างกำลังดึงดูดรอยเปื้อนรูปคนเหล่านี้”

“คำสาปทั้งหมดนั้นเคลื่อนที่ไปทางประตู” เสี่ยวปู้ยังไม่พูดสักคำ ตัวอักษรก็ก่อตัวจากหมอกเลือดในที่อากาศ ในฐานะผู้เปิดประตู เธอเป็นเจ้าของแท้จริงของหมอกเลือดเหล่านี้ แต่นั่นกลับถูกเงาใช้กำลังบังคับยึดไป

“เธอสามารถดึงหมอกคืนกลับจากเงานั่นได้มากแค่ไหน?” แผนการหนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเฉินเกอ

“ประมาณครึ่งหนึ่ง แขนขากับหัวของหนูถูกเงานั่นซ่อนไว้ที่ด้านนอกเมืองหลี่ว่าน มันอยู่นอกอาณาเขตที่หนูมีอิทธิพล นอกจากนี้ เงานั่นยังครอบครองหัวใจของหนูอยู่ และเขาก็อยากจะใช้หัวใจควบคุมประตู” ทุก ๆ ถ้อยคำนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเสี่ยวปู้ คนอ่านอย่างเฉินเกอและฟ่านฉงรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดที่ได้รู้เรื่องราวของเธอ

“ไม่แปลกใจเลยที่เงานั่นสร้างอพาร์ทเม้นท์ผีเอาไว้ที่ด้านนอกเมืองหลี่ว่าน เมืองหลี่ว่านถูกใช้ในการสั่งสมความสิ้นหวังและความรู้สึกด้านลบขณะที่เขตที่พักหมิงหยางนั้นถูกใช้เพื่อกดเสี่ยวปู้เอาไว้ เพื่อให้เสี่ยวปู้ทำตามคำสั่งของเขา เขาวางแผนทั้งหมดเอาไว้” เฉินเกอบอกเสี่ยวปู้ให้หยุดควบคุมหมอกเลือดก่อนสำหรับตอนนี้เพื่อให้พวกเขาไม่ดึงดูดความสนใจของเงานั่น “เพื่อนหลายคนของผมออกจากเมืองหลี่ว่านไปค้นหาที่อพาร์ทเม้นท์ผี ผมแน่ใจว่าพวกเขาจะกลับมาพร้อมกับแขนขาและหัวของเธอในไม่ช้า หลังจากนั้น เธอจะทำให้เงานั่นประหลาดใจกับการกลับมาของเธอ และพวกเราจะร่วมมือกันกำจัดเงานั่น”

แผนการของเฉินเกอนั้นเป็นไปได้ แต่เสี่ยวปู้ดูเหมือนจะไม่คิดอย่างนั้น “คุณฆ่าเขาไม่ได้”

“ทำไม?” เฉินเกอถามเหตุผล แต่ว่าเสี่ยวปู้ไม่ได้ตอบ ไม่ว่าเฉินเกอจะถามอะไรหลังจากนั้น เสี่ยวปู้ก็ไม่ตอบเขาแล้ว พวกเขาเดินไปตามถนนเมืองหลี่ว่าน เสี่ยวปู้นั้นคุ้นเคยกับผังเมืองหลี่ว่าน นี่เป็นประตูที่เธอเป็นคนเปิด ดังนั้นพูดตามทฤษฎีแล้ว โลกที่ด้านหลังประตูนั้นสร้างขึ้นจากความทรงจำของเธอ

ด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวปู้ เฉินเกอและฟ่านฉงจึงหลีกเลี่ยงอันตรายทั้งหมดและไปถึงที่เขตที่พักของฟ่านฉง ประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของหมอกเลือดนั้นเกาะกลุ่มกันอยู่ที่นั่น และสิ่งที่น่ากลัวก็คือ คำสาปที่รวมตัวกันอยู่นานแค่ไหนไม่รู้ในเมืองหลี่ว่านนั้นล้วนปรากฏตัวอยู่ในหมอกเลือดด้วยเช่นกัน

พวกมันเปลี่ยนไปเป็นเส้นด้ายสีดำที่พันอยู่รอบร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางหมอก เส้นด้ายสีดำตรึงเงาร่างที่ว่าเอาไว้กับพื้น ไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินต่อได้แม้แต่ก้าวเดียว

“เสี่ยวปู้ วิญญาณสีเลือดตนหนึ่งจะกินคำสาปได้มากแค่ไหน?” เฉินเกอนั้นกลัวว่าเสี่ยวปู้จะไม่ตอบ ดังนั้นจึงเสริม “ผู้ชายคนที่สู้กับเงานั่นตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุดในหมู่วิญญาณสีเลือด ครั้งหนึ่งเขาเคยแบกรับอารมณ์ด้านลบที่ด้านหลังประตูเอาไว้ได้ด้วยตนเอง ตัวตนเช่นนั้นจะสามารถต่อต้านคำสาปที่สั่งสมอยู่ในเมืองหลี่ว่านได้ไหม?”

เสี่ยวปู้ส่ายหน้า “ไม่ แต่เขาสามารถต้านทานคำสาปได้ระยะเวลาหนึ่ง”

“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอโบกมือให้ฟ่างฉงตามเขาไป “อย่างนั้น พวกเราจะปล่อยให้พวกเขาสู้กันก่อนตอนนี้”

“พวกเราจะแค่ซ่อนตัวแอบมองอยู่จากด้านข้างเหรอ?” ฟ่านฉงงุนงง “พวกเขากำลังคุมเชิงกันอยู่ นี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเรา ไม่ว่าจะหนีหรือว่าจะลอบโจมตี พวกเราจะทำอะไรก้ได้!”

เฉินเกอนั้นสัญญาว่าจะฆ่าเงานั่น แต่เมื่อพวกเขามาถึงที่ เฉินเกอมองไปรอบ ๆ และบอกให้พวกเขาหาที่ซ่อน นั่นดูไม่ถูกต้องเท่าไหร่

“พวกเราจะลงมือเมื่อพวกเขาสู้กันเสร็จ ทั้งสองฝ่ายนี้มีความลับมากเกินไป พวกเราประมาทไม่ได้ นอกจากนี้ ยิ่งพวกเขาดึงดันกันนานเท่าใด ก็ยิ่งดีกับพวกเรา เมื่อพวกเราเจอชิ้นส่วนที่หายไปของประตู พวกเราก็จะได้เปรียบ พวกเราจะลงมือตอนนั้น” เฉินเกอมองไปยังหมอกเลือดที่รวมตัวกันอยู่ที่นั่น “พวกเขาไม่มีใครเรียกได้ว่าเป็นมิตร ดังนั้น ทางเลือกเดียวแห่งชัยชนะก็คือเอาชนะพวกเขาทั้งคู่”

“คุณวางแผนจะจัดการกับพวกเขาพร้อมกัน?” ฟ่านฉงกุมหน้าอกตัวเอง เขาไม่กล้าถามต่อแล้ว ทุกอย่างนั้นเร็วเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้แล้ว

“เงานั่นน่าจะสามารถสู้กับพลังของคุณหมอเกาได้ด้วยการใช้หมอกเลือดและคำสาปที่ฝังอยู่ในเมืองหลี่ว่าน ถ้าเขาไม่ได้ครอบครองไพ่ตายใบอื่นอีก เขาน่าจะเป็นฝ่ายที่แพ้ก่อน” เฉินเกอเข้าใจว่าคำสาปนั้นจำต้องใช้เวลากว่าที่มันจะเริ่มส่งผลชั่วร้าย และในช่วงเวลานั้น คุณหมอเกาน่าจะจัดการกับเงานั่นได้

“เงา? คุณหมอเกา? ฟังเหมือนคุณคุ้นเคยกับพวกมันทั้งคู่อ่ะ” ฟ่านฉงไม่ได้คาดว่าเฉินเกอจะตอบ และเขาก็ลดเสียงลงเป็นกระซิบ ใบปลิวสมาคมเล่าเรื่องผีนั้นอยู่กับซู่อิน แต่ว่าคุณหมอเกาน่าจะรู้สึกได้ว่าใบปลิวนั้นใกล้เข้ามา และเขาก็ยิ่งบ้าคลั่ง ในทะเลสีเลือด โซ่สะบัดไม่หยุดยั้ง เกิดเสียงโลหะกระแทกดังก้องไม่หยุด

“หมอเกาแข็งแกร่งขึ้นเพียงนี้ได้อย่างไร? เขาประสบกับอะไรมาบ้างที่ด้านหลังประตู? เขากลืนกินวิญญาณสีเลือดเข้าไปเยอะมากใช่ไหม?” เฉินเกอไม่เข้าใจ ตอนที่เขาอยู่ที่หมู่บ้านโลงศพ ผีที่ด้านในบ่อน้ำนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากเธอเข้าประตูไป แต่ว่าเธอต่างจากคุณหมอเกา ทั้งหมดที่เธอต้องการก็คือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ให้ความสนใจแต่กับการแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่

ขณะที่เขาสนใจกับการไขปริศนานี้ โทรศัพท์ของเฉินเกอเองจู่ ๆ ก็สั่น เขารีบดึงมันออกมาดู มีข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน “จากถงถง พวกเขาทำสำเร็จแล้ว?”

แต่ว่า หลังจากอ่านข้อความ ทั้งหมดที่เฉินเกอทำได้ก็คือขมวดคิ้ว มีข้อความสั้น ๆ เพียงว่า “เด็กเยอะมาก! รีบมา!”

“ดูเหมือนว่าทางนั้นจะเกิดบางอย่างขึ้น” เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ลงไป และไม่ยอมเสียเวลาเปล่า เขาเรียกฟ่านฉงและเสี่ยวปู้มา พวกเขาวิ่งไปทางชานเมืองหลี่ว่าน

ตอนที่เฉินเกอตัดสินใจนั้น ทะเลเลือดที่ด้านหลังเขาจู่ ๆ ก็ระเบิดออก เงาที่ดูเหมือนเฉินเกออย่างน่าสงสัยนั้นไถลออกมา พุ่งมาทางอพาร์ทเม้นท์ผีที่ชานเมืองหลี่ว่าน

หมอกเลือดสลายไป และเสียงที่ราวกับดังมาจากนรกก็ก้องอยู่ในหูทุกคน “เฉินเกอ…”

เสื้อคลุมหมอสีขาวนั้นย้อมเป็นสีแดงไปหมดแล้ว และสีแดงนั้นยังสดใสยิ่งกว่าสีเลือด

โซ่เส้นดำหนาหนักขดอยู่รอบ ๆ เสื้อคลุมสีขาว ท่อนล่างของชายคนนั้นละลายเป็นเลือดสีแดงเข้ม เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ว่าเขาดูราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด

ดวงตาของเขาที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยปัญญาตอนนี้เป็นสีแดงไปหมดแล้วช้อนมองขึ้น เฉินเกอและเงานั่นสะท้อนอยู่ในม่านตาของเขาทั้งคู่

“เฉินเกอ…”

คุณหมอเกา!

เฉินเกอเร่งฝีเท้าพุ่งตัวไปให้ไกล “ดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียสติไปแล้วแต่ทำไมอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วเขายังจดจำได้อีก? นี่เป็นเพราะว่าฉันทิ้งความทรงจำไว้ให้เขาลึกซึ้งเกินไปงั้นเหรอ?”

บุหรี่ที่คุ้นเคยปลุกความทรงจำของเฉินเกอขึ้นมา เขาไม่เคยเป็นคนที่อ่อนไหวมากนัก แต่ว่าตอนนี้ ฝีเท้าของเขาชะลอลงจนหยุดอยู่กับที่

“มีสิ่งต่าง ๆ ที่พวกพ่อกับแม่ปิดบังไว้จากผมมากมายเท่าไหร่กันเพียงเพื่อจะทิ้งผมเอาไว้และยังมาในที่ที่อันตรายนี้ด้วยตัวเองอีก?” เฉินเกอเคาะประตู แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ จากนั้นเขาจึงร้องเรียกเบา ๆ “มีใครอยู่ที่นี่ไหม?”

ตอนที่เขาเพิ่งพูดจบ ก็มีเสียงประหลาดใจและดีใจดังมาจากด้านในห้อง “บอสเฉิน?”

ล็อกที่ด้านหลังประตูหลุดออกจากที่และระบบล็อกที่ซับซ้อนกว่าก็เริ่มขยับ หลังจากนั้นเป็นนาน ประตูที่ดูธรรมดาที่ด้านนอกในที่สุดก็เปิดออก ฟ่านฉงในชุดนอนยืนอยู่หลังประตู บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตา ตอนที่ชายหนุ่มร่างอ้วนเกินร้อยกิโลกรัมผู้นี้เห็นเฉินเกอ เขาก็พุ่งเข้าไปหาฝ่ายหลัง เตรียมจะฝังเฉินเกอเอาไว้ในอ้อมกอดหมี ๆ

“ควบคุมตัวเองหน่อย” เฉินเกอก้าวถอยไปก้าวหนึ่ง เขามองเห็นเลยว่าฟ่านฉงตื่นเต้นแค่ไหน

“ผมรู้ว่าคุณจะมา! บอสเฉิน คุณไม่รู้หรอกว่าผมหวุดหวิดจะไม่ได้เห็นคุณอีกครั้งแค่ไหน!” เสียงของฟ่านฉงเริ่มแตกพร่าขณะเล่าเรื่องของเขาออกมา เขามีหลายอย่างที่จะบอกเฉินเกอ แต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน เขาย่ำเท้าเดินกลับไปกลับมาในห้อง ไขมันเป็นชั้นที่ท้องของเขากระเพื่อมไปทุก ๆ ก้าวย่างของเขา

“สงบใจลงก่อน คุณมีโทรศัพท์อยู่กับตัวไหม? พวกเราคุยโทรศัพท์กันเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ดังนั้นให้ผมตรวจดูบันทึกโทรศัพท์ของคุณหน่อย” เฉินเกอกำลังทดสอบฟ่านฉง ตอนที่ฟ่านฉงหายตัวไป เขาทิ้งโทรศัพท์เอาไว้ในห้อง อันที่จริง เป็นฟ่านต้าเตอที่เป็นคนหยิบโทรศัพท์ฟ่านฉงขึ้นมาแล้วคุยกับเฉินเกอสั้น ๆ

“ผมไม่มี ผมรีบร้อนมากตอนที่พยายามหนี และผมก็ทำมันหล่นไว้ในห้อง” ฟ่านฉงชี้ไปที่ชุดนอนที่ใหญ่เป็นพิเศษของเขาที่ไม่มีกระเป๋าเลยสักใบ เฉินเกอพยักหน้าและมองเข้าไปในห้อง นี่เป็นห้องเช่าธรรมดา ๆ ห้องหนึ่ง มีเตียง โต๊ะ และพัดลมไฟฟ้า– ไม่มีอะไรกระโจนเข้าใส่เฉินเกอ

“ทำไมคุณถึงมาซ่อนอยู่ในที่แบบนี้ได้? ใครพาคุณมาที่นี่?” เฉินเกอนั้นยังอยู่ภายใต้ความคิดที่ว่าฟ่านฉงถูกเงานั่นลักพาตัวไป แต่จากที่เห็น มันดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น

“ที่นี่เป็นชั้นใต้ดิน จะมีหน้าต่างอยู่ในห้องไปเพื่ออะไรกัน? นี่เป็นวิธีการหลอกตัวเองอย่างหนึ่งหรือไง?” เฉินเกอกำค้อนแน่นและยืนอยู่ที่ประตูกลัวว่านี่จะเป็นกับดัก

“เธอพาผมมาที่นี่” ฟ่านฉงดึงม่านหนาหนัก กำแพงปูนที่มองเห็นอยู่ด้านนอกหน้าต่างนั้นมีรูปวาดที่ดูเหมือนจะวาดขึ้นด้วยสีเทียนถูก ๆ มีภูเขา แม่น้ำ และพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง ดอกไม้ที่ไม่มีวันเหี่ยวเฉาและครอบครัวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

สายตาของเฉินเกอตามการเคลื่อนไหวของม่านไปก่อนที่จะไปหยุดลงที่มุมหนึ่งของกรอบหน้าต่างที่มีเด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ เธอสวมชุดสีแดงมองไปที่รูปวาดบนกำแพงปูนเหมือนมันเป็นศิลปะที่ไร้กาลเวลาชนิดหนึ่ง

“เสี่ยวปู้?” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉินเกอเห็นเด็กหญิงคนนี้ แต่ทุกครั้ง ความรู้สึกที่เขาได้รับจากเธอล้วนต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง บางครั้งเธอมาเพื่อเตือน บางครั้งไม่แยแส และครั้งนี้ มันดูจนปัญญา

“เป็นเธอที่ลากผมหนีมาตอนที่พวกเราคุยกันก่อนหน้านี้” ดวงตาของฟ่านฉงกระตุกเหมือนเขายังกลัวอยู่เมื่อคิดกลับไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น “คืนนี้ ที่กลับมาบ้านไม่ใช่พี่ชายผม เป็นคนอื่น ผมยังไม่อยากจะเชื่อ ผมไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติเลยและอยู่ห้องเดียวกับเขามาตั้งนาน”

“พี่ชายของคุณถูกแทนที่ด้วยเงา?” สิ่งที่ฟ่านฉงพูดนั้นเข้ากับได้กับความสงสัยก่อนหน้านี้ของเฉินเกอ “นี่คือสิ่งที่เสี่ยวปู้บอกคุณ?”

“ใช่ พี่ชายผมไม่ได้กลับบ้านคืนนี้ และผมก็เป็นห่วงเขา” ฟ่านฉงนั่งลงบนเตียง และโครงเตียงเก่า ๆ ก็ลั่นเอี๊ยดจากน้ำหนักตัว มันเหมือนกำลังจะพังลงตอนไหนก็ได้ เทียบกับขนาดตัวเขาแล้ว เตียงนี่ดูเล็กมาก

“เตียงนี่ดูเหมือนจะเตรียมไว้ให้เด็ก” ฟ่านฉงอธิบายขณะแอบชำเลืองไปทางเสี่ยวปู้ เขากังวลว่าเขาจะทำเตียงพังเหมือนกัน

“เตรียมไว้ให้เด็ก?” เฉินเกอนั้นจับคำที่ฟ่านฉงใช้ได้อย่างรวดเร็ว “ในโทรศัพท์ คุณบอกผมว่าหลังจากเคลียร์เกมได้ เสี่ยวปู้เข้ามาในตึกนี้ ตึกนี้มีอะไรพิเศษ? มันดูไม่ต่างไปจากตึกอื่น ๆ ในเมืองหลี่ว่านไม่ว่าจะมองจากด้านในหรือด้านนอก”

“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมได้ยินเรื่องนี้จากเสี่ยวปู้เหมือนกัน หลายปีก่อน เกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองหลี่ว่าน และนี่ก็เป็นเพียงตึกเดียวที่พ้นจากการติดเชื้อมาได้”

“เพียงตึกเดียวที่ไม่ติดเชื้อ? คุณหมายความว่ายังไง?” เฉินเกอยังไม่ค่อยเข้าใจนัก

“เรื่องมันยาว คุณจะเข้าใจทุกอย่างเมื่อเล่นเกมของเสี่ยวปู้จบ เกมนั่นใช้เมืองหลี่ว่านเป็นฉากและลอกแบบจากสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลี่ว่านเมื่อตอนนั้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ฟ่านฉงนั้นผ่านภารกิจย่อยทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับเนื้อเรื่องทั้งหมด “ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ซับซ้อน มันสามารถส่องสว่างเหมือนพระอาทิตย์นำความอบอุ่นและสบายมาให้คนที่อ่อนแอและหมดหนทาง แต่มันก็สามารถเป็นขุมนรกมืดดำ ทั้งมืดและหนาวเหน็บ อันตรายอย่างไร้สิ้นสุด

“ต้นกำเนิดของโรคระบาดคือโรงพยาบาลหลี่ว่าน หมอพ่ายแพ้ และพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อหยุดยั้งการระบาดของโรคได้ ผู้ป่วยบางคนรู้ว่าพวกเขาไม่รอดแล้ว ดังนั้นจึงมีบางคนคิดที่จะแก้แค้นขึ้นมา พวกเขาทำให้เครื่องมือแพทย์และอาหารหลายอย่างปนเปื้อนด้วยเลือดของพวกเขา และไม่ช้า โรคก็เริ่มแพร่ออกไป

“ตอนแรก มันก็แค่ผู้ป่วยคนอื่น ๆ แต่ในที่สุด มันก็ลามไปถึงหมอก่อนที่จะกระจายไปครึ่งเมืองหลี่ว่าน โรคระบาดแพร่ออกไปเรื่อย ๆ และคนที่อาศัยอยู่ก็หวาดกลัว คนที่ติดเชื้อก่อนหลายคนนั้นเป็นบ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำการฆาตกรรมโดยตรง แต่คนบริสุทธิ์มากมายก็ตายเพราะพวกเขา ดังนั้นอันที่จริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากฆาตกรต่อเนื่องเลย

“ตอนนั้น ทั้งเมืองหลี่ว่านเหมือนตกอยู่ในหายนะ และสถานที่ปลอดภัยเงียบสงบเดียวก็คือตึกนี้

“ก่อนที่ตึกจะถูกสร้างขึ้นใหม่ ตรงนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผู้พัฒนาคิดว่าจะมีการพัฒนาเมืองจิ่วเจียงตะวันออกอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงซื้อที่ดินและสร้างตึกอพาร์ทเม้นท์ใหม่ ตอนนั้น พวกเขาให้คำสัญญาสวยหรูว่าพวกเขาจะเก็บห้องส่วนหนึ่งเอาไว้ให้เด็กกำพร้าและเจ้าหน้าที่เพื่อให้แน่ใจว่าเด็ก ๆ จะมีที่อยู่ แต่ว่า หลังจากตึกถูกสร้าง สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากลับถูกจำกัดเอาไว้ที่ชั้นใต้ดินที่หนึ่งและสอง

“ระหว่างที่มีการระบาดหนัก เจ้าหน้าที่ทั้งหมดของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าห้ามไม่ให้เด็ก ๆ ไปไหน จากนั้นพวกเขาก็ไปเฝ้าระวังทางเข้าชั้นใต้ดินเอาไว้ พวกเขาตัดสินใจจะหยุดทุกคนที่คิดจะเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า รวมทั้งตัวพวกเขาเองด้วย

“หนึ่งวันหนึ่งคืนให้หลัง ความช่วยเหลือก็มาถึง ไม่มีใครรู้ว่าอันที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ไม่มีข้อมูลเรื่องนี้บนโลกออนไลน์ ในเกม มันก็แค่บอกว่าเด็กกำพร้าทั้งหมดได้รับความช่วยเหลือ ไม่มีใครในพวกเขาติดเชื้อเลย”

เล่าถึงตอนนี้ เสียงของฟ่านฉงก็เริ่มเปลี่ยนไป “พูดกันตามตรง ผมเคารพเจ้าหน้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพวกนั้นมาก พวกเขาน่าจะเป็นความดีเดียวที่เมืองหลี่ว่านมี”

มนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจ กระทั่งในสภาพแวดล้อมที่น่าเกลียดและโสมมที่สุด บางคนก็ยังคงเบ่งบานเป็นดอกไม้งาม

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตึกอื่น ๆ ล้วนเต็มไปด้วยรอยเปื้อนรูปคน แต่ตึกนี้สะอาดมาก” เฉินเกอได้รับคำตอบหนึ่งจากคำถามในใจของเา แต่ว่านี่ก็มีแต่นำไปสู่คำถามอื่นมากมาย “แต่ทำไมเสี่ยวปู้ถึงมาที่นี่ตอนจบเกม? นี่เป็นเพราะว่ามันเป็นตัวแทนความเมตตาของเธอเหรอ?”

ผู้เปิดประตูทุกคนล้วนตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างที่สุด– การไถ่บาปให้ตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

“คุณน่าจะสังเกตเห็นโปสเตอร์ที่ทางเดินใต้ดินใช่ไหม? มีภารกิจย่อยในเกมเกี่ยวกับสามีภรรยาคู่หนึ่งที่มาที่เมืองหลี่ว่าน พวกเขาหาตัวเสี่ยวปู้ และทำตึกนี้ให้เป็นที่หลบภัยของเสี่ยวปู้” ฟ่านฉงพยายามอย่างยิ่งที่จะนึกถึงฉากสุดท้ายจากเกมของเสี่ยวปู้ “พวกเขาต้องการช่วยเสี่ยวปู้ แต่ว่า เสี่ยวปู้ก็ต้องสัญญาจะช่วยพวกเขาเรื่องหนึ่ง”

“ช่วยแบบไหน?” เฉินเกอรู้ว่าคู่สามีภรรยาในภารกิจนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพ่อแม่ของเขา บุหรี่ที่คุ้นเคย และโปสเตอร์บ้านผีสิงทุกหนแห่งนั้นเป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ มีเพียงแค่พ่อแม่ของเขาที่จะไม่รู้สึกอายพอที่จะหิ้วโปสเตอร์ของบ้านผีสิงไปด้วยทุกหนแห่งที่พวกเขาไป

“ใช่” ฟ่านฉงหันไปมองเสี่ยวปู้ เห็นว่าเสี่ยวปู้ไม่มีท่าทีอะไรเขาก็พูดต่อ “พวกเขาต้องการให้เสี่ยวปู้กลายเป็นเงาให้ลูกของพวกเขา”

“ช่วยอธิบายให้ละเอียดที” เฉินเกอหรี่ตา

“คุณก็เห็นฟ้อนต์อักษรที่ใช้ในเกม– พวกมันอ่านยากมาก ผมเชื่อว่ามีข้อความที่บอกว่าเงาของลูกของพวกเขาหายไป ดังนั้นจึงอยากให้เสี่ยวปู้มาเป็นเงาใหม่ให้ลูกของพวกเขา ผมรู้ว่านี่ยากที่จะเชื่อมาก ๆ แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่เกมบอกจริง ๆ ในเกม เสี่ยวปู้ไม่ตกลงกับเงื่อนไขของพวกเขาในทันที ดังนั้น พวกเขาจึงสร้างที่หลบภัยขึ้นในเมืองหลี่ว่าน หลังจากเสี่ยวปู้ตัดสินใจแล้ว เธอก็สามารถมาที่นี่เพื่อรอพวกเขาได้ และจากนั้นพวกเขาก็จะช่วยเธอจัดการกับเงานั่น” ฟ่านฉงนั้นไม่เข้าใจคำพูดที่ออกจากปากของเขาเลยสักนิด และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าถ้อยคำเหล่านี้นั้นมีผลกระทบต่อเฉินเกอรุนแรงแค่ไหน

“ให้วิญญาณสีเลือดไปเป็นเงา ใช่ นี่เป็นความคิดที่มีแต่พวกเขาที่คิดขึ้นมาได้” ตอนนี้ที่เสี่ยวปู้เข้ามาในที่หลบภัย มันก็หมายความว่าเด็กหญิงยินดีที่จะเป็นเงาให้เฉินเกอ แต่ว่า พ่อแม่ของเขาไม่ได้ทำตามที่พวกเขาสัญญาไว้ว่าจะจัดการกับเงาให้แต่กลับหายตัวไป ทั้งหมดนี่ทำให้เฉินเกอรู้สึกกระอักกระอ่วนกับเสี่ยวปู้– เขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเธออย่างไรดี “โอ้ ใช่ ตราบใดที่เงานั่นถูกฆ่า ไม่ว่าด้วยมือใคร สัญญาก็นับว่าสมบูรณ์”

เข้ามาในห้องแล้วเฉินเกอก็เดินไปที่หน้าต่าง เสี่ยวปู้นั้นดูอายุไม่เกินแปดขวบเท่านั้น ชุดสีแดงนั้นเลื่อนไหลเหมือนเลือดตัดกันกับผิวซีดขาวของเธอ แค่เข้าไปใกล้ ๆ กับเด็กหญิงก็ทำให้ซู่อินกระตุ้นเตือนอย่างรุนแรง

“เธอดูทรงพลังมาก” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอต้องจัดการกับประตูที่หลุดออกจากการควบคุม เขาไม่รู้ว่าเมื่อประตูหลุดออกจากการควบคุมนั้นผู้เปิดประตูจะได้รับผลกระทบอย่างไร แต่จากที่เขารู้ ผู้ผลักประตูดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้

“คนที่ให้สัญญากับเธอคือพ่อแม่ของฉัน ฉันคือเด็กคนนั้นที่เสียเงาไป” ได้ยินที่เฉินเกอพูด ขนตาของเด็กหญิงที่เหม่อลอยอยู่ก็ดูเหมือนจะขยับ เธอหันกลับมาช้า ๆ และเฉินเกอก็แทบหายใจไม่ออก

“นี่…” ชุดสีแดงนั้นลอยอยู่ในสายลม เสี่ยวปู้นั้นไม่มีแขนและขา มีช่องว่างใหญ่อยู่ตรงจุดที่หัวใจของเธอควรอยู่

เด็กคนนี้นั้นเหมือนกับประตูนั่นเปี๊ยบ! นอกจากหัวที่นับเป็นใจกลางแล้ว ส่วนอื่น ๆ ที่หายไปล้วนเทียบกับประตูได้โดยสมบูรณ์!

มองเด็กหญิงเงียบ ๆ แล้วในที่สุดเฉินเกอก็เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวปู้ถึงยินดีเข้ามาในที่หลบภัย ไม่มีใครยินดีสละซึ่งอิสระของตนเองหรอก

เฉินเกอเดินเข้าไปอีกหลายก้าวโดยไม่สนใจคำเตือนจากซู่อิน หัวใจของเขาเจ็บปวดเล็กน้อย “ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อสัญญาอะไร เธอได้รับบาดเจ็บสาหัส และผมก็เชื่อว่าผมคงไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวของความเจ็บปวดของเธอ ดังนั้นผมจะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในมุมของเธอปลอบโยนเธอด้วยถ้อยคำกลวงเปล่า ผมรู้ว่าคำพูดไหน ๆ ก็ล้วนว่างเปล่า

“แต่สัญญาก็คือสัญญา ผมจะช่วยเธอจัดการกับเงานั่นดังนั้นเธอจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป”

เฉินเกอหยุดที่ตรงหน้าเสี่ยวปู้ นั่งลงช้า ๆ เพื่อมองเข้าไปในใบหน้าไร้ความรู้สึกที่ระดับสายตาเท่ากัน “ภาพที่ด้านนอกหน้าต่างนั้นเป็นอย่างที่วาดไว้นั่นแหละ หลังจากเงานั่นถูกจัดการแล้ว ผมจะพาเธอไปดูโลกข้างนอก พวกเราจะไปยังที่ที่เธออยากไป ไปดูโลกที่รอคอยเธออยู่”

เฉินเกอไม่ได้ยกบุญคุณขึ้นมาอ้าง เขาจะไม่ทำให้เสี่ยวปู้ต้องไปอยู่เป็นเงาของเขาเอง

บางทีอาจจะเพราะรู้สึกว่าเฉินเกอไม่ได้โกหก เสี่ยวปู้กะพริบตาหลายครั้ง เลือดไหลออกมาจากที่หางตาของเธอ และเลือดหยดนั้นก็กลายไปเป็นประโยค

“คนที่ไม่มีเงานั้นไม่ใช่คนของโลกนี้ คุณแน่ใจเหรอว่าคุณไม่ต้องการให้หนูไปเป็นเงาของคุณ?”

มีเสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงคำรามดังอยู่ทั่วไป นี่เป็นการชำระล้างครั้งใหญ่ เงานั่นเผยความเหี้ยมโหดเฉียบขาดออกมาเมื่อสถานการณ์เรียกร้องให้ทำ มันยินดีฆ่าผู้บริสุทธิ์หนึ่งพันคนมากกว่าจะปล่อยให้คนร้ายหนึ่งคนหนีรอด หลังจากเฉินเกอวิ่งออกมาจากในตึก ไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์ ถนน กำแพง และตึกที่ใกล้ ๆ… รอยเปื้อนรูปคนเริ่มปรากฏขึ้นทุกพื้นผิว

พวกมันโจมตีทุกอย่างที่อยู่ในสายตา ไม่ว่าจะเป็นคนเป็นหรือคนตายหรือวิญญาณ ตราบใดที่มันพบเจอ รอยเปื้อนก็จะโจมตีอย่างไม่ปรานี

“ไสหัวไป!” หน้าต่างบานหนึ่งของตึกทางซ้ายของเฉินเกอเปิดออก เฉินเกอมองผ่านเหล็กดัดกันขโมยเข้าไปเห็นชายคนหนึ่งที่สวมแค่กางเกงทุ่มโคมไฟตั้งโต๊ะไปที่มุมหนึ่งของห้องอย่างแรงเท่าที่ทำได้ ประตูห้องถูกผลักเปิดอย่างเงียบเชียบและรัศมีอันตรายก็กำจายเข้าไปในห้องตามมาด้วยรอยเปื้อนรูปคน จากนั้นด้วยความเร็วที่ไม่เข้ากับรูปร่าง มันก็พุ่งเข้าใส่ผู้ชายที่ข้างหน้าต่าง

“เชี่ยเอ๊ย! อย่าเข้ามาใกล้นะ!” ชายคนนั้นคว้าที่เขี่ยบุหรี่ที่ถูกทิ้งเอาไว้บนขอบหน้าต่างแล้วขว้างมันไปที่ชายแก่คนนั้น แต่ว่า ที่เขี่ยบุหรี่กลับพุ่งผ่านร่างของชายแก่ไปและไม่ได้ทำให้เขาเชื่องช้าลงเลยสักนิด ความกลัวในดวงตาของชายเปลือยท่อนบนนั้นปรากฏชัด เขาคว้าทุกอย่างที่เอื้อมถึงรอบตัวโยนพวกมันเข้าใส่ชายแก่ แต่ก็เหมือนกับที่เขี่ยบุหรี่ พวกมันไม่ได้ทำให้เขาเข้าถึงตัวช้าลงเลยสักนิด

“ฉันแย่งชิงบ้านหลังนี้จากไอ้พวกบ้าคนอื่น ๆ มันเป็นการต่อสู้อย่างยากลำบาก” ชายคนนั้นเคยเห็นสิ่งประหลาดมากมายในหลายปีที่ในเมืองหลี่ว่านของเขานี้ เขาเคยเจอกับหลาย ๆ อย่าง แต่ว่าก็รอดพ้นจากทุกอย่างมาได้ เขาเองก็เป็นคนสติวิปลาสคนหนึ่งและยังถูกครอบครัวส่งไปสถานพักฟื้นหลายต่อหลายครั้ง เขาเชื่อมั่นอย่างไม่สั่นคลอนในตัวตนของพระเจ้า แต่ว่าไม่เหมือนกับผู้ศรัทธาคนอื่น ๆ เขาเห็นตัวเองเป็นพระเจ้าที่ลงมาเกิด หลักฐานก็คือ ไม่ว่าเขาจะดูแลตัวเองไม่ดีแค่ไหน เขาก็ไม่เคยตายจริงสักที อมตะ นั่นคือสิ่งที่เขาใช้อ้างความเป็นพระเจ้าของตัวเอง

“เชี่ยเอ๊ย ไอ้แก่นี่! แกกล้าเป็นศัตรูกับพระเจ้าของแกเหรอ!” ชายคนนั้นไม่สามารถหนีออกทางหน้าต่างได้เพราะว่ามันมีเหล็กดัดกันขโมยติดเอาไว้ บ้านหลังนี้ที่ปกติทำให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัยตอนนี้กลายไปเป็นกรงเหล็กขังมนุษย์ การสู้คือทางเลือกเดียวของเขา เขาคว้าเก้าอี้ที่ล้มตะแคงอยู่ข้างตัวเล็งไปที่หัวของรอยเปื้อนรูปคน

การทุบตีครั้งนี้น่าจะทำให้เกิดการกระแทกรุนแรง แต่ว่าเขาก็ต้องสิ้นหวัง เมื่อเก้าอี้กระแทกเข้ากับหัวของชายชรามันกลับราวกับทุบลงไปบนของเหลวแอ่งหนึ่ง เก้าอี้กระแทกผ่านรอยเปื้อน ผู้ชายคนนั้นรีบปล่อยมือจากเก้าอี้ แต่ว่าจากนั้น ชายแก่คนนั้นก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว

เขาวิ่งไปที่ข้างเตียง และในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นเฉินเกอที่ยืนดูอยู่นอกหน้าต่าง เขาร้องขอความช่วยเหลือจากเฉินเกอ แต่ว่ามันก็สายไปแล้ว รอยเปื้อนรูปคนนั้นปีนขึ้นไปบนร่างของเขา แนบติดอยู่กับแผ่นหลังของเขาก่อนที่จะสลายเข้าไปในร่างของเขาช้า ๆ

ร่างของชายคนนั้นเปลี่ยนไปเป็นสีเทาด้วยความเร็วไม่น่าเชื่อ มือของเขาที่กำอยู่ที่เหล็กดัดที่หน้าต่างค่อย ๆ อ่อนแรงลง เมื่อสูญเสียพละกำลัง ใบหน้าอื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขาอย่างช้า ๆ ราวกับจะซ้อนทับกัน ใบหน้าใหม่นั้นเหี่ยวย่น แห้ง และเป็นสีเทาซีด

ใบหน้าทั้งสองซ้อนทับกัน ผู้ชายคนนั้นสูญเสียสติจากความเจ็บปวดอย่างเหลือแสน เขาเริ่มคลานไปทางมุมหนึ่งของเหล็กดัดที่มีรูเล็ก ๆ ถูกตัดเปิดไว้ มันดูเหมือนจะเป็นทางออกฉุกเฉินที่เขาทำไว้ให้ตัวเอง หากไม่สนใจก็มองไม่เห็นแล้ว ตอนนี้เมื่อเฉินเกอคิดดูแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่ได้สวมเสื้อก็คงเป็นเพราะว่ามันอาจจะติดกับเหล็กดัดได้ตอนที่เขาพยายามหลบหนี

“ช่วยฉัน ช่วยฉันที!” รอยแผลแตกยับปรากฏขึ้นบนร่างของเขาเหมือนเขาถูกโบย สีหน้าของชายคนนี้นั้นเกินกว่าจะบรรยายได้ มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างคืบคลานอยู่ในหลอดเลือดและทำลายตัวเองจากข้างใน เลือดสีเทาซึมออกมาจากร่างของชายคนนี้ที่ใช้การไม่ได้ไปแล้ว แอ่งเลือดที่ก่อตัวอยู่ใต้ร่างเขานั้นเป็นสีดำสนิทและเต็มไปด้วยจุดเล็ก ๆ สีเทา

หลายวินาทีให้หลัง จุดสีเทา ๆ นั้นก็รวมเข้าด้วยกัน และมันก็คลานออกมาจากร่างของชายคนนั้น

ภาพนี้ เฉินเกอมองอย่างสงสัยเป็นที่สุด ชายแก่ดูเหมือนจะเกิดใหม่จากการฆ่าเหยื่อของตน และนอกไปจากความปรารถนาที่จะทำลายแล้ว เฉินเกอยังมองเห็นอารมณ์ที่สองจากชายแก่คนนั้น– ความอยากแก้แค้น ศพของชายคนนั้นนั้นติดอยู่ตรงเหล็กดัด และสิ่งที่น่ากลัวก็คือ หลังจากศพหล่นลงไปบนพื้น รอยเปื้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นตรงตำแหน่งที่เขาตาย

รอยเปื้อนนั้นยังคงไร้รูปร่าง แต่ว่าเฉินเกอก็รู้สึกว่ามันแค่ถูกทิ้งเอาไว้ให้เติบโต หลังจากนี้สองสามปี รอยเปื้อนรูปคนรอยใหม่ก็จะเข้าครอบครองที่ตรงขอบหน้าต่าง

“คนที่ถูกรอยเปื้อนฆ่าจะกลายมาเป็นรอยเปื้อนเสียเอง– สิ่งนี้มันเหมือนกับโรคติดต่อเลย” การตายของชายคนนั้นดูเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง และนี่ก็ลดความอยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับใครในพวกมันของเฉินเกอลง “ไพ่ตายของเงานั่นน่ากลัวจริง ๆ หลังจาก ‘การชำระล้างครั้งใหญ่’ รอยเปื้อนรูปคนก็จะเข้าครอบครองเมืองหลี่ว่านมากขึ้น”

เสียงประหลาดดังมาจากด้านหลังเขา ใบเด็กหญิงไร้ใบหน้าก็ยังตามอยู่ด้านหลังเฉินเกอ ในเวลาเดียวกัน ชายแก่ในบ้านก็เจอตัวเฉินเกอแล้ว และเขาก็เริ่มไล่ตามมา

“ทุกอย่างมีจุดอ่อนของมัน โชคร้าย ฉันไม่มีเวลามากพอที่จะค้นหา” เฉินเกออยากจะวิ่งหนีไปจากเด็กหญิงและชายแก่ เขาก็พบว่ายังมีรอยเปื้อนรูปคนอยู่ตามถนนอีกมาก

“นี่ดูไม่ดีแล้ว” เฉินเกอมองไปตามถนนด้วยดวงตาหยินหยาง รอยเปื้อนรูปคนมากมายในตึกล้วนกำลังเดินออกมา ฆาตกรหลายคนถูกบีบให้ออกมาที่ถนน และแน่นอนว่า พวกเขากำลังวิ่งไปในสองทิศทาง หนึ่งคือที่ที่เงานั่นกำลังสู้กับคุณหมอเกา และรอยเปื้อนรูปคนก็กำลังถูกนำไปทางนั้น แต่ว่าพวกมันทั้งหมดล้วนถูกดันกลับมาด้วยหมอกสีเลือดและโซ่

เฉินเกอไม่รู้ว่าอีกทิศทางนั้นจะนำไปสู่อะไร เพื่อไม่เผยตัวเองออกมา เขาตามหลังกลุ่มนี้ไปเงียบ ๆ กลืนตัวเองเข้าไปในกลุ่มฆาตกรบ้าคลั่ง สำหรับคนที่มีชีวิตรอดอยู่ในเมืองหลี่ว่านได้ ไม่ว่าจะเก่งกาจแค่ไหน อย่างน้อยที่สุดก็ยังต้องมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน– พวกเขาทั้งหมดล้วนวิ่งได้เร็วมาก ตอนที่คนผู้หนึ่งถูกวิญญาณอาฆาตไล่ตาม มีเพียงคนที่วิ่งหนีจากวิญญาณตนนั้นได้ทันถึงจะมีชีวิตรอดมาได้

เมืองหลี่ว่านนั้นไม่ได้ใหญ่นัก ถูกรอยเปื้อนกลุ่มหนึ่งไล่ตาม ไม่ช้ากลุ่มคนก็วิ่งวนไปรอบเมืองรอบหนึ่ง ในที่สุด พวกเขาหยุดอยู่ที่หน้าตึกอพาร์ทเม้นท์เก่าแก่หลังหนึ่ง ตึกนี้ดูเหมือนจะเก่ากว่าตึกอื่น ๆ ในเมือง มันมีลิฟท์พร้อมกับประตูแบบที่ยุบเข้าไปด้านในบานประตูลิฟท์ได้อย่างที่เห็นตามหนังเก่า ๆ น้อยครั้งที่ลิฟท์เหล่านี้จะถูกใช้ในตึกที่พักอาศัย– พวกมันปกติจะใช้ในการขนส่งของชิ้นใหญ่มากกว่า

“หลบไปให้พ้น ๆ!” ในลิฟท์นั้นจุคนได้ไม่มากนัก และทุกคนก็ต้องการเข้าไปข้างในนั้น เมื่อชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย กลุ่มฆาตกรโหดเหล่านี้ก็เผยนิสัยเดิมออกมา ความร่วมมือกันนั้นไม่มีความหมายในหมู่พวกเขา– พวกเขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะรวมกันเราอยู่ มีเพียงต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองเท่านั้น

อพาร์ทเม้นท์นี้สูงเก้าชั้นและดูจะเป็นตึกสูงที่สุดในเมืองหลี่ว่าน เฉินเกอมองไปที่ตึกนี้ด้วยดวงตาหยินหยาง และในไม่ช้าเขาก็ค้นพบสิ่งประหลาดของที่นี่ ตึกอื่น ๆ นั้นเต็มไปด้วยรอยเปื้อน แต่ตึกนี้นั้นเงียบอย่างน่าสงสัย ไม่มีรอยเปื้อนหรือว่าวิญญาณอาฆาต อันที่จริง มันเหมือนที่นี่นั้นเป็นแดนร้าง

“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าตึกนี่มีความน่ากลัวที่น่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่ารอยเปื้อนรูปคนเสียอีก?”

ฆาตกรคนที่เร็วที่สุดนั้นพุ่งเข้าไปในลิฟท์ได้แล้ว เขากดปุ่มลิฟท์ให้ปิด ไม่สนใจคนอื่นที่พยายามจะเข้าไปด้วย

ปัง!

ตอนที่คนด้านนอกทันรู้ว่าผู้ชายคนนั้นวางแผนจะหนีไปในลิฟท์คนเดียว พวกเขาก็โยนอาวุธทั้งหมดของพวกตนเข้าไปในลิฟท์ อย่างที่พูดถึงก่อนหน้านี้ ประตูลิฟท์นั้นเป็นแบบที่ยุบเข้าไปได้ หมายความว่ามีช่องว่างระหว่างประตูลิฟท์ นอกจากนี้ มันยังเปิดปิดช้ามาก ผลก็คือไม่มีใครในพวกเขาได้ขึ้นลิฟท์จากไป

“ฉันคิดว่าฉันจะใช้บันได” เฉินเกอไม่สนใจฆาตกรพวกนี้ คนพวกนั้นไม่ได้มีคุณสมบัติจะเป็นพนักงานของเขาได้ แทนที่จะสู้กับคนพวกนี้ เขาไปสำรวจดูด้วยตัวเองดีกว่า เขาเดินไปทางบันได และก่อนที่จะทันได้เดินขึ้นไป เฉินเกอก็ตัวแข็งอยู่กับที่เหมือนถูกช็อตเมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ที่ติดไว้ตรงทางไปบันไดนั้นเป็นโปสเตอร์ของสวนสนุกนิวเซนจูรี่!

โปสเตอร์นั้นเก่า และยังถูกฉีกขาดไปเป็นแถบใหญ่ แต่เฉินเกอก็ยังบอกได้ตั้งแต่มองแวบแรกเพราะว่าที่ตรงกลางของโปสเตอร์นั้นก็คือบ้านผีสิงของเขาเอง!

หลายปีก่อน ตอนที่สวนสนุกเพิ่มเริ่มเปิดบริการ บ้านผีสิงของเฉินเกอเคยเป็นเครื่องเล่นหลัก ตอนนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่ข่าวต่าง ๆ นั้นไม่ได้กระจายไปอย่างรวดเร็วนัก สวนสนุกจึงได้แต่แปะป้ายโฆษณาและใบปลิวไปทั่วเมืองจิ่วเจียง และผู้เข้าชมที่มาที่สวนสนุกก็จะได้รับโปสเตอร์สวนสนุกที่ออกแบบอย่างละเมียด ถ้าใครชอบประสบการณ์ที่นี่ พวกเขาก็จะช่วยกระจายข่าวสวนสนุกออกไป

ถ้าเป็นแค่นั้น เฉินเกอก็คงไม่ตกใจ– เขาคงแค่ประหลาดใจ– แต่เขานึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ระหว่างทางมาที่นี่ เขาได้รับโทรศัพท์จากฟ่านฉง ในสาย ฟ่านฉงบอกอย่างชัดเจนว่าเขาเล่นเกมของเสี่ยวปู้จบแล้ว และฉากสุดท้ายของเกมเสี่ยวปู้นั้นเข้าไปในตึกหลังหนึ่ง ที่กำแพงตึกนั้นมีโปสเตอร์ของสวนสนุกนิวเซนจูรี่ติดไว้!

“ฉันเจอแล้ว!” ขณะที่เฉินเกอวิ่งวุ่นไปทั่วเมืองหลี่ว่านก่อนหน้านี้ เขาค้นหาที่นี่ มันพ้นสายตาเขามาได้จนถึงตอนนี้ “เสี่ยวปู้น่าจะอยู่ที่นี่ และดังนั้นนี่จึงเป็นเงื่อนงำที่พ่อกับแม่ของฉันทิ้งไว้ให้!”

ที่ห้องเก็บศพใต้ดิน หลังจากเฉินเกอสู้กับคุณหมอเกา คุณหมอเกานั้นใช้สัมปชัญญะสุดท้ายที่เหลืออยู่ให้เฉินเกอดูรูปใบหนึ่ง ในรูป พ่อกับแม่ของเฉินเกอนั้นยืนอยู่กับเด็กหญิงชุดแดงคนหนึ่ง– เด็กหญิงคนนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเสี่ยวปู้ ดังนั้น เฉินเกอจึงสามารถยืนยันได้ว่าเสี่ยวปู้นั้นรู้บางอย่างเกี่ยวกับพ่อกับแม่ของเขาเพราะว่าพวกเขามีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมาก่อน!

ยิ่งเขาปลดล็อกภารกิจได้มากขึ้น เขาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความลึกลับเบื้องหลังการหายตัวไปของพ่อแม่ของเขาว่าลึกเสียยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ตอนแรก ขนาดของความลับนั้นมีแต่จะขยายขึ้น และมันยังเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาคิดว่าเขาเข้าใกล้ความจริง ความดำมืดที่ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมก็เผยออกมา

เขาเอื้อมมือไปแตะที่ขอบโปสเตอร์ เฉินเกอมองไปที่ทางเดินที่นำไปสู่ช่องบันได เขาเรียกพนักงานทั้งหมดของตัวเองออกมาและเดินหน้าไป

“มันถูกปิดเอาไว้?” เฉินเกอไม่รู้ว่านี่เป็นผลงานของเงานั่นหรือว่าเป็นตัวตึกเองที่ถูกผนึกเอาไว้มานานแล้ว ทางเดินนั้นถูกกำแพงอิฐขวางเอาไว้ ไม่มีช่องว่างเหลือเลย

ปัง!

เฉินเกอลองทุบกำแพงด้วยค้อน เขาพบว่ากำแพงนั้นหนาอย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็ต้องใช้เวลากว่าที่จะทำให้กำแพงมีรอยแตกได้

“ดูเหมือนว่าลิฟท์จะเป็นหนทางเดียวเท่านั้น” เสี่ยวปู้อาจจะซ่อนอยู่ในตึกนี้ นี่อาจจะเป็นความลับสุดยอดของเมืองหลี่ว่านและความจริงเบื้องหลังการหายตัวไปของพ่อและแม่ของเขา เฉินเกอเปลี่ยนจากบุคลิกเป็นมิตรตามปกติของเขา เขาคว้าค้อนและวิ่งไปทางลิฟท์พร้อมกับซู่อิน “ถ้ามีใครกล้าเข้าใกล้ประตู ฉันจะตัดเชือกที่แขวนลิฟท์ทิ้งซะ!”

เฉินเกอตะโกนเมื่ออยู่ห่างไปแค่สิบเมตร น้ำเสียงของเขาราบเรียบและสงบ เขาไม่ได้ดูเร่งร้อนเป็นพิเศษ แต่ว่าฆาตกรทั้งหมดเริ่มเงียบลง

ตัวตึกเองนั้นไม่มีรอยเปื้อนรูปคน และรอยเปื้อนรูปคนที่ด้านนอกก็เริ่มช้าลงเมื่อมันเข้ามาใกล้ตึกนี่ แต่ว่า พวกมันก็แค่ช้าลง มันไม่ได้หยุด ตึกนี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สองของเงานั่น เมื่อมันพบว่ามีคนเข้ามาในตึกนี้ มันก็ส่งเสียงประหลาดมาอีกครั้งเหมือนกำลังเรียกชื่อใครสักคน

พอได้ยินเสียงนั่น รอยเปื้อนรูปคนก็เร่งความเร็วขึ้นและพุ่งมาทางตึกนี้

“ถ้าเงานั่นรู้ว่าเสี่ยวปู้ซ่อนอยู่ที่นี่ ทำไมมันถึงไม่มาตามหาเธอ? นี่เป็นอาณาเขตของมันแท้ ๆ” ฆาตกรหลายคนเบียดตัวเข้าไปในลิฟท์ ก่อนที่เฉินเกอจะมาถึง พวกมันก็เริ่มฆ่ากันเองเพราะน้ำหนักเกิน ไม่มีใครยินดีอาสาออกไปจากลิฟท์ ดังนั้นพวกมันจึงโยนศพออกมาแทน

หลังจากเฉินเกอเข้าไปในลิฟท์ ในที่สุดลิฟท์ก็เคลื่อนที่ มันสั่นแล้วเริ่มทิ้งตัวลงไปด้านล่าง

“ทำไมมันถึงลงข้างล่างล่ะ?” ฆาตกรคนที่ยืนอยู่ติดกับแผงควบคุมอ้าปากค้างอย่างตกใจ “ฉันแน่ใจว่าฉันกดชั้นบนสุด!”

“ไม่ต้องตกใจ บางทีอาจจะมีคนอยู่ด้านล่างต้องการขึ้นมาข้างบน” ในลิฟท์นั้นแน่นขนัดไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีพื้นที่รอบตัวเฉินเกอ

ตึกนี่นั้นมีชั้นใต้ดินสองชั้น เป็นชั้นใต้ดินให้เช่า ส่วนใหญ่แล้วเป็นชาวต่างชาติที่ไม่สามารถเช่าห้องที่อื่นได้ หลายปีก่อน ส่วนกลางของจิ่วเจียงนั้นวางแผนที่จะมุ่งพัฒนารอบ ๆ จิ่วเจียงตะวันออก ทุกคนล้วนมีความหวังเต็มที่กับโครงการนี้ พวกเขาสร้างโรงงานและตึกสูง และยังดึงดูดคนนอกอย่างเจียหมิงให้มาหางานทำที่นี่ แน่นอนว่า ไม่มีใครคิดว่าจิ่วเจียงตะวันออกจะจบลงแบบนี้ในหลายปีถัดมา

ลิฟท์เคลื่อนที่ช้ามาก และน่าแปลก เมื่อลิฟท์ผ่านชั้นใต้ดินชั้นแรก มันหยุด ลิฟท์เปิดออกไปยังพื้นที่ว่างเปล่า ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ข้างแผงควบคุมรีบกดปุ่มที่น่าจะนำพวกเขาขึ้นไปที่ชั้นบน ครู่ต่อมา ประตูลิฟท์ก็ปิด แต่ลิฟท์ก็ยังไม่เคลื่อนที่ขึ้นด้านบน ยังคงลงไปข้างล่างต่อ ไม่ช้า มันก็เปิดประตูออกที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” ชายคนนั้นกดปุ่มลิฟท์หลายครั้ง แต่ประตูลิฟท์ก็ไม่ยอมปิด เขาพยายามอยู่นานก่อนที่จะอ้าปากค้างอย่างตกใจ “ทำไมมันถึงบอกว่าน้ำหนักเกินอีกแล้วล่ะ?”

หน้าจอของลิฟท์รุ่นเก่าแบบนี้นั้นอยู่ที่แผงควบคุม และมันก็เล็กมาก และหากไม่สังเกตใกล้ ๆ ก็ไม่เห็นข้อความเหล่านี้

“ไม่มีใครออกหรือเข้าลิฟท์เสียหน่อย ทำไมจู่ ๆ พวกเราถึงได้น้ำหนักเกินกัน? มีบางอย่างเข้ามาในลิฟท์ก่อนหน้านี้เหรอ?” ทุกคนในลิฟท์นั้นอาศัยอยู่ในหลี่ว่านมาระยะเวลาหนึ่งกันแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงพอรู้สถานการณ์ต่างๆ ที่พวกเขาอาจจะเจอได้ที่นี่

ปัญหาตอนนี้ของพวกเขาก็คือจะอยู่ในลิฟท์ต่อหรือว่าจะออกไป ถ้าพวกเขาอยู่ในลิฟท์ต่อ พวกเขาก็อยู่กับผี แต่ถ้าพวกเขาออกไปจากลิฟท์ ก็อาจจะมีผีรอพวกเขาอยู่ที่ข้างนอกมากกว่านี้

“บางทีอาจจะมีบางอย่างผิดปกติกับลิฟท์นี่ ทุกคนยินดีออกไปดูไหมเผื่อว่ามันจะทำงานได้?” มีคนแนะนำขึ้น แต่ว่าก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีใครต้องการออกไป เทียบกับความมืดของชั้นใต้ดินแล้ว ขึ้นไปด้านบนนั้นเป็นตัวเลือกที่ฉลาดกว่า หรืออย่างน้อยที่สุด ธรรมชาติของคนก็บอกแบบนั้น

คุมเชิงกันอยู่อย่างนี้นั้นไม่ดี และเฉินเกอเองก็ไม่ได้คิดจะไปตามฆ่าเหล่าฆาตกรที่เหลือพวกนี้– เขาไม่เห็นเหตุผลอื่น ดังนั้น เขาจึงอาสาออกจากลิฟท์ไป น่าแปลก พอเขาออกไปจากลิฟท์ มันก็กลับมาเป็นปกติ

“นี่หมายความว่ายังไงกัน? ลิฟท์ตัวนี้ตรวจจับน้ำหนักของผีและเพิ่มตัวตนพวกนั้นเข้าไปทำให้น้ำหนักเกินงั้นเหรอ?”

หลังจากเฉินเกอออกไป พวกมันที่เหลือก็รีบปิดประตูราวกับเกรงว่าผู้ชายคนนี้จู่ ๆ อาจจะเปลี่ยนใจ

คราวนี้ ประตูลิฟท์ปิดลงตามปกติ ในวินาทีสุดท้าย เฉินเกอมองเห็นเงาร่างคนมากมายยืนหันหลังให้เขาอยู่ในลิฟท์

“ฉันขอให้พวกแกทุกคนโชคดีนะ”

เฉินเกอถือค้อนเอาไว้แล้ววิ่งไปตามทางเดิน สิ่งแปลก ๆ ที่เขารู้สึกนั้นเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น มีโปสเตอร์สวนสนุกที่อยู่ในสภาพดีอยู่บนกำแพง และยังมีเครื่องเล่นที่ถูกทิ้ง ทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับบ้านผีสิงของเขาสักทางหนึ่ง

เขาวิ่งไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นใต้ดินและหยุดลงที่หน้าประตูบานหนึ่ง

ประตูบานนี้ดูคล้ายกับบานอื่น ๆ แต่ว่ามีก้นบุหรี่มากมายเกลื่อนอยู่รอบ ๆ ประตู และยังเป็นยี่ห้อเดียวกับที่พ่อของเฉินเกอโปรดปรานเป็นอย่างมากด้วย

หมอกบางลง และพระจันทร์สีเลือดที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าก็เห็นได้ชัดเจนขึ้น พระจันทร์สีเลือดนั้นส่องแสงสีแดงของมันลงมายังเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้จนเกิดเป็นเงาน่าเกลียดที่บนพื้น

ปัง!

หน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ เฉินเกอถูกผลักเปิดออกจากด้านในอย่างหยาบคาย และชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่มีผ้าพันแผลพันศีรษะไว้โดยรอบก็ชะโงกหน้าออกมา เขาจับตามองเฉินเกอมานานแล้ว และเขาก็กำลังรอเวลาที่จะลงมือ เขาไม่ได้เจาะจงทำร้ายเฉินเกอ เขาอาจจะแค่คิดว่าผู้ชายคนนี้ขวางทางหรือการฆ่าเฉินเกอจะนำความสนุกและผ่อนคลายมาให้เขาได้ชั่วคราว

เป็นความคิดในแบบของปิศาจร้าย วิธีการทำงานของสมองพวกมันนั้นต่างไปจากคนทั่วไป– พวกมันไม่เคยสนใจผู้อื่นและไม่เคยคิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำของตน มักจะตัดสินใจโดยไม่วางแผน และพวกมันยังยั่วยุได้ง่ายและโกรธได้ง่ายเพราะว่ามีความก้าวร้าวโดยธรรมชาติอยู่เป็นส่วนใหญ่

เลือดซึมผ่านผ้าพันแผลออกมา เฉินเกอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรภายใต้ผ้าพันแผล แต่เขาก็ประมาทไม่ได้ เมื่อชายแปลกหน้าคนนั้นเหยียดแขนผอมบางแต่ก็มีกล้ามเนื้อมาทางเฉินเกอ คิดจะลากเขาเข้าไปในห้อง เฉินเกอก็ก้าวเท้าไปข้าง ๆ ก้าวเล็ก ๆ และเหวี่ยงค้อนตอบกลับไป

กระทั่งในเมืองหลี่ว่าน อาวุธสังหารชนิดนี้ก็ยังหาได้ยากมาก เงานั่นผลักฆาตกรเหล่านี้เข้าไปในห้องขังรูปแบบหนึ่งเพื่อฟูมฟักความรู้สึกด้านลบ ไม่ใช่เพื่อสร้างอะไรแบบสนามประลองขนาดใหญ่พวกนั้น ดังนั้นอาวุธที่คนเสียสติเหล่านี้ใช้ในการสังหารจึงมักจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน

ไหล่ของชายแปลกหน้าคนนั้นยุบเข้าไป และผ้าพันแผลที่บนหน้าของเขาก็เลื่อนต่ำลงมาเล็กน้อยเผยให้เห็นดวงตาสองข้างที่เต็มไปด้วยความงุนงง เขาไม่รู้ว่าเฉินเกอไปเอาค้อนเหล็กใหญ่ขนาดนั้นมาจากไหน ความรู้สึกไม่พอใจที่ฝ่ายตรงข้ามขี้โกงแต่ว่าเขาก็ไม่ทำอะไรได้ผุดขึ้นในใจเขา

ผู้ชายคนนั้นเอนตัวไปข้างหลังและถอยกลับเข้าไปในที่ซ่อนของตัวเอง ปกติแล้ว เวลาที่คนคนหนึ่งหนีเอาชีวิตรอด พวกเขาก็มักไม่สนใจตัวประกอบไร้ความสำคัญ แต่ว่าเฉินเกอนั้นเป็นข้อยกเว้นอย่างเห็นได้ชัด

“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นคนหรือว่าเป็นผี แต่ในเมื่อแกอยากฆ่า แกก็ต้องเตรียมตัวถูกฉันพาตัวไปเหมือนกัน นั่นเป็นความยุติธรรม” เขากระโดดผ่านหน้าต่างเข้าไปในบ้านและไล่ตามไปพร้อมค้อนที่ยกสูง ”ในเมื่อแกวางแผนจะฆ่าฉัน แกก็ย่อมไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ช่วยแกเอาไว้ไม่ได้ทำให้ฉันได้รางวัลตอบแทนจากโทรศัพท์เครื่องดำมากขึ้น อย่างไรแกก็มีแต่จะก่อความวุ่นวายให้สังคมมากขึ้น ดังนั้นฉันจะใช้โอกาสนี้จัดการกับแกซะ”

บ้านที่ก่อนหน้านี้เงียบกริบวุ่นวายขึ้นมาทันทีที่เฉินเกอกระโดดเข้าไปข้างใน สำหรับเฉินเกอ ประตูไม้ธรรมดานั้นเป็นสิ่งที่สามารถจัดการได้ด้วยค้อน– ต่อให้เขาถูกประตูนิรภัยหยุดเอาไว้ เขาก็ยังพังลงมาได้ด้วยการเหวี่ยงค้อนไม่เกินห้าครั้งเท่านั้น

ชายแปลกหน้าไม่เคยเห็นปฏิกริยาเช่นนี้มาก่อน เฉินเกอนั้นตามหลังเขามาติด ๆ แล้วก่อนที่เขาจะมีโอกาสหนีออกไปจากบ้านนี้ กระโดดผ่านหน้าต่างทางซ้ายและบุกผ่านหน้าต่างทางขวา ทั้งหมดนี้ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งนาทีด้วยซ้ำ

เฉินเกอที่คว้าผ้าพันแผลเนื้อหยาบที่ดึงมาจากหน้าของชายคนนั้นเอาไว้เพิ่งมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนมันลงไปในกระเป๋าสะพายหลัง “ฉันจะเก็บมันไว้เป็นของที่ระลึก”

ในเกมของเสี่ยวปู้ ถนนนั้นอันตรายมากในตอนกลางคืน และมันก็ไม่ต่างไปจากสิ่งที่เฉินเกอประสบอยู่ตอนนี้ แต่ว่า ความแตกต่างใหญ่หลวงที่สุดก็คือ ในเกม ตัวละครหลักนั้นเป็นเสี่ยวปู้ที่อ่อนแอและไร้พลัง แต่ว่าคนที่เดินไปตามถนนในชีวิตจริงนั้นเป็นประธานคนใหม่ของสมาคมเล่าเรื่องผี

“เรื่องใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือฉันยังไม่รู้เลยว่าเป้าหมายของคุณหมอเกาคืออะไร ดังนั้นสำหรับตอนนี้ ฉันทำได้แค่หวังว่าพวกเขาจะสู้กันต่อจนหมดแรงไปเอง” เส้นทางที่เฉินเกอเลือกใช้นั้นไม่มีรูปแบบให้สังเกตได้ ถ้ามีคนหรือผีดึงดูดความโมโหของเขาได้ เขาก็จะเปลี่ยนทางไปไล่ตามตัวตนเหล่านั้น ตัดผ่านเมืองเล็ก ๆ นี้ไปมา

ตึกส่วนใหญ่ในเมืองหลี่ว่านนั้นมีวิญญาณอาฆาตและฆาตกรเหี้ยมโหดซ่อนตัวอยู่ สำหรับคนธรรมดาแล้ว แค่เสียงของพวกมันก็น่ากลัวมากพอแล้ว แต่สำหรับเฉินเกอนั้น มันเหมือนกับการจับสลาก ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปในตึก เขาจะเต็มไปด้วยความคาดหวังบางอย่าง เขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไม– บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าเขามีความอยากรู้อยากเห็นเต็มเปี่ยม

“ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนทำความสะอาดถนนอะไรอย่างนั้น ถ้าเพียงแต่ประตูในเมืองหลี่ว่านไม่หลุดออกจากการควบคุม อย่างนั้นฉันก็สามารถกลับมาทำความสะอาดที่นี่ได้เป็นประจำ” พระจันทร์สีเลือดส่องแสงสว่าง หมอกเลือดกระเพื่อมไหว เฉินเกอวิ่งไปตามถนนภายใต้การจับตามมองของดวงตาชั่วร้ายนับไม่ถ้วน

“เงารูปร่างมนุษย์ยังอยู่แถว ๆ แยกต่าง ๆ ชายมีรอยสักเคยบอกว่าเงาพวกนี้นั้นมาจากร่างเนื้อของเงานั่น ดังนั้น มันต้องมีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างเงาเหล่านี้และเงานั่น” เฉินเกอเข้าใจว่าที่เขาไม่ได้เจอสัตว์ประหลาดมากนักในเมืองหลี่ว่านเป็นเพียงเพราะว่าเงานั่นยุ่งกับการรับมือกับคุณหมอเกาและไม่สามารถแยกตัวมาสนใจเฉินเกอได้ ถ้าพวกเขาพบว่าทั้งคู่ต่างไล่ล่าเฉินเกอ เช่นนั้นสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปอย่างมากมาย

“ถ้าฉันทำได้ดี ฉันจะสามารถดึงเรื่องนี้ออกไปได้อีกระยะหนึ่ง” เฉินเกอคว้าค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกและเล็งมันไปที่หน้าต่าง ตราบใดที่เขามองเห็นเงาคนในตึก เขาก็จะบุกเข้าไปในตึกนั่น ด้วยค้อนนี่ ไม่ว่าเฉินเกอตัดสินใจจะไปที่ใด มันย่อมมีทางให้ไปเสมอ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เขาใช้กำลังเปิดทางบุกไปในเมืองหลี่ว่าน

ทั้งนี้ หมอกเลือดนั้นเป็นเหมือนตัวแทนของเงานั่น ตอนนี้หมอกเลือดนั้นบางลงและยังมีเสียงประหลาดก้องผ่านมันมา วิญญาณและฆาตกรที่ถูกขังเอาไว้ต่างพบว่าโอกาสของพวกมันมาถึงแล้ว เดิมที เสียงประหลาดนั่นดังมาแค่จากด้านหลังเฉินเกอ แต่ทั้งเมืองหลี่ว่านก็ค่อย ๆ เต็มไปด้วยความน่ากลัวและเสียงกรีดร้องอย่างช้า ๆ

เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในหายนะ เมืองหลี่ว่านที่เงานั่นควบคุมมาเป็นระยะเวลานานจมดิ่งสู่ความบ้าคลั่ง ความบ้าคลั่งที่ถูกบีบให้มารวมกันในที่สุดก็มีโอกาสระเบิดออกในรูปแบบที่แต่ละตัวตนที่แสนบ้าคลั่งคืบคลานออกจากที่ซ่อนของพวกมัน

ไม่ว่าจะเพื่อหนีหรือว่าเพื่อปลดปล่อยความดำมืดในหัวใจของพวกมัน มนุษย์และวิญญาณที่เป็นตัวแทนของความมืดที่ในหัวใจมนุษย์ก็เริ่มเคลื่อนไหว ถ้าเงานั่นไม่ถูกหมอเกาสยบ มันก็คงจะสังหารเหล่าวิญญาณสักสองสามตนเพื่อเตือนพวกที่เหลือและบีบบังคับให้พวกมันต้องกลับไปยอมสยบ แต่ว่า เขาไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปได้ และยิ่งเขาปล่อยให้มันเกิดขึ้น สถานการณ์ก็จะยิ่งวุ่นวาย ความกลัวที่เงานั่นใส่เอาไว้ในหัวใจของพวกเขาสลายไปอย่างช้า ๆ ขณะที่พวกเขาเริ่มกลืนกินอารมณ์ด้านลบเข้าไป

เสียงกรีดร้องและเสียงหัวเราะก้องไปรอบ ๆ เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ เสียงต่อสู้ดังมาจากทุกแห่งหน หมอกเลือดเริ่มบางลงเรื่อย ๆ แต่กลิ่นเลือดกลับรุนแรงขึ้น

“นี่คือความบ้าคลั่งโดยบริสุทธิ์ มันค่อนข้างไม่น่าสบายใจ” เฉินเกอกระโจนข้ามฆาตกรที่หมดสติ ในเวลาเดียวกัน ซู่อินก็ม้วนวิญญาณสัมภเวสีที่ขวางทางพวกเขาอยู่เป็นก้อนกลม พวกเขาแยกกันรับผิดชอบหน้าที่– เฉินเกอรับมือกับคนเป็นขณะที่ซู่อินรับมือกับวิญญาณสัมภเวสีและวิญญาณอาฆาต

เพียงแค่ไม่กี่นาที ของประหลาดหลายอย่างก็ถูกโยนเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังของเฉินเกอ ตัวอย่างเช่น หัวฝักบัวที่ยื่นออกมาจากห้องน้ำห้องหนึ่ง มันมีวิญญาณสัมภเวสีของผู้ชายคนหนึ่งครอบครองอยู่ เขามีนิสัยชอบแอบมองคนอื่นอาบน้ำ ความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นต่ำกว่าศูนย์เสียอีก แต่ว่าเขาดูน่ากลัว เฉินเกอนั้นมีความรู้สึกว่าเขามีความสามารถในการเป็นพนักงานที่ดี ดังนั้นจึงตัดสินใจพาเขากลับไปด้วย

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกหลายชิ้น อย่างเช่นไฟฉายที่สามารถเปิดปิดเองได้ วิญญาณที่ซ่อนอยู่ใต้แก้วน้ำ ผีผู้หญิงที่ชอบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ และอื่น ๆ อีก

สิ่งที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย เฉินเกอก็จะเก็บไป สิ่งที่จัดการได้ยากอย่างเช่นผีผู้หญิงที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ เฉินเกอก็จะทุบโต๊ะเป็นชิ้น ๆ และให้ผีเข้าไปสิงอยู่ในชิ้นไม้ที่หักออกมา เขาสัญญากับเธอว่าเขาจะทำโต๊ะตัวใหม่ให้เธอในอนาคต

รางวัลจากภารกิจนั้นดีกว่าที่เฉินเกอคาดเอาไว้ เขาเปิดโทรศัพท์เครื่องดำ ที่หน้าพนักงานนั้นมีข้อความใหม่เพิ่มมาสองสามข้อความ

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ! คุณเพิ่งได้รับวิญญาณสัมภเวสีชนิดพิเศษ– หลี่กุ้ย (วิญญาณสัมภเวสี) ความบ้าตัณหานั้นนำไปสู่ความขมขื่น เขาถูกไฟช็อตตอนที่พยายามติดกล้องแอบถ่ายในห้องน้ำที่เหนือฝักบัว ความสามารถพิเศษของเขาคือ กรรมเลว และมันสามารถส่งอิทธิพลต่อโชคของเขาและผู้คนที่รอบ ๆ คุณต้องการจ้างเขาเป็นพนักงานของคุณหรือไม่?

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ! คุณเพิ่งได้รับวิญญาณสัมภเวสีชนิดพิเศษ– เหอเป้ยเป้ย (วิญญาณสัมภเวสี) ตายในอุบัติเหตุแก้วน้ำตกลงมาจากฟ้าตอนที่เดินเดินผ่านพื้นที่เขตที่พักอาศัย เธอไม่พึงพอใจกับการตายของเธอ จนกว่าเธอจะได้พบตัวฆาตกรที่แท้จริง เธอสามารถซ่อนอยู่ใต้แก้วน้ำ ตอนที่มีคนดื่มน้ำจากแก้วนี้ เธอก็จะสามารถจับสังเกตคนผู้นั้นได้จากใต้แก้ว พลังพิเศษ ถ่ายภาพ คุณต้องการจ้างเธอเป็นพนักงานของคุณหรือไม่?

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ! คุณเพิ่งได้รับวิญญาณอาฆาตชนิดพิเศษ– หวังเหม่ย (วิญญาณอาฆาต) เธอป่วยด้วยภาวะทางจิต หวาดกลัวพื้นที่กว้าง และรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในที่แคบ ๆ สาเหตุการตายของเธอนั้นยังเป็นปริศนา ตำรวจพบร่างของเธออยู่ในกล่องไม้ใต้โต๊ะ ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร และพวกเขาก็ไม่พบรอยนิ้วมือของบุคคลที่สองเลยสักรอยที่สถานที่เกิดเหตุ พลังพิเศษของเธอคือการดัดตน คุณต้องการจ้างเธอเป็นพนักงานของคุณหรือไม่?

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ! คุณเพิ่งได้รับวิญญาณสีเลือดชนิดพิเศษ– ??? (วิญญาณสีเลือด)! ได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังจะสลายไป ไม่ทราบชื่อจริง ไม่ทราบพลัง ไม่ทราบประวัติ ก่อนที่คุณจะทำตามคำขอร้องของเธอสำเร็จ คุณจะไม่สามารถจ้างเธอเป็นพนักงานของคุณได้”

เฉินเกอมองที่หน้านั้นและพบว่ารางวัลตอบแทนนั้นมากมายแค่ไหน มีวิญญาณอย่างน้อยสามดวงที่มีพลังพิเศษ และหญิงไร้หัวที่เป็นวิญญาณสีเลือด

“ฉันจะทิ้งคำถามเรื่องจ้างงานพวกเขาเอาไว้หลังทำภารกิจนี้สำเร็จ” เพื่อให้แน่ใจในคุณภาพของทีม สนใจแค่จำนวนอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ– สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือสมาชิกแต่ละคนนั้นสามารถจัดการตัวเองได้ เฉินเกอเก็บโทรศัพท์เครื่องดำลงไปและมองไปรอบ ๆ ตัว

เมืองหลี่ว่านนั้นบ้าคลั่งถึงจุดสูงสุด– เงานั่นน่าจะไม่สามารถบอกได้ว่าต้นกำเนิดของปัญหาอยู่ที่ไหนแล้ว และการปรากฏตัวของคุณหมอเกานั้นก็เป็นปัจจัยที่เปลี่ยนทุกอย่างไป ถึงจะฉลาดแบบเงานั่น ยิ่งวางแผนการอย่างละเอียด เขาก็ยิ่งไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคุณหมอเกาเปลี่ยนไปเป็นวิญญาณสีเลือด และยิ่งไปกว่านั้น ยังมาปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้

ข้อมูลนั้นเป็นตัวตัดสินทิศทางที่คนผู้หนึ่งจะเลือกเมื่อคิดวางแผนการ เงานั่นเคยสู้กับคุณหมอเกามาก่อน เงานั่นเก่งกาจในด้านจิตวิทยา และบังเอิญว่า คุณหมอเกาก็เป็นจิตแพทย์ที่ดีที่สุดที่จิ่วเจียงเคยมี ในการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเงานั่นที่ชนะได้เฉียดฉิว คุณหมอเกาก็ยังทิ้งความประทับใจเอาไว้ให้เงานั่นอย่างลึกซึ้ง และมันก็ระแวดระวัง ‘คน’ คนนี้อย่างที่สุด

หมอกเลือดในเมืองหลี่ว่านสามในสี่ส่วนนั้นไปกระจุกอยู่ที่จุดจุดหนึ่ง เงาวูบวาบของโซ่สีแดงเข้มตัดผ่านหมอก ทิ้งรอยบาดลึกเอาไว้บนตึกรอบ ๆ

“เงานั่นปกป้องภารกิจระดับสี่ดาวเอาไว้ด้านหลัง ดังนั้นเขาย่อมต้องมีไพ่ตายใบอื่นที่ยังไม่ได้ใช้ ฉันสงสัยว่าหมอเกาจะสามารถกดดันเงานั่นได้อีกนานแค่ไหน” เฉินเกอให้ความสนใจกับการต่อสู้ระหว่างเงานั่นกับหมอเกาอย่างใกล้ชิด ในตอนนี้เอง มีเสียงตูมตามดังมาจากตึกที่ฟ่านฉงอาศัย ใคร ๆ ก็สามารถมองเห็นหลอดเลือดที่ปกคลุมอยู่ที่ด้านนอกตึกเริ่มเหี่ยวแห้งและตายไป

“ใครทำน่ะ? เป้าหมายของพวกเขาดูเหมือนจะเป็นประตูที่หลุดออกจากการควบคุมเช่นกัน” เฉินเกอนั้นค่อนข้างประหลาดใจ นอกจากตัวเขา คุณหมอเกา และเงานั่น ดูเหมือนว่าจะมีกองกำลังฝ่ายที่สี่ “เป็นผู้หญิงในชุดกันฝนสีแดง หรือว่ามีฆาตกรรวมกลุ่มกันขึ้นมาใหม่?”

ประตูนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของหมอกทั้งหมดในเมืองหลี่ว่าน ดังนั้นเงานั่นจึงไม่เคยปล่อยให้ใครทำอันตรายประตูได้ เสียงประหลาดดังผ่านโซ่และหมอกมา มันเหมือนกำลังเรียกชื่อหนึ่งอยู่

“ในที่สุดเงานั่นก็กำลังจะเผยไพ่ใบที่สองแล้ว?” เฉินเกอนั้นตื่นตัวเป็นอย่างมาก ไม่ช้าเขาก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตั้งแต่เสียงนั่นดังมา รอยเปื้อนรูปร่างคนก็เริ่มหายไปจากด้านนอกตึกของเมืองหลี่ว่าน มันเหมือนกับว่าพวกเขาคือผู้พักอาศัยที่แท้จริงของตึกเหล่านี้

“นี่ดูคล้ายกับรอยเปื้อนที่ในตึกของฟ่านฉง หรือว่าเงานั่นวางแผนจะปลุกทุกคนที่ตายอย่างทรมานในเมืองหลี่ว่านขึ้นมา? ฆาตกรและวิญญาณส่วนใหญ่นั้นถูกส่งมาจากส่วนอื่น ๆ ของประเทศ รอยเปื้อนรูปคนดูเหมือนจะแทนคนพื้นที่จริง ๆ ของเมืองหลี่ว่าน พวกเขาตายจากโรคระบาดและถูกฝังเอาไว้ลึกใต้เมืองนี้

ทุกอย่างดูเหมือนกำลังเคลื่อนไหว เฉินเกอหันไปมอง และเขาก็เห็นรอยเปื้อนรูปคนที่ด้านหลังตัวเอง มันอยู่ในรูปร่างของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ดูอายุราวเจ็ดหรือแปดปีและดูผอมเก้งก้าง ผมของเธอผูกไว้เป็นหางม้าสองข้าง

ตอนแรก ก็เป็นแค่เงาจาง ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เงาก็เริ่มเข้มขึ้นจนกระทั่งเฉินเกอสามารถมองเห็นรูปร่างของเด็กหญิงได้ชัดเจนขึ้น ร่างกายของเธอนั้นบิดเป็นก้อนกลม บางทีอาจจะเพื่อลดความเจ็บปวด แขนของเธอกอดตัวเองไว้แน่น แน่นจนกระดูกของเธอเริ่มเคลื่อน

กรอบ แกรบ แกรบ…

เสียงน่าขนลุกดังขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อไหร่ที่มันดังขึ้น รอยเปื้อนบนกำแพงก็จะชัดเจนขึ้นเหมือนมันพยายามจะดึงตัวเองออกจากกำแพง เสียงแทรกดังมาจากเครื่องเล่นเทป และเจ้าแมวขาวในกระเป๋าก็ร้องเหมียวใส่เฉินเกอไม่หยุด พวกเขาทั้งคู่กำลังเตือนเฉินเกอให้อยู่ให้ห่างจากเด็กหญิงคนนี้

“ทำไมซู่อินถึงไม่ปล่อยให้ฉันอยู่ใกล้ ๆ เธอ?” ตัวตนของเด็กสาวนั้นอ่อนแอกว่าวิญญาณสีเลือดมาก อันที่จริง เธอดูไม่ได้แข็งแกร่งเท่าวิญญาณอาฆาตที่เก่ง ๆ เลยด้วยซ้ำ แต่ว่ารอยเปื้อนหนึ่งกลับทำให้ทั้งซู่อินและเจ้าแมวขาวตื่นตัวได้ สียังเข้มขึ้นเรื่อย ๆ และบางทีมันอาจจะเป็นสายตาพร่าไปเอง แต่ว่าเฉินเกอรู้สึกเหมือนเขาเห็นเด็กหญิงขดตัวสั่น ๆ จากนั้นเด็กหญิงก็เงยหน้าที่ก่อนหน้านี้ฝังอยู่กับหน้าอกตัวเองขึ้นมาและหันมาหาเฉินเกอช้า ๆ

มันเป็นใบหน้าที่ไร้เครื่องหน้า แต่ว่า มองความว่างเปล่านั้นแล้ว เฉินเกอก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกหย่อนลงไปในน้ำเย็น และขนบนร่างของเขาก็ลุกชัน หลังจากอยู่กับวิญญาณมา ร่างกายของเฉินเกอนั้นมีอุณหภูมิต่ำลง และเขาก็ไม่เคยรู้สึกสันหลังเย็นวาบแบบนี้มานานแล้ว

“นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่วิญญาณร้าย…” เฉินเกอนิยามวิญญาณร้ายว่าเป็นวิญญาณสัมภเวสีแบบหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่มีชีวิต

วิญญาณนั้นมีดีและร้าย ดังนั้นจึงย่อมมีวิญญาณอาฆาตที่ดีและร้าย แต่ว่า รอยเปื้อนรูปคนตรงหน้าเขานี้ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์ใด ๆ กลับกัน มันเต็มไปด้วยความต้องการทำลาย แทนที่จะเรียกว่าผี มันเหมือนกับคำสาปที่มีชีวิตมากกว่า จุดประสงค์ในการมีอยู่ของมันนั้นก็เพื่อแพร่กระจายหายนะและโชคร้าย เปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นเหมือนตัวมันเอง

ตอนที่รอยเปื้อนในกำแพงเห็นฟางหยวน ร่างของเด็กหญิงก็คลายออกช้า ๆ และแขนขาที่เดิมบิดเบี้ยวก็เริ่มเหยียดออกขณะที่เธอเดินออกมาจากกำแพง

ใบหน้าไร้เครื่องหน้ามองตรงมาที่เฉินเกอ เด้กหญิงก้าวเข้ามา และเธอก็เริ่มเร่งความเร็วขึ้นก่อนที่จู่ ๆ จะกระโจนเข้าใส่เฉินเกอ!

ในเวลาเดียวกัน เสียงกรีดร้องก็ดังอยู่รอบ ๆ เมืองหลี่ว่านไม่หยุด เงานั่นดูเหมือนจะเริ่มการโจมตีแบบไม่เจาะจงแล้ว– ฆาตกรและวิญญาณทั้งหมดในเมืองหลี่ว่านคือเป้าหมายของเขา

“ฉันจะถอยก่อนตอนนี้” เฉินเกอไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสัมผัสถูกรอยเปื้อนพวกนี้ เขาไม่สั่งให้ซู่อินหรือไป๋ชิวหลินรับมือกับมันด้วยซ้ำ แต่เขาหลบเด็กหญิงและตัดสินใจจับตามองสถานการณ์ก่อนที่จะเริ่มการเคลื่อนไหวถัดไป

“พวกเขากำลังมาแล้ว!”  เพียงแค่เห็นคลื่นหนาของหมอกสีเลือดที่ม้วนพัดมาและประกายของโซ่สีดำที่ในนั้นก็ทำให้ขาของชายมีรอยสักอ่อนยวบ เขามองเฉินเกอที่ยืนอยู่ที่ขอบตึกคนเดียว และเขาก็อยากจะถามว่าชายคนนี้นั้นเกิดมาโดยไร้ซึ่งความรู้สึกหวาดกลัวหรืออย่างไร

“ผมมีแผนหนึ่งซึ่งอาจจะเพิ่มโอกาสหนีของพวกเราขึ้นช่วงใหญ่” เฉินเกอใจเย็นมาก “ทั้งเงาและพวกที่เพิ่งมาถึงที่นี่นั้นต้องการฆ่าผม แต่ว่าเงานั่นยังไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วผมเป็นเป้าหมายของตัวตนที่มาใหม่นั่น เขาลงมือต่อต้านคราวนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าแผนการของเขาจะไม่ถูกทำลาย ถ้าเขารู้ความจริง เขาก็จะยิ่งกว่ายินดีช่วยคนมาใหม่นั่นฆ่าผม

“ดังนั้น ตอนนี้ สถานการณ์นั้นดีกับพวกเรา และยิ่งมันลากยาวไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีกับพวกเรามากขึ้น” เฉินเกอหยุดก่อนจะขอให้อีกฝ่ายเข้ามารวมหัวใกล้ ๆ กับเขา “ผมมีบางอย่างที่ดึงดูดคนมาใหม่นั่นอยู่บนร่าง ดังนั้น อีกเดี๋ยว ผมจะนำเขากับเงานั่นไปทางอื่น จะพาพวกเขาทำลายไปตลอดเมืองหลี่ว่าน พอเป็นแบบนั้นแล้ว พวกคุณควรใช้โอกาสนั้นค้นเขตที่พักหมิงหยางหาชิ้นส่วนที่หายไปของประตู”

“ได้” ชายมีรอยสักตกลง แต่หลังจากคิดดูแล้ว เขาก็พบช่องโหว่ของแผนการ ดังนั้นจึงรีบเสริม “แล้วคุณล่ะ? ถูกตัวตนพวกนั้นไล่ตาม ถ้าคุณไม่ระวังนิดเดียวมันก็จบแล้ว!”

เขาไม่ได้เป็นห่วงเฉินเกอเท่าไหร่ เขาแค่คิดถึงแผนการของเฉินเกอที่จะดึงดูดปิศาจน่ากลัวทั้งสองนั้น ด้วยความสามารถของเขาตอนนี้ เขาน่าจะซื้อเวลาให้พวกตนได้ไม่มากนัก

“นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้” เฉินเกอดึงเอาโทรศัพท์ฝาพับที่ตกรุ่นไปแล้วในท้องตลาดเรียกถงถง ผีโทรศัพท์ ออกมา “ลองดูหน่อยสิว่าเธอจะสามารถส่งข้อความให้ฉันได้ไหมตอนที่พวกเราอยู่ในนี้”

ถงถงลอง และโทรศัพท์ของเฉินเกอก็สั่น ข้อความง่าย ๆ ปรากฏขึ้น “ผมทำได้ แต่ว่ามันจะทำให้ผมเหนื่อยมาก”

เฉินเกอพยักหน้า จากนั้นเขาก็เรียกเหมินหนานกับเหล่าโจวออกมา “ผมต้องการให้พวกคุณคอยดูแลถงถงและตามพวกเขาไปหาชิ้นส่วนที่หายไปของประตู”

เหมินหนานเป็นวิญญาณสีเลือด และเหล่าโจวนั้นมีประสบการณ์และระมัดระวัง ร่วมกับความสามารถในการสื่อสารระยะไกลของถงถง นี่เป็นกลุ่มที่เชื่อถือได้ที่สุดที่เฉินเกอสามารถหาได้

เหมินหนานนั้นไม่บ่นอะไรเพราะเขารู้ว่าสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน เขามองหมอกเลือดและโซ่ที่ไกล ๆ และเช็ดเหงื่อเย็น ๆ ที่ไม่ได้ผุดขึ้นมาบนหน้าผากเขา “แล้วคุณล่ะ?”

“ฉันจะล่อพวกนั้นไปห่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเธอ”

“สหาย เจ้าสิ่งนั้นมาที่นี่เพราะกระดาษแผ่นนั้นใช่ไหม? ฉันเห็นวิญญาณดวงนั้นเอากระดาษนั่นไป แกสามารถสั่งให้พวกเขาดึงดูดเงานั่นขณะที่แกตามพวกเราไปที่ทางออก”

เฉินเกอประหลาดใจที่ชายหน้ายิ้มเรียกเขาว่าเพื่อน อย่างไรเสีย เฉินเกอก็ทำอะไรหลายอย่างลงไปรวมทั้งโยนรองเท้าส้นสูงสีแดงใส่เขา ทำตัวเป็นศัตรูกับชายคนนี้มาก่อน “ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ แค่ทำตามที่ผมบอกก็พอ”

“ฉันเชื่อว่าวิญญาณตนนั้นจะยินดีเอากระดาษนั้นไปและไม่เอามาคืนแกเพราะว่านั่นก็เป็นแผนการในใจเขาเหมือนกัน นี่เป็นทางเลือกของเขา” สำหรับชายหน้ายิ้ม เฉินเกอนั้นไม่ใช่คนที่พระเจ้ารังเกียจในเมื่อเขาเป็นที่รักของเหล่าวิญญาณ– นั่นคือเหตุผลที่ท่าทีของเขาต่อเฉินเกอดีขึ้น

“เขาเป็นเหมือนครอบครัวของผม คุณจะส่งครอบครัวของตัวเองเข้าไปในอันตรายเพื่อให้ตัวเองรอดชีวิตไหมล่ะ?” เฉินเกอมีสีหน้าไม่ดีนัก ตอนที่เขาพูดอย่างนั้น กลิ่นเลือดรอบตัวเขาก็รุนแรงขึ้นและเสียงแทรกก็ดังขึ้น ที่รอบ ๆ หัวใจว่างเปล่าของซู่อินนั้นมีเลือดปรากฏขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ช้าก็กลับเป็นปกติ

“ไม่ว่าอย่างไร ผมก็จะไม่ปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดเพียงลำพังอีกต่อไป เขาเลือกแล้ว แต่ผมก็มีหลักการที่ต้องทำตามเหมือนกัน” อันที่จริง เฉินเกอนั้นรู้ปัญหาของซู่อินอยู่แล้ว ในทุก ๆ การต่อสู้ ซู่อินนั้นไม่เคยออมมือ– มันเหมือนกับว่าผู้ชายคนนี้นั้นแสวงหาความตาย ไม่มีอะไรมีค่าพอให้เขาต้องรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ และซู่อินก็ไม่รู้ว่าทำไมวิญญาณของเขาถึงได้ล่องลอยอยู่ในโลกนี้

เขาไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร เขาไม่ได้รู้สึกอยากทำลายอะไรและไม่มีอะไรที่ต้องปกป้อง ดังนั้น ทำไมเขาถึงเลือกที่จะปกป้องเฉินเกอล่ะ? เขาไม่สามารถตอบได้เช่นกัน บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขานับเฉินเกอเป็นเพียงคนเดียวที่เขาสามารถเชื่อถือได้ หรือบางทีเขาอาจจะแค่กำลังหาเหตุผลเพื่ออธิบายความต้องการตายของตัวเอง

การตายนั้นเป็นเรื่องจริงจัง เฉินเกอเข้าใจเรื่องนั้น ซึ่งทำให้เขาต้องการช่วยซู่อินมากขึ้นไปกว่าเดิม

มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เฉินเกอถูกเรียกว่าผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ เขามีบางอย่างในตัวที่ไม่สามารถพบได้ในคนอื่น ๆ เขาสามารถเข้าใจความจริงของความเจ็บปวดที่คนอื่นรู้สึกและใช้การกระทำของตัวเขาเองบรรเทาความเจ็บปวดนั้น ให้พวกเขาได้มีโอกาสที่สองในชีวิตหลังความตาย

“ผมจะช่วยเขาล่อปิศาจนั่นไป เมืองหลี่ว่านก็ใหญ่เท่านี้– ผมหวังว่าพวกคุณจะลงมือให้เร็วที่สุดเท่าที่สามารถและหาชิ้นส่วนที่หายไปทั้งหมดให้ได้ก่อนที่ศัตรูจะไล่ตามผมทัน” เฉินเกอดึงค้อนออกมา “ไปตอนนี้เลย ผมจะวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่พวกคุณเลือก”

ถ้าไม่เพราะความจริงว่าพวกเขาใช้เวลาด้วยกันมามากพอ เหมินหนานก็คงคิดว่าผู้ชายตรงหน้าเขานี้นั้นเต็มไปด้วยความยุติธรรม เป็นนายจ้างที่ดีที่ไม่เห็นแก่ตัวและมีศีลธรรม

“ระวังด้วย ผมยังรอให้คุณส่งผมกลับไปจะได้ไปซ่อมหน้าต่างที่พัก” เด็กชายใช้ขาสั้น ๆ พาตัวออกไปจากตึกพร้อมกับคนที่เหลือในกลุ่ม

ไม่ช้า เฉินเกอก็ถูกทิ้งเอาไว้คนเดียวบนดาดฟ้า เขาเอนตัวพิงรั้วและที่ในดวงตาของเขาก็ราวกับมีเปลวไฟลุกโชน “หมอเกาที่ปฏิเสธที่จะเป็นมนุษย์กับเงาที่อยากจะเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ความปรารถนาของพวกเขานั้นตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง มองอีกมุมแล้วมันก็ตลกดี ฉันสงสัยนัก ในเมืองนี้ที่เต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัวและสิ้นหวัง ใครจะเป็นเรื่องผีที่น่ากลัวกว่ากัน?”

พระจันทร์สีเลือดส่องแสงลงมาบนถนน และเงาของเฉินเกอก็แผ่ออกไปราวกับแอ่งเลือด หมอกสีเลือดถูกผลักกลับไป และความเย็นเยือกสุดขั้ว เต็มไปด้วยความน่ากลัวและบ้าคลั่ง ก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาแต่สลายไปในไม่ช้า

เฉินเกอมองหมอกเลือด และโซ่ และสีหน้าแท้จริงของเขาก็ปรากฏขึ้นมาช้า ๆ มุมปากของเขายกขึ้น เขาลากค้อนวิ่งลงบันไดไป

“หมอเกานั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับตัวตนที่เหนือกว่าวิญญาณสีเลือดในปิศาจทั้งหมดที่ฉันเคยเจอ ถึงแม้ว่าผีทารกจะเกี่ยวข้องกับฉากระดับสี่ดาว เงาที่นี่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ของพลังที่แท้จริงของผีทารกเท่านั้น ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะได้เปรียบด้านพื้นที่ เขาก็ไม่ใช่คู่มือหมอเกา” เฉินเกอวิ่งออกจากตึกและอ้อมรอบเมืองหลี่ว่านขณะที่หมอกสีเลือดรอบตัวเขาเริ่มบางลงช้า ๆ

“ฉันต้องระวังหมอเกา เรื่องใหญ่ที่สุดก็คือฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน และจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเขาฉันก็ต้องหลีกเลี่ยงให้มาก แต่ว่า ทุกอย่างที่เขามีดูเหมือนจะวนอยู่รอบ ๆ บ้านผีสิงของฉัน” เฉินเกอวิ่งไปตามถนน และเสียงประหลาดก็ดังมาจากด้านหลังเขา หมอเกาน่าจะสัมผัสได้ว่าเขาเคลื่อนไหวแล้วและดังนั้นจึงเริ่งความเร็วขึ้นมาเท่า ๆ กัน

หมอกสีเลือดที่บางลงทำให้เสียงสะท้อนจากด้านหลังเขานั้นชัดเจนมากขึ้น เงาที่อยู่ในตึกสีแดงใกล้ ๆ ตัวสั่นและโซเซ ผีและฆาตกรที่ติดอยู่ที่นั่นฉลาดพอที่จะพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องและออกมาจากที่ซ่อนกันหมด

“มันยิ่งมากยิ่งน่าตื่นเต้น ฆาตกร วิญญาณ และเรื่องผีที่คุณคิดภาพไม่ออก นี่สิคืองานปาร์ตี้ของความมืด”

วิ่งไปตามถนน รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเกอก็กว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

 

 

TL note: หลังจากที่ผู้แปลป่วย ๆ หาย ๆ มาเป็นเดือนทางบ้านก็ไม่วางใจให้อยู่คนเดียวและสั่งให้กลับบ้าน และทางผู้แปลลืมนำคอมพิวเตอร์ตัวที่ใช้ทำงานไปด้วย ต้องขออภัยกับผู้อ่านทุกท่านมากจริง ๆ ที่จู่ ๆ ก็หายเงียบไปเลย รู้สึกผิดมาก ๆ

จิ่วเจียงตะวันออกนั้นใหญ่มาก แต่เงานั่นเลือกเมืองหลี่ว่าน– ต้องมีเหตุผลเรื่องนั้น รอยเปื้อนรูปคนที่ระหว่างทางนั้นไม่มีรูปแบบให้คิดถึงได้ และเฉินเกอก็ไม่รู้ว่าทำไมรอยพวกนี้ถึงถูกทิ้งเอาไว้บนกำแพง มันเหมือนพวกผู้ป่วยใช้วิธีการประหลาดเหล่านี้บันทึกความเจ็บปวดที่พวกเขาผ่านมา

“เป็นวิญญาณสัมภเวสีหรือเปล่า?” เฉินเกอยืนอยู่ที่ข้างรอยเปื้อนและใช้รองเท้าส้นสูงสีแดงแตะไปที่รอยหนึ่ง รองเท้าส้นสูงซึ่งนิ่งเฉยมาตลอดจู่ ๆ ก็หลั่งเลือดสีแดงเข้มออกมา มันเหมือนมีคนร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดหลังจากถูกทำให้เสียเกียรติ เห็นการตอบสนองจากรองเท้าส้นสูงสีแดงเฉินเกอก็ดึงรองเท้ากลับทันที “รอยเปื้อนบนกำแพงนั้นเป็นมากกว่าที่เห็น กระทั่งรองเท้าส้นสูงสีแดงยังไม่ยอมเข้าใกล้พวกมัน ดังนั้นนี่น่าจะหมายความว่ามีมากกว่าแค่วิญญาณสัมภเวสีธรรมดา”

เฉินเกอตรวจดูทุกห้อง แต่เขาก็ยังหาคนที่เหลือไม่เจอ “อพาร์ทเม้นท์ก็ใหญ่แค่นี้ พวกเขาจะไปซ่อนอยู่ที่ไหนได้? หรือว่าพวกเขาถูกดึงเข้าไปในกำแพงแล้วถูกเปลี่ยนไปเป็นรอยเปื้อนพวกนี้?”

กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ไปถึงที่ชั้นบนที่รอยเบื้อนบนกำแพงนั้นกลายเป็นมากมายนับไม่ถ้วน และสีก็เข้มขึ้นด้วยเช่นกัน มันเหมือนว่าพวกเขากำลังจะหนีออกมาจากกำแพงได้ในไม่ช้า

“ร่างกายของรอยเปื้อนทั้งหมดนี้นั้นบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดชนิดไหนกันที่พวกเขาต้องเจอก่อนที่จะตายไป?” ประวัติของเมืองหลี่ว่านนั้นถูกลืมเลือนไป กระทั่งบนอินเตอร์เนตก็มีข้อมูลเกี่ยวกับเมืองเล็ก ๆ นี้เพียงไม่มาก อันที่จริง มันเหมือนกับมีใครจงใจลบข้อมูลของพวกเขาออกจากบันทึก

“ถ้าพวกเขาไม่ได้อยู่ในตึก อย่างนั้นพวกเขาก็คงถูกส่งออกไปผ่านช่องทางลับ” ชายมีรอยสักรู้สึกไม่สบายใจ “พวกเราควรจะออกไปจากที่นี่ก่อน ตราบใดที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นพวกเราก็ยังมีทางเลือก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราด้วย อย่างนั้นก็ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้แล้ว”

“ตอนที่ผู้โดยสารคนหนึ่งถูกลากไป ผมสังเกตเห็นว่ามือที่จับเขาอยู่นั้นคล้ายกับรอยเปื้อนที่บนกำแพงพวกนี้ บิดเบี้ยวและมีรอยโรคฝีดาษ”

“คุณกำลังจะบอกอะไร?” ชายมีรอยสักนั้นไม่เข้าใจกระบวนการคิดของเฉินเกอ

“พวกคุณอาศัยอยู่ที่นี่นานแล้ว แต่คุณไม่เคยเห็นรอยเปื้อนพวกนี้มาก่อน?” เฉินเกอโยนคำถามกลับไป

“ไม่! พูดโดยสัตย์จริงเลย ผมเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียว แต่ตอนที่ผมมา รอยเปื้อนพวกนี้ไม่ได้มีอยู่ในตึก”

“หมายความว่าพวกมันเพิ่งปรากฏขึ้นที่นี่” เฉินเกอนั้นไม่สามารถลดความระมัดระวังลงได้ เขารู้ว่ารอยเปื้อนรูปคนเหล่านี้ที่กระทั่งรองเท้าส้นสูงยังไม่ยอมสัมผัสถูกเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเงานั่น ก่อนที่เฉินเกอจะเปิดไพ่ของตัวเอง เงานั่นก็ถูกบีบให้ต้องเผยไพ่ตายใบหนึ่งออกมาแล้ว

“ต้องเกิดบางอย่างขึ้นที่เมืองหลี่ว่าน ไม่อย่างนั้นเงานั่นจะไม่ทำอย่างนี้” เฉินเกอไม่สนใจรอยเปื้อนที่บนกำแพง และเปิดประตูที่นำไปยังดาดฟ้าออก เขาเดินผ่านประตูไป

สายลมพัดโหยหวนและหอบเอาความรู้สึกหายใจไม่ออกจากไปด้วย เฉินเกอมองท้องฟ้าด้านหลังหมอกเลือดและค่อย ๆ เลื่อนสายตาลงไปที่พื้น หมอกเลือดที่เมืองหลี่ว่านดูเหมือนจะถูกดึงดูดโดยบางอย่าง และมันก็กระเพื่อมไปทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่าน มันเหมือนว่าหมอกเลือดกำลังสร้างกำแพงเพื่อหยุดบางอย่างไม่ให้เข้ามา

“หมอกตรงนั้นมีบางอย่างน่าสงสัย” นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินเกอได้เห็นเมืองหลี่ว่านจากมุมสูง เทียบกับครั้งก่อนแล้ว สายตาของเขาดีขึ้นเพราะความช่วยเหลือจากดวงตาหยินหยาง เขามองเห็นได้ไกลกว่าเดิม

“แกมีผู้ช่วยเหลือคนอื่นเหรอ?” เป็นชายหน้ายิ้มที่พูดขึ้น สถานการณ์นั้นชัดเจน เหมือนที่เฉินเกอพูดถึงก่อนหน้านี้ มีกลุ่มที่สามมาถึงยังเมืองหลี่ว่าน และกลุ่มนี้นั้นก็ดึงดูดความสนใจส่วนใหญ่ของเงานั่นไป การคาดเดาของเฉินเกอทำให้ชายหน้ายิ้มตื่นตัว เขากลัวว่ากลุ่มกำลังใหม่นี้จะเกี่ยวข้องกับเฉินเกอ และถ้าเป็นอย่างนั้น มันจะทำลายสมดุลของตาชั่งที่เปราะบางอยู่ก่อนแล้วระหว่างพวกเขา

“มันน่าจะไม่ใช่ผู้ช่วยเหลือของผม และถ้าผมเดาไม่ผิด กลุ่มใหม่นี้ก็เป็นศัตรูของผมเหมือนกัน ความปรารถนาจะฆ่าผมของเขาไม่ต่ำไปกว่าเงานั่นแน่นอน” เฉินเกอบอกสิ่งที่เขาคิดออกมาตรง ๆ

“แกมีศัตรูเยอะเสียจริงนะ กระทั่งเวลาอย่างนี้ แกก็ยังมีศัตรูไล่ตามมา ฉันไม่รู้แล้วว่าควรจะบอกว่าแกโชคดีหรือโชคร้าย” ชายหน้ายิ้มยิ้มต่อ เฉินเกอนั้นสามารถดึงดูดความโกรธเกรี้ยวของตัวตนน่ากลัวได้มากมายขนาดนี้นั้นเป็นการแสดงว่าชายคนนี้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป

“นั่นเป็นแค่ข้อสงสัยของผมเท่านั้น…” เฉินเกอต้องการเดินไปต่อตอนที่มีเสียงตูมดังมาจากทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่าน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ กลุ่มของเฉินเกอก็ยังรู้สึกได้ว่าตึกที่พวกเขายืนอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย

“เป็นการต่อสู้แบบไหนกันเนี่ย?” ชายมีรอยสักเตือนเฉินเกอ “ตอนนี้เงานั่นถูกศัตรูของคุณดึงดูดอยู่ นี่เป็นช่วงเวลาอันดีให้พวกเราไปตามหาชิ้นส่วนที่หายไปของประตู ตอนที่พวกเราได้มันมาแล้ว พวกเราก็สามารถออกไปตอนไหนก็ได้ นั่นน่าจะเป็นจุดประสงค์ที่พวกเราต้องยึดมั่นเข้าไว้”

หมอกเลือดพุ่งไปทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่านไปล้อมส่วนนั้นของเมืองเล็ก ๆ เอาไว้ กระทั่งดวงตาหยินหยางของเฉินเกอก็ไม่สามารถมองผ่านหมอกไปได้ เขาบอกได้แค่ว่ามีบางอย่างที่สะดุดความสนใจของเขาอยู่ในหมอกเลือด ยืนอยู่ที่ขอบตึก เฉินเกอหรี่ตาลงมองโซ่ที่ตวัดไปมาอยู่ในหมอก สิ่งที่เห็นนั้นทำให้เฉินเกอรู้สึกถึงความคุ้นเคยที่อยู่ในโซ่และหมอก

“เขาดูเหมือนจะรู้ว่าผมอยู่ที่นี่และกำลังเคลื่อนที่มาทางผม” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงบางอย่างและเปิดกระเป๋าสะพายหลังออก มีชายหน้ายิ้มและชายมีรอยสักจับตามองอยู่ เฉินเกอดึงเอารายชื่อผู้ป่วย จดหมายรัก และเอกสารปึกหนึ่ง และสุดท้ายก็คือใบปลิวที่พูดถึงสมาคมเล่าเรื่องผีออกมา

“มันน่าจะเป็นเพราะสิ่งนี้แหละ!”

ใบปลิวเดิมเป็นสีแดงเข้ม และครึ่งหนึ่งของประตูสีเลือดถูกพิมพ์เอาไว้บนนั้น แต่ว่า ประตูนั่นเป็นตัวแทนของความสยองขวัญและความสิ้นหวังที่ยังไม่ใช่เพียงแค่ถูกเปิดออก แต่ยังมีแขนบิดเบี้ยวที่มีโซ่พันอยู่ยื่นออกมาจากช่องเปิดแคบ ๆ ด้วย

แขนที่ยื่นออกมานอกประตูนั้นจับประตูเอาไว้เหมือนพยายามจะผลักให้ประตูเปิดให้กว้างที่สุด!

“ทำไมมันถึงเปลี่ยนไป? นี่เป็นสัญญาณบอกการกลับมาของเขา?” เฉินเกอนั้นเพิ่งหยิบใบปลิวออกมา สมองยังหมุนเพื่อหาทางแก้ไขตอนที่แขนบนใบปลิวนั้นเอื้อมออกมาภาพใบปลิวที่เป็นสองมิติโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า!

ปัง!

เฉินเกอถูกกระแทกถอยหลังไปด้วยแรงลึกลับ ตอนที่เขารู้สึกตัวก็เห็นแขนข้างนั้นจับแขนซู่อินเอาไว้ ซู่อินสลายแขนข้างนั้นของตัวเองทิ้งอย่างไม่ลังเล ยอมแพ้อย่างง่ายดาย และใช้แขนข้างที่เหลือพับใบปลิวเก็บไป

กลิ่นเลือดอ้อยอิ่งอยู่ที่จมูกเฉินเกอ หลอดเลือดคืบคลานออกมาจากร่างของซู่อินสร้างแขนใหม่ แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ แขนข้างใหม่นั้นก็ยังมีรอยฝ่ามือสีแดงอยู่รอบข้อมือซู่อิน

ซู่อินมองรอยฝ่ามือที่บนข้อมือตัวเอง ไม่สนใจมันโดยสิ้นเชิงก่อนที่จะหายตัวไป เสียงแทรกดังอยู่ในหูของเฉินเกอเป็นสัญญาณว่าเครื่องเล่นเทปนั้นทำงานได้ปกติดี มันเหมือนว่าซู่อินใช้วิธีการนี้ในการบอกเฉินเกอว่าเขาไม่เป็นอะไร

“นายไม่แม้แต่จะอยู่ให้นานอีกสักนิด เป็นเพราะนายไม่รู้ว่าจะรับความขอบคุณของฉันยังไงใช่ไหม?” หลังจากซู่อินเก็บใบปลิวไป ก็มีเสียงก้องดังมาจากทางตะวันออกของเมืองอีกสองสามครั้ง มันเห็นได้ชัดเจนว่าหมอกสีเลือดถูกผลักดันกลับมา และปิศาจนั่นก็เคลื่อนที่มาทางเฉินเกอช้า ๆ

“กับดับถูกวางเอาไว้ในใบปลิว และประตูที่บ้านผีสิงของฉันก็ถูกทำสัญลักษณ์ ดูเหมือนว่าคุณหมอเกาจะทำอะไรไว้มากมายก่อนตาย– จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ ในใจของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่?”

เฉินเกอแน่ใจว่านั่นคือคุณหมอเกาที่สู้อยู่กับเงานั่นที่ทางตะวันตกของเมืองหลี่ว่าน อย่างไรเสีย สมาชิกของสมาคมเล่าเรื่องผีที่ยังเหลืออยู่ก็คือเฉินเกอและคุณหมอเกา เฉินเกอไม่ได้เป็นคนวางกับดัก ดังนั้นคนเดียวที่จะทำอย่างนั้นได้ก็คือคุณหมอเกา

ตอนที่เฉินเกอกำลังตรึกตรอง หมอกเลือดก็ถูกผลักกลับมาอีกครั้ง ประธานคนใหม่และคนเก่าของสมาคมเล่าเรื่องผีมาเจอกันเข้าที่เมืองหลี่ว่าน และเหยื่อผู้โชคร้ายรายแรกก็คือเงานั่นที่ถูกบีบเอาไว้ตรงกลาง

ที่บ้านผีสิง มีผู้เข้าชมบางคนนั้นเริ่มเขียนไกด์ผ่านฉากระดับสามดาว เฉินเกอต้องมีฉากใหม่เพื่อรักษาความสดใหม่ของบ้านผีสิงเอาไว้ เพื่อที่จะรักษาความคาดหวังของผู้เข้าชมให้สูงเข้าไว้ตลอดเวลา

เมืองหลี่ว่านระดับสามดาวครึ่งนั้นเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ที่สุดของเขาในตอนนี้ ในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างฉากระดับสามดาวและสี่ดาว ฉากพิเศษนี้จะทำให้ผู้เข้าชมของเขาได้มีระยะปรับตัวที่จำเป็นมาก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผู้เข้าชมที่เพิ่งผ่านฉากระดับสามดาวแล้วจะมุ่งหน้าไปท้าทายฉากระดับสี่ดาวในทันที

“แกเป็นยังไงบ้าง? ต้องการความช่วยเหลือไหม?” เสียงมือกรรไกรดังมาจากประตู และเมื่อเขาพูด เฉินเกอก็ได้ยินเสียงชายมีรอยสักพูดกับมือกรรไกร “เงียบหน่อย! พยายามอย่าส่งเสียงดังในสถานที่แบบนี้ แกไม่รู้หรอกว่าแกจะดึงดูดตัวอะไรมา!”

ได้ยินเสียงดังมาจากนอกห้องนอน เฉินเกอก็ตอบอย่างรวบรัด “ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณอันตรายอะไรในบ้าน พวกคุณเข้ามาในนี้ได้”

เฉินเกอหยิบรองเท้าส้นสูงสีแดงแล้วเดินออกมาจากห้องนอน มืออีกข้างถือค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกเอาไว้ และเจ้าแมวขาวก็ขดอยู่รอบไหล่ของเขา ด้วยลักษณะของเขาตอนนี้แล้ว เป็นไปได้ยากมากที่คนอื่นจะคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดา

“คุณเจออะไรบ้าง?” ชายมีรอยสักเดินเข้าไป เหตุผลที่เขาติดตามเฉินเกอก็เพราะว่าเฉินเกอนั้นทรงพลังมาก ดังนั้นโอกาสที่เขาจะหนีออกไปได้เมื่อติดตามเฉินเกอนั้นสูงที่สุด เป้าหมายของเขานั้นชัดเจนและเรียบง่าย

“ประตูถูกซ่อนเอาไว้ น่าจะมีห้องลับอยู่ในนี้” เฉินเกอเดินไปยังตู้ในห้องนั่งเล่นและผลักมันด้วยแรงทั้งหมดที่มี หมอกสีเลือดนั้นเห็นได้ชัดจนแทบจะเหมือนวัตถุจริง ๆ มันพุ่งออกมาจากทางเข้าลับ และเหมือนกับคลื่นลูกหนึ่ง มันผลักเฉินเกอถอยหลังไปหลายก้าว

“นี่คือแหล่งที่มาของหมอกสีเลือด พวกเราต้องระวังให้มาก” หมอกสีเลือดนั้นทิ้งความรู้สึกเหนียวหนึบเอาไว้บนผิวของพวกเขา และมันก็ให้ความรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดเมื่อเดินผ่านไป เสื้อผ้าของพวกเขานั้นแนบติดกับร่างของพวกเขา และหลอดเลือดที่ในอากาศก็ราวกับกำลังพยายามคืบคลานเข้าไปในหูและรูจมูกของแต่ละคน

“คุณแน่ใจเหรอว่าพวกเราควรจะลงไป?” ลูกกระเดือกของชายขี้เมาสั่นระริก “ทำไมมันเหมือนกับพวกเรากำลังจะส่งตัวเองเข้าไปในกับดักเลยล่ะ?”

เขาส่ายหน้าและถอยไปก้าวหนึ่งทั้งที่ยังแบกหมอเอาไว้

หลังจากเฉินเกอเห็นทุกคนในกลุ่มเข้ามาใกล้ขึ้น เขาก็ออกความเห็น “ไม่มีใครรู้ว่าข้างในอุโมงค์ลับจะมีอะไรอยู่ พวกเราครึ่งหนึ่งควรจะอยู่จับตามองที่รอบ ๆ ด้านนอกนี่ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งตามผมลงไปที่นั่น นี่น่าจะเป็นวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด”

“คนที่อยู่ด้านนอกต้องไม่อ่อนแอเกินไป พวกเขาอย่างน้อยต้องสามารถเตือนพวกเราได้เมื่อถูกโจมตี ดังนั้นผมแนะนำให้มือกรรไกรกับตำรวจอยู่ข้างหลัง” เฉินเกอให้ความเห็นของตัวเอง ในทุกคนที่นี่ เขาเชื่อมือกรรไกรที่สุด “คนหนึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่องบ้าคลั่งและอีกคนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมีปืน มีพวกเขาคอยจับตามองทางออก นั่นน่าจะไม่เป็นปัญหาเกินไป

“ผมขออยู่ข้างนอกด้วยได้ไหม?” ชายขี้เมายกแขนสูง “ผมแบกคุณหมอเอาไว้ ดังนั้นจึงวิ่งได้ไม่เร็ว ถ้าผมตามคุณไป อาจจะตายครั้งเดียวสองศพ”

“คุณแน่ใจเหรอว่านั่นเป็นวิธีการที่ถูกต้องในการอธิบายสถานการณ์ของคุณน่ะ?” ชายมีรอยสักเบ้ปาก อันที่จริง เขาก็ไม่อยากจะลงไปตามเส้นทางนี้เช่นกัน แต่เขาไม่สามารถหาข้ออ้างที่เหมาะสมได้

“เอาละ พวกคุณสองคนอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่คนที่เหลือตามผมมา” จากนั้นเฉินเกอก็หันไปมองชายหน้ายิ้ม อันที่จริง ผู้ชายคนนี้น่าจะแข็งแกร่งที่สุดถัดจากเฉินเกอ แต่ทิ้งการปกป้องทางออกหนึ่งเดียวไว้กับคนแปลกหน้า เฉินเกอนั้นระแวดระวังเกินกว่าจะทำอะไรอย่างนี้ แต่ผิดจากที่เฉินเกอคาดเอาไว้ ชายหน้ายิ้มไม่ได้พูดอะไร เขาเดินไปที่ประตูและดูจริงใจ

“เกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนี้กัน? ทำไมเขาถึงต่างไปจากผู้ชายที่อยู่บนรถเมล์ก่อนหน้านี้?” เฉินเกอใช้ดวงตาหยินหยางพิจารณาผู้ชายคนนี้ใกล้ ๆ เพราะอย่างนั้น เขาถึงได้เห็นความกระอักกระอ่วนและแข็งทื่อของสีหน้าของชายคนนี้ มีเหงื่อเป็นหยดสีแดงเลือดไหลลงไปตามจอนผมของเขา เขาดูเหมือนจะไปเจอเข้ากับปิศาจที่อยู่เหนือความคาดคิดของเขาที่ในเมืองหลี่ว่านนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องการออกไปจากที่นี่เป็นที่สุด

เฉินเกอไม่ได้ถามรายละเอียด เขาและชายหน้ายิ้มนั้นมีความสัมพันธ์กันแบบต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ พวกเขาทำงานด้วยกันเพราะว่ามีเป้าหมายเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาคิดไม่ตรงกันเมื่อไหร่ พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะขายอีกคนออกไป

“นี่เป็นคนร้ายที่ผมได้รับมอบหมายให้มาจับกุม ดังนั้นผมต้องจับตามองเขาเอาไว้ ดังนั้น ต้องขอโทษด้วย แต่ว่าเขาไม่สามารถตามคุณลงไปที่นั่นได้” หลี่เจิ้งกดบ่าของเจียหมิงเอาไว้แน่นและน้ำเสียงของเขาก็มั่นคงไม่เปลี่ยนใจ

“คุณหาคนร้ายอันตรายได้ทุกหนแห่งที่นี่นั่นแหละ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานเพื่อความยุติธรรมที่นี่หายได้ยากกว่าเยอะ” เด็กนักเรียนมัธยมเผยร้อยยิ้มลึกลับ และสีหน้าของเขาก็ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ

“ไม่มีปัญหา” เฉินเกอต้องการแยกเจียหมิงและหลี่เจิ้งและจากนั้นก็ใช้วิธีการของเขาประเมินว่าเจียหมิงคือเงานั่นหรือไม่ แต่ในเมื่อหลี่เจิ้งยืนยันท่าทีเช่นนี้ เฉินเกอก็ไม่ดึงดัน อย่างไร หลี่เจิ้งก็ยังมีพฤติกรรมอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ว่าเป็นปกติของเขาเอง ถ้าเขาส่งตัวเจียหมิงไปโดยไม่ลังเล อย่างนั้นเฉินเกอจึงจะเริ่มสงสัยขึ้นมา

“ช่วยพวกเราเฝ้าทางออกเอาไว้ พวกเราจะกลับมาไม่นาน” อุโมงค์ด้านหลังตู้นั้นแคบอย่างไม่น่าเชื่อ และบีบตัวเดินผ่านไปได้แค่ครั้งละคนเท่านั้น แน่นอนว่า เฉินเกอเป็นฝ่ายนำไป เขาเรียกซู่อินออกมา ถือรองเท้าส้นสูงสีแดงเอาไว้แล้วคืบคลานไปข้างหน้าทีละก้าว หลังจากเดินไปได้ประมาณห้าเมตร เฉินเกอก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ถูกหุ้มห่อเอาไว้ในหมอกสีเลือดแล้ว แต่ว่าเขาตกลงไปในทะเลสาบเลือดแทน และทุก ๆ ก้าวนั้นก็ยากขึ้นเรื่อย ๆ เทียบกับก้าวก่อนหน้า

เงานั่นวางกับดักชนิดแบบไหนไว้กันแน่? ถล่มทั้งตึกเพื่อฝังพวกเราทั้งเป็น? หรือว่าระเบิดประตูที่หลุดออกจาการควบคุมทิ้งและฆ่าพวกเราทั้งหมดไปพร้อมกัน?

ภาพเหตุการณ์มากมายปรากฏขึ้นในใจเขา แต่ก่อนที่เฉินเกอจะหาคำตอบได้ ประตูที่เสี่ยวปู้เปิดที่เมืองหลี่ว่านก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา

ประตูของกรงเหล็กที่ใช้ขังแม่ของเสี่ยวปู้เอาไว้นั้นบิดเบี้ยวผิดรูป หลอดเลือดหนาคืบคลานพันเกี่ยวอยู่บนประตูเหมือนพวกมันมีความคิดเป็นของตัวเอง เทียบกับประตูธรรมดาแล้ว มีรายละเอียดมากมายที่ค่อนข้างเฉพาะกับประตูนี้

อย่างแรก ประตูที่เต็มไปด้วยหลอดเลือดพันเกี่ยวอยู่นี้นั้นเต็มไปด้วยรอยแตกเหมือนมันจะถล่มลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างที่สอง ทั้งสี่ด้านของประตูนั้นดูเสียหายอย่างเห็นได้ชัด และตรงกลางประตูนั้นดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนหายไปเป็นชิ้นใหญ่ ถ้าประตูเทียบกับร่างกายคน มันก็เหมือนว่าส่วนหัวและแขนขาทั้งสี่ถูกตัดออกไป

“ดูที่ด้านล่างประตู” เฉินเกอพบความแตกต่างใหญ่ของ ‘ประตู’ นี้– มีนิ้วสีแดงดำหลายนิ้วเอื้อมออกมาจากที่ใต้ประตูดึงกรอบประตูไม้เอาไว้ ป้องกันไม่ให้มันปิดสนิท

“ฉันเคยเห็นประตูมาหลายบาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจออะไรแบบนี้” นิ้วเหล่านี้นั้นมีปุ่มนูนและแผลหลุมเหมือนกับเหยื่อที่ป่วยโรคฝีดาษ ไม่ว่าอย่างไร ก็ดูน่ากลัวมากจริง ๆ

“นิ้วเหล่านี้น่าจะเป็นของวิญญาณสัมภเวสีของผู้ป่วยในโรงพยาบาลตอนที่เกิดโรคระบาดล้างเมืองหลี่ว่าน จำนวนคนที่ตายที่นี่นั้นไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ แต่มันก็ปกคลุมเมืองเล็ก ๆ นี้เอาไว้ด้วยความแค้นหนาหนักจนหายใจไม่ออก” ชายมีรอยสักเช็ดเหงื่อเย็นเยียบที่หน้าผาก เขาให้ตัวเองยืนอยู่ห่างจากนิ้วพวกนั้นให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เงานั่นน่าจะเลือกประตูในเมืองหลี่ว่านเพราะต้องการใช้ความรู้สึกด้านลบมากมายเหล่านี้”

หมอกเลือดมากมายม้วนตัวออกมาจากช่องว่างที่ในประตู หมอกนั้นหนักไปด้วยความรู้สึกด้านลบที่กระทั่งเฉินเกอที่มีเส้นประสาทเหนียวราวกับเส้นลวดยังประสบกับภาพหลอนตอนที่เข้าไปใกล้กับประตู ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นที่เหลือเลย

“พวกเราเจอประตูแล้ว แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นทางออก” เฉินเกอมองผ่านซี่กรงเล็ก ที่อีกด้านของประตูนั้นเป็นสีแดงไปหมด “พวกเราพยายามทุบนิ้วพวกนี้ให้เป็นชิ้น ๆ เป็นไง? นั่นจะปลดพลังของพวกมันที่มีต่อประตูออกไปไหม?”

“พวกเราไม่ควรไปสนใจนิ้วพวกนั้น พวกมันก็แค่สิ่งหล่อเลี้ยงความเจ็บปวดและความรู้สึกด้านลบ พวกมันไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเราเลย” นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหน้ายิ้มพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “เรื่องใหญ่ที่สุดที่นี่ก็คือนี่เป็นประตูที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้น ถ้าพวกเราอยากจะหนีออกไปทางประตูนี้ พวกเราต้องซ่อมส่วนที่หายไปของประตู”

“เมืองหลี่ว่านใหญ่เกินกว่าที่จะเล่นตามหาสมบัติแบบนั้น” ชายมีรอยสักยอมแพ้แล้ว “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงไม่มีคนคอยระวังที่นี่เอาไว้– ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด เงานั่นวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว– เขานำเราอยู่ก้าวหนึ่ง”

“อย่าเพิ่งยอมแพ้เร็วขนาดนั้น” เฉินเกอพิจารณาประตูที่เสียหายรุนแรงและจู่ ๆ ก็หันมาหาชายมีรอยสัก “ก่อนหน้านี้คุณพูดว่าคนนอกส่วนใหญ่ผ่านอพาร์ทเม้นท์ผีเพื่อเข้ามาที่นี่?”

“ใช่ แต่อพาร์ทเม้นท์ผีนั้นก็เหมือนควันสายหนึ่ง” ชายมีรอยสักนั้นรู้สึกถึงความไร้พลังเมื่ออยู่ต่อหน้าเงานั่น หลายปีของการสืบของเขานั้นไร้ค่า

“ไม่ เงานั่นไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นอย่างไม่มีจุดหมาย เขาต้องมีจุดประสงค์บางอย่างที่สร้างอพาร์ทเม้นท์ผีขึ้นมา” เฉินเกอเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าประตู “อพาร์ทเม้นท์ผีนั้นอยู่ที่เขตที่พักหมิงหยาง ผมเคยตามตำรวจเข้าไปในเขตที่พักหมิงหยางระหว่างการสืบครั้งหนึ่งของพวกเขาและพวกเราก็พบชิ้นส่วนร่างกายของเด็กหญิงคนหนึ่งที่นั่น มีแขนขารวมสี่ข้างและศีรษะ ร่างกายที่ถูกแยกชิ้นส่วนของเธอถูกซ่อนเอาไว้ในสี่อาคารของเขตที่พักหมิงหยาง และศีรษะของเธอก็ถูกฝังเอาไว้ที่ตรงกลางของเขตที่พักอาศัย”

“คุณกำลังพยายามจะบอกอะไร?” ชายมีรอยสักยังจับความหมายของเฉินเกอไม่ได้

“เด็กหญิงที่ถูกฆ่าคือคนที่เปิดประตูบานนี้ เธอยังถูกแยกชิ้นส่วนและซ่อนเอาไว้ในเขตที่พักหมิงหยาง ซึ่งก็คือตำแหน่งของอพาร์ทเม้นท์ผี และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…” เฉินเกอชี้ไปที่ประตูสีเลือดที่หลุดออกจากการควบคุม “ไม่ใช่ว่าประตูนี้ดูเหมือนคนที่สูญเสียหัวและแขนขาทั้งสี่ไปหรอกเหรอ?”

นั่นทำให้ชายมีรอยสักเข้าใจขึ้นมา และเขาก็เป็นคนแรกที่อธิบายรายละเอียดเพิ่ม “สำหรับผู้ผลักประตูแล้ว ประตูคือหลอดเลือดที่หล่อเลี้ยงวิญญาณของพวกเขาหรือก็คือร่างกายของพวกเขา! ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้ว คุณกำลังบอกว่าชิ้นส่วนที่หายไปจากประตูถูกเงานนั่นเอาไว้ซ่อนไว้ที่เขตที่พักหมิงหยาง! ส่วนที่เหลือของเด็กหญิงก็คือประตูพัง ๆ นี่!”

“ผู้ผลักประตูที่เมืองหลี่ว่านนี่ไม่ใช่เงานั่น แต่ว่าก็ถูกเงานั่นควบคุม เพื่อที่จะเติมเต็มเป้าหมายของมัน มันจงใจทำให้ประตูหลุดออกจากการควบคุม ถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้ผลักประตูคนแรกอยู่ที่ไหนกัน? เธอเลือกยอมแพ้ หรือว่าเธอถูกประตูนั่นควบคุมเอาไว้ด้วยสักวิธีการหนึ่ง?” เฉินเกอนั้นไม่ได้ค้นพบอะไรที่น่าทึ่ง แต่ว่าคนส่วนใหญ่นั้นไม่มีเวลาค่อย ๆ ย่อยเรื่องเหล่านี้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ที่สุดเช่นนี้

“ดูเหมือนว่าตำแหน่งของประตูนั้นจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นแล้ว ผมประเมินสถานการณ์ทั้งหมดนี้ต่ำไป” ชายมีรอยสักมีสีหน้าขมขื่น “งั้น คุณจะไปที่อพาร์ทเม้นท์ผีตอนนี้เลยใช่ไหม? หลายปีมานี้ มีคนพยายามไปที่นั่นมากมายแต่ไม่มีใครได้กลับมาเลย”

“พวกเราต้องหาส่วนที่หายไปของประตูถ้ายังต้องการออกไปจากที่นี่” เฉินเกอโบกมือให้พวกเขาขยับตัว ได้เวลาที่พวกเขาจะไปแล้ว ”อุโมงค์นี่แคบเกินไป ถ้าเงานั่นวางกับดักไว้ที่นี่ พวกเราก็ไม่มีทางหนีแล้ว หลังจากพวกเราหาส่วนที่หายไปเจอ ผมยังต้องเปิดอุโมงค์นี้อีกครั้ง”

“ประตูที่สูญเสียการควบคุมนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของหมอกเลือดที่ปกคลุมเมืองหลี่ว่าน อันที่จริง พอคุณพูดถึง ผมก็ประหลาดใจว่าทำไมพวกเราถึงไม่เจอการต่อต้านเลย แน่นอนว่าไม่นับว่าเงานั่นวางแผนสละทิ้งที่นี่แล้วน่ะนะ” ชายมีรอยสักนั้นเข้าใจเงานั่นได้ดีกว่าใคร เขาขยับตัวอย่างระมัดระวัง แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงกรีดร้องก็ดังมาจากที่ด้านนอกอุโมงค์

“เป็นเจียหมิง!” ได้ยินเสียงร้อง คนในอุโมงค์ก็เดินเร็วขึ้น พอเฉินเกอพุ่งออกมา เขาก็เห็นมือสีแดงคู่หนึ่งคว้ามือกรรไกรเอาไว้และลากเขาขึ้นไปด้านบน ตอนที่เฉินเกอเริ่มไล่ตามพวกเขาไป มือกรรไกรก็หายลับไปในทางเดินแล้ว

รอบด้านเงียบอย่างน่าขนลุกเหมือนกับสิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้นั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งในจินตนาการของเขาเท่านั้น หลี่เจิ้ง เจียหมิง มือกรรไกร และชายขี้เมา… ทุกคนที่รออยู่ด้านนอกก่อนหน้านี้หายตัวไป มันใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นที่เกิดเรื่องทั้งหมดนี่

“คุณนี่มันปากศักดิ์สิทธิ์ดีแท้” เฉินเกอมองไปทางชายมีรอยสัก ฝ่ายหลังก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นเหมือนกัน

“อย่างนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอะไรต่อ? ไปที่อพาร์ทเม้นท์ผีหรือว่าไปตามหาพวกเขาก่อน?”

“พวกเราต้องไปช่วยพวกเขา” ช่วยเหลือเหยื่อผู้บริสุทธิ์จะทำให้เฉินเกอได้รับรางวัลเพิ่ม และเขาก็แน่ใจว่าคนที่ถูกจับตัวไปนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งหมด– คนที่ยังอยู่กับเขานั้นเป็นปิศาจและฆาตกร เฉินเกอกำค้อนเอาไว้แล้ววิ่งไปทางที่มือกรรไกรหายตัวไปก่อนหน้านี้ เด็กนักเรียนมัธยมและชายมีรอยสักตามหลังเขาไปติด ๆ แต่ว่าชายหน้ายิ้มนั้นยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

“พวกแกทุกคนอยากตายขนาดนั้นเลยหรือ?” เสียงเย็น ๆ ดังมาจากปากที่มีรอยยิ้มแปะติดอยู่ ชายหน้ายิ้มมองเฉินเกอ “ประตูนี้เป็นแหล่งกำเนิดของหมอกสีเลือดและการวางกับดักเอาไว้ที่นี่นั้นส่งผลต่อประตูอย่างไม่คาดคิด นี่ขัดกับจุดประสงค์ของเงานั่น ดังนั้นเขาน่าจะใช้การค้นหาประตูของพวกเราทำให้พวกเราลดการระวังลงและค่อย ๆ ล่อพวกเราไปยังกับดักร้ายแรงอย่างช้า ๆ มากกว่า”

“ผมคิดต่างจากคุณ เงานั่นเก่งในด้านการทำสงครามจิตวิทยา– มันบอกใบ้เรานับครั้งไม่ถ้วนด้วยการบ่อนทำลายการสงบศึกของพวกเราเพื่อจุดประสงค์ของมัน ด้วยกลยุทธ์แบบนี้ ยิ่งพวกเรามีคนมาก มันก็ยิ่งง่ายที่จะยุแยง ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องทำร้ายคนพวกนั้น อีกอย่าง ผมรู้สึกเหมือนเขาเริ่มตื่นตระหนกเพราะสิ่งต่าง ๆ เริ่มหลุดออกจากการควบคุมของเขา นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่เขาเลือกที่จะเข้ามาสอดแทรกด้วยการกระทำชัดเจนอย่างนี้”

พวกสามสี่คนนั้นหายลับไปตามทางเดินแล้ว เฉินเกอที่ลากค้อนอยู่กลับไม่ได้ดูรีบร้อนมากนัก เขาตรวจดูทุกห้องทีละห้อง ในเมื่อยังมีที่ว่างในกระเป๋าสะพายหลังและในหนังสือการ์ตูน เขาก็จะฉวยเอาทุกอย่างที่เขาคิดว่าใช้การได้ไป

“แต่ไม่มีใครในพวกเราทำอะไรเสียหน่อยไม่ใช่เหรอ? นี่เป็นเพราะคุณคาดเดาตำแหน่งของชิ้นส่วนที่หายไปของประตูได้ทำให้เงานั่นกระวนกระวาย?” ในใจชายมีรอยสัก เงานั่นก็เหมือนกับเทพเจ้าแห่งเมืองหลี่ว่าน และเทพเจ้านั้นไม่ทำอะไรผิดและไม่ตื่นตระหนก

“นั่นน่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง ถ้าผมเดาไม่ผิด มันอาจจะเป็นเพราะว่ามีผู้มาเยือนคนอื่นมายังเมืองหลี่ว่านวันนี้ และเงานั่นก็ใช้เวลาหมดไปกับการรับมือกับผู้บุกรุกที่ว่า” เฉินเกอนั้นมีความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ตั้งแต่แรกที่เงานั่นไม่ลงมือกับเขาด้วยกำลังทั้งหมดแล้ว เงานั่นดูเหมือนจะวุ่นวายอยู่กับบางอย่าง เฉินเกอนั้นมีความรู้สึกอย่างนั้นตอนที่เขาจัดการกับผีหิวโหยที่โรงแรม และหลังจากเขาตระหนักได้ว่าที่บ้านของฟ่านฉงนั้นมีอันตรายเท่า ๆ กัน ความสงสัยนั้นก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น

“ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา” เฉินเกอสรุป “ผมไม่กลัวว่าเงานั่นจะออกมาหาพวกเรา ตราบใดที่เขาลงมือ ความลับของเขาก็จะถูกเปิดเผย ผมกลัวว่าเขาจะซ่อนตัวเองไว้ต่อมากกว่า ยิ่งเขาซ่อนลึกไปเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น”

อยู่รวมกับฆาตกรตัวจริงหลายคน เฉินเกอกลับไม่ได้รู้สึกผิดที่ผิดทาง อันที่จริง เขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเขากลายเป็นศูนย์กลางของกลุ่มไปแล้ว เฉินเกอมุ่งหน้าขึ้นบันไดไปแล้วก็พบว่ามีรอยเปื้อนรูปร่างคนสีเทาหลายรอยถูกทิ้งเอาไว้บนกำแพง ร่างของพวกเขาถูกบิดจนมีท่าทางต่างกันไป แต่ทั้งหมดแล้วบ่งบอกความเจ็บปวด

“ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอพาร์ทเม้นท์สำหรับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเมืองหลี่ว่าน และมันก็ถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่จะเกิดโรคระบาด แต่ว่า เป็นไปได้ไหมว่าที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักของผู้ป่วยโรงพยาบาลด้วยเหมือนกัน?” เฉินเกอไม่ได้แตะรอยเปื้อนเหล่านั้น เขาสงสัยว่าไพ่ตายของเงานั่นอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยด้วยโรคระบาดพวกนั้น

เฉินเกอลากค้อนและเดินไปจนสุดทางเดิน เขาศึกษาเพื่อนร่วมทีมแต่ละคนอยู่ในใจและพบว่าพวกเขาทุกคนนั้นล้วนเป็นผู้ต้องสงสัยได้

ชายขี้เมาขึ้นมาบนรถขนศพโดยบังเอิญ และเขาก็เป็นคนที่ธรรมดาที่สุดในกลุ่ม เขามีความหวังที่จะมีชีวิตต่อ กลัวความตาย และยังมีนิสัยแบบที่คนธรรมดาควรเป็น

เฉินเกอนั้นเคยเจอกับหมอมาก่อนแล้ว ตอนที่ผู้โดยสารคนอื่น ๆ หายตัวไป หมอเป็นคนที่ขึ้นรถเมล์คันนี้แล้วรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์

ความน่าสงสัยในตัวเจียหมิงนั้นยังไม่สามารถปัดผ่านไปได้ แต่คนที่ทำให้เฉินเกอกังวลยิ่งกว่าก็คือหลี่เจิ้ง เขายังไม่ลืมข้อความที่ได้รับทางโทรศัพท์ก่อนที่จะมาถึงเมืองหลี่ว่าน คนส่งนั้นเหมือนไม่ใช่หลี่เจิ้ง หลังจากเขาพบหลี่จิ้ง เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เพราะว่าต้องการสังเกตคนผู้นี้ให้มากขึ้น

สำหรับเฉินเกอ โอกาสที่เงานั่นจะใช้ตัวตนของมือกรรไกรนั้นต่ำที่สุด เขาพยายามอย่างมากเพื่อจะทำให้ตัวเองนั้นน่ากลัวมากขึ้นและเข้าถึงยาก และนั่นก็เป็นสิ่งที่คนอื่นจะเลียนแบบได้ยากอย่างไม่น่าเชื่อ

ตัวตนของชายหน้ายิ้มนั้นลึกลับไปทั้งหมด เงานั่นสามารถฆ่าเขาได้ก่อนที่จะขึ้นรถเมล์แล้วเข้าใช้ตัวตนของเขา อย่างไรเสีย ก็ไม่มีใครคุ้นเคยกับชายหน้ายิ้ม ต่อให้เงานั่นจะใช้ตัวตนของชายคนนี้ ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเคยเป็นอย่างไร เขาเลียนแบบได้ง่ายที่สุด และเพราะอย่างนั้น เขาจึงเป็นคนที่น่าสงสัยได้ง่ายที่สุดเช่นกัน

ขอบคมของค้อนนั้นทำให้เกิดรอยแตกบนพื้น เกิดเสียงที่ทำให้สันหลังลุกวาบ เฉินเกอเดินอยู่คนเดียวในความมืด และกระทั่งชายขี้เมาและมือกรรไกรยังไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป เฉินเกอแผ่รัศมีของตัวอันตรายออกมา ก่อนหน้านี้เขายังดูเป็นปกติแล้วจู่ ๆ ก็แผ่รัศมีที่แตกต่างไปออกมา

“ฉันสงสัยว่าเงานั่นจะเตรียมเรื่องประหลาดใจแบบไหนไว้ให้ฉัน…” เจ้าแมวขาวหมอบอยู่บนไหล่ของเฉินเกอ หูของมันตั้งขึ้นเป็นสัญญาณเตือน แต่ว่า ซู่อินกลับไม่ได้เตือนอะไรเฉินเกอ นี่น่าจะหมายความว่ามีบางอย่างน่ากลัวมาก ๆ อยู่ในตึกนี้แต่ว่ามันยังไม่ปรากฏตัวออกมาชั่วคราว

ตึกนี้ไม่ได้ใหญ่ และเฉินเกอก็ไปถึงประตูบ้านของเจียงหลง ประตูที่หลุดออกจากการควบคุมนั้นอยู่ข้างหลังนี่

“ในที่สุด ฉันก็ได้รู้ว่าประตูธรรมดากับประตูที่หลุดออกจากการควบคุมนั้นต่างกันอย่างไร” เฉินเกอยกค้อนขึ้นแล้วทุบประตู หมอกเลือดหนาม้วนออกมาจากในห้อง น่าแปลก หมอกที่ด้านในห้องนั้นยังหนากว่าที่ในเมืองด้านนอกเสียอีก คนธรรมดามองเห็นตรงหน้าตัวเองได้เพียงไม่เกินสามเมตรเท่านั้น

“ฉันจะเข้าไปดูก่อน” เฉินเกอถือค้อนไว้ในมือหนึ่งแล้วเอื้อมอีกมือเข้าในกระเป๋าสะพายหยิบรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งออกมา “ขออภัยที่ล่วงเกินด้วย”

เขาโยนรองเท้าเข้าไปในห้องรับแขกและยืนสังเกตอยู่ที่ประตู เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีกับดัก เขาก็เดินเข้าไปในห้อง เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดตอนที่ร่างของเขาสัมผัสกับหมอก อารมณ์ด้านลบพุ่งเข้าไปในใจเขา และคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นแรงกล้าก็จะสูญเสียการควบคุมโดยง่าย “ฉันคิดว่าพวกคุณที่เหลือควรจะรออยู่ด้านนอกตอนนี้ หมอกที่ด้านในนี่หนามากและฉันก็กลัวว่ามันจะมีอันตราย”

เฉินเกอหยิบรองเท้าส้นสูงขึ้นมาและพบว่าหมอกนั้นเบาบางลงเมื่อมันเข้าไปสัมผัสกับรองเท้า– มันเหมือนรองเท้าสามารถดูดซับหมอกเหล่านี้ได้

“หมอกนี่เป็นผลดีต่อพวกผีเหรอ?” เฉินเกอถามไป๋ชิวหลินและได้รับคำยืนยัน เลือดรอบหัวใจไป๋ชิวหลินเริ่มแผ่ออกมา แต่ว่า เฉินเกอก็ยังไม่ได้เรียกพนักงานทั้งหมดของเขาออกมาเพราะว่าเขาก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเกิดผลเสียจากการกลืนกินหมอกเหล่านี้หรือไม่

“ไม่มีอะไรในห้องนั่งเล่น– ชั้นใต้ดินดูเหมือนจะอยู่ด้านหลังตู้…” เฉินเกอเดินตรงไปตอนที่เจ้าแมวขาวจู่ ๆ ก็ร้องเหมียวออกมา เฉินเกอหันไปมองและพบว่าเจ้าแมวขาวขู่ฟ่อไปทางห้องนอน

“ถ้าเป็นวิญญาณสีเลือด เจ้าแมวจะตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ในเมื่อมันกล้าขู่ ก็หมายความว่าวิญญาณในห้องนอนนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเกินไป”

ไม่ว่าอย่างไร เฉินเกอก็จะไม่ประมาทคู่ต่อสู้ของเขา เขาโยนรองเท้าส้นสูงเข้าไปในห้องก่อนจะตามเข้าไปช้า ๆ

“พยายามสัมผัสว่ามันซ่อนอยู่ตรงไหน” ห้องนอนนั้นเล็ก แต่หลังจากพวกเขาเดินเข้าไป เจ้าแมวขาวก็ดูจะสับสน มันขู่ไปทางเตียง และจากนั้นก็หันไปแยกเขี้ยวใส่หน้าต่าง

“มันทำอย่างนี้เพื่อซื้อเวลาหรือ?” เฉินเกอรู้สึกว่านี่เป็นไปได้ ตอนที่เขากำลังจะกลับออกไปไม่ยอมเสียเวลาไปกว่านี้ ประตูห้องนอนก็กระแทกปิด เสียงกล่องดนตรีก้องอยู่ในห้อง และหมอกเลือดก็ค่อย ๆ นิ่งลง มีเสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งผสมอยู่ในเสียงดนตรี

“แม่กับพ่อเข้าไปในชั้นใต้ดิน หลังจากพ่อกลับออกมาก็ล็อกประตู เขาแบกถุงสีดำใบใหญ่ไปด้วย เขาแตะหัวหนูแล้วก็บอกว่า ‘เด็กดื้อจะถูกผีพาตัวไป’

“หนูนอนอยู่บนเตียง คิดถึงที่แม่เคยพูด

“ก่อนที่จะเข้านอน หนูต้องดึงผ้าห่มออก ก่อนที่จะเข้านอน หนูต้องปิดหน้าต่าง ก่อนที่จะเข้านอน หนูต้องไปดูที่ตู้ ก่อนที่จะเข้านอน หนูต้องดูที่ใต้เตียง… ถ้าหนูนอนอยู่คนเดียว

“พ่อออกไปจากบ้านพร้อมถุง ทิ้งหนูเอาไว้

“หนูมองใต้ผ้าห่ม มองออกไปที่หน้าต่าง มองเข้าไปในตู้ มองใต้เตียง แต่ว่าหาแม่ไม่เจอ”

เสียงเพลงก้องอยู่ในห้องเหมือนมันกำลังบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องนอน

“พ่อบอกว่าเด็กดื้อจะถูกผีพาตัวไป และเด็กหญิงก็ทำตามที่แม่สอน เพลงนี่กำลังพยายามสื่ออะไร?” เฉินเกอรู้ว่าบ้านนี้นั้นเคยเป็นบ้านของเจียงหลง “ตอนนั้น เจียงหลงถูกเงานั่นสิงอยู่ และมันก็เป็นไปได้ที่เขาจะทำเรื่องประหลาดมากมาย ห้องใต้ดินที่หายไป แม่และพี่สาวที่หายไป ทั้งหมดนี่น่าจะเป็นการกระทำของเขา”

กล่องดนตรียังเล่นอยู่ แต่คราวนี้ เป็นเสียงของผู้หญิงอีกคน

“ดวงตาสีแดงจับจ้องหนูอยู่ หนูไม่เห็นแม่ แต่แม่เห็นหนู

“แม่ขยับไปตามสายตาหนู แม่ซ่อนอยู่ใต้เตียง ในตู้ หลังหน้าต่าง ก่อนที่จะคลานเข้าไปใต้ผ้าห่มหนู

“แม่นอนอยู่ข้างหลังหนูและบนตัวหนู แต่หนูกลับมองไม่เห็นดวงตาสีแดงของแม่”

เฉินเกอตรวจดูทุกที่ที่เสียงผู้หญิงพูดถึงขณะแกว่งค้อนไปรอบ ๆ “ดูเหมือนว่านี่จะยืนยันว่าเกิดอะไรบางอย่างขึ้นกับคนแม่ เธอถูกซ่อนเอาไว้ในห้องนี้ แต่ลูกสาวมองไม่เห็นเธอเพราะอะไรบางอย่าง ในเมื่อฉันสามารถได้ยินเสียงทั้งของลูกและของแม่ มันก็หมายความว่าพวกเขาถูกทิ้งเอาไว้บนโลกนี้ นี่เข้ากับผลการสืบสวนของตำรวจ ภรรยาของเจียงหลงและลูกสาวหายตัวไปและยังหาไม่พบจนทุกวันนี้

“เป็นเจียงหลงที่สังหารครอบครัวตัวเอง หรือไม่อย่างนั้น ก็เป็นเจียงหลงที่ถูกสิงที่สังหารครอบครัว เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้มีความมีมนุษยธรรมเลยสักนิด” เฉินเกอนั้นไม่มีเงื่อนงำว่าภรรยาและลูกสาวนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ แต่เขาก็วางแผนจะพาพวกเธอกลับไปยังบ้านผีสิงเพื่อเก็บข้อมูลจากพวกเธอ

“จะให้ดีพวกคุณออกมาด้วยตัวเอง ผมขวางประตูเอาไว้แล้ว ไม่มีทางหนี”

ไม่มีการตอบกลับ กล่องดนตรียังเล่นต่อ เฉินเกอตัดสินใจเลิกเสียเวลา เขาใช้ค้อนทำลายเตียงและหน้าต่าง แต่ว่า ตอนที่เขาเดินไปที่ตู้ เสียงกล่องดนตรีจู่ ๆ ก็หยุดไป

“นี่น่าจะไม่ใช่กับดักของเงานั่น– มันน่าจะเป็นแค่กลเล็ก ๆ ให้ฉันสับสน” เฉินเกอถือรองเท้าส้นสูงสีแดงและใช้ส้นดึงมือจับประตูตู้ให้เปิดออก กล่องดนตรีสวยงามหรูหราวางอยู่ในตู้

กล่องดนตรีดูเก่า และรูปครอบครัวก็ถูกใส่ไว้ด้านใน แม่กอดน้องชายเอาไว้และพี่สาวก็พิงอยู่กับคนแม่อย่างมีความสุข มีคนยืนอยู่ข้างพวกเธอ แต่ส่วนนั้นของรูปถูกตัดทิ้งไป

หยิบกล่องดนตรีขึ้นมาแล้วเฉินเกอก็โยนมันเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลัง เขาคิดจะให้พนักงานของเขาจัดการกับสิ่งนี้

“ดวงตาสีแดงในตู้ที่โทรศัพท์เครื่องดำพูดถึงน่าจะหมายถึงกล่องดนตรีนี่”

เฉินเกอชะงักและพบว่าเขาทำภารกิจย่อยที่โทรศัพท์ให้มาครบหมดแล้ว

“พอฉากเมืองหลี่ว่านเปิดใช้งาน มันน่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ทีเดียว เล่นซ่อนหาที่โรงพยาบาล บ้านสุนัข ดวงตาสีแดงในตู้ มนุษย์หัวไม้ม็อบ และอพาร์ทเม้นท์ที่เต็มไปด้วยฆาตกรและผี

“ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหนีออกไปจากตึก ถนนก็จะเต็มไปด้วยเงาที่โบกมือและใช้รูปร่างของผู้เข้าชม ฉากแบบนี้ช่างสมบูรณ์แบบ และฉากนี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่ในตึกเดียวและยังขยายออกไปได้อีกหลายทาง ถ้าฉันเพิ่มหุ่นและกลไก ฉันก็สามารถลอกแบบเกมของเสี่ยวปู้ในชีวิตจริงและให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์สนุกสุดเหวี่ยงด้วยตัวเอง”

เฉินเกอนั้นมองเห็นความครึกครื้นที่จะเกิดขึ้นในโลกออนไลน์เมื่อเปิดใช้ฉากเมืองหลี่ว่านได้เลย ไม่เคยมีบ้านผีสิงไหนทำฉากที่ใหญ่มหึมาระดับนี้มาก่อน

เฉินเกอรู้ว่าเขตที่พักอาศัยของฟ่านฉงนั้นเก่า แต่เขาไม่รู้เลยว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นอพาร์ทเม้นท์สวัสดิการของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และที่ประหลาดใจกว่านั้นก็คือครั้งหนึ่งโรงพยาบาลเฉพาะทางโรคติดต่อเคยตั้งอยู่ที่เมืองหลี่ว่านนี้

“ผมได้ยินมาจากคนพื้นที่ที่ยังอยู่ที่นี่” ชายมีรอยสักรีบอธิบายด้วยกลัวว่าเฉินเกอจะเข้าใจผิด “ก่อนที่ประตูในเมืองหลี่ว่านจะถูกเปิดออก ที่นี่ก็เป็นสถานที่แปลก ๆ อยู่แล้ว หากพวกคุณเคยอยู่ในจิ่วเจียงตะวันตก คุณจะรู้ว่าคนเก่าแก่นั้นจะไม่ยอมอาศัยอยู่ใกล้ ๆ เมืองหลี่ว่าน  เพราะว่าความ ‘สกปรก’ ของที่นี่ อันที่จริง ‘สกปรก’ ของพวกเขานั้นมีสองความหมาย– หนึ่งเป็นเพราะโรคติดต่อร้ายแรงที่เคยแพร่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ นี้มาก่อน และอีกความหมายก็คือมีเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่หลายต่อหลายครั้ง”

“คุณยังพอหาโรงพยาบาลนั่นเจอไหม?” เฉินเกอยืนอยู่หน้าตึกแรก

“คุณมีความสนใจแปลก ๆ ดีนะ ทำไมมันถึงเหมือนกับว่ายิ่งอยู่ในที่อันตราย ๆ คุณก็ยิ่งสนใจล่ะ?” ชายมีรอยสักคิดก่อนที่จะส่ายหน้า “ผมไม่รู้ตำแหน่งที่ตั้งแท้จริงของมัน ตามข่าวลือ โรงพยาบาลน่าจะถูกรื้อถอนรากถอนโคน พวกเขาขุดหลุมเอาไว้รอบ ๆ ตึกและปล่อยให้ทั้งโรงพยาบาลจมลงไปในพื้น”

“พวกเขาฝังทั้งตึกลงไป? หรือกระทั่งอิฐสักก้อนของโรงพยาบาลเก่าก็ไม่อนุญาตให้หลุดหายไป?” เฉินเกอหันกลับไปมองชายมีรอยสัก “แต่ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องราวใหญ่โตอย่างนี้มาก่อน? คุณรู้ไหมว่าโรคอะไรที่ระบาดอยู่ในเมืองหลี่ว่านเมื่อหลายปีก่อน?”

“ผมต้องขอโทษด้วย ผมเองก็ไม่รู้ชัดเจนเรื่องนั้น บางคนบอกว่าเป็นโรคเรื้อน บางคนบอกว่าโรคฝีดาษกลายพันธุ์ มีข่าวลือมากมายเต็มไปหมด และมีแค่สองอย่างที่ผมยืนยันได้ โรคระบาดนี้ไม่เพียงแค่ติดต่อผ่านอากาศ มันยังสามารถติดต่อผ่านทางน้ำได้ด้วยเช่นกัน และโอกาสที่จะติดผ่านน้ำนั้นยังมากกว่าติดผ่านอากาศเป็นหลายเท่า อีกอย่างก็คือผู้ป่วยคนแรกสุดนั้นเป็นเด็กคนหนึ่ง แต่ไม่ชัดเจนนักว่าเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย”

“เป็นโรคระบาดที่ติดต่อผ่านทางน้ำ และผู้ป่วยคนแรกยังเป็นเด็ก ฮึ?” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงเขื่อนจิ่วเจียงตะวันออกและหลุมใหญ่ที่ก้นเช่นเดียวกับการประปาจิ่วเจียงตะวันออกที่อยู่ติดกับเขื่อน นั่นเป็นสถานที่ที่เฉินเกอเจอกับเงานั่นเป็นครั้งแรก

เงานั่นก็คิดจะใช้การประปาทำอะไรบางอย่าง?

ความคิดในใจเฉินเกอนั้นกระจ่างขึ้นเรื่อย ๆ

มีปิศาจซ่อนอยู่ในหลุมใต้ดินในเขื่อนจิ่วเจียงตะวันออก และเขื่อนยังเป็นสถานที่ส่งน้ำดิบให้กับการประปาไปผ่านกระบวนการ ถ้าเงานั่นผสมอะไรสักอย่างเข้าไปที่ในการประปา อย่างนั้นชาวเมืองทั้งหมดในจิ่วเจียงตะวันออกย่อมได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว

เฉินเกอไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป แต่เขาก็มีความคิดคร่าว ๆ เกี่ยวกับแผนการของเงานั่นแล้ว เงานั่นเกิดขึ้นจากความสิ้นหวังและความรู้สึกด้านลบจำนวนมากอย่างไม่น่าเป็นไปได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเกิดมาเป็นคนและไม่มีแม่คนไหนสามารถอุ้มท้องทารกเช่นนั้นได้ ดังนั้นเงานั่นจึงหันไปสนใจวิธีการฝังเมล็ดพันธุ์

เขาวางแผนจะฝังตัวเองเข้าไปในเด็กคนอื่นและใช้ทั้งเมืองจิ่วเจียงเป็นแหล่งอาหาร เฉินเกอยังไม่เข้าใจแผนการแท้จริงของเงานั่น แต่เขาเข้าใจแล้วว่าขนาดแผนการของเงานั่นใหญ่กว่าที่เขาเคยคาดคิดเอาไว้

ผีทารกนั้นเป็นภารกิจระดับสี่ดาว แต่อะไรที่ทำให้มันเป็นฉากระดับสี่ดาว? เพราะมันเกี่ยวข้องกับทั้งจิ่วเจียงตะวันออกเหรอ?

เฉินเกอนั้นไม่เคยทำภารกิจระดับสี่ดาวมาก่อน ความเชื่อมโยงเดียวที่เขามีก็คือหลาย ๆ ภารกิจที่เขาทำเพื่อปลดล็อกภารกิจโรงเรียนแห่งปรโลก

ผีทารกนั้นเป็นภารกิจระดับสี่ดาว และโรงพยาบาลต้องสาปก็เป็นภารกิจระดับสี่ดาว บังเอิญว่า เฉินเกอเพิ่งยืนยันกับชายมีรอยสักว่าหลังจากโรงพยาบาลเมืองหลี่ว่านถูกฝัง เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งก็ย้ายไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในซินไห่ และชื่อที่เขาพูดถึงนั้นก็คล้ายกับชื่อโรงพยาบาลที่เขาเห็นปักเอาไว้บนชุดผู้ป่วยของเด็กชาย

ฉากระดับสี่ดาวใหม่สองฉากที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้นั้นดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกัน และนี่ก็ทำให้เฉินเกอปวดหัว เงื่อนงำทั้งหมดที่เขาพบนั้นเกาะเกี่ยวพันกันอยู่ในใจเขา เกิดเป็นเงื่อนตาย

ฉากระดับสี่ดาวนั้นอันตรายเกินไป ต่อให้มีจางหยา มันก็ยังไม่อาจรับรองความปลอดภัยได้มากพอ ฉันต้องเค้นทุกหยาดหยดจากฉากระดับสามดาวครึ่งนี่! ตราบใดที่ฉันสามารถจับเงานั่นได้ ฉันก็สามารถเค้นเอาความจริงจากปากมันได้!

การมองผ่านความสัมพันธ์อันซับซ้อนไปจนถึงแก่นนั้นไม่ใช่ความสามารถของเฉินเกอ ดังนั้นเขาจึงวางแผนจะใช้วิธีการของตัวเองในการเปิดเผยความจริง

ไม่มีอะไรซับซ้อนถึงเพียงนั้น– ทุกอย่างสามารถทำให้เรียบง่ายได้!

มันแค่ไม่นานเลยตั้งแต่ที่เฉินเกอได้โทรศัพท์เครื่องดำมา แต่ว่าเขาเติบโตขึ้นด้วยความเร็วไม่น่าเชื่อ แต่ว่า ทิศทางการเติบโตของเขานั้นดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับที่โทรศัพท์เครื่องดำคาดเอาไว้ เฉินเกอนั้นกำลังเดินไปบนเส้นทางที่ไม่มีใครบอกได้ แต่สำหรับตอนนี้นั้น มันราบรื่นสำหรับเขา

คำประกาศของเงานั่นก่อนหน้านี้บอกว่าเขากำลังซ่อนตัวอยู่ในหมู่พวกเรา อย่างนั้นจะฉันจะให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับทุกคนที่นี่ ถ้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ฉันก็จะจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเขา ต่อให้พวกเขาตาย ฉันก็จะแบกศพของพวกเขาไปด้วย ต่อให้ทุกคนไม่ใช่ ฉันก็จะพลิกเมืองหลี่ว่านหา ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะหาเขาไม่เจอ!

ถ้าเงานั่นเชี่ยวชาญสงครามจิตวิทยา อย่างนั้นเฉินเกอก็ตรงข้ามสุดขั้ว พวกเขามีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันและยังมีบุคลิกที่คล้ายคลึงกัน แต่วิธีการที่พวกเขารับมือกับปัญหาต่าง ๆ นั้นต่างกันอย่างมาก

“ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว ตามผมมา!” เฉินเกอดึงค้อนออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังและเปิดเครื่องเล่นเทป เขาใจเย็นมาก เมืองหลี่ว่านก็แค่ฉากระดับสามดาวครึ่ง และฉากย่อยส่วนใหญ่ก็ถูกจัดการแล้ว มีไกด์ที่เขาได้จากเกมของเสี่ยวปุ้ ความยากของภารกิจนี้ก็ลดลงต่ำสุด และเขาก็ตัดสินใจทิ้งการเสแสร้งก่อนหน้าของตัวเอง

เขาเรียกชื่อจางหยา และเงาที่ด้านหลังเขาก็กระเพื่อม– มันเหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งหน้าเต็ม และพยายามยิ้มตอบเขา

“วันนี้ เธอดูไม่ปกติกว่าก่อนหน้า”

เฉินเกอลากค้อนเข้าไปในตึก ทุกก้าวของเขานั้นมั่นคง และมีเสียงประหลาดดังมาจากรอบตัว เหมือนมีคนมากมายล้อมอยู่รอบตัวเขา

“ระวังด้วย!” ชายมีรอยสักหยุดอยู่ที่ทางเข้า กะโหลกศีรษะทั้งห้าบนแขนของเขานั้นกรีดร้องเหมือนพวกเธอพยายามหนีออกจากร่างนี้ นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ถูกผีทารกฆ่ายินดีเข้าไปใกล้ที่นี่– มีบางอย่างอันตรายมากซ่อนอยู่ที่นี่ แต่ประตูออกไปจากที่นี่กลับตั้งอยู่ในตึกนี้เช่นกัน…”

“หยุดลังเล ในเมื่อแกตัดสินใจเชื่อเขาแล้ว ก็เชื่อมั่นในตัวเขา” มือกรรไกรเลียแผลที่มุมปาก เขาเรียนรู้จากชายมีรอยสักจนเสแสร้งเป็นฆาตกรบ้าคลั่งได้ดีกว่าเดิม

“เขาอาจจะดูไม่เหมือน แต่ว่าเขาเชื่อถือได้ที่สุดแล้วในเวลาสำคัญอย่างนี้” ชายขี้เมาแบกหมอเข้าตึกไป

เห็นพวกเขาเข้าไปแล้ว ชายมีรอยสักก็กัดฟัน ใช้แขนของตัวเองบังรอยสักทั้งห้าเอาไว้ ก้าวยาว ๆ เข้าไปในตึก

“คุณคิดว่าพวกเราควรจะตามเขาไปไหม?” เจียหมิงนั้นไม่กล้ามองหลี่เจิ้ง เขาคิดว่าเขาแสดงได้ดีทีเดียว แต่กระทั่งเขาก็ไม่รู้ตัวว่าเขาเริ่มทำตามความคิดของหลี่เจิ้ง และนั่นก็ต่างจากตอนที่พวกเขาเข้ามาในเมืองหลี่ว่านทีแรกมาก

“ตามเขาไป ฉันยังมีคำถามที่อยากจะถามเฉินเกอ” หลี่เจิ้งและเจียหมิงเข้าไปในตึก หมอกสีเลือดหนาหนัก ผู้ชายที่มีใบหน้ายิ้มยืนอยู่ด้านนอกตึกอยู่เป็นนานก่อนที่จะเข้าไปรวมกับคนที่เหลือ

ประโยคที่เขียนไว้ที่ประตูนั้นต้องการเห็นความวุ่นวาย ประโยคนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ได้ แต่ว่ามันได้ฝังเมล็ดพันธ์ุแห่งความสงสัยเอาไว้ในใจของพวกเขา ค่อย ๆ ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวชั่วคราวของพวกเขาลงจากภายใน

“นี่ดูเป็นวิธีการของเงานั่น ดังนั้นเขาน่าจะเป็นคนทำเอาไว้” เจียหมิงกระแทกไหล่กับหลี่เจิ้ง “เขาชอบปิดบังความจริงเอาไว้ในความโกหก และซ่อนคำโกหกไว้ในความจริง– เงานั่นเก่งในเรื่องจิตวิทยาอย่างนี้แหละ มันไม่ใช่คนที่บอกคุณว่ามันจะออกอะไรเวลาเป่ายิงฉุบ เงานั่นชอบทำสงครามจิตวิทยา เขาเข้าสิงร่างคนมานับไม่ถ้วน เห็นความมืดดำในหัวใจของคนมากมาย และมีชีวิตมาแล้วนานจนนับไม่ได้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาที่ไม่มีใครเหนือไปกว่า”

“อย่างนั้นแกคิดว่าเงานั่นตอนนี้อยู่ในกลุ่มพวกเราหรือเปล่า?” หลี่เจิ้งกำปืนตัวเองแน่น ในสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จักเช่นนี้ มีแค่ปืนเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัย

“จากความเข้าใจในเงานั่นของผมแล้ว เขาอาจจะปลอมเป็นหนึ่งในพวกเราแล้ว” เจียหมิงพูดช้าลง “ทุกคนที่นี่อาจจะเป็นเขาก็ได้ รวมทั้งคุณและผม และผมก็บอกคุณได้อย่างแน่ใจเลยว่าคนที่จะเป็นเขาได้นั้นเป็นคนที่คุณสงสัยน้อยที่สุด”

“คนที่ฉันสงสัยน้อยที่สุดงั้นเหรอ?” หลี่เจิ้งมองไปทั่ว ๆ กลุ่มคนตรงหน้าและสายตาของเขาก็ไปจับจ้องอยู่ที่เฉินเกอ ในทุกคนที่นี่ เขารู้จักเฉินเกอดีที่สุด และเขาก็แน่ใจได้ว่าเฉินเกอไม่มีทางเป็นเงานั่นได้

“พอคุณคิดว่ามันน่าจะเป็นเขา มันก็จะไม่ใช่เขา แต่พอคุณคิดว่าคงไม่ใช่เขา อย่างนั้นเขาก็จะจัดการกับคุณตอนที่คุณคาดไม่ถึง เขาจะไม่ให้โอกาสคุณได้ต่อต้านด้วยซ้ำ” เจียหมิงพูดอย่างลึกลับ

“แกพูดมากขนาดนี้ แต่กลับไม่มีประโยชน์เลย ทำไมมันเหมือนกับแกแค่พยายามทำให้ฉันสับสนอยู่?” หลี่เจิ้งขมวดคิ้ว “แกเพิ่งพยายามปัดข้อสงสัยออกจากตัวเองใช่ไหม? เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง แกตัดสินใจลากคนอื่น ๆ เข้ามาร่วมบ่อน้ำขุ่น”

“ผมบอกคุณตั้งหลายครั้งแล้ว ว่าเงานั่นออกไปจากร่างผมแล้ว ทำไมคุณถึงไม่เชื่อผม? ที่นี่ไม่มีคนดี ๆ หรอกนะ พวกเราสองคนมาจากโลกด้านนอก ดังนั้นพวกเราคุ้นเคยกันและกัน ดังนั้น ในสถานการณ์อย่างนี้ พวกเราควรจะทิ้งอคติก่อนหน้านี้แล้วทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง” เจียหมิงนั้นไม่เชื่อคนอื่นนอกเหนือจากหลี่เจิ้ง เขาเคยถูกเงานั่นสิงร่างมาก่อนและรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเงานั่นน่ากลัวได้เพียงใด

“อย่าลืมว่าแกคือเหตุผลให้ฉันต้องมาที่นี่ ดังนั้น นี่อาจจะเป็นแผนการของแกตั้งแต่แรก และแกยังเผยเรื่องเหล่านี้ให้ฉันรู้อย่างจงใจ แกต้องการให้ฉันคิดว่าเฉินเกอคือเงานั่นและจากนั้นก็ให้ฉันเป็นพยานให้แก” หลี่เจิ้งตอบอย่างเยือกเย็น

“ผมไม่มีทางเลือกตอนที่ลวงคุณมาที่นี่ ถ้าผมไม่ทำตามที่เงานั่นสั่ง ผมก็คงไม่มีชีวิตอยู่คุยกับคุณตอนนี้แล้ว เงานั่นน่ากลัวกว่าที่คุณจะจินตนาการได้และยังเหี้ยมโหดกว่ามาก ใครที่ไม่มีประโยชน์กับมันแล้วก็จะถูกฆ่าอย่างไม่ลังเล คุณก็รู้นี่? จากมุมมองของเขา ทุกอย่างที่เขาใช้งานไม่ได้ในโลกนี้ล้วนนับเป็นสิ่งกีดขวางทาง ดังนั้นฆ่าทิ้งเสียก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด”

“ฉันก็ยังไม่เชื่อแกอยู่ดี นอกเสียจากแกจะช่วยให้ฉันได้เจอเงานั่น” หลี่เจิ้งลดเสียงลง “เงานั่นเคยอาศัยอยู่ในร่างแกหลายปี ดังนั้นแกน่าจะเป็นคนที่เข้าใจเงานั่นที่สุดแล้ว แกคิดว่ามันปลอมตัวเป็นใครอยู่?”

“ที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือเฉินเกอ ลองคิดดู มันจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง? พวกเราบังเอิญมาที่นี่ และพวกเราก็บังเอิญเจอเขาเข้า? เขาพยายามอย่างมากที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาก่อนหน้านี้ และเขาก็ให้ผมล่อคุณมาที่นี่เพื่อเป็นพยานให้เขา มันชัดเจนไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” เจียหมิงยักไหล่ “เฉินเกอผู้นี้เป็นตัวปลอม เขาวางแผนที่จะเปลี่ยนเฉินเกอตัวปลอมไปเป็นตัวจริง เพราะว่าหลังจากที่ฆ่าเฉินเกอตัวจริงแล้ว เขาก็จะเป็นผู้เดียวที่เหลืออยู่ ดังนั้นจึงเข้าใช้ตัวตนของเฉินเกอตัวจริง”

ด้วยการโน้มน้าวซ้ำ ๆ จากเจียหมิง สายตาของหลี่เจิ้งเริ่มเปลี่ยนไป

“อันที่จริง คุณคงจะรู้ตัวเร็วกว่านี้แล้ว คุณไม่เคยคิดถึงคำถามนี้เหรอ– ทำไมเงานั่นถึงมีรูปลักษณ์คล้ายเฉินเกอ และเขาทำเรื่องทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?” เจียหมิงถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าความเชื่อมั่นของหลี่เจิ้งเริ่มสั่นคลอน “ในทุกคนที่นี่ พวกเราเป็นสองคนที่เข้ามาที่นี่ด้วยกัน ดังนั้นพวกเราจึงเชื่อถือได้แค่พวกเรากันเอง นอกจากตัวคุณแล้ว คนอื่นอาจจะเป็นเงานั่นได้หมด”

“ฉันก็ยังไม่เชื่อคำพูดของแกง่าย ๆ แต่ฉันจะหาโอกาสทดสอบเขาดู” หลี่เจิ้งมองเฉินเกอ และสายตาของเขาก็ซับซ้อน

“คุณทำสอบเขาได้ทั้งหมดตามที่ต้องการเลย แต่ผมหวังว่าคุณจะจำเอาไว้ เงานั่นเปลี่ยนไปเป็นคนที่พวกเราคิดว่าเป็นไปได้น้อยที่สุด เขามุดผ่านช่องว่างในใจคน พวกเราไม่ใช่คู่มือเขา และทางเดียวที่จะรอดอยู่ได้ก็คือไม่เป็นศัตรูกับเขา” เจียหมิงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเกอและหลี่เจิ้ง เขาพยายามโน้มน้าวหลี่เจิ้งตอนที่ดวงตาของเขาบังเอิญมองไปยังเงาของหลี่เจิ้ง

“คนที่คุณสงสัยน้อยที่สุด…” ดวงตาของเจียหมิงจู่ ๆ ก็เบิกกว้าง เขารีบหันหน้าไปทำเป็นมองทางอื่นเพื่อซ่อนความตระหนกในใจ

“เกิดอะไรขึ้นกับแก? อะไรอีกล่ะคราวนี้?” หลี่เจิ้งกระแทกปากกระบอกปืนเข้าที่แผ่นหลังเจียหมิง

“ไม่มีอะไร ผมคิดว่าผมเห็นบางอย่างวิ่งผ่านตึกนั่นไปเมื่อกี้นี้” ตอนที่เจียหมิงพูด เขาไม่ได้หันหน้าไป หัวใจของเขาสั่นด้วยอารมณ์มากมายท่วมโถม

ยิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันก็เหมือนกับเงานั่นจะยิ่งเป็นคนผู้นั้น ฉันเป็นคนล่อหลี่เจิ้งมาที่นี่ และจากมุมมองของฉัน เขาเป็นคนเดียวที่ฉันเชื่อถือได้ แต่มองจากอีกมุมหนึ่งแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเขาจงใจงับเหยื่อ? ใช้ฉันเป็นโล่มนุษย์ในการปลอมตัว? อันที่จริง เขาคือเงาตัวจริง และฉันก็เป็นเหยื่อที่เขาสามารถทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคนร้าย โดยเฉพาะตอนที่เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวโทษ

ยิ่งเจียหมิงคิด เขาก็ยิ่งหวาดกลัว มันเหมือนเขาถูกกรอกปูนแห้ง ๆ ลงไปในคอและมันก็ไม่ไหลไปไหน ตอนนี้ เขาไม่กล้ากระทั่งมองหลี่เจิ้ง– เขากลัวว่าเขาอาจจะบังเอิญเผยจุดอ่อนออกไปและทำลายแผนการของเงา

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดคุยกันเอง เข้าไปข้างใน ต่อให้เงานั่นเป็นหนึ่งในพวกเรา มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก” เฉินเกอไม่ชอบเกมคาดเดาแบบนี้ ถ้าไม่เพราะมีคนคุ้นเคยอยู่ด้วย เขาก็คงใช้วิธีการตัดตัวเลือกที่เขาคุ้นเคยที่สุดในการหาความจริง เฉินเกอเป็นคนแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปในเขตที่พักอาศัยโดยไม่สนใจประโยคที่ประตู

“ผมรู้แค่ว่าประตูอยู่ที่ชั้นแรก แต่ว่าห้องไหน พวกเราต้องค้นหาเอาเอง” ชายมีรอยสักตามหลังเฉินเกอไป ตอนที่เขาเข้าไปในเขตนั้น กะโหลกศีรษะที่บนแขนของเขาก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว

เฉินเกอนั้นเคยมาที่บ้านฟ่านฉงหลายครั้ง แต่แผนผังของตึกที่นี่นั้นต่างไปจากที่เขาจำได้

“ที่นี่ดูเหมือนจะรักษารูปแบบจากเมื่อหลายปีก่อนเอาไว้” เฉินเกอมองไปที่ด้านนอกตึกซึ่งถูกหมอกสีเลือดกัดกร่อน เขาอ่านบางคำออก “อพาร์ทเม้นท์สวัสดิการโรงพยาบาลหลี่ว่าน? เขตที่พักอาศัยนี้ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อนั้นใช่ไหม? โรงพยาบาลหลี่ว่านหมายถึงโรงพยาบาลเอกชนในเมืองใช่ไหม?”

“โรงพยาบาลเอกชนนั้นสร้างขึ้นทีหลังจากนั้นมาก– โรงพยาบาลหลี่ว่านจริง ๆ แล้วปิดตัวไปเมื่อกว่าสิบปีก่อน” ชายมีรอยสักอธิบาย ”เมืองหลี่ว่านครั้งหนึ่งเคยมีโรงพยาบาลเฉพาะทางโรคติดต่อ แต่ว่ามันปิดตัวลงด้วยเหตุผลอันลึกลับ ห้องทดลองสำคัญบางอย่างนั้นย้ายไปรวมกับโรงพยาบาลเมืองจิ่วเจียงและโรงพยาบาลในซินไห่”

คำถามของชายขี้เมาทำให้ชายมีรอยสักงุนงง เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมปิศาจดึงวิญญาณถึงไม่ลอกเลียนแบบเงาของเฉินเกอ– นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาแอบมองเฉินเกอ คำถามติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่เขากลัวเกินกว่าจะถามออกไป ในที่สุดเขาก็หัวเราะกระอักกระอ่วนและเปลี่ยนเรื่อง “แค่พยายามอย่ามองพวกมันนานเกินไป ปิศาจดึงวิญญาณน้อยนักที่จะปรากฏตัวออกมาเยอะ ๆ และพอพวกมันทำแบบนั้น ก็หมายความว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่บางอย่างขึ้น”

ตอนที่พวกเขาสองคนคุยกัน เฉินเกอไม่ได้ขัด เขาหรี่ตาลงช้า ๆ ขณะมองไปยังเงาหลายเงาที่ฝั่งตรงข้ามถนน ถ้าฉันจับเงาพวกนี้ทั้งหมดเอาไว้แล้วให้พวกมันอยู่ในบ้านผีสิงของฉัน ฉันก็จะสามารถสร้างฉากที่พิเศษเฉพาะขึ้นมาได้? ให้ผู้เข้าชมได้เห็นตัวเองในฉากและใช้พลังของเงาพวกนี้ทำให้พวกเขาสับสน ถ้าฉันสามารถใช้งานพวกเขาได้ ยิ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ ผลของความสยองขวัญจากความจริงและความปลอมก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น และไม่มีใครบอกได้แน่นอนว่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นเป็นผีหรือว่าเพื่อนร่วมทีมของตัวเอง

ชายมีรอยสักดูกังวล และเขาก็เอาแต่กระตุ้นให้เฉินเกอออกเดิน “มันจะดีกว่าถ้าพวกเรารีบไป สิ่งนี้นั้นสลัดทิ้งยากและฆ่ายาก ก่อนที่พวกมันจะทำอะไร พวกเรารีบไปจะดีกว่า”

“รีบอะไรกัน? ความสามารถของพวกมันนั้นเหมาะสมที่จะสั่งสอนอย่างช้า ๆ ฉันจะสอนให้พวกมันกลายเป็นคนดีที่รู้จักมีส่วนรับผิดชอบกับสังคม ฉันจะช่วยพวกมันค้นหาคุณค่าของการดำรงอยู่และให้เข้าใจถึงความสุขที่ตนเองควรได้รับและกลายเป็นผู้ที่คนอื่นนับถือ”

คนอื่นล้วนไม่รู้ว่าทำไมปิศาจดูดวิญญาณถึงไม่กล้าลอกเลียนแบบเฉินเกอ แต่เขานั้นรู้เหตุผลเป็นอย่างดี จางหยานั้นซ่อนอยู่ในเงาของเขา แทนที่จะพูดว่าปิศาจดูดวิญญาณพวกนั้นหวาดกลัวเฉินเกอ ควรจะบอกว่าพวกมันกลัวที่จะล่วงเกินจางหยามากกว่า

“ฟังคำแนะนำของผมเถอะนะ มันไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ที่นี่– ไม่มีความจำเป็นที่พวกเราต้องยุ่งกับพวกมัน พวกมันก็แค่ลิ่วล้อที่เงานั่นใช้ถ่วงพวกเราให้ช้าลง อันตรายแท้จริงจะตามมาหลังจากนี้ ยิ่งพวกเราอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ พวกเราก็เท่ากับว่าให้เวลาเงานั่นวางกับดักมากเท่านั้น คุณเข้าใจหรือเปล่า?” ชายมีรอยสักเริ่มรู้สึกเสียใจที่ร่วมมือกับฟางหยวนมากขึ้นทุกวินาที ผู้ชายคนนี้ฉลาด หัวไว และมีความพยายาม แต่ตอนนี้ เขากลับกลายเป็นเหี้ยมโหด ไร้เหตุผล และป่าเถื่อนไปได้

เขาไม่เคยปฏิบัติตามจริยธรรมที่ผูกมัดคนทั่วไปเอาไว้ เขามีวิถีทางของตนเองในการทำสิ่งต่าง ๆ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ดูเหมือนจะควบคุมการกระทำของตนเองไม่ได้ เขาหลงใหลและรักในความตื่นเต้น ในดีเอ็นเอของเขานั้นราวกับมีพันธุกรรมของความโหดร้ายฝังอยู่

ชายมีรอยสักนั้นเคยดูหนังฆาตกรบ้าคลั่งหลายเรื่อง และในฐานะผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่ง เขารู้ว่าในภาพยนตร์เหล่านั้นล้วนเกินความเป็นจริง คนร้ายที่โหดเหี้ยมส่วนใหญ่นั้นไม่เคยแสดงความบ้าคลั่งในที่สาธารณะ

ฆาตกรบ้าคลั่งที่แท้จริงนั้นเป็นคนอย่างเฉินเกอ ตอนที่เดินสวนกันบนถนน คุณจะไม่เคยรู้และไม่เคยมองเห็นความไม่ปกติในจิตใจของเขา พวกเขาไม่สามารถควบคุมความก้าวร้าวของตนเอาไว้ได้ตั้งแต่เกิดมาและน้อยครั้งที่จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือว่าสำนึกผิดกับการกระทำรุนแรงที่พวกเขาได้ลงมือไป นี่เป็นสิ่งที่มีร่วมกันในเหล่าคนร้ายที่ป่วยทางจิตส่วนใหญ่ บังเอิญว่าชายมีรอยสักก็พบความคล้ายคลึงกันนี้ในตัวเฉินเกอ และที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะไม่ตระหนักเลยว่าตนเองนั้นอันตรายเพียงใด

ชายมีรอยสักไม่เคยสบตากับเฉินเกอมาก่อนเลยสักครั้ง และเขาก็ไม่ได้ผิดปกติอะไรในเรื่องนั้น– เขาก็แค่ไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของเฉินเกอ เขาเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ย้ายเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน ดังนั้นเขาจึงเคยพบเจอเงานั่นมาหลายครั้งแล้ว บางทีมันอาจจะเป็นจินตนาการของเขาเองก็ได้ แต่เขาเอาแต่รู้สึกว่าความรู้สึกที่เขาได้รับจากเงานั่นเหมือนกับตอนที่เขาพูดคุยกับเฉินเกอ

“คุณพูดถูก มันไม่ใช่เวลา พวกเราต้องหาประตูที่หลุดจากการควบคุมบานนั้นก่อน” เฉินเกอนำทั้งกลุ่มตรงไปยังบ้านของฟ่านฉง

หลายนาทีให้หลัง หลังจากพวกเขาผ่านแยกอื่นอีกแยกหนึ่ง เสียงของหลี่เจิ้งก็ดังมาจากด้านหลังกลุ่ม ”รอก่อน! มีคนหายไป”

หลี่เจิ้งนั้นเป็นตัวตนที่พิเศษที่สุดในกลุ่มนี้ ดังนั้นทุกคนจึงตัวแข็งอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงเขา

“ใครหายไป?” ชายมีรอยสักหันกลับไปมองและพบว่าผู้หญิงที่ลากกล่องใบใหญ่อยู่ก่อนหน้านี้หายตัวไปในหมอกสีเลือด “เธอหนีไปแล้ว?”

“ไม่จำเป็นต้องตามหาเธอ เธอจะไม่กลับมาหาพวเราหรอก” เป้ยเยี่ยพูดเบา ๆ เขาชี้ไปที่อีกฟากของทางแยก “เธออยู่ตรงนั้น”

มองตามปลายนิ้วของเด็กนักเรียนไปแล้ว พวกเขาก็เห็นผู้หญิงคนนั้น กล่องที่เธอลากอยู่นั้นหายไป และร่างของเธอก็เหลือแค่เพียงครึ่งเดียว มีร่องรอยฝีเข็มเย็บอยู่บนร่างของเธอ และผิวหนังทั้งหมดที่เหลืออยู่ของเธอนั้นก็ดูปกติ มันเหมือนเธอมีนิสัยกรีดผิวตัวเองที่เปลี่ยนเป็นสีเทาทิ้งและแทนที่มันด้วยผิวปกติของเหยื่อของเธอ

“เธอออกจากกลุ่มไปตั้งแต่เมื่อไหร่? เธอเตรียมหนีอยู่ก่อนแล้ว?” เพื่อรักษาขวัญและกำลังใจของพวกเขา ชายมีรอยสักจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหันไปยืนยันสถานการณ์ของเธอ

“ผมไม่รู้ ผมไม่ได้สนใจเธอมากนัก เธออยู่ด้านหลักกลุ่มและมันก็เหมือนกับว่ามีบางอย่างลากเธอไป” เด็กนักเรียนสะพายกระเป๋านักเรียนเอาไว้ ในมือมีมีดพก ตั้งแต่เฉินเกอเปิดเผยตัวตนของเขาออกไป เขาก็ถอดแว่นออกแล้วก็เลิกเสแสร้ง

“พวกเราถูกบางอย่างในหมอกเลือดเพ่งเล็ง พวกเราต้องอยู่ด้วยกันเข้าไว้ โดยเฉพาะคนที่ด้านหลัง” เฉินเกอนั้นไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้นและเป้ยเยี่ย แต่เขาก็เป็นห่วงหลี่เจิ้ง อย่างไรเสีย นักสืบคนนี้ก็เคยช่วยเขามาหลายครั้ง

“เป็นไปได้ไหมว่าคนร้ายจะเป็นผู้หญิงที่สวมเสื้อกันฝนสีแดง?” เจียหมิงกระซิบเบา ๆ “ตอนที่พวกเราออกจากโรงแรมผมเห็นกับตาว่าเธอเดินอยู่ด้านหลังพวกเรา แต่ตอนที่พวกเรามาถึงทางแยกแรก เธอก็หายตัวไป ผมว่านี่น่าสงสัยมาก”

เฉินเกอรู้ว่าคนร้ายนั้นไม่ใช่ผู้หญิงในเสื้อกันฝนสีแดง แต่เขาก็ไม่ต้องการเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตอบคำถาม และเพียงแค่เร่งให้ทุกคนเร่งฝีเท้าขึ้น หมอกเลือดรอบตัวพวกเขานั้นหนาหนักราวกับเมืองเล็ก ๆ น่าหวาดกลัวนี้กำลังตื่นขึ้น ดวงตาสีแดงเลือดที่ซ่อนอยู่ในหมอกเลือดนั้นตามพวกเขามาอย่างมุ่งร้าย

พวกเขาก้าวยาว ๆ ไปตามถนนอยู่ยี่สิบนาทีก่อนที่จะไปถึงเขตที่พักอาศัยที่ฟ่านฉงอาศัยอยู่ หมอกเลือดที่ที่นั้นหนากว่าที่อื่น ๆ ในเมืองเล็ก ๆ นี่ แม้จะยืนอยู่ห่างไปไม่กี่เมตร พวกเขาก็บอกรูปร่างของตึกได้คร่าว ๆ เท่านั้น

“มันราบรื่นกว่าที่ผมคาดเอาไว้– ทางออกอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว!” ชายมีรอยสักนั้นพูดรัว ๆ อย่างตื่นเต้น

“ใจเย็น ยิ่งพวกเราใกล้ทางออกเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น” ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงปลายทาง เฉินเกอนั้นดูประหลาดใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังบ้านของฟ่านฉง แต่ว่าหมอกนั้นหนาเกินกว่าที่เขาจะมองทะลุไปได้แม้จะใช้ดวงตาหยินหยาง

ทั้งฟ่านฉงและฟ่านต้าเตอล้วนหายตัวไป และน่าจะเกิดบางอย่างขึ้นกับคอมพิวเตอร์ที่มีเกมของเสี่ยวปู้อยู่ด้วยเหมือนกัน เดาได้ว่าเงานั่นน่าจะวางกับดักไว้ที่นั่น ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรต่อไป ฉันต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ

“เร็ว! ดูนั่นสิ! มีข้อความเลือดอยู่ตรงนั้น! มีคนรู้ว่าพวกเราจะมาที่นี่!” ชายขี้เมาหยุดที่ทางเข้าเขตที่พักอาศัย บนประตูทางเข้านั้นมีประโยคที่เขียนด้วยเลือดประโยคหนึ่ง “ฉันคือหนึ่งในพวกแก?”

เลือดยังไม่แห้ง และมันก็ไหลเยิ้มลงมาตามประตูเหล็ก

เฉินเกอพอใจมากกับปฏิกริยาของเป้ยเยี่ย เขาหันไปหาคนที่เหลือ “มีใครคัดค้านอีกไหม?”

คนครึ่งหนึ่งที่นี่นั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับเฉินเกอ ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่มีปัญหากับการจัดการของเขา คนส่วนน้อยที่คัดค้านนั้นก็หวาดกลัวเกินกว่าจะบอกความคิดที่แท้จริงของตนเองออกมา ต่อให้พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเฉินเกอ พวกเขาก็อ่อนแอเกินกว่าจะขัดแย้งเรื่องนี้

“ในเมื่อไม่มีใครคัดค้านอะไร พวกเราก็จะไม่เสียเวลาเปล่าและเริ่มลงมือได้แล้ว ถ้าพวกเรารอนานกว่านี้ สิ่งประหลาดต่าง ๆ ก็จะถูกดึงดูดมาที่นี่มากขึ้น” หลังจากเฉินเกอพูดอย่างนั้น เขาก็ดึงรองเท้าส้นสูงสีแดงที่บนเคาน์เตอร์ลงมาและเก็บลงไปในกระเป๋าสะพายหลังของเขา จากนั้นเขาก็เรียกเจ้าแมวขาวและมือกรรไกรก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทางประตู

“คุณไม่สังเกตเห็นความสบายใจของเขาเวลาอยู่ที่นี่เหรอ? ตอนที่พวกเราทุกคนรู้สึกไม่ดีอยู่ เขากลับราวกับปลาได้น้ำ มันเหมือนกับว่าเมืองที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดนี้เป็นสถานที่ที่คล้ายกับบ้านของเขา” เจียหมิงกระซิบกับหลี่เจิ้ง

“แกกำลังพยายามจะพูดอะไร?” หลี่เจิ้งขมวดคิ้วแน่น

“มันชัดเจนออกไม่ใช่เหรอ? เขาคือเงานั่น ที่นี่คือที่ที่เขาอาศัยอยู่ ที่นี่คือบ้านของเขา!” เจียหมิงพยายามโน้มน้าวหลี่เจิ้งต่อ “ผมรู้ว่าเขาไม่ได้กำลังพาเราไปที่ทางออก– เป้าหมายแท้จริงของเขาก็คือฆ่าพวกเราทั้งหมด คุณอาจจะไม่เชื่อผมตอนนี้ แต่เวลาจะพิสูจน์ว่าผมพูดถูก ผมหวังว่าคุณจะระวังตัวเอาไว้จะได้ไม่ทำให้ผมต้องตายไปด้วย”

“ก่อนที่แกจะชี้นิ้วใส่คนอื่น แกควรจะดูตัวเองให้ดีก่อน เงานั่นหนีออกไปจากร่างของแก ดังนั้นในบรรดาทุกคนที่นี่ แกน่ะน่าสงสัยที่สุดแล้ว” หลี่เจิ้งนั้นเคยพูดคุยกับอาชญากรตัวร้ายมาก่อนหลายคน เขาเข้าใจอย่างหนึ่ง– ยิ่งคนผู้หนึ่งมีจิตใจบิดเบี้ยวไปมากเท่าใด มุมมองโลกของพวกเขาก็ไร้ซึ่งเหตุผลมากเท่านั้น ส่วนหนึ่งในสมองของพวกเขามีปัญหา และอาจจะพูดได้ว่า ความสามารถในการศึกษาและเรียนรู้ของพวกเขานั้นดีกว่าการควบคุมอารมณ์ตนเอง คนที่เสียสติไปแล้วจริง ๆ คนหนึ่งนั้นสามารถถักทอสร้างเรื่องโกหกที่ไม่น่าเชื่อถือขึ้นมาด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่โดยไม่แสดงท่าทีเสียใจหรือรู้สึกผิด

เห็นได้ชัดเจนว่าเจียหมิงและเงานั้นเคยกระทำผิดมากกว่าความผิดมามากกว่าแค่สองหรือสามครั้ง

“สักวันคุณจะต้องเสียใจที่เชื่อถือผู้ชายคนนั้น และเชื่อผมนะ วันนั้นจะมาถึงในไม่ช้าแล้ว” เจียหมิงไม่หยุดโน้มน้าว เขาพบว่ามันยากอย่างไม่น่าเชื่อที่จะสั่นคลอนความเชื่อมั่นของหลี่เจิ้ง– สารวัตรคนนี้นั้นเชื่ออย่างเด็ดเดี่ยว และยังบุกทะลวงได้ยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้

ฉันเคลียร์จุดอันตรายส่วนใหญ่ที่โทรศัพท์เครื่องดำพูดถึงไปแล้ว ได้เวลาไปตามหาประตูแล้ว

เฉินเกอนำผู้โดยสารออกจากโรงแรม และชายมีรอยสักก็ตามหลังพวกเขามาติด ๆ

“คุณแน่ใจเหรอว่าต้องการพาพวกเขาทั้งหมดไปด้วย?” ชายมีรอยสักมองกลุ่ม ‘คน’ กลุ่มใหญ่ที่ด้านหลังพวกเขาแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ

“ผมมีทางเลือกอื่นเหรอ? ไม่ใช่ว่าคุณจะแนะนำให้ผมฆ่าพวกเขาทั้งหมดที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือเหรอ?” เฉินเกอปัดคำถามกลับไปที่เขา

“คุณพูดก็ถูก ถ้าพวกเราเก็บพวกเขาเอาไว้ใกล้ ๆ พวกเราสามารถใช้พวกเขาเป็นทัพหน้าได้ตอนที่มีอันตราย” ชายมีรอยสักโน้มน้าวตัวเอง เขาเริ่มสงสัยการตัดสินใจร่วมมือกับเฉินเกอของตัวเอง แต่ว่า ลูกศรก็ถูกปล่อยออกจากแล่งไปแล้ว ทางเลือกเดียวของเขาตอนนี้ก็คือตามเฉินเกอไปจนสุดทาง

“เดินให้เร็วขึ้นหน่อย อย่าเสียเวลาอยู่ เสียเวลาอยู่ที่นี่หนึ่งวินาที ความหวังในการหนีออกไปของพวกเราก็ลดลงหนึ่งเปอร์เซ็นต์” ชายมีรอยสักหันกลับไปตะโกนใส่คนที่เหลือ ดวงตาของเขานั้นจับจ้องอยู่ที่หลี่เจิ้ง มีคนบ้ามากมายอยู่ในเมืองหลี่ว่าน แค่หยิบขึ้นมาสักคนก็ได้ตัวคนร้ายแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยเผชิญเข้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ “ไม่ว่าอดีตระหว่างพวกคุณจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าคุณจะมาอยู่ที่นี่เพราะอะไร ผมหวังว่าคุณจะสามารถปล่อยวางเรื่องเหล่านั้นเอาไว้จนกว่าพวกเราจะออกไปจากที่นี่ ตอนนี้พวกเราก็เหมือนลงเรือลำเดียวกัน และถ้ามีใครคิดจะเป็นตัวถ่วง พวกเราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากกำจัดคนผู้นั้นเสีย”

ตอนที่ชายมีรอยสักพูด กะโหลกผู้หญิงทั้งห้าที่บนแขนของเขาก็ดูเหมือนจะฉีกยิ้มอย่างน่าสยองเหมือนพวกเธอคาดหวังให้เกิดฝนโลหิต ทุกคนออกจากโรงแรม เด็กนักเรียนมัธยมเดินอยู่ด้านหลัง– เห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

“ครบแล้วเหรอ?” เฉินเกอหันกลับไปมองและพบว่าผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงหายตัวไป คนที่เหลือ รวมทั้งชายหน้ายิ้มนั้นเดินตามมาข้างหลัง “ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งแข็งแกร่ง ผมจะพาพวกคุณออกไปจากที่นี่ถ้าไม่มีใครในพวกคุณทำอะไรโง่ ๆ”

ถ้าไม่เพราะว่าเขากำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของฟ่านฉง เฉินเกอก็คงกวาดล้างเมืองเล็ก ๆ นี่ทั้งเมืองไปแล้ว ไม่ทิ้งเอาไว้แม้สักห้องเดียว ถ้าเขาทำเช่นนั้น เขาก็มั่นใจได้ว่าจะสามารถโน้มน้าวคนในเมืองนี้ให้มาร่วมกับเขา

โชคไม่ดี ฉันไม่มีเวลา ฉันทำได้แค่เฉพาะเรื่องทำสำคัญต้องทำ แต่เท่าที่เห็น ฉันยังนับว่าได้เปรียบอยู่ เฉินเกอลอบมองไปที่ด้านหลังตัวเอง เงาของเขานั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หลังจากกลืนกินหัวใจของปิศาจหิวโหยลงไป บาดแผลบนแขนของจางหยาก็ดูเหมือนจะฟื้นฟูขึ้น ถ้าเธอได้ยินเสียงฉัน อย่างนั้นทุกอย่างก็อยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน

เฉินเกอนั้นมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่เข้าต้องเจอ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขามั่นใจเกินไป หลังจากปิศาจหิวโหยถูกกินแล้ว สมดุลพลังก็สูญเสียไป มันเป็นธรรมดาที่เงานั่นจะทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงสมดุลกลับมา ในเมื่อเงานั่นจะไม่ทำอันตรายเฉินเกอชั่วคราว อย่างนั้นมันก็มีเหตุผลที่จะคาดว่าสิ่งที่เงานั่นจะทำก็คือทำร้ายผู้ช่วยเหลือของเฉินเกอ

หลังจากทั้งกลุ่มออกจากโรงแรม ในที่สุดพวกเขาก็เป็นที่สะดุดตา มีเงาในหมอกเลือดหลายเงาจับตามองพวกเขา แต่ในเมื่อกลุ่มของเฉินเกอนั้นใหญ่มาก จึงไม่มีใครในพวกมันกล้าเข้ามาใกล้

“เฮ้ ดูนั่นสิ” ตอนที่พวกเขาผ่านแยกแรก ชายขี้เมาที่แบกคุณหมอเอาไว้ก็ชี้ไปข้างหน้าและกระซิบกับเฉินเกอ ที่อีกฟากของถนนนั้นมีร่างมนุษย์คนหนึ่งที่ดูคล้ายกับชายขี้เมามากกำลังโบกมือให้พวกเขา

“เจ้าสิ่งนั้นอีกแล้ว ฉันก็อยากจะปล่อยแกไปนะ แต่แกกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าฉันเอง” เฉินเกอไม่ออมมือคราวนี้และเปิดเครื่องเล่นเทป ตอนที่เสียงแทรกดังขึ้น เฉินเกอก็ชี้ไปที่เงาที่อีกฝั่งถนนและพูด “ซู่อิน”

กลิ่นเลือดรวยรินอยู่ปลายจมูกของเขา และซู่อินก็ยืนระวังอยู่ข้างกายเฉินเกอ เขาไม่ได้รีบร้อนพุ่งตรงไปเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย หลังจากผ่านไปหลายวินาที เงาพร่ามัวอีกเงาก็ปรากฏขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามถนน เงาใหม่ที่ปรากฏนี้ดูคล้ายกับมือกรรไกรอย่างน่าสงสัย

“อีกตนหนึ่งเหรอ? ไม่ เดี๋ยวก่อน! มีอีก!” ชายขี้เมานั้นทรมานกับการรับมือกับปิศาจพวกนี้ที่โบกมือให้เขามาก่อนแล้ว ตอนที่เขาเห็นเงาร่างมนุษย์ปรากฏขึ้นทีละเงา เขาก็อดรู้สึกขาอ่อนยวบไม่ได้ แค่พริบตาเดียว เงาร่างมากมายก็ปรากฏขึ้นที่อีกฟากถนน นอกจากเฉินเกอแล้ว ทุกคนในกลุ่มล้วนถูกเลียนแบบ

“ปิศาจพวกนี้มันอะไรกัน?” ชายขี้เมาที่แบกคุณหมออยู่หลบด้านหลังเฉินเกอ

“นี่เรียกว่าปิศาจดึงวิญญาณ พวกมันสามารถลอกเลียนแบบรูปร่างของเงาพวกเราได้ พวกมันเกิดขึ้นมาจากความรู้สึกด้านลบที่มากเกินไปที่ไหลมาจากผีทารก จำเอาไว้ อย่ามองพวกมันนานเกินไป ไม่อย่างนั้นพวกมันก็จะดึงวิญญาณออกจากร่างของพวกคุณ และถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว…” ชายมีรอยสักก้มหน้า “ถ้าพวกมันปรากฏตัวออกมามากขนาดนี้พร้อมกัน มันก็หมายความว่าการเคลื่อนไหวของพวกเราน่าจะถูกเงานั่นพบเข้าแล้ว”

“ดึงวิญญาณ? เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก แต่ว่า…” ชายขี้เมาหันไปหาเฉินเกออย่างสงสัย “ทำไมถึงไม่มีใครในพวกมันลอกเลียนแบบเงาของคุณล่ะ?”

ชายมีรอยสักบอกเฉินเกอทุกอย่างที่เขารู้ แต่ไม่ว่าเขาจะเชื่อถือได้หรือไม่นั่นก็ขึ้นอยู่กับการกลั่นกรองของเฉินเกอเอง เฉินเกอหรี่ตาขณะกวาดมองกะโหลกศีรษะผู้หญิงทั้งห้าที่บนแขนของเขา ด้วยดวงตาหยินหยาง เขาพบว่าศีรษะเหล่านี้กำลังกรีดร้องโหยหวน และพวกมันก็น่าจะเป็นตัวแทนของดวงวิญญาณห้าดวง

“ผมไม่ใช่คนที่ฆ่าพวกเธอ ผมแค่เป็นหลอดเลือดหล่อเลี้ยงพวกเธอเท่านั้น” ชายมีรอยสักรีบโบกมือ “เพราะร่างกายที่พิเศษของผม ผมสามารถมองเห็นผีได้ตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่าพลังนั่นอ่อนลงเมื่อผมโตขึ้นมา แต่ว่า มันก็ยังคงอยู่ที่นั่น บางทีอาจจะเพราะอย่างนั้น เงาจึงมาหาผมและใช้ร่างของผมเก็บดวงวิญญาณที่พิเศษออกไปเหล่านี้เอาไว้”

ผู้ชายคนนั้นชี้ไปที่แขนตัวเอง “ผู้หญิงทั้งห้าคนนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นแม่ของผีทารก– พวกเธอถูกเงานั่นเลือกด้วยตัวมันเอง พวกเธอเป็นคนเป็นที่มีร่างกายที่ต่างไปจากคนอื่น แต่อาจจะเพราะว่ามีความรู้สึกด้านลบมากเกินไปในตัวผีทารก มันตายในครรภ์ไปห้าครั้ง ความแค้นของมันเพิ่มพูนมากขึ้นจนผมสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวผมเอง ไม่ว่าจะเป็นแม่หรือเงานั่น พวกเขาก็ดูเหมือนจะหวาดกลัวผีทารก”

“กระทั่งเงายังหวาดกลัวผีทารก?” เฉินเกอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนหวาดกลัวผลงานที่ตัวเองสร้างขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น “ผมยินดีร่วมมือกับคุณ แต่ในเงื่อนไขว่าคุณจะเชื่อฟังคำสั่งของผม”

“เป็นทางเลือกที่ฉลาดมาก อันที่จริง ผมยังรู้ความลับอื่นของเงานั่น หลังจากพวกเราหนีไปจากที่นี่ได้ ผมจะบอกคุณ” ชายมีรอยสักกลัวว่าเฉินเกอจะฆ่าเขาหลังจากหมดประโยชน์ ดังนั้นจึงรีบอธิบายว่าตัวเองยังมีประโยชน์ที่ยังไม่ได้บอกออกไป

“ได้” เฉินเกอยิ้มจาง เขาไม่ได้สนใจมากนัก อย่างไรเสีย เป้าหมายของเขากับชายมีรอยสักก็ต่างกัน ชายมีรอยสักต้องการหนีออกไป และคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็น่าจะมีเป้าหมายเช่นเดียวกันในใจ แต่เป้าหมายของเฉินเกอคือการหาโอกาสสังหารเงานั่น แน่นอนว่ามันจะดีกว่าถ้าเขาสามารถจับตัวเงานั่นได้ทั้งเป็น

ทุกคนเข้าใจอันตรายของประตูที่หลุดออกจากการควบคุม กระทั่งคุณหมอเกายังอยู่ให้ห่างจากที่นี่ แต่สำหรับเฉินเกอ เมื่อเขาเตรียมการเสร็จแล้ว กระทั่งประตูที่ควบคุมไม่ได้ก็จะเปลี่ยนไปเป็นสมบัติขุมใหญ่

เมื่อกลับลงมาที่ชั้นล่าง ชายมีรอยสักก็ผลักกล่องไปที่มุมหนึ่ง นกหวีดกระดูกที่เขาถือเอาไว้ก่อนหน้านี้หายไปแล้ว– เขาน่าจะเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋า พอเห็นว่าเขามีท่าทีเชื่อฟัง เดินตามหลังเฉินเกอมา ผู้หญิงที่ห่อเสื้อผ้ามิดชิดก็ดูสับสน เธอเคยเจอชายมีรอยสักมาก่อนและเข้าใจว่าเขามีพลังเพียงใด “พวกคุณสองคน…”

เธอโน้มตัวมาข้างหน้าจงใจปัดผ่านชายมีรอยสักตอนที่เขาเดินผ่านเธอ เธอดูเหมือนจะมีบางอย่างจะพูดแต่ว่าชายมีรอยสักไม่สนใจเธอและเดินผ่านไป เมื่อคิดถึงสถานการณ์ของเขาตอนนี้ เขาย่อมไม่คิดจะทำอะไรที่จะก่อความสงสัยของเฉินเกอขึ้นมา

“มือกรรไกร ไปดูที่ทางเข้า ดูซิว่ามีใครอยู่บนถนนอีกไหมแล้วก็ปิดประตูซะ” มือกรรไกรฝืนเดินไป– เขาเชื่อในตัวเฉินเกอ มีเงาวูบไหวอยู่ในหมอก และยังมีคนโบกมือมาให้พวกเขา แต่ว่าเงาเหล่านั้นรักษาระยะห่างเอาไว้ไม่กล้าเข้ามาใกล้เกินไป

“มีเงาอยู่บนถนน– ฉันไม่เห็นคนเป็น ๆ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ปิดประตู ถ้าพวกเขาจะไม่เข้ามาที่นี่แล้ว” ความวุ่นวายใหญ่โตที่ในโรงแรม คนในเมืองหลี่ว่านนี้ย่อมต้องสังเกตเห็น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่พวกเขาจะมาตรวจดูสถานการณ์

หลังจากปิดประตู เฉินเกอก็กวาดตามองทุกคนในห้อง “เพราะเหตุผลต่าง ๆ ที่ต่างกันไป แต่พวกเราทุกคนก็มารวมตัวกันที่นี่คืนนี้ ผมคิดว่าคุณจะบอกว่าเป็นโชคชะตาก็ได้ ผมจะไม่ทำร้ายใครและไม่ทำอะไรให้พวกคุณเสียหาย ผมแค่อยากจะให้พวกเราอยู่ด้วยกันแล้วปรึกษาปัญหาบางอย่าง อย่างเช่นจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ยังไง”

เมื่อเฉินเกอพูดจบ ชายมีรอยสักก็เริ่มกระวนกระวาย เขาพยายามสบตากับเฉินเกอ “ยิ่งพวกเราพาคนไปด้วยมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะสำเร็จได้ยากขึ้น เงานั่นสามารถปลอมเป็นคนไหนในพวกเราก็ได้ และถ้าเขารู้แผนการของพวกเรา พวกเราก็ล้มเหลวแน่ ๆ หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์!”

“ใช่ เงานั่นสามารถปลอมเป็นใครก็ได้ในพวกเรา และยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะบอกทุกคน ผมหวังว่าจะไม่มีใครในนี้คิดจะทำอะไรโดยไร้เหตุผล– ผมจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ทำร้ายเงานั่น” เฉินเกอลุกขึ้นและเดินไปยังโต๊ะทานอาหาร ถือกระเป๋าสะพายหลังไปด้วย

“นี่มันก็เป็นตัวตนของคุณนั่นแหละ…” ชายขี้เมาพึมพำเบา ๆ ตั้งแต่เขาเชื่อฟังเฉินเกอและเลือกยาถอนพิษที่ถูกต้อง ชายขี้เมาก็เริ่มจงรักภักดีต่อเฉินเกออย่างไม่สามารถสั่นคลอนได้ ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะน่ากลัวมาก เขาก็นับว่าเชื่อถือได้ในหมู่เพื่อนฝูง

“ผู้ชายคนนี้อยู่ในหลี่ว่านมานานมาก– เขารู้ว่าประตูอยู่ที่ไหนและจะนำพวกเราออกไปจากที่นี่ พวกเราทุกคนจะตามเขาไป และผมจะพยายามดูแลความปลอดภัยของพวกคุณให้ดีที่สุดและพาพวกคุณทุกคนออกไปจากที่นี่” เฉินเกอนั้นพูดอย่างจริงใจ ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ต้องการช่วยเหลือคนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่างไรเสีย สำหรับภารกิจจากโทรศัพท์เครื่องดำแล้ว ยิ่งจำนวนผู้บริสุทธิ์ถูกช่วยเอาไว้ได้มากเท่าไหร่ รางวัลที่เขาจะได้รับก็เพิ่มมากเท่านั้น

“ผมขอโทษทีนะครับ แต่ว่าผมไม่ได้คิดจะออกไปจากที่นี่ชั่วคราว ผมรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร” นักเรียนมัธยมปลายสวมแว่นพูดขึ้นอย่างอาย ๆ

เฉินเกอมองไปยังเด็กนักเรียนและสังเกตเห็นว่าแม้ว่าฝ่ายหลังจะสวมแว่นอยู่แต่เขาก็หรี่ตาเหมือนสายตาของเขาแย่ลงหลังจากสวมแว่น “ถ้าฉันคิดไม่ผิด แว่นอันนั้นน่าจะเป็นของน้องชายของเธอ เป้ยเหวิน และชื่อของเธอก็คือเป้ยเยี่ย ใช่ไหม?”

“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่– คุณน่าจะจำคนผิดแล้ว” เด็กนักเรียนพยายามรักษาความใจเย็นเอาไว้ แต่ว่าเขาก็ยังเด็กเกินไป เฉินเกอสามารถเจอจุดบกพร่องในการแสดงของเขาได้อย่างง่ายดาย

“บนรถเมล์มาที่นี่ ฉันเจอเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งของเธอ และเขาก็บอกฉันทุกอย่าง” เฉินเกอคว้าแขนเด็กนักเรียนมัธยมเอาไว้แน่น “เธอบังเอิญฆ่าพ่อของเธอ แต่เพื่อหนีจากการตัดสินของกฎหมาย เธอก็เลยฆ่าน้องชายของเธอที่ดูเหมือนเธอเปี๊ยบอย่างเลือดเย็นและทำให้ดูเหมือนว่าเธอตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ว่า อันที่จริงแล้ว เธอยังมีชีวิตอยู่และใช้ชีวิตและตัวตนของน้องชายของเธอแทน”

แต่ละคำของเฉินเกอนั้นทำให้ใบหน้าของเด็กนักเรียนชายซีดขาวลงไประดับหนึ่ง

“เดิมที มีแค่ฉันที่รู้เรื่องนี้ แต่ตอนนี้ ทุกคนที่นี่รู้ความลับของเธอแล้ว ฉันสงสัยนัก ด้วยนิสัยของเธอ เธอจะฆ่าพวกเราทั้งหมดเพื่อรักษาความลับใหญ่หลวงของเธอเอาไว้ไม่ให้เปิดเผยสู่โลกภายนอกหรือเปล่า?”

ก่อนที่เฉินเกอจะทันพูดจบ ชายมีรอยสักที่ข้าง ๆ เขาก็พูดขึ้น “ถ้าเขาไม่ยอมไป อย่างนั้นเขาก็จะกลายเป็นหนึ่งในอุปสรรคของพวกเรา ตอนนี้พวกเรารู้ความลับของเขาแล้ว เขาย่อมหาทางแก้แค้นพวกเรา เขาจะรายงานการเคลื่อนไหวของพวกเราให้เงา ผมแนะนำให้พวกเราจัดการกับเขาก่อนที่เขาจะมีโอกาสหักหลังพวกเรา”

เขาแตะที่รอยสักบนแขนตัวเอง แล้วหันไปหามีดที่ถูกทิ้งเอาไว้บนรถเข็นอาหาร “กำจัดอันตรายทั้งหมดก่อนที่มันจะมีโอกาสขยายใหญ่ พวกเรามีแค่โอกาสเดียวตอนนี้– พวกเราต้องไม่ประมาทถ้าอยากจะหนีออกไปให้ได้”

“ทุกคนที่นี่มีความลับของตัวเอง ฉันเข้าใจที่เธออยากจะอยู่ แต่ในเมื่อเธอได้ยินความลับของพวกเรา ทางเลือกก็หลุดออกไปจากมือเธอแล้ว” โทรศัพท์เครื่องดำให้เฉินเกอช่วยชีวิตเหยื่อผู้บริสุทธิ์เพิ่มเพิ่มรางวัลตอบแทนของเขา แต่ว่าเป้ยเยี่ยนั้นเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่เหยื่อ ดังนั้นเฉินเกอจึงไม่คิดจะปล่อยเด็กนักเรียนคนนี้ไปง่าย ๆ

เมื่อถูกลูกค้าส่วนใหญ่ภายในโรงแรมจ้องมอง เป้ยเยี่ยในที่สุดก็ยอมคล้อยตาม “เอาละ ผมจะไปกับพวกคุณทุกคน”

กลิ่นเลือดฟุ้งในอากาศ ข้างนอกฝนไม่ได้ตก แต่เสื้อกันฝนสีแดงที่ผู้หญิงคนนี้สวมอยู่กลับเปียกชุ่ม เธอเข้ามาในโรงแรมพร้อมก้มหน้าต่ำ— เธอไม่ได้มองไปที่ใครเลยขณะตรงไปยังที่นั่งว่าง ๆ แล้วนั่งลง

“พวกเราควรจะอยู่ให้ห่างจากเธอ” เจียหมิงเปิดปากกระซิบขณะลุกขึ้นแล้วขยับไปยังอีกด้านของโต๊ะ เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหลี่เจิ้งไว้ก่อน ดังนั้นตอนที่เขาลุกขึ้นและขยับห่างออกไปจากหลี่เจิ้ง คนอื่นจึงเห็นได้ชัดเจนว่าหลี่เจิ้งนั้นถือปืนกระบอกหนึ่งอยู่ในมือ

“นั่งตรงนี้ดี ๆ และอย่าขยับ!” หลี่เจิ้งกดหลังเจียหมิงลงที่เดิม เขาใช้หางตากวาดตามองผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีเลือดเงียบ ๆ และจากนั้นก็ลดเสียงลงถามเจียหมิง “แกรู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ?”

“เธอเป็นคนบ้า ทุกคนที่สวมชุดสีแดงที่นี่ล้วนเป็นคนบ้า ถ้าคุณอยากมีชีวิตอยู่ ก็อยู่ให้ห่างจากพวกเขาเท่าที่คุณทำได้ พยายามอย่าไปพูดคุยกับพวกเขา” ร่างของเจียหมิงสั่นนิด ๆ “นี่คือสิ่งที่เงานั่นบอกผม ถ้าคุณอยากตาย งั้นก็เชิญเลย แต่อย่าลากผมไปกับคุณด้วย!”

“สีแดงที่นี่นั้นแทนความหมายพิเศษบางอย่างงั้นหรือ?” หลี่เจิ้งมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม ตั้งแต่เขาเข้ามาในเมืองเล็ก ๆ นี่ เขาก็สังเกตเห็นสิ่งแปลก ๆ มากมาย แต่เพราะว่าเขามีข้อมูลน้อยเกินไป มันจึงยากที่เขาจะบอกว่าเจียหมิงกำลังโกหกเขาหรือไม่

“สีแดงแทนอันตรายร้ายแรง แค่อยู่ให้ห่างจากพวกเขา นั่นเป็นกฎที่คุณต้องทำตามที่ด้านในประตูนี่” เสียงของเจียหมิงนั้นเบาลงเรื่อย ๆ “เงานั่นออกไปจากร่างของผม แต่เขาใช้ร่างนี้ทำเรื่องต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นผมจึงยังรู้ความลับของเขาอยู่บ้าง”

“ในประตู?” หลี่เจิ้งจดทุกประโยคที่ออกมาจากปากเจียหมิงเอาไว้ “มีกฎอื่นที่ฉันต้องระวังเมื่ออยู่ที่นี่อีกไหม?”

บางทีอาจจะเพราะรู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้น หรือบางทีเขาจะตัดสินใจเปลี่ยนแผนเพราะเจอเข้ากับเฉินเกอ เจียหมิงจึงกลายเป็นซื่อตรงและให้ความร่วมมือมากขึ้น “อย่าเข้าไปในตึกไหนที่ประตูปิดอยู่ และอย่าเดินผ่านตึกไหนที่ประตูเปิดอยู่ สีเทาแทนความปลอดภัยที่มีอยู่บ้าง และสีแดงแทนอันตราย แต่ว่า ถ้าคุณเห็นสีดำ อย่าเสียเวลาพยายามหนีเลย มันจะดีกว่าที่จะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายที่คุณมีหาคำพูดสั่งเสียซะ”

ตอนที่เจียหมิงและหลี่เจิ้งคุยกัน เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากที่ทางเข้าโรงแรมอีกครั้ง ทุกคนหันไปมองพร้อม ๆ กัน

“ที่นี่ดูจะพลุกพล่านทีเดียวคืนนี้” ผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำลากกล่องใบใหญ่ใบหนึ่งเข้ามาในห้อง บนแขนของเขาสลักรูปกะโหลกศีรษะของผู้หญิงเป็นสีแดงเลือดเอาไว้ถึงห้ากะโหลก และเขายังคาบนกหวีดทำจากกระดูกไว้ที่ริมฝีปาก ไม่มีใครในโรงแรมตอบรับคำทักทายของเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์เสีย เขาทักทายทุกคนในโรงแรมทีละคน แต่เมื่อเขาเห็นผู้หญิงในชุดกันฝนสีแดง ร่างของเขาก็แข็งทื่อก่อนที่จะเดินผ่านเธออย่างรวดเร็วไปที่เคาน์เตอร์ “บอส ผมอยากพักที่นี่คืนนี้”

เสียงของเขาลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกำลังกังวลว่าจะไปรบกวนผู้หญิงในชุดกันฝนสีแดงเข้า

“แขกอีกคนหรือ?” เฉินเกอเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมรถเข็น พวกเขาค้นไปทั่วห้องครัว แต่นอกจากเนื้ออะไรไม่รู้ที่ถูกหั่นและเตรียมเอาไว้ อาหารที่เหลืออยู่ก็มีแค่เค้ก แน่นอนว่า บอสไม่ได้เตรียมเค้กนี่ไว้ให้แขก จากในรายการอาหารที่ในห้องครัว เห็นได้ชัดเจนว่าของทั้งหมดบนเมนูนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าของผู้หญิงชื่นชอบ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง รายการอาหารในภัตตาคารนี้นั้นเตรียมไว้ให้แขกเพียงคนเดียว ก็คือผีผู้หญิงหิวโหย เค้กนั้นยังต้องตกแต่งเพิ่มเติมก่อนที่จะสมบูรณ์ อย่างเช่น เพิ่มซอสมะเขือเทศหรือซอสราสเบอร์รี่ในห้องครัว แต่เค้กนั้นก็มีสีแดงไปส่วนหนึ่งแล้ว

“วิญญาณสีเลือดที่ชอบกินขนมหวาน? นั่นดูเป็นส่วนประกอบที่น่าสนใจ” เฉินเกอผลักรถเข็นออกไป เขาตัดสินใจเปลี่ยนโรงแรมนี้เป็นฉากสยองขวัญที่เกี่ยวข้องกับอาหารหลังจากภารกิจสำเร็จ เขาอยู่ในห้องครัวอยู่ไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่ตอนที่เขาออกมา เขาก็พบว่าจำนวนแขกในห้องโถงนั้นเพิ่มขึ้น จากพวกเขาทั้งหมดนั้น การปรากฏตัวของผู้หญิงในเสื้อกันฝนสีแดงนั้นทำให้เขาประหลาดใจที่สุด

พูดก็พูดเถอะ หลังจากประตูในเมืองหลี่ว่านหลุดออกจากการควบคุม มันก็เปลี่ยนไปเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งพิเศษที่คนเป็นนั้นสามารถนั่งร่วมโต๊ะเดียวกับวิญญาณสีเลือดได้

“บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุการณ์จริงด้านหลังประตู มีผีที่เกิดจากเจตนารมณ์แน่วแน่และมนุษย์ที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่กับฝันร้าย” เฉินเกอยกเค้กที่ไม่ได้ถูกย้อมสีมาไว้ที่โต๊ะอาหาร “ทานให้อร่อยครับ ผมไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผมแค่ต้องการให้พวกคุณตอบคำถามผมสองสามข้อหลังจากนี้”

“คุณแน่ใจเหรอ? คุณจะไม่เปิดดูนี่หน่อยเหรอ? บางทีคุณอาจจะเจออะไรที่คุณจะสนใจ?” ผู้หญิงที่ห่อเสื้อผ้ารอบตัวแน่นหนามิดชิดพูด เธอลากกล่องของเธอเดินตรงไปหาเฉินเกอ หลังจากยืดตัวขึ้น เธอก็ขยับนิ้วของเธอจากที่กล่องไปวางเอาไว้ใต้ตะเข็บเสื้อผ้าของเธอ ‘สิ่งนี้’ ที่สามารถเปิดได้นั้นอาจจะหมายถึงสองอย่างที่ต่างกัน

“ไม่จำเป็น ถ้าจำเป็น ผมจะทำเอง” เฉินเกอถือกระเป๋าสะพายหลังหนัก ๆ เอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว ค้อนของเขาเพิ่งได้ลิ้มรสลิ้นและหลอดเลือดของปิศาจหิวโหย ดังนั้นกลิ่นเลือดหนาหนักบนค้อนจึงยังไม่สลายไป

“ได้ ตามใจคุณ” เธอลากกล่องถอยกลับไปหลายก้าว ความเย้ายวนบนใบหน้าของเธอนั้นสลายไปหมดแล้ว และเธอยังเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วเหมือนพลิกหน้าหนังสือ

“เฮ้ บอสอยู่ที่ไหน? ฉันต้องคุยกับเขา เกี่ยวกับสิ่งที่เขาบอกให้ฉันไปหามาเมื่อครั้งก่อน ฉันเจอเงื่อนงำบางอย่างแล้ว” ชายหนุ่มที่มีรอยสักกะโหลกศีรษะหญิงสาวเดินมาทางเฉินเกอ และยังลากกล่องของตนมาด้วย

“เขาออกจากโรงแรมไปและทิ้งที่นี่ให้อยู่ในการดูแลของผมชั่วคราว ดังนั้นตอนนี้ผมเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่าง มีอะไรให้ผมช่วยครับ?” เฉินเกอมีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้า ในด้านการให้บริการแล้ว เขาทำได้ดีกว่าเจ้าของคนก่อนแน่นอน

“บอสไม่อยู่?” ชายที่มีรอยสักนั้นฉลาดมาก ดังนั้นเขาจึงจับประเด็นปัญหาได้ในทันที เขายิ้มอย่างอาย ๆ ให้เฉินเกอ “อย่างนั้นผมคิดว่าผมค่อยกลับมาใหม่วันหลัง ขอโทษที่รบกวน ค่อยพบกันใหม่นะครับ”

จากนั้นเขาก็หันหลังกลับออกไปโดยไม่เอากล่องของเขาไปด้วย

“เดี๋ยวก่อนครับ บางทีคุณอาจจะไม่เข้าใจความหมายของผมก่อนหน้านี้” เฉินเกอให้มือกรรไกรหยุดชายที่มีรอยสักเอาไว้ “โดยทางเทคนิคแล้วผมเป็นเจ้าของที่นี่ตอนนี้ ในเมื่อก่อนหน้านี้เจ้าของที่นี่มอบหมายงานให้คุณ คุณก็แค่รายงานผลให้ผม จากนั้นผมจะถ่ายทอดข้อมูลให้เขาเอง”

ชายที่มีรอยสักยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาของเขากลอกไปทางห้องครัวอย่างไม่รู้ตัว ยิ่งมอง เขาก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น “คุณแน่ใจเหรอว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดี?”

“ทำไมคุณถึงคิดว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีล่ะ?” เฉินเกอเอนตัวไปข้าง ๆ นิด ๆ ปล่อยให้ชายที่มีรอยสักเหลือบมองไปยังกำแพงที่ถล่มลงมาด้านในห้องครัว

“ในเมื่อคุณเป็นเพื่อนของบอส อย่างนั้นคุณก็เป็นเพื่อนของผมเหมือนกัน ในเมื่อพวกเราล้วนเป็นเพื่อนกัน แน่นอนว่าไม่มีความคิดอื่นที่ดีไปกว่านี้แล้ว” ชายที่มีรอยสักเปลี่ยนท่าทีไปในทันใด ความซื่อตรงและจริงใจบนใบหน้าของเขานั้นขัดกับรอยสักกะโหลกศีรษะที่ดูชั่วร้ายบนแขนของเขาเป็นอย่างมาก “มีคนนอกอยู่ที่นี่เยอะเกินไป คุณจะว่าอะไรไหมถ้าพวกเราจะไปที่ที่เงียบกว่านี้?”

เขาหันกลับมุ่งหน้าไปยังชั้นสอง มันดูเหมือนเขาคุ้นเคยกับโรงแรมนี่ เขาน่าจะมาที่นี่เป็นประจำ

“มือกรรไกร มากับผม” เฉินเกอให้มือกรรไกรตามเขามา– เขาไม่ได้ทำเหมือนชายคนนี้เป็นคนนอกแต่อย่างใด

“ฉัน?” มือกรรไกรอึ้งไป เขาไม่คิดว่าเฉินเกอจะพาเขาไปด้วยตอนที่เขากำลังจะพูดคุยความลับอันมีค่าบางอย่าง เฉินเกอเชื่อถือเขามากแค่ไหนกัน?

“เร็ว เพื่อนเรากำลังรอ” เฉินเกอและมือกรรไกรตามชายที่มีรอยสักขึ้นไปที่ชั้นสอง

“เมื่อกี้ ผมเห็นห้องลับในครัวถล่ม แต่ปิศาจผู้หญิงกลับไม่ได้อยู่ในนั้น” ชายที่มีรอยสักสูดลมหายใจเย็นเยียบ “เธอถูกขังเอาไว้ในโรงแรมนี้ แต่ตอนนี้ เธอไม่อยู่ในที่ที่เธอควรอยู่– คำอธิบายเดียวก็คือเธอหายตัวไป”

“คุณเป็นคนฉลาดมาก” เฉินเกอพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ผมไม่ชอบพูดคุยกับคนที่ฉลาดเกินไปยกเว้นว่าจะคนผู้นั้นจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่ามีประโยชน์กับผม”

“พี่ชาย อย่าทำอย่างนี้สิ! ผมรับรองกับคุณได้ว่าผมมีประโยชน์ต่อคุณ และคุณจะต้องประหลาดใจกับประโยชน์ที่ผมอาจจะมีให้” ชายที่มีรอยสักถือนกหวีดกระดูกเอาไว้ในมือและเขาก็หยุดไปนานก่อนจะพูดต่อ “ผมรู้วิธีการออกไปจากที่นี่ มันเกี่ยวข้องกับประตูบานหนึ่ง”

“นี่ก็อาจจะนับได้ว่าเป็นความลับ พวกเราทั้งหมดมาจากด้านนอกประตู ดังนั้นเมื่อเจอประตู ก็ย่อมสามารถผ่านออกไปได้ตามปกติ” เฉินเกอใช้ประโยคเดียวทำให้ชายมีรอยสักสะอึก “หยุดพยายามเล่นเล่ห์ ผมรู้มากกว่าที่คุณเชื่อว่าผมจะรู้ ผมแนะนำให้คุณเริ่มบอกผมได้แล้วว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่”

“นอกจากนั้นแล้ว ผมรู้ตำแหน่งของประตู” ปลายนิ้วของชายมีรอยสักกำรอบนกหวีดกระดูกแน่น “ทุกคนถูกพามาที่นี่โดยถูกผีทารกเอาผ้าสีดำคลุมหัว เมื่อพวกเขาตื่นขึ้น พวกเขาก็มาอยู่กลางถนนแล้ว ผมถามหลายคน และตำแหน่งที่พวกเขาตื่นขึ้นหลังจากปลดผ้าสีดำออกไปก็ต่างกันไปทุกครั้ง”

“เดี๋ยวก่อนนะ คุณถูกพามาที่นี่โดยผีทารก? ผีทารกนั้นไม่ใช่เงาดำนั่น? ทำไมคุณถึงไม่เรียกเขาว่าเงาแต่เรียกว่าทารก?” เฉินเกอดูจะไม่สนใจวิธีการออกไปจากที่นี่แต่กลับสนใจในรายละเอียดเล็ก ๆ

“พี่ชาย สิ่งที่คุณสนใจช่าง… แตกต่าง คุณคงได้เจอเงานั่นแล้วในเมื่อคุณมาที่นี่ อย่างไรซะ ตอนที่คุณถูกถามให้เลือกตอนที่อยู่ในอพาร์ทเม้นท์ผี…” ชายมีรอยสักชะงักกลางประโยค และเขาก็มองเฉินเกอและมือกรรไกรอย่างไม่อยากเชื่อ “เดี๋ยวก่อนนะ! อย่าบอกผมนะว่าพวกคุณเข้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง? คุณไม่ได้ผ่านประตูนั่นมาเหรอ?”

“ถ้าคุณไม่อยากตาย ผมแนะนำให้คุณแค่ตอบคำถามของผม” เฉินเกอดึงค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกออกมาให้เห็นว่าเขาเอาจริง

“พี่ชาย ใจเย็นนะ ผมแค่ตกใจ แน่นอนว่าบางครั้งก็มีไอ้คนดวงซวยเดินหลงเข้ามาในหมอกเลือดเพราะเหตุผลต่าง ๆ แต่พวกเขาน้อยนักที่จะรอดชีวิตอยู่ได้นานกว่าหนึ่งชั่วโมง” ชายมีรอยสักมองเฉินเกอที่ถือค้อนอยู่ และมือกรรไกรที่ดูน่ากลัว “สถานการณ์อย่างของพวกคุณนั้นหาได้ยากมาก”

“ตอนนี้คุณจะบอกผมมากกว่านี้เกี่ยวกับอพาร์ทเม้นท์ผีและผีทารกได้หรือยัง?” เฉินเกอลดเสียง และสายตาของเขาก็คมกริบขึ้น

“ความอดทนเป็นสิ่งที่ดี ในเมื่อพวกคุณเป็นคนนอก ผมจะบอกกฎบางข้อของที่นี่ให้ เชื่อผม นี่ก็เพื่อประโยชน์ของคุณเอง” ชายมีรอยสักมองไปข้างนอก และหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา เขาก็พูดต่อ “มีเรื่องเลวร้ายมากมายเกินขึ้นทั่วไปในโลกในทุก ๆ วัน และนี่ก็ก่อกำเนิดผู้โชคร้ายขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ บางคนนั้นเอาชีวิตรอดจากอุปสรรคที่ยากที่สุดในชีวิตได้ด้วยความหวังและศรัทธาในหัวใจ แต่บางคนกลับจมลึกลงไปในความสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม

“ผมเคยเจออย่างน้อยก็สิบคนที่มาจากที่ด้านนอก พวกเขาเจอเข้ากับเงาตอนที่ชีวิตของพวกเขาตกต่ำถึงขีดสุด ทุกอย่างเกินขึ้นคล้าย ๆ กัน เดิมที พวกเขาได้ยินเสียงของตัวเองดังมาจากเงาของตน ด้วยการชี้นำจากเงา พวกเขาก็จะถูกบอกให้ขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 มุ่งหน้ามายังเมืองหลี่ว่าน เมื่อพวกเขาเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ผีก็จะมีหนทางรอดไปจากเรื่องเลวร้ายรอพวกเขาอยู่

“เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ผีก็คือเงาเงาหนึ่ง แต่ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าจริงของเขามาก่อน ในสายตาของพวกเรา เขามักจะเป็นเงา เงาที่อาจจะปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายคุณในตอนไหนก็ได้และเปลี่ยนไปเหมือนตัวคุณ เขาเหมือนสัตว์ประหลาดที่มาจากความมืดดำที่สุดในหัวใจของพวกเรา เพราะว่าเขาคุ้นเคยกับจุดอ่อนที่สุดและความปรารถนาของพวกเราอย่างไม่น่าเชื่อ

“เงานั่นเรียกตัวเองว่าเป็นผีทารก ตามที่เจ้าของโรมแรมนี้คนก่อนบอก เงานั่นอันที่จริงแล้วเป็นเงาของคนเป็นคนหนึ่ง แต่ว่ามันถูกคนผู้นั้นทอดทิ้ง ผมรู้ว่ามันฟังดูน่ากลัวแค่ไหน แต่นี่คือความจริง เมืองหลี่ว่าน อพาร์ทเม้นท์ผี และสิ่งแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในจิ่วเจียงตะวันออกล้วนเป็นการกระทำของเงานั่น เขาจะไม่หยุดจนกว่าจะเป้าหมายเดียวของเขาจะประสบความสำเร็จ– เปลี่ยนตัวเองกลับไปเป็นมนุษย์ และจากนั้นก็เปลี่ยนมนุษย์คนนั้นที่เคยทอดทิ้งมันมาเป็นเงา

“ความแค้นบ่มเพาะจนเป็นหนองและเน่าเปื่อย เดิมที เงานั่นก็เป็นแค่เงา แต่เมื่อมันกลืนกินความสิ้นหวังและความแค้นเข้าไปมากเข้า เขาก็เปลี่ยนไปเป็น…” ชายมีรอยสักคิดอยู่พักหนึ่งแต่หาคำที่เหมาะสมไม่ได้ “ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเก็บร่างกายส่วนใหญ่และความรู้สึกด้านลบเอาไว้ในตัวเด็กที่ยังไม่ถือกำเนิด และนั่นก็คือร่างจริงของผีทารก เขาทิ้งส่วนเล็ก ๆ ของร่างกายเอาไว้ที่ข้างกายทารกนั่นเพื่อปกป้องมันขณะที่ส่วนที่เหลือของเขานั้นทำตามแผนต่อ”

“คุณรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ยังไง?”

เงานั่นระมัดระวังและจับตามองเขาทุกฝีก้าว เฉินเกอรู้ว่ามันย่อมไม่ยอมแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้กับคนนอกนอกเสียจากว่าข้อมูลที่เงานี้ยินดีเผยออกมานั้นเป็นกับดักหรืออะไรประเภทนั้น

“เจ้าของโรงแรมนี้กับผมนั้นเป็นคนเป็นกลุ่มแรกสุดที่เข้าประตูมา พวกเราอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้วและพบความจริงจากถ้อยคำและการกระทำของเงานั่น” ผู้ชายคนนั้นถอดเสื้อคลุมออกเผยให้เห็นเชือกสีแดงดำที่มัดอยู่รอบท้องของเขา เชือกนั้นดูเหมือนจะถูกผูกเอาไว้นานมากแล้ว และมันก็ไม่เคยถูกถอดออก อันที่จริง เชือกนั่นรัดเข้าไปในเนื้อในตัวของเขา ที่แปลกก็คือ เชือกนั้นราวกับเป็นอาณาเขตอะไรสักอย่าง ร่างกายท่อนบนของชายที่มีรอยสักนั้นปกติดีเป็นที่สุด แต่ถัดลงไปจากเชือกแล้ว ผิวของเขาเป็นสีเทา

“เชือกนี่สร้างจากหลอดเลือดที่ได้มาจากแม่ของเจ้าของโรมแรม ถ้าไม่มีมันอยู่ ผมก็คงตายไปแล้ว”

“แต่นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าคุณกำลังบอกความจริงผม” เฉินเกอนั้นมีวิธีการตัดสินสิ่งต่าง ๆ แบบของตัวเอง เขาจะไม่เชื่อทุกอย่างที่คนอื่นบอกเขา และนั่นเป็นเหตุผลให้เขาสามารถเอาชีวิตรอดจากภารกิจทดลองมากมายมาได้

“ผมพิสูจน์ความจริงของคำพูดของผมไม่ได้ ผมก็แค่บอกทุกอย่างที่ผมรู้แก่คุณ ผมหวังว่าคุณจะรู้สึกได้ถึงความจริงใจของผม และพวกเราก็สามารถร่วมมือกันหนีออกจากที่นี่ไปได้” ชายมีรอยสักสวมเสื้อผ้ากลับ เขาเข้าใจความระแวงของเฉินเกอ อันที่จริง ถ้าเฉินเกอเชื่อเขาโดยง่าย เขาก็คงต้องคิดหนัก “ต่อจากเรื่องเมื่อกี้ ผมถามไปทั่ว ๆ และในที่สุดก็เจอหนึ่งในความลับของเงานั่น

“ทุกคนที่อยู่ที่นี่นั้นถูกเอาผ้าดำคลุมหัวเอาไว้ตอนอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ผี แต่ว่า พวกเขาต้องผ่านประตูเพื่อเข้ามาในโลกนี้หลังจากเวลาผ่านไป” ดวงตาของชายมีรอยสักหรี่ลงเหมือนเขากำลังจะพูดบางอย่างที่สำคัญ “อพาร์ทเม้นท์ผีนั้นเป็นสถานที่ที่ติดยึดอยู่กับเมืองหลี่ว่าน มันเป็นโครงการที่พักอาศัยร้างที่รู้จักกันในชื่อเขตที่พักอาศัยหมิงหยาง

“หลายคนที่ถูกส่งไปที่นั่นนั้นไม่พึงพอใจ พวกเขาต้องการหนี และพวกเขาก็ออกไปสำรวจที่ชายขอบเมืองหลี่ว่าน แต่ว่า พวกเขาไม่มีใครกลับมา เดิมที ผมเองก็คิดว่าประตูน่าจะอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ผี แต่หลังจากถามคนที่นี่หลายคน ผมก็พบว่า ประตูน่าจะอยู่ในเมืองหลี่ว่าน”

ชายมีรอยสักรู้สึกเหมือนตัวเองค้นพบความลับยิ่งใหญ่ “หลังจากเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ผีแล้ว สติส่วนใหญ่ของพวกเขาจะถูกนับเป็นความชั่วร้ายในใจและถูกดึงออกไป แต่ว่า มีบางคนที่ยังสามารถรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้เป็นปกติได้ พวกเขาไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป และพวกเขาก็จำได้ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกผลักเข้าประตูแต่ถูกบอกให้เดินไปตามทิศทางหนึ่งอยู่เป็นเวลานาน หลังจากสืบถามอยู่หลายปีโดยไม่กระตุ้นความสงสัยของเงานั่นขึ้นมา ผมก็เชื่อว่าผมพบที่ตั้งของประตู”

“มันอยู่ในเขตที่พักอาศัยที่ชานเมืองหลี่ว่านใช่ไหม? ถ้าผมเดาไม่ผิด มันน่าจะเป็นห้องใดห้องหนึ่งในตึกแรกชั้นแรก” ชายมีรอยสักตกใจมาก เฉินเกอเผยตำแหน่งที่ตั้งที่เขาใช้เวลาหลายปีกว่าจะค้นพบออกมา “ไม่เป็นไร ผมเดาว่านั่นเป็นข้อมูลที่ใช้การได้ทีเดียว อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าอพาร์ทเม้นท์ผีนั่นอยู่ที่เขตที่พักอาศัยหมิงหยางและเงานั่นเก็บ ‘ร่าง’ ส่วนใหญ่ของมันเอาไว้ในเด็กทารกที่ยังไม่ถือกำเนิด”

เฉินเกอถามชายมีรอยสักอีกสองสามคำถาม เขาตระหนักว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เขามีความใกล้ชิดกับเหล่าผีและวิญญาณโดยธรรมชาติ คือฟ่านอวี้แบบที่เป็นผู้ใหญ่แล้วและมีความสามารถอ่อนกว่า

เมื่อเฉินเกอเห็นหลี่เจิ้งและเจียหมิง สองคนที่ประตูก็เห็นเขาด้วยเหมือนกัน

“เฉินเกอ?” หลี่เจิ้งและเจียหมิงพูดพร้อมกัน ไม่มีใครในพวกเขาคิดว่าจะมาเจอกับเฉินเกอที่นี่

“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” หลี่เจิ้งนั้นวางมือข้างหนึ่งไว้ด้านหลังเจียหมิง ถึงแม้ว่าเขาจะประหลาดใจมากกับการปรากฏตัวออกมาของเฉินเกอ มือของเขาก็ไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว

“อย่าเข้าไปใกล้เขามากเกินไป เขาอาจจะไม่ใช่เฉินเกอ” เจียหมิงกระซิบเตือน เขาดูค่อนข้างหวาดกลัว “คุณลืมไปแล้วเหรอว่าผมบอกอะไรคุณก่อนหน้านี้? เงานั่นดูเหมือนเฉินเกอเลยนะ!”

เมื่อยืนอยู่ในมุมของคนนอกคนหนึ่ง ก็ไม่มีอะไรผิดที่เจียหมิงจะพูดอย่างนั้น คนเป็น ๆ คนหนึ่งปรากฏตัวที่โรงแรมในตอนกลางดึกในเมืองเล็ก ๆ ที่มีหมอกสีเลือดโอบล้อม… ย่อมต้องมีความลับบางอย่างในเรื่องนี้

“คุณตั้งคำถามกับผมตั้งมากมาย แต่บังเอิญว่า ผมเองก็มีคำถามมากมายจะถามคุณ” เฉินเกอเองก็ไม่กล้าประมาทเมื่อเห็นเจียหมิงและหลี่เจิ้ง ก่อนที่เขามายังเมืองหลี่ว่าน หลี่เจิ้งส่งข้อความให้เขาเป็นชุด บอกเขาว่าเจียหมิงนั้นหนีจากการควบคุมตัวของตำรวจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดก็กำลังพยายามจับตัวคนร้ายอีกครั้ง

แต่ว่า แค่สองชั่วโมงถัดจากนั้น หลี่เจิ้งและเจียหมิงทั้งคู่กลับปรากฏตัวที่เมืองหลี่ว่าน ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ก็มีบางอย่างแปลกประหลาดในเรื่องนี้ หลี่เจิ้งนั้นซ่อนมือหนึ่งไว้ด้านหลังเจียหมิง ดังนั้นปากกระบอกปืนของเขาอาจจะแนบอยู่กับแผ่นหลังของเจียหมิงป้องกันไม่ให้เจียหมิงทำอะไรวู่วาม ในเมื่อพวกเขาตัวติดกันอย่างนั้น เฉินเกอจึงไม่กล้าทำอะไรวู่วามเช่นกัน ปืนนั้นใช้กับวิญญาณไม่ได้ แต่ว่ามันใช้กับเขาได้อย่างแน่นอน

“ไม่ว่ายังไง พวกเราทุกคนก็ควรจะใจเย็นก่อน” ยืนคุมเชิงกันอยู่ในห้องโถงนี้มีแต่จะเสียเวลาเปล่า เฉินเกอตัดสินใจยกมือขึ้นมาก่อน เขาดึงเอาโทรศัพท์ของเขาออกมาเปิดให้หลี่เจิ้งเห็นบันทึกการโทรของเขา “สารวัตรหลี่ ผมคือเฉินเกอ เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย ผมมาที่นี่เพราะว่าได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ”

เฉินเกอชี้ไปที่บันทึกการโทรระหว่างฟ่านฉงกับตัวเขาเอง “ผู้ชายคนนี้เคยเป็นผู้เข้าชมบ้านผีสิงของผม และช่วงนี้เขาก็ทำตัวแปลกไป เขาเล่าเรื่องประหลาดหลายอย่างให้ผมฟัง และเพราะความสงสัย ผมจึงทิ้งหมายเลขติดต่อของผมไว้ให้เขา แต่ผมก็ต้องประหลาดใจ คืนนี้เขาหายตัวไป และผมก็ไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ผมเป็นคนสุดท้ายที่เขาติดต่อ ดังนั้นเพื่อสืบการหายตัวไปของเขาให้กระจ่าง ผมก็เลยรีบมาที่เมืองหลี่ว่านนี่เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”

หลี่เจิ้งถามเฉินเกออีกหลายคำถาม เห็นเฉินเกอตอบคำถามทั้งหมดของเขาได้ถูกต้อง เขาก็ถอนหายใจโล่งอก “หลังจากเจียหมิงหนีจากโรงพยาบาล พวกเราก็ค้นหาเขาไปทั่วเมืองและในที่สุดทีมก็ยืนยันเส้นทางการหนีของเขาได้ว่ามุ่งหน้ามายังทางตะวันออกของเมือง

“เดิมที พวกเราคิดว่าเขาพยายามหนีขึ้นเขาไปซ่อนตัว แต่หลังจากขยายขอบเขตการค้นหา ผมก็พบสิ่งประหลาดในกล้องวงจรปิด ตอนที่เขาเดินผ่านแยกแยกหนึ่ง เจียหมิงปิดหน้าเอาไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะยังสวมเสื้อผ้าชุดเดิมของเขา ฝีเท้าของเขากลับไม่เป็นธรรมชาติอย่างประหลาด ผมเทียบกับกล้องวงจรปิดตัวอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่จะสรุปได้ว่าเจียหมิงอาจจะหาใครสักคนมาแทนตัวเขาที่แยกนั่น

“หลังจากสั่งให้คนที่เหลือในทีมค้นหาต่อไปในทิศทางเดิม ผมก็หันกลับไปยังอีกด้านของแยกและเริ่มค้น ฝนตกหนักทำให้การตามหายากขึ้น มองผ่านสายฝนไปก็ยังยาก แต่ความพยายามย่อมให้ผลตอบแทน ในที่สุด ผมก็จับไอ้คนเฮงซวยนี่ได้ที่ปลายถนน หลังจากวิ่งไล่กันรอบหนึ่ง ผมก็เพิ่งจับเขาได้หลังจากที่พวกเราเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน”

หลังจากได้ยินสิ่งที่หลี่เจิ้งพูด เจียหมิงก็รีบโบกไม้โบกมือ “ทุกอย่างที่ผมทำก็เพราะว่าถูกเงานั่นบังคับ ถ้าผมไม่ทำตามที่เขาสั่ง เขาก็มีกว่าร้อยวิธีให้ชีวิตของผมเหมือนตกอยู่ในนรก”

“คุณถูกบังคับงั้นเหรอ? แต่ทำไมมันถึงเหมือนกับว่าคุณจงใจพยายามล่อผมมาที่นี่ล่ะ? แผนการของคุณกับเงานั่นคืออะไร? ยอมรับสารภาพออกมาตรง ๆ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณมี” หลี่เจิ้งเข้ามาในเมืองหลี่ว่านเพราะพยายามจับตัวเจียหมิง นี่เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้ แต่สำหรับเฉินเกอ มันเหมือนเป็นการบีบบังคับให้เชื่ออยู่บ้าง เขามีความรู้สึกว่ายังมีบางอย่างแปลกไปเกี่ยวกับเจียหมิงและหลี่เจิ้ง แต่เขาก็ไม่สามารถบอกได้จริง ๆ ว่าอะไรกันที่แปลกไปในตัวพวกเขา

“สารวัตรหลี่ นี่เป็นที่ที่อันตรายมาก เข้ามาในนี้ก่อน อย่าอยู่ที่ทางเข้านานเกินไป” เฉินเกอเปิดเครื่องเล่นเทปและเป็นฝ่ายเดินตรงไปยังทางเข้าโรงแรมก่อน “พวกคุณเจออะไรน่ากลัวเข้าบ้างไหมระหว่างมาที่นี่?”

“ที่บ้า ๆ นี่ประหลาดอยู่นะ ด้านนอกฝนกำลังตกหนักมาก แต่ว่าในเมืองเล็ก ๆ นี่กลับไม่เปียกเลยสักหย่อมหนึ่ง ผมเชื่อว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับหมอกสีแดงนี่” หลี่เจิ้งไม่ได้ตอบคำถามเฉินเกอ เขาใช้มือที่วางอยู่ด้านหลังเจียหมิงผลักชายคนนั้นเข้าไปในโรงแรม

เฉินเกอนั้นคุ้นเคยกับความน่ากลัวของเมืองหลี่ว่าน ที่นี่นั้นเต็มไปด้วยผีและฆาตกรคืบคลานเต็มไปหมด พูดตามเทคนิคแล้ว สารวัตรหลี่สามารถรับมือกับเหล่าฆาตรกรได้ด้วยปืนของเขา แต่คนธรรมดาอย่างเขาจะจัดการกับพวกผีและสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้อย่างไร?

จากท่าทีของพวกเขา เจียหมิงและหลี่เจิ้งนั้นไม่แม้แต่จะตื่นตระหนก– ไม่มีกระทั่งร่องรอยของความสยองขวัญในดวงตาของพวกเขา

“เป็นไปได้ไหมว่าเงานั่นซ่อนอยู่ในพวกเขาสักคนหนึ่ง? ทำให้สัตว์ประหลาดและพวกผีในเมืองหลี่ว่านเป็นฝ่ายอยู่ห่างจากพวกเขาเอง?” คนหนึ่งนั้นเป็นตำรวจ อีกคนเป็นคนร้าย แต่เฉินเกอก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นสถานที่หลบซ่อนตัวของเงานั่น “ฉันไม่สามารถลองเสี่ยงดูได้ในเร็ว ๆ นี้ พวกเขาทั้งคู่อาจจะเป็นคนที่พวกเขาบอกว่าเป็น และเงานั่นอาจจะซ่อนตัวอยู่ที่อื่น”

ตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์เครื่องดำมา เงานั่นก็เป็นศัตรูที่จัดการยากที่สุดที่เฉินเกอเคยเผชิญหน้าด้วย เขาเชื่อว่าเงานั่นพาทั้งเจียหมิงและหลี่เจิ้งมาที่นี่พร้อมกันก็เพื่อทำให้เขาสับสน เฉินเกอนั้นระแวดระวังทั้งเจียหมิงและหลี่เจิ้งแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้เชื่อเฉินเกอทั้งหมดเช่นกัน พวกเขารู้แล้วว่าเงานั่นมีความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างและปลอมตัวเป็นคนอื่น บางทีจากมุมมองของพวกเขา มันก็ไม่ยากที่จะเชื่อว่า ‘เฉินเกอ’ ตรงหน้าพวกเขาอาจจะเป็นตัวปลอมของเงานั่นก็ได้

“เชิญนั่งตามสบาย รอสักประเดี๋ยวได้ไหม? ผมมีเพื่อนสองสามคนที่กำลังรอผมอยู่ที่ชั้นบน” เฉินเกอมุ่งหน้าขึ้นบันไดไป

หลังจากเขาหันหลังกลับเขาก็ได้ยินเจียหมิงกระซิบเบามาก ๆ กับหลี่เจิ้ง “ผมบอกคุณทุกอย่างที่ผมรู้เกี่ยวกับเงานั่นแล้ว และตอนนี้คุณก็เจอตัวเขาแล้ว นี่พิสูจน์ว่าผมไม่ได้โกหก! เฉินเกอคือเงานั่น! พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่มันจะสายเกินไป! เขาต้องฆ่าพวกเราเพื่อปิดปากแน่ ๆ!”

“แกพยายามอย่างหนักเพื่อล่อฉันมาที่นี่เพื่อให้ฉันเห็นอะไรแบบนี้เนี่ยนะ?” หลี่เจิ้งแย้งด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ “ในเมื่อแกสามารถล่อฉันมาที่นี่ได้ อย่างนั้นแกก็คงมีสักวิธีล่อเฉินเกอมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน แล้วมันก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าเขาเป็นเงานั่นจริง ๆ หรือเปล่า”

“มันชัดไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว และคุณก็ยังจะสงสัยผมเนี่ยนะ?” เจียหมิงพูดดังขึ้น “ลองคิดกลับไปถึงสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทำมาในอดีตสิ คุณคิดเหรอว่าสิ่งเหล่านั้นคนธรรมดาทั่วไปจะทำได้น่ะ? เขาก็แค่กำลังหลอกใช้คุณและกองกำลังตำรวจทั้งหมด เขากำลังใช้พวกคุณทุกคนกลบเกลื่อนบาปของเขา”

“กลบเกลื่อนบาปของเขา? แกยังเข้าใจคำว่าบาปด้วยเหรอ?” หลี่เจิ้งกดเจียหมิงนั่งลงที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าม “อยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ หยุดรบกวนฉันด้วยข้อมูลผิด ๆ ของแกและอย่าทำอะไรที่แกไม่ควรทำ ฉันมีวิธีตัดสินแบบของฉัน”

หลี่เจิ้งและเจียหมิงคุยกันเบา ๆ ขณะที่เฉินเกอเดินห่างออกไป ตอนที่เขาไปถึงบันไดขั้นบนสุด ก็มีเสียงเคาะดังมาจากประตูหน้าของโรงแรม

“มีใครอยู่ที่นี่ไหม?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สะพายกระเป๋านักเรียนสีดำเอาไว้ยืนอยู่ที่ทางเข้า เขาดูสุภาพและอ่อนแอ ”ผมอยากจะขอพักที่นี่สักคืนหนึ่ง”

เด็กหนุ่มนั้นอยู่ในวัยกำลังโต และเสียงของเขาก็แตกหนุ่ม นอกจากนั้นแล้ว เขาก็ดูเหมือนเด็กนักเรียนมัธยมทั่วไปที่อาจจะกำลังหนีออกจากบ้าน เด็กหนุ่มดันแว่นบนดั้ง เขาเดินอ้อมหลี่เจิ้งและเจียหมิงไปห่าง ๆ เขาขยับไปที่เคาน์เตอร์อย่างระมัดระวัง “มีใครอยู่ที่นี่ไหม? เจ้าของอยู่หรือเปล่า?”

เฉินเกอที่ยืนอยู่บนชั้นสองเห็นทุกอย่างชัดเจน “เด็กชายคนนี้ดูคล้ายกับเด็กชายที่ฉันเห็นบนโทรศัพท์ของเด็กมัธยมคนนั้นที่บนรถเมล์ ดังนั้น เขาอาจจะเป็นเป้ยเหวินหรือเป้ยเยี่ยก็ได้”

ตอนที่เขาอยู่บนรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 นั้น เฉินเกอเจอกับเด็กมัธยมที่ไม่เหมือนเด็กมัธยม เขาขึ้นมาบนรถเมล์เพราะว่ากำลังตามหาเพื่อนร่วมชั้นที่หายไป และเขาก็ให้เฉินเกอดูรูปของเพื่อนของเขา เพราะโชคดีล้วน ๆ เด็กมัธยมที่เขาพูดถึงนั้นดูเข้ากันได้กับเด็กมัธยมที่ช่วยกู่เฟยอวี้เอาไว้ตอนที่เขาอยู่บนรถเมล์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องอะไรกับเด็กมัธยมคนนั้น เฉินเกอจึงไล่เขาลงจากรถและสัญญากับเขาว่าจะค้นหาความจริงเรื่องนี้และช่วยเพื่อนของเขาถ้ามีโอกาส

“ตอนที่ฉันเล่นเกมของเสี่ยวปู้ ฉันก็เจอเข้ากับเด็กมัธยมที่ในโรงแรม” เฉินเกอกำราวบันไดเอาไว้และสายตาของเขาก็เลื่อนไปมาระหว่างเด็กนักเรียนกับหลี่เจิ้ง “ในเกมของเสี่ยวปู้ มีแขกที่โรงแรมนี้สี่คน ผู้หญิงคนหนึ่ง เด็กมัธยม เจ้าหน้าที่ตำรวจและเสี่ยวปู้ ตอนนี้ตำรวจและเด็กมัธยมปรากฏตัวแล้ว ไม่ใช่ว่าจะได้เวลาที่ผู้หญิงที่ถอดเปลี่ยนผิวหนังของเธอได้จะปรากฏตัวขึ้นแล้วเหรอ?”

โลกที่ด้านหลังประตูนั้นสร้างขึ้นจากความทรงจำของผู้ผลักประตู โลกที่ในเกมนั้นบันทึกประสบการณ์ส่วนตัวของเสี่ยวปู้ ตอนนี้ที่ประตูหลุดออกจากการควบคุม ฝันร้ายทั้งหมดที่เธอเคยเผชิญก็กลายมาเป็นความจริง

“ทำไมเสี่ยวปู้ถึงให้คนอื่นเล่มเกมนี้? เธอแค่ต้องการพิสูจน์ว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ? เพื่อเรียกร้องความสงสารจากคนอื่น? หรือว่านี่คือเครื่องมือที่จะช่วยเธอหนี? เกมนั้นมีกุญแจที่สามารถปลดปล่อยเธอจากฝันร้ายอย่างนั้นใช่ไหม?”

ด้วยความช่วยเหลือของเฉินเกอ ฟ่านฉงสามารถเคลียร์เกมได้ และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่เกิดเรื่องขึ้นกับเขา เงานั่นทำร้ายครอบครัวทั้งหมดของเขา ตอนนี้ฟ่านฉงหายตัวไป และยังมีโอกาสมากด้วยที่เงานั่นจะควบคุมพี่ชายของเขา ฟ่านต้าเตอ เอาไว้

“เงานั่นน่าจะรู้เรื่องเกมของเสี่ยวปู้ ไม่อย่างนั้นเขาจะทำลายมันทำไม? นี่เป็นไปได้ใช่ไหมว่าจะมีบางอย่างที่เขาต้องการในเกมของเสี่ยวปู้?

“ประตูในเมืองหลี่ว่านนั้นเป็นเสี่ยวปู้เปิด และเพื่อควบคุมประตูได้อย่างเต็มที่  คนผู้นั้นจะต้องควบคุมเสี่ยวปู้ให้ได้โดยสมบูรณ์ ถ้าฉันลองคิดแบบนี้แล้ว เงานั่นก็น่าจะวางกับดักไว้ในเกมเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือหาตัวฟ่านฉงและช่วยเขาให้ได้– เขาเป็นคนที่มีข้อมูลเรื่องนี้”

เฉินเกอนั้นนับว่าเป็นครอบครองโรงแรมนี้แล้ว หลังจากจัดการกับปิศาจหิวโหย โรงแรมนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเปลือก ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลให้เขาอยู่ที่นี่อีกต่อไป

เขาผลักเปิดประตูเข้าพักแขก มือกรรไกรและชายขี้เมานั้นเบียดตัวอยู่ข้างหน้าต่าง พวกเขามัดเชือกเอาไว้รอบตัวหมอ ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะส่งหมอออกไปก่อน

“สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง? เมื่อครู่นี้มันเหมือนกับทั้งตึกสะเทือน มันเหมือนเกิดแผ่นดินไหว” ตอนที่ชายขี้เมาเห็นเฉินเกอเดินเข้ามา เขาก็พุ่งเข้าไปหาและถามข้อมูลด้วยสีหน้ากังวล

“คุณเจ้าของกับพ่อครัวถูกหญิงไร้หัวฆ่า และจากนั้นเธอก็ตายจากการเผชิญหน้ากันอย่างสูสีกับผีในโรงแรมนี้”

“ผีในโรงแรมนี่ก็ตายแล้วเหรอ?” ชายขี้เมาผ่อนลมหายใจออกยาวเหยียด “อย่างนั้นพวกเราก็ควรจะพักอยู่ที่นี่ พอพระอาทิตย์ขึ้นและหมอกเลือดสลายไป พวกเราก็คงออกไปจากสถานที่สยองขวัญนี่ได้อย่างไม่มีปัญหา”

“โรงแรมนี้ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คุณคิด ไม่มีผีคอยเฝ้าระวังที่นี่แล้ว ทั้งคนและผีก็จะถูกดึงดูดมาที่นี่มากขึ้น” เฉินเกอเดินไปหาคุณหมอและก้มหน้าลงตรวจดูร่างกายของเขา “ตอนนี้คุณเดินได้หรือยัง?”

หลอดเลือดบนลำคอของหมอเต้นตุบ เขาใช้พลังทุกหยาดหยดที่มีเพื่อส่ายหน้า “ผมรับสัมผัสได้มากขึ้น แต่ว่ายังไม่สามารถยกแขนขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น…” มือกรรไกรที่ข้าง ๆ เขาดูจะเข้าใจว่าหมอกำลังจะทำอะไร เขาเอื้อมมือไปยกชายกางเกงที่ขาดของหมอขึ้น ตรงน่องของคุณหมอนั้นมีผิวหนังที่เปลี่ยนไปเป็นสีเทาปื้นใหญ่

“ก่อนที่ผมจะมาที่เมืองหลี่ว่าน ผมเคยได้ยินคนพูดกันว่าเมื่อคุณอยู่ในประตูนานเกินไป คุณจะเริ่มมีปื้นสีเทา ๆ นี่บนผิวหนัง และถ้าคุณมีผิวหนังที่เปลี่ยนสีไปนี่แล้ว คุณก็จะไม่สามารถออกไปจากเมืองนี้ได้อีกต่อไป” หมอดูเครียด “ผมจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”

“ขางอกอยู่บนตัวของคุณ– ไม่มีใครสามารถหยุดคุณไว้ได้ตราบใดที่คุณอยากจะไปจากที่นี่” แผนการเดิมของเฉินเกอนั้นก็คือขับรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 ตรงไปยังบ้านของฟ่านฉงและใช้รองเท้าส้นสูงสีแดงและชายหน้ายิ้มบุกผ่านกับดักของเงานั่นไป เห็นได้ชัดเจนว่า แผนการนี้ต้องเปลี่ยนแล้ว หมอกเลือดกลืนกินเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เอาไว้ ประตูก็ถูกเปิดออกตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง เฉินเกอทำได้แค่เปลี่ยนแผนการไปตามสถานการณ์ เขาใช้ความรู้ที่ได้จากเกมของเสี่ยวปู้จัดการผีหลายตนเท่าที่จะทำได้และใช้ศัตรูจัดการกับพวกมันเอง

เมื่อไปเยือนสถานที่ที่โทรศัพท์เครื่องดำพูดถึงครบแล้ว เฉินเกอรู้สึกว่ามันได้เวลาที่จะทำภารกิจหลักให้สำเร็จ

“พวกเรามีแขกสองสามคนที่ชั้นล่าง ผมสังสัยว่าพวกเขาจะเป็นคนที่นี่ ดังนั้นพวกเขาอาจจะเป็นสัตว์ประหลาดและผีปลอมตัวมา ตอนที่ลงไป ระวังตัวด้วย ไม่ว่าอย่างไร ระวังเอาไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร”

หลังจากสั่งการอีกสองสามอย่าง เฉินเกอก็ให้ชายขี้เมาแบกหมอเอาไว้ และพวกเขาก็ออกจากห้อง ตอนที่พวกเขากลับลงไปที่ชั้นล่าง เฉินเกอก็สังเกตเห็นแล้วว่านอกจากตำรวจ เจียหมิง และเด็กมัธยม มีหน้าใหม่อีกคนหนึ่ง

เธอคือผู้หญิงคนหนึ่งที่มีส่วนโค้งส่วนเว้าและสวยหยาดเยิ้ม ใบหน้าหวานฉ่ำ แต่ว่า เธอแต่งกายอย่างคนหัวเก่าด้วยเสื้อแขนยาวและเสื้อคลุมที่ปกปิดร่างกายทั้งหมดของเธอ เธอยังสวมถุงมือคู่หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผิวกายสักตารางนิ้วเผยออกมา

“เจ้าของที่นี่อยู่ที่ไหน? ฉันต้องการห้องสักห้อง” ผู้หญิงคนนั้นลากกล่องใบใหญ่มาด้วย เธอไม่สนใจคนอื่นที่ในห้อง เธอหันไปทางห้องครัวและยิ้ม “ฉันเอาสิ่งที่คุณต้องการมาด้วยคราวนี้”

ตอนที่เธอเดินผ่านกลุ่มของเฉินเกอไป เฉินเกอก็ไม่ได้กลิ่นน้ำหอมจากร่างของเธอ กลับกัน เขาได้กลิ่นเน่าจาง ๆ

“เจ้าของที่นี่ไม่อยู่ เขาออกจากโรงแรมไป และไม่มีใครอยู่ในครัวเลย” เฉินเกอเอื้อมมือออกไปขวางเธอเอาไว้

“คุณเป็นใคร? คุณเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของที่นี่เหรอ?” จมูกเป็นสันสูงงดงามของเธอขยับเข้ามาใกล้เฉินเกอเหมือนเธอได้กลิ่นบางอย่างที่ไม่ธรรมดาจากร่างของเฉินเกอ ตอนที่เธอเอนตัวเข้ามาใกล้ขึ้น เฉินเกอก็มองเห็นลึกลงไปในคอเสื้อของเธอ มีบาดแผลพาดสลับซับซ้อนอยู่รอบลำคอของเธอจนดูราวกับเป็นรอยสัก มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าผิวหนังที่ด้านใต้เสื้อผ้าของเธอนั้นถูกเย็บเข้าด้วยกัน

“ผมไม่ได้คุ้นเคยเจ้าของที่นี่ แต่ผมหวังว่าคุณจะระวังตัวกว่านี้ ตอนนี้ผมเป็นคนดูแลที่นี่ชั่วคราว” เฉินเกอตอบพร้อมยิ้มอย่างสุภาพ อันที่จริงแล้ว หากไม่มีคนนอกอยู่ที่นี่ เขาก็คงเรียกพนักงานของเขาออกมาจับตัวผู้หญิงคนนี้ไว้และเริ่มสอบถามเธอเกี่ยวกับเมืองหลี่ว่าน

เธอยืนเขย่งปลายเท้ามองเข้าไปในห้องครัว ถึงแม้ว่าเฉินเกอจะให้พนักงานของเขาทำความสะอาดที่นี่แล้ว แต่เมื่อมองใกล้ ๆ ก็ยังเห็นสิ่งที่น่าสงสัยมากมาย

“ใครจะดูแลที่นี่ก็ไม่สำคัญ ฉันแค่อยากจะรู้ว่าที่นี่ยังเปิดให้บริการอยู่ไหม” เธอลากกล่องไปข้างหน้า “ช่วงหลังมานี่มีคนมาจากข้างนอกน้อยลงเรื่อย ๆ และคุณรู้ไหมว่าฉันลำบากขนาดไหนถึงรวบรวมของทั้งหมดนี่ได้?”

เฉินเกอนั้นรู้คร่าว ๆ แล้วว่าในกล่องมีอะไรอยู่ “แน่นอน พวกเรายังเปิดให้บริการ ทิ้งกล่องนั่นไว้ให้ผม และคุณสามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่คุณต้องการ”

“ขอบคุณ คุณจะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะเข้าไปหาอะไรกินที่ในครัวเสียหน่อย? หมอกเลือดคราวนี้หนากว่าปกติ และฉันก็รู้สึกยินดีอยู่นิด ๆ” เธอหาเหตุผลมากมายเพื่อเข้าไปในห้องครัว

“ถ้าอย่างนั้นคุณนั่งก่อนดีกว่า อาหารจะยกมาเสิร์ฟเร็ว ๆ นี้” เฉินเกอโบกมือให้ชายขี้เมาและบอกเขาพามือกรรไกรเข้าไปในครัว หาวัตถุดิบและทำอะไรมากิน

หลังจากทั้งสองคนเข้าไปในห้องครัว ประตูของโรงแรมก็ถูกผลักเปิดอีกครั้ง ผู้ชายคนหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้าเดินเข้ามา มีรอยเลือดหย่อมใหญ่อยู่บนเสื้อของเขา เขาดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำเมื่อเดินเข้ามาแต่หามุมเงียบ ๆ ลงนั่ง

ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเสียงของเหลวหยดดังมาจากประตูหน้า และรอยยิ้มบนใบหน้าของชายผู้นั้นก็แข็งทื่อ

หลายวินาทีต่อมา ประตูเปิดออก และผู้หญิงคนหนึ่งในเสื้อกันฝนสีแดงก็ก้มหน้าต่ำและก้าวยาว ๆ เข้ามาในโรงแรม

 

 

 

TL note: อาการป่วยก่อนหน้านี้ของผู้แปลดีขึ้นแล้ว แต่ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ต่อ ตอนนี้ต้องพักผ่อนอีกสักระยะ ขออภัยผู้อ่านทุกท่านจากใจจริงที่อัพนิยายได้ช้ามาก ๆ

ผีหิวโหยตนนั้นร่างกายใหญ่โต แต่หัวใจของเธอกลับเล็กอย่างไม่เป็นสัดส่วนกัน มันเป็นประกายและสะท้อนแสงราวกับทับทิมสีแดงเลือด มันไม่ได้เปลี่ยนสีหรือว่าแปดเปื้อนแต่อย่างใด “ใครจะคิดว่าปิศาจน่าเกลียดเช่นนั้นกลับมีหัวใจบริสุทธิ์เช่นนี้?”

เฉินเกอเอื้อมมือออกไปแตะหัวใจของปิศาจหิวโหย เขาอยากจะศึกษามันและหาดูว่าหัวใจของวิญญาณสีเลือดที่แท้แล้วคือสิ่งใด แต่ว่า ตอนที่ปลายนิ้วของเขาแตะลงที่หัวใจ ความรู้สึกด้านลบก็กวาดผ่านร่างของเขาราวกับคลื่นลูกหนึ่ง กระแสเลือดพลุ่งพล่านไปทั่วร่างของเขา และความปรารถนาอันอธิบายไม่ได้ก็ก้องอยู่ในสมองของเขา เขารู้สึกหิวจนแทบจะกัดกินตัวเอง

“หิวมาก!” เสียงครวญอย่างสิ้นหวังหลุดออกจากปากเฉินเกอ เขาผงะถอยห่างจากหัวใจนั้นไปหลายก้าวก่อนที่จะรู้สึกกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง

“สิ่งนี้กินคนเป็นและผีเข้าไปมากมายเท่าใดกัน?” เขาอ้าปากฮุบอากาศอย่างกระหาย แผ่นหลังของเฉินเกอชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขารั้งมือกลับและสาบานว่าจะไม่จับสิ่งใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณสีเลือดง่าย ๆ อีกแล้ว

“หัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นเป็นความปรารถนาที่จะกินเพียงอย่างเดียว มันเป็นความต้องการอันไร้สิ้นสุดที่จะทำให้พึงพอใจได้ด้วยการกินอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น” เฉินเกอเข้าใจว่าทำไมซู่อินจึงไม่รับเอาหัวใจของปิศาจหิวโหยเข้าไปโดยตรง นี่เป็นสิ่งที่วิญญาณร้ายทั่วไปไม่สามารถจัดการได้ “ตอนนั้นที่พวกเราสังหารซยงฉิง ซู่อินมอบหัวใจของซยงฉิงให้แก่ไป๋ชิวหลิน ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าไป๋ชิวหลินได้รับผลกระทบจากซยงฉิงหรือไม่”

เมื่อรู้สึกถึงสายตาของเฉินเกอที่มองเขา ไป๋ชิวหลินก็คิดว่าได้เวลาที่ตัวเองต้องรายงานหน้าที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงลากเด็กชายที่เหลือชีวิตอยู่เสี้ยวเดียวไปด้วย ตรงกันข้ามกับซู่อิน ไป๋ชิวหลินนั้นมีหัวใจที่ย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด

“เหล่าไป๋ดูปกติเป็นที่สุด บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าซยงฉิงนั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะทิ้งผลกระทบอะไรกับเขาได้” เฉินเกอเปิดหนังสือการ์ตูนดึงเด็กชายเข้าไป เขาวางแผนจะค่อย ๆ สอบถามเด็กชายและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลกลางซินไห่จากเขาช้า ๆ หลังจากที่ภารกิจทดลองนี้สิ้นสุด หลังจากจัดการกับเด็กชายแล้ว เฉินเกอก็หันกลับไปมองหัวใจในมือซู่อิน

เขามองเห็นได้เลยว่าเพียงแค่ถือหัวใจนี่เอาไว้ก็เป็นความกดดันมหาศาลต่อซู่อินแล้ว หากกินหัวใจนี่ลงไปเขาคงต้องประสบกับปัญหาแน่แล้ว นอกจากนี้ ซู่อินยังไม่เคยแสดงความตั้งใจที่จะกินหัวใจของใคร กลับกัน เขาต้องการหาหัวใจที่เป็นของเขาเอง

“อย่างนั้น ฉันควรจะทำอะไรกับสิ่งนี้ดี?” หัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นเป็นรางวัลอันมีค่า โดยทางเทคนิคแล้วนั้นมันเต็มไปด้วยทุกอย่างที่เกี่ยวกับปิศาจหิวโหย เมื่อสิ่งนี้มาอยู่ในความครอบครองของเฉินเกอ เขาก็ยังอาจจะมีโอกาสชุบเลี้ยงวิญญาณสีเลือดตนอื่นที่ควบคุมความหิวได้ดีกว่าในอนาคต!

สิ่งนี้นั้นมีค่าเกินไป กระทั่งเงานั่นและคุณหมอเกาก็อาจจะสนใจในหัวใจนี่ด้วย

“หากซู่อินรับหน้าที่เป็นผู้เก็บหัวใจดวงนี้เอาไว้ เขาก็จะต้องแบ่งพลังส่วนหนึ่งไปต่อต้านความรู้สึกด้านลบที่หัวใจนี้จะนำมาด้วย นั่นก็ย่อมต้องกระทบกับความสามารถในการต่อสู้ของเขา” ในสถานการณ์อันตราย ซู่อินนั้นเป็นกำลังรบหลักของเฉินเกอ ดังนั้นให้ซู่อินจัดการกับหัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นเรียกได้ว่าเป็นความสูญเสียอย่างมาก

“แต่นอกจากเขาแล้ว ใครจะสามารถต้านทานคลื่นความรู้สึกด้านลบรุนแรงนี่ได้?” เฉินเกอให้ไป๋ชิวหลินทดลองดู แต่เขากลับทนอยู่ได้เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นบิดเบี้ยว เขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความหิวโหย และก็เห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังจะหลุดจากการควบคุมอย่างช้า ๆ

“มีวิธีอื่นนอกจากทิ้งมันไปหรือเปล่านะ? ถ้าทิ้งก็นับว่าเป็นความสูญเสียอย่างมากเลย” รองเท้าส้นสูงสีแดงน่าจะอยากได้หัวใจของปิศาจหิวโหยนี่ ยกมันให้เธอนั้นอาจจะทำให้เฉินเกอได้พรรคพวกที่มีประโยชน์ แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรนี้อย่างไม่สมควร

“วิญญาณอาฆาตธรรมดานั้นอ่อนแอเกินกว่าจะกลืนกินหัวใจที่ทรงพลังเช่นนี้ พวเขาอาจจะสลายไปหลังจากกินหัวใจนี่เข้าไปก็ได้ มีเพียงวิญญาณสีเลือดเท่านั้นที่จะสามารถต้านทานความต้องการกลืนกินของหัวใจนี่ได้” เฉินเกอเหลือบมองหัวใจในมือซู่อินแวบหนึ่ง หัวใจสีแดงเลือดนั้นฝังลึกอยู่ในก้อนเนื้อใหญ่เท่าภูเขาและยังมีผลกระทบต่อคำสาปเลือด

“ทิ้งมันไว้ให้ซู่อินนับว่าเป็นการสร้างภาระแล้ว ทางเลือกเดียวที่ฉันเหลืออยู่ก็คือจางหยา” เฉินเกอเรียกซู่อินเข้ามาใกล้ ๆ กับแสงเทียนเพื่อให้ซู่อินวางหัวใจของปิศาจหิวโหยลงไปที่เงาของเขา ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน เงาของเฉินเกอนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เขาเพิ่งมาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ตอนที่เขาพยายามเรียกจางหยาซ้ำ ๆ ก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้ว่าทำไมจางหยาถึงทำอย่างนี้ แต่เขาเชื่อว่าจางหยาจะไม่ทำร้ายเขา

แสงเทียนส่องสว่างไปยังร่างของเฉินเกอ แต่น่าแปลกที่เงาของเขานั้นกลับอยู่ในรูปร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง เฉินเกอมองเงาตัวเองเงียบ ๆ ซู่อินนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะเข้าไปใกล้กว่านี้ หลังจากได้รับอนุญาตจากเฉินเกอ ในที่สุดเขาก็วางหัวใจของปิศาจหิวโหยลงที่เงาของเฉินเกอ

จากนั้นก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น เมื่อหัวใจที่ส่องประกายราวกับทับทิมพ้นมือของซู่อิน มันก็เริ่มกระเด้งตัวไปมาอย่างบ้าคลั่ง ในไม่ช้า เงาของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวใจดวงนั้น เฉินเกอรู้สึกว่าเธอดูคุ้นตามาก ในที่สุด เขาก็นึกได้ว่าเธอดูคล้ายกับผู้หญิงที่เขาเห็นในห้องของเจ้าของโรงแรม ผู้หญิงที่ในรูป ผู้หญิงที่เจ้าของโรงแรมเรียกว่าแม่ นั่นน่าจะเป็นรูปลักษณ์แท้จริงของผีทับทิม

“งั้นเธอก็ยังมีไม้ตายนี่ซ่อนอยู่สินะ” เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผากเฉินเกอ หากเขาให้พนักงานของเขากินหัวใจนี้เข้าไป พนักงานคนนั้นก็จะกลายไปเป็นปิศาจหิวโหยตนที่สอง

เสียงร้องโหยหวนของผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ แผ่วเบาลงก่อนที่จะสลายไปเป็นหยดเลือดมากมายพรมลงที่เงาของเฉินเกอ เงาของเขานั้นราวกับทะเลสาบล้ำลึก หยดเลือดที่หล่นลงบนเงานั้นทำให้เกิดคลื่นเล็ก ๆ ก่อนที่จะหายวับไป

หลังจากหัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นละลายไปหมดแล้ว เงาของเฉินเกอก็ดูเข้มขึ้น และเงาของผู้หญิงคนหนึ่งก็เห็นได้ชัดเจนขึ้น เพราะอะไรไม่รู้ หัวใจของเฉินเกอเริ่มเต้นรัว เขามองไปยังเงาของตัวเองและรู้สึกว่าหญิงสาวคนหนึ่งกำลังโบกมือให้เขาอยู่ที่อีกด้านของเงานั้น หากเขาเอื้อมมือไปหาเธอ เขาก็จะถูกลากเข้าไปในเงาและอยู่กับเธอที่นั่นไปจนนิรันดร์

“จางหยา?” ชื่อนั้นลอยขึ้นมาในใจเฉินเกอ เส้นผมที่ในเงาสะบัดราวกับมีสายลมพัดผ่าน– นี่ เฉินเกอนับว่าเป็นการตอบสนองแบบหนึ่ง

“เธอดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งขึ้น…” เฉินเกอนั้นพยายามเพิ่มระดับพลังของพนักงานของเขา แต่หลังจากดิ้นรนเป็นนาน เขาก็พบว่าการร่วมมือกันของพนักงานทั้งหมดของเขานั้นกลับเทียบกับจางหยาไม่ได้ และที่แย่ไปกว่านั้น ความแตกต่างระหว่างระดับพลังยังมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น “บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าพรสวรรค์”

ที่ห้องเก็บศพใต้ดินวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงนั้น ถึงแม้ว่าจางหยาจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้เหมือนกัน เธอก็ยังเก็บเกี่ยวบางอย่างจากภรรยาของคุณหมอเกาได้ มันเป็นสิ่งเดียวกับตอนที่เธอประมือกับเงานั่น จากนั้น เธอก็ยังขโมยเลือดจากคุณหมอเกาได้หลายหยด ตอนนี้ เธอยังได้กลืนกินหัวใจของปิศาจหิวโหย จางหยาจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดนั้น กระทั่งตัวเฉินเกอเองก็บอกไม่ได้

“ฉันไม่ใช่คนที่ชอบพึ่งพาคนอื่น แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ ก็เหมือนว่าฉันจะมีตัวเลือกเดียว” ริมฝีปากของเขาเชิดขึ้นด้านบนอย่างไม่รู้ตัว เฉินเกอมองไปยังหญิงไร้หัวและรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น “ถ้าพวกคุณยังดื้อดึงอยู่อีก ผมจะให้เธอกินพวกคุณซะ”

รองเท้าส้นสูงสีแดงล้มไปกับพื้น และพวกมันยังดูไม่ต่างไปจากรองเท้าธรรมดา ๆ คู่หนึ่ง เธอดูเหมือนจะหมดพลังไปมากจนไม่สามารถรักษารูปร่างเดิมไว้ได้ อย่างไรเสีย ระหว่างการต่อสู้กับปิศาจหิวโหย เธอคนเดียวก็รับมือกับความเสียหายถึงสามในสี่ส่วน และก็เป็นเธอที่เป็นคนลงมือสร้างความเสียหายรุนแรงแก่ปิศาจหิวโหยซึ่งทำให้เฉินเกอมีโอกาสที่เขาต้องการ

“คุณช่วยผมครั้งหนึ่ง ดังนั้นผมจะปฏิบัติกับคุณอย่างดี ผมจะไม่เอาเปรียบคุณ เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ผมจะพาคุณกลับไปยังสถานที่ปลอดภัยและยังอาจจะสร้างบ้านให้คุณด้วย” เฉินเกอนั้นได้เห็นความน่ากลัวของคำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงกับตา เขาเก็บรองเท้าขึ้นมาด้วยผ้าปูโต๊ะที่เหลืออยู่และวางรองเท้าคู่นี้เอาไว้บนเคาน์เตอร์

“ทีนี้ก็ตาคุณแล้ว คุณไล่ล่าผมมาทั้งถนนเฮงซวยนี่และผมก็คิดว่าคุณติดหนี้คำขอโทษผมอยู่” เฉินเกอให้ซู่อิน ไป๋ชิวหลินและเหมินหนานจับหญิงไร้หัวเอาไว้ก่อนเขาถึงจะกล้าเข้าไปใกล้เธอ หญิงไร้หัวดูเหมือนจะมีอคติกับพวกผู้ชาย และเธอก็ไม่มองพวกเฉินเกอด้วยซ้ำ

“ถ้าคุณไม่อยากคุยกับผู้ชายก็ไม่เป็นไร ผมมีลูกจ้างที่เป็นผีผู้หญิงอยู่เหมือนกัน” เฉินเกอเรียกต้วนเยว่ออกมาคุยกับหญิงไร้หัว หลังจากคุยกันอยู่นาน ต้วนเยว่ก็กลับมาบอกเรื่องราว สภาพของหญิงไร้หัวนั้นไม่ดีนัก เธอสูญเสียร่างกายครึ่งหนึ่งไป และศีรษะของเธอยังได้รับความเสียหายรุนแรง แค่เธอกำลังพยายามรักษาสภาพร่างเอาไว้ไม่ให้สลายไปก็ยากแล้ว อย่าว่าแต่จะสู้เลย

“ถึงแม้ว่าคุณจะไล่ตามผมตั้งนาน ผมก็ยังเป็นคนใจกว้างพอที่จะไม่เอาเรื่อง หลังจากพวกเราออกไปจากที่นี่แล้ว ผมจะหาสถานที่ปลอดภัยให้คุณพักฟื้น” เฉินเกอดึงหญิงไร้หัวเข้าไปในหนังสือการ์ตูน

“เฮ้! ผมรู้ว่าคุณมีพื้นที่จำกัดที่บ้านผีสิงของคุณ ทำไมคุณไม่เอาเธอมาแทนที่ผมล่ะ?” เหมินหนานพูดด้วยน้ำเสียงแบบผู้ใหญ่ เขาวิ่งเหยาะ ๆ ด้วยขาสั้น ๆ ของเขามายืนด้านหลังเฉินเกอ “ผมไม่ได้กลับบ้านตั้งนานแล้ว มีปัญหาบางอย่างที่หอผู้ป่วยสาม เมื่อประตูหลุดออกจากการควบคุม ผลที่ตามมาก็เลวร้ายเกินจินตนาการได้”

“ฉันสัญญากับเธอ หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น ฉันจะพาเธอกลับไปที่หอผู้ป่วยสามทันที” เฉินเกอนั่งยอง ๆ ลงและยื่นมือออกไปด้วยท่าทางจริงจัง “อ่ะ เกี่ยวก้อยสัญญาเลย”

“พระเจ้า คุณจะเป็นเด็กน้อยไปไหม?” ถึงแม้ว่าปากเขาจะบ่นพึมพำแต่เหมินหนานก็ยังยื่นนิ้วออกมาเกี่ยวก้อยสัญญากับเฉินเกอ “แต่ทำไมจู่ ๆ คุณถึงเปลี่ยนใจล่ะ? ผมสาบานได้เลยว่าคุณต้องมีอะไรสักอย่างถึงได้รับปากผมง่ายขนาดนี้”

“ฉันก็แค่เพิ่งตระหนักได้ว่ามันอันตรายแค่ไหนเวลาที่ประตูหลุดออกจากการควบคุม ดังนั้นฉันถึงเข้าใจว่ามันจะเป็นการดีที่สุดถ้าฉันส่งเธอกลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เฉินเกอลุกขึ้นและบอกความคิดในใจของเขาออกมา

“ใช่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมกำลังบอกคุณตั้งแต่ต้นแล้ว แต่คุณก็ไม่ยอมเชื่อผม ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ มันก็สายไปแล้วที่จะเริ่มต้นแก้ไขความผิดพลาด” หลังจากได้รับสัญญาจากเฉินเกอ ในที่สุดเหมินหนานก็ถอนหายใจโล่งอกได้ “เห็นว่าคุณจริงใจหรอกนะ ผมจะช่วยคุณอีกสักครั้ง แล้วก็ พวกเราอยู่ที่ไหนกันเนี่ย? ทำไมมันถึงมีวิญญาณสีเลือดเยอะขนาดนี้ในโรงแรมเล็ก ๆ นี่?”

“ตอนนี้พวกเราอยู่ในประตูที่หลุดออกจากการควบคุม ที่นี่คือเมืองหลี่ว่าน จิ่วเจียงตะวันออก” เฉินเกอพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนพูดเรื่องทั่วไป เขารออยู่นานแต่กลับไม่ได้ยินคำตอบรับอะไรจากเหมินหนาน เขาหันกลับไปดู “มีอะไรหรือ?”

เหมินหนาน ที่ตัวสูงกว่าเข่าเฉินเกอแค่นิดเดียว ตัวแข็งอยู่กับที่ไปแล้ว เขาดูเหมือนจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “พวกเราอยู่ในประตูที่หลุดออกจากการควบคุม?”

“ใช่”

“ในโลกด้านหลังประตู?”

“ถูกต้อง”

หลังจบบทสนทนาสั้น ๆ นี้ เหมินหนานก็ฟุบไปกับพื้น เขามองเฉินเกอด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่มีคำพูดใดหลุดจากริมฝีปาก เหมือนจิตใจของเด็กชายนั้นจู่ ๆ ก็ลัดวงจรไปเสียแล้ว

“เธอเป็นอะไรไป?” เฉินเกอรีบนั่งลงไปตรวจดูเด็กชาย เขายังเป็นห่วงเหมินหนานอยู่เหมือนกัน

“ไม่มีอะไร” เหมินหนานโบกมือ “ผมแค่อยากจะสัมผัสกับพื้นดินที่ใต้เท้า ผมกลัวว่าเร็ว ๆ นี้จะไม่มีโอกาสทำแบบนี้อีกแล้ว”

“เลิกดราม่าได้แล้ว ไม่มีอะไรให้กลัว ฉันก็ยังอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เหรอ?”

“เพราะคุณอยู่ที่นี่แหละผมถึงได้กลัวขนาดนี้! ถ้าไม่เพราะว่าผมเอื้อมมือไม่ถึงคอของคุณละก็ ผมก็คงจะบีบคอคุณตายไปอย่างน้อยก็สองครั้งแล้ว! นี่คุณเสียสติไปแล้วหรือยังไงฮะ? คุณเข้ามาด้านหลังประตูนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่คุณยังเลือกประตูที่หลุดออกจากการควบคุมไปแล้วซะอย่างนั้น! ผมสงสัยนักว่าคุณหาที่ที่อันตรายอย่างนี้เจอได้ยังไง! มันยากนักหรือไงที่คุณจะอยู่อย่างสงบ? มันมีอะไรผิดเหรอที่อยากจะเป็นตัวตนที่สงบสุขน่ะ?” ในที่สุดเหมินหนานก็ทำตัวเหมือนอายุของเขา เขาน้ำตาไหลพรากขณะโวยวายออกมา

“เข้าใจแล้ว ฉันรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร ไม่ต้องห่วง ถ้าเรารอดไปจากที่นี่ได้ ฉันส่งเธอกลับบ้านแน่ ๆ” เฉินเกอรีบปลอบเหมินหนาน หลังจากนั้นเป็นครู่ใหญ่ อารมณ์ของเด็กชายถึงได้คงที่ขึ้น เฉินเกอพยายามถาม “มันอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอที่ด้านในประตูที่หลุดออกจากการควบคุมน่ะ?”

“ใช่สิ! ลองคิดดูนะ ด้านหลังประตูแต่ละบานคือสิ่งก่อสร้างปิดมิดชิดหลังเดียว ดังนั้นจำนวนวิญญาณสีเลือดและปิศาจที่คุณต้องรับมือนั้นจึงมีจำกัด แต่เรื่องมันต่างออกไปเมื่อประตูสักบานหลุดออกจากการควบคุม มันจะดึงเอาสิ่งก่อสร้างทั้งหมดรอบ ๆ พื้นที่นั้นเข้าไปในโลกแห่งฝันร้าย และไม่มีใครบอกได้ว่ามีวิญญาณสีเลือดและปิศาจซ่อนตัวอยู่ในนั้นมากเท่าใด” เหมินหนานโบกมืออย่างอ่อนแรงและใบหน้าของเขามีความเจ็บปวดที่เห็นได้ชัดเจน “ผมสู้ไม่เก่ง และผมก็ถูกสมาคมเล่าเรื่องผีหลอกมาแล้วอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง พลังของผมนั้นอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมต้องการซ่อมหน้าต่างในหอผู้ป่วยสามให้เร็วที่สุด ถ้ามีอะไรที่ด้านนอกแทรกซึมเข้ามาในหอผู้ป่วยสาม อย่างนั้นบ้านของผมก็จะถูกทำลาย”

“แต่ว่านั่นก็ดีออกไม่ใช่เหรอ? แบบนั้นฉันก็สามารถเตรียมบ้านใหม่…” เฉินเกอชะงักกลางประโยคเมื่อเห็นว่าเด็กชายกำลังจะคลั่งอีกแล้ว ดังนั้นจึงรีบหยุดตัวเองไว้ “เธอพูดก็มีเหตุผล หลังจากออกจากเมืองหลี่ว่าน ฉันจะไปส่งเธอกลับหอผู้ป่วยสามทันที”

หลังจากดึงเหมินหนานเข้าไปในหนังสือการ์ตูนแล้ว เฉินเกอก็เรียกพนักงานทั้งหมดของเขาออกมาเพื่อเก็บกวาดโรงแรมเร็ว ๆ ครั้งหนึ่ง คำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นทรงพลังและน่ากลัวกว่าที่เขาคาดเอาไว้ หลอดเลือดและส่วนที่ยังเหลืออยู่ของปิศาจหิวโหยที่สัมผัสเข้ากับคำสาปนั้นสลายกลายเป็นเถ้าและปลิวหายไปในสายลม เหลือเอาไว้เพียงแค่โซ่เหล็กสี่เส้น

“ยังมีเรื่องน่าสงสัยเกี่ยวกับปิศาจหิวโหยอีกหลายอย่าง ฉันต้องขุดลงไปให้ถึงก้นบึ้ง” เฉินเกอเข้าไปในห้องที่หนึ่งและแก้มัดชายชรา “คุณเห็นโซ่เหล็กที่บนพื้นไหม? คุณเป็นคนที่ขังผู้หญิงคนนั้นเอาไว้หลังตู้เย็นใช่ไหม?”

ประสบการณ์นั้นเพิ่มตามอายุ ตอนที่ชายชราเห็นสภาพของโรงแรม เขาก็สรุปทุกอย่างได้ในใจ ดังนั้น เขาจึงอธิบายทุกอย่างให้เฉินเกอฟัง

ครอบครัวสามคนนี้ไม่ใช่คนเมืองหลี่ว่าน พวกเขาดูแลอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าที่ในเมืองจิ่วเจียงตะวันออก ชั้นบนของอพาร์ทเม้นท์นั้นให้เช่าขณะที่ชั้นล่างนั้นทำเป็นร้านอาหาร

จากนั้น วันหนึ่ง จู่ ๆ ภรรยาของชายชราก็ป่วยโรคประหลาด เธอไม่อิ่มไม่ว่าจะกินเข้าไปมากเท่าใด และเมื่อพวกเขาห้ามเธอกินต่อ เธอก็จะเจ็บปวดและตื่นตระหนกเหมือนพวกเขากำลังทรมานเธอ พวกเขาพาเธอไปพบหมอหลายคน แต่ว่าไม่ได้ผล อาการป่วยของภรรยารุนแรงขึ้น และเมื่อหิวถึงที่สุด เธอก็กัดกินคนอื่นด้วย

พวกเขาใช้เงินเก็บทั้งหมดไปกับการรักษาอาการป่วยของเธอ จนกระทั่งวันหนึ่ง ภรรยาและชายชราที่เพิ่งกลับมาจากการพบหมออีกคนก็ขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 และพวกเขาก็มาถึงที่เมืองหลี่ว่าน

ชายชรานั้นขี้ขลาดเกินกว่าจะลงจากรถ แต่ว่าภรรยาของเขานั้นถูกเงาลางเลือนเงาหนึ่งชักนำไปยังอพาร์ทเม้นท์ผี ตอนที่เธอกลับมา อาการป่วยของเธอนั้นก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน เขาดีใจมาก คิดว่าพวกเขาคงจะเจอเข้ากับผู้ช่วยชีวิตแล้ว แต่ว่านั่นกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมนี้

ภรรยานั้นมักจะเดินออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน และในที่สุดชายชราก็พบว่าภรรยาของเขานั้นออกไปหา ‘อาหาร’ เพื่อไม่ให้ตำรวจรู้เข้า ทั้งครอบครัวจึงย้ายมายังเมืองหลี่ว่าน และสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นก็เข้ากันได้กับรายละเอียดในเกมของเสี่ยวปู้

“ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เป็นฉันเองที่ขังเธอเอาไว้ ถ้าฉันไม่ทำอย่างนั้น เธออาจจะกินเนื้อตัวเองด้วยซ้ำ หลังจากเธอตาย ก็เป็นเงานั่นที่ขังเธอเอาไว้…” ชายชรามองเฉินเกอและพูดต่อ “เงานั่นคล้ายกับคุณ เขาเอา ‘อาหาร’ มาให้ภรรยาของฉันกินเป็นประจำจนกระทั่งเธอกลายเป็นสิ่งที่คุณเห็น”

“เงานั่นดูคล้ายผม?” เฉินเกอพยักหน้า เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว ปิศาจหิวโหยนั้นเป็นเงานั่นสร้างขึ้นมา ความหมายของการคงอยู่ของเธอก็เพื่อดูแลศูนย์กลางเมืองหลี่ว่าน

“ฉันไปดูทุกที่ที่โทรศัพท์เครื่องดำพูดถึงแล้ว ได้เวลาไปที่เขตที่พักอาศัยของฟ่านฉงแล้ว” เป้าหมายของเฉินเกอนั้นสำเร็จแล้ว เขาดึงพนักงานทั้งหมดของเขาเข้าไปในหนังสือการ์ตูนและใช้เชือกมัดชายชราเอาไว้อีกครั้งแล้วทิ้งเขาเอาไว้ในห้องที่หนึ่ง

“ได้เวลาไปจากที่นี่แล้ว” เฉินเกอเดินออกมาจากห้องที่หนึ่งและวางแผนจะลงบันไดไปพบกันผู้โดยสารคนอื่น ๆ ตอนที่เกิดบางอย่างที่ไม่คาดคิดขึ้น ทางเข้าของโรงแรมจู่ ๆ ก็ถูกผลักเปิด และชายสองคนก็พุ่งเข้ามาในห้อง

“ห้ามพูด และห้ามทำอะไรทั้งนั้น! เข้าใจไหม?”

“ครับ ผมเข้าใจดี! แต่ปัญหาก็คือคุณจับคนผิด! เชื่อผม! เขาออกไปจากร่างผมแล้ว!”

ได้ยินเสียงคุ้น ๆ เฉินเกอก็เงยหน้าขึ้นตามนิสัย ตอนที่เขาเห็นสองคนที่ประตู ม่านตาของเขาก็หรี่แคบลงทันที

“หลี่เจิ้ง? เจียหมิง? ทำไมพวกคุณมาอยู่ที่นี่?”

ในโรงแรม ผีหิวโหยนั้นได้เปรียบอย่างเถียงไม่ได้– นั่นทำให้เธอมั่นใจพอที่จะโจมตีวิญญาณสีเลือดทั้งหมดในโรงแรมของเธอพร้อมกัน แต่ว่า เธอประมาทพลังของรองเท้าส้นสูงสีแดงและหญิงไร้หัวไปมาก เมื่อชีวิตของพวกเธอถูกคุกคาม วิญญาณสีเลือดทั้งสองก็เผยความแข็งแกร่งอันประเมินมิได้ออกมา

ด้วยความสามารถในการตัดด้วยเลือดของตน หญิงไร้หัวจึงไม่ได้ไร้การป้องกันเสียทีเดียวถึงแม้ว่าอันที่จริงแล้วเธอจะตกเป็นฝ่ายตั้งรับ เมื่อเลือดของเธอพุ่งผ่านไป เนื้อก็ถูกกรีดเปิด และเลือดก็กระจายออกมา จากทิศทางที่เธอขยับไปนั้น เธอพยายามอย่างที่สุดที่จะไปรวมตัวกับรองเท้าส้นสูงสีแดง

ศัตรูของศัตรูคือมิตร

หญิงไร้หัวนั้นยินดีจะไปร่วมมือกับรองเท้าส้นสูงสีแดงและเด็กชาย แต่ว่า มันก็ไม่ชัดเจนนักว่าเธอพยายามจะเฉลี่ยความเกรี้ยวกราดของผีหิวโหยกับพวกเขาหรือว่าต้องการร่วมมือกับพวกเขาเอาชนะปิศาจนั่น

กรงที่สร้างขึ้นจากลิ้นและหลอดเลือดค่อย ๆ หดแคบเข้า และพื้นที่ที่วิญญาณสีเลือดทั้งสามมีอยู่นั้นก็เล็กลงเรื่อย ๆ เดิมที ลิ้นและหลอดเลือดนั้นไม่ได้โจมตีรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นตรง ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลอดเลือดนักต่อนักก็หันไปสนใจรองเท้าส้นสูงคู่นั้น พวกมันดูเหมือนกำลังจะกลืนกินรองเท้าคู่นั้นที่ติดคำสาปและโชคร้ายลงไป

หลอดเลือดหนาพุ่งออกมาจากทุกทิศทางเหมือนงูพิษฝูงหนึ่ง ในตอนนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังก้องในห้องโถง เสียงหัวเราะนั้นชัดเจนและสดใส มันยังเย้ายวนและไพเราะน่าฟังราวกับจะวาดความงามของเจ้าของเสียงนั้นออกมาได้จากแค่ฟังเท่านั้น

“เสียงหัวเราะดูเหมือนจะมาจากรองเท้าส้นสูงสีแดง” ในเสียงหัวเราะยังเหมือนจะมีเวทมนต์อะไรสักอย่างแฝงอยู่ มันมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของผู้ฟัง หลังจากเสียงหัวเราะผ่านเข้าหูเฉินเกอ เลือดในกายของเขาก็เริ่มไหลเวียนเร็วขึ้น ผื่นเลือดสีแดงปรากฏขึ้นบนผิวของเขาราวกับเส้นเลือดบางส่วนของเขาแตกออกจากการที่จู่ ๆ เลือดก็ไหลเวียนเร็วขึ้น

เทียบกับเสียงคำรามของปิศาจหิวโหยแล้ว เสียงหัวเราะจากรองเท้าส้นสูงสีแดงดูเหมือนจะตรงข้ามกันอย่างสุดขั้ว

“หิว หิว… หิว!” ปิศาจหิวโหยเห็นได้ชัดเจนว่าได้ยินเสียงหัวเราะนั่นเช่นกัน บางทีมันอาจจะอิจฉาหรืออาจจะเป็นเหตุผลอื่น แต่ว่าเฉินเกอรู้สึกได้ถึงความโกรธที่แผ่ออกมาจากตัวปิศาจนั่น

“ทำไมมันถึงเหมือนกับรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นกำลังเยาะเย้ยปิศาจหิวโหยอยู่เล่า? นี่เป็นการท้าทายแบบหนึ่งหรือเปล่า?” เสียงหัวเราะสดใสก้องอยู่ในห้องโถงและมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจากน้ำเสียงหวานใสไปเป็นเสียงกรีดร้องบ้าคลั่งอย่างช้า ๆ ในตอนท้าย หญิงร่างสูงคนหนึ่งก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นเหนือรองเท้าส้นสุงสีแดง

เธอค่อนข้างผอมและยังสูงกว่าเฉินเกอ ทุกตารางนิ้วบนร่างของเธอนั้นมีผ้าพันแผลชุ่มเลือดพันเอาไว้ ไม่มีผิวหนังส่วนใดเผยให้เห็น แต่ว่าความสง่างามของเธอนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ เธอน่าจะเป็นสาวงามคนหนึ่งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่า จากวิธีการที่เธอปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ มันดูคล้ายกับเธอผ่านการปลูกถ่ายผิวหนังทั้งตัวก่อนที่จะตาย

เท้าที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้ยื่นไปที่รองเท้าส้นสูง เท้าคู่นั้นสอดเข้าไปในรองเท้า และเลือดก็ซึมออกมาจากรอยต่อของผ้าพันแผล มันกลายเป็นว่าบาดแผลบนร่างของเธอนั้นยังไม่หายดี

“นี่คือความบ้าคลั่งอย่างแท้จริง” เฉินเกอไม่กล้าคิดภาพเลยว่าภายใต้ผ้าพันแผลเหล่านั้นผู้หญิงคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด “ถ้าฉันรู้อย่างนี้ ฉันจะไม่มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับเธอบนรถเมล์เลย”

หลอดเลือดและลิ้นพุ่งเข้าใส่รองเท้าส้นสูงสีแดง ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่เดิม ไม่แสดงท่าทีว่าจะขยับตัว ตอนที่หลอดเลือดเข้ามาใกล้ เธอก็ยกสองมือขึ้น ผ้าพันแผลที่พันกระชับรอบตัวเธอเผยให้เห็นสัดส่วนอันสมบูรณ์ แต่ไม่มี ‘ใคร’ ที่จะมีอารมณ์มาชื่นชมรูปร่างของเธอ เลือดซึมออกมาจากผ้าพันแผล และเสียงหัวเราะบ้าคลั่งก็ดังออกมาจากริมฝีปากของเธอ ความเจ็บปวดที่ถักทอเป็นความบ้าคลั่ง และเธอก็ฉีกกระชากลิ้นและหลอดเลือดทั้งหมดขาดลงอย่างง่ายดาย จากนั้นเธอก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“เธอกำลังจะลงมือเองแล้ว?” เฉินเกอไม่เข้าใจว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงกำลังจะทำอะไร ถึงแม้ว่าเธอจะดูมีพลัง แต่เธอก็ยังอ่อนแอกว่าปิศาจหิวโหยในด้านความแข็งแกร่ง “หรือว่านี่จะเป็นเพราะเธอมีความสามารถพิเศษที่ร้ายกาจมาก?”

วิญญาณสีเลือดทุกคนนั้นมีพลังพิเศษที่แตกต่างกันไปขึ้นกับความทรงจำสุดท้ายในชั่ววินาทีก่อนตาย ตัวอย่างเช่น หญิงไร้หัวนั้นบังคับเลือดตัดผ่านสิ่งต่าง ๆ ได้ ซู่อินนั้นตรงกันข้าม ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเมื่อบาดแผลบนร่างเพิ่มขึ้น ซยงฉิง ที่ป่วยด้วยภาวะละเลยกึ่งปริภูมินั้นมีร่างกายซีกหนึ่งสร้างขึ้นจากหลอดเลือด และเขาก็สามารถเปลี่ยนมันไปอยู่ในรูปใด ๆ ที่เขาต้องการได้

ด้วยรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว เฉินเกอนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าพลังพิเศษของรองเท้าส้นสูงสีแดงคืออะไร แต่ในเมื่อพวกเขานั้นโดยทางเทคนิคแล้วอยู่บนเรือลำเดียวกัน ยิ่งรองเท้าส้นสูงสีแดงมีพลังแค่ไหน ก็ยิ่งเป็นข้อได้เปรียบที่เฉินเกอสามารถฉกฉวยได้

ถูกกักอยู่ในกรงที่ทำจากหลอดเลือดและลิ้นที่แลบเลื้อย หญิงไร้หัวและเด็กชายจึงไม่สามารถหนีออกไปได้ถึงอยากจะหนีก็ตาม ด้วยพลังของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถสู้กับปิศาจหิวโหยได้ ดังนั้นทางเลือกเดียวของพวกเขาก็ปกป้องด้านหลังให้รองเท้าส้นสูงสีแดง เมื่อมีหญิงไร้หัวและเด็กชายช่วยรับมือกับการโจมตีจากด้านหลัง ความกดดันของรองเท้าส้นสูงสีแดงก็ลดลง เธอฉีกทึ้งหลอดเลือดและลิ้นขณะคืบหน้าไปเรื่อย ๆ

“เธอกำลังวางแผนจะทำอะไร?” ภาพตรงหน้าเขานั้นสามารถอธิบายได้ว่าแดงเถือกไปทุกหย่อมหญ้า ขณะที่รองเท้าส้นสูงที่ดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับศัตรูนั้นเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อย ๆ

มีหลอดเลือดมากมายที่ทะลวงผ่านการป้องกันของรองเท้าส้นสูงสีแดงเข้าไปได้ แต่น่าแปลก เฉินเกอพบว่าถึงหลอดเลือดจะกระทบถูกร่างของรองเท้าส้นสูงสีแดง มันก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทิ้งร่องรอยทำร้ายรุนแรงเอาไว้

มันเหมือนกับว่าผ้าพันแผลนั้นไม่ได้พันอยู่รอบร่างกาย แต่เป็นน้ำเลือดกองหนึ่ง ภายใต้การควบคุมของรองเท้าส้นสูงสีแดง เมื่อหลอดเลือดโจมตีร่างของเธอ เธอก็จะขยับโครงสร้างร่างกายของเธอเพื่อลดความเสียหายที่ได้รับให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด

การโจมตีของเธอนั้นไร้ผล ปิศาจหิวโหยจึงยิ่งกระวนกระวาย ปากบนร่างของเธอยื่นยาวออกมาเหมือนพยายามจะเอื้อมไปหารองเท้าส้นสูงสีแดงและฉีกทึ้งเธอด้วยฟันมากมาย ปิศาจหิวโหยนั้นปกติจะจำศีลอยู่ในโรงแรมในเมืองหลี่ว่านนี้ และเพราะขนาดของเธอ เธอจึงเคลื่อนที่ได้ช้ามาก วิญญาณสีเลือดตนอื่น ๆ รู้ว่าเธอนั้นไม่ควรตอแยด้วย ดังนั้นพวกเขาน้อยนักที่จะเข้ามาในอาณาเขตของเธอ นี่จึงหมายความว่าปิศาจหิวโหยไม่ค่อยจะมีโอกาสกลืนกินวิญญาณสีเลือดตนอื่น ๆ

เพราะตื่นเต้นกับอาหารอันหาได้ยาก ร่างกายของปิศาจหิวโหยจึงขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ เธอกลายไปเป็นภูเขาเนื้อกองหนึ่งและหลอดเลือดที่ยื่นยาวออกมาจากร่างของเธอก็เพิ่มมากขึ้น และพวกมันยังตั้งอกตั้งใจโจมตีใส่รองเท้าส้นสูงสีแดง จู่ ๆ เธอก็คลั่ง และเธอก็ควบคุมหลอดเลือดของเธอบังคับแยกรองเท้าส้นสูงสีแดงออกจากหญิงไร้หัวและเด็กชาย เธอใช้พลังสามในสี่ของตัวเองกับรองเท้าส้นสูงสีแดงขณะที่พลังอีกหนึ่งในสี่ที่เหลือนั้นโจมตีใส่หญิงไร้หัวและเด็กชาย

หญิงไร้หัวตัดหลอดเลือดขาดมากเท่าใด ก็มีลิ้นมาแทนที่พวกมันมากเท่านั้น นี่เป็นการต่อสู้อย่างไม่ยุติธรรม ถึงแม้ว่าเธอจะตัดและเฉือนหลอดเลือดจนมันระเบิดออก มันกลับไม่ก่อความเสียหายให้กับปิศาจหิวโหยเลย แต่ว่า เมื่อเธอถูกลิ้นหนึ่งจับตัวได้ เธอกลับเสียโอกาสที่จะสู้กลับ เธอถูกลากไปทางปิศาจหิวโหยและกำลังจะถูกส่งเข้าไปในท้องขนาดยักษ์ของมัน

“ปิศาจหิวโหยนี่ใช้พลังเพียงแค่หนึ่งในสี่ก็กีดกันหญิงไร้หัวออกไปจากการต่อสู้ได้ และยังดูไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกด้วย” ฝ่ามือของเฉินเกอลื่นไปด้วยเหงื่อ เขายังมองหาโอกาสอันดีอยู่

การคุกคามจากรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นรุนแรงกว่าหญิงไร้หัวมาก ถึงแม้ว่าเธอจะถูกล้อมเอาไว้ด้วยพลังส่วนใหญ่ของปิศาจหิวโหย รองเท้าส้นสูงสีแดงก็ยังสามารถลดระยะห่างระหว่างพวกเธอได้ช้า ๆ

เดิมที ปิศาจหิวโหยยังคงหวาดระแวงรองเท้าส้นสูงสีแดงอยู่บ้าง แต่ว่าตอนหลังมานี้ เธอน่าจะถูกความปรารถนาในอาหารนี้ทำให้ใจมืดบอด ดวงตาของเธอแดงก่ำ และเธอก็ทิ้งความหวาดระแวงก่อนหน้านี้ไป เธอกรีดร้องแล้วพุ่งเข้าหารองเท้าส้นสูงสีแดง ปากทั้งหมดบนร่างของเธออ้ากว้างราวกับเธอต้องการฉีกผู้หญิงตรงหน้าออกเป็นชิ้น ๆ แล้วยัดชิ้นส่วนเหล่านั้นเข้าไปในปากของเธอ

เสียงหัวเราะกังวานใสก้องขึ้นในห้องโถงโรงแรมอีกครั้ง เธอกางแขนออก ร่างกายอันสมบูรณ์แบบของเธอนั้นขัดกับร่างอันไม่น่าดูของปิศาจหิวโหย ผ้าพันแผลรอบตัวของฝ่ายแรกเริ่มหลุดออกตั้งแต่ศีรษะของเธอไล่ลงมา

“แกคิดว่าฉันสวยใช่ไหมล่ะ?” คำถามง่าย ๆ นี้ราวกับคำสาปอันน่ากลัวที่สุด สีแดงในดวงตาของปิศาจหิวโหยจางหายไปทันที ร่างใหญ่โตเซถอยหลังแต่มันก็สายไปแล้ว

ผ้าพันแผลหลุดออกจนหมด เลือดทุกหยดบนร่างของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังรุนแรง เลือดเหล่านั้นสาดใส่ร่างของปิศาจหิวโหย เลือดนั้นราวกับเปลวไฟลุกโชติช่วง ละอองโลหิตแทรกเข้าไป และทุกปากบนร่างของปิศาจหิวโหยก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวด

“เลือดทุกหยดนั้นคือคำสาป เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนี้ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่กัน? เธอสั่งสมความเกลียดชังลึกล้ำเช่นนี้เอาไว้ได้อย่างไร?” เฉินเกอดีใจที่เขาไม่ได้ล่วงเกินเธอ บางที แค่เลือดของเธอเพียงหยดเดียวก็สามารถสาปคนคนหนึ่งได้ไปตลอดชีวิตแล้ว

ควันสีดำและแดงพวยพุ่งออกมาจากร่างของปิศาจหิวโหย ร่างใหญ่โตของเธอหดเล็กลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ เปลวเพลิงคำสาปยังลุกโพลง และพวกมันก็ทิ้งรอยแผลน่าเกลียดเอาไว้

“หิว! หิว!” ตอนที่ร่างกายหดเล็กลง ปิศาจหิวโหยก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งใส่รองเท้าส้นสูงสีแดง มันดูเหมือนว่าการกินจะเป็นหนทางเดียวในการลดความเจ็บปวดของมันได้ เธอไม่สนใจว่าสิ่งที่เธอเพิ่งเอาเข้าท้องไปนั้นคืออะไร ต่อให้มันเป็นคำสาป เธอก็จะกินมันลงไปในคำเดียว

หลอดเลือดหลุดออกจากผนังและก่อตัวเป็นกรงรอบรองเท้าส้นสูงสีแดง ปิศาจหิวโหยชะโงกร่างใหญ่โตของมันมาทางรองเท้าส้นสูงสีแดง ปากของเธอยังอ้ากว้างขณะพุ่งเข้าไปหาเงาร่างมนุษย์ที่ตอนแรกนั้นมีผ้าพันแผลหุ้มเอาไว้

ร่างกายของปิศาจหิวโหยนั้นแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อเพราะว่าเธอสามารถทนคำสาปได้ ต่อให้คำสาปจะแผดเผา เธอก็ยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

“คำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นโถมเข้าใส่ร่างของปิศาจหิวโหย มันต้องใช้เวลาก่อนที่ฝ่ายหนึ่งจะสามารถจัดการอีกฝ่ายได้” เฉินเกอจับตามองรอบตัวอย่างตั้งใจ เขาเป็นกังวลว่าเลือดของรองเท้าส้นสูงสีแดงจะบังเอิญกระจายมาโดนซู่อิน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สั่งให้ซู่อินเข้าไปร่วมวงด้วย

ปิศาจหิวโหยอ่อนแรงลง และหลอดเลือดบางส่วนก็เหี่ยวแห้งไป ผนังเริ่มลอกหลุดและของเหลวสีดำก็ซึมออกมา ควาดกดดันบนร่างหญิงไร้หัวลดลง เธอตัดสินใจละทิ้งรองเท้าส้นสูงสีเลือดอย่างไม่ลังเลและหนีในตอนที่ยังทำได้ เด็กชายที่สวมชุดผู้ป่วยที่ข้างกายเธอนั้นก็มีความคิดเช่นเดียวกัน

วิญญาณทั้งสองร่วมแรงกันฉีกทึ้งผนังที่ก่อตัวจากหลอดเลือดส่วนที่อ่อนแอที่สุด ลิ้นและเส้นเลือดหลายชั้นถูกกระชากออก ปิศาจหิวโหยกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ความเจ็บปวดและความหิวอย่างควบคุมไม่ได้นั้นผสานรวมกัน ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนร่างของปิศาจหิวโหย

ร่างกายใหญ่โตเริ่มหดเล็กลง แขนขาที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยเลือดและเนื้อก็เริ่มปรากฏให้เห็น กลายเป็นว่าปิศาจตนนี้นั้นคลานอยู่บนพื้น แขนขาทั้งสี่นั้นมีโซ่สีดำพันธนาการเอาไว้ บางทีโซ่พวกนี้คงอยู่มานานแล้วจนบาดเข้าไปในเนื้อของเธอ และพวกเขาก็ถอดมันออกไม่ได้นอกเสียจากจะตัดแขนขาทิ้ง

“เดี๋ยวก่อนนะอันที่จริงปิศาจนี่ถูกกักขังเอาไว้ที่นี่เหรอ?” ปิศาจนั่นเงยหน้าขึ้นกู่ร้องขึ้นฟ้า โซ่ที่เชื่อมอยู่กับห้องลับในครัวนั้นถูกรั้งจนตึง เมื่อไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ความรู้สึกด้านลบต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นในใจของเธอ เธอบ้าคลั่งไปโดยสมบูรณ์แล้ว

ผิวหนังของเธอปริออก หลอดเลือดนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างของเธอ หลอดเลือดเส้นหนาบนผนังเองก็เปิดออกเป็นปาก คนทั่วไปคงนึกภาพเช่นนี้ที่ทุกแห่งหนล้วนแดงฉานไม่ออก และท่ามกลางสีแดง ยังมีปากจำนวนนับไม่ถ้วนอ้ากว้าง

“หิว! หิว!” อย่างที่เฉินเกอสงสัย ปิศาจหิวโหยนั้นมีความสามารถในการย่อยที่ยอดเยี่ยม หลอดเลือดสีแดงที่เธอสั่งสมเอาไว้นานนับหลายปีนั้นก็ไปถึงระดับที่แทบเป็นไปไม่ได้ เธอปล่อยพวกมันออกมาในครั้งเดียวและพริบตานั้น คลื่นสีแดงก็กวาดผ่านและกลืนกินทั้งโรมแรมลงไป

คลื่นหลอดเลือดนั้นฉีกทึ้งร่างครึ่งหนึ่งของหญิงไร้หัว และกะโหลกอันสำคัญที่สุดของเธอก็ถูกริมฝีปากมากมายที่ปรากฏอยู่บนหลอดเลือดกัดแทะ เด็กชายที่สวมชุดผู้ป่วยนั้นเหมือนล่องหนไป เขาอาจจะสลายไปได้ด้วยกระแสลมอันแผ่วเบาที่สุด

กระทั่งมีซู่อินและไป๋ชิวหลินขวางอยู่ด้านหน้าเฉินเกอ ตอนที่คลื่นที่แดงโถมมาถึงตัวเขา อากาศในปอดของเขาก็ถูกสูบออกจากร่าง มันเหมือนกับว่าหากคลื่นนั่นจะอยู่นานอีกสักหลายวินาที เขาก็คงตายจากการขาดอากาศหายใจ

“นี่เป็นศัตรูที่น่ากลัวมาก” เฉินเกอกัดปลายลิ้น ใช้ความเจ็บปวดกระตุ้นจิตใจ เฉินเกอหันไปมองรองเท้าส้นสูงที่อยู่ใกล้กับปิศาจหิวโหยที่สุด เธอบาดเจ็บมากที่สุดตอนที่คลื่นสีแดงกระทบถูก

รองเท้าส้นสูงสีแดงโซเซไปบนพื้น และผ้าพันแผลชุ่มเลือดก็หายไป เงาร่างพร่ามัวล้มอยู่กับพื้น มีหลอดเลือดมากมายขดรอบอยู่ ถึงอย่างนั้นหลอดเลือดที่กล้าเข้าไปใกล้เธอก็เน่าเปื่อยไปด้วยความเร็วราวกับแค่กะพริบตา ปิศาจหิวโหยไม่สนใจเรื่องนี้ ความหิวเข้าครอบงำจิตใจของเธอ และเธอก็สาบานว่าจะส่งทุกอย่างเข้าไปในกระเพาะของตน

“หิว! ฉันหิวมาก!” หลังจากปลดปล่อยเลือดทั้งหมดที่เธอสะสมมาเป็นเวลาหลายปี ร่างของปิศาจหิวโหยก็เริ่มหดราวกับลูกโป่งที่แฟบลง

“เธอคงจะไม่โจมตีอะไรออกมาอีกเป็นการชั่วคราว” เฉินเกอมองไปยังปิศาจหิวโหยที่สนใจอยู่กับการจับรองเท้าส้นสูงสีแดงและเขาก็พบว่าตอนนี้นี่แหละคือโอกาสของเขา

เขาพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนที่ถือเอาไว้ “เหมินหนาน!”

เด็กชายอายุราวห้าขวบสวมเสื้อสีแดงปรากฏขึ้นที่ข้างตัวฟางหยวน ในดวงตาปรากฏร่องรอยเกลียดชังไร้ที่สิ้นสุด

“มีวิญญาณสีเลือดที่บาดเจ็บสาหัสอยู่สามตน– กินพวกเขาลงไปสักคนหนึ่งน่าจะทำให้เธอต้องย่อยนานมากทีเดียว! ฉันใจกว้างกับเธอมากใช่ไหมล่ะ?” เฉินเกอรู้ว่าเหมินหนานจะพูดอะไร ดังนั้นจึงชิงพูดออกมาก่อน

“วิญญาณสีเลือดสามตน?” ตอนที่เหมินหนานปรากฏตัวออกมา เขาก็พบว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง แต่ตอนที่เขาชะโงกหน้าออกไปจากด้านหลังเฉินเกอ เขาก็แทบจะล้มก้นกระแทกพื้นด้วยความตกใจและหวาดกลัว ”วิญญาณสีเลือดยิ่งใหญ่? คุณบ้าไปแล้วหรือไง? ทำไมถึงไล่ตามสิ่งเช่นนี้?”

“หลังจากเธอกินเขาลงไป เธอก็จะกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือดยิ่งใหญ่เองเลยนะ!” โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว การลังเลจะนำไปสู่การเสียโอกาสไป เฉินเกอรู้ดี เขาคว้าตัวเหมินหนานเอาไว้แล้วเริ่มเดินไปข้างหน้า

“ปล่อยผม!”

ตอนที่เฉินเกอลุกขึ้น ปิศาจหิวโหยก็สังเกตเห็นเขาทันที เธอควบคุมหลอดเลือดกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่เพื่อหยุดเหมินหนาน ในตอนนี้นั้น เธอต้องการการฟื้นฟูอย่างสุดใจ หลอดเลือดลากผู้หญิงในผ้าพันแผลตรงเข้าไปยังปากที่อ้ารออยู่ช้า ๆ

“ซู่อิน!” เหมินหนานขวางหลอดเลือดเอาไว้และในที่สุดเฉินเกอก็ปล่อยไพ่ตายออกมา ด้วยนิสัยของเขา เหมินหนานนั้นไม่ใช่ฝ่ายจู่โจมที่ดี ดังนั้นแผนการเดิมของเฉินเกอก็คือใช้เขาดึงดูดความสนใจของปิศาจหิวโหย และการโจมตีแท้จริงของเขาก็คือซู่อิน

“หัว! จุดอ่อนของเธออยู่ที่หัว!” เสียงแทรกแกรกกรากดังอยู่ข้างหูเขา เลือดหยดติ๋ง และซู่อินที่ดูโศกเศร้าก็พุ่งผ่านหลอดเลือดที่พันกันอยู่เป็นก้อนราวกับดาบเล่มหนึ่ง เขากระโจนสูงขึ้นกลางอากาศก่อนที่จะไปตกลงที่ตรงไหล่ของปิศาจหิวโหย เขาแทงนิ้วทั้งสิบที่คมราวกับใบมีดเข้าไปที่ลำคอของปิศาจหิวโหย!

หลุบตามองเหยื่อของตนเอง ในดวงตาของปิศาจหิวโหยนั้นเต็มไปด้วยความตะกลามและความเกลียดชัง แขนของเขาเริ่มถูกดึงเข้าไปแล้ว!

“มันเจ็บไหม?” เลือดสาดกระจาย และทันใดนั้น ฝนเลือดก็เริ่มตกลงมาขณะที่หลอดเลือดทั้งหมดเริ่มเหี่ยวแห้งไป การต่อสู้ของวิญญาณสีเลือดทั้งสอง และหากรวมเหมินหนานและซู่อินเข้าไปด้วยนั้น ก็จะกลายเป็นวิญญาณสีเลือดสี่ตนสู้กับปิศาจหิวโหย

“เหมินหนาน ไปดูที่วิญญาณสีเลือดที่หัวกับตัวแยกกัน ไป๋ชิวหลิน ฉันต้องการให้นายจับเด็กชายในชุดผู้ป่วยที่กำลังจะสลายไปนั่นเอาไว้!”

ปิศาจหิวโหยตายแล้ว ดังนั้นเฉินเกอจึงเริ่มเข้าควบคุมสถานการณ์ ร่างครึ่งหนึ่งของหญิงไร้หัวเริ่มมีรอยแตก บาดแผลปกคลุมอยู่บนร่างและศีรษะที่ยังเหลืออยู่ของเธอ สถานการณ์ของรองเท้าส้นสูงสีแดงก็ไม่ดีไปกว่ากัน ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลในผ้าพันแผลนั้นหายไปอย่างช้า ๆ และรองเท้าที่ครั้งหนึ่งสีสันสดใสก็สูญเสียประกาย

ปัง!

ร่างกายมหึมาของปิศาจหิวโหยล้มลงกับพื้น เลือดคำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงยังคงลุกโชน ซู่อินหลบคำสาปและกลับไปที่ข้างตัวเฉินเกอ

เขาแบมือออกตรงหน้าเฉินเกอ และที่อยู่บนฝ่ามือก็เป็นหัวใจสีแดงเลือดที่ยังเต้นตุบอยู่

ในฐานะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลี่ว่าน หญิงไร้หัวย่อมรู้ว่าโรงแรมนี้นั้นเป็นอาณาเขตของปิศาจหิวโหย แต่ว่า เธอก็อาจจะไม่ได้คาดว่าผีตนนั้นจะถูกปลุกขึ้นจากการจำศีลในวินาทีที่เธอก้าวเท้าเข้ามาในโรงแรม

จากการประเมินแล้ว ถ้าพวกเขานั้นอยู่ห่างจากเหยื่อของพวกเขาไม่มากนัก วิญญาณสีเลือดย่อมต้องการเวลาแค่วินาทีเดียวในการสังหารคนธรรมดาคนหนึ่งได้ถึงสิบวิธี และนั่นเป็นเหตุผลให้เธอไม่ยินดีก้าวเท้าเข้ามาในโรงแรม จากมุมมองของเธอ เธอสามารถจัดการคนพวกนี้และถอยออกไปจากที่นี่ก่อนที่ผีผู้หญิงหิวโหยจะตื่นขึ้นมา เธอสู้ผีหิวโหยนั่นไม่ได้ แต่ว่าผีหิวโหยตนนั้นก็ต้องยากลำบากอยู่เหมือนกันหากจะไล่ล่าเธอข้ามเมือง

แผนการดูสมบูรณ์แบบจริง ๆ แต่โชคร้าย ศัตรูของเธอคือเฉินเกอ วินาทีที่เธอคิดว่าเฉินเกอเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งก็คือวินาทีที่เธอพ่ายแพ้แล้ว ในสายตาของวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง คนธรรมดา ๆ นั้นไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าอาหารที่สามารถมอบความอาฆาตแค้นให้พวกเขาได้ และในสายตาของเฉินเกอ วิญญาณสีเลือดธรรมดา ๆ ก็คืออาหารที่สามารถเพิ่มระดับพลังของพนักงานของเขาได้ ความคิดตรงกันทั้งสองฝ่ายและนั่นก็คือความยุติธรรมในสายตาของเฉินเกอ

ด้วยการจับจังหวะเวลาอย่างยอดเยี่ยม หญิงไร้หัวนั้นเพ่งสมาธิอยู่กับเฉินเกอและเธอก็พุ่งมายังจุดที่ห้องครัวเชื่อมต่อกับทางเดิน และนั่นก็คือวินาทีที่ผีหิวโหยเลือกที่จะออกมาจากห้องครัว

พวกเธออยู่ใกล้กันมากจนหญิงไร้หัวไม่มีโอกาสหลบหลีกได้ ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรับการโจมตีแรกจากผีหิวโหย จากนั้นเธอก็พยายามหนีสุดชีวิต

ผีหิวโหยดูเหมือนจะมองแผนการของหญิงไร้หัวออก ร่างกายใหญ่มหึมาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและหิวโหยก็พุ่งไปข้างหน้าเหมือนช้างตัวมหึมาที่กำลังแตกตื่น หมอกเลือดสลายไป และทั้งอาคารก็เขย่าราวกับมันมีชีวิตขึ้นมา หลอดเลือดที่บนผนังเต้นด้วยจังหวะพิเศษของมัน และพวกมันก็ผละออกจากผนังเหมือนโซ่เป็นสาย พวกมันถักทออยู่เหนือทางเข้าโรงแรม ปิดทางหนีของหญิงไร้หัว

ในดวงตาที่ไม่ได้พยายามปิดบังความอาฆาตแค้นของเธอ เลือดทะลักออกมาจากลำคอของหญิงไร้หัว เธอรู้ว่าเธอไม่ได้เปรียบ ดังนั้นเธอจึงไม่ตรงเข้าไปสู้กับผีหิวโหยอย่างมืดบอด กลับกัน เธอรวบรวมพลังและให้หลอดเลือดมาออกันอยู่รอบตัวเธอ

หัวที่ถูกตัดออกมาของเธอถูกเย็บกลับเข้าไปกับร่างของเธอ นี่น่าจะเป็นรูปลักษณ์ของเธอก่อนที่เธอจะตาย เธอสวมชุดนอน ทุกตารางนิ้วของเสื้อผ้านั้นย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด

หลอดเลือดตวัดฟาดมาทางเธอ เธอพยายามหลบ แต่ว่าเลือดพวกนั้นเคลื่อนไหวเร็วเกินไปสำหรับเธอ เมื่อหนีไม่ได้ เธอก็ใช้เลือดตัวเองห่อหุ้มร่างของเธอเอาไว้เหมือนเป็นเกราะป้องกันเธอจากแรงกระแทก

ผีหิวโหยนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่ปลายนิ้ว เพียงแค่ควบคุมโซ่หลอดเลือดเส้นหนาก็ทำให้หญิงไร้หัวรับมือได้ลำบากแล้ว

“ความแตกต่างของพลังช่างกว้างนัก!” ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้สำหรับเฉินเกอก็คือสถานการณ์ที่เสมอกัน จะดีที่สุดถ้าวิญญาณสีเลือดทั้งสองตนนั้นอ่อนแอลงหลังจากต่อสู้กัน แต่ว่า จากที่เขากำลังมองอยู่นี้ ผีหิวโหยนั้นกำลังจะชนะอย่างง่ายดาย เธอสามารถทรมานและสังหารหญิงไร้หัวได้อย่างง่ายดายโดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย

ในเกมของเสี่ยวปู้ เฉินเกอควบคุมตัวเสี่ยวปู้ออกไปจากที่นี่ตอนที่วิญญาณสีเลือดทั้งสองตนเริ่มสู้กัน เขาไม่รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่หลังจากนี้

“ฉันควรจะพยายามช่วยให้หญิงไร้หัวนั่นให้ตีตื้นขึ้นมาหน่อยไหม?” ตอนนี้ มีตัวเลือกสามข้ออยู่ตรงหน้าเฉินเกอ หนึ่งคือช่วยหญิงไร้หัวสู้กับผีหิวโหยนี่ หลังจากผีหิวโหยถูกจัดการ เขาก็หันกลับไปจัดการกับหญิงไร้หัว แผนการนี้มีปัจจัยให้เกิดเรื่องผิดพลาดมากเกินไป อย่างเช่น หญิงไร้หัวอาจใช้เฉินเกอเป็นโล่และหนีไปตอนที่เขาสู้ติดพันอยู่กับผีหิวโหย อย่างไรเสีย ก็ไม่มีสัญญาณอะไรว่าเธอจะยินดีร่วมมือกับเฉินเกอ

ตัวเลือกที่สองคือไม่ต้องทำอะไรเลย หลังจากผีหิวโหยทำให้หญิงไร้หัวบาดเจ็บสาหัส เขาก็จะให้จางหยาจัดการกับผีหิวโหย นั่นเป็นแผนการที่ปลอดภัยที่สุด แต่เงื่อนไขใหญ่ที่สุดก็คือจางหยานั้นไม่ได้มีอะไรบอกเลยว่าเธอยินดีจะปรากฏตัวออกมา ไม่ว่าเฉินเกอจะพยายามเรียกเธอออกมาเท่าไหร่ เธอก็ไม่ตอบสนองอะไรเขาเลย

ทางเลือกที่สามคือหันหลังกลับออกไปจากที่นี่ นอกจากจางหยา เฉินเกอก็ไม่มีวิญญาณสีเลือดที่สมบูรณ์เลย เขาไม่สามารถอาศัยจำนวนที่มากกว่ารับมือกับวิญญาณสีเลือดสักตนได้ แต่เมื่อศัตรูคือวิญญาณสีเลือดร่างใหญ่นี่ ทางเลือกเดียวนี้ก็หวนกลับมา

“บางที ฉันอาจจะมาถึงเร็วเกินไป หากฉันมีเวลาสักสัปดาห์หนึ่ง ฉันอาจจะได้ช่วยซู่อินตามหาหัวใจของเขา และไป๋ชิวหลินก็อาจจะย่อยหัวใจของสยงฉิงสำเร็จ ถึงตอนนั้น ฉันก็จะมีวิญญาณสีเลือดสองตนอยู่ข้าง ๆ และตัวเลือกที่ฉันมีก็จะมากกว่านี้” เฉินเกอคร่ำครวญถึงจำนวนชั่วโมงที่น้อยเกินไปในแต่ละวันถึงแม้ว่าเขาจะใช้เวลาทั้งหมดให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้วก็ตาม เขาทำงานทั้งวันทั้งคืน– ถ้าเป็นคนอื่นมาแทนที่เขาก็คงจะล้มพับลงไปแล้ว

เฉินเกอหยุดคิดอยู่หนึ่งหรือสองนาที แต่สถานการณ์ด้านในโรงแรมเริ่มเปลี่ยน ร่างใหญ่โตของปิศาจนั่นเริ่มแยกออกเผยให้เห็นช่องเล็ก ๆ คล้ายปากมากมาย และเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังมาจากด้านใน

“หิว…” มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจำแนกว่าเสียงออกมาจากช่องไหนเป็นช่องแรก เดิมที เสียงนั้นแผ่วเบามาก แต่ว่าเมื่อทุก ๆ ปากเริ่มส่งเสียงพร้อมกันขึ้นเรื่อย ๆ ปากจำนวนนับไม่ถ้วนอ้าและหุบพร้อมกันอยู่บนร่างใหญ่โตนั่น มันเป็นภาพที่ยากจะบรรยาย หญิงไร้หัวรู้สึกกดดัน และเธอก็เริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ตั้งแต่แรก เธอไม่เคยคิดถึงการต่อสู้เลย– เป้าหมายของเธอตลอดเวลานี้ก็คือพยายามหนี

“หิว หิว ฉันหิวมาก!” ผีหิวโหยกรีดร้อง และปากบนร่างก็ฉีกเปิด หลอดเลือดจำนวนมากถักทอเข้าด้วยกัน และมันก็ดูราวกับเป็นลิ้นลื่น ๆ จำนวนมากยื่นออกมาจากปากมากมายเหล่านั้น

“เจ้าสิ่งนี้ทรงพลังเกินไป” ด้วยดวงตาหยินหยาง เฉินเกอจึงมองเห็นความแตกต่างเล็กน้อยของปากมากมายบนร่างปิศาจนั่นได้ มันเหมือนว่าจะเป็นปากของคนละคนกัน “เธอเก็บ ‘ปาก’ ของ ‘อาหาร’ เหล่านั้นที่ถูกส่งเข้าท้องเธอเอาไว้? ปากบนร่างของเธอเป็นของเหยื่อของเธอ?”

ลิ้นสีแดงเลือดเลื้อยไปทางหญิงไร้หัว พื้นที่ให้หญิงไร้หัวหลบหนีนั้นเล็กลงเรื่อย ๆ แล้ว เธอถูกบีบให้ต้องขยับเข้าไปที่มุมด้านซ้ายของห้องโถง แต่ในที่สุด หนึ่งในลิ้นเหล่านั้นก็พันรอบขาของเธอได้จนได้

“นี่ไม่ดีแล้ว!” เฉินเกอลุกขึ้นยืน ระดับพลังระหว่างวิญญาณสีเลือดสองตนนี้นั้นแตกต่างกันเกินไป การต่อสู้อาจจะจบลงในพริบตาเดียว ได้เวลาที่เขาต้องเลือกแล้ว “ถ้าฉันช่วยผีไร้หัว เธอก็อาจจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือของฉัน แต่ว่า ถ้าฉันหนี ปิศาจหิวโหยก็มีแต่จะกลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นหลังจากกินหญิงไร้หัวเข้าไป”

วิญญาณสีเลือดปกตินั้นอาจจะต้องจำศีลยาวนานหลังจากกินวิญญาณสีเลือดอีกตนเข้าไป แต่ฟางหยวนรู้สึกว่าผีหิวโหยนี้อาจจะม่ความสามารถในการลดระยะเวลาจำศีลลงให้เหลือน้อยที่สุดได้ เธอบอกว่าเธอหิว ร่างปิศาจนั้นคล้ายกับหลุมดำที่ไม่เคยเต็ม ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องบ้าที่จะสันนิษฐานว่าเธออาจจะครอบครองความสามารถในการย่อยที่เหนือกว่าวิญญาณอื่น ๆ มากอยู่

“ผีหิวโหยนั้นมีหน้าที่ปกป้องโรงแรม และโรงแรมก็ถูกสร้างเอาไว้ที่กลางเมืองหลี่ว่าน เห็นได้ชัดเจนว่า เงานั่นเชื่อถือเธอมาก– นั่นคือเหตุผลเดียวที่เขามอบตำแหน่งสำคัญให้เธอดูแล เธอจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นหลังจากกินหญิงไร้หัวเข้าไป และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับฉันเมื่อฉันสู้กับเงานั่นในอนาคต” เฉินเกอมองการณ์ไกลไปถึงอนาคต เขาไม่ได้จำกัดสายตาตัวเอาไว้แค่สถานการณ์ตรงหน้าเขาเท่านั้น “ถ้าแค่จางหยาอยู่ที่นี่ เรื่องมันก็จะไม่ซับซ้อนอย่างนี้แล้ว”

เฉินเกอหันกลับไปมองไปที่เงาของตัวเอง เขาเดิมทีนั้นตั้งใจแค่จะชำเลืองมองเท่านั้น แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเงาของเขานั้นเปลี่ยนไปด้วยความเร็วที่ช้าจนไม่น่าเชื่อ

“จางหยาซ่อนตัวอยู่ในเงาของฉัน เธอกำลังทำอะไรอยู่?” เฉินเกอไม่มีเวลาหยุดและคิดเพราะว่าเสียงกรีดร้องของหญิงไร้หัวนั้นก้องไปทั่วห้องโถง เฉินเกอหันกลับไปดูการต่อสู้และเขาก็เห็นหญิงไร้หัวตัดขาตัวเองที่ถูกลิ้นพันเอาไว้ทิ้งด้วยตัวเอง หลังจากมันหลุดออกจากร่างเธอ ขาก็สลายกลายไปเป็นหลอดเลือดกลุ่มหนึ่ง และพวกมันก็ถูกลิ้นนั่นลากกลับเข้าไปในร่างของปิศาจหิวโหย

เมื่อได้รสชาติของเลือดสด ๆ ปิศาจก็บ้าคลั่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งร่างของเธอสั่นด้วยความตื่นเต้นล้วน ๆ ริมฝีปากยังเปิดอ้าและหุบเมื่อลิ้นเลือดมากมายยื่นออกไปทางหญิงไร้หัว

เมื่อถูกบีบจนมุม หญิงไร้หัวก็รู้ว่าไม่มีทางที่เธอจะหนีได้แล้ว หลอดเลือดบนร่างของเธอเริ่มหดและขยับไปอยู่บริเวณรอบลำคอของเธอ มันดูเหมือนเธอพยายามจะทิ้งร่างตัวเองและหนีไปพร้อมกับหัวของเธอเท่านั้น

ปัง!

ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนี้ ทางเข้าโรงแรมที่ถูกล็อกเอาไว้โดยผีหิวโหยจู่ ๆ ก็ถูกผลักเปิดออก เด็กชายเล็ก ๆ ในชุดผู้ป่วยวิ่งเข้ามาในห้องโถง ร้องไห้และตะโกน เขาดูอายุราวสี่ขวบ และเสื้อที่เขาสวมอยู่นั้นก็ขาดกะรุ่งกะริ่ง เขาดูน่าสงสารมาก

เฉินเกอกำลังจะลงมือ แต่พอเขาเห็นเด็กชาย เขาก็หยุด กระทั่งในสถานการณ์เช่นนี้ ฟางหยวนก็ยังคงรักษาความใจเย็นเหนือมนุษย์ของตนเอาไว้ได้ เพียงชำเลืองมองแวบเดียว เฉินเกอก็พบว่าเด็กชายสวมชุดผู้ป่วยที่ต่างไปจากที่เขาเห็นที่โรงพยาบาลเมืองหลี่ว่าน ดังนั้น เด็กชายคนนี้น่าจะเป็นผู้ป่วยที่ถูกส่งมายังเมืองหลี่ว่านจากโรงพยาบาลต้องสาปนั่น ตัวตนที่น่ากลัวที่สุดในโรงพยาบาลเมืองหลี่ว่าน

“มีเลือดเปื้อนอยู่บนร่างเขา อย่างนั้นเขาคงเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง แต่ในเมื่อเด็กชายปรากฏตัวขึ้นมาตอนนี้ มันก็หมายความว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นก็คงอยู่ไม่ไกลแล้ว!”

โรงแรมนั้นอันตรายที่สุดแต่ก็เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองหลี่ว่านด้วย สามารถผลักดันให้กึ่งวิญญาณสีเลือดอยู่ในสภาพนี้ได้ นั่นแสดงให้เห็นถึงระดับพลังของรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น

หลังจากทางเข้าโรงแรมถูกพังเปิด เด็กชายวิ่งเข้าไปในห้องโถงโดยไม่หยุดดูอะไรเลย จากมุมมองของเขา สิ่งที่อยู่ด้านหลังเขานั้นเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุด แต่ด้วยความสิ้นหวังของเขา หลังจากเขาพุ่งเข้าไปในตึก ความเข้าใจเกี่ยวกับความสยองของเขาก็เปลี่ยนไป

หลอดเลือดเส้นหนาใหญ่เชื่อมต่อกัน และไม่ไกลจากเขานัก ปิศาจที่มีปากมากมายกำลังอาละวาด ลิ้นมากมายเลื้อยออกมาจากหลอดเลือดคราวกับพยายามที่จะกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในตึกเข้าไป ใบหน้าเด็กชายเผือดขาวทันที เขาอยากจะถอยกลับออกไป แต่โอกาสนั้นกลับถูกยึดไป รองเท้าส้นสูงสีแดงคู่หนึ่งนั้นมาอยู่ด้านนอกทางเข้าโรงแรมแล้ว

เทียบกับหลอดเลือดที่เต้นตุบอยู่และปิศาจที่น่าสะอิดสะเอียนที่ด้านในโรงแรม รองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นดูสง่างามและน่ารักไปเลย

เฉินเกอไม่คิดว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงจะปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้ แต่ว่า เขาก็ต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง แม้ว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นจะเห็นผีหิวโหยตนนั้นแล้วรองเท้านั่นก็ยังก้าวเข้ามาในโรงแรมโดยไม่ลังเลนัก เขาไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นมั่นใจในพลังของตัวเองเป็นอย่างมากหรือเป็นเพราะว่าความต้องการข้อมูลบางอย่างจากเด็กชายเป็นอย่างยิ่ง ที่บีบบังคับให้เธอวู่วามเช่นนี้

ประตูโรงแรมนั้นเปิดอยู่ และนี่ก็ทำให้หญิงไร้หัวมีโอกาสหนี หลอดเลือดที่พันอยู่รอบตัวเธอระเบิด และส่วนหัวของเธอก็ลากร่างกายไร้ชีวิตของเธอออกไปทางประตู หญิงไร้หัวนั้นเก็บงำพลังเอาไว้ เธอไม่ได้แข็งแกร่งเท่าผีหิวโหยนั่นที่อยู่ในอาณาเขตของตัวเองด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่มีข้อได้เปรียบในด้านพื้นที่ นี่เป็นหนทางเดียวที่เธอทำได้

หลอดเลือดเล็กบางราวเข็มมากมายแทงทะลุหลอดเลือดและลิ้นราวกับมีด ผีหิวโหยและเฉินเกอนั้นประมาทหญิงไร้หัวไปมาก มีดมากมายนั้นราวกับเป็นทัณฑ์ทรมานที่หญิงไร้หัวได้รับตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ และมีดมากมายเหล่านั้นยังเกี่ยวข้องกับสาเหตุการตายของเธอ ความเจ็บปวดและความเกลียดชังนั้นเผาไหม้อยู่ในดวงวิญญาณของเธออย่างรุนแรง กระทั่งตอนที่เธอตายไปแล้ว เธอก็ยังไม่สามารถลืมความรู้สึกนั้นได้ เธอส่งผ่านความรู้สึกนั้นไปยังหลอดเลือดของเธอและนั่นทำให้หลอดเลือดที่ระเบิดออกจากลำคอของเธอนั้นมีคุณภาพต่างออกไปเมื่อเทียบกับหลอดเลือดที่วิญญาณสีเลือดตนอื่นใช้ ของเธอนั้นคมกริบอย่างยิ่ง

นี่น่าจะเป็นไพ่ตายของเธอแล้ว หลอดเลือดและลิ้นถูกตัดออก และหญิงไร้หัวก็เตรียมบุกฝ่าออกไป

สำหรับผู้คลั่งไคล้ในอาหารแล้ว การถูกขัดจังหวะงานเลี้ยงนั้นเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก ผีหิวโหยเพิ่งได้ลิ้มรสเลือดแต่กลับมีคนเข้ามาขัดตอนที่เธอกำลังจะได้กินอาหาร จากมุมมองของเธอแล้ว คนที่กล้ามาขัดมื้ออาหารของเธอนั้นควรได้รู้ว่าตนเองในที่สุดแล้วจะกลายมาเป็นอาหารบนโต๊ะของเธอ เธอต้องการการปลอบใจเป็นพิเศษจากอาหารเพื่อปลอบประโลมหัวใจอันบิดเบี้ยวและน่าเกลียดของเธอ

“หิว! ฉันหิวมาก!” ผนังลอกออก และเฉินเกอก็ต้องตกใจที่พบว่าโรงแรมนี้ไม่ได้ต่างไปจากห้องเก็บศพใต้ดินของคุณหมอเกาเท่าไหร่เลย เพดาน ผนัง และพื้นล้วนทำมาจากเลือดเนื้อและกระดูก

“ผนังของห้องเก็บศพใต้ดินนั้นทำมาจากศพ และผนังของโรงแรมนี้ก็น่าจะสร้างขึ้นมาจากอาหารที่เหลืออยู่ของผีผู้หญิงนั่น” จากมุมมองหนึ่ง โรงแรมของปิศาจหิวโหยนั้นก็คล้ายกับห้องเก็บศพใต้ดินย่อส่วน หากเฉินเกอไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง หากมีใครสักคนมาเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเขาก็คงไม่เชื่อ

ปิศาจหิวโหยนั้นครอบครองการควบคุมตึกนี้อย่างสมบูรณ์ ทั้งโรงแรมนั้นราวกับเป็นร่างที่สองของเธอ พื้นสั่นสะเทือน และบันไดก็ถล่มลงมา การตกแต่งทั้งหมดในห้องล้วนพลิกหงายพลิกคว่ำและประตูหน้าที่เด็กชายพังเข้ามาก็ปิดลงอีกครั้ง หลอดเลือดคืบคลานไปยังทางเข้าแล้วผนึกทางเข้าออกสนิท หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง หากพวกเขาไม่จัดการกับเธอ ก็ไม่มีใครที่จะออกไปจากที่นี่ได้

“ทางเลือกเดียวตอนนี้ก็คือบุกออกไป สถานการณ์ตอนนี้เข้าข้างฉันแล้ว!” เฉินเกอนั้นเป็นคนที่สามารถมองหาแสงสว่างริบหรี่ได้ในทุกสถานการณ์ ถ้ามีคุณสมบัติสักอย่างหนึ่งของผู้ชายคนนี้ที่ควรได้รับการยกย่อง มันก็คงเป็นการที่เขาสามารถมองหาความหวังได้ไม่ว่าเขาจะตกลงไปสู่หุบเหวดำมืดลึกเพียงใด “เมื่อรองเท้าส้นสูงสีแดงปรากกตัวขึ้น หากเธอร่วมมือกับหญิงไร้หัว มันก็เพียงพอที่จะรั้งปิศาจหิวโหยเอาไว้ หากฉันช่วยพวกเขาจากด้านข้าง ต่อให้ไม่ได้ยืมพลังของจางหยา ก็น่าจะพอมีโอกาสให้พวกเราจัดการกับปิศาจตนนี้ได้!”

เฉินเกอหวังว่าวิญญาณเหล่านี้จะยินดีกับการให้ความช่วยเหลือทันเวลาของเขา ไม่ว่าอย่างไร เฉินเกอก็จะไม่ปรากฏตัวออกไปทันที เขายืนขึ้นเตรียมตัว ซ่อนอยู่ในเงามืด รอที่จะลงมือเมื่อถึงเวลา

“มันก็ยังน่าแปลกใจอยู่ที่เมืองหลี่ว่านเป็นฉากระดับสามดาวครึ่ง เพียงแค่วิญญาณสีเลือดในแต่ละตึกก็ทรงพลังอย่างไม่น่าเป็นไปได้แล้ว ฉันอยากรู้ว่าปิศาจที่แข็งแกร่งที่สุดที่นี่จะมีหน้าตาอย่างไร”

ไม่ว่าปิศาจหิวโหยจะเป็นพวกเดียวกับเงานั่นหรือไม่ เฉินเกอก็ตัดสินใจจะฆ่าเธอ ปิศาจตนนี้นั้นถูกความหิวโหยของเธอเองกลืนกินไปแล้ว เธอไม่สามารถสื่อสารด้วยได้เลย หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง โอกาสที่เธอจะมาเป็นพนักงานของเขาได้นั้นเท่ากับศูนย์ “ชีวิตของเธอน่าจะเจ็บปวดอย่างไม่น่าเชื่อ ได้เวลาที่เธอจะได้รับการปลดปล่อยแล้ว”

หลังจากปิดตายโรงแรมแล้ว ปิศาจหิวโหยก็โจมตีเด็กชาย หญิงไร้หัว และรองเท้าส้นสูงสีแดงพร้อมกัน ร่างกายใหญ่โตเยื้องย่างไปข้างหน้า ทำให้ทั้งตึกสั่นสะเทือน ปิศาจและหัวที่เล็กอย่างไม่เข้ากันของเธอนั้นกรีดร้องพร้อมกัน ปากที่บนร่างของเธอนั้นฉีกเปิดพร้อมกัน เผยให้เห็นฟันที่เปื้อนไปด้วยเลือด

หลอดเลือดในโรงแรมเต้นตุบต่อเนื่อง ปิศาจหิวโหยเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เธอดูเหมือนตั้งใจจะใช้ปากมากมายของเธอนั้นเคี้ยวกินอาหารตรงหน้า

สถานการณ์อันตรายขึ้นเรื่อย ๆ จากจุดที่เขาซ่อนอยู่ ดวงตาของเฉินเกอเป็นประกายขึ้น “ปิศาจตนนี้นั้นไม่ได้ไร้พ่ายอย่างแท้จริง จนถึงตอนนี้ เธอมีจุดอ่อนอย่างน้อยสองจุด อย่างแรกก็คือความเร็วในการเคลื่อนที่ของเธอนั้นช้ามาก และเธอไม่คล่องแคล่ว สอง ถึงแม้ว่าจะมีปากมากมายนับไม่ถ้วนบนร่างของเธอ ปากทั้งหมดก็ยังฟังคำสั่งจากปากที่บนหัวของเธอ เทียบกับร่างกายที่ใหญ่โตอย่างไม่น่าเป็นไปได้ หัวเล็ก ๆ นั่นดูเปราะบางเป็นอย่างมาก!”

เฉินเกอนั้นไม่แน่ใจว่าปิศาจหิวโหยจะยังมีไพ่ตายอะไรที่ยังไม่เปิดเผยออกมาหรือไม่ เขาเรียกซู่อินและไป๋ชิวหลินออกมาเงียบ ๆ วางแผนหาโอกาสโจมตีจุดอ่อนของปิศาจตนนี้

 

 

TL note: ผู้แปลล้มป่วยกะทันหันจึงไม่สามารถอัพนิยายได้อย่างต่อเนื่องและคาดว่าน่าจะอัพได้ไม่สม่ำเสมอต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านด้วย

 

ได้เวลามื้อเย็นแล้ว!

“ปิศาจตัวใหญ่ขนาดนี้?” ความประทับใจแรกของฟางหยวนต่อวิญญาณสีเลือดในตู้เย็นก็คือขนาดตัวของเธอ ศีรษะของเธอนั้นดูค่อนข้างปกติ ใหญ่กว่าคนทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าตัวของเธอนั้นใหญ่จนเต็มห้องห้องหนึ่งได้เลย

เฉินเกอนั้นเคยเห็นวิญญาณสีเลือดมาก่อนหน้านี้ตั้งมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นวิญญาณสีเลือดที่มีขนาดใหญ่โตเช่นนี้

“นี่ยังน่าเกลียดที่สุดในบรรดาวิญญาณสีเลือดที่ฉันเคยเจอ” ทำงานที่บ้านผีสิง เฉินเกอนั้นเคยชินกับการแต่งหน้าให้ดูน่ากลัวดังนั้นเขาจึงมีความทนทานต่อภาพไม่น่าดูและน่าเกลียดสูง แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเขาเห็นวิญญาณสีเลือดที่ในห้องครัว เขาก็ยังต้องเบนสายตาหลบหลังจากมองไปแวบหนึ่ง

แค่ความน่ากลัวและน่าเกลียดดูจะไม่เพียงพอที่จะใช้บรรยายผู้หญิงคนนี้ สีหน้าบ้าคลั่งบนศีรษะขนาดเท่าลูกบาสเกตบอล และยังละอองเลือดที่ซึมออกมาจากร่างกายมหึมานั่น ถึงเขาจะอยู่ห่างออกมา เขาก็ยังได้กลิ่นเหม็นเน่าที่ละอองเหล่านั้นนำมา เฉินเกอไม่กล้าหันหลังกลับไปดูอีกครั้ง ความน่าเกลียดอย่างที่สุดของวิญญาณสีเลือดทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายอย่างร้ายแรง ผู้หญิงคนนี้น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับผีในบ่อที่ในหมู่บ้านโลงศพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง วิญญาณสีเลือดตนนี้นั้นทรงพลังมากพอที่จะแบกฉากระดับสามดาวนี้เอาไว้คนเดียว

“เมืองหลี่ว่านเองเป็นฉากระดับสามดาวครึ่ง ถ้าไม่คิดถึงอิทธิพลจากประตูที่หลุดจากการควบคุม ปิศาจตนนี้ก็น่าจะเป็นวิญญาณสีเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหลี่ว่าน ไม่แปลกใจเลยว่าโรงแรมนี้ถึงได้ตั้งอยู่กลางเมือง” สมองของเขาหมุนเร็วจี๋ เท้าของเฉินเกอก็ไม่ได้ชะลอลง และไม่ช้า เขาก็ไปถึงที่ประตูห้องที่หนึ่ง

เขาคว้าลูกบิดประตู แต่ก่อนที่เขาจะทันทำอะไรอื่น กะโหลกศีรษะที่ห้อยหลวม ๆ อยู่กับหลอดเลือดมากมายก็พุ่งมาที่เขาจากที่ไกล ๆ ดวงตาของมันเป็นประกายสีแดงก่ำ– ผู้หญิงไร้หัวสาบานว่าจะฆ่าเฉินเกอให้ได้!

เฉินเกอร้องเรียกซู่อินอยู่ในใจ เขาเตรียมการถอยเอาไว้หมดแล้ว แต่ตอนนี้ ประตูห้องครัวแง้มเปิดออกช้า ๆ และผนังที่รอบด้านก็ราวกับจะมีชีวิตขึ้นมา หลอดเลือดเส้นหนามากมายผุดขึ้นที่บนผนัง และพวกมันก็เต้นตุบอย่างน่ากลัวราวกับมีเลือดไหลเวียนอยู่ข้างใน

ประตูไม้แง้มออกส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด หญิงไร้หัวหยุดการโจมตีใส่เฉินเกอ หลอดเลือดลากหัวกลับไปยังอ้อมแขนที่คอยปกป้องของเธอ

“ทำไมมันถึงเหมือนกับว่าเธอมองหัวเธอเป็นว่าวสักตัวล่ะเนี่ย?” เฉินเกอใช้โอกาสนี้หนีออกมา วิญญาณสีเลือดสองตนเจอกันแล้ว– เป้าหมายของเขาสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงเหลือสิ่งสุดท้ายให้ทำ เขาตั้งสมาธิ เฉินเกอมองเข้าไปในหัวใจของตนเอง

“จางหยา? เธอรู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”

“จางหยา? เธอได้ยินฉันไหม?”

“จางหยา? ฉันมีอาหารมื้ออร่อยเตรียมให้เธอนะ!”

“พี่สาว! ได้เวลาตื่นแล้ว! ได้เวลามื้อเย็นแล้วนะ!”

เฉินเกอ ที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้จะเผชิญหน้ากับวิญญาณสีเลือดเริ่มตัวสั่นในเหงื่อเย็นเยียบ หากความสามารถในการต่อสู้เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของผู้โดยสารสี่คนขึ้นอยู่กับเฉินเกอแล้วละก็ ความมั่นใจเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของเฉินเกอก็มาจากจางหยานี่แหละ

วิญญาณสีเลือดที่สามารถแบกฉากระดับสามดาวด้วยมือเดียวนั้นแข็งแกร่งกว่าซู่อินมากนัก กระทั่งมีความช่วยเหลือจากเหมินหนานก็ยังถ่วงเวลาได้อีกแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ขณะที่เขาเรียกชื่อจางหยา เฉินเกอก็ค้นไปทั่วกระเป๋าของเขา

เฉินเกอมีไพ่ตายมากมาย เขามีวิญญาณสีเลือดที่อ่อนแอที่สุด เหมินหนาน และกึ่งวิญญาณสีเลือดที่แข็งแกร่งที่สุด เอี๋ยนต้าเหนียน เขายังมีเพื่อนอีกตั้งมาก แต่ไม่มีใครที่ทรงพลังพอที่จะช่วยเขาหยุดผีหิวโหยนี่ ตอนที่เขาวางแผน เฉินเกอคิดถึงปัจจัยมากมาย เขายังแน่ใจว่าไม่ได้พลาดรายละเอียดใดไป แต่สิ่งเดียวที่เขาลืมไปก็คือสถานการณ์ที่จางหยาปลุกไม่ตื่น

“เมื่อวิญญาณสีเลือดกินเข้าไปเยอะเกิน พวกเขาก็จะต้องจำศีล ด้วยระดับพลังของจางหยาตอนนี้ ต่อให้เธอกินวิญญาณสีเลือดทั่วไปสักตนเข้าไป เธอก็ไม่ต้องจำศีล นี่หมายความว่าเลือดสองสามหยดที่ออกมาจากคุณหมอเกาตอนที่พวกเราอยู่ในประตูนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มากกว่าวิญญาณสีเลือดทั่วไป?” ตอนที่เฉินเกอไล่ตามผีในน้ำ เขาบังเอิญเข้าไปในตึกที่ถูกไฟไหม้ ด้านหลังประตูบานหนึ่งของที่นั่น เขาบังเอิญเจอคุณหมอเกาที่หายตัวไป

ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่แวบเดียว เขาก็แน่ใจว่า ‘ปิศาจ’ นั่นคือคุณหมอเกา เพื่อขัดขวางแผนการของเงานั่น เฉินเกอยังทิ้งข้อความให้คุณหมอเกาบอกให้เขามาที่เมืองหลี่ว่าน จิ่วเจียงตะวันออก ตอนนี้ที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ ถ้าหากโลกที่ด้านหลังประตูนั้นเชื่อมถึงกัน ฝันร้ายครั้งใหญ่นั้นเกิดจากฝันร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน อย่างนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่คุณหมอเกาจะมาที่เมืองหลี่ว่านนี่

แผนที่ของจิ่วเจียงปรากฏขึ้นในใจเฉินเกอ คุณหมอเกาทำลายประตูที่ในห้องเก็บศพใต้ดินในวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียง เขาหายตัวไปด้านหลังประตูที่ตำแหน่งนั้น และครั้งที่สองที่เขาปรากฏตัวขึ้นก็เป็นที่เขตที่พักอาศัยติดกับโรงเรียนเด็กพิเศษ และเมืองหลี่ว่าน ทั้งสามตำแหน่งนี้บังเอิญเป็นเส้นตรงเดียวกันที่บนแผนที่เมืองจิ่วเจียง

“คุณหมอเกาเคลื่อนไหวอยู่ในโลกด้านหลังประตู ดังนั้นสิ่งที่เขาตามหาน่าจะอยู่ในจิ่วเจียงตะวันออกเช่นกัน” หลังจากตระหนักถึงเรื่องนี้ เฉินเกอก็ไม่รู้สึกผ่อนคลายอีกต่อไป และยังกระสับกระส่ายมากขึ้น

ผีหิวโหยนั้นมีพลังมากถึงขนาดที่สามารถรองรับฉากระดับสามดาวได้ด้วยตัวเอง แต่ตอนที่คุณหมอเกายังมีชีวิตอยู่ เขายังสามารถใช้กฎมากมายของโลกที่ด้านหลังประตูสร้างฉากระดับสามดาวได้ ตอนนี้ หลังจากที่เขาตายแล้ว เขาย่อมเปลี่ยนไปเป็นบางอย่างที่ทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันโดยสิ้นเชิง

ประตูในเมืองหลี่ว่านหลุดออกจากการควบคุม และเพราะอย่างนั้น ฉากนี้จึงกลายเป็นภารกิจระดับสามดาวของโทรศัพท์เครื่องดำ

ที่ห้องเก็บศพใต้ดิน คุณหมอเกาใช้ร่างเป็น ๆ ของเขารองรับความสิ้นหวังทั้งมวลในฉากและกลืนกินประตูทั้งบานลงไป ประตูถูกทำลายด้วยวิธีอันไม่อาจจะจินตนาการได้ แต่ในฐานะผู้เปิดประตู คุณหมอเกานั้นเกินจะควบคุมได้ เฉินเกอนั้นรู้สึกว่าตัวคุณหมอเกาเองนั้นก็เหมือนกับฉากระดับสามดาวครึ่งที่เคลื่อนที่ได้

“คุณหมอเกาน่าจะปรากฏตัวในเมืองหลี่ว่าน และเงานั่นยังเลี้ยงดูผีทารกซึ่งทำให้เกิดเป็นฉากระดับสี่ดาวที่อาจจะนับได้ว่าเป็นไพ่ตายของเขา นั่นยังไม่นับผู้เปิดประตูที่เมืองหลี่ว่าน– เสี่ยวปู้ ถึงฉันจะมีจางหยาและพนักงานของฉันมาทำภารกิจนี้ด้วยกัน ฉันก็อาจจะไม่ได้เปรียบอะไร ตอนนี้ ไม่มีทางบอกได้เลยว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร”

เฉินเกอนั้นไม่สามารถมีอิทธิพลเหนือคุณหมอเกาและเสี่ยวปู้ได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือพยายามแข็งแกร่งขึ้นเมื่อมีโอกาส วิญญาณสีเลือดทั้งสองนี้ก็คงไม่สามารถคุมเชิงกันได้นานนัก ตามที่เฉินเกอคาดเอาไว้ เมื่อผีหิวโหยเห็นสองร่างที่ประตูแล้ว เธอน่าจะคลั่งขึ้นมาได้

วิญญาณสีเลือดทรงพลังเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งโหดร้ายและป่าเถื่อนเท่านั้น วิญญาณสีเลือดน่าเกลียดที่ออกมาจากห้องครัวนั้นมีร่างกายใหญ่โตที่เชื่อมต่อกับทั้งโรงแรม หมอกเลือดที่นำเอากลิ่นเหม็นเน่าน่าคลื่นเหียนซึมผ่านผนัง เพดาน และพื้น หลอดเลือดที่เต้นตุบเริ่มปรากฏขึ้นทุกแห่ง

ภาพตรงหน้าทำให้เฉินเกอนึกถึงโลกด้านหลังประตูที่ห้องเก็บศพใต้ดิน มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกกลืนลงไปในท้องของสัตว์ประหลาด

“นี่ดูไม่ดีแล้ว…” เฉินเกอพยายามเรียกจางหยาอีกครั้ง แต่เธอไม่ตอบสนองอะไรกลับมาเลย มันเหมือนว่าเธอจะปรากฏตัวขึ้นเฉพาะตอนที่เขาอยู่ในอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตจริง ๆ เท่านั้น

“การต่อสู้ระหว่างเสือสองตัวนำไปสู่การบาดเจ็บมากมาย– นี่เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยม! แต่ในฐานะของคนเป็นคนหนึ่ง มันยากเกินไปที่ฉันจะสามารถฉวยโอกาสจากวิญญาณสีเลือดได้” เฉินเกอกลั้นหายใจขณะถอยไปยังบันได แต่ว่า เขาก็ไม่ยินยอมจากไปเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะรออีกครู่หนึ่ง

 

วิญญาณสีเลือดเต็มขั้น (1+2)

ในขวดมีเส้นเลือดไม่มากนัก บางทีอาจจะแค่หนึ่งในห้าของที่เจ้าแมวขาวเคยกินลงไปที่ในหมู่บ้านโลงศพ หลังจากกลืน ‘ยา’ ลงไป มือกรรไกรก็ถูกความเจ็บปวดโจมตี เขากุมหัวเอาไว้และล้มไปกับพื้น ใบหน้าโหยหวนของผีมากมายดูเหมือนจะปรากฏขึ้นในสายตาของเขา และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปตามใบหน้าของผีที่ปรากฏในสายตาของเขา

เพื่อรับมือกับความเจ็บปวด มือกรรไกรฉีกเปิดแผลสดบนร่างของตัวเองหลายแผล และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือภายใต้แผลสดใหม่เหล่านั้นนั้นเป็นหลอดเลือดเล็กบางมากมายคืบคลานไปรอบ ๆ ราวกับปลา

ความเจ็บปวดนั้นคงอยู่นานราวสิบนาที ทั้งร่างของมือกรรไกรชุ่มไปด้วยเหงื่อ หลังจากคลื่นความเจ็บปวดลูกสุดท้ายจางหายไป เขาก็ผละขึ้นจากพื้นกัดฟันแน่น แผลบนใบหน้าของเขามีเลือดซึมออกมาเรื่อย ๆ และเลือดก็ไหลเป็นทางไปตามใบหน้าของเขาย้อมคอเสื้อของเขา มันเพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ให้กับรูปลักษณ์ของมือกรรไกร

“ฉันยังมีชีวิตอยู่!” ตอนที่เขาค่อย ๆ กลับมาควบคุมร่างกายตัวเองได้ มือกรรไกรก็ตะกายลุกขึ้นจากพื้น นี่เป็นสัญญาณว่าขวดแก้วที่มีหลอดเลือดอยู่นั้นเป็นยาต้านพิษของจริง เขากำหมัดแน่นก่อนที่จะคลายออก ในที่สุด เขาก็เดินไปยืนตรงหน้าเฉินเกอ “ขอบคุณ”

“ผมไม่ได้ทำอะไร ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจของคุณ” หลังจากพูดอย่างนั้นแล้ว เฉินเกอก็หันไปมองผู้โดยสารอีกสองคน หมอส่ายหน้าและวางขวดที่มีตะกอนสีเทาลงไป เขามีสีหน้าเสียใจ

ชายขี้เมาลังเลว่าเขาควรจะกินของในขวดลงไปหรือไม่เพราะว่าเขากลัวความเจ็บปวดสุดแสนเช่นนั้น สุดท้ายแล้ว ภายใต้การสนับสนุนของมือกรรไกร ชายขี้เมาก็ยกขวดเลือดเทลงคอ

“ดูเขาเอาไว้ ผมจะไปคุยกับเจ้าของที่นี่สักหน่อย” เฉินเกอหยิบขวดที่มีตะกอนสีเทาอยู่เดินไปยืนตรงหน้าเจ้าของร่างอ้วน เขาหมุนเปิดฝา “ข้างในนี่เป็นยาพิษใช่ไหม?”

“มันคือยาแก้พิษเหมือนกัน ฉันไม่ได้โกหกแก!” เจ้าของยังปฏิเสธที่จะยอมรับการหลอกลวงของตัวเอง เฉินเกอไม่ต้องการเสียเวลาเถียงกับผู้ชายคนนี้ เขาง้างปากชายร่างอ้วนเปิดออกและกำลังจะเทตะกอนสีเทาในขวดลงคอเขาไป

“เดี๋ยวก่อน! พวกแกสามคนถูกพิษ และมียาแก้พิษแค่สองขวด ฉันจะบอกแกว่ายาแก้พิษขวดที่สามอยู่ที่ไหน!” เจ้าของร่างอ้วนดิ้นอย่างแรงทั้งที่นอนอยู่บนพื้น

“ขวดที่สาม?” เฉินเกอสนใจ หลอดเลือดดูเหมือนจะมีผลทางบวกกับเจ้าแมวขาว ดังนั้นหากมีอีกขวดหนึ่ง เขาก็สามารถนำมันกลับไปยังบ้านผีสิงเพื่อศึกษามันช้า ๆ

“ใช่ คราวนี้ฉันจะไม่โกหกแกแล้ว!” หน้าผากของเขามีเหงื่อเย็น ๆ ผุดพราย ดวงตายิบหยีมองไปยังเฉินเกอ

“ได้ ฉันจะเชื่อแกอีกครั้ง ยาแก้พิษขวดที่สามอยู่ที่ไหน?” เฉินเกอดึงเจ้าของร่างอ้วนขึ้นจากพื้นและทิ้งเขาลงบนเก้าอี้ ขณะที่ความเจ็บปวดถาโถมใส่เขา เจ้าของร่างอ้วนหน้าตาบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวด “อันที่จริงแล้ว ฉันเก็บยาแก้พิษขวดสุดท้ายเอาไว้ในตู้เย็นในครัว มันอยู่ในชั้นด้านบน ช่องฟรีซน่ะ”

“ตู้เย็นในห้องครัว?” หากไม่เพราะว่าเขาเคยเล่นเกมของเสี่ยวปู้มาก่อน เฉินเกอก็อาจจะเชื่อคำพูดของเจ้าของร่างอ้วน แต่เขารู้เป็นอย่างดีเลยว่าในห้องครัวไม่มียาแก้พิษ แต่มีวิญญาณสีเลือด

“ถ้าคุณไม่เชื่อผม คุณพาผมไปด้วยก็ได้” ดวงตาของชายร่างอ้วนเริ่มกลอกหลบ และมันก็มักจะชำเลืองมาทางกระเป๋าเฉินเกอที่ใส่ฟันพวกนั้นเอาไว้ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว

“แกไม่เรียนรู้บทเรียนของแกเลย” เฉินเกอง้างปากเจ้าของร่างอ้วนเปิดและเริ่มเทพิษในขวดลงไปในปากเขา แขนทั้งสองข้างของเขาใช้การไม่ได้ เจ้าของร่างอ้วนที่สามารถใช้ขาได้เพียงข้างเดียวพยายามดิ้นรนสุดชีวิต เขายังไม่รู้เลยว่าแผนการของเขานั้นเฉินเกอมองออกหมดแล้ว

“ฉันไม่ได้โกหกแก! ฉันเก็บยาแก้พิษเอาไว้ในตู้เย็นจริง ๆ ถ้าแกไม่เชื่อฉัน แกไปดูเองก็ได้!”

“กระทั่งตอนนี้แกก็ยังต้องการทำร้ายฉัน หัวใจของแกมันดำมืดสิ้นดี ไม่มีการไถ่บาปสำหรับคนอย่างแกหรอกนะ” เฉินเกอยกค้อนขึ้นและทำลายขาข้างที่ยังดีอยู่ของเจ้าของร่างอ้วนไป จากนั้น เขาก็หาผ้าผืนหนึ่งมายัดปากเจ้าของร่างอ้วน เสียงเคาะจากทางเข้าโรงแรมยังดังอยู่ เป็นสัญญาณว่าเฉินเกอเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว

“พวกคุณสองคนดีขึ้นหรือยัง?” เฉินเกอมองมือกรรไกรและชายขี้เมาที่ดูเหมือนเพิ่งดึงร่างขึ้นจากน้ำมา ร่างกายของพวกเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ และพวกเขาก็ดูโทรมมาก

“ผมไม่เคยรู้สึกดีกว่านี้เลย ทั้งร่างของผมเต็มไปด้วยพลัง มันเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสักสิบปี” ชายขี้เมาลุกขึ้นจากพื้น เหวี่ยงหมัดตัดอากาศ

“ถ้าคุณรู้สึกดีขึ้นแล้วก็มาช่วยผม ไปหาเชือกจากในโรงแรมมามัดพวกเขาสองคนกับเก้าอี้ ถ้าไม่มีเชือก ก็ฉีกผ้าปูเตียงมาทำเชือกไปก่อน” หลังจากเฉินเกอมอบหมายงานให้สองคนแล้วเขาก็หันไปทางหมอ “ไม่ต้องห่วง ผมจะไปดูทุกซอกทุกมุมในโรงแรม มันต้องมียาแก้พิษอยู่อีกตรงไหนสักที่”

“ได้” หมอฟุบอยู่กับโต๊ะอย่างอ่อนแรง “คุณแน่ใจเหรอว่าจะไม่ไปดูในห้องครัว? ผมสงสัย คุณรู้ได้ยังไงว่าเจ้าของโกหกคุณ? เห็นจากสีหน้าหรือว่าแค่จิตวิทยา?”

“ถ้าคุณอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในตู้เย็น ผมสามารถพาคุณไปดูที่นั่นด้วยตัวเอง” เฉินเกอมัดเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวเอาไว้กับเก้าอี้ จากนั้นเขาก็ลากทั้งสองคนไปทิ้งเอาไว้ที่ทางเข้าโรงแรม เมื่อผีไร้หัวพุ่งเข้ามาในตึก พวกเขาก็จะได้ต้อนรับเธอก่อนใคร เมื่อผีผู้หญิงลงมือกับพวกเขาสองคน เฉินเกอก็จะเริ่มก้าวต่อไปของแผนการของเขา– ปลดปล่อยผีที่กำลังกระหายในตู้เย็นออกมาและให้วิญญาณสีเลือดทั้งสองสู้กัน เขาจะรอเก็บเกี่ยวรางวัลในตอนจบ

“ยาแก้พิษไม่อยู่ในตู้เย็นแน่ ๆ พวกเราทางที่ดีใช้เวลาที่พวกเราเหลืออยู่ค้นที่อื่นที่ในโรงแรมนี้” เฉินเกอหาเจ้าแมวขาวและแกว่งขวดเปล่าที่เคยใส่หลอดเลือดเอาไว้ก่อนหน้านี้ไปตรงหน้าจมูกของมัน จากนั้นเขาก็โยนขวดเปล่านั่นทิ้งและชี้ไปตามทางเดินในโรงแรม “จำกลิ่นนี้ไว้ แล้วก็ ไป!”

ดวงตาต่างสีมองเฉินเกออย่างงุนงง และทั้หงมดที่เจ้าแมวขาวทำก็คือนั่งลงและเริ่มหมอบ

“พี่ชาย ทำไมคุณถึงทำเหมือนแมวคุณเป็นหมา?” ชายขี้เมาช่วยแบกหมอขึ้นจากโต๊ะ เห็นการกระทำของเฉินเกอแล้วเขาก็ยากจะคิดว่านี่เป็นคนเดียวกับชายบ้าคลั่งที่ลากค้อนไปมาก่อนหน้านี้

“ผมแค่พยายามปลดล็อกศักยภาพเต็มที่ของมัน” เห็นเจ้าแมวขาวคลานอยู่ใต้โต๊ะหลังจากเฉินเกอพยายามเกลี้ยกล่อมมันอยู่นาน ฝ่ายหลังนั้นรู้สึกปวดหัวหนึบขึ้นมาเลย เจ้าแมวนั้นตื่นตกใจง่ายขึ้นมากเทียบกับตอนที่เขาได้มันมาในตอนแรก หลังจากจัดการเอาพวกขยะขวางทางออกไปแล้ว ทั้งกลุ่มก็ขึ้นไปที่ชั้นสอง

มีป้ายห้ามเข้าอยู่ที่กลางทางเดิน และยังมีคราบเลือดที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดอยู่บนพื้น ตามรอยเลือดไปแล้วเฉินเกอก็ผลักเปิดประตูห้องหนึ่งเข้าไป ภาพข้างในนั้นสยดสยองเกินบรรยาย มันดูเหมือนมีการดิ้นรนต่อสู้อย่างรุนแรงเกิดขึ้นที่นี่ ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยเลือด

“จากความหนืดของเลือดแล้ว เวลาการตายของเหยื่อน่าจะอยู่ภายในสามชั่วโมงที่ผ่านมา หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ก่อนที่พวกเราจะมาถึงโรงแรมนี้ ก็เกิดการฆาตกรรมขึ้นที่นี่แล้ว” เฉินเกอนั่งยอง ๆ ลงกับพื้น เขาชินกับภาพเช่นนี้แล้ว

ชายขี้เมาพยักหน้าอย่างชื่นชม และจากนั้นเขาก็กระทบไหล่หมอที่อยู่ด้านหลังเขาเบา ๆ “คุณแน่ใจนะว่าเขาเป็นพนักงานที่สวนสนุกน่ะ? เขาอาจจะเป็นสายลับจากหน่วยรักษาความปลอดภัยที่วางเอาไว้ในสวนสนุกหรือเปล่า?”

เจอคำถามจากชายขี้เมาแล้วหมอก็ทำได้แค่ยิ้มประหลาด มีแต่พระเจ้านั่นแหละที่รู้ว่าเหตุใดชายหนุ่มคนนี้ถึงคุ้นเคยกับกระบวนการที่ต้องทำในสถานที่เกิดเหตุ ทั้งกลุ่มค้นทั่วชั้นสองอย่างละเอียด กลายเป็นว่าชั้นสองนั้นไม่ต่างไปจากโรงงานบรรจุเนื้อมนุษย์เลย หากเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวเคยมีความเป็นมนุษย์อยู่ ตอนนี้มันก็คงหายไปแล้ว ชีวิตคนนั้นไม่ต่างไปจากของเล่นและอาหารในสายตาพวกเขา

“กลับไปดูที่ชั้นหนึ่งกัน” พวกเขาค้นทั่วตึกแต่ก็ยังไม่เจอยาแก้พิษ หลอดเลือดที่ในขวดดูเหมือนเป็นสิ่งที่หายากอย่างไม่น่าเชื่อกระทั่งในโลกด้านหลังประตู

“ต้องขอโทษด้วยที่กลายเป็นภาระไปแล้ว พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนไหม?” หมอที่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างยากลำบาก แต่ว่าสมองของเขาก็ยังแจ่มใสและมีสติ “ผีผู้หญิงตามเรามาถึงประตูหน้า ดังนั้น ถ้าพวกเราแอบออกไปทางประตูหลัง เธอก็น่าจะไม่รู้ตัว”

“ผีตนนั้นเล็งพวกเราเอาไว้แล้ว หนทางเดียวที่จะออกไปจากที่นี่ได้โดยไม่ต้องเผชิญกับความเกรี้ยวกราดของเธอก็คือการเบี่ยงเบนความเกลียดชังของเธอไปที่คนอื่น” เฉินเกอนำผู้โดยสารทั้งสามคนกลับไปที่ชั้นล่าง เขามองเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวที่ถูกมัดเอาไว้ที่ทางเข้า สายตาคมกริบของเขาทำให้เจ้าของและพ่อครัวตัวสั่นเป็นใบไม้ต้องลม “นี่ยังไม่พอที่จะรับรองความปลอดภัย ผมต้องหาวิธีการอื่นให้แน่ใจว่าผู้หญิงไร้หัวจะโจมตีพวกเขา หรือไม่อย่างนั้นแผนการขั้นต่อไปของผมก็จะเริ่มต้นไม่ได้”

ภายใต้การเขม้นมองอย่างสิ้นหวังของ ‘เหยื่อ’ ทั้งสอง เฉินเกอเดินเข้าไปในห้องครัวหาอ่างใบใหญ่ที่ปกติใช้ล้างผักออกมา เขาเติมน้ำประปาลงไปประมาณครึ่งหนึ่งก่อนที่จะเอาออกมาข้างนอก

“คุณกำลังจะทำอะไร?”

ความรู้สึกเลวร้ายขดรอบหัวใจของพ่อครัวและเจ้าของร่างอ้วน เฉินเกอไม่สนใจพวกเขาและดึงเอาขวดสามใบที่มีตะกอนสีเทาออกมาจากกระเป๋าหลัง เขาเปิดฝาและเทของข้างในทั้งหมดลงไปในอ่าง หลังจากคนผสมมันแล้ว เฉินเกอก็พังโต๊ะและใช้ขาโต๊ะเป็นคานเทินอ่างไว้เหนือกรอบประตู เมื่อผีผู้หญิงเปิดประตูเข้ามา อ่างก็จะหล่นลงมาและของข้างในก็จะสาดใส่คนด้านล่าง นี่เป็นการกลั่นแกล้งกันแบบพื้นฐานมาก ๆ แต่เป้าหมายครั้งนี้คือวิญญาณสีเลือด

“ผมแน่ใจว่าของสีเทานั่นไม่ใช่ของดี เมื่อเธอเปียกชุ่มไปด้วยของนั่น ผีผู้หญิงน่าจะคลั่งเลือดและพุ่งเข้าใส่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้เธอที่สุด” เฉินเกอหันไปมองพ่อครัวและเจ้าของร่างอ้วน ความสิ้นหวังในใจของพวกเขานั้นปรากกขึ้นที่ดวงตาของพวกเขา หากพวกเขามีโอกาสครั้งที่สอง พวกเขาคงไม่รับกลุ่มของเฉินเกอเข้ามาพักคืนนี้

“ถ้าบนโลกนี้มีปิศาจ ผมแน่ใจเลยว่ามันต้องดูเหมือนแบบนี้” ชายขี้เมาพยุงหมอให้ออกห่างจากฉากนองเลือด เขาแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นกับดักที่เฉินเกอวางไว้ “ขอบคุณที่ตอนนี้พวกเราอยู่ข้างเดียวกัน…”

หลังจากเฉินเกอจัดการกับกลไกเสร็จ เขาก็โบกมือให้มือกรรไกรและคนที่เหลือ “ตามผมมา”

เขาอุ้มเจ้าแมวขาวขึ้นจากพื้นและนำทุกคนไปยังชั้นสอง เขาเลี้ยวเข้าไปในห้องแรกทางซ้ายและใช้ค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกทำลายแผ่นกระดานไม้ที่ปิดอยู่บนกรอบหน้าต่าง “พวกคุณที่เหลือควรอยู่ในห้องนี้และพยายามทำเชือกจากวัสดุที่ในห้องนี่ ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น ให้หนีออกไปทางหน้าต่างให้เร็วที่สุดเท่าที่คุณทำได้”

“คุณวางแผนจะทำอะไรอีก?” มือกรรไกรสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงประหลาดของเฉินเกอ เขาอธิบายไม่ได้จริง ๆ แต่มันเหมือนกับเป็นความกังวลผสมตื่นเต้น

“ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ พวกคุณช่วยอะไรผมไม่ได้มากนัก ดังนั้นพยายามเอาชีวิตรอดให้ดีที่สุด” เฉินเกอมองออกไปทางหน้าต่าง “เขตที่พักอาศัยที่พวกเราอยู่ตอนแรกตอนนี้น่าจะสะอาดแล้ว พอผมให้สัญญาณพวกคุณวิ่ง ก็กระโดดออกจากหน้าต่างนี่แล้วมุ่งหน้าไปที่นั่น ไปที่นั่นแล้วรอผม”

“ได้ คุณก็ระวังด้วย”

“ไม่ต้องห่วง อ้อ แล้วก็ เอาแมวผมไปกับพวกคุณด้วย” เฉินเกอวางเจ้าแมวขาวไว้ในห้องนอน เขากำลังจะหันออกไปจากห้องตอนที่รู้สึกถึงแรงกดทับหนัก ๆ บนไหล่ เขาหันไปมอง และเจ้าแมวขาวก็กระโดดขึ้นมาอยู่บนไหล่ของเขาแล้วและนั่งอยู่บนนั้น ดวงตาของเจ้าแมวมองเฉินเกออย่างสงสัย เหมือนกับมันกำลังถาม นายกำลังจะทิ้งฉันเรอะ?

“ถ้าแกอยากไป อย่างนั้นก็ไปด้วยกัน แต่ถ้าเจอกับวิญญาณสีเลือดเข้าก็ระวังอย่าวิ่งสะเปะสะปะไป” เฉินเกอแบกกระเป๋าของเขาแล้วกลับลงไปที่ชั้นล่าง เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องครัว มองแวบแรก มันก็เหมือนห้องครัวปกติ– ไม่มีอะไรสะดุดตา

“ถ้าที่นี่เป็นเหมือนที่ในเกมของเสี่ยวปู้ ก็ต้องมีห้องลับอยู่ด้านหลังตู้เย็น หัวของผีหิวโหยตนนั้นอยู่ที่ชั้นบนของตู้เย็น และร่างกายใหญ่โตของเธอก็ติดอยู่ในห้องลับ” เดินไปที่ตู้เย็น เฉินเกอพบว่าตู้เย็นไม่ได้เสียบปลั๊กเอาไว้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นแค่เครื่องตกแต่งเท่านั้นเอง

“มันน่าจะอีกไม่นานแล้วก่อนที่ประตูโรงแรมจะถูกพังลง” เฉินเกอเอื้อมมือไปจับที่จับประตูตู้เย็น และเขาก็ใช้ดวงตาหยินหยางมองไปยังทางเข้าโรงแรม หญิงไร้หัวนั้นระมัดระวัง แต่ความโกรธและการถูกยั่วยุก็ทำให้เธอสูญเสียความมีเหตุมีผลไปอย่างช้า ๆ เธอสัมผัสได้ว่าคนที่เธอตามหานั้นอยู่แค่ในตึกนี่แล้ว หลังจากรออยู่สิบนาทีเต็ม ความอดทนของหญิงไร้หัวในที่สุดก็เหือดแห้ง หลอดเลือดคืบคลานอยู่เหนือประตูทางเข้าเหมือนพืชสักชนิดและในเวลาเดียวกัน เฉินเกอก็รู้สึกได้ว่าตู้เย็นตรงหน้าเขาสั่นเหมือนบางอย่างด้านในกำลังจะตื่นขึ้น

ปัง!

เมื่อหลอดเลือดปกคลุมทั่วพื้น ทางเข้าโรงแรมในที่สุดก็พังทลายลง ผีผู้หญิงอุ้มหัวของเธอไว้ในอ้อมแขนและเข้าโรมแรมมาดวงตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด

เมื่อเธอก้าวเท้าก้าวแรก อ่างที่เหนือประตูก็ย่อมหล่นลงมาตามแรมโน้มถ่วง หลอดเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนถักทอเป็นตาข่ายและเหวี่ยงอ่างเหล็กไปข้าง ๆ ผีผู้หญิงประหลาดใจที่มีใครกล้าเล่นเป็นเด็ก ๆ กับเธอ แต่ปฏิกริยาตอบสนองของเธอก็รวดเร็วราวสายฟ้า

อ่างถูกผลักทิ้งไป แต่ว่าของที่ด้านในที่เป็นส่วนผสมของตะกอนสีเทาสาดลงไปบนหลอดเลือด และบางอย่างน่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น ตะกอนสีเทานั้นดูเหมือนเป็นสิ่งที่ควบคุมพลัง สามารถควบคุมเหนือกระทั่งหลอดเลือดของวิญญาณสีเลือด มันละลายผ่านตาข่ายเลือดและหัวที่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนนั้นก็กรีดร้องโหยหวน เธอฉีกกระชากเส้นเลือดสีดำทิ้ง

เมื่อไม่มีอะไรรองรับ อ่างที่เหนือประตูก็หล่นใส่ผีผู้หญิงโดยตรง มันคว่ำใส่ตรงลำคอที่ถูกตัดและยังมีเสียง ‘ปัง’ ดังชัด

“ตะกอนสีเทานั่นมันอะไร? เป็นไปได้ไหมว่ามันเกี่ยวข้องกับเลือดสีดำที่สมาคมเล่าเรื่องผีใส่ไว้ในกล่องไม้นั่น?” หลังจากได้รับการรับรองจากคุณหมอเกา เฉินเกอนั้นก็นับได้ว่ารับหน้าที่ประธานคนใหม่แล้ว โชคร้าย เพื่อที่จะจัดการกับเขานั้น สมาคมใช้เกือบทุกอย่างที่พวกเขามี เฉินเกอนั้นมีข้อมูลมากมาย แต่ว่าข้อได้เปรียบจากการฝึกฝนเป็นศูนย์

การผจญภัยในเมืองหลี่ว่านของเขานั้นต่างออกไป เงานั่นเตรียมการหลายปีฟูมฟักผีทารก ดังนั้นมันต้องมี ‘ผลผลิตอันพิเศษ’ มากมายถูกพบที่ด้านหลังประตู!

“ฉันประมาทเกินไป โรงแรมสร้างไว้ที่กลายเมืองหลี่ว่านและยังเป็นที่อยู่ของวิญญาณสีเลือดเก่งกาจอย่างผีหิวโหยนั่น ดังนั้น ฉันควรจะรู้ว่าสิ่งที่เจ้าของนั่นสะสมเอาไว้ย่อมต้องมีค่าอย่างมาก” เฉินเกอสรุปบทเรียนในใจ “ถ้าฉันมีโอกาสเข้าไปในตึกหลังอื่น ตราบใดที่มีอะไรที่น่าศึกษา ฉันก็จะเอามันไปด้วย”

ที่ทางเข้า หญิงไร้หัวยืนอยู่กลางประตูมีอ่างใบหนึ่งครอบเอาไว้บนไหล่ หัวในอ้อมแขนเธอบิดเบี้ยวอย่างโกรธแค้น ดวงตาแดงก่ำนั้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดมากมายไม่จบสิ้น

ไม่ถึงวินาที หลอดเลือดที่มากกว่าก่อนหน้าเป็นสิบเท่าก็พุ่งออกมาจากคอของเธอ พวกมันเจาะผ่านวัตถุทุกชิ้นรอบตัวเธอ ทั้งที่มีชีวิตที่และที่ตายไปแล้ว! มันใช้เวลาเพียงไม่นานหลอดเลือดก็ปกคลุมไปครึ่งหนึ่งของโรงแรม!

มันเร็วเกินไป เพียงแค่กะพริบตา เจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวก็ไร้สัญญาณชีวิตไปแล้ว

ฉันปล่อยให้เธอรู้ว่าฉันแอบอยู่ที่นี่ไม่ได้ ถ้าฉันติดอยู่ในห้องครัวก็จบกันพอดี!

เฉินเกอดึงประตูตู้เย็นเปิดออก ตู้เย็นนั้นเชื่อมอยู่กับผนังด้านหลัง และกรามที่อ้ากว้างอยู่ก็เผยตัวอยู่ตรงหน้าเฉินเกอ

เพราะไม่มีเวลาดูมันใกล้ ๆ เฉินเกอก้าวถอยไปสองก้าวแล้วโยนฟันที่ในกระเป๋าพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปในปากที่เปิดอยู่ หลังจากนั้น เฉินเกอก็ถอยออกมาจากห้องครัว

ความเกรี้ยวกราดของหญิงไร้หัวที่ทางเข้ายังพวยพุ่ง เมื่อสายตาของเธอจับมาที่เฉินเกอ เธอก็กรีดร้องอีกครั้ง ศัตรูของเธอยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอทำลายกฎของเมืองหลี่ว่านและก้าวเท้าเข้ามาในโรงแรมเต็มตัว

ถูกวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งจับจ้องเป็นเป้าหมายไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี เฉินเกอวิ่งพรวดไปยังห้องที่หนึ่ง เขาเพิ่งออกจากห้องครัวตอนที่เขาได้ยินเสียงลมหายใจหนัก ๆ ดังมาจากด้านหลังเขา หันกลับไปมองก็พบว่ากำแพงห้องครัวนั้นเต้นตุบไปด้วยหลอดเลือดมากมาย ผนังที่ติดอยู่กับตู้เย็นเริ่มถล่มลงไป ปิศาจสีเลือดน่าเกลียดในที่สุดก็ปรากฏตัว

 

 

 

 

 

 

เลือกอย่างไร (1+2)

เจ้าของที่นี่วางแผนใส่เฉินเกอ แต่ใครจะพูดได้ว่าเฉินเกอไม่ได้วางแผนใส่อีกฝ่ายด้วยเหมือนกัน? สามคนในสี่คนนั้นติดกับดักไปแล้ว ด้วยจำนวนที่มากกว่า คุณเจ้าของย่อมคิดว่าพวกเขาสามารถลงมือได้แล้ว เขาไม่รู้เลยว่าในกลุ่มคนที่เขาได้รับเข้ามาในคืนนี้นั้น ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์นั้นมาจากเฉินเกอคนเดียว

เฉินเกอก็ไม่ได้วู่วามตอนที่เขาเข้ามาในโรงแรมตอนแรกเพราะว่าเขาเองก็ระแวงไพ่ตายของเจ้าของที่นี่อยู่เหมือนกัน อย่างเช่นปืนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและวิญญาณสีเลือดที่ในตู้เย็น ตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายเชื่อว่าพวกเขาต่างเป็นฝ่ายได้เปรียบ ดังนั้นใบหน้าของพวกเขาทุกคนจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ผู้ชายคนนี้อาจจะมีปืนซ่อนเอาไว้ และในเมื่อกระสุนมีจำกัด เขาก็คงไม่ใช้มันออกมานอกเสียจากจะฉุกเฉินจริง ๆ ดังนั้น ฉันต้องจับเขาให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันต้องทำลายมือของพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะทันได้ทำอะไร– นั่นเป็นทางเดียวที่ฉันจะหยุดเขาจากการใช้ปืนได้

วิธีการที่เฉินเกอรับมือกับปัญหานั้นตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการจัดการกับต้นตอ

“เลิกต่อต้านพวกเราได้แล้ว พวกเรามาอย่างสันติ พวกเราแค่ต้องการให้พวกแกเล่นเกมกับเรานิดหน่อยเท่านั้น” เจ้าของที่นี่คิดว่าเขามีอำนาจเหนือกว่าดังนั้นสีหน้าของเขาจึงดูผ่อนคลายมาก “ฉันเชื่อว่าแกคงเห็นแล้วว่าเก้าอี้มีปัญหา พิษบนนั้นจะค่อย ๆ ทำให้แกอ่อนแรงและเคลื่อนไหวไม่ได้ไปอย่างช้า ๆ ในที่สุดแกก็จะตายอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส”

เจ้าของที่นี่ดึงขวดแก้วที่มีของเหลวใสออกมาจากในกระเป๋า ในนั้นยังมีเส้นเลือดบิดตัวไปมาอยู่ “ฉันมียาถอนพิษอยู่กับตัวขวดหนึ่ง ในพวกแกสี่คน มีคนเดียวที่จะรอดชีวิตไปได้”

“คำขู่ของแกไม่มีผลกับฉันเพราะว่าฉันไม่ได้ถูกพิษนั่น” เฉินเกอรูดซิปกระเป๋าเปิดแล้วเอื้อมมือเข้าไปข้างในนั้น

“ในไม่ช้า แกก็จะจบลงแบบพวกมัน ฉันแนะนำให้แกอย่าได้ดิ้นรนต่อไป มันไร้ประโยชน์และไร้ความหมาย นี่จะช่วยให้แกไม่ต้องเสียแขนหรือขาไป เพราะนั่นอาจจะทำให้แกเสียเปรียบในเกมที่กำลังจะเริ่มขึ้น” ไขมันเป็นชั้นบนใบหน้าของคุณเจ้าของกระเพื่อมอย่างรุนแรงจากความตื่นเต้น เขาดูสนุกที่ให้แต่ละคนต้องสู้กันเอง ความรู้สึกที่ได้กระชากสิ่งงดงามทั้งปวงบนโลกขว้างทิ้งลงกับพื้นและยังได้เหยียบย่ำซ้ำนั้นทำให้เขารีบร้อนอย่างไม่ควร

“เกม? เกมแบบไหนที่แกอยากเล่น?” เฉินเกอสนใจในคำว่า ‘เกม’ ที่ถูกพูดถึง บ้านผีสิงของเขานั้นต้องการความสนุกมากขึ้นอีก เกมธรรมดานั้นไม่เข้ากับบรรยากาศในบ้านผีสิง แต่เกมที่เป็นพวกคนบ้าคิดขึ้นมา? นั่นน่าจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี

บ้านผีสิงหลอน ๆ คู่กับเกมโปรดของฆาตกร เสียงกรีดร้องของผู้เข้าชมนั้นก้องอยู่ในใจเฉินเกอเสียแล้ว

“มีเกมตั้งมากอย่างเกมแบ่งเค้ก เกมเก้าอี้ดนตรี และเกมซ่อนหา” เจ้าของร่างอ้วนคิดว่าเขาควบคุมสถานการณ์ได้อยู่มือแล้ว ดังนั้นเขาจึงอธิบายเกมกับเฉินเกออย่างอดทน

กติกาอันโหดร้ายของเกม และประสบการณ์การเล่นเกมนั้นหมายถึงเสียงกรีดร้องสุดเสียงของผู้เข้าร่วม เพียงแค่ได้ยินคำอธิบายก็ทำให้เฉินเกอรู้สึกไม่ดีแล้ว “ถ้าฉันเลียนแบบกติกาทั้งหมดไป ผู้เข้าชมคงได้ส่งตัวเองไปโรงพยาบาลแน่แล้ว แต่ว่ากฏพื้นฐานของเกมพวกนี้ก็ไม่ได้แย่”

“ผู้เข้าชม? แกกำลังพูดถึงอะไรอยู่น่ะ?” เจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวนั้นอยู่ห่างจากเฉินเกอไปหลายเมตร

“โอ้ ขอโทษที ฉันเคยชินกับการมีเพื่อนอยู่กับฉันเยอะ ๆ น่ะ ดังนั้นก็เลยมีนิสัยพูดสิ่งที่คิดออกมาดัง ๆ” เฉินเกอไม่ได้อธิบายมากนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างการมีเพื่อนเยอะและการพูดสิ่งที่คิดออกมาดัง ๆ เขาใช้ประโยชน์จากเจ้าของร่างอ้วนหมดแล้ว และเฉินเกอก็วางแผนจะเลิกเสแสร้งด้วยเหมือนกัน

“พวกแกสองคนรังแกฉันคนเดียว และพวกแกยังมีอาวุธมีคม ถึงแม้ว่าฉันจะอ่อนแอกว่า ฉันก็ไม่ได้ถูกล้มได้ง่าย ๆ หรอกนะ” เฉินเกอกัดฟันและขู่ออกไปอย่างอันตราย

“อันที่จริง เทียบกับการใช้พิษแล้ว พวกเราชอบฆ่าสด ๆ มากกว่า ยิ่งแกดิ้นรนเท่าไหร่ พวกเราก็ยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น!” เจ้าของร่างอ้วนนั้นหยุดหัวเราะไม่ได้ ร่างของเขาสั่น เปลี่ยนเขาไปเป็นภูเขาเนื้อสั่นระริกก้อนหนึ่ง

“ยิ่งเหยื่อดิ้นรนเท่าไหร่ พวกแกก็ยิ่งตื่นเต้น?” เฉินเกอรอให้เจ้าของร่างอ้วนเดินเข้ามาหาเขาก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมา “อย่างนั้นมันก็คงจะยอดเยี่ยมเลยเพราะว่าแกจะได้ตื่นเต้นมากแน่ ๆ คืนนี้!”

เฉินเกอโยนกระเป๋าสะพายหลังไปทางหนึ่ง เขากำด้ามค้อนที่หน้าตาเหมือนกระดูกสันหลังของมนุษย์เอาไว้ เขายกค้อนขึ้นสูงและเหวี่ยงมันใส่หน้าอกของเจ้าของร่างอ้วนอย่างแรง

ปัง!

เฉินเกอแน่ใจว่าเจ้าของร่างอ้วนนั้นเป็นคนเป็นคนหนึ่งเพราะว่าเลือดที่สาดออกมานั้นยังอุ่น “ไง แกตื่นเต้นพอไหม?”

เมื่อคิดถึงว่าเนื้อบนร่างของเขาอาจจะทำให้เลือดจางลง เฉินเกอก็ยกค้อนขึ้นอีกครั้งแล้วทุบลงไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามี ร่างใหญ่โตของเจ้าของร่างอ้วนนั้นก็ไม่สามารถทนรับแรงทุบตีครั้งนี้ได้และล้มกลิ้งไปบนพื้น ก่อนที่พ่อครัวที่ด้านหลังจะทันได้ทำอะไร เฉินเกอก็พุ่งเข้าไปทุบแขนสองข้างและขาอีกข้างของเจ้าของหักโดยไม่รั้งรอ

ถึงแม้ว่าเขาจะได้เปรียบอยู่ เฉินเกอก็ไม่คิดจะประมาท เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างอ้วนนี้จะพกปืนอยู่หรือเปล่า ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะใช้วิธีการที่ปลอดภัยที่สุด ตอนนี้ที่เขาสูญเสียแขนทั้งสองข้างไปแล้ว ต่อให้เขามีปืนกระบอกนั้นอยู่ เจ้าของที่นี่ก็ยากที่จะใช้งานมันได้

เหี้ยมโหด เจ้าเล่ห์ ระมัดระวัง และมุ่งมั่น– นั่นเป็นความประทับใจที่เฉินเกอทิ้งไว้ให้กับพ่อครัว เขาเองยังคิดถึงเมนูอาหารที่สามารถประกอบขึ้นได้จากแขกเหล่านี้ตอนที่เขาเห็นเจ้านายของตนถูกค้อนทุบจนกระอักเลือดออกมา!

คนผู้หนึ่งต้องหน้าด้านและโหดร้ายเพียงไหนถึงได้ซ่อนค้อนใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ในกระเป๋าสะพายหลังและแบกติดตัวเอาไว้?

ดวงตาของพ่อครัวกระตุกอย่างไม่แน่ใจ มีดปังตอที่เขาถืออยู่ในมือนั้นดูเหมือนของเด็กเล่นไปเลยเมื่อเทียบกับค้อนเหล็ก เขากำลังคิดหาวิธีการแก้ไข ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้น เขาก็บังเอิญสบตากับเฉินเกอ

สายตาน่ากลัวและโหดร้ายนั่นทำให้เขาตัวสั่น แค่เขาคิดว่าเฉินเกอกำลังจะพูดอะไรสักอย่างกับเขา เฉินเกอก็กลับยกค้อนขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่เขา ผู้ชายคนนี้ไม่เสียเวลาพูด และเขาก็ระมัดระวังมากพอที่จะไม่ปล่อยให้พ่อครัวจับตัวเขาได้

ทุกอย่างเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ก่อนที่สมองของเขาจะทันได้คิดถึงวิธีการแก้ไข ความเจ็บปวดก็แผ่ไปทั่วร่างของเขาแล้ว มีดปังตอในมือของเขาหล่นลงพื้นดังเคล้ง พ่อครัวมองแขนตัวเองอ่อนแรงและปลายนิ้วก็คลายออก มันเป็นประสบการณ์อันยากอธิบาย

“ฉัน…” พ่อครัวต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เฉินเกอไม่ให้โอกาสเขา เขาระมัดระวังเกินกว่าจะปล่อยให้เกิดเรื่องอย่างนั้นได้ ก่อนที่เขาจะควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ เขาจะไม่เสียเวลาพูดคุยและปล่อยให้ศัตรูของเขารบกวนเขาด้วยถ้อยคำของพวกมันเช่นกัน แค่เหวี่ยงค้อนอีกไม่กี่ครั้ง กระทั่งพ่อครัวก็ล้มลงกับพื้น

“เอาละ ตอนนี้ได้เวลาพวกแกพูดแล้ว บอกฉันสิ ยาต้านพิษที่ช่วยให้พวกเขากลับมาควบคุมร่างกายได้อยู่ที่ไหน?” เฉินเกอคว้ายาต้านพิษออกมาจากมือของเจ้าของร่างอ้วนก่อน มองไปยังเส้นเลือดที่บิดเร่าอยู่ในขวดแล้วเขาก็นึกถึงการต่อสู้กับสมาคมเล่าเรื่องผีที่หมู่บ้านโลงศพเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้น อู๋เฟยก็ถือขวดของหลอดเลือดที่คล้ายกับขวดนี้

“ฉัน…”

พ่อครัวกำลังจะพูดบางอย่างตอนที่เจ้าของร่างอ้วนตะโกนเสียงดังใส่เขา “อย่าถูกมันหลอก!”

“ฉันยังไม่ได้ให้สัญญาอะไรกับแกเลย และยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่ใช่คนที่จะกลับคำพูด” เฉินเกอนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าเจ้าของร่างอ้วนและเริ่มค้นตัวเขา พ่อครัวยั้งคำพูดเอาไว้ทำให้หน้าเริ่มแดงก่ำขึ้น แต่ในที่สุดแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรที่มีประโยชน์

“ถ้าฉันเป็นแกนะ ฉันจะไม่ป้อนยาในขวดนี้ให้พวกเขาแน่ ๆ” ถึงแม้ว่าแขนของเจ้าของที่นี่จะใช้การไม่ได้แล้ว กระดูกอกยังยุบเข้าไป เลือดยังซึมออกจากปากของเขา แต่ท่าทีของเขาก็ยังคงเดิม

“ทำไม?” เฉินเกอรู้ไพ่ตายของเจ้าของร่างอ้วน เขาน่าจะกำลังรอให้ชายชราใช้ฟันพวกนั้นเรียกวิญญาณสีเลือด

“แกเชื่อคำพูดของศัตรูของแกได้จริง ๆ น่ะเหรอ? อันที่จริง นี่เป็นยาพิษ ฉันอยากจะได้เห็นความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดของแก ฉันจะให้พวกแกสี่คนฆ่ากันเองและให้รางวัลผู้ชนะคนสุดท้ายด้วยยาถอนพิษที่อันที่จริงแล้วเป็นยาพิษขวดหนึ่ง จากนั้น ฉันก็จะได้รื่นรมย์ไปกับความสิ้นหวังที่ระบายเต็มใบหน้าของคนผู้นั้นขณะที่เขาถูกพรากไปจากโลกนี้ช้า ๆ” คำพูดเพ้อเจ้อของเจ้าของร่างอ้วนนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของเขาคอยแต่จะเหลือบมองไปยังประตูห้องที่หนึ่ง

“บังเอิญจังเลยนะเพราะว่าฉันเองก็ชอบเห็นสีหน้าสิ้นหวังบนใบหน้าของผู้คนเหมือนกัน” เฉินเกอยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าและดึงผ้าสีดำผืนหนึ่งออกมา เขากางมันออกต่อหน้าเจ้าของที่นี่ และที่ด้านในผ้านั่นก็คือฟันเรียบลื่นมากมายเหล่านั้น “แกเอาแต่มองไปที่ห้องนั้น เป็นเพราะว่าที่นั่นซ่อนของพวกนี้เอาไว้สินะ?”

เจ้าของร่างอ้วนเงียบกริบลงทันที เขาพยายามปกปิดความตระหนกที่แล่นไปทั่วร่าง แต่สีหน้าของเขาก็ทรยศเขาแล้ว

“บอกฉัน ยาถอนพิษอยู่ที่ไหน?” เฉินเกอเหวี่ยงค้อนไปมา “ความอดทนของฉันมีจำกัด”

ทั้งเจ้าของที่นี่และพ่อครัวเงียบ หลังจากนั้นนาทีหนึ่ง เจ้าของที่นี่ก็เปิดปากพูดช้า ๆ “ฉันบอกแกได้ว่ายาถอนพิษจริง ๆ อยู่ที่ไหน แต่แกต้องสัญญาจะปล่อยพวกเราทั้งคู่ไป พาเพื่อนของแกออกไปจากที่นี่หลังจากได้ยาถอนพิษแล้ว”

“ไม่มีปัญหา ที่จริงแล้วฉันก็ไม่ได้สนใจแกสองคนเลยสักนิด” เฉินเกอกำลังพูดความจริง ทั้งหมดที่เขาทำไปนั้นก็เพื่อวิญญาณสีเลือดที่อยู่ในโรงแรมนี้

“ยาถอนพิษถูกเก็บเอาไว้ในที่ที่ลับมาก ฉันจะพาแกไปที่นั่นเอง” ใบหน้าของเจ้าของที่นี่นั้นเต็มไปด้วยความเสียดายและเศร้าใจ เขามีท่าทางเหมือนคนที่ยอมแพ้แล้ว “ส่งมือให้ฉันหน่อยได้ไหม?”

เฉินเกอทุบแขนทั้งสองข้างและขาอีกข้างของเขาไป เขาทำได้แค่เขย่งแล้วตอนนี้

“อย่าได้เล่นแง่กับฉัน บอกสถานที่มา และฉันจะลองคิดดูว่าจะพาแกไปที่นั่นดีหรือไม่” เฉินเกอค้นตัวพ่อครัวและพบว่าเขาเองก็มียาถอนพิษอยู่อีกขวดหนึ่ง บางทีทั้งสองขวดนี่อาจจะเตรียมไว้ให้กับพวกเขาเอง

“ได้ ฉันบอกแก พวกมันอยู่ในลิ้นชักในห้องที่สามทางด้านซ้ายหลังจากแกขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง” เจ้าของร่างอ้วนให้ความร่วมมือเต็มที่ พ่อครัวที่ข้างเขานั้นมีสีหน้าเฉยเมยเหมือนเขาตั้งใจทำหน้าอย่างนั้นป้องกันไม่ให้เฉินเกอได้ข้อมูลอะไรจากเขา

“อยู่ที่ชั้นสอง?” เฉินเกอคิดกลับไปยังเกมของเสี่ยวปู้ และเขาก็ไม่คิดว่าเขาต้องเสี่ยงขึ้นไปที่ชั้นสอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอะไรลับหลังเขา เฉินเกอจึงทำให้พ่อครัวหมดสติไปก่อนที่จะพยุงเจ้าของที่นี่ขึ้นไปที่ชั้นสอง ห้องที่เจ้าของพูดถึงนั้นอันที่จริงก็คือห้องของเขาเอง ห้องนั้นตกแต่งด้วยรูปเก่า ๆ มากมาย แต่น่าแปลก รูปทั้งหมดเป็นรูปของเจ้าของที่นี่กับผู้หญิงคนหนึ่ง

“นั่นแม่แกเหรอ?”

“ใช่ ฉันมีความสัมพันธ์กับพ่อไม่ดีนัก ดังนั้นฉันจึงเก็บไว้แค่รูปถ่ายกับแม่” รอยยิ้มมีความสุขปรากฏบนใบหน้าของเจ้าของร่างอ้วน “แม่ของฉันสวยมาก เป็นคนที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันรู้จัก บางทีถ้ามีโอกาส ฉันจะพาแกไปเจอเธอ”

ประโยคนั้นฟังดูปกติธรรมดาอย่างที่สุดเหมือนเพื่อนสักคนจะพูด แต่เฉินเกอก็ไม่ได้ใกล้ชิดพอที่เจ้าของที่นี่จะเชิญเขาไปพบแม่ อีกอย่าง เฉินเกอบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่เจ้าของที่นี่พูดนั้นเป็นจริงหรือไม่– ผู้หญิงที่ในรูปอาจจะไม่ใช่แม่ของเขาก็ได้

“ยาถอนพิษอยู่ตรงนี้” เจ้าของให้เฉินเกอเปิดลิ้นชัก ด้านในนั้นมีขวดสามใบและข้างในขวดก็มีตะกอนสีเทา ๆ

“แกแน่ใจ?” เฉินเกอเก็บขวดทั้งสามเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังของเขาและพยุงเจ้าของร่างอ้วนกลับไปที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง เขาเดินไปที่โต๊ะทานอาหารและวางขวดทั้งสามลงบนโต๊ะ “คุณเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังพูดไหม?””

“เข้าใจ สมองผมยังทำงานปกติดีอย่างที่สุด ผมแค่ควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้” ชายขี้เมาเพิ่งเห็นเฉินเกอจัดการกับศัตรูสองคนด้วยตัวเองไป ท่าทีของเขาจึงเป็นมิตรมากขึ้น

“ขวดทั้งสามนี่เอามาจากห้องของเจ้าของที่นี่ เขาบอกว่ามันเป็นยาถอนพิษ แต่ฉันไม่คิดว่าเรื่องจะเรียบง่ายอย่างนั้น” จากนั้นเฉินเกอก็ดึงขวดสองใบที่เขาพบบนร่างของคนที่นี่ออกมาและวางมันลงไปที่โต๊ะด้วย “พวกเราไม่สามารถมองข้ามความจริงที่เจ้าของที่นี่อาจจะโกหกไปได้ และสองขวดนี้น่าจะเป็นยาถอนพิษของจริง โชคร้ายที่มันมีแค่นี้ ฉันหาขวดอื่น ๆ ไม่เจอ ถ้าพวกเราใช้มันทดลองดู พวกเราก็จะมียาถอนพิษเหลือไม่พอสำหรับทุกคน”

จากนั้นเฉินเกอก็วิ่งไปอุ้มเจ้าแมวขาวที่กำลังมองเหตุการณ์อยู่จากมุมไกล ๆ มาก เขาอุ้มให้หน้าเล็ก ๆ ของเจ้าแมวโผล่มาจากในอ้อมแขน “แกกินเลือดที่คล้าย ๆ กันนี้เข้าไปในตอนอยู่ที่หมู่บ้านโลงศพ ฉันจะเปิด ‘ยาถอนพิษ’ ที่ต่างกันสองอย่างนี้ และฉันอยากให้แกช่วยระบุว่าอันไหนเป็นยาถอนพิษของจริง”

เฉินเกอไม่รู้ว่าเจ้าแมวขาวจะเข้าใจเขาหรือไม่ เขาเปิดขวดหนึ่งที่บรรจุตะกอนสีเทา ๆ ก่อนแล้ววางมันลงตรงหน้าเจ้าแมวขาว กลิ่นเน่าจาง ๆ ลอยออกมาจากด้านในขวด และเจ้าแมวขาวก็พยายามดิ้นหนี พอปิดฝาขวดแล้ว เฉินเกอก็เก็บมันลงไปแล้วคว้าขวดที่มีหลอดเลือด

แค่เปิดฝาขึ้น เจ้าแมวขาวก็ดูเหมือนจะได้กลิ่นบางอย่าง หูของมันตั้งขึ้น และม่านตาสองสีก็จับจ้องไปยังขวดในมือเฉินเกอ เมื่อเฉินเกอเปิดขวดเสร็จ ก็มีเสียงคร่ำครวญลอยออกมาจากในขวด และเส้นเลือดที่ด้านในก็เริ่มขยับเหมือนพวกมันพยายามดิ้นรนหาทางออก ตอนที่สายตาของเข้าแมวขาวกลายเป็นสีแดงเลือดเหมือนบางอย่างในเลือดของมันถูกกระตุ้น มันพยายามกระโจนออกมาจากมือเฉินเกอ

เฉินเกอรีบปิดขวดกลับไป และจากนั้นเจ้าแมวก็สงบลง

“หลอดเลือดพวกนี้นั้นสามารถดึงดูดความสนใจของเจ้าแมวขาวได้ ดังนั้นพวกมันย่อมไม่ปกติ พวกมันอาจจะคล้ายของที่สมาชิกสมาคมเล่าเรื่องผีได้มาจากด้านหลังประตู” เฉินเกอหมุนฝาปิดให้แน่นก่อนจะวางทุกขวดเอาไว้ด้วยกัน “แมวของฉันนั้นมีปฏิกริยารุนแรงกับขวดที่มีเลือด ถ้าให้ฉันพูดละก็ ฉันคิดว่าขวดที่มีเลือดน่ะเป็นยาต้านพิษของจริงและเจ้าของที่นี่โกหกพวกเรา”

เฉินเกอพูดสิ่งที่เขาคิดออกมาและผู้โดยสารทั้งสามคนต่างมีปฏิกริยาต่างกันไปซึ่งเขาเห็นอย่างชัดเจน “ทางเลือกอยู่ในมือพวกคุณแล้ว ผมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ผมหวังว่าคุณจะคิดให้ดีก่อนที่จะเลือก”

“ฉันเชื่อแก” คนแรกที่เลือกคือมือกรรไกร เขาใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายที่เหลืออยู่คว้าขวดที่มีเลือดไป

“ยิ่งสีสันสดใสยิ่งไม่ปลอดภัย นั่นคือกฏแห่งธรรมชาติ ผมเรียนเภสัชศาสตร์และการแพทย์มาก่อน และไม่มีทางที่ผมจะโน้มน้าวให้ตัวเองกินเลือดที่ดูมีชีวิตได้แน่ ๆ” หลังจากลังเลอยู่บ้าง ในที่สุดหมอก็หยิบขวดที่มีตะกอนสีเทาอยู่ด้านในไป

ผู้โดยสารสองคนเลือกแล้ว ดังนั้นชายขี้เมาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ เขาเชื่อในตัวหมอและเฉินเกออย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้ ความเห็นของพวกเขาแตกต่างกัน และเขาก็ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี

ถ้าพูดตามใจแล้ว เขาก็เอนเอียงไปทางขวดสีเทา แต่เขารู้สึกเหมือนเจ้าของที่นี่อาจจะใช้อุบายจิตวิทยาย้อนกลับ จงใจทำยาถอนพิษให้เหมือนยาพิษ

สามนาทีผ่านไปขณะที่เขากำลังใคร่ครวญ เสียงเคาะที่ทางเข้าดังขึ้น เพราะกลัวว่าประตูจะพังลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ชายขี้เมาในที่สุดจึงเลือกได้ เขาหยิบขวดที่มีเลือดที่เหลืออยู่ไป

ตอนนี้ ใครจะลองมันก่อน? นั่นเป็นอีกหนึ่งบททดสอบธรรมชาติของมนุษย์ อย่างไรเสีย คนที่ลองเป็นคนแรกนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับการทดลองนี้

“ฉันว่าฉันคงต้องเป็นคนลองคนแรก” มือกรรไกรดิ้นรนลุกขึ้น “แกช่วยฉันเปิดฝาได้ไหม?”

“แน่นอน” เมื่อเฉินเกอเดินมาถึงข้างตัวชายคนนั้น มือกรรไกรก็ใช้โอกาสนี้กระซิบกับเฉินเกอ “โทรศัพท์ของฉันอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านซ้าย ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับพี่ชายของฉันอยู่ในนั้น ถ้าฉันเลือกผิด ฉันก็หวังว่าเมื่อแกเจอเขา แกจะยื่นมือเข้าไปช่วยเขา แน่นอนว่าถ้าแกเกิดเจอเขาเข้าน่ะนะ ฉันไม่ได้ต้องการให้แกต้องตามหาเขา”

“ผมสัญญา” ความชื่นชอบที่เฉินเกอมีต่อมือกรรไกรเพิ่มขึ้น คนกล้าแท้จริงนั้นไม่ใช่คนที่บอกว่าพวกเขาไม่กลัวอะไรทั้งนั้น แต่เป็นคนที่กล้าที่จะตัดสินใจว่าจะไม่เสียใจถึงแม้ว่าข้างในจะสั่นเป็นใบไม้ต้องลม

“ขอบคุณ” มือกรรไกรยกขวดขึ้นแตะริมฝีปากและกระดกขวด เลือดในขวดดูเป็นฝ่ายกระตือรือร้นที่จะไหลเข้าไปในลำคอของเขาตามมาด้วยเสียงร้องของใครบางคนจากที่ไกล ๆ

 

 

 

 

ความใจดีไม่ใช่การอดทนอย่างตาบอดหูหนวก และมันก็ไม่ใช่การหลอกตัวเองว่าการทำเรื่องดี ๆ จะนำไปสู่สิ่งดี ๆ ตอบแทน ความใจดีจริงแท้แล้วนั้นมาพร้อมกับความแข็งแกร่ง วิถีการดำรงชีพของคนผู้หนึ่ง จิตวิญญาณที่เกิดขึ้นจากการลงมือทำในทุก ๆ วันสม่ำเสมอ

เฉินเกอนั้นเป็นคนใจดี แต่วิธีการที่เขาแสดงความใจดีออกมานั้นเป็นเอกลักษณ์อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งกลุ่มอยากจะพูดอะไรอีกตอนที่ได้ยินสิ่งที่เฉินเกอพูด แต่หลังจากตรึกตรองถ้อยคำของเขาแล้ว พวกเขาก็เงียบ

นี่คือเมืองหลี่ว่านที่โอบล้อมไปด้วยหมอกสีเลือด ที่ซึ่งฆาตกรและผีมากมายแอบซ่อนอยู่ทุก ๆ มุมเมือง เคลื่อนไหวผิดเพียงก้าวเดียวและพวกเขาก็จะสูญเสียชีวิตของตนไปโดยง่าย ความใจดีนั้นหาได้ยากนักที่นี่ แต่ในเวลาเดียวกัน ความใจดีนี้ก็เป็นสิ่งที่ราคาถูกที่สุด

“ผมจะทำตามที่คุณสั่ง” หมอเป็นคนแรกที่เอ่ยทางเลือกของเขา เขามองคนเก่ง และในใจเขา เขาก็นับเฉินเกอเป็นความหวังเดียวในการจะออกไปจากที่นี่

“ฉันก็จะฟังคำสั่งของแกชั่วคราว” มือกรรไกรก็เห็นด้วยเช่นกัน ผู้โดยสารสามคน มีเพียงชายขี้เมาที่ดูไม่ค่อยยินยอม

“เสียงส่วนใหญ่ชนะ ดังนั้นก็เอาตามนี้” เฉินเกอส่งลูกกุญแจทั้งสี่ดอกให้แต่ละคน “หลังจากนี้ พยายามอย่าพูดและปล่อยทุกอย่างเป็นหน้าที่ผม”

ประมาณสองหรือสามนาทีให้หลัง เจ้าของร่างอ้วนก็เดินโซเซกลับมาจากห้องครัว “พวกคุณเลือกห้องกันแล้วใช่ไหม? อย่างนั้นก็ลงทะเบียนตรงนี้ และตอนที่คุณลงทะเบียน ผมก็มีข้อควรระวังบางอย่างที่ต้องบอกพวกคุณไว้”

คุณเจ้าของร่างอ้วนดึงสมุดโน้ตเก่าเหลืองออกมาจากใต้เคาน์เตอร์ บนสมุดนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นเป็นชั้นหนา บ่งบอกว่ามันไม่ถูกใช้งานมาเป็นเวลานานมากแล้ว เขาพลิกเปิดสมุด มันเต็มไปด้วยเลขห้อง และมีชื่อคนเขียนเอาไว้ใต้แต่ละเลข สิ่งที่แปลกก็คือบางชื่อนั้นมีการขีดฆ่า บางชื่อถูกวงกลมไว้ และนอกจากนั้นยังมีบางชื่อถูกกากบาททับด้วยสีแดง

เฉินเกอนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าสัญลักษณ์เหล่านี้หมายถึงอะไร แต่เขามีความรู้สึกว่าแต่ละชื่อที่ถูกขีดฆ่านั้นหมายถึงหนึ่งชีวิตที่สูญสิ้นไป

“ผมหวังว่าคุณจะจำสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ขึ้นใจ” เจ้าของยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะในท่าประหลาด “ห้องโถงนี้เป็นสถานที่ที่พวกเราจะรับประทานอาหารเย็นกัน เมื่อถึงเวลา ผมจะไปตามพวกคุณด้วยตัวเอง แต่ว่า ผมหวังว่าพวกคุณไม่เดินไปมารอบ ๆ ในช่วงเวลาที่เหลือ เลี้ยวตรงมุมนั่น และมันก็จะพาคุณไปที่ห้องของพวกคุณ ก่อนที่ชั้นหนึ่งจะเต็ม ชั้นสองจะยังไม่เปิดให้บริการ ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่ขึ้นบันไดไปดูด้วยความสงสัย ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับพวกคุณ ทางโรงแรมจะไม่รับผิดชอบ”

“พวกเราขึ้นไปข้างบนไม่ได้? ที่นี่ก็ออกจะใหญ่ แต่แกกลับมีกฏเกณฑ์มากมาย” มือกรรไกรเลียริมฝีปากตัวเองและแผลบนใบหน้าของเขาก็สั่นเบา ๆ

เจ้าของร่างอ้วนดูเหมือนจะเคยชินกับการรับมือกับคนที่มีรูปลักษณ์น่ากลัว สีหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงขณะอธิบายให้มือกรรไกรฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน “นี่ก็เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง ผมอาจจะมีแขกคนอื่นเข้าพักที่สถานที่ซอมซ่อนี่ของผม และผมก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าแขกเหล่านั้นจะไม่ออกมาทำร้ายคุณเข้า”

“คุณพูดก็มีเหตุผล พวกเราต้องระวังให้มาก” เฉินเกอนั้นสุภาพที่สุดในกลุ่ม– ไม่มีสัญญาณใดเลยสักนิดว่าเขากำลังวางแผนยึดที่นี่เอาไว้

“ตราบใดที่คุณพักอยู่แต่ในห้องของคุณ จะไม่เกิดอะไรขึ้น นอกจากนั้น ผมหวังว่าคุณจะจำเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อคุณเข้าไปในห้องแล้ว อย่าเปิดประตูรับใครอีก ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของคุณก็ตาม” ดวงตายิบหยีของเจ้าของร่างอ้วนนั้นมีขั้นไขมันมาบังเอาไว้ ดังนั้นจึงยากที่จะบอกการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมีการเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยเท่านั้น “ผมไม่ได้กำลังทำให้พวกคุณกลัว บางครั้ง คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อนก็อาจจะไม่ได้มีเรื่องของคุณอยู่ในใจก็ได้ หรือพวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นเพื่อนของคุณอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว”

เฉินเกอไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของคุณเจ้าของนัก เห็นได้ชัดเจนว่าผู้ชายคนนี้พยายามเปลี่ยนให้พวกเขาหวาดระแวงกันเอง ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความบาดหมางไว้ในใจพวกเขา

“เอาละ นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องบอกพวกคุณตอนนี้ อีกเดี๋ยวผมจะไปเรียกพวกคุณมารับประทานอาหารเย็น พวกคุณไปดูห้องของตัวเองก่อนได้ การเข้าพักคืนแรกไม่มีค่าใช้จ่าย” เจ้าของร่างอ้วนเดินออกไปหลังพูดจบ ฝีเท้าของเขานั้นเบา ไม่เข้ากันกับขนาดร่างกายของเขาเลยสักนิด “มีแขกอีกสี่ท่าน– ต้องเตรียมอาหารมากขึ้น”

เฉินเกอจ้องมองแผ่นหลังของคุณเจ้าของ เขาไม่รู้ว่าประโยคสุดท้ายของเจ้าของนั้นหมายถึงไปเตรียมอาหารให้มากขึ้นสำหรับพวกเขาสี่คนหรือว่าเตรียมจะเปลี่ยนพวกเขาสี่คนเป็นอาหารกันแน่

“ไปดูห้องก่อนแล้วกัน ผ่อนคลายกันสักนิด สำหรับตอนนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องหวาดระแวง” เฉินเกอนั้นเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปในทางเดินและใช้กุญแจที่ได้รับมาไขเปิดห้อง การตกแต่งภายในของห้องในโรงแรมนั้นต่างไปจากในเกมของเสี่ยวปู้เล็กน้อย มันใหญ่กว่าในเกมมาก

ชายแก เด็กมัธยมปลาย ผู้หญิง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ– ฉันอยากรู้ว่าแขกพวกนี้จะปรากฏตัวขึ้นในชีวิตจริงหรือไม่

ในเกม เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนแรกที่ถูกคุณเจ้าของฆ่า ดังนั้น หากในเกมนั้นลอกเลียนแบบจากในชีวิตจริง มันก็ปลอดภัยกว่าที่จะสันนิษฐานว่าเจ้าของร่างอ้วนนั้นมีอาวุธปืนของตำรวจอยู่กระบอกหนึ่ง และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เฉินเกอไม่ได้ล่วงเกินคุณเจ้าของโดยตรง

“ห้องที่นี่สะอาดกว่าที่ผมคาดเอาไว้มาก” หมอถือกุญแจอีกดอกเอาไว้ และเขาก็เป็นคนแรกที่เข้าไปในห้อง เขาเปิดตู้เสื้อผ้าออกและก้มลงไปมองใต้เตียง

“คุณกำลังมองหาอะไรน่ะ?” ชายขี้เมางุนงง

“ผมพยายามตรวจดูว่าจะมีอะไรอย่างรอยเลือดหรือว่าชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์หรือเปล่า”

“คุณอย่าทำอย่างนั้นได้ไหม? พวกเราพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะหาจุดปลอดภัยให้นอนหลับได้ในคืนนี้ แล้วตอนนี้คุณก็กำลังทำให้ผมกังวลอีกแล้ว” ชายขี้เมาตามหลังหมอเข้าไป “พวกเรานอนห้องนี้ด้วยกันคืนนี้ดีไหม?”

ชายขี้เมานั้นกลัวจริง ๆ เขาไม่แค่กลัวอันตรายที่จะมาจากแขกคนอื่น ๆ ของโรงแรม เขายังกลัวผู้โดยสารคนอื่น ๆ มือกรรไกรนั้นชัดเจนว่าไม่ใช่คนธรรมดา– ทุกการขยับตัวของเขานั้นสามารถบรรยายได้ว่าเป็นฆาตกรบ้าคลั่ง ผู้ชายอีกคนพร้อมกับค้อน ถึงแม้ว่าเขาจะดูรูปร่างหน้าตาปกติ สิ่งที่เขาทำและคำพูดของเขานั้นไม่ใช่ของคนธรรมดาอย่างแน่นอน เทียบกันแล้ว หมอนั้นเป็นปกติธรรมดาที่สุดในหมู่พวกเขาแล้ว

หลังจากตรวจดูห้องของตัวเองแล้ว เฉินเกอก็คว้ากระเป๋าสะพายหลังและเริ่มเดินวนอยู่ที่หน้าประตูของห้องอื่น ๆ

ชายชราพักอยู่ในห้องที่หนึ่ง และฟันที่สามารถเรียกวิญญาณสีเลือดได้ก็อยู่ในลิ้นชักของห้องที่หนึ่งพร้อมกับกุญแจสำรองของทุกห้องที่นี่ด้วย

ตอนที่เฉินเกอเล่นเกมของเสี่ยวปู้ เขาได้รับตัวเลือกมากมาย ตอนที่เขาเข้าไปในห้องของชายชรา เสี่ยวปู้นั้นถูกจำกัดให้นำสิ่งของไปจากในห้องได้เพียงชิ้นเดียว แต่ว่านั่นคือเกม และนี่คือโลกจริง เฉินเกอวางแผนจะหยิบทุกอย่างที่เขาใช้การได้ยัดมันเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังของเขาเพื่อให้เขาสามารถควบคุมโรงแรมนี้ได้โดยสมบูรณ์

“ที่นี่มันมีอะไรพิเศษถึงได้ตั้งอยู่กลางเมืองหลี่ว่านได้?”

ตอนที่เขาเล่มเกมของเสี่ยวปู้ เป้าหมายเดียวของเฉินเกอก็คือมีชีวิตรอด แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่เองแล้ว เขาต้องขุดคุ้ยความลับทั้งหมดของมันออกมา ดวงตาของเขาหรี่ลงขณะสอดลูกกุญแจในมือเข้าไปในรูกุญแจแล้วเริ่มบิดไปมาเสียงดัง

เป็นธรรมดาอยู่แล้ว กุญแจของเขาย่อมไม่สามารถเปิดประตูห้องที่หนึ่งได้ เหตุผลเดียวที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อดึงดูดความสนใจของชายชราและเริ่มต้นขั้นต่อไปในแผนการของเขา ตัวตนเดียวที่สามารถคุกคามเฉินเกอได้ในโรมแรมแห่งนี้ก็คือวิญญาณสีเลือดที่ในตู้เย็น และฟันที่ในลิ้นชักของชายชราก็คือสิ่งสำคัญที่ใช้ปลุกวิญญาณสีเลือด มีเพียงแค่นำฟันเหล่านั้นไปเขาถึงจะดำเนินตามแผนได้โดยไม่ต้องกังวล เขารออยู่เป็นนาน แต่ว่าไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใด ๆ จากในห้องที่หนึ่ง มันเหมือนว่าที่นี่เป็นห้องว่างห้องหนึ่ง

“คุณมาทำอะไรอยู่ตรงนี้? ห้องของพวกเราอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง คุณไม่เห็นหมายเลขห้องที่ติดไว้บนประตูเหรอ?” ชายขี้เมาวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาเตือนเฉินเกออย่างมีน้ำใจ เฉินเกอยิ้มและสอดกุญแจเก็บในกระเป๋า เขาอยู่จ้องประตูห้องที่หนึ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขากำด้ามค้อนในกระเป๋าแน่น เขาคิดและในที่สุดก็ตัดสินใจเลิกล้ม หากเขาหาฟันพวกนั้นไม่เจอหลังจากพังประตูเข้าไปหรือถ้าชายชรานั้นย้ายฟันไปไว้ที่อื่นก่อนแล้ว อย่างนั้นเรื่องต่าง ๆ ก็จะหลุดออกจากการควบคุมโดยง่าย

“ยิ่งเรื่องนี้ลากยาวไปเท่าไหร่ พวกเราก็จะยิ่งเจอเรื่องยุ่งยากเท่านั้น หลังจากบอสนั่นพบว่าพวกเราเป็นตัวอันตราย จากนั้นพวกเราก็จะทำอะไรยากแล้ว” เฉินเกอนั้นคิดเร็วและลงมือเร็ว เขามองหาช่องโหว่ เมื่อพนักงานของโรงแรมเผยจุดอ่อนออกมา เขาก็จะลงมือ

“พี่ชาย สิ่งเดียวที่เป็นอันตรายที่นี่ก็คือคุณนั่นแหละ ดังนั้นผมขอร้องให้คุณช่วยใจเย็นลงหน่อย!” ชายขี้เมารู้ว่าเฉินเกอนั้นคงไม่ฟังคำแนะนำของเขา เขาวิ่งไปหาคุณหมอ หวังว่าฝ่ายหลังจะสามารถช่วยเขาแนะนำเฉินเกอได้ แต่ว่า ตอนที่เขาหันกลับนั่นเอง ประตูห้องที่หนึ่งก็แง้มออก

“คุณมาผิดห้องแล้ว” เสียงของชายชราคนหนึ่งดังมาจากในห้อง เฉินเกอหรี่ตาและมองเข้าไปในห้องด้วยดวงตาหยินหยาง ไฟด้านในนั้นไม่ได้เปิด และชายชราตัวเล็กเตี้ยก็ยืนอยู่ด้านหลังประตูหลังโก่งโค้ง

“พวกเราต้องขอโทษด้วยจริง ๆ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะรบกวน” ชายขี้เมารีบขอโทษแทนเฉินเกอ เขาคว้าแขนเฉินเกอ “ไปกันเถอะ คุณกำลังสร้างปัญหาให้กับแขกคนอื่น ๆ นะ”

ชายขี้เมาอยากจะดึงเฉินเกอออกไปจริง ๆ กริยาและสีหน้าของเขานั้นสะท้อนสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ

บางทีอาจจะเพราะอย่างนั้น หลังจากได้ยินคำพูดของชายขี้เมา ชายชราก็ลดการระวังตัวลง มือที่กำอยู่ที่ลูกบิดประตูคลายออก และประตูก็แง้มกว้างขึ้นเผยให้เห็นมืออีกข้างของเขาก็ปล่อยไว้ข้างตัว มืออีกข้างนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล และมันก็กำลังถือผ้าสีแดงกับฟันหลายซี่ที่ถูกฝนจนเรียบ

“เจอแล้ว!” ก่อนที่ใครจะทันทำอะไร เฉินเกอก็ยื่นมือไปจับประตูไว้ไม่ให้ชายชราปิดประตูลงได้

“คุณกำลังทำอะไรน่ะ?” ทั้งชายขี้เมาและชายชราพูดเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาทั้งคู่กำลังตื่นตระหนก

“ผมแค่ต้องการขอยืมบางอย่างจากคุณ” จากนั้นเฉินเกอก็เบียดตัวเข้าไปในห้องแล้วยกมือขึ้นปิดปากชายชราไม่ให้เขาร้องออกมา “มาช่วยผม! เก็บฟันทุกซี่ที่หล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมา ทำให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้พลาดมันไปซักซี่!”

ชายขี้เมาอึ้งงันไป ฉันกำลังติดตามคนบ้าอยู่หรือเปล่า? เขาโจมตีชายชราไร้ทางสู้อย่างไม่มีเหตุผลและไม่มีการเตือน และจากวิธีที่เขาลงมือ มันเหมือนเขาวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเป็นนานแล้ว!

ชายชราที่ถูกโจมตีดูเหมือนจะลืมดิ้นรนไป ฆาตกรทั่วไปหรือว่าผีย่อมต้องรอจนกว่าจะถึงกลางคืนถึงได้ค่อย ๆ แผ่บรรยากาศอันสิ้นหวังและจากนั้นก็ค่อย ๆ วางกับดัก ผลักเป้าหมายของพวกมันไปสู่ขอบเหวของความสิ้นหวัง น้อยมากที่จะมีใครทำเหมือนเฉินเกอและลงมือทันทีที่ประตูเปิดกว้างพอ

“พี่ชาย! คุณเจ้าของยังกำลังทำอาหารเย็นให้พวกเราอยู่นะ! คุณวางแผนจะลักพาตัวแขกของเขาอยู่ใช่ไหม?” ชายขี้เมารีบตามเฉินเกอเข้าไปในห้อง เขากลัวว่าพวกเขาจะทำเสียงดังวุ่นวายเกินไปและดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ

“ตาแก่คนนี้ไม่ใช่แขก” เฉินเกอลากชายชราไปที่โต๊ะขณะที่อุดปากเขาเอาไว้

“งั้นเขาเป็นใครล่ะ?” ชายขี้เมานั้นประหลาดใจที่เฉินเกอรู้มากกว่าที่เขาแสดงออกและในตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าชายชราคนนี้อันที่จริงอาจจะเป็นตัวอันตราย

“เขาเป็นพ่อของเจ้าของที่นี่คนนั้น” เฉินเกอเปิดลิ้นชักและก็เหมือนกับเขากลับมายังบ้านของตัวเอง เขาดึงลูกกุญแจ ฟัน และทุกอย่างในนั้นออกมา

“พ่อของเขา?” ชายขี้เมาเริ่มตะกุกตะกัก “งั้น ทำไมคุณถึงจะลักพาตัวพ่อของเขาในเมื่อพวกเราก็เพิ่งเจอกับคุณเจ้าของเป็นครั้งแรกคืนนี้เอง?”

“ทำไมคุณถึงมีคำถามมากมายนัก? มาช่วยผมนี่ ฉีกผ้าปูที่นอนเป็นเส้น ๆ แล้วบิดเอาไว้ พวกเราจะใช้มันต่างเชือกมัดตาแก่คนนี้เอาไว้” เฉินเกอเก็บของในลิ้นชักออกหมด เขาเก็บฟันทุกซี่เข้าไปในกระเป๋าแล้วสะพายหลังเอาไว้ เขาหันไปหาตาแก่ที่ดวงตาเบิกกว้างแล้วพูด “ผมจะไม่ทำร้ายคุณ และเพื่อตอบแทน ผมหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับพวกเราและเลิกดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์”

ถึงแม้ว่าชายขี้เมาจะบอกว่าเขาไม่ยินดี แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็เป็นพวกเดียวกับเฉินเกอ เขาทำตามคำสั่งของเฉินเกอและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเป็นเชือกมัดชายชราเอาไว้

“เอาละ ตอนนี้พวกเราก็มีฟันนี่แล้ว พวกเราแค่ต้องระวังปืนสั้นที่คุณเจ้าของน่าจะมีอยู่กับตัว” เฉินเกอถอนหายใจโล่งอกและใช้ปลอกหมอนอุดปากชายชราเอาไว้ ได้ยินเสียงวุ่นวาย หมอและมือกรรไกรก็มาดู

“อย่ามองผมแบบนั้น เขาบอกให้ผมทำทั้งหมดนี่เลย” บนใบหน้าของชายขี้เมานั้นมีความจนปัญญาระบายอยู่เต็ม

“ผมไม่รู้ว่าต้องป้อนคนเป็น ๆ ให้กับวิญญาณสีเลือดที่ตะกละตะกรามนั่นเท่าไหร่ แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจได้ ไม่มีใครในโรงแรมนี้ที่มือไม่เปื้อนเลือด” เฉินเกอไม่มีเวลาอธิบายสถานการณ์ให้กับคนที่เหลือ “ทางที่ดีพวกเราไปจากที่นี่ก่อน มันง่ายเกินไปที่ตำแหน่งของพวกเราจะถูกเปิดเผยออกมาเวลาที่พวกเรารวมตัวกันอยู่อย่างนี้ ผมจะอธิบายสถานการณ์ให้พวกคุณฟังทีหลัง”

ทั้งกลุ่มเพิ่งออกจากห้องตอนที่เสียงของคุณเจ้าของดังมาจากในครัว

“ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว!” เจ้าของร่างอ้วนและชายร่างใหญ่ที่สวมหมวกแบบพ่อครัวปรากฏตัวขึ้นขณะผลักรถเข็นอาหารมา รถนั่นทาด้วยสีแดง มันดูค่อนข้างสดใส บนนั้นมีเค้กเก้าชิ้นและชาสีแดงกาหนึ่งวางอยู่

“เค้ก?” เห็นเค้กแล้วเฉินเกอก็นึกถึงฉากในเกมของเสี่ยวปู้ คนสี่คนจะแบ่งเค้กเก้าชิ้นให้ทุกคนเท่า ๆ กันโดยใช้มีดตัดแค่ครั้งเดียวได้อย่างไร?

บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เฉินเกอ หมอ มือกรรไกร และชายขี้เมา– พวกเขาบังเอิญมีกันสี่คนพอดี

“ฉันว่านี่จะไม่ใช่อาหารเย็น แต่ว่าเป็นอาหารค่ำ ถ้าพวกคุณหิว ก็กินกันก่อนได้เลย” เจ้าของร่างอ้วนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ห้องที่หนึ่งและมองมายังเหล่าแขกพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ภายใต้การพิจารณาอย่างละเอียดของเขานั้น เฉินเกอ หมอ และมือกรรไกรทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงแค่ชายขี้เมาเท่านั้นที่เผยแววขอโทษขอโพยอยู่บนใบหน้า

“เชิญนั่งเลย” เจ้าของร่างอ้วนนั้นดูเป็นมิตรมาก เขาช่วยพ่อครัววางเค้กลงบนโต๊ะ หมอ ชายขี้เมา และมือกรรไกรเลือกนั่งข้าง ๆ กัน ตอนที่เฉินเกอกำลังจะนั่งลงนั้นหัวใจของเขาก็เต้นรัวขึ้นเพราะว่าเขาได้ยินเสียงแทรกก้องอยู่ในหู

“ซู่อินกำลังเตือนฉัน? เก้าอี้นี่มีปัญหาใช่ไหม?” เฉินเกอลุกขึ้นอีกครั้งแล้ววางกระเป๋าสะพายหลังลงที่เก้าอี้แทน ไม่มีแขกคนไหนแตะต้องเค้ก กระทั่งชายขี้เมาก็รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหนที่จะกินอาหารแปลก ๆ ในสถานที่อันตรายเช่นนี้

“อย่าบอกผมนะว่าพวกคุณคิดว่าผมทำอะไรกับเค้กไว้” เจ้าของร่างอ้วนหัวเราะอย่างมีอัธยาศัยดี “ที่นี่เป็นสถานประกอบการที่มีชื่อเสียง เชิญรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องกังวล ทุกอย่างที่มีบริการในคืนแรกล้วนไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าคุณต้องการอยู่ต่อ อย่างนั้นผมถึงจะเรียกรับค่าตอบแทนจากคุณ”

จากนั้นเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวก็ช่วยกันผลักรถเข็นออกไปทิ้งให้กลุ่มของเฉินเกออยู่ในห้องโถง

“เจ้าของดูไม่เหมือนคนเลว” สายตาของชายขี้เมาวนเวียนอยู่ที่ห้องที่หนึ่ง “ถ้าเขารู้ว่าพวกเราลักพาตัวพ่อของเขา เขาคงโกรธจนระเบิด”

“มองโต๊ะนี่ก่อนที่จะสรุปอย่างนั้น” ฟางหยวนย้ายจานเค้กออกไปเผยให้เห็นรอยมีดมากมายบนโต๊ะไม้ บางรอยนั้นดูลึกเหมือนเกิดจากการใช้แรงสุดกำลัง “คุณรู้ไหมว่าทำไมถึงมีเค้กเก้าชิ้นทั้งที่พวกเรามีกันแค่สี่คน?”

“ทำไม?” ชายขี้เมาเพิ่งถามจบตอนที่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหัวเบาและแทบจะล้มไปกับพื้น

“นี่ไม่ดีแล้ว!” หมอและมือกรรไกรตระหนักถึงบางอย่างผิดปกติในทันที พวกเขาพยายามลุกขึ้นยืนแต่พบว่าเรี่ยวแรงนั้นหายไปจากร่าง

“พวกเราไปกระตุ้นกับดักได้ยังไงกัน?” เฉินเกอคิดว่าพวกเขาระมัดระวังมากแล้ว แต่ก็ยังคงเกิดเรื่องขึ้น “แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้สึกมึนงงอะไรเลย?”

เฉินเกอดึงกระเป๋าสะพายหลังออกและใช้ดวงตาหยินหยางสำรวจที่เก้าอี้ ในที่สุดเขาก็พบบางอย่าง เก้าอี้นั้นเก่า และที่นั่งก็ไม่เรียบ มีหมุดสีแดงเล็กจิ๋วซ่อนอยู่ เมื่อมองใกล้ ๆ เฉินเกอก็พบว่ามันคือเล็บของคนที่ชุ่มไปด้วยเลือด

เมื่อมีเค้กวางไว้บนโต๊ะ ความสนใจของทุกคนก็ถูกดึงไปที่เค้ก เก้าอี้ถูกดึงออกจากโต๊ะ และน้อยคนที่จะให้ความสนใจกับที่นั่งของเก้าอี้

“ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมนี่จึงเป็นฉากระดับ 3.5 ดาว กระทั่งมีไกด์อยู่ก็ยังมีโอกาสที่จะทำภารกิจล้มเหลว” เฉินเกอถือกระเป๋าเอาไว้แล้วมองไปข้างหลัง ประตูห้องครัวเปิดอยู่และมีศีรษะของสองคนโผล่ออกมา เจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวกำลังจับตามองพวกเขาอยู่ หลังจากพบว่าแขกทั้งสามนั้นติดกับดักพวกเขาแล้ว เจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวก็เดินออกมาจากในห้องครัวพร้อมรอยยิ้มกว้าง พวกเขาถือมีดตัดกระดูกเอาไว้ในมือ

“แกเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่แล้ว” น้ำเสียงของคุณเจ้าของเปลี่ยนไป เขาเลิกเสแสร้งแล้ว

เห็นมีดที่ในมือของเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัว เฉินเกอก็เผยยิ้มออกมาช้า ๆ “พวกเขาถือมีดเข้ามาหาฉัน ดังนั้นนี่ย่อมหมายความว่ามีโอกาสสูงทีเดียวที่เจ้าของจะไม่มีปืน ฉันจะลงมือเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้พอ และจากนั้นพวกเขาก็จะไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์อีกเลย”

 

 

 

 

“ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างอยู่ในความควบคุม” เฉินเกอลุกขึ้นยืดข้อต่อต่าง ๆ เทียบกับสภาพของผู้โดยสารคนอื่นแล้ว ใคร ๆ ก็เห็นได้ว่าเฉินเกอนั้นฝึกฝนร่างกายมาดีเพียงใด

“โรงแรมนี้อยู่ภายใต้อาณาเขตของวิญญาณตนอื่น ดังนั้นผู้หญิงไร้หัวคนนั้นจะไม่กล้าบุกเข้ามาชั่วคราว” เฉินเกอตบ ๆ ท้องเจ้าแมวขาว มันกำลังกลัวมากจนไม่ผลักมือเฉินเกอกลับตามปกติ

“เดี๋ยวนะ! คุณเพิ่งพูดอะไรนะ? คุณหมายความถึงอะไรที่บอกว่าที่นี่อยู่ภายใต้อาณาเขตของวิญญาณตนอื่น? อย่าบอกผมนะว่า… มีสิ่งอื่นที่คล้ายสัตว์ประหลาดนั่นอยู่ที่นี่!” ชายขี้เมานั้นได้รับการฝึกฝนมากเกินไปแล้วคืนนี้ สมองของเขาจึงเปลี่ยนเป็นว่องไวขึ้น

“ผมเดาว่าคุณก็คงเห็นเป็นอย่างนั้นแหละ แต่ไม่ต้องห่วง ผีผู้หญิงนั่นยังหลับอยู่ สำหรับตอนนี้ เธอจะยังไม่ตื่น” เฉินเกอเดินเข้าไปในร้านอาหาร ทิ้งผู้โดยสารที่ยังอึ้งอยู่เอาไว้

“เขายอมรับง่ายขนาดนี้เลยเรอะ? มีผีผู้หญิงอีกตนอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ? มันอะไรกันเนี่ย?” ชายขี้เมาหันกลับไปมองมือกรรไกรและหมอ “เฮ้ ทำไมคุณสองคนไม่พูดอะไรเลย? มีผีผู้หญิงอยู่ที่ข้างนอกนั่นนะ ผีร้ายนะ!”

“เงียบหน่อยน่า มีผีแล้วยังไงอ่ะ?” มือกรรไกรตีมือชายขี้เมากลับและแค่นเสียงเย็น “ถ้ามันกล้ามาหาฉัน ก็คอยดูฉันจัดการกับมันแล้วกัน”

ในพวกเขาไม่กี่คนนี้ หมอนั้นคุมสติได้ดีที่สุด “พวกคุณสังเกตไหมว่าคำที่เขาใช้ล้วนหมายถึงชั่วคราวน่ะ? นี่หมายความว่าผีที่ด้านนอกอาจจะเข้ามาได้ และผีที่ด้านในก็อาจจะตื่นขึ้นเร็ว ๆ นี้ก็ได้ และถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราก็ต้องรับมือกับผีสองตนในเวลาเดียวกัน”

“คุณหมายความว่ายังไง?” ชายขี้เมาเชื่อว่าหมอเป็นคนที่เชื่อถือได้ที่สุดในกลุ่ม และเขาก็พยายามจับความหมายแฝงในถ้อยคำของเขา

“ผมหมายถึง คุณควรจะพยายามเก็บแรงเอาไว้ สถานการณ์ของพวกเราอาจจะเลวร้ายกว่านี้ได้” หมอเองก็หอบอย่างหนักเช่นกัน ในผู้โดยสารทั้งสามคน มือกรรไกรนั้นมีร่างกายที่แข็งแรงที่สุด อย่างไรเสีย เขาก็เตรียมการมานานวัน และนั่นก็รวมถึงการฝึกฝนร่างกายอย่างหนักด้วย

“คุณพูดเล่นแล้ว… นี่ฉันเดินเข้ามาในฝันร้ายประเภทไหนกันเนี่ย ฉันแค่ออกมาดื่มนิดหน่อยแค่นั้นเองนะ…” ชายขี้เมาตะกายลุกขึ้นจากพื้น ฟังเสียงเคาะที่ก้องจากประตูแล้ว เหงื่อเย็น ๆ ก็ไหลลงมาตามใบหน้าของเขา

“มีคนอยู่ไหม?” เฉินเกอเดินไปที่เคาน์เตอร์ โรงแรมนั้นตกแต่งในรูปแบบยุคเก้าสิบ– มันดูคล้ายกับที่ในเกมของเสี่ยวปู้ หลังจะรออยู่สิบวินาที ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากในห้องลึกเข้าไปในทางเดิน “รอสักครู่ครับ! ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!”

หนึ่งนาทีให้หลัง ผู้โดยสารทั้งหลายก็เห็นชายร่างอ้วนคนหนึ่งเดินเป๋ไปมาตามทางเดิน มือของเขานั้นกำลังผูกผ้ากันเปื้อน และผ้ากันเปื้อนก็ดูใหม่เพราะว่าไม่มีรอยเปื้อนอะไรเลย

“ทำไมคุณถึงช้านัก? แสดงให้เห็นถึงความขาดประสิทธิภาพ ในฐานะของธุรกิจให้บริการชนิดหนึ่ง คุณต้องจำเอาไว้ว่าลูกค้าต้องมาก่อนเสมอ” เฉินเกอกวาดตามองชายคนนั้นอย่างหมดความอดทน

“ขอโทษเป็นอย่างยิ่งครับ ผมกำลังช่วยในครัวอยู่” ชายวัยกลางคนไม่โกรธ อันที่จริง เขามีรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยซ้ำ รวมกับท่าทีทั้งหมดของเขาแล้ว มันก็ทำให้เขาดูเป็นมิตรและยินดีต้อนรับ

“ช่วยในครัว?” เฉินเกอสังเกตเห็นว่ามือของชายคนนี้ยังเปียก– เพิ่งล้างมือมา แต่ว่า เขารีบร้อนเกินไป ดังนั้นจึงมีรอยเปื้อนสีแดงเข้มเหลืออยู่ใต้เล็บ

“ใช่ พวกเรามีพ่อครัวแค่คนเดียวที่นี่ ดังนั้นบางครั้ง ผมก็ต้องเข้าไปที่ข้างหลังเพื่อช่วยเขา” ชายร่างอ้วนหัวเราะ ดวงตาเหลือเล็กเท่าลูกปัดจากไขมันที่พอกหนา หากเขาไม่หันหน้ามา ก็ยากที่จะบอกว่าเขากำลังมองใครอยู่

“คุณเป็นเจ้าของที่นี่เหรอ?” นี่เป็นครั้งแรกที่ชายขี้เมาเจอกับคนที่เขาสามารถพูดคุยได้ด้วยอย่างปกติ และหัวใจของเขาก็ยิ่งกว่าแค่ตื่นเต้นเล็กน้อยเสียอีก

“ผมต้องช่วยงานในครัว ทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟ และยังต้องดูแลการจองห้องพัก ถึงจริง ๆ แล้วผมจะเป็นเจ้าของที่นี่ ผมก็ดูเหมือนจะแย่ยิ่งกว่าคนที่ถูกจ้างมาช่วยที่นี่เสียอีก” ผู้ชายคนนั้นเบียดตัวเข้าไปด้านหลังเคาน์เตอร์ “พวกคุณจะพักที่นี่หรือว่าแค่มาทานอาหาร?”

“ค่าใช้จ่ายคิดยังไง?” หมอขมวดคิ้ว เขารู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง สามารถให้บริการอยู่ในเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ได้ ต้องมีบางอย่างไม่ปกติที่นี่

“คุณพักฟรีได้ในคืนแรก แต่ถ้าคุณต้องการพักต่อคืนที่สอง พวกเราจะเลือกขอสิ่งหนึ่งของคุณเป็นค่าห้อง” เหมือนกลัวว่าจะเกิดความเข้าใจผิด เจ้าของร่างอ้วนก็เสริม “เงินไม่ได้สำคัญกับพวกเราที่นี่นัก พวกเราอยากได้ช่วงเวลาอันโดดเด่นไม่เหมือนใคร”

“แล้วถ้าพวกเราอยากจะอยู่ต่อเป็นคืนที่สามล่ะ?” เฉินเกอถามขัด

“พวกเราก็จะขออีกสิ่งหนึ่งจากคุณ พวกเราจะไล่คุณออกไปก็เมื่อคุณไม่สามารถจัดหาสิ่งที่เราต้องการได้แล้ว” เจ้าของดูมีเหตุผล “ผมสามารถรับรองได้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองเล็ก ๆ นี่”

“ผมว่าผมเข้าใจนะ” ชายขี้เมาพยักหน้า “ที่นี่ก็เหมือนเซฟโซนในเกม พวกเราสี่คนพักที่นี่คืนนี้เป็นยังไง?”

“นี่เป็นกุญแจห้องของพวกคุณ” เหมือนกลัวว่าชายขี้เมาจะกลับคำ เจ้าของร่างอ้วนรีบดึงกุญแจสี่ดอกออกมาจากใต้เคาน์เตอร์ แต่ละดอกนั้นติดหมายเลขเอาไว้

“พวกเราไม่ต้องการสี่ห้องหรอก พวกเราอยู่ห้องละสองคนก็ได้” หมอก็ยังคงระแวดระวังมากกว่า

“ได้แน่นอน พวกคุณคุยกับเองเลยว่าจะจัดการแบ่งกันนอนอย่างไร ผมจะกลับไปที่ครัวช่วยพ่อครัวเตรียมอาหารเย็นให้พวกคุณ” คุณเจ้าของเดินโซเซกลับไปยังห้องครัว แต่น่าแปลก ทางที่เขาเดินไปนั้นเป็นคนละทางกับที่เขาใช้ตอนเดินออกมาจาก ‘ห้องครัว’

หลังจากเจ้าของไปแล้ว หมอก็เลือกสองห้องที่อยู่ติดกัน “พวกเราเลือกสองห้องนี้ แต่ว่าพวกเราทั้งสี่คนจะอยู่ในห้องเดียวกันทิ้งให้อีกห้องเป็นห้องเปล่า พวกเราจะผลักกันเฝ้ายามตลอดทั้งคืน จับตามองอีกสองห้องนี่เอาไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น คนที่อยู่ยามต้องปลุกทุกคนขึ้นมา”

“นั่นเป็นความคิดที่ฉลาดมาก!” ความหวังผุดขึ้นในดวงตาของชายขี้เมา “ตราบใดที่พวกเรารอดไปถึงตอนเช้าหรือจนหมอกสลายไป พวเราก็จะสามารถหนีออกจากเมืองเล็ก ๆ นี่ได้!”

มือกรรไกรเห็นด้วยกับหมอ ในกลุ่ม มีแค่เฉินเกอที่มีสีหน้าประหลาด

“นี่น่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว” หมอหันไปหาเฉินเกอ อย่างไรเสีย ฝ่ายหลังนั้นก็เหมือนศูนย์รวมจิตวิญญาณของพวกเขา

“ถ้าพวกเราซ่อนอยู่ในห้องนี้นั่นก็หมายความว่าพวกเรายอมแพ้ที่จะเป็นฝ่ายบุก ทำให้พวกเขามีเวลามากพอที่จะติดตั้งกับดักต่าง ๆ และพวกเราก็จะทำได้แค่รออยู่ในห้องเท่านั้น” เฉินเกอไม่แม้แต่จะเหลือบมองลูกกุญแจที่บนเคาน์เตอร์

“อย่างนั้นคุณคิดว่าพวกเราควรจะทำอย่างไร?” คนอื่น ๆ นั้นสงสัยในความคิดของเฉินเกอ

“ง่ายมาก เจ้าของคนนั้นบอกก่อนหน้านี้ว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกจากเขาและพ่อครัว” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเฉินเกอขณะที่เขาเอื้อมมือออกไป “มีพวกเขาสองคนแต่พวกเรามีกันสี่คน เทียบกับการผ่านคืนนี้ไปอย่างกระวนกระวาย ผมอยากจะเป็นฝ่ายลงมือและทำตัวเป็นเจ้าของที่นี่สักคืนหนึ่ง”

“คุณต้องการยึดที่นี่?” ชายขี้เมารู้สึกว่าโลกของเขากำลังจะระเบิดออก “พี่ชาย ผู้ชายคนนั้นทั้งใจดีและสุภาพตอนที่พูดคุยกับเราก่อนหน้านี้ แล้วคุณยังวางแผนจะขโมยที่นี่จากเขา? นั่นจะไม่เหมาะสมไปหน่อยหรือเปล่า?”

“สถานที่ที่กระทั่งวิญญาณสีเลือดไม่กล้าเข้ามาอย่างง่าย ๆ คุณคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าของคนนั้นนั่นใจดีกับพวกเรา?” เฉินเกอเล่นเกมของเสี่ยวปู้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจจุดประสงค์ของ ‘โรงแรม’ นี่ ลูกค้าล้วนเป็นอาหาร รอคอยให้ถูกส่งเข้าไปในท้องของวิญญาณสีเลือดที่ถูกขังเอาไว้ในตู้เย็น “ระหว่างมื้อเย็นพวกคุณจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงทำอย่างนี้”

เฉินเกอวางเจ้าแมวขาวกลับไปที่บนไหล่ของเขาและเก็บกุญแจทั้งสี่ดอก “อย่าได้เปิดโปงแผนการไป ผมหวังว่าพวกคุณจะเชื่อผม ผมรับรองกับพวกคุณได้ว่าผมเป็นคนดี แต่ว่าความใจดีของผมก็มีขอบเขต”

 

 

วิญญาณสีเลือดในบ้านข้าง ๆ เสี่ยวปู้นั้นมีพลังมากกว่าที่เขาจำได้ อันที่จริง ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเขาเช่นกัน เขาประมาทเกินไปหลังจากใช้เวลากับเหล่าวิญญาณสีเลือดมากเข้า ลืมความกลัวที่เคยกอบกุมใจเขาตอนที่เขาเจอกับวิญญาณสีเลือดครั้งแรก

สีแดงสดนั้นหมายถึงอันตรายและความน่ากลัว ตอนที่ผีผู้หญิงปรากฏตัวขึ้น สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดในกระดูกของเฉินเกอก็ตื่นตัวขึ้นมา ก่อนที่ฆาตกรคนนั้นจะทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินเกอก็เผ่นไปไกลแล้ว

ตอนที่เสี่ยวปู้ผลักเปิดประตูครั้งแรก เธอก็เป็นแค่เด็กธรรมดา เธอรอดชีวิตอยู่หลังประตูนานขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?

ฆาตกร ผี และยังสัตว์ประหลาดผิวสีเทา– ในเมืองนี้ ไม่ได้ต่างไปจากฝันร้ายเลย กระทั่งผู้ใหญ่สักคนยังรู้สึกว่ายากที่จะเอาชีวิตรอด ดังนั้นแล้วเด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งทำได้อย่างไร? นั่นทำให้เฉินเกอสงสัย

เฉินเกอลากค้อนวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เขาไม่กล้ามองกลับไปข้างหลัง เสียงเคาะและเสียงน้ำที่ดังมาจากด้านหลังเขานั้นเป็นแรงกระตุ้นที่เพียงพอให้เขาวิ่งไปเรื่อย ๆ เขารู้ว่าวิญญาณสีเลือดตนนั้นอยู่ด้านหลังเขานี่เองแล้ว

ผู้โดยสารสองสามคนนั้นเดิมยืนอยู่กลางเขตที่พักอาศัย พวกเขามองไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่โอบล้อมไปด้วยหมอกสีเลือดและเบียดตัวเข้าหากัน กลัวว่าแค่กะพริบตาแล้วพวกเขาก็จะถูกลากเข้าไปในหมอกโดยสัตว์ประหลาดสักตน หลังจากแยกจากเฉินเกอ พวกเขาก็เหมือนไร้ที่ยึดเหนี่ยว รู้สึกไม่มั่นคง และไม่ปลอดภัย

“วิ่ง!” เสียงเฉินเกอดังออกมาจากในอพาร์ทเม้นท์ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เหล่าผู้โดยสารได้ยินเฉินเกอใช้น้ำเสียงเร่งร้อนเช่นนั้น ในใจพวกเขาคิดว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ชายคนนี้ก็มักจะสงบนิ่งเหมือนความสยองขวัญนั้นเป็นอะไรที่อยู่ไกลจากตัวเขา ความจริงพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาเข้าใจผิดไป ผู้ชายคนนั้นไม่ได้มีภูมิต้านทานความกลัว– มันก็แค่ว่า เขายังไม่ได้เจอกับอะไรที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้เท่านั้น!

หลังจากได้ยินเสียงเฉินเกอ ผู้โดยสารก็หันหน้าไปทางเฉินเกอช้า ๆ แขนซ้ายของเขานั้นหิ้วกระเป๋าสองใบเอาไว้ มือขวาลาก ‘ค้อนประกอบฉาก’ ไหล่ขวาของเขานั้นมีเจ้าแมวขาวที่กำลังกระวนกระวายเกาะเอาไว้แน่น เฉินเกอมาถึงพร้อมกันสีหน้าบิดเบี้ยว ขาของเขาก้าวรวดเร็วราวกับสายลมขณะวิ่งมาทางพวกเขา “วิ่งไปทางซ้าย! ไปที่โรงแรม! โรงแรม!”

ตอนแรก ผู้โดยสารนั้นไม่รู้ว่าเฉินเกอไปเจอกับอะไรเข้า หนึ่งวินาทีให้หลัง ดวงตาของพวกเขาก็มองผ่านเฉินเกอไป ศพผู้หญิงไร้หัวเดินออกมาจากทางเดินมืด ๆ หลอดเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนคืบคลานออกมาจากลำคอที่ถูกตัดขาดเรียบไปถักทอเป็นตาข่ายเลือดแดงสดผืนใหญ่ ที่ปลายตาข่ายนั้นเป็นหัวคนที่ดูน่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ!

“เชี่ยไรน่ะ!”

“คุณทำอะไรลงไปเนี่ยคราวนี้?”

“วิ่ง!”

ตัวตนของวิญญาณสีเลือดนั้นข่มขวัญยิ่งกว่าวิญญาณทั่วไปมากนัก ตอนที่ผู้โดยสารเห็นเธอ ปฏิกริยาของพวกเขานั้นก็คล้ายกับเฉินเกอ พวกเขาเริ่มออกวิ่ง พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาถูกจับตัวได้ สมองของพวกเขาว่างเปล่า และมีแค่คำสั่งเดียวที่เหลืออยู่– วิ่ง! วิ่งให้เร็วเท่าที่ทำได้!

ความเร็วของผีผู้หญิงนั้นเร็วกว่าในเกม เฉินเกอนั้นวิ่งเร็วสุดชีวิตแล้วแต่ถึงอย่างนั้นระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ยังแคบลง

โชคดีที่ฉันส่งฆาตกรเข้าไปที่นั่นก่อน ถ้าฉันเป็นคนเปิดประตูโดยไม่มีเวลาสองสามวินาทีนั้นเป็นตัวกลาง ฉันก็คงจะถูกลากเข้าไปในห้องไปแล้ว

เมื่อไม่สามารถเรียกจางหยาออกมาได้ เฉินเกอก็มีแค่ซู่อินที่อาจจะสามารถหยุดผู้หญิงไร้หัวตนนี้ไว้ได้

หลังจากทำภารกิจที่นี่สำเร็จ ไม่ว่ายังไง ฉันก็ต้องช่วยซู่อินตามหาหัวใจของเขาแล้ว!

วิ่งไปตามถนน ภาพจากเกมของเสี่ยวปู้ก็ซ้อนขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ในถนนที่เต็มไปด้วยหมอก พวกเขาหลายคนกรีดร้องบ้าคลั่งขณะวิ่งไปตามทางถนนสู่ปลายทางอันไม่รู้จัก

“ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว! ขาฉันไม่ขยับแล้ว!” ชายขี้เมากุมหน้าอกตัวเอง “มันเหมือนหัวใจของฉันจะวายไปแล้ว!”

“ถ้าคุณหยุด เจ้าสิ่งนั้นก็จะมาควักหัวใจคุณออกจากหน้าอกด้วยตัวมันเอง! อย่าหยุด!” เฉินเกอร้องเตือน บางทีการให้กำลังใจของเขาอาจจะใช้ได้ผล ชายขี้เมากัดฟันแล้วพุ่งไปข้างหน้าต่อ

“ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงบอกให้พวกเรารอคุณที่ทางเข้า! ถ้าคุณบอกพวกเราว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น พวกเราก็ไปรอคุณอยู่ที่โรงแรมแล้ว!” มือกรรไกรตะโกน กระทั่งฆาตกรที่น่ากลัวที่สุดก็ยังหวาดกลัวเมื่อเจอเข้ากับวิญญาณสีเลือด อย่าว่าแต่ตัวปลอมคนหนึ่งนี่เลย

ท่าทีของเฉินเกอต่อมือกรรไกรนั้นค่อนไปทางใจดีด้วย อย่างไรเขาก็วางแผนจะฟูมฟักชายหนุ่มคนนี้มาเป็นพนักงานของเขา “ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่! ตราบใดที่คุณวิ่งเร็วพอ ผีก็ไม่สามารถจับคุณได้! แค่ฟังผม! พวกเราจะปลอดภัยเมื่อไปถึงโรงแรม!”

เมื่อคนผู้หนึ่งเจอกับเรื่องเหนือธรรมชาติ สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือการขังตัวเองเอาไว้ในอาคารปิด ตราบใดที่สามารถวิ่งได้ อย่างนั้นก็ยังมีความหวัง นี่เป็นข้อสรุปที่เฉินเกอได้มาหลังจากได้รับมือกับพวกผีหลายครั้งเข้า ในเมื่อพวกผีนั้นไล่ตามมาติด ๆ แล้ว มันก็สายเกินกว่าจะพูดอะไรแล้วตอนนี้ สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือวิ่ง

ตึกที่สองฟากข้างถนนนั้นมีเสียงประหลาดดังออกมา มันเหมือนสิ่งนั้นอาจจะเอื้อมมือออกมาจากหน้าต่างที่เปิดไว้ครึ่ง ๆ เมื่อไหร่ก็ได้

“อยู่กลางถนนเข้าไว้! อย่าเข้าไปใกล้ตึกพวกนั้นเกินไป!” เฉินเกอยังจำฉากในเกมของเสี่ยวปู้ได้ อันตรายอยู่ในทุกที่ในเมืองหลี่ว่านเมื่อฟ้ามืดลง สัตว์ประหลาดและผีซ่อนตัวอยู่ในตึกมักจะใช้ความมืดกำบังการโจมตี ‘ลูกแกะ’ ที่เดินมาตามถนน

“สัตว์ประหลาดและผีส่วนใหญ่นั้นจะไม่ออกมาจากตึกของตัวเอง แต่ว่ากฎนี้นั้นใช้กับวิญญาณสีเลือดไม่ได้” เฉินเกอหันกลับไปมองด้านหลังตัวเอง เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรที่เป็นการท้าทายผู้หญิงคนนี้เข้าเธอถึงไม่ยอมปล่อยเขาไป “ดูเหมือนว่าในเมืองหลี่ว่าน วิญญาณสีเลือดจะเป็นผู้ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร นี่น่าจะเป็นภาพสะท้อนของสภาพที่ด้านหลังประตูได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน”

เฉินเกอนั้นเป็นคนใจดี เพราะว่าเขาวิ่งอยู่ด้านหลังคนเดียวและรับความเสี่ยงใหญ่ที่สุด หลังจากวิ่งไปตามถนนอยู่หลายนาที หมอและมือกรรไกรที่วิ่งนำหน้า ในที่สุดก็มองเห็นโรงแรมที่เฉินเกอพูดถึง นี่เป็นตึกที่ผสานร้านอาหารและโรงแรมเข้าด้วยกัน มันตั้งอยู่กลางเมืองและดูเก่า บางทีอาจจะสร้างมาหลายสิบปีแล้ว

“ที่นั่น! เข้าไปในนั้น” เฉินเกอนั้นอยู่ใกล้กับผีอย่างน่าหวาดเสียว ผลกระทบโดยตรงที่สุดจากเรื่องนี้ก็คือเจ้าแมวขาวที่เดิมเกาะอยู่บนไหล่ของเขานั้นตอนนั้นย้ายมาแอบอยู่ที่อกเขา กรงเล็บของมันจิกเสื้อของเฉินเกอเอาไว้แน่นหนาและมันก็เอาแต่ส่งเสียงขู่ฟ่อตลอดเวลา

พอเหล่าผู้โดยสารพุ่งเข้าไปในโรงแรม เฉินเกอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขายกค้อนขึ้นและเล็งไปที่ประตู เขาเหวี่ยงค้อนเข้าไปจากนั้นก็เร่งความเร็วและเบียดตัวเองเข้าประตูไปได้ฉิวเฉียด

“ปิดประตู!” ประตูกระแทกปิด และจากนั้นก็มีเสียงดังลั่น ผู้โดยสารรีบช่วยกันย้ายเครื่องเรือนมาขวางทางเข้าเอาไว้ หลายนาทีให้หลัง ประตูก็หยุดสั่น และเหลือเพียงเสียงเคาะสม่ำเสมอดังมาจากด้านนอกประตู

“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว พวกเราพักกันได้ครู่หนึ่ง” เฉินเกอหยิบค้อนขึ้นมาและยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋า เขาอุ้มเจ้าแมวขาวที่หมดแรงไปแล้ว เจ้าแมวดูราวกับทำกระดูกหล่นหายไปจากร่าง มันเอนตัวนอนในกระเป๋าอย่างอ่อนแรง

“พี่ชาย คุณแน่ใจเหรอว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว? ผู้หญิงที่ด้านนอกยังใช้หัวกระแทกประตูอยู่เลย!” ชายขี้เมามองผ่านช่องเล็ก ๆ ออกไป “เธอใช้หัวตัวเองเคาะประตูจริง ๆ นะ!”

 

 

 

 

เสี่ยวปู้อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ธรรมดา พ่อบุญธรรมของเธอนั้นไม่ได้มีฐานะนัก

“พวกเราควรเคาะประตูไหม?” ยืนอยู่ในทางเดิน เฉินเกอหิ้วฆาตกรที่เขาจับได้จากในพุ่มไม้ไว้แล้วถามออกมาดัง ๆ “อย่างไรเสียที่นี่ก็คือบ้านของเสี่ยวปู้ ดังนั้นมันย่อมไม่ถูกต้องสำหรับฉันถ้าจะพังประตูเข้าไป”

เฉินเกอลองบิดลูกบิดประตู และเขาก็ต้องประหลาดใจ ประตูไม่ได้ล็อก ลูกบิดลั่นดังแกร็กก่อนที่ประตูจะถูกผลักเปิด กลิ่นเหม็นจาง ๆ ลอยออกมาจากด้านในห้อง เฉินเกอหรี่ตา และม่านตาของเขาก็หดแคบลง เป็นสัญญาณบอกว่าเขากำลังใช้ดวงตาหยินหยาง

โต๊ะกาแฟ โซฟา ตู้ทีวี… เครื่องเรือนทั้งหมดดูปกติดี– ไม่มีอะไรสะดุดตา

“มีคนตายอยู่ที่นี่ แกอย่าเข้าไปจะดีกว่า” มือของเขาถูกมัดไพล่หลังเอาไว้ ฆาตกรพึมพำออกมาทั้งที่ก้มหน้าต่ำ เขาดูเหมือนกำลังพูดกับตัวเอง

“แกรู้ได้ยังไง? แกฆ่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไปเหรอ?” เฉินเกอผลักฆาตกรจากด้านหลังและเข้าห้องไปกับเขา

“มีกลิ่นความตายอยู่ที่นี่ ไม่ผิดหรอก” จุดสีเทาบนผิวของเขารวมกันเป็นปื้นและจมูกของชายคนนี้ก็ขยับขยุกขยิก เขาหันไปมองห้องนอน “กลิ่นมาจากในห้องนั้น เหยื่อน่าจะตายนานแล้ว”

เส้นผมยุ่งเหยิงปกคลุมใบหน้าของเขาอยู่ และเขาก็พูดด้วยเสียงต่ำ ๆ แทนที่จะบอกว่าเขาชักนำเฉินเกอ มันเหมือนเขากำลังพยายามใช้ความอยากรู้อยากเห็นของเฉินเกอสร้างโอกาสให้ตัวเองหนี

“ในห้องนอน?” เหยื่อที่เป็นไปได้คนเดียวก็คือพ่อบุญธรรมของเสี่ยวปู้ แต่ตอนที่เฉินเกอเล่นเกมของเสี่ยวปู้ พ่อบุญธรรมของเสี่ยวปู้ตายอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่ใช่ห้องนอน

ตำแหน่งของศพเปลี่ยนไป มีคนอื่นเคยเข้ามาในห้องนี้? เป็นชายในชุดกันฝนหรือว่าตัวเสี่ยวปู้เอง?

เฉินเกอเปิดประตูห้องนอนแล้วมองเข้าไปข้างใน หนังสือทั้งหมดบนชั้นนั้นจัดเรียงไว้เป็นระเบียบ บนพื้นไม่มีเศษขยะ และยังมีรูปวาดแอ็บสแตร็กท์หลายรูปแขวนไว้บนผนัง บนกรอบรูปไม่มีฝุ่น และมันยังดูเหมือนว่าที่นี่นั้นได้รับการทำความสะอาดเป็นประจำ

สิ่งเดียวที่ดูไม่เข้าพวกก็คือเตียงไม้ น่าแปลก เตียงถูกย้ายออกห่างจากผนังดังนั้นจึงวางอยู่กลางห้องพอดี ผ้าปูเตียงผืนหนาดูน่าสบายปูอยู่บนฟู และที่บนนั้นมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งนอนอยู่

“พ่อบุญธรรมของเสี่ยวปู้?” เฉินเกอเดินไปที่เตียง และเมื่อเขาเห็นชายคนนั้นในระยะใกล้ นิ้วของเขาก็กระชับด้ามค้อนโดยไม่รู้ตัว ผิวหนังของชายคนนี้ส่วนใหญ่ถูกแทนที่ด้วยผ้า เขาดูเหมือนตุ๊กตาผ้าถูกทิ้งและยังเป็นชิ้นงานที่หยาบมาก

ในเกมของเสี่ยวปู้ มีตัวเลือกหนึ่งให้เลือก เย็บแผลของพ่อบุญธรรม เปลี่ยนเขาไปเป็นตุ๊กตา

เห็นชายตรงหน้าแล้ว ในที่สุดเฉินเกอก็เข้าใจว่าตอนที่เผชิญหน้ากับทางเลือก เสี่ยวปู้เลือกที่จะไม่เมินเฉยกับพ่อบุญธรรมของเธอและหาวิธีให้แน่ใจว่าเขาจะอยู่กับเธอไปตลอดกาล

เป็นวิธีการรักษาสภาพศพที่โหดร้ายนัก

ฆาตกรเองก็เข้ามาดูใกล้ ๆ เช่นกัน มีความตื่นเต้นยะยิบอยู่ในดวงตาของเขาขณะที่เขาชื่นชมผิวหนังที่ถูกเย็บบนร่างของชายวัยกลางคน “ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นชิ้นงานศิลปะที่ล้ำค่าที่สุดในห้องนี้ คนที่สร้างเขาขึ้นมาต้องบ้ามาก ๆ!”

ฆาตกรหัวเราะอย่างวิกลจริต เขาไม่หยุดจนกระทั่งมีเสียงเคาะดังมาจากผนังด้านติดกับห้องข้าง ๆ

“การประเมินของแกผิดแล้ว” เฉินเกอชี้ไปที่ขอบผิวหนังถูกเย็บติดกับผ้า มีรอยสีเทาอยู่ที่ขอบผิวหนัง “ฆาตกรน่าจะเอาผิวสีเทาออกจากร่างชายคนนี้ทั้งหมด เธอพยายามหาวิธีการช่วยชีวิตผู้ชายคนนี้ หรือไม่อย่างนั้น เธอก็ไม่ต้องการให้ชายคนนี้เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนแก”

“สัตว์ประหลาด?” ฆาตกรเริ่มหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “มันใช้เวลาไม่นานนักหรอกที่จะเปลี่ยนแกไปเป็นสัตว์ประหลาดที่แกพูดถึง ความสิ้นหวังน่ะหยั่งรากอยู่ในหัวใจแกเรียบร้อยแล้ว และเมื่อจิตใจของคนที่มุ่งมั่นมาก ๆ คนหนึ่งแตกสลาย พวกเขาก็จะกลายไปเป็นปิศาจที่บ้าคลั่งที่สุด!”

เขาก็เหมือนงูเห่า หลังจากฟื้นฟูกำลังได้แล้ว เขาก็พร้อมที่จะทรยศเฉินเกอ

“แกควรจะเอาเวลามาเป็นห่วงตัวแกเองมากกว่า เพราะว่าถ้าฉันเป็นบ้าไปจริง ๆ เป้าหมายแรกของฉันก็คือแก ฉันจะใช้ค้อนนี่ ทุบลงไปบนร่างกายของแกไม่จบสิ้นจนกว่าฉันจะรู้สึกดีขึ้น” เฉินเกอเพียงแค่พูดให้เขากลัว แต่ฆาตกรกลับเอาคำพูดของเขามาเป็นจริงจังเพราะว่าเขาคิดจริง ๆ ว่าเฉินเกอทำอะไรอย่างนั้นได้แน่นอน

“แต่นั่นก็ไร้ประโยชน์ เมื่อแกเริ่มเสียสติไป ไม่ว่าแกจะทำอะไร หัวใจของแกก็จะไม่กลับมาเป็นอย่างที่มันเคยเป็น ดังนั้น แกควรจะควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้ตั้งแต่ตอนที่ยังทำได้” ดวงตาของฆาตกรนั้นสอดส่ายไปทั่วห้องมองหาบางอย่างที่จะใช้การได้ เขารู้สึกว่ามันอันตรายเกินไปที่จะอยู่ใกล้กับเฉินเกอ– เขาอาจจะตายตอนไหนก็ได้

“ถึงแกจะทำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นก็ทำไม่ได้ ครั้งหนึ่งฉันเคยเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอน่าจะเป็นตัวตนที่สิ้นหวังที่สุดที่ด้านหลังประตู แต่ว่าเธอไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวเองไป” พ่อบุญธรรมของเธอถูกทำให้เป็นตุ๊กตา แต่ว่าเฉินเกอก็ยังปกป้องเสี่ยวปู้ เขาปรารถนาเหลือเกินว่าเด็กคนนั้นที่ถูกเงานั่นข่มขู่จะยังสามารถรักษาความเมตตาของตัวเองเอาไว้ได้

ตึง ตึง…

เสียงประหลาดดังมาจากกำแพง มันไม่ดัง แต่ว่ามันก็ดึงดูดความสนใจของฆาตกรและเฉินเกอได้

“ดูเหมือนว่าจะมีบางคนบ่นเรื่องเสียงนะ” ฆาตกรกระซิบ เขาสังเกตเห็นแสงสะท้อนจากมีดปอกผลไม้ที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่บนโต๊ะกาแฟจากปลายหางตา เขาขยับไปหามันเงียบ ๆ

“ถ้าแกถามฉันนะ ฉันคิดว่าแกน่าจะบ่นที่แกมีชีวิตมายาวนานถึงขนาดนี้มากกว่า” เฉินเกอยิ้มให้กับฆาตกร เขาไม่ได้บอกผู้ชายคนนั้นว่าเสียงเคาะนี่หมายถึงอะไร

เตียงถูกวางเอาไว้กลางห้อง ห่างจากผนังทุกด้าน การจัดวางที่ประหลาดนี้บอกใบ้หลายอย่าง เสียงเคาะดังขึ้น เฉินเกอคำนวณเวลาอยู่ในใจและเริ่มค้นหาสิ่งที่มีประโยชน์ในห้อง หลังจากผ่านไปสองสามนาที เขาก็รู้สึกเหมือนผู้หญิงหัวขาดที่ห้องข้าง ๆ นั้นกำลังจะคลั่งแล้ว ดังนั้นเขาจึงคว้าตัวฆาตกรและวิ่งออกไปจากบ้านของเสี่ยวปู้

“แกกำลังจะทำอะไร?” ความรู้สึกเลวร้ายผุดขึ้นในใจฆาตกร

“เพื่อนบ้านเอาแต่เคาะกำแพง พวกเขาน่าจะกำลังขอความช่วยเหลือ พวกเราควรจะไปดู”

“ต่อให้ตายกันไปทั้งครอบครัว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก? เลิกยุ่งเรื่องคนอื่นได้แล้ว ที่นี่ไม่มีคนบริสุทธิ์หรอกนะ ความใจดีของแกน่ะมีแต่จะได้รับความชั่วร้ายตอบแทน!” หัวใจของฆาตกรเต้นรัวเพราะเหตุผลใดที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ

“ที่นี่ไม่มีคนบริสุทธิ์?” เฉินเกอจู่ ๆ ก็นึกถึงภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้ ช่วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ได้ เขาจะได้รับรางวัลจากภารกิจเพิ่ม ดูเหมือนว่าการจะได้รับรางวัลจากโทรศัพท์เครื่องดำก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

“พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ได้ หลังจากพวกเราออกไปจากที่นี่แล้ว พวกเราจะทำอะไรก็ได้ตามที่แกอยากทำ ฆ่าฉันก็ได้ถ้าแกต้องการ”

“เยี่ยมเลย หลังจากแน่ใจแล้วว่าเพื่อนบ้านไม่เป็นอะไร พวกเราจะออกไปทันที” เฉินเกอลากฆาตกรไปยังประตูห้องข้าง ๆ เขาบิดลูกบิดประตูและพบว่าประตูไม่ได้ล็อกเอาไว้

ตึง ตึง…

เสียงประหลาดก้องมาจากส่วนลึกของห้อง เฉินเกอและฆาตกรยืนอยู่ที่ประตู พวกเขามองไปตามทางเดินมืด ๆ และไม่กล้าขยับ

“เหมือนจะมีบางอย่างในบ้านหลังนี้…” ฆาตกรเริ่มพึมพำ และนั่นก็ทำให้เฉินเกอเกร็งเครียดขึ้นมา

เสียงเคาะดังขึ้น กลิ่นคาวเลือดหนาหนักลอยมาจากทางห้องนอน เลือดไหลนองมาตามพื้น และจากมุมที่พวกเขาอยู่ ทั้งห้องนี้เหมือนย้อมไปด้วยสีแดงสด!

ดวงตาแดงก่ำคู่หนึ่งลืมขึ้นในความมืด กะโหลกที่พิงอยู่กับผนังห้องนอนค่อย ๆ หันมองไปยังเฉินเกอและฆาตกรที่ยืนอยู่ที่ทางเข้าช้า ๆ ในเวลาเดียวกัน เสียงผู้หญิงไร้หัวเดินออกมาจากด้านหลังประตูห้องนั่งเล่น เสื้อผ้าของเธอนั้นชุ่มไปด้วยเลือด และเลือดก็เป็นประกายจนแทงตาในความมืด

“วิญญาณสีเลือด!” เมื่อพวกเขาเห็นผู้หญิงคนนี้ เฉินเกอก็หันหลังวิ่งหนีทันที ตอนที่ฆาตกรหายตกใจ เฉินเกอกับค้อนของเขาก็อยู่ห่างไปห้าเมตรแล้ว

“แก…” เลือดถักทอเป็นตาข่าย และมันก็ลากฆาตกรเข้าไปในห้อง หลายวินาทีให้หลัง กะโหลกน่าสะพรึงของผู้หญิงคนนั้นก็คลิ้งออกมาจากในห้อง มันพุ่งไปทางเฉินเกอทั้งเลือดชุ่ม ๆ!

เพราะไม่กล้าใช้ลิฟท์ เฉินเกอจึงพุ่งผ่านประตูนิรภัยและวิ่งลงไปตามบันได เขาตะโกนเสียงดังไปยังผู้โดยสารที่กำลังรอเขาอยู่ ดวงตาขุ่นมัว “วิ่ง! พอออกไปจากเขตที่พักอาศัยแล้วเลี้ยวซ้าย! เข้าไปหลบในโรงแรม!”

ฆาตกรนั่นซื้อเวลาให้ฉันได้แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น– นี่ต่างไปจากในเกม! วิญญาณสีเลือดนั่นก็ทรงพลังอย่างไม่น่าเป็นไปได้ มีแค่ซู่อิน ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอคนนั้น! ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วตอนนี้นอกจากล่อเธอไปที่โรงแรม!

 

 

 

 

 

ทั้งกลุ่มผ่อนฝีเท้าลงตามคำสั่งของเฉินเกอตอนที่พวกเขาเดินผ่านพุ่มไม้ไป

เขารู้ได้ยังไงว่ามีคนอยู่ที่นั่น?

ตอนที่มือกรรไกรผ่านพุ่มไม้ไป เขาก็หันกลับไปมองด้วยความสงสัย มีรอยเลือดไม่ชัดนักซึมออกมาจากส่วนลึกของพุ่มไม้ ไม่มีลม แต่ว่าพุ่มไม้นั้นขยับไหวเล็กน้อย เพราะกลัวจะอยู่ที่นี่นานเกินไป พวกเขาจึงรีบตามหลังเฉินเกอเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์

“ผมต้องการให้พวกคุณถอยออกไปเล็กน้อยก่อน อีกเดี๋ยวจะมีคนออกมาจากในลิฟท์ พวกเรามีกันหลายคน และพวกเราอาจจะทำให้เขากลัวโดยไม่ตั้งใจ” เฉินเกอนั้นระมัดระวังมาก เขามองตัวเลขที่เปลี่ยนไปที่บนลิฟท์และให้สัญญาณคนที่เหลือไปซ่อน

“ถ้าคนผู้นั้นถูกพวกเราทำให้ตกใจได้ พวกเขาก็คงไม่เก่งกาจนัก แล้วทำไมพวกเราถึงไม่ลงมือพร้อม ๆ กันจับตัวเขาเอาไว้?” หมอนั้นใจเย็น และเสนอความคิดของเขาออกมา

“พวกเราทำอย่างนั้นไม่ได้ตอนนี้ ผมยังต้องใช้คนผู้นี้ระหว่างแผนการขั้นต่อไปของผม และแผนการก็ต้องการการเชื่อมโยงกันเพื่อให้มันดำเนินไปได้” เฉินเกอผลักหมอไปด้านหลังนิด ๆ “มีสิ่งน่ากลัวอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยนี้ พวกเราควรต้องอย่าให้ตัวเองเป็นที่สังเกตในตอนที่ทำได้”

“สิ่งนั้นที่ซ่อนอยู่ที่นี่น่ากลัวยังไงคุณถึงให้พวกเราระมัดระวัง?” ชายขี้เมาเป็นคนแรกที่เรียกร้องให้ถอย “ไปกันเถอะ ผมไม่คิดว่าพวกเราควรจะแวะที่นี่”

ตอนที่พวกเขากำลังถกเถียงกันอยู่นั้น ลิฟท์ก็เกือบจะมาถึงชั้นแรกแล้ว เฉินเกอเลิกเสียเวลากับผู้โดยสารคนอื่น ๆ และผลักพวกเขาเข้าไปในประตูหนีไฟที่เปิดไปสู่ช่องบันได

หลังจากพวกเขาไปซ่อนแล้ว เฉินเกอก็หันไปมองประตูลิฟท์ “คนร้ายในลิฟท์น่ะเล็งเป้าไปที่เสี่ยวปู้เพราะว่าเสี่ยวปู้อ่อนแอมาก สำหรับคนบ้าคลั่งเหล่านี้ การทรมานและกลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่านั้นเป็นความสนุกรูปแบบหนึ่ง ถ้าฉันมีท่าทางเก่งกาจเกินไป พวกเขาก็จะลังเลที่จะโจมตีฉัน แต่ถ้าเขาไม่ตามฉันขึ้นไปที่ชั้นบน อย่างนั้นแผนการที่เหลือก็ไม่สามารถใช้ออกได้แล้ว”

เฉินเกอตัดสินใจทำตามวิธีการที่เขาใช้ในเกมของเสี่ยวปู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แผนการนั้นก็คือการเปลี่ยนผีและสัตว์ประหลาดในอพาร์ทเม้นท์ให้สู้กันเอง โดยทฤษฎีแล้ว แผนการของเขานั้นสมบูรณ์แบบ แต่ว่าตอนใช้งานจริงนั้นอาจจะมีหลายปัจจัยที่ทำให้แผนการด้อยลง

ตัวเลขที่แสดงหน้าลิฟท์นั้นเปลี่ยนเป็น ‘1’ แล้ว และประตูลิฟท์เก่า ๆ ก็เปิดออกเพื่อรับผู้โดยสาร ผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดกันฝนสีดำยืนอยู่กลางลิฟท์ และเขาก็ถือกระเป๋าสีดำใบใหญ่ไว้ในมือ กระเป๋านั่นดูหนัก และมันยังยากที่จะบอกว่าข้างในใส่อะไรเอาไว้ ผู้ชายคนนั้นดูจะไม่ได้คิดว่าจะมีคนอื่นอยู่นอกลิฟท์ เขาเอื้อมมือมาดึงหมวกที่ติดอยู่กับชุดกันฝนลงต่ำจนเกือบจะปิดหน้าเขาไปหมด

“สวัสดีครับ?” เฉินเกอเป็นฝ่ายทักทาย ขณะที่เขาสงสัยว่าจะล่อฆาตกรบ้าคลั่งคนนี้ให้ตามเขาขึ้นไปชั้นบนอย่างไรดี ผู้ชายคนนี้ก็เดินออกจากลิฟท์ ประตูลิฟท์นั้นเปิดได้กว้างมาก เฉินเกอหิ้วกระเป๋าใหญ่สองใบเอาไว้ และชายในชุดกันฝนก็ถือใบหนึ่งที่ไม่นับว่าเล็กเอาไว้ ตอนที่พวกเขาเดินผ่านกัน มันก็เป็นไปตามที่คิดที่สัมภาระของพวกเขานั้นกระแทกเข้าใส่กัน

เลือดซึมออกมาจากกระเป๋าของชายคนนั้น ทั้งเฉินเกอและชายในชุดกันฝนต่างเห็นรอยเลือดที่แผ่ออก

สีหน้าของเฉินเกอนั้นเปลี่ยนไป คิ้วของเขาขมวดจนติดกัน ขาของเขากระตุก และเขาก็ผงะไปด้านหลัง ปฏิกริยาทั้งหมดของเขานั้นส่อชัดว่าพยายามหนี เฉินเกอวิ่งเข้าไปในลิฟท์ด้วยกริยาร้อนรน

กลัว ตื่นตระหนก และวิตกกังวล– อารมณ์ต่าง ๆ นั้นเผยออกมาผ่านภาษากายและสีหน้า มันเป็นการเสียเปล่าจริง ๆ ที่ฟางหยวนไม่ใช่นักแสดง เขาพุ่งเข้าไปในลิฟท์และกดปุ่มบนแผงควบคุมลิฟท์หลายครั้ง ท่าทางตื่นตระหนกเผยความวิตกกังวลที่แผดเผาอยู่ในใจเขาออกมา และการถูกจ้องมองก็ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวที่เกาะกุมรอบหัวใจเขา

ไม่ว่าจะมองมุมไหน เฉินเกอก็ดูเหมือนเป็นเหยื่ออย่างแท้จริง เป็นธรรมดาที่ชายในชุดกันฝนจะพิจารณาปฏิกริยาทั้งหมดของเฉินเกอ เขาหันกลับมา และในเมื่อขอบหมวกที่ติดกับชุดกันฝนนั้นปิดคลุมดวงตาและเส้นผมของเขาเอาไว้ เฉินเกอจึงมองเห็นเพียงการแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมโหดที่ปรากฏบนริมฝีปากของเขา เฉินเกอนั้นคุ้นเคยกับการแสดงออกเช่นนี้มาก นี่เป็นรอยยิ้มที่พวกสัตว์ร้ายมักจะเผยออกมาเมื่อพบเหยื่อที่ไม่คาดคิด

ปลาติดเบ็ดแล้ว ขณะที่ประตูลิฟท์ปิดลงช้า ๆ เฉินเกอก็ปล่อยให้สีหน้าของตนผ่อนคลายลง และเขาก็ถอนหายใจโล่งอกอยู่ข้างใน ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด เขาต้องไล่ตามมาจับฉันแน่

ขณะที่ช่องว่างระหว่างประตูลิฟท์แคบลงและเฉินเกอกำลังพยายามวางแผนก้าวต่อไปอยู่ จู่ ๆ เขาก็เห็นมือซีด ๆ ข้างหนึ่งเอื้อมเข้ามาที่ช่องระหว่างประตูลิฟท์!

ประตูที่กำลังปิดเปิดออกอีกครั้ง และชายในชุดกันฝนก็ยืนอยู่ด้านนอกลิฟท์ก้มหน้าต่ำ บรรยากาศในห้องโถงเปลี่ยนเป็นกดดัน และรอยยิ้มบนใบหน้าของชายในชุดกันฝนก็ยิ่งบ้าคลั่งกว่าเดิม เขายกขาขึ้นช้า ๆ และเดินเข้าไปในลิฟท์

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด ตอนที่เขาเล่นเกมของเสี่ยวปู้ ชายในชุดกันฝนนั้นไม่ได้ไล่ตามเสี่ยวปู้ไปในทันที และนั่นก็ทำให้เฉินเกอมีเวลาวางแผนการกระทำต่อ ๆ ไป

แสงสลัวในลิฟท์ส่องลงมาที่ใบหน้าของทั้งสองคน ชายในชุดกันฝนยืนอยู่ข้างเฉินเกอ และบรรยากาศอันไม่น่าสบายใจก็แผ่ออกจากชายคนนั้น มันเหมือนกับเขาไม่ใช่คนเป็นแต่เป็นสัตว์ร้ายที่พยายามเก็บงำธรรมชาติอันดุร้ายของตนอยู่

ลิฟท์เริ่มเคลื่อนขึ้นด้านบน ภายในพื้นที่ปิดสนิท ไม่มีโอกาสให้เฉินเกอหลบการโจมตีใด ๆ ที่กำลังจะมาถึง

เพื่อเปิดครรลองสายตาให้ชัดเจน ชายในชุดกันฝนดึงหมวกคลุมของชุดกันฝนของตนออก การกระทำนั้นเผยให้เห็นบาดแผลที่หน้าผากของเขาและยังปานที่ใกล้ ๆ ดวงตาข้างซ้าย– ความบกพร่องเหล่านี้ทำให้เขาหมดเสน่ห์ เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของชายในชุดกันฝน เฉินเกอก็ขยับลึกเข้าไปในลิฟท์ แต่ว่า พื้นที่ด้านในลิฟท์นั้นก็ใหญ่เพียงเท่านี้ ดังนั้นเขาจะมีโอกาสถอยไปไหนได้?

“ก่อนหน้านี้ แกเห็นของที่ในกระเป๋าของฉันใช่ไหม?” ชายในชุดกันฝนหันมาหาเฉินเกอ ปานที่บนหน้าของเขานั้นฉีกออกจากการเคลื่อนไหวและมันก็ดูค่อนข้างน่ากลัว

“ไม่ ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” เฉินเกอนั้นพูดความจริง เขาเพียงแค่เห็นเลือดที่ซึมออกมาจากกระเป๋าเท่านั้น

“อย่างนั้นเหรอ?” ชายในชุดกันฝนทิ้งกระเป๋าลงที่ข้งตัวและดึงมีดที่เขาซ่อนเอาไว้ที่ด้านหลังออกมา “แกไม่เห็นอะไรเลยก็ไม่เป็นไร ตอนที่ฉันยัดแกเข้าไปข้างใน แกจะมีเวลามากมายให้ดูว่าข้างในกระเป๋ามีอะไร!”

เขามองเฉินเกอพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจและสนุกไปกับความสิ้นหวังที่หมุนวนอยู่ในดวงตาเฉินเกอ เขาพุ่งตรงไปพร้อมกับมีด เล็งไปที่ลำตัวของเฉินเกอ เขาเตรียมรับฟังเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากริมฝีปากของเฉินเกอ แต่ตอนที่มีดของเขายังอยู่ห่างจากเฉินเกอครึ่งเมตร เขาก็เห็นชายหนุ่มตรงหน้าเขาคว้ากระเป๋าสะพายหลังของตัวเองและพยายามเหวี่ยงมันใส่เขาอย่างแรง

เขาไม่รู้ว่าในกระเป๋าของเฉินเกอนั้นมีอะไรอยู่ เหมือนที่เฉินเกอก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าของเขา ด้วยความคิดนี้ เขาเดาว่าคงไม่มีอะไรนอกจากของใช้ประจำวันอยู่ในกระเป๋าของเฉินเกอ และนั่นก็คงไม่เป็นไรถ้าจะรับแรงกระแทกจากมันสักครั้ง อย่างไรเสีย มันก็ต่างไปเมื่อเป็นมีดของเขา เพียงแค่จ้วงแทงด้วยคมมีดนี้ครั้งเดียว และเลือดก็จะต้องไหลทะลักออกมา

สีหน้าของเขานั้นบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชัง จากนั้น ชายในชุดกันฝนก็เห็นชายหนุ่มเหวี่ยงกระเป๋าอย่างแรงและกระแทกเข้าที่แขนของเขา

โครม!

เสียงกระดูกหักก้องชัดในหูของเขา สมาธิของชายในชุดกันฝนนั้นจับอยู่ที่เฉินเกอ และจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่แน่ใจว่าเสียงนั่นดังมาจากไหน แรงกระแทกทำให้เขาล้มไปกับพื้นและมีดก็หลุดออกจากปลายนิ้วหล่นไปที่พื้นเสียงดังเคล้ง

ความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งไปทั่วร่างของเขา และนั่นก็กระตุ้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวชายในชุดกันฝน เหมือนสัตว์ที่สิ้นหวัง เขาพยายามเอื้อมไปหามีดด้วยแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ มีดอยู่ตรงหน้าเขาแท้ ๆ แต่เมื่อปลายนิ้วของเขากำรอบด้ามมีด รองเท้าข้างหนึ่งก็เหยียบมั่นอยู่บนใบมีด

ชายในชุดกันฝนมองขึ้นไป และเขาก็เห็นชายหนุ่มเปิดซิปกระเป๋าด้วยสีหน้าหดหู่

“ถึงแม้ว่าไกด์ในเกมดูเหมือนว่าจะประโยชน์ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถพึ่งพามันได้เต็มที่” เฉินเกอก้มหน้าลงมามองชายในชุดกันฝนและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความกลัว ความหวาดหวั่น และความตื่นตระหนกทั้งหมดบนหน้าของเขาหายวับไป เขาเลียนเสียงชายในชุดกันฝนเมื่อครู่ “เมื่อกี้นี้ แกเห็นของที่ในกระเป๋าของฉันใช่ไหม?”

“ไม่! เดี๋ยวก่อน!”

ซิปกระเป๋าเปิดออกและเฉินเกอก็คว้าด้ามค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกที่หน้าตาน่ากลัวเอาไว้ เขาดึงมันออกจากกระเป๋า “แกไม่เห็นอะไรเลยก็ไม่เป็นไร ตอนที่ฉันยัดแกเข้าไปข้างใน แกจะมีเวลามากมายให้ดูว่าข้างในกระเป๋ามีอะไร!”

“รอเดี๋ยว! ช่วยด้วย!”

ลิฟท์กลับมาที่ชั้นแรก เฉินเกอลากชายในชุดกันฝนที่หมดสติออกมาจากลิฟท์ “เขาดูค่อนข้างผอม แล้วทำไมถึงยัดเขาเข้าไปข้างในไม่ได้กัน? เป็นเพราะว่ามีกระดูกหักมากเกินไปเหรอ? โอ้ ก็ดี อย่างน้อยที่สุดเขาก็เคลื่อนไหวไม่ได้ ฉันไม่ได้หักกระดูกของเขาทุกท่อน– นั่นจะเสียเวลาเกินไป”

ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ทั้งหมดวิ่งเข้ามารวมกลุ่มกันตอนที่เห็นเฉินเกอเดินออกมาจากลิฟท์ ตอนที่พวกเขาเห็นชายในชุดกันฝนมีฟองน้ำลายอยู่เต็มปาก พึมพำบางอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่อง พวกเขาทั้งหมดก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

“พวกคุณก็เห็นกับตา เป็นเขาที่ดื้อจะตามผมเข้าไปในลิฟท์ ผมก็ต้องป้องกันตัวเอง” เฉินเกอลากชายในชุดกันฝนและกระเป๋าของเขาไปยังกองขยะใกล้ ๆ ทางเข้าและซ่อนเขาเอาไว้กับถุงขยะพวกนั้น

“พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป?” ผู้โดยสารไม่เข้าใจความคิดของเฉินเกอเลยสักนิด

“ในเมื่อพวกเราก็ถูกเผยตัวไปแล้ว ก็ได้เวลาที่จะต้องปรับกลยุทธต่างไปแล้ว” เฉินเกอลากค้อนเดินไปยังพุ่มไม้ไม่ไกลนัก “ตามผมมา”

สายลมเย็น ๆ ลูบผ่านหลังคอพวกเขา เฉินเกอนั้นไม่ผ่อนฝีเท้าลงเลยทั้งที่เข้าไปในพุ่มไม้ เสียงดังเสียวสันหลังก้องอยู่ที่ด้านในพุ่มไม้– มีคนกำลังทำงานวุ่นวายอยู่

เฉินเกอที่เปื้อนเลือดไปทั้งตัวเดินช้าลง และในที่สุดก็มองเห็นฆาตกรที่ในพุ่มไม้

ผู้ชายคนนี้ดูน่ากลัวกว่าชายในชุดกันฝน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยจุดสีเทามากมาย มันเหมือนเขากำลังป่วยโรคผิวหนังสักชนิดหนึ่ง แต่เมื่อมองใกล้ ๆ เฉินเกอก็พบว่าจุดพวกนั้นดูคล้ายกับที่ปรากฏบนซากศพมาก

“ผิวสีเทา?” มองจุดสีเทาบนร่างฆาตกรแล้วเขาก็นึกถึงสัตว์ประหลายบางตนและคนที่เขาพบที่เมืองหลี่ว่านนี่ พวกเขาล้วนมีความคล้ายกันบนร่างกาย– ผิวของพวกเขานั้นเป็นสีเทาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

คนเหล่านี้ดูเหมือนจะอยู่ในเมืองหลี่ว่านนานเกินไปและถูกปนเปื้อนจากโลกด้านหลังประตูที่เมืองหลี่ว่าน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ประหลาดกับร่างกายของพวกเขา

“จุดสีเทา ๆ พวกนี้ขยับได้” หลังจากใช้ดวงตาหยินหยาง เฉินเกอก็เห็นว่าจุดสีเทา ๆ ปรากฏขึ้นตามความต้องการของมันเอง พวกมันดูเหมือนกำลังทำเหมือนว่าร่างกายของมนุษย์นั้นเป็นเตียงอันอบอุ่นให้เติบโตและงอกงาม “พวกมันน่าจะเป็นอารมณ์ด้านลมที่สั่งสมไว้ด้านหลังประตู อารมณ์เหล่านี้นั้นฝังตัวเองเอาไว้กับคนเหล่านี้ ทำให้จิตใจของพวกเขานั้นเกินจะควบคุมได้”

อารมณ์ด้านลบผลักดันให้คนธรรมดาเป็นบ้าไปอย่างช้า ๆ และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือมนุษย์ผู้นั้นเปลี่ยนไปเป็นภาชนะบรรจุอารมณ์เหล่านี้ทั้งเป็น พวกเขาใช้ผิวหนังของตนเป็นอาหารแก่จุดสีเทา และเมื่อดำเนินไปเช่นนี้ ทั้งร่างก็จะถูกจุดสีเทายึดครองไป

พอเข้ามาที่โลกด้านหลังประตู เฉินเกอก็เข้าใจความน่ากลัวของโลก ถ้าเขาไม่สามารถต่อต้านอารมณ์ด้านลบได้ ในที่สุดเขาก็จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ กลายเป็นตุ๊กตาชักใยของพวกมันและเปลี่ยนไปเป็นผู้อาศัยด้านหลังประตู

“จากข้อมูลที่ได้จากประตู เงานั่นส่งผู้โดยสารที่สิ้นหวังมากมายเข้าไปที่โลกด้านหลังประตู ฆาตกรตรงหน้าฉันคนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น”

คนเหล่านั้นกำความหวังสุดท้ายมาที่เมืองนี้ ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่นั้นเป็นหุบเหวที่ยังสิ้นหวังยิ่งกว่า เงานั่นไม่เคยต้องการช่วยพวกเขาอยู่ตั้งแต่แรก– เขาเพียงแค่เห็นคนโชคร้ายเหล่านี้เป็นสารอาหารเลี้ยงดูโลกที่ด้านหลังประตู

ผู้ชายในพุ่มไม้สังเกตเห็นเฉินเกอเช่นกัน แต่อาจจะเพราะว่าเขาเห็นค้อนที่เฉินเกอถืออยู่ เขาไม่ได้ทำอะไรวู่วาม เขาอาจจะเหี้ยมโหด แต่ว่าเขาไม่โง่ เขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวอย่างอธิบายไม่ได้จากร่างฟางหยวน

“ว้าว มีคนซ่อนอยู่ในนี้จริง ๆ ด้วย แกรู้เรื่องนี้ได้ยังไงเนี่ย?” มือกรรไกรตามหลังเฉินเกอมา ในด้านของรูปลักษณ์ เขาอาจจะไม่ด้อยไปกว่าชายในพุ่มไม้เลย อย่างน้อยที่สุด สิ่งแรกที่เขามีก็คือความน่ากลัว เขากำกรรไกรในมือแน่น และยังทำตามคำแนะนำของเฉินเกอและจับกรรไกรที่ตรงกลาง ไม่ใช่ที่ปลายด้านหนึ่ง

“บ้าชะมัด! นี่มันเกินไปแล้ว!” ชายขี้เมาแค่โผล่หัวออกมาดูก่อนที่จะขดตัวหลบด้านหลังหมอ

“คุณเลิกหลบหลังผมทุกครั้งได้ไหม?” ผ้าพันคอปิดใบหน้าของเขา แต่ก็ยังมองเห็นคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน การจู่ ๆ ก็โผล่มาของคนสี่คนทำให้ฆาตกรอึ้งงันไป เขาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน– เขารู้สึกเหมือนเป็นสัตว์ในสวนสัตว์ให้คนจ้องมอง เขาสูดลมหายใจลึก ๆ และเอื้อมมือไปหาอุปกรณ์ที่เขาใช้ตัดชิ้นส่วนร่างกายก่อนหน้านี้เงียบ ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดผิดบาป ถ้าเขามีโอกาส เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะสังหารคนกลุ่มนี้ตรงหน้าเขา

“ไม่ต้องห่วง ผมแค่อยากถามคำถามคุณสองสามคำเท่านั้น และจะขอความช่วยเหลือจากคุณ” เฉินเกอโยนเจ้าแมวขาวไปข้าง ๆ และกดปุ่มเครื่องเล่นเทป ถึงแม้ว่าชายตรงหน้าพวกเขาจะเป็นคนเป็น ๆ บางทีเขาอาจจะอยู่ที่นี่นานเกินไป ร่างกายของเขานั้นปนเปื้อนด้วยอารมณ์ด้านลบอย่างรุนแรง ทำให้เขาดูเหมือนเป็นสัตว์ประหลาดแล้วตอนนี้

“คุณอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว? และมีคนอย่างคุณที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ นี้มากแค่ไหน? คุณเคยเห็นคนที่มีหน้าที่ดูแลเมืองนี้ไหม?” เฉินเกอกำลังจะถามคำถามที่สี่ตอนที่ชายคนนี้ฉวยโอกาสที่เฉินเกอกะพริบตาโถมร่างเข้าใส่เขา เขายกอาวุธในมือขึ้น เล็งไปที่ลำคอของเฉินเกอ

ความเร็วของเขานั้นเร็วกว่าคนธรรมดา ต้องขอบคุณที่เฉินเกอเตรียมการสำหรับการลอบทำร้ายเอาไว้ เขามีปฏิกริยารวดเร็วและใช้ค้อนขวางการโจมตีเอาไว้ แต่ว่า ค้อนหนักมาก และมันก็ไม่ได้ใช้การได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเวลาที่ต้องการความรวดเร็ว ในที่สุดเฉินเกอก็ทำได้แค่ยกด้ามของมันขึ้นขวางการโจมตี

แต่เฉินเกอก็ต้องประหลาดใจ ตอนที่เขาถูกโจมตี มือกรรไกรที่ข้าง ๆ เขานั้นไม่ได้ถอยไปเพราะความกลัวแต่ยกอาวุธในมือขึ้นช่วยเฉินเกอหยุดการโจมตีเอาไว้

“ทำได้ดี แต่ว่าคุณก็ยังช้าเกินไป” เฉินเกอกระโดดถอยหลังเพิ่มระยะห่างระหว่างพวกเขา จากนั้นเขาก็จับค้อนด้วยสองมือแล้วตวัดมันใส่ฆาตกรในพุ่มไม้ ในด้านรูปลักษณ์ ฝ่ายเฉินเกอย่อมชนะ “ผมแค่อยากถามคำถามคุณไม่กี่ข้อ และคุณก็จะเอาชีวิตผมซะแล้ว?”

ทั้งสองคนวิ่งเข้าไปในพุ่มไม้ เฉินเกอถือค้อนเอาไว้ไล่ตามฆาตกรวิ่งวนไปรอบอพาร์ทเม้นท์สามรอบก่อนที่ฝ่ายหลังจะล้มลงด้วยความหมดแรงและถูกเฉินเกอจับตัวไว้

“คุณยังอ่อนแอเกินกว่าจะแข่งกับผมในด้านความอึด” ร่างกายของเฉินเกอนั้นฝึกฝนมาอย่างดี แน่นอนว่า ก็เป็นเพราะพวกผีที่เขาต้องหนีอยู่ทุกวี่วัน เดินไปที่จุดทิ้งขยะ เฉินเกอเจอเชือกเอามามัดฆาตกรเอาไว้ “ระวังด้วย เกือบจะได้เวลาที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับอันตรายแท้จริงแล้ว”

“เดี๋ยวนะ ฆาตกรบ้าคลั่งพวกนี้ยังไม่ใช่อันตรายแท้จริง?” ชายขี้เมาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว เขามีความรู้สึกว่า ยิ่งอยู่ที่นี่นาน เขาก็จะยิ่งบ้าคลั่งไปกว่าเดิม

“คุณเพิ่งเห็นแค่เล็กน้อยเท่านั้น” เฉินเกอทุบชายในชุดกันฝนที่จุดทิ้งขยะอีกสองสามครั้ง

“อย่ามองผมแบบนั้น ยังมีคนอื่น ๆ ในเมืองหลี่ว่านที่มือเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ที่ผมทำอย่างนี้ก็เพราะว่าผมกลัวว่าพวกเขาจะเปิดโปงพวกเราหลังจากพวกเขาตื่นขึ้นมา ถึงแม้ว่าฆาตกรส่วนใหญ่จะลงมือคนเดียว แต่ระวังไว้ก่อนก็ไม่เห็นเป็นไร” จากนั้นเฉินเกอก็ดึงฆาตกรจากในพุ่มไม้แล้วผลักเขาเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ “พวกคุณรอผมอยู่ที่ชั้นล่าง พอผมให้สัญญาณพวกคุณวิ่ง ก็ให้วิ่งหนีออกไปจากอพาร์ทเม้นท์”

“นั่นฟังดูไม่เหมือนแผนการที่ดีเลยนะ” ชายขี้เมาอยากจะขอรายละเอียดจากเฉินเกอมากกว่านี้ แต่ว่าเฉินเกอเริ่มเดินขึ้นบันไดไปแล้ว

เขาดึงฆาตกรไปยังประตูบ้านเสี่ยวปู้ เห็นภาพอันคุ้นเคย เฉินเกอก็มีความรู้สึกแปลก ๆ ว่าโลกในเกมนั้นซ้อนทับกับโลกจริง

“ฉันจะเข้าไปดูก่อน ถ้าไม่มีเงื่อนงำที่เป็นประโยชน์ ฉันก็จะต้องหาวิธีล่อวิญญาณสีเลือดจากข้างบ้านเสี่ยวปู้ออกมา”

 

 

 

 

ตอนที่รถเมล์พุ่งเข้าไปในหมอกสีเลือด เฉินเกอก็รู้สึกแล้วว่าโทรศัพท์เครื่องดำสั่น แต่ว่าเขาไม่ได้เปิดดูเพราะสถานการณ์อันอ่อนไหวที่เป็นอยู่ตอนนั้น ตอนนี้ เขายืนอยู่คนเดียวบนทางเดินชั้นสอง ไม่มีใครอยู่รอบ ๆ ในที่สุดเขาก็สามารถเปิดโทรศัพท์เครื่องดำออกอ่านได้โดยไม่ต้องกังวล แตะเปิดหน้าจอแล้ว ดวงตาของเฉินเกอก็หรี่แคบลงเมื่ออ่านข้อความที่บนหน้าจอ

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ ที่ได้รับผีระดับหายาก– แบล็กฮาวน์ มันเกิดจากวิญญาณของสุนัขเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ และวิญญาณมนุษย์สิบเปอร์เซ็นต์ มันคืออสุรกายที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมอันพิเศษจากอิทธิพลของพลังอันไม่เป็นธรรมชาติ

“พลังพิเศษ: คลั่ง (สามารถเข้าไปในร่างของมนุษย์ที่ยังมีชีวิต ทำให้คนผู้นั้นขาดสติและเปลี่ยนไปเป็นสัตว์ร้ายบ้าคลั่งไร้เหตุผล พลังนี้สามารถใช้ได้หนึ่งครั้งในทุกเจ็ดวัน และทุก ๆ การใช้งานจะก่อให้เกิดบาดแผลที่รักษาไม่หายบนวิญญาณของแบล็กฮาวน์”

สองข้อความแรกนั้นเกี่ยวข้องกับสุนัขสีดำ เฉินเกอนั้นประหลาดใจที่ ‘สุนัขเลี้ยง’ ตัวนี้ที่ดูไม่ได้ทรงพลังกลับได้รับการประเมินจากโทรศัพท์เครื่องดำสูงมาก

“เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมโทรศัพท์เครื่องดำถึงได้นับหมาตัวนี้เป็นพนักงานบ้านผีสิงไปแล้วล่ะ? ฉันยังไม่ได้ทำให้มันเชื่องเลย ทั้งหมดที่ฉันทำก็คือพูดคุยกับมัน โทรศัพท์เครื่องดำเกิดอะไรผิดพลาดหรือเปล่า? หรือว่าตอนที่แบล็กฮาวน์เห็นฉัน มันก็นับว่าฉันเป็นเจ้านายคนใหม่ของมันทันที?”

เฉินเกอไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสุนัขสีดำและเงานั่นว่าเป็นอย่างไร แต่ด้วยปฏิกริยาตอนนี้ของสุนัขตัวนี้ เขาก็เดาอยู่ในใจ “ดูเหมือนว่าหมาตัวนี้อาจจะเป็น ‘เพื่อน’ แท้จริงเพียงไม่มากของเงานั่น”

ความหมายของคำว่าเพื่อนนั้นต้องเป็นไปในทั้งสองทาง “เงานั่นอาจจะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนอื่นเพื่อเข้าหาฉัน ฉันสามารถปล่อยเจ้าหมาดำตัวนี้ออกไปเมื่อฉันไม่แน่ใจ บางทีมันอาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงก็ได้”

มีแบล็กฮาวน์เข้าร่วมกลุ่มกับเขานั้นเป็นข่าวดีของเฉินเกอ แต่เมื่อคิดถึงพลังอันร้ายกาจของแบล็กฮาวน์แล้ว เขาก็ไม่ได้วางแผนจะปลดปล่อยมันออกมาในตอนนี้ เขาแตะเลื่อนหน้าจอแล้วก็แตะเปิดข้อความที่เหลือ ข้อความเหล่านี้เข้ามาตอนที่เขาเข้ามาในหมอกสีเลือดตอนแรก

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ คุณได้เข้าสู่ฉากเมืองหลี่ว่าน ภารกิจระดับ 3.5 ดาว ภารกิจจะเริ่มต้นขึ้นในทันที!

“ฉากนี้นั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอันเป็นปริศนามากมายรอคอยอยู่ คุณเลือกที่จะถอยในตอนนี้หรือไม่?

“คำเตือน! หากคุณถอยกลับในระหว่างทำภารกิจ ฉากนี้จะถูกล็อกเอาไว้ไปตลอดกาล!”

หลังจากอ่านสามข้อความนี้แล้ว เฉินเกอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางบันได ผู้โดยสารคนอื่น ๆ กำลังขึ้นบนไดมา พวกเขาเป็นห่วงเฉินเกอเพราะว่านานแล้วแต่เฉินเกอยังไม่ลงไปเสียที

“อย่างไรเสีย ฉันก็อยู่ในเมืองหลี่ว่านแล้วตอนนี้ ต่อให้มีอันตราย ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินหน้าต่อ” เฉินเกอเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ต่อภารกิจนี้

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ คุณรับภารกิจระดับ 3.5 ดาว– เมืองหลี่ว่าน

“เมืองหลี่ว่าน: ประตูหลุดออกจากการควบคุม และฆาตกรกับอสุรกายมากมายหลายกลุ่มก็แอบอยู่ในเงาของเมืองนี้ เมื่อตกกลางคืน เรื่องผีทุกเรื่องก็กลายเป็นเรื่องจริง โรงแรมขายดวงวิญญาณ เด็กชายที่เล่นซ่อนหาในโรงพยาบาล กะโหลกมนุษย์ที่กระแทกกับกำแพงบ้านข้าง ๆ  ยมทูตกวักมืออยู่ที่ทางแยก วิญญาณที่หันหลังให้คุณในลิฟท์ หมาหน้ายิ้มใต้เตียง ดวงตาสีแดงในตู้…

“เป้าหมายของภารกิจ: หนีออกจากเมืองหลี่ว่าน ช่วยชีวิตเหยื่อผู้บริสุทธิ์แต่ละคนนั้นจะเพิ่มรางวัลพิเศษ!

“คำใบ้ของภารกิจ: ฉันมองเธอร้องไห้ ฉันมองเธอหัวเราะ, ฉันมองเธอมีความสุข ฉันมองเธอหลั่งน้ำตา, ฉันรอเธอ ฉันต้องการอยู่กับเธอ, ฉันอยากจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ แต่ทำไมเธอถึงเก็บความสุขทั้งหมดไว้กับตัวเองและเหลือแต่ความทุกข์ไว้ให้ฉัน?”

หลังจากอ่านข้อความทั้งหมดแล้ว เขาก็จำมันเอาไว้และจากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ลงไป

“ขอบคุณพระเจ้าที่คุณไม่เป็นอะไร อย่าทำให้พวกเรากลัวแบบนี้สิ!” ชายขี้เมาตะโกนดังขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเฉินเกอกำลังยืนอยู่กลางทางเดินหลังจากที่ขึ้นบันไดมา

“ไม่ต้องกลัว ผมจัดการกับหมาหน้าคนนั่นไปแล้ว” เฉินเกอชี้ไปยังชายหนุ่มที่หมดสติอยู่บนพื้น หลังจากอ่านข้อความบนโทรศัพท์ ทัศนคติที่เขามีต่อผู้โดยสารคนอื่น ๆ ก็ดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรเสีย ช่วยชีวิตเหยื่อผู้บริสุทธ์นั้นก็จะทำให้เขาได้รับรางวัลเพิ่ม ดังนั้น ไม่ว่าจะด้วยศีลธรรมหรือว่าประโยชน์ส่วนตน เฉินเกอก็จะพยายามปกป้องพวกเขาให้ดีที่สุด

“ผู้ชายคนนี้คือสัตว์ประหลาดนั่น? เขาไม่ได้ดูน่ากลัวขนาดนั้น” มือกรรไกรจับคางผู้ชายคนนั้น ”บนร่างของเขาไม่มีบาดแผลให้เห็น และพวกเราก็ยังไม่ได้ยินเสียงต่อสู้อะไรเลยตอนอยู่ด้านล่าง แล้วเขาหมดสติอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?”

“คุณอยู่ให้ห่างเขาจากเขาจะดีกว่า เขาเพิ่งหมดสติไป เขาอาจจะตื่นขึ้นมาตอนไหนก็ได้” เฉินเกอไม่ได้ตอบคำถามของมือกรรไกรแต่ไปหาเชือกเส้นหนึ่งจากในบ้านมามัดชายคนนี้เอาไว้ จากนั้นเขาก็นำคนที่เหลือออกจากตึก

หลังจากอ่านการแจ้งเตือนภารกิจจากโทรศัพท์เครื่องดำ เฉินเกอก็เข้าใจเมืองหลี่ว่านได้ดีขึ้น มีคำแนะนำของเมืองสั้น ๆ ที่โทรศัพท์ให้เอาไว้ มันพูดถึง โรงแรม โรงพยาบาล ทางแยก และข้างบ้าน เมื่อรวมกับเกมของเสี่ยวปู้ที่เขาเล่นก่อนหน้านี้ เฉินเกอก็สงสัยว่าโรงแรมและบ้านข้าง ๆ ที่โทรศัพท์เครื่องดำพูดถึงนั้นเป็นสถานที่ที่เขาเคยไปตอนที่ควบคุมตัวเสี่ยวปู้เล่นเกม

“ประตูนั้นอยู่ในเขตที่พักอาศัยของฟ่านฉง ไม่ว่าประตูจะยังใช้การได้หรือไม่ ฉันก็จำเป็นต้องไปดูที่นั่น มันดูเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไปดูทุกที่ ดังนั้นฉันคิดว่าฉันคงได้แต่เข้าไปดูเฉพาะที่ที่ต้องผ่าน”

เมื่อตัดสินใจแล้ว เฉินเกอก็นำผู้โดยสารหลายคนนี้กลับไปที่รถเมล์ ด้านนอกของรถเมล์นั้นมีหลอดเลือดปกคลุมจนเต็ม และเครื่องยนต์ก็ใช้การไม่ได้

“ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในเมืองหลี่ว่านนี่ ดังนั้นจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับที่นี่ อยู่ใกล้ ๆ ผมเอาไว้ ถ้าพวกเราโชคดี พวกเราก็จะสามารถหนีออกไปได้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น” เฉินเกอไม่ได้โกหก โลกที่เต็มไปด้วยหมอกสีเลือดนี้นั้นไม่มีแสงตะวันหรือความหวัง พวกเขาจะได้พบพระอาทิตย์ก็หลังจากหนีออกไปได้

นั่นอาจจะนับได้ว่าเป็นความสามารถพิเศษของเฉินเกอ ซึ่งก็คือการมองสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างที่สุดในแง่บวก ฟื้นความหวังและแสงสว่างให้แก่สถานการณ์เช่นนี้

เพื่อประหยัดเวลา เฉินเกอไม่ได้เข้าไปทุกอากาศ และในที่สุด เขาก็รู้สึกว่ามันเสียเวลา

ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ฉันจะให้ผู้โดยสารเข้าไปในตึกก่อนขณะที่ฉันซ่อนอยู่ข้างหลัง หากใครกล้าทำร้ายพวกเขา ฉันก็จะกระโจนออกไปทันที

ใช้คนอื่นเป็นเหยื่อขณะที่เขาเก็บรางวัลตอบแทน เฉินเกอวางแผนนี้เอาไว้แล้ว อันตรายมากมายซ่อนอยู่ภายในหมอกสีเลือด แต่พวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่ระหว่างทางนั้นไม่เจออะไรนัก

“พวกเราหยุดตรงนี้สักครู่ได้ไหม? ผมอยากจะเข้าไปดูในเขตที่พักอาศัยนี่” เฉินเกอจู่ ๆ ก็หยุด เขามองไปยังอพาร์ทเม้นท์ข้าง ๆ พวกเขาและเผยสีหน้าที่อ่านไม่ออกออกมา เขาคุ้นกับตึกนี่เพราะว่านี่คือสถานที่ที่เสี่ยวปู้และพ่อบุญธรรมของเธออาศัยอยู่ตอนที่เธออยู่ในเกม

“นี่ดูไม่ปลอดภัย ที่นี่มืดและน่ากลัว” ชายขี้เมาเป็นคนแรกที่แย้งความคิดนั้น

“ตามประสบการณ์ก่อนหน้าของพวกเรา ยิ่งตึกใหญ่เท่าไหร่ สัตว์ประหลาดที่ซ่อนอยู่ด้านในก็น่ากลัวมากเท่านั้น ดังนั้น มันต้องมีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวมาก ๆ ใช้ที่นี่เป็นรังของมันแน่ ๆ” หมอกระชับผ้าพันคอและไม่ต้องการขยับไปไหนเช่นกัน

“ผมไม่ปฏิเสธเรื่องอันตราย แต่ตราบใดที่พวกคุณฟังคำสั่งของผม ผมสามารถรับรองได้ว่าพวกคุณจะปลอดภัย” เฉินเกอพูดและเดินห่างออกไป

“เฮ้ คุณต้องระมัดระวังให้มากขึ้นนะ!” ชายขี้เมาอดบ่นออกมาไม่ได้ “ทำไมมันถึงให้ความรู้สึกเหมือนคุณกำลังเดินอยู่ในบ้านตัวเองทั้งที่อยู่ในสถานที่แบบนี้ซึ่งคุณจะตายลงเมื่อไหร่ก็ได้?”

“ขี้ขลาด ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าแกจะกลัวอะไรนักหนา” มือกรรไกรเช็ดเลือดสด ๆ ออกจากริมฝีปากตัวเอง

“ที่นี่เต็มไปด้วยผี ฆาตกร และสัตว์ประหลหาด และคุณยังถามผมอีกเหรอว่าผมกลัวอะไรนักหนา?” ถึงอย่างนั้น ชายขี้เมาก็รวบรวมความกล้า ถึงแม้ว่าเขาจะกลัว เขาก็ไม่ยอมออกจากข้างกายเฉินเกอ

“เงียบหน่อย ผมมีบางอย่างจะบอกพวกคุณ” เฉินเกอขัดชายขี้เมาและชี้ไปยังพุ่มไม้ใกล้ ๆ พวกเขา “มีฆาตกรคนหนึ่งกำลังแยกชิ้นส่วนเหยื่อของเขาอยู่ที่ด้านในนั่น พยายามลดเสียงฝีเท้าลงตอนที่เดินผ่านไป อย่าให้เขารู้ถึงการมีตัวตนของพวกเรา”

ได้ยินคำพูดของเฉินเกอแล้ว ผู้โดยสารที่เหลือก็มองหน้ากัน เฉินเกอนั้นกำลังพูดคำพูดทั่วไป แต่เมื่อคำเหล่านั้นเรียงต่อกันอย่างที่เขาใช้ พวกเขากลับไม่เข้าใจว่าเฉินเกอกำลังพยายามสื่ออะไร

“ฆาตกร? แยกชิ้นส่วนเหยื่อ? อย่าให้เขารู้ตัว? เกิดอะไรขึ้นที่นี่น่ะ?” จิตใจของผู้โดยสารวุ่นวายไปหมด

“ฆาตกรคนนี้จะมีประโยชน์หลังจากนี้ ไม่มีเวลาให้อธิบาย ดังนั้นแค่ตามผมมา” เฉินเกอเดินนำหน้าไปและจงใจเดินห่างออกมาจากพุ่มไม้นั่น “ฆาตกรที่ในพุ่มไม้ยังอยู่ที่นี่ ฉันสงสัยว่าฆาตกรในเสื้อกันฝนจะยังอยู่ในลิฟท์หรือเปล่า…”

 

 

มองหลอดเลือดสั่น ๆ ที่รอบ ๆ กรอบหน้าต่างและยังผ้าสีขาวที่เปื้อนเลือดที่ใกล้ ๆ แล้ว เฉินเกอก็รู้สึกว่านี่เป็นการลงมือเข่นฆ่าฝ่ายเดียว การกลายเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุดที่โรงพยาบาลเมืองหลี่ว่านนี่หมายความว่าเด็กชายอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ารองเท้าส้นสูงสีแดง เขากลับทั้งบอบบางและอ่อนแอ เลือดที่บนขอบหน้าต่างและที่บนผ้าสีขาวนั้นเป็นเลือดของเด็กชาย

“ผมสงสัยอยู่ทีเดียวว่าทำไมโรงพยาบาลถึงเงียบขนาดนี้ เป็นเพราะมีคนจัดการกับสิ่งคุกคามใหญ่หลวงที่สุดก่อนพวกเรามาถึง” ใบหน้าของเฉินเกอเต็มไปด้วยความเสียดาย และนี่ก็ทำให้อีกสามคนที่ตามเขามาขมวดคิ้ว

“มันก็ดีแล้วที่พวกเขาสู้กันเอง! ก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกเราเจอผีเข้า คุณไม่กระทั่งถอนหายใจ แต่หลังจากพบว่าพวกเขาสู้กันเองไปแล้ว คุณที่เป็นคนนอกกลับดูไม่พอใจ” ชายขี้เมานั้นไม่เข้าใจความคิดของเฉินเกอเลย เขาไม่รู้เลยว่าเฉินเกอนั้นมองที่นี่เป็นทรัพย์สมบัติของเขาไปแล้ว อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่หน้าหนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนจะเต็ม เขาจะไม่ยอมให้ผีตนไหนหนีรอดไปได้

“ผีที่นี่ไม่ได้ชั่วร้ายโดยธรรมชาติ โชคร้าย พวกเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้บงการชั่วร้าย มันก็แค่ผมรู้สึกว่าพวกเขาควรจะได้มีบ้านที่ดีกว่านี้” เฉินเกอมองไปรอบ ๆ อีกครั้งและแน่ใจแล้วว่าไม่มีดวงวิญญาณอื่นเหลืออยู่ในโรงพยาบาลแล้ว ดังนั้นเขาจึงกลับออกมากับคนทั้งกลุ่ม

“ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนกัน?” ชายขี้เมา หมอ และมือกรรไกรตามหลังเฉินเกออยู่ติด ๆ พวกเขารู้แล้วว่าการแยกกันไปนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มไปก่อน

“ชายหน้ายิ้มนั้นครั้งหนึ่งเคยสังหารคนทั้งรถ และนั่นเป็นการทำลายแผนการของผู้บงการเบื้องหลัง ดังนั้นเขาน่าจะมีความสัมพันธ์กับผู้ควบคุมเมืองหลี่ว่านไม่ดีนัก รองเท้าส้นสูงสีแดงน่าจะแข็งแกร่งมาก อาจจะแข็งแกร่งกว่าชายหน้ายิ้ม ในเมื่อเธอทำร้ายคนที่เมืองหลี่ว่านนี่ไป ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเธอไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับผู้บงการนั่นเช่นกัน ทั้งสองคนนี้เป็นตัวตนที่น่าระคายเคืองที่เมืองจิ่วเจียงตะวันออกนี่ ในเมื่อพวกเขากำลังลงมือ พวกเขาก็น่าจะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บงการไปจากพวกเราได้” เฉินเกอวิเคราะห์อย่างใจเย็น

ไม่สำคัญว่าสถานการณ์แท้จริงของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เขายังสามารถเปลี่ยนมันเป็นด้านดี ๆ ให้เหมือนกับตอนนี้พวกเขานั้นได้เปรียบอยู่ “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ทำไมพวกเราไม่ไปดูที่บ้านสุนัขที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ล่ะ? ผมอยากจะเห็นเองกับตา สิ่งที่เรียกว่าหมาหน้ายิ้มน่ะ”

“คุณยังอยากไปเหรอ? ถ้าผมรู้อย่างนี้ ผมจะไม่เล่าเรื่องนั้นให้คุณฟัง” ชายขี้เมานำทางทั้งกลุ่มไปอย่างไม่เต็มใจนัก ‘บ้านสุนัข’ นั้นอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลมาก เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้กับตึกหลังนั้น สีหน้าของผู้โดยสารแต่ละคนก็ต่างกันไปโดยสิ้นเชิง ชายขี้เมานั้นกระวนกระวาย หมอระแวดระวัง และมือกรรไกรแสร้งเป็นใจเย็น เฉินเกอแกว่งค้อนในมือและเดินนำหน้าไป ดูเหมือนเด็กที่กำลังตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นเครื่องเล่นที่สวนสนุก

“ที่นี่หรือ?” เฉินเกอผลักเปิดประตูเข้าไป ก่อนที่เขาจะได้ก้าวเท้าเข้าไป เจ้าแมวขาวก็ร้องออกมา มันทำท่ากระสับกระส่ายเหมือนมีบางอย่างที่มันเกลียดมาก ๆ อยู่ในตึกนั้น

“แมวกลัวหมางั้นเหรอ? แต่น่าจะไม่ใช่อย่างนั้นนะ” เฉินเกอตบหัวเจ้าแมวเบา ๆ ปลอบให้มันสงบลง

“พี่ชาย คุณต้องระวังให้มาก ปิศาจนี่ดุร้ายมาก ผมเจอมันครั้งหนึ่ง มันเคลื่อนที่ด้วยขาทั้งสี่ข้างเหมือนสุนัขล่าเนื้อ” ชายขี้เมายังมีอย่างอื่นอยากพูดอีก แต่ว่าเมื่อเห็นเฉินเกอเดินเข้าไปในสวนแล้ว เขาก็หุบปากลงทันที ”เขากล้าเกินไปแล้ว”

อันที่จริงแล้วเฉินเกอนั้นระมัดระวังยิ่งกว่าที่คนทั้งกลุ่มคิด พวกเขาก็แค่ไม่เห็นวิธีการป้องกันตัวของเขาเท่านั้น มีการปกป้องจากซู่อินและการเตือนจากเจ้าแมวขาว เฉินเกอนั้นปลอดภัยเท่าที่เขาทำได้แล้ว

“มีบ้านสุนัขอยู่ที่นี่จริง ๆ และมันยังสร้างไว้อย่างดีด้วย แต่…” เฉินเกอสะพายกระเป๋าและยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของสวน เขามองบ้านสุนัขที่มีกลิ่นเหม็นเน่ากำจายออกมา “ขนาดของมันใหญ่พอสำหรับคนคนหนึ่งเลย งั้นก็มีโอกาสที่มันจะไม่ได้สร้างมาเพื่อสุนัข”

“ฉันยังรู้สึกอย่างนั้นนะตอนที่เข้ามาที่นี่ครั้งแรก บ้านทั้งหลังนี้เต็มไปด้วยน้ำหอมปรับอากาศ มันเป็นที่สำหรับคน แต่ว่ามันตกแต่งเหมือนไว้ให้หมาสักตัว แต่ที่ที่น่าจะไว้ให้หมาอยู่น่ะ กลับสร้างซะใหญ่เท่าให้คนอยู่” ชายขี้เมาพูดเรื่อยเปื่อย แค่คิดถึงสิ่งที่เกิดกับเขาก่อนหน้านี้ทำให้เขาต้องตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว จิตใจของเขาเหมือนจะพังทลายลงไปเมื่อไหร่ก็ได้

สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่ง ปฏิกริยาเช่นนี้นั้นถือว่ายอมรับได้ เห็นปฏิกริยานี้จากชายขี้เมาแล้วเฉินเกอก็พยักหน้านิด ๆ เขาไม่ได้เห็นด้วยกับชายขี้เมา แต่ว่าเขายืนยันแน่ใจแล้วว่าชายขี้เมาน่าจะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง

เฉินเกอจับสังเกตผู้โดยสารจากบนรถเมล์อยู่เงียบ ๆ และตัดคนออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยของเขา คนที่เขาแน่ใจว่าไม่มีปัญหาก็มีเพียงแค่ชายขี้เมาและมือกรรไกรเท่านั้น

“ไม่เป็นไร ถ้าคุณกลัว ก็อยู่กับพวกเขาไว้” เฉินเกอเดินผ่านสวนไปและรู้สึกเหมือนมีบางอย่างทำให้เขาคันที่หลังคอ เขาเอื้อมมือไปเกาและพบว่าเขาดึงมือกลับมาพร้อมกับขนสุนัขสีดำอยู่ที่กลางฝ่ามือ มันทั้งแข็งและหยาบ

“มันมาจากไหนเนี่ย?” เขาเงยหน้าขึ้น เฉินเกอหรี่ตาและเห็นใบหน้าของชายคนหนึ่งที่หน้าต่างชั้นสอง ชายคนนั้นสวมหนังสุนัขและยังมีรอยยิ้มประหลาดบนหน้า

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอเห็นรอยยิ้มแบบนั้นเหมือนกัน มันดูไม่เหมือนมนุษย์เลย กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการยิ้มนั้นมีการดึงที่ต่างไปจากเวลาที่มนุษย์ทั่วไปยิ้ม มันทำให้ใบหน้ายื่นออกมาข้างหน้า ดูประหลาดเป็นที่สุด

มองใบหน้ามนุษย์ที่บนชั้นสอง ตอนที่มันปรากฏขึ้นครั้งแรก หัวใจของเฉินเกอนั้นเต้นรัวเร็วขึ้นครู่หนึ่ง แต่สองหรือสามวินาทีให้หลัง เขาก็กลับเป็นปกติ เขายกแขนขึ้น โบกมือให้หน้ายิ้มและยิ้มตอบกลับไป “อยู่ตรงนั้นอย่าขยับ ผมจะขึ้นไปหาคุณเดี๋ยวนี้แหละ”

ที่ยืนอยู่ที่ชั้นสองน่าจะเป็นคน แต่เฉินเกอกลับไม่รู้สึกถึงความเป็นมนุษย์เป็น ๆ จากคนผู้นั้นเลย

“เมืองหลี่ว่านใหญ่ขนาดนี้ และฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะมีเวลาดูทุก ๆ อาคารทีละหลัง” เฉินเกอเข้าไปในตึกสองชั้น ตอนที่คนที่เหลือตามหลังเขามา เขาก็ยกมือขึ้นพูด “ทำไมพวกคุณที่เหลือไม่รอผมอยู่ที่ข้างนอกล่ะ?”

“พวกเราควรจะอยู่ติดกันเอาไว้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำตัวเป็นวีรบุรุษนะ!” ชายขี้เมารู้ว่าปิศาจนี่มีพลังหรือว่ามีความน่ากลัวแค่ไหน และเขาก็เป็นห่วงเฉินเกอ

“ผมคิดว่าคุณพูดถูก แต่ว่าที่ในบ้านมันดูคับแคบ ถ้าอยู่ใกล้กับผมเกินไป– ผมเกรงว่าจะบังเอิญทำอันตรายคุณเข้า” คำเตือนอันไม่คาดคิดจากชายขี้เมาทำให้เฉินเกอสบายใจขึ้น เขาดีใจที่ชายคนนี้พัฒนาขึ้นอย่างมาก และแอบสัญญาว่าจะพยายามช่วยให้ชายคนนี้มีชีวิตอยู่รอดไปได้

“เข้าใจแล้ว พวกเราจะไม่ก่อปัญหาให้คุณ” ชายขี้เมามองไปยังค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกที่เฉินเกอถือเอาไว้ และเขาก็ถอนหายใจ– ผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้นั้นเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับชีวิตของตนเองน้อยกว่าที่ควรแล้ว ทั้งกลุ่มเข้าไปในห้อง พวกเขาเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ และกำลังจะมุ่งหน้าขึ้นบันไดตอนที่ได้ยินเสียงกระดิ่งลมดังเข้าหู และประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ก็กระแทกปิดด้วยตัวมันเอง

“บ้าชะมัด!” ชายขี้เมาและหมอมองกลับไปด้านหลังพวกเขาพร้อมกัน ทางออกของพวกเขาถูกปิดไปแล้ว พวกเขาชะงักอยู่กับที่

ใบหน้าของมือกรรไกรนั้นซีดขาวอย่างไม่เป็นธรรมชาติขณะที่เขากระซิบขึ้นมาอย่างมืดมน “นี่เป็นฉากปกติที่สุดในหนังสยองขวัญ ประตูปิดเองได้ และไม่นานหลังจากนั้น ผีก็จะออกมา อันที่จริง พวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งจับตามองพวกเราอย่างใกล้ชิดอยู่แต่แรกแล้ว”

“นี่คือเหตุผลที่ผมบอกว่าพวกเราไม่ควรเป็นฝ่ายเข้าไปหาสิ่งนั้น!” ชายขี้เมาตื่นตระหนก “พวกเราควรจะไปหลบอยู่ในห้องสักห้องก่อน ตราบใดที่พวกเราอยู่ด้วยกัน ผีก็น่าจะไม่โจมตีพวกเราสี่คน”

“คุณพูดมีเหตุผล” หมอพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากปรึกษากันแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็หันไปหาเฉินเกอ อยากให้เขาช่วยรับรอง

“พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกัน? ทำไมพวกเราต้องไปซ่อนด้วย? ถ้าประตูปิด อย่างนั้นทำไมพวกเราไม่เปิดมันออก?” เฉินเกอส่ายหน้านิด ๆ เขามีปัญหากับการไล่ตามความคิดของผู้โดยสารพวกนี้จริง ๆ

ได้ยินคำตอบของเฉินเกอ ชายขี้เมาก็อยากจะพูดอย่างอื่น แต่ว่าเฉินเกอนั้นไม่ให้โอกาสเขา เขาพุ่งไปที่ประตูและยกค้อนขึ้นทุบประตู นั่นก่อให้เกิดเสียงกระแทกดังก้องไปทั่วทั้งตึก หลังจากประตูถูกทุบเปิดแล้ว เฉินเกอก็ไม่หยุด เขาเล็งค้อนไปที่บานพับประตูจนกระทั่งเขาถอดประตูออกจากกรอบได้สำเร็จ

“ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถปิดประตูได้แล้วต่อให้อยากจะปิดก็ตาม” เขาเตะประตูที่บิดเบี้ยวผิดรูปไปที่ด้านข้าง เดินลากค้อนกลับมาที่กลุ่ม “อย่าเอาแต่หนีหรือซ่อน– คุณต้องเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์สถานการณ์”

เฉินเกอคิดว่ามือกรรไกรนั้นค่อนข้างมีศักยภาพทีเดียว ดังนั้นจึงตัดสินใจถ่ายทอดความรู้บางอย่างให้เขา “ผู้ชายที่ผมเห็นก่อนหน้านั้นอยู่ที่ชั้นสอง แต่ในเมื่อประตูชั้นหนึ่งปิดได้ด้วยตัวเอง มันก็น่าจะหมายความว่ามีผีอยู่ในบ้านนี้มากกว่าหนึ่งตน ฉากที่มักจะพบในหนังสยองขวัญฉากนี้นั้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับผีที่เราต้องรับมือมากมาย พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะใช้เรื่องพวกนั้นมาวิเคราะห์ นั่นจะเป็นประโยชน์กับพวกเรา”

ได้ยินเสียงกระดิ่งลมยังดังอยู่เหมือนมีบางคนเดินไปมาในทางเดิน เฉินเกอก็มองมันแล้วพูด “บางครั้ง ผีก็พยายามจะเพิ่มความกลัวในหัวใจของเราผ่านเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเรา ตัวอย่างเช่น กระดิ่งลมนั่น แต่ทางแก้ปัญหานั้นอันที่จริงก็ง่ายมาก ๆ

เฉินเกอเดินไปที่ประตูและถอดกระดิ่งลมออกและเก็บมันลงไปในกระเป๋าของเขา หลังจากกระดิ่งลมถูกถอดออก เสียงประหลาดก็หายไปหมด

“มันง่ายแบบนี้แหละ” พอเฉินเกอพูดอย่างนั้น ใบหน้าของทั้งหมดและชายขี้เมาก็แข็งทื่ออย่างหวาดกลัว พวกเขาทั้งคู่ชี้นิ้วไปที่ที่ว่างด้านหลังเฉินเกอ

“พี่ชาย! ด้านหลังคุณ! มันออกมาจากในกระดิ่งลม!”

“มีผี! มีผี!”

เฉินเกอหันกลับไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ น่าสนใจตรงที่ ใบหน้าของผู้ชายคนนี้นั้นคล้ายกับใบหน้าที่เขาเห็นบนชั้นสอง ตอนนี้ ร่างกายท่อนล่างของชายคนนี้นั้นติดอยู่ในกระเป๋าของเฉินเกอ ร่างกายท่อนบนพยายามคลานออกมา แต่มือจำนวนนับไม่ถ้วนก็เอื้อมออกมาจากในกระเป๋าของเฉินเกอ ตรึงเขาให้อยู่กับที่ก่อนที่จะดึงชายคนนั้นกลับเข้าไปในกระเป๋าของเฉินเกอด้วยกำลังแรง

หลังจากวิญญาณทุกข์ของชายคนนั้นหายไป เฉินเกอก็หันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม บอกผู้โดยสารที่เหลือว่า “นั่นก็เป็นแค่ภาพมายา นี่คือจุดที่สองที่ผมอยากจะบอกพวกคุณ ผีมักจะใช้การเล่นกลกับสายตาของพวกเราเพื่อทำให้พวกเราสงสัยตัวเอง”

ผู้โดยสารคนอื่น ๆ เงียบ พูดกันโดยสัตย์จริง ตอนที่ผีผู้ชายโผล่ออกมา พวกเขากลัว แต่เมื่อเขาเห็นผีตนนั้นดิ้นรนและกรีดร้องก่อนที่จะหายไปด้านหลังเฉินเกอ พวกเขาก็ขนลุกซู่ และกระทั่งเลือดในหลอดเลือดก็ยังแทบจะจับตัวเป็นก้อน

“ถ้าพวกคุณกลัวจริง ๆ อย่างนั้นก็อยู่ที่ชั้นแรกนี่” เห็นน้ำยาปรับอากาศที่เกลื่อนอยู่บนพื้น เฉินเกอก็ไม่ให้เวลาคนอื่นได้คิด เขามุ่งหน้าขึ้นบันไดไปคนเดียว ผู้ชายที่ด้านในกระดิ่งลมนั้นดูเหมือนกับผู้ชายที่ชั้นสองราวกับคนเดียวกัน เฉินเกอสงสัยว่าผีผู้ชายน่าจะเป็นเจ้าของเดิมของร่าง แต่เพราะเหตุผลประหลาดบางอย่าง วิญญาณของผู้ชายและสุนัขสลับกัน และตอนนี้ก็เป็นสุนัขที่ครอบครองร่างของผู้ชายคนนั้นอยู่

“นี่ต้องเป็นเรื่องผีที่น่าสนใจแน่ ๆ” ในฐานะประธานสมาคมเล่าเรื่องผี เฉินเกอรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่เขาต้องรวบรวมเรื่องผีที่เขาเคยได้ยิน หลังจากไปถึงชั้นสองแล้ว เขาก็เรียกซู่อินมาอยู่ข้างกาย เขาพร้อมสู้แล้ว แต่ว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับทำให้เขาประหลาดใจ

ชายประหลาดที่ยิ้มให้เขาจากชั้นสองก่อนหน้านี้นั้นตอนนี้ยืนอยู่กลางทางเดินชั้นที่สอง เขายังสวมหนังสุนัขและมีรอยยิ้มประหลาดบนหน้า น่าแปลก เฉินเกอไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูจากเขา– มันเหมือนเฉินเกอเคยพบชายคนนี้มาก่อน และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นเพื่อนเก่ากัน

“เขาเลือกเผยตัวก่อนหน้านี้เพราะว่าเห็นฉันเดินมาจากข้างนอก?” ความตื่นตัวของเฉินเกอเพิ่มสูงขึ้นเพราะเรื่องมันผิดจากธรรมดาไป เฉินเกอให้ซู่อินทดสอบชายคนนั้น แต่ว่าชายคนนั้นไม่ขัดขืนเลยสักนิด อันที่จริง เขายังมองเฉินเกอด้วยสายตาสงสัยเหมือนกำลังถามว่า ‘ทำไมนายถึงโจมตีฉันล่ะ พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?’

“ผู้ชายคนนี้เคยรู้จักฉัน? นั่นเป็นไปไม่ได้! นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพบเขา หรือว่ามันเป็นผลจากฉายา ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ?” เฉินเกอเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้นมากขึ้น และฝ่ายหลังก็ไม่พยายามหลบ เขาดูเชื่อฟังมากเหมือนสัตว์เลี้ยงเชื่อง ๆ

“นี่น่าสงสัยจริง ๆ” เฉินเกอนั้นเป็นคนที่คล้อยตามการโน้มน้าวได้แต่ไม่ใช่การบังคับ การที่ชายคนนี้นั้นว่าง่ายและยังไม่ขัดขืนการโจมตีจากเฉินเกอทำให้เฉินเกอสับสนมาก เขาพยายามใช้หนังสือการ์ตูนกับผู้ชายคนนั้นแต่ว่าไม่ได้ผล ชายคนนั้นมีร่างของคนเป็น ดังนั้น เขาย่อมไม่สามารถถูกดึงเข้าไปในหนังสือการ์ตูนได้

หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ชายคนนี้อันที่จริงยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าเขามีชีวิตด้วยวิญญาณของสุนัข เฉินเกอพยายามสื่อสารกับเขา แต่โชคร้าย ไม่มีการสื่อสารใดได้ผล

“ผู้ชายคนนี้ต้องการอะไร?” เฉินเกอให้ซู่อินจับตาดูชายคนนี้เอาไว้ขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้องข้าง ๆ เพื่อเริ่มการสำรวจ เขาพบบางอย่างในห้องที่ชายคนนี้เคยอยู่ก่อนหน้านี้ ผนังด้านหนึ่งของห้องนั้นเต็มไปด้วยรูปภาพ มันบันทึกเรื่องราวชีวิตของชายคนหนึ่ง หรืออาจจะเป็น สุนัขตัวหนึ่ง

รูปแรกนั้นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งทรมานสัตว์หลายชนิด เขาใช้วิธีการเหี้ยมโหดทุกวิธี และรูปภาพนั้นก็เป็นหลักฐานถึงบาปที่ลบล้างไม่ได้ของเขา มันดำเนินต่อเนื่องไปจนกระทั่งวันหนึ่ง เขากลับมาพร้อมกับลูกสุนัขสีดำตัวหนึ่ง ลูกสุนัขตัวนั้นทรหดมาก ไม่ว่าจะถูกทรมานแค่ไหน ลูกสุนัขก็ยังรอดชีวิตมาได้

ชายคนนั้นมองลูกสุนัขเป็นเครื่องระบายความเครียดถาวรของเขา ดังนั้นจึงเก็บมันเอาไว้กับตัว เมื่อทรมานลูกสุนัขตัวนั้น ชายหนุ่มก็ยังไม่ได้หยุดทำร้ายสัตว์อื่น ๆ

ลูกสุนัขเห็นเจ้านายของมันทรมานสัตว์อื่น ๆ ต่อเนื่องด้วยตาของมันเองจนกระทั่งมันเติบโตขึ้น ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ชายคนนั้นทรมานมันอย่างเหี้ยมโหดอีกครั้ง เขาก็คิดว่าในที่สุดเขาก็จัดการฆ่าสุนัขตัวนี้ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ล่ามมันเอาไว้กับบ้านสุนัขของมันอีก

คืนนั้น สุนัขสีดำที่กำลังจะตายคลานสี่ขาลอบเข้าไปในห้องนอนของชายหนุ่มคนนั้นผ่านหน้าต่าง

เฉินเกอมองรูปสุดท้าย สุนัขสีดำนั้นใช้แรงที่เหลือแค่นิดเดียวฆ่าผู้ชายคนนั้น และในที่สุด ทั้งคนและหมาก็นอนจมกองเลือด จากนั้น สุนัขสีดำก็ล้มลงไปจริง ๆ แล้ว แต่ว่า ตอนที่ชายคนนั้นลุกขึ้นจากกองเลือด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นของสุนัขตัวนั้น

เห็นรูปพวกนี้แล้ว ในที่สุดเฉินเกอก็เข้าใจว่าทำไมชายคนนั้นถึงมีท่าทางเช่นนั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ ทำไมสุนัขถึงได้ดูเป็นมิตรกับเขา?

ดูรูปทั้งหมดอีกครั้ง เฉินเกอก็เชื่อว่าเขาพบคำตอบแล้ว ตอนที่ลูกสุนัขสีดำปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกนั้น นอกจากชายหนุ่มและลูกสุนัขแล้ว ยังมีเงาร่างหนึ่งที่ดูเหมือนตัวเขาอย่างน่าสงสัย เขาเริ่มตรวจดูรูปที่เหลือ และเกือบทุกรูปก็จะมีตัวตนของเงานั่นอยู่ตรงไหนสักที่

เหตุผลที่สุนัขสีดำนั้นรอดชีวิตมาได้จากการทรมานมากมายนั้นก็เป็นเพราะว่าเงานั่นปกป้องมันเอาไว้? เงานั่นดูคล้ายกับฉัน ดังนั้นนี่จึงสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดสุนัขสีดำจึงไม่ได้ดูเป็นศัตรูกับฉัน– มันจำคนผิดแล้ว! มันจำฉันเป็นเงานั่น!

จากนั้นความสงสัยแรงกล้าหนึ่งก็เข้ามาในใจเฉินเกอ เงานั่นเป็นตัวฉันตอนอายุน้อยกว่านี้จริง ๆ น่ะหรือ? เขาเติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว ด้วยนิสัยที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง?

คนนอกเข้าใจผิดนั้นยังสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่กระทั่งคนของเมืองหลี่ว่านเองยังเข้าใจผิด นี่ทำให้เฉินเกอตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา เงานั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน!

บางทีเขาอาจจะดูเหมือนฉันจริง ๆ แต่ก็แค่ในด้านรูปร่างหน้าตา

มองรูปที่บนกำแพงแล้วเฉินเกอก็เห็นความคล้ายคลึง ครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยสัตว์ที่ถูกทรมานมาก่อน– เจ้าแมวขาวที่บนไหล่ของเขานั้นเป็นตัวอย่างอันดี จากมุมนี้ เขาก็คล้ายกับเงานั่นจริง ๆ แต่ที่นิสัยของพวกเขาต่างกันก็สามารถมองเห็นได้จากวิธีการที่พวกเขาจัดการกับปัญหาต่าง ๆ

หลังจากช่วยเจ้าแมวขาวแล้ว เฉินเกอก็ให้มันมีบ้านคือที่บ้านผีสิง แต่หลังจากช่วยลูกสุนัขสีดำแล้ว เงานั่นกลับไม่ได้แค่ไม่ช่วยมันให้พ้นไแต่กลับปล่อยให้มันถูกทรมานต่อเนื่องจนกระทั่งมันสังหารเจ้านายของมัน

ความเกลียดชัง ความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง และความมุ่งร้าย จากวิธีที่เงานั่นช่วยลูกสุนัขสีดำ นั้นก็สามารถบอกนิสัยของเขาได้

เจ้าสิ่งนี้อันตรายเกินไป

เฉินเกอวางรูปทั้งหมดกลับไปและเดินออกมาจากห้อง ชายคนนั้นยังนั่งอยู่กับพื้น เขาเอียงหัวไปด้านหนึ่งเหมือนกำลังพิจารณาเฉินเกอ มันเหมือนกับว่าในที่สุดเขาก็รู้สึกแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

“ฉันควรจะเก็บดวงวิญญาณอันน่าสงสารนี้ไว้กับตัวเอง เงานั่นสามารถเปลี่ยนไปอยู่ในร่างอื่น ๆ และปลอมแปลงตัวเองได้ บางทีฉันอาจจะสามารถใช้สุนัขสีดำนี่ช่วยฉันหาตัวตนแท้จริงของเงานั่นได้ ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะนั่งคุยกับเงานั่นอย่างจริงจังสักครั้ง”

เฉินเกอเดินไปหยุดตรงหน้าชายคนนั้น ใช้ดวงตาหยินหยาง เขามองเข้าไปในดวงตาของชายคนนั้น จับดวงวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในร่างมนุษย์เอาไว้

“ได้เวลาออกมาแล้ว แกต้องมีบ้านใหม่”

หลังจากการโน้มน้าวยืดยาวของเฉินเกอ สีหน้าของชายคนนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป หลายนาทีให้หลัง สุนัขสีดำที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็คืบคลานออกจากร่างของชายคนนั้น

เฉินเกอเก็บสุนัขสีดำเข้าไปด้วยหนังสือการ์ตูน ทันใดนั้น โทรศัพท์เครื่องดำในกระเป๋าของเขาก็สั่น เขาดึงโทรศัพท์ออกมาดู มีทั้งหมดห้าข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน

 

 

 

 

 

คำพูดของเฉินเกอนั้นสะเทือนถึงมือกรรไกรอย่างรุนแรง เขาเติบโตขึ้นมาในบ้านเด็กกำพร้า เขาเป็นคนโดดเดี่ยวที่ชอบอยู่กับตัวเอง และเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาเคยมีก็คือพี่ชายของเขา ตอนที่เขาถูกรังแก ตอนที่เขาได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ตอนที่เขาไม่สามารถค้นหาความหมายของการมีชีวิต ติดอยู่ในวังวนอันเจ็บปวดและสิ้นหวัง ก็เป็นพี่ชายของเขาที่ก้าวเข้ามาส่งมือให้กับเขา ปกป้องเขาจากความโหดร้ายของชีวิต

สำหรับมือกรรไกรแล้ว พี่ชายของเขานั้นเป็นคนพิเศษที่สุดในชีวิตของเขา และมันก็เพราะข้อมูลที่พวกเขาแบ่งปันกัน ที่หลังจากพี่ชายของเขาหายตัวไป มือกรรไกรถึงไม่หยุดตามหา

มองเฉินเกอที่เดินไปไกลแล้ว มือกรรไกรก็นึกถึงที่เฉินเกอปรากฏตัวขึ้นมาตอนที่เขาถูกบีบให้จนมุมโดยสิ่งเหล่านั้นที่ในโรงพยาบาล ตอนที่เขากำลังจะยอมแพ้แล้ว น้ำเสียงอบอุ่นและเมตตานั่นดึงเขากลับจากนรกสู่สรวงสวรรค์ อารมณ์เหวี่ยงขึ้นลงราวกับเล่นรถไฟเหาะ ถึงแม้ว่ามือกรรไกรจะไม่ได้พูดมันออกมา ข้างในนั้น หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง

เพราะรูปลักษณ์ท่าทีภายนอกที่เขาต้องรักษาเอาไว้ เขาจึงไม่สามารถขอบคุณเฉินเกอได้อย่างเปิดเผย แต่เขาสัญญากับตัวเองว่าหากเขารอดไปจากเรื่องนี้ได้ เขาจะทำอะไรก็ได้เพื่อทดแทนน้ำใจนี้

คนที่ภายนอกดูเมินเฉยมักจะมีหัวใจเร่าร้อน แต่ความอบอุ่นของพวกเขานั้นปกติแล้วจะเก็บเอาไว้ใต้ชั้นน้ำแข็งหนา มีเพียงเมื่อน้ำแข็งพวกนั้นแตกออก พวกเขาถึงได้เผยอารมณ์ที่แท้จริงออกมา

เลียแผลบนใบหน้าตัวเองเบา ๆ มือกรรไกรหันไปถุยเลือดสุนัขดำที่อยู่บนริมฝีปากของตัวเองทิ้ง เขาหลังเฉินเกอไป และครู่หนึ่งเขาเหมือนเห็นเงาของพี่ชายของเขาทับซ้อนกับผู้ช่วยชีวิตเขาคนนี้

ฉันต้องใจเย็นเข้าไว้ เขาอาจจะเป็นฆาตกรตัวจริง มันจะดีกว่าถ้าฉันไม่อยู่ใกล้เขาให้เกินไปนัก แต่ฉันต้องอยู่ใกล้พอที่จะยื่นมือเข้าช่วยเวลาเขาลำบาก

ความประทับใจในตัวเฉินเกอของมือกรรไกรนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาเดินตามหลังเฉินเกอไปเงียบ ๆ

เมื่อพบว่ามือกรรไกรกลายเป็นจริงใจกว่าเดิม ริมฝีปากของเฉินเกอก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากมุมมองของเขา มือกรรไกรนั้นมีความสามารถอันยากจะพานพบ ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเขาจะค่อนข้างตาขาวแต่นั่นก็ไม่เป็นไร– สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขามีความกล้าและมุ่งมั่นในการทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรเป็น

เฉินเกอหันหน้าไปถามมือกรรไกร “แล้วก็ ผมเห็นรอยเท้าหลายแบบที่ชั้นล่าง นอกจากคุณแล้ว มีผู้โดยสารคนอื่นถูกกักเอาไว้ในโรงพยาบาลนี้ด้วย คุณเห็นพวกเขาบ้างไหม?”

“ฉันมาที่นี่คนเดียว” มือกรรไกรงึมงำในใจ รอยเท้านั่นมันอะไรกัน?

ตอนที่เขาเข้ามาในโรงพยาบาล เขาไม่ได้สังเกตอะไรทั้งนั้น แต่ในเมื่อเฉินเกอพูดถึง เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง เขาก็ทำได้แค่ไหลตามบทสนทนาไป “ฉันก็เห็นรอยเท้าที่แกพูดถึงอยู่เหมือนกัน… ใช่ ถ้าฉันจำไม่ผิด ตอนที่ฉันสู้กับพวกผีติดพันอยู่ที่ชั้นสาม ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าก้องมาจากทางเดินหนีไฟชั้นสอง ดังนั้น พวกเขาก็น่าจะวิ่งไปทางนั้นก่อนหน้านี้”

เฉินเกอพยักหน้าขณะมองไปยังมือกรรไกร มองสำรวจเขาเร็ว ๆ

“แกมองอะไร?” มือกรรไกรตัวสั่นเมื่อถูกเฉินเกอจ้องอย่างจริงจัง

“รองเท้าส้นสูงคู่นั้นที่บนรถเมล์หายไปแล้ว ผมจำได้ชัดเจนว่าเวลาคุณเดินจะมีเสียงก้องของฝีเท้าสองคู่ ดังนั้นเจ้าสิ่งนั้นน่าจะตามคุณอยู่” อีกเหตุผลที่เฉินเกอประเมินมือกรรไกรไว้สูงก็เพราะรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น กระทั่งชายหน้ายิ้มยังระแวดระวังรองเท้าคู่นั้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามันอย่างน้อยที่สุดก็เป็นวิญญาณสีเลือด

“ตอนที่ฉันเข้าไปในทางเดินด้านซ้าย เสียงนั่นก็หายไป เธอน่าจะสัมผัสได้ถึงอันตรายและหนีไป” มือกรรไกรยกกรรไกรในมือขึ้นมา มองไปยังด้านคมของมัน “เห็นได้ชัดว่าเธอกลัว เธอขี้ขลาด หวาดกลัวตัวตนอย่างฉัน”

เฉินเกออยากจะพุ่งเข้าไปเอามือปิดปากมือกรรไกร การสวมบทบาทของคนผู้นี้น่าจะมีขีดจำกัดบ้างนะ ถ้าคำพูดของเขานั้นได้ยินไปถึงหูรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น เขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่าตัวเองตายยังไง

“เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียว่าผมไม่ได้ถามคำถามนั้นแล้วกัน ไปหาผู้โดยสารคนอื่น ๆ กันก่อน” เฉินเกอนำมือกรรไกรออกจากห้องน้ำ ชายขี้เมาและหมอกำลังรอพวกเขาอยู่ที่ในทางเดิน ตอนที่พวกเขาสองคนเห็นมือกรรไกรที่เต็มไปด้วยเลือด พวกเขาก็กลัวมากจนไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้คนที่ถูกสงสัยว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องคนนี้แม้แต่ก้าวเดียว ในสายตาพวกเขา ทั้งตัวของมือกรรไกรนั้นเข้ากันได้พอดีกับสิ่งที่ฆาตกรน่าจะเป็นในความคิดของพวกเขาเป๊ะ เขาเต็มไปด้วยเลือด และยังมีรอยยิ้มบ้าคลั่งอยู่บนใบหน้า เขายังชื่นชมในความเจ็บปวดเหมือนว่ามีเพียงแค่ความเจ็บปวดและการฆ่าเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสุขในชีวิต

“บางครั้งมันก็รู้สึกเหมือนว่าผมตกลงมาในฝูงหมาป่า” ชายขี้เมายืนอยู่ที่รอบนอกของกลุ่มคนเดียว ใบหน้าของเขาซีดขาวและจ้องมองไปยังรอยเลือดใต้เท้าตัวเอง เขารู้สึกอยากจะอาเจียน ท่ามกลางทุกคนที่เขาพบเจอ ตัวเขาเองเป็นเพียงคนเดียวที่ดูเป็นคนธรรมดา

“คุณสู้กับปิศาจพวกนั้นคนเดียวมานาน– คุณน่าจะเปลืองแรงไปมาก ปล่อยงานเก็บกวาดให้ผมทำแล้วกัน” เฉินเกอนั้นช่วยหาข้ออ้างให้กับมือกรรไกรอย่างใจดีก่อนที่เขาจะเริ่มสำรวจห้องทีละห้อง

โรงพยาบาลนี้มีแค่สามชั้น มันไม่ใหญ่ แต่ในเมื่อเฉินเกอสำรวจอย่างละเอียด พวกเขาจึงใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงกว่าจะดูทั่ว พวกเขาพบรอยเท้าของครอบครัวสามคนกับรองเท้าของเด็กชายคู่หนึ่งที่ทางเดินหนีไฟชั้นสอง รอยเท้านั้นมุ่งลงไปตามทางเดินหนีไฟ มุ่งหน้าไปยังอีกด้านของโรงพยาบาล

ครอบครัวสามคนก็มาเจอเข้ากับกลุ่มของเฉินเกอ ตอนที่เฉินเกอพังประตูเข้าไป พวกเขาก็ลงจากบันไดที่อีกด้านของโรงพยาบาลแล้วหนีออกไป

“คนพวกนี้นี่มันอะไรกัน พวกเรามาช่วยพวกเขา แต่พวกเขากลับวิ่งหนีไปโดยไม่ทิ้งข้อความให้พวกเราด้วยซ้ำ พวกเขาสนใจแต่ตัวเอง ทำไมถึงเห็นแก่ตัวแบบนี้เนี่ย?” ชายขี้เมาเอาตัวเองไปแทนที่เฉินเกอ เขารู้สึกว่าถ้าเขาเป็นเฉินเกอ เขาคงไม่วุ่นวายกับคนแบบนี้

“มันก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เลือกหนีเมื่อเผชิญหน้ากับความกลัว”

“คุณใจกว้างกับเรื่องพวกนี้เนาะ” ชายขี้เมาคิดว่าเฉินเกอนั้นเป็นพวกมองโลกในแง่ดี จากที่พวกเขาได้พูดคุยกันมาเขาพบว่าเฉินเกอนั้นเป็นชายหนุ่มที่ดีงามไม่มีความโหดร้ายในจิตใจ “ในเมื่อคนที่พวกเราจะมาช่วยก็กลับออกไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะออกไปจากที่นี่บ้างแล้วเหมือนกันไหม?”

“ไม่ต้องรีบ พวกเราเดินรอบโรงพยาบาลไปรอบหนึ่งแล้ว และมีสามที่ที่พวกเราต้องให้ความสนใจ” เฉินเกอยืนอยู่กับที่แล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในห้องแรกทางซ้ายหลังจากเลี้ยวขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง มีบันทึกเล่มหนึ่ง มันบันทึกไว้ว่าคนไข้คนหนึ่งถูกผีที่ในโรงพยาบาลนี้บีบคั้นจนแทบจะวิกลจริตไปก่อนที่จะกลายเป็นผีไปเอง นั่นน่าจะไม่ใช่แค่กรณีเดียว”

แน่นอนว่าเฉินเกอย่อมรู้ว่านั่นไม่ใช่แค่เคสเดียว วิญญาณน่าสงสารดวงนั้นที่ขาถูกเข้าเฝือกไว้ และดวงตายังถูกแทงบอดตอนนี้นั้นอยู่ในหนังสือการ์ตูนของเอี๋ยนต้าเหนียนแล้ว ด้วยการนำทางของมือกรรไกร เขาพุ่งไปยังตู้เสื้อผ้าทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย และมันก็ไม่ได้ใช้เวลานานที่เฉินเกอจะพบดวงวิญญาณนั้นสิงอยู่ในสมุดบันทึก

“แต่นั่นมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ?” ชายขี้เมานั้นมีความรู้สึกไม่ดีกับโรงพยาบาลนี้ มันเหมือนกับว่ามีอันตรายมากกว่าที่ ‘บ้านสุนัข’ ที่เขาเคยเข้าไปก่อนหน้านี้

“ถ้าผู้ป่วยตัดสินใจเล่นเกมซ่อนหา พวกเขาก็จะถูกกักเอาไว้ในโรงพยาบาล กลายเป็นส่วนหนึ่งของเกมไปหลังจากที่ตายลง แต่ว่า คุณเคยคิดถึงคำถามนี้ไหม– ใครเป็นคนแรกที่เริ่มต้นเกมซ่อนหานี่?” เฉินเกอหันกลับไปมองผู้โดยสารคนอื่น ๆ “มีคนคนหนึ่งคิดเกมนี้ขึ้นมา จากนั้นก็ลากเอาผีผู้ป่วยตามไปเป็นพรวน”

ผู้โดยสารคนอื่น ๆ มองหน้ากัน คำถามนี้ย่อมไม่เคยผ่านเข้ามาในใจพวกเขามาก่อน เฉินเกอนั้นเลิกถามความเห็นพวกเขาไปแล้ว ทัศนคติของพวกเขานั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง วิธีการมองโลกของพวกเขานั้นต่างกันอย่างไม่สามารถปรับเข้าหากันได้

“อย่างที่ผมพูดก่อนหน้านี้ มีสามที่ในโรงพยาบาลนี้ที่น่าสนใจ ที่แรกก็คือห้องที่เจอสมุดบันทึก และห้องที่สองก็คือห้องเก็บเอกสาร เมื่อครู่ ผมได้เข้าไปดูข้อมูลเกี่ยวกับห้องผู้ป่วยที่มีปัญหาคร่าว ๆ และผมก็พบว่ามีบางอย่างแปลก ๆ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยคนใดก็ตามที่พักในห้องนั้นมักจะพบจุดจบที่ไม่ค่อยสงบนัก และเพราะอย่างนั้น ห้องพักผู้ป่วยห้องนั้น– ห้อง 201– ก็กลายเป็นห้องที่หมอและพยาบาลหลีกเลี่ยง”

เฉินเกอวิเคราะห์ต่อโดยไม่สนใจการตอบสนองของคนอื่น “ในเอกสารบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าเคสแรกในห้อง 201 นั้นเกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน และบังเอิญอีกว่า มันอยู่ภายในปีเดียวกับที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้รับผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่น”

เขาดึงเอกสารออกมาจากในกระเป๋าและมันก็มีรอยเปื้อน เนื้อหาส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถอ่านได้ และชื่อของโรงพยาบาลเดิมของผู้ป่วยก็มีรอยเปื้อนทับไป มีเพียงแค่คำว่า ‘ไห่’ ที่สามารถอ่านได้

“พวกคุณรู้จักโรงพยาบาลไหนที่มีตัวอักษรนี้ในชื่อไหม?” เฉินเกอหันไปมองหมอประจำหน่วยไฟไหม้

หมอคนดีส่ายหน้า “มันยากที่จะบอกด้วยตัวอักษรตัวเดียว น่าจะมีเยอะเลย”

“ครั้งก่อนที่พวกเราขึ้นรถเมล์ มีผู้ป่วยผู้หญิงในชุดผู้ป่วยหลายคน คุณจำได้ไหม?” เฉินเกอมองหมอ

“จำได้” เมื่อเฉินเกอพูดถึง ก็ทำให้ฟันเฟืองในสมองของหมอหมุนขึ้นมา “ดูเหมือนจะมีตัว ไห่ อยู่บนเสื้อผ้าของผู้ป่วยพวกนั้นด้วยเหมือนกัน”

“ใช่แล้ว” ตอนที่เฉินเกอเห็นผู้ป่วยหญิงพวกนั้นตอนแรก เขาก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่าพวกเธอน่าจะเกี่ยวข้องกับภารกิจของฉากระดับสี่ดาวในจิ่วเจียงตะวันออก– โรงพยาบาลต้องสาป ตอนนี้ ที่เรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลนี้ มันก็น่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่สงสัยว่าถูกส่งมาจากโรงพยาบาลต้องสาป หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เกมซ่อนหานั้นเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาจากคำสาปบางอย่างของฉากระดับสี่ดาว

การค้นพบครั้งนี้อาจจะไม่มีความหมายกับคนอื่น แต่มันเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับเฉินเกอ ฉากระดับสามดาวและฉากระดับสี่ดาวนั้นต่างกันมาก และเงื่อนงำใด ๆ ก็ล้วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

“แต่ต่อให้พวกเรารู้ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลนั้น มันก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเราออกจากเมืองหลี่ว่านได้” ชายขี้เมานั้นเป็นพวกอยู่กับความจริงที่สุดแล้ว เขาแค่ต้องการออกไปจากที่นี่ทั้งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

“ผมคิดว่าคุณจะเปลี่ยนใจหลังจากได้อ่านนี่” เฉินเกอพลิกกระดาษไปที่หน้าสุดท้าย มันเต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการส่งตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มาจากโรงพยาบาลอื่นนั้นเป็นเด็กคนหนึ่งอายุหกขวบครึ่ง หมอวินิจฉัยว่าเขาติดเชื้อโรคเรบีส์* เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาอาการกำเริบ เขาต้องถูกมัดเอาไว้กับเตียง เขามักจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่งและบิดตัวไปในมุมที่ไม่น่าเป็นไปได้

แต่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาไม่ได้ถูกความเจ็บป่วยเคี่ยวกรำ อาการของเด็กชายก็ไม่ได้ปกตินัก เขามักจะพูดเรื่องประหลาดมาก ๆ และบอกคนรอบ ๆ ตัวเขาว่าเขากำลังถูกบางอย่างที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อตามล่า เขามักจะบอกว่าเขาต้องไม่ถูกสิ่งนั้นเจอตัว และเพื่อการนั้น เขาก็มักทำให้แน่ใจว่าได้แอบซ่อนตัวเองอย่างมิดชิด

แน่นอนว่า ถ้านั่นเป็นจุดจบของเรื่อง หมอก็คงไม่แยกประวัติของเขาออกมาจากคนอื่น ๆ หลังจากเด็กชายเสียชีวิต เรื่องประหลาดก็เริ่มต้นขึ้น

อย่างแรกเลย ศพของเด็กชายหายตัวไปจากห้องเก็บศพ จนถึงตอนนี้ ก็ยังหาไม่พบ จากนั้นก็เป็นพยาบาลกะกลางคืนอ้างว่าพวกเธอมักจะเห็นเด็กชายวิ่งผ่านทางเดินไปในตอนกลางคืน จากนั้นก็มีคำแปลก ๆ เริ่มปรากฏขึ้นในเอกสารที่พิมพ์ออกมา คำอย่าง– หาผมให้เจอสิ

เดิมที เรื่องเหล่านี้นั้นทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้ให้ความสนใจนัก จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเสียชีวิตอยู่ในห้องเก็บศพ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงเข้าไปในห้องเก็บศพตอนเที่ยงคืน แต่ว่า ตำรวจพบประวัติการรักษาแผ่นหนึ่งติดเอาไว้ที่ด้านหลังศพ และที่เขียนเอาไว้ที่ด้านหลังกระดาษแผ่นนั้นก็คือคำอย่าง ‘หาผมให้เจอสิ’ พวกมันเขียนไว้ด้วยลายมือเหมือนลายมือเด็ก

หลังจากการตายของเจ้าหน้าที่ ก็เริ่มมีเรื่องเล่าแพร่ไปในโรงพยาบาล ใครก็ตามที่ถูกแปะกระดาษไว้บนหลังจะต้องเล่นเกมซ่อนหามรณะกับเด็กคนนั้น เอกสารนี้ถูกผนึกเก็บตอนช่วงเวลานั้น จึงไม่ได้พูดถึงการตัดสินใจของโรงพยาบาล และนั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้น

ปิดเอกสารลงแล้วสายตาของเฉินเกอก็กวาดมองไปยังคนที่เหลือ “พวกคุณบางคนเคยถูกติดกระดาษเอาไว้บนหลังมาก่อน ถ้าพวกเราไม่แก้คำสาปนี้ คุณก็จะตกอยู่ในอันตรายต่อให้ออกไปจากเมืองหลี่ว่านก็ตาม”

“งั้นแกคิดว่าพวกเราควรจะทำยังไงตอนนี้?” มือกรรไกรเริ่มตระหนก เขาจำได้ชัดเจนว่าเห็นของอย่างนั้นติดอยู่บนหลังของตัวเอง

“ผมกำลังจะบอกว่าพวกเราจะไปดูสถานที่น่าสนใจแห่งที่สาม– ห้องเก็บศพ นั่นเป็นที่ที่เจ้าหน้าที่ถูกพบเป็นศพและเป็นที่ที่ศพของเด็กชายหายไป พวกเราน่าจะพบข้อมูลที่มีประโยชน์ที่นั่น” เฉินเกอตบเบา ๆ บนหัวเจ้าแมวขาวและนำทางไปพร้อมกับถือค้อนเอาไว้ เขาเพิ่งเก็บวิญญาณสัมภเวสีในโรงพยาบาลได้แค่สองตนเท่านั้น ซึ่งทำให้เขาค่อนข้างผิดหวัง

“แต่ถ้าพวกเรายังไม่เจอวิธีแก้คำสาปที่ห้องเก็บศพ…” สีหน้าของมือกรรไกรเปลี่ยนไป– เขารักษาการแสดงของตัวเองเอาไว้ได้อย่างยากลำบากแล้ว

“ในเมื่อมันอาจจะอันตราย ผมแนะนำให้พวกเราติดต่อกันเข้าไว้และดูว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป” เฉินเกอบอกมือกรรไกร “ตอนนี้ผมอาศัยอยู่ที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ จิ่วเจียงตะวันตก ถ้าคุณมีปัญหาอะไร คุณก็ไปหาผมได้ พวกเราจะช่วยดูแลกันและกัน”

มือกรรไกรพยักหน้านิด ๆ เขาทวนที่อยู่ของเฉินเกอในใจ ฝังมันเอาไว้ในความทรงจำ

“เอาละ ไปดูกันตอนนี้แหละ” ทั้งกลุ่มกลับไปที่ชั้นแรกและเข้าไปในทางเดินหนีไฟซึ่งอยู่ทางปีกขวาของโรงพยาบาล ห้องเก็บศพนั้นอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ตอนที่เฉินเกอนำทั้งกลุ่มไปที่ทางเข้า จู่ ๆ เขาก็หยุด ล็อกที่น่าจะอยู่บนประตูนั้นหล่นอยู่บนพื้นแล้ว ประตูเหล็กก็ถูกเปิดแง้มเอาไว้ เหมือนมีบางอย่างเพิ่งเข้าไปในนั้นก่อนหน้านี้

“ประตูห้องเก็บศพมักจะปิดเอาไว้” หมอกระซิบกับเฉินเกอ “น่าจะมีบางอย่างอยู่ข้างใน ระวังด้วย”

“ได้ อยู่ใกล้ ๆ ผมเอาไว้” ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกสีเลือด เฉินเกอไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับผู้โดยสารของเขา ดังนั้นจึงให้พวกเขาตามมาใกล้ ๆ

ผลักเปิดประตูแล้วความเย็นก็ทะลักเข้าใส่พวกเขาจากทุกทิศทาง เฉินเกอมองและจดจำแผนผังของห้องเก็บศพเอาไว้ในใจ เขาพบว่าเขาอาจจะต้องปรับปรุงห้องเก็บศพของเขาในบ้านผีสิงในอนาคต

“พี่ชาย พวกเราต้องทำอะไรแบบนี้จริง ๆ น่ะเหรอ?” นี่เป็นครั้งแรกที่ชายขี้เมาได้เข้ามาในห้องเก็บศพของโรงพยาบาล เขาจับแขนของหมอเอาไว้แน่น

“พวกเราต้องไม่กลัวถ้าต้องการทำลายคำสาป” เฉินเกอครั้งหนึ่งเคยใช้เวลาทั้งคืนอยู่ในห้องเก็บศพใต้ดิน ดังนั้นนี่จึงไม่นับเป็นอะไรเลยสำหรับเขา เดินลึกเข้าไปในห้องเก็บศพคนเดียว เฉินเกอก็สังเกตเห็นร่อยรอยการต่อสู้เมื่อไม่นานมานี้ ชั้นเหล็กหลายชั้นที่น่าจะเป็นที่บรรจุศพนั้นถูกพลิกเปิดและผ้าขาวหลายผืนก็หล่นอยู่เกลื่อนพื้น

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน?” เฉินเกอพบว่าผ้าสีขาวหลายผืนนั้นมีรอยเลือดเปื้อนอยู่บนนั้น เขาวางผ้าหลายผืนนั้นตามแนวที่มันน่าจะเป็นและในที่สุดพวกเขาก็พบว่ารอยเลือดสีแดงนั้นเปื้อนเป็นแนวร่างของคนผู้หนึ่ง

“ดูเหมือนรูปร่างของเด็กอายุสักหกหรือเจ็ดขวบ” เฉินเกอมองรูปร่างนั่น “มันดูเหมือนว่าจะมีคนอุ้มเด็กขึ้นแล้วก็ทุ่มเขาใส่ผ้าขาวพวกนี้ และนั่นก็ทำให้เกิดรอยเลือดพวกนี้ทิ้งไว้ แต่ใครจะทำเรื่องแบบนั้นกัน? เด็กชายที่ฉันสงสัยว่าจะหนีมาจากโรงพยาบาลต้องสาปน่าจะเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุดในโรงพยาบาลเอกชนนี่แล้ว ต้นกำเนิดของเกมซ่อนหา แล้ว ใครจะมีพลังมากพอที่จะทำร้ายเขาแบบนี้?”

หลังจากมองหารายละเอียดมากขึ้น เฉินเกอก็พบรอยเท้าปริศนาเปื้อนเลือดบนผ้าสีขาวผืนอื่น มันเหมือนจะถูกทิ้งเอาไว้จากรองเท้าส้นสูงของผู้หญิงสักคู่หนึ่ง

“รองเท้าส้นสูงสีแดงเลิกตามมือกรรไกรเพราะว่าเธอเลี้ยวมาทางห้องเก็บศพแทน? เธอจัดการกับเด็กชายที่สิงอยู่ในโรงพยาบาลนี้ด้วยตัวเอง?” เฉินเกอสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบานหนึ่งที่ด้านหลังห้องเก็บศพนั้นแตกอยู่ และมีหลอดเลือดเหนียว ๆ พันอยู่รอบ ๆ กระจกที่แตก “พวกเขาออกไปทางนี้เหรอ?”

มองไปยังหน้าต่างที่แตกแล้ว เฉินเกอก็พบว่าเขาประมาทระดับพลังของรองเท้าส้นสูงสีแดงเกินไป การที่เธอสามารถจัดการกับเด็กชายได้อย่างง่ายดายหมายความว่าเธอน่าจะเป็นวิญญาณสีเลือดที่ทรงพลังท่ามกลางวิญญาณสีเลือดด้วยกัน

“โชคร้ายที่ฉันมาช้าเกินไป ฉันถึงได้พบแค่วิญญาณสัมภเวสีสองตนเท่านั้น หวังว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงจะไว้ชีวิตเด็กชาย ฉันยังหวังว่าจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับฉากระดับสี่ดาวจากปากของเขา”

 

 

 

TL note: โรคเรบีส์* เดิมก็คือโรคพิษสุนัขบ้า แต่เพราะว่าเป็นโรคที่ติดต่อระหว่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ไม่ใช่เพียงแค่สุนัข จึงมีการเปลี่ยนชื่อเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดนี้

 

“เสียงกรีดร้องจากโรงพยาบาล? แต่ประตูเหล็กล็อกเอาไว้ และหน้าต่างรอบ ๆ ยังติดเหล็กดัดกันขโมยเอาไว้ คนที่ด้านนอกเข้าไปไม่ได้หรอก” หมอนั้นกลัวว่าเฉินเกอจะตัดสินใจอะไรบ้า ๆ ลงไป ดังนั้นจึงก้าวเท้าออกไปแล้วพูด “พลังหยินมักจะรวมตัวกันในสถานที่อย่างโรงพยาบาล อย่างไรเสีย มันก็เป็นสถานที่ที่เกิดการตายอยู่ทุกวัน ผมแนะนำให้พวกเราอยู่ให้ไกลจากที่นี่”

“คุณมีเหตุผล” มองโรงพยาบาลแล้ว เฉินเกอก็นึกถึงฉากโรงพยาบาลระดับสี่ดาวในจิ่วเจียงตะวันออก และจากประสบการณ์ก่อนหน้าของเขาแล้ว โรงพยาบาลนั้นไม่ใช่สถานที่ที่มีชีวิตชีวาเลยจริง ๆ “งั้น พวกเราค่อยกลับมาทีหลัง พวกเราไปที่อื่นกันก่อน อันที่จริง ผมค่อนข้างสนใจหมาหน้ายิ้มนั่นนะ”

“นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเราควรไปที่นั่น! คุณไม่ได้ยินที่ผมพูดก่อนหน้านี้เหรอ? คุณคิดว่าผมพูดเล่นหรือไง? คุณไม่รู้หรอกว่าผมผ่านอะไรมาบ้าง!” ชายขี้เมาดิ้น และผลักเฉินเกอออกไป “ฟังผมนะ อย่าไปที่นั่น ถ้าไปเจอกับหมาหน้าคนนั่นมันก็สายเกินกว่าจะเสียใจแล้ว!”

“มันเป็นหมาที่มีใบหน้าแบบหน้าคนหรือว่าเป็นคนกันแน่? คุณอธิบายละเอียดกว่านี้ได้ไหมว่าเขาดูเป็นยังไง?”

เห็นได้ชัดเจนว่าเฉินเกอนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่ชายขี้เมาพยายามจะสื่อ และนี่ก็ทำให้ชายขี้เมากระทืบเท้ากับพื้นอย่างโกรธเกรี้ยว “แค่กลับไปที่รถเมล์ก็พอไหม ที่นี่ไม่ปลอดภัย ทุก ๆ ตึกที่นี่มีผีซ่อนอยู่ ผมไม่ได้โกหกคุณ!”

“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้โกหก” เฉินเกอกำลังจะพูดบางอย่างตอนที่มีเสียงลั่นขึ้นขัดจังหวะเขา มันเหมือนมีคนทำของบางอย่างตกพื้นใกล้ ๆ กับพวกเขา

“คนที่ในโรงพยาบาลเจอพวกเราแล้ว!” ชายขี้เมาสะดุ้งตัวโยนทันทีและหน้าอกของเขาก็กระเพื่อมอย่างรุนแรง– ปฏิกริยาของเขานั้นเทียบได้กับแมวบ้านที่ตกใจกลัว “พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ทันที!”

“ใจเย็น ยิ่งพวกเราอยู่ใกล้กับอันตรายเท่าไหร่ พวกเราก็ยิ่งต้องไม่ตื่นตระหนก” เฉินเกอเดินตรงไปยังแหล่งที่มาของเสียง หมอตามหลังเขาไปติด ๆ ชายขี้เมานั้นไม่กล้าพอที่จะอยู่ที่นั่นคนเดียว ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงตามไปพร้อมกับสีหน้าไม่ยินยอมนัก เดินฝ่าหมอกไป เฉินเกอก็ไปหยุดที่อีกฟากของโรงพยาบาล และเขาก็เห็นกรรไกรชุ่มเลือดเล่มหนึ่งนอนอยู่บนพื้น

“นี่ไม่ใช่อาวุธของชายคนนั้นเหรอ? ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” เฉินเกอมองขึ้นไปบนตึกด้วยดวงตาหยินหยาง แผ่นไม้กระดานของหน้าต่างบานหนึ่งที่ชั้นสามนั้นกำลังสั่น “เขาหลบอยู่ในโรงพยาบาลเหรอ? แต่ทำไมเขาถึงโยนกรรไกรทิ้งออกมาล่ะ? ไม่ใช่ว่านี่เป็นอาวุธของเขาเหรอ? ต่อให้จะขอความช่วยเหลือ มันก็ควรจะโยนอย่างอื่นออกมามากกว่าหรือเปล่า?”

เฉินเกองุนงงกับการกระทำของมือกรรไกร เขาเก็บกรรไกรเอาไว้ให้ตัวเองและกลับไปที่ประตูหน้าของโรงพยาบาล

“รีบไปก่อนที่มันจะสายเกินไปเถอะ ผมไม่อยากติดอยู่ที่นี่” ชายขี้เมาเบียดตัวเข้าไปที่หน้าประตู “ก่อนหน้านี้ ผมลืมบอกพวกคุณเกี่ยวกับผีอีกตนที่ผมเจอ กระทั่งบนถนนที่นี่ก็ไม่ปลอดภัย ตอนที่คุณข้ามแยก จะมีผีตนหนึ่งโบกมือให้คุณ มันจะตามคุณไป แล้วยังเลียนแบบใบหน้าของคุณ พอมันปรากฏตัวขึ้น คุณก็จะเห็นว่าคุณดูเป็นอย่างไรตอนที่ตายแล้ว”

ชายขี้เมาพยายามเกลี้ยกล่อมให้เฉินเกอเปลี่ยนใจ แต่มันก็ไม่ได้ผลเลยแถมเฉินเกอยังพยายามเขย่าประตูเหล็กของโรงพยาบาลด้วย

“เขากำลังทำอะไรน่ะ?” ชายขี้เมาแตะแขนหมอ

“บางที เขาอาจจะอยากดูว่าประตูเหล็กน่ะมั่นคงพอให้กักพวกผีเอาไว้ในโรงพยาบาลไหม” หมอเดาพร้อมกับยิ้มแหย เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เฉินเกอกำลังทำ

“เดี๋ยวนะ พวกคุณยังคิดว่าผมยังเมาอยู่ใช่ไหม? คุณคิดว่าสิ่งที่ผมเห็นก่อนหน้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของจินตนาการจากความเมาของผมใช่ไหม?” ชายขี้เมาคว้าไหล่หมอเอาไว้ด้วยสองมือ “ผมไม่ได้โกหกคุณ ผมสาบาน! เชื่อผมนะ! ผมพยายามช่วยคุณ! ทุกตึกที่นี่มันเป็นที่อยู่ของผีอย่างน้อยก็หนึ่งตนนะ!”

อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน เขาหันไปหาเฉินเกอและพยายามดึงเฉินเกอออกมา “อยู่ให้ห่างจากประตูนั่น! คุณจะถูกดึงเข้าไปถ้าอยู่ใกล้เกินไป!”

ชายขี้เมาเพิ่งพูดจบตอนที่เขาเห็นชายหนุ่มที่ดูราวกับพระอาทิตย์ดึงค้อนอันใหญ่หน้าตาน่ากลัวออกมาจากกระเป๋าสะพายหลัง ดวงตาสี่ข้างสบกัน และเปลือกตาของชายขี้เมาก็กระตุก

“คุณเล่าที่เหลือให้ผมฟังได้หลังจากที่พวกเราเข้าไปในนี้แล้ว” เฉินเกอยกค้อนขึ้นสูงแล้วกระแทกมันเข้ากับแม่กุญแจที่ล็อกเอาไว้

ปัง!

เพราะความหนาหนักของหมอกสีเลือด เสียงจึงไม่ก้องไปไกลนัก ทุบที่เดิมอีกสามครั้ง ในที่สุดเฉินเกอก็ทำลายล็อกได้ “อยู่ใกล้ ๆ ผมเอาไว้ ถ้าคุณอยู่ห่างเกินไป ผมก็ไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของคุณได้”

ตอนที่หมอได้ยินเฉินเกอพูดอย่างนั้น เขาก็เริ่มตามไปอย่างไม่ลังเล

“เฮ้! เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ทำไมคุณถึงแบกค้อนนั่นมาด้วยในเมื่อแค่จะขึ้นรถเมล์?” ชายขี้เมามือจับอยู่ที่ไหล่หมอ ”พวกคุณสองคนเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ?”

“เขาเคยสร้างเครื่องประกอบฉากให้กับสวนสนุก ดังนั้นมันก็ปกติแล้วที่เขาจะมีค้อนอยู่กับตัวไหม?” หมอพูดข้ออ้างที่เฉินเกอบอกเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้ให้ชายขี้เมาฟังเร็ว ๆ

“คนทำอุปกรณ์ประกอบฉาก?” ตอนที่ชายขี้เมาพยายามเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างค้อนกับสวนสนุก เฉินเกอและหมอก็เข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว “เฮ้ รอผมด้วย!”

ยืนอยู่ที่ประตูชั้นล่าง เฉินเกอก็เปิดเครื่องเล่นเทป ถือกระเป๋าทั้งสองใบไว้ในมือข้างหนึ่ง และถือค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกเอาไว้ในมืออีกข้าง ขอบคมของค้อนทำให้เกิดเสียงน่าขนลุกเมื่อมันถูกลากไปตามพื้นโรงพยาบาล เฉินเกอหรี่ตาเพื่อมองให้ชัดขณะจ้องไปตามทางเดินด้านซ้าย

“คุณเจออะไรไหม?” หมอดูเหมือนจะรู้ว่าที่นั่นอันตรายมากและพยายามติดหนึบกับเฉินเกอเอาไว้

“ไม่นานนี้มีคนเข้ามาในโรงพยาบาลนี่” เฉินเกอชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น “เพราะฝนตกหนักก่อนหน้านี้ ผู้โดยสารส่วนใหญ่บนรถเมล์ของเราล้วนตัวเปียก ดังนั้น รอยเท้าเหล่านี้น่าจะเป็นพวกเขาทิ้งเอาไว้ แล้วคุณดูที่ขนาดกับรูปร่างของรอยเท้าเหล่านี้สิ รอยใหญ่สี่รอยเล็กหนึ่ง ดังนั้น พวกเขาน่าจะเป็นครอบครัวสามคนกับคนบ้าที่เรียกตัวเองว่ามือกรรไกร”

การสังเกตของเฉินเกอนั้นถูกต้องและแม่นยำ “รอยเท้าทั้งหมดชี้ไปทางด้านซ้าย ดังนั้นพวกเขาก็น่าจะเข้าไปในทางเดินด้านซ้าย”

“พระเจ้า! คุณนี่สายตาดีสุดยอดไปเลย! คุณมองเห็นมันชัดเจนขนาดนั้นทั้งที่ในนี้มันมืดสนิทเลยนะ?” ชายขี้เมาตอนนี้ประทับใจในตัวเฉินเกอมาก

“ตามผมมา” เฉินเกอเข้าไปในทางเดินด้านซ้าย เขาวางเจ้าแมวขาวเอาไว้บนไหล่ และดึงเอาโทรศัพท์ของเขาออกมาเปิดใช้ไฟฉาย “มีห้องพักผู้ป่วยเรียงรายอยู่สองด้านของทางเดิน ประตูถูกแง้มเปิดเอาไว้ ดังนั้นผมสงสัยว่ามีบางอย่างออกมาจากในนั้นตอนไหนก็ได้ ระวังทุกอย่างเอาไว้นะ”

“พี่ชาย อย่าทำให้ผมกลัวสิ”

“ผมไม่ได้พยายามหลอกให้คุณกลัวผมแค่กำลังบอกความจริงคุณ” เฉินเกอก้มตัวลงไปอีก “มาดูรอยเท้าพวกนี้สิ ตอนต้นทางเดิน รอยเท้าพวกนี้มีระยะห่างสม่ำเสมอ แต่หลังจากผ่านห้องพักผู้ป่วยสามและสี่ รอยเท้าก็เริ่มทับซ้อนกันและยังดูวุ่นวาย นี่หมายความมีบางอย่างที่ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้นกับพวกเขาตอนที่พวกเขาผ่านห้องพักผู้ป่วยที่สามและสี่ พวกเขาน่าจะหยุดอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่ง”

“พูดอีกอย่างหนึ่ง คุณพยายามจะบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในห้องพักผู้ป่วยที่สามหรือสี่?” หมอจับความตั้งใจของเฉินเกอได้ในทันที

“มีความเป็นได้สูงมาก แต่นั่นก็ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้อื่นออกไป แค่ต้องระวังมากขึ้นตอนที่พวกคุณเดินผ่านห้องพักผู้ป่วยสองห้องนั้น” เฉินเกอมองไปยังประตูสองบานที่เปิดแง้มเอาไว้ ผ่านช่องว่างมืด ๆ นั่นให้ความรู้สึกเหมือนมีปิศาจน่ากลัวจะโผล่หัวออกมาเมื่อไหร่ก็ได้

“พยายามรักษาระยะให้แน่ใจว่าไม่ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง” เฉินเกอลากค้อนเดินไปตามทางเดิน ที่นี่นั้นเงียบอย่างน่ากลัว เมื่อพวกเขาผ่านห้องพักผู้ป่วยห้องแรกและห้องที่สอง  เฉินเกอก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรที่ผิดปกติ แต่ว่า ตอนที่พวกเขาเข้าใกล้ห้องพักผู้ป่วยห้องที่สาม เจ้าแมวขาวบนไหล่ของเขาร้องเหมียวและขดตัวหลบที่ด้านหลังคอเขา

แทบจะในเวลาเดียวกับที่เจ้าแมวขาวเตือนเขา เฉินเกอก็ยกค้อนในมือขึ้นและเหวี่ยงไปที่ประตูที่แง้มอยู่ของห้องพักผู้ป่วยสามอย่างไม่ลังเล ประตูเหวี่ยงอย่างแรงจากแรงกระแทกและกระแทกเข้ากับผนัง

ปัง!

มันเผยให้เห็นเงาร่างหนึ่งซึ่งเดิมซ่อนอยู่ด้านหลังประตู เงานั่นสวมชุดผู้ป่วยอยู่ เขามีผิวซีดเป็นสีเทา และภายใต้ผมด้านหน้าที่ยุ่งเหยิงนั้นเป็นดวงตานิ่งงันคู่หนึ่ง เขาตัวแข็งอยู่กับที่ถือประวัติผู้ป่วยของใครสักคนเอาไว้ในมือ ลายมือไก่เขี่ยบนนั้นอ่านได้ว่า ‘หาฉันให้เจอสิ’

“ทำไมถึงมาซ่อนอยู่ตรงนี้? พยายามจะเล่นเกมกับฉันใช่ไหม?” เฉินเกอเผยรอยยิ้มสนใจ เขากำลังต้องการเกมต่าง ๆ มาเพิ่มความสนุกของบ้านผีสิงของเขาเพื่อดึงดูดผู้เข้าชมมากขึ้น

ผู้ป่วยที่ด้านหลังประตูดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่าง เขาต้องการโยนประวัติผู้ป่วยที่ในมือทิ้ง แต่ว่าเฉินเกอไม่ให้โอกาสเขา เขาพุ่งเข้าไปในห้องและเพื่อป้องกันไม่ให้หมอและชายขี้เมาเห็นว่าเขากำลังจะทำอะไร เขายังปิดประตูลงหลังจากผ่านประตูเข้าไป

หมอและชายขี้เมาตัวแข็งทื่ออยู่ในทางเดินและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ความสนใจของพวกเขานั้นถูกเสียงดังลั่นตอนที่ค้อนกระแทกเข้ากับประตูดึงไป

“เขาไปไหนแล้ว?”

“ผมไม่รู้ ผมคิดว่าเขาถูกลากเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย?”

“คุณแน่ใจไหม? ทำไมมันดูเหมือนเขาพุ่งเข้าไปในนั้นด้วยตัวเองล่ะ?”

เสียงแทรกดังมาจากในห้องพักผู้ป่วย และสิบวินาทีให้หลัง เฉินเกอก็เดินออกมาจากห้องพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ ถือหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ

“โรงพยาบาลนี่อันตรายทีเดียว พวกคุณต้องระวังนะ” เฉินเกอเก็บหนังสือการ์ตูนลงไปและเดินลึกเข้าไปในทางเดินคนเดียว พึมพำบางอย่างที่ทั้งหมอและชายขี้เมาไม่เข้าใจ “งั้น ก็เกมเล่นซ่อนหา? น่าสนใจทีเดียว เอาละ ฉันรับการท้าทายของพวกแก ฉันจะหาพวกแกทั้งหมดให้เจอ!”

ทั้งกลุ่มหยุดเดินเมื่อมาถึงชั้นสอง พื้นที่ตรงหน้าห้องพักผู้ป่วยห้องแรกตรงที่พวกเขาเลี้ยวออกมาจากช่องบันไดนั้นมีเลือดสด ๆ สาดกระจายอยู่ กระทั่งสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมยังดูไม่นองเลือดขนาดนี้

หมอขมวดคิ้ว เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง และเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเมื่อมอง ชายขี้เมานั้นตรงกันข้าม เขายกมือปิดปากเพราะว่าเขาเริ่มขย้อนอากาศออกมา

“ผีที่ในโรงพยาบาลนี่แค่ชอบเล่นเกมเท่านั้น และพวกเขาปกติก็ไม่ทำร้ายผู้คน แล้วทำไมถึงมีเลือดอยู่ในทางเดินเยอะขนาดนี้?” เฉินเกอย่อตัวลงมองรอยเลือด เขาดูเหมือนกับหมอนิติเวชที่เปี่ยมประสบการณ์สักคนทีเดียว “รอยเลือดสาดดูไม่เป็นรูปแบบเดียวกัน และยังมีเลือดมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่มีทางสร้างสถานที่เกิดเหตุเช่นนี้ได้”

เฉินเกอใช้นิ้วก้อยแตะเลือด และเขาก็ยกขึ้นมาดมหลังจากถูปลายนิ้วดูแล้ว “นี่ไม่เหมือนกลิ่นเลือดคน”

ตอนที่เขาพูดอย่างนั้น หมอและชายขี้เมาที่ด้านหลังเขาผงะจากความกลัว ความคุ้นเคยกับเลือดคนแบบไหนกันที่ทำให้คนผู้หนึ่งสามารถแยกแยะได้ทันทีแบบนี้?

เฉินเกอลากค้อนเดินผ่านแอ่งเลือดไปอย่างเป็นธรรมชาติมาก ๆ “ไม่ต้องกลัว นี่น่าจะเป็นใครสักคนทำขึ้น ผมมักจะทำอะไรแบบนี้ในบ้านผีสิงเหมือนกัน”

มองแผ่นหลังของเขาแล้ว ชายขี้เมาและหมอก็เริ่มลังเลที่จะตามเขาไป

“มีรอยเท้าปะปนอยู่ในแอ่งเลือด และพวกมันก็ดูคล้ายกับรอยเท้าหนึ่งที่ทางเข้าโรงพยาบาล นี่หมายความว่าหนึ่งในผู้โดยสารจากรถเมล์เคยมาที่นี่มาก่อน” เฉินเกอมองไปยังรอยเท้าเลือดที่บนบันได และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสงสัย “มันเหมือนว่าเขาจงใจทิ้งรอยนี่เอาไว้ รอให้พวกเราตามรอยไปเจอเขา นี่จะมีกับดักรอพวกเราอยู่หรือเปล่าเพราะว่ารอยมันชัดขนาดนี้ หรืออาจจะเป็นบางคนสละรองเท้ามาวางกับดักพวกเรา?”

เฉินเกอนั้นใจเย็นมาก หลังจากให้ความเห็นแล้วเขาก็ตัดสินใจตามรอยเท้าขึ้นไปที่ชั้นสาม หลังจากรอยเท้าขึ้นไปที่ชั้นสาม พวกมันก็มุ่งหน้ายังห้องน้ำ รอยเท้านั้นมีแนวเดียว– เข้าไปแต่ไม่ได้กลับออกมา หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง คนโง่แค่ไหนก็บอกได้ว่าเจ้าของรอยเท้าน่าจะยังแอบอยู่ในห้องน้ำ

“นี่มันชัดเจนเกินไป ผมสงสัยว่านี่จะเป็นกับดักจริง ๆ พวกคุณสองคนควรจะรออยู่ที่ด้านนอกนี่” เฉินเกอกำค้อนแล้วเข้าไปในห้องน้ำชั้นสามคนเดียว เขากระแทกประตูห้องส้วมสองสามห้องแรกเปิด แต่ว่าในนั้นไม่มีอะไร

“รอยเท้าหายเข้าไปในห้องส้วมสุดท้าย และกรรไกรก็ร่วงลงไปจากห้องน้ำชั้นสาม” เฉินเกอนั้นตื่นตัวอย่างมาก เขาไม่ได้พังประตูห้องส้วมสุดท้ายเข้าไปแต่ว่าปีนขึ้นกำแพงห้องส้วมข้าง ๆ และแอบมองเข้าไปข้างใน

มือกรรไกร ที่เต็มไปด้วยเลือด กำกระเป๋าเก่า ๆ เอาไว้แน่น เขาล้มอยู่ในห้องส้วมสุดท้าย มือของเขากดแน่นอยู่กับปากและจมูก กลัวว่าจะส่งเสียงอะไรออกไป ชายตรงหน้าเฉินเกอนั้นต่างไปจากมือกรรไกรที่เขาพบบนรถเมล์

“ความกล้าหาญของชายคนนี้น้อยกว่าที่คิดเอาไว้ แต่เขากลับกล้ามาที่เมืองหลี่ว่านเพื่อพี่ชายของเขา ถ้าได้รับการฝึกฝนเพียงพอ เขาน่าจะใช้การได้ดีทีเดียว” ดวงตาเฉินเกอมีแววชื่นชมพาดผ่าน เขาถอยออกมาจากกำแพงช้า ๆ และออกจากห้องส้วมมา เขาไม่ได้รุกเข้าหามือกรรไกร แต่ว่าเคาะบนประตูห้องส้วมห้องสุดท้ายเบา ๆ “มีใครอยู่ในนี้ไหม? ผมเป็นผู้โดยสารจากรถเมล์ และผมเห็นกรรไกรเล่มหนึ่งหล่นลงไปจากหน้าต่างเมื่อกี้นี้ ดังนั้นจึงมาดูว่ามีใครอยู่ที่นี่ไหม”

ตอนที่เสียงคุ้น ๆ ดังเข้าไปในห้องส้วม สำหรับมือกรรไกรที่คิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว เสียงนั่นก็ราวกับแสงแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิ ขับไล่หมอกและละลายแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง

มีเสียงประหลาดดังมาจากในห้องส้วม และเฉินเกอก็รู้ว่ามือกรรไกรนั้นกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองและปรับ ‘ท่าทาง’ เขาไม่ขัดชายคนนั้น “คุณเป็นผู้โดยสารเหมือนกันใช่ไหม ผมขอโทษที่รบกวนคุณในเวลาแบบนี้”

เฉินเกอเดินถอยหลังไป ตั้งใจให้มือกรรไกรได้ยินว่าเขาถอยออกไปแล้ว ครู่ต่อมา ประตูก็ถูกผลักเปิด และน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ก็ดังมาจากข้างใน “แกหาฉันเจอแล้วเหรอ?”

มือกรรไกรชุ่มเลือดเดินออกมาจากห้องส้วม เขาสวมรอยยิ้มบ้าคลั่งเอาไว้บนใบหน้าไร้อารมณ์ เขายังคงพฤติกรรมแลบลิ้นเลียแผลที่บนแก้มถึงแม้ว่าแทบจะกดความเจ็บปวดที่มาจากแผลไว้ไม่ไหวแล้ว “พวกเราออกไปจากที่นี่กันดีกว่า มีสิ่งประหลาดมากมายอยู่ในโรงพยาบาลนี่ แกน่าจะเห็นเลือดที่สาดอยู่บนพื้นชั้นสองแล้วใช่ไหม? นั่นเป็นผลงานฉันเองตอนที่ฝ่าฝูงพวกผีที่ล้อมฉันเอาไว้เปิดทางโลหิตสายหนึ่ง”

ดวงตาของเขากลอกไปมาอย่างโกรธจัด สีหน้าของเขาน่ากลัว เฉินเกอมองมือกรรไกรตรงหน้า และเขาก็แทบจะโยงชายคนนี้เข้ากับดวงวิญญาณน้อย ๆ ที่อ่อนแอและสิ้นหวังที่เขาเห็นในห้องส้วมก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย

“หยุดจ้องตาฉันได้แล้ว มันอันตรายมาก” มือกรรไกรคว้ากระเป๋าด้วยมือหนึ่งแล้วหัวเราะเหี้ยมออกมา บางทีคงเพราะว่าเขานั่งยอง ๆ อยู่นานเกินไปที่ในห้องส้วมนั่น ขาของเขาอ่อนยวบราวกับเส้นหมี่ และมันก็ทำให้เขาเดินกะเผลก

“ผมเข้าใจ พวกเราออกไปจากที่นี่ดีกว่า” เฉินเกอไม่ได้เดินเข้าไปช่วยพยุงมือกรรไกร ‘ฆาตกร’ ล้วนเป็นหมาป่าเดียวดาย และหมาป่าเดียวดายย่อมไม่ต้องการความช่วยเหลือ “นี่ กรรไกรของคุณ ผมเจอมันอยู่ด้านนอกโรงพยาบาล”

รับอาวุธของตัวเองกลับไปแล้วสายตาของมือกรรไกรก็คมกริบยิ่งกว่าเดิม “ดีมาก หากไม่เพราะผีร้ายพวกนั้นทำให้ฉันเสียกรรไกรของฉันไประหว่างการต่อสู้สุดท้าย พวกมันก็คงได้เสียใจไปแล้วที่มาเจอฉันเข้า”

“เข้าใจแล้ว ผมเชื่อคุณ” เฉินเกอลากค้อนเดินออกไปจากห้องน้ำ มันเสียดสีกับพื้นเกิดเสียงที่ทำให้สันหลังเย็นวาบ “อันที่จริง พวกเราก็ไม่ได้ต่างกันนัก พวกเราทั้งคู่ล้วนมีอดีตที่ไม่ต้องการพูดถึง และผมเองก็มาที่นี่เพื่อตามหาคนสองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม”

 

 

 

 

แอบอยู่ในห้องกักกันของโรงพยาบาล อ่านบันทึกที่เต็มไปด้วยความสยองที่เหยื่อทิ้งเอาไว้ และความสยองขวัญที่เขียนไว้ในบันทึกก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทันทีที่ปิดบันทึกลง มือกรรไกรไม่สามารถเสแสร้งอีกต่อไปได้ เขาเชื่อว่าไม่ว่าใครก็คงเสียสติไปในสถานการณ์เช่นนี้

หน้าต่างเล็ก ๆ บนประตูนั้นเต็มไปด้วยใบหน้าซีดเผือดมากมาย และขนาดมองผ่านประตู มือกรรไกรยังเห็นสีหน้าของคนเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

“พวกเขาทุกคนกำลังมองฉันอยู่!” มือกรรไกรหายใจได้อย่างยากลำบาก มันเหมือนมีมือเย็นเฉียบคู่หนึ่งเอื้อมมาที่หน้าอกของเขาแล้วล้วงเข้าไปบีบปอดของเขาเอาไว้ เรี่ยวแรงทั้งหมดหายไปจากร่างของเขา และเขาก็พบว่ามันยากมากที่จะขยับตัวแม้แค่การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ

“เจอแกแล้ว” เสียงหลอน ๆ นั่นก้องอยู่ในหูเขามากขึ้น ขาของมือกรรไกรสั่นระริก ความสนใจทั้งหมดของเขาถูกดึงไปที่ด้านนอกช่องหน้าต่างเล็ก ๆ บนประตู จนมันต้องใช้เวลาเป็นนานกว่าเขาจะรู้สึกว่าเสียงที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากด้านนอกประตู ความกลัวแทรกเข้ามาในทุกเส้นประสาทของเขาอย่างฉับพลัน ดวงตาของมือกรรไกรแทบจะถลนออกมาจากเบ้า และเขาก็หันกลับไปมองข้างหลังตามสัญชาตญาณ

ที่นั่งอยู่ในตู้เสื้อผ้าที่เขาซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้านี้ก็คือชายคนหนึ่งในชุดผู้ป่วย ผู้ชายคนนั้นตัวไม่สูง เขาใส่เฝือกอยู่ที่ขาทั้งสองข้าง ดวงตาข้างซ้ายของเขาถูกดินสอแทงบอด จมูกหัก และนิ้วทั้งสิบซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ รอยเท้าของมือกรรไกรและเลือดที่หยดจากกรรไกรของเขานั้นปรากฏอยู่บนชุดผู้ป่วย เห็นได้ชัดเจนว่า ชายคนนี้ ‘ซ่อน’ อยู่ในตู้เสื้อผ้า

“เจอแกแล้ว” น้ำเสียงราวกับหุ่นยนต์และเฉยเมย ฟังเหมือนเป็นตุ๊กตาชักใยมากกว่าเป็นคน สีหน้าบนใบหน้าก็ไม่เป็นธรรมชาติมาก เขาดูมีความสุขและตื่นเต้นเหมือนเด็ก ๆ ที่ได้รับของเล่นใหม่มาเล่น

ผีอยู่ในตู้เสื้อผ้า คิดกลับไปถึงเวลาที่เขาใช้ไปในตู้เสื้อผ้าแล้วมือกรรไกรก็ขนลุก ‘ผู้ป่วย’ ที่เป็นคนเขียนบันทึกปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าเขา แต่ชายคนนั้นน่าจะตายไปนานแล้ว

มือกรรไกรยืนอยู่ระหว่างเจ้าของบันทึกและประตูห้องพักผู้ป่วย เขาติดอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้ว

“ใจเย็นไว้ อย่าตื่นตระหนก แกดูหนังสยองขวัญมามากกว่าสิบเรื่อง และยังเล่นเกมสยองขวัญมามากกว่าสิบเกมก่อนจะมาที่นี่ แกเตรียมการทุกอย่างที่สามารถทำได้แล้ว ดังนั้นมันจะต้องมีวิธีการแก้ไขปัญหานี้” สมองเขาหมุนเร็วจี๋ แต่เขาก็ไม่สามารถหาแรงบันดาลใจใด ๆ ได้จากทั้งหนังสยองขวัญหรือว่าเกม นี่ก็เป็นเพราะว่าไม่มีฉากอย่างนี้ในหนังพวกนั้น ฉากที่ตัวละครหลักถูกบังคับให้ต้องเลือกระหว่างผีตนหนึ่งกับผีทั้งกลุ่ม

เหงื่อเย็น ๆ บนหน้าผากเขาไหลกลิ้งลงมาเรื่อย ๆ หัวใจของเขาเต้นรัวไม่หยุด “มีผีตนหนึ่งอยู่ด้านหลังฉัน และยังมีผีอีกทั้งกลุ่มอยู่ตรงหน้า ปกติแล้วมันน่าจะปลอดภัยกว่าที่จะอยู่ในห้อง แต่ถ้าฉันไม่หนีออกไปจากห้องนี้มันก็เท่ากับเป็นการตายอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ สูญเสียอิสระของตัวเองไปจนกระทั่งอยากจะตายก็ตายไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด นั่นก็เป็นปลายทางของเจ้าของบันทึก ดวงตาของเขาถูกแทงจนบอด ขาของเขาหักจนรักษาไม่ได้ และในที่สุด เขาก็ทำได้แค่อยู่เล่นกับผีที่เหลือที่นี่ไปตลอดกาล”

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ของชะตากรรมที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขาตามที่บรรยายเอาไว้ในบันทึก มือกรรไกรก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ “ในเมื่อฉันยังเคลื่อนไหวได้ ฉันก็ต้องพยายามอย่างที่สุดที่จะหนี”

หน้าอกที่กระเพื่อมแรงของเขาค่อย ๆ กลับเป็นปกติช้า ๆ เขากลั้นหายใจแล้วหันไปมองช่องหน้าต่างที่บนประตู “ไม่มีทางเลือกแล้ว! ฉันต้องสู้กับพวกมัน! ฉันจะบุกขึ้นไปที่ชั้นสามแล้วกระโดดออกจากที่นี่ทางหน้าต่าง!”

มือกรรไกรรู้สึกเหมือนเขาได้เลือกวิธีการที่ดีที่สุดแล้วเมื่อคิดถึงตัวเลือกอันสิ้นหวังอื่น ๆ ที่เขามี เขากำกรรไกรแน่นและท่ามกลางการจับตามองของ ‘ผู้ป่วย’ จู่ ๆ เขาก็ร้องคำรามออกมาแล้วพุ่งไปทางประตู ตอนที่เขาลงมือ ก็มีบางอย่างเกิดขึ้นโดยบังเอิญ เสียงฝีเท้าดังมาจากอีกด้านของทางเดิน เสียงฝีเท้าดูเหมือนจะมาจากทางเดินหนีไฟที่ชั้นสอง และมันฟังดูไม่สม่ำเสมอเหมือนมีมากกว่าหนึ่งคนกำลังวิ่งลงมาตามทางเดิน

เสียงร้องออกมาอย่างกะทันหันของเขานั้นทำให้อีกฝ่ายที่กำลังวิ่งมาทางเขาตกใจกลัว ตอนที่เขาไปถึงประตูห้องพักผู้ป่วย มือกรรไกรก็ได้ยินเสียงของชายวัยกลางคนดังมาจากทางเดิน ห่างไปราว ๆ หกหรือเจ็ดเมตร “บ้าชะมัด! ที่นี่มีผี! กลับไป! ถอยกลับไป!”

ใบหน้ามนุษย์ที่บนช่องหน้าต่างหายลับไปทันที มือกรรไกรปล่อยวางความระแวดระวังของตัวเอง เขาพุ่งออกจากห้อง โบกกรรไกรของตัวเองไปมาอย่างบ้าคลั่งและพุ่งตรงไปยังชั้นสาม บนแขน ขา และไหล่ของเขา เขารู้สึกเหมือนมีมือมากมายยื่นออกมาจับตัวเขาเอาไว้ในเวลาเดียวกัน!

“ปล่อยฉัน!” เขาเล็งกรรไกรในมือไปยังกระเป๋าที่เขาถือเอาไว้ เขาแทงมันทะลุ และบางอย่างในกระเป๋าก็ถูกกรีดขาด ของเหลวสีแดงเข้มระเบิดออกจากข้างในนั้น เหมือนผู้ป่วยบ้าคลั่ง เขาสะบัดเลือดที่ด้านในกระเป๋าไปรอบ ๆ เปรอะไปทั่วร่างของเขาและพื้นที่รอบ ๆ ตัว

ตอนที่เขาอาบของเหลวนั่นทั่วร่าง เขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาอาจจะไม่ได้เสียสติไปจริง ๆ แต่ในด้านรูปลักษณ์แล้ว มือกรรไกรนั้นจัดการให้ ‘ผู้ป่วย’ ที่อยากจะเล่นซ่อนหาคนนั้นถอยไปได้

หลังจากสาดเลือดออกไปแล้ว มือกรรไกรก็ไม่ชะงักสักวินาทีและพุ่งตรงไปยังชั้นสาม แต่ว่า ตอนที่เขาไปถึงชั้นสาม บางอย่างที่สิ้นหวังยิ่งกว่ากำลังรอเขาอยู่ หน้าต่างบนชั้นสามนั้นไม่ได้ติดเหล็กดัดกันขโมยเอาไว้ แต่ว่าทั้งหมดล้วนถูกปิดไว้ด้วยแผ่นไม้กระดาน

มันต้องใช้เวลามากทีเดียวถึงจะเอาแผ่นไม้พวกนี้ออกได้ เวลาที่เหล่าปิศาจในโรงพยาบาลนี่ไม่มีให้มือกรรไกร “พอฉันหยุด ปิศาจพวกนั้นต้องมาทำร้ายฉันแน่ ๆ พวกมันต้องใช้ทุกวิถีทางให้ฉันต้องอยู่ที่นี่และเล่นเกมกับพวกมัน ถ้าฉันขัดขืน ฉันก็จะจบลงในสถานการณ์เดียวกันกับผู้ป่วยที่ตาบอดขาหักคนนั้น”

มือกรรไกรบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง เขามองไปที่ด้านหลังตัวเอง ไปตรงที่เขาสาดเลือดเอาไว้ โรงพยาบาลนี่ดูน่ากลัวมากกว่าตอนที่เขามาถึง แต่การตกแต่งใหม่ ๆ นี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเขาทำลงไป

“ฉันสงสัยว่าเลือดหมาดำนี่ใช้ได้หรือไม่ได้กันแน่? ก่อนหน้านี้ฉันเห็นคนในกระดานสนทนาถามหาความช่วยเหลือหลังจากถูกผีสิง เขายืนอยู่ในห้องน้ำ อัญเชิญวิญญาณผ่านทางกระจกเงาและมีผู้เชี่ยวชาญบางคนให้ความเห็นว่าเลือดหมาดำน่าจะให้ผลในการหยุดยั้งวิญญาณร้าย…”

แฉะ!

มีเสียงดังมาจากชั้นล่างที่ทำให้หัวใจของมือกรรไกรแทบจะแข็งตัว เขาหันไปที่บันไดและเห็นรอยเท้าปรากฏขึ้นบนแอ่งเลือดสุนัขดำที่ยังไม่แข็งตัว มีเพียงแค่รอยเท้า และไม่มีเจ้าของรอยเท้านั่น ดังนั้นจึงไม่ชัfเจนนักว่านั่นเป็นรอยเท้าของใคร

“โชคดีที่ฉันยังมีไพ่ตายอยู่อีก” มือกรรไกรพยายามปลอบตัวเอง เขาลากกระเป๋าวิ่งไปตามทางเดิน ลึกเข้าไปในโรงพยาบาล “หน้าต่างในห้องผู้ป่วยทั้งหมดถูกผนึกเอาไว้ แต่ฉันสงสัยว่าห้องเก็บของกับห้องน้ำจะเป็นอย่างไร พวกเขาอาจจะลืมที่แบบนั้นไปก็ได้”

มือกรรไกรคืบคลานเข้าไปในห้องน้ำด้วยความหวังสุดท้ายในหัวใจ เมื่อเขาเข้าไปในห้องน้ำแล้ว เขาก็ได้พบกับภาพประหลาด ประตูห้องส้วมทั้งห้าล้วนปิดอยู่ แต่สี่ห้องนั้นดูเหมือนจะมีคนใช้งาน!

เลิกเล่นกับฉันได้แล้ว! มือกรรไกรกรีดร้องอยู่ในใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าต่างในห้องน้ำ และประกายความหวังใหม่อย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจเขา หน้าต่างในห้องน้ำนั้นไม่ได้ถูกปิดเอาไว้โดยสมบูรณ์ น่าจะมีบางคนเคยพยายามหนีออกไปจากที่นี่มาก่อน และพวกเขาก็ดึงแผ่นไม้กระดานสองแผ่นลงมาแล้ว “หลังจากแกะไม้กระดานอีกแผ่นหนึ่งก็จะมีช่องว่างใหญ่พอให้ฉันลอดออกไปได้!”

เขาวิ่งไปยังหน้าต่าง วางแผนจะใช้กรรไกรใหญ่ในมืองัดไม้กระดานออก แต่ผีที่ในโรงพยาบาลดูเหมือนว่าตั้งใจจะเล่นสนุกกับเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งมาจากทางเดิน– พวกมันมาถึงเร็วมาก

“ฉันต้องเร็วกว่านี้!” ทุก ๆ วินาทีนั้นมีความหมาย มือกรรไกรใช้เรี่ยวแรงทุกหยาดหยดในการงัด เขาตั้งสมาธิอยู่กับหน้าต่าง ดังนั้นจึงไม่ได้คิดว่าประตูห้องส้วมห้องหนึ่งจะถูกเปิดออกในไม่กี่วินาที เสียงกระแทกปังทำให้หัวใจและร่างกายของเขาสั่น นิ้วของเขาอ่อนแรงลงและกรรไกรใหญ่ที่อยู่ระหว่างแผ่นไม้และหน้าต่างก็หลุดมือและไหลผ่านหน้าต่างออกไป!

“บ้าชะมัด!” อาวุธเดียวของเขาตกลงไปด้านนอกโรงพยาบาลแล้ว มือกรรไกร่นิ่งอึ้งอยู่ตรงที่เดิมเกือบวินาทีหนึ่ง จากนั้นเขาก็คว้ากระเป๋าแล้วพรวดเข้าไปในห้องส้วมเดียวที่ไม่ถูกล็อกเอาไว้ เขาอยากจะทุบหน้าอกตัวเอง แต่เมื่อคิดถึงว่าเสียงอาจจะดึงดูดความสนใจจากผี เขาก็กลั้นเอาไว้

“มันจบแล้ว! กรรไกรออกไปจากที่นี่ได้แล้ว แต่ว่าฉันยังอยู่ข้างใน! ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ ฉันจะไม่เรียกตัวเองด้วยชื่อนี่!”

เขากัดฟัน กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างตึงเขม็ง มือกรรไกรปิดปากและจมูกของตัวเองไว้ กลัวว่าจะหายใจเสียงดังเกินไป

เขาสวดภาวนาอยู่ในใจอย่างบ้าคลั่ง ได้โปรดอย่าเจอตัวฉันเลย ได้โปรดอย่าได้เจอฉัน!

แต่ว่า ตอนที่เขามองลงไป ความสิ้นหวังในใจเขาก็เพิ่มพูนขึ้น ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาสาดทางเดินด้วยเลือดหมาดำ มันก็สาดลงที่ตัวเขาเช่นกัน ดังนั้น เขาจึงทิ้งรอยเท้าเลือดเอาไว้ในทุกย่างก้าว ร่องรอยของเขานั้นถูกเปิดเผยออกทั้งหมดเลย ตราบใดที่ผีพวกนั้นไม่ได้ตาบอด พวกมันย่อมหาเขาเจอ

“นี่ต่างไปจากที่ฉันคาดเอาไว้หมดเลย! ฉันทำอะไรผิดไปกัน?” ใบหน้าของเขาขาวซีด มือกรรไกรยอมแพ้แล้ว ตอนนี้เขาแค่กำลังรอให้ความตายมาถึง “โชคไม่ดี ฉันยังหาพี่ชายไม่เจอ…”

เขาซ่อนอยู่ในห้องส้วมหลายนาที แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่มีใครมาหาเข้า

“พวกมันก็หาฉันไม่เจอเหรอ? แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ รอยเท้าที่ฉันทิ้งเอาไว้น่ะมันชี้บอกว่าฉันกำลังแอบอยู่ในห้องน้ำชัด ๆ ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังรู้ว่าฉันแอบอยู่ที่นี่” มือกรรไกรขยับตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เขาต้องการเปิดประตู แต่ตอนที่นิ้วของเขาแตะลงที่ประตูห้องส้วม เขาก็ชักมือกลับทันที “ไม่ รอก่อน พวกมันน่าจะอยู่ที่ด้านนอกประตูแล้ว! พอฉันเปิดประตู ใบหน้ามากมายพวกนั้นอาจจะกำลังเบียดกันอยู่ พวกมันแค่กำลังรอให้ฉันยอมแพ้แล้วเปิดประตู

“ใช่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ ฉันออกไปไม่ได้ ฉันต้องรออยู่ที่นี่ ถ้านั่นจะทำให้ฉันมีเวลาอีกสักวินาทีก็เอาอย่างนั้นแหละ!” มือกรรไกรอยู่ท่าเดิมเอาไว้อย่างสุดความสามารถไม่กล้าขยับแม้แต่ศีรษะตัวเอง “ตราบใดที่ฉันไม่เห็นพวกมัน พวกมันก็ไม่มีจริง”

คราบเลือดสุนัขดำยังอยู่บนร่างของเขา แต่มือกรรไกร กำกระเป๋าใบเก่าเอาไว้ด้วยสองมืออย่างไม่รู้สึกสกปรกหรือว่ารังเกียจ “ห้องน้ำนี่ก็แค่ฉากพื้น ๆ ในหนังสยองขวัญทุกเรื่อง มันเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก แต่ไหนลองคิดซะว่า มีตัวละครไหนบ้างที่หนีออกจากห้องน้ำได้?”

เขานึกถึงหนังเรื่องต่าง ๆ ในใจอยู่เป็นนาน แต่ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งกลัว ห้องน้ำในหนังสยองขวัญนั้นเป็นสถานที่แห่งความตายโดยแท้ เขานึกวิธีการหนีออกไปไม่ออกเลย กลับกัน เขากลับนึกถึงฉากสยองขวัญหลาย ๆ ฉากในห้องน้ำจากหนังสยองขวัญดัง ๆ หลายเรื่องได้

“ประตูห้องส้วมติด ๆ กันนี่ล็อกเอาไว้หมดเลย นั่นหมายความว่ามีคนอยู่ในนั้นแน่ ๆ! บ้าชะมัด นั่นเหมือนในหนังสือเรื่องหนึ่งที่ฉันเคยดูเลย ในห้องน้ำตอนกลางคืน มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาในห้องส้วมแล้วถามว่าฉันอยากได้กระดาษทิชชูสีน้ำเงินหรือว่าสีแดง”

เหงื่อเย็น ๆ ไหลมาตามใบหน้าของเขา เขากำลังอยู่ในฉากแบบเดียวกับในหนังสยองขวัญ และเนื้อเรื่องที่เขากำลังนึกถึงนั้นก็สามารถเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้!

“ฉันจะทำยังไงถ้ามีมือเอื้อมเข้ามาในนี้แล้วถามว่าฉันอยากได้กระดาษทิชชูแบบไหน? บอกเขาว่าฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าผู้ชาย แล้วก็แค่ต้องนั่งฉี่ ดังนั้นฉันก็เลยไม่ต้องการกระดาษทิชชูอะไรทั้งนั้น? แต่ว่าผีจะเชื่อเหตุผลโง่ ๆ แบบนั้นเหรอ?”

ปัง!

ประตูห้องน้ำถูกกระแทกเปิดอีกครั้ง และเสียงก็ดังกว่าครั้งก่อนหน้า มันเหมือนมีบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าเข้ามาในห้องน้ำนี่ มือกรรไกรจู่ ๆ ก็หยุดคิดวุ่นวาย เขาหุบปากสนิทและก็ตัวสั่นอย่างกระวนกระวาย

ปัง!

ประตูห้องส้วมห้องแรกถูกกระแทกเปิดด้วยกำลังแรง และหัวใจของมือกรรไกรก็ขมวดเกร็งจากเสียงกระแทกนั่น  มันกำลังตรวจดูห้องส้วมทีละห้อง ได้โปรดอย่ามาถึงที่นี่เลย ได้โปรดอย่ามา!

เป็นธรรมดา สิ่งต่าง ๆ ล้วนไม่เป็นไปอย่างที่เขาหวัง ประตูห้องส้วมห้องก่อนหน้าล้วนถูกเปิดออกทีละห้อง ในที่สุด เสียงฝีเท้าก็มาหยุดอยู่ตรงนอกห้องส้วมที่เขาอยู่ พระเจ้า คราวนี้มันจบแล้วจริง ๆ

เสียงกรีดร้องลอยขึ้นมาจากชั้นล่าง และหมอก็หยุดเดิน เขาบอกเฉินเกอที่อยู่ด้านหน้า “ที่นี่ดูไม่ถูกต้อง ทำไมพวกเราไม่กลับลงไป? มันจะปลอดภัยกว่าถ้าพวกเราจะอยู่ด้วยกันเอาไว้”

“อยู่กับพวกเขาน่ะสิที่จะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น อย่าลืมว่าชายหน้ายิ้มนั่นยังอยู่ด้านล่าง บางทีมันอาจจะเป็นเขาก็ได้ที่ลงมือทำร้ายผู้โดยสารคนอื่น ๆ” เฉินเกอนั้นขึ้นมาถึงชั้นบนสุด และภายใต้สายตาสั่นไหวของหมอ เขาก็ดึงค้อนออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังและพังประตูขึ้นดาดฟ้าทิ้ง

“คุณ… ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับที่นี่มาก คุณเคยมาที่นี่มาก่อนไหม?” หมอถามอย่างระมัดระวัง

“ผมมีลูกจ้างคนหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองหลี่ว่าน ดังนั้นก็เลยเคยมาที่นี่ ถึงแม้ว่าหมอกเลือดจากปกคลุมเมืองอยู่ แต่โครงสร้างทั่วไปของตึกก็ไม่ได้เปลี่ยน” เฉินเกอขึ้นไปชั้นดาดฟ้า

“ลูกจ้างของคุณ?”

“ใช่ ผมเป็นคนทำอุปกรณ์ประกอบฉากที่สวนสนุก ค้อนนี่ก็เป็นหนึ่งในผลงานสร้างของผม มันดูน่ากลัว แต่ว่ามันก็ดูดีกว่าชิ้นอื่น ๆ” เฉินเกอเดินตรงไปยังถังน้ำ เขาเปิดถังทั้งหมดและก็หาร่างของผีโทรศัพท์ไม่เจอ “พวกเรายังอยู่ในโลกจริง”

‘ประตู’ นั้นหลุดออกจากการควบคุม และหมอกเลือดที่ด้านหลังประตูก็ลอยออกมาแล้วกลืนกินเมืองเล็ก ๆ นี่ไปอย่างช้า ๆ บางทีหลังจากระยะเวลาหนึ่ง เมืองหลี่ว่านก็จะถูกครอบงำไปโดยสมบูรณ์และเปลี่ยนไปโดยหมอกสีเลือดนี่ กลายเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างโลกจริงและโลกด้านหลังประตู

“คุณกำลังมองหาอะไร?” หมอเดินตรงเข้ามาหาเขา

“ผมแค่อยากตรวจดูว่าจะมีสัญญาณอันตรายอะไรรอบตัวพวกเราหรือเปล่า แต่ว่าหมอกหนาเกินกว่าที่ผมจะมองเห็นอะไร” เฉินเกอหาข้ออ้างมั่ว ๆ “กลับลงไปกันเถอะ”

กลับมาที่ชั้นล่างแล้ว รถเมล์ก็ยังอยู่ตรงที่เดิม แต่ไม่มีผู้โดยสารคนอื่น ๆ ให้เห็นเลย

“น่าจะเกิดบางอย่างขึ้นที่ในตึก แต่ว่าพวกเราโชคดีพอที่จะไม่เจอกับมันเข้า” หัวใจของหมอยังคงสั่นระริก เขายืนอยู่ข้าง ๆ เฉินเกอ และหลังจากลังเลครู่หนึ่ง เขาก็เปิดปากพูด “อันที่จริง ผมเคยมาที่นี่มาก่อน หมอกสีเลือด…”

“พวกเราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ผมคิดว่าผมได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากทางนั้น” ด้วยประสาทสัมผัสที่ดีขึ้นของเขา เฉินเกอคว้ากระเป๋าสองใบวิ่งไปตามถนน

“เฮ้ ระวังด้วย!” คำแนะนำของหมอนั้นไม่เข้าหู ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ หมอก็เลือกตามหลังเฉินเกอไป วิ่งไปตามถนน เฉินเกอเจอเข้ากับเงาราง ๆ ที่โบกมือให้เขาจากตรงแยกหนึ่ง แต่ว่าเงานั่นดูจะหันหน้าหนีเขา

“ในที่สุดก็เจอคนที่นี่แล้ว” เขาวิ่งเร็วขึ้น แต่ว่าเงาโบกมือนั่นก็หายเข้าไปในหมอกอย่างช้า ๆ เฉินเกอไม่ยอมปล่อยให้ ‘คน’ ผู้นั้นหนีไปโดยง่าย เขาไล่ตามมันไประยะหนึ่งก่อนที่ในที่สุดจะหยุดเท้าลงตอนที่ผ่านโรงพยาบาล

“ทำไมถึงมีคนนอกอยู่ตรงนั้น?” เฉินเกอเจอเข้ากับชายขี้เมาที่กำลังตัวกระตุกรุนแรงอยู่ที่ด้านนอกโรงพยาบาล ที่ปากมีน้ำลายเป็นฟองฟ่อด มันดูเหมือนเขากำลังจะจากโลกนี้ไปในไม่ช้า

“ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับความตกใจอย่างรุนแรง” หมอส่ายหน้า “ผมเป็นหมอแต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ด้านที่ผมเชี่ยวชาญ ผมจะพยายามแต่ก็ขึ้นกับโชคของเขาแล้วว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่”

“ถือนี่ไว้” เฉินเกอส่งกระเป๋าให้หมอ “ผมมีประสบการณ์กับเรื่องนี้มากกว่า”

เขาคลายคอเสื้อชายขี้เมาและคลายเข็มขัดออก เขาดันศีรษะของชายขี้เมาให้นอนลงไปกับพื้น จากนั้นก็นวดขมับของชายขี้เมาด้วยจังหวะคงที่ และจากนั้นก็ตามมาด้วยการกดที่หน้าอกเป็นจังหวะ เป็นวิธีการกู้ชีพที่ไม่มีจุดบกพร่อง มันเป็นมาตรฐานราวกับลอกมาจากในตำราโดยตรง*

สามนาทีให้หลัง ชายขี้เมาก็ฟื้นขึ้นช้า ๆ เขาไม่ได้กรีดร้องตอนที่ใบหน้าของเฉินเกอเข้ามาอยู่ในสายตาเขา แต่หลังจากรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เขาก็เริ่มกระวนกระวาย เขาชี้ไปทางหนึ่งแล้วพูด “อย่าเข้าไปในบ้านหลังนั้น มีหมาที่มีหน้าคนยิ้มอยู่ที่นี่– มันเป็นคำสาปเลือด”

“ไม่ต้องห่วง ให้ผมส่งคุณกลับไปที่รถเมล์นะ”

เฉินเกอต้องการพยุงชายขี้เมาขึ้น แต่ว่าชายคนนั้นกลับยื่นมือออกมาจับเฉินเกอเอาไว้ “พวกเรากลับไปไม่ได้! มีผีกลุ่มหนึ่งอยู่ในตึกนั่นและยังมีผีแขวนคออยู่ที่ช่องบันได! พวกเรากลับไปไม่ได้!”

“มีผีอยู่ที่นี่มากมายเลยหรือ?”

“ใช่! ผมไม่โกหกคุณ! ตอนนี้ผมสงสัยว่าที่นี่อย่างน้อยต้องมีหนึ่งเรื่องผีซ่อนอยู่ในตึกแต่ละหลัง หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ที่นี่อย่างน้อยที่สุดก็มีผีหนึ่งตัวต่อตึกหลังหนึ่ง!” ร่างของชายขี้เมาสั่น

“ผีหนึ่งตนในตึกหนึ่งหลัง? นั่นไม่หมายความว่าแต่ละตึกนั้นกลายเป็นฉากสยองขวัญฉากหนึ่งเหรอ?” ดวงตาเฉินเกอสว่างวาบ เขากวาดตามองตึกที่รอบ ๆ ตัว และสีหน้าก็ต่างออกไปจากตอนที่เขามาถึงที่นี่ทีแรก

“ผมคิดว่าคุณจะพูดอย่างนั้นก็ได้” ชายขี้เมาไม่รู้ว่าเฉินเกอกำลังคิดอะไรอยู่ “อ้อ และโรงพยาบาลที่ข้าง ๆ พวกเรานี่ อย่าเข้าไปในนั้น ผมได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากในนั้นก่อนหน้านี้!”

 

 

 

 

TL note: การกู้ชีพเป็นวิธีที่ถูกต้องตามบริบทของนิยายเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่จะนำมาใช้ในชีวิตจริง

“อยากให้ฉันหาตัวแกงั้นเหรอ? แกเสียสติไปแล้วหรือเปล่า?” ลายมือหวัด ๆ ที่ด้านหลังประวัติการรักษาทำให้เขารู้สึกถึงอะไรอย่างนั้น ตอนนี้เขาอยู่ที่ชั้นแรกของโรงพยาบาล ยืนอยู่ที่กลางทางเดิน

ถึงแม้ว่าลมจะหยุดพัดแล้ว ประตูที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ก็ยังขยับไปมาเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด ฝุ่นผงมากมายร่วงลงมาจากเพดานเก่าโทรม และบางครั้งยังมีเสียงกระดาษปัดผ่านพื้นดังเข้ามาในหูเขาด้วย ยืนอยู่คนเดียวในสถานการณ์เช่นนี้หลังเที่ยงคืน มันคงเป็นการโกหกแล้วหากจะบอกว่าไม่รู้สึกกลัว

มือกรรไกรกำกรรไกรในมือแน่น และเขาก็ยังคับให้ตัวเองดูนิ่งเฉยเท่าที่จะทำได้ “มีคนแปะกระดาษนี่ไว้บนหลังของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

มือกรรไกรหันกลับไปมองห้องพักผู้ป่วยสองสามห้องที่เขาเพิ่งผ่านมา “คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องตลกนี่น่าจะมาจากหนึ่งในห้องที่ฉันเพิ่งเดินผ่านมา”

เขากลัวมาก แต่ความกลัวยังไม่ได้เข้ามาควบคุมความคิดอันเป็นเหตุเป็นผลหรือจิตใจของเขา เขาเตือนตัวเองว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในบทบาทของฆาตกรบ้าคลั่งเลือดเย็นและเขาก็ต้องรักษาความเยือกเย็นของตัวเองเอาไว้ไม่ว่าจะอย่างไร

ถ้าฉันดูอ่อนแอ ฉันก็จะยิ่งถูกพวกผีรังแก ดังนั้นฉันจึงดูอ่อนแอไม่ได้ ฉันแสดงความหวาดกลัวออกไปไม่ได้ 

เขาพับกระดาษประวัติการรักษาอย่างเรียบร้อยแล้วเก็บมันลงไปในกระเป๋า มือกรรไกรผลักเปิดประตูที่ใกล้เขาที่สุดที่เปิดไว้ครึ่ง ๆ อย่างระมัดระวัง ในห้อง ผ้าปูเตียงนั้นขาดเป็นชิ้น ๆ และที่นอนก็ถูกพลิกไว้ที่ด้านข้าง มันเหมือนกับเตียงนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องของสัตว์ร้ายสักตัวที่ต้องขังเอาไว้

“นี่มันโรงพยาบาลหรือว่าสถาบันจิตเวชกันแน่?” มือกรรไกรไม่ได้เข้าไปในห้องผู้ป่วยและเพียงแค่มองมันจากตรงธรณีประตูเท่านั้น เตียงนั้นไม่ใหญ่ และมีพื้นที่ซ่อนตัวใครสักคนเอาไว้ได้เพียงแค่ใต้เตียงหรือในตู้เสื้อผ้าเท่านั้น

“คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องตลกนี่ไม่ได้อยู่ที่นี่” เขามองเห็นพื้นที่ใต้เตียงได้อย่างชัดเจนและประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิดอยู่ ข้างในนั้นว่างเปล่า– ของทั้งหมดล้วนถูกนำออกไปแล้ว “เขาน่าจะอยู่ในห้องพักผู้ป่วยห้องอื่น”

ข้างในนั้น หัวใจของเขากำลังสั่นไหวราวกับเป็นใบไม้ใบหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้แสดงออกมาที่สีหน้าของเขา มือกรรไกรถอยออกจากห้องไปด้วยแขนขาที่แข็งทื่ออย่างไม่เป็นธรรมชาติและขยับไปยังห้องผู้ป่วยห้องอื่น

“ห้องนี้ก็ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ที่นี่เหมือนกัน…” มือกรรไกรขยับอย่างรวดเร็วผ่านหลายห้องไปจนกระทั่งเขาไปถึงห้องผู้ป่วยที่อยู่ใกล้กับทางเข้าโรงพยาบาลที่สุด

“หลังจากฉันเข้ามาในโรงพยาบาล ฉันก็เดินตรงเข้าไปในทางเดิน ฉันผ่านห้องผู้ป่วยแค่ไม่กี่ห้องเท่านั้นในตอนนั้น ในเมื่อห้องพักผู้ป่วยอื่น ๆ ล้วนว่างเปล่า อย่างนั้นเขาก็น่าจะซ่อนอยู่ในห้องสุดท้ายนี้” มือที่กำกรรไกรเอาไว้นั้นมีเหงื่อไหลพรั่งพรูขณะที่เขาผลักประตูห้องพักผู้ป่วยให้เปิดออกช้า ๆ กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงลอยออกมาจากด้านในห้อง เป็นกลิ่นเลือดและน้ำยาฆ่าเชื้อปะปนกันอยู่

“มีคนตายที่นี่มาก่อน?” ภาพด้านในห้องนั้นทำให้เขาต้องส่ายหน้า ผ้าปูที่นอนเปื้อนเลือดนั้นถูกยัดเอาไว้ใต้เตียงอย่างรีบร้อน และจากหน้าต่างที่ติดเหล็กดัดกันขโมยเอาไว้ก็มีชุดผู้ป่วยที่เต็มไปด้วยรอยฉีกขาดมากมายแขวนเอาไว้ วิกผมยาววางอยู่ในตู้เสื้อผ้า และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ บนกำแพงสีขาวสว่างนั้นมีบางคนหรือบางอย่างใช้เลือดสด ๆ เขียนเอาไว้ ‘เดาสิว่าฉันอยู่ที่ไหน?’

หลังจากเทียบลายมือแล้ว เขาก็พบว่าคนที่เขียนข้อความเลือดบนกำแพงและคนที่เขียนข้อความลงบนหลังประวัติการรักษานั้นต่างกัน การค้นพบครั้งนี้ทำให้มือกรรไกรรู้สึกไม่ดีขึ้นกว่าเดิม “มีมากกว่าหนึ่ง ‘คน’ กำลังเล่นซ่อนหาอยู่ในโรงพยาบาลนี่?”

ความอยากหันหลังกลับวิ่งหนีออกไปพุ่งขึ้นมาทันที เขาถอยออกจากห้องพักผู้ป่วย วางแผนจะออกจากโรงพยาบาลแล้วอยู่ให้ห่างจากมันสักพัก “ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ทฤษฎีนั้นเป็นความจริง แต่มันต่างออกไปเวลาจะเอามาใช้จริง”

กลับไปที่ทางเข้าโรงพยาบาล สีหน้าของมือกรรไกรก็เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ มีคนล็อกประตูใหญ่ของโรงพยาบาลโดยที่เขาไม่รู้ตัว!

“ตอนนี้ฉันควรทำอย่างไร?” มือกรรไกรเริ่มตื่นตระหนกจากความจนปัญญา เขากัดริมฝีปากและฉีกเปิดแผลที่บนใบหน้าตัวเอง ความเจ็บทำให้เขามีสมาธิและสงบลง “ฉันควรจะมองหาหน้าต่างสักบานที่เปิดได้”

ตอนที่เขาเข้าไปตรวจดูห้องพักผู้ป่วยบนชั้นแรกเมื่อครู่นี้ เขาแน่ใจว่าหน้าต่างทั้งหมดล้วนติดเหล็กดัดกันขโมยเอาไว้ ดังนั้นคงได้แต่ฝากความหวังเอาไว้ที่ชั้นสองแล้ว “ฉันฝึกตั้งมากก็เพื่อวันนี้ อาการบาดเจ็บจากการกระโดดลงมาจากชั้นสองน่าจะไม่รุนแรง แต่ว่าฉันคงพูดไม่ได้ว่ามันจะเป็นอย่างเดียวกันหากต้องกระโดดลงมาจากชั้นสาม ความเสี่ยงสูงเกินไป”

มือกรรไกรหิ้วถุงเอาไว้ กระโจนขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง

ตอนนี้ เขาล้มเลิกความคิดที่จะเล่นซ่อนหาไปแล้ว แล้วก็ การเล่นเกมกับผีมันไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลย เขากระโจนขึ้นบันไดทีละสามขั้น ตอนที่เลี้ยวหัวมุมบันได เขาก็เห็นเท้าสีเทาคู่หนึ่งจากปลายหางตา เท้าคู่นั้นอยู่เหนือหัวเขาไปเล็กน้อย สัญชาตญาณของเขาบอกให้เงยหน้าขึ้นมอง และขาสีเทาซีดคู่หนึ่งก็โผล่เข้ามาในสายตาเขา แต่เมื่อเขามองขึ้นไปอีก สิ่งนั้นก็หายไปแล้ว

“บ้าอะไรกันน่ะ?” ‘เรื่องประหลาดใจ’ ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นทำให้ขาของมือกรรไกรอ่อนยวบลง เขาไม่คิดว่าสิ่งนั้นจะอยู่ใกล้กับเขาถึงขนาดนี้ อันที่จริง ระหว่างพวกเขานั้นห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น “เขาอยู่ตรงนั้นแล้ว บางที เขาอาจจะกำลังจับตามองฉันจากมุมมืดนั่น!”

มือกรรไกรหยุดอยู่ที่กลางบันได ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นไปต่อดีหรือไม่ ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างโชคดี สิ่งนั้นกำลังรอเขาอยู่ที่ชั้นบนจริง ๆ

“หน้าต่างทั้งหมดในห้องพักผู้ป่วยบนชั้นแรกนั้นถูกล็อกเอาไว้ด้านหลังเหล็กดัดกันขโมย ไม่มีทางที่ฉันจะสามารถหนีออกไปทางนั้นได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะออกไปจากสถานที่ต้องสาปอย่างนี้ผ่านทางหน้าต่างได้ก็ต้องเป็นที่ชั้นสอง”

เมื่อตัดตัวเลือกอื่นแล้ว มือกรรไกรก็บังคับตัวเองให้เดินขึ้นบันไดไป

กรุณาอย่าโผล่ออกมาอีกเลย

เขาสวดภาวนากับตัวเองเงียบ ๆ มือกรรไกรวิ่งเหยาะ ๆ ไปยังห้องพักผู้ป่วยห้องแรกทางซ้ายมือของตัวเอง เขาผลักประตูเปิดพร้อมความหวังในหัวใจแต่ความหวังนั้นก็หายวับไปเมื่อเขามองไปทางหน้าต่าง เศษผ้ารุ่งริ่งติดอยู่ในระหว่างเหล็กดัดกันขโมย

“กระทั่งหน้าต่างที่ชั้นสองก็ยังติดเหล็กดัดด้วยเหรอ?”

ริมฝีปากของเขาแห้ง หัวใจของมือกรรไกรนั้นค่อย ๆ สิ้นหวังไปอย่างช้า ๆ เขาเดินไปยังหน้าต่างและเอื้อมมือออกไปเขย่าเหล็กดัดแรง ๆ เหล็กดัดโลหะบาดเข้าที่นิ้วของเขา และความเจ็บปวดจากแผลนั้นก็ช่างเหมือนจริงอย่างยิ่ง แต่หมอกเลือดที่ด้านนอกหน้าต่างก็เหนือจริงมากเช่นกัน

หากนี่เป็นฝันร้าย ฉันก็หวังว่าฉันจะตื่นขึ้นในไม่ช้า

เหล็กดัดกันขโมยนั้นแน่นหนา ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะเปิดมันได้โดยไม่มีอุปกรณ์ มือกรรไกรปล่อยมือและเตรียมตัวกลับออกไป แต่ตอนที่เขาไปถึงประตู เสียงฝีเท้าก็ก้องลงมาตามทางเดินหนีไฟจากที่อีกด้านหนึ่ง มันเหมือนมีคนกำลังวิ่งอยู่

ฟังเหมือนมาจากทางนี้ และยังมีกันหลายคนด้วย!

โดยไม่ลังเล มือกรรไกรปิดประตูและล็อกเอาไว้ เขาขยับไปยืนที่ด้านหลังประตู หวังว่าจะได้เห็นสถานการณ์ที่ด้านนอกผ่านช่องหน้าต่างที่บนประตู เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มือกรรไกรมองเห็นหลายเงาพุ่งไปตามทางเดิน ดูเหมือนจะมุ่งหน้ามาทางเขา

ฉันไม่สามารถปล่อยให้พวกมันเจอตัวได้! หากต้องติดอยู่ในห้องนี้ก็จบกันแล้ว!

เงาหลายเงานั่นเข้าใกล้จุดที่เขาอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ มือกรรไกรกวาดตามองห้องที่ด้านหลังตัวเอง และในที่สุด ก็คว้ากระเป๋าเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า โรงพยาบาลนั้นเป็นโรงพยาบาลเอกชน และสิ่งอำนวยความสะดวกก็ต่างไปจากที่ในโรงพยาบาลรัฐ พื้นที่ในตู้นั้นแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยแผ่นไม้กระดาน และหลังจากดึงแผ่นไม้นั่นออก ตู้เสื้อผ้าก็ใหญ่พอให้คนผู้หนึ่งเข้าไปซ่อนด้านในได้

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจากที่ไกล ๆ ก่อนที่จะหายไปที่ด้านนอกห้องพักผู้ป่วย

พวกมันหยุดอยู่ที่หน้าประตู? หรือว่าพวกมันเจอฉันแล้ว?

มือกรรไกรไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องฉลาดที่จะออกไปเพราะอาจจะถูกสิ่งเหล่านั้นจับตัวได้ทันทีที่เผยตัวออกไป ดังนั้นจึงตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า

ซ่อนและหา ซ่อนและหา ฉันยังไม่ได้หาเลยแล้วทำไมถึงมาหาฉันแล้วล่ะ? เป็นไปได้ไหมว่าพวกมันรู้ว่าฉันคิดจะหนี?

มือกรรไกรกลั้นหายใจ เปลี่ยนไปอยู่ในท่าที่สบายมากขึ้น แต่ตอนที่เขากำลังปรับท่านั้น รองเท้าของเขาก็กระทบถูกบางอย่าง หัวใจของเขาเย็นเฉียบขึ้นมา เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผาก มือกรรไกรบังคับให้ตัวเองสงบใจลงขณะควานหาโทรศัพท์จากในกระเป๋า

เขาเปิดโทรศัพท์ พื้นหลังของหน้าจอนั้นเป็นรูปของชายหนุ่มสองคนที่หน้าทางเข้าบ้านเด็กกำพร้า ชายหนุ่มคนหนึ่งนั้นไว้เคราแพะ ตัวสูงและร่างหนามาก ขณะที่อีกคนนั้นดูเหมือนมือกรรไกร ในตอนนั้น เขาดูค่อนข้างเขินกล้อง ตอนที่รูปถูกถ่าย เขายกมือขึ้นเหมือนพยายามจะบังหน้าตัวเองจากกล้อง

“พี่ดูแลผมมาตั้งนาน– นี่ถึงเวลาที่ผมต้องดูแลพี่แล้ว” มือกรรไกรถอนหายใจลึกและเพิ่มความสว่างหน้าจอถึงระดับสูงสุด จากนั้นก็ส่องไปที่ใต้เท้าตัวเอง

สิ่งที่รองเท้าของเขากระทบถูกนั้นเป็นชุดผู้ป่วย และที่โผล่ออกมาจากใต้เสื้อผ้านั้นเป็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง เป็นเพราะว่ามือกรรไกรได้อ่านบันทึกของพี่ของเขาเขาจึงตัดสินใจขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 มาที่เมืองหลี่ว่านนี่ ตอนนี้ เขาก็เจอบันทึกอีกเล่มในระหว่างการเดินทาง เขาหยิบมันขึ้นมาโดยไม่ลังเลมากนักและเริ่มพลิกดู

“ลิ่วเฟยหมิง? นี่เป็นชื่อเจ้าของบันทึกเล่มนี้เหรอ?”

ตอนที่เขาพลิกหน้าบันทึก เขาก็พบประวัติการรักษาสอดเอาไว้ ชื่อของผู้ป่วยก็ยังเป็นลิ่วเฟยหมิง และตามการวินิจฉัยของเขา ขาทั้งสองข้างของเขาหักจากการตกจากที่สูง

ทำไมมันถึงเหมือนกับกำลังพูดถึงอนาคตของฉันอยู่เลยล่ะ? หนทางเดียวที่จะหนีออกจากสถานที่ต้องสาปนี่ก็คือกระโดดลงไปจากชั้นสาม

มือกรรไกรดูยิ่งกว่าวิตกกังวลเสียอีกตอนที่เริ่มอ่านเนื้อหาในบันทึก

“วันที่ 1 มิถุนายน: ฉันจะไปทวงหนี้ผู้ชายขาเป๋คนนั้นทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล! ถึงไอ้บ้านั่นจะขาเป๋ หัวใจของมันก็ดำยิ่งกว่าถ่าน! อย่างน้อยที่สุดฉันก็ทำงานในทีมของมันตั้งหลายปีแล้ว เขายังคิดจะปิดปากฉันด้วยเงินแค่ไม่กี่ร้อยหลังจากที่ฉันตกจากชั้นสาม ได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังหมดสติ? ไม่มีทาง! เรื่องไม่จบแค่นี้แน่!

“วันที่ 2 มิถุนายน: เพราะการบาดเจ็บของเส้นประสาทและกระดูก ฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาลนี้อย่างน้อยที่สุดก็สามเดือน ฉันอยากรู้ว่าฉันจะออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่กันแน่ อยู่ที่โรงพยาบาลนี่มันน่าเบื่อมาก ฉันอยากรู้ว่าคนที่บ้านฉันกำลังทำอะไรอยู่ ฉันหวังว่าคู่หูของฉัน พี่หลี่ จะไม่ได้บอกพวกเขาว่าฉันได้รับบาดเจ็บ ฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องเป็นห่วง

“วันที่ 3 มิถุนายน: ทำไมมันถึงเหมือนกับพวกพยาบาลจงใจหลีกเลี่ยงฉันล่ะ? พวกเขากลับออกไปทันทีที่เปลี่ยนน้ำเกลือเสร็จ มันเหมือนฉันเป็นเทพปิศาจอะไรแบบนั้น เป็นเพราะพวกเขาดูถูกคนจน ๆ ใช่ไหม? พวกเขาจะต้องเสียใจเรื่องนี้ตอนที่ฉันร่ำรวยขึ้นมา

“วันที่ 4 มิถุนายน: โอ้พระเจ้า ฉันเบื่อมาก ไม่มีใครสักคนให้คุยด้วย หมอและพยาบาลก็ไม่เข้ามาแล้ว ไม่ใช่พวกเขาบอกว่าเตียงไม่พอหรอกเหรอ? ข้าง ๆ นี่ก็มีเตียงว่างอยู่ แต่พวกเขากลับให้ผู้ป่วยนอกอยู่ตามทางเดินแทนที่จะให้เข้ามานอนที่นี่ ในห้องเดียวกับฉัน นี่เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไง? คนพวกนี้ดวงตางอกเงยที่หน้าผากเหรอไง

“วันที่ 6 มิถุนายน: เกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วยห้องข้าง ๆ น่ะ? จะให้คนอื่นหลับลงได้ยังไงในเมื่อเขาเอาแต่ทำเสียงแบบนั้นตลอดทั้งคืน? การดูแลของโรงพยาบาลเก่า ๆ นี่ย่ำแย่ชะมัด ฉันจะเขียนจดหมายสนเท่ห์ไปหาบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อเปิดเผยเรื่องนี้

“วันที่ 7 มิถุนายน: ตอนตีสองเมื่อเช้านี้ ผู้ป่วยห้องข้าง ๆ เริ่มมีอาการอีกแล้ว ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าพวกเขาขังผู้ป่วยทางจิตเอาไว้ที่ห้องข้าง ๆ ใช่ไหม ทำไมถึงมีเสียงใครกำลังทุบกำแพง?

“วันที่ 8 มิถุนายน: ในที่สุดฉันก็ทนไม่ไหวและตะโกนกลับไปที่ผู้ป่วยห้องข้าง ๆ คืนนี้ ฉันคิดว่าพวกเขาก็จะตะโกนกลับมาหาฉันเหมือนกันแต่ว่าพวกเขากลับเป็นแค่สวะกลุ่มหนึ่ง ไม่มีเสียงตอบจากพวกเขา อันที่จริง ฉันก็ต้องขอบคุณพวกเขานะ หลังจากเบื่อแทบตายมาหลายวัน การได้ตะโกนออกไปก็ผ่อนคลายดีทีเดียว

“วันที่ 9 มิถุนายน: ตอนที่ฉันตื่นเช้านี้ มีเด็กคนหนึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ เตียงของฉัน มันทำให้ฉันค่อนข้างตกใจ หลังจากฉันถามเขา ฉันก็พบว่าเขาคือลูกของผู้ป่วยห้องข้าง ๆ พ่อแม่ของเขากล้ามากที่ปล่อยให้เด็กน้อยอย่างเขาเดินไปมาอย่างนี้ แล้วก็ เด็กคนนี้ค่อนข้างน่ารักทีเดียว และเขาก็ไม่กลัวคนแปลกหน้าด้วย ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเข้ามาหาฉัน ยินดีจะพูดคุยกับฉัน

“วันที่ 10 มิถุนายน: ฉันทำความคุ้นเคยกับเด็กคนนั้นแล้ว เขาชอบเล่นซ่อนหาและมาหาฉันตอนกลางคืน มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเหรอที่จู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองเป็นที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ? ฉันรับปากเขาว่าเมื่อฉันลงจากเตียงได้ ฉันจะเล่นซ่อนหากับเขาในโรงพยาบาลนี้ แล้วก็ พ่อกับแม่ของเด็กน่าจะเป็นคนดี– อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่ดูถูกฉันเหมือนพยาบาลกับหมอที่ในโรงพยาบาลนี่ ฉันอยากรู้ว่าพวกเขาป่วยด้วยโรคอะไรถึงได้ต้องอยู่ในโรงพยาบาลหลายวันขนาดนี้

“วันที่ 14 มิถุนายน: คืนนี้ ผู้ป่วยมะเร็งห้อง 305 ตาย หมอและพยาบาลหลายคนมาแล้วก็ไป แต่น่าแปลก ฉันสังเกตเห็นว่าพวกเขายังเว้นระยะห่างจากห้องพักผู้ป่วยของฉันตอนที่เดินผ่านเพื่อลงไปชั้นล่าง พวกเขายังเลือกเดินอ้อมไปไม่ยอมเดินผ่านห้องพักผู้ป่วยของฉัน เป็นเพราะว่าฉันถูกขึ้นบัญชีดำหรือเปล่า?

“วันที่ 15 มิถุนายน: ในที่สุดก็ถึงวันถอดเฝือกแล้ว และฉันก็นึกว่าหมอคงจะลืมฉันไปหมดแล้ว วันนี้เป็นวันที่ลมแรง ดังนั้นฉันจึงคิดว่าจะอยู่แต่ในห้อง

“วันที่ 15 มิถุนายน: คืนนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทำไมฉันถึงยังได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากห้องถัดไปล่ะ? เสียงนั่นคล้ายกับเสียงชายชราที่ตายเมื่อวานนี้ ฉันถามเด็กชายเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยากบอกอะไรฉัน ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือให้ฉันเล่นซ่อนหากับเขาในตอนกลางคืน ถ้าฉันสามารถหาเขาเจอ เขาก็จะตอบคำถามฉัน ขาของฉันยังอยู่ในช่วงฟื้นฟู และถ้าฉันเดินท่อม ๆ ออกไปตอนกลางคืน ฉันคงจะทำให้พยาบาลที่อยู่เวรตกใจแน่ ๆ

“วันที่ 16 มิถุนายน: โอ้พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับฉันกัน? วันนี้ ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่และออกไปข้างนอกพร้อมกับไม้เท้า ตอนที่ฉันอยากจะไปห้องข้าง ๆ เพื่อเยี่ยมเยียนเพื่อนบ้าน ฉันก็พบว่าฉันกำลังออกมาจากห้องผู้ป่วยห้องแรกทางซ้ายของบันได! ถัดไปจากห้องของฉันนั้นเป็นห้องเก็บของ และไม่มีห้องพักผู้ป่วยที่ด้านนั้น! แต่ว่าฉันได้ยินเสียงพูดคุยทุกคืนและยังเด็กคนนั้น! บ้าชะมัด! ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมหมอและพยาบาลถึงไม่ยอมเข้าใกล้ห้องของฉัน

“วันที่ 16 มิถุนายน: หมอไม่ยอมให้ฉันกลับ อย่างไรเสียฉันก็ยังติดค่ารักษาพยาบาลพวกเขาก้อนใหญ่ เพื่อนของฉันไม่มีใครเชื่อถือได้เลยสักคน! ฉันไม่สนใจ ฉันจะออกจากที่นี่วันพรุ่งนี้ แต่เรื่องใหญ่ก็คือ… ฉันจะรอดไปจากคืนนี้ได้ยังไง? ถ้าเด็กคนนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกล่ะ?

“วันที่ 17 มิถุนายน: ไม่มีทาง ฉันต้องออกไปจากที่นี่ ฉันต้องไป เมื่อคืนนี้ เด็กชายกลับมาและจะให้ฉันเล่นเกมซ่อนหากับเขา! เขาอยู่ในห้องฉันแล้วก็วิ่งไปมา ฉันเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า? ทำไมฉันถึงได้สัญญาจะเล่นกับเขานะก่อนหน้านี้? ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ต่อให้โรงพยาบาลจะห้ามฉันออกไป ฉันก็จะหาทาง ถ้าฉันอยู่ที่นี่ต่อไป ในที่สุดพวกเขาก็จะเอาชีวิตฉันแล้ว!

“วันที่ 17 มิถุนายน: ฉันจะทำยังไง? ฉันจะทำยังไงดี? ฉันคิดว่าในที่สุดฉันก็เสียสติไปแล้ว! ตอนที่ฉันอยากออกไปจากที่นี่เมื่อตอนบ่ายนี้ ฉันยืนอยู่ที่เหนือบันได และจู่ ๆ ฉันก็รู้สึกว่ามีคนอยู่ด้านหลังฉัน ฉันหันกลับไปและเห็นเด็กชาย เขาถามว่าฉันจะไปไหน และอยากรู้ว่าทำไมฉันถึงไม่เล่นซ่อนหากับเขา!

“วันที่ 18 มิถุนายน: เพื่อนร่วมงานของฉันไม่มีใครโทรกลับมาเลย และหัวหน้าก็ยังหนีหายไปแล้ว โรงพยาบาลไม่ยอมปล่อยฉันออกไป และค่ารักษาก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้ฉันรอดชีวิตไปได้ หนี้ค่ารักษาก็จะถล่มฉันตายอยู่ดี! แต่ว่า ฉันไม่สนใจแล้ว– หนีออกไปจากที่นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดของฉัน

“วันที่ 18 มิถุนายน: ตอนที่ฉันวิ่งลงบันไดไป มีคนผลักฉันจากด้านหลัง และมันก็ทำให้ฉันขาหักอีกครั้ง หมอบอกว่าที่ในกล้องวงจรปิดน่ะ ฉันกระโดดลงจากบันไดมาเอง แต่ฉันเห็นด้วยสองตาตัวเองเลยว่า เป็นเด็กชายคนนั้นผลักฉัน! เขาไม่อยากให้ฉันออกไปจากที่นี่ ฉันกำลังพูดความจริง แต่ทำไมถึงไม่มีใครเชื่อฉันเลย?

วันที่ 1 กรกฎาคม: นี่น่าจะเป็นบันทึกครั้งสุดท้ายของฉันแล้ว ขาทั้งสองข้างหัก ดวงตาของฉันบอด ลำคอของฉันเสียหายจากน้ำกรด และนิ้วของฉันก็บิดงอ– ไม่มีทางที่ฉันจะหนีไปจากที่นี่ได้อีกแล้ว ฉันรู้ว่าเด็กชายนั้นยังอยู่ข้าง ๆ ตัวฉัน ไม่มีห้องผู้ป่วยข้าง ๆ ห้องฉัน พวกเขาล้วนอยู่ในห้องนี้กับฉัน ฉันเจอพวกเขาแล้ว แต่นั่นหมายความว่าฉันจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้อีกต่อไป”

อ่านมาถึงหน้าสุดท้ายแล้วหัวใจของมือกรรไกรก็เย็นเยียบ “ไม่มีห้องพักผู้ป่วยข้าง ๆ? พวกเขาล้วนอยู่ในห้องนี้?”

ความเย็นแล่นวาบไปตามสันหลังของเขา มือกรรไกรไม่คิดจะอยู่ในห้องนี้ให้นานไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว และเขาก็ผลักประตูตู้เปิด

หลังจากออกจากตู้เสื้อผ้า มือกรรไกรก็มองไปทางประตูที่อยู่ข้างตัวและสมองของเขาก็ว่างเปล่าไปในทันที

ในช่องหน้าต่างบนประตู ใบหน้ามนุษย์ที่ดูซีดเผือดหลายต่อหลายคนกำลังมองเข้ามา “พวกเราเจอแกแล้ว”

 

 

 

 

 

“มันถูกติดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ชายวัยกลางคนถือประวัติการรักษาเอาไว้และดวงตาก็แทบจะถลนออกมา– เขาจำไม่ได้เลยสักนิด

“ผม…” เด็กชายกลัวพ่อเขาแทบตายแล้ว ดังนั้นจึงขดตัวอยู่หลังผู้เป็นแม่

“ตอนนี้ทำไมแกถึงไม่พูดล่ะ? มันเป็นเวลาที่แกต้องพูด แต่แกเลือกที่จะเงียบ?” ชายวัยกลางคนดึงเด็กชายออกมาจากด้านหลังมารดาของเขา เขาคว้าเสื้อเด็กชายแล้วเขย่าเขา ”มันติดเอาไว้ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ตอนนั้นพวกเราอยู่ที่ไหน? คนที่เอามันมาติดไว้หน้าตาแบบไหน?”

“ที่ชั้นแรก ตอนที่พวกเราเดินผ่านห้องผู้ป่วยห้องหนึ่ง ประตูถูกเปิดแง้มไว้ ผมเห็นมือข้างหนึ่งยื่นออกมาแล้วก็แปะกระดาษนี่บนหลังพ่อ” มันไม่ชัดเจนนักว่าเด็กชายนั้นกลัวพ่อของเขามากกว่าหรือว่ากลัวมือข้างนั้นมากกว่า “ผมอยากจะบอกพ่อตั้งแต่ตอนนั้น แต่หลังจากนั้นใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังประตู ผิวของเขาเป็นสีเทา และเขาก็กระซิบกับผมว่าอย่าบอกความลับนี้ไปเพราะนี่ควรจะเป็นเกมซ่อนหาที่ยุติธรรม”

“แกเชื่อฟังขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาบอกให้แกไม่พูดแกก็ไม่พูดงั้นเหรอ?” ชายวัยกลางคนเงื้อมือขึ้นและกำลังจะตบลงมาที่ใบหน้าเด็กชาย “สวะ พวกแกทั้งคู่เลย! แกมันก็ไร้ประโยชน์เหมือนแม่ของแก สักวันฉันคงตายเพราะพวกแกสองคนเนี่ย!”

เขาจ้องไปที่กระดาษที่เขาถือเอาไว้ และลายมือชุ่ย ๆ บนนั้นก็ทำให้เขาขนลุกซู่

“ตาฉันหาแกงั้นเหรอ? มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะทำตามคำสั่งแบบนี้!” ชายวัยกลางคนขยำกระดาษประวัติผู้ป่วยเป็นก้อนกลมแล้วโยนทิ้งลงพื้น บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ว่ารูปของผู้ป่วยนั้นโผล่ออกมาจากกระดาษขยำและมันก็บังเอิญมองตรงไปยังชายวัยกลางคน

“โชคร้ายชะมัด” เขากระแทกเท้าเหยียบกระดาษขยำก้อนนั้น ชายวัยกลางคนมองไปตามทางเดิน “ปิศาจจากถนนไม่ไล่ตามพวกเราเข้ามาในนี้– มันคงจะยอมแพ้ไปแล้ว พวกเราควรจะเดินเข้าไปในตึกนี่ ตอนที่พวกเราวิ่งเข้ามา ฉันจำได้ว่าเห็นประตูหลังอยู่ที่อีกด้านของตึกนี่”

หลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกของเขาพูด ก็ไม่มีทางที่ชายวัยกลางคนจะเดินกลับไปทางที่พวกเขาผ่านมาก่อนหน้านี้ เขามองห้องพักผู้ป่วยที่เรียงรายอยู่สองข้างทางเดินและฝ่ามือของเขาก็เหงื่อออกชุ่ม

“พวกเราจะไม่ไปตามหาพี่ชายคนนั้นเหรอ?” เด็กชายถามอย่างระมัดระวังตอนที่เงยหน้าขึ้น

“หาเขา? แกอยากตายขนาดนั้นเลยเหรอ? เรื่องเร่งด่วนที่พวกเราต้องทำตอนนี้ก็คือออกไปจากที่ที่พระเจ้าทอดทิ้งนี่” ชายวัยกลางคนคว้าไหล่ภรรยาของตนด้วยกริยาหยาบคาย “ดูแลเขาไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้เขาเดินไปไหนมาไหน คนที่ในอพาร์ทเม้นท์ผีนั้นมีวิธีการจัดการกับผู้ใหญ่และเด็กต่างกัน…”

ตอนที่เขาพูด เขาก็เดินไปข้างหน้า แต่ว่าชายกางเกงของเขากลับถูกเด็กชายดึงเอาไว้ “มีอะไรอีก?”

“พ่อ เขากำลังเล่นซ่อนหากับพวกเรา”

“เจ้าโง่ ฉันรู้แล้ว” ชายวัยกลางคนเตะเด็กชาย “แกคิดจะเล่นซ่อนหากับผีนั่นในสถานที่ที่เต็มไปด้วยผีอย่างนี้จริง ๆ หรือไง?”

“แต่ถ้าพวกเราไม่ไปหาเขา เขาก็จะมาหาพวกเราแทน” เด็กชายใช้น้ำเสียงจริงจังอธิบายกติกาของเกม แต่ว่า น้ำเสียงใสซื่อของเขากลับกลายเป็นถ่ายทอดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่อาจบรรยายได้เมื่อมันเข้าหูพ่อของเขา

“ผีนั่น… จะมาหาพวกเรา?” ตามกติกาแล้ว มีโอกาสที่จะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริง ๆ ใบหน้าของชายวัยกลางคนทะมึนลงในทันที ไม่ว่าจะเป็นตามหาผีหรือว่าถูกผีตามหา ทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่เขายากจะยอมรับได้

“ไม่ นี่น่าจะเป็นกับดัก ต่อให้พวกเราหาผีนั่นเจอ หลังจากบทบาทเปลี่ยนไปแล้ว มันก็จะยังมาหาพวกเราอยู่ดี! พวกเราต้องออกไปจากที่นี่! พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว” ชายวัยกลางคนอุ้มเด็กชายขึ้น เรียกหาภรรยาและเร่งเท้าเดินไปตามทางเดินหนีไฟ

‘ฆาตกร’ ที่เรียกตัวเองว่ามือกรรไกรกำกรรไกรคมกริบเอาไว้ในมือ ยืนอยู่คนเดียวที่ชั้นแรกของโรงพยาบาลของเมือง

“สัตว์อ่อนแอไปเป็นฝูง มีเพียงแค่สัตว์ร้ายที่ลงมือตัวคนเดียว ดังนั้น ฆาตกรย่อมต้องโดดเดี่ยวเสมอ” หลังมือของมือกรรไกรนั้นมีเส้นเลือดเต้นตุบ เผยให้เห็นว่าเขากระวนกระวายเพียงไหน “เมืองเล็ก ๆ ที่มีหมอกสีเลือดปกคลุม ที่นี่ต่างไปจากที่ในบันทึกของพี่ชายของฉันโดยสิ้นเชิง เขาบันทึกเอาไว้ผิด ๆ หรือว่าฉันขึ้นรถผิดป้ายนะ?”

มือกรรไกรแตะใบหน้าตัวเอง เมื่อปลายนิ้วปัดผ่านรอยแผล เขาก็ทำหน้าบึ้งจากความเจ็บปวด ตอนที่เขาอยู่คนเดียวเขามีท่าทางต่างไปจากที่เขาเป็นตอนที่อยู่บนรถเมล์โดยสิ้นเชิง

“เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ก็ต้องทำเหมือนตัวเองเป็นผู้ล่า ฉันไม่สามารถทำผิดแบบเดียวกับพี่ชายทำได้” มือกรรไกรเดินไปข้างหน้าอีกหลายก้าว โรงพยาบาลตอนกลางคืนนั้นน่ากลัวกว่าที่มันเป็นในตอนกลางวัน และถ้าแสงไฟยังไม่เปิด ความน่ากลัวก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นหลายเท่า

“ฉันจะมัวตื่นตระหนกไม่ได้ สถานที่อันตรายที่สุดย่อมเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด การขัดขืนเป็นทางเลือกเดียวที่ฉันจะรอดชีวิตอยู่ได้” นั่นคือสิ่งที่เขาบอกตัวเอง แต่เขาก็พบว่ามันยากมากกับแค่ยกเท้าก้าวเดิน ร่างกายของเขาต่อต้านสิ่งนี้ตามสัญชาตญาณ “ไม่ต้องกลัว ยิ่งกลัวสิ่งพวกนี้เท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่พวกมันจะมามากเท่านั้น ระหว่างทาง มีเสียงกรีดร้องของคนอื่นดังมาจากทางอื่นเรื่อย ๆ แต่ฉันเองกลับไม่เจออะไรเลย ดังนั้นนี่จึงพิสูจน์แล้วว่าทฤษฎีของฉันน่ะถูกต้องแล้ว”

เขากำกรรไกรในมือแน่น หลังจากให้กำลังใจตัวเองอีกหลายคนแล้ว เขาก็ก้าวเท้าเข้าไปตามทางเดินยาวทางซ้าย หลังจากก้าวเท้าก้าวหนึ่ง ก็มีเสียงฝีเท้าสองเสียงก้องอยู่ หนึ่งเป็นของเขา และอีกหนึ่งนั้นเป็นเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้น

“นั่นเป็นแค่จินตนาการของฉันเท่านั้น ไม่มีอะไรอยู่ด้านหลังฉัน ไม่มีอะไรอยู่ด้านหลัง…” เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก มือกรรไกรกำลังพยายามสะกดจิตตัวเอง– เขารู้สึกเหมือนเขากำลังจะเคยชินกับการมีอยู่ของเสียงนี้แล้ว “ฉันกระวนกระวายเกินไป เสียงนั่นย่อมหายไปเมื่อฉันออกไปจากที่นี่ อีกแค่ห้าหรือหกชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้น ดังนั้นฉันต้องทนเอาไว้จนถึงตอนนั้น”

สุดท้ายแล้วมือกรรไกรก็เป็นคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยเรื่องราวหนักหนา จู่ ๆ เขาก็หยุดเท้าและยกมือขึ้นตบ ๆ ใบหน้าตัวเอง “นายมาที่นี่เพื่อตามหาพี่ชายของนาย แล้วนายจะเอาแต่คิดถึงตัวเองในเวลาแบบนี้ได้ยังไง?”

ภาพพี่ชายของเขาผุดขึ้นมาในใจ และมือกรรไกรก็ดูมุ่งมั่นขึ้น “ฉันเตรียมตัวมาห้าเดือนเพื่อวันนี้ ฉันยังมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้อีกตั้งมาก ดังนั้นไม่มีเหตุผลให้ฉันต้องตื่นกลัว”

เขาบังคับให้ตัวเองเลิกกลัว เขาถือกรรไกรไว้ในมือซ้ายและกระเป๋าที่ไม่มีเลือดซึมออกมาแล้วอยู่ในมือขวา

“รูปลักษณ์ของฉันนั้นดูไม่น่าเข้าใกล้ มีผู้โดยสารคนหนึ่งบนรถเมล์ก่อนหน้านี้ที่ดูคล้ายฉัน– เขาน่าจะเป็นคนที่มีเรื่องราวในใจเหมือนกัน– แต่ว่าการเตรียมการของเขาน่ะไม่ครบถ้วนอย่างฉันหรอก” มือกรรไกรนั้นมั่นใจในตัวเองมาก หรือบางคนอาจจะเรียกว่ามั่นใจอย่างไร้เหตุผล เขาไม่สนใจเสียงฝีเท้าที่ก้องอยู่ด้านหลังและเดินไปตามทางเดินในโรงพยาบาล

โรงพยาบาลนั้นไม่ใหญ่ และยังมีห้องพักผู้ป่วยไม่มากนัก มือกรรไกรเดินอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากชั้นสอง

“นั่นดูเหมือนจะมีบางอย่างมาจากทางเดินหนีไฟ จะเป็นใครกัน?” มือกรรไกรเลียริมฝีปากและคิดภาพบุคลิกที่มักพบเจอของฆาตกรบ้าคลั่งที่เขาเคยดูในหนังและค่อย ๆ คืบคลานขึ้นไปยังชั้นสอง

ในทางเดินมีลมพัด และประตูห้องพักผู้ป่วยบางห้องก็ถูกเปิดทิ้งไว้ครึ่ง ๆ เพราะไม่มีแสงไฟ ทุกห้องจึงมืด และพอยืนอยู่ที่ด้านนอก ก็ไม่มีทางบอกได้ว่าที่ด้านในนั้นมีอะไรอยู่

“มีคนอยู่ที่นี่?”

มือกรรไกรระมัดระวังทุก ๆ ก้าว เมื่อเขาผ่านห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งจู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นบางอย่าง เสียงฝีเท้าที่ตางหลังเขามานั้นหายไปแล้ว

“ทำไมเสียงนั่นถึงหยุดลงล่ะ?”

ตอนนี้เมื่อมันไปแล้ว เขากลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด พอหันกลับไปมอง เขาก็พบว่ามีบางคนแปะกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้บนไหล่ของเขา

“หาฉันให้เจอสิ?”

 

 

“นั่นใครน่ะ? เขาดูคุ้น ๆ เป็นหนึ่งในผู้โดยสารจากบนรถเมล์หรือเปล่า?” ชายขี้เมาเพิ่งพูดไปเมื่อวินาทีที่แล้วว่าถนนนั้นดูปลอดภัยกว่าที่ในตึก แต่เขายังไม่ทันพูดจบ เขาก็ได้รับการยืนยันแล้วว่ามันผิด เขาสงสัยว่าจะมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับตามองเขาจากที่ที่เขามองไม่เห็น จับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเขา

“เขาโบกมือให้ฉันใช่ไหมน่ะ? มีหมอกนี่อยู่ ฉันมองไม่เห็นหน้าเขา ดังนั้นเขาก็น่าจะมองไม่เห็นฉันเหมือนกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ คนทั่วไปย่อมไม่เป็นฝ่ายเข้าไปทักทายผู้อื่นก่อน”

ศักยภาพของคนผู้หนึ่งย่อมสามารถรีดเค้นออกมา หลังจากผ่านประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ชายขี้เมาก็ระแวดระวังมากขึ้นอย่างสังเกตได้ และเขาก็ยังคิดก่อนที่จะเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง เงาร่างคนในหมอกชัดเจนขึ้น– คนผู้นั้นดูเหมือนกำลังเดินตรงมาทางเขา

“ไม่ ฉันต้องอยู่ให้ห่างจากเขาเอาไว้” ชายขี้เมาสังเกตเห็นคนผู้นั้นเร่งความเร็วขึ้น เขาไม่กล้าตอบรับและยังหันกลับวิ่งหนีไป

“หากเขาเป็นคนเป็น ๆ เขาน่าจะต้องพูดอะไรสักอย่าง แค่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วโบกมือและวิ่งเข้ามาหาฉันโดยไม่พูดอะไรสักคำน่ะน่าสงสัยเกินไป”

กระทั่งบนถนนก็ไม่ปลอดภัยแล้ว ดังนั้นชายขี้เมาจึงรู้สึกเหมือนติดกับดัก เขาไม่รู้แล้วว่าควรหนีไปที่ไหน

“สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือไปรวมกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ มันอันตรายเกินไปที่ฉันจะอยู่คนเดียว” ชายขี้เมาวิ่งเหยาะ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่ว่ารถเมล์นั้นไปไหนแล้วไม่รู้ ยิ่งเขาวิ่งไป เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี “บ้าชะมัด ฉันว่าฉันหลงทางแล้วตอนนี้ ตึกที่นี่ดูเหมือนกันไปหมด และรถเมล์ก็เป็นปจุดอ้างอิงเดียวของฉัน”

เขายังสามารถมองเห็นเงารางเลือนอยู่ในหมอกที่ด้านหลังเขา คนผู้นั้นที่โบกมือให้เขานั้นยังอยู่ด้านหลังเขา รักษาระยะปลอดภัยระหว่างกันไว้

“แล้วนั่นมันเป็นบ้าอะไร? ทำไมมันถึงตามฉันมา?” ชายขี้เมาวิ่งเร็วขึ้นและไม่หยุดจนไปถึงแยกถัดไป เขายังไม่เจอรถเมล์ และเขาก็ลังเลว่าควรจะไปทางไหน จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นเงาหนึ่งปรากฏขึ้นที่อีกฟากถนน มันโบกมือให้เขา!

“เจ้าสิ่งนั้นมันผ่านฉันไปเมื่อไหร่กัน? มันน่าจะอยู่ด้านหลังฉันสิ!” ความสิ้นหวังคืบคลานเข้ามาในหัวใจของเขาเหมือนเถาวัลย์อันยากควบคุม ชายขี้เมามึนงง ราวกับไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เขาก็จะเจอกับคนผู้นี้

“ตอนนี้ฉันควรจะทำอย่างไรดี?” ประสบการณ์ชีวิตสามสิบปีนั้นไม่ช่วยอะไรเขาเลย ชายที่ฝั่งตรงข้ามถนนยังโบกมือให้เขา ด้วยรูปเงารางเลือน แขนที่แกว่งไปมานั้นดูราวกับเข็มนาฬิกาแห่งความตาย

“ต่อให้ฉันวิ่งไปทางอื่น ปิศาจนี่ก็จะยังตามฉันไป ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ฉันต้องสู้กับมัน!” ชายขี้เมากัดฟันแล้วกำมีดปังตอที่เขาเอามาด้วยจากในห้องครัวของบ้านมนุษย์สุนัขนั่น ในชีวิตนี้เขาไม่เคยกระทั่งฆ่าไก่เพื่อทำอาหาร แต่ทว่า ความคิดอันเหี้ยมโหดนี้กลับผุดขึ้นในใจเขา

“ใจเย็นไว้ ไม่ต้องตื่นตระหนก!”

อยู่ในหมอกเลือดนานเข้านั้นก็จะส่งผลต่อคนผู้นั้น ชายขี้เมานั้นไม่ได้สังเกตตัวเอง ที่ปลายหางตาของเขานั้นเป็นสีแดง เต็มไปด้วยเส้นเลือด มันเหมือนเขาไม่ได้นอนมาเป็นหลายวันแล้ว ต่างไปจากตอนที่เขาเป็นเมื่อขึ้นรถเมล์มาในทีแรก

เพราะนี่เป็นครั้งแรกของเขา หัวใจของชายขี้เมาจึงเต้นด้วยอัตราเร็วอันไม่น่าเป็นไปได้ เขากำมีดเอาไว้ด้วยสองมือและเดินข้ามถนนไปด้วยท่าทางประหลาด เงารางเลือนนั้นยังโบกมือให้เขา เมื่อเขาเข้าไปใกล้มากขึ้น ชายขี้เมาจึงได้มองเห็นชัดขึ้น

“เขาดูคุ้นตา ฉันน่าจะเคยเจอเขามาก่อนที่ไหนสักแห่ง เขาเป็นผู้โดยสารจากบนรถเมล์จริง ๆ เหรอ?”

ชายขี้เมาหยุดอยู่ที่กลางถนนแล้วตะโกนถามชายคนนั้น “เฮ้! คุณชื่ออะไรน่ะ?”

ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่ายหนึ่งนอกจากมุมการโบกมือเหมือนจะตกลงไป และจู่ ๆ ชายคนนั้นก็เดินมาทางเขา ในเมืองสีแดงเลือดนี้ บนถนนอันว่างเปล่า ระยะห่างระหว่างทั้งสองหดแคบเข้า เมื่อชายคนนั้นตรงเข้ามาอย่างช้า ๆ ความรู้สึกคุ้นเคยในใจชายขี้เมาก็เพิ่มมากขึ้น

“เขาดูคุ้น ๆ จริง ๆ ฉันสาบานเลยว่าฉันต้องเคยเจอเขามาก่อนที่ไหนสักแห่ง” ชายขี้เมาเดินเข้าไปช้า ๆ และในที่สุดก็ผ่านหมอกหนาไปยืนตรงหน้าชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นมีเลือดเปื้อนเต็มตัว และช่องท้องของเขานั้นน่าสยดสยองเป็นที่สุด เอวคือส่วนที่ร่างกายท่อนล่างและท่อนบนเชื่อมเข้าหากันนั้นแทนที่ไว้ด้วยเส้นสีดำ มันเหมือนร่างกายของชายคนนั้นถูกตัดครึ่งแล้วก็เอามาต่อกันใหม่

เห็นรูปลักษณ์ของชายคนนี้แล้ว ชายขี้เมาก็คิดจะถอยกลับ แต่ว่า นอกจากความกลัวแล้ว เขากลับไม่สามารถสลัดความรู้สึกคุ้นเคยทิ้งไปได้ เขาแน่ใจว่าเขารู้จักชายคนนี้จากที่ไหนสักแห่ง

“คุณเป็นใคร?” สมองของเขาว่างเปล่า และชายขี้เมาก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมคำถามนี้ถึงเล็ดรอดออกไปจากริมฝีปากของตนได้ มือของเขาที่กำมีดปังตอเอาไว้สั่น

“ถนนข้างหน้านั้นเป็นทางแยก– หนึ่งสำหรับคนเป็น และอีกหนึ่งสำหรับคนตาย” ชายแปลกหน้าเงยหน้าขึ้นช้า ๆ และภายใต้ศีรษะที่เต็มไปด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้านั้นชายขี้เมาคุ้นเคยจริง ๆ ม่านตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความเกลียดชังผุดขึ้นมา เขาพุ่งเข้าหาชายขี้เมาด้วยสันหลังที่บิดเบี้ยวแตกหักรองรับร่างเขาอยู่ ริมฝีปากของเขาฉีกเปิด และเสียงโหยหวนหลากหลายก็หลุดออกจากลำคอของชายขี้เมา “ฉันก็คือแก! แกที่ตายอย่างน่าสยดสยอง!”

เมื่อเขาเห็นว่าปิศาจนี้ดูคล้ายตัวเอง กำแพงป้องกันชั้นสุดท้ายในจิตใจของเขาก็พังทลายลง เขาไม่มีความต้องการต่อสู้หลงเหลืออยู่ในตัวอีก เขากำมีดเอาไว้ หันหลังกลับแล้วออกวิ่ง คราวนี้ เขาไม่กระทั่งจะสนใจทิศทางของตัวเอง เส้นประสาททุกเส้นของเขานั้นตึงเขม็ง และเขาก็แทบจะบังคับขาที่พาเขาไปข้างหน้าไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ไหนเพราะเขาไม่รู้ว่าที่ไหนถึงจะปลอดภัย ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือวิ่ง

ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างของเขา และปอดของเขาก็เหมือนกำลังจะลุกไหม้ โลกในสายตาของเขาซีดจางไปขณะที่อากาศถูกสูบออกจากลำคอของเขา

“ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว…”

นี่เป็นโลกที่สร้างขึ้นจากความสิ้นหวัง ทางเลือกเดียวสำหรับคนเป็นก็คือเลือกเข้าไปในตึกสักหลังและเลือกวิธีตายที่ต้องการ

“ไม่มีใครรอดชีวิตอยู่ที่นี่ได้หรอก ทุกคนจะตายกันหมด…” สติสัมปชัญญะของเขาพังทลายไป ชายขี้เมาใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของตนวิ่งเข้าไปในตึกที่ใกล้ที่สุด สีหลักของตึกนี้คือสีขาว มันดูเหมือนจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนเพียงแห่งเดียวในเมืองหลี่ว่าน มันไม่ได้ใหญ่โต เป็นเพียงแค่ตึกสามชั้นเล็ก ๆ หลังหนึ่งเท่านั้น

“พ่อ…”

“หุบปาก” ชายวัยกลางคนหอบ เขาซ่อนตัวอยู่ในทางเดินหนีไฟและคอยหันกลับไปมองด้านหลังตัวเองเรื่อย ๆ หลายนาทีให้หลัง เมื่อเขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้ว เขาก็เอนตัวพิงกำแพงแล้วไถลตัวลงนั่งกับพื้นช้า ๆ “ฉันเคยเห็นผู้โดยสารที่ไม่ให้ความร่วมมือถูกส่งเข้าไปในประตูในอพาร์ทเม้นท์ผี โลกที่ด้านหลังประตูนั้นคล้ายกับที่นี่ เต็มไปด้วยหมอกสีเลือด นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนเป็น ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของผู้ชายคนนั้น! ถ้ามีโอกาส ฉันจะให้มันชดเชยหนี้นี้!”

ยิ่งเขาคิด เขาก็ยิ่งโกรธ และมันก็ยิ่งเลวร้ายหลังจากที่เห็นผู้หญิงและเด็กชายหมอบอยู่ข้างตัวเขา จู่ ๆ เขาก็เตะขาผู้หญิงคนนั้นอย่างแรง ”ตั้งแต่ฉันแต่งงานกับแก ฉันก็ไม่เคยมีวันดี ๆ ในชีวิตอีกเลย! ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของแก อีใบ้!”

ผู้หญิงคนนั้นครวญครางอย่างแปลความหมายไม่ได้ เธอดูเหมือนจะกลัวผู้ชายคนนี้มาก เธอกุมขาตัวเองไว้ ขยับถอยไปด้านหลังและยังคงปกป้องเด็กชายเอาไว้จากความโกรธแค้นของผู้เป็นพ่อ

“พ่อ…”

“หยุดเรียกฉันได้แล้ว ไอ้เด็กโง่! แกยิ่งมายิ่งเหมือนเจ้าหนี้ฉันเข้าไปทุกที!” ชายวัยกลางคนมองไปรอบ ๆ และใบหน้าก็ทะมึนลง “พวกเราเอาแต่หนีจนมาจนมุมอยู่ในโรงพยาบาลนี่ ที่นี่มันถูกสาปชัด ๆ หลังจากปิศาจนั่นจากไปแล้ว พวกเราต้องไปให้ห่างจากที่นี่”

“พ่อ…” พึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งถูกด่า แต่เด็กชายก็ยังเรียกพ่อซ้ำ ๆ ในที่สุด ชายวัยกลางคนก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หากเป็นปกติแล้ว เด็กชายต้องขอโทษหรือปิดปากเมื่อเขาเริ่มโกรธ เด็กชายไม่เคยต่อต้านเขา

“อะไร?”

“ก่อนหน้านี้ มีพี่ชายใหญ่ตัวเล็กแปะกระดาษบางอย่างเอาไว้ที่หลังพ่อ” เด็กชายชี้ไปที่หลังของชายวัยกลางคน

“บนหลังฉัน?” ชายวัยกลางคนตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขาเอื้อมมือไปด้านหลังตัวเองแล้วดึงประวัติผู้ป่วยแผ่นหนึ่งออกมา

บันทึกนั้นบอกว่าผู้ป่วยเสียชีวิตไปแล้ว แต่ด้านหลังกระดาษแผ่นนี้ มีคนเขียนเอาไว้ด้วยลายมือหวัด ๆ ‘เป็นตาแกหาฉันแล้ว’

 

 

 

 

ห้องครัวเรียกไม่ได้ว่าใหญ่ และสิ่งที่สะดุดตาที่สุดในห้องก็คือตู้กับข้าว มีอาหารที่ดูน่ากินหลายจานวางเอาไว้ด้านใน แต่น่าแปลก ทั้งหมดล้วนมีพลาสติกบางใสหุ้มห่อเอาไว้ และส่วนใหญ่แล้วล้วนถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่นานแล้วจนน่าจะเริ่มมีการบูดเน่า “ทำไมพวกเขาถึงใช้ตู้กับข้าวเก็บอาหารในเมื่อก็มีตู้เย็นที่ดูใช้การได้เป็นปกติ?”

สถานการณ์นั้นเร่งร้อนเกินกว่าที่ชายขี้เมาจะหยุดเพื่อหาคำตอบของคำถามนั้น เขาพุ่งไปยังเตาและพบว่ามีพัดลมดูดอากาศติดตั้งไว้บนผนัง

“พัดลมนี่…” บางทีนี่อาจจะเป็นการออกแบบพิเศษ หรือบางทีมันอาจจะเป็นความต้องการของครอบครัวนี้ แต่ว่าพัดลมดูดอากาศที่ติดตั้งเอาไว้ในครัวนี้ใหญ่กว่าปกติ และมันยังใหญ่พอที่เด็กคนหนึ่งจะลอดผ่านไปได้

“ไม่มีหน้าต่างในห้องครัว ดังนั้นเพื่อระบายอากาศ จึงติดตั้งพัดลมดูดอากาศขนาดใหญ่ไว้?” ชายขี้เมาขึ้นไปเหยียบบนเก้าอี้และใช้กำลังดึงพัดลมดูดอากาศให้หลุดออก เขามองโพรงที่เกิดขึ้น และสีหน้าของเขาก็ยังดูลังเล โพรงนั้นเล็กเกินไปสำหรับผู้ใหญ่สักคน หากเขาติดอยู่ในนั้น เขาก็คิดไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“ตอนนี้ฉันควรจะทำอย่างไรดี?” ในตอนที่ขี้เมากำลังลังเลอยู่นั้น เขาก็เห็นมีดปังตอเล่มหนึ่งถูกทิ้งเอาไว้บนเขียง เลือดและเศษกระดูกติดอยู่บนใบมีด เขามองขึ้นไปยังโพรงนั่นและมองลงมาที่มีดเล่มนั้น ความคิดประหลาดปรากฏขึ้นในใจชายขี้เมาเหมือนทุกอย่างนั้นถูกใครบางคนจัดวางเอาไว้ล่วงหน้าอย่างชาญฉลาด

โพรงนั่นเล็กเกินไปสำหรับผู้ใหญ่สักคน แต่หากสับกระดูกสะบักของตัวเองกับเฉือนกระดูกสะโพกออกสักหน่อย พวกเขาก็จะลอดผ่านโพรงไปได้โดยง่าย เขากำมีดปังตอเอาไว้ในมือ ด้ามจับนั้นเหนียวหนึบ และมันก็ทำให้ชายขี้เมารู้สึกไม่ค่อยดี ราวกับทุกอย่างกำลังเร่งเขา เขาได้ยินเสียงประตูที่ด้านหลังในทางเดินกำลังถูกเปิดออกเหมือนมีใครบางคนกำลังเปิดเข้าไปดูทุกห้องทีละห้อง

“ถ้าฉันหนีจากที่นี่ ใครจะรู้ว่าถัดไปฉันจะไปเจอบ้า ๆ เข้าอีก มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะทำร้ายตัวเอง” เขากำมีดปังตอเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง เขากัดริมฝีปากและจู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวเขา “ฉันสามารถทำเป็นหนีออกไปทางพัดลมดูดอากาศ แต่ว่าอันที่จริงแล้ว ฉันกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักที่ ตอนที่เจ้าของมาตรวจดูในห้อง ฉันก็สามารถใช้โอกาสนี้หนีไปได้”

ชายขี้เมามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็น

ครัวนั้นไม่ได้ใหญ่ แต่ว่ามีตู้เย็นสองประตูหลังใหญ่ ชายขี้เมาเปิดประตูด้านบนออกดู และในนั้นก็มีน้ำยาดับกลิ่นและน้ำยาปรับอากาศหลากหลายชนิดอัดไว้จนแน่นเต็ม– บางขวดก็ยังไม่ได้เปิด บางขวดก็เปิดใช้แล้ว

“ของพวกนี้มันอะไรกัน?” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นของพวกนี้ถูกเก็บเอาไว้ในตู้เย็น เขาก้มลงไปเปิดประตูตู้ชั้นล่าง และมันก็เต็มไปด้วยถุงพลาสติกสีดำมากมาย

“นี่คงไม่ใช่ชิ้นส่วนซากศพหรอกใช่ไหม?” อย่างไรเสียก็ไม่มีตัวเลือกอื่นให้ชายขี้เมาแล้ว– ที่ซ่อนเดียวที่ใหญ่พอสำหรับคนคนหนึ่งนั้นก็คือตู้เย็นนี่ เขาย้ายถุงพลาสติกสีดำจากตู้ชั้นล่างขึ้นไปไว้ที่ชั้นบน ระหว่างการขนย้าย หัวสุนัขหัวหนึ่งก็หล่นออกมาจากรอยฉีกของถุงใบหนึ่ง

“พวกนี้เป็นเนื้อหมาเหรอ?” เพื่อปกปิดร่องรอยของตัวเอง ชายขี้เมาหยิบหัวสุนัขขึ้นมาแต่ตอนที่เขายัดหัวสุนัขกลับเข้าไปในตู้เย็น เขาก็บังเอิญมองไปที่หัวนั่น ม่านตาที่แข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว และยิ่งเขามองมันนานขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวนี่เหมือนเป็นหัวคน เขาไม่สามารถอธิบายได้จริง ๆ ว่าทำไม แต่มันแค่เหมือนเขาไม่ได้กำลังมองหัวสุนัข แต่ว่าเป็นหัวคนแช่แข็ง

“เชี่ยเอ๊ย!” ชายขี้เมาไม่สามารถมองไปยังหัวสุนัขได้อีกต่อไป เขากระแทกประตูตู้เย็นปิดหลังจากย้ายถุงพลาสติกสีดำทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว

ปัง!

เขาเพิ่งย้ายของเสร็จตอนที่ลูกบิดประตูของห้องครัวนั้นกำลังถูกบิด ตอนที่คนผู้นั้นพบว่าประตูเปิดไม่ออกหลังจากพยายามหลายครั้ง ประตูก็สั่นแรงขึ้น

“ฉันถูกเจอตัวแล้ว!” ชายขี้เมาวางเก้าอี้ไว้ด้านใต้พัดลมพูดอากาศ คว้ามีดปังตอ และคลานเข้าไปที่ชั้นล่างของตู้เย็นก่อนที่จะปิดประตูลง ประตูห้องครัวถูกกระแทกอยู่หลายครั้ง แต่ว่ามันก็ยังเปิดไม่ออก ปิศาจที่ด้านนอกประตูดูเหมือนจะยอมแพ้ไปแล้ว เสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป และในห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง

ชายขี้เมาตัวสั่นเพราะความเย็น เขาไม่กล้าออกจากที่ซ่อนของเขา กลัวว่านี่จะเป็นกับดัก ประมาณครึ่งนาทีให้หลัง เสียงฝีเท้าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงสอดลูกกุญแจเข้าไปในล็อก ประตูที่ถูกล็อกเอาไว้เปิดออก และโต๊ะก็ถูกผลักไปที่ด้านข้าง

“มันมาแล้ว!” ชายขี้เมาไม่รู้ว่าเจ้าของที่นี่หน้าตาแบบไหน แต่เมื่อคิดถึงรูปภาพพวกนั้นก็ทำให้เขาหนาวไปจนถึงแก่นแล้ว เสียงฝีเท้าก้องอยู่ในครัว ไม่ช้า เก้าอี้ก็ถูกย้ายไปรอบ ๆ เหมือนเจ้าของที่นี่กำลังตรวจดูมัน

“หวังว่า นั่นจะหลอกเขาได้…” นั่นคือความปรารถนาของชายขี้เมา แต่เพียงไม่นานหลังจากที่เขาภาวนาอยู่ในใจก็มีเสียงประตูตู้เย็นถูกดึงเปิดออก ประตูชั้นบนถูกเปิดออกก่อน และถุงพลาสติกสีดำที่เขายัดเอาไว้อย่างรีบร้อนก่อนหน้านี้ก็หล่นลงมาเหมือนหิมะถล่ม

ใบหน้าของชายขี้เมาซีดเผือดทันที เขารู้ว่าเขาถูกเจอตัวแน่แล้ว!

“ฉันต้องออกไปจากที่นี่!” บางทีการถือมีดปังตอเอาไว้จะทำให้เขากล้าขึ้นเพราะว่าชายขี้เมากระแทกประตูเปิดออกจากด้านใน เนื้อสุนัขที่กระจายเต็มพื้นเข้าสู่ครรลองสายตาของเขา และหัวสุนัขที่มีสีหน้าอย่างมนุษย์ก็อยู่ตรงหน้าเขาพอดี

ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว ชายขี้เมาก็ยังกลัวมาเมื่อเห็น ดวงตาของเขาเบนไปด้านข้างและเขาก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางเนื้อสุนัขที่กระตัดกระจายอยู่

ขนสุนัขเป็นปึก ๆ ติดอยู่ทั่วร่างคนผู้นั้น และสีหน้าของคนผู้นั้นก็ทำให้ชายขี้เมารู้สึกถึงความคุ้นเคย

“ใบหน้านี่คือหมายิ้มจากในรูปพวกนั้น!” ร่างของเขาเหมือนแช่อยู่ในน้ำเย็น เขาคลานออกจากตู้เย็นด้วยพลังทุกหยาดหยดที่มีและพุ่งไปทางประตู

“สีหน้าของหมาตายตัวนั้นดูเหมือนสีหน้าคน แต่คนเป็น ๆ กลับมีหน้ายิ้มแย้มเหมือนหมาตายที่ในรูป” ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของชายขี้เมา “หมาตายนั่นเข้าสิงร่างของคนเป็น ๆ คนนั้น หรือว่าพวกมันแลกเปลี่ยนวิญญาณกัน? เป็นไปได้ไหมว่านี่เป็นคำสาปแบบหนึ่ง คำสาปของหมาหน้ายิ้ม?”

ชายขี้เมาไม่สามารถอธิบายความคิดที่ผ่านเข้ามาในใจของตัวเองได้ เขาพุ่งไปที่ห้องแรกที่เขากระโดดเข้ามาเหมือนชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับมันแล้ว เทียบกับสิ่งที่น่ากลัวกว่า สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกลัวเมื่อตอนแรกกลายเป็นน่ากลัวน้อยลงไปแล้ว เมื่อชายขี้เมาวิ่งเข้าไปในห้อง ที่ตรงมุม เขาหันกลับไปมองด้านหลังตัวเอง ชายแปลกหน้าคนนั้นก้มลงใช้แขนและขาทั้งสี่ข้างไล่ตามหลังเขามาเหมือนหมาบ้า ผิวหนังที่พับย่นบนใบหน้าของเขานั้นยู่เข้าหากันเผยให้เห็นรอยยิ้มที่คล้ายกับสุนัขในรูป

ชายขี้เมากระแทกประตูปิด กระโจนออกจากหน้าต่าง เขาหนีออกจากตึกสองชั้นนี้โดยไม่หันกลับไปมอง ความกลัวเปลี่ยนเป็นพลัง ชายขี้เมาไม่หยุดวิ่งจนกระทั่งออกมาจากตึกนั้น เขาวิ่งไปตามถนนอีกประมาณสิบเมตรและหยุดเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามเขามา

“ปิศาจพวกนี้คือตัวอะไรกัน? ทำไมมันถึงเหมือนกับว่าทุก ๆ ตึกที่นี่ล้วนมีปิศาจเช่นนั้นอยู่กัน?” หมอกเลือดปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ชายขี้เมายืนอยู่กลางถนน เขามองซ้ายและขวาและพบว่ารถเมล์ที่น่าจะจอดอยู่ตรงนี้นั้นหายไปแล้ว

“ฉันวิ่งมาผิดทางเหรอ? หรือว่ารถเมล์อยู่ทางอื่น?” ชายขี้เมายืนอยู่บนถนน ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ตึกไหน “เทียบกับตึกก่อนหน้าแล้ว มันดูจะปลอดภัยกว่าที่บนถนน ฉันควรจะพยายามเดินไปตามถนนและจำเส้นทางเอาไว้ รถเมล์น่าจะอยู่ตรงไหนสักที่แถวนี้”

ชายขี้เมาเดินไปตามถนน แต่แค่ไม่นานเขาก็ไปเจอใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าโบกมือมาให้เขา หมอกสีเลือดลดระดับการมองเห็นลงมาเป็นอย่างมาก และเขาก็บอกได้แค่ว่ามันมีรูปร่างอย่างมนุษย์

“นี่เป็นการทารุณกรรมสัตว์หรือว่ามนุษย์กันแน่?” ความเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนในรูปนั้นทำให้ชายขี้เมารู้สึกไม่สบายใจ เขายัดรูปพวกนั้นกลับไปในลิ้นชักโดยไม่ดูทั้งหมด ตอนที่เขาดึงมือกลับมานั้น จู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่เปียกและเหนียวบนฝ่ามือของตัวเอง เขาใช้โทรศัพท์ส่องดูแล้วตาของชายขี้เมาก็กระตุก ฝ่ามือของเขานั้นเปียกไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม

“แต่ว่าฉันไม่ได้แตะอะไรเลยนอกจากรูปพวกนี้? เป็นไปได้ไหมว่าเลือดซึมออกมาจากรูปพวกนี้?” ยืนอยู่ในห้องแปลก ๆ คนเดียว มีสิ่งที่น่ากลัวอยู่ในทางเดิน เสียงกระดิ่งลมดังกังวาน และยังปิศาจที่ดูเหมือนไม้ถูพื้นขวางอยู่ที่ประตูหน้า… ต่อให้ชายขี้เมามีความกล้ามากกว่านี้ร้อยเท่า เขาก็จะไม่ออกไปจากห้องนี้

“ปิศาจที่โปรยขนหมาลงมาที่นอกหน้าต่างน่าจะอยู่ที่ชั้นสอง และห้องนี้ก็อยู่ไกลจากบันไดที่สุด ดังนั้นมันน่าจะเป็นห้องที่ปลอดภัยที่สุด” เขาไม่กล้าออกไป กลัวว่าปิศาจอาจจะอยู่ด้านนอกประตูเมื่อเขาเปิดออกไป ดังนั้น เขาจึงจนปัญญาได้แต่อยู่ในห้องนี้อย่างตื่นตระหนกต่อ “แต่ทำไมรูปพวกนั้นถึงมีเลือดซึมออกมา? ฉันบังเอิญไปปัดโดนส่วนอื่นของลิ้นชัก หรือว่ามีห้องลับซ่อนอยู่ที่ด้านในประตู”

ชายขี้เมารวบรวมความกล้าแล้วดึงลิ้นชักสุดท้ายออกจากช่องแล้ววางลงบนพื้น คราวนี้ เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีแค่รูปภาพอยู่ในลิ้นชัก

“เดี๋ยวนะ งั้นเลือดก็มาจากในรูปจริง ๆ?” ข้อสันนิษฐานของเขานั้นดูเป็นไปไม่ได้ และจู่ ๆ ก็มีแรงกระตุ้นบอกให้เขาหนีออกไปจากห้องนี้ ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่รูปพวกนั้น และชายขี้เมาก็พบบางอย่างที่แปลกไป ในรูปทั้งหมดที่เป็นรูปคนถูกทารุณกรรมนั้น ใบหน้าของคนในรูปถูกปิดเอาไว้ แต่ในรูปที่มีคนทำทารุณกรรมสัตว์ เมื่อสัตว์กำลังจะตายนั้น จะมีมือหนึ่งกำคอของสัตว์ตัวนั้นเอาไว้ บังคับให้มันหันหัวไปหากล้องเหมือนกำลังอวดรางวัลที่ชนะได้มา

“บ้าไปแล้ว” บางทีเขาคงดูรูปพวกนั้นนานเกินไป แต่จู่ ๆ ชายขี้เมาก็พบว่าสัตว์ทั้งหมดในรูปดูเหมือนกำลังยิ้มอยู่

“นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นสีหน้าอย่างนี้ของสัตว์ หรือบางทีฉันอาจจะคิดไปเองว่ามันน่าจะกำลังยิ้มอยู่ ใช่ไหม? หมายิ้ม?” ชายขี้เมาตัวสั่น เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้รูปที่บนพื้น เขามองไปรอบ ๆ และยิ่งอยู่ในห้องนี้นานขึ้น เขาก็ยิ่งกลัวมากขึ้นตามไป “ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนว่าที่นี่น่ะน่ากลัวกว่าที่ด้านนอกก่อนหน้านี้เสียอีก?”

เขาถูมือกับเตียง พยายามเช็ดคราบเลือดออก แต่ว่าปลายนิ้วของเขากลับแตะถูกอย่างอื่น หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ดึงผ้าปูที่นอนออก และกลิ่นเหม็นเน่าก็ตลบใส่เขาราวกับเป็นกำแพงหนา บนที่นอนของเตียงไม้นั้นมีแอ่งเลือดรูปร่างอย่างมนุษย์ที่แห้งกรังไปแล้ว

จากแค่รูปร่างอย่างเดียวเขาก็บอกได้ว่าเหยื่อน่าจะเจ็บปวดเป็นอย่างมากก่อนที่จะตายลง เลือดกระจายไปทั่วบริเวณท้อง มันเหมือนกับว่าเหยื่อถูกสัตว์ร้ายหลายชนิดโจมตี และสัตว์ร้ายเหล่านั้นก็ฉีกทึ้งท้องและลำคอของเขา

ชายขี้เมานั้นเป็นนักขายคนหนึ่ง เขาไม่เคยเจอกับอะไรอย่างนี้มาก่อน ร่างกายของเขาแข็งทื่อ สมองของเขาหยุดทำงาน เขาขนลุกชัน และอากาศเฮือกหนึ่งก็ดันพรวดออกมาจากปอดของเขา ในวินาทีสุดท้าย เขากัดมือตัวเองเพื่อยั้งไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมา

“เคยมีคนตายอยู่ในห้องนี้! เตียงนี่คือสถานที่พักผ่อนสุดท้ายของเขา!” มันดูออกได้อย่างง่ายดาย เขาไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว สำหรับคนผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ในโลกอันสงบสุข นี่เป็นครั้งแรกที่ชายขี้เมาได้ใกล้ชิดกับการฆาตกรรมของจริงถึงขนาดนี้ ดวงตาของเขากลอกไปมา และในที่สุดเขาก็ได้สติกลับมา สิ่งแรกที่เขาทำก็คือโยนผ้าปูเตียงทิ้งไป

ดวงตาของเขาย้ายมาที่เท้าของตัวเอง และใบหน้าของสัตว์ตัวหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจเขา “ไอ้หมาตัวนั้นกำลังยิ้ม มันกำลังหัวเราะอยู่จริง ๆ! ฉันไม่ได้ดูผิดไป!”

ชายขี้เมาเกือบจะเสียสติไปจากความหวาดกลัวทั้งหมดนี่ แต่นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย หลังจากตื่นขึ้นมาบนรถเมล์ มันก็เหมือนว่าทั้งโลกของเขานั้นเปลี่ยนไป เขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ไม่แม้กระทั่งในฝันร้ายของเขาเอง

“ฉันต้องออกไปจากที่นี่ ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว!” ชายขี้เมาเอนตัวแนบกำแพงและเดินไปทางหน้าต่าง เขาจับม่านเอาไว้ แต่ว่าไม่กล้าพอที่จะดึงมันเปิดออก กลัวสิ่งที่เขาจะเห็นที่ด้านหลังนั้น

หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความลังเล และขาของเขาก็สั่น ตามกฎของเมอร์ฟี* อะไรที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นเสมอ เสียงประหลาดดังออกมาจากด้านในห้อง– มันเหมือนเสียงหนูกำลังกัดกินอะไรสักอย่างอยู่

“เสียงเหมือนดังมาจากใต้เตียง…” ชายขี้เมาไม่ได้บ้าพอที่จะก้มลงไปดูใต้เตียง เมื่อเสียงนั้นเริ่มดังเกินไป เขาก็ดึงม่านเปิดออก

หน้าต่างห้องนอนนั้นเปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ อยู่แล้ว เมื่อชายขี้เมามองผ่านหน้าต่างออกไปก็พบใบหน้าหนึ่งกำลังมองเข้ามา เส้นผมสีดำนั้นราวกับติดแน่นอยู่บนใบหน้าและใบหน้าซีดเผือดนั้นก็พยายามสุดกำลังเบียดตัวเองผ่านหน้าต่างเข้ามา!

ปัง!

ชายขี้เมาใช้แรงทั้งหมดของตัวเองกระแทกหน้าต่างปิดจนเกิดเป็นเสียงดังลั่น สมองของเขาว่างเปล่า และมันเป็นปฏิกริยาของร่างกายของเขาที่สั่งให้เขากระแทกหน้าต่างปิด

หัวนั่นไถลไปกับกระจกบาง ๆ ของหน้าต่าง ริมฝีปากของมันเปิดปิดช้า ๆ และฟันไม่กี่ซี่ที่ยังเหลืออยู่ก็กระแทกกับกระจกเหมือนมันกำลังพูดว่า “ในที่สุดฉันก็เจอแก”

หลังจากล็อกหน้าต่างแล้ว ชายขี้เมาก็รู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะหมดแรง เขาล้มไปกับพื้นและมองขึ้นไปยังหัวที่บนหน้าต่าง ก่อนที่เขาจะลุกไหว เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเปียกเปื้อนกางเกงของเขา ความเย็นที่วาบเข้ามาทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว

เขาหันหน้ามองลงไปด้วยสายตาสั่นไหว เขาล้มลงไปบนกองรูปภาพ และเลือดก็นองอยู่บนกางเกงของเขา

นอกจากนั้นแล้ว ชายขี้เมายังพบว่าหัวสัตว์ทั้งหมดนั้นหายไปจากรูปที่บรรดาสัตว์ถูกทารุณกรรม เลือดสีแดงเข้มซึมออกมาจากจุดที่เคยมีหัวของพวกมันอยู่

ชายขี้เมารู้สึกว่าอากาศถูกสูบออกจากปอดของเขา และเขาก็คลานหนีอย่างรวดเร็ว

ปัง! ปัง!

หัวมนุษย์กระแทกเข้ากับหน้าต่าง แต่ว่าชายขี้เมาไม่ได้หันไปมอง เขาบังคับให้ตัวเองลุกขึ้นและวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย คนอื่น ๆ ไปอยู่ไหนกันหมด?” เขาคลานกลับเข้าไปในทางเดิน ตั้งใจจะหาห้องอื่นซ่อนตัว แต่เมื่อเขาออกมา เขาก็เห็นเงาหนึ่งเอนตัวแนบอยู่ที่มุมบันไดขึ้นชั้นสอง มันดูเหมือนสุนัขสักตัวแต่ก็เหมือนคนด้วย!

“นั่นอะไรน่ะ?” เพราะกลัวเกินกว่าจะเข้าไปใกล้ ๆ บันได ชายขี้เมาหันกลับและหลบเข้าไปในห้องที่ใกล้ที่สุด เขาปิดประตูโดยไม่รู้เลยว่านี่เป็นห้องอะไร เขาล็อกประตูแล้วหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปอย่างกระหายขณะเอนตัวพิงประตูเอาไว้ สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่งแล้ว เขาก็นับได้ว่ามีจิตใจที่แข็งแกร่งพอสมควรเมื่อคิดถึงประสบการณ์ที่เขาผ่านมานี้

“ไม่ ฉันจะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้! ฉันต้องกลับออกไปและรวมกลุ่มกับคนอื่นที่เหลือ!” ชายขี้เมาตอนนี้นั้นรู้แล้วว่าการเกาะกลุ่มกันเอาไว้นั้นสำคัญอย่างไร เขาย้ายโต๊ะไปขวางประตูเอาไว้แล้วเริ่มตรวจดูรอบตัว

เตา ตู้เย็น และตู้กับข้าวหลังใหญ่

“ห้องครัวหรือ?” ชายขี้เมามองไปรอบ ๆ และพบว่านี่ไม่ดีสำหรับเขาเลย เขาเข้ามาในห้องครัว และที่แย่ที่สุดก็คือในห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง

“มันจบแล้ว”

มีเสียงกระจกแตกดังมาจากด้านนอก และกระดิ่งลมที่ทางเดินก็ส่งเสียงดังกว่าเดิม ชายขี้เมาไม่ยอมแพ้ ด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ เขาเริ่มค้นไปทั่วห้องครัวมองหาสิ่งที่จะใช้การได้

TL note: *กฎของเมอร์ฟี (Murphy’s Law) เป็นภาษิตที่มีการกล่าวถึงการอย่างกว้างขวางว่า “ทุกสิ่งที่สามารถผิดพลาด จะผิดพลาด” (Anything that can go wrong, will go wrong)

น้ำยาปรับอากาศ

“กลิ่นจากอะไรเนี่ย?” ชายขี้เมาปิดปากและจมูกเอาไว้ขณะส่องไฟฉายเข้าไปในบ้านสุนัข ที่เกินกว่าที่เขาจะคาดเอาไว้ก็คือ ในนั้นไม่มีอะไรเลย “มันดูสะอาดมาก แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงมีกลิ่นเหม็นขนาดนี้ล่ะ? กระทั่งเนื้อเน่าก็ยังไม่เหม็นขนาดนี้เลย!”

ชายขี้เมากลั้นความอยากจะอาเจียนเอาไว้แล้วก็หยิบกิ่งไม้ที่ใกล้ ๆ ขึ้นมาเขี่ยดินที่ด้านในบ้านสุนัขไปมา “ไม่มีอะไรฝั่งอยู่ข้างใต้ด้วยเหมือนกัน งั้นกลิ่นเหม็นเน่านี่มาจากไหน? มันเหมือนกลิ่นเหม็นเน่านี่ซึมซาบเข้าไปในแผ่นไม้…”

เสียงก้องของฝีเท้ารีบร้อนดังใกล้เข้ามา ชายขี้เมาก้าวเท้าถอย เพราะว่าเขาไม่สามารถทนกลิ่นได้ เขาจึงกระโจนผ่านหน้าต่างเข้าไปในตัวบ้าน

“หวังว่า ครอบครัวนั้นจะไม่ชักนำปิศาจมาที่นี่” ชายขี้เมาเริ่มรู้สึกเสียใจที่เรียกชายวัยกลางคนให้ตามเขามา– นั่นเปิดเผยตำแหน่งที่อยู่ของตัวเขาเองออกไปชัด ๆ เลยไม่ใช่เหรอ?

เขากุมหัวตัวเองเอาไว้แล้วก็นั่งยอง ๆ ลงไปใต้หน้าต่างและหยิกตัวเอง “นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่ที่ฉันเห็นมันเป็นนรกบ้าอะไรกันล่ะ? ทำไมหัวนั่นถึงเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนั้น? และมันเคลื่อนที่ได้ยังไง? ใช้คางของมันหรือไง?”

ชายขี้เมาเชื่อว่าครอบครัวสามคนนั่นคงประสบกับโศกนาฏกรรมแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะออกไปช่วยคนพวกนั้นเช่นกัน “นอกจากฉันแล้ว ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ทั้งหมดบนรถเมล์น่าจะตายไปหมดแล้ว ไม่มีใครมีความกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้หรอก ไม่มี…”

เขายังรู้สึกหัวเบา ๆ อยู่ แต่ว่า มันไม่ใช่จากเหล้าแล้วแต่จากความกลัวและความตกใจ เหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมาจากทุกรูขุมขนของเขา ชายขี้เมาตัวสั่น “ตอนนี้ฉันควรจะทำยังไง? โทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ฉันเดาว่าฉันอาจจะต้องซ่อนอยู่ที่นี่จนกว่าหมอกจะสลายไป”

หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ชายขี้เมาก็ไม่กล้าเดินไปมาอย่างไร้จุดหมายอีกต่อไปแล้ว เขาขดตัวอยู่ใต้หน้าต่าง และหลายนาทีก็ผ่านไป จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงประตูเข้าสวนแง้มเปิดออก

“มีคนมาที่นี่!” เขากลั้นหายใจ แล้วก็ตั้งใจฟัง หลังจากประตูเปิด ก็ไม่มีเสียงอื่นอีก

“สิ่งนั้นแค่เข้ามาดูแวบเดียวเหรอ? ปิศาจนั่นไม่ได้เจอฉันใช่ไหม?” คราวนี้ ชายขี้เมาเรียนรู้จากบทเรียนก่อนหน้าของตัวเอง เขาไม่ได้ชะโงกหน้าออกไปดูผ่านหน้าต่าง เพราะกลัวว่าจะมีใครมองกลับมาที่เขา กลับกัน เขาใช้โทรศัพท์ของตัวเอง ปรับมุม และเปิดใช้กล้องเพื่อมองออกไปยังสวนด้านนอก ประตูนั้นเปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ แต่ว่าไม่มีใครอยู่ในสวน

“ฉันคงจะโชคดีแล้ว” ชายขี้เมาลุกขึ้นและเมื่อเขาเก็บโทรศัพท์ลงไป ศอกของเขาก็ปัดผ่านขวดที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่ขอบหน้าต่าง

“น้ำยาปรับอากาศ?” ชายขี้เมาวางขวดกลับลงไปและไม่ได้คิดอะไรมากนัก เขาลุกขึ้นยืน ในที่สุดชายขี้เมาก็มีเวลาตรวจดูสถานที่ซ่อนของเขา บางที มันอาจจะเพราะเส้นประสาทตึงเครียดของเขา แต่เขารู้สึกเหมือนมีเสียงแปลก ๆ กระซิบเข้าไปในหูเขา มันเหมือนเสียงกระดิ่งลม

มันเป็นธรรมเนียมเก่าแก่ที่จะแขวนกระดิ่งลมเอาไว้เหนือประตู เมื่อกระดิ่งส่งเสียงกังวาน ก็หมายความว่ามีคนเข้ามาในห้อง ถ้าเป็นปกติแล้ว ชายขี้เมาก็คงไม่สนใจ แต่สถานการณ์ตอนนี้ต่างออกไป มีความรู้สึกเหมือนมีคนเดินอยู่ใกล้ ๆ กับทางเข้า และมันยังเคลื่อนที่เร็วด้วย

แค่คิดว่ามีสิ่งอื่นอยู่ในบ้านนี้กับเขาก็ทำให้หัวใจของเขาหดเกร็ง เสียงฝีเท้าสับสนบนพื้น ชายขี้เมาหันหน้าหลบจากหน้าต่าง และจู่ ๆ เขาก็พบว่าแสงไฟที่ด้านหลังเขานั้นสลัวลงเหมือนมีบางอย่างกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างบังแสงเอาไว้

ใครยืนอยู่ที่นอกหน้าต่างน่ะ? เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในใจเขา หัวของชายขี้เมาก็ราวกับจะระเบิดออกมา ร่างของเขาแข็งทื่อด้วยความกลัว และเสียงกระดิ่งลมก็ดังรัวขึ้นกว่าเดิม มีบางอย่างกำลังมา!

ชายขี้เมารวบรวมความกล้าหันกลับไปมอง แต่ว่าที่หน้าต่างไม่มีอะไร

“ฉันทำตัวเองกลัวไปเองแล้ว” เขาถอยกลับไปที่หน้าต่าง และตอนที่เขาปัดผ่านกรอบหน้าต่างด้านล่าง ผิวของเขาก็รู้สึกถึงบางอย่าง เขาใช้แสงจากโทรศัพท์ส่อง เขาเห็นว่ามีขนสุนัขสีดำติดอยู่ที่รอยแตกบนกรอบหน้าต่างเป็นจำนวนมาก

ผัวะ!

หน้าต่างที่บนชั้นสองเหวี่ยงเปิดออก มือของชายขี้เมาสั่น และขนสุนัขที่บนมือของเขาก็ร่วงลงพื้น เขาได้ยินชัดเจนว่าหน้าต่างที่เหนือหัวของเขานั้นเหวี่ยงเปิดออก!

บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ หรือบางทีใครบางคนอาจจะกำลังปั่นหัวเขาอยู่ เขาไม่กล้ากระโดดออกไปจากหน้าต่าง แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ไม่คิดว่าการอยู่ในบ้านจะปลอดภัย ตอนที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น ขนสุนัขก็ฟุ้งหล่นลงมาจากบนเพดานมากขึ้น

“ทำไมถึงมีขนหมาเยอะขนาดนี้?” เขานึกถึงบ้านสุนัขว่างเปล่าที่ในสวนและกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงนั่น!

“เกิดอะไรขึ้น?” ชายขี้เมาไม่กล้ามองขึ้นไป เขาไม่สนใจจะรู้ว่าสิ่งที่มองเขาจากด้านบนอยู่คืออะไร ตอนนี้ เขาแค่อยากถูกทิ้งเอาไว้คนเดียว

“ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ฉันต้องกลับออกไป!” ตอนที่เขาตัดสินใจนั้น ประตูในสวนก็ถูกผลักเปิดอีกครั้ง และในความมืด บางอย่างที่ดูเหมือนไม้ถูพื้นก็ขวางหน้าประตูเอาไว้

เห็นใบหน้าที่ใต้เส้นผมนั่นแล้ว หัวใจของชายขี้เมาก็เหมือนถูกจุ่มลงไปในน้ำแข็ง เขาไม่ขยับเข้าไปใกล้หน้าต่างและวิ่งหนีออกไปจากห้องนี้ที่อยู่ใกล้สวนที่สุด

“บ้าชะมัด มันมาถึงเมื่อไหร่น่ะ?” ชายขี้เมาวิ่งไปในทางเดินและเสียงกระดิ่งลมก็ดังมาจากที่ปลายทางเดิน รองเท้าใส่ในบ้านเก่า ๆ หลายคู่กระจายอยู่บนพื้น และที่นี่ก็ดูยุ่งเหยิงไปหมด

“ขนสุนัขปลิวลงมาจากด้านบน ดังนั้นน่าจะมีบางอย่างน่ากลัวอยู่ที่ชั้นสองด้วยเหมือนกัน! ฉันขึ้นไปบนนั้นไม่ได้ และฉันก็ต้องอยู่ให้ไกลจากบันได!” ชายขี้เมาสูดลมหายใจลึก ๆ ให้ตัวเองสงบลง เขาเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องที่อยู่ห่างจากบันไดมากกว่าที่นี่

เสียงพื้นลั่นกราว และเสียงเพลงกล่อมเด็กที่ฟังประหลาดก็ดังมาจากที่ไหนไม่รู้ มันเหมือนมีคนเปิดเครื่องบันทึกเสียงของคนตาย

“ฉันเห็นรองเท้าใส่ในบ้านของทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่ในทางเดิน ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในบ้านนี้น่าจะมีมากกว่าหนึ่ง…” ยิ่งเขาคิด เขาก็ยิ่งกลัว แผ่นหลังของชายขี้เมาเปียกชุ่ม และร่างของเขาก็เย็นเฉียบ “หวังว่า พวกเขาจะไม่มาที่นี่”

หลังจากปิดประตูลงเงียบ ๆ ชายขี้เมาก็สังเกตเห็นว่ามีกระป๋องเปล่าหลายใบถูกทิ้งเอาไว้ที่หลังประตู พวกมันดูเหมือนกับใบที่เขาเห็นที่ขอบหน้าต่าง “ทำไมถึงมีน้ำยาปรับอากาศอยู่ในบ้านเยอะขนาดนี้?” เขากวาดกระป๋องพวกนี้ไปที่ด้านข้างและจากนั้นก็เห็นว่ายังมีขวดน้ำหอมเปล่า ๆ รวมทั้งน้ำยาดับกลิ่นอีกมากมายทิ้งเอาไว้ที่มุมห้อง

“ทำไมถึงมีน้ำยาพวกนี้ในบ้านนี้เยอะขนาดนี้? เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน?” ชายขี้เมาเอาแต่นึกถึงกลิ่นเหม็นที่บ้านสุนัข “บ้านสุนัขนั้นได้รับการดูแลอย่างดีแต่ว่ามีกลิ่นน่าคลื่นไส้ ห้องของคนก็เละเทะไปหมด แต่ว่ามีกลิ่นน้ำหอม ที่นี่มีบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว”

เขามองไปรอบ ๆ และคิดว่าเขากำลังอยู่ในห้องของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง มีนิตยสารแฟชั่นและยังหนังสือเพาะกายกระจายอยู่บนเตียง และยังมีดัมบ์เบลล์รวมทั้งเครื่องชั่งน้ำหนักอยู่ใต้โต๊ะ

ห้องนี้นั้นดูปกติไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไร ชายขี้เมารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

เขาเปิดลิ้นชักโต๊ะอ่านหนังสือออก ที่ก้นลิ้นชัก เขาพบรูปการทารุณกรรมสัตว์กองหนึ่ง มันทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ แต่ว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ตอนที่ชายขี้เมาพลิกภาพพวกนั้นดู เขาก็พบว่า หนึ่งในสี่ส่วนแรกของรูปนั้นมีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังทรมานสัตว์ แต่ว่า สามส่วนที่เหลือนั้นเป็นเด็กวัยรุ่นคนนั้นถูกทรมานแทน

 

อันตรายข้างหน้า

ภรรยาที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ชายวัยกลางคน และชายขี้เมา ล้วนหันกลับมองไปยังทิศทางที่เด็กชายชี้ไป เสียงประหลาดดังมาจากที่สุดทางเดิน ลูกบิดประตูของห้องหนึ่งนั้นขยับเล็กน้อยเหมือนมีบางคนที่ถูกล็อกเอาไว้ในห้องพยายามจะออกมา

เสียงประหลาดนี้ดังอยู่ในตึกที่พักอาศัยที่เงียบอย่างน่ากลัวทำให้หัวใจของพวกเขาทุกคนบีบรัดแน่น

“ผู้ชายคนที่นำทางขึ้นชั้นบนไป เขาบอกว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่”” ชายวัยกลางคนยิ่งคิดเรื่องนี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกลัวมากเท่านั้น “ฉันเคยมาที่เมืองหลี่ว่านมาก่อน ฉันจะพูดอย่างไรดี? บางครั้ง คุณก็จะเจอเรื่องแบบนี้ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์”

“ตัวอย่างเช่น?”

“คุณไม่อยากรู้สักตัวอย่างหรอก เชื่อผม ทั้งหมดที่พวกเราทำได้ก็คือหลีกเลี่ยงพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”

“แล้วถ้าพวกเราหลีกเลี่ยงเขาไม่ได้ล่ะ?” ชายขี้เมาเอนตัวพิงผนัง และดวงตาของเขาก็หรี่มองไปยังปลายสุดทางเดิน

“ถ้าพวกเราหลีกเลี่ยงเขาไม่ได้ อย่างนั้นพวกเราก็ทำเป็นมองไม่เห็นพวกเขาและทำตัวปกติที่สุดเท่าที่พวกเราทำได้ บอกตัวเองเข้าไว้ว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจินตนาการของคุณเอง” ใบหน้าของชายวัยกลางคนซีดเหมือนเขากำลังนึกถึงความทรงจำน่ากลัวบางอย่าง เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากของเขา และเขาก็ดูเหมือนกำลังจะอาเจียนออกมา “เมืองหลี่ว่านที่ฉันเคยมาเมื่อตอนนั้นไม่เหมือนเมืองหลี่ว่านตอนนี้ ตอนนั้นไม่มีหมอกสีแดง มันเหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นมา”

“หยุดพยายามทำให้ผมกลัวได้แล้ว บ้าชะมัด ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนมีคนเป่าลมเข้ามาในหูผมละเนี่ย แล้วยังมีเสียงผู้หญิงกำลังพูดอีก!” ชายขี้เมาหันกลับไปมองด้านหลังตัวเอง ‘ฆาตกร’ ที่เรียกตัวเองว่ามือกรรไกรนั้นเดินไปตามทางเดิน มันควรจะเป็นใบหน้าของชายคนหนึ่ง แต่เมื่อมองนานเข้า ก็จะรู้สึกเหมือนกำลังมองผู้หญิงคนหนึ่งอยู่

คนผู้นั้นไม่ได้ตามพวกเขาเข้าไปในทางเดินแต่ว่าเดินต่อไปข้างหน้า

“นั่นผู้ชายหรือว่าผู้หญิงน่ะ?” ความรู้สึกประหลาดทำให้ขี้เมารู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง เขาตบไหล่ชายวัยกลางคน “เมื่อกี้นี้มีคนเดินผ่านไป”

“จริงเหรอ?” เมื่อชายวัยกลางคนหันกลับไปมอง หมอกเลือดก็ปกคลุมทั่วทางเดินไปแล้วและเขาก็มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น “ไม่ต้องสนใจเขา พวกเราระวังตัวเองก่อน”

เพียงแค่พริบตาเดียว ลูกบิดประตูที่ปลายทางเดินก็หยุดขยับ และทุกอย่างก็กลับเป็นเงียบลงอีกครั้ง หมอกหนา และรอบด้านก็ดูหลอนอย่างประหลาด บางครั้งก็มีเสียงลมพัดโหยหวนและทำให้ทั้งกลุ่มเป็นกังวลมากขึ้น

“คนที่อยู่ด้านหลังประตูยอมแพ้ไปแล้วเหรอ?” ชายขี้เมาจับราวบันไดเอาไว้ เขากำลังยืนอยู่ที่ปากทางเดิน เตรียมตัววิ่งหนีหากจำเป็น

“บางที หรือสิ่งนั้นอาจจะหนีออกมาจากห้องแล้วก็ได้” ชายวัยกลางคนก้มลงไปดึงโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋า ชายขี้เมาสังเกตเห็นว่าโทรศัพท์ของชายวัยกลางคนนั้นเป็นรุ่นเก่าหลายปีแล้ว เขาปรับความสว่างของหน้าจอไปที่ระดับสูงสุด เขายกมันขึ้นตรงหน้า และมันก็ดูเหมือนจะมีบางอย่างเข้ามาอยู่กับพวกเขาในทางเดินด้วย แต่ว่า พวกเขาก็อยู่ไกลเกินกว่าจะมองเห็นว่ามันคืออะไร

“นี่แปลก” ชายวัยกลางคนใช้ศอกสะกิดขายขี้เมา “ฉันรู้สึกเหมือนว่าในทางเดินนี้ต่างไปจากก่อนหน้า ไปดูกัน”

ตอนที่สายลมพัดระใบหู มันก็เหมือนมีคนบ้ากระซิบกระซาบกับเขา ชายขี้เมารับโทรศัพท์ของชายคนนั้นมาและเข้าไปดูใกล้ ๆ “มันดูไม่เหมือนว่าสิ่งนี้จะอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้นะ”

เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจนักและใบหน้ายังขมวดมุ่นขณะตรวจดูเพดานที่เสื่อมสภาพ ประตูที่ปิดอยู่ และขยะที่กองอยู่ตามทางเดิน

“หืม?” ความสนใจของชายขี้เมาไปสะดุดอยู่ที่ของสิ่งหนึ่งทันที

“คุณเห็นอะไร?” ชายวัยกลางคนรีบเดินไปดูสิ่งที่ชายขี้เมาเจอ เขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ– ไม่มีผีหรือว่าศพ

“ผมก็ไม่แน่ใจ รอเดี๋ยวนะ” ชายขี้เมาส่งโทรศัพท์คืนและดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเปิดใช้ไฟฉาย แสงไฟหักเหอยู่ในหมอก และนั่นก็หมายความว่าพวกเขาก็ยังมองเห็นสิ่งนั้นไม่ชัดอยู่ดี

“มันน่าจะเป็นประตูบานนี้แหละที่มีเสียงดังมาก่อนหน้านี้” ชายขี้เมาสะกดความกลัวเอาไว้แล้วเดินไปข้างหน้า ในที่สุดเขาก็เห็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาที่ไม่เห็นว่าจะมีอยู่ตรงนี้มาก่อน “ไม้ถูพื้น?”

มีไม้ถูพื้นด้ามหนึ่งเพิ่มเข้ามาในทางเดิน ไม้ถูพื้นแบบที่ใช้กันทุก ๆ วัน เขาสงสัยว่าใครกันที่โยนมันเอาไว้ตรงนี้

“ก็แค่ไม้ถูพื้น ทำไมคุณถึงพยายามทำให้ผมกลัวแบบนั้นด้วย?” ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจลึกและวางเด็กชายลงบนพื้น แขนของเขาเริ่มปวด

ชายขี้เมาถอนหายใจอย่างโล่งใจ และเขาก็เกาหัวอย่างอาย ๆ “ผมเดาว่าผมคงจะกระวนกระวายเกินไป… แต่ว่าก่อนหน้านี้มีไม้ถูพื้นนี่อยู่ในทางเดินนี้เหรอ?”

“มันน่าจะมีนะ ฉันเองก็จำไม่ได้” ชายวัยกลางคนยืนอยู่กับชายขี้เมา และพวกเขาก็มองไปตามทางเดินด้วยแสงจากโทรศัพท์ของตัวเอง

ชายขี้เมาที่ต้องการเดินไปต่อ จู่ ๆ ก็หยุดเท้า เขาถามชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างไม่แน่ใจ “ไม้ถูพื้นขยับใช่ไหมน่ะ? ก่อนหน้านี้มันไม่ได้อยู่ตรงนี้นี่? ผมจำได้ว่ามันพิงอยู่กับประตูห้องที่สามจากด้านหลัง ทำไมมันถึงเหมือนกับว่ามันขยับมาอีกประตูหนึ่งล่ะ?”

“จริงเหรอ?” ชายวัยกลางคนหันกลับไปมองไม้ถูพื้น

ภายใต้การเพ่งมองของชายสองคน จู่ ๆ ไม้ถูพื้นก็ขยับ และผ้าถูพื้นสีดำก็เริ่มขยับช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าคนผู้หนึ่งที่ด้านใต้!

ชายขี้เมาและชายวัยกลางคนนั้นไม่คิดว่าจะเกิดอะไรอย่างนี้ขึ้น แขนขาของพวกเขาเย็นเฉียบ ก่อนที่พวกเขาจะทำได้ทำอะไร ไม้ถูพื้นก็เริ่มคืบคลานมาทางพวกเขา เมื่อมันใกล้เข้ามา ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่านั่นไม่ใช่ไม้ถูกพื้น แต่ว่าเป็นคนผู้หนึ่งที่มีผมยาว

“วิ่ง!”

ชายขี้เมากำโทรศัพท์เอาไว้หันหลังวิ่งหนี ชายวัยกลางคนทิ้งภรรยาและลูกเอาไว้แล้วตามชายขี้เมาไป เด็กชายกลัวมาก เขาเริ่มร้องไห้จนกระทั่งแม่ของเขาเข้ามาอุ้มเขาเอาไว้

เสียงฝีเท้าก้องไปทั้งตึก และชายขี้เมาก็เป็นคนแรกที่ออกมาจากทางเดิน เขาลังเลครู่หนึ่งระหว่างขึ้นบันไดไปหาเฉินเกอกับวิ่งออกไปจากตึกนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองบันได ม่านผมสีดำตกลงมาบนใบหน้าของเขา และใบหน้าซีดเผือดก็ไถลลงมาตามราวบันไดในช่องบันได

เขาโยนความระมัดระวังทิ้งไปกับสายลมแล้ววิ่งออกไปจากตึกพร้อมกับกรีดร้อง ในถนนที่มีหมอกหนาของเมือง ที่ซึ่งความจริงและฝันร้ายถักทอเข้าด้วยกัน ทุกตึกดูเหมือนปิศาจกินคน

หัวใจของเขายังเต้นกระหน่ำ ชายขี้เมาไม่กล้าอยู่นานต่อ เขาตะโกนไปที่ชายวัยกลางคนด้านหลังเขา “วิ่ง ทางนี้!”

จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าไปซ่อนในตึกสองชั้นที่ข้าง ๆ กัน

ประตูนั้นไม่ได้ล็อกเอาไว้ แต่ว่าต้นไม้ที่ในสวนล้วนแห้งและเหี่ยวไปหมดแล้ว และที่สะดุดตาที่สุดก็คือบ้านสุนัขหลังใหญ่ที่ตรงมุมลึกสุดของสวน

มันทำจากท่อเหล็กและไม้กระดานที่ขึ้นรา มีรอยกัดแทะทิ้งเอาไว้หลายจุด นอกจากที่ด้านในตึกแล้ว ที่เดียวที่สามารถซ่อนตัวได้ก็คือในบ้านสุนัขนี่

เสียงผีเท้าและเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังมาจากด้านนอก และมันก็ทำให้ชายขี้เมาปั่นป่วน มันทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีที่ไหนปลอดภัย

เขาพุ่งไปที่บ้านสุนัขและนั่งยอง ๆ ลงที่ด้านหลัง ที่ด้านในดูอันตราย ใครจะไปรู้ว่าฉันจะวิ่งเข้าไปเจออะไรที่ข้างในนั่น? มันจะดีกว่าที่จะซ่อนอยู่ตรงนี้ก่อน

ชายขี้เมาพยุงตัวเองเอาไว้ด้วยการจับแผ่นไม้ที่ใช้เป็นหลังคาบ้านสุนัข เขาคิดจะไปซ่อนตัวในบ้านสุนัข แต่ว่าก่อนที่เขาจะชะโงกหน้าเข้าไป ก็มีกลิ่นเหม็นเน่าพลุ่งเข้ามาในจมูกเขาเสียก่อน

 

 

สรวงสวรรค์ของความระทึกขวัญเริ่มต้นขึ้น

‘ประตู’ ในเมืองหลี่ว่านนั้นหลุดออกจากการควบคุม และหมอกสีเลือดก็กลืนกินเมืองลงไปครึ่งหนึ่ง เส้นแบ่งระหว่างฝันร้ายและความจริงนั้นพร่าเลือนไป ตอนนี้ เฉินเกอไม่รู้ว่าเขาอยู่ในประตูแล้วหรือยังเพราะว่าหมอกสีเลือดปกคลุมทุกอย่างเอาไว้ เส้นเลือดคืบคลานอยู่บนผิวกำแพงของทุกตึกราม

หากพวกเราเดินไปตามทางนี้ พวกเราก็จะไปถึงตึกที่ร่างของผีโทรศัพท์ถูกพบ บางทีฉันอาจจะลองขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้าลองตรวจดูในถังน้ำ

ในชีวิตจริง ร่างของผีโทรศัพท์ ถงถง นั้นถูกตำรวจนำไปแล้ว ดังนั้นหากยังมีศพอยู่ในถังน้ำ อย่างนั้นมันก็ต้องหมายความว่าเฉินเกอนั้นอยู่ในโลกด้านหลังประตู โลกที่ด้านหลังประตูนั้นสร้างขึ้นจากความทรงจำของผู้เปิดประตู ดังนั้นตราบใดที่ศพของถงถงยังอยู่ในความทรงจำของเสี่ยวปู้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ศพจะยังถูกทิ้งเอาไว้ในถังน้ำ

แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานของเฉินเกอ และเขาก็ไม่มีวิธีการยืนยันเรื่องนี้

ฟ่านฉงอาศัยอยู่ในเขตที่พักเดียวกันกับเพื่อนร่วมชั้นของเสี่ยวปู้ มันค่อนข้างไกลจากที่นี่ และถ้าฉันไปที่นั่น พวกเราย่อมต้องไปเจอเข้ากับบางอย่างแน่นอน

เฉินเกอมองไปด้านหลังตัวเอง ทุกที่ที่เขาเห็นก็คือหมอกสีเลือด ถนนที่พวกเขาใช้นั้นหายไปแล้ว และโลกนี้ที่ด้านหลังหมอกก็ดูจะมีแต่ทางไปไม่มีทางกลับแล้ว

ถ้าสมมติว่านี่เป็นโลกที่ด้านหลังประตูจริง ๆ หนทางเดียวที่จะออกจากที่นี่ไปได้ก็คือผ่านประตู ประตูเมืองหลี่ว่านนั้นอยู่ในตึกตรงข้ามกับบ้านของฟ่านฉง ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ต้องวนไปที่บ้านเขาในคืนนี้

เฉินเกอวางแผนจะแบ่งปันผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ของเขากับเหล่าผู้โดยสารและใช้มันเป็นข้ออ้างขอให้พวกเขาตามตนเองไปยังเขตที่พักอาศัย

“ฉันต้องบอกทิศทางอันแน่นอนให้พวกเขา ว่าจะช่วยพวกเขาหาทางกลับบ้าน”

เส้นเลือดรวมกันอยู่ที่ด้านนอกรถเมล์ มันเหมือนหมอกนั้นมีชีวิตขึ้นมาและค่อย ๆ กลืนกินทุกอย่างที่มาจากด้านนอกลงไปอย่างช้า ๆ

“คุณกำลังพึมพำอะไรน่ะ?” ผู้โดยสารลงจากรถทีละคน หมอรุนหลังเฉินเกอ “พวกเราควรจะอยู่ด้วยกันเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ไม่ควรแยกกันไป”

“ได้” เฉินเกอหันไปมองที่ประตูรถเมล์ ชายขี้เมานั้นอยู่กับครอบครัวสามคน และชายหน้ายิ้มยืนอยู่ที่ด้านข้าง และ ‘ฆาตกร’ ที่เรียกตัวเองว่ามือกรรไกรก็อยู่คนเดียวที่ด้านหลัง

“ก่อนที่จะแน่ใจในความปลอดภัยของตึก มันจะดีกว่าถ้าจะไม่เข้าใกล้ตึกต่าง ๆ มากเกินไป ของน่ากลัวอย่างแขนที่ถูกตัดขาดหรือว่าหัวลอยได้อาจจะโผล่ออกมาจากในนั้น” เฉินเกอนั้นเคยเห็นสิ่งของเช่นนั้นจากในเกมของเสี่ยวปู้ และเพราะอย่างนั้น เขาจึงค่อนข้างมีประสบการณ์มาก

“ผมหวังว่านั่นจะเป็นแค่เรื่องตลกของคุณ” ชายขี้เมานั้นตื่นเต็มตาแล้ว– เขาจะไม่ตื่นได้อย่างไร? หากเขาสามารถมีชีวิตรอดออกจากเมืองหลี่ว่านไปได้ เขาจะไม่เข้าใกล้สิ่งมึนเมาเช่นนี้อีกเลย

“แน่นอน ผมแค่พูดเล่น ผมไม่รู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น– มันอาจจะน่ากลัวกว่าที่ผมพูดก็ได้” เฉินเกอชี้ไปยังตึกที่พบร่างของผีโทรศัพท์ “ไปดูที่นั่นกัน พวกเราจะตรวจดูทุกชั้น และหลังแน่ใจแล้วว่ามันไม่มีอันตราย อย่างนั้นพวกเราก็หลบอยู่ที่นั่นชั่วคราวก่อน”

“ดูเหมือนว่าคุณจะรู้จักที่นี่ดี” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมชักสีหน้า ความไม่เชื่อถือในน้ำเสียงของเขานั้นชัดเจนมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว “มีตึกอยู่รอบตัวพวกเราตั้งมาก ทำไมคุณถึงจะนำพวกเราไปยังตึกหลังนั้น? คุณวางกับดักอะไรเอาไว้ในนั้นใช่ไหม?”

“คุณกำลังอคตินะ” เฉินเกอยิ้มให้ชายวัยกลางคน “ผมไม่ต้องอาศัยกับดักในการฆ่าคุณหรอกนะ”

ใบหน้าของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปทันที และจากนั้นเฉินเกอก็ยักไหล่ “ผมแค่พูดเล่นน่ะ ผมไม่เคยกระทั่งฆ่าไก่มาก่อนเลยในชีวิตนี้ เหตุผลเดียวที่ผมยังคงใจเย็นอยู่ได้ก็เป็นเพราะว่าผมดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการเล่นเกมสยองขวัญ”

เฉินเกอหันไปชี้ไปที่ตึกที่เขาเลือก “แน่นอนว่า มันมีเหตุผลให้ผมเลือกตึกนั้นให้พวกเรา อย่างที่พวกเขาพูดกัน รู้จักศัตรูก็ชนะสงครามไปครึ่งหนึ่งแล้ว พวกเราจะแอบอยู่ในตึกนั่นแล้วจับตามองรถเมล์ผ่านหน้าต่าง ในเมื่อคนบงการส่งพวกเราเข้ามาในหมอกเลือด เขาย่อมต้องส่งใครสักคนมาตรวจดูพวกเรา พวกเราอย่างน้อยที่สุดก็จะได้รู้จักหน้าค่าตาของศัตรู และก็จะสามารถวางแผนการที่ใช้ได้ขึ้นมา นอกจากนี้ ในหมอกนั้น การมองเห็นจะแย่ลง หากพวกเรายังอยู่ใกล้กับรถเมล์มากเกินไป พวกเราก็จะถูกศัตรูพบ ดังนั้นหลังจากประมวลปัจจัยทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว ผมก็คิดว่าตึกนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด”

หลังจากแย้งออกไปแล้ว กระทั่งชายหน้ายิ้มก็ยังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ชายวัยกลางคนไม่สามารถโต้แย้งด้วยเหตุผลที่หนักแน่นได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด “อย่างนั้นคุณก็เดินนำไป และพวกเราตามหลังคุณไป”

“ไม่มีปัญหา แต่ว่าระวังอย่าถูกทิ้งไว้ข้างหลังล่ะ” เฉินเกอรับปากอย่างง่ายดาย เขาหิ้วกระเป๋าทั้งสองใบขึ้นมาและเดินนำไป หมอตามหลังเขาไปติด ๆ

“มีบางอย่างไม่ปกติในตัวผู้ชายคนนั้น” ชายวัยกลางคนคว้าแขนภรรยาของเขา ภรรยาของเขานั้นเหมือนตุ๊กตาชักใย ปล่อยให้เขาควบคุมตัวเธอเอาไว้โดยไม่ดิ้นรน

“จริงหรือ? ผมคิดว่าเขาแย้งได้มีเหตุผลหนักแน่นออกนะ” ในเมื่อครอบครัวสามคนไม่ขยับ ชายขี้เมาก็อยู่นิ่งไปด้วย ครอบครัวสามคนดูคุกคามเขาน้อยที่สุดแล้วดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอยู่กับคนพวกนี้

“เขาดูมีเหตุผล แต่ว่ามันก็สายเกินไปที่จะเสียใจหากว่าเขาปิดบังบางอย่างไว้จากพวกเรา การระมัดระวังเอาไว้ไม่ใช่เรื่องผิด” ชายวัยกลางคนอุ้มเด็กชายขึ้นมา พวกเขาตามหลังเฉินเกอไปแต่ว่ารักษาระยะห่างระหว่างสองฝ่ายเอาไว้ค่อนข้างห่าง

ชายหน้ายิ้มไม่ตามเฉินเกอไปแต่เลือกเดินไปที่อีกฝั่งของถนนคนเดียว จากฝั่งของเฉินเกอ เขามองเห็นเพียงแค่รูปเงาพร่ามัวผ่านหมอกเท่านั้น

มือกรรไกรนั้นอยู่ท้ายกลุ่ม ใบหน้าของเขาซีด และเมื่อไหร่ที่เขาเคลื่อนที่ ก็จะมีเสียงฝีเท้าสองเสียง พวกเขาเดินฝ่าหมอก ตอนที่เข้าไปใกล้ตึกนั่นแล้วก็มีคนดึงเสื้อเฉินเกอ

เขาหันกลับไปมองและเห็นหมอดึงผ้าพันคอลงกระซิบ “ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นการฉลาดที่พวกเราจะเข้าไปในตึกหลังไหนก็ตามในหมอกสีเลือดนี่ ถ้าตึกมันว่างเปล่าอย่างนั้นพวกเราก็โชคดีไป แต่ฉันเกรงว่ามันจะมีใครจับจองแล้ว”

“ไม่เป็นไร ผมสัญญาว่าจะระวัง” เฉินเกอพบว่าหมอนั้นมีความรู้อย่างน่าสงสัย มันเหมือนเขาเคยมาที่นี่มาก่อน ทั้งคู่เข้าไปในตึก ในทางเดินมืด ๆ ล้อมรอบไปด้วยสีทาผนังที่เริ่มลอกและหมอกสีเลือดที่ลอยเอื่อยอยู่ในทุกตารางนิ้วของตึก แค่ยืนอยู่ที่นี่ก็ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจแล้ว

ประตูไม้ที่มีกลิ่นประหลาดถูกผลักเปิด และเฉินเกอก็เข้าไปตรวจดูในทุกห้อง

“คุณวางแผนจะตรวจดูทุกห้องเลยเหรอ?” หมอดูลังเล “ถ้าเกิดว่าพวกเราไปเจออะไรเข้าล่ะ?”

“เป็นฝ่ายบุกเข้าไปหาพวกเขาน่าจะดีกว่าปล่อยให้พวกมันลอบลงมือกับพวกเรา” เฉินเกอขยับตัวรวดเร็ว เขาไม่หยุดพักเลย มันเหมือนเขาไม่เข้าใจความรู้สึกกลัว ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงที่ชั้นบนสุด

บนชั้นแรก ครอบครัวสามคนและชายขี้เมาหยุดนิ่งอยู่ พวกเขาจับกลุ่มกัน ไม่รู้ว่าควรจะขึ้นบันไดไปหรือไม่

“ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะไปถึงชั้นบนสุดแล้ว” ชายขี้เมายืนอยู่ที่ช่องบันไดและมองผ่านช่องว่างขึ้นไป

“ไม่มีเหตุผลให้พวกเราตามเขาไป อยู่ที่ชั้นแรกนี่พวกเราจะหนีได้เร็วกว่า” ชายวัยกลางคนค่อนข้างขี้ขลาด

“พ่อครับ…” เด็กชายในอ้อมแขนของเขาเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรขณะที่เขามองไปยังทางเดินมืดสลัวด้านหลังชายวัยกลางคน

“คุณพูดถูก” ชายขี้เมาคอยมองขึ้นไป แต่มันมืดเกินกว่าจะเห็นอะไร เขาหรี่ตาและแอบรู้สึกสงสัยว่ามีบางอย่างอยู่บนบันไดชั้นบนยื่นหน้าออกมา เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นของตกแต่งสักชิ้นหนึ่ง

“ให้เขาเดินนำล่วงหน้าไป– พวกเราแค่ต้องรอจนกว่าเขาจะยืนยันว่าที่นี่ปลอดภัย”

ชายวัยกลางคนอยากจะพูดอย่างอื่นอีกตอนที่เด็กชายกระซิบขึ้นอีกครั้ง “พ่อครับ…”

“ว่า? มีอะไร? ฉันรู้แล้วว่าแกไม่เป็นไร ชู่!”

“ลูกปิดประตูที่ทางเดินกำลังขยับ ดูสิ ตรงนั้นครับ” เด็กชายยกมือชี้ไปยังจุดที่ลึกเข้าไปในทางเดิน

 

ผมเคยอยู่ที่นี่มาก่อน

เผชิญหน้ากับการสอบถามจากชายหน้ายิ้ม หมอดูใจเย็นอย่างน่าประหลาดใจเหมือนเขาคิดถึงคำถามนี้เอาไว้ก่อนแล้ว เขาขยับไปยืนอยู่ด้านหลังเฉินเกอและดึงผ้าพันคอมาปิดใบหน้าของตัวเองมากขึ้น “เพื่อนผมบอกข่าวเรื่องคุณกับผม”

“อย่างนั้นเพื่อนของแกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” หลังจากความลับของเขาถูกเปิดเผยออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหน้ายิ้มก็ยิ่งคลี่ขยายเป็นดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิ ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของเขาต่างไปจากก่อนหน้า มันเหมือนว่าชายคนนี้นั้นรู้สึกยินดีอย่างแท้จริงก็ตอนที่ลงมือฆ่า

“แกฆ่าคนแค่บนรถ ตอนนั้น เพื่อนของฉันอยู่ด้านนอกรถ และเขาเห็นทุกอย่าง”

“อย่างนั้นเหรอ? งั้น เพื่อนคนนั้นอยู่ที่ไหนแล้วล่ะตอนนี้?”

“เขาตายแล้ว เขาไม่เคยกลับออกมาอีกเลยหลังจากเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ผีนั่น” ตอนที่เขาได้ยินว่าเพื่อนของหมอนั้นตายแล้ว ก็เหมือนสีหน้าของชายหน้ายิ้มจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันเหมือนความเสียดาย

“งั้นตอนนั้นฉันก็คงพลาดปล่อยให้มีผู้รู้เห็นเหตุการณ์ แต่นั่นก็ไม่สำคัญ นั่นก็แค่เตือนฉันว่าให้ระวังมากขึ้นครั้งหน้า” ชายหน้ายิ้มเลิกซ่อนจิตสังหารของตน เขาเดินออกมาที่ทางเดิน เส้นสีดำเริ่มปรากฏขึ้นบนผิวของเขา– มันดูเหมือนหลอดเลือดสีดำ

“นี่เป็นคนหรือผีเนี่ย?” ชายวัยกลางคนรู้ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คู่มือของชายหน้ายิ้ม เขาทิ้งภรรยาและลูกชายของตัวเองโดยไม่คิดสักวินาทีวิ่งไปที่ประตูหน้าและเตรียมจะหนีไป

“ใจเย็นลงก่อน ต่อให้คุณฆ่าพวกเรา คุณก็หนีไม่ได้ อย่างที่หมอพูด เป้าหมายแท้จริงของผู้บงการเบื้องหลังก็คือคุณ และพวกเราก็เป็นผู้เสียหายร่วมแล้ว” เฉินเกอยืนบังหมอเอาไว้ “พวกเราอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าพวกเราสู้กันเอง ก็มีแต่จะเป็นประโยชน์กับผู้บงการเบื้องหลัง มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้าพวกเราจะร่วมมือกันรับมือกับสิ่งที่กำลังจะมา?”

ปลายนิ้วของเขานั้นจับกระเป๋าเอาไว้ ฝ่ามือของเฉินเกอชุ่มไปด้วยเหงื่อ ซู่อินเตือนเขาก่อนหน้านี้แล้วว่าชายหน้ายิ้มนั้นอันตรายมาก ตอนที่หมอพูดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ชายคนนั้นไม่ชอบใจนัก แต่ว่าพอเฉินเกอพูดขึ้น เขาก็ลังเลแต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น

“แกพูดมีเหตุผล แต่ทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งของแกด้วย?” เส้นสีดำใต้ผิวของชายคนนั้นเชื่อมเข้าด้วยกันเกิดเป็นสิ่งที่ดูคล้ายตาข่าย มันเหมือนว่าตาข่ายนั่นกำลังจะฉีกเนื้อหนังเขาออกมา สำหรับคนธรรมดาแล้วนี่ย่อมเป็นความเจ็บปวดอันเกินทนทาน แต่ว่าชายหน้ายิ้มกลับไม่แสดงท่าทางเจ็บปวดเลยสักนิด เขากำลังยิ้มกว้างด้วยซ้ำ

เขาดูจะคุ้นเคยกับความเจ็บปวดนี้ มือของเขายกขึ้นไปทางมุมปาก เขาดึงผิวหนังของเขา การดึงผิวออกไปเช่นนั้นคือการฉีกทึ้งการปลอมแปลงของเขาออก สันหลังของเขายาวขึ้น และคอที่ยาวอย่างผิดธรรมชาติอยู่แล้วก็เหยียดยาวออกไปอีก

“บางทีคุณอาจจะคิดว่ามันง่ายมากที่จะฆ่าพวกเราทั้งหมด แต่อย่าลืม ยังมีรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่หนึ่งอยู่บนรถด้วย และเจ้าของรองเท้าคู่นั้นก็อาจจะกำลังตามติดอยู่กับผู้โดยสารสักคน ผมเชื่อว่าคุณสามารถฆ่าพวกเราทั้งหมดได้ แต่นั่นจะมีประโยชน์อะไรกับคุณล่ะ?” การพูดถึงรองเท้าส้นสูงสีแดงทำให้ชายหน้ายิ้มชะงัก และมือของเขาที่ดึงแก้มตัวเองอยู่ก็ลดต่ำลง

“พวกเราไม่ใช่ศัตรูกัน ครั้งหนึ่งคุณเคยสังหารคนทั้งคันรถและนั่นก็ทำให้คุณเป็นศัตรูกับผู้บงการเบื้องหลัง แต่ว่านั่นเกี่ยวอะไรกับพวกเราที่เหลือล่ะ? ผู้บงการคนนั้นลากพวกเรามาเพื่อจัดการกับคุณ ดังนั้นมองจากมุมหนึ่ง พวกเราล้วนเป็นฝ่ายเดียวกันเพราะว่ามีศัตรูคนเดียวกัน!” เฉินเกอชี้ไปที่หมอกสีเลือดด้านนอกหน้าต่าง “ถนนที่พวกเราผ่านมานั้นหายไปแล้ว พวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย และไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คุณยังมั่นใจเหรอว่าจะสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ด้วยตัวคนเดียว?”

เลือดในหมอกนั้นติดอยู่บนหน้าต่างรถ และรถเก่า ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงไปโดยสมบูรณ์

“มีเวลาให้คิดไม่มากแล้ว ถ้าคุณยินดี พวกเราก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าคุณไม่ อย่างนั้นพวกเราก็สู้กัน พวกเราอาจจะไม่สามารถฆ่าคุณได้ แต่ก่อนที่พวกเราจะตาย ผมแน่ใจว่าพวกเราต้องทำให้คุณบาดเจ็บได้บ้างแหละ” เฉินเกอรู้สึกได้ถึงด้ามค้อนผ่านเนื้อผ้าของกระเป๋า เขาไม่รู้ว่าชายหน้ายิ้มจะให้ความร่วมมือหรือไม่ และเขาต้องเตรียมการสำหรับทุกความเป็นไปได้

ไม่มีใครพูดอะไร เมื่อความเงียบครอบคลุมลงมา ชายหน้ายิ้มก็ดูเหมือนจะชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ ตอนที่ความตึงเครียดเพิ่มสูง จู่ ๆ ก็มีเสียงตุบดังมาจากที่กลางรถ

“บ้าชะมัด? นี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?” ขี้เมากลิ้งตกลงมาจากที่นั่งและฟุบอยู่กับพื้น เขาเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง และเมื่อเห็นหมอกเลือดหนาหนักปกคลุมไปทั่ว เขาก็ตื่นทันที

ขี้เมาที่ตื่นขึ้นมาทำให้บรรยากาศในรถลดความตึงเครียดลง เส้นสีดำใต้ผิวของชายหน้ายิ้มหายไปช้า ๆ และร่างกายของเขาก็กลับเป็นปกติ เหมือนทุกอย่างก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น และชายหน้ายิ้มก็กลับไปยังที่นั่งของตัวเอง

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ขี้เมาหยิกแก้มตัวเอง “ฉันแค่หลับไปตื่นเดียว และพวกคุณก็พาผมมาที่ไหนไม่รู้? แล้วคนขับรถไปไหนล่ะ?”

“คนขับรถทิ้งรถไปแล้ว พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าพวกเราอยู่ที่ไหน แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจได้ ที่นี่อันตรายมาก” เฉินเกอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นชายหน้ายิ้มกลับไปที่นั่งตัวเอง การที่พวกเขาไม่ต้องใช้ความรุนแรงนับเป็นข่าวดีของเฉินเกอเพราะอย่างไรเสีย เขาก็ยังคิดจะขอยืมพลังของชายหน้ายิ้มรับมือกับเงานั่น

“คนขับทิ้งรถไปแล้ว? เดี๋ยวนะ นี่มันงงไปหมดแล้ว ให้เวลาผมเรียบเรียงความคิดก่อน” ชายขี้เมานับนิ้ว “แรกเลย ผมดื่มมากไปสักหน่อย จากนั้นผมก็มารอรถเมล์อยู่ที่ป้าย ผมดูเหมือนจะเผลอหลับไปบนรถ นั่นไม่มีอะไรผิดปกติเสียหน่อย!” กลิ่นเหล้ายังอวลอยู่รอบตัวขี้เมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก และเขาก็พูดไม่ชัดนัก ”แล้วก็ ทำไมคนขับรถถึงทิ้งรถไปล่ะ? พวกเราไม่ได้ถูกปล้นใช่ไหม? ทำไมคุณไม่ปลุกผมขึ้นมาถ้าเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้?”

ถ้ามีใครกล้าปล้นรถของเฉินเกอ อย่างนั้นพวกเขาก็น่าจะเป็นพวกโง่ที่โชคดีที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่แล้ว

“ไม่ได้เกิดอะไรอย่างนั้นหรอก แต่ว่าสถานการณ์ของพวกเราตอนนี้น่ะอันตรายกว่าถูกปล้นเป็นสิบเท่า” เฉินเกอไม่สนใจขี้เมาเพราะว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดา “น่าจะมีฆาตกรบ้าคลั่งซ่อนตัวอยู่ในหมอกเลือด ถ้าคุณตกลงไปอยู่ในมือของพวกมันตอนที่อยู่คนเดียว คุณคงจะจบลงด้วยการถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ”

“ฆาตกร? หั่นเป็นชิ้น ๆ? มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย? ผมจะเรียกตำรวจ!” ขี้เมาดึงโทรศัพท์ออกมา แต่ว่าไม่มีสัญญาณตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในหมอก

“หมอกนี่ขัดขวางสัญญาณทั้งหมด คุณเก็บแรงเอาไว้เถอะ ถ้าพวกเราหนีออกจากหมอกนี่ไม่ได้ พวกเราก็จะตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด” เฉินเกอปลอบขี้เมาแล้วหันไปหาคนอื่น ๆ “รถคันนี้ดึงดูดความสนใจและยังติดอยู่กลางถนน ผมคิดว่าพวกเราน่าจะหาที่ซ่อนก่อนและคอยดูรอบ ๆ ตัวก่อนที่จะตัดสินใจอย่างอื่นต่อไป”

“ผมเห็นด้วย” หมอเป็นคนแรกที่ตกลง และผู้โดยสารคนอื่น ๆ ก็ทำตามในไม่ช้า

“เอาละ อย่างนั้นพวกเราก็ควรจะลงจากรถ อยู่ที่นี่รังแต่จะทำให้พวกเราเป็นเป้าง่ายขึ้น” เฉินเกอคว้ากระเป๋าและกระเป๋าที่เจ้าแมวขาวอยู่แล้วลงจากรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 ไปเป็นคนแรก

เขาใช้ดวงตาหยินหยางกวาดมองตึกรอบ ๆ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “ฉันเคยเห็นตึกนี้ในเกมของเสี่ยวปู้มาก่อน!”

ตอนนั้น เพื่อหาจุดเซฟจุดแรก เฉินเกอวิ่งไปตามถนนในเกมนับครั้งไม่ถ้วน

“เกมสะท้อนชีวิตจริง นี่น่าจะเป็นข้อได้เปรียบมาก ๆ ของฉันแล้ว” มีแผนที่ของเมืองอยู่ในความทรงจำ การรบกวนของหมอกสีเลือดที่มีต่อเฉินเกอนั้นลดลงไปอยู่ในระดับต่ำสุด

เหตุผลของเหตุผล

หลังจากรถเมล์พุ่งเข้าไปในหมอกสีเลือด เสียงรองเท้าส้นสูงก็หายไปและสีหน้าของชายหน้ายิ้มก็แข็งค้างอยู่ เรื่องต่าง ๆ หลุดออกจากการควบคุมกระทั่งพวกผีก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะไปจบลงอย่างไร

สายฝนยังไหลลงไปตามหน้าต่างรถเมล์ เมื่อหมอกสัมผัสถูกตัวรถ มันก็เปลี่ยนไปเป็นเส้นเลือดเล็ก ๆ แนบตัวเองติดกับที่ด้านนอกรถ จากด้านนอก มันเหมือนรถเมล์เก่าคร่ำนี้กลายเป็นผืนผ้าใบใหม่ไป เมื่อหันกลับไปมอง ถนนที่พวกเขาเพิ่งผ่านมาก็ถูกหมอกสีเลือดกลืนกิน พวกเขาล้วนไม่สามารถกลับออกไปได้แล้วแม้ต้องการจะกลับออกไปก็ตาม

ที่นี่นั้นก็ยังต่างไปจากโลกที่ด้านหลังประตูของจริง ในหมอก ตึกต่าง ๆ ไม่ได้ถูกย้อมเป็นสีแดงไปทั้งหมด หากฉันเข้าใจไม่ผิด กระบวนการที่เกิดขึ้นที่นี่นั้นยังไม่สมบูรณ์นัก

ในฐานะคนที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เฉินเกอนั้นใจเย็นเป็นที่สุด นิ้วของเขานั้นเกี่ยวหลวม ๆ อยู่กับกระเป๋าเสื้อ และเมื่อรถเมล์พุ่งเข้าไปในหมอกสีเลือด โทรศัพท์เครื่องดำก็สั่นอยู่หลายครั้ง

สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปในนาทีไหนก็ได้ ดังนั้นเขาจึงยังไม่คิดที่จะดึงโทรศัพท์ออกมาดู เขาตัดสินใจรอจนกว่าเขาจะไปถึงสถานที่ปลอดภัยก่อน ตามทิศทางที่เฉินเกอสั่งไว้ก่อนหน้านี้ ถังจวินมุ่งหน้าไปยังบ้านของฟ่านฉง แต่ว่า เพราะเส้นเลือดที่รอบ ๆ ตัวรถ รถเริ่มช้าลง กระทั่งถังจวินเหยียบคันเร่งจนสุด ความเร็วก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ผู้โดยสารทั้งหมดบนรถต้องการคำอธิบาย และความกดดันบนถังจวินก็เพิ่มมากขึ้น เขาทำตามคำสั่งของเฉินเกอ แต่ว่าตอนนี้ ความโกรธที่สั่งสมอยู่ของผู้โดยสารกลับมุ่งตรงมาที่เขา ถังจวินกำพวงมาลัยรถแน่น และกลัวจริง ๆ ว่าฟางหยวนจะทิ้งเขาเอาไว้

ในฐานะวิญญาณที่รู้จักแค่การขับรถเมล์ มันไม่คุ้มค่าจริง ๆ ที่จะเป็นศัตรูกับชายหน้ายิ้มและรองเท้าส้นสูงสีแดง รถช้าลงนั้นไม่ใช่ข่าวดีของถังจวินเลย เขาทำภารกิจที่บอสมอบให้ไม่สำเร็จ และตอนนี้เขาก็ยังต้องทนรับความเกรี้ยวกราดของผู้โดยสาร– เขาล่วงเกินผู้คนทั้งสองฝ่ายเลย

เขาไม่รู้แผนการของเฉินเกอและไม่เคยคิดจะถามถึง มันคงเป็นการโกหกแล้วถ้าจะบอกว่าเขาไม่รู้สึกสำนึกเสียใจสักนิดเลย

“แกคิดจะพาพวกเราไปที่ไหน?” ชายวัยกลางคนถาม ใบหน้าขุ่นเคือง เขาดิ้นหลุดจากมือเฉินเกอไปเหยียบเบรกอีกครั้ง คราวนี้ เฉินเกอไม่ห้ามเขา รถเมล์นั้นแล่นช้าอยู่แล้ว ดังนั้นเฉินเกอจึงไม่เห็นประโยชน์ในการรั้งชายวัยกลางคนเอาไว้

“หยุดรถเมล์บ้า ๆ นี่ซะ!” ชายวัยกลางคนเหยียบเบรกและเริ่มแย่งพวงมาลัย ด้วยสัญชาตญาณของคนขับรถ ถังจวินพยายามผลักเขาออกไป พวงมาลัยรถหมุนไปมาระหว่างการแย่งชิง และรถก็เลี้ยวออกจากถนน มุ่งหน้าไปยังที่กั้นขอบถนน

“ระวัง!” เฉินเกอร้องออกมาแล้วพุ่งเข้าไปผลักชายวัยกลางคนออกไปแล้วไปยืนแทนที่ ตอนที่พ้นจากสายตาของผู้โดยสารทั้งหมดเขาก็ให้สัญญาณถังจวินให้เปิดประตูแล้วลงจากรถไปให้เร็ว ถังจวินเข้าใจสัญญาณของเฉินเกอและตัดสินใจเชื่อเขาเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากเฉินเกอคุมพวงมาลัยได้ เขาก็กัดฟันผลักประตูด้านคนขับออกแล้วกระโดดลงไป

“เฮ้ นั่นคุณจะไปไหนน่ะ?” เฉินเกอร้องออกมาสุดเสียง เขากระทืบเท้าลงกับเบรก และก่อนที่รถจะหยุดนิ่ง เขาก็คว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วกระโดดตามคนขับรถไป

“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ! เขาตะโกนลั่นขณะไล่ตามไป

“อย่าวิ่งตามเขาไป! กลับมาเร็ว!” หมอรู้ว่าอันตรายนั้นอยู่ทั่วไปในหมอกสีเลือด เขาต้องการรั้งเฉินเกอเอาไว้แต่ทำไม่ได้ หลังจากเลี้ยวที่ตรงมุม แม้ว่าเฉินเกอจะตะโกนบอกให้ถังจวินหยุด เขาก็กลับดึงเปิดกระเป๋าสะพายและดึงถังจวินกลับเข้าไปในหนังสือการ์ตูน

“อย่าไล่ตามเขาไป!” เสียงของหมอก้องอยู่ที่ด้านหลังเขา เฉินเกอวิ่งกลับไปที่รถ

“คนขับรถไปไหนแล้วล่ะ?” สีหน้าของชายวัยกลางคนคงบิดเบี้ยวไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

“ผมไล่ตามเขาไม่ทัน นี่น่าจะเป็นการเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว อย่างไรซะ เขาก็คงเตรียมทางหนีเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว” เฉินเกอเพิ่งพูดจบตอนที่ชายวัยกลางคนพุ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อเฉินเกอเอาไว้ “ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของแก! ถ้าแกไม่มาหยุดฉันไว้ก่อนหน้านี้พวกเราก็จะไม่มาจบลงในสถานที่บ้า ๆ แบบนี้!”

“คุณโทษผมเหรอ? คุณรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้รถแล่นเร็วแค่ไหน ถ้าระหว่างแย่งพวงมาลัยกันแล้วคุณกับคนขับสูญเสียการควบคุมรถไปแล้วมันชนกับตึกข้างทาง คุณรู้ไหมว่ามันจะอันตรายแค่ไหน?” เฉินเกอเองก็มีเหตุผลเหมือนกัน

“บ้า บ้า บ้าเอ๊ย!” ชายวัยกลางคนกระแทกกำปั้นเข้ากับรถ เขาขยุ้มผมตัวเองแน่นเหมือนกำลังจะทึ้งผมออกมาแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ”เพื่อหนีจากสิ่งเหล่านี้ ฉันเสียสละลูกสาวไปแล้ว และวันนี้ ฉันก็ยังพาลูกชายมาแล้วด้วย ดังนั้นนี่น่าจะเรียบร้อยแล้วแท้ ๆ แล้วดูสิ ดูว่าตอนนี้มันเกิดบ้าอะไร!”

“สละลูกสาวของคุณ?” คิ้วของเฉินเกอเลิกสูง เขาเคยเจอคนชั่วร้ายมากมายมาก่อน แต่แบบชายวัยกลางคนนี้… นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับคนเช่นนี้ อารมณ์ของชายวัยกลางคนนั้นพลุ่งพล่าน– เขาต้องการระบายความโกรธในใจออกไป และเฉินเกอที่ดูใจดีก็เป็นเป้าหมายของเขา ถ้อยคำไม่น่าฟังมากมายถูกพ่นออกมาจากปากเขา

ตรงกันข้ามกับชายวัยกลางคน เฉินเกอกลับยังดูสุภาพและน่านับถือ ดวงตาของเขาเบนจากชายวัยกลางคนไปยังเด็กชายที่ตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว มีรอยช้ำหลายรอยที่บนแขนของเด็กชาย เขาต้องการดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าพอ เขาแอบมองมาเป็นครั้งคราวและรีบหดหัวลงไปเมื่อพบว่ามีคนมองมาทางเขา

“คุณทำอย่างนั้นกับเด็กชายตัวเล็ก ๆ น่ารักแบบนั้นได้ยังไง?”

“นี่ก็เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ถ้าพวกเราไม่สามารถสลัดสิ่งนั้นออกไปได้ ทั้งครอบครัวของฉันก็จะตาย!” ยิ่งเขาพูด เขาก็ยิ่งโกรธ เขาคว้าคอเสื้อเฉินเกออีกครั้ง “ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของแก!”

“ถ้าคุณใช้ความสิ้นหวังของคนอื่นช่วยเหลือตัวเองขึ้นจากความสิ้นหวังของตัวคุณเอง คุณก็มีแต่จะจบลงด้วยความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด มีเพียงการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเท่านั้นที่คุณจะได้รับการอภัยอย่างแท้จริง” เฉินเกอสะบัดมือชายคนนั้นออกไป “นี่เป็นครั้งที่สองที่คุณดึงคอเสื้อผม ผมหวังว่าจะไม่มีครั้งที่สาม”

“มันไม่มีประโยชน์ที่พวกเราจะมาทะเลาะกันเองตอนนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับพวกเรามากกว่าที่จะหาทางแก้ไข” หมอออกมาไกล่เกลี่ย ยืนอยู่ระหว่างชายวัยกลางคนและเฉินเกอ “มีคนสั่งให้คนขับรถจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเส้นทางและขับเข้ามาในหมอกสีเลือดนี่ ผมเคยขึ้นรถคันนี้หลายครั้ง และไม่มีครั้งไหนที่เกิดเรื่องแบบนี้ คนขับรถนั่นเป็นแค่ลูกกระจ็อกตัวน้อย ๆ เท่านั้น ดังนั้นน่าจะมีคนอื่นออกมาจัดการกับพวกเรา”

การวิเคราะห์ของคุณหมอนั้นถูกต้อง แต่เพราะไม่มีข้อมูล ทิศทางการวิเคราะห์ของเขาจึงผิด “รถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 นั้นวิ่งผ่านจิ่วเจียง เชื่อมตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน นี่เป็นการจัดการของผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังเมืองหลี่ว่าน ดังนั้น นี่น่าจะเป็นความตั้งใจของฝ่ายนั้นที่พวกเรามาติดอยู่ในหมอกเลือดนี่ มีโอกาสที่จะมีอะไรหรือว่าใครที่เขาต้องการอยู่บนรถคันนี้”

“คุณพูดถูก ผมก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ต่อให้รถขนคนตายจะหยุดที่ป้าย คนที่บงการอยู่เบื้องหลังน่าจะมีวิธีการอื่นบังคับให้พวกเราเข้ามาในหมอกนี่อยู่ดี” เฉินเกอคว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วไปยืนอยู่ข้าง ๆ หมอ

“คนที่บงการอยู่เบื้องหลังเมืองหลี่ว่าน? คุณดูรู้เรื่องเยอะมากนะ” เห็นหมอออกมาพูดให้เฉินเกอ น้ำเสียงของชายวัยกลางคนอ่อนลงเพราะว่าเขามีจำนวนคนน้อยกว่า “ถ้าอย่างนั้น บอกฉันสิ คุณคิดว่าคนที่เรียกว่าคนบงการนี่ต้องการอะไร?”

“เขาน่าจะต้องการจัดการกับใครสักคนที่อยู่ที่นี่กับพวกเรา” ถ้อยคำของหมอทำให้หัวใจของเฉินเกอกระตุก แต่เมื่อเขาหันไปมอง เขาถึงได้พบว่าอันที่จริงแล้วหมอกำลังจ้องไปที่ชายหน้ายิ้ม

“ทุกคนในพวกเรานั้นมีความลับของตัวเอง อย่างผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างคุณ ครั้งหนึ่งเขาเคยสังหารผู้โดยสารทั้งคันรถมาก่อน ทำลายแผนการของคนบงการเบื้องหลังไป” ในเมื่อเขาคือเหตุผลให้ทุกคนถูกลากลงมาในเรื่องวุ่นวายนี้ หมอก็คิดว่ามันก็สมควรแล้วที่จะแฉชายหน้ายิ้ม

คอของชายหน้ายิ้มยืดยาวขึ้นมาทั้งที่ยังมีรอยยิ้มหลอน ๆ อยู่บนหน้า ดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยเส้นสีดำหันกลับไปมองหมอ “ฉันเคยฆ่าคนทั้งคันรถจริง ๆ รวมทั้งคนขับด้วย ไม่มีใครเหลือรอด แล้ว… แกรู้เรื่องนั้นได้ยังไงล่ะ?”

 

 

เมืองที่เรียกได้ว่าเป็นฝันร้าย

“บอสเฉิน ผมไม่คิดว่าผมจะอยู่ในบ้านไหวแล้ว ผมจะไปรอคุณที่ชั้นล่าง” ฟ่านต้าเตอตะกุกตะกักออกมา รอยเท้าบนบันไดทำให้เขาตระหนก และเสียงฝีเท้าก็ดังผ่านโทรศัพท์มา

“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป เขาน่าจะยังแอบอยู่ที่บันได บอกผมสิว่ารอยเท้านั่นมีขนาดและรูปร่าง…” ก่อนที่เฉินเกอจะทันพูดจบ โทรศัพท์ก็ถูกตัด “พอคนผู้หนึ่งตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก พวกเขาก็มักจะทำเรื่องไร้เหตุผล แต่ฉันก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าฟ่านต้าเตอจะเป็นคนที่เป็นแบบนี้หรือเปล่า”

เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ลงไปแล้วเก็บกระเป๋าขึ้นจากพื้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังถนนตรงหน้า “ป้ายหน้าคือเมืองหลี่ว่าน ฉันมาแล้ว แต่แกอยู่ไหนล่ะ?”

ความมืดและน้ำฝนปิดซ่อนทุกอย่างเอาไว้ ไม่มีใครบอกได้ว่ามีสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตอยู่ในเงาจำนวนมากมายเท่าใดที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ไกลความเจริญ เมืองหลี่ว่านนั้นอยู่ข้างหน้านี่แล้ว!

คนขับ ถังจวิน เหยียบคันเร่ง รถเมล์เก่า ๆ พุ่งผ่านม่านฝนเร่งความเร็วขึ้น สายฝนกระทบกับหน้าต่าง และรถเมล์ก็สั่นอย่างรุนแรงจนเหมือนทั้งคันจะพังลงมาแล้ว แต่ว่า ไม่มีผู้โดยสารคนไหนบนรถสนใจเรื่องนั้น

เมื่อเงาเลือนรางปรากฏขึ้น ทุกคนก็กลั้นหายใจ สายฟ้าแลบวาบอยู่บนฟ้า และในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ท้องฟ้าสว่างขึ้นนั้นก็เพียงพอให้เห็นเงามากมายที่งุ่มง่ามอยู่ในความมืด และเงาเหล่านั้นก็สังเกตเห็นรถเมล์สาย 104 ที่แล่นฝ่ายสายฝนมาเช่นกัน

“พวกเราเกือบถึงที่นั่นแล้ว” หมอเป็นคนแรกที่ลุกจากที่นั่ง เขารับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของรถขนคนตายคันนี้ และมันก็ต่างไปจากปกติ เขาไม่คิดจะอยู่บนรถให้นานขึ้นสักวินาที

“เฮ้ พวกเราสามคนควรจะลงไปด้วยกัน” หมอกระซิบกับเฉินเกอและผู้ชายคนที่เรียกตัวเองเป็นมือกรรไกร “มีผู้โดยสารอีกคนด้านหน้าที่อันตรายมาก เมื่อพวกเราสามคนลงไปแล้ว พวกเราก็จะแยกกันไปคนละทาง ใครจะถูกไล่ตามก็ขึ้นกับโชคแล้ว”

ผู้โดยสารเหล่านี้ที่รอดชีวิตมาได้หลังจากขึ้นรถขนคนตายนั้นประมาทไม่ได้ ดังนั้นหมอจึงไม่คิดปิดบังแผนการและบอกกับคนอื่นอย่างเปิดเผย

ทั้งเฉินเกอและมือกรรไกรล้วนไม่พูดอะไร มือกรรไกรนั้นสงสัยว่านี่จะเป็นแผนการที่หมอวางเอาไว้– หมอพยายามแยกเขาออกและเขาจะได้ตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายขึ้น แต่ว่าเฉินเกอเองก็มีแผนการของตัวเอง เขาวางแผนจะขับรถต่อไปยังเขตที่พักของฟ่านฉงและพารองเท้าส้นสูงสีแดงกับชายหน้ายิ้มไปด้วยเพื่อลุยผ่านกับดักที่เงานั่นอาจจะวางเอาไว้ ช่วยฟ่านฉงที่มีข้อมูลสำคัญอยู่ในครอบครอง

ขึ้นรถเฉินเกอมานั้นมันง่าย แต่ว่าการจะกลับลงไปนั้นยาก จากอีกมุมหนึ่ง ใครก็บอกได้ว่ารถคันนี้นั้นอันตรายมากเทียบกับตอนที่มันยังทำงานอยู่ภายใต้เงานั่น

หมอเดินไปที่ทางออก มือจับราวบันไดเอาไว้ เขาได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับชายหน้ายิ้มมาก่อนและแผนการของเขาก็คือหาสถานที่ปลอดภัยซ่อนตัวหลังจากลงจากรถ รถเมล์นั้นขับเข้ามาในเมืองหลี่ว่านแล้วและพวกเขาก็ใกล้จะถึงป้ายรถเมล์เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้แล้ว หัวใจของหมอเต้นตุบ และกล้ามเนื้อแขนและขาของเขาก็ตึงเขม็ง เขาเตรียมตัวกระโจนลงไปทันทีที่ประตูเปิด

นั่นคือแผนการ แต่ว่าความจริงนั้นก็มีแผนการอื่นเหมือนกัน รถเมล์ไม่จอดตอนที่มันผ่านป้ายสุดท้าย มันไม่กระทั่งลดความเร็วลงและพุ่งผ่านไป

“มันไม่หยุด?” ลางสังหรณ์เลวร้ายผุดขึ้นในหัวใจของหมอ– เขารู้ว่ามีบางอย่างไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้ รถเมล์ไม่หยุดที่ป้ายที่มันมักจะหยุดเป็นปกติ

นอกจากเฉินเกอแล้ว ผู้โดยสารทั้งหมดล้วนหันไปมองคนขับ ถังจวินที่อยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ร่างกายเริ่มสั่น เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่เหมือนกัน– เขาแค่ทำตามที่เจ้านายของเขาสั่งลงมา

“เฮ้ ทำไมคุณไม่หยุดล่ะ? เฮ้!” จากครอบครัวสามคน ชายวัยกลางคนลุกขึ้นจากที่นั่น สีหน้าของเขาดูย่ำแย่ เด็กชายที่นั่งอยู่ข้างเขาก็โผล่หัวขึ้นมามองไปรอบ ๆ อย่างแอบ ๆ ด้วย เขาไม่ค่อยเข้าใจโลกของผู้ใหญ่ ทุกอย่างนั้นซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้อยู่เสมอ

“หยุดรถ! หยุดรถบ้า ๆ นี่เดี๋ยวนี้!” ชายวัยกลางคนกระทืบเท้าเดินไปทางที่นั่งคนขับ เมื่อเห็นอย่างนี้ เฉินเกอก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไป เขาก้มหน้าต่ำ และทุกคนก็คิดว่าเขาเองก็จะตรงไปหาคนขับอย่างไม่พอใจเช่นกัน เห็นเฉินเกอก้าวเท้าออกไป หมอก็ตัดสินใจตามหลังเขาไป– เขาอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“แกได้ยินฉันหรือเปล่า?” ไม่ว่าชายวัยกลางคนจะตะโกนอย่างไร ริมฝีปากของคนขับก็หุบแน่น และใบหน้าของเขาก็ซีดขาวเหมือนทาแป้งเอาไว้ “ฉันจะบอกแกอีกครั้งนึงนะ! กลับรถเดี๋ยวนี้! อย่าขับต่อไปข้างหน้าอีกเด็ดขาด!”

ถังจวินไม่สนใจชายวัยกลางคนและตั้งสมาธิอยู่กับการขับรถ

“ถึงแกจะอยากตายก็อย่าลากพวกเราไป! พวกเราไปต่อไม่ได้แล้ว!” นี่น่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายวัยกลางคนมาที่เมืองหลี่ว่าน เขารู้มากกว่าที่เขาแสดงออกมา เขายกขาขึ้นและพยายามถีบเท้าของถังจวินอีกครั้งเพื่อเหยียบเบรก

“นี่เพื่อน คุณกำลังทำผิดอยู่นะ” ผู้ชายคนหนึ่งคว้าแขนชายวัยกลางคนเอาไว้แน่นหนา เฉินเกอลากเขากลับไปแล้วดันเขาไปข้าง ๆ ชายหน้ายิ้ม

“ปล่อยฉันไป! แกไม่รู้หรอกว่ามีอะไรรอพวกเราอยู่! รีบปล่อยฉันไปเร็ว ๆ!” ชายวัยกลางคนกรีดร้องและดิ้นรน ”หยุดรถ! อย่าไปต่ออีกเลย! นั่นไม่ใช่สถานที่ที่พวกเราไปได้!”

“ดูเหมือนว่าคุณจะรู้อะไรบางอย่าง ทำไมไม่เล่าให้พวกเราฟังเล่า?”

“หมอก หมอกสีเลือด พวกเราจะกลับออกมาไม่ได้เมื่อเข้าไปในนั้นแล้ว! เร็วเข้า หยุดเขา!” ใบหน้าของชายคนนั้นบิดเบี้ยวอย่างหวาดกลัว เขาร้องคำรามขณะพุ่งไปยังที่นั่งคนขับ แต่ก็ถูกเฉินเกอรั้งกลับมาอีกครั้ง

“หมอกอะไรกัน? คุณต้องอธิบายให้ชัดเจนกว่านั้น” เฉินเกอกำลังตั้งใจเค้นคำตอบจากชายวัยกลางคนตอนที่พบว่ารถแล่นช้าลง หมอแตะไหล่เขาเบา ๆ และเขาก็เงยหน้ามองไปยังทิศทางที่หมอชี้ไป

ภาพประหลาดรอเขาอยู่ ครึ่งหนึ่งของเมืองนั้นอยู่ในม่านฝนหนาหนัก แสงไฟทั้งหมดถูกความมืดและความสิ้นหวังกลืนกิน ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งนั้นแห้งสนิท แทนที่จะมีฝน กลับมีหมอกสีแดงหนาหนักลอยอยู่บนถนน อารมณ์ด้านลบต่าง ๆ เต้นเร่า

นี่คือ… โลกที่ด้านหลังประตู?

เฉินเกอนั้นมีประสบการณ์เข้าไปในโลกหลังประตูอยู่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นโลกที่ด้านหลังประตูในโลกจริงและยังหมอกเลือดมากมายระดับนี้

นี่ไม่น่าเชื่อเลย มันลอกแบบมาจากโลกที่ด้านหลังประตูได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

ความตกใจในใจของเฉินเกอนั้นไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ เมืองหลี่ว่านนั้นเหมือนถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งนั้นปกคลุมด้วยม่านฝน และอีกส่วนหนึ่งนั้นถูกหมอกสีเลือดกลืนกิน มันช่างน่าอัศจรรย์ที่โลกทั้งสองนี้แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง

นี่คือผลจากการที่ประตูหลุดออกจากการควบคุมเหรอ? เมืองถูกกลืนกิน และฝันร้ายกลายเป็นส่วนหนึ่งของความจริง?

ในค่ำคืนที่ฝนตก หลังเที่ยงคืน เมืองหลี่ว่านก็เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันออกมา ระหว่างภารกิจระดับสามดาวก่อนหน้านี้ของเฉินเกอ โลกที่ด้านหลังประตูมักจะเป็นอาคารสิ่งก่อสร้างที่เต็มไปด้วยหมอกสีเลือด แต่ตรงหน้าเฉินเกอนี้เป็นครึ่งเมืองที่ถูกหมอกสีเลือดปกคลุมอยู่!

“อย่าไปต่ออีกเลย!” ถึงแม้ว่าเสียงของชายวัยกลางคนจะแหบแห้งจากการตะโกน รถเมล์ก็ไม่หยุด

ถังจวินเหลือบมองเฉินเกอผ่านกระจกมองหลัง เฉินเกอแอบส่งสัญญาณให้เขาขับต่อไปเมื่อหันหน้าหลบพ้นสายตาผู้โดยสารคนอื่น ๆ หลังจากได้รับคำสั่ง ถังจวินก็เลิกลังเลและเหยียบเท้าลงบนคันเร่ง

บอสใหม่ของเขานั้นภายนอกดูใจดีและสุภาพ แต่อันที่จริงแล้ว เขาเป็นคนบ้าที่บ้าคลั่งยิ่งกว่าเงานั่น เทียบกับหมอกสีเลือดแล้ว ถังจวินกลัวบอสของเขามากกว่า

รถเมล์เร่งความเร็วขึ้นโดยไม่บอกล่วงหน้า

เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นก้องอยู่บนรถ และชายหน้ายิ้มก็ผุดลุกขึ้นจากที่นั่งของเขาพร้อมรอยยิ้มที่ประทับอยู่บนใบหน้า แต่ทั้งสองคนก็ช้าเกินไปแล้ว

รถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 พุ่งหัวเข้าไปในหมอกสีเลือดและแล่นไปตามถนนที่ถูกย้อมด้วยสีแดง!

 

ป้ายถัดไป เมืองหลี่ว่าน

ทำไมเขาถึงเดินตรงมาทางพวกเรา? เฉินเกองุนงงกับการกระทำของชายคนนี้ เดี๋ยวก่อนนะ เขาวางแผนจะล่วงเกินผู้โดยสารทุกคนบนรถเมล์นี่อย่างน้อยคนละครั้งหรือ? ฉันไม่คิดว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดีนะเพื่อน

เป็นธรรมดาที่ผู้โดยสารจะไม่ได้ยินความคิดของเฉินเกอ เมื่อไหร่ก็ตามที่รองเท้าของเขากระทบกับพื้น ก็จะมีเสียงฝีเท้าสองคู่ คู่หนึ่งอยู่ด้านหลังอีกคู่หนึ่ง พูดให้ดูดีที่สุดก็คือมันค่อนข้างหลอนทีเดียว

เฉินเกอเริ่มกระสั่บกระส่ายเมื่อชายคนนี้เดินตรงมาทางท้ายรถ อย่างไรเสีย ชายคนนี้ก็นำเอาคำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงมากับเขาด้วย เขาขยับตัวให้ลึกเข้าไปในเบาะที่นั่ง มันไม่ใช่ว่าเขากลัว แต่เขาแค่ไม่อยากถูกลากเข้าไปในปัญหาที่เขาไม่ได้ก่อ ผู้โดยสารคนนั้นสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเงียบ ๆ ของเฉินเกอ ดวงตาของเขามองสลับไปมาระหว่างเฉินเกอและหมอ และในที่สุด รอยยิ้มกวนอารมณ์นั่นก็มาตกลงที่เฉินเกอ

“แกกลัว” น้ำเสียงนั้นมั่นใจ ดวงตาไร้ความรู้สึก และริมฝีปากของผู้โดยสารคนใหม่ก็โค้งขึ้นเหมือนเขาควบคุมทุกอย่างเอาไว้แล้ว เหมือนไม่มีสิ่งใดในยานพาหนะคันนี้รอดพ้นสายตาของเขาไปได้

“ก็นิดหน่อย” เฉินเกอยอมรับอย่างไม่อาย

“ยิ่งแกกลัว เรื่องแย่ ๆ ก็จะยิ่งเกิดขึ้นกับแก” ผู้โดยสารคนใหม่ดูตัดสินใจเลือกที่นั่งได้แล้ว เขาถือกรรไกรและกระเป๋าเอาไว้ในมือเดียวขณะที่มือข้างที่ว่างนั้นคว้ากระเป๋าสองใบของเฉินเกอเอาไว้

เขาไม่ได้ลงมือกับเฉินเกอแต่กลับเล็งไปที่สัมภาระของเฉินเกอแทน นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอเจอกับคนเช่นนี้ เขาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว สงสัยว่าผู้โดยสารตนนี้สามารถมองเห็นกลุ่มของผีที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าของเขาใช่ไหม

แต่ว่า สองวินาทีให้หลัง เฉินเกอก็โยนความสงสัยนั้นออกไปจากใจ ผู้โดยสารคนใหม่นั้นคว้าสายกระเป๋าเอาไว้แน่นและพยายามยกมันขึ้นพร้อมรอยยิ้มประหลาดบนหน้า และเกินกว่าที่ผู้โดยสารอื่น ๆ จะคิดเอาไว้ กระเป๋ากลับไปขยับเลยสักนิด ผู้โดยสารที่ดูก้าวร้าวมากผู้นี้กลับไม่สามารถยกกระเป๋าของเฉินเกอได้ด้วยมือเดียว

“เหอเหอ” หลังจากหัวเราะ ผู้โดยสารคนใหม่นี้ก็พยายามอีกครั้ง กล้ามเนื้อบนแขนของเขาปูดนูน และมันก็เหมือนเขาใช้แรงทั้งหมดที่มีถึงจะยกกระเป๋าของเฉินเกอขึ้นแล้วโยนมันไปบนพื้นได้

ปัง!

กระเป๋าหนักมาก พอตกลงพื้นก็เกิดเสียงกระแทกดังลั่น

“ในกระเป๋ามีอะไรน่ะ?” ผู้โดยสารคนใหม่เพยิดคางและชี้ปลายกรรไกรไปยังดวงตาของเฉินเกอ

“ผมเป็นคนสร้างอุปกรณ์ประกอบฉากให้กับสวนสนุก กระเป๋านั่นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ประจำของผม หรือเรียกว่าเป็นเครื่องมือหากินของผมก็ได้” เฉินเกอยกสองมือขึ้นเพื่อให้ชายคนนั้นพอใจ เขาเคยเห็นตำรวจทำแบบเดียวกันนี้ที่สถานที่เกิดเหตุเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดอันไม่จำเป็น ความลื่นไหลของกริยาและความจริงใจในน้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉินเกอทำอะไรเช่นนี้

‘ความขี้ขลาด’ ของเฉินเกอนั้นทำให้ผู้โดยสารคนใหม่พึงพอใจมาก เขากวาดตามองทั้งคันรถ และชายหนุ่มที่ตรงหน้าเขานี้ก็ดูเหมือนจะรังแกได้ง่ายที่สุดแล้ว เขาแลบลิ้นออกมาแล้วพยายามเลียแผลตัวเองก่อนที่ในที่สุดจะนั่งลงที่ข้าง ๆ เฉินเกอ

เฉินเกอลดมือลงช้า ๆ หันหน้าไปมองที่ข้าง ๆ ตัว หลังจากได้ยินที่ผู้โดยสารคนใหม่พูด กระทั่งเขาเองก็คิดว่าผู้ชายคนนี้จะลงมือกับเขาแล้ว หรืออย่างน้อยที่สุด ก็เปิดกระเป๋าเขาดูข้างใน แต่ว่า มันกลับกลายเป็นว่า ผู้ชายคนนี้ดีแต่ปาก พูดแต่ไม่ทำ เขาไม่กระทั่งจะหาข้ออ้างให้ตัวเองและนั่งลงไปตรง ๆ เลย

“เอ่อ… คุณก็จะไปเมืองหลี่ว่านเหมือนกันเหรอ?” เฉินเกอนั้นรู้สึกตลกกับสิ่งที่ผู้โดยสารคนนี้ทำ สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากขึ้นมาบนรถก็คือท้าทายผู้โดยสารคนอื่น ๆ การกระทำและสีหน้าของเขานั้นเหมือนกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่เห็นว่าเขานั้นเป็นฆาตกรบ้าคลั่ง

“ใครจะไปขึ้นรถเมล์คันสุดท้ายตอนเที่ยงคืนที่มีไว้ให้คนตายกันถ้าไม่ได้จะมุ่งหน้าไปเมืองหลี่ว่าน?” ผู้โดยสารคนใหม่มองเฉินเกอใกล้ ๆ มันน่าประทับใจสำหรับเขาที่ในผู้โดยสารทั้งหมดบนรถนั้น เฉินเกอดูปกติที่สุดและยังดูเป็นคนดีที่สุดด้วย

“รถเมล์ที่มีไว้ให้คนตาย…” คนที่เห็นอาจจะคิดว่าเฉินเกอนั้นเคยเรียนการแสดงมาก่อนได้เลยทีเดียวเพราะว่าเพียงแค่ดีดนิ้วครั้งเดียว เขาก็สวมบทบาทของคนที่กำลังหวาดกลัวได้ทันที เขาสูดลมหายใจที่ดูเหมือนจะเย็นจนหนาวลึก ๆ เหมือนกำลังพยายามเก็บกลั้นความกลัว แต่ว่าการกระทำของเขานั้นก็เผยอารมณ์ ‘ที่แท้จริง’ ของเขาออกมา ความกลัวแผ่ออกมาจากข้างใน ถึงแม้ว่าสีหน้าของเขาจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เขาก็ยังทำให้แน่ใจว่าขอบตาของเขากระตุกและลูกตากลอกไปมารอบ ๆ อย่างกระวนกระวาย

ผู้โดยสารคนใหม่นั้นพึงพอใจยิ่งกว่าเดิมกับปฏิกริยาของเฉินเกอ เขาชอบคนที่ ‘อ่อนแอ’ กว่าตัวเอง “แกชื่ออะไร?”

“ผมชื่อเฉินเกอ เป็นพนักงานในสวนสนุก แล้วคุณล่ะ?” เฉินเกอขดตัวลึกเข้าไปในที่นั่งเหมือนกลัวว่าคำถามของตัวเองจะไปล่วงเกินชายคนนี้เข้า ดังนั้นเขาจึงรีบเสริม “แต่คุณไม่บอกก็ไม่เป็นไรนะ ผมแค่ถามเผื่อเฉย ๆ”

“แกเรียกฉันว่ามือกรรไกรก็ได้ ฉันกำลังจะไปตามหาคนคนหนึ่งในเมืองหลี่ว่าน คนตายคนหนึ่งน่ะ” เฉินเกอไม่ได้ถามรายละเอียด แต่ว่าผู้โดยสารคนใหม่ก็เล่าเรื่องของเขาให้เฉินเกอฟังอย่างง่าย ๆ

“ผมเองก็กำลังไปที่นั่นเพื่อตามหาคนผู้หนึ่งเหมือนกัน เพื่อนคนหนึ่งของผมหายตัวไป และเงื่อนงำสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ให้ผมก็คือรถเมล์คันนี้ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อจนกระทั่งผมเห็นรถเมล์นี่ปรากฏขึ้นต่อหน้า คุณไม่รู้หรอกว่าผมลังเลอยู่นานแค่ไหนก่อนที่จะรวบรวมความกล้าขึ้นมาบนรถนี่ได้…” คำอธิบายของเฉินเกอนั้นละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ และมันยังฟังดูคุ้น ๆ อย่างน่าประหลาดใจสำหรับคุณหมอที่นั่งอยู่ด้านหลัง เขาพบว่าเฉินเกอนั้นดัดแปลงเรื่องเล่าของเด็กนักเรียนมัธยมคนนั้นมาเป็นเรื่องของตัวเอง

“ดูเหมือนว่าฉันคงไม่ใช่คนเดียวที่มีประสบการณ์อย่างนั้น” รอยยิ้มบนหน้าของกรรไกรหุบลงช้า ๆ เขาดูเหมือนกำลังไตร่ตรองบางอย่าง และเมื่อเขาไม่ได้ตั้งใจแสดง สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ นี่เป็นสีหน้าของเขาในชีวิตปกติ

“พวกเราเหมือนกันทั้งหมด” เฉินเกอก้มลง ทำทีเป็นผูกเชือกรองเท้า ปลายนิ้วของเขาปัดผ่านรอยเลือดที่หยดลงมาบนรองเท้าของเขาตอนที่ผู้โดยสารโบกกรรไกรไปมา เฉินเกอถูปลายนิ้วเข้าด้วยกันและแอบขยับปลายนิ้วมาที่จมูก ประสาทสัมผัสของเขานั้นดีมาก ดีกว่าคนทั่วไป แต่ถึงจะอยู่ใกล้เพียงนี้เขาก็ยังไม่ได้กลิ่นของเลือดจาก ‘รอยเลือด’ นี่

นี่ไม่ใช่เลือด ความสงสัยของเฉินเกอได้รับการยืนยัน โดยปกติแล้ว หากคนผู้หนึ่งแบกกระเป๋าที่เต็มไปด้วย ‘ชิ้นส่วนร่างกาย’ นอกเสียจากพวกเขาจะมีการเตรียมการพิเศษด้วยถ่านหรือว่าพลาสติกหุ้ม มันต้องมีกลิ่นเลือด

ผู้ชายคนนี้น่าจะไม่ต่างไปจากหมอ คนธรรมดาที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลี่ว่านเพื่อพบ ‘ความหวังสุดท้าย’ ของตัวเอง

เฉินเกอลองเอาตัวเองไปอยู่ในสถานะเดียวกับผู้โดยสารคนนี้ เขารู้ว่าบนรถคันนี้นั้นอันตราย และรู้ว่าปลายทางนั้นเต็มไปด้วยฆาตกรและผี ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแกล้งทำตัวเป็นหนึ่งในคนบ้าและเสียสติเหล่านี้

ถึงจะปลอมตัวเป็นหมาป่า แต่แกะก็คือแกะ เฉินเกอมองปลายนิ้วบอบบางของชายคนนี้แล้วก็ส่ายหน้าเงียบ ๆ เขางึมงำอยู่ในใจ วิธีการที่เขาจับกรรไกร คนแรกที่เขาจะทำร้ายเมื่อต้องเผชิญอันตรายก็คือตัวเขาเอง เมื่อต้องหนีอย่างร้อนรน ไม่มีทางที่เขาจะยังรักษาความสงบเอาไว้จนจำได้ว่าที่ต้องแทงคือศัตรู ทางที่ดีนั้นควรจะจับกรรไกรที่ตรงจุดหมุนแล้วใช้มันแทงหรือทิ่ม

ผู้ชายคนนี้เรียกตัวเองเป็นมือกรรไกรที่เผยให้เห็นจุดอ่อนมากเกินไป คนทั่วไปอาจจะกลัวเมื่อเห็นรูปลักษณ์น่ากลัวและคำพูดที่ดูบ้าคลั่งของเขา แต่ไม่ใช่เฉินเกอ เขาเป็นเจ้าของบ้านผีสิง และจากมุมมองของมืออาชีพ ที่มือกรรไกรทำลงไปนี้ยังต้องพัฒนาอีกมาก

มือกรรไกรนี่ไม่ได้ดูน่ากลัวนัก ดังนั้นเฉินเกอจึงหันกลับไปสนใจผู้โดยสารคนอื่น ๆ พวกเขาจะไปถึงเมืองหลี่ว่านในไม่ช้า เขาปล่อยให้ผู้โดยสารเดินไปมาอิสระเกินไปไม่ได้ ก่อนที่แผนการจะเริ่มต้นขึ้น ความบังเอิญอีกอย่างก็เกิดขึ้นเสียก่อน– โทรศัพท์ในกระเป๋าเฉินเกอจู่ ๆ ก็สั่นขึ้นมา เฉินเกอใส่หูฟังและรับสาย เสียงของฟ่านต้าเตอดังมา

“บอสเฉิน! ผมเจอปัญหาเข้าแล้ว! เพราะว่าประตูห้องนั่งเล่นน่ะเปิดอยู่ ผมก็เลยออกไปดูข้างนอก มีแต่รอยเท้ามุ่งหน้าไปทางบันไดและไม่มีรอยไหนเลยที่ย้อนกลับลงมา เจ้าสิ่งนั้นน่าจะยังอยู่ในตึก! ผมควรจะออกไปจากที่นี่ตอนที่ยังทำได้ไหม?”

“มีแต่รอยเท้าเดินขึ้นไป?”

“ใช่ คืนนี้ดูมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทุกอย่างดูผิดที่ผิดทางไปหมด! บอสเฉิน คุณอยู่ไหนแล้ว? ผมไม่คิดว่าผมจะทนได้นานกว่านี้แล้ว!”

“รออยู่ที่นั่นอีกครู่นะ ผมจะไปถึงที่นั่นในไม่ช้าแล้ว!”

 

ผู้โดยสารคนสุดท้าย

เฉินเกอแอบกระซิบกับถังจวินให้เขาเปลี่ยนป้ายสุดท้าย ตอนที่พวกเขาถึงเมืองหลี่ว่าน รถจะมุ่งหน้าไปยังเขตที่พักอาศัยที่ฟ่านฉงอยู่ หลังจากพวกเขาตกลงกันได้แล้ว เฉินเกอก็เดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองที่ท้ายรถ ตอนที่เขาผ่านชายหน้ายิ้ม ความหนาวยะเยือกก็เหมือนจะแผ่ออกจากหัวใจของเขา

พอหันกลับไปมอง หน้ายิ้มนั่นก็กำลังมองมายังเฉินเกอด้วยดวงตาที่มีม่านตาสีเทาคู่นั้น

“ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องจะบอกฉันเยอะเลย ทำไมเขาถึงไม่แค่ย้ายรองเท้าส้นสูงคู่นั้นออกไปห่าง ๆ หากไม่ชอบมันขนาดนั้น? ทำไมมันถึงดูเหมือนว่าเขาไม่อยากกระทั่งจะแตะรองเท้าคู่นั้น? เป็นไปได้ไหมว่ารองเท้าคู่นั้นมีคำสาปอะไรอยู่?”

ขณะที่เฉินเกอกำลังพึมพำกับตัวเอง เขาก็เก็บคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ไม่ให้หลุดจากปาก จากท่าทีของชายหน้ายิ้ม บางทีอาจจะมีคำสาปติดอยู่กับรองเท้าคู่นั้นจริง ๆ

“โอ้ ดีเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็แตะต้องมันไปแล้ว ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลง ฉันก็แค่ต้องเหวี่ยงรองเท้าคู่นั้นใส่เงานั่นตอนที่ฉันเจอมันเข้า” เฉินเกอไม่สนใจเรื่องคำสาปมากนัก อย่างไรเสีย เขาก็ได้รับจดหมายรักต้องสาปมาแล้วตอนที่ได้รับโทรศัพท์เครื่องดำมา คำสาปไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น– สิ่งที่น่ากลัวก็คือผีที่อยู่เบื้องหลังคำสาปต่างหาก

พอกลับไปที่ที่นั่งแล้ว เฉินเกอก็เลิกท้าทายชายหน้ายิ้ม เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและมองออกไปนอกหน้าต่าง ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ด้านนอกหน้าต่างก็มีแต่ความมืด ไม่ช้า รถเมล์ก็มาถึงป้ายสุดท้ายก่อนที่จะไปถึงเมืองหลี่ว่าน

ประตูเปิด และก็มีเสียงโซ่ลั่นดังผ่านสายฝนมา มือคู่หนึ่งที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝนจนซีดขาวเอื้อมเข้ามาในรถจับราวจับเอาไว้ น้ำฝนไหลลงมาตามนิ้วของชายคนนั้น และก็มีเสียงหัวเราะแหลมสูงประหลาดดังสลับกับเสียงโซ่ลั่น ตอนที่ใบหน้าของผู้โดยสารทั้งหมดหันไปทางประตูหน้า ใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ทางเดิน

ใบหน้านั้นงดงามมาก ใคร ๆ ก็สามารถมองเห็นได้ว่าเขาเคยมีใบหน้าหล่อเหลาเพียงใดหากมองข้ามรอยแผลยาวลึกจากปลายหางตาซ้ายไปจรดมุมปากได้ จากไกล ๆ มันดูเหมือนชายคนนี้มีปากสองปาก หนึ่งนั้นในแนวนอน และอีกหนึ่งในแนวตั้ง

รอยแผลนั้นดูเหมือนเพิ่งได้รับมาไม่นาน แผลยังไม่หายดี และเมื่อโดนฝน บาดแผลก็เริ่มดูเหมือนจะอักเสบและมีหนอง ริมฝีปากบางขยับเปิดอย่างช้า ๆ เขาแลบลิ้นเลียไปที่ขอบแผลที่อยู่เหนือริมฝีปากเขาพอดี เขาดูเจ็บปวด แต่ก็น่าแปลก เขาทำเหมือนเขามีความสุขกับความเจ็บปวดนี้

“คราวนี้เป็นคนบ้าแบบไหนอีก?” เฉินเกอสรุปได้หลังจากเหลือบมองผู้โดยสารคนสุดท้ายแวบหนึ่ง

ผู้ชายคนนี้ดูจะชื่นชอบความสนใจที่เขาได้รับ เขาใช้ปลายนิ้วเสยผมที่ยุ่งเหยิงจากน้ำฝน ปลายนิ้วนั้นขาวอยู่แต่แรกก่อนที่จะจัดผม แต่หลังจากจัดผมแล้ว ปลายนิ้วนั้นก็ย้อมเป็นสีแดง ดูเหมือนว่าบนศีรษะของชายคนนี้จะมีแผล หรือบางทีอาจจะมีเลือดแห้งแข็งตัวอยู่บนเส้นผมของเขา

“น่าสนุกอะไรขนาดนี้?” ผู้โดยสารคนใหม่นั้นบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าที่เฉินเกอคิดเอาไว้ สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากขึ้นมาบนรถก็คือท้าทายชายหน้ายิ้ม เขาดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงอันตรายอะไรเลย และลูกตาโปน ๆ ของเขาก็จ้องไปยังชายคนที่มีรอยยิ้มแขวนเอาไว้บนหน้าอย่างถาวรทั้งที่มันเห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้อารมณ์ดีอะไร

“ชายคนนี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนเนี่ย?” เพราะความสนใจในรายละเอียดของเขา เฉินเกอสังเกตเห็นส่วนหนึ่งของบาดแผลบนใบหน้าของชายคนนั้นนั้นเริ่มเป็นหนองแล้ว และส่วนที่เหลือก็เริ่มตกสะเก็ด ดังนั้น ด้วยการสังเกตนี้ เขาเชื่อว่าคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ทำไมคนเป็นถึงจงใจท้าทายชายหน้ายิ้มคนนั้น? เป็นความกล้าจากความไม่สนใจอะไรหรือว่าเขาแอบซ่อนไพ่ตายอะไรเอาไว้?

ผู้ชายหน้ายิ้มคนนั้นกำลังกรุ่นโกรธจากการท้าทายของเฉินเกอ และตอนนี้ ก็ยังถูกชายอีกคนหนึ่งรนหาที่ตายด้วยการคุกคามเขา เส้นสีดำในม่านตาของเขาเริ่มคืบคลานเหมือนหนอน และรอยแผลแคบยาวบนริมฝีปากของเขาที่อาจจะนับเป็นรอยยิ้มได้นั้นยิ่งเปิดกว้างขึ้นอีก

ทุกคนรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว… นอกจากผู้โดยสารคนใหม่ อันที่จริง เขายังแสดงความไม่เป็นมิตรออกมาด้วยการชี้ไปยังรอยแผลบนหน้าตัวเอง “แกพยายามลอกเลียนแบบฉันอยู่เรอะ?”

หลังจากเขาขึ้นมาบนรถเมล์ ผู้โดยสารที่เหลือก็พบว่าผู้โดยสารคนใหม่นี้นั้นเปรอะไปด้วยเลือด และเขายังถือกรรไกรเล่มหนึ่งที่ยาวประมาณสามสิบเซนติเมตรเอาไว้ในมือซ้ายขณะที่ลากกระเป๋าเก่า ๆ ที่ยังมีเลือดซึมออกมาด้วยมือขวา

“ฆาตกร?” เฉินเกอมองชายคนนั้น และยิ่งมองเขาก็ยิ่งสงสัย ผู้โดยสารสวมเสื้อยืดสีขาว ถ้าเขาเพิ่งก่อเหตุฆาตกรรมมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ การกระทำผิดของเขาก็เป็นที่เข้าใจได้ แต่เขากลับดูใจเย็นจนเกินไปในการทำเรื่องเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการฆาตกรรมที่ผ่านการไตร่ตรองเอาไว้ก่อน แต่ทำไมคนที่ยังคงรักษาสติเอาไว้ได้กระทั่งหลังจากลงมือฆ่ากลับเลือกสวมเสื้อสีขาวที่หากเปื้อนเลือดจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดด้วย?

มันจะเป็นเหตุเป็นผลกว่าไหมหากจะเลือกสวมเสื้อผ้าสีเข้มที่อำพรางร่องรอยได้ดีกว่า?

“งานอดิเรกของเขางั้นเหรอ? ผู้ชายคนนี้เป็นฆาตกรก่อเนื่อง?” นี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่มีเหตุผลแล้ว ผู้ชายคนนี้นั้นต่างไปจากฆาตกรส่วนมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถอธิบายสิ่งอันไม่เป็นเหตุเป็นผลที่เขาทำได้

“แต่ก็ยังมีบางอย่างที่มันดูไม่ถูกต้อง” ดวงตาของเฉินเกอขยับไปยังแขนของผู้ชายคนนั้น กรรไกรหนึ่งเล่มนั้นเป็นอาวุธที่แปลกสำหรับฆาตกรสักคนจะใช้ ไม่ใช่ว่าขวานหรือว่ามีดทำครัวจะใช้การตามจุดประสงค์ได้ดีกว่าเหรอ?

จากนั้นเขาก็หันไปสนใจกระเป๋าที่ชายคนนั้นลากมาด้วย กระเป๋าใบนั้นชุ่มไปด้วยน้ำฝน และเลือดก็ไหลซึมออกมาจากข้างในนั้น ถ้ากระเป๋านี้มีชิ้นส่วนมนุษย์อยู่ เลือดย่อมไม่ซึมออกมาจากด้านบนกระเป๋าแต่ควรจะนองอยู่ที่ก้นกระเป๋า นอกจากนี้ เลือดของมนุษย์จากชิ้นส่วนร่างกายมักจะแข็งตัว และไม่ไหลออกมาเหมือนน้ำพุเช่นนี้ ดังนั้น สำหรับเฉินเกอแล้ว มันเหมือนว่ากระเป๋านี้ไม่ได้ใส่ชิ้นส่วนร่างกายอะไรเอาไว้แต่ว่าน่าจะยัดทั้งร่างที่ยังมีเลือดไหลออกมาเอาไว้ในกระเป๋า

น่าจะเป็นไปได้ที่สุดแล้ว เฉินเกอใช้เวลาไปมากทีเดียวกับฆาตกรบ้าคลั่งเขาถึงสามารถมองรายละเอียดเหล่านี้ออกได้ในระยะเวลาอันสั้น

“ฉันถามอีกครั้งนะ แกพยายามลอกเลียนแบบฉันเหรอ?” ความท้าทายในน้ำเสียงของผู้โดยสารคนใหม่นั้นทำให้สิ่งที่เฉินเกอทำก่อนหน้านี้ดูจืดจางไปเลยเมื่อเทียบกัน กระทั่งเขาเองก็ยังไม่ได้พูดออกไปตรง ๆ เช่นนี้ตอนที่พยายามแกว่งเท้าหาเสี้ยนเมื่อครู่– เขาเพียงแค่เอาผีอีกตนไปวางไว้ใกล้ ๆ ชายหน้ายิ้มเท่านั้น เขาไม่ได้ปรามาสชายหน้ายิ้มไม่ว่าด้วยกริยาหรือว่าคำพูด

ความอดทนของชายหน้ายิ้มนั้นลดลงไปทีละน้อย เส้นสีดำคืบคลานออกจากดวงตาของเขาและไต่ลงไปตามแก้มของเขา

“แกเป็นใบ้เหรอ? ฉันถามแกอยู่นะ!” ผู้โดยสารคนใหม่ยังคงกดดันต่อไป เขาไม่ได้มีความหวาดกลัวให้เห็นเลยสักนิด เขากางกรรไกรออกให้เห็นคมและเดินตรงไปหาชายหน้ายิ้ม “ให้ฉันเดานะว่าทำไมแกถึงขึ้นรถคันนี้ตอนเที่ยงคืน…”

ตอนที่เขาก้มหน้าลงทำเป็นคิดนั้น เขาก็เห็นรองเท้าส้นสูงสีแดงที่อยู่ข้าง ๆ ชายหน้ายิ้ม จากนั้นเขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไร เขาเอื้อมมืออกไปคว้ารองเท้าคู่นั้นขึ้นมา “แกจะไปตามหาเมียเหรอ?”

ตอนที่ผู้โดยสารคนใหม่พูดอย่างนั้น รอยยิ้มบนหน้าของชายหน้ายิ้มก็ดูแข็งทื่อไป และนั่นก็ทำให้สีหน้าของเขาประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเลิกโกรธผู้โดยสารคนใหม่ เขามองไปยังรองเท้าส้นสูงสีแดงและสวมรอยยิ้มประหลาดเอาไว้ขณะกลับไปยังที่นั่งตนเอง

“ดูเหมือนฉันจะพูดถูก” คำพูดของผู้โดยสารคนใหม่นั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขาห้อยรองเท้าคู่นั้นเอาไว้บนปลายกรรไกรขณะวางมันลงที่เดิม “ฉันจะปล่อยแกไปเพราะความจงรักภักดีในความรักของแก”

มันเหมือนว่าเขาหาข้ออ้างให้ตัวเองหนีจากชายหน้ายิ้มมากกว่า หลังจากนั้น เขาก็ลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปตามทางเดิน แต่เขาเพิ่งก้าวไปได้ก้าวเดียวตอนที่เกิดเรื่องประหลาดขึ้น

หลังจากเขาเดินไปก้าวแรก ก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้น มันเหมือนคนเดินตามเขามา พอหันกลับไปดู รองเท้าส้นสูงสีแดงก็ยังอยู่ที่เดิม

ผู้โดยสารคนใหม่ที่แสนดื้อรั้นก็เดินไปอีกสองก้าว และพอเขาก้าวเท้า ก็มีเสียงรองเท้าดังตามมา

“รองเท้ายังอยู่ที่เดิม แต่ทำไมถึงมีเสียงดังมาได้? ที่ตามฉันมาคืออะไรกัน?”

บางทีอาจจะเพราะความวิตกกังวลของเขา ผู้โดยสารคนใหม่พูดความคิดของตัวเองออกมา และเขาก็ดูต่างไปจากชายกล้าหาญที่ข่มขู่ชายหน้ายิ้มเมื่อครู่นี้

เฉินเกอที่คอยสังเกตอยู่ด้านหลังเห็นทุกอย่าง ชายหน้ายิ้มอาจจะวางแผนจบชีวิตชายคนนี้อยู่ แต่พอเขาหันไปล่วงเกินรองเท้าส้นสูงสีแดง รองเท้าส้นสูงก็ตัดสินใจจะลงมือกับชายคนนี้ก่อนที่ชายหน้ายิ้มจะทันลงมือ

“ชายคนนี้ไร้ประสบการณ์เกินไปแล้ว ฉันชื่นชมความงามของรองเท้าและยังทำให้แน่ใจว่าได้ชื่นชมรสนิยมของเจ้าของก่อนที่จะไปจัดการกับชายหน้ายิ้ม” เฉินเกอถอนหายใจ แต่จากนั้นก็เกิดบางอย่างที่ไม่ได้คาดคิดขึ้น หลังจากผู้โดยสารคนใหม่ไม่สามารถจัดการกับเสียงรองเท้าส้นสูงได้ เขาก็มุ่งหน้าตรงมาทางเฉินเกอและหมอที่นั่งอยู่ที่ด้านหลังรถ

 

 

ฉากที่มีความยากระดับ 3.5 ดาว

“รองเท้าส้นสูงคู่นี้มาจากไหนกัน?” เฉินเกอเก็บรองเท้าขึ้นมาเหมือนนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นมัน ได้ยินอย่างนั้น คนขับรถ ถังจวิน ก็มองเข้าไปในกระจกมองหลัง เขายังหลั่งเหงื่อเย็น ๆ อยู่– บอสใหม่ของเขาต่างไปจากคนทั่วไปจริง ๆ

คนที่ไม่ได้มีจิตใจผิดปกติย่อมไม่เข้าหาผีด้วยตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ว่าบอสของเขานั้นต่างไปโดยสิ้นเชิง เขามุ่งหน้าขึ้นเขาไปแม้จะรู้ว่ามีเสือร้ายด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ นรกเถอะ เขายินดีเข้าไปในถ้ำเสือด้วยซ้ำถ้าหากว่าจะได้อะไรกลับออกมา– นี่เป็นคนประเภทที่ไม่สนใจผลที่จะตามมา

เขาคิดจะโน้มน้าวบอสของเขา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ตรงไหน ดังนั้นเขาจึงหุบปากเงียบเอาไว้แล้วตั้งใจขับรถต่อไป ไม่มีใครบนรถกล้าตอบคำถามของเฉินเกอ– พวกเขาล้วนมองไปที่เฉินเกออย่างประหลาดใจ

“ตอนนี้เขาจะทำอะไรอีกเนี่ย?” หมอยกผ้าพันคอขึ้นมาพันรอบใบหน้าให้กระชับขึ้น เผยออกมาเพียงแค่ดวงตาสองข้างเท่านั้น เมื่อคิดถึงว่าเขาแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาย่อมไม่ก้าวออกไปช่วยเฉินเกอ

สำหรับครอบครัวสามคนแล้ว ภรรยาและลูกชายเอาแต่ก้มหน้าต่ำ ไม่มีใครพูดอะไร แต่ว่า คนสามีนั้นยิ้มชั่วร้ายออกมาเหมือนดีใจที่จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเฉินเกอ

ขี้เมาที่เป็นผู้โดยสารคนแรกของรถเมล์ ตอนนี้เขาฟุบไปกับที่นั่งและหมดสติไป ตั้งแต่นั้นเขาก็ยังคงไม่ได้สติขึ้นมา

ชายหน้ายิ้มนั้นมองเฉินเกอ และเฉินเกอก็บังเอิญสบตากับเขา

“คุณอยู่ใกล้ที่นั่งนี้ที่สุด คุณรู้ไหมว่าใครลืมรองเท้าคู่นี้เอาไว้?” ถือรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นี้เอาไว้ในมือนั้นทำให้เขามีความรู้สึกประหลาด ๆ จากฝ่ามือ– มันเหมือนกำลังแตะอยู่บนผิวหนังมนุษย์ที่ชุ่มไปด้วยเลือด เฉินเกอถือรองเท้าไว้ด้วยมือหนึ่งและเดินตรงไปหาชายหน้ายิ้มช้า ๆ

“นี่เขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า? ทำให้คนผู้หนึ่งขุ่นเคืองไม่พอ เขายังก่อกวนถึงสองคนพร้อมกัน? นี่เขาไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผีอยู่จริง ๆ งั้นเหรอ? เขาคิดว่าฉันโกหกเขาเมื่อตอนที่พวกเราเจอกันครั้งก่อนบนรถคันนี้เหรอ?” หมอนั้นเป็นกังวลแทนเฉินเกอ เขาแน่ใจว่าเขาบอกเฉินเกอไปก่อนหน้านี้แล้วว่าชายหน้ายิ้มนั้นสังหารคนทั้งคันรถมาแล้ว แต่เฉินเกอก็ยังเป็นฝ่ายพุ่งออกไปท้าทายเขา การกระทำนี้ทำให้หมอต้องงุนงง

เฉินเกอที่ถือรองเท้าคู่นั้นเอาไว้เดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ชายหน้ายิ้ม เขาโบกรองเท้าไปมาตรงหน้าคนผู้นั้น

“คุณดูเครียดมาก” เฉินเกอนั้นวางรองเท้าส้นสูงลงข้าง ๆ ขาของชายหน้ายิ้มอย่างเป็นธรรมชาติมาก “เจ้าของรองเท้าคู่นี้น่าจะสวยมากเพราะว่ารสนิยมอันดีของเธอนั้นเห็นได้ชัดเจนจากรองเท้าส้นสูงคู่นี้ที่ดูสวยงามถึงเพียงนี้ คุณคิดว่าอย่างนั้นไหม?”

ชายหน้ายิ้มเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เขาเค้นคำพูดออกจากปากทั้งที่หน้ายังยิ้มอยู่ “เอามันออกไป”

นิสัยของคนผู้หนึ่งนั้น บางส่วนก็สามารถดูออกได้จากน้ำเสียง ในน้ำเสียงของชายหน้ายิ้มนั้นไม่มีร่องรอยขำขัน และเขาก็เว้นวรรคระหว่างแต่ละคำนานเกินจำเป็นเหมือนไม่ได้พูดอะไรออกมานานแล้ว

“คุณเกลียดรองเท้าคู่นี้ถึงขนาดนั้นเลยหรือ? ทำไมล่ะ? นี่เป็นรองเท้าส้นสูงสีแดงที่น่ารักขนาดนี้เลยนะ” ขาของเฉินเกอนั้นตึงเขม็ง เขาพร้อมที่จะถอยออกไปทันทีหากจำเป็น

สำหรับคนอื่นแล้ว มันดูเหมือนเฉินเกอกำลังเล่นกับไฟ หรือพูดให้ตรงกว่านั้น ล้อเล่นกับความตาย พวกเขาไม่รู้ว่าเฉินเกอไปเอาความกล้าจากไหนมาทำเรื่องอย่างนี้ และยังไม่รู้ด้วยว่าเฉินเกอทำแบบนี้ไปทำไม รถเมล์เกือบจะไปถึงเมืองหลี่ว่านแล้ว และเฉินเกอก็มีเวลาเหลือไม่มาก หากเขาสามารถใช้ผู้โดยสารที่บนรถได้ พวกเขาก็จะได้ผู้ช่วยที่ดี แต่ว่า หากเขาเอาชนะคนพวกนี้พวกนี้ไม่ได้ เขาก็จะเข้าสู่สนามรบด้วยสภาพที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้าแล้ว เขาไม่ต้องการมาระแวงถึงผู้โดยสารเหล่านี้ตอนที่รับมือกับเงานั่น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลองลงมือก่อน

การใช้รองเท้าส้นสูงสีแดงทดสอบชายหน้ายิ้มนั้นเป็นสิ่งที่เฉินเกอตัดสินใจกะทันหัน รองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นตอนแรกปรากฏขึ้นที่ป้ายรถเมล์ว่างเปล่า เฉินเกอไม่รู้ว่าพวกมันขึ้นมาบนรถได้อย่างไร– เขาเพียงแค่สังเกตเห็นพวกมันและพวกเขามันก็ขึ้นมานั่งที่ที่นั่งแถวแรกแล้ว

เดิมที เฉินเกอไม่ได้คิดมาก แต่ปฏิกริยาประหลาดของชายหน้ายิ้มนั้นสะดุดความสนใจของเขา หมอบอกเขาว่าชายหน้ายิ้มนั้นครั้งหนึ่งเคยสังหารคนทั้งคนรถ ดังนั้นเขาน่าจะเป็นตัวละครที่อันตรายมาก แต่หลังจากเขาขึ้นมาบนรถ เขากลับหลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูงสีแดงและยังเลือกที่นั่งแถวที่สองอย่างไม่ลังเล

ชายหน้ายิ้มนั้นทิ้งระยะกับรองเท้าส้นสูง เขาระแวงอะไรมัน?

เฉินเกอนั้นไม่เคยประมาทศัตรูของตัวเอง คิดถึงที่ว่ากันว่าคนยิ่งแรงเยอะก็ยิ่งโง่ อันที่จริงแล้ว เหล่าวิญญาณนั้นยิ่งทรงพลังเท่าใด พวกมันก็เฉียบแหลมเท่านั้น พวกมันรู้วิธีการปิดบังและแอบซ่อนตัวเอง พวกมันรอให้เหยื่อประมาทและจากนั้นก็หักคอเหยื่อด้วยการลงมือครั้งเดียว

ชายหน้ายิ้มไม่วุ่นวายกับรองเท้าส้นสูงเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แต่เขาไม่ได้คิดว่าเฉินเกอ ตัวละครตัวหนึ่งจะทำสิ่งที่ผู้อื่นคิดไม่ถึง

เฉินเกอนั้นไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองมากนักเพราะว่าเขาทำตามหลักการที่เหนือกว่า และนั่นก็คือทำให้สิ่งที่ศัตรูไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ปรากฏขึ้นมาจริง ๆ

เห็นรองเท้าส้นสูงสีแดงที่ข้างขาแล้ว ชายหน้ายิ้มก็ใบหน้าทะมึนลง แต่กระทั่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังคงยังยกมุมปากขึ้นเอาไว้ได้ บางทีปิศาจตนนี้คงจะผ่านการกระทบกระเทือนบางอย่างมาตอนที่ยังเด็กหรืออาจจะต้องทนทุกข์ทรมานจากสภาพเจ็บป่วยบางอย่างจนมีเพียงแค่สีหน้าเช่นนี้เท่านั้นที่เขาแสดงออกมาได้

รอยยิ้มไม่เปลี่ยน แต่ว่าสีขาวในดวงตาของเขาเริ่มมีประกายสีเทาและเส้นสีดำบิดไปมาเริ่มลามออกมาจากม่านตาของเขา มันดูน่าคลื่นไส้มากจริง ๆ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายของเขายังเหนือกว่านั้น ลำคอที่เดิมก็ยาวกว่าธรรมดาอยู่แล้วเริ่มยาวขึ้น และรอยพับบนคอของเขาก็ฉีกออกเผยให้เห็นผิวหนังสีเทาเข้ม ปิศาจนี้ต่างไปจากวิญญาณสีเลือดที่เฉินเกอเคยเจอมาก่อน เขาไม่ได้มีอะไรที่จะบอกได้ว่าเขาเป็นผี อันที่จริง เฉินเกอแน่ใจว่าเขาเป็นมนุษย์อยู่ แต่ว่า สิ่งที่แผ่ออกมาจากชายหน้ายิ้มนั้นต่างไปจากคนทั่วไป และเฉินเกอก็ยังไม่พบเจออะไรที่จะบ่งบอกถึงผีบนร่างของชายคนนี้้

“เอามันออกไป!” เสียงเย็น ๆ ก้องออกมาจากปากชายคนนี้ ชายหัวเห็ดร่างโอนเอนไปเล็กน้อยและรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ฉีกกว้างมากขึ้น ฟันอย่างสัตว์ร้ายที่เหมือนถูกขัดไว้จนเรียบปรากฏขึ้น พวกมันต่างไปจากฟันของคนทั่วไป เมื่อมองไปแล้ว มันดูเหมือนปากของสัตว์สักตัวมากกว่า

เสียงเครื่องเล่นเทปดังขึ้นในหูเฉินเกอ มีเพียงตอนที่เฉินเกออยู่ในอันตรายที่ซู่อินจะส่งสัญญาณเตือนออกมา ครั้งสุดท้ายที่ซู่อินเตือนก็คือตอนที่เฉินเกอเผชิญหน้ากับเงานั่นที่การประปา

ผู้ชายคนนี้น่ากลัวขนาดนั้นเลย? ซู่อินนั้นห่างจากการเป็นวิญญาณสีเลือดโดยสมบูรณ์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น และเขาก็ยังเป็นคนที่จะสู้ได้ดีขึ้นเมื่อได้รับบาดเจ็บ เขาไม่เคยมีท่าทีหวาดกลัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับชายหน้ายิ้ม เขากลับรีบเตือนเฉินเกอ

ผู้ชายคนนี้อันตรายกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก

ซู่อินนั้นเป็นคนที่ต่อสู้ได้ดีที่สุดเป็นอันดับสองที่เฉินเกอมีอยู่ หากเขาเตือนออกมา อย่างนั้นสิ่งนั้นก็ย่อมต้องอันตรายมากทีเดียว

ปิศาจแบบไหนกันที่มาปรากฏขึ้นบนรถเมล์ก่อนที่ฉันจะไปเมืองหลี่ว่าน มันยากที่จะคิดภาพแล้วว่าเมืองหลี่ว่านนั้นมีปิศาจแบบไหนอยู่บ้างในหลายปีมานี้

ในที่สุด เฉินเกอก็ไม่ได้เอารองเท้าส้นสูงออกมา เขาปล่อยพวกมันเอาไว้กับชายหน้ายิ้มและพุ่งไปหาคนขับ นี่เป็นยานพาหนะของเขา ดังนั้นเขาจึงเป็นคนออกกฎ เขาจะให้ถังจวินขับรถคันนี้ไปยังเขตที่พักที่ฟ่านฉงอยู่ ไม่ว่าจะมีกับดักแบบไหนรอเขาอยู่ เขาก็จะพุ่งผ่านมันไปพร้อมกับพ่วงเอาชายหน้ายิ้มและรองเท้าส้นสูงสีแดงไปด้วย

ฉันลงมือวู่วามเกินไปหรือเปล่า? โอ้ บ้าชะมัด ไม่มีเวลามาค่อย ๆ คิดเรื่องนี้แล้ว!

 

คำพูดของเด็ก

เขตที่พักอาศัยที่ฟ่านฉงพักอยู่นั้นเรียกได้ว่าอันตรายมาก หากเฉินเกอไปที่นั่น เขาก็คงตกลงไปในกับดักที่เงานั่นวางเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงหันไปสนใจผู้โดยสารคนอื่น ๆ ส่งคนอื่นไปสู้กับศัตรูของเขา เฉินเกอนั้นเคยทำอะไรอย่างนี้มาก่อนแล้วตอนที่เล่นเกมของเสี่ยวปู้

คนเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ และมันย่อมไม่ง่ายที่จะเข้าไปมีอิทธิพลต่อความคิดของพวกเขาและให้พวกเขายินดีเป็นหน่วยสอดแนมให้ฉัน ฉันต้องวางแผนนี้อย่างรอบคอบ

จากที่เฉินเกอเห็น ไม่ว่าจะเป็นชายหน้ายิ้มหรือว่าส้นสูงสีแดง พวกเขาล้วนกลายมาเป็นอาวุธของเขาได้ เขาไม่สนใจว่าคนเหล่านี้ต้องการทำอันตรายเขาหรือไม่ เขาสนใจเพียงแค่ระดับพลังของคนเหล่านี้ หากพวกเขาอ่อนแอเกินไป เฉินเกอก็เกรงว่าพวกเขาอาจจะไม่สามารถทำหน้าที่ง่าย ๆ อย่างการสอดแนมได้ เฉินเกอไม่ต้องการบอกเล่าความคิดของเขากับคนอื่น ๆ หากหมอรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาย่อมเชื่อว่าเฉินเกอนั้นเสียสติไปแล้วเป็นแน่

เรื่องราวยิ่งมายิ่งน่าสนใจแล้ว

มีอุบัติเหตุมากมายเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่เขาจะไปถึงเมืองหลี่ว่าน สิ่งต่าง ๆ หลุดออกจากการควบคุมของเฉินเกอ และไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวินาทีถัดไป

ฉันไม่สามารถกลับไปที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ได้แล้วตอนนี้ หลี่เจิ้งนั้นมีปืน และหากเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของเงานั่นจริง ๆ อย่างนั้นฉันก็จะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงหากกลับไปที่สวนสนุก

หากเงานั่นสามารถควบคุมหลี่เจิ้งได้ อย่างนั้นเขาก็สามารถเข้าครอบครองร่างของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่น ๆ ได้ นรกเหอะ กระทั่งยามชราที่ทั้งใจดีและสุภาพที่สวนสนุกก็ยังสามารถทำร้ายเฉินเกอได้ นี่เป็นศัตรูที่รับมือได้ยากที่สุดที่เฉินเกอเคยเผชิญหน้ามาเลย ตั้งแต่เริ่มเกม เขาก็ไม่สามารถเชื่อถือใครที่อยู่รอบตัวได้เลย

เพื่อจัดการกับเงานั่น ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คืออาศัยสองมือของเขาเอง แทนที่จะรอให้ตัวเองตกลงไปในกับดักของมัน เฉินเกอควรจะเดินทางลัดตัดตรงสู่รังของเงานั่น หาร่างจริงของมันแล้วฆ่ามันซะ

การจัดการกับศัตรูที่ฉลาดและยังเหี้ยมโหดถึงขนาดนี้ เฉินเกอนั้นมีแผนการที่สมบูรณ์แล้ว ต้องอาศัยข้อได้เปรียบของตัวเองและหลีกเลี่ยงจุดอ่อนของตัวเอง– โดยที่ยังวางเอาความปลอดภัยของเขาเองไว้สำคัญที่สุด พยายามจัดการกับศัตรูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าเงานั่นจะวางแผนการอะไรไว้ลึกแค่ไหน หากเฉินเกอไม่ให้เงานั่นมีเวลาวางแผน ความฉลาดของมันก็เสียเปล่าแล้ว

ฉันไม่รู้ว่าเงานั่นซ่อนตัวอยู่ที่ไหนตอนนี้ เขาอาจจะรอลงมืออยู่ที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ หรือว่าแอบอยู่หลังประตูบ้านฟ่านฉง หรือกระทั่งอยู่บนรถเมล์คันนี้ก็ได้ ฉันต้องตื่นตัวให้มากเข้าไว้ มันจะแสดงตัวตนออกมาจริง ๆ เมื่อมันมั่นใจหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มว่าสามารถสังหารฉันได้

เฉินเกอนั้นประเมินสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ จิ่วเจียงตะวันออกนั้นนับเป็นพื้นที่ของเงานั่น และเมืองหลี่ว่านก็คือรังของมันที่มันควบคุมเอาไว้มานานหลายปี มันไม่เคยมีการต่อสู้อย่างยุติธรรมระหว่างเขากับเงานั่นอยู่ตั้งแต่ต้นแล้ว

“รถเมล์กำลังจะเข้าป้ายถัดไป กรุณานั่งประจำที่!”

ตอนที่เฉินเกอกำลังจัดระเบียบความคิดต่าง ๆ ของตัวเอง รถเมล์ก็ถึงป้ายถัดไป ประตูรถเปิดออก และสายลมรุนแรงก็พัดเอาเม็ดฝนเข้ามาในรถ หน้าต่างรถลั่นกราว และร่วมกับเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมา มันก็เหมือนว่าหน้าต่างจะแตกออกเมื่อไหร่ก็ได้

“พ่อ ผมกลัว…” เสียงอ่อนเยาว์ดังมาจากด้านนอกรถ

“ไม่เป็นไร พวกเราจะไปถึงปลายทางในไม่ช้า และพ่อกับแม่ก็ไปกับแกด้วยไง” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งใบหน้าซีดขาวดึงเด็กชายอายุประมาณห้าปีขึ้นมาบนรถ ที่ตามหลังพ่อกับลูกมานั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง

ผู้โดยสารประหลาดต่างกันไปนี้สามารถพบได้บนรถเมล์สาธารณะที่ดูน่ากลัวคันนี้ เด็กชายยืนอยู่ในทางเดินด้วยท่าทางจนปัญหา ไม่แน่ใจว่าจะวางมือตัวเองตรงไหนดี จากสีหน้าของเขา มันเหมือนเขากำลังจะร้องไห้แล้ว

“ไม่เป็นไร พวกเราจะไปถึงจุดหมายของเราในไม่ช้า” ผู้ชายคนนั้นพูดเหมือนกับเป็นเครื่องบันทึกเทปพัง ๆ เขาวางมือบนศีรษะของเด็กชาย บังคับให้เขาหันไปไม่สบตากับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ภรรยาที่เดินตามหลังนั้นไม่พูดอะไรสักคำ ครอบครัวประหลาดสามคนขึ้นรถมาและพวกเขาก็นั่งลงที่แถวที่สี่ที่กลางรถเมล์

ครอบครัวที่จะไปเที่ยวเมืองหลี่ว่าน? เฉินเกอมองครอบครัวสามคนอยู่ครู่หนึ่ง เท่าที่เขารู้ เมืองหลี่ว่านนั้นเป็นสถานที่ซึ่งเด็กมากมายหายตัวไป เพื่อผีทารก เงานั่นตามหาเด็ก ๆ และทั้งที่มีอันตรายเช่นนี้ ครอบครัวนี้ก็ยังกล้าพาลูกของตัวเองไปเมืองหลี่ว่าน คำว่าแปลกยังอธิบายสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เลย

ยิ่งมีผู้โดยสารขึ้นรถมามากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นไปได้ที่เงานั่นจะปลอมเป็นหนึ่งในคนเหล่านี้

มีเด็กเพิ่มขึ้นมาบนรถหนึ่งคนหมายถึงความเงียบจากก่อนหน้านี้นั้นพังทลายไปโดยสิ้นเชิง

“พ่อครับ กลับบ้านกันเถอะ” เด็กชายอ้อนวอนเรื่อย ๆ ในน้ำเสียงมีรอยน้ำตา “ลุงคนนั้นเอาแต่มองมาที่ผม เขาดูน่ากลัวมาก”

เด็กชายใช้นิ้วชี้ไปยังชายหน้ายิ้ม พอพ่อเขาเห็นอย่างนั้นก็รีบคว้านิ้วของลูกเอาไว้แล้วดุเขาอย่างจริงจัง “อย่าใช้นิ้วชี้คนอื่น มันหยาบคายมาก”

“แต่เขาเอาแต่จ้องผมนี่” เด็กชายอยากจะพูดกับพ่อมากกว่านี้ แต่ว่าพ่อของเขาเพิ่มแรงมือที่จับแขนของเด็กชายเอาไว้จนมันขึ้นรอยแดง เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แขนตัวเอง ในที่สุดเด็กชายก็ควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่ไหว น้ำตาหยดลงมาเป็นเม็ด ๆ

“หยุดสร้างเรื่อง ถ้าแกยังทำตัวแบบนี้ ฉันจะส่งแกลงจากรถ แล้วแม่แกกับฉันก็จะไปกันเอง” คำขู่ของคนเป็นพ่อนั้นได้ผล เด็กชายพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ก้มหน้าต่ำขณะถดตัวไปนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของเก้าอี้

“อย่างนั้นสิ แกเป็นผู้ชายคนหนึ่งในครอบครัวเรา ทำไมถึงร้องไห้กับเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ได้?” ชายวัยกลางคนปล่อยมือ รอยสีแดงเข้มปรากฏชัดตรงจุดที่คนพ่อเคยกำแขนเด็กชายเอาไว้ “ไม่ใช่ว่าแกอยากจะไปเจอพี่สาวของแกเหรอ? พอเราไปถึง พวกเราก็สามารถไปหาพี่สาวของแกได้ไง”

“พี่สาว? จริงเหรอครับ?” เด็กชายช้อนตาขึ้นมองเผยให้เห็นดวงตาวาววับคู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นราวกับไข่มุกที่สวยที่สุดบนโลก มันใสกระจ่างและเป็นประกาย เหมือนดวงตาของเด็กชายนั้นเก็บเอาดวงดาวบนท้องฟ้าทั้งหมดเอาไว้

“แน่นอน ฉันเคยโกหกแกเมื่อไหร่กัน?” ชายวัยกลางคนฝืนยิ้มออกมาและขยี้ผมเด็กชาย

“แต่…” เด็กชายยังลังเล และดวงตาของเขาก็เผยแววไร้เดียงสาแบบเดียวกัน “พี่สาวบอกผมว่าพี่ถูกแม่ฆ่า และแม่ก็มาบอกผมว่าพี่สาวหายตัวไป และตอนนี้พ่อก็กำลังบอกผมว่าพวกเรากำลังจะไปหาพี่สาว ผมไม่รู้แล้วว่าจะเชื่อใครได้…” ก่อนที่เด็กชายจะทันพูดจบ เขาก็ถูกพ่อของเขาขัดขึ้นอย่างรุนแรงด้วยการจิกดึงผมเขาแรงจนเด็กชายตัวลอยขึ้นจากเบาะ

“โอ๊ย! ขอโทษครับพ่อ ผมจะไม่พูดอย่างนี้แล้ว! ยกโทษให้ผม พ่อครับ!”

“หุบปากซะ!” ชายวัยกลางคนที่ยังกำผมเด็กชายเอาไว้ผลักเด็กชายกลับไปที่ที่นั่ง ใบหน้าของชายคนนั้นดำทะมึนเหมือนท้องฟ้าไร้แสงจันทร์

เด็ก ๆ นั้นน้อยนักที่จะกลั่นกรองถ้อยคำก่อนจะพูดออกมา ดังนั้นบางครั้งพวกเขาก็พูดบางอย่างที่ไม่ควรออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ

หมอและเฉินเกอที่นั่งอยู่ท้ายรถได้ยินสิ่งที่เด็กชายพูด แต่ไม่มีใครตัดสินใจทำอะไร ความเงียบกลับคืนมา แต่บางครั้งก็มีเสียงสูดจมูกเงียบ ๆ จากเด็กชายดังมา

ฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง และรถเมล์ก็ออกจากป้าย ตอนนี้ พวกเขาอยู่ใกล้เมืองหลี่ว่านมากแล้ว อันที่จริง ยังเหลืออีกสามหรือสี่ป้ายก็จะถึงแล้ว

“นี่น่าจะเป็นผู้โดยสารกลุ่มสุดท้ายแล้วใช่ไหม?” เฉินเกอลุกขึ้น ตัดสินใจลงมือตามแผนการ เขาเปิดเครื่องเล่นเทป เฉินเกอเดินไปด้านหน้ารถ และด้วยการจับตามองจากชายหน้ายิ้มและหมอ เขาก็ก้มลงไปเก็บรองเท้าส้นสูงสีแดงขึ้นมา

 

คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด (1+2)

เฉินเกออ่านข้อความทั้งหมดที่หลี่เจิ้งส่งมาอีกครั้ง การใช้เครื่องหมายวรรคตอนและน้ำเสียงโดยรวมนั้นต่างไปจากที่สารวัตรมักจะใช้ในการสื่อสารผ่านข้อความจริง ๆ ปิศาจที่เจียหมิงพูดถึงในข้อความนั้นก็คล้ายจะเปลี่ยนรูปลักษณ์และน้ำเสียงได้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง มันก็สามารถเลียนเสียงของหลี่เจิ้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ว่า ในเมื่อเฉินเกอไม่สามารถรับสายได้เพราะว่าอยู่บนรถขนคนตาย หลี่เจิ้งก็ทำได้เพียงใช้วิธีการเขียนข้อความพูดคุยกับเฉินเกอ นี่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญที่อีกฝ่ายไม่ได้คาดคิดเอาไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะโทรศัพท์มา

เป็นไปได้ไหมว่าคนที่ส่งข้อความหาฉันจะเป็นเจียหมิงจริง ๆ?

เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้น มันก็คืบคลานไปรอบ ๆ หัวใจของฟางหยวนเหมือนกุหลาบพิษ ทำให้ต้องหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา นิ้วของเขาค้างอยู่ที่เหนือมุมหนึ่งของหน้าจอ หลังจากนั้นเป็นนาน ในที่สุดเฉินเกอก็ตอบหลี่เจิ้ง “ไม่มีปัญหา คืนนี้ผมจะอยู่ที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่และไม่ออกไปไหน”

“อืม ผมแค่จะเตือนคุณเรื่องนี้– ผู้ชายคนนั้นเกลียดคุณสุด ๆ และตอนนี้ก็มีหมายจับเขาออกมาแล้ว ดังนั้นเขาน่าจะฉวยโอกาสสุดท้ายนี้ไปตามล่าคุณ มันจะดีกว่าถ้าคุณจะอยู่ที่สวนสนุก อีกสักครู่ ผมจะส่งคนของผมไปตั้งด่านที่รอบ ๆ สวนสนุกเพื่อปกป้องคุณ”

“ต้องลำบากคุณแล้ว”

“ไม่ต้องพูดเรื่องนั้นหรอก อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นเพราะความประมาทของพวกเราที่ทำให้เขาหนีไปได้ แต่จำเอาไว้ว่าคืนนี้อย่าได้ออกไปไหน ถ้าคุณออกไปจากสวนสนุกนิวเซนจูรี่ มันก็จะยากที่เราจะดูแลความปลอดภัยของคุณ”

“เข้าใจแล้ว” หลังจากเฉินเกอตอบยืนยันกลับไป หลี่เจิ้งก็หยุดส่งข้อความหาเฉินเกอเหมือนไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยกันแล้วหลังจากเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว

“มันเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” เฉินเกอถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือ โดยไม่คิดถึงความรู้สึกของผู้โดยสารคนอื่น ๆ เขาโทรหาหัวหน้าเอี๋ยนโดยตรง ต้องการยืนยันเรื่องที่หลี่เจิ้งเล่า มันเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่หัวหน้าเอี๋ยนก็ยังรับโทรศัพท์ของเฉินเกอ– นี่แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับชายหนุ่มคนนี่เพียงไหน จากหัวหน้าเอี๋ยนพูด เฉินเกอยืนยันว่าหลี่เจิ้งไม่ได้โกหก เจียหมิงนั้นหนีออกจากโรงพยาบาลจริง ๆ

หลังจากวางสาย เฉินเกอก็ยังรู้สึกว่าพลาดบางอย่างไป “เป็นไปได้ไหมว่าเงานั่นหนีออกจากร่างของเจียหมิงและตอนนี้สิงอยู่ในร่างหลี่เจิ้ง?”

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อย่างนั้นเรื่องก็ซับซ้อนกว่าเดิมมากแล้ว

“ที่โรงพยาบาล เจียหมิงเคยเล่าเรื่องว่าเขาไปเจอเงานั่นและเจียงหลงที่บ้านพักของฝ่ายหลัง ในตอนนั้น เจียงหลงคุกเข่าอยู่กับพื้น เลือดอาบไปทั่ว ขณะที่เงานั่นยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ถือมีดเอาไว้ นี่เป็นฉากที่น่าสนใจ

“เมื่อคิดถึงว่าหมาของเพื่อนบ้านของเจียงหลงเพิ่งถูกฆ่า ฉันจะลองสมมติได้ไหมว่าเป็นเจียงหลงที่ฆ่าสุนัขนั่น? เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ไม่มีเหตุผลให้ต้องฆ่าสุนัขของใคร ดังนั้นเห็นได้ชัดว่า ถ้าเขาเป็นคนทำ ก็เป็นเพราะถูกเงานั่นบังคับ ใช่ เงานั่นพยายามทำลายสภาพจิตใจของเจียงหลง จากจุดนี้ สามารถยืนยันได้ว่ามันมีขีดจำกัดอยู่ก่อนที่เงานั่นจะสามารถควบคุมเหนือใครได้โดยเบ็ดเสร็จ เหยื่อที่มีสภาพจิตใจอ่อนแอเท่าไหร่ มันก็ง่ายที่เงานั่นจะเข้าควบคุมเหนือพวกเขาได้

“หลี่เจิ้งนั้นเป็นตำรวจสืบสวนผู้เชี่ยวชาญ มันยากมากที่เงานั่นจะเข้าควบคุมเขาอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้”

ข้อความของหลี่เจิ้งทำให้เฉินเกอคิดถึงว่าเงานั่นละทิ้งร่างเดิมแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเชื่อใจใครได้เลยคืนนี้

“เสี่ยวปู้เคยบอกฉัน ถ้าฉันกล้าไปเมืองหลี่ว่านอีกครั้ง ชีวิตของฉันจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ฉันเพิ่งเข้ามาในจิ่วเจียงตะวันออก ก็เกิดบางอย่างขึ้นกับเจียหมิงที่น่าจะอยู่ภายใต้การจับตามองของตำรวจ ฉันจะแน่ได้เหรอว่านี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ?”

เฉินเกอนั้นกำลังจะเก็บโทรศัพท์แล้วตอนที่หน้าจอสว่างขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นฟ่านฉงโทรมา

“คุณเป็นคนที่งานยุ่งจริง ๆ” หมอเหลือบมองมาจากด้านหลังเขา ทำท่าให้เฉินเกอเงียบ ๆ ทำตัวโดดเด่นในเวลาเช่นนี้นั้นไม่ได้นำประโยชน์อะไรมาให้เขา

“รายชื่อผู้ติดต่อของผมมีอยู่ไม่กี่คน ผมเองก็อยากรู้ว่าเหมือนกันว่าคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่” เฉินเกอดึงหูฟังออกมา หลังจากเสียบหูฟังแล้ว เขาก็กดรับสาย

“บอสเฉิน! ผมเคลียร์เกมได้แล้ว! ผมรู้ความจริงแล้ว! ในที่สุดผมก็รู้ความจริงแล้ว!”

“ใจเย็นก่อนแล้วค่อย ๆ พูด ผมได้ยินคุณชัดเจนดี” เฉินเกอลดเสียงลง พบว่าเขาดึงดูดความสนใจเกินไปจริง ๆ

“ผมเริ่มจากจุดบันทึกที่คุณทิ้งเอาไว้ลองเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมไปเจอเข้ากับภารกิจย่อยสิบเอ็ดอย่าง และภารกิจย่อยสิบเอ็ดอย่างนั่นก็เป็นตัวแทนของสถานที่เกิดเหตุสิบเอ็ดแห่งและชีวิตคนอีกสิบเอ็ดคน ผมกำลังจะบอกคุณว่า ผมใช้ชีวิตสำรวจทุกซอกมุมในเกม ค่อย ๆ ก้าวหน้าไปทีละก้าว แต่ในที่สุดแล้ว ผมก็ทำภารกิจย่อยทั้งสิบเอ็ดอย่างสำเร็จ” เสียงของฟ่านฉงนั้นฟังดูดีใจเหลือล้นในสายโทรศัพท์

“สิบเอ็ดภารกิจย่อย?” เฉินเกอเพิ่งเจอตัวเลขสิบเอ็ดไปในข้อความของหลี่เจิ้ง เมื่อถูกตำรวจสอบปากคำ เจียหมิงก็เล่าเรื่องให้ตำรวจฟังสิบเอ็ดเรื่อง ฉากส่วนใหญ่ในเกมของเสี่ยวปู้ล้วนมีพื้นฐานจากชีวิตจริง อันที่จริง พวกมันอาจจะมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ ด้วยซ้ำ เฉินเกอสงสัยว่าภารกิจย่อยสิบเอ็ดภารกิจที่ฟ่านฉงได้ทำไปนั้นคงเหมือนกับคดีฆาตกรรมสิบเอ็ดคดีที่เจียหมิงบอกตำรวจ

เมืองในเกมของเสี่ยวปู้นั้นก็มาจากเมืองหลี่ว่าน ดังนั้นมันก็ดูเป็นเหตุเป็นผลดีที่คดีฆาตกรรมทั้งสิบเอ็ดคดีนี้จะเกี่ยวข้องกับเมืองหลี่ว่านด้วย

หลังจากคิดดูครู่หนึ่ง เฉินเกอก็ถามเบา ๆ “หลังจากทำภารกิจย่อยพวกนั้นสำเร็จแล้ว คุณได้คำใบ้อะไรไหม? หรือได้อะไรอย่าง รางวัล?”

“นั่นเป็นเหตุผลให้ผมโทรหาคุณนี่แหละบอส! หลังจากผ่านภารกิจย่อยทั้งหมด หน้าจอก็เริ่มมีเลือดไหล เกมที่เดิมเป็นสีเทา ๆ เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง และคราวนี้ ตึกทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ทั้งแป้นพิมพ์กับเม้าส์ก็ใช้การไม่ได้ และผมก็สูญเสียการควบคุมเสี่ยวปู้ เธอยืนอยู่ในเกม และโบกมือให้ผม มันน่ากลัวจริง ๆ ตอนนั้น ผมคิดจริง ๆ นะว่าเธอกำลังจะลากผมเข้าไปในเกมกับเธอ”

“ขอรายละเอียดที่สำคัญ ๆ นะ เกิดอะไรขึ้นถัดจากนั้น?”

“เธอเริ่มขยับด้วยตัวเธอเองและเข้าไปในตึกสีแดงหลังหนึ่ง จากนั้นหน้าต่างใหม่ก็เด้งขึ้นมา เป็นตัวอักษรที่เขียนด้วยเลือด– แม่น่าจะอยู่ที่นี่” ฟ่านฉงดื่มน้ำอึกใหญ่ ยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและหวาดกลัว

“ตึกนั่นมีอะไรที่โดดเด่นเฉพาะไหม?” เฉินเกอรีบถาม

“มันดูธรรมดามาก ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ว่ามีโปสเตอร์ของสวนสนุกติดเอาไว้ที่กำแพงด้านนอกของตึก บอสเฉิน นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ผมโทรมา!” ฟ่านฉงสูดลมหายใจลึก “สวนสนุกในโปสเตอร์นั่นน่าจะเป็นสวนสนุกนิวเซนจูรี่ บ้าเอ๊ย ผมเห็นกระทั่งบ้านผีสิงของคุณบนโปสเตอร์นั่น”

“คุณเห็นบ้านผีสิงของผมในโปสเตอร์?” เฉินเกอถามออกไปเสียงดัง

“ใช่ ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่ผมเชื่อว่ามันหมายถึงว่าผู้สร้างเกมน่าจะรู้จักคุณ และนี่น่าจะเป็นสุดยอดอีสเตอร์เอ้กที่ซ่อนเอาไว้” ฟ่านฉงยังดูตื่นเต้นอยู่

“ทุกวันนี้ สวนสนุกน่ะเลิกอาศัยโปสเตอร์เพื่อโฆษณาแล้ว นอกจากนี้ หน้าตาของบ้านผีสิงของผมก็เปลี่ยนไปมาก ดังนั้นโปสเตอร์ที่คุณเห็นน่าจะเป็นสมัยพ่อกับแม่ของผมแล้ว” สิ่งที่เฉินเกอพูดนั้นดูมีเหตุผลสำหรับเขาเอง เขาไม่คิดจริง ๆ ว่าจะพบเงื่อนงำที่พ่อกับแม่ของเขาทิ้งเอาไว้ในเกมของเสี่ยวปู้

เขาคิดกลับไปถึงทุกอย่างที่ฟ่านฉงพูด หลังจากจัดการกับภารกิจย่อยทั้งหมดแล้ว เสี่ยวปู้ก็เข้าไปในตึกหลังหนึ่ง และสิ่งที่เธอพูดก็มีแค่ว่าแม่ของเธอน่าจะอยู่ในตึกนั้น เฉินเกอไม่รู้ว่าเสี่ยวปู้จะพบแม่ของเธอหรือไม่ แต่เฉินเกอพบว่าพ่อกับแม่ของเขาน่าจะเคยเข้าไปในตึกหลังนั้นมาก่อน

นี่คือเงื่อนงำที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ หรือว่าโปสเตอร์นั้นเป็นกับดักอีกอันที่เงานั่นวางเอาไว้?

ในเมื่อพลังของเงานั่นค่อนข้างแปลก มันสามารถปลอมเป็นใครก็ได้ หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งหนึ่งเพื่อไตร่ตรอง จู่ ๆ เฉินเกอก็ถามคำถามหนึ่งกับฟ่านฉง “รถจักรยานไฟฟ้าที่คุณใช้ก่อนหน้านี้ยี่ห้ออะไรนะ?”

“ฮะ? ของอ้ายเหนี่ยวน่ะ มีอะไรเหรอ?” ฟ่านฉงกำลังตื่นเต้น– ในที่สุดเขาก็สามารถเคลียร์เกมได้หลังจากใช้เวลากับมันทั้งวันพยายามผ่านมันไปให้ได้ เขาแทบจะไม่มีใครที่จะแบ่งปันความสุขนี้ได้ แต่เขาก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ เฉินเกอจะถามคำถามแบบนั้นออกมา คำตอบก็ผ่านปากเขาออกไปโดยไม่ทันได้คิด

“น่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เฉินเกอถอนหายใจโล่งอก ฟ่านฉงน่าจะเป็นตัวจริง ดังนั้นเขาจึงตอบคำถามได้อย่างดี “หลังจากเสี่ยวปู้เข้าไปในบ้านสีแดงนั่นแล้วเกิดอะไรขึ้นอีกไหม?”

“ผมขอโทษด้วยแต่ผมบอกไม่ได้แล้ว เกมติดอยู่ที่ตรงนั้น ผมลองโหลดเกมใหม่อีกหลายครั้ง แต่นั่นก็ไกลที่สุดที่ผมไปได้แล้ว ผมเชื่อว่านี่น่าจะเป็นจุดจบของเกม เสี่ยวปู้ ที่ตามหาแม่ของเธอ ก้าวเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของฝันร้ายของเธอและพบห้องที่แม่ของเธอน่าจะเคยอยู่ในเมืองนี้ที่เต็มไปด้วยฆาตกรและผีร้าย เกมตัดสินใจจบลงที่นี่เพราะว่ามันต้องการตอนจบปลายเปิด แบบนี้ ผู้เล่นก็จะสามารถคิดถึงตอนจบแบบที่พวกเขาชอบได้” ฟ่านฉงเล่นเกมนี้มาเป็นเดือนแล้ว เขาค่อนข้างยึดติดกับประสบการณ์ในเกมนี้โดยไม่รู้ตัว มันเหมือนกับเขามีชีวิตผ่านประสบการณ์เหล่านี้ด้วยตัวเอง

“คุณติดเกมนี้เข้าแล้วใช่ไหมเนี่ย? คืนนี้จับตามองคอมพิวเตอร์ของคุณเอาไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น โทรหาผมทันที” เฉินเกอนั้นมีความรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ เชื่อมโยงกันมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ และเมื่อโยงแต่ละจุดเข้าด้วยกัน เขาก็ถูกบังคับให้ต้องเดินหน้าต่อไป “ระวังตัวด้วย คืนนี้น่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเมืองหลี่ว่าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คืนนี้อย่าออกจากบ้าน”

เฉินเกอหันไปมองผู้โดยสารที่แปลกและประหลาดบนรถเมล์ ‘คน’ ทั้งหมดนี้ล้วนมุ่งหน้าไปยังเมืองหลี่ว่าน นั่นเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของพวกเขา

“ไม่ต้องห่วง ผมจะอยู่ดูเสี่ยวปู้คืนนี้ และถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมจะโทรหาคุณเป็นคนแรก” ฟ่านฉงเพิ่งพูดจบตอนที่มีเสียงเคาะประตูดังมาจากลำโพง “บอสเฉิน มีคนเคาะประตูฝั่งคุณหรือเปล่า?”

“ไม่มีหรอก ผมอยู่ข้างนอก และรอบตัวก็ไม่มีประตูด้วย เสียงเคาะดังมาจากฝั่งคุณ” เฉินเกอหรี่ตา “อย่าเปิดประตู และอย่าวางสาย”

“เสียงเคาะดังมาจากฝั่งผม? แต่ทำไมมันถึงเหมือนดังผ่านโทรศัพท์มาล่ะ?” ความตื่นเต้นหายวัยไปจากน้ำเสียงของฟ่านฉง– มันแทนที่ด้วยความไม่แน่ใจและสับสน เสียงเคาะในโทรศัพท์ดังชัดขึ้น เฉินเกอกลั้นหายใจเพื่อฟังให้ชัดขึ้น ฟ่านฉงเองก็กลั้นหายใจ แต่สำหรับเขานั้นเป็นเพราะว่าเขากลัว

“อย่าทำร้ายผม ผมไม่เคยทำอะไรไม่ดีเลยในชีวิต” มีเสียงเก้าอี้เลื่อน มันฟังเหมือนฟ่านฉงขยับไปหลบอยู่บนเตียง แต่ว่า นั่นก็ไม่ได้หยุดเสียงเคาะประตูที่ดังสม่ำเสมอ

เฉินเกอได้ยินชัดเจนจากทางฝั่งเขา เสียงเคาะดูเหมือนจะเริ่มต้นที่ประตูห้องนั่งเล่นก่อนที่จะย้ายมาที่ประตูห้องนอนช้า ๆ เหมือนมีบางอย่างเข้ามาในห้องฟ่านฉง และเจ้าสิ่งนั้นก็ขยับเข้าไปหาเขาช้า ๆ

“ไม่ต้องกลัว เปิดกล้องมือถือของคุณแล้วหันกล้องไปทางประตู– ผมจะช่วยคุณดูเอง” เฉินเกอเป็นกังวลแทนฟ่านฉงเหมือนกัน แต่ว่า ตัวเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลี่ว่าน ดังนั้นต่อให้อยากจะไปช่วยฟ่านฉง เขาก็ทำไม่ได้

“โอะ… โอเค” ฟ่านฉงเสียงสั่น เขากำลังยุ่งกับโทรศัพท์ของตัวเองตอนที่เสียงเคาะดังขึ้นอีก ก่อนที่เขาจะทันได้จัดการกับกล้อง เสียงกรีดร้องของฟ่านฉงก็ก้องผ่านโทรศัพท์มา “พี่ใหญ่! ช่วยผมด้วย! ในห้อง! เขาอยู่ในห้อง!”

เสียงกรีดร้องตามมาด้วยเสียงดิ้นรน เหมือนตู้ล้มเก้าอี้พลิกคว่ำ เสียงเคาะบนประตูฟังดูหนักแน่นขึ้นจนกระทั่งสิบวินาทีให้หลังตอนที่เสียงเคาะจู่ ๆ ก็หายไปเหมือนตอนที่มันปรากฏขึ้น และที่อีกฝั่งของโทรศัพท์ก็กลายเป็นเงียบอย่างน่ากลัว

“ฟ่านฉง?” เฉินเกอเรียกเบา ๆ เข้าไปในสาย แต่ไม่มีการตอบกลับจากอีกฝ่าย

หลายวินาทีให้หลัง มีเสียงเหมือนรองเท้าใส่ในบ้านลากไปบนพื้นเหมือนมีบางคนเหยียบมันไป จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตะโกนอย่างประหลาดใจของฟ่านต้าเตอ “เสี่ยวฉง? ฟ่านฉง!”

ผ่านเสียงตะโกนของฟ่านต้าเตอ ฟางหยวนแน่ใจได้ว่ามีบางอย่างหล่นใส่ฟ่านฉง เขาตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์ พยายามดึงความสนใจของฟ่านต้าเตอ

“ฮัลโหล? บอสเฉิน? ก่อนหน้านี้คุณคุยโทรศัพท์กับเสี่ยวฉงอยู่เหรอ?”

“ฟ่านฉงได้รับบาดเจ็บเหรอ? เขายังพูดไหวไหม? คุณส่งโทรศัพท์ให้เขาได้ไหม?” เฉินเกอเป็นห่วง

“แต่ว่าเขาไม่อยู่บ้าน! ประตูห้องนั่งเล่นและประตูห้องนอนถูกเปิดเอาไว้ มันเหมือนว่าเขาเพิ่งวิ่งออกไปจากบ้าน!” คำพูดของฟ่านต้าเตอนั้นเหมือนระเบิดลูกหนึ่ง สั่นสะเทือนหัวใจฟางหยวน

“ไม่อยู่ในห้อง?” เฉินเกอนั้นนึกถึงเงานั่นทันที “ทำไมเขาถึงไล่ล่าฟ่านฉง? และเขารู้ที่อยู่ของฟ่านฉงได้ยังไง?”

“คุณขอให้เขาออกไปหรือเปล่า?” หลังจากได้ยินเสียงเฉินเกอจากอีกปลายสาย ฟ่านต้าเตอก็ใจเย็นลงมาก เขาเชื่อใจเจ้าของบ้านผีสิงคนนี้ที่อายุน้อยกว่าเขามา มีเขาคอยช่วย หลายปัญหาก็คลี่คลายได้โดยง่าย

“ก่อนหน้านี้มีคนบุกเข้าไปในบ้านคุณ มันน่าจะเป็นฆาตรกรสักคนที่หนีออกมา ชื่อว่า เจียหมิง ผมแนะนำให้คุณโทรหาตำรวจทันทีและบอกเขาทุกอย่างที่คุณรู้ นอกจากนั้นแล้ว ลองมองหาที่ซ่อนที่คุณจะแอบอยู่ได้ในบ้านของคุณ ทำให้แน่ใจว่าตัวเองปลอดภัยดีก่อนที่ตำรวจจะมาถึง” เฉินเกอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ฆาตกร? ทำไมเขาถึงมาบ้านของพวกเราล่ะ? เสี่ยวฉงไม่มีทางไปล่วงเกินคนแบบนั้นแน่!” เสียงของฟ่านต้าเตอสูงขึ้นจากความวิตกกังวล

“ผมจะไปถึงที่นั่นเดี๋ยวนี้ คุณทำสิ่งที่ต้องทำก่อน เรียกตำรวจและดูแลตัวเองดี ๆ”

“ได้ ผมจะเรียกตำรวจเดี๋ยวนี้” หลังจากฟ่านต้าเตอวางสาย เฉินเกอก็มองหน้าจอโทรศัพท์ หมัดของเขาค่อย ๆ กำแน่น ศัตรูของเขาลักพาตัวฟ่านฉงไปขณะที่เขากำลังคุยโทรศัพท์ด้วยอยู่ ศัตรูคราวนี้กดดันเฉินเกอได้มากทีเดียว

“เสียงเคาะที่ดังมานั่นเป็นสัญญาณว่าเงานั่นกำลังลงมือ แต่นั่นมันหมายความว่าเขาทำเรื่องนี้เองคนเดียวหรือว่ามีความช่วยเหลือจากผีอื่น?” เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ เขากำมือเข้าด้วยกันแน่น ก้มหน้าต่ำเพื่อทวนทุกเหตุการณ์ในหัว จู่ ๆ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น “มีบางอย่างแปลก ๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป พอมาคิดตอนนี้ สิ่งสุดท้ายที่ฟ่านฉงตะโกนออกมาฟังดูประหลาด มันเหมือนมีบางคนเอามือปิดปากเขาไว้ และเขาก็ตะโกนคำนั้นออกมาขณะกำลังดิ้นหนี”

เฉินเกอดึงกระดาษและปากกาออกมาจากกระเป๋าและเขียนทุกอย่างที่ฟ่านฉงตะโกนออกมาลงไป

“พี่ใหญ่! ช่วยผมด้วย! ในห้อง! เขาอยู่ในห้อง!”

สี่คำที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แวบแรกเลยนั้นมันน่าจะหมายถึงฟ่านฉงร้องขอความช่วยเหลือจากพี่ชายของเขาที่อยู่ในบ้านเดียวกันกับเขา แต่พอคิดจากอีกมุมหนึ่ง ถ้า ‘ช่วยผมด้วย’ นั้นไม่ได้บอกพี่ชายของเขาแต่บอกเฉินเกอ อย่างนั้นความหมายของประโยคทั้งหมดก็จะเปลี่ยนไปแล้ว

“เป็นไปได้ไหมว่าฟ่านฉงเปิดประตูไปห้องฟ่านต้าเตอแต่เขากลับพบว่าพี่ชายของเขากำลังทำสิ่งที่แปลกออกไปเทียบกับปกติ อย่างเช่นกำลังถือมีดเอาไว้ในมือ ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจึงร้องเรียกพี่ชายตัวเองออกมา และหันมาหาโทรศัพท์เพื่อขอความช่วยเหลือจากฉัน ‘เขาอยู่ในห้อง’ ก็จะหมายความว่าพี่ใหญ่ที่ประหลาดไปนั้นเข้ามาในห้องเพื่อจับเขา”

ประโยคเดียวกันนั้นมีความหมายที่ต่างออกไปขึ้นกับว่าฟ่านฉงนั้นพูดกับใคร

“เป็นไปได้ไหมว่าเงานั่นเข้าครอบครองร่างฟ่านต้าเตอหลังจากหนีออกมาจากโรงพยาบาล? อย่างนั้นแล้วจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลี่เจิ้งและเจียหมิงได้อย่างไร?” เฉินเกอรู้สึกเหมือนสันหลังเย็นวาบขึ้น– เขารู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ “หวังว่าฉันจะคิดมากไปเอง”

หากฟ่านต้าเตอกลายเป็นเหยื่อของเงานั่น อย่างนั้นบ้านของฟ่านฉงก็จะเป็นกับดักอันตราย เงานั่นกำลังรอให้เฉินเกอไปหาเพื่อจัดการเอาชีวิตเขา

“ฉันควรไปช่วยเขาไหม?” ดวงตาของเฉินเกอกวาดมองผู้โดยสารคนอื่น ๆ ในรถ เขาหรี่ตาลงขณะที่แผนการหนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ

กับดัก

รถเมล์นั้นเปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว แต่ผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงก็ยังคงระแวดระวังกับมันอยู่ แขนของเธอกำประตูเอาไว้ และสีแดงของเสื้อกันฝนของเธอก็เห็นเด่นชัดในความมืด

“พวกเราล้วนไปทางเดียวกัน ทำไมคุณไม่มากับเราที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลี่ว่านคืนนี้ล่ะ?” เฉินเกอเชิญเธอขึ้นมา เขามีคำถามมากมายที่อยากจะถามเธอ ครั้งสุดท้ายที่เขาออกจากรถขนคนตายนี่ เขาก็ได้ส่งตัว ‘พวกค้ามนุษย์’ ที่ขโมยลูกของเธอไปให้กับเธอ แต่ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่พบหญิงอ้วนคนนั้นอีกเลย

เฉินเกอสงสัยว่าผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงคงจะได้ข้อมูลที่เธอต้องการ ที่อยู่ของลูกของเธอ จากตัวหญิงอ้วนคนนั้นแล้ว อย่างไรเสีย หากเธอไม่ได้ผลลัพธ์อะไร เธอก็คงไม่มาปรากฏตัวรอรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 หรอก

เฉินเกอเดินไปที่ประตูหน้า ก้มตัวลงนิด ๆ เพื่อบอกกับเธอ “ถ้าคุณเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปช่วยลูกของคุณกันคืนนี้ ผมจะไปกับคุณด้วย– นั่นเป็นสิ่งผมสัญญาไว้กับคุณ”

ริมฝีปากของเธอถูกเย็บเอาไว้ด้วยเส้นเลือดหมายความว่าเธอพูดไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทำท่าแปลก ๆ ชุดหนึ่งให้เฉินเกอแทน ปลายนิ้วของเธอชี้ไปที่รถเมล์ จากนั้นก็ที่หน้าเฉินเกอ และจากนั้นก็ที่หัวใจของเฉินเกอ สุดท้าย เธอก็ขยี้นิ้วของเธอเข้าด้วยกันเหมือนเธอกำลังขยี้หัวใจของเฉินเกอในมือเธอ

“รถขนคนตาย? หน้าผม? ขยี้หัวใจของผม?” เฉินเกอใช้เวลาหลังจากนานครู่หนึ่ง “คุณกำลังบอกว่ามีคนที่หน้าคล้ายผมจะมาควักหัวใจของผม? และตอนนี้คนผู้นั้นก็อยู่บนรถเมล์ด้วย?”

ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้พยักหน้าหรือว่าส่ายหน้า เธอมองผ่านม่านผมมาขณะที่เอื้อมมือออกมาจับแขนเฉินเกอเอาไว้ พยายามดึงเขาออกจากรถ ตอนนี้รถเป็นของเฉินเกอ และกระเป๋ากับแมวของเขาก็ยังอยู่บนรถ ดังนั้นเขาย่อมไม่ยอมปล่อยมือโดยง่าย

เฉินเกอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พอผู้หญิงคนนั้นรู้สึกได้ เธอก็หยุดออกแรงและปล่อยให้เฉินเกอหลุดออกจากมือเธอ น้ำฝนไหลไปตามเสื้อกันฝนของเธอ สำหรับการสื่อสารสุดท้าย เธอชี้ไปทางเมืองหลี่ว่าน และแขนของเธอก็พับเข้าหากันเลียนแบบท่าอุ้มเด็กทารก ก่อนที่เฉินเกอจะทันเข้าใจความหมายของเธอ ผู้หญิงคนนั้นก็ถอยออกไปจากป้ายรถเมล์ เลือดไหลเป็นทางลงมาตามเสื้อกันฝนของเธอ และรอบตัวเธอก็มีแอ่งเลือดเล็ก ๆ

รถเมล์ออกจากป้ายช้า ๆ และผู้หญิงคนนั้นก็ยืนอยู่ที่นั่นมองรถเมล์สาย 104 เคลื่อนตัวออกไป ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้เมืองหลี่ว่านเท่าไหร่ ฝนที่ด้านนอกก็ตกหนักเท่านั้น ที่นอกหน้าต่างไม่มีแสงอะไรเลย มันเหมือนรถคันนี้กำลังเดินทางผ่านอาณาจักรแห่งความมืด

“เธอกำลังพยายามบอกอะไร?” ผู้หญิงคนนั้นปฏิเสธที่จะขึ้นมาบนรถ ซึ่งต่างไปจากที่เฉินเกอวางแผนเอาไว้ “แต่ถ้าเธอไม่ต้องการร่วมมือกับฉัน เธอก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวออกมาเลย เธอน่าจะรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างในรถเมล์นี่ ดังนั้นจึงไม่ยอมขึ้นรถมา”

เฉินเกอแอบมองผู้โดยสารคนอื่น ๆ– หมอและขี้เมานั้นน่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดา ดังนั้นเฉินเกอจึงให้ความสนใจไปที่รองเท้าส้นสูงสีแดงและชายหน้ายิ้ม

ฉันควรจะลงมือก่อนไหม? เฉินเกอคิดกับตัวเองตอนที่โทรศัพท์ในกระเป๋าของเขาสั่นขึ้น เขามองไปยังหมายเลขโทรเข้าก่อนจะกดตัดสาย จากนั้นเขาก็ส่งข้อความไปยังผู้โทร “สารวัตรหลี่ ผมไม่สะดวกรับสายคุณ ผมหวังว่าคุณจะไม่ว่าอะไรถ้าจะต้องคุยผ่านข้อความ”

ตอนที่เฉินเกอเห็นว่าเป็นหมายเลขของหลี่เจิ้ง เขาก็คิดว่ามีบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้น

“เจียหมิงหนีออกจากโรงพยาบาล! ระวังตัวด้วย! ผมกลัวว่าเขาจะไปทำร้ายคุณ!” หลี่เจิ้งใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ถึงสามอันในข้อความของเขา

“แต่ทำไมเขาจะมาหาผมล่ะ? ผมไม่ได้ทำอะไรเขาเสียหน่อย แล้วก็ ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ในโรงพยาบาลมีตำรวจคอยจับตามองเหรอ? ทำไมเขาถึงหนีออกมาได้?” กองกำลังตำรวจจิ่วเจียงนั้นดีที่สุดในกองกำลังที่ดีที่สุดและเฉินเกอก็มีความรู้สึกดี ๆ กับกองกำลังรักษากฎหมายนี่

“ผู้ชายคนนั้นเล่าเรื่องปั่นหัวพวกเรา ในเรื่อง เขาเป็นเหยื่อคนหนึ่ง และตลอดการเล่าเรื่องสิบเอ็ดเรื่อง เขาก็พูดถึงปิศาจเงาที่เก่งกาจในด้านการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและน้ำเสียง เขาบอกพวกเราว่าปิศาจเงานั่นคือผู้บงการที่แท้จริง– เขาเป็นแค่คนโชคร้ายที่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาเท่านั้น!”

“สิบเอ็ดเรื่อง?”

“ทั้งหมดสิบเอ็ดเรื่อง บอกว่าเขาถูกผู้บงการข่มขู่ให้ทำเรื่องต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกับศีลธรรมในใจเขา แต่ว่าไม่มีเรื่องไหนเลยที่มีช่องโหว่ และการสืบสวนของเราก็ยืนยันตามที่เขาอ้าง”

“นี่พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้โกหก”

“ใช่ เขาไม่ได้โกหกเกี่ยวกับสิบเอ็ดเรื่องนั่น แต่ว่าเขาหลอกเราเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง” หลี่เจิ้งดูกระวนกระวาย มีการเว้นวรรคและจุดเน้นย้ำมากมายในข้อความของเขา “ผู้บงการนั้นไม่เคยมีอยู่จริงตั้งแต่ต้น นั้นเป็นจิตใจเขาสร้างขึ้นมาเอง เขาคือฆาตกรที่แท้จริง! ทั้งสิบเอ็ดเรื่องนั่น เขาคือฆาตกรตัวจริง!”

เห็นข้อความนี้แล้ว ในที่สุดเฉินเกอก็เข้าใจว่าสิบเอ็ดเรื่องนั่นน่าจะหมายถึงชีวิตของคนสิบเอ็ดคน

“ผู้ชายคนนี้ที่เบื้องหน้าดูขี้อายและอ่อนแอนั้นซ่อนตัวตนอันวิปริตเอาไว้! ตอนที่เขาเล่าเรื่องให้เราฟัง เสียงของเขายังขาด ๆ หาย ๆ หลายครั้งอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ เขาดูสำนึกเสียใจอย่างแท้จริงจนหมอและพยาบาลรู้สึกสงสารเขา พวกเราส่งคนออกไปตรวจดูสถานที่ในเรื่องของเขา และยิ่งสืบลงไปพวกเราก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี เพื่อให้สืบสวนได้เร็วขึ้น พวกเราจึงนำคนเข้ามาร่วมในคดีมากขึ้น คืนก่อนหน้านี้ อาการของเจียหมิงดูแย่ลง และหมอก็แนะนำให้ส่งเขาเข้าไปที่ห้อง ICU เพราะคิดว่าเขาคงจะยังไม่ตื่นขึ้นมาเร็ว ๆ นี้ พวกเราก็เลยทิ้งเจ้าหน้าที่เอาไว้จับตาดูเขาแค่คนเดียว

“แต่ระหว่างส่งเจียหมิงไปห้อง ICU ผู้ชายคนนี้ที่ไม่น่าจะเดินไหวก็กระโดดลงจากหน้าต่างชั้นสองและหนีไป เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว เขาดูลู่ทางไว้ก่อนหน้า ห้องพักของเขาอยู่บนชั้นสามและห้อง ICU อยู่ที่ชั้นแรก หน้าต่างที่เขากระโดดออกมานั้นนำไปด้านหลังตรอกหนึ่ง ในนั้นมันเหมือนเขาวงกตที่มีทางแยกและทางเลี้ยวแอบอยู่มากมาย– เจ้าหน้าที่คนเดียวไม่พอจะตามตัวเขาได้”

หลี่เจิ้งบอกเฉินเกอเกี่ยวกับการหนีของเจียหมิง แต่เฉินเกอไม่สนใจเรื่องนั้นเลย “สารวัตรหลี่ ผมเดาไว้แล้วว่าเจียหมิงน่าจะพยายามหนี แต่ทำไมคุณถึงบอกว่าเขาจะมาทำร้ายผม?”

“พวกเราพบเศษไม้อยู่ใกล้ ๆ เตียงเขา พวกเราเปิดโต๊ะข้างเตียงและพบว่า ที่ด้านหลัง มีคนใช้นิ้วแกะชื่อของคุณเอาไว้ หลังจากชื่อถูกแกะ คนผู้นั้นยังใช้เล็บครูดชื่อนั้นทิ้งอีกครั้ง ผมไม่คิดว่าจะมีใครทำอย่างนั้นหากไม่เกลียดเจ้าของชื่อจนเข้ากระดูกดำ ไม่ว่ายังไง ระวังตัวเอาไว้– พวกเราสงสัยว่าเขาจะกำลังเดินทางไปหาคุณแล้ว”

ฉันไม่เคยมีเรื่องกับเจียหมิง ดังนั้นเขาไม่น่าจะมีความแค้นลึกล้ำอะไรกับฉันยกเว้นว่าที่เราเจอที่โรงพยาบาลนั้นไม่ใช่เจียหมิง

จากข้อความของหลี่เจิ้ง เฉินเกอสงสัยว่าเงานั่นยังอยู่ในร่างเจียหมิง เขาหมดสติไปที่ด้านนอกอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวในคืนนั้นเพราะอุบัติเหตุบางอย่าง

“แล้วก็ ตอนนี้คุณอยู่ไหน? อย่างออกไปที่ไหนนะคืนนี้!”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลี่เจิ้งก็ส่งข้อความมาอีก เดิมที เฉินเกอก็ไม่ได้คิดว่ามันประหลาด แต่ตอนที่เขากำลังพิมพ์ตอบ เขาก็ชะงัก

เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมสารวัตรหลี่ถึงถามที่อยู่ตอนนี้ของฉัน? และเขาน้อยครั้งที่จะใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ในการสื่อสารก่อนหน้าของเรา นี่เป็นไปได้ไหมว่าที่คุยกับฉันอยู่นี่คือเจียหมิง ไม่ใช่หลี่เจิ้ง?

 

ลางบอกเหตุ

ใช้น้ำเสียงนุ่มนวลพูดสิ่งที่น่ากลัวอย่าง ‘คุณจะตาย’… ครู่หนึ่งเลยทีเดียวที่เด็กหนุ่มคิดว่าหูเขาฟังผิดไปแล้ว เขานั่งอยู่ที่เดิม ตัวแข็งทื่อ และมองเฉินเกอด้วยสายตาว่างเปล่าเหมือนไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้

“บอกผมทุกอย่างที่คุณรู้ ยิ่งละเอียด ผมยิ่งมีโอกาสช่วยเพื่อนของคุณได้ นอกจากนั้น จำเอาไว้– ไม่ว่าบ้านของคุณจะอยู่ที่ไหน อย่าได้ไปทางตะวันออกเมื่อลงจากรถ เข้าใจไหม?”

เฉินเกอเป็นคนประเภทไหนน่ะเหรอ? ถ้าพูดว่าเขาเป็นคนที่จะตะกายขึ้นไปบนสุดของกองซากศพก็ดูจะเกินไป แต่พอคิดถึงประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มาของเขาแล้ว ก็ต้องใช้ถึงสองมือเพื่อนับจำนวนฆาตกรบ้าคลั่งที่ตกมาอยู่ในมือของเขาเลยนะ

เตร็ดเตร่ไปตามบ้านผีสิงอยู่ทุกคืน มีการติดต่อใกล้ชิดกับพวกผี ทำให้พลังของพวกวิญญาณนั้นอาบอยู่บนตัวเขา เฉินเกอนั้นไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าเปลี่ยนโทนเสียง เด็กหนุ่มก็คิดไปแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง บางทีมันอาจจะเป็นสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของเขาที่บังคับให้เขาอยู่ให้ห่างจากบุคคลอันตรายเช่นนี้ อุณหภูมิร่างกายของเฉินเกอนั้นต่ำกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้นับเป็นเรื่องผิดปกติอะไร แต่เด็กหนุ่มจู่ ๆ ก็รู้สึกย่ำแย่จากความเย็นอันหนาวเยือก มือทั้งสองข้างของเขากดอยู่กับเบาะ เขาขยับตัวออกห่างเฉินเกออย่างแอบ ๆ

“เป้ยเหวินเป็นคนสุดท้ายที่หายตัวไป บางทีอาจจะเพราะว่าเขากลัว เขาไม่ได้มีท่าทีต่างไปจากปกติเลย”

“นั่นไม่ใช่ข้อมูลที่มีประโยชน์ ผมต้องการเงื่อนงำเกี่ยวกับตัวเขา พวกเขาทิ้งอะไรเอาไว้ที่ดูใช้การได้ไหม? อย่างข้อความหรือว่าบันทึกประจำวัน” เฉินเกอบีบคั้นเด็กหนุ่มให้จนมุมอยู่ที่เบาะแถวหลังสุด “ลองคิดให้ดี ๆ”

ใบหน้าของเด็กหนุ่มดูตึงเครียดขึ้น และหลังจากใคร่ครวญอยู่นาน ในที่สุดเขาก็นึกบางอย่างได้ “ก่อนที่เป้ยเหวินจะหายตัวไป เขาบอกผมว่าอย่าบอกตำรวจเรื่องรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขายังให้ลูกกุญแจผมดอกหนึ่งและบอกผมว่าถ้าเขาไม่กลับมาภายในสามสัปดาห์ให้เอาลูกกุญแจนี้ขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายไปตามหาเขา”

“คุณเอาลูกกุญแจนั่นติดตัวมาไหม?” มีเฉินเกอจับตามองอยู่ เด็กหนุ่มก็ดึงกุญแจสนิมกรังดอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันเปื้อนเลือด

“ขอผมดูหน่อย” เฉินเกอรับกุญแจมาตรวจดู เขาไม่อยากเชื่อเลย เขาค้นทั่วกระเป๋าตัวเองและเจอกุญแจของเขาอยู่ในซอกกระเป๋า กุญแจทั้งสองดอกนี้เหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ

“คุณเองก็มีกุญแจแบบเดียวกัน?” เด็กหนุ่มอ้าปากค้างอย่างตกใจ

“เงียบก่อน” เฉินเกอวางกุญแจทั้งสองดอกลงบนเบาะและขมวดคิ้ว เขาได้รับกุญแจดอกนี้มานานแล้วตอนที่ทำภารกิจของบุคลิกที่สองของเหมินหนานสำเร็จ มันเป็นรางวัลจากโทรศัพท์เครื่องดำ กุญแจแห่งการรู้ตน กุญแจดอกนี้สามารถช่วยเขาตามหาตัวตนแท้จริงของเขาเมื่อเขาตกอยู่ภายใต้ผลของความสับสนหรือว่าภาพหลอน

เฉินเกอเชื่อว่ากุญแจดอกนี้จะเป็นประโยชน์ตอนที่เขาสำรวจหอผู้ป่วยสาม ใคร ๆ ก็ง่ายที่จะถูกรบกวนจากพลังงานด้านลบหนาหนักที่อยู่ด้านหลังประตูตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปครั้งแรก ทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองไป ตามที่เฉินเกอคิด กุญแจดอกนี้สามารถจัดการกับเรื่องเช่นนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นได้

สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้ใช้กุญแจดอกนี้ตอนนั้นเพราะว่าจางหยานั้นมีพลังมากเกินไป เธอพุ่งเข้าไปในประตูและไล่ตามผู้อำนวยการคนนั้น นอกจากตกใจแล้ว เฉินเกอก็ไม่ได้ประสบกับอารมณ์อื่นที่มากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใช้กุญแจดอกนี้

เพราะเฉินเกอคิดว่าเขาอาจจะได้ใช้กุญแจดอกนี้ในอนาคต เขาจึงเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋าสะพายหลัง แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ ว่าระหว่างเดินทางไปจิ่วเจียงตะวันออกในวันนี้ เขากลับได้เจอกุญแจที่เหมือนกันอีกดอกหนึ่ง ในด้านหน้าตาแล้ว นอกจากรอยกัด พวกมันก็ดูเหมือนกันเปี๊ยบ

“การปรากฏตัวของกุญแจดอกนี้นั้นบ่งบอกบางอย่าง?” กุญแจนี้สามารถหยุดบางคนจากการสูญเสียตัวตนได้ ก่อนที่เป้ยเหวินจะหายตัวไป เขาบอกเด็กหนุ่มคนนี้ให้ตามหาเขาด้วยกุญแจดอกนี้ นี่หมายความว่าที่ที่เขาไปนั้นเป็นสถานที่ซึ่งคนผู้หนึ่งจะหลงลืมตัวตนไปได้โดยง่าย?

“คุณรู้ไหมว่าเป้ยเหวินไปไหน?” เฉินเกอเก็บกุญแจทั้งสองดอกเข้าไปในกระเป๋าตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ

“เขาไม่ได้บอกผม” เด็กหนุ่มมองเฉินเกอฉวยกุญแจของเขาไปด้วย เขาตอบอย่างซื่อตรงและไม่กล้าขอกุญแจคืน

“กุญแจดอกนี้ค่อนข้างสำคัญ แต่ไม่ต้องห่วง ในเมื่อผมเอากุญแจของคุณมา ผมก็ต้องช่วยเพื่อนของคุณแน่นอน” เฉินเกอเอนตัวพิงเก้าอี้และจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่านี่เป็นลางร้าย ตอนที่กุญแจดอกแรกปรากฏขึ้น เขาก็เข้าไปในหอผู้ป่วยสามและเจอกับศัตรูที่รับมือได้ยากที่สุดในตอนนั้น– สมาคมเล่าเรื่องผี

คราวนี้ เขากำลังจะไปยังจิ่วเจียงตะวันออกเพียงคนเดียว และการปรากฏของกุญแจดอกนี้นั้นก็อาจจะเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะเจอเข้ากับศัตรูเก่งกาจอีกรายหนึ่ง

กุญแจดอกแรกนั้นเกี่ยวข้องกับเหมินหนาน เด็กที่มีสองบุคลิก และพวกเขายังมีบุคลิกภาพที่ต่างกัน กุญแจดอกที่สองนั้นเกี่ยวข้องกับฝาแฝดแซ่เป้ย ที่หน้าตาเหมือนกันแต่นิสัยต่างกัน เฉินเกอแตะกุญแจทั้งสองดอกในกระเป๋าและจู่ ๆ ก็นึกถึงเงาที่ดูคล้ายกับเขา นี่หมายความว่าฉันจะได้เจอกุญแจดอกที่สาม?

เฉินเกอหันมองไปที่หน้าต่าง ไม่มีใครพูดอะไรอีก และในที่สุดรถเมล์ก็จอดที่ป้ายถัดมา

“ลงรถที่นี่และเดินไปทางตะวันตก ทางตะวันออกจากนี้ไปไม่ปลอดภัยแล้ว” เฉินเกอเบี่ยงตัวให้เด็กหนุ่มผ่านออกไป เด็กหนุ่มลุกยืนขึ้น มันเหมือนเขามีอย่างอื่นจะพูด แต่เมื่อมองหน้าเฉินเกอ ในที่สุดเขาก็กลืนคำพูดของเขาลงไปแล้ววิ่งลงรถไป

“เฮ้ คุณลืมร่มของคุณแน่ะ!” เฉินเกอตะโกนออกไปทางหน้าต่าง เด็กหนุ่มกลัวมากจนแม้ว่าฝนจะยังตก เขาก็วิ่งไปทางตะวันตกโดยไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองรอบ ๆ

“ฉันทำให้เขากลัวเหรอ? แต่นี่ก็เป็นเรื่องดี แบบนี้ เขาก็จะสามารถตั้งใจกับการสอบของเขาและไม่ต้องซ้ำชั้นเป็นครั้งที่สาม” เฉินเกอเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองและหมอก็เอนตัวเข้ามาหาเขานิด ๆ “มีอะไรเหรอ?”

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาเป็นห่วงคนอื่นแล้ว” หมอกระซิบก่อนที่จะขยับผ้าพันคอให้กระชับและปิดใบหน้าของเขาเอาไว้จนเกือบหมด

“เข้าใจแล้ว” เฉินเกอหยิบร่มของเด็กหนุ่มและกลับไปยังที่นั่งตัวเอง ตอนที่เขาช้อนตาขึ้นมอง เขาก็เห็นหัวเห็ดที่แถวที่สองกำลังมองเขาอยู่ ด้วยริมฝีปากแห้งแตกและรอยยิ้มแข็ง ๆ เขากำลังมองเฉินเกออย่างตั้งใจและเฉินเกอก็รู้สึกอยากจะให้รางวัลเขาด้วยการกระแทกค้อนใส่หน้าสักครั้ง เมื่อคิดถึงคนบนรถ เฉินเกอก็กดความต้องการนั้นลงไป

“หยุดยิ้มได้แล้ว ถ้าหยุดยิ้มแล้วคุณจะน่าเกลียดเกินไปงั้นหรือ?” คำพูดของเฉินเกอนั้นท้าทายมาก แต่ว่าหัวเห็ดก็ไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรนอกจากมองเฉินเกอต่อ ยิ้มแบบเดิม ๆ

บรรยากาศบนรถเมล์เปลี่ยนเป็นตึงเครียด แต่ในตอนนี้เอง ประตูหน้าก็ส่งเสียงลั่น และมือชุ่มเลือดข้างหนึ่งก็เอื้อมเข้ามาในรถ เลือดหยด และผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงก็ยืนอยู่ที่ประตูหน้า

ผมของเธอลู่ติดกับใบหน้าของเธอ ปิดบังดวงตาของเธอเอาไว้ ริมฝีปากของเธอถูกเย็บปิดด้วยบางอย่าง และเธอก็ดูน่ากลัวมาก

“ในที่สุด คุณก็มาแล้ว”

เห็นผู้หญิงคนนี้แล้ว เฉินเกอก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา ผู้โดยสารทั้งหมดบนรถเมล์นั้นหันมาสนใจผู้หญิงในชุดกันฝนสีแดงกันหมด

กระเป๋านักเรียนสีดำ

ประตูรถปิดลง และเครื่องยนต์ก็เร่งความเร็ว ลูกกระเดือกของชายหนุ่มขยับนิด ๆ เขาหุบร่มเอาไว้ระหว่างขาเขาแล้วค้นหาเหรียญออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนเข้าไปในเครื่องออกตั๋ว หลังจากเหรียญกระทบกับถังที่เป็นโลหะเกิดเสียงดัง ผู้โดยสารหลายคนบนรถก็หันมามองชายหนุ่มคนนี้

ถูกคนแปลกหน้าหลายคนมองมา เขาก็รีบก้มหน้าลงเหมือนคิดว่าถ้าเขาไม่เห็นคนพวกนั้น คนพวกนั้นก็จะไม่เห็นเขา รถเมล์ออกตัว และชายหนุ่มคนนั้นก็จับราวบันไดไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองหล่นลงไป บางทีอาจจะเพราะความกระวนกระวายของเขา ที่หลังมือของเขาจึงมีเส้นเลือดสีเขียวปูดโปนเห็นได้ชัดเจน

“หน้าใหม่?” ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่หมอได้เจอกับชายหนุ่มคนนี้ คิ้วของเขาเลิกขึ้นนิด ๆ และริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร

สองนาทีต่อมา ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ เงียบ ๆ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าผู้โดยสารเลิกให้ความสนใจเขาแล้ว เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเงียบ ๆ ดึงโทรศัพท์ออกมา มันเหมือนเขาคิดจะเปิดใช้งานกล้อง

“การพยายามถ่ายรูปก็ออกจะเกินไปสักนิด” เฉินเกอนั้นไม่ยินดีให้รถขนคนตายของเขาถูกเปิดเผยออกไป ดังนั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ทำอะไร เขาก็ลุกขึ้นเดินไปทางนั้น เห็นมีคนเดินเข้ามาหา ชายหนุ่มก็กลัวจนโทรศัพท์เกือบจะลื่นหลุดจากนิ้ว

“มีที่นั่งว่าง ๆ ตั้งมากอยู่บนรถ ทำไมคุณถึงมายืนอยู่ตรงนี้” รอยยิ้มของเฉินเกอนั้นเหมือนจะติดต่อถึงคนอื่นได้ และน้ำเสียงของเขาก็เป็นมิตร

“ผม…” ชายหนุ่มไม่ได้อธิบายว่ามันเป็นเพราะว่าเขาขี้ขลาดเกินจะทำอย่างนั้น ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถ เขาก็พบว่ากระทั่งสมองของเขาก็เริ่มทำงานช้าลง และเพราะอะไรไม่รู้ เขาไม่สามารถหาข้ออ้างที่น่าเชื่อถือออกมาได้

“คุณยังเรียนอยู่ใช่ไหม?” เฉินเกอวางมือลงที่แขนของชายหนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ “นั่นตรงนี้สิ อยู่ให้ไกลลมหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นไข้เอาได้”

ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ถูกเฉินเกอลากไปยังแถวสุดท้าย คำนวนระยะห่างระยะห่างระหว่างตัวเขากับประตู และจากนั้นก็หันไปมองหน้าต่างที่ล็อกอยู่ เขาเดาว่ามันน่าจะเร็วกว่าถ้าจะทุบกระจกให้แตกแล้วกระโดดออกไป

“ไม่ต้องกระวนกระวายขนาดนั้นหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่คุณขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 ใช่ไหม?” เฉินเกอนั้นเหมือนกับพี่ชายข้างบ้าน “คุณน่าจะเข้าใจผิดจากข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงบนออนไลน์ อันที่จริงแล้ว บริษัทขนส่งมวลชนนั้นบางครั้งก็จะเสริมรถเที่ยวสุดท้ายที่วิ่งตอนเที่ยงคืนในบางวันน่ะ ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่คุณไม่จำเป็นต้องกังวล พวกเราล้วนเป็นคนเป็น ๆ กันทั้งนั้น”

เพื่อเพิ่มแรงเกลี้ยกล่อม เฉินเกอกระทั่งเปิดกระเป๋าของเขา อุ้มเจ้าแมวขาวออกมา “คุณเห็นผีที่ไหนเลี้ยงแมวเหรอ?”

เจ้าแมวขาวที่ถูกดึงออกมาอวดเริ่มรำคาญ มันโบกกรงเล็บไปมาแต่ว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะแตะถูกเฉินเกอได้จริง ๆ ดังนั้นมันจึงโกรธจนขนพองฟู

เห็นสิ่งมีชีวิตที่แสนมีชีวิตชีวาแล้ว ความกลัวในใจของชายหนุ่มก็สลายไป เขาเกาหัวแล้วพูดอย่างไม่แน่ใจ “แต่มันเที่ยงคืนและฝนยังตกหนัก ทำไมถึงมีผู้โดยสารเยอะแบบนี้ล่ะ?”

“ถึงจะเป็นกลางคืน แต่ก็มีหลายคนที่ต้องทำงานเพื่อดำรงชีวิตนะ อย่างพนักงานรับโทรศัพท์ คนขับรถกะกลางคืน ยามกะกลางคืน และยังนักจัดรายการวิทยุช่วงเช้ามืดอีก งานของคนเหล่านี้น่ะมองข้ามไม่ได้หรอกนะ เพราะก็มีส่วนในการพัฒนาเมืองของเรา”

คำพูดเชิงบวกเหล่านี้ให้ความรู้สึกประหลาดเมื่ออยู่ในรถเมล์หลอน ๆ คันนี้ แต่ว่าเฉินเกอก็ไม่สนใจความไม่เข้ากันนี้ “แล้วก็นะ คุณทำงานอะไรเหรอ? ทำไมถึงยังออกมาข้างนอกตอนดึก ๆ อย่างนี้?”

“ผม…” ชายหนุ่มลังเล เขาหันไปมองผู้โดยสารคนอื่น ๆ เพราะไฟในรถเมล์นั้นไม่ได้เปิด เขาจงมองเห็นแค่เงาตะคุ่ม ๆ เท่านั้น ฝ่ามือของเขาลื่นไปด้วยเหงื่อ หลังจากนั้นเป็นนาน เขาก็เก็บโทรศัพท์ลงแล้วบอกเฉินเกอ “ผมเป็นนักเรียนที่โรงเรียนมัธยมหลินเจียง”

“นักเรียนมัธยม?” เฉินเกอมองใบหน้าเด็กคนนี้ “คุณดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ”

“ผมซ้ำชั้นสองปีแล้ว และดูเหมือนว่าจะต้องซ้ำชั้นอีกปีด้วย แต่ว่านั่นก็ไม่สำคัญแล้วแหละ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่นที่เกินอายุไปมาก

“น้องชาย คุณเรียนซ้ำชั้นมาสองปีแล้ว มีอะไรที่สำคัญกว่าเรื่องนั้นใช่ไหม?”

“ใช่” เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างหนักแน่น เขาดึงโทรศัพท์ออกมา “ในห้องผม มีนักเรียนหายตัวไปสามคน ผมรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่ว่าตำรวจไม่เชื่อผม”

เปิดโทรศัพท์แล้วเด็กหนุ่มก็ให้เฉินเกอดูรูปหมู่รูปหนึ่ง “พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทของผม”

ในรูปมีคนอยู่สี่คน เด็กหนุ่มคือคนที่ถือลูกบาสเก็ตบอลเอาไว้และยืนอยู่ด้านหลัง ฝาแฝดคู่หนึ่งที่ดูนิสัยต่างกันยืนอยู่สองข้างของเขา คนทางซ้ายนั้นดูมืดมน เขาถือกระเป๋าสะพายหลังสีดำใบหนึ่งเอาไว้ในมือ ขณะที่คนทางขวานั้นมองไปยังเด็กสาวทางด้านหน้า ในดวงตานั้นมีความรักใคร่

“ทำไมจู่ ๆ พวกเขาก็หายตัวไปล่ะ?” เฉินเกอมองเด็กนักเรียนที่ในรูป ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับกระเป๋าที่เด็กชายทางซ้ายถืออยู่ ในเกมของเสี่ยวปู้ มีกระเป๋านักเรียนสีดำใบหนึ่งวางเอาไว้ที่แถวหลังสุดของรถเมล์ และเมื่อเสี่ยวกู่ขึ้นรถขนคนตาย เขาก็เจอกับเด็กนักเรียนมัธยมคนหนึ่งบนรถเมล์ เด็กนักเรียนคนนั้นก็มีกระเป๋าสีดำเหมือนกัน

“กระเป๋านักเรียนสีดำ ฝาแฝดคู่หนึ่งที่หน้าตาเหมือนกันแต่ว่าบุคลิกภาพต่างกัน…” เฉินเกอดูเหมือนจะนึกถึงบางอย่างได้ “พวกเขาสามคนหายตัวไปหลังจากขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104?”

เด็กหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง “ฝาแฝดคู่นั้นแซ่เป้ยที่หาได้ยาก ถึงพวกเขาจะหน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ แต่พวกเขาก็ต่างกันมาก คนพี่ชื่อเป้ยเย่ เขาโมโหง่ายและมีเพื่อนไม่มากนัก กิจกรรมที่เขาชอบที่สุดก็คือเล่นแผลง ๆ แบบที่มีแต่เขาสนุกอยู่คนเดียว คนน้องชื่อเป้ยเหวิน เขาเป็นเด็กนักเรียนที่ดี เงียบและขี้อาย เขาเก็บตัวยกเว้นว่าจะมีคนเข้าหา

“พวกเราสี่คนสนิทกัน ดังนั้นจึงกลับบ้านด้วยกันเป็นปกติ จนเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเหตุผลประหลาด ๆ เป้ยเย่กับเป้ยเหวินก็เกิดทะเลาะกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เหมือนว่าเป้ยเย่เหนื่อยที่จะอยู่เป็นเงาของเป้ยเหวินแล้ว

“ตอนนั้น พวกเราไม่ได้คิดมากนัก เป้ยเย่กระแทกเท้าเดินหนีไป แต่ว่าวันต่อมา พวกเราก็พบว่าเป้ยเย่ไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืนนี้ ระหว่างเรียน เป้ยเย่ก็กลับมา และน่าแปลก สิ่งแรกที่เขาทำก็คือขอโทษเป้ยเหวิน จากนั้นเขาก็บอกความลับอย่างหนึ่งกับพวกเรา เขาบอกว่า หลังเที่ยงคืน จะมีรถเมล์คันหนึ่งบรรทุกคนตายมุ่งหน้าสู่จิ่วเจียงตะวันออก

“แน่นอนว่าพวกเราไม่เชื่อเขา เป้ยเย่ชวนพวกเรารอรถเมล์คันนั้นกับเขา ไม่ว่าเป้ยเหวินหรือผมก็อยากจะมีเวลาให้เขาวันนั้น แต่ว่าเขากลับมัดมือชกพวกเราด้วยการท้าเป้ยเหวินต่อหน้าเด็กผู้หญิงคนนี้”

เด็กหนุ่มหยุดเพื่อหายใจ เขามองโทรศัพท์ตัวเองและยิ่งคิดเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งกลัว

“แล้วจากนั้นล่ะ?”

“จากนั้นพวกเขาสามคนก็หายตัวไป เป้ยเย่กับพ่อของเขาหายตัวไปในวันเดียวกัน จากนั้นก็เด็กผู้หญิง และในที่สุดก็เป้ยเหวิน”

เรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนี้คล้ายกับเรื่องในความทรงจำของเฉินเกอ เขารู้สึกเหมือนมีโอกาสอย่างมากที่เป้ยเหวินและเป้ยเย่จะติดอยู่ในโลกหลังประตูในเมืองหลี่ว่าน

“คุณลงจากรถเมล์ที่ป้ายถัดไป ถ้าผมเจอเพื่อนของคุณ ผมจะพาพวกเขากลับมา”

“คุณพาพวกเขากลับมาได้เหรอ? ไม่มีทาง” เด็กหนุ่มส่ายหน้า “คุณไม่รู้หรอกว่าผมต้องรวบรวมความกล้าแค่ไหนก่อนที่จะขึ้นมาบนรถนี่ได้…”

“ทำตามคำสั่งของผมถ้าคุณไม่อยากตาย” รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเกอยังคงนุ่มนวล แต่เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเขาถูกสาดด้วยน้ำเย็นหนึ่งถังกลางฤดูหนาว เขาอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้

เด็กหนุ่มคนนี้นั้นดูเหมือนตัวละครหลักในหนังสยองขวัญทั่ว ๆ ไปเรื่องหนึ่ง แต่ว่าเขาโชคดีที่มาเจอเข้ากับเฉินเกอ

 ใบหน้ายิ้มแย้ม

เสื้อกันฝนสีดำนั้นปกคลุมร่างของชายคนนั้นแต่เฉินเกอพบว่าคนผู้นี้สวมเสื้อผ้าหลายชั้นทำให้เขาดูตัวใหญ่กว่าความเป็นจริง ตอนที่เขาพบว่ารถเมล์แล่นมาทางเขา เขาก็รีบหันหนีวิ่งไปทางอื่น

“ทำไมมันถึงตามฉันมา?” ในดวงตาของคนผู้นั้นมีแววตระหนก รถเมล์แล่นออกจากเส้นทาง– นั่นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รถเมล์แล่นตัดผ่านสายฝน ความเร็วของมันนั้นไม่เร็วหรือช้าเกินไป มันแล่นมาเทียบข้างเขาเหมือนกำลังรอให้เขาขึ้นรถ เรื่องประหลาดเช่นนี้ทำให้ผู้ชายคนนั้นเร่งฝีเท้าขึ้นอีก เขามองซ้ายมองขวาหาตรอกที่เล็กเกินกว่าที่รถเมล์จะผ่านเข้าไปได้

“มันอันตรายมากนะที่คุณจะเดินอยู่คนเดียวดึกดื่นป่านนี้ท่ามกลางฝนตก” เฉินเกอให้ถังจวินหยุดรถขวางทางผู้ชายคนนั้นเอาไว้แล้วเปิดประตู ผู้ชายคนนั้นลังเลก่อนที่จะขึ้นมาบนรถ เขาถอดเสื้อกันฝนออกเผยให้เห็นใบหน้าที่เฉินเกอก็รู้จัก

เฉินเกอเคยพบกับผู้โดยสารคนนี้มาก่อน ตอนที่เขาไปเมืองหลี่ว่านก่อนหน้านี้ ก็เป็นผู้ชายคนนี้ที่แนะนำให้เฉินเกอรู้จักรถขนคนตาย เขาเป็นหมอจากหน่วยไฟไหม้ที่แต่งงานกับผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่าเขามาก เพราะเหตุผลอันซับซ้อน ภรรยาของเขาฆ่าตัวตายในห้องน้ำ ตั้งแต่นั้นมา เขาก็สวมผ้าพันคอที่ภรรยาของเขาถักให้และตามหาวิธีการที่จะได้พบภรรยาของเขาอีกครั้งในมุมมืด ๆ ของเมือง

หลังจากหมอขึ้นมาแล้ว เขาก็เห็นเฉินเกอ ในสถานการณ์อันประหลาดเช่นนี้ มันช่างน่ายินดีอย่างยิ่งที่เห็นใบหน้าอันคุ้นเคย เขาเดินมาหาเฉินเกอและนั่งลงข้าง ๆ โดยไม่ลังเล ยานพาหนะเคลื่อนที่ต่อไป สายฝนตกกระทบหน้าต่างรถเมล์ และเสียงที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ

“คุณยังมีชีวิตอยู่?”

คำทักทายของเฉินเกอนั้นเป็นสิ่งที่ปกติไม่พูดกันแต่ว่าหมอก็ไม่ได้โกรธ เขาส่งเสียงชู่ให้เฉินเกอแล้วจากนั้นก็กระซิบ “วันนี้ รถคันนี้ต่างไปจากปกติ มีบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ๆ”

“ต่างกันยังไง?” เฉินเกอรับฟังความคิดเห็น คิดหาวิธีปรับปรุง

“ผมก็บอกไม่ถูก แต่มันแค่รู้สึกแปลกไป” หมอถอดเสื้อคลุมออกแล้วกวาดตามองผู้โดยสารคนอื่น ๆ ในรถด้วยปลายหางตา

“ไม่แปลกใจที่คุณเลือกที่จะหนีทันทีที่รถไปถึงที่ป้ายรถเมล์” เฉินเกอยักไหล่ เขาใส่เจ้าแมวกลับเข้าไปในกระเป๋า เมื่อมีอันตราย เจ้าแมวก็กลายเป็นเชื่อฟังอย่างไม่น่าเชื่อและยังชอบตัวติดอยู่กับเฉินเกอ

หลังจากหมอขึ้นรถมาแล้ว รถก็เลี้ยวกลับและกลับไปยังเส้นทางปกติของมัน

“พวกเราจะถึงเมืองหลี่ว่านในอีกไม่กี่ป้าย น่าจะมีผู้โดยสารต้องการขึ้นรถคันนี้คืนนี้มากทีเดียว” เฉินเกอหลับตาลงเพื่อพัก ไม่ว่าจะเป็นขี้เมาคนนั้นหรือรองเท้าส้นสูงสีแดง พวกเขาล้วนไม่ใช่เป้าหมายของเฉินเกอ เป้าหมายหลักของเขายังคงเป็นผู้หญิงในเสื้อกันฝนสีแดง

แล่นฝ่าสายฝนไป ที่ด้านนอกรถเมล์ มีเสียงลมพัดโหยหวนและเสียงฟ้าร้อง แต่ในรถเมล์ มันให้ความรู้สึกกดดันจนเหมือนจะหายใจไม่ออก หลังจากผ่านไปอีกห้านาที รถเมล์ก็ไปถึงป้ายถัดไป

ป้ายรถเมล์ว่างเปล่า มีเลือดแอ่งหนึ่งถูกน้ำฝนชะไป ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ป้ายรถเมล์ก่อนที่รถจะมาถึง รอยเลือดถูกน้ำฝนชะจนจางหายไปอย่างช้า ๆ

“ตอนที่ผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนถูกโจมตีหรือว่าท้าทาย เลือดก็ซึมออกจากเสื้อกันฝนของเธอ งั้นนี่น่าจะเป็นของเธอด้วยหรือเปล่า?” เฉินเกอยืนยันเรื่องนี้ไม่ได้ บางที มันอาจจะมีผู้โดยสารที่กำลังรอรถถูกฆ่าก็ได้

เหมือนเดิม รถเมล์เปิดประตูแล้วหยุดอยู่สามนาทีถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรออยู่ที่ป้ายก็ตาม ไม่มีอะไรผิดปกติในช่วงนาทีแรก แต่ระหว่างนาทีที่สอง มีเงาหนึ่งเดินมาตามถนน

เขาเดินโซเซอยู่ในสายฝนที่ตกหนัก มีผมทรงดอกเห็ดเด่นชัด ลำคอของเขายาวกว่าปกติ และถึงแม้ว่าเครื่องหน้าจะยังดูปกติ แต่เมื่อรวมกันแล้วมันก็ให้ความรู้สึกประหลาดมาก

ตอนที่ประตูกำลังจะปิดนั่นเอง หัวดอกเห็ดก็ขึ้นมาบนรถ ทั้งร่างของเขาชุ่มโชก และเขาก็มีรอยยิ้มประทับค้างอยู่บนหน้า ริมฝีปากของเขาฉีกออกเผยให้เห็นฟันของเขา ถึงแม้ว่าน้ำฝนจะไหลเข้าไปในปาก เขาก็ไม่สนใจเหมือนว่านี่เป็นสีหน้าเดียวที่เขาทำได้

“ผู้ชายกับยิ้มประหลาด?” นั่นคือความประทับใจที่เฉินเกอมีต่อผู้โดยสารใหม่คนนี้ เขาใช้ดวงตาหยินหยางอย่างเงียบ ๆ และเพียงแค่เหลือบมอง มันก็เหมือนมีคนเอาเข็มหมุดจิ้มเข้ามาในลูกตาเขา เขารีบหลับตาลงเพื่อลดความเจ็บแปลบนั้นลง เมื่อเฉินเกอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ชายหน้ายิ้มคนนั้นก็นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เขาเลือกที่นั่งหนึ่งในแถวที่สอง มันเหมือนว่าเขาตั้งใจจะเลือกที่นั่งตรงข้ามกับรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น

คืนนี้ พวกเรามีผู้โดยสารคุณภาพหลายคนเลย!

เฉินเกอขยี้ตา แล้วก็ผ่านความเจ็บปวดนั้นมาได้ เขาไม่รู้เลยว่าชายคนนั้นเก็บซ่อนอะไรเอาไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนคุณหมอ

รถเมล์แล่นต่อไป อีกหลายนาทีให้หลัง หมอจู่ ๆ ก็เอื้อมมืออ้อมด้านหลังส่งโทรศัพท์ให้เฉินเกอ เฉินเกอรับโทรศัพท์มาแล้วอ่านข้อความที่เขียนเอาไว้– ‘ตั้งแต่พวกเราออกจากเมืองหลี่ว่าน รถขนคนตายก็หายไป มันเลิกออกวิ่งตามเวลาที่กำหนด คืนนี้ ผมแค่มาลองเสี่ยงดู แต่ว่ารถขนคนตายปรากฏขึ้นอีกครั้งทั้งที่ไม่ควร มันทำลายจังหวะที่ถูกตั้งเอาไว้เมื่อก่อน คืนนี้ คงจะมีผู้โดยสารเก่า ๆ แบบผมออกมาตรวจดูเส้นทาง ดังนั้นมันจะอันตรายมาก ระวังตัวด้วย และสิ่งหนึ่งที่ต้องสนใจเลยก็คือปิศาจหน้ายิ้มที่แถวที่สอง ระวังเอาไว้ มันเคยสังหารคนทั้งรถมาแล้ว’

อ่านข้อความของหมอแล้ว เฉินเกอก็พบบางอย่าง เมื่อพูดถึงผู้โดยสารหน้ายิ้ม หมอใช้คำว่าปิศาจและ ‘มัน’

หมอรู้ได้ยังไงว่ามันฆ่าคนทั้งคันรถมาก่อน? ถ้าเขาเป็นหนึ่งในผู้โดยสาร แล้วเขารอดมาได้อย่างไร? ถ้าเขาไม่ได้อยู่บนรถในตอนนั้น แล้วใครบอกเขาเรื่องนี้?

ดวงตาของเขายังเต้นตุบด้วยความเจ็บปวด เฉินเกอแอบมองไปยังผู้ชายคนนั้นด้วยความสามารถที่ได้รับจากโทรศัพท์เครื่องดำ

ผู้ชายคนนั้นมีทรงผมที่ดูน่ารัก แต่อันที่จริงแล้ว เขากลับมีนิสัยเหี้ยมโหด

ตอนที่เฉินเกอแอบสังเกตชายหน้ายิ้มอยู่เงียบ ๆ รถเมล์ก็มาถึงป้ายถัดไป ก่อนที่จะเข้าไปเทียบป้าย เฉินเกอก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ดูค่อนข้างกระวนกระวาย หลังจากรถเมล์จอดและประตูเปิด เฉินเกอที่นั่งอยู่ในรถก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มคนนั้น “มันมีจริง ๆ ด้วย รถเมล์เที่ยงคืน! เรื่องเล่านั่นเป็นความจริง!”

เสียงของเขาสั่น ใบหน้าของเขาซีดขาว ริมฝีปากของเขาเป็นสีม่วงอย่างไม่ธรรมชาติ และร่างกายของเขาก็สั่นราวกับจะล้มไปได้ทุกเมื่อ

“ตาขาวอะไรขนาดนั้น?” เฉินเกอมองชายหนุ่มคนนั้นผ่านหน้าต่าง เขาดูอายุราวยี่สิบปี อาจจะยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ นี่เป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่ง เฉินเกอเชื่อว่าเขาก็คงเหมือนเสี่ยวกู่ มีสิ่งไม่ธรรมดาตามติดอยู่ และด้วยความโชคร้ายของเขา เขาก็มาเจอเข้ากับรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104

เฉินเกอไม่มีความสนใจอะไรในตัวชายหนุ่ม เขามองคนผู้นั้นเหมือนชาวประมงมองปลาตัวเล็กที่ติดอวนขึ้นมา เขาเตรียมจะปล่อยคนผู้นี้ไป

รถเมล์เข้าจอดที่ป้าย และผิดไปจากที่เฉินเกอคิดเอาไว้ ชายหนุ่มที่ดูขี้ขลาดและขี้กลัวกลับกระโดดเข้าประตูมาอย่างเต็มใจตอนที่ประตูรถกำลังจะปิด

 

ยินดีต้อนรับ ท่านผู้โดยสาร

ถังจวินผู้ใสซื่อเปิดประตูรถเข้าไปนั่งที่นั่งคนขับและรู้สึกเหมือนทุกอย่างช่างเหนือจริง “ผมไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาทำอาชีพเก่าเร็วถึงขนาดนี้”

“นั่นเป็นที่คุณทำได้ดีที่สุด แต่ว่าผมก็จะไม่บังคับให้คุณทำอะไรที่คุณไม่ชอบ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ดังนั้นหากคุณมีข้อเรียกร้องอะไร ก็บอกออกมาได้” เฉินเกอวางกระเป๋าใบหนักเอาไว้ที่แถวสุดท้าย “อากาศคืนนี้ไม่เลวเลย ฝนจะตกหนักมากซึ่งเหมาะกับการออกไปข้างนอกที่สุด”

“พวกเราจะออกไปที่ไหนกันคืนนี้?” ถังจวินนั้นยังคงสงสัยในตัวเฉินเกอด้วยเหตุอะไรสักอย่างที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้

“เมืองหลี่ว่าน แค่ขับไปตามทางที่คุณคุ้นเคย”

“พวกเราจะไปที่นั่นเหรอ?” พอเขาได้ยินคำว่า ‘เมืองหลี่ว่าน’ ความรู้สึกเลวร้ายก็พลุ่งขึ้นในหัวใจของถังจวิน “บอส ที่นั่นอันตรายจริง ๆ นะ ผมไม่ได้สงสัยในความสามารถของคุณ แต่ผมแค่คิดว่ามันไม่มีเหตุผลให้พวกเราต้องไปล่วงเกินพวกเขา”

“ผมไม่ได้จะทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินใคร” ถังจวินนั้นเกือบจะถอนหายใจโล่งอกแล้วตอนที่เฉินเกอพูดเสริม “ผมวางแผนจะล้างบางเมืองหลี่ว่านตั้งแต่สูงสุดจรดต่ำสุดเพื่อช่วยชีวิตผู้ที่ต้องช่วยและค้นหาความจริง”

ในเมื่อเฉินเกอพูดเช่นนั้น ก็ไม่มีอะไรให้ถังจวินพูดอีกแล้ว พวกเขาอยู่กันคนละคลื่นความถี่

“ยังพอมีเวลาให้คุณถอนตัวนะ พวกเราจะออกเดินทางตอนห้าทุ่ม” ถนนสาย 104 นั้นยาวมาก และมันก็เชื่อมระหว่างจิ่วเจียงตะวันออกและตะวันตก ถ้าพวกเขาออกตอนห้าทุ่มแล้วไม่เสียเวลากับอะไร พวกเขาก็จะไปถึงเมืองหลี่ว่านหลังเที่ยงคืน

“ผมไม่หนี คุณสบประมาทผมเกินไปแล้ว” ขาของถังจวินสั่นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ และมือของเขาก็กำพวงมาลัยแน่นเกินไปสักนิด ฝนยังเทลงมา และมันก็มืดสนิทที่ด้านนอกรถเมล์

พอห้าทุ่ม รถเมล์ผุ ๆ คันนี้ก็ออกจากสวนสนุกนิวเซนจูรี่และหายลับไปในม่านฝนอย่างช้า ๆ

“คุณขับอย่างนี้เป็นปกติเหรอ?”

“ครับ”

“คุณเคยถูกตำรวจจราจรเรียกไหม?”

“ไม่ เงานั่นทำบางอย่างกับรถคันนี้ คุณมองว่ามันเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งคนตายและคนที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังก็ได้” ถังจวินตอบคำถามเฉินเกออย่างจริงจังขณะบังคับรถเมล์ และไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงที่ป้ายรถเมล์แรก

ป้ายรถเมล์ดูลางเลือนผ่านม่านฝนหนาหนัก ไม่มีใครอยู่ที่นั่น แต่ว่าถังจวินก็ยังคงเลือกที่จะเปิดประตูรถแล้วรอที่ป้ายสามนาที

“ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้โดยสารที่มองเห็นได้รออยู่ที่ป้ายรถเมล์ มันจะดีกว่าถ้าจะรอสามนาที บางทีอาจจะมีผู้โดยสารพิเศษที่เพิ่งมาถึง นั่นคือสิ่งที่เงานั่นบอกผม”

เม็ดฝนปลิวเข้ามาในรถ เฉินเกอ ที่นั่งอยู่ตรงแถวที่สองจับตามองทุกอย่างอยู่เงียบ ๆ มีเรื่องผีมากมายเกี่ยวกับรถคันนี้ในเมืองนี้ แต่ใครจะคิดว่าวันหนึ่งมันจะกลายเป็นอย่างนั้นจริง ๆ? แต่ว่า นี่ก็เรียกได้ว่าสอดคล้องกับเป้าหมายของสมาคมเล่าเรื่องผี

เมื่อฉันเดินไปในความมืด ฉันก็คือเรื่องผีที่น่ากลัวที่สุดที่เคยมีในเมืองนี้

ถังจวินขับต่อไปเมื่อครบสามนาที หลังจากหยุดอยู่หลายป้าย ในที่สุดเฉินเกอก็เห็นมีคนกำลังรออยู่ที่ป้ายรถเมล์หลังจากที่พวกเขาออกจากจิ่วเจียงตะวันตกมา

“เขากำลังรอรถเมล์อยู่ตอนห้าทุ่ม แน่นอนว่านี่เป็นตัวละครที่น่าสนใจตัวหนึ่ง” รถเมล์ชะลอลงแล้วหยุด คนขับรถไม่พูดอะไรสักคำตอนเปิดประตูรถออก ผู้ชายที่ป้ายเดินตรงมายังรถเมล์

เขาสวมชุดสูทราคาถูก มีกลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งออกมา แก้มของเขาเป็นสีแดง และเขาก็พูดไม่ค่อยชัด ทั้งเสื้อและกางเกงเปียกโชก

“คะ… คุณรับบัตรไหม…” เขาดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาและเคาะมันกับจุดหนึ่งบนรถเมล์หลายครั้ง เขากำลังกระวนกระวายเพราะว่าเขายังไม่ได้ยินเสียงสัญญาณว่ามีการตัดเงินจากบัตรของเขา

“ทำไมคุณไม่ขึ้นมาพักก่อนล่ะ? ผมจะจ่ายค่าตั๋วให้คุณเอง” เฉินเกอเดินเข้าไปพยุงขี้เมาที่เกือบจะหล่นลงไปขึ้นมา เขากวาดตามองคนผู้นี้ด้วยดวงตาหยินหยาง ผู้โดยสารคนนี้น่าจะไม่ใช่ ‘ผู้โดยสาร’ ที่เขากำลังรออยู่ “นั่งดี ๆ อย่าขยับไปไหน”

“ขอบคุณนะ ช่วงนี้ผมโชคไม่ดีเลย แต่ว่าคืนนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปแล้ว! ผมได้เซ็นต์สัญญาแผนงานใหญ่ ขึ้นรถเที่ยวสุดท้ายทัน แล้วยังได้รับความช่วยเหลือจากคนใจดีอย่างคุณด้วย ขอบคุณมากนะ!” ขี้เมาพูด เขาโซเซไปยังที่นั่งแถวที่สามแล้วนั่งขวางสองเบาะคนเดียว

“คุณโชคดีจริง ๆ นั่นแหละ” เฉินเกอหันไปมองถังจวิน และฝ่ายหลังก็เข้าใจความหมายของเขา เขาส่ายหน้า เขาไม่แน่ใจว่านี่จะเป็นผู้โดยสารพิเศษที่เฉินเกอ ‘ต้องการ’ หรือไม่

“พี่ชาย คุณจะไปไหน? ผมจะปลุกคุณเมื่อเราไปถึง”

“ไม่ต้องสนใจผม ผมไม่อยากเป็นภาระให้คุณ! บ้านผมอยู่ป้ายสุดท้าย พอรถเมล์หยุด ก็ได้เวลาที่ผมจะลงแหละ” จากนั้นขี้เมาก็ฟุบไปบนที่นั่ง

“ป้ายสุดท้าย? คุณกำลังจะไปเมืองหลี่ว่าน?” เฉินเกอมองชายคนนั้นอย่างพิจารณาแต่ก็ยังมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติจากตัวเขา

รถเมล์แล่นต่อไปกลางสายฝน หลังจากเข้าสู่จิ่วเจียงตะวันออก รอบด้านก็ร้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด– ไม่มีรถบนถนนให้เห็นแล้ว พวกเขาผ่านป้ายรถเมล์มาอีกหลายป้าย และหนึ่งชั่วโมงให้หลัง เฉินเกอก็เห็นรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งอยู่บนป้ายรถเมล์หนึ่ง

รอบด้านไม่มีใคร แค่รองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งวางเอาไว้ตรงที่สายฝนสาดไม่ถึง เฉินเกอมองไปยังที่นั่งคนขับ ถังจวินดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง– เขาเอาแต่มองไปยังพวงมาลัยรถ

ไม่มีใครขึ้นมาบนรถ และหลังจากสามนาที ประตูก็ปิด ตอนที่ฟางหยวนกำลังดูว่ารองเท้าส้นสูงยังอยู่ที่นั่นไหม จู่ ๆ ถังจวินก็หัวเราะ จากน้ำเสียงของเขา เฉินเกอสังเกตว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นมาวางอยู่ที่นั่งด้านหลังที่นั่งคนขับแล้ว รองเท้าสีแดงเลือดนั้นวางอยู่เคียงกัน– มันเหมือนมีคนกำลังนั่งอยู่ที่ด้านหลังคนขับ

เธอขึ้นมาตอนไหน?

ตรงนั้นยังคงไม่มีใคร มีแค่รองเท้าคู่หนึ่ง เฉินเกอเดินไปแล้วสบตากับถังจวินผ่านกระจกเงา ในกระจก เขาพบว่าถังจวินพยายามยิ้มแม้ว่าเขากำลังจะร้องไห้แล้วก็ตาม

“ทัศนคติของคุณดีมาก รักษารอยยิ้มเอาไว้บนหน้า” เฉินเกอทำเหมือนเขามองไม่เห็นส้นสูงสีแดงคู่นั้นแล้วกลับไปยังที่นั่งตัวเอง เขาเปิดกระเป๋าออกพยายามปลอบเจ้าแมวขาวที่ถูกลักพาตัวมา เจ้าแมวคลานออกจากกระเป๋าและดูจะไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศในรถ และมันก็เดินดูเร็ว ๆ รอบหนึ่งก่อนจะกลับมาที่ข้าง ๆ เฉินเกอ

“แกน่าจะมีความสุขที่ได้ออกมาเที่ยวข้างนอกนะ” เห็นกริยาของเจ้าแมวแล้วเฉินเกอก็เข้าใจหลายอย่าง เขาคว้ากระเป๋าที่มีเครื่องเล่นเทปอยู่แล้ววางมันเอาไว้ข้างตัว ในรถนั้นเงียบมาก นอกจากเฉินเกอแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไร รถเมล์คันนี้เดินทางผ่านความมืดและสายฝนไปเหมือนโลงศพเคลื่อนที่

ฝนยังคงตกหนัก ตอนที่รถเมล์ไปถึงป้ายถัดไป เฉินเกอก็เห็นใครสักคนในชุดเสื้อกันฝนสีดำวิ่งออกไปจากป้ายรถเมล์ ผู้ชายคนนั้นวิ่งกลับไปกลับมาเหมือนกำลังรีบ แต่ว่า พอรถหยุดลงเข้าจริง ๆ เขากลับเดินหนีไปทันทีเหมือนเห็นบางอย่างที่ไม่ควรเห็น

“คนผู้นั้นจำฉันได้งั้นหรือ?” เฉินเกอมองโครงร่างของผู้ชายคนนั้นและคิดว่าเขาดูคุ้นตามาก เขาให้สัญญาณถังจวินขับรถเมล์ไล่ตามหลังชายคนนั้นไปทันที

ฝนตกหนัก! ฝนตกหนักมาก!

ตอนแปดโมงเช้า เฉินเกอที่เพิ่งนอนหลับไปได้เพียงสองชั่วโมงก็เดินออกมาจากบ้านผีสิง ท้องฟ้าขมุกขมัวเป็นลางบอกสภาพอากาศที่จะแปรปรวน แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความกระตือรือร้นของเหล่าผู้เข้าชมลงไป สวนสนุกยังไม่ทันเปิดทำการ แต่ก็มีฝูงชนมารออยู่แล้ว

“ไม่ว่าเครื่องเล่นจะดีแค่ไหน หลังจากเล่นซ้ำ ๆ หลายหนเข้า ในที่สุดผู้เข้าชมก็จะหมดความสนใจไป ฉันต้องคอยปลดล็อกฉากใหม่ ๆ หรือคิดวิธีการเล่นใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนรสชาติประสบการณ์” บ้านผีสิงนั้นเป็นรากฐานของเฉินเกอ เขาตัดสินใจที่จะเลื่อนระดับมันให้ดีเมื่อจัดการกับเงานั่นแล้ว

“บอส คุณกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ?” เสี่ยวกู่วิ่งเหยาะมาจากประตูในชุดกางเกงวอร์ม “พวกเราน่าจะมีผู้เข้าชมไม่มากวันนี้เพราะว่าฝนกำลังจะตกแล้ว”

“อาจจะไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อฝนเริ่มตก ผู้เข้าชมก็จะถูกบีบให้ต้องไปหลบอยู่ในเครื่องเล่นในร่มในเมื่อเครื่องเล่นด้านนอกไม่สามารถให้บริการได้ บางที ผู้เข้าชมหลายคนที่ปกติไม่ได้ให้ความสนใจในบ้านผีสิงก็จะมีโอกาสได้ลองเล่นดู” เฉินเกอนำเสี่ยวกู่เข้าไปในห้องแต่งตัว “หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง อย่าได้เฉื่อยชาในหน้าที่ ไปทำงาน”

“ครับ บอส” เสี่ยวกู่นั้นเป็นพนักงานที่มีคุณภาพ เขาภักดีและทำงานโดยไม่ปริปากบ่น เฉินเกอวางแผนจะขึ้นเงินเดือนให้เขาในเดือนถัดไป บ้านผีสิงคงไม่สามารถประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้โดยไม่มีพนักงาน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เฉินเกอจะรู้สึกว่าควรจะแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กับพวกเขา

“หลังจากฉากใหม่ปลดล็อกแล้ว พนักงานสองคนก็จะไม่เพียงพออีกต่อไป ฉันควรจะพยายามคัดเลือกพนักงานมากขึ้นระหว่างภารกิจนี้”

สวนสนุกเปิดตอนเก้าโมงเช้าและวันยุ่ง ๆ วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น คราวนี้ เฉินเกอไม่ได้แอบไปนอนในห้องพักพนักงาน เขาเรียกไป๋ชิวหลิน เหล่าโจว และต้วนเยว่ออกมา และยังให้พวกเขาเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าที่ไม่เผยหน้าตาของพวกเขา เฉินเกอนำพวกเขาผ่านฉากต่าง ๆ เข้าไปก่อนเหล่าผู้เข้าชม

เขาอธิบายจุดประสงค์ของทุกห้องในบ้านผีสิงและมอบตำแหน่งพนักงานของบ้านผีสิงให้พวกเขาทั้งสามคนอย่างเป็นทางการ เขายังสอนทั้งสามหลายอย่างเกี่ยวกับการดำเนินการและจัดการธุรกิจนี้

“ต่อไป ฉันคงจะต้องให้พวกคุณทั้งสามช่วยฉันดูแลฉากใต้ดิน ฉันจะให้ซู่อินและเอี๋ยนต้าเหนียนคอยช่วยพวกคุณด้วย”

ฉากใต้ดินนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเฉินเกอย่อมไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้คนเดียวแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาต้องเพิ่มระดับการตระหนักในเรื่องความปลอดภัยของ ‘พนักงาน’ ของเขา

“อีกเดี๋ยว ฉันต้องการให้พวกคุณถ่ายทอดสิ่งที่ผมสอนวันนี้ให้กับพวกนักเรียนในหุ่นและเหล่าศาสตราจารย์กับอาจารย์ในห้องเก็บศพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เตือนเหล่าศาสตราจารย์ด้วยว่าอย่าจงใจลงมือกับนักศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์”

เฉินเกอนั้นไม่รู้ถึงต้นเหตุความขัดแย้งของเหล่าศาสตราจารย์กับนักศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียง พวกเขานั้นปกติแล้วจะอยู่เงียบ ๆ และวางตัวดี น้อยครั้งที่จะปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าผู้เข้าชม แต่เมื่อนักศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์เข้ามา พวกเขาก็จะกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด

และเฉินเกอก็ต้องงุนงง อธิการบดีจากวิทยาลัยนั้นดูเหมือนจะมองเรื่องนี้เป็นความท้าทาย เขายังสนับสนุนให้นักศึกษาของเขามาที่ฉากห้องเก็บศพในบ้านผีสิงเพื่อฝึกความกล้าเมื่อมีเวลา เฉินเกอนั้นไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไป เมื่อเขาเห็นเหล่านักศึกษาที่ถูก ‘อาจารย์’ ของตัวเองหลอกให้กลัวจนเสียจริต เขาก็ยังรู้สึกสงสาร

“ตอนที่ฉันไปดูที่เมืองหลี่ว่านคืนนี้ ฉันน่าจะพาศาสตราจารย์เหล่านี้ไปกับฉันด้วย ฉันมีความรู้สึกว่าคนเหล่านี้นั้นยังไม่ได้แสดงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่ และมันก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาในระยะยาวที่ให้พวกเขาใช้เวลาไปกับการหลอกเด็กนักศึกษาที่ในฉากห้องเก็บศพใต้ดิน”

หลังจากสั่งการเหล่าโจวและคนอื่นที่เหลือคร่าว ๆ เฉินเกอก็ให้พวกเขาเข้าไปในฉาก

เหล่าผู้เข้าชมที่เข้ามาที่บ้านผีสิงวันนี้ล้วนประสบกับเหตุการณ์ประหลาด มีคนสวมชุดแปลก ๆ เหล่านี้ และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้เข้าชมหรือว่าเป็นพนักงาน พวกเขายืนอยู่บนโพเดียมในห้องเรียนอธิบายบทเรียนเกี่ยวกับการจัดการให้กับหุ่นในห้องเรียน ตัวอักษรมากมายปรากฏขึ้นบนกระดานดำ บอกวิธีการพูดคุยกับคนในกลุ่มคน และวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มันเหมือนภาพที่มักจะเกิดขึ้นในการสัมมนาทางการตลาดในหลาย ๆ ระดับ

เฉินเกอ ที่แอบอยู่ตรงมุม จับตามองกลุ่มของเหล่าโจวอยู่ และก็เห็นแล้วว่าพวกเขานั้นยอดเยี่ยมกันจริง ๆ และจะกลายเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของบ้านผีสิงได้ในอนาคต

“พวกเขาสามคนและเอี๋ยนต้าเหนียนนั้นเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม พวกเขารู้จักกันดี และแต่ละคนยังมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของตนเอง จุดอ่อนเดียวก็คือพวกเขาขาดพลัง แต่ว่า เมื่อไป๋ชิวหลินพัฒนาขึ้นกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือดสักตนหนึ่ง จุดอ่อนนั้นก็จะหายไป ทีมสี่คนนี้สามารถช่วยฉันดูแลฉากหลาย ๆ ฉากได้”

เฉินเกอพอใจมาก แต่เขาก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่ในใจเพราะว่าผู้ที่น่าจะเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้จัดการของบ้านผีสิงน่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่ผู้ชราของโรงเรียนมัธยมมู่หยาง

“บางที ฉันอาจจะกลับไปดูที่นั่นสักครั้งหากมีเวลา” เฉินเกอเดินออกจากที่จอดรถใต้ดิน เขาเข้าไปในห้องพักพนักงานแล้วอุ้มเจ้าแมวออกมาจากที่นอน เปิดลิ้นชักที่ล็อกเอาไว้และดึงเอากระดาษโน้ตที่เขาเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมา เขาตรวจดูเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหมดที่เขาเจอที่ในจิ่วเจียงตะวันออก

หลังจากตรวจดูเสร็จ เฉินเกอก็ใช้ไฟจากไฟแช็กเผากระดาษเหล่านั้นทิ้ง ผู้ชายหนึ่งคนและเจ้าแมวหนึ่งตัวมองเถ้าที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ แต่พวกเขากำลังคิดถึงอย่างอื่นที่ต่างกัน

“ฟ้ามืดแล้ว คืนนี้น่าจะมีฝนตกหนัก”

บ่ายสาม เมฆบนฟ้าลอยต่ำ เพื่อความปลอดภัย เครื่องเล่นกลางแจ้งส่วนใหญ่นั้นปิดให้บริการลง และผู้เข้าชมมากมายจึงมุ่งหน้ามายังบ้านผีสิง ห้าโมงเย็น ฝนเริ่มโปรยปรายลงจากฟ้า และมันก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ ลุงซูและพนักงานส่วนสนุกมอบร่มให้แก่เหล่าผู้เข้าชมที่ต้องการใช้อย่างมีน้ำใจและเป็นห่วง เห็นว่าฝนน่าจะตกหนักขึ้นอีก สวนสนุกจึงตัดสินใจปิดให้บริการตอนห้าโมงครึ่ง

“ฝนกำลังตก ทำไมพวกเธอสองคนไม่กลับบ้านก่อนล่ะ?” หลังจากส่งผู้เข้าชมกลุ่มสุดท้ายกลับออกไปแล้ว เฉินเกอก็ให้ซูว่านและเสี่ยวกู่เลิกงาน ขณะที่เขารั้งอยู่เพื่อทำความสะอาดให้เสร็จ

หนึ่งทุ่ม ท้องฟ้ามืดลงอีก เฉินเกอมองไปยังท้องฟ้าสลัวที่ด้านนอกบ้านผีสิงและเขาก็พิจารณาอย่างเงียบ ๆ

“เป็นสภาพอากาศที่ยอดเยี่ยมมาก” เฉินเกอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่สะอาด ๆ คว้ากระเป๋าสะพายแล้ววิ่งลงไปที่ลานจอดรถใต้ดิน เขาเก็บผีทั้งหมดที่เก็บได้เข้าไปในหนังสือการ์ตูน รวมทั้งหมดอาวุโส เว่ยจิวฉินด้วย

“คุณไม่จำเป็นต้องออกมาด้านนอก อยู่ในห้องหนังสือไปก่อน ผมจะพาคุณไปกับผมด้วยเพราะว่าคุณเป็นหมอที่ดีและผมก็หวังว่ากรรมดีของคุณจะช่วยพาให้ผมโชคดีในคืนนี้”

เฉินเกอกลับไปที่ห้องพักพนักงานและหาถุงใบหนึ่งออกมา เขาเทอาหารแมวลงไปในนั้นเล็กน้อย

“ฉันจะออกไปทำเรื่องใหญ่บางอย่างที่ข้างนอกคืนนี้ แกจะไปด้วยไหม?” เฉินเกอคุกเข่าลงข้าง ๆ เจ้าแมวขาว เจ้าแมวที่งุนงงเอียงหัวมองไปยังถุงอาหารและมันก็รู้สึกว่าภาพนี้ช่างคุ้นเคยอย่างประหลาด ก่อนที่มันจะทันได้ขัดขืน เฉินเกอก็ยัดมันกับเสี่ยวเซียวเข้าไปในกระเป๋า

“อย่างไรเสีย เจ้าแมวตัวนี้ก็กินเลือดในหลอดของสมาคมเข้าไป มันต้องมีความสามารถบ้างแหละ” เฉินเกอรูดซิปปิดไว้ครึ่ง ๆ แล้วลูบ ๆ เจ้าแมวที่โผล่หัวออกมา

เฉินเกอออกจากห้องแล้วออกจากบ้านผีสิงผ่านประตูด้านหลัง เขาไปหยุดอยู่ข้าง ๆ รถเมล์ ตั้งแต่ที่เขาได้ยานพาหนะคันนี้มา มันก็จอดเอาไว้ใกล้ ๆ กับประตูด้านหลังของบ้านผีสิง

ลุงซูถามถึงมันกับเขาก่อนแล้ว และเฉินเกอก็บอกว่าเขาเอามันมาจากตลาดขายของเก่าและวางแผนจะเปลี่ยนมันเป็นฉากใหม่ เฉินเกอเรียกคนขับรถ ถังจวิน ออกมาจากหนังสือการ์ตูนแล้วส่งกุญแจให้ “คืนนี้ พวกเราจะออกไปซิ่งกัน”

 

เตรียมงานให้พร้อม

รถแท็กซี่จอดอยู่ที่ทางเข้าอุโมงค์ และสมาธิของเฉินเกอนั้นก็นิ่งอยู่ขณะที่เขาตรวจดูหน้าหนึ่งของหนังสือการ์ตูน หลังจากนั้นเป็นนาน ก็มีการเคลื่อนไหวจากตำแหน่งที่นั่งคนขับรถ ดังนั้นเฉินเกอจึงดึงประตูรถเปิดออกเบา ๆ “ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว”

เขาตบหน้าคนขับเบา ๆ จากนั้นก็ปิดปากเขาเอาไว้ เขาเดาว่าสิ่งแรกที่คนขับรถจะทำหลังจากตื่นขึ้นมาก็คือกรีดร้องดังนั้นจึงระวังไว้ก่อน ดวงตาของคนขับเบิกโพลงและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ใจเย็นก่อน และฟังผม” หลังจากคุยกับเด็กชายแมงมุมแล้ว เฉินเกอก็ไม่ได้กลับออกไปทันที เพื่อให้แน่ใจว่าภารกิจสมบูรณ์ เขาใช้เวลาอยู่ในอุโมงค์จนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น หลังจากสำรวจอยู่หนึ่งคืน เฉินเกอก็พบอะไรหลายอย่าง

ดวงวิญญาณมากมายที่ตายจากอุบัติเหตุนั้นปักหลักอาศัยอยู่ในอุโมงค์ ที่นี่นั้นอันตรายเท่า ๆ กับที่ห้องเก็บศพใต้ดิน แต่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เงานั่นมา มันก็จะจัดการชำระล้างที่นี่อย่างหมดจด นำเอาวิญญาณเหล่านี้ที่ขวางทางมันไปหรืออาจจะกินลงไป เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผีในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวก็ลดลง และเพราะอย่างนั้น เฉินเกอจึงได้ประโยชน์จากเรื่องนี้

พวกเขายังเจอผีมากมายมุ่งหน้ามาทางอุโมงค์ตอนที่พวกเขามาถึงเพราะว่านั่นคือเด็กชายวางเหยื่อล่อให้พวกเขามา เด็กชายนั้นได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับเงานั่นและวิธีที่เร็วที่สุดที่จะฟื้นฟูตัวเองก็คือการกิน

หลังจากพูดคุยกันแล้ว เฉินเกอก็รู้ว่าเด็กชายยังปิดบังพลังพิเศษเอาไว้ และพลังนั่นก็ดูจะเกี่ยวข้องกับร่างใหญ่โตของแมงมุม เฉินเกอไม่ได้พูดคุยกับเด็กชายมากนัก และเมื่อถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้วางแผนจะนำเอาเด็กชายกลับไปที่บ้านผีสิงของเขา หลังจากเปิด ‘ประตู’ ในกองไฟ เด็กชายก็บิดเบี้ยวไปโดยสิ้นเชิง

เขาเกลียดทุกอย่างยกเว้นแค่แม่ของเขา เห็นแก่ตัว เกลียดชัง โกรธแค้น– อารมณ์ด้านลบทั้งหมดของมนุษย์ล้วนพบได้ในตัวเด็กชาย ดังนั้น พูดอีกอย่างหนึ่งแล้ว เด็กชายนั้นอันตรายกว่าที่เห็นภายนอก

เฉินเกอดึงความคิดกลับมาและหันกลับไปหาคนขับรถที่กำลังตื่นตระหนก และเสียงของเขาก็อ่อนโยน “พวกเราดูเหมือนว่าจะเจอผีเข้าแล้วคืนนี้”

เฉินเกอปล่อยมือช้า ๆ เขาวางกระเป๋าลงที่ที่นั่งผู้โดยสารและพูดอย่างใจเย็น “พวกเราค่อยคุยกันบนถนน แต่ตอนนี้ ออกจากสถานที่ผีสิงนี่กันก่อน”

คนขับรถรีบสตาร์ทเครื่องและเลี้ยวกลับออกมาที่ถนน “เกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้? ผมจำได้ว่ามีผู้โดยสารแปลก ๆ สามคน ไม่ เดี๋ยวก่อน สองคน อยู่ในรถ และจากนั้นพวกเราก็ถูกพาเข้าไปในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว มีคนมากมายทุบไปทั่วหน้าต่างรถ และยังมีรอยมือเปื้อนเลือดเต็มไปหมด รถพัง และโทรศัพท์ก็ใช้การไม่ได้”

ตอนที่เขาพูด คนขับรถก็ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้ เฉินเกอรีบพยายามสงบอารมณ์ของเขา “ผมคิดว่าคุณถูกผีสิง ผมขึ้นรถคุณมาจากจิ่วเจียงตะวันตก และผมก็ต้องการไปหาเพื่อนที่จิ่วเจียงตะวันออก แต่ระหว่างทาง ตอนที่พวกเราผ่านตึกร้างเก่า ๆ ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ คุณก็หยุดแล้วลดกระจกลงแล้วพูดกับอากาศ จากนั้นคุณยังเปิดประตูรถ คุณไม่รู้หรอกว่าผมกลัวแค่ไหน”

“คุณไม่เห็นใครเลยเหรอ?” ใบหน้าคนขับรถซีดขาว

“ไม่มีใครเลย ผมเห็นแค่คุณพูดกับอากาศ จากนั้นก็เกิดบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าขึ้น หลังจากขับไปอีกครู่หนึ่ง จู่ ๆ คุณก็เหยียบเบรก ร้องออกมาว่าเกือบจะชนคนเข้า ผมรีบหันไปดู แต่บนถนนก็ไม่มีใคร จากนั้น คุณไม่ได้ถามผมด้วยซ้ำ คุณเปิดประตูหลังแล้วก็เริ่มวุ่นวายไปทั่วอีกครั้ง เฉินเกออธิบายกับคนขับรถเหมือนเขาเป็นฝ่ายผิด “จากนั้น ตอนที่ผมกำลังว่าคิดคงไม่มีอะไรแปลกไปกว่านี้แล้ว หลังจากคุณพูดคนเดียวจบ คุณก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว ผมพยายามแล้วแต่หยุดคุณไม่ได้”

“ผมคิดว่าผมจำเรื่องนั้นได้” คนขับรถสูดลมหายใจเย็น ๆ เขารู้สึกเหมือนแขนขาจะแข็งชาไป “นี่ผมถูกสิงจริง ๆ เหรอ? บนโลกนี้มีผีจริง ๆ เหรอ?”

“นั่น ผมก็ตอบไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไง คุณก็ทำให้ผมกลัวที่สุดในชีวิตแล้วคืนนี้” เฉินเกอกอดกระเป๋าที่มีกลิ่นเลือดจาง ๆ ลอยออกมาเอาไว้และดูน่าสงสารมาก

“พวกเราน่าจะเจอผีกันจริง ๆ นั่นแหละ” คนขับรถมองกระจกรถที่สะอาดมาก– ไม่มีรอยฝ่ามือสีเลือดให้เห็นเลย เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นเฉินเกอและพนักงานทั้งหมดของเขาที่ทำความสะอาดรถของเขาอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง หัวใจของเขาสั่นสะท้าน และคนขับรถก็คอยแต่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ว่า เขาก็หุบปากเงียบ และเขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากขับออกมาจากจิ่วเจียงตะวันออก

ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างเรือง คนขับรถส่งเฉินเกอลงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่

“ส่งผมที่นี่แหละ นี่หนึ่งร้อย ไม่ต้องทอน” เฉินเกอนั้นกำลังจะหันหลังกลับแล้วตอนที่คนขับรถคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้ “มีอะไร?”

“พี่ชาย คุณแน่ใจนะว่าคืนนี้คุณไม่เห็นอะไรเลย?” คนขับรถมองไปรอบ ๆ รถของตัวเอง “ได้โปรด ตอบผมตามตรง ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถขับรถคันนี้ได้อีกแล้ว ผมคอยแต่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในนี้”

“ไม่ต้องห่วง รถของคุณตอนนี้สะอาดมาก และในอนาคต ก็เลิกขับไปยังจิ่วเจียงตะวันออก” เฉินเกอพูดขณะคว้ากระเป๋าของตัวเองมุ่งหน้าไปยังสวนสนุก

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่เมื่อคืนนี้? โอ้ ใช่แล้ว ฉันสามารถกลับไปตรวจดูที่กล้องในรถ… เดี๋ยวก่อนนะ ใครถอดมันออกไป? ถ้าเป็นผี อย่างนั้นก็เป็นผีไฮเทคแล้ว!”

กลับไปที่สวนสนุก เฉินเกอก็เข้าไปในห้องพักพนักงานและดึงเอาโทรศัพท์เครื่องดำออกมา ขณะที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น เขาก็ได้รับข้อความแจ้งภารกิจสำเร็จ

“ขอแสดงความยินดี ผู้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าวิญญาณ ที่ทำภารกิจระดับสามดาวสำเร็จ

“ปลดล็อกฉากใหม่ ที่ปลายอุโมงค์

“ที่ปลายอุโมงค์: มีอะไรอยู่ที่ปลายอุโมงค์?

“อัตราความสำเร็จของภารกิจ: 20%

“รางวัลลับยังไม่ปลดล็อก”

อัตราความสำเร็จต่ำ สูงกว่าอัตราความสำเร็จที่หมู่บ้านโลงศพเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เฉินเกอกำลังนั่งอยู่บนเตียงคิดกับตัวเอง ในเมื่ออัตราความสำเร็จนั้นแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดูเหมือนว่าเด็กชายในอุโมงค์ยังปิดบังบางอย่างที่สำคัญมากเอาไว้จากฉัน เขาน่าจะโกหกฉันเมื่อคืนนี้ แต่มันก็ยากที่จะบอกว่าสิ่งที่เขาโกหกคืออะไร

เด็กชายนั้นมีความเกลียดชังเต็มหัวใจ ดังนั้น มันจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เชื่อเฉินเกอ หากไม่ใช่เพราะแม่ของเขา เด็กชายก็คงเอาเฉินเกอแขวนคอไปแล้ว

ดูเหมือนว่าเขาจะต้องได้รับบทเรียนอย่างแท้จริงสักครั้ง

เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ เขาลงไปที่ชั้นใต้ดินและพบฉากที่เพิ่งปลดล็อกใหม่อยู่ข้าง ๆ สระผีแฝดใต้น้ำ

มันเป็นอุโมงค์ที่มองไม่เห็นปลายทาง เฉินเกอนั้นไม่รู้ว่ามันจะนำไปที่ใด และแค่ยืนอยู่ที่ทางเข้า เฉินเกอก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นเสียดกระดูกที่แผ่ออกมา

เด็กชายเปิดประตูที่ในร่างของเขาได้เฉพาะที่ในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว ฉันอยากรู้ว่าเขาจะทำแบบนั้นได้ไหมหากเขาอยู่ในนี้ที่บ้านผีสิงจำลองมันออกมา

เด็กชายนั้นพิเศษเพราะว่าเขาครอบครองประตูที่เคลื่อนที่ได้ เฉินเกอประเมินค่าเขาไว้สูงเพราะว่าเขาเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เด็กชายน่าจะมีบทบาทสำคัญ

หลังจากปิดทางเข้าแล้ว เฉินเกอก็กลับออกไป เขาวางแผนจะจัดการกับฉากใหม่ ๆ เหล่านี้ ผสานให้มันกลายเป็นฉากระดับสี่ดาวจำลองหลังจากทำฉากระดับสามดาวครึ่งในเมืองหลี่ว่านสำเร็จ

เขามีแนวคิดอยู่ในใจแล้ว

ตอนที่ฉากใหญ่นี้ถูกสร้างขึ้น บ้านผีสิงของฉันก็จะมีชื่อเสียงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

ตั้งแต่ตั้งใจรับมือกับเงานั่น มันก็นานแล้วที่เฉินเกอไม่ได้เห็นสีหน้ามีความสุขบนหน้าของผู้เข้าชมของเขา

พยากรณ์อากาศบอกว่าคืนนี้จะมีฝนตก หลักจากพระอาทิตย์ตกแล้ว ฉันจะไปสำรวจที่รอบ ๆ เมืองหลี่ว่านดูเผื่อว่าฉันจะเจอกับผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงคนนั้น

 

มากับฉัน

มีเพียงเมื่อคนผู้หนึ่งสิ้นหวังอย่างที่สุด จนปัญญาอย่างที่สุด ที่จะสามารถเปิด ‘ประตู’ ได้ ตอนที่ไฟลามมานั้น เด็กชายถูกกักเอาไว้ในหน้าต่างรถที่ผิดรูปไป และสิ่งที่เขาเห็นก็คือแม่ที่ได้รับบาดเจ็บของเขาและคนอื่น ๆ ที่วิ่งออกห่างพวกเขาไป

ไฟเผาร่างของเขา เนื้อและเลือดของเขาหลอมเข้ากับประตูรถ ในที่สุดเขาก็เปิดประตูที่เขาติดอยู่ในนั้นออกได้ ร่างกายท่อนล่างของเขานั้นถูกทิ้งเอาไว้ในรถ แต่ร่างกายท่อนบนของเขานั้นไหม้ติดอยู่กับประตูรถ

เฉินเกอคิดไม่ออกเลยว่านั้นจะเป็นความเจ็บปวดแบบใดกัน ดังนั้นไม่ว่าเด็กชายจะทำอะไรลงไปบ้าง เฉินเกอก็ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่จะตัดสินเด็กคนนี้ได้ ไม่มีใครเกิดมาเป็นสัตว์ประหลาด ต่อให้พวกมันดูต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป แต่หัวใจของมันก็ยังทำมาจากเลือดและเนื้อ

ไต่อยู่ระหว่างป่าร่างมนุษย์ ช่องว่างบนร่างของเด็กชายก็ค่อย ๆ ลดขนาดลง

“เงานั่นต้องการสร้างประตูในเมืองหลี่ว่านเพื่อปล่อยบางอย่างจากด้านหลังประตูออกมา ก่อนที่เขาจะมาพบผม ชายเสียสติคนนั้นเคยทำการทดลองมากมายเพื่อพิสูจน์ธรรมชาติของมนุษย์และผลักดันผู้บริสุทธิ์จนแตกสลาย จากนั้นเขาก็ใช้คนเหล่านั้นเปิดประตู แต่จนกระทั่งพวกเขาตายไป ก็ยังไม่มีใครสามารถเปิดประตูได้ แผนการของเขาล้มเหลว จนกระทั่งในที่สุดเขาก็หันมาเพ่งเล็งผมแทน เขาอยากจะจับตัวผมไปแล้วขังผมเอาไว้ในเมืองหลี่ว่านเพื่อช่วยให้แผนการของเขาสำเร็จ”

เสียงของเด็กชายต่ำลง “แน่นอนว่า ผมไม่เห็นด้วย และผมก็ยังต้องการฆ่าเขาด้วย”

นี่เป็นนิสัยอันเหี้ยมโหด เขาจะฆ่าใครก็ตามที่กล้ามุ่งเป้ามาที่เขา

“แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเธอก็ล้มเหลว” เฉินเกอทำลายแผนการเด็กชายไปอย่างง่าย เขากำลังบอกเด็กชายว่าสิ่งต่าง ๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว และเงานั่นก็คือศัตรูร่วมของพวกเขา

“คุณพูดถูก เขาฆ่าได้ยากมาก” หลังจากพูดอย่างนั้น เด็กชายก็มองพิจารณาเฉินเกอ “เขาแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ตราบใดที่ผมอาศัยอยู่ในอุโมงค์นี้ ผมก็สามารถปกป้องตัวเองและแม่ของผมได้”

เลือดซึมออกมาจากลำตัวของเด็กชาย “ผมสามารถลากทุกอย่างที่เข้ามาในอุโมงค์เข้าไปในประตู และที่นั่น ผมก็สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย เป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้ที่นอกอุโมงค์นั่น”

พลังของผู้ผลักประตูนั้นจะเพิ่มเป็นหลายเท่าเมื่ออยู่ในประตู ดังนั้น ความสามารถในการดึงคนเข้าไปในประตูของเขานั้นย่อมมีพลังอย่างไม่น่าเชื่อหากใช้ให้ถูกวิธี

“งั้น เธอก็คิดจะดึงฉันเข้าไปในประตูของเธอสินะ ก่อนหน้านี้?”

“ใช่ ที่นั่นนั้นเป็นฝันร้ายที่ผมถักทอขึ้นมา เวลาหยุดนิ่งอยู่ที่วันนั้น แต่มันก็มีจุดอ่อนของพลังนี้– มันสามารถใช้ได้แค่ในอุโมงค์นี้เท่านั้น เมื่อผมออกจากอุโมงค์ไป ประตูก็เปิดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” ช่องว่างที่ตรงลำตัวของเด็กชายนั้นเหมือนปากปากหนึ่ง และมันก็ดูน่ากลัว “บางครั้ง ผมก็สงสัย ว่าผมเป็นคนเปิดประตูหรือว่าที่ผมเป็นอยู่ก็คือประตู?”

สถานการณ์ของเด็กชายนั้นค่อนข้างพิเศษมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอเจอกับอะไรอย่างนี้เช่นกัน

“เธอเคยสู้กับเงานั่นมาก่อน เธอสังเกตเห็นจุดอ่อนของมันบ้างไหม?”

“ถ้าผมรู้เรื่องนั้น คุณคิดว่าผมจะยังมาคุยอยู่กับคุณที่นี่ไหมล่ะ?” รยางค์ของเขาสั่นอย่างกระวนกระวายและเด็กชายก็ดูค่อนข้างบ้าคลั่ง “ชายเสียสติคนนั้นแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่เขามาที่นี่ ผมพยายามหลายวิธี แต่ก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้ จากนั้นผมก็วางแผนจะกักเขาเอาไว้ในโลกที่ด้านหลังประตู แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็พบรูปแบบของอุโมงค์ที่ด้านหลังประตูและเกือบจะหนีออกมาได้เอง…”

เด็กชายกระแอมเพราะเขาเพิ่งรู้ตัวว่าบังเอิญเผยออกไปว่าอุโมงค์ที่ด้านหลังประตูนั้นมีแบบแผน

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?” เฉินเกอทำเป็นไม่ได้ยินและกระตุ้นให้เขาพูดต่อ

“เขาล้มเหลว แต่ว่าผมก็ไม่สามารถใช้กลเม็ดเดิมได้อีกครั้งหน้า” เด็กชายเอนตัวไปด้านข้างเผยให้เห็นรอยแผลใหญ่บนร่างแมงมุม “ผมเพิ่งสู้กับเขาเมื่อไม่นานมากนี้ เขาดูสิ้นหวังอย่างประหลาด เหมือนหมาบ้า”

“หลังจากสู้กันแล้วเขาไปที่ไหน?” เฉินเกออยากจะรู้ว่าเงานั่นกลับไปสิงร่างของเจียหมิงไหมหลังจากออกจากอุโมงค์ไป

“ผมจะไปรู้ได้ยังไง?” เด็กชายเริ่มเลี่ยงคำถาม เมื่อเป็นการสอบถามจากเฉินเกอ ในที่สุดเขาก็เผยสามอย่างออกไป ตอนที่เงานั่นมาที่นี่ รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไป เด็กชายสงสัยว่าเงาจะมีความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและขนาดตัว มีเงาของเด็กคนหนึ่งซ่อนอยู่ด้านในเงานั่น– ไม่ว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นในรูปแบบไหน เงาของเด็กนั้นไม่เคยเปลี่ยน อย่างสุดท้ายก็คือสิ่งที่เด็กชายเองก็ไม่แน่ใจ เขาสัมผัสได้ถึงตัวตนอันคล้ายคลึงกับเฉินเกอในเงานั่น และนั่นเป็นเหตุผลให้เขาต้องการฆ่าเฉินเกอก่อนหน้านี้

เขาจำทั้งสามจุดเอาไว้ แล้วหลังจากแน่ใจว่าคงไม่ได้ข้อมูลอะไรจากเด็กชายแล้ว เฉินเกอก็หันไปหาคนผู้หญิง

“ทำอะไรน่ะ?” ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร เด็กชายก็ไต่ผ่าน ‘ป่า’ มายืนอยู่ระหว่างเฉินเกอและแม่ของเขา

“หลังจากเธอออกไปจากอุโมงค์ เธอก็ไม่สามารถเปิดประตูในร่างของเธอได้ และพลังของเธอก็จะลดลงมาก ดังนั้นฉันจึงอยากจะขอให้แม่ของเธอไปช่วยฉันสู้กับเงานั่น อย่างไรเสีย ยิ่งมีกันมากคน ก็ยิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้น”

เฉินเกอพูดอย่างเป็นธรรมชาติจนเด็กชายรู้สึกอึ้ง “ปล่อยคุณไปและยังบอกคุณตั้งหลายอย่างนี่ก็เป็นขีดจำกัดความใจดีของผมแล้ว แต่คุณก็ยังต้องการพาแม่ของผมไปกับคุณอีก?”

“ถ้าพวกเราจัดการกับเงานั่นไม่ได้ ตอนที่เขากลับมาที่อุโมงค์นี่ ทั้งเธอและแม่ของเธอก็จะตาย” เฉินเกอพูดอย่างธรรมดา จิตใจของเด็กชายนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและมุ่งร้าย ดังนั้นการโน้มน้าวธรรมดาที่เฉินเกอใช้กับผีอื่น ๆ คงไม่ได้ผล ดังนั้น เฉินเกอจึงเปลี่ยนมุมมองและตัดสินใจที่จะพูดออกไปตามตรงมากกว่า– บอกความจริงแก่เด็กชาย

“ฉันจะไม่บังคับให้เธอต้องเลือก แต่ฉันหวังว่าเธอจะลองคิดอย่างจริงจังถึงสถานการณ์ตอนนี้ของเธอกับแม่ของเธอ” ในน้ำเสียงของเฉินเกอนั้นมีความเจ็บปวด และเขาก็ยังเน้นย้ำถึงความเจ็บปวดของพวกเขาทั้งคู่ “ฉันเชื่อว่าเธอก็ไม่อยากตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างที่สุดเช่นนั้นอีกครั้งใช่ไหม?”

“เป็นไปไม่ได้ เธอจะตายถ้าเธอออกจากอุโมงค์นี้ พวกเราจะตายกันทั้งหมด” รยางค์หนึ่งกรีดปาดศพที่แขวนอยู่บนเพดานไป วิญญาณหลงผิดที่เจ็บปวดร้องโหยหวนแต่ว่าวิญญาณของพวกเขาก็ยังคงถูกรัดพันเอาไว้ในใยแมงมุม– พวกเขาหนีไม่ได้ เด็กชายนั้นน่ากลัวได้หากเขาต้องการ

“แทนที่จะรอความตาย ฉันยังคิดว่ามันจะดีกว่าที่จะกุมชะตาของตัวเองเอาไว้ในมือ” เฉินเกอเดินผ่านเด็กชายไปหาผู้หญิง “ลูกของคุณต้องการปกป้องคุณ และคุณก็ต้องการปกป้องลูกของคุณ ไม่มีใครในพวกคุณสามารถทนรับความเจ็บปวดจากการสูญเสียได้อีกครั้ง ผมเข้าใจเรื่องนั้น ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร ผมก็จะยอมรับมัน”

ศพที่ห้อยอยู่แกว่งไกวไปมาขณะที่พวกเขากรีดร้องอย่างเจ็บปวด มันดำเนินอยู่หลายนาทีจนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้เฉินเกอและเดินไปหาลูกของเธอ

เหมือนแม่ที่รักลูกคนหนึ่ง เธอเอื้อมมือออกไปกอดศีรษะของเด็กชายไว้ ดวงตาของเด็กชายที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังจู่ ๆ ก็อ่อนโยนลงและรยางค์ใหญ่โตของเขาก็หดเข้าหากัน เลือดเริ่มหยุดไหลออกจากรอยแผลน่ากลัวบนร่างแมงมุม

เธอกระซิบบางอย่างเข้าไปในหูของเด็กชายก่อนที่จะปล่อยมือแล้วเดินออกจากอุโมงค์

เฉินเกอไม่ได้อยากรู้เพราะเขาบอกแล้วว่าเขาจะยอมรับการตัดสินใจของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สีหน้าของเฉินเกอในที่สุดก็อ่อนลงหลังจากตามผู้หญิงคนนั้นไปทัน

ฉากระดับสามดาวน่าจะสำเร็จหลังจากนำแม่ของปิศาจที่แข็งแกร่งที่สุดไปกับฉัน แต่อัตราความสำเร็จน่าจะต่ำมาก ฉันอาจจะกลับมาอีกทีถ้ามีโอกาสเพื่อให้แม่และลูกได้พบกันอีกครั้ง สำหรับตอนนี้ ฉันต้องตั้งใจจัดการกับเงานั่นก่อน

ประตูติดอยู่ในร่าง

“คุณมองอะไรน่ะ?” รยางค์หนาขยับชี้มาทางเฉินเกอแล้วหยุดตรงหน้าเขา เด็กชายดูเหมือนจะไม่ชอบที่ถูกมองเหมือนเป็นอะไรสักอย่างที่น่าอัศจรรย์

“ฉันขอโทษที ฉันเสียมารยาทแล้ว” เฉินเกอดึงสายตากลับจากส่วนที่เป็นท้องของเด็กชายที่เชื่อมกับร่างกายของแมงมุม ต่อให้ ‘ประตู’ ของอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นอยู่บนร่างของเด็กชายจริง เขาก็คงไม่บอกเฉินเกอหรอก ต่อให้จ้องมองไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้น เฉินเกอจึงจบหัวข้อนี้อย่างรวดเร็ว “ถ้าเธอไม่อยากพูดเรื่องนั้น งั้นพวกเราก็พูดเรื่องอื่นกัน”

จู่ ๆ เฉินเกอก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “นี่เป็นคำถามสุดท้ายของฉันและมันก็เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของพวกเราทั้งหมด ดังนั้นฉันหวังว่าเธอจะไม่ปิดบังอะไรจากฉันเกี่ยวกับคำถามนี้”

“ว่าไปสิ” เด็กชายดึงรยางค์น่ากลัวของตัวเองกลับ

“ตอนเที่ยงคืนเมื่อหลายวันก่อน เธอเห็นเงาหนึ่งเข้ามาในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวไหม?”

การพูดถึงเงานั่นทำให้สีหน้าของเด็กชายเปลี่ยนไปทันที “คุณมาที่นี่เพราะเขาเหรอ?”

“ดูเหมือนเธอจะรู้บางอย่าง” เฉินเกอตื่นเต้น ในที่สุดเขาก็มีใครบางคนที่บอกเขาเกี่ยวกับเงานั่นได้ อุณหภูมิในอุโมงค์จู่ ๆ ก็ลดลง และสายลมเย็น ๆ ก็พัดออกมาจากส่วนที่ลึกเข้าไปในอุโมงค์ ทั้งเด็กชายและแม่ของเขาต่างก็ไม่พูด พวกเขาเงียบไปนาน จนกระทั่งเด็กชายกระโดดลงมาจากผนัง รยางค์แข็งแรงของเขาพยุงร่างใหญ่โตของเขาเอาไว้ เด็กชายมองลงมาที่เฉินเกอ

สัตว์ประหลาดตัวนี้ตัวใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ และพอเขายืนอย่างนี้ ก็ทำให้เฉินเกอกดดันมาก

“กลับบ้านไปซะ ยิ่งคุณรู้เยอะ คุณก็ยิ่งจมลงไปในห้วงความสิ้นหวัง” ตอนที่เด็กชายพูดอย่างนั้น เสียงของเขาก็สั่นเล็กน้อย

“เธอกลัวเหรอ?”

“ไม่ได้กลัว!” จู่ ๆ เด็กชายก็สูญเสียการควบคุมอารมณ์และเขาก็ยกรยางค์หน้าขึ้นปัดไปที่หน้าอกของเฉินเกอ ใบหน้ามนุษย์บนรยางค์นั่นกรีดร้องโหยหวนแต่ก็หยุดลงในวินาทีสุดท้าย

“พวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน ดังนั้นฉันสามารถช่วยเธอได้ไม่ว่าเธอจะต้องการให้ฉันทำอะไร” เฉินเกอมองรยางค์ที่ตรงหน้าเขาและลดแขนลงช้า ๆ ถ้าเด็กชายต้องการทำร้ายเขา เขาก็คงปลิวไปแล้ว

หลังจากนั้นเป็นนาน เด็กชายก็ถอยจากเฉินเกอช้า ๆ แล้วลดตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกับเฉินเกอ “ผู้ชายคนนั้นบ้าไปแล้ว นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่ถ้ำมังกรขาว”

“เขาเคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้? หลายปีก่อนใช่ไหม?” เฉินเกอคิดกลับไปถึง ‘ความทรงจำ’ ประหลาดที่เขาเห็นในอุโมงค์นี้ เกี่ยวกับที่ตัวเขาสมัยเด็กถูกฆ่า

“คุณรู้ไหมว่าทำไมแม่ผมกับผมถึงดึงดันจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ไม่ยอมก้าวเท้าออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว?” ความไม่แน่ใจกวาดผ่านใบหน้าของเด็กชาย

“เป็นเพราะเงานั่น? เขาต้องการทำร้ายเธอ?”

“ใครจะรู้ล่ะ? เงานั่นมาที่นี่ทุกปี และทุกครั้ง เขาก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าครั้งก่อนหน้า ผมได้แต่ทำให้เขาถอยกลับไปทุกครั้ง” เด็กชายไม่รู้สึกถึงอันตรายอะไรจากเฉินเกอ แต่เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดจากเงาของชายคนนั้น “ผมเกลียดเงานั่น”

“ฉันเจอเงานั่นเมื่อไม่นานมานี้ และแค่อาทิตย์เดียว เขาก็แข็งแกร่งขึ้นอีก ฉันไม่รู้เลยว่าเขาทำอย่างนั้นได้ยังไง” บางทีข้อมูลที่เฉินเกอบอกอาจจะทำให้พวกเขาไม่สบายใจมากขึ้น หลังจากมองสบตากับแม่ของเขาแล้ว เด็กชายก็บอกเฉินเกอ “ผมบอกคุณทุกอย่างที่ผมรู้ก็ได้ แต่คุณต้องสัญญากับผมอย่างหนึ่ง”

“ไม่มีปัญหา” เฉินเกอให้สัญญาโดยไม่ถามว่าสัญญานั่นคืออะไร นิสัยง่าย ๆ ของเขาทำให้เด็กชายรู้สึกไม่ดี

“ผมต้องการให้คุณคล้องใยแมงมุมนี่เอาไว้รอบคอคุณ” รยางค์หนึ่งจากร่างแมงมุมยื่นออกมาแล้วช่องว่างหนึ่งก็ค่อย ๆ เปิดตรงที่ลำตัวของเด็กชายติดอยู่กับร่างแมงมุม กลิ่นเลือดรุนแรงลอยเต็มอากาศ และเลือดก็หยดลงมาจากร่างของเขา เมื่อช่องว่างใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของเด็กชายก็เปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้น เขายื่นมือไปที่ช่องว่างนั้น และมันก็ดูเหมือนเขากำลังเอื้อมมือเข้าไปในท้องของตัวเอง

“บอกตัวเลือกของคุณมา” เด็กชายดึงมือของเขาเพื่อดึงเอาใยแมงมุมสีแดงหลายเส้นออกจากช่องว่างนั่น พวกมันพันเข้าหากันและเมื่อเด็กชายดึงมัน มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นห่วงสีแดงเส้นบาง

ไม่มีความกลัวอยู่ในดวงตาของเฉินเกอขณะที่เขามองไปยังใยแมงมุมชุ่มเลือด คำตอบของเขายังเหมือนเดิม “ไม่มีปัญหา”

เฉินเกอก้าวเท้าเข้าไปที่ด้านข้างเด็กชายอย่างไม่ลังเล

ความเฉยเมยของเขาทำให้เด็กชายเริ่มสงสัย เขามองเฉินเกออย่างละเอียด และครู่หนึ่ง เขาก็คิดว่าชายหนุ่มที่ดูใจดีตรงหน้าเขานี้คงซ่อนปิศาจที่เต็มไปด้วยความอยากทำลายล้างเอาไว้ลึกในใจตัวเอง

เข้าไปใกล้ ๆ เด็กชายแล้วในที่สุดเฉินเกอก็มีโอกาสได้มองช่องว่างบนร่างของเด็กชาย

เลือดสด ใยแมงมุมที่ดูเหมือนหลอดเลือด กลิ่นเลือดรุนแรง– ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เข้ากันได้กับการเป็น ‘ประตูสีเลือด’

เฉินเกอรับใยแมงมุมเอาไว้ด้วยสองมือ เขายิ้มให้เด็กชาย เขาเรียกชื่อจางหยาอยู่ข้างใน ต้องการให้จางหยาดูว่าใยแมงมุมนี้จะเป็นอันตรายต่อเขาหรือไม่ แต่ว่าจางหยาไม่ตอบ

ใยแมงมุมเข้าใกล้คอของเฉินเกอช้า ๆ มันสายเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว ในตอนนี้ใยแมงมุมกำลังจะพันรอบคอของเขานั้น ผู้หญิงในอุโมงค์ก็ก้าวเข้ามาแล้วผลักใยแมงมุมนั่นไปทางอื่น บางทีเฉินเกอคงจะมอบความประทับใจดี ๆ ให้เธอตอนครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบกัน ดังนั้นครั้งนี้ เธอจึงช่วยเขา

“คุณไม่กลัวจริง ๆ น่ะเหรอ?” ความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นของเด็กชาย จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ “ตามผมมา ผมรู้เรื่องเงานั่นหลายอย่าง บางทีพวกเราอาจจะร่วมมือกันได้ในครั้งนี้”

เฉินเกอไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เด็กชายถึงเปลี่ยนใจ เขาตามเด็กชายไป และบางอย่างก็ปัดผ่านศีรษะเขาไป เขาเงยหน้าขึ้นมอง และดวงตาของเฉินเกอก็กระตุก ที่กลางอุโมงค์ ที่บนเพดานมืด ๆ นั่นมี ‘ร่าง’ แขวนเอาไว้มากมาย

คอของพวกเขาล้วนถูกใยแมงมุมรัดพันเอาไว้ และพวกเขาก็ถูกแขวนห้อยลงมาจากเพดานเหมือนเหยื่อแขวนคอ

“ถ้าคุณพันใยแมงมุมนั่นรอบคอของคุณ ปลายทางเดียวของคุณก็คือความตาย ผมไม่รู้ว่าทำไมแม่จู่ ๆ ก็ตัดสินใจเข้ามาขวาง แต่ว่าผมเคารพการตัดสินใจของเธอ” หัวใจของเด็กชายนั้นจมอยู่ในความเกลียดชังและโกรธเกรี้ยว สิ่งเดียวที่หยุดเขาได้ในโลกนี้ก็คือแม่ของเขา

เด็กชายคลานไปตามผนัง– ‘ป่าซากศพ’ นี้เป็นที่ที่เขาอาศัยอยู่ตามปกติ “ผมเจอเงานั่นเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้น เขายังไม่ทรงพลังเหมือนที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ เขาเป็นแค่เด็กที่อายุมากกว่าผมแค่เล็กน้อยเท่านั้น

“ผมไม่รู้ว่าเขามาจากที่ไหนหรือว่าถือกำเนิดขึ้นจากอะไร ผมรู้แค่ว่าเขากำลังมองหาเด็กมากมาย และถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาต้องเอาเด็กเหล่านั้นไปป้อนให้กับบางอย่างที่เรียกว่า ผีทารก

“เขาบอกผมว่าเขาต้องการสร้างประตูที่เมืองหลี่ว่าน ตอนแรก ผมไม่รู้เลยว่าเขาหมายถึงอะไร แต่หลังจากนั้น ผมเข้าใจแล้วว่าประตูที่เขาพูดถึงคือสิ่งนี้”

เด็กชายขยับร่าง เลือดสาดกระจายออกมา ช่องโพรงใหญ่เปิดออกระหว่างร่างแมงมุมและลำตัวของร่างมนุษย์ของเขา ความกดดันที่แทบจะมองเห็นได้ด้วยตา “ผมมีประตูที่บิดเบี้ยว และประตูนั่นก็ติดอยู่ในตัวผม มันเป็นสิ่งที่ผมเปิดออกทีละนิดตอนที่ไฟเริ่มลุกลาม”

 

ช่างทอฝัน?

ผู้หญิงคนนั้นโบกให้คนขับหยุดรถเพื่อหาคนมาช่วยลูกของเธอ ถ้าคนขับรถหยุดเพื่อช่วยเธอ เธอก็จะเข้าไปในรถแล้วตามพวกเขาไปจนกระทั่งพวกเขาไปถึงจุดที่ลูกชายของเธอตาย ขณะที่คนที่ไม่หยุดรถและจากไปทั้งอย่างนั้น เธอก็จะทิ้งบางอย่างที่พิเศษเอาไว้ในรถของพวกเขา เทียบกับเด็กชายที่เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว เธอยังนับว่ามีเมตตา

ด้วยร่างกายของเขาที่ติดอยู่ และดวงตาของเขามองเห็นความตายที่คืบคลานเข้ามาช้า ๆ ร่างกายเล็ก ๆ นั้นถูกไฟกลืนกินไปทีละน้อย และความเจ็บปวดที่ติดตรึงอยู่ในใจของเขา มันเป็นสิ่งที่เขาลืมไม่ลง ดวงตากระจ่างของเขานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังและคั่งแค้น เปลวไฟเต้นยิบอยู่บนผิวของเขา ลามไปทั่วทุกตารางนิ้วบนร่างของเขา ค่อย ๆ เปลี่ยนเขาไปเป็นสิ่งอื่นอย่างช้า ๆ

ความเกลียดชังทำให้เขามืดบอด ทำให้เขาทำลายทุกอย่างที่มองเห็น ใช้ร่างกายของคนพวกนั้นเติมเต็มความหวาดหวั่นระแวงของเขา หากคนที่เข้ามาในอุโมงค์พบเจอกับผู้หญิงคนนี้ ถ้าพวกเขามีเมตตาพอ อย่างมากก็เพียงแค่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ รถอาจจะพังเสียหาย แต่ส่วนมากแล้วพวกเขาก็หนีออกมาได้โดยยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่า หากเจอเข้ากับเด็กชาย ปลายทางเดียวก็คือความตาย

วิญญาณร้ายที่สุดแล้วก็คือวิญญาณร้าย ความแค้นถักทอเป็นม่านบดบังตาพวกเขา ปิดกั้นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกเขา และกลายมาเป็นเหตุผลในการดำรงอยู่ของพวกเขา เฉินเกอฟังเรื่องราวของผู้หญิงและลูกของเธออย่างมีน้ำอดน้ำทน นี่เป็นโศกนาฏกรรมหนึ่งอย่างปฏิเสธไม่ได้ ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นสีเทา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างคนบาปและนักบุญ ในฐานะคนผ่านมาคนหนึ่ง เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรับฟังเท่านั้น

เมื่อไม่มีใครหยุดเพื่อช่วยและลูกชายของเธอก็ติดอยู่ในรถ คนเป็นแม่ก็เลือกที่จะกลับมาอยู่กับลูกของเธอ รอคอยความตาย จากมุมมองของเฉินเกอ เด็กคนนี้เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง– ความแค้นของเขานั้นเหนือกว่าแม่ของเขามากนักเพราะความละอายและโทษตัวเอง บางทีเขาอาจจะคิดอยู่โดยไม่รู้ตัวว่าเป็นเขาที่ทำให้แม่ของเขาต้องตาย แม่ของเขาคงจะไม่ตายหากไม่เพราะเขา เขาต้องการวิธีการระบายอารมณ์เช่นนี้ออกไป และนั่นก็เปลี่ยนเขาให้ตกลงไปในนรกลึกขึ้น

มีเงาร่างใหญ่โตของแมงมุมปีนป่ายอยู่ด้านบน มันก็คงเป็นการโกหกแล้วหากจะบอกว่าเฉินเกอไม่รู้สึกเศร้า แต่ว่า หลังจากเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว อย่างน้อยที่สุด เขาก็สามารถเข้าใจผู้หญิงที่ในอุโมงค์และลูกชายของเธอที่เปลี่ยนไปเป็นแมงมุมยักษ์ได้ดีขึ้น

“งั้น พวกคุณก็ทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดอย่างนี้นี่เอง” น้ำเสียงของเฉินเกอนั้นราบเรียบ ไม่มีร่องรอยของความสงสาร– อย่างมากที่สุดก็เป็นความเศร้าเล็กน้อยเท่านั้น

“เจ็บปวด? ผมคงพูดอย่างนั้นไม่ได้ ตอนแรก มันอาจจะเป็นความรู้สึกที่ไม่สบายนัก แต่ในที่สุดแล้ว ผมก็ตกหลุมรักความรู้สึกอย่างนั้น ทุกเส้นประสาทถูกมีดลับจนคม เห็นเลือดไหลพรูออกมาจากรอยมีดมากมาย จากนั้นก็แบ่งปันความสุขนี้กับคนมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมชอบสีหน้าของพวกเขาเพราะว่าผมรู้ว่าพวกเขาก็ชื่นชอบผมเหมือนกัน” ร่างกายท่อนบนของเด็กชายเติบโตอยู่บนร่างใหญ่มหึมาของแมงมุม และเขาก็มีรอยยิ้ม ‘ไร้เดียงสา’ อยู่บนหน้า

“ฉันเข้าใจ และอันที่จริง ฉันก็ชื่นชมเธอนะ” สีหน้าของเฉินเกอเปลี่ยนกลับมาเป็นปกติ และร่องรอยของความไม่สบายใจบนใบหน้าของเขาก็หายไป ในด้านการใจเย็นอยู่ได้ในขณะเผชิญหน้ากับเรื่องกดดันขนาดนี้ ในจิ่วเจียงไม่มีใครเก่งกาจไปกว่าเฉินเกอแล้ว

“คุณชื่นชมผม? ขอโทษทีนะ แต่ว่านั่นมีแต่จะทำให้หนังหัวผมชาหนึบ ดังนั้นได้โปรดระวังคำพูดและการกระทำของคุณด้วย อย่าเข้ามาใกล้ผมเกินไป คุณทำให้ผมรู้สึกไม่ดี” เด็กชายปฏิเสธความตั้งใจดีของเฉินเกอ เขาต้องการกลับออกไปแล้ว “กลับไปที่ที่คุณมา แม่ของผมจะอยู่กับผมเท่านั้น และเธอก็จะไม่ไปไหน”

สัตว์ประหลาดพูดด้วยอารมณ์ร้ายกาจของเด็ก ขัดกับร่างกายน่ากลัวของเขา มันช่างเป็นประสบการณ์อันประหลาดจริง ๆ

“ในเมื่อเธอยืนยันจะให้แม่ของเธออยู่กับเธอ ฉันก็คงไม่บีบบังคับอะไรหรอก แต่เพราะอย่างนั้น เธอช่วยฉันตอบคำถามง่าย ๆ สักสองสามข้อได้ไหม?” เฉินเกอพูดต่อโดยไม่รอคำตอบรับ “ทำไมจู่ ๆ ถึงมีทางแยกอยู่ในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวล่ะ? อุโมงค์ที่ฉันเห็นตอนลืมตากับอุโมงค์ที่ฉันสัมผัสได้ตอนที่หลับตามันต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำไมเป็นอย่างนั้น? หลังจากหลับตา ฉันได้ยินเสียงคน เสียงแตรรถ และมือของฉันยังจับเจอโครงรถได้ แต่ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงได้หายไปหลังจากฉันลืมตา?”

“คุณมีคำถามเยอะแยะเลยนะ” เด็กชายหมดความอดทน รยางค์หนา ๆ ของเขาเริ่มคืบคลานไปบนผนัง แต่ละการเคลื่อนไหวเกิดเสียงแสกสาก

“ฉันก็แค่อยากรู้”

“ที่นี่มีอุโมงค์สายเดียว ก่อนหน้านี้ ผมดึงคุณเข้าไปในความฝันของผม”

คำตอบของเด็กชายทำให้เฉินเกอประหลาดใจ “ความฝันของเธอ?”

“มันอธิบายยาก ไม่มีใครเคยถามผมอย่างนี้มาก่อน ดังนั้นสำหรับตอนนี้ ก็ใช้คำว่าความฝันมาอธิบายมันแล้วกัน มันเป็นคำที่ใกล้เคียงกับความจริงที่สุดแล้ว” เด็กชายมองมายังเฉินเกอและเขาก็ดูรำคาญ ถ้าไม่เพราะว่าเฉินเกอทำทุกอย่างได้ถูกต้องในการทดสอบของเขา เขาก็คงไล่เฉินเกอไปแล้ว

“ความฝันนั้นอยู่แต่ในใจของแต่ละคน และร่างกายยังอยู่แต่สิ่งที่ฉันเจอก่อนหน้านี้มันต่างไปจากความฝันโดยสิ้นเชิง ฉันไม่เห็น แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจริง นิ้วของฉันสัมผัสมันได้ และหูของฉันก็ยังได้ยิน” เฉินเกอไม่เชื่อว่าเด็กชายจะสามารถถักทอความฝันได้ และยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถดึงคนเข้าไปในความฝันที่ถักทอขึ้นนั้น

“ทำไมคุณถึงมีคำถามมากมายไม่จบไม่สิ้น?” จิตสังหารของเด็กชายเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเห็นว่าเฉินเกอดื้อดึงเพียงไหน แต่เขาก็สามารถข่มมันเอาไว้ได้ “ผมบอกคุณแล้วไง ความฝันนั้นเป็นเพียงแค่ตั้งชื่อให้ ถ้าคุณต้องการ คุณก็สามารถมองว่ามันเป็นพลังในรูปแบบหนึ่งก็ได้ ตราบใดที่พวกเราอยู่ในอุโมงค์นี้ ผมก็สามารถลากทุกอย่างเข้ามาในความฝันของผมได้”

“มันจำกัดด้วยสถานที่ด้วยเหรอ? พลังนี่สามารถใช้ได้แค่ในอุโมงค์นี้เหรอ?” เฉินเกอพูดจุดอ่อนของเด็กชายออกมาต่อหน้า เขาเริ่มก้มหน้าลงคิดไม่สนใจสีหน้าของเด็กชายซึ่งเปลี่ยนเป็นสีเทา

เด็กชายนั้นต่างไปจากวิญญาณสีเลือดทั่วไป เทียบกับวิญญาณสีเลือดแล้ว เขาเหมือนสัตว์ประหลาดมากกว่า ความแตกต่างระหว่างร่างกายท่อนบนและท่อนล่างของเขานั้นดึงดูดความสนใจของเฉินเกอ เมื่อคิดกลับไปถึงก่อนหน้านี้ โลกที่เขาได้สัมผัส เด็กชายที่ติดอยู่ในรถโดยมีร่างกายท่อนบนโผล่ออกมาด้านนอกและท่อนล่างติดอยู่ด้านใน หลังจากเขาเปลี่ยนไปเป็นผีแล้ว ร่างกายท่อนบนของเขาก็ยังคงอยู่ แต่ว่าท่อนล่างนั้นหายไป

ร่างกายท่อนล่างของเขาหายไปไหน? เฉินเกอชะงัก และจากนั้นจู่ ๆ เขาก็นึกถึงบางอย่าง ในฉากระดับสามดาวทุกฉากที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้ จะมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน– มีประตู! แล้ว ในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนี่ ประตูอยู่ที่ไหน?

นี่เป็นอุโมงค์สายหนึ่ง และผู้สร้างก็คงไม่ได้สร้างประตูเอาไว้ที่กลางถนนโดยไม่มีเหตุผลใช่ไหม?

มีแค่เมื่อคนผู้หนึ่งจมอยู่กับความสิ้นหวังอย่างที่สุดพวกเขาจึงจะสามารถเปิด ‘ประตู’ ได้ เด็กชายใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของตนเองติดอยู่กับหน้าต่างรถ ร่างของเขาถูกหน้าต่างที่ผิดรูปบดขยี้

ดวงตาเฉินเกอเป็นประกายวาบขึ้น ‘ประตู’ ในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวน่าจะเป็นประตูรถแล้ว!

แต่นั่นก็นำไปซึ่งปัญหาอื่นอีก รถที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้นั้นถูกตำรวจนำไปนานแล้ว ดังนั้น ‘ประตู’ ที่ในอุโมงค์จะยังอยู่ได้อย่างไร?

ด้วยสายตาสงสัย เฉินเกอหันไปมองร่างกายที่ไม่เป็นสัดส่วนกันอย่างไม่น่าเชื่อของเด็กชาย

เป็นไปได้ไหมว่าประตูเติบโตอยู่บนร่างของเขา?

เฉินเกอนั้นตกใจกับความคิดนี้ที่ปรากฏขึ้นในใจเขา ถ้าเป็นอย่างนั้น อย่างนั้นวิญญาณสีเลือดที่ตรงหน้าเขานั้นก็เป็นสิ่งที่พิเศษเหนือธรรมดา

ประตูสีเลือดที่เคลื่อนที่ได้…..

ถูกเฉินเกอจับจ้อง คิ้วเล็ก ๆ ของเด็กชายก็ขมวดเข้าหากัน เพราะอะไรไม่รู้ เขารู้สึกว่าในดวงตาของเฉินเกอนั้น เขาไม่ใช่สัตว์ประหลาดน่ากลัวแต่ว่าเป็นงานศิลปะหายากชิ้นหนึ่ง

 

 

ผู้หญิงในอุโมงค์และเงาแมงมุม (1+2+3)

เฉินเกอนั้นเตรียมใจเอาไว้แล้วและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่ลืมตาขึ้น ร่างกายของเขาถูกความมืดกลืนกิน และเสียงที่รอบ ๆ หูเขาก็หายไป มันเหมือนว่าเขากำลังเดินช้า ๆ อยู่คนเดียวลึกลงไปในมหาสมุทร แยกออกจากโลกที่คุ้นเคย ด้วยความกลัวในอนาคตที่ไม่รู้ และยังมีความคาดหวังถึงปลายทางสุดท้ายที่แบกเอาไว้ ความรู้สึกมากมายก่อตัวขึ้นในใจ เหมือนหนวดของหมึกยักษ์โอบรัดตัวมันเองเอาไว้รอบ ๆ หัวใจสั่นไหวของเขา

“ฉันเคยรู้สึกถึงการถูกแยกออกอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ในชีวิตจริง คราวนี้ ฉันต้องมองเห็นปลายทางของมันให้ได้” เฉินเกอพึมพำกับตัวเอง ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่ามีใครหรืออะไรกำลังฟังอยู่แต่เพราะเขาพยายามให้กำลังใจตัวเองอยู่

หลังจากนั้นอีกสิบเมตร เฉินเกอก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าภายใต้ปลายนิ้วของเขา ในการเดินรอบนี้ ในที่สุดทางแยกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปในทางแยกอย่างไม่ลังเล

อุณหภูมิรอบตัวเขาลดลง เฉินเกอไม่รู้ว่าเขาตัดสินใจถูกหรือไม่– เขาไม่เคยถูกเรียกได้ว่าเป็นคนที่ฉลาดเป็นพิเศษ ที่เขาสามารถอยู่รอดมาไกลถึงเพียงนี้ก็เพราะความสามารถในการสังเกตอันเหนือธรรมดาของเขา บุคลิกที่แน่วแน่ และความกล้าที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเล็กเท่านั้น

แตะถูกผนังที่เปียกและลื่น เฉินเกอก็ทำใจให้ว่างเปล่า ไม่ปล่อยให้มันยึดติดอยู่กับสิ่งใด เสียงเดียวที่ก้องอยู่ในหูของเขาก็คือเสียงฝีเท้าของตัวเอง ช้าแต่ว่ามั่นคง เสียงที่เดิมดังเป็นจังหวะถูกขัด มีบางคนหรือบางอย่างกำลังตามหลังเฉินเกออยู่

อย่าหันกลับไปมอง อย่ากระทั่งคิดถึงมัน

ไม่เห็นหมายถึงไม่มี และไม่คิดก็คือไม่มีอยู่ เฉินเกอย้ำคำนี้ในใจ และนั่นยังเป็นวิธีการดึงความสนใจของตัวเองด้วย

เสียงฝีเท้ามากมายเริ่มปรากฏขึ้นในอุโมงค์เงียบ ๆ เหมือนที่วิ่งผ่านอุโมงค์นี้ไปนั้นมีมากกว่าแค่เฉินเกอ เสียงฝีเท้าเดิมทีมาจากด้านหลังของเฉินเกอ แต่ไม่ช้า นอกจากด้านข้างที่เป็นผนังแล้ว ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทุกที่

หัวใจของเฉินเกอคันคะเยอเหมือนถูกแมวเกา เขาอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขาก็ยังควบคุมตัวเองได้มากพอที่จะไม่ปลดผ้าปิดตาบนใบหน้าออก หลังจากผ่านอะไรมามากมาย เฉินเกอก็มีความสามารถในการปรับตัวสูงมาก ไม่ช้าเขาก็สามารถควบคุมตัวเองได้และคุ้นเคยกับเสียงก้องของฝีเท้ารอบตัวอย่างช้า ๆ เขาให้กำลังใจตัวเองอยู่เงียบ ๆ หลอกตัวเองด้วยความเชื่อว่าเสียงฝีเท้าที่อยู่รอบตัวเขานั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้ายเขา อย่างน้อยที่สุด จากที่เขาเคยเจอมา มันก็แค่พวกเขาบังเอิญมาอยู่บนเส้นทางเดียวกับที่เฉินเกอกำลังเดินอยู่เท่านั้น

ฉันอยู่บนเส้นทางที่มีเพียงผีใช้งานเหรอ?

หลังจากอีกหลาย ๆ วินาที เฉินเกอก็พบปัญหาอื่น นอกจากเสียงฝีเท้า มีเสียงใหม่ มันฟังเหมือนเสียงล้อรถบดทับไปบนสิ่งของบนถนน

มีรถผ่านไป?

ตอนนี้ น่าจะมีรถยนต์อยู่แค่คันเดียวในอุโมงค์ และนั่นก็คือรถแท็กซี่ที่คนขับแท็กซี่ขับเข้ามา

ใครสตาร์ทรถนั่น? เป็นไปได้ไหมว่าคนขับรถหาทางกลับมาที่รถของตัวเองได้? หรือว่าอันที่จริงเขาเป็นมากกว่าแค่คนขับแท็กซี่ธรรมดา?

คนขับที่พาเฉินเกอมาที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นเป็นแค่คนที่เขาบังเอิญพบที่บนถนน ความน่าจะเป็นที่เขาจะเกี่ยวข้องกับอุโมงค์นั้นเป็นการคิดมากเกินไปสักหน่อย ความน่าจะเป็นนั้นน้อยมากจนไม่ต้องสนใจก็ได้

มันไม่น่าใช่คนขับคนนั้น หมายความว่ามีสิ่งอื่นกำลังขับรถอยู่อย่างนั้นเหรอ?

เฉินเกอที่กำลังคิดตรึกตรองนั้นอยู่ตอนนี้มีบางอย่างที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าเกิดขึ้น เขาได้ยินเสียงครางของเครื่องยนต์ดังเข้ามาในหูทั้งสองข้างของเขา มากกว่าแค่คันเดียว มีรถมากกว่าหนึ่งคันแล่นผ่านเขาไป

เกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย?

เมื่อถูกปิดตาเอาไว้ เฉินเกอก็ไม่รู้แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น– เขาทำได้แค่คิดภาพตามสิ่งที่เขาได้ยิน เสียงฝีเท้ารอบ ๆ ตัวเขาเร่งร้อนขึ้น และพวกมันก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน

มีบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าบีบบังคับให้พวกเขาต้องวิ่งหนี? หรือว่าสิ่งนั้นที่ดึงดูดพวกเขาในที่สุดก็ปรากฏตัวออกมา? 

เฉินเกอนั้นไม่แน่ใจว่าเขาควรจะตามคนเหล่านั้นไปหรือไม่ เมื่อถูกปิดตาอยู่ มันก็ยากที่จะตัดสินใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจรักษาความเร็วในตอนนี้ของตัวเองเอาไว้ เขาตื่นตัวและระมัดระวังในทุกก้าวและใช้ประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ค่อย ๆ แยกแยะ ‘โลก’ ใหม่นี้

ความลื่นบนผนังหายไปแล้ว และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือผิวแข็ง ๆ เย็น ๆ มันเหมือนจะเรียบลื่นขึ้นเมื่อสัมผัส เหมือนถูกขัดด้วยกระดาษทรายมาก่อน

เฉินเกอนั้นอยากจะปลดผ้าปิดตาออกเพื่อยืนยันข้อสงสัยของตัวเองจะแย่อยู่แล้ว ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในทางแยก โลกก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ทางแยกนี่นำเขาไปสู่อีกโลกที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

เขาเดินต่อไปข้างหน้า และอุโมงค์ก็ดูเหมือนจะพลุกพล่านกว่าที่เคย เขาแทบจะฟังออกว่าคนอื่น ๆ กำลังพูดเรื่องอะไรกัน และยิ่งเดินไปข้างหน้าต่อ เสียงนั่นก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่น่าแปลก ถึงเสียงนั้นจะดังและแหลมสูงแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้นได้ เขาทำได้เพียงจับอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเหล่านั้น– ความกระวนกระวาย ความโกรธ และความกลัวที่แฝงอยู่

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในอุโมงค์ สถานการณ์ที่ด้านนอกนั่นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เสียงฝีเท้า เสียงกรีดร้อง เสียงแตรรถ เสียงล้อรถบดผ่าน และเสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม– มันเหมือนอุโมงค์นี้ยังถูกใช้งานอยู่

ถ้าอุโมงค์ยังไม่ถูกปิด มันก็คงจะมีชีวิตชีวาเช่นนี้แหละ ฉันคิดว่าอย่างนั้น…

เฉินเกอนั้นไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจได้ ทุกอย่างที่เขาได้เจอน่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าของอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวตัวจริง และมันน่าจะกำลังชักนำเขาไปที่นั่นอย่างมีจุดประสงค์

เสียงเอะอะรอบตัวเฉินเกอนั้นดังขึ้น ยิ่งมีเสียงต่าง ๆ เข้ามาในใจเฉินเกอมากขึ้น มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้ยินเสียงตัวเอง สิ่งเดียวที่เขาบอกได้ก็คือเสียงฝีเท้ายังคงเคลื่อนไหวไปยังทิศทางหนึ่ง และหลังจากที่เขาให้ความสนใจมากขึ้น เขาก็พบว่ารถทั้งหมดก็กำลังไปทางนั้นเช่นกัน

ทำไมพวกเขาถึงได้มุ่งหน้าไปทางนั้นกัน?

คำถามนั้นติดอยู่ในใจเขา ขณะที่เฉินเกอกำลังค้นหาคำตอบ อีกเสียงหนึ่งที่แตกต่างออกไปก็ดังเข้ามาในหูซ้ายของเขา เสียงนั่นต่างไปจากเสียงส่วนใหญ่ เฉินเกอถึงกับบอกได้ว่ามันเป็นเสียงของเด็กคนหนึ่ง มันชัดเจนแต่ขาด ๆ หาย ๆ และมันยังเหมือนกับเด็กคนนั้นได้รับบาดเจ็บอยู่

เฉินเกอเดินตาม ‘ฝูงชน’ ไปอีกหลายก้าวและเสียงเด็กก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“ไม่ เดี๋ยวก่อน…” คราวนี้ เฉินเกอหยุด เขาพบว่ามีบางอย่างประหลาด เสียงเด็กนั้นมาจากด้านหลังเขาทางซ้าย ขณะที่ ‘คน’ ทั้งหมดและรถนั้นมุ่งไปข้างหน้า เจ้าของเสียงกลับยังอยู่กับที่ ไม่ได้ขยับไปไหน

คนอื่น ๆ อาจจะไม่ได้สังเกตรายละเอียดเล็กน้อยเท่านี้ แต่เฉินเกอนั้นต่างออกไป เพื่อทำลายปริศนานี้ เขาตั้งใจกับทุกรายละเอียด จับสังเกตทุกอย่างที่รอบตัว เขาไม่กล้าพูดเพราะเกรงว่าจะเผยความจริงที่ว่าเขาต่างจาก ‘คน’ รอบ ๆ ตัวเขาออกไป

“ช่วยผมด้วย ช่วยด้วย ช่วยแม่ผมด้วย…” หลายวินาทีให้หลัง เสียงนั่นกลับมาอีก และมันมาจากจุดเดิมก่อนหน้านี้

นี่แปลก ฉันได้ยินเสียงดังมากมาย แต่เพราะอะไรไม่รู้ ฉันกลับได้ยินเสียงเบา ๆ นี้ชัดเจนที่สุด

เขามองเห็นความสิ้นหวังในเสียงของคนผู้นั้น และความรู้สึกนั้นก็ยากจะอธิบาย มันทำให้ฟางหยวนรู้สึกเหมือนเสียงนั่นเข้าไปดังอยู่ในใจเขา

เขาหันกลับทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายเช่นใดมาจากด้านหลังของตัวเอง เฉินเกอขยับไปทางที่มาของเสียงนั่นตามสัญชาตญาณ เขาก้าวเท้าออกไปทีละนิดเหมือนคนตาบอด เขาค่อย ๆ คลำทางไปอย่างช้า ๆ

ตอนที่เขาเข้าไปใกล้เสียงนั่น จู่ ๆ ก็มีคนแตะมือลงที่บ่าของเขา และจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องร้อนรน เสียงนั่นดัง และมันก็บอกให้เขาเร่งฝีเท้าขึ้น ถ้าเขายังอยู่ เขาจะเป็นอันตรายถึงชีวิต

นี่น่าจะเป็นวิญญาณที่เข้ามาในอุโมงค์พร้อมกับฉัน พวกเขากำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ดังนั้นสิ่งที่ไล่ตามพวกเขามาน่าจะเป็นเจ้าของอุโมงค์นี้!

วิธีการคิดของเฉินเกอนั้นต่างไปจาก ‘คน’ ที่ในอุโมงค์ เขารู้ชัดเจนถึงตัวตนของตัวเอง เขาเป็นเหยื่อ กำลังรอคอยให้เจ้าของอุโมงค์นี้ปรากฏตัวออกมา

มันเป็นการลงมือที่เสี่ยงมาก แต่นี่ก็เป็นวิธีการที่ตรงไปตรงมาและเรียบง่ายที่สุดในการจัดการกับเรื่องที่เฉินเกอคิดออกตอนนี้ เขามักจะใช้วิธีการที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการแก้ไขปัญหาของตัวเอง– นี่เป็นวิธีการแบบของเขา

‘คน’ ที่ในอุโมงค์ดูเหมือนจะเข้าใจการกระทำของเขาผิด และเสียงที่รอบตัวเขาก็ชัดเจนขึ้น ‘คน’ เหล่านั้นเตือนให้เขารีบไป บอกเขาว่าถ้าเขายังอยู่ตรงนี้นานไป เขาจะตายจริง ๆ!

เฉินเกอนั้นไม่สนใจการโน้มน้าวของ ‘คน’ รอบตัว และไม่ช้า หูของเขาก็ได้ยินเสียงที่ต่างออกไปอีกเสียง

มันฟังเหมือนเสียงของเหลวหยด

ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง

มันอยู่ใกล้เขามาก

เห็นเฉินเกออยากจะอยู่ตรงนี้ ‘คน’ ที่พยายามโน้มน้าวเขาก็ทิ้งเขาเอาไว้ และอุโมงค์ก็เงียบลงอีกครั้ง เสียงฝีเท้า เสียงล้อรถ และเสียงแตรรถหายไปเหมือนอุโมงค์ถูก ‘สังคมและผู้คน’ ทอดทิ้งอีกครั้ง

“ช่วยผมด้วย ช่วยผม ช่วยแม่ของผม…” ตรงที่ใกล้ ๆ กับผนังมีเสียงเด็กร้องออกมาอีกครั้ง เฉินเกอเดินเข้าไปใกล้ ๆ และนั่งลงช้า ๆ ดวงตาของเขายังคงมีผ้าปิดอยู่ และเขาก็ไม่กล้าพูด กลัวว่ามันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้และไม่มีประโยชน์

หลังจากหลายวินาที มือของเฉินเกอ ที่ไม่ได้มีอะไรปกคลุมหรือสวมถุงมือ ก็เอื้อมออกไปตรงที่มาของเสียง ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนของเหลวที่เย็น ๆ และเฉินเกอก็คุ้นเคยกับความรู้สึกนี้

เลือด

เขาคลำไปรอบ ๆ อย่างมืดบอด และในที่สุด ปลายนิ้วทั้งห้าของเขาก็เจอกับแขนผอมบางข้างหนึ่ง

“ผมติดอยู่ตรงกระจก ไปช่วยแม่ของผมก่อนนะครับ เธอติดอยู่ตรงที่นั่งคนขับ!”

เสียงเด็กดังเข้ามาในหูเฉินเกอ เขาไม่ได้ทำตามที่เด็กชายพูดในทันทีแต่กลับนึกถึงเรื่องอื่น เสียงนั่นเดิมดังมาจากทางซ้ายของเขา เฉินเกอแน่ใจเรื่องนั้นมาก ตอนนี้ร่างกายของเขาหันกลับ เสียงนั่นก็ยังคงดังมาจากทางผนัง นี่หมายความว่าเสียงนั้นไม่สมเหตุสมผลเลย

ถ้ามีอะไรติดอยู่ในรถจริง แล้วมันสามารถพูดให้ดังเข้าหูฉันที่อยู่ด้านผนังได้ยังไง? อย่างไรเสียฉันก็เดินเลียบผนังมาตลอด

น่าสนใจ ตอนที่คนขับรถหายตัวไป ครั้งหนึ่งเขาก็พูดว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ที่แก้มซ้ายของเฉินเกอ

นี่มันบังเอิญมาก คนขับรถบอกว่าสิ่งนั้นอยู่ใกล้กับแก้มซ้ายของฉัน และนั่นก็ยังเป็นตำแหน่งที่เสียงของเด็กดังมา ดังนั้น ถ้าคนขับรถไม่ได้โกหก สัตว์ประหลาดที่ทำให้เขาเขากลัวน่าจะเป็น ‘เด็ก’ ที่ฉันกำลังได้ยินเสียงอยู่ตอนนี้

เฉินเกอค่อย ๆ เข้าใจอย่างช้า ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุผลที่คนขับรถหายตัวไปก็น่าจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นตัวจริงของสัตว์ประหลาดและทำลายแผนการของสัตว์ประหลาดไป

“แม่ของผมอยู่ตรงหน้านี่แล้ว คุณช่วยเธอได้ไหม? ได้โปรด?” เสียงนั่นสิ้นหวังและยากที่จะปฏิเสธ

“ได้ ฉันจะช่วยเธอ” เฉินเกอไม่รู้ว่าสิ่งน่ากลัวเช่นใดที่มีเสียงเหมือนเด็กและไร้เดียงสาอย่างนี้ได้ เขาเลือกที่จะทำตามคำขอร้องของสิ่งนั้น ช่วยคนแม่เพราะเขาเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและสมควรต้องทำ มีเด็กคอยชี้นำ เฉินเกอก้มตัวลงและขยับไปข้างหน้าช้า ๆ

เสียงของเหลวหยดนั้นไม่หยุด กลิ่นประหลาดลอยเต็มอากาศ และยิ่งเฉินเกอขยับไปไกลเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เขามองไม่เห็นเพราะมีผ้าปิดตาอยู่ ดังนั้นเฉินเกอจึงทำได้แค่ค่อย ๆ งมทางไปอย่างช้า ๆ

ไม่ช้า มือของเขาก็เจอกับโครงรถ เขาก้มลง และมือของเขาก็แตะถูกเส้นผมของผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเพิ่มแรงจับที่ไหล่ของผู้หญิงคนนั้นและดึงเธอออกจากรถอย่างนุ่มนวล

“พาเธอไปห่าง ๆ! เร็ว! ตอนนี้เลย!” หลังจากเฉินเกอช่วยผู้หญิงคนนั้นออกมาได้ เสียงของเด็กก็เปลี่ยนเป็นสั่นพร่า ไม่เหมือนเด็กทั่วไป เด็กคนนี้ไม่ร้องไห้ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บอยู่ และน้ำเสียงของเขาก็ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างที่ไม่มีในเด็กคนอื่น ๆ ที่อายุราวเดียวกัน

เฉินเกอไม่รู้ว่าเด็กวางแผนอะไรไว้ เขาพยุงผู้หญิงคนนั้นเดินไปหลายก้าวก่อนที่จู่ ๆ จะหยุดลง

“ไปสิ! หยุดทำไม? ไป!”

เฉินเกอแบกผู้หญิงคนนั้นขึ้นหลังและหันกลับไปหาเด็กชายโดยไม่สนใจคำสั่งของเด็กคนนั้น เขามองไม่เห็น มือของเฉินเกอแตะไปทั่ว ๆ หน้าต่างรถและเข้าใจสถานการณ์ของเด็กได้คร่าว ๆ ร่างกายส่วนล่างของเขานั้นติดอยู่ในหน้าต่างรถ และกระจกที่แตกออกก็แทงทะลุเข้าไปในท้องของเขา ถ้าเฉินเกอดึงเด็กออกมาด้วยกำลัง มันต้องทำให้การบาดเจ็บนั้นย่ำแย่ลงอย่างแน่นอน เฉินเกอพยายามยกรถขึ้น แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้มีพลังเหนือมนุษย์ให้ทำอย่างนั้นได้

“แค่ทิ้งผมเอาไว้ พาเธอไป!” บางทีอาจจะเพราะความเจ็บหรือบางทีอาจจะเพราะอย่างอื่น แต่ว่าเด็กกรีดร้องสุดเสียง และในที่สุดเฉินเกอก็ได้ยินแววน้ำตาในเสียงของเขา

“ถ้าฉันทิ้งเธอเอาไว้และแม่ของเธอรอดชีวิตไป เธอก็จะอยู่อย่างรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอ” เฉินเกอไม่สามารถห้ามความต้องการพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเขาไว้ได้ ตอนที่เขาพูดอย่างนั้น รอบด้านจู่ ๆ ก็เงียบลงมาก แต่ไม่ช้า ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ

“ตัวผมติดอยู่ และผมออกไปไม่ได้ คุณไปเถอะ หรือไม่อย่างนั้นทุกคนก็จะตาย!”

หลังจากแน่ใจแล้วว่าคำพูดของเขานั้นไม่ส่งผลต่อโลกนี้ เฉินเกอก็กล้ามากขึ้น “ฉันมีความคิดที่อาจจะช่วยเธอได้ แต่มันจะเจ็บหน่อย และฉันก็รับรองไม่ได้ว่าเธอจะรอดไปได้”

“คือยังไง?” ตราบใดที่มีความเป็นไปได้ คนส่วนใหญ่ย่อมต้องพยายามดู

“กระดูกสะโพกของเธอติดอยู่ในหน้าต่างรถที่ผิดรูป ฉันจะพยายามดึงเธอออกมา แต่ทำอย่างนั้น ร่างกายส่วนล่างของเธอน่าจะพิการแน่นอน และบาดแผลบนร่างของเธอก็อาจจะเลวร้ายลง” นั่นเป็นสถานการณ์ที่เฉินเกอประเมินจากการใช้มือคลำ และมันก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เห็นว่าความจริงแล้วมันเลวร้ายแค่ไหนเขาจึงกล้าเสนอความคิดเสี่ยง ๆ นี้ “เหมือนที่เธอพูด อยู่ที่นี่จะตายกันหมด แต่ถ้าทำอย่างนี้ก็เป็นโอกาสให้รอดชีวิตได้อยู่”

“แต่ว่าถ้าผมตายไประหว่างที่ดึงตัวผมออกไปล่ะ คุณก็จะกลายเป็นฆาตกรที่พรากชีวิตผมนะ?” เด็กชายจู่ ๆ ก็ถามออกมา

ถ้านี่เป็นชีวิตจริง บางทีเฉินเกออาจจะลังเล แต่ในสถานที่ประหลาดเช่นนี้ เขาไม่ตระหนกเลยสักนิด “หากมันเพิ่มโอกาสที่เธอจะรอดชีวิตได้แม้แค่เปอร์เซ็นต์เดียว ฉันก็ไม่ห่วงเรื่องที่จะถูกโลกนี้เข้าใจผิด”

เขาโน้มตัวลงกับพื้นแล้ววางเท้ายันกับหน้าต่างรถที่บู้บี้ขณะโอบร่างกายท่อนบนของเด็กชายเอาไว้ด้วยสองมือ “มันจะเจ็บ แต่ถ้าพวกเรารอดชีวิตไปจากเรื่องนี้ได้ อย่างนั้นก็มีชีวิตใหม่รอเราอยู่”

เขาเริ่มออกแรง และร่างกายของเด็กชายก็ถูกดึงออกมาช้า ๆ เสียงกระดูกแตกนั้นหลอนอยู่ในหูเฉินเกอ นอกจากนั้นแล้ว ผิวหนังของเด็กชายยังฉีกออก เลือดไหลออกมา แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดเฉินเกอจากการพยายามช่วยชีวิตต่อ

เขาใช้แรงทั้งหมดและในที่สุดก็ดึงเด็กชายออกมาจากหน้าต่างรถที่พังยับได้

“ดี พวกเราทำได้แล้ว! เธอเป็นอย่างไรบ้าง?” ไม่มีใครตอบเฉินเกอ และอุโมงค์จู่ ๆ ก็กลายเป็นรกร้างกว่าเดิม เฉินเกอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขากำลังรู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง– บางทีสัตว์ประหลาดที่ด้านหลังคงไล่ตามพวกเขาทันแล้ว

กระทั่งในเวลาอย่างนี้ เฉินเกอยังไม่ลืมผู้หญิงที่บนพื้นและเด็กชายที่ข้างตัว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่มีใครเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์

“บางอย่างกำลังมาแล้ว ระวังด้วย” เฉินเกอเหวี่ยงผู้หญิงคนนั้นขึ้นหลังแล้วอุ้มเด็กชายขึ้นจากพื้น แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เด็กชายในอ้อมแขนของเขานั้นหนักกว่าผู้หญิงที่บนหลังเขา– ทั้งสองคนนั้นไม่ได้หนักเท่า ๆ กันด้วยซ้ำ

แต่ว่า มันไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องพวกนี้ และเขาก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ ไปข้างหน้า เฉินเกอมองไม่เห็นถนน และไม่นานเขาก็สะดุดแล้วล้มลง เขาไม่ได้พูดหรือว่าสบถเลยสักคำ เขารีบลุกขึ้น อุ้มเด็กและผู้หญิงคนนั้น แล้ววิ่งต่อ

เขาสะดุดและล้ม ได้รับแผลถลอกหลายจุดเมื่อกระแทกเข้ากับผนังและพื้น หลังจากหกคะเมนไปกี่ครั้งก็ไม่รู้ ตอนที่เฉินเกอลุกขึ้นและจะอุ้มเด็กชายขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีเสียงอื่นดังขึ้น

“นี่คุณโง่หรือเปล่าเนี่ย?” เสียงนั่นคล้ายกับเสียงเด็กที่เขาเคยได้ยิน แต่ว่ามันไม่เจ็บปวดแล้ว แต่กลับมีความเย็นชาและความอาฆาตแค้นอย่างประหลาด เฉินเกอไม่ตอบ เขาต้องการไปต่อและอุ้มเด็กชายขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าเขากลับคว้าได้แต่อากาศ

“บนโลกนี้ก็มีคนแบบนี้อยู่ด้วยสินะ” เสียงนั่นดังต่อ แต่คราวนี้ มันดังมาจากด้านบนเฉินเกอ เฉินเกอยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าควรทำอะไรแล้ว มีคนแตะบ่าเขาเบา ๆ และแขนที่เย็นเฉียบเสียดกระดูกคู่หนึ่งก็โอบรอบคอเขาและคลายผ้าปิดตาออก

เฉินเกอลืมตา หันกลับไปมองและพบว่าผู้หญิงที่ในอุโมงค์ยืนอยู่ด้านหลังเขา แต่ต่างไปจากครั้งก่อน เธอน่ารักขึ้นกว่าเดิม– อย่างน้อยที่สุด กะโหลกของเธอก็ไม่ได้แตก และองคาพยพบนใบหน้าของเธอก็อยู่ในที่ที่มันควรอยู่

“คุณเองเหรอ?” เฉินเกอยิ้มออกมาแล้วกำลังจะพูดบางอย่างตอนที่เขาตกอยู่ภายใต้เงาของแมงมุมตัวใหญ่ มองขึ้นไปแล้วรอยยิ้มของเฉินเกอก็แข็งทื่ออยู่บนหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะพบผีมามากมาย แต่ตอนนี้เขาก็อดรู้สึกไม่ได้ถึงความกลัวขดรอบตัวใจของเขา

ที่เหนือตัวเฉินเกอนั้นเป็นแมงมุมสีแดงตัวหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยวิญญาณและผีร้ายมากมายนับไม่ถ้วนห้อยหัวอยู่ สีแดงบนตัวแมงมุมนั้นสดกว่าสีแดงบนชุดของผู้หญิงเสียอีก มันเหมือนกับว่าเลือดกำลังไหวเวียนไปทั่วร่างของมัน และมันก็หยดลงมาช้า ๆ

“ทำไมคุณถึงหยุดพูดล่ะ?” เสียงดังมาจากหัวของแมงมุม จากเสียงนั้น เฉินเกอถึงได้เห็นว่าหัวของแมงมุมนั้นถูกแทนที่ด้วยหัวของเด็กชายคนหนึ่ง เขามีเพียงร่างกายท่อนบนเหลืออยู่ และร่างกายท่องล่างของเขานั้นติดอยู่กับแมงมุมยักษ์ ขาของเขานั้นเกาะอยู่กับผนัง เด็กชายห้อยโหนอยู่บนเพดาน มองมาที่เฉินเกอด้วยสายตาดุร้ายและเกลียดชัง

“เดี๋ยวก่อนนะ งั้นที่ฉันอุ้มอยู่ก่อนหน้านี้ก็คือเธอ?” ประโยคแรกจากปากเฉินเกอกระแทกเข้าใส่เด็กชาย อันที่จริง เขาเองก็ไม่คิดว่าเฉินเกอจะเลือกแบกเขาวิ่งหนี ทั้งผีทั้งคนต่างรู้สึกไม่ดีนักหลังจากปริศนาถูกเฉลย

“เอาเถอะ มันก็เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจทีเดียว” เฉินเกอพยายามหาข้ออ้างให้กับพฤติกรรมของตัวเอง เขาไม่รอให้เด็กชายตอบ เขารีบเปลี่ยนเรื่อง “อันที่จริงฉันมาที่นี่ก็เพื่อคุยบางอย่างกับแม่ของเธอ ฉันไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉันรู้ว่าหัวใจของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและฉันก็ไม่ได้คิดจะบอกให้เธอปล่อยมันไป แต่ฉันแค่อยากจะบอกว่าถ้าเธอมีความฝันใด ฉันสามารถช่วยเธอเติมเต็มมันได้ ต่อให้มันเป็นแก้แค้นก็ตาม”

สิ่งที่เฉินเกอพูดนั้นต่างไปจากที่เด็กชายคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง เขาไม่คิดว่าจะมีใครสามารถพูดอะไรอย่างนี้ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่รู้จะตอบอย่างไรดีจึงเลือกที่จะเงียบ

“ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร แต่เธอบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าทำไมอุโมงค์ถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้?” เฉินเกอถามคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจเขา อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวหยุดได้กระทั่งเงานั่น ดังนั้นน่าจะมีความลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ที่นี่

เด็กชายอ้าปาก แต่บางทีเขาอาจจะคิดว่าไม่ควรเปิดเผยอดีตของตนโดยง่าย ดังนั้นจึงปิดปากลงไปอีกครั้ง แต่ว่า ด้วยการโน้มน้าวจากผู้หญิงและความจริงที่ว่าเขาไม่มีอะไรจะเสีย เด็กชายจึงอธิบายให้เฉินเกอฟังคร่าว ๆ เรื่องที่ผ่านมา

เขาเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น และหลังจากที่แม่ของเขาหย่ากับพ่อของเขาหลายปีก่อน เธอก็ขับรถพาลูกของเธอกลับไปยังบ้านแม่ ตอนที่พวกเขาผ่านอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว พวกเขาประสบอุบัติเหตุทางรถ อันที่จริงเป็นเหตุการณ์รถชนครั้งใหญ่ และมีรถคันหนึ่งน้ำมันรั่ว

มันไม่ชัดนักว่ารถคันไหนเริ่มเกิดไฟไหม้ก่อน แต่ไฟลามไปยังรถที่น้ำมันรั่ว คนที่ในอุโมงค์เริ่มวิ่งหนี ตอนนั้น เด็กชายติดอยู่ที่หน้าต่างรถ และผู้หญิงก็ได้รับบาดเจ็บ เธอคลานออกจากซากรถได้ แต่เธอก็อ่อนแรงเกินกว่าจะช่วยลูกของเธอได้เมื่อไม่มีความช่วยเหลือจากคนอื่น

เธอร้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบ ๆ วิ่งตามรถที่ผ่านไปมาขอให้พวกเขาหยุดรถ ถ้ามีใครสักคนยินดีช่วยเธอ พวกเขาก็น่าจะช่วยเด็กชายเอาไว้ได้ แต่ว่า ภายใต้สภาพที่ชีวิตของพวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตรายไปด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครยินดีช่วยเหลือ

สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงที่สามารถหนีออกไปได้ก็ไม่ได้จากไป แต่เลือกที่จะกลับอยู่ข้าง ๆ ลูกของเธอ ปลอบเขา อยู่กับเขาจนไฟลามมาถึงรถที่น้ำมันรั่ว

ตั้งแต่นั้นมา ความสงบสุขก็หายไปจากอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว

คนขับรถหลายคนเห็นผู้หญิงในชุดสีแดงยืนอยู่ในอุโมงค์โบกให้เขาหยุดรถ บางคนมองเห็นสัตว์ประหลาดปะติดปะต่อสิ่งต่าง ๆ เข้ากับร่างกายของมัน…

สิ่งที่ดำรงอยู่ในฝันร้าย

แผนการของเฉินเกอนั้นเรียบง่ายมาก เขากำลังจะใช้ความเชื่อมโยงพิเศษระหว่างพวกผีเดินไปตามที่เขาเดินก่อนหน้านี้ แต่ไม่เหมือนครั้งก่อน คราวนี้ เขาตัดสินใจให้ไป๋ชิวหลินมาแทนตำแหน่งของเขา เขาอยากจะเห็นว่าสถานการณ์แบบเดียวกันจะเกิดขึ้นไหมหากว่าผู้ที่ถูกปิดตาเป็นผีตนหนึ่ง ไป๋ชิวหลินถูกบอสของเขาเอาผ้ามาผูกตาก่อนที่จะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ทำใจให้ว่างเปล่าแล้วเดินไป” เฉินเกอและซู่อินยืนอยู่ห่างจากไป๋ชิวหลินที่ถูกปิดตาราว ๆ สามหรือสี่เมตร จับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเขา ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะเข้าไปช่วยทันที

แม้ไม่รู้ว่าบอสของเขาต้องการอะไร ไป๋ชิวหลินก็ยังทำตามคำสั่ง เพราะว่าในใจเขา บอสของเขานั้นถูกเสมอ เขาเดินไปตามอุโมงค์อยู่นานแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเฉินเกอนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับไป๋ชิวหลิน กระทั่งตอนที่เขาถูกบอกให้ถอดผ้าปิดตาออก ใบหน้าของไป๋ชิวหลินก็ยังเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจการกระทำของบอสของเขา

“ปิดตาผีนั้นไม่มีประโยชน์ แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ? ผีส่วนใหญ่นั้นก็คือรูปแบบหนึ่งจากความปรารถนาที่ยังเหลืออยู่ของคนเป็น และความแตกต่างใหญ่หลวงที่สุดระหว่างพวกเขากับคนทั่วไปก็คือพวกเขาไม่มีร่างเนื้อ เป็นไปได้ไหมว่าเพราะตอนที่ฉันลืมตาเดินไปตามอุโมงค์ มันจะเป็นโลกที่คนเป็นมองเห็น แต่เมื่อฉันปิดตา ฉันก็กำลังเดินไปตามโลกของวิญญาณ?”

คนทั่วไปคงไม่คิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ แต่เฉินเกอนั้นต่างออกไป ในด้านนี้ เขามีประสบการณ์มากมาย และวิธีการคิดของเขาก็ต่างไปจากคนส่วนใหญ่ หลายครั้ง เขายังใช้มุมมองอย่างผีมองสิ่งต่าง ๆ

“ฉันยืนยันเรื่องนี้ไม่ได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว ในกรณีนี้ การทดลองนี้ไม่ได้ยืนยันสิ่งใดโดยตรง– สิ่งประหลาดจะเกิดขึ้นเฉพาะหลังจากที่ฉันปิดตาตัวเองแล้วเท่านั้น” ให้ผีมาแทนที่เขาเพื่อหาทางออกนั้นเป็นไปไม่ได้ และเฉินเกอก็กลับไปที่เดิมอีก

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องทำด้วยตัวเอง แต่คราวนี้มีพนักงานของฉันอยู่รอบ ๆ มันน่าจะปลอดภัยขึ้น” เฉินเกอนำพวกผีกลับไปที่รถแท็กซี่ สั่งการเหล่าโจวกับไป๋ชิวหลินสองสามอย่างก่อนที่จะปิดตาตัวเอง นี่เป็นครั้งที่สามของเขาแล้วที่จะเดินไปในอุโมงค์

ความมืดกลืนกินเฉินเกอ แต่เขาไม่รู้สึกกังวลเมื่อมีพนักงานของเขาจับตามองเขาอยู่ เขาเดินไปตามอุโมงค์อยู่สิบนาที ก่อนที่ในที่สุดจะหยุดเท้าลง ทางแยกบนถนนนั้นไม่ปรากฏขึ้น และอุโมงค์ก็มุ่งตรงไปเป็นทางเดียว นำไปสู่ที่ไหนสักแห่งหนี่ง

“ทำไมฉันถึงล้มเหลวอีกล่ะคราวนี้? ปัญหาอยู่ตรงไหน?” ความแตกต่างระหว่างการเดินครั้งแรกและครั้งที่สามของเขาก็คือจำนวนผู้เข้าร่วม ครั้งแรกนั้นเฉินเกอไปกับคนขับรถ แต่ครั้งนี้ เฉินเกอไปกับพนักงานของเขา

“จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมงั้นหรือ? ไม่เหมือนอย่างนั้นนะ มันเป็นไปได้มากกว่าว่าพนักงานของฉันนั้นป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านั้นที่ปรากฏขึ้นรอบตัวฉันเข้าถึงฉันได้”

ตอนที่คนขับรถหายตัวไป เขาพูดถึงสิ่งประหลาดปรากฏขึ้นที่ข้างแก้มซ้ายของเฉินเกอ พอคิดกลับไป การเปลี่ยนแปลงของอุโมงค์ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งประหลาดนั่น

“คนขับรถหายตัวไประหว่างที่กำลังพูด และนั่นก็น่าจะเป็นการกระทำของสิ่งนั้นเช่นกัน” เฉินเกอมองไปตามอุโมงค์มืดและเริ่มลังเล มีพนักงานของเขาอยู่ด้วย สิ่งนั้นก็ไม่กล้าลงมือ แต่ถ้าเขาให้พนักงานกลับไป ก็ไม่มีอะไรรับรองความปลอดภัยของเขาเอง

เขาก้มหน้าลงไปดูที่โทรศัพท์ เฉินเกออยากรู้ว่าเขายังมีเวลาเหลือในการทำภารกิจอยู่เท่าไหร่ แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เขาพบว่าเวลาบนโทรศัพท์ของเขานั้นกำลังเดินถอยหลัง เหมือนแทนที่มันจะเป็นนาฬิกา มันกลับกลายไปเป็นตัวจับเวลา

“เกิดอะไรขึ้นกับโทรศัพท์ของฉัน? ทำไมเวลาถึงเดินถอยหลัง? ฉันเข้ามาในอุโมงค์อย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ว่าเวลาที่แสดงอยู่กลับเป็นตอนที่ฉันเข้ามาในอุโมงค์ตอนแรก”

มีบางอย่างเกิดขึ้น เฉินเกอเอนตัวพิงผนังแล้วขมวดคิ้วใคร่ครวญ

“ไม่มีใครมีพลังมากพอที่จะเข้าไปก่อกวนเวลาได้ ดังนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่?” เขาไม่ได้กระวนกระวายอย่างนี้มานานแล้ว ในเวลาเช่นนี้ พนักงานของเขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้

เมื่อไม่มีวิธีการออกไปจากอุโมงค์นี้ เฉินเกอก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ อย่าว่าแต่จะทำภารกิจทดลองให้สำเร็จเลย

เขามองเข้าไปในความมืด และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ “สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นตอนที่ฉันมาที่นี่คนเดียวครั้งแรก”

เมื่อคิดกลับไปถึงภารกิจก่อนหน้าของเขาและนึกถึงรายละเอียดต่าง ๆ ในที่สุดเฉินเกอก็ตัดสินใจได้ เขาเก็บผีทั้งหมดของเขากลับเข้าไปในหนังสือการ์ตูน และอุโมงค์ที่ก่อนหน้านี้คนอยู่เต็มไปหมดจู่ ๆ ก็เย็นและเงียบ ในความมืด มีเพียงสองเงายืนอยู่ตรงกันข้ามกัน

“นายก็ไปได้แล้วแหละ ที่เหลือให้ฉันจัดการ” เฉินเกอตบบ่าซู่อินเบา ๆ แล้วปิดเครื่องเล่นเทป เขาเก็บทุกอย่างกลับไปแล้วก็ลุกขึ้น เขาเก็บสายตาให้นิ่งและไม่ปรากฏร่องรอยความกลัวบนใบหน้าสักนิด

“ภารกิจทั้งหมดของโทรศัพท์เครื่องดำนั้นยุติธรรม หากไม่พยายาม ก็ไม่มีสิ่งตอบแทน และความเสี่ยงกับรางวัลนั้นก็เป็นสัดส่วนกันเสมอ

“ฉันไม่ได้ผจญภัยอย่างนี้มานานแล้ว ฉันเกือบจะลืมความรู้สึกนี้ที่เป็นธรรมดาตอนที่ฉันได้โทรศัพท์เครื่องดำมาแรก ๆ ความรู้สึกของการเดินอยู่บนขอบเหวหรือด้ายบาง ๆ เคลื่อนไหวผิดเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างก็จบ”

เฉินเกอสูดลมหายใจลึกและพูดกับอากาศ

“และตอนนี้ ฉันก็อยู่ลำพังคนเดียวอีกครั้ง”

เขายัดกระเป๋าของเขาเข้าไปในแท็กซี่ และก็เหมือนภารกิจระดับฝันร้ายครั้งก่อน เขาโดดเดี่ยวลำพังแล้ว ไม่มีอาวุธ ไม่มีพนักงานทั้งหลาย เขาเดินไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของความมืดโดยไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเอง

“ฉันอยากจะเห็นว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไรหลังจากฉันหลับตาลง” ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ฟางหยวนดูเหมือนจะพูดอย่างนั้นออกไปอย่างท้าทาย สายตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งผยอง เขาหยิบแขนเสื้อที่ฉีกออกนั้นออกมาแล้วในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะพันผ้าปิดตา เขาก็มองไปยังด้านหลังตัวเองและเรียกชื่อจางหยาเงียบ ๆ

ไม่มีคำตอบ– เงาของเขาเป็นแค่เงาของเขา พันผ้าปิดตาแล้ว และครั้งนี้ ไม่มีใครอยู่กับเขา เหมือนภารกิจระดับฝันร้ายครั้งแรก ๆ ของเขาเลย

เขาแตะมือบนผนังแล้วเดินไปข้างหน้าช้า ๆ เขาเดินไปแค่ไม่กี่เมตรก็ได้ยินเสียงแกรกกรากปรากฏขึ้นที่ข้างหูเหมือนไส้เดือนนับพัน ๆ ตัวไต่อยู่บนผนัง

“ทุกอย่างจะเสียเปล่าไปทันทีที่ฉันลืมตาขึ้น ดังนั้นครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะไม่ลืมตาขึ้นมา” ความมั่นใจส่วนหนึ่งของเฉินเกอนั้นมาจากจางหยาที่ในเงาของเขา เขารู้ว่าเธอคงไม่ต้องการเห็นเขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรง

“มาสิ ให้ฉันได้เห็นว่าที่ปลายอุโมงค์มันมีอะไร” เฉินเกอไม่ลังเลและเดินผ่านเสียงแกรกกรากนั่นไป เขากำลังใช้ตัวเองเป็นเหยื่อรอให้ ‘ปลาใหญ่’ ในอุโมงค์มาติดเบ็ด

มันเหมือนมีใครสักคนเป่าลมเข้ามาในหูของเขา และอุณหภูมิของร่างกายของเขาก็ลดลงแต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดยั้งการก้าวเดินของเฉินเกอได้

อุโมงค์วงกลมไร้สิ้นสุด

การสมัครใจหลับตาลงในถ้ำที่มืดและน่าหวาดกลัวนั้น ในทางหนึ่ง เป็นอีกวิธีที่ต่างออกไปในการมองโลก แต่ว่า คนขับรถที่ไม่ได้รับคำอธิบายถึงความตั้งใจของเฉินเกอนั้นไม่เข้าใจเลยว่าเฉินเกอกำลังทำอะไรอยู่ นี่เป็นปรากฏการณ์นกกระจอกเทศหรือเปล่า? พอหลับตาลง มันก็ง่ายขึ้นที่จะทำเหมือนว่าปิศาจที่เดินไปมาอยู่ในถ้ำนั้นไม่มีจริง?

ถึงแม้ว่าเขาจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย คนขับรถก็ตามหลังเฉินเกอไปอย่างไม่รู้อะไรเลย อย่างไรเสีย ผู้ชายคนนี้ก็เป็นความหวังเดียวของเขา เขาไม่สามารถคิดภาพการถูกทิ้งเอาไว้ในอุโมงค์มืด ๆ ทอดยาวนี้ได้เลย

เฉินเกอนั้นไม่รู้ว่าในใจคนขับรถกำลังคิดอะไรอยู่

เขาหลังตาลงและจมลงไปในความมืดอย่างสมบูรณ์แบบ และรอบตัวก็กลายเป็นเงียบงัน บางที อาจจะเพราะเส้นประสาทอันตึงเขม็งของเขา แต่ว่าอุณหภูมิร่างกายของเขานั้นคอยแต่จะเปลี่ยนไป มันเหมือนมีใครบางคนเดินเฉียดเขาไป พวกเขาอาจจะคิดว่าสัมผัสกับศพศพหนึ่งก็ได้

เมื่อการมองเห็นถูกลดทอนไป เขาก็ทำได้เพียงอาศัยการฟัง การดมกลิ่น และความรู้สึกที่ผิวหนังช่วยเขาจำแนกทุกอย่างที่รอบตัว ผนังถ้ำนั้นไม่เรียบ และบางครั้งมือของเขาก็ยังแตะโดนบางอย่างที่คล้ายตะไคร่ เมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสโดนบางอย่างที่เปียกและเหนียวเป็นครั้งแรก ขนแขนของเฉินเกอก็ลุกชัน

“ฉันจะไปถึงทางออกด้วยวิธีนี้ได้จริง ๆ ใช่ไหม? หรือว่ามันจะไม่เรียบง่ายอย่างนั้น คำใบ้ที่โทรศัพท์เครื่องดำให้มาอาจจะมีความหมายต่างออกไป” เฉินเกอที่ปิดตาอยู่เดินไปข้างหน้าใช้มือนำทางไป เขามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ความมืด ความเย็นเยือก และเสียงแปลก ๆ เช่นเดียวกับความรู้สึกจากปลายนิ้วของเขาส่งเข้ามาในระบบประสาทสัมผัสของเขาเป็นระลอกคลื่น

ด้วยการฝึกฝนและความตั้งมั่นที่เหนือมนุษย์ เฉินเกอกดความต้องการดึงผ้าปิดตาออกเอาไว้แล้วก้าวเท้าอีกก้าวหนึ่ง ไม่เห็น ไม่คิด ไม่มีอะไร

เฉินเกอปรับลมหายใจ และก็เหมือนภารกิจระดับฝันร้ายครั้งแรกของเขา มีความคิดเดียวอยู่ในใจเขา– ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ จิตใจของเขาแยกตัวเองออกจากสัมผัสเรื่องเวลา และเฉินเกอก็ไม่รู้เลยว่าเขาเดินอยู่นานแค่ไหน ต่างไปจากภารกิจระดับฝันร้ายครั้งก่อนหน้า คราวนี้ เขาไม่ได้นับเสียงหัวใจเต้นหรือว่าจำนวนก้าวของตัวเอง เขาทำใจว่างเปล่าอย่างแท้จริง

ลูบไปตามผิวเปียก ๆ ของผนังถ้ำ เขาเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมือของเขาจับไม่โดนอะไรเลย

ในผนังมีโพรงหรือ? อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นเป็นทางตรง และไม่มีทางแยก ดังนั้นเรื่องเช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

ฉันควรจะดึงผ้าปิดตาออกดูไหม? ก่อนที่เฉินเกอจะตัดสินใจ จู่ ๆ ก็มีคนดึงแขนเขาและคนผู้นั้นที่ตัวสั่นอย่างแรงจนเฉินเกอรู้สึกได้ผ่านการสัมผัส

“ใจเย็นก่อน คุณเห็นอะไร?” ความไม่รู้นั้นมักจะน่ากลัวที่สุด หลังจากสูญเสียการมองเห็น อารมณ์ของเฉินเกอนั้นก็ได้รับอิทธิพลจากคนรอบตัวง่ายขึ้น

“มันอยู่ทางซ้ายของคุณ สิ่งนั้นอยู่ติดกับแก้มซ้ายของคุณเลย เขาอยู่ใกล้มาก ได้โปรดอย่าขยับ!” คนขับรถตอบอย่างตระหนก เสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวาดผวา

“ไม่ต้องตื่นตระหนก อธิบายรูปร่างของสิ่งนั้นสิ เป็นคนหรือว่าแมลง?” เฉินเกอยืนอยู่ที่เดิม ระมัดระวังไม่ขยับกล้ามเนื้อสักมัด แต่เขารออยู่นานแล้วยังไม่มีคำตอบเลย “คุณยังอยู่ไหม?”

ในอุโมงค์ว่างเปล่า มีแค่เสียงของเฉินเกอเองที่ก้องอยู่ คนขับรถดูเหมือนจะหายวับไปในอากาศ

“เขาเห็นอะไรกันแน่?” ถ้าคนขับรถยังไม่หายตัวไป เฉินเกอก็คงไม่กังวลอย่างนี้ แต่จังหวะเวลานั้นน่าสงสัยเกินไป เขาทิ้งข้อความกำกวมถึงเพียงนั้นเอาไว้ก่อนที่จะหายตัวไป เขาบอกเฉินเกออย่างชัดเจนมากว่ามีบางอย่างที่ดูแตกต่างและอาจจะน่ากลัวอยู่ติดกับแก้มซ้ายของเฉินเกอ

“การหายตัวไปของคนขับรถน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ แต่ว่านั่นก็ไม่แน่ อาจจะเกิดบางอย่างขึ้นกับผู้ชายคนนั้นไปแล้วตั้งแต่ฉันตัดสินใจปิดตาตัวเอง และมันอาจจะเป็นใครสักคนที่กำลังตามหลังฉันอยู่ เขาอาจจะจงใจพยายามทำให้ฉันมองไปทางซ้าย” เฉินเกอไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือเสี่ยงโชคภายในความเป็นไปได้ที่เขายังควบคุมได้

เฉินเกอยกแขนขึ้นแตะที่ด้านซ้ายของใบหน้าตัวเอง– ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น เขาถอนหายใจโล่งอกก่อนที่จะขยับแขนของเขาไปยังกำแพงช้า ๆ ไม่ช้าปลายนิ้วของเขาก็แตะถูกผนังหินเย็น ๆ และเขาก็ไม่ได้ปัดผ่านอะไรที่ดูประหลาด เขาเหยียดนิ้วออกไปแล้วหยุดอยู่ที่ขอบของผนังและจุดที่สงสัยว่าเป็นโพรง

“มีรอยแยกประหลาดบนถนนที่ควรจะตรง ฉันควรจะเลี้ยวเข้าไปดูไหม?” เฉินเกอหักห้ามความต้องการจะดึงผ้าปิดตาออกแล้วยกทั้งสองมือขึ้น และก็เหมือนกับคนตาบอดคนหนึ่ง เขาขยับตัวไปทางปากทางที่เปิดออกทางด้านซ้ายของเขาช้า ๆ

“ทางนี้จะนำฉันไปที่ไหนกัน?” มันควรจะเป็นอุโมงค์ตรง ๆ แต่เพราะอะไรไม่รู้ เขากลับมาจบลงในเขาวงกต ทุก ๆ สองสามก้าว เฉินเกอจะทิ้งรอยครูดลึกเอาไว้บนกำแพง ทิ้งร่องรอยเอาไว้ด้านหลังเป็นทาง

เขาเดินต่อไปอย่างนั้นอยู่หลายนาที และปลายนิ้วของเฉินเกอก็แตะถูกความว่างเปล่าเป็นครั้งที่สอง ทางแยกอีกหนึ่งเส้นปรากฏขึ้นบนการเดินทางของเขา

มันเป็นเพราะคำใบ้ของโทรศัพท์เครื่องดำที่ทำให้เฉินเกอตัดสินใจปิดตาตัวเอง แต่ผลที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายมาก อุโมงค์ตรง ๆ เส้นนี้ดูเหมือนจะแยกออกเป็นทางเลี้ยวและมุมมากมายไร้สิ้นสุด เหมือนชะตาชีวิตของคน ไม่มีใครรู้ว่าอะไรกำลังรออยู่ที่ทางเลี้ยวข้างหน้า

“ซู่อิน…” เฉินเกอนั้นกลัวว่าตัวเองจะเจอกับเรื่องอันตรายหรือพาตัวเองเข้าสู่อันตรายอย่างกะทันหันเมื่อเขาแกะผ้าปิดตาออก ดังนั้นก่อนที่จะทำเช่นนั้น เขาก็เรียกซู่อินออกมา กลิ่นเลือดลอยอยู่ในอากาศ และเฉินเกอก็สูดลมหายใจลึก ความกระวนกระวายของเขาสงบลง และตัวตนของซู่อินก็ทำให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัยที่เขาขาดไป

เฉินเกอขยี้ตาแล้วมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาหยินหยาง เขาพบอย่างประหลาดใจว่าเขากำลังยืนอยู่จุดที่เขาเริ่มออกเดิน ไม่กี่เมตรด้านหลังเขานั้นเป็นแท็กซี่ที่เต็มไปด้วยรอยฝ่ามือสีเลือด

ยานพาหนะนั่นยังอยู่ที่เดิม แต่ว่าคนขับรถนั้นหายไปแล้ว มีซู่อินอยู่ด้วย เฉินเกอจึงเดินเข้าไปในอุโมงค์ เขาไม่เจอทางแยกอะไรเลย และเขาก็ไม่เจอรอยที่เขาขูดเอาไว้บนกำแพงด้วย

อุโมงค์ที่เขาเห็นด้วยตาและอุโมงค์ที่เขาสัมผัสด้วยปลายนิ้วนั้นดูจะไม่ใช่อุโมงค์เดียวกัน นี่เป็นความรู้สึกประหลาดเหมือนหนึ่งในนั้นเป็นของจริง และอีกหนึ่งนั้นเป็นความฝัน แต่ก็น่าแปลกทีเดียว พวกมันผสมผสานกันด้วยสักวิธีหนึ่งจนกลายเป็นวังวนซ้ำ ๆ ไร้สิ้นสุด

“ไม่แปลกใจที่เงานั่นพ่ายแพ้ในที่เช่นนี้ ฉันคงต้องบอกว่าตัวเองโชคดีที่หนีออกไปได้เมื่อครั้งก่อน” อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นเป็นสถานที่อันพิเศษ แต่เฉินเกอก็ไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลเบื้องหลังความพิเศษของมันเช่นกัน

“ดังนั้น คำถามก็คือ อุโมงค์ไหนที่เป็นของจริง? และทำไมวิญญาณไร้บ้านเหล่านั้นถึงได้ถาโถมเข้ามาที่นี่กัน? เป็นไปได้ไหมว่าพวกมันคิดว่าที่นี่นั้นเป็นวัฏจักรการกลับไปเกิดใหม่?”

ภารกิจทดลองนี้นั้นซับซ้อนกว่าที่เฉินเกอคิดมาก เขาไม่กล้าวู่วาม เขาพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนแล้วปล่อยพนักงานทั้งหมดของเขาออกมา

“เหล่าโจวกับต้วนเยว่ ผมอยากให้คุณสองคนคอยดูแลรถเอาไว้ คนที่เหลือตามฉันมา พยายามอย่าทิ้งระยะห่างระหว่างแต่ละคนมากเกินไป” เฉินเกอเคยเข้ามาในอุโมงค์นี้มาก่อน และจากการค้นหาทางออนไลน์ของเขา เขารู้ว่าอุโมงค์นี้ยาวแค่ไหน

เฉินเกอเรียกพนักงานทั้งหมดของเขาออกมาก็เพราะต้องการทดสอบสมมติฐานของตนเอง

ฟังเสียงความมืด

แสงไฟรอบตัวพวกเขาค่อย ๆ หายไปช้า ๆ มันเหมือนกับรถแท็กซี่ถูกผลักลงไปในมหาสมุทร เมื่อแสงสุดท้ายจางหายไป มันก็หมายความว่าผู้โดยสารที่ด้านในนั้นถูกความมืดโอบล้อมเอาไว้

“มี… มีใครอยู่ตรงนั้นไหม?” เมื่อเสียงเคาะถี่ ๆ นั้นหายไป คนขับรถก็เงยหน้าขึ้นช้า ๆ มือของเขาควานหาโทรศัพท์มือถือ

“อย่าขยับ นอนลงไป” เสียงนั้นกระด้างแต่คนขับก็ไม่สามารถขัดขืนได้และขยับตัวตามไป คนที่สั่งก็คือเฉินเกอ เสียงเคาะหายไปแล้ว แต่วิญญาณยังล้อมอยู่รอบรถ พวกเขายังไม่จากไปไหน

“พวกเขาต้องการอะไรกัน?” ด้วยดวงตาหยินหยาง เฉินเกอสามารถมองเห็นสิ่งที่คนขับรถไม่เห็น และจากมุมมองของเขา พวกเขานั้นไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีนัก ทุกตารางนิ้วของด้านนอกรถนั้นเต็มไปด้วยรอยฝ่ามือสีเลือดและคนที่ทิ้งรอยฝ่ามือเหล่านั้นเอาไว้ก็ยังล้อมอยู่รอบ ๆ รถ แต่ละคนนั้นมีสีหน้าประหลาด และร่างกายของพวกเขาก็หันไปทางเดียวกัน ริมฝีปากของพวกเขาขยับขึ้นลงเหมือนปลา สูบอากาศประหลาดในอุโมงค์เข้าไป

ประมาณสิบนาทีให้หลัง เสียงประหลาดดังมาจากส่วนลึกของอุโมงค์ มันยากที่จะบรรยายออกมา มันเหมือนมีตะขาบนับพันตัวไต่อยู่บนกำแพง และในเวลาเดียวกัน มันก็เหมือนมีเสียงลมหายใจของยักษ์ ลมหายใจของมันนั้นพรูไปตามผนังอุโมงค์ที่ไม่เรียบรื่น

หลังจากเสียงนั่นปรากฏขึ้น วิญญาณที่รอบ ๆ รถก็เริ่มขยับไปทางเสียงนั่น เสียงฝีเท้าก้องอยู่รอบ ๆ แต่ไม่มีคนเป็นอยู่ในสายตา คนขับรถซ่อนอยู่ในรถ กอดศีรษะตัวเองเอาไว้ เขากลัวมากแล้วจริง ๆ มันมืดเกินกว่าที่เขาจะมองเห็นอะไร แต่ว่าหูของเขาก็ยังคงได้ยินเสียงประหลาดเหล่านี้ เสียงนั่นพุ่งตรงเข้าหัวใจของเขา และคนขับรถก็รู้สึกเหมือนสมองกำลังจะระเบิด

มีเสียงลั่นเบา ๆ จากส่วนหนึ่งของรถ มันฟังเหมือนเสียงประตูรถเปิดออก

ไม่มีแสง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ตอนที่เสียงทั้งหมดเงียบสงัดลงและอุโมงค์ก็กลับมาเงียบอีกครั้ง ในที่สุดคนขับรถก็เรียกความกล้าได้มากพอที่จะมองหาโทรศัพท์ของตัวเอง เขาใช้แสงอ่อนจางจากหน้าจอโทรศัพท์มองไปรอบ ๆ ในรถของตัวเอง

ประตูถูกเปิดทิ้งเอาไว้ และไม่มีผู้โดยสารคนไหนอยู่ในรถ แท็กซี่ว่างเปล่ามีเพียงคนขับอยู่ที่ที่นั่งคนขับเท่านั้น

“ไปไหนกันหมดแล้ว?” ตอนที่มีคนอยู่ด้วย เขาก็ไม่ได้กลัวมากนัก แต่พอรู้ว่าตัวเองอยู่คนเดียวลำพัง คนขับรถก็เริ่มตื่นตระหนก เขาเปิดวิทยุสื่อสาร แต่ทั้งหมดที่ได้ยินก็คือเสียงสัญญาณเปล่า ๆ– ไม่มีใครพูดคุยอะไร เขาพยายามโทรศัพท์หาเพื่อนและเพื่อนร่วมบริษัทคนอื่น ๆ แต่น่าแปลก ไม่มีใครรับสาย

เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวเงียบ ๆ ได้เพราะเริ่มกระวนกระวาย และเขาก็ร้องออกไปน้ำตาเอ่อขึ้นมา “ได้โปรดเถอะ มีใครอยู่ไหม? ใครก็ได้ ตอบฉันหน่อย?”

“หยุดตะโกน ชู่!” แสงไฟสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้ารถ คนขับรถมองไปยังแสงนั่น เป็นชายหนุ่มกับกระเป๋ากระพายยืนอยู่ตรงนั้น คนขับรถคุ้นเคยกับโครงร่างของคนผู้นี้– เขาคือผู้โดยสารคนแรกที่เขารับมาคืนนี้

“อย่าเสียเวลา ทำตามที่ผมสั่ง อย่างแรกเลย ลอยสตาร์ทรถดูว่าติดไหม” เฉินเกอถือกระเป๋าเอาไว้ด้วยมือหนึ่งและสีหน้าก็ย่ำแย่ คนขับรถเข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์และไม่เสียเวลาถาม เขาพยายามอยู่หลายครั้ง แต่เครื่องยนต์ก็ยังไม่ทำงาน

“ลงจากรถมาตรวจสอบเครื่องยนต์เร็วเข้า พวกเราไม่มีเวลาให้เสียมากนัก” ด้วยการเร่งเร้าจากเฉินเกอ คนขับรถคลานลงจากรถ เส้นขนบนร่างของเขาลุกซู่เมื่อเห็นรอยฝ่ามือสีเลือดเต็มยานพาหนะของเขา เปิดกระโปรงหน้ารถแล้วคนขับก็ชะโงกเข้าไปดู เครื่องยนต์ด้านในนั้นเสียหายจากเส้นผมสีดำที่ขดอยู่รอบ ๆ ทุกอย่าง เขาไม่สามารถตัดพวกมันออกได้โดยไม่มีเครื่องมือ

“คุณมีกรรไกรไหม?” คนขับรถกระซิบถามเฉินเกอ

“ค้อนใช้ได้ไหม?”

“เอ่อ งั้นไม่เป็นไร” คนขับรถปิดฝากระโปรงลงแล้วบอกเฉินเกอไปคิ้วขมวดแน่น “มันน่าจะเป็นเส้นผมพวกนั้นอุดท่อมอเตอร์ ผมซ่อมมันไม่ได้ถ้าไม่มีเครื่องมือ”

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะทิ้งรถไว้ก่อนตอนนี้ หลังจากนี้ จำไว้ว่าอยู่ใกล้ ๆ ผมเข้าไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าเดินไปไกลจากผม” เฉินเกอเปิดไฟฉายบนโทรศัพท์และเริ่มเดินไปตามถนนตรงข้ามกับทิศทางที่เหล่าวิญญาณไป

“คุณเห็นผู้โดยสารอีกสองคนไหม? ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ?” หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดคนขับรถก็ถามออกมา

“จนถึงตอนนี้ คุณก็ยังคิดว่าพวกเขาเป็นผู้โดยสารธรรมดาอีกเหรอ? สองคนนั้นเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์แล้ว” เฉินเกอไม่เสียเวลาอธิบายเรื่องเหล่านั้นให้คนขับรถ ถ้าไม่เพราะว่าเขาคิดว่าคนขับรถเป็นคนที่ใจดีคนหนึ่งแล้ว เขาก็คงไม่คิดจะมาเสียเวลานำคนขับรถออกไปและไปเข้าร่วมกับ ‘ฝูงชน’ มุ่งหน้าเข้าไปในอุโมงค์แล้ว “อุโมงค์นี่อันตรายมาก ผมจะพาคุณออกไปก่อนรอให้แน่ใจว่าคุณปลอดภัย”

“ขอบคุณครับ” คนขับรถนั้นประทับใจในตัวเฉินเกออย่างแท้จริง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีคนเป็น ๆ คนหนึ่งอยู่ด้วยนั้นเป็นอะไรที่น่ายินดีมากแล้ว

“ถ้าคุณอยากขอบคุณผม ช่วยเก็บทุกอย่างที่คุณเห็นคืนนี้ไว้กับตัวเองและอย่าบอกใครหลังจากที่กลับออกไปจากที่นี่แล้ว” เฉินเกอพูดเสียงต่ำ และนั่นก็ทำให้ทุกอย่างดูมีบรรยากาศลึกลับมากขึ้น

หลังจากได้ยินอย่างนั้น คนขับรถก็พยักหน้าซ้ำ ๆ สัญญาตามที่เฉินเกอสั่ง ทั้งสองคนเดินไปตามอุโมงค์อยู่สามนาที แต่พวกเขากลับไม่เข้าใกล้ทางออกขึ้นเลย

“นี่ไม่ถูกต้อง” เฉินเกอหยุด ยืนอยู่กลางอุโมงค์ “มันใช้เวลาแค่ครึ่งนาทีเท่านั้นที่แสงหายไปหลังจากที่รถถูกผลักเข้ามาในอุโมงค์ ตอนนั้นรถก็เคลื่อนที่เร็วเท่า ๆ กับที่พวกเราเดินอยู่นี่ พูดอีกอย่างหนึ่ง พวกเราก็ควรใช้เวลาแค่ครึ่งนาทีก็ควรจะเห็นทางออกแล้ว แต่พวกเราเดินมานานกว่านั้น และยังไม่เห็นแสงสักลำ”

“คุณพูดถูก! เกิดอะไรขึ้น?” ได้ยินการวิเคราะห์ของเฉินเกอ คนขับรถก็ตัวสั่น เหงื่อเย็น ๆ ไหลพรั่งพรู “บางทีพวกเราอาจจะมาผิดทาง? พวกเราบังเอิญเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์แทน?”

“หน้ารถหันไปยังส่วนลึกที่สุดของอุโมงค์ ดังนั้นทิศทางของพวกเราไม่ผิด”

“อย่างนั้น ทำไมพวกเราถึงยังออกจากอุโมงค์ไม่ได้?”

“ผมจะไปรู้ได้ยังไง?” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอเจอกับอะไรอย่างนั้น มือข้างหนึ่งของเขาวางแตะผนังอุโมงค์เอาไว้ เขาแอบดึงโทรศัพท์เครื่องดำออกมา “ถ้าเพียงแต่ฉันจะสื่อสารกับวิญญาณสีเลือดในอุโมงค์ได้ ครั้งสุดท้ายที่พวกเราพบกัน พวกเราพูดคุยกันได้เป็นมิตรทีเดียว และมันก็ไม่น่าจะยากเย็นถ้าจะขอความช่วยเหลือจากเธอเล็ก ๆ น้อย ๆ”

เฉินเกอไม่รู้ชื่อของวิญญาณสีเลือดตนนั้น และไม่รู้ว่าจะติดต่อเธอได้อย่างไร แต่ว่า เมื่อคิดถึงประสบการณ์ครั้งก่อนที่นี่แล้ว เฉินเกอก็มีความคิดบ้าระห่ำหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ

เขาแตะเปิดภารกิจ ที่ปลายอุโมงค์ บนโทรศัพท์เครื่องดำและอ่านคำใบ้ของภารกิจอีกครั้ง “หลับตาลง และคุณอาจจะเห็นโลกที่ต่างออกไป”

ตอนที่คนขับรถมองมาอย่างตกใจ เฉินเกอก็ฉีกแขนเสื้อเชิ้ตของเขาออกมาแล้ว

“คุณทำอะไรน่ะ?”

เฉินเกอไม่สนใจคนขับรถ เขาพับแขนเสื้อที่ฉีกออกมาเป็นผ้าปิดตาแล้วผูกเอาไว้รอบตา

“พี่ชาย คุณกำลังทำอะไรน่ะ? คุณช่วยทำอะไรที่มันดูธรรมดากว่านี้สักหน่อยได้ไหม?” คนขับรถยืนตัวแข็งอยู่กับที่ เขาไม่เข้าใจการกระทำของเฉินเกอเลย

“เงียบแล้วตามผมมา ถ้าคุณกลัวจริง ๆ ก็หลับตาลงก็ได้” มือหนึ่งของเขาแตะอยู่บนกำแพง เฉินเกอเดินต่อไปข้างหน้าทั้งอย่างนั้น

 

 

ไร้หนทางกลับ

ตั้งแต่เห็นเงานั่นปรากฏขึ้นที่ในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว เรื่องแปลก ๆ ในแถบนี้ก็น่าตื่นเต้นขึ้นไปอีก เด็กสาว เด็กชาย และยังชายแก่ที่คนขับรถพูดถึง– ขนาดยังไม่ได้เข้าไปในอุโมงค์ เฉินเกอก็เจอถึงสาม ‘คน’ แล้ว

“ที่นี่ดูพลุกพล่านนะ” เฉินเกอไม่ได้ถามรายละเอียดเกี่ยวกับชายชราเพิ่มและนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่เบาะหลัง รถแท็กซี่แล่นไปตามถนนสู่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวช้า ๆ ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้ปลายทางเท่าไหร่ คนขับรถก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก ถึงตอนนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้นอกจากไปข้างหน้าต่อ

ต้นไม้ที่ริมถนนแกว่งไกวเหมือนเหล่าวิญญาณกำลังคลานขึ้นมาจากนรก แสงไฟสลัวเพราะไฟถนนส่วนใหญ่บนทางสู่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นใช้การไม่ได้ และหน่วยงานท้องถิ่นก็ไม่สนใจพอที่จะซ่อมถนนที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้ง ๆ และโคลนตม

แต่ว่า น่าแปลกทีเดียว ท่ามกลางเศษสิ่งต่าง ๆ นี้ กลับมีรอยเท้าเป็นทางชัดเจนให้เห็น– บางรอยใหญ่บางรอยเล็ก บ้างก็เท้าเปล่าและบ้างก็ใส่รองเท้า ไม่ว่าอย่างไร มันก็ชัดเจนว่าพวกเขามีกันมากกว่าหนึ่งคน

“ตอนที่ฉันมาที่นี่ครั้งสุดท้ายไม่ได้มีรอยเท้าเยอะขนาดนี้” เฉินเกอเพ่งมอง เขาพบว่ารอยเท้าทั้งหมดนั้นชี้ไปทางอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว “พวกเขาล้วนมุ่งหน้าไปที่อุโมงค์? มีอะไรในอุโมงค์ดึงดูดพวกเขากันนะ?”

เฉินเกอนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ในอุโมงค์ แต่เขารู้ว่าหลังจากที่เงานั่นปรากฏตัวขึ้นที่นี่ อุโมงค์ก็จะต่างไปจากก่อนหน้า ล้อรถบดไปบนใบไม้และกิ่งไม้ที่ร่วงหล่น เกิดเสียงน่ากลัว ไฟหน้ารถส่องสว่าง ปรากฏกรอบเงาใหญ่โต แสงทั้งหมดหายวับไปเมื่อกระทบกับกรอบเงานั่น

“ถ้ำมังกรขาว!” สถานที่ต้องห้ามในตำนานท้องถิ่นทั้งหมดปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และเปลือกตาของคนขับรถก็กระตุกไม่หยุด ขาของเขาสั่น และร่างกายของเขาก็ส่งข้อความบอกเขาว่าถึงเวลาหันหลังกลับวิ่งหนีแล้ว

“พวกเรามาถึงแล้ว” แท็กซี่หยุดตรงหน้าอุโมงค์ แต่ผู้โดยสารที่ด้านในรถไม่มีที่ท่าจะลงจากรถ “พวกเรามาถึงอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวแล้ว ดังนั้นผมคิดว่าจะส่งพวกคุณที่นี่”

คนขับรถรู้สึกอยากถอยกลับแล้ว เขาผ่านเรื่องประหลาด ๆ มามากพอแล้วสำหรับหนึ่งคืน

“ผมน่ะไม่เป็นไร แต่ที่สำคัญก็พวกเขาสองคนแล้ว” เฉินเกอเอนตัวพิงเบาะและถ่ายน้ำหนักให้อยู่ในท่าที่สบายมากขึ้น มันยังพอมีเวลาก่อนจะถึงกำหนดเวลาภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบร้อน เฉินเกอนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่ยินดีเจรจา– แต่กับผู้โดยสารอีกสองคนนั้นคงพูดไม่ได้เช่นนี้

เด็กสาวเหลือบตามองขึ้นช้า ๆ และที่ระหว่างปอยผมยุ่งเหยิงก็มีดวงตาคู่หนึ่งที่ส่องประกายสีแดง เธอเลื่อนนิ้วของเธอไปตามหน้าต่างเกิดเสียงแหลมบาดหู มันเหมือนมีบางอย่างในอุโมงค์ที่ทำให้เธอคลั่งขึ้นมา

ท่าทางของเด็กชายเองก็ประหลาดไปเช่นกัน เขายังถือถุงพลาสติกสีดำเอาไว้ แต่สีหน้าไร้เดียงสาเดิม ๆ ของเขาตอนนี้บิดเบี้ยวจนจำไม่ได้

ยิ่งพวกเขาใกล้อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวมากเท่าใด ก็ยิ่งเห็นว่าพวกเขาดูผิดปกติไปมากเท่านั้น มันเหมือนกันว่าความอาฆาตแค้นในร่างของพวกเขานั้นพลุ่งพล่านขึ้นมาและพวกเขาก็ไม่สามารถกดมันเอาไว้ได้อีกต่อไป ผู้โดยสารทั้งสามคนไม่มีใครมีทีท่าจะลงจากรถ และนี่ก็ทำให้คนขับเริ่มตื่นตระหนก เขาขมวดคิ้วแน่นและดูจนปัญญา

พวกเขาบอกว่าคนดีมักได้ดี แต่ตอนนี้ทำไมกับฉันมันตรงกันข้ามล่ะ? คนขับรถบ่นอยู่ในใจ เขาหยุดรถ อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามของคนขับแท็กซี่ทุกคนในจิ่วเจียง ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะไม่ขับเข้าไปในอุโมงค์

ถึงจะนั่งอยู่ในรถ เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่พัดมาจากในอุโมงค์ เขาเหลือบตาขึ้นมอง อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นราวกับปากที่อ้ากว้างของสัตว์ร้ายสักตัวหนึ่ง และทุกคนที่เดินเข้าไปในนั้นก็จะถูกกลืนกินลงไปกระทั่งกระดูกก็หาไม่พบ

“ทำไมถึงหยุดล่ะ? คุณต้องไปข้างหน้าอีกสิ! บ้านของผมอยู่ข้างหน้านี่แล้ว ขับไปต่อสิ!” เด็กชายที่เบาะหลังออกปากเร่ง

“บ้านของเธออยู่ในอุโมงค์เหรอ?” พอได้ยินอย่างนั้น ความอยากอยู่ให้ห่างจากอุโมงค์ของคนขับก็เพิ่มมากขึ้น เด็กชายที่เบาะหลังดูคล้ายกับเหยื่อที่ในข่าว ก่อนหน้านี้ เขายังบอกด้วยว่าตัวเองกำลังหามือข้างหนึ่งอยู่ หากนี่ไม่ใช่เรื่องตลก อย่างนั้นตัวตนที่แท้จริงของเด็กชายนั้นก็ช่างน่าคิด

คนขับรถตระหนักได้ว่าเขากำลังอยู่ในอันตรายแบบไหน และเขาก็ไม่สนใจคำสั่งของเด็กชาย เขาคิดจะขับรถกลับออกไปจนกว่าจะถึงสถานีตำรวจ– ไม่ว่าที่ในรถของเขาจะเป็นคนหรือเป็นผี เขาก็จะส่งตัวทุกคนให้ตำรวจ นั่นเป็นความคิดที่ดี แต่เมื่อเขาติดเครื่องรถ ก็เกิดเรื่องผิดปกติขึ้น

เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์ทำงาน แต่ว่ารถไม่ยอมขยับ เขาพยายามอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดแล้ว เขาก็กลับทำให้แผงหน้าปัดรถดับไปเท่านั้น คราวนี้ คนขับรถตื่นตระหนกจริง ๆ แล้ว รถเสียอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเขาไม่รู้เลยว่ามีคนที่เป็นผีกี่คนในรถของเขา

“ไม่ต้องตื่นตกใจไป หน้าปัดรถแค่ดับไปเพราะว่าคุณพยายามติดเครื่องหลายครั้งเกินไป และแบตเตอรี่ก็เลยหมด เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ในเวลาอันคับขันที่สุดนี้ ถ้อยคำของเฉินเกอมอบความรู้สึกปลอดภัยที่คนขับรถต้องการที่สุดให้ เสียงของเฉินเกอนั้นทรงพลังและยังอบอุ่น และมันก็ช่วยให้คนขับรถสงบลงอย่างช้า ๆ

“ได้ คุณอยู่ในรถนะ ผมจะลงไปดู” คนขับรถวางมือที่มือจับประตูและกำลังจะก้าวออกไปตอนที่ได้ยินเสียงดังทึบเหมือนมีบางอย่างหนัก ๆ กระแทกลงมาที่หลังคารถ คนขับตกใจและเขาก็ดึงมือกลับตามสัญชาตญาณ แต่จากนั้นก็เกิดบางอย่างที่ประหลาดยิ่งกว่าขึ้น

รถเริ่มขยับโดยที่เขาไม่ได้แม้แต่จะแตะพวงมาลัยรถ และทิศทางที่มันมุ่งหน้าไปน่ะเหรอ? ถ้าไม่ใช่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวแล้วจะเป็นที่ไหนได้?

“ฉันยังไม่ได้สตาร์ทรถเลยทำไมมันถึงแล่นได้เองล่ะ? พวกเราต้องกระโดดลงแล้วนะ!” คนขับรถต้องการเปิดประตู แต่ตอนที่มือของเขาแตะลงที่มือจับประตู เสียงดังทึบ ๆ นั่นก็ดังมาอีกครั้ง คราวนี้ เสียงนั่งดังมาจากตรงหน้าคนขับ เขามองเห็นอย่างชัดเจน หลังจากเสียงหายไป บนกระจกหน้าตรงหน้าที่นั่งคนขับนั้นมีรอยฝ่ามือสีแดงเลือดรอยหนึ่งประทับอยู่

ดวงตาของเขาเปิดกว้าง จิตใจของคนขับรถว่างเปล่า เขาไม่รู้เลยว่ารอยฝ่ามือสีแดงนี่มาปรากฏบนกระจกอย่างกับใช้มายากลได้อย่างไร ก่อนที่เขาจะทันได้เข้าใจ เสียงนั่นก็ดังมาอีกครั้งแต่ว่าเป็นที่ด้านหลังรถ จากนั้นรถทั้งคันก็สั่น และรอยฝ่ามือเปื้อนเลือดก็ปรากฏขึ้นที่กระจกหลังมากขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” คราวนี้ กระทั่งเฉินเกอเองก็เริ่มหวาดหวั่นมาขึ้นมานิด ๆ ต่างไปจากคนขับ เขาใช้ดวงตาหยินหยาง เขาจึงมองเห็นได้ว่าตอนนี้รถนั้นถูก ‘คน’ ล้อมเอาไว้แล้ว และรอยฝ่ามือแต่ละรอยก็แทนวิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น

“ทำไมถึงมีวิญญาณมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่ปากอุโมงค์?” เฉินเกอนั่งอยู่ในรถ พลิกหน้าการ์ตูนและเปิดใช้เครื่องเล่นเทป ทำให้กลิ่นเลือดในรถนั้นรุนแรงมากขึ้น

รอยมือเลือดปรากฏขึ้นมากเท่าใด พวกมันก็ดูน่ากลัวขึ้นเท่านั้น มีพวกเขาคอยผลักและดัน รถก็ถูกส่งเข้าลึกไปในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวอย่างช้า ๆ

คนขับรถร้องขอความช่วยเหลืออย่างสิ้นหวังก็ไม่สามารถหยุดรถจากการถูกความมืดกลืนกินได้

เหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีใครคิดว่ามันจะกลายเป็นอย่างนี้ ตอนที่พวกเขารู้สึกตัว รถก็เข้าลึกมาในอุโมงค์แล้ว

ยางล้อรถนั้นเหมือนหมุนทับไปบนบางอย่างเพราะว่ารถนั้นเสียหลักไปเล็กน้อย รอยฝ่ามือปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ และเสียงเคาะถี่ ๆ ที่ทำให้เสียวสันหลังนั้นก็ก้องอยู่ในหูพวกเขา

คนที่สาม

หลังจากเด็กชายพูดอย่างนั้น อุณหภูมิในห้องโดยสารก็ลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง และใบหน้าของคนขับก็ซีดเผือด

“ขาดแค่มือข้างหนึ่ง?” คนขับคิดว่าเขาได้ยินผิด เขายากที่จะเชื่อว่าได้ยินอะไรแบบนั้นดังออกมาจากปากของเด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่ง ม่านตาของเขาสั่นระริก และเขาก็เหลือบมองไปยังโทรศัพท์ของเขา ข่าวไม่ได้มีรายละเอียดสาเหตุการตายของเด็ก– มันเพียงพูดถึงผ่าน ๆ ว่าเด็กชายถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด เพราะคำพูดเดียวของเด็กชาย บรรยากาศในรถก็เปลี่ยนไป

มือของคนขับรถที่กำพวงมาลัยรถอยู่นั้นลื่นไปด้วยเหงื่อ ผู้หญิงที่นั่งข้างเขายังเงียบอยู่ และเด็กชายที่เบาะหลังก็กำถุงพลาสติกสีดำไว้แน่น ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มที่ไม่เข้ากับอายุของเขาแปะเอาไว้

ใน ‘คน’ น้อยนิดในรถ มีแค่เฉินเกอที่เรียกได้ว่าปกติ เขาดูเหมือนเป็นคนเดียวที่ควบคุมทุกอย่างไว้แล้ว เขาขยับเข้าไปใกล้เด็กชาย เสียงของเขานุ่มนวลและอบอุ่น แต่สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นทำให้คนขับรถหลั่งเหงื่อเย็น ๆ ออกมาอีก

“เธอขาดแค่มือข้างหนึ่งเหรอ? นั่นหมายความว่าชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่เธอพบอยู่ในถุงพลาสติกนี่ทั้งหมดเลย?” เฉินเกอชี้ไปยังถุงป่อง ๆ “เธอให้ฉันดูข้างในหน่อยได้ไหม? และถ้าเธออยากได้ความช่วยเหลือ ฉันช่วยเธอหาชิ้นที่เหลือได้นะหลังจากที่พวกเราลงจากรถแล้ว”

“ไม่จำเป็น” เห็นเฉินเกอเปลี่ยนเป้าหมายไปทางถุงสีดำ รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กชายก็หายไปอย่างช้า ๆ

“อันที่จริง พวกเราก็ไม่ได้ต่างกันนัก เธอกับฉัน พวกเราทั้งคู่กำลังมองหาบางอย่าง” เฉินเกอหยิบกระเป๋าของเขาขึ้นมา แต่กระเป๋านั้นดูจะใหญ่กว่าของเด็กชาย

“คุณก็กำลังหาบางอย่างเหรอ?” เด็กชายได้กลิ่นเลือดจาง ๆ จากในกระเป๋าเฉินเกอ และเขาก็พบว่าสิ่งนั้นดูจะอันตราย มันต่างไปจากสิ่งที่เขาคิดเอาไว้ก่อนที่จะเข้ามาในรถ “คุณกำลังมองหาอะไร?”

“อันที่จริง สิ่งที่ฉันกำลังมองหาน่ะอยู่ในรถกับฉันแล้ว เมื่อถึงเวลา ฉันจะยัดพวกมันทั้งหมดเข้าไปในกระเป๋าของฉัน”

เฉินเกอเล่นบทคุณลุงแปลกหน้าหลอกให้เด็กชายกลัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันเป็นเรื่องล้อเล่นของคนโต ๆ ที่เล่นกับเด็กน้อยไร้เดียงสา แต่เด็กชายที่ข้าง ๆ เขากลับไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว นี่เป็นเพราะเด็กชายรู้ว่าเฉินเกอนั้นพูดจริงจัง

“พวกเขาทั้งหมด?” ต่างจากเด็กชาย คนขับรถได้ยินที่เฉินเกอพูดและเกือบจะเหยียบคันเร่งแทนเบรก เกือบจะขับไปชนต้นไม้เข้าแล้ว เขาคิดว่าเฉินเกอหมายถึงว่าเขาจะฆ่าทุกคนในรถ และจากนั้นก็ยัดชิ้นส่วนร่างกายของพวกเขาเข้าไปในกระเป๋านั่น

เขาไม่สามารถตามปกป้องผู้โดยสารที่เบาะหลังของเขาได้ ดังนั้นจึงมีเพียงผู้โดยสารคนเดียวที่คนขับรถปกป้องได้ ก็คือเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างเขา จากมุมมองของเขา เด็กสาวนั้นทั้งนุ่มนวลและน่าสงสาร และถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น เขาตัดสินใจจะพาเด็กสาววิ่งหนี ถ้าอย่างนั้น อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถดูแลกันได้

สถานการณ์กำลังจะเลวร้ายลง ทั้งหมดที่ฉันทำได้ตอนนี้ก็คือช่วยคนให้มากที่สุดเท่าที่ฉันทำได้ขณะดูแลความปลอดภัยของตัวเองไปด้วย! คนขับรถตัดสินใจเงียบ ๆ เขาแอบมองไปยังเด็กสาวข้าง ๆ เขา เด็กสาวดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงปัญหาเช่นกัน และเธอก็แตะปลายนิ้วลงที่เข่าของคนขับรถ

เฉินเกอนั้นไม่รู้ว่าเขากำลังเล่นบทอะไรอยู่ในใจคนขับรถ สมาธิทั้งหมดของเขาอยู่ที่เด็กชายที่ข้างตัวเขา ในเมื่อพวกเขาได้มีโอกาสพบกัน เขาก็คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ เขาวางแผนจะเชิญ ‘คน’ ทั้งหมดนี้ไปเป็นแขกของเขาที่บ้านผีสิง

รถแท็กซี่ยังเคลื่อนไปตามถนนอีกพักหนึ่ง และไม่ช้ามันก็ไปถึงสามแยกตัวที ถนนสายหนึ่งนั้นจะนำพวกเขาออกจากจิ่วเจียงไปยังเขตอื่นขณะที่ถนนอีกสายนั้นจะพาพวกเขาไปยังอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว

“อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว?” คนจิ่วเจียงล้วนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นรอบ ๆ อุโมงค์นั่น สถานที่ซึ่งคือถนนสาธารณะต้องสาป อุบัติเหตุจากรถยนต์เกิดขึ้นที่นั่นบ่อยราวกับเม็ดฝนและเรื่องผีมากมายรวมทั้งตำนานท้องถิ่นก็มีที่นั่นเป็นฉากหลังหรือเป็นจุดกำเนิด

ใบหน้าของคนขับซีดขาว เขาบังคับตัวเองให้สงบลง เขาหันกลับไปถามเด็กชายที่ถือถุงอยู่ “เด็กน้อย เธอยังจำได้ไหมว่าบ้านเธอไปทางไหน?”

เด็กชายไม่ชอบที่ต้องอยู่ข้าง ๆ เฉินเกอ เขาเพยิดคางไปยังทิศทางของอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวสีหน้านิ่งเฉย

“บ้านของเธอก็อยู่ทางนั้นเหมือนกัน? ดูเหมือนว่าเธอสองคนจะมาจากหมู่บ้านเดียวกันจริง ๆ” คนขับรถพยายามหาข้ออ้างอันมีเหตุผลที่จะอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดนี้เพื่อให้ตัวเองสบายใจ เขาเค้นรอยยิ้มออกมาขณะหันไปหาเฉินเกอ “แล้วคุณล่ะ?”

“ผมก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน แต่ผมแนะนำให้คุณหยุดรถที่นี่และหันหลังกลับเสียตอนนี้ ให้พวกเขาสองคนลงจากรถและขับพาผมกลับไปยังจุดที่คุณรับเด็กสาวคนนี้ขึ้นมา” เฉินเกอต้องการปกป้องคนขับรถเอาไว้ ถ้าเขาลงจากรถพร้อมกับผู้หญิงและเด็กชายและให้คนขับรถกลับไปคนเดียว อย่างนั้นระหว่างทางกลับ ผู้ชายคนนี้ก็อาจจะเจอกับอุบัติเหตุอื่นได้ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัย เฉินเกอจึงอาสาไปส่งเขา

แต่ว่า คนขับรถไม่เห็นด้วยกับวิธีนั้น เขารู้สึกถึงอันตรายจากเฉินเกอ และเขาก็คิดว่าเฉินเกอพยายามให้เขาต้องอยู่คนเดียวเพื่อที่จะลงมือได้ ยิ่งคนขับรถคิดเรื่องนี้เขาก็ยิ่งหวาดกลัว เฉินเกอนั้นขึ้นรถแท็กซี่มาคนเดียวในตอนกลางคืน จะไปที่ไหนก็ไม่รู้พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่มีกลิ่นเลือดลอยออกมา สิ่งที่เฉินเกอทำนี้แทบจะเขียนเป็นเรื่องสยองขวัญได้เลย เขาเชื่อว่าเขารู้ว่าเฉินเกอกำลังวางแผนอะไรอยู่ และไม่มีทางที่เขาจะอยู่ในรถเพียงลำพังกับเฉินเกอ

“ผมไม่คิดอย่างนั้นะ ในเมื่อพวกคุณต้องการไปทางเดียวกัน ผมก็ควรขับไปส่งพวกคุณทุกคนที่นั่น” คนขับรถส่งตำแหน่งที่อยู่ผ่านทางข้อความไปยังห้องสนทนาของเพื่อนของเขา แต่การสื่อสารนั้นค่อนข้างแย่มากและเขาก็มองเห็นข้อความโหลดอยู่นานก่อนที่จะล้มเหลว เขาชะลอรถลงและพิมพ์อีกสองข้อความ แต่ก็ส่งออกไปไม่ได้เช่นกัน

รถของเขานั้นมีคนนั่งอยู่เต็ม แต่น่าแปลก คนขับไม่รู้สึกปลอดภัยเลยสักนิด เขาคิดถึงการโทรเรียกตำรวจ แต่เขาก็เกรงว่านี่อาจจะกลายเป็นล่วงเกินผู้โดยสารของเขาทำให้เขาลงมือทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล

ในตอนที่คนขับกำลังคิดว่าควรจะทำอย่างไรอยู่นั้น ชายชราคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่กลางถนน เขาเดินลงมาตามทางลาดชัน เดินตรงมาที่แยกตัวทีที่รถแท็กซี่จอดนิ่งอยู่นี้ เขาแบกตะกร้าเก็บสมุนไพรเอาไว้บนหลังขณะเดินกะเผลกลงมา เขาดูเหมือนจะเป็นคนเก็บสมุนไพรคนหนึ่ง พื้นที่ส่วนใหญ่ของจิ่วเจียงตะวันออกนั้นเป็นภูเขาและทะเลสาบ ดังนั้นเศรษฐกิจจึงไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าเพราะอย่างนั้น ธรรมชาติจึงยังไม่ถูกแตะต้องมากนัก และสมุนไพรล้ำค่ามากมายที่ไม่สามารถพบได้ที่อื่นก็เติบโตงามสะพรั่งที่นี่

ต่างไปจากพืชที่ปลูกในห้องทดลองหรือว่าในฟาร์ม สมุนไพรป่านั้นมีค่ากว่านั้นมาก และคนรุ่นเก่า ๆ ที่ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล ้ๆ นี้ก็อาศัยการเก็บสมุนไพรในการเลี้ยงชีพ

ชายชราดูจะกำลังกลับลงมาจากบนเขา ขาขวาของเขากะเผลก และเสื้อของเขาก็มีรอยขาดจากกิ่งไม้และพุ่มไม้เกี่ยว มีกระทั่งรอยเลือดเปรอะอยู่ที่ปลายขากางเกงของเขา

ตอนที่เขาเดินผ่านแท็กซี่ไป เขาก็มองเข้ามาในรถอย่างใจลอย แต่เมื่อเขาทำอย่างนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นอย่างช้า ๆ และจู่ ๆ เขาก็เร่งฝีเท้าออกไปจากบริเวณนี้ เห็นสีหน้าของชายชราแล้วคนขับรถก็ตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม

เขาลดกระจกรถลงอยากจะของความช่วยเหลือจากชายชรา แต่เมื่อเขาหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ชายชราขากะเผลกก็หายลับไปแล้ว

“ทำไมเขาถึงได้เดินเร็วอย่างนั้นทั้งที่ขากะเผลก?” คนขับรถตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อเขารู้สึกถึงความเย็นที่ลูบไล้อยู่บนหลังมือของเขา เขาหันกลับไปและเห็นผู้หญิงคนนั้นขยับมือของเธอมาวางไว้ตรงหลังแขนของเขา

“เกิดอะไรขึ้น?”

ผู้หญิงคนนั้นชี้ไปทางอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว เป็นท่าทีบอกให้เขาเริ่มขับไปได้แล้ว

ตอนที่คนขับรถเลี้ยวรถนั้น เฉินเกอก็พูดขึ้นมา “มีคนผ่านรถไปเหรอเมื่อครู่นี้? คุณคุยกับใครเหรอ?”

“มีชายชราขากะเผลกคนหนึ่ง เขาแบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนหลัง คุณไม่เห็นเขาเหรอ? เขายังหยุดมองเข้ามาในรถก่อนที่จะเร่งเท้าผ่านไป!” คนขับรถไม่สามารถหยุดความหวาดกลัวไม่ให้เข้าไปในน้ำเสียงของตนได้

เฉินเกอส่ายหน้า มีแค่กิ่งไม้ที่สั่นไหวและเงาของมันเท่านั้นที่นอกรถ เขาไม่เห็นชายชราที่ไหนทั้งนั้น

 

คุณกำลังหาอะไรอยู่?

คนขับรถไม่ได้ตกลงทันที เขาแอบหันมามองเฉินเกอด้วยดวงตาสงสัย จากมุมมองของเขา เฉินเกอคิดจะลงจากรถพร้อมเด็กสาวที่บาดเจ็บเพราะมีความคิดไม่ดีแอบแฝงอยู่ แต่เฉินเกอก็ดูเป็นคนที่เชื่อถือได้อยู่เหมือนกัน– เขาดูสดใสเหมือนพระอาทิตย์ ใจดี และยังสุภาพ แต่ว่า กระเป๋าใบใหญ่ที่เขาแบกมาด้วยนั้นทำให้คนขับรถรู้สึกไม่ดี และตอนนี้ เขายังได้กลิ่นเลือดจาง ๆ ลอยออกมาจากในนั้น

นี่ฉันมาส่งคนร้ายหรือเปล่าเนี่ย? คนขับรถลังเลก่อนที่จะสตาร์ตรถ “ได้ครับ”

แท็กซี่แล่นต่อไป และคนขับก็ยังพูดกับอากาศขณะที่ผู้โดยสารทั้งสองคนในรถไม่สนใจเขา เฉินเกอจับตามองผู้หญิงตรงที่นั่งผู้โดยสาร เขาใช้ดวงตาหยินหยางกวาดมองเธอ แต่กลับไม่เห็นอะไรแปลกเกี่ยวกับตัวเธอ ผู้หญิงคนนี้ดูจะรู้ว่าเฉินเกอกำลังจับตามองเธออยู่ และในกระจกมองหลัง มุมปากของเธอก็เริ่มขยับยกขึ้นด้านบน รอยยิ้มนั้นรวมกับผิวขาวซีดของเธอทำให้เฉินเกอขนแขนลุกชัน

ยิ้มเข้าไว้เถอะ พวกเราค่อยมาดูกันว่าเธอยังรักษารอยยิ้มนั่นเอาไว้ได้ตอนที่เราไปถึงปลายทาง เฉินเกอคำรามอยู่ในใจ เขาไม่รู้ว่าเด็กสาวกำลังจะไปที่ไหน แต่ในเมื่อเขา ‘โชคดี’ ที่ได้พบเธอเข้า เขาก็จะไปเป็นเพื่อนเธอในการเดินทางครั้งสุดท้ายนี้

ไฟถนนสลัวลง และต้นไม้ริมถนนก็สั่นไหวไปตามสายลม กิ่งไม้ตะปุ่มตะป่ำก่อเกิดเงาบนพื้น สร้างบรรยากาศของค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความสยองขวัญ

คนขับรถยังพูดกับตัวเองต่อ จากมุมมองของเฉินเกอแล้ว มันเหมือนเขากำลังคุยกับเด็กสาวอย่างสนุกสนาน แต่อันที่จริง เด็กสาวไม่ได้พูดอะไรสักคำตั้งแต่เข้ามาในรถ ในบรรยากาศประหลาดเช่นนี้ รถแท็กซี่ก็ยังขับต่อไปอีกหลายร้อยเมตรก่อนที่จู่ ๆ คนขับจะเหยียบเบรก รถหยุด และเพราะความเฉื่อย หัวของเฉินเกอก็แทบจะชนเข้ากับหลังเบาะที่เด็กสาวนั่งอยู่

มือหนึ่งอยู่ในกระเป๋า ส่วนอีกมือจับมือจับประตูรถเอาไว้ เฉินเกอถาม “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”

ถ้าหากมีอันตรายอะไร เขาก็สามารถทุบล็อกแล้วกระโดดออกไปได้ทันที

“มีเด็กอยู่บนถนน” คนขับรถตัวสั่นเหงื่อเย็นหลั่งไหลขณะที่เขาชี้ไปที่ถนน ที่ทางแยกด้านซ้ายของถนนมีเด็กชายคนหนึ่งถือถุงพลาสติกสีดำอยู่ เขาดูอายุราวแปดหรือเก้าขวบและยังสวมเสื้อสีขาวเก่าซีด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและหวาดกลัวเหมือนตกใจจากรถแท็กซี่ที่แล่นเข้ามา

“ทำไมถึงมีเด็กอยู่ที่นี่ได้?” คนขับรถเปิดกระจกแล้วกำลังจะชะโงกหน้าออกไปตอนที่เฉินเกอที่ด้านหลังจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา “ผมแนะนำให้คุณอย่าหยุดรถที่นี่”

“คุณกลัวว่านี่จะเป็นการหลอกลวงเหรอ?” คนขับพยักหน้า “ผมอ่านเรื่องนี้ในข่าวมาเหมือนกัน ผู้ใหญ่จงใจให้เด็กเล่นอยู่ริมถนน แล้วพอรถขับผ่านไป เด็กก็จะตกใจ แล้วผู้ใหญ่ก็จะกระโจนออกมาเรียกร้องค่าเชยที่ทำให้เด็กตกใจกลัว ดังนั้นต่อให้มีกล้องติดรถ มันก็ยากที่จะชี้แจงความบริสุทธิ์ นี่เกิดขึ้นหลายครั้งแล้วในข่าว”

“การหลอกลวงพวกนั้นต้องการเงินของคุณ แต่ผมเกรงว่า ที่คุณเจอนี่จะต้องการชีวิตของคุณ” เฉินเกอพึมพำเบา ๆ เขาสงสัยนักว่าทำไมคนขับรถนี่ถึงได้ดึงดูดพวกผีนัก เพราะว่าเขาเจอกับเรื่องบังเอิญมากมายก่อนที่จะไปถึงอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้น เฉินเกอจึงใช้ดวงตาหยินหยางมองคนขับรถ และผลก็คือเขาเป็นแค่คนธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น

“ถ้ามีคนขับไม่ได้มีปัญหาอะไร อย่างนั้นก็คงเป็นฉันแล้ว” เฉินเกอนึกถึงที่เจียหมิงถูกเงานั่นควบคุมให้มาหมดสติอยู่ที่ด้านนอกอุโมงค์ และไม่มีใครรู้ว่าเงานั่นทำอะไรในคืนนั้นที่ในอุโมงค์ “เป็นไปได้ไหมว่านี่คือส่วนหนึ่งของกับดักของเงานั่น?”

ตอนที่เฉินเกอกำลังคิด เขาก็ได้ยินเสียงเคาะกระจกข้าง ๆ ตัว เขาหันไปมอง และใบหน้าของเด็กคนนั้นก็แทบจะติดอยู่กับหน้าเขา ผ่านกระจกรถ รอยยิ้มหนึ่งปรากฏบนใบหน้าซีดของเด็กชาย เขาโน้มตัวเข้ามาเหมือนกำลังมองเข้ามาในรถ

“เธอกำลังมองหาอะไรเหรอ?” เฉินเกอเองก็ยิ้มตอบ มือของเขานั้นอยู่บนด้ามค้อน เขาค่อย ๆ ดึงมันมาที่ปากกระเป๋า นี่เป็นภาพอันน่าประหลาด ผีที่ด้านนอกรถนั้นมีเจตนาชั่วร้ายขณะที่คนในรถนั้นก็มีแรงจูงใจของตัวเองเก็บงำเอาไว้เช่นกัน

เด็กชายใช้มือเล็ก ๆ เคาะกระจกซ้ำ ๆ ทิ้งรอยฝ่ามือเอาไว้ ฝ่ามือของเด็กชายนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นสีแดง และเขาก็ละเลงกระจกรถที่เดิมสะอาดให้เละเทะอย่างรวดเร็ว ใบหน้าซีดของเด็กชายนั้นผลุบโผล่ตามรอยมือ และมันก็ดูน่ากลัวทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้คนขับรถกังวลที่สุดก็คือผู้โดยสารที่เบาะด้านหลัง เขาดูเหมือนจะมีบางอย่างในกระเป๋าอยู่ในมือขณะที่ยิ้มให้เด็กชายที่ข้างนอก– ทั้งสองคนดูเหมือนกำลังเล่นเกมอะไรอยู่

“เอ่อ…” คนขับรถอยากจะผ่อนบรรยากาศ แต่หลังจากที่เขาอ้าปากขึ้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“แค่ขับรถไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องสนใจเด็กประหลาดคนนี้”

“นั่นไม่ดีมั้ง?” คนขับรถลังเล มันไม่ใช่ว่าเขาใจดี แต่เขากังวลว่าพอออกรถแล้วจะไปเหยียบเด็กชายเข้าและถ้าเขาถูกล้อรถเหยียบ อย่างนั้นเรื่องก็จะเลวร้ายขึ้นแล้ว บางทีอาจจะเพราะได้ยินที่เฉินเกอพูด เด็กชายเริ่มทุบแรงขึ้นและรอยมือก็ปรากฏบนกระจกมากขึ้น

“ได้ เคาะต่อสิ ถ้าแกกล้าก็ทุบกระจกเลย” เฉินเกอดูเหมือนจะกำลังแข่งกับเด็กชาย เขายิ้มให้เด็กชายด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยการท้าทาย

“เกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย?” คนขับรถพูดไม่ออก เขาบ่นอยู่ในใจ นี่ไม่ใช่รถคุณด้วยซ้ำ ถ้าเขาทำกระจกแตกจริง ๆ คุณจะจ่ายค่าซ่อมให้ผมเหรอ?

เขากระแอมแล้วถามผู้หญิงที่ที่นั่งผู้โดยสาร “คุณรู้จักเด็กคนนี้ไหม? เขามาจากหมู่บ้านใกล้ ๆ นี่เหมือนกันหรือเปล่า?”

ตอนที่เขาเจอผีตนหนึ่ง เขายังจะถามความเห็นของผีอีกตัว เฉินเกอดูเหมือนจะเห็นเงาของตัวเองบนตัวคนขับรถคนนี้ แต่เขาก็ไม่พูดอะไร และสีหน้าของเขาก็ไม่เปลี่ยน ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้พูดสักคำ แต่ว่าคนขับรถเอาแต่พยักหน้าเหมือนถูกโน้มน้าวช้า ๆ

เขาโบกมือให้เด็กชายที่นอกรถและหลังจากลังเลเล็กน้อย เขาก็เปิดประตูรถ “เข้ามาสิ ในเมื่อเธอสองคนกำลังไปที่เดียวกัน ฉันก็รับเธอไปด้วยแล้วกัน”

ประตูหลังเปิดออกและเด็กชายก็กระโดดเข้ามาในรถพร้อมกับถุงพลาสติกสีดำ เขานั่งข้าง ๆ เฉินเกอและยังแข่งจ้องตากันต่อ

“เธอชื่ออะไร? เธอจำเบอร์โทรศัพท์ของพ่อกับแม่ได้หรือเปล่า?” คนขับรถติดเครื่องรถและถามเด็กชายด้วยคำถามพื้นฐาน เขารออยู่ครู่หนึ่งแต่ว่าไม่มีการตอบสนอง คนขับรถหันมามองและเห็นเด็กชายนั้นกำลังจ้องตาอยู่กับเฉินเกอ เขาไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนกำลังทำอะไรอยู่

“บ้าชะมัด ฉันไม่สนใจแล้วถ้างั้น” คนขับรถยอมแพ้ เขาวางโทรศัพท์ของตัวเองลงที่หน้ารถตำแหน่งที่เขาเอื้อมถึงได้ง่าย ๆ เขาเคาะระบบวิทยุสื่อสารแล้วพูดคุยกับคนขับรถคนอื่น ๆ “มีใครอยู่ในจิ่วเจียงตะวันออกไหม? คืนนี้ที่นี่มีงานให้ทำเยอะเลยนะ”

ในใจเขานั้นอันที่จริงค่อนข้างตื่นกลัวและอยากจะหาคนธรรมดา ๆ มาพูดคุยด้วย

ไม่ช้า ก็มีลุงคนหนึ่งตอบกลับมา “นี่แกยังกล้าไปที่จิ่วเจียงตะวันออกอีกเหรอ? คนขับรถส่วนใหญ่ที่ไปที่นั่นในช่วงเดือนนี้กลับมาพร้อมกับการบาดเจ็บ และฉันยังได้ยินว่ามีบางคนถูกพบหมดสติอยู่ในที่นั่งคนขับด้วย”

ลุงคนนั้นดูเหมือนจะเป็นเพื่อนสนิทของคนขับและพวกเขาก็มักจะล้อเล่นกับอีกฝ่าย “เลิกหลอกฉันน่า แกก็รู้ว่าฉันขี้กลัว”

“ใครหลอกแก? ฉันพูดจริง จิ่วเจียงตะวันออกไม่ปลอดภัย ไม่เชื่อก็ดูข่าวเองสิ”

“ข่าวอะไร? แกก็รู้ว่าฉันกำลังขับรถอยู่”

“ฉันแค่เตือนแก อันที่จริง ตำรวจพบ…” การสื่อสารถูกตัดกะทันหันก่อนที่ลุงคนนั้นจะพูดจบประโยค

“พบอะไร?” คนขับเคาะวิทยุสื่อสาร “ทำไมมันถึงมาเสียในเวลาแบบนี้กัน?”

ตอนแรกเขาไม่ได้รู้สึกกลัวมากนัก แต่หลังจากได้ฟังสิ่งที่ลุงคนนั้นพูด คนขับก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ เขาชะลอรถลงและดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาค้นหาเร็ว ๆ ครั้งหนึ่ง

ช่วงหลังมานี้ในจิ่วเจียงตะวันออกมีหลายคดีจริง ๆ ด้วย เขากวาดตามองทั้งหมดนั้นแล้วสายตาของเขาก็ตรึงอยู่กับข่าวหนึ่ง เด็กคนหนึ่งหนีออกจากบ้านพ่อเลี้ยงของเขาและร่างของเขาก็ถูกพบที่ถนนหลินเจียงจิ่วเจียงตะวันออก

“เดี๋ยวนะ ตอนนี้ฉันกำลังขับรถอยู่บนถนนหลินเจียงใช่ไหม?” คนขับแตะเปิดข่าวนั้นและรูปของเหยื่อก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นตา “เด็กชายคนนี้…”

เขาตัวแข็ง คนขับรถเงยหน้าขึ้นช้า ๆ และแอบมองไปยังเด็กชายที่นั่งอยู่ด้านหลังผ่านกระจกมองหลัง

เฉินเกอนั้นเบียดอยู่ข้างเด็กชาย และเขาก็เอนตัวเข้าไปใกล้กับถุงพลาสติกสีดำที่เด็กชายจับแน่น “มีอะไรอยู่ในถุงนั่นเหรอ? ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังหาบางอย่างอยู่ก่อนที่จะขึ้นรถมา”

เด็กชายยิ้มให้เฉินเกอแล้วพูดขึ้นหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “ผมหาเจอเกือบครบแล้ว ผมขาดแค่มือข้างหนึ่งเท่านั้น”

 

 

แขกที่ไม่ต้องการ

“เข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของอุโมงค์ก่อนเที่ยงคืน ดังนั้น นี่ก็หมายความว่าฉันแค่ต้องเดินเข้าไปในอุโมงค์งั้นเหรอ?” เงื่อนไขของภารกิจนั้นคลุมเครือเกินกว่าที่เฉินเกอจะเข้าใจได้ไปสักนิด หากเขาทำภารกิจทดลองล้มเหลว บทลงโทษก็คือฉากของภารกิจนั้นก็จะถูกล็อกเอาไว้ไปตลอดกาล ดังนั้นเฉินเกอจึงไม่กล้าเสี่ยงอะไรทั้งนั้น “สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ก็คือเดินเข้าไปในอุโมงค์ให้ลึกเท่าที่จะทำได้”

เฉินเกอนั้นได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวมาก่อนแล้ว ทุกอย่างบนออนไลน์นั้นดูจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์คนนั้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง คนส่วนใหญ่รู้แค่ว่าผีผู้หญิงเอาแต่ทวงถามชีวิต เฉินเกอนั้นไม่สามารถหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณตนอื่น ๆ อย่างเสียงลมหายใจประหลาด เงาของแมงมุม หรืออะไรอย่างนั้นได้บนอินเตอร์เนตเลย

“ฉันต้องไปที่นั่นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน” เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ต่อเนื่องกันในอุโมงค์ถ้ำมังกรขาว ผู้เชี่ยวชาญหลายคนจึงได้เข้าไปทำการปรับปรุงโครงสร้าง แต่ก็น่าแปลก ไม่ว่าจะแก้ไขกันอีกกี่ครั้ง เมื่อเปิดใช้งาน ก็มักจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น และในที่สุด ทางแก้เดียวก็คือปิดทั้งอุโมงค์นั่นลง

ในอินเตอร์เนตบอกว่าอุโมงค์นั่นได้รับการแก้ไขสามครั้งใหญ่ และยังมีการแก้ไขเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกหลายต่อหลายครั้ง มีคนแนะนำให้ผสมเลือดสุนัขกับกีบของลาสีดำเข้าไปในผนังและพื้นของอุโมงค์ แต่นั่นก็ไม่ได้ยืนยันว่าจะใช้ได้ผลจริง ๆ ด้านในอุโมงค์นั้นซับซ้อน และเฉินเกอก็ไม่กล้าทำอะไรโดยประมาท

เขาแบกกระเป๋าเอาไว้ ปิดล็อกบ้านผีสิง เฉินเกอรีบออกจากสวนสนุกนิวเซนจูรี่และโบกแท็กซี่เพื่อไปที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว จากประสบการณ์ก่อนหน้า เฉินเกอไม่ได้บอกคนขับรถโดยตรงว่าเขากำลังจะไปถ้ำมังกรขาวแต่บอกให้คนขับรถส่งเขาที่ทางแยกใกล้กับอุโมงค์

จุดประสงค์ดั้งเดิมของอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวก็คือเพื่อเชื่อมจิ่วเจียงกับเมืองซินไห่ จิ่วเจียงนั้นล้อมรอบด้วยทะเลสาบและเทือกเขา ดังนั้นเพื่อเศรษฐกิจของเมืองแล้ว เส้นทางขนส่งจึงจำเป็น โชคร้าย อุบัติเหตุคอยแต่จะเกิดขึ้นบนถนนเส้นนี้

คนเก่าคนแก่ในจิ่วเจียงบางคนบอกว่าทะเลสาบจิ่วเจียงนั้นมีเฟิงฉุยเป็นเก้ามังกรเล่นลูกแก้ว ดังนั้นการตัดถนนผ่านภูเขาของจิ่วเจียงจึงทำให้พลังดีของเฟิงฉุยรั่วไหล และมันก็ไม่น่าแปลกใจที่คอยแต่จะเกิดอุบัติเหตุแปลก ๆ ขึ้นบนถนนเส้นนั้น ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ในตอนแรก แต่อุบัติเหตุประหลาดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องก็เริ่มเปลี่ยนความคิดผู้คน พวกเบื้องบนในที่สุดก็เปลี่ยนใจและปิดอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวลง

ราตรีปกคลุมจิ่วเจียง ตอนที่แท็กซี่ขับมาถึงจิ่วเจียงตะวันออก บนถนนก็มีรถน้อยลง และจำนวนของตึกสูงระฟ้าก็ลดลงด้วยเหมือนกัน บ้านที่ตามริมถนนก็ดูทรุดโทรมและเก่า

คนขับรถนั้นมีอัธยาศัยดี เขาชวนเฉินเกอคุยตลอดทาง อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นอยู่ที่ชานเมืองและก่อนที่จะไปถึงจุดหมาย รถหลายคันก็จอดนิ่งอยู่บนถนน

บนถนนแคบ ๆ แสงไฟถนนแต่ละต้นนั้นห่างกันมาก บางทีคงเพราะถนนนี้ไม่ค่อยได้ใช้งาน รัฐบาลจึงไม่ได้สนใจบำรุงรักษามันนัก ขยะเกลื่อนเต็มถนนและแสงไฟถนนหลายต้นก็ใช้การไม่ได้

“ผมเกลียดการขับรถมาที่จิ่วเจียงตะวันออก คนที่นี่เกลียดคนนอกและยังมีนิสัยชอบทิ้งขยะลงบนถนน กับคนขับมีประสบการณ์อย่างผมมันก็ไม่เท่าไหร่ แต่กับพวกมือใหม่นี่มักจะเกิดอุบัติเหตุเวลามาที่นี่” คนขับรถบ่นตามปกติ

“ขยะน่าจะไม่ใช่คนท้องที่ทำนะ” เฉินเกอเคยมาที่ชานเมืองจิ่วเจียงตะวันออกหลายครั้งแล้ว และทุกครั้ง ความรู้สึกที่เขาได้จากที่นี่ก็คือมนุษย์เป็น ๆ ควรจะอยู่ให้ไกลจากที่นี่

ยิ่งแท็กซี่เข้าใกล้อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว สภาพพื้นที่ก็ยิ่งดูกันดาร รอบด้านนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้และพุ่มไม้สลับกับบ้านเรือนและแสงไฟเป็นครั้งคราว

“คุณส่งผมที่นี่ก็ได้” เฉินเกอไม่ต้องการให้คนขับแท็กซี่ได้รับอันตราย ระยะที่เหลือนั้นเขาตัดสินใจจะเดินไปเอง อย่างไรเสีย นี่ก็ยังหัวค่ำมาก

“คุณแน่ใจเหรอ? ตรงนี้มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่เงาคนที่ใกล้ ๆ นี่” คนขับรถพูดอย่างนั้น แต่ว่าเขาก็ยินดีรับค่าโดยสารจากเฉินเกอแล้ว เขาส่งกระดาษที่มี QR code ของกระเป๋าตังค์ในวีแชทของเขาให้เฉินเกอ

เฉินเกอรู้ว่าผู้ชายคนนี้ก็แค่เป็นคนสุภาพเท่านั้น หลังจากเขาจ่ายเงินและเตรียมตัวลงจากรถ จู่ ๆ คนขับรถก็พูด “ทำไมถึงมีผู้หญิงอยู่ตรงนั้น?”

เฉินเกอมองตามสายตาของคนขับรถไปแล้วก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งยอง ๆ อยู่หน้าบ้านพักเก่า ๆ ที่ด้านซ้ายของถนน เธอสวมรองเท้าข้างเดียว และเสื้อผ้าที่ด้านหนึ่งของเธอก็ฉีกขาด เธอนั่งอยู่หน้าบ้านก้มหัวต่ำเหมือนกำลังหาอะไรอยู่

คนขับรถลดกระจกหน้าต่างลงแล้วยื่นหน้าออกไป ผู้หญิงคนนั้นดูเปราะบางและอ่อนแอ แขนของเธอผอมเหมือนกิ่งไม้ ชุดกระโปรงลายทางสีขาวเหลืองนั้นยับยู่ยี่เหมือนมีคนขยำมัน

“เฮ้! ทำไมคุณมาอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ?” คนขับรถไม่ถามความเห็นเฉินเกอและร้องเรียกออกไปตรง ๆ ผู้หญิงคนนั้นได้ยินคนขับและเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ม่านผมสีดำแยกออกเผยให้เห็นใบหน้าซีด ๆ เธอดูปกติ แต่อย่างที่เขาว่ากัน สีขาวสามารถปกปิดความน่ารังเกียจเป็นร้อย ๆ แบบได้ เธอมีความเย้ายวนของตัวเอง

ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้พูด แต่ว่าลุกขึ้นยืนช้า ๆ เธอเดินตรงมาทางแท็กซี่โดยไม่พูดอะไรสักคำ ด้านข้างของชุดของเธอนั้นขาด และชุดเองก็เต็มไปด้วยฝุ่นและใบไม้แห้ง มีแผลบนน่องทั้งสองข้างของเธอแต่น่าแปลก ไม่มีแผลไหนมีเลือดออก

“สมองของเด็กคนนั้นมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” เมื่อคนธรรมดาเจอกับอะไรเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้คิดถึงผีในทันที คนขับรถก็เป็นคนธรรมดาเช่นนั้น

หน้าต่างรถถูกเคาะเป็นจังหวะ ผู้หญิงคนนั้นมาถึงข้างแท็กซี่ในไม่ช้า เธอใช้ฝ่ามือของเธอเคาะลงบนหน้าต่าง ใบหน้าไร้ความรู้สึก

หากนี่เกิดขึ้นกับคนทั่วไป พวกเขาย่อมรู้สึกไม่ค่อยดี แต่การกระทำของคนขับรถนั้นค่อนข้างแปลก เขายิ้มให้ผู้หญิงที่ด้านนอกและเหมือนเขากำลังพูดกับตัวเองต่อ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว ผมจะพาคุณกลับบ้าน”

จากนั้นเขาก็เปิดประตูรถ และผู้หญิงคนนั้นก็ขยับเข้ามานั่งในที่นั่งผู้โดยสาร

“เกิดอะไรขึ้น?” เฉินเกอยังนั่งอยู่ที่ด้านหลัง และเขาก็หันไปมองที่ด้านหน้า

ผู้หญิงคนนั้นก้มหน้าต่ำเมื่อเข้ามาในรถ เธอไม่พูดอะไรสักคน แต่ว่าคนขับรถนั้นพูดไม่หยุด มันเหมือนเขากำลังคุยกับดินฟ้าอากาศและมันก็น่าประหลาดมาก

“คุณแต่งงานแล้ว?”

“การใช้ความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องที่ต้องทน ถ้ามันเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว มันก็จะเกิดขึ้นอีก ไอ้ชั่วนั่นไม่ควรได้รับการอภัย”

“ผมเข้าใจว่าทำไมคุณถึงหนีออกจากบ้าน คุณน่าสงสารชะมัด”

“คุณคิดจะหนีไปบ้านพ่อแม่คุณเหรอ? ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ ไม่มีปัญหา”

เฉินเกอไม่สามารถทนให้คนบริสุทธิ์ถูกทำร้ายได้ เขาดึงเอาปากกาลูกลื่นออกมาจากกระเป๋าแล้วทิ้งข้อความเอาไว้ที่ด้านหลังกระดาษที่มี QR code นั่น– ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นเหมือนที่เห็น

จากนั้น เขาก็ส่งกระดาษกลับไปให้คนขับรถ “คุณ โค้ดนี่มันใช้ไม่ได้! ลองดูหน่อยสิว่ากระดาษนี่มันมีอะไรผิดไปหรือเปล่า”

“ฮึ? มันน่าจะใช้ได้นี่” คนขับรถจ้องกระดาษอยู่นานแต่กลับไม่ยอมพลิกด้านมันไปมา “คุณใช้แอพอื่นจ่ายเงินได้ไหมล่ะ?”

จากนั้นเขาก็ดึงกระดาษแผ่นอื่นออกมาแล้วส่งให้เฉินเกอ

เฉินเกอไม่รับกระดาษ เขามองไปยังที่นั่งผู้โดยสาร “คุณจะส่งเด็กคนนี้กลับบ้านเหรอ? บ้านของเธออยู่ที่ไหนล่ะ? บางทีพวกเราอาจจะไปทางเดียวกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะจ่ายค่าโดยสารของเราสองคนเอง”

คนขับรถเห็นที่เขาพูดมีเหตุผล “เธออาศัยอยู่ที่หมู่บ้านใกล้ ๆ นี่ มันลึกเข้าไป แต่ที่นั่นน่ะกันดารกว่า ผมไม่คิดว่าคุณจะไปที่นั่นหรอกใช่ไหม?”

“ว้าว บังเอิญจังเลย ผมจะไปที่นั่นนั่นแหละ งั้นก็ขับไปเลย คุณส่งผมลงพร้อมเธอก็ได้” เฉินเกอเปิดกระเป๋าแล้วเอื้อมมือเข้าไปข้างใน

 

ที่ปลายอุโมงค์

“เธอดูผ่อนคลายมากนะ” เห็นประกายในดวงตาของเฉินเกอและความตื่นเต้นของชายหนุ่มที่จะได้ลิ้มลองเครื่องเล่นใหม่ ๆ แล้ว ผู้อำนวยการลั่วก็รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง “บ้านผีสิงของเธอตอนนี้เป็นเครื่องเล่นหลักของสวนสนุกของเรา หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง บ้านผีสิงของเธอทำให้พวกเราโดดเด่นขึ้นจากสวนสนุกอื่น ๆ แต่เมื่อผู้เข้าชมค้นพบสิ่งที่ทดแทนกันได้แล้ว พวกเราก็จะสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันไป”

“อย่างนั้นตอนนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรดีครับ?”

“ทำทุกอย่างที่พวกเขาวางแผนจะทำก่อนหน้าที่พวกเขาจะได้ทำ ด้วยวิธีนั้น เมื่อพวกเขาเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ผู้เข้าชมก็จะพบว่าพวกเขาลอกเลียนแบบพวกเรา”

ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด คำแนะนำของผู้อำนวยการลั่วนั้นดึงดูดใจเฉินเกอได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันก็หยุดอยู่เท่านั้น “เพิ่มปฏิสัมพันธ์ของผู้เข้าชมกับฉากนั้นทำได้ แต่การผสานทุกฉากสร้างเป็นเกมสยองขวัญให้สัมผัสนั้นยากเกินไป”

เฉินเกอรู้สถานการณ์ของตัวเองดี ฉากสยองขวัญทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับโทรศัพท์เครื่องดำ และเขาก็มีหน้าที่เพียงแค่ปลดล็อกฉากออกมาเท่านั้น

“พวกเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนฉากที่มีอยู่แล้ว ฉันแค่ลองให้ทิศทางคร่าว ๆ ให้เธอลองตรองดู” ผู้อำนวยการลั่วเสนอความคิดของเขาขึ้นมา “ลานจอดรถใต้ดินนั้นมีพื้นที่จำกัด เธอเคยคิดจะขยายขึ้นมาที่ด้านบนและเชื่อมทั้งบนดินและใต้ดินเข้าหากันไหม? มันจะมีมิติมากขึ้น และเธอยังสามารถสร้างฉากพิเศษอย่างบันไดหรือลิฟท์ได้ด้วย”

เป้าหมายสุดท้ายของเฉินเกอคือการสร้างสวนสนุกที่ทั้งน่ากลัวและสยองขวัญ ดังนั้นสุดท้ายแล้ว เขาก็จะต้องขยายออกมาเกินขอบเขตของลานจอดรถใต้ดิน

“ฉันสามารถช่วยเธอแก้ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายและกำลังคนได้ เธอแค่ต้องตั้งใจกับการออกแบบภายในเท่านั้น” ผู้อำนวยการลั่วนั้นมั่นใจในตัวเฉินเกอมาก เขาดึงโทรศัพท์ออกมาแล้วเปิดเอกสารชุดหนึ่ง ในนั้นมีการออกแบบหลายรูปแบบ “บ้านผีสิงของเธอนั้นอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสวนสนุก พวกเราวางแผนจะทลายรั้วทางตะวันออกเฉียงเหนือและขยายออกไปในทิศทางนั้น นั้นก็จะเชื่อมเข้าหาบ้านผีสิงของเธอได้อย่างพอดี”

เพียงแค่ออกแบบทางเดินที่เชื่อมโยงกันภายในบ้านผีสิงและเชื่อมพื้นที่เข้าหากัน ต่อให้ไม่ได้ใช้พื้นที่มากนัก ก็ยังสามารถสร้างความรู้สึกของเขาวงกตขึ้นมาได้ เฉินเกอนั้นเชี่ยวชาญด้านนี้ “การขยายของสวนสนุกนั้นจะใช้บ้านผีสิงของผมเป็นหลัก?”

“เครื่องเล่นอื่นจะได้รับการปรับปรุงเช่นเดียวกัน ดังนั้นสวนสนุกของเราก็จะไม่ดูล้าหลังมากนัก ขณะที่การขยายบ้านผีสิงของเธอนั้นก็จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสวนสนุกของพวกเรา เพื่อสร้างข้อได้เปรียบของพวกเราให้มากขึ้น” ความคิดของผู้อำนวยการลั่วนั้นเฉียบแหลม “ฉันเตรียมทีมก่อสร้างกับทีมออกแบบบ้านผีสิงเอาไว้แล้ว แต่อย่างหนึ่งที่เธอยังต้องระวังเอาไว้ ถึงแม้ว่าฉันจะตรวจสอบคนในทีมเหล่านี้ด้วยตัวเองแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขากับไป๋ฉินก็ยังไม่เลวนัก ดังนั้น เมื่อเธอออกแบบ เธอควรระวังเอาไว้ให้มาก”

ไป๋ฉินนั้นยินดีลงทุนเมื่อสวนสนุกต้องการมันอย่างที่สุด ดังนั้น โดยทฤษฎีแล้ว เฉินเกอย่อมต้องคิดถึงความช่วยเหลือของคนผู้นั้น แต่อันที่จริงแล้ว ทั้งเฉินเกอและผู้อำนวยการลั่วต่างคิดว่าผู้ชายคนนั้นมีแรงจูงใจแอบแฝง

“ผมใช้ทีมก่อสร้าง แต่ผมไม่คิดว่าผมจะต้องการใช้ทีมออกแบบ นี่คือหัวใจของบ้านผีสิง และผมก็ไม่เคยอนุญาตให้คนนอกเข้ามาวุ่นวายด้วย” เฉินเกอปฏิเสธข้อเสนอโดยตรง

“แต่เธอจะทำทั้งหมดนั่นคนเดียวได้เหรอ? พวกเรากำลังวางแผนใช้งานที่ดินทั้งหมดทางตะวันออกเฉียงเหนือ งานจะหนักมากนะ”

“ผมมีทีมของผมอยู่แล้ว เป็นเพื่อน ๆ ของพ่อกับแม่ของผม หลังจากที่พ่อกับแม่ของผมหายตัวไป ผมก็ยังติดต่อกับพวกเขาอยู่ ถ้าผมขอ ผมแน่ใจว่าพวกเขาจะยินดีให้ความช่วยเหลือ” พ่อกับแม่ของเฉินเกอนั้นไม่ได้มีเพื่อนสนิท หรือเฉินเกอก็ไม่เคยรู้ว่ามี– เขาก็แค่ต้องการสร้างตัวตนของทีมผีกับผีกูลของเขาขึ้นมาเท่านั้น

“นั่นยอดเยี่ยมมาก ถ้ามีการโอกาส พาพวกเขามาพบผม ผมจะช่วยเธอคุยกับพวกเขาเรื่องเงินเดือน” ผู้อำนวยการลั่วกังวลในตัวตนคนผู้นี้ ไป๋ฉิน ผู้ชายคนนั้นเป็นนักธุรกิจจนถึงแก่น ในเมื่อเขาสามารถขายข้อมูลภายในของสวนสนุกแห่งอนาคตออกมาได้ มันก็เป็นเหตุเป็นผลดีที่เขาจะขายข้อมูลเกี่ยวกับสวนสนุกนิวเซนจูรี่ออกไปเช่นกัน สำหรับคนที่วางผลกำไรไว้เหนือทุกสิ่งอย่างแล้ว ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เขาขายเพื่อเงินไม่ได้

“พวกเขากลางวันต้องทำงานและมาช่วยได้แค่ตอนกลางคืน ผมจะพูดคุยต่อรองกับพวกเขาเอง” เฉินเกอมีแผนการของเขาอยู่แล้ว การก่อสร้างที่บนดินนั้นต่างไปจากการก่อสร้างที่ใต้ดิน ดังนั้น เขาต้องมีกระบวนการก่อสร้างบ้าง หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ทำเหมือนว่ามันมี

“ได้ อย่างนั้นฉันจะทิ้งเรื่องการสร้างและออกแบบภายในให้ทีมของเธอ แล้วเรื่องลักษณะภายนอก เธออยากได้แบบไหนไหม?” ผู้อำนวยการลั่วมองโทรศัพท์ของตัวเอง “ตอนนี้ พวกเราออกแบบไว้สามแบบ อย่างแรกก็คือทำให้มันดูเหมือนโรงพยาบาล อย่างที่สองคือโรงเรียนร้าง และสามคือเขตที่พักอาศัยที่มีผีสิง”

เฉินเกอคิดว่าทั้งสามรูปแบบนั้นล้วนยอดเยี่ยม แต่เมื่อคิดถึงฉากระดับสี่ดาวที่โทรศัพท์เครื่องดำมีให้ เขาก็ตัดเขตที่พักอาศัยผีสิงออกก่อนเลย ฉากใต้ดินนั้นมีหลายฉากที่เกี่ยวเนื่องกับโรงเรียน ดังนั้นหลังจากคิดสักพัก เฉินเกอก็เลือกแบบแรก ซึ่งก็คือทำให้มันดูคล้ายเป็นโรงพยาบาล

“ผู้อำนวยการลั่ว ตอนที่คุณสร้างฉาก จำเอาไว้ว่าให้เก็บงำทุกอย่างให้มิดชิด ให้แน่ใจว่าไม่สามารถมองเห็นอะไรได้จากภายนอก ถ้าบ้านผีสิงสูญเสียความลึกลับของตัวเองแล้ว อย่างนั้นความคาดหวังก็จะลดลงอย่างมาก” เฉินเกอไล่ดูการออกแบบที่ผู้อำนวยการลั่วเตรียมเอาไว้ “ผมฝากเรื่องการก่อสร้างภายนอกให้คุณแล้ว และยิ่งสร้างเสร็จเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี พอพวกคุณเสร็จแล้ว ผมก็จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของพ่อกับแม่ออกแบบและตกแต่งภายใน”

“มันน่าจะไม่ช้านักเพราะอันที่จริงเราแค่สร้างตึกเปล่า ๆ” ผู้อำนวยการลั่วเก็บโทรศัพท์ลงไป “หลังจากที่นี่ขยายออกไป กำลังคนก็จะเป็นปัญหา ถ้าเธอมีปัญหาอะไร ก็บอกฉัน และฉันจะพยายามช่วย”

“ได้ครับ” หลังจากส่งผู้อำนวยการลั่วกลับไปแล้ว เฉินเกอก็มองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของสวนสนุก “เป็นความคิดที่ดีที่จะขยายบ้านผีสิงขึ้นมาบนดิน อย่างน้อยที่สุดนี่ก็จะกลายเป็นพื้นฐานของสวนสนุกสยองขวัญได้ในอนาคต”

กลับไปที่บ้านผีสิง ผู้เข้าชมยังคงคึกคัก เฉินเกอเรียกเหล่าโจวและต้วนเยว่ออกมาช่วยตอนที่เขาไปที่ห้องพักพนักงานเพื่อพัก

“สวนสนุกแห่งอนาคตวางแผนสร้างเกมสยองขวัญที่ผู้เข้าชมสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับฉากได้ และฉันก็ไม่ควรล้าหลัง สำหรับตอนนี้ พนักงานส่วนใหญ่นั้นรู้แต่วิธีการหลอกคน– การทำงานของพวกเขานั้นเฉพาะตัวเกินไป ฉันต้องการพนักงานอย่างเหล่าโจวและต้วนเยว่ที่สามารถเล่นบทบาทที่ต่างออกไปได้ ถ้ามีโอกาส ฉันคงต้องฝึกพนักงานของฉันทั้งหมด” เฉินเกอต้องการปรับเปลี่ยนบรรยากาศของบ้านผีสิงของเขา เพิ่มความท้าทายและความเป็นเกมให้เล่น และเขายังต้องการความร่วมมือจากพนักงานของเขาเพื่อให้เป็นเช่นนั้นได้

“ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก แต่ว่ามันก็มีทางลัด ฉันแค่ต้องหาผีที่เข้ากันได้กับชนิดของนักแสดงที่ฉันต้องการ”

ห้าโมงเย็น เฉินเกอออกจากห้องพักพนักงาน ไม่มีอุบัติเหตุอะไรเลยในระหว่างวัน และเขาก็ยิ่งพอใจกับความสามารถของเหล่าโจวและต้วนเยว่ หกโมงครึ่ง เฉินเกอก็ส่งผู้เข้าชมกลุ่มสุดท้ายกลับออกไป เขาให้ซูว่านและเสี่ยวกู่ที่วิ่งวุ่นตลอดทั้งวันกลับบ้านส่วนเขาอยู่ทำความสะอาด

“นาฬิกาชีวิตของฉันตอนนี้พลิกกลับหมดแล้ว ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวามากในตอนกลางคืน”

ด้วยความช่วยเหลือจากพวกผี การทำความสะอาดก็เสร็จลงในไม่ช้า เฉินเกอเปลี่ยนเสื้อผ้าและคว้ากระเป๋า เตรียมตัวไปทำภารกิจทดลองที่เขาตั้งใจในคืนนี้

“เงานั่นเคยแพ้ที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว ดังนั้นภารกิจระดับสามดาวนี้น่าจะต่างไปจากที่ฉันเคยทำ” เฉินเกอยัดเครื่องเล่นเทป หนังสือการ์ตูน และทุกอย่างที่เขาสามารถแบกไปได้เข้าไปในกระเป๋า “ฉันประมาทไม่ได้ แต่ฉันก็อย่าได้กลัวเกินไปในเมื่อพวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน ดังนั้นพวกเราน่าจะพูดคุยกันได้อย่างดี”

หลังจากเตรียมทุกอย่างแล้ว เฉินเกอก็ดึงโทรศัพท์เครื่องดำออกมาและหาหน้าที่เขาต้องการ

“คุณต้องการรับภารกิจทดลองระดับสามดาว– ที่ปลายอุโมงค์?”

“ใช่”

“รับภารกิจแล้ว!

“ที่ปลายอุโมงค์ (ภารกิจทดลองระดับสามดาว): ไม่มีใครรู้ว่าที่ปลายอุโมงค์นั้นมีอะไรรออยู่ แต่ทุกคนที่เข้าไปล้วนไม่เคยกลับออกมา

“เงื่อนไขของภารกิจ: ไปถึงส่วนลึกที่สุดของอุโมงค์ถ้ำมังกรขาวก่อนเที่ยงคืน

“คำใบ้ของภารกิจ: หลับตาทั้งสองข้างลง และบางทีคุณอาจจะมองเห็นโลกแท้จริง”

 

อาณาจักรผี

เฉินเกอมาถึงสวนสนุกนิวเซนจูรี่ประมาณแปดโมงสี่สิบนาที สวนสนุกยังไม่เปิด แต่ว่ามีผู้เข้าชมมารออยู่ที่ทางเข้าเยอะแล้ว เห็นใบหน้าตื่นเต้นของผู้เข้าชมขณะพูดคุยกันเอง เฉินเกอก็ยิ้มกว้าง ได้รู้ว่างานของเขานำมาซึ่งความสนุกของผู้เข้าชมและช่วยพวกเขาขับไล่ความทุกข์ออกไป มันทำให้เขารู้สึกประสบความสำเร็จมาก

ท่ามกลางกลุ่มคน เฉินเกอมองเห็นคนคุ้นเคยหลายคน พวกเขามักจะกลับมาเยี่ยมชมและพูดคุยเกี่ยวกับบ้านผีสิง

การกลับมาอีกครั้งของผู้ชมหลาย ๆ คนยืนยันว่าการตัดสินใจของเฉินเกอในการจัดระดับฉากสยองขวัญออกเป็นระดับต่าง ๆ กันนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง คนที่ท้าทายฉากที่น่ากลัวน้อยกว่าย่อมต้องสนใจในฉากที่น่ากลัวกว่าขึ้นมาอย่างแน่นอน ด้วย ‘กำลังใจ’ จากเพื่อน ๆ ของพวกเขา โอกาสที่พวกเขาจะกลับมานั้นสูงมาก

แอปพลิเคชันเล็ก ๆ ที่ผู้อำนวยการลั่วออกแบบให้บ้านผีสิงก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน ไม่เพียงผู้เข้าชมบ้านผีสิง กระทั่งผู้นิยมเรื่องเหนือธรรมชาติและนักวิจัยวัฒนธรรมทางเลือกบนอินเตอร์เนตก็ดาวน์โหลดแอพนี้เช่นกัน แอปพลิเคชันนี้นั้นกำลังกลายเป็นสังคมโซเชียลที่ใหญ่ที่สุดในระดับประเทศของผู้รักบ้านผีสิงทีเดียว

จำนวนดาวน์โหลดแต่ละวันและจำนวนผู้ใช้งานที่มีการเคลื่อนไหวนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเฉินเกอก็ได้ยินจากผู้อำนวยการลั่วว่ามีผู้สนใจอยากให้การสนับสนุนหลายเจ้า แต่เขาปฏิเสธทั้งหมดนั่นไป ผู้อำนวยการลั่วนั้นมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน บ้านผีสิงนั้นเป็นเครื่องเล่นหลักของสวนสนุก และแอพนี้ก็เป็นส่วนเสริม ทุกอย่างนั้นเป็นไปเพื่อสนับสนุนการให้บริการของบ้านผีสิง ดังนั้นเขาจะไม่ทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การใช้งานแย่ ๆ เพียงเพื่อเพราะเงินจากการโฆษณาเท่านั้น

“บอส คราวนี้คุณไปไหนมาอีกเนี่ย?” ซูว่านและเสี่ยวกู่ยืนอยู่ข้างประตู คนหนึ่งทางซ้ายอีกคนทางขวา เหมือนเป็นผู้พิทักษ์ประตูอย่างไรอย่างนั้น

“มันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายได้น่ะ รอดูข่าวแล้วกัน แล้วเธอก็รู้เอง” คำตอบของเฉินเกอนั้นสั้นและตรงประเด็น

“ช่องข่าวอาชญากรรมเหรอครับ?” กระทั่งเสี่ยวกู่ที่ไม่ได้ทำงานบ้านผีสิงมานานนัก ก็ยังคุ้นเคยกับ ‘งานอดิเรก’ ของบอสของตน ตอนนี้ ห้องที่เขาอยู่นั้นเขามีรูมเมท และรูมเมทของเขาก็งุนงงกับนิสัยของเขาเพราะว่าคนในวัยเดียวกับพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนใช้เวลาไปกับการเล่นเกมหรือดูวิดีโอ แต่กู่เฟยอวี้กลับฝังตัวเองอยู่หน้าทีวี ดูข่าวอาชญากรรมท้องถิ่น เพื่อนร่วมห้องของเขาไม่ค่อยเข้าใจเสี่ยวกู่เหมือนที่คนทั่วไปไม่เข้าใจความรู้สึกของการได้เห็นเจ้านายของตัวเองปรากฏตัวในข่าวอาชญากรรมท้องถิ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลังจากแต่งหน้าให้เสี่ยวกู่และซูว่านแล้ว สวนสนุกก็เปิดทำการอย่างเป็นทางการ ลุงซูและพนักงานคนอื่น ๆ ช่วยรักษาระเบียบระหว่างที่ในที่สุดเฉินเกอก็หาโอกาสพักได้ เห็นผู้เข้าชมเข้า ๆ ออก ๆ เฉินเกอจู่ ๆ ก็พบว่าเขามีชีวิตที่สุขสบายมากทีเดียว

“บ้านผีสิงนั้นอาศัยความไม่รู้และความแปลกใหม่ดึงดูดผู้เข้าชม มีเพียงแค่ปลดล็อกฉากใหม่ ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ ที่ฉันจะสามารถรักษาอาชีพนี้เอาไว้ได้”

เฉินเกอดึงโทรศัพท์เครื่องดำออกมาตรวจดูภารกิจทั้งหมด เส้นตายของภารกิจโลกหลังความตายนั้นกำลังจะมาถึงแล้ว และเฉินเกอก็ไม่มีทางยอมปล่อยฉากระดับสี่ดาวนี้ไป

“ฉันไม่สามารถถ่วงเวลาต่อไปได้แล้ว ฉันต้องไปที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวคืนนี้และคุยกับผู้หญิงคนนั้นที่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ในเมื่อเธอเคยเจอกับเงานั่นมาก่อน มันน่าจะไม่ยากเกินไปที่จะสื่อสารกับเธอ” เฉินเกอวางโทรศัพท์เครื่องดำลงแล้วเหลือบมองโทรศัพท์ของตัวเอง “พยากรณ์อากาศวันนี้ไม่เลวเลย แต่ยังมีโอกาสที่จะมีฝนตกหนักคืนพรุ่งนี้ ฉันควรจะใช้โอกาสนี้เอารถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 ออกไปวิ่ง ต่อให้ฉันไม่เจอกับผู้หญิงในเสื้อกันฝน ฉันก็ไม่ได้มีอะไรจะเสียถ้าได้ผู้โดยสารคนอื่น ๆ”

เขาหาปากกาและกระดาษมาจดโน้ตเล็ก ๆ น้อย ๆ “คืนนี้ ฉันจะไปที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวเพื่อทำภารกิจระดับสามดาว และพรุ่งนี้ ฉันจะไปหาผู้หญิงในเสื้อกันฝน และซื้อไฟฉายแรงสูงสักชุดใหญ่ แล้วคืนถัดจากนั้น ทั้งหมดก็เตรียมการเรียบร้อยแล้ว ฉันก็จะพนักงานของฉันไปที่เมืองหลี่ว่านเพื่อท้าทายภารกิจระดับ 3.5 ดาว”

เสี่ยวปู้ครั้งหนึ่งเคยเตือนเฉินเกอว่าเขาจะตายหากก้าวเข้าไปในเมืองหลี่ว่านอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเขาจะต้องเจอกับอะไรที่ในเมืองหลี่ว่าน แต่ก็ไม่มีอะไรผิดหากเขาจะเตรียมตัวไปอย่างเต็มที่

“เสี่ยวเฉิน แกกำลังยุ่งอยู่กับอะไรหรือเปล่า?” เสียงของลุงซูดังมาจากประตูบ้านผีสิง เพราะความขี้ขลาดของเขา เขาจึงไม่เคยเข้ามาในบ้านผีสิงของเฉินเกอมาก่อน

“ลุงซู มีอะไรให้ผมช่วยครับ?”

“ผู้อำนวยการลั่วอยากพบแก”

หลังจากส่งผู้เข้าชมเข้าฉากแล้ว เฉินเกอก็เก็บกระดาษแล้วออกไปจากบ้านผีสิง ไม่ไกลนัก ผู้อำนวยการลั่วกำลังพูดคุยอยู่กับกลุ่มผู้เข้าชมในชุดลำลองกลุ่มหนึ่งอยู่ พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน มีเสียงหัวเราะดังเป็นระยะ ผู้เข้าชมหลายคนน่าจะไม่ได้คิดว่าชายวัยกลางคนที่ดูเป็นมิตรและใจดีจะเป็นเจ้าของสวนสนุกนี่

“ผู้อำนวยการลั่ว คุณหาผมเหรอครับ?” เฉินเกอรอให้การพูดคุยของพวกเขาสงบลงก่อนที่จะเดินเข้าไป

“ฉันมีบางอย่างที่สำคัญจะคุยกับเธอ” ผู้อำนวยการลั่วเดินนำเฉินเกอไปยังจุดที่ไกลคนอื่นมากขึ้น และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไปอย่างช้า ๆ “เธอยังจำได้ไหมว่าฉันเคยพาผู้ชายคนหนึ่งมาที่สวนสนุกและผู้ชายคนนั้นยังถามเกี่ยวกับบ้านผีสิงของเธอด้วย?”

“คิดว่าจำได้นะครับ ผมจำชื่อเขาไม่ได้ แต่เขาบอกว่าเขาต้องการลงทุนกับสวนสนุกของเรา ช่วยเราปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องเล่นของเราและขยายพื้นที่ของสวนสนุกออกไป” เฉินเกอจำชายคนนั้นได้ และเขายังเคยเห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นในโทรศัพท์ของพนักงานจากสวนสนุกแห่งอนาคตด้วย

“ชื่อจริงของเขาคือไป๋ฉิน เป็นนักลงทุนที่เก่งกาจมาก เขามีความหลงใหลเพียงอย่างเดียวในชีวิต และนั่นก็คือเงิน เพื่อเงินแล้ว เขายินดีจะทำทุกอย่าง ต่อให้สิ่งนั้นจะอยู่คนละฝั่งกับกฎหมายก็ตาม” ผู้อำนวยการลั่วพูดช้า ๆ “พวกเราครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน ดังนั้นฉันจึงรู้จักเขาดี ผู้ชายคนนั้นจะไม่ทำอะไรที่ไม่มีผลประโยชน์ ตอนที่ยังหนุ่ม เขาแต่งงานกับลูกสาวของเศรษฐีคนหนึ่ง และยังเปลี่ยนแซ่ ดังนั้นทุกวันนี้ มีคนไม่กี่คนที่รู้จักชื่อจริงของเขา”

“พวกเราจะร่วมมือกับเขาใช่ไหมครับ?”

“เครื่องเล่นของสวนสนุกนิวเซนจูรี่นั้นล้าหลังเกินไปแล้ว และหากไม่ปรับปรุง มันก็ยากที่พวกเราจะรักษาผู้เข้าชมเอาไว้จากสวนสนุกแห่งอนาคต” ผู้อำนวยการลั่วเองก็มีความคิดของตัวเอง “ตอนนี้ในจิ่วเจียงนั้นมีเพียงไม่กี่ที่ที่มอบความบันเทิงอันมีคุณภาพให้ และคนก็เริ่มไม่มีทางเลือก ดังนั้นพวกเขาก็ได้แต่มาที่นี่ หลังจากสวนสนุกแห่งอนาคตเปิด มันย่อมต้องส่งผลกระทบต่อพวกเราอย่างมาก”

“พวกเขาจะอาศัยเครื่องเล่นที่มีเทคโนโลยีสูงและการผสมผสานความบันเทิงเสมือนจริงเข้ากับทางกายภาพเป็นส่วนใหญ่ มันต่างไปจากทิศทางของสวนสนุกของเราโดยสิ้นเชิง ตราบใดที่พวกเรารอดพ้นจากคลื่นกระแทกแรกได้ ผมแน่ใจว่าในที่สุดแล้วผู้เข้าชมก็จะกลับมา”

“เธอประเมินความทะเยอทะยานของพวกเขาต่ำเกินไป” ผู้อำนวยการลั่วนั้นคือศูนย์กลางของสวนสนุก ดังนั้นน้อยครั้งที่เขาจะแบ่งปันความกังวลของเขากับผู้อื่นเพื่อไม่ให้เกิดการเสียขวัญขึ้น “ฉันลองสืบดูแล้ว และพวกเขาไม่ได้แค่วางแผนจะใช้เพียงเครื่องเล่นรุ่นล่าสุดเท่านั้น พวกเขายังวางแผนลอกเลียนแบบความคิดองค์รวมของบ้านผีสิงของเธอด้วย เพื่อการนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้พวกเขาเลยผุดโครงการใหม่ขึ้นมา มันเรียกว่า อาณาจักรผี”

“อาณาจักรผี?”

“มันเป็นการผสานกันทั้งฉากทางกายภาพและฉากเสมือนจริงและยังร่วมด้วยนักแสดง พวกเขาใช้เงินมากมายสร้างบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดและมีเอกลักษณ์ที่สุดในประเทศขึ้นมา” ผู้อำนวยการลั่วมองเฉินเกอ “ไป๋ฉินให้ฉันดูข้อมูลลึก ๆ บางส่วน สวนสนุกแห่งอนาคตวางแผนจะเปลี่ยนบ้านผีสิงของพวกเขาไปเป็นเกมสยองของจริงที่ให้ผู้เข้าชมเข้าไปเยี่ยมและยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กัน พวกเขามีเนื้อเรื่องหลักทั้งหมดสี่ฉากและมีเนื้อเรื่องย่อยอีกกว่าสิบฉาก ขึ้นกับตัวเลือกที่เธอเลือก ผลลัพธ์สุดท้ายก็จะต่างกันไปในแต่ละครั้ง”

“นั่นฟังดูยอดเยี่ยมมาก กระทั่งผมยังอยากจะไปเยี่ยมชมเลย” เฉินเกอนั้นอยากจะแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างบริสุทธิ์ใจและอยากจะแข่งกันฉันมิตร บางที พวกเขาอาจจะได้เรียนรู้จากอีกฝ่าย เหมือนที่เขาเคยไปเยี่ยมชมโรงเรียนแพทย์เทียนเถิงก่อนหน้านี้

เขาต้องการเปิดประตูในจิ่วเจียงตะวันตก

“ชายไร้เงา?” หากนี่เป็นคนเป็น เขาก็ต้องมีเงา นอกเสียจากว่าเขาจะไม่ใช่คนเป็น หรือเขาเป็นเงาของคนอื่นหลุดออกมา เฉินเกอตัดสินใจจะยืนยันเรื่องนี้กับหญิงชราอีกครั้ง “คุณยาย คุณยายแน่ใจเหรอครับว่าไม่ได้ดูผิด?”

“ใช่” ในความทรงจำของหญิงชรา คนผู้นั้นดูคล้ายเฉินเกอ เธอจ้องเฉินเกอแล้วความรู้สึกประหลาดก็ท่วมท้นขึ้นมา “วันนั้น เขายืนอยู่ด้านนอกห้อง ฉันถามเขาว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่เขาไม่ตอบ เขาพึมพำชื่อของคนคนหนึ่ง”

“ชื่อของคนคนหนึ่ง? คุณยายจำชื่อนั้นได้ไหมครับ?” เพื่อกำจัดข้อสงสัยที่ยังติดอยู่ในใจหญิงชรา เฉินเกอดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาส่องไฟไปที่ตัวเองเพื่อให้เห็นว่าเขายังมีเงาอยู่ “คุณยาย ผมมาพร้อมกับเงา ดูสิ คนที่คุณเห็นน่าจะแค่มีใบหน้าคล้ายผมเท่านั้น”

“ความทรงจำของฉันอาจจะหลอกฉัน ฉันจะโทรบอกเธอถ้านึกชื่อนั่นได้” หญิงชราแลกเบอร์โทรศัพท์กับเฉินเกอ

“คุณยาย นอกจากนี้แล้ว คุณยังจำอะไรเกี่ยวกับคนผู้นั้นได้อีกไหม? เขายืนอยู่ที่ประตูนานแค่ไหน? หลังจากเขากลับไปแล้ว มีอะไรเปลี่ยนไปไหมในตึกนี่?” เฉินเกอนั้นกลัวว่าเงานั่นจะทิ้งกับดักเอาไว้ในตึก อย่างไรเสีย ศัตรูของเขาคนนี้ก็รวบทั้งจิ่วเจียงตะวันออกมาอยู่ในแผนการของมันเอง ดังนั้น เฉินเกอจึงไม่ระวังให้มากเสียหน่อยไม่ได้

“หลังจากเจียหมิงวิ่งออกไปแล้ว คนที่อยู่ด้านนอกประตูก็หายไป หลังจากเขาไปแล้ว ฉันก็ตรวจดูทั้งตึกและไม่เจอว่าอะไรหายไป น่าแปลก ฉันคอยแต่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องแต่ว่าฉันบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร มันเป็นบางอย่างที่สำคัญที่ถูกชายคนนั้นเอาไป” หญิงชราถอนหายใจ เธอเดินไปทั่ว ๆ ห้อง “ฉันตรวจดูรอบ ๆ แล้ว แต่ว่าไม่มีอะไรหายไป แต่ความรู้สึกนั้นก็ไม่หายไป และฉันก็บอกไม่ได้ว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับที่ฉันนอนหลับไม่ค่อยได้หลังจากนั้น”

“คุณรู้สึกเหมือนมีบางอย่างหายไป?”

“ฉันบอกคุณทุกอย่างที่ต้องบอกแล้ว ตอนที่คุณกลับออกไป ปิดประตูให้ฉันด้วยนะ” การพูดคุยกับเฉินเกอดูเหมือนจะทำให้หญิงชรานึกถึงความทรงจำอันน่าเศร้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลับออกไปไม่ยินดีจะพูดคุยต่อแล้ว เฉินเกอกำลังจะกลับออกมาพร้อมกับหญิงชราตอนที่เขารู้สึกว่าเสื้อถูกดึงเอาไว้

หันกลับไปมอง เขามองเห็นนิ้วหงิกงอทั้งห้ากำชายเสื้อเขาเอาไว้ และจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็คลานออกมาจากใต้โต๊ะกาแฟ

“ผมไม่ได้จะทำร้ายเธอ…” ดวงตาของเฉินเกอกวาดมองไปยังผู้หญิงคนนั้นกับเด็กชาย จู่ ๆ เขาก็นึกบางอย่างออก หลังจากเขาเข้ามาในตึกนี้ เขาเจอแค่ผู้หญิงกับเด็ก แต่เขาไม่เจอลูกชายของหญิงชรา “ครอบครัวสามคนประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ภรรยาและบุตรชายยังอยู่ในตึกนี้ ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลให้สามีไม่อยู่ที่นี่ด้วย”

เขาเชื่อมโยงมันกับสิ่งที่หญิงชราพูดก่อนหน้านี้ หลังจากเงานั่นจากไป เธอก็รู้สึกเหมือนเธอทำบางอย่างที่สำคัญหายไป เป็นไปได้ไหมว่าดวงวิญญาณของลูกชายของหญิงชราถูกเงานั่นลักพาตัวไป?

เฉินเกอตั้งใจจะตรวจสอบเรื่องนี้ หลังจะเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ถาม “หลายปีก่อน พวกคุณน่าจะเจอกับวิญญาณร้ายที่หน้าตาคล้ายผม คุณบอกผมทุกอย่างที่คุณรู้เกี่ยวกับเขาได้ไหม?”

ผีทั้งสองอยู่ห่างจากเขา ดวงตาของพวกเขามองเฉินเกออย่างละเอียดและพวกเขาก็กำลังคิดถึงบางอย่าง

“ถ้าผมไม่ฆ่าเขา วันหนึ่งผมก็จะถูกเขาฆ่า ถ้าคุณเคยถูกเขาทำร้าย อย่างนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันเพราะว่ามีศัตรูคนเดียวกัน” เฉินเกอเอนตัวลงและเอื้อมมือไปจับนิ้วที่ผิดรูปและเปื้อนเลือดของเธอเอาไว้ “ผมช่วยคุณได้ และผมก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นสนุกเท่านั้น”

เมื่อผีผู้หญิงสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของเฉินเกอที่จะจับมือกับเธอ เธอก็ถอยออกไปทันที หลายวินาทีให้หลัง เด็กชายก็วิ่งเข้าไปในห้องนอนและลากกระเป๋านักเรียนขาดวิ่นออกมาจากใต้เตียง เขาดึงปากกาด้ามหนึ่งกับกระดาษออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะกาแฟ เส้นผมของผู้หญิงคืบคลานมาขดรอบปากกา แล้วตัวอักษรขยุกขยุยก็เริ่มปรากฏขึ้นบนกระดาษ

“เขายังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตายไปโดยสมบูรณ์ เงานั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้น สามีของฉันบอกให้พวกเราหนี และเขารั้งอยู่เพื่อช่วยพวกเราหนี เขากินสามีของฉันลงไป– เขาแข็งแกร่งขึ้น” เฉินเกอ่านคำที่บนกระดาษ

“หมายความว่าอะไรกันที่บอกว่าเขายังมีชีวิต? ร่างกายของเงานั่นยังมีชีวิต? เขาเป็นคนเป็น ๆ คนหนึ่ง? แต่ทำไมคนผู้นั้นถึงกินผีได้ล่ะ?” เฉินเกอไม่รู้ว่าตายของผู้หญิงคนนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่เขาเชื่อว่ามันต่างไปจากคำจำกัดความทางการแพทย์ แต่ว่า ถึงอย่างนั้น ข้อมูลนี้ก็เพียงพอให้เฉินเกอตกใจแล้ว “ร่างจริงของเขานั้นไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผี หรือไม่อย่างนั้น เขาก็ต่างไปจากผีทั่วไป ศัตรูผู้นี้ช่างน่าประหลาด”

ตอนที่เขาสู้กับสมาคมเล่าเรื่องผี ถึงแม้ว่าสมาชิกจะลึกลับมาก อย่างน้อยที่สุดเฉินเกอก็สามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาล้วนเป็นคนเป็น ๆ สมาคมนั้นก่อตังขึ้นโดยคนเป็น และผีนั้นอันที่จริงก็เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น แต่ความรู้สึกของเฉินเกอต่อคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องที่เมืองจิ่วเจียงนี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังบอกไม่ได้ว่าคนร้ายเป็นผีหรือเป็นคน หลังจากอ่านข้อความของผีผู้หญิงแล้ว ความสงสัยนั้นก็ยิ่งมากขึ้น

“แค่นั้นเหรอ?” เฉินเกอวางกระดาษลง และผีผู้หญิงก็ควบคุมปากกาแล้วเริ่มเขียนอีกครั้ง “ตอนที่เขากินสามีของฉัน เขาบอกว่า ด้วยแต่ละความตายนี้ ความแค้นในหัวใจของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น และการกินแต่ละครั้งก็จะทำให้เขาเข้าใกล้ผู้ชายคนนั้นมากขึ้น สักวันหนึ่ง เขาจะกลับไปที่จิ่วเจียงตะวันตกเพื่อเปิดประตูบานนั้นด้วยตัวเอง”

คำที่เขียนนั้นดูผิวเผินเหมือนไม่เป็นเหตุเป็นผลนัก แต่มันกลับทำให้เฉินเกอขนลุก ประโยคเหล่านี้เผยข้อมูลมากมายออกมา โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ที่เงานั่นพูดว่ามันต้องการเปิดประตูที่ในจิ่วเจียงตะวันตกด้วยตัวเอง เฉินเกอสงสัยเป็นอย่างมากว่าประตูที่ว่านั้นคงไม่ใช่บานไหนนอกจากบานที่ในห้องน้ำในบ้านผีสิง

บ้านผีสิงกำลังได้รับความนิยม แต่หากประตูในห้องน้ำเปิดออก ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปภายในแค่คืนเดียว ทุกความพยายามที่เขาทุ่มเทลงไปหลังจากได้โทรศัพท์เครื่องดำมาก็จะสูญเปล่าไป

“คนผู้นี้คือใครกันแน่?” ประตูที่บ้านผีสิงนั้นเป็นขีดจำกัดล่างของเฉินเกอ เขาจะสู้จนตายไปข้างหนึ่งกับคนที่กล้าเพ่งเล็งประตูบานนั้น ไม่มีการต่อรองใด ๆ ทั้งสิ้น

ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าเฉินเกอกำลังคิดอะไร เธอเขียนกระดาษต่อ “มีสถานที่สิบแห่งในจิ่วเจียงตะวันออกที่เป็นจุดกำเนิดเรื่องผีที่น่ากลัวที่สุด ผู้ชายคนนั้นกินผีในที่เหล่านั้นไปห้าแห่งแล้ว และเขาก็ได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งแรกที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว เงานั่นจะปรากฏตัวขึ้นเฉพาะตอนกลางคืน มันเกลียดแสงไฟและเสียงเด็กร้อง”

หลังจากเขียนทั้งหมดนั่นแล้ว ผีผู้หญิงก็มองเฉินเกอและอุ้มเด็กชายขึ้นก่อนที่ทั้งคู่จะหายตัวไป

“คนในจิ่วเจียงตะวันออกนั้นค่อนข้างเชื่อโชคลาง และฉันก็เคยได้ยินเรื่องผีทั้งสิบนี่มาก่อน แต่ฉันไม่รู้เลยว่าอีกห้าที่เหลืออยู่นั้นมีอะไรบ้าง แล้วก็ ครั้งแรกที่เงานั่นเจออุปสรรคก็คือที่อุโมงค์ถ้ำมังกรขาว และเมื่อคืนนี้ เจียหมิงก็บังเอิญถูกพบหมดสติอยู่ที่ปากอุโมงค์ เป็นไปได้ไหมว่าเขาหมดสติอยู่ที่นั่นโดยมีจุดประสงค์เพื่อล่อฉันเข้าไปในอุโมงค์เพื่อตรวจสอบและใช้ฉันรับมือกับศัตรูของเขา?” เงานั่นเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่สุดในใจเฉินเกอ ดังนั้นเขาจึงตรึกตรองทุกอย่างจากมุมเลวร้ายที่สุดที่จะเป็นไปได้

“แต่ฉันสามารถใช้จุดอ่อนที่มันไม่ชอบแสงและเสียงเด็กร้องได้อยู่บ้าง ฉันคิดว่าอย่างนั้น” เฉินเกอยัดกระดาษที่บนโต๊ะเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ตอนที่เขาเตรียมตัวกลับนั้น เขาก็นึกได้ว่าเขาลืมถามว่าแม่ลูกคู่นั้นอยากจะไปกับเขาด้วยหรือไม่ ย้ายไปยังที่ที่สบายกว่า

หลังจากคิดแล้ว เฉินเกอก็ดึงกระดาษอีกแผ่นออกมาจากกระเป๋าของเด็กชายและใช้ปากกาที่ผู้หญิงคนนั้นใช้ก่อนหน้านี้ทิ้งข้อความเอาไว้ “ถ้าพวกคุณเจอปัญหาอะไร ให้ไปหาผมได้ที่บ้านผีสิงที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่จิ่วเจียงตะวันตกได้นะครับ ลองคิดดูสักนิด เด็กอายุไม่น้อยแล้ว และผมก็มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญและเด็กวัยเดียวกับเขาอยู่ที่บ้านผีสิงของผม คุณควรจะคิดถึงอนาคตของเขานะครับ”

เขาวางกระดาษลงในจุดที่สะดุดตาที่สุดแล้วหันกลับออกจากห้องมา ฝีเท้าของเขาเงียบกริบ เป็นผลมาจากการทำภารกิจทดลองมากมาย ตอนที่เขามาถึงชั้นแรก ประตูห้องหญิงชราจู่ ๆ ก็เปิดออก

“คุณยาย? มีอะไรให้ผมช่วยครับ?”

หญิงชรามองเฉินเกอ ริมฝีปากของเธอขยับ แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็ส่ายหน้าแล้วกลับเข้าห้องไป

เฉินเกอยืนอยู่ที่ประตู และเขาก็เดาได้ว่าหญิงชรารู้อยู่แล้วว่าครอบครัวของเธอนั้นไม่ได้จากไปไหน แต่ไม่มีฝ่ายไหนอยากจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาเท่านั้น

“พวกเขาเองก็ไม่ได้อยากให้คุณอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกนี้เพียงลำพังหรอกครับ”

ออกจากตึกแล้ว เฉินเกอก็เรียกแท็กซี่กลับไปที่สวนสนุก แล้ววันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น

ชายไร้เงา

เส้นผมสกปรกปลิวไหวตามจังหวะสายลม เสียงกระดูกบดกันดังมาจากลำคอของผู้หญิงคนนั้น เธอขยับตัวเร็วมากและตอนที่เฉินเกอพูด เธอก็กดอยู่เหนือตัวเขาแล้ว จากวิธีการตอบสนองของเธอ มันไม่เหมือนว่าเธอจะอยู่ในอารมณ์รับฟังสิ่งที่เฉินเกอจะพูด

“ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว” เหงื่อเย็น ๆ ยังซึมออกมาเหมือนเขากำลังห้อยโหนอยู่ที่ขอบหน้าผา เฉินเกอเอนหลังแนบไปกับโซฟามือจับที่พักแขนเอาไว้แน่นเท่าที่จะทำได้ “ผมไม่ได้คิดจะล่วงเกินอะไรคุณ ผมมาที่นี่เพื่อค้นหาความจริงบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว! มีผู้เช่ารายหนึ่งในห้องนี้ที่ถูกวิญญาณชั่วร้ายหลอกหลอนเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้น คุณก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อเตือนเขาว่าเขาอยู่ในอันตรายแบบไหน และถ้าเขาไม่รู้สาเหตุเรื่องนั้น เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้ต่อไปแล้ว!”

ถ้านี่เป็นคนอื่น พวกเขาก็คงร้องไห้สะอึกสะอื้นหรือว่ากรีดร้องเสียจริตไปแล้ว แต่เฉินเกอนั้นต่างออกไป เขาพูดทุกอย่างที่ต้องการออกมาโดยใช้เวลาสั้นที่สุด ผีตนนั้นไม่ได้กดตัวลงมาอีก และเฉินเกอก็ถอนหายใจโล่งอก เขาปรับท่าทางของตัวเองให้สบายขึ้นกว่าเดิมและตอนที่เขากำลังขยับคอ เขาก็สังเกตเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขา

ผิวของเด็กชายนั้นเป็นสีเทาซีดอย่างน่าตกใจ และสันหลังของเขาก็หัก ดังนั้นหัวของเขาจึงหล่นลงมาอยู่บริเวณหน้าอก ดวงตาของเขาขยับขึ้นลงขณะสำรวจเฉินเกอใกล้ ๆ

“นี่ลูกชายของคุณเหรอ? เป็นเด็กน้อยน่ารักทีเดียว…” เฉินเกอแย้มริมฝีปากออกป็นรอยยิ้ม เขารู้ว่าวิญญาณที่นี่นั้นอาจจะจำเจียหมิงไม่ได้ ดังนั้นหลังจากลังเลเล็กน้อย เขาก็รีบเสริม “ผู้เช่าคนนั้นเคยเป็นเพื่อนสนิทของผม เขาบอกผมว่าการได้อยู่ในตึกเก่าหลังนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา คุณยายเจ้าของตึกดีกับเขามาก และเขาก็หวงแหนความทรงจำช่วงนี้มาก แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดูเหมือนเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาเอาแต่ทำลายความทรงจำดี ๆ ทุกอย่างเพื่อให้ควบคุมตัวเองได้ เดิมที ผมคิดว่าเขาแค่ล้อเล่น แต่ความจริงก็ยืนยันแล้วว่าผมคิดผิดไป ถ้าผมไม่ได้เรียกตำรวจมาหยุดเขาเมื่อคืนนี้ เขาก็คงมาที่นี่พร้อมกับมีดแล้ว!”

ติดแหงกอยู่ระหว่างผีสองตน เฉินเกอก็ไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรได้อีก แต่เขารู้ว่าโทษทุกอย่างใส่เจียหมิงไปก่อน ผีที่นี่น่าจะเคยเห็นเงานั่นมาก่อน ดังนั้นเฉินเกอเชื่อว่าหากเขาคอยยกเรื่องเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา มันน่าจะพอที่จะกระตุ้นความทรงจำของพวกเขาได้

เขาไม่ได้อยากจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดไปกับการโน้มน้าววิญญาณพวกนี้– เขาแค่ต้องการโอกาสจากพวกเขาให้ได้อธิบายตัวเองและไม่มาเอาชีวิตเขาในตอนที่เขาอ่อนแอถึงเพียงนี้ จากนั้น ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น

“ถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเพื่อนรักของผมจะกลายเป็นแบบนั้นไปได้ ดังนั้น ผมจึงมาที่นี่เพื่อเตือนคุณยายเจ้าของบ้านเช่าว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายแบบไหน มีปิศาจสิงร่างเพื่อนผมแล้วกำลังตามล่าเธออยู่!” ยิ่งเขาพูด เขาก็ยิ่งร้อนรน และนั่นก็ค่อย ๆ ชนะความกลัวที่เฉินเกอรู้สึกอยู่ “คุณยายเป็นคนดี และความใจดีไม่ควรได้รับการตอบแทนเป็นการทำร้ายหรือว่าแก้แค้น!”

สำหรับวิญญาณในตึกเก่าหลังนี้ เจียหมิงนั้นไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าผู้เช่าที่ผ่านเข้ามา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับหญิงชรานั้นต่างออกไป เธอคือครอบครัวของพวกเขา หลังจากพูดทั้งหมดนั้นแล้ว เด็กชายข้าง ๆ เขาก็หันไปมองผีผู้หญิง สีหน้าของเธอยังเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ดังนั้นเฉินเกอจึงบอกไม่ได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

สมองเขาหมุนจี๋ และหลังจากกลั่นกรองประสบการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว เขาก็คิดวิธีการแก้ไขสถานการณ์อันซับซ้อนนี้ได้สามวิธี แต่ว่า ตอนที่เขากำลังจะใช้วิธีหนึ่งออกมานั้น ผู้หญิงและเด็กชายจู่ ๆ ก็ถอยไปที่ด้านข้างแล้วหายตัวไป

ประตูถูกผลักเปิดออกแล้วคุณยายอายุราวเจ็ดสิบหรือแปดสิบปีคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ประตู มือเหี่ยวย่นถือกุญแจเอาไว้ เธอพึมพำ “เฉียนเฉียน? นั่นหนูหรือเปล่า?”

ใบหน้าของหญิงชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างคาดหวังก่อนที่สายตาจะตกลงมาที่เฉินเกอที่นอนแผ่อยู่บนโซฟา

“ให้ผมอธิบายก่อนครับ!” เฉินเกอรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปหาหญิงชราแต่ว่าขากางเกงของเขากลับถูกดึงเอาไว้ เขาหันไปมองและเห็นเด็กชายซ่อนอยู่หลังโซฟา เขาคว้าขาของเฉินเกอเอาไว้และศีรษะน่าประหลาดนั่นก็หันซ้ายขวาเหมือนกำลังเตือนเฉินเกออย่าได้เปิดเผยตัวตนของพวกเขาให้หญิงชรา

“ไม่ต้องกังวล ว่าแต่เธอกำลังคุยกับใครเหรอ?”

ถึงแม้ว่าหญิงชราจะแก่แต่เธอก็ไม่ได้แก่หง่อมถึงเพียงนั้น เธอเดินเข้ามาในห้องแล้วชะโงกหน้าดูด้านหลังเฉินเกอ ตอนนั้นผู้หญิงและเด็กชายก็หายตัวไปแล้ว

“ผมกำลังพูดอะไรอยู่เหรอ?” เห็นหญิงชราเข้ามาในห้อง เฉินเกอก็พูดอย่างนุ่มนวล “คุณยาย อย่าได้เข้าใจผิด ผมไม่ใช่พวกหัวขโมย– ผมแค่มาที่นี่เพื่อถามคำถามคุณเล็กน้อย ผมเห็นประตูไม่ได้ล็อกดังนั้นจึงเข้ามาเพื่อตามหาคุณ แต่จู่ ๆ ลมก็พัดกระแทกประตูปิดจากด้านนอก”

“เธอกำลังบอกฉันว่าลมมันล็อกประตูได้งั้นเหรอ?” หญิงชราไม่ได้ถูกหลอกโดยง่าย เธอมองเฉินเกอก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋า เฉินเกอคิดว่าเธอจะหยิบอาวุธอะไรออกมาป้องกันตัวเอง ดังนั้นเขาจึงระวังตัวมากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า เธอเพียงแค่ส่งผ้าเช็ดหน้าสะอาดให้เขาผืนหนึ่งเท่านั้น “เช็ดเหงื่อเธอซะ ต่อให้เธอเป็นโจรก็ไม่เป็นไร– ที่นี่ไม่ได้มีของมีค่าอะไรให้หยิบฉวยหรอก”

“คุณยายเป็นคนดีจริง ๆ” เฉินเกอผ่อนคลายขึ้นและตัดสินใจแก้ต่างให้ตัวเอง “ผมมีเพื่อนที่เคยเช่าห้องนี้จากคุณยาย แต่ตอนนี้เขากำลังแย่ เขาเอาแต่พูดว่ามีคนอื่นอยู่ในตัวเขาแล้วก็ทำลายความทรงจำดี ๆ ที่เขามีอยู่อย่างบ้าคลั่ง…”

“เธอก็มาที่นี่เพราะเจียหมิงงั้นเหรอ?” หญิงชราขัดเขาขึ้น

เขาขมวดคิ้ว และเฉินเกอก็รีบถาม “มีคนมาถามถึงเขาก่อนผมเหรอ?”

“หลายวันก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งที่แซ่เอี๋ยนมายืนยันบางอย่างกับฉัน”

“หัวหน้าเอี๋ยน? เขาถามอะไรคุณเหรอ?” เฉินเกอนึกถึงหัวหน้าเอี๋ยนขึ้นมา

“ส่วนมากแล้วก็เป็นเรื่องที่ฉันจำได้เกี่ยวกับเจียหมิง เด็กนั่นมาจากบ้านนอก เขาซื่อสัตย์แล้วก็ขยัน และข้อเสียของเขาก็มีแค่เขาดื้อรั้นและยังโชคร้าย” ในน้ำเสียงของหญิงชราแฝงความเศร้าเมื่อพูดถึงเจียหมิง

“อย่างนั้นเขาถามไหมว่าทำไมเจียหมิงถึงย้ายออกไป?” เฉินเกอพบว่าเขาประเมินตำรวจต่ำไป ก่อนที่เจียหมิงจะถูกจับกุม หัวหน้าเอี๋ยนก็ตรวจสอบเบื้องหลังและประวัติทั้งหมดของเขาแล้ว

“เขาถาม แต่บอกตามตรง กระทั่งฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเด็กนั่นถึงได้รีบย้ายออก เขาไม่เอากระเป๋าหรือของไปด้วยด้วยซ้ำ ฉันอยากจะส่งมันให้เขาแต่เขาก็ปฏิเสธฉัน”

“อย่างนั้นคุณยังจำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนก่อนที่เขาจะย้ายออก? มันน่าจะเป็นวันนั้นที่เขากลับบ้านดึกมาก” เฉินเกออยากจะยืนยันเรื่องที่เจียหมิงเล่าจากฝั่งหญิงชรา

“คืนนั้นฉันอยู่ในห้องฉันและไม่ได้…” จู่ ๆ หญิงชราก็ชะงัก และเธอก็มองหน้าเฉินเกออยู่นาน “เราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนไหม?”

“พวกเราเคยพบกันเหรอครับ?” คราวนี้ เฉินเกอประหลาดใจอย่างแท้จริง

“ใช่ ฉันคิดว่าฉันจำได้แล้ว คืนนั้น ฉันได้ยินเจียหมิงเดินอยู่ในบ้านและฉันก็คิดว่าเขาทะเลาะกับเสี่ยวหลิง ดังนั้นจึงคิดที่จะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้พวกเขา แต่ตอนที่ฉันขึ้นไปถึงชั้นสอง ฉันก็เห็นมีคนยืนอยู่ที่ประตูห้องเขา” หญิงชรายกแขนผอมบางของเธอขึ้นช้า ๆ ชี้ไปที่เฉินเกอ “เป็นเธอ เธอเป็นคนที่ยืนอยู่ที่ประตูห้องเขาคืนนั้น!”

หญิงชราเริ่มตื่นตระหนก จากแนวโน้มแล้ว เฉินเกออาจจะเผยยิ้มชั่วร้ายออกมาจากนั้นก็พูดอะไรอย่าง ‘ในเมื่อคุณเห็นหน้าผมแล้ว ผมก็คงปล่อยให้คุณมีชีวิตอยู่เพื่อไปบอกคนอื่นไม่ได้’ แต่อันที่จริง เฉินเกอกลับขยับตัวออกห่างจากหญิงชราเสียเองและเขาก็เริ่มใคร่ครวญอย่างละเอียด

หญิงชราเองก็เห็นคนที่ดูคล้ายเฉินเกอเช่นกัน นี่ยืนยันว่าเงานั่นมีความสัมพันธ์กับเฉินเกอ หรืออย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็มีหน้าตาคล้ายกัน

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กชายกับผู้หญิงคนนั้นถึงเอาแต่จ้องหน้าฉันตอนที่พวกเขาเห็นฉัน– พวกเขาน่าจะตกใจเหมือนกัน” เฉินเกอพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง และจากนั้นเขาก็หันมามองหญิงชรา “คุณยาย คืนนั้น คุณเห็นคนที่ดูเหมือนผม เขากำลังทำอะไรแปลก ๆ หรือเปล่า?”

หญิงชราส่ายหน้า “ทั้งหมดที่เขาทำก็คือยืนอยู่ตรงนั้น อ้อ ใช่แล้ว ฉันถือไฟฉายไปด้วยตอนนั้น แต่หลังจากที่แสงกระทบตัวเขา ฉันก็พบว่า ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะไม่มีเงา”

 

ถ้าผมบอกว่า… (1+2)

สวนสนุกเปิดตอนเก้าโมงเช้า ดังนั้นเฉินเกอจึงมีเวลาเหลือไม่มากนัก เขาตัดสินใจที่จะสืบดูต่อในตอนนี้

“สารวัตรหลี่ อย่าประมาท ผู้ชายคนนั้นอันตรายมาก และเขาน่าจะไม่ได้ไร้อันตรายอย่างที่เขาทำให้ตัวเองดูเหมือนอย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนผู้ป่วยทางจิตทั่วไป” เฉินเกอไม่รู้ว่าเจียหมิงจะตื่นขึ้นมาตอนไหน เขาพูดบางอย่างกับหลี่เจิ้งและจากนั้นก็ออกจากโรงพยาบาลมา

เขาเรียกแท็กซี่ไปที่บ้านเช่าแรกของเจียหมิง พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น และมีคนอยู่บนถนนไม่มากนัก บางครั้งก็มีรถผ่านไป แต่ก็เท่านั้น เฉินเกอนั้นยังไม่ได้นอนเลยเมื่อคืนนี้ แรกเลยเขาไปที่โรงเรียนเด็กพิเศษเพื่อไล่ตามผีในน้ำและจากนั้นก็ดำลงไปในเขื่อนจิ่วเจียงตะวันออกเพื่อกู้ศพพวกนั้นก่อนที่ในที่สุดจะไปที่โรงพยาบาลเพื่อช่วยตำรวจสืบเรื่องเจียหมิง พูดอีกอย่างหนึ่ง เขาใช้เวลาคืนนี้ของเขาอย่างเต็มที่ ไม่มีสักวินาทีที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์

หัวของเขารู้สึกเบาโหวงขณะที่ความง่วงงุนโจมตีเขาเป็นระลอก ๆ เฉินเกองีบหลับไปในรถแท็กซี่ และคนขับก็ปลุกเขาขึ้นมาตอนที่พวกเขามาถึงปลายทาง แต่ว่า การงีบหลับครู่หนึ่งนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์นัก แล้วมันยังทำให้เฉินเกอรู้สึกหัวหนักอึ้งและเชื่องช้าด้วย มันเหมือนสมองของเขาเต็มไปด้วยตะกั่ว

เขาลูบ ๆ หน้าตัวเองแล้วก็เดินเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ลมเย็น ๆ พัดผ่านหน้าเขา บางทีอาจจะเป็นเพราะวิธีการที่ตึกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมา แต่ว่าแสงอาทิตย์ยากที่จะสาดส่องเข้ามาในตรอกนี้

“ไม่แปลกใจที่เจียหมิงจะไม่กล้าหยุดสักครู่เดียวหลังจากหนีออกมาจากตึกที่เขาอยู่ เขากล้าหยุดก็ตอนที่วิ่งออกไปจนถึงถนนใหญ่แล้ว”

นี่เป็นเขตที่พักอาศัยเก่าและตึกรอบ ๆ นั้นก็ค่อนข้างต่ำ ส่วนมากแล้วเป็นตึกที่มีเพียงสองหรือสามชั้นเท่านั้น พวกมันดูโทรมและเก่า และบางตึกยังมีคำ ‘รอรื้อถอน’ สีแดงทาเอาไว้บนผนังด้วย

“เรื่องที่เจียหมิงเล่าที่โรงพยาบาลนั้นน่าจะเกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว ฉันหวังว่าหญิงชราจะยังไม่ย้ายไปไหนและตึกจะยังอยู่ที่เดิม”

เขาไปตามที่อยู่ที่หลี่เจิ้งให้มาและเดินเข้าเดินออกแต่ละตรอกอยู่นานกว่าจะพบบ้านของหญิงชราคนนั้น เพื่อนบ้านทางซ้ายและขวานั้นย้ายออกไปแล้ว และยังมีโพรงใหญ่โพรงหนึ่งอยู่ที่กำแพง จากที่เห็น ที่นี่ดูเหมือนจะร้างมานานแล้ว

“ที่นี่ไม่ได้หาเจอง่าย ๆ เลย” เฉินเกอเข้าไปในทางเดินและสังเกตเห็นกระถางต้นไม้ที่วางเอาไว้หลายมุม บางที อาจจะเพราะไม่เจอแสงแดด ดอกไม้ส่วนใหญ่จึงเหี่ยวเฉา และลำต้นยังเหลืองบาง

“มีใครอยู่ไหมครับ?” เฉินเกอเคาะประตูที่ชั้นแรก และเขาก็เรียกออกไปเบา ๆ ไม่มีการตอบรับ แต่เสียงของเขานั้นก้องไปตามทางเดินชั้นแรก เขาหันไปมองทางบันได เพราะอะไรสักอย่าง เฉินเกอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับที่นี่ เขาลองดึงประตูเปิด และประตูนิรภัยก็ถูกดึงเปิดได้ทั้งอย่างนั้น

“มันไม่ได้ล็อกไว้ด้วยซ้ำ?” เฉินเกอดึงประตูเปิดกว้างอย่างสงสัย กลิ่นอับกลิ่นรารุนแรงพุ่งมาจากด้านใน ในห้องเต็มไปด้วยเครื่องเรือนเก่า ๆ โซฟาเป็นรูปแบบที่นิยมเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แบบที่ยังเป็นเบาะหุ้มผ้าอยู่ กระทั่งนาฬิกานกคุกคูบนกำแพงและโต๊ะกินข้าวตัวเตี้ยยังดูทรุดโทรมไปแล้ว

“บนลูกบิดประตูไม่มีฝุ่น และนาฬิกาในห้องยังเดินตรงเวลา ดังนั้นน่าจะยังมีคนอาศัยอยู่ที่นี่”

เมื่อไม่ได้รับอนุญาต เฉินเกอก็ไม่หยาบคายพอที่จะบุกเข้าไปในบ้านคนอื่น เขาร้องเรียกอีกครั้งอยู่ที่กรอบประตู แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ แต่ว่า มีเสียงประหลาดดังมาจากบนเพดาน มันเหมือนลูกบอลแฟบ ๆ กระเด้งอยู่บนพื้น

“เสียงนั่นมาจากชั้นสาม” เฉินเกอเดินขึ้นบันได ตอนที่เขาผ่านชั้นสอง เขาก็พบว่าประตูห้องที่ชั้นสองเปิดอยู่ แต่ว่าไม่มีกลิ่นประหลาดจากที่นั่น เหมือนที่นั่นได้รับการทำความสะอาดเป็นประจำ

หลังจากหยุดอยู่ที่ชั้นสองครู่หนึ่ง เฉินเกอก็เดินขึ้นไปต่อ หน้าต่างที่ตรงมุมบันไดนั้นมีผ้าสีดำปิดเอาไว้ บนกำแพงไม่มีหลอดไฟ ดังนั้นต่อให้ที่ด้านนอกพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ที่ด้านในนี้ก็ยังคงมืดเหมือนยามราตรี

“มีคนอยู่ไหมครับ?” เสียงประหลาดดังเข้ามาในหูของเขา เฉินเกอรู้สึกเหมือนเป็นตัวละครหลักอันอับโชคในหนังสยองขวัญพวกนั้นตอนที่เขาเดินขึ้นไปอีกก้าวเข้าใกล้แหล่งที่มาของเสียงประหลาด เขากำราวบันไดเอาไว้ รู้สึกถึงความเย็นที่แผ่มาจากกลางฝ่ามือ

บนชั้นสามของตึกเก่า ๆ หลังนี้ไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามาเลย เฉินเกอดึงโทรศัพท์ของเขาออกมาแล้วเปิดไฟฉาย เขาส่องไฟไปยังที่ที่เสียงดังมา ตอนที่ไฟส่องกระทบตรงจุดนั้นก็มีบางอย่างเลื้อยผ่านไปในพริบตานั้น

เฉินเกอเกร็งร่างขึ้นขณะกวาดตาไปทั่ว ๆ ชั้นสาม ประตูบนชั้นนี้ถูกเอาออกไปหมดแล้ว และที่นี่ยังเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือเปียโนหลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนา มีหลายคีย์ที่หายไป และมันก็ดูเหมือนชายแก่ที่ฟันหลายซี่หลุดหายไปกำลังอ้าปากอยู่

“พวกเขาน่าจะเป็นครอบครัวที่มีฐานะดี อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นเจ้าของตึกสามชั้นและยังสามารถซื้อหาสิ่งของฟุ่มเฟือยอย่างเปียโนสักหลังได้”

เฉินเกอเดินไปที่เปียโนนั่นแล้วกดนิ้วลงบนหลาย ๆ คีย์ เสียงดนตรีที่เขาคาดหวังให้ดังออกมาจากเปียโนกลับไม่ปรากฏ

เฉินเกอมองเข้าไปในเปียโน มีเส้นผมหลายกระจุกติดอยู่ในนั้น บางทีเขาอาจจะคิดไปเอง แต่ครู่หนึ่งนั้น เฉินเกอรู้สึกว่าเส้นผมนั่นขดตัวลึกเข้าไปในเปียโน

เฉินเกอเอื้อมมือเข้าไปในเปียโนดึงผมกระจุกหนึ่งออกมาอย่างใจเย็น “มีเส้นผมสีขาวและสีดำ ปลายยังสะอาดและเรียบร้อย ดังนั้นนี่จะถูกตัดออกมา ไม่ได้ถูกถอน นี่เป็นของสะสมพิเศษของหญิงชราเจ้าของบ้านงั้นหรือ? แต่ทำไมเธอถึงเก็บของพวกนี้ไว้ล่ะ?”

ลูกสะใภ้ของหญิงชรานั้นยังอายุน้อยอยู่ตอนที่เธอตาย ดังนั้นเส้นผมของเธอน่าจะยังไม่หงอกขาว

“ทำไมหญิงชราถึงได้เอาเส้นผมใส่ไว้ในเปียโนเยอะอย่างนี้?” เฉินเกอโยนเส้นผมที่เขาถือเอาไว้กลับเข้าไปในเปียโน ตอนที่เขาดึงแขนกลับมานั้น ที่ปลายหางตาของเขาก็มองเห็นใบหน้าสีเทา ๆ ท่ามกลางกลุ่มผม มันดูกำลังจับตามองเฉินเกออยู่จากใต้กระจุกผมนั่น

“นั่นอะไร?” ชั้นสามนั้นเป็นที่สำหรับเหล่าวิญญาณ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เขาจะเจอเข้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติ เฉินเกอไม่ได้ตื่นตระหนก เขาวางโทรศัพท์ของเขาลงข้างตัว เล็งให้ไฟฉายส่องเข้าไปในเปียโน จากนั้นเขาก็เอื้อมเข้าไปหากลุ่มผมด้วยสองมือและเริ่มการค้นหา “คุณยังอยู่ที่นั่นไหม?”

ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้กองเส้นผม และไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเจอของสำคัญชนิดไหน แต่ว่า ความรู้สึกที่ผิวหนังเปลือยเปล่าสัมผัสกับเส้นผมนั้นก็ไม่ได้ดีนัก เขาคุ้ยไปทั่วอยู่นาน แต่สุดท้ายเฉินเกอก็หาคนไม่เจอ เขาดึงมือกลับมาแล้วมองนาฬิกาที่ด้านข้าง นาฬิกาดูคล้ายกับที่อยู่ในห้องของหญิงชราที่ชั้นแรก แต่ว่าอันนี้ มีเพียงเข็มวินาทีเท่านั้นที่ยังเดินอยู่

มันหมุนไปเรื่อย ๆ แต่เวลาบนหน้าปัดก็ยังคงนิ่งอยู่ที่ 3:44

“เป็นบ่ายสามสี่สิบสี่นาทีหรือว่าตีสามสี่สิบสี่นาทีกันล่ะ? และมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในเวลานี้ของวันนั้น?”

ตอนที่ความสนใจของเฉินเกอถูกดึงไปทางนาฬิกา ก็มีบางอย่างเลื้อยออกไปจากใต้เปียโน เสียงลูกบอลกระเด้งกลับมาอีกครั้ง และเมื่อเฉินเกอได้ยิน เสียงนั่นก็ย้ายไปที่ชั้นสอง

“มันหนี? ไม่ มันเหมือนมันพยายามนำทางให้ฉัน”

เฉินเกอกลับไปที่ชั้นสอง เขาไม่สามารถสลัดความรู้สึกว่ามีบางอย่างหรือบางคนจับจ้องแผ่นหลังเขาอยู่ออกไปได้ เสียงนั่นหายไปเมื่อเฉินเกอไปถึงชั้นสอง แต่น่าแปลก ประตูเปิดทิ้งเอาไว้นั้นเปิดกว้างไม่เท่าก่อนหน้านี้

“มันเข้าไปซ่อนในห้อง?” เฉินเกอผลักประตูเปิดเข้าไปในห้องที่อยู่ในเรื่องเล่าของเจียหมิง แต่ว่า ต่างไปจากที่เจียหมิงอธิบาย หน้าต่างทั้งหมดในห้องนี้นั้นถูกไม้กระดานปิดเอาไว้ ถึงแม้ว่าที่นี่จะสะอาด แต่ว่ามันก็ให้ความรู้สึกน่าขนลุก

เข้าไปในห้อง เฉินเกอรีบตรงไปยังห้องน้ำที่มีพลังหยินรุนแรงที่สุด ผลักประตูเปิดเข้าไป เขากวาดตามองรอบ ๆ คร่าว ๆ ครั้งหนึ่งและจากนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่หน้ากระจก เฉินเกอยืนอยู่ตรงนั้นและจ้องไปที่เงาสะท้อนของตัวเองในกระจกอยู่นาน

ถ้าคนผู้หนึ่งมองเงาสะท้อนของตัวเองนาน ๆ สมองของพวกเขาก็จะสร้างความทรงจำว่าเงานั่นไม่เหมือนตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ในกรณีรุนแรง อาจจะมีกระทั่งความรู้สึกประหลาดและหวาดกลัวอันอธิบายไม่ได้เกิดขึ้นด้วย

เฉินเกอมองไปที่กระจกอยู่ห้านาทีเต็ม ๆ แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่ากระจกมีอะไรผิดปกติหรือไม่ เขาเชื่อว่าหลังจากเงานั่นทำตามจุดประสงค์สำเร็จแล้ว มันก็จากไปทันทีและไม่ได้ทิ้งร่องรอยหรือว่ากับดักอะไรเอาไว้ในกระจก แต่เพื่อความแน่ใจว่าตรวจดูครบถ้วนแล้ว ก่อนกลับออกไป เฉินเกอก็ใช้ดวงตาหยินหยางของเขาและจ้องเข้าไปในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่ดวงตาของเขาหรี่ลง เขาก็มองเห็นขาสีเทา ๆ คู่หนึ่ง

มันเป็นเด็กชายที่หัวอยู่แทบจะถึงพื้น เขายืนอยู่หลังประตูห้องน้ำ มองมาทางเฉินเกอ

เฉินเกอหันควับกลับไปแต่กลับไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขามองไปที่กระจกอีกครั้ง แต่คราวนี้ ถึงจะใช้ดวงตาหยินหยาง เด็กชายก็ไม่ปรากฏขึ้นในกระจกอีกเลย

“เขาไปไหนกัน?” เฉินเกอเดินออกไปจากห้องน้ำเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป

ประตูเข้าไปห้องนั่งเล่นนั้นปิด หน้าต่างถูกไม้กระดานตีปิดเอาไว้ และตอนนี้ประตูก็ปิดลง อากาศในห้องเริ่มอับและหนักขึ้นกดทับลงมาที่เฉินเกอ

“เป็นเด็กชายคนนั้นทำเหรอ?” เขาเดินไปที่ประตูแล้วหมุนลูกบิด เขาพบว่าประตูล็อกเอาไว้ และมันก็ไม่สามารถเปิดออกได้โดยไม่มีกุญแจ ตอนที่เฉินเกอกำลังดูว่าจะทำอย่างไรกับล็อกดีนั้น ก็มีเสียงดังมาจากที่มุมห้องนั่งเล่น จากนั้นก็มีเสียงซ่า ๆ ดังเข้ามาในหูเฉินเกอ

เขาหันกลับไปมอง ในห้องมืด ๆ ทีวีที่เดิมปิดอยู่ก็ถูกเปิด ภาพบิดเบี้ยวสีฟ้าและขาวปรากฏขึ้นบนหน้าจอ และบางครั้งมันก็กะพริบ

“ฉากนี้ก็ปรากฏขึ้นในเรื่องเล่าของเจียหมิงมาก่อนเหมือนกัน” เฉินเกอดูใจเย็น แต่ว่าหัวใจของเขานั้นเต้นรัว ก่อนที่เขาจะทันดูจบ จอทีวีที่กะพริบอยู่ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งลง และรูปร่างหยาบ ๆ ของเงาร่างหนึ่งก็เริ่มปรากฏ

เงาร่างนั้นคล้ายกับกำลังตรงเข้ามาหาเฉินเกอช้า ๆ เดิมที มันมีขนาดเท่ากำปั้น แต่ในที่สุด มันก็ขยายโตเท่าศีรษะ ขณะที่มันเข้ามาใกล้ เฉินเกอก็มองเห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม

มันเป็นเงาร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง และหลังจากจอกะพริบแต่ละครั้ง เงาร่างผู้หญิงก็เข้าใกล้เขามากขึ้น และหัวใจของเฉินเกอก็เริ่มเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นมีขนาดเท่ากับคนจริง ๆ และจอทีวีไม่ได้ใหญ่พอที่จะแสดงภาพของเธอได้ เฉินเกอก็เลิกลังเล เขาเอื้อมมือเข้าไปที่ด้านหลังตัวเองแล้วพึมพำสองคำ “ซู่อิน!”

นิ้วของเขาไปถึงที่ด้านหลังตัวเองแต่กลับไม่พบอะไร และหัวใจของเฉินเกอก็กระตุก จู่ ๆ เขาก็นึกได้ว่าเขาได้รับโทรศัพท์จากหลี่เจิ้งเมื่อเช้านี้ให้ไปที่โรงพยาบาลช่วยพวกเขาเรื่องคดี

เพราะเวลากระชั้นและกระเป๋าสะพายหลังของเขานั้นเปียกน้ำจากเสื้อผ้าของเขาที่ดำลงไปในเขื่อน เฉินเกอจึงไม่ได้เอากระเป๋าสะพายมาด้วย เขานึกได้ว่าตั้งแต่ที่เขาไปพบตำรวจ เขาก็ไม่ได้เจอกับอันตรายอะไร

นิ้วของเขาแข็งทื่ออยู่ท่าเดิม และเฉินเกอก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ทีวีอย่างช้า ๆ เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาตามใบหน้าของเขาขณะที่ดวงตาของเขาขยับช้า ๆ ในที่สุดเขาก็เห็นจอทีวีแล้ว มีเพียงแค่ภาพสีฟ้าและขาวที่ยังอยู่บนจอ– เงาของผู้หญิงนั้นหายไปแล้ว

เฉินเกอถอนหายใจโล่งอก แต่ก่อนที่เขาจะทันได้หายใจครั้งต่อไป หลังคอเขาก็รู้สึกชายิบเหมือนมีเส้นผมของใครสักคนบังเอิญปัดผ่านผิวของเขา

ดวงตาของเขากระตุกและเฉินเกอก็จำได้ว่าได้ยินส่วนนี้ในเรื่องของเจียหมิงด้วยเหมือนกัน

เขาหันหลังกลับช้า ๆ และจากปลายหางตา เขามองเห็นดวงตาเป็นประกายคู่หนึ่งมองมาที่เขาจากด้านหลัง

ร่างที่ปรากฏในทีวีนั้นบิดเบี้ยวเป็นมุมที่เป็นไปไม่ได้และริมฝีปากของเธอก็แตกระแหง ผู้หญิงคนนั้นที่มีดวงตาหลุดออกจากเบ้ากำลังยืนอยู่ด้านหลังเขา

ใบหน้าของเขากระตุกนิด ๆ และเฉินเกอก็รู้สึกเหมือนอากาศรอบ ๆ ตัวเขาถูกแช่แข็ง เขามองไปยังเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงของเธอแล้วก็ถอยหลังกลับช้า ๆ

เขาเหยียบลงบนอะไรสักอย่างและเฉินเกอก็ล้มไปที่โซฟา เขามองเงาของผีที่กำลังตรงเข้ามาและพูดออกไปตามสัญชาตญาณ “คุณจะเชื่อไหมถ้าผมบอกว่าผมมาที่นี่เพื่อช่วยคุณ?”

 

มีคนอยู่ข้างหลังผม

“ผมกุมถ้วยกาแฟเอาไว้ คิดเรื่องนี้อยู่นานจนกระทั่งผมเห็นเงาสะท้อนที่บนผิวกาแฟ ตอนที่ผมมองเข้าไปในถ้วย เงานั่นก็มองกลับมาที่ผม

“จากนั้นจู่ ๆ ผมก็ตระหนักได้ว่าตอนที่ผมหันกลับไปมองกระจกก่อนหน้านี้ เงาของผมในกระจกไม่ได้บิดคอกลับมา? เขายืนตัวตรงหันมาทางผม แค่นั้น…”

ครู่หนึ่งที่เจียหมิงพูดไม่ออก เหมือนมีบางอย่างรวบมืออยู่รอบคอของเขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“แผ่นหลังผมเย็นเยือกขึ้นมา โซฟาห้องนั่งเล่นนั้นหันหลังให้ห้องน้ำ ผมรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างอยู่ด้านหลังผม! มันเหมือนมีคนยืนอยู่ตรงนั้น!

“ผมไม่กล้าหันกลับไป ผมขยับถ้วยกาแฟ ดวงตามองลงไปช้า ๆ ผมอยากจะมองผ่านเงาสะท้อนว่ามีอะไรอยู่ด้านหลังผม

“ตอนที่หมุนถ้วย ความเย็นนั่นก็คืบคลานเข้ามา ขนตรงหลังคอผมลุกชัน และตอนที่ผมกำลังจะเห็นเงาที่สะท้อนในน้ำ ผิวหนังที่หลังคอของผมก็เหมือนมีบางอย่างแตะลงมา เหมือนมีบางคนก้มหน้าลงมาปลายผมหล่นลงมาบนผิวของผม

“แขนผมสั่น แล้วผมก็ถือถ้วยเอาไว้ไม่ไหว ปล่อยมันลื่นหลุดจากปลายนิ้ว และกาแฟก็กระฉอกไปทั่ว ผมกรีดร้องคว้าที่เขี่ยบุหรี่กับจานผลไม้ที่บนโต๊ะเหวี่ยงมันไปด้านหลังผม ผมกระโดดข้ามเฟอร์นิเจอร์พุ่งตัวไปที่ประตู ผมกำลูกบิดประตูไว้ด้วยสองมือ ผมหันกลับไปมอง ในห้องไม่มีอะไรทั้งนั้น อย่างเดียวที่ต่างออกไปคือสัญญาณทีวีที่ดูจะหลุดไป ไม่มีวิดีโอ มีแค่หน้าจอกะพริบสีฟ้าและขาว

“รอบด้านเงียบมากและผมก็ได้ยินเสียงโทรทัศน์ทำงาน ผมไม่กล้าอยู่ในห้องต่อ– ผมต้องการหนีออกไป แต่ผมก็เริ่มมีความคิดอื่น นึกถึงเด็กชายที่ผมเห็นที่บันไดในท่าทางที่ไม่น่าเป็นไปได้ขึ้นมา ผมกลัวว่าเขาจะอยู่ที่อีกฟากของประตู

“ทางเดินไม่ปลอดภัย แต่ในห้องก็ด้วย ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรแล้ว ผมยืนตัวแข็ง มือกำลูกบิดประตู

“ตอนที่ผมกำลังลังเล ภาพบนโทรทัศน์ก็เริ่มกะพริบเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ผมสังเกตเห็น ระหว่างภาพที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็เริ่มชัดเจน!

“ทั้งหมดนั่นคือแรงผลักดันให้ผมดึงประตูเปิดและวิ่งหนีไป ผมพุ่งลงไปที่ถนนโดยไม่ได้มองรอบ ๆ แต่ว่าแสงไฟบนถนนมืด ๆ ก็ยังไม่ทำให้ผมรู้สึกถึงความปลอดภัย ผมวิ่งออกไปเหมือนคนบ้าจนหมดแรงและผมก็ล้มลงไปบนพื้น รายล้อมไปด้วยแสงไฟถนน ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย”

ตอนที่เขาเล่าเรื่อง หน้าผากและแผ่นหลังของเจียหมิงก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ และไม่มีใครในห้องมีสีหน้าปกติเลย น้ำเสียงของเจียหมิง รวมกับท่าทางหวาดกลัวอย่างแท้จริงของเขา ดึงผู้ฟังเข้าไปร่วมในเหตุการณ์

เจ้าหน้าที่หญิงกำปากกาที่เธอถืออยู่แน่นเข้า หลี่เจิ้งหันไปเหลือบมองเฉินเกอ “คุณคิดว่ายังไง? ก่อนที่คุณหมอเกาจะหายตัวไป เขาเคยบอกผมว่าคุณค่อนข้างเก่งในเรื่องจิตวิทยา คุณคิดว่าผีที่เขาเห็นนั้นหมายถึงอะไร?”

“เรื่องของเขาน่าสนใจมาก ผมสามารถวิเคราะห์มันคร่าว ๆ ได้” เฉินเกอลุกขึ้นแล้วย้ายไปนั่งติดกับเตียง “เจียหมิงเริ่มเรื่องของเขาโดยการเล่าว่าเขาเห็นเจียงหลงถูกใครบางคนฆ่าที่บ้านพักของเขา คนที่ใช้มีดและข่มขู่เจียงหลงให้ทำบางอย่างที่น่าจะเจ็บปวดอย่างสุดแสน และเขายังพูดอย่างมั่นใจว่าคนผู้นั้นก็คือผม หรืออย่างน้อยที่สุดก็ดูคล้ายกับผม

“หลังจากผ่านเรื่องนั้นมา เขาก็รีบกลับบ้าน ตอนที่เขาอยู่ในทางเดิน หญิงชราเจ้าของบ้านก็บอกเขาว่า ‘ตอนเดินพวกคุณสองคนอย่าส่งเสียงดังนัก มันดึกมากแล้ว พวกคุณสองคนทำอะไรอยู่จนดึกป่านนี้?’

“นี่หมายความว่าหญิงชรามองเห็นว่ามีมากกว่าแค่เจียหมิงที่ในทางเดิน และคนที่สองนั้นยังอยู่ใกล้กับเจียหมิงมากด้วย! ใกล้ถึงขนาดที่หญิงชราคิดว่าคนผู้นั้นเป็นเพื่อนของเจียหมิง”

เฉินเกอยิ้มให้เจียหมิง

“ถ้าเขากำลังพูดความจริง อย่างนั้นนี่ก็หมายความว่า ตั้งแต่นั้นมา มีคนผู้หนึ่งหรือมีบางสิ่งบางอย่างตามติดเขาอยู่ และคนผู้นั้นก็น่าจะเป็นคนไม่ดีที่เขาเจอที่บ้านพักของเจียงหลง– ‘เฉินเกอ’ ที่ข่มขู่เจียงหลงด้วยมีด การตามรอยผู้ชายสักคนโดยไม่ถูกสังเกตเห็นนั้นยาก วิธีการที่ผมหลอกเขาก็ด้วย แต่กลับพลาดที่จะซ่อนตัวจากสายตาของหญิงชราคนหนึ่ง พวกเราสามารถลองสันนิษฐานได้ว่าสิ่งที่เขากำลังพูดความจริงเพื่อพวกเราสามารถวิเคราะห์ต่อไปได้

“จากนั้น เขาก็วิ่งไปที่ชั้นสองที่เป็นบ้านของเขา ตอนที่เขาเปิดประตู เขาเห็นขาของเด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งกับหัวของเขาที่มุมบันไดขึ้นชั้นสาม และตำแหน่งที่เด็กชายปรากฏตัวก็น่าสนใจทีเดียว

“เจียหมิงบอกพวกเราว่าหญิงชราบอกว่าครอบครัวของลูกชายเธอที่มีกันสามคนตายในอุบัติเหตุรถยนต์ และชั้นสามเดิมเป็นพวกเขาอาศัยอยู่ เธอไม่ต้องการปล่อยให้เช่าเพราะอยากเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ

“พวกเราสามารถสันนิษฐานได้ว่าเด็กชายที่เจียหมิงเห็นคือหลานชายของหญิงชรา เด็กที่ตายในอุบัติเหตุ จากนั้นเรื่องแปลกก็คือ เจียหมิงอยู่ที่นั่นตั้งนาน แต่เขาก็ไม่เคยเห็นเด็กชายมาก่อน ดังนั้น คืนนั้นมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปทำให้เขาสามารถมองเห็นเด็กชายได้?”

เฉินเกอนั้นวิเคราะห์อย่างจริงจัง แต่จากมุมมองของหลี่เจิ้งและเจ้าหน้าที่หญิงแล้ว มันก็เหมือนฟังผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่งให้คำปรึกษาผู้ป่วยทางจิตอีกคน

“คำตอบนั้นง่ายมากเพราะว่าเด็กชายก็สามารถมองเห็นสิ่งที่ตามเจียหมิงอยู่เช่นกัน เราลองให้ความสนใจกับวิธีการที่เด็กชายปรากฏขึ้น เขายืนอยู่ที่ตรงมุม หัวห้อยต่ำมาที่พื้นเหมือนกำลังแอบมองอยู่ นี่หมายความว่าสิ่งที่ตามเจียหมิงมานั้นน่ากลัวกว่าเด็กชาย” เฉินเกอมีรอยยิ้มบนใบหน้า “มนุษย์หวาดกลัวผี นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเคยได้ยินอะไรแบบนี้

“มีรายละเอียดอีกอย่างหนึ่งที่ควรจดเอาไว้หลังจากที่เขาเข้าประตูไป ตอนที่เจียหมิงพบว่าเงาสะท้อนของเขาในกระจกนั้นไม่ได้สะท้อนกริยาที่เขาทำอยู่ในชีวิตจริง เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังเข้ามาหาเขาจากด้านหลัง ตอนที่เขาขยับแก้วเพื่อดูว่าเป็นใครนั้น ลำคอของเขาก็ถูกบางอย่างที่คล้ายม่านผมแตะลงมา”

เฉินเกอชะงัก

“นี่สำคัญเพราะว่าผมมีผมสั้น ผู้ชายส่วนใหญ่ล้วนผมสั้น ตอนที่พวกเราก้มหน้าลง มันเป็นไปไม่ได้ที่เส้นผมของพวกเราจะยาวพอที่จะหล่นลงไปกองที่หลังคอเขา หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง มันควรจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง หรือไม่ก็ผีผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา

“จากนั้น ตอนที่เขาเตรียมจะหนีออกจากห้อง เขาก็เห็นความผิดปกติในทีวี ภาพในทีวีเริ่มกะพริบ และใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้น จากการสังเกตจากไกล ๆ ต่อให้มีผีในห้อง มันก็น่าจะเป็นผีผู้หญิง รวมกับข้อมูลที่พวกเราเก็บมาได้ก่อนหน้านี้ ตัวตนแท้จริงของผีผู้หญิงก็น่าจะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูกสะใภ้ของหญิงชราเจ้าของบ้าน

“ในเรื่องของเจียหมิง มีผีสองตัว และพวกมันก็มีความสัมพันธ์กับเรื่องที่หญิงชราเจ้าของบ้านเคยเล่าให้เขาฟัง นี่น่าจะเกิดขึ้นเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจียหมิงในคืนนั้น ทำให้เขาเกิดความเครียดทางจิตใจอย่างมาก นี่ทำให้จิตใจแตกสลาย ทำให้เขามองเห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง นี่สามารถอธิบายการที่เขาสร้างภาพผีจากเรื่องที่เขาเคยได้ยินมา”

เฉินเกอใช้คำศัพท์เฉพาะที่เขาเรียนรู้มาจากคุณหมอเกามาก่อน เขาไม่รู้หรอกว่าอันที่จริงแล้วมันหมายถึงอะไร แต่มันก็ทำให้เขาดูเป็นผู้เชี่ยวชาญได้

ด้วยการอธิบายของเขา สีหน้าของหลี่เจิ้งและเจ้าหน้าที่หญิงก็อ่อนลง และพวกเขาก็พยักหน้าซ้ำ ๆ เทียบกับเรื่องเหนือธรรมชาติแล้ว พวกเขาเชื่อได้ง่ายกว่าว่าเกิดความผิดปกติทางจิตขึ้นกับเจียหมิง

หลังจากชี้แจงในส่วนของตัวเองแล้ว เฉินเกอก็หันกลับไปมองเจียหมิง บางทีสายตาของเขาอาจจะทำให้เจียหมิงนึกถึงบางอย่างที่น่าหวาดกลัว หรือบางทีเจียหมิงอาจจะสัมผัสได้ถึงอันตรายจากตัวเขา แต่ว่าจู่ ๆ ร่างกายของเขาก็เกร็งกระตุกขึ้นมาก่อนที่จะหมดสติไปโดยสมบูรณ์

“ผมยังไม่ได้แตะตัวเขาเลยนะ” เฉินเกอยกสองมือขึ้นแล้วลุกขึ้นยืน ขณะที่หมอและพยายามเข้ามาล้อมวุ่นวายอยู่รอบตัวเจียหมิง เฉินเกอก็ก้าวเท้าถอยออกมาช้า ๆ เขาไม่ได้บอกตำรวจทุกอย่าง อันที่จริง ความเห็นของเขาก็คือเจียหมิงไม่ได้โกหก

คนที่ดูเหมือนเฉินเกอน่าจะเป็นเงานั่น ส่วนทำไมเขาถึงดูเหมือนเฉินเกอ เฉินเกอเองก็ไม่มีเงื่อนงำใดเหมือนกัน

สิ่งที่เจียหมิงพูดทั้งหมดน่าจะเป็นความจริง เงานั่นตามหลังเขากลับบ้านและถูกหญิงชราเจ้าของบ้านมองเห็นซึ่งทำให้ดวงวิญญาณของครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่ชั้นสามตื่นตัวขึ้นมาด้วย

เด็กชายน่าจะเป็นหลานชายของหญิงชรา และผีผู้หญิงก็น่าจะเป็นลูกสะใภ้ของเธอ น่าจะยังมีผีผู้ชายที่เจียหมิงยังไม่เจอ

เงานั่นตามเจียหมิงกลับบ้าน และยังมีดวงวิญญาณอีกสามดวงที่พยายามปกป้องเขา แต่ความแตกต่างของพลังนั้นมากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ใช้วิธีการของตนเองเพื่อเตือนเขา ให้เขารู้ตัวว่าเขากำลังอยู่ในอันตรายร้ายแรงเพียงใด

เฉินเกอรู้ว่าเจียหมิงไม่ได้โกหก ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะว่าเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าเงานั่นยังอยู่กับเจียหมิงหรือไม่ เงานั่นเจ้าเล่ห์มากและนี่น่าจะเป็นวิธีการที่มันใช้ประโยชน์จากตำรวจ

เพื่อยืนยันว่าเจียหมิงโกหกหรือไม่นั้นง่ายมาก

หลังจากเรียกหลี่เจิ้งออกมาจากห้องเพื่อขอที่อยู่ห้องเช่าเก่าของเจียหมิง เฉินเกอก็ออกจากโรงพยาบาล เขาต้องการไปถามด้วยตัวเอง เขาอยากรู้ว่าที่หญิงชราเห็นคืนนั้นคืออะไรกันแน่และเขาก็ต้องการหาดวงวิญญาณเหล่านั้นมาถามว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรในคืนนั้น

 

เหมือนเงา

“คุณฝันถึงสิ่งที่คุณคิดในวันนั้น นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาออกนะ” หลี่เจิ้งคุ้นเคยกับเฉินเกอ และจากมุมมองของเขา มันไม่เหมือนว่าเฉินเกอจะทำอะไรอย่างซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงใครและจากนั้นก็ออกมากระซิบกระซาบข่มขู่ฆ่า

“ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อผม แต่ว่ามันไม่ใช่ความฝัน” เจียหมิงลดเสียงลงต่ำและน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นประหลาด “คุณไม่เคยสงสัยเลยเหรอว่าเงาของคุณกำลังทำอะไรตอนที่คุณยืนอยู่หน้ากระจกแล้วก้มลงล้างหน้า? เขาจะก้มหน้าตามสะท้อนการเคลื่อนไหวของคุณ หรือว่าเขาจะยังยืนตัวตรงอยู่ในกระจก มองลงมาที่คุณ? คุณไม่เคยเจอสถานการณ์ที่มีคนในห้องน้ำสาธารณะห้องติดกันขอกระดาษทิชชู่จากคุณ แต่พอคุณออกมา คุณก็พบว่าตลอดเวลานั้นคุณอยู่ในห้องน้ำคนเดียวเหรอ? คุณไม่เคยเจอเหรอว่าเวลาคุณโทรหาเพื่อนสนิทหรือว่าครอบครัวของคุณแล้วพวกเขาเอาแต่บอกว่าสายจากคุณมันเสียงดังวุ่นวายเหมือนรอบตัวคุณมีสิ่งต่าง ๆ มากมากมายยืนอยู่ด้วย?”

เจียหมิงกำขอบเตียงแน่นขึ้นเรื่อย ๆ “ผมเคยเจอมาหมดแล้ว”

“ผมคิดว่าพวกเราควรจะเรียกหมอกลับมา” หลี่เจิ้งนั้นเป็นพวกที่ไม่นับถือพระเจ้า และในมหาวิทยาลัยเขายังเรียนมาในด้านอาชญวิทยาและจิตวิทยา เขาไม่คิดว่าเจียหมิงโกหก ดังนั้นในกรณีนี้ จิตใจของเขาต้องมีอะไรผิดปกติ เขาน่าจะป่วยด้วยโรควิตกกังวลบางชนิด

“ก่อนที่หมอจะเข้ามา คุณฟังอีกสักสองสามเรื่องได้ไหม?” เจียหมิงเพยิดหน้าไปทางเฉินเกอ “มันเกี่ยวกับผมและเขา”

“ผมคิดไม่ออกเลยว่าพวกคุณสองคนจะสนิทกันถึงขนาดนั้น” หลี่เจิ้งพยักหน้า

“หลังจากออกจากบ้านเจียงหลง ผมก็ตกใจเกินกว่าจะนึกทางกลับบ้านได้ ผมวิ่งไปอย่างไร้จุดหมายอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าจะกลับถึงบ้าน ตอนนั้น ผมยังอาศัยอยู่ในห้องเช่าหนึ่ง และเจ้าของห้องเช่าก็เป็นหญิงชราคนหนึ่ง เธออาศัยอยู่ที่ชั้นแรก ครอบครัวของผมอยู่บนชั้นที่สอง และชั้นที่สามเป็นห้องเก็บของ

“ตอนที่ผมกลับไป มันก็ดึกมากแล้ว หลังจากเข้าไปที่นั่น สัตว์เลี้ยงของหญิงชราก็เอาแต่ร้องเสียงแหลม มันไม่ใช่เสียงร้องเหมียวให้เกาคางลูบหลัง แต่ว่าเป็นเสียงแหลมและน่ากลัว

“บางทีอาจจะเพราะถูกสัตว์เลี้ยงปลุก หญิงชราเปิดประตูออกมาดู จากนั้นเธอก็บอกบางอย่างแก่ผม

“ตอนเดินพวกคุณสองคนอย่าส่งเสียงดังนัก มันดึกมากแล้ว พวกคุณสองคนทำอะไรอยู่จนดึกป่านนี้?”

เจียหมิงยังจำสีหน้าบนใบหน้าหญิงชราได้เพราะว่าเขาลอกเลียนแบบมันมาให้ผู้ฟังดูได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“ผมรีบขอโทษหญิงชรา แต่เมื่อผมขึ้นมาถึงชั้นสองผมถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ผมหันกลับไปมอง แต่ในทางเดินมืด ๆ มีแค่ผมคนเดียว แล้วทำไมหญิงชราถึงบอกว่า ‘สอง’?

“ในตอนนั้น ผมก็สันหลังเย็นวาบ ผมวิ่งไปที่ประตู คุ้ยหากุญแจ คุณก็รู้ว่าทุกอย่างมันจะเปลี่ยนเป็นยุ่งยากเมื่อคุณตื่นตระหนก ผมพยายามหากุญแจประตู แต่มันก็ไม่เจอ จากนั้นก็เกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้น

“มีเสียงเคาะดังมาจากชั้นที่สามเหมือนลูกบอลเด้งขึ้นลงกับพื้นซ้ำ ๆ

“ตอนที่ผมย้ายเข้าไป หญิงชราก็บอกผมแล้วว่าชั้นสามน่ะว่างอยู่ และมันก็ถูกใช้เป็นที่เก็บเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ๆ และของอื่น ๆ ผมเคยถามเธอว่าทำไมถึงไม่ให้เช่าที่นั่นและเธอก็บอกแค่ว่าครอบครัวของลูกชายเธอเคยอาศัยอยู่ที่ชั้นสามแต่ว่าครอบครัวสามคนนั้นเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์ ถึงแม้ว่าเธอจะให้เช่าชั้นสามได้ เธอก็ไม่ต้องการ เพราะว่าเธออยากจะเก็บมันเอาไว้เป็นความทรงจำ

“เสียงแปลก ๆ ดังมาจากชั้นสามที่น่าจะว่างเปล่า ผมไม่กล้าอยู่ในทางเดินให้นานเกินไปแล้ว ในที่สุดผมก็หากุญแจเจอในกระเป๋าเสื้อของผม และในตอนนั้น เสียงนั่นก็หยุด ผมหันไปมองทางบันไดอย่างสงสัย และที่ตรงมุมเลี้ยวขึ้นชั้นสาม ผมก็ขาสีเทา ๆ คู่หนึ่ง จากมุมนั้น นั่นเป็นทั้งหมดที่ผมเห็นได้

“ผมกลัวมากและเปิดประตูเร็วเท่าที่ทำได้

“หลังจากเข้าไปในบ้านแล้วผมก็ยังตื่นตกใจอยู่ ผมปิดประตูนิรภัยชั้นนอก และตอนที่ผมกำลังจะปิดประตูชั้นใน ผมก็สงสัยมาก และในที่สุดผมก็เอนตัวออกไปนิด ๆ เพื่อมองขาที่อยู่บนบันได

“ตอนที่เอนตัวมองผ่านช่องว่างที่ประตู ผมก็ปรับมุมและนั่งลงช้า ๆ ผมมองขึ้นไปและเห็นขาคู่นั้นอีกครั้ง ตอนที่ผมกำลังมองขึ้นไปเรื่อย ๆ หัวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งจู่ ๆ ก็ปรากฏในสายตาผม!

“ท่าของเขาประหลาดมาก ขาของเขาตรง และว่าหัวนั้นแทบจะแตะกับพื้น นั่นไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายมนุษย์ธรรมดาจะทำได้

“ผมกระแทกประตูปิดและพยายามเปิดไฟในห้องนั่งเล่น ผมรู้ว่าสวิตช์อยู่ที่ไหน และมือของผมก็เอื้อมไปก่อนที่ผมจะทันได้แตะสวิตช์ ปลายนิ้วของผมก็ปัดผ่านบางอย่าง มันเหมือนผิวหนังมนุษย์ มันเหมือนกับผมกำลังแตะโดนมือของมนุษย์อีกคนที่ในบ้านของผมเอง

“พอกดสวิตช์ ไฟติด และมอบความรู้สึกปลอดภัยให้ผมอย่างที่ผมต้องการแล้ว ผมก็เริ่มเรียกหาภรรยา แต่ว่าไม่มีการตอบรับ

“ผมกลัวมาก ดังนั้นจึงรีบเปิดไฟทั้งหมดในห้อง ในที่สุด ผมก็เจอโน้ตที่ภรรยาของผมทิ้งเอาไว้ตรงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่น

“เธอบอกว่าพ่อบุญธรรมของผมป่วยหนักมากและโรงพยาบาลก็บอกให้เธอไปที่นั่น เธอทำอาหารไว้ให้ผมทิ้งไว้ในตู้เย็น และถ้าผมจะกิน ก็แค่ต้องเอามาอุ่น

“ผมทิ้งกระดาษโน้ตไว้ที่เดิม ภรรยาของผมไม่ได้อยู่บ้าน ผมมองมือตัวเอง ผมแน่ใจว่าผมแตะถูกนิ้วของคนอื่นเมื่อครู่นี้ ดังนั้น มันก็มีแต่ต้องมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้นอกจากตัวผมเอง

“ผมไม่กล้านอน ผมตรวจดูทุกซ่อนทุกมุมที่น่าจะเป็นสถานที่ซ่อนตัวได้ แต่ไม่เจออะไร ผมพยายามโทรหาภรรยา แต่ว่าไม่มีคนรับสาย

“ผมกลัวมาก ผมเปิดทีวีและเร่งเสียงดังสุด จากนั้นผมก็ชงกาแฟเข้ม ๆ ให้ตัวเองกินหลายแก้ว ผมวางแผนจะอยู่ในห้องนั่งเล่นตลอดทั้งคืนและจากนั้นก็ย้ายออกไปจากที่น่ากลัวนี่ในเช้าวันรุ่งขึ้น

“ผมไม่ได้สนใจรายการในทีวีนัก ผมเอาแต่เติมกาแฟเพื่อสู้กับความง่วงงุนที่กำลังคืบคลานมา ในที่สุด ฟ้าก็สาง ผมทนไม่ไหวแล้วและเดินไปใช้ห้องน้ำ

“หลังจากเข้าห้องน้ำเรียบร้อย ผมยืนอยู่หน้าอ่างล้างมือ คิดจะใช้น้ำเย็น ๆ ล้างหน้าเสียหน่อย พอเปิดก็อก ดูน้ำที่ไหลออกมา ผมก็เริ่มรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองผมอยู่ ผมสงสัยว่าคนผู้นั้นที่ตามผมมาซ่อนอยู่ในห้องน้ำ ผมมองไปรอบ ๆ ห้องทางหางตา แต่ว่าห้องน้ำก็เล็กเกินกว่าที่ใครจะซ่อนอยู่ได้

“พอยืดตัวขึ้น ผมก็มองที่ภาพสะท้อนโทรม ๆ ของตัวเองในกระจก ผมส่ายหน้าและตัดสินใจจะย้ายออกโดยเร็ว ย้ายไปที่ที่มีคนอยู่มากกว่านี้

“พอวางผ้าเช็ดหน้าลง ผมก็ยังไม่สามารถสลัดความรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องออกไปได้ ยังไม่ทันได้มีโอกาสคิดเรื่องนี้ โทรศัพท์ก็ดัง ผมตกใจแทบตาย ผมรีบไปรับสาย– เป็นภรรยาผมโทรมา

“ท้องฟ้าสว่างแล้ว และภรรยาของผมก็บอกว่าเธอโทรหาผมหลายครั้งเมื่อคืนนี้ เธอเป็นห่วงมากเพราะว่าไม่มีคนรับสาย

“ตอนที่เธอพูดอย่างนั้น ผมก็เหงื่อหยดเป็นเม็ด เป็นเธอที่ไม่รับสายผมตลอดคืนนั้น ไม่ใช่ตรงข้ามกันอย่างนี้

“ผมมองไปยังสายโทรศัพท์อย่างไม่รู้ตัวและเกือบจะบอกเธอแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่จู่ ๆ เธอก็ถามผมว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องกับผมหรือเปล่า เธอได้ยินเสียงใครสักคนกำลังพูดบางอย่างย้ำ ๆ และเสียงก็คล้ายกับพ่อบุญธรรมผมมากอย่างน่าสงสัย เขากำลังพูดว่า ‘ดูด้านหลังแกสิ ดูด้านหลังแก…’

“ผมรีบหันหน้ากลับไป แต่ว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มองเข้าไปในห้องน้ำ ผมก็เห็นแค่เงาสะท้อนของตัวเอง ยืนถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือมองกลับมาที่ผม

“ผมบอกภรรยาให้อยู่กับพ่อบุญธรรมของผมที่โรงพยาบาล หลังจากวางสาย ผมก็นั่งกลับลงไป แต่ยิ่งผมคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี”

My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม

My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 200 อ่านนิยาย ตอนที่ 201 – 300 อ่านนิยาย ตอนที่ 301 – 400 อ่านนิยาย ตอนที่ 401 – 500 อ่านนิยาย ตอนที่ 501-596 อ่านนิยาย

รถขนศพพร้อมกับกลิ่นประหลาดชะลอและหยุดลงที่หน้าทางเข้า เสียงล้อบดทับก้อนกรวดได้ยินดังไปถึงเพดาน มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางระเบียง และดูเหมือนจะมีใครบางคนแอบดูอยู่ที่ประตูถัดไป ลูกบิดประตูของห้องนั้นขยับเล็กน้อย ก๊อกน้ำในห้องน้ำ ปิดแล้วก็ยังมีน้ำหยดตลอดเวลา มีลูกบอลยางที่กลิ้งไปมาได้เองที่ใต้เตียง เสียงฝีเท้าเปียกโชกเหยียบลงบนพื้นเริ่มดังมาให้ได้ยินทีละก้าว

ตีสาม เฉินเกอถือมีดเอาไว้ในมือขณะซ่อนตัวอยู่ข้าง ๆ เครื่องทำความร้อนในห้อง โทรศัพท์ที่เขาพยายามกดโทรออกในที่สุดก็มีคนรับสาย

“คุณเจ้าของ นี่คือสิ่งที่คุณหมายถึงตอนที่บอกว่า “บ้านจะอึกทึกนิดหน่อยในตอนกลางคืน” งั้นเหรอ?”

Options

not work with dark mode
Reset