LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend 6.2: การเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 6.2: การเปลี่ยนแปลง

“เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มาทางนี้ได้เลยจ้า”

 

เนเน่ตะโกนเรียกจากข้างในห้องอัดทำลายความเงียบของพวกยูมะ  ยูมะจะเดินไปหาเนเน่แต่รู้สึกได้ว่ายุยตัวแข็งไหล่แข็งไม่ขยับ

 

“เป็นอะไรเหรอ”

“ค..คือว่า..ชั้นบอกว่าโอเคกับถ่ายรูปก็จริง แต่จริงๆแล้ว..ชั้นไม่ชอบถ่ายรูปเลย…”

ยูมะคิดว่าเธอจะตื่นเต้นหรือไม่อยากไปก็ไม่แปลก เพราะคนที่ฝืนพาเธอมาที่นี่แรกคือยูมะเอง ฉะนั้นสิ่งที่ควรทำก็ต้องหาวิธีให้เธอผ่อนคลายและไปถ่ายรูปด้วยความเต็มใจ

 

อ้อ นึกไอเดียออกละ ไหนๆเราก็คอสเพลย์เป็นพระเอก ส่วนยุยคอสเพลย์เป็นนางเอก  งั้นลองแนะยุยว่าให้ถ่ายรูปเป็นลักษณะเหมือนเราสองคนเป็นตัวละครหน้าปกการ์ตูนน่าจะดี

 

ยุยยังไม่รู้ความคิดผม เธอถามด้วยความกังวล

“ม..มีอะไรรึเปล่า”

“ไม่ต้องห่วงครับ  มากับผมเถอะ จับมือผมสิครับองค์หญิง”

ยูมะกล่าวจบ ยื่นมือไปหายุย

(อ..เอ๋?  จู่ๆยูมะก็มีท่าทีเปลี่ยนไป?)

ยุยคิดในใจ กังวลนิดๆ แต่เมื่อเห็นมือยูมะที่ยื่นมา สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจ

“ขอความกรุณาด้วยนะคะ”

ยุยกล่าวจบบื่นมือเธอไปกุมมือยูมะ

 

“มือเล็ก..แถมนุ่มชะมัด”

ยูมะตกใจเล็กน้อยกับขนาดมือของยุยที่เล็กและนุ่มกว่าที่คิด 

 

ยูมะจูงมือยุยเดินไปหาเนเน่ แม้ว่าจะใจเต้นโครมคราม แอบกังวลว่า มือตัวเองเปืื้อนเหงื่อมิใช่น้อย หวังว่ายุยคงไม่สะบัดมือเขาทิ้งด้วยความรังเกียจนะ

 

ว่าไป ยุยตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างนะ

 

เขาไม่กล้าจะหันกลับไปมองหน้ายุย แต่ความรู้สึกว่ามือเธอกุมแน่นกว่าเดิม ก็เป็นหลักฐานภาษากายว่าเธอไม่ได้รังเกียจยูมะ ทำให้เขารู้สึกดีใจ

 

ข้างในห้องที่เนเน่รออยู่คือสตูดิโอขนาดเล็ก ข้างในมีฉากหลังเป็นพื้นสีเขียว ถ้าใครเรียนสายถ่ายรูปมาน่าจะรู้เรื่องกรีนสกิน เอาไว้แต่งภาพนั่นเอง (ฉากทำไมต้องสีเขียว อ่านได้จาก ลิ้งนี้ นะครับ)

 

ข้างๆฉากมีโคมไฟสำหรับถ่ายภาพยนต์  ส่วนเนเน่ถือกล้องรออยู่ข้างๆ

“ประจำที่ถ่ายรูปได้เลยจ้า …ยูคุงก้าวออกมาข้างหน้านิดนึง ส่วนยุยจังอย่าไปหลบข้างหลังนะ”

 

เอาจริงๆไม่ใช่แค่ยุยที่ตื่นเต้นกับการถ่ายรูป ยูมะเองก็เช่นกัน 

 

ส่วนยุย ตั้งแต่ที่เข้ามาให้ห้องถ่ายรูป เธอหลบอยู่ข้างหลังยูมะตลอด เอาจริงๆ คาแรคเตอร์ขี้อายแบบนี้ก็เป็นคาแรกเตอร์ตัวละครที่ชื่อฟีด้วย ทำให้ยูมะรุ้สึกเหมือนว่า ถ้าฟีเป็นคนจริงๆ จะทำแบบที่ยุยทำตอนนี้แหละ

และถ้าให้กล่าวเพิ่มอีก ยูมะก็รู้สึกแย่กับตัวเองนิดหน่อย เพราะจอมมารที่เป็นตัวเอกในเรื่องมันหล่อ แถมบุคลิกยังมีความแจ่มใสมากกว่าที่ยูมะเป็นอยู่ตอนนี้  ผิดกับยุย ที่ดูจะสมจริงมากกว่า

 

“ถ่ายออกมา…จะน่ารัก..รึเปล่านะ?”

“ไม่ต้องห่วง ตอนนี้น่ารักเกินเบอร์ละครับ”

 

ยุยยังขาดความมั่นใจ ถามยูมะซ้ำอีกครั้ง ซึ่่งทุกครั้งที่ยูมะพูดว่าเธอน่ารัก  เธอก็ยังคงดีใจตลอด  เนเน่ที่ดูพฤติกรรมทั้งคู่อยู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“ไหนๆก็ลองโพสท่าจากในมังงะ ตอนที่ทั้งสองคนได้พบกันอีกครั้งเป็นไง  นี่ๆ ฉากนี้เลย”

 

เนเนหยิบโทรศัพท์เปิดภาพฉากที่พระนางเข้าคู่ด้วยกัน เป็นฉากที่พระเอกอุ้มฟีในท่าเจ้าหญิง

 

“เอ่อ…ฉากนี้จะดีเหรอ”

ยูมะคิดว่าถ้าอุ้มในท่าเจ้าหญิง เขาต้องสัมผัสกับยุยแบบแนบเนื้ออีกแล้ว เธออาจจะไม่ชอบก็ได้

 

ทว่าคำพูดของยุยกลับพลิกความคาดหมายยูมะ

“อ…อยากลองถ่าย..ดูค่ะ”

“หา?”

สำหรับยุยที่บอกเองว่าไม่ชอบถ่ายรูป แค่ยืนตรงนี้ก็ใช้ความพยายามสุดๆ แต่ครั้งนี้เธอเป็นคนเสนอตัวเอง ถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของยูมะ

“เวลาที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับยูมะ มันสนุกมาก… เพราะงั้น…ถ้ามีอะไรน่าสน…เป็นกิจกรรมร่วมกัน..ก็อยากลองทำดู”

“…….”

คำพูดของยุยทำเอายูมะใจเต้น เพื่อนคนสำคัญอุตส่าพูดขนาดนี้ เขาก็ไม่ปฏิเสธแน่นอน

“งั้นก็….จัดไป”

“กรี๊้ด”

พอยูมะอุ้มยุยในท่าเจ้าหญิง  เธอก็กรี๊ดเยาๆ 

 

ก่อนหน้านี้ยูมะเคยอุ้มยุยขึ้นคอนโดมาแล้ว จึงมั่นใจว่าอุ้มไหวแน่ 

 

ยูมะเก๊กหน้านิ่ง พยายามไม่ให้เธอเห็นว่าเขาเขืินหนักมาก ปั้นหน้าเก๊กตอนถ่ายรูปสุดพลัง

พอถ่ายช้อตนี้เสร็จ เนเน่ก็เลือกฉากอื่นต่อ คราวนี้เป็นฉากสอนเวทมนต์ให้ฟี และฉากอื่นๆที่น่าสนใจตามมังงะ เป็นต้น

 

 หลังจากถ่ายรูปเสร็จ เนเน่ก็จัดการเอารูปถ่ายลงโปรแกรมตัดต่อ ใส่เอฟเฟคเวทมนต์ ตกแต่งภาพตามความเชี่ยวชาญของเธอ

 

หลังจากหมดอีเว้นถ่ายรูปก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ทั้งสองคนลากลับบ้าน สรุปว่า กิจกรรมวันนี้ผ่านไปครบหมด พระอาทิตย์ก็ใกล้ตกดินพอดี

 

ระหว่างเดินทางขากลับด้วยรถเมล์ ยูมะกับยุยแชทคุยเรื่องในวันนี้กัน

 

“ขอโทษด้วยนะ วันนี้พาเธอไปส่งบ้านช้ากว่ากำหนด ยังเข้าบ้านได้ปกตินะ”

“ไม่ต้องห่วง ผมติดต่อบอกที่บ้านล่วงหน้าแล้ว แถุมพิมพ์บอกไปด้วยว่าผมมาเที่ยวกับเพื่อน มีเพื่อนแล้วตอนนี้ ที่บ้านก็ดีใจไม่ว่าอะไรละ”

 

ยูมะคิดว่า ยุยในตอนนี้ เหมือนเธอจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได่นิดหน่อยแล้ว

 

ถ้าเทียบกับตอนที่เพิ่งถึงร้านเนเน่ กับตอนนี้ ออกจะแตกต่างกัน ตอนนั้นยุยตัวแข็งปั๊กเป็นหุ่นยนต์เลย

 

แต่ตอนนี้เธอดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิม ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน เสื้อผ้าตอนนี้ที่ใส่อยู่ก็เป็นชุดที่เนเน่เลือกให้ 

 

ยุยเองก็ติดลมคุยกับยูมะเพลินจัดจนเธอไม่รู้ตัววว่า ตอนที่ขึ้นรถเมล์ สายตาคนรอบข้างมองมาที่เธอ แน่นอน เหตุผลว่าไม่ใช่เพราะผมสีขาวของยุยแปลกอย่างเดียว แต่เป็นความน่ารักที่สะกดสายตาด้วย

 

ทว่าในหัวยูมะมีหนึ่งคำถาม….

“ผมน่ะนะ ตอนยูมะพาผมไปที่ร้านเนเน่ ในใจตอนนั้นคิดแล้วว่าอยากกลับบ้านมาก”

“ขอโทษด้วยนะ จริงๆชั้นควรอธิบายล่วงหน้าสักนิดเนอะ”

“ไม่หรอก ถ้าอธิบายแต่แรก ผมคงตัดสินใจไม่ไปแน่  คุณเนเน่เป็นคนดีมาก ผมที่เพิ่งเคยคอสเพลย์เป็นครั้งแรก คุณเนเนก็เอาใจใส่ดูแลอย่างดี ทั้งอ่อนโยน แถมชมผมไม่หยุดปากด้วย”

“เอ่อ …เอาจริงๆก็แค่เจ๊แกมีไฟจัด นานๆจะมีลูกค้าใหม่แถมได้โอกาสลองเสื้อเพราะมีนางแบบด้วยล่ะมั้ง”

“เหตุผลพิลึกนะนั่น”

ยุยหัวเราะพลางพิมพ์แชทไปด้วย

 

(เธอน่ารักจริงแฮะ)

ยูมะคิดว่าอยากจะเห็นรอยยิ้มของเธอมากกว่านี้ รอยยิ้มเธอช่างน่ารัก เปี่ยมด้วยความสุข เขาอยากจะทำให้เธอมีความสุขเพื่อได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้อีก

 

“ยูมะ? เป็นอะไรเหรอ”

ยุยเห็นท่าทียูมะนิ่งไปเลยถามด้วยปากตัวเอง

 

“ป..เปล่า ไม่มีอะไรครับ”

หลังจากนั้นไม่นาน รถบัสก็ถึงป้ายที่พวกยูมะต้องลง ทั้งคู่ลงจากรถเดินกลับบ้านด้วยกัน ระหว่างทางก็คุยเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยจนถึงบ้านยุย

 

“อ๊ะ วันนี้พ่อกับแม่กลับมาถึงบ้านแล้ว”

ยุยพึมพัมกับตัวเองหลังจากได้ยินเสียงสนทนาและหัวเราะจากข้างในบ้าน

 

“งั้นเหรอ เป็นความผิดชั้นเองที่กลับช้า ขอโทษอีกครั้งด้วยละกันครับ”

“อืม”

“ถ้างั้นชั้นขอตัวกลับก่อนนะ”

ยูมะกล่าวจบ หันหลังกลับบ้าน ทว่า

“…..ยูมะ”

จู่ๆยุยเดินเข้ามาหายูมะ ใช้สองมือเธอกุมมือเขาไว้

 

“….ยุย?”

“เอ่อ…คือ…คือ….คือว่า”

ยุยตัวสั่นนิดๆ กระนั้นก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อพูดคำที่อยู่ในใจให้ได้

 

“…ช..”

ยูมะดูจากสีหน้าเธอ เดาว่าเธอมีเรื่องในใจที่จะสารภาพให้ได้ 

ยุยสูดลมหายใจเข้าลึก ในที่สุดเธอก็กล่าวว่า

 

“ต่อจากนี้เราเป็นเพื่อนกันตลอดไปนะ”

“ด..ได้? นึกยังไงถึงพูดออกมาเหรอ”

“ก็มันเป็นเพราะว่าชั้นเอาแต่พึ่งพายูมะตลอด ไม่มีโอกาสได้ตอบแทนอะไรเลยสักอย่าง…..  ก็เลยไม่สบายใจ”

“บอกไปหลายรอบแล้ว อย่าไปใส่ใจครับ”

“อ..อืม..แต่ว่า…ถ้ามีเรื่องอะไรให้ชั้นช่วยต้องบอกกันนะ ถ้าเป็นเรื่องที่ชั้นทำได้ ไม่ว่าอะไรก็ตามชั้นยินดีทำให้หมด”

“..เฮ้ยๆ นาย..ไม่สิไอ้คำว่าอะไรก็ตามเนี่ยมัน….”

“?”

“เป็นผู้หญิงอย่าพูดคำนั้นออกมาง่ายๆสิ”

“……อ๊ะ?”

ยุยอึ้งตอนแรกเพราะคิดไม่ทัน แต่พอไตร่ตรองสักพัก เธอนึกออกสิ่งที่ยูมต้องการจะสื่อ หน้าเธอก็แดงแป๊ดรับโบกไม้โบกมือยกใหฯญ่

“ม..ไม่ใช่น้า..ชั้นไม่ได้…ตั้งใจสื่อทำนองนั้น”

“เข้าใจครับ เข้าใจอย่างดีเลย เอาเป็นว่าเรื่องนี้ไม่ต้องคิดมาก ให้มันจบในวันนี้เนอะ”

“อ..อืม”

ยูมะคิดว่า กูก็พูดอะไรทะแม่งๆเนอะ ให้มันจบเนี่ย มันสื่อถึงบรรยากาศแปลกๆ เล่นเอารู้สึกอาย รีบพูดต่อ

 

“ถึงชั้นจะบอกเธอไปหลายรอบ แต่ก็จะย้ำอีกที ชั้นสนุกมากเลยเวลาที่อยู่ด้วยกันกับนาย  ฉะนั้นไม่ต้องคิดมากเพราะว่าพวกเราเป็น….เป็น…เพื่อนสนิทใช่มั้ยล่ะ?”

“…อืม”

ยูมะพูดไปด้วยเขินไปด้วย ซึ่งผลลัพธ์คำพูดของยูมะถือว่าออกมาดี เพราะยุยฟังจบ เธอยิ้มฮัมเพลงขึ้นจมูกอย่างดีใจ

 

ยูมะเห็นยุยดีใจ เขายิ่งมีความคิดอยากทำให้ยุยมีความสุขมากกว่านี้   พอคิดจบ ยูมะยื่นมือออกไปลูบหัวยุยอย่างอ่อนโยน

ทางยุยก็หลับตาพริ้ม ปล่อยให้ยูมะลูบหัวโดยไม่ขัดขืน

ยูมะเห็นยุยในสภาพนี้ เขาเกิดความตื่นเต้น กระนั้น…ในมุมหนึ่งก็แอบปวดใจเล็กๆโดยที่ยังบอกสาเหตุไม่ได้

“ช้ามากแล้ว ชั้นขอตัวกลับก่อนนะ”

“อืม เจอกันพรุ่งนี้นะ”

ยูมะกล่าวจบ เร่งสาวเท้ากลับแมนชั่นตัวเอง รู้ว่ายุยมองแผ่นหลังเขาและโบกมืออยู่ แต่เขาไม่ได้หันกลับไปโบกตอบ เพราะคิดบางอย่าง

…เรากับยุยตอนนี้เป็นเพื่อนสนิทฐานะเท่าเทียมกันแล้ว

 

เขาเองก็ชอบและสนุกกับความสัมพันธ์ที่เป็นในตอนนี้

ถ้าความสัมพันธ์นี้ยืนยาวตลอดไปคงเป็นเรื่องที่ดี

 

แต่ว่า…

สมมตินะ…สมมติว่าคำที่ยุยพูดจากเป็นเพื่อนตลอดไป เป็นคำว่า “ชั้นชอบเธอ ได้โปรดคบชั้นเป็นแฟนด้วยเถอะ”  เราจะตอบเธอกลับไปว่าอย่างไร

(ช่างแม่งเหอะ ณ.ตอนนี้ ยุยคงไม่คิดกับเรามากไปกว่าเกินเพื่อนหรอก)

ยูมะส่ายศีรษะ ขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไป

 

จบตอน6-2

LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend

LN Zuttomo This Is the Memory Until the Girl Who Said “Please Be My Friend Forever,” Is No Longer My Friend

Score 10
Status: Completed
สมบัติอันล้ำค่าของมนุษย์คือเพื่อนสนิท หากมีความสุข เราจะสุข2เท่า หากมีความทุกข์ เราแชร์ความรู้สึกแย่นั้นให้เพื่อนฟังเพื่อระบายได้ สรุปง่ายๆ ขอแค่ชีวิตคุณมีเพื่อนแบบนี้สักคนก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว แล้วถ้าเพื่อนที่สุดยอดคนนั้น เป็นเพื่อนต่างเพศ เขาและเธอมีความรรู้สึกชอบกัน เรื่องราวจะเป็นเช่นไร ***

Options

not work with dark mode
Reset